พิมพ์หน้านี้ - :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: MoonLovers ที่ 16-10-2016 22:08:48

หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 16-10-2016 22:08:48
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:



ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


*หมายเหตุ*


-   นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากแฟนฟิคชั่น (ฉบับปี 2006)
-       นิยายเรื่องนี้แต่งและแปลง(พร้อมเรียบเรียงใหม่)โดย Fanismz
-   เราได้ขออนุญาตผู้แต่งก่อนนำมาดัดแปลงและเผยแพร่ใน thaiboyslove เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-   ไม่อนุญาตให้นำนิยายเรื่องนี้ไปโพสต์ที่อื่นไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น


ไปอ้อนพี่แฟนให้แปลงเพราะอยากอ่านแบบไทยด้วยค่ะ
ถ้ามีคนอ่านชอบเหมือนกันจะมาอัพเดตเรื่อยๆ นะคะ
สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่โอเคกับนิยายแปลงก็ข้ามไปเนาะ เลือกอ่านได้ตามอัธยาศัยค่ะ
แถวนี้อาจมีคนเคยอ่านตำนานรักบันไดแดงเหมือนเรา เม้าท์มอยกันได้ค่ะ
ฝากติดตามเรื่องราวของคนที่สามกับน้องในบรรยากาศไท๊ยไทย ณ มหาวิทยาลัยแถวสยามด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

(( สี่ ))

 :L2:


Q : จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

A by สี่ : มีคนมาขอแปลงไปหลายเวอร์ชั่นมากค่ะ (แปลงอ่านกันเอง มีทั้งแบบมาขออนุญาต ทั้งแบบแอบทำกันเองแล้วโดนจับได้ ^^")  แต่ถ้านับเฉพาะที่พี่แฟน(ผู้แต่ง)เป็นคนแปลงและเรียบเรียงเองเวอร์ชั่นไทยนี้ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นแรกค่ะ และกำลังจะมีอีกเวอร์ชั่นตามมาเร็วๆนี้ เพราะงั้นคงตอบไม่ได้ว่าจะมีทั้งหมดกี่เวอร์ชั่น ต้องดูว่าพี่แฟนจะใจอ่อนกับคู่ไหนบ้างอ่ะค่ะ ^^




หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 16-10-2016 22:23:42

บทนำ   :L2:



อากาศครึ้มตั้งแต่เช้าเลยวันนี้ มองไปทางไหนก็หาแสงแดดไม่เจอทั้งที่ตอนนี้มันน่าจะเป็นช่วงที่แสงสวยที่สุดของวันช่วงหนึ่ง ผมนอนกะพริบตาอยู่บนเตียง อีกมุมหนึ่งของห้องมีร่างเจ้าน้องชายคนเล็กกำลังนอนแผ่หลาอย่างสบายอารมณ์ ก็แน่ล่ะซี วันนี้รัฐบาลประกาศว่าเป็นวันหยุด นักเรียนมอปลายอย่างเจ้านั่นจะเดือดร้อนอะไรล่ะ ก็มีแต่เด็กมหาลัยปีหนึ่งอย่างผมนี่แหละที่ต้องแหกตาตื่นตั้งแต่แปดโมงเช้าในวันอาทิตย์แบบนี้

แต่เอ...ทำไมอากาศตอนแปดโมงครึ่งมันถึงได้อุ่น ๆ ร้อน ๆ ชอบกล ทุกทีเวลาเปิดหน้าต่างเอาไว้แบบนี้ มันน่าจะเย็นสบายนี่นา เร็วเท่าความคิดและความสงสัยผมคว้ามือถือประจำตัวขึ้นมา เครื่องหมายกระดิ่งตัวน้อยที่โชว์หราอยู่หน้าจอทำเอาผมต้องลุกพรวดจากเตียงตัวเองทันที

“เวรแล้วคุณภัทร” ตั้งนาฬิกาปลุกแต่ดันลืมเปิดเสียง เจริญแล้วจ้าาา

“ไปแล้วนะคร้าบบ” เสียงของผมคงดังไปถึงห้องครัว แม่กำลังล้างจานหรือทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้แต่พอได้ยินผมตะโกนบอกก็เดินแกมวิ่งออกมา บังคับให้ผมต้องกินข้าวก่อนออกไปข้างนอกเหมือนปกติ ถ้าเป็นทุกครั้งก็ใจอ่อนอยู่หรอกแต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าผมสายอีกครั้งเพื่อน ๆ เล่นงานผมตายแน่

“ผมมีนัดทำรายงานกลุ่มครับแม่ตอนนี้ก็เกือบถึงเวลานัดแล้วด้วย”

“อ้าว วันนี้มันวันหยุดไม่ใช่หรือลูก แม่ก็นึกว่าพี่คุณไม่ออกไปไหนเลยไม่ได้ขึ้นไปปลุก”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ารีบหน่อยคงทัน ผมไปนะครับ” คว้าจักรยานคันเก่งออกมาได้ก็ปั่นสุดแรงเกิดขึ้นเนินลูกฟูกออกไปถนนใหญ่ โหย ถ้าเวลาที่ได้ปล่อยรถวิ่งลงมาจากเนินตอนกลับบ้านคือเวลาที่ผมชอบที่สุด เวลาที่ต้องปั่นขึ้นเนินแบบนี้ก็คือความรู้สึกที่ตรงข้ามกันสุด ๆ นั่นแหละ โคตรจะเหนื่อยเลยครับ

บ้านของผมอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยแต่ถ้าจะปั่นไปให้ถึงเลยมันก็หนักหนาเอาการอยู่ ผมเลยมักเอาจักรยานไปจอดที่สถานีรถไฟฟ้าแล้วนั่งรถไฟฟ้าไปอีกต่อ วันไหนรถว่างก็ดีไปแต่ถ้าวันไหนรถแน่นขึ้นมาก็ทำเอาผมเซ็งได้เหมือนกัน

อย่างเช่นวันนี้

ผู้คนที่เบียดเสียดกันขึ้นมาคนแล้วคนเล่าทำให้ผมโดนดันไปติดประตูอีกด้านหนึ่งของคันรถ อีกสามสถานีจะถึงมหาวิทยาลัยแต่ผมรู้สึกถึงความซวยมาเยือนตั้งแต่เห็นไอ้พนักงานใส่สูทใส่แว่นคนหนึ่งมันมายืนหายใจรดต้นคออยู่ตรงหน้า อารมณ์ไม่อยากจะมองมันให้รกตาเลยหันข้างให้สิ้นเรื่อง

แต่ใครจะคิด!

ไอ้เวรนี่มันโรคจิตแค่ผมขยับนิดเดียวมันก็ถือโอกาสขยับตาม คราวนี้สยองยิ่งกว่าเดิม แม่งมันมายืนซ้อนหลังผมเลยทีเดียว เสียงหัวเราะของมันเหมือนจะสมใจที่ผมทำแบบนั้นหรือมันคิดว่าผมอ่อยวะ ไอ้จิตเสื่อม

“เอามือแกออกไปเดี๋ยวนี้” ผมขู่มันเสียงต่ำ ไอ้เหี้ยแม่งนอกจากจะไม่ฟังแล้วยังได้คืบจะเอาศอก มันเลื่อนฝ่ามือลามมาถึงด้านหน้า ผมกัดฟันกรอด พอกันทีกับความอดทนสำหรับวันนี้ อากาศอบอ้าว ตื่นก็สาย ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน อะไร ๆ ก็ไม่ดีตั้งแต่ลืมตาตื่นแล้วดันมาเจอเรื่องชวนอ้วกแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะทนโปรดสัตว์อีกต่อไป

พลั่ก!

“ไอ้โรคจิต! ไอ้ขยะสังคม! เพราะมีคนแบบแกนี่แหละระดับความปลอดภัยของเมืองนี้มันก็ได้ดิ่งลง ๆ ลวนลามผู้ชายสนุกนักหรือไง จับอยู่ได้ แม่ง มันก็มีเหมือน ๆ กันนั่นแหละ อยากนักทำไมไม่จับของตัวเองล่ะวะ ทำแบบนี้คิดถึงหน้าบุพการีบ้างไหมเนี่ย ไหนขอดูหน้าชัด ๆ หน่อยซิ...”

ไอ้หมอนั่นเลิกจุกกับฤทธิ์ปลายศอกของผมได้แต่ก้มหน้างุด ๆ แหวกผู้คนออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว โชคดีของมันที่รถจอดสถานีพอดี มันเลยแอบเนียนเดินออกไปตามคลื่นมนุษย์สูทที่ยังต้องมาทำงานในเช้าวันหยุด วีรกรรมของผมทำให้สายตาไม่ต่ำกว่าสิบคู่มองมายิ้ม ๆ และที่เหลือก็ตื่นตะลึงไปเรียบร้อย ถึงจะรู้ว่าพวกเค้าไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่ผมก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยสุดท้ายเลยหันหลังให้เสียเลย

ภาพความเคลื่อนไหวต่าง ๆ นอกรถถูกบดบังจากสายตาของผมด้วยกำแพงมนุษย์เสียจนมิด เพราะหันมาเร็วและไม่ได้มองก่อนผมเลยไม่นึกว่าจะมีคนมายืนซ้อนหลังตัวเองอยู่ก่อนแล้ว หน้าผมซุกเข้ากับอกของใครก็ไม่รู้เข้าไปเต็มหลุม อย่าคิดว่าผมจะโชคดีชนอกนิ่ม ๆ ของพี่สาวจากออฟฟิศไหนเพราะไอ้แผงอกที่ทำเอาจมูกผมชาอยู่ตอนนี้น่ะมันทั้งล่ำทั้งแข็งอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวแถมเจ้าของมันยังสูงจนข่มความภาคภูมิใจของผมให้ลดลงมาเหลือแค่ระดับไหล่เท่านั้น

“อูยยยย อิเหี้ย เจ็บ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมากไหม”

“ไม่ ไม่เป็นไร ขอบใจ” ผมตอบห้วน ๆ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นใจ เพราะอกแข็ง ๆ ของนายคนเดียวทำให้ฉันต้องเจอเรื่องซวยปิดท้ายแบบนี้ อ้อ ไม่ใช่ปิดท้ายแล้วล่ะเพราะก่อนจะถึงสถานีที่ผมต้องลงคลื่นมนุษย์ก็โถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง

ตุบ!

ธัมโมสังโฆ คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้สภาพผมทุเรศแค่ไหน อยู่ดีไม่ว่าดีดันมายืนให้คนเบียดจนต้องไปซุกหน้ากับอกผู้ชายด้วยกัน แถมอีกฝ่ายยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แขนล่ำ ๆ ของมันตะหวัดทีเดียวก็ดึงเอาผมเซเข้าไปติดประตูอีกด้าน ตัวเองก็โดนเบียดตามผมมาติด ๆ

เฮ้ย ทำแบบนี้ผมก็ขยับไปไหนไม่ได้น่ะสิ โดนล้อมซ้ายขวาด้วยอ้อมแขนผู้ชายแบบนี้ อึดอัดพิลึกเลยโว้ย

“นาย...ถอยไปหน่อยได้ไหม ฉันอึดอัด”

“โทษทีแต่คนมันแน่น ทนหน่อยก็แล้วกัน” ดูเอาเถิดพี่น้องผองไทย ขนาดตอนพูดยังไม่ต้องออกเสียงก็ได้ยิน ในเมื่อปากมันแทบจะแนบกับใบหูของผมอยู่แล้ว ผมครางออกมาเบา ๆ ร่ำร้องอีกครั้งเผื่อจะมีหวัง

“แต่ฉันหายใจไม่ออก จะไม่ไหวแล้วนะ”

“ผายปอดให้ไหมล่ะ”

“อี๋!” พูดเรื่องชวนขนลุกแล้วยังมาหัวเราะอีก เดี๋ยวกัดหูให้เลย ผมขยับตัวฮึดฮัดแต่ยิ่งทำแบบนั้นเหมือนยิ่งเอาตัวไปถูไถกับคนตรงหน้ามากขึ้น คราวนี้มันคงทนรำคาญผมไม่ไหว บีบเอวผมแรง ๆ ทีหนึ่ง เฮ้ย! แล้วมือข้างนั้นมันไปอยู่ที่เอวผมได้ไงวะ!

“อย่าจับนะ ไม่งั้นนายเจออย่างไอ้โรคจิตเมื่อกี้แน่”

“อยู่นิ่ง ๆ คนเยอะ อากาศมันเบาบาง ออกแรงมากเดี๋ยวก็วูบไปหรอก” นอกจากไม่กลัวผมขู่ มันยังยกเหตุผลที่ผมเถียงไม่ได้มาปิดทางผมเสีย ผมทำเสียงครางต่ำ ๆ บอกให้รู้ว่าไม่ชอบที่มันเอาหน้ามาใกล้กันเกินไป ปากผมจ่ออยู่ที่ซอกคออีกฝ่ายแถมเวลาขยับจะพูดแต่ละทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังและเล็มไหปลาร้าเพื่อนชายอยู่ยังไงก็ไม่รู้

ฮือ แม่จ๋า พี่คุณกลายเป็นพวกชอบหาเศษหาเลยกับผู้ชายตัวโต ๆ โดยไม่ตั้งใจไปแล้ว

เสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าสถานีปลายทางของผมมาถึงบ้างแล้ว ผมยืดตัวมองผู้คนที่กำลังเบียดออกไปรอตรงประตูอีกฝั่งแล้วอยากร้องไห้ หมดหวังแน่คุณภัทร อยู่ติดประตูอีกฝั่งแบบนี้ต่อให้แรงผู้ชายอย่างผมก็ไม่มีทางเบียดออกไปได้แน่นอน

“จะลงสถานีนี้ใช่ไหม” เสียงทุ้ม ๆ ของหมอนั่นถามผมอยู่ข้างแก้ม วินาทีที่ผมหันไปมองมันในระยะประชิดนั้นประตูก็เปิดออก ผมกำลังคิดว่าไอ้หมอนี่ตาสวยเป็นบ้าผู้ชายคนหนึ่งก็เบียดมาจากด้านข้าง ผมกำลังจะตอบว่าใช่ จะลงสถานีนี้ ร่างของผมก็ถูกเบียดให้เข้าไปใกล้ไอ้คนที่กอดผมอยู่อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังจะสบถออกมาก็ถูกเบียดเข้ามาอีกและคราวนี้มันให้ผลร้ายแรงกว่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะแรงผลักดันหรือแรงดึงดูดห่าเหวอะไรกันแน่ที่มันทำให้ริมฝีปากของผมกับปากสีแดง ๆ ของหมอนั่นมาเจอกันแบบไม่ได้ตั้งใจ

ผมได้แต่อึ้ง พูดไม่ออก คุณพระ เมื่อกี้มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมครับ มันเป็นแค่...แค่อะไรสักอย่างที่มันลวงตา อุปาทาน อุปมา อุปมัย อุปเหี้ยอะไรก็ได้แต่ต้อง ไม่ใช่จูบ!

ผมยังอึ้งอย่างต่อเนื่องแม้ว่าอีกคนจะกึ่งรั้งกึ่งลากผมออกมาจากรถขบวนนั้นได้สำเร็จ ตาผมมองไล่ตั้งแต่ขากางเกงยีนส์สีซีดขึ้นไปช้า ๆ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดแบบเต็มตา

ไม่ใช่แค่น้ำเสียงน่าฟัง

ไม่ใช่แค่ไหล่กว้างกล้ามแน่น

ไม่ได้มีตาสวยอย่างเดียว

แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวของผู้ชายคนนี้แทบไม่มีที่ติเลยด้วยซ้ำ!














โปรดติดตามตอนต่อไป  :mew1:





หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 16-10-2016 22:42:56
 :mc4: :mc4: :pig2:
ใครเอ่ยที่พาพี่คุณออกจากรถไฟฟ้า  :impress3:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 16-10-2016 22:47:29

ตอนที่ ๑  :L2:



ผมจำไม่ได้ว่าพาตัวเองปลิวออกจากสถานีรถไฟฟ้าได้ยังไง นึกออกแต่ว่าในตอนนั้นสมองมันสั่งให้วิ่ง ๆ ๆ แล้วก็วิ่งออกมาให้เร็วที่สุด มารู้ตัวอีกทีผมก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงโต๊ะประจำ พวกมันคงเห็นความพยายามของผมจากสีหน้าประหนึ่งวิ่งสู้ฟัดมาเสียสิบสนามเลยยอมละเว้นความผิดในการมาเกือบสายครั้งนี้ให้แถมหนึ่งในสองยังใจดีเสียสละโค้กกระป๋องให้ผมจิบแก้เหนื่อยอีกต่างหาก เฮ้อ นับว่ารอดตัวจากการคาดโทษของท่านหัวหน้าไปอีกครั้ง

พอสติสตังเริ่มกลับมาหาตัวผมก็เริ่มมองหางานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ กระดาษรายงานเรียงกันอยู่ในแฟ้มใสตรงหน้า...ฝีมือวรินทรเช่นเคย เรียบร้อยแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วล่ะ

“อ้าว ไหงมีแต่ของเก่าล่ะวา ไหนว่าวันนี้จะทำให้เสร็จเลยไง ทำไมไม่มีอะไรสักอย่าง” ผมหมายถึงรายงานส่วนหลังที่เคยคุยกันไว้ ดูสิมีแต่โครงเรื่องกับเนื้อหาที่หากันไว้ลวก ๆ แล้วแบบนี้จะทำต่อได้ยังไง ผมเปิดดูจนหมดก็ได้ฤกษ์เงยหน้ามองวา

วาหรือวรินทรเพื่อนเลิฟที่ผมกำลังเผชิญหน้าด้วยเป็นผู้ชายเหมือนผมนี่แหละครับแต่พอดีหน้าตาผิวพรรณดีแถมยังมันสมองเป็นเลิศ ในจุดนี้วาเลยเหมือนเป็นมันสมองหลักของกลุ่มเราแถมพ่วงเป็นที่พึ่งพาให้พวกสมองน้อย ๆ อย่างนายคุณภัทร ปัทมวรกุลซึ่งก็คือผมอีกด้วย พอผมถามวาก็ทำหน้าแปลก ๆ จะว่ายิ้มก็ไม่เชิงมันเหมือนกระตุกปากมากกว่า

“อะไรอ่ะ?”

“นั่นมันส่วนของคุนนะพัดไม่ใช่หรือครับ คุนนะพัดมีหน้าที่ต้องไปหาหนังสืออีกห้าเล่มที่เหลือมาให้พวกกระผม จะลืมก็ไม่ว่าอ่ะนะแต่ไอ้ทำตาแป๋วแล้วมาถามเอากับกระผมเนี่ยมันน่าซัดแรง ๆ จังเลยครับ”

“เหยยยยยยยย” ผมลากเสียงยาวทำหน้าเหมือนแปลกใจสุดฤทธิ์สุดเดชทั้งที่ในหัวนั้นเริ่มนึกออกตามที่วาพูดแล้ว เหวย ๆ ผมลืมยืมหนังสือจากห้องสมุดคณะแล้วมันก็ต้องใช้วันนี้แล้ว

“งั้นรอเดี๋ยว เดี๋ยวไปยืมมาให้ โทษที ๆ” ผมตั้งท่าว่าจะวิ่งออกจากตรงนั้นแต่มือนุ่ม ๆ ของอีกหนึ่งเพื่อนสนิทก็ฉุดแขนผมไว้เสียก่อน ไอ้ผู้ชายหน้าคมหวานที่ชื่อบุรินทร์มันยิ้มตาหยีแล้วก็บอกผมว่า “วันนี้วันหยุดห้องสมุดคณะเราปิด”

แม่เจ้า! ความซวยมาเยือนแล้วเป็นไง ผมหันไปยิ้มแหย ๆ กับวา รายนี้เลยใช้แฟ้มฟาดหัวผมเป็นการลงโทษหนึ่งที

“นึกแล้วเชียว ไปกัน” เจ้าเพื่อนรักทั้งสองเหมือนจะเข้าใจการเปลี่ยนเรื่องที่รวดเร็วราวสายฟ้าของวา มีแต่ผมที่ยังนั่งคลำหน้าผากป้อย ยังเจ็บไม่หายก็จะให้ไปไหนอีกล่ะ

“ลุกสิคุณ ห้องสมุดสถาปัตย์มันจะปิดตอนเที่ยงนะ ช้าเดี๋ยวก็พลาดอีกหรอก”

วาเก็บของเรียบร้อยแล้ว รอให้บุรินทร์เอาขยะไปทิ้งกลับมาก็เดินนำพวกผมมุ่งตรงไปยังตึกสีน้ำตาลรูปทรงแปลกตาที่อยู่ติดอีกด้านของลานกว้างที่พวกเรานั่งอยู่ จะว่าไปผมก็ไม่เคยเข้ามาคณะนี้เลยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ดูอะไร ๆ มันก็แปลกตาไปเสียหมด คณะนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายเรียนมองไปทางไหนก็เจอแต่กล้ามล่ำ ๆ กับขนหน้าแข้ง น่าเบื่อพิลึก ผิดกับคณะของพวกเราที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้หญิง เรียนไปก็มองภาพสวย ๆ งาม ๆ ไป ชื่นใจพี่คุณดีแท้

“ถ้าฉันมาคนเดียวต้องหลงแน่เลย ห้องสมุดหรือเขาวงกตวะถามจริง” ผมกระซิบบอกบุรินทร์ที่เปิดประตูรออยู่ เจ้านั่นหัวเราะในลำคอโน้มหน้าหวานปานจะหยดมากระซิบตอบผมว่า “เดิน ๆ ไประวังเจอยักษ์แอบอยู่ในซอกนะ เดี๋ยวมันนึกว่านายเป็นเด็กหลงมา เผลอจับนายกินเข้าไปน่าสงสารพวกมันแย่เลย” เหอะ พูดอะไรดูตัวเองซะก่อนเถอะบุรินทร์ หน้าตาอย่างนายนั่นแหละสมควรระวังเสือสิงห์กระทิงป่าแถวนี้มันเล็งเอา

“เพื่อนเลว ฉันจะมาครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ คณะอะไรมีแต่ผู้ชาย แห้งแล้งชะมัด”

“นายมาที่นี่ครั้งที่สองแล้ว คราวที่แล้วเรามาด้วยกัน จำไม่ได้แล้วหรือ”

“เมื่อไหร่” บุรินทร์บอกว่าตั้งแต่ต้นเทอมที่แล้ว ตอนนั้นพวกผมลงวิชาเลือกเป็นวาดรูปเลยต้องมาหาซื้อพวกสีและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สหกรณ์คณะนี้เหตุผลเพราะว่ามันถูกกว่าซื้อข้างนอก ผมฟังแล้วก็อือออตาม จริงอย่างที่บุรินทร์พูดนั่นแหละ ผมเคยมาคณะนี้แต่มันมาในช่วงรีบเร่งแถมยังเป็นช่วงที่เข้ามาเรียนใหม่ ๆ อะไร ๆ มันก็เลยดูเลือนรางไปหมด จำได้ว่าตอนกลับออกมายังพลัดหลงกับบุรินทร์อีกต่างหาก

พอผ่านมาถึงห้องโถงส่วนล่างของห้องสมุด ผมก็ได้แต่แหงนคอตั้งมองนั่นมองนี่อย่างตื่นตาตื่นใจ เออเนาะ ก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ผู้ชายคณะนี้มันอาภัพตรงที่ไม่มีสาว ๆ ให้มองมากแต่มันก็มีที่สิงสถิตที่สวยงามอลังการเข้ามาแทน บุรินทร์บอกผมว่าหอสมุดของคณะนี้สร้างโดยเหล่าอาจารย์และนิสิตที่ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ปีสามขึ้นไปถึงปีห้า ผลงานจากสมองของคนในล้วน ๆ ก็สมควรที่คนพวกนี้จะภาคภูมิใจอยู่หรอก

“ทางนี้ เราต้องแลกบัตรก่อน” บุรินทร์บอกก่อนจะหันมาลากผมตามไปทางเคาน์เตอร์มุมในของห้องโถง เพราะพวกผมเป็นนิสิตต่างคณะเวลาจะมาใช้สมบัติของคนอื่นก็ต้องมีการแลกบัตรผู้มาเยือนเป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน แลกบัตรเสร็จผมก็ถูกบุรินทร์จูงตามวาขึ้นบันไดวนไปจนถึงชั้นสาม เล่นเอาผมเหนื่อยจนลิ้นห้อยคราวนี้ผมจะไม่มีทางลืมเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตหนุ่ม ผมได้เคยมาปีนบันไดวนของสถาปัตย์มาแล้ว

“เร็ว ๆ สิคุณ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ”

“ไปก่อนได้เลย” ผมร้องบอกวาทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าจากไหล่บุรินทร์ เพื่อนที่แสนดีของผมหัวเราะจนอกสั่นแต่ยังใจดีหยุดรอให้ผมได้หายใจหายคอ บุรินทร์บอกให้วาล่วงหน้าไปเลือกหนังสือก่อนตัวเองก็หันมาสนใจอาการหอบของผมต่อ

“เป็นไงมั่ง อีกชั้นเดียวเองไหวไหม”

“ไหว แต่ขอพักก่อน นั่งตรงนี้จะมีใครว่าไหมอ่ะ” ผมบุ้ยปากใส่ขั้นบันไดที่ปูพรมสีเลือดใต้ฝ่าเท้าเราสองคน บุรินทร์มองซ้ายมองขวาแล้วก็ยักไหล่

“ไม่ว่าหรอกมั้ง ถ้ามันขวางทางคนอื่น เค้าคงถีบลงไปเองแหละ”

“ถ้าเจออย่างนั้นขอกลิ้งลงนุ่ม ๆ ละกันจะลงไปนอนรอข้างล่าง ไม่ไหวแล้ว ทำไมเค้าไม่รู้จักสร้างลิฟต์เอาไว้ให้นิสิตใช้บ้างวะ ปีนป่ายอย่างนี้ทุกวันกระดูกข้อได้เสื่อมกันพอดี” ผมทรุดตัวลงนั่งชิดริมด้านหนึ่งของบันไดบุรินทร์เองก็นั่งสูงไปขั้นหนึ่ง ผมเลยได้ทีแอบขยับเข้าไปชิด ยึดเอาอกของอีกคนเป็นที่พึ่งพิงยามยากเสียเลย

“มันจะทำให้เสียทัศนียภาพของหอสมุดน่ะสิ”

“ก็สร้างแอบไปตรงไหนก็ได้นี่นา เดินขึ้นลงกันแบบนี้เหนื่อยตาย”

“ก็ไม่เห็นมีใครเหนื่อยตายเพราะปีนบันไดสักคน ฉันเองก็มาบ่อย ๆ ขึ้นลงจนชินแล้วล่ะ นายนั่นแหละชวนมาทีไรไม่ยอมมา ชอบหนีไปร้องคาราโอเกะกับพวกผู้หญิงทุกที” ผมยิ้มบาง ๆ

“นั่นมันก็เป็นเรื่องจำเป็น ว่าแต่ นายมาทำไมบ่อย ๆ วะ”

“มาส่งวาน่ะ เพื่อนวาเรียนคณะนี้” คนหน้าหวานว่าเสียงนุ่ม ลูบผมตรงข้างแก้มให้ผมอย่างเบามือ ผมชอบบุรินทร์ตรงนี้แหละ นิ่ง ๆ เงียบ ๆ จะสวยจะเท่ก็ทำได้หมด ชอบทำมากกว่าพูดแถมขออะไรไม่เคยไม่ให้ ใจดีไม่เคยดุผมอย่างวาเลยสักครั้ง หน้าตาก็ดีหุ่นก็ดีแถมบ้านรวย เพราะแบบนี้ด้วยล่ะมั้งเพื่อนของผมเลยป็อปทั้งในหมู่ผู้ชายผู้หญิงน่ะ

“อ้อ คนที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กันใช่ไหม เคยเห็นสองสามครั้ง หน้าตาดุได้ใจเลยล่ะ”

“ไปว่าเค้าอีก หายเหนื่อยหรือยัง”

“อีกนิดนึงงงง นั่งตรงนี้กำลังสบายเลย” ถึงคราวที่ต้องใช้ลูกอ้อน ต้องแบบนี้แหละครับ อยู่กับวากับบุรินทร์บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่ชายหรือไม่ก็พี่สาว อยากเกเรขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อ้อนเอา แล้วถ้าผมซุกหน้าคลอเคลียเข้าหาเมื่อไหร่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครใจแข็งได้ร๊อก

“แหงสิ นายพิงฉันอยู่นี่ สบายอยู่คนเดียว”

นั่นไง บุรินทร์นี่ใจดีที่สุดในโลกเลย

“เคยได้ยินตำนานของบันไดแดงไหมคุณ?”

ผมส่ายหน้าตอบ บันไดแดงที่บุรินทร์กำลังพูดถึงหมายถึงบันไดที่พวกผมกำลังนั่งกันอยู่นี่ล่ะ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิสิตทั้งมหาวิทยาลัย แต่นิสิตหนุ่มเนื้อหอมอย่างพี่คุณที่ไม่ค่อยมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้เลยไม่ค่อยจะมีความรู้เท่าไหร่ว่าเค้ามีตำนานกันว่าอย่างไรบ้าง

“เค้าว่ากันว่าใครก็ตามที่สะดุด ด้วยความไม่ตั้งใจนะ ที่บันไดนี้จะมีแฟนในคณะสถาปัตย์ล่ะ ส่วนใครก็ตามที่ได้จูบกับคนที่ชอบตรงนี้ ในเวลาที่เหมาะสม เค้าว่าคนคู่นั้นจะรักกันไม่มีวันเสื่อมคลาย”

“เหรอ” ผมครางรับ นับเป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินตำนานโรแมนติกขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคณะที่มีแต่ทโมนห้าร้อยจำพวกจะมีเรื่องน่ารัก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ มันแค่ตำนานแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

ถ้าผมไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกัน

“แล้วนายเชื่อเรื่องนี้ไหมล่ะ” ผมหันไปมองหน้าสวยของเพื่อนรัก เห็นแก้มเนียนของเจ้านั่นแดงเรื่อขึ้นพร้อมกับดวงตาเรียวสวยที่เบือนมองไปทางอื่นแค่นั้นก็ฟังธงได้ฉับ ล้านเปอร์เซ็นต์ เผลอ ๆ เจ้านี่จะเคยพาใครบางคนมาพิสูจน์แล้วด้วยซ้ำ

“ฮั่นแน่ เคยลองแล้วล่ะสิ” ผมหรี่ตามองหน้าแดง ๆ ของอีกฝ่าย เจ้านั่นจิ๊ปากพลางทำตาดุใส่แต่เรื่องอะไรจะกลัว ผมขยับเข้าชิดยื่นหน้าเข้าใกล้เพราะอยากมองหน้าเขิน ๆ ของเพื่อนรักให้เต็มตา ชัดช่า บุรินทร์แอบมีกิ๊กซ่อนไว้ เรื่องนี้ต้องขยายให้วารู้ซะแล้ว “แอบมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อนใช่ไหม ใครวะ ในคณะเราหรือเปล่า”

“ไม่ใช่แฟนโว้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นด้วย ลุก ๆ ๆ ไปได้แล้วเดี๋ยวห้องสมุดปิด” เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการบอกถึงจะอยากรู้แค่ไหนแต่ผมไม่อยากทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ต้องคอยเซ้าซี้ถาม เรื่องแบบนี้รอให้เจ้าตัวเค้าพูดคงจะเหมาะกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดที่จะแซวไม่ได้

“เขินแล้วเปลี่ยนประเด็นเลย ไม่บอกก็ได้ เดี๋ยวไปสืบเอง”

ร่างสูงโปร่งของบุรินทร์ลุกขึ้นรออยู่แล้วตอนที่ดึงผมให้ลุกตาม พวกเรากำลังปัดเผ้าปัดผมให้เรียบร้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนย่ำขึ้นมาจากบันไดวนช้า ๆ บุรินทร์ยังมีใจเอื้อมมือมาปัดผมยุ่ง ๆ ให้ ส่วนผมก็สลัดแข้งขาเตรียมจะฝ่าฟันเส้นทางทรหดต่อ

ตึก

ตึก

ตึก

เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นกำลังโผล่มาจากบันไดวนขั้นต่ำลงไป บุรินทร์เดินล่วงหน้าไปได้สองสามก้าว คนคนนั้นก็ใกล้เข้ามาอีก ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างสงสัย เขาเดินมาในระยะเท่า ๆ กันกับผมแต่เสียงรองเท้าที่เหยียบลงบนพื้นพรมนั้นมันยังหนักแน่นและสม่ำเสมอเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงระยะทางที่แสนไกลนี้เลย

ทำได้ยังไงกันนะ

แค่ไม่กี่ก้าวที่ผมปล่อยให้บุรินทร์เดินนำไปก่อน ตัวเองหันกลับไปมองด้านหลัง ผู้ชายตัวสูงกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงยีนส์สีซีด ไม่ต้องสงสัยเลยงานนี้ ผู้ชายที่ทำให้ผมติดใจได้เพียงแค่เสียงฝีเท้าคือคนเดียวกันกับไอ้หน้าหล่อบนรถไฟเมื่อเช้า ตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ดูดีแม้ว่ากำลังอยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่อะไรก็ไม่กระแทกตาผมเท่าปากสีแดงเหมือนเลือดของหมอนั่น เจอที่ไหนก็ไม่มีวันลืม

   โลกกลมของแท้เลยคุณ

   หมอนั่นเงยหน้ามองมาพอดีกับจังหวะที่ผมสั่งตัวเองให้รีบตามบุรินทร์ไปได้สำเร็จ แต่เพราะอารมณ์รีบร้อนทำให้ไม่ทันระวัง รองเท้าผ้าใบของผมจึงไปสะดุดเอากับบันไดขั้นหนึ่ง

“เฮ้ย!”

   “คุณ!”

   คุณเคยตกใจไหม เวลาที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นผ่าเข้ากลางแสกหน้าแล้วก็ลามไปทั่วร่าง เรี่ยวแรงที่เคยมีมันก็พาลเหือดหายไปเสียหมด ผมเซเสียหลักพร้อมเสียงดังก้องของบุรินทร์ ชั่วขณะที่คิดว่าร่างของตัวเองกำลังหงายหลังลงมาจากบันไดสูง ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังแบบไม่เบานัก ก่อนที่ตัวผมจะถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงแกมรั้งให้กลับมาอยู่จุดเดิม

   แขนขาวจัดของผู้ชายคนนั้นยังโอบอยู่รอบเอวผม หน้าผมก็ยังซุกอยู่กับอกกว้าง ขณะที่แขนข้างหนึ่งถูกบุรินทร์รั้งไว้แน่น เพื่อนตัวโตถลาลงมาถึงตัวผมหลังจากที่ไอ้หน้าหล่อรับร่างผมไว้ ภาพของผมตอนนี้คือถูกผู้ชายคนหนึ่งกอดไว้ทั้งตัวและมีผู้ชายอีกคนหนึ่งจับข้อมือไว้แน่น!

หัวใจผมเต้นแรง

แรงจนเจ็บ

ลมหายใจหอบหนักเพราะความตกใจ

“คุณ...เมื่อกี้นาย...นายสะดุดใช่ไหม?” ผมหันไปมองคนถามงง ๆ สมองยังปรับความคิดไม่ทันแต่ก็ยังมีใจพยักหน้าตอบบุรินทร์ไปตามตรง ก็จริงนี่ ผมจะตกบันไดเพราะเซ่อซ่าไปสะดุดทางเดินเข้า ไม่ตกลงไปหัวแตกมันก็บุญโขแล้ว แล้วทำไม ไอ้ตี๋มันต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นด้วย!

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสียงนุ่มหูดังมาจากริมฝีปากที่จ่อกับขมับของผม ไม่มีอารมณ์ใดในน้ำเสียงนั้นนอกจากความห่วงใยจาง ๆ ที่ผมพอจะสัมผัสได้ เจ้าของเสียงละมือออกจากตัวผมถอยไปยืนมองเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าผมยังยืนอึ้งไม่พูดไม่จาหมอนั่นก็ยิ้มให้

ช่างเป็นยิ้มที่ให้ความรู้สึกดีอะไรแบบนี้ เหมือนเวลาเรายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาในช่วงฤดูฝนยังไงยังงั้นเลย ไม่ได้พูดเกินไปนะ แต่ผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผู้มีพระคุณของผมให้ความรู้สึกสดชื่นปนความอ่อนโยนแบบที่หาได้ยากจากผู้ชายทั่วไปในท้องตลาดบ้านเรา แลคงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีการกวนโอ๊ยแบบที่ผ่านมา

“ขอบใจ” ผมบอกเสียงเบาพอกับการกระซิบเจ้านั่นก็ยิ่งยิ้มกว้าง

“เจอกันสองครั้งก็มีเรื่องให้ฉันต้องหิ้วนายทั้งสองครั้ง ครั้งที่สามจะเป็นอะไรนะ” นั่นไง คิดยังไม่ทันจบก็เอาอีกละ ผมไม่น่าหลงไปกับหน้าตาหล่อ ๆ นั่นเลย อุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ ช่วยเราเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้ายันบ่าย มาพูดแบบนี้กะจะไม่ให้ประทับใจกันเลยมั้ง

“ขอบใจ ถ้ามันมีครั้งที่สามอีกนายก็ปล่อยฉันไปตามบุญตามกรรมแล้วกัน” ผมบอกออกไปอย่างนั้นแล้วก็เดินขึ้นบันไดทีละสองขั้นเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เหนื่อยแทบขาดใจอย่างนั้น บุรินทร์ยังไม่ตามมา ผมได้ยินเสียงเจ้านั่นคุยอะไรกับฝ่ายนั้นแว่ว ๆ ก็ไม่รู้ ไม่อยากจะสนใจ ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกแม้แต่วินาทีเดียว

ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ใกล้หมอนั่นสองครั้งทำให้ความมั่นใจในตัวเองของผมถดถอยลงทุกครั้ง ไม่ดีหรอกแบบนี้ ผมไม่ชอบ ไม่สบายใจที่มันจะเป็นแบบนั้นด้วย

พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงที่เหลือก่อนห้องสมุดคณะสถาปัตย์ปิดค้นหาหนังสือที่ต้องการ แต่ก็เหมือนฟ้าแกล้ง หนังสือรายการที่พวกผมต้องใช้มีนิสิตมายืมไปจนหมดก่อนหน้านี้เพียงวันเดียวและกว่าจะถึงกำหนดคืนก็อีกสองอาทิตย์ต่อไป วาเดาว่ากลุ่มที่ยืมไปคงเป็นเพื่อน ๆ จากคณะของพวกเราเอง พอรู้อย่างนี้ผมก็ยิ่งเซ็งจัด อุตส่าห์ถ่อสังขารขึ้นบันไดเสี่ยงตายขึ้นมาจนถึงชั้นสามของตึกแต่กลับไม่ได้สิ่งที่ตั้งใจไว้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าพวกผมจะไม่มีหนังสือไปทำรายงานส่งอาจารย์ให้ทันกำหนดในอาทิตย์หน้าน่ะสิ

   ผมทำหน้าม่อยเข้าไปคลอเคลียวาแบบรู้ตัว เป็นเพราะผมลืมยืมหนังสือตั้งแต่เมื่อวันศุกร์เลยทำให้งานของเพื่อนต้องเสียไปด้วย รู้สึกแย่ชะมัดเลย

   “ขอโทษนะวา เพราะฉันคนเดียวเลยงานนี้ อย่าโกรธเลยนะ”

   “ไม่ได้โกรธแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” วาตอบเสียงแผ่ว ตามองอยู่ที่ปลายนิ้วเหมือนทุกครั้งที่เค้ากำลังใช้ความคิด

   “เราไปยืมคณะอื่นได้ไหม มันน่าจะมีเหมือน ๆ กันไม่ก็ซื้อเลย ร้านหนังสือแถวนี้ก็มีเยอะ”

   “ไม่ซื้อ หนังสือตั้งห้าหกเล่มแถมยังเป็นภาษาอังกฤษ ขืนใจกล้าซื้อได้เปลืองเงินตายชัก ถ้าจะไปยืมคณะอื่นมันก็ไม่มีให้หรอก ฉันเช็คมาแล้ว มันมีแค่ที่คณะเรากับสถาปัตย์เท่านั้น ที่ไหนมันจะเรียนวรรณคดีกับทัศนศิลป์อีกล่ะ นอกจากสองคณะนี้” พอได้ยินชื่อวิชาที่วาย้ำมาอีกครั้ง บวกกับชื่อคณะที่มันแวบขึ้นมาพร้อมกัน ความจำของผมก็เหมือนจะถูกฟื้นขึ้นมาทันทีและเหมือนบุรินทร์เองก็คิดเหมือนกันกับผม

   “พวก’ถาปัตย์” เจ้าตี๋พูดขึ้นลอย ๆ มองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม

   “ใช่แล้ววา พวกปีหนึ่ง’ถาปัตย์ก็ต้องเรียนตัวนี้เหมือนกันนี่ ทำไมเราไม่ขอยืมเค้าล่ะ”

   “เค้าก็ต้องใช้ของเค้าไม่ใช่หรือ” วาย้อนถามเหมือนไม่แน่ใจ กระนั้นความหวังอันน้อยนิดของพวกเราก็สว่างวาบขึ้นมาพร้อม ๆ กัน บุรินทร์เลยเสนอทางเลือกใหม่ล่าสุดให้

   “ถ้าปีหนึ่งมันใช้ ทำไมไม่ลองถามพวกพี่ปีสูง ๆ ดูล่ะ เผื่อจะมีใครเก็บไว้”

   “อืม ก็นะ ลองถามกันดู แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้ ขอโทรถามดูก่อน” พูดไม่ทันจบวาก็เลี่ยงออกไปทางหนึ่ง ก็ไปคุยโทรศัพท์นั่นแหละแต่ทำไมต้องทำท่ากระซิบกระซาบแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้ ทิ้งให้ผมเท้าคางมองหน้ากับบุรินทร์อยู่ที่โต๊ะกันแค่สองคน

   “นายว่าเค้าจะมีให้เรายืมไหม”

   “ไม่รู้สิ ว่าแต่ ตอนที่สะดุดน่ะไม่ได้เจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม” เพื่อนเลิฟเปลี่ยนเรื่องเร็วเสียจนผมแทบตามไม่ทัน พอบุรินทร์ทักผมก็ก้มลงคลำข้อเท้าโดยอัตโนมัติ ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเจ็บหรอกแต่พอเพื่อนทักแบบนี้มันก็ชักจะแปลบ ๆ ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แหมโรคสำออยนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ

   “ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง แค่ขัด ๆ นิดหน่อย”

   “ขอดูหน่อยซิ เผื่อไว้ก่อน เกิดเอ็นพลิกข้อเท้าอักเสบขึ้นมาจะแย่เอา” ผมยื่นเท้าออกไปพาดม้านั่งตัวที่เจ้าบุรินทร์นั่งอยู่ เจ้านั่นอาศัยความรู้รอบตัวที่เติบโตมาในครอบครัวคุณหมอทั้งบ้าน จับ ๆ นวด ๆ ข้อเท้าผมเดี๋ยวเดียวก็พยักหน้าให้ รายงานอาการด้วยประโยคเดียวกับผมเด๊ะ

   “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

   “อ้าว บุรินทร์ ไหงกวนกันหน้าซื่อ ๆ งี้ล่ะจ๊ะ” เจ้านั่นผลักผมจนหน้าหงาย

   “ไม่ได้กวน มันไม่เป็นไรจริง ๆ คราวหลังก็ระวังหน่อยละกัน เฮ้อ นายนี่มันสุดยอดของความเบ๊อะจริง ๆ สะดุดที่ไหนไม่สะดุดดันไปสะดุดบันไดแดง”

“แล้วทำไม?”

“ก็สะดุดไปแบบนั้นนายไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างในตำนานที่เค้าเล่ากันมาบ้างหรือ”

   “ตำนาน? ตำนานอะไรวะ?...อ๋อ...” เออนะ ผมลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย แหม ก็เมื่อกี้ผมตกใจเสียจนขวัญหายไปเยอะ อะไรที่มันฟังผ่าน ๆ หูไปเลยไม่ได้ติดในใจ พอบุรินทร์มาพูดถึงโดยไม่ย้ำกันก่อนแบบนี้ผมก็งงสิครับ

   “ไอ้ตำนานเนื้อคู่อะไรของนายนั่นน่ะหรือ”

   “ใช่ มองใครในคณะนั้นไว้หรือยังล่ะ อุตส่าห์ได้สะดุดทั้งที” เหวย ๆ ได้ทีปุ๊บ มันประชดปั๊บเลยโว้ย ผมยันเท้าที่พาดไว้กับต้นขามันไปพอรู้สึก

   “เพื่อนเลว แค่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ต้องดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย”

   “ทำเป็นพูดไป เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อเค้าห้ามลบหลู่”

   “ยืนยันมั่นใจแบบนี้ แสดงว่าเคยพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้วล่ะสิ” ผมหัวเราะเสียงก้องเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนสนิทมันตวัดตามองมาเหมือนจะค้อน ไม่รู้ว่าเพราะถูกแทงเข้าใจดำหรือเป็นเพราะมันระอาที่จะต่อปากต่อคำกับคนที่ไร้ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแบบผม บุรินทร์เลยปิดประเด็นนี้แบบไม่มีการซักไซ้ให้ยืดยาวกันอีก

   “ได้เรื่องว่าไงมั่ง” ความจริงแล้วได้เห็นรอยยิ้มของวาผมก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าข่าวเรื่องหนังสือของพวกเราคงเป็นบวกมากกว่าลบ เมื่อวายักคิ้วให้ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเรียบร้อย

   “แต่พี่พีร์มีแค่สองสามเล่มนะ เค้าเลยลองขอยืมเพื่อนในกลุ่มให้ก็โอเค ได้มาเพิ่ม รู้สึกเหมือนจะมีเล่มอื่น ๆ ที่พอจะใช้เสริมเนื้อหารายงานของเราได้ด้วย หมดห่วงเรื่องหนังสือได้แล้ว”

   “ไชโย วาเก่งที่สุดเลย” ผมร้องออกมาอย่างโล่งใจ โผเข้ากอดรัดวาอย่างซาบซึ้ง การมีเพื่อนประเสริฐมันดีแบบนี้เอง วาที่ทั้งหน้าตาดี ทั้งฉลาด ติวก็เก่ง ลายมือก็อ่านง่ายแถมยังช่วยแก้ปัญหาให้ตลอด ผมจะไปหาเพื่อนที่ดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก

“ไม่ต้องมาประจบเลยคุณภัทร โทษฐานที่นายทำให้พวกเราเสียเวลารวบรวมข้อมูลไปครึ่งวัน นายจะต้องไปเอาหนังสือเล่มที่เหลือมาจากเพื่อนของพี่พีร์แล้วสรุปเนื้อหาส่วนที่สองของรายงานมาให้ฉันก่อนวันศุกร์หน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีปัญหาอะไรไหม?”

“จะมีปัญหาอะไรได้” เสียงเพื่อนเลิฟนามว่าบุรินทร์ซ้ำเติมแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ผมได้แต่ครางอยู่ในอก โหย ขู่ทั้งเสียงข่มทั้งตาแบบนี้ใครจะกล้ามีปัญหากับวากันเล่า ผมทำปากยื่น แอบบ่นพึมพำพอเป็นพิธีแล้วก็ต้องยอมรับการลงโทษของวาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้งานกลุ่มล่าช้า การแสดงความรับผิดชอบในส่วนนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว

“ฉันต้องไปเอาหนังสือได้ที่ไหนล่ะ” พอผมถามออกไปวาก็ส่งกระดาษที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือเด่นหรามาให้ สงสัยเป็นเบอร์ที่เจ้าตัวได้มาจากเพื่อนพี่ที่ชื่อพีร์คนนั้นเหมือนกันละมั้ง

“เบอร์เพื่อนพี่พีร์ นายโทรไปขอนัดเวลากับเค้าเองก็แล้วกันนะ พี่เค้าใจดีไม่กัดหรอก”

“คนนี้หรือที่บอกว่ามีหนังสือให้เรายืมน่ะ” วายักคิ้ว

“ใช่ ปีห้าเหมือนพี่พีร์นั่นแหละ เก่งทั้งภาคทฤษฏีภาคปฏิบัติเลยบอกให้”

“พวกหนอนหนังสือ แว่นหนาเตอะ เชิ้ตลายหมากรุก ติดกระดุมถึงคอแน่เลย” บุรินทร์หัวเราะพรืดแทบสำลักชาเขียวใส่หน้าผม โชคดีที่หลบทัน ไม่งั้นคงได้ติดโรคชอบสมน้ำหน้าคนจากเจ้านั่นเป็นแน่ เราสองคนหัวเราะอย่างขัน ๆ แต่วาดันไม่ขำตาม

“เจอตัวจริงแล้วค่อยมาวิจารณ์ ถึงตอนนั้นฉันจะยอมนั่งฟัง”

“ได้ แล้วจะให้โทรไปหาคนที่ชื่ออะไรล่ะ เจ้าของเบอร์นี้น่ะ” ผมหัวเราะลงคอ กรีดกระดาษแผ่นเล็กเล่นขณะที่กำลังบันทึกเบอร์ไว้ในมือถือของตัวเอง กับผู้มีพระคุณคนนี้กะจะให้เป็นเบอร์แรกในลิสต์เลยนะ ขอบอก

วายิ้ม เคาะปากกากับปลายจมูกผม ย้ำเสียงราวกับกลัวว่าผมจะลืม



“จิณณ์”



“พี่คนนั้นชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์...จำไว้...”








พี่จิณณ์มาแล้วววววว  o22


หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 16-10-2016 22:51:04
เห็นชื่อเรื่องล่ะรีบกดเข้ามา
ลัทธิอคาเมะกลับมาพลุ่งพล่าน
หลังจากตายด้านมาหลายปี

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 17-10-2016 00:07:05
น่าสนุก
รอตอนต่อไปป

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 17-10-2016 07:20:05
ติดตามฮะ
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: sazzy_pee ที่ 17-10-2016 09:30:59
เคยอ่านตำนานบันไดแดงของจินเมะ

แอบอยากให้มันเป็นตำนานของสองคนนั้นไปตลอด (นิดนึง)
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: toto ที่ 17-10-2016 09:50:09
จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

พอเถอะ เรามีรวมเล่มสองเวอร์ชั่นละ


เริ่มเหนื่อย กับการเห็นนิยายที่รักถูกแปลงไปมา
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-10-2016 10:01:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 17-10-2016 18:37:24
 ครั้งที่สามจะมีเหตุการณ์อะไรอีกน้าา  :katai2-1:
:pig4:
ปล. คนเขียนบอกวันที่อัพ (โดยแก้ไขในโพสแรก) ก็จะดีนะคะ เพื่อนๆ จะได้รู้ว่าตอนใหม่อัพแล้ว
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 17-10-2016 20:46:12
หนูคุณขี้เบ๊อะบ๊ะจัง :hao7:
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 17-10-2016 23:37:05
ถ้าขออนุญาตมาแล้ว ช่วยให้เครดิตคนแต่งเดิมด้วยนะคะ  :teach:
ยังไงก็มีคนที่ตามอ่านเรื่องนี้เยอะนะคะ  :haun5:
หัวข้อ: Re: ::::::: Heart's Tale ::::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์'
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 18-10-2016 18:59:11
ตอนที่ ๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ชื่อจำง่ายดี

นั่นคือความคิดแรกที่ชื่อนั้นแวบเข้ามาในความคิดของผม ชื่อสั้น ๆ เรียกง่ายแถมยังความหมายดีอีก ถ้าพี่คนนี้นิสัยดีอย่างผลการเรียนก็ดีน่ะสิ วาแจกแจงงานเรียบร้อยก็ย้ำหน้าที่ของผมอีกครั้ง

“อย่าลืมโทรหาพี่จิณณ์นะคุณ จะโทรตอนไหนก็ตามใจ อยากงานเสร็จเร็วก็โทรเร็ว ๆ ถ้าอยากให้ไฟลนตูดอย่างคราวที่แล้วอีกก็รอไป”

“รู้แล้วน่า เดี๋ยวโทรเย็นนี้เลยอ่ะ”

“ดีมาก ว่าง่าย ๆ จะได้น่ารัก ๆ”

“น่ะ!” ผมส่งเสียงบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจกับคำหลอกล่อของเค้านัก วายิ้มหวาน จุ๊บลอยลมใส่ผมทีหนึ่งแล้วก็เดินผิวปากแยกไปอย่างร่าเริง คราวนี้ก็เหลือแต่ผมกับบุรินทร์ไรเดอร์สองคน

“นายจะไปช่วยฉันขนหนังสือใช่ไหมบุรินทร์เพื่อนรัก” บุรินทร์ยิ้มแห้ง เกาหางคิ้วตัวเอง พูดไม่เป็นคำขึ้นมาเลยคราวนี้

“ก็อยากจะช่วยหรอกนะแต่วันนี้ฉันมีนัดต่อจากนี้น่ะสิ พรุ่งนี้ได้ไหมล่ะ”

“ได้ไงล่ะ ไม่ได้ฟังที่เพื่อนนายขู่เมื่อกี้หรือไง” ผมบ่นอุบ “แต่ไม่เป็นไรหรอก นายไปเถอะ ฉันไปเองได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ขนหนังสือหนัก ๆ สี่ห้าเล่มเบียดคนบนรถไฟฟ้ากลับบ้าน แค่นั้นเอง” บุรินทร์โอบไหล่ผมไปใกล้ ทำเสียงออดอ้อนจนน่าดีดให้สักที

“ขอโทษษษษษ แต่นัดวันนี้มันเลื่อนไม่ได้จริง ๆ”

“รู้แล้ว จะไปไหนก็ไปเลยป่ะ เดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจนายได้ผิดนัดแน่” เพื่อนรักยิ้มกว้างแล้วก็ยอมถอนใบหน้าจากไหล่ผมอย่างง่ายดาย เหอะ ทำเป็นพูดดี ความจริงแล้วอยากจะใส่เกียร์หนึ่งออกวิ่งเต็มแก่แล้วนะนั่นน่ะ   

แยกจากบุรินทร์มาได้ผมก็เดินเตะเศษใบไม้ออกมาจากคณะ ฤดูนี้มันก็มีอะไรดีหลายอย่างถึงอากาศจะยังร้อนอบอ้าวแต่มันก็ยังมีลมเย็น ๆ คอยพัดให้ชื่นใจได้บ้าง สีสันของต้นไม้ใบหญ้าก็สดใส ไม่แปรปรวนเหมือนช่วงคาบเกี่ยวของฤดู ผมว่าฤดูฝนมันชุ่มฉ่ำ สดใส มีชีวิตชีวา อบอุ่นและครื้นเครงด้วยเสียงของสรรพสิ่งรอบตัว ใช่ มันไม่เหงา...แต่นั่นอาจจะเป็นแค่ความคิดของคนที่ไม่มีคู่แบบผมก็ได้

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าจอ ตอนนี้บ่ายสามโมง เหลือเวลาอีกมากมายกว่าจะถึงเวลาพักผ่อนของผม ตอนแรกตั้งใจว่าจะโทรไปหาเพื่อนของพี่พีร์เสียตั้งแต่วันนี้แต่มาคิดดูอีกทีก็อย่าเพิ่งดีกว่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรละกัน เว้นช่วงให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวสักนิด
พอมีเวลาว่างแล้ว สมองผมก็เริ่มคิดทันทีว่าเราควรจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ปกติถ้าเราเลิกเรียนเร็วแล้วไม่มีใครมีนัดกับสาว ๆ หรือเพื่อนคนอื่น ๆ พวกเราสามคนก็พากันไปเดินดูของแถว ๆ มหาวิทยาลัย อ้อ ลืมบอกไปมหาวิทยาลัยของพวกผมอยู่ในเขตเจริญมากครับ ล้อมรอบด้วยห้างสรรพสินค้า ถนนสายช็อปปิ้งและร้านอร่อย ๆ ของบางกอก ว่างเมื่อไหร่ก็ละลายทรัพย์กันเมื่อนั้นทีเดียว ซื้อของเสร็จเราก็มักไปต่อกันในร้านอาหาร หาของอร่อย ๆ ยัดกระเพาะเติมพลัง จากนั้นอาจต่อด้วยคาราโอเกะไม่ก็ดูหนังที่บุรินทร์มักอาสาเป็นคนเลือกเรื่องที่จะดูแล้วก็ถูกใจผมทุกครั้งด้วยสิ แต่นั่นมันเป็นโปรแกรมสำหรับเราสามคน ตอนนี้มีผมยืนหัวโด่อยู่คนเดียวตรงนี้

จะทำอะไรดี?

ซื้อของก็เพิ่งซื้อไปเมื่อวันก่อน

ร้องเกะ...ก็ไม่เวิร์ค แหกปากอยู่คนเดียวจะสนุกอะไร

กินข้าว...กลับไปกินที่บ้านดีกว่า ประหยัดตังค์

ไอ้ครั้นจะให้กลับไปตอนนี้มันก็ยังเร็วเกินไป ทะเล่อทะล่าเข้าไปตั้งแต่หัววันแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะหาว่าผมผิดปกติขึ้นมาอีก ตัวเลือกสุดท้ายของผมก็คือดูหนังนั่นแหละ ดีที่สุด ตัดสินอนาคตของตัวเองได้แล้วก็เดินฮึมเพลงไปเรื่อย วันนี้อากาศดี อารมณ์ดีกะว่าจะไม่พึ่งรถแต่จะเดินไปให้ถึงสยามเลยทีเดียว ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นนะ ถ้าดินฟ้าและอากาศไม่เล่นตลกกับผมเสียก่อน

ฟ้าที่สว่างใสเมื่อครู่เริ่มครึ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดวงอาทิตย์ที่เมื่อกี้ยังยิ้มแฉ่งกลับหลบลี้หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียดื้อ ๆ สายลมอ่อนเบาของผมพัดแรงวูบขึ้นมาจนต้องหันหน้าหลบฝุ่นผงที่ปลิวฟุ้งทั่วบริเวณ

อะไรกันวะเนี่ย!

ฝนหลงฤดูหรือว่ายังไง

ไม่มีใครให้คำตอบผมได้ นิสิตที่เดินไปมาอยู่แถวนั้นก็บางตาเหลือเกินเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ตอนแรกกะจะไปให้ถึงป้ายรถเมล์ตรงหน้าประตูสถาปัตย์แต่ตอนนี้เอาแค่วิ่งไปให้ถึงป้ายรถป็อบที่เห็นลิบ ๆ ให้ทันก่อนที่จะเปียกก็พอ

ซ่า!

“เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ พายุหรือไงวะเนี่ย” บ่นเบา ๆ กับตัวเองพลางสะบัดแขนขาไล่ความชื้นวุ่นวาย มองสายฝนที่เทลงมาราวกับฟ้ารั่วแล้วก็ต้องถอนใจ หมดกันแผนที่วางไว้ ถ้ามันพร้อมใจกันตกลงมาแบบนี้อีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงโน่นแหละจะหยุด ผมหันมองซ้ายขวา กระแสลมไม่เบานักพัดเอาความชื้นในอากาศมากระทบใบหน้าเลยต้องดึงตัวเองให้หลบเข้าไปด้านในลึกขึ้น นั่งลงได้ไม่ถึงนาที เสียงฝีเท้าของคนโชคร้ายกว่าผมก็วิ่งเร็ว ๆ ใกล้เข้ามา

“.......” ผู้ชายตัวสูงกับการพบกันครั้งที่สามของวันทำเอาผมต้องเพ่งมองเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป นายคนนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ถึงหัวหูจะเปียกมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำแต่ไอ้หน้าหล่อ ๆ ปากแดง ๆ แบบนี้มันคงไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว

อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว มาถึงมันก็สะบัด ๆ หัวแล้วก็ย่ำเท้าผ่านหน้าผมไปนั่งจนเกือบสุดอีกด้านหนึ่งของที่นั่ง ผมมองตามมันไปโดยไม่มีคำพูด มองหมอนั่นยกโทรศัพท์มากดรับเมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เพื่อมารยาทก็ต้องหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจเสีย แต่อีกใจผมกำลังนั่งคิดอยู่ว่าผมควรจะทักมันก่อนดีไหมเลยได้แต่มองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบอยู่อย่างนี้

ถึงจะเจอกันแบบไม่เต็มใจให้เจอแถมยังมีเรื่องให้ผมต้องเสียเชิงชายไปโขเมื่อตอนอยู่บนรถไฟแต่ไอ้หล่อนี่ก็ช่วยผมไว้ทั้งสองครั้ง ยิ่งครั้งหลังเนี่ยถ้าไม่ได้หมอรับร่างผมไว้ตอนนี้ผมอาจจะไปนอนให้คุณหมอเช็คสมองอยู่โรงพยาบาลไม่ได้มานั่งสำนึกบุญคุณมันแบบนี้

เมื่อความเป็นคนดีในใจมันชนะ จังหวะเดียวกันกับที่หมอนั่นวางสายเก็บโทรศัพท์ไว้พอดี ผมเลยลุกเดินเข้าไปหาช้า ๆ คนเรานะผมอุตส่าห์ทอดฝีเท้าให้รู้แล้วว่าตั้งใจจะเข้าไปทัก แต่หมอนั่นกลับไม่ได้สำนึกเลยว่ามีใครกำลังรอให้เงยหน้ามามองอยู่ จนเมื่อผมไปหยุดอยู่ต่อหน้าจนเห็นขากางเกงยีนส์นั่นแหละ นายนั่นถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ

“ไง” เปิดก่อนได้เปรียบโว้ยคุณภัทร ชิงทักก่อน เจ้านั่นทำหน้าเหมือนจะงงแต่ก็ยอมทักตอบ

“ไง” แค่เนี้ย! ท่านคุณภัทรอุตส่าห์เมตตา ลดตัวลงมาทักทายก่อนแต่หมอนี่กลับตอบมาแค่เนี้ย แล้วแบบนี้ผมจะเอาอะไรมาต่อวะ ผมถอนใจแรงแล้วก็นั่งลงข้าง ๆ หมอแบบไม่ต้องเสียเวลาขอ ยัดผ้าขนหนูผืนเล็กที่พกติดตัวประจำใส่มือขาว ๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็บอกเสียงเรียบ

“เช็ดผมซะสิ ฉันให้ยืม”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็แห้งแล้ว นายเก็บไว้ใช้เองดีกว่า” มือขาวดันผ้าคืนมา ผมเลยจิ๊ปากตอบให้

“ฉันไม่เปียก นายนั่นแหละต้องเช็ดแล้วก็ไม่ต้องเถียงด้วย ฉันแค่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หมอนั่นทำตาปริบ ๆ อยู่แค่นับหนึ่งถึงสามก็พยักหน้ารับช้า ๆ ใช้ผ้าขนหนูขนฟูของผมซับความชื้นจากแก้มก่อนเป็นที่แรก ผมเองก็ปัดผมที่ตกลงมาให้พ้นหน้า มองคนข้างตัวเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแล้วก็ให้นึกถึงความลำเอียงของเบื้องบนขึ้นมาตะหงิด ๆ

ทำไมฟ้าถึงให้อะไรคนเราไม่เท่ากันนะ

ดูอย่างหมอนี่สิ รูปหล่อ หล่อมาก ๆ ด้วย ดวงตาหมอเป็นสีดำสนิท หน่วยตายาวรับกับแนวคิ้วที่พาดตรง เวลาที่เจ้าตัวทอดสายตามองสายฝนแบบนี้มันน่ามองจนผมต้องหันหน้าหนี จมูกหรือก็โด่งสวย ริมฝีปากได้รูป อิ่มตึงแถมยังมีสีแดงสดราวกับเลือด เวลาที่แต้มด้วยรอยยิ้มบางเบาแบบนั้นก็น่ามองพิลึก!

“ยิ้มอะไร?” ผมถามออกไปทันทีที่สำนึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งมองสายฝนไป ยิ้มไป มันอารมณ์ดีอะไรของมันหรือเห็นว่าผมกำลังแอบมองอยู่ ไม่หรอกก็อีกฝ่ายกำลังนั่งหันข้างให้ผมนี่ จะมาเห็นได้ยังไงว่ากำลังโดนผมมองสำรวจ ผมจิ๊ปากเมื่อเจ้านั่นยังยิ้มไม่เลิก กระตุกผ้าในมือมันแรง ๆ เหมือนจะเอาเรื่องถ้ามันไม่ยอมตอบผมดี ๆ

“ถามว่ายิ้มอะไร?”

“ก็เขินนี่” มันลูบท้ายทอยเหมือนทำตัวไม่ถูกผมเลยยิ่งสงสัย

“เขินอะไรล่ะ?”

“ก็นายมองอะไรล่ะ อยู่ ๆ มานั่งจ้องกันแบบนี้ฉันก็เขินเป็นนะ” ตอบแบบนี้แสดงว่ามันรู้ตัวว่าถูกผมแอบมองมาตั้งแต่ต้น เหอะ แล้วก็แกล้งปั้นหน้าเฉยมาตั้งนานนะ ผมหันหน้าหนีแต่ก็ยอมรับไปตามตรง

“ใครใช้ให้นายหน้าตาดีล่ะ ภูมิใจล่ะสิมีคนมานั่งชมแบบนี้น่ะ”

“เวลาถูกผู้ชายด้วยกันชม นายภูมิใจไหม”

“ถามทำไม”

“อยากรู้”

“ก็แล้วแต่ว่าจะชมว่ายังไง ถ้าหล่อหรือเท่ก็ดีไป แต่ถ้าใครมันเจือกสะแหลนพูดว่าฉันน่ารักล่ะก็บอกมันเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่า” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วมันก็เงียบต่อไป ผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าการนั่งรอฝนหยุดตกเนี่ยมันเสียเวลาโดยใช่เหตุ เลยล้วงโทรศัพท์ออกมาจากเป้ โทรหาพี่คนนั้นตอนนี้เลยดีกว่า

“นายก็เรียนที่นี่หรือ” เสียงทุ้มถาม ผมกำลังง่วนกับการกดหาเบอร์โทรก็ครางตอบรับไปสั้น ๆ

“อยู่ปีอะไรแล้ว”

“ปีหนึ่ง นายล่ะ ปีเดียวกันป่ะ?” ผมถามกลับพลางแนบโทรศัพท์กับหู หมอนั่นแค่ยิ้ม เห็นว่าผมกำลังต่อสายเลยหุบปากเงียบเช็ดผมไปพลาง ๆ เสียงเพลงรอสายของท่านพี่จิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์เป็นเพลงสากลยุคเก่าที่ผมเองก็ชอบมาก นึกอยากให้เจ้าของเครื่องติดธุระรับสายไม่ได้ตอนนี้ ผมจะได้ฟังมันไปเรื่อย ๆ เพลงเพราะ ๆ แบบนี้เข้ากับบรรยากาศตอนฝนตกดีออก แต่ความหวังของผมเป็นอันต้องถูกขัดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดังตอบกลับมา

“ฮัลโหล จิณณ์พูด”

“เอ่อ พี่จิณณ์ใช่ไหมครับ คือ ผมคุณนะครับ คุณภัทร(คุน-นะ-พัด) ผมเป็นเพื่อนของวาที่บอกว่าจะขอยืมหนังสือเรียนวิชาวรรณคดีกับทัศนศิลป์ของพี่น่ะครับ คือ พี่พีร์บอกพี่หรือยังครับว่าผมจะโทรหา...ฮัลโหล ได้ยินไหมครับ” ไม่มีการตอบรับจากปลายสาย ผมนิ่วหน้า มองหน้าจอสัญญาณก็ชัดเจน สายก็ยังไม่หลุด ผมยังได้ยินเหมือนเสียงฝนตกจากปลายสายด้วยซ้ำ ผมกรอกเสียงลองดูอีกครั้ง

“ฮัลโหล พี่ ได้ยินไหมครับ”

“ได้ยิน” คราวนี้เสียงนั้นชัดเจนจนผมต้องชะงัก หันไปมองคนข้างตัวช้า ๆ เจ้านั่นเลิกเช็ดผมแล้ว ผ้าขนหนูผืนเล็กพาดอยู่บนไหล่กว้าง ในมือหมอนั่นมีโทรศัพท์เปิดค้างอยู่ ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกจนเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองให้ผมดูเต็มตา ตัวอักษรภาษาอังกฤษมันทำให้ผมต้องสะกดทีละคำช้า ๆ

‘พี่น้องคุณ’

เหี้ย! ใครเอาชื่อผมไปโชว์หราอยู่ในนั้นวะ

ผมถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น มองและมองหน้าจอสลับกับสีหน้าที่ไร้ซึ่งความแปลกใจของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมชื่อผมไปอยู่ในเครื่องหมอนั่น ก็ผมโทรเข้าเครื่องของพี่จิณณ์คนนั้นนี่ แถมเมื่อกี้เค้าก็บอกชัดเจนว่าจิณณ์พูด แล้วจู่ ๆ ไหงมันกลายเป็นไอ้หล่อไปได้ ที่สำคัญมันมีเบอร์ผมในเครื่องและที่สำคัญกว่านั้นคือใครใช้ให้มันบันทึกชื่อผมว่าพี่น้องคุณวะ!

“นายเอาเบอร์ฉันมาจากไหน” ผมถามเสียงห้วน ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแม้ว่าจะมองเห็นชิ้นส่วนของเรื่องราวลอยอยู่เต็มหัวก็ตาม หมอนั่นเก็บเครื่องของตัวเองใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว คงดูออกกระมังว่าถ้าขืนช้ากว่านี้นิดเดียวสมบัติชิ้นนั้นอาจจะไม่รอดเงื้อมมือการทำลายของผม

“มีคนให้มา เหตุผลก็เรื่องเดียวกับที่นายบอกฉันเมื่อกี้นั่นแหละ”

“ตกลงนายคือคนที่ชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์” ผมสรุปให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด หมอนั่นพยักหน้ารับ ตอกย้ำทฤษฎีโลกอันแสนจะแคบใบนี้ให้ผมซึ้งมากขึ้น ผมเก็บโทรศัพท์ของตัวเองบ้าง ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้มันแล้ว เจ้าตัวมานั่งติดจนแทบจะงับหัวกันได้แบบนี้คุยกันตรง ๆ คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ปัญหาตอนนี้คือผมจะเรียกอีกฝ่ายว่ายังไงดี

“นายเรียนปีห้าเท่ากับเพื่อนของวาใช่ไหม” ความจริงก็รู้อยู่แล้วล่ะแต่ผมอยากถามให้แน่ใจอีกที

“ใช่” จะตอบให้ยาวกว่านี้ก็ไม่มีใครด่าว่าพูดมากหรอกพี่!

“แล้ว...ผมต้องเรียกพี่ว่าพี่สินะ”

“อยากเรียกแบบไหนก็เรียกเถอะ เรียกแบบเดิมก็ได้ ฉันไม่ถือ”

“แต่พี่ก็แก่กว่าตั้งสี่ห้าปี” ผมแย้งเสียงแผ่วเจ้านั่นเลยหันมายิ้ม “ไม่ถึงหรอก ฉันเรียนเร็วน่ะ พูดแบบที่เคยพูดก็โอเค”

“บาปว่ะ”

“เดี๋ยวเถอะ ตกลงจะยืมหนังสือใช่ไหม จะเอาวันนี้เลยหรือเปล่าจะได้กลับไปเอามาให้” ผมส่ายหน้าดิก แค่คิดว่าอีกฝ่ายต้องลำบากเพราะตัวเอง สมบัติผู้ดีในตัวมันก็เริ่มกำเริบอาการเกรงใจขึ้นมาทันตา แม้จะอยากได้หนังสือเรียนเร็ว ๆ แต่...ไม่ดีหรอก

“อย่าเลย เกรงใจ เอาไว้วันหลังละกัน”

“แล้วไม่ต้องรีบใช้หรือ เห็นพีร์มันบอกว่าด่วนนี่”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เดี๋ยวผมจะไปทำธุระที่อื่นก่อนด้วย ขอบคุณนะ” ใจหนึ่งผมก็แอบคิดว่าอีกฝ่ายจะตื้ออาสาเอามาให้ตามโหงวเฮ้งการเป็นคนดีของมันแต่ตรงกันข้ามผมปฏิเสธไปไม่ถึงสามประโยคพี่มันก็ยอมรับง่าย ๆ ซะงั้น

“ไม่เป็นไร งั้นฉันไปนะ อ้อ ผ้านี่ขอบใจนะ เดี๋ยวจะซื้อผืนใหม่มาแทน”

“เฮ้ยไม่ต้อง มันไม่ใช่ของใหม่อะไร คืนมาเถอะ เดี๋ยวเอาไปซักเอง” ไอ้พี่จิณณ์ยิ้ม นอกจากไม่ยอมคืนแล้วยังถือติดมือวิ่งไปซะงั้น ผมร้องไม่ออก ได้แต่มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปจนลับตาแล้วก็เพิ่งรู้ตอนนั้นว่าฝนหยุดตกแล้ว


เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าคนส่วนใหญ่ต้องเลือกที่จะมาเที่ยวในเมืองแน่นอน ยิ่งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ครบวงจรที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของผมยิ่งเป็นที่นิยม จนคนแน่นกว่าวันปกติเป็นสองสามเท่าตัว ผมเดินเอื่อยมองนั่นมองนี่จนมาถึงชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งของโรงหนัง ปลดภาระเรื่องหนังสือไปได้ ต่อไปผมก็จะเอนจอยกับหนังที่อยากดูให้เต็มที่ล่ะนะ
ไล่สายตามองตามรายการที่กำลังฉายอยู่เร็ว ๆ ตัดสินใจได้ไม่ยากเพราะเรื่องที่อยากดูนั้นผมมีอยู่ในใจแล้ว หนังที่ผมเลือกดูเป็นหนังที่เข้าฉายมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว โชคดีที่ถึงมันจะมีรอบฉายน้อยแต่ก็ยังมีรอบที่พอดีกับเวลาของผม อีกสิบนาทีจะได้เวลาเริ่มผมเป็นประเภทพลาดหนังตัวอย่างไม่ได้เลยกะว่าจะไปรอจนกว่าประตูจะเปิดเลย แต่เข้าจริง ๆ ก็หมดเวลาไปกับการเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินจนเลยเวลาไปเกือบสิบนาที

ผมเดินเร็ว ๆ เข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมยาวที่แสนจะสลัวได้ใจ จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่กำลังฉายตัวอย่างหนังผีทุ่มทุนสร้างจากอเมริกา เสียงกรีดร้องของนักแสดงในจอทำเอาผมต้องเร่งจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้น โชคดีที่คนดูบางตามาก ๆ ผมจึงไม่ต้องคอยขอโทษระหว่างที่เดินเข้าไปนั่งโซนกลาง ถึงที่นั่งได้ผมก็จัดวางขนมในมุมที่หยิบจับได้ง่ายแล้วก็เพิ่งมาสำนึกได้ว่าตัวเองลืมซื้อน้ำมาด้วย

ช่างแม่งเถอะ

ผมขยับตัวให้นั่งในท่าสบายที่สุด พยายามเลี่ยงสายตาจากภาพสยดสยองบนจออย่างสุดความสามารถ มาดูคนเดียวแถมคนยังบางตาแบบนี้ มันน่ากลัวน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ผมกวาดตามองรอบตัวทุกทีข้างกายผมมักจะมีบุรินทร์หรือไม่ก็วานั่งประกบให้อุ่นใจแต่คราวนี้มันไม่ใช่ ทำเอาวูบ ๆ โหวง ๆ ขึ้นมาทีเดียวล่ะ

เดี๋ยวนะ

ผมสะดุดใจจนต้องละความสนใจจากความเปลี่ยวชั่วคราว เพ่งตาฝ่าความสลัวไปยังร่างสูงที่นั่งเหยียดขาอยู่อีกด้านของแถว ไกลออกไปไม่น่าจะเกินสิบที่นั่ง มีใครบางคนที่โคตรจะคุ้นตานั่งจ้องจอหนังตามไม่กะพริบ ผมมองและมองจนแน่ใจแล้วว่าใช่คนที่คิดแน่นอนเลยหัวเราะกับตัวเอง

โลกกลมเป็นครั้งที่สี่ของวัน

แวบแรกก็นึกดีใจว่าจะได้มีเพื่อนดูหนังแล้ว กำลังจะส่งสัญญาณทักทายอีกฝ่ายแต่ความคิดของผมก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อมีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาแล้วทรุดนั่งเก้าอี้ติดกันกับพ่อคนหล่อเขา เห็นหมอนั่นขยับนั่งตัวตรงแล้วยิ้มรับพวกเธอทั้งคู่แล้วผมก็เบะปาก

โธ่ นึกว่าพวกเดียวกัน ที่ไหนได้ มากับสาวนี่หว่า






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ทำไมพี่จิณณ์ควงสาวอ่ะะะะะะ))





Q : จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

A by สี่ : มีคนมาขอแปลงไปหลายเวอร์ชั่นมากค่ะ (แปลงอ่านกันเอง มีทั้งแบบมาขออนุญาต ทั้งแบบแอบทำกันเองแล้วโดนจับได้ ^^") 
            แต่ถ้านับเฉพาะที่พี่แฟน (Fanismz - ผู้แต่ง)เป็นคนแปลงและเรียบเรียงเองเวอร์ชั่นไทยนี้ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นแรกค่ะ
            และกำลังจะมีอีกเวอร์ชั่นตามมาเร็วๆนี้ เพราะงั้นคงตอบไม่ได้ว่าจะมีทั้งหมดกี่เวอร์ชั่น ต้องดูว่าพี่แฟนจะใจอ่อนกับคู่ไหนบ้างอ่ะค่ะ ^^





 : 222222: : 222222: : 222222:

คุณ phoenixa ... ดีใจจังที่ได้เจอแฟนคลับอะคาเมะที่นี่ ทุกวันนี้สี่ยังยุพี่แฟนให้แต่งอะคาเมะอยู่นะคะ แต่ยังไม่สำเร็จเลย T^T

คุณ Babelilong , คุณ Coffeeblack , คุณ TaecKhun Imagine Love ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรแนะนำได้นะคะ ^^

คุณ sazzy_pee ... สี่รักอะคาเมะและสี่ก็รักในตัวหนังสือของพี่แฟนด้วยค่ะ สี่เลยอยากให้คนได้อ่านฟิค(นิยาย)ที่พี่แฟนแต่งเยอะๆ เพราะสี่เชื่อว่าคนที่ได้อ่านจะมีความสุขแบบที่สี่เป็น แต่แต่ละคนก็มีข้อจำกัดในการอ่านต่างกัน การแปลงฟิคก็เป็นแค่การเพิ่มฐานคนอ่านเท่านั้นเองค่ะ ยังไงตำนานก็คือตำนานเนอะ ไม่มีอะไรมาลบล้างตำนานได้หรอกค่ะ ^^

คุณ toto ... สี่ตอบคำถามไปแล้วนะคะ ^^
                ปล. สี่เชื่อว่าคนอ่านรักนิยายเรื่องนั้นๆแค่ไหน คนแต่งก็รักไม่ต่างกันหรอกค่ะ เพียงแค่นิยามความรักของแต่ละคนอาจจะต่างกันบ้างแค่นั้นเอง

คุณ 205arr ... ขอบคุณที่บอกเรื่องแก้ไขโพสนะคะ หวังว่าคงสนุกกับการอ่านนะคะ ^^

คุณ lnudeel ... อย่าว่าพี่คุณซิฮะะะะ

คุณ YouandMe ... สี่ใส่ชื่อผู้แต่งแล้วนะคะ ^^



หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒ ๑๘-๑๐-๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 18-10-2016 19:43:36
 :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒ ๑๘-๑๐-๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2016 22:28:04
อ้าว ทำไมคุณพี่มากับสาวล่ะ :hao4: :hao4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒ ๑๘-๑๐-๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-10-2016 07:51:36
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒ ๑๘-๑๐-๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 19-10-2016 09:47:10
ใจตรงกันจริงๆ
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒ ๑๘-๑๐-๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-10-2016 13:21:34
น้องสาวอ้ะเป่่
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๓ P.1 20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 20-10-2016 18:28:09
ตอนที่ ๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






ผมเลิกคิดจะหาเพื่อนดูหนัง หันมาสนใจภาพในจอที่กำลังเริ่มเรื่องที่อยากดู หยิบป๊อบคอร์นเข้าปากไปเรื่อย ๆ หนังชักให้เค้าสนุกตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง เมื่อผมเห็นไอ้ผู้ร้ายมันส่งงูเป็นพันตัวเข้าไปในเครื่องบินเที่ยวที่พระเอกต้องเดินทางไปให้การในศาล กำลังนึกขยะแขยงไอ้ตัวที่มันเลื้อยพันกันอยู่ในจอสุดขีดก็มีอันต้องหลุดเสียงร้องอย่างตกใจ

งูตัวเขื่องในเรื่องมันพุ่งตัวฉกลูกตาผู้โดยสารคนหนึ่งพร้อมกับที่มีสัมผัสเย็น ๆ มาวางแหมะบนแขนผมพอดีเด๊ะ!

เฮือก!

โอ๊ยยย ไอ่ ไอ่ ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์!

ผมบริภาษมันในใจ ยิ่งเห็นเจ้าตัวมันมานั่งทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่ง-งงอยู่ข้างตัวแล้วก็ให้โมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ใจหนึ่งนึกอยากด่ามันให้หายแค้นแต่ก็มานึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโรงหนังก็เลยได้แต่ใช้สายตาทำหน้าที่แทนปากไปอย่างดุเดือด

“โทษที ไม่คิดว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้”

“ใครขวัญอ่อน คนกำลังอินกะหนังทะเล่อละล่าเข้ามาได้”

“น่า ไม่ต้องอายหรอก เมื่อกี้มีแต่คนกรี๊ด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นนายหรอกน่า”

“ไม่ได้อายโว้ย”

“โอเค งั้นขอนั่งด้วยคนนะ” นอกจากจะไม่สนใจสายตาจะกินเลือดกินเนื้อจากผมแล้ว หมอยังปวารนาตัวเองนั่งลงติด ๆ กัน ขยับตัวนั่งพอให้สบายแล้วก็หันมาเลิกคิ้วมองผม ผมจิ๊ปาก รีบหันมาสนใจภาพเคลื่อนไหวในจอต่ออย่างรวดเร็ว ช่างแม่งเถอะ คิดเสียว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนนั่งดูหนัง

แวบแรกตั้งใจว่าจะไม่สนใจไอ้พี่จิณณ์อีกแล้วแต่ก็ต้องสนจนได้ ผมมองข้ามตัวหนา ๆ ของคนข้างตัวไปอีกฝั่ง ที่นั่งเดิมของหมอนี่ยังว่างเปล่ามีหญิงสาวสองคนนั่งทำตาปริบ ๆ มองจอหนังสลับกับมองมาทางผมเป็นพัก ๆ เห็นแล้วชวนให้สงสัยจริงแฮะ

“นี่”

“ฉันชื่อจิณณ์”

“เออ จะจิณณ์จะอะไรก็เถอะ ทำไมถึงทิ้งพวกเค้ามาล่ะ”

“ไม่ได้ทิ้ง ไม่ได้มาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว” ผมสงสัยกับคำตอบของอีกคนจนพลาดช็อตเด็ดไปอีกช็อตหนึ่ง เห็นจิณณ์ยิ้มเนือย ๆ ตอบกลับมาต่อมสงสัยก็ยิ่งเต้นแรง

“แล้วทำไมเค้าต้องมานั่งตรงนั้น บังเอิญหรือ”

“เปล่า พวกเค้าตามฉันมาน่ะ อุตส่าห์หลบเข้ามาในนี้แล้วนะ” โอ้ แม่เจ้า ถึงขนาดมีสาวตามเข้ามานั่งด้วยในโรงหนังแบบนี้ ไม่ธรรมดาแล้วมั้งเนี่ย

มีความสุขอยู่กับการดูหนังได้เกือบเศษสามส่วนสี่ของเรื่องก็เป็นอันต้องผวาเฮือกอีกครั้ง พอถึงตอนที่ไอ้เหลือมตัวเขื่องมันเลื้อยเข้ามารัดอีตาลุงนักธุรกิจใจร้ายคนหนึ่งจนเลือดทะลักออกปากและจมูกแลไม่เห็นทางรอดแหงม ๆ ผมก็รู้สึกถึงผิวสัมผัสลื่นเย็นตรงแขนข้างซ้าย อารามตกใจทำให้ผมหันขวับไปมองจนคอแทบเคล็ด ขนลุกซู่ไปทั้งร่างเมื่อเห็นไอ้เหลือมเผือกตัวหนึ่งมันค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาเบียดแบบไม่ให้สัญญาณนำมาก่อน โอ๊ยยยยย! ไอ้คนบ้านี่ มันจะให้ผมหลุดปากด่าวันละกี่รอบวะเนี่ย

“ทำบ้าอะไรวะ ตกใจนะโว้ย”

“ก็กลัวนี่ นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง งูเหมือนจริงขนาดนั้น”

“เหมือนก็เหมือน มันอยู่ในจอโน่นพี่จะกลัวทำป๊ะอะไร แล้วเลิกเบียดซักที ขนลุกไปหมดแล้ว”

“ทำไม เกิดจะมีอารมณ์ในโรงหนังหรือไง” หนอย ยังมีอารมณ์มาแซว เดี๋ยวพ่อจับกรอกปากด้วยป๊อบคอร์นรสชีสซะเลย

“ลามก ถอยไปเลยนะ”

“โอเค ๆ ทีตัวเองเอนมาซบแล้วซบอีกฉันยังไม่ท้วงสักคำ พอเราทำมั่งก็ทำเป็นผลักออก หน้าตาก็ดีแต่ทำไมใจร้ายนักล่ะครับพี่น้องคุณ” คนหล่อเค้าทำเสียงน้อยอกน้อยใจจนผมนึกสงสารอยากจะประเคนของกินในมือยัดเข้าปากสวย ๆ นั่นสักยกสองยกเผื่อพี่มันจะเงียบลงไปบ้าง ชะ แค่แอบซุกหน้าหนีภาพสยดสยองในเรื่องครั้งสองครั้งทำเป็นมาทวงบุญคุณ ทีผมยอมเสียสละความสุขในการดูหนังอย่างสงบสุขเป็นไม้กันสาว ๆ ให้ยังไม่ว่าอะไรสักคำ

“ไม่พอใจก็กลับไปนั่งกับสาว ๆ ของพี่เลยไป”

“ไม่ไป อยากนั่งตรงนี้”

“เอ๊ะ”

“เงียบได้แล้วน่า เสียงดังเกินไปแล้วนะ”

“ถ้าพี่ไม่ไปผมไปเองก็ได้” ไอ้คนหน้าด้าน ว่าขนาดนี้แล้วยังยิ้มได้หน้าซื่อตาใสอีก เป็นคราวซวยของผมจริง ๆ ที่มาเจอมันซ้ำสองซ้ำสามซ้ำสี่ในวันเดียว แม่ง ทั้งที่คิดว่าน่าจะเป็นคนดีแล้วนะ ทำไมมันถึงกวนตีนขนาดนี้วะ ผมรวบของกินมองซ้ายขวาหาทำเลใหม่แต่เจ้าคนข้างตัวกลับรั้งแขนผมไว้แน่น

“ถ้าลุกไปอีก ฉันจะไม่ให้นายยืมหนังสือ อยากเสี่ยงไม่มีงานส่งอาจารย์ไหมล่ะ”

“นี่ขู่หรือ” พี่จิณณ์คนดีของวายิ้มทั้งที่ตายังไม่คลาดจากจอหนัง

“อยากรู้ว่าขู่หรือทำจริงก็ลองลุกไปก่อนหนังจะจบสิ” คุณคงรู้ว่าผมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสะบัดแขนจากมือมันแล้วก็กระแทกตัวกับเก้าอี้แรง ๆ ไปทีหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนใครกำลังหัวเราะชอบใจผมก็เลยหันไปด่าสองสามคำพอให้หายแค้น แต่นอกจากมันจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังฉีกยิ้มใส่ตาผมแบบไม่กลัวว่าออร่าความหล่อของมันจะทำร้ายคนอื่นเลยสักนิด

จำไว้ วันพระไม่ได้มีหนเดียว

ทีใครทีมันโว่ย!

จบการดูหนังวันนั้นด้วยความเอิบอิ่มใจแปลก ๆ ไม่ใช่เพราะได้มานั่งดูหนังกับคนหน้าตาดีหรอกนะแต่เพราะตอนจบของหนังเรื่องนี้มันแสดงให้เห็นว่าธรรมะชนะอธรรมอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมชอบฉากจบที่มาพร้อมพระอาทิตย์ที่เริ่มจับขอบฟ้าบอกเวลาของเช้าวันใหม่ แสงสว่างของเช้าวันนั้นมันช่างเป็นสัญลักษณ์อันอ่อนโยน ขับไล่ความมืดมนที่ครอบคลุมมาตลอดเรื่องได้ดีแบบสุด ๆ เลยครับ มันดีมากจนทำให้ผมลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้ไปได้เยอะ

“ยังไม่มาอีกหรือเนี่ย” ผมเปรยกับตัวเองอย่างผิดหวังแล้วก็พลอยให้คนที่ยืนเปิดหนังสืออยู่ข้าง ๆ สงสัยตามไปด้วย มือขาวจัดพับหนังสือปิดหันมามองผมสลับกับชั้นวางหนังสือที่สูงท่วมหัว

“อะไร?”

“FINE-ARTS ฉบับล่าสุดน่ะสิ แปลกจังเลยวันนี้มันเลยกำหนดวางแผงมาแล้วนะ” ผมตอบเสียงเบาที่ต้องเบาไม่ใช่อะไรหรอก เราสองคนกำลังอยู่ในร้านหนังสือ คุณคงสงสัยว่าทำไมถึงมาอยู่ในนี้แล้วคงสงสัยอีกว่าทำไมถึงมาด้วยกัน ข้อนี้ผมก็ตอบไม่ได้เพราะพอออกมาจากโรงหนังไอ้พี่จิณณ์ก็ถามผมว่าจะไปไหนต่อ ผมก็ตอบสั้น ๆ ว่าจะไปร้านหนังสือเผื่อมีหนังสือออกใหม่ หมอก็ไม่ตอบอะไรนอกจากเดินมาด้วยกันแล้วก็มุ่งตรงมาหยุดในมุมนิตยสารอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ จิณณ์หันมามองผม นิ่วหน้านิด ๆ แล้วก็บอกอย่างสงบ

“เล่มที่มีงานของโมเน่ท์ขึ้นปกใช่ไหม”

“ใช่”

“มันออกแล้วนี่แต่คงหมดแล้วล่ะ ฉบับนี้เด็กปีหนึ่งในคณะฉันต้องใช้ อยากได้หรือ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ ช่วงนี้ผมเป็นอะไรกับหนังสือวะเนี่ย พลาดแม่งมันทุกอย่างเลย

“ผมต้องใช้ทำรายงานนี่แหละ มันอยู่ในรายชื่อที่วาให้มา ซวยอีกแล้วงานนี้”

“ก็ไหน ๆ จะยืมแล้ว ทำไมไม่เอาที่ฉันให้ครบเลยล่ะ”

“พี่มีเหรอ” จิณณ์พยักหน้าตอบ

“ฉันเป็นสมาชิกแม็กกาซีนฉบับนี้อยู่แล้ว มันส่งมาให้ที่บ้านตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วล่ะ” อีกครั้งที่พี่มันทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ ทุกอย่างที่ผมพลาดไปมาอยู่กับจิณณ์หมด มันมีเรื่องบังเอิญที่โชคดีกับผมแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ ตั้งแต่เช้าแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่ผมตื่นผิดเวลา ขึ้นรถช้ากว่าทุกวันจนมาถึงเหตุการณ์ที่ต้องเจอกับจิณณ์บนรถไฟฟ้า ความบังเอิญมันหลั่งไหลกันมาทักทายผมครั้งแล้วครั้งเล่าและแต่ละครั้งก็มีผู้ชายคนนี้มาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง

ในหนึ่งวันที่ผ่านมา

มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตอันสงบสุขของผม?

“หรืออยากได้เก็บไว้เอง” เสียงทุ้มนุ่มตามแบบฉบับลูกผู้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเอ่ยถามผม ฟังผิดไปหรือเปล่าว่ามันเหมือนมีความรู้สึกคล้าย ๆ จะเอาใจเจืออยู่ด้วยในประโยคนั้น ผมส่ายหน้าไปมา วางแม็กกาซีนลงที่เดิมแล้วก็เลยถามตอบกลับไปบ้าง

“พี่จะดูอะไรอีกหรือเปล่า” อีกฝ่ายยักไหล่ตอบ ดูเอาเถอะครับทุกคน ขนาดท่ายักไหล่ธรรมดากับรอยยิ้มจาง ๆ มันก็ยังอุตส่าห์ดูดีซะจนผมต้องเบือนหน้าหนี ถึงผมจะไม่ชอบใจหลายอย่างที่หมอนี่เคยทำแต่ผมก็แฟร์พอที่จะมองคนตรงหน้าอย่างเป็นกลาง

จิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์เป็นผู้ชายที่เข้าขั้นสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ รูปร่างหน้าตาดูดีมาก รสนิยมการแต่งตัวก็ดูดีซะจนดารานักร้องบางคนยังต้องอาย นิสัยก็ดี(ไม่นับเรื่องที่ชอบกวนอารมณ์ผมในบางเวลา) คำพูดคำจานุ่มหู สำเนียงหรือก็ส่อให้เห็นชัด ๆ เลยว่าพื้นเพคงไม่ใช่เด็กชาวบ้านธรรมดาแบบผมแน่ ๆ เรื่องกริยามารยาทยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้ยินพี่มันสบถคำหยาบออกมาสักคำ ผิดกับผมถูกใจไม่ถูกใจมันก็ต้องมีหลุดออกมาให้ได้ยินกันบ้างสักคำสองคำแต่หมอนี่ไม่เลย การเรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรมของจริง แม่งไม่มีข้อเสียสักข้อให้ผมได้ชื่นใจหน่อยหรือไง

“โกรธอะไร” เออ ถามเข้าไป ถามอยู่นั่น เดี๋ยวเถอะ

“ไม่สบายหรือเปล่าหรือว่าหิว” บวกข้อดีของพ่อรูปหล่อเข้าไปอีกอย่าง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อซะไม่มี

“ไม่ได้หิว”

“เห็นทำหน้าเครียด”

“คือ ถ้าพี่ไม่มีธุระต่อ ผมขอไปเอาหนังสือวันนี้ได้ไหม”

“ไม่ให้ฉันเอามาให้แล้วหรือ ถ้าจะเอาไปทั้งหมดมันหนักนะ”

“ไม่เป็นไร หนังสือแค่ไม่กี่เล่ม ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” พอเห็นว่าผมเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วหมอก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เม้มปากนิด ๆ แม่ง หล่อ

“งั้นก็ตามใจ”

คอนโดที่เจ้าของออกตัวว่าอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัยเล่นเอาผมอยากจะซัดคนพูดเข้าสักทีสองที บ้านไกล ไกลพ่อง นั่งรถไฟฟ้าเลยบ้านผมไปแค่สองสถานีมันไกลตรงไหนกัน ไอ้พี่จิณณ์พาผมมาหยุดหน้าตึกสูงรูปทรงทันสมัยจนน่ากลัวว่าเค้าจะสั่งห้ามนักศึกษาจน ๆ อย่างผมเข้าตั้งแต่ประตูหน้าจากนั้นก็พาขึ้นลิฟต์ไปหยุดที่ชั้นยี่สิบเจ็ด

ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ประตูห้องทำเอาผมต้องลอบกลืนน้ำลายไปหลายครั้ง ก็มันเล่นปูพรมตั้งแต่ทางเดินไปจนถึงประตูห้อง แถมผนังทางเดินยังประดับด้วยภาพเขียนเสียจนคลาสสิกไปทั้งชั้น การตกแต่งโดยรวมบอกได้คำเดียวว่าหรูหราจนประมาณราคาที่อยู่อาศัยแห่งนี้ไม่ถูก กว่าจะมาถึงหน้าห้องที่ต้องการก็เล่นเอาผมเหนื่อย กลัวว่าตัวเองจะซุ่มซ่ามทำของเค้าเสียหายเดี๋ยวจะไม่มีปัญญาชดใช้ให้คุณชายเธอน่ะครับ

“เข้ามาก่อนสิ นั่งตรงเบาะนั่นก่อนก็ได้หรือจะไปนั่งโซฟา” เจ้าของห้องบอกอย่างเอื้อเฟื้อในขณะที่ผมมองสำรวจทั่วห้องกว้างอย่างตื่นตาตื่นใจ คือ คิดผิดหรือเปล่าวะคุณภัทรที่เสนอตัวมาเอาหนังสือถึงที่นี่ ข้างนอกก็กว่าหรูแล้วยังเทียบไม่ได้กับข้างในนี้ ผมเดินตัวลีบเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเบาะนุ่มหน้าโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ที่ถูกจัดให้ตั้งลึกเข้าไปในผนังสีนวลตา เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมเหมือนได้รับการออกแบบมาดี ทุกอย่างเน้นสีน้ำตาลไล่ระดับสีอ่อนเข้ม ตกแต่งให้เข้ากันกับผ้าม่านและผนังสีอ่อน เติมสีสันสดใสด้วยแจกันดอกไม้รูปทรงเก๋แปลกตาประดับบางจุด ห้องจึงดูโล่งกว้างสะอาดสะอ้านผิดกับห้องผมลิบลับ

จิณณ์เดินหายเข้าไปในตรงประตูบานหนึ่ง ปล่อยให้ผมรอไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกล่องหนึ่งใบ พี่มันนั่งลงบนพรม วางกล่องให้ผมลงมือค้นหาหนังสือในนั้นโดยไม่ต้องเอ่ยปากขออนุญาตให้เสียเวลา

“โห เล่มหนาขนาดนี้เลยหรือเนี่ย”

“มันเป็นรายงานประจำภาคการศึกษาใช่ไหม”

“ใช่ แต่ตอนนี้เพิ่งเริ่มทำส่วนที่สอง วาบอกว่าต้องค่อย ๆ เก็บข้อมูลไปจะได้ไม่ต้องมารีบร้อนทีหลังเผื่อมีตัวอื่นต้องทำซ้อนมาจะซวยเอา อาจารย์คณะผมยิ่งชอบให้นิสิตทำรายงานส่งแทนการสอบอยู่ด้วย” คนฟังหัวเราะในลำคอ ช่วยผมหยิบหนังสือออกมาจากลังทีละเล่ม ๆ จนหมด

“วาพูดถูกแล้ว หนังสือพวกนี้มันหนาก็จริงแต่ส่วนใหญ่มันเป็นภาพประกอบ เนื้อหามีไม่ค่อยเท่าไหร่ถึงต้องใช้หลายเล่มยังไงล่ะ ในกล่องนี้มันมีครบหมดแล้วนะ ถ้าเอาไปก็ไม่ต้องไปหาที่อื่นอีกเลย แต่อย่างที่บอกมันค่อนข้างหนักจะแบกไปไหวหรือ”

“คง...ไหวอยู่มั้ง” ผมชักไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเอง มองหนังสือที่มีสภาพใหม่เอี่ยมไม่ผิดกับหนังสือใหม่แล้วก็ให้นึกรู้ว่าเจ้าของเค้าคงระวังรักษามาอย่างดีเกิดผมเผลอทำหลุดมือตกพื้นเสียหายไปต้องแย่แน่ ๆ กำลังนึกอยู่ว่าจะขอยืมไปบางส่วนก่อนดีไหมแล้วที่เหลือค่อยมาเอาวันหลังแต่มาคิดว่าจะให้ผมเดินตัวเกร็งเข้าตึกนี้มาอีกก็ไม่ไหวเหมือนกัน เอายังไงดีว้า

“เอาไปบางส่วนก่อนได้ไหมแล้ววันหลังผมจะกลับมาเอาอีกที”

“ไม่ต้องรีบใช้หรือ ไหนบอกว่าต้องรวบรวมข้อมูลให้วาวันศุกร์นี้แล้วไง”

“ก็...ตั้งใจจะเอาไปเฉพาะที่ต้องใช้ก่อนน่ะเดี๋ยวจะชวนเพื่อนมายืมอีกรอบ”

“เพื่อน? บุรินทร์คนเมื่อเช้าน่ะหรือ” คุณชายจิณณ์ท่านถามเสียงนุ่ม แม้ในยามสงสัยหน้าตาท่านก็ยังคงความหล่อไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ผมยักคิ้วรับยิ้ม ๆ

“อื้อ พี่รู้จักบุรินทร์ด้วยหรือ” ดวงตาดำจัดเป็นประกายวาววับล้อแสงไฟน่ากลัวพิลึกแต่ก็สวยชวนให้ผมเอียงคอมองอย่างติดใจ ถูกผมมองมากเข้าพี่มันก็หรุบตามองหนังสือบนพื้นซะงั้น มองแค่นี้ก็ไม่ได้ งกนี่หว่า

“ก็พอรู้ เพื่อนนายมาส่งวาสองสามครั้งเลยจำได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่บ้านเอง หนังสือมันหนักนายหอบขึ้นรถไฟฟ้าไปจะลำบาก ช่วงนี้รถยิ่งแน่นเกิดเจออย่างเมื่อเช้ายิ่งแล้วใหญ่ ฉันกลัวนายจะเอาหนังสือฉันไปปาใส่หน้าคนพวกนั้นเข้า”

“รู้ดี”

“แล้วถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามได้ ฉันเคยเรียนวิชานี้มาก่อน”

“โม้ป่าว เรียนตั้งแต่ปีหนึ่งยังจำได้อีกหรือ” แน่ะ ปากดีไหมล่ะคุณภัทร คนเค้าอุตส่าห์หวังดี

“เรียนตั้งแต่ปีหนึ่งก็จริงแต่มันเป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเอาใช้แทบทุกวิชา ฉันไม่ได้จำหรอกแต่มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุกวันเลยฝังอยู่ในหัวไปแล้ว วาก็มาถามพีร์มันบ่อย ๆ ถ้านายสงสัยก็โทรมาถามฉันได้ ถือว่าฉันเป็นเพื่อนนายคนหนึ่งก็แล้วกัน”

“เอางั้นหรือ”

“เอางั้นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” จิณณ์ยังยิ้มบางเหมือนเคย ลุกขึ้นแล้วก็เดินหายไปในส่วนของห้องครัวพลอยให้ผมต้องหยุดเรื่องคุยไปด้วย เพราะเบาะที่นั่งอยู่มันนุ่มเหลือเกินผมเลยเผลอเลื้อยตัวลองนอนแผ่เสียเต็มสตรีม จนเจ้าของห้องเค้ากลับมาพร้อมน้ำผลไม้สองแก้วผมก็ยังไม่คิดจะลุกขึ้นนั่ง แค่พลิกตัวนอนคว่ำแล้วเท้าศอกกับพื้นเท่านั้น

“นอนแบบนั้นไม่เจ็บศอกหรือ”

“ไม่นี่ เบาะนี้ก็ออกหนา นุ่มดีด้วย เฮ้อ อยากได้ไปเก็บไว้ที่บ้านจังเลย” เจ้าของห้องส่งแก้วน้ำเย็นเจี๊ยบให้ผมซดโฮกแล้วก็ลุกไปหยิบหมอนใบใหญ่บนโซฟามาวางไว้ใต้คางผมอย่างเบามือ

เออ เอาเข้าไป เอาใจกันซะจนผมชักเคลิ้มแล้วนะเนี่ย ว่าแต่พี่มันไปเปิดเพลงคลอตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมผมไม่ทันเห็น อากาศดีมีเสียงเพลงหวาน ๆ บวกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำเอาหนังตาชักอยากจะปิดซะแล้วสิ

“ถ้าชอบก็มาเที่ยวบ่อย ๆ สิ ฉันชอบดูหนัง ปกติถ้าไม่มีเรียนไม่ได้ออกไปทำธุระที่ไหนก็จะนอนดูหนังตรงที่นายนอนอยู่นี่แหละ ชอบดูหนังไหม”

“ชอบ ก็เพิ่งออกมาจากโรงหนังพร้อมกัน” เจ้าของห้องรูปงามนามเพราะยิ้มเจือด้วยเสียงหัวเราะนุ่มหู ผมมองแล้วก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองลืมถามเรื่องสำคัญไปซะนานเลยรีบวางแก้วน้ำลงบนถาด ดีนะที่คิดออกได้ตอนที่ยังอยู่ต่อหน้าเจ้าตัว

“นี่ พี่น่ะ...”

“เรียกใคร คนเค้ามีชื่อก็เรียกชื่อสิ”

“เออ ๆ ถามอะไรหน่อยสิจิณณ์”

“จะถามอะไร”
 
“พี่มีแฟนหรือยัง?”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:




นั่นแน่...ถามแบบนี้พี่สี่ลุ้นนะคะน้องคุณณณ
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๓ P.1 20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 20-10-2016 21:31:53
แลพี่จิณณ์จะเอ็นดูน้องเป็นพิเศษนะ ไม่ทันไรก็ชวนมาเที่ยวห้องบ่อยๆซะละ
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๓ P.1 20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2016 21:42:10
ถามพี่เขาทำไมล่ะจ๊ะ :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

จะสมัครเป็นแฟนพี่เขาเหรอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๓ P.1 20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 20-10-2016 23:08:01
แน่ะๆๆๆๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: ::::: Heart's Tale ::::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 21-10-2016 17:15:51
ตอนที่ ๔   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


จิณณ์สำลักน้ำพรวด

“อุ๊ก! แค่ก ๆ  ๆ  ๆ เมื่อ เมื่อกี้ว่าไงนะ” ผมยิ้มหวาน พยายามทำหน้าตาซื่อใสไร้เดียงสาขยับเข้าช่วยลูบหลังลูบไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ โถ ก็ใครจะคิดว่าจะอ่อนไหวกับคำว่าแฟนมากมายขนาดนี้ สำลักน้ำผลไม้จนหมดรูปไม่บอกก็รู้ว่าคำถามของผมไปจี้ใจดำคุณชายท่านเข้า แบบนี้มันก็ยิ่งอยากรู้ขึ้นอีกสิบเท่าเลยนะเนี่ย

“ถามว่ามีแฟนหรือยัง”

“อยากรู้ไปทำไม ใครใช้ให้มาถามหรือไง”

“ก็อยู่กันสองคนจะมีใครใช้เล่า ผมอยากรู้เอง นะ บอกหน่อยนะ”

“ไม่บอก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไม่อยากบอก นายเป็นใครทำไมฉันต้องบอกเรื่องสำคัญด้วย” เห็นไหมล่ะครับ! ผิดจากที่ผมคิดซะเมื่อไหร่ ก็บอกแล้วโหงวเฮ้งแบบนี้น่ะ บทจะกวนขึ้นมาท่านก็ทำได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน ผมพ่นลมจิ๊จ๊ะ ฟาดหมอนในมือให้รู้ว่าไม่ชอบใจมาก ถ้าเป็นเจ้าบุรินทร์เห็นแบบนี้คงรีบเอาใจผมแล้ว แต่ไอ้พี่จิณณ์นอกจากจะไม่เอาใจแล้วยังทำเมินหันไปซดน้ำลงคอเสียอย่างนั้น

รู้ไหม ท่าทางแบบนั้นมันสามารถปลุกนิสัยของเด็กสิบขวบในตัวผมให้ตื่นขึ้นได้ทันทีเลย ความพาลมันเลยเริ่มกำเริบผมทิ้งหมอนในมือ ผุดลุกขึ้นยืนค้ำหัวอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ ใช่สิ ผมจะมาคาดหวังอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกล่ะ

“เออ ขอโทษที่เสียมารยาท ลืมไปว่าเราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน”

“ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วฉันต้องบอกนายทุกเรื่องหรือคุณภัทร”

“ถ้าพี่คิดจะเป็นเพื่อนกับผม คำตอบก็คือใช่ เพราะคนอื่น ๆ ก็เป็นแบบนี้”

“คนอื่น ๆ น่ะใคร?” อ้าว รวน เจ้าของเสียงยังคงความสงบไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่ง สุขุม แต่ตอนนี้มันดูขัดหูขัดตาผมพิลึก ก็ผมมองออกนี่นาว่าไอ้พี่จิณณ์มันกำลังไม่พอใจอยู่น่ะ คงเคืองนั่นแหละแต่ไม่ยอมแสดงออกแล้วก็ไม่ฟาดหัวฟาดหางแบบที่ผมทำ ผมก็บ้าพอกัน รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อนสนิททั้งสองคนแถมยังเพิ่งได้เจอหน้าได้พูดคุยกันไม่ถึงวัน แต่ก็ยังหาเรื่องชวนทะเลาะเหมือนรู้จักกันมานานแรมปีแล้วอย่างนั้น โอ๊ย กูเป็นหอยอะไร ทำไมต้องมาเป็นอารมณ์กับคนที่เพิ่งเจอ

“ก็บุรินทร์ วาวา ทุกคนนั่นแหละแต่ไม่นับรวมพี่ แน่นอน!”

“ฉันก็ไม่เดือดร้อน อยู่ที่นายตัดสินก็แล้วกัน สำหรับนายจะให้ฉันเป็นเพื่อนหรือเป็นใคร”

จะเป็นอะไรก็ไม่ให้เป็นทั้งนั้นแหละ!

คนนิสัยแบบนี้ผมไม่เสียเวลาคบให้เปลืองหัวหรอก แม่ง มันจะทำตัวเป็นคนดีจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไงวะ ขนาดโดนผมพาลแล้วพาลอีก ชักหน้าตาทั้งโกรธทั้งขึ้งใส่ ประชดเหน็บแนมจนสาแก่ใจ หมอนั่นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบโต้สักคำ อยากกวนก็กวนหน้าซื่อ ๆ พอไม่อยากพูดมันก็หุบปากเงียบไม่สนใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ตกลงมันเป็นคนปกติหรือเปล่าเนี่ย

ผมเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายออกโรงเต้นงิ้วอยู่คนเดียว พี่มันนอกจากจะทำเป็นมองไม่เห็นความไม่พอใจของผมแล้วมันยังทำหน้านิ่ง อาสาขนหนังสือมาส่งให้ผมอีกหน้าตาเฉย ไม่โกรธไม่เคืองแต่ไม่พูดไม่จาตลอดทาง ไอ้เหี้ยยย แบบนี้มันน่าโดดลงจากรถให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

แต่จะให้ทำจริง ๆ ผมก็ไม่กล้าเลยได้แต่นั่งเบือนหน้าออกไปนอกรถคันสวย ทนเก็บปากเก็บคำด้วยความอึดอัดใจอย่างเหลือแสน พูดเท่าที่ต้องพูดคือบอกทางคนขับสองสามประโยคแล้วก็ขอบคุณที่พี่มันอุตส่าห์พาผมมาส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย

“ตั้งใจทำงานล่ะ” คุณชายเธอยังมีใจบอกกับผมหลังจากที่ขนหนังสือมาให้ถึงหน้าประตูบ้าน ผมพยักหน้ารับส่ง ๆ อคติและโมหะมันทำให้ใจผมไม่ค่อยจะซาบซึ้งกับความหวังดีของมันเท่าไหร่ พอไอ้คนตัวสูงพูดเสร็จผมก็ไม่พูดต่อ ยืนลอยหน้าลอยตามองดินมองหญ้ามองฟ้าและอากาศ รอให้มันถอยกลับไปก่อนโดยไม่มีการเชิญเข้ามานั่งดื่มน้ำในบ้านตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดี

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรไปละกัน” หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน จิณณ์ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก คราวนี้ผมยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สีหน้าและแววตาของจิณณ์คนเดิมมันกลับมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจากใช้เวลานั่งเงียบมาในรถหมอคงตัดสินใจถอดหน้ากากคนไม่แคร์โลกออกชั่วคราว ผมเลยได้เห็นจิณณ์คนแรกที่ได้เจอเมื่อตอนก่อนทะเลาะกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายยอมลงให้ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำตัวปัญญาอ่อนไม่เข้าใจ

“ขอบคุณ” ผมตอบสั้น ๆ แล้วก็ยืนเฉยอย่างนั้นต่อ ถึงจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรมากมายแต่จะให้ยอมฉีกยิ้มอารมณ์ดีให้เลยทันทีผมก็ทำไม่ได้หรอก ทว่า อีกใจมันก็ร้องบอกว่าเพราะผมไม่อยากทำเองล่ะมากกว่า ถูกต้องอย่างที่สุดครับท่าน ส่วนหนึ่งผมก็แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าอีกฝ่ายยอมลงให้ผมก็แฟร์พอที่จะยอมเลิกราด้วย แต่ส่วนหนึ่งนั้นมันก็ต้องทำให้เห็นกันไปเลยว่าถ้าคิดจะเป็นเพื่อนผมก็ต้องรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครละเลยและไม่สนใจผม ถ้าคิดจะเล่นสงครามเย็นแล้วมาง้อกันทีหลังแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไหร่หรอก หากอยากจะคบกัน ข้อเดียวที่จิณณ์ต้องท่องให้ขึ้นใจคืออย่าขัดใจท่านคุณภัทรคนนี้

“กลับล่ะนะ”

“อื้อ ไม่ส่งนะ”

“ไม่เป็นไร เข้าบ้านไปเถอะ” ผมพยักหน้ารับแล้วก็หันหลังจากตรงนั้นมาแบบไม่มีการอาลัยอาวรณ์ แอบเห็นเจ้านั่นมันยืนก้มหน้าเดาะกุญแจในมือเล่นครู่หนึ่งถึงยอมถอยไปจากประตูบ้านผมก่อนเสียงเครื่องยนต์แรงสูงจะแล่นขึ้นเนินไกลออกไป ดูท่าแล้วพี่มันคงสำนึกได้แล้วว่าไม่น่ามาเสียเวลากับเด็กแบบผมเลย ให้ตาย ประมาณนั้น

ผมแวะบอกให้น้องชายออกไปเอาจักรยานที่สถานีให้แล้วก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนสดชื่นขึ้นมาอีกเยอะ ลากกล่องหนังสือมาวางตรงหน้าแล้วก็เริ่มสำรวจทีละเล่ม นอกจากหนังสือยังมีสมุดเล็คเชอร์วิชานี้แถมมาด้วยอีกสองเล่ม เห็นความรอบคอบของคนให้แล้วมันก็ทำให้ผมต้องหยุดคิดอีกครั้ง

ความสงสัยมันลอยกรุ่นขึ้นมาในใจราวกับมีใครไปกวนตะกอนก้นบึงให้แตกตัวออกช้า ๆ ปกติแล้วผมเป็นคนแบบนี้หรือ ผมเอาแต่ใจ โมโหง่ายแล้วก็เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิกราแบบนี้หรือเปล่า

ตอบได้ทันทีว่าไม่ใช่

ถึงผมจะเอาแต่ใจไปบ้างตามประสาคนที่ชินกับการเอาอกเอาใจจากคนรอบข้างแต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เหลิงจนแยกแยะอารมณ์กับเหตุผลไม่ได้ แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไปถามเรื่องส่วนตัวแล้วเจ้าตัวเค้าไม่ยอมบอก มันควรจะเป็นเหตุผลที่ผมต้องโกรธอย่างนั้นหรือ ไม่อ่ะ มันเสียมารยาทมาก ๆ ต่างหาก ผมเคยถามเรื่องทำนองนี้กับบุรินทร์ พอเจ้านั่นไม่ตอบผมก็ยังไม่เห็นจะเคืองมันเท่านี้ หรือว่าที่ผมไม่พอใจเป็นเพราะปฏิกิริยาไม่สนใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมากกว่าเหตุผลที่โดนปฏิเสธ แล้วทำไมผมต้องไปสนใจปฏิกิริยาของหมอนั่นด้วย

ไม่เข้าใจว่ะ

ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ







“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เสียงห้าว ๆ ของคนข้างตัวผมเอ่ยขึ้นแถมยังเอามือเกาท้ายทอยเป็นการประกอบอีกแน่ะ บุรินทร์มองหน้าหนังสือที่กางไว้แล้วก็ส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนหนทาง

“ศัพท์เทคนิคพวกนี้แค่ภาษาไทยก็จะตายอยู่แล้ว ไม่ต้องถามถึงภาษาอังกฤษเลย บอด บอดสนิท”

“เอาไงดีล่ะ ฉันก็อ่านมาผ่าน ๆ รอบหนึ่งแล้วยังไม่เข้าหัวเลย วา มันไม่มีฉบับแปลแล้วหรือ”

“ไม่ กลุ่มอื่นก็ต้องใช้แบบเราเหมือนกัน พยายามเข้านะคุณภัทร อีกไม่กี่วันเราต้องเอาความคืบหน้าไปเสนออาจารย์แล้วแต่ก่อนหน้านั้นนายต้องเอาส่วนที่ฉันแบ่งให้ไปมาเคลียร์กันก่อน บอกเลยว่างานนี้เลื่อนไม่ได้อีกแล้ว” เพื่อนหน้าหวานแต่นิสัยไม่ยักกะหวานเหมือนหน้าบอกผมยิ้ม ๆ ตรงหน้าวาก็มีตำราภาษาอังกฤษของอีกวิชาหนึ่งกางรออยู่เช่นเดียวกัน ผมทำหน้าม่อย บุรินทร์เองก็มีงานอื่นต้องทำจะให้ช่วยก็คงไม่ดีนักแต่จะให้ผมเปิดตำราหนาขนาดปาหัวหมาสลบมาแปลแล้วก็สรุปใจความให้ทันก่อนวันศุกร์นี้มันก็ดูเหนือบ่ากว่าแรงเกินไปจริง ๆ

“ฉันจะทำทันไหมเนี่ย ทำไมคนเขียนมันต้องใช้ภาษายากขนาดนี้ด้วยวะ แล้วคนไทยทั้งประเทศเนี่ยไม่มีใครขยันลุกขึ้นมาแปลเล่มนี้บ้างหรือไง”

“ถ้ายังไม่มีคนแปล นายก็หาคนสักคนมาช่วยแปลสิ” วาแนะนำยิ้ม ๆ ฟังแล้วก็เข้าท่าอยู่หรอก ในคณะผมมีพวกรับจ้างแปลงานเยอะแยะแต่จะมีใครมันอาสารับงานด่วนแบบนี้บ้างล่ะ ตำราหนาภาษายากขนาดนี้ เค้าก็ต้องใช้เวลาแปลทั้งเดือนเป็นอย่างต่ำ ผมถอนใจยาวอย่างหนักอก ซบหน้าลงกับกระดาษว่างเปล่าตรงหน้าอย่างอ่อนแรง

“ยากจริงโว้ย วรรณคดีกับทัศนศิลป์ ๆ ๆ ใครก่อตั้งวิชานี้ขึ้นมาวะ”

“เอาน่า ฉันจะรีบเคลียร์งานนี้ให้เสร็จแล้วมาช่วยนายนะ อดทนหน่อยสิ” เจ้าของดวงตาเรียวยาวเกยคางกับไหล่ของผม ปลอบแกมให้ความหวังตามแบบฉบับเพื่อนที่แสนประเสริฐเป๊ะ ผมทำเสียงรับรู้ มันก็ซุก ๆ หน้ามาใหญ่ รู้ว่ามันเป็นวิธีปลอบใจของบุรินทร์นั่นแหละ เจ้านี่มันชอบสัมผัส บอกว่ารู้สึกดีเวลาได้แตะต้องคนที่ชอบ พอได้คลอเคลียครั้งแรกแล้วผมไม่ว่าก็เลยอ้อนใหญ่ตั้งแต่นั้นมาจะสุขจะเศร้าเพื่อนเลิฟก็จะต้องอ้อนเอาหน้ามาซุกไหล่ผมทุกครั้งไป

“รีบทำให้เสร็จนะบุรินทร์ ความหวังของฉันฝากไว้ที่นายนะโว่ย”

“รู้ ฉันไม่ทำให้นายผิดหวังหรอกน่า ระหว่างนี้ก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ นะเผลอ ๆ อาจจะเสร็จก่อนฉันก็ได้” ยิ้มหวานพร้อมกระชับแขนที่โอบไหล่ผมให้แน่นเข้า เออ อยู่อย่างนี้แล้วสบายจังเลยแฮะ จะว่าไปแล้วผมก็ชอบเวลาที่ได้ซุกตัวใกล้ ๆ กับบุรินทร์นะ มันให้ความรู้สึกสบายทั้งตัวแล้วก็ทั้งใจ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนเราด้วยล่ะมั้งมันถึงวางใจ แล้วก็นะ ผมคงใช้เวลาเอื่อยเฉื่อยไปมากกว่านี้ถ้าวาไม่กระแอมขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าจะมานั่งคร่ำครวญก็รีบทำซะ ทั้งสองคนนั่นเลย”

“คนจะหวานกันก็ต้องขัดคอด้วยนะคนเรา”

“มัวแต่หวานกันจะได้ขมปลายเทอมแน่ รีบทำเข้าคุณ เสร็จงานชิ้นนี้แล้วฉันจะช่วย”

“วาคนดี น่ารักที่สุดในโลกเลย” ผมแทบจะโผเข้ากอดร่างโปร่งบางนั้นอีกรายถ้าเจ้าตัวมันไม่เอาดินสอกดในมือสกัดกลางหน้าผากผมไว้เสียก่อน บุรินทร์หัวเราะขำ ๆ แล้วก็หันไปสนใจงานของตัวเองต่อ พอเห็นทางออกอันสดใสรออยู่ตรงหน้าก็ทำให้อารมณ์ผมแช่มชื่นขึ้นมาทันตา

“แต่ระหว่างนี้นายต้องทำไปก่อนนะ ทำให้ได้มากที่สุดเพราะฉันไม่แน่ใจว่างานตัวนี้มันจะเสร็จทันหรือเปล่า อ้อ ลองให้พี่จิณณ์ช่วยก็ได้นะคุณ พี่พีร์บอกว่าเค้าถนัดสายนี้ ตอนเรียนก็ได้เอคนเดียวของคลาสด้วย” คำแนะนำของวาทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องที่จิณณ์เคยพูดไว้ หมอนั่นบอกว่าถ้ามีอะไรก็ให้โทรไปถามได้ตลอดเวลา ให้ถือว่าเค้าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม แต่ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อไปหาฝ่ายนั้นอีกเลย แถมยังทำกริยาแย่ ๆ ส่งจิณณ์กลับบ้านไปอีก แบบนี้แล้วจะกล้าไปขอความช่วยเหลือเค้าอีกหรือคุณ ผมส่ายหน้าดิก

“ไม่ดีหรอก เค้าก็มีงานของเค้าแค่ยืมหนังสือมานี่ก็เกรงใจแล้ว”

“งั้นก็ตามใจ”

“ค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องเครียด” บุรินทร์คงเห็นว่าผมชักจะหน้านิ่วเลยคลึงนิ้วนวดตรงระหว่างคิ้วให้อย่างใจดี เพื่อนรักของผมส่งชานมป้อนให้ถึงปาก พึมพำปลอบเสียงนุ่ม “เยอะกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว งานแค่นี้ ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”

“เดี๋ยวเดียวน่ะต้องก่อนศุกร์นี้นะ แล้ววันนี้ก็วันอังคารแล้ว ฉันว่าลอง...”

“วา” เสียงเรียบ ๆ ของเจ้าตี๋เป็นผลให้วาชะงัก ดวงตาคู่สวยเหลือบมองบุรินทร์นิ่งก่อนวาจะถอนใจยาว ผมมองแล้วก็ชักใจไม่ดี ทำไมทั้งสองคนต้องเครียดกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย บุรินทร์เองก็เถอะ เพิ่งบอกผมว่าไม่ต้องเครียด ๆ แล้วดูตัวเองสิ ทำหน้าตาจริงจังใส่วาซะจนผมใจหายแทน แบบนี้มันไม่ค่อยดีมั้ง

“เอาล่ะ ๆ ทำงานใครงานมันไปละกัน ทั้งสองคนก็ทำงานของตัวเองไป ส่วนงานนี้ฉันจะพยายามทำให้เสร็จตามเวลานะ ขอบใจนะวา ถ้ามันจวนตัวจริง ๆ ฉันจะลองดู”

สรุปแล้ววันนั้นผมก็ทำความเข้าใจกับตำราประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตกได้อีกสามหน้าเศษ เมื่อลองมาเทียบเวลาดูแล้ว คำนวณยังไงผลออกมาก็ไม่มีทางทันกำหนดแน่นอน งานของบุรินทร์และวาเองก็เร่งด่วนพอกัน เพราะฉะนั้นก็เหลือทางเลือกสุดท้าย ผมสูบบุหรี่หมดไปหลายมวนกว่าจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไปตามเบอร์ที่บันทึกไว้เบอร์แรกของรายชื่อ เสียงเพลงรอสายเป็นเพลงคลาสสิกเพลงเดิมที่เคยฟังในวันฝนตกวันนั้น น่าแปลกที่คราวนี้มันนานเสียจนผมต้องกดวางสายไปเองในที่สุด

จิณณ์ไม่รับสาย

ผมแอบเสียฟีลไปหน่อย ๆ ทั้งที่ท่องมาอย่างดิบดีว่าจะเจรจากับอีกฝ่ายยังไง คิดว่าจะลองโทรอีกทีตอนหัวค่ำแต่พอจะเก็บโทรศัพท์เครื่องมันก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน ชื่อที่โชว์หน้าจอเล่นเอาผมกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องยืนคิดเป็นนานกว่าจะยอมกดรับสาย



(ฮัลโหล)


“.....”


(คุณ?)



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 21-10-2016 18:14:38
เอิ่ม คุณเป็นอะไร :hao4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2016 19:04:00
เอาแต่ใจนะคุณ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-10-2016 22:03:05
 :hao4: :hao4: :hao4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-10-2016 22:55:33
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 21-10-2016 23:30:20
สนุกมากๆคับ มาต่ออีกนะคับ ดำเนินเรื่องได้ดี น่าติดตามมากๆคับ ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-10-2016 00:47:10
รอออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-10-2016 08:58:47
รออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๕ P.2 22/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 22-10-2016 20:23:39
ตอนที่ ๕   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


เสียงฝีเท้าดังขึ้นในความสงัดเงียบของห้องสมุดประจำคณะอักษรศาสตร์ ไม่ได้เร่งเร็วรีบเร่งแต่ก็ไม่ได้ทอดช้าเป็นจังหวะเอื่อยเฉื่อยอย่างที่มักจะดังในหอสมุดแห่งนี้ มันดังก้องทุกครั้งที่เจ้ารองเท้าคู่นั้นเหยียบลงบนพื้นไม้ปาเก้ขัดมันเงาวับ ผมย้ายสายตาจากสายฝนด้านนอกกลับมาสู่หน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าของเสียงฝีเท้าเมื่อครู่โผล่เข้ามาในมุมส่วนตัวของผมแบบไม่ให้ตั้งตัว

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามผมพร้อมกับการอัญเชิญตัวเองลงนั่งตรงข้ามแบบไม่ต้องเสียเวลาขออนุญาต ผมถือดินสอในมือค้าง อ้าปากมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นจนจิณณ์ต้องยื่นมือมาแตะคางขึ้นให้

“คุณภัทร ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมพี่มาอยู่ที่นี่”

“ก็มาหานายน่ะสิ โทรไปพูดกันยังไม่ทันเข้าใจก็วางสายไปซะอย่างนั้น”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรแค่...”

“ต่อสายผิด”

“เออ” ใช่แล้ว เมื่อตอนที่ผมกดโทรออกไปหาจิณณ์แล้วพี่มันก็โทรกลับมาแบบสายฟ้าแลบ เรายังไม่ทันได้คุยกันอย่างที่ตั้งใจผมก็ดันบอกมันว่าต่อผิดหลังจากที่อ้ำอึ้งอยู่นาน มันค่อนข้างจะผิดวิสัยของคนที่ปากตรงกับใจแบบผมไปสักหน่อยที่จู่ ๆ ก็ไม่กล้าพูดขึ้นมาดื้อ ๆ ว่าจะโทรมาขอให้ช่วยติวให้สักบทสองบท แต่ผมก็ทำไปแล้ว แถมยังตัดวางสายจากฝ่ายนั้นแบบไม่รีรออีกด้วย ก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่าทำไมต้องทำแบบนั้นแต่ผมบอกตัวเองว่าผมเกรงใจ เพราะถ้าจะนับแล้วผมกับจิณณ์ก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักกันธรรมดาออกจะผิวเผินด้วยซ้ำ จะให้ผมไปขอความช่วยเหลือเขามันก็ยังไงอยู่ แถมครั้งสุดท้ายที่เจอกันมันก็ใช่ว่าจะประทับใจจนจะเอามาเป็นแรงหนุนนำให้ผมแบกหน้าไปพึ่งเค้าได้ พูดง่าย ๆ คือ ผมอายที่ทำฤทธิ์ใส่เค้าไว้เยอะนั่นแหละ

“การบ้านหรือ” เสียงนุ่มยังคงระดับความอบอุ่นไว้ได้อย่างไม่ขาดไม่เกิน แถมยังเปลี่ยนเรื่องเป็นแสงสว่างนำทางให้ผมราวกับรู้ใจ ผมมองปลายนิ้วที่แตะลากกระดาษของผมไปแล้วก็พยักหน้าตอบเงียบ ๆ จิณณ์มองไล่ตามข้อความที่ผมถอดความไว้แวบเดียวก็ยิ้มเต็มหน้า

“ก็บอกแล้วว่ามันยาก เหลือเวลาอีกแค่สองสามวันทำไม่ทันหรอก”

“รู้ได้ยังไง”

“ก็ฉันเคยทำมาก่อน”

“ไม่ใช่ รู้ได้ยังไงว่าเหลือเวลาอีกแค่สองวัน”

“วาบอก” ผมเคาะปากกากับหน้าหนังสือแล้วก็คิดไปพลาง เจ้าเพื่อนหน้าหวานของผมมันคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยไม่มากก็น้อยแน่ ถ้าผมถามออกไปว่ารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ สงสัยคำตอบคงไม่พ้น

“เค้าเป็นคนบอกฉันว่านายอยู่ที่ห้องสมุดนี่น่ะ” ผิดจากที่คิดไหมล่ะ วานี่มันห่วงงานจริง ๆ นะ คงคาดไว้แล้วว่าผมจะทำงานชิ้นนี้ส่งไม่ทันแน่เพราะทั้งเจ้าตัวและบุรินทร์นั้นก็ทำส่วนของตัวเองยังไม่เสร็จคงมาช่วยผมอย่างที่บอกไว้ตอนแรกไม่ได้แล้วเลยส่งหมอนี่มาช่วย น่านับถือในความเอาใจใส่ของเจ้าเพื่อนผู้รอบคอบของผมเสียจริง

“มานั่งทางนี้สิ อยู่กันคนละด้านแบบนี้มันไม่ถนัดนะ” จิณณ์บอกตาใสแล้วผมก็จิ๊ปากตอบ

“พี่ก็มานั่งด้านนี้สิ ผมชอบมุมนี้” แหมะ ช่างเห็นเหตุผลที่แสนจะน่าถีบอะไรเช่นนี้ จิณณ์ถึงกับชะงักมือที่กำลังกดเลื่อนไส้ดินสอ เงยหน้ามองผมก่อนจะตั้งต้นหัวเราะขำ มันขำจริง ๆ นะ ขำจนน้ำตาซึมเลย ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองมันนานมาก คนอะไรหัวเราะก็ยังดูดี!

“เอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ” พี่มันบ่นเจือเสียงหัวเราะ เออ การถูกขัดใจนี่มันน่าอารมณ์ดีตรงไหนวะ ผมขยับไปติดหน้าต่างกระจก ให้อีกคนมานั่งเก้าอี้ตัวที่เหลือ จิณณ์เสยผมไปครั้งหนึ่ง หัวเราะเบา ๆ ตบท้ายอีกครั้งก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเจอฤทธิ์ปลายศอกผมกระทุ้งเข้าให้

“เจ็บครับ”

“ใครใช้ให้หัวเราะ ขำมากหรือไง” ยัง ยังไม่หยุดยิ้ม

“ก็มันขำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้ตัวเองต้องพึ่งฉันอยู่ มาออกคำสั่งนั่นนี่แถมยังทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่มีงานส่งอาจารย์หรอก”

“ถ้าพี่มัวแต่นั่งทวงบุญคุณแบบนี้มันก็ไม่มีส่งเหมือนกัน”

“ทำไมจะไม่มี” ไอ้คนดีของวาที่พ่วงตำแหน่งผู้มีพระคุณของผมมาด้วยทำหน้าระรื่น ใช้ดินสอเขี่ยมือผมให้พ้นหน้าหนังสือแล้วก็เริ่มขีดเส้นลงตรงหัวข้อเป็นจุดแรก เสียงทุ้มอ่านทวนประโยคนั้นด้วยสำเนียงที่ไพเราะเสนาะหูแต่ช่างฟังยากเหลือเกินในความคิดของผม จิณณ์จะอ่านและอธิบายด้วยสำเนียงจากอเมริกาหรืออังกฤษผมก็สุดจะรู้แต่ที่แน่ ๆ หมอนี่ไม่ได้ใช้สำเนียงไทยแน่ อันนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องถนัดของคุณภัทรก็พอ

“เข้าใจหรือยังว่าศิลปินเค้าต้องการอะไร” อาจารย์พิเศษถามย้ำเมื่อเราผ่านบทเรียนสุดแสนจะโหดหินไปได้สักหนึ่งในสามส่วน เห็นผมนั่งนิ่งไม่ตอบหมอก็เอียงหน้ามามอง แล้วมันก็ยิ้มอีกแล้ว

“ไม่เข้าใจหรือ มันยากไปหรือฉันอธิบายเข้าใจยาก”

“ไม่ใช่ทั้งสองข้อนั่นแหละ”

“แล้วทำไมนั่งเงียบ ตกลงตอบได้หรือเปล่า”

“ได้ แต่ผมไม่เข้าใจ”

“เรื่อง?” คนพูดถอดแว่นสายตาออก มองมาแบบกึ่งยิ้มกึ่งสงสัย ก็คงสงสัยเหมือนกันแหละว่าตอบได้แล้วทำไมยังไม่เข้าใจ ก่อนที่จะทำให้อีกฝ่ายเสียเซลฟ์ในการสอนไปเสียก่อนผมก็แจงว่า

“พี่มีเวลาว่างหรือจิณณ์ ผมรู้นะว่าพวกสถาปัตย์น่ะเรียนหนักกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสุดท้าย วาบอกว่าพี่อยู่ปีห้าเหมือนพี่พีร์ ทั้งที่พี่พีร์งานยุ่งตลอดเวลาแต่ทำไมพี่ยังมีเวลามาช่วยผมทำรายงาน ถามจริง ๆ เถอะ มันเดือดร้อนพี่หรือเปล่า” ริมฝีปากสีแดงเลือดวาดเป็นรอยยิ้มบาง โอย มันหล่อจริง ๆ ให้ตายเถอะ

“มันจะเดือดร้อนก็ต่อเมื่อฉันทำให้นายส่งงานไม่ทันต่างหากล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าส่งไม่ทันมันก็เป็นความผิดของผมเอง พี่ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ วาเองคงไม่ว่าอะไรหรอก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวา?”

“ก็ วาขอให้พี่มาช่วยผมไม่ใช่หรือไง”

“.......”

“ถึงจะจริงจังกับการเรียนแค่ไหนแต่เพื่อนผมไม่มีทางตำหนิพี่หรอก วางใจได้” จิณณ์ทำหน้าแปลก ๆ พี่มันยืดตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วก็หัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้กริยาแบบนั้นมันส่อให้เห็นถึงอารมณ์แบบไหน เมื่ออีกฝ่ายไม่อธิบายแถมยังส่งสัญญาณให้กลับไปหาบทเรียนต่อผมก็ปล่อยประเด็นล่าสุดทิ้งไว้ตรงนั้น

ช่างเถอะ ผมถามในสิ่งที่ข้องใจไปแล้ว อีกฝ่ายไม่อยากตอบผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ สรุปก็คือเพราะเป็นเรื่องที่วาไหว้วานมาแม้จะเดือดร้อนจิณณ์ก็เต็มใจไม่มีปัญหา ว่างั้นเถอะ ผมทุ่มเทกับการถอดความภาษาอังกฤษจนเริ่มรู้สึกถึงความว่างเปล่าในท้องตัวเอง เสียงโครกครากมันดังประท้วงจนคนที่ก้มหน้าเงียบมาเกือบยี่สิบนาทีเงยหน้ามองผมตื่น ๆ

“โทษที หิวแล้วสินะ” จิณณ์เอ่ยย้ำความเข้าใจมากกว่าจะเป็นการขอคำตอบ ไม่เข้าใจหรอกว่าพี่มันจะขอโทษเพราะสาเหตุอะไรแต่ผมก็ยักคิ้วตอบไปทีหนึ่ง มองอีกฝ่ายรวบหนังสือให้เข้าที่เข้าทางแล้วก็ลอบถอนใจกับตัวเอง ยี่สิบนาทีหลังจากที่เราสองคนปิดประเด็นนั้นไปกลายเป็นยี่สิบนาทีแห่งความเงียบอันน่าอึดอัดจนผมแทบระเบิดออกมาหลายครั้ง

จิณณ์ปิดปากเงียบ สนใจแต่หน้าหนังสือที่มีภาษาอังกฤษเรียงเป็นพรืดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจด ๆ ๆ ขีด ๆ ๆ โดยไม่สนใจจะเงยหน้าขึ้นมาถามหรืออธิบายให้ผมเข้าใจด้วยเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักครั้ง ตอนแรกผมนึกสงสัยอาการที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนของมันจนต้องสะกิดถามหมอนี่ก็ส่ายหน้าตอบ ไม่ยอมพูดอะไรอีก ผมก็เริ่มจะรู้แล้วล่ะว่าไอ้หล่อมันกำลังเคืองผมอีกแล้วงานนี้ แต่จะเคืองเรื่องอะไรผมก็สุดปัญญาที่จะเดา ขี้เกียจไปสนใจอารมณ์หมาแมวให้เหนื่อยเลยปล่อยให้ทำงานเงียบ ๆ ไปคนเดียว ส่วนผมก็ดึงเอาหนังสืออีกเล่มมาเปิดอ่าน ทำงานไปจนท้องผมประท้วงเพราะความหิวนั่นล่ะสงครามเย็นถึงได้ยุติลง ไอ้พี่จิณณ์ก็กลับมาเป็นหน้ามือเหมือนเดิม

“จะห้าโมงแล้ว ไปหาข้าวเย็นกินเลยไหม”

“ก็ดี แล้วไม่เอาของทิ้งไว้ที่นี่หรือ” ผมถามเมื่อเห็นว่าอีกคนรวบหนังสือมาถือไว้ทั้งปึกแล้วก็ยื่นกระดาษชีทมาให้ผมหอบไว้ ปากสีแดงสดยิ้มจาง ๆ เลื่อนเก้าอี้ให้อยู่ในตำแหน่งของมันเหมือนยามที่ไม่มีคนมานั่ง

“กว่าพวกเราจะกลับมาห้องสมุดก็ใกล้ปิดแล้ว วันนี้วันธรรมดาปิดทุ่มตรงไม่ใช่หรือ” ผมใช้เวลาคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้าตอบ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องเวลาและสถานที่ดีกว่าผมที่เรียนคณะนี้เสียอีก เดินออกมาจากตึกหอสมุดพวกผมก็เลี้ยวขวา ข้ามถนนเส้นเล็กตรงไปยังโรงอาหาร

“ไม่ค่อยมีอะไรเหลือให้กินแล้วล่ะ เอาไงดี” จิณณ์ถามหลังจากที่เราสองคนเดินสำรวจหน้าร้านจนครบทุกร้านแล้ว เวลาห้าโมงไม่ถือว่าเย็นนักแต่นิสิตคณะผมส่วนใหญ่จะเลิกเรียนเวลาสามโมงครึ่ง หลังจากนั้นก็มีแค่ไม่กี่คลาสที่ดวงตกได้เรียนจนค่ำ เมื่อไม่ค่อยมีลูกค้าเจ้าของร้านส่วนใหญ่จึงปิดร้าน ล้างหม้อล้างไหกลับบ้านกันตั้งแต่ห้าโมง พวกผมมาเลทนิดเดียวก็เจอแต่ร้านโล่ง ๆ กับผักปลอมที่เค้าจัดไว้ตกแต่งหน้าร้านเท่านั้นแหละ

“ผมกินอะไรก็ได้ ก๋วยเตี๋ยวไก่ยังมีเหลืออยู่นี่นา”

“อย่าเลย มันเย็นมากแล้วพวกเครื่องปรุงคงไม่สดใหม่เหมือนเมื่อเช้า ออกไปกินข้างนอกดีกว่าฉันรู้จักเจ้าอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง อยากลองไหม”

“ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ตรงซอยสามล่ะก็ ผมกินจนจะสนิทกับพนักงานเสิร์ฟละ”

“ไม่ใช่ ร้านนี้เจ๋งกว่านั้นแต่ไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยวนะ” คุณชายท่านบอกแล้วก็หนีบแขนเสื้อผมให้เดินตาม คราวนี้เราเดินตัดผ่านหน้าตึกใหญ่ที่จะตรงไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องอ้อมไปออกทางหอสมุดให้เสียเวลา ผมลองใช้เวลานึกถึงรายการอาหารที่จะถูกยัดลงกระเพาะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอย่างรื่นรมย์

“ร้านอะไรล่ะงั้น”

“ทายสิ”

“อาหารไทย?”

“ไม่ใช่”

“อาหารจีนหรืออาหารญี่ปุ่น เอ อาหารอินเดียก็น่าลองเหมือนกันนะ”

“ติดไว้ก่อนทั้งสามรายการนั่นแหละ วันนี้จะพาไปกินอาหารเวียดนาม เคยกินไหม” ผมส่ายหน้าดิก ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแถวนี้มันมีร้านอาหารชาติที่ว่าอยู่ด้วย จิณณ์ยิ้มอมภูมิ กระชับหนังสือตั้งใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียว ผมมองแขนแข็งแรงนั่นแล้วก็เพิ่งนึกได้

“พี่ไม่มีกระเป๋าหรือเป้เลยหรือ เห็นเดินตัวเปล่ามาตั้งแต่วันนั้นแล้วนะ”

“มีแต่ทิ้งไว้ที่โต๊ะประจำในห้องสมุดคณะ” โห พี่มันเป็นนิสิตประเภทไหนวะ มีโต๊ะประจำอยู่ในห้องสมุดเนี่ยนะ

“แล้ววันนั้นล่ะเจอบนรถไฟก็ไม่เห็นสะพายเป้สักใบ”

“วันนั้นลืม ทิ้งไว้ในรถที่บ้าน พอไม่ได้ขับรถมาเองมันก็เลย...”

“เหยยยยย พี่ขับรถได้แล้วหรือ?” ผมถามเสียงลั่น ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายแก่กว่าตัวเองตั้งหลายปี เรื่องที่จะขับรถร่อนไปทั่วกรุงเทพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักนิด เสียงของผมคงดังไม่ใช่น้อยเพราะจิณณ์ไม่ได้มองตอบกลับมาหากหันไปยิ้มให้นิสิตอีกหลายชีวิตที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่แถวนั้น ก้านนิ้วแข็งแรงแต่แปลกนักที่แตะแขนผมได้อย่างเบามือ ดันให้ผมเดินตามออกมาจากลานม้าหินอ่อนของคณะ เรายังไม่ทันผ่านลานนั้นไป เสียงคุ้นหูก็เรียกผมเอาไว้เสียก่อน

“คุณ! คุณภัทร!”

“อ้าว ตี๋ มาทำอะไรตรงนี้น่ะ มีนัดทำรายงานไม่ใช่หรือ” ร่างสูงที่เด่นสะดุดตามาแต่ไกลวิ่งเข้ามาหาผมแล้วก็รั้งแขนผมเข้าไปกระซิบกระซาบ มันทำท่าทางให้เหมือนกระซิบไปอย่างนั้นแหละครับ ไอ้พี่จิณณ์ที่ยืนไกลออกไปยังแอบยิ้มกับท่าทางของมันเลย

“นายนั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้ ไหนบอกต้องรีบปั่นงานให้วาไง”

“ก็ทำอยู่แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงพักสายตา กำลังจะไปหาข้าวกินน่ะ”

“ไปกับใคร” ผมหัวเราะ มันก็เห็นอยู่ว่าผมเดินเคียงคู่กระหนุงกระหนิงมากับไอ้หล่อนั่นสองคน มันยังจะถามทำไมอีก แล้วดู ๆ มาทำสะบัดค้อน งอนอะไรอีกล่ะคราวนี้

“ไปกับคนนั้นไง นายมาพอดีเลย ไปกินอาหารเวียดนามด้วยกันไหม”

“ไปกินที่ไหน”

“ไม่รู้ มีคนจะพาไป ไปเถอะนะ หลายคนสนุกดี” ดวงตาเรียวที่คลายความแง่งอนลงไปมากแล้วปรายมองจิณณ์ ฝ่ายนั้นก็แค่ยิ้ม ดูท่าแล้วบุรินทร์คงอยากไปกับพวกผมมากอยู่ มันทำหน้าคิดหนัก มองหน้าผมตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงห้าว ๆ ร้องเรียกมาจากใต้ตึกใหญ่

“บุรินทร์ไรเดอร์ กลับมาทำงานได้แล้วสัด ต้องส่งพรุ่งนี้เช้านะเว่ย”

“เออ รู้แล้ว” บุรินทร์โบกมือให้เพื่อน เจ้านั่นหันหลังกลับแต่ไม่ก่อนที่มันจะคึกแซวผมยิ้ม ๆ

“มีเดทหรือจ๊ะน้องคุณ”

“หุบปากไปสัด” เพื่อนสุดเลิฟของผมแหกปากตะโกนตอบไป เห็นสีหน้าอันเครียดเคร่งของบุรินทร์แล้วผมก็ตอบได้เลยว่ามันชวดอาหารเวียดนามมื้อนี้แน่ สำหรับพวกชอบไฟลนก้นอย่างเรานั้น งานที่มีกำหนดต้องส่งพรุ่งนี้เช้า เวลาช่วงเย็นวันนี้ถือว่าสุดแสนจะสำคัญจนไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้เลยทีเดียว

“ไปทำงานเถอะ เรื่องกินข้าวเดี๋ยวก็ได้ไปด้วยกัน”

“อือ นายเองก็ระวังตัวล่ะ กินเสร็จก็รีบกลับบ้านไปทำรายงานให้เสร็จซะ อย่าเหลวไหลไปไหนนะเดี๋ยวฉันจะโทรเช็คตอนค่ำ ๆ รอรับโทรศัพท์ด้วยล่ะ”

“ก็นะ ทำยังกับเพื่อนเป็นเด็กห้าขวบ เออ ๆ งานเสร็จก็โทรมาละกัน” ผมรีบบอกเมื่อเห็นหน้าบุรินทร์เริ่มหงิกลงอีกรอบ มันปรายตามองจิณณ์ พยักหน้าให้ตามมารยาทแล้วจิณณ์ก็ออกเดินนำผมไปทางประตูมหาวิทยาลัยก่อน ผมตบไหล่บุรินทร์แล้วก็ดันหลังให้เข้าไปในตึก เดินเร็ว ๆ มาทันจิณณ์ที่หน้าตึกของคณะสถาปัตย์พอดี พี่มันบอกผมสั้น ๆ

“เข้าไปเอากระเป๋าก่อนนะ”

“พี่เข้าไปเอาละกัน ผมรออยู่ตรงนี้แหละ” ว่าแล้วผมก็นั่งแปะตรงเก้าอี้ไม้แถวนั้นทันที จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ ยิ้มถามผมเสียงอ่อน

“ทำไมไม่เข้าไปด้วยกันล่ะ”

“ขี้เกียจปีนบันได เหนื่อย” เป็นยังไงล่ะเหตุผลผม ตรงประเด็นสุดใจขาดดิ้นเลยคุณ แล้วมันก็จริงด้วยนะ มาปีนกับบุรินทร์คราวที่แล้วผมยังเหนื่อยไม่หายเลย เรื่องอะไรจะไปปีนเล่นให้เปลืองแรงอีก ผมนั่งเหล่สาวรออยู่แถวนี้ดีกว่า

“เคยขึ้นลงแค่รอบเดียวมันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว ความจริงมันไม่ได้สูงอะไรมากมายเลย นายต้องลองมาบ่อย ๆ จะได้ชิน” ไอ้คนดีมันพยายามจะตะล่อมผมแถมยังก้าวเข้ามาดึงชายเสื้อผมให้ลุกตามอีกแต่เสียใจงานนี้มันขาดแรงจูงใจที่ดีพอ ผมเลยสะบัดมือพี่มันทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่เอา ผมไม่ได้มีธุระปะปังอะไรในนั้นสักหน่อย คณะพี่มีแต่ผู้ชายถึก ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าดึงดูดใจสักนิด ถ้ามีสาว ๆ สวย ๆ อย่างคณะผมก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นค่อยน่าเข้าไปชื่นชมให้คุ้มกับค่าเหนื่อยหน่อย พี่เข้าไปเองผมจะรออยู่ตรงนี้” ผมประกาศชัดแถมท้ายด้วยการเลื้อยตัวคว่ำหน้าลงบนโต๊ะไม้ปิดท้าย จิณณ์เม้มปาก บอกผมด้วยสีหน้าติดจะเรียบนิด ๆ แต่ก็ไม่มากเท่าเวลาที่บุรินทร์หรือวาโมโหผมหรอก

“นายต้องขึ้นไปดูคุณภัทร พรุ่งนี้เราต้องมาทำรายงานของนายในหอสมุดนี้ ถ้านายไม่ขึ้นไปแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะไปหาฉันได้ตรงไหน หอสมุดมันไม่ใช่แคบ ๆ นะ ห้องหับมันสลับซับซ้อน ถ้าฉันไม่ว่างลงมารับนายก็อาจจะหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ” อีกแล้ว ผมล่ะเกลียดจริง ๆ เวลาที่ได้ยินเรื่องที่มันมีเหตุผลหนักแน่นจนเถียงไม่ได้แบบนี้น่ะ

“โทรถามทางเอาก็ได้”

“แล้วถ้าฉันไม่ว่างรับสายล่ะ”

“เออ ๆ ๆ ไปก็ได้ วุ่นวายชิบ...”

“อย่าขี้เกียจสิ ถ้านายยังเรียนที่คณะเดิมนายก็ต้องมาห้องสมุดคณะฉันบ่อย ๆ เพราะหลายวิชาในหลักสูตรของทั้งสองคณะมันต้องใช้หนังสือจากห้องสมุดนี้ เหมือนคราวนี้ไงล่ะ”

“ก็มันเหนื่อย พี่บอกคณะบดีสร้างลิฟต์ไว้ให้ห้องสมุดด้วยสิ ผมจะมาทุกวันเลย”

“ถึงบอกให้สร้างนายก็ไม่ทันใช้หรอกน่า มันต้องทำเรื่องนานบวกระยะเวลาในการสร้างไปอีกเป็นปี ตอนนี้ก็หัดเดินขึ้นลงไปพลาง ๆ ก่อน เดี๋ยวนายก็ชินเอง เชื่อฉันสิ” เสียงนุ่มปลอบเจือด้วยรอยยิ้มเอาใจจนผมชักจะฮึดฮัดไม่ออก ผมเอาแต่ใจนะเว่ย มาใจดีด้วยแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวคนใจดีเองนั่นแหละจะเดือดร้อน

“รู้ได้ยังไงว่าผมจะรอดไปถึงวันนั้น ผมอาจหน้ามืดสะดุดขั้นบันไดตกลงมาหัวฟาดพื้นตายก่อนก็ได้”

“ไม่หรอกน่า” เจ้าของริมฝีปากสีสวยยิ้มมั่นใจ จิณณ์เลื่อนมือมารั้งปลายแขนเสื้อเชิ้ตของผม รั้งให้เดินตามไปช้า ๆ “มากับฉัน นายจะสะดุดกี่ครั้งก็ไม่มีทางตกลงไปหรอก”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ต่อให้สะดุดกี่ครั้งก็ยังมีพี่จิณณ์คอยรับสินะ *เริ่มอิจฉาพี่น้องคุณละ*))

หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๕ P.2 22/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-10-2016 21:00:00
อยากได้แบบนี้สักคน ผู้ชายอบอุ่นแบบนี้ เหวี่ยง วีน ได้สบาย หายห่วง

 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๕ P.2 22/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 22-10-2016 21:05:55
สะดุดอีกก็เพิ่มความหล่อของแฟนคณะนี้? :hao7: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๔ P.1 21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-10-2016 17:28:26
น่ารักอ่ะ งอแงเฉพาะกับเขาทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัวเลยนะนี่
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๕ P.2 22/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 24-10-2016 20:43:02
จิณณ์น่ารักมาก สุภาพ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 25-10-2016 08:33:00
ตอนที่ ๖   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





ในระดับแรกผมเข้าใจว่าห้องสมุดคณะสถาปัตย์เนี่ยมันมีอยู่แค่สามชั้นตามจำนวนชั้นที่มากที่สุดที่ผมเคย(ถูกบุรินทร์บังคับให้)ปีนมาแล้ว แต่ที่ไหนได้ มันมีซ่อนไว้ข้างบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วไอ้บ้าพี่จิณณ์มันก็ดันแก่นไปเลือกที่ตั้งของโต๊ะประจำอยู่ชั้นนั้น กว่าจะก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นมาจนถึงขั้นสุดท้ายก็เล่นเอาผมหอบจนลิ้นห้อย

“โต๊ะ เก้าอี้ ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้มีมากมาย ทำไมพี่ไม่เลือกเอาสักโต๊ะวะ ทนเดินขึ้นเดินลงอยู่ได้”

“ข้างล่างคนมันเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ น่ารำคาญ” คนที่ยืนรอผมอยู่ตอบเสียงเบา ผมกลอกตามองมันเหมือนไม่เข้าใจแล้วก็ต้องเบะปาก ลืมไปว่าพ่อคุณเนื้อหอมแค่ไหน ขนาดไปซ่อนตัวในที่มืดอย่างโรงหนังยังมีคนตามเข้าไปดูด้วยได้ นับประสาอะไรกับโต๊ะที่เปิดโล่งไปทั้งลานแบบนั้น ถ้าจิณณ์ไปนั่งแถวนั้นคงไม่ต้องทำงานทำการอะไรทั้งคนถูกมองแล้วก็คนแอบมองนั่นแหละ

ผมเกาะราวบันไดมองบันไดอีกเก้าขั้นที่เหลืออย่างทดท้อ ข้างตัวยังมีผู้ชายหน้าตาหล่อไม่บันยะบันยังยืนกอดอกหลวม ๆ มองอยู่ มันน่าแปลกไหมล่ะครับ ขนาดท่วงท่าที่ดูสบาย ๆ พอจิณณ์เอามาทำบ้างมันกลับกลายเป็นภาพที่น่ามองไปเสียฉิบ แค่กอดอกแล้วก็เอียงไหล่พิงกับผนังตึกด้านในของบันไดเท่านั้นเอง

สายตาผมคงบอกอะไรไปเยอะ เจ้าตัวมันถึงได้ยิ้มละลายใจ(สาว)ตอบกลับมา

ไอ้เชี่ย แม่ง หล่อสาดเสียเทเสีย

ผมอุบอิบกับตัวเองแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปีนบันไดไปสู่ควาเตอร์สุดท้ายของหอสมุดแห่งนี้ บันไดแดงยังทอดวนไปสูงเกินกว่าที่จะมองเห็นอะไรในชั้นสี่ได้ ขาผมเริ่มล้าเพราะนานครั้งที่จะได้ออกกำลังหนักแบบนี้ เดินมาได้ครึ่งหนึ่งก็คิดว่าจะพักอีกสักแป๊บ แต่ดันมีมนุษย์เหล็กที่ตามหลังผมมาติด ๆ คว้าหมับเข้าที่ศอกผม ใบหน้าหล่อจัดยิ้มพราย บอกเสียงนุ่ม

“วิ่งกันเถอะ”

“วิ่ง?”

วิ่งเหี้ยอะไรรรรรร ไอ้คนบ้าพลังมันไม่ยอมฟังที่ผมพูด ตั้งต้นลากแขนผมวิ่งตามมัน อยากร้องไห้เหลือเกินครับ ผมจะสะบัดประท้วงไม่เอาไม่ยอมก็ไม่ได้เพราะพี่มันไม่ยอมฟังแถมยังจับผมแน่นไม่ปล่อย จำต้องกัดฟันวิ่งตามมันไป จนเกือบจะพ้นบันไดสองขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว ร่างของผมก็เซไปข้างหน้า ถลาเหมือนนกปีกหักเลยคุณ โชคดีที่พื้นชั้นสี่ปูพรมหนาจนนุ่มพอผมเลยไม่เจ็บตัวเพราะความบ้าของมัน พอหายตกใจแล้วผมซัดไหล่ไอ้คนชั่วไปซะสองหมัด

“พี่จะฆ่าผมหรือไงวะ” ผมโกรธจนหน้าร้อนไปหมด เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วยังต้องมาตกใจเพราะการกระทำบ้า ๆ ของมัน นี่ถ้าผมไม่มือไว คว้าให้มันล้มมาด้วยกันผมจะแค้นมันยิ่งกว่านี้ จะแค้นอะไรซะอีกล่ะ ก็ไอ้พี่จิณณ์มันปล่อยมือผมในวินาทีสุดท้ายเล่นเอาผมสะดุดบันไดขั้นบนสุด แล้วก็ถลาลมลงมานอนหมดท่ากันอยู่นี่ยังไงล่ะ

“คราวหลังผมจะไม่มากับพี่แล้ว อยากฆาตกรรมกันก็บอกมาตรง ๆ สิ ลากขึ้นมาถึงชั้นสี่ให้เหนื่อยทำไม”

“ล้อเล่นน่า เห็นเครื่องอืดก็เร่งให้ไง”

“โดยการลากผมวิ่งขึ้นมาแล้วก็ผลักทิ้งเนี่ยนะ” พ่อคนดี พ่อศรีพระนคร จะเล่นทีก็เกือบถึงชีวิตเลยนะมัน โดนผมว่าไปขนาดนี้พี่มันยังไม่สะเทือน ยังเท้าศอกกับพื้นหัวเราะอารมณ์ดีตามประสาคนบ้าของมันไป

“ไม่ได้ทิ้ง ฉันก็ล้มตามนายมาด้วยนี่ไง เป็นไง เหงื่อออกแบบนี้รู้สึกดีไหม”

“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าผมไม่ดึงพี่ลงมาด้วย พี่คงยืนกอดอกหัวเราะสมน้ำหน้าผมแน่”

“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า นายดูนั่นสิ ถ้าเรานอนกับพื้นแบบนี้จะเห็นภาพเขียนบนเพดานโดยไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่าให้เมื่อยเลยนะ สวยไหม” เสียงนุ่มที่ไร้วี่แววของความเหนื่อยหอบอธิบายเบา ๆ นิ้วเรียวชี้ให้ผมมองลวดลายที่กินพื้นที่ทั้งหมดของเพดานรูปโค้ง ผมเผลอเขวี้ยงค้อนให้มันทีหนึ่งโทษฐานแกล้งลืมเลือนความผิดของตัวเองแล้วก็ยอมมองตาม แรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไหร่ เพราะอารมณ์โกรธมันมีอยู่มากแต่พอจิณณ์บอกว่ามันอยู่ในวิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ เลือดเด็กรักเรียนในตัวมันก็เตือนสติให้ผมจำต้องตั้งใจฟัง

“รูปนี้ได้แนวคิดมาจากการเขียนภาพเพดานในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่โบสถ์ของคริสตจักร นิสิตของเรามีหลายเชื้อชาติ ศาสนา พวกเราเลยเลือกที่จะใช้ภาพเหตุการณ์จากตำนานเทพกรีกและโรมัน อ้างอิงมาจากฉบับของอิดิธ ฮามิลตัน แล้วก็จินตนาการออกมาเป็นภาพที่คิดว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน เข้ากันกับบรรยากาศของหอสมุดมากที่สุด”

ผมนอนกอดอก มีรุ่นพี่หน้าหล่อที่ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นนอนอยู่ข้าง ๆ มันชี้มุมนั้นมุมนี้พร้อมทั้งอธิบายประกอบ เสียงนุ่มเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ฟังแล้วเพลินหูจนผมเผลอหลุดปากถามเรื่องที่ไม่เข้าใจไปหลายครั้ง แล้วจิณณ์ก็ตอบได้ชัดเจน ตรงประเด็นอย่างน่าทึ่ง

จิณณ์เปิดเล็คเชอร์วิชาวรรณคดีกับทรรศนศิลป์ให้ลูกศิษย์คนเดียวคือผมจนรู้แจ้งเห็นจริงทั้งประวัติความเป็นมาและกลวิธีการสร้างสรรค์งานเป็นที่เรียบร้อย ผมก็พลิกตัวไล่ความเมื่อยอีกครั้ง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองนอนหนุนพุงของอาจารย์พิเศษมาตลอด ผมเม้มปากนิด ๆ กลิ้งหน้าไปมองมัน จิณณ์ก็มองตอบกลับมา คนตัวสูงกว่าผมเท้าศอกข้างหนึ่งกับพื้น กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีสบายสุดฤทธิ์ ในมือขาวมีปากกาหรูที่ใช้แทนแสงเลเซอร์ชี้ตำแหน่งภาพให้ผมดูเมื่อครู่ ผมมานอนบนตัวพี่มันตั้งแต่เมื่อไร่วะ จำไม่ได้เลยโว้ย

“เมื่อยไหม” แทนที่จะเป็นผมที่เป็นคนถามคำถามนั้น กลับกลายเป็นคนที่โดนนอนทับมาตลอดเป็นคนถามเสียเอง ผมส่ายหน้า ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วก็จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยตามปกติของคนที่ต้องดูดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จิณณ์ลุกขึ้นนั่งแล้วก็เอื้อมมือไปเก็บตำราของตัวเอง(ที่ให้ผมยืมมา)จนครบ

“ลืมไปเลยว่าเราสองคนกำลังหิวข้าว”

“เออ นั่นสิ” ผมคราง เพิ่งนึกออกเหมือนกันนั่นแหละ จิณณ์หยิบหนังสือมาวางซ้อนกันแล้วก็หันมามองผม เรามองตากันไปมาแล้วสุดท้ายก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน บ้าไปแล้วผม แทนที่จะโมโหหิวอย่างที่เคยเป็น มานั่งอารมณ์ดีอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย!

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องทำงานต่อ” และก็เป็นจิณณ์อีกครั้งที่ดึงให้งานของผมเดินไปข้างหน้า ผมมองนาฬิกาแล้วก็นิ่วหน้า เราสองคนใช้เวลากับการนอนมองเพดานไปนานถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ อะไรมันจะเพลินขนาดนี้ แล้วทำไม...ผมหันไปมองบันไดที่ทอดวนลงไปชั้นล่าง ไม่ยักกะมีใครเดินขึ้นมาบนนี้สักคน แม้แต่คนที่จะเดินกลับลงไปข้างล่างก็ไม่มี พอผมถามเจ้าถิ่นก็บอกว่า

“ไม่มีใครขึ้นมาหรอก ชั้นสี่จัดไว้สำหรับเก็บหนังสือหายาก มีแต่บรรณารักษ์เท่านั้นที่จะขึ้นมาได้แต่ก็จะใช้บันไดอีกทางหนึ่ง ทางนี้มีแต่สมาชิกสภาของคณะที่ใช้ขึ้นลง เพราะห้องของพวกเราอยู่ด้านนี้”

“พวกเรา?”

“ก็พวกเรา ฉันกับเพื่อน ๆ ในสภา อ้อ มีพีร์ด้วยนะ”

“ถึงว่า นิสิตปกติทั่วไปคงไม่มีใครมาตั้งโต๊ะประจำในห้องสมุดหรอก ยกเว้นพวกที่พิเศษมาก ๆ แบบ...” ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะยิ้ม ๆ จิณณ์ก็คงรู้ทัน มันเลยเคาะปากกากับหน้าผากผมซะเจ็บเลย

“ปากจัด”

“พี่ก็มือหนัก”

“รู้ได้ยังไง”

“เอะอะก็ผลักก็ตีแบบนี้ใครจะไม่รู้” ผมทำตาขุ่นตอบเมื่อมันยื่นหน้าเข้ามาดูผลงานตัวเองใกล้ ๆ

“เคาะไปทีเดียวก็ใส่ร้ายกันเลยนะ ขี้โวยวายสมคำร่ำลือจริง ๆ”

“ใคร ใครมันบังอาจลือ พูดให้ดี ๆ นะโว้ย”

“ช่างเถอะ อย่าให้คนอื่นเค้ารับเคราะห์ด้วยเลย เดี๋ยวนายรู้แล้วจะวิ่งโร่ไปต่อยเค้า”

“ผมไม่ใช่พี่นะไม่พอใจอะไรก็ใช้กำลังน่ะ”

“ฉันไปใช้กำลังกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่” จิณณ์หันมาถามเสียงต่ำ จู่ ๆ มันก็เกิดคึกอยากทำหน้าจริงจังขึ้นมา เล่นเอาผมที่กำลังสนุกกับการต่อปากต่อคำกับมันถึงกับอึ้งไปชั่ววิ

“เคยมีตอนไหนที่ฉันทำให้นายเจ็บตัวหรือคุณภัทร” ดวงตาสีดำจัดจับจ้องนิ่งที่ดวงตาผม แม่ง พอมันไม่ยิ้มอย่างทุกทีแล้ว ไอ้พี่จิณณ์มันก็ผู้ร้ายเราดี ๆ นั่นเองครับท่านผู้ชมมมม

“ก็เมื่อกี้ไง ผลักมาได้ เกิดผมก้าวพลาดตกลงไปข้างล่างพี่จะทำไง” ผมตอบแบบไม่เต็มคำนัก รู้สึกเหมือนเลือดมันวิ่งมารวมกันที่แก้มทั้งสองข้าง พาลให้ร่างกายส่วนอื่นขาดเลือดหล่อเลี้ยงเลยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงตามไปด้วย เราถอนสายตาออกจากกัน จิณณ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ก้มลงมาบอกผมอย่างมั่นใจว่า “มันจะพลาดได้ยังไงฉันตั้งใจผลักขนาดนั้น”

นั่น! มันสารภาพออกมาแล้วว่าตั้งใจแกล้งผม

ก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำลายที่มีผมเป็นฝ่ายเริ่มแต่ไอ้หล่อเป็นฝ่ายจุดชนวนอีกครั้ง จิณณ์ก็ฉุดผมลุกขึ้นยืนเป็นการตัดบท เราจัดเสื้อผ้า ทรงผมเกือบเรียบร้อย เสียงห้าวของบุคคลที่สามก็ดังให้ผมได้หันไปมอง

“มาทำอะไรตรงนี้วะ?” รณพีร์ จีรวัฒน์สกุลครับพี่น้อง เปิดประตูกระจกเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมมองแล้วรู้สึกว่าเค้าจงใจส่งตรงให้ผมคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ เพราะพอหันไปทางจิณณ์ เพื่อนของวาก็ทำตาหรี่แล้วก็อมยิ้มมองซะอย่างนั้น ผมทักทายอีกฝ่ายก่อนเพราะตัวเองอ่อนกว่าหลายปี ฝ่ายนั้นทักตอบอย่างคนมีอัธยาศัยดีผิดกับหน้าตาดุ ๆ ลิบลับ จิณณ์ส่งชีทปึกเดิมมาให้ผมแล้วก็เลยดึงสายเป้ผมให้เดินตาม

“ขึ้นมาเอากระเป๋าเดี๋ยวจะไปกินข้าวต่อ”

“กินข้าว นี่มึงกินข้าววันละกี่มื้อกันวะ พวกเราเพิ่ง...”

“มันจะแปลกอะไร กูหิว ช่วงนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ”

“จริงดิ หักโหมขนาดนั้นเลยหรือวะ” พี่พีร์นึกจะแซวก็ไม่คิดจะยั้ง ผมเลยได้เห็นไอ้หล่อมันทำร้ายร่างกายคนอื่นอีกครั้ง คราวนี้มันใช้สันหนังสือที่อยู่ในมือนั่นเอง โขกไปทีหนึ่งพี่พีร์ก็ร้องลั่น

“สัด! เจ็บนะโว้ย แซวแค่นี้ทำเขิน”

“พีร์ ไม่เกรงใจเพื่อนมึงก็เกรงใจคนอื่นมั่ง ยืนตาแป๋วมองอยู่เนี่ยเห็นไหม” พี่พีร์หัวเราะเสียงดังแถมยังหันมายักคิ้วให้ผมแบบไม่รู้สำนึก ผมเองก็ไม่ใช่คุณหนูที่หูเปราะบางจนฟังคำหยาบไม่ได้ เรื่องทะลึ่งตึงตังก็ยิ่งถนัดใหญ่เลยไม่สะทกสะท้านกับหัวข้อที่ทั้งสองคนพูดกันนัก แต่ที่มันสะกิดใจผมดันเป็นคำพูดที่มาจากปากแดง ๆ ของไอ้พี่จิณณ์นี่แหละ รู้จักกันมาตั้งอาทิตย์หนึ่ง ผมเพิ่งรู้ว่าพี่มันก็ขึ้นมึงขึ้นกูเป็น

เราสามคนเดินออกประตูกระจกทรงสูงที่พี่พีร์เพิ่งเปิดเข้ามา ด้านนอกเป็นลานกว้าง ลมพัดเย็นสบาย มีม้านั่งกระจายให้เป็นจุด ๆ ส่วนหนึ่งยื่นออกไปรับแสงแดดแต่ตรงที่พวกพวกกำลังเดินตัดผ่านเป็นส่วนที่มีร่มเงาของอาคารบังแสงไว้ มาถึงอีกด้านก็เจอประตูกระจกสีขุ่นเหมือนเมื่อครู่ พี่พีร์ดันประตูเปิดเข้าไปก่อน

“ไพร่ฟ้าหน้าใสทั้งหลายเก็บไพ่ด่วน พ่อมึงกลับมาแล้วโว้ย”

“แอบเล่นไพ่กันอีกแล้ว” จิณณ์เอ่ยแล้วก็ส่ายหน้าและเพราะอีกฝ่ายตัวสูงมากผมเลยต้องเยี่ยมหน้าออกไปมองเอง

ในห้องนั้นมีขนาดกว้างประมาณไหนน่ะหรือครับ ขนาดที่ว่าหากมีคนอยู่เกือบสิบคนก็ยังไม่ดูอึดอัดเลยล่ะ ด้านหนึ่งเป็นกระจกที่เปิดม่านมูลี่ให้เห็นวิวด้านนอก มองผ่าน ๆ ก็เห็นว่ามันถูกแบ่งพื้นที่ไว้สองส่วนใหญ่คือที่ทำงานและที่พักผ่อน ทางซ้ายของประตูเป็นโต๊ะทำงานหลายโต๊ะแต่ละโต๊ะหันหน้าเข้าหากันและถูกกั้นด้วยกระจกสีขุ่นเพื่อความเป็นส่วนตัว มีคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ทุกโต๊ะ ด้านหลังเป็นที่เก็บเอกสารบวกอุปกรณ์การออกแบบ โมเดลรูปแบบของบ้านและอาคาร อุปกรณ์วาดเขียนที่เรียงไว้ได้ดูดีอย่างน่าทึ่ง

ทางขวาของประตูเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ กินพื้นที่เยอะที่สุดของห้อง ล่วงเข้าไปข้างในถูกกั้นด้วยชั้นวางหนังสือสีเข้ม จิณณ์พาผมตรงไปยังหลังชั้นวางหนังสือนั้นแล้วก็ได้เห็นว่าข้างหลังนั้นเป็นมุมพักผ่อนของจริง เตียงขนาดเล็กตั้งชิดด้านในสุด โต๊ะขนาดเล็กวางตรงกลางและเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอแบนขนาดห้าสิบสองนิ้วที่ฝังลึกไปในผนัง ผมกวาดตามองรอบห้องแล้วก็เพิ่งสำนึกได้ว่าไอ้พื้นนุ่ม ๆ ที่เหยียบเข้ามาตั้งแต่ประตูนั้นคือพรมประเภทเดียวกับที่เคยเหยียบในห้องจิณณ์!

“นี่พี่สร้างโรงแรมส่วนตัวไว้ในมหาวิทยาลัยหรือเนี่ย”

“ไม่ใช่ นี่ห้องสภา” ผมมองรูปเขียนสีน้ำข้างผนังแล้วก็เผลอค้อนคนตอบให้ทีหนึ่ง “สภาบ้าอะไร ห้องสภาของคณะผมยังไม่เห็นจะหรูหรา อุปกรณ์ครบครันแบบนี้เลย”

“ก็ของมันต้องใช้ทั้งนั้น ออกมานี่ก่อนเร็ว” จิณณ์บอกผมหลังจากเก็บของของตัวเองเสร็จ เราออกมาเจอพี่พีร์อีกครั้งพร้อมผู้ชายอีกหลายคนที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเอาเสียเลย ก็ได้แต่สงสัยว่าตอนที่ผมเดินเข้ามาเมื่อกี้พวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของห้อง ผมแอบเกร็งนิด ๆ แต่ดีที่ทุกคนยิ้มส่งมาให้ก่อน ผมเลยไม่ต้องยืนตัวเกร็งเกาะพี่มันให้รำคาญตัวเอง

“นั่น พีร์ รณพีร์นายคงรู้จักแล้ว ส่วนนั่นไวทิน นรวิชญ์แล้วก็ภูวดล เพื่อนของฉัน ทุกคน นี่คุณภัทร น้องเป็นเพื่อนของวา ช่วงนี้เรามีเรื่องต้องพึ่งพากันอยู่อาจจะเห็นเค้าที่นี่บ่อย ๆ”

“สวัสดีครับน้องคุณ ได้ยินวาพูดถึงมานาน เพิ่งได้เคยเจอกันเนาะ” ผู้ชายหน้าโหดที่สุดเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายผมอย่างน่ารัก ผมชอบจังเลยเวลาเขายิ้มแล้วเห็นรอยจีบพับข้างดวงตาแบบนั้นน่ะ มันดูจริงใจดี

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักพี่...ไวทิน” ใช่ไหมนะ ผมยิ้มนำทัพส่งออกไปก่อน ทุกคนเปลี่ยนกันทักทายแล้วก็พูดอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจแต่เดาว่าคงเป็นภาษาเปรียบเทียบแบบเด็กสถาปัตย์เลยไม่ได้สนใจ จนท้องมันเริ่มประท้วงอีกรอบผมเลยแอบสะกิดจิณณ์ ลูบท้องบอกให้รู้ว่าผมหิวจนจะกินหัวมันได้แล้ว

“กลับก่อนนะ ต้องไปทำงานต่อ”

“งานอะไรวะ กูเห็นมึงปั่นไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งอาทิตย์ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ผู้ชายตาเรียว มือสวยที่ผมจำไม่ผิดว่าชื่อภูวดลร้องถามแต่พี่พีร์ก็สกัดตอบสั้น ๆ ว่า “คนละงานกัน”

คนที่ข้องใจมองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง จากนั้นก็หันไปเจ๊าะแจ๊ะกับพี่โหดของผมต่อ ผมบอกลาทุกคน เดินผ่านลานกว้างมาได้จนเกินครึ่งแล้วก็หันกลับไปดู ปรากฏว่าทุกคนในห้องนั้นพากันพร้อมใจออกมายืนส่งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าจนผมชักสงสัย

“ทำไมทุกคนมองผมแปลก ๆ”

“แปลกยังไง”

“ก็มองแล้วก็ยิ้ม ๆ บางทีก็กระซิบกระซาบกันแล้วก็หันมามองยิ้ม ๆ”

“อึดอัดหรือเปล่า ถ้ารู้สึกไม่ดีจะไปจัดการให้” ได้ยินพี่มันถามเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ ผมก็รีบให้เวลาสำรวจความคิดของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไร

“ไม่หรอก ไม่ได้รู้สึกไม่ดี แค่สงสัยน่ะ ทุกคนก็ดูเป็นมิตรดี”

“พวกนั้นมันก็บวม ๆ แบบนี้แหละ อย่าถือสาเลย รู้จักกันไปจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรหรอก คงตื่นเต้นน่ะไม่ค่อยมีใครขึ้นมาให้เห็นบนนี้ วัน ๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมามันคงเบื่อ”

“แล้วเวลาที่วามาหาพี่พีร์ก็ขึ้นมาบนนี้หรือ”

“ใช่ แต่มาไม่บ่อยหรอก สองคนนั้นบ้านใกล้กันส่วนใหญ่ก็เจอกันที่บ้านมากกว่า” ดูท่าทางทุกคนจะสนิทสนมกันดี การที่จู่ ๆ ก็มีผมโผล่เข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รู้จักกับใครมาก่อนมันจะทำให้พวกเค้าลำบากหรือเปล่า เรื่องแค่นี้ผมก็ต้องเก็บเอามาคิดตามประสาคนที่มีเชื้อสายผู้ดีที่มักจะเกรงอกเกรงใจผู้อื่นเสมอ ผมคิดและคิดจนกลายเป็นเงียบอยู่คนเดียว

“เป็นอะไร ยังติดใจเรื่องเมื่อกี้อยู่หรือ”

“ก็ไม่เชิง ถ้าเราไปทำงานในห้องนั้น มันจะลำบากคนอื่นหรือเปล่า ผมหมายถึงว่าผมเป็นคนนอก เอางานส่วนตัวเข้าไปทำในห้องสภาของคณะอื่น มันอาจจะไม่ค่อยดี” จิณณ์ประท้วงด้วยเสียงครางในลำคอ

“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก แล้วต่อไปนี้ นายก็ไม่ใช่คนอื่นแล้วด้วย”

“ทำไม”

“ก็ไม่ทำไม เพื่อนฉันก็เหมือนเพื่อนพวกนั้นด้วยเหมือนวากับพีร์ไง”

“ทำแบบนั้นได้หรือ”

“ได้สิ วันไหนเลิกเรียนเร็วก็ขึ้นมาหาฉันบนนี้ได้ ระหว่างที่รอเรียนตอนบ่ายจะขึ้นมานอนฆ่าเวลาก็ไม่มีใครว่า ถ้าว่างมากนักก็ให้เจ้าพวกนั้นช่วยติวให้ เห็นอย่างนั้นน่ะหัวกะทิของรุ่นทั้งนั้นเลยนะ ลองปีนบันไดแดงเล่นวันละรอบสองรอบ ร่างกายจะได้แข็งแรงดีกว่าเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ แถวสยามหรือทองหล่อตั้งเยอะ” สุดท้ายมันก็วกเข้าเรื่องเดิม พยายามเหลือเกินละ ไอ้เรื่องที่จะให้ผมหันมารักมาชอบการปีนบันไดหฤโหดของคณะมันเนี่ย หยุดคิดไปสักวันมันจะทำให้รัศมีความเป็นคนดีหมองลงหรือยังไง ผมนึกแขวะพ่อคนดีท่านในใจแล้วก็เบรคกึก

“พี่รู้ได้ยังไง?”

“ก็เคยทำมาก่อนทำไมจะไม่รู้”

“ไม่ใช่ รู้ได้ยังไงว่าผมเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ ตรงไหนบ้าง”

“ก็...”

“จิณณ์” ผมเน้นเสียงเข้ม “บอกมาตามตรง พี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบไปไหน เมื่อไหร่” หลบตา เสมองขั้นบันได แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ อาการแบบนี้เด็กห้าขวบแถวบ้านผมฟันธงว่าไอ้พี่จิณณ์มีพิรุธร้อยเปอร์เซ็นต์!

“ฉันก็เคยไปแถวนั้นเหมือนกัน”

“แล้วก็บังเอิญเป็นทุกครั้งที่ผมไปด้วยอย่างนั้นใช่ไหม” ผมชี้ทางเอาตัวรอดให้พี่มันอย่างใจกว้าง จิณณ์ยิ้มเขิน รู้ล่ะสิว่าเหตุผลที่พูดออกมานั่นน่ะมันไม่ใช่ความจริงสักนิดเดียว ผมปรายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังส่งยิ้มมาให้แล้วก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้ด้วย

โธ่เอ๊ย จะหลอกคนอื่นก็เอาให้มันเนียนหน่อยได้ไหม ผมรู้หรอกน่าว่าที่จริงแล้วน่ะไอ้พี่จิณณ์ไม่ได้-บังเอิญ-ไปเจอผมหรอก จับปึกชีทในมือโบกไปมา ยิ้มให้คู่สนทนาอย่างเป็นต่อ

“คิดว่าผมไม่รู้ความจริงหรือไง” จิณณ์กะพริบตาปริบ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อผมตบชีทปึกนั้นบนอกของเค้า แหม อยากให้คุณเห็นสีหน้าของคุณชายจิณณ์ตอนนี้เสียจริง หน้าขาว ๆ แดงก่ำ พยายามสบตาผมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเองแต่เสียงที่ส่งมาเถียงนี่สิ ไม่มั่นคงเอาซะเลย

“ความจริงอะไร ไม่มีหรอก”

“ก็ความจริงที่ว่าพี่ไม่ได้บังเอิญไปเจอผมแถวนั้น...แต่ว่าพี่...” ยิ่งผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้พี่จิณณ์มันก็ยิ่งมีพิรุธครับ ทำเป็นเก๊กหน้านิ่งแต่ใจเต้นรัวเลยนะพี่จ๋า




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((หรือว่าน้องคุณจะรู้แล้วว่าพี่จิณณ์.....))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 25-10-2016 11:02:33
แอบรักเขาอะดิ :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-10-2016 13:07:13
จะจนมุมไหมหนอ :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2016 13:46:11
แอบรักแอบมองเขามาก่อนใช่ไหมจิณณ์  คุณภัทรคงจะคิดแค่ว่าไปส่องสาวหรือเปล่าหนอ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 25-10-2016 15:35:24
กำลังสนุกเลยคับ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 25-10-2016 16:32:11
พิรุธมาเต็ม อ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-10-2016 17:26:02
แล่ว ๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2016 18:32:00
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 25-10-2016 19:37:02
อะไร พี่อารายยยย!!~~~? ค้างงงง!!~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 25-10-2016 19:39:17
เชื่อเหอะว่าคุณภัทรต้องเดาสวนทางกับความจริง
พี่จิณณ์นี่ยังไงแอบชอบน้องมาก่อนเหรอ หรือเป็นเพราะจูบนั้น
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 26-10-2016 03:26:09
 :o8:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-10-2016 06:33:11
อ่า........ค้างอ่ะ ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อยากอ่านอีก เยอะๆ เลย  :ling1: :ling1: :ling1:
พี่จิณณ์ ดูใจเย็น พูดเพราะกับน้องคุณ
ที่แท้มีที่มาที่ไป แอบตามน้องคุณนานแล้วสิ
ถึงว่า รู้กิติศัพท์ของคุณ ที่ชอบโวยวาย
วา คงรู้เรื่องพี่จิณณ์ชอบคุณ
เลยชงเรื่องให้มายืมหนังสือซะเลย
บุรินทร์ ก็มาสะดุดบันไดแดงที่นี่
แล้วคนที่ช่วยน่าจะเป็นคนในกลุ่มเพื่อนพี่จิณณ์ใช่ป่ะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 26-10-2016 23:29:10
กดเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง และชื่อจิน
คิดอยู่ว่าชื่อมาขนาดนี้ น่าจะใช่ ใช่จริงๆด้วย
๕๕๕ อ่านเป็นเวอร์ชั่นไทยก็ดีค่ะ
รื้อฟื้นความขวยเขินเมื่อสมัย 10 ปีที่แล้ว (อุ้ยยย)
ฮอลลลลลลล พี่จิณณ์!!!!
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๖ P.2 25/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: QXanth139 ที่ 27-10-2016 09:10:08
พี่จิณณ์มีพิรุธโคตรๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 27-10-2016 22:14:35
ตอนที่ ๗   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ



“พี่ไม่ได้บังเอิญไปเจอผมแถวนั้น...แต่!...พี่ฟังเรื่องทุกอย่างมาจากเพื่อนผม...ใช่ไหม!” ผมเอาเสียงเข้าข่ม ฟันธงเสียงดังฉับเล่นเอาหน้าแดง ๆ ของจิณณ์เผือดสีลงทันตาเห็น ผมเห็นพี่มันกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนไม่เข้าใจ (หึ ๆ อึ้งล่ะสิที่ผมเดาเรื่องได้ทะลุปรุโปร่ง)

“ว่าไงนะ”

“ก็เรื่องทั้งหมดน่ะพี่รู้มาจากวรินทรทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ” จิณณ์อึ้งกับความฉลาดของผมแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่

“เอ้า ตกลงว่าไง วาบอกพี่ใช่ไหม”

“ก็คงงั้นแหละ” มันตอบเสียงสะบัดแล้วก็ดันตัวผมออกห่าง อะไรวะ จับไต๋ได้แค่นี้ทำเป็นเคือง ผมหรี่ตามองตามแผ่นหลังกว้างนั่น สงสัยเป็นประเภทเกลียดความพ่ายแพ้ ดูเอาเถอะ แค่โดนผมรู้ทันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันยังงอนป่องไปแบบนี้ ลองเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้คงโกรธกันจนไม่ยอมมองหน้าเลยมั้งแต่ความงอนของพี่มันก็ใช่ว่าจะกระทบกระเทือนสวัสดิภาพของกระเพาะอาหารผม จิณณ์ยังคงพาไปกินข้าวตามร้านที่บอกไว้แถมยังคอยช่วยเหลือแนะนำรายการอร่อยให้ผมลองนั่นลองนี่แบบไม่ขาดตกบกพร่อง
อ้อ จะพร่องไปอย่างเดียวก็อาการยิ้มบาง ๆ ของมันเท่านั้นแหละแต่พอผมเล่นไม้แข็งไม่ยอมกินจนกว่ามันจะหายงี่เง่า พี่มันก็เลยยอมแพ้บอกว่าหายโกรธแล้วผมก็โอเค พอใจ ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าตกลงมันโกรธผมเรื่องอะไรแน่ แค่โดนรู้ทันี่ต้องโกรธขนาดนี้เลยหรือพ่อ


เราปิดท้ายอาหารเวียดนามด้วยไอศกรีมผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานสะใจผมพิลึก เล่นเอาหัวสั่นหัวคลอนจนจิณณ์เผลอหัวเราะใส่ตั้งหลายครั้ง คนหล่อท่านสั่งกาแฟตบท้ายแถมหยอดน้ำตาลกับครีมเสียจนผมนึกแปลกใจ มาดนิ่ง ๆ อย่างพี่มันน่าจะกินเมล็ดกาแฟป่นเฉย ๆ ด้วยซ้ำ

“มืดขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย แย่ละ งานยังไปไม่ถึงไหนเลย เหลือพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียวแล้วด้วย” ผมคร่ำครวญยาวเมื่อเดินออกมาจากร้านแล้วเจอความสลัวของฟ้าดินเข้า

“แล้วจะเอาไงต่อ จะทำให้เสร็จคืนนี้เลยหรือจะรอพรุ่งนี้” ติวเตอร์พิเศษของผมถามความเห็น ใจผมก็อยากทำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้อ่ะนะแต่ถ้าทำจิณณ์ก็ต้องทำด้วย แล้วตอนนี้มันก็มืดแล้วจะไปทำที่ไหนได้อีกล่ะ ระหว่างที่ผมยังตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้นจิณณ์ก็ติดเครื่องยนต์รอ พี่มันวางศอกกับพวงมาลัยรถ ใบหน้าหล่อจัดเอียงมาทางผมเล็กน้อย ยิ้มรอฟังความต้องการของผมอย่างอดทน

“เอาไง ฉันรอตามใจอยู่นะ” ฟังคนดีเค้าพูด ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงปลื้มกับความเท่ของพี่มันพิลึก

“กลับบ้านก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยทำละกัน”

“ชัวร์ใช่ไหมว่าจะทัน” ผมส่ายหน้า เห็นคิ้วขมวดแบบนี้มันก็น่าจะรู้แล้วว่าไม่ทันแน่ ๆ แต่ที่ตัดสินใจกลับบ้านเพราะผมเกรงใจอีกคนต่างหากล่ะ จิณณ์ยังไม่ยอมออกรถ คนดีของสังคมนิ่งไปครู่หนึ่งทำหน้าเหมือนกำลังคิดเรื่องใหญ่แล้วก็เหลือบตามาทางผมเงียบ ๆ มองนานเข้าผมก็ชักรู้สึกแปลก ๆ เลยทำร้ายมันไปทีหนึ่งเป็นการเรียกสติ นอกจากไม่โกรธที่โดนผมผลักแก้มแล้วมันยังมีหน้ามาหัวเราะอีกแน่ะ

“งั้นวันนี้ขอไม่ตามใจละกัน อยากกลับบ้านใช่ไหม”

“ก็บอกไปแล้ว”

“ไม่ต้องกลับ ไปค้างบ้านฉันก็แล้วกัน”

“ห๊า!”

“ตกใจอะไร”

“ทำไมต้องไปค้างบ้านพี่ด้วย ไม่เอาหรอก” แค่คิดว่าต้องไปเดินเขย่งเท้าบนพรมในห้องพักหรูหรานั่นอีกครั้งผมก็ขนลุกแล้ว

“ไม่เอาแล้วจะเอาเวลาไหนไปทำงานอีก แค่พรุ่งนี้น่ะไม่ทันหรอกนะ คืนนี้ทั้งคืนจะทันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย อยากมีงานส่งก็ต้องอดทนหน่อยนะคุณภัทร หรือถ้าไม่รีบจะไม่ไปก็ได้นะ สุดท้ายฉันก็ตามใจนายอยู่ดี” เจ้าของใบหน้าหล่อวัวตายควายล้มยกยิ้มขณะถอยรถออกจากตรงนั้นแบบไม่กลัวว่าจะไปชนท้ายใครเข้า

พี่มันขับตรงไปตามเส้นทางที่ผมก็จำได้ว่าจะต้องผ่านบ้านผมแล้วก็เลยไปบ้านมันแบบไม่ต้องเสียเวลาถามผม แถมยังเลี้ยวรถแวะเข้าบ้านให้ผมได้เก็บเสื้อผ้าสำหรับใส่วันพรุ่งนี้อีกด้วย ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ลงมาจากชั้นบนเห็นจิณณ์ยืนหัวเราะอยู่กับน้องชายที่กลับมาจากข้างนอกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เจ้าคีย์หันมายักคิ้วแถมมองด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องไขข้อข้องใจอีกจนได้

“มองอะไรคิรากร”

“เปล่า วันนี้แม่ไปดูละครเวทีกับพ่อ พี่รู้แล้วใช่ไหม”

“รู้แล้ว โทรไปก็ปิดโทรศัพท์คงอยู่ในโรงละครแหละ ว่าจะบอกเรื่องแอร์ในห้องซะหน่อย”

“ช่างเถอะ เดี๋ยวผมบอกให้เอง ให้บอกด้วยไหมว่าลูกชายสุดที่รักเก็บเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายไปแล้ว” ฟังมันพูด เรื่องล้นล่ะไม่มีใครเกิน บางทีผมก็คิดว่านิสัยเราสองพี่น้องมันคล้าย ๆ กันแต่บางทีคีย์มันก็ทำให้ผมดีใจที่ตัวเองยังอยู่ในระดับหยาบ ๆ คาย ๆ ตามสังคม ไม่ทะลึ่งตึงตังเท่ามัน เรื่องกวนส้นพี่น้องเนี่ยมันเหนือกว่าผมเยอะ ผมปรายตามองจิณณ์ที่ยังยืนยิ้มแล้วก็หันมาโอบไหล่น้องชายคนเดียวเข้ามาใกล้

“บอกด้วยว่าถ้าเผลอตัวได้เสียกันก่อนบอกพ่อกับแม่ พี่จะวานให้ทั้งสองคนพาไปขอขมาพ่อแม่พี่จิณณ์ทีหลัง บอกให้หมดทุกคำนะ ถ้าตกหล่นล่ะก็เจ็บ” เจ้าตัวแสบมันบิดตัวออกจากรัศมีเท้าผมพร้อมเสียงหัวเราะลั่นบ้าน โบกไม้โบกมือให้จิณณ์แล้วก็วิ่งหายขึ้นไปชั้นบน ทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับลูกตาวิบวับของผู้ชายตรงหน้าเพียงลำพัง

“ไปกันเถอะ ชักช้าเสียเวลา”

“รีบทำไม เรามีเวลาทั้งคืน”

“ก็แล้วเมื่อกี้ใครมันบอกว่าคืนนี้ทั้งคืนจะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้น่ะ”

“ก็จริง ไม่พอ...แต่เราก็มีเวลาทั้งคืน”

“นี่ จิณณ์ พี่พูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายหน่อยได้ไหม เอาแบบที่ไม่ต้องแปลอีกแบบนั้นน่ะ ทำได้ป่ะ”

“ทำแบบนั้นนายก็จะกลัวฉันน่ะสิ ไม่เอาดีกว่า ฉันอยากให้นายคิด คิดมาก ๆ ยิ่งดี”

“ฝันไปเถอะ” จิณณ์หัวเราะเต็มเสียง ฟังก็รู้ว่าพี่มันกำลังเริงร่าแบบสุด ๆ เออ ชอบใจจริงล่ะเวลาที่ทำให้คนอื่นฮึดฮัดได้แบบนี้เนี่ย ผมวางข้าวของไว้หลังรถ รัดเข็มขัดเรียบร้อยพอดีเมื่อจิณณ์ขับรถออกมาถึงถนนสายหลัก เจ้าของรถกดเพลงสากลรุ่นคลาสสิกให้ผมฟังราวกับรู้ใจ หากยังไม่ทันได้ผ่อนคลายตามทำนองอันแสนจะหวานซึ้งนั้น เสียงเดิมก็ยิงประเด็นใหม่ใส่กลางหน้าผากผมอย่างจัง

“ว่าแต่ ถ้าเกิดฉันพลาดท่าเสียทีให้นาย จะให้พ่อแม่มาขอจริงหรือคุณภัทร”

มันน่านักเชียว

มันน่าฟาดปากแดง ๆ นั่นให้เจ่อยิ่งกว่าเจ่อสักสามเท่านัก พูดออกมาได้เรื่องแบบนั้น ตัวอย่างกับตึกเนี่ยนะจะเสียทีให้คนอื่น ไม่รู้หรือไงว่าผมแค่กวนตีนน้องชายกลับไปเล่น ๆ ไม่ได้คิดจริงจังจนต้องเก็บเอามาถามกันดุ้น ๆ แบบนี้สักหน่อย ผมเบ้ปากมองมันเหมือนจะเตือนว่าประเด็นนี้ผมอ่อนไหว ได้โปรดอย่าเอามาล้อเล่นถ้าไม่อยากโดนดี ไอ้พี่จิณณ์หัวเราะชอบใจแต่ก็ยังฉลาดที่ไม่ได้พูดอะไรต่อจนมาถึงห้องชุดสุดหรูของมัน



การมาครั้งที่สองไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นปนสยองของผมลดน้อยลงไปเลย ตัวตึกข้างนอกยังหรูหราดูดีเหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยการถูกแสงแดดหรือสายฝนกัดเซาะให้เสียสุนทรียภาพในการชื่นชม ยิ่งมองในช่วงกลางคืนแสงไฟยิ่งทำให้ทุกอย่างสวยแปลกตา พอมาถึงข้างในยิ่งแล้วใหญ่ คราวนี้มันยิ่งดูสวยแล้วก็เพลินตายิ่งกว่าเดิม จิณณ์หันมายิ้มบอกผมว่าแม่บ้านเพิ่งเปลี่ยนพรมหน้าทางเดินเมื่อเช้า อาจจะเหม็นกลิ่นใหม่ไปบ้าง ขอให้ทนหน่อย ผมได้ยินแล้วก็อยากลงไปนอนดิ้นปัด ๆ ตรงนั้น กูจะเหม็นตัวเองแทนสิไม่ว่า!

“อาบน้ำก่อนดีกว่านะจะได้สดชื่น” พอเข้ามาในห้องแทนที่จะเริ่มทำงานเลย เจ้าของห้องดันบอกแกมสั่งให้ผมเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะคิดได้ว่ายังไงในอนาคตอันใกล้ผมยังต้องพึ่งพาเจ้าถิ่นอีกมาก เดินงง ๆ เข้าไปตามทางที่ท่านชี้บอก เห็นความโอ่อ่าของห้องน้ำที่แยกโซนเปียกโซนแห้งแถมอ่างอาบน้ำขนาดน้อง ๆ สระว่ายน้ำเด็กผมก็แทบจะหันหลังกลับไปอาบที่บ้านตัวเองซะเดี๋ยวนั้น

“มีอะไรหรือเปล่า” จิณณ์ยื่นหน้าเข้ามาถามเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่ง ผมถอนใจเล็ก ๆ ชี้มือไปที่อ่างอาบน้ำหรู

“ผมใช้ไม่เป็น” อีกคนแค่พยักหน้า ตอนแรกผมคิดว่ามันจะหัวเราะขำความเอ๋อของผมซะอีก แต่หมอนี่ก็ไม่ได้ทำ ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องน้ำ ไม่ลืมแตะแขนผมให้เดินตามเข้าไปโซนด้านในแล้วก็เริ่มเล็คเชอร์การใช้ห้องน้ำแบบไม่ให้เสียเวลา มือใหญ่จับโน่นกดนี่บิดตรงนั้นตรงนี้แล้วก็ได้น้ำอุ่นไหลวนรอผมอยู่ในอ่าง

“หยดอโรม่าไปหน่อยคงดี กลิ่นหอม ๆ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้” เห็นว่าพี่มันกำลังพูดกับตัวเองผมเลยไม่ได้ท้วง ปกติถ้าตอนเตรียมน้ำอาบแล้วแม่ไม่หยดไว้ให้ผมก็ไม่เดือดร้อนแค่ครีมอาบน้ำแบบปกติก็หอมถมเถแล้ว หลังจากหยิบขวดนั้นขวดนี้มาเลือกอยู่นาน จิณณ์ก็ยื่นขวดแก้วสีเข้มมาให้ผมทดสอบ พอผมโอเคหมอก็หยดกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปในอ่างน้ำวนขนาดสองคนนอนกลิ้งได้สบายพร้อมกับฮัมเพลงคลอไปเบา ๆ

“ถ้าร้อนเกินไปก็ปรับตรงนี้นะ” บอกแล้วก็กด

“แต่ถ้ายังร้อนไม่พอก็กดปุ่มนี้” แล้วก็กดอีก

“พออาบฝักบัวข้างนอกเสร็จก็คงเต็มพอดี โอเคไหม” ผมส่ายหน้าพรืด บอกตามตรงว่าจำไม่ได้สักอย่างที่อีกฝ่ายพูด

“งั้นถ้าอาบเสร็จก็เรียกนะเดี๋ยวฉันเข้ามาอีกที”

“อื้อ ขอบคุณนะ” ผมยิ้มตอบ รู้สึกดีที่อีกฝ่ายมีน้ำใจให้ ก็ถ้าจะพูดแบบไม่มีอคติแถมด้วยแล้ว ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่จิณณ์ก็ทำให้ผมเห็นว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้ผมทำลายกำแพงได้อย่างรวดเร็ว ผมกล้าพูดอย่างที่คิด กล้าทำอย่างที่ใจต้องการ กล้าแสดงความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้าหรือสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ สำหรับผมมันหายากมากเลย

“พี่ควรจะอาบก่อนผมหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไร” จิณณ์ตอบนุ่ม ๆ หลังจากที่ยืนอึ้งไปเกือบอึดใจ หมอเดินไปจนถึงประตูแล้วก็หันมาพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าและสองตา

“หรืออยากอาบพร้อมกัน”

“ไม่”

“เข้าใจล่ะ ที่บอกว่าใช้ห้องน้ำไม่เป็นนี่โกหกใช่ไหม อยากให้ถูหลังให้ก็บอกเถอะน่า”

“ใครเค้าอยากให้พี่ทำแบบนั้นวะ!” ขอถอนคำพูด ขอลบคำสรรเสริญเยินยอทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยบอกไว้ อย่าได้หลงไปให้ความเชื่อใจกับมันเชียวนะ ไม่อย่างนั้นจะกลับลำไม่ทันแบบผม ไอ้พี่บ้า คนอุตส่าห์ซึ้งในน้ำใจ มันยังมาทำหน้าทะเล้น มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนั้นอีก ฮึ่ย ขนลุกไปหมดแล้ว!

จิณณ์เผ่นออกไปจากห้องตั้งแต่เห็นผมหันซ้ายหันขวาหาอุปกรณ์ปาเป้าแล้ว ทิ้งให้ผมถือขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อที่ไม่มีขายในประเทศค้าง เออ นับว่ามันยังฉลาดที่รีบออกไปให้พ้นรัศมีการขว้างของผม ไม่อย่างนั้น ไอ้ขวดที่ถือเนี่ยอย่าหวังเลยว่าจะอยู่ครบเซ็ตเหมือนเดิม ผมขว้างหัวเจ้าของมันแตกไปแล้ว แตกแบบไม่มีการชดใช้ด้วย

แม้ว่าจะหวั่นเกรงกับความอลังการงานสร้างของห้องน้ำเพียงใดแต่เอาเข้าจริงผมกลับทอดเวลาอยู่ในนั้นนานจนเกือบจะหลับแหล่มิแหล่ เฮ้อ ของแพงนี่มันสมราคาจริง ๆ น้ำวนในอ่างพอรวมกับกลิ่นหอมที่อบอวลทั่วทั้งห้องน้ำส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ออกแรงมาทั้งวันผ่อนคลายลงเยอะ ผมเลยผิวปากออกมาหาคนข้างนอกได้แบบไม่ต้องฝืน

จิณณ์ส่งเสียงเรียกผมมาจากห้องนั่งเล่นที่มีพรมหนาซ้อนด้วยเบาะนุ่มและกองด้วยหมอนใบใหญ่ ตัวพี่มันก็ใหญ่แต่ในมือถือไดร์เป่าผมสีขาวไว้ ผมเดินเข้าไปหางง ๆ เจ้าถิ่นท่านพยักหน้าให้นั่งลงบนเบาะที่ตัวเองขัดสมาธิรออยู่แล้ว บอกด้วยสีหน้าสุภาพชนตามแบบฉบับ

“เป่าผมก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด”

“ผมทำเองได้พี่ไปอาบน้ำเถอะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายไม่สบายไปฉันจะมองหน้าพ่อกับแม่นายยังไงล่ะ”

“นี่ พี่จิณณ์ แค่ไม่สบายไม่ได้ตาย อย่าเว่อร์” จิณณ์หัวเราะ กระตุกชายเสื้อผมให้นั่งหันหลังให้แล้วก็ใช้แรงที่มากกว่าผมสามเท่าแย่งเอาผ้าขนหนูไปซับน้ำให้เสียเอง ผมก็เบื่อที่จะขัดใจเลยยอมปล่อยพี่มันทำไปตามใจ ตัวเองก็หยิบนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่งมาเปิดดูรูปไปพลาง ๆ เช็ดไปก็ชวนคุยไป มีคนคอยปรนนิบัติให้แบบนี้ก็เพลินดีเหมือนกัน

“สุขภาพของคนที่สำคัญจะมากจะน้อยมันก็คือเรื่องใหญ่ทั้งนั้น”

“แม่กับพ่อเค้าชินแล้ว ใช่ว่าผมจะไม่เคยเจ็บป่วยเสียหน่อย”

“ก็นั่นพ่อกับแม่ของคุณภัทรนี่” จิณณ์ตอบทันควัน ผมฟังแล้วก็ปิดนิตยสารในมือลง หันกลับไปมองพี่มันเต็มตาแต่จิณณ์ไม่ยอมสบตาตอบครับคราวนี้

“พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนพูดจาวกไปวนมาได้น่าปวดหัวสุด ๆ น่ะ ผมพูดอยู่กับพี่นี่บางทีก็เหมือนไม่เข้าใจเลยนะว่าเราพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แล้วตกลงเมื่อกี้เราพูดเรื่องเดียวกันไหมวะ”

“เรื่องเดียวกันสิ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องพี่น้องคุณไงครับ” หมดปัญญาที่จะซักเอาคำตอบที่ชัดเจนจากไอ้ผู้ชายตรงหน้า มืออุ่นจับไหล่ผมให้หันหลังกลับแล้วก็เป่าผมให้อย่างชำนาญ ก็แหงอยู่แล้ว หล่อเนี้ยบไปเรียนทุกวันแบบนั้น มันจะไม่เคยไดร์ผมตัวเองเลยก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ผมเอียงซ้ายขวาให้จิณณ์เป่าจนคิดว่าแห้งสนิทหมดทุกมุมแล้วก็เอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไดร์เสียเอง

“พอละ เดี๋ยวหัวไหม้”

“จะไหม้ได้ยังไง ไหนดูซิ” ปากพี่มันบอกว่าดูแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ จิณณ์ใช้สองมือจับหัวผมไว้แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาซุกตรงกลางกระหม่อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ชนิดที่ว่าคนปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็วอย่างผมยังต้องยอมแพ้ นั่งอึ้งมองมันตาปริบ ๆ จิณณ์ยิ้มแล้วก็ลุกหายเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยผมจึงสำนึกได้ว่าตัวเองโดนมันจูบหน้าผากไปถึงสองครั้งติด! สิ่งที่เหลือลอยลมมาเข้าหูคือประโยคเริงร่า สาสมใจเหลือแสน

“ใครบอกว่าไหม้ก็หอมดีออก” ไอ้ ไอ้พี่จิณณ์! ไอ้คนเจ้าเล่ห์! ไอ้หน้าเนื้อใจเสือ! ไอ้แมวนอนหวด! ไอ้คนน้ำนิ่งไหลลึก! อย่ามาเล่นแบบนี้นะเว่ย เกิดใจผมกระตุกจนหยุดเต้นไปจริง ๆ พี่จะเอาที่ไหนไปใช้พ่อกับแม่ผม



จิณณ์ใช้เวลาในห้องน้ำสมกับระดับความหล่อของใบหน้า ผมไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เลยดึงตำราขนาดปาหัวหมาแตกออกมาตั้งรอ เปิดดูรูปได้เกือบครึ่งเล่มเจ้าของบ้านก็เดินตัวหอมฉุยมานั่งข้าง ๆ ผมมองชุดนอนของพี่มันแล้วก็อดปากไม่ได้อีกเช่นเคย

“ปกติพี่ใส่ชุดแบบนี้นอนหรือ”

“ใช่ ทำไม”

“เปล่า ผมนึกว่าจะ...แปลกกว่านี้ซะอีก”

“หมายความว่ายังไง ฉันไม่เหมาะกับเสื้อยืดกางเกงขายาวแบบนี้หรือ”

“ก็เหมาะดี แต่ถ้าพี่ใส่ชุดนอนเต็มยศแบบที่เห็นในหนังสือแฟชั่นก็ไม่แปลกอีก”

“แล้วคุณภัทรสงสัยอะไรครับ”

“ก็สงสัยว่าพี่ทำตัวปกติแบบคนธรรมดาเค้าก็ได้ด้วยเหรออออ” พอผมลากเสียงพี่มันก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าโดนประชดเข้าไปเต็ม ๆ ผมกระตุกยิ้มใส่ตาคมคู่นั้นแล้วก็ต้องร้องเต็มเสียง มนุษย์ที่นั่งเช็ดผมอยู่เมื่อกี้อาศัยแรงถึกของมันจับตัวผมพลิกนอนหงายแล้วนิ้ว

“อ๊า ปล่อยยยยยย ไอ้พี่จิณณ์ ผมหายใจไม่ทันนะ”

“ซ่านัก ๆ เอาอีกไหม” ไอ้หอกหอยนี่ ปากมันถามแต่มือมันจี้เอวผมไม่หยุด ไอ้สันดานนนนน

“ไม่เอา แล้วก็ลุกไปเลย อึดอัด”

“ไม่ลุก” อ้าวเฮ้ย ไม่ลุกแล้วจะมาคร่อมกันไว้แบบนี้มันก็ไม่ถูกนะพี่ พี่รู้ไหมว่านี่มันฉากคลาสสิกสุดอมตะในนิยายรักหวานซึ้งอารมณ์ระดับโลก!



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((พี่จิณณ์บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ *ยังคงอิจฉาพี่น้องคุณอย่างต่อเนื่อง* ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-10-2016 03:31:50
มันเป็นแผนของจิณณ์?
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-10-2016 04:31:53
พี่จิณณ์ เงิบเลย แถมงอนด้วย :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
น้องเขาซื่อมากกกก ขนาดน้องคีย์ ยังมองออก
พี่จิณณ์ อบอุ่น บริการน้องยอดมาก น่ารัก
ใครได้พี่จิณณ์เป็นแฟนนี่สุดยอด ทั้งเก่ง ทั้งดี
อยากอ่านพาร์ทของพี่จิณณ์บ้าง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 28-10-2016 08:55:40
ใช่ๆ น้องคุณนี่เรียกไม่ลุกค่ะ แต่รุกค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2016 09:22:30
โอ๊ยพี่จิณณ์ทำไมเป็นคนดีอย่างนี้เนี่ย  อิจเหลือเกิน

 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2016 09:39:44
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: QXanth139 ที่ 28-10-2016 14:42:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Yysll ที่ 28-10-2016 18:40:09
พี่จิณณ์ ต้องแอบชอบน้องคุณแน่ๆ น่ารัก :z3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๗ P.2 27/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 28-10-2016 20:47:12
โอ้ยยยยย ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้ละะะะ TT
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 29-10-2016 11:23:09
ตอนที่ ๘   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




“ลุกกกกก มันหนักนะเฮ้ย เดี๋ยวกัดหูให้เลยนี่” ผมร้องทั้งที่ยังหอบแฮ่ก แค่โดนจั๊กจี๋แค่นี้เหนื่อยอย่างกับวิ่งร้อยเมตรมายังไงยังงั้นเลยครับ จิณณ์กระตุกยิ้มมุมปาก มองตาพี่มันผมก็รู้ว่าอีกคนคงไม่ยอมฟังคำผมง่าย ๆ เหมือนทุกทีแน่ ใจหนึ่งผมอยากทำใจกล้าใช้ไม้แข็งต่อ แต่ไม่ไหวครับ มือใหญ่ยังคาอยู่ตรงเอวผม คงเตรียมเต็มที่ที่จะลงมือกับจุดอ่อนของผมต่อ เสี่ยงไม่ได้ครับงานนี้ผมกลัวขาดอากาศหายใจตายเพราะหัวเราะจนหมดแรง ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่จุดนี้คงต้องยอมอ่อนให้คุณชายมันแล้วจริง ๆ

“ลุกเถอะพี่ ผมปวดหลัง สงสัยนอนทับปากกาอยู่” จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ แต่ก็รีบดึงร่างผมให้ลุกตามอย่างรวดเร็ว พี่มันกวาดมือไปบนผ้านวมพอพบปากกาเล่มเล็กนอนนิ่งอยู่ตรงที่ผมเคยนอนก็จิ๊ปากออกมาให้ได้ยิน

“มาอยู่ตรงนี้ได้ไง” ก็ไม่รู้วววว

“เจ็บมากไหม” ผมส่ายหน้า

“ไม่เท่าไหร่แค่นอนไม่ค่อยสบาย”

“นอนทับไปแบบนั้นผิวเป็นแผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ หันหลังมาดูหน่อยซิ”

“เฮ้ย ไม่ต้อง แค่นี้เอง พี่รีบเช็ดผมให้แห้งเถอะจะได้รีบทำงานต่อ”

“แน่ใจนะ” อุวะ ก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังดื้ออยู่ได้ สนใจความเจ็บป่วยของผู้คนนักก็ซิ่วไปเรียนหมอโน่นไป มีคนไข้รอให้ตรวจอาการอีกสักครึ่งประเทศได้ล่ะ

“เดี๋ยวนี้ค้อนเป็นนะ” เพราะเจ้าของห้องพูดแบบนั้นผมเลยรู้ตัวว่ากำลังใช้หางตามองอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อเลยรีบหันหน้าหนี ขืนตามใจตัวเองเอาแต่ค่อนพี่มันในใจอยู่แบบนี้ มีเวลาอีกสองอาทิตย์ก็ทำงานไม่เสร็จอยู่ดี หนังสือปึกใหญ่กลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง ผมเปิดมันไปยังหน้าที่ค้างไว้แล้วก็เริ่มทำความเข้าใจด้วยความตั้งใจที่มากขึ้นกว่าเดิม อีกฝ่ายก็รู้งานเห็นผมไม่เล่นด้วยก็ไม่ตอแย จิณณ์เช็ดผมพอหมาดลุกหายไปแล้วก็กลับมาพร้อมขนมจีบและเครื่องดื่มชุดเล็ก ๆ ผมละสายตาจากหนังสือ มองหน้าหล่อ ๆ นั่นอย่างสงสัย

“ของว่าง เผื่อหิว”

“ของว่างตอนเกือบจะสามทุ่มเนี่ยนะ”

“ถ้ายังไม่หลับตอนไหนเราก็มีสิทธิ์หิวได้”

“แต่ผมแปรงฟันแล้ว” ผมบอก พี่มันยิ้ม

“แสดงว่าไม่กิน”

“กินดิ เรื่องอะไรจะปล่อยให้เสียของ” จิณณ์หัวเราะในคอ ใช้ส้อมขนาดเล็กแต่เงาวับบอกให้รู้ว่าราคามันแพงแค่ไหนจิ้มขนมจีบลูกพอดีคำมาจ่อตรงปากผม ควันสีขาวที่ลอยกรุ่นบอกให้รู้ว่าขืนผมอ้าปากงับตามที่ใจอยากทำคงได้ลิ้นพองแบบไม่ต้องสงสัย จำต้องอดใจรอให้มันเย็นพอได้ที่ก็เลยอ้าปากรับ

อร่อย!

เมื่อมีคำแรกก็ต้องมีคำที่สอง สามและสี่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผมยอมให้พี่มันป้อนแค่คำแรกหรอกต่อจากนั้นก็ขโมยส้อมมาจัดการเสียเอง มารู้ตัวอีกทีขนมในจานใบนั้นมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ได้ ผมได้แต่มองลวดลายบนจานอย่างแปลกใจ เอ่อ ตกลงผมกำลังหิวใช่ไหมเนี่ย

“เอาล่ะ ทำงานต่อไปได้” จิณณ์บอกแบบนั้นแล้วก็จัดการเอาจานไปวางไว้ในครัวเสียเอง ผมก็หันมาสนใจงานต่อ น่าแปลกที่คราวนี้เหมือนตามันจะหนัก ๆ ยังไงชอบกลหรือเป็นเพราะว่าผมเพิ่งกินอิ่มแล้วก็มาดูหนังสือทันทีวะ เปิดหนังสือไปไม่ถึงสิบหน้าผมก็ยอมแพ้ซุกหน้ากับหมอนเหยียดแข้งเหยียดขาแทบจะถีบไอ้คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ พอจิณณ์หันมามองผมก็หัวเราะแหะ ๆ

“ง่วง” บอกกันสั้น ๆ ตรงประเด็น อีกคนนอกจากไม่แปลกใจยังใจดีถาม

“จะนอนตรงนี้หรือไปนอนในห้องเลย”

“ตรงนี้ก็ได้ ไม่อยากรบกวน”

“ตามใจ” หมอนั่นบอกแล้วก็ลุกเข้าห้องไป ตอนแรกผมนึกว่าพี่มันจะบอกราตรีสวัสดิ์กันตอนนั้นแต่จิณณ์กลับลากเอาผ้านวมกับหมอนออกมาเต็มอ้อมแขน มาถึงก็ทิ้งทั้งหมดนั่นทับลงมาบนตัวผม ขอบคุณนะ

“ปูผ้านวมอีกชั้นจะได้ไม่เจ็บหลัง” ท่านสั่งแล้วก็เลยเก็บหนังสือไปตั้งไว้ ผมเห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่างานยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย อุตส่าห์หอบสังขารมาค้างอ้างแรมบ้านคนอื่น สงสัยจะเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ ไม่เป็นไรนะคุณตำรา tomorrow never dies พรุ่งนี้จะไม่มีใครตายเพราะพี่คุณจะตั้งใจทำงานเป็นสองเท่า โอเค? หลังจากบอกลาตำราเล่มหนาอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วผมก็ซุกหน้าลงกับหมอนทันที

“นอนละนะ ฝันดี”

“ราตรีสวัสดิ์คุณภัทร” เสียงนุ่มหูบอกกลับมาพร้อมผ้าห่มที่คลุมทับถึงอกผม เออนะ ขืนอยู่กับจิณณ์บ่อย ๆ ผมคงเสียนิสัยกลับไปเป็นเด็กสิบขวบให้คนอื่นดูแลตั้งแต่ตื่นยันเข้านอนแน่ ๆ ก็เล่นเทคแคร์ดีขนาดนี้ใครมันจะไม่เคลิ้ม ใช่ไหม?

“ปกติพี่ทำแบบนี้กับเพื่อนทุกคนหรือ” จิณณ์ไม่ตอบผมเลยพลิกตัวตะแคงหันหลังให้ ไม่เซ้าซี้เพราะเคยรู้มาแล้วว่าพี่มันปากหนักแค่ไหน ลองไม่บอกก็คือไม่บอก ขนาดผมทำท่าว่าจะโกรธอีกฝ่ายก็ยังเฉย เลิกสนใจจะเอาอะไรกับคนปากหนักดีกว่า ผมผ่อนลมหายใจยาว กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกหนัก ๆ บนตัว ขี้เกียจลืมตาเลยได้แต่คิดว่าจิณณ์มันคงไปหอบผ้านวมมาห่มให้ผมอีกชั้นกระมัง เสียงทุ้ม ๆ นั่นถึงได้ดังอยู่ใกล้นัก

“คุณ”

“.......”

“ฉันไม่เคยชวนเพื่อนมาที่บ้าน”

“.......”

“นายน่ะโชคดีแค่ไหนรู้ไหมเจ้าเด็กบื้อ”

“.......”

ไม่มีแรงจะขยับปากตอบครับ ผมได้ยินเสียงนั้นพึมพำอะไรต่อก็จับใจความไม่ได้ เดาว่าพี่ท่านคงบ่นไปตามเรื่อง หนังตาก็หนักจนเปิดไม่ขึ้นเลยปล่อยให้เจ้าหมอนใบนุ่มมันดูดเอาสติทั้งปวงจมเข้าสู่ความฝันอันแสนพร่าเลือนแบบห้ามไม่อยู่ พรุ่งนี้ค่อยคิดบัญชีที่มันบังอาจว่าผมบื้อ!




ผมลืมตารับเช้าวันใหม่อย่างสดใสสมกับที่เป็นเด็กสุขภาพจิตดีอันดับหนึ่งของประเทศชาติ กินง่ายอยู่ง่ายและนอนง่ายรวดเดียวตื่น อาการปวดเมื่อยเล็กน้อยแถวไหล่และแขนข้างหนึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับผม มันเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับที่นอนนุ่ม ๆ หอม ๆ ที่ซุกหลับมาทั้งคืน ผมบิดขี้เกียจให้ตื่นเต็มตา มือควานหาโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรกแล้วก็ต้องเกาหัวแกรก แบตฯ หมดอีกแล้วเหรอ

“อะไรวะ เพิ่งชาร์ตไปเมื่อวานตอนเช้าเองนะ เสื่อมแล้วป่ะเนี่ย”

“อะไร?” เสียงทุ้มติดแหบลอยมาจากคนที่นอนข้าง ๆ จิณณ์คงตื่นเพราะได้ยินเสียงผมบ่น พี่มันใช้ศอกยันตัวเองขึ้นจากเบาะชะโงกหน้ามามองจอโทรศัพท์ที่มืดสนิท หัวเราะในคอแล้วก็เลยลุกหายเข้าไปในครัว กลับมาอีกทีพร้อมน้ำผลไม้สีแปลก ๆ สองแก้ว

“ยังไม่ได้แปรงฟันเลยอ่ะ” ผมบอกออกไปแต่ก็ยังยื่นมือไปรับมาซดโฮกล้างปากซะเกือบครึ่งแก้ว พอสติสตังกลับเข้าที่ถึงนึกได้ แป๊บนะ เมื่อกี้จิณณ์เพิ่งลุกไปจากตรงนี้ แสดงว่าเมื่อคืนพี่มันนอนข้างนอกงั้นเหรอ นอนข้างนอก? นอนข้างนอกบนเบาะนี่ก็แสดงว่านอนกับผมงั้นดิ!

“นี่ ไม่ได้กลับไปนอนในห้องหรอกเหรอ”

“ใคร?” คนหล่อท่านถามเสียงเรียบ ตาก็มองแค่แก้วในมือ ไม่อยากจะชมหรอกนะแต่แม่งขนาดตอนตื่นนอน หัวยุ่ง หน้ายับ มันยังจะหล่อ หล่ออะไรนักหนา! ผมค่อนจนพอใจแล้วก็ตอบเสียงสะบัด

“จะใครอีกล่ะ ในนี้มันมีคนอื่นนอกจากผมกับพี่อยู่ด้วยหรือไงเล่า”

“ก็เห็นเรียกนี่ ๆ ฉันบอกแล้วว่าฉันมีชื่อ ถ้านายไม่เรียกฉันก็ไม่รู้หรอกว่านายกำลังพูดด้วย” เรื่องมากไม่มีใครเกิน แค่นี้ก็ต้องเอามาเป็นเรื่องได้ด้วย ผู้ชายอะไรวะเงื่อนไขเยอะชิบเป๋ง ไม่ถามก็ได้วะ

ผมตัดใจที่จะเอาคำตอบจากคนท่ามาก ฉวยแก้วที่วางใกล้ตัวลุกกะจะเอาไปเก็บในห้องครัว ใจหนึ่งผมคิดว่าถ้าพี่มันเห็นผมทำหน้านิ่งติดจะเคืองแบบนี้ เดี๋ยวมันคงยอมใจอ่อนเข้ามาคุยกับผมก่อนตามประสาคนดี ที่ไหนได้ ไอ้พี่จิณณ์แม่งใจแข็งยิ่งกว่าที่ผมคิด นอกจากจะไม่ตามมาง้อแล้วมันยังเดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย เออโว้ย ทำไมผมถึงไม่จำว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต่อไปก็จำให้แม่นนะคุณภัทร คนอย่างนายจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ มันง้อใครไม่เป็นนนนน!

เช้าวันนั้นผมเลยติดรถคู่กรณีมาเรียนแบบแกน ๆ ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างพอเป็นมารยาทมาถึงคณะได้ผมก็ตั้งท่าจะเผ่นลงจากรถทันที แต่จิณณ์ก็เรียกผมไว้ซะก่อน โห คุณครับ ใจผมมันร้องเฮขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงอีกคนปริปากพูด นึกแล้วว่ายังไงซะสุดท้ายพี่คนดีมันต้องยอมผมจนได้

“มีอะไร” ผมถามกลับ ดันเสียงพอให้รู้ว่ายังไม่หายเคือง

“นายลืมของ” ห่า! ผมกระชากกระเป๋ามาจากมืออีกฝ่ายแทบไม่ทัน มองลูกกะตาพราวระยับของมันแล้วก็กระแทกเท้าขึ้นตึกเรียนอย่างไม่สบอารมณ์สุด ๆ หงุดหงิด อารมณ์เสีย ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์แม่งชั่ว ชั่ว! ชั่ว! ชั่ว! บังอาจทำให้ผมเสียหน้า โว้ย โกรธมัน โกรธ! โกรธ! โกรธ!

ความโกรธของผมยังปะทุไม่หยุด แม้จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเล็คเชอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วใจมันก็ยังเดือดปุด ๆ ๆ ดีที่เช้านี้ไม่มีใครดวงซวยยื่นหน้าเข้ามาทักผมอย่างทุกที ไม่งั้นนะ

“เป็นอะไร ทำหน้ายังกะตูด”

“ยุ่ง” บุรินทร์แกล้งทำตาโต ผมรู้นะว่ามันกำลังกลั้นยิ้มอยู่น่ะ

“อ้าว ทักดี ๆ ก็หาว่ายุ่ง เป็นไรครับคุณภัทร เป็นไรหรือไปทำอะไรใครเค้าอีกล่ะ”

“เฮ้ยไอ้ตี๋ นายเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่คิดมั่งว่าฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ”

“ถูกกระทำ? ใคร! ใครมันทำนายแล้ว...แล้ว...”

“เชี่ย ไม่ใช่แบบนั้นโว่ย” ผมดันหน้าหล่อ ๆ ของมันออกห่าง ไอ้นี่ก็อีกคนไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมกันนักหนา หล่ออยู่ได้ทุกวัน หล่อจนไม่อยากจะคบมันเป็นเพื่อนแล้ว ผมค้นเอาปากกามาเตรียมจดเล็คเชอร์ เห็นบุรินทร์ก็เตรียมเปิดหนังสือไปหน้าที่ค้างมาจากครั้งที่แล้ว กำลังสะกดใจให้สงบอยู่ดี ๆ เพื่อนผมก็โพล่งขึ้นมาว่า

“เมื่อคืนปิดโทรศัพท์ทำไม”

“ไม่ได้ปิด แบตฯ มันหมด”

“แล้วก่อนหน้านั้นทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลย”

“ก่อนหน้าไหน”

“ก็เมื่อคืนไง ก่อนที่แบตฯ จะหมดน่ะ นายรับสายฉันใช่ไหมล่ะแต่ไม่เห็นพูดอะไร พอฉันวางแล้วกดไปใหม่เบอร์นายก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ตกลงโทรศัพท์เป็นอะไร” บุรินทร์เท้าคางถาม ผมฟังมันแล้วก็งง ๆ เมื่อคืนจำได้ว่าผมหลับไปแบบโดนหมอนดูดแถมยังไม่ได้รับสายใครเลยสักคนแล้วมันโทรมาตอนไหนวะ

“ช่างเถอะ สงสัยเครือข่ายจะรวน”

“คงงั้น” ผมตอบไปลอย ๆ พอบุรินทร์เผลอผมก็แอบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาลองกดเปิดเครื่องดู จอสียังโชว์ภาพชัดแจ๋ว สัญญาณเต็ม แบตฯ เต็ม แล้วเครื่องมันดับไปได้ยังไง?



จบวิชาแรกเราก็เดินลากขาออกมาจากตึกเรียน ผมเบื่ออย่างหนึ่งก็ตรงที่ต้องเดินวนลงบันไดหลาย ๆ ชั้นนี่แหละ เรียนมาจนครบปีแล้วยังไม่ชินสักที ความจริงที่นี่มีลิฟต์นะแต่มีแค่สองตัวแถมยังอยู่อีกฟากหนึ่งของตึกแน่ะ กว่าจะลากสังขารอันบอบช้ำจากแต่ละรายวิชาไปถึงคนก็ออกันอยู่เต็มหน้าลิฟต์ ผมเป็นประเภทขี้เกียจรอเลยขอเดินลงเอาดีกว่าอย่างน้อยมันก็ไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้นแถมยังช่วยชาติประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย วันนี้ยังดีที่เราเรียนชั้นห้า ถ้าวันไหนอาจารย์ท่านคึกจัดย้ายไปเรียนชั้นสิบสี่ผมคงสมัครใจกลิ้งลงบันไดแทนการเดิน

“วันนี้ไปค้างที่บ้านไหม พ่อกับแม่ไม่อยู่จนถึงวันจันทร์หน้าแน่ะ” แหมะ มันทำยังกะชวนสาวไปบ้าน ต้องรอพ่อกับแม่ไม่อยู่ ชิชะ หรือว่าพี่บุรินทร์ของเราจะเคย?

“ไปไหม”

“วันนี้ไม่ได้ ต้องกลับไปทำงานให้เสร็จน่ะ”

“เหลืออีกเยอะป่ะ ฉันก็ช่วยไม่ได้ด้วยสิตอนนี้”

“ไม่เป็นไร เหลืออีกแค่นิดหน่อย” ความจริงมันไม่นิดเลยล่ะแต่ผมเกรงใจตาตี่ ๆ ของบุรินทร์เลยบอกเหมือนเป็นเรื่องสบาย ๆ ทั้งที่ในใจนึกอยากจะร้องไห้เต็มแก่ ก็เมื่อคืนน่ะ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะต้องทำงานให้เสร็จเกินครึ่งให้ได้ แต่พอท้องตึงหนังตาก็หย่อนผมเลยหลับไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มดี งานการอะไรก็เลยไม่ได้แตะสักนิด อุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนไปค้างถึงบ้านคนอื่น เสียเวลาชะมัด ทั้งหมดทั้งปวงนั่นน่ะเป็นเพราะไอ้พี่จิณณ์คนเดียว!

เรากินข้าวเที่ยงกันเสร็จก็เกือบบ่ายโมงแล้ว วันนี้ผมไม่มีเรียนต่อผิดกับบุรินทร์ที่แรดไปลงวิชาเลือกเสรีของคณะเภสัชไว้ เจ้านั่นเลยต้องวิ่งตาเหลือกข้ามจากโซนแคมปัสไปเกือบสุดฝั่งของมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าห้องให้ทันเช็คชื่อ พอเพื่อนไม่อยู่ผมก็เคว้ง ต้องตัดใจลากสังขารไปห้องสมุดเพื่อที่จะทำงานที่ค้างไว้ต่อ เหอะ ไม่มีคนช่วยผมทำเองได้ ไม่เห็นจะง้อ


ห้องสมุดคณะผมยังคงร้างไม่ผิดจากครั้งล่าสุดที่เข้ามาสักนิด อย่างนี้แหละครับ ไม่ว่าห้องสมุดคณะไหน จะอักษร สถาปัตย์ หรือแม้แต่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยก็เถอะ เวลาปกติที่ไม่ใช่ช่วงสอบเนี่ยมันจะทั้งร้างทั้งเงียบยังกับป่าช้าแน่ะแล้วก็จะกลับมาครึกครื้นอีกทีตอนช่วงสอบ

โห อย่าให้พูด ถึงตอนนั้นนะเก้าอี้จะนั่งยังไม่ค่อยจะมี เพื่อนผมบางคนถึงขั้นแบกหมอนใบเล็กมาด้วย กะกินนอนในห้องสมุดจนหมดช่วงสอบเลยประมาณนั้น บางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจมาอ่านหนังสือหรอกครับ อยากมากินบรรยากาศมากกว่า พวกผู้หญิงก็ชอบพากันมานั่งอ่านหนังสือเป็นกลุ่ม วันไหนโชคดีเราได้ขอแชร์โต๊ะกับสาวสวยก็ดีไป ได้อ่านหนังสือแถมด้วยอาหารตาตลอดวัน เรียกว่าถ้าบรรณารักษ์ไม่ไล่เราก็ไม่ลุกกันละ แต่ช่วงนี้มันเป็นช่วงกลางเทอมคนเลยน้อย มองไปทางไหนก็เปลี่ยวใจใช่เลย

ก็ดี จะได้มีสมาธิทำงาน ผมคิดเข้าข้างตัวเองทั้งที่ความจริงแล้วน่ะผมโคตรเกลียดความเหงาความเงียบยังกับอะไร แต่จะทำไงได้ล่ะครับ บุรินทร์ติดเรียน วาก็หายไปไหนไม่รู้วันนี้ โทรหาแต่เช้าก็ไม่ยอมรับสาย สงสัยจะอยู่กับสาว(?)

ผมดึงหูฟังออกมาเสียบโทรศัพท์เลือกเพลงที่ชอบแล้วก็หันมาจัดการกับกองหนังสือตรงหน้า ฟังเพลงไปก็นึกทวนไปว่าเมื่อวานทำค้างไว้ถึงตรงไหนจะได้ต่อถูกแต่เปิดไปหน้าเดิมก็ไม่ยักกะมีที่คั่นหนังสือคั่นไว้ เอ จำได้ว่าเมื่อวานแปลไปได้ประมาณครึ่งเล่มแรกนะ

“อยู่ไหนวะ” ไม่มีแฮะ ผมหยิบสมุดโน้ตออกมากะจะอ่านทวนเนื้อหาของเมื่อวานอีกรอบจะได้รู้ว่าต้องแปลตรงไหนต่อไปแต่ตัวหนังสือที่เรียงสวยเป็นระเบียบเต็มหน้ากระดาษกลับทำให้ผมความคิดของผมชะงัก พิจารณาถ้วนถี่แล้วจึงได้คำตอบ
ไม่ใช่ฝีมือผมหรอก

ไอ้วิธีการเขียนที่เรียงตามหัวข้อภาษาอังกฤษเป๊ะแถมยังแปลออกมาได้อย่างสละสลวยปานนี้น่ะ มันคนละชั้นกับข้อความในสองสามหน้าแรก(ที่เป็นฝีมือผม)กันเลยทีเดียว ผมเห็นแวบแรกก็เข้าใจได้ทันที ระหว่างที่คุณภัทรหลับไปเมื่อคืน มีไอ้บ้าอีกคนมันอยู่ดึกทำงานให้จนเกือบเสร็จ ผมปิดหน้าสมุดลงอย่างอ่อนแรง อีกอย่างก็คืออ่อนใจด้วย คิดไปถึงตอนที่ตัวเองทำเรื่องสารพัดกับอีกฝ่ายแล้วก็นึกอายขึ้นมาหน่อย ๆ ดูสิ งานของตัวเองก็ไม่ใช่ มันยังอุตส่าห์ทำแทนผมจนเกือบเสร็จ ได้นอนตอนกี่โมงก็ไม่รู้ เพราะเท่าที่ดูเนื้อหาที่หมอนั่นแปลออกมาแค่คืนเดียว มันเกือบจะเท่าที่ผมแปลมาทั้งอาทิตย์

ทำให้คนอื่นขนาดนี้เพื่ออะไร?

เสียงเพลงที่กำลังฟังอยู่ถูกตัดไปอย่างกะทันหันตามด้วยอาการสั่นของมือถือที่วางบนโต๊ะ วาโทรมา

“ไง หายไปไหนมาทั้งวัน” ผมส่งเสียงทักไปก่อน ปลายสายหัวเราะร่วน ฟังดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีสุด ๆ (ไปเที่ยวมา ว่าไง งานไปถึงไหนแล้ว ให้ช่วยไหม)

“ไม่เป็นไรหรอกเหลืออีก...ไม่เท่าไหร่...” เพื่อนของผมทำเสียงครางในคอ แซวจนผมอดยิ้มไม่ได้

(แน่ล่ะสิ มีมือดีคอยช่วยนี่ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนไปค้างบ้านพี่จิณณ์มาหรือ)

“อืม ข่าวจากไหนล่ะ”

(จากเจ้าตัวน่ะสิ เมื่อกี้เจอกันตรงบันไดแดง ทักกันได้สองสามคำเห็นว่าจะขึ้นไปงีบข้างบน เมื่อคืนทำงานกันจนดึกเลยหรือคุณ)

“ก็ ประมาณนั้น”

(ถึงว่าพี่จิณณ์ท่าทางเพลียเชียว หน้างี้เซี้ยวเซียว คุณเองก็ดูแลตัวเองนะ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่าฝืน อย่าหักโหม เดี๋ยวจะไม่สบาย...) วาพูดอะไรอีกสองสามประโยค จับใจความได้ว่ากำลังจะไปดูหนังบู๊ล้างผลาญเป็นเพื่อนพี่พีร์ ผมก็เออออตามจนอีกฝ่ายวางสายไปในที่สุด มองหน้าสมุดที่เปิดค้างไว้แล้วก็ต้องถอนใจยาว ให้ตายเถอะ ต้องปีนบันไดอีกแล้วเหรอเนี่ย




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:


(( 'ฉันไม่เคยชวนเพื่อนมาที่บ้าน' ...แล้วพี่น้องคุณเป็นใครล่ะคะพี่จิณณ์?))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 29-10-2016 12:21:26
สนุกมากๆคับ มาต่ออีกนะคับ รักจิณณ์ อิอิ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-10-2016 13:51:55
เอาแต่ใจจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 29-10-2016 14:12:11
เริ่มปฏิบัติการรุกคืบ
เอาแบบให้ชีวิตนี้ขาดพี่ไม่ได้
๕๕๕๕ สู้วว
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-10-2016 18:21:02
คุณ นี่เอาแต่ใจ แสนงอนด้วย บื้ออีกต่างหาก
คุณ มีข้อเสียเยอะนะ ลืมยืมหนังสือที่ต้องทำรายงาน
พี่จิณณ์ เป็นเจ้าบ้านที่ดี หาขนมมาให้ แต่คุณ ก็กินหมด ทั้งที่ไม่หิว
คุณ จะทำงาน แต่ก็ง่วง ผลัดจะทำพรุ่งนี้ หลับไปซะก่อน
แต่เป็นข้อเสีย ที่ทำให้พี่จิณณ์ เข้ามาใกล้ตัวได้มากขึ้นๆ
พี่จิณณ์ ยอมคุณ มากจริงๆ อดนอน แปลงานให้จนเกือบเสร็จ
ไม่เคยชวนเพื่อนมาบ้านเลย แต่ยอมชวนคุณมา
แสดงว่าชอบคุณจริงๆ เพื่อนๆ คงรู้กันหมดแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-10-2016 19:53:51
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 29-10-2016 21:21:14
สนุกมากกกกกกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-10-2016 22:47:20
พี่เค้าชัดเจนมาก แต่คุณภัทรเราซื่อเกิน 555
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๘ P.2 29/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 30-10-2016 17:23:18
กำลังสนุกเลยคับ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 31-10-2016 22:34:01
ตอนที่ ๙   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ครั้งที่สามของการปีนบันไดแดง

เมื่อความชินยังไม่บังเกิดความเหนื่อยยากเลยยังไม่ลดลง ออกจะสาหัสกว่าครั้งที่แล้วด้วยซ้ำเพราะครั้งก่อนหน้านี้ผมมากับจิณณ์สองคน ได้พี่มันหลอกคุยนั่นคุยนี่จนเพลิน (แต่ก็ยังไม่ลืมหรอกว่าไอ้พี่บ้านั่นมันลากผมวิ่งขึ้นบันไดแล้วผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น คิดแล้วก็แค้นไม่หาย)

อีกหนึ่งชั้น ผมบอกกับตัวเองหลังจากเริ่มนับถอยหลังมาตั้งแต่เริ่มก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก ชั้นที่เหลือคือชั้นอภิสิทธิ์ชนที่เหล่าสมาชิกของสภาสถาปัตย์ไปเลือกตั้งห้องคณะกรรมการอยู่และคุณชายท่านคงกำลังนอนหลับสบายอยู่ในห้องนั้น ผมทรุดตัวลงนั่งเมื่อคลานขึ้นมาได้ครึ่งชั้น กะว่าจะพักสูดลมเข้าปอดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาปีนต่อไปแต่เสียงฝีเท้าทางด้านหลังทำให้ต้องรีบหันไปมอง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินลงบันไดมาช้า ๆ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอย่างบอกไม่ถูก คิด ๆ อยู่ว่าเคยเจอที่ไหนฝ่ายนั้นก็มองมาทางผมแล้วก็ร้องทักทันที

“น้องคุณ มานั่งทำอะไรตรงนี้” ประโยคแรกที่เค้าทักมาพร้อมรอยยิ้มก็ยังไม่ทำให้ความจำของผมดีขึ้น ผมยิ้มตอบแห้ง ๆ ลุกขึ้นยืนทั้งที่เพิ่งนั่งลงไปไม่ถึงนาที

“มาหาจิณณ์หรือ”

“เอ่อ ครับผม”

“เฮ้ย ไม่ต้องพูดเพราะขนาดนั้นก็ได้ คนกันเอง เพื่อนจิณณ์ก็เหมือนเพื่อนพวกเรา เจ้านั่นหลับอยู่ข้างบนแน่ะ ขึ้นไปปลุกตอนนี้ก็ระวังตัวหน่อยนะ ท่านกำลังมูดดี้” พี่เค้าชวนผมคุยอีกสองสามประโยคก็เอ่ยขอตัวอย่างอารมณ์ดี พออีกฝ่ายโบกมือให้เท่านั้นแหละผมถึงได้นึกออกว่าพี่คนนี้ชื่อภูวดล หนึ่งในสมาชิกสภาอภิสิทธิ์ชนที่จิณณ์เคยแนะนำให้รู้จักเมื่อครั้งก่อน ผมจำได้ว่าเค้ามือสวย พอเห็นอีกทีเลยจำได้ “บอกไปเค้าจะดีใจเหรอคุณภัทร จำมือได้แต่จำหน้าไม่ได้”


และแล้วความพยายามของผมก็สัมฤทธิ์ผล แต่ขณะที่ผมกำลังเดินข้ามลานกว้างเพื่อตรงไปยังห้องสภานั้น ประตูบานสูงที่เห็นแต่ไกลก็ถูกเปิดออกโดยใครคนหนึ่งเสียก่อน ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วก็พาลผวา ล่อกแล่กจะหาที่ซ่อนตัวเอาซะตรงนั้น แต่ก็มาคิดได้ว่าจะซ่อนทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า

โชคดีของผมที่คนที่เปิดประตูออกมาเป็นเจ้าของรอยยิ้มประทับใจที่ผมจำชื่อเขาได้ดี เมื่ออีกฝ่ายฉีกยิ้มมาให้แต่ไกลผมก็ยิ้มตอบได้อย่างเต็มใจ

“พี่ไวทิน ท่าทางอารมณ์ดีนะครับ”

“ก็นะ มีเรื่องดี ๆ น่ะ” อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลยที่เห็นผมซึ่งเป็นคนนอกรุกล้ำเข้าในเขตหวงห้าม มือหนาตบไหล่ผมหนัก ๆ (เล่นเอาเกือบเซ) บุ้ยใบ้ไปทางประตูบานใหญ่แล้วก็บอกเสียงชื่น

“หลับอยู่ในนั้นแน่ะ วันนี้เหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ระวังหน่อยนะ” ผมพยักหน้ารับ สองคนแล้วที่บอกผมว่าจิณณ์อารมณ์ไม่ดี เล่นเอาผมใจแป้วไปวูบหนึ่งเลยเหมือนกัน แหม ก็ถ้าลองให้เดาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้คุณชายท่านหงุดหงิดจนเพื่อนต้องเผ่นออกมาแบบนี้ หนึ่งในนั้นก็คงมีชื่อผมติดโผด้วยแหง ๆ

“ฝากด้วยละกันนะ”

“ครับ” ผ่านด่านมาสองด่าน ผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องโดยสวัสดิภาพ อยากจะเปิดประตูเข้าไปตอนนี้ก็เปลี่ยนใจรอดูก่อนว่าจะมีใครโผล่ออกมาต้อนรับอีกไหม นอนหลับในนี้หนึ่ง เดินออกไปแล้วสอง ไปดูหนังกับเพื่อนผมหนึ่ง ยังเหลือใครก็หรือเปล่าวะ เอาน่ะ อยากรู้ก็ต้องเข้าไปดู

ห้องสภาของสถาปัตย์ยังมีรูปแบบเหมือนครั้งล่าสุดที่ผมเห็น แนวยังไงก็ยังแนวอยู่อย่างนั้น เรียบหรูและดูดีตั้งแต่ส่วนนอกไปจนถึงข้างในแต่อะไรมันก็คงไม่ดูดีเท่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นตรงหน้า นะ ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน ขืนชมพี่มันออกไปบ่อย ๆ เดี๋ยวจะมีคนเบื่อเอา คนที่นอนหลับบนเบาะยาวยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัว ขนาดผมแกล้งกระแอมไปตั้งสองสามครั้งมันก็ยังนอนนิ่ง ไม่นับที่แกล้งเอาปลายเท้ายัน ๆ เบาะอีกต่างหากนะ ปลุกกันขนาดนี้ยังไม่ตื่นตกลงหลับหรือตายวะเนี่ย

“เอาไงดีวะหรือจะรอให้ตื่นเอง” แบบนั้นก็ไม่ใช่นิสัยผมอีก ผมไม่ชอบรอใคร ยิ่งการรอที่มองไม่เห็นจุดหมายว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ทั้งที่ผมมีเรื่องอัดแน่นอยู่เต็มอกแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ แต่จะให้ปลุกคนที่เค้ากำลังหลับเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดจากตัวเองเป็นเหตุมันก็ออกจะใจร้ายไปหน่อย

แล้วต้องทำไงเนี่ย

ผมเกาหัวแกรก รู้สึกเหมือนอับจนหนทางขึ้นมาทุกที ในตอนนั้นเองที่จิณณ์พลิกตัวนอนหงาย ผมยิ้มเสียเต็มหน้ากะว่าพี่มันต้องตื่นแล้วแน่ ๆ แต่ที่ไหนได้ พลิกนอนหงายเสร็จมันก็พลิกตะแคงต่อ โห ไอ้พี่ มึงจะนอนเอาบ้านเอาเมืองเลยหรือไงวะ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยสิเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนเบาะเดียวกับคนหลับ เอาวะ รอสักห้านาทีก็ได้ ผมคิดอย่างคนที่ใจกว้างอยู่เป็นนิจ เห็นว่าต้องอดนอนเพราะผมจะยอมให้อีกครู่หนึ่งละกัน แต่ห้านาทีของผมก็ต้องลดลงเหลือห้าวิเพราะทันทีที่ผมถอนสายตาจากเจ้าคนที่นอนนิ่งปุ๊บ ร่างของผมก็หงายผึงลงไปบนเบาะปั๊บ

“เฮ้ยยยยยยย!” และแทนที่จะเห็นเพดานห้องลอยอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นอกล่ำ ๆ ของใครบางคนซะนี่! เหตุการณ์แม่งโคตรคุ้นเลยโว้ย

“มานั่งถอนหายใจทำไมตรงนี้”

“นี่ ตื่นแล้วก็ลุกสิ ปล่อยให้คนรออยู่ได้”

“รอทำไม” เสียงคนพูดฟังดูแล้วมันสดใสผิดกับคนเพิ่งตื่นนอนเลยแฮะ

“ก็...รอ...เฮ้ย...อย่ามากอดได้ไหมเล่า” ผมร่ำร้องเอาอีกรอบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง หนึ่งคือยังอายเกินกว่าที่จะตอบตามตรงกับสองคือสภาพผมตอนนี้มันยากที่จะเอ่ยปากพูด ก็ไอ้คุณชายท่านเล่นกอดผมซะแน่นแถมยังกดหน้าผมซบกับอกแบบนี้ ใครมันจะขยับปากพูดได้วะ

“ทำไม” ยังจะมีหน้ามาถาม!

“ผมหายใจไม่ออก”

“ผายปอดให้ไหมล่ะ”

เออ ไอ้ประโยคนี่ก็คุ้น ๆ แฮะ

“ว่าไง” ลมหายใจร้อนกระทบหน้าผากผมจนรู้สึก จิณณ์ยอมคลายแรงรัดของแขนและขาลงพอให้ผมหายใจได้แล้วพี่มันก็เลื่อนตัวเองลงมาจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน แม่เจ้า ยิ่งกว่าเดิมอีก ถ้าพี่จะมาจ้องตากันแบบนี้ กอดกูไว้แบบเดิมยังจะคุยกันรู้เรื่องกว่านะ

“หน้าแดง” ไม่พูดเปล่า หมอยังใช้ข้อนิ้วเกลี่ยแก้มผมให้อีก เฮ่ย ๆ ๆ มันชักจะเข้าโหมดการ์ตูนตาหวานเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่ได้การ ต้องรีบทำลายออร่าสีชมพูอมม่วงนี้อย่างเร่งด่วน

“อย่าลูบ เมื่อเช้าไม่ได้โกนหนวด”

“ไหนดูซิ” อีกแล้ว! อีกแล้วที่มันบอกว่าดูแต่มันไม่ได้ทำแค่ดู ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์แม่งยื่นหน้าเข้ามาเคลียกับแก้มและคางของผมแบบเนียนมาก ห่า! ทนไม่ไหวแล้ว ตายเป็นตายงานนี้

พลั่ก!

ผมผลักไอ้โจรใจโฉดสุดแรงเกิดแต่ผลที่ได้มากที่สุดก็แค่พี่มันยอมปล่อยมือแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนต่อก็เท่านั้น ผมลุกพรวดขึ้นนั่ง กัดปากมองอีกคนอย่างดุเดือด

“เล่นบ้าอะไร”

“รู้ว่าเล่นแล้วจะโกรธทำไม”

“โกรธทำไมงั้นเหรอ ทำไมพี่ทำแบบนี้วะ ล้อกันเล่นสนุกนักใช่มะ คนเค้าอุตส่าห์ตั้งใจมาขอโทษดี ๆ พี่ก็ทำมันพังหมดเลย”

“คุณ”

“ไม่ต้องมาจับ” ผมกระชากเสียงใส่เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาหาแล้วก็รั้งแขนผมเข้าไปใกล้แต่พลังยุทธ์ไอ้พี่จิณณ์แม่งสูงส่งกว่าผมมากนัก เพราะแค่พี่มันจ้องนิ่ง ๆ ก็เล่นเอาผมมือไม้อ่อนจนน่าเจ็บใจ เออ ไม่เกิดมาตัวใหญ่เป็นเสาเอกเหมือนใครบางคนก็ให้มันรู้ไป

“จะขอโทษเรื่องอะไร”

“ไม่มี ไม่ขอแล้ว”

“ก็นั่นสิ คุณภัทรไม่ได้ทำผิด ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะ หือม์” ถ้าไม่ได้นั่งจ้องตากันอยู่ผมคงคิดว่ากำลังถูกผู้ชายปากจัดประชดเข้าให้ แต่นี่มันไม่ใช่ คนพูดมันยิ้มทั้งปากทั้งตาด้วยสีหน้าอ่อนโยนแบบนี้ ผมจะคิดไปในทางลบได้ยังไงกัน เฮ้อ ใครก็ได้เอาเหล็กมาดามใจผมหน่อยเถอะ รู้สึกพักนี้มันพาลจะอ่อนให้ยิ้มอ้อน ๆ แบบนี้อยู่เรื่อย!

“แล้วพี่ไม่โกรธแล้วหรือไง”

“โกรธเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องเมื่อเช้านั่นน่ะ”

“เรื่องเมื่อเช้าหรือ...” เอ้า จะมาโง่อะไรตอนนี้เนี่ย คนยิ่งไม่อยากพูดถึงอยู่

“เรื่องที่ผมพูดไม่ดี เสียมารยาท ไม่ยอมเรียกชื่อพี่ตอนเราคุยกันไงล่ะ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว” คราวนี้จิณณ์ยิ้มเสียเต็มแก้ม หน้าหล่อ ๆ ของมันพราวไปด้วยรัศมีความสุขใจจนผมตาพร่า คนอะไรดุก็หล่อ ไม่ดุก็ยิ่งหล่อ ใครก็ได้ช่วยเตือนให้พี่มันระวังความหล่อของตัวเองหน่อยเถอะ บอกด้วยว่าผมใจคอไม่ดี
มืออุ่นบีบนิ้วผมเบา ๆ ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นยืน

“อะไรกัน ก็รู้นี่นาว่าฉันโกรธเรื่องนั้น”

“ก็รู้น่ะสิ” เอ๊ะ? ตอบไปแล้วก็ต้องชะงัก จิณณ์กำลังยิ้มมุมปากจาง ๆ หรี่ตามองผมอย่างผู้ชนะ ผู้ชนะ? หนอย ไอ้พี่นี่มันรู้แต่แรกแล้วว่าผมจะขอโทษเรื่องอะไร ไอ้ที่บอกว่าคุณภัทรไม่ได้ทำผิดอะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่เพราะมันไม่รู้หรอกแต่เป็นเพราะมันแกล้ง มันจงใจ มันประชดของจริงเลย!

“ไอ้พี่จิณณ์ นี่พี่หลอกให้ผมพูดหรือวะ”

“ไม่ได้หลอก จริง ๆ นะ ก่อนหน้านั้นฉันหายโกรธนายไปแล้วตอนนายพูดถึงเลยงงหน่อย ๆ น่ะ แบบว่าคุย ๆ ไปแล้วมันเพิ่งมาคิดออกตอนหลังอะไรทำนองนั้นไง ไม่เคยเป็นหรือ”

“ไม่เคย!” ผมลุกพรวดขึ้น แม้จะต้องเงยหน้าเถียงแต่ก็ไม่คิดจะยอมแพ้ แม้หน้าจะร้อนวูบวาบเพราะความอายแกมเคืองหน่อย ๆ แต่ก็ยังแข็งใจเถียงคอเป็นเอ็น จิณณ์หัวเราะในคอหึ ๆ ใช้มือปัดผมให้เข้าทรงแล้วจึงหันไปคว้าเป้ของผมมาเปิดอย่างถือวิสาสะ

“จะทำอะไร” ยัง ผมยังไม่หายเคืองมัน ขอเสียงแข็งไว้ก่อน

“ทำงานต่อ พรุ่งนี้ต้องส่งแล้วไม่ใช่หรือ ไม่รีบทำเดี๋ยวไม่เสร็จนะ”

“ไม่ต้องเอาเรื่องงานมาอ้างเลย คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังหรือไง” ประโยคสุดท้ายผมบ่นพึมกับตัวเอง จิณณ์คงได้ยินแหละ พี่มันยักไหล่ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสองแก้ว เหอะ เข้าใจหาของกินมาปิดปากนะ ผมไม่ใช่คนเห็นแก่กินเรื่องนี้ผมมั่นใจ แต่ที่ผมยอมรับแก้วน้ำมาจิบเพราะผมรู้ดีว่าตัวเองตั้งใจจะขึ้นมาข้างบนนี้เพื่อขอโทษอีกฝ่าย เมื่อพี่มันไม่ได้โกรธแล้วก็ถือว่าผมบรรลุจุดมุ่งหมายเลยขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืด(แม้ในใจจะยังเคืองหน่อย ๆ) เมื่อจิณณ์วางจานของว่างชิ้นเล็กน่ากินลงต่อหน้าผมเลยสนองให้เสียจนเกลี้ยงจาน

เฮ้ย ผู้ชายเค้าไม่ติดใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กันหรอก

อะไรยอมได้ก็ยอมกันไป แมน ๆ *ไหวไหล่*




“จิณณ์”

เจ้าของชื่อครางรับทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากตำรา เจ้าของร่างสูงใหญ่แบบผู้ชายร้อยเจ็ดสิบสามอย่างผมอิจฉานั่งอยู่บนพื้นพรมใช้เตียงเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ขณะที่ผมกำลังนอนเหยียดยาวบนเตียงกว้าง หลังจากจัดการของว่างหมดเราก็เข้าสู่โหมดทำงานกันมาพักใหญ่ ผมที่กำลังวัดความกว้างความยาวของเตียงนุ่มก็โพล่งถามขึ้นมา

“พี่หายโกรธผมตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”

“ยังไม่จบอีกหรือเรื่องนี้”

“ก็มันยังไม่หายข้องใจนี่หว่า เมื่อเช้าพี่งอนผมยังกะอะไรดี พูดด้วยก็ไม่พูดแถมยังทำหน้าอย่างกับตูด พอตอนบ่ายพี่กลับบอกว่าลืมไปแล้ว”

“ก็ลืมไปแล้วจริง ๆ”

“ทำไมถึงลืมอ่ะ” ผมพลิกตัวนอนคว่ำ เท้าคางมองมันในระยะประชิดกะว่ามีพิรุธนิดเดียวก็อย่าหวังว่าจะหลุดพ้นจากสายตาท่านคุณภัทรไปได้เลย จิณณ์ชายตามองผมนิ่ง ย้อนถามเสียงเรียบ

“อยากรู้จริง ๆ หรือ”

“เออดิ ไม่อยากรู้จะถามทำไมล่ะ” ผมหลบตาวูบ เฮ่ย ๆ ๆ ตกลงใครมันมีพิรุธแน่วะ

“แน่ใจนะว่าถ้าฟังแล้วนายจะรับได้” ผมพยักหน้ารับ

“คุณภัทร” เสียงทุ้มเรียกชื่อย้ำ ผลจำต้องแข็งใจสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ จิณณ์ทอดตามองผมนิ่ง นิ่งและเงียบจนผมชักอึดอัด ปลายนิ้วเรียวเลื่อนมาเกลี่ยปอยผมข้างแก้มให้ผมคล้ายอาการของคนละเมอ ผมเองก็ไม่ต่างกัน นอกจากประสานสายตากับจิณณ์แล้ว อย่างอื่นรอบตัวก็เหมือนจะอยู่นอกเหนือจากความสนใจ ปลายนิ้วอุ่นเหมือนจะสั่นนิด ๆ เมื่อยามไล้ผ่านผิวแก้มมาหยุดตรงริมฝีปากของผม เหมือนมีใครมากระซิบบอกข้างหู ให้ผมเผยอริมฝีปากออกแล้วริมฝีปากของเราทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น

ผมยังนอนอยู่บนเตียง

จิณณ์ยังนั่งอยู่บนพื้นพรม





เราสองคนจูบกัน












บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มที่กำลังนั่งอยู่คนเดียว ข้างกายมีโทรศัพท์เครื่องเล็กกำลังสั่นเรียกร้องความสนใจแต่ผลลัพธ์ก็เท่าเดิม มันสั่นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมไม่รับโทรศัพท์ ไม่อยากรับตอนนี้แต่ดูเหมือนทางโน้นจะไม่รู้ความคิดผม ไม่งั้นคงไม่โทรจิกข้ามวันข้ามคืนแบบที่เป็นอยู่นี่หรอก ผมปล่อยให้มันกะพริบไฟเตือนแบบนั้นจนกระทั่ง

ป้าบ!

“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย เล่นเหี้ยไรเนี่ย”

“ฟัง ๆ ๆ วา ฟังมันพูด อยู่ห่างเพื่อนแค่สองสามวันนี่ไปเก็บนิสัยกุ๊ยที่ไหนกินมาไม่ทราบครับ ไหนเอาหน้ามาดูหน่อยซิ” คนพูดหรือไอ้โหดมือหนักเมื่อกี้ใช้ฝ่ามือทั้งสองประกบหน้าผมแล้วก็ดันจนแก้มโย้ เจ็บจนน้ำตาแทบไหลแต่ไอ้เพื่อนรักมันหาได้ปรานีไม่ ยิ่งผมปัดป้องเท่าไหร่มันยิ่งมันมือ ยิ่งแกล้งหนักขึ้นเท่านั้น

“อ่อยยยยย เอ็บอะเอ้ย” (ปล่อย เจ็บนะเว่ย)

“บุรินทร์ พอได้แล้ว คุณแก้มช้ำหมดแล้วเห็นไหม”

“เฮอะ พอก็ได้...โอ๊ย!...” บุรินทร์ร้องเต็มเสียงเพราะทันทีที่มันปล่อยมือจากแก้มผมตามคำสั่งของวา ผมก็ฉวยปึกชีทตรงหน้าเหนี่ยวแขนฟาดกะบาลมันสุดแรง เออ ไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป

“โอย ไอ้ลูกหมา ฟาดมาได้ สมองเสื่อมไปทำไงวะ”

“คราวหน้าถ้าทำแบบนี้อีกจะซัดให้กะโหลกยุบไปเลย ไม่เชื่อลอง” ผมบอกเสียงขุ่น คราวนี้วากับบุรินทร์เหมือนจะค่อยจับได้แล้วว่าผมกำลังหงุดหงิดอย่างสุด ๆ อยู่ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วคงสำนึกได้ว่าผมคงอารมณ์ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นแล้วและก็เป็นคราวซวยของบุรินทร์ที่เสร่อมาเล่นไม่ดูฟ้าดูดิน ฟ้าเลยลงโทษไปเต็มเหนี่ยวเต็มกะบาล

“ขอโทษได้ไหมล่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บเลย” บุรินทร์ทรุดตัวลงนั่งติดกับผม วางคางไว้บนไหล่เหมือนที่ทำเป็นประจำเวลาจะอ้อน พอเห็นผมไม่พูดไม่จาเลยกอดแถมให้อีกประการหนึ่งแล้วมันก็โยกตัวไปมาเหมือนพ่อกำลังกล่อมลูกยังไงยังงั้น

“ไหนเล่าให้ฟังซิ ใครทำอะไรให้พี่น้องคุณโกรธ”

“ไม่มี”

“งั้นหงุดหงิดอะไร”

“ไม่รู้”

“เมนส์ไม่มาหรือ”

“ทะลึ่งละ เคยพูด ๆ อยู่แล้ววูบไปเลยไหม” ผมค้อนมันตาคว่ำ เออ ถึงผู้ชายเค้าไม่ค่อยจะทำแบบนี้กันแต่ผมก็จะทำ คุณเข้าใจไหม อาการที่เราไม่อยากจะมองอีกฝ่ายแต่ก็จำต้องมอง เราเลยต้องใช้หางตาจิกมองแล้วก็ต้องมองแบบโกรธ ๆ เคือง ๆ แบบนั้นน่ะ ผมเข้าใจนะว่าพวกผู้หญิงเค้ารู้สึกยังไงเวลาทำแบบนี้ อีกอย่างบุรินทร์มันกำลังกอดซ้อนหลังผมไว้ ไอ้เรื่องที่จะหันไปมองหน้าด่าบรรพบุรุษมันตรง ๆ ก็ทำไม่ได้อีก เลยต้องค้อนเอาไง

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือคุณ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ วาที่เลี่ยงไปซื้อน้ำตั้งแต่เมื่อกี้วางกระป๋องน้ำเก๊กฮวยเย็นเฉียบไว้ตรงหน้า ยิ้มถามอย่างเอาใจ เออ มันต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้ใจ วาน่ะรู้จักเอาใจผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ใช่คอยแต่จะกวนให้ขุ่นหนักยิ่งกว่าเดิมแบบไอ้คนที่กำลังนัวเนียผมอยู่ตอนนี้

“ขอมั่ง” นั่น ยังมีหน้ามาอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำอยู่อีก   ผมจิบแล้วก็เลยส่งให้สัมภเวสีที่กระซิบกระซาบขออยู่ข้างหู ยิ้มให้วาหลังจากที่คิดว่าตัวเองดึงความคิดจากเรื่องที่กังวลมาทั้งคืนได้สำเร็จส่วนหนึ่ง

“อารมณ์ดีแล้วก็เอางานออกมาได้แล้ว วันนี้ต้องเรียบเรียงหัวข้อใหม่แล้วนะ ถ้าทุกอย่างโอเคฉันจะเอาไปพิมพ์ที่บ้านเอง บุรินทร์ เอาส่วนของนายมาสิ” วาเร่งพร้อมทั้งแบมือรอ บุรินทร์เลยต้องจำใจคลายแรงกอดหันไปหยิบแฟ้มของตัวเองส่งให้ “อยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องเสียเวลาหาเพราะมีอยู่วิชาเดียว”

“นี่ของฉัน” ผมเลื่อนปึกชีทพิฆาตมารเมื่อกี้ไปให้วา เจ้าคนหน้าสวยรับไปเปิดผ่าน ๆ แล้วก็ยิ้มแฉ่ง คงชอบใจที่งานสำเร็จลุล่วงด้วยดีทั้งที่ของผมนั้นเหลืออยู่บทสุดท้ายอีกทั้งบท ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่ามันยังไม่เสร็จแต่วาก็พูดขึ้นเสียก่อน

“พอดีเลย ตกลงว่าครบนะ งั้นก็เริ่มกันเลย”

“เดี๋ยวก่อนวา ของฉันยังไม่เสร็จนะ เหลือสองบทสุดท้ายน่ะ”

“จริงดิ” บุรินทร์แทรกขึ้น มันคงรู้ดีเหมือนกันว่าบทท้าย ๆ ของแต่ละเนื้อหามันสำคัญเพราะมันหมายถึงบทสรุปของทั้งหมดหรือเกือบจะทั้งหมดและผมก็ดันไม่ได้ทำมา

“ไม่เป็นไร” ผมอ้าปากเหวอ วายิ้มให้แล้วก็ดึงแฟ้มบางใสอันหนึ่งขึ้นมาโบก

“ได้มาแล้ว”

“เอามาจากไหน อย่าบอกนะว่ารู้ล่วงหน้าว่าคุณจะทำไม่เสร็จเลยทำมาเผื่อน่ะ”

“ฉลาดมากบุรินทร์” ข้อสันนิษฐานของบุรินทร์เข้าท่าจนวาต้องให้รางวัลด้วยการเคาะหน้าผากไปหนึ่งที ผมมองลายมือคุ้นตาที่จำได้ตั้งแต่แวบแรกแล้วก็ได้แต่เงียบคำ

นั่งมองกองกระดาษตรงหน้านานแค่ไหนไม่รู้ จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น วากับบุรินทร์จะคุยเรื่องอะไรกันผมก็ไม่ได้ฟัง ในหัวมันมึน ๆ งง ๆ เหมือนมีหมอกคลุมเต็มไปหมด ครั้นจะพูดอะไรออกไปสักคำปากมันก็หนักเหมือนถูกถ่วงด้วยหิน ทั้งปากทั้งใจคล้ายมันจะล้า ล้าจนไม่มีแรงจะทำอะไรต่อ ไม่มีแม้แต่แรงที่จะคิดหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมคิดไม่ได้หรือผมไม่อยากจะคิดถึงมันกันแน่นะ



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 31-10-2016 23:55:29
น้องคุณสับสน
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2016 01:21:39
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-11-2016 05:18:39
คุณ คิดได้แต่ไม่อยากคิดน่ะสิ
ก็คุณเอง เริ่มใจอ่อน
กับแพ้ความหล่อ ความดีของพี่จิณณ์แล้ว
ก็พี่จิณณ์ ชอบนัวเนียร่างกายคุณ
ให้ยืมหนังสือ ให้สิทธิพิเศษ ช่วยทำงานให้คุณ
งอนคุณ อารมณ์ดีกับคุณ ทั้งที่เพื่อนบอกมู้ดดี้แท้ๆ
ที่แน่ๆ เพิ่งจูบกับคุณ อะจ๊ากกกกก ชอบบบบบ :o8: :-[ :impress2:
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-11-2016 10:43:05
เริ่มคิดได้แล้วน้องคุณ พี่แกอ่อยแรงขนาดนี้
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๙ P.3 31/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 02-11-2016 20:05:40
รอตอนใหม่อยู่คับ มาต่ออีกนะคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 03-11-2016 19:23:55
ตอนที่ ๑๐   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





งานส่วนที่สองของพวกเราเสร็จเรียบร้อยไปอย่างน่าพอใจ วาที่อาสาว่าจะเอางานไปพิมพ์เองที่บ้านก็อารมณ์ดีจนถึงกับเอ่ยปากชวนผมและบุรินทร์ไปเริงร่ากันต่อที่ร้านประจำ ผมพยักหน้ารับไปทั้งที่ปกตินั้นคนที่ต้องดี๊ด๊าที่สุดคงไม่พ้นตัวเอง บุรินทร์ที่มีเรียนตอนบ่ายอีกหนึ่งตัวจำใจต้องแยกไปเรียนเพียงลำพัง เพื่อนชั่วแม่งปล้ำจูบแก้มผมจนพอใจแล้วก็หัวเราะร่าไปอย่างสมใจ ผมเลยได้แต่กัดฟันกรอด เก็บความแค้นไว้รอชำระเมื่อถึงเวลา

“คุณจะไปไหนอีกหรือเปล่าระหว่างนี้น่ะ”

“ไม่อ่ะ”

“งั้นไปถาปัตย์ด้วยกันไหม” ผมสั่นหน้าดิก ดีนะที่ไม่สะดุ้งแถมไปด้วย แค่ชื่อคณะก็เล่นเอาอกใจสะท้านถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องคิดถึงตอนที่ต้องเจอเจ้าของคณะมัน โห ขวัญหนีแบบกู่ไม่กลับแน่คุณ

“ทำไมล่ะ จะได้ไปขอบคุณพี่จิณณ์ด้วยไง วันนี้พี่เค้าว่างทั้งวันนะ” มิน่า มันถึงได้มีเวลาโทรจิกผมได้ทั้งวัน ใช้เวลาว่างได้เป็นประโยชน์เหลือเกิ๊น

“เอาไว้คราวหลังดีกว่า ตอนนี้ง่วงว่าจะไปแอบหลับบนห้องสมุดสักหน่อย”

“ถ้าจะหลับในห้องข้างบนตึกก็มีเตียงนะ นอนสบายกว่าเยอะเลย” ผมเกาจมูกตัวเองเหมือนไม่รู้จะตอบยังไง วาก็เต็มใจชักชวนเหลือเกิน ไม่ได้รู้เลยว่ามันเคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนฟ้าดิน ณ ไอ้เตียงที่กำลังพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ พอเห็นผมยืนยันว่าไม่ไปชัวร์ เพื่อนหน้าสวยก็ยอมแพ้ บ่นนิดหน่อยแล้วก็เลยย้ำเรื่องนัดหมายเย็นนี้ก่อนจะเดินตัวปลิวไปทางตึกสีน้ำตาลใกล้ ๆ นั้น

ห้องสมุดคณะผมยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไม่ผิดเพี้ยน เริ่มด้วยไอเย็นที่กรูกันมาปะทะหน้าทันทีที่เปิดประตูกระจกฝ้าเข้าไป เดินผ่านบรรณารักษ์ที่มนุษยสัมพันธ์ดีเกินร้อยตรงเคาน์เตอร์ไปเปิดประตูออกไปสู่บันไดที่ปูพรมสีเทาเข้ากับตัวตึกมาก ๆ จากความเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศเมื่อครู่ก็จะกลายเป็นเย็นเพราะลมธรรมชาติเมื่อเราเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง ชั้นนี้ไม่ใช่เป้าหมายของผมครับต้องเดินขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น ชั้นสาม เราก็จะเจอประตูกระจกแบบฝ้าอีกสองบาน ผมเลือกบานทางซ้ายเพราะห้องนี้น่ะเงียบได้ใจมาก


ห้องสี่เหลี่ยมกว้าง แอร์เย็นเฉียบ จัดไว้สำหรับเก็บหนังสือหายากและพวกนิยาย มุมซ้ายสุดเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมมันถึงเงียบดับจิตได้ขนาดนี้ ผมมีมุมประจำคือโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่างหลังชั้นหนังสือสูงท่วมหัว พอวางกระเป๋าเรียบร้อยก็จัดการเลื่อนเก้าอี้มาต่อกันเสียสองตัวแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนแบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น พอหัวถึงเป้ปุ๊บผมก็ข่มตาหลับพร้อมกับเริ่มนับแกะในใจไปด้วย

คุณรู้ใช่ไหมว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้น

ใช่แล้วครับเพราะผมนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน

ผมมัวไปทำอะไรอยู่น่ะหรือ จำไม่ได้ ระหว่างนั้นชีวิตมันออกแนวเบลอ ๆ เหมือนทีวีที่สัญญาณไม่ชัดยังไงยังงั้น มีคลื่นแทรกเป็นภาพในอดีตบ้างบางครั้งแต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้ แล้วมันก็น่าเจ็บใจที่บางเหตุการณ์มันไม่ได้เลือนลางตามไปด้วย แต่กลับเด่นชัดแม้กระทั่งยามหลับตาผมก็ยังรู้สึกถึงมัน ความรู้สึกที่ยังตามติดมาย้ำเตือนให้จดจำ ไม่ใช่การมองเห็น ไม่ใช่การรับฟังแต่กลับฝังลึกจนน่ากลัว

ผมจะทำยังไงกับมันดี   

เผลอหลับไปได้ยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะความง่วงที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียจนทนไม่ไหวท้ายที่สุดเลยผล็อยหลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่กระนั้นในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น แม้เปลือกตาผมจะปิดสนิทแต่ประสาทการรับรู้บางส่วนยังคงทำงานแบบมึน ๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านไปมาในห้องนั้นหลายรอบ อาจจะเป็นเพราะว่าพื้นห้องเป็นไม้ปาร์เก้เคลือบเงาพอมีนิสิตเดินผ่านเสียงมันก็จะสะท้อนในความเงียบ หลายต่อหลายครั้งที่มันลอยเข้ามากระทบโสตประสาทแต่ผมก็แค่ขยับตัวแล้วก็หลับต่อ

อากาศเย็น เย็นจนน่าโมโหว่าจะเปิดแอร์ให้เปลืองทำไมมากมาย ผมกอดตัวเองแน่นเข้าแล้วก็ต้องเผลอครางออกมาอย่างพอใจ อากาศหนาวขั้วโลกเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอุ่นสบายอย่างที่ผมปรารถนา ผมครางเบา ๆ ความฝันมันดีแบบนี้เอง อยากให้เป็นแบบไหนก็คิดเอาได้ ดูสิ ผมอยากอุ่นก็อุ่นขึ้นมาทันใจ ลองเป็นแบบนี้ผมจะจินตนาการถึงเตียงนุ่ม ๆ บ้าง มันจะทำให้ผมนอนสบายขึ้นไหมนะ ผมซุกหน้าลงต่ำ ดึงผ้าเนื้อนุ่มให้คลุมสูงขึ้น




เอ๊ะ!

ผ้าหรือ?

ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างเร็วจนเผลอเอาข้อมือไปฟาดกับขอบโต๊ะเข้า เจ็บจนต้องครางซี้ดแต่ไม่มีเวลาสาปแช่งโต๊ะเก้าอี้อย่างที่เคยชินก็ต้องรีบหยิบผ้าสีเข้มที่หล่นไปกองกับพื้นขึ้นมากางดู ผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่ผมเห็นทีแรกแท้จริงแล้วมันคือเสื้อคลุมตัวยาวประมาณสะโพกยี่ห้อที่ผมเห็นแล้วต้องเพ่งมองซ้ำอีกที ห่า ใครมันเอาของแพง ๆ มาทิ้งไว้แบบนี้วะ! มองหาเจ้าของมันจนทั่วแถวนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากผมอีก ผมเดินลากขากลับมานั่งที่เดิม หลังจากนั่งรวบรวมสติอยู่ครู่เดียวผมก็ได้คำตอบที่ทำให้วูบในอกอย่างน่าโมโห

คงไม่ใช่ใครที่ไหน

ผมคลี่เสื้อตัวนั้นคลุมทับไหล่ รู้สึกเหมือนถูกกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนโอบกอดไว้อย่างอ่อนโยน ถ้าไม่มัวแต่ตกใจผมคงรู้คำตอบตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาตื่น เพราะมันเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ผมคิดถึงตลอดเวลาที่กำลังหลับและฝัน




หกโมงตรงขาดเกินอีกนิดหน่อยเมื่อพวกเราพร้อมใจกันเดินออกมาจากคณะเพื่อการสังสรรค์ที่ร้างลาไปนาน ผมฟังบุรินทร์นินทาอาจารย์อย่างออกรสแล้วก็พลอยหัวเราะไปด้วยเมื่อพูดกันอยู่ดี ๆ เพื่อนเลิฟก็สำลักน้ำลายแบบไม่รู้สาเหตุ

“เวรกรรมมันมีจริง” วาบอกอย่างนั้น ถึงจะถูกค้อนจากไอ้ตี๋หน้าหยกแต่คนหน้าสวยก็ยังเชิดหน้ายิ้ม อารมณ์ดีที่ได้ไปใช้เวลาพักในห้องสภาฯ ของถาปัตย์มาแน่ ๆ

“หลับสบายหรือเปล่าคุณ” อยู่ ๆ ก็ถามออกมาแบบไม่ให้ตั้งตัว ผมที่กำลังเหม่อได้ที่เลยเอ๋อรับประทาน ได้แต่พยักหน้าตอบไปหงึก ๆ ตาคู่สวยเขม้นมองผมนิ่งทำเหมือนจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจไปหาเรื่องบุรินทร์ต่อ พวกเราขึ้นรถป็อบป้ายที่ใกล้ที่สุดไปลงสยาม ส่งบุรินทร์เลือกซื้อของสองสามอย่างกว่าจะเรียบร้อยถึงเวลากินก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า

“ไปเลยดีไหม หาข้าวกินที่โน่นเอา” ความจริงเราตั้งใจกันว่าเดินเล่นหาอะไรกินแถวนี้แล้วค่อยไปชิลต่อที่ร้านประจำแถวทองหล่อแต่เมื่อมันเลทมากแล้ววาเลยเสนอให้ไปกินที่ร้านคราวเดียวเลย ผมกับบุรินทร์ไม่มีปัญหา พวกเราสามคนเลยได้มานั่งชนแก้วพร้อมกับแกล้มเต็มโต๊ะอยู่ในร้านอย่างตอนนี้นี่แหละครับ ทุ่มกว่าจัดว่าเป็นเขตเวลาที่ยังหัววันอยู่มาก ทางร้านจึงเลือกเปิดเพลงเป็นจังหวะสโลว์น่าซบบรรเลงแผ่ว ๆ ก่อนจะค่อยเร่งจังหวะให้มันส์มากขึ้นตามระดับความดึกและแอลกอฮอล์ในเลือดของลูกค้า ผมเองก็เริ่มจะกรึ่ม ๆ เพราะซัดแข่งกันกับเพื่อนไปหลายแก้ว วาเองที่เห็นนิ่ง ๆ พอจะดื่มขึ้นมาใครก็หยุดไม่อยู่ เล่นเอาผมต้องยอมแพ้

“คุณ” บุรินทร์สะกิดไหล่ผมพอรู้สึก

“อะไร”

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ มันสั่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

“ช่างแม่ง ขี้เกียจคุย” บุรินทร์ทำปากยื่น น่าเอาแม็กซ์เย็บปากมันมากขอบอก

“ไม่คุยก็ปิดเครื่องไปสิ ปล่อยมันสั่นอยู่ได้ สะเทือนมาถึงตูดฉันนี่”

“หนอย ไอ้ตูดเซ้นส์ซิทีฟ มือถือสั่นแค่นี้ทำเป็นบ่น”

“ก็มันรำคาญ ไม่อยากคุยใช่ไหม งั้นเอามานี่ แด๊ดดี้จะคุยให้เอง”

“เฮ้ย อย่านะโว้ย” ผมกระชากมือถือมาจากไอ้คนมือไวแต่มันทำท่าว่าจะไม่ยอม บุรินทร์ล็อคคอผมกะว่ายังไงเสียยกนี้มันต้องชนะให้ได้ ผมร้องโวย เกือบจะแพ้แรงมันอยู่แล้วถ้าวาไม่ห้ามทัพไว้เสียก่อน เพื่อนผู้แสนดีของผมง้างแขนบุรินทร์ออก ยัดมือถือใส่ตักผมแล้วก็บอกเสียงดุ

“รับโทรศัพท์ซะไม่งั้นก็ปิดเครื่อง” โหย สุดท้ายวาก็เข้าข้างไอ้ตี๋นั่นแหละ

“อะไรกันนักหนา” ผมจิ๊ปากจิ๊คอใส่ทั้งสองคนให้เห็นว่ากูก็เริ่มวิบแล้วนะโว้ย! จากนั้นก็ฉวยโทรศัพท์ติดตัวมาเข้าห้องน้ำด้วย ผมเลือกห้องน้ำห้องแรกเป็นที่พึ่งชั่วคราว เข้าไปถึงก็จัดการพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ว่า
(งานยุ่ง ไม่ว่างคุยตอนนี้) หลังจากกดส่งข้อความไปเรียบร้อยแล้วผมก็นั่งรอว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่าอย่างไรแต่รอเกือบห้านาทีก็ไม่มีการตอบรับไม่ว่าจะเป็นทางใดทั้งสิ้นแถมยังเลิกโทรหาผมอีกด้วย

เออ พูดให้มันรู้ฟังมั่ง ผมถอนใจเฮือกใหญ่ เปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วก็เกือบผงะ ไอ้!!!!@#฿^%!!!! เอร๊ยยยยยย ใครบอกให้มันมาอยู่ตรงนี้วะ! “ไง งานยุ่งมากเลยหรือ” ผมถอยหลังกรูด หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเอาดื้อ ๆ ฮือออออ ใครช่วยบอกที ไอ้ที่เห็นว่ากำลังยืนหน้าเคร่งพิงอ่างล้างมืออยู่ตรงหน้าเนี่ยมันไมใช่ตัวจริงงง!

นอกจากจะไม่ช่วยให้คำร้องขอของผมเป็นจริงแล้ว จิณณ์ยังสาวเท้าเข้ามาใกล้เล่นเอาผมถอยยาวอีกรอบ ตอนแรกก็ว่าจะถอยกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อคกลอนเสียแต่สถานการณ์ตอนนี้มันคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินมาก่อน ถ้าเลือกที่จะถอยจริง อีกฝ่ายมักจะตามทันแล้วก็กลายเป็นว่าขังคนสองคนในห้องน้ำแคบ ๆ เพียงลำพัง ไม่ดี ไม่ควรเสี่ยง ผมเลยยืนลอยหน้า ทำเนียนเหมือนไม่แปลกใจที่เจอกันแล้วก็ค่อยเดินไปล้างมือทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระทึกอย่างกับมีคนมารัวกลองศึกอยู่ในอก กำลังลุ้นอยู่ในใจว่าหมอจะทำยังไงต่อก็เป็นอันต้องสะดุ้งสุดตัว

“มากับใคร” ผมครางฮือในคอ อย่าเอาหน้ามาใกล้ได้ไหม อึดอัดนะโว้ย

“กับเพื่อน วากับบุรินทร์ไง”

“ทำงานเสร็จแล้วหรือ”

“เกือบเสร็จแล้วล่ะ เหลือแค่พิมพ์ ขอบคุณมากนะ เรื่องรายงานน่ะ” ผมหมายถึงส่วนที่ผมทำไม่เสร็จแล้วจิณณ์ก็ทำมาส่งให้ถึงมือวาเมื่อเช้า อีกฝ่ายคลายสีหน้าเคร่งขรึมเป็นยิ้มจาง ๆ พยักหน้าให้ผมแล้วก็ตอบเสียงนุ่มไม่ต่างจากทุกครั้ง

“ไม่เป็นไร ฉันแค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไปล่ะ”

อ้าว

“เดี๋ยว พี่ พี่จะกลับแล้วหรือ”

“จะกลับแล้ว”

“แล้ว แล้วมาทำไม” พี่มันหันมามองเงียบ ๆ เล่นเอาผมร้อนวาบในท้องขึ้นมายกหนึ่ง เฮ้ย ๆ อะไรวะ จะมาออกฤทธิ์อะไรตอนนี้ ผมกลั้นใจมองต่อตาทั้งที่ร่างกายมันเริ่มทรยศพาลจะแข้งขาอ่อนตามหัวใจไปอีกประการ

“แค่อยากมาดูว่านายไม่ได้เป็นอะไร เห็นไม่รับโทรศัพท์ นึกว่าไม่สบาย อยู่กับเพื่อนก็ดีแล้วล่ะ ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” เออ มาแล้วก็ไป ตกลงที่ตามมาถึงที่นี่เนี่ยพี่มันแค่ต้องการมาทำตัวเป็นคนดีแล้วก็ไปใช่ไหมวะ จะได้เข้าใจ ผมมองตามแผ่นหลังมันไปจนสุดตาเหมือนนางเอกในละครไม่ผิด คิดไปคิดมาก็ไม่อยากให้ตัวเองทำตัวสาวให้เหมือนพวกนางเอกทั้งหลายเลยเดินส่ายอาด ๆ ตามไปจนทัน

“พี่จิณณ์” ตอนแรกผมคิดว่าพี่มันจะงอนแล้วก็วางฟอร์มหยุดเดินรอให้ผมโดยไม่หันมาเหมือนพระเอกนิยายแทบทุกเรื่องแต่จิณณ์กลับหยุดฝีเท้าหันกลับมาหาผมง่าย ๆ ซะงั้น ทั้งที่ผมคิดว่าการหนีของผมอาจจะทำให้พี่มันโกรธไม่มากก็น้อยแต่สีหน้ากับแววตาคู่นั้นกลับราบเรียบจนผมนึกเซ็ง ไม่สนุกเลยโว้ย

“พี่จะรีบไปไหนหรือเปล่า”

“เปล่า” คือว่านะพี่ มึงช่วยถามต่อหน่อยได้ไหมว่ากูอยากรู้ทำไม เล่นตอบสั้น ๆ แล้วเงียบแบบนี้ถึงจะหน้าด้านเป็นกิจวัติก็มีสิทธิ์ต่อไม่เป็นเหมือนกันนะ ผมนึกขอบคุณฤทธิ์เมรัยที่ดื่มเข้าไปเยอะพอควร มันทำให้ผมใจกล้าพอที่จะชวนอีกฝ่ายเสียงนุ่ม

“อยู่ด้วยกันก่อนไหม”

‘ว่าไงนะ?’ สีหน้าของคนฟังตอบผมว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่มันเข้าใจประโยคที่ผมพูดไปยังไงเพราะพอผมพูดจบจิณณ์ก็ขมวดคิ้วฉับแล้วก็ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดไม่จา

“ผมหมายความว่าพี่มาดื่มกับพวกเราสิ ผมจะได้ถือโอกาสนี้เลี้ยงตอบแทนที่พี่อุตส่าห์ช่วยเหลือไว้ตั้งหลายอย่าง” คราวนี้พี่ท่านสูดลมหายใจเข้า

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อยคุ้นกับสถานที่แบบนี้เท่าไหร่”

“หมายความว่าไง พี่ดื่มไม่เป็นหรือ”

“เป็นแต่ไม่ค่อยดื่มในที่แบบนี้”

“แล้วต้องดื่มที่แบบไหน”

“ที่ที่มีแต่คนสองคน”

โอเค จบข่าว! ผมผลักอกกว้างเต็มแรงเมา ไม่น่าซอกแซกถามมากจนวกเข้าหาตัวแบบนี้เลย ให้ตายสิเอ้า ไอ้คนพูดเองก็เหมือนจะรู้ว่าคารมของตัวทำให้ผมเก้อไปหลายวิมันเลยหัวเราะชอบใจจนผมยิ่งอายหนัก ผมขยับปากด่าอุบอิบ ไม่กล้าออกเสียงมากเดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามจะรู้ว่าภาพเก่าวันวานนั้นยังแจ่มชัดในหัวผม ตราบใดที่ผมยังหาคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางที่ผมจะแสดงให้อีกฝ่ายรู้หรอกว่าก้อนเนื้อตรงอกซ้ายของผมมันเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นริมฝีปากสีสดนั่น

“หน้าแดงหมดแล้ว” จิณณ์บอกเสียงอ่อน แตะ ๆ หลังมือกับข้างแก้มผมก่อนจะดีดหน้าผากผมแปะหนึ่ง “เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจดื่มเหล้า กลับบ้านได้แล้วไป”

“ใครเด็ก ผมจะยี่สิบปีนี้แล้ว”

“ถึงยี่สิบแล้วค่อยกลับมาดื่มดีกว่า ไปบอกเพื่อนไปว่าจะกลับแล้ว” นั่น แล้วก็รวบรัดให้ผมกลับบ้านจนได้ สั่งได้สั่งเอานะมึง

“ไม่เอา ผมมากับเพื่อนก็ต้องกลับกับเพื่อนสิ พี่นั่นแหละมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ผมไม่กลับด้วยหรอก” จิณณ์เม้มปากนิดหนึ่งก่อนจะพรูลมหายใจออก ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ใครก็ได้ช่วยบอกพี่มันหน่อยว่าการมายืนล้วงกระเป๋าแล้วก็หรุบตามองผมแบบนี้น่ะ มันตกองศาที่ทำให้พี่เขาหล่อมาก

ใจไม่แกร่งพออย่ามอง!

“กลับเถอะ” คราวนี้จิณณ์ออดเสียงนุ่มเป็นผลให้ผมฉุนกึก อะไรวะ! คนบอกไม่กลับ ๆ จะอยู่กับเพื่อนแล้วพี่มันยังจะอะไรอีก พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ผมตวัดตามองหน้าคนช่างตื๊อก่อนจะกระแทกเท้ากลับมาที่โต๊ะ ทั้งที่ผมหายไปตั้งนานสองนานแต่เพื่อนผู้ประเสริฐทั้งสองกลับไม่มีใครเอ่ยปากถามเลยสักคำ มองสีหน้ายิ้ม ๆ ของวาแล้วก็มองเลยไปทางบุรินทร์ เจ้านั้นยักไหล่ ซดเหล้าเข้าปากไปอีกรอบ


“ตกลงใครโทรมา”

“ไม่รู้” ผมตอบสั้น ๆ มองหน้าเพื่อนรักสลับกันก่อนจะค่อยดึงเป้มาสะพาย

“วา”

“ว่า?”

“กลับก่อนนะ” วากับบุรินทร์หัวเราะพรืด นึกแล้วว่าสองคนนี้ต้องรู้เห็นเป็นใจกับไอ้หล่อนั่น วาน่ะไม่ต้องสงสัยถือหางพี่จิณณ์เต็มร้อยแต่บุรินทร์นี่สิ ทุกทีผมไม่เคยเห็นมันจะตื่นเต้นกับไอ้คุณชายนั่นแล้ววันนี้มันอะไร ไม่ห้ามไม่หวงเพื่อนสนิทเลยหรือไง

“กลับดี ๆ ล่ะ เจอกันพรุ่งนี้ถ้านายไปไหว”

“ปาก” ผมเงื้อแก้วน้ำใส่มัน บุรินทร์หัวเราะร่าหลบไปซ่อนอยู่หลังวาแต่ยังไม่เลิกปากดี

“ฝันดีนะจ๊ะยาหยี ฝันถึงพี่ชายนะจ๊ะ”

“เออ คืนนี้จะฝันว่าโปรดสัตว์” จิณณ์ยืนรอผมอยู่ที่เดิม พอเห็นผมเดินไปหาพร้อมข้าวของคุณชายท่านก็ทำท่าจะคว้าไปถือไว้เอง ผมรีบเบี่ยงตัวหนีทันที

“ไม่ต้อง เป็นผู้ชายถือเองได้”

“ผู้ชายอะไรน่ารักขนาดนี้”

“ใจคอหน้าส้วมเนี่ยก็ยังจะจีบใช่ไหม ผมจะได้เตรียมใจว่าต้องเสียตัวให้พี่ในวันสองวันนี้แน่แล้ว” จิณณ์หัวเราะเสียงดัง ท่าทางพี่มันไม่เขินสักนิดที่ได้ยินผมพูดเรื่องห่าม ๆ ออกไปหน้าตาเฉย มืออุ่นแตะศอกผมแล้วดึงให้เดินตามไปทางลานจอดรถ รถคันเดิมจอดรออยู่ ผมนั่งได้ก็เหวี่ยงของที่ถือมาไว้เบาะหลัง กดหาเพลงฟังประหนึ่งว่าเข้ามานั่งในรถตัวเอง

“หิวหรือเปล่า แวะหาอะไรกินก่อนไหม”

“ตอนนี้ไม่หิว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อกลับเอาละกันนะ เผื่อหิวตอนดึก ไม่อยากเห็นคนหงุดหงิดเพราะความหิว” ผมจิ๊ปาก มองคนพูดตาขุ่น “ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งนั้นแหละเพราะผมจะกลับบ้านไม่ได้จะไปเข้าป่าที่ไหน ถ้าหิวก็ลงมาเปิดตู้เย็นแม่คงทำอะไรทิ้งไว้บ้างแหละ แต่ถ้าพี่กลัวหิวพี่ก็ซื้อกลับบ้านพี่ไปละกัน ไม่ต้องเผื่อผม”

“อ้าว” จิณณ์ละสายตาจากถนนมามองผมงง ๆ

“เราไม่ได้จะไปดูหนังที่บ้านฉันหรือ”

“ผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะไปดูหนังที่บ้านพี่”

“นายบอกเมื่อตอนเราทำรายงานด้วยกันที่บ้านฉันคราวที่แล้วไง พอรู้ว่าชอบดูหนังเหมือนกัน นายก็บอกว่ารอให้รายงานฉบับนี้เสร็จก่อนแล้วนายจะไปดูด้วย ฉันก็เก็บเรื่องที่อยากดูไว้รอนาย ตกลงลืมจริง ๆ หรือคุณภัทร” ผมเกาหัวแกรก คุ้น ๆ ว่าเคยพูดเรื่องดูหนังกับคนตรงหน้าแต่ไม่เห็นจำได้ว่าเคยไปทำสัญญาใจกับพี่มันไว้ด้วย พอเห็นผมกลอกตาไปมาจิณณ์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“โอเค ไม่เป็นไร ถือว่าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวสิ ก็คนมันจำไม่ได้จริง ๆ นี่นา”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“เฮ้ย พี่อย่าเพิ่งงอนสิวะ ให้ผมคิดก่อนว่าผมเคยพูดตอนไหน” จิณณ์ยิ้มแต่ผมว่ามันกระตุกปากมากกว่า ใบหน้าหล่อจัดหันไปสนใจแต่ถนนและไฟท้ายรถคันข้างหน้าทำให้ผมยิ่งไม่สบายใจ หรือผมจะเป็นฝ่ายลืมเองวะ

“ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง อย่าคิดมาก” คุณชายท่านยิ้มบอก น้ำเสียงจริงใจซะจนผมรู้สึกผิดวูบ สงสัยผมจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละ ช่วงนั้นมันเครียดเรื่องงานด้วยสมองเลยเบลอรับปากจิณณ์ไปแล้วก็ดันมาลืมเสียเอง ไม่ได้แล้ว ๆ ต้องรีบกอบกู้ชื่อเสียงด่วน

“งั้น แวะซื้อของกินก่อนได้ไหม ดูหนังดึก ๆ เดี๋ยวหิว” จิณณ์ไม่ตอบเป็นคำพูดแต่หันมาหรี่ตามองพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ หล่อได้อีกครับท่าน “มองถนนสิ แวะฟู้ดแลนด์ข้างหน้านี่แหละ ซื้อป็อปคอร์นไปอบด้วยนะ พี่อบ” จากอาจารย์พิเศษกลายเป็นพนักงานขับรถและในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะกลายเป็นพ่อครัวอีกตำแหน่งหนึ่ง

“พิซซ่า โคล่า ไก่ทอด อะไรอีกดี ช่างเถอะ เดี๋ยวเห็นก็คิดออกเอง พี่จ่าย” คำสุดท้ายผมหันไปบอกคนขับ ไอ้หล่อมันยกริมฝีปากยิ้มพลางบอกเสียงนุ่ม “เหมาทั้งร้านให้ก็ยังไหว”

พอเห็นผมอึ้งแม่งก็หัวเราะให้อีก

“รวยจังเลยยยยยย”

“ไม่ชอบหรือ” ผมส่ายหน้า ตอบอย่างซื่อตรงที่สุด

“ชอบ มีตังค์ใช้ใครจะไม่ชอบ เฮ้อ โลกนี้จะมีกี่คนนะที่มีกินมีใช้โดยไม่ต้องลำบากหา อยากเกิดมาบนกองเงินกองทองจัง”

“อยากรวยไปทำไม”

“ถามได้ ข้อดีที่เห็นได้ชัด ๆ ข้อแรกเลยก็คือถ้ารวยผมก็ไม่ต้องให้พี่เลี้ยงข้าวไงล่ะ”

“งั้นก็จนอยู่นั่นแหละ” พี่มันสรุปอนาคตของผมด้วยเหตุผลที่น่าต่อยที่สุดในจักรวาล จากนั้นก็ตัดบทด้วยการเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ร่างสูงดับเครื่อง คว้ากระเป๋าเงินแล้วก็ลงไปก่อน ผมกัดฟันกรอด แบบนี้มันจะดูหนังด้วยกันรอดไหมเนี่ย พอเปิดประตูตามลงไปเห็นจิณณ์เดินมารออยู่ใกล้ ๆ ก็เลยได้จังหวะถามออกไป

“แล้วเราจะดูเรื่องอะไร”

“เรื่องอะไร” นั่น ยังมีหน้ามาขมวดคิ้วใส่ผมอีก

“ก็หนังที่พี่บอกว่าเก็บไว้รอดูกับผมไงเล่า มันชื่อเรื่องอะไร” จิณณ์จุดยิ้มมุมปาก ดวงตาคมหวานพราวระยับในยามที่เจ้าตัวโน้มใบหน้ามาหาผมจนเกือบชิด

“La Belle” La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle
 
เธอ เขา...และรักของเรา

ห่านนนนนนนนนนนน ไอ้พี่จิณณ์! ไอ้เลว!


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



โปรดจิ้มดูตัวอย่าง La Belle >>> https://www.youtube.com/watch?v=6AQJAKIlruw (https://www.youtube.com/watch?v=6AQJAKIlruw)
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 03-11-2016 20:17:31
ขอไปมุดใต้โซฟารอดูหนังด้วยคนนะพี่จิณณ์
 :katai3: :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 03-11-2016 20:48:32
ะขาจีบกันอย่างเปิดเผย~ :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-11-2016 20:57:19
พี่จิณณ์ รุกหนักแล้ว
ตามคุณ ไปทุกที่เลย
วาคงเป็นคนส่งข่าวแน่เลย
คุณ ก็เริ่มใส่ใจพี่จิณณ์และ
ไม่อยากให้พี่จิณณ์ งอน
พี่จิณณ์ น่ารัก อบอุ่น ตามใจคุณสุดๆ เลย :mew1: :mew1: :mew1:
บุรินทร์ นี่แค่แกล้งคุณเท่านั้นนะ
แต่แกล้งแบบหอมแก้มคุณ นี่ชักแหม่งๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 03-11-2016 22:40:18
ชอบอะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-11-2016 00:12:40
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 04-11-2016 18:25:32
งื้ออออเค้าจีบกันเขินนน :hao7:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-11-2016 19:20:22
จีบกันน่ารัก 55
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-11-2016 20:59:19
ก็รู้ตัวนี้นา
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๐ P.3 3/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 04-11-2016 21:32:41
ตกลงคุณรู้ตัวใช่ไหมคะว่าเขาจีบ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๑ P.3 5/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 05-11-2016 12:23:32
ตอนที่ ๑๑   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






การเตรียมเสบียงของเราสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ผมเค้นคอพี่มันถามจนได้คำยืนยันที่แน่นอนแล้วว่าหนังที่เราจะดูนั้นไม่ใช่ไอ้เรื่องลาบงลาแบลอะไรที่มันแกล้งล้อผมเล่นแน่ ๆ นึกแล้วก็อยากฟันศอกใส่หน้าหล่อ ๆ นั่นนัก พวกคุณไม่เห็นสีหน้าผมตอนนั้นแต่ไอ้บ้าข้าง ๆ ผมนี่มันเห็นเต็มตาเพราะพอพูดจบมันก็หัวเราะลั่น หลุดมาดคุณชายก่อนจะทรุดลงนั่งกุมท้องหัวเราะเหมือนโดนพ่อแม่ห้ามหัวเราะมาทั้งชีวิตอย่างนั้น

ผมเกือบหวดหน้าแข้งรักษาอาการขำให้แล้วแต่ติดว่าผมอาจจะต้องพึ่งพิงมันอีกหลายงานเลยอดใจไว้ ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้านในโดยมีไอ้คนตัวสูงเดินยิ้มกริ่มตามมาไม่ห่าง เวลาแก้แค้นของผมมาถึงแล้ว ขวามือผมเป็นกองตะกร้าที่วางซ้อนกันไว้ ผมดึงขึ้นมาใบหนึ่งแล้วก็ยัดใส่มือเบ๊ประจำตัวแบบห้ามไม่ให้มีการปฏิเสธ

“ทำไมซื้อแต่ของขบเคี้ยว เลือกของที่มันมีประโยชน์กับร่างกายหน่อยสิ ขนมพวกนี้มันมีโมโนโซเดียมกลูตาเมทสูงนะ” คนที่ถือตะกร้าตามผมต้อย ๆ บ่นอุบ คราวนี้องค์คุณหมอลงครับ

“ของพวกนี้ก็มีประโยชน์ กินแล้วอิ่มท้อง ท้องอิ่มก็อารมณ์ดี อารมณ์ดีก็ส่งผลถึงสภาพจิตใจด้วย อารมณ์ดีจิตใจดีจะทำให้ไม่ขี้บ่น ประโยชน์เท่านี้พอหรือยัง”

“ว่าใครขี้บ่น”

“ไม่ได้ว่าใคร อยากรับก็หยิบใส่ตะกร้าไปสิ” คุณหมอท่านฟังแล้วก็ตบเท้าอ้อมมาขวางทาง อ้อ หน้านิ่งแล้วครับงานนี้ “สงสัย ฉันคงกำลังหลอกตัวเองว่าเป็นห่วงนายอยู่แน่ ๆ”

โฮะ!

“ขนาดนายยังไม่ห่วงตัวเองแล้วฉันที่เป็นคนอื่นจะไปห่วงนายได้ยังไง” พูดเสร็จก็เดินลอยชายไปที่อื่น ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่กับเสียงหัวเราะคิกคักของคุณป้าแม่บ้านแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ ทำคนอื่นอายแล้วยังหน้าด้านลอยหน้าลอยตาไปเลือกซื้อของได้อีกเรอะ!

“เชื่อพี่เค้าเถอะพ่อหนู พี่เค้าพูดก็ถูกนะ ของพวกนี้กินมากเกินไปมันก็ไม่ดีกับไตนะลูก” ครับ ขอบคุณครับ

“ใช่ เค้าเป็นห่วงถึงเตือน น่ารักจังเนาะเธอ” ครับ แล้วผมจะบอกพี่เค้าให้นะครับ

“นั่นสิ เห็นแล้วอิจฉาเด็ก คิ ๆ ๆ” ไม่ต้องงงง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรให้อิจฉา ป้าอย่าไปไกล ผมยิ้มหวานส่งให้คุณป้าทั้งสองแล้วก็วางถุงมันฝรั่งทอดกลับเข้าที่เดิม หึ ๆ ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ขอบคุณด้วยหัวใจ ผมจะนำไปปรับปรุงการดำเนินชีวิตต่อไปครับ

กวาดตามองหาเป้าหมายได้ผมก็เดินตรงเข้าไปหา จิณณ์กำลังยืนสนทนากับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ท่าทางกำลังออกรสได้ที่ ผมยืนมองแค่ไม่กี่วินาทีก็ยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปซุกหน้ากับแผ่นหลังมันแบบไม่ให้ตั้งตัว การปรากฏตัวของผมส่งผลให้เสียงหัวเราะเมื่อกี้เงียบกริบลงทันที!

“อยากกลับบ้านแล้ว” ผมบอกอู้อี้กับแผ่นหลังกว้างก่อนจะดึงตะกร้าในมือมันมาดูเหมือนมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นแถวนั้น

“พี่เลือกของเสร็จหรือยังอ่ะ” คิ้วคมย่นนิด ๆ แต่จิณณ์ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอาการประหลาดของผม ไอ้หล่อมันแย่งตะกร้าไปถือแล้วก็ขยับออกห่างผมเสียก้าวหนึ่ง

“เรียบร้อยแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกไหมล่ะ” ผมทำเป็นมองไม่เห็นว่าอีกคนพยายามจะถอย งานนี้พี่มันทำให้ผมอายคุณป้าสองคนนั้นได้ผมก็ทำให้มันอายสาว ๆ ได้เหมือนกัน ทุกคนเลยได้เห็นผมทำหน้าเง้า ยกมือสีตาด้วยท่าทางน่ารักเต็มที่ มึ้งงงง เล่นกะใครไม่เล่น พ่อจะเอาให้มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ได้อีกเลย

“ฮึ! เราง่วงนอนแล้วอ่ะ”

“ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่รู้” สบายดีแต่ตอนนี้อยากแกล้งคน มีอะไรไหมมมม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรไปได้” จิณณ์หันไปบอกกลุ่มนั้นยิ้ม ๆ แล้วพี่มันก็ถือโอกาสโอบผมออกมา ผมหันไปมองข้างหลังแล้วก็เงยมองคนข้างตัว ตกลงผู้หญิงพวกนั้นเป็นใคร ทำไมจิณณ์ถึงให้โทรไปหาได้ เอ๊ะ หรือไอ้หล่อมันจะแอบแจกเบอร์สาวไปโดยที่ผมไม่ทันเห็น

“พวกนั้นเป็นใครน่ะ” ผมถามพร้อมกับหนีบเอามือใหญ่ออกจากไหล่ จิณณ์ทำเสียงหึในคอ วางตะกร้าให้แคชเชียร์แล้วจึงตอบข้อสงสัยของผมพร้อมรอยยิ้มเย็น

“เพื่อนที่คณะ”

“เพื่อน!”

“ใช่ พอใจหรือยัง ได้เปิดตัวไปแบบนั้น”

“เพื่อนยังไง? เพื่อนแบบเพื่อนจริง ๆ เพื่อนที่ไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างนั้นหรือ” ซวยหมาแล้ว ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ “พวกนั้นเรียนสถาปัตย์ปีเดียวกับฉัน เป็นรุ่นพี่นายทั้งหมดนั่นแหละ ไม่คุ้นหน้าเลยหรือคุณภัทร”

“...แล้ว...แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม!”

“จะให้บอกตอนไหนล่ะ ไปถึงก็อ้อนเอา ๆ ฉันจะสนใจเรื่องอะไรได้อีก” ผมพูดไม่ออก ในหัวนึกภาพตัวเองกำลังลงไปนอนกลิ้งทึ้งผมตัวเองอย่างไร้สติ อีเหี้ยยยยยยยยยย พวกนั้นเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แล้วที่ผมทำไปเมื่อกี้ ภาพตัวเองเกาะแขนเกาะขาอ้อนไอ้พี่จิณณ์เหมือนเบบี้บอยระดับชาติฉายซ้ำเข้ามาในหัวทีละช็อต ทีละช็อต น่าอายไหมคุณภัทร นัวเนียไปขนาดนั้นพวกพี่เค้าจะคิดยังไง หมด...หมดกันชื่อเสียงที่สั่งสมมา พรุ่งนี้ข่าวผมเป็นเด็กในคอนโทรลไอ้หล่อไม่กระฉ่อนไปทั่วสถาปัตย์เลยหรือเนี่ย ผมครางเสียงอ่อย มองหน้าตัวต้นเหตุแล้วก็ฉุนกึก

“ไม่ต้องมายิ้มเพราะพี่นั่นแหละพลอยทำให้ผมซวยไปด้วยเลย”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ก็พี่...ไม่รู้ล่ะ เพราะพี่นั่นแหละ พี่คนเดียว แม่ง ซวยฉิบ...” คำสุดท้ายผมอุบอิบในคอเพราะไอ้คนที่กำลังส่งแบล็คการ์ดให้แคชเชียร์มันปรายตามองมาก่อนผมจะทันหลุดออกคำสรรเสริญกันให้ชื่นใจ ไม่น่าเลยผม จะแกล้งมันคืนดันไม่ดูหน้าดูหลังแทนที่จะได้หัวเราะสะใจอย่างมาดแมนกลับต้องมานั่งคร่ำครวญ ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ ๆ


ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้าน ไม่ได้โกรธจิณณ์จริงจังหรอกออกแนวเซ็งความเซ่อซ่าของตัวเองมากกว่า พอเริ่มทำใจได้จิณณ์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าบ้านผมพอดี ผมหันไปมองหน้าคนขับแบบไม่เข้าใจ ก็ไหนพี่มันบอกจะให้ผมไปดูหนังเป็นเพื่อนพอผมตกลงใจแล้วทำไมถึงพาผมมาส่งบ้านหน้าตาเฉยหรือจิณณ์จะโกรธที่ผมทำให้เพื่อนกลุ่มนั้นเข้าใจผิด

“เป็นอะไร”

“เปล่า ขอบคุณที่มาส่ง” ผมบอกเสียงแผ่ว ความรู้สึกไม่สบายใจแล่นพล่านไปทั้งเนื้อทั้งตัวเมื่อคิดว่ากำลังทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ พอผมหันไปค้นเอาข้าวของที่เบาะหลังจิณณ์ก็คว้าแขนผมหมับ

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครมาส่งนาย”

“พี่ไง”

“เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็ซึม ใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรือ” ไม่มีใคร ผมทำตัวผมเองพอใจหรือยัง ทำตัวเองเซ็งแล้วยังไม่พอยังมาโดนเมินอีก มันใจเสียนะโว้ย ผมไม่ตอบจิณณ์ก็ไม่บังคับ มืออุ่นรั้งแขนผมให้นั่งลงที่เดิมแถมยังทำท่าจะเสยผมให้อีกรายการ ผมหันหน้าหนี ยกมือกั้นสัมผัสอ่อนโยนไว้ก่อนฮอร์โมนสาวน้อยในตัวจะทำงานหนักกว่าเดิม

“เครียดเรื่องเพื่อนฉันหรือ” ผมส่ายหน้าแต่จิณณ์ไม่ยอมเชื่อ “อย่าเครียดเลย พวกนั้นไม่เอาไปพูดหรอก กลุ่มนี้ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ฉันรับรองได้ แต่ถ้านายยังไม่สบายใจเดี๋ยวฉันจัดการให้”

“จัดการยังไง” จิณณ์ยิ้มบาง

“ก็บอกพวกเค้าไปตามตรงว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน แล้วที่เห็นน่ะก็เป็นเพราะนายต้องการจะแกล้งฉัน โอเคไหม”

“ถ้าพวกเค้ายอมเชื่อมันก็โอเค”

“โอเคสิ ถ้าสบายใจแล้วก็ลงไปได้ เดี๋ยวจะดึกเกิน” ผมแทบสะอึก คุยกันจนเข้าใจแล้วมันยังจะให้ผมลงอีกหรือ ตกลงพี่จิณณ์ทำให้ผมหายเคืองแต่ตัวมันยังไม่หายใช่ไหม ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอื้อมมือไปคว้าเป้เป็นรอบที่สองแต่จิณณ์ก็รั้งแขนผมไว้เป็นครั้งที่สอง

“จะเอาเป้ลงไปทำไม”

“ถ้าไม่เอาไปจะทิ้งไว้ให้รกรถพี่หรือไงล่ะ”

“แค่ลงไปเอาเสื้อผ้าจะเอาลงไปด้วยทำไม” ผมชะงัก หันมามองหน้าคนพูดช้า ๆ เมื่อกี้ว่าไงนะ “หรือนายจะใส่เสื้อผ้าฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไปเอา”

ผมเกาหัวแกรก กลอกตาไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ เปิดประตูลงรถเป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องชายตัวแสบเดินออกมาดูหน้าบ้านพอดี เจ้าคีย์ทำหน้าสงสัยพอเห็นจิณณ์เดินตามผมเข้าไปด้วยมันก็หัวเราะขลุกขลักในคอ ทักทายแขกด้วยท่าทางที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน พอผมโผล่หน้าเข้าไปแม่ก็ตรงรี่เข้ามาหาจับผมหอมแก้มซ้ายขวา ไม่ได้ดูสักนิดว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากคนในครอบครัวตามหลังผมมาด้วย

“คิดถึงจังลูก ทำไมวันนี้กลับค่ำ” ลืมบอกไปว่าแม่เค้าไปเที่ยวกับพ่อมาหลายวัน ผมยื่นหน้าให้แม่จูบจนพอใจแล้วจึงหันไปมองคนที่มาด้วยกันพลอยให้แม่ต้องมองตาม

“อุ้ย เพื่อนพี่คุณหรือจ๊ะ”

“สวัสดีครับ ผมจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ครับ” มารยาทงาม รูปงาม นามไพเราะ ไม่ต้องบอกว่าพี่มันจะโกยคะแนนจากแม่ผมไปแบบท่วมท้นแค่ไหน คุณนายทิพปภายิ้มหวาน

“สวัสดีจ้ะ พี่คุณจะพาเพื่อนมาค้างบ้านหรือลูก งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมที่นอนให้นะ”

“ไม่ใช่ครับแม่ คืนนี้ผมจะไปนอนบ้านพี่จิณณ์ นัดกันไว้ว่าจะดูหนังด้วยกัน” พอได้ยินผมบอกอย่างนั้นไอ้น้องตัวแสบที่นั่งอยู่หน้าทีวีก็หัวเราะก๊ากออกมาอีกรอบ มันยักคิ้วใส่ผมแล้วก็หันไปหัวเราะคึก ๆ กับภาพในจอต่อ แหม ไม่ได้ใกล้ชิดกันแค่ไม่กี่วันทำตัวอ้อนตีนขึ้นเยอะเลยน้องรัก

“พ่อล่ะครับ”

“ยังไม่กลับลูก มาถึงก็ออกไปบริษัทเลย”

“งั้นผมขึ้นไปเอาเสื้อผ้านะครับ พี่จะ...ขึ้นไปด้วยกันไหม...” ตอนแรกผมนึกว่าจิณณ์จะรีบตามขึ้นไปด้วยแต่ปรากฏว่าไม่ ไอ้คุณชายมันยิ้ม ตอบเสียงอ่อนเสียจนผมขนลุกซู่

“ไปเถอะ ฉันขออยู่คุยกับคุณน้าก็แล้วกัน ได้ไหมครับ” แหมะ โดนลูกอ้อนคนหล่อไปขนาดนั้นไม่ได้ก็แย่แล้ว ผมทิ้งให้จิณณ์อยู่กับแม่และคีย์ไม่ถึงสิบนาทีก็รีบวิ่งลงมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบเก่ง พอเห็นผมคีย์มันก็พยักเพยิดให้แม่หันมามอง บอกด้วยเสียงไม่เบานัก

“คราวนี้แม่เชื่อหรือยัง”

“น้องคีย์ก็พูดไปเดี๋ยวก็โดนดีหรอก”

“ก็ผมบอกแม่แล้ว ใช่ไหมพี่จิณณ์” จิณณ์มันยิ้มอย่างเดียว ผมมองคนนั้นคนนี้แต่ไม่มีใครให้ความกระจ่างในหัวข้อที่กำลังพูดกับผมสักคน แม่มองหน้าผม มองหน้าจิณณ์แล้วก็หันมามองผมอีก

“มีอะไรครับแม่”

“พี่คุณเป็นแฟนกับพี่จิณณ์หรือลูก” พรวด! น้ำหวานที่ผมเพิ่งแย่งมาจากมือเจ้าคีย์พุ่งพรวดใส่หน้าเจ้าของเดิมของมันแบบยั้งไม่อยู่ ผมไม่สนใจน้องชายที่ร้องเหมือนโดนน้ำกรดสาด ตวัดตามองหน้าหล่อ ๆ ของไอ้คุณชายทันที ใครมันปากหมาบอกแม่ไปงั้นวะ!

“ฉันไม่ได้พูดอะไร”

“แล้วเมื่อกี้แม่พูดอะไร”

“แหม ก็แม่อยากรู้ ปกติพี่คุณไม่ค่อยไปนอนค้างนอกบ้านแถมช่วงนี้ก็ไปบ้านพี่จิณณ์บ่อย ๆ พอน้องคีย์พูดแม่ก็คิดสิลูก” อ้อ ผมลืมบอกไปอีกอย่าง สาววายครับ แม่ผมเป็นสาววายเต็มขั้น ตั้งแต่ผมโตมาเห็นลูกชายตัวขาวปากแดงเอวบางร่างเล็กเข้าหน่อยแม่ชอบลืมตัวว่าหน้าตาผมมันเน้นไปทางหล่อมากกว่าสวย ชอบคิดอะไรเป็นการ์ตูนแบบไม่ห่วงอนาคตของตระกูลปัทมวรกุลเลย

“ผมไปนอนบ้านพี่มันแค่สองครั้งเองนะแล้วก็ไปเพราะเรื่องงานด้วย”

“อ้าว ตกลงไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกหรือคะ”

“ไม่ได้เป็นครับ” ผมตัดบทแบบไม่เหลือเยื่อใย วันนี้มันอะไรเนี่ย เริ่มจากเพื่อนรักสองคนที่เปิดทางให้เสียจนน่าเกลียด คุณป้าผู้หวังดีในฟู้ดแลนด์ กลับมาบ้านยังมาเจอแม่กับน้องชายถามเรื่องแปลก ๆ ให้อีก ผมเข้าใจนะว่าประเทศเราให้อิสระกับการเลือกคู่ครองมานาน ไม่ว่าชายหญิง ชายชาย หญิงชาย มันก็เป็นเรื่องปกติเสียแล้วในบ้านเมืองนี้แต่ผมน่ะ นายคุณภัทร ปัทมวรกุล เคยมีสักครั้งหรือที่ผมประกาศตัวเองว่าชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่เคย ผมแมนมาตลอด ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่จำความได้ แม่กับน้องชายมาด่วนฟันธงตัดสินอนาคตของผมแบบนี้ได้ไง

“เราเป็นเพื่อนกันน่ะครับ คุณภัทรเขา...ไม่ได้ชอบผมแบบนั้น” พอเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้นคุณนายทิพปภาก็พยักหน้ารับซื่อ ๆ ดูจากแววตาแล้วคาดว่าเธอคงแอบหวังในตัวคุณชายรูปงามอยู่ไม่น้อย ผมชำเลืองมองจิณณ์ พี่มันก็ชำเลืองมองมาแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวจริง ๆ

เออ งอนกูอีก

จิณณ์เอ่ยลาครอบครัวผมแล้วก็ฉวยเอาเป้ไปช่วยถือ มืออีกข้างมันจับข้อมือผมลากออกมาจากบ้านโดยที่ผมเองก็ไม่กล้าจะสะบัดต่อหน้าแม่กับน้อง ได้แต่มองตามแผ่นหลังคนตัวสูงอย่างสับสน ใครก็ได้บอกผมหน่อยว่าไอ้พี่จิณณ์มันเป็นด๋อยอะไรไปอีก



บรรยากาศขาไปบ้านจิณณ์ผิดกับตอนที่เราออกมาจากร้านสะดวกซื้อราวฟ้ากับเหว พ่อคนดีของแม่ผมมันเก็บปากเก็บคำเงียบ ไม่ชวนคุย ไม่ยิ้มให้เหมือนโดนผีปิดปากไว้ ผมเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยไม่ได้ถามไถ่ปล่อยมันเงียบจนถอยรถเข้าจอดเรียบร้อย

รถจอด จิณณ์ดับเครื่อง เราสองคนเงียบ

ถ้าถามถึงความรู้สึกผมตอนนี้ ถ้าเป็นทุกทีผมคงหงุดหงิดใจที่พี่จิณณ์มันทำตัวงี่เง่าให้ผมอารมณ์เสียแต่คราวนี้มันแปลกไป ผมบอกไม่ได้เต็มปากว่าผมกำลังขุ่นใจเพราะอีกฝ่าย ตรงกันข้าม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งทำเรื่องไม่ดีมายังไงไม่รู้ มันไม่สบายใจมาตั้งแต่ได้ยินเสียงจิณณ์แก้ต่างกับแม่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ไอ้ความรู้สึกอึดอัดในใจมันก็ยังไม่ยอมหายไป ผมเป็นอะไรไปแล้ว

“จิณณ์” จิณณ์หันมามองผม เลิกคิ้วนิด ๆ

“พี่โกรธผมหรือเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไร” เอาใหม่ เปลี่ยนคำถามให้มันเข้าท่าหน่อยดีกว่า

“ผมทำให้พี่รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า” จิณณ์นิ่งคิด กลอกตามองนอกรถ มองพวงมาลัย มองรถคันอื่น มันมองแม่งทุกอย่างตอนที่กำลังหาคำตอบให้ผม อย่างเดียวที่ไม่มองคือหน้าคนถาม ผมขยับตัวหันหน้าไปมองบ้าง คราวนี้จิณณ์ถอนใจยาว

“ฉันรู้สึกไม่ดีเพราะตัวฉันเอง”

“ทำไม ไปทำอะไรมา”

“เพราะฉันคาดหวังมากเกินไป พอลืมตามองความจริงแล้วรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉันเลยเสียใจ” ตรงมาก ซื่อตรงอย่างที่สุด รู้สึกอย่างไรเล่นบอกแบบไม่มีกั๊ก ผมได้แต่เก็บคำเงียบ จิณณ์ไม่ได้บอกหรอกว่าเขาคาดหวังกับเรื่องอะไรถึงทำให้เสียใจมากขนาดนี้ แต่บางทีนะ บางทีผมอาจเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยก็ได้

“บางที สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงอย่างที่สุดก็ได้”

“หมายความว่าไง”

“ไม่รู้อ่ะ” อย่าให้ขยายความเลย

“คุณภัทร” มืออุ่นคว้าข้อมือผมหมับแต่ผมก็ดึงกลับทันทีเหมือนกัน เรื่องอะไรจะยอมให้ได้ใจกันง่าย ๆ จิณณ์มองผมเหมือนไม่คิดจะทำอะไรต่ออีกแล้วในชาตินี้ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เคาะรถเร่งให้พี่มันรีบตามลงมาจะได้ดูหนังกันเสียที

“เอาของหลังรถลงไปด้วยไหม” หมายถึงหนังสือกับแฟ้มของผม

“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้ใช้อะไรนี่”

“คุณมาถือการ์ดกับกุญแจหน่อย ฉันจะถือเสบียงพวกนี้” เสบียงที่ช่วยกันขนออกมาจากร้านตอนเลือกเหมือนหยิบมาแค่สองสามอย่าง ตอนจ่ายเงินก็ไม่ได้สังเกตแถมตอนขนขึ้นรถจิณณ์ก็จัดการเองหมด มารู้ว่ามันเยอะจนต้องหิ้วเต็มสองมือก็ตอนที่เห็นอีกคนเปิดท้ายรถนี่แหละ

“จะกินหมดไหมเนี่ย”

“กินไม่หมดก็เก็บไว้กินคราวหน้า มันไม่เสียหรอก”

“คราวไหนอีกล่ะ ใกล้จะสอบแล้ว กว่าจะได้มาคงอีกนาน” จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม มองตัวเลขในลิฟต์แล้วก็เสนอทางออกด้วยวิธีที่เบสิกที่สุดในโลก “งั้นคราวนี้ก็อยู่นาน ๆ เลยแล้วกัน กินของที่ซื้อมาให้หมด ไม่หมดก็ไม่ต้องกลับ”

และแล้วคุณชายจิณณ์ก็กลับมาอารมณ์ดีในที่สุด น่าแปลกที่คำพูดของผมแค่ไม่กี่คำมีผลกับอีกคนมากขนาดนี้ ต่อไปนี้จะพูดอะไรสงสัยผมจะต้องระวังเสียหน่อยแล้ว ไม่อยากมานั่งรู้สึกผิดแล้วก็ต้องง้อให้ใครได้ใจแบบนี้อีก ผมเข้าห้องได้ก็ตรงรี่เข้าไปในครัวลากเก้าอี้มานั่งเท้าคางมองเจ้าถิ่นรื้อของออกจากถุงทีละใบ ทีละใบ อีกไม่กี่นาทีผมก็จะได้นอนกินของอร่อย ๆ มีความสุขดีแท้ จิณณ์หยิบของออกจากถุงไปก็ชำเลืองมองผมไป

“มองอะไร”

“ทำไม มองไม่ได้หรือไง” โห คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าพี่มันแอบค่อนความขี้เกียจของผมอยู่

“มองมากเดี๋ยวเก็บตังค์นะเว่ย”

“พูดไม่เพราะเลย”

“พี่จ๋า ถ้าพี่มองมาก หนูขอเก็บตังค์ค่ามองนะจ๊ะ” เอียงคอไปทางซ้ายสักนิด ลากเสียงให้มันน่ารักน่าเอ็นดูสักหน่อย ถึงจะทุเรศตัวเองอยู่บ้างแต่ก็คุ้มที่ทำให้จิณณ์เงียบปากลงไปได้ หมอนั่นยัดของกินที่ซื้อมาเข้าเก็บในตู้ แยกของแห้งเอาไว้ข้างนอกแล้วก็ทำหน้าตกใจเสียจนผมตกใจตาม

“อะไร?” จิณณ์ไม่ตอบหันไปเทน้ำเย็นใส่แก้วแล้วก็เอามาวางให้

“ขอโทษที มัวแต่จัดของ”

“โธ่ แล้วก็ทำหน้าซะตกใจ นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก”

“ก็กลัวว่าจะหิวน้ำ เห็นพูดไม่หยุดมาตลอดทาง” ผมมองตาขวาง ไม่อยากจะเถียงเดี๋ยวจะหาว่าผมพูดมากอีกเลยซดน้ำเป็นการระงับใจตัวเอง คราวนี้ถือว่าพี่มันพูดเพราะเป็นห่วง ผมจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป จิณณ์จัดของเรียบร้อยแล้วก็หันมาถามผม

“จะอาบน้ำเลยไหม” ยังกะโรงเรียนอนุบาลเล่นมาเหนื่อย ๆ ก็ให้อาบน้ำนอน

“ยังไม่อยากอาบตอนนี้อ่ะ ค่อยอาบหลังกินข้าวได้ไหม”

“อาบก่อนดีกว่าจะได้สบายตัว” วะ แล้วพี่จะถามความเห็นผมทำแป๊ะอะไร

“แต่ผมหิวแล้ว”

“เพิ่งไปกินกับแกล้มกับพวกวาไม่ใช่หรือไง” อุตส่าห์เอาเรื่องท้องไส้มาอ้างก็ยังดันรู้ทันอีก พอผมทำท่าจะเถียงพี่มันก็ก้าวออกไปจากห้องครัว หายไปในห้องนอน กลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูและเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้ม จิณณ์ยื่นให้ผมที่ตอนนี้ย้ายตัวเองมานอนแผ่อยู่ตรงพื้นหน้าทีวีจอยักษ์

“ไปอาบน้ำก่อน”

“อีกสิบนาทีได้ไหม”

“ไม่ได้”

“ผมยังไม่หายเหนื่อยเลย”

“เพิ่งกลับมาจากข้างนอกจะมานอนได้ยังไง สกปรก” จิณณ์พูดถูกทุกอย่างผมไม่เถียงแต่ก็เล่นวิธีดื้อเงียบ นอนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เจ้าของห้องพูด วินาทีต่อมาเลยโดนยักษ์ใหญ่ลากไปทิ้งไว้ในห้องน้ำพร้อมผ้าสีน้ำตาลกองหนึ่ง

“เดี๋ยวจะออกไปเตรียมของกินไว้ให้ นายอาบน้ำเสร็จก็พอดีได้กิน”

“เผด็จการ!”

“พูดง่าย ๆ จะได้โตไว ๆ” มันยิ้มบอก ดึงเอาผ้าขนหนูกับเสื้อคลุมไปแขวนไว้ให้เสร็จสรรพ โดนมัดมือชกขนาดนี้แล้วผมก็ขี้เกียจจะทำตัวไร้สาระกับคุณชายมันอีก มากไปก็ไม่ดีเดี๋ยวจิณณ์จะหาว่าผมปัญญาอ่อน อีกอย่างถึงจะดื้อหัวชนกำแพงยังไงสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้หน้าหล่อ ๆ ของมันอยู่ดี เก็บแรงไว้ป้องกันตัวคืนนี้ดีกว่า

“พี่เปิดน้ำให้หน่อย” จิณณ์ยิ้มเหมือนเป็นรางวัลให้เด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เริ่มสอนผมใช้อ่างน้ำวนนั้นอีกครั้ง






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:


((ทำไมไม่ให้พี่จิณณ์อาบน้ำให้เลยล่ะคะพี่น้องคุณ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๑ P.3 5/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-11-2016 13:21:24
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๑ P.3 5/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-11-2016 18:46:20
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๑ P.3 5/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 06-11-2016 19:52:47
น่ารักมากคับน้องคุณเป็นเด็กขี้อ้อน จิณณ์ดูเป็นผู้ใหญ่มากกก
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๑ P.3 5/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 06-11-2016 23:10:30
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 08-11-2016 22:07:03
ตอนที่ ๑๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






กลิ่นหอมของป็อบคอร์นลอยเข้าจมูกทันทีที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ตามกลิ่นมันไปจนถึงห้องครัวก็เห็นคนตัวสูงกำลังยกชามแก้วใบโตมาตั้งตรงโต๊ะกลาง ผมเปิดยิ้มกว้าง คว้าข้าวโพดคั่วอบเนยเข้าปากแล้วก็ต้องร้องจ๊าก


“ร้อน!” จิณณ์รีบยื่นทิชชู่มารองใต้คางผมก็คายแหมะใส่มือใหญทันที หงื่อออ ลิ้นพองไปหมดแล้ว


“อ้าปาก” ผมเปิดปากกว้าง

“แลบลิ้นซิ” แลบลิ้นให้ดูอย่างว่าง่าย จิณณ์ทำหน้าเครียดแตะคางผมเงยขึ้นก่อนจะจิ๊ปาก ผมนั่งลิ้นห้อยปล่อยน้ำลายไหลยืด ได้แต่ทำหน้าบู้กลอกตามองมันเดินกลับไปกลับมาในครัวเพราะแสบลิ้นจนไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ของมันร้อนหยิบดูก็น่าจะรู้” ก็คนเพิ่งอาบน้ำมา มือมันเย็นจนไม่รู้ว่าเป็นของร้อน ใครจะรู้ว่าพอแตะลิ้นแล้วมันจะร้อนจัดขนาดนี้

“เกิดลิ้นพองเป็นแผลขึ้นมา กินข้าวไม่อร่อยไปเป็นอาทิตย์แน่” บ่นจังเลยยยย ผมกระแทกลมหายใจปล่อยคนขี้บ่นอยู่คนเดียวในครัวแล้วก็เดินออกมาหยิบเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำอีกรอบ ชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทำให้ไม่รู้สึกหนักตัวเหมือนเสื้อคลุมสีน้ำตาลเมื่อครู่ ผมแขวนมันไว้ในห้องน้ำเดินออกมาอีกทีจิณณ์ก็ยกของกินมาวางไว้หน้าทีวีแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเบาะนุ่มแต่พอจิณณ์ทักขึ้นมาว่า “เป่าผมให้แห้งก่อน” ผมก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง กลัวจะโดนอย่างคราวที่แล้วอีกเลยกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ไดร์เป่าผมอันเดิมวางอยู่หน้ากระจกบานสูงตอนแรกตั้งใจจะเป่าในห้องน้ำนั่นแหละแต่เจ้าของห้องมันดันนึกอยากอาบน้ำตอนนั้นขึ้นมาพอดีผมเลยอัปเปหิตัวเองออกมานั่งเป่าข้างนอก ถึงห้องน้ำหรูของจิณณ์จะแยกโซนเปียกโซนแห้งออกจากกันแต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงอยู่ด้วย เกิดเห็นคุณชายท่านแก้ผ้าอาบน้ำแล้วห้ามใจตัวเองไม่ได้ขึ้นมา ไม่รู้ใครจะแย่ เป่าผมไปก็คิดอะไรไปเพลิน ๆ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีมือมาแย่งไดร์ไปจากมือแล้วจมูกโด่งเป็นสันก็ซุกมาบนหัวผม(จนได้)

“หอมแล้ว” ผมหลับตาอย่างอ่อนใจ อุตส่าห์หนีมาเป่าคนเดียวยังจะตามมาทำประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอยอีก ถีบให้สลดสักทีดีไหมเนี่ย

“เป่าให้แห้งไม่ได้เป่าให้หอม”

“เป่าให้หน่อยสิ”

“ไม่ จะนอน” จิณณ์แกล้งถอนใจเมื่อผมล้มตัวลงนอนอีกรอบ แล้วพอผมไม่ยอมทำให้พี่มันก็วางไดร์ทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ยอมเป่าเอง ปล่อยให้น้ำหยดแหมะ ๆ จากปลายผมอยู่นั่น ผมพลิกตัวหันหลังไปเจอตุ๊กตารูปลิงหน้าแป้นตัวหนึ่งก็คว้ามันมาตบต่อย ๆ แก้เบื่อ

“ไปทำมันทำไม มันเจ็บนะ”

“มันชื่ออะไรน่ะ”

“คุณ” ผมคิ้วกระตุกขณะที่อีกคนยิ้มชื่น

“ชื่ออะไรนะ”

“คุณภัทร”

“ลิงบ้านพี่สิชื่อคุณภัทร! แล้วชื่อผีตายในหลุมมีอีกเป็นร้อยเป็นพันทำไมไม่เอามาตั้ง เอาชื่อผมไปตั้งทำไม” จิณณ์ยักไหล่ ดึงเจ้าลิงน้อยไปจากมือผมแล้วก็จูบไปฟอดใหญ่ “ก็อยากให้ชื่อนี้”

“เปลี่ยนเดี๋ยวนี้”

“ไม่เปลี่ยน เออ เห็นดีวีดีที่วางอยู่ตรงนี้ไหม” เปลี่ยนเรื่องซะจนผมตามแทบไม่ทัน เห็นจิณณ์มองไปรอบ ๆ ก็เลยมองตาม ไม่เห็นจะมีอะไรที่พอจะระบุได้ว่าเป็นดีวีดีหรือใกล้เคียงดีวีดีเลย จิณณ์ว่าแล้วก็ลุกเข้าไปในห้องนอนแล้วก็ถือกล่องสี่เหลี่ยมบาง ๆ กลับมาด้วย ผมลุ้นแทบตายกลัวว่ามันจะเปลี่ยนใจเอาหนังเรื่องนั้นมาให้ดูจริง ๆ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่พอเห็นหน้ากล่องผมก็ถอนใจ โล่งอก

“ทำไม ผิดหวังหรือ”

“ผิดหวังบ้าอะไรล่ะ หนังเรื่องนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากฉากนั้นทั้งเรื่องแถมดูจนเวียนหัวก็ยังตีความสัญลักษณ์ในเรื่องได้ไม่หมด ถ้าพี่จะดูก็ดูคนเดียวเพราะผมไม่อยากดู”

“แล้วชอบฉากไหนที่สุดล่ะ”

“บนโต๊ะกินข้าว” ผมตอบแล้วก็ฟาดหมอนใส่ไอ้คนหลอกถามเต็มหลัง พอจิณณ์หัวเราะหนักเข้าผมก็พลอยหัวเราะตามมันไปด้วย จบเรื่องหนังเจ้าปัญหาไปได้จิณณ์ก็แกะหนังใหม่ออกมาเปิด ร่างสูงถอยมาอยู่ข้างผม จิณณ์หยิบหมอนใบใหญ่หลายใบมาซ้อนกันเอาไว้รองหลังและศอก ผมที่นอนราบไปกับเบาะเลยได้แต่เงยหน้ามองคางพี่มันตาปริบ ๆ หนังเริ่มเรื่องจิณณ์ก็กดรีโมทอะไรไม่รู้สองสามครั้งไฟในห้องก็ค่อยหรี่ลงจนเหลือแต่แสงสีอ่อนจาง ๆ

“โห อย่างกะโรงหนังส่วนตัว”

“จะได้รู้สึกเหมือนดูในโรงหนังอยู่ไง”

“โรงหนังที่ไหนเค้าจะให้นอนเหยียดแข้งเหยียดขาดูแบบนี้เล่า”

“ก็ที่นี่ไง มีของกินให้ด้วยนะ” เจ้าของห้องบอก หยิบข้าวโพดอบเนยที่ยังอุ่นอยู่ใส่ปากตัวเองแล้วก็เลยหยอดใส่ปากผมด้วย ผมขยับตัวให้นอนสบายขึ้น ตาก็จับจ้องที่ภาพหิมะขาวโพลนในจอก่อนจะยิ้มอย่างถูกใจเมื่อเห็นเจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้กับอลาสกัน มาลามิวท์เจ็ดแปดตัวกำลังสลัดหิมะออกจากขนของตัวเอง

“เคยดูหรือยัง” จิณณ์ถามเสียงเบา คงตั้งใจไม่ให้แข่งกับเสียงหนังที่กำลังฉาย “ยัง ตอนเรื่องนี้กำลังฉายในโรงผมติดสอบเลยไม่ได้ไปดู เสียดายแทบแย่แน่ะ”

“ตอนนั้นฉันไปดู ชอบเลยซื้อมาเก็บไว้”

“ไปดูกับใครล่ะ”

“คนเดียว” จิณณ์บอก ผมช้อนตามองคนพูดเห็นหรอกน่าว่าแอบยิ้มอยู่น่ะ ว่าจะถามว่ายิ้มทำไมเสียหน่อยไอ้พี่จิณณ์ก็หยิบป็อบคอร์นใส่ปากผมเหมือนรู้ทัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองผมยิ้ม ๆ แล้วก็หันไปมองจอยักษ์ตรงหน้าต่อ ผมเริ่มทำใจกับการกระตุกยิ้มมุมปากของท่านแล้วล่ะครับ มองมุมต่ำก็ยังหล่อได้อีกนะมนุษย์เรา


หนังเรื่องนี้สนุกจริงอย่างที่จิณณ์ว่า ผมกำลังดูเจ้าพวกนั้นลากเลื่อนอยู่เพลิน ๆ จิณณ์ก็ลุกผละไปเล่นเอาผมหนาวเยือกเพิ่งรู้ว่าแอร์ทำงานได้ดีก็ตอนไม่มีเธออยู่นี่แหละ จิณณ์กลับมาพร้อมกล่องทิชชู่ลายการ์ตูนน่ารัก พี่มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะวางแหมะไว้ใกล้กับป็อบคอร์น

“เผื่อไว้ก่อน” ผมมองอย่างไม่ไว้ใจแล้วก็มาซึ้งเอาตอนที่เห็นฉากนางเอกขับเครื่องบินพาพระเอกออกจากขั้วโลกไปรักษาตัวในเมืองแล้วก็ล่ามเจ้าแปดตัวไว้ท่ามกลางพายุหิมะ แค่เห็นเจ้าพวกนั้นมันเห่าและตะเกียกตะกายจะตามพระเอกผมก็น้ำหูน้ำตาไหล เดาได้เลยว่าในอนาคตมันต้องมีฉากสะเทือนใจยิ่งกว่านี้แน่

จิณณ์ส่งทิชชู่ให้ผมทั้งที่ตายังมองจอนิ่ง ไอ้คุณชายมันใจหินขณะที่ผมน้ำตาไหลไม่หยุดไม่เห็นมันจะรู้สึกรู้สาอะไรนอกจากขยับท่าเอนหลังให้สบายขึ้น ผมยังกลั้นใจดูต่อไปแม้จะหลุดเสียงครางเบา ๆ ไปหลายครั้ง ยิ่งฉากที่เจ้าตัวโตหนึ่งในนั้นตกภูเขาหิมะตายแล้วเจ้าตัวเอกของเรื่องพยายามจะเรียกให้เดินตามฝูงผมยิ่งสะอื้นหนัก เสียงร้องงี้ด ๆ ของมันทำให้ผมไม่กล้าดูต่อต้องหลับตาหันหน้าเข้าหาคนข้าง ๆ เพื่อทำใจเป็นครู่

อะไรมันจะสะเทือนใจคนรักหมาได้แบบนี้วะ

จิณณ์ไม่พูดอะไรเป็นการขัดอารมณ์ พี่มันยังติดตามเรื่องราวในจอเหมือนไม่เคยดูมาก่อน มือข้างหนึ่งลูบหลังผมอีกข้างก็ลูบหน้าผากให้เบามือ ผมนิ่วหน้าแล้วก็ต้องครางฮือ แม่งกำลังกอดผมอยู่นี่หว่า

“ปล่อย” ผมบอกมันเสียงยังสั่นไม่หาย

“ทำไม”

“ดูหนังไม่ถนัด” จิณณ์ยกแขนออก ผมเลยพลิกตัวนอนหงายชักสงสัยว่าทำไมพี่มันไม่ยอมเอาหน้าไปห่าง ๆ เสียทีแล้วก็มาเข้าใจเมื่อขยับตัวอีกที อ้ออออ ผมนอนหนุนแขนอีกคนอยู่ ผมเลื่อนตัวลงต่ำแล้วก็เลยหันหน้าออกไปอีกทางที่ไม่ใช่หน้าหล่อ ๆ นั่น หนังเดินเรื่องมาถึงตอนที่ชวนให้ลุ้นตัวโก่งเมื่อเจ้าขนฟูทั้งฝูงที่เหลือต้องไปแย่งกินซากปลากับเจ้าตัวน่ากลัวที่เหมือนสิงโตทะเลหรืออะไรสักอย่าง ผมดูไปก็กลัวไป กลัวว่าจะมีเจ้าตัวไหนต้องตายไปอีกแล้วก็ต้องร้องโอ๊ยเมื่อ มายา จ่าฝูงโดนเจ้าตัวน่ากลัวนั่นงับเข้าที่ขาหลัง ตอนนี้ถึงจะรู้สึกว่ามีอะไรหนัก ๆ มาพาดที่เอวแล้วดึงเข้าไปใกล้ร่างอุ่น ๆ ด้านหลังผมก็ไม่สนใจแล้ว จะกอดก็กอดไปอย่าบดบังทัศนวิสัยของผมก็พอ

“มันจะมีใครตายอีกไหม” ผมถามเสียงเบา จิณณ์ไม่ตอบ

“จิณณ์”

“ดูไปเดี๋ยวก็รู้” คุณชายท่านตอบแบบไม่เต็มเสียงแล้วก็ผ่อนลมหายใจแรง ผมชำเลืองมองมันเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเอาแต่เงียบที่แท้จิณณ์ก็แอบเสียงสั่นเหมือนกันนั่นแหละ หมอนี่คงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาเลยทำเป็นเอาหน้ามาซุกไว้กับหัวผม ผมกลั้นใจเมื่อถูกรัดจนแผ่นหลังเบียดเข้ามาอกกว้างมากขึ้น เถอะ เห็นแก่คุณงามความดีที่เคยสร้างสมมาจะยอมให้เอาแต่ใจสักคืนก็ได้วะ
หนังจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งและก็สวีทจี๋จ๋าน่ารักสมกับที่มีเจ้าตัวขนฟูร่วมฉากด้วย ผมนอนตัวแข็งแอบหวั่นว่าไอ้คนบางคนมันจะอินกับตอนจบจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกที่ต้องคิสนางเอกปิดท้ายเหมือนในหนังหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพอถูกรั้งไหล่ให้หันหน้าไปหา ผมเลยยัดเจ้าลิงหน้าแป้นใส่หน้าเจ้าของมันทันที


“ปวดฉี่~” ร้องบอกเสียงดังแล้วก็วิ่งหนีเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ตามหลังมาก็พาลให้ใจสั่นจนเกือบจะยืนไม่อยู่ เกือบไปแล้ว เกือบหลงกลความหล่อนั่นแล้ว ออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งห้องทั้งห้องก็สว่างเหมือนเดิม ผมสูดน้ำมูกแรง ๆ อาการสะอื้นยังค้างอยู่ในจังหวะการหายใจผิดกับอีกคนที่นั่งโยนป็อบคอร์นเข้าปากเฉย ด้วยความสงสัยเลยเดินเข้าไปใกล้เว้นระยะห่างพอประมาณแต่ก็ไม่มากเกินกว่าที่จะสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเต็มตา

อื้อหือ หน้ายังซื่อตายังใส ผิวหน้าก็ยังเนียนขาว ผมแค่นยิ้ม จำได้ว่าเห็นตัวเองในกระจกเมื่อกี้ขอบตาผมยังบวมตุ่ย ปลายจมูกก็แดงจนเห็นได้ชัดซึ่งมันก็เป็นอาการปกติของคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาไม่ใช่หรือ แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มกินข้าวโพดอบแบบไร้ร่องรอยของน้ำตาเลยแบบนี้มันจะผิดปกติไปหน่อยไหม

“ทำไมมองแบบนั้น”

“พี่ไม่ได้ร้องไห้นี่” จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ

“ก็ไม่ได้ร้อง ใครบอกว่าฉันร้องล่ะ” ไม่มีใครบอกแต่มันทำให้ผมคิด!

“แล้วไอ้อาการเสียงสั่นแถมยังทำเหมือนหายใจขัด ๆ แบบนั้นน่ะมันอะไร แถมยัง แถมยังเอาหน้ามาซุกหัวกันอีก พี่หลอกผมใช่ไหม” ผมเค้นเสียงใส่มันเพราะโมโหจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอแต่จิณณ์ยังทำหน้าไม่เข้าใจ

“ทำไมฉันต้องหลอกนายด้วยล่ะ เรากำลังดูหนังกันอยู่แถมหนังก็ซึ้งซะขนาดนั้นมันก็ต้องมีเสียงสั่นกันบ้างแล้วที่ฉันไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนนายก็ต้องโกรธกันด้วยหรือคุณภัทร” ผมเถียงไม่ออก รู้แต่ว่าโกรธ โกรธมาก ๆ ไอ้คนเจ้าเล่ห์ มันบังอาจหลอกให้ผมคิดว่ามันกำลังร้องไห้เพราะอ่อนไหวไปกับหนัง หลอกให้ผมสงสารเห็นใจว่ารู้สึกเหมือนกันเลยยอมใจอ่อนให้มันกอดจนจบเรื่อง ผมรู้ว่าจิณณ์เดาออกว่าผมกำลังคิดอะไร มันถึงได้ทำหน้าซื่อแต่ตาพราวระยับแบบนั้น

แค้นนนนนน!

ผมจ้องเข้าไปในดวงตาดำจัดอย่างเคียดแค้น โกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรออกไปก็จะพาลเข้าตัวอีกเลยได้แต่ฮึดฮัดจนโดนไอ้พี่บ้ามันหัวเราะใส่

“โกรธอะไร หิวหรือ”

“ไม่หิว ไม่อยากตายก็เอาหน้าไปไกล ๆ เลยไป” จิณณ์ยิ่งหัวเราะหนัก มันลุกขึ้นอย่างว่าง่าย บิดขี้เกียจล่อกำปั้นผมแล้วก็เดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป ผมได้แต่ฟาดเจ้าลิงกังในมือตุบ ๆ ฟ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมคนอย่างคุณภัทรต้องมาโดนมันหลอกเอา ๆ แบบนี้ด้วย






“วันศุกร์หน้าว่างไหม” ผมเงยหน้ามองคนพูด ก้มหน้าคิดแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ว่างหรือ” จิณณ์เหมือนจะผิดหวัง ผมรอให้เจ้าของห้องปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงเดินตรงไปที่ลิฟต์ ความจริงผมไม่มีธุระที่ไหนหรอกแต่ไม่อยากตอบเป็นคำพูดเลยส่ายหน้าแทนคำว่าไม่รู้ จิณณ์จะตีความเอาว่าไม่ว่างก็ตามใจ

“ยังไม่หายโกรธอีกหรือเนี่ย” ผมส่ายหน้า เดาเอาเองว่ายังไม่หายหรือไม่ได้โกรธแล้ว

“คุณ อย่าทำแบบนี้สิ ไม่พอใจอะไรก็บอกกันมาตรง ๆ”

“ไม่มีอะไร”

“แล้วทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้น ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอีกหรือ”

“ไม่ได้โกรธ พี่ก็เลิกเซ้าซี้ซักทีเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะโว่ย ไม่ต้องมาง้อเสียงเล็กเสียงน้อย รำคาญ” จิณณ์ขมวดคิ้วฉับ เออ ตอนโกรธก็ยังหล่อในระดับใจสั่นได้อีกนะ ผมรีบเบือนหน้าหนี ความจริงก็ไม่ได้อยากงอแงกับมันหรอกแต่เพื่อเป้าหมายในใจผมต้องใจแข็ง อยู่ด้วยกันมาสองคืนเต็มไม่อยากจะบอกว่าผมเสียหายไปเท่าไหร่ ไอ้คุณชายมันคงไม่คิดอะไรทำหน้าตายเอะอะกอดเอะอะหอมอย่างกับผมเป็นลูกมันอยู่นั่น นิดหน่อยก็ยังพอทน ผมจะอนุมานเอาเองว่าจิณณ์คงโตมาในประเทศตะวันตก ไม่ก็ถูกพ่อกับแม่เลี้ยงมาแบบนั้นพี่มันเลยถนัดแสดงความรู้สึกทางการสัมผัส แต่ผมไม่ใช่ โอเคว่าแม่อาจจะกอดจะหอมเป็นประจำ พ่อก็ทุกครั้งที่กลับบ้าน แต่ไม่ใช่กับคนนอกครอบครัว ถูกทำอะไรแบบนั้นทีไรผมใจคอไม่ดีทุกที ไม่ใช่รู้สึกไม่ดีแต่ข้างในมันหวิวแปลก ๆ แถมบางครั้งยังเกิดอาการปัญญาอ่อน พูดไม่เป็นคำซะอย่างนั้น ผมคิดดูแล้วว่าไม่อยากจะให้มันลุกลามไปมากกว่านี้เลยตั้งใจไว้อย่างแน่นอนว่าจะให้อีกฝ่ายเลิกทำเรื่องถึงเนื้อถึงตัวให้ได้

“แล้วนายไม่พอใจอะไร”

“บอกไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา”

“ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ยังไง คิดอะไรอยู่ก็บอกมาสิเผื่อฉันจะช่วยได้”

“พี่แน่ใจว่าพูดแล้วจะทำได้” ผมย้อนถาม เงยหน้ามองแล้วก็แกล้งหันหน้าหนี จิณณ์เดินมาดักหน้า ทำท่าจะแตะคางผมให้หันไปหาแต่ผมหลบทัน

“ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้อีก” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ

“แบบไหน?”

“ผมไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว ไม่ได้รังเกียจนะแต่มันไม่ชิน พี่เป็นผู้ชายผมก็เป็นผู้ชายแถมเรายังไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือที่จะมาจับมือถือแขน กอดกัน หอมแก้มกัน ทำอะไรแปลก ๆ ทีคนทั่วไปเค้าไม่ทำกันแบบนี้” จิณณ์ชะงักไปตั้งแต่ผมโพล่งประโยคแรกพ้นปาก จนผมพูดจบไปแล้วพี่มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสาวความต่อจากนั้น ดวงตาคู่คมยังคงมองผมนิ่ง ปากแดงเม้มนิด ๆ เล่นเอาผมชักป๊อด หรือพี่มันจะคิดว่าผมตีต้นไปก่อนไข้วะ

“พี่เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจ”

“โกรธหรือเปล่า”

“โกรธทำไม” จิณณ์สูดลมหายใจลึก วางของไว้เบาะหลังแล้วก็หันมาสนใจโทรศัพท์ต่อ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูทำแป๊ะอะไรตอนนี้ แต่จิณณ์ไม่สนใจมันกด ๆ ปิด ๆ อยู่แบบนั้นจนพอใจแล้วก็โยนเจ้าเครื่องเล็กราคาเกือบสี่หมื่นข้ามไหล่ไปหล่นตุบที่เบาะหลัง ผมได้แต่อ้าปากค้าง ตกลงโกรธผมใช่ไหมเนี่ย

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” ผมยื่นมือไปแตะไหล่หนาแต่ไอ้คนดีกลับเบี่ยงตัวหนี เล่นเอาผมชะงักแทน “ฉันเข้าใจแล้วว่านายไม่ชอบให้ใครแตะตัว เอาเป็นว่าขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดีมาตั้งนาน วางใจได้ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบเดิมอีก”

“ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีแค่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ นี่ พี่อย่าโกรธสิ ถ้าพี่เข้าใจจริงอย่างที่พูดแล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจด้วยล่ะ”

“ฉันรับรู้ว่านายไม่ชอบการสัมผัสแต่ไม่ยอมรับเหตุผลที่นายบอก การเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่เมื่อเราสัมผัสอีกฝ่าย ฉันไม่เคยเก็บเอาเหตุผลงี่เง่าข้อนั้นมาคิด ถ้าจะกอดก็หมายความว่าฉันอยากกอด ฉันทำแล้วรู้สึกดี เหตุผลอื่นฉันไม่สนใจ แต่ถ้าการกระทำแบบนั้นมันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกันฉันก็จะหยุด อย่างที่นายต้องการ”


ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองตอบไปว่าอย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนมองท้ายรถคันใหญ่ลับหายไปจากเนินถนน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถจะเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาจากลำคอได้ กล่องเสียงเหมือนจะตื้อและตันจนร้าวไปหมด ผมพาร่างของตัวเองเข้าบ้าน โชคดีที่ไม่มีใครอยู่เลยไม่ต้องตอบคำถามของแม่หรือน้องชายในเวลานี้ ถึงห้องได้ก็ทิ้งทุกอย่างจากมือ ล้มตัวลงนอนด้วยใจที่เหนื่อยล้าแสนสาหัส แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจอย่างที่ควรเป็น ผมเป็นคนต้องการให้จิณณ์ทำแบบนี้เอง เพราะรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ เลยไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากเกินไป พอบอกออกไปแล้วฝ่ายนั้นเข้าใจและยอมถอยไปง่าย ๆ ผมกลับไม่ได้โล่งใจอย่างที่นึก

ตรงกันข้าม

ใจผมมันหน่วงหนักเหมือนมีหมอกคลุมอยู่เต็มไปหมด มองอะไรไม่เห็น แม้แต่จะหายใจยังลำบาก อึดอัดจนอยากระบายออกมาสักทาง สุดท้ายผมก็ได้แต่หลับตา ปล่อยน้ำหยดใสไหลไปเรื่อย ๆ ไม่เช็ดออก ไม่สะอื้น ไม่คร่ำครวญ
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:



หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-11-2016 22:21:13
เหอ ๆ ไม่อยากซ้ำ แต่ทำตัวเองล้วน ๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2016 23:55:37
คุณนี้ขยันหาเรื่องดีนะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-11-2016 02:29:53
คุณ รู้สึกแบบนี้
ทั้งหน่วงๆ และเสียใจ น้ำตาก็ไหล
แสดงว่าคุณ ห่วงใยความรู้สึกของจิณณ์
และคุณ รู้ถึงความห่วงหาของตัวเอง
ที่เห็นจิณณ์ โกรธ ไม่พอใจ แล้วจากไป
รอคุณ เข้าใจตัวเอง และเข้าใจพี่จิณณ์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-11-2016 02:30:17
 :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 09-11-2016 08:36:59
สงสารพี่จิณณ์
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๒ P.3 8/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 09-11-2016 08:40:38
เออ นี่น้อง งง คนอ่านก้งงใจไปด้วย ตกลงน้องจะเอาไงกะชีวิตคะลูก
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 10-11-2016 18:37:08
ตอนที่ ๑๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ใกล้สอบปลายภาคเข้าไปทุกทีแล้ว พวกเราต่างวุ่นวายกับการทำรายงานส่งอาจารย์และอ่านหนังสือเตรียมสอบ ห้องสมุดทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัยคึกคักไปด้วยเหล่านิสิตที่ไปจับจองพื้นที่ในการทบทวนวิชาความรู้ที่เรียนมาตลอดเทอม ผม วาและบุรินทร์เบื่อที่จะไปแย่งชิงที่นั่งกับคนอื่นเลยเลือกที่จะทำงานกันที่โต๊ะประจำในตอนเย็นทุกวัน รายงานตัวสุดท้ายส่งถึงมืออาจารย์ไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทบทวนวิชาที่ต้องสอบเท่านั้น ข้อดีก็คือผมมีวิชาที่เป็นปัญหาเยอะ มันเยอะซะจนช่วยทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องในใจไปได้โดยไม่รู้ตัว

ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอจิณณ์อีกเลย น่าหัวเราะที่จะบอกว่าเหมือนชีวิตมันขาดอะไรไปสักอย่าง ขาดไปอย่างน่าเจ็บใจ ทั้งที่มันควรจะเป็นความสบายใจที่ชีวิตผมกลับเข้าสู่ระบบเดิม ตื่นเช้า ปั่นจักรยานมาขึ้นรถไฟฟ้า เรียนหนังสือ คุยกับเพื่อน เที่ยวกับสาว ๆ แล้วก็กลับบ้านนอน เหมือนเดิมทุกอย่าง อย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของตัวเอง ผมไม่มีความสุข

“เอ้า เหม่อ เหม่อ คุณชายคุณภัทรคร้าบบบบ เหม่อไปถึงไหนแล้วคร้าบบบ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ มองเจ้าคนทักเหมือนจะรำคาญแต่ก็ไม่จริงจังนัก บุรินทร์กำลังคาบขนมปังแท่งไว้ในปาก ไอ้ตี๋มันไปค้นผ้าคาดผมสีส้มแสบตามาจากไหนก็ไม่รู้คาดหน้าผากไว้ ในมือมีเล็คเชอร์ของวิชาที่เจ้าตัวอาสาจะเป็นคนติวให้ เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะว่าวิชานี้บุรินทร์ทำคะแนนเก็บได้ดีกว่าใครในชั้นปีควบคู่กับวา ส่วนผมนั้นปานกลางค่อนไปทางต่ำ

“จะติวไหม ไอ้วิชาการใช้เหตุผลเนี่ย มัวแต่เหม่อเดี๋ยวให้อ่านเองนะ”

“ก็ติวมาตั้งนานแล้วขอพักหน่อยสิ”

“นาน แค่ครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะนาน จะบอกให้นะถ้าเอาเวลาที่นายนั่งเหม่อไปทางนู้นนน” ปากบวม ๆ นั่นทำบุ้ยใบ้ไปทางคณะสถาปัตย์ “มาลบกับเวลาที่นายเอาแต่ถอนหายใจ มันจะเหลือเวลาที่นายตั้งใจฟังฉันตั้งเท่านี้แน่ะ” ไอ้เพื่อนตัวดีมันจิกหัวแม่มือกับข้อนิ้วชี้ได้อย่างน่าตบกะโหลก ผมเลยดีดหน้าผากมันให้ทีหนึ่ง โทษฐานช่างประชดประชันแล้วก็สังเกตเพื่อนดีเกินไป

“พูดมาก”

“เหอะ แทงใจดำแค่นี้ทำเป็นลงไม้ลงมือ เดี๋ยวปั๊ดจูบ”

“กล้าหรือบุรินทร์ ไม่กลัวลูกศิษย์งอนเอาหรือ” วาแทรกขึ้นยิ้ม ๆ ผมมองรอยยิ้มของวาแล้วก็หันไปมองสีหน้าของบุรินทร์ เจ้านั่นกำลังเบะปาก เปิดหนังสือพรึบ ๆ เหมือนไม่รู้ความนัยของสายตาวา ผมหยุดคิดไม่นานก็ขยับเข้าไปใกล้ ถามเสียงหวานเจี๊ยบ

“บุรินทร์ไรเดอร์ มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกเพื่อนหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่มี”

“แน่ใจ?”

“แน่”

“ไม่บอก เดี๋ยวไปสืบเองนะ นายก็รู้ เรื่องแบบนี้น่ะไม่เหนือบ่ากว่าแรงของท่านคุณภัทรคนนี้หรอก ว่าไง ลูกศิษย์คนนั้นเป็นใครบอกมาซะดี ๆ” บุรินทร์จิ๊ปากแถมด้วยอาการฮึดฮัดน่าหมั่นไส้มากในสายตาผม มันค้อนวาแล้วก็ตอบเหมือนเสียไม่ได้

“ลูกศิษย์ก็คือลูกศิษย์สิ นายอย่าบ้าจี้ตามวามันหน่อยเลยน่า เสียเวลาอ่านหนังสือโดยใช่เหตุ มัวแต่ถามมากเดี๋ยวฉันจะไปตามพวกพี่สถาปัตย์มาติวให้แทนนะ” ผมทุบไหล่มันดังปึก ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนที่มันเอ่ยพาดพิงถึงคนกลุ่มนั้น ใจผมดันกระตุกวูบ บ้าจริง ๆ เลย ผมแย่งกล่องขนมมาจากบุรินทร์ ตีหน้านิ่งเมื่อเห็นสายตาอีกสองคู่จับจ้องมา

“จะว่าไปก็ไม่เห็นพี่จิณณ์มาช่วงหนึ่งแล้วนะ พี่เค้าหายไปไหนหรือคุณ”

“ถามฉัน ฉันจะไปถามใครล่ะ” ผมสั่นหน้า แทะแท่งขนมปังต่ออย่างเมามัน บุรินทร์ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจก็ยังไม่ยอมเลิกรา “ก็ปกติเห็นพวกนายเดินตามกันต้อย ๆ นึกว่ารู้”

“ไม่รู้แล้วก็ไม่ได้ตามด้วย อยากรู้ก็ถามวาสิเผื่อพี่พีร์จะบอกอะไรบ้าง” พูดไปแล้วผมเองก็อดไม่ได้ที่จะรอฟัง เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวของจิณณ์อีกเลย จะออกปากถามเพื่อนก็ไม่กล้ากลัวจะโดนแซวเข้าให้อีก พอบุรินทร์เปิดประเด็นมาผมเลยลากไปทิ้งไว้บนตักวาแล้วก็รอลุ้นไปในตัว เจ้าเพื่อนหน้าหวานยิ้มสวย

“พี่เค้าก็ยุ่งกับเรื่องสอบนี่แหละ ปีสุดท้ายงานเยอะจะตาย ทั้งสอบข้อเขียนทั้งภาคปฏิบัติ ได้นอนกันวันละสองสามชั่วโมงเองมั้ง” แอบผิดหวังนิด ๆ ที่คำตอบมันช่างสั้นไม่สาแก่ใจ ผมถอนใจเบา ๆ เงยหน้าขึ้นมาก็เจอดวงตาวิบวับของวากับบุรินทร์ อะไรอีกล่ะคราวนี้

“คิดถึงพี่จิณณ์หรือคุณภัทร”

“คิดถึงทำไม ทำไมฉันต้องคิดถึงหมอนั่นด้วย ไม่ได้คิดถึง”

“อย่ามาปากแข็งไปหน่อยเลย เผลอทีไรเป็นต้องมองไปทางสถาปัตย์ทุกครั้ง เพื่อนไม่ได้ตาบอดนะคุณ ตกลงทะเลาะอะไรกัน ช่วงนี้ถึงได้ซึมเป็นผีตายแบบนี้” ฟังปากคอวรินทรเสียก่อนครับท่าน ตีตรงประเด็น ไม่มีเลี้ยวไม่มีอ้อมให้คนถูกถามมีช่องเร้นหลีกได้เลย ผมเม้มปากแน่น ใจหนึ่งก็อยากจะเล่าให้ฟังแต่มันติดที่ว่าไม่รู้จะเริ่มตรงจุดไหนนี่สิ ก็มันมากมายจนผมหาจุดเริ่มต้นไม่ได้นี่นา

“ก็ไม่ได้ทะเลาะกัน พี่มันคงยุ่งกับเรื่องเรียนอย่างที่วาบอกนั่นแหละถึงได้ไม่ค่อยโผล่มา อีกอย่างจิณณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราเพราะเรื่องรายงาน พอหมดเรื่องให้ช่วยแล้วก็กลับไปอยู่กับพวกเพื่อน ๆ เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้พวกเราก็อยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“นายสิไม่เกี่ยว พวกเราเกี่ยวกับพวกนั้นมาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่แล้วไอ้น้อง”

“หมายความว่าไง”

“ช่างเถอะ” วายกมือห้ามทัพก่อนที่บุรินทร์จะงับหัวผมแล้วก็ประกาศิตให้บุรินทร์ลุกไปซื้อน้ำมาเติมเพราะระหว่างที่เราพักยกเถียงเรื่องนอกบทเรียนกันอยู่นั้นไอ้ตี๋มันก็ซดน้ำลงคออึก ๆ ตลอดเวลา กว่าวาจะหันมาหาน้ำกิน ทั้งชาทั้งน้ำอัดลมทั้งน้ำเปล่าก็หมดเกลี้ยงทุกกระป๋อง เรียบร้อยโรงเรียนบุรินทร์

“บุรินทร์มันพูดแปลก ๆ หมายความว่าไงหรือวา” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าบุรินทร์ไปไกลเกินรัศมีที่จะได้ยินแล้ว วาชำเลืองมองมาก่อนจะยักไหล่ “อย่าไปเอาอะไรกับมันมากเลย คนกำลังมีความรักก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”

“ความรัก!” ผมตะเบ็งเสียงลั่นลานม้าหินอ่อน เล่นเอาสาว ๆ แถวนั้นสะดุ้งโหยงกันเป็นแถบ อะไรกันวะเนี่ย ปล่อยให้ห่างหูห่างตาพักเดียวเล่นมีแฟนมาเย้ยเพื่อนเลยเรอะ ผมขยับเข้าไปใกล้วา ฝ่ายนั้นเห็นผมตกใจจนตาโตก็ยิ่งยิ้มกว้าง “บุรินทร์ไปมีความรักกับใคร”

“น้องมอปลาย”

“เฮ้ย เล่นเด็กเลยเรอะ”

“ใช่ ลูกศิษย์ที่เจ้าตัวสอนพิเศษให้นั่นแหละ”

“อ๋อ เพราะแบบนี้เองเล่าถึงได้ไม่อยากเล่าให้เราฟัง ถามอะไรก็ลื่นไปได้เรื่อย ๆ ชะ ไอ้วัวแก่ริจะกินหญ้าอ่อน” ผมเข่นเขี้ยว ถึงว่าช่วงนี้ดูบุรินทร์มันไม่ค่อยโทรคอยเช็คว่าผมจะไปไหนยังไง แถมยังไม่ค่อยนัวเนียเหมือนเก่าคงเพราะกลัวว่าข่าวจะลอยไปถึงหูลูกศิษย์สุดที่รักนี่เอง

“เค้าแก่อ่อนกว่ากันแค่ปีเดียวจะมาวัวแก่อะไรเล่า”

“ตัวเลขมันไม่สำคัญหรอกวา สิ่งสำคัญคือสถานภาพต่างหากล่ะ ฮ่า ๆ ๆ นิสิตมหาวิทยาลัยกับเด็กมอปลาย แหมะ แค่พูดขึ้นมาลอย ๆ คดีพรากผู้เยาว์ก็มาเห็น ๆ แล้ว” วาเท้าคาง มองมายิ้ม ๆ ก่อนจะท้วงว่า “แล้วพวกพี่ปีห้าที่มาชอบน้องปีหนึ่งล่ะเป็นวัวแก่ด้วยหรือเปล่า”

“ปีห้า? ไม่แปลกนะ เรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

“แหม เข้าข้างกันจังนะ” วาว่าแล้วก็หัวเราะแผ่ว ผมงงไปแวบเดียวแต่ด้วยความฉลาดที่มีมาตั้งแต่ในท้องแม่ก็ทำให้เข้าใจในวินาทีต่อมาทันที

“วา! ไม่เกี่ยวนะ ฉันไม่ได้หมายถึงจิณณ์ ฉันแค่...แค่...” แค่คิดไปแบบนั้น แค่พูดไปตามที่คิด แต่ทำไมผมต้องคิดไปถึงไอ้หล่อนั่นด้วย เวร รู้สึกเหมือนเพิ่งโดดลงหลุมที่ตัวเองเป็นคนลงมือขุดเองยังไงไม่รู้ ผมโบกมือไปมา เห็นวาเอาแต่ยิ้มก็เลยคร้านจะแก้ตัว ไม่ได้การ บุรินทร์กำลังเดินกลับมาผมต้องรีบสืบเรื่องของมันให้ได้ก่อน

“ทางโน้นเค้าตกลงคบด้วยแล้วหรือ”

“ใช่ ก็คงชอบบุรินทร์อยู่บ้างล่ะมั้ง เพื่อนเราก็หน้าตาท่าทางดีออกแถมที่บ้านยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลอีก สมบูรณ์แบบขนาดนี้ไม่รักได้ไง” ผมไม่สงสัยข้อนั้นแต่ที่มันติดอยู่ในใจคือเรื่องที่ทำให้ทั้งสองคนไปเจอกันได้นี่แหละ ปกติบุรินทร์มันรับงานพวกนี้เสียที่ไหน มันเบะปากให้ด้วยซ้ำว่าขี้เกียจ

“สมบูรณ์แบบแล้วทำไมถึงยังต้องไปสอนพิเศษ”

“อยากรู้ก็ไปถามพี่จิณณ์ดูสิ”

“หมายความว่าไง จิณณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือ” วาไม่ตอบ บุรินทร์ก็กลับมาถึงโต๊ะพอดี ผมอยากจะเขย่าแขนวาเอาความกระจ่างให้หายสงสัยแต่ก็ยังเกรงใจดวงตาเรียวยาวที่ชำเลืองมองมา บุรินทร์มันใจดีก็จริงแต่เวลาน่ากลัวขึ้นมาก็โหดใช่น้อย หากมันรู้ว่าผมแอบซอกแซกเรื่องส่วนตัวที่มันพยายามปิดหนักหนาล่ะก็ไอ้ตี๋มันเล่นงานผมแก้มช้ำแน่

ผมนั่งมองบุรินทร์คุยกับวาเงียบ ๆ น่าแปลกที่ผมไม่ได้น้อยใจที่อีกฝ่ายทำเหมือนมีความลับทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ผมเข้าใจโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาอธิบาย บุรินทร์ยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เรื่องของหัวใจบางครั้งก็ต้องรอจังหวะและความเชื่อมั่นอีกหลายอย่างก่อนจะเอ่ยปากบอกใครออกไป สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในใจผมคือจิณณ์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไรเท่านั้น



เหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์พวกเราจะเริ่มสอบในตารางตัวแรก อ่านหนังสือมาเกือบเดือนพวกผมก็เริ่มมองเห็นอนาคตของแต่ละวิชาขึ้นมาบ้างแล้ว บุรินทร์น่ะผ่านฉลุยดีไม่ดีอาจได้เอทุกวิชา วามีบางตัวที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ค่อยชัวร์ ส่วนผมไม่ชัวร์มันแม่งทุกวิชา ถึงตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้เลยว่าตัวเองเรียนอะไรไปบ้างในหนึ่งเทอมที่ผ่านมา หนังสือกองใหญ่ที่อ่านผ่านสายตาไปมันเริ่มทำพิษ เนื้อหาทั้งหมดมันกำลังเดินสวนกันไปสวนกันมาในหัวผม บอกตามตรงว่าถึงจะอ่านมาครบทุกตัวแต่ก็ไม่มั่นใจว่าถ้าเจอข้อสอบจริง ๆ ผมจะนึกคำตอบออกไหม

บางวิชาดีหน่อยที่ได้อ่านแค่ของครึ่งเทอมหลัง แต่บางวิชาอาจารย์จะเอาเนื้อหาตั้งแต่ต้นเทอมมาออกสอบ ผมเลยต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ใครอย่าคิดว่าเรียนสายภาษาแล้วจะสบาย แค่ตำราก็ปาเข้าไปเป็นสิบ ๆ เล่ม แล้วแต่ละเล่มนั้นก็ได้มาตรฐานที่ว่าสามารถโยนใส่หัวหมาแค่เบา ๆ ก็แตกได้เลยทีเดียว

“ทำไงดีวะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังได้กินซีเป็นแถวแน่” อาการเครียดของผมเริ่มปรากฏพร้อมกับวาที่นั่งทำหน้าเรียบอยู่ข้าง ๆ ผมสังเกตว่าวากำโทรศัพท์ในมือแน่นหลังจากพยายามโทรออกหลายครั้งแล้วไม่เป็นผลสำเร็จ ดูเหมือนจะไม่มีคนรับสาย

“ทำอะไรน่ะวา” สุดท้ายผมก็อดปากไม่ได้ตามเคย “โทรหาพี่พีร์ บอกให้เราเป็นคนโทรแล้วไม่ยอมรับสายแบบนี้สงสัยอยากมีเรื่อง”

“ใจเย็นน่า อาจกำลังติดธุระด่วน ใกล้สอบแบบนี้พวกพี่ปีสุดท้ายก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เดี๋ยวก็โทรกลับมาเองแหละ” วาถอนใจพรืด ยังไม่ยอมเลิกโทร

“ไม่ได้ พวกนั้นส่งโปรเจ็คจบไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้ไปก็เหลือแต่ทำเรื่องขอจบ เรารอไม่ได้หรอก เวลามันไม่ได้รอพวกเราไปด้วยนะคุณ” ผมปิดหนังสือในมือลง ก็พูดถึงพวกพี่พีร์อยู่ดี ๆ แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเวลาของพวกผมด้วยล่ะ งงครับงานนี้ งง
“ฉันนัดพี่พีร์ไว้ ว่าจะให้ติวสอบตลอดอาทิตย์นี้แต่จะมานั่งเรียนตรงนี้มันก็สะดุดตาคนเกินไป ห้องสมุดที่ไหน ๆ ก็ไม่ว่าง พีร์เลยว่าจะลองขอใช้ห้องสภาของสถาปัตย์ดู ให้ฉันโทรไปหาวันนี้ แล้วดูสิ ไม่ยอมรับสาย บ้าจริง คนยิ่งร้อนใจอยู่”

“อ๋อ” ผมลากเสียงยาวก่อนจะหุบปากฉับ

“ถ้าไปติวข้างบนนั่นก็ต้องเจอพวกนั้นน่ะสิ”

“แล้วมีปัญหาหรือไง หรือจะไม่เอา ถ้าไม่อยากติวฉันจะได้ไปคนเดียว แล้วถ้าเกิดอาจารย์แจกหมาแจกแมวให้ไปเลี้ยงในทรานสคริปต์ก็อย่ามาว่ากันทีหลังนะ” โหย ผมยังไม่ทันได้แย้งอะไรวาก็ใส่เอา ๆ แถมยังทำตาดุขู่อีกแน่ะ คนเรานะ หงุดหงิดเรื่องแฟนไม่รับโทรศัพท์ก็บอกมาตรง ๆ เถอะ ไม่เห็นต้องเอาเรื่องเกรดมาอ้างเลย งอน งอน งอน

“ไม่ต้องมาทำปากยื่นแถวนี้ เก็บเอาไว้ทำให้ติวเตอร์นายดูเถอะไป” แม่คนที่สองของผมท่านว่าอย่างนั้นแล้วก็ลุกพรวดออกไปยืนซะห่าง สงสัยปลายสายจะมีคนรับโทรศัพท์แล้วหน้านิ่ง ๆ เมื่อครู่เลยดูมีฟีลอ่อน ๆ หวาน ๆ ขึ้นมาหน่อย โธ่ ผมก็คิดว่าวาจะโกรธจนต้องเฉ่งใส่พี่พีร์ทันทีที่ทางโน้นรับสายเสียอีก ที่ไหนได้ ก็ยังพี่พีร์ ๆ เหมือนเดิม

“โอเค ไปกันได้แล้ว” ตกลงงานนี้ผมจะมีพี่พีร์เป็นคุณครูสอนพิเศษให้ใช่ไหมเนี่ย น่าอิจฉาบุรินทร์รายนั้นมันลอยตัวเหนือทุกวิชา หลังจากติววิชาที่ตัวเองถนัดที่สุดให้แล้วมันก็วิ่งโร่ไปสอนพิเศษให้เด็กน้อยที่บ้านของเค้าโดยไม่สนใจชะตากรรมในวันข้างหน้าของเพื่อนเลย คิดแล้วก็แค้นไอ้เพื่อนทรยศ เจอหน้าคราวหน้าผมกะว่าจะสร้างความร้าวฉานเอาให้น้องเค้าโกรธมันไปสักปี

เมื่อตกลงกันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพี่พีร์ของวาจะเปิดคลาสพิเศษให้เราในห้องสภา หนึ่งในหลายอย่างที่เราจำเป็นต้องทำก็คือการเดินขึ้นบันไดแดง ผมแหงนหน้าคอตั้งบ่ามองวาที่เดินลิ่ว ๆ ขึ้นไปด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านแล้วก็สรุปในใจ ลงแบบนี้แสดงว่าใช้ทางนี้บ่อยถึงได้ดูคุ้นเคยตั้งแต่บรรณารักษ์ด้านนอกจนถึงบันไดทุกขั้นของตึก ซึ่งมันก็มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ววาสนิทสนมกับรณพีร์ จีรวัฒน์สกุล หนึ่งในสมาชิกสภา แถมว่างไม่ได้ต้องมาหาพี่หน้าดุคนนั้นที่นี่ ปีนบ่อยเข้าคงชิน ไม่เหมือนเขาที่ผ่านมาแต่สามชั้นก็หอบจนลิ้นห้อยแล้ว


เหลืออีกหนึ่งชั้น


ผมหอบหายใจแรงไม่แน่ใจว่าถ้าขึ้นไปถึงห้องเรียนแล้วตัวเองจะยังมีแรงจับปากกาเรียนอีกหรือเปล่า กำลังตะเกียกตะกายตามวาขึ้นไปก็แว่วได้ยินเสียงเพื่อนรักกำลังคุยกับใครก็ไม่รู้แว่วมาตามลม ผมสูดลมหายใจลึก โผล่ขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นสุดท้ายได้ก็สบถออกมา

“ช้าจังเลยคุณ เดี๋ยวพี่พีร์จะรอนานนะ”

“อ้าว เมื่อกี้ไม่ได้คุยกับพี่พีร์อยู่หรือ”

“ใครคุยกับใคร” ผมส่ายหน้า ไม่รู้

“อะไรของนาย เหนื่อยจนหูเฝื่อนไปแล้วหรือไง” ผมเทคอากาศเข้าปอดไปเต็ม ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็ฉันได้ยินเสียงวาคุยกับใครก็ไม่รู้ นึกว่าพี่พีร์จะเดินออกมารับน่ะสิ”

“พี่พีร์น่ะนะจะทำแบบนั้น” ผมเห็นนะว่าวาอมยิ้มแปลก ๆ ขี้เกียจจะตีความหมายในอวัจนภาษานั้นให้เปลืองแรงมากขึ้นอีก ตกลงว่าที่ได้ยินเมื่อกี้อาจเป็นเสียงที่ลอยขึ้นมาจากชั้นล่างหรืออาจเป็นเพราะผมเหนื่อยจนหูเฝื่อนไปเอง เราเดินฝ่าสายลมและแสงแดดไปถึงหน้าห้องสภาเฉพาะกิจ วาเคาะประตูสองสามทีคนข้างในก็เปิดให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง พี่ไวทินนั่นเอง

“เข้ามาสิ พวกนั้นกำลังรออยู่เลย ไง น้องคุณ ไม่เจอกันนานเลยนะ” ผมยิ้มตอบ เพราะความเหนื่อยเลยทำให้หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย พอได้เข้ามาในเขตอันตรายก็ยิ่งตื่นเต้น ถ้าก้าวเข้าไปในห้องแล้วผมจะเจอใครบางคนหรือเปล่า แล้วถ้าเจอผมจะต้องทำหน้ายังไง ต้องทักยังไงจิณณ์ถึงจะยอมทักตอบ จะทำเป็นเคืองที่จิณณ์ไม่ยอมติดต่อไปหรือจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็คุยกับพี่มันเหมือนทุกครั้ง เอาไงดีวะ

“คุณ เหม่ออะไรอยู่ เข้ามาได้แล้ว”

“อ๊ะ โทษที” ผมรีบเดินตามเข้าไป ตรงโต๊ะกลางห้องที่เคยเป็นที่ประชุมของสมาพันธ์กีฬาบัตรมีกองหนังสือวิชาที่พวกผมต้องใช้ตั้งรออยู่ นี่ขนาดจะติวกันแค่สองสามตัวพื้นรอบตัวยังแทบจะไม่มีที่ว่างให้คนนั่งถ้าติวทุกวิชามีหวังได้นั่งติวกันบนกองหนังสือแน่ ๆ ผมเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกเกรงใจขึ้นมาในบัดดล

“วา ทำแบบนี้จะรบกวนพวกพี่เค้าหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ” วาตอบตามตรง ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปนั่งกับพื้น หยิบหนังสือมาเปิด ๆ ปากก็ถามพี่ไวทินอย่างคุ้นเคย “พี่ไวทิน หนังสือพวกนี้เอามาจากไหนหรือครับ”

“บ้านเพื่อนน่ะ พอบอกไปมันก็ให้คนขนมาให้เมื่อตอนกลางวันนี่เอง” วามองหน้าคนพูดก่อนจะร้องอ๋อเบา ๆ ผมมองคนนั้นคนนี้ ท่าทางการติวก่อนสอบของพวกผมจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คาดไว้เยอะ สมาชิกทั้งสภานิสิตของสถาปัตย์ถึงได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเกือบทั้งหมด เราสองคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พี่พีร์ก็เดินยิ้มออกมาจากด้านใน พี่หน้าดุแต่ใจดีของวาเลิกคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ข้างวา

“อ้าว ตกลงจะติววิชาเดียวกันหรือ”

“ก็...มั้งครับ...ผมแล้วแต่วาอ่ะ”

“คนละวิชา ขืนติววิชาเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาก็ไม่ทันกันพอดี วิชาที่นายเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมานั่งฟังกับฉันหรอกเดี๋ยวจะเสียเวลา คุณไปติวตัวที่ไม่เข้าใจก่อนเถอะ ถ้าครบแล้วยังมีเวลาเหลือค่อยมาทวนด้วยกัน”

ความคิดของวาช่างล้ำเลิศ แต่ขอโทษเถอะ ประโยคนี้มันน่าจะเป็นผมที่ต้องพูด ‘…วิชาที่วาเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมานั่งฟังกับเราหรอกเดี๋ยวจะเสียเวลา…’ เพราะวาน่ะมีวิชาที่ทำคะแนนได้ดีมากกว่าผมตั้งหลายตัว ขืนให้วามานั่งติวกับผมด้วยเขาก็ต้องเสียเวลาฟังเรื่องที่เข้าใจดีอยู่แล้ว เอาเราสองคนมารวมกันสอนกันทั้งอาทิตย์ก็คงไม่พอ

“แล้วเอาไง พี่พีร์จะสอนพร้อมกันสองคนได้หรือ”

“ใครบอกว่าจะทำแบบนั้นเล่า” วาว่า ชี้ไปทางห้องด้านใน

“ติวเตอร์ของนายรออยู่ในห้องโน้นแน่ะ ไม่รีบเข้าไปเดี๋ยวพี่เค้าเปลี่ยนใจไม่สอนให้ไม่รู้ด้วยนะ”






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ใครมาแย่งบุรินทร์(ของสี่)ไป T T ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-11-2016 19:34:28
ตัวช่วยเยอะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-11-2016 20:06:46
พี่จิณณ์ รอติวน้องคุณ แน่เลย  :mew1: :mew1: :mew1:
คุณ ก็ อย่าทำเสียเรื่องอีกเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-11-2016 21:35:05
พี่จิณณ์รอให้ง้ออยู่นะคุณ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 10-11-2016 21:59:27
แอบนั่งใต้โต๊ะรอติวกับน้องคุณด้วย  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-11-2016 23:11:08
น่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-11-2016 23:23:04
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๓ P.4 10/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 12-11-2016 00:28:24
ถือโอกาสง้อพี่จิณณ์เลยนะคุณ


 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 12-11-2016 15:55:08
ตอนที่ ๑๔   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





ห้องโน้นคือห้องที่อยู่หลังฉากกั้น ผมจำได้ว่าเคยเข้าไปปลุกใครบางคนที่แกล้งหลับอยู่ในนั้น นอกจากเตียงเดี่ยวหนึ่งเตียงกับเครื่องอำนวยความสะดวกอีกสองสามอย่างแล้วผมก็ไม่เคยจำได้ว่ามันจะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนอยู่ในนั้นด้วย แล้วที่สำคัญ ไอ้คนที่จะมาเป็นอาจารย์ผมนั่นน่ะ ดูเหมือนจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก...โจทก์เก่าคนเดิม

“พี่ลงไปข้างล่างก่อนนะ ดลกับวิชญ์มันรออยู่นานแล้ว สู้ ๆ นะน้องคุณ” พี่ไวทินท่านอวยชัยให้พรเรียบร้อยก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง ทิ้งผมให้ยืนเสียเปลี่ยวใจกับลมหนาวที่พัดวูบบาดลึกไปถึงเนื้อใจ ขอไม่นับอีกสองคนที่กำลังคุยกันเบา ๆ อยู่ตรงโต๊ะเพราะหลังจากขีดเส้นทางให้ผมเดินวาก็จำกัดความสนใจอยู่แค่คนข้างตัว เริ่มเข้าสู่บทเรียนเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่า เรื่องต่อจากนี้เอ็งต้องลุยเองแล้วนะคุณภัทร

เครื่องปรับอากาศในห้องนี้มันก็ทำงานดีนะผมว่า ตอนเดินเข้ามายังรู้สึกว่าเย็นมากอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้เหงื่อมันถึงได้ซึมทั้งขมับแบบนี้เนี่ย ผมยื่นหน้าเข้าไปดูลาดเลาแล้วก็เป็นอย่างที่กลัวจริง ๆ ร่างสูงของจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์กำลังยืนก้มหน้าน้อย ๆ อยู่หน้าทีวีจอแบน พี่มันไม่ได้ดูทีวีเพราะจอภาพยังมืดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว จิณณ์เพียงแค่ยืนนิ่ง มองปากกาในมือเหมือนกำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ ผมควรจะให้สัญญาณใช่ไหม

“อ้อ มาแล้วหรือ นั่งสิ” มือที่กำลังยกขึ้นต้องค้างไว้ในอากาศเพราะอีกฝ่ายดันหันมาเห็นผมเสียก่อน จิณณ์เดินไปนั่งกับพื้นหน้าโต๊ะตัวเล็ก ผมก็ค่อยเหยียบไปบนพรมเนื้อนุ่ม เข้ามาที่นี่ครั้งที่สองแต่ก็ยังไม่รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย ไอ้ห้องสภาที่หรูหราไม่ผิดกับโรงแรมห้าดาวแถมยังมีประวัติที่ทำให้ผมมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามได้ไม่เต็มตาอีกต่างหาก

“จะเริ่มเลยไหมหรือจะกินอะไรก่อน”

“ไม่ดีกว่า” ผมตอบสั้น ๆ ดวงตาคมวับเลยตวัดมอง “ผมหมายถึง...ผมไม่หิว ไม่ต้องกินอะไรหรอก เริ่มเรียนเลยดีกว่า”
“ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ภาษาอังกฤษสำหรับการสนทนาเบื้องต้น ลักษณะโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้วก็การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น จะเริ่มตัวไหนก่อนดี”

“ตัวไหนก็ได้”

“เลือกเอาสักอย่าง จะเรียนตัวไหน” แล้วมึงจะดุเพื่อ? ผมเม้มปากแน่น อยากจะถามออกไปแรง ๆ แบบที่คิดนั่นแหละแต่ก็ติดที่ว่าตอนนี้ผมต้องพึ่งมันสมองของอีกฝ่ายเลยได้แต่ตะเบ็งเสียงตอบโต้ในใจ อะไรกันวะ คนที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนเค้าทักทายกันด้วยสีหน้าท่าทางแบบนี้หรือ เจอหน้ากันยังไม่ทันได้ถามไถ่ทุกข์สุขก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากับหนังสือ พูดออกมาแต่ละคำก็เย็นชาซะจนอยากทุ่มโต๊ะใส่หัวให้สักที ผมมาเรียนนะโว้ย ไม่ได้มาอารมณ์เสียเพราะพี่!

“ตกลงว่าไง”

“วิชาการใช้เหตุผลมีไหม อยากเรียน”

“วิชานั้นบุรินทร์ติวให้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังอยากเรียนอีก”

“เรียนกับบุรินทร์มันไม่เข้าใจเพราะบุรินทร์มันมีเหตุผล อยากเรียนกับคนแถวนี้เผื่อจะเข้าใจคนไม่มีเหตุผลขึ้นมาบ้าง” เจอผมรวนเข้าให้ ไอ้คนดีมันถึงกับถอนใจทิ้ง วางปากกาก่อนจะจ้องหน้าผมนิ่ง เอาสิผมไม่ยอมแพ้หรอก อยากจ้องมาก็จ้องกลับ ทำไม? มีปัญหา?

“วันนี้กินข้าวมาหรือยัง”

“ถามทำไม”

“ถ้ายังไม่ได้กินจะได้หาให้กิน ไม่ใช่มานั่งหงุดหงิดแบบนี้”

“ผมหงุดหงิดเพราะพี่นั่นแหละ!” เพราะมันไม่เหมือนเดิม เพราะมันทำหน้าดุ มันปากจัด ไม่ยอมลงให้ ไม่เอาใจ ไม่ง้อผมก่อน เพราะพี่มันคนเดียวเลย

“โอเค ถ้าอย่างนั้นบอกมาสิว่าจะให้ฉันทำยังไง” ผมไม่บอก พูดไม่ได้ตอนนี้จะบอกให้ว่าลำคอมันตื้อไปหมด เจ็บแล้วก็ร้าวขึ้นมาจากอกจนแทบหายใจไม่ออก ทำไมวะ ก็แค่ไอ้ผู้ชายทุเรศมันเมินใส่ผมต้องเจ็บขนาดนี้เชียว จิณณ์มันเห็นผมเงียบก็ชำเลืองตามองมาแล้วมันก็ทำหน้าแปลก ๆ ยังไม่ทันได้รวบรวมความโกรธด่าต่อ ไอ้พี่บ้ามันก็อ้อมโต๊ะมาหา ดึงครั้งเดียวหน้าผมก็ซุกปุเข้ากับไหล่มัน เล่นเอาผมดิ้นพล่าน

“ปล่อยโว้ย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ห้ามร้อง”

“ไอ้บ้า ปล่อยผม บอกแล้วไงว่าอย่ามาแตะคนอื่นตามใจชอบ”

“บอกให้หยุดร้องไห้ คุณภัทร ไม่หยุดจะโดนตีนะ” พูดเรื่องอะไรของมัน ใครร้องไห้ ผมหรือ ไม่ใช่หรอก ผมไม่มีทางร้องไห้ให้มันเห็นหรอกแล้วยิ่งเป็นเรื่องของไอ้บ้านี่ด้วย ผมไม่มีวันเสียน้ำตาให้เด็ดขาด จิณณ์คิดว่าตัวเองสำคัญยังไงถึงคิดว่าผมจะต้องร้องไห้ต่อหน้า

“ขอโทษ” ขอโทษทำเหี้ยอะไรไม่ทราบ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าร้องนะ” ไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ทำ ไอ้คุณชายบ้ามันทำให้ผมเสียน้ำตาไปแล้วแถมยังขู่ด้วยว่าถ้าผมไม่หยุดร้องมันจะตี ยังก่อน รอให้ผมคลายแรงสะอื้นลงก่อน ถ้าพูดเป็นคำได้เหมือนปกติแล้วผมจะด่าพร้อมกัดให้หูขาดเลย คอยดูนะ

“โกรธมากเลยใช่ไหม” เสียงห้าวถามอยู่ข้างแก้ม ผมผลักอกมันเต็มแรง ยกมือป้ายน้ำตาแล้วก็หันหน้าหนีเสีย หางตาเห็นวรินทรโผล่มายิ้มเผล่ก่อนจะผลุบหายไปแล้วก็เลยตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุมันเคือง ๆ เสียน้ำตา เสียเวลา หนังสือหนังหาไม่ต้องทบทวนมันแล้ววันนี้

“พูดอะไรสักคำสิ”

“เหี้ยไหมล่ะ”

“คุณ พูดดี ๆ หยาบคายแบบนี้มันไม่น่ารักนะ”

“เหรอ แต่ขอโทษนะ ผมไม่ได้ต้องการให้ไอ้คนประเภทกระแดะฟังคำหยาบไม่ได้มารักหรอก ถอยไป ผมจะกลับบ้าน” ผมตั้งท่าจะลุก เล็งไว้แล้วว่าถ้ามันขวางทางผมถีบเต็มเท้าแน่แต่ไอ้พีจิณณ์มันฉวยเอามือผมไว้ ลงแรงจับมั่น บอกด้วยสายตาว่าจะไม่ยอมเหมือนกัน

“ปล่อย” เราสองคนทำสงครามสายตากันอึดใจใหญ่ แล้วก็เกิดอะไรขึ้นกับสติของผมก็ไม่รู้ พอไอ้พี่จิณณ์มันออกแรงรั้งนิดหน่อย เนื้อตัวผมถึงได้อ่อนยวบยาบ ยอมนั่งลงซะอย่างนั้น

“กินขนมก่อนแล้วค่อยอ่านหนังสือกันนะ” มันยิ้มกล่อมและผมก็ทำเสียงขึ้นจมูก

“เออ”

เฮ้ย ทำไมใจง่ายแบบนี้วะ!




สุดท้ายผมก็ต้องเริ่มด้วยวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกก่อนเป็นวิชาแรก ความจริงตัวนี้เป็นวิชาเลือกเสรี สายมนุษยศาสตร์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ผมเลือกลงเพราะสนใจเรื่องนี้โดยส่วนตัวแถมมันยังไปคล้องกับเนื้อหาของวิชา วรรณคดีกับทัศนศิลป์ของผมอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละครับ เนื้อหาวิชาเยอะมาก ท่องจำกันไม่หวาดไม่ไหว มีรายงานหนึ่งตัวเบ้ง ๆ ที่ต้องส่งอาจารย์ก่อนสอบแถมพ่วงด้วยข้อสอบแบบวิเคราะห์ของอาจารย์ตอนปลายภาคนี้อีก หึ แค่เห็นหนังสือที่กองอยู่ตรงหน้าผมก็แทบจะสลบแล้ว

“หนังสือภาพทั้งนั้นอย่าเพิ่งท้อสิ”

“มันเยอะ”

“มีแต่รูปถ่าย นายจะได้จำได้ง่าย ๆ ดูรูปไปติวไปเพลินดีออก ลุกขึ้นมาอย่าเพิ่งนอน ยังเหลืออีกตั้งครึ่งนะ” ไอ้ติวเตอร์จอมโหดมันไม่ยอมให้ผมงีบสักงีบ ขนาดนั่งทำตาปรือ สัปหงก หาวแล้วหาวอีกก็แค่พักให้ห้านาทีสิบนาทีแล้วก็เอาน้ำเย็นมากรอกปากผม เรียบร้อยแล้วก็เริ่มยัดความรู้ใส่หัวผมต่อ ทำแบบนี้ติดต่อกันมาจะเข้าชั่วโมงที่สามแล้ว

“ไม่เอา ไม่ติวแล้ว มากกว่านี้ก็ล้น ผมรับไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าไม่ทันจะทำยังไง”

“ไม่ทันก็ไม่ทัน เหลืออีกตั้งหลายเทอมค่อยไปสปีดเทอมหน้าก็ได้” จิณณ์ส่ายหน้าคล้ายระอาแต่ก็ยอมรวบหนังสือมาตั้งไว้ “พูดแบบนี้แหละ เผลอแป๊บเดียวจะอยู่ปีสุดท้าย ถึงตอนนั้นอะไรก็ไม่ทันแล้ว”

“ขอบคุณ พี่ให้กำลังใจกันดีมากเลย”

“แค่เตือนไว้ คราวหน้าอย่าโหมอ่านเอาทีเดียวแบบนี้อีก มันอาจจะจำได้ก็จริงแต่มันจะจำได้แค่ระยะสั้น ๆ นานไปนายก็จะลืมเพราะมันไม่ได้ซึมเข้าไปในความเข้าใจ มันจะเป็นแค่การท่องจำชั่วครั้งชั่วคราว ที่สำคัญ หักโหมดูหนังสือก่อนสอบแบบนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา”

“ผมก็อ่านมาเรื่อย ๆ เหมือนกันนะไม่อย่างนั้นจะตามพี่ทันหรือ”

“เรื่องนั้นมันก็เป็นประโยชน์ของนายเองไม่ใช่หรือไง” ใช่ครับพี่ พี่พูดอะไรมาก็ถูกหมดครับ ตอนนี้ผมไม่เถียงอะไรพี่ทั้งนั้นแหละครับ กลัวไม่มีคนสอนเดี๋ยวจะไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างใครแถวนี้ ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นกร๊อบแล้วก็เลยทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างชั้นวางหนังสือสีเข้ม ครางออกมาอย่างสุขใจเมื่อสัมผัสความอ่อนนุ่มของเบาะหนา อากาศเย็นสบาย ที่นอนนุ่มหลัง อยากหลับจังเลย

“หลับได้ไหม” ผมปรือตาถามหนึ่งในเจ้าของห้อง จิณณ์แตะลิ้นกับมุมปากก่อนจะพยักหน้า

“จะกินอะไรก่อนหรือเปล่า”

“ไม่เอา ง่วง”

“ง่วงก็ง่วง ขยับไปหน่อย” ฮะ! เมื่อกี้พี่มันว่าอะไรนะ สั่งให้ผมขยับไปหน่อยหรือ ผมเอียงหน้ามองคนพูด ไอ้หล่อมันกำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียง ก้มมองผมเฉย พอผมทำท่าไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ มันก็ตีก้นผมให้ทีหนึ่ง ไม่เจ็บแต่สะดุ้งเฮือกครับ

“ขยับไป”

“ที่นอนมีตั้งเยอะแยะก็ไปนอนสิจะมานอนทำไมตรงนี้เล่า”

“คุณภัทร ฉันตื่นมาเตรียมหนังสือ เตรียมบทเรียนให้นายตั้งแต่เช้ามืดนะ เมื่อคืนก็ทำงานจนดึก ใจคอจะให้ฉันไปนอนขดอยู่บนพื้นจริง ๆ ใช่ไหม” ผมจิ๊ปาก ช่วงนี้จิณณ์เป็นอะไรไม่รู้ พี่มันฤทธิ์เยอะขึ้น ไม่ค่อยยอมลงให้ผมเหมือนเมื่อก่อน น้ำเสียงหรือก็ไม่ค่อยจะอ่อน ๆ นุ่ม ๆ เหมือนไอ้คนดีคนเดิม แต่ช่างเถอะ เห็นว่าที่ทำทุกอย่างนั่นก็ทำเพื่อผมหรอกนะถึงได้ยอมน่ะ ผมดีดตัวลุกจากเบาะ เมื่อเจ้าถิ่นเขาจะนอนตรงนี้ให้ได้ผมก็ไม่ขัด ผมเสียสละไปนอนพื้นให้เองก็ได้ มันคงไม่เจ็บหลังเท่าไหร่หรอก อย่างน้อยก็พื้นพรมเนื้อดีล่ะวะ

“จะไปไหน นอนตรงนี้แหละ”

“แหกตาดูซะก่อนว่ามันเป็นเตียงเดี่ยว จะเบียดเข้าไปได้ยังไงตั้งสองคน”

“จะเตียงเดี่ยวเตียงคู่ เราก็ใช้พื้นที่เท่าเดิม นอนลงไปซะ” ไม่ใช่แค่ปากที่สั่ง มือใหญ่เท่าใบพายยังดันไหล่อันบอบบางของผมให้หงายตึงลงไปบนเบาะด้วย ร่างสูงหนาเอนทับลงมาเล่นเอาผมถดตัวหนีแทบไม่ทัน อยากจะด่าสรรเสริญให้สักบทสองบทแต่มันติดที่ปากผมกำลังจ่อกับซอกคอมันอยู่ ขยับนิดเดียวคงได้ทั้งแทะทั้งเล็มคอขาว ๆ ของไอ้คุณชายมันแน่ ผมสั่งตัวเองให้หลับตา หลับตาและหลับตา แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้

“เลิกหายใจแรง ๆ เสียที ฉันนอนไม่หลับนะ”

“ผมหายใจแรงหรือ” ผมถามมันกลับไป คิดว่าหัวใจเต้นแรงอย่างเดียวเสียอีก จิณณ์หัวเราะน้อย ๆ มันแกล้งสับคางลงบนหน้าผากผมกึก ๆ เจ็บนะเว่ย

“แรง”

“รู้ได้ไง”

“นายเป่าคอฉันอยู่นะ” เออ ผมก็โง่เนาะที่ไม่ทันคิด รีบจิกหัวตัวเองออกห่างทันทีที่ได้ยิน จิณณ์หัวเราะดังยิ่งกว่าเก่า ตบหัวผมกลับเข้าที่เดิมแล้วก็สั่งสั้น ๆ

“หลับซะ” แล้วเราก็นอนเงียบกันไปพักใหญ่

“นี่” เรียกไปแล้วก็รู้ตัวต้องรีบเปลี่ยนใหม่

“พี่จิณณ์”

“อะไร”

“พี่คิดว่าผมจะอ่านหนังสือทันไหม”

“อยากให้ทันไหมล่ะ” เสียงทุ้มย้อนถาม ผมที่ตาใกล้จะปิดแล้วได้แต่ครางรับในคอ ใครจะตอบว่าไม่ล่ะ ใจผมอยากให้มันซึมเข้าหัวโดยไม่ต้องอ่านเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เครียดจนมึนไปหมดแบบนี้ จิณณ์ลูบหลังผมเงียบ ๆ ก็เกือบจะหลับไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงตอบแว่ว ๆ

“ถ้านายอยากให้ทันฉันก็จะทำให้ทัน แต่งานนี้ ฉันอาจจะใจร้ายกับนายไปบ้าง ทนหน่อยนะคุณ” ไม่เป็นไร ตอนนี้ ขอพี่คุณหลับเอาแรงก่อนก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน




ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงสว่างจากหลอดไฟมันแยงเข้าตาจนทนนอนต่อไปไม่ได้ ปรือตาขึ้นมองก็เห็นวายืนยิ้มอยู่ปลายเตียง หน้าหวาน ๆ พราวด้วยรอยยิ้มสวย ผมค่อยลุกขึ้นนั่งมองไปรอบห้องแล้วก็ขมวดคิ้วฉับ

“จิณณ์ไปไหน”

“ตื่นมาก็ถามถึงเลยนะ”

“พี่พีร์ไปไหน” เอาสิ ไม่ให้ถามถึงจิณณ์ผมถามถึงคนอื่นก็ได้ วาหัวเราะเสียงใส ชี้ไปด้านหลังก่อนจะเดินเข้ามายื่นแก้วน้ำให้ผม

“อยู่ข้างนอก คุยอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ท่าทางเครียดเชียว”

“อาจจะเป็นธุรกิจร้อยล้าน”

“อาจจะยิ่งกว่านั้น สำหรับพี่จิณณ์ทุกธุรกิจที่ลงทุนไปต้องได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า แต่บางธุรกิจให้พยายามลงแรงลงใจมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยได้อะไรตอบกลับมา มันก็ชวนให้คิดมากได้ คิดอย่างนั้นไหม” ผมหาวหวอด พี่จิณณ์มันไปลงทุนอะไรแล้วเกิดเจ๊งขึ้นมาหนอ วาถึงได้หยิบยกมาคุยหน้าตาจริงจังแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้สนิทด้วยจนถึงขั้นต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยได้แต่พยักหน้าอือออตามวาไปแบบง่วง ๆ จิบน้ำชาในแก้วไปอีกสองสามจิบ จิณณ์ก็โผล่หัวเข้ามาดู

“วันนี้ไปค้างบ้านโน้นนะ” ผมที่ยังมึนไม่หายฟังคำชวนแล้วก็ส่ายหน้า

“ไปบ่อย เดี๋ยวแม่หาว่าใจแตก”

“เดี๋ยวแวะขอคุณน้าให้ก็ได้ นายจะได้ไปเอาของด้วย โอเคไหม” ผมยื่นแก้วให้ จิณณ์รับไปถือไว้ตั้งท่าว่าจะยังไม่ยอมไปไหนถ้ายังไม่ได้คำตอบที่พอใจ ยังไงมันก็ต้องลากผมไปให้ได้อยู่แล้วจะเสียเวลาขอทำไมวะ ผมยักไหล่ กระตุกแขนเสื้อวาเบา ๆ

“ไปด้วยกันไหม” เพื่อนผมทำท่าเหมือนจะสะดุ้ง วาหัวเราะจนตาหยี ปฏิเสธทั้งที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น “ไม่เอา จะไปได้ยังไงล่ะ”

“ทำไมเล่า ไปกันหลาย ๆ คน สนุกดี” นั่น เหมือนชวนเพื่อนไปบ้านตัวเองเลย

“สนุกน่ะมันสนุก แต่คราวนี้นายต้องติวหนังสือสอบกับพี่จิณณ์ไม่ใช่หรือ ไปกันหลายคนแทนที่จะได้เรียนมันจะกลายเป็นเล่นไปซะหมดน่ะสิ อีกอย่างฉันก็นัดพี่พีร์ไว้ก่อนแล้วด้วย เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน ให้สอบเสร็จแล้วค่อยคุยกันอีกที”

ผมเลยต้องมานั่งพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กแล้วก็เดินลงมาบอกแม่ว่าจะขอไปค้างอ้างแรมกับผู้ชายทั้งอาทิตย์ นับตั้งแต่คืนนี้จนถึงคืนก่อนสอบ นอกจากจะไม่คัดค้านแล้วคุณทิพปภายังฝากฝังผมไว้กับ ‘พี่จิณณ์’ จนผมทนสายตายิ้ม ๆ ของเจ้าคีย์ไม่ได้ ต้องลากจิณณ์มาขึ้นรถก่อนจะเกิดศึกสายเลือดครั้งใหญ่ในบ้านปัทมวรกุล

“คุณแม่ของนายท่านน่ารักดีนะ”

“อือ แล้วจะบอกแม่ให้” จิณณ์ละสายตาจากไฟท้ายรถคันหน้าหันมามองผมยิ้ม ๆ

“คุณก็เหมือนแม่นั่นแหละ” พูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ ผมชักงงกับความคิดของคนขับรถ พิมพ์หน้าที่เคาะกันออกมาแบบนี้มองปราดเดียวมันก็ต้องรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าผมเหมือนแม่ เพียงแค่ถ้าแม่ให้ความรู้สึกสวยน่ารัก ผมก็จะค่อนไปทางหล่อแบบน่ามองมากกว่าเท่านั้น พี่จิณณ์มันก็น่าจะรู้อยู่แล้วเอามาพูดทำไม พอมองหน้าแล้วนางไม่ยอมขยายความผมเลยเลิกสนใจ

“ฉันไม่ได้หมายถึงหน้าตา” ผมยิ้มหวาน อ้อ ที่แท้พ่อจิณณ์คนดีตั้งใจจะบอกว่านอกจากหน้าตาจะดีแล้วนิสัยคุณภัทรยังดีด้วย อย่างนั้นใช่ไหม ผมตบไหล่หนาปุ ๆ

“ขอบคุณว่ะพี่ พี่ก็น่ารักนะโว่ย” จิณณ์ทำหน้าเหมือนจะเหนื่อยใจและมันก็ยังไม่ยอมทิ้งมาดคุณครูระเบียบ เสียงห้าวติดจะดุสวนกลับทันทีที่ผมพูดจบ “คำสร้อยที่มันไม่จำเป็นก็ตัดทิ้งไปซะบ้างนะ พูดวะพูดโว้ย มันก็ทำให้ความน่ารักของคนลดลงได้เหมือนกัน”

“ใคร ๆ เค้าก็พูดกันเหอะ”

“แต่ไม่ใช่กับเราสองคน ฉันไม่อยากฟังนายพูดไม่เพราะ”

“แค่นี้ก็ไม่ได้”

“ไม่ได้ แล้วอย่ามาสบถให้ได้ยินอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน” อ้าว ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้ตัวบ้าอำนาจ ไอ้คนช่างบังคับ ถ้าผมจะทำแล้วพี่จะทำอะไรได้ หา จะทำไม ผมสรรเสริญมันในใจอยู่เงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปากให้พี่มันเห็น ไอ้คุณชายมันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ด้วย พี่คนดีที่เคยยอมผมทุกอย่างคนนั้นไม่มีอีกแล้ว ที่กำลังขับรถอยู่นี่มันเป็นปีศาจครูระเบียบปลอมตัวมา ผมกระแทกลมหายใจ มองมันเหมือนจะกินทั้งเลือดทั้งเนื้อให้หมดตัวแล้วก็หันหน้าหนีแทบจะเป็นสะบัด จนรถจอดนิ่งสนิทแล้วนั่นแหละผมถึงได้ทำลายความเงียบขึ้นเบา ๆ

“ผมเคยชินของผมมาแบบนี้ ถ้าพี่รับไม่ได้ผมก็ไม่รู้จะทำไง”

“แล้ว?”

“กับเพื่อนก็พูด กับน้องก็พูด แล้วผมก็ยังเคยได้ยินพี่พูดกับเพื่อนเหมือนกัน...”

“แต่ฉันก็ไม่เคยพูดแบบนั้นกับนาย ใช่ไหม”

อ่า ใช่ ไม่เคย

แล้วไงล่ะ! ทำไมผมต้องพยักหน้าตอบมันด้วยอ่ะ ไอ้พี่จิณณ์จับหัวผมให้หันไปหา ถ้าเป็นเวลาปกติคงมีลูกถีบแจกแต่ตอนนี้ผมกำลังซีเรียส จะยอมให้สักครั้งก็ได้ “เพราะฉันไม่เคยคิดว่าคุณเป็นเพื่อน เป็นน้อง หรือเป็นแค่คนรู้จัก คุณไม่เหมือนคนพวกนั้น ไม่เหมือน เข้าใจไหม” ไม่เข้าใจ ไม่เหมือนพวกนั้นแล้วพี่มึงจะให้กูเหมือนอะไร

“ถ้าเรื่องนั้นมันเข้าใจยากก็ช่างเถอะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณฟังคำหยาบคายพวกนั้น ไม่อยากให้คุณเคยชินกับมันจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะถ้าหากคุณเผลอไปพูดหรือสบถให้พวกอาจารย์หรือผู้ใหญ่ท่านได้ยิน มันจะทำให้ตัวคุณดูด้อยค่าลงไป...มาก แล้วใครจะรับประกันได้ว่าคุณจะไม่เผลอในเมื่อความเคยชินนั่นมันติดอยู่ตรงนี้” จิณณ์แตะนิ้วหัวแม่มือกับปากผมเบา ๆ หยุดข้อโต้แย้งที่กำลังจะบอกว่าผมแยกแยะได้จนต้องนิ่งฟังต่อไป

“มันยากเกินไปหรือที่จะไม่พูดคำหยาบในบางครั้ง”

“ยาก” ได้ยินผมตอบแบบนั้นจิณณ์ก็ถอนใจยาว พี่มันปล่อยมือจากแก้มผมแล้วก็หันไปคลายล็อคประตู บอกเสียงอ่อน

“ฉันหิวแล้ว ลงไปกันเถอะ” ผมลากกระเป๋าตัวเองเดินตามมันไปต้อย ๆ เออ โดนโกรธอีกแล้ว เดินไปก็ใช้สมองน้อย ๆ ของตัวเองครุ่นคิดไปด้วย นานพอดูกว่าลิฟต์จะเลื่อนลงมารับเราสองคน ผมก้าวตามเจ้าบ้านเข้าไปยืนในกล่องสี่เหลี่ยม คิดอยู่ว่าจะเริ่มพูดกับมันยังไงดีไฟในลิฟต์ก็กะพริบติด ๆ ดับ ๆ ก่อนจะ...พรึบ...ฉิบ หาย แล้ว




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 12-11-2016 18:15:42
ดูน้องคุณสับสนพอดูเลยนะเนี่ย
แล้วนั่น ลิฟต์ค้างรึคะ  :serius2:
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 12-11-2016 20:39:58
น้องคุณดูสับสนในตัวเอง

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-11-2016 21:39:30
เข้าใจเลยว่า พี่จิณณ์ น่าจะเหนื่อยใจกับคุณ
คุณ ทั้งซึน ทั้งเข้าใจยาก ซื่อบื้อ มาก
ไว้ให้คุณ รู้สึกว่าสูญเสียคนสำคัญ
เมื่อนั้นคุณ คงรู้ตัวซะที
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 12-11-2016 22:42:03
เอาใจช่วยพี่จิณณ์กับน้องคุณ


 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-11-2016 23:40:55
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-11-2016 01:37:37
เลิกมึนค่ะน้อง
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๔ P.4 12/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2016 05:27:07
กำลังสอนเด็ก
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 17-11-2016 14:29:08
ตอนที่ ๑๕   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







“เชี่ย” ผมตะปบปากตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะหลุดเสียงอุทานอันอ่อนหวานให้ถึงหูอีกฝ่าย จิณณ์กดปุ่มฉุกเฉินเพื่อแจ้งพนักงานข้างล่าง ดูเหมือนมันจะไม่มีท่าทีว่าจะตกใจจนตัวเย็นอย่างผมเลย ผมเหลือบมองรอบตัว ลิฟต์ตัวนี้ไม่ใช่ลิฟต์แก้วตัวที่เคยใช้แต่มันเป็นลิฟต์ปกติที่มีกระจกเงาติดโดยรอบ เห็นอะไรแวบ ๆ ทางหางตาผมก็ขยับเข้าหาคนข้างตัวโดยไม่ต้องคิด

“ไม่เป็นไร ข้างล่างมีช่างอยู่ เดี๋ยวก็เรียบร้อย” เจ้าบ้านท่านว่าอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ นิ่งอยู่กับความมืดได้อึดใจผมก็คิดได้ว่าถ้าไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเสียตอนนี้แล้วจะไปทำอีกเมื่อไหร่ ลองเอื้อมมือไปแตะแขนก่อน เมื่อจิณณ์ไม่ได้ปัดออกหรือขยับหนีผมก็เขย่าแขนพี่มันพอให้รู้สึก

“อะไร” เจ้าของแขนก้มลงถาม ผมร้องเรียกหาความมั่นใจในความมืดนั้น

“ผม...ผมจะพยายามไม่พูดหยาบก็ได้แต่ไม่รับประกันนะว่าจะทำได้ตลอดเวลา พี่ก็รู้ว่าผมเป็นแบบนี้มาตลอดสิบกว่าปี จะให้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืนไม่ได้หรอกนะ ผมอาจจะห้ามคำสบถสาบานอะไรพวกนั้นได้...บ้าง แต่ไอ้คำสร้อย คำมาลา วะโว้ยทั้งหลายนั่นน่ะอนุโลมให้หน่อยได้ไหม”


“ถ้าไม่ได้เต็มใจทำจะฝืนไปทำไม”
“ก็พี่อยากให้ผมทำไม่ใช่หรือไง” ผมย้อนเสียงห้วน อะไรของมันวะ ง้อขนาดนี้แล้วยังทำเสียงเข้มใส่กูอีก จิณณ์ดึงแขนออกจากมือผมบอกด้วยน้ำเสียงระดับเดิม

“ลืมมันซะเถอะ มันยากนี่”

“ก็มันยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ พี่อย่าเพิ่งโกรธได้ไหมเล่า”

“ฉันไม่ได้โกรธ พอเถอะ ยิ่งพูดมากอากาศจะยิ่งเบาบางลงนะ” ผมครางฮื่อ พอมันไม่ให้จับแขนผมก็จับไหล่แทน จากสายตาที่พอจะชินกับความมืดแล้วผมพอมองออกว่าเราสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ ผมเคาะนิ้วกับไหล่หนาทั้งสองข้าง ลากเสียงยาวเหมือนเวลาพูดกับพ่อหรือแม่ไม่มีผิด

“พี่หายโกรธก่อน...นะ...นะะะ...”

“ฉันไม่ได้โกรธ”

“จิณณ์ ผมพูดจริงนะ ตั้งใจจะพยายามแล้วพี่จะไม่ช่วยกันเลยเหรอ ใจร้ายว่ะ อุ่ย...” หลุดไปอีกหนึ่งดอกกับคำต้องห้าม จิณณ์แทบจะปลดแขนผมออกจากคอแต่พอทำไม่ได้พี่มันก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ผมเขี่ย ๆ ปลายนิ้วกับกลุ่มผมตรงท้ายทอยอีกฝ่าย ไม่ลืมทำเสียงในคอเบา ๆ เป็นการกระตุ้นคนใจแข็งไปในตัว

“หายโกรธ”

“บอกว่าไม่ได้โกรธ” ผมตั้งท่าจะเถียงไอ้เสียงนิ่ง ๆ ที่บอกไม่ได้โกรธแต่ในจังหวะนั้นไฟในลิฟต์ก็สว่างวาบขึ้นมาเสียก่อน ลิฟต์กระตุกจนเซกันทั้งสองฝ่าย ผมเผลอรัดต้นคอคนตัวสูงกว่าไว้แน่น ลืมสนใจแม้จะรู้สึกว่าเอวตัวเองโดนกอดเข้าหมับ ดีที่หน้าผากไม่โขกกระจกด้านที่จิณณ์ยืนพิงอยู่ พอมองกระจกที่สะท้อนภาพตรงหน้าผมก็ต้องอ้าปากค้าง เชื่อแล้ว เชื่อแล้วว่ามันไม่ได้โกรธ เพราะไม่มีคนกำลังโกรธที่ไหนเค้าจะยิ้มเจ้าเล่ห์ได้อย่างนี้อีกแล้ว!

“สัญญาแล้วนะ”

ไอ้...ไอ้...ไอ้พี่เลว! มันหลอกผม!

 


“ห้าทุ่มแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ”

ได้ยินอาจารย์ท่านประกาศิตมาแบบนั้น ผมเลยหงายหลังราบไปกับพื้น หลับตาพึมพำกับตัวเองเหมือนคนเสียสติไปชั่วขณะ ผมไม่ได้บ้าหรอก ไม่ได้โกรธที่จิณณ์แกล้งอำจนเลอะเลือนแต่ผมกำลังทำตัวเป็นคนดี พยายามท่องจำและระลึกถึงความรู้ที่ได้เรียนทั้งวัน แต่ยิ่งนึกถึงมันก็ยิ่งสับสน ผมเลยนึกภาพตัวเองนั่งยัดความรู้ลงไหดินเผาแล้วก็ปิดฝาฝังดินไว้ อีกสี่ห้าวันพี่คุณจะขุดขึ้นมาทุบก่อนเข้าห้องสอบนะความรู้ที่รัก

“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดนะคุณ”

“อือ” ผมขานรับสั้น ๆ แม้จะแค้นแสนแค้นกับเรื่องในลิฟต์แต่จำต้องเชื่อฟังท่านไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอนาคตอาจได้เรียนเกินหลักสูตรสี่ปีก็เป็นได้ จบไปหนึ่งวิชาเหลืออีกสามวิชาสำหรับห้าวันที่เหลือ ผ่านตัวหินที่สุดไปแล้วผมก็ไม่หนักใจเท่าไหร่ เพราะตัวที่เหลือผมเข้าเรียนประจำ (แต่มันดันไม่ค่อยเข้าใจ) คะแนนเก็บอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางบวกแต่ก็ยังอยากติวเพื่อความมั่นใจอีกหน่อย ผมคงใช้เวลากับมันไม่มาก ตั้งใจว่าจะกลับมาทวนไอ้ตัวยากโคตรนี่อีกรอบในวันก่อนสอบ วางแผนให้ตัวเองในหัวเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็สบายใจขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีจนยอมให้จิณณ์ซ้อนหัวไปวางบนตักมันได้

“เหนื่อยไหม” ผมครางรับ หลับตาให้พี่มันซับผ้าเย็นไปตามใบหน้าและซอกคอแบบไม่เกี่ยงงอน คิดถึงโปรแกรมติวพรุ่งนี้แล้วก็อยากจะหลับยาวให้รู้แล้วรู้รอด

“เราจำเป็นต้องวิ่งตอนเช้าด้วยหรือ”

“เปลี่ยนบรรยากาศไง วิ่งไป ท่องหนังสือไป เอาวิชาที่ติววันนี้แหละไปท่องเป็นการทบทวนไม่ให้ลืม”

“แต่ผมเพิ่งขุดดินฝังไหไปเองนะ” ผมเพ้อไปตามเรื่อง จิณณ์คงไม่เข้าใจมันเลยพล่ามต่อ “ถ้านั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมนาน ๆ มันจะทำให้แก้วกาแฟของนายล้น”

“แก้วกาแฟ?” ผมลืมตาขึ้นมองคนพูด จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม อืม สงสัยพี่มันจะรู้ว่าช่วงนี้ผมห่างเกินการชื่นชมความหล่อมานานเลยตอกย้ำให้เห็นกันลืม โอเค พี่หล่อมากจิณณ์ ตกลงจะอธิบายเรื่องแก้วกาแฟของผมได้หรือยัง

“ใช่ สมองเราเหมือนแก้วใบหนึ่ง เวลาได้รับอะไรมาก ๆ ถึงจุดที่ไม่สามารถรับได้แล้วมันก็จะล้นเหมือนกาแฟที่ถูกรินเติมจนเต็มแก้ว ส่วนที่ล้นน่ะก็จะเสียเปล่าแถมยังทำให้เลอะอีกด้วย ทางที่ดีเราควรจะทำให้มันว่างเสียก่อน การได้พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศหรือการออกกำลังกายเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้แก้วกาแฟของนายว่างได้ เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นการที่เรานอนหลับมันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่พอ เรากำลังเรียนหลักสูตรเร่งรัด นายเป็นคนเบื่อง่ายแถมยังต้องย้ำจริงจังถึงจะจำได้ ขืนนอนแล้วก็ตื่นมาอ่านซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ วัน นายอาจเป็นบ้าไปก่อนจะทันได้เข้าห้องสอบ” นั่น ดันรู้นิสัยผมอีก

“ผม...ไม่รู้สิพี่ ผมตั้งใจนะ ตั้งใจและพยายามแล้วแต่มันก็ยังได้เท่านี้ ขณะที่บางคนเค้าแทบไม่ต้องอ่านหนังสือเลยทำไมเค้าทำได้ มันเหนื่อยแล้วก็ล้ามากเลยนะ มากจน มากจนผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า” ยิ่งพูดเหมือนตัวเองยิ่งอ่อนแอ ผมหลับตาลงอีกครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองแต่ก็สรุปเอาว่าเป็นเพราะความเครียดที่มันสะสมมานับเดือนบวกกับสภาพร่างกายที่ถูกใช้งานหนักในช่วงหลัง ๆ มานี้ทำให้สภาพจิตใจเปราะบางตามไปด้วย เพียงแค่ได้พูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไป เพียงแค่ได้นอนหลับตา มีมืออุ่น ๆ คอยลูบผมให้ มีเสียงนุ่ม ๆ คอยพึมพำรับคำ

น้ำตามันก็ไหลได้เอง

“คุณ” เจ้าของเสียงนุ่มเอนตัวลงนอนข้างผม ฝ่ามือที่ไล้ขึ้นลงบนหลังทำให้ผมยอมจำนนต่อความอ่อนโยนนั้น จิณณ์จะรั้งเข้าไปกอดจะดุจะตีอะไรก็ช่างมันแล้ว ตอนนี้ขอผมร้องให้พอใจก่อนก็แล้วกัน “ไม่เป็นไร มันแค่เรื่องเล็ก ๆ ถ้านายผ่านมันไปได้นายจะเข้มแข็งขึ้นนะ”

“ผมรู้”

“เค้าเรียกว่าความกดดัน มันอาจจะลำบาก อาจจะเป็นทรมานในตอนนี้ แต่ถ้านายพยายามและเอาชนะมันได้ นายจะภูมิใจเมื่อได้หันกลับมามอง แล้วความสำเร็จที่ได้มามันก็จะยิ่งทำให้นายดีใจมากกว่าการที่ได้มันมาโดยไม่ผ่านอุปสรรคอะไรเลย ความทุกข์น่ะมันทำให้เรารู้จักกับคำว่าความสุขนะ” จิณณ์พูดถูก ผมรู้อย่างที่มันรู้แต่ที่ผมไม่รู้คือผมจะทำตามแนวทางนั้นได้อย่างไร

“ผมแค่เหนื่อยเท่านั้นเองจิณณ์ แค่ ไม่รู้จะจัดการกับความอ่อนแอของตัวเองยังไง”

“เหนื่อยได้แต่อย่านาน เหนื่อยก็พักแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ ที่สำคัญ ฉันก็อยู่ตรงนี้ นายหิวอยากกินข้าว คอแห้งอยากดื่มน้ำหรือเหนื่อยจนอยากนอนนิ่ง ๆ ขอแค่คุณเอ่ยปากบอก อยากจะให้ฉันทำอะไร คงไม่ต้องย้ำใช่ไหมว่าฉันพร้อมจะทำให้คุณเสมอ” ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง อยากขอบใจ อยากตอบรับเป็นคำพูดแต่หนังตามันก็หนักจนทำอย่างที่นึกไม่ไหว เสียงนุ่ม ๆ กับไออุ่นที่เริ่มคุ้นเคยทำให้สติผมลางเลือนแล้วก็ทำในสิ่งที่เรียกว่าหลับคาอกคนปลอบไปอย่างไม่น่าอภัย




เช้าวันแรกของการสอบ

ผมเดินช้า ๆ ไปตามถนนหน้าตึกเรียน ไม่ต้องเร่งรีบเพราะมีคนบุกบ้านมาปลุกตั้งแต่เช้ามืด บังคับให้ผมลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอย่างที่เคยทำมาตลอดอาทิตย์โดยมีแม่ยืนทำหน้าปลาบปลื้มอยู่ตรงประตูครัว อาบน้ำ กินข้าวเช้าเสร็จ นาฬิกาปลุกของผมก็ขับรถมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัยบอกว่าตัวเองมีงานต้องจัดการเลยต้องรีบไป ผมเลยได้เดินเตร่เข้ารั้วมาชนิดที่ว่าชมดอกไม้หมดสวนของมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเข้าห้องทันเวลาสอบแน่นอน

บุรินทร์กับวาโบกมือให้ทันทีที่เห็นผมเดินขึ้นตึกไป สองคนนั้นนั่งห่างจากคนอื่น ๆ ออกมานิดหน่อย ไม่มีกองหนังสือตรงหน้าทั้งที่คนรอบตัวกำลังขะมักเขม้นกับการทวนเนื้อหาหน้าตาเคร่งเครียด แบบนี้แสดงว่ามั่นใจกันน่าดู

“เดินตัวเปล่ามาเลยนะ” บุรินทร์ถือคติเปิดก่อนย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผมชายตามองมันอย่างไม่ถือโทษ วันนี้ได้ออกกำลังกายตอนเช้า สมองโปร่ง อารมณ์เลยดีด้วย “ตัวเปล่าที่ไหน สะพายเป้ใบเท่าบ้านมาแบบนี้ ซอยแถวบ้านเค้าเรียกตัวเปล่าหรือตี๋”

“บ๊ะ! มีสติตอบโต้เพื่อนแสดงว่าไม่กังวลเรื่องข้อสอบแล้ว”

“ไม่กังวลกับผีน่ะสิ เมื่อไหร่จะเริ่มสอบสักทีวะ” อุ่ย หลุด

“อีกตั้งครึ่งชั่วโมง กินอะไรมาหรือยังล่ะ กองทัพมันต้องเดินด้วยพยาธิในท้องนะ ปล่อยพวกมันหิวเดี๋ยวก็ได้ร้องประท้วงกลางห้องสอบหรอก” อยากจะตอบว่ากินมาเต็มท้องแล้วแต่ไอ้ตี๋มันก็ร่ายยาวจนผมไม่มีช่องไฟจะแทรก วาเลยใช้ฝ่ามือดันหน้ามันเป็นการบอกให้หยุด จังหวะนั้นเองโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น บุรินทร์กับวาหันไปชี้ชวนกันดูขื่อดูคาน เหมือนไม่สนใจแต่หูนี่กระดิกเชียว

“คุณภัทรพูด”

( จะเข้าห้องสอบแล้วใช่ไหม )

“อือ อีกครึ่งชั่วโมง ทำธุระเสร็จแล้วหรือ”

( ยัง ถ้าเข้าไปแล้วเค้าห้ามใช้โทรศัพท์เลยโทรมาก่อน ไม่ต้องคิดมากนะ ค่อย ๆ คิด ทำข้อที่ง่ายก่อน ข้อยากเก็บไว้ทีหลังแล้วก็อย่ามองว่ามันเป็นข้อยากหมดล่ะ ก่อนจะตอบก็วางโครงเรื่องกับหัวข้อที่สำคัญไว้ก่อนแล้วค่อยเขียนรายละเอียด อย่าลืมดูเวลาด้วย เข้าใจไหม )

“จิณณ์ พี่ย้ำจนผมจำได้แล้ว”

( ฉันเป็นห่วง กลัวนายเครียดจนลืม กลัวสารพัดเลยคุณ )

“ผมจะเข้าห้องสอบไม่ได้จะไปรบ พี่อย่าเวอร์ไปเลยน่า”

( ฉันเป็นห่วง )

“รู้” เสียงนั้นบอกมาเบา ๆ ผมก็เลยต้องเบาเสียงตามไปด้วย

( ตั้งใจทำข้อสอบนะ ถ้าทำคะแนนได้ดีสอบเสร็จจะพาไปเที่ยว ) ของรางวัลน่าสนใจจนทำให้ผมพยักหน้าแรง ๆ ทั้งที่รู้ว่าปลายสายคงไม่เห็น คุยกันอีกสองสามประโยคจิณณ์ก็วางสายไป ผมจัดการปิดเครื่องก่อนจะซุกมันไว้ในเป้ เงยหน้าขึ้นมาก็จ๊ะเอ๋กับดวงตาพราวระยับสองคู่

“โทรศัพท์เครื่องนี้ซื้อมาจากไหนนะคุณ”

“ชั้นสี่ มาบุญครองไง เราไปด้วยกัน นายจำไม่ได้หรือบุรินทร์” บุรินทร์ทำหน้าหมายมั่น

“ได้การละ ฉันจะไปซื้อโทรศัพท์ของร้านนั้นมาใช้ เผื่อจะได้โทรไปยิ้มไปเหมือนใครแถวนี้บ้าง สนใจไหมวา จะได้ไปซื้อพร้อมกันเลย” โชคดีที่วาไม่เออออไปกับมัน ผมเลยได้ลงไม้ลงมือกับไอ้ตี๋คนเดียว บุรินทร์ร้องโอยเมื่อถูกกำปั้นแบบไม่มีรูทุบไหล่เข้าให้ ถ้าไม่ติดว่าคนอื่น ๆ กำลังตั้งใจท่องหนังสือผมจะขบหัวมันแถมให้อีกอย่าง แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ เดี๋ยวจะไม่เหลือชีวิตไปเจอลูกศิษย์นะขอเตือน




การสอบวันสุดท้ายผ่านพ้นไปได้ด้วยดีสำหรับผมและเพื่อน ๆ ดีในที่นี้หมายถึงว่าผมได้ทำข้อสอบครบทุกข้อแต่คำตอบจะโดนใจอาจารย์จนได้คะแนนสวย ๆ มาหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขณะที่คนอื่น ๆ พากันถกถึงเรื่องข้อสอบที่เพิ่งทำไปอย่างเมามันพวกเราสามคนกลับมองหน้ากันแล้วก็ถอนใจ พอได้แล้วกับเรื่องวิชาการต่อจากนี้คือช่วงปิดเทอม ผมจะออกเที่ยวสักสองอาทิตย์ติด ๆ กัน นอนตื่นสายให้สมอยาก ตามไปกินร้านอร่อยที่ได้ยินมาให้ครบ เป็นการเรียกกำลังคืนมาก่อนจะต้องมาเผชิญกับตำราเรียนของปีสองต่อไป

เราสามคนลากสังขารอันอิดโรยมานั่งที่โต๊ะประจำ นอกจากโค้กเย็น ๆ คนละกระป๋องแล้วก็ไม่มีใครเรียกร้องอย่างอื่นอีก เพิ่งสามโมงพวกเรากินข้าวเที่ยงก่อนจะเข้าไปสอบวิชาสุดท้ายตอนนี้เลยยังอิ่มจนไม่โหยหาสิ่งใดทั้งสิ้น

“มีโปรแกรมจะไปไหนหรือเปล่า”

“วันนี้หรือ” พอวาพยักหน้ารับบุรินทร์ก็บอกเสียงอ่อน

“ฉันไม่มี หมดแรงแล้ว อยากกลับไปนอน”

“จะกลับไปนอนหรือไปไหนกันแน่ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนฝูงนะ ทำตัวน่าสงสัย” ผมเปรยลอย ๆ ไม่มองหน้ามันแต่แอบเห็นนะว่าบุรินทร์ลอบค้อนให้น่ะ แหมะ ตั้งแต่รักเด็กเนี่ย ติดนิสัยเด็กมาเต็ม ๆ เลยนะตี๋

“ไปนอนคือนอนจริง ๆ ว่าแต่คนอื่นดูตัวเองเสียก่อน โน่น ทำไมคนที่สอบเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแถมยังทำเรื่องขอจบเรียบร้อยถึงได้ยังวนเวียนไปมาแถวนี้อยู่ไม่ทราบ” ผมหันไปมองตามที่มันบุ้ยปากนำแล้วก็ยักไหล่ “จะไปรู้หรือ ปากมีก็ถามเอาเองสิ”

“แหม แค่นี้ทำเขิน” ก่อนที่สงครามน้ำลายจะลุกลามไปถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ เป้าหมายของการสนทนาก็เดินเป็นพยัคฆ์หน้าหยกมาถึงโต๊ะเสียก่อน มองหน้าหล่อ ๆ นั่นแล้วก็เกิดคำถามอีกจนได้ สอบเสร็จไปแล้ว เรียนจบแล้วเรียบร้อยรอแต่เข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร งานก็มีมาจ่อรอคิวให้ทำเต็มมือแล้วทำไมยังทำหน้าเครียดอีก

“เป็นอะไร” ไอ้เรื่องจะเก็บความสงสัยไว้ในใจนั้นหาใช่วิถีคนแมนไม่ พอจิณณ์นั่งลงปุ๊บผมก็ถามปั๊บ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วนิด ๆ คลื่นความหล่อพัดด้วยกำลังแรงสองร้อยแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงกระแทกใส่หน้าผมดังปัก! แม้แต่ช่วงที่ผมอ่อนแอเพราะการสอบมันก็ยังไม่คิดปรานี

“ใคร”

“ก็พี่นั่นแหละ เป็นอะไรทำหน้าเครียด ท้องผูกหรือไง”

“ทำข้อสอบได้ไหม” ผมหัวเราะหึ

“ได้ทำมากกว่า” จิณณ์แทบจะถอนใจพรืด ตาคมมองผมก่อนจะหันไปเอาคำตอบกับวาและบุรินทร์ เพื่อนทั้งสองคนก็แสนดีตอบรับอย่างฉะฉานว่าได้ทำทุกข้อแต่เรื่องคะแนนคงต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์ เท่านี้สีหน้าเคร่งเครียดก็คลายลงอย่างเห็นได้ชัด จิณณ์ยิ้มรับนิสิตสาวสองสามคนที่ผ่านมาทักทายแล้วก็หันมามองผมที่นั่งกระดกน้ำโค้กอยู่เงียบ ๆ เห็นผมหรี่ตามองมันก็บอกเสียงอ่อน

“รุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าน่ะ”

“ใคร”

“น้องผู้หญิงกลุ่มเมื่อกี้ไง”

“หมายถึงใครถามจ้าาา” เห็นจิณณ์ทำหน้าเหวอได้ผมก็หัวเราะชอบใจ แหม โดนบุรินทร์เล่นงานด้วยมุขควายบ่อย ๆ เคยโกรธมันหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คิดเลยว่าพอลองได้เอามาใช้เองมันจะสะใจถึงขนาดนี้ ผมหัวเราะจนโดนวาทุบแขนเข้าให้เลยหันไปไล่เบี้ยกับคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ

“แล้วมาทำอะไรแถวนี้” เพราะตั้งแต่วันแรกที่สอบ จิณณ์โทรมาหาก่อนผมจะเข้าห้องสอบแค่ไม่กี่นาทีแล้วต่อจากนั้นเป็นเวลาสองอาทิตย์ที่หมอนี่หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผม อยู่ ๆ ก็โผล่มาในวันสุดท้ายของการสอบแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ข้องใจ

“มารับ”

“อ๋อ”

“ดีเนาะ สอบเสร็จก็มีคนมารับไม่ต้องเหนื่อยกลับบ้านเอง ว่าแต่เดี๋ยวนี้ยังปั่นจักรยานเป็นหรือเปล่า หรือว่าตั้งแต่มีรถรับส่ง ไม่ได้ปั่นมาจอดไว้ตรงรถไฟฟ้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ไอ้ตี๋มันทำหน้าซื่อถามเหมือนกำลังชวนผมคุยเรื่องยาสามัญประจำบ้าน ทั้งที่ใจความนั้นมันตั้งใจเหน็บผมตั้งแต่พยางค์แรกจรดพยางค์สุดท้ายของประโยค รังสีความอาฆาตของผมคงรุนแรงใช้ได้ตี๋มันเลยลุกพรวดย้ายไปนั่งซุกหลังวาทันที

“จะกลับเลยหรือเปล่า” จิณณ์ถามแต่มือนั้นจัดการคล้องสายเป้ให้ผมเรียบร้อย

“จะรีบไปไหนเนี่ย ผมไม่ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือแล้วนะ อย่างน้อยก็ตลอดช่วงปิดเทอมนี้”

“ไม่อ่านหนังสือก็ไปเที่ยว ไม่อยากไปหรือ” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจใช้ได้ ผมหันมามองหน้าเพื่อนทั้งสอง มองหน้าเป็นเชิงขอความเห็นแต่เจ้าสองคนกลับยิ้มแปลก ๆ

“ไม่สนใจหรือ ไปเที่ยวคลายเครียดกัน ไปที่ไหนกันดี ทะเลดีไหม” วาถอนใจเฮือก มองตากับบุรินทร์แล้วก็บอกเสียงอ่อน “นายไปเถอะ ฉันมีโปรแกรมแล้วล่ะ บุรินทร์เองก็เหมือนกัน”

“แล้วกัน ทั้งสองคนวางแผนกันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องด้วยเลย” ก็มันจริงนี่นา ทุกทีเวลาจะไปไหนก็ต้องบอกกันเสมอ แล้วนี่มันโปรแกรมทัวร์ช่วงปิดเทอมใหญ่ด้วยนะ สำคัญขนาดนี้ไม่บอกเพื่อนได้ไง ผมหน้างออุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน วากับบุรินทร์หัวเราะฝืน ๆ ถ้าให้เดาโปรแกรมของวาคงเกี่ยวข้องกับพี่พีร์ ส่วนของบุรินทร์ก็คงมีน้องมอปลายมาเกี่ยวด้วยแน่ ๆ หื่อออออ ไอ้พวกเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน พวกนายทำอย่างนี้กับคุณภัทรที่แสนดีได้ยังไง

“น่า อย่างอนไปเลย นายก็ไปกับพี่จิณณ์สิ เผลอ ๆ จะสนุกจนลืมเราสองคน”

“นั่นมันนายแล้ว อะไรวะ ก่อนสอบก็ยุ่งจนไม่มีเวลาไปไหนด้วยกันแล้วหลังสอบยังไม่ได้ไปด้วยกันอีก เคือง” ก่อนจะออกอาการเคืองมากกว่าเดิมจิณณ์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็กระตุกชายเสื้อผม บอกเสียงเบา “พอได้แล้วล่ะ ถ้านายไม่อยากไปกับฉันก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าที่ตกลงกันไว้ยกเลิกไปก็แล้วกัน”

“ผมไปตกลงกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ มันไม่มีผลอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” พี่มันยิ้มบอกแล้วก็ลาเพื่อนอีกสองคนของผมอย่างรวบรัด ผมได้แต่ยืนมองคนตัวสูงเดินตัดถนนหน้าตึกไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรแต่ไม่ใช่สบายใจแน่

“ตามไปสิคุณ ถึงนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวอยู่ดีนะ”

“ช่างปะไรล่ะ”

“โอเค ช่างก็ช่าง นั่นก็แค่พี่จิณณ์ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน”

“พวกนายนี่นะ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็วิ่งตัวปลิวไปหารถคันสวยที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เคาะกระจกสีทึบแล้วก็รอให้เจ้าของรถเขาเลื่อนกระจกลงให้

“ตั้งใจจะไปทำอะไรบ้างล่ะ”

“ล่องแพ เคยไปไหม” ไม่เคยแต่เรื่องอะไรจะบอก เมื่อเห็นว่าโปรแกรมน่าสนใจใช้ได้ผมก็อัญเชิญตัวเองเข้าไปนั่งคู่คนขับ จิณณ์ไม่ถามอะไรให้เสียเวลา ขับรถตรงไปบ้านผมอย่างรู้งาน



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((หายไปหลายวันเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอัพให้อีกตอนนะคะ กลัวว่าอัพสองตอนพร้อมกันแล้วคนอ่านจะสับสนค่ะ ^^ ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-11-2016 16:31:41
เลี้ยงเด็กต้องมีของมาคอยล่อ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-11-2016 16:57:50
จิณณ์ รักเด็กใสๆ  ความรู้สึกช้า
เลยต้องคอยเทียวตามติด มาหา
คุณ ก็คิดแต่สนุก มีแต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว
คุณ ที่ไม่ชอบให้ใครสัมผัส แตะต้องตัว
ยอมให้จิณณ์รั้งไปนอนตัก ลูบหัว
โอบกอด ลูบหลังลูบไหล่ หลับในอ้อมอกจิณณ์ 
นี่ก็ล้ำเข้ามาในอาณาเขตของคุณแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: 
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-11-2016 17:33:19
ขอบคุณค่ะ
ลงอีกตอนเลยจ้า  อยากอ่านอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-11-2016 18:06:07
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๕ P.4 17/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mookiie ที่ 17-11-2016 19:39:48
สะดุดกับชื่อเรื่องจนต้องกดเข้ามาดู เป็นบันไดแดงจริงๆด้วยยยย
เราเคยอ่านเวอร์ชั่นคยูเฮ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องหยิบมาอ่านซ้ำๆ อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อ
ดีใจที่ได้อ่านเวอร์วายไทยนะคะ เป็นกำลังใจให้ จะคอยติดตามๆ ^^
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 18-11-2016 20:48:40
ตอนที่ ๑๖   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







ผมน่ะเดาไว้แล้วว่าคนทางบ้านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าได้รู้เรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับพ่อยอดชายนายจิณณ์ แต่พอเอาเข้าจริงมันยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก แม่ยกมือปิดปากแล้วก็อุทานเป็นคำแปลก ๆ อยู่ในคอ ขณะที่ไอ้น้องชายตัวดีนั้นถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้องรับแขก

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปเตรียมกระเป๋าให้นะลูก พี่คุณจะเอาชุดไหนไปบ้าง เสื้อยืด เสื้อกล้าม แจ็คเก็ต กางเกงเอาแบบขายาวหรือขาสั้นดี เอายาว ๆ ไว้ดีกว่าเนาะเดี๋ยวโดนแดดเผาผิวไหม้หมด แล้วของใช้ส่วนตัวอย่างอื่น...”

“ไม่เป็นไรครับคุณน้า เอาเสื้อผ้าสำหรับสามวันไปก็พอ ส่วนของอื่น ๆ ผมเตรียมไปเผื่อน้องแล้วครับ”

“จะดีหรือลูก ลำบากพี่จิณณ์แย่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นของที่ผมต้องใช้อยู่แล้วด้วย คุณน้าไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มหรอกครับ ที่ ๆ จะไปอยู่ในเขตที่ค่อนข้างเจริญแล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรเราก็หาซื้อจากแถวนั้นได้ ไม่ลำบาก” เฮ้ย แค่ไปเที่ยวกันตามประสาผู้ชายนะ ทำไมต้องทำท่าเหมือนเป็นเรื่องระดับประเทศขนาดนั้น ผมได้แต่นั่งกลอกตามองผู้ปกครองสองคนปรึกษากัน คิดมากไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าวันนี้ดูหูตาคุณนายทิพปภาเธอดูแวววาวแพรวพราวชอบกล

“อะไรกันนักหนา แค่ไปเที่ยวทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ ทำอย่างกับฉันไม่เคยได้ออกบ้านไปไหนอย่างนั้นแหละ” น้องชายบังเกิดเกล้าหัวเราะหึ ฉีกปากยิ้มแบบไม่เห็นฟันมาให้ผม

“ก็ไม่เคยไปกับพี่จิณณ์ไง”

“แล้วมันยังไง”

“น่า เห็นใจแม่เค้าหน่อย เค้าตื่นเต้น”

“แม่จะไปกับเราด้วยหรือ” คีย์ถอนใจเฮือกใหญ่ ไอ้น้องคนนี้มันทำหน้าเหมือนวากับบุรินทร์ตอนที่ผมเอ่ยปากชวนให้ไปด้วยกันเป๊ะ แต่ดูยังไงแม่ก็ไม่เห็นเอ่ยปากหรือแสดงท่าทีว่าอยากไปเที่ยวกับเราสองคน พอเก็บกระเป๋าให้ผมเรียบร้อยแม่ก็บอกให้ผมเอาไปใส่ไว้ในรถ มีเจ้าคีย์ที่เสนอหน้าเดินตามออกมาส่งพวกเราถึงหน้าบ้าน มันประจ๋อประแจ๋ตามบีบนวดให้พี่จิณณ์อย่างน่าดีด

“ขอของฝากเจ๋ง ๆ นะครับคุณพี่” ฟังมัน

“โอเค งั้นผมขอรับตัวน้องไปเลยนะครับ สวัสดีครับคุณน้า” จิณณ์หันไปไหว้แม่ผมแล้วทริปท่องเที่ยวของเราก็เริ่มต้น ณ บัดนั้น




“เรากำลังจะไปไหนกัน”

“ไปเที่ยว” แหม ตอบได้น่าทำปืนลั่นใส่จัง

“รู้แล้วว่าไปเที่ยว แล้วมันต้องไปที่ไหนล่ะ อากาศร้อนมันมีอะไรให้พี่บันเทิงใจจนยิ้มเป็นบ้าอย่างนี้ได้ด้วยหรือ”

“มากับนาย อยู่ที่ไหนฉันก็ยิ้มได้เสมอแหละคุณภัทร” ผมสะดุ้งโหยง รีบหันไปมองคนขับรถหน้าตาตื่น โชคดีไปที่พี่แกดูจะสนใจแต่ท้องถนนด้านหน้าไม่มีวี่แววว่าใบหูคล้ำ ๆ นั้นจะกระดิกระริกเมื่อได้ยินประโยคเสี่ยวสุดขั้วโลกของไอ้หล่อมัน ผมอนุมานแบบเข้าข้างตัวเองเอาว่าพี่แกคงไม่ได้ยินนั่นเอง ไม่เอาละ เล่นกับหมาหมาเลียปาก แถมไอ้หมาตระกูลสูงส่งตัวนี้มันคอยเล็งมากกว่าเลียปากผมอยู่ทุกลมหายใจแบบนี้ ผมไม่เล่นด้วยดีกว่า

เวลาสองชั่วโมงบนรถทำให้ผมเพลียจนเผลอหลับไประหว่างทาง รู้สึกตัวอีกทีเมื่อจิณณ์เขย่าตัวปลุก งัวเงียยังไม่ทันจบพี่มันก็ลากผมลงจากรถตู้คันโต แล้วผมก็เพิ่งได้เห็นว่าเราสองคนกำลังอยู่กลางความเขียวชอุ่ม เงยหน้ามองไอ้คนที่ยืนข้างตัวก็ได้แต่รอยยิ้มเป็นคำตอบกลับมา

“นอนมาตั้งสองชั่วโมงแล้วยังง่วงอีกหรือ”

“สองชั่วโมง” ผมหลับไปสองชั่วโมง โห แล้วนั่นรถคันที่พวกเรานั่งมาก็แล่นลับหายไปกับแนวป่าที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว เหลือผมกับจิณณ์สองคนยืนทำหน้าโง่อยู่กลางป่าในเขตพื่นที่ที่เราแทบไม่รู้จักเลย ผมหันมองซ้ายขวา พอได้มาอยู่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวแบบนี้ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่ในโลกอีกใบที่สวยกว่า สงบกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า

“ไปกันเถอะ” จิณณ์บอกแล้วก็เดินไปตามทางเล็ก ๆ เส้นนั้น ผมหันไปมองแล้วก็ร้องอ๋อเพราะเห็นป้ายบอกทางเข้ารีสอร์ทเด่นหราอยู่ไม่ไกล รีบวิ่งตามจิณณ์เข้าไปข้างในแล้วก็ต้องร้องออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ สวยสุดยอด เป็นรีสอร์ทที่สวยและให้ความเป็นธรรมชาติอย่างที่หาได้ยากในประเทศของเรา พนักงานต้อนรับแต่งตัวด้วยชุดพื้นบ้านอย่างเสื้อแขนกระบอกผ้าถุงสีเปลือกไม้ต้อนรับพวกเราด้วยภาษากลางอันไพเราะซึ่งแน่นอนว่าผมยกหน้าที่นี้ให้จิณณ์เป็นคนจัดการและก็ไม่ผิดหวังเพราะพี่มันจัดการจองที่พักผ่านทางอินเตอร์เน็ตมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ถึงสิบนาทีเราก็ได้เปิดประตูกระท่อมน้อยคอยรักเข้าไปชื่นชมการตกแต่งภายในแบบไร้อุปสรรคกวนใจ

“ไหนว่าเราจะมาล่องแพแล้วทำไมถึงมานอนกระท่อม” ผมถามขณะที่นอนแผ่บนเตียงกว้าง คนที่พาผมมากำลังเอาเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าใกล้ทางเข้าห้องน้ำ จิณณ์ถือกระเป๋าเครื่องประทินผิวมาวางไว้หน้ากระจกแล้วก็ทิ้งตัวนอนข้างผม “นอนกระท่อมมันสะดวกกว่า ถ้านอนแพจะไม่มีแอร์ใช้ เค้าสตริกท์เรื่องการใช้ไฟฟ้า เรื่องเวลากินข้าว ยุงเยอะด้วย วันแรก ๆ ก็เที่ยวแถวนี้แล้วก็ไปล่องแพวันสุดท้าย จะได้ไม่เพลียจนไม่มีแรงเหลือให้โปรแกรมอื่น” เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาดี

“พี่รู้จักที่นี่ได้ยังไง”

“เคยมากับเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว”

“อ้อ”

“ชอบไหม” ชอบอะไรวะ!

“...ก็ดี...มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกไม้แล้วก็ดอกไม้ ว่าแต่แถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้างล่ะ ประเภทปีนเขา โดดน้ำตก ขี่ช้างแบบนั้นหรือเปล่า” จิณณ์หัวเราะ พลิกตัวตะแคงมาทางผม

“อยากทำอะไรแบบนั้นหรือ”

“อื้อ เคยเห็นในทีวี ท่าทางจะสนุก”

“งั้นพรุ่งนี้จะพาไป วันนี้ฉันเพลียแล้ว ขอแค่นอนฟังเสียงนกกับนายเงียบ ๆ แค่นั้นได้ไหม” คนหล่อเขาทอดเสียงอ่อนเหมือนจะขอแต่ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันขัดหูยังไงชอบกล

“ผมเงียบ ๆ หมายความว่าไง พี่หาว่าผมพูดมากหรือ” จิณณ์หัวเราะจนตัวสั่น ดึงมือผมไปแปะตรงแก้มมันแล้วก็หลับตาลง

“นายมันพูดมาก พูดมากจริง ๆ คุณภัทร”

“อะไรของพี่เนี่ย”

“ฉันดีใจนะที่นายชอบที่นี่และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดฉันดีใจที่ตัวเองได้อยู่ตรงนี้กับนาย” ครับ ขอจบการสนทนาช่วงบ่ายไว้เพียงเท่านี้ ผมไม่มีอะไรจะต่อความแล้ว เจอหน้าหล่อ ๆ กับประโยคฮุคซ้ายเข้าไป ไม่อายจนไปไม่เป็นก็อึ้งจนพูดไม่ออกแบบผมนี่แหละครับ เอาเป็นว่าผมเองก็ง่วงเพราะฉะนั้นขอผมงีบเอาแรงก่อนที่จะออกไปตะลุยโลกกว้างในตอนเย็นก็แล้วกัน
เจอกันเมื่อจิณณ์ปลุกผมครับ ฝันดี




บ้านหลังที่จิณณ์จองไว้อยู่ติดกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเอื่อยทอดตัวโค้งไปตามแนวป่า เจ้าตัวผมบอกว่าที่เลือก River view เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับความเย็นฉ่ำของสายน้ำได้อย่างเต็มที่แม้จะต้องจ่ายแพงกว่า Mountain view ก็ไม่เป็นปัญหา (เฮ้ย หมั่นไส้คนรวย)

ความจริงทางรีสอร์ทมีห้องอาหารสุดหรูไว้บริการแต่มื้อแรกของวันแต่จิณณ์ตัดสินใจเองว่าจะตั้งโต๊ะตรงระเบียงห้องที่มองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้งแม่น้ำและภูเขา อาหารที่สั่งเป็นเมนูประจำท้องถิ่นแต่ปรุงสำหรับนักท่องเที่ยวที่ลิ้นแมวอย่างผมเลยกลายเป็นรายการแปลกอันแสนโอชะไปได้ไม่ยาก

“คืนนี้เราจะไปไหนกันดี” ผมถามระหว่างนั่งมองจิณณ์แกะกุ้งแม่น้ำตัวเบ้งอย่างตั้งใจ อ่า ใช่แล้วครับผมอยากกินแต่ไม่อยากแกะเองเลยต้องนั่งรอคนแกะให้ จิณณ์เงยหน้ามอง เห็นแววตาพี่มันผมก็เดาได้ทันทีว่าอีกคนคงไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้

“ไปไหน”

“ก็ไปเที่ยวไง มาเที่ยวทั้งทีพี่คงไม่คิดจะนั่ง นอน กินข้าวจนจบทริปหรอกนะ”

“จะเอาแบบนั้นก็ได้” ไอ้หล่อมันบอกอย่างไม่เป็นปัญหา ทว่าไม่ใช่กับผม เมื่อตอนบ่ายก็นอนกันเพลิน ตื่นแล้วก็ไม่ยอมลุกไปไหนได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาจนสุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปทำอะไรเลยสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องมานั่งมองตากันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ จะมาจบวันดี ๆ แบบอืดเอื่อยอย่างนี้ไม่ได้

“ผมอยากออกไปเที่ยว อยากไปดูบ้านเมืองเค้าตอนกลางคืนว่ามันจะเป็นยังไง สวยแค่ไหน ถ้าพี่ไม่อยากไปผมจะให้รถของทางรีสอร์ทไปส่ง” จิณณ์วางกุ้งใส่ในจานผมก่อนจะพยักหน้า

“ตามใจ”

“ตามใจยังไง” ตกลงพี่มันจะปล่อยให้ผมไปเผชิญโลกกว้างคนเดียวใช่ไหม

“ฉันบอกโปรแกรมของเราตั้งแต่ตอนนายตื่นแล้วไม่ใช่หรือคุณภัทร นายก็น่าจะจำได้ว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง” มันก็ใช่แต่ทุกโปรแกรมจิณณ์มันวางไว้ตั้งแต่ตอนตะวันขึ้นไปจนถึงก่อนตะวันตกดินแต่ที่ผมอยากไปดูน่ะมันแสงสีของเมืองยามค่ำคืนต่างหากเล่า

“ผมอยากไปเที่ยวกลางคืน”

“ไม่ดีหรอก แถวนี้ไกลจากตัวเมืองแถมยังไม่ใช่พื้นที่ที่เราคุ้นเคย นายอย่าลืมสิว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว หน้าตาก็แปลกไปจากคนท้องถิ่นอยู่แล้ว เกิดมีคนไม่ดีเข้ามาเกาะแกะหาเรื่องจะทำยังไง มันอันตรายนะคุณ อย่าไปเลย อยู่กับฉันที่บ้านนี่แหละ” ผมนั่งเงียบไปแค่อึดใจเดียวก็บอกด้วยเสียงอ่อน ๆ ว่า “ผมจะไป”



ไม่ผิดหวังเลยสักนิดที่ใช้มุขดื้อเงียบจนได้ออกมานั่งรถชมธรรมชาติยามค่ำคืนกับไกด์ของทางโรงแรม กาญจนบุรีหรือจังหวัดที่ผมกำลังสำรวจตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศเรา นอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายหลายประการเสียจนผมจดจำไม่หมด หนึ่งในนั้นคือสงคราม ผมลดกล้องในมือลงเมื่อไกด์เอ่ยถึงภาพความโหดร้ายของสงครามและการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทุกฝ่าย

ความเริงร่าในใจดูจะจางหายไปกับสายลมเย็นที่พัดมาจากแม่น้ำสายหลักของเมือง ตรงหน้าผมเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมแผ่นดินสองฝั่งเข้าหากัน ประดับประดาด้วยแสงสีงดงาม ยิ่งมองในเวลากลางคืนยิ่งสวยและมีเสน่ห์แต่ก็ให้ความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองเกินบรรยาย ก่อนที่จะดำดิ่งไปมากกว่านั้นสัมผัสอุ่นจัดก็โอบมาจากด้านหลังดึงให้ความคิดของผมกลับเข้าหาตัว

“หน้าเครียดหมดแล้ว”

“เพื่อคำว่าชัยชนะแล้ว คนเราจะสามารถทำเรื่องโหดร้ายได้รุนแรงแค่ไหนหรือพี่ ดูสิ สะพานที่ทั้งกว้างและยาวขนาดนั้นมันจะต้องใช้คนกี่หมื่นกี่พันคน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะสร้างเสร็จ ผมไม่แปลกใจเลยที่พวกญี่ปุ่นจะถูกชังเพียงแค่ได้ยินชื่อประเทศของเขา ก็ดูสิ่งที่ทหารญี่ปุ่นทำไว้สิ” จิณณ์ครางรับในคอ อ้อมแขนยิ่งกระชับร่างผมแน่นเข้า เราสองคนยืนอยู่อย่างนั้น มองภาพเดียวกันและรู้สึกร่วมในสิ่งเดียวกัน

“มันเป็นเรื่องของสงคราม ไม่มีฝ่ายไหนผิดหรือฝ่ายไหนถูกหรอกคุณ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อชาติ เพื่อประเทศของตน ในสงครามหากไม่ชนะก็จะต้องเป็นฝ่ายแพ้ ดูอย่างเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสิ ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายสูญเสียแม้แต่ผู้ชนะเองก็คงไม่อยากเห็นความสูญเสียของอีกฝ่ายเหมือนกัน ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ”

ผมก็พยายามจะเชื่ออย่างนั้น ถึงจะทำใจได้ไม่เต็มร้อยแต่ก็ไม่อยากโทษผู้ที่ได้ชื่อว่าเสียสละเพื่อชาติ จริงอย่างที่จิณณ์พูด คนทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเหตุผลในการกระทำของตนเอง เราจะเอาเหตุผลของคนปัจจุบันไปตัดสินคนในอดีตมันย่อมไม่ยุติธรรม ผมควรจะคิดให้ได้อย่างนั้น

“ผมเกลียดสงคราม เกลียดความขัดแย้ง”

“แต่นายก็ชอบขัดฉันอยู่เรื่อย”

“นั่นเพราะพี่ชอบกวนโมโหผมต่างหากล่ะ”

“ฉันไปทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หือม์ ออกจะรักและเอ็นดูขนาดนี้ ถามหน่อยซิว่าเคยมีใครตามใจนายได้เท่าฉันอีกหรือเปล่าคุณภัทร” เหอะ จ้างให้ก็ไม่ตอบให้ใครได้ใจหรอก ผมดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดไอ้คนชอบยกหางตัวเองแล้วก็เดินเร็ว ๆ ไปหาพี่ปริม ไกด์พิเศษของเรา วานพี่เขาเป็นตากล้องให้แล้วก็วิ่งไปโพสต์ท่าเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้ซึมเป็นหมาหงอยให้ใครบางคนปลอบเป็นวรรคเป็นเวร

จิณณ์เดินตามพวกเรามาช้า ๆ ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงยีนส์ดูจะดึงดูดความสนใจของคนที่มาเดินเล่นแถวนั้นจนไม่เป็นอันต้องชมวิวกันไปหลายคน ผมมองภาพนั้นแล้วก็หันมาชูสองนิ้วให้ตากล้อง คนพวกนั้นไม่เห็นหรือยังไงว่าเมื่อกี้จิณณ์มันกอดผมจนจมอก ถ้าเห็นแล้วทำไมยังมองอยู่ได้ ไอ้คุณชายเองก็เถอะมัวแต่ทำเท่ยืนให้ลมพัดผมอยู่นั่น รำคาญตาจัง

“น้องคุณ ยิ้มหน่อยค่ะ” ผมส่ายหน้า เดินไปรับกล้องมาจากพี่ปริมแล้วก็ซูมไปยังร่างสูงที่ยืนมองแม่น้ำอยู่ไม่ไกลทันที หึ ไม่ระวังตัวแบบนี้ก็เสร็จปาปารัซซี่มือดีอย่างผมสิครับ กดภาพไปสองสามช็อตติด ๆ กัน จิณณ์ก็ละสายตาจากแม่น้ำหันมามองพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก เฮ้ออออ แม้แต่ความสลัวของกลางคืนก็ยังดับรัศมีคุณชายท่านไม่ได้เลยครับ เพราะงั้นจะโทษผมไม่ได้ที่มัวแต่ยืนขาแข็งอยู่กับที่จนจิณณ์เดินเข้ามาประชิดตัว

“รบกวนหน่อยนะครับ” เอ๋ อะไร รบกวนใคร ผมกะพริบตาปริบมองตามแล้วก็เห็นแสงแฟลชวาบขึ้นมา ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เก๊กหล่อ รูปคู่ใบแรกของผมกับไอ้พี่จิณณ์ก็โดนสอยไปเสียแล้ว

“โอ๊ย พี่ปริม ทำไมไม่นับก่อนอ่ะครับ ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ น่ารักออก เอาอีกรูปนะ” แล้วมันก็ไม่จบแค่อีกรูป ตลอดทริปนั้นพี่ปริมก็รับหน้าที่เป็นตากล้องให้เราด้วยหัวใจที่พร้อมให้บริการขั้นสุด เธอกระตือรือร้นหาฉากสวย ๆ มาให้ผมกับจิณณ์ไปยืนโพสต์แข่งความหล่อกันแบบไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อยแถมยังกำกับท่าให้อีกในบางครั้ง ถ่ายออกมาแล้วก็กรี๊ดกับหน้าจออยู่คนเดียว จะว่าไปก็ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ ผู้หญิงที่บ้านอย่างไรชอบกล

“สบายใจขึ้นหรือยัง” ไอ้คนตัวสูงกว่ามันถาม พลางเสยผมที่ตกมาปรกหน้าให้อย่างเบามือ ผมพยักหน้าน้อย ๆ หันไปมองมองสะพานที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกครั้ง

“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

“ถึงได้ไม่อยากให้ออกมาตอนกลางคืนไงล่ะ เมืองนี้น่ะนอกจากผับที่เปิดตอนกลางคืนแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนี่แหละ ความจริงฉันตั้งใจจะพานายมาดูตอนกลางวัน เพราะอย่างที่เห็นบรรยากาศตอนกลางคืน มันเอื้ออำนวยให้ความเศร้าหมองในจิตใจเราทำงานได้ดีเกินไป”

“ใช่” ผมเห็นด้วย “เป็นอย่างที่พี่พูดเลยล่ะแต่ผมดีใจนะที่ได้มา”

จิณณ์เลิกคิ้ว ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิด

“อย่างนั้นหรือ ไหนพูดมาสิ ว่าทำไมคิดแบบนั้น”

“ไม่ เรื่องอะไรจะบอก ความรู้สึกของใครก็เป็นความลับของคนนั้นสิ”

“ขี้โกงนี่นา ทีความรู้สึกของฉัน ฉันยังบอกนายหมดเลย”

“พี่บอกอะไรผม ไม่เคย”

“แน่ใจ?” จิณณ์ย้อนถาม ริมฝีปากสีสดเหยียดเป็นรอยยิ้มร้ายในแบบที่ทำให้ผมแทบละลายลงไปกองกับพื้นรถในพริบตา ปกติเคยคุ้นตาแต่หล่อซื่อใสซอฟท์ แต่ตอนนี้ต้องมาเจอคุณชายจิณณ์เวอร์ชั่นหล่อเลว ใครก็ได้ปั๊มหัวใจให้ผมที

“แน่ใจหรือว่าฉันไม่เคยบอกอะไรนาย” ผมหันหน้าหนี เพิ่งรู้สึกว่าคิดผิดที่ยอมให้พี่ปริมไปนั่งคู่กับคนขับ อย่างน้อยก็น่าจะมีบุคคลที่สามเอาไว้ช่วยชีวิตตัวเองตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้บ้าง ไม่ใช่มานั่งตัวแข็งโดนผู้ชายด้วยกันเท้าแขนกักไว้กับประตูรถแบบนี้

“สิ่งที่ฉันแสดงออกไปตั้งแต่ต้น มันไม่ได้บอกอะไรนายเลยหรือคุณภัทร” เสียงทุ้มยิ่งรุกเข้ามาใกล้ ไม่ไหวแล้ว ผมกำลังจะโดนรุกฆาต ต้องหาทางออกด่วน

“บอกสิ บอกตลอดนั่นแหละ” ไอ้คนดี(ที่ตอนนี้มันแอบร้าย)เอียงหน้าน้อย ๆ มองผมตาแป๋ว เปลี่ยนโหมดไวได้อีกครับพี่น้อง

“บอกว่ายังไง”

“บอกว่าพี่เป็นคนดี ไว้ใจและเชื่อใจได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะไม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีโดยการบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่ผมยังไม่พร้อม ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำของพี่บอกผมแบบนี้” จิณณ์กระตุกยิ้มมุมปาก ร่างสูงยอมถอยออกห่าง หากสองตายังไม่คลาดไปจากใบหน้าผม รถที่เรานั่งแล่นมาถึงรีสอร์ทพอดี ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปผมยังทันได้ยินเสียงคุ้นหูเปรยลอยมากับลม

“คุณภัทรนะคุณภัทร การกระทำของฉันมันไม่ได้บอกนายด้วยหรือว่าฉันจะไม่ยอมรับความผิดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น...” เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ด้วย คุณชายผู้อ่อนโยนคนเดิมคนนั้นคงถูกไอ้ผู้ชายรอบจัดคนนี้ผลักตกรถตู้ไปแล้วแน่ ๆ จิณณ์คนที่อยู่กับผมตอนนี้ถึงได้ชอบทำสายตาแล้วก็พูดจาให้ใจผมสั่นเพราะความตระหนกได้หน้าตาเฉย แม่ง ตกลงคนไหนคือตัวจริงของพี่กันแน่วะ



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((มาตามสัญญาค่ะ ^^ ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2016 21:56:29
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2016 22:02:15
พี่จิณณ์ ออกจะรักและเอ็นดูคุณ ขนาดนี้
คุณ ถามตัวเองซิว่าเคยมีใครตามใจคุณ
ได้เท่าพี่จิณณ์ อีกหรือเปล่าคุณ
คุณ นี่ฉลาดพูดนะ "พี่เป็นคนดี ไว้ใจและเชื่อใจได้เสมอ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะไม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
โดยการบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่ผมยังไม่พร้อม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำของพี่บอกผมแบบนี้”
แต่พี่คุณ สวนกลับซะ "คุณภัทรนะคุณภัทร
การกระทำของฉันมันไม่ได้บอกนายด้วยหรือ
ว่าฉันจะไม่ยอมรับความผิดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น...”
โอ้....พี่จิณณ์ ประกาศเจตนารมณ์ ชัดเจน
คุณภัทรเอ๊ย.....จะหนีพี่จิณณ์ พ้นหรือ   :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 19-11-2016 11:47:42
น่ารักจัง ชอบๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-11-2016 14:40:41
หึหึหึ หวั่นไหวล่ะสิ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๖ P.4 18/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 20-11-2016 18:31:24
คุณภัทรเริ่มหวั่นไหวละคับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๗ P.5 20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 20-11-2016 20:05:25
ตอนที่ ๑๗   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







“หิวหรือเปล่า กินอะไรก่อนนอนไหม”

“กินอะไรดีอ่ะ”

“อะไรก็ได้”

“งั้น กินเครปเค้กของซีเคร็ท การ์เด้นท์” เอาสิ รวยนักนี่สั่งให้เค้าส่งตรงมาจากเอกมัยเลยสิ ตอบแล้วผมก็คว้าหมอนข้างมากอด กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่จะได้จิณณ์ถามถึงเรื่องปากท้องและความสะดวกสบายถ้าวันไหนไม่ได้ยินนี่สิเรื่องแปลก มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จิณณ์จะเป็นห่วงแต่บังเอิญว่าตอนนี้ผมเคือง เคืองที่พี่มันบังอาจรุกผมในรถเมื่อตะกี้ เคืองโคตรขอบอก ไม่สนใจคนที่ชะงักไป ผมนอนขวางเตียงกอดหมอนข้างในท่าที่สบายที่สุด ตอนนี้เวลาห้าทุ่มกว่าแต่เพราะนอนเอาแรงไว้มากเมื่อตอนบ่ายผมเลยยังไม่รู้สึกง่วง เปิดทีวีดูเกมโชว์จากเกาหลีที่ฟังไม่รู้เรื่องแต่ฮาโคตรฆ่าเวลารอจิณณ์อาบน้ำเสร็จ เกมโชว์รายการนี้สนุกดี มีการแข่งขันแบบแปลก ๆ คนเข้าแข่งขันก็แปลกแต่ก็ชวนฮาได้ตลอด ผมอ่านชื่อเกมไม่ออก ฟังภาษาเค้าก็ไม่ออกแต่สีหน้าสีตากับแอคติ้งของผู้ร่วมรายการกลับเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ตลอดเวลา เออ เก่งกันจังเลยวุ้ย กำลังชื่นชมไปจนถึงโปรดิวเซอร์ที่คิดรูปแบบรายการก็หันไปเห็นจิณณ์กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์

“พี่จะทำอะไรน่ะ” สัญชาตญาณร้องสั่งให้ผมคว้าโทรศัพท์วางกลับไปที่เดิม จิณณ์เหมือนจะตกใจแต่ก็ยอมตอบตามตรง “จะโทรไปสั่งของว่างให้ไง”

“สั่งที่ไหน”

“อยากกินที่ไหนก็จะสั่งจากที่นั่นแหละแต่ต้องรอหน่อยนะ กว่าของจะมาถึงคงเป็นพรุ่งนี้ช่วงสาย รอได้ไหม” รอได้ไหมงั้นเหรอ ผมผุดลุกขึ้นนั่ง กลอกตาซ้ายขวาแล้วก็เจออาวุธอยู่ข้างมือซ้าย หมับ ตายซะเถอะไอ้พี่เลว!

“โอ๊ย คุณ เจ็บนะ” มารยา แค่หมอนข้างเนี่ยนะจะเจ็บ ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ผมจะไม่เชื่อมันอีกต่อไปแล้ว

“เจ็บสิดี แม่ง พี่จะกวนประสาทผมไปถึงไหนกันวะ”

“ใครกวนกันก่อนล่ะ โอ๊ย มันโดนตานะคุณ”

“ดี โดนข้างไหน เอาไปอีกข้างหนึ่งเลย นี่ ๆ ๆ ๆ” จิณณ์คว้าหมอนไว้มั่น

“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามจะหยุดไหม” ผมโยนหมอนใส่หน้ามันก่อนที่อีกคนจะเริ่มนับ นั่งหอบแฮ่กให้ไอ้คนนิสัยเสียจ้องหน้าอยู่สามวิก็ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้ โกรธมัน โกรธที่ตอบโต้มันไม่ได้เต็มไม้เต็มมือ หนึ่งเพราะรู้ดีว่าผมเป็นคนกวนตีนมันก่อน สองเพราะรู้ว่าถ้ามันทำจริงผมคงสู้แรงมันไม่ได้และสาม...ผมกลัวหน้าไอ้สันดานนั่นเสียโฉม โอ๊ย โกรธตัวเองแทนแล้ว

“เด็กอะไร โมโหร้ายชะมัด” เสียงคนข้างหลังยังบ่นอุบ ผมย่นจมูก จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เราลงไม้ลงมือใส่กัน เอ่อ โอเค ที่ผมลงไม้ลงมือกับมัน(ฝ่ายเดียว)ก็ได้ จิณณ์ไม่ได้ตอบโต้สักแอะนอกจากริบอาวุธผมทิ้งไปบนพื้นห้อง จากนั้นพี่มันก็นั่งเงียบจนผมต้องเอี้ยวตัวไปมอง

จิณณ์นั่งหันหลังให้ผมอยู่อีกฝั่งของเตียง ไหล่หนาที่เคยหยัดตรงค้อมลงนิดหน่อย ผมขัดอกขัดใจตัวเองจนต้องพ่นลมจิ๊จ๊ะ เอาวะ อีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นพี่แถมยังแก่ปีกว่าเราตั้งมาก เราเองก็เป็นคนดีศรีสังคม โปรดสัตว์มันหน่อยก็แล้วกัน คิดแล้วก็คลานเข้าไปหยุดข้าง ๆ จับหน้าขาว ๆ ให้หันมาหา จิณณ์หรี่ตามองผมเหมือนจะงอน จ้ะ น่ารักตายละมึง

“เจ็บมากไหม”

“มาก”

“ไปหาหมอไหมล่ะ” จิณณ์ส่ายหน้า จับมือผมออกแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ความจริงรีสอร์ทหรูหราขนาดนี้น่าจะมีหมอประจำอยู่เผื่อมีคนไข้เคสฉุกเฉิน หรือถ้าไม่มีอย่างน้อยก็น่าจะมียาสามัญประจำบ้านสำรองไว้ ผมคิดแล้วก็ยกหูต่อสายไปยังล็อบบี้ ขอยาหยอดตามาหนึ่งหลอดแล้วก็ได้ตามที่ขอในห้านาทีต่อมา พอจิณณ์ออกจากห้องน้ำมาอีกครั้งผมก็บังคับให้มันนอนบนเตียง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เคืองนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”

“เคืองก็ใส่ยาจะได้หายเร็วขึ้น”

“ทำไม รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ” ผมบู้ปาก รู้สึกว่ามือสั่นจนรู้สึกได้ตอนที่พยายามหยดยาใส่ตาให้คนเจ็บ

“ก็เออน่ะสิ แต่ไม่ทั้งหมดหรอกนะ พี่เองก็ผิดที่ยั่วโมโหผมตั้งแต่ตอนอยู่ในรถ” คนตัวสูงถอนใจยาว พึมพำทั้งที่ยังหลับตาว่าขอโทษ

ก็เป็นเสียแบบนี้

เป็นคนดี เป็นคนยอม

จะเป็นอย่างนี้อีกนานไหม 

ไม่รู้หรือว่ายิ่งยอมเด็กนิสัยเสียอย่างผมก็จะยิ่งเอาแต่ใจ

ผมได้แต่ทวนประโยคเดิมอยู่ในใจ ขณะที่เคลื่อนตัวขึ้นไปนอนซุกทางขวามือของจิณณ์ อีกฝ่ายสอดแขนเข้ารองแทนหมอนให้เหมือนทุกครั้งที่เรานอนด้วยกัน การได้นอนอยู่ใกล้จิณณ์ยังให้ความรู้สึกอุ่นสบายเหมือนทุกครั้งแต่ที่มากกว่านั้นคือผมรู้สึกหน่วงหนักในใจ ไม่อยากจะตอบตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นเพราะมันจะยิ่งทำให้ผมเข้าใกล้ในสิ่งที่ตัวเองไม่พร้อมจะยอมรับ

“หลับเสีย พรุ่งนี้จะได้ไม่ง่วง”

“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ ไม่เจ็บแล้ว”

“ขอโทษ ผม...ขอโทษ...” มันไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บตาและจิณณ์เองก็คงจะรู้ความหมายของมัน ลมหายใจของอีกคนสะดุดไปในทันที ถึงอย่างนั้นมืออุ่นก็ยังไล้แผ่นหลังผมราวกับจะปลอบโยนเราทั้งคู่ไปในคราวเดียวกัน

“ไม่เป็นไรคุณภัทร ฉันไม่เป็นไร”

นั่นเป็นคืนแรกที่ผมอยู่กับพี่จิณณ์แล้วหลับได้ไม่เต็มตา




เช้านี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างไม่มีเมฆฝนบดบัง สายลมพัดเย็นหอบเอากลิ่นหอมของกล้วยไม้โชยเข้ามากระทบเป็นระยะ มันคงดีถ้าอารมณ์ผมแจ่มใสเหมือนอากาศตอนนี้ ผมตื่นแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนสักงีบแต่ก็ยังสายกว่าอีกคนที่เพิ่งเดินลัดเลาะออกมาจากแนวต้นไม้ข้างบ้านพัก จิณณ์สวมกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อยืด มีผ้าขนหนูคล้องคอ ใบหน้าคมพราวด้วยหยดเหงื่อไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนีไปวิ่งออกกำลังตอนเช้ามา

“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม”

“ไม่หิว พี่ไปไหนมา” จะถามทำไมเนี่ยก็รู้อยู่ว่าไปวิ่ง

“ออกกำลัง ด้านหลังมีฟิตเนสด้วยนะ ทั้งสปา ทั้งสระว่ายน้ำ อยากไปลองดูไหมล่ะ” ครบครันสมกับเป็นรีสอร์ทหรูแต่ถ้าอยากเล่นฟิตเนสผมก็หาเวลาไปเล่นแถวศูนย์ใกล้บ้านก็ได้ ไม่ต้องถ่อข้ามจังหวัดมาถึงนี่หรอก จิณณ์ยืดแข้งยืดขาคลายกล้ามเนื้อสองสามทีแล้วก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ ทำไมมันสดใสไร้รอยหม่นแบบนี้วะ

“เป็นอะไรหรือเริ่มหิวข้าวแล้ว” ไม่รู้จะบอกยังไงเลยได้แต่พยักหน้ารับ พี่มันยิ้มบาง ทำท่าเหมือนจะลูบหัวผมแต่ก็ไม่ลูบ เปลี่ยนไปจับพนักเก้าอี้ซะงั้น “งั้นรอเดี๋ยวนะ ขออาบน้ำก่อน วันนี้จะพาไปขี่ช้างชมป่า” ผมเม้มปากแน่น เอาสิ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะจำเอามาใส่ใจ ผมก็จะลืมเหมือนกัน

“เร็ว ๆ นะ”

“ครับบบ คุณชาย”

จิณณ์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในเวลาแค่สิบห้านาทีแต่รัศมีความดูดีก็ใช่ว่าจะด้อยลงเพราะเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องอาหารของรีสอร์ทมันก็ยังเด่นสะดุดตาจนใครต่อใครพากันหันมามองอยู่ดี ผมเป็นคนเลือกโต๊ะ งานนี้ขออยู่ในซอกหลืบของความมืดก็แล้วกัน ไม่อยากนั่งเด่นเป็นลิงในสวนสัตว์ให้คนมองไปกินข้าวไปหรอก เมนูของวันนี้ไม่ซ้ำกับเมื่อวานแต่ก็ยังน่ากินไม่แพ้กัน ถึงจะมีเรื่องให้ใจมันไม่สบายแต่ก็ใช่ว่าความสามารถในการรับประทานของผมจะลดลง เราต้องแยกให้ออกครับ ใจก็เรื่องหนึ่ง ปากกับท้องก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ควรเอามาเกี่ยวกันเพราะมันจะกระเทือนต่อระบบร่างกายของเราได้ ทฤษฏีนี้มันเป็นจริงมาตลอด ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของใครบางคนทักขึ้นว่า...

“ใช่จริง ๆ ด้วย! จิณณ์คะ!” เจ้าของชื่อเขาหันไปมองด้วยมาดพระเอกหน้าหยกเล่นเอาสาวเจ้าซอยเท้าถี่ ๆ เข้ามาหาแทบไม่ทัน ผมราช้อนลงมองแขกของเช้านี้ด้วยสายตาสนใจอย่างเปิดเผย อื้อหือ ขาว สวย ไม่หมวยแต่สะบึมโคตร น่าเสียดายที่กระดี๊กระด๊าเข้าหาผู้ชายไปหน่อยแล้วเสื้อกล้ามที่ใส่นั่นน่ะถ้ายังห่วงอธิปไตยของตัวเองหาเสื้อตัวอื่นมาใส่ทับอีกทีดีไหมครับคุณผู้หญิง ผมคงมองเจ้าหล่อนตาค้างเกิน จิณณ์เลยเลื่อนจานสลัดปูมาให้เป็นการเรียกสติ

“บังเอิญจังเลยค่ะ มาเที่ยวเหมือนกันหรือคะ”

“ครับ ผมมากับน้อง” คนที่เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นน้องอย่างผมเลยต้องรีบวางช้อน ยกมือไหว้ทักทายก่อนตามมารยาท

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ รจิตนะคะ เป็นเพื่อนที่ทำงานของจิณณ์” เพื่อนที่ทำงาน อ้าว ตกลงไอ้พี่จิณณ์มันตกลงใจแล้วหรือว่าจะทำงานที่ไหน ทำไมผมไม่รู้ ผมหันไปมองหน้าคนกลาง จิณณ์ก็เอาแต่นั่งยิ้มมองคนสวยไม่ยอมหันมาตอบคำถามในสายตาผม นะ สลัดปูของโปรดชักจะขมปากขึ้นมาแล้วสิ

“จิณณ์จะอยู่กี่วัน แล้วคิดไว้หรือยังคะว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”

“คิดเอาไว้แล้วครับ คุณรจิตมากับใครหรือครับ เพื่อนหรือว่าคนพิเศษ” คุณรจิตของจิณณ์เธอค้อนให้พองาม แล้วก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ปากจะต้องยื่นออกมาพองามเหมือนกันด้วย “ถ้ามีอย่างที่พูดก็ดีสิคนพิเศษน่ะ รจิตมากับเพื่อนผู้หญิงค่ะ อยู่โต๊ะนู้น จิณณ์แวะไปทักทายหน่อยดีไหม พี่หยีกับอลิซที่อยู่แผนกเดียวกันก็มาด้วยนะ”

“จะดีหรือครับ ผมกลัวว่าจะไปขัดคอ ท่าทางกำลังคุยกันสนุก”

“ขัดคออะไรกันคะ คนกันเองทั้งนั้น ไปเถอะ นะ” โดนบ่วงคล้องแขนแถมยังรัดแน่นซะขนาดนั้นแกะหลุดได้ก็ให้มันรู้ไป ผมเหลือบตามองไอ้คนเนื้อหอมที่ทำหน้าไม่รู้ทันมารยาผู้หญิงพลางควักเนื้อมะพร้าวอ่อนเข้าปากเคี้ยวหงับ ๆ จิณณ์ยังคงยิ้มบาง เมื่อหันมาสบตากัน ใบหน้าขาวจัดก็ฉายแววอ่อนหวานและอ่อนโยนแบบที่ผมไม่ได้เห็นมานานมาก อย่าหันมาทางนี้ แสบตาโว้ย!

“อิ่มแล้วหรือ”

“ยัง จะกินของหวานต่อ”

“สั่งเองเป็นไหมหรือจะให้สั่งให้ก่อน” วะ มันจะรู้ไหมว่ากำลังประจานความโง่ด้านทักษะการเอาตัวรอดของผมให้คนภายนอกรับรู้ ผมสั่นหน้าดิก

“ไม่ต้องหรอก ผมจะสั่งเอง พี่ไปเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็รอเดี๋ยวนะ ขอไปทักพี่ ๆ เค้าก่อน” ผมผงกหัวโดยไม่พูด ก้มหน้าสนใจแค่ลูกมะพร้าวเนื้ออ่อนในมือ พอจิณณ์ลุกไปได้ก็ชำเลืองมองตาม โอ้โห ฉากเหมือนในละครที่แม่ชอบดูเป๊ะ พอนางเอกเงยหน้าขึ้นมอง นางร้ายที่กำลังควงพระเอกเดินจากไปจะต้องหันมาส่งยิ้มทิ้งท้าย ทั้งสายตาและสีหน้าประหนึ่งจะประกาศว่าผู้ชนะในเกมนี้จะต้องเป็นหล่อนเท่านั้น ผมถือช้อนเหล็กค้าง ก้มลงมองตัวเองแล้วก็คิดได้

ตกลงกูเป็นนางเอก?

“ตุ๊ดจริง” ไม่ต้องสงสัยมันเป็นคำสบถคำใหม่ที่ผมเพิ่งได้มาจากเพื่อนที่คณะ ไม่จำเป็นต้องหยาบคายแต่ก็แทนความรู้สึกในใจได้
ผมไม่ชอบอ่านนิยายรัก เกลียดกลิ่นเหม็นเน่าเวลานางเอกกับพระเอกโกรธกันด้วยเรื่องงี่เง่า รำคาญที่พระเอกชอบโง่กับเรื่องที่ควรฉลาดแล้วก็เกลียดอุปสรรคที่เป็นตัวอิจฉาหน้าตาดีแต่จิตใจเต็มไปด้วยความริษยา บอกได้เลยว่าผมไม่ใช่นางเอกเพราะฉะนั้นหากเจอแบบในนิยายบางเรื่องไม่มีทางที่ผมจะยอมทนนั่งน้ำตาซึมให้นางร้ายกดขี่ข่มเหงครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพระเอกมันโง่ผมจะซัดเอาให้เลือดโง่มันออก ถ้านางร้ายมันร้ายมาผมก็จะร้ายกลับให้มันหน้าแหกไม่กล้ามายุ่งกับผมอีกชั่วชีวิต ไม่เชื่อคอยดู



หลังจากปล่อยให้คุณชายท่านไปเฮฮาปาร์ตี้ในฮาเร็มได้เกือบครึ่งชั่วโมง จิณณ์ก็เดินยิ้มกลับมาหา พี่มันกวาดตามองรายการที่ผมเพิ่งจัดการกวาดลงท้องไปแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้าง แม่ง ทำหน้าเหมือนทุกอย่างเป็นไปดั่งใจคิดแบบนี้ น่าหมั่นไส้ฉิบหาย ผมวางช้อนลงหลังจากกว้านเก็บวุ้นมะพร้าวหวานกรอบตามผองเพื่อนลงท้องไปเรียบร้อย เงยหน้าให้ไอ้หล่อแตะกระดาษซับรอยเปื้อนของน้ำเชื่อมแล้วก็ถามซื่อ ๆ

“เจ้คนนั้นเค้ามาชอบพี่หรือ”

“ไม่รู้สิ แต่คงไม่หรอกมั้ง ก็เห็นเค้าทำแบบนี้กับทุกคน”

“ทุกคนที่ทำงานบริษัทเดียวกับพี่ใช่ไหม” ผมลากเสียงถาม ดูดชารสเฝื่อนตบท้ายพลางจ้องมันตาเป็นประกาย จิณณ์พยักหน้าน้อย ๆ เขี่ยปลายนิ้วกับนิ้วผมเหมือนเอาใจ ไม่ต้องแล้วพี่ งานนี้มึงมีความผิดโทษฐานมีความลับกับน้อง ถึงจะปั้นหน้าให้หล่อราวเทพบุตรกรีกเราก็ไม่หลงกลรอยยิ้มอ้อน ๆ ของนาย เข้าใจนะ

“ฉันตอบตกลงเขาไปก่อนเริ่มติวหนังสือสอบให้นายน่ะ ช่วงนั้นนายก็คงวุ่นวายกับการทบทวนบทเรียน ฉันเลยไม่อยากเอาเรื่องอื่นไปรกสมองอีก”

“พี่คิดถูกแล้ว ผมไม่ได้อยากรู้ให้รกสมองหรอก”

“คุณ ก็ตั้งใจจะบอกตอนมาเที่ยวนี่แหละแต่มันลืม”

“พอเถอะ เอาเป็นว่าผมรับรู้ก็แล้วกัน ถึงจะไม่ได้มาจากปากเจ้าตัวเองก็เถอะ”

“งอนอีกแล้ว ช่วงนี้งอนบ่อยนะเรา เป็นอะไรหรือเปล่า” เป็นอะไรหรือเปล่า! เชี่ย แม่งถามมาได้ มันเป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้ยังมีหน้ามาทำหน้าซื่อถามอีกเรอะ ไหนฉลาดนักหนาไงล่ะ จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เรื่องเบสิกแค่นี้ คิดเอาเองสิวะ

“สมมุติง่าย ๆ ถ้าเราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วผมเกิดมีแฟนโดยไม่บอกพี่ พี่มารู้อีกทีเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วแนะนำตัวว่าคบกับผมมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว พี่จะรู้สึกยังไงวะ”

“สมมุติเรื่องอื่นได้ไหม” อ๊าววว แค่เรื่องสมมุติมึงยังโกรธเลยพี่ แล้วถ้าเป็นจริงแม่งไม่พีคยิ่งกว่ากูอีกหรือวะ “ช่างเถอะ ผมแค่แปลกใจที่พี่เริ่มงานเร็วเลยอึ้งนิดหน่อย ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ที่ตัวเองไม่รู้เรื่องทั้งที่เราก็คุยกันตลอด ว่าแต่ วันนี้เราจะไปไหนกันบ้าง”

เปลี่ยนเรื่องละ ไม่อยากคุยเรื่องเดิมให้ตัวเองรู้สึกสาวน้อยไปมากกว่านี้ ถ้าจะถกปัญหาเรื่องโกรธไม่โกรธ เก็บเอาไว้ถกกันหน้ารั้วบ้านผมดีกว่า อุตส่าห์ได้มาเที่ยวจะมาคิดเล็กคิดน้อยให้เสียดายบรรยากาศแปลกใหม่ไปทำไมกัน จิณณ์ทำหน้าจำยอม เรียกบริกรมาคิดเงินแล้วก็พาผมเดินออกมาจากห้องอาหารของรีสอร์ท เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาสองสามรอบก่อนจะเวียนหัวกับเส้นทาง คำตอบก็ส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ ทักทายมาจากอีกฟากของรั้วกั้น

“...นี่...นี่ที่นี่เค้าเลี้ยงช้างด้วยหรือ”

“เคยเห็นช้างจริง ๆ มาก่อนหรือเปล่า” ผมส่ายหน้า แถวบ้านผมมันมีที่ไหนกันล่ะ วงจรชีวิตเด็กเมืองกรุงอย่างผมคงไม่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโต จมูกยาวนี่ได้หรอก ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะตื่นเต้นกับเจ้าตัวสี่ขาที่กำลังแกว่งงวงของมันไปมาอยู่ตรงหน้า น่ารักจังเลย น่ารักตรงที่ตัวมันใหญ่แต่ท่าทางมันนอบน้อมแถมยังมีดวงตาอ่อนเชื่อมมีประกายของความเป็นมิตรทั้งที่เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ผมจะเดาเอาเองว่าไอ้การชูงวงขึ้นสูงนั้นเป็นการทักทายของมันได้หรือเปล่านะ

“มันจะกัดเราไหม”

“ถามมันดูสิ” อ้าว ไอ้พี่ ย้อนไม่ขาดคำแบบนี้ถึงหล่อก็ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์ปากแตกนะโว้ย ผมมองมันตาเขียว จิณณ์มันรู้ตัวรีบโอ๋ด้วยการดึงผมเข้าไปตบหัวลูบหน้าลูบหลังต่อหน้าต่อตาคนเลี้ยงช้างนับสิบและนักท่องเที่ยวอีกหลายเชื้อชาติ คิดจะโมโหมันอยู่หรอกแต่บังเอิญว่าอารมณ์ดีเลยเผลอยิ้มตอบไป ฮ่วย เบื่อใจดี ๆ ของตัวเอง

“เข้าไปใกล้ ๆ กันดีกว่า”

“ไปได้หรือ มันไม่กลัวเราหรือ”

“ไม่กลัวหรอก เจ้าพวกนี้มันชินกับนักท่องเที่ยวแล้วล่ะ เอ้า เอานี่ไปด้วย” ตะกร้าหวายใบเล็กน่ารัก ข้างในมีกล้วยแล้วอะไรก็ไม่รู้เป็นแท่งทรงกระบอกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำยาวประมาณหนึ่งคืบ ผมหยิบมันมาพลิกมองดูถึงรู้ว่ามันคืออ้อยที่ถูกตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ กำลังจะดมพิสูจน์กลิ่นจิณณ์ก็ห้ามไว้เสียก่อน

“อย่าดมอะไรไปเรื่อยสิ”

“หอมดีอ่ะ อยากกินน้ำอ้อยสดขึ้นมาเลย”

“เดี๋ยวค่อยไปกินที่ห้องอาหาร อย่าไปแย่งช้างกินสิ มันน่าสงสารนะ ดูสิ มองตาละห้อยเลย”

“แค่พูดถึงเฉย ๆ หรอก” จิณณ์ดันผมไปใกล้รั้ว ตรงนั้นมีช้างเชือกหนึ่งกำลังนอนให้คนเลี้ยงลูบเนื้อลูบตัวอยู่ พอพวกเราเดินเข้าไปใกล้พร้อมตะกร้าในมือ มันก็ยันตัวเองขึ้นยืนเต็มความสูง สูงเสียจนผมต้องเงยมอง ท่าทางมันดีใจที่เห็นของในมือเรา งวงยาว ๆ นั้นถึงได้ยื่นออกมาหาผมสองคนแบบไม่ต้องรอให้ใครสั่ง ผมถอยกรูดเพราะความไม่ชินแต่ไอ้ผู้ชายบางคนมันกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก จิณณ์ดันหลังผมกลับไปยืนจุดเดิมพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ

พี่ มึงจำไว้เลย แค้นนี้กูต้องได้ชำระ

“หยิบป้อนมันหน่อยสิ เอาขนมมาล่อแล้วจะหนี บาปนะ”

“ก็คนมันกลัว”

“กลัวทำไม มานี่มา” คนที่ยืนซ้อนข้างหลังผมหยิบกล้วยมาหนึ่งผล ยื่นให้เจ้าตัวโตรับไปกลืนเหมือนไม่ต้องเคี้ยว ผมยืนเบียดจิณณ์แบบกล้า ๆ กลัว ๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ลองมันก็เสียเที่ยวใช่ไหม โอเค ช้างก็ช้างวะ ถ้ามันคิดอยากจะกินคนแทนกล้วยขึ้นมาไอ้พี่จิณณ์คงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าผม

“กินนะ กินดี ๆ น้า” ครั้งแรกมันก็คงต้องเจ็บ เอ๊ย ต้องสั่นกันบ้าง มือผมสั่นจนจิณณ์ต้องซ้อนฝ่ามือทับไว้ ครั้งต่อไปเลยดีขึ้น พอหมดตะกร้าแรกตะกร้าที่สองและสามก็มีคนเอามายื่นให้ ตอนนี้ผมวางใจพอที่จะลูบผิวหยาบ ๆ ของเจ้าช้างเพศเมียเชือกนี้ได้แล้ว แหม เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าเราเองก็รักเด็กเมตตาสัตว์ใช่น้อยเหมือนกัน ครึ ๆ ๆ

บริจาคกล้วยและอ้อยจนพอใจแล้วเลยเดินเตร่กลับไปหน้ารีสอร์ท พนักงานสาวสวยคนเดิมยังทำหน้าที่ของเธอเหมือนเมื่อวาน จิณณ์ไปคุยอะไรกับหล่อนครู่หนึ่งแล้วก็เดินกลับมาหาผมพร้อมขวดน้ำอ้อยสด อา ชื่นใจจัง

ผมกำลังจ้องเงาตัวเองในอ่างบัวด้านหน้า ยังไม่ทันรู้เรื่องว่าจะทำอะไรต่อ พี่ปริมก็เดินนำหญิงสาวกลุ่มหนึ่งมาถึง ไกด์สาวยิ้มเหมือนดีใจอย่างสุดแสนที่ได้เจอผม เธอหันไปคุยกับคนกลุ่มนั้นแล้วก็ตรงแน่วมาหาผมทันที

“น้องคุณ น้องจิณณ์ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ”

“พร้อม? พร้อมอะไรครับ?”

“ก็พร้อมที่จะไปชมความงามของธรรมชาติเลียบไปตามข้างแม่น้ำแล้วก็กลับมาด้วยการล่องแก่งสุดมันส์ไงล่ะคะ เอ๋ นี่น้องจิณณ์ยังไม่ได้บอกอีกหรือคะ” ถ้าน้องจิณณ์ของพี่บอกผมคงไม่งงครับ เจ้าตัวมันส่งยิ้มเป็นคำทักทายพี่ปริม อุปมาไปเองหรือเปล่าที่เห็นประกายวิ้ง ๆ แผ่ออกมารอบกรอบร่างสูงใหญ่นั่น ทำไมมีแต่ผมคนเดียวที่ใจเต้น พี่ปริมเองก็มองมันเต็มตาไม่ยักกะมีอาการผิดปกติเลยเหมือนผู้หญิงบางคนแม้แต่น้อย

“ไปกันเถอะค่ะ เพื่อน ๆ รออยู่แล้ว” เอา ไปก็ไป

“จิณณ์คะ!” ผมมองเพื่อนใหม่อีกเกือบสิบชีวิตแล้วก็อยากจะเดินกลับห้องพักเสียเดี๋ยวนั้น น่ะ โลกกล๊มกลมเนาะ เพิ่งเจอกับที่ห้องอาหาร แยกกันไปได้แค่ชั่วโมงเดียวก็ดันมาเจอกันอีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีสาวสวยเดินเข้ามาคล้องแขนไอ้พี่จิณณ์อีกข้างผมคงกระชากคอเสื้อมันถามไปแล้วว่าไปแอบนัดกันไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้

“ไปเที่ยวด้วยกันนะคะน้องคุณ มีแต่พวกเราแบบนี้ต้องสนุกแน่เลย” ผมฉีกยิ้มเต็มแก้ม

“ครับ คงสนุกแน่”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๗ P.5 20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-11-2016 20:26:08
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๗ P.5 20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-11-2016 21:23:35
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๗ P.5 20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-11-2016 22:08:46
แอ๊ะ.....ไม่มีใครชวนเลย แต่ยังกล้ามาร่วมวงด้วย
แถมยังพูดว่ามีแต่พวกเราคงสนุกแน่ อีก
เขาอยากเป็นพวกหล่อน อยากสนุกด้วยด้วยหรือเปล่า
ไม่หน้าหนา ทำไม่ได้นะเนี่ย
มาพักผ่อนส่วนตัว แท้ๆ
ติดใจจิณณ์ จนทำตัวน่ารังเกียจ
จิณณ์ คุณ จะแก้ปัญหาชะนีหลงผู้ชายยังไงกันนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 25-11-2016 17:58:32
ตอนที่ ๑๘   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





กลุ่มเรามีทั้งหมดสิบคนรวมพี่ปริมที่เป็นไกด์ ทัวร์ชมธรรมชาติกลุ่มเล็กแต่ประสิทธิภาพการทำลายความสงบรุนแรงมาก เริ่มตั้งแต่การขึ้นนั่งบนหลังช้าง ผมว่าผมกลัวแล้วนะแต่ยังสู้สาว ๆ เขาไม่ได้ ไม่นับพี่ปริมที่ดูคุ้นเคยกับการเดินทางแบบนี้ดีนอกนั้นต่างส่งเสียงวี้ดว้าย เอะอะร้องเอะอะกรี๊ด แค่เห็นขบวนเจ้าตัวโตเดินเรียงกันมายืนอยู่ตรงหน้าก็กรีดร้องขวัญผวากันแล้ว อาการอกสั่นขวัญแขวนในใจผมเลยหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกว่าตัวเองดูมีค่าขึ้นมาทันทีที่สามารถประคองพี่ปริมขึ้นไปนั่งบนเทียบ(หรืออะไรก็ไม่รู้เหมือนเป็นเก้าอี้ขนาดสองคนนั่ง)หลังช้างได้ พอผมจะนั่งลงข้างกัน ไกด์สาวก็ยกมือท้วงทันที

“น้องคุณต้องไปนั่งกับน้องจิณณ์ไม่ใช่หรือคะ”

“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นนะครับแต่ตอนนี้คงไม่แล้วล่ะพี่ปริม ปล่อยเค้าดูแลเพื่อนไปเถอะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ทุกคนพร้อมนะค้าาา” ผู้นำทัวร์ส่งเสียงบอกลูกทัวร์อย่างสดใส คำตอบรับคือเสียงวี้ดว้ายทันทีที่ช้างทุกเชือกเริ่มย่างก้าวไปตามเส้นทางของการชมลำน้ำและป่าเขา พวกเราผ่านสวนผลไม้ที่ถูกตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี ผ่านแนวป่าที่มีไม้ดอกให้ชื่นชมและเก็บรูปสวย ๆ ได้ตลอด ทะลุออกมาใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำสายหลักของรีสอร์ทขึ้นไปหาต้นน้ำเพื่อที่จะได้ล่องแก่งกันตามโปรแกรม จะว่าไปนี่มันก็โปรแกรมที่ผมเคยคิดไว้ว่าอยากจะทำทั้งนั้น ตั้งแต่กินของอร่อย ขี่ช้างชมป่า เที่ยวผจญภัย แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองเก็บเกี่ยวเอาความสนุกได้ไม่เต็มที่ก็ไม่รู้

“พี่เพิ่งรู้นะคะว่าน้องจิณณ์เป็นคนรู้จักของแขกกลุ่มนั้น”

“อ๋อ ครับ เห็นว่าทำงานที่เดียวกันน่ะครับ” พี่ปริมครางรับ มือก็ยังวุ่นวายกับการถ่ายภาพผมมุมนั้นมุมนี้แบบไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ “ไม่น่าเชื่อนะคะว่าน้องจิณณ์จะทำงานแล้ว ท่าทางยังเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยอยู่เลย”

“เขาเรียนเร็วน่ะครับเลยจบก่อน จากที่เคยเป็นพี่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็กลายไปเป็นน้องใหม่ในโลกของการทำงานแทน ดูแล้วคงเป็นรุ่นน้องที่ได้รับความเอ็นดูมากอยู่” พี่ปริมหัวเราะเสียงใส เธอมองไปยังลูกทัวร์สองคนบนหลังช้างเชือกที่อยู่หน้าพวกเราแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมเข้าใจว่าด้วยมารยาทและจรรยาบรรณของการเป็นไกด์ที่ดีทำให้เธอหลีกเลี่ยงที่จะออกความเห็นในเรื่องส่วนตัว เราสองคนนั่งมองคุณรจิตเอียงไปเอียงมาบนหลังช้างแล้วก็เผลอหัวเราะออกมาพร้อมกัน น่าแปลกที่เวลาได้เอียงเข้าไปหาจิณณ์แล้วคุณรจิตเธอไม่ยักจะเอียงออกเหมือนตอนเอียงเข้าหา ผมหลับตาสูดลมหายใจลึก บางทีถ้าทำแบบนี้แล้วมันคงทำให้ผมรับรู้ความสวยงามของป่าเขาได้ดีมากขึ้นก็ได้ คิดว่านะ


พวกเราลงจากหลังช้างท่ามกลางความโล่งใจของสาวน้อยใหญ่และชายหนุ่มอีกหลายชีวิต แอบลูบงวงเจ้าตัวโตไปสองสามทีแล้วก็เดินไปสมทบกับอีกกลุ่ม จิณณ์ยังคงคอนเซ็ปต์สุภาพบุรุษไว้ทุกกระเบียดนิ้ว คอยช่วยเจ้าหน้าที่ประคองพวกผู้หญิงลงจากหลังช้าง เป็นหลักยึดให้ในยามเดินผ่านพื้นดินขรุขระหรือโขดหินสูงต่ำ ใบหน้าหล่อระดับพระเอกประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นจริงใจจนใครต่อใครก็อยากอยู่ใกล้

“เหนื่อยไหม” พี่มันหันมาถามผมในจังหวะหนึ่งที่พี่ปริมกำลังอธิบายข้อบังคับของการล่องแก่งผจญภัยในครั้งนี้ ผมส่ายหน้าตอบ “ไม่ได้เดินเองจะเหนื่อยได้ไง”

“ท่าทางนายคุยถูกคอกับคุณไกด์เค้านะ”

“อือ พี่ปริมคุยสนุกดี”

“ดีแล้วล่ะ” แล้วคุณชายท่านก็เดินไปช่วยพวกผู้ชายรับเสื้อชูชีพพร้อมหมวกมาแจกสาว ๆ คราวนี้เห็นทีว่าจะงอนเงียบครับท่านผู้ชม ผมเท้าเอวเซ็ง ๆ เห็นอยู่ว่าผมนั่งมากับพี่ปริมสองคนถ้าไม่คุยกับเค้า ไอ้พี่จิณณ์มันจะให้ผมคุยกับควาญช้างหรือยังไง แล้วก่อนจะเชิดใส่คนอื่นหมอนั่นมันสำรวจตัวเองแล้วหรือยังว่าวันนี้มันทำตัวกวนโมโหผมมาตั้งแต่ห้องอาหารแล้ว

“พี่โกรธอะไรวะ” ผมถามมันทันทีที่รับชุดชูชีพมาสวม ไอ้หล่อมันไม่ยอมสบตา วางหมวกลงบนหัวผมจัดการล็อคให้เรียบร้อย

“ไม่ได้โกรธ ดูที่ล็อคให้ดีนะ ระวังมันหลุด”

“จิณณ์ ผมถามพี่แล้วนะ”

“ฉันก็ตอบนายแล้ว” แล้วตกลงมึงงอนไหม ถ้าไม่งอนกูจะได้ไม่ง้อ “ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นห่วงว่านายอาจจะเหงาที่ฉันไม่ได้อยู่ใกล้แต่ดูแล้วนายคงไม่ได้เป็นอะไร”

“ฟังนะจิณณ์ เมื่อกี้ผมนั่งมากับพี่ปริมแค่สองคนบนหลังช้าง ถ้าพี่ไม่พอใจ ไม่อยากให้ผมคุยกับมนุษย์หน้าไหน วันหลังถ้ามีเวลาว่างพี่ก็สอนภาษาช้างให้ผมด้วยแล้วกัน” ผมสะบัดมือมันหนาออกจากแขนเป็นการจบประโยคอันยืดยาว กะว่าจะเดินไปหาพี่ปริมให้มันสบายใจอีกรอบ ทว่าการเดินทางอันแสนสั้นของผมถูกขัดขวางด้วยร่างเพรียวบางของคุณรจิต คุณเธอเดินสวนทางมาเป้าหมายคงเป็นจิณณ์แต่บังเอิญว่าเราใช้ทางเดียวกัน แล้วผมคงขวางทางเธออยู่ถึงได้โดนกระแทกไหล่จนเซเป็นนกปีกหักถลาไปใส่อกผู้ชายคนหนึ่งแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” แทนที่จะได้ยินคำขอโทษเป็นเสียงหวาน ๆ กลับกลายต้องมาก้มหัวขอโทษขอโพยคนที่เค้าเป็นห่วงถามไถ่ ผมส่งยิ้มเป็นคำตอบก่อนเราทั้งคู่จะร้องออกมาพร้อมกัน ผู้ชายตรงหน้าคุ้นตาผมมาก ต้องเคยเจอมาก่อนแน่ ๆ แต่...แต่มันติดอยู่ตรงปากนี่แหละ

“เพื่อนบุรินทร์ใช่ไหม?”

“โอ๊ะ ลูกพี่ลูกน้องบุรินทร์ใช่ไหมครับ”

“บังเอิญจังเลยนะ มาเที่ยวเหมือนกันหรือ แล้วมากับใคร”

“มากับเพื่อนครับ อ่า ขอโทษครับแต่ผมจำชื่อพี่ไม่ได้ รบกวนพี่ช่วยบอกอีกที” ญาติห่าง ๆ ของบุรินทร์หัวเราะร่วน เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อชนาธิปแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าบุรินทร์เคยเรียกเขาว่าพี่ชา เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งหน้าโรงหนังใกล้มหาวิทยาลัย ตอนนั้นแนะนำตัวแล้วก็ทักทายกันได้สองสามคำก็แยกย้ายกันไปตามยถากรรม เพราะพี่ชาเขาอายุห่างจากพวกเราหลายปี วงจรชีวิตเลยไม่ค่อยได้หมุนเข้ามาข้องเกี่ยวกันเท่าไหร่ นานเข้าก็ลืมกันไปพอเจอกันอีกทีเลยเป็นอย่างที่เห็น มาจ๊ะเอ๋กันแบบนี้ น่าดีใจพิลึกแฮะ

“สอบเสร็จแล้วสินะ กลับไปนี่ก็ขึ้นปีสองแล้วสิ”

“ครับ พี่ชาสบายดีหรือเปล่าครับ”

“สบายดี พี่มากับเพื่อนที่บริษัทน่ะผู้ชายกลุ่มนั้นไง” กะจากที่สายตามองเห็นคร่าว ๆ แล้ว สงสัยทริปนี้คงมีคนมาจากสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือญาติของไอ้ตี๋ กลุ่มสองคือคุณรจิต กลุ่มสามคือผมกับไอ้พี่จิณณ์ เอ~ หรือจะแบ่งกลุ่มสุดท้ายออกเป็นสองนะ ได้ข่าวว่ามาด้วยกันแต่แยกกันตลอดเส้นทาง

“เคยเที่ยวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าน่ะเรา” ผมส่ายหน้า มองแพที่ลอยน้ำรออยู่ตาวาว

“ผมไปกับพี่ชาได้ไหมครับ เผื่อเกิดอะไรขึ้นผมจะได้ฝากชีวิตไว้กับพี่” พี่ชาหัวเราะเสียงก้องป่า ท่าทางพี่แกเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนหน้าตา

อะไรนะครับ ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงรูปร่างหน้าตาของพี่คนนี้หรือครับ จะว่ายังไงดีล่ะ...ผมหันไปมองคนที่ชวนผมมาเที่ยวมันก็ยังสติลทรีทผู้หญิงกลุ่มนั้นไม่มองฟ้าดิน พี่ชาเป็นคนที่หน้าตาดีมากครับ หล่อสุด ๆ ตัวสูงหุ่นดี จมูกโด่งแถมยังมีลักยิ้มข้างแก้ม แต่ความหล่อของพี่แกออกแนวหล่อร้าย แบดบอยประมาณนั้น ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงมีบางคนแอบส่งสายตามาทางนี้อยู่บ่อย ๆ

“เอาล่ะค่ะทุกคน แบ่งกลุ่มลงแพละสี่คนนะคะ ทางเราจะมีเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปด้วยแพละสองคนเป็นหก รบกวนสุภาพบุรุษทั้งหลายช่วยกระจายกำลังกันดูแลสุภาสตรีให้ทั่วถึงด้วยนะคะ แบ่งมาทางนี้ได้ค่ะ น้องคุณจะไปกับกลุ่มไหนดีคะ”

ผมชี้ใส่คนข้างตัวที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ พี่ปริมเลยหันไปหากลุ่มของจิณณ์ที่กำลังจัดสรรปันส่วนกันวุ่นวาย สุดท้ายผมก็ได้อยู่กับพี่ชาสมใจ ส่วนไอ้ผู้ชายบางคนคงโดนลากลงไปแพใดแพหนึ่งนั่นแหละ คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่พอเห็นรองเท้าคุ้นตามาหยุดอยู่ข้างตัว ผมก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าจิณณ์มองผมอยู่ก่อนแล้วแต่มันเป็นวิธีการมองที่ทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลก ๆ เปลือกตาคมหรุบต่ำ ริมฝีปากสีแดงเหมือนเลือดเหยียดตรง

เชี่ย แค่ปากกับตาทำไมมันทำให้คนถูกมองหนาววูบขึ้นมาได้วะ

“มีอะไร” ถามออกไปเพราะทนอึดอัดไม่ไหว ก็แม่งเล่นมายืนจ้องเอา ๆ คนนะโว้ยไม่ใช่กระจก จิณณ์ไม่ตอบแต่ก้าวข้ามขาผมไปหาพี่ชา ผมนั่งมองเขาสองคนทักทายและแนะนำตัวกันตามมารยาทแล้วก็มองเลยไปด้านหลังตัวเอง ตามมาจริง ๆ โว้ยเฮ้ย

“รจิตยังไม่เคยล่องแพแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เธอบอกชายหนุ่มทุกคนเสียงหวานก่อนจะถอยมานั่งข้างผม แพโล่ง ๆ ถึงจะดูแข็งแรงแต่ก็ไม่มีหลังคามีแต่ไม้ค้ำหรือไม้พายก็ไม่รู้ครบเท่าจำนวนคน ผมนั่งมองแม่น้ำสีขุ่นที่ไหลเอื่อยแล้วก็นึกสนุกในใจ ตกตูมลงไปจะเป็นยังไงนะ คิดนั่นคิดนี่ไปเพลิน ๆ คุณรจิตของไอ้หล่อก็เปรยขึ้นพอได้ยินกันสองคน

“น้องคุณ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ผมหันไปมองแล้วก็รอคำถามนั้น

“น้องคุณคบกับจิณณ์อยู่หรือเปล่า”

“ครับ ก็คบกันอยู่” ถ้าไม่ได้คบหากันแล้วใครมันจะใจง่ายมาเที่ยวกับคนไม่รู้จักล่ะแม่คุณ คุณรจิตเธอนิ่งค้างไปก่อนจะยิ้มหวาน

“พี่หมายถึงคบกันแบบคนรักน่ะค่ะ”

“.......”

“ว่ายังไงคะ?”

“คุณอยากรู้ไปทำไมหรือครับ”

“แค่อยากรู้เท่านั้นเองค่ะ แต่ถ้าน้องคุณลำบากใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะจะใช่หรือไม่ใช่มันก็ไม่มีผลกับความสัมพันธ์ของพี่กับจิณณ์ น้องคุณเข้าใจที่พี่พูดไหมคะ” ยิ่งกว่าเข้าใจอีกครับคุณผู้หญิง ผมพยักหน้ารับ เมื่อเจ้าหล่อนไม่พูดต่อผมก็ถือเป็นการปิดประเด็น หันไปสนใจธรรมชาติต่อไป เออ ดีเนาะผู้หญิงสมัยนี้ ประกาศสงครามความรักกันโต้ง ๆ ใจกล้าดีแท้ แล้วไอ้คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องก็นะ มัวแต่ซักนั่นถามนี่คนนำทาง มึงช่วยหันมามองทางนี้หน่อยได้ไหม กูจะโดนงับหัวตายอยู่แล้ว! พี่มันหันกลับมามองจริง ๆ ครับ พอเจอสายตาพิฆาตมารของผมมันก็ตรงเข้ามาถามเสียงอ่อน

“ร้อนไหม” ทีอย่างนี้มาทำเอาใจ แน่จริงมึงเชิดข้ามวันเลยสิ กูจะได้โดนทิ้งให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมส่ายหน้าตอบ เป็นฝ่ายลุกไปหาพี่ชาแล้วก็ทิ้งมันอยู่กับเสียงออดอ้อนของเพื่อนร่วมงานต่อไป ตามสบายเลยพี่ อยากสวีทกันก็ตามสบายเลย จะนั่งจี๋จ๋าจนจบทริปนี้ก็ไม่มีใครว่า แค่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ

รำโว้ย!

เราล่องแพชมธรรมชาติกันมาได้ครู่ใหญ่ ผ่านแม่น้ำสายเล็กออกมาสู่แม่น้ำสายหลักที่ไหลเชี่ยวกว่าเยอะ ความสดชื่นที่พัดมาจากผิวน้ำและป่าเขาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก พี่ชาดูจะเป็นแกนนำสำคัญในการสร้างสีสันของกลุ่ม แกทำเรื่องให้พวกเราหัวเราะได้ตลอดและดูจะสนุกกับการได้แกล้งจะผลักผมให้ตกน้ำมาก ผมได้แต่ยึดแขนพี่แกไว้ทุกครั้งที่โดนทำแบบนั้น คุณพี่ครับ ผมมีชีวิตเดียวนะครับ เกิดดับสูญไปด้วยความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวพี่จะเอาที่ไหนไปใช้แฟนคลับอีกครึ่งมหาวิทยาลัยของผม ชื่นชมทิวทัศน์กันจนอิ่มเอมแล้ว คนนำทางก็บอกว่าอีกไม่นานจะถึงที่หมาย ผมลุกขึ้นยืนบิดตัวคลายความเมื่อยแล้วก็ต้องร้องเฮ้ย

“อ๊ะ...”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!”

ตูม!

คุณรจิตลงไปตีน้ำอยู่ข้างแพเรียบร้อย ผมอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง คือ ผมไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอลงไปนะ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาตะลึงตอนนี้ ใครคนหนึ่งกระโจนลงไปแล้วก็ลากเธอขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จ จิณณ์รับร่างเพรียวต่อจากเจ้าหน้าที่มาประคองไว้ สาวสวยนอนระทดระทวยซบอกกว้าง สูดเอาอากาศเข้าปอด กระอักกระไอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมคล้ายกำลังตัดพ้อ
นั่น เอาแล้วไง ฉากในนิยายลอยมารำไร

“ไม่เป็นไรนะครับ” เจ้าหล่อนส่ายหน้าช้า ๆ แต่ตายังไม่คลาดจากใบหน้าผม ตกลงเจ้แกจะให้ผมตกหลุมให้ได้ใช่ไหม “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ คุณรจิตถึงพลัดตกลงไป หน้ามืดหรือครับ”

“ไม่...ไม่ใช่ค่ะ แต่ ช่างมันเถอะ”

“นั่นสิครับ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะครับ” พี่ชาบอกเสียงนุ่มแต่ผมค้างคาใจ ค้างคาใจมาก ๆ ตอนที่ทุกคนได้ยินเสียงกรีดร้องแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะต้องเห็นตอนผมสะบัดคุณรจิตออกจากตัวก่อนเธอจะหล่นตูมลงไปในน้ำ ทุกคนเห็นสายตาตัดพ้อของผู้หญิงคนนี้แต่ไม่มีใครเห็นตอนที่ผมจะโดนเขาคุกคาม... - - -

“คุณภัทร มีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เชี่ย ไม่นะ อย่าบอกนะว่าไอ้คุณชายมันจะสวมบทพระเอกโง่ ไม่อ๊าว กูไม่อยากเล่นเรื่องนี้ ไม่อยากเป็นทั้งนางเอกนางร้าย อย่ามาดราม่าใส่กู

“มันเป็นอุบัติเหตุใช่ไหมคุณ” พี่ชาถามผมเขายังคงยิ้ม

“คงจะอย่างนั้นแหละครับ ทุกคนก็เห็นแล้วว่าผมสะบัดเธอจนตกน้ำ แต่ก่อนหน้านั้น ตอนผมลุกขึ้นบิดตัว คุณรจิตเข้ามาจับไหล่ผมแล้วก็แกล้งจะผลักผมลงไป ขอโทษนะครับที่ผมตกใจจนทำให้คุณต้องเปียกเป็นลูกหมาแบบนี้”

“พี่แค่จะแกล้งให้น้องคุณตกใจเหมือนที่คุณชาทำก็เท่านั้น ไม่คิดว่าน้องคุณจะตกใจจนเหวี่ยงพี่ตกน้ำ” ตกลงกลายเป็นว่าผมเหวี่ยงเธอตกน้ำ โอเค ผมยิ้มรับ “ขอโทษนะครับที่ตกใจเกินเหตุ กลับไปถึงห้องพักอย่าลืมหายาแก้ปวดแก้ไข้กินนะครับ อาการจะได้ไม่กำเริบตอนดึก ถ้าคุณไม่สบายขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดแย่เลย”

เตือนด้วยรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดในชีวิตก่อนจะรับผ้าขนหนูจากเจ้าหน้าที่มายื่นให้ คุณรจิตรับมันไปด้วยใจจำยอมเห็น ๆ แต่ผมไม่สนใจ ชำเลืองมองไอ้คนดีที่กำลังนั่งหน้าเครียดประคองสาวสวยแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวสั้น ๆ แล้วผมก็ได้รับกลับคืนมาแค่นั้นเช่นกัน


จบสิ้นการล่องแพชมธรรมชาติ ไม่มีการผจญภัยตามแก่งเล็กแก่งน้อยอย่างที่ผมเฝ้าคอยเพราะกลุ่มของเรามีผู้หญิงเยอะประกอบกับช่วงนี้กระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยวเลยมีการเปลี่ยนแผนเป็นการแวะถ่ายรูปในฟาร์มกล้วยไม้ พักผ่อนกันตามอัธยาศัยแทน กว่าจะกลับถึงรีสอร์ทก็โพล้เพล้เต็มที ผมแยกกับพี่ชาหลังจากเราไปหาของว่างรองท้องในห้องอาหาร เดินคลำทางกลับบ้านพักของตัวเองแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของห้องอีกคนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน รู้จักกันมาหลายเดือนผมเพิ่งเคยเห็นจิณณ์สูบบุหรี่
ก้าวไปหยุดอยู่ไม่ห่าง จิณณ์ก็ยังไม่คิดจะถอนสายตาจากกระถางกล้วยไม้ที่แขวนไว้ตรงชายคากระท่อม สุดจะทนกับความอึดอัด ผมเลยย่ำเท้าเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังให้เบาที่สุดก่อนจะเปลี่ยนใจกระชากมันออกแล้วก็อัดกลับไปโครมใหญ่ สมบัติใครจะหักจะพังก็ช่างแม่ง ตอนนี้ไม่มีคนอื่นให้ต้องเกรงใจ ผมจะออกฤทธิ์แบบนี้แหละ ใครจะทำไม กำลังปลดเสื้อออกจากตัว ไอ้บ้าคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแบบไม่ให้เสียง ผมตวัดตามองมันแล้วก็หันหน้าหนี รู้สึกตัวเองกำลังเฉียดเข้าใกล้บทนางเอกแสนงอนเข้าไปทุกที แต่จะงอนอะไรล่ะ ตอนนี้ผมกำลังไม่พอใจเรื่องอะไรผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เป็นอะไรไปแล้ววะคุณภัทร

“คุณ”

“ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ผมโพล่งออกไปทันทีที่ไอ้คนตัวสูงมันก้าวเข้ามาขวางทาง จงใจพูดดักทางไปแบบนั้นทั้งที่ตัวเองก็สูบเป็นครั้งคราว จิณณ์ได้ยินแบบนั้นก็ว่าง่ายเกินมนุษย์ ยอมหลีกทางให้โดยไม่คัดค้าน ผมคว้าผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็เดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาจัดการตัวเองนานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนคิดว่ามันนานจนน่าเกลียดแล้วเลยยอมเดินหน้านิ่งออกมา จิณณ์ยืนอยู่หน้าบ้าน พอผมผึ่งผ้าเช็ดตัวเสร็จพี่มันก็เลี่ยงเข้าไปใช้ห้องน้ำต่อ คนที่กลั้นใจรอจังหวะเปิดอย่างผมก็ได้แต่รอเก้อ เออ อึดอัดบรรลัยเลยเถอะ

จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน

รู้สึกตัวอีกทีเมื่อที่นอนข้างตัวมันยุบลงเพราะน้ำหนักของใครบางคน ผมปรือตามอง เห็นแล้วว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลยซุกหน้ากับหมอนหลับต่อ ง่วงครับ เพลียด้วย ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใครเลยไม่ใส่ใจแม้ว่าจะถูกมืออุ่นจัดรั้งเข้าไปซุกในมุมที่คุ้นเคย ลมหายใจที่เป่ารดอยู่กลางหน้าผากให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายจนคร้านที่จะดิ้นรนหนี สัมผัสที่ลากแผ่วขึ้นลงทั่วแผ่นหลังกระตุ้นให้ขยับกายเข้าหาแผ่นอกกว้างมากขึ้น

“อย่าทำแบบวันนี้อีกนะ” ทำอะไรวะ?

“ถึงจะเป็นญาติของบุรินทร์แต่ฉันก็ไม่อยากให้เค้าทำแบบนั้นกับนาย” ตอนแรกผมคิดว่าพี่มันจะเทศน์ผมเรื่องคุณรจิตแต่สงสัยจะไม่ใช่ ประเด็นนี้น่าจะเกี่ยวกับพี่ชามากกว่า ผมครางในคอ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้อธิบายรายละเอียด ทำไมผมถึงรู้นะว่าจิณณ์กำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“คุณ” น้ำเสียงนั้นเจือแววเร่งเร้าจนไม่อาจแกล้งหลับต่อไปได้ ผมเงยหน้ามองคนพูด สบตาคู่คมแล้วก็เสเบียดแก้มกับไหล่กว้าง

“ง่วง”

“คุยกันก่อนสิ”

“ผมง่วง” มุขดื้อหลับครับ ให้มันรู้ไปว่าจิณณ์จะขัดใจ ผมเกลือกหน้ากับชุดนอนเนื้อนุ่ม ใช้สีหน้าและน้ำเสียงที่คิดว่าน่าเอ็นดูเป็นที่สุดบวกกับเสียงครางแผ่ว ๆ แม้มันจะดูสาวน้อยมาก ๆ แต่ทำแล้วคุ้มครับ หึ เจอคุณภัทรเวอร์ชั่นนี้เข้าไป จิณณ์จะทำอะไรได้นอกจากถอนใจแล้วก็เงียบตาม

ก่อนจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งผมอดคิดถึงสีหน้าของคุณรจิตไม่ได้ การกระทำของเธอมันประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการไอ้หล่อไปครอบครองแบบไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่จะเกิดกับผม คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

แย่จังเลยนะ ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับคุณภัทร คิดว่าตัวเองตีบทแตกอยู่คนเดียวหรือไง จริงอยู่ว่าผมอาจจะไม่ได้ตั้งใจในตอนต้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีเจตนาแอบแฝงและจะไม่สะใจที่ได้เห็นผลลัพธ์ของมัน เพียงแวบเดียวที่สบตากัน คนฉลาดแบบจิณณ์ต้องมองออกอยู่แล้ว มันถึงได้นั่งหน้าเครียดจะเข้าข้างคุณรจิตก็ไม่ได้และจะปรามผมก็ยิ่งไม่ได้อีก

ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ

พี่ต้องเข้าใจผมอยู่แล้ว

ใช่ไหมพี่จิณณ์




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ร้ายเหมือนกันนะคุณภัทร))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 25-11-2016 18:50:35
มากับเรา แต่ไป สนุกกับคนอื่นถึงจะเพื่อนร่วมงานก็เถอะ สวีทนะคิดไหม
ปฏิเสธ เป็นไหม แบบนี้ กลับไปเทแน่นอน (อินมากกกก ด่าได้แต่อย่าแรง 55555)
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-11-2016 20:25:55
มากับเรา แต่ไป สนุกกับคนอื่นถึงจะเพื่อนร่วมงานก็เถอะ สวีทนะคิดไหม
ปฏิเสธ เป็นไหม แบบนี้ กลับไปเทแน่นอน (อินมากกกก ด่าได้แต่อย่าแรง 55555)
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว  ชอบบบบ  กร๊ากกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ช่ายเลย อะไรกัน อย่างจิณณ์เนี่ยนะ
เกรงใจหญิงที่มารุกแนบเนื้อแนบตัว
ให้รู้ไป เกรงใจหญิง กับหัวใจตัวเอง
ถ้าไม่ชัดเจน ถ้าคุณ รำคาญ จะรู้สึก
ทีจิณณ์ ยังไม่พอใจที่คุณ อยู่กับพี่ชา
แล้วคุณ จะพอใจที่รจิต มานัวเนียจิณณ์ หรือ
เป็นคุณ จะเล่าที่นางมาวุ่นวายให้จิณณ์ฟัง
ที่จริงนางก็ดูออกนี่ ว่าสองคนเขาเป็นไรกัน
สรุปนางอยากแย่งน่ะเอง เลว
ไม่มีปัญญาหาคนโสด เอ่อ.....แล้วหล่อ รวย ......ใหญ่ ใช่ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-11-2016 22:13:09
 :m16: :m16: :m16: :m16: :m16:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-11-2016 00:24:58
ตอนนี้เข้าข้างคุณภัทร !!!
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๘ P.5 25/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-11-2016 23:54:30
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 28-11-2016 17:31:02
ตอนที่ ๑๙   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


ผมตื่นก่อนจิณณ์แต่เช้านี้ไม่มีการนอนเอื่อยรออีกฝ่ายหนึ่งตื่นแล้วค่อยลุกพร้อมกันดังเคย พอลืมตาได้ผมก็ย่องไปอาบน้ำแต่งตัว ย่องออกจากบ้านพักแล้วก็ตรงแน่วไปยังห้องอาหารทันที ก็มื้อสุดท้ายของเมื่อวานผมกินตอนหัวค่ำกับพี่ชา แล้วมันก็แค่อาหารว่างรองท้องไม่ใช่มื้อหลัก แค่นอนท้องร้องทั้งคืนนี่ก็ทรมานมากแล้ว เช้านี้เลยต้องรีบออกมาหาของอร่อยส่งส่วยให้พยาธิในท้องเร็วกว่าปกติ

“อ้อ เธอนั่นเอง” เช้าอันสดใสของผมวูบแสงลงไปราวกับพระอาทิตย์โดนเมฆบัง คุณรจิตเองก็เพิ่งเหยียบเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกลุ่มเพื่อนอีกสองคน ผมค้อมศีรษะทักทายเธอ ตั้งท่าจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแต่คำพูดของหนึ่งในนั้นทำให้ผมชะงัก

“เธอตั้งใจผลักรจิตตกน้ำใช่ไหม”

“อะไรนะครับ”

“ฉันถามว่าเธอตั้งใจผลักเพื่อนฉันตกน้ำใช่หรือเปล่า ตรงนี้ไม่มีคนอื่น เธอไม่จำเป็นต้องเล่นละคร ไม่พอใจอะไรก็พูดมาเลยสิ” อยากจะขำ หนุ่มน้อยผู้บอบบางอย่างคุณภัทรกำลังโดนสาวออฟฟิศทั้งกลุ่มหาเรื่อง เหอะ นางเอกกว่านี้มีอีกไหม

“ผมไม่ได้เล่นละครครับแล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรไม่พอใจด้วย”

“แต่สิ่งที่เธอทำเมื่อวานมันทำให้เพื่อนของเราไม่สบายนะ รจิตต้องมาเป็นไข้เพราะเธอ”

“พวกคุณ ๆ ก็โตกันแล้ว ไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวหรือครับ ก่อนที่จะมาโทษคนอื่น ผมว่าพวกคุณลองกลับไปคิดอีกทีดีกว่าถ้าเพื่อนคุณไม่อุตริเข้ามาแกล้งคนกำลังเผลออยู่ เค้าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า คิดจะทวงความยุติธรรมให้เพื่อนก็ควรจะมองตั้งแต่ต้นว่าเพื่อนคุณเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผม”

“เด็กเมื่อวานซืนแท้ ๆ ปากคอเราะร้ายเหมือนไม่มีคนสั่งสอนเรื่องมารยาท”

“สมัยนี้เค้าไม่สนกับแล้วพี่หยี พอมีเรื่องผู้ชายมาเอี่ยวเด็กหรือผู้ใหญ่ก็คงพร้อมร้ายใส่อ่ะ คงเห็นว่าจิณณ์เอาแต่สนใจรจิตส่วนตัวเองดันโดนทิ้งเลยไม่พอใจ”

“คนไม่พอใจคือคนที่หาเรื่องก่อนแล้วก็ระรานไม่จบหรือเปล่าครับ คุณก็โตจนทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้แล้วทำไมทำอะไรย้อนแย้งจัง ปากตำหนิผมแต่ไม่ดูเลยว่าเพื่อนตัวเองต่างหากที่ทำเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น ขอเตือนในฐานะเด็กรุ่นน้องนะครับ” คราวนี้ผมหันไปต่อตากับคุณรจิตคนสวยตรง ๆ

“เลิกทำตัวน่าสมเพชเพราะผู้ชายเสียทีเถอะ มันงี่เง่าแล้วก็ทำให้คุณกับเพื่อนเหมือนคณะตัวอิจฉาในละครมาก ขอตัวครับ” เริ่มต้นนับหนึ่งในใจ ปกติแล้วผมเป็นคนใจร้อนแต่งานนี้ผมไม่อยากเป็นเด็กไม่ดีจึงไม่ตอบโต้รุนแรงอย่างใจคิด จิตใจที่ต้องการเอาชนะของผู้หญิงกลุ่มนั้น ผมควรจะรับมือด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ จากนั้นค่อยไปใช้อารมณ์กับไอ้ผู้ชายบางคนให้สะใจไปเลย!


จิณณ์ตื่นหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แค่เดินเข้ามาในร้านด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมด๊าธรรมดากับกางเกงสียีนส์สีซีดก็ทำให้คนแถวนั้นเคลิ้มไปได้หลายนาที ไม่รวมผมนะครับ เพราะรู้พิษสงความหล่อของมันดีผมเลยหันหน้าหนีตั้งแต่เห็นเสื้อโอโมของมันแวบ ๆ ถ้าคุณคิดว่าไอ้พี่จิณณ์จะได้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับผมล่ะก็คุณคิดผิดถนัด เพราะดาวเด่นเบอร์หนึ่งท่านโดนพรานสาวดักแล้วก็ลากแวะข้างทางไปเรียบร้อย ผมยักไหล่ ลอยหน้าใส่พี่มันเป็นเชิงสมน้ำหน้าแล้วก็จัดการมื้อเช้าของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข



ทุ่งดอกทานตะวัน

ผมเคยเห็นแต่ในรูปถ่าย ไม่คิดว่าพอมาเจอของจริงแล้วมันจะสวยงามได้ถึงเพียงนี้ ท้องทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาสลับสีเขียวเหลืองสดใส ตั้งแต่วินาทีแรกที่รถตู้ของรีสอร์ทเคลื่อนเข้าไปในเขตไร่ผมก็ไม่อาจถอนสายตาจากความงดงามตรงหน้าได้เลย เมื่อเดินไปตามเส้นทางที่ถูกจัดไว้ให้ก็เหมือนตัวเองหลงไปในอีกโลกหนึ่ง รอบตัวมีแต่ดอกไม้สีเหลืองสดดอกโต เชิดหน้าสู้แสงตะวันอย่างเบิกบาน มองไปทางไหนก็มีแต่เจ้าพวกนี้เหมือนมันยาวไปจรดขอบฟ้า เงยหน้าก็เจอท้องฟ้าสีครามสดใส สายลมพัดเอื่อยช่วยคลายความร้อน นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังแข่งกันโพสต์ท่าเก็บรูปอย่างสนุกสนาน ผมยิ้มมองปลีกตัวเองออกมาจากกลุ่มใหญ่แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามรั้วไม้สีขาว

สวยอะไรแบบนี้ อยากมีทุ่งดอกทานตะวันเป็นของตัวเองจัง

“อ๊ะ” ชมดอกไม้เพลินจนโดนจับไม่รู้ตัว แล้วไอ้วิธีการจับนี่ก็เอาแต่ได้สุดฤทธิ์ ผมชำเลืองมองใบหน้าขาวจัดที่วางพาดบนไหล่ ขณะที่ผมยังคงสวมหมวกปีกกว้างกันแดดแต่จิณณ์ปัดมันทิ้งไว้ตรงท้ายทอย เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมสีเข้ม ความร้อนทำให้ใบหน้าหล่อจัดขึ้นสีเรื่อ ริมฝีปากแดงสดฉ่ำชื้นเพราะปลายลิ้นที่แลบเลียยามเผลอตัว

หล่อแบบบ้านไร่ เซ็กซี่ได้อีกครับคุณผู้ชม

“ตื่นมาก่อน กินข้าวก่อน หนีขึ้นรถมานั่งกับคนอื่นก่อน เอ ตกลง เรามาเที่ยวด้วยกันหรือเปล่าครับคุณคุณภัทร” ผมยกยิ้มพลางวางมือทับบนท่อนแขนขาว จิณณ์พับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกเผยให้เห็นผิวเนียนสวยและไรขนสีอ่อนนุ่มมือ ผมไม่ได้ตอบคำตอบนั้นเพราะรู้ดีว่าจิณณ์ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง เราสองคนได้แต่ทอดสายตามองดอกทานตะวันนับพันที่กำลังเบ่งบานอยู่ตรงหน้า ผิวชื้นเหงื่อสัมผัสกันชวนให้รู้สึกวูบวาบในอกแต่พอสายลมพัดผ่านมาความเย็นสบายก็กลบทุกความร้อนรุ่มให้สงบลงดังเดิม คนข้างตัวผมถอนใจยาว ถอยออกห่างก่อนจะยกกล้องขึ้นถ่ายรูปโดยไม่ให้สัญญาณ

ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมืออาชีพในการเป็นนายแบบจำเป็น ผมกัดปากหรี่ตาให้กล้องด้วยท่าที่บันทึกไว้ในสมองตั้งแต่จำความได้ หลายแอคชั่นตามมาราวกับกระสุนปืนกล เมื่อจิณณ์ไม่เบื่อที่จะกดชัตเตอร์ผมก็ไม่เบื่อที่จะโพสต์ เดินบ้างนั่งบ้างยิ้มบ้าง ทำหน้าบึ้งหรือแม้แต่รูปแคนดิท คุณชายท่านก็ยังมีใจถ่ายเก็บไว้ เดินสลับวิ่งเปลี่ยนโลเกชั่นกันไปทั่วทั้งทุ่งจนสุดท้ายก็มาหยุดหอบข้างรั้วสีขาว ผมชักคอแห้งเลยบ่นกับพี่เลี้ยงตามความเคยชิน

“หิวน้ำแล้วอ่ะ”

“ก็เล่นไม่อยู่กับที่เลยนี่นะ” หมวกใบใหญ่กลายเป็นพัดอย่างดี ผมปีนขึ้นไปนั่งบนรั้วได้มุมเหมาะด้วยการวางหัวพิงไว้กับเสาของรั้วไม้สีขาว หลับตาลงแล้วก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์สองสามครั้งติดกันก็ยิ้มเนือย ๆ

“พอแล้ว จะถ่ายอะไรนักหนา”

“นายแบบน่ารัก ถ่ายไว้เยอะ ๆ น่ะดีแล้ว”

“ขอบคุณจ้าาา” อย่าคิดว่าไม่เขินนะ ถึงจะทำเสียงเหมือนประชดแต่ผมก็ร้อนไปทั้งหน้านะโว้ย เสียงฝีเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้า ผมปรือตามองแล้วก็ใจกระตุก ร่างสูงของจิณณ์ยืนอยู่ในระยะไม่เกินสองคืบ เพราะผมนั่งบนรั้วเลยได้หรุบตามองพี่มันอย่างที่ไม่เคยได้ทำตอนเหยียบบนพื้นระดับเดียวกันแน่นอน ไอ้หล่อมันยิ้มบาง วางมือตรงบั้นเอวผมเหมือนจะส่งสัญญาณเตือน

“เคยดูซีรี่ส์เรื่อง...ของ NHNK ที่ทาคุยะ คิมูระแสดงไหม”

“ถามทำไม”

“ได้ดูฉากที่กลีบซากุระปลิวมาติดตรงแก้มนางเอกหรือเปล่า” ดู แต่คิดว่าไม่พูดคงดีกว่า ผมเริ่มขยับตัวไปมาเมื่อไอ้พี่จิณณ์ยิ้มเหมือนเดาความคิดของผมออก ไอ้คนฉลาด ข้ารู้นะว่าเอ็งกำลังคิดอะไรอยู่ อย่ามาเนียนทำตาเชื่อมใส่กันนะโว้ย “เปลี่ยนจากซากุระเป็นทานตะวันคงไม่เป็นไรเนาะ”

“เป็น”

“เป็นอะไรล่ะ?”

“เป็นอะไรก็ได้ ก็มันเป็นอ่ะ”

“จริงหรือ”

“จริง”

“จริงนะ”

“ก็บอกว่าจริงไงเล่า” ด๋อย แล้วผมจะมาเถียงกับมันทำไม เถียงมาเถียงไปตอนนี้ก็แทบจะประกบปากกันอยู่แล้ว ไอ้ที่พูดออกไปเมื่อกี้เพียงแค่กระซิบอยู่ในคอแต่ที่ยังได้ยินท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิวอย่างนี้เพราะริมฝีปากสีเลือดนั่นมันกำลังคลอเคลียกับปากผมอยู่น่ะสิ

ฮื่ออออ มือไม้สั่น อกใจก็วูบวาบ

ใครก็ได้ช่วยโผล่เข้ามาขัดจังหวะที



สาม


สอง


หนึ่ง


มีไหม จะมีใครโผล่มาช่วยชีวิตผมเหมือนในนิยายไหม มีหรือไม่มี ผมหลับตาปี๋ ไม่ไหวแล้วในอกมันปั่นป่วนไปหมด อยากตะโกน อยากแหกปาก อยากผลักหน้าพี่มันออกไปให้สุดแขนแต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ารองแผ่นหลังทำให้ผมไม่หงายหลังลงไปจากรั้วสูง แต่มันก็เป็นด่านกักกันที่ทำให้ผมไม่สามารถดันตัวเองให้พ้นจากการรุกรานของอีกฝ่ายได้ อื้อ ไม่เอานะ ผมยังไม่อยากไปฝรั่งเศสกับมัน ใครก็ได้เข้ามาขัดจังหวะที!

“เอ่อ...จิณณ์คะ...”

โอ้ มาย จอร์จ ลอร์ด บุดด้า!

ไม่สิ ไม่ใช่เวลาที่จะมาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์
 
คนที่ผมควรขอบคุณควรจะเป็นแม่สาวทรงโต คุณรจิตกับเพื่อนหล่อนต่างหากล่ะ ผมครางเสียงสั่นแทรกมือเข้าวางแปะบนริมฝีปากคนตรงหน้าก่อนมันจะทำให้ผมขาดใจตาย บ้าจริง แค่ริมฝีปากที่คลอเคลียกันเบา ๆ ทำให้อกใจเราเต้นรัวได้เหนื่อยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ปฏิกิริยาเหี้ยอะไรวะทำเอาผมแทบตาย ผมทำเสียงขู่ฟ่อเมื่อจิณณ์ทำท่าจะเนียนไม่ได้ยิน ไม่เห็นและไม่สนใจคนที่กำลังยืนชะเง้อมองมาอย่างร้อนรน ใบหน้าหล่อคมฉายแววผิดหวัง ดวงตาคมหวานชำเลืองมองทางต้นเสียงแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“เค้าเรียกแล้ว ไปสิ”

“ไม่ไป”

“ไม่ไปเดี๋ยวก็ได้เข้ามาหาหรอก ผมไม่อยู่ด้วยหรอกนะ” ผมบอกเสียงขุ่น บทจะดื้อพี่มันก็ดื้อได้อย่างน่ากลัว คิดดูเถอะถ้าเกิดมันไม่ยอมถอยออกไปแล้วยังทำหน้าซื่อยืนล็อคเอวผมไว้แบบนี้ พี่สาวชาวออฟฟิศทั้งหลายเขาจะว่ายังไง แค่เดินไปเดินมาด้วยกันยังโดนเขม่นหน้าจะแย่อยู่แล้ว ขืนมาเห็นร่องรอยที่จิณณ์มันดูดปากผม พวกเจ๊แกคงได้ไล่ฟ้อนเล็บใส่หน้าคุณภัทรผู้น่าสงสารกันทั้งแผนก

“ถอยไปสิ นั่น เดินมานั่นแล้วเห็นไหม”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าใส่ใจเลย”

“จะไม่ใส่ใจได้ยังไง ผู้หญิงพวกนั้นเค้ามาตามหาพี่นะ” จิณณ์ยิ้มบาง มันคิดอะไรผมล่ะตามไม่ทันจริง ๆ พอคุณรจิตโฉบเข้ามาใกล้ มันก็วางมือข้างหนึ่งไว้ตรงเอวผม อีกข้างคุณชายท่านถือหมวกสานใบกว้างพัดเรียกลมไปมาตรงหน้า เย็นสดชื่นดีครับแต่มันไม่ใช่เวลามาชื่นชมความเอาใจใส่ของมัน อีสาวมหาภัยเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ไอ้พี่จิณณ์ก็หันไปยิ้มทักสาวเจ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฮัลโหล ๆ ได้ข่าวว่าตอนนี้มึงกอดเอวกูอยู่นะพี่

“คุณรจิตถ่ายรูปทั่วทุกมุมแล้วหรือครับ”

“ยังหรอกค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“แหม ก็คนที่หวังพึ่งให้เป็นตากล้องหายตัวมาแบบนี้จะถ่ายกันได้ยังไงล่ะคะ”

“พอดีวิวแถวนี้สวยน่ะครับ ผมเลยหลงชมเพลินไปหน่อย คุณเค้าก็ชอบถ่ายรูปเลยยิ่งเพลิน” นั่นมันใช่คำตอบที่ไหนกันเล่า ผู้หญิงเค้ากำลังตัดพ้อที่พี่ทิ้งเค้ามา แทนที่จะขอโทษดันอวดเค้าอีกว่าหนีมามีความสุขกับผมสองคน เจริญล่ะมึงคราวนี้

“แล้วเรียบร้อยหรือยังคะ รจิตจะได้ยืมตัวจิณณ์ไปทางโน้นบ้าง”

“คุณรจิตมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่หยีกับอลิซอยากวานจิณณ์ถ่ายรูปให้แล้วก็อยากถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึกเก็บไว้ด้วย สะดวกไหมคะ” จะสะดวกหรือไม่สะดวกมันก็เรื่องของพี่จะเงยหน้ามองผมทำไมวะ ผมเบือนหน้าหนี ไม่รู้ ไม่เกี่ยวโว้ย

“ฉันไปได้ไหม”

“ก็ไปสิ ใครห้ามล่ะ”

“เผื่อไม่อยากให้ไปก็จะไม่ไป” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแผ่ว คุณรจิตของมันไม่ได้ยินแต่ผมได้ยินเพราะพี่มันกระซิบกับแก้มผม เหลือบเห็นเจ้าหล่อนตาลุกวาวแล้วก็นึกเหนื่อยใจไว้ล่วงหน้า ประกายริษยาฉายแรงขั้นดับดวงอาทิตย์ได้แบบนั้น ผมจะมีชีวิตรอดกลับไปเจอพ่อแม่ที่บางกอกไหมหนอ

จิณณ์ยังมองเหมือนจะรอคำตอบที่แน่ชัด ผมแกล้งทำหน้าคิดนิด ๆ แน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวของเราสองคนตกอยู่ในสายตาของแม่สาวกลุ่มนั้นตลอด ไม่ว่าผมจะเอียงคอคิดด้วยท่าทางที่คิดว่าน่ารักสุด ๆ ไม่ว่าผมจะเป็นตอนที่ผมทำปากงอนหรือตอนที่ผมคล้องแขนกับต้นคอจิณณ์แล้วสบตากับพี่มัน...(เหมือนจะ)หวานซึ้ง

“ผมไม่อยากให้พี่ไปหรอกแต่พี่ก็ควรไป พวกเค้าเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน พี่ยังต้องเจอพวกเค้าอีกนานไม่ใช่หรือ” จิณณ์ยิ้มบาง พี่มันรู้แน่ว่าผมกระแดะทำยั่วโมโหพวกไก่แก่แม่ปลาช่อนทั้งหลายและมันก็ให้ความร่วมมืออย่างดีด้วยสิ

“พูดจาน่ารักแบบนี้มีอะไรอยากขอไหม” ผมส่ายหน้าดิกเมื่อมือที่วางตรงเอวเริ่มขยับไล้สีข้างผมช้า ๆ

“ไม่เอาหรือแต่ฉันอยากให้นะ”

“ไม่เอา” ผมกัดฟันพูด จิกปลายนิ้วกับไหล่หนามั่น อย่านะมึง ขืนทำอะไรรุ่มร่ามอีกกูตบแถมข่วนแน่ จิณณ์หัวเราะน้อย ๆ ได้ยินเสียงหนึ่งในสามสาวถอนหายใจเหมือนรำคาญดวงตามันก็ยิ่งพราวระยับ แล้วใครจะทันคิด อยู่ ๆ ไอ้หล่อมันก็ยกหมวกปีกกว้างขึ้นมาในระดับสายตา ผมเผลอหันไปมองแล้วก็... - - -

ฟอด!

เสร็จโจรสิครับงานนี้

จิณณ์ลดหมวกลงช้า ๆ พี่มันยักคิ้วให้ผมก่อนจะเดินตรงไปหาผู้หญิงกลุ่มนั้นโดยไม่ลืมหันมาส่งยิ้มให้ไอ้เด็กตาดำ ๆ ที่กำลังนั่งเม้มปากหน้าแดงก่ำอยู่ที่เดิม ไอ้พี่จิณณ์ มึง ไอ้ ไอ้ ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้าไม่อาย!


จัดเวลาสำหรับคิดแค้นไอ้คนหน้าด้านเพียงแค่ห้านาทีแล้วผมก็กระโดดลงจากรั้ว เดินเตร็ดเตร่ไปตามมุมนั้นมุมนี้จนสุดท้ายก็มานั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ในรถตู้คันเดิม รถติดเครื่องเปิดแอร์เย็นฉ่ำชวนให้รู้สึกสบายกว่าการนั่งท้าลมร้อนข้างนอก ตอนเดินมานั้นผมเห็นหลายคนกำลังนั่งพักขากันในร้านน้ำชาเล็ก ๆ ที่ทางไร่เปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวแต่เห็นคนที่แทบจะล้นออกมานอกร้านแล้วก็ตัดสินใจว่ามานั่งรอในรถจะดีกว่า นั่งฟังเพลงจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็กลุ่มเดิมนั่นแหละครับไม่ใช่ใครที่ไหน ผมถอนใจยาวรู้สึกเหมือนหนังตามันหนักกว่าปกติแถมยังปวดรุมไปทั้งตัวเลยคร้านจะสนใจ ซุกหน้าหลับต่อไป

เอ๊ะ?

ซุกหน้าหลับอย่างนั้นหรือ? ผมค่อยฝืนยกเปลือกตาขึ้นทีละข้าง มองหมอนจำเป็นที่อาศัยวางหัวตอนไม่รู้สึกตัวแล้วก็ต้องตาโต

“พี่ชา โอย ขอโทษครับพี่” ญาติผู้พี่ของบุรินทร์ยิ้มใจดีให้ผม เขากลับมานั่งในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทันรู้ อาจจะเป็นตอนที่ผมหลับลึกแล้วก็คว้าเอาไหล่พี่แกเป็นหมอนไปโดยไม่รู้ตัว ชีวิตนี้ ทำไมผมถึงขยันทำเรื่องน่าอายกับคนแปลกหน้าจังเลยนะ

“นอนต่อเถอะ ตัวรุม ๆ เหมือนจะไม่สบายนะ ปวดหัวหรือเปล่า” ผมพยักหน้า

“นิดหน่อยครับ สงสัยแพ้แดด”

“งั้นก็นอนต่อเถอะถึงแล้วพี่จะปลุก” พี่แกตบหัวผมเบา ๆ เพราะร่างกายมันไม่เอื้ออำนวยให้ทำตัวเป็นคนเก่ง ผมเลยหลับตาลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย เออ มุมนี้มันเหมาะแก่การซบจริง ๆ ให้ตายเถอะ เล่นเอาผมวูบไปอีกยาวไม่ได้รับรู้เลยว่าคนรอบตัวเขาทำอะไรไปถึงไหนกันแล้ว ผมหลับและหลับจนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพี่ชาเขย่าตัวปลุก งัวเงียฝืนมองไปรอบ ๆ ก็ได้รู้ว่าเรากลับมาถึงรีสอร์ทเป็นที่เรียบร้อย ลูกทัวร์คนอื่นตรงดิ่งไปยังห้องอาหารเพราะตอนนี้มันเลยเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ผมยิ้มเนือยให้คนตัวสูง รอให้พี่ชาลงไปก่อนก็ค่อยพยุงตัวเองตามไปช้า ๆ

เวียนหัวมากเลยครับ

แค่เท้าแตะพื้นก็มึนจนเซ ไม่ได้แกล้งเป็นนางเอกแต่มันไม่ไหวจริง ๆ ผมรู้สึกได้เลยว่าลมหายใจที่ผ่อนออกมานั้นร้อนผ่าวจนน่ากลัว ในปากขมปร่า คอแห้งเป็นผง ครั่นเนื้อครั่นตัวและมวนท้องจนไม่กล้าลืมตา ผมพิงร่างกับรถตู้แม้ไอร้อนจากตัวเครื่องจะทำให้รู้สึกไม่สบายแต่ก็ไม่มีทางใดดีกว่านี้ ถ้าไม่มีที่ยึดผมอาจล้ม

“ไหวหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างห่วงใย ผมพยักหน้ารับ ใจหนึ่งมันดีแสนดีไม่อยากให้พี่เค้าต้องเป็นห่วงแม้อีกใจกำลังร่ำร้องด้วยความทุกข์ทรมานว่าไม่ไหวแล้ว ๆ ๆ อยู่ก็เถอะ เดินไปตามการประคองของพี่ชาอยู่ดี ๆ ตัวผมก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น

“ผมพาเขาไปเอง ขอบคุณมาก” กว่าจะมาได้นะ ผมกระแทกหน้าผากกับกระดูกไหปลาร้าไอ้คนตัวสูงอย่างขุ่นเคือง นี่ถ้ามีแรงเหลือรับรองว่าพี่มันไม่ได้เห็นผมหลับตาพริ้มให้อุ้มแบบนี้หรอก ผมไม่สบายแทนที่มันจะเป็นคนแรกที่รู้และดูแลกลับกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันสักนิดเดียว นี่ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้อีกหน่อยนะ ผมจะให้มันบินกลับกับพวกผู้หญิงนั่นแหละ ไม่อยากมานั่งหมุ่ยใจกับความป๊อบของใครอีกแล้ว

“คุณ ปวดหัวมากเลยหรือ” เสียงร้อนรนถามขณะที่ร่างผมถูกวางลงบนเตียง นี่ก็อีกเรื่อง ทำไมพี่มันไม่ให้ผมขี่หลังหรือประคองเดินแบบคนปกติเค้าวะ อุ้มท่าเจ้าหญิงจากหน้ารีสอร์ทมาถึงบ้านพักแบบนี้ ไม่มีแล้วล่ะความมาดแสนของนายคุณภัทร มุดดินหนีลงน้ำไปหมดแล้วแน่ ๆ

“ปวดหัว”

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะให้เขาตามหมอมาตรวจดู”

“ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปวดหัวนิดหน่อย นอนพักก็หาย” พี่จิณณ์ยอมนั่งลงข้าง ๆ ผมเบียดแก้มกับฝ่ามือเย็นเฉียบทั้งที่ยังหลับตา นอนนิ่งให้ไอ้คนดีมันลูบหน้าลูบตาเหมือนลูกหมาเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง แม้จะรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แนบกับหน้าผากซ้ำ ๆ ผมก็ทำได้แค่นอนถอนใจระรวย

หมายเหตุนะ ผมกำลังไม่สบาย จิตใจผมไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ สติผมก็ลางเลือน ตาฝ้าฟางมองอะไรไม่ชัด สรุปก็คือผมในตอนนี้ไม่ใช่คุณภัทรในยามปกติ เพราะฉะนั้นถ้าผมจะคิดจะทำอะไรไม่เหมือนเดิมมันก็ไม่แปลก โอเคนะ

“ถ้าไม่อยากให้เรียกหมอก็ต้องกินยาแก้ไข้นะ”

“ไม่เอา” แค่ลืมตาก็เกือบจะไม่ไหวแล้ว ถึงขั้นต้องดันตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อกรอกยาเม็ดขมเข้าปาก ให้ผมตายซะดีกว่า “จะนอน นอนเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“อย่าดื้อสิ”

“เดี๋ยวก็ดี เชื่อสิ” พึมพำบอกทั้งที่ยังหลับตา กำหนดกลับคือพรุ่งนี้เที่ยง มีเวลานอนเรียกพลังกลับคืนอีกเกือบทั้งวัน ทันถมเถ ผมตะแคงหลับตา หมดฤทธิ์ของจริงครับไม่ได้แกล้ง นอนไม่รู้ตัวถึงขนาดที่ว่าจิณณ์แอบออกไปเอายาแก้ไข้กลับมาแล้วผมยังไม่รู้ พอได้ยินเสียงแก้วน้ำกระทบกับโต๊ะผมก็ลืมตาพรึบ เอาแล้วไง ไอ้คนดีมันเล่นผมแล้ว ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดเบ้งวางรออยู่ในถ้วยใบเล็ก ผมพ่นลมขึ้นจมูก มองพี่มันอย่างไม่พอใจ

“กินยาก่อนแล้วจะปล่อยให้นอน อย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้ไปเที่ยวอีกตั้งหลายที่ อุตส่าห์มาถึงเมืองกาญนายจะเอาแต่นอนซมเพราะพิษไข้แบบนี้ กลับไปได้โดนบุรินทร์กับวาล้อตายเลยนะ” ถ้าไม่มีคนบอกสองคนนั้นก็ไม่มีวันรู้ ผมพลิกตัวหันหลัง ไม่เอา ไม่กิน

“คุณ ถ้าไม่กินยาก็ต้องฉีดยานะ”

“ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะนอน!” คำสุดท้ายไม่ทันหลุดออกจากปาก แผ่นหลังผมก็โดนซ้อนขึ้นจากเบาะนุ่ม อ้าปากจะด่าคนเซ้าซี้ให้หายโมโห จิณณ์ก็ฉกริมฝีปากลงมา ยาสองเม็ดไหลลงคอไปพร้อมกับน้ำอุณหภูมิห้อง ถ้าไม่อยากสำลักก็ต้องรีบกลืนลงไปพร้อมความรู้สึกเสียววาบที่แล่นปราดไปทั้งช่องท้อง อา วิธีการดั้งเดิมมากครับ มึงไม่กินกูก็จะบังคับให้มึงกิน

“คราวนี้ก็นอนได้แล้ว” ไอ้หมอจำเป็นมันปาดปลายนิ้วกับมุมปากผมแล้วก็ลุกหายไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมนั่งหน้าเอ๋อตาลอยอยู่คนเดียวเป็นครู่ จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับมานั่นแหละผมถึงได้ทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัว ภาวนาให้ยาแก้ไข้เมื่อครู่มันแปรฤทธิ์เป็นยานอนหลับให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ผมจะได้ไม่ต้องมานอนฟังเสียงหัวใจตัวเองกระหน่ำเต้นจนปวดหัวไปหมดแบบนี้


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ทำไมเริ่มรู้สึกว่าพี่จิณณ์เองก็ร้ายใช่ย่อยนะเนี่ย))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 28-11-2016 18:47:33
น้องคุณกลัวยาก็เข้าทางพี่จิณณ์เลยซิ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-11-2016 19:35:16
เขินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-11-2016 22:41:29
จิณ  เสน่ห์แรงจังน๊า
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-11-2016 09:43:39
เจ้าเล่ห์นะ คุณจินณ์
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๑๙ P.5 28/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: idoloveyou555 ที่ 29-11-2016 19:05:30
มีความป้อนยาด้วยปาก  แล่วๆๆ ฉากนี้ต้องมา อร๊ายยยยฟินนน :ling1: :ling1: :katai5: :katai2-1: :hao7: :hao7: :katai1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 01-12-2016 18:20:11
ตอนที่ ๒๐   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ








ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหนักจนไข้ขึ้น กลางดึกคืนนั้นทางรีสอร์ทต้องตามหมอมาให้ตามคำขอของจิณณ์เพราะผมเอาแต่เพ้อไม่รู้เรื่อง โดนจับฉีดยาไปหนึ่งเข็มก็ไม่รู้ตัว กว่าอาการจะสงบพอให้คนเฝ้าคลายใจฟ้าก็ใกล้สางเต็มที ผมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นจิณณ์เป็นอย่างไร ทำอะไรบ้างรู้แต่ว่าตัวเองครึ่งหลับครึ่งฝันอยู่นาน พอสติสัมปชัญญะวูบผ่านเข้ามาก็เห็นใบหน้าหล่อจัดคุ้นตาก้มมองมาเสมอ ใจจริงก็อยากมองมันให้เต็มตา จิณณ์เวอร์ชั่นหล่อแบบเถื่อน ๆ ผมยุ่ง ตาโรย เหนือริมฝีปากสีสดลามมาถึงปลายคางเขียวครึ้มเพราะไรหนวด น่ามองน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะครับ แต่พอฝืนตัวเองมากเข้าก็ปวดหัวขึ้นมาอีก ผมเลยข่มใจบอกตัวเองให้หลับทั้งที่อยากมองหน้าคนเฝ้าใจแทบขาด เฮ้อ พิษไข้เนี่ยมันทำให้เราพลาดอะไรดี ๆ ไปหลายอย่างเลยแฮะ

เกือบบ่ายสองของอีกวันผมถึงรู้สึกตัวเต็มร้อย ลืมตาตื่นได้ก็มองหารูมเมทหน้าหล่อ ๆ เป็นคนแรก จิณณ์ไม่อยู่ในห้อง ไอ้คนดีมันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ทิ้งให้ผมตื่นขึ้นมาเจอห้องโล่งคนเดียว ปกติเวลาพระเอกหรือนางเอกตื่นมาในสถานการณ์แบบนี้จะต้องเจออีกฝ่ายนอนซบอยู่ข้างเตียงกุมมือกันไว้แน่นไม่ใช่หรือ ทำไมมันไม่เหมือนในนิยายวะ พอสติกลับมานิสัยเอาแต่ใจก็กลับมาด้วย นั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนเบื่อก็เลิกคิด ผมตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง

“...ห่า...น...ฉิบหายแล้ว!”

“คุณ! ตื่นแล้วหรือ” ร่างสูงก้าวพรวดเข้ามาในห้องนอนพร้อมรอยยิ้มยินดี อ๋อ ที่แท้พี่มันก็ซุ่มอยู่ตรงระเบียงหลังห้องนี่เอง แต่เดี๋ยวก่อน ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ เรื่องที่ทำให้ผมต้องแผดเสียงเต็มบ้านก็คือ “พี่ พี่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเหรอ”

“ใช่ ฉันเอง”

“ใครใช้ให้พี่ทำวะ!”

“ถ้าฉันไม่เป็นคนทำ นายจะให้ใครทำหรือคิดว่าตัวเองจะละเมอลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้” ชะหนอย ไอ้โจรชั่ว ฟังมันย้อน ตัวเองทำผิดแล้วยังไม่สำนึก ไอ้...ไอ้...โอ๊ย มันไม่เห็นอะไรของผมไปถึงไหนต่อไหนแล้วหรือเนี่ย “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเลย ใส่ชุดเดิมแค่คืนเดียว ผมไม่ตายหรอก”

ไอ้พี่หล่อมันยิ้มชื่น ตอบอย่างหน้าไม่อายว่า “รู้ได้ยังไง ชุดนายเปียกเหงื่อจนชุ่มแถมยังมีแต่ฝุ่นดินติดเต็มไปหมดถ้าไม่เปลี่ยนใหม่นายอาจอาการหนักกว่านี้ก็ได้ แล้วจะบอกให้นะ นายเองนั่นแหละเป็นคนร่ำร้องบอกให้ฉันถอดให้ แถมตอนสวมชุดใหม่ให้ยังงอแงจะไม่ยอมใส่อีกด้วย”

“ไม่จริง พี่โกหก”

“อัดคลิปวิดีโอไว้จะดูไหมล่ะ”

“โรคจิต ลบมันทิ้งเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นผมซัดพี่ไม่เลี้ยงแน่” จิณณ์มันคงกลัวเพราะคนขู่ขู่ไปก็หอบไปเหมือนหมาหอบแดด ผมกัดปากจนเจ็บทำอะไรคนไม่ได้ก็ต้องลงไม้ลงมือกับหมอนและผ้าห่มแทน จิณณ์หัวเราะหึ เดินมาทิ้งตัวบนเตียง ทาบหลังมือกับหน้าผากผม

“ตัวยังรุมอยู่ ตอนนี้ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” ผมหันหน้าหนี ไม่ตอบ

“ไม่เอาน่า อย่าโกรธเลย เมื่อคืนฉันปิดไฟทุกดวงในห้องแล้ว แถมตอนถอดยังเอาผ้าห่มคลุมตัวนายไว้ สาบานได้ว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เหลือบตามองแวบหนึ่ง ให้ตาย เห็นรอยยิ้มของพี่มันแล้วผมใจโคตรสั่น ผู้ชายชื่อจิณณ์นี่มันเกิดมาทรมานคนด้วยหน้าตาแท้ ๆ ดูเอาเถอะ ขนาดพับผ้าห่มมันยังหล่อ

“จริงนะ”

“ไม่จริง” แล้วมึงจะพูดทำแป๊ะอะไรครับพี่ ฟังแล้วกูจะสบายใจขึ้นหรือก็ไม่ อยากจะอาละวาดมันอีกสักรอบแต่พออารมณ์โกรธมันวูบลงไปแล้วจะกลับมาโกรธอีกก็ใช่ที่ มันไร้สาระแถมยังไม่ใช่นิสัยผู้ชายแมน ๆ อย่างเราด้วย เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมจะเชื่ออย่างที่เจ้าตัวพูดมาก็แล้วกัน ไม่เห็นก็ไม่เห็น(วะ)

“พี่ดูแลผมทั้งคืนเลยหรือ” จิณณ์พยักหน้ารับ

“แล้วได้นอนบ้างหรือเปล่า”

“นอนสิ ฉันเพิ่งตื่นก่อนนายสักชั่วโมงนี่เอง” ในหัวปรากฏภาพฝูงปีศาจในอกผมมันกำลังฉีกทึ้งตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ทำไมหนอทำไม ทำไมผมไม่ตื่นเร็วกว่านี้สักชั่วโมง ไอ้โอกาสที่จะได้ตื่นมานั่งมองหน้าคุณชายจิณณ์ตอนหลับทั้งที่หนวดเคราเต็มคางแบบนั้นจะหาที่ไหนได้อีก ฮ่วย พลาดแล้วคุณภัทร

“แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ”

“อยากทำอะไรล่ะ”

“อยากเที่ยวแต่สังขารผมตอนนี้คงออกไปไหนไม่ได้...ใช่ไหม” กั๊กคำสุดท้ายไว้นานหน่อย เผื่อคนฟังมันจะนึกเอ็นดูคนอยากเที่ยวบ้างแต่ไอ้พี่จิณณ์มันก็ยังนั่งยิ้มเฉย ผมอมลมไว้ทั้งสองแก้ม กูกลั้นใจแอ๊บแบ๊วจนอายตัวเองขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ผลอีกหรือเนี่ย อะไรมันจะตบะฌานแรงกล้าขนาดนี้ “ก็...ไหน ๆ เราก็พลาดเวลาเช็คเอ้าท์เมื่อตอนเที่ยงแล้ว พี่เองก็ยังไม่คิดจะกลับคืนนี้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้ใคร ถ้าพี่อยากจะไปดูอะไรอีกนิดหน่อย ผมก็จะไปเป็นเพื่อนให้ก็ได้”

ไม่มีคำตอบเป็นเสียงออกมานอกจากดวงตาที่พราวระยับยิ่งกว่าเดิมและอาการกลั้นยิ้มจนเจ้าตัวต้องกัดปากไว้แน่น ผมเกือบจะค้อนเข้าให้ ดีที่จิณณ์ยอมแพ้เสียก่อน

โอเค ๆ” ไอ้คนตัวสูงดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ดึงมือผมไปลูบอย่างเอาใจ “ผมมีที่ที่อยากไปอยู่ที่หนึ่ง รบกวนคุณคุณภัทรช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อยนะครับ”

ก็แค่นั้นแหละ!




ทุกท่านครับ ขณะนี้เป็นเวลาประมาณสิบเก้านาฬิกาของเวลาท้องถิ่น คุณดวงอาทิตย์ที่(ผมคิดว่า)เริ่มจะเหนื่อยล้ากับการทำงานมาทั้งวันกำลังโบกมือลาอยู่ตรงเหลื่อมเขา เหลือเพียงแสงสลัวของบรรยากาศยามพลบค่ำไว้เป็นเพื่อนผม หมู่แมกไม้น้อยใหญ่แกว่งไกวกิ่งก้านตามแรงลมยามเย็น เกิดเป็นเงาดำพัดผ่านไปมา อุปมาไปเองว่าคล้ายหญิงสาวผมยาวหลายคนกำลังวิ่งตัดผ่านตัวผมไปทางนั้นทางนี้กันอย่างสนุกสนาน อา น่าขนลุกใช่น้อยครับ แสงสีเหลืองจากไฟดวงเล็กที่ติดไว้ตามเสาเหล็กดัดสีดำส่องเรืองรองนำทางให้แต่ละก้าวของผมยิ่งเข้าใกล้คำว่าสยองขวัญเข้าไปทุกขณะ

ผมมาทำอะไรอยู่ตรงนี้

นั่นสิ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราต้องถามคนที่พามาใช่ไหมครับ โอเค ก่อนที่ผมจะประสาทแดกกับจินตนาการของตัวเองมากกว่านี้ เรามาเอาคำตอบจากไอ้คนที่กำลังเดินหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ ผมดีกว่า

“มีเหตุผลอะไรที่อยากมาที่นี่หรือเปล่า”

“มี”

“จะเป็นการรบกวนมากไปไหมถ้าจะวานให้บอกเหตุผลข้อนั้นหน่อย”

“รบกวนมาก เหตุผลสำคัญ บอกตอนนี้ไม่ได้”

“ขอบคุณ” เลว กวนตีนแบบนี้เดี๋ยวกูหนีกลับ ปล่อยให้โดนผีหลอกคนเดียวเลยหนิ ผมกวาดตามองรอบด้าน ทำไมถึงพูดแต่เรื่องผีมาตั้งแต่ต้นน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าหลังจากที่จิณณ์บังคับผมกินข้าวกินยารอบเย็นเรียบร้อย พี่มันก็บอกผมว่าจะพามาเที่ยว ผมก็โคตรจะดีใจเพราะตอนนั้นอีกคนไม่ได้บอกว่าจะพามาเที่ยวสุสาน มันมาบอกเมื่อรถของรีสอร์ทเลี้ยวเข้ามาตามป้ายบอกทางแล้ว
ผมไม่รู้อะไรดลใจ ไอ้คุณชายมันถึงได้นึกอยากมาเที่ยวสุสาน จะว่าแถวบ้านมันไม่มีที่ให้ฝังศพมันเลยจะมาดูลาดเลาเผื่อไว้อีกหกสิบเจ็ดสิบปีข้างหน้าก็ไม่น่าจะใช่ อะไรมันจะประทับใจมากมายจนอยากมาหลับมานอนที่นี่ตลอดกาล ผมว่ามันคงมีเหตุผลอื่นที่คนธรรมดาอย่างผมคิดไม่ถึง ไอ้ครั้นจะเงียบเดินตามต้อย ๆ ก็ยังไงอยู่ ข้องใจมากก็เลยต้องถามแต่ถามแล้วผลก็เป็นอย่างที่เห็น ถ้าไม่อยากบอกใครก็อย่าหวังว่าจะง้างปากแดง ๆ นั่นได้ ผมเดินฟังเสียงฝีเท้าของตัวเองไปตามทาง จิณณ์หยุดเดินผมจึงเงยหน้าขึ้นมอง

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้มาก สุสานแห่งนี้ไม่ได้วังเวงน่ากลัวอย่างที่หาดูได้ในหนังผีเขย่าขวัญสั่นประสาท ตรงกันข้ามภาพหลักศิลาที่เรียงรายเป็นระเบียบทั้งสองฝั่งและผืนหญ้าสีเขียวที่ทอทาบด้วยแสงสีส้มทองนั้นให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่นจนไม่เหลือความกลัวในใจ ผมกระชับเสื้อไหมพรมตัวนอกแม้อากาศช่วงหัวค่ำจะไม่โหดร้ายเหมือนฤดูหนาวของทางเหนือแต่สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นไข้อย่างผมแค่สายลมที่พัดเอื่อยก็สะท้านไปทุกตารางผิวแล้ว

จิณณ์หันมารั้งข้อมือผมให้ไปยืนข้างตัว ณ เวลานี้ เราสองคนกำลังยืนอยู่กลางอาณาเขตที่มีทหารกล้าหลับอย่างสงบอยู่นับพัน ป้ายแผ่นหินสีเข้มนิ่งสงบอยู่ในอาณาเขตรั้วรอบขอบชิด บนแผ่นหินนั้นสลักชื่อนามสกุลและคำไว้อาลัยถึงผู้ล่วงลับด้วยข้อความคล้ายคลึงกัน ดอกไม้สีขาวสะอาดชูกิ่งก้านอวดสายตาประดับให้แต่ละบล็อกของแผ่นหินดูงดงามจับตาเมื่อมองจากมุมกว้าง

สุสานทหารพันธมิตร

อนุสรณ์สถานแด่ทหารกล้าผู้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในสงคราม

ต่างคนต่างใช้เวลาไปกับการไว้อาลัยวีรชนผู้ล่วงลับเงียบ ๆ ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วความมืดของราตรีเริ่มกางปีกเข้าครอบครองแผ่นดินที่ผมกำลังเหยียบยืน ความรู้สึกเหงาจับใจทำให้ต้องหันไปมองหาคนที่มาด้วยกัน

ว่างเปล่า!

เฮ้ย ไอ้พี่มันหายไปไหนแล้ววะ?

“จิณณ์” ผมลองเรียกหาเบา ๆ เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงกิ่งไม้ที่ไหวซ่าเพราะแรงลม ไม่ว่าจะมองทางซ้ายทางขวาหรือหมุนตัวมองรอบทิศก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจิณณ์อยู่ตรงนั้น ผมใจหายวาบ จินตนาการอันล้ำเลิศเริ่มฉายภาพอาถรรพ์สารพัดประการเข้ามาในหัว ไม่หรอก ไม่ใช่หรอก แถวนี้นี่มันเกือบจากกลางเมืองเลยนะ กลางเมืองแล้วยังไงล่ะ! กลางเมืองแต่ก็ยังเป็น... หยุดนะคุณภัทร หยุดเดี๋ยวนี้ ผมปลอบใจตัวเองทั้งที่มือไม้เริ่มเย็น เวรหรือกรรมก็ไม่รู้ที่ตั้งแต่พวกผมเริ่มย่างเท้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้มันก็ไม่มีมนุษย์อื่นหลงเหลืออยู่แล้ว ไม่รู้ว่าคนแถวนี้เค้าไม่นิยมมาคารวะท่านทหารกล้ากันยามค่ำคืนหรือเพราะสาเหตุอื่น

“จิณณ์!” เสียงของผมสะท้อนกลับมาในความสงัดนั้น หัวใจกระตุกวูบเมื่อไฟตรงถนนรอบนอกมันดับลงทีละดวง ๆ จนเหลือเพียงแสงไฟสีอ่อนภายในสุสาน มันคงสวยดีถ้ามีคนยืนดูเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้มีเพียงผมที่ยืนโดดเด่นเป็นสง่ามองไปรอบตัวเห็นแต่แผ่นหิน แผ่นหินและแผ่นหิน โอย ผมอยากเป็นลม นี่ นี่พี่มันคงไม่คิดจะทำเซอร์ไพรส์ในสุสานหรอกนะ
จิณณ์จะรู้หรือเปล่า

จิณณ์จะรู้ไหมว่า

คุณภัทรคนนี้...กลัวผีที่สุดในชีวิต!

“ไอ้บ้าพี่จิณณ์ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้ายังเล่นแบบนี้อีก ผมจะโกรธพี่ไปทั้งชีวิตเลย” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง ผมหันขวับไปมองแล้วก็ชนปึกเข้ากับกำแพงมนุษย์จนต้องครางซี้ด กลิ่นหอมแบบนี้ สัมผัสแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากมัน ไม่สนใจว่าใครจะแก่วัยใครจะเด็ก ผมฟาดฝ่ามือใส่แผ่นอกตรงหน้าเต็มแรงมือ 

“เล่นเหี้ยอะไรของพี่วะ บ้าไปแล้วหรือไง”

“ใจเย็น ๆ สิ ฉันแค่กลับไปเอาของที่รถ ไม่คิดว่าจะกลัวขนาดนี้นะเนี่ย”

“ของผีอะไร ปากน่ะมีไหม จะไปทำไมไม่บอกกันสักคำ พี่รู้ไหมว่าผม...ผม...แม่ง เกลียด ผมเกลียดพี่จนจะบ้าตายอยู่แล้ว ได้ยินไหมว่าเกลียด” ระดับความกลัวในใจทำให้เสียงของผมดังก้องไปทั้งลานกว้าง แทนที่จิณณ์จะดุพี่มันกลับเปล่งเสียงหัวเราะ กระชับแขนให้ผมจมเข้าไปในอกมันมากขึ้น หนอย ทำผิดแล้วยังมีหน้ามาหัวเราะชื่นบาน กำหมัดทุบหลังมันปึกปักไอ้คนเจ้าเล่ห์มันก็ยังยืนลูบหลังลูบไหล่ให้เหมือนไม่สะเทือน ผมกดหน้ากับเสื้อเชิ้ตเนื้อนุ่ม โทษอาการเจ็บป่วยไม่สบายของตัวเองก็แล้วกันที่ทำให้น้ำตามันซึมจนล้นออกมา

“ขอโทษ” ขอโทษห่านอะไรล่ะ ผมกลัวไปแล้ว ใจหายไปแล้วแถมยังร้องไห้ไปแล้วด้วย แก้ไขอะไรได้ไหม ย้อนเวลาไปทำให้ผมไม่ต้องโดนทิ้งไว้คนเดียวได้หรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง มันไม่รู้หรือไงว่าคนไม่สบายอารมณ์มักจะแปรปรวนแถมยังอ่อนไหวง่าย ทำอะไรไม่คิดแบบนี้มันน่าแกล้งตีหน้าเซ่อให้เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไปจนตายนัก

“อย่าโกรธเลยนะ”

“โกรธไปแล้วโว้ย!”

“น่า หายโกรธเถอะ มีอะไรจะให้” ทำเป็นเอาของมาล่อ รู้ใช่ไหมว่าปกติผมจะต้องสนใจ แต่คราวนี้ไม่สน ผมสูดน้ำมูกฟุดฟิด เบี่ยงตัวออกจากอกมัน เดินเร็ว ๆ ตัดสนามตรงไปทางลานรอดรถโดยไม่ยอมตกหลุมล่อของไอ้นายพรานเจ้าเล่ห์ดังทุกครั้ง เสียงฝีเท้าก้าวตามมาติด ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ต้นแขนถูกรั้งด้วยมือใหญ่ไม่อยากสะบัดให้อายผีสางเทวดาแถวนั้น ผมเลยยืนคอตั้งหน้าเชิดอย่างสงบทั้งที่ในใจเดือดปุด

“คุณภัทรน่าจะรู้เหมือนที่ฉันรู้...” ไม่รู้โว้ย! “พวกเรามีความเชื่อว่าการได้เอ่ยความปรารถนาต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้คำพูดนั้นมีพลังยิ่งกว่าการเอ่ยอ้างลอย ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยดลบันดาลให้ความตั้งใจของเราเป็นจริง ทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดคำสัญญาด้วยพลังที่เรามองไม่เห็น พลังที่จะผูกชะตาของคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน”

ผมหันไปมองคนตัวโตกว่า เสียงนุ่ม ๆ อ่อน ๆ ที่บอกเล่าความรู้ดั้งเดิมทำเอาผมฟังเพลินจนลืมโกรธ ใบหน้าคมคายที่วางเกยอยู่บนไหล่มันก็ยิ่งทำให้ผมไปไหนไม่ได้ไกลจากคำว่าหล่อและหล่อ ดวงตาเรียวกว้างที่มองกลับมาเหมือนมีคำว่าใจอ่อน ใจอ่อนและใจอ่อน พุ่งออกมากระแทกหน้าผากผมอย่างไร้ซึ่งความปรานี อยากจะบ้าตาย จะมีวันไหนที่ผมไม่ต้องตกเป็นทาสความดูดีของมันบ้างเนี่ย

“เชื่อแบบนั้นไหม”

“ไม่รู้ ไม่เคยสัญญากับใคร”

“ความจริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ฮินดูแล้วก็การนับถือภูติผี เทพเทวดา จิตวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว พวกโบราณสถาน โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาก็ใช่ แต่ในสถานการณ์นี้ ฉันคิดว่ามันคงไม่เหมาะที่จะพานายไปสารภาพรักในวัด กลัวพระชีแถวนั้นท่านจะแตกตื่น สาเหตุที่ฉันเลือกที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากแกล้งให้นายกลัวแต่เป็นเพราะฉันหวังว่าวีรชนที่ล่วงลับไปแล้วจะแบ่งพลังความกล้าหาญให้ฉันบ้าง สักเศษเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี”

ไม่ไหวแล้วครับ อายมากถึงมากที่สุด ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ตัวเองสามารถละลายระเหิดระเหยหรืออะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ผมพ้นไปจากตรงนี้ได้ ตั้งแต่มีคำศัพท์สะเทือนโลกคำนั้นหลุดออกมาจากปากพี่มัน ผมก็ฟังต่อไม่รู้เรื่องแล้วครับ หูอื้อ ตาลาย มองอะไรไม่เห็นนอกจากประกายหวานเชื่อมในหน่วยตาคู่คม โอย ฉิบหายแล้ว ผมกำลังน้ำตาคลอ อย่านะ อย่าร้องไห้นะคุณภัทร ถ้าปล่อยให้น้ำตาไหลตอนถูกพระเอกสารภาพรักนายจะกู่ไม่กลับเลยนะโว้ย!

“ฉันว่าถึงฉันไม่พูดนายก็คงเข้าใจ ใช่ไหมคุณภัทร” ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเลยได้แต่มองหน้าอีกคนนิ่ง จิณณ์ยังมองตอบกลับมาแม้ว่ามือใหญ่ทั้งสองข้างกำลังเลื่อนมาจับมือผม ปลายนิ้วเรียวกำลังคลึงนิ้วนางผมเบา ๆ อะไรบางอย่างในตัวมันกระตุกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตผมเผลอดึงมือออกจากมือใหญ่แต่จิณณ์กลับยึดไว้มั่น ดวงตาเรายังประสานกัน ผมเห็นเต็มตา ประกายวาววับในหน่วยตาดำขลับบอกให้รู้ว่า อย่างไรเสียวันนี้จิณณ์จะไม่ยอมรับการปฏิเสธใด ๆ ทั้งสิ้น สัมผัสลื่นเย็นเลื่อนเข้าแทนที่ปลายนิ้วอุ่น ทั้งที่ตายังจ้องกันในระยะลมหายใจกางกั้นแต่ผมไม่ได้เบลอจนไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เพิ่งถูกเลื่อนเข้ามาจับจองนิ้วนางของผมนั้นมันคืออะไร

“ถือว่าเราทำสัญญากันแล้วนะ”

จูบซ้ำบนแหวนอีกหนึ่งครั้งเป็นอันจบพิธี เอ๊ย จบการทำสัญญา แล้วไอ้คุณชายมันก็ยิ้มกริ่ม เดินผิวปากตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ทันที ผมก็ยังเป็นฝ่ายโดนทิ้งให้ยืนอึ้งอยู่เบื้องหลังได้เหมือนเคยและดูเหมือนคราวนี้ผมจะอึ้งนานไปหน่อย พี่มันถึงต้องเดินกลับมารับอีกรอบ

“นี่ อย่าทำหน้าแบบนี้ได้ไหม”

“ทำ? ทำยังไง?” พอผมย้อนถามจิณณ์ก็เม้มปาก มันหรุบตามองผมก่อนจะหันหลังกลับคราวนี้ไม่ลืมลากผมตามไปด้วย

“ทำหน้าเหมือนโดนฉันแกล้งให้น่ะสิ”

“แล้วพี่แกล้งผมจริง ๆ หรือเปล่า”

“คงจริงมั้ง”

“จิณณ์” จิณณ์หยุดเดินก่อนจะถึงรถแค่สามก้าว พอเห็นเราสองคนกลับมาคนขับรถที่เดินเล่นอยู่แถวนั้นรีบกลับมาประจำตำแหน่งอย่างรู้หน้าที่ ไอ้หล่อมันชำเลืองมองพี่คนขับก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลก ๆ ที่ว่าแปลกเพราะผมไม่ชินตากับการที่มันจะกลอกตาไปมา ไม่สบตาแถมยังเม้มปากคลายปากอยู่นั่น เป็นอะไรของเค้าวะ?

“ถ้าตั้งใจแกล้งผมจะได้รู้ว่าพี่แค่เล่น ๆ”

“ใครเค้าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้กันเล่า ฉันจริงจังคุณภัทร นั่นน่ะเรื่องจริงล้วน ๆ”

“เรื่องอะไรล่ะ” ผมไพล่แขนไปด้านหลัง เอียงคอมองอีกคนหน้าเครียด

“ไม่เอาน่า ถึงไม่บอกเราก็รู้กันไม่ใช่หรือ” รู้อะไร ใครเค้ารู้กับเธอ จู่ ๆ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนอื่น คอยให้คำปรึกษา เอาอกเอาใจไม่ว่าเรื่องไหนไม่เคยขัด ยามที่ต้องการความช่วยเหลือหันไปมองหาเมื่อไหร่ก็ไม่เคยที่จะไม่เจอ ทำแบบนี้ใครเค้าจะรู้ เราไม่รู้ ถ้าเธอไม่ยอมพูดออกมาเราก็จะยืนยันว่าไม่รู้แบบนี้ไปจนตายนั่นแหละจิณณ์รนี

“ผมรู้ว่าพี่รู้สึกดีกับผมแล้วผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน อันที่จริงแล้ว ตอนนี้น่ะ พี่สำคัญกับผมพอ ๆ กับบุรินทร์และวาเลยนะ” ผมบอก มองคนปากหนักทำหน้าเหวอแล้วก็แทบหัวเราะพรืด

“มันใช่แบบเดียวกันที่ไหน!” คุณชายท่านท้วงเสียงเข้ม “ฉันต้องต่างจากสองคนนั่นสิ บุรินทร์กับวาเป็นเพื่อนนาย แต่ฉันไม่ใช่ ที่ฉันทำมาทั้งหมดมันหมายความว่าฉันรักนาย ไม่ใช่รักแบบเพื่อนหรือแบบน้อง ฉันรักนายแบบ...” จิณณ์ชะงักพร้อมกับที่ผมลอยหน้าลอยตาลากเสียงยาวในคอ สารภาพก็ได้ว่าเขินจนแทบจะแทะตัวเองเล่นแล้ว แต่จะไม่ให้รู้หรอกว่าในอกนี้หัวใจกำลังกระหน่ำรัวระทึกฤทัยแค่ไหน

“ก็แค่เนี้ย พูดตรง ๆ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย” รีบเผ่นเข้าไปนั่งในรถด้วยความเร็วระดับลิงยังอาย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นใบหน้าหล่อจัดซับสีเรื่อจนแดงไปถึงคอ แหม๊ะ พ่อคนฟอร์มจัด มาทึกทักสวมแหวนให้คนอื่นเค้าโดยไม่มีคำว่ารักสักคำแบบนั้น มันใช้ได้ที่ไหน อยากได้ท่านคุณภัทรคนนี้เป็นแฟนแต่จะไม่ยอมพูดคำสำคัญก็ฝันไปเถอะ

“เขินก็ไม่บอกนะคนเรา”

“เงียบนะ” ผมยกมือปิดปากอย่างให้รู้ว่าแกล้งทำ หรี่ตามองใบหน้าอีกคนก่อนจะหันหน้าไปยิ้มแป้นกับเงาในกระจก เป็นไงล่ะ ได้สารภาพข้างรถแบบไม่ทันตั้งตัวเลย



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((บอกรักแล้วววว >< ))
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2016 21:14:09
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-12-2016 21:56:05
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-12-2016 22:10:54
 :heaven
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 02-12-2016 02:00:47
 :haun4: อ่านทันแล้ววว สนุกมากครับ รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-12-2016 07:18:28
บอกรักกันแล้วว เย้เย
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 02-12-2016 10:48:44
 :o8: :o8:
น้องคุณยังดูเอาแต่ใจ
รึว่าเพราะเขินเลยต้องเอาแต่ใจกลบเกลื่อนนะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 03-12-2016 03:58:48
สนุกค่ะ สนุกมาก ่อ่านรวดเดียว
แต่อยากให้ลดปริมาณคำชมเรื่องความหล่อของพระเอกที่นายเอกชมบ่อยมาก คือรู้ว่าจิณณ์หล่อ แต่จะชมอะไรแทบทุกย่อหน้าจนเริ่มเอียนแล้ว
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2016 06:27:43
จิณณ์ สวมแหวนให้คุณแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่เขินไม่กล้าพูดคำว่ารัก อั๊ยยะ  :impress2:
จิณณ์ ที่เก่งกล้าทุกอย่าง เขินเป็นด้วย น่าร้ากกกกก
คุณ มีแกล้งจิณณ์ ซะด้วย สมเป็นคุณ
ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๐ P.5 1/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 03-12-2016 17:09:36
รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๒๑ P.5 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 04-12-2016 20:48:28
ตอนที่ ๒๑   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




เรากลับบ้านตอนเที่ยงของวันต่อมา

จิณณ์ปลุกผมขึ้นมากินข้าวเช้าตั้งแต่ไก่โห่ ล่ำลาพี่ปริมและบรรดาคนที่เคยคุ้นหน้าในระหว่างทริปยังไม่ทันเสร็จ พอเห็นตัวสูง ๆ ของพี่ชาเดินโผล่มาจากซุ้มไม้ใบเขียวแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์มันก็ทำท่าจะลากคอผมขึ้นรถตู้ของรีสอร์ทแบบไม่ฟังเสียงใครหน้าไหน

“เดี๋ยว ๆ ๆ ขอไปลาพี่ชาก่อน”

“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่กรุงเทพอยู่ดี”

“แล้วถ้าเกิดไม่เจอล่ะ”

“ก็ดี” มันตอบเสียงนุ่มพร้อมยิ้มบาง ๆ ในหน้า อย่า อย่าคิดว่ามาแบบหล่อซอฟท์แล้วพี่คุณจะใจอ่อน ผมดันหน้ามันออกทั้งที่มือไม้อ่อนยวบ เดินเป๋ ๆ กลับไปหาพี่ชาแบบคนสติไม่เต็มนัก รายนี้ก็หล่อบรรลัยโลกไม่แพ้กัน เห็นหน้าผมก็ฉีกยิ้มยิงฟันส่งมาให้เล่นเอารังสีอำมหิตจากด้านหลังแผ่ซ่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ผมยิ้มให้เขา เรายิ้มให้กันแต่บางคนมันดันไม่ยอมยิ้มด้วย

“หายดีแล้วหรือเรา”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ ผมต้องกลับวันนี้แล้ว ถ้ายังไงเราค่อยเจอกันที่กรุงเทพนะครับ”

“อืม เดินทางดี ๆ นะ ถ้ากลับไปแล้วพี่จะโทรหา”

“ครับ ผมไปนะ” การไซโคของคุณชายจิณณ์ได้ผลดีสุดยอด แค่มันมายืนกอดอก ยิ้มจาง ๆ อยู่ข้างผมก็ส่งผลให้เราสองคนต้องรีบรวบรัดตัดความบทสนทนากันแบบไม่ให้เสี่ยงชีวิตกันต่อ ผมยึดเอาเบาะแถวแรกของที่นั่งผู้โดยสารในรถตู้แต่เพราะมีแค่เราสองคนจิณณ์เลยบอกแกมสั่งให้ผมตามไปนั่งถัดไปอีกแถวหนึ่ง เอา เปลี่ยนก็เปลี่ยน ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อพี่มันทิ้งทวน

“หิวหรือเปล่า” นั่งฟังเสียงแอร์ในรถกันไปครู่ใหญ่ คนข้างตัวผมก็ถามขึ้น ผมส่ายหน้าตอบ จะหิวอะไรล่ะยัดมื้อเช้าไปเต็มคาบซะขนาดนั้น กะว่าจะหลับเอาแรงแต่อีกคนแม่งไม่ยอมโว้ย

“นายดูสนิทกับผู้ชายคนนั้นนะ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ”

“ไม่ใช่ครั้งแรก พวกผมเคยเจอกันมาก่อนแล้ว”

“ที่ไหน”

“จำไม่ได้ ในห้างสักห้างนี่แหละ”

“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” ผมนึกย้อนไปเมื่อวันก่อน เพราะมีเรื่องอาการเจ็บป่วยของผมเข้ามาแทรกเลยทำให้หลงลืมเรื่องพี่ชาไปได้พักใหญ่ เพิ่งมานึกออกตอนนี้ว่าผมยังไม่ได้เล่าความเป็นมาลูกพี่ลูกน้องของบุรินทร์ให้จิณณ์ฟัง “เจอกันโดยบังเอิญ พี่เค้าเป็นญาติของบุรินทร์”

“เรื่องนั้นฉันรู้”

“เอ้า! รู้แล้วจะถามทำไม”

“เพราะฉันอยากรู้ว่านายสนิทกับเค้าถึงขั้นแลกเบอร์กันได้แล้วหรือ”

“ผมไม่ได้แลกเบอร์กับพี่เค้า”

“แล้วหมอนั่นเอาอะไรมาพูดว่าจะโทรหานาย” เห็นพี่มันแค่นยิ้มแล้วท้องไส้ปั่นป่วนพิลึก ถึงผมจะชอบมองหน้ามันแบบหล่อ ๆ เลว ๆ แต่ก็คงไม่ใช่ในสถานการณ์ชวนทะเลาะแบบนี้ ไม่อยากเป็นปากเป็นเสียงกับคนพาลเลยหันหน้าออกไปมองป่าข้างทางแทน

“ผมจะรู้ไหม ก็อยู่กับพี่ตลอด พี่ชาเค้าอาจจะพูดไปอย่างนั้นก็ได้”

“อย่างนั้นหรือ” เสียงนั้นดังอยู่ตรงข้างหูครับ ลมหายใจนั้นก็เป่าอยู่ข้างแก้ม ผมถดเข้าซุกตัวกับมุมเบาะ ตวัดตามองอย่างไม่ไว้ใจ

“เป็นอะไรเนี่ย ผีสิงหรือไง”

“ถ้าผีมันหึงเป็นก็คงใช่”

“ผีบ้าน่ะสิ” เตะปลายเท้าเข้ากับหน้าแข็งมันพอให้รู้สึก จะใกล้เกินไปแล้วโว้ย อยู่ในรถแถมยังกลางป่ากลางเขา อย่ามาสวมบทพระเอกเดี๋ยวพี่คุณอินตาม

“คิดมาก”

“ถ้าไม่อยากให้คิดมากก็ทำให้ฉันมั่นใจสิ” ต่อรองได้อีก แหมะ พี่เขาช่างกล้า

“จะให้ทำยังไง” เออ แล้วผมก็ใจอ่อนตามใจมัน

“นั่นสิ จะทำยังไง” ไอ้หล่อมันยกยิ้ม ชำเลืองมองท้ายทอยคนขับแล้วย้ายสายตามามองริมฝีปากผม สมองเริ่มเบลอเหมือนตาจะเริ่มพร่าด้วย หน้าขาว ๆ ปากแดง ๆ มันถึงได้ดูลอยเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ผมรีบสูดลมหายใจเข้าปอดกักตุนไว้ก่อนจะไม่ได้หายใจเองไปครู่ใหญ่ ไอ้คนเจ้าเล่ห์มันจงใจเลือกเบาะหลังสุดเพราะแบบนี้เองใช่ไหม เรื่องพี่ชาน่ะเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงคือไอ้พี่จิณณ์แม่งตั้งใจจะจูบผมอยู่แล้ว



แวะนั่นแวะนี่กว่าจะเหยียบกรุงเทพเมืองฟ้าอมรเวลาก็ล่วงเข้าสู่กลางคืนแล้ว ไปเที่ยวเพียงแค่ไม่กี่วันทำไมผมรู้สึกเหมือนอะไร ๆ มันเปลี่ยนไปเยอะเลยก็ไม่รู้ ทั้งผู้คน บ้านเมือง ต้นไม้ ใบหญ้า เหมือนจะดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคยเห็นมาสิบกว่าปี สงสัยเพราะผมพกความสุขจากการไปเที่ยวกลับมาด้วย ไม่ว่ามองอะไรเลยรู้สึกดีไปหมด ตอนแรกไอ้คุณชายมันจะให้ผมค้างที่คอนโดหรูโคตรพ่อโคตรแม่ของตัวเองแต่สัญชาติญาณการป้องกันตัวของผมมันร้องสั่งให้ผมปฏิเสธ เหอะ ขนาดอยู่ในรถตู้มีคนขับนั่งหัวโด่อยู่พี่มันยังทำมึนจูบปากผมได้หน้าด้าน ๆ หลายชั่วโมงบนรถตู้คนจะงีบเอาแรงก็ยังคอยวนเวียนกวนอยู่แถวแก้มกับคาง ไม่ต้องคิดถึงในห้องหับมิดชิดที่จะอยู่กันสองต่อสอง บอกเลยว่าความเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยมีสูงทะลุเพดาน เมื่อผมส่ายหน้าพี่มันก็ยอมเข้าใจ จิณณ์เลยให้รถตู้วีไอพีส่งเราที่คอนโดจากนั้นพี่มันขับรถตัวเองมาส่งผมอีกต่อ

กระเป๋าเพิ่มมาอีกหนึ่งใบซึ่งบรรจุของฝากจากกาญจนบุรีและระหว่างทางจนแน่น ลงจากรถมาได้ครู่ใหญ่แล้วสัมภาระก็กองอยู่แทบเท้าเรียบร้อยแต่เจ้าของรถยังไม่ยอมกลับบ้าน เอาแต่ยืนมองหน้าผมอยู่นั่น

“กลับไปเถอะจะได้รีบพักผ่อน”

“อือ” รับคำแล้วเงียบ ชนะเลิศครับ มามุขนี้ทีไรผมทำอะไรไม่ได้ทุกที

“พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่หรือไง”

“ก็ใช่”

“ใช่ก็กลับไปสิ ตื่นสาย โดนเจ้านายด่า อย่ามาโทษกันนะโว้ย”

“โว้ยเหรอ?”

“อุ่ย!”

“ยังไม่อยากกลับ” เอากับพี่มันซี่ อย่าบอกนะว่าจะขอค้างที่บ้านผม ไม่เอานะโว้ย ถึงผนังห้องผมจะไม่ได้บางแต่ใช่ว่ามันจะเก็บเสียงได้มิด แถมเตียงเดี่ยวสามฟุตครึ่งก็แคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน เอ้า! แล้วผมจะมาคิดเรื่องชวนติดเรททำไมวะ ไม่ได้สิ ตอนนี้ผมต้องกล่อมให้จิณณ์กลับบ้านให้ได้

“กลับไปเถอะ ขับรถกลางคืนมันอันตราย ผมเป็นห่วง”

“อยากนั่งไปเป็นเพื่อนคนขับไหมล่ะ” เออ วันนี้พี่มันมาแปลกวุ้ย ดูงอแงเงียบ ๆ หนักไปทางเด็กห้าขวบมากกว่าปัญญาอ่อนหน่อยหนึ่ง อารมณ์ง่วงจัดทำให้ผมไม่มีใจจะพะเน้าพะนอพี่มัน จากปกติที่ไม่ค่อยจะตามใจจิณณ์อยู่แล้วเวลานี้เลยยิ่งเป็นหนัก ผมดันหลังอีกคนไปขึ้นรถแม้จิณณ์จะขืนทำตัวหนักเป็นหินในตอนแรกแต่พอโดนทุบไหล่ไปทีพี่มันก็ยอมลากขาขึ้นรถไปง่าย ๆ

“ไม่ไปด้วยกันจริง ๆ หรือ”

“อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวันแล้วไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ถ้าเบื่อฉันจะชวนทำไมหรืออยากให้เบื่อจะได้ไม่มาเจอสักพัก”

“อย่างอนงี่เง่าน่า เราเข้าใจกันแล้วไม่ใช่หรือไง” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง ไม่ได้เผลอหรอกครับ ผมคิดก่อนพูดเพราะเห็นพี่มันเริ่มหน้าตึงเลยไม่รู้จะปลอบยังไง ดื้อดึงปากแข็งต่อไปเดี๋ยวก็จะงอน กระชากรถปึงปังออกไปให้ผมต้องเป็นห่วงประชากรบนท้องถนนอีก แต่ทั้งที่กลั้นใจข่มความอายพูดออกไปซะขนาดนั้นพี่มันก็ยังไม่ยอมมีปฏิกิริยาในทางบวกให้ผมชื่นใจสักกะนิด ผมถอนใจยาว เอาวะ จะได้รีบขึ้นไปอาบน้ำนอน

โน้มตัวลงไปในระดับผิวแก้มขาวนั่น ยื่นจมูกเข้าไปใกล้แต่เป้าหมายมันดันไม่อยู่นิ่ง หันใบหน้ากลับมาหา ผมเลยเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกเกือบนาที คราวนี้ไอ้พี่จิณณ์มันยิ้มชื่น ผีเด็กว่าง่ายพุ่งเข้าสิงร่างรวดเร็วทันใจ

“ราตรีสวัสดิ์ เดี๋ยวจะรีบเอารูปทริปนี้มาให้ดูนะ”




ผมยังจำประโยคสุดท้ายนั่นได้ ทั้งที่บอกว่าจะรีบเอารูปของทริปกาญจนบุรีมาให้ดูแต่หลังจากคืนนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปอาทิตย์กว่าแล้ว ไอ้คนพูดมันยังไม่ยอมเอาหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็น ผมนอนกลิ้งอยู่บ้านจนวันปิดเทอมเหลือไม่เท่าไหร่ บุรินทร์กับวาก็พร้อมใจกันมายืนกดออดหน้าบ้าน ผมเกือบกระโดดเข้ากอดเพื่อนรักทั้งสองเต็มแรงคิดถึงแต่บังเอิญหันไปเห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักยืนมองมาตาปริบ ๆ อยู่เลยได้แต่ทักทายด้วยภาษาเพื่อนสนิท

“นึกว่าตกบ่อโคลนตายไปแล้ว หายหน้าไปเลยนะ”

“ปากแบบนี้มันน่าเอาหน้ามาให้เห็นไหมล่ะ หลีกทางเลย เป็นเจ้าบ้านประสาอะไรปล่อยให้แขกยืนตากแดดร้อน ๆ” ไอ้ตี๋มันสวนกลับ พร้อมกับเบี่ยงตัวให้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาก่อน ผมแอบสะกิดวา บุ้ยใบ้ไปทางคู่ข้างหน้า อีกฝ่ายก็แค่ยิ้ม

“รุ่นน้องโรงเรียนเดิมน่ะ”

“เด็กมอปลายคนนั้นใช่ไหม”

“อือ ว่าแต่คุณอยู่บ้านคนเดียวหรือวันนี้”

“อยู่คนเดียว แม่ไปหาพ่อ คีย์ไปดูหนังกับเพื่อน เจ้าน้องบ้านั่นรู้อยู่ว่าฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวแทนที่มันจะอยู่เป็นเพื่อนดันแรดออกไปเที่ยว แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ฉันโทรไปบอกให้จิณณ์มาอยู่ด้วย ฝันไปเถอะ” วาชะงักฝีเท้า เลิกคิ้วมองผมเหมือนจะงง

“คีย์ไม่รู้หรือว่าพี่จิณณ์ไปอเมริกา”

“ไปไหนนะ?” วายิ่งแปลกใจแต่เชื่อได้เลยว่าคงน้อยกว่าอาการอึ้งของผม

“อ้าว อย่าบอกนะว่าคุณก็ไม่รู้ เห็นพี่พีร์บอกว่าไปตั้งหลายวันแล้วนี่นา” โอเค ไม่ให้บอกก็ไม่บอก ผมได้แต่เกาหัวเกาหู ไอ้พี่จิณณ์แม่ง หลอกให้ผมรอแล้วรอหาย มีความหวังว่าจะได้ยลรูปวิวสวย ๆ นายแบบหล่อ ๆ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เห็นพี่มันหายเงียบไปก็นึกว่างานหนักจนมันโทรมาเมื่อคืนก่อนบอกว่าช่วงนี้ติดโปรเจคใหม่เลยไม่ค่อยมีเวลาว่าง ใครจะคิดว่าฝ่ายนั้นจะโทรมาจากอีกแผ่นดินหนึ่งที่อยู่ไกลไปเป็นพันไมล์

“ไปเรื่องงานหรือ”

“เหมือนจะไม่ใช่นะ รู้สึกจะเป็นตัวแทนทางบ้านไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนคุณพ่อนี่แหละ ฉันก็ไม่แน่ใจ พี่จิณณ์ไปอเมริกาทำไมนะบุรินทร์” วะ แม้แต่ไอ้ตี๋มันก็รู้หรือเนี่ย บุรินทร์มันทำหน้านิ่ว ตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเพื่อนมันสักนิด

“มาถามผมทำไม ถามพี่น้องคุณสิครับ”

“คุณยังไม่รู้เรื่อง”

“พูดจริงพูดเล่น?” พูดเล่นทำห่าอะไรในเวลานี้ ผมพ่นลมหายใจดังพู่ ปล่อยให้วาเป็นธุระในการหาน้ำดื่มกับขนมมาเสิร์ฟแขก ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่งรอชิมขนมที่เพื่อนหิ้วมาฝากพร้อมความหงุดหงิดในอารมณ์ บุรินทร์มันคงเห็นว่าผมเริ่มขุ่นเลยพยายามเบี่ยงไปประเด็นอื่น

“เออ คุณ ขอแนะนำหน่อย” มันกระแอมในคอ สะบัดนิ้วโป้งข้ามไหล่ไปหาคนที่ยืนยิ้มโชว์เขี้ยวอยู่ด้านหลัง “นี่น้องอันน์ น้องที่ฉันกำลังสอนพิเศษอยู่ อันน์ พี่คนนี้ชื่อพี่คุณ เพื่อนของครูเอง”

“สวัสดีครับพี่คุณ”

“สวัสดีครับ คิดยังไงถึงมาเรียนพิเศษกับบุรินทร์ครับน้อง ไม่กลัวคนสอนงับหัวเอาหรือ” น้องอันน์หัวเราะร่วน แก้มยุ้ยเลยยิ่งแดงเรื่อ น่ามองพอกับน่าเอ็นดู ผมปลายตามองไอ้คนตัวสูง มิน่า ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกอยากสอนพิเศษแถมยังซุ่มเงียบแอบไปสอนอยู่เป็นนาน ที่แท้มันก็กลัวเพื่อนจะรู้ว่าคิดไม่ซื่อกับลูกศิษย์นี่เอง

“พี่คุณตัวจริงน่ารักสุด ๆ ไปเลยครับ ครูบุรินทร์บอกว่ามีเพื่อนน่ารักแต่ผมไม่คิดว่าจะน่ารักมากขนาดนี้” อะฮ้า พูดจาน่าฟังแบบนี้ ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูไปใหญ่เลยครับ ผมหัวเราะชื่น ยิ้มรับเสียเต็มแก้ม ไม่ได้หลงตัวเองนะแต่น้องเค้าอุตส่าห์ชม เราก็ต้องตอบรับเพื่อไม่ให้น้องเค้าเก้อแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดไปอื่นไกล ฮ่า ๆ ๆ

“ผมอยากเจอมานานแล้วครับก่อนหน้านี้พี่ชายก็พูดถึงพี่คุณอยู่บ่อย ๆ”

“พี่ชาย?” ผมหันไปมองไอ้ตี๋ มันส่ายหน้าประมาณว่ากูไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับกู

“พี่จิณณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมครับ” เฮือก เฮือกสิครับงานนี้ ผมสะดุ้งเฮือกจนไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองมันหัวเราะก๊าก มายจอร์จ ลอร์ด บุดด้า โลกใบนี้มันจะกลมไปถึงไหน ประหลาดใจจนต้องสำรวจเด็กตรงหน้าให้ละเอียดอีกครั้ง หน้าตาตรงข้ามกันสุดกู่ครับพี่น้องคู่นี้ น้องอันน์ตาโต แก้มยุ้ย ผิวไม่จัดว่าขาวมากอย่างจิณณ์แต่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับไอ้ตี๋มัน แต่ที่เหมือนกันคือมาตรฐานรูปลักษณ์ที่สูงกว่าคนทั่วไปแล้วก็ออร่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจนผมแสบตา ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งทักยิ่งดูดี ที่แท้ก็เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับไอ้คุณชายนั่นเอง

สงสัยเพราะถูกขนาบด้วยบุรินทร์กับวาเลยทำให้ผมมองข้ามความน่ามองของน้องเขาเมื่อตอนแรกพบ พอได้สำรวจดูดี ๆ แล้วก็อยากจะเอาหัวโขกพื้นตาย มิน่าล่ะ เด็กมอปลายทั่วไปที่ไหนจะมีอำนาจถึงขนาดที่จะทำให้คุณชายบุรินทร์ยอมไปเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้ถ้าไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจเสมอกัน ดู ๆ แล้ว เรื่องนี้จะใกล้ตัวผมมากกว่าที่คิดแฮะ

“หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”

“แค่ญาติห่าง ๆ น่ะครับแต่ก็สนิทกันอยู่”

“นะ บังเอิญจัง” ทำไมผมไม่เคยรู้ ทำไมคนอื่น ๆ ถึงรู้ แต่จะว่าไปผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลย ทุกอย่างที่รู้ก็เกิดจากการอนุมานของตัวเองจากสิ่งที่เห็นทั้งสิ้น รู้ว่าบ้านพี่มันคงรวยเพราะไม่งั้นคงไม่ซื้อคอนโดหรูอยู่คนเดียวหรือขับรถราคาหลายล้านได้ รู้ว่ามันเรียนเก่งเพราะเป็นว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รู้ว่าที่บ้านทำกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ส่วนเรื่องนิสัยก็แสนจะดี ยกเว้นเรื่องกวนอารมณ์เป็นบางครั้งแล้วพี่มันก็แทบไม่มีข้อเสียเลย สุภาพ อ่อนโยน ใจเย็น ใจดี ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เครือญาติหรืออะไรอย่างอื่น ผมแทบไม่มีข้อมูลเหล่านั้นในหัว

ทำไม?

เพราะผมไม่สนใจจะถามหรือเพราะเจ้าตัวไม่อยากบอก

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“ไม่ได้เป็น”

“ทำหน้าคิดมากนะ น้อยใจหรือเรา” บุรินทร์ยิ้มกริ่ม กระแซะตัวเข้ามาวางคางกับไหล่ผม ไอ้นี่ก็วอนไม่อยากตายดีแถมยังจะตายเพราะตาวาว ๆ ของเด็กอีกด้วยนะ ผมดันหน้ามันออก เถียงสุดใจขาดดิ้น “น้อยใจเชี่ยอะไรล่ะ ฉันแค่กำลังคิดว่าไอ้พี่จิณณ์มันนินทาอะไรฉันบ้าง อย่าไปเชื่อคำมากนะน้องอันน์ หมอนั่นพูดไหนไม่มีนั่นหรอก”

“ไปว่าพี่ชายให้น้องเค้าฟังอีก” วาปรามเสียงอ่อน

“ก็มันจริงไหมล่ะ พี่จิณณ์ของวาบอกว่าจะรีบเอารูปที่ไปเที่ยวมาให้ดูแล้วมันก็ชิ่งหนีไปอเมริกาไม่ยอมบอกฉันสักคำ หลอกให้คอยหาย ๆ แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด เซ็งโว้ย” สะบัดหน้าพรืดจนคอแทบเคล็ด วารีบวางแก้วชาบนโต๊ะก่อนที่ผมจะฟาดงวงฟาดงาไปโดน คนหน้าสวยดีกรีหนึ่งในผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยจับคางผมส่ายไปมาทั้งที่หน้ายังยิ้มหวาน

“เก็บอาการหน่อย นี่ต่อหน้าเพื่อนไม่ใช่แฟน”

“ใครแฟนใคร พูดให้ดี ๆ นะ”

“พี่จิณณ์ไง ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วหรือ”

“ไม่ได้เป็น แค่บอกรักไม่ได้ขอ...” ตายหอง!

“ไม่ได้ขออารายยยยยยยย?” ผมรีบยกมืออุดปากตัวเองแล้วก็สั่นหน้าดิก ไหวไหมวะ ดวงตาของเพื่อนรักและเด็กรุ่นน้องอีกหนึ่งวาววับ บอกให้รู้ว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่ทุกคนพอใจ ผมคงไม่รอดไปต้อนรับคุณชายจิณณ์กลับจากอเมริกาเป็นแน่



เพื่อนเลิฟทั้งสองกับน้องอันน์กลับไปแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นหลังจากที่ขู่แกมบังคับให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บุรินทร์หัวเราะร่วนเมื่อรู้ว่าจิณณ์เลือกอนุสรณ์สถานทหารพันธมิตรเป็นสถานที่สารภาพความในใจ ไอ้ตี๋มันลงไปนอนกลิ้งทั้งตัวแล้วก็เนียนยกหัวพาดตักเด็กไว้อย่างนั้นไม่ยอมลุก ผมพยายามปั้นหน้านิ่ง หน้าจะแดงแก้มจะร้อนก็ช่างมัน ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะเขินให้ใครดู สรุปความอย่างรวบรัดให้เป็นที่รู้กันว่าผมกับจิณณ์ยังเป็นแค่คนรู้จักกันเหมือนเดิมเพราะถึงจะรู้ว่าพี่มันชอบผมเกินระดับนั้นแต่อีกคนก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ผมเลื่อนตำแหน่งให้ บวกกับความลึกลับของอีกฝ่ายทำให้ผมยังไม่อยากคิดอะไรมากกว่านั้น

เราเลยยังเป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน

ผมคิดอย่างนั้นนะ



คีย์กลับมาตอนหกโมง เจ้าน้องชายคนดีมันหิ้วเอายำแหนมกับโรตีสายไหมจากข้างนอกมาฝากแต่ผมไม่อารมณ์จะเอ็นจอยอิ๊ตติ้งเลยบอกผ่าน เก็บตัวอยู่ในห้องเงียบ ๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์คุณชายจิณณ์โชว์หราจนอยากจะปาเครื่องลงถังขยะ ยังดีที่สำนึกดีมันยั้งใจไว้

“ฮาโหล มีธุระอะไร ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็วางไปเลยตอนนี้กำลังง่วง”

(คิดถึง ด่วนไหม)

“คิดถึงแล้วไปทำห่านอะไรถึงอเมริกา”

(รู้แล้วหรือ) หนอย ยังมีหน้ามาหัวเราะร่วน อีแบบนี้ถ้าเห็นตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้ามีเจ็บตัวกันไปข้าง ผมจับหมอนหนุนมาเหวี่ยงตุบ ๆ กระชากเสียงถามแบบพร้อมจะอาละวาดได้ในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า “ทำไมไม่บอกกันสักคำ คิดจะไปก็ไปหรือยังไง”

(...เรื่องด่วนน่ะ ตอนแรกไม่ใช่ฉันหรอกที่ต้องมาแต่บังเอิญพ่อกับพี่ชายไม่ว่าง โชคเลยมาตกที่ฉัน)

“แต่เมื่อคืนก่อนพี่ก็ไม่ได้บอกผม”

(ไม่อยากให้เป็นห่วง มาแค่ไม่กี่วันก็จะกลับแล้ว อีกอย่างจากบ้านเรามาที่นี่ก็ไม่ไกลแล้วก็เดินทางไม่นานด้วย อย่าห่วงเลยฉันดูแลตัวเองได้) อืม ไม่ไกลจ้ะ จากบางกอกไปอเมริกาไม่ไกลเลยจ้ะ อืม โมเมว่ากูห่วงมึงอีก ไม่ได้ห่วงแต่โกรธโว้ยโกรธ โกรธที่แม่งไม่ยอมบอกอะไรผมเลย ทั้งที่เป็นเรื่องของมันแต่ผมต้องมารู้จากคนอื่นอีกที แบบนี้มันน่าปลื้มไหม ผมได้แต่สำรอกอยู่ในอก จ้างให้ก็ไม่พูดออกไปให้โดนแหย่กลับมาอีกหรอก

“แล้วโทรมามีธุระอะไร ผมจะนอนแล้ว”

(นี่มันเพิ่งหัวค่ำเองไม่ใช่หรือ ทำไมรีบนอน วันนี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่า)

“แล้วทำไมพี่ต้องรู้วะ นี่มันเรื่องของผม”

(คุณภัทร) เสียงทุ้มลากแผ่วจนผมใจหวิว จิณณ์ทิ้งให้ความเงียบทำงานของมันแบบไม่กลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นั่งพิงหัวเตียงถือสายค้างอยู่อย่างนั้น คีย์โผล่หน้าเข้ามาดูครั้งหนึ่ง พอเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ในห้องเจ้าเด็กนั่นก็ผลุบหายไปทันที เงียบกันไปพักใหญ่ผมก็ชักเซ็งกับความงี่เง่าของเราสองคนแล้วก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างเลยเป็นฝ่ายเอ่ยขอวางสายเสียเอง

“ผมยังไม่อยากคุยตอนนี้ ขอโทษนะ”

(คุณ...) กดตัดสายไปแล้ว จิณณ์อาจจะโกรธและผมก็ไม่ได้สบายใจขึ้นเลย ทำไมคนเราถึงโง่ทำสิ่งที่รู้ว่าจะทำให้เรื่องมันยิ่งแย่กว่าเดิมนะ ทั้งที่รู้ว่าควรใจเย็น ควรพูดกันดี ๆ ไม่ควรใช้อารมณ์เพราะบางทีเหตุผลของอีกฝ่ายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกของเรา คิดได้เป็นฉาก ๆ แต่พอถึงเวลาทำ ทำไมมันถึงได้ยากนัก

จิณณ์โทรกลับมาอีกครั้งแต่ผมปล่อยโทรศัพท์ให้ดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไป นอนกลิ้งอยู่พักใหญ่ คราวนี้มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นแต่ไม่ใช่เสียงก่อนหน้านั้น ผมมองเบอร์แปลก ๆ แล้วก็ชั่งใจอยู่ว่าควรจะรับดีไหม เพราะรู้ดีว่ากำลังหงุดหงิดแถมยังไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครในตอนนี้ด้วย ตัดใจปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นอีกรอบแต่แทนที่จะเงียบหายไป สายนี้กลับกะพริบอยู่นานจนแปลกใจ ผมหยิบขึ้นมากดรับ ยังไม่ทันส่งเสียงไปก็ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ ของใครบางคนแทรกมาเสียก่อน

(ถ้ายังไม่อยากคุยกันตอนนี้ ก็ เอาเพลงไปฟังก่อนนะ) หมดจากข้อความสั้น ๆ นั้นก็เป็นอินโทรของเพลงสากลที่คุ้นหูเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งที่เรานั่งทำรายงานของผมอยู่ พอได้ยินเพลงนี้ผมก็หลับตานอนเลื้อยไปกับพื้นก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่เมื่อเพลงนั้นจบลง ผมไม่เคยบอกคนส่งว่าชอบเพลงนี้ ไม่เคยชวนจิณณ์คุยเรื่องเนื้อหากับทำนองที่มันโคตรจะโดนใจแต่ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมจิณณ์ถึงรู้

There are times when you make me laugh
there are moments when you drive me mad
there are seconds when I see the light
though many times you made me cry
There's something you don't understand
I want to be your man
Nothing to lose your love to win hoping so bad that you'll let me in
I'm at your feet waiting for you I've got time and nothing to lose
I've got time and nothing to lose

Nothing To Lose : MLTR




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:




สนุกค่ะ สนุกมาก ่อ่านรวดเดียว
แต่อยากให้ลดปริมาณคำชมเรื่องความหล่อของพระเอกที่นายเอกชมบ่อยมาก คือรู้ว่าจิณณ์หล่อ แต่จะชมอะไรแทบทุกย่อหน้าจนเริ่มเอียนแล้ว

ดีใจที่ชอบและขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

สี่ไม่ใช่คนแต่งอ่ะค่ะ คงแก้ไขตรงจุดนี้ไม่ได้

แต่อยากให้ติดตามอ่านไปเรื่อยๆแล้วจะรู้ว่าที่น้องคุณชมพี่จิณณ์นี่ยังน้อยค่ะ ฮ่าๆๆๆ *คันปากอยากสปอยด์มากกกก*
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-12-2016 21:48:32
ปากหาเรื่องตลอด
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-12-2016 21:54:08
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-12-2016 23:25:54
จิณณ์ คิดถึง คุณ :mew1: :mew1: :mew1:
คนอ่านก็คิดถึงจิณณ์ คุณ มากกกกกกกก
รู้สึกอ่านไม่พอเลย อยากอ่านเยอะๆๆๆๆๆๆๆ
รู้เพิ่มว่าคนรักของบุรินทร์ เป็นญาติห่างๆของจิณณ์
และรู้ว่าคุณ น่ารักสุดๆ จนจิณณ์ เก็บไปพูดบ่อยๆ กับอันน์
แต่ยังไม่พอ อยากอ่านที่ส่วนของจิณณ์ อีก  :ling1: :ling1: :ling1:
จิณณ์ สุดยอดดดดด
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 04-12-2016 23:41:54
 :mew2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 05-12-2016 10:19:07
ดูท่าจิณณ์จะแอบชอบคุณมานานแล้ว อยากอ่านพาร์ทจิณณ์แลัว

แต่ไม่ชอบจิณณ์อย่างนึงคือ มีชะนีมีนอมาอ่อยแล้วทิ้งคุณให้เคว้ง พอคุณไปคุยกะคนอื่นก็หึง เย่าสุภาพบุรุษให้มากนักปฏิเสธบ้าง
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 05-12-2016 14:02:00
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ติดมาสองวันแล้ว สนุกมากกกกกกกก
อยากอ่านพาร์ทพี่จิณณ์บ้าง อยากรู้ว่าเฮียแกคิดอะไรอยู่น่ะ เอ้ออออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 05-12-2016 18:31:37
อ่านไปแล้วบางทีนึกอยากดีดปากเด็ก พูดไม่คิด 555

ส่วนพี่จินณ์ ทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษลงบ้างพี่ เดี๋ยวคนหลงเพิ่มวุ่นวายอีก

มีตอนพี่แกเล่าบ้างมั้ย อยากอ่านด้วยอีกคนค่ะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๑ P.6 4/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 08-12-2016 14:08:19
 :hao6:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 08-12-2016 22:50:16
ตอนที่ ๒๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ



จิณณ์ไปศึกษาวิธีการง้อคนมาจากสำนักไหน ใครเป็นคนสั่งสอนให้พี่มันส่งเพลงมาทำให้คนอื่นใจอ่อนแล้วไอ้ระบบโทรศัพท์เนี่ยมันจะไฮเทคเกินไปไหม เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาถึงขั้นสามารถทำให้คนเป็น ๆ อายจนแทบละลายได้แล้วหรือ ผมทิ้งตัวลงนอน คราวนี้ไม่ลืมเอาหมอนมากดทับหัวไว้อีกชั้น ขอสงบใจสักครู่แล้วจะกลับมาซ่าต่อ

(คุณภัทร) ปลายเสียงชิงทักมาก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรเลยได้แต่ครางรับในคอพอให้มันได้ยิน หลังจากนอนกลิ้งได้อีกอึดใจ จิณณ์ก็โทรเข้ามาอีก ไอ้พี่นี่ก็กะจังหวะที่ผมอยากได้ยินเสียงมันได้พอดิบพอดี อ้ำอึ้งกันเกือบนาทีผมก็เป็นคนที่ทนไม่ไหวอีกเช่นเคย

“ไม่พูดจะวางแล้วนะ(โว้ย)”

(แล้วกัน) จิณณ์หัวเราะออกมาในที่สุด น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ส่งมาตามสายทำให้ผมนึกหน้าคนพูดได้ประหนึ่งว่ามันกำลังยืนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวจัดคงกำลังยิ้มพราย เหมือนจะเอ็นดูคนถูกมองแต่ก็แฝงความขบขันไว้ในแววตาคู่นั้นอย่างน่าโมโห ปากสีแดงสดคงเหยียดออกจนเห็นไรฟันขาว ตาคมคงพราวระยับแล้วก็คงหล่อไม่บันยะบันยังอีกเหมือนเคย

(ขอโทษนะ) สุดท้ายปลายสายก็พูดคำนี้ออกมา ผมลากเสียงยาวเป็นคำที่หาความหมายไม่ได้ในพจนานุกรมมนุษย์แต่ก็สื่อความในใจถึงอีกคนหนึ่งได้ ผมไม่โกรธจิณณ์แล้วล่ะ

(ไม่โกรธแล้วนะ)

“อือ”

(ฉันคิดแล้วว่านายต้องเข้าใจ)

“นั่นเพราะว่าผมหน้าตาดีแล้วก็มีเหตุผลต่างหากล่ะแต่คราวหน้าไม่มีอีกแล้วนะ ถ้าพี่อุ๊บอิ๊บทำอะไรไม่ยอมบอกแล้วให้ผมมารู้จากคนอื่นอีกล่ะก็ไม่ต้องเอาหน้ามาให้เห็นเลยแล้วก็ไม่ต้องส่งเพลงมาด้วย ผมไม่ฟัง” จิณณ์ทวนประโยคของผมแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ฟังพี่มันปฏิญาณตนจนพอใจแล้วก็ถึงคราวต้องวางสายเสียที ถึงบ้านพี่ท่านจะรวยล้นฟ้าแต่การเอาตังค์พ่อแม่มาผลาญเล่นเพราะค่าโทรทางไกลแบบนี้ไม่ใช่วิสัยเยาวชนที่ดี ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ควรแยกย้ายกันไปทำงาน อยากคุยก็ค่อยมาคุยกันตอนเจอหน้าดีกว่า บอกจิณณ์ไปตามที่คิดไอ้หล่อมันก็หัวเราะเข้าให้

(โอเค แล้วเจอกันนะ)

“อืม แล้ว...พี่จะกลับมาเมื่อไหร่อ่ะ” ถามไปงั้นแหละ เผื่อมีคนมาถามต่อจะได้ตอบถูก

(อีกสองอาทิตย์)

“สองอาทิตย์! ทำไมไปนานขนาดนั้น ไหนว่าแค่เป็นตัวแทนพ่อไปงานเลี้ยงไง”

(ทำไม) ปลายสายย้อนถามเสียงเจือหัวเราะ

(คิดถึงหรือ?) ห่าน กูคิดถึงแล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องเอามายอกย้อนด้วยหรือวะ ผมทุบกำปั้นลงกับหมอนตุบ ๆ จิณณ์มันคงรู้ตัวเลยรีบบอกราตรีสวัสดิ์แล้วก็ตัดสายไปอย่างว่อง คอยดู เจอกันคราวหน้าผมจะกระโดดเข้ากอด ปล้ำหอมแก้มซ้ายขวาแล้วก็ทำตาหวานบอกว่าคิดถึงจังพี่จ๋าดัง ๆ ดูซิว่ามันจะมีหน้ามาหัวเราะชื่นแบบนี้อีกไหม

 


เปิดเทอมใหม่แล้ว

พวกเรากลายเป็นนิสิตพี่ปีสองที่มีน้องใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักมาให้ชื่นชมเป็นอาหารตากันไม่เว้นวัน อาทิตย์แรกของการเรียนการสอนยังไม่ค่อยมีเนื้อหาอะไรมากนอกจากแจกชีทและอธิบายรายละเอียด ขอบเขตเนื้อหาของแต่ละวิชา พวกเราเลยมีเวลานั่งจับกลุ่มชมวิวได้อย่างสบายใจเฉิบ อากาศแจ่มใส อารมณ์ดี แบบนี้ต้องหาเรื่องบุรินทร์หน่อยแล้ว

“เฮ้ยตี๋ ช่วงนี้กินเด็กไปถึงไหนแล้ววะ” มันละสายตาจากผู้หญิงสองสามคนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะประจำของพวกผมไปโรงอาหาร หันมามองผมตาเขียว

“ใครกิน พูดให้มันดี ๆ นั่นน้องเว่ย” โถ น้อง เชื่อก็อูฐแล้ว

“อ๋อ โทษที น้องเนาะ”

“กวนตีน”

“น้องแบบที่ท้องติดกันป่ะวะ”

“ไอ้ลูกหมา!ทะลึ่งละ เดี๋ยวจะโดน”

“ทำเป็นดุ เหอะ เมื่อไหร่แกจะเลิกคิดว่าเพื่อนโง่ตามแกไม่ทันสักทีหา เห็นตาตี่ ๆ ของแกมองน้องเค้าวันนั้นฉันก็เห็นทะลุไปถึงไส้ติ่งแกแล้ว อย่ามาปิดเสียให้ยาก กำลังพูดอยู่กับใครให้มันรู้ซะมั่ง”

“จ้า รู้ดี เรื่องคนอื่นน่ะรู้ดี ทีเรื่องตัวเองทำไมไม่ฉลาดแบบนี้บ้างล่ะ”

“ฉลาดอยู่แล้ว” ผมยักคิ้วบอก หยิบขนมดีดใส่หน้าไอ้คนช่างยอกย้อนด้วยความเร็วเหนือแสง ไอ้ตี๋มันร้องจิ๊เพราะโดนหน้าผากมันไปเต็ม ๆ
 
“ข้องใจ?” มันทำเสียงเหอะ เลียนแบบผมเป๊ะ ๆ

“โดนแอบรักอยู่เกือบปีแต่ไม่รู้ตัว เนี่ยนะคนฉลาด”

“ใคร...พูดให้ดี ๆ นะเว่ย”

“ห้าว ต่อหน้าเพื่อนล่ะห้าว ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”

“ไอ้ตี๋โลลิค่อน”

“เก็บไว้บอกแฟนตัวเองดีไหมครับพี่น้องคุณ ห่างกันกี่ปีให้พี่คำนวณให้ไหม”

“ไอ้พี่จิณณ์ไม่ใช่แฟนฉัน ยังไม่ใช่ เข้าใจไหม”

“แล้วใครพูดถึงพี่จิณณ์ของนาย”

“บอกว่าไม่ใช่ของฉัน” งี้ดดดดดดดดด โกรธมัน โมโหมัน อยากงับหัวมัน ผมถลาข้ามโต๊ะไปหา กะว่าวันนี้ไอ้บุรินทร์มันได้รอยฟันผมกลับไปอวดลูกศิษย์แน่ ๆ แต่ลืมไปว่ากลุ่มเรายังมีอีกหนึ่งคนนั่งหัวโด่เป็นพยานอยู่

“หยุด!” เสียงเฉียบขาดแบบนี้

“อะไรกันนักหนา เปิดเทอมวันแรกก็ฟัดกันแล้ว ไม่สงสารคนที่ต้องทนฟังอย่างฉันก็อายน้อง ๆ บ้างเถอะ คนมองกันใหญ่แล้วเห็นไหม คุณ กลับมานั่งนี่” สั่งอย่างเดียวไม่เคยพอใจต้องลงไม้ลงมือ ลากกันกลับมานั่งที่เดิมด้วย วาใจร้ายทีไอ้ตี๋มันล้อผมยังไม่เห็นว่าอะไรมันเลย

“มองอะไร”

“ไม่มองก็ได้” ตอบแล้วก็ซุกหน้ากับไหล่คนถาม ถ้าโดนวาดุเมื่อไหร่ต้องใช้ลูกอ้อนเท่านั้นถึงจะเรียกความเอ็นดูกลับคืนมาได้ เพราะเจ้าคนหน้าสวยของพี่พีร์ไม่ชอบง้อใครพอ ๆ กับที่ไม่ค่อยโกรธใครนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นใครทำให้วาอารมณ์บูดนั่นก็หมายความว่ารับโชคไปเต็ม ๆ เลยจ้าาา

“เย็นนี้มีใครว่างบ้างหรือเปล่า” คนที่กำลังเรียงเอกสารใส่แฟ้มถามโดยไม่มองหน้า

“ว่างมั้ง วาถามทำไมอ่ะ”

“ไปกินข้าวกัน”

“วาจะเลี้ยงหรือ”

“ไม่เลี้ยง” เพื่อนผม รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ทำร้ายน้ำใจเพื่อนก็ยังตอบแบบไม่คิดได้อยู่นะ มือเรียวบีบแก้มผมจนโย้แล้วก็บอกเจือเสียงหัวเราะ “แต่มีคนอื่นเลี้ยง”

“ใครอ่ะ”

“คนที่มีเงินเดือนกินแล้วน่ะสิ”

“พี่พีร์หรือ” เดาสุ่มไปงั้น ก็ช่วงหลังมานี่พี่คนที่ว่าเขาอาสาเป็นเจ้ามือให้พวกผมอยู่หลายครั้ง คอยซักถาม เป็นห่วงเป็นใยแม้ว่าผมจะหน้าไม่เหมือนวา ใจดีผิดกับไอ้ผู้ชายบางคนที่มันหนีไปแรดไกลถึงอเมริกา นี่ก็เหลืออีกเกือบอาทิตย์กว่าจะกลับมา คิดถึง เอ้ย นึกถึงแม่งแล้วหงุดหงิดพิลึก

“อืม มั้ง ไม่แน่ใจ”

“อะไรน่ะ ท่าทางมีความลับ” เรียวปากสีอ่อนวาดยิ้มบาง จนแล้วจนรอดวาก็ไม่ยอมบอกผมว่าใครจะเป็นผู้มีพระคุณของเรา ผมไปหันขอคำตอบจากบุรินทร์ ไอ้เพื่อนคนนี้ก็เสหยิบโทรศัพท์มากดหาเด็กน้อยตากลมแก้มป่องของมัน แล้วก็กางบาเรียสีชมพูอมม่วงกั้นผมมานั่งเอ๋ออยู่วงนอก สุดท้ายผมกับวาก็อาศัยรถบุรินทร์ไปถึงร้านที่นัดเจ้ามือไว้ตอนทุ่มตรง



พี่พีร์รออยู่ก่อนแล้ว ในโต๊ะมีสองเพื่อนซี้พี่ไวทินกับพี่ภูวดลนั่งยิ้มแป้นอยู่ด้วย พอสองหนุ่มเห็นผมก็โบกมือทักทายประหนึ่งว่าเคยคุ้นกันมาแต่ชาติปางก่อนทั้งที่เอาจริง ๆ แล้วพวกเราเคยพบกันคุยกันนับครั้งได้ แต่ไม่เป็นไรในสถานการณ์ที่ต้องเอาสวัสดิภาพของกระเพาะอาหารมาเกี่ยวข้องด้วยนั้นคนแปลกหน้าก็ย่อมกลายเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายได้

“ฝากท้องด้วยนะพี่” บุรินทร์เอ่ยฝากตัว เอาไหล่กระแทกผมให้เซไปหาวาที่กำลังคลานเข้าไปนั่งข้างพี่พีร์ ส่วนตัวเองก็ไปนั่งกับสองคู่ซี้อีกด้านหนึ่ง โต๊ะตัวยาวสีดำเงาวับ นั่งกันฝั่งละสามก็ยังเหลือที่ว่างอีกเกือบเมตร พนักงานสวมชุดกิโมโนสีน้ำตาลเข้ากับบรรยากาศอันสงบของร้านก้าวสั้น ๆ เข้ามาวางเมนูแล้วก็ก้มหน้าถอยไปด้วยกริยาที่ถูกฝึกมาอย่างดี พวกเราทักทายกันพอหายคิดถึงจากนั้นก็เริ่มกระบวนการออเดอร์ชุดใหญ่ เรียบร้อยขั้นตอนแรกนั่นแหละผมถึงมีโอกาสเปิดปากถามเรื่องที่ข้องใจ

“ตกลงเลี้ยงกันในโอกาสอะไรหรือครับพี่”

“โอกาสอยากกินไง”

“แหม คำตอบน่าคบหา งั้นก็อยากกินบ่อย ๆ แล้วก็อย่าลืมพวกผมด้วยนะครับ”

“อันนี้คงต้องแล้วแต่เจ้าของงาน ไม่รู้ว่ามันจะอยากให้ชวนน้องคุณมาด้วยหรือเปล่า” พี่ไวทินยิ้มจนหางตาย่น คนอารมณ์ดีไปกระซิบคิกคักกันสองคนกับพี่ภูวดล ยิ่งทำให้ผมอยากรู้หนัก เกาะโต๊ะยืดตัวไปมองหน้าพี่พีร์เป็นการขอคำอธิบาย

“จิณณ์มันชวนมากินน่ะเลยถือโอกาสเลี้ยงที่ทุกคนได้งานทำแล้ว”

“อ้าว เพื่อนพี่ยังอยู่ที่อเมริกาไม่ใช่หรือครับ” แล้วก็อีกเกือบอาทิตย์กว่าจะถึงกำหนดกลับอย่างที่มันบอกผม พี่พีร์ยิ้มมั่นใจ ไม่มีท่าทางบอกว่าล้อเล่นสักนิด

“กลับมาแล้ว กลับมาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย”

“เอาจริงดิ”

“จริง”

“พี่พีร์ไม่ได้อำผมใช่ไหม”

“จะอำทำไมเล่า ตอนนี้คงกำลังไปรับอันน์อยู่มั้ง สองคนนั้นเค้าบ้านใกล้กัน หมายถึงบ้านใหญ่นะไม่ใช่คอนโด” เลิศ ประเสริฐ เพอร์เฟ็ค มึงยังมีอะไรให้กูแปลกใจอีกไหมไอ้พี่จิณณ์ นั่งฟังมนุษย์โลกเขาพูดกันเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีประเด็นไหนจะฮอตและกระแทกหูเท่าประเด็นของหนุ่มหล่อ พ่อรวย มีสาวสวยรุมล้อมทุกที่อย่างจิณณ์  ปภาเดชวิรุฬห์ ว่าจะอดใจฟังเงียบ ๆ แล้วเชียว สุดท้ายผมก็ห้ามปากตัวเองไม่ได้อีกเช่นเคย

“พี่เขาฮอตมากเลยหรือครับ”

“น้องคุณหมายถึงใคร”

“ก็พวกพี่กำลังพูดถึงคนที่ชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ไม่ใช่หรือครับ” พี่ไวทินหัวเราะก๊าก ตะปบมือลงบนแก้มผมแล้วก็บีบแบบไม่ออมแรง โฮก พี่ครับ หน้าผม ร้องงี้ดง้าดไม่เป็นเสียงจนเค้ายอมปล่อย หากยังไม่วายยีทรงผมโคตรคูลของผมให้เสียทรงทิ้งท้ายเหมือนหมั่นเขี้ยวเสียเต็มที อะไรกันเนี่ย ล้อเล่นกับความหล่อของพี่คุณแบบนี้มันไม่ดีนะ

“น่ารักจังนะนายเนี่ยหึงจิณณ์มันหรือ”

โฮะ!
 
“ก็น่าให้น้องเค้าคิดมากอยู่หรอก ไอ้จิณณ์มันป๊อบมานานแล้วนี่นา กูจำได้ว่าเมื่อก่อนแม่งเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น แล้วเด็กมันก็ชอบเหลือเกิ๊น ผู้ชายน้ำนิ่งไหลลึกอย่างไอ้คุณชายมันเนี่ย ขอให้ได้ควงสักวันพรุ่งนี้ถูกทิ้งก็ยังเอา”

ห๊ะ?

อะไรนะ?

“จำได้ไหมดล เคยมีดาวนิเทศน์กับบัญชีมาจ๊ะเอ๋กันที่โรงอาหารคณะเราด้วยนะตอนปีสามน่ะ กูวิ่งไปตามไอ้จิณณ์แทบไม่ทัน สองดาวประกาศใส่หน้ากันปาว ๆ ว่าต่างคนก็ต่างเป็นแฟนพี่จิณณ์ ไอ้คนกลางมันมาถึงก็มองหน้าสองสาวคนละแวบแล้วก็เดินขึ้นห้องสภาไปแบบไม่พูดอะไรสักคำ เป็นอันรู้กันว่าสองคนนั่นโดนปลดจากตำแหน่งพร้อมกัน คิดถึงสายตามันแล้วยังหนาวไม่หาย”

“ใช่ กูก็อยู่ตรงนั้นด้วย น้องสองคนนั่นร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่แต่ก็โทษใครไม่ได้ รู้อยู่ว่าเชี่ยจิณณ์มันไม่ชอบให้ใครสร้างเรื่องวุ่นวาย ผลเลยเป็นแบบนั้น” สามเพื่อนซี้ยังคงเดินหน้าถกประเด็นความฮอตของไอ้หล่อมันอย่างถึงรสถึงชาติ ไม่มีใครหันมาสนใจเลยว่าผมกำลังมึนงงกับเรื่องที่ได้ยินมากแค่ไหน

ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คุณชายคนดีศรีสังคมนั่นนะจะทำเรื่องแบบนั้น โอเคว่าคุณสมบัติพี่มันสามารถจัดอยู่ในระดับสมบัติล้ำค่าของหมู่มวลมนุษยชาติได้ แต่ไอ้เรื่องเคยผ่านผู้หญิงมาโชกโชนถึงขั้นเป็นตำนานให้เพื่อนเล่าขานแบบไม่รู้จบแบบนั้นมันใช่คนเดียวกันหรือ พี่จิณณ์ที่ผมรู้จักน่ะนะจะเคยทิ้งผู้หญิงที่เคยคบอย่างโหดร้ายแบบนั้น

ทุกอย่างของจิณณ์เรียกได้ว่าครบพร้อม นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้วนิสัยใจคอยังน่านับถือ เอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูคอยถามไถ่ด้วยความเอาใจใส่อยู่เสมอ แถมยังมีหลายเวอร์ชั่นให้ใจเต้น ให้พูดตอนนี้ผมก็ไม่อยากเชื่อนะว่าคนที่เคยตามใจผมทุกอย่าง ชอบทำหน้ายิ้ม ๆ อ้อน ๆ เวลาอยู่ด้วยกัน มันจะใจทมิฬถึงขั้นบอกลาผู้หญิงพร้อมกันถึงสองคนโดยการแค่ปรายตามองแล้วจบกัน

เลือดเย็นเกินไปนะ

ผู้ชายคนนั้นใช่จิณณ์จริง ๆ หรือ?

“หวังว่าที่ออกจากงานตั้งแต่ยังไม่พ้นโปรอย่างคราวนี้มันคงไม่ได้มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ น้องคุณพอจะรู้ไหมว่าทำไมจิณณ์ถึงลาออกจากบริษัทนั้น”

“ลาออกหรือครับ?”

“อื้อ ลาออก”

“จิณณ์ พี่จิณณ์ลาออกจากงานแล้วหรือครับ”

“อ่า...ใช่...นี่เรายังไม่รู้หรือ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” พี่ดลนิ่วหน้า เหลือบตามองที่ปรึกษารอบโต๊ะแล้วก็บอกพร้อมรอยยิ้มทะเล้นประจำตัวที่จืดเจื่อนเต็มที “ตั้งแต่ก่อนไปอเมริกามั้ง เห็นว่าต้องมาช่วยงานบริษัทของทางบ้าน แต่พี่ไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ พวกเราก็ไม่มีใครรู้ เดี๋ยวรอถามจิณณ์มันเอาละกันนะ หมอนั่นคงตั้งใจจะเล่าให้น้องคุณฟังวันนี้แหละ”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“อย่างนั้นแหละ เชื่อพี่ ๆ”

เชื่อเหรอ? มีอะไรเหลือให้ผมเชื่อได้อีก ไม่เข้าใจเลยนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมไอ้พี่จิณณ์มันไม่ยอมบอกผม ทำไมต้องปิดบังแล้วให้คนอื่นมาเล่าให้ผมฟังครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ ลาออกจากงานตั้งแต่ก่อนไปอเมริกา ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็โทรคุยกันแทบทุกคืนแต่ไม่ยอมปริปากพูดถึง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็สัญญากันดิบดีว่าจะไม่ปิดบังอะไรกันอีก ทำแบบนี้จะให้ผมรู้สึกยังไง

“นั่น จิณณ์มาแล้ว” ถ้าผมลุกไปจากโต๊ะตอนนี้จะมีใครว่าผมเสียมารยาทหรือเปล่า ทุกคนจะตกใจไหม ผมจะทำให้บรรยากาศการสังสรรค์อันครึกครื้นต้องกร่อยลงไปแค่ไหนยังไง มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แต่ทำยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน ไม่อยากมอง ไม่อยากจ้องตา ไม่อยากอารมณ์อ่อนไหวเพราะไอ้ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

แต่ผมก็ไม่ได้ลุกไป

สำนึกด้านดีที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในตัว มันบังคับให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป แม้ในใจจะชาหนึบเพราะความผิดหวังและความน้อยใจแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้คนรอบตัวเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ผมคุยกับทุกคน ยิ้มให้ทุกคน ยกเว้นคนเดียวที่ให้ยังไงก็ไม่สามารถฝืนใจตอบโต้กลับไปได้ เจ้าตัวคงจะรู้สึกถึงความผิดปกตินั้นถึงได้ขยันมองมาเสียเหลือเกิน อยากมองก็มองไป ต่อให้สายตามีเลเซอร์พลังทำลายล้างอยู่ด้วย นาทีนี้มันไม่มีทางสะเทือนผม ไม่มีทาง

พอถึงจังหวะที่ทุกคนกำลังรอของหวานมาเสิร์ฟผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องชายสุดที่รัก เจ้าคีย์มันโทรมาหาบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้เพราะทำกุญแจหาย แม่ก็ยังไม่กลับจากไปหาพ่อที่อยุธยา เจ้านั่นเลยนั่งรออยู่หน้าประตูเพราะเข้าไปได้แต่รั้วแต่ไม่กล้างัดประตูบ้านกลัวแม่กลับมาตี ผมฟังแล้วก็ได้โอกาสขอตัวแยกจากกลุ่มทันที

“ฉันไปส่ง” ไม่ต้องเดาว่าเสียงใคร ผมขยับสายเป้บนไหล่ตอบแบบไม่อาวรณ์เลยคราวนี้

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้ มันไม่ไกล”

“ฉันจะไปส่ง” อีกฝ่ายยืนยันเสียงเรียบแต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องตามใจ

“อย่าไปเลยพี่ พี่เป็นเจ้าภาพมื้อนี้กลับก่อนจะน่าเกลียด นานทีได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อยู่ที่นี่ต่อเถอะ ผมกลับเองได้จริง ๆ”  เจอน้ำเสียงโมโนโทนแบบไร้อารมณ์และความรู้สึกบวกรอยยิ้มบาง ๆ เข้าไปเป็นใครก็คงเถียงไม่ออก ผมยิ้มลาทุกคนแล้วก็ชิ่งหนีคู่กรณี สวมรองเท้าแล้วก็เผ่นออกจากร้านตรงไปหาแท็กซี่แบบไม่เหลียวหลัง ปกติชีวิตผมจะผูกชะตาไว้กับรถไฟฟ้าสายประจำและจักรยานคู่ชีพแต่สำหรับวันนี้ ถ้ายังขืนใจเย็นเดินเอื่อยไปสถานีใกล้ ๆ อาจจะไม่ทันการเพราะใจหนึ่งผมก็คิดว่าจิณณ์คงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพียงแค่นั้นและผมก็คิดถูก ทันทีที่รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกจากที่จอด จิณณ์ก็วิ่งออกมาจากร้านพอดี ร่างสูงใหญ่เสยผมอย่างงุ่นง่าน มองตามท้ายรถมาจนสุดตา

ท่าจะโกรธ แต่ใครสนล่ะ มันมีสิทธิ์โกรธด้วยหรือคราวนี้ คนที่ต้องโกรธคือผมที่นั่งน้ำตาคลออยู่นี่ต่างหากล่ะ แม่ง ทุเรศสุด ๆ นิสิตชายผู้เป็นที่ใฝ่ฝันของสาว ๆ กว่าครึ่งมหาวิทยาลัยต้องมานั่งปาดน้ำตาทิ้งยังกะนางเอกนิยายเพราะการกระทำของไอ้ผู้ชายหลายหน้าคนหนึ่ง ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คนเลว ไอ้ชั่ว จำไว้ว่ามันทำให้ผมต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าเกลียดแบบนี้

“จะไม่ยกโทษให้ คราวนี้จะไม่มีการยกโทษให้ง่าย ๆ อีกแล้ว” ลุงคนขับแท็กซี่คงจะหลอนที่มีไอ้เด็กหน้าตาดีแต่นิสัยแปลกมานั่งครางอืด ๆ  ๆ ให้ฟังเลยเหยียบคันเร่งเสียจนมิด ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็ได้ควักตังค์จ่ายค่าโดยสารที่แพงกว่าค่ารถไฟฟ้าหลายเท่าให้เขาไป ก้าวลงจากรถด้วยสติที่ไม่สมประดีสักเท่าไหร่เลยไม่ทันเห็นว่าตัวเองกำลังเอาหัวไปชนแผ่นอกของใครบางคนเข้า ยังดีที่อีกฝ่ายยันหน้าผากผมไว้เสียก่อน งานนี้เลยมีช็อคซ้ำสอง

“ใครบอกให้ตามมา”

ทำไมต้องรอให้ใครบอกฉันอยากมาก็มา”

“ดีนี่ อยากมาก็มา อยากไปก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ดี ดีที่สุดเลยล่ะ”

“ฟังก่อนน่า ฉันไม่ได้คิดจะปิดบังนายนะ”

“พอเถอะ วันนี้ผมเหนื่อย พี่กลับไปก่อนได้ไหม” จิณณ์เม้มปากแน่น มันใช้สายตาเพ่งมองจนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเสียเอง หางตาแวบเห็นน้องชายกำลังทำคอยืดคอยาวมาจากอีกฝั่งของรั้วก็เลยยิ่งอยากยุติการเผชิญหน้าครั้งนี้ให้เร็วที่สุด

“ขอร้องนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”

“คุณ ที่ฉันไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรกเป็นเพราะว่าเรื่องมันยาว เรื่องงานเรื่องทางบ้านมันเกี่ยวพันกันอยู่ ฉันกลัวว่านายจะไม่เข้าใจถึงได้รอให้เราเจอหน้ากันก่อนแล้วถึงจะเล่า ไม่ได้คิดจะปิดบังอย่างที่นายเข้าใจนะ”

“จะเหตุผลอะไรก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะฟังจริง ๆ”

“ฉันไม่สบายใจถ้าจะปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้” ผมหัวเราะเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกจิณณ์ พี่ปล่อยมันทิ้งไว้มาตั้งนานแล้วจะปล่อยไปอีกสักพักก็คงไม่มีผลอะไร ดีกว่าพี่ดึงดันจะพูดคืนนี้ตอนนี้เพราะถ้าผมไม่พร้อมจะฟัง จะเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรมันก็ไร้ค่า” เป็นความเย็นชาระดับสูงสุดที่ผมเคยแสดงออก ไม่ได้บิ้วด์ ไม่ได้แกล้งทำแต่ว่ามันออกมาจากใจที่กำลังชาหนึบเหมือนถูกคำสาปของแม่มดใจร้าย ก่อนที่ตัวเองจะเข้าสู่โหมดนางเอกนิยายมากไปกว่านี้ ผมต้องจบทุกอย่างเสียที

“ราตรีสวัสดิ์”

“คุณ อย่าทำแบบนี้” มืออุ่นคว้าต้นแขนผมไว้หมับแต่ผีบ้าในใจมันร้องสั่งให้ผมสะบัดเต็มแรง เค้นเสียงใส่อีกฝ่ายด้วยความไร้สติที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิตนี้ “พี่โง่หรือเปล่าจิณณ์ เจ้าของบ้านเค้าไล่ขนาดนี้พี่ยัง...ยังจะหน้าด้านอยู่อีกหรือ ผมบอกว่าราตรีสวัสดิ์หมายความว่าผมกำลังไล่พี่ไปจากตรงนี้ หัดฟังคนอื่นซะบ้างสิ”

“คุณภัทร”

“พอเสียที ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่ ผมเบื่อ ผมรำคาญ เข้าใจไหม” พวกคุณเข้าใจไหม ผมพูดเองและเสียใจเอง



โปรดติดตามตอนต่อไป    :monkeysad:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 08-12-2016 22:55:48
ต้องงอนให้หนักกก!! 5555 รออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2016 23:48:55
 :katai1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 09-12-2016 01:20:31
ใจจะขาดกรีดดดดด
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-12-2016 04:03:53
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-12-2016 08:26:37
ทำไมต้องปิดบัง  :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 09-12-2016 08:31:57
 :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 09-12-2016 16:59:07
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๒ P.6 8/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 09-12-2016 17:24:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 16-12-2016 10:03:09
ตอนที่ ๒๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





(ขอพูดกับไอ้ลูกหมาหน่อย)

“ก็พูดอยู่ เอ๊ะตี๋ โทรมาแล้วอย่ากวนได้มะ”

(อยู่ที่ไหน)

“อยู่ข้างนอก”

(แล้วทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มาเรียน ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เปิดเทอมแล้วน่ะ) เสียงห้าวตะคอกผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พุ่งเข้าปะทะโสตประสาทผมจนขี้หูแทบเต้น ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแล้วก็ย่นจมูกกับกระจกในลิฟต์ ไอ้นี่ก็ดุยิ่งกว่าพ่อกูยกกำลังเจ็ดอีก

“ไม่ได้ลืมแต่ไม่มีอารมณ์จะเรียน มีปัญหาไรมะ”

(มีแน่ อยู่ที่ไหนตอนนี้บอกมา)

“ไม่บอกกกกก”

(คุณ บอกมา จะออกไปหา)

“ไม่ต้องมา” ขืนให้มันมาเจอสภาพเหมือนศพเดินได้แบบนี้มีหวังโดนซักไม่รู้จบ ผมฉลองวันที่สองของภาคการศึกษาด้วยการฉายเดี่ยวมาดูหนังที่พารากอนโดยไม่บอกเพื่อน เลยเวลาเข้าเรียนคาบแรกไปนานแล้วบุรินทร์มันเลยโทรมาจิก มีเพื่อนประเสริฐบางทีก็ต้องทนหนวกหูแบบนี้เองล่ะน้อ

(เป็นอะไรหรือเปล่าวะ)

“เซ็ง ป่วง ป่วย จิตตก นอยด์ อะไรที่มันแปลว่าไม่โอเคได้อีกก็ตามนั้น”

(บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าอยู่ตรงไหน)

“ไม่ต้องมาหรอก”

(เอ๊ะ!)

“อยากอยู่คนเดียวน่ะ” ไอ้ตี๋มันเงียบไปอึดใจก่อนจะพึมพำเหมือนจะตัดใจ (ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็โทรมา จะไปหา)
แหม มันพูดอย่างกับผมเป็นสาวน้อยบอบบาง ที่มีปัญหาความรักทีก็จะต้องมีเพื่อนสาวเอาไว้คอยประคองป้องใจยึดไหล่ไว้ซับน้ำตา ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ ผมรู้ว่าบุรินทร์เป็นห่วงและถึงวาไม่โทรมาฝ่ายนั้นก็คงกำลังนั่งฟังอยู่ไม่ไกล ไม่อยากให้เรื่องของตัวเองเป็นภาระของเพื่อนผมจึงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก กวนตีนมันให้หายซึ้งไปเลย

“จ้าาา ยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหนแต่จะมา”

(อย่ากวนให้มาก คนเป็นห่วงนะโว้ย)

“ไม่ต้องห่วง มาหลีสาวโว้ย ไม่ได้มาตาย แค่นี้นะ”

(ไอ้เพื่อนเวร...) บุรินทร์มันพ่นอะไรอีกไม่รู้เป็นภาษาต่างด้าวยืดยาวและดุเดือดพอประมาณ ผมกดตัดสายมันแล้วก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารที่หมายตาเอาไว้ กำลังจะบอกพนักงานว่ามาคนเดียว ตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นตาแวบ ๆ หยีตามองแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“พี่ชา!” สุดหล่อเบอร์สองยิ้มโชว์ลักยิ้มตอบกลับมาทันที

“ไง มากับใครน่ะเรา”

“มาคนเดียวครับ”

“แล้วมาทำอะไร วันนี้ไม่มีเรียนหรือ”

“มากินข้าวครับ” เลือกตอบเฉพาะคำถามแรกจะสั้นเกินไปไหม เออ คงสั้นเกินไปต่อให้อีกหน่อยละกัน “ผมมาดูหนังน่ะแต่ยังไม่ได้กินข้าวเลย ว่าจะหาอะไรรองท้องก่อน พี่มาเที่ยวกับเพื่อนหรือครับ” พ่อหล่อร้ายพี่ชายบุรินทร์ส่ายหน้า หันไปโบกมือให้คนกลุ่มนั้นแล้วก็เดินนำผมเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย

“เรื่องงานน่ะแต่เรียบร้อยแล้วล่ะ ขอดูหนังด้วยคนสิ”

“เอางั้นหรือครับ”

“ไม่ได้หรือ”

“ได้สิครับแต่บางทีพี่อาจจะไม่อยากดูหนังที่ผมตั้งใจจะดู” แล้วผมก็ไม่อยากเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่นด้วย แต่พอผมบอกเรื่องที่อยากดูไป เขาก็คิดอยู่นิดหนึ่ง ซักถามอีกสองสามคำก็เป็นอันตกลงว่าเราพอจะร่วมอนาคต เอ๊ย อุดมการณ์เดียวกันได้อยู่ เลยตกลงว่าจะซื้อตั๋วสองใบที่นั่งติดกัน คุยกันไปมาผมก็ถามลามไปถึงเรื่องไปเที่ยวโดยไม่รู้ตัว

“พี่ชากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ก็กลับวันหลังจากที่คุณกลับนั่นแหละ เออ รูปที่เราถ่ายด้วยกันดูดีมากเลยนะ วิวสวย”

“นายแบบก็หล่อด้วยดิพี่” พี่แกหัวเราะเสียงจนไหล่สั่น ผมชินแล้วล่ะ ใครที่ไม่ชินกับความหน้าตาดีและปากตรงกับใจของผมก็มักมีอาการแบบนี้แหละ ขำแต่ไม่ค้านเพราะมันคือเรื่องจริง “อยากเห็นจังเลยครับ พี่ไม่เห็นโทรหาผมเลย บอกว่าจะโทรไม่ใช่หรือ”
“ลืมไปว่าไม่มีเบอร์โทรคุณ พอไปถามบุรินทร์เจ้านั่นก็บอกว่าจะส่งให้ จนแล้วจนรอดก็คุยกันจนลืม สุดท้ายก็ไม่ได้มา อ่ะ เมมให้หน่อยสิ” เขายื่นโทรศัพท์มาให้ตรงหน้า ผมรับมาแล้วก็อดที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์ในรถตู้ตอนขากลับจากรีสอร์ทไม่ได้ ถ้าจิณณ์รู้ว่าผมให้เบอร์พี่ชาจะเกิดอะไรขึ้น มันจะโกรธผมหรือเปล่า ขนาดไม่ใช่เรื่องจริงพี่มันยังหาเรื่องพาลจนผมขนลุกวาบ แล้วถ้าคราวนี้มันรู้...

“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ป่ะ เปล่าครับ ผมจำเบอร์ตัวเองไม่ได้เลยนึกนานไปหน่อย” ช่างแม่งมันเถอะ เบอร์ของผม ผมมีสิทธิ์จะให้ใครก็ได้ ไม่เห็นต้องสนใจว่ามันจะพอใจหรือไม่พอใจ ทีเวลามันจะทำอะไรมันยังไม่แคร์ผมเลย ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าเสมอกัน ที่สำคัญผมบริสุทธิ์ใจจะให้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก

“พี่ได้รูปเร็วจังครับ ของผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“อยากเห็นเร็ว ๆ น่ะ กล้องอยู่ที่บ้านหรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวขากลับพี่แวะเอาไปจัดการให้ก็ได้นะ” อยากจะรบกวนมากมายแต่บังเอิญกล้องมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง ผมเลยได้แต่ปฏิเสธไปอย่างเสียดาย “ไม่เป็นไรหรอกครับ กล้องอยู่ที่พี่จิณณ์ หมอนั่นบอกว่าจะอัดมาให้”

“อย่างนั้นหรอ วันก่อนก็เจอด้วยนะ จิณณ์น่ะ”

“เจอที่ไหนหรือครับ”

“แถวคิงสตรีท แวบแรกจำไม่ได้เพราะใส่สูททำงานซะเท่เชียว เพื่อนที่ทำงานพี่บอกว่าหมอนั่นเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของ RED BLOG จริงหรือเปล่า” คิงสตรีทเป็นย่านธุรกิจที่สองข้างถนนจะเต็มไปด้วยตึกสูงเทียมฟ้า ออฟฟิศนับหมื่นนับพันตั้งอยู่ในตัวตึกต่างดีไซน์และสีสัน หนึ่งในนั้นก็มีเครือมหาอำนาจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง RED BLOG รวมอยู่ด้วย

“RED BLOG ก็...คงงั้นมั้งครับ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ” หรือจะพูดให้ถูกที่สุดคือผมไม่รู้เรื่องเลย

“พอเรียนจบก็เข้าทำงานกับบริษัทแม่เลย กิจการใหญ่โตขนาดนั้น ท่าทางจะงานหนักไม่น้อย” ผมเขี่ยเส้นเฝอวนไปมาในน้ำซุปใส ความรู้สึกอยากอาหารจางหายไปพร้อมกับความมั่งคั่งของตระกูลใหญ่ที่พี่ชาเก็บมาเล่าสู่กันฟัง ร่ำรวยขนาดนั้น มีเกียรติ มีชื่อเสียงเหนือคนนับพัน ทายาทเจ้าของธุรกิจพันล้าน ผู้ชายเย็นชาที่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำ กับพี่จิณณ์ที่ผมคุ้นเคย คนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริง



บางที


ผู้ชายที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนคงให้คำตอบผมได้
 


“คุณภัทร” มาถึงก็เรียกชื่อผมเป็นการข่มนามไว้ก่อนแต่คนที่เงยหน้ามองกลับเป็นพี่ชาที่นั่งตรงข้าม ญาติของบุรินทร์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดยิ้มกว้าง เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง

“ไงจิณณ์ บังเอิญจริง นั่งก่อนสิ”

“ขอบคุณครับ” ไม่มีการปฏิเสธดังคาด ผมคิดไว้แล้วล่ะว่าระดับคุณชายจิณณ์ ไม่มีทางจะสะบัดตูดจากไปถ้ายังไม่สมใจและความสมใจในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าพี่มันไม่ได้จ้องผมให้อึดอัดใจตายไปเสียก่อน จิณณ์เลือกนั่งลงฝั่งเดียวกับผมซึ่งมันก็เหมาะตามระดับความสัมพันธ์ของเราสามคนแล้ว ตอนแรกผมดีใจเพราะถ้าหากคนมาใหม่เลือกนั่งฝั่งพี่ชาก็หมายความว่าผมต้องทนนั่งประจันหน้ากับมันตลอดมื้อ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว ให้พี่มันนั่งกับพี่ชาจะดีกว่ามาก

“เจอกันแถวตึกครั้งนั้นก็ไม่เจออีกเลยนะ งานยุ่งหรือ”

“ครับ ผมเพิ่งกลับจากไปดูงานที่อเมริกาด้วย พี่ชาสบายดีนะครับ”

“ก็เรื่อย ๆ วันนี้ออกมาพบลูกค้า บังเอิญเจอเจ้าตัวเล็กพอดีเลยลากมากินข้าวด้วยกัน” แม้จะมีข้อแก้ตัวให้ผมรอดพ้นจากข้อหานัดพบชายอื่นเพื่อพบปะสังสรรค์ แต่ในประโยคนั้นกลับมีคำสรรพนามที่แสดงถึงความสนิทสนมชั้นสูงสุดเป็นผลให้มือที่กำลังวางตรงบั้นเอวผมกระตุก

นะ เริ่มเห็นเค้าลางความยุ่งยากละ

“ผมเหมือนรู้มาว่ามหาวิทยาลัยเปิดเรียนตั้งแต่เมื่อวาน ตอนเดินผ่านยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นคุณภัทรเพราะคิดว่ากำลังนั่งเล็คเชอร์อยู่ เดินย้อนกลับมาดูอีกทีถึงได้แน่ใจ วันนี้ไม่มีเรียนหรือคุณภัทร” ประโยคหลังพี่มันหันมาเอียงคอถามผม ไม่ลืมส่งยิ้มให้ตาพร่าแถมมาด้วย พี่ชาก็บ้าจี้ไปกับหลุมพรางไอ้คนดี

“ตกลงโดดเรียนมาหรือเรา”

“เปล่าครับ พอดีว่า...เอ่อ...วิชานี้อาจารย์ผู้สอนยังไม่กลับมาจากสัมมนาเลยงดน่ะครับ” ด้นครับ ด้นไปได้หน้าซื่อ ๆ พี่ชาเชื่อแต่ไอ้คนที่กำลังกดปลายนิ้วลงบนร่องหลังผมมันคงไม่เชื่อ จิณณ์ยิ้มอ่อนโยน มองอาหารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็น

“สั่งอะไรมากินอะไรน่ะ”

“เฝอ”

“อยากกินกุ้งพันอ้อยกับหมี่ผัดปู สั่งให้หน่อยได้ไหม” ผีสิงอีกละวันนี้ ปกติเคยมีหรือที่จะสั่งให้ผมทำอะไรให้ มีแต่ตัวพี่มันเองที่เป็นคนคอยถามคอยเอาใจคุณภัทรทุกอย่าง วันนี้คึกอะไรถึงอยากออกคำสั่งบ้าง พอผมมองนิ่งพี่มันก็ย้ำแรงมือลงบนผิวผมทั้งที่หน้ายังยิ้มชื่น สะดุ้งจนเอ็นขาเกือบกระตุกถีบเข้าให้แต่ก็ยังทำใจเย็นเรียกบริกรมารับออเดอร์ เห็นแก่พี่ชาที่นั่งยิ้มไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมจะละเว้นโทษมันไว้ชั่วคราว

กินอาหารกลางวันด้วยความอึดอัดใจอย่างที่สุด เกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้างมายืนหันรีหันขวางอยู่บนฟุตบาทข้างถนน ข้างหลังมีไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมอดดูหนังก้าวตามออกมาด้วยสีหน้าที่ต่างจากตอนกินข้าวลิบลับ มือที่กำลังโบกเรียกแท็กซี่ถูกคว้าหมับแล้วร่างผมก็เซหลุน ๆ ตามแรงรั้งของคนข้างหน้า

“ปล่อย!”

“เงียบ เสียงดังไม่อายคนหรือไง”

“ไม่อาย ทีพี่ถือวิสาสะมาฉุดกระชากลากถูคนอื่นยังไม่อาย ทำไมผมต้องอายไม่ทราบ” จิณณ์ไม่ต่อคำ ไอ้พี่บ้ามันเอาแรงมาจากไหนมากมายก็ไม่รู้ขนาดผมโก่งตัวจิกทั้งปลายเท้าส้นเท้าไว้กับพื้นยังต้านเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องมายืดหอบอยู่ข้างรถคันเก่งของมันในที่สุด

“ปล่อยซักที มันเจ็บไม่รู้หรือไง” มือหนาคลายออกโดยไม่อิดเอื้อน แม่งเลว บีบซะจนข้อมือกูเป็นรอย ช้ำหมดแล้วผิวอันอ่อนบางของท่านคุณภัทร

“ทำไมไม่ไปเรียน”

“ก็บอกแล้วไงว่า...”

“บุรินทร์บอกฉันหมดแล้ว” เหี้ยตี๋ ไอ้ปากบอน กลับไปจะโดดถีบให้ดั้งหักเลยคอยดู “โดดเรียนเพราะไม่สบาย มีธุระหรือไม่อยากเรียนอะไรอย่างอื่น ฉันยังพอเข้าใจ แต่นี่อะไร โดดเรียนมานั่งกินข้าวกับผู้ชายอย่างนั้นหรือคุณภัทร”

“แล้วมันผิดตรงไหนหรือต้องกินข้าวกับผู้หญิงอย่างพี่ถึงจะไม่ผิด”

“ฉันไม่เคยทำอะไรไร้สติแบบนั้น” ผมกระตุกยิ้ม วิธีไหนที่สามารถกวนตีนไอ้คนบางคนได้นาทีนี้ผมทำหมด เรื่องไหนไม่เกี่ยวผมก็จะทำให้มันเกี่ยว ผมมั่วซั่ว ผมไม่มีเหตุผล ผมจะทำอย่างนี้ใครจะทำไม!

“แน่ใจ? กล้าบอกได้เต็มปากหรือว่าเมื่อก่อนไม่เคยทำ พี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่นนี่ ขนาดเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำวันยังทำได้นับประสาอะไรกับการโดดเรียนไปจี๋จ๋ากันนอกรอบ”

“คุณภัทร!”

“.......”

“นั่นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราตอนนี้”

“มันไม่เกี่ยวเพราะพี่ไม่อยากให้เกี่ยวใช่ไหมล่ะ ใช่สิ พี่มันฉลาด ผมมันโง่ ไม่ว่าอะไรพี่เลยต้องเป็นคนตัดสินใจหมดว่ามันดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ไม่ต้องให้ผมรู้ขณะที่คนอื่น ๆ เค้ารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง พี่คิดจะปิดหูปิดตาผมไปถึงเมื่อไหร่วะจิณณ์ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ คิดบ้างไหมว่ามันชักจะมากเรื่องเกินไปทุกที” จิณณ์ถอนใจยาว เคาะปลายนิ้วกับหลังคารถรัวเร็วคล้ายกำลังระบายความหงุดหงิดที่กำลังอัดเข้าใส่เราสองคนไม่ยั้ง

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง เรื่องอดีตมันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว สาบานได้ว่าตั้งแต่เจอกันฉันไม่เคยทำตัวแบบนั้นอีกเลย แล้วเรื่องลาออกจากงานฉันก็บอกไปแล้วว่าอยากพูดกันต่อหน้า อธิบายอะไรไปก็ไม่ยอมรับ ทำไมนายก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย เห็นใจฉันหน่อยสิคุณ”

“คนอย่างผมจะมีสิทธ์อะไรไปเห็นใจคนระดับพี่วะ”

“คุณ ฟัง!”

“ผมไม่ฟังแล้วก็ไม่อยากฟัง พี่มันลวงโลก ตีสองหน้า อยู่กับผมเป็นอีกคนอยู่กับเพื่อนเป็นอีกคน พูดไหนไม่มีนั่น ผมเกลียด...เกลียดที่ตัวเองถูกทำเหมือนคนโง่ ไม่รู้ห่าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยิ่งเกลียดคือพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง ถ้าคิดจะทำแบบที่ผ่านมาก็อย่ามาเจอหน้ากันอีกเลย”

“คุณภัทร!”

“ไปให้พ้นนะจิณณ์”

“......”

“ออกไปจากชีวิตผมได้เลยยิ่งดี” คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ผมเพิ่งไล่จิณณ์ด้วยตัวของผมเอง เสียงของผม ปากของผมทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำในชีวิตนี้ พอกันทีผมไม่อยากเป็นคนโง่ที่อีกฝ่ายไม่เห็นความสำคัญอีกแล้ว

ใครจะว่าปัญญาอ่อน ใครจะว่าไร้เหตุผล ผมไม่สนใจ สิ่งเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือการหลุดพ้นจากความอ่อนไหวบ้า ๆ นี่เสียที ไม่อยากแล้ว ผมไม่อยากเสียใจที่จิณณ์ไม่เห็นคุณค่า ไม่อยากน้อยใจที่จิณณ์ไม่ยอมเล่าเรื่องของมันให้ฟัง ไม่อยากตั้งความหวังว่าตัวเองคือคนที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่าย

ไม่อยากหวังและผิดหวังซ้ำ ๆ แบบนี้

พอกันที
   

‘ได้ คุณภัทร ถ้านายต้องการแบบนั้นฉันก็...ให้...นายได้’

‘บางทีการแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายมากเกินไปมันก็ทำให้ทุกอย่างสูญเปล่าได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ขอโทษนะ แต่ตอนนี้เราคงเหนื่อยกันทั้งสองฝ่าย ฉันขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกแย่ขนาดนี้’

‘วางใจเถอะ จะไม่มาให้เจออีกแล้วล่ะ’
   

ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นี้เรียกว่าความเจ็บปวด

ความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก

ความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่ารุมเร้าอยู่ในอก ไม่มีอะไรเหลือแม้สักอย่าง แม้แต่วันพรุ่งนี้ผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นมันได้ วูบแรกที่ได้ฟัง ได้รับรู้ ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟร้อนลวกเข้าตรงกลางอกแต่มือไม้กลับเย็นเฉียบ สั่นระริกเหมือนถูกจับช็อตไว้ในถังน้ำแข็ง ความคิดความอ่านหยุดชะงักคล้ายสมองมันไม่สั่งงาน

ในอกไม่มีความรู้สึกใดเลยนอกจากอาการอึดอัด อึดอัดมากจนแน่นไปหมด มันไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่ใช่เลยสักนิด ผมอยากรู้ว่าผมกำลังเป็นอะไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะต้องแก้ไขหรือบอกตัวเองให้ทำอย่างไรต่อไป แต่ผมทำไม่ได้ ผมตีความอาการที่อัดแน่นกันอยู่ในอกนี้เป็นคำพูดไม่ได้

จะตายไหม

จะตายหรือเปล่า

ถ้าไม่ตายแล้วจะเป็นอย่างไร หรือนี่คือความรู้สึกที่เคยมีคนบอกไว้ เจ็บจนเกินกว่าจะเจ็บ เจ็บจนชา เจ็บ...เหมือนกำลังจะตาย




ตั้งแต่วันนั้นจิณณ์ก็อันตรธานหายไปจากชีวิตของผม ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่อีกคนเคยทำให้ในอกผมจะปวดแปลบเหมือนมีของแหลมบาดลึกลงไป ยิ่งคิดก็เหมือนมีมือมืดดำใช้เล็บจิกแล้วข่วนลากเป็นรอยยาวซ้ำลงบนแผลเดิมนั้น ผมบอกตัวเองให้เลิกคิด อย่าคิด ไม่คิด เพราะยิ่งคิดตัวผมเองก็ยิ่งเจ็บยิ่งทรมาน ให้มันผ่านเลยไป อย่าได้จดจำมันคงดีกว่า

จิตใจของผมเริ่มเข้าร่องเข้ารอยหลังจากนั้นไม่นาน แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความสุขสุด ๆ เหมือนตอนอยู่กับจิณณ์แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวด ทุรนทุรายเหมือนตอนช่วงแรกแล้ว ผมพูดคุยกับคนอื่นได้ หัวเราะได้เต็มเสียง มีความสุขกับหนังที่ดูและด่าไอ้ตี๋ได้เจ็บแสบเหมือนเคย

ผมคิดแบบนั้นมาตลอดจนมาถึงวินาทีนี้

แวบแรกที่ได้เห็นร่างสูงคุ้นตาเดินออกมาจากตึกคณะสถาปัตย์หัวใจผมมันกระตุกวาบ ความรู้สึกเจ็บแปลบวิ่งพล่านทั้งอกลามไปถึงแขนและขาพาลให้รู้สึกอ่อนแรงไปดื้อ ๆ ผมไม่น่าประมาทเลย ดันเดินเอื่อยเข้ารั้วมหาวิทยาลัยมาโดยไม่ทันคิดว่ามันเป็นวันซ้อมรับปริญญาของพวกบัณฑิตที่จบไปแล้ว คณะผมอยู่เลยคณะสถาปัตย์และศิลปกรรมเข้าไปด้านในจึงจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านเขตแดนของคนอื่นเข้าไปเรียน มันคงไม่เป็นอะไรมากถ้าผมไม่บังเอิญมาเจอกับคู่กรณีที่เดินมากับเพื่อนอีกสองคน แค่เห็นตึกก็วาบลึกในอกแล้วมาเจอเจ้าของตึกตัวเป็น ๆ มันจะเหลือหรือ

วิญญาณก้อนหินวิ่งเข้าสิงร่างผมแบบไม่ทันได้ป้องกัน แต่กระนั้นมันก็ใช่ว่าผมคนเดียวที่จะมีปฏิกิริยา จิณณ์เองก็ไม่ต่างกันแต่อีกฝ่ายดูจะตั้งสติได้เร็วกว่าผม ริมฝีปากสีเลือดที่เผยอน้อย ๆ จึงเหยียดปิดเป็นเส้นตรง ดวงตาคมหวานมองผ่านผมไปก่อนเจ้าของร่างสูงจะก้าวผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่คำทักทาย

รอยยิ้ม ความอ่อนโยน สีหน้าและแววตาเป็นประกายในยามที่มีผมเป็นเป้าหมายให้จับจ้อง ทุกอย่างกลายเป็นอดีตไปแล้ว

 
“คุณ?”

“.......”

“คุณภัทร เป็นอะไรไป?”

“.......”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงช้า ๆ แปลกกับสีหน้าตกใจของวาไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ที่นี่คือที่ไหน ผมกวาดตามองไปรอบตัว โต๊ะประจำนี่นา ผมเดินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง ข้อมือโดนกระตุกโดยมือนุ่ม ผมทรุดลงนั่งอย่างว่าง่าย ยังคงพยายามคิดกลับไปว่าอะไรที่บังคับร่างกายให้พาตัวเองมาถึงคณะตัวเองได้ทั้งที่สมองและหัวใจมันเหมือนหยุดทำงานไปตั้งแต่ที่จิณณ์เดินจากไป

“ร้องไห้ทำไม” อีกครั้งที่ผมต้องหันไปมองคนถาม ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นสัมผัสรอยชื้นตรงแก้ม บุรินทร์ที่ถือกระป๋องชามาทั้งสองมือก็วางทุกอย่างลงโครม จับไหล่ผมให้หันไปหาทันที

“เป็นอะไร”

“ไม่...ไม่รู้...ฉันไม่รู้...”

“ใครทำอะไรให้ บอกฉันมา” ผมส่ายหน้า ไม่มีบุรินทร์ ไม่มีใครทำอะไรฉันเลย “แล้วเป็นอะไรไป บอกสิว่าเป็นอะไร ไปทำอะไรมา” ผมกลืนก้อนสะอื้นที่มันแล่นขึ้นมาจุกลำคอ เจ็บร้าวลึกลงไปถึงกลางอกจนไม่สามารถอธิบายอะไรได้แต่ดูเหมือนมันมีคำเดียว คำเดียวที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากผมยามนี้

“คุณภัทร”

“เจ็บ” แรงสะอื้นหลุดพ้นริมฝีปากพร้อมอาการสั่นไหวของไหล่ ผมกำเสื้อบุรินทร์ไว้แน่น กดหน้าซุกกับอกเพื่อนอย่างลืมอาย “ฉันเจ็บบุรินทร์ เจ็บ เจ็บในอกนี่...ทำยังไงดี...ฮึ่ก...ฉันจะทำยังไงดี”

“โธ่เอ๊ยคุณ”

“ฉันเจ็บเพราะจิณณ์ เจ็บเหมือนจะตายเลยบุรินทร์ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้” หมดแล้วความพยายามทุกอย่างที่เพียรสร้างสมมา ความสงบสุขที่บอกตัวเองว่ามันดีแล้ว...มันดีแล้ว...ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น คำโกหกที่ตอกย้ำว่าผมไม่เป็นไร ไม่มีจิณณ์ ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันหมดแล้วจริง ๆ เพียงชั่ววินาทีเดียวที่ได้มองสบดวงตาคู่นั้น เกราะป้องกันตัวเองที่ผมเพียรสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากหายวับไปกับตาราวกับเรื่องโกหก เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้มีคุณภัทรที่เข้มแข็งและร่าเริงคนนั้นอยู่เลยในโลก เหลือเพียงไอ้เด็กอ่อนแอที่ห้ามไม่ได้แม้แต่น้ำตาของตัวเองอยู่ตรงนี้

ทำยังไงดี

ผมทรมาน

ทำยังไงดี

ผมรัก ผมรักพี่จิณณ์


โปรดติดตามตอนต่อไป    :m15:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-12-2016 10:38:27
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 16-12-2016 13:25:30
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 16-12-2016 17:14:27
จิณณ์ผิดนะที่ไม่บอก ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย พอคุณไล่ดันไปอีก พอเจอคุณก็ทำเป็นไม่รู้จัก. เนี่ยนะที่จิณณ์บอกว่าชอบมากและแคร์ความรู้สึก เราเริ่มไม่ชอบจิณณ์แลัว ตั้งแต่คราวก่อนที่เจอสาวแล้วทิ้งคุณละ

แต่กำลังเดาใจไรท์ว่าต้องให้คุณไปง้อแน่ๆ เซ็งเลย. ถ้าจิณณ์ยังนิสัยแบบนี้เราไม่ชอบอ่ะ ต่อให้หล่อเพอร์เฟคก็เถอะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-12-2016 17:51:44
ไม่ดอเคกับจิณณ์เลยอ่ะ  งือ  เปลี่ยนพระเอกได้ไหม
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 16-12-2016 18:09:46
จิณณ์ดูไม่มีความพยายามในการง้อนะ ออกแนวบังคับซึ่งในสถานการณ์ที่คุณกำลังอ่อนไหวแบบนี้มันใช้ไม่ได้ไง ถ้าเป็นคุณเราเชื่อว่าคุณเองไม่มีทางได้ปิดบังจิณณ์หรอกเพราะจิณณ์บังคับคุณแน่นอน
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-12-2016 18:13:51
 :เฮ้อ: เหอะ ๆ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-12-2016 21:06:07
เรื่องนี้ผิดทั้งสองคน
คุณ มีความเป็นเด็กเอาแต่ใจตัว ไม่เคยมีความรัก
คุณ เลยเก็บอารมณ์ไม่เป็น คิดอย่างไรแสดงออกมาหมด
จิณณ์ โตกว่าคิดแบบคนที่เป็นผู้ใหญ่
แรกๆ จิณณ์เอาใจใส่ ตามใจคุณ ให้อภัยคุณ
แต่จิณณ์ ยังแยกการดูแลไม่ถูกเมื่อไปเจอผู้หญิง
จิณณ์ ดูแลหญิง มากกว่าจะดูแลคุณ
ทั้งที่รักคุณ เป็นคนพาคุณไปเที่ยว
หญิงคนนั้นแค่เป็นรุ่นพี่ในที่ทำงาน
ปฏิเสธได้ แยกตัวห่างได้ แต่จิณณ์ไม่ทำ ทิ้งคุณโดดเดี่ยว
แล้วยังไม่ชอบใจที่พี่ชา เข้าหาคุณ
ตอนไปนอก บอกสักหน่อย จะเป็นไร ก็ไม่บอก
เป็นคุณ มารู้ทีหลัง ก็ต้องน้อยใจ เรื่องคบหญิง
เรื่องลาออก เรื่องฐานะ บริษัท ครอบครัว
หรือจิณณ์ คิดว่าระยะเวลาคบคุณยังน้อยไป
คุณเด็กไป ยังไม่ควรบอกอะไรๆ
แล้วพอคุณไล่ จิณณ์ ยอมทันที ทิฏฐิหรือเปล่า
อายุ ความฉลาด โตกว่า เลยรับไม่ได้
ทั้งที่ ทั้งจิณณ์ ทั้งคุณต่างก็รักกัน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-12-2016 21:16:18
 :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 16-12-2016 21:21:26
โอ้ยหนออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: idoloveyou555 ที่ 16-12-2016 21:59:15
ยังไงก็ทีมคุณภัทรค่ะ สู้ๆค่ะ แค่อีพี่จิตต์จัดการเลยค่ะ
หมั่นใส้มานานล่ะ 555 :laugh: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-12-2016 01:28:31
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 17-12-2016 07:54:51
รอออออ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๓ P.6 16/12/59]
เริ่มหัวข้อโดย: TAJIPO ที่ 18-12-2016 01:12:59
อย่าใจอ่อนง่ายๆนะพี่น้องคุณณณณ
เข้มแข็งไว้ ไม่อยากให้คุณง้อก่อนเลยอะ
อีจิณณ์ มาง้อน้องเด้ะพะะะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MoonLovers ที่ 03-01-2017 20:34:30
สวัสดีปีใหม่ค่าาาา
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
ลืมพี่จิณณ์กับน้องคุณกันหรือยังเอ่ย





ตอนที่ ๒๔   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


อาการสติหลุดของผมกินเวลาไปทั้งคาบเช้าวันนั้น บุรินทร์กับวาเลยต้องโดดเรียนนั่งเฝ้าผมไปด้วย โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการเรียนการสอนปกติจึงไม่ค่อยมีนิสิตเดินผ่านไปมามากนัก บางคนที่เห็นเหตุการณ์เขาก็คงเห็นแค่ภาพที่ผมนั่งให้บุรินทร์กอด มีวานั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นภาพปกติที่พวกปีสองขึ้นไปทุกคนชินตาเสียแล้ว ผมเงยหน้าจากเสื้อเชิ้ตของบุรินทร์พลางใช้หลังมือป้ายน้ำตา บุรินทร์ดึงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับให้อย่างใจดี แบบนี้แหละถึงจะปากร้ายแต่มันก็รักผม

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“อือ”

“เป็นยังไงบ้างตอนนี้ ปวดหัวไหม” ร้องไห้หนักอย่างที่ไม่เคยเป็น เล่นเอาเพื่อนตกใจกันถ้วนหน้า ผมหรี่ตามองพื้นโต๊ะก่อนจะส่ายหน้า

“หิว” ไอ้ตี๋มันพ่นลมออกจมูกพรืด ผลักหน้าผากผมแล้วก็ลุกตรงไปทางโรงอาหาร

“เจอพี่จิณณ์ใช่ไหม” วาถามแบบไม่เสียเวลาอ้อมค้อม ตาคู่สวยมองตรงมาคล้ายจะอ่อนใจก็ไม่ใช่เศร้าใจก็ไม่เชิง แต่ผมว่าวาคงแน่ใจในคำตอบอยู่แล้วล่ะ เพื่อนผมคนนี้เดาอะไรไม่เคยพลาด “ลืมไปว่าวันนี้พวกพี่บัณฑิตมีซ้อมที่หอประชุมใหญ่ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้โทรบอกนายเพราะไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดวาซักหน่อย”

“แล้วคุยอะไรกันบ้าง”

“ไม่ ไม่ได้คุยเลย พี่จิณณ์ของวาแทบไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วที่มันเป็นอย่างนี้ ดีแล้วล่ะ” บอกทั้งวาและใจของตัวเองด้วย บอกเพื่อที่จะให้รู้สึกดีขึ้นแม้ว่ามันจะแทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยก็ตาม วาใช้ปากกาขีดเป็นเส้นวงกลมซ้อน ๆ กันเป็นวงยุ่งเหยิงบนปกสมุดเล็คเชอร์ซึ่งผิดนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าตัวลิบลับ ผมมองอาการแปลก ๆ นั่นแล้วก็เผลอลืมเรื่องเศร้าในใจ ออกปากถามอย่างอดใจไม่อยู่

“วา เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า”

“คิดอะไรอยู่?”

“คิดเรื่องพี่จิณณ์กับคุณ”

“โหหหหห เชย สมัยนี้เค้าไม่คิดเรื่องนั้นกันแล้ว” เศร้าจนใจจะขาดตายอยู่แล้วยังมีมุกได้อีก แต่โทษทีวาไม่แม้แต่จะทำหน้าอ่อนใจอย่างทุกที คราวนี้ดูจริงจังผิดปกติจนผมต้องเงียบ

“คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมพี่จิณณ์ถึงลาออกจากบริษัทเดิมทั้ง ๆ ที่กว่าจะได้เข้าไปทำงานต้องผ่านการทดสอบหลายต่อหลายรอบ” มันมีเหตุผลอื่นนอกจากความต้องการของเจ้าตัวแล้วก็กิจการที่รวยล้นฟ้าของตระกูลปภาเดชวิรุฬห์อีกหรือ “อุตส่าห์สอบได้ทำงานที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันอยากจะทำ ทำไมพี่จิณณ์ถึงได้ลาออกแล้วกลับไปช่วยงานทางบ้าน อยากรู้ไหม”

ถ้าบอกว่าไม่อยากรู้ก็คงโกหก

“อือ อยากรู้”

“วา แบบนี้ไม่ดีนะ” บุรินทร์กลับมาพร้อมเสียงปรามแต่การที่มันติงวาต่อหน้าผมก็เป็นการบอกใบ้อย่างหนึ่งว่ามันจงใจให้ผมรู้ วารับถุงขนมขบเคี้ยวมาจากบุรินทร์ แกะแล้วก็เลื่อนมาให้ผม “ก็ถ้าปล่อยไปตามยถากรรม ทั้งสองคนคงไม่เข้าใจกันง่าย ๆ นายก็เห็นนี่บุรินทร์ มาถึงขั้นนี้แล้วพี่จิณณ์ยังไม่ยอมบอก คุณคงไม่รู้ไปจนตายนั่นแหละ”

“ถ้าคิดว่ามันจะดีขึ้นก็ตามใจ”

“พูดอะไรกัน ขอเข้าใจด้วยคนได้ไหม” สุดจะห้ามความอยากรู้ที่วิ่งพล่านในอกนี้ได้ ผมวางมือลงบนแขนวาเผลอจับแน่นด้วยความลืมตัว วาเป่าปาก สองเพื่อนคู่ซี้เขามองหน้ากันก่อนบุรินทร์จะเป็นคนเปิดประเด็นด้วยหมัดเหวี่ยงขวาตายซ้ายสลบใส่ปลายคางผมเต็ม ๆ

“พี่จิณณ์เขาต้องกลับไปช่วยงานของที่บ้านก็เพราะนายนั่นแหละไอ้ลูกหมา”

“เพราะฉัน? ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย”

“เขาต้องทำงานให้คุณพ่อเพื่อแลกกับการได้คบกับผู้ชายหัวดื้อแบบนายไปตลอดชีวิตที่เหลือยังไงล่ะ เจ้าโง่ แล้วดูนายสิ นอกจากจะไม่สนับสนุนความตั้งใจของพี่เขาแล้ว ยังมาบอกปัดกันหน้าตาเฉย รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้ความฝันของผู้ชายคนหนึ่งดับวูบไปเพราะคำตัดรอนของตัวเอง”


มีเหตุผลอะไรบ้างในโลกใบนี้ที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งทำทุกอย่างเพื่อใครอีกคน ทำแม้ว่ามันจะฝืนใจตัวเอง ทำด้วยความสุขและรอรับผลของการกระทำนั้นอย่างมีความสุข เพียงเพราะได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะอยู่ตรงหน้า เพราะผมเป็นแค่เด็กนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง เห็นแก่ตัวในหลายครั้ง เอาแต่ใจตัวเองในหลายเรื่องแถมยังไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ดังนั้น สำหรับผมแล้วคนที่ทำเพื่อคนอื่นได้ถึงขนาดนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ
      


พิธีพระราชทานปริญญาบัตรของปีนี้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีที่ผ่านมา ผู้คนมากมายหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่สมกับเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับประเทศ เป็นปกติของทุกปีที่ทางมหาวิทยาลัยจะประกาศงดการเรียนการสอนสองวันเต็มเพื่อให้รุ่นน้องได้มีโอกาสมาแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ ผมมีพี่ที่จบปีนี้หลายคน วันนี้ทั้งวันพวกเราสามทหารเสือเลยตระเวนถือช่อดอกไม้และของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามคณะต่าง ๆ และสุดท้ายก็มาจบที่สถาปัตยกรรมศาสตร์

วาที่วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ตรงเข้าไปหาพี่ชายคนสนิทท่ามกลางสายตาชื่นชมปนอิจฉาของคนแถวนั้น เจ้าหน้าหวานเพื่อนผมดูจะเข้ากันได้ดีกับครอบครัวพี่พีร์แต่เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วก็ทั้งสองคนโตมาด้วยกันนี่ ผมเอ่ยแสดงความยินดีกับพี่ไวทิน พี่ภูวดลและพี่นรวิชญ์จนครบทีมแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ผมชะเง้อหาตั้งแต่ข้ามเขตแดนคณะเข้ามา

เรียนจบเหมือนคนอื่นไม่ใช่หรือ ออกจากหอประชุมมาพร้อมกัน ทำไมไม่อยู่ตรงนี้เหมือนชาวบ้านเขา หรือพวกบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเขาไม่อยากเปิดเผยตัวในที่สาธารณะเพราะกลัวว่าจะโดนคนนิสัยเสียอย่างผมตามมาหาเรื่องในงานรับปริญญาของตัวเอง มองไปรอบตัวก็มีแต่คน คนและคน ไม่ยักกะมีหน้าหล่อ ๆ ที่คุ้นตามาให้เห็นเลย ผมเริ่มถอดใจเพราะไม่รู้จะตามหาจิณณ์ได้ที่ไหนอีก วันปกติยังพอว่าแต่วันพิเศษแบบนี้ สารพัดมนุษย์เดินกันให้วุ่นแบบนี้ จะมีโอกาสได้ให้ไหม ไอ้ของที่อยู่ในมือนี่น่ะ ผมแกว่งของขวัญเพียงชิ้นเดียวไปมา อุตส่าห์ลงทุนทำทั้งคืน น่าเสียดายถ้าไม่ได้ให้อย่างที่ตั้งใจไว้

“มองหาใครหรือคุณภัทร”

“มองหาพี่จิณณ์ครับ” พี่พีร์สำลักขำเมื่อได้ยินคำตอบจากใจแบบไม่มีกั๊ก เขาหัวเราะในคอแล้วก็บอกให้ผมใจเสียไปอีกว่า “ไม่อยู่ตรงนี้หรอก เจ้านั่นไปถ่ายรูปกับครอบครัวตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ เห็นบอกว่าพอถ่ายรูปเสร็จจะกลับบ้านเลยเพราะทุกคนมีงานรออยู่”

มีงานรออยู่! ในวันรับปริญญาเนี่ยนะ!

ใครใช้ให้พี่มันทำตัวแบบนี้เนี่ย วันนี้วันรับปริญญานะโว้ย คนอื่นไม่ว่างก็กลับไปก่อนใครจะว่า แต่คนเป็นเจ้าของงาน เป็นบัณฑิตที่มีหน้าที่รอให้คนมาแสดงความยินดีในวันนี้ มันต้องอยู่รอสิ เรื่องอะไรมาชิ่งหนีกลับไปทำงานทั้งที่ผมตั้งใจจะมาเจอ แม่ง ไอ้คนไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเจอจะปาดอกไม้ใส่หน้าให้

“แต่ไม่แน่ใจว่าจิณณ์จะกลับไปหรือยังนะ” อ่าว คุณรณพีร์ เมื่อกี้ผมด่าเพื่อนคุณไปยาวมากนะ

“ตกลงกลับหรือไม่กลับครับคุณพี่พีร์” หัวเราะ ได้ทีล่ะหัวเราะกันทั้งกลุ่ม

“ไม่แน่ใจเหมือนกันเห็นมันบอกว่าจะแวะไปดูสถานที่ในความทรงจำก่อนกลับน่ะ” สถานที่ในความทรงจำ นะ คำใบ้ไม่กระจ่างแถมยังคลุมเครือได้อีก ไอ้คุณชายนั่นมันเกิดก่อนผมตั้งสามปีแถมยังเรียนเร็วกว่าตั้งสี่ปี ความทรงจำมันก็ต้องมีแทบทุกมุมในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ แล้วผมจะรู้ไหมว่ามันจะไปไหน

“ขอคำใบ้เพิ่มได้ไหมครับ” พี่พีร์หัวเราะร่วน

“นายนี่มันมึนจริง ๆ โอเค ๆ คำใบ้ที่สอง สุดท้ายและท้ายสุด จิณณ์มันบอกว่าจะไปรำลึกความทรงจำหรือตำนานรักแถว ๆ บันดงบันไดอะไรสักอย่างนี่แหละ รำลึกถึงใครก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ฉันไม่ได้ถามต่อ”
    


บันไดแดงทอดตัวอย่างสง่างามเช่นวันเก่า

เวลาไม่อาจพรากมนตร์ขลังอันเป็นเสน่ห์ตราตรึงใจไปจากเจ้าพรมสีแดงเลือดนี้ได้ ทุกก้าวที่เหยียบขึ้นไป ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ได้ปีนบันไดแดง จึงตอบไม่ได้ว่าที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยนั้นเป็นเพราะความเคยชินหรือเป็นเพราะใจมันเร่งเร้าที่จะไปเจอใครบางคนที่อาจจะยังอยู่บนโน้น

ผมก้าวมาหยุดครึ่งทาง

จำได้ว่าตรงนี้ เคยมานั่งหอบกับบุรินทร์ในวันที่จะมายืมหนังสือทำรายงาน

จำได้ว่าตรงนี้ เคยได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ก้าวขึ้นมาราวกับไม่รู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ผมเป็น เคยติดใจสงสัยจนต้องหันกลับไปดูเจ้าของจังหวะฝีเท้านั้นอย่างข้องใจแล้วก็ได้เห็น ผู้ชายตัวสูง ผิวหน้าขาวจัดที่ตัดกับริมฝีปากแดงสด เสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและกางเกงยีนส์สีซีด คนที่ดูดีได้แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนคนทั่วไป

จำได้ว่าตรงนี้ ที่ผมสะดุดขั้นบันไดจนหล่นลงไปหาใครบางคนโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ดันไปคล้องกับตำนานรักสะท้านโลกของไอ้ตี๋เข้าให้ ใครจะคิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงในเวลาต่อมา

ผมเดินเลยชั้นที่เป็นห้องสมุดมาหมดแล้ว บันไดที่ทอดสูงอยู่ตรงหน้าจะพาผมไปถึงส่วนหวงห้ามที่มีเพียงคณะกรรมการสภาพิเศษของสถาปัตย์เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้ มาถึงขั้นนี้จะถอยคงไม่ใช่นิสัยผม แต่จะให้เดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายแบบไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็ยังลังเลนิดหนึ่ง ผมตื่นเต้น หวั่นไหว รู้สึกไม่มั่นใจ แต่เจ้าดอกไม้สีเหลืองดอกโตและมีเพียงดอกเดียวพร้อมใบสีเขียวสดที่ผมบรรจงประดิษฐ์เองกับมือ มันทั้งขู่ทั้งปลอบให้ก้าวไปข้างหน้า ผมสูดลมหายใจลึก เอาวะ เห็นแก่ริบบิ้นผ้าสีเงินเส้นใหญ่ที่ผูกติดไว้กับก้านสีเขียวเข้มนี่ ผมจะไม่ทำให้มันต้องเก้อก็แล้วกัน

ตึก


ตึก


ตึก

ใครบางคนเดินมาจากชั้นลอย ผมเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงฝีเท้าคุ้นหูแล้วก็รีบซ่อนดอกไม้ไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าใกล้เข้าแล้วก็มาหยุดตรงบันไดขั้นบนสุด มองไล่ตั้งแต่รองเท้าสีดำขลับ กางเกงขาวแบบพอดีกับช่วงขายาว เสื้อนอกที่ปิดคอด้วยแถบสีน้ำตาลอันเป็นสีประจำคณะของบัณฑิตและเข็มวิทยฐานะบนอกเสื้อซ้าย จิณณ์สวมชุดเหมือนพี่บัณฑิตชายข้างนอกอีกนับพันแต่ความเป็นจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ก็ทำให้ชุดขาวนั้นยิ่งเลอค่าแลศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นหลายเท่า

ผมหลบสายตาไปวูบหนึ่งเมื่อเจอดวงตาคมกริบมองกลับมา รู้สึกว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่มันดูเสียเปรียบอย่างไรชอบกล ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปหาเพื่อที่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่าย ต้องเดินขึ้นไปเพื่อที่จะไปถึงจุดที่ใครคนนั้นยืนอยู่ ต้องเป็นฝ่ายเหนื่อยขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม มือข้างหนึ่งถือหลักฐานของความสำเร็จ ปริญญาบัตร สมบัติที่สำคัญยิ่งในชีวิตนิสิต บนท่อนแขนมีเสื้อครุยผ้าโปร่งพับพาดไว้อย่างดี

นอกจากเสียงเซ็งแซ่ที่เล็ดรอดเข้ามาจากด้านนอกพอได้ยินแล้วก็ไม่มีเสียงใดระหว่างเรา ไม่มีความเคลื่อนไหวจากคนที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาผมก่อนเสมอ คราวนี้ผมคงต้องก้าวเข้าไปหาเขาเอง


ตึก


ตึก


ตึก


แม้จะมายืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกันแต่ก็ยังต้องเงยหน้ามองอีกคนอยู่ดี เอาเป็นว่า วันนี้ผมของดพูดถึงระดับความสูงที่แตกต่างก็แล้วกัน แม้จะแอบเจ็บใจที่เตี้ยกว่าเยอะแต่ถ้าอธิบายมากไปมันจะไม่โรแมนติคเอาซะเปล่า พองลมใส่แก้มสลับข้างไปมาอยู่อึดใจก่อนจะยื่นทานตะวันดอกโตให้พ่อคนดีเขาดื้อ ๆ

“ยินดีด้วย” จิณณ์ก็ยังคงเป็นจิณณ์ที่แสนดีเหมือนเดิม แค่ผมยืนเม้มปากหน้าแดงก่ำเพราะต้องข่มความอายในการง้อคน พี่มันก็คลายยิ้มใส่ตาผมอย่างง่ายดาย แทนที่จะรับของขวัญมือขาวจัดกลับเอื้อมมารั้งข้อมือผมเข้าไปใกล้ แล้วเป็นไงล่ะ ได้กอดกันตรงหัวบันไดเลยไง

“ขอบใจคุณภัทร”

“อืม”

“ดีใจนะที่นายมา”

“ผมมาเพราะมีเรื่องจะถาม” จิณณ์หัวเราะ ไม่วายเย้าให้ผมอายหนัก

“ไม่ได้มาเพราะอยากแสดงความยินดีหรอกหรือ?”

“พี่!”

“ถามมาสิ”

“พี่ต้องจำใจทำงานกับทางบ้านเพราะผมหรือจิณณ์” จิณณ์ทำเสียงคล้ายประท้วง อ้อมกอดที่โอบรัดผมอยู่ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเป็นสองเท่า “ฉันแค่กลับมาช่วยงานพวกท่านเร็วกว่ากำหนดเท่านั้นเอง เนื้อหางานก็คล้ายกันเป็นงานที่ฉันชอบ แต่ที่ไปสมัครที่อื่นเพราะอยากลองหาประสบการณ์ก่อนกลับเข้าบริษัทแม่ คุณกังวลเรื่องนี้หรือ?”

“ผมกลัวพี่จะไม่มีความสุขถ้าโดนบังคับ”

“ไม่มีใครบังคับฉันได้คุณ ฉันเต็มใจ”

“จริง ๆ นะ” เสียงทุ้มย้ำตอบว่าจริง

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก หายโกรธเถอะนะ”

“ใครโกรธ ไอ้คนที่มันเชิดใส่กันน่ะไม่ใช่ผมแน่” เจ้าของอกที่ผมซุกหน้าอยู่หัวเราะจนกล้ามอกสั่น ว่าจะพูดนานละ แม้แต่เสียงหัวเราะมันยังมีชาติตระกูลเลยขอบอก มือหนาลูบศีรษะผมอย่างเบามือ ไม่ลืมคลึงปลายนิ้วกับท้ายทอยพอให้ผมรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่เครียดกับการเผชิญหน้ากันจนตัวเกร็งไปหมด เสียงทุ้มเปรยอยู่เหนือหน้าผาก ฟังแล้วรู้สึกดีไม่ต่างจากวันวาน

“ก็คนมันน้อยใจนี่นา เอะอะอะไรก็ไล่กันลูกเดียว ถึงจะรูปหล่อพ่อรวยแล้วก็นิสัยดีแค่ไหนฉันก็เสียใจเป็นนะ” ช่างกล้า เอาคุณสมบัติตัวเองมาขายกับคนอย่างคุณภัทร ไม่รู้เสียแล้วว่าคุณภัทรรู้ดีมากกว่าที่เจ้าตัวมันขายออกมาอีก

“นอกจากรูปหล่อพ่อรวยนิสัยพอใช้ได้แล้ว พี่ยังหน้าด้านสุด ๆ ด้วย”

“ไม่หน้าด้านแล้วจะได้คุณภัทรเป็นแฟนหรือ รู้ไหมว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันต้องตีหน้านิ่งเข้าหานายตั้งกี่ครั้ง” ผมทำเสียงหึในลำคอ รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันผิดไหมล่ะ บางทีผมก็รู้ว่าพี่มันเนียนแต่ก็เห็นแก่ความหล่อของมันเลยทำเป็นไม่รู้ เหมือนตอนนี้นั่นแหละ ไอ้คนดีมันเนียนรวบรัดเอาผมเป็นแฟนไปหยก ๆ รู้อยู่เต็มอกแต่ไม่อยากค้าน ขี้เกียจ

“เป็นแฟนกันแล้วนะ”

“เนียน” ได้ทีล่ะประกาศความสัมพันธ์เลยนะ ยกระดับตัวเองสุดฤทธิ์ ผมชำเลืองมองใบหน้าขาวจัดที่เริ่มซับสีเรื่อเพียงแวบเดียว ไม่ทันได้คิดก็ดันคล้องแขนโอบรอบลำคอคนตัวสูงกว่าเป็นคำตอบรับไปเสียแล้ว เฮ้อ ปากแดง ๆ ตาคม ๆ นี่มันไม่เข้าใจออกใครจริง ๆ ประมาทไม่ได้เลยเชียว

“ผมเอาแต่ใจนะ”

“ฉันรู้”

“พูดไม่เพราะด้วย”

“ข้อนี้ก็รู้ดีเลยล่ะ”

“นิสัยไม่ค่อยดี ชอบให้เอาใจแล้วก็ไม่ชอบเอาใจใคร”

“ฉันอยากเอาใจนาย คุณ”

“ผมไม่ชอบง้อใครแต่ก็ไม่โกรธใครง่าย ๆ เหมือนกัน ยกเว้นเหลืออดจริง ๆ”

“ฉันจะพยายามไม่ทำให้นายโกรธดีไหม”

ยอมให้ทุกทางขนาดนี้ไม่มีทางรอดครับ

“รักนะคุณ”

“อือ”

“รักมาก ๆ ด้วย”

“เออออออออ...รักเหมือนกัน...” แล้วก็อุบอิบเติมท้ายว่า...มั้ง...(ห่านนนน เขินฉิบหาย!) จิณณ์ยิ้ม กดจมูกโด่งลงกับหน้าผากแล้วก็แก้มซ้ายขวาของผมแบบไม่ให้น้อยหน้า เรากอดกัน มองตากัน หัวเราะและยิ้มให้กันก่อนจะสารภาพความในใจด้วยการปล่อยให้ริมฝีปากจูบซับคลอเคลียอยู่เช่นนั้น 

จบ(เรื่อง)กัน เถอะเนาะ
.
.
.
.
.


THE EHD



จบภาคแล้วจ้าาาาา ขอพี่คนแต่งมาได้แค่นี้ค่ะ แหะ ๆ ๆ    :mew4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 03-01-2017 21:59:49
อย่าพึ้งจบนะมาต่ออีกนะ  :monkeysad: สวัดดีปีใหม่จร้าาา
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-01-2017 23:12:35
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 04-01-2017 00:04:59
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-01-2017 00:57:15
หายไปหลายวันเชียว  :z2: :z2: :z2:
เข้าใจกันแล้ว หวานไปอีก  :impress2: :impress2:
ใกล้จบยัง ยังไม่อยากให้จบเลย
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-01-2017 01:37:08
แหม่ นึกว่าจะเล่นตัวต่อ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [อัพตอนที่ ๒๔ P.7 3/1/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2017 05:30:11
❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากๆ
。◕‿◕。
โอ๊ย.............. ชอบบบบ :mew1: :mew1: :mew1:
ดีกันแล้ว  แสนจะดีงาม ถูกใจคนอ่าน :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
จิณณ์ สุดยอดดดด เท่มาก  :ling1: :ling1: :ling1:
คุณ ตามไปง้อซะที  :impress2:
อ่านไป ยิ้มไป ยังกับได้ชมติดขอบริงไซด์
ขอบคุณของขวัญปีใหม่จากไรท์
รอคอยมานาน มากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๑ P.7 3/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 03-02-2017 21:05:35
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๑ P.7 3/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-02-2017 21:14:32
โอ๊ย........ดีใจ ไรท์มาลงจิณณ์ ให้อ่านแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คราวนี้เป็นด้านของจิณณ์
รู้ว่าจิณณ์ชอบคุณ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าชอบเมื่อไหร่ ยังไง  :ling1: :ling1: :ling1:
ก็ว่าคุณ ต้องน่ารัก หน้าตาดี
คราวนี้เลยรู้จากปากจิณณ์แล้ว
ว้าว......จิณณ์ ก็หล่อ ปากแดง 
คุณ ก็ปากแดงๆ หน้าเรียวๆ น่ารักเหลือกำลัง
จิณณ์ คุณ เจอกัน สมกันจริงจริ้ง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๑ P.7 3/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 03-02-2017 22:54:46
เราชอบจิณณ์นะ ชอบมากด้วย แต่นิสัยจิณณ์ที่เราไม่ชอบคือ 1.มีอะไรไม่เคยบอก ให้รู้จากคนอื่น 2.สุภาพบุรุษเกิ๊น พอมีชะนีมา มัวไปเทคแคร์ชะนีจนไม่สนใจคุณ นิสัยสองข้อนี้จะแก้ได้ไหมอ่ะ เรากลัวเป็นปัญหาในภายหลัง
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๑ P.7 3/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-02-2017 23:19:10
หวาน
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๒ P.7 11/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-02-2017 20:30:59
กว่าจะถึงพาร์ทปัจจุบัน คงฟังพระเอกของเราเวิ่นเว้อถึงพี่น้องคุณอีกแยะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๒ P.7 11/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-02-2017 21:50:09
จิณณ์ คุณ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
จิณณ์ อดทนมากจริงๆกับคุณ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อย่างนี้แหละ คุณ เปรียบเหมือน วันพีช
ในโลกมีชิ้นเดียว คุณ ก็มีแค่คนเดียว เท่านั้น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๒ P.7 11/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-02-2017 23:46:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๒ P.7 11/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 12-02-2017 01:15:47
พาร์ทจิณณ์ ทำให้เห็นว่าจิณณ์วางแผนมาอย่างยาวนาน และรักคุณมากแฮะ แล้วไหงตอนที่ทะเลาะกันใหญ่โตรอบนั้นทำไมถึงงอนน้องมากมายหล่ะหว่า
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๒ P.7 11/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 12-02-2017 11:53:03
 :ruready
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๔ P.7 1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-03-2017 07:22:04
เชื่อจิณณ์ เขาเลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
พอเป็นเรื่องคุณภัทร จิณณ์ไปไม่เป็นเลย
แค่คุณ ถามว่าจิณณ์ มีแฟนหรือยัง
แทนที่จะทำตาหวานส่งไปแล้วบอกยังไม่มีแฟน
กลับไปอารมณ์เสีย งอนซะอีก
จิณณ์ น่าจะดีใจ ได้ใจสุดๆ
ก็คุณคลานดุ๊ก ๆ มานั่งข้าง ๆ ลูบหลังให้จิณณ์ แท้ๆ
แม้ประกายตาคุณ จะเต้นระริกแบบสนุก
แสดงว่าคุณ ไว้ใจจิณณ์ เพิ่มอีกระดับแล้ว
ลูบหลังลูบไหล่เลยนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๕ P.7 9/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 10-03-2017 19:16:59
คุณภัทรรรรรรรร ในมุมมองพี่จิณณ์ทำไรก็น่ารักนะ
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๕ P.7 9/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-03-2017 20:29:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [ภาค ๒ ตอนที่ ๕ P.7 9/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 11-03-2017 23:11:05
รออยุ่นะค่ะ อย่าทิ้งเรื่องนี้น่ะะะะะ :ling1: