พิมพ์หน้านี้ - ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-09-2019 16:17:27

หัวข้อ: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-09-2019 16:17:27
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-09-2019 16:18:03
สารบัญ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-09-2019 16:19:51
เกริ่น

ปีนั้น...ผมอายุหกขวบ พ่อถูกจ้างให้ออกจากการเป็นนักเอกสารสนเทศของธนาคารแห่งหนึ่งเพราะวิกฤตเศรษฐกิจ เงินเก็บที่มีเริ่มร่อยหรอจนต้องหยิบยืมจากญาติพี่น้อง แม่ที่อยู่บ้านเฉย ๆ จึงต้องหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ เริ่มจากรับแก้ทรงเสื้อ กางเกง เปลี่ยนซิป ไปจนถึงการรับผ้าโหลมาเย็บ เพื่อให้พอมีเงินใช้จ่ายในครอบครัว กระทั่งหลังฟองสบู่แตกเกือบครึ่งปีพ่อจึงได้งานใหม่ เป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อ แม่จึงตัดสินใจสมัครงานบริษัทที่เคยทำงานตั้งแต่เรียนจบ ที่แม่ต้องลาออกจากที่นั่นก็เพราะรู้ว่าครอบครัวของเรากำลังจะมีสมาชิกใหม่นั่นก็คือผม โชคดีที่เจ้านายเก่ารับแม่เข้าทำงาน ครอบครัวของเราจึงกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แต่แล้วเมื่อผมอายุเจ็ดขวบ ผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในบ้าน เราสามคนแทบจะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนก่อน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีใครสอนการบ้านให้ผม พ่อกับแม่เริ่มทะเลาะกัน ในขณะที่ผมเองได้แต่ยืนมองจากช่องเล็ก ๆ ของประตูห้องนอนที่แง้มออก ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนมีปากเสียงกันด้วยเรื่องอะไร ถามทีไรพ่อก็จะถอนหายใจแล้วพูดเพียงว่า “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” ระยะหลังที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ผมมักได้ยินพ่อตะโกนไล่หลังเมื่อแม่เดินหนี


“คนหมดใจ เรื่องอะไรก็หยิบขึ้นมาเป็นเรื่องได้ทั้งนั้น”


ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า “หมดใจ” คืออะไร อาจจะคล้าย ๆ ตอนกินคุกกี้ในโหล กำลังอร่อยมันก็ดันหมดเสียก่อน แต่ไม่เป็นไร เพราะทุกครั้งที่หมด พ่อจะซื้อมาเติมให้เต็มอยู่เสมอ


แม่มาหาผมแทบนับครั้งได้ ครั้งสุดท้ายคือวันสอบปลายภาคขณะที่ผมกำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม แม่มาที่โรงเรียนและบอกว่าแม่กำลังจะมีน้องให้ผม ตอนนั้นผมนึกค้านอยู่ในใจว่าผมไปบอกแม่ตอนไหนว่าผมอยากมีน้อง ยังไม่ทันพูดอะไรผมก็ต้องร้องไห้เสียก่อนเมื่อแม่บอกว่าแม่กำลังจะย้ายครอบครัวใหม่ไปอยู่ต่างประเทศ ผมขอร้องไม่ให้แม่ไป เกาะแขนของแม่ให้แน่นที่สุด หวังว่าแม่จะใจอ่อนและกลับมาหาผม แต่ไม่ใช่เลย...แม่แกะมือของผมออกแล้วรีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ผมวิ่งตามรถคันนั้นเท่าที่กำลังจะมี จำไม่ได้เลยว่าวิ่งไปไกลแค่ไหน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำไม่ได้แม้กระทั่งที่ว่าผมกลับมาบ้านได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พ่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ช้อนร่างผมขึ้น พาไปนอนบนเตียงแล้วนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวผม พ่อไม่ต่อว่าสักคำที่ผมไม่รออยู่ที่โรงเรียนจนถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเห็นน้ำตาของผู้ชายขี้บ่นคนนี้ และนับแต่วันนั้นแม่ก็ไม่เคยกลับมาหาผมอีกเลย


สามปีให้หลัง ผมกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม จู่ ๆ พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้านหลังเดิมของเรา พ่อให้ผมเรียกเธอว่า “น้านิตย์” ก่อนหน้านี้ผมเคยพบเธอที่มหาวิทยาลัยที่พ่อทำงาน 2-3 ครั้ง แต่ที่พบบ่อยกว่าเห็นจะเป็นขนมที่เธอฝากมาให้กิน


เธอไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผมก็จริง...


แต่การมาของเธอกลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัด น้านิตย์พยายามแบ่งเบาพ่อ โดยการทำบางเรื่องที่พ่อเคยทำ และบางเรื่องนั้น...แม่ของผมเคยทำมาก่อน ทั้งซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน และทำกับข้าวให้ผมกิน


รสชาติอาหารของน้านิตย์ไม่ได้แย่ แต่ผมเคยบอกเธอหลายครั้งทั้งต่อหน้าพ่อและทั้งที่อยู่กันตามลำพัง ว่าอาหารที่เธอทำสู้ฝีมือแม่ของผมไม่ได้เลยสักนิด ผมห้ามเธอไม่ให้มาทำอะไรเพื่อผม แต่เธอก็แค่ฟังเฉย ๆ และยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม ผมบอกเป็นร้อย ๆ ครั้งว่าผมเกลียดเธอ แต่เธอกลับไม่สะทกสะท้าน ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังพร่ำบอกว่าผมเกลียดเธอ ผมเคยเห็นว่าเธอแอบไปร้องไห้ ตอนนั้นยอมรับว่าสะใจอยู่ลึก ๆ แต่เป็นกังวลเสียมากกว่า คาดเดาเอาว่าเมื่อถึงเวลาอาหารเธอคงฟ้องพ่อให้จัดการกับผม สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด น้านิตย์ผู้ไม่เคยสะทกสะท้านยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเป็นปกติ มันทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ยังเฝ้ารอว่าเมื่อไรผู้หญิงคนนี้จะไปจากชีวิตของผมและพ่อสักที 


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-09-2019 16:20:12
มารอก๊าบ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2019 17:04:32
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-09-2019 20:01:34
ทำไมเงินจางนางจรทุกทีเลย
เปิดมาก็ซดมาม่ากรุบกริบ สู้ ๆ นะหนู
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-09-2019 09:37:57
ได้กลิ่นมาม่า ฮือออ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 20-09-2019 11:08:30
ปมเรื่องแม่ไปมีครอบครัวใหม่และ "หมดใจ" น่าจะกลายมาเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง และเป็นสิ่งที่ shape ลักษณะอารมณ์และนิสัยของ "ผม" ด้วยแน่ๆ รออ่านตอนต่อไปนะคะคุณท้องฟ้า
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 09:30:56
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-09-2019 10:32:36
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-10-2019 01:56:28
ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊



กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2550


...ถึงแม่จะอยู่ไกล แต่อย่างน้อยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็พอจะช่วยให้เรารู้ข่าวคราวของกันและกันได้ไม่ยาก วันหนึ่งในปีนั้นแม่ส่งรูปเด็กชายอายุประมาณสามขวบมาให้ทางอีเมล แม่ให้ผมเรียกเขาว่า “น้อง” และในวันเกิดปีที่ห้าของเขา แม่โทรมาหาผม ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่ไม่กี่คำก็ขอให้ผมอวยพรวันเกิดให้เขา ผมยอมทำตาม แค่อยากทำให้แม่สบายใจและหวังว่าในวันเกิดของผม ผมจะได้รับถ้อยคำดี ๆ กลับคืนมาบ้าง แต่ก็ไม่เลย ผมคิดผิดหรืออาจจะเรียกว่าคาดหวังมากเกินไป ผมตั้งตารอตั้งแต่วินาทีที่ขึ้นวันใหม่จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายที่วันสำคัญนี้จะจากไปและอาจวนมาพบกันอีกทีในปีหน้า หากว่าผมยังมีลมหายใจ...

   ตอนนั้นคิดว่าแม่คงยุ่งมากจนลืม ยุ่งมากทุกปี แล้วก็ลืมทุกปี จนสุดท้ายมันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่ร้ายที่สุด ทำให้เสียน้ำตาได้มากที่สุดเมื่อนึกถึง
...ทั้งหมด ก็แค่เขียนให้กับทุกความเสียใจในวัยเด็ก



มือลากเมาส์เพื่อกดบันทึกข้อความในไดอารีออนไลน์ที่เจ้าของเรียกมันว่า “บันทึกแห่งความลับของบรรณภัทร” ดวงตาทอดมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งดับลง ได้ยินเสียงแว่วมาจากชั้นล่างของบ้านจึงรีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋านักเรียน แล้วเปิดประตูออกจากห้องทันที

“บุ๋น ลงมาทานข้าวได้แล้วลูก”

หญิงวัยใกล้สี่สิบที่เพิ่งยกชามข้าวต้มออกจากห้องครัวเรียกซ้ำเป็นหนที่สองเมื่อเดินผ่านบันไดซึ่งทอดลงมาจากชั้นสองของบ้าน ไม่มีถ้อยคำตอบรับจากเจ้าชื่อ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวถี่ ๆ เธอวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะ แล้วนั่งยังตำแหน่งถัดไป ซึ่งมีชามแบบเดียวกันวางอยู่ก่อนแล้ว

เสียงวิ่งลงบันได ทำคนที่กำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หัวโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ขายาวก้าวพรวดถึงพื้นพอดี เด็กหนุ่มวัยย่างสิบหกปีฉีกยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ วางกระเป๋าบนตู้ใส่รองเท้าแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร

“ให้มันเรียบร้อยหน่อยเจ้าบุ๋น”

“บ่นอีกแล้ว บ่นได้ทุกวัน”

“ก็ถ้าแกไม่ทำเสียงดังโครมคราม พ่อก็ไม่บ่นไหม” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก พับหนังสือพิมพ์วางฝั่งที่ไม่มีใครนั่งมานานแล้ว จากนั้นจึงหันมาหาลูกชายที่นั่งอยู่อีกฝั่ง

ชายลูกชายทำปากขมุบขมิบล้อเลียนพลางจับช้อนคนข้าวต้มในชามที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุย

“เห็นเอาหนังสือเตรียมสอบไปวางไว้บนโต๊ะทำงานพ่อ อ่านจบแล้วเหรอ”

“จบแล้ว ฝากคืนด้วยนะพ่อ” ว่าแล้วก็ตักข้าวต้มเข้าปาก

“ไว้พ่อจะยืมมาให้อ่านอีก พวกประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ก็น่าจะดี”

“เยอะแยะไปหมด ใครจะไปอ่านไหว”

“มีเวลาอีกเป็นปี ก็ค่อย ๆ อ่านไปสิ”

“เตรียมสอบแอดมิชชันนะพ่อ ไม่ได้เตรียมสอบจอหงวน”

“วิชาพวกนี้สำคัญนะ ทิ้งไม่ได้”

“รู้แล้วครับ ๆ” เด็กหนุ่มลากเสียง เหลือบมองผู้หญิงที่นั่งตักข้าวกินเงียบ ๆ “ทำไมพ่อไม่หาตำราอาหารให้น้านิตย์อ่านบ้าง จะทำอาหารอร่อย ๆ กว่านี้ ทำแต่ละอย่างไม่เห็นจะอร่อยเลย” สุดท้ายก็อดพูดประโยคนี้ไม่ได้ พูดทุกวันจนเข้าปีที่หกแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าคนที่ถูกพาดพิงจะรู้สึกอะไร

“ไม่อร่อยก็เห็นกินหมดทุกครั้ง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะยกกาแฟดำขึ้นดื่ม

“เสียดายหรอก” พูดไปกินไปพลางเหลือบมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่ถูกนำออกมาจากห้องเก็บของใต้บันได “แล้วนี่เอากระเป๋าเดินทางออกมา จะไปไหนน่ะพ่อ”

“พรุ่งนี้พ่อต้องไปเชียงใหม่ วันอังคารถึงจะกลับ”

“ไม่บอกเห็นกันบ้าง”

“เพิ่งรู้เมื่อกี้น่ะ”

“แล้วไม่ยักชวน”

“พ่อไปจัดนิทรรศการแทนหัวหน้า ไม่ได้ไปเที่ยว ทำไม แกอยากไปเชียงใหม่หรือไง”

คนฟังหน้าเบ้ “บุ๋นพูดไปอย่างนั้นแหละ แค่ที่พ่อพาไปเกือบทุกปีกับที่ต้องฟังพ่อรำลึกความหลังก็เบื่อแล้ว นี่เรียกแจ่งศรีภูมิ นั่นประตูช้างเผือก ตรงนั้นร้านอรุณไร แล้วก็ไก่ย่างเอสดี ฟังจนจะท่องได้” ลูกชายส่ายหัวพลางถอนหายใจ “คนที่ฟังพ่อไม่เบื่อคงมีแต่น้านิตย์คนเดียว ขนาดแม่...”

บรรณภัทรนึกขึ้นได้ เขาวางช้อน ทอดตามองข้าวต้มที่เหลือติดก้นชาม “ย...ยังเดินหนี” แม้จะแผ่วเบาจนค่อนไปทางขาด ๆ หาย ๆ แต่เด็กหนุ่มก็พูดได้ครบตามที่คิด

เนาวนิตย์มองบรรณวิชญ์ผู้เป็นสามีสลับกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขา เห็นต่างคนต่างเงียบจึงเอ่ยขึ้น “บุ๋นอิ่มแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นน้าเก็บชามเลยนะ” พูดจบเธอก็ยกชามเปล่าซ้อนบนใบที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง เตรียมจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกขัด

“เดี๋ยวบุ๋นล้างเอง” ว่าแล้วบรรณภัทรก็ยกชามข้าวเดินหายเข้าไปในครัว เงี่ยหูฟังคนข้างนอกคุยกัน

“อันที่จริงให้นิตย์นั่งรถไปทำงานเองแล้วพี่บู๊อยู่บ้านจัดกระเป๋า ตอนบ่ายก็น่าจะทันขึ้นรถไปพร้อมเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยนะจ๊ะ”

“ไม่ได้หรอก ยังไงพี่ก็ไปวันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้พี่มีเรื่องสำคัญต้องทำ นิตย์ลืมที่เราคุยไปแล้วเหรอ”

“จริงด้วยสิ”

“พี่บอกหัวหน้าไว้แล้วละ เสร็จธุระจะรีบบินตามไป ตามกำหนดการเขาเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้ช่วงบ่าย สาม-สี่วันนี้นิตย์คงต้องลำบากหน่อยนะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ”

“ยังไงเรื่องนั้นคงต้องฝากนิตย์จัดการด้วย”

“จ้ะ พี่บู๊ไม่ต้องห่วงนะ นิตย์จะจัดการให้เรียบร้อย”

บรรณภัทรรู้สึกว่าผู้ใหญ่สองคนดูมีลับลมคมในแปลก ๆ ปกติถ้าต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด พ่อก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประหยัดเงินที่สุด หากเบิกค่าสวัสดิการได้ก็จะเบิก หรือหากมีทางไหนที่ไม่ต้องเบียดเบียนเงินตนเองมากนัก พ่อก็จะเลือกวิธีนั้น แต่ครั้งนี้กลับจะนั่งเครื่องบินตามไป ไม่รู้ว่ามีธุระสำคัญอะไรนักหนา เด็กหนุ่มเอื้อมมือบิดก๊อกน้ำ แล้วลงมือล้างจานชามเงียบ ๆ ตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นจึงเลือกที่จะปล่อยผ่าน

วันต่อมา บรรภัทรถูกผู้เป็นพ่อปลุกให้ลุกขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แม้จะล้างหน้าแปลงฟันแล้วก็ยังไม่สามารถสลัดความงัวเงียออกไปได้ เขาก้าวลงบันไดมาหยุดที่ประตูครัว เห็นเนาวนิตย์กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร ส่วนพ่อเพิ่งจอดจักรยานในโรงรถ คงจะออกไปซื้อหนังสือพิมพ์เหมือนเช่นเคย แต่เมื่อพ่อเดินเข้ามากลับมีทั้งหนังสือพิมพ์ ดอกไม้บูชาพระ และนมร้อนกับปาท่องโก๋เจ้าโปรดของเขา เป็นเมนูสุดธรรมดาที่แม้จะตื่นเช้าเพียงใดก็ต้องไปรอคิวนานจนเกือบไปโรงเรียนสายทุกที ดังนั้นมันจึงเป็นร้านที่อยู่ในบัญชีดำที่พ่อจะไม่ลงทุนถ่อสังขารไปยืนรอเด็ดขาดหากไม่จำเป็น

“วันนี้พ่อนึกครึ้มอะไรถึงไปซื้อนมร้อนพันปี” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงฉายาที่พ่อตั้ง ไม่ได้อร่อยมานานเป็นพันปีหรือเป็นสูตรโบราณที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น หากแต่รอคิวนานเป็นชาติ แบบที่พ่อมักบ่นเสมอว่ารอชาตินี้ชาติหน้าจะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ 

“วันนี้มันพิเศษ ก็ต้องทำอะไรพิเศษ ๆ หน่อย” พ่อกล่าวเนิบ ๆ ขณะเดินเข้ามาในบ้าน

“วันพิเศษ วันอะไร”

“วันเกิดแกไง อย่าบอกนะว่าลืมวันเกิดตัวเอง” เจ้าของร่างกะทัดรัดกล่าวพร้อมกับโอบไหล่ลูกชาย “วันเกิดทั้งทีทำบุญตักบาตรเอาฤกษ์เอาชัยหน่อย”

“เกือบลืมไปเลย” เจ้าของวันเกิดพึมพำกับตัวเองขณะเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับผู้เป็นพ่อ

“วันนี้สิบหกปีเต็มแล้วนะ” เนาวนิตย์ยิ้มขณะตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่โถเมลามีน

บรรณภัทรนั่งลง มองชายหญิงที่กำลังช่วยกันจัดข้าวของสำหรับใส่บาตร จะว่าไปตั้งแต่แม่ไม่อยู่ก็เป็นพ่อที่ตื่นขึ้นมาหุงข้าวตั้งแต่เช้ามืด และเพราะทำอาหารไม่เป็นจึงต้องออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ตัวเขาเองจึงโตมากับแกงถุงอยู่หลายปี จนเมื่อน้านิตย์เข้ามาจึงได้กินของที่อยากกินอยู่บ่อย ๆ ราวกับสั่งได้ และเมื่อถึงวันเกิดของเขา น้านิตย์ก็จะทำอาหารสำหรับใส่บาตรให้เช่นเดียวกับวันนี้...

“ไหนพ่อบอกว่าวันนี้ต้องไปเชียงใหม่ไง” ลูกชายเอ่ยขึ้นเมื่อคล้อยหลังพระสงฆ์สองรูป

“พ่อบินไฟลท์สายน่ะ”

“นึกยังไงนั่งเครื่องบิน ปกติเห็นขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดออม”

คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ “ก็ถ้าไปกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ไม่ได้อยู่ให้แกถากถางสิ ไป...เข้าบ้านกันดีกว่า”

บรรณภัทรหลุบตาลงกล่าวไม่เต็มเสียง “ขอบคุณนะพ่อ”

ในขณะที่ผู้เป็นพ่อเองตอบรับด้วยการยิ้มบางเบา โอบไหล่ลูกชายแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ที่โต๊ะอาหารในตอนนี้มีนมร้อนและปาท่องโก๋จัดใส่จานวางเตรียมไว้ ครู่หนึ่งเนาวนิตย์ก็เดินออกมาพร้อมกับถาดที่มีจานกับข้าวสอง-สามอย่าง เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงถือโถข้าวเข้าไปเติมข้าวข้างในครัว เมื่อกลับออกมาจึงตักใส่จานให้ทุกคน 

“พ่อไม่อยู่หลายวัน ขึ้นลงรถก็ระวังด้วยล่ะ”

“รู้แล้วน่าพ่อ บุ๋นไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“เป็นหนุ่มแล้ว” เนาวนิตย์กล่าวยิ้ม ๆ เมื่อนั่งลงข้าง ๆ

ส่วนบรรณวิชญ์เองก็มองลูกชายที่กำลังใช้สองมือประคองยกแก้วนมร้อนขึ้นดื่ม 

“มีแฟนหรือยัง”

คำถามนั้นทำเอาสำลัก เด็กหนุ่มรีบวางแก้วลง ใช้หลังมือซับเช็ดปากที่กรังไปด้วยคราบนม

“พ่อถามอะไรของพ่อเนี่ย”

“พ่อถามว่าอยู่โรงเรียนน่ะมีแฟนหรือเปล่า”

“ม...ไม่มี”

“ไม่มีเข้าตาบ้างเลยเหรอ”

“ก็...ม...ไม่ พ่อจะถามทำไมเนี่ย”

“ที่ถามนี่คืออยากให้มีหรือไม่อยากให้มีจ๊ะ” เนาวนิตย์เอ่ยขึ้น

บรรณภัทรได้ยินเช่นนั้นก็หันไปหาผู้เป็นพ่อ รอฟังคำตอบด้วยเช่นกัน

“ถ้าจะมี พ่อก็ไม่ว่าหรอก แต่อย่าให้เสียการเรียนก็แล้วกัน หรือถ้ายังไม่มี ก็ไม่ต้องรีบร้อนไปหา ผู้หญิงก็เหมือนหนังสือหมวด 950 ประวัติศาสตร์เอเชีย เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เยอะและเข้าใจยาก”

“ดูพูดเข้า” ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่มีหรอก สบายใจได้” บรรณภัทรกล่าวไม่เต็มเสียงนัก แต่ที่หนักแน่นกว่าเห็นจะเป็นประโยคที่เขากล่าวกับตัวเองในใจ ‘กลัวถูกทิ้งแบบพ่อ’

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-10-2019 02:09:16
(ต่อค่ะ)


ช่วงสิบเจ็ดนาฬิกาของวันศุกร์สิ้นเดือนเป็นเวลาที่ใครก็ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ย่านอโศก เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมยมปลายถอนหายใจพลางกระชับมือแน่นกับราวเหล็กขณะแทรกตัวหนีฝูงชนที่เบียดเสียดกันอยู่ภายในรถเมล์ร่วมบริการสีน้ำเงินขาว อากาศที่ร้อนอบอ้าวเพราะฝนใกล้ตกทำสีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนไม่ค่อยดีนักยามเมื่อมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ‘ช่วยไม่ได้’ บรรณภัทรคิดในใจ ยังไงเขาก็ต้องไป เพราะป้ายหน้าคือจุดหมายปลายทาง เด็กหนุ่มก้าวสั้น ๆ จนถึงหน้าประตู รถที่จอดนิ่งค้างเติ่งอยู่บนสะพานข้ามคลองมาเกือบสิบนาทีก็ไม่มีทีท่าจะขยับ ทันทีที่ใครคนหนึ่งกดกริ่ง ประตูบานพับก็เปิดออก เมื่อเท้าแตะพื้นเจ้าของร่างสมส่วนก็ถอนหายใจอีกเฮือก ขยับคอเสื้อคลายร้อนหลังจากต้องทนยืนอัดกันเป็นปลากระป๋องมาตั้งแต่ป้ายหน้าโรงเรียนแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บรรณภัทรเดินไปตามบาทวิถีก่อนจะตัดเข้าซอยแคบ ๆ กระทั่งถึงมหาวิทยาลัยที่พ่อทำงาน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามาที่นี่ทำไมในเมื่อรู้ว่าพ่อไม่อยู่ และถ้าหากกลับเอง ตอนนี้เขาก็ควรจะถึงบ้านไปแล้ว ความคิดหยุดลงแค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของบรรดานักศึกษาสาวที่เดินสวนทางมา ต่างคนต่างแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ หนุ่มม.ปลายกวาดตามองรอบ ๆ ขณะก้าวเข้าสู่อาณาบริเวณอันคุ้นเคย เบื้องหน้าคือสนามฟุตบอลที่รายล้อมด้วยต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ นึกแปลกใจที่ในเวลาเช่นนี้ยังเห็นผู้คนยังเดินกันขวักไขว่ รถราจอดเรียงราวกับนี่คือช่วงต้นชั่วโมงทำงาน

   “ปวดฉี่จะแย่” บรรณภัทรบ่นกับตัวหลังจากเดินหลบหลีกผู้คนมาถึงอาคารเรียน เด็กหนุ่มวางกระเป๋าพิงผนังข้างอ่างน้ำ จัดการปลดทุกข์ก่อนจะล้างไม้ล้างมือ พลันหูได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังลอดจากประตูที่ปิดอยู่

   “จอดรถแล้วครับ กำลังเข้าห้องน้ำอยู่... ลงเครื่องก็รีบมาเลย คิดถึงจะแย่ ...ยังไม่หิวครับ... อืม...กินอะไรดีน้า... ของที่อยากกินเหรอ อืม...อยากกินกานต์ได้หรือเปล่าครับ” จบประโยคออดอ้อนก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

คนฟังกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกขนลุกซู่ เกิดมาสิบหกปียังไม่เคยได้ยินพ่อพูดกับแม่แบบนี้เลย บรรณภัทรสำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจก กำลังจะคว้ากระเป๋า แต่ชายคนที่อยู่ข้างในก็เปิดประตูก้าวออกมาเสียก่อน

เด็กหนุ่มมองคนข้าง ๆ จากเงาสะท้อนในกระจกแวบหนึ่ง เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้ม แค่แว่นตากันแดดก็บดบังไปครึ่งหน้าแล้ว สวมหมวกแก๊ปด้วยยิ่งแทบไม่มีอะไรชวนให้จดจำลัษณะได้เลย 

“...ครับ เดินเล่นอยู่แถวนี้แหละ ถ้ากานต์จะกลับแล้วก็โทรมานะครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้ากล่าวพลางกดวางสายเสียบโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ก้มหน้าก้มตาล้างมือโดยไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่เดินถือกระเป๋าผ่านหลังตนเองไป

บรรณภัทรเดินออกจากสุขา ตรงไปยังร้านเบเกอรีที่อยู่ใต้ตึก ซื้อขนมสอง-สามอย่างแบบที่น้านิตย์เคยซื้อฝากพ่อไปให้เมื่อสมัยเขายังเด็ก จากนั้นจึงหลบมานั่งกินที่ม้าหินอ่อนพักหนึ่งจึงเดินลัดเลาะไปตามสนามบาสเก็ตบอล ข้ามถนนอ้อมแล้วเดินมาหยุดที่หน้าหอสมุดกลาง เห็นบรรดาหนุ่มสาวทั้งที่เป็นนักศึกษาและพนักงานบริษัทต่างยืนออกันอยู่หน้าทางเข้า เด็กหนุ่มพยายามเขย่งปลายเท้าแต่ก็มองไม่เห็นว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น เกือบจะถอดใจหันหลังกลับหากใครคนหนึ่งไม่เดินผ่านมาเสียก่อน

“อาหมง”

เจ้าของชื่อชะงัก หันมายิ้มกว้าง

“สวัสดีครับอาหมง”

“ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ วันนี้พ่อไม่อยู่นี่”

“ค...คือ...”

“มารอน้านิตย์เหรอ เห็นว่าวันนี้เป็นเวรนี่ อาแมวก็เหมือนกัน นี่อาก็เพิ่งมาจากตึกโน้นว่าจะมาพาเจ้าเป็ดไปกินข้าวก่อน ขืนรอแม่เลิกงานท่าทางจะค่ำพอดีกว่าจะได้กิน บุ๋นจะเข้าไปพร้อมอาเลยไหม”

“ค...ครับ” บรรณภัทรเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าตนเองตอบรับคำถามไหนกันแน่

เมื่อเดินเข้าไปภายใน บรรณภัทรก็พบกับ ‘เจ้าเป็ด’ ที่อาหมงเพิ่งพูดถึง

“พ่อ!” เด็กชายที่กำลังนั่งแกว่งขาอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาหน้าลิฟต์ร้องลั่นจนผู้เป็นพ่อต้องปราม

“เบา ๆ ลูก นี่หอสมุดนะ ห้ามส่งเสียงดัง” เห็นลูกชายพยักหน้าหงึกจึงกล่าวต่อ “แม่ล่ะ”

“แม่ขึ้นไปช่วยน้านิตย์จัดหนังสือข้างบน บอกว่าเดี๋ยวลงมาครับ” ว่าแล้วเด็กชายก็ปิดหนังสือนิทานในมือ ยัดใส่เป้สะพายหลังที่ดูใหญ่กว่าตัวไปเยอะ จากนั้นจึงยิ้มกว้างให้...

“พี่บุ๋ม”

หนุ่มม.ปลายลอบถอนหายใจ ‘เป็ด’ คือลูกชายวัยแปดขวบของ ‘อาหมง’ หรืออามงคล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โสตทัศนศึกษาของคณะศิลปกรรมศาสตร์

“พี่บุ๋ม”

‘บุ๋มพ่อง’ บรรณภัทรไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่สบตามงคลแล้วหันมาหัวเราะแห้ง ๆ กับเด็กชายในชุดลูกเสือสำรอง “พี่ชื่อบุ๋น”

“พี่บุ๋ม”

“บุ๋น...” เจ้าของชื่อลากเสียง ถอนใจเฮือกที่สอง

“พี่บุ๋ม เป็ดปวดฉี่ พาไปฉี่หน่อย”

คนฟังเลิกคิ้ว ไอ้เด็กเป็ดมันมีพัฒนาการโว้ย คงเพราะเจอกันเกือบทุกเย็น แรก ๆ ก็แค่ขอให้พาไปซื้อขนม เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นให้พาไปฉี่ แต่ในเมื่อกล้าขอ บรรณภัทรมีหรือจะไม่กล้าพาไป

“ไปกวนพี่เขาทำไม พ่อพาไป”

“ไม่เป็นไรครับอาหมง เดี๋ยวผมพาไปเอง”

“เห็นมะพ่อ พี่บุ๋มใจดี” พูดจบเด็กชายก็เด้งตัวลุกขึ้น

“ได้” หนุ่มม.ปลายยิ้มมุมปาก ย่อตัวลงนั่ง “เรียกชื่อพี่ให้ถูกก่อนแล้วจะพาไป”

“พี่บุ๋ม”

“บุ๋น”

“ก็บุ๋มไง บุ๋มๆๆๆ”

“พี่บุ๋ม เป็ดปวดฉี่” ว่าแล้วมือเล็กก็เลื่อนกุมเป้ากางเกง

“ไม่ใช่สิ บุ๋น นอหนู สะกดตามพี่นะ บอใบไม้ สระอุ นอหนู อ่านว่าบุน บุน ไม้จัตวา อ่านว่าบุ๋น”

“บอใบไม้ สระอุ นอหนู ไม้จะต๊ะวาอ่านว่า...”

เจ้าของชื่อลุ้นตัวโก่ง

“บุ๋ม”

บรรณภัทรขยี้หัวตัวเอง แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “บอ อุ นอ ไม้จัตวา บุ๋น” เน้นคำสุดท้ายจนปากจู๋

“บอ อุ นอ ไม้จัตวา บุ๋ม โอ๊ย! ฉี่จะราดแล้ว” พูดไปคนน้องซู้ดปากไป ทำตัวบิดตัวงอ

“บุ๋มก็บุ๋ม” เจ้าของชื่อส่ายหัวอย่างจนใจ ลุกขึ้นแล้วจูงมือพาเด็กชายไปเข้าห้องน้ำ

“เสร็จแล้วเราไปห้องนิทานกันนะพี่บุ๋ม”

คนฟังถอนหายใจแรง มองตามร่างเล็กที่เพิ่งเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ กอดอกยืนพิงผนังพลางใช้ความคิด รอกระทั่งอีกฝ่ายทำธุระเรียบร้อย แม้การสลัดเจ้าเด็กจอมมึนที่คอยเกาะแข้งเกาะขาต้องอาศัยลูกล่อลูกชนมหาศาล แต่บรรณภัทรก็เอาตัวรอดได้ทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อส่งลูกชายถึงมือพ่อ เขาก็รีบเผ่นทันที เด็กหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นส่วนของสำนักงาน เมื่อไม่พบเนาวนิตย์อยู่ที่นั่นจึงเดินดูทีละชั้น เริ่มจากชั้นหกซึ่งเก็บรวบรวมหนังสือหมวด 700 ศิลปกรรมและนันทนาการ และหมวด 800 วรรณกรรมและการประพันธ์ ดังนั้นชั้นนี้จึงค่อนข้างเงียบเชียบ

เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่เว้นระยะจากหน้าต่างเพียงแค่พอให้คนเดินสวนกัน กวาดตามองหาตามช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือกระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยจึงหยุดหลังเสา และเพราะเป็นเสาที่ยื่นออกมาจากผนังส่งผลให้ทางเดินตรงนั้นแคบและไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน   

“ฝนใกล้ตกแล้วนะ น่าจะอีกนานเลยกว่าเขาจะเลิกกองกัน วันนี้พวกเราคงกลับบ้านดึกแน่ ๆ”

บรรณภัทรจำเสียงนั้นได้ เธอคือ ‘มัณฑนา’ หรือ ‘หรืออาแมว’ มีตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ของหอสมุดแห่งนี้เช่นเดียวกับพ่อของเขา อีกทั้งยังเป็นแม่ของเจ้าลูกเป็ดจอมมึนด้วย

“พี่บู๊ไม่อยู่แบบนี้นิตย์ลำบากแย่ จริง ๆ น่าจะหัดขับรถนะ เวลาพี่บู๊ไม่อยู่จะได้เอารถมาใช้ อีกหน่อยมีลูกไปไหนมาไหนก็สะดวก”

“ขับรถเป็นแล้วเวลาพี่บู๊ไม่อยู่จะได้เอารถมาใช้น่ะพอเป็นไปได้จ้ะ ส่วนเรื่องมีลูก...” เนาวนิตย์หยุดไว้แค่นั้นพลางส่ายหัว หยิบหนังสือจากรถเข็นใส่คืนชั้น

“ไม่เปลี่ยนใจจริง ๆ เหรอ น่าเสียดายนะ นิตย์เองอายุก็ยังไม่มากเท่าไร แก่กว่านี้เขายังมีกันเลย”

“นิตย์กับพี่บู๊ เราคุยกันมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีลูก พี่บู๊เขาอยากให้เวลากับบุ๋นมาก ๆ”

“แล้วนิตย์ล่ะ อยากมีหรือเปล่า”

“นิตย์แล้วแต่พี่บู๊จ้ะ”

“เฮ้อ...แบบนี้แก่ตัวจะแย่นะ เราตายก่อนก็ดีไป ถ้าพี่บู๊แกจากไปก่อนใครจะดูแลนิตย์” ว่าแล้วก็ถอนใจอีกเฮือก “เจ้าบุ๋นนี่โชคดีนะที่มีพ่อแบบพี่บู๊ แล้วก็มีแม่เลี้ยงที่เข้าใจแบบนิตย์”

ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ เห็นเพียงชายเสื้อรำไรของสองคนที่กำลังยืนคุยกัน ปากได้รูปเม้มแน่นเมื่อความสับสนถาโถมประเดประดังในอกจนไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-10-2019 02:09:41
(ต่อค่ะ)


“แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันไม่ดีนะ”

เสียงทุ้มนุ่มหูทำสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหนุ่มม.ปลายเหลียวกลับไปมองจึงพบว่าคนพูดอยู่ตรงหน้าต่างถัดจากจุดที่ตนเองยืนไม่ไกลนัก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีดำ เข็มขัดและรองเท้าหนังสีเดียวกัน ดูเหมือนกับชุดของนักศึกษาชายที่เจอเมื่อเข้ามาภายในรั้วมหาวิทยาลัย เจ้าของร่างสูงไม่ได้หันมานี้ หากแต่ทอดมองผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือราคาแพงลิบลิ่ว ปลายนิ้วแตะเพื่อบันทึกภาพสายฝนที่โปรยปรายลงมาโอบคลุมทั่วบริเวณ ทำให้ในตอนนี้สนามฟุตบอลและอาคารโดยรอบราวกับอยู่หลังม่านสีขาว เขากดบันทึกภาพอีกสอง-สามภาพ ในที่สุดจึงหันมา บรรณภัทรมุ่นคิ้วเมื่อรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน ใบหน้าสะอาดสะอ้านหล่อเหลา เครื่องหน้าชัดเจนราวกับประติมากรรมชิ้นเยี่ยมที่ประติมากรฝีมือชั้นครูบรรจงบั้น คิ้วหนารับกับสันจมูกโด่ง ผิวพรรณดีชนิดที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉา แม้ริมฝีปากได้รูปนั้นเกือบจะเหยียดตรง แต่ก็ยังเห็นความใจดีได้จากข้างในดวงตา เพียงเท่านั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายมิได้จริงจังกับสิ่งที่พูดออกมาเมื่อครู่

ชายหนุ่มแปลกหน้าเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง ไม่ทันพูดอะไร พลันเสียงหนึ่งก็ดังแทรกความเงียบ

“น้องกานต์ มาอยู่นี่เอง”

ดวงตาของบรรณภัทรยังจับจ้องเจ้าของชื่อที่ขณะนี้หันไปหาอีกคนที่เพิ่งเดินมาหยุดระหว่างชั้นวางหนังสือ เด็กหนุ่มไม่เห็นว่าเธอเป็นใคร และเธอเองก็คงไม่เห็นเขาด้วยเช่นกัน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่จะมาบอกว่าให้เตรียมตัวเข้าฉากได้แล้วค่ะ”

ร่างสูงทำเพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามอีกฝ่ายไป

ลูกชายบรรณารักษ์ก้าวมาหยุดในตำแหน่งที่ชายหนุ่มเคยยืน มองตามแผ่นหลังกว้าง แม้ขายาวจะพาร่างนั้นห่างออกไปแล้ว แต่กลิ่นน้ำหอมที่พรมตัวยังคงวนเวียนอยู่ในลมหายใจ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายถ่ายรูปอะไรบรรณภัทรจึงหันไปยังทิศตรงข้าม ในที่สุดเขาก็พบว่าเบื้องล่างก็มีแค่สนามหญ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำกับตึกสีอิฐรูปทรงแปลกตาที่ตัดขอบชายคาด้วยสีแดงชาดเท่านั้นเอง

“ตกหนักขนาดนี้จะถึงบ้านตอนไหน” บรรณภัทรบ่นกับตัวเอง แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่พรุ่งนี้วันเสาร์ ถึงบ้านดึกแค่ไหนก็ไม่มีผล

“บุ๋น”

เสียงของน้านิตย์...

จู่ ๆ ก็ทำให้ใจเต้น เจ้าของชื่อเม้มปากก่อนจะหันหลังกลับ มือกระชับหูกระเป๋าใส่หนังสือแน่น สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ บรรณภัทรจึงชิงตอบเสียก่อน “บ...บุ๋น เอ้อ... หนะ...หนังสือ เอาหนังสือมาคืน เพิ่งเห็นว่าอยู่ในกระเป๋าอีกเล่ม”

เนาวนิตย์พยักหน้า “เดี๋ยวน้าเอาไปคืนให้”

“ม...ไม่เป็นไร เดี๋ยวบุ๋นเอาไปคืนเอง” พูดพร้อมกับชักเท้าถอยหลังครึ่งก้าว “เสร็จแล้วจะไปรอข้างล่างนะ”

“วันนี้กว่าน้าจะได้กลับคงดึกแน่ ๆ มีกองละครเขามาขอใช้สถานที่ ต้องคอยอำนวยความสะดวกให้เขา บุ๋นจะเรียกแท็กซี่กลับก่อนไหม เดี๋ยวน้าให้เงินไป”

“ไม่เป็นไร รอกลับด้วยกันนี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นไปหาอะไรทานที่โรงอาหารก่อนดีไหม น้าไปเอาร่มให้”

คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ “อยากกินไข่ตุ๋น”

“ถึงบ้านแล้วน้าทำให้ทาน แต่ตอนนี้หาอะไรทานรองท้องก่อนดีกว่า หิ้วท้องรอหิวแย่”

“กินขนมไปแล้วละ” พูดจบก็ยื่นถุงพลาสติกที่ข้างในเหลือขนมอีกชิ้นให้

“ให้น้าเหรอ”

“อือ ก็เห็นบอกว่าอีกนานกว่าจะกลับ”

“ขอบใจจ้ะ” เนาวนิตย์รับถุงขนมมาถือไว้ ดวงตาทอประกายยังจับจ้องที่ใบหน้าหมดจด แม้รู้ว่าลูกเลี้ยงไม่ชอบตนเองสักเท่าไร แต่บ่อยครั้งที่เขาหยิบยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“รอข้างล่างนะ”

พูดจบบรรณภัทรก็เดินจากมาเงียบ ๆ แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อคืนหนังสือ เขากลับเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ที่ตอนนี้น่าถูกกันไว้สำหรับเป็นฉากหนึ่งในละคร เดินลงมาได้เพียงชั้นเดียวก็ต้องหยุดเมื่อเห็นป้าย “ขออภัยในความไม่สะดวก อยู่ในระหว่างถ่ายทำละครหยกลายพยัคฆ์” มองผ่านประตูกระจกเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูจอมอนิเตอร์ อีกด้านมีทั้งกล้องและไฟ ถัดเข้าไปยังโต๊ะใกล้กับชั้นหนังสือคือกลุ่มคนในชุดนักศึกษาหญิงชายและหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มที่พบกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ที่สะดุดตากว่านั้นเห็นจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย บรรณภัทรจำได้ทันทีว่าเธอคือ “พราว พิพัฒน์พล” ดาราเจ้าบทบาทผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เขายังเด็ก แม้ปีนี้เธอจะอายุย่างสามสิบ แต่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์จึงมิได้ขัดตาแต่อย่างใดเมื่อต้องย้อนวัยมาสวมชุดนักศึกษา ที่สำคัญไปกว่านั้นเธอคนนี้ได้ชื่อว่าเป็น “เจ๊ดัน” พระเอกคนไหนที่ได้ร่วมงานด้วยเป็นต้องดังเป็นพลุแตกทุกคนไป

บรรณภัทรไม่ได้สนใจเรื่องราวของวงการมายาสักเท่าไร แต่ที่ในหัวมีข้อมูลแน่นเป็นเพราะต้องฟังอาแมวผู้สถาปนาตัวเองเป็นกูรูสายบันเทิงคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ และน้านิตย์ผู้ไม่รู้อะไรเลยอยู่เกือบทุกวัน จนตอนนี้เขาก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคราวนี้ “พราว พิพัฒน์พล” จะสวมบทเจ๊ดันให้พระเอกคนไหนได้แจ้งเกิด แต่อีกไม่นานก็คงได้คำตอบเมื่อละครเรื่องนี้ออกอากาศ เด็กหนุ่มหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เหลียวมองลงไปตามแนวบันไดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ครู่หนึ่งสองสาวในชุดนักศึกษาก็ปรากฏตัวขึ้น

“เขาห้ามเข้าแหละแก มีถ่ายละคร” คนเดินนำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายหน้าประตู

“ว้า...ว่าจะมาหาหนังสือทำรายงานวิชาเคมีสักหน่อย”

“เดี๋ยวก็เสร็จมั้ง จะรอไหม”

“รอก็ได้ ไปรอข้างบนแล้วกัน จะได้ไปหานิยายอ่านด้วย”

สิ้นเสียงสนทนา สองคนก็เดินมาหยุดตรงจุดที่บรรณภัทรยืนพอดี

“เดี๋ยวแก นั่น ๆ คนนั้น ‘พราว พิพัฒน์พล’ ใช่ไหม สวยเนอะ”

“สวยมาก ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีก”

“แล้วคนข้าง ๆ นั่นล่ะ ใช่ ‘เนย เนตรนภัส’ หรือเปล่า”

“ใช่แก ที่ชอบเล่นเป็นนางร้าย เรื่องที่แล้วทำคนเกลียดทั้งประเทศ”

“แล้วผู้ชายคนนั้น คนที่เดินคู่กับเนยนั่นน่ะ”

“อืม...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเพื่อนพระเอกเรื่องหัวใจพ่ายรัก แต่ที่แน่ ๆ เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาน้ำหอม”

“จำได้แล้ว พอบอกว่าเป็นพรีเซนเตอร์น้ำหอมฉันก็จำได้เลย ตอนนี้เดินไปทางไหนก็เห็นแต่รูปเขา”

ใช่เขาจริง ๆ บรรณภัทรเองก็นึกออกเช่นกัน เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยมองตามสายตาของสองสาว ที่แท้รู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มผู้นั้นก็เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟฟ้าหรือเข้าห้างสรรสินค้าใดในกรุงเทพฯ ก็จะเห็นป้ายโฆษณาที่มีภาพของเขาติดอยู่เต็มไปหมด

“หล่อจัง” คนเดิมกล่าว “ไม่รู้ว่าจะเป็นพระเอกเรื่องนี้หรือเปล่าเนอะ ว่าแต่เขาชื่ออะไรแกรู้ไหม”

“กานต์ อืม...ถ้าจำไม่ผิด เขาชื่อ ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’ ตอนเล่นเป็นเพื่อนพระเอกเรื่องก่อน คนพูดถึงเยอะเหมือนกัน อายุแค่ยี่สิบสี่เอง แต่เล่นประกบดารารุ่นใหญ่แล้วไม่ถูกกลืน” ว่าแล้วก็อ่านชื่อละครบนป้ายอีกครั้ง ‘หยกลายพยัคฆ์’ เรื่องนี้ดังมากเลยนะแล้วก็สนุกด้วย”

“แกเคยอ่านแล้วเหรอ”

“อ่านแล้ว เนื้อเรื่องเข้มข้นมากเลยละแก เป็นเรื่องเกี่ยวกับสี่ตระกูลใหญ่ที่ตอนหลังไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องธุรกิจ แต่รุ่นลูกดันมารักกัน อยากรู้จังว่าเขารับบทเป็นอะไร จะใช่พระเอกหรือเปล่านะ”

หนุ่มม.ปลายละสายตาจากภาพหลังประตูกระจก หันหลังให้สองสาวแล้วเดินต่อ กระทั่งถึงชั้นล่างสุดของอาคารสำนักหอสมุดกลางจึงแวะเข้าไปนั่งเล่นกับบรรดาลุงป้าน้าอาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อที่ห้องยืมคืนโสตทัศนวัสดุ เป็นเวลาเดียวกับที่อามงคลและลูกชายกลับจากโรงอาหารพอดี สองพ่อลูกถอดเสื้อกันฝนพาดไว้ที่เก้าอี้หน้าทางเข้าก่อนจะจูงมือกันเดินเข้ามา ทันทีที่เด็กชายเป็ดเจอพี่ชายคนโปรด หนูน้อยก็รีบวิ่งมาหาพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำแตงโมปั่นให้

“ให้พี่เหรอ” บรรณภัทรถามอย่างแปลกใจ

“ครับ”

“แต่ว่า...”

เห็นลูกชายเพื่อนมีท่าทีลังเล มงคลจึงเอ่ยขึ้น

“รับไปเถอะบุ๋น เจ้าเป็ดมันตั้งใจซื้อมาให้ ถึงขนาดไปยืนกำกับแม่ค้าให้ทำให้อร่อย ๆ เลยนะ”

คนฟังยิ้มกว้าง รับแก้วใส่น้ำแตงโมปั่นมาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณน้องชายจอมมึนและพ่อของเขา ในขณะที่เด็กชายเป็ดยกสองมือขึ้น แตะปลายนิ้วชี้ที่สองแก้มของตนเอง เป็นท่าทางที่ชวนให้สงสัยปนเอ็นดู

“พี่บุ๋มกิน ๆ”

ได้ยินดังนั้นบรรณภัทรจึงดูดน้ำแตงโมปั่นเข้าไปหนึ่งอึก

“อร่อยไหม”

“อื้อ อร่อย ขอบใจมากนะ”

“ครับ” เด็กชายกล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับผู้เป็นพ่อ “พ่อ สอนการบ้านเป็ดหน่อย” ว่าแล้วก็ดึงมือพ่อไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบสมุดดินสอจากเป้ใบโตออกมาวาง

บรรณภัทรนั่งดูดน้ำแตงโมปั่นพลางมองสองคนพ่อลูกไปพลาง นึกถึงตนเองเมื่อสมัยเป็นเด็ก พอถึงช่วงปิดเทอมทีไรเขาก็มักติดสอยห้อยตามพ่อมาด้วยทุกครั้ง เวลาพ่อไม่อยู่ก็ได้ลุงป้าน้าอาที่นี่คอยดูแล สอนการบ้านบ้าง เป็นเพื่อนเล่นบ้าง ซื้อขนมให้กินบ้าง แม้จะผ่านช่วงนั้นมานานพอสมควร แต่เมื่อกลับมาที่นี่ทีไร ทุกคนก็ยังปฏิบัติกับเขาเช่นเดิม

เวลาล่วงเลยไปเกือบสิบนาที เด็กหนุ่มวางแก้วพลาสติกที่เหลือเกล็ดน้ำแข็งสีแดงติดก้นแก้วลง ความเย็นของเครื่องดื่มรสหวานเจือเค็มปะแล่มบวกกับอุณภูมิจากครื่องปรับอากาศทำเอาขนลุก บรรณภัทรลุกขึ้นเดินออกจากห้อง อาศัยความคุ้นเคยตรงดิ่งไปยังสุขาที่กันไว้เฉพาะบุคลากรสำนักหอสมุดซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของอาคาร หน้าห้องสุขาพบชายผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำสกรีนด้านหลังเป็นชื่อละครเรื่องเดียวกับที่ติดป้ายไว้ที่ชั้นหก

“จะเข้าห้องน้ำเหรอน้อง” ชายผู้นั้นกล่าวเมื่อหันมา ที่อกเสื้อติดป้าย ‘นักศึกษาฝึกงาน’

“ครับ”

“รอเดี๋ยวนะ นักแสดงเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเข้าชั้นบนก็ได้ครับ” บรรณภัทรบอก

“ให้น้องเขาเข้าไปเถอะ” หญิงสาวที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้น

เมื่อได้ฟังดังนั้น คนยืนเฝ้าประตูจึงหลีกทางให้ หนุ่มม.ปลายพูดขอบคุณคนทั้งคู่จากนั้นจึงเดินผ่านเข้าไป
บรรณภัทรก้าวช้า ๆ พร้อมกับกวาดตามองเห็นว่ามีประตูบานหนึ่งปิดอยู่ จึงรีบทำธุระให้เรียบร้อย เมื่อเดินมาเปิดน้ำล้างมือจึงได้ยินเสียง

“วันนี้น่าจะเลิกกองช้าหน่อยนะ ผู้กำกับเขาขอถ่ายเพิ่มอีกซีนน่ะ ไม่โกรธใช่ไหม... หิวหรือยัง อืม...เรียบร้อยเมื่อไรเดี๋ยวกานต์โทรหาอีกทีนะ ครับ... รู้แล้วครับ ไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก ไม่ต้องห่วงนะ แค่นี้ก่อน”
จบประโยคนั้น เสียงปลดกลอนก็ดังขึ้นพอดี หนุ่มม.ปลายเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก เห็นว่าอีกฝ่ายคือ “ศุภกานต์ ศุภวัฒนา” เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กเกตสีเข้ม มือหนึ่งถือชุดนักศึกษาที่ใส่ไม้แขวนเรียบร้อย ส่วนอีกมือกำลังเสียบโทรศัพท์กับกระเป๋าหลังกางเกงยีน ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ดูก็รู้ว่าว่าคนที่คุยด้วยเมื่อครู่ต้องเป็นคนพิเศษอย่างแน่นอน

‘วันนี้มันวันบ้าอะไรวะ บังเอิญได้ยินเรื่องของชาวบ้านไปทั่ว’ บรรรณภัทรลอบถอนใจพลางก้มหน้าก้มตาล้างมือด้วยไม่อยากถูกกล่าวหาว่าแอบฟังเรื่องของผู้ใหญ่อีก โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้สนใจ มัวแต่มองกระจกสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม
เด็กหนุ่มไม่รอช้า รีบเดินออกจากห้องสุขา ย้อนกลับไปหยิบกระเป๋าหนังสือ ตั้งใจจะหลบความหนาวเย็นของอุณหภูมิภายในออกไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านนอก แม้ฝนจะเริ่มซาเม็ดแต่ก็ยังถือว่าหนักเอาเรื่องสำหรับผู้ที่ไม่มีร่ม ดังนั้นทั้งนักศึกษาและบุคลากรหลายคนจึงยังพากันหลบฝนอยู่ที่นี่ บรรยากาศข้างนอกทำให้บรรณภัทรต้องก้มมองนาฬิกาข้อมือ ยังไม่สิบแปดนาฬิกาดี แต่ฟ้ากลับมืดจนเมื่อตอนที่ยังอยู่ข้างในคิดว่าใกล้ค่ำเต็มที เด็กหนุ่มวางกระเป๋าบนหน้าขา ทอดตามองสายฝนที่ยังคงโปรยปราย พลันหูก็ได้ยินเสียงสนทนาของคนที่เดินผ่านมา

“ฝนตกแบบนี้เลยได้เอาซีนฝนตกขึ้นมาถ่ายก่อน จะได้สมจริงหน่อย แถมนักแสดงหลักยังให้คิวเราได้ วันนี้โชคดีหลายเด้งเลยนะ” หญิงสาวคนที่พบกันหน้าห้องสุขากล่าว

“จริงด้วยพี่ ทุ่นไปได้เยอะ ไม่อย่างนั้นผมต้องวิ่งวุ่นหารถน้ำมาฉีด ซีนฝนตกหนักขนาดนั้น”

“เดี๋ยวอีกสักพักนายไปกันรถไม่ได้ผ่านหน้าตึกนะ แล้วก็ให้น้องฝึกงานขนไปพลาสติกกับผ้าใบในรถมาด้วย กันไว้หน่อยก็ดี ถ้าน้ำเข้าอุปกรณ์จะซวยเอา ตอนนี้อะไรที่ย้ายลงมาเซ็ตได้ก่อนก็ย้ายลงมา ต้องแข่งกับเวลาหน่อย เดี๋ยวฝนจะหยุดตกเสียก่อน”

“ครับพี่ เดี๋ยวผมรีบจัดการให้” คนเดินตามรับคำแล้วยกวิทยุสื่อสารขึ้นพูดสักใครคนหนึ่งที่อยู่อีกที่ก่อนจะวิ่งแยกไปอีกทาง

บรรณภัทรมองตามหญิงสาว เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นมองสายน้ำที่ไหลลงจากชายคา ไม่นานทั้งจอมอนิเตอร์ ไฟ กล้องและอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำอื่น ๆ ก็ถูกยกลงมาติดตั้งโดยมีพลาสติกผืนใหญ่คลุม ชายฉกรรจ์สี่-ห้าคน ช่วยกันกางผ้าใบกันฝน พากล้องตัวหนึ่งที่คลุมด้วยพลาสติกออกไปตั้งไว้ที่ด้านนอกชายคาของอาคาร หลายคนวิ่งวุ่นแข่งกับเวลา ท่ามกลางความโกลาหลเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นเป็นทอดพร้อมกับการปรากฏตัวของหนุ่มหล่อสาวสวยที่ใคร ๆ ต่างคาดว่าพวกเขาคือนักแสดงนำของละครที่กำลังปักหลักถ่ายทำกันอยู่ขณะนี้ คนที่สวมกั๊กสีน้ำตาลทับเสื้อยืดสีดำในมือถือเอกสารปึกใหญ่นั่นคงจะเป็นผู้กำกับ เขาหันไปสั่งทุกคนให้เตรียมพร้อม จากนั้นจึงเดินไปคุยกับนักแสดงทั้งสาม แล้วพากันเดินไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อนัดแนะคิว บรรยากาศมิได้ตึงเครียดนัก เห็นได้จากรอยยิ้มของแต่ละคน ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงประกาศผ่านโทรโข่งก็ดังขึ้น เป็นประกาศขอให้คนที่อยู่บริเวณนั้นเงียบเสียง และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการไปยืนรวมกันที่ด้านหนึ่ง 

ด้านบรรณภัทร เห็นว่าจุดที่ตนเองนั่งอยู่ห่างออกมาพอสมควร อีกทั้งไม่ได้เกะกะใคร เขาจึงนั่งอยู่อย่างนั้น หลังจากซักซ้อมคิวกันเป็นที่เรียบร้อย นักแสดงก็เข้าประจำที่ บรรยากาศรอบ ๆ เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมฝน และเมื่อสิ้นเสียงตีสเลท ‘เนย เนตรนภัส’ ตัวร้ายหน้าหวานก็เดินผ่านประตูออกมาอย่างรีบร้อน เธอหยุดที่บันไดมองซ้ายมองขวา ชั่วอึดใจก็วิ่งฝ่าสายฝนลงไปที่ลานกว้างหน้าตึกซึ่งมีกล้องอีกตัวรับอยู่ ศุภกานต์วิ่งตามมารั้งข้อมือเล็กพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง สองคนยื้อยุดกันอยู่นาน เมื่อหลุดมาได้เธอก็ฟาดฝ่ามือลงที่แก้มของเขาฉาดหนึ่งตามด้วยประโยคยืดยาว มันคงเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนเกินรับไหว คนฟังจึงได้แต่ยืนอึ้ง เป็นเวลาเดียวกับที่รถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอด เจ้าของเปิดประตูลงมา รูปร่างสูงใหญ่ทำให้หญิงสาวเพียงคนเดียวดูตัวเล็กไปถนัดตา บรรณภัทรหรี่มองด้วยสงสัยว่าเขาคนนั้นคือใคร ในที่สุดก็ได้คำตอบเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ที่แท้เขาก็คือ ‘ณฉัตร เฉลิมรัฐ’ เจ้าของรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ ‘ดาราทัศน์’ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเมื่อปีก่อนนั่นเอง จะว่าไปละครเรื่องนี้น่าจะรวมนักแสดงมากฝีมือดีเอาไว้หลายคน

ณฉัตรไม่รอช้าดึงคนตัวเล็กมายืนข้าง ๆ จากนั้นจึงปรี่เข้าชี้หน้าศุภกานต์และตะโกนใส่ดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าครืน ๆ แทนที่จะหยุดตามคำขอร้องของหญิงสาว คนตัวใหญ่กลับรี่เข้าหา จับคอเสื้อศุภกานต์เตรียมจะง้างหมัด โชคดีที่เนตรนภัสรั้งแขนเอาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้าหล่อเหลาของนักแสดงหนุ่มคงได้เป็นที่รองรับกำปั้นเป็นแน่ บรรณภัทรจ้องเจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมตาเขม็ง อดคิดไม่ได้ว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าช่างสมจริงชวนขนลุก ในที่สุดรถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนห่างออกไป เหลือเพียงร่างสูงโปร่งที่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้นที่ชุ่มไปด้วยน้ำ จากนั้นทีมงานที่อยู่ด้านในอาคารก็ปล่อยคิวพราว พิพัฒน์พลในชุดกระโปรงสีหวาน เธอหยุดที่ปลายสุดของทางเดิน กางร่มออกแล้วเดินลงบันไดตรงไปยังจุดที่ศุภกานต์นั่งอยู่ ภายใต้ร่มคันเดียวกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาเนิ่นนาน แสงสีนวลจากไฟติดหัวเสาสาดกระทบสายฝน ทำให้ภาพนั้นสวยงามยิ่งนัก

ทันทีที่ผู้กำกับสั่ง “คัท” ทีมงานต่างกรูกันเข้าไปหาทั้งคู่พร้อมร่มคันใหญ่ สองหนุ่มสาวเดินกลับมาภายใต้ชายคาอาคาร ในขณะที่ณฉัตรและเนตรนภัสก็เพิ่งเดินมาถึงเช่นกัน ทั้งสี่คนล้อมวงดูภาพจากจอมอนิเตอร์และพูดคุยกับผู้กำกับครู่หนึ่ง จากนั้นเนตรภัทร ณฉัตรและศุภกานต์จึงเข้าประจำที่เพื่อถ่ายทำฉากกลางสายฝนอีกครั้ง กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยกินเวลาเกือบสามสิบนาที และเมื่อผู้กำกับสั่ง “คัท” เป็นหนที่สาม ทีมงานก็รีบวิ่งเข้าไปกางร่มและห่มผ้าขนหนูให้นักแสดง เนตรนภัสดูจะแย่ที่สุด เพราะนอกจากฝนจะทำให้ผมเผ้าที่เซ็ตไว้หลุบลู่แล้ว ความหนาวเย็นยังทำให้สั่นไปทั้งตัว กระนั้นหญิงสาวก็ยังหันไปหยอกล้อกับคนอื่น ๆ ได้ ส่วนณฉัตรเองก็สลัดท่าทีเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ทิ้ง กลายเป็นเพียงหนุ่มขี้เล่นคนหนึ่งเท่านั้น

“น้องกานต์กับน้องพราวรีบตามน้องเนยกับน้องฉัตรไปเปลี่ยนชุดเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงหนึ่งร้องบอกสองคนที่ยังอยู่หน้ามอนิเตอร์

“ไปกานต์ ไปเปลี่ยนชุดกัน” นางเอกสาวหันไปสะกิดนักแสดงรุ่นน้อง จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินกลับเข้าไปในอาคาร

บรรณภัทรนั่งนิ่ง อดทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ไม่ได้ การเป็นนักแสดงไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ คนบางคนก่อนเข้าฉากยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่พอเจอกล้องกลับร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวร หรือสามารถโกรธเกลียดใครสักคนได้จนถึงขีดสุด

“อาชีพนี้น่ากลัวจริง ๆ” หนุ่มม.ปลายพึมพำกับตัวเอง

“บุ๋น มานั่งอยู่นี่เอง น้าเดินหาจนทั่วเลย หิวไหม”

บรรณภัทรส่ายหัวทั้งที่รู้สึกแสบท้อง “กลับบ้านได้หรือยัง”

“ได้แล้วจ้ะ บุ๋นรอเดี๋ยวนะ น้าขอเข้าไปเก็บของก่อน”

คนฟังเพียงพยักหน้า มองตามร่างเล็กที่เดินแหวกผู้คนกลับเข้าไปข้างใน หนุ่มม.ปลายเบนสายตากลับไปยังจุดที่แสงไฟสาดกระทบฝนที่ยังโปรยปรายลงมา ผ่านไปพักหนึ่งซีดานติดฟิล์มทึบก็แล่นมาจอดเทียบจนเกือบจะติดบันได ได้ยินเสียงขอทาง บรรณภัทรจึงดึงสายตากลับ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะคะน้องกานต์” คนเดินตามกล่าวทั้งที่มือทั้งสองข้างถือของพะรุงพะรัง “จริง ๆ คราวหน้าให้รถตู้กองไปส่งที่คอนโดก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องลำบากให้คนรถมารับ”

“ไม่ใช่คนรถหรอกครับ พอดีวันนี้ผมนัดเพื่อนไว้”

“ฝากขอโทษเพื่อนน้องกานต์ด้วยนะคะ วันนี้เลิกช้ากว่าที่เคลียร์คิวกันไว้เป็นชั่วโมงเลย”

“ไม่เป็นไรครับ”

เมื่อถึงปลายบันไดเขาก็ดึงร่มจากถุงผ้าที่หญิงสาวสะพายอยู่ออกมากาง “ส่งผมแค่นี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวถูกฝนจะไม่สบาย” พูดจบก็รวบข้าวของจากมือเธอมาถือไว้

“กลับดี ๆ ค่ะน้องกานต์”

เจ้าของชื่อตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วหันหลังกลับ ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงรถ ชายหนุ่มรีบหุบร่มเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน ส่งของทั้งหมดไปไว้ยังที่นั่งด้านหลัง จากนั้นจึงใช้มือปัดผมที่ยังคงชุ่มน้ำ

“ทำไมไม่เป่าผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวไม่สบายพอดี” คนขับกล่าวพร้อมกับออกรถ

“กานต์กลัววีรอ”

“รอมาได้ตั้งนาน รอต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป ป่วยขึ้นมาไม่คุ้มเลยนะ” พูดพลางเอื้อมมือโยกหัวคนข้าง ๆ

ศุภกานต์ยอมให้ทำแบบนั้นได้ไม่นานก็ดึงมืออีกฝ่ายลงแล้วออกคำสั่ง “จอดรถ”

“จะทำอะไร”

“บอกให้จอดก็จอดเถอะน่า”

“บอกมาก่อนว่าจะทำอะไร”

“คิดว่ากานต์จะทำอะไร” ว่าแล้วก็แตะจูบซ้ำ ๆ บนหลังมือขาว ช้อนตามองคนขับ

“พอเลย” ปฐวีชักมือกลับ จับพวงมาลัยแน่น พลันสองแก้มเจือสีแดงระเรื่อ

“ก็แค่อยากขับรถให้แฟนนั่ง ไม่ได้เหรอ”

“ฝนตกอยู่”

“จอดเร็ว จอดข้างตึกนี่แหละ แล้วย้ายมานั่งตรงนี้ เดี๋ยวกานต์ขับเอง”

ปฐวีมองคนพูดแล้วโคลงหัว กระนั้นก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ “วีลงไปเอง กานต์ไม่ต้องลง เดี๋ยวใครเห็นเข้า ขยับมานั่งฝั่งนี้”

“ก็ได้ครับ”

เจ้าของรถยิ้มก่อนจะเปิดประตูกางร่มวิ่งอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคิดว่าไม่มีใครเห็น

แต่ก็มีคนเห็นจนได้...

บรรณภัทรมองผ่านกระจกที่พราวด้วยหยดน้ำ ขณะนี้แท็กซี่ที่เขานั่งกำลังชะลอความเร็วกระทั่งหยุด รอให้รถอีกฝั่งสวนมาก่อนเพราะติดรถที่จอดเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ข้างตึก แม้จะไม่เห็นหน้าคนที่เปิดประตูลงมา แต่ไฟหน้าที่สาดเป็นวงกว้างก็ทำให้เห็นชุดที่เขาสวมใส่รวมถึงทะเบียนรถอย่างชัดเจน หนุ่มม.ปลายจำได้ทันทีว่าชายผู้นั้นก็คือเจ้าของประโยคชวนเลี่ยนที่พบกันเมื่อตอนเย็นในห้องสุขา และรถคันนี้ก็คือรถคันที่มาจอดรอนักแสดงหนุ่มที่หน้าอาคารหอสมุดนั่นเอง   



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษทุกคนที่หายไปนานเลย

นานจนรู้สึกเหมือนเป็นบุคคลหายสาบสูญ

เดือนที่ผ่านมางานเยอะมาก ๆ ค่ะ เลยไม่มีเวลาเขียนให้จบสักที

ตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้ตอนละ 10-13 หน้า A4 ค่ะก็เลยลากยาวมาถึงวันนี้

ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ





 


หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-10-2019 02:48:02
เพิ่งจะเห็นเรื่องไหม​ ยาวได้สะใจดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-10-2019 09:29:20
เอ่อ อย่าบอกนะว่าน้องบุ๋นจะเข้าไปสู่วงโคจรของสองคนนั้น
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-10-2019 11:49:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-10-2019 13:48:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊ (19-10-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-10-2019 18:45:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องราวของ "บุ๋นกับเป็ด" หรือ บุ๋นมีอันต้องเข้าไปแทรกระหว่างกานต์กับวี?
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-11-2019 01:17:46
ตอนที่ 2 ตัดสินใจ


แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นฝ่าฝนที่ยังคงตกปรอย ๆ มาจอดหน้าบ้านสองชั้นย่านประชาชื่น เนาวนิตย์ควักเงินจำนวนพอดีกับเลขที่ปรากฏบนมิเตอร์ให้แก่คนขับ หันมองคนข้าง ๆ เห็นว่ายังสัปหงกจึงเอื้อมมือเขย่าแขนเบา ๆ


“บุ๋น ถึงบ้านแล้วลูก กางร่มด้วยนะเดี๋ยวไม่สบาย”


พลันเจ้าของชื่อก็ปรือตาขึ้น กว่าจะตั้งสติได้ อีกคนก็เปิดประตูลงไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าหนังสือ คว้าร่มที่ยังคงเปียกแล้วรีบตามออกไป มือกดสลักกางร่มจากนั้นจึงเดินอ้อมหลังรถแล้วหยุดมองคนที่กำลังควานหากุญแจในกระเป๋าสะพาย เมื่อเห็นว่าไม่เจอสักทีร่างสูงกว่าจึงสืบเท้าเข้าใกล้ให้อีกฝ่ายพอได้อาศัยหลบฝน


“ไม่ต้องหาแล้ว” พูดจบบรรณภัทรก็ล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้


เนาวนิตย์จำพวงกุญแจรูปหมีสีน้ำตาลถักด้วยไหมพรมได้แม่น เพราะเธอเป็นคนถักมันเองกับมือ หวังให้เด็กชายบรรณภัทรใช้ห้อยกระเป๋าเพื่อกันสลับกับของเพื่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาใช้มันเลย อายุอานามของเจ้าหมีตัวนี้ก็น่าจะน้อยกว่าเจ้าของอยู่ไม่กี่ปี


“หิวข้าวแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง จ้องสิ่งที่อยู่ในมือของตน


เมื่อได้ยินดังนั้นเนาวนิตย์จึงรีบรับกุญแจแล้วไขปลดโซ่ที่คล้องกับประตูรั้วแล้วเดินนำเข้าไปก่อน รอจนลูกเลี้ยงแทรกตัวตามมาจึงคล้องโซ่และล็อคด้วยแม่กุญแจดังเดิม


“บุ๋นเดินไปก่อนเลย เดี๋ยวไม่สบาย”


บรรณภัทรไม่ได้พูดอะไร เขายังคงยืนกางร่มรออยู่เช่นนั้น กระทั่งสองคนเดินเคียงภายใต้ร่มคันเดียวกันจนถึงชายคาบ้าน เด็กหนุ่มหุบร่มแล้วแขวนไว้กับฉากไม้ระแนงที่ใช้แขวนไม้ประดับกระถางเล็ก จากนั้นจึงเดินตามภรรยาใหม่ของผู้เป็นพ่อเข้าไปข้างใน รับกุญแจคืนก่อนขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง แม้หูจะได้ยินเสียงบอกให้รีบอาบน้ำสระผมแต่หาได้ใส่ใจ เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ก็โยนทั้งกระเป๋าและกุญแจลงบนเตียง ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ พรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และแล้ววันแสนธรรมดาสุดน่าเบื่อก็กำลังจะผ่านไปอีกวัน


เจ้าของห้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมองเพดานว่างเปล่า นึกขึ้นมาได้จึงล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกง ดึงอมยิ้มจูปาจุ๊ปส์รสโคล่าที่ได้จากสาวโต๊ะข้าง ๆ ที่ดันจับพลัดจับผลูมานั่งด้วยกันเกือบสองเทอมแล้ว เมื่อมือคลี่กระดาษยับยู่ยี่ออกจึงเห็นข้อความที่คนให้บรรจงเขียน


“สุขสันต์วันเกิดจ้ะบุ๋น”


บรรณภัทรยกยิ้มบางเบา อย่างน้อยก็มีสิ่งนี้ นมร้อนกับปาท่องโก๋และคำอวยพรของพ่อนี่แหละที่ทำให้พอยิ้มได้บ้าง เด็กหนุ่มถอนใจเบา ๆ วางของในมือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมานาฬิกาลูกตุ้มในห้องนอนของพ่อก็ตีบอกเวลาสามทุ่ม เด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าจากนั้นจึงเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง  ตอนที่โผล่หน้าเข้าไปในครัวน้านิตย์ก็ยกชามไข่ตุ๋นออกจากซึ้งพอดี


“ป่านนี้บุ๋นหิวแย่แล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นบรรณภัทรจึงเอ่ยขึ้น “ไข่ตุ๋นสุกพอดีเลย บุ๋นตักข้าวได้เลยนะ”


บรรณภัทรทำเพียงพยักหน้า เดินไปเปิดหม้อหุงข้าว ตักข้าวใส่จานสำหรับสองคน แล้วเดินตามคนอายุมากกว่าออกไปที่โต๊ะอาหาร เห็นเนาวนิตย์วางชามไข่ตุ๋นหมูสับโรยหน้าด้วยหอมแดงที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะ เขาจึงวางจานข้าวในตำแหน่งที่ตนเองนั่งประจำ ส่วนอีกจานวางในตำแหน่งตรงข้ามตรงที่ที่แม่เคยนั่ง รอกระทั่งฝ่ายนั้นกลับจากรินน้ำในครัวจึงนั่งตักอาหารกินเงียบ ๆ


“วันนี้ทานไข่ตุ๋นอย่างเดียวไปก่อนนะบุ๋น ตอนนั่งรถมาน้าตั้งใจจะทำหมูทอดให้ทานด้วย เปิดตู้เย็นถึงนึกได้ว่าใช้ทำเข้าต้มเครื่องไปหมดแล้ว” เนาวนิตย์เอ่ยขึ้น


“ทำพรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าบุ๋นไปซื้อให้” บรรณภัทรกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา แต่หากเขาเลื่อนตาขึ้นสักหน่อย คงพอได้เห็นรอยยิ้มบางเบาที่แต้มอยู่บนใบหน้าของคนฝั่งตรงข้ามบ้าง


บรรณภัทรนั่งเท้าคางมองตัวเลขดิจิทัลบนหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบสามนาที รออีกแค่ไม่กี่อึดใจวันแสนธรรมดาที่ถูกคนเราทึกทักจับจองเอาเป็นวันพิเศษสำหรับตัวเองก็จะผ่านไปแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจเบา ๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเหลียวกลับไปมอง


“ยังไม่นอนเหรอ” คนที่ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าออกมาเอ่ยขึ้น


“น้านิตย์มีอะไร”


“น้าเข้าไปนะ”


เจ้าของห้องพยักหน้าแล้วยืนขึ้น มองร่างเล็กที่แทรกตัวผ่านช่องประตูเข้ามา


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีของจะให้จ้ะ” ว่าแล้วก็ยื่นถุงกระดาษให้ เห็นบรรณภัทรรับไปเปิดดูจึงกล่าวต่อ “พ่อเขาไม่เห็นบุ๋นสะพายเป้ไปโรงเรียนนานแล้ว คิดว่าใบเก่าน่าจะพัง ก็เลยซื้อใบนี้มาให้”


“พ่อเหรอ” บรรณภัทรพึมพำ ดวงตาจับจ้องเป้สะพายหลังใบใหญ่ในถุงกระดาษ


“ถูกใจไหม”


คนถูกถามเลื่อนตาขึ้นสบแล้วตอบคำถามนั้นโดยการพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นน้าไม่รบกวนแล้วนะ” เนาวนิตย์กล่าวก่อนจะหันหลังกลับ มือจับลูกบิดประตูแต่เหมือนทั้งร่างถูกตรึงให้อยู่กับที่เพียงเพราะคำเรียกง่าย ๆ


“น้านิตย์...” บรรณภัทรพรูลมหายใจแล้วจึงพูดต่อ “...ขอบคุณครับ”


เจ้าของชื่อหันกลับมายิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ หญิงวัยใกล้สี่สิบเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้าน ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อเก็บล้างถ้วยชาม จากนั้นจึงตรวจตราความเรียบร้อยของประตูหน้าต่างซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายเหมือนเช่นเคย เธอเดินมานั่งลงที่โซฟา กดรีโมตเปิดโทรทัศน์แล้วเปลี่ยนช่องเลื่อนผ่านรายการข่าวภาคดึกจนมาหยุดที่บทบาทของนักแสดงคนโปรด พราว พิพัฒน์พล ในภาพยนตร์รักที่เคยสร้างชื่อเสียงให้เจ้าตัวในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมรางวัลดาราทัศน์เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ฉากข้ามผ่านกาลเวลาฟันฝ่าอุปสรรคของหญิงสาวผู้มีอายุอสงไขยกระทั่งได้พบชายคนรักยังคงสร้างน้ำตาให้แก่ผู้ดูได้ทุกครั้ง แม้ดวงตาของเนาวนิตย์จะจดจ่ออยู่ที่ภาพการสารภาพรักยามอาทิตย์อัสดงบนจอสี่เหลี่ยม แต่ในหัวกลับผุดเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดเมื่อตอนเย็น เธอมองไปรอบ ๆ พลางคิดว่าหากเมื่อหลายปีก่อนมิได้ตัดสินใจร่วมชีวิตกับเจ้าของบ้านหลังนี้ บางทีในตอนนี้เธออาจจะมีลูกสาวตัวน้อยคอยคลอเคลีย เรียก ‘คุณแม่คะ’ ‘คุณแม่ขา’ มีครอบครัวที่น่ารักแบบที่ผู้หญิงแทบทุกคนวาดฝันเอาไว้ก็เป็นได้ แต่ก็ป่วยการจะคิด ในเมื่อเธอเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับความเป็นไป

....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-11-2019 01:22:36
(ต่อค่ะ)

ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ช่วงเย็นทำให้การจราจรในย่านสำคัญของกรุงเทพมหานครแทบเป็นอัมพาต จนถึงเวลานี้แม้นาฬิกาจะแสดงว่ากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วันใหม่ แต่หากมองจากตึกสูงก็ยังคงเห็นแสงไฟบนทางพิเศษเคลื่อนตามกันช้า ๆ เป็นสายยาวไปจนไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ใด ที่อาคารจอดรถของอาคารชุดสุดหรูชานเมือง สปอร์ตซีดานสีดำติดฟิล์มมืดจอดสนิทที่มุมหนึ่ง หยดน้ำเกาะพราวทั่วทั้งคันบ่งบอกว่าเพิ่งขึ้นมาจอดได้เพียงไม่นาน แต่ภายในรถกลับไร้เงาของผู้เป็นเจ้าของ หากจะหาตัวก็คงยากสักหน่อย เพราะในระยะสองปีนี้ไม่มีใครเคยได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเขาที่อยู่หลังแว่นตากันแดดนั่นเลยสักครั้ง สำคัญไปกว่านั้นคอนโดมิเนียมแห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยของผู้มีอันจะกิน ดังนั้นจึงไม่มีใครเสียเวลามาสนใจเรื่องของใคร ไม่มีเพื่อนบ้านและการผูกมิตรใด ๆ เพราะต่างคนต่างใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อต้องการเปลี่ยนบรรยากาศหรือใช้เป็นจุดพักก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ แต่ละชั้นจึงมีห้องที่ใช้พักอาศัยจริงเพียงไม่กี่ห้อง โดยเฉพาะในชั้นยี่สิบซึ่งเป็นชั้นสูงสุดนี้ แทบไม่พบใครอื่นเลยนอกจากพนักงานทำความสะอาดและหญิงชาวต่างชาติกับลูกชายตัวเล็ก ๆ ของเธอ สองร่างสูงที่อำพรางใบหน้าด้วยแว่นตากันแดดและหมวกแก๊ปก้าวออกจากลิฟต์ก่อนจะเดินคู่กันไปจนเกือบสุดตามทางเดิน ปฐวีซึ่งเป็นเจ้าของห้องแตะคีย์การ์ดเปิดประตู เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเดินนำเข้าไปก่อน ปากก็บ่นกับตัวเองไปด้วย


“ถึงสักที เมื่อยจะแย่”


ศุภกานต์ดึงประตูปิดแล้วหันมายิ้ม “นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมง แถมยังต้องมาเจอรถติดอีก” ว่าแล้วก็สวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พาดคางลงบนบ่าแล้วกล่าวต่อ “เหนื่อยใช่ไหม กานต์บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรอ เดี๋ยวกานต์มาหาเอง”


“ก็อยากกินข้าวด้วย”


“ซื้อจากร้านสะดวกซื้อข้างล่างก็ได้นี่”


“ข้าวกล่องกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่ะเหรอ” ปฐวีหันมาถาม จงใจให้ปลายจมูกสัมผัสกับแก้มที่แม้ใกล้จะหมดวันเต็มทีแต่ก็ยังหอมไม่จาง “ไม่เอาด้วยหรอก วันนี้วันพิเศษจะกินแค่นั้นได้ยังไงกัน”


“วันพิเศษ วันอะไรเหรอ”


“ขี้ลืมจัง” กล่าวพลางหมุนตัวกลับมาสบตา “แก่แล้วเหรอ”


“ถ้าแก่แล้วจะยังรักหรือเปล่า” นักแสดงหนุ่มใช้ปลายนิ้วบีบจมูกของคนรักเบา ๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ายิ้ม ๆ


“บอกได้หรือยังว่าวันนี้พิเศษยังไง” 


“เมื่อคืนที่คุยกันกานต์บอกว่าวันนี้จะตามพี่มุ่ยเข้าไปที่ช่อง คุยกับผู้ใหญ่เกี่ยวกับละครเรื่องใหม่ไม่ใช่เหรอ”


“เรื่องนี้นี่เอง”


“แล้ว...นางเอกเป็นใครรู้หรือยัง”


“น้องพรีม”


ปฐวีถึงกับตาวาวเมื่อได้ยินชื่อนักแสดงหน้าใหม่ที่ตนเองชื่นชอบ “พรีม พริมา ที่ประกวดชนะเวที Smart Boys & Girls น่ะเหรอ”


“ใช่ คนนั้นแหละ”


“ตัวจริงน่ารักไหม”


“พูดถึงชื่อนี้ไม่ได้เลยนะ” ศุภกานต์กระชับวงแขนแน่นเข้า


“ตอบมาก่อน น้องพรีมตัวจริงน่ารักไหม”


นักแสดงหนุ่มไม่ตอบในทันที เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสลำคอระหงพร้อมกับเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือลงบนแนวสันกรามของคนช่างถาม “น่ารัก แต่...”


“แต่อะไร”


“แต่น่ารักสู้บางคนแถวนี้ไม่ได้หรอก” 


ปฐวีอมยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “วีจะได้ดูเมื่อไรเนี่ย”


“อืม...เริ่มถ่ายต้นปีหน้า คงจะได้ดูไม่เกินปลายปีมั้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชองครักษ์กับเจ้าหญิงก็เลยต้องไปถ่ายที่ต่างประเทศด้วย ไหนจะต้องไปเรียนการแสดงเพิ่ม เรียนยิงปืน ขี่ม้า แล้วก็เรียนศิลปะการต่อสู้ด้วย”


“ล...แล้ว...มีเลิฟซีนเยอะไหม”


“เยอะ” ศุภกานต์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ยังหาที่เรียนไม่ได้เลย” ว่าพลางลากนิ้วหัวแม่มือผ่านกลีบปากบาง


“อย่างกานต์ยังต้องเรียนอีกเหรอ น่าจะคล่องแล้วมั้ง เข้าวงการมาตั้งหลายปี”


คนฟังแกล้งส่ายหน้า “ทำไมเป็น ขอซ้อมกับวีก่อนได้ไหม เริ่มจาก...บทจูบดีไหม”


ไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหน ศุภกานต์ก็ตั้งใจจะครอบครองริมฝีปากชวนหลงใหลนี้อยู่แล้ว ดังนั้นนักแสดงหนุ่มจึงมิได้รอฟัง มือใหญ่ยึดลำคอไว้ก่อนจะประกบกลืนกินกลีบปากที่เผยอรับอย่างโหยหา หวังจะชดเชยวันเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันเพียงเพราะอีกฝ่ายต้องเดินทางตามบิดาไปเจรจาธุรกิจที่ต่างประเทศ


สองคนแลกจูบลึกซึ้ง ในที่สุดก็เป็นปฐวีที่ถอยเท้าเพราะไม่อาจต้านทานแรงบดเบียดทั้งที่ริมฝีปากและร่างกายท่อนล่างได้อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็แนบลงไปกับโซฟาเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบสูดอากาศเมื่อคนเหนือร่างเปลี่ยนที่หมายไปซุกไซ้ลำคอแทน จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงเมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้าใต้ชายเสื้อลูบไล้ข้างลำตัวเรื่อยมาถึงทรวงอกสร้างความหวามไหวจนเผลอใช้สองมือจิกลงบนบ่ากว้าง กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ปฐวียังไม่ทันได้ตั้งตัวความรู้สึกร้อนวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วเมื่อศุภกานต์ประทับจูบบนเนินเนื้อบนกระดูกไหลปลาร้า ไม่เพียงเท่านั้นยังดูดดึงขบเม้มเบา ๆ ทำเอาสติไม่รู้กับเนื้อกับตัว         


“ก...กานต์”


เจ้าของชื่อชะงัก ถอนริมฝีปากออกแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา


“อย่าให้เป็นรอยนะ”


คนฟังยิ้มพลางโคลงหัว อดคิดไม่ได้ว่าปฐวีระวังตัวยิ่งกว่าเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลสาธารณะเสียอีก อาจเพราะบิดาของอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ที่ต้องการเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป ใครก็รู้ว่าเจ้าสัวสุรชัยผู้นี้เลือกคบหาเฉพาะคนที่นำมาซึ่งประโยชน์แก่ตนเองและบริษัท แม้แต่ลูกชายคนเดียวก็ไม่มีเว้น ดังนั้นปฐวีจึงถูกผู้เป็นพ่อเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ ทั้งซื้อสภาพแวดล้อมและสังคมด้วยการให้เรียนโรงเรียนเอกชนอันดับหนึ่งของประเทศ จากนั้นก็ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศซึ่งมีชื่อเสียงด้านธุรกิจ กระทั่งตอนนี้ยังให้มาเรียนรู้งานที่บริษัทเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนรับช่วงกิจการของครอบครัวไปดูแล ตัวปฐวีเองไม่เคยปริปากบอกหรือแสดงออกให้พ่อรู้ว่าตนเองต้องการอะไร แต่ไหนแต่ไรก็ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดีไม่ให้พ่อต้องเสียใจหรือทำอะไรให้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลเรื่อยมา


ศุภกานต์ไม่ได้รับปากเพียงแต่หัวเราะเบา ๆ ยืดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดที่สวมเหวี่ยงไปอีกทาง 


“หัวเราะอะไร” คนถามลอบกลืนน้ำลาย เมื่อดวงตาไม่อาจละจากมัดกล้ามของชายหนุ่มที่เพิ่งขึ้นปกนิตยสารสุขภาพได้


“นึกถึงครั้งแรก...” นักแสดงหนุ่มหยุดไว้แค่นั้นเป็นอันรู้กัน ถาโถมเข้าหา มองคนใต้ร่างอย่างเอ็นดู “วีก็พูดแบบนี้ หลังจากนั้นทุกครั้ง...วีก็พูดแบบนี้”


“แล้วมันตลกตรงไหน” ปฐวีพึมพำขณะเสมองไปทางอื่น แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ดีเมื่อเรื่องเช่นนี้ถูกนำมาพูดถึง และยิ่งคนพูดทำสายตาหวานเยิ้มเช่นนั้นด้วยแล้วยิ่งพาหัวใจกระเจิดกระเจิง


“ไม่ได้ตลก กานต์แค่รู้สึกว่าน่ารักดี เหมือนตอนที่คบกันใหม่ ๆ” ว่าแล้วก็ใช้ศอกเท้าลงกับโซฟา เลื่อนมือขึ้นจับปลายคางให้อีกฝ่ายหันมาประสานสายตา ดวงตาคมมองสำรวจทั่วใบหน้าคนรัก แม้จะผ่านมาเกือบสามปีแต่การพบกันครั้งแรกบนเครื่องบินยังเป็นภาพจำที่ไม่อาจลบเลือน ทุกวันนี้ยังนึกขอบคุณปัญหาจุกจิกในกองถ่ายที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเที่ยวบินกะทันหันจนได้มีโอกาสนั่งใกล้กับหนุ่มรุ่นน้องผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์จนกลายเป็นรักแรกพบ คนชัดเจนตรงไปตรงมาเช่นศุภกานต์จึงไม่ลังเลที่จะทำความรู้จักแม้จะถูกผู้จัดการส่วนตัวทักท้วงก็ตาม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งที่สองคนช่วยกันถักทอประคับประคองมาถึงวันนี้


“จ้องอยู่ได้”


“เขินเหรอ หรือว่าอยากให้ทำต่อ”


“อย่าพูดมากได้ไหม”


นักแสดงหนุ่มยิ้มกริ่ม กำลังจะสานต่อเรื่องที่ทำค้างไว้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ศุภกานต์ถอนใจพลางซุกหน้าลงกับซอกคอของคนใต้ร่าง ดังนั้นจึงเป็นปฐวีที่ดึงโทรศัพท์ซึ่งเสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของอีกฝ่าย ดวงตาทอดมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกระทั่งสายตัดไป


“พี่มุ่ยโทรมา ไม่รับเหรอ”


“ไม่” ไม่พูดเปล่า ยังแกล้งส่ายหน้าให้อีกคนจั๊กจี้เล่น


“กานต์ ไม่งอแงน่า รับเร็ว เผื่อพี่มุ่ยมีธุระด่วน” ปฐวีทำเสียงดุเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกหน


“ก็ได้” ว่าแล้วก็นอนนิ่ง ๆ รออีกฝ่ายกดรับสายให้


ปฐวีวางโทรศัพท์แนบกับหูของคนรัก กระนั้นก็ยังมีเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกของคนปลายสายเล็ดลอดให้พอได้ยิน ผู้ที่โทรมาก็คือ ‘พี่มุ่ย’ ผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลนักแสดงหนุ่มมาตั้งแต่ต้น ศุภกานต์เคยเล่าว่าเธอเป็นศิษย์เก่าสถาบันเดียวกัน เป็นรุ่นพี่และยังเป็นผู้ชักชวนเขาเข้าสู่วงการบันเทิงอีกด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้จึงมากกว่าเพื่อนร่วมงานแต่เป็นพี่สาวกับน้องชายที่รู้ใจกัน แม้พี่มุ่ยจะไม่เห็นด้วยกับการคบหากันของเขาทั้งคู่ เนื่องจากศุภกานต์เพิ่งมีชื่อเสียงได้เพียงไม่นาน กระนั้นเธอก็ไม่เคยขัดขวางจนออกนอกหน้า มีแต่ตักเตือนด้วยความเป็นห่วงให้ต่างคนต่างระวังตัวเท่านั้น


“ครับพี่มุ่ย ไม่ลืมครับ กานต์ไปเองได้ พี่มุ่ยอยู่บ้านพักผ่อนเถอะ” นักแสดงหนุ่มหยุดฟังก่อนจะหาจังหวะกล่าวต่อ  “ทำไมดื้อแบบนี้นะ ...ครับ ๆ เอาแบบนี้ก็ได้ครับ”


เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงถอนหายใจยาว แต่สาเหตุของครั้งนี้ดูจะหนักหนากว่าเมื่อครู่ ปฐวีปล่อยให้อีกฝ่ายดึงโทรศัพท์จากมือไปกดวางสาย มองมันถูกโยนลงไปรวมกับเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่ใยดี 


“พี่มุ่ยโทรมาทำไมเหรอ”


“โทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้มีงานเปิดตัวสินค้าน่ะ” ศุภกานต์บอก แนบหูฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่างที่กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง
“ดึกป่านนี้ยังไม่นอนอีก ยิ่งไม่สบายอยู่”


“พี่มุ่ยไม่สบายเหรอ ถึงว่าทำไมวันนี้ผู้หญิงที่กางร่มมาส่งกานต์หน้าไม่คุ้นเลย”


“เป็นหวัดมาหลายวันแล้ว แถมยังซื้อยากินเอง บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป เมื่อเช้าพอคุยธุระที่ช่องเสร็จ กานต์ก็เลยให้ขับรถกานต์กลับบ้านไปเลย”


“แล้วพรุ่งนี้พี่มุ่ยจะไปกับกานต์ไหวเหรอ”


“กานต์บอกแล้วว่าไม่ต้องไป กานต์ไปเองได้ แต่พูดยังไงพี่มุ่ยก็ไม่ยอม รายนั้นเรื่องงานต้องมาก่อน”


“ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าให้วีไปส่งที่คอนโดไหม”


“ไม่ต้องหรอก พี่มุ่ยบอกให้กานต์รอที่นี่ บ่ายจะมารับ งานมีตอนค่ำ ๆ น่ะ”


คนฟังพยักหน้า “ดีจังเลยเนอะ ช่วงนี้งานพรีเซนเตอร์ก็เริ่มเยอะ ปีหน้ายังมีละครออนแอร์ตั้งสองเรื่อง”


“ไม่คุยเรื่องงานแล้วได้ไหม” ศุภกานต์กล่าวอู้อี้ เงยหน้าส่งสายตาอ้อนก่อนจะจุมพิตปลายคางมน “มาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า” ว่าแล้วก็ลากมือผ่านลำตัวขึ้นมาหยุดเคล้นคลึงเบา ๆ บนผิวเนื้อส่วนที่แค่สัมผัสนิดหน่อยก็แข็งเป็นไต


“ด...เดี๋ยว ก...กานต์”     


“รู้แล้วครับ สัญญาว่าจะไม่ทำให้เป็นรอย” เจ้าของชื่อส่งยิ้มหวาน ดึงมือข้างที่ยึดบ่าของตนเองมาแตะจูบไปตามข้อนิ้วจนครบทุกข้อแล้วจับกดลงกับโซฟา จากนั้นริมฝีปากได้รูปก็จูบเรื่อยมาจนถึงกลางอกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะถี่กระชั้น ในขณะที่มืออีกข้างลูบต่ำลงไปจนถึงโคนขาคลึงเคล้นไม่เว้นช่องว่าง


ปฐวีรู้สึกร้อนผ่าวราวกับมีกองไฟจุดขึ้นภายในห้อง หายใจไม่ทั่วท้องยามเมื่อคนคุมเกมลากปลายลิ้นผ่านจุดอ่อนไหว แม้จะแผ่วเบาแต่กลับทำให้ทั้งร่างบิดเร่าจนเสียการควบคุม ร้ายไปกว่านั้นเห็นจะเป็นประโยคทิ้งท้ายที่ทำเอาแทบหยุดหายใจ


“แต่ถ้าจากตรงนี้ลงไปถึง...” คนพูดจงใจหยุดไว้แค่นั้น “ก็คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะยังไงก็มีแค่กานต์คนเดียวที่ได้เห็น”


...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-11-2019 01:29:52
(ต่อค่ะ)


สองปีต่อมา


บรรณภัทรชะเง้อมองรถเก๋งกันชนหน้าบุบที่ค่อย ๆ แล่นมาจอดเทียบริมบาทวิถีหน้าสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งบนถนนงามวงศ์วาน เห็นรถกระตุกอยู่หลายครั้งกว่าจะหยุดก็เดาได้ทันทีว่าคนที่ขับมาไม่ใช่พ่อของตน เด็กหนุ่มกระชับเป้ใบโตแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง ถอดเป้วางบนตักพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นของพ่อ


“เบรกให้มันนิ่ม ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง สอนตั้งหลายครั้งแล้ว”


“นี่นิตย์ก็เบรกนิ่มที่สุดแล้วนะพี่” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแย้ง


“นิ่มที่ไหนกัน เมื่อกี้ตอนเบรกหัวพี่แทบทิ่ม”


“ถ้าอย่างนั้นลองอีกทีนะ” เนาวนิตย์กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง


“ไม่ต้องลองแล้ว ขับไปเถอะ เดี๋ยวรถจะติดไปถึงห้าแยกปากเกร็ด”


บรรณภัทรถอนใจอีกรอบก่อนจะเอ่ยขึ้น “บุ๋นขอลงแล้วนั่งรถเมล์กลับได้ไหม”


“ไม่ได้!” สองคนพร้อมใจกันหันมาตอบ เล่นเอาคนถามอ้าปากค้าง


“นั่งไปด้วยกันนี่แหละ” ผู้เป็นพ่อสรุป


“พี่บู๊มาขับก่อนได้ไหม ถึงตรงที่รถน้อย ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนให้นิตย์ขับ เหงื่อออกเต็มมือไปหมดแล้ว”


“ก็มัวแต่กลัวอยู่แบบนี้น่ะสิ หัดมาสองปีแล้วถึงขับไม่ได้สักที ค่อย ๆ ขับไป พอถึงหมู่บ้านก็ไปวนรอบบึงสักสามรอบ เอาให้คล่อง”


“ต...แต่ว่า...”


“ไปสักที บุ๋นหิวข้าวแล้ว”


เนาวนิตย์มองเด็กหนุ่มผ่านกระจก เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่สบอารมณ์จึงรีบออกรถ


“เบา ๆ หน่อย” บรรณวิชญ์บ่นอีกระลอก “เดี๋ยวก็ได้อีกแผลหรอก ท้ายรถเมล์ไม่ต้องเข้าไปใกล้นัก”


“จ้ะ รู้แล้ว ๆ” คนขับพึมพำ สองมือจับพวงมาลัยแน่น แขนเหยียดเกร็ง กระนั้นยังไม่วายหันมาพูดกับคนข้างหลัง “บุ๋นหยิบขนมออกมาทานได้เลยนะลูก วันนี้น้ากับพ่อแวะเข้าไปที่มหาวิทยาลัยก็เลยซื้อขนมที่บุ๋นชอบมาฝาก”


“มองทางด้วย อย่างมัวแต่คุย”


บรรณภัทรละสายตาจากรถรารอบข้างใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปากกระเป๋าผ้า ยื่นหน้าดูสิ่งที่อยู่ในนั้น พบว่ามันคือขนมปังอบกรอบจึงหยิบออกมาถุงหนึ่ง เด็กหนุ่มแกะห่อพลาสติกหยิบของชอบส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมพลางมองออกไปนอกกระจก รสหวานจากน้ำตาลผสมรสเค็มปะแล่มของเนยอย่างดีที่แทรกอยู่ในปากทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเจือรอยยิ้มแสนบางเบาจนแทบสังเกตไม่เห็น บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่คือภาพของนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังที่สุด ณ ขณะนี้ “ศุภกานต์ ศุภวัฒนา” ในวัยยี่สิบหกปี เจ้าของรางวัล “กินรีทองคำ” สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง “ลิขิตขัติยา” ประกบคู่กับ “พรีม พริมา” ซึ่งได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ละครเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มสติฟั่นเฟือนที่จู่ ๆ ก็ต้องมารับหน้าที่ราชองครักษ์คอยพิทักษ์ปกป้องเจ้าหญิง มีกำหนดออกอากาศเมื่อปลายปีก่อน เพียงออกอากาศไปได้ตอนเดียวก็ทำคู่พระนางดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน ได้รับความนิยมต่อเนื่องจนใคร ๆ ต่างกล่าวกันว่าในวันที่ละครถึงตอนอวสานถนนทุกสายในกรุงเทพฯ โล่งเป็นประวัติการ เพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้านเพื่อติดตามจุดจบของตัวร้ายและบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หลังละครอวสานไม่นานทั้งคู่ก็มีผลงานโฆษณาและถ่ายแบบนิตยาสารแฟชันร่วมกันตามมาอีกมากมาย แม้หลังจากนั้นต่างคนต่างแยกไปมีผลงานใหม่ แต่กระแสคู่รักนอกจอที่บรรดาแฟน ๆ ต่างก็อยากให้เป็นจริงยังแรงไม่หยุด จนมีเสียงเรียกร้องให้คู่ขวัญคู่นี้กลับร่วมงานกันอีกครั้ง ต้นสังกัดเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ ดังนั้นงานแถลงข่าวเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ของปีหน้าจึงมีชื่อของพระนางคู่นี้ไม่ผิดจากที่หลายคนคาดการณ์


“ดังจริง ๆ เลยนะสองคนนี้ มองไปทางไหนก็เจอ” บรรณวิชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายโฆษณาหน้าห้างสรรพสินค้า “เปลี่ยนช่องหนีละครก็ยังมาเจอโฆษณา คนดูไม่เบื่อกันบ้างหรือไง”


“พี่บู๊นี่ขี้บ่นจัง”


“หรือที่พี่พูดมันไม่จริง”


ผู้เป็นภรรยาถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบาย “จะเบื่อได้ยังไงจ๊ะ แสดงเก่งทั้งคู่ คนหนึ่งก็สวย อีกคนก็หล่อ สมกันจะตายไป”


“พูดอย่างนี้แสดงว่าเลิกชอบนางเอกคนนั้นแล้วสิ”


“นิตย์ไม่ได้เลิกชอบ แต่นิตย์ชอบหลายคนต่างหาก”


บรรณภัทรฟังผู้ใหญ่เถียงกันพลางส่ายหัว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆฝนตั้งเค้าอยู่ไกล ๆ แล้วให้รู้สึกใจหายนัก อาจเป็นเพราะวันนี้เพื่อน ๆ ที่สถาบันกวดวิชาพากันพูดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและการเลือกคณะ บางคนมุ่งมั่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง บางคนอยากไปอยู่ไกลครอบครัวเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอิสระ หรือบางคนก็ตั้งเป้าจะศึกษาต่อต่างประเทศเพราะชื่อว่าจะนำโอกาสที่ดีมาสู่ชีวิต ต่างคนต่างมีจุดหมายแตกกันกันไป และตัวเขาเองก็มีอยู่ในใจแล้ว รอเมื่อมีโอกาสก็จะบอกผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร 


เมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตหมู่บ้านย่านประชาชื่น เนาวนิตย์ก็ตรงไปที่บึงน้ำขนาดใหญ่ ตั้งใจจะขับวนสักสามรอบตามที่ผู้เป็นสามีกำหนดไว้ แต่ลมฝนที่พัดพาเมฆก้อนใหญ่มารวมกันเป็นกระจุกทำให้ต้องล้มเลิก ขับไปได้เพียงรอบครึ่งจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน บรรณภัทรที่นั่งสัปหงกคอพับคออ่อนสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ รถก็หยุด ได้ยินเสียงพ่อบ่นและคำขอโทษขอโพยจากคนขับ


“แท็กซี่ที่ไหนมาจอดหน้าประตูบ้าน”


“เห็นบ้านปิดเลยมาจอดพักละมั้งจ๊ะ เดี๋ยวนิตย์จะลงไปบอกให้เขาขยับหน่อย เราจะเอารถเข้าบ้าน”


ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพยักหน้า เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูลงจากรถ จึงเปิดฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมไปนั่งที่ฝั่งคนขับ มองผู้เป็นภรรยาเจรจากับคนขับรถแท็กซี่ ครู่หนึ่งแท็กซี่สีเขียวเหลืองจึงขยับเดินหน้าไป เมื่อเนาวนิตย์เปิดประตูรั้ว บรรณวิชญ์จึงขับเข้าไปจอดในโรงรถ


บรรณภัทรสะพายเป้ คว้าข้าวของที่เบาะหลังแล้วเปิดประตูลงจากรถ รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเป็นกอง เวลาพ่อสอนน้านิตย์ขับรถทีไร เมื่อยทั้งหูเมื่อทั้งเท้าทุกที ที่เมื่อยหูก็เพราะต้องฟังสองคนเถียงกัน ส่วนเมื่อยเท้าก็เพราะต้องช่วยน้านิตย์เหยียบเบรก ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งเขาจึงหลับมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“บุ๋น”


เจ้าของชื่อชะงัก เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของน้านิตย์ หากแต่เป็นเสียงของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว เด็กหนุ่มสบตาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่อีกฝั่งก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปมอง ที่เดินนำหน้ามาคือน้านิตย์ ส่วนคนที่เดินตามหลัง...


“แม่” บรรณภัทรกล่าวเสียงแผ่ว ไม่กล้านับเลยว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ใช้คำเรียกนี้


“เข้าบ้านกันก่อนดีไหมจ๊ะ ฝนใกล้จะตกแล้ว” เนาวนิตย์เสนอเมื่อเห็นพ่อลูกเอาแต่ยืนนิ่ง และเมื่อทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้าน เธอจึงหลบเข้าไปในครัวเพื่อปล่อยให้ทั้งสามคนได้พูดคุยกัน


“คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงมาที่นี่”


อดีตภรรยามิได้ตอบ แต่หันไปหาลูกชายที่เพิ่งวางข้าวของในมือลงบนโต๊ะ “บุ๋นเป็นยังไงบ้างลูก”


“สบายดี... สบายดีครับ”


“พักนี้ไม่ค่อยตอบข้อความของแม่เลย เรียนหนักเหรอลูก”


เด็กหนุ่มหยักหน้า จากหางตาเห็นผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังเดินไปนั่งลงที่โซฟาจึงกล่าว “แม่นั่งก่อนไหม”


ได้ฟังดังนั้นคนเป็นแม่ก็เดินตามไปนั่ง “ปีนี้บุ๋นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วใช่ไหมลูก”


“ครับ”


“ที่แม่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องนี้” พูดจบจึงหันไปทางอดีตสามี “เรื่องที่ฉันเคยคุยกับคุณไว้นานแล้ว ฉันอยากมารับลูกไปอยู่ด้วยกัน เรียนมหาวิทยาลัยที่โน่นโอกาสได้งานดีเงินดีน่าจะมีมากกว่า”


บรรณวิชญ์สบตาคนเคยรัก มองหน้าลูกชายแล้วตอบเพียงสั้น ๆ “ผมแล้วแต่ลูก”


“ลูกอ่านข้อมูลมหาวิทยาลัยที่แม่ส่งให้แล้วใช่ไหม”


ลูกชายพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าทั้งท่าทางและน้ำเสียงที่แม่ใช้กับเขานั้นนุ่มนวลกว่าตอนพูดกับพ่อเป็นไหน ๆ


“บุ๋นชอบไหมลูก อยากไปเรียนที่นั่น อยากไปอยู่ด้วยกันกับแม่หรือเปล่า”


เด็กหนุ่มยืนนิ่งเบนสายตาไปยังผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ในอาการเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนพูดมากเมื่อชั่วโมงก่อนหายไปไหนเสียแล้ว


“ไม่ต้องกังวลนะบุ๋น ไปเรียนภาษาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ แต่แม่ว่าบิสิเนสหรือมาร์เก็ตติ้งก็น่าจะดี”


“ให้ลูกเลือกเองเถอะ” ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสามีแทรกขึ้น


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ” คนพูดกล่าวเสียงแข็งด้วยความลืมตัว เมื่อนึกได้ว่าไม่สมควรจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “ฉันขอคุยกับลูกตามลำพังได้ไหม แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ที่คลอดบุ๋นมา ฉันต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกอยู่แล้ว”


บรรณภัทรฟังคำที่แม่พูดกับพ่อ จู่ ๆ อาการแบบนั้นก็หวนคืนมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวเร็ว รู้สึกเหมือนตนเองถูกขังอยู่ในห้องที่ทั้งมืดและแคบ มันอึดอัดและหายใจไม่ออก หากเป็นก่อนหน้านี้สองคนคงเปิดฉากทะเลาะกันไปแล้ว ครั้งนี้พ่อของเขาไม่เพียงมิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ยังลุกขึ้นเดินออกไปเงียบ ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำรดต้นไม้ที่หน้าบ้านทั้งที่ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว


“นั่งก่อนสิบุ๋น แม่อยากคุยด้วย”


เจ้าของชื่อถอดเป้เตรียมจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แต่ถูกผู้เป็นแม่เรียกเอาไว้ “นั่งใกล้ ๆ แม่สิ”


บรรณภัทรนั่งห่างจากผู้เป็นแม่ไม่มากนัก ใช้โอกาสนี้ลอบสำรวจ ยอมรับว่าแม่สวยขึ้นจากเดิมมาก ดูมีน้ำมีนวลไม่เหมือนแม่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นถ้าไม่หน้าเยิ้มอยู่ในครัวก็ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะต้องทำงานบ้าน หรือนั่งเย็บผ้าโหลจนไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย กลับกัน...ตอนนี้คนที่มาอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็คือน้านิตย์ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของลูกชายในยามนี้ทำให้คาดคะเนได้ว่าตั้งแต่แต่งงานใหม่ชีวิตของแม่คงดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น แม่ไม่เปลี่ยนไปเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกหากแต่ยังมีบางสิ่งที่บรรณภัทรรู้สึกว่าคนเป็นลูกเช่นเขาไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว


“แม่อยากให้บุ๋นได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ จะได้มีงานดี ๆ ทำ อีกอย่างลุงเขาทำธุรกิจ พอบุ๋นเรียนจบแม่จะบอกให้เขารับบุ๋นเข้าทำงานที่บริษัทของเขา”


บรรณภัทรนึกถึงเจ้าของรถคันหรูคันที่พาแม่มาหาเขาที่โรงเรียนในวันนั้น คนที่แม่ให้เขายกมือไหว้ กล่าวสวัสดี และให้เรียกว่า “คุณลุง” กว่าจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นสามีใหม่ของแม่ก็ตอนที่แม่ส่งภาพถ่ายครอบครัวมาให้ดู


“ที่นี่ก็มีมหาวิทยาลัยดี ๆ ตั้งเยอะ”


“แต่ว่า...”   


“บุ๋นไม่ไป” เด็กหนุ่มไม่อ้อมค้อม


“ลองคิดให้ดีนะลูก นี่คือโอกาสที่ลูกจะได้เรียนในที่ดี ๆ มีโอกาสที่จะก้าวหน้าสูง”


“บุ๋นไม่ไป”


ผู้เป็นแม่ถอนใจเมื่อสิ่งที่เธอคาดเดาเอาไว้เป็นจริง “ทำไม”


“บุ๋นไม่อยากไป”


“แต่แม่หวังดีกับบุ๋นนะ”


“บุ๋นรู้ว่าแม่หวังดี แล้วบุ๋นก็ขอบคุณแม่ด้วย แต่บุ๋นไม่อยากไปจริง ๆ” บรรณภัทรบอก แม้จะรู้สึกอึดอัดจนอยากหนีจากสถานการณ์นี้ให้ไกลแต่ก็พยายามรักษาน้ำเสียงสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติที่สุด เพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย


ผู้เป็นแม่ยื่นมือแตะบนหลังมือลูกชาย “แม่ก็แค่อยากจะฝากผีฝากไข้กับบุ๋น”


“แม่หมายความว่ายังไง” ลูกชายถามอย่างไม่เข้าใจ


“ลุงเขาเพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง แม่อยากให้บุ๋นไปอยู่ด้วยกัน ทำความรู้จักกับทุกคนไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งลุงเขาไม่อยู่แล้ว บุ๋นจะได้ช่วยแม่ดูแลธุรกิจของเขาเพราะน้องเองก็ยังเด็กมาก ถ้าไม่มีใครรับช่วงต่อทางฝ่ายภรรยาเก่าเขาคงต้องเข้ามาจัดการ”


เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าแต่ทำได้ไม่เต็มปอด ทั้งที่ประตูหน้าต่างยังเปิดให้ลมพัดผ่านแต่กลับรู้สึกว่าอากาศรอบ ๆ น้อยนิดเหลือเกิน นึกทบทวนทำให้คิดได้ว่าการที่แม่เงียบหายไปคงด้วยเหตุนี้กระมัง


“ไปอยู่กับแม่นะลูก แม่รักบุ๋นนะ” ผู้เป็นแม่กล่าวน้ำตารื้น บีบมือลูกชายเป็นการขอร้อง


บรรณภัทรโคลงหัว ไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แม่อยากให้เขาไปอยู่ด้วยเพราะสามีใหม่ป่วยด้วยโรคร้าย และกลัวว่าหากไม่มีใครรับช่วงธุรกิจภรรยาเก่าของสามีก็จะเข้ามาแทรกแซง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า


“รักเหรอ” ริมฝีปากแห้งผากพึมพำกับตัวเองพลางชักมือออก พยายามกลั้นน้ำตา “มันยังมีอยู่จริงเหรอแม่ ถ้าแม่รักบุ๋น แม่คงไม่ทิ้งพวกเราไปอยู่กับเขาหรอก หรือถ้าแม่บอกว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว แต่แม่ยังรักบุ๋นอยู่บ้าง วันนี้แม่คงไม่มาพูดกับบุ๋นแบบนี้”


ในที่สุดบรรณภัทรก็สรุปได้ว่า “ความรัก” คือสิ่งที่ลูกชายเช่นเขาไม่อาจเรียกคืนจากผู้เป็นแม่ได้อีกแล้ว และในตอนนี้เขาก็โตพอที่จะไม่ร่ำร้องหามัน  ไม่สิ...ไม่ใช่ไม่ร้องหามัน แต่ไม่กล้าเรียกร้องต่างหาก แม้ไออุ่นจากอ้อมของแม่ยังไม่กล้านึกถึงเลยด้วยซ้ำไป


“บุ๋น ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้ละลูก” ผู้เป็นแม่กลืนก้อนสะอื้นลงคอ “พ่อเขาสอนให้ลูกเกลียดแม่ใช่ไหม”


“บุ๋นไม่ได้เกลียดแม่ แล้วพ่อก็ไม่เคยสอนอะไรแบบนั้น บุ๋นขอโทษนะแม่ที่ทำอย่างที่แม่ต้องการไม่ได้ แม่อย่าพยายามอีกเลย”


หญิงวัยกลางคนนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกชายได้จึงลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน ดวงตาแดงก่ำหยุดที่ใบหน้าเรียบนิ่งของอดีตสามีที่ยืนกางร่มรออยู่นอกชายคา


“คงนึกสะใจสินะที่ได้ลูกไป” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้


บรรณวิชญ์ส่ายหัว “ไม่ใช่ผมที่ได้เขามา แต่คุณเองต่างหากที่ไม่เอาเขาไปตั้งแต่แรก”


คำพูดนั้นเล่นเอาจุกจนคนฟังกำหมัดแน่น เบนสายตาไปยังม่านน้ำฝนขาวโพลน “คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไร”


“ผมรู้ ผมไม่เคยลืมหรอก ทั้งเรื่องนั้นแล้วก็สัญญาระหว่างเรา ที่ผมไม่รู้คือคุณคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้ คุณอย่าลืมว่าลูกน่ะ เราเลี้ยงเขาได้แค่ตัว ไม่ว่าจะอยู่กับผมหรืออยู่กับคุณ ไม่ว่าเราจะกอดเขาแน่นแค่ไหน วันหนึ่งเขาก็ต้องไปจากอ้อมแขนของเรา เพราะใจของเขามันเป็นของเขา” พูดจบก็ส่งร่มอีกคันให้อดีตภรรยาแต่เธอกลับปัดมันทิ้ง


แม้จะมีเสียงลมฝนแทรกอยู่ตลอดเวลา แต่บรรณภัทรก็พอจะได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกัน ดวงตาที่ฉาบด้วยน้ำใสมองร่มสีสวยที่ปลิวคว้างกระเด็นกระดอนไปตามแรงลม ร่มคันนั้นคงไม่ต่างจากหัวใจของเขาในตอนนี้ ตอนที่มองเห็นแม่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถที่จอดอยู่ ไม่ถึงอึดใจแท็กซี่สีเขียวเหลืองก็เคลื่อนออกจากไป เด็กหนุ่มพรูลมหายใจหันหลังกลับเข้าบ้าน มองเข้าไปในครัวเห็นน้านิตย์ยืนหั่นผักอย่างเหม่อลอย ส่วนพ่อเดินอ้อมไปที่หลังบ้าน ตัวเขาเองจึงคว้าเป้ขึ้นไปยังห้องนอน ทันทีที่ดึงประตูปิดก็วางเป้ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง อากาศเวลานี้เย็นสบายแต่รอบกระบอกตากลับร้อนผ่าว รู้สึกปวดหัวราวกับถูกบีบด้วยคีมขนาดใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเยาว์ฉายวนตั้งแต่ต้นจนจบซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดบรรณภัทรก็ผลอยหลับไปทั้งน้ำตา และมาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู


เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง เห็นตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเกือบสองทุ่มครึ่ง คิดว่าตัวเองหูแว่วหรือไม่ก็คงจะหลับฝันไป แต่เมื่อยกมือขึ้นขยี้ตาพลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำขออนุญาตเช่นเคย


“น้าเข้าไปนะ น้าจะมาเรียกไปทานข้าว เมื่อตอนหัวค่ำน้าขึ้นมาทีหนึ่งแล้ว เห็นว่าบุ๋นหลับอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุก”


“เดี๋ยวบุ๋นลงไป”


เจ้าของห้องลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาก่อนจะตามลงไปในครัว เห็นมีกับข้าว 2-3 จานวางอยู่บนโต๊ะ แต่ละจานแหว่งไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“น้าอุ่นกับข้าวไว้ให้แล้ว บุ๋นตักข้าวทานได้เลยนะ พ่อกับน้าทานกันไปแล้ว”


บรรณภัทรมองร่างเล็กที่กำลังหันหลังล้างจานชามก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วพ่อล่ะ”


“อยู่ที่ห้องเก็บของจ้ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบุ๋นมา”


ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกจากครัวตรงไปยังห้องเก็บของที่เพิ่งต่อเติมจากเดิมได้ไม่ถึงปี ภายในเต็มไปด้วยข้าวของตั้งแต่ครั้งปรับปรุงบ้านเมื่อกลางปีที่แล้ว เห็นพ่ออุ้มลังกระดาษแล้ววางบนพื้นก่อนจะนั่งลงดึงฝาที่ขัดกันอยู่ให้เปิดออก พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบรถบังคับวิทยุกับข้าวของอีกหลายอย่างออกมาวาง บรรณภัทรจำได้ว่าทั้งกระติกน้ำ กล่องดินสอ หุ่นยนต์ รถบังคับ และสมุดหนังสือพวกนั้นล้วนเป็นของที่พ่อซื้อให้ในตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อย บางอย่างพ่อก็ตั้งใจซื้อให้ ในขณะที่บางอย่างเป็นสิ่งที่แลกมาด้วยน้ำตาของเด็กชายเอาแต่ใจ


“ทำอะไรอยู่น่ะพ่อ” ลูกชายกล่าวก่อนจะนั่งลง 


“พรุ่งนี้พ่อนัดกับคนรับซื้อของเก่าไว้ ก็เลยมาดูว่ามีอะไรที่พอจะทิ้งได้บ้าง”


“ก็ไม่เห็นจะทิ้งได้สักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่กองเต็มห้องเก็บของหรอก”


ผู้ป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ยิ้มและถอนใจไปพร้อมกัน “จริงของแก ของบางอย่างน่าทิ้ง แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ได้สักที” พูดจบก็ดึงอัลบั้มรูปที่อยู่ก้นกล่องมาวางบนตัก มือลูบบนผ้าปักดิ้นทองเป็นลวดลายหงส์คู่ก่อนจะเปิดดู มันเป็นภาพสมัยแต่งงานของเขาและเธอ...แม่ของบรรณภัทร


“นี่แม่ตอนสาว ๆ เหรอ”


บรรณวิชญ์พยักหน้า พลิกดูรูปไปเรื่อย


“บุ๋นไม่เคยเห็นอัลบั้มนี้เลย”


“เป็นอัลบั้มรูปตอนที่พ่อกับแม่แต่งงานกันน่ะ”


ลูกชายพยักหน้า “ขอดูหน่อย” พูดจบก็ดึงอัลบั้มจากตักของผู้เป็นพ่อมาดูบ้าง “ตอนนั้นพ่อยังผอมอยู่เลย หล่อเสียด้วย”


“แล้วตอนนี้ล่ะ”


บรรณภัทรเลื่อนตาขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ได้ยินเสียงบ่น “ไอ้ลูกคนนี้” จึงพูดกลั้วหัวเราะ “หล่อ ๆ ตอนนี้ก็ยังหล่อ”


“พอจะสู้พระเอกที่น้านิตย์เขาปลื้มได้ไหม”


“ใคร ศุภกานต์อะไรนั่นน่ะเหรอ”


“นั่นละ”


“พ่อกินขาดอยู่แล้ว สูงชะลูด ตูดปอด ยอดขุนพล”


“บุ๋น เอาความจริง”


ลูกชายขำพรืด “พ่อสูงให้เท่าเขาก่อนค่อยคิดสู้เรื่องความหล่อเถอะ” ปากพูดไปในขณะที่ดวงตาจับจ้องภาพคู่บ่าวสาวที่นั่งเคียงกันพาดแขนบนเบาะรองบนตั่งสำหรับรดน้ำสังข์ “รูปนี้แม่ไม่ยิ้มเลย จริง ๆ ก็ไม่ยิ้มแทบทุกรูป”


บรรณวิชญ์ไม่ได้แสดงความเห็น เขาละสายตาจากภาพนั้นก่อนจะหันไปรื้อของที่เหลือในลังกระดาษ หูยังคงได้ยินเสียงพลิกไส้พลาสติกชนิดหนาสำหรับใส่รูป


“พ่อรักแม่มากไหม” จู่ ๆ ลูกชายก็ถามขึ้น


“มาก”


“แล้วแม่ล่ะ รักพ่อมากหรือเปล่า ทำไมไม่ตอบ” บรรณภัทรเม้มปากแน่นเมื่อการไม่ตอบของพ่อนับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มือขาวปิดอัลบั้มลงทั้งที่ดูไปได้เพียงครึ่งแล้วส่งคืนเจ้าของ ในขณะที่พ่อเองก็รับไปโดยไม่คิดจะเปิดดูอีก


“เกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหรือเปล่า”


คนฟังชะงัก ค่อย ๆ วางอัลบั้มลงในกล่อง


“พ่อกับแม่สัญญาอะไรกันไว้ บอกบุ๋นได้ไหม”


บรรณวิชญ์พรูลมหายใจยาวราวกับว่ามันจะช่วยพาเรื่องราวทั้งหมดในใจปลิวหายไปในอากาศ แต่ก็ไม่... มือใหญ่เอื้อมหยิบของที่วางอยู่รอบตัวคืนกล่องแล้วกล่าว “ที่แม่เขาไม่ยิ้มเพราะเขาไม่ได้เต็มใจแต่งงาน แต่ที่ต้องแต่งก็เพราะว่า...” ยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมาผู้เป็นพ่อจึงหยุดไว้เพียงเท่านั้น


“ไม่ได้รักกันหรอกเหรอ” บรรณภัทรฝืนพูดต่อ สมัยเด็กเคยคิดว่าตนเองเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ถึงตอนนี้จึงรู้ว่าคิดผิดถนัด


“แม่เขามีคนที่รักอยู่แล้ว คบกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่พ่อแม่ฝ่ายนั้นเขาก็มีคนที่จะทาบทามให้เป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว”


“แล้วเขาก็ยอมเหรอพ่อ”


“เขาต้องยอม เพราะพ่อของเขาป่วยหนัก อยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาในตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ เจอสถานการณ์แบบนี้ ลูกคนไหนก็ต้องยอม”


“อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอ ยอมแต่งงานตามใจพ่อแม่ อย่างกับละคร” เด็กหนุ่มพึมพำ


“ละครก็สร้างจากชีวิตจริง ตอนที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกจะรู้ว่ามีเหตุผลมากมายที่บีดบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำบางอย่าง ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการฝืนใจ”


“แล้วแม่ล่ะ แม่เป็นยังไงบ้าง”


“แม่ของลูกเสียใจมาก ตอนนั้นเพื่อน ๆ ของแม่ก็เลยพาพ่อมาแนะนำให้รู้จัก เราเริ่มต้นความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อน แต่พ่อเองที่อาศัยช่วงเวลาที่แม่อ่อนแอที่สุดพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้อยู่ในสายตาของเขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาใจอ่อน ตอนนั้นเรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ก็เลยไม่ทันได้คิดถึงอนาคต ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่งลงไป”


“พ่อทำแม่ท้อง?”


ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก พ่อตัดสินใจขอแม่แต่งงานเพราะไม่อยากให้แม่ต้องเสียหาย ดังนั้นเราก็เลยตกลงว่าจะช่วยกันเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งก็คือถ้าหากทางฝ่ายนั้นหมดภาระเรื่องครอบครัวและพร้อมที่จะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันเมื่อไร พ่อจะต้องปล่อยให้แม่ออกไปใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก” บรรณวิชญ์ถอนใจเฮือก “ตอนนั้นก็สัญญาไปอย่างนั้น คิดว่ายังไงวันหนึ่งต้องทำให้แม่ยอมใจอ่อนรักพ่อให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่ลูกเห็น”


“ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดว่างั้นเถอะ”


บรรณวิชญ์ยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้ง ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ “พ่อยอมรับ เราไม่คิดว่าจู่ ๆ ลูกจะมา แต่พอรู้ว่าจะมีลูก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองความเป็นครอบครัวเอาไว้ ลูกอาจจะเกิดจากความรักที่พ่อมีให้แม่อยู่ฝ่ายเดียว แต่พ่อมั่นใจว่าตอนที่ลูกเกิดมา ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าใครจะรักใครหรือไม่ เราสนใจแค่ว่าเราต่างก็รักลูก และลูกคือคนที่มาเติมช่องว่างระหว่างพ่อกับแม่ให้เต็ม ถึงตอนนี้คงต้องขอโทษแก...”


“พ่อขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้แม่อยู่กับพวกเราไม่ได้”


บรรณภัทรขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทางเงอะงะ ไม่เคยต้องอยู่ในสถานการณ์จริงจังเช่นนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือปฏิบัติอย่างไร มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดแต่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาอย่างไร ทั้งมือไม้ก็ดูจะเกะกะไปหมด ในที่สุดจึงเอื้อมมือแตะที่แขนแล้วเอียงศีรษะอิงไหล่ผู้เป็นพ่อ “ไม่เป็นไร หรือถ้าอยากไถ่โทษ...ก็แค่บ่นให้น้อยลงหน่อยก็แล้วกัน”


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษหลาย ๆ คนที่ติดตามอ่านที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ (รู้สึกเหลวไหลมาก)
ตอนที่ตัดสินใจเปิดเรื่องใหม่ก็คิดว่าสบาย ๆ ไม่น่ามีอะไรแล้ว แต่พอมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
อย่างอื่นมันก็เปลี่ยนตามไปด้วยค่ะ งานเยอะมาก ๆ แต่ก็ยังเขียนวันละนิดวันละหน่อย
สำหรับตอนต่อไปก็น่าจะช้าอีกค่ะ เพราะว่าเรามีงานเขียนหนึ่งต้องรีบแก้ไขให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ไม่ใช่นิยายแต่ว่าเป็นงานเขียนเชิงวิชาการระดับเด็กน้อยที่อยากทำให้ออกมาดี ๆ ค่ะ
เผื่อว่ามันจะเป็นพลังงานสะสมที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งต่อไป
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ข้อความที่คนอ่านแสดงความสงสัย
เป็นแรงผลักดันให้เราอยากเขียนให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ จะพยายามไม่เหลวไหล (ถ้าไม่จำเป็นค่ะ)
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ
   
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-11-2019 02:56:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

โลเคชั่นเรื่องนี้  ไม่ใช่ภาคเหนือแฮะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-11-2019 23:39:01
แม่จะจบง่าย ๆ ไหมอ่า ปัญหาครอบครัวซับซ้อนแล้วจะมาดึงลูกไปยุ่งทำไม ไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-11-2019 03:45:56
เห็นชื่อก็เข้ามาอ่าน   ไม่ผิดหวังจริงๆ
ติดตามตอนต่อไป  ให้กำลังใจครบครัวบุ๋น
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-11-2019 09:46:46
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 2 ตัดสินใจ (5-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 07-11-2019 00:05:08
……


กลิ่นดราม่านิดๆ. มีไออบอุ่นจากครอบครัวหน่อยๆ

ติดตามตอนต่อไป…เรื่อย


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:


……
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 24-11-2019 22:03:31
ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง


รถเก๋งคันเก่าเคลื่อนผ่านด่านเก็บเงินทางพิเศษมาได้ไม่นานก็ต้องหยุดเพราะการจราจรที่เริ่มชะลอตัว อาคารทรงโดมสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือเรอเนสซองซ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือจุดหมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นปลายทางที่ไม่อาจไปถึงได้ง่าย ๆ บรรณภัทรถอนหายใจเบา ๆ ดึงเป้ใบใหญ่มากอดไว้แน่น ร่องรอยการเย็บบริเวณรอยต่อสายสะพายกับฝั่งที่ใช้ใส่ของบ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน เด็กหนุ่มทอดตามองออกไปนอกกระจก แม้สมัยเด็กจะเคยมาย่านนี้อยู่บ่อยครั้งยามต้องเดินทางโดยรถไฟติดตามผู้เป็นพ่อไปเยี่ยมปู่ย่าที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ความรู้สึกคราวนี้ช่างแตกต่างด้วยรู้ว่าจะไม่มีพ่อไปด้วยกันดังเช่นที่ผ่านมา


"รถติดจังเลย วนเข้าไปก็ไม่รู้จะมีที่จอดไหม เดี๋ยวนิตย์ส่งพี่บู๊กับบุ๋นลงก่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา"


เนาวนิตย์ที่อาสาเป็นคนขับเอ่ยขึ้น ชะเง้อมองสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวมาได้สักพักพลางถอนเท้าจากเบรกปล่อยรถเคลื่อนตามคันข้างหน้า เมื่อจอดเทียบบาทวิถีสองพ่อลูกก็เปิดประตูลงจากรถ บรรณภัทรสะพายเป้มองตามโตโยต้าโคโรล่ารุ่นเก่าที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างไป จากนั้นจึงเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปภายในอาคาร


สถานีรถไฟกรุงเทพที่ปกติแน่นขนัดไปด้วยผู้คนรอเดินทาง บัดนี้ยิ่งแออัดเนื่องจากเป็นวันรับน้องรถไฟของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ บริเวณโถงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยบรรดาผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานและหนุ่มสาววัยอุดมศึกษาที่ยืนกระจัดกระจายปะปนไปกับผู้รอโดยสารรถไฟ บ้างสวมชุดนักศึกษา บ้างสวมชุดลำลองแต่แบ่งแยกกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างชัดเจนด้วยเสื้อยืดหลากสีสัน มีเสียงประกาศให้น้องใหม่ลงทะเบียนและรับป้ายชื่อ ณ จุดลงทะเบียนก่อนจะเข้าสู่ชานชาลาด้านใน


บรรณวิชญ์มองลูกชายที่กำลังหันซ้ายหันขวายืดคอชะเง้อ เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้สนใจเสียงประกาศจึงสืบเท้าเข้าไปใกล้ เอื้อมมือแตะไหล่แล้วเอ่ยขึ้น “มีเพื่อนที่โรงเรียนไปด้วยกันไหม”


บรรณภัทรหันมาส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกันพ่อ แต่ในห้องเดียวกันไม่มี”


"แกแน่ใจแล้วใช่ไหม ถ้าไม่อยากรอสอบใหม่ปีหน้า พ่อส่งแกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนได้นะ แกก็เห็นแล้วว่าสาขานี้เรียนจบมาแล้วเป็นยังไง"


"ก็เป็นบรรณารักษ์เหมือนพ่อไง”


“ยังจะทำเป็นเล่น แกเลือกสาขานี้ไว้เป็นอันดับที่สามเลยไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่ เอาน่าพ่อ บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ไปเรียนดูก่อน ถ้าไม่ดีปีหน้าค่อยว่ากัน" ลูกชายยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยพ่อ นี่บุ๋นจะไปเป็นรุ่นน้องพ่อแล้วนะ ไม่ภูมิใจเลยหรือไง”


ผู้เป็นพ่อถอนใจเฮือกโต โอบไหล่ลูกชายพร้อมกระชับมือแน่น “กลัวแม่แกเขาจะว่าเอาว่ามีปัญญาส่งแกเรียนได้แค่นี้”


“บุ๋นบอกพ่อแล้วไงว่าบุ๋นไม่ได้อยากไปเรียนเมืองนอก”


บรรณวิชญ์พยักหน้า ไม่ว่าจะพูดเรื่องนี้กันกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ยังยืนยันคำเดิม “ถ้าอย่างนั้นก็ไปลงทะเบียนได้แล้ว จะได้เข้าไปเจอเพื่อน ๆ ข้างใน”


“รออีกหน่อยนะพ่อ บุ๋นยังไม่อยากเข้าไป”


“รอใคร ไหนบอกว่าไม่มีเพื่อนไปด้วยกันไง”


“ก็ไม่ได้รอเพื่อน” บรรณภัทรกล่าวเบา ๆ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน หารู้ไม่ว่าขณะนี้พ่อของเขาพุ่งความสนใจไปที่เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ที่ยืนอออยู่หน้าประตูทางเข้าสถานีเสียแล้ว


การปรากฏตัวของดาราหนุ่ม ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’ นอกจากจะสร้างความฮือฮาให้แก่คนไทยที่อยู่ภายในสถานีรถไฟกรุงเทพแล้ว ยังเป็นที่สนใจของบรรดาชาวต่างชาติที่รอเดินทางอีกด้วย แม้จะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งมาถึงเป็นใคร แต่หลายคนก็ถือโอกาสหยิบกล้องคอมแพคตัวจิ๋วขึ้นมาบันทึกภาพ


บรรณภัทรเลื่อนสายตาตามร่างสูงที่ถูกผู้คนห้อมล้อม การแต่งกายของเขาช่างแตกต่างจากตอนที่ได้รับบทบาทคุณชายนักการทูตในละครย้อนยุคที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนก่อน หรือแม้แต่ในรายการซึ่งออกอากาศไปเมื่อคืนที่ทำเอาน้านิตย์นั่งดูจนดึกดื่น เป็นการสัมภาษณ์ที่บรรยากาศกันเองเอามาก ๆ แต่เสื้อผ้าหน้าผมของแขกรับเชิญกลับเนี้ยบราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชัน วันนี้ศุภกานต์มาในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดสีดำสกรีนลายเส้นสีขาวรูปนกพิราบ ผมเผ้าที่ไม่ได้ผ่านการจัดแต่งทรงและใบหน้าไร้เครื่องสำอางทำให้พระเอกหนุ่มวัยยี่สิบหกปีผู้นี้กลมกลืนไปกับบรรดานักศึกษาได้อย่างไม่ยาก


“เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกันเหรอเนี่ย นี่ถ้าน้านิตย์อยู่คงกรี๊ดสลบ”


ลูกชายยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่เพิ่งถูกพูดถึงก็เอ่ยขึ้น


“บุ๋น ยังไม่เข้าไปอีกเหรอลูก”


บรรณภัทรหันไปยังต้นเสียง จู่ ๆ รอยยิ้มบางเบาก็จุดขึ้นบนใบหน้า แม้แต่คนยิ้มเองก็ยังไม่รู้ตัว


“ไปได้ที่จอดตรงไหน” ผู้เป็นสามีถามเมื่อเห็นสภาพภรรยาที่ตอนนี้ไรผมเหนือหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“นิตย์วนอยู่หลายรอบก็ไม่มีที่จอด เลยไปจอดในวัดแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์มา” เธออธิบายก่อนจะหันไปทางลูกเลี้ยง “เมื่อกี้น้าเดินเลาะรั้วมาจากด้านหลัง เห็นเด็ก ๆ เขานั่งอยู่ข้างในเต็มไปหมด บุ๋นยังไม่เข้าไปอีกเหรอลูก”


“รออยู่” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ


เนาวนิตย์สบตาคนพูดอย่างแปลกใจ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็หันหลังให้ก่อนจะเดินไปยังจุดลงทะเบียน นอกจากตรงนั้นจะมีเด็ก ๆ ที่ต่อคิวรับป้ายแขวนคอและเสื้อสีประจำคณะแล้ว ข้าง ๆ ยังมีบรรดาไทยมุงและผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย


“นั่นเขามุงอะไรกันน่ะพี่บู๊”


“ดารามา”


“ใครเหรอจ๊ะพี่”


“ก็คนที่นิตย์นั่งดูสัมภาษณ์เมื่อคืนนี้ไง”


“กานต์ ศุภกานต์น่ะเหรอ ม...มา มา ๆ ถ่ายละครเหรอ”


เห็นอาการติดอ่างของภรรยาแล้วบรรณวิชญ์ถึงกับส่ายหน้า “คงไม่ได้มาถ่ายอะไรกันตอนนี้หรอก แค่นี้สถานีก็แทบจะแตกแล้ว คงเป็นศิษย์เก่ามาร่วมส่งน้องใหม่น่ะ”


เนาวนิตย์พยักหน้าพลางชะเง้อไปยังจุดเดิมอีกครั้ง เห็นบรรณภัทรฝ่าฝูงชนออกมา ร่างสูงกึ่งวิ่งกึ่งเดินทำเอาคนมองอดเป็นห่วงเป้ใบโตที่เย็บแล้วเย็บอีกไม่ได้ กลัวว่าจะขาดเสียก่อนจะไปถึงเชียงใหม่ แต่ถึงจะเอ่ยปากห้ามปรามอย่างไร อีกฝ่ายก็ดึงดันจะเอาเป้ใบเก่งใบนี้ไปด้วยกันให้ได้


“บุ๋นไปก่อนนะพ่อ” บรรณภัทรพูดขึ้นเมื่อมาถึง


ผู้เป็นพ่อพยักหน้า ดึงลูกชายที่ตอนนี้ตัวสูงกว่าตนเองกว่าคืบเข้ามากอด “ดูแลตัวเองด้วยนะ”


“พ่อก็ดูแลตัวเองดี ๆ ไว้ปิดเทอมเจอกัน” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงอู้อี้ กระชับวงแขนกอดพ่อแน่น ๆ อีกครั้งแล้วจึงผละออก


“ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าเพิ่งไปจีบใคร”


“ไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า” คนพูดมุ่นคิ้ว


“ดีแล้ว แต่ถ้าใครมาจีบละก็ บอกไปเลยว่าพ่อให้โฟกัสเรื่องเรียนก่อน”


คำพูดเลียนแบบดาราของผู้เป็นสามีทำเอาเนาวนิตย์ขำพรืด สงสัยว่าเธอจะชวนเขาดูรายการบันเทิงมากเกินไปหน่อยถึงได้เก็บเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาใช้ กระนั้นยังอดกระเซ้าไม่ได้ “หวงลูกชายเหรอจ๊ะ”


“แค่เป็นห่วง ไม่ได้หวง” คนปากแข็งพูดอ้อมแอ้ม”


“จ้ะ ห่วงก็ห่วง” พูดจบเนาวนิตย์ก็หันไปหาอีกคน “ไม่ต้องห่วงนะบุ๋น น้าจะดูแลพ่อให้”


บรรณภัทรฟังแล้วพยักหน้าก่อนจะยกมือไหว้ทั้งสองคน เมื่อคิดว่าถึงเวลาที่ต้องจากกันจริง ๆ แล้วจึงหันหลังให้ ขายาวก้าวสั้น ๆ หลบหลีกผู้คนที่เดินสวนกันไปมา เมื่อใกล้ถึงประตูซึ่งเชื่อมต่อกับชานชาลาพลันหูได้ยินเสียงเรียกชื่อจึงหยุด เหลียวกลับไปมอง เห็นน้านิตย์กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา


“น้านิตย์มีอะไรหรือเปล่า”


“น้ามัวแต่คุย เกือบลืมว่ามีของจะให้บุ๋น” พูดจบก็ใช้มือควานลงในกระเป๋าสะพายแล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมา “เห็นตัวเก่าขาดแล้วน้าเลยถักตัวใหม่ให้”


บรรณภัทรมองตุ๊กตารูปหมีสีน้ำตาลถักด้วยไหมพรมในมือของอีกฝ่ายพลางนึกถึงตัวเก่าที่เปื่อยจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกจนต้องปลดระวางเก็บมันไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือที่บ้าน


“ไม่ค่อยสวยเท่าไรนะบุ๋น น้าไม่ได้ถักตั้งนานแล้ว”


เด็กหนุ่มรับพวงกุญแจตุ๊กตาถักนั้นมา มองอย่างพิจารณาพลางยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าหมีหน้าเบี้ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนให้ “ขอบคุณครับ”


แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายมิได้ตั้งใจยิ้มให้ตน แต่เนาวนิตย์ก็อดหัวใจพองโตกับรอยยิ้มที่ได้รับเจียดจากเจ้าตุ๊กตาถักรูปหมีสีน้ำตาลไม่ได้ มัวแต่ดีใจจนเกือบจะถูกกลุ่มคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังพระเอกหนุ่มชนเข้าเสียแล้ว ดีที่บรรณภัทรคว้าแขนดึงให้หลีกทางได้ทัน


"ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีเสียอีก" หญิงวัยกลางคนพึมพำขณะดวงตาจับจ้องคนตัวสูงที่เพิ่งเดินผ่านไป


บรรณภัทรละสายตาจากชายหนุ่มที่มีแต่คนห้อมล้อม จัดการยัดเจ้าหมีน้อยลงในกระเป๋ากางเกงแล้วกล่าว "บุ๋นไปนะ" พูดจบก็เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในพร้อมกับเสียงประกาศให้น้องใหม่มารวมตัวกันบริเวณลานหน้าชานชาลาที่ขณะนี้เต็มไปด้วยบรรดานักศึกษา ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน


บนเวทีเตี้ย ๆ ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้ ได้ยินเสียงเพลงประจำมหาวิทยาลัยคลอเบา ๆ เด็กหนุ่มกวาดตามองอยู่ไม่นานก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ คณะเดียวกัน ต่างคนต่างปลดเป้สะพายหลังเพื่อร่วมกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่รุ่นพี่จัดขึ้น เมื่อใกล้ถึงเวลาจึงมีเสียงประกาศให้นักศึกษาใหม่นั่งประจำ จากนั้นพิธีการต่าง ๆ ก็ดำเนินไป เริ่มจากการขึ้นกล่าวต้อนรับและให้โอวาทของประธานในพิธีซึ่งเป็นอาจารย์ระดับผู้บริหารมหาวิทยาลัย การแสดงระบำรำฟ้อน ไปจนถึงการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่มาร่วมงานในวันนี้ และหนึ่งในก็คือนักแสดงเจ้าบทบาท ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’


"ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่กานต์ ศุภกานต์ ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเราด้วยค่ะ"


สิ้นเสียงพิธีกรหญิงหน้าจิ้มลิ้ม เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องผสมผเสกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของหลาย ๆ คน หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งพากันขยับเพื่อเปิดทาง ชั่วอึดใจนักแสดงชื่อดังก็ขึ้นไปยืนสูงเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวทีราวกับหม่อมราชวงศ์ปานรพี นักหารทูตหนุ่มหล่อประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลุดออกมาจากนิยาย


"คุณชายปานรพีของเรานั่นเองนะครับ" พิธิกรชายแซวก่อนจะเชิญให้นั่ง


"ก่อนอื่นให้พี่กานต์แนะนำตัวดีกว่าค่ะ"


"สวัสดีครับ"


ศุภกานต์แค่ทักทาย เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มรอจนทุกคนเงียบจึงกล่าวต่อ "กานต์ ศุภกานต์ ศุภวัฒนา ศิษย์เก่าภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ครับ" จบประโยคนั้นหนุ่มสาวชาวมนุษยศาสตร์ก็พากับปรบมือรับพร้อมกับโห่ร้องด้วยความยินดี


"ศิษย์เก่าแมสคอมของเรานี่เองนะคะ"


"ตอนนี้เป็นคณะแล้วใช่ไหม" นักแสดงหนุ่มกระซิบถาม


"ใข่ค่ะ ตอนนี้เป็นคณะสื่อสารมวลชนแล้วค่ะพี่กานต์"


รอบนี้ถึงคราวชาวคณะสื่อสารมวลชนส่งเสียงบ้าง เมื่อเสียงงียบลงพิธีกรชายจึงถามต่อ "ขออนุญาตถามนะครับ พี่กานต์รหัสอะไรครับ"


"พี่รหัส 45"


"น้อง ๆ ที่เข้าใหม่ปีนี้รหัสอะไรกันครับ" คนเดิมกล่าวพร้อมกับยื่นไมโครโฟนออกไป ดังนั้นบรรดาน้องใหม่จึงต่างป้องปากตะโกน "รหัส 52"


"ห่างกันแค่เจ็ดปีเองนะครับ ยังถือว่ารุ่นเดียวกันอยู่"


ศุภกานต์ฟังแล้วยิ้มเขิน รู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายพยายามทำให้เขาดูไม่แก่จนเกินไป


"ทำไมพี่กานต์ถึงเลือกมาเรียนที่นี่คะ"


"เห็นว่าสาขานี้น่าสนใจก็เลยเลือกไว้เป็นอันดับที่สามครับ"


"แล้วตอนทราบว่าสอบติดตื่นเต้นไหมคะ"


"ถึงจะเป็นอันดับที่สาม แต่ก็ตื่นเต้นมากเลยครับ ขนาดทราบทางจดหมายแล้วยังอดนั่งรถเมล์จากบ้านไปดูผลสอบที่เกษตรไม่ได้"


"พี่กานต์เป็นคนกรุงเทพฯ ใช่ไหมครับ" อีกคนถาม


นักแสดงหนุ่มอมยิ้มก่อนจะตอบ "พี่เป็นลูกครึ่งครับ แม่เป็นคนลำพูน พ่อเป็นคนกรุงเทพฯ ตอนนั้นบ้านหลังเก่าอยู่แถวเจริญกรุงนี่เอง"


"ตอนที่ทราบว่าจะต้องไปเรียนเชียงใหม่มีลังเลบ้างไหมครับ”


“อย่างที่บอกครับว่าตอนสอบติดก็ตื่นเต้น แต่พอใกล้วันรับน้องรถไฟ อยู่ ๆ ก็ไม่อยากไป รู้สึกว่าเชียงใหม่ไกลจัง เพื่อน ๆ ก็เรียนในกรุงเทพฯ กันหมด แต่พอไปแล้วไม่อยากกลับ มันคงเป็นความอาลัยอาวรณ์” นักแสดงหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ดวงตาทอประกายราวกับภาพในอดีตปรากฏตรงหน้า “พี่คิดว่าถึงตอนนั้นทุกคนที่นี่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน”


การพูดคุยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ศิษย์เก่าหลากหลายอาชีพถูกเชิญขึ้นมาแบ่งปันประสบการณ์และความทรงจำในวัยเรียน และเมื่อถึงจังหวะที่ทุกคนเดินลงจากเวที บรรณภัทรจึงกระซิบบอกเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เพื่อฝากกระเป๋าก่อนคว้าเสื้อคลานออกจากแถว เดินหลบหลีกผู้คนไปยังห้องสุขา นอกจากจะปลดทุกข์ยังถือโอกาสนี้เปลี่ยนเสื้อให้เหมือนกับเพื่อน ๆ ด้วย เด็กหนุ่มเดินออกมาที่โถงใหญ่ภายในสถานีเมื่อทำธุระเรียบร้อย ตั้งใจจะกลับเข้าไปยังพื้นที่จัดกิจกรรมรับน้อง แต่เดินไปยังไม่ทันถึงประตูก็ต้องหยุดเพราะโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อดึงออกมาดูจึงพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งมาจาก 'คุณบรรณวิชญ์' ซึ่งเป็นผู้มีอุปการคุณซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้


"พ่อภูมิใจในตัวแกนะ"


"อะไรของเขา" บรรณภัทรโคลงหัวยิ้ม ๆ ไม่บ่อยนักที่พ่อจะแสดงความรู้สึกหรือทำอะไรพิเศษ ๆ แบบนี้ให้ ส่วนเขาเองก็มักเขินอายเกินกว่าจะตอบกลับ


เด็กหนุ่มสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ในตอนนี้เองจึงได้รู้ว่าตุ๊กหมีถักด้วยไหมพรมที่น้านิตย์ให้มาได้หายไปเสียแล้ว บรรณภัทรพยายามล้วงในกระเป๋ากางเกงเท่าที่มีแต่ก็ไม่พบ กำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปในชานชาลาก็ปะทะเข้ากับร่างของอีกคน


"ขอโทษครับ" คนผิดกล่าวอย่างรีบร้อน จะเดินเลี่ยงไปอีกทางก็ถูกขวางไว้


"กำลังหาเจ้านี่อยู่หรือเปล่า"


คำถามนั้นทำให้พอมีเวลาหยุดสนใจอีกฝ่าย บรรณภัทรจ้องมองใบหน้าภายใต้เงาของหมวกแก๊ปก่อนจะเลื่อนตาลงไปยังพวงกุญแจรูปหมีที่เขาถืออยู่


"น่ารักจัง ของที่คุณแม่ให้ หายไปละแย่เลยนะ" ศุภกานต์เงยหน้า ขยับปีกหมวกเชิดขึ้นเล็กน้อยถือโอกาสอ่านป้ายแขวนคอรุ่นน้องร่วมสถาบันแล้วกล่าว "น้องบุ๋น"


เจ้าของชื่อนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อพบว่าที่แท้คนตรงหน้าก็คือนักแสดงชื่อดังที่เพิ่งเดินลงจากเวทีเมื่อตอนที่เขาขออนุญาตรุ่นพี่มาเข้าห้องน้ำนั่นเอง


นักแสดงหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นเจ้าหมีหน้าเบี้ยวคืนเจ้าของ


"ขอบคุณครับ" บรรณภัทรรีบรับมากำไว้แน่น จ้องมันราวกับกลัวว่าจะหายไปไหนอีกจนเกือบลืมตอบคำถามของอีกฝ่าย "อ...อะไรนะครับ"


"เมื่อกี้พี่ถามว่าเราเรียนคณะอะไร"


"ม...มนุษยศาตร์ สาขาบรรณารักษ์ครับ"


"คณะเดียวกันเลย" คนอายุมากกว่ายิ้มตาหยี  "มีเวลาสี่ปีขอให้เรียนให้สนุกนะ ยินดีต้อนรับครับ"


บรรณภัทรยังไม่ทันกล่าวขอบคุณ เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


"บุ๋น!"


"เพื่อนมาตามแล้วสิ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ" พูดจบศุภกานต์ก็ดึงปีกหมวกลงบดบังใบหน้า หยิบแว่นตากันแดดสีชาที่เสียบอยู่กับคอเสื้อขึ้นมาสวม จากนั้นจึงเดินปะปนไปกับคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน


"มาอยู่นี่เอง หาตั้งนาน" คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้น


น้ำเสียงและถ้อยคำเป็นกันเองอย่างกับสนิทเสียเต็มประดาทำบรรณภัทรต้องหันไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกทั้ง ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มหัวเกรียนผู้นี้ก็แค่คนที่บังเอิญมาพบกันที่นี่เท่านั้น หากรุ่นพี่ที่สถาบันกวดวิชาไม่แนะนำให้รู้จักก็คงไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันกระทั่งต่างคนต่างสำเร็จการศึกษา เพราะตัวเขาเองวัน ๆ ไม่ได้สนใจใคร เคยเดินสวนกันบ้างหรือไม่ยังจำไม่ได้


"มีอะไรหรือเปล่า"


"นึกได้ว่าเมื่อกี้ลืมขอเบอร์นาย เลยเดินไปหาที่แถว เพื่อนนาย...ยัยผมหน้าม้าน่ะ เขาบอกว่านายมาเข้าห้องน้ำเราก็เลยตามมา ขอเบอร์หน่อยสิ เอาไว้คุยกัน เผื่อตอนเขาจับเข้าหอพักจะได้อยู่ด้วยกัน"


บรรณภัทรพยักหน้า จำใจหยิบโทรศัพท์ออกมา "บอกเบอร์นายมาสิ เดี๋ยวเรากดไป"


ได้ฟังดังนั้นหนุ่มหัวเกรียนก็ขานตัวเลขด้วยความกระตือรือร้น รอกระทั่งได้ยินเสียงเรียกเข้าดังจากกระเป๋าเสื้อจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาบันทึกชื่อ


"เมมแป๊บ ชื่อบุ๋นใช่ไหม"


"อือ" เห็นอีกฝ่ายมัวแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ชื่อ บรรณภัทรจึงได้โอกาสเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ก้าวเท้าไปได้หน่อยก็ต้องหยุดเพราะจู่ ๆ ฝ่ายนั้นก็เอื้อมมือมาถึงสายผูกป้ายแขวนคอเอาไว้


"เดี๋ยววว! ไม่เห็นถามชื่อเราเลย จะเมมถูกได้ยังไง"


คนฟังถอนใจพลางรั้งสายผูกป้ายแขวนคอกลับแล้วจัดให้เข้าที่ จากนั้นจึงหันไปหาคู่สนทนา "บอกชื่อนายมาสิ"


"ทายดีกว่า นายว่าหล่อ ๆ อย่างเราควรชื่ออะไรดี บอใบไม้เหมือนกัน"


"บอม"


"ไม่ใช่"


"บาส"


"ยังไม่ถูก"


"บีม"


"ใกล้แล้ว ๆ"


“บื้อ”


“ใครจะตั้งชื่อลูกแบบนี้วะ”


บรรณภัทรถอนใจอีกเฮือก ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยื่นไม้เด็ด "ถ้าไม่รีบบอกจะเมมว่า ‘ไอ้เหี้ย’ แล้วนะ"


ประโยคนั้นแทนที่จะทำให้เคืองขุ่น คนฟังกลับหัวเราะคิกด้วยความชอบอกชอบใจ


"อย่างนี้ถึงจะคบกันได้ยาว ๆ เราชื่อบูม ยินดีต้อนรับเข้าสู่แก๊งกล้วยหอมจอมซนนะ" ว่าแล้วก็วาดแขนขึ้นโอบไหล่คนตัวเล็กกว่า


"กล้วยหอมจอมซนอะไรวะ"


"ก็ชื่อกลุ่มเราไง เราชื่อบูม เป็นบีหนึ่ง ส่วนนายชื่อบุ๋น เป็นบีสอง สองเราชาวแก๊งกล้วยหอม"


"กล้วยหอมพ่อง" บรรณภัทรถอนหายใจเป็นเฮือกที่สาม


(จบครึ่งแรก)


หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-11-2019 23:15:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีต่ออีกไหม?  โพสต์ขัดจังหวะหรือเปล่า?

ก็ยังว่าอยู่ว่า  ตอนที่ผ่านมาโลเคชั่นไม่ใช่ภาคเหนือ

สุดท้ายโลเคชั่นภาคเหนือก็มา  คราวนี้เป็นเชียงใหม่สินะ

อย่างนี้ค่อยสมกับเป็นงานของ ถธปทฟ ที่ต้องเป็นภาคเหนือหละ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-11-2019 01:24:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-11-2019 01:55:52
น่ารักดี รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ARMTORY ที่ 25-11-2019 17:54:51
location แรกจาก กทม ขยับ สู่เชียงใหม่ และเดาว่าสถานีต่อไป ลี้ ลำพูน  อำเภอเล็กๆที่บรรยากาศดีจริงๆละครับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 25-11-2019 18:09:07
เพิ่งเห็นว่ามาแต่งเรื่องใหม่แล้ว ดีใจมาก มากกกก รอติดตามต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-11-2019 22:47:31
เราจะขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่กับน้องบุ๋นด้วย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-11-2019 19:32:59
ชอบแฮะ
ใครพระเอกนะ กานต์ปะ  ยังดูห่างไกลกันอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งแรก) (24-11-2562 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 26-11-2019 20:16:56
จะไปแทรกกลางกานต์กับวีหรอ รู้สึกไม่ดีเลย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-11-2019 22:18:43
ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง)


ในที่สุดเมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยรถไฟขบวนพิเศษก็พาคนหนุ่มสาวผู้มีความฝันมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เสียงกลองดังแข่งกันทั้งขบวนรถซึ่งมีทั้งหมดสิบสี่ตู้ ตลอดเส้นทางมีการแวะพักยังสถานีใหญ่ ๆ ได้แก่ สถานีรถไฟลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลกและนครลำปาง โดยใช้เวลาประมาณสามสิบนาที แต่ละสถานีมีศิษย์เก่าและรุ่นพี่เตรียมอาหาร ขนมและน้ำดื่มไว้ต้อนรับน้อง ๆ เป็นบรรยากาศอบอุ่นและตราตรึงอยู่ในหัวใจของหลายคนไปอีกแสนนาน เมื่อไรที่นึกถึงหรือหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังรังแต่จะสร้างรอยยิ้มไม่สิ้นสุด


รถไฟขบวนพิเศษเคลื่อนออกจากสถานีนครลำปางราว ๆ ตีสี่ครึ่ง หลายคนนั่งคอพับคออ่อน กระทั่งดวงอาทิตย์ทอแสงสีทองในตอนหกโมงเศษ ๆ เจ้าม้าเหล็กที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านสถานีลำพูน เมื่อมีการบอกกันปากต่อปากว่าอีกไม่นานจะถึงจุดหมายปลายทาง ต่างคนต่างเก็บข้าวของตรวจสอบสัมภาระของตนเอง บรรณภัทรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เผลอยิ้มออกมาเมื่อภาพสองข้างทางเริ่มคุ้นตาคิดว่าหากพ่อมาด้วยกันป่านนี้ก็คงจะฮัมเพลงนิราศเวียงพิงค์ของศิลปิน ทูล ทองใจ เป็นรอบที่ร้อยแล้ว นึกได้จึงหยิบโทรศัพท์มือถือกดส่งข้อความให้ 'คุณบรรณวิชญ์' สบายใจว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาถึงเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทันทีที่รถไฟขบวนพิเศษจอดเทียบชานชาลาสถานีเชียงใหม่ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของแต่ละคนก็แทบมลายสิ้น เสียงรัวกลองดังกระหึ่มคละเคล้ากับเสียงร้องรำทำเพลงของบรรดารุ่นพี่ที่มารอรับ น้ำและอาหารถูกแจกจ่ายให้แก่น้อง ๆ ได้รองท้อง นักศึกษาใหม่อยู่ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่พักใหญ่ ๆ ก็ขึ้นรถต่อไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อร่วมพิธีต้อนรับที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ก็เพื่อให้น้องใหม่ได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกับบ้านหลังใหม่ที่จะต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไปอีก 4-6 ปี


ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาใหม่เป็นต้นมา นอกจากการรับน้องแล้วภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้มักมีกิจกรรมให้นักศึกษาเข้าร่วมอยู่เนือง ๆ น้องใหม่คนไหนที่เคยเป็นกังวลว่าการมาอยู่ไกลบ้านจะทำให้รู้สึกเหงาต้องเปลี่ยนความคิด แม้แต่คนที่ไม่ใช่นักกิจกรรมตัวยงเองก็ยังแทบไม่มีเวลาคิดถึงบ้านเพราะต้องรีบทำงานที่อาจารย์ผู้สอนแต่ละวิชาพร้อมใจกันสั่งให้เสร็จตามกำหนด
ใครว่าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะสบายขึ้น? คือคำถามแรกที่บรรณภัทรถามตัวเองหลังจากเรียนไปได้หนึ่งเทอม ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ่นตามมา


ใครว่าเรียนเชียงใหม่อากาศเย็นสบายจนผิวขาวอมชมพู?

ใครว่าอยู่ใกล้ดอยสุเทพจะได้ขึ้นไปเที่ยวบนดอยบ่อย ๆ?


สิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นแค่ภาพฝัน สิ่งที่มีอยู่จริงสำหรับหลายคนก็คือรายงานกองโต โมเดลที่ต้องตัด แล็ปที่ต้องทำ ตำราที่ต้องท่อง ไปจนถึงสภาพอากาศอันร้อนระอุและฝุ่นควันที่ต้องเจอ แบบนี้นี้ก็คงไม่ต่างจากพวกที่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้ทะเล ใครว่าอยู่ติดทะเลจะได้ไปเดินชมวิวทะเลทุกวัน? เรียนมาเป็นปีแล้วบางคนยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงคลื่น


....


เสียงอาจารย์ขาน "อีกห้านาทีจะหมดเวลาทำข้อสอบ ให้นักศึกษาเตรียมส่งกระดาษคำตอบ" ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาซึ่งนั่งอยู่กลางห้องจึงรวบกระดาษทั้งหมดบนโต๊ะลุกขึ้นเดินไปส่งที่หน้าห้อง เขาแวะหยิบเสื้อกันหนาวในล็อกเกอร์ แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ ซื้อน้ำแตงโมปั่นที่ร้านประจำ จากนั้นจึงข้ามถนนเดินทอดน่องไปตามทางบนเนิน เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำอากาศยิ่งเย็นลง ยิ่งดูดน้ำแตงโมปั่นเข้าไปก็ยิ่งขนลุกไปหมด  บรรณภัทรสวมเสื้อกันหนาวที่น้านิตย์เพิ่งส่งไปรษณีย์มาให้แล้วนั่งลงที่ม้านั่งริมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ ดวงตาภายใต้กระจกแว่นทอดมองหมอกจาง ๆ ที่ลอยเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำพลางนึกถึงเรื่องที่คุยกับผู้เป็นพ่อเมื่อคืนก่อน เกือบหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่มีเรื่องต่าง ๆ ให้ทำมากมาย ส่งผลให้เขาลืมบางสิ่งบางอย่างไปเสียสนิทจนอีกฝ่ายต้องทวงถาม


"ตกลงแกจะเอายังไง จะสอบใหม่หรือจะเรียนที่นี่ต่อไป"

ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้


ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ยกแก้วน้ำแตงโมปั่นขึ้นดูด ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นที่ด้านหลัง บรรณภัทรหันไปมองพลางยิ้มน้อย ๆ เมื่อพบว่าสองคนที่กำลังใช้วิธีลัดฉุดรั้งกันขึ้นมาบนเนินก็คือ 'เฉลิมรัฐ' กับ 'อัจจิมา' เพื่อนที่เขาสนิทที่สุดในตอนนี้
'เฉลิมรัฐ' หรือ 'บูม' เป็นคนที่พบกันโดยบังเอิญเมื่อครั้งรับน้องรถไฟและยังดันตกกระไดพลอยโจนต้องมาเป็นรูมเมทกัน นับแต่นั้นสองคนก็ตัวติดหนึบเรื่อยมา เฉลิมรัฐเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่วน 'อัจจิมา' หรือ 'ออม' เป็นเพื่อนที่คณะและเรียนสาขาบรรณารักษ์เช่นเดียวกับเขา


"มานั่งอยู่นี่เอง เราเดินหาเสียทั่วตึก" อัจจิมาเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึง


"หิวน้ำ เลยมาซื้อน้ำกินน่ะ" บรรณภัทรบอกพร้อมกับยกแก้วน้ำแตงโมปั่นให้ดู


“ทำข้อสอบได้ไหม” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า คนถามจึงถอนหายใจแล้วบ่นขมุบขมิบ “อาจารย์อรุณีชอบให้สอบท้ายชั่วโมงแบบไม่บอกไม่กล่าวทุกที”


“ออมทำไม่ได้เหรอ”


“ก็พอทำได้แหละ” อัจจิมาตอบอ้อมแอ้ม “แต่ถ้าอาจารย์บอกล่วงหน้าหน่อยก็คงดี”


“เท่าที่สังเกต อาจารย์ก็สอบเรื่องที่สอนของแต่ละสัปดาห์นั่นแหละ รู้แบบนี้คราวหน้าก็อ่านมาก่อน”


หญิงสาวพยักหน้ายิ้ม ๆ รู้สึกโชคดีที่มีเพื่อนกระตือรือร้นแบบบรรณภัทร เพราะมันพลอยทำให้เธอกระตือรือร้นตามเขาไปด้วย


“แหม...คุยกันจนลืมเนื้องอกที่ขึ้นอยู่ตรงนี้เลยนะ” อีกคนแทรกขึ้น


ได้ฟังดังนั้นบรรณภัทรจึงถามคำถามที่ตั้งใจไว้แต่แรก "สองคนมาด้วยกันได้ยังไง"


รอยยิ้มมีเลศนัยของเพื่อนทำเฉลิมรัฐรีบยกมือห้าม "อย่าคิดอกุศลเด็ดขาดไอ้บุ๋น"


"คิดอกุศลอะไรวะ" ถามพลางขยับที่ให้สาวน้อยนั่งข้าง ๆ


"สายตาแกมันฟ้อง" พูดจบก็นั่งลงตรงที่ว่าง กลายเป็นว่าตอนนี้บรรณภัทรคั่นกลางระหว่างสองคน “เราแค่ไม่มีเพื่อนกินข้าว ก็เลยไปหาแกที่คณะ ว่าจะชวนไปหาอะไรกิน พอดีเจอยัยหน้าม้า ยัยหน้าม้าเลยชวนมาดูแกที่นี่”


“เราไม่ได้ชวน แกตามเรามาเอง” อัจจิมาแย้ง


“เออ ๆ นั่นแหละ เราคิดว่าแกต้องอยู่ที่นี่ก็เลยตามยัยนี่มา แต่อย่าเข้าใจผิดนะ เราไม่ได้รู้สึกพิศวาสยัยนี่อย่างที่แกกำลังคิดหรอก"


"ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย ร้อนตัวทำไมเนี่ย" บรรณภัทรหัวเราะ


"มีแต่แกนั่นแหละที่คิดอกุศล แล้วก็เลิกเรียกเราว่ายัยหน้าม้าสักที เราชื่อออม"


“จะเรียกจนกว่าจะเลิกตัดผมหน้าม้า” เฉลิมรัฐทำปากยื่นปากยาวล้อเลียน


"สองคนนี้เจอกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที" คนกลางส่ายหัว


"ก็บางคนชอบชวนทะเลาะ หน้าตาไม่ดีแล้วยังปากเสีย"


"อ้าว ๆ น้อย ๆ หน่อยยัยหน้าม้า เธอว่าใครปากเสีย"


"ใครร้อนตัวก็คนนั้นแหละ"


"ไอ้บุ๋น แกดูเพื่อนแกพูดสิ” รีบฟ้องบรรณภัทร แต่อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจ


“ทำไม เราพูดของเราแบบนี้ นายจะทำไม”


“สาธุ! ปากแบบนี้โตไปขอให้ขึ้นคานทีเถอะ"


"ถ้าอย่างนั้นเราก็ขอให้นาย...โตไปเขียนโปรแกรมอะไรก็เจอแต่บั๊ก ทดสอบอะไรก็ขอให้เออเรอร์"


"โอ้โห! นี่แช่งไม่ให้ได้ลืมตาอ้าปากกันเลยเหรอยัยหน้าม้า"


"ก็จะได้ไม่มีใครกล้าคิดเอาไปทำสามี เชอะ!" หญิงสาวสะบัดหน้าหนี


เห็นหนุ่มวิทยาการคอมพิวเตอร์กำลังจะอ้าปากเถียงบรรณภัทรจึงรีบห้ามทัพ "พอแล้ว ๆ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เราหิวแล้ว"


"ไปไหนดี" เฉลิมรัฐทำตาวาว


"เราอยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยว" อัจจิมาแทรกขึ้น


"อื้อ เอาสิ ตามใจออม" พูดจบคนนั่งกลางก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ สอดสองมือลงในกระเป๋าสูดลมหายใจลึกแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมาด้วยความสบายใจ 


"ใส่เลือดเยอะ ๆ เนอะ" เฉลิมรัฐกล่าวพลางขยับเข้าใกล้และใช้ศอกสะกิดหญิงสาว


"ขอดอกงิ้วเยอะ ๆ นะคะคุณป้า" อัจจิมายิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายราวกับกำลังฝันหวาน


"ได้จ้ะหนู อะนี่ ป้าแถมต้นให้ด้วย หนูจะได้เอาไว้ปีนเล่นเวลาเบื่อ ๆ"


ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสองคนข้างหลังแล้วบรรณภัทรอดยิ้มไม่ได้ บทจะทะเลาะก็ทะเลาะกันชนิดไม่มีใครยอมใคร แต่พอเวลาพูดถึงของกินละก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกที


….


ศุภกานต์เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพักบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมหรูย่านชานเมือง กวาดตามองหาเจ้าของห้องที่จะน่ามาถึงก่อนแล้ว เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนนัดให้เขามาพบที่นี่ นักแสดงหนุ่มวางโทรศัพท์มือถือและแว่นตากันแดดซึ่งเป็นเครื่องประดับที่มักพกติดตัวสำหรับบดบังหน้าตาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงถอดเสื้อนอกพาดพนักโซฟา สายลมเย็นต้นฤดูหนาวพัดผ่านประตูระเบียงที่เปิดแง้มไว้ทำให้รู้ว่าปฐวีคงออกไปยืนรับลมที่ด้านนอก ดังนั้นศุภกานต์จึงอาศัยความคุ้นเคยหยิบเบียร์สองกระป๋องจากตู้เย็นแล้วเดินตามออกไปที่ระเบียง ชายหนุ่มวางกระป๋องอะลูมิเนียมเย็นเฉียบลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ แล้วสวมกอดคนรักจากด้านหลังพลางกระซิบเบา ๆ


"คิดถึงจัง”


ปฐวีเลื่อนตาลงมองท่อนแขนแกร่งที่บัดนี้สีไม่เสมอกันเพราะอีกฝ่ายต้องถ่ายละครท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุบนภูเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาหลายสัปดาห์แล้ว


“เหนื่อยไหม”


“เหนื่อยสุด ๆ เลย กลางวันแดดร้อน กลางคืนยุงก็เยอะ แต่ได้มาเจอวีแล้วหายเหนื่อย” พูดจบจึงคลายมือออก คว้าเบียร์กระป๋องหนึ่งขึ้นมาเปิดแล้วส่งให้คนที่เอาแต่ทอดตามองแสงไฟระยิบระยับเบื้องล่าง จากนั้นจึงเปิดอีกกระป๋องแล้วยกขึ้นดื่ม


"พรุ่งนี้มีงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ยังจะดื่มอีก" ปฐวีกล่าวพลางหมุนกระป๋องในมือ


"แค่นี้ไม่เมาหรอก" นักแสดงหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วดื่มอีกอึก เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของคนรัก แต่ไม่อยากถามตรง ๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการลุกล้ำเรื่องส่วนตัวจึงได้แต่ชวนคุยเรื่องอื่น "วันนี้ตามพ่อไปพบลูกค้าเป็นยังไงบ้าง"


คนถูกถามชะงัก วางกระป๋องลงบนราวระเบียงแล้วตอบตามจริง "ไปถึงร้านถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นเพื่อนของพ่อที่นักธุรกิจอัญมณี เขามากับลูกสาว"


"สวยสู้น้องพรีมไหม" ศุภกานต์แกล้งแซว หวังจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นแต่ปฐวีกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม


"สวย จบจากเมืองนอก ตอนนี้กลับมาช่วยที่บ้านดูแลกิจการร้านจิวเวลรี่" ลูกชายนักธุรกิจกล่าวพร้อมกับหันไปมองคนที่กำลังดื่มเบียร์จากกระป๋อง "เพราะแบบนี้พ่อก็เลยอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้"


ประโยคหลังทำศุภกานต์ชะงัก เห็นสีหน้าของปฐวีแล้วร็ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้แกล้งพูดเล่นเหมือนที่เคย ตาคมจ้องกระป๋องอะลูมิเนียมในมือพลางถอนหายใจเบา ๆ


"แล้ววีว่ายังไง"


"วีบอกพ่อว่าวียังไม่คิดเรื่องนี้ ขอทำงานไปเรื่อย ๆ ก่อน แต่พ่ออยากให้หมั้นหมายกันไว้"


ศุภกานต์นิ่งงันชั่วขณะ อยากตบหน้าตัวเองแรง ๆ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เจออยู่ตอนนี้เป็นเพียงความฝัน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พยายามคิดหาวิธีที่จะคลี่คลายปัญหานี้ ในที่สุดเขาจึงเอ่ยขึ้น "ให้กานต์ไปคุยกับพ่อวีไหม กานต์จะไปพบท่านแล้วบอกท่านว่าเราสองคนรักกัน"


คนฟังหันขวับรีบห้าม "ไม่นะกานต์ อย่าทำแบบนั้นนะ กานต์ก็รู้ว่าพ่อมีโรคประจำตัว ถ้าพ่อรู้พ่อต้องโกรธมากแน่ ๆ วีกลัวว่าอาการของพ่อจะกำเริบ"


"แล้วจะปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้น่ะเหรอ วีเองก็รู้ว่าวีต้องการอะไร เรื่องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อหาให้ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้" นักแสดงหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วถามต่อด้วยเสียงแผ่วเบาไม่มั่นคง "ไม่ใช่เหรอ"


ปฐวีมิได้ตอบแต่กลับคว้ากระป๋องเบียร์ขึ้นกระดกจนพร่องไปเกือบครึ่ง ใช้หลังมือซับน้ำใต้ริมฝีปากเหม่อมองออกไปไร้จุดหมาย
ศุภกานต์ละสายตาจากสีหน้าเป็นกังวล แม้จะรู้ดีว่าหัวใจตัวเองหนักแน่นแค่ไหน แต่ลึก ๆ ก็ยอมรับว่าท่าทีของอีกฝ่ายได้สร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นภายในใจของตนอยู่ไม่น้อย กระนั้นยังยืนยันในเจตนารมณ์ "พรุ่งนี้กานต์จะเป็นคนไปคุยกับพ่อวีเอง" พูดจบก็ออกแรงบีบกระป๋องบุบบี้จนน้ำสีอำพันที่ยังเหลือเกือบครึ่งทะลักออกมา


"ไม่ได้นะกานต์" ปฐวีรีบคว้าข้อมืออีกฝ่าย "ขอวีแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการของวีก่อนนะ"


"แล้ววีจะทำยังไง"


"วีตั้งใจว่าจะถ่วงเวลาไว้ก่อน วีจะไปเรียนต่อ เรื่องนี้วีผลัดพ่อมานานแล้ว ถ้าไปเรียนตามที่พ่ออยากให้เรียนแล้วค่อย ๆ เรื่องของเรา ถึงตอนนั้นพ่อน่าจะยอมฟัง" ชายหนุ่มกล่าวน้ำตาคลอ "นะกานต์ ให้วีลองใช้วิธีนี้ก่อนนะ"


แม้จะไม่เห็นด้วยเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาในระยะยาว แต่เมื่อคนรักต้องการเช่นนั้นศุภกานต์ก็ทำเพียงพยักหน้า เขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "กานต์รักวีนะ ไม่ว่าถึงนั้นพ่อวีจะว่ายังไง เราจะจับมือกันแล้วก้าวผ่านมันไปให้ได้"


ผลจากการตกลงกันในวันนั้นส่งผลให้สองคนต้องอยู่ห่างกันคนละซีโลก ปฐวีได้รับอนุญาตจากผู้เป็นพ่อให้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเรียนด้านการตลาดเพื่อกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ในวันเดินทางศุภกานต์ไม่สามารถตามไปส่งได้เนื่องจากต้องถ่ายรายการโปรโมตละครที่เพิ่งปิด  กระนั้นในช่วงหยุดยาวต้นฤดูร้อนนักแสดงหนุ่มยังปลีกตัวจากคิวงานที่ยาวเป็นหางว่าวไปพบคนรักจนได้ เขาใช้โอกาสนี้ถามถึงสัญญาที่อีกฝ่ายได้ให้ไว้เรื่องที่ว่าจะค่อย ๆ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ครอบครัวได้เข้าใจ แต่ปฐวีกลับขอเวลาอีกหน่อยด้วยเกรงว่าผู้เป็นพ่อจะทำใจยอมรับไม่ได้ ดังนั้นศุภกานต์จึงต้องเตือนตัวเองให้ใจเย็น อีกไม่นานวันนั้นคงจะมาถึง


จากการเดินทางไปต่างประเทศแบบกะทันหันซ้ำยังไม่มีผู้จัดการส่วนตัวติดตามไปดูแล ทำให้พระเอกคนดังกลายเป็นที่จับตามมองของบรรดานักข่าว ต่างนำไปเขียนในคอลัมน์ซุบซิบว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวแอบไปพบนางเอกคู่ขวัญที่กำลังท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่ในประเทศออสเตรเลีย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถหาตัวเขาพบ จึงไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาไปหานางเอกสาวจริงตามที่เป็นข่าว ในที่สุดเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็ซาลงจนกระทั่งศุภกานต์เดินทางกลับประเทศไทย 


"ไงจ๊ะพ่อคุณ เที่ยวสนุกไหม"


คำถามนั้นทำคนฟังอมยิ้ม นับเป็นคำทักทายแรกจากผู้จัดการสาวเมื่อเท้าเหยียบแผ่นดินแม่


"สนุกครับ" เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วดันแว่นตากันแดดและขยับปีกหมวกแก๊ปลง อีกมือลากกระเป๋าเดินทางใบโตในขณะที่ขายาวก้าวอย่างไม่รีบร้อนด้วยมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดจำตนเองได้อย่างแน่นนอน เพราะตั้งหัวจรดเท้าถูกอำพรางอย่างมิดชิด คนที่มารอรับเองก็รู้วิธีเอาตัวรอดจากนักข่าวได้ดีไม่แพ้กัน


"สนุกก็ดีแล้วจ้ะ ตอนนี้หมดเวลาสนุกแล้วนะ ต้องคิดคำตอบเอาไว้ตอบคำถามนักข่าว" หญิงสาวกล่าวพร้อมกับกดรีโมตปลดล็อกประตูรถนั่งแบบครอบครัว รอจนพระเอกหนุ่มยกกระเป๋าใส่ท้ายรถเรียบร้อยจึงเปิดประตูนั่งประจำที่คนขับ


"ก็ตอบไปตามจริงสิครับพี่มุ่ย บอกเขาว่ากานต์ไปหาแฟน แค่นี้ทุกอย่างก็จบ" ศุภกานต์กล่าวอย่างอารมณ์ดีเมื่อเข้ามานั่งข้างกัน


"จบจ้าาา เธอจบพี่ก็จบ จบชีวิตนะ" มธุรสมองค้อน "ขืนตอบแบบนั้นไม่ใช่กานต์คนเดียวที่เสียหาย น้องวีก็จะพลอยโดนขุดคุ้ยไปด้วย ทีนี้มีหวังถูกผู้ใหญ่เรียกไปคุยแน่ ๆ อย่าลืมว่าเราเป็นคนของประชาชนนะกานต์ แต่ละย่างก้าวมีคนคอยจับตามองอยู่ ล้มเมื่อไรพวกที่ไม่ชอบเรายิ่งได้โอกาสเหยียบซ้ำ"


"เฮ้อ! คำก็คนของประชน สองคำก็คนของประชาชน เมื่อไรกานต์จะได้เป็นแค่นายศุภกานต์ คนธรรมดา ๆ กับเขาบ้างนะ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็...รักใครจะประกาศให้โลกรู้ไปเลย”


“ถ้ากานต์ยังอยากทำอาชีพนี้อยู่ จะคิดทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มาก ๆ อาชีพนักแสดงเหมือนดอกไม้นั่นแหละ ช่วงเวลาที่บานสะพรั่งคือช่วงที่ดอกไม้สวยที่สุด ผีเสื้อพากันบินเข้าหา ใครที่ได้เห็นก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ แต่อย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีดอกไม้แค่ดอกเดียว ดอกนี้แห้งเหี่ยวโรยราก็มีดอกใหม่ ๆ พร้อมจะเบ่งบานแทนที่ เพราะฉะนั้นใช้ช่วงเวลาที่ดอกไม้สวยที่สุดให้คุ้มค่า เข้าใจที่พี่พูดไหม”


“เข้าใจแล้วครับ” หนุ่มหล่อลากเสียง “กานต์แค่บ่นนิดเดียวเองพี่มุ่ยพูดเสียยาวเลย”


“พี่ก็แค่เตือนน่ะ อยากให้กานต์มีงานดี ๆ วิ่งเข้าหาแล้วก็มีคนรักเยอะ ๆ ของพวกนี้มันไม่อยู่กับเรานานหรอกนะ”


ศุภกานต์พยักหน้า “ขอบคุณนะครับพี่มุ่ย แล้วก็ขอโทษที่ทำให้พี่ต้องยุ่งยากระหว่างที่กานต์ไม่อยู่”


“ไม่เป็นไรจ้ะ ก็พี่หลวมตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พระเอกที่ฮ็อตที่สุดของยุคนี้แล้วนี่” มธุรสหันไปมองคนข้าง เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วอดหัวเราะไม่ได้ แม้จะรู้ว่าศุภกานต์ไม่ชอบฉายานี้แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ 


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ และแล้วเราก็เดินทางขึ้นเหนือกันสักทีนะคะ

หลายคนคงเริ่มปวดหัวเพราะตัวละครเยอะแยะไปหมดเลย

ซึ่งเราเองก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามบริบท อาชีพการงานของลุงกานต์ (พระเอกของเรื่อง)

ที่ต้องพบปะผู้คนมากมายค่ะ แต่ว่าตอนหน้าน่าจะเป็นการปรากฏตัว

ของตัวละครหลักตัวสุดท้ายแล้วค่ะ จะเป็นบอสใหญ่ที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งบุ๋นและกานต์

รับรองว่าไม่มีใครแทรกกลางใครอย่างที่คนอ่านบางท่านอาจจะเป็นกังวลอยู่แน่นอนค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนท์นะคะ


 
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-11-2019 22:50:25
อ่า แบบนี้คงต้องเตรียมน้ำใบบัวบกไว้ให้ลุงกานต์แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-11-2019 22:58:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

กานต์สวมคอนเวิร์สกับวีสินะ

แล้วก็หลบไปรักษาแผลใจที่เมืองเหนือ 

จากนั้นก็คงไปป๊ะกันแห็มกับเจ้าบุ๋น

จากนั้นก็คงเป็นไปตามครรลอง
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2019 10:36:19
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-11-2019 19:38:12
พ่อดาราของเรามีแววกินน้ำบัวบกมาละ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: JaikOrn ที่ 28-11-2019 00:13:06
 :impress2: รอลุงกานต์มาเจอบุ๋นบุ๋นไวไวน้า
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-11-2019 09:41:49
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง) (26-11-2562 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 02-12-2019 22:27:38
 :ling2:น้องวีคะ.. ถ้าไม่เอาแบ้วห้ามมาทวงคืนเด้อๆ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-02-2020 11:42:15
ตอนที่ 4 โลกกลม



หนึ่งปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นหลังสอบปลายภาคแต่ภายในมหาวิทยาลัยก็ยังคงคึกคัก นักศึกษาบางคนถือโอกาสท่องเที่ยวสถานที่สำคัญในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด ในขณะที่บางคนก็หางานพิเศษทำ เช่น การรับสอนพิเศษ การทำงานในร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหาร อีกทั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ต่างเตรียมตัววางแผนต้อนรับน้องใหม่ร่วมกับนักศึกษาปีสองที่กำลังจะขึ้นปีสาม ซึ่งนับว่าเป็นกำลังหลักของทั้งสี่ชั้นปี  เวลาหนึ่งปีสำหรับบรรณภัทรถือว่ายาวนานพอสำหรับการทบทวนเพื่อเลือกทางเดินให้กับตัวเอง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสำเร็จการศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รั้งรอที่จะตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชุมชนที่สาขาวิชาบรรณารักษ์จัดขึ้นทุกปี โดยปีนี้บรรดานักศึกษาชวนกันรับบริจาคหนังสือเพื่อนำขึ้นไปให้แก่เด็ก ๆ ที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และครั้งนี้ก็มีเฉลิมรัฐที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเพื่อนซี้ของทั้งบรรณภัทรและอัจจิมาร่วมเดินทางไปด้วย นอกจากนำหนังสือไปมอบให้แก่ห้องสมุดของโรงเรียนแห่งหนึ่งแล้ว เหล่านักศึกษายังมีแผนช่วยกันซ่อมแซมสนามเด็กเล่นและโรงอาหารเท่าที่จะสามารถทำได้ตามงบประมาณที่สาขาวิชาสนับสนุน ภารกิจทั้งหมดเรียบร้อยด้วยดีภายในระยะเวลาสามวันสองคืน วันเดินทางกลับอัจจิมาขอลงระหว่างทางเพื่อต่อรถไปยังอำเภอสะเมิงโดยมีบรรณภัทรและเฉลิมรัฐติดสอยห้อยตามไปด้วย และเนื่องจากเป็นการชักชวนกันโดยมิได้เตรียมการล่วงหน้า เมื่อถึงตัวอำเภอหญิงสาวจึงอาศัยความเป็นเจ้าถิ่นขอติดรถคนรู้จักซึ่งพบกันโดยบังเอิญไปลงที่บ้านแทนการโทรศัพท์ให้พ่อมารับ


รถกระบะสนิมเขรอะพาทั้งสามคนลัดเลาะไปตามไหล่เขาท่ามกลางแสงแดดยามเย็น ผ่านไร่นาป่าไม้และทุ่งข้าวสาลี ขึ้นลงเนินอยู่หลายหนจนตะวันคล้อยต่ำเต็มทีแต่ไม่มีวี่แววจะถึงจุดหมาย บรรณภัทรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพลางคาดคะเน จากจุดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้น่าจะห่างจากตัวอำเภอราว ๆ ยี่สิบกิโลเมตร ชายหนุ่มทอดตามองไปยังทางที่ผ่านมา ภาพต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวสดค่อย ๆ หม่นลงยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า นิสสันบิ๊กเอ็มเลี้ยวจากถนนเส้นหลักขึ้นไปตามทางดินจนในที่สุดก็ชะลอความเร็วและจอดสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่ง เมื่อทั้งสามคนก้าวลงจากท้ายรถ แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ใต้ชายคาซุ้มประตูก็ติดขึ้นพอดี แม้อากาศจะเย็นเยือกแต่ทันทีที่ก้าวขึ้นบันไดบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนยกสูงชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของการได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก อัจจิมาถูกต่อว่าเล็กน้อยที่พาเพื่อนมาโดยไม่บอกกล่าว ทำให้ผู้เป็นแม่มิได้ตระเตรียมอาหารไว้รับรองจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น แต่เพียงแค่ไข่เจียว น้ำพริก ผักต้ม เครื่องกระป๋องและข้าวสวยร้อน ๆ ก็ทำให้มื้อค่ำวันนี้แสนพิเศษได้


การมาเยือนของสองหนุ่มจากกรุงเทพฯ ดูจะสร้างความตื่นเต้นให้แก่เจ้าของบ้านผู้มีชีวิตวนเวียนเพียงแค่สะเมิง-เชียงใหม่ไม่น้อย เห็นได้จากคำถามมากมายที่บรรณภัทรและเฉลิมรัฐต้องผลัดกันตอบจนมื้ออาหารกินเวลาไปจนเกือบสองทุ่ม อัจจิมาที่นั่งฟังอยู่นานจึงแสร้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากพ่อและแม่ หลังจากช่วยกันเก็บล้างจานชามเรียบร้อยหนุ่มสาวก็ทยอยอาบน้ำอาบท่าแล้วกลับมารวมตัวกันที่ระเบียงหลังบ้าน ตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดทดแทนแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่ใต้ชายคา เพียงเพราะเหตุผลแสนธรรมดาแต่สุดโรแมนติกของหัวหน้าครอบครัวที่ว่าจะได้เห็นดาวชัด ๆ


“ตอนเจ้าออมไม่อยู่ พ่อกับแม่ชอบมานั่งดูดาวด้วยกันที่นี่บ่อย ๆ คืนนี้นอนกันเสียตรงนี้ก็แล้วกัน” พอพูดจบพ่อก็จัดแจงขนเต็นท์ทรงโดมแบบที่นอนได้สองคน หมอนและผ้าห่มออกมาให้


“ขอบคุณครับพ่อ” บรรณภัทรกล่าวพลางรับถุงใส่เต็นท์จากมือของอีกฝ่าย วางลงกับพื้นแล้วรูดซิปดึงเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมา


“คิดว่าจะได้ออกไปกางที่ลานหน้าบ้านเสียอีก” เฉลิมรัฐกล่าวขณะประกอบเสาเต็นท์


“ตอนแรกพ่อก็จะให้เอาลงไปกางข้างล่างนั่นแหละ แต่แม่เขากำชับไว้ กลัวว่าพวกเราจะไม่สบาย ดึก ๆ น้ำค้างมันแรงน่ะ อีกไม่กี่วันก็จะกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว เกิดป่วยขึ้นมาละแย่เลย” อธิบายพลางมองสองหนุ่มที่กำลังช่วยกันกางเต็นท์ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว “ว่าแต่สองคนนี้ ใครเป็นแฟนเจ้าออมล่ะ”


สิ้นประโยคนั้นสองคนต่างเงยหน้าขึ้นสบตากันแล้วหันไปยังคนถาม


“พ...พ่อว่าอะไรนะครับ” เฉลิมรัฐกลืนน้ำลายเอื๊อก


“พ่อถามว่า เราสองคนน่ะ ใครเป็นแฟนออม” มองสองคนสลับกันอย่างใช้ความคิด สุดท้ายหวยก็ออกที่บรรณภัทร “บุ๋นเหรอ”


“ม...ไม่ ไม่ ๆๆ ไม่ใช่ครับ” จู่ ๆ เจ้าของชื่อก็เกิดติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ถ้าอย่างนั้นก็เราสินะ” ว่าแล้วก็เบนหน้าไปยังเฉลิมรัฐ


“ค...คือ...ผ...ผม...” นี่ก็ติดอ่างอีกคน


“ไม่ต้องเขิน” ผู้เป็นพ่อโบกมือส่ง ๆ “จะคบหากันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เจ้าออมมันไม่เคยพาใครบ้าน อยู่ ๆ ก็พามาเปิดตัวแบบนี้พ่อกับแม่ตั้งตัวไม่ทันเท่านั้นเอง”


“ผมไม่ใช่...”


“เปิดตงเปิดตัวอะไรจ๊ะพ่อ” อัจจิมาเอ่ยขึ้น ในที่สุดคนที่กำลังถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้นสักที เฉลิมรัฐที่ถูกเข้าใจผิดจึงถอนใจอย่างโล่งอก


ผู้เป็นพ่อครางฮือในลำคอ “บอกแล้วว่าไม่ต้องเขิน เป็นแฟนก็บอกเป็นแฟน”


“ใครเป็นแฟนใครจ๊ะพ่อ”


“ก็เจ้านี่ไง อืม...ชื่อบูมใช่ไหมเรา”


“ค...ครับ ผมชื่อบูมครับ แต่ไม่ได้เป็นแฟนออมครับ”


“ฮะ?” หญิงสาวหันขวับ มองเฉลิมรัฐที่กำลังส่ายหัวดิก “ออมกับบูมไม่ได้เป็นแฟนกันนะพ่อ”


“ไม่ต้องเขินน่า” พ่อกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“ออมไม่ได้เขิน แล้วออมกับบูมก็ไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย ไม่มีทางเด็ดขาด ปากอย่างนี้ใครจะเอามาทำแฟน”


ตอนแรกเฉลิมรัฐก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่พอได้ฟังประโยคหลังหัวคิ้วชักมุ่นเข้าหากัน


“อ้าว ๆ พูดแบบนี้เดี๋ยวก็สวยหรอกยัยหน้าม้า” คนถูกพาดพิงไม่ยอมลดราวาศอกถึงกับวางมือจากสิ่งที่กำลังทำ หันมาเถียงคอเป็นเอ็น คงลืมไปแล้วกระมังว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่


“ทำไม จะทำไม”


“ต่อไปอย่ามาขอให้พาไปกินอะไรอร่อย ๆ นะ ไม่พาไปแล้ว”


“เราไปกับบุ๋นก็ได้ เนอะ” อัจจิมาหันมาหาแนวร่วม


“ไปได้ยังไง บุ๋นมันเป็นเพื่อนซี้เรา ไม่ใช่เพื่อนซี้เธอสักหน่อย ใช่ไหมบุ๋น”


คนกลางไม่ได้ตอบ หากแต่เดินเลี่ยงออกจากสงครามขนาดย่อม


“ทำไมกลายเป็นจะวางมวยกันไปได้ล่ะ” พ่อยกมือขึ้นเกาหัว


“เรื่องปกติครับพ่อ สองคนนี้คุยกันดี ๆ ได้ไม่กี่คำ”


“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สินะ”


บรรณภัทรมองอีกฝ่ายแล้วอมยิ้ม


“แล้วนี่... ไม่ต้องห้ามเหรอะ”


“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกเถียงกันไปเอง”


เมื่อเห็นว่าสองคนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทะเลาะกัน พ่อซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้จึงเดินหนีเข้าห้องนอนไปเสียดื้อ ๆ ส่วนบรรณภัทรคว้าเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ เสร็จเรียบร้อยจึงเดินมากลับออกมา เห็นเพื่อนทั้งสองกำลังช่วยกันกางเต็นท์ แต่ก็ไม่วายยังเถียงกันอยู่


“ตอนกลางวันเราไปกินข้าวกับบุ๋นทุกวัน เรารู้ว่าบุ๋นชอบกินอะไร” อัจจิมาว่าพลางโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์


“เราก็รู้” เฉลิมรัฐกล่าว เขาคว้ากีตาร์ก่อนจะเดินกลับมานั่งใกล้ ๆ “เรารู้ว่าบุ๋นชอบกินน้ำแตงโมปั่น”


“บุ๋นชอบกินไข่ตุ๋น” หญิงสาวทำท่านึก “อืม...ขนมจีนน้ำเงี้ยวด้วยหรือเปล่านะ”


“มีแต่เธอนั่นแหละที่ชอบกินขนมจีนน้ำเงี้ยว ไอ้บุ๋นมันชอบกินอะไรจืด ๆ ต้มจืด ไข่ลูกเขย ไข่เจียว หมูทอด”


“ก็เพราะบุ๋นเป็นคนกินง่ายไง อันนี้เราก็รู้”


เฉลิมรัฐส่ายหัวระอา “มันไม่ได้กินง่าย แต่มันกินได้แค่นี้”


อัจจิมาหน้ามุ่ย “แต่เรารอบุ๋นหน้าคณะทุกเช้าแล้วก็เข้าห้องเรียนพร้อมกันทุกวัน


“เราก็ไปรอรับมันกลับหอที่หน้าคณะทุกวันเหมือนกัน”


“เรานั่งเรียนกับบุ๋นทุกวิชาไม่เคยขาด” หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียง


“แต่เรานอนกับมันทุกคืน” ชายหนุ่มทำแยกเขี้ยว


บรรณภัทรมองสองคนสลับกันพลางถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจู่ ๆ ตนเองถูกลากเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร “พอแล้ว ๆ มันใช่เรื่องที่ต้องเอามาข่มกันไหมเนี่ย” ว่าแล้วก็เดินไปคว้ากีตาร์ที่ตั้งพิงอยู่กับระเบียงส่งให้เจ้าของร่างสูงที่เพิ่งนั่งลง


“พ่อกับแม่วุ่นวายหน่อยนะบุ๋น” อัจจิมาบ่นพร้อมกับนอนลงเอาคางเกยหมอน “เราไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านน่ะ”


“พอพามาครั้งแรกก็เป็นเพื่อนผู้ชายเลย แถมสองคนอีกต่างหาก” เฉลิมรัฐบ่นงึมงำพลางแตะปลายนิ้วลงบนสายโลหะจนเกิดเสียง


“ไม่ได้วุ่นวายอะไรเลยออม พ่อกับแม่ออมน่ารักดีออก เอาไว้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ เราจะพาออมไปนอนบ้านเราบ้าง” บรรณภัทรบอก


“จริงนะ เกิดมายังไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นเต้น แสงสีนวลจากตะเกียงยิ่งทำให้เห็นประกายในดวงตาคู่สวย


คำพูดซื่อ ๆ ทำอีกคนต้องหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ไม่เคยไปเลยเหรอ”


“อือ ตอนเรียนมัธยมก็เรียนโรงเรียนแถวนี้ ไกลสุดก็แค่ไปเรียนพิเศษในเชียงใหม่” แววตาของหญิงสาวหม่นลงเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็ทอประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าอยู่ไกลกันขนาดนี้เราสามคนจะมาเจอกันได้”


“นั่นสิ ถ้าไม่ได้มาเรียนที่นี่ก็คงไม่ได้เจอกัน” บรรณภัทรว่า


“แล้วถ้าเรียนจบแล้วล่ะ บุ๋นคิดไว้ไหมว่าอยากทำอะไร”


คนถูกถามนิ่งนึกก่อนจะส่ายหัว “ยังไม่ได้คิดเลย”


“ไม่ถามเราบ้างเหรอ” เฉลิมรัฐแทรกขึ้น


“ไม่ถาม ไม่อยากรู้” อัจจิมาทำจมูกย่น


“แต่เราอยากบอก เราอยากเป็นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ มีเงินเยอะ ๆ ได้ไปทำงานเมืองนอกก็ยิ่งดี”


“คนอะไรยังไม่ได้หลับก็ฝันแล้ว” 


“อ้าวยัยนี่”


“เอาละ ๆ อย่าทะเลาะกัน” บรรณภัทรรีบห้าม “แล้วออมล่ะอยากทำอะไร”


“อืม...เราเหรอ เราคงเป็นครูบรรณรักษ์แล้วก็กลับมาช่วยงานพ่อกับแม่ที่นี่แหละ”


คนถามพยักหน้า ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อจู่ ๆ เสียงกีตาร์โปร่งก็ดังขึ้นเป็นทำนองเพลงเพื่อชีวิตเพลงเดียวกันกับที่เฉลิมรัฐร้องและเล่นรอบกองไฟค่ายอาสาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา


.....


วันต่อมาอัจจิมาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อออกไปช่วยงานในไร่ ทั้งบรรณภัทรและเฉลิมรัฐอาศัยโอกาสนี้ขอติดตามไปด้วย ดังนั้นผู้เป็นแม่จึงค้นเสื้อเชิ้ตแขนยาวเก่า ๆ ออกมาให้ทุกคนสวมทับชุดที่ใส่อยู่ แถมแจกผ้าขาวม้าและหมวกสานปีกกว้างให้อีกคนละใบเพื่อป้องกันแสงแดดที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน การได้ท่องเที่ยวไปในไร่ทำให้รู้ว่านอกจากที่นี่จะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้ว เจ้าของยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเลือกซื้อผลไม้โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกด้วย พื้นที่ทั้งหมดดูคล้ายแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาเตี้ย ๆ บ้านของอัจจิมาตั้งอยู่บนเนิน ถัดลงไปเป็นแปลงขั้นบันไดปลูกสตรอว์เบอร์รีที่ขณะนี้กำลังให้ผลผลิต เห็นอยู่ลิบ ๆ ติดกับแนวชายป่าคือทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม ใกล้ ๆ กันเป็นแปลงปลูกต้นเก๊กฮวยแบบอินทรีย์ที่เจ้าของบอกว่าจะออกดอกปีละครั้งระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และแน่นอนว่าสองหนุ่มถูกเชิญให้กลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งตอนปลายปี


ในช่วงสายหลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้าที่แม่จัดใส่ปิ่นโตมาให้ สามคนก็พากันไปปักหลักรับแสงแดดอุ่นอยู่ที่แปลงสตรอว์เบอร์รี คอยช่วยหยิบจับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่พวกผู้ใหญ่จะให้ทำ บรรณภัทรรับตะกร้าที่เต็มไปด้วยผลสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดจากอัจจิมาแล้วย้อนขึ้นไปยังเพิงไม้ไผ่บนเนินเพื่อส่งต่อให้คนงานบรรจุลงกล่อง จากนั้นจึงเดินลงไปนั่งที่ชิงช้าใต้ร่มไม้ใหญ่ มือหนึ่งกำเชือกเส้นใหญ่เอาไว้หลวม ๆ ส่วนอีกมือจับหมวกสานโบกไปมาเพื่อไล่ความร้อน มองสองหนุ่มสาวกำลังเดินตามกันต้อย ๆ บนแปลงดินเบื้องล่างแล้วเผลอยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่าหากให้ยกเหตุผลที่เขาตัดสินใจไม่ไปกลับไปสอบเข้ามหาวทิยาลัยใหม่ เฉลิมรัฐและอัจจิมาถือเป็นสาเหตุสำคัญลำดับที่สอง ลำดับแรกเห็นทีจะหนีไม่พ้นพ่อที่มักถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งยังใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ทำให้คนเป็นลูกเช่นเขาเกิดความผูกพันกับที่นี่โดยไม่รู้ตัว


“ตายยากจริง ๆ” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองวางหมวกบนศีรษะก่อนจะดึงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นจากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย


“ต้องให้พ่อส่งแผนที่ให้ไหม” เป็นประโยคทักทายที่ยียวนไปหน่อย กระนั้นก็ยังทำคนฟังยิ้มได้


นิ้วเรียวเกี่ยวผ้าขาวม้าลงมาพักไว้ที่ปลายคางลงแล้วกล่าว “บุ๋นจำทางกลับบ้านได้หรอกน่าพ่อ คิดถึงก็บอก”


“คิดถงคิดถึงอะไรกัน ปิดเทอมตั้งหลายวันแล้วไม่กลับบ้านสักที พ่อนึกว่าแกกลับบ้านไม่ถูกต่างหาก”


“อย่าบ่นน่า เดี๋ยวซื้อสตรอว์เบอร์รีไปฝาก”


“แล้วจะกลับวันไหน จองตั๋วหรือยัง”


“จองแล้วครับ กลับสปรินเตอร์วันมะรืน ออกจากเชียงใหม่ตอนสายกว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็คงค่ำ ๆ วันศุกร์”


“อืม เดี๋ยวพ่อไปรับ”


“ครับ” บรรณภัทรรับคำพลางเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินอีกเสียง


“น้านิตย์ถามว่าแกอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม จะได้ทำไว้รอ”


“ไข่ตุ๋น” ตอบโดยไม่ต้องคิด


“เชียงใหม่ไม่มีให้กินหรือไง”


“มีสิพ่อ เชียงใหม่มีแต่ของอร่อยทั้งนั้น แต่บุ๋นอยากกินของไม่อร่อยฝีมือน้านิตย์บ้าง”


ผู้เป็นพ่อหัวเราะหึ “ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ”


“เหมือนพ่อนั่นแหละ” ลูกชายพึมพำ คุยกันต่ออีกสอง-สามประโยค บรรณภัทรก็กดวางสาย ริมฝีปากได้รูปยังมิคลายจากรอยยิ้ม มัวแต่คิดอะไรเพลินจึงไม่ทันได้ยินเสียงรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดใกล้กับเพิงขายของที่อยู่ถัดขึ้นไป


“อากาศดีจังเลย” หญิงสาวในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากฝั่งคนขับเอ่ยขึ้น เธอยกสองแขนเหยียดจนสุดพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอด เมื่อพรูลมหายใจออกจึงบิดตัวไปมาให้คลายความเมื่อยล้ารอกระทั่งสาวสวยในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าเปิดประตูเดินมาหยุดข้างกันจึงถาม “แกหาที่นี่เจอได้ยังไง”


“กานต์เป็นคนมาเจอน่ะ เห็นว่าถ่ายละครแล้วผ่านมาแถวนี้ บรรยากาศดีก็เลยถ่ายรูปไปอวดฉัตร เมื่อปีก่อนฉัตรพาฉันมา ฉันก็เลยอยากพาแกมาบ้าง เผื่อว่าแกจะมีแรงบันดาลใจเขียนนิยายสนุก ๆ ให้ฉันอ่าน” พูดจบก็ดึงแว่นกันแดดที่เหน็บอยู่กับคอเสื้อขึ้นมาสวม


“ขอบใจนะแก” คนพูดหันมายิ้ม “แล้วนี่พ่อตัวดีอยู่ไหน ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า”


“โทรคุยกันตอนที่อยู่ในตัวอำเภอน่ะ วันนี้ไม่มีคิวถ่ายก็เลยจะตามมาเจอกันที่นี่”


“สองคนนี้ดีจังเลยนะ ขนาดงานเยอะด้วยกันทั้งคู่ยังหาเวลาอยู่ด้วยกันได้”


“มีเวลาก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย ต่างคนต่างทำงานนี่นา”


“ดีแล้วละ ฉัตรนี่โชคดีนะ มีแฟนที่เข้าใจอย่างแก ว่าแต่เมื่อไรจะเปิดตัวจ๊ะ”


“ฉันก็ไม่ได้ปิดนี่ แถมตอนนี้คอลัมน์ซุบซิบในหนังสือพิมพ์ยังบอกใบ้จนคนเขารู้กันทั้งประเทศแล้วมั้ง” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “ประเทศนี้ก็แปลก ดาราจะเป็นแฟนหรือจะแต่งงานกันต้องออกมาแถลงให้ชาวบ้านรับรู้ แถมเวลาจะหย่าร้างหรือเลิกรากันยังต้องตั้งโต๊ะขอโทษนักข่าว ขอโทษประชาชนที่ทำให้ต้องผิดหวังทั้งที่เป็นเรื่องของคนสองคนแท้ ๆ”


คนฟังพยักหน้าเห็นตาม ยอมรับในคำพูดของเพื่อนสนิทผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานาน “เออ จริง ๆ ก็แค่ใช้ชีวิตปกติ ให้เกียรติกันก็พอ”


“ทุกคนเขาไม่ได้คิดแบบนั้นน่ะสิ บางคนก็อยากเป็นที่สนใจ”


“ก็เลยต้องทำตัวให้เป็นกระแส” เห็นอีกคนพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ถึงว่า...ช่วงนี้ดาราขยันส่งไม้ต่อกันเป็นทอด ๆ ก่อนหน้านี้ก็เรื่องภาพหลุดของพระเอกวัยรุ่นกับนักร้องสาวค่ายใหญ่ ผ่านไปยังไม่ถึงสัปดาห์ก็มีข่าวนางเอกดังไม่กินเส้นกับนางร้ายรุ่นพี่เสียแล้ว”
“ข่าวบางข่าวก็เป็นเรื่องที่คนบางคนจงใจสร้างกระแสเพื่อโปรโมตผลงานนั่นแหละ แกไม่สังเกตเหรอว่าข่าวพวกนี้มาพร้อม ๆ กับข่าวไม่เปิดกล้องละครก็ช่วงละครออนแอร์ หรือไม่ก็ช่วงที่ศิลปินออกผลงานเพลงใหม่”


“แต่ที่น้องกานต์โดนขุดเรื่องบินไปต่างประเทศบ่อย ๆ คงไม่เกี่ยวกับโปรโมตละครมั้ง รายนั้นไม่ต้องโปรโมตก็ดังเป็นพลุแตกอยู่แล้ว”


“ไม่เกี่ยวหรอก คนอย่างกานต์น่ะไม่ได้อยากเป็นกระแส ถ้าเลือกได้ก็คงอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า”


“เงียบไม่ได้สิแก เป็นตัวท็อปของช่องเสียขนาดนั้น ใคร ๆ ก็จับตามอง”


“อือ ฉันกับฉัตรก็เป็นห่วงอยู่ แต่กานต์บอกว่าไม่เป็นไร”


“คงใช้ชีวิตยากเป็นบ้า จะไปไหนกับใครก็มีคนแอบถ่ายตลอด แค่ไปต่างประเทศพวกนักข่าวยังตามไปสืบอีกว่าไปทำอะไร ไปหาใคร” นักเขียนสาวทำหน้ามุ่ย


คนฟังเองก็ถอนหายใจเบา ๆ


“จะว่าไปน้องกานต์นี่ท่าทางจะเป็นน้องรักของแกกับฉัตรเลยนะ”


“อืม ฉันเล่นละครกับกานต์หลายเรื่อง ได้คลุกคลีใกล้ชิดกันเลยรู้ว่ากานต์เป็นน้องที่ดีมาก ๆ ส่วนกับฉัตร สองคนนั้นเรียนการแสดงกับครูคนเดียวกัน เจอกันบ่อย ๆ ตามงาน มาสนิทกันตอนถ่ายละคร ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน มีอะไรกานต์ก็เลยคุยกับฉัตรตลอด”


“ดีจังเลยนะ อยู่วงการนี้มีเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่องสักคนก็ถือว่าดีมากแล้ว”


“เหมือนแกกับฉันไง”


“จะเหมือนได้ยังไง ฉันอยู่คนละวงการกับแก แค่นักเขียนธรรมดา ๆ ไม่ไฮโซเหมือนเพื่อนดาราของแกหรอก”


“ธรรมดาที่ไหนกัน นิยายได้ทำเป็นละครตั้งหลายเรื่อง แบบนี้แถวบ้านฉันเรียกว่าไม่ธรรมดานะ นามปากกา ‘ปานชีวา’ น่ะ ดังจะตายไป”


“แกก็พูดเวอร์”


“เขินเหรอจ๊ะนักเขียนใหญ่”


“ยัยเนย ไม่ต้องมาแซวเลย”


“ไม่ต้องเขินหรอกจ้ะ ที่ฉันพูดน่ะเรื่องจริงทั้งนั้น”


“แกนี่ ยังไม่เลิกแซวอีก” ว่าแล้วก็หันไปคว้าแขนเพื่อนรัก “ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับแกแล้ว ลงไปเดินเล่นข้างล่างกันดีกว่า”
บรรณภัทรละสายตาจากสองสาวที่จับมือกันเดินไปตามแปลงปลูกสตรอว์เบอรี มองขึ้นไปบนเนินเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ครู่หนึ่งเจ้าของฮอนดาซีอาร์วีซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูลงมายืน เขาโบกมือให้สองคนที่อยู่เบื้องล่างก่อนจะเดินลงมาตามบันไดดิน พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้าไปทักทายคนงานที่กำลังช่วยกันเก็บสตรอว์เบอร์รี บรรณภัทรทอดตามองออกไปยังผืนนาข้าวสาลีสีทองอร่าม ปล่อยใจคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังเดินคุยกันมา


“พี่ณฉัตรล้อหล่อ หล่อกว่าในทีวีตั้งเยอะ”


“ผู้หญิงชุดกระโปรงนั่นแฟนเขาเหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีข่าวว่าเป็นแฟนกัน”


“ชื่ออะไรนะ” คนพูดยกมือขึ้นเกาหัว “เน...”


“เนย”


“อืมใช่ ๆ เนย เนตรนภัส แม่เราชอบละครที่เขาแสดงมาก ๆ เป็นตัวร้ายแต่สวยยังกับนางเอก”


“เสียดายไม่มีปากกากับกระดาษ แกจะได้ขอลายเซ็นไปฝากแม่”


“ถึงมีก็ไม่เข้าไปขอหรอก อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า มาเที่ยวแบบนี้เขาคงอยากได้ความเป็นส่วนตัว อีกอย่าง...ไม่รู้ว่าพวกเขาจะใจดีแบบที่เราเห็นในทีวีหรือเปล่า”


“ก็จริง”


“พูดถึงใครกันเหรอ” บรรณภัทรแทรกขึ้นเมื่อสองคนเดินมาหยุด


“เจอดาราน่ะ” เฉลิมรัฐบอก


“ดารา”


“ใช่จ้ะบุ๋น นั่นไง” ว่าแล้วอัจจิมาก็ชี้ไปยังทิศที่เดินจากมา “สองคนนั้นไง ณฉัตร กับเนย เนตรนภัส ที่แสดงเป็นตัวร้ายคู่กันในละครที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนที่แล้ว”


คนฟังพยักหน้า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินเคียงกันไปยังทุ่งเก๊กฮวยเขียวขจี พลันเสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น เมื่อสามคนหันไปทางต้นเสียงก็พบกับชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพากันลงเนินมาแล้วหยุดยืนถัดจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปไม่ไกลนัก ทั้งคู่ต่างแต่กายด้วยเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด สวมหมวกแก๊ปและแว่นตากันแดดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า


“ไหนน้าบอกกับแม่ว่าจะพาผมไปดูมหาวิทยาลัยไง”


“มหาวิทยาลัยรอก่อนก็ได้ ไม่หนีไปไหนหรอก แต่ข่าวของฉันรอไม่ได้” พูดพลางหญิงสาวก็ชะเง้อมองไปรอบ ๆ ไปพลาง “รถก็จอดอยู่นี่นา แล้วตัวไปไหนนะ”


“ข่าวอะไรของน้า แถวนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเอาไปเขียนข่าวได้เลย ข่าวสตรอว์เบอร์รีออกลูกเป็นมะพร้าวเหรอ”   


“มะพร้าวบ้านแกสิ เดี๋ยวกลับไปฉันจะฟ้องแม่แกว่าแกไม่เชื่อฟังฉัน”


“เอะอะก็ฟ้องแม่” เจ้าของร่างสูงบ่นราวกับหมีกินผึ้ง “อุตส่าห์ออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อมาที่นี่เนี่ยนะ ไกลก็ไกล นั่งรถจนก้นชาไปหมดแล้ว”


“ไอ้ป้อน แกอย่าบ่นได้ไหม ลงไปข้างล่างกัน โน่นไง! อยู่ตรงโน้น ไปเร็ว! อย่าชักช้า!”


“รู้แล้วครับ...” หลานชายลากเสียง เดินตามอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดตลอดทาง


สองน้าหลายเดินลัดเลาะไปตามแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รีกระทั่งหยุดที่ป้ายไม้ตรงทางแยก ด้านหนึ่งชี้ไปยังนาข้าวสาลี ส่วนอีกด้านชี้ไปที่พื้นที่ปลูกเก๊กฮวย


“ทางนั้น” ว่าแล้วคนพูดก็ดึงกล้องคอมแพคตัวจิ๋วออกจากกระเป๋าคาดเอว


“น้ามาทำข่าวใคร ทำไมต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ด้วย”


“แกอย่าเพิ่งถามมากได้ไหม ก้มลง” คนเป็นน้ากล่าวพร้อมกับรั้งแขนหลานชายให้ก้มต่ำ แล้วพากันแทรกตัวเข้าไประหว่างพุ่มเก๊กฮวย


เด็กหนุ่มนั่งยองมองคนมาด้วยกันที่กำลังยกกล้องคอมแพคขึ้นเหนือพุ่มไม้เพื่อบันทึกภาพ ดวงตาฉายแววสงสัยมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแอลซีดีขนาดเล็ก เนื่องจากถ่ายในระยะไกลแม้เจ้าของกล้องจะซูมแล้วแต่ก็เห็นรายละเอียดในภาพไม่ชัดเท่าไรนัก ดังนั้นหนุ่มม.ปลายจึงยืดตัวขึ้นมองไปยังทิศทางเดียวกับกล้องและในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่าง


“ที่แท้ก็มาแอบถ่ายสองคนนั้น ระวังเถอะ ถ้าเขาจับได้ขึ้นมาจะโดนฟ้อง”


“ระดับฉันไม่โง่ให้เขาจับได้หรอกย่ะ” หญิงสาวลดกล้องลงเมื่อพูดจบ กดเลื่อนดูภาพจากจอแอลซีดี “ไม่ค่อยชัดเลย ต้องเข้าไปใกล้ ๆ กว่านี้อีกหน่อย”


“น้า! ยังจะไปอีกเหรอ” หลานชายถอนใจเฮือกใหญ่


“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าได้ข่าวนี้ไปลงในคอลัมน์ของฉันละก็ นิตยสารต้องขายดีแน่ ๆ”


“ไม่ไปด้วยหรอก ผมกลับไปรอที่รถนะ”


“ตามใจแก”


เด็กหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง มองน้าสาวที่ค่อย ๆ คลานไปตามทางเดินระหว่างพุ่มเก๊กฮวย โดยไม่รู้เลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาจากมุมหนึ่ง...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-02-2020 11:47:32
(ต่อค่ะ)

“นิสัยไม่ดี” อัจจิมาเอ่ยขึ้น


“ใช่ แอบถ่ายคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง” เฉลิมรัฐเสริม


“ถ้าอย่างนั้นเราไปบอกให้เขารู้ตัวไหม” สิ้นเสียงบรรณภัทร ทั้งสามสุมหัวปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่งจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง


เฉลิมรัฐรับอาสาไปเตือนสองหนุ่มสาวที่กำลังยืนถ่ายรูปกันอยู่ ส่วนบรรณภัทรอ้อมไปอีกทาง ขายาวก้าวช้า ๆ ในขณะที่ดวงตามองตามร่างเล็กของอัจจิมาที่กำลังเดินไปยังแนวคันดินคั่นกลางระหว่างทุ่งข้าวสาลีและแปลงปลูกเก๊กฮวย เห็นหญิงสาวใกล้ถึงเพิงไม้ไผ่จึงเร่งฝีเท้าจนไม่ทันระวังชนเข้ากับร่างสูงที่เดินสวนทางมา


“ขอโทษครับ” ต่างคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” หนุ่มม.ปลายถามพร้อมกับใช้ปลายนิ้วดันแว่นตากันแดดถือโอกาสสำรวจคนตรงหน้า มีเฉพาะดวงตาเท่านั้นที่ปราศจากสิ่งกำบัง


บรรณภัทรส่ายหน้าน้อย ๆ เบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ขายาวก้าวถี่ ๆ เมื่อสปริงเกลอร์ถูกเปิดขึ้นพร้อมกันจนตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ละอองน้ำกระทบแสงแดดจนเกิดเป็นรุ้งกินน้ำ เสียงวี๊ดว้ายทำให้เขาต้องหยุดกวาดตามองไปรอบ ๆ ในที่สุดก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งผุดลุกขึ้นและกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เธอยกมือขึ้นบังลำอองน้ำที่สาดกระเซ็นมาจากทุกทิศทุกทาง ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้ไม่ทันได้เก็บหมวกแก๊ปและแว่นกันแดดที่ทำหล่นเรี่ยราดมาตามทาง บรรณภัทรชะลอฝีเท้าหวังจะลดแรงปะทะ และเมื่อสปริงเกลอร์หยุดทำงานร่างเล็กก็ชนเข้ากับร่างของเขาอย่างจัง จนหญิงสาวลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าเป็นไปตามแผนที่เฉลิมรัฐวางไว้


“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มกล่าวแล้วรีบประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น


“น้า เป็นอะไรหรือเปล่า” หลานชายถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเดินมาหยุด


น้าของเขามิได้ตอบ แต่หันกลับไปต่อว่าอีกคน “เธอเดินยังไงของเธอ”


“ขอโทษจริง ๆ ครับ” บรรณภัทรกล่าวอย่างสุภาพ


“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันอยู่ตรงนี้” หญิงสาวโวยวายไปพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองไปพลาง


“น้านั่นแหละวิ่งมาชนเขา”


“ไอ้หลานอกตัญญู แกไม่ช่วยฉันแล้วยังมีหน้ามาเข้าข้างคนอื่นอีก”


“ก็มันเรื่องจริงนี่นา เขาหยุดตั้งนานแล้ว น้านั่นแหละวิ่งมาชนเขา”


“พอดีผมต้องรีบไปช่วยงานทางโน้น” บรรณภัทรบอกพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้เพื่อนสองคนที่ยืนโบกไม้โบกมืออยู่ลิบ ๆ


“ไม่เป็นไร น้าผมต่างหากที่ผิด”


“ไอ้ป้อน” หญิงสาวมองหลานชายตาขวาง


“ไม่เอา ๆ ไม่โมโหสิน้า เรื่องเล็กน้อยเอง”


“จะไม่ให้โมโหได้ยังไง แกเห็นไหมว่าฉันเปียกไปหมดแล้ว ไม่รู้จะมารดน้ำต้นไม้อะไรกันตอนนี้ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่” พูดจบก็หันไปค้อนควักใส่หนุ่มคนงานก่อนจะมองไปรอบ ๆ “อ้าว แล้วนี่เลิกรดแล้วเหรอ”


“ก็น้าเล่นไปมุดอยู่ตรงนั้น ใครเขาจะเห็น” ว่าแล้วหนุ่มม.ปลายก็หันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อีกคนรีบไปให้พ้นจากตรงนี้


บรรณภัทรเห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าตอบเป็นการขอบคุณ จากนั้นจึงวิ่งไปสมทบกับเพื่อน ๆ แล้วทั้งสามคนก็พากันสลายตัว


“เราไปกันเถอะน้า จะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เปียกไปหมดแล้วเนี่ย”


“ไปก็ได้” หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ก้มลงมองสองมือของตนเอง “กล้อง... กล้องฉันล่ะ กล้องไปไหน”


“น้าในกระเป๋าหรือเปล่า หาดีหรือยัง”


เมื่อเปิดดูแล้วไม่พบจึงอ่ยขึ้น “ไม่มี มันต้องร่วงตอนที่ฉันวิ่งมาแน่ ๆ” ทันทีที่หมุนตัวกลับคอลัมนิสต์สาวก็ต้องชะงักอ้าปากค้างเมื่อพบว่าสองคนที่กำลังตรงคือนักแสดงชื่อดังที่ตนเองกำลังตามสืบเรื่องราวของทั้งคู่อยู่ “ณ...ณฉัตร เนตรนภัส” มองเลยไปยังด้านหลังคนที่เดินตามมานั่นก็ “ปานจิต” เจ้าของนามปากกาปานชีวานักเขียนคู่บุญของช่องซึ่งเป็นต้นสังกัดของทั้งคู่


“สวัสดีครับพี่พิมพ์พรรณ โลกกลมจังเลยนะครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าคมสันถอดแว่นตากันแดดแล้วเสียบกับประเป๋าเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมเผยให้เห็นแผงอก “เป็นเกียรติจังเลยที่คอลัมนิสต์ชื่อดังจำชื่อพวกผมได้แม่นทั้งที่พบกันอยู่ไม่กี่ครั้ง สงสัยจะเป็นเพราะเขียนถึงพวกเราบ่อย ๆ หรือเปล่าครับ” ว่าแล้วก็หันไปส่งยิ้มให้สาวสวยที่เดินตามมาพร้อมกับเพื่อนสนิทของเธอ


“บ่อยจนเนยกับฉัตรตามแก้ข่าวไม่ทันเลยค่ะพี่พิมพ์พรรณ”


เจ้าของคอลัมน์ซุบซิบในนิตยสารบันเทิงระดับต้น ๆ ของประเทศสูดลมหายใจลึกแล้วลอบผ่อนออกเบา ๆ พยายามรักษาสีหน้าท่าทีให้เป็นปกติด้วยถือว่าตนเองเป็นรุ่นพี่แม้จะไม่กี่ปีแต่หากนับระยะเวลาที่คลุกคลีในวงการบันเทิงมาก็ถือว่าอยู่มานานกว่า
“แหม น้อง ๆ ก็แซวพี่ได้”


“มาทำงานเหรอครับ” ณฉัตรถามพลางใช้ปลายนิ้วถูกปลายคาง “เอ...พี่พิมพ์พรรณเปลี่ยนแนวการเขียนแล้วเหรอครับ ผมไม่ยักรู้”


“พี่พิมพ์พรรณเขาต้องมาเที่ยวสิฉัตร ในป่าในดงแบบนี้จะมีอะไรให้เขียนถึง ใช่ไหมคะพี่พิมพ์พรรณ”


“ช...ใช่จ้ะ พ...พี่พาหลานชายมาดูมหาวิทยาลัยที่นี่แล้วก็ถือโอกาสเที่ยวด้วย”


“ไม่ได้สะกดรอยตามใครมาใช่ไหมคะ” คำพูดของนางร้ายวัยย่างยี่สิบเก้าทำคนฟังถึงกับหน้าชา เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าตึงจึงกล่าวต่อ “เนยล้อเล่นค่ะ เป็นนักเขียนไม่ใช่นักสืบสักหน่อย”


“มาเที่ยวไกลจังเลยนะครับ แต่จะว่าไปบรรยากาศที่นี่ก็ดีจริง ๆ มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลย พี่พิมพ์พรรณคงถ่ายรูปไปได้เยอะเลยสินะครับ”


“ค...คือ...”


“น้าผมทำกล้องหายครับ” คนอายุน้อยที่สุดเอ่ยขึ้น “น่าจะหล่นอยู่แถวนี้แหละครับ”


“ใช่อันนี้ไหมจ๊ะ” หญิงสาวที่ก้าวขึ้นมายืนข้างหนุ่มนักแสดงกล่าวพลางยกกล้องคอมแพคที่กรังไปด้วยคราบดินขึ้น
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง หันไปสะกิดน้าสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อ “นี่ไงน้า พี่เขาเก็บได้”


“ฉันรู้แล้ว” พิมพ์พรรณบีบแขนหลานชายพลางกระซิบรอดไรฟัน พูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบของของตนเองแต่กลับช้ากว่าณฉัตร


“ผมขอดูหน่อยนะครับ ได้ข่าวว่าคนของทีนิวส์ถ่ายรูปชัดแล้วก็สวยมาก ๆ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็กดเปิดกล้องโดยมิได้ใส่ใจท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้เป็นเจ้าของ นิ้วหนากดเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ปากก็พึมพำไปด้วย “รูปพวกนี้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนะครับ ซูมจนแตกเลย ขืนเอาไปใส่ในนิตยสารมีหวังเสียชื่อทีนิวส์แย่ เดี๋ยวผมลบให้ก็แล้วกันนะครับ ไม่สิ...ฟอร์แมตเลยดีกว่า พี่พิมพ์พรรณจะได้มีพื้นที่ในการ์ดไว้ถ่ายรูปสวย ๆ”


“อ...อะ...ด...เดี๋ยว...” พิมพ์พรรณพยายามจะอ้าปากประท้วงแต่ท่าทางของเธอกลับคล้ายปลาใกล้ตายที่กำลังหายใจพะงาบ ๆ เสียมากกว่า


“อ้อ...เดี๋ยวผมดูให้นะครับว่าแบตเตอรี่ชื้นหรือเปล่า” ณฉัตรกล่าวก่อนจะเปิดฝาเทแบตเตอรี่ก้อนเล็กสองก้อนออกมาตรวจดู “อืม...น่าจะชื้นนะครับ ผมว่าพี่พิมพ์พรรณคงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้วละครับ” พูดจบก็ปิดฝาช่องใส่แบตเตอรี่แล้วส่งกล้องคืนให้เจ้าของ


“ล...แล้ว...” หญิงสาวรับกล้องคอมแพคตัวจิ๋วกลับคืนมาด้วยความงุนงง


“อ๋อ...แบตเตอรี่สองก้อนนี้เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้นะครับ ใส่คาไว้เดี๋ยวจะพาให้กล้องพังเสียเปล่า ๆ” นักแสดงหนุ่มยกยิ้มมุมปากแล้วหย่อนของในมือลงกระเป๋ากางเกง “พวกผมไม่รบกวนแล้วนะครับ เชิญพี่พิมพ์พรรณตามสบาย” พูดจบณฉัตรก็ค้อมศีรษะให้


“ไปเถอะปาน” เนตรนภัสหันไปจับมือเพื่อนรัก เดินไปได้หน่อยนางร้ายหน้าหวานก็หยุดแล้วหันมากล่าว “อ้อ...หวังว่าเนยคงไม่ได้เห็นข่าวซุบซิบ นางร้ายอักษรย่อ น. ควงหนุ่มดาวร้ายอักษร ฉ. เที่ยวเชียงใหม่สองต่อสองในคอลัมน์ของพี่พิมพ์พรรณหรอกนะคะ”


เจ้าของชื่อกำหมัดแน่น มองตามทั้งสามคนที่เดินห่างออกไป ได้ยินเสียงหัวเราะของคนข้าง ๆ จึงหันไปทำตาขวาง “แกหัวเราะอะไร”


“ก็หัวเราะน้าไง ไหนบอกว่าระดับน้าไม่มีทางโง่ให้เขาจับได้”


“ไอ้ป้อน นี่แกว่าฉันโง่เหรอ”


“น้าพูดเองนะ” เด็กหนุ่มยกมือปฏิเสธพัลวันรีบถอยกรูด


“แกมานี่เลยไอ้หลานบ้า” หญิงสาวชี้หน้าก่อนจะเดินตามแต่อีกฝ่ายก็เผ่นไปไกลแล้ว


... 


ถึงกำหนดกลับ พ่อของอัจจิมาขับรถมาส่งบรรณภัทรและเฉลิมรัฐที่สถานีรถไฟเชียงใหม่เพื่อให้ทันรถด่วนพิเศษขบวนที่แปด ซึ่งเป็นดีเซลรางปรับอากาศแบบนั่งทั้งขบวน หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่าสปรินเตอร์ มีกำหนดออกจากสถานีเชียงใหม่ในเวลาแปดนาฬิกายี่สิบห้านาทีถึงสถานีกรุงเทพเวลาสิบเก้านาฬิกายี่สิบห้านาที หลังจากนั่งรถไฟมาเกือบสิบสองชั่วโมงบรรณภัทรและเฉลิมรัฐก็แยกย้ายกันที่สถานีบางซื่อ ส่งเพื่อนที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว บรรณภัทรจึงออกมายืนรอพ่อ พอขึ้นรถคุยกับพ่อได้ไม่กี่ประโยคก็คอพับคออ่อน นาน ๆ จะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศรถติดที่คุ้นเคยสักที ทันทีที่ถึงบ้านกับข้าวกับปลาที่น้านิตย์เตรียมไว้รอท่าก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มปลดเป้สะพายหลังวางบนโซฟา ยกมือไหว้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากครัว


“บุ๋นผอมลงหรือเปล่า” เนาวนิตย์กล่าว แต่บรรณภัทรไม่ได้พูดอะไร รับจานจากมือของเธอไปวางบนโต๊ะ


“สงสัยกับข้าวที่เชียงใหม่ไม่อร่อย” บรรณวิชญ์ที่เดินตามหลังมาเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ มองลูกชายที่กำลังตักข้าวใส่จาน ผู้เป็นพ่อลอบยิ้ม บรรณภัทรก็ยังคงเป็นบรรณภัทรที่ไม่ค่อยจะยอมรับอะไรง่าย ๆ มาแต่ไหนแต่ไร


ชายหนุ่มวางจานข้าวตามตำแหน่งโดยเริ่มจากพ่อ ตัวเขาเอง แล้วก็...


ตาคมมองพื้นที่ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่ามาหลายปีก่อนจะวางจานที่เหลือลงตรงนั้น เห็นเนาวนิตย์กำลังจะเดินมานั่งข้างตนเหมือนเคยจึงเอ่ยขึ้น “น้านิตย์นั่งตรงนั้นแหละ นั่งข้างบุ๋นเดี๋ยวก็ตักกับข้าวไม่ถึงกันพอดี”


เนาวนิตย์หันไปสบตาผู้เป็นสามี เห็นเขาพยักหน้าจึงเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับลูกเลี้ยง


“ตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหมว่าจะไม่สอบใหม่” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนลงมือรับประทานอาหารได้ครู่หนึ่ง


“ไม่แล้ว หรือพ่ออยากให้บุ๋นสอบใหม่”


“พ่อบอกแล้วว่าตามใจแก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกถามได้แล้ว”


“ไอ้ลูกคนนี้”


เนาวนิตย์มองสองพ่อลูกพลางส่ายหัว จากนั้นจึงตักกับข้าวใส่จานคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ทานเยอะ ๆ นะบุ๋น”


บรรณภัทรก้มมองไข่ตุ๋นในจานก่อนจะตักกินเงียบ ๆ นึกขึ้นได้ว่าพ่อเพิ่งเริ่มทำงานที่ใหม่ซึ่งเป็นหอสมุดแถวเทเวศร์จึงถาม “ที่ทำงานใหม่พ่อเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ดี เงียบสงบดี แต่แถวนั้นรถติดไปหน่อย” ผู้เป็นพ่อตอบ


“ทำงานคนละที่กันแบบนี้แล้วน้านิตย์ไปทำงานยังไง”


“ตอนเช้าพ่อส่งน้านิตย์ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนตอนเย็นน้านิตย์เขากลับเอง”


“เอาไว้บุ๋นตามไปเที่ยวที่ทำงานพ่อสิ มีหนังสือให้อ่านเยอะมากเลยนะ” เนาวนิตย์เสริม


บรรณภัทรพยักหน้า จากนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารต่อ


หลังมื้ออาหารทุกคนมานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่น บรรณวิชญ์คุยเรื่องสัพเพเหระกับลูกชายได้ครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายนั่งสัปหงกจึงไล่ขึ้นห้อง ทันทีที่บรรณภัทรเปิดประตูห้องนอนก็ได้กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นแดดจากผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนที่น้านิตย์เพิ่งเปลี่ยนให้ ในตู้เสื้อผ้าก็ได้กลิ่นเช่นเดียวกันนี้ ชายหนุ่มอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนแผ่หลาตาส่ว่างอยู่บนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับเพราะความเหน็ดเหนื่อย


บรรณภัทรมาตื่นอีกทีก็ตอนเกือบใกล้เที่ยงของวันใหม่ ชายหนุ่มเดินงัวเงียลงไปยังชั้นล่าง กวาดตามองหาเป้สะพายหลังที่วางแหมะเอาไว้กับพื้นตั้งแต่มาถึง พบว่าเสื้อผ้าใช้แล้วที่อยู่ข้างในหายไป ชะเง้อมองเห็นโรงรถว่างเปล่าจึงรูดซิปห้อยพวงกุญแจรูปตุ๊กตาหมีถักด้วยไหมพรมเปิดช่องด้านข้างเป้แล้วหยิบซองสีน้ำตาลเล็ก ๆ ออกมาก่อนจะเดินไปที่หลังบ้าน ได้ยินเสียงเครื่องซักผ้ากำลังทำงาน บนราวผ้ามีทั้งเสื้อของพ่อ เสื้อของเขา และเสื้อกันหนาวที่น้านิตย์ถักให้ตากอยู่ ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมฟุ้ง ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าเครื่องซักผ้า เห็นว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มที่น้านิตย์ใช้ก็แบบเดียวกันกับที่เขาใช้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเสื้อผ้าที่เขาซักเองจึงไม่มีกลิ่นหอมดังเช่นที่อีกฝ่ายซักให้ ตั้งแต่เด็กสังเกตว่าเสื้อผ้าที่น้านิตย์ซักนอกจากจะมีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วยังมีกลิ่นแดดผสมอยู่ด้วย หยิบตัวไหนมาใส่ก็รู้สึกสบายทุกครั้ง


“ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อเดียวกันแต่ทำไมเสื้อผ้าที่บุ๋นซักถึงไม่หอมเหมือนน้านิตย์ซักเลย” บรรณภัทรเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงยังม้าหินอ่อน มองแม่เลี้ยงที่กำลังหยิบผ้าชิ้นสุดท้ายในตะกร้าใส่ไม้แขวนแล้วเกี่ยวกับราวผ้า


“หลายวันไหมถึงซัก”


“ก็รอให้เยอะ ๆ ก่อน”


“น้าว่าต่อไปทยอยซักดีกว่า อย่าเก็บไว้นาน อีกอย่างทยอยซักจะได้ไม่เหนื่อยด้วย แล้วก็แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มไว้นานหน่อย บุ๋นแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มนานไหม”


คนถูกถามส่ายหัว “แช่แป๊บเดียวก็เอาขึ้นตาก รีบไปอ่านหนังสือต่อ”


“ลองแช่เอาไว้สักพัก แล้วไปทำอะไรอย่างอื่นก่อนก็ได้” สิ้นเสียงเนาวนิตย์เครื่องซักผ้าก็หยุดทำงานพอดี “ปกติน้าก็แช่ไว้แล้วไปทำงานอื่นก่อนค่อยมาตาก แต่จะพยายามไม่ให้เกินเที่ยง ตากแดดดี ๆ ผ้าจะได้ไม่เหม็นอับ”


“ล...แล้วตอนนี้...น้านิตย์มีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า”


แม่เลี้ยงมองอย่างแปลกใจ


“นั่งคุย...นั่งคุยกับบุ๋นก่อนได้ไหม”


“ได้สิ บุ๋นมีอะไรจะคุยกับน้าเหรอ” เธอกล่าวก่อนจะนั่งลง


“มีของจะให้” ว่าแล้วบรรณภัทรวางซองกระดาษสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ


เมื่อเนาวนิตย์หยิบมาเปิดดูจึงพบว่าข้างในมีกำไลเงินกับโปสการ์ดแผ่นหนึ่ง “นี่มันลายเซ็นณฉัตรกับเนตรนภัสนี่นา” อีกคนแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “บุ๋นได้มาได้ยังไง”


“บังเอิญเจอก็เลยขอลายเซ็นมาให้ โปสการ์ดนั่นเขาก็ให้มา” บรรณภัทรพูดพลางนึกถึงวีรกรรมที่สร้างไว้สด ๆ ร้อน ๆ มองคนฝั่งตรงข้ามที่ชื่นชมโปสการ์ดใบนั้นอยู่ได้ไม่นานก็สอดกลับลงซอง เปลี่ยนจ้องมองกำไลเงินในมือ


“กำไลนี่... บุ๋นแวะไปดูบ้านหลังเก่าของปู่กับย่าแถววัวลายมา เห็นมันสวยดีก็เลยซื้อมาฝาก”


“แพงหรือเปล่าบุ๋น”


“ไม่แพงหรอก” บรรณภัทรตอบ มองกำไลที่ตนเองซื้อด้วยเงินค่าจ้างสอนพิเศษซึ่งเป็นเงินก้อนแรกในชีวิตที่ได้รับจากการทำงาน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ลูบ ๆ คลำ ๆ จึงถาม “ไม่ชอบเหรอ”


“ชอบจ้ะ ชอบมากเลย น้าขอบใจบุ๋นมากนะ”


“ชอบแล้วทำไมไม่ใส่”


“วัน ๆ น้าต้องทำนู่นทำนี่ กลัวว่ามันเป็นรอยน่ะ”


“ไม่เห็นต้องกลัวเลย มา บุ๋นใส่ให้” พูดจบชายหนุ่มก็ดึงมือคนตรงหน้ามาใกล้ ๆ คว้ากำไลแล้วง้างออกคล้องลงบนข้อมือเล็ก บรรณภัทรนิ่งไปชั่วขณะ เพิ่งเคยจับมืออีกฝ่ายเป็นครั้งแรกจึงได้รู้ว่ามือของน้านิตย์ไม่ได้นิ่มแต่ก็ไม่หยาบกระด้างซ้ำยังอุ่นมาก ๆ “ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเป็นรอยนะ”


“น้าขอบใจบุ๋นมากนะลูก”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน “แล้วนี่พ่อไปไหน”


“เห็นว่าวันนี้ต้องเข้าไปที่ทำงานจ้ะ เย็น ๆ ถึงจะกลับ บุ๋นไปหาพ่อสิ จะได้ไปดูที่ทำงานใหม่ด้วย”


ดังนั้นในตอนบ่ายบรรณภัทรจึงนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาจากท่าน้ำนนทบุรีไปยังท่าเทเวศร์แล้วเดินต่อไปยังหอสมุดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่ เมื่อไปถึงผู้เป็นพ่อก็แนะนำให้เขารู้จักกับทุกคนที่นั่น จากนั้นชายหนุ่มจึงสำรวจไปรอบ ๆ เดินไปตามทางเดินระหว่างชั้นหนังสือกระทั่งหยุดที่หมวดเก้าร้อยซึ่งรวบรมหนังสือภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ทั่วไป กวาดตามองหาเล่มเดียวกันกับที่เห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานของพ่อ อยากรู้ว่าสนุกตรงไหนคุณบรรณวิชญ์ถึงอ่านได้ไม่รู้จักเบื่อ


“นี่ลูกชายบู๊ใช่ไหม”


บรรณภัทรหันไปตามเสียง เห็นว่าเป็นคุณลุงที่ทำงานห้องเดียวกันกับพ่อจึงตอบ “ใช่ครับ”


“เมื่อกี้ลุงยุ่ง ๆ เดินไปเดินมาเลยไม่ได้แวะคุยด้วย ได้ข่าวว่าเรียนบรรณรักษ์ ท่าทางจะชอบอ่านหนังสือเหมือนพ่อ”


ชายหนุ่มไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธทำเพียงยิ้มน้อย ๆ


“ตามสบายนะ เดี๋ยวลุงไปทางโน้นก่อน ต้องไปสอนงานเด็กใหม่” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีพูดกลั้วหัวเราะแล้วเดินต่อ


บรรณภัทรโผล่หน้ามองตามคนที่เพิ่งเดินหันหลังใหญ่ เขาหยุดที่ชั้นหนังสือซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มองเลยไปที่ด้านนอกประตูกระจกมีผู้คนยืนออกันอยู่เต็มไปหมด ครู่หนึ่งคนเหล่านั้นก็หลีกทางให้ใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา เจ้าของร่างสูงหยุดยกมือไหว้ผู้อาวุโส จากนั้นจึงนั่งลงเริ่มต้นการสนทนา


“ดาราน่ะ”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนแอบมองสะดุ้ง หันกลับไปจึงเห็นว่าเป็นพ่อ และที่กำลังเข็นรถหนังสือตามหลังมาก็คือนักศึกษาฝึกงานสาขาบรรณรักษ์ที่เจอกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ตกใจหมดเลยพ่อ มาเงียบ ๆ”


“ขวัญอ่อนเหลือเกินไอ้ลูกชาย”


“ก็พ่อเล่นมาเงียบ ๆ”


“อยู่ในหอสมุดก็ต้องงดใช้เสียงสิ แกได้อ่านป้ายที่หน้าห้องไหม”


“บุ๋นรู้น่า บ่นอะไรยืดยาวเนี่ย” ลูกชายเกาหัว “ว่าแต่ดารามาหอสมุดทำไมพ่อ”


“เห็นว่าจะมีละครที่ต้องรับบทเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ก็เลยขอเข้ามาเรียนรู้งาน”


“ลุงธงแกจะให้อาบู๊สอน อาบู๊แกก็ไม่ยอม” หนุ่มนักศึกษาเอ่ยขึ้น


บรรณภัทรละสายตาจากชายหนุ่มที่กำลังชะเง้อคอยาวมายังผู้เป็นพ่อ “ทำไมพ่อไม่สอนเขาล่ะ”


“ก็อาบู๊แกไม่บ้าดาราไง ใช่ไหมอา เป็นผมหน่อยไม่ได้ ถ้าได้สอนงานพระเอกตัวท็อปแบบนี้ละก็จะขอถ่ายรูปคู่แล้วก็ให้เซ็นตรงกลางหลัง...”


“เอ่อ...พี่ ๆๆ หยุดแป๊บ ผมขอคุยกับพ่อแป๊บนะพี่ คุยแบบคนในครอบครัวเดียวกันน่ะ” คนอายุน้อยที่สุดกล่าวพร้อมกับยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้หยุด แต่อีกฝ่ายก็ยังจ้อไม่หยุด


“อ้าว พี่ก็คนน...ใน...”


“นอก” บรรณภัทรต่อให้


“เออใช่” หนุ่มนักศึกษาฝึกงานกล่าวเสียงอ่อย จับเนคไทแกว่งไปมาอย่างเขินอาย “ลืมไปเลย”


บรรณวิชญ์ถอนใจเบา ๆ แม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปากลูกชาย แต่เขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการถามว่า “แล้วยังไงต่อ”


“ไม่อยากยุ่งกับดารา”


“อินดี้ไม่ใครเกิน” นักศึกษาหนุ่มเสริม 


ขณะเดียวกันบรรณภัทรใช้ปลายนิ้วดันแว่นสายตาพลางเห็นด้วยกับอีกฝ่าย


“อินดงอินดี้อะไร รู้จักแต่อินเดีย ไป ๆ ไปทำงานได้แล้ว” พูดจบบรรณวิชญ์ก็เดินนำโดยมีชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเข็นรถหนังสือตามพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ


บรรณภัทรส่ายหัวแล้วหันกลับมามองหาเรื่องที่น่าสนใจ เอื้อมมือดึงหนังสือสาม-สี่เล่มจากบนชั้นแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ พลิกดูรูปไปเรื่อย ๆ ระหว่างรอเวลาพ่อเลิกงาน ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหนเป็นเวลานานพอสมควร กระทั่ง “ลุงธง” ซึ่งเป็นหัวหน้าของพ่อเดินผ่านไปจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดฝาผนัง เห็นว่าอีกไม่นานจะได้เวลาเลิกงานของพ่อจึงลุกขึ้นหอบหนังสือทั้งหมดแล้วเดินกลับไปที่เดิม คาคมมมองออกไปนอกประตูกระจกซึ่งยังคงมีผู้คนจำนวนหนึ่งปักหลักรอแต่กลับไร้เงาของนักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้พระเอกชื่อดังคนนั้นคงหลบออกไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทิ้งให้บรรดาแฟน ๆ ต้องรอเก้อเสียแล้วกระมัง


เมื่อถึงชั้นหนังสือหมวดเก้าร้อยซึ่งเป็นที่หมาย บรรณภัทรพลิกดูสันปกหนังสือในมือแล้วไล่สายตามองบนชั้นก่อนจะเขย่งปลายเท้าเพื่อสอดเล่มที่อยู่ในมือคืนที่ พลันจมูกก็ได้กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ที่รู้ก็เพราะอัจจิมาเคยลากไปดมตามเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อยครั้ง


“มา พี่ช่วย”


ชายหนุ่มชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ ซ้ำหนังสือที่กำลังจะเสียบคืนชั้นยังถูกดึงไปโดยมือใหญ่ของเจ้าของร่างสูงที่จู่ ๆ ก็มายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง คนตัวเล็กกว่าถอยห่างออกมามองให้เต็มตา ที่แท้อีกฝ่ายก็คือ “ดารา” ที่พ่อพูดถึงนั่นเอง


“ข...ขอบคุณครับ” บรรณภัทรกล่าว


ศุภกานต์หันมายิ้มให้ก่อนจะดึงหนังสือทั้งหมดไปถือไว้เอง จากนั้นนักแสดงหนุ่มจึงก้มดูเลขเรียกหนังสือที่สันปก แล้วเงยหน้าขึ้นมองหาตำแหน่งที่จะใส่กลับคืน “ทำไมไม่วางไว้หรือเอาไปเก็บที่โต๊ะสำหรับหนังสือรอคืนชั้นล่ะ”


คนฟังเลิกคิ้ว ไม่คิดว่านักแสดงมีชื่อเสียงระดับนี้จะลดตัวลงมาพูดคุยกับเด็กที่ไหนไม่รู้เช่นตนเอง แต่ว่าไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตรงหน้าเริ่มต้นการสนทนากับเขา


“ว่ายังไง กลัวบรรณารักษ์เหนื่อยเหรอ”


“ครับ” บรรณภัทรตอบตามที่คิด


คนถามคลี่ยิ้มอีกครั้งพยักหน้าพลางสอดหนังสือคืนที่ “ดีเลย พี่เพิ่งเรียนวิธีการเก็บหนังสือเข้าชั้นจากหัวหน้าบรรณารักษ์ของที่นี่มา ขอลองวิชาหน่อยนะ เล่มนี้อยู่ตรงนี้ถูกไหม”


บรรณภัทรมองหนังสือที่กำลังจะถูกเสียบกลับเข้าชั้น เห็นว่าคนละตำแหน่งกับที่เขาเล็งไว้แต่แรกจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องเอาไว้ตรงไหน”


“ดูตามเลขหมู่ เล่มนี้จะอยู่ระหว่างสองเล่มนั้นครับ” พูดจบลูกชายบรรณารักษ์ก็สืบเท้าเข้าใกล้แล้วชี้ไปยังหนังสือสองเล่มที่เอนพิงกันอยู่ รอกระทั่งอีกฝ่ายสอดหนังสือคืนที่อย่างถูกต้องจึงกล่าวต่อ “ถ้าเราเก็บไม่ถูก ไม่ใช่แค่บรรณารักษ์ที่เหนื่อย คนที่ต้องการหาหนังสือเล่มนี้ก็เหนื่อยด้วยครับ”


คำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้ารูปร่างผอมกะหร่องทำเอาศุภกานต์ถึงกับยิ้มกว้าง ก้มลงมองอีกสามเล่มที่เหลือแล้วพึมพำกับตัวเอง “ดูเลขหมู่หนังสือ... ชื่อย่อคนแต่ง... แล้วก็...”


“เลขหมู่หนังสือระบบดิวอี้กำหนดไว้ว่าเก้าร้อยเป็นหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ เวลาบรรณารักษ์เรียงหนังสือก็จะดูเลขหมู่หนังสือเรียงจากน้อยไปหามาก จากบนลงล่าง ถ้าหากเลขหมู่ซ้ำกันก็จะเรียงตามอักษรย่อชื่อผู้แต่ง ถ้าชื่อผู้แต่งซ้ำกันก็ให้ดูที่อักษรย่อชื่อเรื่อง หรือถ้าซ้ำกันอีกก็ดูที่เลขลำดับเล่มหรือฉบับครับ”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นเล่มนี้...ก็ต้องอยู่ตรงนี้”


“ส่วนเล่มนี้อยู่ข้างล่าง ตรงนี้หรือเปล่านะ... ไม่ใช่สิ ต้องตรงนี้”


“เล่มสุดท้าย... ล็อกนี้ ด้านบน ตรงนี้ไง”


บรรณภัทรกอดยอกมอง ยอมรับว่าท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะแย่งหนังสือมาเรียงเองอยู่บ้าง แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจก็ทำให้ต้องปล่อยให้เขาทำให้สำเร็จด้วยตนเอง


“พี่ทำถูกไหม” ศุภกานต์หันมาถาม


“ถูกครับ”


นักแสดงหนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจ “เป็นบรรณารักษ์นี่ไม่ง่ายเลยเนอะ จะมีใครบ้างไหมนะที่จำได้หมดว่าหนังสือเล่มไหนอยู่ตรงไหน”


บรรณภัทรไม่ได้ตอบแต่ในใจนึกได้อยู่คนหนึ่ง คนที่ไม่ต้องคีย์ข้อมูลในระบบก็สามารถบอกได้ว่าหนังสือเล่มนั้นอยู่ตรงไหน ซ้ำยังบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ได้อีกด้วยว่าเนื้อหาในหนังสือแต่ละเล่มเกี่ยวกับอะไร ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญแล้วละก็ ให้เล่าทั้งวันทั้งคืนก็ไม่จบ คนนั้นก็คือ...พ่อของเขานั่นเอง


“ทำไมเราถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับหนังสือเยอะจัง”


“พ่อผมเป็นบรรณารักษ์ครับ”


ศุภกานต์เลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความยินดี “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู้สิว่าทำไมเวลาเราไปยืมหนังสือ เจ้าหน้าที่ห้องสมุดถึงต้องเอาสันหนังสือถูกกับแท่นโลหะที่วางอยู่ข้าง ๆ ตัว”


บรรณภัทรนิ่งไปชั่วขณะ ในหัวพยายามคิดถ้วยคำที่เข้าใจง่ายก่อนจะเริ่มอธิบาย “ห้องสมุดแต่ละที่จะมีระบบป้องกันหนังสือสูญหายครับ บางที่ใช้แถบแม่เหล็กติดไว้ด้านในของสันหนังสือ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยิบหนังสือจากชั้นโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ลบสัญญาณแม่เหล็กออกก่อน เวลาเดินผ่านเครื่องจับสัญญาณ สัญญาณก็จะดัง การลบสัญญาณออกก็คือที่พี่เห็นเจ้าหน้าที่เขาเอาสันหนังสือถูกับแท่นโลหะนั่นแหละครับ พอเราเอาหนังสือที่ยืมไปกลับมาคืนเจ้าหน้าที่เขาก็จะมีวิธีการเอาสัญญาณกลับคืนมาเหมือนเดิมก่อนเก็บเข้าชั้นครับ”


“สงสัยมาตั้งนานแล้วว่าทำไมต้องทำแบบนั้น เป็นอย่างนี้นี่เอง”


ศุภกานต์ไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อ เสียงประกาศเตือนได้เวลาปิดทำการของหอสมุดก็ดังขึ้น ต่างคนต่างมองไปรอบ ๆ ได้ยินเสียงลากเก้าอี้เก็บและเสียงฝีเท้า นักแสดงหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ามแดดอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์ เห็นอีกฝ่ายดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพียงเห็นชื่อคนโทรมาเขาก็เงยหน้าขึ้นกล่าวคำอำลาแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน


“อ...อ้าว ยังไม่ทันได้ขอบคุณเลย” ศุภกานต์ผ่อนลมหายใจพลางล้วงกระเป๋ากางเกงมองตามคนที่ผลุบหายไประหว่างชั้นหนังสือ “หวังว่าโลกจะกลมนะ”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-02-2020 18:57:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

บุ๋นได้เจอกับคู่ของบุ๋นแล้ว
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-02-2020 23:05:13

รับน้องรถไฟ
ร้อน และเบาะแข็งมาก55 หลับๆตื่นๆ กันไปตลอดทาง
มีเพื่อนก็ตอนรับน้องนี่แหละ

คิดถึงวันเก่าๆ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 07-02-2020 23:12:31
 :katai5:รอตอนต่ไปเลยจร้าาาา.. มาเวยๆเน้อ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-02-2020 19:24:05
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-02-2020 15:33:43
รอตอนต่อไปเลยค่ะ แบบนี้เขาก็เรียกว่าโลกกลมแล้ว เจอตั้งแต่ยังเห็นผ่าน ๆ จนได้คุยกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-02-2020 16:59:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-02-2020 22:15:01
โลกกลมที่สุดเลยค่ะพี่กานต์ ยังไงก็ต้องได้เจอ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 25-02-2020 18:18:36
รอนักเขียนอยู่นะคะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 25-02-2020 20:09:14
ยังรอติดามอยู่นะครับ. รักสุดๆๆนักเขียนคนนี้  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 4 โลกกลม (07-02-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 26-02-2020 13:58:01
ชอบเรื่องนี้จัง    :m1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-03-2020 01:31:53
ตอนที่ 5 น้องใหม่



   “พี่บุ๋ม”


   บรรณภัทรกลอกตาพลางถอนใจเฮือกเมื่อได้ยินคำเรียกนี้ นอกจากจะระคายหูแล้ว การต้องมาพบกับคนเรียกทุกวันยังทำให้ปิดเทอมอันแสนสงบสุขของเขาต้องกลายเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะนับตั้งแต่ลุงหมงมาขอร้องให้ช่วยตอนพิเศษลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ชายหนุ่มก็แทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน แทนที่จะได้นอนตื่นสายอย่างที่ถวิลหามาตลอด กลับต้องตามน้านิตย์มาที่มหาวิทยาลัย ใช้มุมหนึ่งใต้สำนักหอสมุดเป็นที่ติวหนังสือให้กับเด็กชายอายุสิบเอ็ดปีที่ดูจะไม่ค่อยเห็นความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อสักเท่าไร ส่วนลุงหมงเองพักหลังก็ไม่ค่อยใส่ใจว่าครูคนนี้จะสอนอะไรให้ไอ้ลูกเป็ดจอมซนนี่บ้าง คิด ๆ ไปแล้วก็เหมือนแค่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า บรรณภัทรถอนใจอีกเฮือกอย่างปลงตก ถ้าการเป็นพี่เลี้ยงเด็กจะได้เงินค่าจ้างพอสำหรับเป็นค่าตั๋วรถไฟปรับอากาศชั้นสองไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แถมยังมีเหลือใช้ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากได้อีกอย่างสองอย่างก็เป็นการยากที่ใครจะปฏิเสธ
   

“เป็ดซื้อมาฝาก” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำแตงโมงปั่นให้ 


“ขอบใจ” บรรณภัทรกล่าวก่อนจะรับไว้ วางลงบนโต๊ะและมองหน้ากลมขึ้นสีแดงเพราะไอแดด เห็นเหงื่อที่ไหลย้อยจากจอนผมแล้วอดดึงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายออกมาซับให้ไม่ได้ “ทีหลังต้องกางร่มหรือใส่หมวกไปนะ เดี๋ยวไม่สบาย”


เด็กชายหาได้ใส่ใจคำพูดนั้น กลับล้วงมือควานหาลางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ไม่นานก็วางลูกอมรสนมหลากสีสันลงบนโต๊ะ “มีลูกอมด้วย”


“ระวังฟันจะผุ” คนอายุมากกว่าบอก กระนั้นก็ยังหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งมาแกะใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ


“พี่บุ๋มกินเยอะกว่าเป็ดอีก”


บรรณภัทรเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเคี้ยวต่ออย่างไม่ใส่ใจ


“เย็นนี้ก่อนกลับบ้านไปกินไอติมนะพี่บุ๋ม”


“วัน ๆ คิดแต่เรื่องกิน”


“นะพี่บุ๋มนะ นะครับ” ไม่พูดเปล่า สองมือเล็ก ๆ ยังเอื้อมมาเขย่าแขน


ชายหนุ่มมองเจ้าของแก้มกลมอย่างอ่อนใจ นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเรียกชื่อพี่ให้ถูกก่อน”


“พี่บุ๋ม”


“บุ๋น”


“นะพี่บุ๋น นะ ๆ”


“ก็ได้ ๆ แต่บ่ายนี้ต้องตั้งใจเรียนนะ”


“ครับผม” เด็กชายเป็ดทำท่าตะเบ๊ะ


ดังนั้นตลอดบ่ายสองคนจึงย้ายขึ้นไปตากแอร์กันในห้องทำงานของพ่อ ๆ แม่ ๆ บรรณภัทรเริ่มนำเข้าบทเรียนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมโดยการเล่นเกมง่าย ๆ ตอนแรกเด็กชายเป็ดก็สนใจดี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำแบบฝึกหัดก็เล่นเอากุมขมับทั้งคนสอนคนเรียน


“ไอ้เป็ด แกตั้งใจหน่อยได้ไหม”


“พี่บุ๋นทำไมพูดไม่เพราะ”


“อะ ๆ น้องเป็ดครับ น้องเป็ดช่วยสนใจที่พี่บุ๋นสอนหน่อยได้ไหมครับ” บรรณภัทรเน้นทีละประโยคซ้ำยังกระดกลิ้นรัว


“เป็ดก็ตั้งใจแล้วนะพี่บุ๋น แต่โจทย์มันยาก ต้องพักสมองบ้าง”


“พักบ้าอะไร ตั้งแต่บ่ายมายังไม่ได้เริ่มทำสักข้อ ถามแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้”


“โถ่ ไม่ได้เจอตั้งนานเป็ดก็อยากคุยกับพี่บุ๋นนี่ พ่อบอกว่าห่วงก็ทัก รักก็ถาม”


นี่ก็อีก... มุขเลี่ยน ๆ จากละครซิทคอมยอดนิยมที่ลุงหมงเหมาซื้อซีดีไว้เป็นกะตั้กจนต้องแบ่งมาให้พ่อกับน้านิตย์ดู


“ไอ้เป็ด ขืนพูดอะไรน่าขนลุกอีกจะโดนไม้บรรทัดดีดปาก”


“ไม่พูดแล้วก็ได้” เด็กชายมุ่นคิ้ว ก้มหน้าทำแบบฝึกหัดต่อทั้งที่ปากยังบ่นขมุบขมิบ ตั้งอกตั้งใจอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มคุยจ้อจนคนสอนส่ายหัว


“อยู่นิ่งได้ไม่เกินห้านาทีจริง ๆ แบบนี้จะเป็นตำรวจได้ยังไง”


“ตำรวจไม่ใช่หุ่นไล่กานะพี่บุ๋น จะได้อยู่นิ่ง ๆ ทั้งวัน” เจ้าของแก้มยุ้ยกล่าวก่อนจะจรดปลายดินสอทดเลขในกระดาษ จากนั้นจึงย้ายมือมาเขียนคำตอบลงในช่องว่าง


“เย้...เสร็จแล้ว” เด็กชายร้องขึ้น


“เสร็จอะไร เหลืออีกตั้งเก้าข้อ”


“เสร็จหนึ่งข้อก็ถือเป็นความสำเร็จนะครับ”


บรรณภัทรกัดริมฝีปากแน่น


“อยากกินไอติมแล้ว”


“ทำอีกเก้าข้อให้เสร็จก่อน”


“เป็ดเหนื่อยแล้ว ปวดหัวจะแย่ ไปกินไอติมก่อนแล้วค่อนกลับมาทำไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ได้ ต้องทำให้เสร็จ”


เด็กชายเป็ดอิดออดอยู่ได้ไม่นาน เมื่อหมดข้ออ้างจึงลงมือทำแบบฝึกหัดต่อ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หนุ่มน้อยก็เริ่มจ้ออีกครั้ง


“เสร็จสักที เป็ดเก่งไหมพี่บุ๋น”


“เก่งบ้าอะไร โจทย์บวกลบคุณหารเศษส่วนแค่สิบข้อทำเป็นชั่วโมง”


“เหนื่อยก็พัก รักถึงจะไปต่อ”


“ไอ้ป...เป็ด...” บรรณภัทรพูดยังไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ร้องขึ้น   


“พ่อ!”


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มองเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามา


“ไง วันนี้พี่บุ๋นสอนอะไรบ้าง” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีเอ่ยขึ้น


“พี่บุ๋นสอนเยอะแยะไปหมดจนตอนนี้เป็ดหิวไอติมแล้วพ่อ”


มงคลมองลูกชายที่กำลังยกมือขึ้นลูบท้องอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปหาอีกคน


“เหนื่อยหน่อยนะบุ๋น สอนไอ้ลูกเป็ดนี่”


“ไม่เป็นไรครับ” บรรณภัทรตอบพลางเหล่มองเด็กน้อยที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้าง ๆ


“พรุ่งนี้บุ๋นไม่ต้องมาสอนเจ้าเป็ดมันแล้วละ”


“อ้าว ทำไมล่ะครับลุงหมง บุ๋นยังสอนไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้เลยนะ”


“วันนี้ย่าเจ้าเป็ดเจ้าเป็ดจะมาจากต่างจังหวัดน่ะ มีคนช่วยดูแลแล้ว บุ๋นไปทำอย่างอื่นเถอะ เห็นน้านิตย์บอกว่าเดือนหน้าจะกลับเชียงใหม่แล้วใช่ไหม”


“ครับ”


คนฟังพยักหน้าพลางดึงซองกระดาษสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ “อะนี่ค่าจ้าง ลุงเพิ่มให้อีกนิดหน่อย เหลือจากจองตั๋วรถไฟจะได้เอาซื้อของที่อยากได้”


“เท่าที่คุยกันไว้ตอนแรกก็เยอะแล้วนะครับ”


“เอาน่า รับไว้ ผู้ใหญ่ให้อย่าปฏิเสธ”


“ขอบคุณครับ” ลูกชายบรรณารักษ์ไหว้แล้วรับซองค่าจ้างเก็บใส่กระเป๋ากางเกง


“เย้ ๆ พี่บุ๋นรวยแล้ว” เด็กชายเป็ดยืนขึ้นแล้ววาดแขนโอบคอพี่ชายที่เขายกให้เป็นคนสำคัญ “พี่บุ๋นเลี้ยงไอติมเป็ดนะ”


“ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ


“ให้พี่บุ๋นเลี้ยงได้ยังไง เราสิต้องเลี้ยง พี่เขาอุตส่าห์สอนพิเศษให้ตั้งหลายเดือน” มงคลเตรียมจะหยิบเงินในกระเป๋าให้ลูกชายแต่บรรณภัทรห้ามไว้เสียก่อน


“ไม่ต้องหรอกครับลุงหมง วันนี้บุ๋นรวย เดี๋ยวบุ๋นเลี้ยงน้องเอง” คนพูดยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง


สองพี่น้องจูงมือกันออกจากอาคารสำนักหอสมุด เดินไปตามทางมุ่งหน้าอยู่ร้านไอศกรีมหลังมหาวิทยาลัย เป็นห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศ ด้านหน้าปลูกไม้ประดับ ที่สะดุดตาคือพุดศุภโชคที่จัดใส่กระถางเรียงยาวตลอดแนว ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์สีสันสดใส ซ้ำรสชาติไอศกรีมที่เจ้าของลงมือทำเองยังอร่อยถูกปากจนกลายเป็นร้านประจำของบรรดานักศึกษาและเด็ก ๆ ในละแวกนี้


เมื่อสั่งไอศกรีมเรียบร้อย เด็กชายแก้มยุ้ยก็วิ่งนำไปนั่งที่โต๊ะบาร์ทรงสูงซึ่งหันหน้าออกนอกร้าน ปืนขึ้นนั่งเก้าอี้ได้ก็คว้าดินสอสีในกระบะขีดเขียนลงบนกระดาษที่วางอยู่ใกล้กัน ไม่ช้าภาพกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้น 


“เชียงใหม่อยู่ไกลมากไหมพี่บุ๋น” เป็ดถามพลางเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกผนังกระจก เป็นเวลาเดียวกับที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นมาจอดชิดบาทวิถี ครู่หนึ่งร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายก็เปิดประตูลงมาพร้อมกับกุหลาบสีแดงกำหนึ่งในมือ เขากระชับเป้สะพายหลังจากนั้นจึงผลักประตูเข้ามาในร้านเป็นผลให้โมบายกระดิ่งลมประทบกันดังกังวาน


“ไกลมาก พี่นั่งรถไฟตั้งสิบกว่าชั่วโมง”


“แล้วเชียงเหมือนกรุงเทพฯ รถติกเหมือนกันหรือเปล่า”


“คล้าย ๆ นะ รถติดก็มี หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้...” บรรณภัทรไม่ทันเล่าต่อ เจ้าของร้านสาวสวยก็ยกไอศกรีมมาเสิร์ฟพอดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วเลื่อนถ้วยแก้วทรงสูงข้างในใส่ไอศกรีมสายรุ้งเรียงต่อกันสองก้อนตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสีและเจลลี่ให้เด็กชาย ส่วนของเขาเป็นไอศกรีมซันเดย์รสวานิลลาโปะวิปครีมโรยอัลมอนด์สไลด์


“ตามสบายนะจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะทักทายคนที่เพิ่งเดินผ่านหลังไปนั่งลงยังเก้าอี้บาร์ตัวในสุดซึ่งเป็นที่ประจำ “ไงป้อน สาวไหนให้กุหลาบมาจ๊ะ”


เด็กหนุ่มวางดอกไม้สีแดงสดลงบนโต๊ะพร้อมกับตอบ “รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะพี่ วันนี้วันปัจฉิม” ว่าแล้วก็ถอดเป้สะพายวางบนพื้นพิงกับขาเก้าอี้


“เร็วจังเลยนะ พี่เห็นเราตั้งแต่เรียนม.ต้น เผลอแป๊บเดียวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นี่ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเรียนที่ไหน”


“ยังเลยพี่” หนุ่มม.ปลายกล่าวเสียงเนือย


“สอบติดหลายที่ก็แบบนี้แหละ เลือกไม่ถูก สมัยพี่เอนทรานซ์นะ ถึงจะเป็นคณะที่ไม่ชอบก็ต้องเรียน ขี้เกียจไปสอบใหม่ เรียน ๆ ไปกลายเป็นชอบซะงั้น” เจ้าของใบหน้ารูปไข่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงอดีตที่ผ่านพ้นมานาน


“ยิ้มแบบนี้คงไม่ได้ชอบแค่คณะแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างรู้ทัน


“แหม...คณะพี่ก็ชอบจ้ะ แต่พอมีคนที่ใช่มันก็ยิ่งทำให้ชอบทุกอย่างไปหมด แถมมีกำลังใจในการเรียนด้วย ว่าแต่เรื่องวงเถอะ สรุปว่าเพื่อน ๆ เอายังไงกัน”


“ไม่มีใครทำต่อ มีผมแค่คนเดียวจะเป็นวงได้ยังไง”


“น่าเสียดายจัง อุตส่าห์ซ้อมด้วยกันมาตั้งนาน”


“ทำยังไงได้ละครับ ต้องแยกย้ายกันไปเรียนแล้วนี่”


เห็นคู่สนทนาดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย หญิงสาวเจ้าของร้านจึงกล่าว “ไม่เป็นไร ไว้ได้ที่เรียนแน่ ๆ แล้วค่อยเริ่มใหม่ก็ได้นี่เนอะ เดี๋ยวพี่ไปเอาไอติมให้กินดีกว่าจะได้อารมณ์ดี”


“ครับ”


นัยน์ตาสีเข้มทอดตามองกุหลาบสีสดตรงหน้า นึกขึ้นได้จึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องเล่นเพลงตัวจิ๋วราคาแพงลิ่วกับกระดาษที่พับเอาไว้ลวก ๆ ออกมาวาง จากนั้นจึงเสียบอินเอียร์กับหูทั้งสองข้าง มือคลี่กระดาษออกดู มันคือใบสมัครประกวดวงดนตรีน้องใหม่ของค่ายเพลงแห่งหนึ่ง รายละเอียดสมาชิกในตำแหน่งนักร้องนำและหัวหน้าวงคือชื่อของเขา ‘ภควัต อานันทร’
ส่วนชื่อของสมาชิกอีกสามคนในตำแหน่งกีตาร์ กลองและเบส...ถูกขีดฆ่าด้วยปากกา...


“หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้ แทบไม่อยากออกไปไหนเลย ส่วนหน้าหนาวอากาศเย็นมาก ๆ บางวันหมอกลง ดอกไม้บานเต็มไปหมด” เห็นเด็กชายมัวแต่อ้าปากหวอบรรณภัทรจึงกล่าว “กินก่อน เดี๋ยวไอ้ติมละลาย”


“ครับ” เจ้าลูกเป็ดรับคำ ตักไอศกรีมใส่ปาก ความเย็นจากของโปรดทำให้เผลอทำตัวสั่นดุ๊กดิ๊ก “ฮ่า...เย็นจัง”


“จะกินหมดไหมเนี่ย”


“สบายมาก” ว่าแล้วก็ใช้ช้อนตักไอศกรีมก้อนโตเข้าปากแล้วหันไปวาดภาพต่อ “ที่เชียงใหม่ของอร่อยเยอะไหมครับ”


“เยอะ แค่เฉพาะหลังม.ก็หลายร้านแล้ว พี่ยังกินไม่ครบเลย”


“ที่เที่ยวละครับ”


“อืม...ถ้าใกล้ ๆ ก็มีทั้งวัด สวนสัตว์ แล้วก็ตลาด เย็นวันอาทิตย์มีถนนคนเดิน”


“ชอบที่ไหนมากกว่ากัน” เด็กชายเป็ดถามทั้งที่ดวงตาจับจ้องปลายดินสอสีที่ลากซ้ำไปมาบนกระดาษ “เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ”
คนถูกถามนั่งนิ่งใช้ความคิด ไม่นานจึงตอบ “ชอบเชียงใหม่มากกว่า”


“เอาไว้เป็ดจะขอให้พ่อกับแม่พาไปเที่ยวเชียงใหม่บ้าง”


“ไปสิ เดี๋ยวพี่พาเที่ยวเอง”


“จริงนะ” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวเสียงดัง


“เบา ๆ” บรรณภัทรปราม มองคนที่นั่งไกลออกไป เห็นเขาเสียบอินเอียร์จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงของน้องชายคงมิได้ก่อความรำคาญอย่างที่เป็นกังวลในตอนแรก


“จริง ๆ นะ” เจ้าลูกเป็ดลดเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ


“จริงสิ”


ได้ยินดังนั้นหนูน้อยก็ยิ้มแฉ่งยกมือขึ้น


“อะไร”


“แปะมือสัญญาไง”


“แปะก็แปะ” คนอายุมากกว่าว่าพลางยกมือขึ้นสัมผัสมือของอีกฝ่าย “แปะแล้วต้องไปนะ”


เจ้าลูกเป็ดจอมซนไม่ได้กล่าวใด ๆ หยิบสีที่วางอยู่ใกล้มือมาระบายลงบนกระดาษส่วนเขาบอกว่ามันคือกระถางต้นไม้


“ตรงนั้นอะไร ขยุกขยิกอยู่ใต้ก้านใบนั่นน่ะ” บรรณภัทรชี้


“หนอนผีเสื้อ”


“แล้วนี่ล่ะ”


“ผีเสื้อไง นี่ปีก อันนี้หนวด”


“ไม่ได้ต่างกันเลย” ชายหนุ่มโคลงหัวเบา ๆ แล้วจัดการไอศกรีมในถ้วยต่อ เห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานของทั้งลุงมงคลและน้านิตย์จึงเตือนคนที่มัวแต่บรรยายภาพวาดของตนเอง


“ไอติมละลายหมดแล้ว รีบกินให้หมดเร็ว”


“ครับผม” เด็กชายยืดตัวตรงยกมือตะเบ๊ะแล้วรีบตักไอศกรีมที่กำลังเหลวเละเข้าปาก


ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ภควัตยกมือขึ้นขยับอินเอียร์ มองไอศกรีมในถ้วยที่เริ่มละลาย เขายังไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่เจ้าของร้านยกมาให้ เด็กหนุ่มหยิบช้อนตักใส่ปากได้สอง-สามคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ใช่...เขาได้ยิน และได้ยินชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งบทสนทนาก่อนหน้านี้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหูฟังถูกเสียบไว้เฉย ๆ แต่ไม่ได้กดเล่นเพลง นัยน์ตาสีเข้มมองตามเสียงเห็นเด็กชายตัวเล็กวิ่งถือเงินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์โดยมีพี่ชายเดินตามหลัง เมื่อรับเงินทอนเรียบร้อยสองคนก็จูงมือกันออกจากร้าน ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไป จู่ ๆ คนน้องก็สะบัดมือหลุดจากพี่ชายเดินรี่เข้ามายังแนวกระถางพุดศุภโชคที่วางเรียงอยู่บนฐานทำจากไม้ยกสูงจากพื้นระดับเอวของผู้ใหญ่ หันไปกวักมือเรียกอีกคนให้ดูผีเสื้อที่กำลังเกาะอยู่บนดอกไม้ ภควัตหลุบตามองช้อนไอศกรีมในมือเมื่อรู้สึกได้ว่าเงาของใครบางคนกำลังค่อย ๆ พาดทาบลงมาบนร่างของตนเอง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากช้อน หยิบเครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาเพื่อกดเล่นเพลงจากนั้นจึงสอดลงในกระเป๋ากางเกง ท่วงทำนองที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเป็นบทเพลงที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเขาและเพื่อน ๆ ตั้งใจซ้อมและบันทึกไว้เพื่อส่งประกวด แต่หลังจากรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมาชิกต่างลงความเห็นว่าควรยุบวง ดังนั้นบทเพลงนี้จึงไม่มีโอกาสได้นำไปเล่นที่ไหน


...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

เคยเดินตามหาก็ไม่เจอสักราย

แค่คนคนหนึ่งที่มีผลทางใจ

ที่เจอก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่เจอ...


บรรณภัทรเดินตามแรงดึงจากมือเล็ก โน้มตัวลงมองเจ้าแมลงปีกสวยที่กำลังเพลิดเพลินกับการเชยชมดอกไม้ แต่เพราะเจ้าลูกเป็ดจอมซนส่งเสียงดัง เจ้าผีเสื้อตัวน้อยก็สยายปีกบินขึ้น แม้มือเล็กจะรีบเอื้อมมือคว้าแต่ก็ได้เพียงอากาศ เห็นผีเสื้อปีกดำแต้มน้ำเงินย้ายไปเกาะที่อีกกระถาง เจ้าเป็ดน้อยก็ยังตามไปตอแยไม่เลิก ดังนั้นในตอนนี้ที่จุดเดิมจึงเหลือเพียงสองคนที่บังเอิญเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยมีผนังกระจกกั้น


เพียงเสี้ยววินาที ต่างคนก็ต่างมองไปทางอื่น...


...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ที่สุดฟ้าก็พาให้มาพบเธอ

เธอคือคนเดียวที่ไม่ต้องเลิศเลอ

ได้อยู่ใกล้เธอเหมือนเจอสวรรค์ในหัวใจ...



“รอพี่ด้วย” บรรณภัทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นน้องเดินห่างออกไป กระนั้นขายาวก้าวตามไม่กี่ก้าวก็ทัน ร่างสูงหยุดเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงรอบ ๆ ก่อนจะกดตามองคนตัวเล็กที่ยังคงเพลิดเพลินกับการไล่จับผีเสื้อ เห็นว่านาน ๆ ทีอีกฝ่ายจะได้มีโอกาสเล่นสนุกเช่นนี้จึงไม่ได้เร่งเร้า และเมื่อเจ้าแมลงปีกสวยบินสูงขึ้นจนยากจะคว้าเด็กชายก็หันมายิ้ม


“กลับเถอะพี่บุ๋น”


“ไม่จับกลับบ้านเหรอ”


คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ “เดี๋ยวพ่อกับแม่มันคิดถึง เป็ดยังคิดถึงพ่อกับแม่แล้วเลย”


บรรณภัทรฟังแล้วยิ้มอดใช้มือยีหัวอีกฝ่ายไม่ได้ “เป็ดน้อยเอ๊ย ไป...กลับกัน”


“ครับ” พูดจบเจ้าลูกเป็ดจอมซนก็เกาะแขนพี่ชายเดินไปด้วยกัน


ภควัตเลื่อนมองตามสองพี่น้องที่กำลังเดินจูงมือกัน เด็กหนุ่มลุกขึ้นดึงเป้ขึ้นสะพายหลัง จากนั้นจึงเดินไปจ่ายเงินค่าไอศกรีมแล้วผลักประตูออกไปนอกร้าน ตาคมมองสองคนที่กำลังจูงมือไม่ช้าพวกเขาก็ปะปนไปกับผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่บนบาทวิถี เจ้าของร่างสูงพรูลมหายใจยาวเดินเลียบแนวกระถางต้นไม้พลางใช้มือสัมผัสเรียดไปกับพุ่มใบสีเขียวที่แซมด้วยดอกเล็ก ๆ สีขาว ขายาวหยุดยังตำแหน่งตรงกับจุดที่เคยนั่ง มองเจ้าผีเสื้อที่บินวนเวียนไม่ไปไหน เช่นเดียวเครื่องเล่นเพลงพกพาที่ยังเล่นซ้ำเพลงเดิม เขาล้วงสองมือในกระเป๋ากางเกงพลางยิ้มกับตัวเอง หมุนตัวกลับแล้วเดินไปยังทิศทางตรงข้ามจึงไม่ทันเห็นเจ้าของร้านที่พยายามโบกมือเรียก เธอยืนอยู่ที่เก้าอี้ตัวประจำของเขา และบนโต๊ะยังคงมีกุหลาบกำหนึ่งกับกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนวางไว้


....


สถานีรถไฟกรุงเทพยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ดังแทรกเสียงสะล้อซอซึง โถงกว้างที่เคยเป็นที่พักผู้โดยสาร วันนี้ยกให้สำหรับจัดกิจกรรมรับน้องรถไฟที่หนึ่งปีจะมีเพียงหนึ่งหน หนุ่มสาวจำนวนมากนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่บางส่วนเดินสวนกันไปมาเพื่อจัดเตรียมข้าวของไว้เป็นเสบียงยามเดินทางไกล เฉลิมรัฐเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะยืดตัวชะเง้อหาคนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ แต่แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ต้องหันไปยังต้นเสียง เห็นกลุ่มสาว ๆ วัยมัธยมกรูกันเข้าล้อมหน้าล้อมหลังใครคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในสถานี เขามองไปที่จุดนั้นครู่หนึ่งพร้อมกับคิดอะไรเพลินกระทั่งมือของใครบางคนแตะลงบนบ่า


“มัวมองอะไรอยู่” บรรณภัทรเอ่ยขึ้น


“มาแล้วเหรอ”


คนตัวเล็กกว่าคราง “อือ” ในลำคอ


“มายังไง”


“พ่อกับน้านิตย์มาส่ง พอดีเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนเชียงใหม่ก็เลยแวะคุยน่ะ เมื่อกี้ดูอะไรอยู่”


“เขามุงอะไรกันไม่รู้ มีดารามามั้ง” เฉลิมรัฐบอกพลางมองหาคนที่พอจะถามได้ ในที่สุดก็พบเพื่อนคณะเดียวกันเดินผ่านมาจึงเรียกอีกฝ่ายไว้ “เฮ้ย ๆๆ เดี๋ยวก่อน ๆ”


“มีอะไรวะ เรากำลังรีบ”


“ตรงนั้นเขามุงอะไรกันนายรู้ไหม ดารามาเหรอ”


“ไม่ใช่หรอก รุ่นน้องเขามาส่งพี่โรงเรียนเขาน่ะ”


“รุ่นน้องมาส่งรุ่นพี่” เฉลิมรัฐทวนประโยคนั้นด้วยความแปลกใจ


“เออ” กำลังจะเดินต่อแต่ก็ถูกรั้งไว้อีก


“แล้วนายรู้ได้ยังไง”


อีกฝ่ายถอนใจแล้วไปยังกลุ่มเด็กสาวเหล่านั้น “ก็น้องสาวเราอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย” เห็นคนขี้สงสัยพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “เราไปได้หรือยัง”


“เออ ๆ ไป ๆ รีบไป” เจ้าของร่างสูงกว่าพร้อมกับปล่อยมือจากแขนเพื่อน


“นายสองคนก็รีบไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวพิธีเปิดก็จะเริ่มแล้ว”


บรรณภัทรละสายตาจากคนที่เดินจากไปอย่างรีบร้อน หันไปถามเฉลิมรัฐที่ยืนอยู่ข้างกัน “เจอออมหรือยัง”


“ยังไม่เจอเลย นายได้คุยกันบ้างหรือเปล่า สรุปว่ามายังไง”


“เห็นว่านั่งสปรินเตอร์มากับอาจารย์แล้วก็เพื่อน ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน”


“แล้วไปนอนที่ไหน นอนกับใครนายรู้หรือเปล่า”


“ถ้าอยากรู้ละเอียดขนาดนั้นทำไมไม่โทรไปถามล่ะ”


“ก็...ก็ๆๆๆๆ”


“ก็อะไร ทำไมต้องติดอ่างด้วยวะ”


“ก็เห็นว่านายสองคนสนิทกันไง ถามนายนั่นแหละดีที่สุด ว่าไง เมื่อคืนยัยหน้าม้านอนกับใครแล้วไปนอนที่ไหน”


“นอนบ้านอาจารย์”


สองคนยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“ว่าไงออม” บรรณภัทรกล่าวเมื่อกดรับสาย เหล่มองคนข้าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ขยับเข้ามายืนใกล้จนแทบจะสิงร่างกัน “เราถึงแล้ว อืม...ได้สิ ถ้าเรียบร้อยแล้วเราจะโทรถามนะว่าออมอยู่ตรงไหน อื้อ...เดี๋ยวเจอกัน”


“ยัยนั่นว่าไง”


“ออมให้ช่วยซื้อของให้น่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ”


จากนั้นสองหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ เฉลิมรัฐแยกไปซื้อน้ำดื่มซึ่งอยู่ด้านในสุด ส่วนบรรณภัทรหยุดที่ชั้นยาและเวชภัณฑ์ เขาหยิบพาราเซตามอลแผงหนึ่งกับพลาสเตอร์ปิดแผลจากนั้นจึงเดินไปที่ชั้นขนม ตั้งใจจะซื้อมันฝรั่งทอดกรอบแบบที่อัจจิมากินบ่อย ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เธอฝากซื้อ ชายหนุ่มก้ม ๆ เงย ๆ หยิบถุงขนมสอง-สามอย่าง เมื่อได้ครบตามต้องการจึงยืดตัวขึ้น กำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อไปจ่ายเงินก็เกือบจะชนกับเจ้าของร่างสูงที่เดินสวนมา


“ขอโทษครับ” ต่างคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน


ภควัตสืบเท้าไปอีกทางแต่ก็ดันใจตรงกับคนตรงหน้า เมื่อจะย้ายไปอีกทางความคิดก็เหมือนกันเสียอีก สุดท้ายก็ไม่ไปไหนไม่ได้สักที ดังนั้นชายหนุ่มจึงยืนนิ่งมองอีกฝ่ายที่กำลังหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง


“เสร็จแล้ว เดี๋ยวเรารีบไป” บรรณภัทรกล่าวทันทีที่กดรับสายไม่รอฟังว่าคนโทรมาจะพูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่เกือบคืบแล้วพูด “ขอทางหน่อยครับ” เห็นอีกฝ่ายหลีกให้จึงรีบเดินไปทันที 


ภควัตยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หากจะหาสิ่งที่เคลื่อนไหวก็งมีแค่คนตัวเล็กกว่าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หัวใจของตัวเขาเองที่เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และบทเพลงหนึ่งที่ขับขานแผ่วเบาในอินเอียร์


...จบแล้วที่เสาะหา

ได้มาพบตัวจริงสักที

ชีวิตต่อจากนี้

คงจะดีถ้ามีแต่เธอ...


เสียงพิธีกรประกาศเตือนทำให้ทุกคนทั่วบริเวณทราบว่าพิธีเปิดกิจกรรมรับน้องรถไฟกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนที่เดินอยุ่ด้านนอกจึงเข้าไปรวมตัวกันที่ลานด้านในสถานี ไม่ช้าพิธีการต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น


“น่าเสียดายเนอะที่ปีนี้พี่คนนั้นไม่มา” เฉลิมรัฐเอ่ยขึ้น


“พี่คนไหน” บรรณภัทรถาม


“ก็คนที่เป็นดารา ที่เป็นศิษย์เก่าคณะนายไง”


“กานต์ ศุภกานต์น่ะเหรอ” อัจจิมาหันมาถาม


“อือ”


“ช่วงนี้คงไม่ว่างมาหรอกมั้ง ช่วงนี้ท่าทางจะกำลังฮ็อต เดินไปทางไหนก็เจอแต่ป้ายโฆษณาที่พี่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ ไหนจะเดินสายโปรโมตละครอีก”


“รู้เยอะจริงนะ เธอนี่เป็นเจ้าของนามปากกาซ้อเจ็ดจุดห้าคนที่เขียนคอลัมน์ข้างบ้านดาราหรือเปล่า” เฉลิมรัฐถาม


“มันมีด้วยเหรอนามปากกากับคอลัมน์นี่น่ะ เราไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย เขาเขียนในนิตยาสารไหนเหรอ”
หนุ่มวิทยาศาสตร์กลั้นหัวเราะ “บทจะเชื่อก็เชื่อง่ายจริง ๆ”


“อ้าว นี่หลอกเราเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิยัยหน้าม้า”


“ไอ้บูมบ้า” หญิงสาวทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ทะเลาะกันอีกแล้ว” บรรณภัทรส่ายหัวก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง ไม่ร็เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองตามตนเองอยู่
หลายคนปิดปากหาวเมื่อเข้าสู่ช่วงพูดคุยกันบนเวทีของบรรดาศิษย์เก่าหลากหลายอาชีพ ภควัตยืดตัวนั่งหลังตรงชะเง้อมองชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อยืดสกรีนตัวอักษรบ่งบอกว่าสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเดินสวนกันในร้านสะดวกซื้อ เห็นอีกฝ่ายกึ่งเดินไปทางห้องสุขาจึงหันบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ 


“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบภควัตก็ลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งอ้อมไปอีกทาง


เมื่อถึงห้องสุขาขายาวก็หยุดยืน ดวงตาจับจ้องยังร่างของหนุ่มคณะวิทยาศาสตร์ที่กำลังใกล้เข้ามา และเมื่อเขามาถึง ภควัตก็แสร้งทำเป็นกำลังจะเดินออกจากห้องสุขา สองคนเผชิญหน้ากันที่หน้าประตูก่อนจะเป็นคนทุกข์หนักที่เอ่ยขึ้น


“หลบหน่อยครับ”   


ภควัตเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะย้ายเท้าไปอีกทางก็ขวางไว้ เป็นเช่นนั้นอยู่สอง-สามหน


“เอ๊า! จะขวางอีกนานไหมน้อง พี่ปวดขี้” เฉลิมรัฐบอกพลางลอบมองสัญลักษณ์นกพิราบบนอกเสื้อยืดสีขาวของน้องใหม่คณะสื่อสารมวลชน


“ขอโทษครับ” พูดจบคนอายุน้อยกว่าก็หลีกทางให้ เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นพักใหญ่ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนเดิมเดินออกมาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา


“มีอะไรหรือเปล่าน้อง หาทางกลับไม่ถูกเหรอ”


“ปละ...เปล่าครับ”


“แล้วมาขวางพี่ไว้ทำไม”


“คือ... ผมมีเรื่องอยากถามพี่ครับ”


“มีอะไร”


“พี่... เอ่อ... พี่เป็นเพื่อนกับพี่ผู้ชายที่สูงเท่านี้” ภควัตทำมือประกอบ “คนที่ขาว ๆ สวมแว่นตาใช่ไหมครับ”


เฉลิมรัฐมุ่นคิ้ว “ทำไม มีอะไรเหรอ”


“พี่เขาชื่ออะไรเหรอครับ”


คนถูกถามยืนนิ่ง มองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ที่แท้เขาก็คือคนที่สาว ๆ พากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อก่อนหน้านี้นี่เอง พลันมุมปากก็ยกขึ้นน้อย ๆ


“บู๊ เพื่อนพี่ชื่อบู๊”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

       

หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 05-03-2020 13:51:08
โอ่ยยย อย่าแกล้งน้อง5555555
ชื่อเพี้ยนไปหมด
แถมดูทรงแล้วน่าจะพระรองแน่ๆ แต่ก็แอบเชียร์
ชอบเค้ามากจนตามมาเรียนถึงมอ
เทใจให้เลยค่า
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 05-03-2020 18:10:10
สมัครเป็นแฟนคลับน้องเป็ดค่ะ 555 ชอบความเสี่ยวนี้จริงๆ
ตัวละครใหม่มาอีกแล้ว พระรองแน่ๆใช่มั้ยคะ หรือจะมีอีกคู่กันหว่า
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-03-2020 21:21:37
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องป้อนนี่สินะบอสใหญ่ที่ว่า

ส่วนเพื่อนบูมครับ  แกล้งเพื่อนบุ๋นเหรอครับ

ให้ชื่อพ่อกับบอสใหญ่ไปเนี่ย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-03-2020 12:44:42
เดี๋ยวๆ อย่าแกล้งน้องดิ 5555555
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 07-03-2020 16:34:02
เด่วนั้นชื่อพ่อมั้ยย แกล้งน้องทำมายย 55555

ศึกชิงบุ๋น มาแล้วว พระรองแล้วยังมีซีนสบตามีเพพลงจนประทับใจขนาดนี้ ถ้ายังเซมาซบน้องเป็ดก็ได้นะ น้องเป็ดน่ารักก เอ็นดูมุขเสี่ยวของน้อง อยากบีบแก้มเป็ดน้อยจอมซน มันเข้ว!
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-03-2020 00:50:43
น้องคนนี้พระเอกหรือเปล่า หรือมีหลายคู่
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: pearlluv ที่ 14-03-2020 17:01:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 25-03-2020 04:13:11
สนุกมากครับ น่าติดตามมาก มีผลงานเก่าให้อ่านรอเรื่องนี้ไหมเอ่ย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 25-03-2020 05:12:20
พิมพ์นามปากกาในกูเกิ้ล ได้ไปส่องเพจในเฟซบุ๊ค จะเริ่มอ่าน ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า เรื่องแรกของคุณถธปทฟ รอลุงกานต์น้องบุ๋นนะครับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-03-2020 07:42:41
พิมพ์นามปากกาในกูเกิ้ล ได้ไปส่องเพจในเฟซบุ๊ค จะเริ่มอ่าน ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า เรื่องแรกของคุณถธปทฟ รอลุงกานต์น้องบุ๋นนะครับ
ขอโทษด้วยค่ะ พอดีเพิ่งเห็นเลยไม่ทันได้ตอบ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ยินดีที่ได้พบกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-03-2020 23:35:16
นึกสภาพตอนเรียกชื่อพ่อเลย  บูมก็ช่างแกล้ง5555
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 26-03-2020 03:28:46
น้องเป็ดน่ารัก :-[มุกเสียวได้ใจมากน้อง :pigha2:

ปอนนี่คู่กับใครนะ คู่กับบูมหรือป่าว แต่อยากให้บูมคู่กับออมมากกว่า
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 16-04-2020 19:03:41
เข้ามาให้กำลังใจนักเขียนค่ะ รออยู่นะคะ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 09-07-2020 21:43:37
เข้ามากดดัน เอ้ย! รอนักเขียนค่ะ คิดถึงนะคะ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 25-07-2020 03:21:16
เป็นกำลังใจให้คุณถธปทฟ ทำงานอย่างราบรื่น และยังรอเรื่องนี้อยู่นะครับ จะบอกว่าอ่านถ้าเธอเป็นท้องฟ้าจบแล้วแหละ สนุกมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-07-2020 18:48:52
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-10-2020 22:52:35
หายไปนานเลยคับ :sad4:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-11-2020 10:15:51
คิดถึง :z3:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-12-2020 00:06:04
 :z13: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 02-12-2020 23:35:33
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 14-12-2020 23:28:07
เพิ่งเข้ามาอ่าน.... สนุกกมากๆเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนมาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-12-2020 14:13:22
คิดถึงนะคับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-04-2021 17:22:38
 :z13:รออ่านนะคับ
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 09-04-2021 21:04:20
ฉันมารอพี่ที่เล้าเป็ดที่วันเลย
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-04-2021 21:05:02
มาตามด้วยคนนน
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 5 น้องใหม่ (05-03-2563 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-05-2021 18:03:03
Miz miz  :hao5:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-11-2022 12:02:04
ตอนที่ 6 รับน้อง



“อุ๊ย ๆ ข้าศึกโจมตีแล้ว ไปละนะ บาย!”


ภควัตมองรุ่นพี่ต่างคณะที่วิ่งปรู๊ดเข้าห้องสุขาครู่หนึ่งจึงหันหลังกลับ มุ่งหน้าไปยังลานจัดกิจกรรมภายในสถานี เขานั่งลงที่ท้ายแถวก่อนจะยืดคอมองหาใครบางคน ในที่สุดตาคมก็หยุดที่เจ้าของใบหน้ารูปไข่สวมแว่นสายตากรอบหนาที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง แม้ความสูงจะมากกว่าพวกผู้หญิงอยู่โข แต่รูปร่างกลับดูผอมบางเมื่อเทียบกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน


“ป้อน มัวมองอะไรอยู่” คนนั่งข้างหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอี้ยวตัวส่งถุงผ้าสกรีนข้อความ “ถุงยังชีพ” ที่ในนั้นมีทั้งขนมและน้ำให้


“ขอบใจนะ” ภควัตรับมาวางบนตัก เมื่อเบนสายตากลับไปยังจุดเดิมก็ไม่พบเขาคนนั้นเสียแล้ว


ทันทีที่พิธีการต่าง ๆ เสร็จสิ้น บรรดานักศึกษาก็ทยอยกันขึ้นสู่ตู้รถไฟ และเมื่อถึงเวลาสิบห้านาฬิกาสิบห้านาที เจ้าม้าเหล็กขบวนพิเศษก็พาเหล่าหนุ่มสาวผู้มีความฝันออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ รถไฟขบวนพิเศษถึงสถานีลพบุรีราว ๆ หกโมงเย็น หลายคนพากันลงจากขบวนรถใช้โอกาสนี้ทำธุระส่วนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องไปแออัดกันบนขบวนรถ ในขณะที่อีกหลายคนก็ต่อแถวรับของที่ระลึกและร่วมกิจกรรมที่ถูกจัดเตรียมไว้ บรรยากาศการต้อนรับน้องใหม่ที่จัดโดยบรรดาพี่ ๆ ศิษย์เก่าที่สถานีแห่งนี้จึงครึกครื้นไม่แพ้ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ บทเพลงประจำมหาวิทยาลัยถูกนำมาถ่ายทอดผ่านเสียงอันไพเราะของนักร้องสมัครเล่น ขนมนมเนยถูกจัดใส่กระเป๋าผ้าอย่างดีมอบให้รุ่นน้อง กระทั่งเมื่อสมควรแก่เวลาพี่น้องร่วมสถาบันจึงถือโอกาสโบกมืออำลากัน


รถไฟขบวนพิเศษมีกำหนดแวะพักที่สถานีนครสวรรค์ พิษณุโลก ลำปาง และถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ตอนรุ่งสาง เมื่อออกจากสถานีนครสวรรค์มาได้สักพัก เสียงกลองและเสียงร้องเพลงค่อย ๆ เงียบลง เหลือก็แต่เสียงพูดคุยกันเบา ๆ นอกหน้าต่างมีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าของท้องทุ่งที่บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ในขณะที่หัวรถจักรยังคงทำงานอย่างแข็งขัน แต่ผู้โดยสารกลับผล็อยหลับเพราะความเหนื่อยล้า ปล่อยให้เจ้าม้าเหล็กพุ่งทยานข้ามน้ำข้ามเขาเพียงลำพัง


บางสิ่งที่กระทบลงบนไหล่ด้านซ้ายปลุกชายหนุ่มที่กำลังเอียงศีรษะพิงขอบหน้าต่างตื่นขึ้น ภควัตก้มมองตัวเลขดิจิทัลบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสาม กำลังจะขยับนั่งให้หายเมื่อย จู่ ๆ คนนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ข้างกันก็ซบลงบนไหล่อีกครั้ง แต่คราวนี้คงอยู่ในตำแหน่งที่สบายอีกฝ่ายถึงไม่ไหวติงเช่นนี้  ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นดันศีรษะของเพื่อนให้ตั้งตรงก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ก้าวข้ามท่อนขาเหยียดยาวของสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ร่างสูงหยุดยืนมองอย่างคุร่นคิด แนวทางเดินที่เห็นอยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกเหมือนตัวเขาคือนักวิ่งที่กำลังจะต้องวื่งข้ามสิ่งกีดขวางอย่างไรอย่างนั้น ขายาวก้าวข้ามลังกระดาษที่เพิ่งไถลออกจากใต้เก้าอี้นั่ง เอี้ยวตัวหลบแขนขาของบรรดาคนที่กำลังหลับ สะดุดกระเป๋าสัมภาระและข้าวของต่าง ๆ เป็นระยะ ในที่สุดก็สามารถพาตัวเองมายืนโงนเงนอยู่หน้าห้องสุขาที่อยู่เกือบท้ายขบวนจนได้


ภควัตผลักประตูก่อนจะก้าวเข้าไปยืนในห้องสีเหลี่ยมแคบ ๆ อย่างทุลักทุเล ระหว่างทำธุระส่วนตัวได้ยินเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงพูดคุยกันเบา ๆ ของหญิงสาวที่ด้านนอกจึงเงี่ยหูฟัง


“ไหวไหม”


“ไหวค่ะพี่ ได้อาเจียนออกบ้าง ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ”


“เดินกลับไหวหรือเปล่า”


“หนูขอล้างหน้าล้างตาก่อนนะคะพี่”


“จ้ะ พี่รอข้างนอกนะ มีอะไรเรียกได้เลย”


เมื่อเปิดประตูออกมา ภควัตก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งยืนกอดอกพิงผนังฝั่งตรงข้าม ข้าง ๆ คือประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล เธอเงยหน้าขึ้นกำลังจะเบี่ยงตัวเพื่อให้เขาผ่านไปอย่างสะดวก แต่เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“ออม น้องเป็นยังไงบ้าง”


ไม่เพียงแต่เจ้าของชื่อที่หันไปยังต้นเสียง หนุ่มการสื่อสารมวลชนก็พลอยมองตามไปด้วย


“อาเจียนน่ะ แต่เห็นว่าดีขึ้นแล้วละ กลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ออมจัดการเอง”


“ไม่เป็นไร” บรรณภัทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังร่างสูงที่เบี่ยงตัวหลบหญิงสาวตรงหน้าประตู และกำลังเดินตรงมาทางนี้ ชายหนุ่มมองป้ายแขวนคอน้องใหม่แล้วเอ่ยขึ้น “สื่อสารมวลอยู่ตู้โน้นไม่ใช่เหรอ”


“อะ...เอ้อ... ค...ครับ” ภควัตตอบตะกุกตะกักพลางหันซ้ายหันขวาเมื่อนึกได้ว่าตนเองมาจากอีกฝั่งของขบวนรถ


“สงสัยน้องคงเมารถไฟเหมือนกัน” อัจจิมากล่าวยิ้ม ๆ แต่คนฟังกลับมิได้มีอารมณ์ขันร่วมไปกับเธอ   


“เดินไหวหรือเปล่า” บรรณภัทรถามด้วยความเป็นห่วง มองคนที่กำลังหมุนตัวกลับ ได้ยินอีกฝ่ายตอบ “ว...ไหวครับ” จึงพยักหน้าวางใจแล้วคุยกับเพื่อนต่อ


แม้ภควัตพาร่างโงนเงนเดินกลับมานั่งที่ของตนได้แล้ว แต่ใจเจ้ากรรมดูเหมือนจะยังไม่กลับคืนมาด้วย ตาคมใต้แผงคิ้วหนาทอดมองไปยังท้ายตู้รถไฟ เห็นสองสาวเดินประคองกันโดยมีคนตัวสูงคอยตามไม่ห่าง และเมื่อทั้งสามลับตาไปชายหนุ่มก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือความมืดมิด มีเพียงเงาของยอดไม้ที่ทำให้รู้ได้ว่าเจ้าม้าเหล็กขบวนยาวนี้กำลังเคลื่อนไปบนเนินเขา ในความรู้สึกนึกคิดกลับสว่างไสวปรากฏเป็นใบหน้าของใครบางคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อสักครู่ ภควัตอมยิ้มบางเบาเอียงศีรษะพิงขอบหน้าต่าง เมื่อหนังตาเริ่มหนักเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง


รถไฟขวบนพิเศษเคลื่อนพ้นสถานีลำพูนเมื่อฟ้าสาง หนุ่มสาวนักศึกษาใหม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หลายคนพากันเกาะขอบหน้าต่างยามเจ้าม้าเหล็กค่อย ๆ แหวกสายหมอก ผ่านท้องทุ่งกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ สองข้างทางรายรอบด้วยตึกรามบ้านช่อง เสียงรุ่นพี่เตือนรุ่นน้องให้ตรวจสอบสัมภาระท่ามกลางเสียงรัวกลอง เสียงร้องเพลง และเสียงระฆังตีให้สัญญาณรถเข้าสถานี เมื่อ

เข็มนาฬิกาบอกเวลาหกนาฬิกายี่สิบนาทีรถไฟก็จอดเทียบชานชาลาสถานีเชียงใหม่เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจพิเศษนี้


ความง่วงเหงาหาวนอนถูกสลัดทิ้งทันทีที่รถจอดสนิท ที่ขอบชานชาลาด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยนักศึกษาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ต่างสวมใส่เสื้อผ้าหลากสีสัน แบ่งแยกชัดเจนว่ามาจากคณะหรือสาขาใดกันบ้าง เสียงกลองกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณสถานี หลังซักซ้อมทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย บรรดาน้องใหม่ก็ทยอยลงจากขบวนรถ แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่มีรุ่นพี่รออยู่ จากนั้นจึงนั่งรถที่มหาวิทยาลัยจัดให้เพื่อร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ที่จัดอย่างอบอุ่นบริเวณศาลาธรรมซึ่งเป็นหอประวัติมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า นอกจากการรับน้องรถไฟยังมีพิธีรับน้องขึ้นดอยซึ่งจะจัดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ระหว่างนี้น้องใหม่จะได้มีเวลาทำความรู้จักกัน ได้เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักศึกษาและได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปร่วมกันภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้


.....


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจยังต้องใช้เวลาปรับตัวทำความคุ้นเคยกับการเรียน อาหารการกิน และภาษาถิ่นที่ต่างไป แต่ในตอนนี้ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับแดดยามเที่ยงของเชียงใหม่เป็นอย่างดี ภัควัตจอดรถจักรยานยนต์ใต้ร่มไม้ กระชับสายเป้สะพายข้าง ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยจนเกือบจะถึงปลายคาง ในยามที่เข็มนาฬิกาพบกันที่สิบสองนาฬิกาเช่นนี้ โรงอาหารริมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นอีกที่หนึ่งที่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา ความร้อนระอุของอุณหภูมิแตะสี่สิบองศาพาให้หลายคนไม่คิดขวนขวายออกไปหาร้านอาหารรอบนอก ลงจากอาคารเรียนได้ก็มุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้ไม่เว้นแม้แต่ตัวภควัตที่อยู่คณะไกลออกไป ทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้าภายในอาคารชั้นเดียวนัยน์ตาสีเข้มก็กวาดมองไปทั่ว รอบ ๆ เป็นร้านขายอาหารซึ่งแบ่งเป็นล็อก ๆ พื้นที่ตรงกลางมีโต๊ะยาววางเรียงราย แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็แทบไม่เหลือที่ว่าง ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางมากดโทรออก รออยู่ไม่ถึงอึดใจอีกฝ่ายก็รับ


“ผมถึงแล้ว พี่อยู่ตรงไหน” พูดพลางเงี่ยหูฟัง เสียงที่ลอดจากปลายสายก็คือเสียงอื้ออึงเสียงเดียวกันกับที่เขาได้ยินอยู่ในขณะนี้ ภควัตชะเง้อมองมือที่โบกไหว ๆ ตอนนี้ไม่ได้สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ นิ้วหนากดตัดสาย หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน เจ้าของร่างสูงหยุดค้อมศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวทักทายในคราวเดียวกัน “ไม่เจอนานเลยพี่”


“นั่งก่อน ๆ” คนผมยาวประบ่ากล่าว มือหนึ่งยังจับช้อน อีกมือตบโต๊ะถี่ ๆ หนุ่ม ๆ 3-4 คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งจึงเลื่อนจานข้าวพยายามขยับเบียดกันจนเหลือที่สำหรับให้อีกหนึ่งคนนั่ง


ภควัตยกมือไหว้ขอบคุณ ถอดเป้วางบนโต๊ะและนั่งลงตรงที่ถูกเว้นไว้


“ไม่คิดว่าดาวโรงเรียนจะมาไกลถึงนี่” ว่าแล้วหนุ่มผมยาวก็เสยผมขึ้น เผยให้เห็นหน้าผากกว้างที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ 


“พี่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”


“ช้างเผือกมันก็ต้องอยู่ในป่าสิวะ” คนอายุมากกว่าพูดกลั้วหัวเราะ ยกแก้วสแตนเลสขึ้น แล้วดูดน้ำแก้เผ็ด


“เอาเรื่องจริงพี่ตอง”


“เออ ๆ ของกูน่ะเขาเรียกว่าไม่มีทางเลือก แต่มึงนี่สิ บ้านก็รวย เรียนสายนิเทศทั้งที ทำไมไม่เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ”


“ถ้าเรียนเอกชนก็ต้องอยู่บ้านสิพี่”


“เบื่อบ้านว่างั้น”


คนถูกถามไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้า


“แล้วพี่ล่ะ ไม่คิดจะซิ่วเหรอ”


“ไม่แล้ว เสียเวลา ที่นี่ก็โอเคดี วิศวะเรียนที่ไหนก็เหมือน ๆ กันแหละ”


“ง่ายเหมือนกันหมด”


“ง่ายพ่อมึงสิไอ้ป้อน ยากฉิบหาย สอบกลางภาคทีไรกูผจญภัยใต้มีนทุกที”


เอ้าเหรอ” ภควัตหัวเราะ


“อือ กูขี้เกียจโดนรับน้องแล้วด้วย ปวดหลัง กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยจะดี” มือตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวไปได้หน่อยจึงกล่าว “ไปซื้อข้าวเสียก่อนแล้วค่อยมานั่งคุยกันต่อ”


ภควัตได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้น เดินปะปนไปกับหนุ่มสาวในชุดนักศึกษา ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกับบะหมี่เกี๊ยวชามโต ชายหนุ่มวางชามบะหมี่ แล้วดึงขวดน้ำที่เหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลง


“เอ้อ ว่าจะถาม คณะพี่อยู่ตั้งไกล ทำไมมากินข้าวโรงอาหารคณะมนุษย์”


คนฟังชะงัก กลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ “ก็...”


“บอกน้องไปสิว่ามึงมาส่องหญิง” หนุ่มหัวเกรียนสวมเสื้อช็อปที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น


ภควัตละสายตาจากคนพูดหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


“อ...อะ เออ” ตระการยอมรับไม่เต็มปาก


“เรื่องจีบหญิงขอให้ไว้ใจตอง” คนเดิมเสริม “ฉายาตองร้อยเกียร์ไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ”


“ฉายาอะไรพี่ ตองร้อยเกียร์”


“มึงไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าให้เกียร์กับใครเท่ากับให้ใจกับคนนั้น ไอ้ตองมันสั่งก๊อบเกียร์ไว้เป็นร้อย” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดโพล่งขึ้น


“มึงก็ว่าไป ทำน้องมันเข้าใจกูผิดหมด เกียร์มันมีอยู่อันเดียว ได้มาก็ลำบาก จะเอาไปแจกใครวะ”


“มึงถึงก๊อบไง”


“เออใช่ ถุย!” ตระการใช้ช้อนชี้หน้าทีละคน “พอเลยพวกมึง ทำกูเสียภาพพจน์”


เห็นทุกคนหัวเราะ ภควัตก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย


“เฮ้ย ๆ นั่นไอ้หนอนแทะหนังสือเพื่อนไอ้บูมนี่หว่า” คนหนึ่งในกลุ่มก็เอ่ยขึ้น พร้อมกับบุ้ยปากไปยังชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเดินผ่านไป


เมื่อภควัตเงยหน้าขึ้นมองตาม จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาพบว่าคนที่ถูกพูดถึงก็คือคนที่เขาพยายามตามหามาเกือบสัปดาห์ แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนที่นักศึกษานิยมไปกัน ก็ไม่เคยได้พบเขาคนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว


“พี่รู้จักด้วยเหรอ”


“รู้จักสิ แม่งหวงก้างฉิบ”


“เขาจีบผู้หญิงคนเดียวกับพี่เหรอ”


“เปล่า แต่มันเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่ก็กำลังจีบ กันท่ากูตลอด”


“แล้วเขามีแฟนหรือยัง” ปากถามแต่ตายังคงมองไปยังคงมองตามร่างสูงที่กำลังต่อคิวซื้ออาหาร


“อืม...ไม่แน่ใจว่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเห็นมันเดินกับออมแล้วก็ไอ้บูม”


“แล้วเขาเรียนคณะอะไร”


“เรียนเหมือนออม มนุษย์ เอกบรรณารักษ์”


“แล้ว...”


“ทำไมถามเยอะจังวะ”


“ก...ก็...”


เห็นภควัตมีท่าทีอึกอัก อีกฝ่ายจึงกล่าว “อย่าบอกนะว่าสนใจ” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ


“ว่าไง”


“ก็น่ารักดี เคยบังเอิญเจอแถวโรงเรียนเก่า ไม่คิดว่าจะมาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย”


“พรหมลิขิตชัด ๆ”


“ชื่อพี่บู๊ใช่ไหม”


ทั้งโต๊ะเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน


“ใครบอกมึง”


“ก็พี่คนที่ใส่เสื้อช็อป” ภควัตกล่าวพลางมองไปยังทิศเดิม “คณะเดียวกับพวกพี่ใช่ไหม”


“อือ นั่นน่ะไอ้บูม คู่แข่งกูเอง” ว่าแล้วก็ยื่นหน้ามาใกล้ “ว่าแต่...คนที่เห็นเดินควงกันตอนกูอยู่ม.หกน่ะ เลิกแล้วเหรอ”


“เลิกไปตั้งนานจนมีคนใหม่แล้ว”


คนฝั่งตรงข้ามหดคอกลับ ยกน้ำขึ้นดูดพลางมองอย่างหมั่นไส้ “แล้วคนใหม่นี่ยังไง”


“เลิกแล้ว เรียนกันคนละที่เขาเลยขอเลิก”


ตระการพยักหน้า “ทำไมชีวิตคนหล่อมันถึงอาภัพอย่างนี้วะ”


“มึงพูดถึงน้องหรือมึงพูดถึงตัวเองวะไอ้ตอง” คนนั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น


“ทั้งกูทั้งมันนี่แหละ” ว่าแล้วก็หันไปรุ่นน้องโรงเรียนเก่า “แต่ไม่เป็นไร กูช่วยมึงเอง ถ้ามึงอยากรู้จักไอ้บู๊ เดี๋ยวกูทำให้รู้จัก รับรองว่ามึงจะได้รู้จักเป็นอย่างดีเลย”


ตระการยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่ง...


“พี่ออมวดีใช่ไหมครับ”


ชื่อนั้นทำเฉลิมรัฐที่มือหนึ่งตักข้าวใส่ปาก อีกมือจับโทรศัพท์เลื่อนหน้าจออ่านข้อความถึงกับชะงัก “เรียกซะเต็มยศเลยนะมึง” ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะหันขวับ เห็นคนนั่งข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นจึงมองไปทิศเดียวกับเธอ


เจ้าของคำถามคือชายหนุ่มในชุดนักศึกษา แขวนป้ายห้อยคอเป็นรูปนกพิราบมีข้อความ “ใครไม่ป้อน ผมป้อนเอง” ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่าเขาน่าจะเป็นนักศึกษาใหม่คณะการสื่อสารมวลชน มือทั้งสองข้างถือแก้วใส่น้ำอัดลมสีเขียวและสีแดง ท่าทางสุภาพเรียบร้อยกับรอยยิ้มสดใสทำให้หญิงสาวไม่ลังเลที่จะตอบกลับอย่างเป็นมิตร


“พี่ชื่อออมจ้ะ”


“ครับ พี่ออม คือ...พี่ตองฝากมาให้ครับ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นแก้วที่ข้างในมีน้ำหวานสีแดงให้


“เจอหน้ากันก็ถวายน้ำแดงซะแล้ว” เฉลิมรัฐพึมพำก่อนจะลงมือกินข้าวต่อ


ด้วยไม่อยากทำให้น้องใหม่ต้องเสียหน้า อัจจิมาจึงรับไว้ก่อนจะมองหาคนที่ส่งเขามา ในที่สุดเธอก็เห็นตระการนั่งยิ้มแฉ่งพร้อม
กับชูมือทำสัญลักษณ์ “I love you” ท่ามกลางกลุ่มหนุ่มคณะวิศวะที่พากันผิวปากวี้ดวิ้ว


หญิงสาวเบะปากใส่ก่อนจะหันกลับมาที่ชายหนุ่ม “ขอบใจนะจ๊ะ”


เห็นเพื่อนวางแก้วน้ำนั้นไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เฉลิมรัฐที่นั่งข้าง ๆ จึงดึงแก้วเข้าหาตัวแล้วยกขึ้นดูด


“ไม่เป็นไรครับ” พูดจบภควัตก็เลื่อนสายตาไปยังคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่อีกฝั่งของอัจจิมา เขาวางแก้วพลาสติกที่ใส่น้ำหวานสีเขียวลงบนโต๊ะแล้วกล่าว “ส่วนแก้วนี้ของผมเอง ให้พี่บู๊ครับ”


พรวด! คนที่กำลังดูดน้ำสำลัก รีบวางแก้วลงแล้วใช้หลังมือซับน้ำหวานที่เลอะเทอะรอบปาก


“ม...เมื่อกี้ ว...ว่าไงนะ” บรรณภัทรเงยหน้าขึ้นสบตา


“แก้วนี้ผมให้พี่ไงครับ พี่บู๊”


“ใครบอกคุณว่าผมชื่อบู๊”


“ก็...พี่ตอง” ภควัตกล่าว จากนั้นจึงหันไปมองคนที่ส่งเขามา แต่ตอนนี้หนุ่ม ๆ วิศวะกลับสลายตัวกันไปหมดแล้ว “แล้วก็พี่คนนี้” ชี้ไปที่เฉลิมรัฐที่กำลังรวบช้อน รีบลุกขึ้นคว้าเป้สะพายหลัง ดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า


“รอข้างนอกนะ สายเข้า บาย” หนุ่มวิศวะโบกมือพลางถอยกรูดแล้วรีบวิ่งออกไป


“ม...ไม่ใช่เหรอครับ”


“ไม่ใช่จ้ะ พี่เขาชื่อ...” อัจจิมายังพูดไม่ทันจบ บรรณภัทรก็แทรกขึ้น


“ไปเถอะออม” กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นคว้าสะพายเป้ คว้าหนังสือเดินนำ


แต่ภควัตยังไม่ละความพยายาม เขาถือแก้วน้ำกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปดักข้างหน้า


“เดี๋ยวสิครับ ตกลงพี่ไม่ได้ชื่อบู๊เหรอ”


“นั่นชื่อพ่อ”


คำตอบนั้นเล่นเอาภควัตหน้าเหลอ เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอก กำลังคิดว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร อีกฝ่ายก็เตรียมจะเดินหนีไปอีกทาง จนแล้วจนรอด เขาก็ตามไปขวางไว้ได้


“แล้วพี่ชื่ออะไรครับ” ว่าแล้วก็ยื่นแก้วน้ำให้ แต่บรรณภัทรไม่รับ


“หลีกไป ผมจะไปเรียน"


“เดี๋ยวสิครับ” ถ้าพี่ไม่บอกว่าพี่ชื่ออะไรแล้วผมจะเรียกถูกได้ยังไงครับ ไม่อย่างนั้นผมก็จะเรียกพี่บู๊นะ”


บรรณภัทรมุ่นคิ้ว หันซ้ายหันขวามองบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องที่นั่งอยู่รอบ ๆ เห็นหลายคนพากันอมยิ้มก็รู้สึกอายจนอยากจะหายไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด


“อะ ไม่เป็นไร ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่พี่ต้องรับน้ำแก้วนี้ไว้ ถ้าพี่ไม่รับผมก็ไม่หลีก”


“อะไรของคุณ”


“รับไว้สิครับ ผมจะได้หลีกทางให้”


หนุ่มบรรณารักษ์ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นพร้อมประสานสายตาอีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็ยอมรับน้ำแก้วนั้นมาถือไว้


“เชิญคร้าบ” คนตัวสูงกว่าเบี่ยงตัวหลบแล้วผายมือ


เมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเปิดทาง บรรณภัทรก็ก้าวพรวด ๆ ทันที


ภควัตได้แต่ยืนอมยิ้ม มองตามหลังคนที่กำลังเดินออกไปนอกโรงอาหาร แม้อีกฝ่ายจะลับตาไปแล้ว แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวของเขายังคงอบอวลคลอเคลียปลายจมูก ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบเป้ขึ้นสะพายเฉียงก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารอย่างอารมณ์ดี


“บุ๋น รอออมด้วย”


บรรณภัทรหยุดเมื่อได้ยินเสียง หันกลับไปเห็นอัจจิมาวิ่งกระหืดกระหอบตามมาจึงยื่นแก้วน้ำให้


หญิงสาวรับมาดูดจนหมดไปเกือบครึ่งแล้วกล่าว “โกรธน้องเหรอ”


“เปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธ แต่หน้าตากลับแสดงออกชัดว่าตรงข้ามกับที่พูด


“อย่าไปโกรธน้องเลย น้องก็โดนแกล้งมาอีกที ตองกับบูมนั่นแหละตัวดี”


“เราไม่ได้โกรธหรอก”


“ดีแล้ว” พูดจบเธอก็ยื่นแก้วน้ำให้ “อะ กินน้ำไหม เขาอุตส่าห์ซื้อมาให้”


บรรณภัทรส่ายหัว กำลังจะเดินต่อก็เห็นหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งแยกกันในโรงอาหารขี่รถจักรยานยนต์ผ่านไป


“ไปกันเถอะ” เขาหันมาพูดกับหญิงสาวก่อนจะพากันเดินไปยังโต๊ะนั่งประจำ
   

“นั่นไง ไอ้ตัวดี มานั่งอยู่นี่เอง” อัจจิมาเอ่ยก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเฉลิมรัฐ แล้วใช้หนังสือในมือฟาดเข้าที่ไหล่ของเขา


“อะไรของเธอเนี่ย” ชายหนุ่มโวยวายขณะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง


“กลับคณะไปได้แล้ว ไอ้ตัวสร้างเรื่อง”


“สร้างเรื่องอะไรกัน” หนุ่มวิศวะทำไขสือ


“ก็นายไปหลอกน้องคนนั้น จนน้องเข้าใจผิดเรื่องชื่อบุ๋นไง ยังจะทำเฉไฉอีก ดูสิบุ๋นโกรธใหญ่แล้ว”


“ไอ้บุ๋นมันไม่โกรธหรอก” ว่าแล้วก็หันไปกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินมานั่ง “ใช่ไหมบุ๋น”


บรรณภัทรมิได้ตอบ หากแต่ถามกลับ “ไปรู้จักกันได้ยังไง”


“ไม่ได้รู้จักหรอก น้องมันมาถามชื่อนาย เราเลยบอกไป”


“บอกชื่อพ่อเนี่ยนะ” อัจจิมาตีซ้ำลงที่เดิม


“ก็ตอนนั้นเราปวดห้องน้ำนี่นา กำลังรีบเลยบอกผิด ๆ ถูก ๆ” เฉลิมรัฐยิ้มแห้ง


“ฝากไปบอกตองด้วยนะว่าคราวหน้าถ้าคิดแกล้งบุ๋นอีก เจอดีแน่ ขี้แกล้งกันแบบนี้ สาธุขอให้ลงวิชาเรียนไม่สำเร็จ”


คนฟังค้อนขวับให้สาวคณะมนุษย์ที่กำลังนั่งลง “อ๋อ...ที่แท้เพราะเธอนี่เองยัยออม เราถึงอดเรียนวิชาเลือกเสรีกับเพื่อนในคณะ”


“เอ้า เกี่ยวอะไรกันยะ”


“นี่นึกแช่งเราอยู่ตลอดเลยใช่ไหม รู้ละสิว่าเราอยากเรียนวิชานี้กับสาว IE เลยแช่งให้เราลงทะเบียนไม่ทัน”


“จะบ้าหรือไง”


“ต้องใช่แน่ ๆ”


“ไม่เกี่ยวเลย ตัวเองชักช้าเอง มัวแต่รอให้เพื่อนลงทะเบียนให้แล้วยังจะโทษคนอื่น ไปโทษเพื่อนโน่น เพื่อนกันท่าหรือเปล่า”


“เออว่ะ หรือจะจริง”


“แล้วทีนี้จะเอายังไง” บรรณภัทรถาม


“ปีนี้คงต้องลงเรียนกับปีหนึ่ง ไม่อยากปล่อยไว้ มีเวลาก็อยากเก็บหน่วยกิตให้หมด”


“สมน้ำหน้า” อัจจิมาว่าพลางดูดน้ำที่เหลือในแก้ว “ขอให้เวลาทำรายงาน ไม่มีน้อง ๆ รับเข้ากลุ่ม”


บรรณภัทรมองสองคนเถียงกันแล้วถอนใจเบา ๆ จู่ ๆ ในหัวก็นึกถึงชายหนุ่มเจ้าของแก้วพลาสติกที่บัดนี้มีน้ำหวานสีเขียวติดอยู่เพียงก้นแก้ว เขาเกลียดการรับน้องที่ก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวคนอื่นแบบนี้ที่สุด ไม่ควรมีใครคนไหนอาศัยความเป็นรุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้องทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ชั้นปีที่หนึ่ง ก็มีใครไม่รู้โทรศัพท์มาอ้างว่าได้เบอร์โทรศัพท์มาจากรุ่นพี่ รุ่นพี่สั่งให้โทรมา โทรมาเกือบทุกวันจนเขารำคาญจึงตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์ใหม่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดสืบหาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ปล่อยให้เป็นเรื่องน่ารำคาญที่ผ่านมาแล้วผ่านเลยไปก็เท่านั้น
.....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-11-2022 12:06:38
(ต่อนะคะ)



“ทำไมมันเป็นจริงทุกเรื่องเลยวะ นี่ถ้ามหาวิทยาลัยต้องการประธานฝ่ายเทวสัมพันธ์ ยัยออมมันต้องได้ตำแหน่งนี้แบบไม่มีคู่แข่งแหง”


เฉลิมรัฐถอนใจเฮือก เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวบนสุดของห้องเรียนแบบสโลป มองดูบรรดาน้อง ๆ นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งกำลังจับกลุ่มกันเพื่อทำงานรายตามที่อาจารย์ประจำวิชาเลือกเสรีเพิ่งมอบหมาย ส่วนตัวเขาเพิ่งได้รู้วันนี้ว่าตนเองนั้นเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้จึงได้แต่นั่งรอว่ากลุ่มไหนจะขาดคน จะได้เข้าไปเติมให้เต็ม ทั้งที่อาจารย์บอกว่าจำนวนคนพอดี แต่ก็ไม่เห็นมีใครเรียกหาสมาชิกเพิ่มสักที


“ไม่รู้จะโทษคำสาปแช่งของยัยออมก่อน หรือจะโทษคนที่ลงเบียนให้ก่อนดีไอ้บูมเอ๊ย” ชายหนุ่มบ่นมุบมิบทั้งที่ปากยังคาบปากกา


“Bonjour!”


เสียงนั้นทำเฉลิมรัฐต้องหลับตานับหนึ่ง-สิบในใจ ตั้งแต่เริ่มเรียนวิชานี้ก็มีรุ่นน้องต่างคณะคนนี้ที่ตามตอแยไม่เลิก เขาผ่อนลมหายใจยาวอีกครั้งก่อนจะลืมตา ดึงปากกาออกจากปากกาแล้วกล่าว “อะไรอีกวะ”   


“ทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศสไงพี่”


“กูคนไทยโว้ย!”


“เอ้าเหรอ ผมเห็นพี่นั่งเป็นเศษ...ฝรั่ง เอ๊ย! ฝรั่งเศสอยู่” ภควัตยิ้มกวน


“มึงจะเอาพริกเกลือไหม เดี๋ยวกูไปซื้อให้” เตรียมจะลุก แต่อีกฝ่ายยกมือห้าม   


“ช้าก่อน อย่าเพิ่งวู่วามพี่ชาย”


“ตกลงกลุ่มมึงใช่ไหมที่สมาชิกไม่ครบ”


“ม่ายยยช่ายยย”


“อ้าวไอ้นี่”


“แต่ผมให้พี่อยู่กลุ่มด้วยก็ได้นะ”


“อะไรของมึงเนี่ยไอ้ป้อน มึงจะเอายังไงกับกู มึงเคืองกูมากขนาดนั้นเลยเหรอ กูไหว้ละ ปล่อยกูเถ้อะ!” เฉลิมรัฐถือโอกาสพรั่งพรู ยกมือไหว้ท่วมหัว


“เพื่อนผมมันจะไปเมืองนอก หลังจากวันนี้มันจะไม่มาเรียนแล้ว กลุ่มผมก็เลยจะขนาดสมาชิกหนึ่งคน”


“มึงอย่ามาให้ความหวังกูนะ มึงกวนตีนกูทุกวัน กูเหนื่อยแล้ว”


“ผมพูดจริง” ภควัตหัวเราะ “แล้วทีพี่แกล้งผมล่ะ”


“โอ๊ย! กูบอกว่าวันนั้นกูปวดขี้!”


“แล้วจนตอนนี้พี่ก็ยังไม่ยอมบอกว่าเพื่อนพี่ชื่ออะไรอยู่ดี”


“ก็มันไม่ให้กูบอกมึ้ง!”


“พี่ตองก็ไม่ยอมบอกผม พวกพี่จะแกล้งผมไปถึงไหน”


“กูสองคนอยากบอกมึงจะแย่แล้ว แต่ออมแช่งพวกกูไว้” พูดพลางนึกถึงวันที่อัจจิมาไปที่คณะเพื่อต่อว่าตระการเรื่องที่แกล้งบรรณภัทร ซ้ำตัวเขาเองยังโดนหางเลขไปด้วย และตั้งแต่นั้นตระการก็ไม่กล้าแหลมหน้าไปที่โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์อีกเลย
“โอ๊ย! ขนลุก มันเป็นจริงทุกอย่างเลยนะมึง รวมถึงเรื่องที่กูต้องมาผจญกับมึงในวิชานี้ด้วย”


“งมงายจัง”


“ทำพูดไปไอ้ป้อน มึงยังไม่เคยเจอฤทธิ์เจ้าแม่ออมวดี” พูดไปก็ลูบแขนตัวเองไป “แล้วสรุปมึงจะรับกูเข้ากลุ่มใช่ไหม”


“ใช่ แต่มีข้อแม้”


“อะไรอี๊ก!”


“ผมอยากเป็นเพื่อนกับพี่ ไว้วันไหนพี่ว่างผมว่าง เราไปกินข้าว เตะบอล เล่นบาส ซ้อมดนตรี หรืออะไรก็ได้ แล้วแต่พี่เลย”


“มึงไม่ถามกูเลยเหรอว่ากูอยากเป็นเพื่อนกับมึงหรือเปล่า”


“ไม่ตกลงไม่ให้เข้ากลุ่มนะ” ภควัตยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำปาขมุบขมิบ “เอาเป็นว่าตกลงนะ”


“เออ ๆๆ” เฉลิมรัฐรับคำอย่างเสียมิได้


ด้วยเหตุนี้กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาบรรณภัทรจึงเห็นรุ่นน้องต่างคณะติดผู้นี้ติดสอยห้อยตามเฉลิมรัฐไปเกือบทุกที่ ทั้งมากินข้าวที่โรงอาหาร ไปวิ่งออกกำลังกาย ไม่เว้นแม้แต่วันที่พวกเขานัดเจอกันที่หอสมุด การมาของภควัตมิได้รบกวนใคร เขาเพียงแค่ทักทายทุกคนแล้วไปนั่งหลบมุมเสียบอินเอียร์ฟังเพลง ทำรายงานหรือการบ้านเท่านั้น จนในที่สุดชื่อ “ป้อน” ก็มักปรากฏอยู่ในบทสนทนาของเพื่อน ๆ เสมอ และสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องทำเป็นประจำเมื่อพบกันก็คือการรบเร้าให้บรรณภัทรบอกชื่อ ซึ่งบรรณภัทรก็แก้เผ็ดเหตุการณ์คราวนั้นโดยการกำชับทุกคนไว้ไม่ให้บอก


“เมื่อไรพี่จะยอมบอกชื่อ” เจ้าของร่างสูงเอ่ยขึ้น เขาวางแก้วพลาสติกใส่นมชมพูลงบนโต๊ะ แล้วเลื่อนไปตรงหน้าคนอายุมากกว่า “ไม่ยอมบอกอีกตามเคย ไม่บอกก็ไม่บอก ถ้าอย่างนั้นผมก็จะถามจนกว่าพี่ยอมบอกนั่นแหละครับ พี่บู๊”


“กวนตีน” บรรณภัทรส่ายหัวพลางเก็บหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ วันนี้ในโรงอาหารคนไม่เยอะ เขาจึงมานั่งเล่นอยู่ที่นี่รอเวลาท้องหิว
“วันนี้บูมไม่ได้มากินข้าวที่นี่นะ”


“ผมรู้แล้ว ผมรู้ว่าวันนี้พี่บูมมีควิซตอนเที่ยง ส่วนพี่ออมก็ป่วย ไม่ได้มาเรียน ผมเลยมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนพี่ไง”


“ว่างเหรอ”


“มีเรียนอีกทีตอนบ่ายครับ ถามทำไมเหรอ หรือว่าพี่อยากให้ผมไปไหนเป็นเพื่อน บอกได้นะ ผมโดดเรียนได้”


“เปล่า แค่ถามดูน่ะ สงสัยว่าวัน ๆ ไม่มีอะไรจะทำหรือไง”


“แหม...มีสิครับ ตอนเย็นผมก็นัดเพื่อนไว้ จะไปซ้อมบาสกัน อาทิตย์หน้าจะมีแข่งบาสน้องใหม่”
บรรณภัทรพยักหน้า


“พี่ไปเชียร์ผมด้วยนะ”


“ไปซื้อข้าวมากินไป รีบกินจะได้รีบไป”


ภควัตยิ้มก่อนจะลุกขึ้น เขาเดินวนไปรอบ ๆ เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะกินอะไรจึงเข้าไปต่อคิว ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมผัดซีอิ๊วกลิ่นหอมฉุยกับน้ำอัดลมสีเขียวในแก้วพลาสติกทรงสูง เป็นเวลาเดียวกับที่บรรณภัทรนั่งลงพอดี


“ไข่ตุ๋น หมูทอด ไม่เบื่อหรือไง” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารในจานของคนตรงหน้า


“ไม่”


“เหมือนผมเลย ผมก็ไม่เบื่อ” ภควัตกล่าวยิ้ม ๆ มือจับส้อมจิ้มเส้นก๋วยเตี๋ยวในจานเล่น ดวงตายังคงทอดมองคู่สนทนา


“ไม่เบื่ออะไรวะ”


“เปล่าครับ กินข้าวดีกว่า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ตักผัดซีอิ๊วใส่ปาก


สองคนนั่งรับประทานอาหารเงียบ ๆ กระทั่งแม่ค้าร้านน้ำเดินถือแก้วน้ำแตงโมงปั่นเข้ามา


“ได้แล้วจ้า” เธอพูดพร้อมกับวางแก้วทรางสูงลงบโต๊ะ


“ขอบคุณครับ” บรรณภัทรพลางดึงแก้วนั้นมาใกล้ตัว แต่กลับถูกคนนั่งตรงข้ามกันยื้อไว้


“อันนี้ของผม ของพี่อยู่นั่น” ภควัตไม่พูดเปล่า เขาบุ้ยปากไปที่แก้วนมชมพูที่จนถึงตอนนี้บรรณภัทรยังได้แตะมันเลย “จะละลายหมดแล้ว”


“ต...แต่...”


“อัน นี้ ของ ผม” คนอายุน้อยกว่าเน้นทีละคำ เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือจึงโน้มตัวเข้าไปดูดน้ำจากหลอด “อ้า! ชื่นใจ”


สุดท้ายบรรณภัทรก็ต้องจำใจปล่อยมือ


“มารยาท”


“มารยาทงาม ขอบคุณคร้าบ” ภควัตพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับยกมือไหว้


หนุ่มบรรณรักษ์ยกแก้วนมชมพูขึ้นดื่มพลางมองคนตรงข้ามที่ยังคงยิ้มแฉ่งจนตาหยี


“ยังไม่บอกผมเลยว่าจะไปเชียร์ผมไหม”


“เขาก็ต้องเชียร์คณะตัวเองกันไหม ใครจะไปเชียร์คณะอื่น”


“แปลว่าพี่จะไป?”


“ไม่อะ ขี้เกียจ”


“แล้วรับน้องขึ้นดอยล่ะ พี่ไปหรือเปล่า”


บรรณภัทรส่ายหน้า เห็นภควัตเบ้ปาก จิ้มเส้นก๋วยเตี๋ยวเคี้ยวหยับ ๆ จึงลงมือกินข้าวต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น


“อ้าวป้อน วันนี้มากินข้าวเป็นเพื่อนพี่บู๊เหรอจ๊ะ”


อัจจิมาในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวใส่นอนเดินมาหยุด เสียงแหบแห้งขึ้นจมูกทำให้รู้ว่าอาการหวัดน่าจะยังไม่ดีขึ้น


“ครับพี่ออม พี่ออมเป็นยังไงบ้างครับ”


“ยังเจ็บคออยู่เลยจ้ะ แต่หิวข้าว ก็เลยมาหาอะไรกิน”


“ทำไมไม่โทรบอก เราจะได้ซื้อเข้าไปให้ที่หอ” บรรณภัทรกล่าว


“เกรงใจน่ะ อีกอย่างออมนอนจนเบื่อแล้ว ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเผื่อจะดีขึ้น”


“นั่งก่อนครับพี่ออม อยากกินอะไรเดี๋ยวผมไปซื้อให้” ภควัตกล่าวพรางรวบช้อน


“ป้อนอิ่มแล้วเหรอ”


“อิ่มแล้วครับ”


“เตรียมไปเรียนได้แล้วมั้ง จะบ่ายโมงแล้ว” บรรณภัทรเอ่ยขึ้น มองคนที่กำลังก้มดูตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ


“จริงด้วย”


“รีบไปเรียนเถอะจ้ะป้อน เดี๋ยวสาย”


หนุ่มรุ่นน้องพยักหน้า รีบดูดน้ำแตงโมปั่นจนหมดแก้ว จากนั้นก็ลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับพี่ออม พี่บู๊”


หญิงสาวยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ รอจนอีกฝ่ายลับตาจึงเดินอ้อมมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของเพื่อนรัก


“ยังไม่ใจอ่อนยอมบอกชื่อให้น้องรู้อีกเหรอ”


“ไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว” พูดจบบรรณภัทรก็ดูดนมชมพูในแก้ว


“แล้วจะให้เขาจีบด้วยการเรียกชื่อพ่อเนี่ยนะ” อัจจิมาหัวเราะ 


......


ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ

หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-11-2022 20:02:35
 :impress2: :man1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-11-2022 13:43:05
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-12-2022 15:38:50
น้องป้อนคือพระเอกสินะ :hao3:

ชอบความเพื่อนแซวให้เขาจีบโดยการเรียกชื่อพ่อ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-01-2023 01:09:29
 :pig4: