พิมพ์หน้านี้ - Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 22:05:03

หัวข้อ: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 22:05:03
**************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


-------------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะ SeenYu นะคะ เพิ่งเคยเอามาลงในเล้าครั้งแรก ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

Today, where you want to go? | วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน?
#คุณเพย์รักอิสระ

‘กลิ่นบุหรี่ของเขาไม่เคยจางไป
เช่นเดียวกับรอยแผลในอดีตที่ไม่มีวันเลือน
เพราะเราต่างยังคงเติมเต็มร่องรอยให้กันและกัน
โดยหวังให้แผลใหม่มันฝังแผลเก่าให้จมหายไป’


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

“คุณ… คุณเพย์...”

“ชอบเรียกชื่อกูจังนะอีซี่”

คุณเพย์โยนผมลงบนเตียง เขากระตุกยิ้ม ระหว่างย่างสามขุมเข้ามาก็ค่อยๆ ปลดเข็มขัดหนังราคาซื้อมือถือได้ออกมาม้วนพันกับมือตัวเอง...

ผมถอนหายใจให้ตัวเอง ก้มหน้ารับชะตากรรม

มันก็ไม่บ่อยหรอกที่เขาจะชอบใช้ความรุนแรง... แต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นวันนี้

“ไม่เอารอยนะครับคุณเพย์”

“เลือกได้ด้วยเหรออีซี่”

เขาจูบปากผมอย่างหยอกล้อ แววตาของเขาวาววับ แต่แววตาของผม... ว่างเปล่า

“หนึ่งรอยสามหมื่น”

คุณเพย์บอกตัวเลข

เป็นตัวเลขที่ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่ยอมแลกเงินกับความเจ็บปวด

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สารบัญ
Day - 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4009394#msg4009394)
Day - 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4009566#msg4009566)
Day - 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4009880#msg4009880)
Day - 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4010068#msg4010068)
Day - 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4010508#msg4010508)
Day - 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4010668#msg4010668)
Day - 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4010789#msg4010789)
Day - 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4011423#msg4011423)
Day - 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4011869#msg4011869)
Day - 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4012338#msg4012338)
Day - 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4012944#msg4012944)
Day - 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4014297#msg4014297)
Day - 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4015868#msg4015868)
Day - 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4016806#msg4016806)
Day - 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4017796#msg4017796)
Day - 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4019308#msg4019308)
Day - 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4019642#msg4019642)


มือใหม่หัดเขียน แต่เขียนไปแล้วสองเรื่อง ฝากชาวเล้าติชมกันหน่อยนะคะ
สำหรับคนที่ซีเรียสเรื่อง " Incest " เราขอเตือนไว้นิสนึงนะคะ กลัวดราม่าหนักกัน แต่ไม่หนักหน่วงแน่นอนค่ะ
 
:call:
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 1
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 22:33:21
| Day 1 |
Today, where’re you going to sleep?

           “วันนี้ไปไหนครับ คุณเพย์”

           ร่างผอมถามเสียงนิ่ง พยายามไม่มองกระจกหลัง โดยเฉพาะเมื่อคนที่ขึ้นรถมามีถึงสองไม่ใช่หนึ่งคน และสองคนนั้นก็กำลังนัวเนียริมฝีปากกันเหมือนคนตายอดตายอยากขาดเซ็กซ์มาเป็นชาติ สีหน้าของเขาคงดูจะชินชากับเรื่องแบบนี้เสียแล้ว

           “ม่านรูด... อ๊ะ เดี๋ยวครับคนสวย โว้วๆๆ”

           คนถูกถามตอบยังไม่ทันจบคำ คนสวยของเขาที่นุ่งสั้นจนกางเกงในโผล่ก็คว้าคอคนที่ผละออกมากลับเข้าไปบดจูบแลกเปลี่ยนน้ำลายกันต่อชนิดลืมหายใจ...

           ร่างผอมในชุดสูทตัดเย็บเรียบร้อยราคาแพงซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำตัวจัดการเข้าเกียร์ทันที ไม่ต้องให้บอกหรอกว่าม่านรูดไหน ทำงานด้วยกันมาตั้งนาน เจ้านายของเขาน่ะถึงเวลาเงี่ยน ขอแค่ให้ได้เอา จะม่านรูดจิ้งหรีดหรือโรงแรม 8 ดาว มันเข้าได้ทั้งนั้นแหละ ขออย่างเดียว อย่ามาเล่นหนังสดให้เขาดูก็พอ

           คนเป็นลูกน้องตบไฟเลี้ยว เข้าเกียร์ขับออกจากหน้าสถานบันเทิงชื่อดัง เลี้ยวเข้าม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อส่งคนคลั่งเซ็กซ์ทั้งสองไปสู่สุขคติ... เอ้ย... สวรรค์

           ระหว่างทางต้องทนฟังเสียง อื้อ อ้า บ้าบออะไรก็ไม่รู้ตลอดทาง เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าม่านรูด 2 ดาวเนี่ยแหละ จอดรถแล้วไล่คนทั้งสองลงไป ก่อนเจ้านายจะไปปฏิบัติภารกิจลูกผู้ชาย คนขับรถกิตติมาศักดิ์ก็ลดกระจกลงแล้วโยนกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมสีดำให้อย่างรู้งาน

           “No condom, no sex ครับ”

           “ขอบใจจ้ะ อีซี่” คุณเพย์ยิ้มหวานให้เขา เขารู้ว่าเจ้านายไม่ได้เมาหรอก ก็แค่คนบ้ากามก็เท่านั้นเอง ก่อนร่างสูงจะลากเอาแม่สาวทรงโตเข้าห้องไป ลูกน้องถอนหายใจ เปิดเพลงในรถฟังเพื่อรอเวลา ข้างนอกฝนกำลังตกจนเสียงดังกลบทุกสรรพเสียงด้านนอกรอบข้าง

           กลบแม้กระทั่งความขุ่นเคืองในใจ

           ...

           ก๊อก ก๊อก...

           ผมสะดุ้งขึ้นจากเบาะรถที่ปรับเอนเล็กน้อย ฝนหยุดแล้ว หันมองกระจกรถ เห็นคนที่อยู่ในสภาพกึ่งยุ่งเหยิงกึ่งแจ่มใสยืนเคาะกระจกอยู่นอกรถ ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงก่อนลดกระจกลง

           “เสร็จแล้วเหรอครับคุณเพย์”

           “เสร็จแล้ว กลับกันเถอะ เดี๋ยวยัยนั่นตื่นขึ้นมาจะเกาะแกะไม่เลิก” แล้วคุณเพย์ก็เปิดประตูหลังรถเอง ขึ้นเอง ปิดเอง ทำทุกอย่างเองอย่างไม่ถือสาอะไรทั้งสิ้น ผมมีหน้าที่ขับรถ ขับไปทุกที่ที่เจ้านายต้องการไป คำถามเดิมๆ ของผมก็คงจะหนีไม่พ้น...

            “วันนี้คุณเพย์จะนอนที่ไหนครับ”

       “บ้านมึง”

       ผมกรอกตามองบน

       “วันนี้ไม่ได้ครับ น้องอิงอยู่”

       “อิงก็ส่วนอิง กูก็ส่วนกู”

       “แต่ว่า...”

       “อีซี่” คุณเพย์กดเสียงต่ำเรียกชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ ผมถอนหายใจ จะไปเถียงอะไรเขาได้ล่ะ ที่ที่ผมซุกหัวนอนอยู่ตอนนี้ก็คอนโดของเขาทั้งนั้น

       “รับทราบครับคุณเพย์”

   



       คอนโดใจกลางเมืองในย่านที่มีแต่พวกคนรวยเขาอยู่กัน แน่นอนว่าคนขับรถอย่างผมไม่มีปัญญาซื้อหรือเช่าคอนโดราคาแพงหูดับตับพังพวกนี้หรอก อาศัยว่าคอนโดนี้เป็นหนึ่งในโครงการของตระกูล ไอยราสุวรรณ ห้องขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำซึ่งก็ไม่ยากที่ทายาทตระกูลนี้จะมีไว้ครอบครองสักห้องสองห้องหรือแม้กระทั่งยกให้คนขับรถโง่ๆ คนนึง เขาก็ทำได้

       ร่างสูงผลักประตูห้องเข้ามา ก่อนคว้าเอาร่างผมในชุดสูทเข้ามาบดจูบจนหายใจไม่ออก มือใหญ่สอดเข้ามาดึงเสื้อเชิ้ตใต้สูทของผมออกนอกกางเกงอย่างรีบร้อน ผมพยายามดันเขาออกเพื่อปิดประตูห้อง เบนหน้าหนีเพื่อกระซิบบอก

       “คุณเพย์ครับ... เดี๋ยวครับ... อะ... อิง... น้องอิงน่าจะ...”

       “น้องอิงยังไม่กลับหรอก” คุณเพย์ตอบเหมือนรู้ ร่างสูงใหญ่กอดรัดผมแน่น ริมฝีปากที่มีกลิ่นลิปสติกของผู้หญิงคนอื่นขยี้ปากผมอย่างไม่สนใจว่ามันจะทำให้ผมเจ็บหรือเปล่า ก่อนจะไล่ลงมาไซร้ซอกคออุ่นๆ อย่างกระหาย... ไปตายอดตายอยากที่ไหนมา เมื่อกี้ก็เพิ่งเสียน้ำไปกับแม่สาวทรงโตในผับไม่ใช่เหรอ?

       เสื้อสูทของผมถูกโยนไปข้างหลัง ตามด้วยเนคไทและเข็มขัด เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมออกแต่ไม่สุดดี ไม่รู้ว่ารีบร้อนไปไหน คุณเพย์แหวกเสื้อผมให้พ้นไหล่พลางฝังรอยไว้ทั่ว ผมที่ไม่สามารถเอาแขนออกจากแขนเสื้อได้จำใจต้องปล่อยให้เขาเล่นกับร่างกายผอมแห้งไปเรื่อยๆ นัยน์ตาผมมันคงดูว่างเปล่า ผมแหงนหน้ามองเพดาน ไม่มีใครสนใจจะเปิดไฟในห้อง มีเพียงแสงไฟจากตึกรามรอบๆ ที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดม่านทิ้งไว้ให้เห็นเพียงบรรยากาศภายในเท่านั้น

       “อีซี่ มึงตัวหอมกว่าผู้หญิงพวกนั้นอีก”

       คุณเพย์เพ้อเจ้อ

       ร่างของผมถูกดันไปจนติดผนังห้องสักด้านเนี่ยแหละ ร่างสูงของเจ้านายค่อยๆ ย่อลง มือของเขาจับยึดเอวบางของผมไว้แน่น ลิ้นร้อนเปียกลากผ่านตั้งแต่หน้าอก ดูดดึงยอดอกสีอ่อนที่คุณเพย์ชอบชมว่ามันหวาน ไม่นานเขาก็เริ่มใช้ฟัน ผมกลัวมันจะหลุดติดปากเขาไปสักวันจริงๆ

       “คุณเพย์... อา.. เจ็บครับ อย่ากัด”

       “กูรู้ว่ามึงชอบให้ตัวเองเจ็บ อีซี่”

       ผมไม่ได้ซาดิสม์โว้ย เข้าใจใหม่ซะ

       ผมพยายามถอดแขนตัวเองออกจากแขนเสื้อ จนในที่สุดก็หลุดออกมาได้หนึ่งข้าง มือของผมขยับไปจับหัวของคุณเพย์ที่ตอนนี้มันอยู่แถวๆ หน้าท้อง ลิ้นหนาของเขาสอดเล่นที่แอ่งสะดือจนผมสะดุ้งเกร็งหน้าท้องหนีแต่เขาไม่ยอม มือที่เคยจับเอวผมข้างหนึ่งเลื่อนไปกดหลังผมไว้ไม่ให้หนี ทำให้ผมต้องงอตัวแทน

       “คุณเพย์!”

   ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ คนหยาบกร้านก็กระชากกางเกงสแลคเนื้อดีลงไปกองด้านล่างพรวดเดียว เผยให้เห็นร่างกายน่าอายที่ชูชันแข่งกับอารมณ์ของเขาตอนนี้ มือบางๆ พยายามผลักหน้าผากเขาให้เงยหน้าขึ้นเมื่อผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร

       “ผมยังไม่ได้อาบน้ำ... ให้ ให้ผมอาบ... อื้อ... อ๊ะ...”

       ผมสูดปากคราง คุณเพย์กำมือรอบท่อนเนื้อร้อนของผมแล้วขยับมือขึ้นลงจนมันบวมแข็งกว่าเดิม ลิ้นร้อนตวัดเลียชิมส่วนปลายที่แข็งจนแดงก่ำ... แลบเลียจนสะอาด ผมหลับตาเชิดหน้าขึ้น ขาสั่นจนทรงตัวไม่อยู่ ร่างกำยำยังมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้น แต่ผมเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตที่กองอยู่ตรงสะโพกแค่ตัวเดียว

       “สะอาดแล้ว”

       คุณเพย์ยิ้มชอบใจในปฏิกิริยา ผมส่ายหัวรัวเมื่อเขาพยายามจับผมหันหลัง
   
       “ไม่ครับคุณเพย์ เดี๋ยวน้องอิงกลับ... กลับ... อา โอ๊ะ...”

       สะโพกของผมถูกดึงให้ยื่นโก่งออกมาจนเปิดเปลือยทุกสิ่งอย่าง ก้นขาวลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าเขา คุณเพย์คุกเข่า ใช้มือข้างหนึ่งดันไหล่ผมให้หน้าชิดกำแพง อีกข้างโอบรัดต้นขาผมไว้บังคับให้ยืนอยู่ในท่าที่น่าอาย เขาสูงกว่าผมมาก ขนาดนั่งชันตัวขึ้นด้วยท่าคุกเข่ายังสามารถเอื้อมมือมากดไหล่ผมได้

       “เอามือแหวกก้นเดี๋ยวนี้”

       คุณเพย์บังคับผมที่กำมือแน่น ผมเอี้ยวตัวมองด้านหลัง นัยน์ตาของเขาดุมากทีเดียวเมื่อเห็นว่าผมพยายามฝืนขมิบก้นตัวเองไว้แน่น ผมกัดปาก เจ้านายผมปล่อยไหล่ที่ยันผมไว้แล้วจับข้อมือผมกระชากให้มาจับที่แก้มก้นของตัวเองข้างหนึ่ง ผมน้ำตาไหล... ไม่ชอบเลยที่เขาทำแบบนี้

       “จับ!”

   ผมยอมเปิดเปลือยช่องทางด้านหลังของตัวเองด้วยมือสั่นๆ ผมเกลียดที่เขาทำแบบนี้ ทำเหมือนผมเป็นโสเภณีที่อยากได้อะไรก็ต้องทำให้ มืออีกข้างของผมยันผนังไว้

       “สวย ว่าง่ายๆ หน่อยสิอีซี่”

       “คุณเพย์” ผมครางเสียงอ่อน เขาชอบที่จะมองเวลาผมสอดนิ้วเข้าไปด้วยตัวเอง ผมล้วงนิ้วเข้าไปแค่สองนิ้วก็เกินทนแล้ว ไหล่สั่นจากแรงสะอื้น เหมือนคนตรงหน้าจะเงียบไป ก่อนที่ผมจะนิ่วหน้าร้องโอดเมื่อจู่ๆ นิ้วใหญ่อีกสองพยายามสอดล้วงเข้ามารวมกับนิ้วของผมแล้วแยกขยายทางแคบออก

       “สุดยอดไปเลยอีซี่ มึงแม่ง...” คุณเพย์สอดลิ้นร้อนเข้ามา ผมหมดแรงต้านทานเขาแล้ว ยอมกัดปากตัวเองปล่อยให้มันเป็นไป

       นิ้วของคุณเพย์ขยับเข้าออกเสียดสีจุดกระสันจนผมเสียวไปถึงท้องน้อย ท่อนเนื้อของผมถูกรูดรั้งอย่างย่ามใจ จนกระทั่งผมทนไม่ไหว น้ำสีขาวขุ่นโพยพุ่งออกมาจนเปรอะผนัง

       ทำความสะอาดอีกแล้วกู...

       เจ้านายยอมปล่อผมให้ลงไปนอนงอตัวกองกับพื้น เสื้อเชิ้ตที่จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ของผมช่วยคลุมร่างอ่อนปวกเปียกไว้ได้เพียงเล็กน้อย ผมพึ่งรู้สึกเป็นอิสระได้แค่ไม่กี่วินาที คุณเพย์ก็โน้มตัวลงมาหิ้วร่างผมขึ้นอุ้มพาดบ่า ก้นขาวลอยเด่นชี้เพดานจนผมหน้าแดงกระดากอาย คนที่เสื้อผ้าครบทุกชิ้นเดินเร็วๆ ไปยังห้องนอนของผมซึ่งเป็นห้องนอนเล็ก เขารู้ทางดีทีเดียว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่เขามา

       “คุณ… คุณเพย์...”

       “ชอบเรียกชื่อกูจังนะอีซี่”

       คุณเพย์โยนผมลงบนเตียง เขากระตุกยิ้ม ระหว่างย่างสามขุมเข้ามาก็ค่อยๆ ปลดเข็มขัดหนังราคาซื้อมือถือได้ออกมาม้วนพันกับมือตัวเอง...

       ผมถอนหายใจให้ตัวเอง ก้มหน้ารับชะตากรรม

       มันก็ไม่บ่อยหรอกที่เขาจะชอบใช้ความรุนแรง... แต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นวันนี้

       “ไม่เอารอยนะครับคุณเพย์”

       “เลือกได้ด้วยเหรออีซี่”

       เขาจูบปากผมอย่างหยอกล้อ แววตาของเขาวาววับ แต่แววตาของผม... ว่างเปล่า

       “หนึ่งรอยสามหมื่น”

       คุณเพย์บอกตัวเลข

       เป็นตัวเลขที่ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่ยอมแลกเงินกับความเจ็บปวด




   
       หลังจากจบกิจกรรมเข้าจังหวะ ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยเป็นที่น่าหลงใหลของสาวน้อยสาวใหญ่หรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันก็นอนแผ่หราเปลือยกายอยู่บนเตียงกว้างของผมอย่างไม่อายอะไรทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้หรูหราเท่าเตียงในห้องนอนใหญ่ที่เป็นของน้องอิงแต่มันก็นอนสบายดีกว่าการนอนข้างถนนอยู่แล้ว

       คราบและร่องรอยช้ำมือช้ำปากที่คุณเพย์ทำไว้จนเต็มตัวผม ทั้งของเก่าที่ยังหายไม่สนิทดีกับของใหม่ที่ปนๆ กันไปทำให้ผมอดสมเพชตัวเองไม่ได้

       ผมลากสังขารและขาปวกเปียกเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย ระหว่างที่เดินมา ผมรู้เลยว่ามีคราบน้ำและของเหลวที่เหลืออยู่ในตัวผมไหลออกมาตามเรียวขา บางส่วนหยดแหมะลงบนพื้น

       เชี่ยเอ้ยคุณเพย์...

       บอกอยู่หยกๆ ว่า ‘No condom, no sex’

       ผมยืนส่องกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ

       เงาที่สะท้อนอยู่ในนั้น คือชายหนุ่มร่างผอมบางเหมือนคนขาดสารอาหาร แม้ตอนนี้จะไม่ได้อดอยากเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังเป็นคนที่กินน้อยอยู่ดี อาจเป็นเพราะความเคยชิน ความเครียด หรืออะไรก็ตาม ไหล่บางแคบจนแทบเห็นกระดูก ดูไม่มีน้ำมีนวลซักนิด ส่วนสูงก็แค่ 167 เซนติเมตรพอๆ กับน้องสาว หน้าตาก็งั้นๆ แค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป ตัวขาวซีด มองผ่านๆ เหมือนซอมบี้ แต่คนบนเตียงกลับชอบพร่ำครางว่าผม ‘สวย’ ยิ่งเมื่อผมเป็นฝ่าย on top เขาจะยิ่งชอบใจ คุณเพย์ชอบพูดจาห่ามน่ารังเกียจใส่เสมอเวลามีเซ็กซ์

       น่ารังเกียจ... ผมสิน่ารังเกียจ

       ร่องรอยบนตัวผมมีอยู่แทบทุกที่ เป็นเหตุผลที่ผมใส่สูทอยู่แทบจะตลอดเวลาที่ออกไปข้างนอก รอยที่ชัดที่สุดของวันนี้คือรอยเข็มขัดที่ยังช้ำเลือดแดงๆ เห็นชัดบนแผ่นหลัง

       แต่ผมก็เอาคืนด้วยการฝากรอยเล็บที่จงใจไม่ตัดไปแล้ว...

       ผมสะบัดหัวก่อนเดินเข้าไปทิ้งตัวลงในอ่างน้ำร้อน มุดตัวลงไปแช่ ปิดเปลือกตาลงนอนพิงขอบอ่าง คิดว่าถ้าผมหลับไปเลยก็คงดี หลับแบบไม่ต้องตื่น...

       ...

       “อิฐ!”

       ร่างของผมถูกกระชากขึ้นมาจากอ่างน้ำขนาดกลาง แรงบีบที่แขนทำให้ผมรู้สึกเจ็บ แต่สายตาที่เขามองมาที่ผมมันทำให้ผมเจ็บที่ใจมากกว่า

       “จะอาบน้ำเหรอครับคุณเพย์”

       ผมลูบหน้าลูบตา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปเมื่อไหร่หรือหัวจมลงไปใต้น้ำนานแค่ไหน คนตัวใหญ่ที่เดินพันผ้าเช็ดตัวรอบเอวปกปิดส่วนสำคัญไว้เข้ามาในห้องน้ำมีสีหน้าตื่นตกใจ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเผลอหลับในห้องน้ำ เขาน่าจะชินได้แล้วนะ

       “จะนอนก็ไปนอนบนเตียง ไม่ใช่นอนในนี้!”

       “คุณเพย์โมโหอะไร” ผมขมวดคิ้ว ลุกจากอ่างแล้วเดินตัวเปลือยไปคว้าผ้าเช็ดตัวบนชั้นมาพันเอวออกจากห้องน้ำไป

       ผมเดินออกไปข้างนอกห้องนอนเพื่อตามเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายตามทางเดิน รวมถึงหามือถือเพื่อเช็คข้อความ ไฟในบ้านยังคงถูกปิดไว้ บ่งบอกว่าผู้ที่อาศัยร่วมห้องของผมยังไม่กลับ ผมเลื่อนดูข้อความจากน้องอิงที่ส่งมาบอกว่าคืนนี้เธอจะค้างห้องเพื่อนเพราะมีรายงานต้องทำให้เสร็จก่อนวันพรุ่งนี้แล้วเลื่อนไปดูเวลา

       ตีสี่ครึ่ง

       “รู้อยู่แล้วเหรอครับว่าน้องอิงไม่กลับวันนี้”

       ผมถามคนที่เดินตามออกมาในสภาพไม่ต่างกัน คุณเพย์ไม่ตอบ

       เขาไม่เคยตอบอะไรผมทั้งนั้นแหละ... ยกเว้นเวลาผมถามว่าเขาจะไปที่ไหน ผมไม่มีสิทธิ์จะถามด้วยซ้ำว่าเขาไปกับใคร หน้าที่ของผมก็แค่ทำตามสิ่งที่คุณชายเอาแต่ใจคนนี้สั่งก็เท่านั้น

       ผมถอนหายใจ เดินกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบค้นเสื้อยืดสีขาวในตู้เสื้อผ้ามาสวมพลางพูดกับเขาไปด้วย

       “วันนี้คุณเพย์มีประชุมตอนสิบโมงเช้ากับบริษัทยา บ่ายสองโมงมีนัดทานข้าวกับผู้ถือหุ้นในเครือ ส่วนตอนทุ่มนึงผมจองโต๊ะทานดินเนอร์กับลูกสาวประธานพิรัตพงษ์กรุ๊ปไว้ให้แล้ว แถวๆ รัชดานี่แหละครับ”
   
       “ลูกสาวประธานพิรัตพงษ์?” คุณเพย์ทวนรายการที่ต้องทำในวันนี้

       “ครับ คุณรินกานต์”

       “ใครวะ?”

       “คุณไปจีบเธอหลังงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้บริษัทเมื่อสามวันก่อน เธอให้เลขาโทรมาหาผมเพื่อนัดทานข้าว คุณบอกให้ผมจัดการให้”

       คุณเพย์เลิกคิ้วล่อกแล่ก

       “น้องอิงรู้มั้ย”

       “น้องอิงไม่สนใจหรอกครับว่าคุณเพย์จะไปทำตัวทุเรศกับใคร แค่คุณไม่พาไปออกงานตัวเป็นๆ ให้หน้าน้องอิงหักคาสื่อก็พอ”

       คุณเพย์ถอนหายใจยาว ผมอดขำไม่ได้

       ไม่รู้จะขำอะไรดี

       ขำที่คุณเพย์มั่วคั่วไปทั่วจนจำใครต่อใครไม่ได้...

       ขำที่น้องสาวผมก็รู้ว่าคุณเพย์มั่วแต่ก็ยังทนคบกับเขาอยู่...

       หรือขำที่ผมรู้ทุกอย่างจากทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่ส่งแฟนน้องสาวไปเอากับผู้หญิงคนอื่นแทบทุกวัน...

       แต่ที่ตลกที่สุด คือนอกจากคุณเพย์มันจะมั่วเอาไม่เลือกทั้งสาวนอก สาวใน หรือน้องสาวคนขับรถ มันก็ยังเอาผมด้วย

       มั่วจนเหี้ยเลยครับ... เจ้านายผม

       สิ่งเดียวที่ผมจะไม่ยอมให้น้องอิงรู้เด็ดขาด ก็คือเรื่องของผมกับเขา

       นอกจากน้องอิงต้องมาคอยระแวงผู้หญิงทั่วราชอาณาจักร ผมก็ไม่อยากให้เธอต้องเหนื่อยระแวงผู้ชายอีก โดยเฉพาะผู้ชายใกล้ตัว อย่างพี่ชายตัวเอง

       ผมต้องทนอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มาสามปีแล้ว

       เหตุผลที่ผมยอมทำแบบนี้ เป็นเพราะเขาเป็น Passive Income ของผมครับ ผมไม่ต้องลำบากคิดหัวแทบแตกว่าจะทำงานอะไรให้ได้เงินมากพอที่จะจ่ายค่าโรงพยาบาลของแม่ ค่าเรียนของน้องสาว ค่าบ้าน ค่าหนี้สินเป็นสิบๆ ล้านที่พ่อทิ้งไว้ เคยกลายเป็นคนไม่มีที่ซุกหัวนอนก็เป็นมาแล้ว อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว แลกกับอะไรนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้คนในครอบครัวสุขสบาย

       ถึงแม้มันจะดูสิ้นคิดก็ตาม

       หลังจากที่ผมได้มาเป็นคนขับรถของคุณเพย์ เขาก็ยกคอนโดของเขาให้ผมกับน้องสาว อ้างว่ามันเป็นสวัสดิการชั้นวีไอพีสำหรับสารของนาย ภาวิต ไอยราสุวรรณ ทายาทของไอยรากรุ๊ป ผู้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตยาและอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งในและต่างประเทศ

       แต่แม้คุณชายคนนี้จะดูเละเทะเหลวไหลแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเข้าประชุมสายเลยสักครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าไปช่วยงานที่บริษัทเมื่อเจ็ดปีก่อน ต้องยกความดีความชอบให้คนขับรถกิตติมศักดิ์อย่างผม

       ผมที่กำลังสวมกางเกงขายาวอยู่ถูกคนบ้ากามเดินเข้ามากอดจากด้านหลัง เขาสูดดมกลิ่นหอมจากตัวผมพลางขยับสะโพกถูไถกลางลำตัวเข้ากับสะโพกของผมอย่างชอบใจ ผมส่ายหน้า

       “ผมเจ็บไปหมดแล้วครับ พอเถอะนะ”

       เขาขบเม้มติ่งหูอ่อนนุ่มพลางครางเสียงแผ่ว ผมจับท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบคอผมไว้ แล้วหลับตาลง...

       “ไม่มีใครเหมือนมึงจริงๆ อีซี่”

       อีซี่...
   
       ใช่สิครับ ผมมันง่าย... คุณเพย์เลยตั้งชื่อนี้ให้ผมไง


---------To Be Continued ---------

หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 2
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 23-10-2019 00:15:53
| Day 2 |

Who are you?
   

    “อิสระ”

   ผมหันมาตามเสียงเรียกขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหลังส่งเจ้านายที่หน้าบริษัทแล้ว

   ใช่ครับ นั่นชื่อผม... อิสระ วิภาสกุล

   ผมโค้งตัวให้ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงภูมิฐานของประธานเครือไอยราคนปัจจุบัน เขาเป็นชายวัยน่าจะประมาณเกือบหกสิบ ผมสีดำมีแซมสีดอกเลาถูกปาดเจลเสยขึ้นดูดี

   “สวัสดีครับท่านประธาน”

   ท่านประธานที่เดินเข้ามาหาเขาถึงที่พร้อมกับเลขาคนสนิทส่งยิ้มเหมือนจะใจดีให้

   “ไม่เจอหน้าตั้งนานนะ น้องอิงเป็นยังไงบ้าง”

   ผมหลุบตาลง ตอบกลับอย่างนอบน้อม

   “สบายดีครับ ช่วงนี้เรียนหนักหน่อยเลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน”

   “งั้นเหรอ ว่างๆ บอกให้เจ้าเพย์พาน้องอิงไปทานข้าวที่บ้านสิ นายด้วยนะ แม่เจ้าเพย์บ่นว่าไม่เจอหน้าน้องอิงมานานแล้ว”

   ผมยิ้มรับปาก หลังจากที่ท่านประธานเดินเข้าบริษัทไป ผมก็ถอนหายใจยาว กลับขึ้นรถประจำตำแหน่งแล้วขับไปจอดที่ในจอดรถส่วนตัว พิงพนักเบาะอย่างอ่อนเพลีย ผมเพิ่งได้นอนไปงีบเดียวตอนหกโมงเช้า แล้วต้องรีบตื่นมางัดให้คุณเพย์ดูรายงานตอนแปดโมงก่อนจะเข้าประชุม

   ดีแค่ไหนที่ไม่หลับในจนพาเจ้านายไปตาย

   ผมลงจากรถเดินเข้าตึกบริษัทไปหาร้านกาแฟนั่งเพื่อเติมคาเฟอีนในกระแสเลือด คุณเพย์น่าจะประชุมเสร็จตอนเที่ยงก่อนจะไปคุยกับผู้ถือหุ้นที่โรงแรมแถวๆ สุขุมวิท ผมพอจะมีเวลางีบนิดหน่อย

   “ยินดีต้อนรับครับ... อ้าว ลูกค้าประจำนี่เอง”

   เสียงต้อนรับจากพนักงานร้านกาแฟเจ้าประจำดังขึ้น ผมยิ้มจืดๆ ให้ ง่วงจนตาจะปิด ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์พลางสั่ง

   “เอสเพรสโซ่สองชอตครับ”

   “จัดเต็มตั้งแต่เช้าเชียวนะพี่อิฐ”

   เด็กหนุ่มหน้าตาดี ร่างสูงโปร่ง ย้อมผมสีน้ำตาลคาราเมลในชุดผ้ากันเปื้อนสีดำมีสกรีนโลโก้ร้านตรงกลางอกทักทายผมก่อนจะคีย์รายการที่จอแคชเชียร์

   “เดี๋ยวต้องไปหลายที่ กลัวพาเจ้านายไปเสยฟุตบาท” ผมหัวเราะเบาๆ

   “คุณเพย์เขาใช้งานพี่หนักขนาดนั้นเลยเหรอ” เนส เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคาราเมลถาม เขาคงสงสัยว่าแค่ขับรถมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอล่ะมั้ง

   เปล่า ขับรถให้คุณเพย์ไม่ใช่งานหนัก แต่การรับมือกับอารมณ์เจ้านายสิหนัก

   “เนสอยากลองขับรถให้คุณเพย์มั้ยล่ะ” ผมเสนอหยอกๆ

   “ก็ดีนะครับ ผมว่าคงได้เงินดีกว่าเป็นพนักงานร้านนี้... โอ๊ย!” แล้วเจ้าตัวก็โดนโบกหัวเข้าให้โดยบาริสต้าหน้าเข้มที่เป็นทั้งบาริสต้าทั้งเจ้าของร้าน เขาวางถ้วยกาแฟชอตให้ผม

   “ออกตอนนี้เลยมั้ย ว่าจะปลดพนักงานพอดี”

   “ผมล้อเล่นน่าพี่โม”

   โม ส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะหันมาสนใจผมแทน ผมรับแก้วชอตมากระดกอึกเดียวหมด หน้าตาไม่สะทกสะท้านอะไรกับความเข้มของกาแฟเลย

   “เราได้ข่าวว่าอิฐปฏิเสธตำแหน่งเลขาคุณเพย์ ทำไมล่ะ เราว่าอิฐเก่งออก”

   ข่าวนี้ไวเหมือนกันแฮะ

   ร้านกาแฟนี้เป็นร้านนั่งประจำของพวกขาเม้าท์บริษัท การที่พนักงานร้านจะได้ยินข่าววงในมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แถมตอนนี้ก็แทบไม่มีคนเพราะเป็นเวลาเข้างาน บริษัทนี้ค่อนข้างเข้มงวดกับกฎเวลาพักของพนักงานมากเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าไม่ใช่ช่วงพักก็แทบจะไม่มีใครลงมาหาอะไรทานด้านล่างกันเลย ยกเว้นพวกขาใหญ่ชั้นบนๆ จึงไม่เป็นไรที่จะถาม

   “โมก็รู้ว่าผมเรียนไม่จบ”

   ผมยิ้ม โมเงียบไป เหมือนรู้ตัวว่าพูดอะไรแทงใจดำออกมา แต่ผมไม่คิดมากหรอก เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น ว่าคนขับรถของคุณเพย์ที่ท่านประธานเอ็นดูจบแค่มัธยมปลาย แต่มีความรู้ด้านการจัดการและภาษาอยู่ในระดับดีไม่ต่างกับคนเรียนจบสูงเนื่องจากต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อประโยชน์ของเจ้านาย

   “คุณเพย์ทำงานมาตั้งเจ็ดปีแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นเขามีเลขาที่อยู่กับเขาเกินปีเลยสักคนนั้น นี่ก็เพิ่งจะไล่คนล่าสุดออกไปอีกแล้ว”

   เนสนินทาทายาทเจ้าของตึก ผมหลบสายตา ก็นะ... ใครจะทนอยู่กับคุณเพย์ได้เท่าผมล่ะ

   หยาบคาย อารมณ์ร้อน ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ

   และคงเพราะคุณเพย์เป็นลูกชายคนเล็กสุด ท่านประธานจึงค่อนข้างตามใจเขาทำให้ออกมาเป็นสภาพนี้

   ผมคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลา จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากเจ้านายที่คงจะประชุมเสร็จแล้ว

   “ครับคุณเพย์”

   [“อยู่ไหน?”]

   “ร้านโมครับ คุณเพย์อยากดื่มอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมสั่งให้”

   [“ไม่ล่ะ มารับเลย มีที่จะไปก่อน”]

   “ครับคุณเพย์”

   ผมวางสายแล้ววางเงินค่ากาแฟไว้ ขอตัวไปทำหน้าที่ก่อน ทั้งสองคนโบกมือหย็อยๆ ให้ผม



   “คุณเพย์จะไปแวะที่ไหนก่อนเหรอครับ”

   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยง เขามีประชุมกับผู้ถือหุ้นตอนบ่ายสอง ผมคงไม่สามารถพาเขาไปได้ไกลจากสถานที่ประชุมเท่าไหร่นัก เนวิเกเตอร์ในรถบอกสภาพการจราจรตอนนี้ที่ไม่ค่อยจะหนาแน่น ผมขับมาตามทางที่จะไปโรงแรมแถวสุขุมวิท คุณเพย์ไม่ใช่คนที่จะออกนอกเส้นทางบ่อยในเวลางาน ดังนั้นที่ที่เขาจะแวะจะต้องเป็นเส้นเดียวหรือใกล้เคียงกับสถานที่นัดหมาย

   “ร้านนี้”

   จู่ๆ คุณเพย์ก็พูดขึ้น ผมตบไฟเลี้ยวกะทันหันอย่างชำนาญ ขับรถให้คุณเพย์มาเจ็ดปี มันก็ต้องมีการเรียนรู้กันหน่อยแหละ

   คุณเพย์เปิดประตูรถลงด้วยตัวเองอีกครั้ง ผมที่กำลังคิดว่าจะนั่งรอในรถเหมือนเดิมดีมั้ย หรือยังไง... คุณเพย์ก็ชะโงกหน้ากลับเข้ามาแล้วเรียกให้ผมลงไปด้วย ผมค่อนข้างงงๆ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วตามเขาลงไป

   “คุณเพย์ให้ผมมาด้วยทำไมครับ”

   ร้านที่พวกเราเข้ามาเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางดูแล้วไม่เหมาะกับผู้ชายสองคนที่ใส่สูทผูกไทด์ยี่ห้อแบรนด์เลยสักนิด พนักงานร้านเข้ามาต้อนรับอย่างเก้ๆ กังๆ ร่างสูงเดินอาดๆ เข้าไปนั่งที่โต๊ะใกล้พัดลมพลางถอดสูทออก

   “กินข้าว นี่เที่ยงแล้ว”

   เขาดูหงุดหงิด ผมนั่งลงตรงข้ามกับเขาแต่ไม่ยอมถอดสูทออกจนอีกฝ่ายเห็นแล้วรำคาญแทน

   “ถอดสูทออกเถอะอีซี่ เห็นแล้วร้อนแทน... พี่ครับ ขอโค้กกับน้ำแข็งด่วนๆ เลยครับ”   ก่อนสั่งอาหาร เขาเลือกสั่งน้ำก่อน ผมทำใจลำบาก ไม่อยากถอดสูทเพราะรู้สึกว่าเสื้อด้านในมันจะไม่สามารถปกปิดรอยแผลเมื่อคืนได้

   “ถอดสิ”

   คุณเพย์เร่ง น้ำโค้กมาเสิร์ฟพอดีพร้อมกับรับรายการอาหาร ผมจัดการเทโค้กใส่แก้วให้เขาซึ่งเจ้านายผมก็หยิบไปดูดทันที สายตายังคงจ้องให้ผมถอดเสื้อสูท ทำไงได้ครับ...

   ผมพยายามดึงแขนเสื้อลงให้ปิดรอยบริเวณข้อมือที่ถูกมัดด้วยเนคไท คุณเพย์นิ่งไปก่อนจะคว้าข้อมือผมขึ้นมาถลกแขนเสื้อขึ้นดูรอย ผมชักแขนกลับแต่มือของคุณเพย์กลับกำยึดไว้แน่น

   “เจ็บมั้ย”

   ผมเงียบ

   ถึงผมจะบอกว่าเจ็บ คุณเพย์ก็ยังคงจับผมไว้อยู่ดีแหละครับ

   “หายาทาซะ” เขาบอกก่อนจะปล่อย พอดีกับที่ก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ เราสองคนก้มหน้าก้มตากินของตัวเอง เจ้านายผู้ไม่เคยถือสาอะไรสักเรื่องซัดก๋วยเตี๋ยวไปสองชามใหญ่ ในขณะที่ผมครึ่งชามก็ยังไม่หมด...

   เรากลับขึ้นรถอีกครั้ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ คุณเพย์ก็นึกอยากกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง หรือโรงแรมไม่มีอะไรที่ถูกใจเจ้านายผมกันนะ เพื่อไม่ให้ความเงียบมันโรยตัว ผมเลยชวนเขาคุย

   “คุณเพย์ไล่เลขาออกอีกแล้วนะครับ”

   “มันห่วย จะเอาไว้ทำไม”

   ผมหัวเราะ ก็ไอ้ที่คุณเพย์บอกว่าห่วย จบปริญญาโท เอกการตลาดและการจัดการเลยนะครับ

   “กี่คนๆ คุณเพย์ก็ไม่ชอบใจ ผมคร้านจะหาให้แล้วนะครับ”

   “ก็ไม่ต้องหา”

   ใช่แล้ว ไม่ผิดหรอก คนที่หาเลขาที่ไม่ได้ดั่งใจคุณเพย์มาให้ก็คือผมเนี่ยแหละ ขี้ข้าระดับตำนานที่ทำทุกอย่าง เหลือแค่ไม่ได้ไปขัดห้องน้ำบ้านคุณเพย์ให้ก็เท่านั้นเอง

   “ตามใจคุณเพย์ครับ ผมก็ไม่ได้อยากจะหาให้เหมือนกัน” ผมตอบตามจริง เหนื่อยจะพูด

   “พ่อบอกว่าเคยเสนอให้มึงมาเป็นเลขากู”

   “ครับ”

   “แล้วปฏิเสธทำไม”

   “ผมโง่น่ะครับ เป็นเลขาให้คุณเพย์ไม่ได้หรอก”

   คุณเพย์เงียบ กอดอกจิปากงึมงำ

   “โง่พ่อง มึงรู้ใจกูแทบทุกอย่าง คุยกับมึงง่ายกว่าต้องอธิบายอะไรซ้ำๆ ซากๆ ให้ไอ้พวกที่มีดีแค่ใบปริญญาตั้งเยอะ” คุณเพย์ขัดใจข้ออ้างขอผมน่าดู เขารู้อยู่แล้วแหละว่าทำไมผมถึงปฏิเสธ

   คนขับรถเหรอจะสะเออะขึ้นมาเป็นเลขา ขายขี้หน้าคุณเพย์ชัดๆ ถ้าต้องหอบหิ้วเอาคนมีประวัติการศึกษาแค่มอหกกับประสบการณ์ทำงานเจ็ดปีในฐานะคนขับรถไปไหนมาไหนในห้องประชุมหรืองานเลี้ยงต่างๆ ด้วยน่ะ

   “ผมเป็นคนขับรถให้คุณเพย์ สบายกว่าเยอะครับ”

   “ก็ใช่” คุณเพย์ชะโงกหน้าข้ามตรงกลางระหว่างเบาะหน้ามากดจูบที่ซอกคอผม เล่นเอาผมแทบหักพวงมาลัยออกนอกเลนถนนให้รถชนตายกันไปข้าง

   “เล่นบ้าอะไรวะคุณเพย์! เดี๋ยวตายห่ากันหมดหรอกครับ!”

   ผมโมโหสุดๆ ด่าเจ้านายที่ป่านนี้ยังไม่เลิกเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อผมยับ นิ้วเรียวยาวสอดเข้ามาตรงช่องว่างระหว่างสาบเสื้อเชิ้ตปลายนิ้วเขี่ยยอดอกผมเล่น ดีนะที่รถคันนี้ติดฟิล์มดำทึบแสงทั้งคัน ไม่งั้นล่ะผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนตอนติดไฟแดง

   ริมฝีปากอุ่นจูบไล่ตั้งแต่หางคิ้ว ลงมาตามโหนกแก้มอย่างเพลิดเพลิน ผมพยายามเบนหน้าหลบ แต่มือข้างขวาของเขาอ้อมมาล็อคหัวผมผ่านเบาะคนขับ

   ไอ้บ้านี่เล่นไม่รู้เรื่องอีกแล้ว...

   ผมโกรธจนหน้าแดง หันไปทำตาขวางใส่ คุณเพย์ยิ้มกว้าง

   “ใช่ มึงเหมาะเป็นเมียกูมากกว่า”

   “พูดอะไรนึกถึงหน้าน้องอิงด้วยครับคุณเพย์” ผมกดเสียงต่ำ

   เมื่อผมเอาน้องอิงมาอ้าง คุณเพย์เหมือนจะชะงักไป เขาถอนมือออกแล้วถอยกลับไปนั่งที่เดิม ขายาวๆ ยกขึ้นไขว่ห้าง กอดอกหน้านิ่งไม่ยิ้มเหมือนเคย ผมเหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง ผมรู้ว่าเขาโกรธที่ผมพูดแบบนี้ แต่ผมเองก็โกรธเหมือนกัน

   โกรธทั้งเขา ทั้งตัวเอง ที่ทำเหมือนกำลังสวมเขาให้น้องอิง

   ผมส่งคุณเพย์ลงที่หน้าโรงแรมซึ่งมีพนักงานต้อนรับคอยเปิดประตูรถให้อยู่แล้ว ความจริงแล้วมาประชุมนอกสถานที่แบบนี้จำเป็นต้องมีเลขาหรือผู้ติดตามมาด้วย แต่เนื่องจากเป็นการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ คุณเพย์จึงเลือกที่จะมาคนเดียวแทนที่จะหนีบใครมาให้เกะกะ

   ผมได้รับอนุญาตให้สั่งของที่ร้านอาหารในโรงแรมกินได้ตามใจชอบด้วยเครดิตการ์ดไม่จำกัดวงเงินของคุณเพย์ (เป็นไงล่ะ มีคนขับรถที่ไหนได้ใช้บัตรของเจ้านายอย่างผมบ้าง) ผมไม่รู้ว่าคุณเพย์จะคุยนานมั้ย แต่ถ้าไม่เป็นทางการ ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงจะหอบหิ้วลูกสาวมาด้วยแน่นอน คงจะได้มีการดีลทำความรู้จักกันเป็นการส่วนตัวนานหน่อยแหละ

   ผมขึ้นลิฟต์มานั่งรอที่เล้าจ์ชั้นดาดฟ้า ช่วงหน้าฝนแบบนี้ไม่ค่อยมีใครอยากขึ้นมาเพราะกลัวฝนตกเลยทำให้ค่อนข้างเงียบเหงา แต่อากาศก็ไม่ได้แย่ วิวกรุงเทพก็ยังคงเห็นชัด ผมสั่งเมนูกินเล่นมาพร้อมกับน้ำผลไม้ เพราะต้องขับรถเลยทำให้ไม่ชอบการดื่มไปด้วย เลือกที่นั่งที่สามารถชมวิวกรุงเทพ ปล่อยความคิดให้ลอยไปกับลมเย็นๆ ที่บอกว่าอีกไม่นานพายุจะเข้า ผมว่าคงต้องแมจเสจไปบอกคุณเพย์สักหน่อยแล้วว่าให้รีบคุยเพราะฝนอาจจะตก รถอาจจะติดยาวกว่าจะถึงโรงแรมที่ต้องดินเนอร์กับคุณรินกานต์

   ผมรับรู้ได้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะที่ที่ผมเลือกนั่งมันเป็นบาร์ยาวที่หันออกไปข้างนอกทำให้สามารถชมวิวได้ทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเลิกสนใจวิวครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมาจากคนที่ไม่รู้จัก

   หน้าตาดี... ดูภูมิฐาน คงจะรวยน่าดู ไม่งั้นคงไม่เข้ามาทักคนที่ราคาสูทไม่ได้ครึ่งที่เขาใส่อยู่ เพราะถ้าเขาหวังผลประโยชน์จากคนแปลกหน้า คนที่ใส่นาฬิกาเรือนละสิบล้านคงมองข้ามหัวผมไปเลยมากกว่า เพราะนอกจากสูทกับนาฬิกาแล้ว ในตัวผมไม่มีอะไรที่แพงมากกว่านี้เลย

   ออ... มีสิ เจ้าเครดิตการ์ดไม่จำกัดวงเงินของเจ้านายผมนี่ไง

   เขาเท้าแขนกับโต๊ะบาร์ เอียงคอมองผมที่มองกลับด้วยสายตาที่บ่งบอกคำพูดว่า ‘อะไรวะ?’

   “ปกติอากาศแบบนี้ไม่มีใครเขาออกมานั่งข้างนอกแบบนี้หรอกครับ”

   เขาทักผม เสียงเขาทุ้มน่าฟัง นัยน์ตาดูอ่อนโยน แต่ผมไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นหรอก ดูคุณเพย์สิ หน้าตาดูไม่น่าจะเหี้ย ยังเหี้ยได้เลย

   “ผมแค่อยากรับลม” ผมตอบกลับ

   “สีหน้าคุณเหมือนอยากโดดลงไปมากกว่า”

   ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหนีคนแปลกหน้า แต่คนที่รู้ตัวว่าพูดอะไรเสียมารยาทออกไปกลับรั้งข้อมือผมไว้

   “ขอโทษครับ ผมแค่พูดตามที่คิด มันคงเสียมารยาท”

   เออ

   ผมตอบกลับในใจ บิดข้อมือตัวเองออกจากการโดนจับ ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากทั้งสองด้านเมื่อเห็นว่าผมยอมทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม คราวนี้เขาหันมาทางผมทั้งตัวก่อนยื่นนามบัตรให้ด้วยท่าทางสบายๆ

   “ผมอยากรู้จัก ผมชื่อจิณณ์”

   แต่ผมไม่อยากรู้จัก...

   ผมตอบในใจอีกครั้ง จำเป็นต้องรับนามบัตรมาดูอย่างเสียไม่ได้ เกิดเขารู้ว่าผมเป็นคนขับรถของคุณเพย์อาจทำให้เจ้านายเสียชื่อเสียงที่มีลูกน้องไร้มารยาท

   “สวัสดีครับ” ผมผงกหัวให้ คนที่ให้นามบัตรเหมือนรออะไรบางอย่าง ยิ้มกว้างเริ่มเจื่อนลง

   “คุณจะไม่ให้นามบัตรผมหน่อยเหรอ”

   ผมเบิ่งตาเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ “ผมไม่มีหรอกครับ ไม่ใช่คนมีตำแหน่งอะไร ผมแค่มารอเจ้านาย”

   “งั้นบอกชื่อคุณก็ได้ครับ”

   เซ้าซี้...

   “ผมไม่ได้เป็นที่รู้จักหรอกครับ ถ้าเป็นนามบัตรของบริษัทผมยังพอมีติดตัวไว้บ้าง”

   ผมทำการหาลูกค้าให้เจ้านายตัวเอง ล้วงกระเป๋าใส่นามบัตรที่พกติดตัวไว้เผื่อคุณเพย์ลืมออกมาแลกนามบัตรกับเขา คนแปลกหน้ารับไปอ่านก่อนทวนชื่อ “ไอยรากรุ๊ป?”

   “ครับ”

   “อืม... แต่ผมไม่ได้อยากรู้จักบริษัทคุณนะ ผมอยากรู้จักคุณมากกว่า” คนแปลกหน้าวางนามบัตรไว้บนโต๊ะเหมือนไม่ต้องการซึ่งเป็นการเสียมารยาทสุดๆ ไปเลยสำหรับผม... มันหมายความว่าเขาไม่ต้องการทำธุรกิจร่วมกับไอยรากรุ๊ปรึเปล่านะ?

   ผมทวนชื่อของเขาในนามบัตรแล้วพยายามค้นสมองว่านามสกุลนั้นมีหุ้นส่วนกับบริษัทอยู่รึเปล่า

   จิณณ์ อารยะภัทร... นามสกุลคุ้นมาก ในนามบัตรก็มีแต่ชื่อกับเบอร์โทรซะด้วย

   “อิสระ” ผมพูดชื่อตัวเองออกไป “อิสระ วิภาสกุล ครับ”

   “อืม นามสกุลไม่คุ้นจริงๆ ด้วย”

   คุณจิณณ์ทำท่านึก นี่เขาคิดจะหวังผลประโยชน์จากผมจริงๆ ใช่มั้ย?

   “ผมไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณหรอกครับ” ผมเบนหน้ากลับไปมองท้องฟ้า คนข้างตัวเท้าคางจ้องผมไม่หยุด

   “คุณดูแปลกตามากจนผมสนใจ คุณทำงานอะไรเหรอ”

   นี่จะถามให้ได้เลยใช่มั้ย รำคาญว่ะ...

   “คนขับรถ”

   เสียงผมเริ่มห้วน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาท แต่ดูเหมือนคุณจิณณ์จะไม่ถือสา เขาหัวเราะชอบใจที่ผมตอบคำถามเขาสักที ผมเบือนหน้าหนีไปถอนหายใจยาว เหมือนเจอคุณเพย์สอง

   เรานั่งเงียบๆ ข้างกันประมาณสิบนาที ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ตอนแรกที่มันตกผมไม่ได้สนใจ แต่คนที่นั่งข้างๆ กลับฉุดข้อมือผมให้ลุกจากเก้าอี้บาร์ ร่างสูงลากร่างผอมแห้งของผมให้วิ่งตามเขาเข้ามาข้างในอาคาร ไม่ถึงนาที ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาจนผมอดมองไม่ได้

   ผมเกลียดหน้าฝน

   น้ำก็ระบายไม่ทัน รถก็ติด ไปไหนก็ลำบาก ผ้าที่ซักก็ไม่แห้ง ดีไม่ดีไฟดับอีกต่างหาก

   และที่เกลียดที่สุด คือเพราะหน้าฝนทำให้ผมต้องทนอยู่ในสถานะเวรนี่

   

   ‘อิฐ ตัวมึงหอม’

   ร่างสูงพยายามนัวเนียร่างผอมๆ มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เปียกโชกเพราะฝน กลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกทำให้คนที่ไม่ได้ดื่มเริ่มรู้สึกมึนเมา โดยเฉพาะฝ่ามืออุ่นที่บีบเค้นเนื้อตัวของเขาไปทั่ว

   ‘คุณเพย์ หยุดครับ’

   คนตัวเล็กพยายามห้าม

   ‘เพย์ขอนะอิฐ’

   เนคไทถูกดึงออกจากศีรษะก่อนจะเลื่อนขึ้นไปพันรอบดวงตาทั้งสองจนมืดสนิท ร่างบอบบางราวกับจะหักถ้ากระทำรุนแรงมากกว่านี้ เนื้อตัวที่ปกติขาวซีดตอนนี้แดงก่ำ กระตุ้นไฟอารมณ์จนคนตัวโตอยากทำร่องรอยไว้ให้ทั่วเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

   หักได้เขาก็จะหัก ขยี้ได้เขาก็จะขยี้

   ‘คุณเพย์ คุณเพย์เป็นแฟนน้องอิงนะครับ ลืมแล้วเหรอ หยุดครับ’

   ปากที่ปฏิเสธ กลับตรงกันข้ามกับใจ ห้องที่มืดฝนและไฟดับทำให้แสงสลัวที่พาดเข้ามาทับร่างของคนที่โดนจับกดอยู่บนพื้นดูน่าหลงใหลกว่าที่เคย ขาเรียวพยายามหนีบเข้ามา แต่มีหรือจะสู้แรงคนตัวโตที่แทรกมานั่งคั่นกลางไว้อย่างรู้ทัน น้ำตาเจ้ากรรมเอ่อไหลทันทีเมื่อคนด้านบนกดจูบอ่อนโยนลงมาที่ริมฝีปาก แต่เข็มขัดในมือที่ถูกถอดออกจากกางเกงสแลคตัวเล็กของเขากลับรวบข้อมือบางทั้งสองไว้เหนือศีรษะ รัดแน่นจนอิฐรู้สึกมือชา

   ‘กูจำได้’

   ‘แล้วคุณเพย์ทำแบบนี้ทำไม’

   คนที่เพิ่งจะอายุยี่สิบสามมาไม่กี่วันครางเสียงแผ่ว สะอื้นจนน่าสงสาร

   ‘เพราะกูต้องการมึง’

   

   “อิสระ...”



   ‘กูอยากได้อะไรก็ต้องได้’



   “คุณ...”



   ‘อย่าให้น้องอิงรู้’



   “เฮ้ๆๆ... คุณอิสระ!”

   

   ‘มึงมันเหี้ย คุณเพย์’



   “คุณอิสระ! มือถือคุณดังใหญ่แล้วครับ”

   ผมตื่นจากภวังค์เมื่อคนแปลกหน้าเขย่าตัวผม มือถือในกระเป๋าเสื้อดังรัวๆ แต่ผมไม่ได้ยิน ได้ยินแต่เสียงฝนเทลงมา ผมรีบล้วงออกมารับ ปลายสายคงเดือดดาลน่าดู

   “ครับคุณเพย์ เสร็จแล้วเหรอครับ”

   ผมกรอกคำพูดลงไป ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา... ห้าโมงครึ่ง ฉิบหาย!

   “ผมอยู่บนเล้าจ์ดาดฟ้าครับ จะรีบไปเอารถเดี๋ยวนี้ คุณเพย์รอแป๊บนะครับ ไม่เกินห้านาที”

   ผมวางสายและหมุนตัวเดินไปที่ลิฟต์อย่างรีบร้อนจนลืมสนใจคู่สนทนาเก่าไปเลย คนที่ถูกทิ้งไว้รีบเดินตามเข้ามาในลิฟต์ ผมกดชั้นจอดรถพลางมองมือถือ มีสายที่ไม่ได้รับสองสาย นี่ผม... หลุดไปอยู่โลกไหนถึงไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าวะเนี่ย!

   “คุณเพย์งั้นเหรอ?”

   คนตัวสูงกว่าผงกหัวขึ้นลงเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ผมมัวแต่กังวลกับเส้นทางที่รถจะไม่ติดและน้ำจะไม่ท่วมเพื่อพาเจ้านายไปส่งยังสถานที่นัดต่อไปให้ทันเวลา มือถือถูกเปิดเช็คการจราจรอย่างรีบร้อนจนไม่ได้สนใจว่าคนแปลกหน้ากำลังอมยิ้มก้มมองผมที่ดูเครียดจัด

   ติ๊ง...

   ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นลานจอดรอด ผมรีบเดินออกมาทันที แต่คนที่ตามลงมาด้วยกลับรั้งแขนผมไว้ให้หันกลับไป ผมชักแขนกลับอย่างหงุดหงิด คนกำลังรีบโว้ย!

   “ไว้เจอกันนะ ได้เจอกันแน่นอน คุณอิสระ”

   คุณจิณณ์กระซิบข้างหูผมที่ขมวดคิ้วยุ่งก่อนปล่อยแขนผม ผมหันตัวออกจากลิฟต์ สองขารีบเดินเร็วๆ ไปยังรถประจำตำแหน่ง ลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเผลอเก็บนามบัตรของเขากลับมาด้วย



เป็นแนวค่อนข้างดราม่า ไม่รู้ชอบกันรึเปล่า ฝากน้องอิฐกับคุณเพย์ด้วยนะคะ
#คุณเพย์รักอิสระ
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 2
เริ่มหัวข้อโดย: CKJPQQ ที่ 24-10-2019 16:22:41
 :-[
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 2
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-10-2019 19:32:59
คุณเพย์ใจร้ายจังเลย
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day3
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 24-10-2019 20:15:20
| Day 3 |

Just only us

(24/10/2019)



   เจ้านายของผมยืนสบายๆ รออยู่ที่หน้าโรงแรม เขาคงแยกทางกับผู้ถือหุ้นคู่สนทนาไปแล้ว ผมจอดรถเทียบให้พนักงานต้อนรับโรงแรมเปิดประตูรถให้คุณเพย์ขึ้น ทันทีที่ประตูปิดลง ผมรีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่คิดว่าเร็วที่สุดทันทีพลางเปิดวิทยุช่อง จส.100 ไปด้วยเพื่อเช็คสภาพการจารจรตอนนี้

   “ไปนั่งบนเล้าจ์มา เป็นไงบ้าง กินอะไรมั่ง”

   คุณเพย์ถามสบายๆ อารมณ์ขุ่นๆ ตอนบ่ายหายไปแล้ว และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับนัดต่อไปเลยสักนิด ยกมือถือมาเข้าเกมเฉยเลย ปล่อยให้คนขับรถโง่ๆ กำพวงมาลัยเครียดกับน้ำที่กำลังจะระบายไม่ทันและอาจจะท่วมก่อนถึงโรงแรม

   “น้ำส้ม”

   “ฮะ? อุตส่าห์ไปเล้าจ์ที่เห็นวิวสวยที่สุดติดท็อปของกรุงเทพแต่กินน้ำส้มเนี่ยนะ?”

   เสียงเกมดังแข่งกับเสียงฝนและเสียงวิทยุช่อง จส.100 มันทำให้ผมหงุดหงิดกว่าเดิมอีก

   “ผมไม่ดื่มคุณเพย์ก็รู้”

   “หัดไว้บ้าง เดี๋ยวเจอใครมอมเข้าก็โดนลากไปปล้ำหรอก”

   คนที่จะปล้ำก็มีมึงคนเดียวแหละคุณเพย์ วันๆ ตัวติดแต่กับคุณเพย์นั่นแหละ!

   ผมถอนหายใจยาว มองที่ปัดน้ำฝน มองถนน มองกระจกมองข้าง มองไฟจราจร มองแม่งทุกอย่างที่ไม่ใช่มองคุณเพย์ ยิ่งเห็นหน้าเขาตอนนี้ยิ่งหงุดหงิด

   ผมรู้สึกว่าตัวเองขาดคุณสมบัติของการเป็นลูกน้องที่ดีไปแล้ว

   “ถ้าไปไม่ทันยกเลิกนัดไปก็ได้นะ”

   คุณเพย์เปรยแบบไม่ใส่ใจ

   “ผมไม่มีทางยอมให้คุณเพย์เสียประวัติหรอกครับ ไม่ต้องห่วง”

   ในสังคมธุรกิจ การมีเครดิตและภาพลักษณ์สำคัญมาก คุณเพย์เป็นที่ชื่นชมของลูกค้า เป็นเจ้านายที่ไม่เคยมาสาย มีความรับผิดชอบสูง ทำงานเก่งและตัดสินใจเด็ดขาด ภาพลักษณ์นี้ผมไม่มีทางให้มันพังไปเพราะฝนกับท่อที่ไม่ยอมระบายน้ำแน่นอน!   

   ผมมองนาฬิกา อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัด กับถนนที่รถติดอยู่ที่เดิมมาจะยี่สิบนาทีแล้ว ผมโทรหาคนขับรถสำรองที่มีไว้เผื่อฉุกเฉิน พลางตบไฟเลี้ยวจอดข้างทาง

   “ฮัลโหลเข้ม อยู่แถวรัชดารึเปล่า... ดี รถอยู่ตรงนี้เดี๋ยวผมส่งโลเคชั่นให้ ผมจะจอดรถไว้ข้างทาง คุณมาเอารถไปโรงแรมที เดี๋ยวผมจะล่วงหน้าไปส่งคุณเพย์ก่อน บอกให้วินเอารถคันใหม่มาจอดรอแถวทางเข้าโรงแรมด้วย ผมไม่อยากให้คุณเพย์สาย”

   ผมวางสายก่อนจะบอกให้คุณเพย์เตรียมตัวลุยน้ำ แม้มันจะดูไม่ดีก็ตาม

   “คุณเพย์ครับ จากนี่เดินไปแค่ไม่ถึงสิบนาที รถน่าจะไม่ขยับเลย คุณเพย์เดินไปกับผมก่อนนะครับ”

   ผมขะมักเขม้นหยิบร่มที่ช่องเก็บของเพื่อลงไปเอาชุดสำรองที่หลังรถกับเสื้อกันฝนตัวใหญ่ ผมพร้อมเสมอเผื่อสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้คุณเพย์เปียกทั้งตัวผมก็สามารถทำให้เขาดูดีได้เมื่อถึงที่นัดหมาย

   “เฮ้ อีซี่ กูบอกแล้วไง...”

   “เงียบแล้วลงมาครับ เร็ว”

   ผมเปิดประตูหลัง กางร่มโดยหนีบด้ามร่มไว้ด้วยคอ สองมือจับเสื้อกันฝนตัวใหญ่แล้วสวมให้คนเป็นเจ้านายตั้งแต่อยู่ในรถ สภาพมันคงตลกมากเลยทีเดียวเพราะคุณเพย์เอาแต่มองหน้าผมแบบเหวอแดก แต่ก็ยอมก้าวลงมาเหยียบบนฟุตบาท ดีนะที่น้ำยังไม่ท่วมขนาดต้องถลกขากางเกง ในมือผมมีถุงคลุมเสื้อสูทกันน้ำกับกระเป๋าเอกสารแบนๆ อยู่ ผมยัดร่มคันใหญ่อีกอันให้เขากาง

   “มึงจะให้กูทั้งใส่เสื้อกันฝน ทั้งกางร่มไปด้วยเนี่ยนะ”

   คุณเพย์มองสภาพตัวเองเหมือนคนบ้า

   แต่คนที่บ้ากว่าคือผมที่หอบข้าวของพะรุงพะรัง

   “เออน่าคุณเพย์ ไปครับ ก่อนที่น้ำจะท่วม คุณเพย์คงไม่อยากเจอกับอะไรที่ลอยมาตามน้ำจากท่อใช่มั้ยครับ”

   ผมปิดประตูรถที่จอดเปิดไฟฉุกเฉินไว้ริมทาง รอให้คนขับรถคนใหม่มาขับกลับไป เดินนำคุณเพย์ไปตามฟุตบาทข้างทางที่ตอนนี้แทบจะร้างผู้คน ป้ายรถเมล์อัดแน่นไปด้วยฝูงชนที่แห่กันเข้ามาหลบฝน ตอนที่ผมกับเจ้านายเดินผ่าน มีแต่คนมองครับว่าไอ้บ้าสองคนนี้มันทำอะไร เพราะผมเอาแต่คุยโทรศัพท์ติดต่อกับทางโรงแรม เพื่อให้เขาเตรียมห้องให้เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

   ผมไม่รู้เลยว่า การกระทำของผมอยู่สายตาของเจ้านายตลอดเวลา

   “ครับ! ถ้าคุณรินกานต์มาถึงก่อนเวลาช่วยโทรบอกผมด้วยนะครับ ครับ!” ผมต้องตะโกนคุยกับรีเซปชั่นโรงแรมเพราะเสียงฝนรอบด้านมันดังจนผมกลัวปลายสายได้ยินไม่ชัดเจนจนไม่ได้มองข้างทางใดๆ น้ำเริ่มเจิ่งนองพื้น ผมเงยหน้ามองหาโรงแรมซึ่งอีกไม่ไกลจนไม่ทันรู้เลยว่า ด้านหน้าเป็นทางร่นระดับ ผมก้าวพลาดจนเกือบจะล้มหน้าคว่ำ แต่คนที่เดินตามหลังรีบคว้าตัวผมไว้ทัน ในขณะที่สองแขนของผมชูของในมือขึ้นตามสัญชาติญาณเพราะกลัวว่ามันจะเปียกน้ำ

   “ทำอะไรเนี่ย ดูทางสิ”

   คุณเพย์ที่มือข้างหนึ่งถือร่ม อีกข้างคว้าเอวผมไว้ในท่าประหลาดตะโกนถาม

   “ขอโทษครับคุณเพย์”

   ผมกลับมายืนตั้งหลักก่อนจะเดินต่อ มองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเหลือเวลาแค่สิบนาทีจะถึงเวลานัดแล้ว ผมเดินเร็วเข้าทางประตูหน้าของโรงแรมที่มีพนักงานต้องรับเปิดประตูให้ ดิ่งไปหารีเซปชั่นเพื่อขอคีย์การ์ดห้องที่จองไว้ พนักงานต้อนรับค่อนข้างงงและตกใจกับสภาพของพวกผม

   คุณเพย์ในชุดกันฝนตัวใหญ่สีเทาทำหน้าบอกบุญไม่รับ เดินเข้าลิฟต์ตามผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพัก จะอาบน้ำตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ผมจัดการโยนทุกอย่างลงบนเตียง แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำกับไดร์เป่าผมออกมา จัดการจับคุณเพย์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ เป่าผมให้แห้งและเซตผมอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่รีเซปชั่นโทรมาบอกว่าคุณรินกานต์กำลังจะลงจากรถแล้ว โชคดีที่ห้องอาหารอยู่ชั้นบนของตึก ทำให้พอมีเวลานิดหน่อยกว่าคุณเธอจะเยื้องย่างลงจากรถ อาจมีแวะเติมแป้งเล็กน้อยที่ห้องน้ำ

   “โอเคแล้วครับ หล่อแล้ว”

   ผมจบที่การจัดเนคไทให้เข้าที่ ตบอกเสื้อเขาเบาๆ หัวผมสูงแค่อกเขาเท่านั้นเอง การที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ทำให้ทำให้ผมต้องเงยหน้าจนเกือบสุดเพื่อมองหน้าเขาสำรวจความเรียบร้อย แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือรอยยิ้มอ่อนโยนกับนัยน์ตาคู่สวยที่ก้มลงมองผมอยู่ก่อนแล้ว

   ตึก ตึก...

   ใจผมเต้นแรง แรงจนผมคิดว่าป่านนี้เลือดคงสูบฉีดไปกองที่หน้าหมดแล้ว

   “หน้าแดงหมดแล้วอีซี่”

   เขาใช้ข้อนิ้วเกลี่ยแก้มผมเบาๆ อย่างเอ็นดู

   “ผมแค่เหนื่อย”

   ผมถอยออกมาแต่เขาคว้าเอวผมไว้แน่น ผมรีบผลักออกเพราะตัวผมค่อนข้างเปียก เกิดทำให้สูทเขาชื้นขึ้นมาจนเกิดกลิ่นอับไม่น่าพิสมัย คู่เดทจะไม่ประทับใจเอาเปล่าๆ แต่ดูเหมือนเจ้านายผมจะเริ่มรายการเอาแต่ใจอีกแล้ว

   “จูบหน่อย”

   “คุณเพย์! จะสายแล้วครับ”

   “จูบ!”

   เขาบังคับและเหมือนว่าจะไม่ยอมฟังที่ผมพูดง่ายๆ ผมส่ายหัวระอาใจ ก่อนจะคว้าคอเจ้านายลงมาประกบปากแบบลวกๆ แล้วดันออก หันไปค้นเอาน้ำหอมขวดละหมื่นมาพรมตัวเขา เป็นการจบกระบวนการแปลงโฉมเจ้านายให้กลายเป็นเทพบุตรพร้อมไปหลีสาวได้

   “เอาล่ะครับ จะสายแล้ว ร้านอาหารที่จองไว้อยู่ชั้น 29 นะครับ ผมจัดคอร์สไว้ให้แล้ว เครื่องดื่มก็เตรียมไวน์ขาวไว้ให้ด้วย ได้ข่าวว่าคุณรินกานต์เธอชอบน่ะครับ จะได้ประทับใจ ผมจะรออยู่ที่เล้าจ์ด้านล่างนะ ห้องนี้จะเปิดทิ้งไว้เผื่อคุณเพย์อยากสานธุรกิจต่อ จะกลับเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ หรือถ้าจะค้างก็บอกผมล่วงหน้าหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมารับ...”

   “อีซี่”

   “ครับ”

   เขาผลักผมลงไปนอนบนเตียงก่อนตามขึ้นมาคร่อมไว้ กดจูบลงมาอย่างรุนแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามากระหวัดกับลิ้นของผมเหมือนอดอยาก ดูดดึงจนผมหายใจไม่ทัน ก่อนจะถอนมันออกไป...

   “ไม่ต้องรอ กลับไปก่อนเลย”

   แสดงว่าวันนี้เขาจะสานธุรกิจต่อสินะ

   เขาออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า

   เหมือนกับตัวผม...



   “กลับมาแล้วเหรอคะพี่อิฐ”

   ผมกลับห้องมาด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า มันไม่ควรจะรู้สึกอะไรแล้วสิ แต่ทำไมตอนผมขับรถกลับมาถึงเลี้ยวเข้าซอยผิดๆ ถูกๆ จนใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงไปได้ล่ะ... ผมมองหาต้นเสียงที่ทักมาจากในครัว ดวงหน้าน่ารัก รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ผม ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มตลอดเวลาคือสิ่งเยียวยาหัวใจผม

   “กลับมาแล้วเหรอน้องอิง”

   สาวน้อยวัยยี่สิบในชุดนักศึกษาเรียบร้อยมีผ้ากันเปื้อนทับอยู่ บ่งบอกว่าเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย ผมยาวสีดำสนิทถูกมัดเป็นหางม้าสูงแกว่งไปมายามเดินเข้ามาหาผม สองมือมีจานข้าวกับผัดผักอยู่

   “เพิ่งทำรายงานเสร็จเลยค่ะ อิงทำกับข้าวไว้ กินมั้ยคะพี่อิฐ”

   ผมพยักหน้า น้องสาวคนสวยของผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะก่อนจะเดินกลับเข้าไปตักข้าวมาให้ผมอีกจาน เธอรู้ว่าผมกินน้อย ข้าวในจานของผมจึงน้อยกว่าของเธอนิดหน่อย

   “ข้าวพอมั้ยคะพี่อิฐ”

   “พอแล้ว”

   ผมถอดสูทชื้นๆ ออก นั่งลงตรงเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว ไม่ยอมปลดกระดุมข้อมือของเสื้อเชิ้ตเพราะกลัวว่าน้องอิงจะเห็นรอยที่คุณเพย์ทิ้งไว้ สาวน้อยว่าที่คุณหมอยิ้มหวานให้ผมพลางตักกับข้าวให้อย่างเอาใจ

   “พี่อิฐกินเยอะๆ สิคะ ผอมจะตายอยู่แล้วเนี่ย อิงยังอ้วนกว่าเลย”

   “ถึงอิงอ้วน คุณเพย์ก็ยังรักแหละ”

   ผมแซว น้องอิงหัวเราะ

   “พี่เพย์เจ้าชู้ค่ะ ปากหวานไปงั้นแหละ”

   น้องอิงรู้สันดานเจ้านายผมดีครับ แต่เธอไม่ใส่ใจ เพราะไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องไร้สาระ

   “เออใช่ ท่านประธานบอกว่าให้อิงไปทานข้าวที่บ้านบ้าง บอกให้คุณเพย์พาไป คุณนายบ่นคิดถึงน้องอิงน่ะ” ผมบอกเจ้าตัวที่ตักข้าวเข้าปากไปด้วยเล่นมือถือไปด้วย เด็กสาวเอียงคอก่อนพยักหน้า “ไว้ถ้าจบพรีคลินิกแล้วจะไปนะคะ”

   ผมยิ้มให้ กว่าน้องอิงจะจบพรีคลินิก คุณเพย์คงคั่วไปได้ไม่ต่ำสิบคนแน่นอน

   ผมไม่รู้จะสงสารใครดี

   น้องอิงที่โดนคุณเพย์นอกใจ

   คุณเพย์ที่โดนน้องอิงเมิน

   หรือผมที่เป็นคนกลาง

   “พี่เพย์ไลน์ถามอิงว่าพี่อิฐถึงบ้านรึยังล่ะค่ะ อิงตอบไปว่าถึงเมื่อกี้ พี่เพย์เลยส่งสติ๊กเกอร์นี้มาให้ค่ะ” น้องอิงยื่นจอมือถือให้ดู เป็นสติกเกอร์หมีโกรธที่แถมฟรีมากับไลน์ น้องอิงดึงมือถือกลับไปส่งสติ๊กเกอร์ตอบ

   “พี่อิฐไม่ตอบไลน์พี่เพย์เหรอคะ”

   ผมล้วงมือถือออกจากกระเป๋าเสื้อ ลืมเช็คข้อความจริงๆ แต่พอล้วงมือถืออกมา นามบัตรของคนแปลกหน้าที่เจอกันวันนี้ก็ติดมือออกมาด้วย ผมดูชื่อเขาอีกรอบ น้องอิงมองนามบัตรในมือผมแล้วถาม

   “นามบัตรใครคะ ปกติพี่อิฐไม่รับนามบัตรนี่นา”

   ผมยื่นให้น้องอิงดู เธออ่านนามสกุลแล้วลองเสิร์จในมือถือ

   “คนนี้เพื่อนพี่เพย์นี่คะ ไม่สิ... เรียกไงดี... เพื่อนในวงการของพี่เพย์ อิงเคยเจอตอนไปงานเลี้ยงบริษัทกับพี่เพย์ค่ะ”

   น้องอิงยื่นหน้าที่เสิร์จเจอจากกูเกิ้ลให้ผมดู ผมก็ว่าคุ้นนามสกุลแต่นึกไม่ออก ที่แท้คุณจิณณ์ก็คือรองกรรมการประธานบริษัทในเครือเดอะลูฟที่เป็นคู่แข่งของไอยรากรุ๊ปนี่เอง

   และพอลองคิดๆ ดู ไอ้โรงแรมนั่นก็มีเดอะลูฟเป็นหุ้นส่วนด้วยนี่หว่า มิน่า... คุณเพย์ถึงไม่อยากไปกินข้าวที่โรงแรมนั่นเท่าไหร่ อาจจะไม่อยากเจอหน้ากับคุณจิณณ์ก็เป็นได้ ถ้าเขาเป็นกรรมการบริหารอยู่ที่นั่น

   ว่าแต่ กรรมการบริหารมันว่างมานั่งคุยกับลูกค้าบนเล้าจ์ขนาดนั้นเลยเหรอวะ

   “แบตหมด” ผมพึมพำ มองหน้าจอมือถือที่ดำสนิทเปิดไม่ติด อาจเป็นเพราะว่าผมเปิดจีพีเอสตลอดเวลาแล้วลืมปิดก็เป็นไปได้ น้องอิงหัวเราะ หยิบมือถือจากมือผมไปจัดการชาร์ตให้ ก่อนกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบ

   น้องอิงแสนดีขนาดนี้ ทำไมคุณเพย์ถึงทำกับเธอได้ลงคอ

   “พี่อิฐคะ อาทิตย์นี้อิงจะไปหาแม่นะคะ”

   น้องอิงพูดพลางเก็บจานไปล้าง ผมเดินไปช่วยน้องเช็ดจานที่ล้างแล้วผงกหัวรับ

   “เดี๋ยวพี่ขอคุณเพย์หยุด”

   “พี่อิฐไม่เป็นไรนะคะ”

   น้องอิงมองผมอย่างไม่สบายใจ ผมส่ายหัวยิ้มอ่อนโยนคลายกังวลให้น้องสาวที่ตั้งใจเลือกเรียนหมอเพื่อแม่โดยเฉพาะ

   “พี่โอเค น้องอิงรีบอาบน้ำแล้วนอนนะ ดึกแล้ว”

   เด็กสาวเอาหัวซบไหล่ผมอย่างออดอ้อน

   “ครับผม!”

   น้องอิงคือแสงสว่างในชีวิตที่มืดบอดของผมครับ



   รถเบนซ์สีดำสนิทซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของผมเพื่อเอาไว้ขับไปส่งเจ้านายไปไหนมาไหนจอดในที่จอดรถของโรงพยาบาลประสาท ผมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวมิดชิดสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวพอดีตัว ดูๆ แล้วเหมือนผมรวยนะ แต่ไม่ใช่ รถนี่เจ้านายยกให้ใช้ครับ (คนรวยๆ เขาทำกัน)

   ว่าที่คุณหมอในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ทีมสีสดใสปลดเข็มขัดนิรภัยออก ในมือถือถุงขนมหวานอย่างทะนุถนอม ผมถอดแว่นตากันแดดออกแล้วลงจากรถ ช่วยน้องอิงถือของเยี่ยมไข้

   “มาเยี่ยมคุณนภารัตน์ วิภาสกุลค่ะ” น้องอิงบอกพยาบาลด้วยสีหน้าแจ่มใสตามระเบียบ แม้เธอจะมาที่นี่ประจำเป็นเวลาห้าปีแล้วตั้งแต่แม่ย้ายมารักษาที่นี่ด้วยความอนุเคราะห์ของท่านประธาน พยาบาลที่รู้จักหน้าค่าตากันดีเอ่ยทักทายผมกับน้องอิง

   “อ้าว นึกว่าอาทิตย์นี้มาไม่ได้ซะแล้วน้องอิง น้องอิฐ”

   “พยายามหาเวลาสุดๆ เลยค่ะพี่แก้ว ไม่อยากให้แม่เหงานาน” น้องอิงหัวเราะน่ารัก เธอเป็นขวัญใจของโรงพยาบาลเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อทุกคนรู้ว่าเธอสอบเรียนหมอเพื่อจะสอบเป็นจิตแพทย์ ทุกคนนี่เฝ้ารอกันเลยทีเดียว

   “อาการแม่เป็นไงบ้างครับ”

   ผมถาม

   “ก็ดีขึ้นนะน้องอิฐ จะมีก็ช่วงนี้แหละ เพราะฝนตกด้วยล่ะมั้ง คุณหมอเลยต้องคอยจ่ายยาระงับประสาทให้ น้องอิฐก็ระวังหน่อยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นรีบกดเรียกพวกพี่ทันทีเลยนะคะ” พี่แก้วเตือนเหมือนทุกที ผมหัวเราะแห้งรับ

   ผมกับน้องอิงเดินไปที่ห้องที่คุ้นเคย เป็นห้องเดี่ยว มีพยาบาลดูแลใกล้ชิด

   น้องอิงเคาะประตูให้คนข้างในรู้ตัว ผมเผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว

   “แม่อร น้องอิงกับพี่อิฐมาหาแล้วนะคะ”

   น้องอิงทักทายเสียงสดใส ยื่นหน้าที่มีแต่รอยยิ้มเข้าไปในห้องที่โปร่งสบาย มีอากาศถ่ายเท ไม่ได้เปิดแอร์เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศอุดอู้ให้ได้กลิ่นธรรมชาติบ้าง ผมถอนหายใจยาวก่อนเดินตามเข้าไป

   สาววัยกลางคนที่มีผมยาวถึงเอวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมให้ตัดบ่อยๆ นั่งอยู่บนเก้าโยกเหม่อมองไปนอกหน้าต่างค่อยๆ หันกลับมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นแย้มยิ้มใจดีให้

   “น้องอิงของแม่อร” น้องอิงเดินเข้าไปกอดร่างผอมๆ อย่างอบอุ่นพลางก้มลงหอมแก้มเหี่ยวอย่างไม่รังเกียจ พยาบาลประจำที่อยู่ข้างๆ มองมาทางผมที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วกวักมือเรียก ผมเดินเข้าไปแล้วทัก

   “แม่”

   คุณแม่เบือนสายตามามองผม ก่อนจะยิ้มให้

   “หายไปตั้งนานน้องอิฐ”

   ผมเงียบไป แต่พอมือเหี่ยวยื่นออกมาพร้อมกับเอ่ยเรียกให้ผมเข้าไปหา ผมก็จำต้องเดินเข้าไปกอดร่างผอมนั่นด้วย ผมกอดเธอให้แน่นที่สุด ก่อนที่ผมจะไม่ได้กอดอีกหากเธอไม่ได้มองผมเป็น ‘น้องอิฐ’ แล้ว

   “แม่อรคะ น้องอิงซื้อขนมมาฝากเพียบเลยค่ะ มีแต่ของที่แม่อรชอบทั้งนั้นเลยน้า มีมาฝากพี่กุ้งด้วยนะคะ” น้องอิงยื่นถุงขนมอีกถุงให้กับพยาบาลที่คอยดูแลแม่ผม เธอเอ่ยขอบใจ ก่อนจะรับเอาขนมไปจัดใส่จานช่วยกันกับผม ปล่อยให้น้องอิงบำบัดแม่ไป

   “แม่อรคะ แม่อรจำได้มั้ยว่าตอนนี้แม่อรอายุเท่าไหร่แล้ว จำได้รึเปล่าเอ่ย”

   “จำได้สิน้องอิง แม่อายุสามสิบสอง และน้องอิฐอายุสิบขวบ น้องอิงอายุสามขวบ กำลังน่ารักเลย”

   คุณแม่ตอบ... ผมหลุบตาลง

   ความจำชุดเดิมของแม่นั่นเอง...

   แม่ไม่ได้ดีขึ้น... แม่แค่ไม่คลั่ง

   น้องอิงยิ้ม

   “ผิดแล้วนะคะแม่อร น้องอิงอายุยี่สิบแล้วค่ะ” น้องอิงแก้ไข พยายามปรับความจำของแม่ให้เป็นปัจจุบัน “แม่อรตอนนี้ก็อายุสี่สิบเก้าแล้วนะคะ พี่อิฐก็ขับรถเป็นแล้วนะแม่อร”

   “ออ... แม่อรอายุสี่สิบเก้าแล้วเหรอเนี่ย”

   แม่ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก เหม่อไปสักพักจนน้องอิงใจไม่ดี หยิบจานขนมขึ้นมาตักป้อน

   “นี่เค้กส้มค่ะแม่อร อ้าปากหน่อยนะคะ”

   น้องอิงพยายามป้อน คุณแม่ค่อยๆ เผยอปากทั้งๆ ที่ไม่มองหน้าน้องอิง เริ่มเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองอีกครั้ง ผมเดินเอาน้ำมาวางไว้ให้เผื่อเธอเคี้ยวแล้วติดคอ แต่เมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ หญิงวัยกลางคนก็หันขวับ ลุกขึ้นยืนผลักผมออกก่อนจะถุยเค้กส้มที่เพิ่งเคี้ยวไปใส่หน้าทันที

   “แม่อรคะ!”

   “ออกไป!!!”

   เอาอีกแล้ว...

   ผมเบือนหน้า น้องอิงพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ที่เริ่มอาละวาด พยาบาลเข้ามารั้งร่างผอมที่แรงเยอะมหาศาลไว้ให้นั่งลง ผมมองแม่ที่เริ่มจะยกมือขึ้นทุบน้องอิงแล้วรีบเข้าไปบังไว้ กลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายโดนทุบซะเอง ผมนิ่วหน้ากอดน้องอิงไว้ ปล่อยให้เธอแผดอารมณ์ใส่ผมอย่างทำใจ

   “มึงมันเหี้ย!! ออกไป!! อย่ามายุ่งกับชีวิตกูกับลูก!!”

   แล้วเธอก็คว้าจานกระเบื้องมาที่มีเค้กส้มที่พร่องไปแค่คำเดียวขว้างใส่หัวผมจนแตก ผมมึนไปเลย... แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ถ้ามาที่นี่แล้วไม่ได้สักแผลสองแผลก็เหมือนไม่ได้มา ก่อนหน้านั้นก็โดนซ่อมปักเข้าเต็มๆ จนของมีปลายแหลมถูกสั่งห้ามเข้าห้องเด็ดขาด ต่อไปคงต้องใช้จานพลาสติก

   “ฮือ... น้องอิฐ เอาน้องอิฐคืนมา... เอาคืนมา”

   แล้วก็ทรุดตัวร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ผมกอดน้องอิงไว้ ทั้งๆ ที่นัยน์ตาผมแดงก่ำ เหลือบมองคนเป็นแม่ที่คร่ำครวญเรียกชื่อผม...

   แม่เรียกอิฐ... แต่แม่มองไม่เห็นอิฐเลย...

   แม่ตีอิฐ... แต่แม่บอกว่ารักอิฐ

   แม่... อิฐอยู่นี่ไง... เมื่อไหร่แม่จะมองเห็นอิฐสักที...

   “พี่อิฐออกไปก่อนนะคะ เดี๋ยวอิงดูแลแม่เองค่ะ พี่แก้วช่วยทำแผลให้พี่อิฐด้วยนะคะ” เมื่อแม่คลั่ง ก็เป็นหน้าที่ของพยาบาลและหมอที่ต้องเข้ามาฉีดยาระงับประสาท ผมเดินออกจากห้องมาให้พี่แก้วทำแผลให้เหมือนเคย นัยน์ตาว่างเปล่า... เงยหน้ามองเพดานสีขาว ให้น้ำตาและความน้อยใจมันไหลกลับลงไป

   สิบกว่าปีแล้วทำไมยังไม่ชิน...

   “เจ็บมากเหรอน้องอิฐ” พี่แก้วเบามือที่กดสำลีข้างขมับของผมเมื่อเห็นผมสูดน้ำมูก ขอบตาแดงก่ำ ผมส่ายหัว

   “ไม่เจ็บครับพี่แก้ว ผมชินแล้ว”

   “ชินแล้วไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนะน้องอิฐ”

   นั่นสิครับ...

   อาจจะเป็นเพราะว่ามันเจ็บ เลยทำให้รู้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่ก็เป็นได้

   

   “พี่อิฐคะ เดี๋ยวอิงล้างแผลให้นะคะ”

   เมื่อกลับบ้านมา น้องอิงค้นเอากล่องปฐมพยาบาลออกมาวางแล้วจับผมนั่งลงที่โซฟาห้องนั่งเล่น ผมทำยิ้มให้แบบเคย

   “พี่อิฐอย่าคิดมากนะคะ แม่ไม่ได้เกลียดพี่อิฐ”

   “แต่แม่เกลียดพ่อ”

   “พี่อิฐ”

   “เพราะพี่หน้าเหมือนพ่อ ทำให้แม่นึกถึงพ่อ”

   ผมถอนหายใจ พิงโซฟา

   “แม่รักพี่อิฐมากนะคะ พี่อิฐไม่ได้ผิดอะไรเลย” น้องอิงกอดผม น้ำตาเธอเอ่อก่อนจะไหลลงมาจนเสื้อผมเปียก ผมกอดเธอตอบ ดีแล้วที่สาวน้อยไม่มีแผล ไม่งั้นคุณเพย์เอาผมตาย

   “อิงก็รักพี่อิฐนะคะ รักมากกว่าใครบนโลกใบนี้ ไม่มีพี่อิฐ อิงก็อยู่ไม่ได้”

   เรามีกันสองคนพี่น้อง... ถ้าหากไม่มีแม่ เราก็เป็นครอบครัวที่เหลือเพียงกันและกันเท่านั้น



ยูยังตอบคอมเม้นต์ไม่เป็น แต่ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์มากนะคะ
แต่เรื่องนี้ดราม่านะ บอกไว้ก่อน เผื่อบางคนไม่ชอบ
ขอให้สนุกค่ะ
ปล.ไม่สามารถอัพวันที่ในชื่อกระทู้ได้เพราะตัวอักษรยาวเกินนะคะ ประทานโทษด้วยค่ะ
 :hao7:

#คุณเพย์รักอิสระ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 3
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-10-2019 21:08:14
สงสารอิฐ เข้าใจอิฐมากๆเลย
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 3
เริ่มหัวข้อโดย: Raspberry complex ที่ 25-10-2019 19:22:44
 :pig4:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 3
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 25-10-2019 20:11:19
 :pig4:
:pig4:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 4
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 25-10-2019 20:18:45
| Day 4 |

Impression
(25/10/62)



   ผมมาส่งคุณเพย์ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลไอยราสุวรรณ ปกติแล้วคุณเพย์ไม่ค่อยจะกลับบ้านเท่าไหร่ยกเว้นวันที่คุณแม่ของเขาเรียกให้กลับมาทานข้าวที่บ้านบ้าง เพราะแม้ว่าบ้านกับคอนโดที่คุณเพย์อยู่จะใกล้กัน แต่บางครั้งเขาก็ไม่โผล่หน้ามาเลยเป็นเดือนก็มี

   “กว่าจะโผล่หน้ามานะคะเจ้าเพย์” คุณวรรณิศา ไอยราสุวรรณ คุณแม่ของคุณเพย์เดินออกมาหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดเทียบ คงมีคนมารายงานก่อนแล้วว่าคุณเพย์กลับบ้าน

   “ผมงานยุ่ง” คุณเพย์ตอบกลับห้วนๆ ไม่ยินดียินร้าย คุณวรรณิศาค้อนขวักใส่ลูกชายคนเล็ก

   “ย่ะ ท่านกรรมการผู้จัดการ แล้วนี่ไม่พาน้องอิงมาด้วยเหรอคะ”

   หล่อนถาม ก่อนจะชะเง้อมอง ผมยกมือสวัสดีเจ้าของบ้านที่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

   “น้องอิงติดแลปครับ” ผมตอบแทนเจ้านาย

   “น่าเสียดาย ฉันเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น ว่าจะเอาของฝากให้น้องอิงสักหน่อย มีของอิฐด้วยนะคะ” คุณวรรณิศายังคงใจเมตตาต่อคนขับรถต๊อกต๋อยอย่างผมเสมอ คงถือเป็นความโชคดีที่หล่อนไม่รังเกียจน้องอิงแถมยังชอบเธอมากๆ ด้วย เพราะน้องอิงเป็นเด็กช่างเอาใจและน่ารัก ผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู

   “เอ้า จะมายืนคุยหน้าบ้านกันทำไม แพร ไปเตรียมโต๊ะอาหารค่ะ คุณเพย์คงจะหิวแล้ว” คุณวรรณิศาหันไปสั่งคนรับใช้ก่อนหันมาชวนผม “อิฐก็มาทานด้วยกันนะคะ”

   “ไม่ดีกว่าครับ ผมว่าไม่เหมาะสม” ผมปฏิเสธ แค่นี้ผมก็ได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าลูกน้องคนอื่นๆ จนน่าหมั่นไส้แล้ว ขืนได้ร่วมโต๊ะกับเจ้านาย มีหวังนินทากันทั้งซอย

   “แม่บอกให้กินก็กิน อย่าเรื่องมาก” แต่คุณเพย์กลับถลึงตาดุใส่ผม ผมขมวดคิ้ว อยากเถียงกลับเหลือเกินว่าไม่ได้เรื่องมาก แค่ไม่อยากกิน!

   “อิฐมาทานด้วยกันเถอะค่ะ ฉันอยากคุยเรื่องน้องอิงด้วย”

   “มึงจะปฏิเสธแม่อีกรอบเหรอ” คุณเพย์ยิ้มให้ เขารู้ว่าถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องอิง ผมไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก

   “ครับ”



   สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านไปจนได้ คนรับใช้บ้านนี้ก็ขี้นินทาไม่ต่างกับบ้านไหนหรอก อย่าว่าแต่คนรับใช้เลย สังคมบนโลกใบนี้ไม่มีใครไม่ถูกนินทา

   “เนี่ย ทีพวกเราทำงานมาตั้งนาน ไม่เคยแม้แต่จะถามเรื่องอาหารการกิน ไอ้อิฐมาทีไรเรียกขึ้นโต๊ะอาหารทุกที”

   “แค่น้องสาวเป็นเมียเจ้านายมันได้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

   “สงสัยลูกอ้อนแม่งเยอะ คุณเพย์คงจะชอบ”

   “แต่ไอ้อิฐมันก็หน้าตาน่าเอาอยู่นะ กูเห็นตัวติดกับคุณเพย์เป็นตังเม ดีไม่ดี คุณเพย์เอามันทั้งพี่ทั้งน้อง”

   “เชี่ย คุณเพย์แม่งเอาผู้ชายด้วยเหรอวะ”

   “รู้แล้วเหยียบไว้เลย เคยมีคนเห็นคุณเพย์ทำอะไรลับๆ กับคุณอิฐ เห็นว่า คุณท่านจะยกให้มันเป็นเลขาส่วนตัวแทนคนเก่าที่ลาออกไปด้วยนะ”

   “ฮ่าๆๆๆ พวกมึงนี่เสือกกันเก่ง”

   แล้วก็อีกหลากหลายสารพัดเรื่อง เรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ห้องครัวคือศูนย์รวมแม่บ้านขาเม้าท์เพราะไม่มีเจ้านายคนไหนอยากเดินเข้ามาในที่ที่เป็นอาณาเขตของคนใช้หรอก แต่ผมไม่ใช่...

   ผมหยุดฟังพวกมันนินทาลับหลัง ขณะเปิดตู้เย็นหยิบเอาขวดน้ำเปล่ามาเปิดดื่ม ผมรู้ว่าทุกครั้งที่ผมมา จะถูกนินทาเสมอ ฟังๆ แล้วก็สนุกดีไม่เลว พอได้ลองฟังเรื่อยๆ ก็ทำให้อยากรู้ว่าต่อไปพวกมันจะพูดถึงผมว่าไง ทำให้ทุกครั้งที่พาคุณเพย์มาส่งที่บ้านก็จะเดินเข้ามาในครัวเพื่อฟังพวกสองหน้านินทาลับหลัง

   แต่ผมไม่ชอบใจเลยแฮะที่พวกมันสาดเสียเทเสียใส่น้องอิง

   ผมมองตะหลิวแล้วอยากเดินไปหยิบมาเคาะปากสักทีสองที

   แต่ก็ไม่แปลกหรอก เป็นใครก็คงไม่ชอบใจทั้งนั้น ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยอภิสิทธิ์มากมาย น้องสาวได้เรียนต่อตามที่ปรารถนา ส่วนแม่ได้เข้าโรงพยาบาลดีๆ เรื่องเล็กๆ เท่าเศษฝุ่นพวกนี้อย่าไปใส่ใจเลย

   ผมเป็นคนจน...

   ผมกับน้องอิงอายุห่างกันเจ็ดปี และเป็นพี่น้องคนละพ่อ... พ่อของผมค่อนข้างเลวพอดู เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เป็นบ้า

   หลังจากเลิกกับพ่อผม แม่ก็แต่งงานใหม่และมีน้องอิง ครอบครัวเราก่อนหน้านั้นเรียกว่าพอจะมีฐานะ เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่มีลูกจ้างประมาณห้าสิบคน จนกระทั่งเศรษฐกิจเกิดฟองสบู่แตก พ่อน้องอิงล้มละลายและผูกคอตาย ทิ้งให้เราสามคนใช้ชีวิตตามยถากรรม แบกรับหนี้สินเกือบสามสิบล้านไว้ ตอนนั้นแม่ขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยจนผมในวัยสิบขวบต้องเป็นคนเลี้ยงน้องเอง และแม่ก็คงเริ่มมีอาการทางประสาทตั้งแต่ตอนที่เห็นพ่อน้องอิงตาย ผมกับน้องอิงเริ่มโดนแม่ที่ใจดีมาตลอดทำร้ายร่างกายเพราะความเครียด ผมปกป้องน้องอิงโดยเอาตัวเองรับแทนมาโดยตลอด จนกระทั่งผมอายุสิบสอง ตอนที่พ่อของผมมันกลับมาทำร้ายแม่เพื่อขอเงินไปใช้หนี้พนันทั้งๆ ที่ตอนนี้แม่ก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว พ่อของผมอุ้มผมไปต่อหน้าแม่ที่พยายามจะคว้าตัวผมไว้ทั้งๆ ที่โดนขวดฟาด

   ผมถูกช่วยกลับมาด้วยฝีมือตำรวจหลังจากหายไปหนึ่งเดือน

   ระหว่างนั้นเป็นความทรงจำที่มันขาดๆ หายๆ ผมจำได้ว่า พ่อที่ผมไม่เคยเห็นหน้าพาผมไปที่ไหนซักแห่ง โตมาถึงรู้ว่านั่นคือบ่อน มันเอาผมไปขัดดอก... ผมโดนพวกระยำรุมโทรมตั้งแต่วันนั้น เกือบทุกวันที่ผมต้องทรมานกับพวกผู้ชายที่ไม่ได้น่าพิสมัยจนทำให้ผมจิตหลุดไปสักพักใหญ่ ผมถูกส่งเข้าสถานบำบัดทันทีที่ถูกช่วยออกมา แม่เอาแต่โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองจนเกือบจะได้ไปพบพ่อน้องอิง เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงวัยแค่ห้าขวบทำให้ผมออกมาจากโลกที่ผมเข้าไปอาศัยรักษาสภาพจิตใจ จากวันนั้น แม่ก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าของรัฐที่การดูแลคงไม่ค่อยดีนัก ส่วนผมกับน้องสาวถูกส่งไปสถานสงเคราะห์

   ผมรู้ว่าสถานสงเคราะห์เขาไม่สามารถรับเลี้ยงผมตลอดไปได้และน้องอิงเองก็ติดผมเกินกว่าจะยอมไปอยู่กับครอบครัวใหม่ ผมจึงพยายามตั้งใจเรียนจนจบมอหกเพื่อจะได้มีวุฒิกับเขาบ้างเท่าที่สถานสงเคราะห์เขาจะเอื้อให้ผม ระหว่างเรียนผมก็หางานพิเศษทำไปเรื่อยๆ ผมออกมาหางานทำเต็มตัวทันทีที่เรียนจบ เป็นตั้งแต่คนล้างจาน เด็กล้างรถ หรือเด็กเสิร์ฟในร้านเหล้า ผมสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งตอนอายุยี่สิบ แล้วพาน้องอิงออกมาอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าเล็กๆ น้องอิงเรียนเก่ง เธอได้ทุนเสมอ เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนและคุณครู ทำให้ผมไม่ลำบากที่จะเลี้ยงน้องอิงเลย จนกระทั่งผมเจอคุณเพย์

   ผมทำงานอยู่ในผับที่พวกคนรวยชอบไปกัน แม้น้องอิงจะได้ทุนแต่ค่าใช้จ่ายก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น หนี้สินของครอบครัวถูกโอนมาให้ผม แน่นอนว่าไม่ใช่จากธนาคารที่อายุความจบไปนานแล้ว แต่เป็นกับเจ้าหนี้นอกระบบทั้งนั้น... ผมต้องคอยส่งเงินให้พวกเขาทุกเดือน เพื่อที่จะไม่ให้พวกเขามายุ่งกับน้องอิง ผมอยากให้น้องมีชีวิตที่ดี ดีกว่าผม... ผมเคยคิดจะขายตัวเพราะลูกค้าในผับชอบถามเหลือเกิน ไม่รู้ส่วนไหนของผมไปโดนใจพวกเสี่ยใจป้ำพวกนั้น

   แต่เหตุการณ์ที่โดนรุมโทรม ทำให้ผมกลัวสิ่งที่พวกเขาขอ... จึงทำได้แค่ปฏิเสธโอกาสนั้นไป

   ...

   ผมเจอคุณเพย์เมื่อเจ็ดปีก่อน...

   คุณเพย์เองก็เป็นหนึ่งในลูกค้า เป็นเด็กมหาลัยจบใหม่ที่อายุคราวเดียวกับผมแต่มีเงินใช้เป็นฟ่อน สามารถซื้อผู้หญิงได้ทั้งผับแต่กลับเอาแต่เรียกใช้บริกรง่อยๆ อย่างผม แถมทิปหนักจนผมอยากยกมือไหว้ มีเงินจ่ายค่าเรียนพิเศษให้น้องอิงแล้วครับ

   “มึง”

   ผมจำได้ว่าวันนั้นเขาเรียกผม ผมนอบน้อมเข้าไปหาคนที่สองข้างขนาบด้วยสาวๆ ชั้นวีไอพี

   “ขับรถเป็นมั้ย”

   “ไม่เป็นครับ” ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม

   “งั้นไปเรียนมา ให้เป็นภายในเดือนนี้”

   “คือ... ผม ผมไม่มีรถหรอกครับ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขับ”

   ผมตอบไป คุณเพย์ในวัยยี่สิบสองมองหน้าผมที่เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะหมาดๆ สามารถทำใบขับขี่รถยนต์ได้แล้วนิ่งๆ ก่อนจะโยนกุญแจรถ BMW ให้แบบงงๆ ผมหน้าตาตื่นรับไว้

   “ไปหัดมา แล้วกูจะมาอีก ขับให้เป็นก่อนกูจะมาครั้งหน้า”

   แล้วคุณเพย์ก็หนีบสาวสวยไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเขากลับยังไง ผมมองกุญแจรถมือสั่น มองหน้าผู้จัดการร้านที่เดินเข้ามาตบบ่าผมพลางบอกว่า

   “ขับระวังๆ แล้วกัน ประกันชั้นหนึ่งไม่คุ้มครองเวลามึงทำคนตายนะ”

   ผม... ผมขับรถไม่เป็นครับ ไม่เคยแม้คิดจะลอง... ฉิบหายแล้วครับ

   สุดท้ายแล้ว วันนั้นก็ต้องทิ้งรถคุณเพย์ไว้ที่ร้าน วันต่อมา ผมขอให้รุ่นพี่ที่ร้านไปส่งผมที่โรงเรียนสอนขับรถ ผู้จัดการร้านยื่นซองขาวให้ผม... เขาจะไล่ผมออกเหรอ?

   “คุณเพย์ฝากมา บอกว่าเอาไปจ่ายค่าเรียนขับรถ”

   นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นในการมาเป็นคนขับรถกิตติมศักดิ์ของคุณเพย์

   หลังจากนั้น งานประจำของผมก็เหลือแค่ตอนเช้าไปเรียนขับรถ ตอนกลางคืนทำงานในผับ ผมเอารถคุณเพย์ไปชนถึงสามครั้ง แต่ประกันกลับไม่ว่าอะไรผมเลย ดูเหมือนจะยินดีด้วยซ้ำ

   หนึ่งเดือนเป๊ะ... คุณเพย์มานั่งที่เดิม เขากวักมือเรียกผมให้ไปชงเหล้าให้ ก่อนจะถาม...

   “ขับรถเป็นไง”

   “ก็... อีกสามวันจะไปสอบใบขับขี่ครับ”

   “ดี ได้ใบขับขี่แล้ว ออกจากงานไปเป็นคนขับรถให้กู”

   “เดี๋ยวนะครับ คือผม... ผมพึ่งหัดขับได้เดือนเดียว ผม... ผมไม่กล้าให้ใครนั่งด้วยหรอกครับ” ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเพราะเส้นรถ BMW ของเขาทำให้เจ้าหน้าที่ยอมปล่อยผ่าน

   “กูไง คนแรกที่จะนั่งรถที่มึงขับ” คุณเพย์ยิ้มสวย

   “แต่! แต่ผมเอารถคุณเพย์ไปชนมาตั้งหลายรอบนะครับ” ผมสารภาพบาป

   “กูรู้ ประกันกูใช้ได้เรื่อยๆ”

   มันไม่ใช่แค่นั้นโว้ยยยยยย

   “คุณเพย์”

   “อีกหนึ่งอาทิตย์ เตรียมตัวให้พร้อม”

   แล้วคุณเพย์ก็ไม่สนใจผมอีก เขานั่งกินเหล้าสนุกสนาน คุยกับเพื่อนฝรั่งของเขา ปล่อยให้ผมเครียดตลอดทั้งคืน จากนั้นงานหลักของผมก็เหลือแค่อย่างเดียว คือฝึกขับรถ ขับจนผมสามารถถอยเข้าถอยออกซองได้อย่างหวุดหวิดจนเฉี่ยวจะชน ขับขึ้นทางด่วนบ้าง ขึ้นสะพานบ้าง พี่ผู้จัดการร้านก็ไม่ว่าอะไรผมเลย ดูเหมือนคุณเพย์จะมีอิทธิพลมากเลยทีเดียว

   จนอาทิตย์ต่อมา คุณเพย์มาตามที่บอกไว้ เขานั่งดื่ม นั่งกินอย่างสบายใจ เขาไม่เรียกใช้ผมเลยจนผมนึกว่าเขาลืมไปแล้ว แต่ผมนี่สั่นไปหมด รับออเดอร์ผิดบ้าง เสิร์ฟผิดโต๊ะจนโดนด่าไปหลายครั้งบ้าง จนกระทั่งร้านจะปิด คุณเพย์ก็ยังไม่กลับ เขารอจนผมเริ่มว่าง จึงลุกขึ้นไปคุยอะไรบางอย่างกับผู้จัดการ เขาพยักหน้ารับอย่างนอบน้อมและเดินมาบอกผม

   “เดี๋ยวเลิกงานได้เลยนะ”

   สิ่งที่ผมกลัวมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็เริ่มขึ้น

   คุณเพย์ให้ผมเดินนำไปที่รถของเขา ผมเปิดประตูหลังให้เขาขึ้น ก่อนปิดประตูรถ แล้วอ้อมไปนั่งที่นั่งคนขับ ผมนิ่ง... ไม่ยอมออกรถ ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสอบใบขับขี่ ในขณะที่คุณเพย์นั่งไขว่ห้างเล่นมือถือไม่สนใจเลยว่าหลังจากนี้ผมจะพาเขากลับบ้านหรือลงนรก

   “คุณเพย์ครับ... คือ คือให้ผมไปส่งที่ไหน”

   ผมไม่รู้จริงๆ

   “คอนโด XXX”

   “อ่า... ครับ” ผมยังคงนิ่ง กำพวงมาลัยแน่น “คุณเพย์... ไม่คาดเข็มขัดหน่อยเหรอครับ”

   “ขับไปเหอะน่า น่ารำคาญชะมัด เร็ว ง่วงจะตายชักแล้ว”

   ผมเลิกถาม คิดว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เงินในบัญชีผมก็ให้น้องอิงเป็นคนเจ้าของชื่อบัญชี น้องอิงคงสามารถถอนออกมาได้หากผมตายเพราะแหกโค้ง หรือตกแม่น้ำเจ้าพระยา

   สุดท้ายผมก็พาเขามาส่งได้อย่างปลอดภัย คุณเพย์ลงจากรถโดยมีผมเปิดประตูให้ ผมตั้งท่าจะคืนกุญแจรถให้เขา แต่คุณเพย์มองหน้าเหมือนมองหนอน

   “คืนทำไม เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงก็ต้องมารับกูอีก”

   “หา?”

   “จำทางมาคอนโดได้ใช่มั้ย”

   “จะ... จำได้ครับ”

   “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ย้ายมาอยู่ที่นี่ กูยกให้ ขนข้าวขนของที่จำเป็นมาก่อน แล้วเดี๋ยวกูจะส่งรถไปช่วยขนของที่เหลือ”

   “คุณเพย์! มันไม่ตลกเลยนะครับ เราไม่ได้รู้จักกัน คุณไม่ได้รู้จักผมด้วยซ้ำ คุณ...”

   “อิสระ วิภาสกุล อายุยี่สิบ จบมอหกโรงเรียนรัฐบาลด้วยเกรดเฉลี่ย 3.7 มีน้องสาวหนึ่งคนกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ส่วนแม่เป็นบ้าอยู่โรงพยาบาลรัฐที่สวัสดิการไม่ดีเท่าไหร่ เลิกเรียนออกมาทำงาน ตอนนี้อยู่แถววิภาวดีกับน้องสาว มีเจ้าหนี้ตามทวงถึงบ้าน” เขาเล่าประวัติโดยย่อของผม เล่นเอาผมเหงื่อแตกพลั่ก เขารู้แม้กระทั่งแม่ผมเป็นบ้า

   คุณเพย์งัดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

   “ถ้ามาเป็นคนขับรถกู มึงจะได้อยู่คอนโดนี้ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเยี่ยม ค่าเล่าเรียนของน้องมึงรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ กูจะเป็นคนออกให้ทั้งหมด มึงจะพาน้องมาอยู่ที่นี่ด้วยก็ได้ คอนโดมีสองห้องนอน ส่วนเรื่องแม่ กูจะให้คนจัดการย้ายไปโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ให้”

   ผมกัดปากตัวเอง เป็นข้อเสนอที่หอมหวาน จนผมคิดว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้ หรือเขาแค่อยากเปย์ อยากเลี้ยงผมเหมือนเสี่ยพวกนั้นที่หวังเอาผมทุกคืน

   “คุณเพย์ ต้องการอะไรครับ”

   “แค่มึง” คุณเพย์พ่นควันบุหรี่ออกจากปากใส่หน้าผมที่เบือนหนี “มาเป็นทุกอย่างของกู กูต้องการคนขับรถ”

   “แต่ว่า คุณเพย์น่าจะรวย... จน จนมีคนขับรถ...”

   “มึงนี่มันน่ารำคาญว่ะอิฐ” คุณเพย์ทิ้งก้นบุหรี่แล้วเหยียบบี้ด้วยเท้าประหนึ่งว่า ถ้าผมยังขัดขืนการตัดสินใจของเขา ผมจะต้องโดนเหยียบแบบนั้นแน่นอน คุณเพย์ดูมีอิทธิพลจนน่ากลัวยิ่งกว่าเจ้าหนี้สิบล้านของผมเสียอีก

   “กูแค่ถูกใจ เงินกูเหลือเฟือ กูแค่อยากโปรยเงินเล่น พอใจยัง”

   แล้วเขาก็ยัดบัตรเครดิตวงเงินเท่าไหร่ไม่รู้ใส่มือผม

   “ไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ซะ ชุดมึงนี่เก่าจนกูทนดูไม่ได้ เสียสายตา”

   ปากหมา... ผมทะนุถนอมของจะตายชัก ซักมือทุกชุดนะเว้ย!

   “อ้อ ก่อนจะย้ายของ พรุ่งนี้มารับกูตอนแปดโมง กูจะเข้าบริษัท”

   “อ่า... คะ... ครับ”

   เดี๋ยวนะ กูตกลงไปแล้วเหรอ... ผมยืนนิ่งอยู่หน้าคอนโดหรู

   อยู่ดีๆ ก็มีรถขับ อยู่ดีๆ ก็มีบ้านอยู่... อยู่ดีๆ ก็มีเจ้านาย

   เฉยเลย... อะไรวะเนี่ย

   วันต่อมา ผมรีบร้อนออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนหกโมง น้องอิงที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับเอ่ยถามเพราะปกติผมจะไม่ตื่นเช้าขนาดนี้หลังจากกลับจากที่ทำงานในผับตอนตีสอง ผมบอกน้องอิงว่าวันนี้ให้รีบกลับจากโรงเรียน เราจะย้ายบ้านกัน น้องอิงถึงกับหน้าซีด คงนึกว่าเราต้องหนีเจ้าหนี้กันล่ะมั้ง

   ผมมาถึงคอนโดคุณเพย์ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เกือบสายแล้วเชียว ช่วงเช้าๆ แบบนี้รถติดฉิบหาย... คุณเพย์ลงมาพอดีกับที่รถผมเทียบจอด ผมลงไปเปิดประตูรถให้คุณเพย์ที่ยืนดูเอกสารอะไรบางอย่าง เขาอยู่ในชุดสูทเรียบร้อย ตาคู่คมเหลือบมองผมก่อนจะถอนหายใจ

   “ชุดมึงใหม่กว่านี้ไม่มีแล้วเหรอ?”

   “ชุดนี้ใหม่สุดแล้วครับ” ผมมองกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองที่เก็บไว้ใช้ใส่ไปงานโรงเรียนน้องอิง

   “ทุเรศตาชะมัด” คุณเพย์ก้าวเข้าไปนั่งในรถ ผมกรอกตาเซ็งกับความปากหมาของเขา ก่อนจะปิดประตูรถ ระหว่างทางไปบริษัทที่คุณเพย์บอกตำแหน่งแล้วให้ผมเปิดจีพีเอสเอาเอง เขาก็นั่งอ่านเอกสารในมือไปด้วย กระดิกเท้าพลางสบถหยาบคาย

   “กะ... เกิดอะไรขึ้นครับ”

   “ก็เอกสารที่เลขามันเอามาให้กูเนี่ย อย่างแย่ ข้อมูลที่กูขอก็ไม่ครบแถมไม่ตรง สัดเอ้ย ห่วยแตก!”

   แล้วก็สาดคำด่าจนผมที่เป็นลูกน้องใหม่แกะกล่องถึงกับเสียวหลังวูบๆ

   ถ้ากูทำไม่ถูกใจเขา คงโดนปืนยิง

   “อิฐ”

   “ครับ”

   “ย้ายของเสร็จแล้ว ไปลงเรียนซะนะ” คุณเพย์โยนเอกสารการเรียนภาคพิเศษของมหาลัยเอกชนให้ผม ผมเหลือบมองก่อนจะหัวเราะแห้ง

   “คุณเพย์จะให้ผมเรียนทำไมครับ”

   “กูเกลียดคนโง่”

   ครับๆ คุณเพย์สุดฉลาด ผู้มองตลาดหุ้นแล้วด่าก่อนมันจะขึ้นตัวแดง... ผมยิ้มซีดเซียว เวลาแค่สองสามเดือน ทำไมชีวิตกูเปลี่ยนอย่างกับพลิกโลกเปลี่ยนตะวันออกเป็นตะวันตกงี้วะ...

   “เออ น้องมึงชื่ออะไรนะ”

   “น้อง... น้องอิงครับ อิงลดา”

   “ออ”

   แล้วคุณเพย์ก็เงียบไป

   ...

   “คะ... คุณเพย์”

   ผมเสียงกระตุก ขาดเป็นห้วงๆ เช่นเดียวกับลมหายใจ ผมเอามือข้างหนึ่งยันกำแพงไว้ โก่งสะโพกไปด้านหลัง ขณะที่ร่างสูงที่ตัวใหญ่กว่าในความทรงจำในอดีตทั้งร่างกายที่โตขึ้นและขนาดของเขาที่เพิ่มขึ้นเหมือนอัพเลเวลซ้อนอยู่ด้านหลัง กางเกงสแลคถูกถอดมากองไว้ตรงเข่า มือข้างถนัดของคุณเพย์กำรอบของผมไว้ ผมอ้าปากครางเมื่อนิ้วอุ่นๆ ถูไถเล่นกับส่วนปลายที่ถูกรูดรั้งจนแข็ง น้ำสีขุ่นหยาดเยิ้มออกมาตามอารมณ์ที่พุ่งสูง

   อากาศวันนี้อบอ้าว... แต่คงแพ้ความร้อนของคนสองคนที่แอบทำอะไรกันอยู่หลังห้องเก็บของในโรงรถ

   ผมแค่มาเช็คลมยางรถเองนะ

   “อิฐ... มึงแข็งขนาดนี้เชียว”

   คุณเพย์กระซิบข้างหู จูบแก้มที่เริ่มเปียกเพราะเหงื่อที่ย้อยตามขมับ

   ที่มีตั้งเยอะแยะ มาทำอะไรในที่ๆ มันสุ่มเสี่ยงขนาดนี้วะเนี่ย

   ไม่แปลกที่พวกคนใช้ขี้นินทาจะเอาไปเม้าท์สนุกปาก ก็คุณเพย์เล่นไม่สนสถานที่สักนิด ผมพยายามมองด้านหน้าที่เป็นทางเข้ามาที่โรงรถ ก่อนจะหลับตาปี๋เมื่อเขาเอามือถือข้างที่ไม่ได้เล่นกับส่วนที่แข็งชันของผมมาตะปบแก้มก้นนุ่มแล้วแหวกมันออก ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวที่จ่ออยู่ปากทาง

   “คุณเพย์ คุณเพย์ครับ... อ๊ะ เดี๋ยวครับ ถะ... ถุงยาง”

   ผมล้วงซองสีเงินจากกระเป๋าอกเสื้อมายื่นไปด้านหลังด้วยมือสั่นๆ คุณเพย์สบถหยาบคาย

   “กูอยากเอาเข้าไปแล้ว ไม่ใส่นะ”

   “คุณเพย์!”

   “เงียบ หยุดด่ากูได้แล้ว” คุณเพย์สั่ง ก่อนจะกระแทกแท่งเนื้อร้อนแข็งเข้ามารวดเดียวสุดลำ ผมอ้าปากกว้าง ครางออกมา น้ำลายหยาดไหลหยดมาตามมุมปาก มือข้างที่จับของผมอยู่ย้ายขึ้นมาแหงนคอผมให้เชิดขึ้น คนหื่นไม่รู้เวล่ำเวลากดจูบที่ซอกคอ พลางใช้ลิ้นดูดดุนจนเกิดรอยแดง

   “คะ... คุณ คุณเพย์ อย่าดูดครับ ตรงนั้นคอเสื้อ... มัน”

   มันปิดไม่มิด

   “เรื่องของมึง”

   เขากระแทกย้ำๆ ของๆ คุณเพย์กระแทกอัดท้องของผมจนจุกเสียด และเหมือนผมจะตายให้ได้เมื่อเขาปลดปล่อยของเหลวเข้ามาจนล้น ผมจับข้อมือเขาพลางร้องไห้

   “คุณเพย์ ผม... ผมเจ็บ”

   วันนี้คุณเพย์ไม่เตรียมให้ผมเลย แม้เราจะทำกันมาหลายครั้ง แต่ร่างกายผมบอบบางเกินกว่าจะรับคุณเพย์ที่ไม่มีแม้กระทั่งถุงยางที่มีสารหล่อลื่นไว้ได้รวดเดียว รู้สึกแสบและเจ็บเหมือนจะฉีกร่าง

   “อิฐ” คุณเพย์ผมประคองผม พลางค่อยๆ ถอดถอนร่างกายตัวเองออกมา น้ำอุ่นๆ เหนียวข้นของเจ้านายค่อยๆ ไหลออกมาจากช่องทางแคบพร้อมคราบเลือด ผมทรุดตัวลง... อ้อมแขนแกร่งสอดรับร่างผมไว้ก่อนจะถึงพื้นพลางกอดไว้แน่น

   “คุณเพย์ คุณมันเหี้ย”

   “ด่ากูจัง”

   คุณเพย์ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำของตัวเองให้ก่อนจะดึงกางเกงผมขึ้นมา ผมซุกลงกับแผ่นอกกว้างพลางเกาะเสื้อเขาไว้แล้ว...

   ร้องไห้...

   “มึงเจ็บใช่มั้ย”

   ผมพยักหน้า ขาสั่นพั่บๆ คนตัวสูงซบหน้าลงกับกลุ่มผมนุ่มสีดำพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือใหญ่บีบไหล่ผมแน่น

   “นั่นแปลว่ามึงยังหายใจอยู่”

   ผมหลับตาลง

   “มึงต้องอยู่กับกูอิฐ กูไม่มีวันปล่อยมึงไป”

   อิสระ... เป็นได้แค่ชื่อของผมจริงๆ


#คุณเพย์รักอิสระ

 :call:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 4
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 25-10-2019 23:27:34
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 5
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 28-10-2019 20:04:24
| Day 5 |
Kamikaze
(28/10/62)



   ผมขับรถพาคุณเพย์ไปส่งที่คอนโดหลังจากเขาทานอาหารมื้อเย็นกับครอบครัวของเขาแล้ว วันนี้บ้านไอยราสุวรรณอยู่กันเกือบครบ ขาดก็แต่คุณภัทร ลูกชายคนโตของบ้านที่ไปติดต่องานที่ต่างประเทศ

   ผมได้แค่หลบไปอยู่นอกบ้าน ไม่อยากให้ครอบครัวเขาสนทนากับผม โดยเฉพาะคุณพีท พี่ชายคนที่สามที่ดูจะเกลียดขี้หน้าผมที่สุด ผมไม่รู้สาเหตุแต่อาจเป็นเพราะคุณเพย์ติดผมมากเกินไปจนคุณพีทที่เป็นพี่น้องที่อายุใกล้กันรู้สึกว่าโดนแย่งความรักล่ะมั้ง ผมเดาๆ เอาจากบทสนทนาระหว่างเขาสองคน

   “อีซี่”

   “ครับ”

   “ค้างกับกูมั้ยวันนี้”

   “ไม่ครับ”

   ผมไม่เข้าใจ ทำไมช่วงนี้คุณเพย์เอาแต่ตอแยผมไม่เลิก ก่อนหน้านี้เขามักจะเรียกหาผมอาทิตย์ละครั้งหรือเดือนละครั้งแล้วแต่ช่วงเวลา โดยเฉพาะตอนนี้น้องอิงไม่ค่อยได้กลับบ้านเพราะติดเรียน ติดแลป ติดโปรเจครายงานอะไรก็ตาม นั่นทำให้ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวบ้าง คุณเพย์มานอนคอนโดผมบ่อย นอนกับน้องอิง... ผมต้องหนีออกไปข้างนอกทุกครั้งเพราะไม่อยากได้ยินเสียงอะไรที่มันบาดจิตบาดใจ

   ผมคงดูเลวมาก...

   “น้องอิงไม่อยู่วันนี้ กูไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว”

   ผมยังไม่เห็นรู้เลยว่าวันนี้น้องอิงไม่กลับบ้าน ความน้อยใจแล่นวูบ

   “ผมโตแล้วนะครับ”

   ผมลงไปเปิดประตูรถให้เจ้านายลงไปเสียที อยากกลับคอนโดไปนอนจะแย่แล้ว ร่างกายผมระบมไปหมดจากความรุนแรงและเอาแต่ใจของคุณเพย์เมื่อตอนกลางวัน

   เจ้านายผมหงุดหงิด เขาลงจากรถแล้วล้วงบุหรี่ขึ้นมาจะจุดสูบ แต่เหมือนเขาจะลืมไฟแช็คไว้ที่บ้าน มือใหญ่ล้วงหาตามเสื้อผ้า ผมเห็นท่าทางที่เริ่มจะหงุดหงิดแล้วจึงล้วงเอาของตัวเองขึ้นมา ยกจุดไฟให้คนอารมณ์เสีย

   ผมสูงแค่อกคุณเพย์ ทำให้ต้องเอื้อมมือขึ้นไปเอาปลายไฟแช็คจ่อหน้าเขา ดวงหน้าคมคายเบิกตามองผม ก่อนจะหรี่ลงแล้วก้มลงมาเอาปลายมวนบุหรี่จ่อกับเปลวไฟ ผมอดเหลือบตามองเขาไม่ได้ นัยน์ตาของเราสองคนสบกัน เหมือนมีบางอย่างจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูด

   “อิฐ”

   ไม่บ่อยที่เขาจะเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผม คุณเพย์อัดควันพิษเข้าปอดแล้วพ่นออกมา ผมยกบุหรี่ของตัวขึ้นมาจุดสูบบ้าง... เป็นยี่ห้อที่เขาเคยบังคับให้ผมลองจนกระทั่งผมเสพติดมัน แต่จะไม่สูบเวลาอยู่ห้องเพราะน้องอิงไม่ชอบและก็ไม่อยากทำร้ายสุขภาพเธอ

   ผมก้มมองพื้น กะเทาะขี้บุหรี่ลงข้างๆ คุณเพย์ที่เรียกผมแล้วเงียบ ผมเอนตัวพิงรถที่จอดไว้หน้าคอนโด ผมก็รอเขาขึ้นห้องเนี่ยแหละ จะขับออกไปทั้งๆ ที่เจ้านายยังยืนหัวโด่ก็ดูจะน่าเกลียดไปนิดนึง

   “เงี่ยนว่ะ”

   “เงี่ยนเหี้ยไรคุณเพย์”

   ผมด่ากลับ คุณเพย์หันข้างมองผมที่ทำท่าจะทิ้งบุหรี่แล้วหนีไปขึ้นรถ เขาคว้าศอกผมไว้ก่อนจะกระชากเข้าไปบดริมฝีปาก แลกเปลี่ยนควันพิษที่ยังคลุ้งอบอวลอยู่ภายใน ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวลิ้นผม อ้อมแขนแกร่งรั้งเอวบางให้เข้ามาชิด พลางเอียงหน้าให้ได้องศา สลับซ้ายขวาตามอารมณ์ ทั้งที่มือเราทั้งคู่ยังมีบุหรี่สองกลิ่นที่ค่อยๆ มอดไหม้...

   มอดไหม้เหมือนกับความรู้สึกผิดชอบของเราทั้งสองคน



   งานเลี้ยงบริษัทของคุณเพย์ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว คนมาร่วมงานมีทั้งดาราเซเลป คู่ค้า คู่ขา และคู่แข่งเต็มไปหมด มิตรกับศัตรูปะปนกันอยู่ด้วยรอยยิ้มหวานเคลือบน้ำตาล แต่ในมือแทบจะถือมีดแทงกันอยู่แล้วถ้าทำได้

   คุณเพย์ในชุดสูทหรูราคาแสนกว่าเดินควงสาวน้อยของผมที่ยิ้มหวานร่าเริงไปทั่วงาน ทำให้สาวๆ คนอื่นไม่ค่อยกล้าเข้ามายุ่งกับเจ้านายที่สามารถแดกเซ็กซ์แทนข้าวได้ ส่วนผม คนขับรถที่สุดแสนจะมีอภิสิทธิ์ให้เข้ามาร่วมหาอะไรกินในงานได้ ถือจานบุฟเฟต์ของตัวเองเดินตักของกินไปหลบมุมอยู่เงียบๆ เพื่อรอเวลา

   “คุณอิสระ”

   ผมเงยหน้า เอียงคอมองคนที่เข้ามาทักด้วยชื่อจริงแล้วพยายามนึก

   ดวงหน้าหล่อเหลาดูเป็นลูกครึ่งฝรั่ง ผมสีน้ำตาลเข้มนั่นน่าจะย้อมมากกว่าสีจริง แต่สีตาน้ำข้าวดูจะไม่ใช่คอนแทคเลนส์ ผมนึกชื่อเขาแล้วแต่นึกไม่ออก พยายามจะอ้าปากทักทายกลับ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ ยกมือไหว้หนึ่งครั้ง

   “สวัสดีครับ คุณ...”

   “จิณณ์ ครับ”

   “สวัสดีครับคุณจิณณ์ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” ผมดึงสูทของตัวเองให้เรียบร้อย คุณจิณณ์ก้มลงยิ้มให้ผมอย่างไม่ถือสา

   “ผมบอกแล้วว่าอีกไม่นานเราต้องได้เจอกันอีก”

   “ผมมาส่งคุณเพย์... คุณภาวิตน่ะครับ” ผมเผลอเรียกชื่อเล่นคุณเพย์ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนรู้จัก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อจริงตามมารยาท คุณจิณณ์พยักหน้ารับรู้

   “ครับ คุณอิสระ ทานแค่นั้นอิ่มเหรอครับ งานเลี้ยงนี้ยังอีกนานนะ” เขามองจานของผมที่มีแค่พวกผลไม้กับขนมนิดๆ หน่อยๆ ผมพยักหน้าตอบ

   “ครับ แค่นี้ก็พอ ผมทานได้ไม่เยอะน่ะครับ” ทำไมเขาต้องมาคุยกับคนขับรถอย่างผมด้วย... ทั้งๆ รอบด้านเขามีแต่คนจ้องจะเข้ามาคุยด้วยทั้งนั้น ผมมองเลิ่กลั่ก อยากออกไปจากมุมนี้แล้วสิ ไม่ชอบการที่จะต้องมาเป็นจุดสนใจเลยสักนิด

   “งั้น... เอาเครื่องดื่มมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้ คุณมีแต่ของกินนี่นา”

   “มะ ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมจัดการเองเรื่องนั้น” ผมรีบปฏิเสธเมื่อเขาทำท่าจะเดินไปเอาเครื่องดื่มให้ผมจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่แอลกอฮอล์ แม้จะเล็กน้อยแต่ผมก็เมาได้ง่ายๆ คุณจิณณ์มองซ้ายขวาเรียกบริกรที่เดินถือถาดเครื่องดื่มร่อนไปร่อนมาก่อนหยิบแก้วทรงสูงที่มีน้ำสีชมพูหวานๆ มายื่นส่งให้ผม

   “แค่พันช์ครับ”

   “ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ครับ”

   “นั่นสินะ วันนั้นคุณยังสั่งแค่น้ำส้มเลย” คุณจิณณ์มองแก้วอย่างเสียดาย “แต่ว่าวันนี้ลองหน่อยก็ไม่เสียหาย บางทีคุณอาจจะสนุกกับงานนี้ขึ้นก็ได้นะ”

   ผมขมวดคิ้ว ทำไมคนคนนี้ต้องทำตัวน่ารำคาญกับคนที่เจอกันแค่สองครั้งด้วย หรือพวกคนรวยเขาจะเข้าหาใครก็ได้งั้นเหรอ

   “ผมต้องขับรถให้คุณภาวิตครับ ไม่ควรดื่ม ขอตัวนะครับ”

   ผมเดินหนีออกมา แต่ร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินตัวสวยกลับเดินตามไม่ห่าง

   “ตามผมมาทำไมครับ” ผมหันกลับมา กะจะหนีไปเข้าห้องน้ำเสียหน่อย คุณจิณณ์หยุดเท้า ล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ผมเห็นแล้วหมั่นไส้เหลือเกิน

   “ผมเบื่องานเลี้ยง”

   “คุณก็ดื่มสิครับ งานอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”

   ผมยอกย้อนใช้คำของเขาตอบกลับไป คุณจิณณ์อึ้ง ก่อนจะหัวเราะออกมา ผมหน้าบึ้งเข้าไปอีก... นิสัยไม่น่าคบ

   “คุณอิสระ คุณเป็นไม่กี่คนที่กล้าเถียงผมนะเนี่ย”

   ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงไม่กล้าเถียงคุณ

   “งั้นก็ขอโทษด้วยครับ แต่คุณอาจจะจำไม่ได้ ว่าผมเป็นแค่คนขับรถ คุณควรเข้าไปคุยกับคนที่ประโยชน์สำหรับคุณมากกว่า”

   ผมเดินหนีอีกครั้ง ออกจากห้องจัดงานหมายจะออกไปนั่งรอคุณเพย์กับน้องที่ล็อบบี้โรงแรม แต่คุณจิณณ์กลับรั้งแขนผมไว้แล้วยิ้มให้สวยๆ

   “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนขับรถกิตติมศักดิ์ของเพย์ แล้วก็รู้ด้วยว่าคนรักของเพย์เป็นน้องสาวคุณ”

   ผมกลั้นหายใจ ผมไม่คิดว่าจะมีคนรู้เรื่องน้องอิงมากนัก เพราะไม่อยากให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านของวงการไฮโซ ทุกคนจะรู้แค่ว่าน้องอิงเป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นน้องของคุณเพย์ อาศัยอยู่ที่คอนโดหรูใจกลางเมืองแปลว่านั่นคือน้องอิงเป็นคนมีฐานะคนนึง แถมไม่มีใครรู้ชื่อจริงทำให้สืบประวัติไม่ได้ คุณเพย์ปกปิดทุกอย่างเพื่อไม่ทำให้คนรักตัวเองมีพวกนักข่าวหรือปาปารัซซี่มาวุ่นวาย เคยมีครั้งนึงที่น้องอิงเอาไปบอกคุณเพย์ว่ามีคนแอบตามถ่ายรูปเธอที่มหาวิทยาลัย อีกวันผมก็ได้ข่าวว่านิตยสารซุบซิบถูกฟ้องร้องจนชดเชยค่าเสียหายแทบไม่หวาดไม่ไหว ผมยอมใจเขาจริงๆ

   แต่คนคนนี้กลับรู้...

   “คุณ...”

   “ถ้าไม่อยากให้ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ทำตามที่ผมขอสิ”

   อย่างที่คุณเพย์เคยพูด ถ้าเป็นเรื่องของน้องอิง ผมยอมทุกอย่างแหละครับ



   “มะ... ไม่... ไม่ไหวแล้วคุณจิณณ์”

   “อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ”

   “ผม... ผมจะ...”

   “ใจเย็นๆ นี่แค่เริ่มนะ”

   “จะอ้วก...”

   ผมยกมือปิดปากเมื่ออาหารที่กินเข้าไปในงานเลี้ยงเหมือนจะตีย้อนขึ้นมา คุณจิณณ์รีบลุกขึ้นประคองผมไปเข้าไปห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ผมโก่งคออาเจียน เขาลูบหลังผมพลางหัวเราะตัวสั่น

   “ไม่เคยกินเหล้าจริงๆ เหรอเนี่ย ให้ตาย... แค่กามิกาเซ่ก็อ้วกแล้วเหรอ ผมว่าน้องสาวคุณยังจะคอแข็งซะกว่า” คุณจิณณ์ปรามาสผม เพราะเห็นเธอชนแก้วมาร์ตินี่ไปทั่วงาน ผมเอาของเก่าออกมาจนเหลือเป็นน้ำ ทรุดเกาะขอบโถไว้แน่น มือใหญ่ของคุณจิณณ์เสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้นเพื่อไม่ให้เกะกะ

   “ผม... ผมไม่ถนัด”

   “ครับๆ” คุณจิณณ์ดึงทิชชู่มาให้ผมเช็ดปาก ก่อนพาออกมาล้างหน้าที่อ่างล่างมือ สภาพผมในกระจกตอนนี้ดูไม่ได้

   หลังจากที่เขาเอาเรื่องน้องอิงมาขู่ สิ่งที่เขาต้องการคือการให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนดื่มกับเขาที่บาร์ของโรงแรม เขาสั่งค็อกเทลเบาๆ อย่างกามิกาเซ่ให้ สีมันสวยก็จริง แต่ผมก็รับมือไม่ไหวอยู่ดี พยายามจะดื่มให้หมดแก้วจะได้จบๆ กันไป แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเกินขีดจำกัดตัวเองซะงั้น

   นี่ผมรอดจากการเป็นเด็กเสิร์ฟในผับมาได้ยังไงวะเนี่ย?

   “เดินไหวมั้ยอิฐ”

   คุณจิณณ์หลอกถามชื่อเล่นผมตอนกำลังกรึ่มๆ ผมก็ตอบไปเพราะตัดรำคาญ

   ไม่ ผมไม่อยากสนิทกับคุณจิณณ์ ผมไม่อยากมีปัญหา

   คนรวยเข้ามาในชีวิตผมทีไร มีแต่ปัญหาทุกที

   “ไม่ไหว... ได้มั้ย”

   “หรือจะให้อุ้ม?”

   “ผมเดินเองได้ครับ!” แต่ผมก็ยังเกาะเขาแน่น เหมือนทางเดินมันเอียงสี่สิบห้าองศาเลยตอนนี้ ก่อนที่ผมจะหันไปถามเขา “คุณจิณณ์ นี่... นี่มันกี่โมงแล้ว”

   คุณจิณณ์ทำหน้าประหลาดใจก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

   “สามทุ่มครึ่ง”

   “ผม... ผมต้องรีบไปเตรียมรถให้คุณเพย์”

   ผมหลับตาลง สะบัดหัวเพื่อไล่ความมึน พอได้อ้วกแล้วค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย มือควานล้วงกุญแจรถ แต่คุณจิณณ์กลับลากผมให้ไปนั่งที่ล็อบบี้ที่เดิมก่อนจะสั่งชาร้อนให้

   “เตรียมบ้าเตรียมบออะไรล่ะ สภาพคุณเหมือนจะตาย”

   “เพราะคุณจิณณ์นั่นแหละ” ผมเถียงหน้าดำหน้าแดง ก่อนจะเลิกเถียง เอาหัวพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นแล้วหลับตา คุณจิณณ์ส่งชาร้อนให้ผม บอกว่ามันช่วยให้หายมึนหัวได้

   “กลิ่นแอลไม่ออกสักนิด คุณมันอ่อนจริงๆ อิฐ”

   เขายื่นหน้าเข้ามาดมๆ ตัวผมที่เอียงตัวหนี จิบชาร้อนอย่างโมโห อาการเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถขับรถให้คุณเพย์ได้รึเปล่า ไม่อย่างนั้นคงต้องเรียกเข้มให้มาขับแทน โดยเฉพาะเมื่อรถคันนั้นมีน้องอิงนั่งไปด้วย หัวปวดตุบตับๆ ชักจะเกลียดขี้หน้าคุณจิณณ์ขึ้นมาจริงๆ แล้วแฮะ

   “เป็นไงบ้าง ดื่มเหล้า” คนบังคับผมดื่มแอลกอฮอล์ถามความรู้สึก ผมเบะปากให้อย่างไม่สนมารยาทแล้ว ณ เวลานี้

   “ผมไม่ชอบอยู่แล้ว คุณจิณณ์จะบังคับผมให้มันได้อะไร”

   “อยากรู้จักคุณไง นี่ไง ได้รู้ชื่อเล่นมาแล้ว”

   ผมมองหน้าคุณจิณณ์ นิสัยเขาคล้ายคุณเพย์ นิสัยคนรวยที่ทุกอย่างต้องได้ตามใจต้องการ แต่เขาก็ยังแตกต่าง ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นคนแปลกหน้า แม้รอยยิ้มที่ส่งให้จะดูไม่มีพิษมีภัย แต่คนที่สามารถบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่คู่แข่งของคุณเพย์ได้จะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

   คนธรรมดาป่วยจิตแบบผมก็คงต้องแบกหน้ารับอารมณ์คนพวกนี้ต่อไป

   “คุณจิณณ์ ผมทำตามที่คุณบอกแล้ว เรื่องน้องอิง...”

   “ทำไม กลัวผมเอาไปบอกคนอื่นขนาดนั้น?” คุณจิณณ์กระตุกยิ้ม หลิ่วตาใส่ผม

   “คุณเป็นคู่แข่งคุณเพย์ อะไรที่คุณสามารถทำลายคุณเพย์ได้ ผมว่าคุณก็คงทำ”

   ผมบอกสิ่งที่ผมคิดไปจริงๆ แม้มันจะไม่ได้มีผลอะไรเลยถ้าหากคุณเพย์ไม่ใส่ใจข่าวซุบซิบพวกนั้น ผมไม่ได้ห่วงคุณเพย์ เขาเอาตัวรอดได้และเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ผมห่วงน้องอิง ห่วงที่สุด น้องอิงไม่ควรต้องมาเจอเรื่องอะไรให้ปวดหัวนอกจากเรื่องเรียนกับรายงาน

   “ก็ได้ ผมจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร” เขารับปาก “แลกกับเบอร์มือถือของอิฐ”

   ไม่สงสัยจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นเพื่อนกันได้



   “ไอ้จิณณ์”

   เสียงคุณเพย์ที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้ผมรีบยืนขึ้นจนเซ คุณจิณณ์ที่ลุกตามหันมาประคองผมไว้ ผมเอนตัวหนีแล้วขยับออกห่าง เอามือแนบข้างกายก่อนจะโค้งให้

   “จะกลับแล้วใช่มั้ยครับคุณเพย์”   

   คุณเพย์ที่ควงมากับน้องอิงมองหน้าผมด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ ผมรีบหลุบตาลงทันที ในขณะที่คุณจิณณ์เดินเข้าไปใกล้น้องอิงแล้วจับมือบางขึ้นมาจูบเบาๆ สาวน้อยของผมยิ้มให้

   “คุณคงเป็นน้องอิง แฟนคนสวยของเพย์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมจิณณ์ อารยะภัทร ครับ”

   “สวัสดีค่ะคุณจิณณ์ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้ได้มีโอกาสคุยด้วย ดีใจจังค่ะ”

   น้องอิงรู้งานเสมอเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าวงสังคม แม้จะอายุเพียงเท่านี้แต่เธอเคยออกงานกับคุณเพย์มาแล้วมากกว่าสิบครั้ง ซึ่งมารยาททางสังคม แม่คุณเพย์เป็นคนสอนให้ทั้งสิ้น

   “น่าอิจฉาเพย์มันจริงๆ ที่ได้สาวน้อยน่ารักมาเป็นแฟน” คุณจิณณ์หยอดคำหวาน มองคนโชคดีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ คุณเพย์โอบไหล่น้องอิงพลางดึงให้ออกห่างเพื่อน

   “มึงไม่เข้าไปในงาน?” คุณเพย์ถาม

   “เข้าแล้ว กูออกมาสูดอากาศ” คุณจิณณ์ตอบปัดๆ ก่อนจะเหลือบมองผมที่ยังคงก้มหน้า

   “ก็ดี งานประมูลคราวหน้าอย่ามาขัดแข้งขัดขากูอีกล่ะ น่ารำคาญ” คุณเพย์บอกก่อนจะเดินผละออกมา แต่คุณจิณณ์กลับหัวเราะหึแล้วหันไปตอบกลับก่อนที่คุณเพย์จะเดินออกประตูไป

   “กูเลิกสนใจงานประมูลนั่นไปแล้ว เพราะตอนนี้มีอย่างที่น่าสนใจกว่า”

   คุณเพย์หยุดเท้าลงข้างผมที่กลั้นลมหายใจรอคำสั่ง ปากตอบคุณจิณณ์ แต่เหลือบมองผมด้วยหางตา

   “งั้นเหรอ”

   “ใช่ๆ น่าสนใจมาก มึงก็ระวังๆ แล้วกัน อย่าปล่อยให้กูแย่งอะไรไปได้อีกล่ะ”

   คุณจิณณ์จากไป ในขณะที่คุณเพย์ขมวดคิ้วแน่น ตาคมกริบราวกับจะเชือดผมให้เป็นชิ้นๆ สั่งด้วยน้ำเสียงที่เล่นเอาน้องอิงถึงกับกลืนน้ำลายเอือก รู้สึกกลัวคนที่ของกำลังขึ้น

   “กลับ!”



   “พี่เพย์จะอาบน้ำที่นี่หรือกลับคอนโดเลยคะ”

   หลังจากผมแวะส่งน้องอิงก่อนเพราะคอนโดผมถึงก่อนคอนโดคุณเพย์ แถมวันพรุ่งนี้น้องอิงมีเรียนเช้า กว่าจะถึงคอนโดคุณเพย์ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร ผมไม่อยากให้น้องนั่งไปนั่งมา น้องอิงถามเมื่อลงจากรถ คุณเพย์เดินไปส่งเธอถึงหน้าลิฟต์พร้อมผม เขายิ้มให้น้องอิงก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มใสเบาๆ อย่างทะนุถนอม

   “พี่กลับเลยดีกว่า น้องอิงจะได้รีบพักผ่อน”

   “อิงนึกว่าวันนี้พี่เพย์จะค้างที่นี่ซะอีก”

   น้องอิงหัวเราะ เสียงใสนั่นทำเอาผมอิจฉา กำมือแน่น... จนเล็บที่ไม่ได้ตัดจิกเข้าไปในเนื้อ

   ร่างสูงยกมือลูบหัวเล็กพลางโยกไปมาอย่างเอ็นดูก่อนจะเลื่อนมาบีบจมูกรั้นๆ จนสาวน้อยทำหน้าย่น

   “ไว้วันศุกร์พี่มาหานะ น้องอิงจะได้ไม่ต้องอ้างว่าติดแลปติดเรียน โอเคนะคะ”

   คุณเพย์น่ารักกับน้องอิงเสมอ และจะไม่อารมณ์เสียใส่ผมเวลาอยู่ต่อหน้าเธอด้วย น้องอิงพยักหน้าก่อนจะเดินมาหาผม

   “พี่อิฐขับรถดีๆ นะคะ อิงเห็นพี่อิฐเหนื่อยๆ เดี๋ยวอิงรอ”

   “ไม่ต้องเลยอิง อาบน้ำเสร็จก็นอนซะ พี่ไปส่งคุณเพย์แป๊บเดียว” ผมบอกน้องสาว น้องอิงเลิกดื้อแล้วยอมขึ้นลิฟต์ไปแต่โดยดี ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท ใบหน้ายิ้มแย้มของผมและคุณเพย์ก็หุบลงแทบจะพร้อมกัน ผมหุบยิ้ม สีหน้ากลายเป็นเหนื่อยอ่อน ส่วนคุณเพย์หุบยิ้ม แล้วกลายเป็นยักษ์แทน

   “ไปรู้จักกับมันตอนไหน?”

   คุณเพย์เดินนำไปขึ้นรถ คำถามเขาจะไม่น่ากลัวสักนิดถ้าคนคนนั้นไม่เป็นทั้งเพื่อนทั้งคู่แข่งทางธุรกิจของคุณเพย์

   ผมเดินไปฝั่งคนขับ ปล่อยให้คุณเพย์ขึ้นรถเองอะไรเอง

   “ใครครับ”

   ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

   “ไอ้อิฐ!”

   “โมโหอะไรคุณเพย์ ผมจะคบหากับใครไม่ได้เลยรึไง” ผมเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยออกสู่ถนนที่ยังคงมีรถสัญจรแน่นขนัด คนด้านหลังยกขาพาดที่วางมือตรงกลาง ผมเหลือบมองความไร้มารยาทของเขาแล้วกระทุ้งศอกอย่างหงุดหงิด

   กูเข้าเกียร์ไม่ได้ไอ้คุณเพย์!

   “เอาขาออกไปครับ”

   “ตอบกู”

   “ก็วันที่คุณเพย์ไปคุยกับผู้ถือหุ้นที่โรงแรมเดอะลูฟนั่นแหละครับ”

   ผมดันเท้าคุณเพย์ออกเพื่อเข้าเกียร์ แม่ง... พาไปแหกโค้งกันสักทีดีมั้ยจะได้เลิกเอาเรื่องบนท้องถนนมาล้อเล่น

   “อย่าไปยุ่งกับมัน มันไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็น” คุณเพย์ยังไม่ยอมเอาเท้าออกไป พูดกับผมด้วยเสียงจริงจัง ก็รู้อยู่หรอกว่าคนรอบตัวคุณเพย์อันตรายทั้งนั้น แม้คุณจิณณ์จะหน้ายิ้ม สุภาพ ไม่ได้หยาบกร้านเหมือนคุณเพย์ แต่ผมรู้ว่ารอยยิ้มนั่นก็อาบยาพิษไม่แพ้รอยยิ้มของคุณเพย์ตอนติดต่อธุรกิจ

   แต่ผมอยากสวนกลับไปจริงๆ ว่า คุณเพย์ก็ไม่ได้ดีกว่าเขาเท่าไหร่นักหรอกครับ

   แต่เพื่อไม่ให้เรื่องมันยุ่งยาก จึงต้องตอบในสิ่งที่เขาอยากได้ยินออกไป

   “ครับคุณเพย์”

   “วันนี้ค้างห้องกู ไม่ต้องกลับ”

   อีกและ... อะไรวะ?

   “ไม่ครับ ผมเหนื่อย ผมอยากนอน”

   “ก็นอน ห้องกูไม่มีเตียงมั้ง”

   “คุณเพย์ เดี๋ยวน้องอิงสงสัยแล้วมันจะยุ่งนะครับ” ผมถอนหายใจ เกลียดคุณเพย์ที่ทำอะไรไม่นึกผลที่จะตามมาบ้าง คนขับรถบ้านไหนเขาค้างกับเจ้านายบ้างวะ ไอ้คนงี่เง่า!

   “เดี๋ยวกูบอกน้องอิงให้ว่ามันดึกแล้ว และพรุ่งนี้มึงต้องไปส่งกูแต่เช้าด้วย น้องอิงไม่ถามเยอะหรอก”

   “...”

   “นะ”

   คุณเพย์เอาเท้าออกไป ก่อนจะยื่นหน้ามาแทน เอียงคอมองผม

   อืม หน้ากับเท้าไม่ต่างกัน น่ารำคาญทั้งคู่... ผมได้แต่ถอนหายใจ มองเม็ดฝนที่เริ่มโปรยบนกระจกหน้ารถ

   

   JinN Arayapat : อิฐ พรุ่งนี้มาที่ร้าน Horrne ซอย 7 หน่อยสิ แลกกับนาฬิกาของคุณ

   JinN Arayapat : Sent a photo



#คุณเพย์รักอิสระ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 5
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 11:55:35
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 29-10-2019 21:25:22
เอาไปตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย นักธุรกิจหรือโจร
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 5
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 29-10-2019 22:48:09
นั่นสิคะ ขอบคุณที่อ่านนะคะ ติชมได้น้า
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 6
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 29-10-2019 22:51:12
| Day 6 |
Punch

(29/10/62)


   วันนี้ผมต้องหานาฬิกาเรือนใหม่มาใส่แทนเรือนที่ใส่ประจำ มันหลวมนิดหน่อยจนชอบไหลไปไหลมา ปกปิดรอยแผลเป็นไม่มิดจนผมพยายามไม่ยกมือขึ้นมาใช้งานต่อหน้าคนอื่นมากนัก

   ตอนผมตื่นมาเห็นข้อความที่ส่งมาทางไลน์พร้อมรูปภาพเล่นเอาผมรีบวิ่งวุ่นหานาฬิกาเรือนใหม่มาใช้ทันที ไอ้คุณจิณณ์มันแอบถอดนาฬิกาผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!   

   นาฬิกาเรือนนั้นเป็นของที่คุณเพย์ให้มาในอาทิตย์แรกของการเข้าเรียนภาคพิเศษ เรือนสองแสนห้า ผมไม่ได้แคร์ที่มันแพงหรอกนะ เพราะผมรู้ว่าเงินแค่นั้น แค่คุณเพย์หายใจก็ได้คืนแล้ว แต่ที่ผมอยากได้คืนเพราะกลัวว่าคุณจิณณ์จะเอามันไปโยนใส่หน้าคุณเพย์ให้มีของขึ้นใส่กันน่ะสิ

   คุณเพย์มีนิสัยเสียที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของของตัวเอง

   ผมถือเป็นสิ่งของของเขาเช่นกัน... ผมไม่อยากให้ตัวเองซวย

   “ปกติไม่เห็นใส่เรือนนี้”

   คุณเพย์ทักก่อนลงรถ ผมกลืนน้ำลายเอือก สมเป็นเขาแหละ... ช่างสังเกตและขี้เสือก

   “มันมีปัญหานิดหน่อย เลยว่าจะส่งซ่อมครับ”

   “ออเหรอ”

   ร่างสูงมองผมที่ยืนก้มหน้าส่งเขาหน้าบริษัท ก่อนจะเอาแฟ้มเอกสารเคาะหัวผมทีนึง

   “ใช้มาตั้งนาน จะมีปัญหาก็ไม่แปลก” ทำเหมือนไม่ใส่ใจตามแบบของเขาก่อนจะสั่งอีกสองสามอย่าง “วันนี้น้องอิงอยู่บ้านใช่มั้ย”

   “ครับ”

   “โอเค วันนี้มีประชุมเรื่องประมูลสัมปทานที่ดินที่กัมพูชา อยากเข้าไปฟังมั้ย”

   คุณเพย์ลองถาม ผมตาวาว... ก่อนจะส่ายหัว ผมได้เรียนภาคพิเศษเกี่ยวกับการบริหารจัดการและธุรกิจรวมถึงเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศมาตามที่คุณเพย์ยัดเยียดให้ ทำให้ผมเริ่มสนใจเรื่องพวกนี้โดยไม่รู้ตัว นานๆ ทีคุณเพย์จะอนุญาตให้ผมเข้าห้องประชุมโครงการต่างๆ ได้ หรือบางครั้งเขาก็เอาเรื่องพวกนี้มาคุยปรึกษากับผมบ้าง เขาบอกว่าความคิดของผมน่าสนใจและหัวไว

   นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณเพย์อยากให้ผมเลื่อนตำแหน่งตัวเองจากคนขับรถมาเป็นเลขาล่ะมั้ง

   อาจเป็นเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน ตั้งแต่คุณเพย์เริ่มทำงานใหม่ๆ ทำให้เหมือนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน จะเรียกว่าผมรู้ใจคุณเพย์ในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่เรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เรื่องบนเตียง ผมก็รู้ใจเขาเช่นกัน...

   “งั้นเดี๋ยวเอามาเล่าให้ฟัง จะถามความเห็นด้วย”

   “ครับ”

   ผมส่งคุณเพย์เสร็จก็ไปนั่งรอที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ แน่นอนว่าพนักงานประจำร้านคนเดิมก็ยังคงต้อนรับผมอย่างเคย แค่วันนี้ดูไม่ค่อยจะสดใสจนผมอดถามไม่ได้

   “วันนี้ดูไม่ร่าเริงเลยนะเนส”

   “อ้าว พี่อิฐ... ยินดีต้อนรับครับ”

   เด็กหนุ่มที่วันนี้ไม่มีเรียนเช้าจึงมาทำงานในช่วงที่ไม่มีเรียนทักผม ลูกค้าในร้านประปรายเพราะใกล้เวลาเข้างานแล้ว

   “ขออเมริกาโน่หวานน้อยครับ” ผมสั่งกาแฟ เนสรับออเดอร์แล้วส่งต่อให้โมที่เหลือบมองลูกน้องเป็นพักๆ

   “เป็นอะไรรึเปล่า” ผมถาม

   เนสขอบตาแดงๆ เมื่อผมถาม ก่อนจะสูดน้ำมูก ผมหน้าตาตื่นเลิ่กลั่ก มองหน้าโมที่ทำหน้าปั้นยาก

   “ผมโดนเท”

   “หา?”

   แล้วเจ้าตัวก็ร้องไห้กลางเคาน์เตอร์ เล่นเอาโมมองลูกค้าเลิ่กลั่กพลางเอ่ยขอโทษที่ทำให้ตกใจ ผมไม่รู้จะทำยังไงจึงทำได้แค่ลูบไหล่ปลอบใจผ่านเคาน์เตอร์

   อะไรวะเนี่ย...

   “ผม... ผมอุตส่าห์เชื่อว่าเขาจะเลิกนิสัยเหี้ยๆ แต่พี่รู้มั้ย เมื่อคืนผมไปหาพี่มันที่คอนโด มันกำลังเอากับเพื่อนผมอยู่! บนเตียงที่ผมกับมันนอนด้วยกันนั่น!”

   ผมสะดุ้ง น้องมันพูดซะลูกค้าที่กำลังคุยกันจ้อกแจ้กค่อยๆ เงียบเสียงเหมือนรอฟัง

   “ใจเย็นก่อนเนส”

   “พี่อิฐ... ผมจะไม่เจ็บใจขนาดนี้เลย ถ้าเพื่อนคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมโคตรจะไว้ใจ ผมเล่าให้มันฟังทุกเรื่อง เชื่อมัน ไว้ใจมัน แต่มันกลับหักหลังผมแบบนี้... อีพี่พลแม่งก็เหี้ย เอาได้แม้กระทั่งเพื่อนของแฟน!”

   ผมนี่กลืนน้ำลายเลยครับ

   ขนาดแฟนเป็นชู้กับเพื่อน ยังโดนด่าสาปแช่งขนาดนี้ ถ้าเนสรู้ว่าผมเอากับแฟนน้องสาวตัวเอง... มันจะไม่แช่งชักหักกระดูกผมแทนน้องอิงเลยเหรอ

   ผมปลอบใจน้องมันอยู่นาน โมส่งอเมริกาโน่หวานน้อยให้ ผมรับมาดื่มแล้วรู้สึกว่ากาแฟวันนี้ขมกว่าทุกวัน

   “พี่เคยบอกแล้วว่าไอ้พลมันเหี้ย เนสไม่เคยฟัง สมน้ำหน้า”

   โมปลอบน้องแบบนี้เนี่ยนะ ผมอึ้งไปอีก ก่อนจะหัวเราะเมื่อเดสหันไปชกอกเจ้าของร้านดังปึกทั้งน้ำตาและน้ำมูก

   “ไอ้พี่โม! ถ้าไม่คิดจะปลอบกัน เงียบไปเลย”

   “กูเจ้านายมึงนะ!” โมผลักหัวลูกน้องที่ฟาดงวงฟาดงา

   “ไอ้พี่พลมันจะเหี้ยยังไงผมก็ไม่สนใจเท่าเพื่อนผมเหี้ย มันน่าจะตายไปด้วยกันทั้งคู่ ดีแค่ไหนที่โดนแค่แจกัน!”

   ผมเบิกตากว้าง เอ่ยถาม

   “เนส ไปทำอะไรเขาเนี่ย”

   “ผมโมโห ลืมตัว ทุ่มแจกันฟาดมันทั้งสองคนนั่นแหละ มันติดกันอยู่บนเตียง”

   เจ้าตัวเชิดหน้าสะใจ โอเค ผมว่าผมเข้าใจแล้วว่าทำไมโมถึงไม่ปลอบใจน้องมันมากนัก ที่แท้ก็พึ่งไปเสียค่าปรับฐานทำร้ายร่างกายมาให้นั่นเอง โมหันมาเหยียดยิ้มให้ผมก่อนจะส่งเสียงหึ

   “ลากเราไปเสียค่าปรับให้มัน แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้อง ดูมันสิอิฐ”

   ผมหัวเราะ เริ่มจะไม่อยากสงสารแล้ว เพราะคิดว่า เนสคงไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด จากนั้นก็กลายเป็นคุยไร้สาระถึงวิธีการเลือกผู้ชาย เลือกเพื่อน จะโดนเขาเทหรือเทเขา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรักตัวเอง...

   แต่ผมเนี่ยสิ ขนาดจะรักตัวเองยังทำไม่ได้เลย...



   ผมกลับบ้านพร้อมคุณเพย์ น้องอิงตั้งโต๊ะรออยู่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าของบ้านตัวจริง เธอจึงถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วช่วยร่างสูงถอดเสื้อสูทไปแขวนไว้ ในขณะที่ผมนั้นถอดเองตามระเบียบ

   “พี่อิฐ พี่เพย์ ทานเยอะๆ นะคะ อิงทำไว้เต็มเลย มีแต่ของโปรดพี่ๆ ทั้งนั้น”

   ผมมองอาหารบนโต๊ะแล้วยิ้ม ควรจะดีใจที่ของชอบของผมมีเยอะกว่าของคุณเพย์ตั้งสองอย่าง น้องอิงคงหวังให้ผมกินได้เยอะกว่าเดิม แต่เสียใจด้วย ผมตักกินได้อย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น น้องอิงถึงกับต้องบังคับตักให้ผมอีกเมื่อผมทำท่าจะคว่ำช้อนส้อม

   “กินอีกค่ะพี่อิฐ พี่กินน้อยกว่าเดิมอีก ผอมมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ”

   “ของโปรดมึงทั้งนั้น กินเข้าไปอีก”

   ทั้งสองคนบังคับผม ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ผมก็จำใจต้องยัดของที่น้องอิงกับคุณเพย์ผลัดๆ กันตักมาให้จนพวกเขาพอใจนั่นแหละ และสุดท้าย ผมก็ต้องแอบไปอ้วกออกมาเพราะร่างกายฝืนรับมันเข้าไป แต่พอออกจากห้องน้ำ ก็ต้องพยายามฝืนดื่มน้ำส้มคั้นที่วางไว้บนโต๊ะอีก เจ้าสิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

   ผมมองไปยังระเบียงกว้าง เห็นพวกเขาคุยกันสนุกสนาน น้องอิงหัวเราะ คุณเพย์ยิ้มอบอุ่น มือใหญ่ของเจ้านายผมจับมือน้อยๆ ที่ผมเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กอย่างอ่อนโยน

   อิจฉา...

   อิจฉาที่คนที่จับมือน้องอิงแบบนั้นไม่ได้มีแค่ผม...

   ผมเบือนหน้าหนี กำแก้วแน่น แน่นจนมันจะแตกคามือเนี่ยแหละ

   อืด... อืด...

   ผมมองมือถือของตัวเองบนโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่า ข้อความในไลน์ที่ผมอยากจะบล็อกเบอร์เขาทิ้งเด้งขึ้นมา

   

   JinN Arayapat : อิฐ ผมรออยู่นะ

   

   ผมคว้ากุญแจรถพร้อมกับวางโน้ตทิ้งไว้แล้วออกจากห้องไป ไปให้ไกลจากคู่รักที่เหมาะสมกัน ไปให้ไกลจากความจริงที่ว่า

   น้องอิงเป็นของคุณเพย์



   ผมใส่สูทตัวเดิมเข้าผับหรู สภาพไม่เหมือนคนมาเที่ยว เดินเบียดตัวเข้ามา ร้านนี้เป็นเหมือนร้านนั่งชิวกินบรรยากาศมากกว่ามาเต้นแบบที่คุณเพย์ชอบ ผมเดินเข้าไปข้างในตามที่คนที่รออยู่บอก แสงไฟสลัวทำให้ผมมองเห็นหน้าใครต่อใครไม่ชัด

   “อิฐ”

   แขนผมถูกรั้งไว้ก่อนจะเลยโต๊ะ ผมตกใจจนชักแขนกลับ คุณจิณณ์เลิกคิ้วก่อนจะเอามือกลับไปซุกกระเป๋ากางเกง หน้าลูกครึ่งของเขาดูโดดเด่นมากในแสงสลัว สูทสีน้ำเงินเข้ารูปคลุมทับเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนออกสองสามเม็ดกับกางเกงยีนส์สีซีด ดูแตกต่างกับวันก่อนมาก

   “คุณจิณณ์” ผมถอนหายใจ ไม่ชินกับการโดนคนมาแตะเนื้อต้องตัวนอกจากคุณเพย์

   “มาทางนี้สิ” เขานำผมไปที่โต๊ะ เขานั่งคนเดียว ไม่มีเด็กเหมือนคุณเพย์หรือคนที่เข้ามาคุยด้วยความสนใจ เขาบอกว่าสั่งน้ำพันช์โนแอลให้ผมกับของกินเล่นพวกกุ้งบอมบ์ ยำทะเล อะไรพวกนี้ ปกติแล้วเขาสั่งอะไรแบบนี้กินด้วยเหรอ ผมแทบไม่เคยเห็นเจ้านายสั่งของแบบนี้เลยนอกจากสั่งเหล้าหรือสาวดริ๊งค์

   “หิวรึเปล่า ผมสั่งมาเผื่อน่ะ”

   “ไม่ครับ ผมทานมาแล้ว”

   คุณจิณณ์พยักหน้าเหมือนคุยกับตัวเอง ผมนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าแตะอะไรบนโต๊ะ แม้กระทั่งน้ำพันช์นั่น ในขณะที่คนชวนพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ กระดกเหล้าพลางโยกหัวตามเพลง ผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าหันกลับไปทวงนาฬิกาคืน

   “ผม... ผมขอนาฬิกาคืนครับ”

   “อ้อ นี่คุณคิดว่าผมจะให้มาแค่เอานาฬิกาคืนจริงๆ เหรอ” ริมฝีปากสวยอมชมพูยิ้มให้จนเห็นเขี้ยวเล็กๆ แขนยาวพาดไว้บนพนักโซฟา เอียงคอมองผมที่เอนตัวออกห่างอย่างไม่ไว้ใจ

   “คุณจิณณ์ครับ ผมขอของของผมคืนครับ”

   “เอาข้อมือมาสิ”

   คุณจิณณ์ล้วงนาฬิกาของผมออกจากกระเป๋าเสื้อสูทพลางควงมันเล่นด้วยนิ้วชี้ยาวเรียวที่มีแหวนเงินสวมอยู่ ผมมองตามนาฬิกาที่ถูกเหวี่ยงเล่นอย่างเสียวๆ กลัวมันปลิวไปกระแทกหน้าใครสักคนในร้าน

   “คุณจิณณ์!”

   “เอาข้อมือมา ถ้าอยากได้คืน ผมจะใส่ให้”

   ผมถอนหายใจแรง หงุดหงิดจนเหงื่อซึมไปทั่วหลัง อารมณ์ผมช่วงนี้ไม่คงทีเลยสักนิด

   ผมยื่นข้อมือขวาให้เขาอย่างจำยอม แต่คุณจิณณ์กลับยักไหล่แล้วดึงอีกข้างมาแทน ผมเบิกตากว้างเมื่อเขาถลกแขนเสื้อผมขึ้นแล้วปลดนาฬิกาเรือนใหม่ที่ใส่อยู่ออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเป็นทางยาวหลายแผล ซึ่งมันก็นานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดูดีเลย แถมรอยมัดที่ข้อมือก็ยังใหม่ ผมรีบชักแขนกลับ ตาตื่นใจสั่นจนเหมือนจะวูบ แต่คุณจิณณ์ไม่ยอมปล่อย เขาขมวดคิ้วแน่นพลางลากแขนผมให้เข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม

   สายตาที่มองดูรอยแผล มันเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา และความฉงน เขาคงไม่เข้าใจว่าคนที่ทำแบบนี้มันทำไปเพื่ออะไร การทำร้ายตัวเองมันดีตรงไหน หรือมันช่วยอะไร แต่สำหรับผม... มันมีเหตุผล

   ผมไม่ชอบให้ใครมาทำร้าย แต่การทำร้ายตัวเอง ทำให้ผมรู้สึกสงบ

   สำหรับคนรวยแบบพวกเขาที่ทุกอย่างได้ตามความต้องการ รักษาทุกอย่างได้ด้วยเงิน ซื้อความสบายได้... แต่สำหรับผมที่ไม่มีอะไรเลย ต้องดิ้นรนทำทุกอย่างให้มี มันต่างกับพวกเขา

   พวกเขาเครียดเมื่อมีงาน

   แต่ผมเครียดถ้าไม่มีใครจ้าง

   พวกเขาบ่นเมื่อต้องเรียนหนังสือ

   แต่ผมอิจฉาที่พวกเขาได้เรียนหนังสือ

   ผมจึงทุ่มเททุกอย่างให้น้องอิงสามารถมีในสิ่งที่ผมไม่มีได้

   มีที่อยู่ มีที่กิน ไม่ต้องลำบาก มีเวลาเรียน มีเวลาเที่ยว ผมยกทั้งชีวิตให้เธอ

   เพราะรัก... รักเธอมาก

   แต่เมื่อคุณเพย์ที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตผมที่ขาด เขากลับแย่งสิ่งที่ผมมีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตผมไป

   แย่งความรักจากน้องอิง... แย่งมันไปจากผม

   จุดเริ่มต้นของการทำร้ายตัวเองของผม มาจากคุณเพย์

   แต่ก็ยอมรับนะ ตั้งแต่คุณเพย์เริ่มใช้ความรุนแรงกับผม ผมก็ทำร้ายตัวเองน้อยลง เหมือนเริ่มรู้สึกตัวว่าการทำให้ตัวเองเจ็บมันไม่ใช่เรื่องน่าสบายใจ

   “ไอ้เพย์ทำเหรอ”

   “...”

   คุณจิณณ์มองหน้าผมที่ไม่หลบตา ขี้เกียจจะขัดขืนแล้ว เหนื่อยว่ะ...

   สิ่งที่คุณจิณณ์ทำคือยกข้อมือผมขึ้นมาจูบตรงแผลโดนมัด ก่อนจะแลบลิ้นเลียรอยแผลเป็นที่มีมากกว่าสิบรอยพลางดูดเม้ม ผมหรี่ตา เอนตัวไปด้านหลัง มุมมืดของร้านทำให้ไม่มีใครสนใจการกระทำของเราสองคน คุณจิณณ์เหลือบตามองผมที่ทำหน้าประหลาด ก่อนจะรั้งเอวผมให้เข้ามาใกล้

   “คุณจิณณ์รู้เรื่องผมอยู่แล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงแผ่ว กลิ่นน้ำหอมของคุณจิณณ์ทำให้ผมเคลิ้มไป

   “อืม”

   “คุณเพย์บอกเหรอครับ”

   “เปล่า”

   “แล้วทำไมถึงรู้ครับ”

   “ผมเคยเจอคุณตั้งนานแล้ว แต่คุณคงไม่สังเกต”

   ริมฝีปากเขาค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาที่ข้างแก้มก่อนจะจูบเบาๆ ซับน้ำตาที่จู่ๆ ก็ไหลออกมา

   ผมไม่ดี ผมทรยศทั้งน้องอิง ทรยศทั้งคุณเพย์ และกำลังจะทรยศตัวเอง

   “กลัวเหรอ”

   คุณจิณณ์ถอนหน้าออกจากผมที่หลับตาปี๋ เขาดึงแขนเสื้อลงให้ก่อนจะสวมนาฬิกาที่ขโมยไปคืน ผมหอบหายใจ ร่างกายเหมือนขาดน้ำ คอแห้งผากน้ำลายเหนียว ก่อนหันไปยกน้ำพันช์ขึ้นมากระดกเข้าปากอย่างลืมตัว ร่างสูงเอนกลับไปพิงพนักโซฟาเหมือนเดิม ยิ้มสวยๆ ให้

   “ผมไม่บังคับใครหรอก ผมจะรอจนกว่าอิฐจะเป็นฝ่ายเดินมาหาผมเอง”

   ผมที่เอาน้ำพันช์โนแอลเข้าปากหันมาทำตาเคืองใส่พลางกระแทกแก้วลงกับโต๊ะ   

   “นี่มันเหล้าอีกแล้วนี่ครับ!!”

   

   Boss : มึงหายไปไหนอีซี่

   Boss : ตอบกูเดี๋ยวนี้!

   Boss : อิฐ กูบอกให้ตอบ!

   Boss : อย่าให้กูหาเจอนะมึง

   Boss : อิฐ มึงอยู่ไหน บอกกูสิ



   “อิฐ”

   ผมยืนเหม่ออยู่บนดาดฟ้าของคอนโด หลังจากได้นาฬิกาคืนกับเผลอดื่มไปนิดหน่อย ผมก็กลับทันที พันช์ของคุณจิณณ์ผสมแอลกอฮอล์เล็กน้อยทำให้ผมไม่เมาขนาดอ้วกเหมือนครั้งก่อน แต่ผมก็ยังไม่ชอบอยู่ดี เขาไม่รั้งแต่เดินออกมาส่งถึงรถพลางบอกว่า ถึงบ้านแล้วให้ส่งข้อความบอกเขาด้วย

   แต่ผมยังไม่ได้บอก...

   ผมเดินเอื่อยๆ ขึ้นมาบนดาดฟ้าของคอนโดที่เป็นชั้นแฟร์ซิลิตี้สำหรับลูกบ้าน โดยมีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และห้องอ่านหนังสือ ผมเลือกเดินมาหยุดตรงสระว่ายน้ำที่มีระเบียงกระจกกั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของลูกบ้าน ผมถอดเสื้อสูทออก ปลดกระดุมคอเสื้อเพราะร้อน เผยให้เห็นรอยต่างๆ

   แต่ที่นี่ไม่ใช่คอนโดที่ผมอาศัยอยู่กับน้องอิง แต่เป็นคอนโดของคุณเพย์

   ผมมีกุญแจสำรองของเขา เดินเข้าเดินออกมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่แปลกที่ยามจะไม่ทักเมื่อผมเดินเข้ามาโดยที่ไม่ใช่ลูกบ้าน ผมกะว่าจะใช้ห้องของเขาเป็นที่พักชั่วคราวยามที่เขาไปห้องของผมเพื่อนอนกับน้องอิง

   ผมไม่อยากได้ยิน รับรู้ หรืออะไรที่เขาจะทำกับน้องสาวผมทั้งนั้น

   มันจะทำให้ผมอยากตาย...

   แต่ผมรู้ว่าถ้าผมตาย น้องอิงต้องเสียใจมากแน่ๆ

   ผมไม่อยากให้น้องอิงเสียใจ

   เพราะฉะนั้น ผมต้องอยู่ต่อไป

   ผมไม่หันมาตามเสียงเรียก แต่เดินเข้าไปใกล้สระน้ำมากขึ้น ไฟบนท้องถนนสวยชะมัด เหมือนดาวในกาแล็คซี่ที่ไม่มีวันพักผ่อน เหมือนกับผมเลย...

   “อิฐ!!”

   ร่างผมถูกคว้ามากอดไว้แน่น อ้อมแขนอุ่น กล้ามแน่นๆ กับเสียงเอาแต่ใจของเขาทำให้ผมหลับตาลง ผมยกมือขึ้นแตะแขนที่สั่นสะท้าน มันสั่นจนน่ากลัวกว่าไวเบรเตอร์ที่เขาใช้กับผมเสียอีก

   “หายไปไหน! หายไปไหนมา! มาทำอะไรที่นี่ มึง... มึง... มึงจะทำอะไร”

   “คุณเพย์ครับ”

   “กูโทรหามึงเป็นร้อยๆ สาย ไปทุกที่ที่คิดว่ามึงจะไป จีพีเอสมึงก็ปิด มึงทำเหี้ยอะไร!”

   “คุณเพย์ครับ ผมแค่ไปหาเพื่อน”

   “แล้วทำไมไม่ตอบกู มึงปิดเครื่องหนีกูทำไม!”

   “แบตผมหมดครับ”

   คุณเพย์หอบหายใจ ร่างกายเขาชุ่มเหงื่อมาก เป็นเหงื่อเย็นๆ ที่มาจากความกลัวมากกว่าเหนื่อย เขาซุกหน้าลงกับซอกคอผม ก่อนจะกัดหนึ่งทีจนผมร้อง

   “เจ็บโว้ย!”

   ผมดิ้น เขาถอนฟันออกก่อนจะจูบแรงๆ ทับแผลนั่น แล้วทรุดตัวนั่งลงริมสระโดยลากผมลงมาด้วย ผมถูกจับให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างขายาวทั้งสองข้างของเขาที่ชันขึ้นเล็กน้อย อ้อมแขนไม่ยอมปล่อย หน้าคมคายกดอยู่บนบ่าเล็กแคบที่แสนจะหนักอึ้งของผม

   “อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าน้องอิงรู้ เธอจะเสียใจแค่ไหน มึงคิดสิ”

   ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะดังขึ้นเหมือนคนเสียสติ พร้อมกับดิ้นให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดนั้น แต่คุณเพย์ไม่ยอมปล่อย เขากอดผมแน่นกว่าเดิม แน่นจนเสียงหัวเราะของผมกลายเป็นเสียงร้องไห้ ร้องมันออกมาจนตัวโยน ร้องจนคนด้านหลังร้องตาม...

   “ผมอยากตายครับ ผมอยากเป็นอิสระ”

   ผมร้องขอเขา ร้องขอในสิ่งที่เขาไม่เคยจะให้ ร้องขอในสิ่งที่ผมก็ให้ตัวเองไม่ได้

   คุณเพย์สะอื้น เขาซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของผม

   “ไม่ให้”

   “คุณเพย์เอาแต่ใจที่สุดเลยครับ”

   

   วันนี้เขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ผมไม่โดนมัดไว้ด้วยเชือก แต่โดนมัดไว้ด้วยร่างกายของเขา อ้อมแขนอุ่นที่วันนี้เป็นของผมไม่ใช่ของน้องอิง การกระทำที่ทะนุถนอม เขาตามใจผมทุกอย่าง

   “อิฐ... อา... อิฐครับ”

   ผมกัดปาก เมื่อเขากระแทกตัวเขามา วันนี้เขายอมใส่ถุงยางตามที่ผมขอ คุณเพย์จับผมนั่งควบทับหน้าขาไว้ แขนสองข้างถูกยกขึ้นพาดคอเขา ผมตัวสั่นเมื่อร่างกายของเขาแข็งขืนจนขยับขยายช่องทางแคบของผมมากกว่าเดิม มือใหญ่ประคองบันท้ายนุ่มของผมไว้พร้อมกับขยำด้วยความมันมือ ริมฝีปากอุ่นจูบเลียผมไปทั่วร่าง รวมถึงยอดอกสีอ่อนที่ชูชันจนแข็งเป็นไต ผมลูบหลังคอคุณเพย์พลางสอดมือเล่นกับเส้นผมของเขาอย่างเผลอไผล

   “คุณเพย์ครับ เบาๆ หน่อย”

   ผมเริ่มประท้วงเมื่อเขากระแทกเร็วขึ้น คุณเพย์เวลาจะเสร็จแล้วเขาชอบเร่งจังหวะจนร่างผมแทบจะปลิวติดเตียง...

   “อิฐ ตอดอีกสิ รัดอีก... เพย์จะแตกแล้ว”

   “คะ... คุณ คุณเพย์ อ๊ะ... อึก”

   ผมถูกจับให้คว่ำหน้า ก่อนขาข้างหนึ่งจะถูกช้อนยกให้พาดบ่าหนาไว้ ร่างสูงใหญ่สอดท่อนเนื้อร้อนผ่าวที่ใหญ่กว่าข้อแขนผมเข้ามาอย่างรีบร้อน ช่องทางที่ถูกขยายออกมีรอยแดงและคราบสีขาวขุ่นคลั่กเปรอะไปทั่ว มันไม่ใช่ของคุณเพย์ แต่เป็นของผมเอง ผมหลับตารับมือกับความจุกเสียดที่ไปสะกิดโดนจุดกระสันจนร้องครางลั่น สองมือพยายามควานหาหมอนมาปิดหน้าตัวเอง

   “อย่ากลั้นเสียง เพย์อยากฟัง”

   “คุณ...อ๊า... มะ ไหวครับ จะ... จะเสร็จ”

   คุณเพย์รวบเอวผมแล้วยกจนสะโพกลอย เขาจับเอวผมขยับเข้าออกแทนที่จะขยับร่างกายตัวเอง ทำให้เนื้อที่สัมผัสที่นอนลากเขาผ้าปูเตียงมาด้วย

   สภาพห้องพรุ่งนี้คงเละเทะน่าดู

   “อิฐ... ซี้ด... อา... เชี่ยแม่ง โคตรตอด”

   เมื่อความเงี่ยนเข้าครอบงำ สันดานดิบก็เริ่มโผล่ คุณเพย์ครางสบถหยาบ ผมก็ได้แค่พยายามเอามือยันหน้าท้องเขาไว้ เขาจะยกผมลอยแบบนี้ไม่ได้นะ เอวจะหักแล้วโว้ย!

   “คุณเพย์ คุณเพย์ครับ อะ... เอวผม”

   เขามองผมตาปรือ สภาพผมเหมือนไม่มีกระดูก เขาหัวเราะก่อนวางเอวผมลงให้นอนราบ เปลี่ยนเป็นยกสะโพกของผมวางไว้บนหน้าขา ผมขยับขาอ้ากว้างรับร่างเขาเข้ามาอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้อยู่ในสภาพปกติสักที

   เขาส่งให้ผมเสร็จไปก่อน เมื่อเขาใกล้จะถึงฝั่ง คุณเพย์ถอนร่างออกมาก่อนจะดึงถุงยางออกแล้วจับมันรูดรั้งปลดปล่อยใส่หน้าผม...

   ผมรับของเขาเข้ามาในปากอย่างรู้งาน เขายืนเข่าควบหัวผมไว้ มือข้างหนึ่งประคองหัวผมให้ขยับโยก อีกข้างเกาะหัวเตียงไว้แน่น

   และไม่นาน เขาก็ปล่อยของเหลวให้ไหลลงคอผมไป เสียงครางพอใจของเขาทำให้ผมรู้สึกหมดแรง

   คุณเพย์ถอนแก่นกายออกจากปากผม ก่อนถอยร่นลงไปแลบเลียของผมบ้าง เขาปรนเปรอให้ผมตอบแทนคราบที่ไหลลงคอจนล้นออกมาตามมุมปาก

   “คุณเพย์ครับ ผม... ผมจะเสร็จ”

   ผมไม่เคยแตกใส่ปากเขา แต่วันนี้เขากลับไม่ยอมปล่อย คุณเพย์กลืนของของผมเข้าไปจนหมด ผมหน้าแดงเถือก มือยังพยายามดันหัวเขาออกจากหว่างขาตัวเอง แต่คนเอาแต่ใจกลับช้อนตามองก่อนจะเลียทำความสะอาดให้จนหมดจด

   คุณเพย์เลื่อนมากดจูบที่แก้มผม ก่อนจะประกบปากลงมากัดริมฝีปากบวมเจ่อ แลกเปลี่ยนความคาวรสหวานให้กัน

   “รักเพย์นะอิฐ รักเพย์แทนได้ไหม”

   ผมหลับตาลง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ความง่วงเข้าครอบงำสติ ทำได้แค่ครางตอบ

   “ครับ...”



#คุณเพย์รักอิสระ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 7
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 30-10-2019 19:07:22
| Day 7 |
Guilty

(30/10/62)


   ผมตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายที่ร้าวระบม ความจริงมันก็เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน คนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ หายไปแล้ว ทิ้งไว้แค่ร่องรอยวินาศสันตะโรเกลื่อนห้อง หมอนไปทาง ผ้าห่มไปทาง ผ้าปูเตียงถูกดึงขึ้นมาใช้ห่มแทน อะไรวะเนี่ย?

   ผมจำได้ทุกเหตุการณ์ แน่นอน... รวมถึงคำพูดของเขาด้วย

   นานๆ ครั้งผมจะมีอาการคิดสั้นเหมือนคนฟุ้งซ่าน คุณเพย์คงคิดว่ามันเป็นอาการขาดความรักล่ะมั้ง เขาถึงมักจะใช้คำว่ารักกับผมเฉพาะเวลาแบบนั้น แล้วอีกวัน มันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คุณเพย์กลับไปเป็นของน้องอิง น้องอิงกลับไปเป็นน้องสาวของผม ส่วนผมก็กลับไปเป็นคนขับรถของคุณเพย์ วนลูปนรกมาสามสี่ปีแล้ว

   ผมถอนหายใจ เลิกคิดแล้วหันมาเก็บข้าวของ ดึงผ้าปูเตียงให้เข้าที่เข้าทาง เก็บเสื้อผ้าลงตะกร้าแล้วเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มาพันรอบเอว เดินเข้าห้องน้ำไปล้างเนื้อล้างตัว

   วันนี้เป็นเสาร์ คุณเพย์ไม่เข้าบริษัท แต่เขามักจะนั่งทำงานเงียบๆ อยู่ที่ห้องเขาหรือห้องผม ซึ่งวันนี้ก็ไม่ต่างกับทุกวัน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกไปข้างนอกห้องนั่งเล่น เห็นคุณเพย์เท้าหลังมือตัวเอง นั่งมองจอแลปท็อปผ่านแว่นสายตาบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ ผมสีดำสนิทเงางามชื้นเล็กน้อย เขาน่าจะเพิ่งกลับจากว่ายน้ำและคงจะอาบน้ำเสร็จก่อนผมตื่นไม่นาน

   “อาหารเช้าเอาเป็นอะไรดีครับคุณเพย์”

   “ขอสโคนกับไข่ต้ม”

   คุณเพย์ตอบโดยไม่เหลือบมองผมสักนิด ผมพยักหน้ารับให้ตัวเองก่อนจะเดินเข้าครัวไปจัดหามาให้ ไม่นานนัก ผมก็เสิร์ฟอาหารเช้าเบาๆ ให้เจ้านายพร้อมกาแฟสดดิปเอง คุณเพย์ละสายตาจากจอก่อนจะเลื่อนมามองผมแทน

   “ของมึงล่ะ”

   “ผมไม่ทานครับ เดี๋ยวจะกลับแล้ว”

   ผมเดินจัดโต๊ะให้เขาเสร็จก็หันหลังเตรียมกลับบ้าน คุณเพย์ลุกเดินมาขวางหน้าผมก่อนจะผลักร่างอ่อนแรงให้นอนราบลงบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ตรงพื้นที่ที่ไม่มีของวาง ผมเบิกตากว้าง เอามือยันหน้าอกเขาที่ทำท่าจะโน้มต่ำลงมา

   “จะไปไหน”

   “กลับบ้านครับ”

   “ไม่ใช่ว่าไปหาไอ้จิณณ์หรอกเรอะ?”

   คุณเพย์เสียงสูง หน้าเขาดูเย็นชากว่าทุกครั้ง ผมถอนหายใจยาว เขาคงแอบดูมือถือผมอีกแล้วล่ะสิ มีดีแค่หน้าจริงๆ มารยาทหายไปไหนหมด

   “ผมจะไปหาใครมันก็เรื่องของผม คุณเพย์เกี่ยวอะไร”

   ผมเริ่มหงุดหงิดแต่เช้า แต่เขาคงโมโหตั้งแต่ตื่น มือใหญ่บีบกรามผมแน่นจนหน้าย่นก่อนจะบดริมฝีปากลงมา ลิ้นเปียกสอดแทรกช่องว่างที่ถูกบังคับให้อ้าออกอย่างเกรี้ยวกราด ผมขัดขืนได้แค่ไม่นาน ก็ยอมปล่อยให้คนเอาแต่ใจรุกรานย้ำๆ ตามใจชอบ หมดสิ้นทุกความรู้สึกและเรี่ยวแรง

   “อีซี่ มึงเมียกู คิดจะไปให้ใครเอาจำใส่หัวไว้ด้วยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มึงใช้น่ะ เงินกู”

   “ปากหมาเกินไปแล้วคุณเพย์!!”

   ผมผลักเขาออกอย่างแรง ผมไม่สนว่าเขาจะทำตัวหยาบคายขนาดไหน แต่การที่เขาดูถูกผมขนาดนี้ มันก็ทำให้ผมของขึ้นจนหน้าชาเหมือนกันนะ

   “ไอ้อิฐ!”

   “ผมก็คนนะ การที่ผมจะมีเพื่อนไม่ได้แปลว่าผมจะไปเอากับคนอื่นมั่วๆ แบบคุณเพย์นะเว้ย!”

   ผมแผดเสียงใส่ ก่อนจะกระแทกตัววิ่งออกจากห้องไปเลย น้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจไหลออกมา เสียงสะอื้นฮักแทบใจจะขาดของผมดังก้องลิฟต์ส่วนตัว มันทำให้ยิ่งตอกย้ำความน่าสมเพชของตัวเองเข้าไปอีก

   เหี้ยอิฐเอ้ย ถ้าเขาไม่ให้เงินใช้แล้วไล่มึงออก มึงกับน้องอิงจะไปซุกหัวอยู่ที่ไหนวะ...

   ผมขยี้หัวตัวเอง เก็บเสียงสะอื้นก่อนลิฟต์จะเปิด เดินไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านตัวเอง



   “พี่อิฐ! เป็นยังไงบ้างคะ เมื่อวานอิงกับพี่เพย์ตามหาให้ทั่วเลย พอพี่เพย์โทรกลับมาบอกว่าเจอพี่อิฐแล้วอิงถึงค่อยสบายใจ” ทันทีที่ผมกลับเข้ามาในคอนโด น้องอิงที่นั่งอยู่บนโซฟา หน้าตาเหมือนคนนอนไม่หลับก็รีบถลันตัวเข้ามาจับเนื้อจับตัวผมทันที ผมยิ้มจางๆ ให้เธอ

   “พี่โอเค อิงต่างหาก ไม่ได้นอนเหรอ” ผมยกมือไล้หน้าหวานแผ่วเบา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใย

   “อิงนอนไปไม่นานค่ะ อิงอยากรอพี่อิฐ”

   “งั้นอิงไปนอนต่อนะ พี่ว่าจะไปซื้อของเข้าตู้เย็นซะหน่อย ดูเหมือนอะไรหลายๆ อย่างจะหมดแล้ว”

   ผมบอกน้อง

   “อิงไปด้วยค่ะ”

   “ไม่ดื้อน่า... นอนเถอะ สัญญาจะรีบกลับ”

   น้องอิงไม่ใช่คนที่สามารถอดหลับอดนอนได้นานๆ ผมเกี่ยวก้อยสัญญากับน้องก่อนดันหลังให้กลับห้องตัวเองไป ทันทีที่ร่างบางลับตาและประตูห้องนอนปิดลง ผมก็ถอนหายใจยาว ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แหงนคอพิงพนัก นึกถึงคำพูดวันนี้ของคุณเพย์แล้วต้องล้วงเอามือถือขึ้นมาดูข้อความ



   JinN Arayapat : ถึงรึยัง?

   JinN Arayapat : เฮ้อิฐ นี่คุณขับถึงบ้านรึเปล่าเนี่ย

   JinN Arayapat : อิฐ คุณถึงบ้านจริงๆ ใช่มั้ย ตอบสิ



   แล้วก็ตามด้วย Line Miss call ประมาณสิบกว่าสาย มือถือผมแบตหมดเลยไม่ได้สามารถรับได้ คุณเพย์คงเป็นคนเอาไปชาร์ตให้หลังผมนอนหลับไป เขาคงจะเห็นข้อความมากมายที่แจ้งเตือนผ่านหน้าล็อคสกรีนล่ะมั้ง เพราะข้อความมันยังค้างอยู่ตรงนั้น แปลว่าเขาไม่ได้กดเข้าไปดู

   ก็ยังดีที่ยังพอมีมารยาท

   ผมลุกขึ้นเปิดตู้เย็นดูว่าเหลืออะไรบ้าง ก่อนจะลิสต์รายการลงมือถือ จากนั้นจึงลงลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อไปลานจอดรถ แทนที่จะได้ออกไปซื้อของอย่างสงบสุข กลับเจอร่างสูงล่ำในชุดเสื้อเชิ้ตลายตั้งสีขาวน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ตัวเดิมนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงล็อบบี้ที่หันหน้ามาทางลิฟต์พอดี มือของเขามีมือถือที่เหมือนกำลังจะกดโทรหาใครสักคน

   เสียงเรียกเข้าผ่านไลน์ดังขึ้นที่มือถือผมเอง...

   ผมกรอกตา พอดีกับที่เขาเหลือบตาขึ้นมองผมนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้ม ผมกดรับสาย

   “มีอะไรครับ”

   “คุณจะไปไหน?”

   เขากรอกเสียงลงในโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ระยะห่างแค่เดินมาไม่กี่ก้าวก็คุยกันได้ตามปกติแท้ๆ ผมเบือนหน้าหนีเซ็งๆ

   “ซื้อของ”

   “ไปด้วย”

   “ว่างเหรอครับ งานการไม่มีรึไง” ผมถามพลางเดินหนีไปยังประตูลานจอดรถภายในอาคาร ร่างสูงลุกเดินตามผมมาติดๆ จนเกิดเป็นเสียงสะท้อนในมือถือ ผมตัดสายทิ้งเมื่อรับรู้ว่าเขาอยู่ข้างหลังผมนี่เอง

   “ว่าง ตลาดหุ้นปิดเสาร์อาทิตย์นะ”

   ผมหมดคำพูด เขาเดินมาขวางหน้าทำให้ผมชะงักเท้าตัวเอง แหงนมองคนตัวสูง

   “จะไปซื้อของใช่มั้ย ไปกับผมสิ”

   “ไม่ครับ”

   “กลัวเพย์มันด่ารึไง”

   ผมเงียบ เดินหลีกออกมาแต่คุณจิณณ์กลับรั้งแขนผมไว้ ผมนิ่วหน้า เพราะความปวดร้าวระบมของร่างกายยังคงอยู่ ผมตัวเล็กนิดเดียว รับความรุนแรงของคุณเพย์ที่แม้จะอ่อนโยนมากแล้วเมื่อคืนนี้ไม่ไหวหรอกครับ ต้องมีเจ็บมีปวดบ้างแหละ

   “ขอโทษที เจ็บตรงไหน”

   “เปล่าครับ” ผมแกะมือเขาออก “ถ้าผมไปกับคุณจิณณ์ จะให้กี่บาทครับ”

   ผมลองเกริ่นถามเล่นๆ เผื่อวันไหนคุณเพย์อยากเขี่ยผมทิ้ง จะได้มีที่เกาะใหม่ไว้รอรับ... ผมพูดไปงั้นแหละ จริงๆ ถ้าเขาทิ้งผมก็คงจะดี

   คุณจิณณ์เงียบไป ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามา ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวสวย

   “อยากได้กี่บาท ผมให้หมดเลย”

   “ประสาทครับ”

   

   สุดท้ายผมก็ยอมนั่งรถมากับเขา นานมากแล้วที่ไม่เป็นคนนั่ง เป็นคนขับอย่างเดียวจนลืมความรู้สึกที่ไม่ต้องจับพวงมาลัยไป ผมทำตัวไม่ถูก มองคอนโซลหน้ารถแบบเกร็งๆ คุณจิณณ์อารมณ์ดี เขาคาดเข็มขัดแล้วสตาร์ทรถพลางบอกผม

   “คาดเข็มขัดด้วยครับ”

   ผมเพิ่งรู้ตัว ก่อนจะดึงเข็มขัดมารัดตามคำบอกของเขา รถหรูราคากี่ล้านไม่รู้ผมไม่สนใจแล่นผ่านถนนไป ผมบอกปลายทาง เขาอยากจะไปทางไหนก็เรื่องของเขา ผมง่วง...

   “ง่วงเหรอ หลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมปลุก”

   ผมผงกหัวรับ ก่อนจะผล็อยหลับไป

   ผมรู้สึกเหมือนหลับไปไม่นาน รถของคุณจิณณ์จอดสนิทที่ห้างใกล้บ้านที่สุด เขาปลุกผมพลางปลดเข็มเข็มให้ สีหน้าผมคงดูแย่มาก

   “เพย์มันใช้งานคุณหนักเหรอ คุณดูเพลียมาก”

   “เปล่าครับ ผมพักผ่อนน้อยเอง”

   ความจริงผมมีอาการแบบนี้มาสักพักแล้ว แต่อาศัยกาแฟช่วยในการทำให้ตัวเองตื่นเพื่อที่จะได้ขับรถให้คุณเพย์นั่งไปถึงจุดหมายโดยไม่แวะโรงพยาบาลระหว่างทาง

   ผมเปิดประตูรถลงไป คุณจิณณ์เดินตามหลังผมเข้าห้าง ผมดึงรถเข็นออกมาแต่คุณจิณณ์กลับแย่งมันไปเข็นเอง ผมคร้านจะต่อล้อต่อเถียง อยากรีบซื้อของแล้วรีบกลับ

   “เมื่อคืนคุณไม่ตอบไลน์ผม โทรไปหาตั้งหลายสายก็ไม่รับ ผมนึกว่าคุณขับตกข้างทางไปแล้ว”

   ผมที่กำลังเลือกยาสระผมที่ใกล้จะหมดก่อนจะวางสูตรที่คิดว่าใช้แล้วผมจะนุ่มลงในรถเข็น ตอบลวกๆ

   “ผมหลับ แบตหมด”

   “อ่า...”

   ผมเดินมายังโซนของสด ก้มๆ เงยๆ เลือกผักผลไม้ที่น้องอิงชอบ เธอกินเก่งกว่าผมเยอะ หยิบนู่นนี่นั่นลงรถเข็นโดยมีคนตัวสูงเป็นสารถีคอยเข็นตามไม่ห่าง แอบมีแวบๆ หยุดดูของบนเชลฟ์บ้าง เหมือนเช็คราคาตลาด นั่นสินะ เขาเป็นนักลงทุน การชอบเช็คราคาคงเป็นสิ่งที่เขาชอบทำ

   “นี่ ทำไมผงซักฟอกยี่ห้อนี้มีโปรซื้อ 1 แถม 1 แต่อีกยี่ห้อใช้ลดราคาเอา คุณรู้มั้ย?”

   เขาถามผม นี่เป็นการถามเพราะไม่รู้หรือจงใจถามเพื่อหลอกดูว่าผมโง่มั้ยรึเปล่า

   ผมหยิบยี่ห้อที่มีโปร 1 แถม 1 มาใส่รถพลางตอบ

   “ของฟรีใครๆ ก็ชอบ กำไรน้อยหน่อยแต่ได้ทยอยเอาของออก ล้างสต็อคไปในตัว ส่วนลดราคา ความจริงมันก็ไม่ได้ลด แค่ราคาแรกมันบวกเพิ่มไปแล้วกันขาดทุน แค่ลดลงมาหน่อย ของเซลล์ไม่ว่าจะกี่บาทก็โดนตกกันทั้งนั้น” ผมดูน้ำยาล้างจาน “สำหรับโลกของนักธุรกิจไม่มีคำว่าขาดทุน มีแค่ส่วนต่าง จะต่างมาก ต่างน้อย ก็อยู่ที่แผนธุรกิจ”

   “หืม... ไอ้เพย์สอนมาดีนะ”

   เขาเท้าแขนลงบนมือจับรถเข็น ผมถอนหายใจ

   “เขาเองก็ลงทุนกับผมไว้เยอะเหมือนกัน”



   “อิฐ”

   “ครับคุณจิณณ์”

   เขาจอดรถอยู่หน้าคอนโด ผมเตรียมลงรถไปขนของลง ซื้อมาเยอะเหมือนกัน สงสัยต้องขอให้พนักงานมาช่วย คนตัวใหญ่หันตัวมาก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากแห้งๆ เหมือนคนขาดน้ำ ผมเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นดันร่างเขาออก แต่ลิ้นร้อนกลับสอดเข้ามาไซร้ไปทั่วอย่างอ่อนโยน จนผมมึนเมา งุนงง...

   มือของคุณจิณณ์สอดเข้ามาลูบเอวผมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมพยายามผลักเขาออกสุดชีวิต แต่ตัวเขาแข็งมากจนแรงของผมไม่กระเทือนร่างที่ขยับมาใกล้แม้แต่น้อย ผมหายใจไม่ออก คุณจิณณ์ถึงยอมเอียงหน้าเปิดทางให้ผมหายใจทางจมูก ก่อนจะถอนออกไป ดวงตาสีน้ำข้าวของเขาจ้องมองผมอย่างพิศวาศ ไล้มือลูบรอยแผลเป็นบนข้อมืออย่างหลงใหล

   “ผมพูดจริงๆ” น้ำเสียงเขาพร่า “ถ้าคุณอยากเป็นอิสระ มาหาผมนะ ผมจะดูแลคุณ”

   ผมกัดปาก ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัย ลงจากรถมาหอบหายใจจากอาการตื่นเต้น...

   เชี่ยไร...

   ผมยกหลังมือเช็ดปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมาจากระยะไม่ถึงห้าสิบเมตร

   คุณเพย์มองผมอย่างเย็นชาอยู่หน้าประตูคอนโด ผมไม่รู้ว่าเขาเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้รึเปล่า แต่ดูจากสีหน้าของเขากับการจ้องไปยังคนที่ลงจากรถตามมาก็รู้ได้ทันทีว่า

   งานเข้าไอ้อิฐอีกแล้วกู!

   ผมใจเต้นรัวเร็ว ทั้งตกใจ ทั้งกลัว คุณเพย์ย่างสามขุมเข้ามาก่อนจะเดินไปกระชากคอเสื้อคุณจิณณ์ที่เชิดหน้าท้าทายด้วยรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างไม่กลัวเกรง ผู้ชายตัวควายๆ สองคนกำลังจะทำให้ยามไม่กล้าเข้ามาห้ามการทะเลาะวิวาท เพราะถ้าห้ามก็อาจจะโดนไล่ออก แต่ถ้าไม่ห้าม ก็อาจจะโดนไล่ออกด้วยเหมือนกัน

   “คะ... คุณเพย์ครับ ใจเย็น...”

   “เย็นเหี้ยไร!” เขาหันมาตวาดจนผมสะดุ้งตัวแข็ง หน้าชา “กูบอกมึงว่าอย่ามายุ่งกับคนของกู มึงเสือกทำอะไรไอ้สัด!”

   คุณจิณณ์ผลักคนหาเรื่องออกก่อนจัดคอปกเสื้อตัวเอง

   “สันดานมึงก็เหี้ยไม่ต่างจากกู ไอ้เพย์ อย่ามาทำตัวเป็นคนดี”

   “ไสหัวไปเลยไอ้เหี้ย”

   คุณเพย์ไล่รุนแรง ผมไม่เคยเห็นเขาโมโหขนาดนี้ คุณจิณณ์หัวเราะขำ พิงกระโปรงรถกอดอก

   “มึงก็รู้ว่ากูขี้เสือกขนาดไหน”

   “ไปไกลๆ ก่อนจะโดนตีน”

   “หยาบคายไปแล้วคุณเพย์!” ผมปรามเขาเสียงเครียด อาจมีปาปารัซซี่อยู่แถวนี้แล้วได้รูปไปหลายช็อต ผมมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงแทนเขาผู้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเลย คุณเพย์ลากผมกลับเข้าไปในคอนโด แต่ผมเหลียวหลังกลับไปมองรถพลางตะโกน

   “ของของผม! ไอ้คุณเพย์ ของผมอยู่ในรถ!”

   “เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่!”

   เชี่ยเอ้ย!

   ผมถูกลากเข้ามาในลิฟต์ที่ปิดแทบจะทันที และเพราะมันเป็นลิฟต์ส่วนตัวถึงทำให้ไม่มีใครใช้ร่วมกัน การจะหวังให้มีคนมาช่วยผมออกจากสถานการณ์นี้น่ะ ลืมไปได้เลย

   “มันทำอะไรมึง บอก!”

   “ทำอะไรล่ะ เขาไม่ได้ทำ!” ผมตอบพร้อมกับดึงข้อมือออก คุณเพย์กัดฟันกรอด เขาบีบกรามผมก่อนจะใช้นิ้วไล้ปากที่บวมเจ่อ ผมเม้มปากแต่เขากลับออกแรงบีบมากขึ้นจนมันอ้าออก คุณเพย์ล้วงลิ้นเข้ามาอย่างดุดันก่อนจะถอนออกมาขบริมฝีปากของผมจนเลือดซิบ ผมน้ำตาคลอ เจ็บไอ้สัด!

   “ปากบวมขนาดนี้ มึงเอาไปชนกับเสาไฟฟ้ามาเรอะ!”

   “ตลก!”

   ผมสวนกลับ คุณเพย์ถอนมือออกเมื่อเห็นว่าลิฟต์กำลังจะถึงชั้นห้องของผม เขาพยายามปรับหน้าให้เป็นปกติ เช่นเดียวกับผมเพื่อไม่ให้น้องอิงรู้ถึงสถานการณ์ชวนอึดอัดนี่ ก่อนออกจากลิฟต์ เขาพูดด้วยน้ำเสียงโมโหแต่เอาจริง

   “ถ้ากูรู้ว่ามึงไปเจอมันอีก มึงยับคาเตียงแน่ อิฐ”

   

   สุดท้ายน้องอิงก็ยังไม่ตื่น กว่าเธอจะตื่นก็เกือบหกโมงเย็น ผมลงมาด้านล่างอีกครั้งเพื่อออกไปหาซื้อของที่เซเว่นหลังจากที่คุณเพย์เข้าห้องน้องอิงไป แต่นิติบุคคลกลับบอกว่ามีของฝากมาให้ผมซึ่งก็คือข้าวของทั้งหมดที่ผมซื้อมา สงสัยคุณจิณณ์จะขนมาให้ ขอบคุณเขาล่ะที่ไม่กลับไปทั้งๆ ที่ของของผมเต็มหลังรถ

   ผมแบกข้าวของพะรุงพะรังขึ้นลิฟต์ เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นว่าคุณเพย์ออกไปยืนสูบบุหรี่ข้างนอกระเบียง ผมมองแผ่นหลังกว้างที่ลู่ลง เขาก้มหน้าเท้าแขนกับราวระเบียงเหมือนคนคิดไม่ตก

   ผมยังโมโหเขาไม่หาย แต่ทำอะไรไม่ได้ เขาเป็นเจ้าของเงินที่ผมใช้ เจ้าของบ้านที่ผมอยู่ เจ้าของรถที่ผมขับ มองๆ ดูแล้ว ไม่มีอะไรในชีวิตของผมที่เป็นของผมจริงๆ สักอย่าง

   มีแค่น้องอิงคนเดียว... สมบัติสุดท้ายในชีวิตผม

   ผมหน้ามืด อยู่ดีๆ ก็เหมือนโลกเหวี่ยง มือคว้าเอากะละมังล้างผักสแตนเลสตกลงมาจนเกิดเสียงดัง คุณเพย์ที่ได้ยินเสียงกับน้องอิงที่นอนอยู่ในห้องรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม น้องอิงหน้าตาตื่น ยกมือยกไม้ทาบเนื้อตัวผมเพื่อวัดไข้ ผมปิดปากตัวเอง ทำท่าเหมือนจะอ้วก

   “พี่อิฐคะ พี่อิฐ ไม่สบายตรงไหนยังไงคะ บอกอิงนะ”

   น้องอิงประคองผมมาซบพลางขอให้คุณเพย์หาผ้าชุบน้ำกับยาดมให้ ส่วนเธอก็หากระดาษแถวนั้นมาพัดวีให้ผมที่หอบหายใจตัวโยน

   “พี่อิฐ พี่คะ! ไปหาหมอดีกว่านะ อิงว่าพี่ไม่ไหวแล้ว”

   น้องอิงเสียงสั่น ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองไม่สบายอะไร แค่รู้สึกคลื่นไส้ หน้ามืด... อยากนอน...

   “อยากนอน...”

   ผมหลับตาลง ร่างผอมเซียวค่อยๆ ไร้การตอบรับ เสียงน้องอิงกับคุณเพย์สะท้อนในหูแต่จับใจความไม่ได้

   เสียงสุดท้ายคือเสียงของคุณเพย์

   “อิฐ อิฐ! ตื่นสิอิฐ...”

   ...

   ตอนแม่ท้อง... ผมตื่นเต้นมาก ยิ่งเห็นวันที่ท้องของแม่โตขึ้นเรื่อยๆ ผมยิ่งตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นกลัว เมื่อแม่หงุดหงิดง่ายขึ้น ปวดหลังบ่อยขึ้น และเจ็บท้องหนักขึ้น

   “อิฐจะนวดให้แม่นะ”

   ผมทำตัวเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย เห็นแม่เหนื่อย เห็นแม่เมื่อย ผมก็จะคอยช่วยคอยนวด หวังให้อารมณ์แปรปรวนของแม่ดีขึ้น จนกระทั่งสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายได้ออกมาลืมตาดูโลกเป็นตัวเป็นตน

   “แม่ นี่น้องเหรอ”

   ผมย่นหน้า เห็นน้องตัวแดงๆ เหี่ยวๆ เหมือนเอเลี่ยน ไม่เห็นน่ารักอย่างที่คิดเลย แม่หัวเราะโดยมีพ่อของน้องยืนลูบหัวแม่อยู่ข้างๆ   

   “น้องอิงจ้ะ อิงลดา น้องอิฐเป็นพี่ชายแล้วนะลูก”

   ผมรู้สึกประทับใจกับตำแหน่งใหม่ แม่พร่ำสอนเสมอว่าเป็นพี่น้องต้องรักกัน เราเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง ดูแลน้อง ปกป้องและรักน้องให้มากๆ

   รัก... รักมากๆ ผมรับรู้ความรู้สึกนี้มาตลอด

   ในวันที่น้องเกิดจนถึงวันที่แม่เริ่มทำร้ายผมจากเหตุการณ์วิกฤตของบ้าน ในวันที่พ่อผูกคอตาย ใต้เท้าพ่อมีน้องนั่งเล่นของเล่นอยู่ ส่วนผมได้แต่จ้องเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญเกินกว่าที่เด็กสิบขวบจะรับได้อยู่ห่างๆ

   แม่กำลังจะกลับบ้าน ผมกลับมาก่อนพร้อมรถโรงเรียนรีบวิ่งไปอุ้มเด็กหญิงอิงลดาออกมา ปิดตาน้องและกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้

   ข่าวการตายของพ่อเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ แม่ขึ้นศาลบ่อยกว่าไปส่งผมที่โรงเรียน ผมเลี้ยงน้องเองกับมือ ทุ่มเทความรักให้น้องแทนแม่ จนมันกลายเป็นความผูกพันประหลาด กระทั่งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมถูกพ่อแท้ๆ พาตัวไปให้พวกเจ้าหนี้รุมโทรมอย่างน่าอดสู แม่เข้าโรงพยาบาลบ้าแทนที่ผม ผมกู้ตัวเองกลับมาเพราะน้องอิงร้องไห้เรียกชื่อผมมากกว่าร้องหาแม่

   นับแต่วันนั้น น้องอิงคือชีวิตผม คือเหตุผลเดียวที่ผมอยากมีชีวิต

   ผมรักน้องอิง... รักเกินกว่าที่พี่ชายคนนึงจะรักน้องสาวตัวเองได้

   ผมได้แต่เก็บมันไว้ จนวันนึง... ผมเมา

   ผมเผลอตัวเผลอใจทำร้ายน้องไป...

   ผมไม่มีวันให้อภัยตัวเอง ถึงแม้น้องอิงจะให้อภัยผมเสมอมา

   เรามีกันแค่สองคน...

   โลกนี้ผมยกให้เธอ

   ต่อให้ต้องโดนใครดูถูกย่ำยี ผมสัญญากับตัวเองว่าหลังจากวันนั้น ผมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ ให้เธอใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ แม้เธอจะคบกับคุณเพย์ ผมก็ทนได้ ทนเห็นคนที่ผมรักอยู่กับคนที่ฟูมฟักและมอบทุกอย่างที่ผมขาดให้

   แม้กระทั่งใช้ร่างกายตัวเองสนองความต้องการที่น้องอิงไม่สามารถให้ได้

   เพราะผมทำให้น้องอิงเป็นโรคกลัวการมีความสัมพันธ์ทางกาย ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเพย์ใช้วิธีไหนถึงหลอกล่อน้องอิงให้สามารถมีอะไรกับเขาได้ แต่ผมจะหนีออกไปทุกครั้งที่คุณเพย์มา เขาบอกว่าจะช่วย... ช่วยน้องอิง และน้องอิงก็ไม่ได้รังเกียจ วินวินทั้งสองฝ่าย

   มีแค่ผม ที่แพ้...

#คุณเพย์รักอิสระ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 8
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 03-11-2019 19:10:41
| Day 8 |
Promised
(2/11/62)


   กลิ่นยา...

   ผมค่อยๆ ลืมตามองเพดานห้องที่ค่อนข้างสลัวเพราะมีเพียงแสงจากโคมไฟบนหัวเตียงที่เปิดอยู่ เหลือบมองถุงน้ำเกลือที่ห้อยอยู่ข้างๆ เตียง ก่อนจะเบือนมองหาร่างของคนที่น่าคอยเฝ้าไข้ผม

   แต่คนที่ผมเจอกลับไม่ใช่เด็กสาว แต่คือร่างสูงใหญ่ที่นั่งหลับอยู่บนโซฟามุมห้องตรงข้ามกับเตียงคนไข้

   ผมมองร่างที่ดูอิดโรย เขาอยู่ในชุดเดิม นั่งกอดอกหลับเหมือนไม่รู้ตัว ความรู้สึกร้อนวูบเข้ามาในอก

   เป็นครั้งแรกที่ผมป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล คุณเพย์คงตกใจน่าดู

   ผมขยับร่างเล็กน้อยคลายความเมื่อยล้าเพื่อยันตัวขึ้นนั่ง เพียงแค่นั้น คนที่แอบงีบตอนเฝ้าไข้ผมก็ลืมตาสะดุ้งตื่น เขามองมาทางผมนิ่งๆ เหมือนสะลึมสะลือ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่กำแน่น ผมเงยหน้ามองเขาโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไร

   ขอบคุณสักทีดีมั้ย...

   “ขอโทษ”

   เขาพูดก่อน ผมเลิกคิ้ว รู้สึกประทับใจที่คนปากหนักอย่างคุณเพย์ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาเอ่ยขอโทษคนขับรถกระจอก

   มือใหญ่คลายออกก่อนจะยกลูบหน้าผมที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาหน่อย หน้าตาเขาตอนนี้ตลกชะมัด

   มันทั้งบิดเบี้ยว เศร้าสร้อย และสับสน ตาเขาแดงก่ำเหมือนผ่านศึกเจ้าน้ำตามาไม่นาน

   คุณเพย์ทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะรวบร่างผอมๆ ของผมมาโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม เขาจูบข้างหูผมแรงๆ หนึ่งที ก่อนจะวางคางไว้บนหัวผม บังคับให้หน้าผมซุกอยู่กับอกแน่นๆ

   “หาหมอเถอะนะอิฐ มึงไม่ไหวแล้ว รู้ตัวบ้างมั้ย”

   ผมหลับตา เกาะเสื้อยืดของเขาแน่น

   “ผมไม่ได้เป็นอะไร”

   “กูผิดเอง กูใจร้อนกับมึง กูเอาแต่ใจ ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่ามึงอาการแย่ลง”

   คุณเพย์ลูบหัวผมพลางพูดไป

   “ผมหาหมอ แล้วใครจะขับรถให้คุณเพย์ ใครจะคอยรองรับอารมณ์คุณเพย์ ใครจะดูแลน้องอิง”

   ผมถอนหายใจ ในหัวคิดวุ่นวาย ผมรู้ตัวมาตลอดแต่พยายามหลอกตัวเอง หลอกมาตั้งแต่ต้น เพื่อที่น้องอิงจะได้ไม่เป็นห่วงและกังวลว่าผมจะทิ้งเธอไป หรือดูแลเธอไม่ได้

   โรคซึมเศร้าและแผลใจในอดีตเป็นของสะสมที่ผมไม่ต้องการ

   มันกัดกินผมมาเรื่อยๆ ทุกความรู้สึก ทุกเหตุการณ์ที่มันฝังใจ จนทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้าเหมือนแม่

   “กูรับปากมึง สาบานจะดูแลน้องอิงแทนมึง จนกว่ามึงจะหายดี กูจะไม่ทิ้งน้องอิง ไม่ทิ้งมึงด้วย ไม่ทิ้งใครก็ตามที่มึงรักมึงห่วง ขออย่างเดียว อย่าทิ้งกู...”

   “คุณเพย์”

   ผมครางเสียงสั่น... ปราการความรู้สึกสุดท้ายของผมพังทลายลงด้วยคำสัญญาของเขา เขากอดผมแน่นขึ้น

   “คุณเพย์สัญญาแล้วนะครับ จะไม่ทิ้งผมเหมือนที่แม่ทำ ไม่ทิ้งน้องอิงเหมือนที่พ่อทำ”

   ผมเรียกร้องคำสัญญาจากเขา คุณเพย์รับปากซ้ำๆ จนผมพอใจแล้วหลับไปทั้งน้ำตา



   - Pay Part -

   “พี่เพย์คะ”

   สาวน้อยว่าที่คุณหมอยืนรออยู่นอกห้องผู้ป่วย หน้าตาดูหมองเศร้า ดวงตาบวมช้ำ ปลายจมูกเห่อแดง แม้จะตัวเล็กและดูบอบบาง แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับมีความเข้มแข็งที่ผมนับถือ

   “อิงว่าเราต้องคุยกันใหม่แล้วค่ะ”

   ผมเงียบ ผงกหัวรับ น้องอิงมองประตูห้องที่ปิดสนิทแล้วเดินเข้าไปใกล้พลางเอาหน้าผากแตะประตูเบาๆ

   “พักผ่อนนะคะพี่อิฐ”

   ใจเธอคงอยากเข้าไปพูดใกล้ๆ แต่ ณ เวลานี้ มันคงจะไม่ใช่เวลาที่เธอจะเข้าไปเจอหน้าเขา

   ผมกับน้องอิงออกมานั่งที่ร้านกาแฟภายในโรงพยาบาลที่ครอบครัวผมมีหุ้นส่วน เราคุยเรื่องนี้กันมาไม่ต่ำกว่าปีละสิบครั้ง ตกเดือนละครั้งเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่ออาการของอิฐแย่ลงเรื่อยๆ เขาเบื่ออาหาร กินยากขึ้น รับแรงกดดันได้ต่ำ อารมณ์แปรปรวนถี่ขึ้น แน่นอนว่าสาเหตุหลักๆ ก็มาจากผม เรื่องนี้น้องอิงเคยเตือนผมหลายรอบแล้ว แต่ผมทำยาก... เพราะผมเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นมาตั้งแต่แรก

   ผมเป็นคนอารมณ์รุนแรง การต้องอยู่ใกล้ๆ คนที่มีสภาพป่วยทางจิตมันทำให้ต้องควบคุมตัวเองอย่างมาก จนสุดท้ายก็เผลอทำร้ายเขาไปไม่รู้ตัว

   “พี่เพย์คะ อิงว่าพอได้แล้วค่ะ”

   “น้องอิง”

   ผมบีบมือตัวเองแน่น น้องอิงถอนหายใจยาว ปรับสีหน้าที่มักจะยิ้มแย้มเสมอเป็นเรียบนิ่ง เด็กสาววัยยี่สิบที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามากมายแต่ยังคงเข้มแข็งอยู่ได้นั่งหลังตรง บุคลิกภาพสมกับที่คุณแม่ของผมที่รับเป็นผู้อุปถัมภ์เธอสั่งสอนมาอย่างดีตลอดเจ็ดปี

   “เราคุยเรื่องนี้กันบ่อยเกินไปแล้ว อิงว่าถึงเวลาต้องบอกความจริงพี่อิฐแล้วนะคะ”

   ผมเม้มปาก ซบหน้าลงกับมือ ใช้นิ้วนวดขมับที่เครียดเกร็ง

   “ตอนนี้อิงโตพอจะรับมือกับพี่อิฐแล้วนะคะ อาการพี่อิฐแย่ลงเรื่อยๆ เพราะเขาเอาแต่โทษตัวเองเรื่องอิง” น้องอิงกลืนก้อนสะอื้นที่มันจุกอยู่ในคอลงไป เธอเบือนหน้าออกไปมองข้างนอก น้ำตาคลอเบ้า “อิงยอมรับว่าจนวันตาย อิงก็ลืมเรื่องที่พี่อิฐทำกับอิงไว้ไม่ได้ แต่อิงต้องเดินหน้าต่อ ในขณะที่อิงเดินหน้าไปได้ แต่พี่อิฐเขากลับถอยห่างจากอิงไปเรื่อยๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว”

   สุดท้ายคนที่พยายามเข้มแข็งก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาแต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฟูมฟายเหมือนคนพี่

   “พี่เพย์ไม่ต้องปกป้องอิงอีกแล้วนะคะ”

   เด็กสาวหันกลับมา มือเล็กๆ เอื้อมมากุมมือผมที่กำลังบีบมือตัวเองแน่นจนเส้นเอ็นปูดนูน ผมคลายมือแล้วพลิกกลับไปจับมือบอบบางอย่างปลอบใจกันและกัน น้องอิงยิ้มสดใสให้ผมเหมือนเดิม

   “อิงขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่เพย์ทำเพื่อเราสองคนพี่น้องนะคะ”



   ผมมีพร้อมทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด ทั้งเงินทอง ครอบครัว ตระกูล วาสนา การศึกษาและผู้หญิงมากมายรายล้อมที่พร้อมจะปรนเปรอผมเต็มที่ คนรอบตัวผมไม่มีใครขาด มีแต่เกินพอดี ดังนั้นเมื่อผมเจอเขา คนที่ขาดแทบจะทุกอย่าง มันก็ทำให้ผมอดสนใจไม่ได้

   อิฐไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีหน้าตาสวยและดวงตาโศกที่สะกดสายตาคนอื่นให้เผลอหยุดมองที่เขาได้ เขามักจะถ่อมตัวและกดตัวเองให้ต่ำเสมอ เขาไม่เคยกล้ามองหน้าใครตรงๆ แม้กระทั่งตอนที่ผมถามชื่อเขาครั้งแรก

   “ชื่ออะไร”

   รูปร่างเล็กสะโอดสะองเหมือนผู้หญิงในชุดสูทของบริกรผับชื่อดัง ผมสีดำตัดสั้นถูกปาดเจลเสยขึ้นตามระเบียบร้านที่ต้องเก็บผมเปิดหน้าให้ชัด เขาถือถาดมาเสิร์ฟมาร์ตินี่ให้ผมที่ขนาบข้างด้วยสาวๆ อวบอึ๋ม เสียงแตกหนุ่มแต่ไม่ทุ้มเท่าไหร่ตอบผมอย่างอ่อนน้อม

   “อิสระครับ”

   “ชื่อเล่น?”

   “อิฐครับ”

   เขาก้มหน้าต่ำรอรับคำสั่งต่อ ผมได้คำตอบก็ไล่ให้ไปทำงานอื่นต่อ พยายามจะเลิกสนใจ แต่กลายเป็นว่าสนุกไปไม่เท่าไหร่ สายตาเป็นต้องมองหาร่างเพรียวๆ ที่เดินไปๆ มาๆ ในโซนที่ตัวเองดูแล มีพลาดบ้างอะไรบ้างตามประสา คงจะตื่นเต้นที่ได้มาดูแลโซนวีไอพี ผมมาที่นี่หลายครั้งเพราะเป็นหุ้นส่วนอยู่ พึ่งจะเคยเห็นเขาครั้งแรก

   “ไร้สาระ” ผมด่าตัวเอง ก่อนหันไปสนใจแม่สาวแน่งน้อยที่จะเกยตักผมอยู่แล้วแทน แต่สนไม่เท่าไหร่ เสียงเกี้ยวพาตามประสาลุงๆ เงินหนาใจป้ำก็ดังเข้าหูผม ปกติผมไม่สนใจด้วยซ้ำ เพราะมันคนละโซนและเสียงเพลงก็ดังจนก้อง ไม่รู้ทำไมวันนี้เสียงรอบข้างทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษ

   มันดันเกี้ยวไอ้หนุ่มที่เพิ่งจะเคยทำโซนวีไอพีครั้งแรกน่ะสิ

   รสนิยมมันยากจะหักห้ามใจได้ล่ะมั้ง

   ผมเดินออกไปพิงราวกั้นที่สามารถมองข้ามโซนได้อย่างสนใจ ในมือมีบุหรี่นำเข้าที่ราคาแพงกว่าค่าข้าวทั้งวันของคนทั่วไป ร่างผอมกะหร่องพยายามยื้อยุดแขนตัวเองให้เบามือที่สุดจากพวกตาแก่ตัณหากลับลงพุง ผมได้ยินแว่วๆ เพราะตาแก่พวกนั้นชอบส่งเสียงดังอวดอ้างตัวเองอยู่เรื่อย

   “คนสวย ขอจับก้นทีแล้วป๋าจะทิปให้อย่างงามเลยนะ”

   ก้นสาวๆ บนตักไม่นุ่มพอรึไงถึงมาขอจับก้นผู้ชายที่หุ่นแห้งเป็นไม้เสียบไก่น่ะ

   “ขอประทานอภัยครับคุณลูกค้า ร้านเราไม่มีบริการทางนั้นนะครับ”

   “หยวนน่าๆ”

   ไอ้แก่นั่นยัดแบงค์พันห้าหกใบลงในมือเรียวที่กำแน่น ผมโยกหัว ดูดบุหรี่เข้าปอด อยากดูว่าเขาจะหาทางเอาตัวรอดโดยไม่โดนทัณฑ์บนหรือไล่ออกยังไง เพราะดูเหมือนเพื่อนๆ ของเขาจะไม่ค่อยอยากเข้ามายุ่งเสียเท่าไหร่ คงจะกลัวโดนลูกหลงไปด้วย

   อิฐสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะยิ้มหวานให้

   “งั้นคุณลูกค้าเปิดพรีซักขวดสิครับ จะได้ทำให้ผมมีเวลาว่างมาบริการคุณลูกค้าบ้าง”

   ไอ้แก่นั่นก็เสือกโง่ติดกับ โดนหลอกให้เปิดไวน์ราคาเหยียบห้าหมื่นไปจนได้ แต่กลับไม่ได้แม้แต่แตะต้องไอ้หนุ่มนั่น เพราะเขาดันให้เพื่อนมารับหน้าแทนโดยยกค่าเปิดขวดให้

   นึกว่าจะง่าย...

   “คุณเพย์คะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาแอบดูอะไรคะ”

   สาวเปิดขวดที่ผมมักเรียกใช้ประจำเวลามาร้านนี้เข้ามากอดแขนถามเมื่อเห็นผมออกมานาน ผมชี้ไปที่ตัวบางๆ ที่เดินอยู่ชั้นล่างแล้วถาม

   “พนักงานใหม่เหรอ ผมไม่เคยเห็น รับมือได้ดีกับพวกตัณหากลับ”

   สาวเปิดขวดคนโปรดของผมมองตาม ก่อนจะร้องอ๋อ “นั่นน้องอิฐค่ะ ทำงานที่นี่มาสามเดือนแล้วมั้งคะ เพิ่งได้เข้ามารับโซนวีไอพี อยากได้เหรอคะ มุกติดต่อให้มั้ย” เธอลองแหย่รสนิยมผมดู

   “เปล่า... อืม ผมแค่สนใจ เขาอายุเท่าไหร่ ดูแล้วไม่น่าจะเข้ามาทำร้านนี้ได้”

   “สิบเก้าจะยี่สิบแล้วค่ะคุณเพย์ ร้านเราเคร่งกฎเหมือนเดิมนะคะไม่ต้องห่วง” เธอรู้ว่านอกจากผมจะเป็นลูกค้า ผมก็ยังมีหุ้นอยู่ที่นี่ด้วยเพราะร้านนี้เป็นร้านเพื่อนผมเอง

   “อยากเลี้ยงมั้ยคะ?”

   สาวใหญ่ยิ้มกระหยิ่ม ผมหัวเราะ หันกลับไปจับคางมนเขย่าเล่นอย่างหมั่นไส้

   “อยากลองเปย์ดูครับ”

   

   ผมสนใจเขาหนักมาก ทั้งคำพูด การกระทำที่ดูฉลาด การต่อรอง การเอาตัวรอด ผมมาสังเกตเขาทุกอาทิตย์ ลองให้คนของผมไปสืบเรื่องของเขามา ทำให้รู้ภูมิหลังของเขามาไม่น้อย

   ชีวิตน่าสมเพชฉิบหาย อย่างกับละคร

   วันนึงเขาก็พลาดท่า โดนมอมเหล้าโดยลูกค้าผู้หญิงที่ถูกใจเขาจนเรี่ยราดทั้งๆ ที่ดื่มไปแค่ไม่กี่ช็อต ลำบากเพื่อนร่วมงานต้องพากลับห้องพักกันอย่างทุลักทุเล หน้าเขาแดงจนเหมือนเหมือนคนแพ้แอลกอฮอล์ ผมลองตามเข้าไปดู ผู้จัดการร้านเข้ามาทักเมื่อเห็นว่าผมจะเดินเข้าไปในโซนพนักงาน

   “คุณเพย์มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าครับ”

   “เด็กนั่น... เอ่อ อิฐ เขาเป็นไงบ้าง”

   “เอ่อ... นานๆ ทีก็จะมีเรื่องแบบนี้บ้าง คุณเพย์อยากให้ตักเตือนหรือยังไงมั้ยครับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวให้เขาเลิกงานเลย ผมจะไปส่งเขา”

   “คุณเพย์... เอ่อ” เขาคงประหลาดใจที่ผมทำตัวเป็นหุ้นส่วนที่ดีถึงขั้นพาพนักงานที่เมาพับกลับไปส่งบ้าน ผมยกเอาข้ออ้างที่ว่า ผมถูกใจเขา มาใช้ ทำให้ผู้จัดการเลิกถามไปเลย

   พนักงานรุ่นพี่และรุ่นเพื่อนช่วยกันแบกร่างที่ทิ้งตัวไร้การพยุงด้วยตัวเองใดๆ มาที่รถของผมซึ่งจอดรออยู่หน้าร้าน ยัดร่างผอมซีดเข้าไปเบาะหลัง ผมจ่ายทิปให้เป็นปกติ ก่อนจะสั่งห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับเจ้าตัวหรือใครที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์พร้อมกับรับปากว่าไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำอะไรเขาหรอก

   “งื้อ... อิง”

   ผมสอดตัวมานั่งเบาะหลังแล้วสั่งให้คนขับรถคนปัจจุบันมุ่งหน้าไปยังบ้านของเขา ระหว่างทาง ผมมองคนที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆ เขาหันหัวมาทางผม แต่ซุกหน้าเข้าหาเบาะรถ ห่อไหล่ ยกมือปิดปาก ทำท่าเหมือนจะอ้วก

   “เฮ้ย! เดี๋ยว อย่ามาอ้วกในรถนะเว้ย! จอดๆๆ”

   รถ BMW รุ่นท็อปหักเข้าข้างทางกะทันหัน ผมรีบเปิดประตูรถแล้วดันร่างปวกเปียกขึ้นพลางจับให้มันโน้มหน้าออกไปข้างนอกรถ ทันทีที่ลมเย็นๆ ตีหน้า คนตัวบางก็โก่งคอเอาเหล้าที่ดื่มเข้าไปออกมาทันที ผมเบือนหน้าหนี ให้ตายเถอะ เวรเอ้ย!

   “คุณเพย์ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” คนขับรถหันมาทำท่าจะเปิดประตูลงไปช่วย แต่ผมสั่งห้าม

   “ไม่ต้อง” ผมลูบหลังเขา ก่อนจะถอนหายใจ ดึงทิชชู่ในรถออกมาเป็นปึกแล้วจัดการเช็ดปากให้ สิ่งที่ออกมามีแต่แอลกอฮอล์เท่านั้น หมายความว่าเขาน่าจะยังไม่ได้กินข้าว

   “เฮ้อ กูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย”

   รถจอดที่หน้าแฟลตเก่าๆ สูงสามชั้น ในตรอกสกปรกคล้ายสลัม ผมมองสภาพแล้วย่นคิ้วทันที ให้ตายเถอะ... มีสถานที่แบบนี้ในกรุงเทพด้วยเหรอวะเนี่ย ผมเคยให้คนไปสืบมาจนรู้ละเอียดยิบว่าเขาอยู่ที่ไหน ห้องอะไร ผมอุ้มร่างบางที่เบาหวิว อาจจะเบากว่าสาวนั่งดริงก์บางคนด้วยซ้ำแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แม่งเอ้ย ไม่มีลิฟต์เหรอวะ!

   ผมใช้เท้าเตะประตูห้องโครมๆ แทนการเคาะด้วยมือ ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ดูชินชากับเสียงเอะอะ เพราะผมได้ยินเสียงปาหม้อปาไหจากชั้นสาม คงเป็นผัวเมียทะเลาะกันสักห้องเนี่ยแหละ ไม่นานนัก ม่านที่ติดตรงประตูเหล็กดัดก็ถูกเลิกออก หน้าของเด็กสาวที่อายุน่าจะยังไม่ถึงสิบห้าดีแต่ไม่เห็นจะเหมือนคนเป็นพี่สักนิดก็โผล่ออกมาอย่างหวาดระแวง

   เธอเหลือบตาขึ้นมองร่างสูงโย่งของผมที่หัวแทบจะชนประตูอย่างตกใจ

   “คะ... ใครคะ มะ... ไม่มีเงินหรอกค่ะ พะ... พี่อิฐยังไม่กลับค่ะ”

   บทพูดเหมือนถูกสอนให้พูด ผมทำหน้าประหลาด ขมวดคิ้วยุ่ง

   “อิงลดาใช่มั้ย?”

   “เอ๊ะ... คะ... ค่ะ คือ... คือพี่อิฐไม่อยู่...”

   เด็กสาวตัวสั่นงันงก ย้ำคำพูดเดิมๆ ผมจิปากก่อนจะยกร่างของคนที่เด็กสาวบอกว่าไม่อยู่ๆ ให้ดู

   “อยู่นี่ไง เมาอ้วก เปิดประตูเร็ว หนัก”

   ผมในวัยยี่สิบสองพูดด้วยความรำคาญ เด็กหญิงอิงลดาเบิกตากว้าง ก่อนจะกุลีกุจอปลดล็อคประตูบ้านสิบกว่าชั้นออกให้ ผมเดินเข้ามาโดยที่ไม่ถอดรองเท้า วางร่างที่คอพับคออ่อนลงบนพื้นห้อง ผมมองสภาพห้องที่แม้จะไม่ได้สวยแต่สะอาดเป็นที่เป็นทาง ทุกอย่างรวมกันอยู่ในห้องเดียว แบ่งแค่ห้องน้ำกับระเบียงที่มีประตู ขนาดห้องครัวยังอยู่ตรงประตูหน้าเลย

   “พี่อิฐ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ พี่อิฐไม่ดื่มนี่นา”

   เด็กสาววิ่งหากะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่ชาย ผมนั่งลงบนพื้นพลางชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง มองเด็กสาวอย่างเอ็นดู อืม... มิน่าล่ะ อิฐถึงได้พยายามอย่างหนัก น้องสาวน่ารักขนาดนี้ เป็นผม ผมก็ไม่ยอมให้ออกไปทำงานข้างนอกหรอก

   “เอ่อ ขอบคุณนะคะที่ช่วยพาพี่อิฐมาส่ง พี่... พี่ชื่ออะไรเหรอคะ”

   “พี่ชื่อเพย์”

   ผมตอบ เด็กสาวพยักหน้ารับยกมือไหว้ผมปลกๆ

   “ไว้หนูจะบอกพี่อิฐให้นะคะว่าพี่เพย์พากลับ”

   “ไม่ต้องหรอก บอกว่าเพื่อนเขาพามาแล้วกัน”

   ผมลุกขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ สภาพแบบนี้จะอยู่กันเข้าไปได้ยังไง โดยเฉพาะเมื่อไอ้ห้องข้างบนมันยังโครมครามกันไม่เลิก ผมแหงนหน้ามองเพดานที่มีเสียงตึงตังๆ อย่างรำคาญ แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะชินซะแล้ว เพราะเจ้าหล่อนไม่สนใจอะไรเลยนอกจากพยายามลากพี่ชายตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียง จนผมอดสงสารไม่ได้ ช่วยอุ้มไปวางบนฟูกอีกรอบ

   “ไม่รำคาญบ้างเหรอ”

   ผมถาม เด็กสาวงงๆ ก่อนจะร้องอ๋อ เมื่อผมชี้ขึ้นไปข้างบน เธอหัวเราะ

   “ชินแล้วค่ะ อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง”

   แค่นาทีเดียวผมก็ไม่ทนแล้ว ผมเท้าเอว เด็กสาวลุกไปเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้ผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ

   “น้ำค่ะ”

   “ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธ เด็กสาวทำหน้าสลด คงนึกว่าผมรังเกียจ ผมจึงถอนหายใจแล้วรับมาดื่มรวดเดียวหมดแก้วก่อนส่งคืน “อยู่กันสองคนเหรอ”

   “เอ่อ...”

   อิงลดาเป็นเด็กฉลาด เธอคงรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรบอกว่าอยู่กันแค่สองคน ในขณะที่พี่ชายเมาไม่ได้สติ เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง เสียงโครมดังอีกครั้ง คราวนี้ผมสบถหยาบ ถ้ามีปืนสงสัยได้ยิงขึ้นแข่งแล้ว

   “แล้วอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ได้ไง มันอันตราย”

   ผมถามด้วยความหวังดี เด็กสาวเงียบไปแป๊บนึงก่อนตอบ

   “อยู่ได้ค่ะ”

   “ถ้าสมมติให้ย้ายไปอยู่ที่ที่มันดีกว่านี้ อยากไปมั้ย”

   คุณเพย์สายเปย์เริ่มทำงาน เด็กหญิงลังเล เธอคงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าผมถามแบบนี้ทำไม แล้วที่สำคัญคือผมเป็นใคร อยู่ๆ มาถามซอกแซกเรื่องส่วนตัว เออ... ผมก็คิดงั้น แต่เรื่องอะไรจะสน ผมแค่อยากรู้ประกอบการตัดสินใจบางอย่าง

   “ที่ไหนมีพี่อิฐ หนูอยู่ได้ค่ะ”

   ผมยิ้มถูกใจ ก่อนจะยกมือวางบนหัวเล็กเบาๆ แล้วเดินออกมา กำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าให้ล็อคประตูให้ดี แล้วอย่าบอกเรื่องที่ผมมาส่งกับพี่ชายด้วย เธอรับปากก่อนผมจากมา

   ผมกลับไปขึ้นรถก่อนจะบอกกับคนขับคนปัจจุบัน

   “อีกสามเดือน ผมจะเปลี่ยนคนขับรถ ลุงกลับไปขับให้ไอ้พีทเหมือนเดิมแล้วกัน”

   คนขับรถวัยกลางคนหน้าซีดเผือด หันกลับมาถามผม

   “ผะ ผมทำอะไรให้คุณเพย์ไม่พอใจรึเปล่าครับ”

   “เปล่า แค่อยากเปลี่ยนคนขับเฉยๆ ลุงขับไม่เร้าใจผมแล้ว”

   

   - Eit Part -

   ผมยอมเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ เนื่องจากอาการของผมเป็นโรคซึมเศร้าระยะยาวต่อเนื่องมานานหลายสิบปีตั้งแต่เด็ก ทำให้เกิดภาวะ PTDS (Post Traumatic Stress Disorder) หรือเกิดผลกระทบของบาดแผลทางใจจนทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้า ผมเคยเข้ารับการบำบัดเมื่อนานมาแล้วในช่วงที่ถูกช่วยออกมาจากการโดนจับไปรุมโทรม ผมคิดว่ามันเป็นแค่โชคร้าย แต่ไม่นึกว่าจะทำให้เกิดแผลใจกลัดหนองจนส่งผลมาจนถึงตอนโต

   “ในช่วงแรกหมอจะให้ยาระดับอ่อนไปก่อน ลองดูว่าพอจะทำให้ทานอะไรได้เยอะขึ้นบ้างมั้ย แล้วอิฐต้องมาหาหมอตามนัดเพื่อคุยกันนะ อาจจะมาระบายหรือเล่าให้หมอฟังว่าไปทำอะไรมาบ้าง เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างอิฐกับหมอเท่านั้น”

   หมอรักษ์ เพื่อนคุณภัทร ลูกชายคนโตของบ้านไอยราสุวรรณยิ้มให้ผมอย่างใจดี เขาเจอผมหลายครั้งเมื่อไปเที่ยวหาคุณภัทรที่บ้านใหญ่ ครั้งนี้เขารับเป็นหมอเจ้าของไข้ของผม ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะอาการของผมไม่ได้หนักจนถึงขั้นต้องแอดมิด ผมรู้สติตัวเอง แค่บางครั้งที่เสียสติ

   “หมอถามอิฐหน่อยนะ” หมอรักษ์ลองขอ “รอยมัดกับรอยแตกนั่น ใครเป็นคนทำเหรอ บอกหมอได้มั้ย”

   ผมเงียบ หายใจกระชั้นขึ้น เม้มปาก กำมือแน่น

   “หมอไม่ได้บังคับนะ ถ้าอิฐบอกได้ อิฐลองบอกหมอ เผื่อหมอช่วยอะไรได้บ้าง”

   ผมคิด... เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งน้องอิงก็ไม่รู้ แต่... อาจจะรู้แล้วก็ได้

   “ผม... ผมไม่อยากให้น้องอิงรู้”

   “น้องอิงจะไม่รู้เรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น อิฐไว้ใจหมอได้”

   ผมลูบข้อมือตัวเอง มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ถึงเลือดจะออก แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่

   “คุณเพย์”

   ผมรู้ว่าหมอรักษ์เขาเป็นจิตแพทย์ประจำบ้านของคุณเพย์ เลยไม่รู้ว่าการที่พูดออกไปมันจะทำให้คุณเพย์เสียหายมั้ย ผมเองก็ไม่เข้าใจรสนิยมของเขาเหมือนกัน เขาไม่ได้ทำร้ายผมทุกครั้ง แต่เขาจะมัดผมทุกครั้งต่างหาก นอกนั้นก็แค่มีอะไรกัน...

   หมอรักษ์พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้แปลกใจอะไร ผมจึงถามบ้าง

   “คุณเพย์บอกหมอรึเปล่า?”

   “บอก”

   อ้าว... แล้วกูไว้ใจหมอได้มั้ยครับ

   “เขาบอกเหตุผลของเขา หมอก็รับฟัง”

   “งั้น... งั้น...”

   “แต่หมอบอกอิฐไม่ได้นะ เหมือนที่ถ้าอิฐจะบอกอะไรหมอ หมอก็เอาไปบอกเพย์ไม่ได้เหมือนกัน”

   ผมถอนหายใจ โล่งอก... เล่นมือตัวเองสักพักก่อนจะยอมพูด

   “มันเริ่มจากเมื่อประมาณสามสี่ปีก่อนครับ... คุณเพย์เมา ตอนนั้นเขาคบกับน้องอิงแล้ว... แต่วันนั้นน้องอิงไม่อยู่บ้าน ไปทัศนศึกษา คุณเพย์มีอะไรกับผม เขาเริ่มด้วยการมัด... จากนั้นเราก็แอบมีอะไรกันมาเรื่อยๆ คุณเพย์จะลงไม้ลงมือกับผมบ้างบางครั้ง... นานๆ ที...”

   ว่าแต่

   เขาเริ่มฟาดผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

   ผมเหมือนความทรงจำขาดหาย เริ่มซบหน้าลงกับมือ... นึกไม่ออก ทำไมจู่ๆ คุณเพย์ถึงฟาดผม?

   เขาเริ่มฟาดผมตั้งแต่เมื่อไหร่? เท่าที่นึกออก มันไม่ได้บ่อยถึงขั้นจำครั้งแรกไม่ได้เสียหน่อย

   “อิฐ อิฐ ไม่เป็นไรนะ”

   “ครับ... ครับ”

   หมอเรียกสติผมกลับมา เขาบันทึกบางอย่างลงไปในสมุด

   “แล้วรอยแผลเป็นที่แขนล่ะ” หมอถามไม่เลิก ผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะตอบ อย่างน้อยก็ถือว่าระบายมันออกมา

   “ผมกรีดเองครับ ครั้งแรกทำเพราะความรู้สึกผิด จากนั้นผมก็จะทำบ้างถ้าผมรู้สึกเครียด แต่... หลังจากที่คุณเพย์เริ่มใช้ความรุนแรง ผมก็หยุดครับ”

   ผมตอบตามจริง หมอไม่ได้มีสีหน้าตกใจหรือรังเกียจอะไร ผมเชื่อว่าเขาฟังปัญหาน่ารังเกียจจากคนแบบผมมาเยอะแล้ว

   “คิดรึเปล่าว่าเพราะเพย์ใช้ความรุนแรงกับอิฐ อิฐเลยหยุดทำร้ายตัวเอง”

   ผมเคยคิดนะ... แต่ผมไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง เขาจะใส่ใจผมทำไม?

   “ผม ไม่รู้... ครับ”

   หมอจดลงในสมุดอีก ก่อนจะถามเป็นคำถามสุดท้าย

   “สุดท้ายนะ อิฐเคยมีแผลใจในอดีตรึเปล่า?”

   ผมเงียบ คราวนี้เงียบไปนาน... นานมากๆ นานจนหมอถอดใจจะถาม เพราะไม่ว่าเขาจะสัญญาอะไรยังไง ผมก็เลี่ยงที่จะไม่พูด ผมไม่สามารถพูดออกมาได้หรอกครับ ว่าสมัยเด็กเคยโดนรุมโทรมจากผู้ชายฝูงหนึ่งเดือนนึงเต็มๆ หรือเคยแม้กระทั่งเมาจนจะข่มขืนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง

   จากนั้นผมก็เริ่มร้องไห้ ร้องหนักมากจนได้ยินออกไปถึงข้างนอกห้องตรวจ น้องอิงที่นั่งรออยู่ข้างนอกรีบเปิดประตูเข้ามาเมื่อได้ยิน เธอเข้ามากอดผมแน่นเช่นเดียวกับผมที่จับแขนเล็กๆ ไว้พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษ ขอโทษ แล้วก็ขอโทษ




สถานการณ์ของคนสามคนในเรื่องคือเเผลใจค่ะ
เเผลกายรักษาไม่นานก็หาย
เเต่เเผลใจ... ไม่มีวันหาย
มีเเค่จะยอมรับมันให้ได้เเล้วก้าวต่อไป เหมือนน้องอิง
หรือจมอยู่กับอดีตที่มีเเต่หนอง เหมือนอิฐ
#คุณเพย์รักอิสระ

 :call:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 9
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 06-11-2019 21:12:53
| Day 9 |
Important
(6/11/62)


   คุณเพย์สั่งให้ผมหยุดงานสักพักเพื่อให้คุ้นชินกับยาที่หมอสั่ง เนื่องจากเวลากินยาตัวนี้เข้าไปอาจทำให้รู้สึกมึนๆ งงๆ หรือตัดสินใจได้ไม่เด็ดขาดพอที่ผมจะขับรถให้เขาได้ ซึ่งผมก็เชื่อฟัง น้องอิงพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดหลังจากเลิกเรียนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งผมก็บอกเธอแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ผมแค่ป่วยไม่ใช่พิการ

   น้องอิงขอให้ผมพกมือถือติดตัวตลอดเวลาเพื่อที่จะได้รู้ว่าผมไปไหนโดยเช็คจากจีพีเอส ผมถึงกับขำออกมา นี่พวกเขาคิดว่าผมเป็นสุนัขที่ต้องฝังชิพกันหายรึไงกันนะ

   ระหว่างวัน ผมที่ไม่ได้พักอยู่เฉยๆ มานานแล้วเพราะต้องออกไปนั่นไปนี่กับคุณเพย์ไม่เว้นแม้วันเสาร์อาทิตย์ พอมีเวลาเหลือเฟือมันก็รู้สึกเคว้งคว้าง ดูหนังก็เบื่อ ทำอาหารก็ไม่รู้ทำให้ใครกินเพราะผมก็กินอะไรไม่ค่อยจะลง ถึงจะพอกินได้เยอะขึ้น แต่น้ำหนักก็ไม่ได้เพิ่มมากมายอย่างที่คิด

   อยากออกไปข้างนอก

   ผมตัดสินใจคว้ากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์แล้วเดินออกจากคอนโดไปยังป้ายรถเมล์

   เมื่อก่อนการนั่งรถเมล์คือวิธีการเดินทางหลักสำหรับผม เพราะมันถูกแม้จะไม่ได้รวดเร็วแต่ไปได้ทุกที่จริงๆ

   ผมขึ้นรถสายคุ้นเคย ในช่วงเวลากลางวันในวันธรรมดาแบบนี้คนไม่เยอะจนผมพอจะมีที่นั่ง ผมนั่งไปเรื่อยๆ จากถนนสายสุขุมวิทไปเรื่อยๆ จนสุดสายแล้วก็ต่อไปเรื่อยๆ จนไปโผล่แถวๆ สะพานกรุงธนฯ แล้วก็นั่งต่อไปจนถึงมหาวิทยาลัยที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากเรียนต่อที่นี่ ผมเดินไปเรื่อยๆ มองเด็กๆ ในชุดนักศึกษา ดูแล้วมีความสุขหรือบางคนก็ทุกข์กับการเรียน ผมเดินเข้าไปนั่งรถราง นั่งไปเรื่อยๆ จนวนครบเกือบจะกลับมาถึงที่เดิม ลุงคนขับถึงได้หันมาถาม

   “เฮ้หนุ่ม จะลงตึกไหนรึ”

   ผมที่เหม่อมองไปเรื่อยเปื่อยหันไปมองลุงก่อนจะเอ่ยขอโทษแล้วเดินลงที่ป้ายคณะเศรษฐศาสตร์ ผมมาถึงจุดๆ นี้ได้ยังไงวะเนี่ย ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง เวลาบ่งตอนนี้เกือบห้าโมงแล้ว นี่ผมนั่งรถเก่งขนาดนี้เลยเหรอ

   “กลับดีกว่ามั้ง”

   ผมพึมพำกับตัวเอง พอลองเดินไปเรื่อยๆ ก็ถูกเรียกโดยเสียงที่ผมไม่คิดว่าจะเจอที่นี่

   “อิฐ!”

   ผมขมวดคิ้วยุ่ง เดินเร็วๆ หนีเสียงนั่น แต่ไม่ทันแล้ว คนที่วิ่งมาจากหน้าตึกคณะสามารถคว้าไหล่ผมไว้ทัน จนคอเสื้อเชิ้ตเปิดออกทำให้เห็นรอยจูบลางๆ ผมรีบดึงปิดแล้วสะบัดแขนหนี

   “สวัสดีครับคุณจิณณ์ บังเอิญจังนะครับ”

   ผมไม่มองหน้าเขา พยายามจัดเสื้อตัวเองให้มิดชิด คุณจิณณ์ก้มมองผมก่อนจะเชิดคางขึ้น สายตาดูเป็นห่วงจนผมปวดหนึบๆ ที่หัวใจ... ผมเกลียดความใจดีจอมปลอมพวกนี้ เกลียดความเห็นใจในความป่วยจิตของพวกเขา

   “มาทำอะไรแถวนี้ ไอ้เพย์รู้มั้ย ผมว่าคุณไม่แต่งตัวแบบนี้มาขับรถให้ไอ้เพย์แน่นอน” เขาพลิกตัวผมไปมาเหมือนหารอยปะรอยชุน ดูว่าผมขาดหรือวิ่นตรงไหนราวกับเป็นตุ๊กตามือสอง

   “เกิดอะไรขึ้น สภาพอิฐดูแย่นะ”

   “ผมไม่เป็นอะไร ผมแค่ได้วันหยุดเลยนั่งรถเล่น”

   ผมตอบอย่างรำคาญ จะอะไรนักหนา

   “ผมจะโทรหาไอ้เพย์”

   “ไม่นะครับ... คือผมออกมาเดินเล่นจริงๆ” ผมไม่อยากให้คุณเพย์รู้ว่าผมเจอคุณจิณณ์ ขี้เกียจให้มีปัญหา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณเพย์จะหวงอะไรนักหนากับอีแค่คนขับรถป่วยๆ

   ผมรั้งข้อมือเขาที่กำลังจะล้วงมือถือออกมากดโทร ชายเจ้าของร่างสูงใหญ่ลดมือลง เขามองหน้าผมแล้วแตะที่แก้ม

   “หน้าคุณแดงมาก ไข้ขึ้นรึเปล่า” ผมลองยกมือแตะหน้าผากตัวเองเมื่อโดนทัก มันร้อนรึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ

   “ไปครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

   “ไม่ครับ ผมกลับเอง”

   คุณจิณณ์ไม่ฟัง เขาจับมือผมแล้วดึงให้เดินตามมาด้วยกัน เมื่อสัมผัสมือเย็นๆ ของเขาทำให้ผมรู้แล้วว่าตัวผมร้อนจริงๆ อาจเป็นเพราะไอแดดของประเทศไทยที่สลับกับละอองฝนที่กระเด็นสาดเข้ามาในรถเมล์ระหว่างเดินทางทำให้ผมปรับร่างกายตัวเองไม่ทันจนไข้ขึ้นก็เป็นได้

   น้องอิงด่าตายเลย...

   ผมถูกจับให้นั่งในรถ ทันทีที่สัมผัสเบาะนุ่ม หัวที่ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากนั่งรถไปเรื่อยๆ ก็เริ่มหนักจนมึน ผมเอนหัวพิงพนักแล้วหลับตา ยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ

   “ปวดหัวเหรอ แป๊บนะ ผมว่าผมมีพาราติดรถไว้”

   คุณจิณณ์ที่เข้ามานั่งในรถฝั่งคนขับโน้มตัวมาเปิดลิ้นชักหน้าฝั่งผมก่อนจะรื้อค้นอะไร ผมขี้เกียจสนใจ มึนหัวจนอยากอ้วก คุณจิณณ์แกะยาแล้ววางมันลงบนมือของผมตามด้วยน้ำขวด ผมรับมากรอกเข้าปากแล้วส่งคืนให้เขา

   สัมผัสเย็นๆ บนหน้าผากทำให้ผมรู้สึกดี เขากดปรับเบาะให้ผมนอนราบ ไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราอย่างคนไม่รู้ตัว



   ความเย็นเปลี่ยนไป สัมผัสเหมือนผ้าชุบน้ำที่วางไว้บนหน้าผากทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในห้องที่มืดสนิทมีเพียงแสงจากหน้าต่างที่ทำให้ผมมองเห็นรอบๆ

   ไม่ใช่ห้องผม ไม่ใช่ห้องคุณเพย์

   ห้องใคร?

   ผมลุกขึ้นชันตัวนั่ง ผ้าชุบน้ำที่วางไว้บนหน้าผากหล่นแปะลงบนตัก ผมหยิบมาดูก่อนจะกำมันไว้แล้วลุกออกไปที่ประตู

   “ตื่นแล้วเหรอ ทานอะไรหน่อยสิแล้วเดี๋ยวจะได้ทานยาต่อ”

   “คุณจิณณ์?”

   ผมเจอเขาที่มหาวิทยาลัย... ถูกลากให้ไปนั่งที่รถ... จากนั้นก็หลับ

   การระวังตัวเท่ากับศูนย์ไอ้อิฐเอ้ย

   “ขะ... ขอบคุณครับ”

   ผมผงกหัวขอบคุณเขา คุณจิณณ์ในชุดลำลองสบายๆ นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ที่นี่คงจะเป็นคอนโดของเขา เอ๊ะ...

   ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ลูบอกเสื้อ ไม่เจอกระเป๋าเงินกับมือถือ คุณจิณณ์เห็นท่าทางของผมก็รู้ทันทีว่ากำลังหาอะไรอยู่ เขาชูสองสิ่งที่ผมหาแล้วเรียกให้มานั่งที่โต๊ะ

   “ทานข้าวต้มก่อน แล้วจะคืนให้”

   “ผะ... ผมขอมือถือคืน”

   คุณเพย์... คุณเพย์ต้องโมโหมากแน่ๆ ผม... ผมหายออกมานานเกินไปแล้ว ผมต้องโทรหาเขา

   ผมเริ่มจิตตก จับข้อมือตัวเองโดยไม่รู้ตัว คุณจิณณ์เรียกซ้ำ ผมเดินตัวลีบไปนั่งลงตรงข้ามกับเขาที่มีชามข้าวต้มวางตั้งไว้อยู่ ผมหยิบช้อนมาตักมันเข้าปากแต่ตายังจ้องอยู่ที่มือถือที่วางไว้ข้างๆ มือใหญ่ กินไปได้สองสามคำก็เอ่ยทวงของคืน

   “ผมขอมือถือคืน... ขอคืนด้วยครับ”

   “ถ้ากลัวไอ้เพย์โกรธล่ะก็ ผมโทรหาน้องสาวคุณเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง”

   “คุณจิณณ์โทรหาน้องอิง!”

   เขาไปเอาเบอร์น้องอิงมาจากไหน

   “เอาเป็นว่า น้องอิงรับรู้รับทราบแล้วก็บอกว่าจะบอกเพย์ให้ อิฐไม่ต้องห่วง คืนนี้คุณพักที่นี่ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าผมจะไปส่งที่คอนโด”

   “ผม... ผมจะกลับ ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ เดี๋ยวคุณเพย์จะโมโห”

   ผมลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปที่ประตูเพื่อกลับจริงๆ แต่ร่างสูงกลับเดินมาคว้าแขนผมไว้ก่อนจะกระชากกลับมา ด้วยสภาพของผมตอนนี้ ผมไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย หน้าชนเข้ากับแผ่นอกหนาของเขา คุณจิณณ์รวบกอดเอวผมไว้แน่น บังคับให้หยุดดิ้น ผมน้ำตาคลอ เม้มปากแน่น

   “ปล่อยผมเถอะครับ ผมไม่อยากให้คุณเพย์กับคุณจิณณ์มีปัญหากัน”

   “ผมกับมันมีปัญหากันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องของอิฐ ผมกับมันก็ไม่มีทางจะญาติดีกัน”

   คุณจิณณ์พูดอธิบายเสียงดุ ก่อนเอามือลูบหลังผมให้ใจเย็น

   “คุณต้องทานยาใช่มั้ย เห็นน้องอิงบอกมาว่าให้เอายาให้คุณกินด้วย ใช่ยาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงรึเปล่า”

   น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง ผมซบหน้าลงพลางเกาะเสื้อเขาไว้ราวกับต้องการที่พึ่ง...

   “ครับ”

   “เด็กดี ไปทานยาแล้วเข้านอนนะครับ”

   คุณจิณณ์ปล่อยผมแล้วจูงไปที่ห้องนอน เขาบังคับผมให้กินยา บังคับให้ผมนอน

   แล้วเขาก็นั่งเฝ้าผม... ผมหลับตาไปสักพัก ก่อนจะลืมขึ้นมา กรอกตามองบน

   “คุณจิณณ์ มานั่งจ้องผมแบบนี้ ผมจะนอนหลับมั้ยครับ”

   คุณจิณณ์ยังไม่ยอมออกไป เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ตัวแบบเสแสร้งที่สุด เขาเท้าแขนลงมานอนข้างๆ ผมขยับตัวหนี ไม่ชอบใจกับท่าทางของเขาสักนิด เดาอะไรไม่ออก คุณเพย์ยังเดาง่ายกว่า

   “ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   “ไม่ครับ ผมจะนอน”

   ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ตะแคงตัวพลิกไปอีกฝั่ง คุณจิณณ์ยกมือมาจับเส้นผมนุ่มจนผมต้องยกมือปัดอย่างรำคาญ

   “ทำไมอิฐถึงยังอยู่กับไอ้เพย์ ทั้งๆ ที่มันทำร้ายคุณตั้งขนาดนี้”

   ผมเงียบ แสร้งทำเป็นว่าหลับ แต่คุณจิณณ์ยังคงถามต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละความพยายาม

   “รอยนั่น ผมเห็นแล้วไม่ชอบสักนิด มันควรซื่อสัตย์กับน้องสาวคุณไม่ใช่มาทำกับคุณ...”

   “ไม่เสือกจะได้มั้ย!”

   ผมตวัดผ้าห่มลุกขึ้นมาตะโกนด่ากราดใส่เขา อารมณ์ของผมพุ่งสูง

   “ผมจะทำอย่างไหน ทำกับใคร ใครทำอะไรผม มันใช่เรื่องอะไรที่คุณจะเสือก! ฮะ?!” ผมกำมือแน่น หน้าสั่น โกรธจนความร้อนขึ้นตา

   “ผมรู้ว่าเขาทำอะไร ผมรู้ว่าทำอะไรอยู่ แต่เข้าใจมั้ยว่าผมปฏิเสธไม่ได้ ผมมันแค่คนจนไม่มีทางเลือก! ผมมันไร้ค่า! ถ้าไม่ทำแบบนี้ ชีวิตผมจะไม่มีค่าห่าอะไรเลย!... ฮึ คนอยู่สูงมาตั้งแต่เกิดอย่างคุณจะรู้อะไร หรือคุณจะให้ผมตายๆ ไปเลยดี ฮะ! ว่าไง พูดสิวะ!”

   ผมผลักไหล่เขาอย่างหาเรื่อง ระบายสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาจนหมด น้ำตาไหลพราก ยาที่หมอให้ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ไม่ช่วยเลยจริงๆ ถ้ายังมีคนมาตอกย้ำซ้ำแผลที่เป็นหนองอยู่แบบนี้น่ะ ผมทุบเขา ก่อนจะขัดใจเมื่อเขาไม่ต่อต้าน จึงเปลี่ยนมาทุบขาตัวเองอย่างเจ็บใจ ร้องห่มร้องไห้เป็นคนบ้า

   คุณจิณณ์ยื้อยุดแขนผมแล้วจับกดลงบนเตียง ขึ้นมาทาบทับไว้ทั้งตัวจนไม่สามารถดีดดิ้นได้อีก ผมแหกปากด่าโลก ด่าพ่อ ด่าแม่ ด่าคุณเพย์ ด่าน้องอิง ด่าแม่งทุกคนที่ทำให้ผมมีชีวิตแบบนี้

   “กูอยากตาย! กูอยากตาย! ทำไมคุณเพย์ไม่ปล่อยกูไป ทำไมกู... ทำไมกูต้องโดนทำระยำตั้งเด็ก ไอ้พ่อเหี้ย ชาติหมา กูลูกมัน ทำไมมันขายกูได้ลง... เหี้ยเอ้ย ฮือ... เวร เวรเอ้ย”

   “ชู่ว... อิฐ อิฐครับ... ขอโทษครับ ใจเย็นๆ นะ”



   เขากอดผมไว้แน่น แน่นมากจนหายใจไม่ออก ผมอาจจะตายเพราะเขากอดผมก็ได้นะ

   ตายแบบนี้มันดีเกินไป

   “ผมขอโทษ... ขอโทษครับ”

   ผมกอดเขาไว้ กอดเขาไว้แบบที่กอดคุณเพย์ ทุกครั้งที่ผมสติแตก คุณเพย์มักจะทำแบบนี้ เขาจะกอดผมให้แน่น กอดจนกว่าผมจะกลับมาร้องไห้ขอโทษ ให้ความรู้สึกผิดกัดกินมากกว่าความรู้สึกอยากตาย

   ผมคิดถึงคุณเพย์... กอดของใครก็ไม่แน่นเท่าของเขา

   “ฮือ... ผมอยากกลับบ้าน”

   “ครับ”



   - JinN Part -

   ผมยอมขับรถมาส่งเขาที่คอนโดไอ้เพย์ คนที่ผมเกลียดขี้หน้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเหตุผลทางธุรกิจ คนที่ลงมารับคนที่สติแตกคือสาวน้อยคนสำคัญ และไอ้คนที่ผมตราหน้าว่าจะไม่มีวันญาติดี

   ผมกับมันเคยเป็นเพื่อนกัน จนกระทั่งเกิดปัญหาเรื่องผู้หญิง มันเคยคบกับน้องสาวผมแล้วก็ทิ้งอย่างไม่ไยดีจนทำให้หล่อนเกือบจะฆ่าตัวตาย มันไม่เคยไปขอโทษหรือดูดำดูดีน้องสาวผมสักนิดทั้งๆ ที่มันเกือบทำคนตายมาแล้วทั้งคน

   หลังจากนั้นมาผมก็ก่อกวนชีวิตมันไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่เรื่องผู้หญิง มันมีแฟนกี่คนผมแย่ง มันจะทำงานอะไร ผมขวาง จนกลายเป็นศัตรูกันมาจนถึงทุกวันนี้

   ไอ้เพย์หน้าเป็นยักษ์ปักหลั่นเข้ามารับตัวบางๆ ของอิฐไปจากผมก่อนส่งให้สาวน้อยพากลับขึ้นไป ส่วนมัน ยืนจังก้าคาบบุหรี่ กลิ่นเหล้าหึ่งเหมือนพึ่งกลับจากผับ นิสัยเวรนี่แม่งเลิกยากจริงๆ

   “มึงยังเที่ยวไม่กลัวโรคเหมือนเดิม ไอ้สัด”

   “หุบปากไอ้เชี่ย”

   คำทักทายของผมกับมันก็จะประมาณนี้ ผมพิงรถ ยกบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาสูบบ้าง ไอ้เพย์เข้ามายืนกอดอกพิงรถข้างผม ดูเหมือนมันจะใจเย็นลงเยอะ ไม่งั้นป่านนี้มีหวังฟัดกันสักหมัดสองหมัดไปแล้วตามประสาคนคุ้นเคย

   “มึงไปเจออิฐที่ไหน”

   “ถามกู? กูไม่บอก”

   ผมยียวนกวนตีนมัน แน่นอนว่าคนอย่างไอ้เพย์ ใจเย็นได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ มันเขวี้ยงบุหรี่ทิ้งแล้วกระชากคอเสื้อผมจนหน้าชิด กลิ่นเหล้าหึ่งจนน่าถีบกบาลให้ออกไปไกลๆ

   “กูถาม! มึงจะกวนตีนกูทำไม”

   “ทีมึงทำกับเจน มึงยังไม่เห็นจะตอบคำถามกู” ผมยักไหล่ ผลักมันออก ไอ้เพย์เบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปกอดอกพิงรถเหมือนเดิม

   “มึงยังแค้นกูเรื่องนั้น”

   “นั่นน้องกู มึงระยำกับเจนขนาดนั้น ให้อภัยเหรอ? นักบุญมั้งหน้าอย่างกูน่ะ”

   ไอ้เพย์สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนงัดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบใหม่ ผมหัวเราะเยาะ ให้มันลองมีของสำคัญบ้าง มันจะได้รู้ไง ว่าเวลาของสำคัญมันโดนทำลาย จะรู้สึกยังไง คงแทบขาดใจดิ้นแด่วๆ ตายให้ได้สมเพชเล่น

   “เรื่องของเจน ตอนนั้นกูยังเด็ก”

   “กูก็เด็กยังคิดได้”

   ผมเป็นเพื่อนมันมานานทำไมจะไม่รู้สันดาน แต่การทำระยำกับน้องเพื่อนนี่ผมว่ามันเกินไป สามัญสำนึกเท่าไส้ติ่งแมวยังคิดได้เยอะกว่ามัน

   ผมเห็นมันยกมือที่คีบบุหรี่ขึ้นทาบปาก ขอบตาคล้ำเหมือนคนนอนไม่หลับ อัดควันบุหรี่เข้าปอดจนคิดว่ามันคงไม่ได้ตายเพราะมือผมแน่นอน น่าจะมะเร็งแดกตายก่อน

   “อิฐสำคัญกับกู”

   มันพูดขึ้นมา ยกมือปิดตาตัวเอง กัดปากจนเลือดซิบ ผมเหลือบตามองมันอย่างเย็นชา เก็บบุหรี่แล้วเอามือล้วงกระเป๋า พ่นควันออกมาพลางแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่เริ่มเคลื่อนไกลออกไปจนโดนตึกบัง

   “ของสำคัญ มึงควรทะนุถนอม ไม่ใช่ทำร้าย มึงจะทำลายทุกสิ่งที่มึงรักให้พังคามือไม่ได้”



   - Eit Part -    

   ไข้สูงสามสิบเก้าองศา... ผมเกือบถูกจับส่งโรงพยาบาลอีกรอบ แต่ดีที่พอได้ทานยาอีกรอบมันก็เริ่มลดลงจนไม่เกิดสภาวะช็อค ผมรู้สึกทรมาน ปวดเนื้อปวดตัว แสบตาจนไม่อยากจะลืม น้องอิงคอยดูแลไม่ห่าง แต่ผมรู้ว่าพรุ่งนี้เธอมีติดเรียนวิชาสำคัญ ผมพยายามบอกให้เธอไปนอนๆ ผมไม่เป็นไร แต่น้องอิงก็ยังยืนยันจะเฝ้าไข้จนกว่าผมจะหายดี

   ผมทำให้เธอลำบากอีกแล้ว

   “อิง เดี๋ยวพี่เฝ้าเอง”

   “แต่พี่เพย์มีประชุมเช้า”

   “ไม่เป็นไร พี่ฝากไอ้พีทมันแล้ว มันเองก็ดูแลโครงการนี้อยู่” ผมได้ยินคุณเพย์พูดถึงพี่ชาย คุณพีทคงเกลียดขี้หน้าผมหนักกว่าเดิมแน่นอนถ้ารู้ว่าคุณเพย์ลางานมาเพื่อเฝ้าไข้คนขับรถ... อะไรของคุณเพย์วะ

   ได้ยินเสียงยื้อกันอีกสักพักก็เงียบไป ผ้าชุบน้ำเปลี่ยนมือจากมือนุ่มมาเป็นมือใหญ่ที่คุ้นเคย มือที่กอดผม... ผมตัวสั่นกึกๆ เพราะหนาวจากอาการจับไข้ ผ้าชุบน้ำออกไปจากผิวซีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่างกำยำแน่นไปด้วยกล้ามของเจ้านายที่สอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม เขาพลิกร่างผมให้เข้ามาซุกตัวให้อ้อมแขน... ผมลืมตาขึ้นก่อนจะกอดเขาไว้

   ถึงจะเป็นอ้อมกอดที่อยากหนีให้สุดขอบโลก... แต่สุดท้าย ก็เป็นอ้อมกอดที่ผมรู้สึกโหยหา...

   ทั้งอันตรายและปลอดภัย

   “อย่าดื้ออีกเลย กูขอล่ะ”

   “ครับ คุณเพย์”

   ทั้งเขาและผมหลับไป... เขาเองก็คงจะอดหลับอดนอนมาหลายวัน ขอบตาเขาคล้ำจนคนป่วยอย่างผมอย่างสังเกตได้เลย

   ผมไม่ชอบเลยที่คุณเพย์ดูไม่สบาย ผมดูแลเจ้านายได้ไม่ดีพอจริงๆ

   

   “ไข้ลดแล้ว แต่ก็ยังต้องกินยา”

   “กินอีกแล้ว ผมเบื่อยา”

   ผมเบือนหน้าหนี อาการดีขึ้น ไม่ปวดหัวตัวร้อนตัวสั่นเหมือนเมื่อคืน ผมไม่รู้ว่าน้องอิงเห็นรึเปล่าว่าคุณเพย์เขานอนกกผมทั้งคืน ผมหวังเหลือเกินว่าน้องอิงจะรีบออกจากบ้านโดยไม่แวะเข้ามาดูผมก่อน สาธุ...

   คุณเพย์ยืนหน้าบึ้งเป็นยักษ์วัดแจ้ง ในมือถือแก้วใส่ยาหลายล้านเม็ดอยู่ (เว่อร์น่ะ) แต่เมื่อผมปฏิเสธไม่กินท่าเดียว เขาก็เริ่มจะเข้าบท กูเป็นเจ้านาย มึงเป็นทาส อีกแล้ว

   “แดก!”

   “ไม่! คุณเพย์อยากกินกินเองดิ”

   “ดื้อฉิบหายเลยว่ะ กูจะฟ้องน้องอิงว่ามึงไม่ยอมกินยา”

   เขางัดไม้ตายสุดท้ายมาใช้ ซึ่ง... มันก็ได้ผล

   ผมไม่อยากกินยาโรคซึมเศร้าของหมอ มันทำให้ผมรู้สึกเซื่องซึมอยากนอน แม้จะทำให้ไม่คิดลบหรือจิตตก แต่เหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว ผมคิดว่าไปครั้งหน้าหมอคงจะเปลี่ยนยาให้

   “แล้วก็นอนซะ”

   กินข้าว กินยา กินน้ำเสร็จ เขาก็ผลักผมลงนอน ตวัดผ้าห่มมาคลุม ก่อนจะลากเอาเก้าอี้มานั่งข้างๆ เปิดไอแพดอ่านเอกสารออนไลน์ ผมหน้าบึ้ง... เบื่อ...

   “คุณเพย์ครับ”

   “อะไร?” เขาขานรับ ละสายตาจากจอมามอง ผมตะแคงตัวพลางอ้อน    

   “เล่าเรื่องการประชุมโครงการสัมปทานที่กัมพูชาให้ฟังหน่อยได้มั้ย คุณเพย์เคยบอกว่าจะเล่า”

   เขาเลิกคิ้ว หัวเราะก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่งฟู

   “อะไร อยากฟังนิทานก่อนนอนรึไง”

   ผมไม่ตอบ มองเขานิ่งๆ อย่างตั้งใจรอ คุณเพย์ไม่ถือไม่สาอะไรที่จะเล่าเรื่องงานให้คนขับรถประสบการณ์เจ็ดปีฟัง เขาเริ่มจากบ่นพวกคณะกรรมการโครงการก่อนจะเข้าเนื้อหาประชุม และข้อสรุป หลังเล่าเสร็จ ผมก็คิดตามแล้วออกความเห็นบ้าง ถามเขากลับบ้าง เสนอแนวทางในแบบของผมบ้าง คุณเพย์ก็รับฟัง บางอย่างที่เขาว่าสมเหตุสมผลก็จะชมว่าผมหัวก้าวหน้า อะไรที่มันดูเป็นไปไม่ได้ เขาก็แนะแนวทางว่าแบบนั้นมันส่งผมเสียมากกว่าดี

   ปกติเรื่องแบบนี้เรามักจะคุยกันในรถ ระหว่างเดินทาง คุณเพย์ไม่ชอบให้เลขานั่งมาด้วย เรื่องแบบนี้ผมจึงกลายเป็นที่รองรับอารมณ์เขาไปโดยปริยาย ซึ่งผมชอบที่เขาสอนผมในเรื่องต่างๆ

   ทุกอย่างคือการลงทุน ความรู้ก็เช่นกัน

   เขารู้ว่าผมอยากเรียนต่อ แต่ในเมื่อไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเด็กมหาลัยทั่วไปได้ เขาจึงส่งให้ผมเรียนภาคพิเศษและสอนนอกรอบให้ผมแทน

   มันทำให้ผมมีความสุข อย่างน้อยผมก็มีความรู้

   “นอนได้แล้ว มึงจะตื่นแล้วนะ นี่นิทาน เล่าให้หลับ ไม่ได้เล่าให้ตื่น”

   คุณเพย์เขย่าหัวผมแล้วทำท่าจะลุกออกจากห้องไป... ผมผวาคว้ามือใหญ่ไว้

   เขาหันกลับมา ผมจึงรีบปล่อยแล้วมุดตัวลงไปนอนเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน คุณเพย์คงแปลกใจ... กับการกระทำของผม ซึ่งมักจะผลักไสเขาเป็นปกติ

   เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ผมหลับตา กำลังเคลิ้มๆ เหมือนล่องลอยจากฤทธิ์ยาหลายๆ ขนานที่เขาผลัดกันป้อนผลัดกันจ่ายให้ผม ก่อนสติจะถูกดึงเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือใหญ่ที่สอดประสานกับมือข้างที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น กับคำกระซิบที่ฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง รู้แค่ว่า... เขาเรียกชื่อผม...

#คุณเพย์รักอิสระ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 9
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-11-2019 15:56:59
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 9
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-11-2019 22:47:00
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 10
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 09-11-2019 21:44:01
| Day 10 |
Brundy

(9/11/62)


   “เป็นยังไงบ้างอิฐ หลับสบายมั้ย ทานอะไรได้มากขึ้นรึเปล่า”

   วันนี้เป็นวันที่ผมมีนัดกับหมอรักษ์อีกครั้ง เขาทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มไม่กดดันพร้อมกับรอยยิ้มใจดีพลอยทำให้ผมคลายความกังวลไปด้วย ผมเล่นนิ้วตัวเอง มองที่โต๊ะทำงานแทนที่จะมองหน้าหมอรักษ์

   “ผมนอนบ่อยขึ้นครับ แต่ก็ทานได้เท่าเดิม”

   “นอนบ่อยขึ้น หมายถึงพอทานยาแล้วเพลียใช่มั้ย”

   “ครับ”

   หมอจดบันทึกลงไป

   “น้องอิงบอกหมอว่า อาทิตย์ก่อนอิฐไปนั่งรถเล่นจนไปโผล่แถวฝั่งธนฯ เป็นยังไงบ้าง รู้สึกสบายใจขึ้นมั้ย”

   ผมกระตุกยิ้มแห้ง อยากบอกเขาเหลือเกินว่าเพราะไปนั่งรถเล่นเนี่ยแหละถึงทำให้ผมเครียดกว่าเดิมอีก เพราะเจอคุณจิณณ์มาแล้วไม่รู้ว่าตอนนั้นพ่นอะไรออกไปบ้าง

   “ไม่ครับ” ผมตอบความจริง หมอรักษ์เลิกคิ้ว

   “ทำไมเหรอ”

   “ผม... เจอกับคุณจิณณ์ คนที่คุณเพย์ไม่ชอบ ผมเลยกังวลว่าเขาอาจจะมีปัญหากัน”

   “จิณณ์? หืม... บังเอิญจังนะ”

   “หมอรู้จักกับคุณจิณณ์ด้วยเหรอครับ” ผมเงยหน้าสบตาหมอเพื่อถาม หมอรักษ์พยักหน้า

   “เพื่อนเก่าเพย์ แต่มีปัญหากันจนตอนนี้เหมือนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว”

   “ระ... เรื่องอะไรเหรอครับ”

   หมอรักษ์ยิ้มจางๆ

   “เรื่องเก่าๆ น่ะ”

   ทำเอาผมอยากรู้ซะแล้วสิ...

   

   หลังจากนั้นผมก็ได้รับใบสั่งยาตัวใหม่มา ผมเล่าช่วงที่ผ่านมาให้หมอฟังคร่าวๆ แอบขอให้หมอช่วยบอกคุณเพย์ให้ทีว่าผมอยากกลับไปทำงาน ผมเบื่อการต้องอยู่เฉยๆ แล้วฟุ้งซ่าน ให้ผมไปใช้ความคิดในการหาเส้นทางที่ไม่ต้องเจอรถติดให้คุณเพย์จะดีกว่า

   หมอรักษ์บอกว่า งั้นขอรอดูอาการผมอีกสองอาทิตย์ ถ้ายาตัวนี้ได้ผลแล้วผมดีขึ้น เขาจะยอมรับรองให้ว่าผมสามารถกลับไปทำงานได้แล้ว ผมจึงได้แต่ทำหน้าเศร้ากลับไปอยู่ในเซฟโซนของตัวเองอีกครั้ง

   ผมแยกกับน้องอิงที่หน้าโรงพยาบาล  เพราะเธอต้องแวะกลับไปมหา’ลัยอีก ถึงตอนแรกเธอบอกว่าจะขอแวะไปส่งผมก่อนก็ตาม แต่ผมปฏิเสธไปเพราะมันดูลำบากและผมเองก็ไม่ได้มีอาการอะไรที่น่าเป็นห่วงสามารถกลับแท็กซี่เองได้ ถ้าถึงแล้วจะโทรบอก เธอจึงยอมปล่อยให้ผมกลับเอง

   นี่ผมหรือน้องอิงเป็นพี่กันแน่นะ

   เสียงมือถือดังขึ้น เรียกเข้าจากเจ้านายของผมที่ตอนนี้คงเพิ่งจะเลิกประชุม ผมกดรับสายระหว่างกำลังยืนรอแท็กซี่อยู่หน้าโรงพยาบาล

   “ครับ คุณเพย์”

   [“อยู่ไหน?”]

   คำถามห้วนๆ แต่เขาไม่ได้หงุดหงิด นั่นทำให้ผมค่อนข้างโล่งใจ ผมตอบกลับ

   “โรงพยาบาลครับ กำลังจะกลับ”

   [“อาการเป็นยังไงบ้าง”]

   ผมแปลกใจที่เขาถาม อาจเป็นอาการห่วงลูกน้องตามปกติ

   “หมอให้ยาตัวใหม่มาครับ คาดว่าน่าจะได้ผลดีกว่ายาตัวเก่า”

   [“เหรอ”] คุณเพย์เงียบไป ผมรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อสักพัก ก่อนจะขอวางสาย คุณเพย์ก็พูดขึ้นพอดี [“อยากกินอะไรมั้ย กูออกบริษัทพอดี จะไปรับ”]

   “มะ... ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองดีกว่า คุณเพย์วันนี้มีนัดคุณโซอี้ไว้ไม่ใช่เหรอครับ”

   ผมเตือนเขาเพราะยังคงแอบดูตารางของเขาอยู่ทุกวันตามความเคยชิน ซึ่งตารางงานของคุณเพย์จะซิงค์อยู่ในระบบเลขาของเขา มันซิงค์เข้าเครื่องผมด้วยเนื่องจากผมเองก็ต้องคอยดูตารางให้เจ้านายแม้จะไม่ใช่เลขาก็ตาม และคุณโซอี้ก็คือดีไซเนอร์ชื่อดังที่รับตัดชุดในงานประชุมที่อเมริกาเดือนหน้า โดยมีคุณเพย์กับคุณภีม ลูกชายคนที่สองเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมครั้งนี้

   นั่นแปลว่าผมจะไม่ได้เจอหน้าคุณเพย์ประมาณสองสามอาทิตย์

   [“มึงแอบดูตารางกูอีกแล้ว”] น้ำเสียงเขาห้วนแล้ว ผมจึงรีบขอโทษ ผมไม่คิดว่าเขาจะโกรธ เพราะปกติผมก็เป็นคนทำหน้าที่นี้ไม่ใช่เหรอ

   “ผมขอโทษครับคุณเพย์ที่ยุ่งย่ามเรื่องงาน”

   เสียงจ๋อยสนิท คุณเพย์เงียบไปก่อนจะถอนหายใจ

   [“กูไม่ได้โกรธที่มึงยุ่งเรื่องของกู มึงควรพักผ่อน”]

   ผมรู้สึกตื้นๆ ในอก นอกจากน้องอิงที่พักนี้ค่อนข้างห่างเหินกับคุณเพย์จนน่าแปลก คุณเพย์ก็ยังมาทำตัวเป็นเจ้านายที่ดีให้แปลกยิ่งกว่าอีก หรือนี่จะเป็นเซอร์วิสให้คนป่วยกันนะ

   ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็อยากป่วยไปตลอด คุณเพย์จะได้ใจดีกับผมมากขึ้น

   ผมสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง... ก่อนจะยกมือนวดขมับ

   ฝันเฟื่องอีกละไอ้อิฐ

   “ครับ คุณเพย์”

   [“สรุปอยากกินอะไร?”]

   เขาวนกลับมาคำถามเดิน เหมือนลืมสิ่งที่ผมพึ่งเตือนเขาไปอีกแล้ว

   “เอ่อ... คือ แล้วคุณโซอี้...”

   [“นัดตอนทุ่มนึง เลิกพูดมากได้แล้ว เร็ว กูจะถึงโรงพยาบาลแล้วเนี่ย”]

   “ฮะ??”

   ผมมองซ้ายมองขวา นี่เขาคุยโทรศัพท์ขณะขับรถไปด้วยเนี่ยนะ อันตรายนะครับคุณเพย์

   “ผะ... ผมกินอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่คุณเพย์...”

   สายถูกตัดไป วินาทีเดียวกับที่รถเมอร์เซเดส เบนซ์สีดำสนิทเลี้ยวผ่านโค้งตรงมาจอดที่หน้าโรงพยาบาลพอดี ผมตะลึงงัน คุณเพย์ลดกระจกแล้วตะโกนเรียกให้ผมขึ้นรถ ผมรีบวิ่งไปหาเขาฝั่งคนขับ

   “คะ... คุณเพย์ครับ เดี๋ยว เดี๋ยวผมขับให้ดีกว่า”

   ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยนั่งรถที่เจ้านายขับมาก่อนเลย แถมยังไม่ค่อยเห็นคุณขับเอง ไม่ว่าจะไปกินเหล้า ปาร์ตี้ งานราษฎร์งานหลวง เขาล้วนใช้ผมขับทั้งนั้น

   “ขึ้น!”

   ผมสะดุ้งเมื่อเขาสะบัดเสียง จึงรีบเปิดประตูหลังแล้วมุดเข้าไป... เฮ้ย เดี๋ยวนะ โพซิชั่นนี้ไม่เหมาะ เหมือนผมเป็นเจ้านายเขาแทนแล้วนะแบบนี้

   คุณเพย์ถอนหายใจยาว สั่งอีกรอบ

   “กูเป็นคนขับรถมึงรึไง มานั่งข้างหน้า!”

   “คะ... ครับ”

   ผมตาลีตาเหลือกลงจากรถอ้อมไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ปิดประตูรถ คาดเข็มขัดอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังทำเวลาอยู่ คุณเพย์เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง ความรู้สึกการเป็นคนนั่งแทนคนขับครั้งนี้ช่างแตกต่างกับตอนคุณจิณณ์ มันทั้งตื่นเต้น เกร็ง และประหม่า มือผมชื้นเหงื่อจนเหนียวเหนอะ

   “กินอาหารอิตาเลี่ยนได้มั้ย?”

   จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ผมที่นั่งตัวเกร็งมองเข่าสะดุ้งก่อนหันไปมองคนถามที่ตอนนี้คลายเนคไทลงมา กระดุมเชิ้ตเม็ดบนก็ถูกปลดออกสองเม็ดจนเห็นแผ่นอกสีขาวแน่นวับๆ แวมๆ ผมรีบเบือนสายตาหลบ พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ แต่เหมือนคุณเพย์จะไม่ทันได้มอง เขาจึงถามย้ำอีกรอบ

   “อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่คุณเพย์”

   “เอาที่มึงกินได้”

   เมื่อคุณเพย์อนุญาตให้ผมเลือก งั้นก็ขอเลือกหน่อยแล้วกัน.... ผมมองตามข้างทาง ก็เห็นร้านน่าเข้าที่ผมอยากกินขึ้นมา เผื่อมันจะทำให้ผมอยากอาหารขึ้นบ้าง

   “ผมอยากกินส้มตำครับ”



   “ป้าครับ ขอส้มตำปูปลาร้า เผ็ดมาก แล้วก็... ขนมจีนหนึ่งกับโค้กอีกสองขวดครับ”

   ผมสั่งทันทีที่ก้นติดเก้าอี้ในร้านส้มตำข้างทาง คุณเพย์กอดอกหน้าบึ้งสนิท ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เอ่ยถามเขา

   “คุณเพย์จะกินอะไรดีครับ แต่คุณเพย์ไม่ค่อยกินเผ็ด ลองตำไทยพริกสามเม็ดดูมั้ยครับ”

   “เออ”

   ผมยิ้มเมื่อเขาขานรับ คงหวังไว้ล่ะสิว่าผมจะอยากกินของหรูในห้างหรือภัตตาคาร อาหารแพงหูดับตับไหม ไม่ชินลิ้นคนจนแบบผมหรอกครับคุณเพย์

   ผมสั่งเพิ่ม ย้ำว่าเผ็ดน้อย แถมขนมจีนให้อีก 2 ห่อ เพราะคุณเพย์เป็นคนทานเยอะอยู่แล้ว

   เมื่อโค้กถูกเสิร์ฟก่อน ผมก็ทำหน้าที่เดิมคือจัดการเทให้คุณเพย์และตัวเอง เขารับไปดูดอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนที่เขาจะถามถึงการไปพบหมอวันนี้

   “พี่รักษ์บอกว่ามึงอยากกลับไปทำงาน”

   “ครับ” ผมตอบรับตรงๆ คุณเพย์ถอนหายใจ

   “กูไม่อยากให้มึงขับรถตอนที่กินยานั่น”

   “ผมสบายดีครับ หมอรักษ์บอกว่า ยาตัวนี้จะไม่ทำให้ง่วงระหว่างวัน แล้วอีกอย่าง ผมอยู่เฉยๆ เอาจริงๆ นะ ผมค่อนข้างจะฟุ้งซ่าน”

   ผมยอมรับไปตรงๆ คุณเพย์เหมือนจะรู้อาการของผมอยู่แล้ว เขาเงียบไป ผมก็ไม่อยากพูดอะไรถ้าเขาไม่ถาม

   “มาแล้วจ้า ตำปูปลาร้าเผ็ดสะเด็ด กับ ตำไทยเด็กน้อยสุดๆ”

   คุณเพย์เหลือบมองป้าตาขวางเมื่อได้ยินชื่อเมนู จนป้าถึงกลับหน้าแหยไป คงนึกว่าการแสดงออกแบบนี้จะทำให้ลูกค้าประทับใจถึงความเป็นกันเองล่ะมั้ง ผมรับมาแล้วยิ้มให้ ทำลายบรรยากาศที่คุณเพย์สร้างขึ้น

   “ขอบคุณครับ น่าอร่อยนะครับ”

   “จ้ะ กินให้อร่อยนะ”

   ผมมองจานของตัวเองสลับกับของคุณเพย์ ส้มตำปูปลาร้าของผมสีน้ำตาลปี๋ พริกเต็มอัตรา แค่เห็นก็น้ำหยดแล้ว... ส่วนของคุณเพย์ สีจืดจางสมเป็นตำไทยรุ่นเด็ก

   “เอ่อ... คุณเพย์กินเป็นมั้ยครับ ส้มตำ?”

   “เป็น”

   เขามองมันสักพัก ก่อนจะเริ่มจับช้อนส้อม ผมลุ้นว่าเขาจะกินมันท่าไหน เพราะตลอดเจ็ดปีผมไม่เคยเห็นเขาทานส้มตำสักครั้ง เลยคิดเอาว่า ตั้งแต่เกิดคุณเพย์เคยรับรู้รสชาติของดีประเทศไทยบ้างมั้ย

   คุณเพย์เขี่ยเส้นมะละกอไปมา ก่อนจะตักมันเข้าปากด้วยสีหน้าประหลาด ผมเองก็ตักเจ้าตำปลาร้าเข้าปากพลางมองแบบลุ้นๆ ตาม

   เจ้านายผมค่อยๆ ลิ้มรสชาติของมัน ก่อนจะทำหน้าเหมือน... มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า ก่อนจะตักคำที่สองและสามต่อ ผมสบายใจละ เขากินได้... หลังจากนั้นผมก็เลิกสนใจเขาแล้วกินของตัวเองบ้าง ไอ้เจ้านี่เผ็ดสุดยอดไปเลย

   “อร่อยเหรอ ไอ้น้ำดำๆ นั่นน่ะ”

   “ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นมา คุณเพย์เท้าคางมองผมกินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ในขณะที่จานของเขาไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว ขนมจีนก็หมดห่อ เจ้านายผมนี่กินง่ายจริงๆ ผมมองจานตัวเองที่พร่องเกือบหมดแล้วหัวเราะแห้ง

   “ก็อร่อยครับ คือผมไม่ได้กินมานานแล้ว”

   “งั้นวันหลังจะพามากินอีก” คุณเพย์ยิ้ม ผมใจกระตุก ค่อยๆ วางช้อนส้อมลง

   “ไม่รบกวนดีกว่าครับ”

   “ตั้งแต่รู้จักกันมา มึงกินน้อย กินอะไรก็ไม่ค่อยหมด มีไอ้นี่ ที่มึงกินเอาๆ”

   “อา... เพราะมันกินง่ายมั้งครับ”

   “กินเยอะๆ สิ”

   ผมอยากมุดโต๊ะหนี... คุณเพย์แปลกไปจริงๆ ผมว่าเขาควรไปหาหมอ... สมองอาจกระทบกระเทือน

   เขายังจ้องผมไม่เลิก เหมือนดูแมวป่วยที่เลี้ยงไว้สามารถกินอาหารได้ มันทำเอาผมไม่อยากกินต่อแล้ว

   “คุณเพย์ครับ จ้องหน้าผมมีอะไรรึเปล่า”

   เหมือนเขาเพิ่งรู้สึกตัว คุณเพย์ยืดตัวขึ้นก่อนจะกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปมองเมนู มองป้าย มองพัดลมที่ส่ายไปมา

   “คือว่า... เดี๋ยวคุณเพย์ต้องไปพบคุณโซอี้ จะไปเลยมั้ยครับ ผมกินเสร็จแล้ว เดี๋ยวแยกกันตรงนี้เลย”

   ผมจัดการส้มตำในจานจนหมดแล้วถึงได้ถาม คุณเพย์ก็ยังสายเปย์เหมือนเดิม เขาเป็นคนออกเงินค่าอาหารมื้อนี้ คุณเพย์เดินนำออกมาที่รถแล้วแล้วสั่ง

   “ไปกับกู”

   “ครับ... ให้ผมขับรถให้เหรอ”

   ผมตาวาว รู้สึกคันไม้คันมืออยากจับพวงมาลัยจะแย่ แต่คุณเพย์กลับทำลายความฝันของผมโดยการเข้าไปนั่งในที่คนขับแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงเผด็จการเหมือนเดิม

   “ขึ้นรถ”

   “ครับ”



   คุณเพย์บอกให้ผมเช็คตารางของวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมก็ยินดีที่จะทำ เหมือนได้กลับมาทำตัวมีค่าอีกครั้งหลังจากถูกสั่งให้นั่งๆ นอนๆ มาเกือบสามอาทิตย์ ผมร่ายตารางงานของคุณเพย์ที่ดูจากหน้าจอไอแพดของเขา

   “คุณเพย์อยากให้เลื่อนนัดกับคุณศิวัฒน์ออกไปก่อนมั้ยครับ” ผมถามเพราะดูจากตารางงานก่อนหน้านี้เหมือนเลขาคนใหม่ของเขาจัดให้ไม่ดีพอจนไปซ้อนทับกับการประชุมโปรเจคสัมปทานที่อาจกินเวลาลากยาว    

   “เวร จัดตารางซ้อนอีกแล้วเหรอวะ” คุณเพย์บ่น

   “เอ่อ... จะให้ผมบอกเลขาคนใหม่ให้มั้ยครับ”

   “ไม่ต้อง ไล่ออก”

   “คุณเพย์ ใจเย็นสิครับ เขาเพิ่งเข้ามาทำงาน”

   ผมกรอกตา เอะอะคุณเพย์จะไล่ออกท่าเดียวนี่ผมว่ามันไม่ใช่นะครับ ขนาดผมยังต้องเรียนรู้ตั้งสามสี่ปีกว่าจะเข้าใจการทำงานของเขา เจ้านายผมจิปากรำคาญแต่ก็ไม่พูดซ้ำคำเดิมแล้ว ถ้าคุณเพย์พูดรอบสอง มีหวังพรุ่งนี้ซองขาวร่อนไปถึงโต๊ะเลขาคนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์แน่นอน เพราะคุณเพย์ไม่เคยปล่อยให้มีรอบสาม

   “อีซี่ มึงไม่สนใจมาเป็นเลขากูจริงๆ เหรอ”

   จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ผมหัวเพราะแผ่วเบา

   “ผมเป็นแบบนี้ ไม่สามารถช่วยงานคุณเพย์ได้เต็มประสิทธิภาพหรอกครับ”

   รถเบรกจอดติดไฟแดง ร่างสูงหันมาทั้งตัวก่อนจะเอื้อมมือมาจับหน้าผมไว้แล้วดึงเข้ามา จูบร้อนที่ห่างหายไปนานประกบแนบสนิท ผมร้องอู้อี้ในลำคอ มือปล่อยไอแพดไว้บนตักเพื่อเปลี่ยนมาใช้ยันอกหนานั่นให้ออกห่าง แต่เหมือนคุณเพย์จะไม่ยอม เขาล็อคเอวผมแน่น ถอนจูบออกแล้วลามไปที่ซอกคอพลางดูดดึงจนขึ้นสี

   “คุณเพย์!”

   “ทำไมมึงชอบดูถูกตัวเอง”

   คุณเพย์ขมวดคิ้ว ปล่อยผมแล้วกลับไปจับพวงมาลัย ผมหอบหายใจถี่ ตาขวางบ่งบอกเลยว่าโกรธมากที่เขาทำอะไรอุกอาจแบบนี้ทั้งๆ ที่เขาควรจะซื่อสัตย์กับน้องอิงได้แล้ว หลังจากที่เขารู้ว่าผมป่วย เขาไม่ควรทำอะไรแบบนี้อีก

   “เพราะคุณเพย์นั่นแหละ ยังจะมาถาม”

   “อิฐ”

   “อะไร?”

   ผมเสียงห้วน เขาเข้าเกียร์เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเตรียมออกรถ

   “มึงยังคิดกับอิงแบบนั้นอยู่มั้ย”

   ผมเม้มปากแน่น แน่นอน... คุณเพย์รู้ รู้ว่าผมคิดกับน้องอิงมากกว่าน้องสาว... และเขาเป็นคนเข้ามาช่วยน้องอิงไว้จากการถูกข่มขืนจากผม...

   ความสัมพันธ์ของเราสามคนมันสับสนวุ่นวายเกินไป... ผมไม่เข้าใจน้องอิง อันที่จริง น้องอิงควรออกไปให้ห่างจากผมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่เธอกลับยอมยกโทษ ให้อภัยและพร้อมจะอยู่เคียงข้างผมต่อ ผมซึ่งยึดเหนี่ยวเธอเป็นที่พึ่งทางใจเดียวก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้เธอหายไปจากชีวิต แต่ก็อยู่ด้วยความหวาดระแวงตัวเองมาตลอด แต่สิ่งที่ทำให้ผมสามารถควบคุมตัวเองและยอมให้ตัวเองอยู่ใกล้น้องอิงต่อไปได้ก็คือคุณเพย์

   อย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้ผมนึกถึงหน้าเขาตอนที่ผมคิดอุบาทว์กับน้อง

   “คำถามนั้น ผมไม่ขอตอบครับ”

   ผมมันก็ระยำไม่แพ้พ่อตัวเองหรอก

   ...

   วันนั้นเมื่อห้าปีก่อน...

   “น้องอิง พี่ซื้อขนมมาฝาก”

   “ว้าว พี่เพย์ใจดีจังค่ะ อิงอยากกินพอดีเลย”

   เด็กสาววัยสิบห้าในชุดนักเรียนมอปลายเดินเร็วๆ มาที่โต๊ะอาหาร คุณเพย์วางกล่องขนมราคาไม่น่าจับต้องไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเรียกผมที่กำลังล้างมือที่อ่างในครัวให้มากินด้วยกัน

   “อย่ากินเยอะนะ เดี๋ยวอ้วน”

   ผมบอกน้องอิงขำๆ เด็กสาววัยกำลังแตกเนื้อสาวหันมาส่งค้อนให้ผมอย่างน่ารัก ผมชอบที่จะมองน้องสาวทำอะไรต่างๆ มันเพลินเหมือนดูสารคดีสัตว์โลกน่ารัก

   “ไม่อ้วนหรอก อย่าไปเชื่อมัน”

   คุณเพย์เถียงแทนน้องอิง เด็กสาวหันไปควงแขนคนเอาใจพลางเอ่ยลอยๆ

   “นี่ไงคะ ต่อให้อิงอ้วน พี่เพย์ก็ยังบอกว่าอิงน่าร้าก”

   ผมกรอกตามองบน จ้า... แม่สาวน้อยน้องรักคุณเพย์

   “ถ้าอิงเป็นแฟนพี่ พี่เลี้ยงจนอ้วนตาย ไม่ปล่อยให้ผอมหรอก”

   คุณเพย์แซวเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผม มันไม่ปกติ... จิตใจผมตอนได้ยินคำพูดแบบนี้ของคุณเพย์มันวูบโหวงจนอยากจะเดินหนีไม่ก็ต่อยปากคุณเพย์สักหมัด

   “พี่เพย์ล่ะก็ งานนี้ต้องขอพี่อิฐแล้วล่ะค่ะ”

   สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องตลกๆ ประจำวันไป

   แต่ผมไม่ตลก...

   

   “พี่อิฐคะพี่อิฐ มีคนให้จดหมายอิงด้วยแหละวันนี้”

   เด็กสาวกลับห้องมาพร้อมเสียงทักทาย ผมเองก็กำลังจะออกไปรับคุณเพย์ที่คอนโดเพื่อไปส่งที่สนามบิน เขาจะบินไปแคนาดาคืนนี้ ผมเลิกคิ้วถามกลับ

   “จดหมายอะไรเหรอ?”

   “จดหมายสารภาพรัก... อิง... อิงเพิ่งเคยได้รับอะไรแบบนี้ ทำไงดีคะพี่อิฐ”

   เด็กสาวดูสับสน ผมรับจดหมายมาเปิดดู เนื้อความมันเขียนพรรณนาถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ อะไรกัน... อิงเพิ่งจะสิบห้า เด็กสมัยนี้ไวไฟกันเกินไปแล้ว ผมถอนหายใจยาว

   “รู้จักเขารึเปล่า”

   “เอ่อ... น่าจะเป็นรุ่นพี่ห้องหนึ่งน่ะค่ะ” น้องอิงแอบเกาแก้มหน้าแดง ผมขมวดคิ้วแน่น โยนจดหมายลงถังขยะ

   “พี่ว่ามันเร็วไปสำหรับอิงนะ ตั้งใจเรียนเถอะ”

   น้องอิงหน้าจ๋อยไป มองจดหมายที่ผมเพิ่งโยนทิ้งอย่างอาลัยอาวรณ์

   ทำไม? ชอบมันรึไง?

   “ค่ะพี่อิฐ”

   สุดท้ายน้องก็รับฟังสิ่งที่ผมพูด

   

   ผมไปรับคุณเพย์ ระหว่างทางคุณเพย์ถามหาน้องอิง ผมเริ่มหงุดหงิด ทำไมอะไรๆ ก็น้องอิงๆ

   “แม่กูบอกว่าอยากได้ลูกสะใภ้แบบน้องอิง น่ารัก ใจดี ฉลาด” คุณเพย์กระดิกเท้า ก่อนยื่นหน้าข้ามช่องว่างระหว่างเบาะตรงกลางมาหาผม “มึงว่าไง แม่กูเอ็นดูน้องอิงหนักเลยนะเว้ย จะจีบน้องต้องขอพี่ก่อนป่ะ”

   ผมไม่รู้ว่าคุณเพย์อยากแซวผม หรืออยากหาเรื่อง หรือพูดจริงกันแน่ แต่มันทำให้ผมอยากตะโกนกลับไปว่า น้องอิงยังอายุแค่สิบห้านะเว้ย มึงจะพรากผู้เยาว์เหรอไอ้คุณเพย์! แต่ก็ได้แต่ข่มไว้ในใจ แม้สองปีมานี้ผมกับเขาจะสนิทกันขึ้นเพราะต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนแทบจะเรียกว่าตัวติดกันเลยก็ว่าได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้เขามาทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับน้องอิงจนเกินควร น้องสาวผมยังเด็ก...

   “แล้วแต่คุณเพย์เลยครับ”

   “ไฟเขียวให้ว่ะ ไม่น่าเชื่อ” คุณเพย์ขยี้หัวผมจนคลอน ผมสะบัดหัวหนีอย่างหงุดหงิด “กูล้อเล่นน่า อย่างอนสิอีซี่”

   ผมมุ่ยปาก

   “งอนบ้าอะไรครับ ไร้สาระ”

   

   ผมได้ยินเรื่องแบบนี้วนไปเวียนมาอยู่หัว เป็นแบบนี้มาอาทิตย์กว่าแล้ว... มันทำเอาผมหลับไม่ได้ พยายามจะข่มตานอนทีไร เรื่องของน้องอิงก็เข้ามาหลอกหลอนในหัวผมทุกที

   ผมไม่ยกให้ กับใครผมก็ไม่ยกให้

   “พี่อิฐคะ ทำไมตาคล้ำขนาดนั้น ไม่สบายรึเปล่า”

   เช้าที่สดใสของน้องอิง แต่เป็นอีกเช้านึงที่ผมแทบจะไม่ได้นอน ผมเหมือนเป็นไอ้บ้าที่ติดน้องจนกลายเป็นหวงไปแล้ว มันเริ่มจะเกินพอดี... ผมมองน้องอิงที่นั่งกินข้าวเช้าอยู่ตรงข้าม ลอบสังเกตเธอ... วันนี้วันเสาร์ จะแต่งสวยไปไหน?

   “วันนี้ไปไหนเหรอน้องอิง”

   น้องอิงเลิกคิ้ว หัวเราะแหะๆ

   “รู้ได้ไงคะว่าอิงจะไปไหน”

   “แต่งสวยผิดปกติ” ผมแซวแต่ในใจคือพูดจริง

   “มีนัดดูหนังกับเพื่อนน่ะค่ะ ที่สยาม”

   “กระโปรงนั่น ไม่สั้นไปเหรอ เปลี่ยนเถอะ ในโรงหนังน่าจะเย็น”

   ผมทักเตือนแบบไม่จริงจัง แต่น้องอิงถึงกลับหน้าจ๋อย ดึงกระโปรงลงแล้วค้อนขมุบขมิบ

   “อิงอยากใส่บ้างน่ะค่ะ อุตส่าห์ซื้อมาแล้ว”

   ผมชะงักไป ปกติน้องอิงจะไม่ดื้อกับผม ผมบอกอะไรเธอจะทำตามโดยไม่ต้องให้บอกรอบสอง แต่วันนี้กลับแย้งขึ้นมา สงสัยใกล้เข้าวัยต่อต้านแล้วล่ะมั้ง ผมถอนหายใจ ดื่มน้ำเปล่าแล้วลุกขึ้นกลับเข้าห้องไปไม่พูดต่อ บ่งบอกว่า ผมไม่พอใจ...

   น้องอิงออกไปดูหนังแล้ว ส่วนผมนั่งอ่านเอกสารประกอบการเรียนภาคพิเศษอยู่ในห้อง จู่ๆ ข้อความก็เด้งขึ้นมา ผมกดอ่าน ปรากฏว่ามาจากคุณเพย์ เขาบอกว่าคุณแม่เขามีของมาฝากน้องอิง เป็นของฝากจากอิตาลี ผมขมวดคิ้ว...

   น้องอิงอีกแล้ว...

   ทำไมใครๆ ชอบยุ่งกับน้องสาวผมจัง

   ผมมองนาฬิกา จะสองทุ่มแล้วแต่น้องอิงยังไม่กลับ... มือถือก็ไม่มี ผมจะติดต่อน้องก็ไม่ได้

   ผมลุกออกจากห้องไปในครัว ค้นหาบรั่นดีของคุณเพย์ที่ชอบเอามาทิ้งไว้ออกมา อยากลองซักช็อต เผื่อคืนนี้จะนอนหลับบ้าง ผมนอนไม่หลับติดกันมาหลายคืนแล้ว

   แต่มันไม่จบแค่นั้น บรั่นดีไม่ได้ทำให้ผมง่วง... แต่มันทำให้ผมขาดสติ...

   น้องอิงกลับมาตอนสี่ทุ่ม เธอดูกล้าๆ กลัวๆ โดยเฉพาะเมื่อไฟในบ้านปิดมืด เธอคงคิดว่าผมเข้านอนไปแล้ว แต่ทันทีที่เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าว ก็สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผมนั่งเงียบๆ อยู่บนโซฟา บนโต๊ะกระจกมีขวดบรั่นดีรสหวานกับแก้วที่ไม่มีอะไรอยู่

   “พะ... พี่อิฐ มานั่งทำอะไรมืดๆ คะเนี่ย ไฟไม่เปิด?”

   “ไปไหนมา?”

   ผมถามเสียงเย็น เหลือบตามองเด็กสาวด้วยอารมณ์ที่เดือดปะทุ น้องอิงกอดกระเป๋าตัวเองแน่น คงจะกลัวน้ำเสียงของผมตอนนี้มากแน่ๆ เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ

   “ขอโทษค่ะพี่อิฐ อิงได้ดูหนังรอบทุ่ม เลยกลับมาดึกไปหน่อย วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีก”

   ผมลุกขึ้น เดินย่างเข้าไปหาเซๆ กลิ่นเหล้าคงตีหึ่งจนน้องอิงถอยหลังหนี ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้สภาพผมเป็นยังไง รู้แค่ว่าความหวง ความหึง ความโกรธมันประดังประเดเข้ามาเต็มไปหมด ผมคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วบีบแน่น กระชากจนร่างนั้นปลิวเข้ามา

   “คิดว่าโตแล้วเหรอฮะ? กลับดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ อิงจะทำให้พี่อกแตกตายรึไง!”

   “พี่อิฐ! อิงเจ็บนะคะ อิง... อิงขอโทษค่ะ”

   ร่างเล็กๆ พยายามฝืนตัวออกห่าง สีหน้าที่มองเห็นได้จากแสงไฟที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่นั้นทั้งหวาดกลัว สับสน น้ำตาของเธอไม่มีผลในตอนที่อารมณ์ผมเป็นแบบนี้

   กระโปรงตัวนั้น... เธอไม่ยอมเปลี่ยน

   “ไหน? พี่อุตส่าห์บอกว่ามันสั้น ยังอยากจะใส่อีก ได้!”

   ผมจัดการถลกกระโปรงเธอขึ้น น้องอิงกรีดร้องลั่น พยายามผลักและตีผมอย่างสุดชีวิต ผมยื้อยุดจนสามารถดึงกระโปรงสั้นๆ นั่นออกมาจากเอวบางได้ จนเหลือแค่ชั้นในตัวเล็กตัวเดียว ผมผลักเธอล้ม... แล้วตามลงไปทับ จับตรึงบนพื้นไม้ที่เย็นเยียบ

   “ฮือ! พี่อิฐปล่อยอิง ปล่องอิงนะ ฮือ!”

   น้องอิงพยายามผลักผมออกด้วยเรี่ยวแรงที่มี ผมรู้สึกขัดใจมาก แรงทุบตีนั่นทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่าน ผมโน้มตัวลงไปไซร้ซอกคอหอมนุ่มนั่นอย่างไร้ซึ่งจิตสำนึกใดๆ เสียงร้องไห้และร้องขอของน้องอิงไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์และความโกรธที่บังตา

   “พี่อิฐ ฮือ! นี่อิงเอง น้องสาวพี่อิฐไง ฮือ... ปล่อยอิงเถอะค่ะ”

   เด็กสาวตัวเล็กพยายามยกมือขึ้นไหว้ขอร้องแต่ผมไม่สนใจ โน้มตัวลงไปบดขยี้ริมฝีปากช่างเจรจานั่นอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือด

   น้องอิงเป็นของพี่อิฐ...

   เป็นของพี่

   ของพี่คนเดียว

   พี่เองก็จะเป็นของน้องอิงคนเดียว...

   เรามีแค่กันและกันไม่ใช่เหรอ

   น้องอิงจะทิ้งพี่ไปไหน...

   “โอ๊ย... พี่อิฐ พี่อิฐ... อิงเจ็บ ฮือ... เจ็บค่ะ...”

   “น้องอิง...”

   เรี่ยวแรงที่ทุบตีผมอยู่เริ่มอ่อนลง เมื่อผมพยายามยัดเยียดความแข็งขืนให้เธอ ความคับแน่นที่ผมไม่สามารถแทรกผ่านไปได้... เสียงที่เงียบไป... กับเสียงเคาะประตูรัว... เสียงเปิดประตู...

   “ไอ้อิฐ!!! ทำเหี้ยอะไรมึงเนี่ย!”

   ร่างผมกระเด็นออกไปไกลจากแรงผลัก... ผมค่อยๆ ลุกขึ้น สะบัดหัว... หัวแตกจากการกระแทกขอบโต๊ะกระจก คนที่เข้ามาขวางคือเจ้านายของผมเอง

   “คะ... คุณเพย์”

   “เป็นเหี้ยอะไรมึง มึงทำอะไรน้องอิง!”

   คุณเพย์ตะคอกใส่ ในอ้อมแขนมีร่างเล็กที่อยู่ในสภาพอเนจอนาถ คุณเพย์รีบถอดเสื้อสูทของตัวเองออกมาคลุมร่างเล็กไว้แล้วอุ้มขึ้น น้องอิงหมดสติไปแล้ว ผมนั่งคุกเข่า มองมือตัวเอง มองสภาพตัวเอง

   “ผม... ผม... ผมทำอะไรไป”

   “มึงตั้งสติอยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน! กูจะพาน้องอิงไปโรงพยาบาล!”

   แล้วคุณเพย์ก็จากไป ส่วนผม...  ตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกผิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ คร่ำครวญ และขอโทษ ขอโทษกับสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย

   “พี่ขอโทษน้องอิง... พี่ขอโทษ!”

   

   หลังจากคุณเพย์ออกไป ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก่อนจะลากตัวเองเข้าไปในห้องนอน เดินไปหยิบคัตเตอร์แล้วเข้าไปในห้องน้ำ ผมพร่ำขอโทษด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า สิ่งที่ผมทำมันไม่มีอะไรชดใช้ได้เลย ไม่มีเลย... ไม่มี

   สิ่งเดียวที่ผมจะชดใช้ให้น้องอิงได้...

   รอยกรีดเป็นทางยาวในแนวขนานกับแขนทำให้เลือดจำนวนมากซึมออกมา ผมออกแรงกดใบมีดอีก กดมันให้ลึก ให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่น้องอิงรู้สึก จากเลือดที่ค่อยๆ ซึม กลายเป็นนอง... นองจนเต็มอ่างน้ำ ผมวางแขนลงไป... รอเวลาให้พระเจ้าลงโทษ

   ผมนั่งพิงอ่างน้ำสีขาว ปล่อยแขนข้างซ้ายลงในอ่าง มันจะได้ทำความสะอาดง่ายหน่อย...

   น่าจะช้าไป...

    ผมยกคัตเตอร์ขึ้นมา จรดปลายลงบนลำคอ

   งานนี้เร็วแน่...

   “อิฐ!!!”

   เสียงของคุณเพย์ดูตกใจกว่าเมื่อกี้อีก มือใหญ่จับคว้าเอาที่ใบมีดคัตเตอร์ก่อนมันจะลงลึกที่คอผม เขากำมันไว้แน่นจนฝังเข้าไปในมือ เลือดของเขาผสมกับเลือดของผมจนเปรอะไปทั่ว หน้าผมตอนนี้คงมีแต่เลือดสีแดง นัยน์ตาว่างเปล่าเลื่อนลอย... ไม่มอง ไม่สนใจ สติเริ่มเลือนไปทุกที

   คุณเพย์พยายามเหลือเกินที่จะเอาผ้าเช็ดตัวมาพันแขนกับกดแผลที่คอผมไว้ ร่างผอมแห้งถูกอุ้มออกมาในสภาพที่เลือดท่วม น่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ... ผมแทบไม่ได้สติ ทุกอย่างวูบไหว สุดท้ายก็เลือนหายไป...

   ผมภาวนา ขอให้ผมไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย




#คุณเพย์รักอิสระ

https://twitter.com/_SeenYu
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 9
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 09-11-2019 23:21:14
เอาใจช่วยอิฐนะ  รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 11
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 13-11-2019 23:03:03
| Day 11 |
Redeem
(13/13/62)


   วันนี้ผมไม่ได้ใส่สูท ผมใส่แค่เชิ้ตสีขาวแขนยาวมิดชิดกับกางเกงสแลคเข้ารูปธรรมดาสามัญชน เพราะคิดว่าแค่จะมาหาหมอแล้วก็กลับเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเดินตามหลังคุณเพย์ต้อยๆ ไปพบดีไซเนอร์ชื่อดังในโรงแรมห้าดาวแบบนี้

   ดูแล้วไม่ให้เกียรติสถานที่เอาเสียเลยไอ้อิฐ

   แต่คุณเพย์ก็ยังเป็นคุณเพย์ เขาเคยแคร์อะไรที่ไหน ลากผมตามเข้ามาจนถึงล็อบบี้โรงแรมซึ่งมีร่างสูงระดับนางแบบในชุดดีไซน์สวยงามนั่งไขว่ห้างรออยู่ คุณเพย์เดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม คุณโซอี้ลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาจับทักทายลูกค้าคนสำคัญ

   “ไม่เจอกันนาน มิสเตอร์เพย์” คุณโซอี้ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ คุณเพย์ทักทายกลับและเอ่ยขอโทษที่ทำให้รอ ลูกมือสองสามคนของคุณโซอี้เดินนำทางพวกเราขึ้นไปยังห้องสวีทที่จองไว้เพื่อการฟิตติ้ง ผมกะว่าจะนั่งรออยู่ข้างล่างเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้คุณเพย์บอกให้ผมขึ้นไปด้วย ซึ่งคุณโซอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่งยิ้มใจดีให้

   เมื่อถึงห้องของคุณโซอี้ ด้านในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ยังอยู่ในโครงแพทเทิร์น อุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ถูกขนมาไว้ ลูกน้องของคุณโซอี้จัดการหยิบสูทที่ขึ้นโครงไว้แล้วเพื่อนำมาให้คุณเพย์ลองอีกครั้ง ผมทำอะไรไม่ได้จึงหาที่นั่งรออย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่วุ่นวาย

   คุณโซอี้กอดอกมองการฟิตติ้งก่อนจะเหลือบมองผมที่นั่งมองไปรอบๆ

   “สวัสดีค่ะ เราเคยพบกันก่อนหน้านี้ ฉันจำได้”

   คุณโซอี้ทักทายผม

   “คะ... ครับ”

   หญิงสาวที่อายุน่าจะมากกว่าผมหรือคุณเพย์แต่ทรวดทรงดูดีจนผมยังมองตามส่งยิ้มมาให้

   “คุณชื่ออะไรคะ”

   “เอ่อ... อิสระครับ เรียกผมว่าอิฐก็ได้”

   “อ้อ...” คุณโซอี้รูดสายวัดที่คล้องคอออกก่อนจะดึงผมให้ลุกขึ้น ผมมองเธอเลิ่กลั่กเมื่อคุณโซอี้ถอยออกไปแล้วใช้นิ้วแตะคางเหมือนกำลังพิจารณาร่างกายผม

   “คุณอิฐรูปร่างกะทัดรัด ชุดนี้ทำให้คุณดูไม่ภูมิฐานเอาเสียเลย”

   ก่อนจะหันไปเรียกคุณเพย์

   “เฮ้ มิสเตอร์เพย์ คุณอยากให้ฉันตัดชุดให้อิฐด้วยหรือเปล่า”

   คุณเพย์ที่กำลังง่วงอยู่กับการลองชุดและแก้ไขแบบกับลูกมือของคุณโซอี้อยู่มองมาทางผมที่เบิกตามองเขาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ แต่คุณเพย์กลับยิ้มมุมปากแล้วพยักพเยิดหน้าให้

   “เอาสิ”

   “คุณเพย์ครับ คือ... คือว่าผมไม่จำเป็นต้องใช้...”

   “โซอี้ไม่ได้ออกปากตัดชุดให้ใครเองบ่อยๆ หรอกนะ” คุณเพย์ว่า ดีไซเนอร์ชื่อดังหัวเราะหึในลำคอก่อนจะหันมาจับเนื้อจับตัวผม เอ่ยพูดด้วยสำเนียงอังกฤษจ๋า

   “ฉันอยากทำให้คุณดูดี หน้าคุณเศร้ามากเลยรู้ตัวมั้ย”

   ผมกระพริบตาปริบๆ

   คุณโซอี้คงจะเป็นคนใจดีแบบแปลกๆ ล่ะมั้ง

   “ครับ”

   ในเมื่อคุณเพย์ออกปาก ผมก็คร้านจะปฏิเสธ



   กลายเป็นว่าวันนี้ผมมีอะไรใหม่ๆ ให้ทำนอกจากการนั่งๆ นอนๆ ตลอดเกือบเดือนแล้ว คุณโซอี้บอกว่าอีกสองอาทิตย์ให้ผมมาฟิตติ้งอีกครั้งก่อนที่เธอจะกลับอังกฤษ จากนั้นถ้าไม่มีปัญหาอะไร เธอจะส่งชุดมาให้ผมในอีกหนึ่งเดือน หรือไม่ก็ให้ผมไปรับที่อังกฤษ ซึ่งอย่างหลังผมว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

   คุณเพย์แยกไปคุยกับคุณโซอี้ไกลจากผมเล็กน้อย ทำให้ผมไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สีหน้าเหมือนจะไม่ใช่เรื่องซีเรียส คุณโซอี้ดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี แถมบางทียังเหล่มองมาทางผมอีกต่างหาก

   “เอ่อ... คุณเพย์ครับ เรื่องชุด...”

   “กูตัดให้ ไม่ต้องห่วงว่ากูจะหักเงินเดือนมึงเอามาจ่ายหรอก”

   ผมรู้ครับว่าเขาจ่ายให้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือเขาตัดให้ผมทำไมต่างหาก

   “ทำไมต้องตัดให้ใหม่ด้วยครับ ชุดเดิมก็ยังใช้ได้ อีกอย่างช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ออกงานอะไรกับคุณเพย์ด้วย”

   คุณเพย์เปิดประตูฝั่งคนขับ เป็นนัยว่าผมต้องระเห็จไปเป็นคนนั่งอีกแล้ว

   “มึงอยากไปอเมริกากับกูมั้ย”

   “ครับ... เอ่อ... ไม่ใช่ ทำไมครับ”

   คุณเพย์ออกรถ เขางัดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ พลางลดกระจกรถลงเพื่อระบายอากาศ ตอนนี้มืดแล้ว และถนนที่คุณเพย์ขับมาก็ไม่ใช่ทางกลับคอนโดผม ไม่ใช่ทางกลับคอนโดคุณเพย์ แต่เป็นเส้นทางออกไปต่างจังหวัด ผมมองซ้ายขวาก่อนเอ่ยทักเขา

   “คุณเพย์ครับ ทางนี้มันออกต่างจังหวัด คุณเพย์จะไปไหนครับ”

   “ไปที่ๆ มีแค่กูกับมึง”

   “...”

   ผมนั่งเงียบ เริ่มหายใจไม่ออก มือถือในมือสั่นเพราะข้อความ ผมกดดูเห็นเป็นข้อความจากคุณจิณณ์



   JinN Arayapat : คุณเป็นยังไงบ้างอิฐ

   JinN Arayapat : ผมไปหาได้มั้ย



   ผมรีบกดปิดหน้าจอ ถ้าคุณเพย์เห็นอาจจะเป็นเรื่องก็ได้

   “ใคร?”

   “น้องอิงน่ะครับ เธอถามว่ายังไม่กลับเหรอ”

   คุณเพย์เงียบไป ก่อนจะพูดขึ้น

   “อิฐ”

   “คุณเพย์ เรากลับกันเถอะนะครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยดี”

   ผมยกมือนวดขมับ ผมเริ่มปวดหัวจริงจัง อยากกลับบ้าน อยากนอนแล้ว เหมือนผมใช้ชีวิตของวันนี้คุ้มเกินไปจนทำให้ร่างกายรับไม่ไหวหลังจากนั่งๆ นอนๆ มานาน คุณเพย์หักรถจอดข้างทางก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัย เขาหันตัวมาก่อนจะดึงข้อมือผมออก ผมเงยหน้าขึ้น ตาเริ่มพร่ามัว

   “เป็นไงบ้าง ปวดหัวเหรอ”

   “ครับ”

   ผมตอบไปตามตรง คุณเพย์ยกมือทาบซอกคอผมก่อนจะเลื่อนขึ้นมาทาบหน้าผาก

   “ตัวไม่ร้อนนี่”

   เขาโน้มตัวมากดเอนเบาะให้ผมนอนราบก่อนจะถอดสูทออกมาคลุมให้ผมพลางกดเลื่อนกระจกปิดแล้วเปลี่ยนเป็นเปิดฮีทเตอร์ในรถแทน อากาศข้างนอกค่อนข้างชื้น นั่นอาจทำให้ผมรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวก็เป็นได้

   ผมตาปรือ เคลิ้มกับกลิ่นบุหรี่และน้ำหอมที่ติดตัวคุณเพย์

   ผมไม่ควรรู้สึกแบบนี้

   “คุณเพย์ครับ”

   “ครับ”

   เขาขานรับอย่างน่ารัก ซึ่งทำให้ผมประหลาดใจ เสี้ยวหน้าของเขาที่เห็นผ่านแสงไฟข้างถนนมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ก่อนที่หน้าของน้องอิงจะลอยขึ้นมา ผมดันอกคุณเพย์ออกห่าง ไม่ว่ายังไง... ผมไม่ควรเป็นคนที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ผมรักทั้งสองคน ผมควรถอยห่างออกจากพวกเขาก่อนที่จะทำให้อะไรๆ มันแย่

   คุณเพย์คู่ควรที่จะอยู่ข้างๆ น้องอิง ไม่ใช่ผม

   เขาปกป้องน้องอิงจากผมได้

   และเขาทำแบบนั้นมาตลอด เขาไม่เคยทำให้น้องอิงเสียใจ ไม่ว่าเขาจะเหลวแหลกเหลวไหลขนาดไหน แต่น้องอิงไม่เคยต้องร้องไห้เพราะเขา

   ไม่เหมือนผม...

   “ผมปวดหัวครับ ผมขอนอน”

   สำคัญที่สุด คือผมไม่ควรอยากให้คุณเพย์อยู่ใกล้ๆ ผมไม่ควรพึ่งพาเขามากไปกว่านี้

   ได้เวลาถอยออกมาได้แล้วอิฐ



   สุดท้ายคุณเพย์ก็วกรถกลับกรุงเทพหลังจากที่เกือบจะออกถนนสายเอเชียไปแล้ว ในขณะที่ผมคู้ตัวหลับอยู่บนเบาะตลอดทาง ผมสัมผัสได้ว่ามีบางครั้งที่มือของคุณเพย์ที่วางไว้บนกระปุกเกียร์เลื่อนมาจับแขนผมพร้อมกับลูบไปด้วย

   สัมผัสนั้นทำให้คนที่แกล้งทำเป็นหลับเพื่อหลีกหนีบทสนทนาน้ำตาคลอ จนในที่สุดก็หล่นเผาะมาตามสันจมูก

   ผมพยายามกลั้นเสียงในลำคอ พยายามจนกระทั่งรถคุณเพย์จอดรถหน้าคอนโด ผมถึงได้ค่อยๆ เช็ดน้ำตาเจ้ากรรมแล้วลุกขึ้น สูดน้ำมูกให้เบาที่สุด ใช้ความมืดอำพลางหน้าตาที่คงดูไม่ได้

   “ขอบคุณครับคุณเพย์”

   “อีซี่”

   คุณเพย์เรียกผมก่อนที่ผมจะลงจากรถ เขาดึงแขนผมเข้ามากอด มือใหญ่ของคุณเพย์สอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มเพราะแชมพูราคาประหยัดพลางขยุ้มมัน เขากอดจนผมเม้มปากแน่น

   “กู...”

   “ขอบคุณมากนะครับคุณเพย์ที่ดูแลผมวันนี้”

   ผมชิงพูดก่อนแล้วดันเขาออก คุณเพย์เอียงคอมองผมที่ก้มหน้าหัวเราะแหะๆ

   “น้องอิงโชคดีมากๆ ที่มีคุณเพย์คอยดูแล”

   “อิฐ มันไม่ใช่...”

   “น้องอิงต้องการคุณเพย์ครับ”

   “เดี๋ยวอิฐ”

   ผมดึงเขามาจูบเป็นครั้งสุดท้าย

   “กลับไปเป็นของน้องอิงคนเดียวเหมือนเดิมนะครับคุณเพย์”

   กรุณาปล่อยผมไปเถอะครับ



   “พี่อิฐคะ”

   น้องอิงนั่งอ่านหนังสือเรียนตั้งเบ้อเริ่มอยู่บนโต๊ะอาหาร  นาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืน ผมเดินตัวห่อเหี่ยวเข้ามาในห้องที่เปิดไฟสว่างโร่ ว่าที่คุณหมอในชุดนอนปาจามาสีชมพูลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาจับเนื้อจับตัวผม

   ผมดึงแขนออกก่อนจะเงยหน้ายิ้มบางๆ น้องอิงไม่เข้าใจท่าทีของผม สีหน้าเธอดูประหลาดใจ

   “พี่กลับดึก ขอโทษที”

   “ไม่เป็นไรค่ะ พี่เพย์บอกแล้วว่ารับพี่อิฐไปตัดชุดใหม่ด้วยกัน”

   ผมเลิกคิ้ว

   น้องอิงถามคุณเพย์เมื่อไหร่

   “คุณเพย์บอกอิงเมื่อไหร่”

   “ก็ตั้งแต่ตอนที่เราแยกกันค่ะ พี่เพย์บอกว่าวันนี้จะคอยดูแลพี่อิฐ อยากพาพี่อิฐไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

   ผมเริ่มคิด... งั้นคุณเพย์คงจะรู้ว่าผมโกหกเรื่องข้อความ แต่ทำไมเขาไม่ว่าอะไรเลยล่ะ

   ผมจับข้อมือตัวเองโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว น้องอิงแตะไหล่ผมพลางลูบเบาๆ

   “เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

   “พี่... พี่”

   คุณเพย์จะโกรธมั้ย... โกรธรึเปล่าที่ผมโกหก

   ทันใดนั้นเสียงข้อความก็แจ้งเตือนอีกรอบ ผมรีบล้วงมือถือขึ้นมาดู



   JinN Arayapat : อิฐ คุณยังโกรธผมรึเปล่า?



   ผมกดปิดหน้าจออีกครั้ง ไม่ตอบ และไม่อ่านเหมือนเดิม จะอะไรกับผมนักหนา วันนั้นเขาก็เห็นแล้วนี่ว่าผมน่ะไม่ปกติ ทำไมเขายังอยากจะยุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมอีก

   ผมควรบล็อกเขาไปซะ

   “พี่อิฐ ไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

   ผมถูกดันเข้าห้องตัวเองไป น้องอิงช่างไม่รู้จักระวังตัวเอาเสียเลย กลิ่นหอมของสบู่บนตัวน้องอิงยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ผมรู้สึกแปลกใจทุกครั้งที่น้องอิงเข้าใกล้ผม ทั้งๆ ที่เธอควรจะระแวงและหวาดกลัวผมสิ เหมือนกับที่ผมระแวงตัวเองอยู่ทุกวัน น้องอิงเขาวางใจพี่ชายที่มีความคิดสกปรกคนนี้ลงได้ยังไงกัน

   ผมสะบัดหัว มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองมาตลอดห้าปี

   ...

   ผมจำได้ว่าหลังจากที่ผมพยายามฆ่าตัวตายตอนที่คุณเพย์พาน้องอิงไปโรงพยาบาล คุณเพย์รีบวกกลับมาทันทีที่น้องอิงถึงมือหมอ โชคดีที่ตอนนั้นผมสติแตกจนนั่งจมอยู่กับตัวเองเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะเชือดข้อมือตัวเอง ทำให้คุณเพย์ห้ามได้ทันและอุ้มผมมาส่งถึงโรงพยาบาลอีกรอบ มันคงเป็นเรื่องน่าตลกที่คนคนเดียวพาคนสองคนมาห้องฉุกเฉินในเวลาไล่เลี่ยกัน

   ผมฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพมัมมี่ สายน้ำเกลือ สายให้เลือดปักอยู่ที่แขน แถมด้วยเครื่องวัดชีพจรที่หนีบไว้ตรงปลายนิ้วระโยงยาง รอบคอก็มีผ้าพันแผล ไหนจะแขน และหัวที่แตกเพราะโดนคุณเพย์ผลักจนหัวชนขอบโต๊ะ

   “พี่ พี่อิฐ”

   เสียงสั่นๆ ที่คุ้นเคย ผมเหลือบตามองเด็กสาวที่ตาแดงช้ำ เธอเกาะขอบเตียงอย่างไม่กล้าแตะตัวผม เด็กสาวอยู่ในชุดผู้ป่วยแต่ยังดูสบาย ผมอยากจะทักกลับ แต่ความทรงจำของผมมันทำให้ผมกระเถิบตัวออกห่าง

   “อย่า...”

   เสียงผมแหบพร่า ส่ายหน้า

   “อย่าเข้ามาใกล้พี่”

   “พี่อิฐคะ อิง... อิง...”

   “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ!”

   ผมพยายามลุกหนีน้องอิงที่พยายามจับตัวผมไว้ทั้งน้ำตา เธอร้องไห้มือสั่นแต่ยังพยายามจะเข้าใกล้ผม แต่ผมนี่สิ รังเกียจและขยะแขยงตัวเองจนทนไม่ไหว ผมดิ้นพล่าน พยายามลุกจากเตียงจนลากเอาสายน้ำเกลือและสายให้เลือดตามมาด้วย เสียงโครมครามดังก้องจนคนที่อยู่ข้างนอกวิ่งเข้ามา

   น้องอิงเดินอ้อมมาพยายามกอดผมไว้ แต่ผมผลักเธอออกพร้อมกับตะโกนไล่

   “อย่าเข้ามาใกล้! มันน่าขยะแขยง!”

   ผมขยะแขยงตัวเอง

   “พี่อิฐคะ! ฮึก พี่อิฐ!”

   พยาบาลพยายามเข้ามาจับผมแล้วฉีดยาระงับประสาทให้ ผมดีดดิ้น โวยวาย ร้องไห้ มองน้องอิงที่นั่งคุกเข่าซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้ด้วยเสียงที่ดังไม่ต่างจากผม

   เราต่างเจ็บปวด

   “อิฐ”

   คุณเพย์เข้ามาหลังจากผมถูกฉีดยาระงับประสาทจนคอพับคออ่อน เขาอุ้มผมขึ้นมานอนบนเตียงเหมือนเดิม ผมเริ่มล่องลอย ปากพร่ำเพ้ออะไรก็ไม่รู้เหมือนคนบ้า แผลที่ถูกพันไว้เปิดอีกครั้ง สภาพผมแย่จนน้องอิงไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้

   ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือน้องอิงร้องไห้อยู่กับอกคุณเพย์

   ผมภาวนาให้นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเห็นน้องอิงร้องไห้

   “พี่ขอโทษ”

   หลังจากวันนั้นน้องอิงก็หายไปหนึ่งอาทิตย์ กับผมที่ประสาทแดกอยู่ในโรงพยาบาล มีชีวิตต่อไปด้วยยาระงับประสาท ก่อนที่น้องอิงจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพูดกับผมตรงๆ

   ผมที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างค่อยๆ หันกลับมามองน้องอิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงเงียบๆ

   “ไม่กลัวพี่เหรอ”

   “อิงไม่กลัวค่ะ”

   “ไม่โกรธพี่เหรอ”

   “อิงไม่โกรธค่ะ”

   ผมสะอื้น ยกมือปิดหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจ

   “แต่พี่ให้อภัยตัวเองไม่ได้”

   น้องอิงลุกขึ้น มือน้อยๆ ดึงมือผมที่ปิดหน้าออก เธอยิ้มอย่างเข้มแข็งให้ผม

   “งั้นพี่อิฐอยู่เพื่ออิงได้มั้ยคะ”

   “....”

   “อยู่ชดใช้สิ่งที่ทำกับอิง”

   “....”

   “ทรมานแทนอิง”

   “....”

   “อย่าตายเพื่ออิงได้มั้ย”

   “....”

   เธอกอดร่างที่ผอมแห้งของผมแน่น ร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน

   “เรามีกันสองคน ไม่มีพี่อิฐ อิงก็ไม่เหลือใครแล้ว”

   “อิง...”

   “ถ้าพี่อิฐอยากรักอิง พี่อิฐรักอิงเถอะค่ะ”

   “พี่ขอโทษ”

   “รักอิงนะคะ”

   “อืม...”

   “ถ้าเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่อิฐมีชีวิตต่อได้”

   “พี่รักอิง”

   ผมจะรักเธอ... รักเธอจนไม่สามารถตายหนีเธอไปได้

   อยู่เพื่อชดใช้

   ผมเหมือนโดนสะกดจิตจนล่องลอย รับได้ทุกอย่าง... แม้กระทั่งมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนที่ผมรัก



   เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่วันนี้มันแจ่มใสเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ทุกอย่างช่างหม่นหมอง เธอรู้ตัวว่ามีคนที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ แม้กระทั่งตอนที่เธอเข้าไปขอร้องให้พี่ชายที่รู้สึกผิดจนอยากตายเพื่อชดใช้กับสิ่งที่เกิดให้มีชีวิตอยู่

   “อิงเห็นแก่ตัวมากๆ”

   เธอยิ้มให้ท้องฟ้า แต่น้ำตากลับไหล

   ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ จับให้เธอหันกลับมาแล้วยกมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาให้

   “อิงไม่ได้เข้มแข็งพอจะให้พี่อิฐตาย อิงยังอยากให้พี่อิฐอยู่เป็นพี่ชายอิง เป็นพี่ชายคนดีของอิงคนเดิม”

   “น้องอิงเข้มแข็ง”

   เพย์ลูบหัวทุยอย่างอ่อนโยน เด็กสาวที่เขารักและหวังดีดั่งเช่นน้องสาว

   “พี่เพย์คบกับอิงนะคะ”

   เพย์เงียบไป เด็กสาวจับมือใหญ่มาแนบแก้ม

   “ตอนนี้อิงยังต้องการให้มีคนปกป้อง”

   “พี่จะปกป้องอิง” เพย์ยิ้มจืดจาง

   “ถ้ามีพี่เพย์ พี่อิฐจะต้องไม่ทำอะไรอิงแน่นอน”

   “พี่รู้”

   “อิงสัญญา ว่าถ้าอิงสามารถปกป้องตัวเองได้... อิงจะคืนพี่เพย์ให้พี่อิฐ”

   เพย์รวบร่างบางมากอดแน่น น้องอิงรู้... รู้มาตลอดว่าที่เขาทำทุกอย่าง เขาทำเพื่ออิฐ

   “พี่เพย์รักพี่อิฐมากมั้ยคะ”

   “รัก... รักมาก รักมากๆ”

   “ฝากพี่เพย์ทำให้พี่อิฐมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยนะคะ”

   “พี่สัญญา”



   วันนี้คุณเพย์ก็ยังคงไม่ยอมให้ผมไปทำงานให้เขา แต่เขายอมทิ้งกุญแจรถไว้ให้แล้วหลังจากที่เขายึดมันไป น้องอิงขอให้ผมไปส่งที่มหาวิทยาลัยแทนการที่ผมจะไปขับรถให้คุณเพย์เพื่อเป็นการทดสอบว่าผมมีสติดีพอที่จะกลับไปทำงานแล้วหรือยัง

   เมื่อคืนผมตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้จับพวงมาลัยอีกครั้ง คุณเพย์หน้าบึ้งเมื่อน้องอิงอ้อนขอกุญแจแทนผมที่นั่งตัวลีบรอฟังคำตัดสินของเจ้านายบนโซฟา จนกระทั่งเขาถอนหายใจเฮือก คลายมือที่กอดอกแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อเอากุญแจรถคันเดิมมาโยนให้ผมที่รับไว้อย่างรู้ทัน

   ผมมองกุญแจรถที่ไม่ได้แตะต้องมันมานานเหมือนได้ทอง

   “อย่าเถลไถล ส่งน้องอิงเสร็จก็กลับ เข้าใจมั้ย”

   “ครับๆ”

   คุณเพย์สั่งอีกสองสามอย่างก็กลับคอนโดไป น้องอิงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของผม ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องเพื่อทบทวนบทเรียน ปล่อยให้ผมกอดจูบลูบคลำกุญแจรถที่ห่างหายไปนาน

   วันรุ่งขึ้น ผมขับไปส่งน้องอิงที่มหาวิทยาลัย เธอกำชับเด็ดขาดว่าอย่าออกนอกเส้นทาง ผมจึงบอกว่า ผมจะขอไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลหน่อย เพราะไม่ได้ไปมาเป็นเดือนแล้ว น้องอิงเม้มปากแน่น เธอไม่ค่อยยอมให้ผมไปหาแม่ตามลำพังโดยไม่มีเธอไปด้วย แต่ผมบอกว่า ผมจะไม่เข้าไปให้แม่เจอหรอก แค่จะขอดูห่างๆ จากนอกห้องก็พอ

   “พี่อิฐโอเคนะคะ?”

   “พี่โอเค”

   น้องอิงพ่นลมหายใจ ก่อนจะพยักหน้า

   “ขับรถดีๆ นะคะพี่อิฐ”

   “ครับๆ”

   ผมรับคำน้องสาวตัวดีก่อนจะออกรถ  ตรงไปยังโรงพยาบาลจิตเวชที่แม่รักษาตัวอยู่ ผมมาตัวเปล่าไม่ได้เอาอะไรมาด้วย ก่อนจะก้าวเข้าไปในตัวโรงพยาบาล เสียงรถซุปเปอร์คาร์ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ผมค่อนข้างแปลกใจเพราะที่นี่ไม่ค่อยมีรถประเภทนี้ขับมาจอดเล่นเท่าไหร่หรอก

   ผมหันไปมองก็สะดุ้งทันที

   “คุณจิณณ์”

   คนที่ก้าวลงจากรถมาอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา แว่นตากันแดดราคาหลักแสนถูกถอดออกพร้อมกับมือที่ผลักประตูปิด เขาจอดรถไว้ข้างรถผม ขายาวๆ ก้าวตามมาจนผมรีบหันหลังเดินหนีเหมือนคราวก่อน

   บังเอิญเหรอ... บังเอิญที่อื่นพอว่า แต่บังเอิญที่นี่ผมว่าไม่

   “อิฐ จะหนีไปไหน”

   ผมเดินเข้าตัวอาคาร โดยมีคุณจิณณ์ตามหลังมาติดๆ ผมกรอกตามองบน ไม่ตอบเขาแต่เดินไปหาพยาบาลเพื่อบอกชื่อผู้ป่วยที่ต้องการเยี่ยม

   “มาเยี่ยมคุณนภารัตน์ วิภาสกุลครับ”

   “อ้าวน้องอิฐ หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ”

   พี่แก้วเจ้าเดิมยิ้มสดใสให้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่อยู่ด้านหลังผมอย่างสงสัยพลางเอ่ยถาม

   “ใครน่ะน้องอิฐ ไม่ใช่คุณภาวิตนี่นา”

   “เอ่อ... เพื่อนน่ะครับ ผมบังเอิญเจอ”

   คุณจิณณ์มองไปรอบๆ อย่างสนใจ เดี๋ยว... นี่โรงพยาบาลบ้า จะมาสนใจอะไรคุณจิณณ์ อยากแอดมิดเหรอ?

   “เอ่อ น้องอิฐจะให้เขาเข้าไปเยี่ยมคุณแม่ด้วยมั้ยคะ”

   “ผมไม่เข้าไปหรอกครับ แค่จะมาดูอยู่ห่างๆ”

   ผมยิ้มให้ พี่แก้วทำหน้าสงสัย ก่อนที่พี่กุ้ง หนึ่งในพยาบาลประจำตัวของแม่จะเดินมาหา เธอยิ้มดีใจที่เห็นผม

   “น้องอิฐ วันนี้มาคนเดียวเหรอ”

   “ครับ ใครดูแลแม่อยู่เหรอครับ” ผมถาม สงสัยตอนนี้คงเป็นช่วงผลัดเวรของพี่กุ้งพอดี

   “น้องนิ่มน่ะจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ ช่วงนี้แม่อรสงบมากเลยจ้ะ แถมยังจำอายุตัวเองได้ด้วยนะ พี่แปลกใจเลย” พี่กุ้งเล่าอย่างตื่นเต้น ผมเองตื่นเต้นไปด้วย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า “วันก่อนแม่อรถามหาน้องอิฐด้วยนะ”

   “ถามหาผม?”

   “ใช่จ้ะ พี่ว่าวันนี้ลองเข้าไปพบหน่อยมั้ย?”

   ผมทำหน้าลังเล คุณจิณณ์เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะแตะไหล่ผม

   แล้วคุณให้กำลังใจผมทำไมเนี่ย...

   “แล้วคุณมาทำไมครับคุณจิณณ์”

   คุณจิณณ์ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าผมไม่ได้เชิญเขามานะ ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง

   “อิฐไม่ตอบข้อความผม ผมเลยตามมาคุยกับคุณถึงที่”

   “แปลว่าตามผมมาตั้งแต่คอนโด?”

   ผมทำหน้าขยะแขยง นี่เขาไม่มีการไม่มีงานทำเหรอ คุณเพย์ยังมีความรับผิดชอบกว่าอีก

   คุณจิณณ์หัวเราะ

   “ใช่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เอาเป็นว่า คุณทำธุระของคุณเถอะ เดี๋ยวผมรออยู่ข้างนอก ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเฉยๆ”

   ผมมองหน้าเขาที่เปลี่ยนสีหน้าจากชิวๆ เป็นจริงจัง ก่อนตอบตกลงพี่กุ้งแล้วเดินตามไป

   ทำไมมีแต่เรื่องให้ผมปวดหัว ปล่อยผมมีชีวิตสงบๆ บ้างไม่ได้รึไงวะ?



#คุณเพย์รักอิสระ
https://twitter.com/_SeenYu

หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 11
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-11-2019 14:29:29
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 12
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 22-11-2019 20:48:16
| Day 12 |
Beer

(22/11/62)



   หลังจากที่ผมถูกจับแยกกับแม่ตอนอายุสิบสอง ผมก็แทบจะไม่ได้อยู่กับแม่ตามลำพังเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ผมเข้ามาเจอแม่โดยที่ไม่มีน้องอิงอยู่ด้วย

   ร่างผอมแห้งจนแทบจะเป็นหนังหุ้มกระดูกนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ผมยาวสีเทาแซมขาวถูกปล่อยสยาย เธอนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยม

   “น้องอิฐ”

   คราวนี้แตกต่างออกไป หน้าของแม่ไม่มีรอยยิ้ม

   ผมเงียบ หยุดยืนอยู่หน้าประตู พี่กุ้งยิ้มให้กำลังใจผมก่อนจะเดินจากไป น้องนิ่มพยาบาลประจำตัวแม่อีกคนขยับไปยืนอยู่ตรงมุมห้องเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว ผมก้าวเข้ามาช้าๆ ทุกย่างก้าวมันหนักอึ้ง ตามองต่ำไม่กล้าสบนัยน์ตาโศกของคนเป็นแม่

   ผมเดินมาหยุดตรงหน้าหญิงชรากว่าวัยที่ควร ไม่กล้าเงยหน้า กลัวเธอสติแตกถ้าเห็นหน้าที่คล้ายพ่อของผม

   มือเย็นๆ เหี่ยวย่น ค่อยๆ เอื้อมมาจับมือผมที่กำแน่นอยู่ข้างตัว

   “น้องอิฐของแม่”

   ผมปากสั่น น้ำตาร่วงเผาะ ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือแม่เลยมาตลอดสิบกว่าปี ผมยังคงก้มหน้า แม่ลูบมือผมก่อนจะดึงให้เข้ามาใกล้ๆ

   “แม่ขอโทษน้องอิฐ”

   “ฮึก!”

   ผมทรุดตัวลงคุกเข่า ซบหน้าลงบนตักที่ไม่นุ่มเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มือของแม่แม้จะเย็น แต่ตอนนี้มันอุ่นเหลือเกิน อุ่นจนผมทนไม่ไหว...

   “แม่... แม่... แม่มองเห็นอิฐแล้ว”

   ผมกอดเอวบางไว้แน่น มือของแม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

   “แม่ปกป้องน้องอิฐไม่ได้” เสียงแม่สั่น ผมส่ายหัว

   “อิฐอยู่ได้ครับ อิฐอยู่ได้”

   “แม่รักน้องอิฐ แม่รักน้องอิงมาก”

   แม่พูดเสียงเศร้า เอนตัวพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดห่วง

   “รักน้องให้มากๆ นะลูก ดูแลน้องด้วยนะ”

   “ครับแม่”



   ผมตาบวมออกจากห้อง ไม่อยู่นานเพราะแม่ต้องการพักผ่อน ถึงอาการแม่จะดีขึ้น แต่ร่างกายแม่กลับทรุดโทรม ผมเดินไหล่ตกออกมาที่โถง เจอคุณจิณณ์นั่งรออยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ไปไหน

   “คุณจิณณ์มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”

   ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขา เหม่อมองไปไกลๆ คุณจิณณ์ประสานมือไว้ระหว่างขา กระดิกเท้าเหมือนคนประหม่า

   “อิฐสบายดีมั้ย?”

   ผมหันขวับ นี่เหรอธุระที่เขาอยากเจอผมจนอุตส่าห์ขับรถตาม

   “อะไรนะครับ?”

   “ผมเป็นห่วง ผมคิดว่าคุณคงบล็อกผมไปแล้ว ข้อความคุณก็ไม่อ่าน” คุณจิณณ์ถอนหายใจ “วันก่อนผมทำคุณโกรธ”

   ผมหัวเราะหึ นี่เขากลัวผมโกรธขนาดนั้นเลย อภิสิทธิ์อันใดของนายอิสระกันน้อถึงทำให้รองประธานกรรมการเดอะลูฟมาตามเป็นง้อถึงที่

   “ผมอยากจะบล็อก แต่ยังไม่ได้บล็อกครับ” ผมตอบไปตามตรง แน่นอนผมเห็นทุกข้อความที่เขาส่งมา แค่ไม่กดอ่านและไม่ตอบ

   “อิฐ ผมอยากให้คุณออกห่างจากเพย์”

   “ทำไมครับ”

   คุณจิณณ์เงียบไป ผมไม่เข้าเขา เขาจะมาเอาอะไรกับผม ผมไม่ได้สำคัญกับคุณเพย์มากพออย่างที่เขาคิดหรอกนะ

   “ผมเกลียดมัน”

   “ครับ ผมรู้”

   ผมตอบเขา คุณจิณณ์ก้มหน้าลูบหลังคอ

   “ผมเคยมาโรงพยาบาลนี้”

   แต่อันนี้ผมไม่รู้

   “น้องสาวของผมเคยคบกับเพย์ และโดนมันทิ้งมา เธอคลั่งจนทำร้ายตัวเอง มารักษาตัวอยู่ที่นี่ระยะนึง” เขาเล่า สีหน้าดูไม่ได้แค้นคุณเพย์ขนาดนั้น ผมเดาว่าเรื่องนี้คงผ่านมานานมากแล้ว

   “มันไม่เคยจริงใจกับใคร”

   “แล้วยังไงครับ คุณจะมาเป็นห่วงผมทำไม”

   “เพราะผมชอบคุณ”

   “เพราะ?”

   ผมไม่แปลกใจที่เขาบอกว่าชอบผม จึงสวนกลับไปด้วยคำถามสั้นๆ หวังว่าเขาจะตอบมันได้ คุณจิณณ์ดึงข้อมือผมข้างที่มีรอยกรีดขึ้นมาดู ผมเชิดหน้ามองกลับ

   “คุณชอบผมเพราะผมทำร้ายตัวเองเหรอ ตรรกะคุณแปลกดีนะ”

   “ผมแค่ชอบคุณ แค่ชอบ... แต่สิ่งนี้ทำให้ผมอยากดึงคุณออกมาจากเพย์” เขาบีบข้อมือผมจนเป็นรอย “ผมเจอคุณกับเพย์หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งที่เราเจอกันตามลำพังครั้งแรกบนดาดฟ้า มันทำให้ผมยิ่งหลงใหลคุณ”

   “คุณมันประหลาดจริงๆ”

   ผมลุกขึ้นเดินไปที่รถ คุณจิณณ์เดินตามมา ทันทีที่ผมเปิดประตูเขาก็ดันมันกลับแล้วดึงร่างผมมากอด

   “ทำไมคุณถึงยอมให้มันทำร้าย”

   “ผมทำร้ายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเพย์ครับ”

   ผมถอนหายใจ สารภาพไปตรงๆ หวังให้เขาเลิกยุ่งกับผม

   “ผมมันน่ารังเกียจครับคุณจิณณ์”

   “ผมชอบความน่ารังเกียจของคุณ”

   คุณจิณณ์ใช้นิ้วใหญ่ๆ ของเขาเชยคางผมขึ้น

   “คุณจะอยู่แบบนี้จริงๆ เหรอ... ไอ้เพย์ อิงลดา และคุณ แบบนี้จริงๆ เหรอ?”

   ผมกำมือตัวเองแน่น ข้อเสนอของเขาทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ในเมื่อเขารู้เรื่องของผมแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่เขาจะยื่นข้อเสนอบ้าๆ นี่มาให้

   “ผมจะช่วยคุณ อิฐ ผมจะดึงคุณออกจากวังวนที่ไอ้เพย์สร้าง”

   คุณจิณณ์โน้มหน้าลงมา ริมฝีปากของเราประกบกัน รสจูบคนละรสชาติกับคุณเพย์ ทั้งกลิ่นของบุหรี่และความรุนแรง ผมตัวอ่อน ยอมให้เขารวบเอวเข้ามาใกล้ ลิ้นร้อนสอดเข้ามาอย่างกระหายแต่อ่อนโยน มือผมค่อยๆ ไต่ขึ้นไปเกาะเสื้อของเขา

   จูบของคุณจิณณ์ อ่อนโยน

   แต่ผมไม่ต้องการ...

   “คุณจิณณ์ จะช่วยผมเหรอครับ”

   หลังถอนริมฝีปากออกเพื่อเว้นช่องว่างให้ผมได้หายใจ ผมก็เอ่ยถามเขาไป คุณจิณณ์จูบที่แก้มผมอย่างอ่อนโยน กระซิบด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง

   “ผมจะช่วย ผมจะทะนุถนอมคุณเอง”

   ผมจะสามารถออกจากกรงขังของคุณเพย์ได้จริงๆ เหรอ



   เมื่อถึงวันที่ผมต้องไปฟิตติ้งอีกครั้ง ผมปฏิเสธคุณเพย์ที่จะเป็นคนพาไปโดยอ้างว่าเขาจำเป็นต้องไปประชุมกับลูกค้า อาจจะนานจนลากยาว ซึ่งระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมทำตัวดี ไม่มีอาการสติแตกกำเริบจนเขาวางใจ แม้จะยังไม่สามารถกินข้าวได้เท่าคนปกติกิน แต่น้ำหนักก็ไม่ลดฮวบฮาบจนคุณเพย์ยอมอนุมัติให้ผมใช้รถได้ตามเดิมแล้ว

   ดีครับ... ผมจะได้มีอิสระบ้าง

   “สวัสดีค่ะอิฐ สบายดีมั้ย”

   คุณโซอี้ยังสวยสง่าเหมือนเดิม เธอทักผมด้วยสำเนียงอังกฤษผู้ดี ผมทักทายกลับด้วยท่าทางนอบน้อมที่สุด

   “สวัสดีครับ ผมสบายดี คุณโซอี้ล่ะครับ”

   “เช่นกันค่ะ เรามาลองชุดกันดีกว่า คุณอิฐจะได้กลับไม่ดึกมาก” คุณโซอี้ลุกขึ้น กวักมือเรียกลูกมือให้ขนชุดของผมออกมา ผมมองสูทสองชุดกับเสื้อเชิ้ตแบบอีกห้าแบบแล้วทำหน้าเหลอหลา ไม่คิดว่ามันจะเยอะแยะขนาดนี้

   “คุณโซอี้ครับ ผมว่ามันไม่เยอะไปหน่อยเหรอครับ”

   ดีไซเนอร์สาวหันมามองแล้วทำหน้าแบบ นี่ปกตินะคะ ส่งคืน

   “สำหรับหนึ่งสัปดาห์ค่ะ”

   “ครับ? คือ... ยังไงนะครับ”

   “อ้าว มิสเตอร์เพย์ไม่ได้บอกอิฐเหรอคะ ว่าเขาจะพาคุณไปอเมริกาด้วยน่ะ”

   ผมอ้าปากค้าง เดี๋ยวนะ? อเมริกาเหรอ เฮ้ย... ไม่ใช่ว่าเขาถามไปงั้นเองเรอะ เขาจะพาผมไปประชุมด้วยทำไม แถม... ระยะเวลามันก็ไม่น่าจะได้ เพราะนี่เป็นการฟิตติ้งครั้งแรก กว่าจะได้ชุดทั้งหมดก็ต้องรออีกตั้งเดือน แต่คุณเพย์จะไปอาทิตย์หน้านี่นา

   “คงไม่ใช่มั้งครับ คุณเพย์ไปประชุมอาทิตย์หน้า ชุดไม่น่าจะส่งกลับมาทันจากอังกฤษ”

   คุณโซอี้อึ้งไป ก่อนจะยิ้มมีเลศนัย

   “คุณอิฐ เขาไม่ได้จะพาคุณไปประชุมนะคะ เขาจะพาคุณไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศตอนสิ้นปีค่ะ ซึ่งแปลว่าทันแน่นอน”

   “หา!!”

   เฮ้ยๆ สิ้นปี? มันก็อีกแค่สองเดือนไม่ใช่รึไง

   นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?



   ผมนั่งเหม่อ คิดล่องลอยไปไกลโพ้นจนคนที่มานั่งอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สะกิด ผมถึงรู้สึกตัว

   “วิวกรุงเทพมันสวยขนาดนั้นเลยเหรอ คุณถึงเหม่อจนไม่รู้ตัวว่าผมมา”

   คุณจิณณ์นั่งอยู่ข้างๆ ผมที่เก้าอี้บาร์ตัวเดิมกับที่ผมกับเขาเจอกันครั้งแรก ไม่สิ... ต้องบอกว่า ที่ผมเจอกับเขาครั้งแรกมากกว่า ผมลูบขาตัวเองแก้เก้อแล้วยกน้ำส้มขึ้นจิบ คุณจิณณ์มองน้ำส้มของผมแล้วทำหน้าประหลาด

   “ไม่ทานอย่างอื่นบ้างเหรอครับ คุณมากี่ครั้งก็ดื่มแต่น้ำส้ม”

   เพราะผมไม่ไว้ใจคุณไง

   ผมตอบเขาในใจ

   “ผมไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ครับ และอย่างอื่นผมก็ไม่อยากทาน”

   คุณจิณณ์หัวเราะก่อนจะสั่งน้ำมะพร้าวปั่นมาดื่มเพื่อสุขภาพเลียนแบบผมบ้าง พนักงานโรงแรมรับออเดอร์ของเจ้าของโรงแรมด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

   “ผมว่าจะถามอิฐตั้งนานแล้ว วันก่อนคุณไปมหาวิทยาลัยทำไมเหรอครับ”

   ผมหัวเราะแห้งเหือด ไม่ค่อยอยากพูดถึงตัวเองเสียเท่าไหร่

   วันนี้ผมรับนัดคุณจิณณ์ครั้งแรกหลังจากเจอกันครั้งนั้น เขาตื๊อผมอยู่นาน ส่งข้อความมาหาถี่กว่าคุณเพย์กับน้องอิงเสียอีกจนผมคิดจริงๆ นะว่าเขาไม่มีงานทำจริงๆ ใช่มั้ย จนกระทั่งวันนี้ที่เขาขอนัดเจอผมเป็นรอบที่ร้อยแต่เป็นครั้งแรกที่ผมยอมตกลง เพราะคุณเพย์ไม่อยู่

   ใช่ครับ เขาไปประชุมที่อเมริกาประมาณสองถึงสามอาทิตย์ ผมถึงได้สามารถหนีมาเจอคนที่คุณเพย์เกลียดเข้าไส้นี่ได้ยังไงล่ะ เรียกได้ว่าเป็นโอกาสหนีเที่ยวของผมนั่นเอง

   “ผมแค่อยากไปดู ผมฝันว่าอยากเข้ามหาวิทยาลัยนั่น”

   ผมลองพูดเรื่องตัวเองดู ในเมื่อคนตรงหน้าเขาเสนอความใจจริงที่ผมไม่อยากได้มา ก็ลองยื่นมันกลับไปดูก็ไม่เห็นเสียหาย

   “เพย์ไม่ได้ให้คุณเรียนต่อเหรอ”

   “เขาให้ผมเรียนภาคพิเศษครับ แต่แค่เข้าไปฟัง ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นนักศึกษาเต็มตัวเพราะผมต้องกลับมาทำงาน”

   คุณจิณณ์ใช้ช่องว่างค่อยๆ ขยับมือมาสัมผัสมือผม

   เนียนนะคุณ...

   “อิฐอยากเรียนอะไรเหรอ”

   เขาได้ใจเมื่อเห็นว่าผมไม่ดึงมือออก จากที่แค่สะกิดแตะๆ กลายเป็นเอาไปจับทั้งมือ รอยยิ้มของคุณจิณณ์ทำให้ผมดูออกว่าเขาเขินที่ผมจับมือเขากลับ

   “ผมอยากเรียนกฎหมายครับ”

   

   สุดท้าย... วันนี้ผมก็ทำตัวเป็นเด็กไม่ดี ตามคุณจิณณ์มาถึงห้องที่คอนโด โดยที่ผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้น้องอิงไม่กลับ เพราะเธอมีรายงานสำคัญต้องรีบส่งภายในสุดสัปดาห์นี้ ถือโอกาสใจแตกซะเลย หลังจากเป็นเด็กดีอยู่บ้านมาตลอดหลายเดือน



   ING : พี่อิฐกลับบ้านรึยังคะ

   Eit : วันนี้พี่ค้างกับเพื่อนนะอิง

   ING : เพื่อนเหรอคะ เพื่อนที่ไหนคะพี่อิฐ

   Eit : คุณจิณณ์

   ING : พี่อิฐ โอเคแน่นะคะ

   Eit : อิงอย่าบอกคุณเพย์นะ พี่ขี้เกียจมีปัญหา คุณเพย์ไม่ถูกกับเขา

   ING : ค่ะ  พี่อิฐอย่าลืมกินยานะคะ

   Eit : ครับๆ

   

   น้องอิงไม่เคยเซ้าซี้ถามผมมากมาย เช่นเดียวกับที่ไม่ถามว่าคุณเพย์ไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คุณจิณณ์เองก็เคยคุยกับน้องอิงแล้วจากวันนั้นที่เขาพาผมกลับจากมหาวิทยาลัยที่บังเอิญเจอกัน น้องอิงคงคิดว่าผมแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ การที่ผมได้ออกมาข้างนอกบ้างอาจทำให้อาการผมดีขึ้น

   แน่นอนว่าน้องอิงไม่รู้ว่าคุณจิณณ์เขาคิดไม่ซื่อกับพี่ชายตัวเอง

   “อิฐ... จะกินอะไรก่อนมั้ย”

   เขาถามผมหลังจากพาเข้ามาในห้องคอนโดหรูของเขา ความอู้ฟู่ประมาณคุณเพย์เลยจริงๆ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเอากระป๋องเบียร์ออกมา   

   ผมไม่ดื่ม...

   “เบียร์ก็ได้ครับ”

   คุณจิณณ์ขมวดคิ้ว ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาชูพลางเลิกคิ้ว

   “เอาจริง?”

   “ครับ”

   ไหนๆ ก็ไหนๆ เจ้านายไม่อยู่ทั้งที ขอเสเพลให้สมกับอิสรภาพที่ได้มาหน่อยแล้วกัน

   ผมนั่งมองกระป๋องเบียร์ในมืออยู่บนโซฟาเบดตัวยาว โดยที่ข้างกันคือชายหนุ่มลูกครึ่งตาสีน้ำข้าว ผมไม่เข้าใจว่าโซฟาออกจากยาว เขามานั่งเบียดผมทำไม?

   “ถ้าไม่อยากดื่ม อิฐไม่ต้องดื่มหรอก ผมมีน้ำส้มอยู่ในตู้นะ”

   คุณจิณณ์ยิ้มมุมปาก เขามองหน้าผมที่คงมีแต่ความลำบากใจที่จะดื่มอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเมื่อผมคิดจะดื่มทีไร ภาพเหตุการณ์ที่ผมขาดสติก็ลอยเข้ามาทุกทีจนกลายเป็นแพนิคแอลกอฮอล์ไปเลย แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกอยากอ้วก

   “มะ... ไม่เป็นไรครับ ผมจะดื่ม”

   อย่างน้อยก็รักษาอาการกลัวไปทีละอย่างละกัน อย่างที่คุณเพย์เคยว่าไว้ จะได้ไม่โดนมอม...

   แต่ผมมานั่งดื่มกับคนที่คิดจะมอมผมเนี่ยนะ

   ผมถอนหายใจ เปิดกระป๋องเบียร์จนได้ยินเสียงฟู่ของแก๊ส กลิ่นเบียร์ตีขึ้นมาจนผมทำหน้าเหยเก คุณจิณณ์หันมาลุ้นไปกับผม

   “คุณ... คุณจิณณ์ครับ ถะ...ถ้าผมอ้วก ผมบอกไว้ก่อนนะครับ ว่าขอโทษ”

   “ครับ” คุณจิณณ์กลั้นขำเมื่อได้ยินผมขอโทษล่วงหน้า ก่อนที่ผมจะกลั้นใจ ยกมันดื่มอึกๆ รสชาติจืดชืดแต่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ มันไม่อร่อยอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้แย่ รสชาติใกล้เคียงกับน้ำเปล่า...

   “เป็นยังไงบ้างครับ อยากอ้วกมั้ย”

   คุณจิณณ์ถามด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหัว ยัง... ยังไม่อยากอ้วก

   ผมจัดไปอีกหนึ่งอึก... สองอึก จนกระทั่งหมดกระป๋อง หน้าเริ่มร้อนและแดงจัด มองเห็นคุณจิณณ์มีสองเลเยอร์ซ้อนกัน

   “อิฐ อิฐครับ” คุณจิณณ์โบกมือตรงหน้าผม เขาหัวเราะเมื่อเห็นผมนั่งนิ่ง...

   “ครับ” ผมตอบดีเลย์ไปประมาณห้าวินาที

   “รู้สึกยังไงครับ” เขาเอามือลูบหน้าผมที่ร้อนวาบๆ มือคุณจิณณ์เย็นดีจัง... ผมยกมือทับมือเขาก่อนจะเอนหน้าซบ รอยยิ้มมาจากไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้หัวผมหนักๆ เหมือนเอาหนังสือเทินไว้บนหัว

   “ไม่ได้อยากอ้วก... แค่หัวหนักๆ”

   ผมเกือบจะกลิ้งตกถ้าคุณจิณณ์ไม่ผวาเข้ามารับไว้ก่อน เขากอดผมพลางหัวเราะชอบใจ กลิ่นน้ำหอมไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้แย่ทำให้ผมนิสัยเสีย เริ่มดมฟุดๆ ฟิดๆ

   “ทำอะไรน่ะครับ” คนตัวโตถาม มือใหญ่ลูบหัวผมพลางเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย

   “คุณจิณณ์ตัวหอมครับ”

   เขาเงียบไป ผมจึงมุดหน้าลงกับอกเสื้อเขา

   “ดมมาผมดมกลับนะ”

   ไม่ว่าเปล่า เขาก้มหัวลงมากดจมูกลงที่ซอกคอผมด้วย ผมเริ่มเคลิ้ม พูดตามใจปาก

   “แต่ผมชอบกลิ่นบุหรี่ของคุณเพย์มากกว่า”



   - JinN Part -

   ประโยคนั้นทำให้ผมชะงักกึก คนตัวเล็กที่ซุกซบหน้าอยู่กับอกของผมเหมือนจะเคลิ้มหลับ เขาเอียงหน้าหอบหายใจ ตาโศกปิดสนิท หน้าเห่อแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จนผมเป็นห่วง

   “อิฐ”

   ผมลองเรียกเขา

   “ครับ”

   เขายังไม่หลับ... ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อ... ถ้าเป็นคนอื่นผมคงจับกดไปนานแล้ว แต่พอเป็นคนคนนี้ ผมกลับทำไม่ได้ ผมทำไม่ลง ยิ่งถ้าต้องเห็นเขาร้องไห้เหมือนจะขาดใจแบบวันนั้น

   “อิฐ ผมจูบได้มั้ย”

   เขาเงียบไปสักพัก เหมือนสมองสั่งการช้า อิฐค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยนัยน์ตาที่ฉ่ำวาวเพราะฤทธิ์เบียร์ อิฐจะรู้ตัวบ้างมั้ย ว่าเขาน่ะมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ความอ่อนแอและความเข้มแข็งที่แฝงอยู่ในความเศร้าของเขาเป็นกลิ่นอายที่ดึงดูดคนประเภทผมกับเพย์

   เสน่ห์ของคนที่ขาดและเรียกร้องความรักแบบไม่รู้ตัว

   อิฐเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด สายตาของเขาไม่เคยมองใครและไม่กล้ามองใคร

   “...ครับ”

   เขาอนุญาต ผมเชยคางแหลมขึ้นพลางบดจูบลงไป กลิ่นเบียร์แทบไม่รู้สึก ผมสอดลิ้นเข้าไปควานหาความช่ำชื้นจากโพรงปากเล็กๆ นั้น นิ้วโป้งของผมพยายามลูบไล้แก้มเขาให้เปิดปากรับลิ้นผมมากกว่านี้

   มือผมเริ่มเลื้อยลงไปดึงเสื้อเขาออกจากกางเกง ก่อนจะค่อยๆ ไล้ตามขอบกางเกงไปยังด้านหลัง อิฐแอ่นสะโพกรับมือของผมที่พยายามสอดผ่านชั้นในลงไป สัมผัสของเนื้อนุ่มทำให้ผมหายใจติดขัด  อยากกระทำรุนแรงเหลือเกิน...

   “คุณ... คุณเพย์”

   ผมชะงักไปอีกรอบ... มือหยุดบีบเค้นเนื้อนุ่มใต้ร่มผ้า ร่างบางทิ้งตัวลงซบบ่าก่อนจะโอบแขนกอดรอบคอผม เสียงครางแผ่วเบาของเขาไม่ได้ทำให้ผมเกิดอารมณ์แล้ว

   “ผมคิดถึงคุณเพย์... ผมคิดถึงคุณเพย์ครับ”

   ...

   ร่างสูงยืนมองสัญญาณจีพีเอสที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอมือถือที่ถูกกำแน่น นัยน์ตาคู่คมวาววับแข็งกร้าว มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง เขาหันหน้าออกไปยังกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวตอนเช้าของแมนฮัตตันด้วยจิตใจที่ร้อนเป็นไฟ ข้างๆ มีเอกสารด่วนที่ถูกส่งมาด้วยแฟกซ์กระจัดกระจายอยู่

   เมื่อคุมสติได้บางส่วน ก็ทำการกดโทรหาคนที่คิดว่าน่าจะอยู่บ้านทันที

   ไม่นานปลายสายก็กดรับ เพย์กรอกเสียงลงไปโดยพยายามข่มความโกรธไว้

   “อิง อิฐไปไหน?”



#คุณเพย์รักอิสระ
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 12
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 23-11-2019 10:02:17
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 12
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 23-11-2019 10:42:16
คุณเพย์หัวร้อนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 02-12-2019 02:57:55
| Day 13 |
Wound

(2/12/62)


   ผมตื่นมาด้วยอาการหนักหัว แต่ไม่ได้รู้สึกพะอืดพะอมแต่อย่างใด เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนของเจ้าของห้อง ร่างกายไม่ได้มีร่องรอยอะไรที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเราสองคนมีอะไรกัน

   ผมถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกโล่งอก

   คนที่นอนอยู่ข้างกันกรนเบาๆ คุณจิณณ์นอนตะแคงมาทางผม แขนใหญ่ๆ มีมัดกล้ามเล็กน้อยพอดูดีวาดทับเอวผมไว้ ผมลุกขึ้นมานั่งมองเขาพลางยิ้ม ใบหน้าคมคายลูกครึ่งเริ่มมีไรหนวดเคราขึ้นเขียวตามปกติ ผมค่อยๆ ถือวิสาสะเอานิ้วไปจิ้มที่แก้มสากของเขา

   “ผมไม่ได้คุมอารมณ์ตัวเองได้บ่อยนักหรอกนะ”

   คนที่ผมคิดว่าหลับอยู่เอ่ยออกมาโดยที่ยังไม่ลืมตา คุณจิณณ์กระชับแขนลากผมเข้ามาชิดจนหน้าเขาซุกอยู่แถวๆ สะโพกทำให้ผมต้องรีบขืนตัวออก ร่างสูงลืมตาขึ้นมาสบตาโศกที่หลุบมองเขาอย่างขำๆ

   “ขำอะไรครับ”

   “คุณจิณณ์เหมือนหมาตัวโต”

   รองประธานหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาดึงผมให้ลงมานอนพลางจับซุกที่หน้าอกหนาแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อตึงเปรี๊ยะ

   “คุณจะยอมเป็นเจ้าของมั้ยล่ะ”

   ผมชะงัก เงียบไป... คุณจิณณ์เอาแต่ลูบหัวผม ไม่นานก็เริ่มลามเข้าไปในเสื้อผ้า ลูบไล้ผิวกายจนผมหายใจติดขัด มือร้อนลากผ่านส่วนกลางลำตัวที่ตื่นตัวเป็นประจำทุกเช้าอยู่แล้วจนผมรีบคว้าข้อมือแกร่งไว้

   “ไม่ครับ คือ... มันแค่ปฏิกิริยาตอนเช้า”

   “ผมรู้ ผมก็เป็นผู้ชายนะ”

   เขาขำแต่ยังไม่ยอมปล่อย จากที่ลากผ่านเสื้อผ้า เขาค่อยๆ ล้วงลึกลงไปในกางเกงเพื่อสัมผัสมันตรงๆ ผมหน้าเห่อร้อน... ก่อนจะรู้สึกแปลกๆ จนผลักเขาออกแล้วลุกจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำ ไม่วายตะโกนบอกไปด้วย

   “ผม... ผมปวดฉี่ครับ!”

   

   คุณจิณณ์ขับรถกลับมาส่งผมที่โรงแรมของเขาเพื่อเอารถตัวเองที่จอดทิ้งไว้ เพราะเขาต้องเข้าออฟฟิศใหญ่วันนี้ ก่อนไปคุณจิณณ์กำชับผมว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรหาเขาได้ตลอด ถ้าโดนคุณเพย์ดุหรือรู้สึกไม่ชอบเขาจะไปรับผมทันที ผมยิ้มให้เขา ไม่รับปากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

   ผมขับรถกลับมาถึงคอนโดประมาณสิบโมงเช้า แน่นอนว่าเวลานี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ผมเช็คข้อความเป็นปกติ ไม่มีข้อความจากคุณเพย์ มีแค่ข้อความจากน้องอิง



   ING : พี่อิฐคะ มีปัญหาอะไรกับพี่เพย์รึเปล่าคะ?



   ผมรู้สึกสงสัยกับประโยคคำถามของน้องสาว ก่อนคุณเพย์ไปอเมริกาผมก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย ไม่มีปัญหาอะไร หรือเขาจะตรวจจีพีเอสมือถือผมอีกแล้วล่ะเนี่ย คนอะไร เสียมารยาทกับการใช้ชีวิตของคนอื่นชะมัด ว่างนักรึไงคุณเพย์

   ผมพิมพ์ตอบกลับไปว่า ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขา เพียงแต่เขาอาจจะมีปัญหากับผมคนเดียว

   ไม่นานน้องอิงก็โทรกลับมา

   [“พี่อิฐคะ กลับบ้านแล้วเหรอคะ?”]

   “ใช่ พี่อยู่บ้าน”

   น้องอิงถามไถ่เป็นเรื่องปกติ ก่อนจะเข้าเรื่อง

   [“เมื่อคืนพี่เพย์โทรหาอิง เขาถามว่าพี่อิฐอยู่ไหน อิงไม่อยากโกหก เพราะคิดว่าพี่เพย์คงตรวจจีพีเอสของพี่อิฐแน่นอน เลยตอบไปว่าพี่อิฐไม่อยู่บ้าน”] น้องอิงมีน้ำเสียงลนลานรู้สึกผิด ผมส่ายหัวให้ตัวเอง

   “ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็ต้องรู้แหละ อย่างมากพี่ก็แค่โดนด่านิดๆ หน่อยๆ”

   [“แต่น้ำเสียงพี่เพย์แปลกมากเลยนะคะ พี่อิฐมั่นใจนะว่าไม่ได้ไปทำอะไรน่ะ”]

   ผมพยายามคิด ถ้าคุณเพย์จะอารมณ์เสีย นอกจากเรื่องที่ผมชอบหนีออกไปโดยไม่บอก ก็มีแค่เรื่องงาน... หรือจะมีปัญหาเกี่ยวกับงานของเขา?

   “พี่ไม่ได้ทำอะไร”

   น้องอิงเงียบไป ก่อนจะขอตัววางสายเมื่ออาจารย์เลคเชอร์เข้ามา ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เลื่อนจิมือถือเพื่อเช็คตารางงานของคุณเพย์ที่อัพเดทผ่านระบบเลขา

   คุณเพย์ไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว ตลอดสองอาทิตย์เขาไม่เคยส่งข้อความหรือโทรตามผมเลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี จะว่าแปลกก็แปลก และตั้งแต่ที่ผมเข้าโรงพยาบาลครั้งนั้น เขาก็ไม่แตะต้องตัวผมอีกเลย

   ก็ดีแล้ว... เขาควรซื่อสัตย์กับน้องอิง ผมจะได้มีชีวิตสงบสุขเสียที

   จริงเหรอ?

   ผมงัดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ มันไม่ใช่บุหรี่ยี่ห้อที่ผมสูบประจำ แต่เป็นของคุณเพย์ที่ลืมทิ้งไว้ในห้องของผม



   อาการของผมไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมาย อาการเดียวที่ผมไม่เข้าใจคือการตกใจตื่นกลางดึก ท่ามกลางห้องที่มืด ผมควานหาอะไรบางอย่างเหมือนคนไม่รู้ตัว ก่อนจะรู้สึกใจวูบโหวงเมื่อผมรู้สึกตัวว่าหาไม่เจอ...

   ผมหาอะไร?

   วันนี้ผมตื่นเอาเที่ยง การที่คุณเพย์ไม่ยอมให้ผมไปทำงานเริ่มทำให้ผมกลายเป็นคนขี้เกียจ ผมออกจากห้องนอนเพื่อจะไปหาอะไรกินทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกหิว แค่รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องกิน แต่ก่อนจะเดินไปที่ครัว ผมเป็นต้องชะงักเมื่อบ้านที่ไม่ควรจะมีใครอยู่นอกจากผม บนโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ที่อยู่กลางห้องกลับมีร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น

   คนที่ควรจะอยู่อเมริกา...

   “คุณเพย์?”

   คุณเพย์เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของเขาเย็นชา ใบหน้าเรียบนิ่ง ผมขมวดคิ้วก่อนจะก้มมองตัวเองที่อยู่สภาพชุดนอนไม่เรียบร้อย ตั้งใจจะกลับเข้าไปเปลี่ยนชุด แต่เสียงทุ้มกลับเรียกไว้เสียก่อน

   “อิฐ”

   น้ำเสียงเขานิ่งติดเย็นชาไม่เหมือนทุกครั้ง ผมเผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว ขานรับเขาที่ยังกอดอกอยู่ที่เดิม

   “ครับ”

   “ไปไหนมา?”

   ผมเงียบ... คิดว่าถึงจะโกหกไปก็คงไม่มีประโยชน์ แต่ผมก็ไม่อยากจะพูดความจริง จึงใช้วิธีเงียบแทน

   คุณเพย์เชิดคางเล็กน้อย หลุบตามองผมก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น

   “กูถาม!”

   “คุณเพย์ก็รู้นี่ครับ”

   ผมถอนหายใจ... คิดว่าอย่างมากก็แค่โดนด่าเหมือนทุกที

   แต่ครั้งนี้แปลกไป คุณเพย์คลายมือที่กอดอกออกแล้วหยิบเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะเดินมาใกล้ ก่อนจะเขวี้ยงใส่หน้าผมอย่างแรง

   “มึงทำอะไรลงไป!”

   ผมหันหน้าหนี เบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ คุณเพย์ตะคอกใส่จนผมสะดุ้ง ถึงเขาจะชอบเสียงดัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโหจนปาข้าวของใส่ ความงุนงงทำให้ต้องเงยหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง คุณเพย์จ้องมาทางผมด้วยสายตาเคียดแค้นจนผมผงะก้าวถอยหลัง

   ผม... ผมทำอะไร?

   “ผม...”

   “มึงทำเหี้ยอะไรกับกู ไอ้อิฐ”

   “ฮะ?”

   “มึงแหกตาดู!!”

   คุณเพย์ชี้ไปที่แผ่นกระดาษที่กระจัดกระจายทั่วพื้น ผมส่ายหัวก่อนจะก้มลงเก็บบางแผ่นขึ้นมาอ่านคร่าวๆ

   เอกสารถอนประมูลโครงการสัมปทานที่กัมพูชา?

   “นี่มันอะไรครับ?”

   “คนที่ควรถามคือกู ไม่ใช่มึง!” คุณเพย์กระชากคอเสื้อผมจนตัวลอย ผมหน้าซีดปากสั่น ในใจกลัวน้ำเสียงและอารมณ์เดือดดาลของคุณเพย์ตอนนี้เหลือเกิน กลัวจนขอบตาร้อนผ่าว ผมยกมือขึ้นรั้งข้อมือคุณเพย์ที่กำคอเสื้อผมแน่น

   ถ้ามันเป็นคอผม ป่านนี้คงหักคามือไปแล้ว

   “มึงเอาเรื่องโครงการไปบอกเหี้ยจิณณ์ทำไม! มึงแค้นไรกู มึงรู้มั้ยว่ากว่าสัมปทานนี้จะผ่านกูต้องทุ่มเทไปตั้งเท่าไหร่ หา!!” คุณเพย์ตะคอกใส่หน้าผม หน้าเขาแดงไปหมดจากความโมโห ผมยังคงมึนงงกับสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะมองเอกสารอีกรอบ มันเป็นของจริงแน่นอน และความเสียหายของโครงการนี้ก็ไม่ได้อยู่ในหลักสิบล้าน มันมากกว่าร้อยล้าน

   ผมผลักคุณเพย์ออก กระชับคอเสื้อตัวเองพลางหอบหายใจ น้ำตาไหลออกมาจากความกลัวที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ

   “ผมไม่ได้ทำ!”

   ผมหันไปตวาดกลับ ปฏิเสธในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ

   คุณเพย์หายใจเข้าลึก เส้นเลือดที่คอปูดนูนจากอาการเกร็งเครียด

   “แผนโครงการนี้คือสิ่งที่กูกับมึงพูดกัน เป็นแผนที่นอกจากมึง! กับ กู! ก็ไม่มีใครรู้และเป็นแผนที่ยังไม่ได้เอาเข้าเสนอที่ประชุมแต่มันกลับรั่วออกไปกลายเป็นแผนเสนอโครงการของเดอะลูฟได้ยังไง!”

   “ผมจะไปรู้เหรอ! คุณเพย์ไปลืมวางโน้ตทิ้งไว้ที่ไหนเองรึเปล่า!”

   ผมเถียงกลับขาดใจ ผมไม่รู้ว่าทางฝั่งนั้นเข้าขโมยข้อมูลที่ไม่เปิดเผยนี้ออกไปทางไหน แต่ที่แน่ๆ  ต้องไม่ใช่จากผม และผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเพย์ถึงมาสงสัยผมจนไม่ฟังห่าอะไรเลยแบบนี้

   “มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้มึงหายไปไหนมาบ้าง”

   คุณเพย์ชี้หน้าผม เขาเดินหันกลับไปพลางยกมือนวดขมับก่อนจะหันกลับมา ท่าทางเหมือนคนโมโหจนอยู่ไม่สุข

   “มึงไปหามัน ทั้งๆ ที่กูสั่งว่าห้ามไป! มึงนัดเจอกับมัน ทั้งๆ ที่กูสั่งว่าห้ามเจอ! มึงบอกความลับบริษัท”

   เขาพุ่งเข้ามาหาผม สองมือใหญ่ขย้ำแน่นที่แขนผอมแห้งทำผมรู้สึกเจ็บจนต้องนิ่วหน้า คุณเพย์เขย่าตัวผมจนคลอน

   “ทำไม! มันให้มากกว่ากูเหรอมึงถึงหักหลังกูแบบนี้น่ะหา!”

   “ผมไม่ได้ทำ!! ผมบอกว่าผมไม่ได้ทำ!!”

   ผมแผดเสียง พยายามดึงแขนออกจากเขา คุณเพย์บีบแน่นกว่าเดิมจนผมรู้สึกร้าว

   “ไม่ได้ทำ? แล้วไปหามันทำไม ไปทำไม!!”

   “ผมไปหาคุณจิณณ์แล้วยังไง ผมมีเพื่อนไม่ได้เลยใช่มั้ย!”

   “เพื่อน?! ไอ้จิณณ์มันหวังจะเอามึง อย่าบอกนะว่ามึงโง่ไม่รู้ตัวน่ะหา!” คุณเพย์เหยียดยิ้มน่ารังเกียจ “ทำไม มันเอามึงได้สาแก่ใจกว่ากูรึไง ครางเรียกชื่อมันไปกี่รอบแล้วฮะ!!”

   “คุณเพย์! ปล่อยนะ ผมเจ็บ โอ๊ย!”

   คุณเพย์ใช้มือข้างหนึ่งบีบคางผมอย่างแรงจนหน้าเบี้ยว ผมสะบัดหน้าหนี

   “เจ็บเหรอ เออ! ดี เจ็บก็ดีไอ้สัด! มึงมันยิ่งกว่าหมา เลี้ยงเสียข้าวสุกฉิบหาย!!”

   ผมสะบัดตัวอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนจะชกผัวะเข้าที่ปากหมาๆ ของคุณเพย์ด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น ร่างสูงหน้าหัน มุมปากมีรอยแตกจนเลือดซิบ ผมเบะปากร้องไห้ ชี้หน้าเขาด้วยอารมณ์ที่ขึ้นยิ่งกว่า แผดเสียงที่แหบแห้งด่ากลับ

   “หมาพ่อมึงสิ!! กูก็ทำงานให้มึงเต็มที่มาเจ็ดปี ทำแม่งทุกอย่าง ถามกูซักคำมั้ยว่ากูทำรึเปล่า! เชื่อกูบ้างมั้ย!” ผมปาดน้ำตา ก้มลงเก็บกระดาษที่กระจัดกระจายขึ้นมาโยนกลับใส่หน้าเขา

   “ใช่สิ! กูมันแค่คนขับรถโง่ดักดาน จะเอาอะไรไปสู้มึงได้คุณเพย์!”

   “อิฐ...”

   “อย่าเอาความโง่ของมึงมาลงที่กู!”

   “อิฐ... กู...”

   “กูเป็นของมึงทุกอย่างคุณเพย์ เป็นคนใช้ เป็นคนที่มึงเอาเวลามึงเงี่ยน เป็นที่ระบายให้มึง”

   “...”

   “สิ่งเดียวที่กูเป็นให้มึงไม่ได้เลย คือเป็นคนที่มึงไว้ใจ”

   ผมผลักเขาออกไปเมื่อเขาพยายามเข้ามาอีกรอบ ผมกลัวไปหมด กลัวว่าเขาจะโกรธจนลงไม้ลงมือกับผมอีก มือสั่นๆ ของผมชี้หน้าเขาทั้งน้ำตา คุณเพย์เบิกตากว้างมองผมที่กัดฟันกรอด

   “ถ้าคุณเพย์คิดว่ากูเหี้ยขนาดนั้น กูก็จะเหี้ยให้”

   ผมก้าวเร็วๆ ไปที่ประตู มือผอมแห้งกระชากลูกบิดอย่างแรงแต่คุณเพย์กลับคว้าเอวบางๆ เอาไว้ทันก่อนที่ผมจะเปิดประตูได้ ผมจึงหันกลับไปคว้าแจกันที่วางอยู่ตรงชั้นข้างๆ มาแล้วทุ่มใส่หัวเขาทันที คุณเพย์ร้องลั่น เลือดที่อาบท่วมไม่ได้ทำให้ผมหยุดความคิดที่จะหนี

   ผมทิ้งเขาไว้ตรงนั้น เสียงเรียกชื่อยังคงดังตามหลัง

   ผมลงลิฟต์มาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า...

   สิ่งเดียวที่ติดตัวผมมาคือมือถือที่คุณเพย์ให้ไว้

   ทันทีที่ออกจากลิฟต์ ผมกดโทรหาน้องอิงที่อาจจะติดเรียนอยู่ แน่นอนว่าเธอรับสายผม เพราะถ้าไม่ด่วนจริง ผมจะไม่ใช้การโทรหาแทนการส่งข้อความ ทันทีที่น้องอิงรับสาย ผมก็กรอกเสียงที่สั่นพร่าและสะอื้นไห้ลงไปจนฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง

   “คุณเพย์หัวแตก ฮึก! เรียกหมอให้ที ฮึก...”

   แล้วก็วางสายไปโดยไม่ทันฟังน้องอิงถามต่อ ผมเดินออกมาจากคอนโดด้วยเท้าเปล่า กวักมือเรียกแท็กซี่แล้วบอกปลายทาง

   “วิภาวดีครับ”

   

   ผมหยุดยืนอยู่หน้าแฟลตเก่าๆ สภาพไม่ต่างจากสลัม ใช่แล้ว... มันคือห้องเช่ารูหนูที่ผมจากมาเมื่อเจ็ดปีก่อน ห้องที่ชั้นบนมีผัวเมียทะเลาะกันแทบทุกวัน ห้องข้างขวาก็เอาแต่เปิดหนังโป๊ ส่วนห้องด้านซ้ายก็มั่วสุมกัญชา... เป็นสภาพที่ไม่ควรให้น้องสาวอาศัยอยู่เลยตั้งหลายปี

   ผมอยากจะคืนห้องไป แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำ เพราะกลัวมาตลอดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ถูกคุณเพย์ตัดหางปล่อยวัดจนสิ้นเนื้อประดาตัว ผมจึงยังจ่ายค่าเช่าห้องแสนถูกสำหรับผมในตอนนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยจ่ายเพิ่มนิดหน่อยเพื่อกว้านเช่าห้องข้างๆ รวมถึงห้องด้านบนที่ทำให้ผมนอนไม่เคยจะหลับเลยตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

   ผมเดินเท้าเปล่าไปยังห้องของอาอึ้มเจ้าของแฟลต เคาะประตูเรียกสองสามที แกก็ออกมาเปิดให้ในสภาพกระโจมอกเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แกมองหน้าผมพลางเอ่ยถาม

   “ลื้อเปงใคร”

   สำเนียงจีนๆ กับหน้าของอาอึ้มที่เปลี่ยนไปเยอะมากหลังผ่านมาเจ็ดปี ผมยกมือสวัสดีก่อนตอบแกไป

   “ผมอิฐครับ จะมาขอกุญแจห้องที่ฝากไว้”

   “อิฐ?”

   อาอึ้มขมวดคิ้ว ก่อนจะเพ่งหน้าผมดีๆ แล้วร้องอ้อยาวๆ

   “อาอิฐนี่เอง ไม่เจอกันตั้งนาน หายหน้าหายตาไปเลยจนจำมะล่าย มาๆๆ เข้ามาก่องมะ”

   ผมส่ายหน้า

   “ขอกุญแจก็พอครับ”

   อาอึ้มผงกหัวหงึกๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกุญแจเก่าๆ ดอกนึง

   “แล้วนี่กลับมาทำไมเรอะ”

   ผมยิ้มจางๆ ไม่ตอบคำถามแก ขอบตาผมร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาไม่ถึงสองชั่วโมง...

   

   ผมเข้ามาในห้องเช่าเก่าๆ ฟูกอันเดิมถูกคลุมไว้อย่างดีด้วยพลาสติก ฝุ่นจับหนาเตอะ หยากไย่ตามมุมห้องไม่เยอะอย่างที่คิด เพราะผมขอให้อาอึ้มช่วยจ้างคนมาทำความสะอาดอย่างน้อยปีละสองครั้งไว้แล้ว 

   ผมเดินย่ำเศษต่างๆ เข้ามาด้านใน ดึงเอาพลาสติกที่ห่อเตียงออก ก่อนจะทิ้งตัวนอนลง เหม่อมองแมงมุมที่ไต่ผนังผ่านหน้าผมไป

   ทั้งเนื้อทั้งตัวผมไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่มือถือ... ผมใช้มันจ่ายแทนเงินให้กับคนขับแท็กซี่ บอกว่าผมมีของติดตัวอยู่แค่นี้ โชคดีที่เขารับไป คงเพราะสงสารสภาพของผมด้วยล่ะมั้ง ชายร่างผอมกะหร่องในชุดเสื้อเชิ้ตตัวเดียวกับกางเกงขาสั้นบางๆ ปิดอะไรแทบไม่มิด หน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สะอึกสะอื้นมาตลอดทางจนลุงคนขับไม่กล้าถามอะไรมาก... ก่อนลงจากรถ เขายังอุตส่าห์ใจดีหันมาถามผมว่า อยากให้พาไปสถานีตำรวจมั้ยด้วย

   แน่นอนว่าผมปฏิเสธ

   สิ่งสุดท้ายที่ผูกมัดผมกับคุณเพย์ไว้ถูกยกให้คนขับแท็กซี่ไปแล้ว

   คราวนี้ผมคงได้เป็นอิสระจริงๆ เสียที

   “ฮึก...”

   คำพูดของคุณเพย์ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันทำให้ใจผมเจ็บ... เจ็บจนแทบจะฉีกออกมา เจ็บจนผมกัดปากตัวเองเพื่อข่มเสียงร้องไห้ จนสุดท้ายทนไม่ไหว สองแขนยกขึ้นปิดตาตัวเอง แผดเสียงร้องไห้จนแทบขาดใจจนสะท้อนก้องในห้องแคบๆ

   ร้องจนผมถามตัวเองว่าผมร้องไห้ไปทำไม

   

   ปึงๆๆๆ  ปึงๆๆๆๆ

   เสียงเคาะประตูเหล็กดัดดังจนผมสะดุ้งตื่น ในห้องมืดสนิท  มีเพียงแสงจากตึกข้างๆ ที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานเกล็ดเข้ามาให้พอเห็นลางๆ

   ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว ผมทำได้แค่ลืมตามองความมืด ได้ยินเสียงทุบประตูรัวๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเสียงงัดแงะ ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อผมดังแว่วๆ ริมฝีปากแห้งผากไม่มีความสามารถมากพอแม้แต่จะครางตอบ

   “อิฐ! อิฐ!”

   แสงไฟจากมือถือส่องมาทางผม ในห้องนี้เปิดไฟไม่ได้เพราะผมไม่ได้เอาเบรกเกอร์ขึ้น ผมจำไม่ได้ว่านั่นเป็นเสียงใคร... รู้แค่ว่าร่างของผมถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอยจากพื้น ผมมีสติ... มีสติทุกอย่างตั้งแต่โดนจับขึ้นรถ หรือแม้กระทั่งถูกอุ้มไปวางบนเตียงแล้วถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป จนกระทั่งผมคงสติไว้ไม่ไหว เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงติ๊ด ติ๊ด ของเครื่องวัดความดันหัวใจ

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีบนเตียงในโรงพยาบาล... ร่างกายหนักอึ้ง ผมกรอกตาไปมา คิดอยู่คำถามเดียวว่า... ทำไมยังไม่ตาย?

   “อิฐ อิฐครับ”

   หน้าลูกครึ่งยื่นเข้ามาใกล้ มือของผมถูกจับไว้แน่น ผมเหลือบตาไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำข้าวของเขาที่แสดงถึงความเป็นห่วงและโล่งใจ ผมเบือนสายตากลับไปมองถุงน้ำเกลือที่เหลืออยู่ครึ่งถุงก่อนจะเอ่ยปากถาม

   “คุณเจอผมได้ยังไง”

   ผมถามด้วยเสียงแหบแห้งแต่ไร้ซึ่งความรู้สึก

   “น้องอิงโทรหาผม เธอบอกว่าคุณหายไป คุณหายไปสองวัน สัญญาณจีพีเอสก็ถูกปิด ระบุตำแหน่งไม่ได้ กว่าจะหามือถือคุณเจอก็เสียเวลาตั้งวันนึง คุณให้มือถือกับคนขับแท็กซี่ไปทำไม?”

   ผมเงียบ ไม่ตอบคำถาม

   “อิฐ คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

   “ผมทำอะไร”

   คุณจิณณ์บีบมือผมแน่นขึ้น ขอบตาเขาแดงๆ

   คุณจะมาร้องไห้ให้ผมทำไมครับ?

   “ชีวิตผมไม่มีค่าอะไรทั้งนั้นครับคุณจิณณ์”

   ร่างสูงโน้มหน้าลงมาจูบปิดปากที่แห้งผากของผมจนแนบสนิท เขาจูบผมนานมาก... นานจนผมต้องหลับตาลง ยอมเปิดปากให้เขาสอดลิ้นร้อนเข้ามา มือที่มีสายน้ำเกลือเจาะอยู่เอื้อมไปเกาะอกเสื้อของเขาแน่น

   “อยู่ให้ผมรักเถอะ”

   ผมร้องไห้กับอกของเขา... ผมอยากจะทำให้ได้ ผมอยากจะอยู่ให้มีคนที่รักผม และผมก็รักเขาได้...

   

   “มึงต้องอยู่กับกูอิฐ กูไม่มีวันปล่อยมึงไป”

   จริงเหรอครับ...



   “รักเพย์นะอิฐ รักเพย์แทนได้ไหม”

   ได้เหรอครับ...



   “กูรับปากมึง สาบานจะดูแลน้องอิงแทนมึง จนกว่ามึงจะหายดี กูจะไม่ทิ้งน้องอิง ไม่ทิ้งมึงด้วย ไม่ทิ้งใครก็ตามที่มึงรักมึงห่วง ขออย่างเดียว อย่าทิ้งกู...”

   สาบานเหรอครับ...



   “มึงทำเหี้ยอะไรกับกู ไอ้อิฐ”

   ผมทำอะไรเหรอครับ...



   “เจ็บเหรอ เออ! ดี เจ็บก็ดีไอ้สัส! มึงมันยิ่งกว่าหมา เลี้ยงเสียข้าวสุขฉิบหาย!!”

   คุณเพย์ คุณเลี้ยงผมไว้ ให้เป็นหมาของคุณ... แค่ให้เชื่อฟังคุณ

   แค่นั้นเหรอครับ...

   

   “คุณจิณณ์ครับ”

   “ครับอิฐ”

   ผมตระกรองกอดเขาแน่นในสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่า... คุณจิณณ์จูบวนบนหน้าอกราบเรียบ ลิ้นร้อนลากไล้เวียนอยู่กับยอดอกสีอ่อนที่ชูชันตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แผ่นหลังของผมแอ่นหยัดขึ้นจนมือใหญ่ต้องประคองไว้ เขาละริมฝีปากจากมันเพื่อลากลงไปยังส่วนที่ชูชันโดดเด่น

   “ผมมีเรื่องจะขอร้อง”

   คุณจิณณ์ครอบริมฝีปากลงไปยังส่วนที่แดงก่ำราวผลทับทิมสุก ลิ้นสากชุ่มตวัดเลียจนเปียกแฉะ นัยน์ตาของผมเหม่อมองเพดาน เรียวขาถูกยกพาดบ่ากว้างแข็งแรง

   “ครับ”

   ผมกลืนน้ำลายและน้ำตาตัวเอง ร้องขอในสิ่งที่เคยปฏิเสธมาตลอด

   “ช่วยฟาดผมทีได้ไหม”



   “หนึ่งรอยสามหมื่น”



   “ก่อนที่ผม...”

   

   “อย่าทำอีก”

   

   “จะอยากเชือดคอตัวเองครับ”



   ผมจำได้แล้วครับ... ว่าทำไมคุณเพย์ถึงฟาดผม

   

   “ทำร้ายผมที ได้โปรดคุณเพย์...”



   ผมก็ไม่ต่างจากคุณเพย์... เราเองก็ทำร้ายกันและกัน



   - Pay Part -

   ผมนอนเหม่ออยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล... ข้างๆ มีน้องอิงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แม้สีหน้าเธอไม่ได้ยินดีจะดูแลผมสักนิด แต่ก็ยังยอมปอกผลไม้ใส่จานเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียงให้ผม

   “ทานหน่อยนะคะพี่เพย์”

   ผมเบือนหน้าหนี รอบศีรษะถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว

   “อิฐล่ะ”

   “พี่อิฐปลอดภัยดีค่ะ”

   “อิฐอยู่ไหนอิง”

   “พี่เพย์”

   “พี่อยากเจออิฐ!”

   น้องอิงวางจานลง เธอแตะไหล่ผมที่สั่นสะท้าน ผมกัดริมฝีปากจนเลือดห้อ เด็กสาวว่าที่คุณหมอเม้มปาก เธอเดินอ้อมมาเพื่อสบตากับผม มือเล็กวางประกบหน้าโทรมๆ ไว้เพื่อไม่ให้หันหนี ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าออกไป ผมปากสั่น พยายามกลั้นอารมณ์ไว้จนสะท้านไปทั้งตัว

   “พี่เพย์คะ ให้เวลาพี่อิฐหน่อยนะคะ”

   “พี่อยากรู้ว่าอิฐอยู่ไหน ฮึก... บอกพี่ อิง อิฐอยู่ไหน”

   ผมคร่ำครวญเป็นเด็กสามขวบ จับแขนน้องอิงแน่น เธอวางมือทับลงบนมือที่สั่นเทาของผมอย่างปลอบใจ อ้อมแขนเล็กตวัดโอบกอดร่างใหญ่ไว้พลางลูบหลัง

   “เชื่ออิงนะคะ เชื่ออิงนะว่าพี่อิฐปลอดภัย พี่เพย์ต้องรีบรักษาตัวให้หายนะคะ แล้วเราไปรับพี่อิฐด้วยกัน”

   “พี่อยากเจออิฐ พี่อยากขอโทษเขา... พี่ผิดเอง พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษ”

   “ค่ะ...”

   “พี่รักอิฐ พี่อยากบอกอิฐ”

   “อิงรู้ค่ะ”

   “ถ้าไม่มีอิฐพี่อยู่ไม่ได้”

   อ้อมแขนของน้องอิงแน่นขึ้น เธอจูบที่กลางหัวผมอย่างอ่อนโยน ปลอบใจคนที่ตอนนี้ใจสลายเพราะคำพูดของตัวเอง ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนไม่เหลือมาดใดๆ ให้รักษาอีก

   “พี่อิฐก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่เพย์นะคะ”



   ร่างบางเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมา ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องพักแพทย์ของคนที่นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นจิตแพทย์แล้วยังถือเป็นอาจารย์หมอที่เธอเคารพอีกด้วย

   “พี่รักษ์คะ อิงมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ”

   หมอรักษ์ที่กำลังนั่งอ่านรายงานผู้ป่วยอยู่เงยหน้าขึ้นเมื่อคนที่ขอนัดเขาไว้มาหา รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งผ่านมาอย่างใจดี อิงลดาเลื่อนประตูปิด

   “ครับ น้องอิง”

   “พี่รักษ์รู้ใช่มั้ยคะ ว่าพี่เพย์กับพี่อิฐ...”

   หมอรักษ์เลิกคิ้วก่อนจะปิดรายงานผู้ป่วยแล้วเชิญให้อิงลดานั่งลง

   “รู้ครับ”

   หมอรักษ์ตอบตามจริง อิงลดาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติ

   “พี่รู้ว่าเพย์ทำอะไรกับอิฐ และรู้ว่าทั้งสองคนรู้สึกยังไง เพียงแต่สองคนนั้นมีเงื่อนไขของตัวเอง”

   “ค่ะ”

   อิงลดาก้มหน้า มือเล็กกำแน่น เพราะหนึ่งในเงื่อนไขนั้นก็คือเธอ

   หมอรักษ์รู้เรื่องที่อิงลดาเคยเกือบจะโดนพี่ชายตัวเองข่มขืน เพราะอิงลดาก็เคยมาบำบัดอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ รวมถึงเพย์ที่มีเขาเป็นหมอประจำตัวเพราะทางบ้านต้องการให้เขาคุมพฤติกรรมของเพย์ตั้งแต่เกิดเรื่องระหว่างเขากับน้องสาวของจิณณ์ รวมถึงอิฐที่มีพฤติกรรมสองบุคลิกและมีภาวะเสี่ยงฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัวสูง

   สรุปคือเรื่องของพวกเขาทุกคน หมอรักษ์ที่เป็นจิตแพทย์ประจำตระกูลไอยราสุวรรณมาตั้งแต่รุ่นพ่อรับรู้เป็นอย่างดี

   “พี่รักษ์ ช่วยพี่เพย์กับพี่อิฐได้มั้ยคะ”

   อิงลดาเอ่ยคำขอที่เห็นแก่ตัวออกไป

   หมอรักษ์ทำหน้าลำบากใจ เขาเงียบไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

   “สิ่งที่ยากที่สุดของการให้อภัย คือการให้อภัยตัวเองนะครับอิง”



ถ้าน้องโดนคุณเพย์ด่าแบบนี้ อาจไม่จบแค่ทุ่มแจกัน

น้องยูอ่านทุกคอมเม้นต์เลยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆ

#คุณเพย์รักอิสระ

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 03-12-2019 00:13:33
เศร้าไปให้สุดเลยค่ะ :z3:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 07-12-2019 00:15:40
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 07-12-2019 00:36:49
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------

วั้ย ยังมีคนอ่านเรื่องนี้ด้วย มันดราม่าหนักอยู่เลยคิดว่าไม่ใช่ไทป์ของเล้าซะอีก ขอบคุณน้า
ปล. เรื่องคู่คุณจิณณ์เป็นความลับเด้อ อยู่ในรวมเล่มค่า แต่ยังไม่ออกนะ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 07-12-2019 01:15:06
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------

วั้ย ยังมีคนอ่านเรื่องนี้ด้วย มันดราม่าหนักอยู่เลยคิดว่าไม่ใช่ไทป์ของเล้าซะอีก ขอบคุณน้า
ปล. เรื่องคู่คุณจิณณ์เป็นความลับเด้อ อยู่ในรวมเล่มค่า แต่ยังไม่ออกนะ

เพราะ incest(?) เรากะจะไม่อ่านแล้วแต่มีนิดเดียวจริงๆค่ะเราอ่านต่อได้ๆ เข้มข้นมากค่ะแล้วก็แต่งสนุกจริงๆค่ะรอลงในเล้านะคะพี่ยู  :L2:
อู่ววว เป็นความลับด้วยตื่นเต้นเลยค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-12-2019 12:55:38
โอววดราม่าไปไหน ไปให้สุด ไปได้ต่ออีกนะ เราชอบบบบ 555555 เฮ้ยสนุกว่ะ!! ชีวิตอิฐทำไมมันบัดซบจริง เป็นอะไรที่แบบคิดไม่ตก จะเอาไงกับชีวิตดี ถ้าให้ออกมามันก็พูดง่ายเนอะ แต่จริงแล้วก็ยังคิดได้แค่ว่าจะให้อิฐเอาไงดีว่ะ 55555 อิงเพย์มีไรก็บอกอิฐไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายไป แล้วตอนนี้อิฐก็ติดสัมผัสหรือคล้ายชอบๆเพย์ไปแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับตัวเองเพราะติดที่อิง เหมือนคิดไปคนละทาง ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดี จู่ๆอิฐลุกขึ้นมาปาดคอตัวเองทำไง ฮ่าๆ หึหึ!! ว่าแต่ใครทำนะปล่อยความลับโครงการ บางทีหรือหลายทีคุณเพย์พ่อคูณก็น่าถีบดีจัง 5555 ส่วนคุณจิณณ์ก็ทั้งความอยากเอาชนะเพย์ด้วยและอยากช่วยอิฐด้วย เลยมาวอแวอิฐใหญ่้เลย อ่านรวดเดียวสนุกมาก รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำจะแก้ปัญหาอะไรยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ รรรรรค่ะ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 13
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 07-12-2019 13:14:54
โอววดราม่าไปไหน ไปให้สุด ไปได้ต่ออีกนะ เราชอบบบบ 555555 เฮ้ยสนุกว่ะ!! ชีวิตอิฐทำไมมันบัดซบจริง เป็นอะไรที่แบบคิดไม่ตก จะเอาไงกับชีวิตดี ถ้าให้ออกมามันก็พูดง่ายเนอะ แต่จริงแล้วก็ยังคิดได้แค่ว่าจะให้อิฐเอาไงดีว่ะ 55555 อิงเพย์มีไรก็บอกอิฐไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายไป แล้วตอนนี้อิฐก็ติดสัมผัสหรือคล้ายชอบๆเพย์ไปแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับตัวเองเพราะติดที่อิง เหมือนคิดไปคนละทาง ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดี จู่ๆอิฐลุกขึ้นมาปาดคอตัวเองทำไง ฮ่าๆ หึหึ!! ว่าแต่ใครทำนะปล่อยความลับโครงการ บางทีหรือหลายทีคุณเพย์พ่อคูณก็น่าถีบดีจัง 5555 ส่วนคุณจิณณ์ก็ทั้งความอยากเอาชนะเพย์ด้วยและอยากช่วยอิฐด้วย เลยมาวอแวอิฐใหญ่้เลย อ่านรวดเดียวสนุกมาก รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำจะแก้ปัญหาอะไรยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ รรรรรค่ะ

มายาวเลย ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 14
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 08-12-2019 21:27:48
| Day 14 |
On the rock

(08/12/62)


   ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกกระวนกระวายทุกครั้งที่ไม่เห็นร่างผอมบางอยู่ในสายตา

   ตั้งแต่วันแรกที่เจอเขา ผมก็ถูกใจจนใช้การหว่านล้อมทุกวิธีเพื่อจะได้เขามาอยู่ข้างกาย หรือแม้แต่ใช้น้องสาวของเขามาเป็นเครื่องมือเพื่อให้เขายอมอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้

   ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่าการเป็นเจ้านายกับคนขับรถ

   ใช่... ถึงผมจะไม่แคร์คนทั้งโลก แต่ผมไม่แคร์ครอบครัวผมไม่ได้

   ตระกูลของผมมีแต่ลูกชาย และลูกชายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนโต คนรอง คนที่สามหรือคนเล็กสุด ย่อมถูกคาดหวัง ทั้งด้านการศึกษา การทำงาน และชีวิตครอบครัว

   “เจ้าภัทร เมื่อไหร่จะแต่งงานสักที”

   บนโต๊ะกินข้าว เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนายอดฮิต ได้ยินทุกครั้งที่กลับบ้านมากินข้าว พี่ชายคนโตที่อายุจะสามสิบเอ็ดปีนี้ตักซุปเข้าปากอย่างเชื่องช้าก่อนจะตอบเมื่อกลืนลงไปหมด

   ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้กลืนแค่ซุป พี่กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงไปด้วย

   “ผมยังมีภาระอีกเยอะ สาขาที่สิงคโปร์กำลังโต ผมไม่มีเวลาหรอกครับคุณแม่”

   ถ้าพี่ชายคนโตคือความสมบูรณ์แบบที่พ่อกับแม่คาดหวัง ลูกชายคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน

   พี่ภัทรคือแบบอย่างที่น้องทุกคนต้องทำตาม พี่ไม่เคยพลาด ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียใดๆ มาให้ใครครหาวงศ์ตระกูล แม้จะมีข่าวคบหาดูใจกับลูกสาวนักเมืองหรือลูกสาวนายทุนมากมาย แต่พี่ไม่เคยพาคนไหนเข้าบ้านเลยสักคน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเรื่องอนาคตของทายาทไอยราสุวรรณ

   พี่ภีม ลูกชายคนที่สอง โชคดีหน่อยที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะแต่งงานกับลูกสาวนักธุรกิจใหญ่แล้ว    

   ผมเคยถามว่าทำไมพี่ถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่พี่รัก พี่ภีมตอบกลับมาว่า...

   เราอาจจะไม่รู้ว่ามันคือความรัก แต่เราจะรู้ว่ารักเมื่อขาดเขาไปไม่ได้

   นั่นอาจเป็นโชคดีของพี่

   ส่วนไอ้พีท มันอายุห่างจากผมแค่ปีเดียว เราสนิทกันเพราะอายุใกล้กัน เรื่องแย่ๆ ของผมมันรู้แทบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่ผมเคยลองของไม่ดีมากมายในช่วงวัยเด็ก หรือแม้แต่เรื่องผู้หญิง มันก็เป็นคนคอยห้ามปรามผม แต่มีเรื่องเดียวที่มันไม่รู้

   คือเรื่องของอิฐ

   ผมไม่เคยแสดงออกด้านไหนเลยที่บอกว่าผมชอบผู้ชาย ผมปิดบังเรื่องนี้ไว้ เพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวัง

   ผมเอาอิฐมาเลี้ยงพร้อมน้องสาวของเขา ควงน้องอิงเพื่อให้แม่สบายใจและจะได้ไม่เซ้าซี้ถามเรื่องแฟนให้กระอักกระอ่วนใจเหมือนพี่ภัทร พี่ชายผู้สมบูรณ์แบบ

   “อะไรกันคะ ดูเจ้าภีมสิ จะแต่งงานอยู่แล้ว ภัทรเป็นพี่ชายทำไมยอมให้น้องแต่งก่อน”

   คุณหญิงวรรณิศา สะใภ้ใหญ่ผู้เพียบพร้อมของตระกูลไอยราสุวรรณค้อนลูกชายคนโต พี่ภัทรยิ้มส่งคืนผู้เป็นแม่เหมือนคนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ส่วนผมนั่งเขี่ยข้าวเล่นอย่างคนเบื่อบทสนทนามื้อค่ำจนพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยปากถาม

   “เอาแต่เขี่ยข้าว อาหารไม่ถูกปากเรอะเจ้าเพย์”

   ผมเหลือบตามองพ่อก่อนจะส่ายหน้า

   “เปล่าครับ”

   “คิดถึงสาวมั้งพ่อ เห็นว่าน้องอิงไปทัศนศึกษาต่างจังหวัดกับโรงเรียน”

   ไอ้พีทตัวเสือกประจำบ้านพูดถึงน้องอิงที่ผมเพิ่งจะประกาศเปิดตัวไปว่าได้คบหาดูใจกันอยู่เมื่อประมาณปีก่อน พ่อกับแม่ผมยินดีอ้าแขนต้อนรับน้องอิงเต็มที่ เพราะเธอน่ารัก ฉลาดและเรียนเก่งมากจนได้ทุนเรียนระยะยาว แต่ถึงกระนั้น พ่อของผมก็ยังคอยสนับสนุนน้องอิงอยู่เผื่อขาดเหลืออะไร

   พ่อแม่ผมอยากได้ลูกสาวแต่ทั้งบ้านมีแต่ลูกชาย พอได้รู้จักน้องอิง พ่อกับแม่ผมจึงรักและเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ต่างจากลูกสาวเลยทีเดียว

   บ้านเรามีเงินเยอะมากพอแล้ว ดังนั้นคนที่จะมาเป็นสะใภ้ตระกูล ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรือเป็นลูกผู้ดี ขอแค่ลูกโอเค พ่อกับแม่ชอบ บ้านเราไฟเขียวให้อยู่แล้ว

   ผมตวัดตามองไอ้พีทที่หัวเราะหึๆ อยู่ข้างผม

   “อ้าว น้องอิงไม่อยู่หรอกเหรอ มิน่าล่ะ เจ้าเพย์ถึงยอมกลับมากินข้าวที่บ้าน”

   คุณหญิงวรรณิศาแซว ทุกคนรู้ว่าน้องอิงอาศัยอยู่คอนโดของผม ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะก่อนที่จะตัดสินใจ ผมเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ภัทรแล้วว่ามันจะทำให้เด็กสาวดูไม่ดีรึเปล่า พี่ภัทรบอกว่าถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีปัญหาและสถานที่ที่พี่น้องคู่นั้นเคยอาศัยอยู่มันแย่มากจริงๆ

   ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว ที่ทำไปทุกอย่างเพียงเพราะสนองความต้องการของตัวเองแค่นั้น

   วันที่ทุกคนรู้ว่าผมจะเปลี่ยนคนขับรถ แม่ถึงกับออกปากถามว่าเหตุผล ผมเลยบอกว่าเจอเด็กน่าสนใจ เขาดูฉลาดน่าจะมีอนาคตดีกว่านี้ แถมมีน้องสาวที่ต้องเลี้ยงด้วยตัวคนเดียว และเกรดของเด็กสองคนนั้นก็ดีมาก บ้านผมบ้าคนเก่ง สนับสนุนเด็กมีอนาคต การที่ผมอยากส่งเสริมใครสักคน ไม่ใช่เรื่องแปลกของบ้านเรา เพราะทุกคนที่ทำงานกันหมดแล้วต่างมีเด็กที่ตัวเองอุปถัมภ์อยู่ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้พีท

   วันที่ผมพาทั้งสองคนมาให้คนที่บ้านรู้จัก แม่ถึงกับเรียกน้องอิงว่าลูก

   ผมรู้ครับ น้องอิงน่ารักมากจริงๆ

   แต่ผมไม่ได้รักเธอแบบนั้น

   คนที่ผมสนใจคืออิฐ พี่ชายผู้มีชีวิตน่าสมเพช นัยน์ตาโศกเศร้าตลอดเวลาทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้

   แน่นอน ไม่มีใครสงสัยเจตนาที่แท้จริงของผม

   น้องอิง คุณพ่อเป็นคนส่งเสียการเรียนทั้งหมดให้เธอ ส่วนอิฐ ผมเป็นคนส่งเรียนภาคพิเศษให้เขา ตอนแรกตั้งใจให้เขาลงทะเบียนเรียนเป็นนักศึกษาเต็มตัว ได้ไปมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะไปลงทะเบียนแบบ sit in class ที่เป็นการเข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ไม่เอาเกรดเสียแบบนั้น ผมถึงกับถอนหายใจในความซื่อของเขาเมื่อเขาบอกว่า เขาต้องเอาเวลามาทำงาน การไปเรียนของเขาก็แค่เอาความรู้มาประดับหัวไว้ เพราะผมบอกว่า ผมเกลียดคนโง่

   เออ... เขามันโง่

   ผมทำตัวเป็นเจ้านายที่ดีมาตลอด คอยสอนในสิ่งที่เขาไม่รู้ ปั้นแต่งให้เขาเป็นเลขาไปด้วยในตัว แน่นอนว่าอิฐฉลาด เขาเรียนรู้ไว รอบคอบ แต่ไม่ก้าวก่ายและอวดรู้ เขาเจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าสบตาใคร และรักน้องสาวเป็นที่สุด   

   แต่รักของอิฐที่มีต่อน้องอิงไม่เหมือนของผม...



   วันนั้นผมช็อคมากที่ในที่สุดเหตุการณ์ที่ผมเคยกลัวก็เกิดขึ้นจริง

   ผมกะว่าจะเอาของฝากจากแม่ไปฝากสองพี่น้องนั่น มันอาจจะดึกหน่อย แต่ผมก็เข้าๆ ออกๆ ที่นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

   ในห้องมืดๆ ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องอิงดังออกมา อิฐที่กำลังเมาจับร่างเล็กๆ ของน้องสาวตรึงไว้กับพื้นในสภาพล่อแหลม อีกนิดเดียวเท่านั้น ไอ้นั่นของอิฐก็จะเข้าไปในตัวน้องอิง

   อาจเป็นเพราะเขาเมาและไม่เคยมาก่อนจึงทำให้การสอดใส่เป็นไปไม่ได้ดั่งใจ

   ภาพนั้นทำให้ผมช็อค เหวี่ยงร่างผอมแห้งของคนขาดสติออกห่างเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา ในเวลานั้นผมสนใจแค่ความปลอดภัยน้องอิง รีบพาเด็กสาวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที โชคดีที่ระยะห่างระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาลห่างกันแค่สิบนาที เมื่อน้องอิงถึงมือหมอ ผมที่เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่สักพักก็นึกถึงคนที่โดนผลักกระเด็นไปเมื่อกี้ขึ้นมา

   ผมรีบกดมือถือโทรหาเขาทันที โทรเป็นสิบๆ สายแต่เขาก็ไม่รับ ผมจึงรีบบึ่งรถกลับไป

   “อิฐ!!!”

   มือไม้ผมสั่นเมื่อเห็นเลือดท่วมนองห้องอาบน้ำสีขาวจนกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวคละคลุ้ง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นคือภาพคนที่ไม่ต่างจากศพกำลังจรดคัตเตอร์ลงที่คอของตัวเอง

   อีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ อิฐจะจากผมไปตลอดกาล

   ผมรีบคว้าเอาผ้าขนหนูมาพันรอบแขนเขา พยายามเอามือกดตรงคอที่มีรอยกรีดจนเลือดไหลออกมาอย่างทุลักทุเล จู่ๆ น้ำตาผมก็คลอเบ้า สุดท้ายก็ไหลพรากไม่รู้ตัว

   ผมส่งเขาที่โรงพยาบาลเดียวกัน สภาพเลือดท่วมตัวทำให้พยาบาลเข้ามาถามไถ่ว่าผมมีแผลตรงไหนหรือเปล่า ผมส่ายหน้า แต่พยาบาลกลับทักว่าเลือดที่มือมันไหลไม่หยุด ผมยกฝ่ามือขึ้นมาดู มันเป็นแผลเหวอะหวะจากการคว้าใบมีดคัตเตอร์ไว้นั่นเอง

   ผมทิ้งตัวนั่งลงปล่อยโฮอย่างหมดสภาพ ภาวนาขอให้เขาไม่เป็นอะไร



   จากวันนั้นมาผมก็แทบไม่ปล่อยให้อิฐอยู่คนเดียวอีกจนผ่านไปเกือบครึ่งปี

   น้องอิงเธอสามารถให้อภัยพี่ชายเธอได้ ในขณะที่พี่ชายของเธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้

   “วันนี้ค้างที่บ้านมั้ยคะ พรุ่งนี้วันเสาร์ เพย์ไม่ต้องทำงานนี่นา นานๆ ทีอยู่บ้านทานข้าวเช้ากับแม่หน่อยจะเป็นไร”

   คุณวรรณิศาเริ่มงอแงอยากให้ผมนอนที่บ้านหลังจากจบมื้อเย็น ผมมองหน้าแม่ที่ส่งสายตาปริบๆ มาให้ก่อนจะถอนหายใจ พยักหน้ารับแต่มีข้อแม้ว่าต้องให้อิฐพักที่นี่ด้วย ซึ่งคุณแม่ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

   ผมเดินตามหาคนขับรถที่ไม่รู้ป่านนี้ไปแอบอู้รออยู่ที่ไหน ลองถามพวกแม่บ้านดูก็บอกว่าเห็นแวบๆ อยู่ที่สวนหลังบ้าน ผมจึงเดินออกไปหา

   ฝนกำลังจะตก...

   ผมได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ กลิ่นฝนลอยมาพร้อมกับกลิ่นดอกมะลิที่แม่เป็นคนปลูกไว้ ผมเดินผ่านทางเดินหินไปยังสวนหลังบ้าน สิ่งที่เห็นสะกดสายตาของผมเอาไว้

   ชายหนุ่มร่างผอม ตัวซีด ริมฝีปากแดงก่ำเช่นเดียวกับนัยน์ตาโศกเศร้า เขายืนแหงนหน้ามองเมฆบนท้องฟ้า แสงจันทร์ส่องลงมาจนทำให้เห็นใบหน้าหวานชัดเจน

   มือขวาของเขากำคัตเตอร์ไว้แน่นข้างตัว ข้อมือซ้ายมีรอยเลือดซึมออกมาจากแขนเสื้อเชิ้ตสีขาว

   ผมเดินเข้าไปปัดคัตเตอร์ออกจากมือเขาก่อนจะดึงแขนอีกข้างที่มีเลือดซึมขึ้นมาดู อิฐเอียงคอมองผม นัยน์ตาโศกว่างเปล่าจนน่ากลัว

   “ทำอะไร!”

   “ครับ?”

   “นี่!”

   ผมกำแขนส่วนที่ไม่ใช่แผลแน่น อิฐเงียบก่อนจะดึงแขนตัวเองออกช้าๆ

   “ผมแค่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ”

   ผมอยากจะด่าเขาเหลือเกิน แต่ก็อดเอาไว้ ดึงมืออีกข้างของเขาให้เดินตามมา อิฐไม่ได้ขัดขืนอะไร

   “วันนี้กูค้างที่นี่”

   “งั้นเดี๋ยวผมกลับคอนโด แล้วพรุ่งนี้จะมารับครับ”

   “มึงคิดว่ากูจะยอมให้มึงอยู่คนเดียวรึไง”

   “แต่ว่า...”

   “ไม่มีแต่”

   “ครับ”

   ผมพาเขาขึ้นมาบนห้องแล้วรื้อค้นเอากล่องยาออกมา ร่างผอมบางปลดกระดุมแขนเสื้อออกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปิดก๊อกน้ำล้างแผล ผมรีบตะโกนด่าลั่นแล้วสั่งให้เขาออกมานั่งรอเฉยๆ บนเตียง

   ผมจัดการทำแผลให้เขา ล้างด้วยน้ำเกลือสะอาดแล้วใส่ยาลงไป รอยกรีดของอิฐไม่ลึกมากมาย วันเดียวก็น่าจะหาย อย่างที่เขาบอก ว่าเขากรีดแค่เพื่อให้ตัวเองสบายใจ ไม่ได้กรีดเพื่อให้ตัวเองตาย

   “มึงนอนนี่แหละ”

   “แต่มันไม่เหมาะ ผมเป็นแค่คนใช้นะครับ” อิฐมองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมจึงยัดเสื้อนอนของตัวเองใส่มือเขาแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำ ทำตัวยิ่งกว่าพ่อมันอีก ณ จุดจุดนี้

   “หน้าที่ของมึงคือทำตามที่กูสั่ง ไปอาบน้ำ!”

   เขาเดินคอตกเข้าห้องน้ำไป ผมตะโกนไล่หลังตาม

   “อย่าให้แผลโดนน้ำ!”

   

   อิฐหลับแล้ว หลับสนิทเลยด้วย แต่ผมเนี่ยสิ นอนไม่หลับ!

   ร่างผอมบางในชุดเสื้อนอนหลวมโพรกยาวถึงเข่า กางเกงของผมเขาก็ใส่ไม่ได้จนต้องยอมใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว ตอนแรกเขาตั้งท่าจะนอนที่โซฟา แต่ผมลากคอเขาให้ไปนอนบนเตียง บอกว่าผมไม่ถือ จนสุดท้ายความอ่อนเพลียก็ทำให้เขายอมแพ้ นอนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ริมขอบเตียง สำหรับเตียงขนาดสิบสองฟุต ต่อให้เขานอนอ้าแข้งอ้าขาก็ไม่มีทางโดนตัวผมอยู่ดี...

   เขานอนก่อนผมในท่านั้น แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะขยับไปไหนมากกว่านี้ จนผมต้องค่อยๆ ช้อนร่างเขาให้ขยับมานอนดีๆ ก่อนจะตกเตียง

   ร่างของอิฐเบามาก เบาจนน่าใจหาย

   ทันทีที่เขาได้พื้นที่กว้างขึ้น คนตัวเล็กก็ค่อยๆ ทำการขยายอาณาเขตพื้นที่นอนของตัวเองโดยการพลิกตัว ผมนอนลงข้างๆ เขาโดยเว้นระยะห่างให้ ปิดไฟแล้วหลับตา

   หลับได้เหี้ยไรล่ะ!

   คนที่ตอนนอนอยู่ขอบเตียงแทบจะไม่กระดิก แต่ตอนนี้ดิ้นฉิบหาย!

   ขาเรียวยกพาดเอวผมแทนหมอนข้าง ตะแคงหันมาหายใจรดไหล่ เจ้าตัวนอนคู้จนหน้าซุกอยู่แถวๆ แขนผม

   ไอ้ที่ว่าจะสงบ แม่งเสือกไม่สงบแล้วสิ

   “แม่งเอ้ย”

   ผมสบถเบาๆ โดยเฉพาะเมื่อเข่าของคนตัวเล็กขยับๆ ถูกลางลำตัวผมพอดี ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นนิสัยเวลานอนของเขาหรือเปล่า หรือเขาอยากแกล้งอะไรผม ผมนอนหงายนิ่งๆ พยายามข่มตานับแกะในใจ

   แม่งเอ้ย อยากข่มขืนแกะฉิบหาย!

   “อิฐ”

   ผมเรียกเขาเบาๆ ตั้งใจจะขยับขาที่โผล่พ้นเสื้อให้ออกไป แต่ทันทีที่สัมผัสเนื้อเนียนไร้ขนไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป มันทำให้มือที่จะผลักเขาออก เปลี่ยนเป็นลูบแทน

   ผมกลืนน้ำลาย มือที่จับน่องเนียนไว้เริ่มลามขึ้นมาที่ต้นขา จู่ๆ ปลายนิ้วมันก็เลยเข้าไปในช่องว่างของขากางเกงบ๊อกเซอร์ที่กว้างขวางมหาศาลนั่น มือปาดป่ายไปทั่วจนทำให้รู้ว่า อิฐไม่ได้ใส่กางเกงใน

   “อา...”

   ผมได้ยินเสียงเขาครางแผ่ว ผมหันตัวพลิกกลับไปกอดเขาไว้ บีบเนื้อต้นขานุ่มจนติดมือ ร่างกายผมร้อนผ่าว อยากทำ... อยากทำให้เขาร้อง...

   “อิฐครับ”

   “คร่อก...”

   เขากรนอัดหน้าผม ไอ้เวร...

   ผมปล่อยมือแล้วหันกลับมานอนหงายดีๆ

   เอาวะ... ถ้าทำให้มันหลับได้ ก็ให้มันทำไป

   

   “เจ้าเพย์ ตื่นเช้าเชียวนะคะ”

   คุณวรรณิศาตื่นมาโยคะเช้าเป็นปกติ แต่มันไม่ใช่ปกติของลูกชายคนเล็กของบ้าน ถ้าเป็นวันหยุด ผมจะตื่นประมาณเก้าโมงเป็นที่รู้กัน แต่วันนี้ผมลงมาข้างล่างตั้งแต่หกโมง... ด้วยสภาพตาโหล

   “ขอกาแฟดำ”

   ผมทิ้งตัวนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นด้านล่าง เรียกหากาแฟดำ คุณวรรณิศาในชุดอยู่บ้านธรรมดาสามัญเป็นคนเดินเอาเข้ามาเสิร์ฟให้แทนคนใช้พร้อมกับสโคน

   ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยกซดแบบรวดเดียว

   “ทำไมหน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนคะ แปลกที่รึไง?”

   “เปล่าครับ ผมตรวจงานดึกไปหน่อย”

   “อ้าว แล้วทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะคะ ปกติลูกตื่นสายจะตายไปในวันหยุด”

   ผมส่ายหน้า หยิบสโคนขึ้นมากัด

   เดี๋ยวคนที่นอนอยู่จะตื่นมาแล้วตกใจกับสภาพการนอนของตัวเอง ผมยอมตื่นก่อนดีกว่าเห็นสีหน้าพะอืดพะอมของเขา

   “แล้วอิฐล่ะคะ แม่ยังไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่เช้า เมื่อวานเพย์ให้เขาไปนอนที่ไหน”

   “ห้องผม”

   “หืม?”

   คุณวรรณิศาเบิ่งตาก่อนจะยกมือปิดปาก ส่ายหัวให้กับความคิดลบของตัวเอง แน่นอนว่าแม่ไม่พูดมันออกมาหรอก และผมเองก็จะไม่พูดออกมาเช่นกัน

   คนตัวเล็กวิ่งหน้าตั้งลงมาจากบันไดจนสุดท้ายมาพลาดลื่นเอาตอนเกือบจะถึงชั้นล่างจนได้ยินเสียงดังโครม ผมกับคุณแม่และคนอื่นๆ สะดุ้งเฮือก วิ่งไปดูที่มาของเสียงแล้วร้องวี้ดว้าย ผมวิ่งเข้าไปประคองร่างเขาที่เอาหน้าทิ่มพื้นอย่างตกใจ

   “เชี่ยอิฐ มึงทำอะไรเนี่ย!”

   “ขะ... ขอโทษ... ครับ”

   เลือดกำเดาหยดแหมะ อิฐเบะหน้า ยกมือขึ้นจับจมูกตัวเอง ผมรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับแล้วสั่งให้คนใช้สักคนเอาน้ำแข็งมาประคบให้ก่อนที่มันจะช้ำมากกว่านี้

   “อิฐรีบร้อนอะไรขนาดนั้นคะ วันนี้วันเสาร์ เจ้าเพย์ไม่ต้องไปทำงานเสียหน่อย”   

   คุณวรรณิศาเลื่อนจานสโคนให้อย่างเอ็นดูเจ้าพี่ชายตัวน้อยที่ทำทุกอย่างเพื่อน้องสาวคนสำคัญ จมูกเขาตอนนี้มีทิชชู่ม้วนอุดห้ามเลือดอยู่ เขาเอ่ยขอบคุณขณะนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่เกือบจะอยู่กันครบ ขาดแต่คุณพ่อของผมกับไอ้พีท

   “ผม ผมขอโทษครับ”

   ทันทีที่เจ้าบ้านลงมานั่งที่หัวโต๊ะ อิฐเตรียมลุกทันทีเพราะกลัวเสียมารยาท แต่คุณพ่อรั้งเขาไว้แล้วบอกให้ทานมื้อเช้าด้วยกัน แม้จะปฏิเสธแต่เขาก็ฟังคำสั่งสุดท้ายของผมอยู่ดี นั่นก็คือ...

   “นั่ง!”

   “ครับ”

   ไอ้พีทลงมาเกือบแปดโมง ปกติมันจะนั่งข้างผม แต่วันนี้กลายเป็นที่นั่งของอิฐไปแล้ว มันถึงกับถอนหายใจเฮือกไม่สบอารมณ์ ยอมย้ายก้นไปนั่งข้างๆ พี่ภีม

   “อิฐคะ เจ้าเพย์ดีกับน้องอิงมั้ยคะ ได้รังแกอะไรน้องบ้างรึเปล่า บอกฉันได้นะ”

   บทสนาบนโต๊ะอาหารเริ่มขึ้น อิฐวางช้อนลงทั้งๆ ที่กินไปได้ไม่กี่คำ เขากินน้อยเป็นปกติ

   “ไม่ครับ คุณเพย์ดูแลน้องอิงดีมากๆ”

   อิฐตอบอย่างจริงใจ แม้จะไม่สบตากับใครเลยบนโต๊ะอาหาร

   แน่นอนว่า ผมบอกอิฐตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกับน้องอิง และอิฐก็ร้องไห้ เขาเกาะขาผมแล้วเอ่ยขอบคุณที่ไม่รังเกียจน้องอิง... เขาขอบคุณที่ผมปกป้องน้องอิง... เขาสัญญาว่าจะอยู่อย่างเจียมตัวให้มากที่สุด จะไม่ทำให้เรื่องเสื่อมเสียมาถึงผมกับน้องอิงอีก

   ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องอิงถึงขอให้ผมคบกับเธอ

   เพราะการที่เธอจะอยู่ข้างพี่ชาย มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ

   แต่การที่จะขอให้พี่ชายอยู่ข้างๆ เธอ จำเป็นต้องมีไม้กันหมาไว้

   ให้อิฐพึงระลึกเสมอว่าน้องอิงเป็นของผม... เขาไม่มีสิทธิ์คิดทุเรศกับเธออีก

   นอกจากจะสามารถทำให้อิฐอยู่ข้างน้องอิงต่อได้ เธอยังสามารถใช้ผมเป็นเครื่องมือดูแลพี่ชายเธอเวลาเธอไม่อยู่ได้อีกด้วย ส่วนผมก็มีข้ออ้างในการอยู่ข้างอิฐ

   หรือคนที่น่ากลัวที่สุดคือน้องอิงกันนะ เธอวางโพซิชั่นตัวเองไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ในขณะที่ทุกคนยังอยู่ข้างๆ เธอได้โดยไม่มีปัญหา ผมยอมรับนับถือเด็กอายุสิบห้าคนนั้นเลยจริงๆ

   และมันก็จะไม่มีปัญหา ถ้าหากว่าผมไม่ทำเรื่องนั้น



   “วันนี้จะไปไหนดีครับคุณเพย์ ร้านเดิมหรือร้านใหม่ดีครับ ผมเห็นว่ามีร้านเปิดใหม่แถวๆ ทองหล่อ ลองไปมั้ยครับ”

   วันเสาร์เป็นวันที่ผมมักจะออกไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากงานที่สะสมมาทั้งอาทิตย์เป็นปกติ ผมแค่ไปกินเหล้า ฟังเพลงแล้วก็กลับบ้านนอน แต่ตั้งแต่เริ่มคบกับน้องอิง ผมก็หยุดนอกลู่นอกทางมาพักใหญ่ๆ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติเธอ

   อิฐมองกระจกมองหลังเพื่อดูท่าทีของผม หลังจากเรากลับคอนโดใครคอนโดมันตอนเที่ยง อิฐก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดประจำของเขา ผมนั่งไขว่ห้างอยู่เบาะหลัง เท้าศอกกับขอบประตูรถมองออกไปข้างนอกอย่างไม่มีอารมณ์อยากเที่ยว

   “ที่ไหนก็ได้”

   “งั้นทองหล่อนะครับ”

   อิฐเข้าเกียร์แล้วออกรถ ผมมองแสงไฟจากตึกรามร้านรวงต่างๆ ก่อนจะเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เพราะผมนั่งคนละฝั่งกับเขา จึงทำให้มองเห็นหน้าด้านข้างของเขาได้

   จมูกเล็กรั้นๆ นั่นยังเจ็บอยู่ไหมนะ หน้ากระแทกจนคิดว่าดั้งอาจจะหัก...

   ผมเลื่อนไปมองริมฝีปากเล็กอิ่มน้ำ สงสัยเขาจะทาบาล์มก่อนออกมา เพราะมันวาวแปลกๆ คงเป็นสิ่งที่น้องอิงบังคับให้เขาทาเพราะปากเขามักจะแห้งเพราะขาดน้ำ

   และมันคงทำให้เขารำคาญ เพราะลิ้นเล็กๆ นั่นเอาแต่เลียริมฝีปากเหนียวเหนอะของตัวเองไม่หยุด

   มันทำให้ผมเผลอเลียตาม

   เลื่อนลงมาที่ลำคอเรียวมีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ชายทั่วไป รอยแผลเป็นยังคงอยู่ แต่โดนบดบังด้วยปกคอเสื้อเชิ้ตที่สูงกว่าปกติ

   อยาก... เลีย

   “คุณเพย์ ถึงแล้วครับ”

   ผมสะบัดหน้าไล่ความคิด อิฐลงจากรถมาเปิดประตูให้ตามหน้าที่ การ์ดหน้าประตูต้อนรับผมอย่างดี ผมหันไปบอกเขาว่าให้รออยู่แถวนี้ ผมน่าจะอยู่ไม่นาน อิฐรับคำแล้วกลับขึ้นรถไป ส่วนผม... เข้าไปจัดการกับอารมณ์ของตัวเองด้วย ออน เดอะ ร็อค แรงๆ สองสามช็อต

   สุดท้ายผมก็กลายเป็นหมาจนลำบากอิฐที่มาหิ้วผมขึ้นรถ ตัวเขาบางแค่นี้ การแบกผมที่สูงร้อยแปดสิบกว่าขึ้นรถไม่ใช่เรื่องง่ายเลย... แต่เขาก็ทำได้ดี เขาพยายามพยุงร่างผมขึ้นห้อง เนื้อตัวเปียกปอนจากการโดนฝนสาดเทมาระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถจากหน้าผับ

   “คุณ คุณเพย์ครับ คุณเพย์โว้ย...”

   อิฐพยายามทุ่มผมลงกับโซฟา แต่ผมกลับเป็นฝ่ายดันเขาลงไปนอนกับพื้นแทน... อิฐตัวแข็งทื่อเพราะจู่ๆ ไฟที่เปิดอยู่ก็ดับพรึ่บ เสียงลมฝนกระแทกกระจกหน้าต่างทำให้รู้ว่าพายุเข้าหนักจนทำให้ไฟฟ้าดับ มีเพียงแสงสลัวๆ จากท้องฟ้าที่แลบแปรบปราบลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้สามารถมองเห็นได้เลือนลางเท่านั้น

   “คุณเพย์ ผมหนักนะ ออกไปครับ”

   คนตัวเล็กพยายามดันร่างผมออกไปเพราะเขาคงคิดว่าผมเมาจนล้มพับไม่ได้สติ แต่ผมกลับยืดตัวขึ้น สองแขนคร่อมร่างเขาไว้ด้านใต้ นัยน์ตาแดงก่ำจากแอลกอฮอล์มองเขาอย่างหลงใหล

   ผมมีสติ ผมทำทุกอย่างด้วยความรู้ตัว แค่ขาดความยับยั้งชั่งใจเท่านั้น

   ผมถอดสูทของตัวเองออก โยนมันไปข้างๆ จากนั้นก็โน้มหน้าลงไป คลอเคลียซอกคอที่ผมแอบมองอย่างกระหายอยาก อิฐยกมือขึ้นยันอกผมไว้พลางหันหน้าหนี

   “คุณเพย์! คุณเมาแล้วนะครับ ผม... ผมเป็นผู้ชายครับ ไม่ใช่ผู้หญิงของคุณเพย์”

   เขาพยายามเรียกสติผม แต่กลับได้แค่รอยยิ้มกลับไป

   มือใหญ่จับคางแหลมไว้แน่น เป็นไม่กี่ครั้งที่เขายอมสบตากับใครสักคนตรงๆ นัยน์ตาโศกมีแววตื่นกลัวจนผมอยากจะแกล้งเขาให้หนัก ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอิ่มที่รสของบาล์มกลิ่นส้มยังหลงเหลืออยู่ จากแค่เลียเบาๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจูบซึ้ง ผมกดริมฝีปากจนแนบแน่น พยายามขยับให้เขาอ้ารับลิ้นที่พยายามแทะสอดลงไป

   จูบของเขาเหมือนเด็กแรกเกิด... อ่อนด้อย ไม่รู้แม้กระทั่งการหายใจ

   “หายใจทางจมูกนะ”

   ผมกระซิบหลังถอนปากออกแล้วจูบลงไปใหม่

   ผมลูบหัวเขา ลากมือผ่านลำคอแล้วลูบไล้

   “อิฐ ตัวมึงหอม”

   ผมกระซิบอยู่ข้างหูเขา สูดดมกลิ่นกายที่ผมเฝ้าจินตนาการว่า ถ้าใกล้ขนาดนี้ ผมจะได้กลิ่นแบบไหน มือใหญ่พยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเปียกชื้นออกทีละเม็ดอย่างไม่รีบร้อน  เพราะยังไงๆ อิฐก็ขัดขืนผมไม่ได้อยู่แล้ว

   รสแอลกอฮอล์จากผมคงทำให้เขามึนเมา... อิฐกินเหล้าไม่เก่ง ผมรู้

   “คุณเพย์ หยุดครับ”

   อิฐร้องห้าม น้ำตารื้นอย่างหวาดกลัว ผมรู้ว่าเขากลัวอะไร... เหตุการณ์นี้คงทำให้เขานึกถึงน้องอิง

   แต่ผมจะทำให้เขาลืม... ให้เขาลืมน้องอิง

   วันนี้เขาต้องจำได้แค่ผม

   “เพย์ขอนะอิฐ”

   เนคไทถูกรูดออกไป ผมประคองหลังเขาขึ้นเพื่อถอดเสื้อเปียกๆ ให้พ้นตัว อิฐตัวสั่นระริกจนเหมือนลูกแมว

   “อย่า... อย่าทำผมครับ”

   เขากระถดตัวหนี แต่ผมรั้งเอวเขาไว้แน่นแล้วกดมันติดพื้น ขาเรียวขยับหนีบชิดแต่ผมสอดตัวเข้าไปแทรกตรงกลางอย่างรู้ทัน

   “ถ้ากลัว หลับตาซะ”

   ผมเลื่อนเนคไทขึ้นไปพันรอบดวงตาโศก ร่างบอบบางราวกับจะหักคามือผมได้หากทำรุนแรงปรากฏแก่สายตา เนื้อตัวที่ปกติขาวซีดตอนนี้แดงก่ำ กระตุ้นไฟอารมณ์จนผมอยากทำร่องรอยไว้ให้ทั่วเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ  ลำคอขาวเชิดขึ้นเมื่อผมลากมือผ่านไปสัมผัสรอยแผล

   “คุณเพย์... คุณเพย์เป็นแฟนน้องอิงนะครับ ลืมแล้วเหรอ หยุดครับ”

   ผมชะงักไป มือของเขาที่ยันอยู่ตรงอกของผมจิกเล็บเข้าไปถึงเนื้อ หวังให้ความเจ็บดึงสติผมกลับมา แต่ผมกลับกดจูบอ่อนโยนลงไปแทนคำตอบ น้ำตาของอิฐไหลลงมาผ่านผ้าลื่นๆ ของเนคไทที่ปิดดวงตาคู่สวยไว้ ผมดึงเข็มขัดออกจากกางเกงสแลคตัวเล็กของเขา จัดการรวบมันเข้าที่ข้อมือบางทั้งสองแล้วรั้งขึ้นไปเหนือศีรษะ รัดแน่นจนผมคิดว่าเขาไม่อาจต่อต้านอะไรผมได้อีก

   “กูจำได้”

   ผมถอดกางเกงของเขาออกให้พ้นขา

   “แล้วคุณเพย์ทำแบบนี้ทำไม”

   อิฐครางเสียงแผ่วพร้อมสะอื้นฮักจนสะอึก

   “เพราะกูต้องการมึง”

   ผมไม่อาจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป...

   “เป็นของกูนะ เป็นของกูคนเดียว”

   แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้หัวใจ... แต่ขอแค่ตัวเป็นผม สักวัน... วันที่ผมเป็นอิสระจากน้องอิง วันที่น้องอิงเข้มแข็งพอจะพูดความจริงออกไป ผมก็จะบอกความจริงเขาเหมือนกัน

   จะบอกเขาซ้ำๆ ว่าผมรักเขา

   รักมากเหลือเกิน...

   

   “คุณเพย์ครับ”

   เสียงที่ไม่ได้ยินมานาน ผมไม่เคยห่างจากเขาเกินหนึ่งเดือน ถ้าไม่ติดเรื่องงาน ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่เจอเขา ไม่ได้ยินเสียงเขา

   แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากฟัง

   “ผมขอลาออก”

   ผมเบือนหน้าหนี มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

   “ผมขอคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ครับ”

   เขากำลังจะฆ่าผม



น้องยูก็กำลังจะฆ่าตัวเองเหมือนกัน

ตอนนี้เหมือนเป็นการย้อนอดีตของคุณเพย์นะคะ

เป็นคนชอบเขียนอะไรวนๆ งงๆ 

#คุณเพย์รักอิสระ


https://twitter.com/_SeenYu
 :mew2:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 14
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-12-2019 21:57:36
 :sad4:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 15
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 15-12-2019 22:04:31
| Day 15 |
Funeral

(15/12/62)


   ตั้งแต่เริ่มจำความได้... มือที่คอยกุม คอยปกป้อง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ คือมือของพี่ชาย ความอบอุ่นทั้งหมดที่ได้มาทั้งชีวิต มาจากร่างผอมบางของพี่ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ

   ไม่ว่าร่างกายของพี่จะเต็มไปด้วยบาดแผลโหดร้ายขนาดไหน พี่ไม่เคยร้องไห้ออกมาให้เห็น เขามักจะส่งรอยยิ้มให้น้องสาวที่ไม่ได้เรื่องอย่างเธอเสมอ

   สำหรับเธอ พี่อิฐคือบ้าน พี่อิฐคือโลกที่ปลอดภัย

   เธอไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไมพี่อิฐถึงรักและหวงเธอจนเกินกว่าที่พี่ชายของเพื่อนคนอื่นๆ แสดงออกมา

   จนกระทั่ง... คืนนั้น คืนที่พี่อิฐทำลายโลกที่ปลอดภัยที่สุดของเธอลง

   “เป็นยังไงบ้างครับ”

   หมอรักษ์ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ร่างเล็กของเด็กสาววัยสิบห้าที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้าม เธอตัวแข็งทื่อ ดวงตาไร้ซึ่งความสดใสเหมือนทุกครั้ง

   “น้องอิงครับ”

   มือใหญ่กำลังจะยกขึ้นมาแตะแขนเล็ก แต่เด็กสาวกลับสะดุ้งสุดตัว เธอปัดมือเขาทิ้งอย่างแรง

   “อย่ามาแตะต้องตัวหนู!”

   เด็กสาวเบิกตากว้าง เหงื่อเย็นไหลซึม ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก สีหน้าซีดเซียวทำท่าพะอืดพะอมจนหมอรักษ์ต้องเรียกพยาบาลผู้หญิงเข้ามาช่วย ร่างบอบบางโก่งคออาเจียนลงถังขยะที่ถูกยกขึ้นมารองรับไว้ทัน น้ำหูน้ำตาไหลจนแสบไปหมด แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงของเหลว

   หมอรักษ์ถอยออกห่าง ไม่กล้าเข้าใกล้ เขากำลังคิดว่าจะเปลี่ยนให้เป็นหมอผู้หญิงมาดูแลดีไหมในเมื่อเธอมีอาการหวาดกลัวผู้ชายจนแพนิครุนแรงแบบนี้

   “น้องอิง!”

   ร่างสูงของเพย์เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก อิงลดาเบือนหน้าไปมองทั้งน้ำตา เพย์ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ร่างบางแล้วโอบร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขน เด็กสาวปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เรียวแขนเล็กกอดร่างของผู้มีพระคุณแน่นเหมือนต้องการที่พึ่งพิง

   “พี่เพย์ อิง อิงทำอะไรผิด ฮือ! อิง... อิงทำอะไรให้พี่อิฐโกรธ”

   หัวใจของเธอแหลกสลายหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจำเหตุการณ์นั้นได้ แม้ว่าร่างกายเธอจะยังไม่ถูกล่วงล้ำจนบอบช้ำ แต่สภาพจิตใจของอิงลดานั้นถูกทำลายไปแล้วด้วยน้ำมือของคนที่ไว้ใจที่สุด

   เธอใช้เวลาในการบำบัดจิตใจน้อยมาก แม้ลึกๆ แล้วมันจะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย

   แต่พี่ชายสำคัญสำหรับเธอ... จะบาดแผลหรืออะไรที่เขาทำ เธอรับได้ทั้งนั้น

   เพราะเขาเองก็เป็นโลกเพียงใบเดียวของเธอเช่นกัน

   อิงลดารู้... รู้ว่าเจ้านายที่แสนใจดีรักพี่ชายของเธอขนาดไหน

   แต่ตอนนี้... เธอกลับขอให้เขาทำตัวเป็นโล่... โล่ที่แสนอ่อนโยน

   แล้วสักวัน... เธอจะคืนเขาให้พี่ชายของเธอ คนที่เธอรักทั้งสองคน

   “อิงจะสอบหมอค่ะ อิงอยากเป็นจิตแพทย์”

   แม้จะมีบาดแผลทางใจ แต่อิงลดาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีจิตใจที่เข้มแข็งและอยากจะคอยช่วยเหลือคนที่มีบาดแผลเหมือนกับเธอ เด็กสาวบอกเรื่องนี้ให้หมอรักษ์ฟัง เขายินดีที่เด็กสาวสามารถก้าวข้ามความกลัวของตัวเองได้ คุณหมอหนุ่มนัดเธอมาคุยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกว่าเธอสามารถใช้ชีวิตปกติธรรมดาได้แล้ว

   อิงลดาอยู่ในฐานะคนรักของเพย์มาสองปีแล้ว ทุกอย่างปกติดี... จนกระทั่งวันที่เธอกลายเป็นนักศึกษาแพทย์เต็มตัว เจ้านายของพี่ชายกลับเดินเข้ามาบอกกับเธอว่า เขาเผลอทำตามใจตัวเองไปแล้ว เขาเข้ามาขอโทษที่ทำอะไรลับหลังเธอ... ทั้งๆ ที่ควรจะซื่อสัตย์กับเธอในฐานะที่เรายังคบกัน

   แม้ว่าเราจะไม่ได้รักกันเลยก็ตาม

   “พี่เพย์... อยากเลิกกับอิงมั้ยคะ?”

   ว่าที่คุณหมอเอ่ยถามออกไปตรงๆ ตลอดสองปีที่คบกันมา เพย์เป็นคนรักที่ดี เป็นพี่ชายที่ดีอีกคน เขาไม่เคยล่วงเกินเธอมากกว่าการจับมือ และอิงลดาก็ไม่เคยก้าวล้ำเส้นไปมากกว่าการเป็นคู่ควง

   แม้ลึกๆ เธอก็แอบหวั่นไหวไปกับความใจดีของเขา

   แต่ความใจดีของเพย์ มีไว้เพียงเพื่อปกป้องเธอเท่านั้น

   “พี่ยังเลิกกับอิงตอนนี้ไม่ได้”

   พี่เพย์รู้ว่าพี่อิฐยังไม่สามารถตัดใจจากเธอได้ สายตาของพี่อิฐยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ที่พี่ชายยังอยู่เคียงข้างเธอได้ เพราะมีพี่เพย์อยู่ในสถานะของคนรัก แต่ความรู้สึกของพี่เพย์ที่มีต่อพี่อิฐ มันคงเกินจะห้ามใจไปแล้ว

   “พี่เพย์ แล้วความรู้สึกพี่อิฐล่ะคะ”

   อิงลดาเอ่ยออกมา เธอเห็นว่าเขาบีบมือตัวเองแน่น

   “พี่อิฐต้องรู้สึกยังไงกับการมีอะไรกับแฟนน้องสาวตัวเอง”

   “พี่ต้องการให้แน่ใจ ว่าอิฐจะตัดใจจากอิงได้จริงๆ”

   “พี่เพย์ต้องการให้พี่อิฐอยู่กับความรู้สึกผิดไปจนตายเหรอคะ! แค่นี้พี่อิฐก็ใจสลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว พี่เพย์... ทำไมพี่ใจร้ายขนาดนี้”

   เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง นึกถึงสภาพจิตใจของพี่ชายเธอแล้วเจ็บปวดแทน

   พี่ชายเธอต้องทนแบกรับทุกความรู้สึกมากมาย ความผิดหนึ่งครั้งของเขาทำให้เป้าหมายในการใช้ชีวิตของพี่อิฐเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

   “ไม่มีใครใจดีทั้งนั้นอิง”

   เพย์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาช่างว่างเปล่า นัยน์ตาของเขาเหม่อมองออกไปข้างนอก

   “อิงใช้พี่เป็นเครื่องมือ เพื่อทำให้อิฐอยู่ข้างอิง”

   “...”

   “พี่เองก็ใช้อิงเป็นเครื่องมือในการอยู่ข้างๆ อิฐเหมือนกัน”

   คนที่น่าเศร้าที่สุด คือคนที่ต้องการเพียงอิสระ... อิสระที่ไม่มีใครให้เขาทั้งนั้น



   ในที่สุด ความอดทนของนายอิสระก็สิ้นสุดลง เพราะระเบิดลูกเดียวที่คุณภาวิตทิ้งลงไป

   อารมณ์ของเพย์คือสิ่งเดียวที่อิงลดาไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้

   ทันทีที่เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติที่เขาจะโทรหา เพราะเขารู้ว่าเธอเรียนอยู่ แต่ในวันนั้นอิงลดาต้องขอตัวออกจากห้องเรียนเพื่อรีบกลับคอนโดหลังจากที่พี่ชายทิ้งประโยคสั้นๆ ไว้ก่อนตัดสาย

   [“คุณเพย์หัวแตก ฮึก! เรียกหมอให้ที ฮึก...”]

   “ว่ายังไงนะคะพี่อิฐ... ฮัล ฮัลโหล พี่อิฐคะ”

   อิงลดาเลิ่กลั่กอยู่ในห้องเลคเชอร์ที่มืดสนิทโดยมีเพียงแสงจากโปรเจคเตอร์เท่านั้น เธอขออนุญาตอาจารย์ออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงกลับคอนโด ระหว่างทางเธอยังคงพยายามติดต่อทั้งอิฐและเพย์ตลอด แต่ไม่มีใครรับสาย ก่อนตัดสินใจโทรเรียกรถฉุกเฉินตามที่พี่ชายสั่งทิ้งท้ายไว้ด้วยมือที่สั่นเทา

   เด็กสาวแทบจะร้องเสียงหลงเมื่อหน้าประตูห้องเต็มไปด้วยเลือด ร่างสูงใหญ่ของเพย์นอนคว่ำเลือดอาบหัว รอบๆ เต็มไปด้วยเศษแจกันกระเบื้องแตกๆ เด็กสาวตั้งสติ ทำการเช็คชีพจรและปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามที่เรียนมาก่อนที่รถฉุกเฉินจะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน

   แล้วพี่ชายเธอล่ะ? พี่ชายเธอหายไปไหน

   “พี่อิฐ...”

   อิงลดาไม่สามารถหาค้นหาตำแหน่งจากมือถือของอิฐได้เนื่องจากมันถูกปิดไว้ การจะตามหาจากเบอร์โทรศัพท์ต้องติดต่อ Operator ของผู้ให้บริการ ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการให้ แต่ถ้าคนหายไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจก็ไม่รับแจ้งเรื่องอีก

   หรือว่า... จะอยู่กับคุณจิณณ์?

   วันก่อนพี่อิฐบอกว่าไปหาคุณจิณณ์นี่นา

   คิดได้จึงลองกดเบอร์โทรที่เมมไว้ตอนคุณจิณณ์เป็นคนโทรมา ไม่นานปลายสายก็รับ

   “สะ... สวัสดีค่ะ คุณจิณณ์รึเปล่าคะ? คือฉัน... อิงลดานะคะ น้องสาวพี่อิฐ”

   เธอเอ่ยตะกุกตะกักออกไป สีหน้าเครียดเขม็ง เดินวนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

   [“ครับ ผมจำได้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เสียงคุณฟังดูไม่โอเค”] เสียงทุ้มสุภาพตอบกลับมา

   “พี่อิฐ... พี่อิฐอยู่กับคุณรึเปล่าคะ?”

   [“ครับ? ไม่นะครับ เกิดอะไรขึ้นกับอิฐรึเปล่า”] เสียงคุณจิณณ์ดูร้อนรนขึ้นมาเมื่อเธอเอ่ยถึงพี่ชาย อิงลดาเงียบเพื่อชั่งใจอยู่สักครู่ว่าจะถามเขาดีมั้ย เขาจะช่วยอะไรเธอได้รึเปล่า... จนอีกฝ่ายเอ่ยถามอีกครั้ง [“ว่าไงครับ เกิดอะไรขึ้นกับอิฐกับน้องอิง”]

   “คือพี่อิฐหายไปค่ะ อิงติดต่อไม่ได้ จีพีเอสก็ถูกปิดไว้ คิดว่าพี่อิฐน่าจะปิดเครื่อง อิง... อิงไม่รู้จะหาพี่อิฐยังไง ถ้าเรื่องไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจก็ไม่ถือเป็นคดีคนหายด้วย”

   ปลายสายเงียบไป เขาบอกให้ถือสายรอสักเดี๋ยว เหมือนจะหายไปคุยอะไรกับใครสักคนใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาในสายอีกครั้ง

   [“ผมจะให้คนของผมช่วยหา ผมรู้จักกับตำรวจอยู่ น้องอิงใจเย็นๆ นะครับ”]

   “ขอบคุณมากนะคะคุณจิณณ์ อิงขอบคุณมากๆ ค่ะ”

   อิงลดากำมือถือแน่น ถ้าตอนนี้พี่เพย์มีสติ เขาคงจะรีบออกไปตามหาพี่ชายเธอแล้วแน่นอน ไม่รู้ว่าไปทะเลาะกันท่าไหนถึงออกมาในสภาพนี้ได้ ถึงแม้สองคนนี้จะทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่อิฐจะไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อนเพราะไม่อยากมีปัญหา

   ครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ

   [“น้องอิงครับ”]

   “คะ... คะ?” อีกฝ่ายยังไม่วางสาย และเธอก็ไม่กล้าวางก่อน

   [“ไอ้เพย์ล่ะครับ ถ้าอิฐหายไป ผมว่า ไอ้เพย์ไม่น่าจะอยู่เฉยให้น้องอิงจัดการทุกอย่างเอง”] ปลายสายถามอย่างสงสัย เขาดูรู้จักพี่เพย์ดี และการที่ถามแบบนี้... แสดงว่าเขาก็น่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ประหลาดของพี่เพย์กับพี่ชายเธอด้วยแน่นอน

   “พี่เพย์อยู่โรงพยาบาลค่ะ”

   [“ผมนึกว่ามันอยู่อเมริกา?”] คุณจิณณ์ดูสงสัย

   เธอเองก็สงสัยไม่ต่างกันหรอก คนที่ควรจะนั่งประชุมอยู่อเมริกา วันนี้กลับนอนเลือดอาบอยู่ในห้องที่ไทย... เธอไม่รู้จะไปถามใครดี ถ้าพี่อิฐไม่หายตัวไป เขาคงจะเป็นคนที่รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่เพย์แน่นอน

   “คุณจิณณ์คะ อิงฝากเรื่องพี่อิฐด้วยนะคะ”

   ในเมื่อหาคำตอบให้ไม่ได้ เธอจึงตัดบทสนทนาด้วยประการนี้ และก็คาดหวังว่า เขาจะไม่ถือสากับความเสียมารยาทของเธอ รองประธานหนุ่มปลายสายเอ่ยรับคำก่อนจะวางสายไป

   “พี่อิฐคะ อย่าเป็นอะไรเลยนะ”



   เกือบสองวันที่พี่ชายหายไป เสียเวลากับการตามหาโทรศัพท์พี่ชายอยู่ถึงวันนึงจนไปเจอว่ามันกลายเป็นค่ารถแท็กซี่ไปแล้ว พอไปสอบถาม คนขับรถแท็กซี่เขาก็คืนโทรศัพท์มาให้พร้อมกับบอกว่าเขาไม่ได้ขโมยมันมา ลูกค้าของเขาจ่ายให้เป็นค่ารถเพราะเขาไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลย เขาจำได้แม่นว่าไปส่งลูกค้าคนนั้นที่ไหน เพราะลูกค้าคนนั้นโดดเด่นด้วยชุดเสื้อเชิ้ตตัวเดียวแถมยังร้องห่มร้องไห้ตลอดทางอย่างกับคนโดนข่มขืนมา

   และคนที่ตามหาพี่อิฐเจอคือคุณจิณณ์ เขาโทรมาบอกว่าเจอพี่ชายของเธอแล้ว กำลังพาแอดมิดเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการขาดน้ำขาดอาหาร แต่คุณจิณณ์ขอให้เธอไม่บอกพี่เพย์ว่าพี่อิฐอยู่ที่ไหน จนกว่าพี่อิฐจะหายดีและอยากกลับไปด้วยความเต็มใจ

   อิงลดาเอ่ยขอบคุณเพื่อนพี่ชายคนนั้นด้วยความจริงใจ

   ในใจก็คิดว่า... ดีแล้ว

   ให้พี่อิฐออกห่างจากพี่เพย์น่ะ ดีแล้ว

   ให้พี่อิฐได้พักบ้าง

   ส่วนเธอจะทำในสิ่งที่คิดว่าทำได้ และจะทำในสิ่งที่ควรทำมาตลอดเสียที



   “พี่เพย์คะ”

   วันที่สี่แล้วที่คุณเพย์ของพี่อิฐนอนเป็นซากผักอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยสภาพใจสลายไม่ต่างอะไรกับพี่อิฐตอนนั้น อิงลดาที่เดินเข้าเดินออกห้องนี้มาตลอดหลายวันมองสภาพที่แทบจะเรียกว่าหมดอาลัยตายอยากของเพย์อย่างสะท้อนใจ

   ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องยกเลิกประมูลสัมปทานที่พี่เพย์ทุ่มเทกับมันมาตลอดสามปี โดยประมูลตกไปเป็นของบริษัทคู่แข่งอย่างเดอะลูฟ แผนที่น่าจะมีแค่พี่เพย์กับพี่อิฐรู้กัน แต่กลับมีบุคคลที่สามที่รู้เรื่อง และเป็นเรื่องที่ทั้งพี่เพย์และพี่อิฐต่างพลาดทั้งคู่

   ข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบซิงค์ของเลขาถูกแฮกออกไปด้วยฝีมือเลขาคนปัจจุบันของพี่เพย์ที่รับเข้ามาจากการคัดกรองของคุณพีท โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ลอบเข้ามาสืบข้อมูลจากฝั่งเดอะลูฟ

   และนั่นทำให้พี่เพย์สงสัยคนใกล้ตัวก่อนใคร จนถึงกับพูดจาทำร้ายพี่อิฐจนเขาเตลิด

   ถ้าตรวจสอบดีๆ คนอย่างพี่เพย์ไม่น่าพลาดกับเรื่องแบบนี้ได้ แต่ที่ทำให้เขาพลาด อาจเป็นเพราะความสงสัยและระแวงจากการที่พี่อิฐแอบไปเจอคุณจิณณ์โดยที่ไม่บอกให้พี่เพย์รู้ก็เป็นไปได้ คนที่ปกติแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ กลับสมองดับเพราะความโกรธ

   อิงลดารู้เรื่องนี้จากคุณภัทรที่มาเยี่ยมน้องชายตัวเองที่โมโหจนหน้ามืดบินกลับจากอเมริกามากะทันหัน โดยทิ้งคุณภีมให้ประชุมต่อคนเดียว ส่วนเรื่องเลขาที่เข้ามาเป็นหนอนบ่อนไส้ คุณพีทกำลังจัดการเอาเรื่องให้ถึงที่สุดอยู่ เพราะเขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบที่มองคนไม่ขาด

   ส่วนพี่เพย์ตอนนี้...

   “พี่เพย์คะ ทานข้าวหน่อยนะคะ”

   “เมื่อไหร่พี่จะได้ออกจากโรงพยาบาล”

   หน้ารกหนวดรกเคราเพราะไม่ได้รับการดูแลโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด อิงลดาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้

   “ถ้าพี่เพย์ยังดื้ออยู่แบบนี้ หมอก็ไม่ยอมให้ออกหรอกนะคะ”

   เธอทั้งปลุกทั้งปลอบให้พี่เพย์เลิกทำตัวดื้อเป็นเด็กสามขวบเสียที ทั้งขู่ทั้งเข็ญว่าตั้งแต่พี่เพย์ไม่อยู่ หุ้นบริษัทตกลงไปตั้งสามจุด อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านอะไร เอาแต่ทำตัวซังกะตายไปวันๆ

   แม้ว่าทุกคืน... เขาจะแอบร้องไห้อยู่คนเดียวโดยที่เธอทำได้แค่แอบมองอยู่นอกห้องเพราะไม่กล้าเข้าไป

   ส่วนพี่อิฐ เขาโทรกลับมาหาเธอสองครั้ง... ครั้งแรกคือหลังจากที่เขาฟื้นในเวลาไล่เลี่ยกับพี่เพย์ เพื่อบอกว่าตัวเองสบายดีและถามถึงอาการของเจ้านายของเขา พี่ชายไม่ยอมบอกเธอว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แค่บอกว่าอีกไม่นานจะกลับไป

   และอีกไม่นานของพี่อิฐ... ก็ไม่นานจริงๆ

   ส่วนครั้งที่สอง... เป็นสายด่วนกลางดึก เสียงที่ติดจะแหบแห้งและเสียงกลั้นสะอื้นของปลายสาย

   [“น้องอิง...”]

   เสียงของพี่อิฐแย่มาก มันแย่จนทำให้เธอน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว มีไม่กี่เรื่องที่พี่อิฐจะโทรมาหาเธอในเวลาแบบนี้

   [“แม่เสียแล้วนะ”]



   - Eit part -

   งานศพของนางนภารัตน์ วิภาสกุล ถูกจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีครอบครัวคนไหนที่ยังเหลืออยู่ เราถูกตัดญาติขาดมิตรเพราะข่าวเสียมากมาย ตั้งแต่พ่อน้องอิงกลายเป็นบุคคลล้มละลายและฆ่าตัวตาย แม่กลายเป็นบ้า ลูกถูกลักพาตัวโดยพ่อแท้ๆ เพื่อเอาไปขัดดอกเจ้าหนี้

   ครอบครัวแบบนี้ จะมีใครอยากสุงสิงด้วย พวกเขาตัดผมกับน้องอิงออกจากสารบบชีวิตตั้งนานแล้ว

   ผมที่หนีไปอาศัยใบบุญชั่วคราวกับคุณจิณณ์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ผมฝันถึงเรื่องเก่าๆ ฝันถึงพ่อน้องอิงที่ยิ้มให้และลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ฝันถึงพ่อแท้ๆ ที่พยายามจะบีบคอผมให้ตาย และฝันถึงแม่...

   แม่ที่นั่งเฉยๆ นั่งหันหลังให้ผม

   มันทำให้คืนนั้นผมสะดุ้งตื่นกลางดึกและขอให้คุณจิณณ์ขับรถพาผมไปที่โรงพยาบาล ผมขอพยาบาลเข้าเยี่ยมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งความจริงแล้วไม่น่าจะได้ แต่ผมขอร้องสุดตัวจนพวกเธอยอม

   สุดท้ายแล้ว...

   ผมก็ไปไม่ทันดูใจแม่

   แม่ที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว วันนี้เธอจากไปอย่างสงบ... โดยที่ไม่มีอาการใดๆ เป็นสัญญาณให้น่าเป็นห่วงมาก่อนเลย

   ผมมาช้าไป...

   มือผมสั่นไปหมด นอกจากน้องอิงจะเป็นโลกทั้งใบของผม แม่คือแรงใจที่ทำให้ผมมีกำลังใจทำงานให้คุณเพย์ต่อไป... เพราะเขาเป็นคนคอยจ่ายค่ารักษาแสนแพงเพื่อการดูแลที่ดีที่สุดให้กับแม่ที่ป่วยของผม

   ตอนนี้โซ่เส้นนั้นหลุดออกไปแล้ว... หลุดออกไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

   ผมใช้โทรศัพท์ที่คุณจิณณ์ซื้อมาให้ใช้ไปก่อนในการโทรหาน้องอิง กรอกเสียงที่แหบพร่าจากการร้องไห้ลงไป

   “น้องอิง... แม่เสียแล้วนะ”

   

   คนที่เป็นธุระในการจัดงานศพให้คือคุณภัทร เขาเป็นหนึ่งในคนที่มานั่งร่วมฟังสวดจนครบสามคืน แขกอันน้อยนิด งบประมาณในการจัดยังถูกกว่าค่าอาหารหนึ่งมื้อของเจ้านาย แม้คุณภัทรจะเสนอให้ผมจัดให้ใหญ่กว่านี้หน่อย หรือเลือกวัดที่ดีกว่านี้ก็ได้ แต่ผมปฏิเสธ... วัดนี้เป็นวัดที่เราจัดงานศพให้พ่อน้องอิง

   ถูก... ประหยัด... และเรียบง่าย

   คุณจิณณ์ตัวติดผมแทบตลอดเวลา แม้คุณพีทที่อุตส่าห์มาร่วมฟังสวดจะมองเขาจนเหมือนอยากฆ่าให้ตายตรงนั้นก็ตาม ส่วนผมก็ไม่ทำอะไรมากมายนัก นอกจากคอยจุดธูปเคารพศพกับเสิร์ฟน้ำ ครอบครัวตระกูลไอยราสุวรรณมากันครบทุกคน ยกเว้น... เขา

   แม้จะพยายามไม่มองหา แต่สุดท้ายก็มองหา

   ตั้งแต่วันที่แม่ตาย... ผมร้องไห้ครั้งเดียว แค่ครั้งนั้น... จากนั้นก็ไม่ร้องอีก ปล่อยให้น้องอิงเป็นคนร้องแทน

   ผมไม่ถามใครทั้งนั้นว่าทำไมคุณเพย์ถึงไม่มา...

   ก็ไม่แปลก เพราะผมขอน้องอิงไว้ว่าไม่ให้ใครบอกคุณเพย์

   วันสุดท้าย... เป็นวันที่ผมต้องส่งแม่ไปสวรรค์

   น้องอิงร้องไห้อีกครั้ง... เธอลูบโลงศพของแม่ก่อนจะถูกนำไปใส่ไว้ในเตา... เธอพูดสองสามประโยคแล้ววางดอกไม้จันทน์ลงในเตา ก่อนจะเป็นผมที่อยู่ด้านหลัง

   ผมวางดอกไม้กระดาษลง ยกมือลูบโลงไม้เบาๆ

   “แม่เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว...” ผมแย้มรอยยิ้ม กลั้นความรู้สึกทั้งหมดไม่ให้ออกมาจากตาโศกของตัวเองที่ตอนนี้คงแดงจนน่ากลัว

   “พักผ่อนนะครับแม่”

   จากนั้นก็เป็นแขกคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักกับแม่ผมสักนิด เขามาเพียงเพราะมารยาท ผมถอยออกไปเพื่อรอให้สัปเหร่อจุดไฟ... ยืนมองปล่องควันที่เริ่มจะมีควันสีดำโพยพุ่งออกมา

   แม่เป็นอิสระแล้ว...

   ผมยืนหลบมุมอยู่เงียบๆ แขกเหรื่อทยอยกันกลับ น้องอิงทำหน้าที่ส่งแขกได้ดี เธอปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพัง

   แดดตอนเที่ยงแรงจนแผดหัว แต่ผมยังคงยืนเงยหน้ามองควันดำอย่างเหม่อลอย ก่อนที่ข้างกายจะมีเงาดำจากร่างสูงมาพาดทับ ผมเหลือบมองก่อนจะเบิกตาเล็กน้อย

   “ไม่คิดจะบอกกูหน่อยเหรอ ทั้งอิง ทั้งมึง”

   ผมเบือนหน้ากลับมา ไม่ตอบเขา

   คุณเพย์สวมชุดสีดำมายืนข้างๆ ผม

   “กูไม่มีอะไรรั้งมึงได้อีกแล้วใช่มั้ยอิฐ”

   “....”

   ผมเงียบ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อกลั้นความรู้สึกที่อยากจะเอื้อมไปจับมือเขาไว้

   เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและปั่นป่วน

   “คุณเพย์ครับ”

   ผมเรียกเขา

   “ผมขอลาออก”

   คุณเพย์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำให้ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ผมกำมือตัวเองแน่นตอนที่พูดคำนี้ออกไป กลั้นมันทุกอย่าง กลั้นแม้กระทั่งน้ำตาที่คลอจวนเจียนจะหยดแล้ว

   “ผมขอคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ครับ”

   ผมอยากร้องไห้... ผมไม่รู้ว่าผมจะร้องไปทำไม ผมร้องเพื่อใคร อาจจะเพื่อตัวเอง... เพื่อน้องอิง เพื่อพ่อ เพื่อแม่...

   ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกจากคนข้างตัว ที่ผมอยากจะพูดมีแค่นี้... ผมรวบรวมเอาความกล้าทั้งชีวิตมาใช้พูดออกไปแล้ว สองขาสั่นๆ พาร่างของตัวเองออกจากตรงนั้น ไม่อยากได้ยินอะไร แต่สุดท้าย...

   ข้อศอกถูกรั้งเอาไว้ ก่อนจะโดนดึงกลับมา ร่างของผมโอนอ่อนราวกับตุ๊กตา กลับมาสู่อ้อมกอดที่ห่างหายไปเป็นเดือนๆ อีกครั้ง มันแน่น... จนหายใจไม่ออก

   “ถ้ากูขอว่าไม่ให้ไป มึงจะอยู่กับกูมั้ย”

   “...”

   “ถ้ากูบอกว่าขอโทษ มึงจะให้อภัยกูมั้ย”

   “...”

   “ถ้ากูบอกว่ากูรักมึง มึงจะรักกูกลับบ้างมั้ยอิฐ”

   “คุณ... เพย์”

   เขาพูดอะไรน่ะ?

   “กูรักมึงอิฐ คนเดียวที่กูรัก คือมึง... รักมาตลอด”

   “...ผม... คุณเพย์”

   เขาละเมออีกแล้ว ยาแก้ปวดทำให้คุณเพย์สับสนเหรอครับ

   “อยากดูแล อยากอยู่ด้วย อยากให้อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา...”

   “คุณเพย์ครับ”

   “รักกูบ้างได้มั้ย”

   “....”

   เขากอดผมแน่นขึ้น ส่วนผมนั้น... นอกจากอยู่ให้เขากอด ผมทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย

   “ทุกอย่างมันอยู่ในที่ที่มันควรอยู่แล้วครับคุณเพย์”

   ผมถอนอ้อมกอดเขาออกมาอย่างแผ่วเบา ยิ้มบางๆ ให้เขา ยกมือเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มเป็นเด็กๆ ให้

   “ถ้าคุณเพย์รักผม ผมขอให้คุณเพย์ดูแลสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมได้มั้ยครับ”

   “อิฐ... ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย...”

   เขาส่ายหน้าแต่ผมกลับจับมือเขาไว้แน่น เป็นครั้งสุดท้าย... ก่อนจะปล่อยออก

   “ผมทำอะไรให้น้องอิงไม่ได้แล้ว... จากนี้ไป ถ้าคุณเพย์รักผม...” ผมกลืนก้อนบางอย่างลงไป “รักน้องอิงนะครับ... รักเธอให้มากกว่าที่ผมรัก ดูแลเธอแทนผม...”

   ผมมันน่ารังเกียจ...

   “...”

   “และตอนนี้ ผมขออิสระของผมคืนนะครับ”

   ผมใช้ความรักของคุณเพย์ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคุณเพย์

   “ลาก่อนครับ”

   เงินจำนวนห้าสิบล้านถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนายภาวิต ไอยราสุวรรณ เป็นเงินจำนวนที่ซื้ออิสระให้ผมได้... เป็นเงินที่ผมแลกมาจากข้อตกลงอันน่ารังเกียจกับคุณจิณณ์

   ผมรู้ว่าน้องอิงกับคุณเพย์ คบกันโดยที่ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก

   ผมได้ยินที่เขาคุยกันตั้งนานแล้ว

   แต่ถ้าผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นข้อตกลงนั้น เราสามคนจะไม่กระอักกระอ่วนใจกับการอยู่แบบนี้ และผมก็คิดว่า สักวัน... น้องอิงกับคุณเพย์จะรักกันจริงๆ และผมจะหมดห่วงเสียที...

   ผมรู้ว่าคุณเพย์ไม่สามารถบอกใครต่อใครได้ว่าชอบผู้ชาย

   เพราะหน้าตาทางสังคมที่แบกรับไว้ ภาระของเขามีเต็มบ่า... คนมีครอบครัวให้ห่วงความรู้สึกอย่างเขา ไม่มีผมมาเป็นข้อบกพร่องในชีวิตจะดีกว่า

   คำถามที่ว่าผมยังรักน้องอิงอยู่มั้ย...

   รักครับ... แน่นอนว่าผมรักเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

   เพียงแต่ว่า... น้องอิงไม่ใช่คนที่ผมรักที่สุดแล้วก็เท่านั้น

   ส่วนคำถามของคุณเพย์ที่ผมไม่เคยตอบ...

   คำถามที่ว่า ผมจะสามารถรักเขาบ้างได้มั้ย

   ผมตอบได้เต็มหัวใจ...

   ว่าผมรักเขาไปแล้ว



   “จะไปจริงๆ เหรออิฐ”

   “ครับ”

   กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกจัดอย่างไม่พิถีพิถันมากนักในห้องชุดส่วนตัวที่เป็นของคุณจิณณ์ เขาตั้งใจยกห้องนี้ให้ผม แต่ผมไม่ต้องการ ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น...

   ผมขายร่างกายตัวเองในราคาเจ็ดสิบล้าน

   เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีราคาขนาดนี้

   ห้าสิบล้านคืนคุณเพย์ไป ชดใช้หนี้ชีวิตทั้งหมดที่เขามอบให้

   อีกยี่สิบล้าน คือทุนในการเริ่มชีวิตใหม่ ที่คุณจิณณ์จ่ายให้

   สำหรับคุณจิณณ์และคุณเพย์ เงินจำนวนนี้ซื้อได้แค่คอนโดห้องหนึ่งของเขาเท่านั้น แต่สำหรับผม มันซื้อได้ทั้งชีวิต

   คุณจิณณ์ซื้อการมีชีวิตอยู่ของผม เขาขอให้ผมใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้าง อย่าเป็นเหมือนน้องสาวเขาที่ใช้ชีวิตด้วยความสิ้นหวัง

   ใช่แล้ว... คนที่สั่งให้คนไปขโมยข้อมูลโครงการสัมปทานก็คือคุณจิณณ์ เขาทำเพื่อแก้แค้นให้น้องสาวที่ยังจมปลักอยู่กับความแค้น และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะขัดขาคุณเพย์ เพราะเขาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคุณเพย์หมดแล้ว

   เขาแย่งโครงการที่คุณเพย์ทุ่มเทกับมันมาสามปีเต็มเพื่อพิสูจน์ตัวเอง มันเป็นข้อตกลงระหว่างท่านประธานและคุณเพย์ ซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้ แต่มันทำให้คุณเพย์เหมือนหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง

   และแย่งผมมาได้อย่างที่เขาบอกคุณเพย์ไว้

   แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาด คุณเพย์ใจสลาย... ผมไม่ขอนึกถึงสภาพของเขาตอนนี้

   ทุกคนมีส่วนได้ และส่วนเสีย...

   “ผมอยากขอให้อิฐอยู่”

   “ผมอยู่ให้แล้วนะครับ คุณจิณณ์ไปหาผมได้ตลอดถ้าคุณจิณณ์อยากไป”

   เขาทำหน้าบึ้ง ยกมือเท้าเอวให้กับความดื้อด้านของผม ผมหัวเราะ รูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางที่มีของไม่มากมายนัก คุณจิณณ์มองเอกสารในมือแล้วเลิกคิ้ว

   “ติดต่อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้แล้วเหรอ?”

   “ครับ ความจริงผมลองส่งใบสมัครกับเขียน Essay ส่งไปเป็นพักๆ ตั้งนานแล้ว”

   ผมลากกระเป๋าลงจากเตียงแล้วเข็นไปตั้งไว้แถวประตูห้อง ตรวจเช็คของให้ครบอีกครั้ง ของทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนที่ผมพกมาจากคอนโดเดิมเลย ผมซื้อใหม่หมด ส่วนใหญ่คุณจิณณ์ซื้อให้อีกตามเคย เพราะผมเน้นประหยัด

   สิ่งเดียวที่ผมพกติดตัวตลอดเวลา คือนาฬิกาเรือนละสองแสนห้าของคุณเพย์

   ผมมองมันสักพักก่อนจะเดินไปเก็บอย่างอื่นต่อ

   “ที่นั่นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อิฐอยู่ไหวเหรอ” เขายังถามเหมือนอยากให้ผมเปลี่ยนใจ

   วีซ่าผมผ่านแล้วนะ ยังจะมาถามอะไรอีก

   “ไหวครับ ผมโอเคอยู่แล้ว”

   “หรือผมทำเรื่องเปิดสาขาที่อังกฤษดี”

   คุณจิณณ์ทำหน้าคิดไม่ตก ส่วนผมอยากจะชมว่าเขาบ้า

   “พวกคุณเดินทางข้ามประเทศกันบ่อยจะตาย ไว้ถ้าผ่านไปอังกฤษก็จอดหาผมก็ได้ครับ”

   คุณจิณณ์หัวเราะก่อนจะเดินเข้ามารวบผมเข้าไปกอด ผมปล่อยกล่องที่หยิบขึ้นมาร่วงลงพื้น ก่อนจะยกมือกอดตอบเขา ริมฝีปากสวยกดจูบลงบนผมนุ่ม

   “ผมอยากดูแลคุณจริงๆ”

   “ขอบคุณสำหรับชีวิตใหม่นะครับ คุณจิณณ์”
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 15
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-12-2019 22:28:59
สงสารเพย์นะ
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 15
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 25-12-2019 16:26:32
อ่านแล้วหน่วงมากกกกกกก โอ้ยแต่งละคนแต่ละปม ผมร่วงเพราะซดมาม่า ไปหลายถ้วยแล้ว
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 16
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 27-12-2019 18:42:40
| Day 16 |
Move on



   - Pay Part -

   “ไล่ออก!”

   ปีนี้ผมไล่เลขาออกเป็นคนที่ห้าแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานและการตัดสินใจของผมลดฮวบจนแทบจะตกต่ำ ผมพลาดบ่อย บ่อยกว่าไอ้พีทที่เมื่อก่อนเป็นตัวพลาดประจำบ้าน พลาดจนพ่อเรียกเข้าไปด่ากลางห้องทำงาน

   น้องอิงขอเลิกกับผมแล้วตั้งแต่ที่อิฐย้ายออกไป เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ผมรู้ว่าเขาอยู่กับใคร และคนคนนั้นก็ปกป้องเขาจนผมไม่สามารถตามตัวเจอได้

   น้องอิงบอกว่า อิฐรู้อยู่แล้วว่า ผมกับเธอคบกันเพราะอะไร

   ก่อนที่อิฐจะออกจากคอนโดไป เขาเปิดใจนั่งคุยกับน้องอิงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

   แต่อิงไม่บอกรายละเอียด เธอบอกว่าพี่ชายของเธอคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้ผมแล้ว ชดใช้ให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าเลี้ยงดูและค่าพยาบาลแม่

   เขาคิดจะตัดผมออกจากชีวิตจึงทำแบบนี้

   ส่วนน้องอิง เธอเป็นเด็กในอุปถัมภ์ของคุณพ่ออยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเลิกกันโดยเป็นที่รับรู้ของคนทั้งบ้าน แต่แม่และพ่อของผมก็ยังคงต้อนรับน้องอิงให้มากินข้าวที่บ้านเสมอ รวมถึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะย้ายออกจากคอนโดเพื่อไปแชร์ห้องอยู่กับเพื่อน

   คอนโดที่มีความหลังถึงเจ็ดปี ตอนนี้มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปเหยียบ

   เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นที่นั่น ก็ต้องจบที่นั่น

   ผมหงุดหงิดกับความผิดพลาดของงานที่เลขาทำจนปัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเกลื่อนกระจาย เดือดร้อนผู้ช่วยต้องเข้ามาจัดการเก็บกวาดให้อย่างหวาดหวั่น ผมทิ้งตัวนั่งลงพิงเก้าอี้อย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นปิดปาก ใจสั่นเหมือนคนดื่มกาแฟเกินลิมิต ก่อนจะล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

   บุหรี่ยี่ห้อที่เขาสูบประจำ

   “บ้าเอ้ย!”

   ผมเดินออกไปที่ระเบียง เท้าแขนบนราวเหล็กก่อนจะซบหน้าลงไป มือที่ถือบุหรี่กลิ่นของเขาสั่นจนน่ากลัว

   ผมคิดถึงเขา... คิดถึงเหลือเกิน

   “พี่เพย์คะ”

   เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมาเกือบสามเดือนดังขึ้นจากด้านหลัง มีไม่กี่คนที่กล้าเข้ามาหาผมในตอนที่เป็นแบบนี้ ผมหันกลับไป ขอบตาคล้ำเพราะอาการนอนไม่หลับและความเครียดสะสม สายตาเวทนาของสาวน้อยที่เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิคแล้วทำให้ผมหลบสายตา

   เธออยู่ในชุดไปรเวทน่ารัก หน้าตาและนิสัยของน้องอิงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มที่พบเห็น มันคงจะดีถ้าผมรักเธอได้ และจะดีกว่านี้ถ้าเธอไม่เห็นผมในสภาพหมาขี้แพ้

   หญิงสาวเดินเข้ามาลูบหน้าผมที่ไม่เนี้ยบเหมือนเดิม คงจะโทรมมากสินะ

   “นอนหลับบ้างมั้ยคะ ทานอะไรบ้างรึเปล่า”

   “ไม่”

   ผมตอบเสียงห้วนเพราะอารมณ์ที่ยังค้างอยู่

   “อิงจัดยาให้มั้ยคะ”

   “ไม่ต้อง”

   “พี่เพย์คะ...”

   “ไม่ต้องมายุ่งกับพี่หรอกอิง ปล่อยพี่ไว้แบบนี้แหละ”

   ผมกระชากเสียง น้องอิงไม่ได้มีท่าทางสะดุ้งสะเทือนอะไร เธอสามารถรับมือกับนายภาวิตตอนนี้ได้แล้ว แม้เราจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่คบกัน แต่เธอยังคงเป็นน้องสาวที่ดีเสมอมา ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วง แต่การที่เห็นหน้าเธอ มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด

   ผิดที่ทำให้พี่ชายเธอหนีไป ผิดที่ทำให้เธอต้องตัวคนเดียว

   “ไปนอนพักค่ะ”

   เธอดื้อที่จะลากผมให้กลับเข้าไปในห้องทำงาน มือเล็กดึงบุหรี่ออกจากมือผมแล้วดับลงตรงที่เขี่ยบุหรี่ ร่างเล็กแค่อกจับผมนั่งลงบนโซฟา แล้วดันให้นอนลงโดยมีเธอนั่งเฝ้า

   “ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วคะ”

   “น่าจะสาม หรือสี่ หรืออาทิตย์นึง”

   ผมยกหลังมือปิดตา ตอบอย่างเหม่อลอย ไม่แน่ใจ... ถามว่าได้นอนกี่วันยังง่ายกว่า

   น้องอิงถอนหายใจยาว เธอลูบหัวผมเบาๆ

   “พี่ถามไรหน่อยสิ”

   “คะ?”

   “เจออิฐบ้างมั้ย?”

   “....” น้องอิงเงียบไป ไม่ตอบแปลว่าเจอ... ผมจับมือเธอที่ลูบหัวผมไว้เบาๆ 

   “อิฐ สบายดีใช่มั้ย”

   “ค่ะ พี่อิฐสบายดี”

   อิงลดายิ้มให้ ผมจึงค่อยโล่งใจ ก่อนจะหลับตาลง ไม่รู้เพราะอะไร... แค่รู้ว่าเขาสบายดี ผมก็รู้สึกเหมือนอาการหนักๆ ที่หัวมันถูกยกออกไป

   “พี่เพย์คะ” จู่ๆ น้องอิงก็เรียก ผมปรือตาขึ้นนิดหน่อย ครางตอบ น้องอิงจับมือผมไว้ เธอเงียบไปเหมือนกำลังคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “พี่อิฐ กำลังจะไปต่างประเทศ”

   ผมลุกพรวด น้องอิงกลั้นหายใจ สังเกตปฏิกิริยาของผม...

   ผมอยากจะเขย่าตัวถามเธอ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่หลุบตามองต่ำ ก้มหน้าแล้วบีบมือตัวเองแน่น

   “เหรอ” ผมยิ้มจืดจาง “ดีแล้ว เขาจะได้หนีไปให้ไกล ไกลจากที่ที่สร้างแต่บาดแผลให้เขา”

   “พี่อิฐจะไปเรียนต่อค่ะ เขาได้ทุนจากมหาวิทยาลัย”

   น้องอิงเล่า เธอรู้ว่าเรื่องของอิฐทำให้ผมสงบลง แต่เป็นการสงบที่เหมือนโดนกล่อมด้วยยาระงับประสาท การได้ฟังเรื่องของเขามันเหมือนทำให้ผมยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน

   “อิฐเป็นคนเก่ง ไม่ยากหรอกถ้าเขาคิดจะทำอะไร เขาแค่ไม่เคยใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเลยต่างหาก”

   ผมรู้ เขาเก่งมาก ดูจากการช่วยงานต่างๆ ของผม รวมถึงโครงการนั้น ข้อเสนอและแนวคิดที่ถูกขโมยไปทำให้โครงการของเดอะลูฟผ่านได้อย่างง่ายดาย ผมคิดว่าถ้าเราเสนอไปเร็วกว่าทางนั้น มันคงจะผ่านได้ไม่ยากเย็นเลย

   แต่มันก็ผ่านไปแล้ว... ทำได้แค่เริ่มต้นใหม่

   น้องอิงเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก่อนจะตัดสินใจบอก

   “พี่เพย์... อยากไปส่งพี่อิฐมั้ยคะ”

   ผมเงยหน้า สายตาคงน่าสมเพชมากเมื่อได้ยินข้อเสนอของน้องอิง

   ผมไม่ได้เจอหน้าเขามาเกือบปีแล้ว...

   “พี่...” ผมกลืนน้ำลายที่แห้งผาก ความรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้ทำให้ผมสับสน ก่อนจะนึกถึงวันสุดท้ายที่เราเจอกัน

   คำว่า ลาก่อน ของเขา... ผมไม่อยากได้ยินมันอีก

   “พี่ไม่ไปดีกว่า” ผมปฏิเสธด้วยเสียงเบาหวิวเหมือนพูดแค่เตือนสติตัวเอง

   “แน่ใจนะคะพี่เพย์?” เธอถามย้ำอีกรอบ

   “พี่ว่าอิฐคงไม่อยากเจอหน้าพี่หรอก ปล่อยเขาไปเจออะไรใหม่ๆ โดยที่ไม่มีพี่ส่งท้ายน่ะดีแล้ว”

   อิงลดาถอนหายใจยาว เธอลุกขึ้น ลูบไหล่ผมเบาๆ ผมจับมือเธอไว้แล้วยิ้มให้

   “ฝากลาเขาให้พี่ด้วยนะ”

   “ค่ะ”



   ผมนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน แสงสีส้มมันย้อมทุกสิ่งอย่างให้แดงไปหมด สีเหมือนสีของก้อนอิฐ... มันจะย้อมแค่ไม่นาน จากนั้นมันจะลับฟ้าไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความมืดมิด

   ผมยังไม่ยอมลุกออกจากห้องทำงาน เอกสารประมาณสี่ห้าแฟ้มยังวางเรียงตั้งไว้ตรงนั้นรอให้ผมไปจัดการ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ให้นานที่สุดเพราะไม่อยากกลับคอนโด ผมไม่อยากกลับไปในสถานที่ที่มีความทรงจำร่วมกับเขา ห้องนี้เป็นห้องที่อิฐเคยเข้ามานับครั้งได้ เป็นสถานที่ที่ไม่มีความทรงจำร่วมกันมากที่สุดแล้ว

   สุดท้ายผมก็ฟุ้งซ่าน

   “ยังไม่กลับอีกเหรอเพย์”

   ผมหันเก้าอี้กลับมา ร่างสูงของพี่ภัทรยืนพิงกรอบประตูห้องทำงานอยู่ เขาส่งยิ้มใจดีมาให้ ผมขยับตัวนั่งหลังตรง มือจับปากกาเตรียมทำงานต่อ

   “งานผมค้างอีกเยอะ”

   พี่ภัทรเดินเข้ามา เขานั่งลงตรงข้ามกับผมก่อนจะดึงปากกาออก ผมจิปากรำคาญ

   “จะไม่ไปส่งเขาจริงๆ เหรอ”

   “...”

   พี่ชายผมคงรู้มาจากน้องอิง ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าพี่ภัทรกับน้องอิงเริ่มสนิทกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะเขาเป็นห่วงผมที่อยู่ในสภาพนี้มาจะปีนึงแล้วก็เป็นได้ พี่ภัทรเป็นอีกคนที่รู้เรื่องรสนิยมของผม รวมถึงรู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับอิฐไม่ได้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง

   พี่ภัทรเป็นพี่ที่เข้าใจน้องทุกคน เขาไม่พูดเยอะ แต่จะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ตามที่เห็นสมควร

   ข้อบกพร่องอย่างเดียวของพี่ภัทร คือเขาไม่สามารถแต่งงานได้... เพราะเขาก็เหมือนกับผม

   เรารู้กันในเรื่องนี้

   “มันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกันนะเพย์”

   “...”

   “ทำในสิ่งที่คิดว่าจะไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเถอะ”

   

   - Eit Part -

   @ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

   “พี่อิฐจัดกระเป๋าเอง โอเคแล้วใช่มั้ยคะเนี่ย?”

   สาวน้อยของผมถามอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ผมเช็คอินเพื่อโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ที่ติดตัวก็มีเพียงกระเป๋าสะพายเอาไว้ใส่ของจุกจิกที่ต้องพกติดตัว พาสปอร์ตและบอร์ดดิ้งพาส

   ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ น้องอิงทำหน้าไม่ไว้ใจ

   “อิงจะไปช่วยจัด พี่อิฐก็ไม่ยอม อิงไม่ไว้ใจเลยค่ะ พี่อิฐยิ่งขี้หลงขี้ลืมอยู่ด้วย”

   “อิง ของพี่ไม่เยอะแยะหรอก”

   ไม่เยอะจริงๆ นะ ผมเลือกที่จะไปหาซื้อใหม่เอาถึงแม้จะแพงนิดหน่อย แต่ผมใช้อะไรผมใช้นาน หอพักมหาวิทยาลัยก็ใกล้ศูนย์การค้าด้วย ขาดเหลืออะไรก็คงไปหาซื้อเอาได้ไม่ยาก

   “ใกล้จะได้เวลาเข้าเกทแล้วนะ”

   คุณจิณณ์ดูเวลาแล้วพูดขึ้น  น้องอิงยิ้มแหย ก่อนจะเบะปาก น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เล่นเอาผมอยากจะเบะตามเลย

   “อิงต้องคิดถึงพี่อิฐมากแน่ๆ เลยค่ะ”

   สาวน้อยโถมตัวเข้ามากอดผมแน่น ผมขยับมือกอดน้องสาวที่เป็นเสมือนดวงใจของผมตอบ ลูบหัวเธอเบาๆ น้ำตาแห่งการลาจากคลอเบ้าจนแทบจะหยดลงมา

   ตลอดเวลายี่สิบกว่าปี เราแทบจะไม่เคยต้องห่างกันเลย เรามีกันสองคนพี่น้อง ไม่ว่าจะมีเรื่องร้ายมากมายขนาดไหนเข้ามา เรามักจะจับมือกันไว้เสมอ

   ถึงวันนี้... เราคงต้องปล่อยมือ เพื่อไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเสียที

   “พี่รักอิงนะ พี่ยังคงรักอิงเสมอ”

   ผมลูบหัวน้องสาวที่ร้องไห้งอแงเป็นเด็กก่อนจะยิ้มให้

   “ดูแลตัวเองดีๆ นะน้องอิง อย่าหักโหมมากนัก กินให้อิ่ม นอนให้หลับ” ผมสั่งทิ้งท้ายเหมือนเป็นคุณพ่อ “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ โทรหาพี่นะ ติดต่อพี่ได้ตลอด ถ้าไม่ไหวจริงๆ พี่จะกลับมาหา”

   “ถึงพี่อิฐไม่มาหาอิง อิงก็จะไปหาพี่อิฐเองค่ะ ไม่ยอมให้พี่อิฐทิ้งไปง่ายๆ หรอก”

   ผมหัวเราะกับคำพูดของน้องสาวที่ทำหน้าย่นใส่ ก่อนจะหันไปหาคุณจิณณ์ที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างๆ

   “คุณจิณณ์ครับ”

   เขาเลิกคิ้ว ส่งยิ้มให้ผมอย่างใจดีเหมือนเดิม

   “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ”

   เจ้าของดวงตาสีน้ำข้าวยกมือวางบนหัวของผม เขาลูบมันอย่างอ่อนโยน 

   “ดูแลตัวเองดีๆ นะอิฐ ค่ารักษาพยาบาลที่นั่นแพงมาก จะทำอะไรก็ระมัดระวัง”

   “ผม... ผมโตแล้วนะครับ”

   “ครับๆ”

   ร่ำลากันอีกสักพักก็มีเสียงประกาศเตือนของไฟล์ตบินผม ผมเดินเข้าไปในเกท ไม่วายหันกลับมามองคนที่ยืนส่งผมจนวินาทีสุดท้ายอยู่ จนกระทั่งผมลงบันไดเลื่อนไป

   “อิฐ!!”

   ผมสะดุ้งสุดตัว... รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมานานมาก แต่ผมลงบันไดมาแล้ว... ถ้าจะให้กลับขึ้นไปอีกครั้งมันก็...

   ผมคงคิดถึงเขามากไป... จนหูฝาดแหงๆ

   “เอาวะ... เริ่มต้นใหม่นะอิสระ”

   ผมยิ้มให้ตัวเองก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก

   

   - Pay Part -

   ผมมาช้าไป...

   รถตอนเย็นวันศุกร์ติดจนลงทางด่วนแทบไม่ได้ กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง

   ไฟล์ตบินของเขาต้องเข้าเกทตอนสามทุ่ม แต่ผมมาถึงตอนสามทุ่มยี่สิบ

   ผมวิ่งหน้าตั้งไปยังประตูขาออกนอกประเทศจนคนรอบข้างหันมามอง รถจอดทิ้งไว้หน้าประตูทางเข้าสนามบินโดยไม่สนว่าหลังจากนี้จะโดนยกไปไหนหรือเปล่า ผมเห็นร่างของไอ้จิณณ์กับน้องอิงยืนอยู่หน้าทางเข้าเกทเหมือนกำลังจะกลับ พวกเขามองผมอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะไอ้จิณณ์

   “เชี่ยเพย์ มึงมาได้...”

   “อิฐ!!”

   ผมไม่สนใจใครทั้งนั้น พยายามเข้าไปในเกทแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้โดยเจ้าหน้าที่ ความโกลาหลจึงบังเกิด น้องอิงรีบเข้ามาลากตัวผมให้ออกมาก่อนที่จะเกิดเรื่องไปมากกว่านี้ ผมหอบหายใจ สภาพเหงื่อท่วมจากการวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างสุด

   “พี่เพย์คะ พี่เพย์! ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ พี่อิฐเข้าเกทไปตั้งนานแล้วค่ะ”

   “อิง... พี่... พี่...”

   ผมถูกจับให้นั่งลง หญิงสาวเอาแผ่นกระดาษแถวนั้นมาพัดวีให้เพราะกลัวผมจะเป็นลมล้มไป หน้าซีดเผือดจนน้องอิงต้องรีบล้วงเอายาดมที่พกติดตัวขึ้นมาปัดผ่านจมูกผมให้

   “ใจเย็นๆ นะคะ”

   “อิฐ... อิฐล่ะ”

   “พี่เพย์คะ พี่อิฐเข้าเกทไปนานแล้วค่ะ”

   ผมเบิกตากว้าง... ก่อนจะหรี่ตาลง กัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ

   ไอ้จิณณ์ที่ยืนดูอยู่ข้างมองผมด้วยสายตาสมเพชก่อนจะกอดอกแล้วหัวเราะในลำคอ

   “หึ กูอุตส่าห์ยอมให้น้องอิงไปชวนมึงมาส่งเขา เสือกเล่นตัวจนสายไปแล้ว สมน้ำหน้ามึงนะเพย์”

   “เชี่ยจิณณ์!!”

   ผมลุกขึ้นจะกระชากคอเสื้อมัน แต่กลับโดนน้องอิงดึงกลับมาก่อน

   “พี่เพย์คะ อย่าทะเลาะกันที่นี่สิคะ พอแล้วค่ะ!”

   “อิงไม่เห็นเหรอว่ามันหยามหน้าพี่!” ผมมองหน้าไอ้จิณณ์ที่ทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างโกรธแค้น เห็นแล้วอยากกระทืบให้จมตีนเลยจริงๆ!

   “กูหยามมึงตรงไหน มึงทำตัวเองทั้งนั้น!”

   “ไอ้สัสเอ้ย!”

   “พี่เพย์คะ หยุดได้แล้วนะ!”

   น้องอิงดึงผมให้กลับลงไปนั่งเหมือนเดิม ตาคู่โตดุจัดอย่างไม่เคยเป็น สีหน้าเธอบอกว่าถ้าผมยังอาละวาดอยู่ เธอจะเอากระเป๋าหนังของเธอฟาดหน้าผมแน่นอน ผมสะบัดหน้าหนีพลางบีบมือตัวเอง

   “คุณจิณณ์ก็หยุดกวนพี่เพย์ได้แล้วค่ะ”

   น้องอิงหันไปดุอีกคนบ้าง ไอ้เหี้ยจิณณ์กอดอกสะบัดหน้าไปอีกทาง

   ผู้ชายตัวโตๆ สองคนต้องมาถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูงไม่ถึงอกดุจนเงียบนี่มันไม่ใช่อะไรที่น่าดูเลยสักนิด

   “มันช้าไปแล้วค่ะพี่เพย์”

   ในที่สุด เมื่อผมสงบลง น้องอิงก็เดินเข้ามาจับมือแล้วย่อตัวลงนั่งตรงหน้า เธอปลอบผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่คำพูดของเธอช่างตอกย้ำผมเหลือเกิน

   “กลับบ้านกันดีกว่านะคะ”



   ก่อนจะแยกกันโดยที่น้องอิงกลับกับผม ไอ้จิณณ์เดินเข้ามาแล้วเรียกผมไว้ น้องอิงที่รู้ว่ามันคงเป็นการอยากคุยกันแบบลูกผู้ชายจึงขอตัวไปนั่งรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ส่วนผมกับมัน เดินไปยืนเกาะราวระเบียงเพื่อหาที่คุย

   “โครงการสัมปทานนั่น กูจงใจให้มึงเข้าใจอิฐผิด”

   “ไอ้สัด”

   ผมด่ามันแต่ก็ไม่ได้รุนแรงหรือมีอารมณ์มากมายเหมือนตอนแรก สายตามองออกไปนอกอาคารผ่านกระจก แสงไฟจากรถและตึกรามทำให้ข้างนอกดูไม่มืดเท่าที่ควร

   “ครั้งสุดท้ายแล้วเพย์ ที่กูจะตามขัดแข้งขัดขามึงเพราะความแค้น”

   ผมเหลือบตามองมัน ไอ้จิณณ์ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงถอนหายใจยาว

   “อีกสามเดือน เจนจะแต่งงานแล้ว”

   ผมเงียบ อยากจะถามแต่ก็ยังไม่กล้า ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้มันให้อภัยในสิ่งที่ผมทำ

   “เจนก้าวข้ามความสิ้นหวังได้แล้ว กูเองก็แย่งทุกอย่างของมึงมาหมดแล้ว สำหรับกู... กูไม่มีอะไรติดค้างกับมึงอีกแล้ว”

   ผมเบือนสายตากลับมา อยากอัดบุหรี่เข้าปอดเหลือเกินในตอนนี้

   “มึง... ดูแลเขาดีมั้ย”

   ไอ้จิณณ์หัวเราะหึ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบ

   “ดีสิ ดีกว่ามึง”

   “งั้นเหรอ...” ผมกัดปากตัวเอง “ขอบคุณ”

   “แต่ถึงจะดียังไง กูก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องการว่ะ”

   ไอ้จิณณ์ล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขายื่นมันให้ผมที่รับมาแบบไม่เข้าใจ

   สมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ผมเคยเห็นสมุดแบบนี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่เล่มนี้

   “เขาทิ้งมันไว้ ตอนแรกกูกะจะเอาไปทิ้ง แต่คิดๆ ดู กูคิดว่าเขาอาจจะอยากให้มึง” ไอ้จิณณ์หันตัวจะเดินจากไป ผมมองสมุดเล่มเล็กๆ นั่นสักพักจึงตะโกนเรียกมันที่เดินไปเกือบจะถึงบันไดเลื่อนแล้ว

   “จิณณ์!”

   ผมเดินตามไป ไอ้จิณณ์เงยหน้ามองผมขณะก้าวลงบันไดเลื่อน

   “กูขอโทษ”

   มันเป็นคำที่ผมควรจะพูดออกมาตั้งแต่เก้าปีก่อน ไอ้จิณณ์เบิ่งตาเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วยกมือขึ้นปัดๆ เขาไม่ตอบอะไร จนสุดบันไดเลื่อน ร่างนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนเดียวดายมองสมุดเล่มเล็กนั้นเพียงลำพัง



   หลังจากทำเรื่องเอารถคืนเพราะจอดในที่ห้ามจอดได้ ผมก็ขับไปส่งน้องอิงที่คอนโดที่เธอกับเพื่อนแชร์ห้องกัน ระหว่างทางที่กลับคอนโดตัวเอง ผมรู้สึกคิดถึงห้องนั้นขึ้นมา จึงตบไฟเลี้ยวเพื่อกลับรถ มุ่งไปยังสถานที่ที่มีความหลังทั้งสุขและเศร้าเคล้ากันไปตลอดเจ็ดปีแห่งนั้น

   ห้องที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็นปี มีฝุ่นจับเล็กน้อยเพราะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ผมไม่อยากปล่อยให้มันร้างไป ข้าวของในห้องยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมๆ ของมัน มีเพียงของๆ น้องอิงที่หายไปบ้าง แต่ของๆ เขายังคงอยู่ครบ เพราะอิฐไม่เอาอะไรติดตัวไปเลยสักชิ้นเดียว

   ผมเดินเข้าไปในห้องของเขา...

   ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินที่เขาชอบ เขาบอกว่าสีมันดูสงบ ต่อให้เปื้อนก็ไม่มีใครเห็น...

   ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง หยิบหมอนใบใหญ่ของเขาขึ้นมาวางบนตัก

   ห้องของอิฐไม่มีอะไรเลยนอกจากของจำเป็น หมอนก็มีแค่ใบเดียว แม้ผมจะใช้ห้องนี้บ่อยเสียกว่าห้องน้องอิง แต่เขาก็ไม่คิดจะซื้อหมอนเพิ่ม ผมจำได้ว่าหลังจากที่เรามีอะไรกันจบ ผมมักจะยึดหมอนของเขา แล้วดึงรั้งให้เขาหนุนแขนของผมแทน

   อิฐที่ตัวเล็ก ผอมแห้ง บอบบาง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ยามหลับเขาเหมือนมีแค่ตัว ไม่มีลมหายใจ... ผมจึงอยากกอดเขาไว้ ให้รู้ว่าร่างกายเขายังอุ่น

   อิฐที่แม้ปากจะด่าผม แต่ไม่มีเคยมีครั้งไหนที่จะไม่ยอมทำตาม

   อิฐดื้อ แต่ยอมทุกอย่างเพียงเพราะผมสั่ง

   ผมกอดหมอนใบนั้นไว้พลางซบหน้าลงไป

   กลิ่นของเขายังติดอยู่ ผมไม่ยอมให้ใครเอาของๆ เขาไปซัก... ผมไม่อยากให้ร่องรอยที่เคยมีเขาหายไป

   ‘คุณเพย์ครับ วันนี้มีนัดประชุมกับบอร์ดตอนสิบโมง...’

   ‘คุณเพย์ครับ วันนี้ต้องไปทานข้าวกับมิสอารีน่านะครับ เขาจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ตัวใหม่ให้สินค้าเรา คุณต้องมารยาทดี และที่สำคัญ เธอไม่ชอบผู้ชายใส่สูทสีดำ’

   ‘คุณเพย์ครับ เรื่องงบประมาณของโครงการนี้ ผมว่ามันเยอะไปหน่อยนะครับ เราลองลดค่าใช้จ่ายบางส่วนดูน่าจะทำให้ตัวเลขดีขึ้นนะครับผมว่า’

   ‘คุณเพย์ครับ เพลาๆ เรื่องเที่ยวหน่อยจะดีกว่านะครับ พรุ่งนี้มีงานสำคัญ’

   ‘คุณเพย์ครับ น้องอิงสอบติดหมอแล้วนะครับ น้องอิงนี่เก่งที่สุดจริงๆ’

   ‘คุณเพย์ครับ ไม่เอา...’

   ‘คุณเพย์ครับ ผมเจ็บ...’

   ‘คุณเพย์ครับ...’

   ‘ผมขอลาออก’

   

   สารพัดคุณเพย์ที่เขาเรียก... เสียงเจื้อยแจ้วที่อยู่ข้างผมตลอดเจ็ดปี

   น้ำตาที่คิดว่าน่าจะแห้งไปแล้วค่อยเอ่อขึ้นมาจนสุดท้ายก็ซึมลงบนหมอนที่ซบอยู่

   “กลับมาได้มั้ยอิฐ... กูขาดมึงไม่ได้จริงๆ”

   

    ในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ของเขามักจะเขียนแนวคิด ข้อสรุป ตารางงาน หรืออะไรก็ตามที่เขาไม่สามารถพิมพ์ไว้บนมือถือได้ทัน อาจเป็นความคิดที่แวบเข้ามา หรือความรู้สึกในตอนนั้น เป็นของส่วนตัวที่เขาไม่เคยเอาให้ใครดูหรือวางทิ้งไว้เรี่ยราด

   เล่มนี้ก็เหมือนกัน...

   มันคงจะเป็นเล่มที่เริ่มเขียนตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับจิณณ์

   มันไม่มีวันที่ แต่มันจะเป็นสัญลักษณ์สภาพอากาศในตอนที่เขาจด

   หน้าแรกๆ ที่เขาเขียนคงเป็นช่วงที่แม่เขาเสีย เพราะมันมีแต่คำว่าขอโทษ กับค่าใช้จ่ายในงานที่เสียไป

   ต่อจากนั้นก็เป็นพวกประโยคภาษาอังกฤษที่เขาอาจจะถูกใจจากการดูข่าวในโทรทัศน์

   กลางๆ มาก็เป็นพวกคำแนะนำตัวเองบ้าง ขีดๆ ฆ่าๆ อยู่หลายหน้า เหมือนกับกำลังลองเรียบเรียง Essay

   แต่หลังๆ...



   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไม่ยอมกินข้าว... ไอ้โง่เอ้ย ก็เคยเห็นสภาพผมตอนไม่กินข้าวแล้วนี่ว่ามันจะเป็นยังไง

   ควายชัดๆ...



   ผมถึงกับคิ้วกระตุก... นี่เขาด่าผมแบบนี้มาตลอดเหรอเนี่ย ผมกำลังคิดว่าหลังจากนี้มันจะมีคำด่าที่ชวนปวดใจกว่านี้อีกมั้ย... จะทำใจอ่านต่อได้อีกรึเปล่า ทำใจสักแป๊บ ก็เปิดหน้าต่อไป



   น้องอิงบอกว่าหุ้นตัวที่คุณเพย์ดูแลอยู่ร่วงไปตั้ง 7 จุด ชิบหายแล้วมั้ยละ จะมีใครโดนระเบิดของคุณเพย์ลงบ้างนะ

   สงสัยต้องเรียกหน่วยกู้ระเบิดรอ... 555



   WTF!!

   น้องอิงอัพเดททุกข่าวสารของผมให้เขารู้งั้นเหรอ มีแค่ผมที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยเนี่ยนะ

   

   น้องอิงบอกว่าวันนี้คุณเพย์ไปโรงพยาบาล เขาเป็นลมในไซส์งานที่ไปดูเพราะอดนอนและอดข้าว

   ทำไมถึงไม่มีใครดูแลเขา... ทำไมน้องอิงปล่อยให้เขาไม่สบาย

   

   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไล่เลขาออกอีกแล้ว นี่คนที่สามแล้วนะ...

   

   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไม่ใช้คนขับรถแล้ว เขาขับเองมาตลอด

   ผมกลัวเขาขับไปแหกแยกไฟแดงจริงๆ

   คุณเพย์ขับรถน่ากลัว แถมยังประมาท

   ผมไม่อยากให้คุณเพย์ขับรถ

   

   คุณเพย์ไม่ออกสื่อเลย คุณจิณณ์บอกว่าเขาถูกถอดออกจากโปรเจคใหญ่ๆ

   ทำไมเขาเป็นแบบนี้ ต่อให้เมื่อก่อนเขาเมาหยำเปทำตัวทุเรศแค่ไหน เขาไม่เคยละทิ้งงานตัวเอง เขารับผิดชอบเสมอ

   

   คุณเพย์ไล่เลขาออกเป็นคนที่สี่แล้ว... น้องอิงบอกว่าเขาซื้อบุหรี่มาให้ผิดยี่ห้อ คุณเพย์เลยไล่เขาออก แต่น้องอิงบอกว่า เลขาก็ซื้อยี่ห้อเดิมที่เขาสูบประจำนี่นา...

   หรือเขาเปลี่ยนยี่ห้อแล้ว...

   

   ผมยกมือปิดปาก... ไม่รู้จะกลั้นยิ้ม... กลั้นขำ หรือกลั้นน้ำตาตัวเอง

   ในสมุดช่วงหลังๆ เขียนแต่เรื่องของผม... มีแต่คุณเพย์ๆ

   มันทำให้ผมรู้ว่า... คำตอบของคำถามที่ผมถามเขาบ่อยๆ ว่าเขารักผมบ้างไหม... มันคืออะไร



   คุณเพย์ไม่สบายอีกแล้ว...

   ทำไมเขาไม่รักตัวเองมากกว่านี้...

   ผมเป็นห่วงจะตายแต่ผมไปหาคุณไม่ได้

   หยุดทำให้ผมเป็นห่วงเสียที

   ก้าวต่อไปข้างหน้าได้แล้วครับ



   ผมสูดน้ำมูกตัวเอง ก่อนจะกดโทรศัพท์หาเลขาที่เพิ่งโดนผมไล่ออกไปเมื่อเช้า เขารับโทรศัพท์ผมด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี

   “ผมขอโทษคุณกวิน พรุ่งนี้คุณกลับมาทำงานเหมือนเดิม แล้วช่วยเตรียมเอกสารโปรเจคใหม่ที่คุยกันวันนี้ไว้ด้วยนะครับ”



เขียนไปร้องไห้ไป... โถลูกกกกกกกกกกก

หมอในเรื่องนี้ลำบากทุกเจนเนอเรชั่นเลยจริง

สู้เขานะน้องอิง รับมือกับคนบ้ารอบตัว

#คุณเพย์รักอิสระ

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 16
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-12-2019 12:19:03
เพย์รีบตามไปเลย
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 16
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 30-12-2019 01:09:30
นั้มตาาา แง้ร้องไห้หนักมาก สงสารไปหมดไม่รุ้จะทำไงดี
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 30-12-2019 03:49:29
| Day 17 |
Sorry

(30/12/63)



   สี่ปีผ่านไป...

   “อย่าวิ่งสิ เฮ้ยๆ”

   ผมโวยวายลั่นเมื่อไอ้ตัวเล็กร่างป้อมๆ วิ่งตุบตับมาทางผมที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนหลังบ้าน เด็กชายวัยสามขวบวิ่งถือหนังสือมาด้วยความเร็วไม่น้อยจนพี่เลี้ยงไล่จับไม่ทัน

   “แด๊ดดี้เพย์ฮ้าบบบ”

   ตุบ!

   สุดท้ายร่างป้อมๆ ก็ล้มหน้าคว่ำกับพื้นหญ้า เล่นเอาผมรีบลุกเดินไปอุ้มตัวเล็กๆ นั่นขึ้นมา เด็กชายเริ่มเบะปากเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวด พี่เลี้ยงที่วิ่งตามมายกมือปิดปากอย่างตกใจ ทำท่าจะเข้ามาช่วยปลอบเพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มเบะปากร้องไห้

   “คุณหนูรัณ! ตายแล้วๆ เจ็บมากมั้ยคะเนี่ย”

   “ไม่ต้อง”

   ผมสั่งพี่เลี้ยง ก่อนจะจับเด็กชายให้ยืนขึ้นแล้วพูดเสียงเข้ม

   “เป็นลูกผู้ชาย เจ็บแค่นี้ต้องไม่ร้องไห้ แด๊ดสอนว่าไง”

   เด็กชายดรัณสะอึกสะอื้นเสียงสั่น ยกมือปาดน้ำตา พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองจนหน้าแดงตอบผม

   “เป็นลูกผู้ชาย ฮึก! ต้อง ต้องอดทน ฮึก! ฮับ”

   “ครับ รัณคนเก่ง”

   สุดท้ายแล้วผมก็จูงเจ้าตัวเล็กมานั่งที่โต๊ะในศาลาหลังบ้าน จับเนื้อจับตัวดูว่ามีแผลตรงไหนหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่มีรอยถลอกอะไรก็โล่งอก เดี๋ยวแม่มันจะมาโวยวายใส่ผมอีก ขี้เกียจได้ยิน

   “แด๊ดเพย์ฮับ รัณเอาหนังสือมาให้แด๊ดอ่านให้ฟังฮับ”

   ดรัณยื่นหนังสือนิทานให้ผม มันเป็นเรื่อง ฮันเซลกับเกรเธล ผมรับมาแล้วมองหน้าเด็กชายที่จ้องผมด้วยนัยน์ตากลมโตสีดำสดใส หน้ากลมๆ ขาวๆ พวงแก้มแดงๆ ไม่ทิ้งเชื้อทำให้ผมยิ้มบางๆ แล้วเปิดหน้านิทาน

   “สัญญานะว่าจบเรื่องนี้แล้ว รัณจะไปทานข้าว และที่สำคัญ ต้องไม่อมข้าว โอเคมั้ย”

   “สัญญาฮับแด๊ด”

   เด็กชายยื่นนิ้วก้อยป้อมๆ มาเกี่ยวกับนิ้วผมเพื่อให้สัญญา เด็กชายตัวน้อยที่ได้รับความรักจากคนรอบข้างมากมาย เขาเติบโตมาด้วยความรักของพ่อและแม่ ท่ามกลางความสมบูรณ์พูนพร้อมทุกอย่าง ไม่ต่างอะไรกับผมที่ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกขาด ความใสซื่อของเขาทำให้ผมนึกถึงคนที่หนีไปในที่ที่ไกลแสนไกล

   ผมเล่านิทานเรื่องฮันเซลกับเกรเธลด้วยอินเนอร์ราวกับนักแสดงมืออาชีพ ตลอดสี่ปีมานี้ผมเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ดรัณเกิด ผมเลี้ยงเขามาเองกับมือเพราะแม่ของเจ้าตัวเล็กต้องบินไปบินมาระหว่างญี่ปุ่นกับไทย แล้วผมที่กำลังใจสลายก็ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว พอมีเด็กสักคนมาให้ลองเลี้ยง ลองเอาใจใส่ มันก็ทำให้ผมรู้ว่า การเลี้ยงเด็กคนนึงให้โตมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย... ไม่รู้ทำไมพี่ชายตัวน้อยถึงกัดฟันสู้ เลี้ยงน้องอิงให้โตมาเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมได้ขนาดนั้น

   เขาเก่งมากจริงๆ

   เรื่องฮันเซลกับเกรเธลทำให้ผมนึกถึงสองพี่น้องนั่น คนนึงหนีไปต่างประเทศ และอีกคนนึงก็กำลังจะกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเยี่ยมผู้มีพระคุณที่คอยเกื้อหนุนเธอตลอดมาอย่างพ่อกับแม่ผม

   หลังจบแพทย์ปีสุดท้ายและได้ทำงานใช้ทุนปีแรกจบไป เธอตัดสินใจไปเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ที่อเมริกาโดยใช้ทุนคืนเป็นเงินในส่วนที่ยังทำงานใช้ทุนไม่หมด

   สองพี่น้องนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับฮันเซลและเกรเธล พวกเขาถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก ถึงทำให้มาเจอกับแม่มดร้ายอย่างผม ที่ล่อลวงพวกเขาให้ติดกับดักบ้านขนมหวาน กันเกรเธลออกไป แล้วจับฮันเซลไว้ขังไว้ในกรง ขุนให้อ้วนจึงค่อยจับกิน

   เสียอย่างเดียว... ฮันเซลของผมไม่เคยอ้วนเลย

   “จบแล้ว ไปกินข้าวกัน”

   “ฮับ แด๊ด”

   ผมจูงมือพาร่างป้อมๆ เข้าไปในบ้าน ป่านนี้มื้อเย็นคงจะเริ่มตั้งแล้วล่ะมั้ง ตั้งแต่อิฐจากไป ผมก็กลับมาที่บ้านบ่อยขึ้นเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวให้มันฟุ้งซ่าน จนมีเจ้าตัวน้อยนี่มาคอยเติมเต็มชีวิตที่ขาดแรงจูงใจของผม และมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า ครอบครัวนั้นสำคัญขนาดไหน

   “อ้าว อยู่นี่เอง”

   ทันทีที่พวกผมเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ พี่ภีมที่กลับบ้านพอดีก็หันมาทักด้วยรอยยิ้ม หลังจากพี่ภีมแต่งงาน เขาก็ย้ายออกไปอยู่บ้านของเขากับภรรยาที่ต้องคอยไปดูบริษัทสาขาญี่ปุ่นที่กำลังเปิดใหม่ พี่สะใภ้ผมเธอเป็นเวิร์คกิ้งวูเมนตัวแม่ ไม่ว่าจะท้องหรือใกล้คลอด ก็ไม่ยอมหยุดนอนอยู่บ้านเฉยๆ จนกระทั่งพี่ภีมต้องขู่เข็ญว่าจะจับมัดนั่นแหละถึงยอมอยู่เฉยๆ ในสองเดือนสุดท้าย

   “คุงพ่อฮ้าบ!”

   เจ้าตัวเล็กที่เห็นหน้าพ่อตัวเองปล่อยมือผมแล้ววิ่งไปกอดขาแข็งแรงของพี่ภีมที่ย่อตัวลงกอดรับร่างป้อมๆ ไว้ก่อนจะอุ้มมาหอมแก้มซ้ายขวาให้ชื่นใจ ผมเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมานั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

   “น้องรัณดื้อกับแด๊ดเพย์มั้ยครับ” พี่ภีมถามลูกชายตัวเอง เด็กอ้วนส่ายหน้าก่อนจะยกหนังสือนิทานขึ้นมา

   “รัณให้แด๊ดเพย์อ่านนี่ให้ฟังฮับ”

   “หืม ฮันเซลกับเกรเธล?” พี่ภีมหันมามองผมที่ยกชาร้อนขึ้นมาจิบ “มีความเป็นคุณพ่อจริงๆ ไม่ยักรู้ว่าแกเล่านิทานเป็น”

   “พี่ภีมเล่นทิ้งให้ผมเลี้ยงรัณคนเดียวตลอด ไม่หาอะไรหลอกล่อก็ซนไปทั่วน่ะสิ” ผมไม่แก้ตัวอะไร พี่ภีมหัวเราะก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ผม โดยส่งดรัณให้พี่เลี้ยงพาไปอาบน้ำก่อนมาทานข้าวเย็น

   “อยากมีเองสักคนมั้ย”

   “ไม่”

   ผมเบือนหน้าหลบ พี่ภีมยิ้มมุมปาก

   “หลังจากเลิกกับน้องอิง แกก็ไม่มีใครอีกเลย เที่ยวก็ไม่ค่อยจะเที่ยวแล้ว คุณเพย์สายเปย์ผู้หว่านแบงค์ไปทั่วคนนั้นหายไปไหนซะล่ะ”

   “อายุมากขึ้นมันก็ขี้เกียจเที่ยว เอาเวลามาเลี้ยงหลานแทนพี่ชายผู้ไม่มีเวลากับพี่สะใภ้ที่บินบ่อยกว่านกดีกว่า สงสารเด็กมันจะขาดความอบอุ่น”

   พี่ภีมตีหลังผมดังป้าบที่พูดจาไม่ดี จนชาในมือเกือบกระฉอก

   “พี่เคยทิ้งลูกที่ไหน ปากเสีย”

   ผมก็หยอกไปงั้นแหละ พี่ภีมเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เขาแทบจะไม่ใช่พี่เลี้ยงเลย เพราะแม่ของผมก็เลี้ยงลูกสี่คนด้วยตัวเองเหมือนกัน ความอบอุ่นของพ่อแม่ดีที่สุดแล้วสำหรับเด็กที่กำลังเริ่มจำความได้ ผมเองก็ช่วยเขาเลี้ยง รวมถึงพ่อกับแม่ผมที่หลงหลานคนแรกของบ้านจนตอนนี้พ่อผมไม่เข้าบริษัทแล้ว ยกให้พี่ภัทรเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนตัวเองเกษียณมาเลี้ยงหลานที่บ้านดีกว่า

   ส่วนทำไมดรัณถึงเรียกผมว่าแด๊ดน่ะเหรอ เพราะพี่สะใภ้ผมน่ะแหละสอนเรียก เธอบอกว่าจริงๆ อยากสอนให้รัณรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็ก แล้วคำแรกที่เธอสอนให้รัณพูดก็คือแด๊ดดี้ เธอตั้งใจให้รัณเรียกพี่ภีม แต่รัณกลับเอามาใช้เรียกผมแทนเพราะผมดันเข้ามาช่วงที่รัณกำลังลองพูดพอดี

   กลายเป็นว่า... เด็กมันจำ แต่จำผิดคน จากนั้นมา แทนที่จะเป็นอาเพย์ เลยกลายเป็นแด๊ดเพย์ซะงั้น

   มันเลยทำให้ผมเริ่มมีความเป็นแด๊ดไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้แทนที่จะเปย์สาว กลายเป็นเปย์หลานแทน

   “กลับมาแล้วเหรอคะเจ้าภีม เจ้าเพย์ แล้วหลานน้อยของแม่ไปไหนแล้วล่ะ” คุณวรรณิศาที่เพิ่งกลับมาจากสโมสรอะไรสักอย่างเนี่ยแหละเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น เธอถามหาหลานตัวน้อยก่อนอะไร พี่ภีมลุกขึ้นไปช่วยถือกระเป๋าแล้วประคองให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกันก่อนจะตอบ

   “อาบน้ำครับ”

   “เหรอคะ ไม่เจอหน้าตั้งครึ่งวัน แม่คิดถึง”

   “เว่อร์” ผมค่อนขอดไม่จริงจัง คุณวรรณิศาทำหน้าย่น

   “แกก็ติดหลานไม่แพ้แม่หรอกค่ะ”

   “คร้าบๆ”

   คร้านจะเถียงคนแก่



   มื้อเย็นวันนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันเกือบจะครบ ขาดก็แต่สะใภ้คนเดียวของบ้านที่จะกลับมาเดือนหน้า

   “เออ เจ้าเพย์ พ่อว่าจะคุยกับแกเรื่องประชุมงานที่อังกฤษเดือนหน้า พ่อว่าจะให้แกไปเพราะมันเกี่ยวกับโครงการที่แกดูแลอยู่ตอนนี้”

   ระหว่างทานข้าว อดีตประธานไอยรากรุ๊ปก็พูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเกษียณตัวเองออกมาเลี้ยงหลานแล้ว แต่คุณพ่อของผมก็ยังคงเข้มงวดกับงานและโครงการต่างๆ อยู่ดี โดยเฉพาะงานที่มีชื่อผมกับพีทเป็นคนดูแล เพราะผมเคยทำประวัติเสียหายตอนเสียศูนย์เมื่อห้าปีก่อน แม้ตอนนี้ผมจะกลับมาทำงานได้ดีและมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิมแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน ผมก็เข้าใจ เพราะโครงการประมูลสัมปทานเป็นโครงการใหญ่ที่พ่อคาดหวังในตัวผมไว้มาก พอมันหลุดมือไป พ่อก็หมดความเชื่อถือในตัวผมไปด้วย คงต้องใช้เวลากว่าผมจะได้ความเชื่อใจนั่นกลับมาอีกครั้ง

   “ครับ ผมทราบเรื่องนั้นแล้ว”

   “อย่าให้พลาดนะ ทางนู้นเขามีหลายบริษัทที่อยากจะดีลด้วย ถ้าเราสามารถจับมือกับเขาได้ก่อน จะมีโอกาสเปิดตลาดที่อังกฤษได้มาก” พ่อย้ำอีกครั้ง ผมพยักหน้ารับเงียบๆ ความผิดพลาดเมื่อห้าปีก่อนทำให้ผมถูกจับตามองทั้งจากบอร์ดและพ่อ คุณวรรณิศาที่เห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะเริ่มตึงเครียดก็คิดจะเปลี่ยนเรื่อง

   “ดีเลยค่ะ ถือว่าไปพักผ่อนด้วย ช่วงนี้ที่อังกฤษอากาศกำลังดีเลย แม่อยากไปด้วย ได้มั้ยคะคุณ”

   “อยากไปเหรอ เอาสิ” คุณพ่อผมก็ยังคงตามใจแม่เหมือนเดิม เมื่อได้รับคำอนุญาตจากสามีที่รัก คุณวรรณิศาผู้ติดหลานก็หันไปถามเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที

   “น้องรัณอยากไปเที่ยวอังกฤษกับย่ามั้ยคะลูก”

   “อังกฤษเหรอฮับ! สนุกมั้ยฮับ!” พอเจ้าตัวเล็กได้ยินคำว่าเที่ยวก็หูผึ่งตาผึ่งทันที

   “สนุกสิครับ ช่วงนี้กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิเลย สวยมากๆ เลยนะลูก”

   “ไปฮับๆ รัณชอบที่สวยๆ”

   “เดี๋ยวครับ รัณไปด้วยไม่ได้นะครับ ใครจะดูแล” พี่ภีมขัดคอย่าหลานที่กำลังตื่นเต้นกันอย่างออกรส ส่วนผมเริ่มคิดถึงปัญหาแล้วล่ะสิ ถ้ารัณไป... ใครจะดูแล มันก็จริง เพราะอย่างน้อยอยู่ที่บ้านก็ยังมีพี่เลี้ยงคอยดูนู่นนี่ตอนไม่มีใครว่าง แล้วแม่ผมก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันไอ้ตัวเล็กอยู่ด้วย วิ่งซี้ซั้วหลงทางจะเป็นยังไง

   ผมเริ่มคิดหนักทั้งๆ ที่พี่ภีมยังไม่ทันอนุญาตแท้ๆ

   “ก็แม่ไงคะ เจ้าเพย์ก็ไปทำงาน เดี๋ยวแม่กับน้องรัณจะไปเที่ยวเล่น อย่ามาดูถูกแม่ลูกสี่นะคะ แค่นี้ไม่คณามือแม่หรอกค่ะ!”

   เจอคำนี้เข้าไป พี่ภีมถึงกับพูดไม่ออกเลย ผมเองก็เช่นกัน



   “เพย์ ถ้าวุ่นวายนัก จ้างพี่เลี้ยงชั่วคราวก่อนก็ได้ พี่พอรู้จักบริษัทจัดหาที่ไว้ใจได้ ส่งข้อมูลให้ในไลน์แล้วนะ”

   พี่ภีมดูกังวลมาก ถ้าไม่ติดงาน ผมว่าต้องบินตามไปดูแลลูกด้วยแน่นอน เรื่องนี้ยังไม่ได้บอกพี่สะใภ้ผมเลย ถ้าเธอกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วไม่เจอลูกมีหวังอาละวาทบ้านแตกแหงๆ

   “อา... รู้แล้วครับ”

   ผมหันไปมองสองย่าหลานที่แต่งตัวจัดเต็มพร้อมลั้ลลากันอีกทวีปแล้วก่อนจะหันมามองหน้าพี่ภีมอีกรอบ

   “ไม่ต้องห่วงครับ ผมดูไหว”

   “แล้วเลขาแกล่ะ”

   “เห็นเขาบอกว่ารถติดอยู่แถวๆ ทางด่วน ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงก็ทัน” ผมมองนาฬิกา อีกตั้งชั่วโมงนึงกว่าจะเช็คอิน พี่ภีมเลิกคิ้วแปลกใจกับความใจเย็นของผม

   “แกเปลี่ยนไปนะเพย์”

   “ครับ?”

   “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เลขามาช้ากว่าแก คงพูดว่า ‘ไล่ออก’ ไปแล้ว แต่นี่ยังใจเย็นอยู่ได้” พี่ชายตบบ่าผมป้าบๆ ในขณะที่ผมหัวเราะในลำคอ มันก็ใช่ ผมใจเย็นลงมากถ้าเทียบกับเมื่อสี่ห้าปีก่อน อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบที่มากขึ้น และประสบการณ์เลวร้ายจากความใจร้อนของผมจนทำให้เกิดความสูญเสีย

   “ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูสองคนนั้นหน่อยดีกว่า เจ้ารัณดูจะเริ่มซนจนแม่จับไม่อยู่แล้วมั้ง”

   แล้วพี่ภีมก็เดินผละไปดูสองย่าหลาน ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ผมนั่งเมื่อสี่ปีก่อน

   ผมมองป้ายบอร์ดดิ้งไทม์ ก่อนจะหลุบมองพาสปอร์ตกับมือถือในมือ

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหนีไปประเทศอะไร น้องอิงก็ไม่ยอมบอก ส่วนไอ้จิณณ์ผมก็ไม่เคยคิดจะถาม ตั้งแต่วันนั้นผมกับมันก็เจอกันแค่ในงานเลี้ยงสำคัญๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คุยหรือทักทายอะไร ทำเหมือนเป็นแค่คนแปลกหน้า

   สี่ปีแล้ว... แต่เวลาที่อยู่ร่วมกับเขามันยังไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ

   เจ็ดปีที่อยู่ด้วยกัน หนึ่งปีที่หายไป กับสี่ปีที่จากลา

   ความทรงจำเกี่ยวกับเขาอยู่กับผมมาสิบสองปี... มันนานมาก นานจนผมคิดว่าบางทีผมน่าจะลืมๆ มันไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่...

   แต่สมุดโน้ตเล่มนั้นผมยังคงพกมันติดตัวตลอดเวลา

   "คะ... คุณเพย์คะ ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

   ผมเงยหน้ามองเลขาคนล่าสุด เธอลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารที่จำเป็น บนกระเป๋าเดินทางมีกระเป๋าถืออีกใบสำหรับใส่ของจุกจิกล่ะมั้ง ผมสั้นประบ่าสีน้ำตาลดูยุ่งเหยิงไปหน่อย ดูท่าเธอจะรีบมากจริงๆ เพราะหน้าเธอแดงและมีเหงื่อเยอะพอดู

   ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นพาสปอร์ตสามเล่มให้เธอ

   “จัดการเช็คอินให้ด้วยครับ”

   “ค่ะๆ”

   ผมทำท่าจะเดินไปตามสองย่าหลานที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าโดนจับไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในร้านอาหารที่ไหนสักร้านเนี่ยแหละ ก่อนจะไปผมหันไปถามเลขา

   “คุณสา คุณอยากได้เครื่องดื่มอะไรมั้ย”

   อาริสาที่กำลังง่วนอยู่กับการค้นหาพาสปอร์ตกับเอกสารต่างๆ ในกระเป๋าหันมาตามคำเรียก เธอทำหน้าเหวอไปสักพักก่อนจะเลิ่กลั่กปฏิเสธ

   “มะ... ไม่เป็นไรค่ะคุณเพย์ เชิญคุณเพย์เลยค่ะ”

   ผมผงกหัวรับทีนึงก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าไปตามหาย่าหลานนั่น แอบขำกับท่าทางเลิ่กลั่กประหลาดของเลขาที่ทำงานพลาดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่ผมก็ยังไม่ยอมไล่เธอออกไป อาจเป็นเพราะเธอมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับคนที่เคยอยู่ข้างกายผมก็เป็นได้

   ผมกลับมาพร้อมกับมอคค่าปั่น อาริสาในชุดเรียบร้อยนั่งรออยู่หน้าทางเข้าเกทอย่างเจี๋ยมเจี้ยม แว่นตาอันใหญ่ของเธอดูแล้วเฉิ่มเชยเป็นที่สุด ผมอยากสั่งให้ไปเปลี่ยนเป็นคอนแทคเลนส์จริงๆ เห็นแล้วเกะกะ

   ผมยื่นแก้วมอคค่าปั่นให้เธอ อาริสาสะดุ้งก่อนจะมองหน้าผมที่เอียงคอเล็กน้อย ผมยื่นแก้วเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อบอกให้เธอรับไปซะ หญิงสาวร่างเล็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยรับมา เอ่ยขอบคุณผมแผ่วเบา

   “เตรียมเอกสารเรียบร้อยใช่มั้ย ข้อมูลบริษัท ข้อมูลลูกค้า ตัวอย่างแผน”

   “ค่ะ ดิฉันเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ เช็คสามรอบเป็นอย่างต่ำ มีแบคอัพไว้ในแฟลชไดร์ฟ เอกเทอนอล แล้วก็อัพโหลดเผื่อไว้ในคลาวด์บริษัท” เธอร่ายรายการที่เตรียมมาให้ผมฟัง ส่วนผมก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เธอ ฟังสิ่งที่หญิงสาวที่อายุน่าจะพอๆ กับน้องอิงพูดอย่างขอไปที แต่จู่ๆ เธอก็หยุดพูด จนผมแปลกใจแล้วหันไปมอง เห็นอาริสาจ้องผมอย่างเหม่อๆ ผ่านแว่นตากรอบโตเชยๆ

   “จบแล้วเหรอ”

   “อ่า...ค่ะ ค่ะ คุณเพย์ยังอยากให้ดิฉันหาข้อมูลอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”

   “อืม...” ผมเหลือบตามองบน หางานให้เธอโดยไม่จำเป็น “งั้นเอาเป็นร้านอาหารอร่อยในลอนดอนละกัน ผมไม่ได้ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อยบ้าง”

   “ได้ค่ะ” อาริสาจดสิ่งที่เธอต้องทำลงสมุดเล่มเล็ก ผมเห็นแล้วอดเอ่ยปากถามไม่ได้

   “คุณใช้สมุดจดเหรอ ผมนึกว่าสมัยนี้เขาพิมพ์ใส่มือถือหรือไอแพดเสียอีก”

   “ออ... คือว่าดิฉันว่ามันเร็วและสะดวกดีน่ะค่ะ บางทีพิมพ์มือถือไปทำงานไปมันดูไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่”

   ผมพยักหน้าตาม พาลนึกไปถึงคนที่ชอบใช้สมุดเหมือนกันเพราะบางอย่างใช้มือถือมันก็ไม่ทันใจ โดยเฉพาะเมื่อสี่ห้าปีก่อนที่เทคโนโลยีไม่ได้สะดวกสบายแบบนี้ ผมยิ้มให้บางๆ

   “เหมือนกันเลย”

   เหมือนอิฐ...

   ไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคิดไปถึงไหน เพราะเธอหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะหันกลับไปแล้วดูดมอคค่าปั่นจนเกือบหมดแก้วทีเดียว

หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 30-12-2019 03:49:56
   บนเครื่องบินแบบชั้นธุรกิจ ผมนั่งคู่กับอาริสา ส่วนสองย่าหลานเขานั่งด้วยกัน โชคดีที่ดรัณเป็นเด็กว่าง่ายเลยไม่ลุกป่วนเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่นั่งนานๆ แล้วมักจะเบื่อ เขาชอบที่จะนั่งอ่านหนังสือที่พกมา แม้จะอ่านไม่เก่งแต่เขาชอบดูหนังสือภาพ ดูได้ทั้งวันไม่เบื่อ

   ใช้เวลาประมาณสิบเอ็ดชั่วโมง เครื่องก็เทคออฟลงที่สนามบินฮีทโธรว์ ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติลอนดอน จากนั้นก็ตรวจวีซ่าเข้าประเทศตามขั้นตอน เสร็จแล้วก็พากันนั่งรถไปยังโรงแรมที่จองไว้ เป็นโรงแรมที่อยู่ในบริเวณเขตของสวนไฮด์พาร์ค ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ทำให้คนมาใช้สวนสาธารณะที่ขึ้นชื่อของลอนดอนมีจำนวนมาก ยิ่งช่วงดอกไม้บานยิ่งทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติ

   หลานชายที่ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นแม้แต่ทะเลเลยเพราะยังเล็กและพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยว่าง นี่คงเป็นการมาเที่ยวครั้งแรกของดรัณที่พอจะจำความได้ มันคงน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กวัยสามขวบ

   “คุงย่าฮับ แด๊ดดี้เพย์ฮับ รัณอยากไปวิ่งจังเลยฮับ”

   พอเห็นสวนกว้างๆ คงทำให้เจ้าเด็กอ้วนอยากออกกำลังกายขึ้นมา คุณแม่ของผมจึงรับปากว่าถ้าเก็บของเสร็จแล้วจะพาออกมาเดินเล่น ไม่รู้จะวางใจให้คุณวรรณิศาดูแลหลานคนเดียวได้มั้ย ถึงแม้สมัยก่อนเธอจะมาลอนดอนบ่อยก็ตาม

   เมื่อถึงโรงแรม ผมให้อาริสาจัดการเช็คอินห้องพักให้เรียบร้อย โดยให้ย่าหลานพักด้วยกัน ส่วนผมกับอาริสาก็แยกกันไปอีกคนละห้อง ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร คุณวรรณิศาก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะพาหลานออกไปเดินเล่น ผมนี่เดินออกจากห้องไปหาแทบไม่ทัน

   “แม่ ไม่ทานอะไรก่อนเหรอครับ”

   “เดี๋ยวแม่ไปหาอะไรกินกับน้องรัณข้างนอกเอาค่ะ ลอนดอนก็เหมือนสวนหลังบ้านของแม่แหละค่ะ เพย์ไม่ต้องห่วงน่า”

   “แต่...”

   “คุณเพย์มาทำงานก็ไปทำงานสิคะ ส่วนแม่มาเที่ยว แม่ก็จะไปเที่ยวค่ะ”

   เล่นเอาผมหมดปัญญาจะเถียงอะไรแล้ว เลยกำชับว่าต้องกลับก่อนกี่โมงแทนเพื่อจะได้ไปทานอาหารด้วยกันในร้านที่จองไว้ สองย่าหลานจึงลั้ลลาออกไปเที่ยวตะลุยลอนดอนกันอย่างสบายใจ ปล่อยให้คนไม่สบายใจเป็นผม

   ผมถอนหายใจยาว กระชับเสื้อโค้ทหนาแล้วเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ ที่เป็นห้องของเลขาสาว ไม่นานประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างที่กำลังงัวเงียในชุดเดิม แต่กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกจนเห็นเนินเนื้อวับๆ แวมๆ

   “คะ... คะ คุณเพย์”

   “ง่วงเหรอ งั้นไปพักก่อนก็ได้”

   “ไม่ค่ะไม่ ดิฉันแค่เผลองีบไป คุณเพย์ต้องการอะไรรึเปล่าคะ” อาริสาตาตื่นทันที

   “ผมแค่จะบอกว่าให้คุณมาเตรียมแผนงานกับผมหน่อย แต่ผมว่า... คุณไปพักสักหน่อยดีกว่า เอาไว้บ่ายๆ ค่อยคุย” ผมบอกปัดๆ ขืนพูดไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง มีแต่จะทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เวลาคุยกับคนง่วงอะไรก็ไม่เข้าสมองทั้งนั้นแหละ อาริสาทำหน้าสลดก่อนจะผงกหัวรับ และก่อนจะไปผมก็ทักเลขาไปอีกเรื่อง

   “คุณน่ะ หัดระวังตัวซะบ้าง แต่งตัวแบบนี้ออกมาเปิดประตูให้คนอื่นได้ยังไง”

   ทันทีที่ทัก อาริสาก็รีบก้มมองตัวเองก่อนจะรีบตะครุบอกเสื้อที่กระดุมหลุดออกจนแทบจะเห็นชั้นในอย่างเขินอาย ผมหัวเราะแล้วจะเดินกลับห้องตัวเองไป นึกถึงหน้าน้องอิงขึ้นมาเลย ถ้าน้องอิงแต่งแบบนี้มีหวังโดนอิฐด่ายับเยิน

   ผมชะงักไป... ก่อนจะใช้นิ้วนวดระหว่างคิ้วตัวเองเมื่อเผลอคิดถึงคนคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว

   “ให้ตายเถอะเพย์”

   

   ผมมีกำหนดการอยู่ลอนดอนเจ็ดวัน การติดต่อธุรกิจเป็นไปด้วยดี เลขาของผมยังไม่ทำพลาดให้ขายขี้หน้าชาวบ้าน แม้จะเงอะงะไปบ้างกับการรัวภาษาอังกฤษไฟแลบ แต่ก็ถือว่าโอเคที่เธอตอบกลับได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องหรือรัวภาษาต่างดาวออกมา งานที่ต้องทำจึงเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่สี่ที่มาถึง เวลานอกจากนั้นก็เป็นโบนัสเอาไว้เที่ยวพักผ่อน

   “คุณอยากไปไหนรึเปล่า ไหนๆ งานก็เสร็จแล้ว ใช้วันที่เหลือไปเที่ยวสิ”

   ระหว่างที่กำลังตรวจงานอื่นๆ อยู่ที่เล้าจ์ของโรงแรม ผมก็เอ่ยถามเลขาที่นั่งอยู่ตรงข้ามลอยๆ ผมไม่อยากให้เธอใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนตัวติดกับเจ้านาย ถ้ามีโอกาสได้เที่ยวก็ควรเที่ยวซะ

   อาริสาเงยหน้าขึ้นจากไอแพดก่อนจะปฏิเสธ

   “มะ... ไม่ค่ะ คือดิฉันไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน”

   “ลอนดอนมีที่สวยๆ เยอะนะ ผมเห็นว่าคุณพกกล้องมาด้วย ไม่ถ่ายไปอวดเพื่อนหน่อยเหรอ” ผมพลิกเอกสารพลางพูดไปด้วย อาริสาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะดันแว่นขึ้น

   “คุณ... คุณเพย์ อยากไปไหนรึเปล่าคะ”

   “ผมเหรอ... ถ้าอยากไปคงอยากไปผับ ว่าจะไปคืนนี้ ร้าน The Porterhouse ตรงย่าน Covent garden น่ะ” ผมตอบไปโดยไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนเลขาสาวผมจะคิด

   “งั้น... งั้นดิฉันไปด้วยได้มั้ยคะ คือ... ดิฉันไม่เคยลองเที่ยวผับเลย ไม่กล้าไปน่ะค่ะ”

   “หืม? เอาจริงเหรอ ไม่เคยไปผับแสดงว่าไม่ค่อยจะเที่ยวสินะ แล้วคุณดื่มเป็นเหรอ?” ผมลองถามดู อาริสาหน้าแดงนิดๆ พยักหน้ารับเหมือนไม่แน่ใจ

   “เคยดื่มบ้างค่ะ ในงานเลี้ยงรุ่นกับงานเลี้ยงมหาลัย”

   ผมอยากจะยกยิ้ม...

   “งั้นตามใจ แต่ผมบอกก่อนว่าผมไม่ดูแลนะ คุณอยากดื่มเอง ต้องดูแลตัวเอง”

   “ค่ะ!”

   

   ผมโทรหาคุณวรรณิศาที่ตอนนี้กำลังไปช็อปปิ้งกับหลานรักและเพื่อนที่อาศัยอยู่ในอังกฤษของเธอเพื่อบอกว่าคืนนี้ผมอาจจะกลับดึกหน่อย ซึ่งฝั่งนู้นก็บอกว่าเธออาจจะไม่กลับเหมือนกัน จะไปค้างบ้านเพื่อนวันนึงเพราะไม่เจอกันนาน เอารัณไปด้วย ผมก็โอเค หายห่วงไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยหลานก็จะได้ไม่เห็นอามันตอนเมาเละ

   ผมนั่งรอเลขาอยู่ด้านล่างเล้าจ์โรงแรมในชุดออกล่า... เอ่อ ชุดออกเที่ยวแบบปกติ เสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสามเม็ดจนเห็นอกแผลมๆ กางเกงยีนส์สีซีดหน่อยกับเข็มขัดหนัง ไม่สุภาพอะไรมากเพราะที่นี่เป็นเมืองที่ผมไม่รู้จักใครและใครก็ไม่รู้จักผม ไม่นานหญิงสาวที่ผมรอจะไปพร้อมกันก็เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาหา ผมย่นคิ้วแล้วทำหน้าเหมือนเห็นตัวประหลาด

   “ใส่อะไรน่ะ”

   “คะ? คือ... ก็ชุดไปเที่ยว”

   อาริสามองตัวเองในชุดปกติฉบับเธอ มันเป็นชุดเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอก... แล้วไอ้แว่นตาเชยสะบัดนั่นอีก...

   ให้ตาย...

   “คุณจะไปผับจริงๆ เหรอ ผมนึกว่าจะเข้าวัด”

   “คุณเพย์ก็พูดเกินไปค่ะ! ดิฉันไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วยเยอะนะคะ ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ชุดทำงาน” หญิงสาวเถียงหน้าดำหน้าแดง ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินนำไปยังรถที่เช่าไว้ใช้ขับในลอนดอน ถึงจะเป็นพวงมาลัยซ้ายก็ไม่มีปัญหา ผมขับได้หมดนั่นแหละ หญิงสาวเดินตามมา เธอไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งตรงไหน หรือจะเป็นคนขับ... เพราะปกติตอนทำงานถ้ามีเลขาไปด้วย ผมจะใช้คนขับรถขับให้ และเธอนั่งข้างหน้า แต่คราวนี้คนขับเป็นผม เธอคงลังเลตำแหน่งที่ถูกที่ควรจนทำให้ไม่กล้าเปิดประตู

   “นั่งหน้า เร็ว”

   “คะ ค่ะๆ”

   ผมออกรถ มุ่งไปยังถนนที่มีร้านเสื้อผ้าเปิดอยู่ ก่อนจะจอดหน้าร้านๆ หนึ่งที่มีเสื้อผ้าหลากสไตล์ ผมลงจากรถแล้วเคาะกระจกเรียกให้คนที่นั่งนิ่งลงตามมา

   “คุณเพย์มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ ผับที่ว่าอยู่ถนนนี้เหรอ” เจ้าตัวคงจะงงๆ เพราะถนนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นสถานที่อโคจรเลยสักนิด ผมผลักประตูร้านเข้าไป พนักงานเข้ามาต้อนรับ ผมชี้ไปทางแม่เลขาที่แต่งเชยสะบัด

   “ช่วยจัดการทำอะไรกับชุดของเธอหน่อยนะครับ”

   พนักงานในร้านมองตามมือผมก่อนจะส่งยิ้มการค้าให้อย่างสวยงาม เธอลากอาริสาเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า ส่วนผมก็นั่งเล่นมือถือรอไป เห็นข้อความจากน้องอิงที่ผมยังไม่ได้อ่าน



   ING : พี่เพย์ไปอังกฤษเหรอคะ

   ING : อิงพึ่งกลับมาถึงไม่เจอพี่เพย์ ถามพี่ภีมก็บอกว่าพี่เพย์ไปประชุมที่อังกฤษ

   ING : ไปเมืองอะไรเหรอคะ?

   ปกติน้องอิงไม่ใช่คนชอบถามซ่อกแซ่ก การที่เธอถามแม้กระทั่งไปเมืองอะไรมันทำให้ผมประหลาดใจ ก่อนจะได้ตอบไป เสียงพนักงานร้านก็เรียกให้ผมหันไปสนใจ

   “เรียบร้อยค่ะมิสเตอร์ ถูกใจมั้ยคะ?”

   ผมมองหญิงสาวรูปร่างสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนในชุดกางเกงหนังขาสั้นสีดำกับเสื้อคอเต่าแขนยาวที่มีเว้าหน้า เว้าหลัง เว้าไหล่สีแดงเลือดนก รองเท้าถูกเปลี่ยนเป็นบูทหนังสีเดียวกับกางเกงทำให้ดูโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวขึ้นเยอะ แม้แว่นตานั่นจะบดบังดวงตาโตๆ ของเธอไปหมดก็ตาม แต่แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะมั้ง

   “ดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนจะไปวัด”

   ผมจัดการยื่นบัตรให้พนักงาน ส่วนอาริสาเอาแต่ยืนบิดไปบิดมาเพราะไม่คุ้นชินกับการแต่งตัว เมื่อจ่ายเงินเสร็จผมก็เดินกลับมาขึ้นรถ หญิงสาวที่ถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าหันมาถามผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

   “ทำไมคุณเพย์ต้องเปลี่ยนชุดให้ดิฉันคะ แล้ว... แล้วค่าชุด เท่าไหร่กันคะ”

   “เอาน่ะ ผมไม่หักเงินเดือนคุณหรอก”

   จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปยังถนน Maiden Ln จอดรถแถวๆ นั้นแล้วเดินนำเข้าไปในร้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์ไอริส วันนี้มีดนตรีสดเสียด้วย ปกติผมไม่ได้ชอบฟังเพลงแนวร็อคเก่าๆ เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นแนวที่ติดหูไปตอนไหน จนลองค้นๆ ดูเลยเจอรีวิวร้านนี้ อยากมาลองสักครั้งก่อนกลับไทยไปเจอเพลงแนวตื๊ดๆ

   หญิงสาวผู้ไม่เคยสัมผัสกับความอโคจรเดินแทบจะตัวติดกับผม คนเยอะมากจนแทบจะไม่มีที่นั่ง อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยล่ะมั้ง จนในที่สุดผมก็สามารถแย่งชิงโต๊ะกับเขาได้ อาริสานั่งตรงข้ามผม มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น ผมเท้าคางถามเธอ

   “ดื่มอะไรดี อยากลองอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

   “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แล้วแต่คุณเพย์จะสั่งให้เลยค่ะ แต่... เอาเบาๆ นะคะ”

   “เอาเบาๆ... คำพูดกำกวม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบว่า เบาไม่เป็น ชอบแรงๆ”

   อาริสากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหน้าแดงเถือกเมื่อเข้าใจความหมาย ผมหัวเราะชอบใจกับปฏิกิริยา สั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองและสาวน้อย

   เมื่อแอลกอฮอล์เข้าปาก คนที่ทำตัวเรียบร้อยก็เริ่มออกลายแผลงฤทธิ์

   ปึก!   

   เสียงวางแก้วเหล้ากระทบโต๊ะทำให้ผมเลิกคิ้ว

   “คุณ เพ้ คุณรู้ตัวมั้ยคะ ว่าคุณน่ะ ทั้งหล่อ ทั้งสุภาพ... อึก เย็นชานี้ดๆ แต่ความจริงแล้วคุณเพ้ ใจดี... มากๆ เลยนะ”

   ผมมองคนที่เริ่มจะเมาแล้วคายทุกความลับในใจออกมา ผมไม่แปลกใจกับสิ่งที่เธอพูดหรอก ผมรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง แต่ผมก็ยังจะชวนเธอออกมา บางทีผมอาจจะอยากให้เธอลองพูดมันออกมาตรงๆ เพราะผมก็จะพูดกับเธอตรงๆ เหมือนกัน

   “ผมน่ะเหรอใจดี คุณคิดไปเองมากกว่า”

   “ไม่นะคะ ไม่เลย...” อาริสาลุกจากเก้าอี้ เดินมาหยุดข้างผมแล้วจับแขนของผมไว้ สายตาผ่านแว่นกรอบโตนั่นฉ่ำวาว แสดงออกมาทุกความรู้สึก “คุณเพย์ใจดี ใจดีมากๆ... ใจดีจนสา... หวั่นไหว”

   เธอคล้องแขนผมพลางซุกหน้าเข้ามา ผมถอนหายใจ เบือนหน้าหนี

   “แต่สารู้ค่ะ ว่าคุณเพย์คงไม่สนใจผู้หญิง... เชยๆ แบบสา”

   “คุณเมาแล้วคายความลับออกมาหมดเลยนะ รู้ตัวมั้ย”

   ผมเตือนด้วยความหวังดี

   “สารู้จุดยืนของตัวเองค่ะ”

   ผมประคองเธอให้นั่งลงอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะไหลและเลื้อยไปมากกว่านี้

   “คุณเหมือนน้องสาวผม แล้วก็เหมือนใครบางคนที่ผมลืมไม่ได้”

   อาริสาสะอึก เธอมองหน้าผมก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามาซัดอีกหนึ่งอึก เหมือนกลืนคำพูดตัวเองลงไป

   “สาเข้าใจค่ะ” เธอแย้มรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้ง “ไปเต้นกันดีกว่า คุณเพย์ สาจะสนุกให้ลืมคุณไปเลย!”

   ว่าแล้วเธอก็ลากผมให้ออกไปตรงแถวๆ เวทีที่มีนักร้องร้องเพลงอยู่ เธอเดินไปโยกตัวอยู่แถวนั้นกับจังหวะร็อคๆ ผมส่ายหัวแล้วเดินไปยืนข้างๆ แสงไฟในนี้ไม่ได้มืดขนาดที่จะทำให้มองใครไม่เห็นเพราะไม่ใช่ผับที่เน้นเต้นแต่เป็นผับนั่งชิลมากกว่า

   จู่ๆ ก็เหมือนกับมีคนชนเข้าที่ด้านหลังของผม ในร้านที่ไม่ใหญ่มากแบบนี้การชนกันเป็นเรื่องธรรมดา ผมกะจะไม่หันไปมองด้วยซ้ำ แต่เสียงที่เอ่ยขอโทษทำให้ผมเอะใจ

   “Sorry”

   ผมใจกระตุกวูบ... ท่ามกลางเสียงเบสหนักๆ แต่ผมกลับได้ยินเสียงนั้นชัดเจน...

   ร่างที่ชนผมค่อยๆ ผละออกไป ผมหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นแผ่นหลังแคบในชุดเสื้อยืดสีดำพอดีตัวที่คุ้นตา... คุ้นจนผมรีบเดินไปคว้าแขนเขาไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะเบียดหายไปกับฝูงชน

   แขนเล็กบางแต่มีเนื้อมีหนังมากขึ้น ผิวละเอียดเนียน สัมผัสที่คุ้นเคย

   ผมดึงแขนนั้นให้หันกลับมา นัยน์ตาโศกคู่เดิมสบกับตาที่เบิกกว้างของผม...

   “อิฐ...”

   เหมือนเวลาหยุดลง... เสียงเพลงใดๆ ล้วนไม่เข้าหูผมแล้ว มีเพียงแค่เสียงแผ่วเบาที่ดังออกจากริมฝีปากสีสดเท่านั้นที่ผมได้ยินชัดเจน

   “คุณเพย์”
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2021 11:49:32
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
เริ่มหัวข้อโดย: foncassi ที่ 15-03-2021 12:02:07
 :impress2:  ดี ต่อใจมมาก