พิมพ์หน้านี้ - Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ZIar ที่ 15-10-2013 17:49:47

หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-10-2013 17:49:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************



สารบัญ

ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2513506#msg2513506), 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2516090#msg2516090), 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2520507#msg2520507), 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2523782#msg2523782), 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2529018#msg2529018), 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2535125#msg2535125), 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2538768#msg2538768), 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2542641#msg2542641), 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2546632#msg2546632), 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2551117#msg2551117), 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2555592#msg2555592), 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2561177#msg2561177), 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2566014#msg2566014), 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2569826#msg2569826), 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2572680#msg2572680), 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2578088#msg2578088), 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2588211#msg2588211), 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2592474#msg2592474), 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2597266#msg2597266), 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2599989#msg2599989), 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2604278#msg2604278), 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2610157#msg2610157) END, Extra (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39617.msg2613131#msg2613131)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมสเน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-10-2013 17:50:22
Rhythm of Lust : กลเกมสเน่หา


-1-


   ภายใต้บรรยากาศสีดำและเทา แว่วเสียงเพลงภาวนาอันแสนวังเวงใจและโศกเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งกำลังทอดสายตาไปยังโลงศพสีขาวที่เคลื่อนตัวลับหายไปในหลุมลึก ดวงตาสีอ่อนของชายหนุ่มฉายความอาลัยอย่างไม่ปิดบัง เพราะร่างที่ทอดกายในโลงสีขาวนั้นคือหญิงสาวซึ่งเคยผูกพันกันด้วยคำสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าบัดนี้ผู้ให้คำสาบานนั้นได้จากไปอย่างไม่หวนกลับ นั่นคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกราวกับว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตและวิญญาณถูกฉีกกระชากหายไปกลายเป็นหลุมดำอันว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงโซ่ทองคล้องใจเส้นหนึ่ง คือเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของความตายได้แต่กอดคอพ่อและมองไปรอบข้างด้วยสายตาสงสัยระคนซุกซนตามวัย

   เด็กหญิงคนนั้นมองมาทางเขาก่อนจะเลยผ่านไปเพราะใบหน้าไม่ได้คุ้นเคยในความทรงจำ เธอไม่ได้แสดงความโศกเศร้า ทุกข์ระทม หรือห่วงหาอาลัย นั่นเพราะเด็กวัยเพียงแค่นี้ยังไม่อาจเข้าใจได้ถึงการจากที่ชื่อว่าความตาย รวมถึงไม่เข้าใจต้นเหตุความเศร้าของพ่อและคนรอบตัว

   และจนกระทั่งเสร็จพิธี แขกเหรื่อพากันแยกย้ายกลับบ้านแต่ก็ไม่ลิมที่จะไปทักทายแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ส่วนตัวเขาก็ยังคงยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสนใจจะสังเกต แม้กระทั่งผู้ชายคนนั้นที่จูงลูกสาวไปส่งแขกที่ต่างก็จากไป ทิ้งบรรยากาศเงียบสงัดของสุสานไว้เบื้องหลัง

   ชายหนุ่มร่างเล็กรอจนกระทั่งแขกกระจายตัวไปหมดแล้วจึงเดินทอดจังหวะเท้าช้า ๆ ไปยังหลุมซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ เขาถอนหายใจพร้อมปรากฏไอสีขาวบางเบาลอยฟุ้งไปในอากาศ และโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเพียงทิ้งดอกไม้ลงไปในหลุมและเดินจากมา ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานยืนรออยู่ไม่ไกล เขายิ้มให้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปน ทั้งประหม่าและแสดงความเสียใจ

   ชายวัยกลางคนทอดสายตากลับมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะพยักพเยิดให้อีกฝ่ายตามขึ้นรถ ทั้งสองทอดสายตามองกลับไปด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลาผู้ที่หลับใหลไปตลอดกาลอย่างเงียบงัน

   พิธีล่ำลาอาลัยแสนเรียบง่ายผ่านพ้นไป เหลือไว้เพียงความทรงจำอันสวยงามยามเมื่อคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และสร้างความสุขให้แก่ผู้คนรอบตัว

   ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงทอดสายตาออกไปเบื้องนอกหน้าต่างซึ่งติดฟิล์มหนา อากาศภายในรถยนต์ยี่ห้อหรูค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่สำหรับตัวเขาที่เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นอากาศภายในรถยนต์คันนี้หรือข้างนอกนั้นก็พาให้หนาวเหน็บจนต้องกระชับเสื้อสูทเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด...

   “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเรียกผมกลับมาเพียงเพื่อร่วมพิธีศพของเธอ” เขาจำต้องเป็นคนเปิดบทสนทนาเพราะไม่อยากจะทรมาณตัวเองด้วยความเงียบอีกต่อไป

   “ไม่พอใจงั้นหรือ?”

   “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิรู้สึกแบบนั้นหรอก อีกอย่าง คุณเองก็ตอบแทนไว้ดีไม่น้อย ดังนั้นที่เรียกผมมาในตอนนี้ก็คงมีอะไรให้ทำอีกสินะครับ?”

   สายตาเยียบเย็นของชายวัยกลางคนเหลือบกลับมามองคนข้างตัวโดยไม่ฉายความรู้สึกใดแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังถูกประชดประชัน

   “ฉันไม่ไว้ใจ”

   “ครับ ผมก็คิดว่าคุณคงจะรู้สึกแบบนั้น” ชายหนุ่มร่างเล็กกรอกตาก่อนปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเพราะเจลที่ทาไว้ลวก ๆ เริ่มอ่อนตัว

   “ถ้าอย่างนั้นคงรู้สินะว่าฉันคิดจะทำอะไร”

   ดวงตาสีดำในกรอบตาเรียวรีกลอกไปสบกับคู่สนทนาก่อนถอนหายใจน้อย ๆ

   “ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยพวกเขาไป ถึงเด็กคนนั้นจะเป็นหลานของคุณแต่ก็เป็นลูกของเขาเหมือนกัน เขาน่าจะมีสิทธิเลือกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ”

   “ฉันตัดสินใจไปแล้ว” ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าคำค้านใด ๆ ก็ไม่มีผล ผู้ฟังจึงเสสายตาออกไปข้างนอกเช่นเดิมและคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ

   เรื่องที่เขา...สมควรจะลืมมันไปเสียที...

-------------------------->

   บรรยากาศของพิธีอำลาผู้จากไปไม่ได้อบอวลแต่เพียงในสุสาน แต่ได้ลุกลามมาถึงภายในรถยนต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวกลับบ้านที่ไม่เหมือนเดิมนับแต่เธอคนนั้นจากไป

   “มามี้?” เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสองปีมองพ่อของตนด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยนพร้อมส่งคำถามสั้น ๆ ตามแบบของเด็กที่ยังพูดไม่คล่องปากนัก แน่นอนว่าเด็กหญิงยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับเธอแล้ว การที่แม่ไม่อยู่นั้นหมายถึงว่าในอีกไม่กี่นาทีแม่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนทุก ๆ วัน ด้วยเหตุนั้นในวันแรก ๆ ของการสูญเสีย เธอจึงถามพ่อของตนแทบทุกชั่วโมงว่าแม่อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับมา และเมื่อไม่ได้เห็นแม่เธอก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งหลับ เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันและคืน จนถึงวันนี้ที่ร่างของผู้เป็นแม่กลับสู่ผืนดินและวิญญาณล่องลอยสู่อ้อมหัตถ์พระผู้เป็นเจ้า เด็กหญิงก็ยังคงถามถึงแม่ของตนอยู่เสมอเมื่อรู้สึกขึ้นมาว่าใครบางคนข้างตัวได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยจะร้องไห้แล้วเท่านั้น

   กระนั้นทุกครั้งที่ถูกถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ลูกของตนรับรู้ว่าแม่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

   “มามี้เขาไปพักผ่อนแล้ว เอเดรียน ตอนนี้ลูกต้องอยู่กับแดดดี้สองคนแล้วนะ” ชายหนุ่มลูบมือไปบนเรือนผมสีน้ำตาลพลางถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองกับมารีนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นถึงเพียงนี้  5 ปีสำหรับความรักอันแสนหวานและความสุขประหนึ่งว่าชีวิตนี้ได้พบที่พักพิงใจในที่สุด ทว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน เพียงข้ามวันทุกอย่างก็พังทลายไปอย่างง่ายดาย

   เด็กหญิงไม่ได้ถามอะไรอีกและไม่ได้ร้องไห้งอแงเพราะถูกทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกสบายใจขึ้นแม้เขาจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อทำความคุ้นชินกับช่วงเวลาที่จะไม่มีรอยยิ้มสดใสคอยต้อนรับเมื่อยามกลับถึงบ้านอีกแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความเหงาของเขาก็คือเขาจะต้องเลี้ยงลูกสาวไปพร้อม ๆ กับการทำงานซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเอเดรียนจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรเมื่อขาดแม่พิมพ์ของชีวิต

   และแม้เขาจะอยากให้ลูกสาวเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขได้โดยไม่มีแม่มากสักเท่าใด เขาก็ไม่อยากจะให้เธอลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งเคยมีมืออันอ่อนโยนของหญิงสาวคอยอุ้มชูดูแลชีวิตเล็ก ๆ นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตและลมหายใจ

   ไม่อยากให้ความรักพิสุทธิ์เลอค่านั้นเลือนรางจางหายไปเหมือนหมอกควัน เมื่อเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นก็อยากจะให้จดจำได้ถึงอ้อมแขนคู่นั้นที่แม้จะบอบบางแต่ก็อบอุ่นเหนือสิ่งใด

-------------------->

   หลายวันหลังจากนั้น พ่อหม้ายมือใหม่ก็ต้องสาละวนกับการสัมภาษณ์พี่เลี้ยงมากหน้าหลายตาซึ่งจะมาทำหน้าที่เลี้ยงดูเอเดรียนในช่วงที่ตนไม่อยู่ ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถูกสำนักงานจัดหางานส่งมาอย่างไม่ขาดสาย พวกเธอมีทั้งคนมีอายุและเด็กวัยรุ่น มีประสบการณ์ ไร้สบการณ์ ความแตกต่างมากมายที่พร้อมจะกลายเป็นแม่แบบสำหรับตัวตนของเอเดรียนในอนาคตทำให้เขาต้องคัดกรองอย่างเข้มงวดแต่ก็ยังไม่มีใครต้องตา นั่นคงเพราะใจจริงของเขากำลังมองหาคนที่เหมือนมารีนที่สุดก็เป็นได้

   ระหว่างที่ยังตัดสินใจเรื่องพี่เลี้ยงไม่ได้ เขาก็ต้องหอบหิ้วเอเดรียนไปที่ทำงานด้วยซึ่งไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยเอาเสียเลย

   แต่แล้วหลายวันต่อมา...เขาก็ได้รับของขวัญที่ไม่คาดฝัน

   ชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้ามีเค้าโครงแบบคนเอเชียกำลังยืนมองประตูบ้านของเขาด้วยสายตากังขาก่อนจะกดออดซึ่งเจ้าตัวคงจะกดมาหลายครั้งแล้วจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้ ตัวเขาที่เพิ่งจะกลับจากการทำงานพร้อมกับเอเดรียนเดินเข้าไปหาผู้มาเยือนก่อนจะเอ่ยถาม

   “ขอโทษครับ คุณมาพบผมหรือเปล่า?”

   ดวงตาเรียวสีดำเงยขึ้นสบกับเจ้าของคำถาม

   “คุณ...อังเดร แอชฟอร์ด?”

   “ใช่ นั่นชื่อผม ไม่ทราบว่าคุณคือ?”

   “คุณเรียกผมว่าชูเลย์ก็ได้” ชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียไหวไหล่ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญให้พร้อมจดหมายแนะนำ เมื่ออังเดรเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นจดหมายจากพ่อตาของตนเองซึ่งกำชับให้รับชายหนุ่มคนนี้เป็นพี่เลี้ยงโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจน ถึงอย่างนั้นอังเดรก็รู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่าคนคนนี้มีใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาชอบกล เพียงแต่ชื่อไม่คุ้นหูจึงคิดว่าอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้

   “ชื่อแปลกดี” เขาว่าก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะขำขันจากว่าที่พี่เลี้ยง

   “ที่จริงแล้วชื่อผมเป็นภาษาจีน ออกเสียงว่า ซูเล่ย น่ะครับ” เจ้าของชื่อออกเสียงให้ฟังเป็นภาษาจีนที่สำหรับคนอเมริกันแล้วมันช่างทรมาณทรกรรมลิ้นเสียเหลือเกิน เมื่อซูเล่ยเห็นสีหน้าปุเลี่ยนจากอีกฝ่ายก็หัวเราะอีกคำรบ “เอาเถอะ ผมชินกับสีหน้าแบบนั้นแล้ว ทีนี้กรุณาเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปสำรวจบ้านใหม่หน่อยสิ”

   “เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้บอกว่าจะรับคุณเลยนะ แล้วคิดจะมากินอยู่ที่นี่จะมากเกินไปหรือเปล่า?” อังเดรมุ่นคิ้วด้วยท่าทางจริงจัง แม้จะเป็นข้อเสนอจากพ่อตา แต่ผู้ชายที่ดูไม่มีมารยาทแบบนี้จะสอนลูกสาวเขาได้จริง ๆ หรือ? ซ้ำเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีบอก จะเชื่อถือได้ยังไงกัน

   “มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิปฏิเสธ เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับเขาก็จะเอาตัวเอเดรียนไป ถ้าถึงชั้นศาลคิดว่าจะสู้เขาได้จริง ๆ หรือ?”

   ชายหนุ่มร่างสูงอึกอัก พ่อตาของเขาเป็นคนที่มีฐานะและชื่อเสียงอยู่พอตัว เมื่อเทียบกับเขาที่ต้องทำงานทุกวันและไม่ได้ฐานะดีเด่อะไรย่อมไม่อาจต่อกรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น เอเดรียนก็เป็นของสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่มารีนเหลือเอาไว้ให้ เขาย่อมไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ใครเอาตัวไปอย่างเต็มใจ ตอนนี้...คงจะต้องยอมไปก่อนกระมัง แล้วหลังจากนี้ค่อยคิดหาทางกันอีกที เมื่อเขาได้พี่เลี้ยงที่เหมาะสม พ่อตาของเขาก็อาจจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เขาเลยก็ตาม

   อังเดรเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านในขณะที่เอเดรียนยืนสบตากับผู้มาเยือนด้วยคำถามที่ฉายในดวงตากลมโต กระนั้นเด็กหญิงขี้อายก็ไม่กล้ามองนานนัก เมื่อซูเล่ยมองกลับเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปเกาะขากางเกงพ่อและแอบมองมาอย่างไม่ไว้ใจ

   “บนชั้นสองมีห้องนอนว่าง ที่จริงมันกลายเป็นห้องเก็บของมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ไปจัดเอาแล้วกัน”

   อาจเพราะไม่ได้เต็มใจต้อนรับแต่แรก การแสดงออกของอังเดรที่มีต่อผู้มาเยือนจึงเต็มไปด้วยความเย็นชาและคล้ายจะขับไล่ไสส่งอยู่กลาย ๆ กระนั้นซูเล่ยเองก็มีเหตุผลที่กลับไม่ได้เช่นกัน เขาโคลงศีรษะอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนพาตนเองตามหลังเจ้าของบ้านขึ้นไปดูห้องนอนซึ่งเวลานี้ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเคยใช้ให้คนนอนมาก่อน เพราะมันเต็มไปด้วยข้าวของที่สมควรจะโยนทิ้งหรือขายเลหลังจนมองไม่เห็นเตียงเล็ก ๆ ที่แอบอยู่อีกฝั่ง

   “พวกนี้ทิ้งได้หมดหรือเปล่า?”

   “ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านมองไปรอบ ๆ แล้วไม่คิดว่าจะมีของสำคัญ แต่แล้วเอเดรียนกลับวิ่งเข้าไปในห้องและกอดตุ๊กตาตัวหนึ่งแน่น

   “เอเดรียนเอาน้องต่าย”

   “แต่ว่ามันสกปรกแล้วก็ขาดหมดแล้วนะเอเดรียน” อังเดรถอนหายใจแล้วย่อตัวลงเพื่อขอตุ๊กตาพัง ๆ คืนจากเด็กหญิงตัวน้อย เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าเอเดรียนชอบมันมากแค่ไหน ตอนที่มันขาดและบอกจะเอาไปทิ้ง เอเดรียนร้องไห้งอแงจนมารีนใจอ่อนบอกว่าให้น้องกระต่ายไปพักก่อนแล้วก็โยนมันไว้ในห้องว่างจนถึงบัดนี้ พอมาเห็นอีกครั้งทำให้เด็กหญิงจำได้ว่าตนเองเคยมีของรักชิ้นนี้อยู่ ทำให้ยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย

   “เอเดรียนจะเอาน้องต่าย” เด็กหญิงร้องเบะปากทำท่าจะร้องไห้เมื่อพ่อไม่ยอมให้พาไปด้วย อังเดรไม่รู้จะทำอย่างไรก็คิดว่าคงต้องปล่อยให้กอดไปสักพักคงจะยอมปล่อยเอง แต่ซูเล่ยกลับเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับหูยาว ๆ ที่ห้อยแกว่งอยู่ข้างตัวตุ๊กตา

   “เอเดรียนจะปล่อยให้คุณกระต่ายบาดเจ็บแบบนี้หรือ? ให้พี่เอาคุณกระต่ายไปรักษาแล้วก็อาบน้ำสักหน่อยดีกว่าไหม?” คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้เด็กหญิงลังเล แต่เมื่อหันไปมองพ่อที่อาจจะแอบเอาไปทิ้ง เอเดรียนจึงปาดน้ำตาแล้วส่งตุ๊กตากระต่ายให้ซูเล่ยแต่โดยดี

   ชายหนุ่มรับกระต่ายก่อนส่งสายตาให้อังเดรคล้ายกำลังอวดฝีมือตนเองทำให้คนมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้ามากกว่าเดิม

   “ตอนนี้พวกคุณช่วยออกไปได้แล้ว ผมจะได้จัดการห้องรก ๆ นี่เสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมจะไปนอนเบียดบนเตียงคุณแทน”

   อังเดรได้ยินก็ขึงสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งมากันนะ? มันน่าสงสัยจริง ๆ

   คืนนั้นหลังส่งเอเดรียนเข้านอน ชายหนุ่มก็โทรไปหาพ่อตาซึ่งไม่ถูกกับตนนักเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ตอนที่ได้ยินคำทักทายสั้น ๆ จากปลายสาย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที

   “ไม่ได้คุยกันเสียนานนะครับคุณพ่อ”

   “พูดแบบนี้จะโทษว่าฉันไม่ค่อยได้โทรไปคารวะลูกเขยหรือยังไง”

   เพราะชอบประชดประชันแบบนี้นี่แหละถึงได้ไม่อยากคุย...

   “เปล่าครับ เป็นผมเองที่ไม่ค่อยมีเวลาโทรไปหา เพียงแต่วันนี้ผมมีเรื่องจะมาถามก็เลยโทรมาเสียดึก หวังว่าจะไม่รบกวนจนเกินไป”

   “ในเมื่อรู้ว่ารบกวนก็รีบ ๆ พูดให้จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องซูเล่ยล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันเขียนในจดหมายไปชัดเจนดีแล้ว หรือว่ามีอะไรไม่เข้าใจอีก?” ชายวัยกลางคนกระหวัดหางเสียงอย่างเฉียบขาดเสมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าอย่างไรอังเดรก็ต้องทำตามที่ตนเองต้องการและห้ามมีข้อสงสัย ด้วยนิสัยเผด็จการแบบนี้เองที่ทำให้อังเดรไม่ชอบพ่อตาของตนเองเอาเสียเลย เป็นโชคดีที่มารีนไม่ได้นิสัยเช่นนี้ติดตัวมาด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่มีคำถามแล้ว...”

   “แต่ฉันมี”

   เมื่ออังเดรจะวางสาย อีกฝั่งกลับชวนพูดต่อเสียอย่างนั้น

   “สมบัติส่วนตัวของมารีนอยู่ในชื่อของเอเดรียนทั้งหมด แกคงได้ยินจากทนายแล้ว แต่ยังไงแกก็เป็นผู้ดูแลโดยชอบธรรม ฉันหวังว่าแกจะเห็นแก่มารีนและเอเดรียน...” หลังจากฟังอยู่สักพักอังเดรจึงได้เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อตา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูก

   “คุณพ่อคิดว่าผมจะเอาสมบัติลูกเมียมาผลาญเล่น หรือเอาไปปรนเปรอผู้หญิงหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมจะดูแลอย่างดีไม่ให้ตกหายไปสักสตางค์แดงเดียว ถ้าคุณพ่อไม่มั่นใจ จะเอาบัญชีไปดูแลเองก็ได้เพราะผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างเอาเงินทองไปใช้สอยอยู่แล้ว”

   “หึ งั้นก็ดี” อีกฝ่ายเมื่อเห็นลูกเขยแข็งข้อก็ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าให้ดีเฉพาะตอนมารีนยังอยู่ก็แล้วกัน”

   ทั้งสองต่างวางสายใส่กันด้วยความขุ่นใจ สนทนากันทีไรก็จบลงแบบนี้ทุกทีถึงได้หลีกเลี่ยงการพบหน้ากันแม้กระทั่งในวันฝังศพมารีน แต่ในที่สุดอังเดรก็เข้าใจว่าทำไมพ่อตาจึงได้ส่งซูเล่ยมาที่บ้าน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาดูแลเอเดรียน แต่เพื่อจับตาดูเขาไม่ให้นอกลู่ทางต่างหาก ความจริงที่ได้พบทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่ชอบใจการมาของซูเล่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ

   “พวกของเล็ก ๆ ผมเอาใส่ถุงดำหมดแล้ว ส่วนของใหญ่ผมกองไว้มุมห้องก่อนเพราะหลายชิ้นดูจะยังใช้ได้” ซูเล่ยถือถุงดำใส่ขยะชิ้นเล็กเดินลงมาขากชั้นสอง และได้เห็นอังเดรปั้นสีหน้าขุ่นเคืองใจอยู่หน้าโทรศัพท์ก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงชะงักคำพูดไว้แค่นั้นและเดินเลี้ยวไปทางประตูบ้านเพื่อนำขยะไปทิ้ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงหันกลับไปมอง

   “เครื่องดูดฝุ่นอยู่ในห้องใต้บันได ใช้เสร็จแล้วก็เก็บเข้าที่ด้วยแล้วกัน” อังเดรพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินไปทางบันไดเพื่อพักผ่อนเสียที ทว่าหูกลับแว่วเสียงเปรยเบา ๆ ตามหลังมา

   “แต่ก่อนไม่ใช่คนขี้โมโหแท้ ๆ ...”

   “อะไรนะ?”

   “ครับ?” ซูเล่ยหันกลับมาตอบรับด้วยสีหน้าสงสัย ทำให้อังเดรชะงักและคิดว่าบางทีตนเองอาจจะหูแว่วก็เป็นได้จึงโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นชั้นสองไป เมื่อชายหนุ่มร่างสูงลับตาไปแล้ว ซูเล่ยก็ลอบแย้มรอยยิ้มกับตนเอง “ช่างเป็นผู้ชายที่ความจำสั้นเสียจริง ๆ แต่ก็คงไม่แปลก...มันตั้ง 5 ปีแล้วนี่นะ”

   เวลา 5 ปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปได้มากมาย ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็ดูไม่เหมือนคนเดิมที่ต่างคนต่างจำได้ แตกต่างก็เพียงเมื่อ 5 ปีก่อนเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาแต่แรก แต่อังเดรไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งวันที่เขาหายตัวไปจากโลกของเจ้าตัว

   ขี้โกงจริง ๆ ที่มีเขาคนเดียวที่จดจำอีกฝ่ายได้ทุกเวลา...

--------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมสเน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-10-2013 17:51:43
   เสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าตรู่แหวกผ่านม่านสลัวรางสู่โสตประสาทเจ้าของห้องซึ่งพลิกตัวมากดปิดด้วยความเคยชินและลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แสดงอาการอิดออด อังเดรหยิบผ้าขนหนูมาพันท่อนล่างซึ่งสวมแต่บอกเซอร์และเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนลงมาเข้าครัวเพื่อหาอะไรกินก่อนไปทำงาน แต่แล้วสายตาของเขาก็สะดุดกับร่างที่ขดตัวกลมกอดผ้าห่มผืนบางอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น

   หนาวแบบนี้ทำไมมานอนบนโซฟาทั้งคืน?

   “ตื่นได้แล้ว” อังเดรเข้าไปเขย่าตัวเบา ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ซูเล่ยใช้เวลาอยู่สักพักจึงลืมตาขึ้นมองคนปลุกแล้วตลบผ้าคลุมศีรษะอย่างงัวเงีย “เธอสำนึกตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำกินนอนบ้านคนอื่นเขา เลิกทำตัวขี้เซาและลุกไปล้างหน้าแปรงฟันซะ” ชายหนุ่มไม่ชอบซูเล่ยอยู่แล้วจึงรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง กระทั่งสรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพในตอนแรกยังเปลี่ยนเพียงข้ามวัน

   เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังดื้อแพ่งด้วยความเงียบ อังเดรจึงกระชากผ้าห่มออกแล้วยืนมองมือสีซีดที่เริ่มสั่นเทาควานหาไออุ่น

   “รู้ว่าหนาวทำไมไม่ไปนอนในห้อง?”

   “ห้องที่มีแต่ฝุ่นจับเหนียวจนแทบจะเป็นรังหนูน่ะหรือครับ?” ซูเล่ยปรือตามองพลางยกมือขึ้นถูกันเองเพื่อบรรเทาความหนาวก่อนพลิกตัวนั่งแล้วขดขาเข้ามากอด “ผมคุ้ยผ้าสะอาดออกมาได้ก็บุญโขแล้ว” ถึงแม้ผ้าผืนนี้จะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่ามีแค่เสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนส์
   อังเดรพ่นลมหายใจแล้วโยนผ้าห่มคืนให้

   “วันนี้ฉันจะพาเอเดรียนไปที่ทำงานด้วย เธอก็ใช้เวลาทำความสะอาดห้องไปก็แล้วกัน ฉันไม่อยากมีเรื่องกับพ่อตาตัวเองเพียงเพราะพี่เลี้ยงเด็กเกิดป่วยขึ้นมา”

   เสียงหัวเราะคิกหลังสิ้นประโยคทำให้ชายหนุ่มร่างสูงมุ่นคิ้วและหันมองคนที่ยังขดตัวเหมือนเด็ก ๆ

   “เขาไม่มาทะเลาะกับคุณเพียงเพราะผมป่วยหรอก ถ้าคุณขัดใจเขาต่างหากล่ะถึงจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว” ซูเล่ยตลบผ้าไว้ข้างตัวแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “ผมจะทำข้าวเช้าให้แล้วค่อยจัดการตัวเองแล้วกัน เป็นพ่อหม้ายมือใหม่คงยังไม่ชินกับการทำงานบ้านจริงไหมล่ะ?”

   “แล้วเธอทำได้ดีกว่าฉันหรือยังไง?” อังเดรกอดอก

   “สกิลทำงานบ้านของผมดีกว่าแม่บ้านอเมริกันหลาย ๆ คนก็แล้วกัน” พี่เลี้ยงซึ่งตอนนี้ทำท่าจะควบตำแหน่งพ่อบ้านไปด้วยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือคุณอยากจะได้ตำแหน่งคนแก้เหงาด้วย ผมก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ”

   สิ้นประโยค สีหน้าของอังเดรก็เริ่มจะบอกความรู้สึกไม่ถูก

   “ผมล้อเล่นน่า” ซูเล่ยตบบ่าอีกฝ่ายแล้วเดินผ่านไป “แต่งตัวแล้วปลุกเอเดรียนได้เลย ผมจะเตรียมอาหารที่พวกคุณคิดไม่ถึงไว้ให้”

   หลังประกาศกร้าวออกไปเช่นนั้นแล้ว ซูเล่ยก็พบว่าตนเองอยากจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ออกเสียจริง ๆ เพราะหลังจากเปิดตู้เย็น และตู้เก็บของแห้ง เขากลับพบเพียงแค่แป้งแพนเค้ก ซีเรียลกล่อง ไข่ นม และโยเกิร์ตอย่างละนิดละหน่อย ผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นพ่อบ้านอยู่ในตัวเอาเสียเลยจริง ๆ พอไม่มีมารีนก็ไม่มีคนคิดถึงเรื่องอาหารการกินเลยหรือ? อย่าบอกนะว่าเลี้ยงเอเดรียนมาหลายวันด้วยออมเล็ต ซีเรียล และอาหารไมโครเวฟ?

   และเพราะไม่มีวัตถุดิบให้เลือกมากนัก สุดท้ายอาหารเช้าจึงเป็นไข่ดาว แพนเค้ก และนมคนละชุด ตอนที่อังเดรพาเอเดรียนมาถึงโต๊ะอาหารก็ถึงกับมุ่นคิ้วด้วยความสงสัยว่ามันแตกต่างจากที่เคยกินยังไง? แต่เจ้าตัวก็คาดเดาเอาไว้อยู่แล้วเพราะในบ้านแทบไม่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารอยู่เลย

   มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่ต่างจากเช้าอื่น ๆ อังเดรและเอเดรียนออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ทัน 8 โมงดี ซูเล่ยจึงเริ่มลงมือทำความสะอาดห้องต่อโดยลำพัง เขามองเฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ พลางคิดว่าจะสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง เขาจัดการลากเฟอร์นิเจอร์ตั้งไว้มุมต่าง ๆ ของห้องให้เหมาะกับการใช้งาน ส่วนที่เกินความจำเป็นก็ลากไปกองกันไว้มุมหนึ่ง แม้จะทำให้ดูคับแคบไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีบริเวณเลย จากนั้นจึงกลับไปทำความสะอาด ปัด กวาด เช็ด ถู เท่าที่จะทำได้จนห้องดูเป็นห้องนอนขึ้นมา พวกผ้าที่ฝุ่นจับก็โยนลงเครื่องซักไป

   ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ถูกเติมเต็มด้วยเสื้อผ้าที่ซูเล่ยขนมาด้วยซึ่งความจริงแล้วก็มีไม่มากนัก ตอนที่จัดตู้เสร็จ เครื่องซักผ้าก็ทำงานเสร็จพอดีเช่นกัน เขานำผ้าไปตากแดดและนำกระต่ายของเอเดรียนที่ซักตากไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาเย็บเสียใหม่ให้ดูดี

   ในขณะที่ซูเล่ยกำลังชื่นชมผลงานของตนเอง เจ้าของบ้านทั้งสองก็กลับมาพอดีทำให้ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าเวลาผ่านไปมากขนาดนี้แล้วและเขายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อเที่ยง ซ้ำยังไม่ได้ออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นด้วย ในที่สุดทั้งสามจึงต้องสั่งอาหารเดลิเวอรี่มาแก้ขัดไปอีกวันหนึ่ง

   “คุณพอจะมีหมอนกับผ้าห่มสักชุดไหม?” ตอนเก็บขยะทิ้งซูเล่ยก็นึกได้จึงถามขึ้นมา

   “เดี๋ยวฉันจะจัดไว้ให้ ก่อนนอนมาเอาที่ห้องก็แล้วกัน” อังเดรกล่าวขณะอุ้มเอเดรียนขึ้นด้วยอ้อมแขนเพราะถึงเวลาควรจะนอนได้แล้ว เอเดรียนอิดออดงอแงอยู่เล็กน้อยตามประสาเด็กแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถประท้วงได้สำเร็จ โดยเฉพาะตัวเด็กหญิงเองก็เริ่มจะหาวและตาปรือจึงถูกพาตัวขึ้นห้องไป เมื่ออังเดรเปิดประตูห้องก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบสิ่งแปลกปลอมวางอยู่บนเตียงเด็ก เขาเปิดสวิตช์ไฟและเมื่อห้องสว่างขึ้นจึงพบว่ามันคือตุ๊กตากระต่ายสีชมพูขนาดพอ ๆ กับเด็กอ่อนที่ถูกซักจนสะอาดสะอ้านและเย็บปิดรอยขาดทั้งหมดอย่างแนบเนียน ดวงตาที่หลุดหายไปข้างหนึ่งถูกแทนที่ด้วยกระดุมเม็ดเล็กเช่นเดียวกับตาอีกข้างที่ถูกเลาะออกแล้วเย็บกระดุมเป็นแทนให้ดูไม่ผิดแปลก ชายหนุ่มวางลูกสาวลงบนเตียงและเมื่อเธอได้เห็นกระต่ายตัวโปรดในสภาพใกล้เคียงกับที่จำได้ก็โผเข้ากอดด้วยความคิดถึง

   คืนนี้เอเดรียนไม่ร้องไห้ ไม่งอแง ไม่ร้องหาแม่ให้มาเล่านิทาน เธอกอดกระต่ายแล้วคลานไปหาหมอนด้วยตัวเองก่อนล้มตัวลงนอนด้วยความสุข

   “เอเดรียนนอนกับน้องต่าย”

   เห็นลูกสาวได้นอนอย่างสุขใจในรอบหลายวัน อังเดรก็ยิ้มออก

   “น้องต่ายสะอาดดีแล้ว แดดดี้ยอมก็ได้” เขาโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนเดินไปปิดสวิตช์ไฟและผละออกมาอย่างเงียบเชียบ

   อังเดรกลับห้องตัวเอง จัดเตรียมเครื่องนอนให้พี่เลี้ยงคนใหม่ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วและกำลังอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่ในห้อง เขาเดินออกไปเปิดรับโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ซูเล่ยมารับเครื่องนอนของตนเองเพื่อที่คืนนี้จะไม่ต้องนอนหนาวทั้งที่ไม่มีผ้าห่ม

   ชายหนุ่มร่างสูงถือเครื่องนอนส่งให้แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในมุมก้มและผมร่วงลงปรกหน้าเล็กน้อยก็เกิดสะกิดใจขึ้นมาอีกครั้งว่าดูคุ้นตาทว่าแสนเลือนราง

   พอถูกจ้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ซูเล่ยก็เหลือบตาขึ้นมองก่อนยิ้มมุมปาก

   “หน้าผมมีอะไรติดหรือครับ?”

   “...เปล่า” อังเดรตอบสั้น ๆ แล้ววางหมอนลงบนพับของผ้านวมผืนหนา “จริงสิ ขอบคุณเรื่องกระต่ายด้วย เอเดรียนชอบมากทีเดียว”

   “เรื่องเล็กน้อย ผมแค่หวังว่ามันจะช่วยซื้อใจลูกสาวคุณได้”

   “ก็อาจจะ” ดูจากที่เอเดรียนยอมยกกระต่ายสุดรักสุดหวงให้ซูเล่ยเป็นคนจัดการแทนที่จะเป็นพ่อ ก็น่าจะบ่งบอกได้ว่าใจของเด็กหญิงเริ่มยินยอมให้คนแปลกหน้าคนนี้แทรกเข้ามาบ้างแล้ว

   “แบบนั้นงานของผมก็ง่ายขึ้น” ว่าจบ ซูเล่ยก็หอบเครื่องนอนกลับห้อง อังเดรเองก็เข้านอนเช่นกันแม้จะยังกังวลจุดประสงค์ของพ่อตาและพี่เลี้ยงคนใหม่อยู่บ้างก็ตาม

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมสเน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 15-10-2013 18:57:14
อุ้ย เรื่องใหม่ชอบจังค่า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมสเน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 15-10-2013 22:53:35
น่าสนุกจัง....... :pig2:........... +1  ให้ก่อนเลยนะค่ะ   :mc4:ขอบคุณที่แต่นิยายดีๆๆให้พวกเราได้อ่านนะค่ะ   พวกเราจะขอสัญญาว่าจะตามอ่าน จนจบเรื่องเลยนะค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 16-10-2013 00:05:50
เรื่องใหม่><
ตอนแรกที่นายเอก(รึเปล่า) ปากกล้ามาก  ที่ขอเข้าบ้านและบลาๆ  เราก็คิด นี่นายเป็นลูกจ้างนะเฮ้ย
คำพูดไม่สมควรอย่างยิ่ง  แต่ว่าอ่านไปอ่านมา  เขาน่าจะรู้จักกันมาก่อน (รึเปล่า)
นายเอกของเรา(?) ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำขนาดนี้ 
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-10-2013 03:18:06
เรื่องใหม่น่าสนใจมากๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 16-10-2013 12:57:50
ซูเล่ยหน้าสนใจแปลกๆ
รู้สึกเหมือนมีเสน่ห์ดึงดูด  :hao7:
ติดตามฮะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: qbbgey ที่ 17-10-2013 15:55:57
ถูกอย่างมีเบื้องหลัง และเงื่อนงำ...
น่าติดตามมากๆ เลยค่ะ จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
 o18
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 17-10-2013 16:32:35
น้องต่าย... 5555 นี่มันเรื่องอะไรกันนะ น่าสนุกนะเนี่ย

เป็นไงมาอย่างไรไม่รู้ ชวนติดตามล่ะ

คู่นี้สินะ พ่อหม้ายและพี่เลี้ยง อิอิ น่าสน!!!

 รอตอนหน้าคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-10-2013 22:10:34
-2-


   หลังจากเริ่มชีวิตอยู่ร่วมกัน อังเดรและซูเล่ยก็ทำตัวคล้ายอยู่กันคนละโลกราวกับจงใจเพราะพวกเขาต่างก็ไม่มีอะไรจะพูดคุยกัน ในแต่ละวัน มื้อเช้าแทบจะไม่มีบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสอง เว้นแต่เอเดรียนจะชักชวนให้พูดคุยกับเธอที่ยังพูดไม่คล่องนัก และเมื่ออังเดรออกไปทำงาน ก็จะเหลือเพียงซูเล่ยกับเอเดรียนอยู่ด้วยกันเพียงสองคน ถึงตอนนี้ เด็กหญิงเริ่มจะสนิทสนมกับพี่เลี้ยงมากขึ้นแล้ว และเธอก็ดูจะถูกใจเสียด้วย

   “ซู เล่นกัน” ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังล้างจาน เอเดรียนก็มาเกาะชายผ้ากันเปื้อนแล้วทำหน้าอ้อนวอน

   “ล้างจานเสร็จแล้วพี่จะตามไปเล่นด้วยนะ ทำไมเอเดรียนถึงไม่เล่นกับน้องกระต่ายล่ะ?”

   “น้องต่ายอยากเล่นกับซูด้วย” เด็กหญิงกอดตุ๊กตาแกว่งไปมา

   “อีกห้านาที ตกลงไหม? ระหว่างนี้เอเดรียนลองคิดว่าจะเล่นอะไรไปก่อน” เธอฟังข้อเสนออย่างตั้งใจก่อนพยักหน้าแล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้อง ซูเล่ยมองดูร่างเล็ก ๆ พลางถอนหายใจ เขาไม่ใช่คนรักเด็กสักเท่าไหร่และไม่ได้คาดคิดเลยว่าตนเองต้องมาทำเรื่องแบบนี้ แต่อย่างน้อยเอเดรียนก็ไม่ได้ซุกซนจนเป็นลิงเป็นค่าง แค่บางทีก็มักยืนยันความตั้งใจอย่างแน่วแน่เสียจนยากจะปฏิเสธ

   หลังจากล้างจานเสร็จแล้ว ซูเล่ยก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและได้เห็นเด็กหญิงกำลังทำอะไรบางอย่างกับชั้นวางแผ่นซีดี

   เขาเห็นท่ายืนเขย่งและพยายามปีนป่ายของเธอก็อดขำไม่ได้

   “เอเดรียนทำอะไรอยู่?”

   “เอเดรียนจะช่วยแดดดี้ทำงาน”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปดูแผ่นซีดีบนชั้นก่อนหยิบลงมาให้เด็กหญิงเลือก เธอคว้าแผ่นใกล้มือแล้ววิ่งไปที่เครื่องเล่นซีดี แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้แม้จะได้เห็นผู้ใหญ่ทำบ่อย ๆ ก็ยังไม่สามารถตีความได้ว่าควรจะทำขั้นตอนอย่างไรจึงจะถูกต้อง ดังนั้นเอเดรียนจึงได้แค่จิ้มปุ่มมั่ว ๆ ด้วยนิ้วเล็กสั้นของเธอและหงุดหงิดใจที่เครื่องไม่ยอมทำงาน ซูเล่ยอุ้มอีกฝ่ายออกมาและเปิดเครื่องให้และให้เอเดรียนเป็นคนวางแผ่นซีดี

   เสียงดนตรีคลาสสิกดังออกมาเป็นจังหวะวอลซ์ ซูเล่ยหยิบกล่องขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นเพลงคลาสสิกทั้งหมดรวมถึงแผ่นอื่น ๆ ที่อยู่ในชั้นวางเดียวกันด้วย

   ไม่ทันที่เขาจะเข้าไปเก็บแผ่นบนพื้น เด็กหญิงก็เดินเข้ามาคว้ามือและแกว่งไปมา

   “ช่วยกันทำงานนะ”

   “แดดดี้ทำงานอะไรหรือ?” จะว่าไป...เขาไม่ได้สนใจชีวิตส่วนตัวของคนคนนี้สักเท่าไหร่เลยนี่นะ ไม่ว่าการงานหรือครอบครัว เพราะหน้าที่ของเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

   “แดดดี้สอนคนเต้นรำ เอเดรียนจะสอนซูเต้นรำ”

   จู่ ๆ ซูเล่ยก็นึกขำขึ้นมา ท่าทางเคร่งขรึมดูมีมาดตลอดเวลาของผู้ชายคนนั้นติดมากับอาชีพเองหรอกหรือ

   “พี่ไม่เคยเต้นรำมาก่อน เอเดรียนลองเต้นกับน้องกระต่ายให้ดูก่อนได้ไหม?”

   เด็กหญิงพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนเดินไปอุ้มกระต่ายตัวโปรดและเริ่มหมุนไปรอบ ๆ ตามจังหวะดนตรี มีโยกตัวบ้างเป็นบางที ซึ่งมองไปแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการเต้นแบบไม่อาศัยจังหวะช่วยสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นเอเดรียนกลับดูสนุกสนานอย่างไร้เดียงสาเหมาะสมกับช่วงวัย

   เมื่อผ่านไปแทร๊กหนึ่ง เด็กหญิงก็เริ่มหันมาชวนพี่เลี้ยงอีกครั้ง

   เธอดึงมือซูเล่ยให้ยืนขึ้นและชายหนุ่มก็ไม่รู้จะอ้างอะไรอีกจึงลุกขึ้นยืนตามความต้องการและเดินไปรอบ ๆ ตามการดึงของเด็กหญิงที่คิดว่าตนเองกำลังเต้นรำอยู่

   “ที่ทำงานแดดดี้ก็เต้นกับเอเดรียนหรือ?”

   เด็กหญิงส่ายหัว

   “แดดดี้เต้นกับยูล่า”

   “ยูล่า?”

   เมื่อถูกถามเหมือนให้อธิบาย เอเดรียนก็มุ่นคิ้วจนแทบเป็นปม เพราะเธอยังพูดไม่คล่องและคิดคำได้น้อย บางครั้งเธอจึงไม่สามารถพูดทุกอย่างที่ต้องการออกมาได้ในทันที

   “ยูล่าตัวสูงเหมือนซู ผมยาวเหมือนเอเดรียน”

   “เธอเต้นกับแดดดี้ทุกครั้งหรือเปล่า?”

   เอเดรียนพยักหน้ารับแทนคำตอบ ซูเล่ยจึงพออนุมานได้ว่าเป็นผู้ช่วยสอน หรือไม่เธออาจจะเป็นคนสอนและอังเดรเป็นผู้ช่วยก็อาจเป็นได้เช่นกัน ฟังจากชื่อ อาจจะมีเชื้อละตินคงจะเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์น่าดู เขาอาจจะต้องหาทางไปพบดูสักครั้งและดูท่าทีของทั้งสอง

   “ยูล่าใจดี เต้นเก่งมาก ๆ” เด็กหญิงยังคงพยายามอธิบายถึงลักษณะของผู้หญิงซึ่งเป็นหัวข้อสนทนา เธอยกไม้ยกมือพลางกลอกตาเพื่อคิดหาคำที่เหมาะสม

   “เอเดรียนชอบยูล่ามากเลยหรือ?”

   เธอพยักหน้าอีกครั้ง

   “ยูล่ากับพี่ เอเดรียนชอบใครมากกว่า?” ซูเล่ยแกล้งถาม เพราะด้วยคำถามเช่นนี้ เด็กมักจะสับสนว่าควรจะตอบตามความจริงหรือควรตอบให้ผู้ฟังพอใจ ซึ่งเอเดรียนเองก็เป็นเช่นนั้น เธออึกอักอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า

   “ชอบแดดดี้ที่สุด”

   “ขี้โกงนี่ ไม่ได้อยู่ในช้อยส์เสียหน่อย” เด็กหญิงฟังแล้วยิ้มแป้นแล้นน่าหมั่นเขี้ยว ทำให้ซูเล่ยรู้ได้ในตอนนั้นเองว่าเด็กคนนี้ฉลาดใช่ย่อยเลยทีเดียว

------------------------------------>

   เสียงดนตรีคลาสสิกจังหวะเนิบช้าพาให้เคลิบเคลิ้มไปกับภวังค์ของบทเพลง ทว่าสำหรับเด็กรุ่นใหม่แล้ว ดนตรีแบบนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับการฟัง และถึงแม้จะมีการเต้นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ดูน่าสนใจขึ้นเพียงเล็กน้อยหากว่าการเต้นนั้นยังคงยึดติดกับแบบแผนการก้าวเท้าซ้ำไปมา

   เด็กหนุ่มสาวชั้นมัธยมปลายต่างจับมือกันก้าวเท้าอย่างไม่จริงจัง เพียงแค่รอให้เวลาเรียนหมดไปและจะได้ไปเรียนวิชาอื่นที่น่าเบื่อไม่ต่างกันเสียที

   “เอาล่ะ ดีมาก ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเราจะเริ่มจังหวะละตินกัน” เมื่อได้ยินผู้สอนว่าเช่นนั้น พวกเด็ก ๆ ก็มีความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาว่าวิชานี้อาจจะน่าเบื่อน้อยลง เพราะจังหวะลาตินมีความสนุกสนานและท่าเต้นพลิกแพลงโลดโผนต่างกับการเต้นแบบบอลรูมที่เรียนกันมาตลอดเดือน

   เด็กนักเรียนต่างพากันเดินตบเท้าออกจากห้องว่างสำหรับกิจกรรมซึ่งถูกใช้เป็นห้องสำหรับเรียนลีลาศไปในตัว อังเดรเก็บแผ่นซีดีใส่กระเป๋าในขณะที่หญิงสาวอีกคนเดินไปเก็บวิทยุพกพาใส่กระเป๋าใบใหญ่อีกใบ

   “ขอบคุณที่วันนี้มาช่วยถึงโรงเรียนนะยูล่า” อังเดรกล่าว โดยปกติแล้วเขาจะมาสอนเพียงคนเดียวหรือไม่ก็มาพร้อมกับน้องชายหากอีกฝ่ายว่างอยู่ และจะรับอาสานักเรียนหญิงในห้องเป็นคู่เต้นตัวอย่าง และจ้างยูล่าให้ช่วยดูแลที่โรงเรียนสอนเต้นรำเท่านั้น แต่พอดีว่าวันก่อนยูล่าออกปากอยากลองสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนดูบ้างจึงขอติดตามมาในวันนี้ซึ่งอังเดรก็ไม่นึกแปลกอะไร

   “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฉันเองก็ชอบเด็ก ๆ อยู่แล้ว พอช่วงนี้เอเดรียนไม่ค่อยได้มาก็เหงา ๆ นิดหน่อยน่ะค่ะ” ยูล่าหัวเราะพลางปัดผมสีดำยาวไปด้านหลัง

   “ที่โรงเรียนก็ใช่ว่าจะมีแต่คนแก่ ๆ มาเรียนนี่ครับ?”

   “แหม...แต่พวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนก็เก่งกันหมด แทบจะไม่ต้องพึ่งพาฉันแล้ว”

   “เพราะคุณสอนได้เก่งต่างหาก” อังเดรยิ้มบางให้หญิงสาวก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “ใกล้จะได้เวลาเริ่มเรียนของที่โรงเรียนแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ” ว่าแล้วอังเดรก็รวบเป้ใส่ของขึ้นสะพายก่อนเดินนำออกไปโดยมียูล่าเดินไว ๆ ตามหลังมาติด ๆ เธอลอบมองแผ่นหลังกว้างของคนเบื้องหน้าด้วยสายตามีความหมายและลอบยิ้มกับตนเองกึ่งปลงกึ่งมีความหวัง

---------------------------->

   หลายชั่วโมงกว่าที่เอเดรียนจะเบื่อการ ‘ช่วยแดดดี้ทำงาน’ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จะมีพลังงานเหลือเฟือจนแม้แต่ผู้ใหญ่ยังต้องยอมแพ้ และจะยอมหยุดใช้พลังงานที่มีก็ต่อเมื่อท้องหิวเท่านั้น หลังจากกินอิ่มก็คล้ายเข้าสู่ระยะพักตัว จะเล่นอยู่เฉย ๆ ได้ไม่นานก่อนจะเริ่มผลาญพลังงานอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนวันนี้เอเดรียนจะอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษจึงได้ร้องจะฟังเพลงทั้งวัน ถ้าไม่เต้น ก็จะร้องงึมงำตามเนื้อที่ตนเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

   จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่ง จู่ ๆ เอเดรียนก็หันไปมองนาฬิกาบนผนัง

   “แดดดี้?”

   “ถึงเวลากลับแล้วหรือ?” ซูเล่ยหันไปมองบ้างก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตู “นั่นไง กลับมาแล้ว”

   “แดดดี้” เอเดรียนกระโดดผลุงขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งไปทางประตู เธอกอดขาพ่อแน่นด้วยความคิดถึง “วันนี้เอเดรียนช่วยทำงาน ซูก็ช่วยทำงาน” เด็กหญิงโอ้อวดการกระทำอันยิ่งใหญ่ในวันนี้ด้วยความภาคภูมิใจเพียงเพื่อให้พ่อยิ้มให้ ลูบผม แล้วชื่นชม แต่มันคือความสุขเหลือประมาณสำหรับเด็กอย่างเธอเลยทีเดียว

   อังเดรยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วลูบผมด้วยความรักใคร่ก่อนจะอุ้มขึ้นมาแล้วหอมแก้มฟอด

   “เอเดรียนเก่งมาก พอถึงวันเสาร์แดดดี้ขอดูตอนทำงานด้วยได้ไหม?” เขาว่าขณะพาตนเองและเอเดรียนเข้าไปในห้องนั่งเล่นและทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ตอนนั้นซูเล่ยก็ออกไปจากห้องแล้วเพื่อไปเตรียมอาหารเย็นสำหรับพวกเขาทั้งสามคน เหลือแต่เพลงคลอเบา ๆ ที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพราะเอเดรียนไม่ยอมให้ปิด

   “เอเดรียนจะเต้นกับแดดดี้ กับซู กับน้องต่าย”

   ชายหนุ่มแสร้งมุ่นคิ้ว

   “เต้นสี่คนจะได้หรือ?”

   “ได้สิ จับมือกันแบบนี้แล้วก็เต้น” เอเดรียนยิ้มกว้างพลางจับมือพ่อแล้วโยกไปมา

   “เก่งจังเลยนะ แดดดี้ยังคิดไม่ถึงเลย แบบนี้ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว” อังเดรจูบหน้าผากเด็กหญิง “แล้ววันนี้ซูทำอะไรให้กินตอนเที่ยงบ้าง อร่อยไหม?”

   “ซูบอกว่าเป็นไข่ทอดกับผัก เอเดรียนไม่ชอบผักแต่ซูไม่ให้เขี่ยทิ้ง” เมื่อพูดถึงอาหารเที่ยง เอเดรียนก็ทำหน้ายู่เพราะเธอไม่ชอบผักใบเขียวเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป และแม่ก็ไม่เคยบังคับให้เธอกินมาก่อน

   “แสดงว่าไม่อร่อยหรือ?”

   “...ก็อร่อย...แต่เอเดรียนไม่ชอบผัก” เด็กหญิงยังคงย้ำคำเดิม แม้ไข่ทอดที่ซูเล่ยทำจะแทบไม่เหลือรสผักเลยก็ตาม กระนั้นการที่ยังมองเห็นก็ทำให้เกิดอุปทานถึงรสขมและเหม็นเขียวได้อยู่ดี “แดดดี้บอกซูว่าไม่เอาผักนะ เอเดรียนไม่อยากกิน” และเพราะรู้ว่าไม่สามารถขอเรื่องแบบนี้กับซูเล่ยได้ เธอจึงใช้ลูกอ้อนกับพ่อแทนด้วยความมั่นใจว่าพ่อต้องยอมตามใจเธออย่างแน่นอน

   ชายหนุ่มแสร้งทำท่าคิดหนัก แต่ใจจริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะสนทนากับซูเล่ยนักแม้จะเป็นเรื่องเล่น ๆ อย่างการเอาใจลูกก็ตาม อคติที่เขามีต่ออีกฝ่ายเพราะพ่อตายังไม่ยอมจางหายไปง่าย ๆ แม้ตัวซูเล่ยจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนอกจากนิสัยเฉพาะตัวที่ไม่เข้าหูเข้าตาแต่ก็ไม่ได้เป็นพิษภัย

   “นะ นะ แดดดี้” เอเดรียนอ้อนไปก็ทำปากเชิดจนแทบติดจมูกเหมือนกำลังสูดหายใจเพื่อเตรียมปล่อยเสียงอู้อี้ในคอให้ผู้ฟังเห็นอกเห็นใจ

   “ก็ได้ เดี๋ยวแดดดี้จะลองคุยดู ตอนนี้ซูอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

   “ซูอยู่ในครัว” เด็กหญิงยิ้มร่าทันทีราวกับใบหน้าและอารมณ์เมื่อครู่นี้เป็นการเสแสร้ง เธอปีนลงจากตักพ่อและดึงมือให้เดินตามไปอย่างตื่นเต้น

   ซูเล่ยที่กำลังคิดเมนูอาหารเย็นไม่ทันสังเกตเห็นทั้งสอง เขาจดจ้องวัตถุดิบที่มีพลางคิดว่าจะทำเป็นอะไรได้บ้าง แน่นอนว่า มีผักใบเขียวปะปนอยู่ด้วยสองสามชนิด

   “ซู แดดดี้ไม่เอาผัก”

   “แดดดี้ยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ” อังเดรรีบแก้ตัวเมื่อจู่ ๆ ลูกสาวก็โยนให้ตนเองเป็นคนแอนตี้ผักใบเขียวแทนเสียอย่างนั้น แต่เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นสายตาของซูเล่ยคล้ายกำลังจะพูดว่า ‘เหมือนเด็กจริง ๆ’ เขาก็ปั้นหน้าจริงจังอย่างรวดเร็ว “ได้ยินว่าเมื่อเที่ยงทำไข่ทอดกับผักให้เอเดรียนกินหรือ?”

   “ครับ แต่เอเดรียนงอแงจะเขี่ยทิ้งผมก็เลยใช้ไม้แข็งบังคับให้กินไปจนหมด”

   “ไม้แข็ง?” เดี๋ยว...ซูเล่ยคงไม่ได้ตีลูกเขาหรอกนะ?

   “บอกว่าถ้าไม่กินจะไม่เต้นด้วยน่ะครับ”

   อังเดรก้มลงมองลูกสาวที่สุดท้ายก็ห่วงเล่นยิ่งกว่าสิ่งใดก่อนจะพรูลมหายใจเบา

   “เอเดรียนไม่ค่อยชอบผัก แล้วมารีนก็ตามใจ กระทั่งฉันยังบังคับไม่ได้เลย” เขาว่าพลางกวาดตามองวัตถุดิบที่ถูกเตรียมบนโต๊ะ “ยังไงก็อย่าทำให้เธอไม่ชอบใจก็แล้วกัน” เพราะตัวอังเดรเองรู้ว่าควรจะฝึกเด็กให้กินผักจนชินเสียแต่อายุยังน้อย เขาเองยังนึกโทษภรรยาอยู่บ่อย ๆ ที่ตามใจลูกเรื่องอาหารการกินจนเคยตัว จึงได้ไม่ขัดข้องใจที่ซูเล่ยจะเข้ามาดูแลเรื่องแบบนี้ด้วย เพียงแต่เขาก็ไม่ชอบเห็นลูกร้องไห้งอแงเช่นกัน หากวางตัวเข้าข้างความคิดของซูเล่ยมากเกินไป เอเดรียนจะต้องเกิดอาการต่อต้านเขาไปด้วยแน่ ๆ

   “คราวหน้าผมจะให้เอเดรียนปิดตากินข้าวแล้วกันครับ”

   คำตอบของซูเล่ยทำให้ความรู้สึกเห็นดีเห็นงามเมื่อครู่มลายหายในพริบตาราวกับเจ้าตัวกำลังจงใจยียวนกวนอารมณ์เขาเล่น อังเดรขึงสายตาใส่เจ้าของรอยยิ้มสมใจก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับไปจัดการกับวัตถุดิบบนโต๊ะต่อพร้อมกล่าวไล่

   “พวกคุณไปนั่งเล่นกันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะไปเรียก”

   เอเดรียนมองพ่อที่จูงตนเองออกจากห้องครัวสลับกับซูเล่ยที่หันหลังอยู่ด้วยความหวังว่าตนเองคงไม่ต้องพบเจอผักใบเขียวอีกแล้ว ทว่า...สุดท้ายอาหารมื้อนั้นก็ยังคงมีผักใบเขียวอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ส่วนใหญ่จะถูกหั่นหรือบดจนละเอียดแทบแยกไม่ออก นอกจากผักที่ประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้นที่ยังคงปล่อยให้มันอยู่เป็นใบเขียวสดแต่ไม่จำเป็นต้องกินก็ได้ ทำให้เด็กหญิงโฟกัสแต่ผักที่ตนเองสามารถเขี่ยออกได้และไม่ได้รู้เลยว่าตนเองโดนหลอกให้กินผักที่ผสมอยู่ในเนื้อและน้ำซุปไปจำนวนแค่ไหนแล้ว

----------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-10-2013 22:11:11
   ทุกครั้งที่ถึงวันเสาร์ เอเดรียนจะตื่นเต้นมากกับการได้ออกไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ และเสาร์นี้ก็เช่นกัน เด็กหญิงตื่นขึ้นมาแต่เช้าไม่มีอิดออดเมื่ออังเดรเข้าไปปลุกในห้อง ซูเล่ยเตรียมมื้อเช้าให้อย่างตรงเวลาเหมือนทุกวันแล้วทั้งสามก็ออกไปจากบ้านด้วยกันโดยรถยนต์ส่วนตัวของอังเดรซึ่งเป็นยานพาหนะหนึ่งเดียวของครอบครัวนี้

   ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้บ้านที่สุดเป็นสถานที่ประจำที่พวกเขาจะมาหาซื้อของกันทุกสัปดาห์จนเอเดรียนสามารถจดจำชั้นวางขนมนมเนยได้และวิ่งนำไปที่นั่นก่อนใครเพื่อน

   “เอเดรียนจะกินอันนั้น” เธอชี้กล่องขนมสีสวยงามยี่ห้อโปรด ซูเล่ยหยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนจะโยนใส่รถเข็นโดยไม่พูดอะไรและอังเดรก็ไม่ได้คัดค้าน จานั้นเอเดรียนยังอยากจะได้อีกหลายอย่างที่สีสันต้องตาต้องใจ แต่เธอก็ได้ตามใจแค่บางอย่างเท่านั้นเพราะอังเดรไม่ได้ตามใจลูกสาวไปเสียทุกอย่างเหมือนภรรยา ส่วนซูเล่ยก็แค่เดินตามและช่วยพิจารณาบ้างเท่านั้น

   พวกเขาพาเอเดรียนออกมาจากชั้นขนมได้ในที่สุดหลังจากติดอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะเอเดรียนอยากจะกินไปเสียทุกอย่างแต่สุดท้ายก็อาจจะแค่ชอบกล่องแต่ไม่ได้ชอบขนมข้างในก็เป็นได้

   ครั้งนี้พวกเขาพากันเดินไปที่ฝั่งอาหารสดซึ่งเป็นจุดประสงค์หลัก

   “เธอคิดว่าควรซื้ออะไรก็ตามสบาย” อังเดรยกสิทธิการตัดสินใจเกี่ยวกับอาหารให้พี่เลี้ยงที่ตอนนี้ควบตำแหน่งพ่อบ้านไปในตัว

   “ไม่กลัวกระเป๋าฉีกหรือครับ?” ซูเล่ยแกล้งถามแล้วก้มลงมองเนื้อแบบต่าง ๆ ที่วางเรียงรายใต้ไอเย็นที่เป่าลงมารักษาความสดใหม่

   “ฉันก็หักจากเงินเดือนเธอ”

   “ไม่ยุติธรรมเลย” เสียงประท้วงอุบอิบไม่ได้เข้าหูผู้ฟังที่ตอนนี้หันมองไปรอบ ๆ ตามหลังเอเดรียนที่ไปเกาะตรงนั้นทีตรงนี้ทีด้วยความสนใจ มารีนไม่ค่อยชอบเข้าครัว ตัวเขาเองถ้ามีเวลาก็จะทำอาหารเองบ้าง ถ้าไม่มีก็ต้องสั่งเอา หรือไม่ก็เอาอาหารแช่แข็งมาอุ่นกิน ทำให้เอเดรียนไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสอาหารแบบโฮมเมด ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะรู้สึกแปลกใหม่กับการมาเดินโซนอาหารสด ไม่ใช่แค่อาหารแห้งและอาหารแช่แข็ง และที่น่าแปลกใจคือ เอเดรียนดูจะชอบโซนผักเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวางรวมกันในสภาพสดใหม่ พวกมันจะมีสีสันสวยงามน่าลิ้มลองอย่างไม่น่าเชื่อ

   “เอเดรียนอยากกินอันไหนหรือเปล่า?” อังเดรใช้โอกาสนี้ลองตะล่อมถาม

   เด็กหญิงยืนบิดไปบิดมาเหมือนเขินอายแล้วลอบมองไปทางซูเล่ยที่ยังสาละวนกับเนื้อ

   “เอเดรียนกลัวขม”

   “ถ้าเป็นสีเขียวอ่อน ๆ แบบนี้ไม่ขมหรอก” ชายหนุ่มแนะนำแล้วหยิบผักที่มีใบสีเขียวอ่อนดูสดกรอบขึ้นมาให้เอเดรียนจับดู เพียงแต่ผักแบบนี้จะมีราคาแพงมากเพราะถูกปลูกในสภาพแวดล้อมอย่างจำเพาะ กระนั้น ถ้าเพื่อให้ลูกสาวตนเองได้คุ้นเคยกับของเหล่านี้ตั้งแต่อายุน้อยเขาก็ยินยอมลงทุนอย่างเต็มใจ “แล้วซูก็ทำอาหารเก่งไม่ใช่หรือ? อาจจะอร่อยกว่าที่คิดก็ได้”

   เอเดรียนพยักหน้าในที่สุดหลังจากบิดเขินอยู่นาน

   เมื่อผักถูกหย่อนลงในรถเข็นโดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเลือก ซูเล่ยก็หันมองทั้งสองคนด้วยความแปลกใจก่อนก้มลงมองว่าเป็นผักอะไร

   “คงไม่ได้ให้เอาไปเพื่อเขี่ยทิ้งหรอกนะครับ”

   “ไม่พูดให้เรื่องเสียสักครั้งไม่ได้หรือยังไง” เจ้าของร่างสูงมุ่นคิ้วและขึงตาใส่ไม่ให้เจ้าตัวพูดต่อ ไม่อย่างนั้นเอเดรียนอาจจะกลัวขึ้นมาอีกก็เป็นได้

   เอเดรียนเอียงคอมองผู้ใหญ่สองคนจ้องตากันอย่างไม่เข้าใจแล้วจึงหันไปรอบตัวอีกครั้งเพื่อหาว่ามีอะไรน่าสนใจอีกหรือไม่ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับเรือนร่างโปร่งบางที่คุ้นเคย

   “ยูล่า”

   เสียงของเอเดรียนไม่ได้ดังนักแต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่อยู่ใกล้ ๆ มองตามได้ และบังเอิญว่าเจ้าของชื่อก็กำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน เธอถือเพียงตะกร้าและของไม่กี่อย่างพลางเลือกดูของสดมาตามทาง

   “ยูล่า” เอเดรียนร้องเรียกอีกครั้งแล้ววิ่งเข้าไปหาหญิงสาวจึงเพิ่งรู้ตัวและยิ้มกว้างรับ

   “เอเดรียนมาเที่ยวหรือจ๊ะ? แล้วแดดดี้...” ยูล่าเงยหน้าจากเด็กหญิงขึ้นมาและได้เห็นคนที่ตนเองกำลังถามถึงเดินมาหยุดตรงหน้า แต่ก็มีคนที่เธอไม่รู้จักมาด้วย “สวัสดีค่ะคุณแอชฟอร์ด แล้ว...คุณคงจะเป็นพี่เลี้ยงที่คุณแอชฟอร์ดเล่าให้ฟังสินะคะ”

   ซูเล่ยแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่อังเดรพูดถึงตนให้คนอื่นฟังด้วย เขาติดว่าเจ้าตัวจะไม่ชอบหน้าเขาถึงขนาดไม่อยากจะพูดถึงต่อหน้าคนอื่นเสียอีก

   “ครับ...ผมซูเล่ย ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาแย้มยิ้มและทักทายตามมารยาท

   “บังเอิญจังนะคะที่ได้พบกันที่นี่ ฉันเองยังคิดอยู่เลยว่าอยากจะทำความรู้จักกับคุณ...” ชื่อของซูเล่ยยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับลิ้นคนอเมริกัน และยูล่าก็ไม่กล้าออกเสียงไปตามใจจึงได้ชะงัก

   “เรียกซูก็ได้ครับ อังเดรกับเอเดรียนก็เรียกแบบนั้น”

   “ค่ะคุณซู” หญิงสาวเชื้อสายละตินแท้ยิ้มและหันไปทางอังเดรบ้าง “ไหน ๆ เราก็บังเอิญมาเจอกันแล้ว ไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่บ้านฉันไหมคะ เพราะฉันเคยสัญญากับเอเดรียนไว้ด้วยว่าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน เพราะถ้าชวนหลังจากนี้เอเดรียนอาจจะคิดรสมือคุณซูจนไม่ยอมทานของฉันเลยก็ได้” ยูล่าอนุมานว่าซูเล่ยน่าจะทำอาหารได้เพราะดูจากของที่ซื้อรวมถึงตัวอังเดรที่ไม่ค่อยมีเวลาทำเพราะต้องสอนทั้งที่โรงเรียนของตนเองและชั้นเรียนในโรงเรียนทั่วไปที่จ้างวานมาด้วย ไม่น่าจะซื้อเยอะขนาดนี้ถึงจะเผื่อสำหรับหนึ่งอาทิตย์ก็ตามที

   อังเดรหยุดคิดไปเล็กน้อย เอเดรียนคงจะไม่มีปัญหาแต่ซูเล่ยจะให้ไปด้วยจะดีหรือ? เพราะเพิ่งจะรู้จักกับยูล่าแค่ไม่กี่นาที ซ้ำสถานะก็ไม่ใช่ทั้งคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท

   “ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนให้อังเดรช่วยไปส่งผมที่บ้านก่อนก็แล้วกัน เพราะผมคงแบกกลับเองไม่ไหวแถมยังไม่มีใบขับขี่ด้วย” ซูเล่ยมองคนข้างตัวปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนักใจเรื่องของเขา ดังนั้นการดึงตัวเองออกมาจึงเป็นเรื่องง่ายกว่า เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะใกล้ชิดคนนอกมากเกินไปอยู่แล้ว

   “ซูไม่ไปเหรอ?” เอเดรียนได้ยินว่าซูเล่ยจะกลับก่อนก็รีบหันไปถาม แม้จะเพิ่งเริ่มอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็เริ่มติดพี่เลี้ยงคนนี้เสียแล้ว

   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ไปด้วยกันทั้งหมดก็น่าสนุกดีออก” ยูล่ากล่าวแต่ซูเล่ยก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ

   “พอดีว่างานบ้านกองรอผมอยู่เต็มเลยนี่สิ ถ้าไม่กลับไปจัดการตอนนี้ผมกลัวว่ามันจะล้มทับตัวผมจนกระดิกไปไหนไม่ได้” ชายหนุ่มร่างเล็กหัวเราะพร้อมกับหยอดมุกเล็ก ๆ “พวกคุณไปสนุกกันเถอะ ส่วนของผมขอติดเอาไว้คราวหน้าดีกว่า”

   เมื่อซูเล่ยยืนยันเช่นนั้นจึงสรุปกันออกมาว่า ยูล่าจะติดรถไปกับพวกเขาจนถึงบ้านเพื่อส่งซูเล่ยก่อน แล้วค่อยเลยไปที่พักยูล่าด้วยกัน

   ซูเล่ยถูกพามาทิ้งไว้หน้าบ้านพร้อมกับสัมภาระที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้า ประกอบด้วยของสด อาหารแช่แข็ง และเครื่องอุปโภคขนาดครอบครัวอีกหลายชิ้น เขาค่อย ๆ แบกเข้าบ้านไปเท่าที่จะทำได้ซึ่งต้องเดินถึงสองรอบจึงจะเอาเข้าได้หมด ทั้งนี้ต้องโทษอังเดรล้วน ๆ ที่ไม่ได้ซื้ออะไรเผื่อเอาไว้เลยจนมันเกือบหมดไปเสียทุกอย่าง ถึงต้องมาหอบทีเดียวอย่างนี้

   ขณะที่จัดของให้เข้าที่เข้าทาง ซูเล่ยก็คิดถึงยูล่าขึ้นมา เธอดูไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เป็นหญิงสาวเชื้อสายละตินที่รูปร่างสูงโปร่งดูมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวคล้ำนิด ๆ ตาสีฟ้าอมเขียว เรียกว่าเป็นสเปคผู้หญิงในฝันของเหล่าชายหนุ่มทั่วโลกก็ว่าได้

   ไม่รู้ว่าเธอรู้จักกับอังเดรมานานแค่ไหนแล้ว อาจจะก่อนแต่งงานกับมารีนก็เป็นได้ เขาไม่แน่ใจนักว่าอังเดรรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ แต่มองจากสายตาแล้ว ยูล่ามีใจให้อังเดรอยู่ไม่ผิดแน่ และไม่น่าจะเพิ่งมีใจให้ในเร็ว ๆ นี้แน่ อาจจะเป็นระยะเวลาพอ ๆ กับการทำงานของเจ้าตัวเลยก็ได้

   ที่จริง...ผู้ชายคนนั้นจะรักจะชอบใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา เพียงแต่มีคนคนหนึ่งที่ไม่ยินยอมกับเรื่องแบบนี้จนถึงขั้นต้องให้เขามาเฝ้าดูเลยนี่สิ

   แล้วทำไมเขาถึงได้ยินยอมทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกครั้งนะ...ทั้งที่จะปฏิเสธและให้คนอื่นมาทำแทนก็ได้แท้ ๆ

   ซูเล่ยถามตัวเองแล้วได้แต่ถอนหายใจ

   ช่างเถอะ พอคนคนนั้นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เรื่องของอังเดรกับเขาก็คงจบลงเพียงแค่นี้

   ไม่สิ...เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่เคยเริ่มขึ้นสักหน่อย...

   ซูเล่ยปิดตู้เก็บของแล้วพับถุงกระดาษที่ได้มาจากห้างสรรพสินค้ารวมไว้ด้วยกันก่อนจะลุกขึ้นแล้วเท้าเอวพลางคิดว่าจากนี้ควรจะทำอะไรก่อน ทั้งต้องซักผ้า กวาดถูบ้าน ล้างจานของมื้อเช้าและเตรียมอาหารเย็น เขาอยากจะรู้เสียจริงว่าหากตนเองทำงานบ้านไม่เป็นอังเดรจะทำยังไง คงจะถีบเขาออกไปจากบ้านและใช้เป็นข้ออ้างโทรไปปฏิเสธพ่อตาของตัวเองกระมัง?

   ระหว่างที่คิดกับตนเอง เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมารบกวนจนสิ่งที่กำลังคิดเมื่อครู่กระจัดกระจายไปหมด ซูเล่ยดึงมันขึ้นมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาเครื่องนั้นยังคงสั่นเป็นจังหวะและเปล่งเสียงเพลง หงเฉินเค่อจ้าน ของ เจย์โชว ออกมาอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มสัมผัสเบา ๆ บนหน้าจอ เสียงเพลงก็เงียบไปทันที เขายกมันขึ้นแนบหูและฟังเสียงจากปลายสายซึ่งไม่นึกแปลกใจเลยที่โทรมาในเวลานี้ ผู้ชายคนนี้เสมือนมีญาณวิเศษที่ติดต่อได้ตรงจังหวะทุกครั้งไป

   “เป็นยังไงบ้าง?”

   “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เขาก็แค่ไปทำงานที่โรงเรียนสอนเต้นรำ กลับมาก็อยู่กับเอเดรียนจนเข้านอน วันนี้ก็เพิ่งจะออกไปซื้อของด้วยกันมา” ซูเล่ยจงใจไม่พูดถึงยูล่า เพราะอย่างไรตอนนี้มันก็ยังไม่มีควันให้กังวล นอกจากนี้ ขืนพูดออกไปเขาคงจะได้รับเอกสารเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นมาวันหรือสองวันนี้แน่

   “ไม่มีอะไรปิดบังใช่ไหม?”

   ...

   จะเซนส์ดีอะไรปานนั้น...

   “ไม่มีครับ ผมกำลังคิดว่าจะทำอะไรต่อเพราะตอนนี้งานบ้านมันกองอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” ซูเล่ยคร้านจะถูกสอบปากคำทางโทรศัพท์จึงรีบตัดบท หลังจากวางสายได้แล้วเขาก็ไปทำงานของตนเองโดยพยายามไม่นำเรื่องของยูล่ามาทำให้รกสมองอีก

   นั่นก็เพราะซูเล่ยเชื่อว่า...หากเรื่องราวดำเนินไปในทางที่ไม่อยากให้เป็น เขาก็สามารถจัดการได้อย่างเรียบร้อยโดยไม่ต้องยืมมือใคร

---------------------------->

   “ถอดรองเท้าก่อนสิเอเดรียน” เสียงจากหน้าประตูเรียกให้ซูเล่ยสะดุ้งตื่น เขาปรือตามองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มครึ่งพร้อมกับสงสัยว่าตนเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่ เท่าที่จำได้คือเขาทำอาหารเย็นเตรียมไว้ตั้งแต่ห้าโมงเย็นและนั่งรอสองพ่อลูกกลับบ้าน แต่ก็ไม่กลับกันเสียทีและเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วจึงได้งีบฆ่าเวลา ไม่นึกว่าจะหลับไปจริง ๆ โดยไม่ทันรู้สึกตัว

   เอเดรียนวิ่งเข้ามาหาซูเล่ยในห้องนั่งเล่นและกระโดดขึ้นนั่งข้าง ๆ ด้วยท่าทางตื่นเต้น

   “ยูล่าให้เอเดรียนมาด้วยล่ะ” เธอจับยางผูกผมที่ประดับด้วยคริสตัลพลาสติกสีชมพู “ยูล่าบอกว่าเอเดรียนเต้นเก่ง ให้เป็นรางวัล”

   “จริงหรือ? แล้วอาหารเป็นยังไงบ้าง?”

   “อร่อยมาก ๆ “ เด็กหญิงชูมือขึ้นสูง “เอเดรียนอิ่มมาก”

   “อร่อยกว่าของพี่อีกหรือ?”

   “ซูก็ทำอร่อย กินของซู เอเดรียนก็อิ่ม” เธอรีบพูดเอาใจแล้วกอดแขนพี่เลี้ยงของตนออดอ้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายแกล้งทำท่าหมางเมิน “แดดดี้ก็บอกว่าซูทำอร่อย”

   ซูเล่ยได้ยินก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนนึกฉุนขึ้นมาในใจ

   “ไม่จริงล่ะมั้ง ถ้าอร่อยคงกลับมากินตั้งนานแล้ว” เขาว่าแล้วลุกขึ้น “เอเดรียนไปอาบน้ำ แปรงฟันก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปเก็บโต๊ะแล้วจะมาฟังเอเดรียนเล่าต่อ”

   เอเดรียนพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและโดดลงจากเก้าอี้ก่อนวิ่งขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์ดี

   หลังเอเดรียนขึ้นไปชั้นสองแล้ว ซูเล่ยก็เข้าไปในครัวและจัดการหยิบพลาสติกแรปออกมาคลุมอาหารที่ทำเอาไว้ทีละจาน เขาคิดผิดจริง ๆ ที่ทำเอาไว้เยอะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะยัดใส่ตู้เย็นพอหรือเปล่า เพราะเพิ่งจะซื้อของมาเติมจนเต็มเสียด้วย

   “ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนว่าที่จริงแล้ววันเสาร์ฉันไม่ได้ทำงานแค่ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ต้องไปสอนที่โรงเรียนอยู่ดี แถมยูล่าก็อุตส่าห์ทำอาหารใส่กล่องไปก็เลยปฏิเสธไม่ลง”

   ซูเล่ยได้ยินเสียงก็หันไปมอง เห็นอังเดรยืนพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าคล้ายรู้สึกผิดอยู่นิด ๆ เมื่อเห็นจานอาหารวางรออยู่บนโต๊ะ

   “ช่างมันเถอะ ผมเองก็ไม่ได้โทรถามตารางงานคุณเสียด้วย” เจ้าตัวก็พูดไปแบบนั้น เพราะความเป็นจริง ซูเล่ยไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของอังเดรเสียด้วยซ้ำ และตัวอังเดรก็รู้ความจริงข้อนี้ดีจึงได้รู้ตัวว่าถูกประชดอยู่กลาย ๆ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาช่วยเก็บเข้าไปซ้อนในตู้เย็นเท่าที่ทำได้ ซึ่งสุดท้ายก็สามารถยัดเข้าไปได้หมดแบบเกือบจะล้นออกนอกตู้ บางทีพรุ่งนี้คงไม่ต้องทำอาหารเพิ่มแล้ว

   “เอาโทรศัพท์มือถือของเธอมาสิ”

   หือ?

   เรียวคิ้วสีดำเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย และเมื่อได้ยินซ้ำซูเล่ยจึงหยิบส่งให้โดยที่ไม่ได้ถามอะไร อังเดรกดบันทึกเบอร์ของตนเองลงในเครื่องอีกฝ่ายแล้วยิงเข้าเครื่องตัวเองก่อนส่งคืนให้

   “ทีหลังถ้ามีอะไรฉันจะโทรเข้าเบอร์ของเธอโดยตรง เผื่อว่าเธอจะอยู่ไกลจากโทรศัพท์บ้านแล้วไม่ได้ยินเสียง ส่วนตารางงานฉัน...โรงเรียนของฉันเปิดสอนทุกวันตอนเย็น และวันอาทิตย์ตลอดวัน ส่วนช่วงกลางวันที่ไปสอนนักเรียนจะเว้นแค่วันอังคารกับเสาร์ของทุกสัปดาห์”

   “ครับ เข้าใจแล้ว คราวหน้าคุณก็ชวนคุณยูล่ามาดินเนอร์ที่บ้านเป็นการตอบแทนบ้างก็แล้วกัน” ซูเล่ยว่าก่อนจะเดินจากไป แต่สีหน้าอังเดรที่มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมซูเล่ยจึงนึกอยากให้เชิญยูล่ามาที่บ้าน? หรือว่าจะเกิดหลงเสน่ห์สาวละตินขึ้นมาเสียแล้ว?

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 17-10-2013 22:33:13
อังเดรผู้ไม่รู้อะไรบ้างเลย ใช่มั้ย? ซูเล่ย
เอเดรียนท่าทางฉลาดจังน้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-10-2013 23:13:04
เอเดรียนน่ารักจัง
เรื่องนี้ก็น่าสนุกอีกแล้ว
ขอบคุณคุณเซียที่แต่งมาลงให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-10-2013 10:32:06
แอบเหมือนสามีภรรยางอนกันเล็กๆ
ที่ไม่ยอมกลับมาทานข้าวเย็นแถมไม่บอกก่อน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 18-10-2013 12:27:13
เหมือนจะแอบงอลนะซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 19-10-2013 21:43:58
สงสัยจริง เคยเจอกันมาก่อน แต่ไหงจำไม่ได้ล่ะ แสดงว่า เปลี่ยนไปเย๊อะะะะะะ 55555

สนุกดีนะคะ  รอตอนต่อไปคร๊าบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 19-10-2013 23:42:28
เริ่ดค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-10-2013 02:15:51
เข้ามาตามค่า

เพิ่งเคยเห็นพระเอกทำงานเป็นครูสอนเต้น เก๋ดีค่ะ ปกติจะเป็นอะไรที่ดุๆ เช่นมาเฟีย นักธุรกิจผู้มีอิทธิพล
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-10-2013 14:26:57
-3-


   “แล้วเจอกันตอนเย็นนะเอเดรียน” อังเดรจูบหน้าผากเหน่งของเด็กหญิงพร้อมบอกลาเหมือนกับเช้าวันอื่น ๆ ก่อนเหลือบมองซูเล่ยซึ่งแค่กอดอกมองอยู่ห่าง ๆ พวกเขาไม่เคยทักทายก่อนออกจากบ้านหรือหลังกลับเข้าบ้าน และท่าทีของอีกฝ่ายในบางครั้งก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเฝ้ามอง ก็ไม่แปลก...ซูเล่ยเป็นคนของพ่อตาที่ถูกส่งมาเพื่อดูไม่ให้เขาออกนอกลู่ทาง กระนั้นสิ่งที่แปลกก็คือ เขารู้สึกเหมือนว่าสถานการณ์ทำนองนี้อาจจะเคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นอาจเป็นเพราะว่าความคุ้นเคยบางอย่างที่เขาพบในตัวซูเล่ยก็เป็นได้ แม้เขาจะยังนึกไม่ออกก็ตาม

   ชายหนุ่มเดินทางไปสอนนักเรียนตามปกติโดยมีช่วงเช้าโรงเรียนหนึ่งและช่วงบ่ายในอีกโรงเรียนที่ไม่ไกลกัน จากนั้นเมื่อบ่ายแก่จึงกลับไปที่โรงเรียนสอนเต้นรำซึ่งเขากับน้องชายช่วยกันดูแลแทนพ่อที่ตอนนี้เกษียณตัวเองไปทำงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้านเก่าของครอบครัวในอังกฤษกับภรรยาคนที่สองซึ่งได้พบกันที่นั่นเมื่อราว ๆ ห้าปีก่อนและลูกที่มีด้วยกันหลังจากนั้นปีกว่า

   “วันนี้พี่มาช้านะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวทักทายเมื่ออังเดรเดินเข้ามาถึงห้องที่ใช้ในการฝึกซ้อมเต้นรำและมีนักเรียนหลายวัยกำลังจับคู่อยู่ตามมุมต่าง ๆ

   “ครูใหญ่ของโรงเรียนเรียกไปคุยน่ะ เห็นว่านักเรียนอยากจะเปิดชมรมแล้วให้ฉันเป็นที่ปรึกษาพิเศษ หลังจากนี้งานที่นี่คงต้องโยนให้นายทำเยอะขึ้นนะอาร์เลน” อังเดรเดินเข้าไปในห้องด้านหลังแล้วถอดผ้าพันคอกับเสื้อโค้ทออกแขวน “ถ้าเรื่องนี้แน่นอนแล้ว ฉันจะลองรับสมัครผู้ช่วยเพิ่มอีกสักคน”

   “ไม่ต้องหรอกครับ แค่ผมกับยูล่าก็พอ แต่เดิมเราก็แค่จ้างยูล่าเพราะเป็นผู้ชายทั้งคู่เลยจับคู่เต้นไม่ได้ ทั้งที่จริงเราสองคนก็ดูแลกันเองได้อยู่แล้ว” อาร์เลนไหวไหล่ “ถ้าพี่เอเลียตอยู่ก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน” อาร์เลนกล่าวถึงพี่ชายคนโตซึ่งแต่งงานไปเมื่อปีก่อนซ้ำยังยอมแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงเพราะทางนั้นไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งออกและต้องโยกย้ายมาอยู่ในประเทศที่ห่างไกลจากบ้านเกิด พวกเขาสามพี่น้องที่กอดคอกันเหนียวแน่นมาตลอดจึงมีอันต้องจากไปตั้งรกรากของตนเองเสียคนหนึ่ง

   “ถ้านายว่าแบบนั้นก็ตามใจ” ชายหนุ่มยิ้มพลางขยี้ผมน้องชายก่อนเดินเข้าสู่ห้องกว้างที่ล้อมรอบด้วยกระจกเงาบานใหญ่เพื่อเริ่มงานของตน

---------------------------->

   ในช่วงที่อังเดรตั้งอกตั้งใจทำงาน ซูเล่ยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานเช่นกัน เขาแทบจะถูกจับให้เดินหมุนไปรอบห้องทั้งวันเพราะเอเดรียนตื่นเต้นมากที่ยูล่าสอนการเต้นให้เธอเพิ่มเติม ยูล่าชำนาญการเต้นรำแบบละตินเป็นอย่างมากแต่น่าเสียดายที่การเต้นแบบนั้นคงไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุสองขวบ เอเดรียนจึงจำมาแค่ว่าการเต้นแบบละตินนั้นเร็วกว่าบอลรูม

   “พี่ขอพักหน่อยนะเอเดรียน” หลังจากหมุนจนตาลาย ซูเล่ยก็ทรุดนั่งพิงที่นั่งของโซฟาพลางเงยศีรษะไปด้านหลังเพื่อให้สมองของตนหยุดหมุน

   “ซูเต้นเก่งแล้ว” เหมือนเอเดรียนจะติดนิสัยให้กำลังใจคนอื่นมาจากที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นที่โรงเรียนของพ่อก็เป็นได้ ทุกครั้งที่เขาหยุด เอเดรียนมักจะพูดแบบนี้และพยายามชวนให้เขาหมุนกับเธอต่อไป “แดดดี้เห็นจะตกใจแน่เลย” เด็กสาวชูไม้ชูมือแล้วโดดลงมานั่งตัก มือก็ยังกอดกระต่ายตัวโปรดไม่ยอมปล่อย ซึ่งตอนนี้ขนของมันเริ่มจะมีรอยเปื้อนขึ้นมาอีกแล้ว

   “พี่ว่าแดดดี้คงจะเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่า...” ผู้ชายตัวโตเต้นกับเด็กสองขวบด้วยการหมุนไปรอบห้องอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่เรียกน่าขำก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว “จริงสิเอเดรียน วันก่อนนี้ที่ไปบ้านยูล่าเป็นยังไงบ้าง? ยูล่าดูใจดีกับแดดดี้มากไหม?”

   เอเดรียนทำท่านึกอยู่สักพักแล้วพยักหน้า

   “ยูล่าใจดีกับทุกคน เอเดรียนด้วย แดดดี้ด้วย”

   “จริงหรือ? แล้วทำอะไรกันบ้างล่ะ?” ซูเล่ยตะล่อมถาม

   “กินเสร็จแล้วยูล่าบอกว่าอยากเห็นเอเดรียนเต้น แดดดี้บอกยูล่าว่าเอเดรียนเต้นเก่งยูล่าเลยอยากเห็น” การเล่าเรื่องในแบบของเด็ก ๆ ทำให้สับสนอยู่เล็กน้อยแต่ซูเล่ยก็เริ่มคุ้นชินแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจกับลำดับเหตุการณ์นักและพยายามจับใจความสำคัญมากกว่า “เอเดรียนเต้น ๆ ให้ยูล่าดู แล้วยูล่าก็สอนเต้นอีกหลายเพลง ชวนแดดดี้มาเต้นด้วย แต่ก็ถึงเวลาทำงานของแดดดี้ ก็เลยไปเต้นต่อที่โรงเรียนด้วยกัน ยูล่าทำอาหารใส่กล่องไปด้วยก็เลยอิ่ม”

   “ตอนเรียนเอเดรียนเต้นกับแดดดี้หรือเปล่า?”

   เด็กหญิงส่ายศีรษะ

   “ยูล่าเต้นกับแดดดี้ให้ทุกคนดู ยูล่าบอกเอเดรียนว่าชอบเต้นกับแดดดี้ แล้วก็มองแดดดี้ตลอดเลย”

   ซูเล่ยส่งเสียงรับเบา ๆ ในคอ ฟังเรื่องราวแล้วดูเหมือนตัวอังเดรจะไม่ได้คิดอะไรพิเศษกับยูล่านัก แต่ฝ่ายหญิงคงจะมีความหวังอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนี้อังเดรก็อยู่ในสถานะอิสระจากการแต่งงานแล้ว ซ้ำผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก็มีแค่ลูกสาวกับตัวยูล่าที่เป็นผู้ช่วยสอน

   แล้วผู้หญิงคนนั้นจะอาศัยโอกาสนี้รุกจีบอย่างจริงจัง หรือว่าแอบมองอยู่เฉย ๆ เหมือนที่ผ่านมากันนะ?

   “ซูยังงอนอยู่เหรอ?” เอเดรียนเอียงคอเล็กน้อยพลางช้อนตาแป๋วมองพี่เลี้ยงของตนที่มักจะเงียบไปหลังจากพูดถึงเรื่องยูล่าขึ้นมา

   “ก็เอเดรียนไม่ยอมกลับมากินอาหารฝีมือพี่นี่” ชายหนุ่มกลบเกลื่อนความคิดตนเองโดยแสร้งทำเป็นงอนจริง ๆ การตบตาเด็กนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่หากอังเดรนึกสังเกตขึ้นมาอีกคน เขาอาจจะใช้มุกตื้น ๆ แบบนี้ไม่ได้ผลและทำได้แค่บอกปัดเหมือนอีกฝ่ายคิดมากเกินไปแทน

   “ไม่เอาไม่งอนนะ เอเดรียนชอบอาหารของซูมาก ๆ เลย” เด็กหญิงซุกอ้อนพี่เลี้ยงอย่างน่ารักน่าใคร่ “ผักใบเขียว ๆ ที่ซูทำไม่ขมแล้ว เอเดรียนกินหมดด้วยนะ” และเพื่อเอาอกเอาใจพี่เลี้ยงของตนให้อารมณ์ดี เธอจึงยกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อันแสนภาคภูมิใจขึ้นมาพูด

   “จริงหรือ? พี่ไม่ทันดูเสียด้วยสิ เอเดรียนอาจจะแอบเอาไปใส่จานแดดดี้ก็ได้”

   “เอเดรียนกินหมดจริง ๆ นะ คืนนี้เอเดรียนจะกินอีก” เธอพูดด้วยท่าทางมุ่งมั่นน่าเอ็นดู

   “ครับ ๆ พี่จะรอดู” ซูเล่ยพูดจบ หูก็แว่วเสียงประตูหน้าบ้าน “แดดดี้กลับมาแล้วแหน่ะ” เมื่อเอเดรียนได้ยินก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทางหน้าบ้านทันทีก่อนจะเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าของบ้านซึ่งไม่ทันจะได้ถอดเสื้อโค้ท ส่วนผ้าพันคอก็เพิ่งจะดึงออกได้แค่ครึ่งทาง

   “เดี๋ยวสิเอเดรียน จะพาแดดดี้ไปไหนน่ะ” อังเดรรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ลูกสาวดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ

   “ไปกินข้าวเย็น เอเดรียนจะกินผักให้ซูเล่ยดู”

   อังเดรหันไปมองเจ้าของชื่อที่ยังคงนั่งพิงกับโซฟาอย่างหมดสภาพ

   “ถ้าอย่างนั้นแดดดี้ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกันนะ เอเดรียนไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนก็แล้วกัน”

   เอเดรียนพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้งแล้ววิ่งไปดึงมือซูเล่ยแทน

   “ซู ไปกินกัน”

    โดนทั้งฉุดทั้งลากอย่างไม่ยอมแพ้ ซูเล่ยก็ต้องยอมลุกขึ้นทั้งที่ยังเหนื่อยกับการออกกำลังกายอันไร้แก่นสารมาทั้งวัน

   “ซู คืนวันศุกร์นี้น้องชายของฉันจะมาเยี่ยมแล้วยูล่าก็อาจจะมาด้วย เธอเตรียมคิดเมนูไว้ด้วยก็แล้วกัน” อังเดรสั่งขณะที่เดินสวนกัน ซูเล่ยแค่รับคำสั้น ๆ แล้วพาเอเดรียนเข้าห้องครัวไป

------------------------------>

   ซูใช้เวลาในช่วงคืนวันพฤหัสคิดว่าเย็นวันพรุ่งนี้จะทำอะไรรับรองแขก สำหรับคนอเมริกัน ธรรมเนียมการชวนมากินอาหารที่บ้านนั้นเป็นเพียงแค่การกินอาหารกันจริง ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการกินอาหารและพูดคุยและแยกย้ายกันกลับ ผิดกับธรรมเนียมของคนเอเชียที่การเชิญแขกมากินอาหารที่บ้านจะต้องรับรองอย่างดีด้วยอาหารมื้อพิเศษที่ทำให้แขกอิ่มเอมจนลืมไม่ลง แม้ว่าซูจะเติบโตมากับธรรมเนียมของทั้งสองฝั่งแต่ก็เป็นคนละช่วงวัย และช่วงวัยที่มีอิทธิพลกับเขามากที่สุดกลับอยู่ในวัฒนธรรมแบบตะวันออก เพราะเหตุนั้น...คำว่าเตรียมเมนูเพื่อรับแขกจึงทำให้เขาคิดไม่ตกว่าวัตถุดิบที่เหลือจะสามารถทำอะไรให้แขกประทับใจได้บ้าง

   “ซู เล่นกับเอเดรียน” เพราะวันนี้เขาใช้สมาธิไปกับการคิดเมนูล่วงหน้าทำให้ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเอเดรียนนัก ซึ่งทำให้เด็กหญิงเริ่มจะงอแงที่ไม่ได้รับความสนใจ

   “เอเดรียน อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” เมื่อคิดไม่ออกจึงหันไปหาตัวช่วย เอเดรียนก็หยุดงอแงและเริ่มกลอกตา

   “สปาเก็ตตี”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเล็ก ๆ ก็ใช้ว่าเขาจำทำไม่เป็น เพียงแต่เขาไม่ค่อยชอบสูตรที่เต็มไปด้วยชีสสักเท่าไหร่ แต่หากทำแบบมีรสเผ็ดเอเดรียนก็จะกินไม่ได้ คงจะต้องเอาแบบกลาง ๆ เน้นเครื่องเทศรสอ่อน ๆ กระมัง...

   “แล้วก็สลัดดีไหม? เอเดรียนกินผักได้แล้วนี่” แต่ผักที่มีมันเริ่มจะเหี่ยวแล้วนี่สิ อาจจะออกมาไม่ค่อยสวยก็ได้ ใส่อย่างอื่นนอกจากผักเพิ่มสีสันหน่อยก็แล้วกัน เมื่อสรุปได้อย่างนั้นซูเล่ยจึงเริ่มลิสต์รายการเพิ่มอย่างรวดเร็วซึ่งพอรวม ๆ กันแล้วก็พอเรียกว่าอาหารมื้อหรูได้อยู่

-------------------------->

   ในวันต่อมา อังเดรที่กลับมาถึงบ้านในตอนค่ำพร้อมอาร์เลนและยูล่าก็ต้องรู้สึกถึงอาการโหยหิวของกระเพาะที่ไต่ขึ้นมาตามหลอดอาหารเมื่อกลิ่นหอมของเนื้อหมูอบหมักซอสกรุ่นกำจายมาจนถึงหน้าบ้านทันทีที่เปิดประตู เขาคิดว่าได้ยินเสียงท้องร้องเบา ๆ ทั้งจากตนเองและคนที่เดิมตามหลังเข้ามา

   ซูเล่ยอยู่ในครัวกับเอเดรียน ทั้งสองกำลังช่วยกันจัดโต๊ะโดยที่ส่วนใหญ่แล้วซูเล่ยจะเป็นคนทำ และเอเดรียนนั่งที่เก้าอี้ตัวสูงสำหรับเด็กจับช้อนส้อมวางเป็นคู่ ๆ

   อาหารบนโต๊ะประกอบด้วยสปาเกตตีผัดน้ำมันมะกอกใส่เบคอนประดับหน้าด้วยโหระพาคนละจาน มีสลัดผักที่ประดับด้วยไข่ต้มและหมูอบซอสสไลด์บางราดด้วยน้ำสลัดที่ทำเองเป็นเครื่องเคียง ส่วนตรงกลางยังมีจานเนื้อหมูอบที่หั่นเป็นชิ้นพอคำราดด้วยน้ำซอสที่ได้จากการอบอีกด้วย

   อาหารมื้อหรูหราราวกับเมนูร้านอาหารทำให้ทั้งสามต่างนิ่งค้างเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบรรจงตระเตรียมถึงขนาดนี้ ในความคิดของพวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นแค่อาหารง่าย ๆ คนละจานเท่านั้นเอง

   “คุณซูทำอาหารเก่งจริง ๆ ฉันเทียบไม่ได้เลย” ยูล่าชื่นชมด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะเธอไม่ค่อยได้พบเจอผู้ชายที่เก่งการบ้านการเรือนนัก

   ซูเล่ยยิ้มรับคำชมและเชิญแขกมานั่งที่โต๊ะ

   “แล้วคุณซูไม่ทานด้วยกันหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าซูเล่ยไม่มีจานของตนเองและทำท่าจะเดินปลีกตัวออกไปจากโต๊ะ

   “ผมมีส่วนของตัวเองแล้วครับ ทุกคนเชิญตามสบาย” ซูเล่ยตอบก่อนจะรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกมองอย่างพิจารณาจากใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายอังเดรแต่ดูเด็กกว่าหลายปี อาร์เลน น้องชายของอังเดร ซูเล่ยหลบสายตาเดินออกมาโดยที่รู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายมองตนเพราะอะไร เพราะเขาก็จำหน้าอีกฝ่ายได้เช่นกัน

   ถึงอย่างนั้นอาร์เลนกลับไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเลย เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างพูดน้อยเหมือนกับพี่ชายและส่วนใหญ่ก็จะตอบรับการชวนคุยของเอเดรียนมากกว่าเรื่องจิปาถะที่โรงเรียนที่ยูล่าและอังเดรเล่าสู่กันฟังโดยมีเอเดรียนช่วยผสมโรงด้วยเป็นช่วง ๆ ส่วนซูเล่ยก็ตักสปาเกตตีและสลัดใส่จานแยกมานั่งกินคนเดียวในห้องนั่งเล่นโดยเปิดโทรทัศน์ดูแก้เบื่อไปด้วย

   พอถึงสองทุ่มครึ่ง ซูเล่ยก็ต้องพาตัวเองเข้าไปขัดจังหวะการพูดคุยเพื่อเตือนให้อังเดรพาเอเดรียนขึ้นนอน หลังจากนั้นราว ๆ ครึ่งชั่วโมงยูล่าและอาร์เลนก็ขอตัวกลับเช่นกัน

   อังเดรส่งแขกเรียบร้อยก็เข้ามานั่งที่โซฟาซึ่งซูเล่ยกำลังดูรายการวาไรตี้รอบดึกอยู่

   “พวกเขาบอกว่าเธอทำอาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะยูล่าเหมือนจะชื่นชมเธอเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มพูดพลางเอนพิงพนักโซฟาและลอบมองปฏิกิริยาของซูเล่ยที่น่าจะแสดงความกระตือรือร้นออกมาบ้างหากสนใจในตัวยูล่าอย่างที่เขาสงสัย ทว่าซูเล่ยกลับดูเฉยเมยและแค่ตอบรับในคอสั้น ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ที่จริงแล้วถ้าเธอนึกสนใจยูล่าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก ตัวยูล่าเองก็ไม่ได้ถือตัวอะไร” เขาลองหยอดไปอีกประโยค ทว่าครั้งนี้ซูเล่ยกลับหันมามองแล้วเหยียดยิ้มเสมือนสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องตลกขบขัน

   “คุณนี่มีนิสัยชอบคิดไปเองมาตั้งแต่แรกหรือเพิ่งมาเป็นเอาตอนหลังกันแน่นะ?”

   ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน

   “เธอเป็นคนบอกให้ฉันชวนยูล่ามาเองไม่ใช่หรือไง?”

   “ก็คุณไปกินอาหารบ้านเขา ก็ต้องชวนมาบ้านเป็นการตอบแทนอยู่แล้ว ผมเป็นพ่อบ้านของคุณก็ต้องมีหน้าที่ดูแลทุกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องไม่ใช่หรือครับ?” ซูเล่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววขำขัน “อีกอย่าง ผมไม่คิดจะยุ่งกับผู้หญิงที่มีคนอื่นในใจแล้วหรอก”

   “เธอไปรู้ได้ยังไงว่ายูล่าชอบใครอยู่?”

   “เพราะว่าผมอยู่ในจุดที่มองเห็นล่ะมั้ง” เจ้าของร่างเล็กไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นและหมุนตัวมายืนตรงหน้าอังเดรและโน้มตัวลงท้าวแขนกับพนักโซฟา “แต่...ถึงผมจะไม่ชอบยุ่งกับคนที่มีคนอื่นในใจ ผมกลับชอบยุ่งกับคนที่อยู่ในใจคนอื่นนะครับ”

   สีหน้าขออังเดรดูจะสับสนอยู่ไม่น้อยเพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ในคำพูดของซูเล่ยเลยสักคำเดียว ซึ่งสีหน้าเช่นนั้นกลับเปลี่ยนไปเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้และรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาบนปลายจมูก อังเดรรวบรวมสติกระชากแขนฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงและดึงให้เสียหลักลงบนโซฟาก่อนที่ตนเองจะทะลึ่งตัวขึ้นยืนด้วยท่าทางขุ่นเคือง

   “จะล้อเล่นก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย ถึงฉันจะจำเป็นต้องจ้างเธอเอาไว้เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนที่ส่งเธอมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรตามใจได้ทุกเรื่อง”

   ถึงแม้จะถูกต่อว่าด้วยท่าทางขึงขัง แต่ซูเล่ยก็ยังคงหัวเราะได้

   “แต่ว่า...” เขาทิ้งจังหวะเล็กน้อยพลางเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัย “คุณเองก็ไม่ได้รังเกียจผู้ชายเสียหน่อย”

   อังเดรมองกลับมาคล้ายกำลังตั้งคำถามบางประการต่อความมั่นอกมั่นใจในคำพูดของซูเล่ย แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเงียบและหมุนตัวเดินไปทางบันได

   “ถ้าทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างหาว่าฉันไม่เตือน” พูดจบเจ้าตัวก็ชะงักเท้าเล็กน้อยก่อนหันกลับมาและกดเสียงต่ำเย็นเยือก “โดยเฉพาะต่อหน้าเอเดรียน”

   ซูเล่ยฟังผ่าน ๆ และปล่อยให้อังเดรเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

   ยังไง...เขาก็เป็นคนที่ถูกปฏิเสธจนเคยชินเสียแล้วนี่นะ...

----------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-10-2013 14:27:34

   “ซูทะเลาะกับแดดดี้เหรอ?” พอถูกถามเอาตรง ๆ อย่างนี้ แม้แต่ซูเล่ยก็สะดุ้งอยู่ในใจเหมือนกัน

   “ทำไมเอเดรียนคิดแบบนั้นล่ะ?”

   “ก็...วันนี้แดดดี้ไม่พาซูไปซื้อของด้วย ทำหน้าแบบนี้ตลอดเลย” เอเดรียนเอานิ้วดันหัวคิ้วตนเองให้ขยับเข้าหากันจนชิด “เอเดรียนถามแดดดี้แล้ว แดดดี้ไม่ยอมบอก”

   คงเพราะเรื่องเมื่อคืน...

   ซูเล่ยเดาไม่ยากนัก เพราะก็เป็นอย่างที่เอเดรียนบอกจริง ๆ ปกติเขากับอังเดรก็คล้ายตั้งป้อมกันอยู่กลาย ๆ อยู่แล้ว หากไม่จำเป็น อังเดรก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขามาทำงานที่นี่ แต่บทสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของพวกเขายังแทบจะนับคำได้ทั้งนี้เพราะอังเดรยังคงมองว่าเขาเป็นสายของพ่อตาซึ่งมันก็ไม่ผิดไปจากที่คิดสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรต่อหน้าเอเดรียน อังเดรก็ยังฝืนที่จะทำเป็นไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ นอกจากครั้งนี้ที่เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนเสียจนแม้แต่เด็กก็ยังสังเกตได้

   “แดดดี้อาจจะท้องผูกก็ได้”

   “ท้องผูก?” เอเดรียนทำตาโตและเอียงคอ “ผูกยังไงเหรอ?”

   “อืม...เวลาท้องผูกจะรู้สึกปวดท้องมากและหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา ถ้ากินผักน้อยก็จะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ” ซูเล่ยตอบอย่างไม่จริงจังแต่ผู้ฟังกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวอาการท้องผูกขึ้นมาจริง ๆ

   “เอเดรียนไม่อยากท้องผูก” มือเล็ก ๆ กอดกระต่ายแนบท้องแล้วคุดคู้เหมือนพยายามซ่อนหน้าท้องตนเองจากบางสิ่งบางอย่าง “ต่อไปจะกินผักเยอะ ๆ ทำให้แดดดี้กินเยอะ ๆ ด้วยนะ”

   “แล้วไปซื้อของกับแดดดี้รอบนี้ซื้อผักมาเยอะหรือเปล่าล่ะ?” ดูเหมือนเหตุผลบ้า ๆ ที่คิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหันจะหันเหความสนใจของเอเดรียนได้ดีกว่าที่คาด เพราะหลังจากนั้นเอเดรียนก็ไม่ได้ถามสาเหตุที่เขากับพ่อของตนเองวางตัวอยู่ห่างกันอีก

   แต่อย่างไร...หลังจากนี้การเข้าหน้ากับอังเดรคงลำบากขึ้นกระมัง...

   ปกติระดับความสัมพันธ์ของเขากับอังเดรก็เริ่มขึ้นแบบติดลบอยู่แล้ว ถึงแม้การทำหน้าที่ของเขาในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจะช่วยให้ค่าเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น แต่สุดท้ายเพราะเกิดนึกฉุนขึ้นมาเมื่อคืนนี้ก็เลยเผลอหยอกแรงไปหน่อย ทำให้คะแนนของเขาร่วงกราวลงไปกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคะแนนติดลบในใจอีกฝ่ายมีลิมิตอยู่ที่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้มันน่าจะเกินครึ่งทางไปแล้ว

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ริงโทนแปลกหูทำให้เอเดรียนเกิดสนอกสนใจเพราะเธอเคยฟังแต่เพลงคลาสสิกของพ่อเท่านั้น

   “เพลงอะไรเหรอซู?”

   “เดี๋ยวค่อยบอกนะ ขอพี่คุยโทรศัพท์ก่อน” ซูเล่ยว่าทั้งที่ตนเองยังตกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นเบอร์ของอังเดรโชว์อยู่บนจอ “สวัสดีครับ” ทันทีที่เขาทักทาย ต้นสายก็พ่นลมหายใจพรืดเหมือนกำลังฝืนอกฝืนใจ

   “วันนี้ฉันจะกลับช้าหน่อย เธอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนได้เลย แต่ทิ้งอาหารค่ำไว้ให้สักหน่อยก็แล้วกัน” สั่งจบก็ตัดสาย เหมือนกับว่าคร้านจะฟังคำตอบรับ

   กลายเป็นที่น่ารังเกียจไปจริง ๆ แล้วสินะเนี่ย...

   “อะไรเหรอ? คุยกับใครเหรอ?” เด็กหญิงเขย่าแขนถามด้วยความใคร่รู้

   “แดดดี้น่ะ บอกว่าคืนนี้จะกลับค่ำ คงต้องอยู่กับพี่สองคนแล้วล่ะนะ” ซูเล่ยถอนหายใจเพราะไม่รู้จะบอกเหตุผลอย่างไรดีในเมื่อตนเองก็ยังไม่รู้เหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว “งั้นเราไปกินข้าวเย็นกันเถอะ” ว่าจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วจูงมือเอเดรียนเข้าห้องครัวไปด้วยกัน

   และคืนนั้น ก็เป็นคืนแรกที่เอเดรียนไม่ได้ถูกพาขึ้นนอนโดยพ่อของตน ทำให้เด็กหญิงเกิดเหงาขึ้นมาเพราะไม่ชินกับการไม่มีพ่ออยู่ข้าง ๆ ตอนเข้านอน

   “เอเดรียนยังไม่อยากนอน” มือเล็กจับซูเล่ยแน่น อีกมือก็กอดกระต่ายตัวโตแนบอก

   “แต่มันถึงเวลานอนแล้วนะ เดี๋ยวแดดดี้กลับมาก็คงเข้ามาจูบราตรีสวัสดิ์เองนั่นแหละ” ชายหนุ่มไม่เคยกล่อมเด็กมาก่อน เมื่อเห็นเอเดรียนเริ่มงอแงเรื่องการนอนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่นึกโทษอังเดรอยู่ในใจที่ไม่ยอมกลับมาทำหน้าที่พ่อที่ดีด้วยการส่งลูกสาวเข้านอนให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกไปร่อนต่อ ที่จริงแล้ว เขาจะปล่อยมือเอเดรียนแล้วเดินออกไปเฉย ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้หลับไปเองก็ได้ แต่กลับทำไม่ลงเพราะอีกฝ่ายกลับร้องขึ้นมา...

   “มามี้...”

   มันไม่ใช่ความสงสารที่ต้องเห็นเด็กคนหนึ่งร้องหาแม่ที่ตายไปแล้ว แต่ว่า...

   “เอเดรียนจะหามามี้...แดดดี้ทิ้งเอเดรียน...” เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มสะอื้นหาคนที่คุ้นเคยทั้งที่ไม่ได้ถามหามานานแล้ว แต่ทั้งที่ร้องหาแม่ กลับไม่ยอมปล่อยมือเขาเสียที...

   ในหัวซูเล่ยมีภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นมาโดยได้แต่อิจฉาครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครอบครัวที่พรั่งพร้อมไปด้วยพ่อ แม่ และลูก รอบตัวเขามีแต่คนเช่นนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่บกพร่อง ทุกครั้งที่เรียกหาใครบางคน จะมีแต่แม่ของเขาที่เข้ามาโอบกอด ทว่าในบางครั้ง แม่ของเขาก็หายไปจากสายตา ไปที่ไหนสักแห่งซึ่งเขาไม่รู้จักและจำต้องหลับตาลงเพียงลำพัง

   “มามี้...จะเอามามี้...” แม้จะง่วงแล้วแต่เอเดรียนกลับไม่ยอมหลับง่าย ๆ เธอหลับหูหลับตาร้องไห้ไม่หยุด ส่วนกระต่ายที่กอดอยู่ตอนนี้กลายเป็นผ้าเช็ดน้ำตาไปเสียแล้ว

   ซูเล่ยตัดสินใจลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงข้าง ๆ เตียง

   “หยุดร้องไห้ได้แล้วเอเดรียน พี่จะนั่งเป็นเพื่อนแทนก็ได้” ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแล้วแต่เอเดรียนก็ยังไม่ยอมหยุดร้อง เพียงแค่ยอมลืมตาขึ้นมองแล้วป้ายน้ำตาจนเลอะหน้าก่อนสะอึกสะอื้น ซูเล่ยทนมองไม่ไหวจึงหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้แทน “ถ้าไม่ยอมหยุดร้องพี่จะกลับห้องแล้วนะ” เพราะคำพูดนั้น เอเดรียนจึงยอมกลั้นหายใจฮึกเพื่อหยุดเสียงร้องไห้ตัวเอง

   “นอนเป็นเพื่อนเอเดรียนนะ” เด็กหญิงช้อนตามองอย่างอ้อนวอน

   “เตียงเอเดรียนเล็ก พี่ขึ้นไปนอนไม่ได้หรอก”

   “เอเดรียนไม่อยากนอนคนเดียว ไปนอนห้องซูก็ได้”

   เอาแบบนั้นดีไหมนะ? แต่หากไม่ตามใจตอนนี้ เอเดรียนคงไม่ยอมปล่อยให้เขากลับห้องจนกว่าจะหลับแน่ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะยอมหลับเมื่อไหร่อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอังเดรจะกลับมากี่โมงกี่ยาม คิดสรตะไปแล้ว ซูเล่ยจึงพยักหน้าอนุญาตอย่างเลี่ยงไม่ได้

   เอเดรียนผุดลุกจากเตียงทันทีและโผกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้เขาต้องเป็นคนอุ้มเอเดรียนไปที่ห้องเพราะเจ้าตัวไม่ยอมลงเดินเอง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เด็กคนนี้หยุดร้องและยอมหลับไปอย่างเงียบ ๆ ได้ในที่สุดถึงจะไม่ยอมปล่อยมือเขาจนกระทั่งหลับเลยก็ตาม

-------------------------->

   เกือบสี่ทุ่มแล้วที่อังเดรกลับมาถึงบ้าน เขาพบว่าบ้านเงียบสนิทและมืดสลัว มีแต่ไฟในห้องครัวที่เปิดทิ้งเอาไว้และบนโต๊ะก็มีอาหารจานเดียวที่ห่อพลาสติกแรปอย่างดีตั้งไว้รอท่า

   ชายหนุ่มหยิบจานไปใส่ตู้เย็นเพราะสุดท้ายก็กินเสร็จสรรพมาจากข้างนอก

   เขาเดินขึ้นไปที่ห้องของเอเดรียนก่อนเพื่อจะได้มั่นใจว่าลูกสาวตนเองนอนหลับเรียบร้อยแล้ว ทว่า...เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปกลับพบความว่างเปล่า เอเดรียนไม่ได้อยู่บนเตียง แต่มีร่องรอยว่าเคยนอนอยู่และลุกออกไปเพราะผ้าห่มกางคลุมเตียงอย่างลวก ๆ และยับยู่ยี่ ข้างเตียงของเอเดรียนมาเก้าอี้ตั้งไว้ เป็นเก้าอี้ที่เขานำมาวางเพราะต้องใช้เมื่อเอเดรียนไม่ยอมนอนแต่โดยดีจึงต้องนั่งกล่อมให้หลับ แต่ทุกครั้งที่ใช้เสร็จเขาจะเลื่อนไปเก็บที่ข้างตู้ การที่มันถูกวางแบบนี้แสดงว่าซูเล่ยนำมาใช้หรือ?

   ถ้าอย่างนั้น...เอเดรียนก็อาจจะอยู่กับซูเล่ย?

   อังเดรปิดประตูห้องเอเดรียนแล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องของซูเล่ยซึ่งอยู่สุดทางเดินชั้นสอง ลองบิดลูกบิดก็พบว่าไม่ได้ลงกลอนจึงเปิดเข้าไปอย่างช้า ๆ ให้เกิดเสียงน้อยที่สุด เขามองผ่านแสงซึ่งสาดส่องจากระเบียงทางเดินเข้ามาในห้องจนเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มร่างเล็กที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามีด้านของเตียงแคบ ๆ ขนาดนอนได้คนเดียวมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งนอนซุกอยู่ด้วยพร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่ไม่เคยห่างมือ มือของเอเดรียนคลายจากมือของซูเล่ยแล้วเล็กน้อย

   เสียงถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งใจค่อย ๆ จางไปกับบรรยากาศ ชายหนุ่มร่างสูงโน้มตัวผ่านเจ้าของเตียงและเอื้อมมือไปขยับตัวเด็กหญิงทีละน้อยเพื่อไม่ให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทว่า...

   “ปล่อยเธอนอนไปเถอะครับ...” เสียงของซูเล่ยกระซิบผ่านอากาศก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาขึ้นมาและขยับตัวลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง “รู้ไหมว่าผมใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเธอจะยอมหลับได้”

   “พอดีว่าฉันติดธุระนานไปหน่อย...”

   “ช่างเถอะ เรื่องนั้นคุณต้องไปแก้ตัวกับเอเดรียนเอาเอง ผมไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตคุณอยู่แล้ว” พูดไป เจ้าของประโยคก็หยัดตัวลุกจากเตียงและเบี่ยงตัวหลบอังเดรก่อนเดินสวนออกมา

   “แล้วเธอจะไปไหน?”

   “ก็ดูเหมือนว่าคุณจะมีความกังวลเกี่ยวกับอุปนิสัยของผม เพื่อไม่ให้คุณกังวลผมก็เลยจะไปนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้ไม่ต้องอุ้มเอเดรียนไปให้เสี่ยงตื่นมางอแง” ทุกถ้อยคำของซูเล่ยบ่งบอกว่าเจ้าตัวจงใจประชดประชันเต็มที่จนอังเดรรู้สึกผิดขึ้นมาแม้จะยังมีอคติกับอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงจับบ่าอีกฝ่ายรั้งไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวไปถึงประตูแล้วพรูลมหายใจหนักหน่วง

   “เธอนอนไปเถอะ ถ้าเอเดรียนตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่คุ้นเคยและไม่เจอใคร เดี๋ยวจะมีปัญหาหนักกว่าเดิม” คำพูดของอังเดรเรียกให้ซูเล่ยเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

   “ถ้าแบบนั้นคุณนอนแทนไม่ดีกว่าหรือครับ?”

   “ที่ฉันไม่กลับมาส่งเข้านอนเอเดรียนคงจะงอนเอาเรื่อง ไว้เจอกันตอนเช้าแล้วฉันอธิบายทีเดียวจะดีกว่า” อังเดรว่าจบก็เดินผ่านออกไปแทน “ยังไงก็...ขอบคุณที่ช่วยดูแลเอเดรียนแทนฉันด้วยก็แล้วกัน”

   อังเดรออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนตอนที่เข้ามา ซูเล่ยมองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายทั้งที่ยังกังขาอยู่ว่าธุระที่ทำให้กลับดึกขนาดนี้คืออะไร แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ควรจะไปซอกแซกให้มากความเพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ถลำลึกเข้าไปในวิถีชีวิตของผู้ชายคนนี้มากเกินไป หากไม่ใช่เรื่องที่คนคนนั้นสั่งให้จับตาดูแล้ว นอกนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา...

   ซูเล่ยพยายามเตือนตัวเองเช่นนั้น

TBC


---- ทอล์คเบาๆ

ตอนที่เซียร์คิดพล็อตเรื่องนี้อยู่ เป็นตอนที่เซียร์กำลังคิดหนังเรื่อง Take the Lead มาก ดูซ้ำดูซากไม่รู้จักเบื่อ เพราะคุณอันโตนิโอแสดงเป็นปิแอร์ ดูเลน ได้หล่อลากเท่ห์สะบัดเหลือเกิน /หอบหื่น(?) ทำให้เซียร์รู้สึกว่า ผู้ชายที่เต้นลีลาศเก่งเนี่ย มีเสน่ห์เอามากๆเลยน้า~ ก็เลยถือกำเนิดเป็นตัวละครพี่น้องอังเดรกับอาร์เลนขึ้นมาด้วยประการฉะนี้แหละค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-10-2013 14:51:30
อัยยะ
อยากอ่านต่อเสียจริง
ซุน่ารักออกขนาดนี้
คุณอังเดรนี่ไม่มีทีท่าจะสนใจบ้างเลยหรือไงนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 22-10-2013 15:01:02
เหมือนเมียรอสามีกลับบ้านดึกเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-10-2013 17:04:35
อ้าวหมดแล้วหรือนี้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-10-2013 18:41:09
พี่จำไม่ได้แต่น้องจำได้ เอ๊ะยังไง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-10-2013 15:18:48
ที่จริงอังเดรก็จำได้รางๆนะคะ แต่ไม่ได้เก็บมาคิดซ้ำเท่านั้นเอง 555
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-10-2013 15:59:08
-4-


   “เอเดรียนโกรธแดดดี้” บทสนทนายามเช้าเริ่มขึ้นด้วยสีหน้าเง้างอนของเด็กหญิงวัยสองขวบปี เธอพองแก้มแล้วกอดอกไม่ยอมสบตาผู้เป็นพ่อซึ่งเพียรพยายามจะเอาอกเอาใจสารพัดเพื่อให้เธออารมณ์ดีขึ้นแต่มันก็ไม่ได้ผลเอาเสียเลย “ต่อไปนี้ เอเดรียนจะรักซูมากกว่าแดดดี้แล้ว”

   “อย่าพูดแบบนั้นสิเอเดรียน แดดดี้ต้องไปส่งยูล่านะ”

   ยูล่า?

   พอได้ยินชื่อหญิงสาวคนนี้ ซูเล่ยก็ต้องเผลอให้ความสนใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

   “ส่งยูล่า?” เอเดรียนถามในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

   “แถวที่พักยูล่าระยะนี้มีคนไม่ดีมาป้วนเปี้ยน เอเดรียนเองก็ไม่อยากให้ยูล่าถูกทำร้ายใช่ไหม?” เด็กหญิงได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเร็ว ๆ “ดังนั้นระยะนี้แดดดี้เลยต้องไปส่งยูล่าที่อพาร์ทเมนต์ก่อนแล้วถึงจะกลับมาหาเอเดรียน เป็นเด็กดีให้ซูพาเข้านอนไปสักพักได้หรือเปล่า?”

   แม้เอเดรียนจะเป็นเด็กแต่ก็ค่อนข้างฉลาด เมื่อได้ฟังคำอธิบายจึงทำหน้าคับข้องใจโดยการขมวดคิ้วเสมือนกำลังไตร่ตรองอย่างหนักตามประสาเด็กก่อนยินยอมพยักหน้าในที่สุด

   “แต่แดดดี้ต้องจูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียน”

   “แดดดี้จะจูบอรุณสวัสดิ์ตอนเช้าด้วย” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็โน้มใบหน้าไปจูบกระหม่อมลูกสาวอย่างรักใคร่ เพียงเท่านี้เอเดรียนก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา จากนั้นอังเดรจึงหันมาทางพี่เลี้ยงเด็กซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร “หลังจากนี้ก็ช่วยดูแลต่อด้วยล่ะ”

   “ก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับ” ซูเล่ยตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาเมื่อครู่เป็นพิเศษ ทว่าในใจของเขากำลังนึกสงสัย มันจะประจวบเหมาะเกินไปหรือเปล่าที่มีคนมาป้วนเปี้ยนแถวที่พักของยูล่าเอาเวลาอย่างนี้ เวลาที่อังเดรไม่มีใครที่บ้านให้เป็นห่วงเพราะภรรยาเสียชีวิตแล้วและลูกสาวก็มีคนดูแล และทำไมคนที่ถูกร้องขอจึงไม่ใช่อาร์เลนที่น่าจะไม่มีภาระผูกพันใด ๆ นอกจากนี้...หากนับจากเวลาเลิกงานของอังเดรตามปกติ ถึงจะออกนอกทางเพื่อไปส่งเพื่อนร่วมงานแต่ก็ไม่น่าจะกลับดึกถึงขนาดนั้นเพราะที่พักของยูล่าไม่น่าจะอยู่ไกลจากที่ทำงานมากนัก

   ช่วงเวลาที่หายไปมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?

   หรือเธอคิดจริงจังกับอังเดรและกำลังหาทางโน้มน้าวใจเขา?

   ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อสรุปความ หากเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขาก็อาจจะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเคยไม่ได้เสียกระมัง หลังจากนี้เป็นต้นไป...คงต้องสังเกตปฏิกิริยาของอังเดรที่มีต่อการกระทำต่าง ๆ ของยูล่าอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว

   แต่แม้จะวางแผนในใจเช่นนั้น ซูเล่ยก็ยังมีคนอีกคนหนึ่งต้องดูแล เด็กหญิงซึ่งสามารถทำความเข้าใจต่อสถานการณ์รอบข้างได้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้เขาปวดหัวอยู่ไม่ใช่น้อย

   “เอเดรียนจะไปปกป้องแดดดี้” จู่ ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นมาระหว่างมื้อเที่ยง

   “ไม่มีใครทำอะไรแดดดี้ของเอเดรียนหรอก” ซูเล่ยว่าพลางรินน้ำส้มใส่แก้ว

   “แต่ว่ามีคนไม่ดี...”

   “คนไม่ดีส่วนใหญ่จะชอบทำร้ายผู้หญิงน่ะ” ถึงจะไม่ได้ถามอังเดรว่าคนไม่ดีที่ว่านี้เป็นคนไม่ดีแบบไหน แต่หากเป็นความกลัวของผู้หญิงแล้วก็มักจะกลัวผู้ร้ายข่มขืนมากกว่าปล้นชิงทรัพย์ ดังนั้นความกลัวของยูล่าที่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้อังเดรไปส่งที่อพาร์ทเมนต์ทุกคืนก็น่าจะเป็นคนไม่ดีแบบนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าคนไม่ดีมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือหญิงสาวแค่อุปทานไปเองก็สุดที่เขาจะคาดเดาได้

   “ไม่ทำร้ายแดดดี้เหรอ?” เอเดรียนถามพลางคาบช้อนไว้ในปากที่เลอะซอสมะเขือเทศ พี่เลี้ยงหันไปเห็นก็ถอนหายใจก่อนเด็ดทิชชู่ไปเช็ดปากให้

   “แดดดี้ของเอเดรียนไม่มีใครกล้าทำร้ายหรอก ชอบทำหน้าเฉยชาใส่คนอื่นแบบนั้นน่ะ คนไม่ดีเห็นก็วิ่งหางจุกก้นแล้ว” ถึงจะเกินความจริงไปโข แต่บางครั้งซูเล่ยก็คิดจริง ๆ ว่าอังเดรชอบใช้สีหน้าไล่คนตลอดเวลา หรือสีหน้าแบบนั้นจะมีให้เฉพาะเขากันนะ เพราะต่อหน้าเอเดรียน ยูล่า หรืออาร์เลน อังเดรก็วางท่าเป็นปกติ สีหน้าผ่อนคลายบ้าง ยิ้มหรือหัวเราะบ้าง มีแต่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่จะทำสีหน้าไร้อารมณ์

   “หางจุกก้น?” วลีใหม่ที่เด็กหญิงได้ยินดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเรื่องของพ่อทำให้เธอละความสนใจจากความพยายามที่จะตามไปปกป้องพ่อของตนเองไปทันที

   “ก็...” ซูเล่ยกลอกตาไปมาเพื่อหาคำตอบ “เอเดรียนลองถามแดดดี้ดูสิ” สุดท้ายเขาก็ปัดภาระไปหาคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาและคิดว่าเอเดรียนคงจะลืมเรื่องนี้ไปในเวลาไม่นานเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ทว่า...เขากลับคิดผิดถนัด เพราะแม้คืนนั้นเธอจะไม่ได้เจอพ่อก่อนเข้านอน ทว่าในระหว่างมื้อเช้าวันถัดมา เธอก็เปิดบทสนทนาแรกของวันด้วยคำถามว่า หางจุกก้น คืออะไร

   หลังจากได้ยินคำถาม อังเดรก็หันมองหน้าซูเล่ยพร้อมสายตาเหมือนกำลังต่อว่าอยู่ในใจทันที แต่คนถูกตำหนิกลับแค่ไหวไหล่เสมือนจะตอบว่าไม่ใช่ความผิดของตนเอง อังเดรจึงได้แต่ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดและหันไปยิ้มให้เอเดรียน

   “เอเดรียนเคยเห็นน้องหมาใช่ไหม? เวลาที่น้องหมากลัวอะไรขึ้นมาจะซ่อนหางไว้ระหว่างขา แบบนั้นแหละที่เรียกว่าหางจุกก้น” ถึงแม้คำเปรียบเทียบนี้จะไม่ได้หยาบคายแต่อย่างใดในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป ทว่าสำหรับอังเดรแล้ว คำที่ใช้ในการเปรียบเทียบพฤติกรรมของสัตว์กับคนในลักษณะเหยียบหยามก็ยังไม่เหมาะสมกับวัยของเอเดรียนในตอนนี้เขาจึงอธิบายด้วยลักษณะที่ดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก

   “คนก็มีหางเหรอ?” เอเดรียนว่าแล้วพยายามคลำหางตนเองว่าตอนนี้จุกก้นอยู่หรือไม่

   “ไม่มีหรอก เป็นแค่คำเปรียบเทียบเท่านั้นเอง” ซูเล่ยแทรกขึ้นมา “เวลาที่คนกลัวมาก ๆ จนถึงขั้นวิ่งหนีเพราะไม่กล้าสู้น่ะ”

   เด็กหญิงขมวดคิ้วมุ่นเพื่อทำความเข้าใจ

   “เอเดรียนก็กลัวน้องหมาตัวโตจนหางจุกก้น”

   “คำนี้อย่าเพิ่งใช้ดีกว่านะเอเดรียน เอาไว้โตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยใช้ ตกลงไหม?” อังเดรฝืนแค่นยิ้มบอกลูกสาวไปเช่นนั้นซึ่งเธอก็รับคำอย่างแข็งขัน เขาจึงหันไปทางซูเล่ยแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวคืนนี้หลังจากส่งเอเดรียนขึ้นนอนแล้วรออยู่คุยกันฉันหน่อยได้ไหม?”

   คำถามของอังเดรไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะมันคือการบังคับ ซูเล่ยจึงแค่ยิ้มรับแล้วกินอาหารเช้าต่อไปโดยปล่อยให้สองพ่อลูกคุยกันตามอัธยาศัย

--------------------------->

   “ตอนฉันไม่อยู่อย่ามาสอนอะไรแปลก ๆ ให้เอเดรียนมากนักจะได้ไหม?” อังเดรกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าเมื่อวานเป็นชั่วโมงซึ่งน่าจะเป็นเวลาปกติที่ขับรถไปอพาร์ทเมนต์ของยูล่าและตรงดิ่งกลับบ้านทันที ซึ่งเมื่อกลับมาถึงและเห็นซูเล่ยนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาในห้องนั่งเล่น เจ้าตัวก็เปิดฉากด้วยประโยคที่อัดอั้นตันใจมาตั้งแต่เช้าทันที แต่ผู้ฟังก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านต่อการโดนตำหนิติเตียนแต่อย่างใด

   “คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า นั่นมันคำเปรียบเทียบที่คนทั่วไปเขาใช้กันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไม่ใช่หรือครับ?” ชายหนุ่มร่างเล็กเลิกคิ้วสูงอย่างจงใจ

   “แต่ยังไม่เหมาะที่เอเดรียนจะเอามาพูด ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอโตมาในสถานที่หรือสภาพแวดล้อมแบบไหน แต่อย่าเอานิสัยแย่ ๆ ของตัวเองมายัดให้ลูกสาวฉันเสียไปด้วย” อังเดรต่อว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะอันที่จริงเขาก็มีความกังวลมานานแล้วเกี่ยวกับอุปนิสัยของซูเล่ยที่เขาไม่ได้ชื่นชอบเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งที่พี่เลี้ยงมีอิทธิพลอย่างมากต่อตัวเด็กแท้ ๆ แต่ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งคนที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็มีแต่ข้อเสีย ไม่มีทั้งมารยาทและสัมมาคารวะแบบนี้มาให้ ข้อดีเพียงข้อเดียวของซูเล่ยที่เขาหาพบก็คือทำงานบ้านเก่งเท่านั้นเอง

   “เมื่อเทียบกับคำพูดสวยหรูของคุณ ผมคิดว่าโดยความหมายแล้ววลีที่ผมสอนเอเดรียนยังเบากว่ากันเยอะ” ซูเล่ยไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรนัก แต่เขาก็อดกระแหนะกระแหนไม่ได้

   “อย่างน้อยฉันก็ใช้ถูกคน”

   “ผมก็ไม่ได้ใช้ผิดที่ผิดทางนี่ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมพูดออกมาในสถานการณ์แบบไหน แค่เอเดรียนสงสัยแล้วเอามาถามคุณเฉพาะคำเท่านั้นเอง”

   ถ้าหากว่าซูเล่ยไม่ใช่คนที่พ่อตาส่งมาอาจจะถูกโยนออกจากบ้านไปแล้วก็ได้ เพราะนอกจากจะไม่เคารพเจ้าของบ้านแล้วยังเถียงคำไม่ตกฟากอีกต่างหาก

   “เอาเถอะ ผมจะพยายามปรับปรุงตัวก็ได้ ถ้าคุณยอมตอบคำถามของผม” จู่ ๆ ซูเล่ยก็ทำตัวว่าง่ายขึ้นมาอย่างกะทันหันจนแม้แต่อังเดรที่เถียงกันอยู่เมื่อครู่ยังมุ่นคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะตั้งสติได้ว่าความว่าง่ายของซูเล่ยมีเงื่อนไขแถมท้ายมาด้วย

   “อยากถามอะไร?”

   หลังได้ยินคำถาม ดวงตาสีดำสนิทก็เลื่อนไปจ้องมองคู่สนทนาผ่านกรอบเรียวรี

   “เมื่อคืนก่อนคุณไปทำอะไรที่อพาร์ทเมนต์ของคุณยูล่า?”

   “อะไรนะ?”

   “วันนี้น่ะ คุณกลับมาบ้านเพื่อคุยกับผมเป็นจุดประสงค์หลัก จึงไปส่งคุณยูล่าและกลับมาทันที แต่คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเร็วกว่าเวลาที่คุณกลับมาเมื่อคืนก่อนถึงชั่วโมงครึ่ง” ซูเล่ยชี้ไปทางนาฬิกาซึ่งตอนนี้ยังไม่ทันถึงสามทุ่มครึ่งด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะคุยกันมาสักพักแล้วหลังจากอังเดรกลับมาถึง “ช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่หายไปคุณคงไม่ได้หลุดเข้าไปอยู่ในอุโมงค์กาลเวลาแน่ ๆ ใช่ไหมล่ะครับ?”

   จู่ ๆ อังเดรก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกสอบสวน โดยปกติเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาควบคุมชีวิตส่วนตัวอยู่แล้วจึงเกิดฉุนขึ้นมา

   “นั่นมันเรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง? พี่เลี้ยงอย่างเธอมีสิทธิซอกแซกชีวิตส่วนตัวของนายจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือนี่ก็เป็นหนึ่งในคำสั่งพ่อตาของฉันด้วย?”

   ซูเล่ยหลบตาไปทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

   “ก็ไม่เชิง ก็แค่...ผมมีหน้าที่ทำให้เอเดรียนรู้สึกสมบูรณ์พร้อมในด้านต่าง ๆ ถ้าหากว่าคุณคิดจะจริงจังกับใครผมก็ควรจะมีสิทธิรู้ด้วย” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เขาคิดออกอย่างสมเหตุสมผล เพราะหากตอบไปตรง ๆ ว่าพ่อตาไม่ยอมให้ลูกเขนแต่งงานใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตมีหวังอังเดรได้ต่อสายหาพ่อตาตนเองกลางดึกแน่ นอกจากนี้...เขายังตะขิดตะขวงใจอยู่นิดหน่อยกับพฤติกรรมของยูล่า ซึ่งมันอาจจะเป็นแค่ความคิดมากจนเกินเหตุของเขาเองก็เป็นได้ การเก็บเงียบข้อนี้ไว้จึงเป็นการดีกว่า

   ถึงอย่างนั้นคำพูดของซูเล่ยก็พาให้อังเดรคิดไปได้ว่าตนเองกำลังถูกตำหนิที่ละเลยลูกสาวและไปหาผู้หญิงคนใหม่มาแทนภรรยาที่เสียไปซึ่งข้อกล่าวหานี้ทำให้ผู้ชายอย่างเขารู้สึกเสียหน้าแม้จะไม่ใช่การต่อว่าอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้าไปประชิดอีกฝ่ายก่อนกดสายตาลงต่ำอย่างมีโทสะ

   “มารีนเพิ่งจะตายไปไม่ถึงเดือน เธอคิดว่าฉันจะมีกะจิตกะใจไปหาเศษหาเลยหรือยังไง?”

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงไม่ตอบตรง ๆ ล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่ตอบคำถามมาก็จบแล้ว” ซูเล่ยหันกลับมาจ้องตานายจ้างโดยไม่หวาดหวั่นต่อท่าทีคุกคาม

   “เพราะมันไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องมานั่งตอบคำถามคนนอกแบบเธอ” พูดจบ อังเดรก็เดินเลยผ่านไปทันทีคล้ายต้องการจบบทสนทนาเพียงเท่านี้และไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป แต่คำพูดของซูเล่ยกลับทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาว่าหากเอเดรียนคิดว่าเขาละเลยตนเองเพราะยูล่าขึ้นมาอีกคน เขาจะทำยังไง...

   และเพราะความกังวลนี้ ชายหนุ่มจึงพูดให้ยูล่าฟังในวันต่อมาระหว่างทางที่กำลังขับไปที่อพาร์ทเมนต์ของยูล่าเช่นเดียวกับสองวันที่ผ่านมา

   “เป็นเพราะฉันชวนคุณมาดื่มชาก่อนกลับแท้ ๆ ถึงโดนเข้าใจผิดไปแบบนั้นได้” ยูล่าถอนใจด้วยความรู้สึกผิดต่อการกระทำที่ไม่ทันคิดของตนเอง

   “ไม่หรอก ผมคิดว่าซูเล่ยคงคิดมากเพราะคิดถึงเอเดรียนมากเกินไปมากกว่า”

   หญิงสาวฟังแล้วก็แอบเหลือบมองคนข้างตัวอย่างชั่งใจก่อนจะถามคำถามซึ่งคิดอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อครู่

   “คุณซูคิดว่าคุณกำลังคิดเรื่องแต่งงานใหม่หรือเปล่าคะ?” เธอกลั้วหัวเราะไปด้วยให้บรรยากาศผ่อนคลายไม่อึดอัดจนเกินไป

   “ตัวผมเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเสียด้วยซ้ำ” เมื่อได้ยินคำตอบ ยูล่าก็มีสีหน้าหม่นหมองไปเล็กน้อย แต่เพราะอังเดรมองถนนอยู่จึงไม่ทันได้เห็น “พูดตามตรงแล้ว ถึงระยะหลังผมกับมารีนจะมีปัญหากันแต่ผมก็ยังรักเธอในฐานะภรรยาไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้เมื่อเธอจากไปแล้วผมก็ต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของเอเดรียนมากกว่าตัวเอง บางทีหลังจากนี้ผมอาจจะคิดถึงเรื่องแต่งงานใหม่บ้างก็ได้ เพราะยังไงเอเดรียนก็ยังต้องการคนดูแลในฐานะแม่ แล้วซูก็ไม่ได้มีความใกล้เคียงเอาเสียเลย”

   “อย่างนั้นหรือคะ?” เธอถามเปรย ๆ พลางยิ้มกับตนเองอย่างมีความหวัง

------------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-10-2013 15:59:38
   หลังจากนั้น กิจวัตรของอังเดรก็เริ่มคงที่เหมือนเดิมทุกวัน นั่นคือการกลับถึงบ้านราว ๆ สองทุ่มกว่าจนถึงเกือบสามทุ่ม ซึ่งบางคืนก็ทันก่อนเอเดรียนขึ้นนอน แต่บางคืนเอเดรียนก็นอนไปก่อนแล้ว ส่วนซูเล่ยก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันมากนักเพราะเมื่อกลับมาถึง อังเดรก็จะไปจูบราตรีสวัสดิ์ลูกสาว อาบน้ำ และเข้าห้องไปอ่านหนังสือฆ่าเวลาก่อนจะหลับ แม้ทุกอย่างจะเหมือนเป็นไปได้ด้วยดี แต่นิสัยติดพ่อของเอเดรียนก็แก้ให้หายไม่ได้ง่าย ๆ ซูเล่ยจึงต้องหาวิธีกล่อมเด็กหญิงทุกคืนที่อังเดรกลับช้ากว่าเวลานอนตามปกติโดยพยายามแข็งใจไม่โอนอ่อนตามคำอ้อนวอนของเอเดรียนที่ขอไปนอนที่ห้องเขาอีก เพราะจะทำให้เด็กเคยตัวจนไม่ยอมนอนคนเดียว

   ทว่า...การไม่ได้พบกับพ่อในช่วงก่อนนอนหลายวันเข้าก็ทำให้เอเดรียนเริ่มงอแงขึ้นมาอีก

   “เอเดรียนอยากไปหาแดดดี้” ตอนเย็นของวันหนึ่ง เอเดรียนก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจังทั้งยังกอดกระต่ายสีขะมุกขะมอมแน่น

   ซูเล่ยเหลือบสายตามองนาฬิกาพลางมุ่นคิ้ว

   “แดดดี้ทำงานอยู่ไม่ใช่หรือ?”

   “เอเดรียนจะไปหาแดดดี้ที่ทำงาน เอเดรียนจะไปช่วยทำงานให้เสร็จไว ๆ”

   เท่าที่เขารู้...การทำงานของอังเดรไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณงานต่อวันแต่เป็นการกำหนดด้วยช่วงเวลา ซึ่งนอกเหนือจากการรับสอนชั่วโมงพิเศษในโรงเรียนไฮสคูล เจ้าตัวก็จะอยู่ที่โรงเรียนสอนเต้นรำตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงหนึ่งทุ่ม เมื่อรวมกับเวลาเก็บข้าวของและดูแลสถานที่แล้วน่าจะกลับได้ประมาณทุ่มครึ่ง ดังนั้นถึงจะมีคนช่วยเพิ่มขึ้นก็คงจะทุ่นเวลาได้เพียงช่วงเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านเท่านั้น

   “อยู่กับพี่ไม่สนุกหรือ?” ซูจงใจเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   “ซูทำงานบ้านนี่นา” เด็กหญิงทำหน้าเง้าเพราะเอาเข้าจริง เวลาของซูเล่ยก็ไม่ได้มีให้เธอทั้งวันเพราะต้องเจียดไปทำอาหารบ้าง ล้างจานบ้าง เอาผ้าลงซักหรือขึ้นตากบ้าง แม้งานที่ต้องใช้เวลานานอย่างการรีดผ้าหรือปัดกวาดเช็ดถูบ้านจะถูกผลักไปไว้ในวันเสาร์และวันอังคารที่อังเดรอยู่บ้านในช่วงกลางวันและดูแลเอเดรียนแทน แต่สำหรับเด็กญิงในวัยนี้ที่ต้องการคนดูแลเรื่องต่าง ๆ รอบตัวก็ยังคงคิดว่าเวลาที่พี่เลี้ยงมีให้ตนในแต่ละวันมีไม่เพียงพอ เมื่อรวมกับการที่พ่อไม่กลับบ้านตรงเวลาเดิมมาหลายวันแล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง

   “ถ้าอย่างนั้น เอเดรียนมาช่วยพี่ทำงานบ้านแทนดีไหม? พี่จะได้มีเวลาเล่นกับเอเดรียนมากขึ้น” ซูเล่ยยื่นข้อเสนอที่ดูจะไม่ได้ช่วยทุ่นแรงเขาสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ จะช่วยเพิ่มงานให้เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ดูจะเป็นทางออกเดียวในตอนนี้สำหรับปัญหาของเอเดรียนที่อังเดรคงมองว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา

   ชายหนุ่มยื่นแก้วพลาสติกที่ล้างเสร็จแล้วพร้อมกับผ้าแห้งให้เอเดรียนและจับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กตัวประจำ

   “ช่วยพี่เช็ดของพวกนี้ ตกลงไหม?” เขาชี้แก้วพลาสติกและช้อนส้อมที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะหลังจากล้างน้ำเสร็จ เอเดรียนรับคำอย่างดีและลงมือทำโดยไม่ได้งอแงอะไรอีก แต่ระยะนี้นิสัยเก็บงำเรื่องที่คิดอย่างจริงจังเริ่มปรากฏในตัวเอเดรียนทีละน้อย โดยในคืนนั้นเมื่ออังเดรเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์หลังเอเดรียนเข้านอนเหมือนทุกคืน เด็กหญิงที่ยังไม่หลับสนิทก็โผเข้ากอดพ่อแน่น

   “เป็นอะไรไปหรือ?” อังเดรถามด้วยความสงสัยในพฤติกรรมแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็น

   “เอเดรียนอยากให้แดดดี้กลับมาหาไว ๆ” เธอพูดเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่บนบ่าของพ่อ

   “แดดดี้เคยบอกไปแล้วนี่นา...”

   “อือ...” เขาพูดยังไม่ทันจบ เอเดรียนก็รับคำในคอและพูดแทรก “แต่ถ้าแดดดี้ทำงานเสร็จเร็วก็จะกลับเร็ว เอเดรียนอยากไปช่วย แต่ซูไม่ให้ไป”

   อังเดรถอนหายใจหนักหน่วงและลูบหลังลูกสาวเพื่อปลอบโยนโดยไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าพูดไปก็เหมือนแก้ตัวจึงได้แต่กอดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเอเดรียนหลับไปเอง

   ชายหนุ่มเดินลงมาข้างล่างแทนที่จะเข้าห้องตามปกติ และได้พบซูเล่ยกำลังนั่งกดรีโมทโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อยเสมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกจากนี้ และเมื่ออังเดรลงมานั่งข้าง ๆ บนโซฟาตัวเดียวกัน ทำให้คนที่ครอบครองโซฟาอยู่ก่อนต้องหันมองด้วยความประหลาดใจ

   “ผมคิดว่าคุณไม่อยากอยู่กับผมสองต่อสองเสียอีก” เพราะมีโอกาสคุยกันสองคนทีไรก็เป็นต้องมีเรื่องถกเถียงหรือไม่ก็พาขุ่นใจกันทุกทีไป และตลอดหลายวันที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน การสนทนาของพวกเขาก็ไม่เคยเป็นไปในทางที่ดีเลยสักครั้งเดียว ทำให้ซูเล่ยค่อนข้างปักใจเชื่อว่าอังเดรมองเขาเป็นเชื้อโรคซึ่งไม่อยากอยู่ใกล้หากไม่จำเป็นแต่จำต้องอยู่ร่วมกันอย่างกล้ำกลืนฝืนใจไปวัน ๆ การกระทำในตอนนี้จึงดูผิดกปกติเสียจนพาให้สงสัยว่าอีกฝ่ายกินยาผิดขนานมาหรือเปล่า

   “ฉันดูเหมือนคนที่ละเลยลูกขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?”

   ครั้งนี้มาแปลก...เพราะอังเดรไม่ได้ตั้งป้อมจะตำหนิติเตียนเหมือนครั้งก่อน ซ้ำยังถามออกมาด้วยท่าทางจริงจังและเคร่งเครียด

   เอเดรียนพูดอะไรหรือยังไงนะ?

   ซูเล่ยหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางครุ่นคิดก่อนจะลุกเดินไปรินน้ำผลไม้มาส่งให้แล้วนั่งลงเช่นเดิม เขาไม่ใช่คนประเภทปลอบใจคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร การที่อังเดรคิดจะมาปรึกษาเขาอย่างนี้มันดีจริง ๆ หรือ? เพราะตนอาจจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียกว่าเดิมก็ได้

   “ที่จริงแล้วช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณก็แทบจะไม่ได้กลับมาราตรีสวัสดิ์เอเดรียนเลย ก็ไม่แปลกที่เธอจะงอน” คิด ๆ ดูแล้ว อังเดรเริ่มไปส่งยูล่าที่บ้านตั้งแต่เมื่อราว ๆ สิบวันก่อน นอกจากวันแรกที่กลับช้ากว่าปกติไปมากและไม่นับวันที่จงใจกลับมาเพื่อต่อว่าเขาเรื่องการสอนการใช้คำ ก็จะมีแค่สองหรือสามวันที่บังเอิญเอเดรียนยังไม่หลับและอังเดรกลับเร็ว สองพ่อลูกจึงได้เจอกันก่อนนอน นอกนั้นก็จะสวนกัน คนหนึ่งหลับ อีกคนเพิ่งกลับ ซึ่งเมื่อเอเดรียนต้องเข้านอนโดยไม่ได้เจอหน้าพ่อบ่อย ๆ เจ้าก็ย่อมเกิดรู้สึกเหงาขึ้นมาเป็นธรรมดา ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถทดแทนคนใกล้ชิดได้

   “ยังไงดีนะ...ฉันเองก็ไม่อยากจะปล่อยให้ยูล่ากลับบ้านเองคนเดียวในขณะที่เธอยังกลัวอยู่ เพราะยังไงฉันก็เป็นคนจ้างเธอมาทำงานและเป็นสาเหตุให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยแบบนี้” อังเดรถอนหายใจแม้จะรู้ว่าความรับผิดชอบของตนเองมีมากกว่าการตามรับส่งผู้ช่วยงานคนหนึ่ง แต่เพราะเขาคิดว่าเอเดรียนมีพี่เลี้ยงดูแลอยู่แล้วจึงได้วางใจ

   ไม่นึกเลยว่าเอเดรียนจะเครียดกับเรื่องนี้...

   “มันไม่นานเกินไปหน่อยหรือ?”

   “หืม?”

   ที่จริงแล้ว ประโยคเมื่อครู่ซูเล่ยเพียงเปรยกับตนเอง ทว่าเพราะความเงียบทำให้อังเดรได้ยินไปด้วย

   “เปล่าหรอก ผมแค่สงสัยว่าคนโรคจิตที่ป้วนเปี้ยนแถวที่พักของคุณยูล่าน่าจะไปที่อื่นแล้วเพราะระยะนี้ก็ไม่เห็นจะมีข่าวทำนองนั้นลงหนังสือพิมพ์เลย หรือไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกตำรวจจับไปแล้วก็ได้ไม่ใช่หรือครับ?” ซูเล่ยตั้งข้อสงสัยโดยที่ปิดบังไว้ข้อหนึ่งนั่นคือ ยูล่าอาจจะโกหกก็เป็นได้ “คุณไปแถวนั้นทุกคืนก็ไม่มีคนที่น่าสงสัยไม่ใช่หรือครับ? ถ้าไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วคุณก็น่าจะถอนตัวจากหน้าที่ได้แล้ว”

   จะว่าไปมันก็จริง...เขาไปส่งยูล่าทุกคืนแต่เขาก็สังเกตว่าบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบสงบซ้ำยังไม่ใช่สถานที่เปลี่ยวอะไร เวลาประจำที่ยูล่ากลับอพาร์ทเมนต์ก็เป็นช่วงที่คนเดินเข้าออกค่อนข้างมากเพราะส่วนใหญ่ก็เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเช่นกัน

   แต่อย่างไรอันตรายก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน...

   “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”

   “บางทีเธออาจจะคาดหวังให้คุณเป็นคนรับส่งไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”

   นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองคนข้างตัวซึ่งเริ่มจะใช้รูปประโยคเชิงประชดขึ้นมาอีกแล้ว แต่ซูเล่ยก็ทำเป็นไม่สนใจสายตาของอีกฝ่ายและพูดต่อ

   “ลองคิดดูสิ เธอไม่มีทางเป็นคนบอกยกเลิกการบริการครั้งนี้อยู่แล้ว แต่คุณก็ไม่กล้าเป็นคนยกเลิกเองเหมือนกัน ดังนั้นถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่พวกคุณก็ยังต้องดำเนินกิจวัตรต่อไปเพราะไม่มีใครกล้าทำให้มันจบลง ว่าไปแล้ว...มันทำให้ผมนึกถึงคู่แต่งงานที่อยู่กันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยากเลิกก็เลิกไม่ได้ชอบกล” บางครั้ง การเปรียบเทียบของซูเล่ยก็น่าจับอุดปากนัก อังเดรได้แต่นึกเสียใจที่คิดจะมาปรึกษาผู้ชายคนนี้ซึ่งเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับชีวิตเขาเลยสักนิด

   “ฉันผิดเองที่คิดให้เธอช่วยรับฟังปัญหา”

   “ผมก็เสนอทางแก้ไขให้แล้ว คุณจะทำหรือไม่มันก็เรื่องของคุณ ยังไง...ถ้าคิดจะตัดแล้วก็ตัดทีเดียวให้ขาดไปเลยดีกว่า...” ทั้งที่ดูไม่เข้ากับการสนทนาก่อนหน้า แต่ซูเล่ยก็พูดประโยคหลังออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนกับกำลังกระซิบกับตนเองพาให้อังเดรเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เมื่อรู้ตัวว่าถูกมอง ชายหนุ่มร่างเล็กก็ลุกขึ้นและจัดการยกแก้วน้ำสองใบที่ถูกวางทิ้งไว้โดยไม่ได้จิบแม้แต่คำเดียวขึ้นมา “ผมแค่นึกถึงนิยายที่อ่านค้างไว้เท่านั้นเอง นี่มันก็ดึกแล้วคุณควรจะไปนอนเสียที ไม่อย่างนั้นตื่นไปสอนไม่ทันผมก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”

   อังเดรไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดี ๆ กับซูเล่ยแต่กลับถูกตัดบทเหมือนจงใจยั่วให้อารมณ์ขุ่นมัว ครั้งก่อนที่ชวนยูล่ามาร่วมโต๊ะอาหารเย็น หรือที่ถูกคาดคั้นเรื่องที่ไปส่งยูล่าและกลับช้ากว่าปกติก็เหมือนกัน ทั้งที่มันสามารถเป็นไปในทางที่ดีได้และเขาก็พยายามจะทำเช่นนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ให้ความร่วมมือ ซ้ำจู่ ๆ ยังแสดงท่าทางที่คนรู้จักกันผิวเผินไม่มีทางแสดงออกอย่างเด็ดขาด ราวกับว่า...พยายามจะกันเขาออกให้ห่างตัว เพราะหากคิดดี ๆ แล้ว พ่อตาของเขามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องส่งคนที่ทำให้เขาไม่ชอบใจมาอยู่ด้วยกันให้เกลียดขี้หน้ากันเปล่า ๆ ?

   ในขณะที่อังเดรเริ่มกังขาพฤติกรรมแปลก ๆ ของซูเล่ย ตัวซูเล่ยเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจพฤติกรรมตนเองเช่นกัน

   ซูเล่ยวางแก้วลงในอ่างล้างจานและมองน้ำผลไม้ที่ค่อย ๆ ไหลลงท่อพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ แผ่วเบาลงเสียงถอนหายใจล่องลอยอยู่ในอากาศ

   เวลาที่อังเดรเข้ามาคุยด้วย เขามักจะรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ โดยไม่แสดงออกแม้จะรู้ว่าไม่ควรรู้สึกก็ตาม เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้แสดงนิสัยที่ไม่ดีของตนเองออกไปอย่างจงใจเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องการอยู่ใกล้เขามากจนเกินควร ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาห้าปีไม่เพียงพอจะทำให้ลืมความรู้สึกเก่า ๆ ไปได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งเขาและอังเดรต่างก็ทำได้เพียงเต้นไปบนฝ่ามือของคนคนนั้นซึ่งกำหนดชีวิตของผู้คนรอบข้างอย่างเลือดเย็นและไร้หัวใจ

----------------------------------->

   ในวันต่อมา อังเดรก็ขับรถมาส่งยูล่าตามปกติ และเมื่อถึงอพาร์ทเมนต์เขาก็ลงจากรถเพื่อสังเกตดูรอบข้างอย่างจริงจังทำให้หญิงสาวนึกแปลกใจ

   “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

   “...เปล่า ผมแค่คิดว่าแถวนี้ก็ดูเงียบสงบดี ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ” ชายหนุ่มตอบตามตรงเพราะเขาไม่รู้สึกถึงสัญญาณอันตรายจากมุมไหนเลย ซ้ำคนที่เดินเข้าออกอพาร์ทเมนต์รวมถึงคนสัญจรผ่านไปมาก็มีสีหน้าผ่อนคลายดี หากว่าแถวนี้มีคนน่าสงสัยอยู่จริง คนที่อยู่อาศัยในบริเวณเดียวกันก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในทิศทางของความระแวดระวังเหมือน ๆ กันไม่ใช่หรือ?

   “ค่ะ ปกติแถวนี้จะเป็นแบบนี้ตลอด ฉันอาจจะกังวลไปเองก็ได้” ยูล่าแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา “คงจะทำให้คุณแอชฟอร์ดลำบากใจสินะคะ”

   “ผมไม่ได้ทำเพราะฝืนใจ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”

   “เอ่อ...ตอนนี้คงจะไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้งคะ หลังจากคุณมาส่งสักพักฉันก็ไม่ค่อยจะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าอพาร์ทเมนต์แล้ว” เพราะรู้ว่าอังเดรคงไม่มีทางเป็นคนบอกยกเลิกหน้าที่ที่มีต่อสุภาพสตรีก่อน ยูล่าจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียเองเพื่อให้ต่างคนต่างไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “แต่ว่าคุณอุตส่าห์มาส่งตั้งหลายวัน อย่างน้อยวันสุดท้ายให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการขอบคุณจะได้ไหมคะ? ถ้าหากว่าจะทำให้เอเดรียนเป็นห่วง ฉันจะช่วยคุยกับเธอให้ เอเดรียนเป็นเด็กฉลาดคงจะเข้าใจ แต่ว่าถ้าคุณไม่สะดวก...” การเชิญให้ชายหนุ่มที่แอบชอบมานานอยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกสักนิดเป็นเรื่องแสนยากเย็น ทั้งคราวก่อนที่ชวนให้มากินอาหารด้วยกัน และตอนที่ชวนให้ดื่มชาสักแก้ว แต่ใจของอังเดรกลับไม่ได้อยู่ที่เธอเลยแม้แต่น้อย

   “ไม่เป็นไรยูล่า ผมจะโทรบอกซูเอง” คืนสุดท้ายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซ้ำตัวเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอร้องของอีกฝ่ายด้วย

   อังเดรขอปลีกตัวไปทางหนึ่งเพื่อต่อสายถึงซูเล่ย และหลังจากบอกธุระเรียบร้อยแล้ว เขาและยูล่าก็ขึ้นไปบนห้องด้วยกัน

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-10-2013 16:18:38
เฮ้อออ ดูท่าอังเดรกับซูจะคุยกันไม่รู้เรื่องอีกนาน
แถมยูล่าก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆตลอด
แล้วแบบนี้อังเดรจะมาสนใจซูได้ยังไงล่ะเนี่ยยยยยยย
รอตอนต่อไปนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-10-2013 17:37:09
เบื่อยูล่า รู้ทั้งรู้ว่าเค้ามีครอบครัวรออยู่ที่บ้านยังจะรั้งไว้อีก ชิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-10-2013 19:31:42
ยัยยูล่านี่แผนสูงนะ!
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 25-10-2013 20:55:17
ยูล่าน่ารำคาญ
นี่อังเดรความจำสั้นหรอแค่นี้จำไม่ได้
ซูก็ปกติดีนิตั้งแง่อยู่นั้นแหละ ชอบทุกประโยคของซูเลย แทงเข้าใจหมดอะ

ดูท่าแล้วเค้าจะรักกันยากโฮ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 30-10-2013 15:30:21
-5-

   “วันนี้แดดดี้ก็ไม่กลับ” เอเดรียนกอดกระต่ายแล้วพองแก้มขณะกลิ้งไปมาบนเตียง

   “แดดดี้บอกว่าจะกลับดึกคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ยอมให้แดดดี้สักคืนก็แล้วกัน” ซูเล่ยพูดไปก็ลูบผมกล่อมเด็กหญิงให้หลับ เพราะแม้จะเกินเวลานอนมาเกือบชั่วโมงแล้ว เอเดรียนก็ยังหวังจะได้พบหน้าพ่อก่อนหลับตาลงจึงได้พยายามฝืนไม่ยอมหลับทั้งที่หาวหวอดจนตาปรือ

   “เอเดรียนไม่ชอบยูล่าแล้ว” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยปากเชิดจนจะชนกับปลายจมูก “ยูล่าจะแย่งแดดดี้ของเอเดรียน เอเดรียนไม่ชอบแล้ว”

   ดูเหมือนความนิยมต่อยูล่าในตัวเอเดรียนจะตกฮวบอย่างรวดเร็วเมื่อเธอกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อลูกต้องห่างเหินกันไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ ตัวเอเดรียนในตอนแรกก็คงมองยูล่าเป็นพี่สาวใจดีช่างเอาอกเอาใจ แต่อย่างไรเด็กผู้หญิงในวัยนี้ก็มักจะมีนิสัยหวงพ่อและติดพ่อมาก เมื่อรู้สึกว่าโดนพี่สาวใจดีแย่งเวลาของพ่อไปจึงเกิดรู้สึกต่อต้านขึ้นมา

   “แต่ยังไงนี่มันก็เลยเวลานอนมาเยอะแล้วนะเอเดรียน ถ้าไม่หลับก่อนแดดดี้กลับมาเดี๋ยวพี่ก็โดนดุเอาหรอก” ถึงอังเดรคงไม่คิดจะดุเขาในเรื่องที่ตนเองมีส่วนผิด แต่ซูเล่ยก็ยังยกมาเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นอกเห็นใจจะได้ยอมเชื่อฟังและทำตัวว่าง่ายเสียที

   “แต่เอเดรียนยังไม่อยากนอน” เอเดรียนใช้วิธีออดอ้อนเหมือนเช่นทุกคืน

   “แล้วจะทำยังไงถึงยอมนอนล่ะ?”

   เด็กหญิงกลอกตาไปมาก่อนจะเสนอ

   “ซูเล่านิทานให้ฟังหน่อย”

   นิทาน...

   ชายหนุ่มปั้นหน้าปุเลี่ยน เพราะเขาไม่ได้เติบโตมากับนิทานเด็กที่แสนสวยงามแบบคนอื่น ๆ พอมีคนพูดถึงนิทานมันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอะไรที่ห่างไกลจากตนเองจนไม่สามารถเข้าใจตรรกะของมันได้ ไม่รู้ว่าจะจินตนาการถึงโลกที่สวยงาม มีนกน้อยร้องเพลงที่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ยังไง

   “ถ้าซูเล่าเอเดรียนจะนอน” ดวงตาสีน้ำตาลทองกลมโตใสกระจ่างจ้องมองไปยังพี่เลี้ยงของตนอย่างซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม

   “ก็ได้ ในห้องนี้มีหนังสือนิทานหรือเปล่า?” ซูเล่ยมองไปรอบตัวและพบชั้นวางหนังสือขนาดเล็ก ทว่าเมื่อเอื้อมมือไปหยิบ เอเดรียนกลับพูดขึ้นมาว่า

   “เอเดรียนอยากฟังเรื่องใหม่ ๆ”

   ...

   แค่ให้เล่ายังไม่พอ ยังต้องให้แต่งเรื่องขึ้นเองอีกด้วย...ปกติในหลักสูตรพี่เลี้ยงมีวิชาแต่งนิทานด้วยหรือเปล่านะ ซูเล่ยนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน แต่เมื่อเป็นความต้องการของเอเดรียนและเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงตัดสินใจที่จะเล่านิทานเรื่องหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อน

   “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอันห่างไกล ยังมีเจ้าหญิงอยู่พระองค์หนึ่ง” พอเรื่องราวเริ่มขึ้น เอเดรียนก็หยุดเรียกร้องและนอนฟังอย่างสงบ ซูเล่ยขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอและเล่าต่อ “เจ้าหญิงองค์นี้ทรงหลงรักการผจญภัยนอกแผ่นดินเกิด จึงออกเดินทางมากับองครักษ์คนสนิทจนถึงอีกอาณาจักรซึ่งยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรื่องมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว พระองค์ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่แปลกใหม่รอบตัว วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ภาษา และผู้คนที่แตกต่าง ด้วยความที่ยังเยาว์วัยและชอบความท้าทาย พระองค์จึงเริ่มเลียนแบบผู้คนในอาณาจักรนี้ เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เปลี่ยนภาษาพูด และรูปแบบการดำรงชีวิต พระองค์พบเพื่อนใหม่มากมายในสถานที่ซึ่งพระองค์เข้าไปอาศัยอยู่และศึกษาเรื่องราวมากมายจากสถานที่นั้น”

   ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ที่เล่านิทาน เพราะเมื่อเล่าไปเรื่อย ๆ ดวงตาที่ปรือปรอยของเอเดรียนกลับสว่างสดใสขึ้นมาจนแทบไม่เหลือความง่วงงุน

   “จะมีเจ้าชายไหม?” ในนิทานเด็กผู้หญิงส่วนมากจะมีเจ้าหญิงที่ได้ครองคู่กับเจ้าชาย ทว่า...

   “บังเอิญว่าเรื่องนี้เจ้าชายได้เป็นพระราชาแล้วน่ะเอเดรียน และพวกเขาก็ได้พบกันหลังจากเจ้าหญิงมาอาศัยอยู่ในอาณาจักรใหม่ได้ไม่นาน พระราชาผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างกลับนึกสนใจเจ้าหญิงจากต่างถิ่นผู้นี้หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าทำไม แต่พระองค์ก็นึกสนใจเจ้าหญิงที่ดูไม่มีอะไรเทียบกับคนรอบข้างพระองค์ได้เลย พวกเขาพบกันอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ในตอนแรกก็พบปะกันในที่สาธารณะแต่ต่อมา การพบหน้าก็เริ่มเป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ”

   “แล้วจะมีแม่มดโผล่ออกมา” เอเดรียนเริ่มอินไปกับนิทานแปลก ๆ เรื่องนี้จนนึกอยากมีส่วนร่วม เธอเสนอตัวร้ายแสนเบสิกสำหรับนิทานทุก ๆ เรื่อง

   “แม่มดหรือ?” ซูเล่ยมุ่นคิ้ว “นั่นสินะ พระราชามีแม่มดอยู่ข้างกายคนหนึ่ง นางทั้งฉลาดและรอบรู้มนตราคาถามากมาย และวันหนึ่ง มนตร์หยั่งรู้ของนางก็ทำให้นางได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระราชาและเจ้าหญิงจากต่างเมืองคนนั้นเข้าจนได้”

   “แม่มดจะสาปเจ้าหญิง?”

   “ไม่จำเป็นหรอก แม่มดมีวิธีที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่านั้นเพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน” ชายหนุ่มลูบผมเด็กหญิงอย่างเพลินมือขณะที่นึกตอนต่อไป “...พระราชาและเจ้าหญิงต่างเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นและมากขึ้นโดยพยายามไม่ให้ใครอื่นล่วงรู้ เจ้าหญิงหลงรักพระราชาอย่างเต็มหัวใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรักพระองค์มากเท่าที่พระองค์รักหรือไม่”

   “ต้องรักสิ!” ในโลกของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ความรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและพร้อมเบ่งบานอย่างงดงามเหมือนดอกไม้ในยามเช้า ความรักที่ขาวบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์กลหรือความลวงหลอก เอเดรียนจึงได้เชื่อว่าพระราชาต้องรักเจ้าหญิงอย่างแน่นอน แต่ซูเล่ยกลับไม่ได้เฉลยคำถามนั้น...

   “นั่นสินะ...ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้าหญิงก็ไม่เคยรับรู้เพราะพระราชาไม่เคยพูดออกมาว่ารักเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนับวันพระองค์เริ่มยิ่งสงสัยคลางแคลงใจว่าพระราชารักตนจริงหรือ? ความหวั่นไหวของเจ้าหญิงได้เปิดช่องให้แม่มดแทรกเข้ามา นางปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ของพระราชาเพื่อเข้าหาเจ้าหญิง หญิงรับใช้คนนี้มีวาจาอันหอมหวานช่วยปลอบประโลมจิตใจของเจ้าหญิงและชักจูงให้พระองค์ไว้ใจจนยินยอมเล่าเรื่องราวความกลัดกลุ้มทั้งหลายให้นางฟังจนหมดสิ้น แม่มดได้ฟังจึงช่วยปลอบใจเจ้าหญิงและออกตัวว่าจะช่วยสืบสาวความรู้สึกแท้จริงจากพระราชาให้ซึ่งทำให้เจ้าหญิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”

   เอเดรียนฟังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ

   “ทำไมแม่มดถึงช่วยเจ้าหญิงล่ะ?”

   “เพราะแม่มดมีแผนการในใจอยู่แล้ว นางเข้าพบพระราชาและบอกเรื่องของเจ้าหญิงให้รู้ซ้ำยังตำหนิติเตียนพระราชาที่ประพฤติไม่เหมาะสม เพราะความจริงพระราชาองค์นั้นมีพระราชินีอยู่แล้ว ซ้ำเพิ่งให้กำเนิดพระธิดาไปไม่นาน คำตำหนิของแม่มดทำให้พระราชาละอายใจ อย่างไรก็ตาม แม่มดบอกว่าตนจะไม่บอกเรื่องนี้กับพระราชินีหากพระราชายกให้ตนจัดการเจ้าหญิงเอง”

   ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความแปลกใจระคนสับสน เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้คงจะยังไม่เคยเจอนิทานทำนองนี้มาก่อนกระมัง ถ้าหากเอเดรียนเอาไปเล่าให้อังเดรฟัง เขาจะถูกต่อว่าเอาไหมนะ...

   แต่เล่ามาถึงขนาดนี้แล้วคงกลับลำไม่ทันเพราะเอเดรียนกระตุ้นแขนให้เล่าต่อทันทีที่เขาหยุดคิด

   “ไม่ง่วงบ้างเลยหรือ? เล่าต่อพรุ่งนี้ดีกว่าไหม?” ซูเล่ยมองนาฬิกาที่ตอนนี้ปาเข้าไป 4 ทุ่มแล้ว

   “ไม่เอา เอเดรียนจะฟัง ไม่งั้นเอเดรียนจะตื่นทั้งคืนเลย”

   ตัวยังแค่นี้ก็ขู่พี่เลี้ยงตัวเองเป็นเสียแล้ว ซูเล่ยนึกถึงอนาคตของเอเดรียนแล้วรู้สึกกังวลแทนคนรอบข้างขึ้นมาชอบกล

   “พระราชาอนุญาตให้แม่มดทำตามสมควร แม่มดจึงกลับไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหญิงในฐานะเดิมของตนพร้อมทั้งเปิดเผยความจริงของพระราชาให้พระองค์รู้ เจ้าหญิงเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่แค่เพราะถูกหักหลังแต่ในครรภ์ของพระองค์ได้มีอีกชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว ชีวิตซึ่งพระราชาเป็นผู้มอบให้แต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกกล่าว” ถึงตรงนี้ซูเล่ยก็หยุดไปครู่หนึ่งและเม้มปาก แต่เมื่อถูกสะกิดมือก็สูดหายใจแล้วเล่าต่อ “ไม่รู้ว่าแม่มดเกิดเห็นใจเจ้าหญิงขึ้นมาหรือเปล่าจึงมอบทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของพระราชาให้และจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิง ไม่ว่าพระองค์ต้องการจะไปที่ใดในโลกนี้ก็สามารถไปได้ในทันทียกเว้นแต่เพียงอาณาจักรแห่งนี้เท่านั้น เจ้าหญิงจึงตอบแม่มดว่านางต้องการเพียงสิ่งเดียวคือการได้กลับบ้านเกิดของตน”

   สีหน้าเอเดรียนดูบิดเบี้ยวเหมือนกำลังโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน ที่ว่าเด็กสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ง่ายเห็นท่าจะจริง...

   ซูเล่ยลูบผมปลอบโยนและคิดว่าให้จบแค่นี้ก็ได้ แต่เอเดรียนกลับยึดมือไว้เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้น

   “เล่าต่อ”

   เอเดรียนชอบเรื่องดราม่าหรือยังไงกันนะ!?

   ชายหนุ่มร่างเล็กกระแอมเบา ๆ และนั่งลงอีกครั้ง

   “สัญญากับพี่ก่อนนะเอเดรียน ถ้าพี่เล่าจบแล้วต้องนอน ห้ามงอแงเด็ดขาด”

   เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันและจับมือซูเล่ยแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบหนีกลับห้องไปก่อนที่จะเล่าจบ

   “เจ้าหญิงกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมกับเด็กน้อยในครรภ์ คิดว่าครอบครัวของพระองค์จะต้องเข้าใจ ทว่าพระองค์ก็คิดผิด เพราะสำหรับอาณาจักรของพระองค์ สิ่งนี้เป็นความน่าอับอายของวงศ์ตระกูล พระองค์ถูกดูถูกเหยียมหยามจากคนรอบข้าง แม้แต่คนในครอบครัวก็มองพระองค์ด้วยสายตาสมเพชเวทนา พระองค์ต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างไร้ทางออก ทว่า...เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตน้อย ๆ ที่พระองค์โอบอุ้มก็ได้ถือกำเนิด ประหนึ่งแสงสว่างซึ่งนำความหวังกลับมาสู่ชีวิตอันมืดมน และเป็นเสมือนสะพานซึ่งเชื่อมความรักให้กลับมาสู่พระองค์อีกครั้ง ความหมองใจภายในครอบครัวเริ่มเจือจางเบาบางลงทีละน้อย พระองค์ได้ชีวิตอันสงบสุขกลับคืนมาแม้ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่างและผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากซึ่งไม่เหลือใครเคียงข้าง เจ้าหญิงจึงตั้งชื่อพระโอรสว่า ‘ชาร์มมิ่งเทียร์’ เพื่อเป็นตัวแทนหยาดน้ำตาและความสุขของพระองค์ จบแล้ว”

   ซูเล่ยตัดจบเรื่องราวตรงจุดที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมดีแล้ว แม้มันจะไม่ได้เลิศเลอสวยงามแต่ก็ถือว่าแฮปปี้เอนดิ้งได้เหมือนกัน

   “แล้วพระราชาล่ะ?”

   “พระราชาก็คงจะครองคู่กับพระราชินีต่อไป” ซูเล่ยไหวไหล่ “เพราะแม่มดคงไม่ยอมให้พระองค์นอกใจพระราชินีอีกหรอก แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้นิทานจบแล้ว เอเดรียนต้องนอนตามสัญญา”

   “อือ...” เอเดรียนรับคำในคอแบบไม่เต็มใจ แต่เธอเองก็ง่วงจนฝืนไม่ไหวแล้วเช่นกัน “ซู จูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแทนแดดดี้ด้วย”

   พี่เลี้ยงเด็กชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนโน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากเด็กหญิงเบา ๆ

   “ฝันดีเอเดรียน”

   “ฝันดีนะซู” มือเล็กขยี้ตาป้อย ๆ และตลบผ้าห่มคลุมตัว ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป

   ซูเล่ยย่องออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเขาก็ต้องเผลอสะดุ้งเพราะเงาคนที่ยืนพิงกรอบประตู แต่เมื่อมองดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นอังเดรนั่นเอง

   “เพิ่งกลับมาถึงหรือครับ?” เขาปิดประตูอย่างแผ่วเบาและกล่าวทักทายเจ้าของบ้านซึ่งกอดอกพลางมองมาด้วยสายตาเสมือนกำลังคิดบางสิ่งอยู่ในใจ

   “ความจริงก็สักพักหนึ่งแล้ว ทันจะได้ฟังช่วงท้าย ๆ ของนิทานพอดี” คำพูดของอังเดรพาให้เจ้าของนิทานสะดุ้งอยู่ในใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ฟังไปตั้งแต่ตอนไหนของเรื่องราว “นั่นน่ะ เป็นนิทานจริง ๆ หรือ?”

   ซูเล่ยเลิกคิ้วนิด ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะว่าผมเล่าเรื่องไม่เหมาะกับวัยเสียอีก”

   “ความจริงก็คิดแบบนั้นอยู่แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าเธอเอามาจากที่ไหน เพราะฟังดูแล้วเหมือนจะเอาเรื่องจริงมาตบแต่งให้ดูเป็นนิทาน หรือไม่ใช่?” สายตาของอังเดรที่มองมาในตอนนี้ไม่ได้กำลังพยายามคาดคั้นคำตอบแต่อย่างใด มีแต่เพียงความกังขาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

   “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ใครจะมีชีวิตที่เริ่มต้นอย่างดราม่าและจบลงอย่างสวยงามเหมือนละครได้แบบนั้นกัน” ชายหนุ่มร่างเล็กโบกมือพลางหัวเราะในคอก่อนแสร้งหรี่ตามองอีกฝ่ายคล้ายกำลังจับผิด “ว่าแต่คุณเถอะ กลับมาตั้งป่านนี้ คุณยูล่าชวนทำอะไรกันนะ?”

   คิ้วของอังเดรเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อถูกซอกแซกความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง แต่แล้วข้อสงสัยที่เคยตั้งกับตนเองก็แทรกเข้ามาว่าทำไมซูเล่ยจึงไม่เคยพยายามจะเข้าหาตนอย่างเป็นมิตรเลย จะว่านิสัยขวางโลกหรือชอบดูคนอื่นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ไม่น่าใช่ เพราะคนแบบนั้นมีหรือจะเข้ากับเด็กได้ดีจนเอเดรียนยังติดแจแบบนี้ แล้วนิสัยทำนองนี้ซูเล่ยแสดงออกกับเขาคนเดียวหรือเปล่า?

   หรือว่าอยากเบี่ยงประเด็น?

   อังเดรคิดก่อนจะตัดสินใจว่าจะลองไม่เอนเอียงไปตามคำพูดของซูเล่ยดูสักครั้ง

   “ที่จริง...ประวัติชีวิตแบบนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ ถ้าดึงเฉพาะประเด็นที่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วแต่กลับไปผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนและทิ้งให้เธอต้องจากไปพร้อมกับลูกในท้อง”

   ซูเล่ยเงียบไปชั่วครู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่โอนอ่อนตามอารมณ์อย่างเคย ซ้ำยังดูติดอกติดใจกับนิทานเรื่องเดียวจนผิดปกติจนไม่สนใจคำถามของตน

   “...ก็คงจะแบบนั้น...แต่คนรอบตัวผมคงจะไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่นึกนิทานโทนสดใสแบบเด็ก ๆ ไม่ออกก็เลยจำมาจากพวกละครเท่านั้นเอง” เจ้าของเรื่องเล่าเจ้าปัญหาบอกปัดทุกข้อสงสัยให้พ้นตัว “นี่ก็ดึกแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า คุณเองก็ควรเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแล้วไปนอนได้แล้วเหมือนกัน” บอกลาเสร็จ ซูเล่ยก็เบี่ยงตัวเพื่อเดินกลับห้องของตนเอง ทว่า...

   “ฉันไม่เคยเรียนภาษาจีน แต่มีเพื่อนเป็นคนจีนก็เลยจำมาได้เป็นคำ ๆ” อังเดรเปรยขึ้นมาทำให้ผู้ฟังต้องเผลอชะงักเท้า “คำว่า เล่ย แปลว่า น้ำตา ใช่ไหม?”

   “เสียงหนึ่งมีความหมายได้หลายแบบนะครับ” ว่าจบ ซูเล่ยก็รีบก้าวเข้าห้องและปิดประตู เขาถอนหายใจเมื่ออังเดรไม่คาดคั้นอะไรต่อและสามารถหนีจากสถานการณ์นั้นได้ในที่สุด ดวงตาสีดำสนิทค่อย ๆ เลื่อนมองไปด้านข้าง ตู้ตัวเล็กที่ใช้เก็บของจิปาถะตั้งอยู่ใกล้ประตู ซูเล่ยเลื่อนลิ้นชักชั้นแรกออกมา ข้างในนั้นมีกล่องกระดาษแบบฝาครอบ เขาเปิดฝากล่องออก ด้านในบรรจุผ้าไหมจีนอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสีแดงปักลายทอง มันถูกพับอย่างเรียบร้อยจึงมองไม่ออกว่าลายสีทองบนผ้าเป็นลายอะไร แต่มุมหนึ่งของผ้าที่โชว์อยู่ด้านบนปรากฏอักษรจีนสองตัวอ่านว่า ซูเล่ย

   ซูเล่ย...หยดน้ำตาที่แสนงดงาม...

---------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 30-10-2013 15:30:46
   การเต้นรำคือศิลปะอันสวยงามซึ่งรวมสองร่างให้กลายเป็นหนึ่ง เป็นความสุนทรีย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยอรรถรสเสียยิ่งกว่าการร่วมรักอันหอมหวาน เมื่อคนสองคนค่อย ๆ เคลื่อนกายไปด้วยกัน ก็ราวกับว่าหัวใจและวิญญาณได้ถูกหลอมรวมไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น ทั้งจังหวะเนิบช้าอ่อนหวาน จังหวะรุนแรงรวดเร็ว และจังหวะเร่าร้อนซาบซ่าน ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงดนตรีและท่วงท่าแสนเพลินใจ

   นั่นแหละคือลีลาศ...

   เสียงดนตรีจบลงพร้อมกับการวาดลีลาอย่างมืออาชีพซึ่งเรียกเสียงปรบมืออย่างจริงใจจากผู้ชมรอบห้องสันทนาการ

   อังเดรก้าวถอยออกจากหญิงสาวเชื้อสายละตินซึ่งเป็นคู่เต้นประจำของตนโดยที่ยังจับมืออีกฝ่ายอยู่ เขาโค้งให้เธอ และหันไปโค้งให้ผู้ชมพร้อมกัน

   “นี่คือการเต้นจังหวะแทงโก้ เป็นจังหวะที่ทุกคนรู้จักและได้ยินติดหูมากที่สุดในบรรดาการเต้นแบบละตินทั้งหมดเพราะมีจังหวะที่เร้าอารมณ์และการเต้นที่พลิกแพลงหลากหลายซึ่งส่วนมากเป็นไปในทางยั่วเย้า ซึ่งเด็ก ๆ อย่างพวกเธอคงชอบใจกัน” ทันทีที่อังเดรพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องเช่นเดียวกับยูล่าซึ่งอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะนาน ๆ จะได้เห็นชายหนุ่มคนนี้หยอดมุกใส่คนอื่นอย่างเป็นกันเอง

   “คุณแอชฟอร์ด ต่อไปเต้นกับหนูนะคะ” เด็กสาววัยไฮสคูลคนหนึ่งยกมือขึ้นอาสา

   “หนูก่อนสิคะ คราวก่อนแอชลี่เพิ่งจะได้สาธิตไปนี่” อีกคนหนึ่งรีบขัดแข้งขาเพื่อนตัวเอง

   “พวกเธอน่ะเกรงใจคุณแอชฟอร์ดหน่อยสิ ไม่เห็นรึไงว่าเขาพาแฟนมาเป็นกันชนน่ะ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงท่าทางเกเรแกล้งหยอกเพื่อนสาวทั้งสองพร้อม ๆ กับครูสอนเต้นรำไปในตัวทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกระลอกเมื่อเด็กสาวสองคนหน้าง้ำไป

   “ยูล่าเป็นผู้ช่วยของฉัน พวกเราไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่านั้นหรอก” อังเดรปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนหันไปทางเด็กชายต้นเรื่อง “แต่ไหน ๆ เธอก็หวงเนื้อหวงตัวแทนฉันขนาดนั้น เธอก็ออกมาเต้นสาธิตในวันนี้แทนดีไหม กับ...คุณเจนนิ่ง ออกมาทั้งคู่เลย”

   “เอ๋!?” เด็กสาวเจ้าของนามสกุลที่ถูกจับไปคู่โดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดร้องประท้วงขึ้นมา “เดี๋ยวสิคะ ทำไมต้องให้หนูออกไปสาธิตด้วยล่ะ!”

   “เพราะเธอสองคนสูงพอ ๆ กันน่ะสิ จับคู่กับแทบทุกชั่วโมงน่าจะชินได้แล้วนะ” ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองซึ่งถึงจะเต้นด้วยกันแทบตลอดเพราะส่วนสูงที่เข้ากันพอดีแต่ก็ไม่ใคร่ถูกกันนักเพราะตัวฝ่ายชายค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นสาวห้าวสุดมั่นที่ไม่ชื่นชอบการถูกปฏิบัติแบบผู้หญิงอ่อนแอสักเท่าไหร่จึงไม่ค่อยชอบวิชานี้มาตั้งแต่แรก

   แต่อย่างไรคำสั่งของผู้สอนก็นับเป็นเด็ดขาด ทั้งสองต้องออกมาสาธิตการก้าวเท้าในจังหวะแทงโก้ตามการให้จังหวะของอังเดร และเมื่อทั้งสองเริ่มนับเองได้ชายหนุ่มก็ให้คนอื่น ๆ จับคู่และเต้นตามก่อนถอยไปยืนมองห่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้ลองทำกันเอง

   “คุณดูชอบงานนี้นะคะ” ยูล่ากระเซ้า

   “สอนเด็ก ๆ ก็สนุกดีครับ คนละอารมณ์กับโรงเรียนสอนเต้นรำที่มองมันเป็นงานอดิเรกไว้โอ้อวด เด็ก ๆ พวกนี้มองว่าเป็นวิชาเรียนคลายเครียดถึงได้เรียนอย่างสนุกสนานถึงจะไม่ตรงกับรสนิยมนักก็ตาม” อังเดรผ่อนลมหายใจน้อย ๆ “คุณเถอะ มาช่วยผมทุกวันแบบนี้โดยไม่รับเงินพิเศษเลยจะดีหรือ?”

   หญิงสาวส่ายศีรษะ

   “ฉันเองก็คิดว่าการสอนเด็ก ๆ เป็นเรื่องสนุกเหมือนกันค่ะ ถือเสียว่าเป็นการคลายเครียดแบบหนึ่ง” เธอย้อนคำของอีกฝ่ายก่อนหัวเราะ แต่อังเดรกลับรู้สึกหนักใจเพราะนับแต่เขาเลิกไปส่งเธอ ยูล่าก็กลับขอมาเป็นผู้ช่วยที่โรงเรียนแทนโดยไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้หญิงสาวจะไม่ได้บอกจุดประสงค์ แต่อังเดรก็เริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายรู้สึกพิเศษกับตนมากกว่าคู่เต้นรำ แต่ว่า...เพราะรู้และใกล้ชิดกันมานาน การตอบสนองจึงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เพราะเขาไม่อยากให้เธอรู้สึกเสียหน้า กระนั้นยูล่ากลับยิ่งพาตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงเหมาะสม

   “คุณแอชฟอร์ด”

   “หืม?” สติของเขาถูกฉุดกลับมาด้วยเสียงของเด็กสาว

   “วันนี้จะไม่เปิดเพลงหรือคะ?”

   “...นั่นสินะ” เขาหัวเราะเพราะปกติเมื่อเริ่มเข้าจังหวะกันแล้วเขาจะเปิดให้ลองก้าวเท้านับจังหวะตามเพลง แต่วันนี้กลับมัวแต่คิดจึงลืมเสียสนิท ชายหนุ่มหันไปเปิดเครื่องเล่นซีดี เกิดเป็นเสียงเพลงจังหวะทุ้มลอยออกมา เขานำจังหวะให้ก่อนและให้เด็ก ๆ นับตาม จากนั้นก็ปล่อยให้ฝึกกันต่อ

   ยูล่าลอบมองคนข้างตัวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ทว่าอังเดรกลับเอาแต่มองไปข้างหน้าจึงไม่ได้เห็นสายตาของเธอแม้แต่น้อย

   แต่ไม่ใช่ว่าอังเดรไม่รู้สึกตัว แต่เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเกินกว่าจะสบตากลับไป...

   และเหตุการณ์นี้ก็ดำเนินมาหลายวันจนคนรอบข้างตัวเขาเริ่มจะสังเกตเห็นแม้แต่ในการสอนเต้นรำที่โรงเรียนวันนี้

   การที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแต่เพียงภายนอกนั้นเป็นเรื่องดี เพราะถึงแม้เขาจะรู้สึกไม่ชินแต่เมื่อกลับบ้านเขาก็จะค้นพบสถานที่ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ เอเดรียนซึ่งวิ่งออกมารับหน้าประตูทุก ๆ วันกับซูเล่ยที่จัดอาหารอยู่ในครัวเริ่มจะกลายเป็นภาพชินตาสำหรับเขา แม้จะไม่ค่อยมีโอกาสสนทนากับซูเล่ยมากนัก แต่ระยะหลังฝ่ายนั้นก็หาเรื่องกวนอารมณ์เขาน้อยลงเสมือนว่าเจ้าตัวหมดมุกเสียแล้ว จึงทำให้บ้านหลังนี้กลับกลายเป็นบ้านอันแสนสงบกอปรกับที่เขาก็เริ่มจะทำใจเรื่องมารีนได้จึงไม่รู้สึกเหงาเกินไป

   “ถอดเสื้อโค้ทก่อนสิครับ” ซูเล่ยที่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะมาเห็นเขาที่อุ้มเอเดรียนเดินเข้ามาก็ร้องทักก่อนจะได้นั่งลงที่โต๊ะอาหารด้วยความหิว

   “ขอโทษที...” ชายหนุ่มวางลูกสาวลงและถอดโค้ทออกโดยมีซูเล่ยเข้าช่วยดึงออกจากแขน เขารู้สึกแปลกที่ถูกปฏิบัติอย่างนี้จนเผลอพูดลอย ๆ ออกไปว่า “ถ้าเธอเกิดเป็นผู้หญิงคงเป็นภรรยาที่ดีพอใช้ได้เลยนะ” เป็นแค่คำพูดลอย ๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเพราะแม้แต่มารีนก็ยังไม่เคยบริการเขาขนาดนี้ หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเขาถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนูที่ไม่เคยแตะต้องสิ่งใดทั้งสิ้น กระทั่งงานบ้านส่วนใหญ่เขาก็เป็นคนทำ แม้แต่การช่วยถอดเสื้อโค้ท มารีนก็ยังลองทำแค่ช่วงแรก ๆ ที่แต่งงานเท่านั้น

   แต่ว่าคำพูดลอย ๆ ของเขากลับทำให้ซูเล่ยชะงัก   

   “...เกิดเหงาขึ้นมาจริง ๆ หรือยังไงกันครับ” ชายหนุ่มชาวตะวันออกแก้เกี้ยวด้วยการขมวดคิ้วและเลื่อนสายตาขึ้นมองผู้พูดราวกับกำลังทวงถามถึงสิ่งที่ตนเคยเสนอไปเล่น ๆ เมื่อตอนพบกันครั้งแรก แต่ครั้งนี้อังเดรกลับไม่ได้แสดงอาการโมโหโทโสออกมาเหมือนครั้งนั้น

   “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วฉันจะบอกแล้วกัน” เจ้าตัวเพียงตอบกลับอย่างเฉยเมยเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจพฤติกรรมประหลาดของซูเล่ยอีกต่อไป เพราะเขาพบว่าเมื่อทำเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้น่ารำคาญมากนัก

   ซูเล่ยถือเสื้อโค้ทอีกฝ่ายยืนค้างนิ่งและมองตามแผ่นหลังกว้างเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายเขาก็แค่พ่นลมหายใจและเดินเอาเสื้อโค้ทไปแขวนก่อนกลับเข้ามาเพื่อกินอาหารค่ำส่วนของตน

   “แดดดี้ เอเดรียนอยากไปดูแดดดี้ทำงานอีก” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นระหว่างมื้ออาหารอย่างรื่นเริง

   “มีแต่ผู้ใหญ่เต็มไปหมด เอเดรียนคงไม่สนุกหรอก” ผู้เป็นพ่อลูบผมลูกสาวอย่างเอ็นดู แต่เอเดรียนก็ชอบดูเขาทำงานตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว จู่ ๆ พูดขึ้นมาแบบนี้ก็ไม่น่าแปลกอะไร

   “เอเดรียนอยากไปดูที่โรงเรียน”

   “โรงเรียน?”

   “อื้อ! โรงเรียนมีเด็ก ๆ เอเดรียนไม่เบื่อ” เอเดรียนทำสายตามาดมั่นก่อนยกไม้ยกมือ “เอเดรียนจะช่วยแดดดี้สอนเด็ก ๆ ด้วย”

   “ทำไมล่ะ? สอนซูไม่สนุกหรือ?” อังเดรว่าพลางเหลือบมองเจ้าของชื่อที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว

   “สนุก แต่ซูไม่ชอบเต้น”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วและหันไปทางพี่เลี้ยงเด็กแต่วินาทีต่อมาความรู้สึกแปลกใจก็จางหายไป เพราะบุคลิกของซูเล่ยก็ดูจะไม่ค่อยสุนทรีย์อยู่แล้ว คงไม่ได้มีรสนิยมทางดนตรีหรือศิลปะด้านใดเป็นพิเศษ เอาเข้าจริง เขาเองก็นึกภาพซูเล่ยของเต้นรำไม่ออกเหมือนกัน

   “จะว่าไป เอเดรียนเคยบอกว่าจะเต้นกับซูให้แดดดี้ดูไม่ใช่หรือ?”

   คำถามนี้ทำให้ซูเล่ยสะดุ้งอยู่ในใจ

   “แต่ว่าซูไม่ยอม”

   “หืม? ทำไมกันล่ะ?” ขณะถาม อังเดรก็มองไปทางซูเล่ยอีกครั้งทำให้ได้เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

   “ซูบอกว่าซูเต้นไม่เก่ง” เอเดรียนทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อซูเล่ยปฏิเสธลูกเดียวเธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฟ้องให้พ่อจัดการให้ ในความคิดของเด็กหญิงคือพ่อของเธอต้องสามารถจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของเธอได้อย่างแน่นอน ซึ่งอุปนิสัยแบบนี้เห็นจะได้มาจากแม่เต็ม ๆ

   “อย่ามองผมแบบนั้น ถ้าผมบอกว่าทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่ใช่คนประเภทชอบฝืนทำตัวเองขายหน้าเพื่อเอาใจคนอื่นด้วย” ซูเล่ยรีบป้องกันตัวอย่างรวดเร็วทั้งที่อังเดรยังไม่ได้พูดอะไร

   “อยู่ในบ้านจะไปขายหน้าใครที่ไหนได้ล่ะ?”

   ดวงตาสีดำกลอกรอบหนึ่งหลังได้ยินคำถาม

   “คุณไง”

   “ฉันเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนลีลาศ และยังเป็นครูสอนพิเศษที่โรงเรียนด้วย ท่าเต้นเก้งก้างของคนไม่มีพื้นฐานฉันเห็นจนชินแล้ว” ยิ่งอังเดรพูด ผู้ฟังก็ยิ่งทำหน้าปุเลี่ยน เพราะสิ่งที่เจ้าตัวเป็นกังวลก็คือท่าเต้นเก้งก้างของคนไม่มีพื้นฐานอันแสนตลกโปกฮานั่นเอง เมื่อกอปรกับต้องเต้นกับเด็กที่เตี้ยกว่าตัวเองมากกว่าสองช่วงไม้บรรทัดมันยิ่งพาให้ดูไม่ได้เข้าไปใหญ่

   “ยังไงผมก็ไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก อีกอย่าง มันไม่ใช่หน้าที่ของผมด้วย”

   “พี่เลี้ยงต้องรู้จักเล่นกับเด็กไม่ใช่หรือ?”

   อังเดรไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าหัวข้อที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ถูกเบนประเด็นให้เสียอารมณ์จะอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้น ความจริงแล้วซูเล่ยคงจะอยากเบี่ยงประเด็นแต่ทำไม่ได้เพราะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเอเดรียนและตนเองโดยตรง ไม่ใช่บุคคลที่สามเช่นเขาหรือยูล่า

   “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้แดดดี้จะกลับบ้านเร็วขึ้นหน่อย จะได้กินข้าวเย็นเสร็จไว ๆ และดูเอเดรียนแสดงฝีมือกับซูดีไหม?” โดยที่ไม่รอความเห็นของผู้ร่วมวงสนทนา อังเดรก็หันไปตกลงเวลากับลูกสาวตนเองแบบกึ่งเผด็จการ ซึ่งเอเดรียนก็ยกมืออย่างดีอกดีใจ

   “นี่ เดี๋ยวสิ...”

   “พรุ่งนี้เอเดรียนจะเต้นกับซู” เธอร้องพลางยิ้มร่าที่สามารถเอาชนะพี่เลี้ยงได้ในที่สุด ทำให้เสียงคัดค้านของซูเล่ยลอยไปตามลมอย่างไร้ความหมาย

   ในสถานการณ์นี้...เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เป็นครั้งแรกก็ว่าได้นับแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้และกลายเป็นผู้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถเอาตัวรอดมาได้เสมอแต่นั่นคงเป็นเพราะสองพ่อลูกไม่ได้รวมหัวกันเหนียวแน่นอย่างนี้ก็เป็นได้

   แม้ว่าตอนนี้อังเดรและเอเดรียนจะยิ้มแย้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข แต่ตัวเขากลับหัวเราะไม่ออกสักนิด...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 30-10-2013 15:56:01
กรี๊ดดดด
อยากเห็นซุเต้นเหมือนกันอะ
5555555
ช่วงนี้คงเป็นการเอาคืนของอังเดรสินะ
ซุเงียบเลย เถียงไม่ออก ทีใครทีมันนะคะ กิกิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 30-10-2013 16:39:43
ซูถึงกับเงิบพูดไม่ออก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-10-2013 17:23:56
ซูเล่านิทานอิงเรื่องจริงจากชีวิตตัวเองปะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 30-10-2013 18:44:48
ซูของช้านนนนนนนงิดเลยเว้ย5555555555555555
ก็แอบดีใจที่คู่นี้ไม่ตีกันเหมือนตอนแรกๆ
แต่นิทานซูเศร้าจัง

ปล.อยากดูซูเต้น ถ้าเต้นไม่ดีสงสัยต้องจับคู่กับอังเดรกร้ากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 31-10-2013 14:30:31
นิทานคือชีวิตชองซูแน่ๆเลย
เรื่องนี้ปมเยอะจัง  เดาไม่ค่อยถูก55555
แต่ชอบจ้า  รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 06-11-2013 12:56:21
-6-

   เสียงปรบมือให้จังหวะผสานไปกับเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นซีดีเป็นจังหวะวอลซ์ที่แสนคุ้นหูเพราะเขาถูกขับกล่อมด้วยเพลงนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วจากความขยันขันแข็งของเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ซึ่งพยายามจะเอาอกเอาใจพ่อของตนด้วยการสอนเขาเต้นรำในแบบที่พ่อของตนเต้น แต่การเต้นแบบลีลาศเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตัวเขาซึ่งไม่เคยเล่าเคยเรียนของแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เล็กจนโต และการสอนของเอเดรียนก็ไม่ได้เข้าข่ายการสอนเลยแม้สักนิด หากเรียกว่าการจับมือหมุนรอบห้องยังจะเข้าเค้าเสียกว่า กระนั้นเด็กหญิงก็มีความมุ่งมั่นจนน่านับถือจนสุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองหมุนรอบห้องได้ดีขึ้นกว่าในสมัยก่อนนี้นิดหน่อย...

   ดวงตาสีดำมองตามเสียงปรบมือให้จังหวะขณะที่หมุนอย่างช้า ๆ เขาเห็นรอยยิ้มขำขันบนเรียวปากของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของแผ่นซีดีเจ้าปัญหาแผ่นนี้แล้วอดจะรู้สึกอับอายขายหน้าไม่ได้ ทำไมเขาจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าอังเดรด้วยนะ

   จังหวะสุดท้ายจบลงอย่างสวยงามในแบบที่ซูเล่ยไม่เข้าใจเลยว่ามันแตกต่างจากจุดอื่นของเพลงยังไง แต่เอเดรียนก็ปล่อยมือข้างหนึ่งของเขาและโค้งคำนับผู้ชมหนึ่งเดียวของห้องซึ่งปรบมือระรัวให้การแสดงที่แสนตลกโปกฮาที่สุดในรอบครึ่งชีวิต

   “เก่งมากเอเดรียน เป็นครูสอนได้แล้วนะ” อังเดรอุ้มลูกสาวขึ้นมาหอมแก้มฟอดอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมกับชื่นชมส่งเสริมเพื่อให้เด็กหญิงอารมณ์ดีและภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไป แม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะดูไร้สาระในสายตาของซูเล่ยก็ตามที

   “ถ้าพอใจแล้วก็ขึ้นนอนได้แล้ว” ซูเล่ยหันมองนาฬิกาพลางถอนหายใจที่จะไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นซ้ำอีกครั้งหลังจากเต้นวนมาแล้วสามรอบ

   “ไม่เอา เอเดรียนยังไม่อยากนอน” แต่ดูเหมือนเอเดรียนจะยังติดใจในความสุนทรีย์ของบทเพลงจึงเกิดดื้อแพ่งขึ้นมา “อีกรอบนะ”

   “อีกรอบก็เต้นกับแดดดี้แล้วกัน” พี่เลี้ยงโยนภาระไปให้ผู้เป็นพ่อทันควัน

   “เธอเป็นคู่เต้นของเอเดรียนไม่ใช่หรือ?” อังเดรเพียงย้อนกลับมาอย่างนุ่มนวล “เป็นคู่เต้นก็ต้องเต้นคู่กันเพื่อจะได้จับจังหวะของกันและกันและสามารถเต้นรำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ใช่ไหมเอเดรียน?” หลังจากพูดจาอย่างมีหลักการแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปขอความเห็นจากเด็กหญิงตัวน้อยที่เกาะเครื่องเล่นซีดีพยายามจะหาปุ่มรีรันเพลงเดิม และเมื่อเธอได้ยินคำถามก็รีบพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาทบทวน

   ซูเล่ยมองสองพ่อลูกสลับกันคล้ายคนที่กำลังถูกกลุ้มรุมด้วยศัตรูตัวฉกาจ

   “เหมือนที่คุณเต้นกับยูล่าตลอดน่ะหรือครับ?” จู่ ๆ ประโยคนี้ก็แวบเข้ามาในหัวและเขาก็พูดออกไปโดยไม่ได้นึกพิจารณาให้ดีก่อน สีหน้าอังเดรแปรเปลี่ยนในชั่ววินาที จากอารมณ์ที่ดีจนน่าใจหายกลับกลายเป็นสายตาแสดงความอึดอัดใจ

   นั่นมัน...อะไรกันน่ะ?

   เพราะอังเดรไม่ได้อารมณ์เสียใส่เช่นในตอนแรก แต่กลายเป็นอาการคล้ายคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ทำให้ซูเล่ยนึกฉุนขึ้นมาในใจ ทั้งที่คิดว่าพอให้ปฏิเสธยูล่าไปในตอนนั้นจะทำให้เจ้าตัวเลิกใจอ่อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะการแสดงออกของอังเดรในเวลานี้กำลังบอกเขาว่ายูล่าได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสมองของอีกฝ่ายมากเกินกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา

   ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรอีกกันแน่?

   ไม่สิ...เวลานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ต่างหาก

------------------------------>

   คำถามของซูเล่ยได้คำตอบในไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อเอเดรียนกำลังเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่นตามเคยและจู่ ๆ ก็วิ่งเข้ามาหาในครัวบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทำให้พี่เลี้ยงตกใจจนต้องทิ้งงานที่ทำและวิ่งตามเขาไปดู

   ปลายนิ้วของเอเดรียนจรดลงไปยังแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งซึ่งเขียนรายชื่อเพลงมากมายอยู่บนกล่อง มันถูกวางเอาไว้ตรงจุดที่เคยเป็นเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาที่อังเดรจะนำไปใช้ในชั้นเรียนทุกครั้ง

   “แผ่นนี้มีอะไรหรือ?” เขามองมันด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ “หรือว่าอยากจะเปิดฟัง?”

   “แดดดี้ลืมเอาไปทำงาน”

   “แน่ใจหรือ? ไม่ใช่ว่าวางทิ้งไว้เองหรือยังไงกัน?” สำหรับซูเล่ยแล้ว เขามองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ธุระของเขาเลยสักนิด แต่เอเดรียนกลับเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพ่อ

   “แดดดี้จะโดนดุไหม?”

   “ไม่น่าจะ...”

   “ไปหาแดดดี้กันนะ เอาไปให้แดดดี้”

   แล้วก็เข้าอีหรอบนี้จนได้...ซูเล่ยรู้สึกเหมือนเอเดรียนรีบพาวนเข้าทางแก้ปัญหาจนผิดสังเกต บางทีเจ้าตัวอาจจะมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเที่ยวที่ทำงานของพ่อกระมัง แต่ว่า...อังเดรต้องการของสิ่งนี้จริง ๆ น่ะหรือ? เพราะเขาเคยเห็นกระเป๋าของเจ้าตัวครั้งหนึ่ง ข้างในนั้นมีแผ่นเพลงอยู่หลายแผ่นซึ่งเขาไม่รู้จัก หากขาดไปสักแผ่น แผ่นอื่นก็น่าจะใช้แทนได้

   “งั้นลองโทรถาม...”

   “แดดดี้บอกว่ารับสายตอนสอนไม่ได้” เอเดรียนทำสีหน้าจริงจังและกอดแผ่นซีดีแนบอก ความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายทำให้ซูเล่ยเริ่มจะคล้อยตามว่ามันอาจจะจำเป็นก็ได้ เพราะเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนัก เผลอ ๆ เอเดรียนคงจะรู้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น...ลองเชื่อดูสักครั้งก็แล้วกัน...

   “แต่ต้องให้กระต่ายเฝ้าบ้านนะ” ซูเล่ยชี้ไปยังตุ๊กตากระต่ายที่เพิ่งจะถูกนำไปลงเครื่องซักอีกครั้งเพราะเจ้าของหิ้วไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาจึงสกปรกเปรอะเปื้อนง่าย ขืนให้เอาออกไปข้างนอก กลับมาคงสภาพมอมแมมจนดูไม่ได้เป็นแน่

   “พาน้องต่ายไปเที่ยวด้วยสิ...”

   “ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนดูแลบ้านก็ออกไปไหนไม่ได้หรอกนะเอเดรียน เพราะอาจจะมีคนแปลกหน้าแอบเข้ามาก็ได้ เอเดรียนคงไม่อยากให้ของของแดดดี้ถูกขโมยใช่ไหม? ดังนั้นให้คุณกระต่ายเฝ้าบ้านแทนนี่แหละดีแล้ว” เขาหลอกล่อเด็กหญิงตามแบบฉบับของผู้ใหญ่มากเล่ห์ทำให้เด็กตามไม่ทันและยอมตกปากรับคำในที่สุด

   เอเดรียนยอมวางตุ๊กตาลงบนโซฟาและบอกลาอย่างอาลัยประหนึ่งจะต้องเดินทางไกลไปคนละฝั่งโลกและจะไม่ได้กลับมาพบกันอีกถึงครึ่งชีวิต

   ซูเล่ยจับเอเดรียนสวมเสื้อโค้ทตัวเล็กและหมวกไหมพรมหนา นอกจากนี้ยังต้องสวมที่ปิดหูและถุงมือด้วยเพราะภายนอกตอนนี้หิมะเริ่มจะตกแล้ว

   เมื่อทั้งสองเปิดประตูออกไปข้างนอก ลมหนาวก็พัดผ่านพาให้สะท้านแม้จะสวมเสื้อผ้าหนาจนปกปิดทั้งตัวแล้วก็ตาม หิมะสีขาวร่วงโปรยลงมาจากบนฟ้าอย่างเชื่องช้าปกคลุมพื้นถนนดูเป็นปุยนุ่ม หากตกหนักกว่านี้อีกสักนิด เด็ก ๆ แถวนี้คงพากันออกมาปั้นสโนว์แมนประดับหน้าบ้านกันเป็นทิวแถว ซูเล่ยพ่นลมหายใจสีขาวด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้เกิดในประเทศนี้ และในช่วงแรกของชีวิตก็ไม่ได้อาศัยที่นี่ จึงไม่เคยรู้สึกดีกับอากาศหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะเย็น ๆ แบบนี้เลยสักครั้ง เพราะเพียงแต่ก้าวออกมาจากในบ้านแสนอบอุ่น จมูกของเขาก็รู้สึกแสบขึ้นมานิด ๆ เสียแล้ว กลับกับเอเดรียนที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับปุยหิมะจนดวงตาเป็นประกาย

   แต่เดี๋ยวสิ...เขาไม่เคยรู้เลยนี่ว่าอังเดรสอนที่ไหน...

   “เอเดรียนรู้หรือว่าแดดดี้สอนอยู่ไหนน่ะ?”

   “แดดดี้เขียนไว้ให้เอเดรียน” เด็กหญิงโบกสมุดเล็ก ๆ ในมือไปมา เป็นสมุดที่เอาไว้จดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กวัยหัดพูดหัดเขียนกระมัง? ซูเล่ยรับสมุดมาคลี่ดูและพบว่ามันเต็มไปด้วยตัวอักษรโย้เย้และสีสันมากมายจากดินสอสี แต่ด้านหลังของปกสมุดกลับมีลายมือของผู้ใหญ่เขียนด้วยตัวปากกาสีดำประทับอยู่ เขาไม่รู้ว่าเป็นลายมือของอังเดรหรือไม่ แต่มันเขียนชื่อสถานที่ไว้สองสามแห่ง ตามด้วยวันและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ตบท้ายด้วยเบอร์โทรศัพท์ของอังเดร คงจะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวทิ้งไว้ให้ลูกสาวในยามฉุกเฉิน

   ละเอียดอ่อนกว่าที่คิด...

   ชายหนุ่มร่างเล็กเผลอยิ้มขำออกมา

   เขาโบกรถแท็กซี่และบอกที่อยู่ซึ่งอยู่ในช่วงวันเวลาของตอนนี้ ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็พบว่ามันเป็นโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในย่านที่ตนไม่รู้จัก เขามองป้ายโรงเรียนเทียบกับในสมุดก็พบว่าตรงกันจึงถอดโค้ทและผ้าพันคอของตนเองรวมถึงหมวกของเอเดรียนออกและเดินเข้าไปข้างใน ห้องของฝ่ายธุรการหาไม่ยากนัก

   “ขอโทษครับ ผมมาพบ...คุณแอชฟอร์ด ทราบมาว่าเขาสอนอยู่ที่นี่”

   “อ้อ...” หญิงสาวอายุน้อยยิ้มหวานให้แก่ชายหนุ่มที่เยี่ยมหน้าเข้ามาถามไถ่ธุระ “ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ เพราะดูเหมือนตอนนี้คุณแอชฟอร์ดจะกำลังสอนอยู่”

   “เขาลืมของเอาไว้ที่บ้านน่ะครับ คิดว่าคงจะสำคัญกับวิชาเรียน” ว่าแล้วซูเล่ยก็ชูแผ่นซีดีให้ดู

   “คุณแอชฟอร์ดสอนอยู่ที่ห้องกิจกรรมสันทนาการ เดินตรงไปทางนี้แล้วก็เลี้ยวขวาตรงสุดทางเดิน ลงบันไดไปหนึ่งชั้น เข้าประตูที่สองขวามือนะคะ” เจ้าหน้าที่ธุรการบอกทางแบบง่าย ๆ แต่ชัดเจนพร้อมกับผายมือไปในเส้นทางที่ถูกต้องให้ด้วย ซูเล่ยกล่าวขอบคุณและเดินไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำ พอถึงสุดทางเดินก็เลี้ยวขวาพบกับบันไดทางขึ้นและลง เอเดรียนดึงพี่เลี้ยงที่ยืนลังเลเหมือนกำลังจะทำอะไรผิดพลาดให้ลงบันไดไปด้วยกัน ที่ชั้นล่างมีห้องอยู่ไม่มากนักเพราะแต่ละห้องมีขนาดค่อนข้างกว้าง ทางขวามือก็มีประตูแค่สองบาน

   หลังจากเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง ซูเล่ยก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูรับ

   ยูล่านั่นเอง

   “คุณซู?” ฝ่ายหญิงเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พบอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่ แต่ก็หลีกทางให้ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องเรียนซึ่งตอนนี้อังเดรกำลังยืนพิงโต๊ะและมองเด็ก ๆ หมุนไปรอบ ๆ ห้องด้วยท่าทางเก้งก้างไม่ได้ดีไปกว่าซูเล่ยก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่

   “ซู? เอเดรียน?” อังเดรเองก็ยังแปลกใจที่พบทั้งสองมาปรากฏตัวต่อหน้า “มีอะไรหรือ?”

   “อ้อ...คุณลืมนี่ไว้ที่บ้าน...” ซูเล่ยตอบแล้วยื่นแผ่นซีดีให้เจ้าของโดยพยายามไม่หันมองคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน เพราะเขารู้สึกได้ว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน

   “นั่นใครน่ะ?”

   “เด็กคนนั้นลูกสาวของคุณแอชฟอร์ดหรือ?”

   “ผู้ชายคนนั้นน้องหรือเปล่า?”

   “ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นเหมือนเลย”

   “อาจจะเป็นเพื่อนก็ได้”

   “หรือคนรัก!?”

   “จะบ้าหรือไง นั่นผู้ชายนะ!”

   เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ลอยผ่านหูไปมาอย่างไม่ขาดสาย หากไม่เกรงใจเด็กวัยมัธยมปลายเหล่านี้คงกระชากตัวเขาเข้าไปเค้นคำตอบแทนที่จะกระซิบกระซาบกันเองแล้วกระมัง ระหว่างที่คิดเช่นนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าขากางเกงของตนถูกดึงเบา ๆ จึงก้มลงมองและเห็นเอเดรียนกำลังมุ่นคิ้วเคร่งเครียดพลางจ้องมองไปยังเด็กวัยมัธยมปลายที่ตัวโตกว่าตนเองหลายเท่า

   “คือว่า...” เสียงของอังเดรเรียกให้ซูเล่ยหันกลับมามองทางเดิม “นี่ฉันเป็นคนเอาออกจากกระเป๋าเองเพราะแผ่นมันมีรอยแล้วเสียงเลยไม่ค่อยลื่น ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอก เลยต้องเอามาให้ถึงที่นี่”

   “...ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนั้น” ซูเล่ยพึมพำกับตนเอง ไม่น่าเชื่อสังหรณ์เอเดรียนเลยให้ตายสิ

   “เด็ก ๆ ของแดดดี้ตัวใหญ่” เอเดรียนเปลี่ยนไปเกาะขาพ่อบ้างหลังจากพบว่าขนาดตัวของซูเล่ยยังแพ้ด็กผู้ชายบางคนทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย

   “เด็กวัยรุ่นก็โตไวแบบนี้แหละจ้ะ” ยูล่าเข้ามาลูบผมเอเดรียนซึ่งเธอเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายปฏิบัติกับตนแปลกไป ไม่ทำท่าดีใจแล้วเข้ามาอ้อนเหมือนสมัยก่อน “ตอนนี้แดดดี้กำลังทำงานอยู่ เอเดรียนมาอยู่กับฉันก่อนดีไหม เดี๋ยวพอจบคลาสแล้วค่อยคุยกันนะ?”

   “พวกเรากลับเลยจะดีกว่า” ซูเล่ยโพล่งออกมา “ไม่อย่างนั้นผมกับเอเดรียนจะเกะกะเอาเปล่า ๆ”

   ถ้อยคำของซูเล่ยเรียกสายตาแสดงความประหลาดใจจากอังเดรซึ่งสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงต้องใส่อารมณ์นัก แต่ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว จะปล่อยกลับกันเองเขาก็ไม่ค่อยจะวางใจ

   “เดี๋ยวฉันเลิกงานแล้วขับไปส่งก็ได้ นั่งรถไป ๆ มา ๆ เปลืองเงินเธอเปล่า ๆ”ชายหนุ่มร่างสูงสรุปแล้วหันกลับไปทางเด็ก ๆ ในชั้นเรียน “ถึงฉันจะไม่ได้มองก็อย่าแอบอู้ ซ้อมกันต่อไป” คำสั่งของอังเดรทำให้สายตาทั้งหลายละจากร่างกายของซูเล่ยไปได้ในที่สุด ทั้งหมดกลับไปสนใจจังหวะของเพลงอีกครั้งทำให้ผู้เป็นเป้าสายตาหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาหลังจากเกร็งตัวมาหลายนาที

   “เอเดรียนอยากเต้นบ้างไหมจ๊ะ?” ยูล่าพยายามผูกมิตรกับเอเดรียนอีกครั้งแม้จะรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของเด็กหญิงคนนี้อีกแล้ว

   “เอเดรียนเป็นคู่เต้นของซู” เธอตอบกลับแล้วจับมือซูเล่ยแน่น

   “แหม...คุณซูเต้นเก่งมากสินะจ๊ะ ก็เอเดรียนเป็นคนสอนนี่นา” ยูล่าหัวเราะแต่ซูเล่ยกลับกำลังขมริมฝีปากด้วยหวังว่าจะไม่มีประโยคถัดไปที่ตนเองไม่อยากฟัง แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่อยากฟังคำขอของเขาสักเท่าไหร่ “สาธิตหน่อยสิจ๊ะ”

   ทันใดนั้นเสียงผิวปากและร้องเชียร์ก็ดังก้อง

   “ลูกสาวคุณแอชฟอร์ดจะเต้นให้ดูเว้ย!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาพาให้กระแสเรียกร้องเริ่มโถมทับใส่ซูเล่ยซึ่งกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์โดยไม่รู้ตัว แต่ตัวซูเล่ยกลับรู้สึกว่าตนเองเหมือนเหยื่อตัวเล็ก ๆ ท่ามกลางฝูงซอมบี้หิวกระหายซึ่งปรารถนาจะได้เห็นบางสิ่งที่น่าขบขันเพื่อฆ่าเวลาวิชาเรียนเต้นรำอันแสนน่าเบื่อหน่ายเสียมากกว่า เขาไม่รู้ว่าในสถานการณ์นี้ควรจะทำอะไร แม้จะเคยปะมือกับพวกผู้หลักผู้ใหญ่มาบ้าง แต่เมื่อเจอกับเด็กวัยรุ่นที่รับมือไม่ถูกเขาก็ทำได้แค่หันไปทางอังเดรเพื่อขอความช่วยเหลือ

   สายตาส่งสัญญาณ S O S ผ่านอากาศไปสู่ประสาทการรับรู้ของผู้ที่สบตา อังเดรเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเวลาอีกฝ่ายจนมุมนั้นดูน่ารักจนแทบไม่เหลือคราบความน่าหมั่นไส้และน่าโมโหก่อนหน้านี้อยู่เลย ทั้งท่าทางที่ไม่รู้ว่าควรจะขยับตัวแบบไหน ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างอึดอัดใจ และใบหน้าที่มีริ้วแดงเรื่อ ๆ เพราะความเขินอายซึ่งปกติไม่มีโอกาสจะได้เห็น

   “เอเดรียน นาน ๆ ทีเต้นกับแดดดี้แทนไหม?”

   เอเดียนไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับ เพราะนานแล้วที่พ่อของเธอมุกับการงานเพื่อทดแทนความเหงาเปล่าเปลี่ยวใจที่สูญเสียภรรยา

   ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวขึ้นให้กอดบ่า อีกมือก็ประคองไว้ในท่าพื้นฐาน พวกเราหมุนตัวไปตามจังหวะโดยมีเพียงอังเดรที่เคลื่อนไหว ส่วนเอเดรียนเพียงแค่กอดคอพ่อของตนและขยับมือที่ถูกประคองไปตามการนำของอีกฝ่ายเท่านั้น ท่วงท่าการเคลื่อนไหวอันนุ่มนวลของมืออาชีพแตกต่างกับมือสมัครเล่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าคู่จะเป็นเด็กสองขวบที่ถูกอุ้มไว้ แต่ความสวยงามก็ยังคงไม่ถูกบดบังด้วยเงื่อนไขอันจำกัด ซูเล่ยมองภาพนั้นและได้แต่โทษตนเองว่าทำไมจึงไม่คิดถึงวิธีนี้แต่แรก กลับทนปวดหลังงอตัวเพื่อให้เอเดรียนลากถูไปรอบห้องมาเสียหลายวัน!

   “อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นคงพาอึดอัดนะคะ” จู่ ๆ ยูล่าก็เข้ามาชวนเขาคุยอย่างไม่คาดฝัน ซูเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่

   “ผมไม่ชินล่ะมั้งครับ ไม่เหมือนเขาที่ดูเป็นธรรมชาติจนน่าแปลก” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็บุ้ยใบ้ไปทางอังเดรที่มองมุมไหนก็ไม่มีความกระดากอายแม้สักน้อย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 06-11-2013 12:56:56
   “ได้ยินว่าสมัยก่อนเคยประกวดด้วยนะคะ”

   “ผมก็เคยได้ยินมาบ้าง”

   “คุณแอชฟอร์ดเล่าหรือคะ?”

   ซูเล่ยสะดุ้งเล็ก ๆ เพราะเผลอหลุดปากไปโดยไม่รู้ตัวและรีบกลบเกลื่อนด้วยการกลอกตาเหมือนกำลังคิดคำตอบอยู่

   “เอเดียนพูดถึงตอนอยู่ตามลำพัง เขาไม่รู้หรอกว่าผมรู้ อย่าบอกเขาได้ไหมครับ?” คำขอของซูเล่ยเรียกเสียงหัวเราะคิกจากผู้ฟัง

   “ฉันจะช่วยเก็บเป็นความลับค่ะ” พออีกฝ่ายรับปาก ชายหนุ่มร่างเล็กก็ลอบถอนหายใจเพราะสิ่งที่ตนหลุดปากไปเมื่อครู่คงจะไม่ย้อนกลับมาเป็นปัญหาอีกแล้ว แต่แม้ซูเล่ยจะกำลังตกใจกับความสะเพร่าของตัวเอง เขาก็ยังไม่พลาดท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ของยูล่า สายตาของหญิงสาวที่จับจ้องไปยังอังเดรมีความลึกซึ้งที่จงใจแสดงออกอย่างไม่ปิดบังเหมือนก่อนหน้านี้

   ความรู้สึกขุ่นใจที่ตีกวนในอกนี่มันช่างน่ารำคาญมากขึ้นทุกที...

-------------------------------------->

   “ผู้ช่วยสอนหรือ?”

   “ครับ...คิดว่าอย่างนั้น”

   “คิดว่า?” เสียงปลายสายยกสูงขึ้นนิดหน่อยเมื่อซูเล่ยแสดงท่าทางเหมือนไม่แน่ใจ “ฉันคิดว่าบอกเธอชัดเจนแล้วนะว่าหากมีอะไรให้บอกฉันทันที ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือผู้ช่วย จัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”

   สายถูกตัดไปหลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ การรายงานของเขาทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียพอสมควรเพราะจับได้ว่าตัวเขาปกปิดเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วด้วยความชะล่าใจ แต่ซูเล่ยก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นจะเผด็จการอย่างไรก็เถอะแต่มีเหตุผลอะไรกันนะถึงต้องคอยจับตาดูอังเดรใกล้ชิดถึงขนาดนี้ ขนาดว่าต้องกำกับดูแลกระทั่งว่าจะมีผู้หญิงใหม่เข้ามาแทนที่ลูกสาวตนหรือไม่

   เกี่ยวข้องแค่สมบัติหรืออนาคตของเอเดรียนแน่หรือ?

   “ซู!” ความคิดทั้งหมดถูกสะบั้นขาดออกด้วยเสียงแหลมเล็กของเด็กหญิงวัยสองขวบปีที่มาตามหาพี่เลี้ยงของตนเองถึงในห้องน้ำ ซูเล่ยรีบเปิดประตูออกไปหาด้วยท่าทางปกติอย่างที่สุด

   “มีอะไรหรือ? ทำไมต้องเรียกเสียงดังขนาดนั้นด้วย?”

   “ก็ซูหายไปนาน ทิ้งเอเดรียน” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย ระยะหลังนี้เธอเริ่มจะติดพี่เลี้ยงมากเสียจนแทบจะห่างกันไม่ได้เสียแล้ว ซูเล่ยถอนหายใจแล้วจูงมือเอเดรียนกลับออกไปข้างนอกด้วยกัน

   “แค่ท้องไส้ไม่ดีเท่านั้นเอง” เขาว่าเช่นนั้นขณะพาตนเองและเด็กในความดูแลกลับเข้าไปในห้องกระจกที่เกือบทั้งพื้นที่ถูกใช้เป็นฟลอร์เต้นรำ ใช่แล้ว...สุดท้ายเอเดรียนก็ใช้ความเป็นเด็กทั้งออดอ้อนทั้งงอแงไม่ยอมกลับบ้านจนอังเดรต้องหิ้วมาถึงโรงเรียนสอนเต้นรำด้วยกันจนได้ กระทั่งเขาที่เป็นพี่เลี้ยงจึงถูกหิ้วตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่างานบ้านจะยังค้างคาอยู่ก็ตาม

   ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจขณะมองไปที่กลางห้อง ท่ามกลางคู่เต้นรำมากมายที่หมุนตัวไปในทิศทางเดียวกันราวกับอยู่บนสายพานของเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ มีคู่เต้นรำคู่หนึ่งซึ่งดูโดดเด่นกว่าใครอื่น อังเดรกับยูล่าหมุนตัวอย่างสวยงามราวกับเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยายรักที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ กระโปรงบางพลิ้วไหวไปตามแรงเช่นเดียวกับเส้นผมดำยาวเป็นเงาของหญิงสาว

   ลีลาศมันเป็นแบบนี้เองหรือ?

   เขารู้สึกชื่นชมระคนหงุดหงิด เพราะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องเอาตัวแนบชิดกันขนาดนั้นด้วย ชายหญิงอยู่ใกล้กันถึงขนาดนั้นทุก ๆ วัน มีหรือจะไม่เกิดหวั่นไหว ไหนว่าภรรยาเพิ่งตายเลยยังไม่นึกสนใจเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกว่าคำพูดของอังเดรที่พูดไว้เมื่อเดือนก่อนเริ่มจะมีน้ำหนักน้อยลงทุกที

   “อยากลองดูบ้างไหมครับ?” ซูเล่ยได้ยินเสียงข้างตัวจึงหันไปมองและพบว่าเป็นอาร์เลนนั่นเอง

   “คุณไม่ได้ไปร่วมวงด้วยหรอกหรือ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย

   “เรามีผู้ช่วยหญิงแค่คนเดียว ปกติพี่ก็เลยเป็นคนจับคู่กับเธอ” อาร์เลนไหวไหล่ เพราะเอาเข้าจริงแล้วตัวเขาเองมีส่วนสูงที่ไม่เหมาะสมกับยูล่านัก หากเทียบกับอังเดร ฝ่ายพี่ชายมีรูปร่างที่เหมาะสมมากกว่าจึงมักจะจับคู่กับหญิงสาวบ่อยครั้งจนอยู่ในตำแหน่งพาร์ทเนอร์ของกันและกันไปแล้ว ส่วนตัวอาร์เลนจะอยู่ในตำแหน่งตัวแทนเมื่ออังเดรไม่ว่างเท่านั้น

   “ลำบากหน่อยนะครับ” ซูเล่ยไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ เอาเข้าจริงเขาไม่ได้รู้จักมักจี่อาร์เลนมาก่อนเลย แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสังเกตสังกาเขาตั้งแต่พบกันที่บ้านของอังเดร เขาก็ทำได้เพียงการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของตนเองหรือแสดงนิสัยส่วนตัวออกไปให้อีกฝ่ายเอะใจเท่านั้น

   “เต้นกับเอเดรียนได้นะ” เด็กหญิงที่จับมือซูเล่ยเงียบ ๆ อยู่นานโพล่งขึ้นมาและจับมืออาของตนพร้อมรอยยิ้มสดใสเหมือนกำลังปลอบใจคนไม่มีคู่

   “ตอนนี้อาอุ้มเอเดรียนไม่ไหวหรอก เอเดรียนโตขึ้นเยอะแล้วนี่นา” อาร์เลนย่อตัวลงจนเสมอกับคู่สนทนาและลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู แต่จากบริบทแล้วสามารถอนุมานได้ว่าในสมัยก่อนเอเดรียนคงจะอ้อนทั้งพ่อและอาให้พาเต้นอย่างถ้วนหน้า

   เอเดรียนทำสีหน้าขัดอกขัดใจที่ไม่สามารถลงไปร่วมวงได้ ในตอนนี้ยูล่าในสายตาเอเดรียนเปรียบได้เหมือนคู่แข่งหัวใจที่จะมาแย่งพ่อไปจากตน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กหญิงอยากจะทำอะไรก็ตามที่ยูล่าทำได้ดีเพื่อเอาชนะ ซึ่งข้อนี้ทำให้ซูเล่ยอดแปลกใจไม่ได้ถึงเซนส์ของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และพฤติกรรมหวงพ่อของลูกสาว อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมนี้เริ่มขึ้นเมื่ออังเดรใช้เวลากับยูล่ามากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา แม้ความหวงจะลดน้อยถอยลงไปมากแล้วแต่เอเดรียนก็คงจะฝังใจตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับยูล่าไปอีกนาน

   เสียงปรบมือจากรอบห้องเรียกความสนใจจากซูเล่ยให้หันไปทางฟลอร์อีกครั้ง ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมและปรบมือให้กันและกันอยู่อีกเกือบนาทีจึงจะลดมือลงและเฝ้ารอว่าอังเดรจะกล่าวอะไร

   “วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก แล้วพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้นะครับ” เขากล่าวจบอย่างง่าย ๆ เหมือนเช่นทุกวัน เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปยังสัมภาระของตนที่กองไว้รอบห้องเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง เพื่อเก็บของกลับเลยบ้าง ไม่นาน ห้องกระจกที่เต็มไปด้วยเงาสะท้อนของผู้คนก็ร้างว่างเปล่า เหลือแต่เพียงอังเดร ยูล่า ซูเล่ย เอเดรียน และอาร์เลน

   “แดดดี้ เอเดรียนอยากดูแดดดี้เต้นอีก” จู่ ๆ ก็มีคนอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้วันนี้จบลงอย่างเรียบง่าย เอเดรียนทำหน้ามุ่ยและจ้องมองพ่อตนเองเหมือนเด็กที่กำลังร่ำร้องในใจว่าอยากได้ขนมหวาน

   “จะดีหรือ? ยูล่ากำลังจะกลับแล้วนะ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ต่อได้อีกสักพัก” หญิงสาวไม่เคยนึกขัดเลยแม้สักนิดหากว่าจะได้อยู่กับชายหนุ่มที่ตนหลงใหลนานขึ้น ทว่าเอเดรียนกลับไม่พอใจจนออกนอกหน้า

   “จะดูแดดดี้เต้นกับซู”

   ประกาศิตของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เกิดความเงียบแผ่ขยายไปทั่วห้องอยู่ชั่วขณะ

   “เอเดรียน พี่เป็นผู้ชายนะ...” ซูเล่ยกระซิบบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาเพราะไม่อยากจะทำให้เกิดระลอกบนความเงียบนิ่งที่น่าอึดอัดนี้

   “จะดู” โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เอเดรียนยังคงยืนกรานความตั้งใจด้วยสาตามุ่งมั่นจนไม่มีใครอยากจะเถียงด้วยเพราะมองหน้าก็รู้ว่าเด็กหญิงกำลังอารมณ์เสียกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจสาเหตุ และแน่นอนว่าหากขัดใจตอนนี้ เธออาจจะดื้อแพ่งไปอีกเป็นสัปดาห์

   “อาร์เลนช่วยเปิดเพลงให้ที” อังเดรหันไปบอกน้องชายแล้วยื่นมือให้ซูเล่ยพลางส่งซิกแนลให้ทำตาม ฝ่ายคู่เต้นจำเป็นลังเลอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อหันมองเอเดรียนเขาก็จำต้องยื่นมือออกไปโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าจะอยู่ฝ่ามืออุ่นกระชากเบา ๆ ให้เสียหลักเล็กน้อยและถลาเข้าไปหาจนแนบชิด ทันใดนั้น อังเดรก็จัดท่าอย่างรวดเร็วตามแบบมืออาชีพ จับมือซูเล่ยขึ้นวางบนบ่าตนเองก่อนอ้อมไปโอบหลังเอวและตั้งศอกขนานกับพื้น อีกข้างช้อนมือขึ้นในระดับใบหน้าและแรงทั้งตัวดึงให้ซูเล่ยยืนหลังตรง

   ก่อนเพลงจะเริ่ม ท่วงท่าของพวกเขาก็พร้อมสรรพโดยที่ฝ่ายคู่เต้นยังตั้งสติไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ

   “เชิดคางขึ้นหน่อย” อังเดรกระซิบบอกพร้อมยิ้มมุมปากเหมือนกำลังขำสีหน้าอีกฝ่าย ซูเล่ยขมวดคิ้วและเม้มปากจนเป็นเส้นตรง เขากำลังรู้สึกเหมือนถูกกักขังเอาไว้ในกรงเล็ก ๆ ซึ่งไม่สามารถดิ้นหลุดแม้จะไม่ได้ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ที่จริงแล้ว...เขาเพิ่งจะรู้ว่าลำแขนอังเดรแข็งแรงขนาดนี้

   ระหว่างที่ซูเล่ยกำลังหาทางออกให้ตัวเอง เสียงเพลงก็ดังขึ้นเป็นจังหวะวอลซ์ซึ่งหลอกหลอนเขามาหลายต่อหลายวัน ทันใด อังเดรก็ก้าวเท้าไปตามจังหวะโดยไม่คิดปรึกษา ชายหนุ่มย่อลงเล็กน้อยก่อนก้าวถอยหลังดึงให้ซูเล่ยถลาตามแรงดึง จากนั้นก็วาดเท้าไปด้านข้างและดึงข้างที่ก้าวไปก่อนมาชิด โดยไม่เว้นจังหวะ อังเดรก็ก้าวต่อพร้อมกับหมุนตัวเล็กน้อย

   “ด...เดี๋ยวสิ ผมไม่มีพื้นฐานเรื่องพวกนี้นะ!” เพราะไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้าเกินกว่าเหตุ ชายหนุ่มร่างเล็กจึงกระซิบกับคู่เต้นของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนนับแต่มาอาศัยอยู่ที่บ้านของอังเดร ซึ่งเมื่อผู้ฟังได้ยินก็เพียงยิ้มตอบและดึงตัวอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งขึ้น

   “ก็อย่าขืนตัวออกไปไกลสิ แค่ก้าวตามฉันมาก็พอ”

   พูดน่ะมันง่าย แต่ทำได้เสียที่ไหน!

   “อุ...!” ขณะที่พยายามก้มมองการก้าวเท้าของอังเดร ซูเล่ยก็ถูกปลายรองเท้าคัทชูเงาวับกระแทกดันปลายเท้าให้ถอยหลังจนเกือบจะเสียหลักล้ม แต่โชคดีที่แขนของอังเดรเป็นหลักพยุงชั้นดี ชายหนุ่มร่างเล็กกัดฟันกรอดเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายเสมือนกำลังคาดโทษ แต่อีกฝ่ายก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็น

   “การเต้นลีลาศเป็นเหมือนพื้นฐานมารยาทของสังคม การจับคู่ชายหญิงด้วยการประคองกันและกันคือการสอนฝ่ายชายให้รู้จักการเกียรติบุคคลต่างเพศซึ่งอ่อนแอกว่าตนเอง ในการเต้น ฝ่ายชายจะเป็นคนนำจังหวะและผู้หญิงเป็นฝ่ายตามคือการยอมรับกันและกันโดยไม่ฝืนใจ ในสมัยก่อนฝ่ายชายเป็นผู้นำของสังคมและครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงถูกมองว่าเป็นผู้ตาม แต่ในการเต้นลีลาศ ฝ่ายหญิงคือผู้เลือกว่าจะยอมตามฝ่ายชายหรือไม่ โดยเธอมีสิทธิเลือกนับแต่ที่ฝ่ายชายผายมือเพื่อขออนุญาต” ระหว่างการเต้น อังเดรก็ถือโอกาสบอกกล่าวสิ่งที่ตนเองยึดถือเป็นหลักในการทำอาชีพรวมทั้งยังเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงได้ดูเป็นสุภาพบุรุษที่บังเอิญหลงหลุดมาจากนิยายประโลมโลกชอบกล

   “คุณพูดแบบนั้นกับผมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เพราะผมเป็นผู้ชา...!” เป็นอีกครั้งที่ซูเล่ยถูกเตะตรงปลายเท้าเพราะก้าวไปผิดทาง หากคิดดูดี ๆ แล้ว สิ่งที่อังเดรกำลังทำกับตนอยู่ในตอนนี้อยู่ห่างไกลจากคำนิยามของลีลาศที่เจ้าตัวว่าไว้เมื่อครู่นี้เหลือเกิน เพราะมันเหมือนว่าเขากำลังถูกอุ้มลอยจากพื้นและเหวี่ยงไปมาตามความพึงพอใจของเจ้าของอ้อมแขน

   “อย่าเกร็งและเอาแต่ดึงดันจะหนีสิ ถ้าอยู่ไกลจะยิ่งจับจังหวะลำบากนะ”

   ก็ไม่อยากถูกเตะนี่!

   คนถูกตำหนิได้แต่เถียงอยู่ในใจ

   “ปล่อยใจสบาย ๆ แล้วแค่เดินตามมาเรื่อย ๆ ก็พอ” จู่ ๆ ท่าทีของอังเดรก็เปลี่ยนไป เจ้าตัวโอบดึงเอวคู่เต้นให้เข้าแนบตัวโดยไม่ได้ใช้แรงอย่างเคย แต่ใช้วิธีพาตนเองเข้าหาด้วย และโน้มใบหน้ากระซิบเบาข้างหู เมื่อซูเล่ยรู้ตัวอีกครั้งใบหน้าของเขาก็แนบอยู่กับแผ่นอกกว้างเสียแล้ว

   อังเดรไม่ได้เตะเขาอีก แค่ดึงให้เดินไปรอบ ๆ ฟลอร์และหมุนตัวบ้างโยกตัวบ้าง

   ซูเล่ยได้แต่สูดหายใจเข้าลึกและเดินตามอย่างจำยอม มันเหมือนกับว่ามีมนตราบางอย่างในบทเพลงและสัมผัสของอังเดรที่ทำให้เขาเลิกคิดจะขัดขืน การเดินตามกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เอาเข้าจริงก็สบายอยู่ไม่น้อยทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยเขาเลยสักนิดที่จะยอมตามคนอื่นอย่างเต็มใจ

   เพียงแต่...การถูกกอดแบบนี้...มันทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ไม่น้อย...

   เสียงเพลงเนิบช้าและการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดพาให้ซูเล่ยรู้สึกเคลิบเคลิ้มและสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อบทเพลงจบลง ไออุ่นของอ้อมกอดค่อยคลายออกและเปิดเผยให้เห็นว่าในห้องนี้ยังมีสายตาอีกสามคู่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ อังเดรผายมือและโค้งให้กับผู้ชมตามมารยาท ทว่าซูเล่ยกลับยืนนิ่งเหมือนยังไม่ตื่นดี เมื่อถูกมือหนากระตุ้นให้โค้งบ้าง เขาก็เผลอดึงมือกลับอย่างแรงจนแม้แต่เจ้าของมือยังแปลกใจ สมองที่ถูกขับกล่อมกระตุ้นตัวเองให้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วและคิดหาคำกลบเกลื่อน

   “ผมขอไปห้องน้ำสักครู่” เขาคิดได้แค่นั้นและรีบดิ่งเข้าห้องน้ำราวกับว่ากระเพาะปัสสาวะกำลังบีบอัดตัวอย่างรุนแรง ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่กำลังเป็นมวนอยู่คือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจเขาต่างหาก

   ซูเล่ยมองหน้าตัวเองในกระจกที่เป็นริ้วแดงจากเลือดฝาด ไม่รู้ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ แต่เขาไม่นึกอยากเห็นตัวเองในสภาพนี้เลย ทำไมเขาถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กสาวมีรักแรกแบบนี้ได้!

   ชายหนุ่มนึกโทษเพลง นึกโทษลีลาศ และอื่น ๆ อีกมากมายระหว่างพยายามสงบสติอารมณ์

   เขาหาเรื่องให้ตัวเองแท้ ๆ ...

   รู้แบบนี้ปฏิเสธไม่ยอมกลับมาพบอังเดรอีกครั้งเสียก็ดีหรอก...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 06-11-2013 14:20:32
กรี๊ดดดด
เขาเต้นกันแล้วอะ
คราวนี้อังเดรเองก็น่าจะมีรู้สึกอะไรนิดๆหน่อยๆบ้างแล้วใช่ไหม อิอิ
ก็แหม ซูขาก็ออกจะน่ารักนะ กิกิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-11-2013 17:40:12
ทำดีมากสาวน้อย
กันยูล่าออกไปเลย เย้ๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 06-11-2013 18:06:11
เอเดรียนรู้งานมากเลยลูกกกกกกกกก
โอ้ยยยยหน้าแนบอกขนาดนั้นซูไม่เขินก็แปลกแล้ว
คุณอังเดรคะ รีบๆชอบซูสักที555555555555
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 06-11-2013 19:57:44
มาตามอ่านเรื่องนี้แล้วติด อยากรู้ว่าซูเล่ยคือใคร เคยพบกับอังเดรมาก่อนยังไง  :katai1: :katai1:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ สู้ๆครับ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 07-11-2013 01:53:06
เชียร์เลยเอเดรียน 5555
ยูล่า อ่อยเหลือเกินนะฮะ แต่อยากรู้ปมคุณซูมากเลยย ท่าทางจะดราม่าน่าดู

:pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 07-11-2013 14:29:43

หาที่สมัครเรียนลีลาศด่วนนนนนนนนนนนน

เต้นแนบชิดกัน---อ่านแล้วฟินเว่อร์

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-11-2013 14:44:17
-7-

   น้ำเป็นสายไหลลงมาจากก๊อก กระทบจานกระเบื้องสีขาวไล่ฟองที่ติดอยู่บนนั้นให้ไหลลงท่อไปพร้อมกับสายน้ำ ซูเล่ยหยิบจานที่ล้างสะอาดแล้วไปคว่ำไว้ที่ตะแกรงข้าง ๆ ที่จริงเขาไม่ควรจะต้องมาล้างจานเอาตอนดึกแบบนี้เลย แต่เพราะสองพ่อลูกตัวปัญหานี่แท้ ๆ ทำให้เขาไม่ได้ทำงานบ้านอย่างที่ควรจะเป็นและต้องไปแสดงท่าทางอันน่าตลกขบขันต่อหน้าผู้คน ถึงแม้จะมีผู้ชมแค่สามคนก็ตาม

   เมื่อสามารถกำจัดจานชามออกไปจากอ่างได้หมดแล้ว ซูเล่ยก็เช็ดมือแล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เขาพบว่าโทรทัศน์เปิดค้างไว้และจากพนักด้านหลังของโซฟา เขาเห็นเพียงขาสองข้างยื่นออกมาพาดที่เท้าแขนฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งมีปอยผมสีเข้มพ้นออกมาเพียงเล็กน้อย อังเดรคงจะนอนดูอยู่ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในแวบแรก แต่เมื่อเดินอ้อมไปดูกลับพบว่าอีกฝ่ายผล็อยหลับไปเสียก่อนแล้ว

   ให้ตายสิ...

   ซูเล่ยเท้าเอวแล้วพ่นลมหายใจแรง ถ้าเป็นเอเดรียนยังพอว่า แต่ผู้ชายตัวโตแบบนี้จะแบกขึ้นห้องยังไงไหว

   “อังเดร ขึ้นไปนอนบนห้องได้แล้ว” เขาลองเขย่าตัวอีกฝ่ายเบา ๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะตื่น ลมหายใจยังคงทอดยาวสม่ำเสมอมันทำให้เขาคิดถึงภาพแบบนี้ที่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ในตอนนั้นเขามีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะสำรวจใบหน้าได้รูปจนกระทั่งจดจำได้หมดทุกส่วนไม่มีสิ่งใดเลือนหายไปจากความทรงจำเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ซูเล่ยอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปเกลี่ยปอยผมออกและโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไร ใบหน้าของเขาก็เลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่า...การขยับของกล้ามเนื้อขอบตาอังเดรทำให้ได้สติและผละออกในทันใด

   เอาเถอะ...ปล่อยให้นอนตรงนี้ไปก็แล้วกัน

   ซูเล่ยคิดเช่นนั้นก่อนลุกขึ้นเพื่อไปนำผ้าห่มมาให้ แต่ยังไม่ทันจะยืดตัวเต็มแรงเหยียดขา เขาก็กลับถูกดึงมือจากด้านหลังจนเกือบจะเซล้มหงาย โชคยังดีที่ตั้งหลักทันเขาจึงเพียงหันไปมองและเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับสนิท เพราะดวงตาสีอ่อนคู่นั้นกำลังจับจ้องมายังเขาอย่างพินิจพิจารณาและครุ่นคิด

   “น่าแปลกนะ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้นลอย ๆ โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงถึงสิ่งใดทำให้ผู้ฟังตอบโต้ไม่ถูก และทำได้เพียงยืนมองตอบกลับไปด้วยความเงียบ “ทั้งที่เคยพูดเหมือนจงใจยั่วฉันถึงขนาดนั้นแต่พอมีโอกาสกลับไม่ทำจริงเสียอย่างนั้น”

   “พูดแบบนั้นแปลว่าอยากให้ทำหรือครับ?” ในใจซูเล่ยนึกฉุนอยู่ไม่น้อย เพราะเขาสามารถสรุปออกมาได้ว่า เมื่อครู่อังเดรเพียงแกล้งทำเป็นนอนหลับเพื่อดูปฏิกิริยาเขาเท่านั้น

   “ก็เกือบจะทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

   คำตอบของอังเดรทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กเผลอสะดุดลมหายใจตัวเอง

   “และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งรู้จักไม่น่าจะทำด้วยจริงไหม?” ดวงตาของอังเดรที่จ้องมองมาคล้ายกับพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อที่จะอ่านความในใจที่ซุกซ่อนไว้

   หรือว่าอังเดรจะ...

   “ซู ที่จริงฉันเองก็คิดมานานแล้ว แต่ว่า...พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ หรือ?” เมื่อถามจบ อังเดรก็รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย

    “นั่นมันเรียกว่าการจีบแบบคลาสสิกหรือเปล่าครับ?” ซูเล่ยนิ่งไปครู่หนึ่งจึงจะสามารถตีหน้าซื่อและถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติอย่างที่สุดได้

    หัวคิ้วของอังเดรขมวดเข้าหากันเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหยั่งเชิงเพื่อหาทางเบี่ยงประเด็น ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่ซูเล่ยก้าวเข้ามาในชีวิตครอบครัวของเขา ราวกับว่าเคยพบกันเมื่อนานมาแล้วและเป็นการพบอย่างใกล้ชิดเสียด้วย เพียงแต่...มันอาจจะเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อต่างคนต่างไปจึงจดจำกันไม่ได้ หรือบางที...อาจจะเป็นเขาคนเดียวที่จำไม่ได้

   ที่จริงแล้วเมื่อตอนเย็นก่อนกลับ อาร์เลนก็ยังมาทักเขาว่าซูเล่ยดูคุ้นตาน่าจะเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง แต่ตัวอาร์เลนก็ระบุชัดไม่ได้เช่นกัน

   ทว่า...มันคล้ายจะเป็นลางสังหรณ์ เขารู้สึกว่าซูเล่ยน่าจะจำได้เพราะท่าทางและปฏิกิริยาที่เจ้าตัว
แสดงออกในบางครั้งดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรกแม้แต่น้อย

   “ในเมื่อคุณตื่นก็ดีแล้ว คงขึ้นห้องนอนเองได้ใช่ไหม?” ในที่สุดซูเล่ยก็คิดหัวข้อใหม่ออก เขาว่าพร้อมกับดึงมือจากการเกาะกุมและเบี่ยงไปหยิบรีโมทปิดโทรทัศน์ อย่างน้อยการที่มันถูกเปิดทิ้งไว้จนถึงตอนนี้ก็ช่วยเป็นข้ออ้างให้เขาไม่ต้องหันมองหน้าอังเดรได้ เพราะเขารู้สึกได้...ถึงสายตาที่ยังจับจ้องอยู่ที่เสี้ยวหน้าตนเอง มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นคนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่หรือ? ระยะเวลาเพียงไม่นาน ทำไมสถานภาพของเขากับอังเดรถึงกลับตาลปัตรได้...

   แต่อังเดรก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจนานนัก เจ้าตัวลุกขึ้นยืนและยืดเส้นสายเล็กน้อย

   “ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นนอนก่อนก็แล้วกัน เธอเองก็อย่านอนดึกนักล่ะ”

   ซูเล่ยลอบถอนหายใจและเงี่ยหูฟังเสียงลั่นของบันไดทีละขั้นจนกระทั่งถึงขั้นบนสุดเขาก็เหลือบมองอีกครั้งให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายขึ้นนอนไปแล้ว

   ชายหนุ่มร่างเล็กยังไงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ได้ขึ้นนอนตามคำแนะนำเพราะกำลังตริตรองถึงบางสิ่งอยู่ในใจอย่างเงียบงัน จนกระทั่งหลายนาทีหลังจากนั้น ซูเล่ยก็พาตัวเองไปยังราวแขวนเสื้อโค้ท หยิบโค้ทของตนเองขึ้นมาสวมและก้าวออกไปยังประตูโดยไม่สนใจจะหยิบผ้าพันคอหรือถุงมือ เจ้าตัวหันมองกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้ว่าตนเองออกไปข้างนอกก่อนจะปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา

   หลังจากซูเล่ยออกไปแล้วครู่หนึ่ง ด้านบนบันไดก็ปรากฏเงาคนที่กำลังมองลงมาข้างล่างผ่านซี่ราวบันได แม้จากมุมนั้นจะเห็นอะไรได้ไม่มาก แค่เมื่อกอปรกับท่าทางของอีกฝ่ายก็เดาไม่ยากเลยว่าเจ้าตัวคงจะออกไปที่ไหนสักแห่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับบทสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขาทั้งสอง

--------------------------->

   ท่ามกลางหิมะที่ปรอยตกลงมามากขึ้นในช่วงค่ำทำให้ถนนเป็นสีขาวโพลน แสงไฟจากข้างทางสาดส่องให้เห็นฟุตบาทที่มีแทบไม่มีคนเดินผ่าน แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าบางจุดบางที่ยังมีคนจับกลุ่มอยู่บ้าง ยืนเดี่ยว ๆ บ้าง หญิงสาวหลายคนแอบตัวอยู่ในซอกตึก บางคนก็เดินคล้ายไม่มั่นคงไปตามความยาวถนนเมื่อเห็นคนขับผ่านก็จะโบกเรียก บางคันก็รับพวกเธอไปด้วย บางคันก็ขับผ่านเลยไป บางส่วนก็สามารถจับลูกค้าได้จากคนที่เดินผ่านไปมาที่มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเลยจากถนนเส้นนี้ไปบล็อกหนึ่งบรรยากาศโดยรวมก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ เพียงแต่มีคนสัญจรมากกว่าและร้านรวงบางร้านก็เปิดไฟสว่างจ้า

   ซูเล่ยให้รถแท็กซี่จอดหน้าบาร์แห่งหนึ่งที่ใช้ไฟสีแดงเป็นไฟหน้าร้านทำให้มองไปแล้วแทบไม่มีสีสันอื่นนอกจากสีแดง จะว่าอึดอัดก็ใช่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกลึกลับไปในตัว

   กระจกของบาร์ติดฟิล์มกรองแสงจนมืดสนิทมองไม่เห็นด้านใน ภาพหน้าร้านที่ทุกคนมองเห็นจึงมีเพียงชื่อร้านที่ทำจากหลอดนีออน กำแพงที่ถูกไฟสีแดงสาด กระจกสีดำ และประตูที่ทำจากไม้ฉลุติดด้วยกระจกสีทึบเหมือนกับกระจกร้าน เพียงแต่กระจกตรงประตูติดฟิล์มบางกว่า หากมองใกล้ ๆ จึงเห็นได้ว่าด้านในประตูมีผ้าม่านถูกยึดติดกับบานประตูอยู่อีกชั้น

   เสียงกระดิ่งแว่วเข้าหูเมื่อประตูเปิดออก ภายในร้านอากาศค่อนข้างอบอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่ก็มืดมากเช่นกัน

   แต่ละโต๊ะมีคนจับจองจนเกือบเต็ม เหลือแค่บางโต๊ะเท่านั้นที่ว่างอยู่ เสียงเพลงคลอเบา ๆ พาให้รู้สึกผ่อนคลาย ซูเล่ยมองไปยังเคาท์เตอร์บาร์ที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของร้าน โชคดีที่ด้านหน้าเคาท์เตอร์ไม่มีคนนั่งมากนัก และดูบาร์เทนเดอร์ก็ว่างอยู่เขาจึงเดินเข้าไปหา

   “ไงซู ไม่ได้เจอกันนานเชียว เมื่อปีก่อนบอกว่าไปอยู่เมืองจีนเลยนี่” บาร์เทนเดอร์โบกมือให้ทั้งที่ในมือยังถือผ้าเช็ดแก้วอยู่

   ซูเล่ยนั่งลงแล้วถอดโค้ทวางไว้ข้างตัวก่อนยกมือขึ้นถูกันเพื่อบรรเทาความหนาว เขานึกโทษตัวเองอยู่ในใจที่รีบร้อนเกินไปจนลืมทั้งพันคอและถุงมือไปเสียได้

   “กลับมาตั้งสองเดือนกว่าแล้ว”

   “อ้อ งานศพของพ...” ก่อนที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มจะพูดอะไรออกมา ก็กลับถูกสายตาเฉียบคมตวัดมองปรามไว้เสียก่อน เจ้าตัวจึงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป “แล้วจะอยู่อีกนานหรือเปล่าล่ะ? จะมาช่วยที่ร้านอีกไหม ตอนนายอยู่ลูกค้าทิปหนักออกนี่”

   “ก็อาจจะนาน...นี่ ดาริล ช่วงนี้ไม่มีใครมาถามหาฉันใช่ไหม?”

   เจ้าของชื่อดาริลเลิกคิ้วแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งในขณะที่มือก็เช็ดแก้วไม่หยุด

   “ช่วงแรก ๆ ที่นายเลิกทำที่นี่ก็มีอยู่หรอก แต่มันก็ห้าปีมาแล้วคงเรียกช่วงนี้ไม่ได้สินะ” เขาว่าพลางยกแก้วขึ้นส่องไฟเพื่อเช็คความใส “ก็พวกลูกค้าที่ขยันมานั่งหน้าเคาท์เตอร์นั่นแหละ แต่พอนายหายหน้าไปสองสามเดือนก็เลิกถามกันไป ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว”

   ถึงจะได้ฟังคำตอบที่น่าจะพึงพอใจแต่ซูเล่ยก็ยังมีท่าทีกังวล

   “นายจำผู้ชายคนนั้นได้ไหม คนที่ฉัน...”

   “ใช่ คืนต่อมาเขาก็มา ต่อ ๆ มาก็ด้วยเพื่อถามหานาย จนกระทั่งครบหนึ่งเดือนเขาก็หายหน้าไปเลย” ถึงจะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วแต่ดาริลก็ยังจำได้แม่นยำ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จู่ ๆ ซูเล่ยก็อยากจะมาลองมาช่วยงานดู และหลังจากคล่องพอจะรับหน้าลูกค้าแทนเขาได้แล้วก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่น่าจะชอบสถานที่แบบนี้ได้ เจ้าตัวบอกว่าทำโทรศัพท์มือถือตกหายและคนที่เก็บได้บอกว่าฝากเอาไว้ที่นี่ มันเป็นความบังเอิญที่น่าแปลกแต่ซูเล่ยกลับดูไม่แปลกใจและสนทนากับอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง

   ผู้ชายคนนั้นยังคงแวะเวียนมาที่นี่หลังจากนั้นเป็นระยะจนเขาคิดว่าบางทีซูเล่ยอาจจะได้พบคนที่ถูกใจและอีกฝ่ายก็ยินดีตอบสนอง ทว่าเพียงไม่นานซูเล่ยกลับบอกขอเลิกทำงานและขาดการติดต่อไปโดยอย่างสิ้นเชิงโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ ประมาณหนึ่งปีหลังจากนั้นซูเล่ยจึงติดต่อกลับมาหาเขาอีกครั้งและเริ่มกลับมาคุยกันทางโทรศัพท์เป็นครั้งคราวเหมือนในอดีต แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงผู้ชายคนที่ว่าแม้แต่คำเดียวราวกับว่าเจ้าตัวได้ลืมเลือนทุกสิ่งไปจนหมดสิ้นและไม่มีพันธะใดให้คิดคำนึง

   และวันนี้เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ซูเล่ยเอ่ยถึงอดีตขึ้นมาอย่างมีความหมาย

   ถ้าถามว่าทำไมเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังพูดถึงใคร คำตอบก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่า ปกติแล้วซูเล่ยจะไม่แสดงความสนใจใยดีต่อคนอื่นมากนัก แต่ผู้ชายคนนั้นดูพิเศษอย่างเห็นได้ชัด

   “เขาอาจจะกลับมาก็ได้ ในเร็ว ๆ นี้” ซูเล่ยพึมพำ

   “ที่จริงฉันก็ไม่ถือหรอกนะถ้านายจะปกปิดอะไรเอาไว้บ้าง แต่ว่าเราก็คบกันมานานแล้ว ถ้าจะขอความช่วยเหลืออะไรก็พูดออกมาตรง ๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

   นิสัยเสียข้อหนึ่งของซูเล่ยคือ มักจะคิดว่าตนเองสามารถจัดการทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมได้ ด้วยเหตุนั้นการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นจึงค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก แม้เจ้าตัวจะสามารถทุกได้อย่างที่ตั้งใจได้เป็นส่วนใหญ่แต่บางครั้งก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกับคนอื่น ๆ อย่างเช่นครั้งนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในกรณีที่หาได้ยากนั้น

   เรียวคิ้วสีเข้มที่ปัดชี้เหมือนพู่กันวาดขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ทั้งที่เร่งร้อนมาถึงที่นี่แต่เมื่อถึงเวลาที่ควรจะพูดกลับพูดไม่ออก

   “บางที...เขาอาจจะมาถามเรื่องฉันอีก” ซูเล่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง “นายก็บอกไปว่าไม่รู้เรื่องแล้วกัน”

   “แปลว่าตอนนี้ติดต่อกันอยู่หรือ?” สิ่งที่สรุปได้ทำให้ดาริลแปลกใจไม่น้อย

   “ก็ไม่เชิง” เจ้าของปัญหาพูดแค่นั้นแล้วสั่งคอกเทลแทนที่จะพูดถึงเรื่องของตัวเองให้กระจ่าง

   “อย่าบอกนะว่าเขาจำนายไม่ได้ นายก็เลยจงใจปกปิดอยู่แบบนี้?” คำถามของดาริลถูกซูเล่ยเมินไปอย่างจงใจ เจ้าตัวจึงชงคอกเทลวางให้ตรงหน้าแล้วถามต่อ “ทำไมนายถึงกลัวว่าเขาจะจำได้ล่ะ?”

   ซูเล่ยเม้มปากด้วยความอึดอัดใจ

   “ถึงจะจำได้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงสุดท้ายก็ลงเอยแบบเดิมอยู่ดี” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางมองดูเครื่องดื่มสีสวยในแก้วซึ่งสะท้อนไฟสีแดงของร้านเป็นประกายวาว เขาจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกถึงความอุ่นซ่านที่กลบความหนาวเย็นทั้งจากบรรยากาศและจากช่องว่างในใจของตนเอง

   “มันก็ไม่แน่...”

   “ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจได้เสียหน่อย”

   ดาริลขำนิด ๆ

   “แต่ภาพลักษณ์นายดูไม่เหมือนคนถูกผูกมัดเลยนะ แต่เอาเถอะ ยังไงก็รู้จักกันมานานพอจะรู้ว่าสถานะของนายมันพูดอะไรก็ลำบาก ฉันจะไม่ถามต่อแล้วกัน”

   บาร์เทนเดอร์หนุ่มว่าเช่นนั้นและหันไปรับออร์เดอร์ทำให้ซูเล่ยได้มีเวลาคิดทบทวนกับตนเองว่าทำไมจึงได้มาถึงที่นี่ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่จำเป็นเลย อังเดรอาจจะดูคล้ายกำลังสำรวจเขาเพราะความคุ้นตา แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะนึกออกเพราะมันก็ห้าปีผ่านมาแล้ว ซ้ำพวกเขา...ไม่สิ อังเดรไม่เคยมีโอกาสได้มองใบหน้าเขาชัด ๆ แม้สักครั้ง ทุกครั้งที่พบกันก็จะอยู่ในบรรยากาศสลัวของบาร์แห่งนี้ แสงสีแดงในความมืดไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรได้ถนัดนักนอกจากรูปร่างโดยคร่าว ๆ ดังนั้นอังเดรไม่น่าจะเชื่อมโยงเขากับสถานที่แห่งนี้ได้

   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมา...ราวกับกำลังถูกบางสิ่งไล่ตามและต้องหาที่หลบซ่อน

   คิดอะไรบ้า ๆ

   ซูเล่ยเถียงกับตนเอง

   อังเดรน่ะหรือจะไล่ตามเขา? เจ้าตัวก็คงแค่ไม่พอใจที่เขาทำตัวหยิ่งผยองใส่ในตอนแรกก็เลยพยายามเอาคืนบ้างเท่านั้น อีกอย่าง ยังไงเขาก็เป็นพี่เลี้ยงของลูกสาว อังเดรจะระแคะระคายขึ้นมาเพราะความกังวลบ้างก็ไม่แปลก แค่ทำตัวไปตามปกติก็คงไม่มีปัญหาอะไร

   ชายหนุ่มกระดกแก้วคอกเทลขึ้นจิบอีกครั้ง ความอุ่นซ่านล่วงลงไปตามลำคอทำให้สติกระจ่างขึ้นเล็กน้อย เขาหมุนก้านแก้วด้วยปลายนิ้วพลางสำรวจของเหลวภายในที่หมุนวนไปตามแรงเหวี่ยงบางเบา เขามักจะเห็นคนที่เข้าบาร์ทำท่าทางแบบนี้เมื่อมีเรื่องครุ่นคิดทำให้ติดนิสัยมาโดยไม่ทันรู้ตัว

   “ว่าแต่ เตร็ดเตร่ได้แบบนี้ยังไม่มีงานทำหรือ?” ดาริลผละจากลูกค้ากลับมาได้ในที่สุด

   “มีแล้ว”

   “ทำอะไรอยู่ล่ะ?”

   “เลี้ยงเด็ก” ซูเล่ยตอบกลับไปโดยอัตโนมัติ

   “...ดูไม่เข้าเลยนะ...” ดาริลตกตะลึงอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรอยู่ เพราะซูเล่ยไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกว่าเป็นคนรักและเอ็นดูเด็ก

   “ฉันก็ว่างั้น แต่ทำไงได้ล่ะ...” เอาเข้าจริง ตัวซูเล่ยก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกกับเด็กเหมือนกัน แต่พอเลี้ยงเอเดรียนมาสักระยะเขาก็พบว่าเด็ก ๆ มีธรรมชาติของตัวเองที่พอจะทำความเข้าใจได้อยู่ เหมือนกับสิ่งที่มีตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน และต้องการให้คนรอบข้างคล้อยตามไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้และซึมซับพฤติกรรมที่ได้รับการตอบสนอง ถ้าหากรู้ว่าจะตอบโต้ยังไงมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่

   แต่เมื่อพูดถึงการงานขึ้นมา เขาก็นึกได้ว่าต้องตื่นแต่เช้าจึงกระดกอึกสุดท้ายแล้ววางเงินก่อนลุกขึ้น

   “ฉันกลับก่อนล่ะ ยังไงเรื่องนั้นก็...”

   “ฉันเข้าใจ จะช่วยเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน” ดาริลพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ซูเล่ยเพียงพยักหน้ารับและคว้าเสื้อโค้ทขึ้นสวมก่อนพยายามควานหาถุงมือ แต่ก็รู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าตนลืมสวมมาแต่แรก “ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม นายดูแปลก ๆ เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกล”

   “แค่ลืมน่ะ เอาเถอะ เดี๋ยวออกไปก็คงเรียกแท็กซี่ได้เลย” เจ้าตัวซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทและเดินออกจากประตูไป

-------------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-11-2013 14:46:19
   ภาพบาร์ที่ติดไฟสีแดงทำให้รู้สึกประหลาดเมื่อแรกมอง แต่สำหรับเขา มันกลับเป็นภาพที่คุ้นตา

   จะว่าไป...เขาเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้เมื่อห้าปีก่อนได้กระมัง ตอนนั้นเหมือนว่าจะเกิดเรื่องหลาย ๆ อย่างขึ้นจนรู้สึกเหมือนชีวิตถูกใครบางคนควบคุมอยู่ แม้ว่าจะขัดขืนกระแส แต่ก็ถูกชักนำไปโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายกระแสของการชักนำก็เลือนหายไปพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ถูกลืมเลือน

   อังเดรพรูลมหายใจจนเกิดเป็นไอสีขาวบางเบาในอากาศ เขานึกแปลกใจไม่น้อยที่ซูเล่ยมาที่นี่ในเวลาอย่างนี้ จะว่าเกิดมีอะไรในใจจนต้องหาที่ดื่มก็ไม่น่าจะดั้นด้นมาตั้งไกล นอกจากว่าซูเล่ยจะมีอดีตเกี่ยวพันกับที่นี่ อาจจะเป็นร้านประจำในสมัยวัยรุ่น หรือที่นัดพบเพื่อน ๆ หรืออาจจะเป็นคนรักก็สุดจะคาดเดาได้ แต่มันออกจะบังเอิญไปสักหน่อยไหมที่เขาและซูเล่ยจะมีอดีตเกี่ยวพันกับสถานที่เดียวกันและมีชะตาต้องวนเวียนมาบรรจบกันอย่างใกล้ชิด โอกาสอาจจะน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นเสียด้วยซ้ำ

   แม้จะมีคำถามในใจมากมาย แต่อังเดรกลับเลือกที่จะยืนพิงกำแพงเย็นเฉียบและเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงข้ามถนนราวกับนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ตนเองทำได้ในเวลานี้

   “พี่ชาย สนใจไหมจ๊ะ” เสียงหวานใสติดจะมึนเมาเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองข้างตัวและได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในเสื้อคลุมขนสัตว์ราคาถูก เธอกระแซะเข้าหาอย่างมีจุดมุ่งหมายทำให้กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกผสมกลิ่นบุหรี่โชยเข้าจมูกจนแทบสำลัก

   “พอดีผมแค่มารอคนน่ะ ขอโทษด้วยนะครับ” แม้จะตอบกลับไปอย่างสุภาพ แต่อย่างไรก็เป็นคำปฏิเสธ หญิงสาวที่เดินร่อนมาทั้งคืนโดยไม่มีลูกค้าจึงทำเสียงฮึดอัดและเชิดหน้ากระแทกส้นเท้าเดินผ่านไป

   เรือนผมยุ่งกระเซิงเหมือนรังนกปิดบังทัศนียภาพของฝั่งตรงข้ามถนนไปชั่วขณะ ที่แต่เมื่อเธอเดินผ่านไป เขาก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของบานประตูก่อนที่ผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งจะเดินออกมาและรีบเอามือซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อป้องกันความหนาวเย็นและวิ่งซอยเท้าสั้น ๆ มาจนถึงถนนเพื่อเรียกแท็กซี่คันที่กำลังจะผ่านไป ชายหนุ่มร่างสูงยืนรอจนกระทั่งฝ่ายนั้นลับตาแล้วจึงเริ่มขยับตัวบ้าง

   เขาข้ามถนนไปยังบาร์ที่เป็นเป้าสายตาอยู่นาน เปิดประตูเข้าไป สัมผัสกับเสียงเพลงคลอเอื่อยและแสงสีแดงดูสลัวพาให้สับสนกับภาพที่มองเห็น บรรยากาศของที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่แตกต่างจากภาพที่เขาจดจำได้ ยกเว้นแต่ที่เคาท์เตอร์บาร์ ดูเหมือนจะมีการตกแต่งเพิ่มเติมนิดหน่อย

   “เชิญครับ” เสียงต้อนรับพาให้เขาเลิกสนใจสำรวจรอบข้างและเดินไปยังเคาท์เตอร์ก่อนถอดถุงมือ ผ้าพันคอ และเสื้อโค้ทออกวางข้างตัว

   “อ้าว คุณนั่นเอง”

   เสียงทักทายของบาร์เทนเดอร์เรียกให้ชายหนุ่มเงยขึ้นมอง ดาริลยิ้มกว้างให้กับลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้แสดงพิรุธใด ๆ ออกมา

   “คุณ...จำผมได้ด้วยหรือ?” หากจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ก็เป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนด้วยเช่นกัน แต่เวลาห้าปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปหลายอย่างเขาจึงจดอีกฝ่ายไม่ได้ในทันที แต่แปลกใจมากกว่าในบรรยากาศสลัวและพบเจอคนมากหน้าหลายตาอย่างนี้ ทำไมอีกฝ่ายจึงจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรก

   “จะว่ายังไงดีนะ ถ้าคนเรามีลักษณะบางอย่างที่พิเศษมันก็จดจำได้ง่ายน่ะครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย “อย่างคุณก็เคยมาถามหา ‘ลี’ เพื่อนผมอยู่เป็นเดือน ๆ แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมาหรอก คิดว่าคงได้งานทำที่อื่นไปแล้วล่ะครับ”

   น้อยคนที่จะรู้ว่าจริง ๆ แล้วซูเล่ยใช้แซ่หลี่ตามแม่ก่อนจะเปลี่ยนนามสกุลเมื่อย้ายมาอยู่ที่อเมริกา ด้วยเหตุนั้นชื่อ ลี หรือ หลี่ จึงเป็นเสมือนนามแฝงกลาย ๆ ที่รู้ที่มาที่ไปเฉพาะคนสนิทซึ่งมีอยู่ไม่มาก และซูเล่ยยังใช้ชื่อนี้ในการแนะนำตัวตอนที่มาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรหากอังเดรจะไม่เอะใจเลยว่า ลี และ ซูเล่ย อาจจะเป็นคนคนเดียวกัน

   “เขาไม่ได้ติดต่อคุณเลยหรือ?”

   ดาริลนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

   “ความจริงก็มีบ้าง แต่เขาไม่ค่อยชอบพูดเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาติดต่อกันพวกเราก็จะคุยสัพเพเหระไม่มีแก่นสาร”

   “ถ้าอย่างนั้น...ที่อยู่คงพอทราบสินะครับ?” ถึงจะแปลกที่จู่ ๆ ถามออกไปแบบนี้ แต่อังเดรก็อยากจะเห็นว่าเจ้าตัวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร กระนั้นดาริลก็ยังคงควบคุมตัวเองได้ดี

   “ถึงจะรู้ผมก็บอกไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ตั้งห้าปีมาแล้ว...คุณเถอะ คิดยังไงถึงได้กลับมาถามหาเขาเอาตอนนี้?”

   คำถามของดาริลทำให้อังเดรหนักใจไม่น้อย เพราะเขาคงทะเล่อทะล่าเล่าเรื่องในครอบครัวตัวเองให้คนอื่นฟังไม่ได้ และหากสงสัยผิดตัวมีแต่จะถูกหัวเราะเอาเสียเปล่า ๆ

   “...คงเพราะคิดว่าน่าจะได้เจอกันอีกล่ะมั้ง...” ในที่สุดก็เลือกคำตอบที่ดูคลุมเครือมาตอบจนได้ แต่หากคิดดี ๆ มันคงจะน้ำเน่าอยู่ไม่น้อย

   ดาริลคงจะรู้สึกรู้สึกสงสารขึ้นมาจึงถอนหายใจและตอบคำถามย้อนหลัง

   “ผมคงจะบอกที่อยู่ชัดเจนไม่ได้ แต่เขาคงจะไม่ได้ไปจากเมืองนี้หรอก”

   “ถ้าอย่างนั้น...”

   ไม่ทันที่อังเดรจะถามต่อ บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็ยกมือปราม

   “ที่นี่มีไว้ปลดเปลื้องความทุกข์ใจ สิ่งที่ทำให้คุณกังวล ปลดเปลื้องออกบ้างก็ดีนะครับ บางทีโดยที่คุณไม่รู้ตัว สิ่งที่คุณรอคอยอาจจะปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดฝันก็ได้” ดาริลกล่าวขณะที่ใช้มือชงคอกเทลอย่างคล่องแคล่ว “ผมอาจจะให้คำตอบที่คุณต้องการไม่ได้ แต่ผมยังจำเมนูโปรดของคุณได้นะครับ” ว่าจบ แก้วทรงกรวยบรรจุของเหลวสีสันสวยงามก็เลื่อนมาตรงหน้า

   ถึงแม้จะไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อดื่ม แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะลุกออกไปเฉย ๆ ก็ค่อนข้างเสียมารยาท อังเดรจึงรับแก้วไว้ด้วยรอยยิ้มเจื่อมและจิบทีละนิดเพื่อทบทวนความทรงจำที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้เมื่อห้าปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้พบกับมารีนและตกลงใจแต่งงานกันในปีถัดมา

   มันเริ่มต้นขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งซึ่งหายไปโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สถานที่ เขาไม่มั่นใจนักว่าจะได้มันคืนแต่ก็ลองโทรไปเผื่อว่าจะได้พบคนดีสักคน ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ายนั้นจะยินดีคืนให้โดยไม่มีเงื่อนไข เพียงแต่เจ้าตัวไม่ว่างจะมอบด้วยตนเองจึงฝากไว้ที่บาร์แห่งนี้ ตอนที่เขามารับก็คิดว่าจะกลับเลย แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้โดยชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ฝึกหัดอยู่ในตอนนั้น

   ลี...

   แม้จะรู้จักกันแต่เขาก็ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ได้ยินแค่เสียงขณะพูดคุย และใบหน้าที่มองผ่านแสงสีแดงดูสลัวแปลกตา

   อังเดรไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นเพราะบังเอิญว่ามีคนจะมานั่งที่เคาท์เตอร์เขาจึงต้องรีบยกโค้ทตนเองออกจากเก้าอี้ว่างข้างตัว แต่เมื่อคิดจะจิบคอกเทลต่อเขาก็พบว่ามันเหลือเพียงแก้วเปล่า

   เขาลุกขึ้นและวางเงินบนเคาท์เตอร์

   “แล้วมาใหม่ได้เสมอนะครับ” ดาริลยิ้มอำลา ฝ่ายลูกค้าเพียงยิ้มตอบโดยไม่ได้พูดอะไรและสวมโค้ทก่อนเดินออกมาทั้งที่ยังมีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจและไม่อาจรู้ได้เลยว่าควรจะใช้อะไรเพื่องัดเอาก้อนมวลใหญ่ที่ติดค้างนั้นออกมาสำรวจดูให้แน่ชัด

------------------------------>

   ชายหนุ่มกลับถึงบ้านก็ดึกโขแล้ว ทั้งบ้านเงียบสนิทและเรียบร้อยอย่างไร้ที่ติเหมือนตอนที่เขาออกไป เสื้อโค้ทของซูเล่ยกลับมาพาดอยู่บนราวเช่นเดิมแต่ก็ยังมีรอยเปียกอยู่เล็กน้อยจากการตากหิมะ ถึงอย่างนั้นมันก็คงจะจางหายไปในตอนเช้าราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนนี้

   อังเดรถอดเสื้อโค้ทและผ้าพันคอพาดบนราว และถือถุงมือไปเก็บบนห้อง

   ขณะที่ขึ้นไปถึงหัวบันได สมองก็พลันสั่งให้สายตาเหลือบมองไปยังสุดทางเดินซึ่งประตูบ้านหนึ่งปิดสนิทนิ่งงันอย่างที่ควรจะเป็น

   ประตูไม้ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

   ไม่สิ...เขาต่างหากที่ก้าวเข้าไปใกล้ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งประตูก็ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว

   ลูกบิดประตูอยู่แค่มือเอื้อม และในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านเขาย่อมมีสิทธิมากมายที่จะใช้อ้าง แต่...เขาไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกกล่าวว่าทำไมจึงต้องเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายถึงในห้องกลางดึกกลางดื่น ที่จริงแล้วเขากำลังสงสัยตัวเองว่าทำไมจึงต้องติดใจอีกฝ่ายถึงขนาดนี้แค่เพียงเพราะว่ารู้จักสถานที่แห่งเดียวกัน ความรีบร้อนของซูเล่ยน่าสงสัยก็จริงแต่สุดท้ายก็ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของเขา เพราะบาร์เทนเดอร์คนนั้นดูไม่น่าจะมีเหตุผลให้ปกปิดเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด

   ลูกบิดประตูยังคงแน่นิ่งอยู่ที่เดิมในขณะที่เจ้าของบ้านทำได้แค่มองอย่างชั่งใจ

   ในที่สุดอังเดรก็ถอยหลังออกมาและหมุนตัวกลับห้องตนเอง เขารู้สึกว่าคืนนี้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปมากมาย บางทีหากหลับสักตื่นสติอาจจะกระจ่างขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

   เสียงฝีเท้าเพียงหนึ่งเดียวในบ้านใช่จะมีเพียงอังเดรที่ได้ยิน ภายในห้องสุดทางเดิน มีชายหนุ่มอีกคนที่นอนซุกบนที่นอนและเงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงนั้นค่อย ๆ ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมา

   ซูเล่ยไม่ได้รู้เลยว่าตนเองถูกสะกดรอยตาม แต่เมื่อกลับมาถึงเขาก็เห็นว่าโค้ทของอังเดรหายไป แต่หากจะคิดในแง่ดีก็คงจะพูดได้ว่าอังเดรอาจจะออกไปหาที่ทางของตนเอง กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ใช่นักเที่ยวและไม่มีบุคลิกที่ชวนให้ดูเหมือนคนชื่นชอบการเริงรมย์ยามราตรีแม้แต่น้อย

   อย่างน้อยก็ยังดีที่กำชับดาริลไว้ก่อนแล้ว...

   เขาคิดเช่นนั้นและหลับตาลงโดยพยายามที่จะไม่นำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาคิดให้รกสมองอีก

TBC


เราไปหาที่เรียนลีลาศกันเถอะค่ะ 555
ปล. สมัยเรียนเราได้คู่เต้นเป็นผู้หญิงเพราะคนเรียนผู้ชายมีไม่พอ ;w;
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 10-11-2013 16:18:47
หวังว่าจะสลัดยูล่าได้พ้นเสียที ไม่งั้นก็... ซูสวมรอยเป็นคุณแม่มือใหม่ไปเลย
:: ตามมาจากบอร์ดนาบูค่ะ ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 10-11-2013 17:17:25
ซูก็คงจะชอบอังเดรปะแล้วอยู่ดีๆฮีก็ไปแต่งงาน
เออเป็นฉันก็ช็อคปะวะ
แต่ตอนนี้อังเดรเป็นพ่อหม่ายนะ ซูบอกความจริงไปเล้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-11-2013 18:33:27
เค้าลางมาม่านะแบบนี้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-11-2013 18:53:39
ความจริงก็น่าจะให้รู้ความจริงไปเลยนะ
บางทีอังเดรก็อาจจะคิดๆอะไรอยู่ก็ได้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 11-11-2013 14:57:36

เรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่นะ

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 11-11-2013 18:11:23
มันยังไงกันละนี่
เดาที่ไปที่มาไม่ถูกแหะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 14-11-2013 14:18:36
-8-

   แม้ซูเล่ยจะกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากวันนั้น อังเดรก็ไม่ได้ตื้อถามอะไรอีก ส่วนยูล่าก็ยังคงพาตัวเข้ามาใกล้ครอบครัวนี้มากขึ้นเหมือนเดิม กระนั้นการกระทำของเธอกลับไม่ได้นำไปในทางที่ดีนักเพราะยิ่งยูล่าเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เอเดรียนก็ยิ่งต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น แม้กระทั่งวันนี้ที่ยูล่ามาที่บ้านและขอเป็นคนโชว์ฝีมือทำอาหาร เอเดรียนก็ทำสีหน้าบูดบึ้ง เอาแต่นั่งกอดตุ๊กตากระต่ายที่เพิ่งถูกซักใหม่อีกครั้งจนขาวสะอาด

   “เอเดรียนไม่อยากกิน มันไม่อร่อย” เด็กหญิงงอนกระปัดกระป่องและไม่ยอมให้ใครจับตัวเมื่อถึงเวลาอาหาร
   “เอเดรียนอย่าดื้อสิ ยูล่าอุตส่าห์มาทำให้เลยนะ ยังไม่ได้กินจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ชอบน่ะ” อังเดรง้อลูกสาวที่ทำตัวขวางโลกมาตลอดช่วงเย็น

   “ก็ไม่ชอบ” เมื่อเห็นว่าพ่อเข้าข้างผู้หญิงอื่นมากกว่าตนเอง เอเดรียนก็ยิ่งหงุดหงิด

   “เอเดรียน มาลองหน่อยสิจ๊ะ คราวก่อนไปยังบอกว่าอาหารของพี่อร่อยอยู่เลย” ยูล่าก็เข้ามาง้อด้วย แม้เธอจะรู้ว่าตนเองถูกกีดกันแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเอาชนะใจเด็กหญิงผู้หวงพ่อยิ่งกว่าสิ่งใด

   ซูเล่ยมองทั้งสองอยู่ห่าง ๆ ทั้งยูล่าและอังเดรเริ่มทำตัวเหมือนคู่รักไม่มีผิด ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แถมยังมาบริการถึงบ้านทั้งที่รู้ว่ามีคนทำอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นภาพนั้นเขาจึงรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจ บางที...เอเดรียนอาจจะเผลอซึมซับความรู้สึกของเขาเข้าไปก็เป็นได้ เธอจึงมีปฏิกิริยารุนแรงกับยูล่าอย่างนั้นทั้งที่แต่ก่อนออกจะสนิทสนมกันดีไม่เคยมีปัญหาใด ๆ

   “ซู” ทว่าในขณะที่กำลังคิดว่าตนเองเป็นคนนอก เสียงทุ้มนุ่มหูก็เอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมา

   “หืม?” ซูเล่ยเพียงตอบรับในลำคอและเลิกคิ้วมองชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังส่งสายตาเหมือนคนไร้หนทางมาให้ คล้ายกำลังบอกให้เขาทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์นี้ที่ไม่มีใครจัดการได้

   เอเดรียนเองก็กำลังมองมาด้วยสายตาไม่พอใจเช่นกัน แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้ ท่าทางต่อต้านก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เสมือนป้อมปราการที่ตั้งตระหง่านแข็งแรงยินยอมเปิดรับเพื่อนบ้านในที่สุด

   “เอเดรียนไม่อยากกิน” ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยท่าทีแข็งขันประสมอ้อนวอนพี่เลี้ยงที่เข้าใจตนมากที่สุด

   “แล้วเอเดรียนไม่หิวหรือ?” ซูเล่ยนั่งลงระหว่างอังเดรและยูล่าโดยไม่ได้เจตนาจะขัดขวางความใกล้ชิด เพียงแต่ตรงนี้เท่านั้นที่สามารถคุยกับเอเดรียนได้ถนัดมากที่สุด กระนั้นชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนเห็นประกายตาของความไม่พึงพอใจเปล่งออกมาจากหญิงสาวข้างตัว แต่ความรู้สึกเพียงชั่วแวบก็ถูกกลบหายด้วยอ้อมแขนเล็ก ๆ ที่โถมใส่ตัวเขาพร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวโต

   “เอเดรียนจะกินอาหารของซู ซูทำอร่อย”

   ได้ยินประกาศิตจากปากเด็กหญิงผู้มีอำนาจเต็มแล้ว ซูเล่ยก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะหันไปมองใครเพื่อขอความเห็นดี เพราะทางหนึ่งก็อังเดรที่เขาไม่ค่อยจะอยากมองหน้าเท่าไหร่ในระยะหลัง อีกฝั่งก็ยูล่าซึ่งเป็นเจ้าของมื้ออาหารสุดพิเศษในค่ำคืนนี้

   “แต่ว่ายูล่าอุตส่าห์ทำให้ ไปดูก่อนไม่ดีกว่าหรือ?” เพราะไม่อยากสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ ซูเล่ยจึงต้องทำทีประนีประนอมไปก่อนแม้เขาจะเริ่มรู้สึกรำคาญเจ้าหล่อนขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้น เอเดรียนกลับไม่ได้คิดอย่างเขา เด็กหญิงอยู่ในวัยที่จะแสดงออกทางด้านอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบังเสแสร้ง จึงพยายามอย่างมากที่จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่ต้อนรับ

   “ไม่เอา จะเอาของซู”

   เสียงถอนหายใจจากเบื้องหลังทำให้ซูต้องรีบกลืนลมหายใจส่วนของตนเองไว้และหันไปมองอังเดรซึ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

   “ซู ช่วยทำให้เอเดรียนอีกชุดแล้วกัน” เขาว่าเช่นนั้นและหันไปทางหญิงสาวซึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่เพื่อทำอาหารเย็นให้ทั้งครอบครัว “ขอโทษด้วยนะยูล่า ที่จู่ ๆ เอเดรียนก็งอแงแบบนี้”

   “...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันพอจะเข้าใจอยู่” หญิงสาวตอบด้วยท่าทางอ่อนโยนแต่แอบแฝงไว้ด้วยความขุ่นใจอย่างบางเบา กระนั้นคำบัญชาของเอเดรียนก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้   

   ซูเล่ยเดินไปค้นวัตถุดิบและคิดว่าจะทำอะไรดี เพราะหากทำอย่างเดียวกับยูล่าคงจะเสียมารยาทไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องรักษาน้ำใจอะไรนัก แต่ก็หน่ายที่จะมีปัญหาให้คนอื่นเขม่นโดยเฉพาะต่อหน้าอังเดรซึ่งแม้จะไม่ได้รุกถามอะไรแต่ก็คอยสังเกตสังกามากขึ้นจนต้องยอมทำตัวสงบเสงี่ยมสักระยะ

   หน้าต่างของห้องครัวมีด้านหนึ่งที่เปิดออกไปทางถนนหน้าบ้าน ตอนที่ซูเล่ยเดินไปหยิบภาชนะตรงนั้นเขาก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อมองออกไปเห็นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ตรงนั้นมาสักพักแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่ได้นึกสนใจแต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกแปลก เพราะจำไม่ได้เลยว่าตนเองเคยเห็นรถคันนี้ในละแวกนี้มาก่อน และไม่ได้ข่าวเลยว่าเพื่อนบ้านถอยรถใหม่ แสดงว่าไม่ใช่ของใครที่เขาเคยเห็นหน้า ถ้าอย่างนั้นมีธุระอะไรถึงมาจอดตรงนี้กันนะ? ถึงจะจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ซูเล่ยก็อุปทานขึ้นมาในใจว่าน่าจะกำลังมองดูบ้านหลังนี้เสียมากกว่า

   “ซู มองอะไรอยู่เหรอ?” เอเดรียนเดินมาเกาะขากางเกงเขาและดึงเบา ๆ เพราะไม่อยากไปนั่งร่วมโต๊ะโดยไม่มีพี่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ

   “ไม่มีอะไรหรอก กำลังคิดว่าต้นหญ้าชักจะยาวแล้ว คงต้องตัดมันเสียทีน่ะ” เขาตอบคำถามแล้วผละจากบานหน้าต่างทั้งที่ใจยังกังขา ทว่าหลังจากนั้นก็คล้ายว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทและลงมือจัดการสำรับอาหารเย็นพร้อมกับเจ้าบ้านและแขก การสนทนาหนึ่งเดียวของมื้อนี้คือเสียงพูดคุยระหว่างอังเดรและยูล่าซึ่งค่อนข้างสนิทสนมและเต็มไปด้วยเรื่องส่วนตัวบ่งบอกถึงระดับความสนิทชิดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น

   หลังจากยูล่ากลับไปแล้วและซูเล่ยกำลังล้างจาน สายตาของเขาก็มองออกไปข้างนอกอีกครั้ง รถคันนั้นยังคงจอดที่เดิมราวกับว่าที่นั่นเป็นที่ของมัน

   ใครกันนะ?

   ดวงตาสีดำในกรอบเรียวรีเพ่งมองอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อว่าอย่างน้อยก็จะได้เห็นว่าบุคคลในรถกำลังทำสิ่งใดอยู่ ทำให้ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว จนกระทั่งแขนข้างหนึ่งผ่านเข้ามาทางปลายสายตาและเท้ากับวงกบหน้าต่าง เงาดำตกทอดลงมาเหนือตัวเขารวมถึงภาพสะท้อนที่ปรากฏบนบานกระจก

   “กำลังมองอะไรอยู่?”

   คำถามเดียวกับที่เอเดรียนถาม แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างเพราะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบและคล้ายกำลังเฝ้ารอปฏิกิริยาของเขาขณะตอบคำถามนั้นด้วย

   ซูเล่ยเลื่อนสายตาจนรถไปยังเงาสะท้อนของคนที่อยู่เบื้องหลัง และได้เห็นดวงตาของผู้ที่มองตอบกลับมาซึ่งเป็นสายตาแบบเดียวกับที่จ้องมองเขามาชั่วระยะหนึ่งหลังจากกลับมาจากบาร์แห่งนั้น เป็นสายตาที่มีความสงสัย ความกังขา ความสนเท่ห์ ทุกนิยามของในที่สับสนต่างผสมรวมอยู่ในดวงตาคู่นั้นและมุ่งมายังเขาโดยตรงอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง และเพราะแบบนั้น...ทำให้เขาหวั่นใจทุกครั้งที่มองกลับไป

   “รถน่ะครับ ผมคิดว่าไม่เคยเห็น”

   คำตอบที่ได้ทำให้อังเดรมองออกไปบ้าง แต่รถคันนั้นก็หายไปเสียแล้ว

   “คงจะเป็นเพื่อนมาส่งคนแถวนี้”

   ถึงอยากจะบอกว่าจอดอยู่นานผิดสังเกต แต่ก็ดูจะไม่ใช่ประเด็นที่ควรนำมาพูดคุยกับอีกฝ่ายนัก เพราะเจ้าตัวดูจะไม่ได้สนใจเอาเสียเลย

   “ช่วยขยับออกไปหน่อยได้ไหมครับ ผมล้างจานไม่ถนัด” เมื่อความสนใจถูกดึงกลับเข้ามาในห้อง ซูเล่ยจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ล่อแหลมโดยไม่ได้ตระเตรียมใจ กระนั้นเจ้าตัวก็ยังสามารถตอบโต้กลับไปได้อย่างปกติทั้งที่ในกำลังเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ความคิดที่จะหยอกล้อเอาสนุกตอนแรกเริ่มที่ก้าวเข้ามาในบ้านนี้ถูกสลัดหายไปจนหมดสิ้นเมื่อตนคล้ายจะกลายเป็นฝ่ายถูกหยอกล้อเอาเสียเองในระยะหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะตัวเขามีชนักติดหลังอยู่กระมัง

   “ก็ใกล้จะเสร็จอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

   ปัญหาคืออังเดรมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมต่างหาก

   ซูเล่ยเถียงในใจพลางกลอกตา แต่แม้จะพยายามทำตัวให้ชินกับการใกล้ชิดมากแค่ไหน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะอึดอัดกับสายตาที่ทิ่มแทงลงบนแผ่นหลังอย่างพินิจพิจารณาถึงขนาดที่ไม่ได้มองก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน หรือว่าคืนนั้นอังเดรจะได้คุยกับดาริลแล้วเกิดเอะใจขึ้นมาจริง ๆ?

   ข้อสันนิษฐานนี้เป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย

   “ตอนแรกคุณรังเกียจรังงอนผมจนแทบจะตะเพิดออกจากบ้าน แล้วจู่ ๆ เกิดพิศวาสอะไรผมขึ้นมา หรือว่า...เกิดนึกสนใจผมขึ้นมาจริง ๆ” ถึงจะรู้แก่ใจว่าคำถามนี้เป็นการขุดหลุมพรางให้ตัวเอง แต่ก็อาจจะสามารถทำให้อังเดรรำลึกขึ้นมาได้ว่าเคยรู้สึกกับเขาในแง่ลบเสียจนไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ และพร้อมกับที่ถาม ซูเล่ยก็แสร้งทำเป็นเอนตัวไปอิงซบอกกว้างพลางเสยสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายซึ่งเมื่อก้มลงมาใบหน้าจะอยู่ตรงกันพอดี

   ทว่า...ในดวงตาคู่สวยที่มองเห็นกลับมีแต่ความสงสัยและต้องการพิสูจน์ ไร้ซึ่งความรังเกียจ มีเพียงความลังเลเล็กน้อยที่ซุกซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน

   ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจเฮือกเมื่อใบหน้าคมโน้มลงมาหา

   “เดี๋ยวสิ!” และกลายเป็นเขาเองที่ปฏิเสธด้วยการดีดตัวผึงขึ้นจากแผงอก แต่ก็ไม่สามารถขยับหนีไปได้มากกว่านั้นเพราะด้านหน้าเป็นซิงค์สำหรับล้างจาน ด้วยอาการชะงักเพราะไม่มีที่ไปทำให้อังเดรไม่ต้องเสียแรงมากนักกับการรั้งตัวไว้ ชายหนุ่มร่างสูงเพียงเท้าแขนคร่อมลงไป ซูเล่ยก็ถูกกักขังไว้โดยสมบูรณ์

   “ทั้งที่ท้าทายมาตลอด แต่พอฉันตอบรับกลับไม่กล้าอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มคลอเคลียข้างใบหูจนร้อนวูบเพราะลมหายใจ “หรือเธอเชื่อมาตลอดว่าฉันไม่กล้าทำ?”

   ก็ไม่เชิง...

   ที่จริงแล้วเขาก็แค่ใช้วิธีนั้นทำให้อีกฝ่ายอยู่ห่าง ๆ เท่านั้นเอง

   “ผมไม่ใช่มารีนนะครับ”

   “ฉันรู้ แต่มารีนก็จากไปแล้ว ฉันย่อมมีสิทธิที่จะหาเศษหาเลยได้จริงไหม?”

   ซูเล่ยรู้สึกประหลาดใจกับความดึงดันของอีกฝ่าย แม้กระทั่งเมื่อห้าปีก่อน คนที่ดึงดันมากกว่าก็คือตัวเขาส่วนอังเดรก็แค่คล้อยตามไป ทว่า...ความดึงดันของเจ้าตัวกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นราวกับว่ากำลังคาดหวังถึงบางสิ่งซึ่งซุกซ่อนในส่วนลึกของความปรารถนา

   แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็ต้องสะดุ้งแรงเพราะเสียงโทรศัพท์บ้าน

   อังเดรนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปรับเมื่อเสียงดังเรียกเป็นครั้งที่สาม

   เสียงถอนหายใจบางเบาล่องลอยในอากาศหลังอังเดรจากไปแล้ว

   “อาร์เลน?” เสียงของเจ้าตัวผ่านเข้ามาในครัวทำให้ซูเล่ยรู้ว่าคนที่เคาะระฆังช่วยชีวิตเขาที่แท้ก็คือน้องชายของอังเดรเอง

   ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันเพราะเขาล้างจานเสร็จหลังจากนั้นไม่นานแต่ก็พบว่าอังเดรยังไม่ยอมวางหู และเพราะไม่อยากจะทำให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงบ่อยนัก ซูเล่ยจึงขึ้นนอนโดยไม่ทู่ซี้นั่งฆ่าเวลาเหมือนเช่นวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา

-------------------------->

   วันรุ่งขึ้น อังเดรออกจากบ้านไปพร้อมกับกล่องแบบสอดขนาดกว้างและแบน ดูคล้ายจะเป็นกล่องใส่รูปติดผนังหรือกล่องใส่อัลบั้ม ด้วยสีสันของมันบ่งบอกว่าเป็นอัลบั้มในวาระสำคัญซึ่งคงจะไม่พ้นงานแต่งงานหรือไม่ก็เป็นอัลบั้มรวมรูปวาระพิเศษของใครสักคนในบ้านหลังนี้

   ซูเล่ยไม่ได้ให้ความสนใจกับของสิ่งนั้นนักเพราะมัวแต่สาละวนกับการทำงานบ้านช่วงเช้าเพื่อให้ทันก่อนเอเดรียนตื่นและพร้อมเล่นสนุกในแบบของเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าของสิ่งนั้นจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งซึ่งบ่งชี้ถึงการมีตัวตนของตัวเขาเองในเวลาต่อมา

   เย็นวันนั้น อังเดรนำกล่องในมือไปที่โรงเรียนสอนลีลาศด้วย และเมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว เขาจึงนะไปมอบให้อาร์เลนซึ่งโทรมาขอเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

   “จะเอาไปทำอะไรหรือ?” เขานึกสงสัยและเปิดมันออก ด้านในเป็นภาพในวันหมั้นและวันแต่งงานของเขากับมารีนซึ่งถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อยสวยงาม

   “ผมบังเอิญคิดขึ้นมาได้น่ะ ที่จริงผมก็คิดเรื่องนี้มาสักระยะแล้วแต่ก็ได้แต่ติดอยู่ในใจจนวันก่อนผมลองเอาภาพวันแต่งงานของพี่ออกมาดูเล่น” อาร์เลนว่าพลางเปิดพลิกดูแต่ละภาพไปเรื่อย ๆ “ดูตรงนี้สิ เห็นผู้ชายคนนี้ไหม? ที่พิงเสาอยู่” ปลายนิ้วชี้นำสายตาอังเดรไปยังชายหนุ่มรูปร่างเล็กคนหนึ่งซึ่งพิงเสาด้วยท่าทางสบาย ๆ ในมือถือแก้วซอฟท์ดริงค์ที่หมดไปครึ่งแก้ว แม้ว่าภาพจะเล็กและเจ้าตัวอยู่ไกลจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ท่าทางและองค์ประกอบหลายอย่างพาให้อนุมานว่าเป็นคนคนหนึ่งซึ่งพวกเขาต่างรู้จัก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 14-11-2013 14:19:47
   อาร์เลนพลิกเปลี่ยนหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง บางรูปจะพบผู้ชายคนเดียวกันนี้แทรกอยู่ไกล ๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวเพียรพยายามที่จะหลบเลี่ยงเลนส์กล้องและอยู่ห่างไกลจากคู่บ่าวสาว เป็นเรื่องที่น่าแปลกเพราะในงานอย่างนี้ไม่ว่าใครก็อยากจะเข้ามาอวยพรและให้มีใบหน้าตนเองติดอยู่บนรูปสักใบแทนการเป็นสักขีพยานว่าได้มาร่วมงานมงคลนี้แล้วครั้งหนึ่งในชีวิต

   ถ้าหากว่าไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานอย่างนี้ ทำไมจึงต้องฝืนใจมาร่วมด้วย?

   อังเดรสงสัยเช่นนั้นจนกระทั่งพลิกไปเจอภาพหนึ่งซึ่งคงไม่มีใครรู้ว่าติดภาพคนคนนั้นมาอย่างชัดเจนโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่เขาซึ่งบางทีก็หยิบมาพลิกดูก็ยังไม่สังเกตจนกระทั่งวันนี้

   ระหว่างเจ้าสาวและเจ้าบ่าวที่กำลังหยอกล้อกัน ไม่มีใครอื่นผ่านเข้ามาในเฟรมยกเว้นเพียงชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งเดินผ่านโดยไม่ได้เจตนาจะขัดขวางความสมบูรณ์แบบของภาพ เจ้าตัวกำลังจ้องมองไปทางหนึ่งและก้าวเดินอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพียงแต่เส้นทางที่กำลังก้าวนั้นคือเยื้องมาทางด้านหน้าของเจ้าบ่าวทำให้เห็นใบหน้าค่อนข้างชัดกว่าภาพอื่น ๆ

   ใบหน้าแบบนั้น...ดวงตาเรียวรีบ่งบอกถึงเชื้อชาติ รูปหน้ากลมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอเมริกัน และรูปร่างค่อนข้างเล็กดูบอบบาง ดูไม่ต่างจากตอนนี้แม้แต่น้อย

   “ซู?”

   “ถ้าไม่มีใครหน้าเหมือน ก็น่าจะใช่แหละครับ” อาร์เลนตอบพลางหันไปค้นของในกระเป๋าตนเองบ้าง ก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปเล่มเล็กออกมา “อันนี้พี่ลืมไว้ที่ห้องตอนย้ายออกมาอยู่กับมารีน แล้วผมก็ลืมไปเสียสนิท ตอนที่ผมเจอผมก็รู้สึกเลยว่าซูคงไม่ใช่แค่พี่เลี้ยงที่ถูกเจาะจงส่งมาดูแลเอเดรียนเท่านั้น” ว่าแล้ว อาร์เลนก็เปิดอัลบั้มเล่มเล็กในมือตนเอง เป็นภาพตอนสมัยที่อังเดรและมารีนกำลังทำความรู้จักกันและมักจะไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง ทำให้มีภาพถ่ายให้เก็บอยู่มากมาย

   เช่นเดียวกัน...

   ภาพของซูเล่ยปรากฏอยู่ห่าง ๆ หลายภาพ แม้จะเป็นส่วนน้อยจนไม่น่าจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่น่าจะใช่ความบังเอิญเช่นกัน

   ในภาพงานแต่งคงจะไม่น่าแปลกใจนัก เพราะหากอนุมานว่าซูเล่ยเป็นคนใกล้ชิดของฝั่งมารีนก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับความไว้วางใจมาคอยจับตาดูเขาไปพร้อม ๆ กับการดูแลเอเดรียน คงจะเป็นคนใกล้ชิดพอสมควร ถ้าไม่ใช่ญาติก็น่าจะมีความสัมพันธ์ลึก ๆ อื่น กระนั้นกลับทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ คล้ายไม่อยากมีส่วนร่วมกับการรวมตัวของครอบครัว ซ้ำมารีนก็ไม่เคยพูดถึงเจ้าตัวให้ฟังเลยสักครั้งแม้กระทั่งการเปรยถึง ทั้งที่พูดถึงญาติพี่น้องหลายคนทุกครั้งที่ดูรูปพวกนี้ด้วยกัน

   แต่ซูเล่ยกลับดูน่าสงสัยมากขึ้นเมื่อปรากฏบนภาพการเดทของพวกเขา

   สถานที่ก็ไม่ได้ซ้ำกัน ทำไมจึงพบคนคนเดิมที่มีความเกี่ยวพันลับ ๆ กับทางครอบครัวของมารีนอยู่หลายต่อหลายครั้ง

   “จะว่าไป พี่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยไม่ใช่หรือ?”

   นั่นสินะ...

   อาร์เลนทำให้เขาคิดขึ้นมาได้

   ในตอนแรกที่พบกัน ซูเล่ยก็มีเพียงชื่อกับจดหมายแนะนำตัวและคำยืนยันแกมบังคับของพ่อตาเท่านั้น และจนบัดนี้ผ่านมาได้เกือบสามเดือนแล้ว ซูเล่ยก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตนเองเลยสักครั้งเดียว

   เป็นใคร มาจากไหน แม้กระทั่งนามสกุลหรืออายุก็ยังไม่ปรากฏ

   ไม่สิ...เคยมีครั้งหนึ่ง...

   ซูเล่ยเล่านิทานที่แปลกประหลาดให้เอเดรียนฟัง นิทานซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเทพนิยายสำหรับเด็กเลยแม้สักน้อย กลับดูคล้ายจะเป็นชีวิตจริงเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ทันฟังเพียงช่วงท้าย ๆ จึงไม่อาจสรุปความได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวหมายถึงใครบ้าง หากจะถามเอเดรียน เด็กหญิงก็อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะเจ้าตัวไม่เคยมาเล่าต่อให้เขาฟังเลยสักครั้ง

   แต่จะอนุมานว่าเป็นเรื่องจริงของตัวซูเล่ยก็ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะมันอาจจะเป็นของคนใกล้ชิดเอามาผสมปนเปกับของตนเองก็มีความเป็นไปได้

   สุดท้ายแล้ว...ซูเล่ยเป็นใครกันแน่นะ?

   “พี่?”

   “หืม?”

   “ผมเห็นเงียบไปก็เลยสงสัยน่ะ หรือว่าผมจะคิดมากเกินไป?”

   อังเดรไม่รู้ว่าอาร์เลนคิดมากเกินไปหรือไม่ เพราะตัวเขาก็ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงใด ๆ เลยแม้แต่ข้อเดียว ถึงจะไปถามพ่อตาก็คงจะไม่ได้คำตอบ หรือควรจะเอารูปของซูเล่ยไปให้บาร์เทนเดอร์ที่บาร์นั้นดูสักครั้ง? ถ้าไม่รู้จักก็แล้วไป เขาจะได้มั่นใจว่าซูเล่ยกับลีไม่ใช่คนคนเดียวกัน

   แต่ถ้าเป็นคนคนเดียวกันล่ะ?

   นั่นแปลว่าชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของพ่อตามาตั้งแต่ก่อนจะได้พบกับมารีนอีกหรือ?

   จู่ ๆ อังเดรก็รู้สึกคล้ายหลอดลมตนเองถูกบางสิ่งบีบรัด งูสีดำมะเมื่อมตัวยาวกำลังขดรัดเข้ามาอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว

   “พ่อตาของพี่นี่คาดเดายากเหมือนเดิม” อาร์เลนเปรยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าพี่ชายเริ่มดูประหลาดตา แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ตัวอาร์เลนก็ไม่ได้มีโอกาสพบกับฝั่งพ่อตาของพี่ชายบ่อยนัก หากพูดจริง ๆ แล้ว พวกเขาก็ได้พบกันและสนทนากันเพียงสองหรือสามครั้ง หนึ่งในนั้นคืองานแต่งงานและเขาก็จำไม่ได้ว่าเป็นสถานการณ์ไหนอีกที่ได้คุยกับคนคนนั้น รู้เพียงแต่...ทุกครั้งที่พบกัน ผู้ชายคนนั้นมักให้ความรู้สึกกดดันประหนึ่งอยู่ต่อหน้ากำแพงสูงใหญ่ที่เงาทอดยาวลงมาบนร่าง และหลายครั้งอาร์เลนก็มักจะสงสัยว่าทำไมคนเข้มงวดแบบนั้นจึงยินยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับพี่ชายของตนได้ง่าย ๆ

   “นั่นสินะ ถามตรง ๆ คงไม่ยอมบอกความจริงแน่ บางทีอาจจะกลายเป็นว่าพวกเราคิดมากเกินไปเสียเอง” อังเดรกล่าวโดยที่อดคิดในใจไม่ได้ว่าตนเองอาจจะคิดมากเกินไปจริง ๆ ก็ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแม้แต่อย่างเดียว ซูเล่ยก็ทำหน้าที่เพียงดูแลเอเดรียน แทบจะไม่ได้ก้าวก่ายชีวิตของเขาเลย หากว่าหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ...เขาคงจะต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

--------------------------->

   ในขณะที่อังเดรมีข้อสงสัยมากมายในเรื่องของซูเล่ย ตัวซูเล่ยก็กำลังพบกับปัญหาที่แก้ไม่ตกและหาตำคอบไม่ได้เช่นกัน

   เพราะวันนี้ รถคันนั้นก็มาอีกแล้ว...ปรากฏตัวอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามในช่วงเย็น จอดนิ่ง และไม่มีใครลงมา เพียงแต่จอดอยู่ที่นั่นโดยที่มีคนขับนั่งอยู่ข้างใน

   “เกี่ยวกับที่นี่หรือเปล่านะ?” ซูเล่ยเปรยพร้อมมุ่นคิ้วขณะที่มองออกไปทางหน้าต่าง

   “ซูจะตัดหญ้าเหรอ?” เพราะเมื่อวานนี้ซูเล่ยมองอย่างนี้และพูดถึงเรื่องต้นหญ้าในสนาม เอเดรียนจึงมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ตัวซูเล่ยคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองเอ่ยอ้างออกไปลอย ๆ กระนั้นเมื่อมองหญ้าในสนามมันก็ควรจะตัดได้แล้วจริง ๆ แต่เมื่อคิดดูแล้ว...เรื่องนี้น่าจะใช้เป็นข้ออ้างได้ด้วยสินะ...เพื่อที่จะออกไปมองให้ชัด ๆ

   “เอเดรียนเป็นเด็กดีรออยู่ในบ้านระหว่างที่พี่ออกไปจัดการหญ้าข้างหน้าบ้านได้ไหม?”

   “อื้อ แต่ว่าต้องไปยืมข้าง ๆ บ้านนะ” เอเดรียนรู้ว่าบ้านตัวเองไม่มีเครื่องตัดหญ้า ทุกครั้งที่พ่อจะตัดหฯในสนามก็มักจะไปขอยืมเพื่อนบ้านตลอด ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีไม่ใช่น้อย ยินยอมให้หยิบยืมหลายต่อหลายอย่างเพราะบ้านข้าง ๆ มีบริเวณค่อนข้างกว้างทำให้ต้องมีของใช้หลายอย่างที่จำเป็นเก็บไว้

   ซูเล่ยจัดแจงให้เอเดรียนนั่งเล่นในห้องและเปิดเพลงคลอให้ด้วย ก่อนรีบเดินออกไปหยิบยืมเครื่องตัดหญ้าจากเพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อเขาไปถึง ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านดูจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยเพราะยังไม่คุ้นหน้า แต่เมื่อแนะนำว่าเป็นพี่เลี้ยงของเอเดรียน เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างแล้วพาไปเอาเครื่องตัดหญ้าจากสนามหลังบ้านทันที ซึ่งระหว่างนั้น ซูเล่ยก็เหลือบมองรถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไปด้วย

   และมันช่างน่าขนลุกเป็นที่สุด...เมื่อเขารู้สึกว่าคนในรถหันมองตามเขาจนกระทั่งลับตา

   ชั่วแวบหนึ่งที่ซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในฉากเริ่มของซีรียส์สืบสวนสอบสวนแบบที่ชาวอเมริกันนิยมชมชอบ

   แม้จนกระทั่งขณะตัดหญ้า สายตาก็ยังทิ่มแทงอยู่บนร่างของเขา มันเป็นการอุปทานหรือเป็นความจริง เขาก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด รู้เพียงแต่ว่า...รถคันนั้นจอดนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดช่วงเย็นจนกระทั่งถึงช่วงค่ำ แม้เวลาที่เขากลับเข้ามาทำครัวมันก็ยังอยู่ตรงนั้นโดยมีเงาคนขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่หลังบานหน้าต่างที่ติดฟิล์มกรองแสงที่แม้จะไม่ได้ถึงกับมืดทึบแต่ก็มากพอจะทำให้คนภายนอกมองเห็นได้แค่เพียงราง ๆ

   ถึงจะเป็นเวลาเพียงสองวันที่ได้พบเห็นการถูกติดตาม แต่ก็ทำให้ใจซูเล่ยไม่สงบเอาเสียเลย เมื่อกอปรกับงานที่ถูกมอบหมายให้จับตาดูเรื่องรอบ ๆ ตัวอังเดรอย่าให้คลาดแม้สักเรื่องเดียว ทำให้เขาตื่นตัวกับเรื่องผิดแปลกได้ง่ายกว่าปกติหลายเท่า

   เสียงเปิดประตูหน้าบ้านในตอนค่ำ ทำให้ชายหนุ่มผู้หวาดระแวงมาตลอดทั้งเย็นสะดุ้งเฮือกจนเผลอทำจานหลุดมือตกแตกกระจาย โชคยังดีที่เป็นแค่จานเปล่าแต่ก็ทำให้ทั้งเอเดรียนและอังเดรต่างตกอกตกใจเพราะเสียงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

   “เกิดอะไรขึ้น?” เสียงที่ดังไปถึงประตูบ้านทำให้อังเดรต้องรีบเข้ามาดูในครัวและเห็นซูเล่ยกำลังก้มลงเก็บเศษแก้วด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ

   “อย่าเพิ่งเดินเข้ามาสิครับ ไม่เห็นหรือยังไงว่าเศษแก้วเกลื่อนพื้นขนาดนี้” ซูเล่ยรีบยกมือขึ้นห้ามเมื่อเงยขึ้นไปเห็นคนทั้งสองกำลังจะเดินเข้ามา อังเดรจึงเพิ่งนึกได้และดันเอเดรียนไปด้านหลังพร้อมบอกให้เด็กหญิงไปรอในห้องนั่งเล่นส่วนตนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช่วยเก็บ

   “ไม่อะไรไป ปกติไม่เคยพลาดแบบนี้นี่?”

   คำพูดของอังเดรพาให้ซูเล่ยต้องเหลือบตาขึ้นมองและคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหรือไม่ ถึงอย่างนั้นบางส่วนในใจก็กระซิบว่าตนเองอาจจะคิดมากไปเอง หรือไม่...อังเดรก็อาจคิดเช่นนั้น และเขาก็ไม่อยากจะดูเป็นตัวตลกที่ตื่นตระหนกง่ายในสายตาใคร

   “ผมก็ต้องมีผิดมีพลาดบ้างสิ ใครจะไปสมบูรณ์แบบได้ทุกเวลา” ซูเล่ยตัดสินใจที่จะเงียบไว้และดูสถานการณ์ต่อไป บางที...เขาอาจจะหาทางจัดการมันได้ หรือไม่มันก็คงจะหายไปเอง อย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเขา บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับอังเดรเสียมากกว่า

   แต่ตัวซูเล่ยเองก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าอังเดรไปทำอะไรให้ใครอยากตามจับตาอีกนอกเสียจากพ่อตาตัวเอง
   ระหว่างที่คิดไป เขาก็หันไปหยิบผ้ามารองเศษแก้วเพราะหากระดาษแถวนั้นไม่ได้

   “เดี๋ยวก่อน” อังเดรว่าก่อนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและหยิบกระดาษเปล่ามาแผ่นหนึ่ง “รองนี่ดีกว่า เดี๋ยวมันติดผ้าแล้วจะบาดเอา”

   “...อืม...” ถูกเป็นห่วงเอาแบบนี้ซูเล่ยถึงกับวางตัวไม่ถูกเลยทีเดียว คงเพราะชีวิตในช่วงหลังของเขาไม่ค่อยจะมีช่วงเวลาที่ถูกห่วงใยเท่าไหร่กระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...จากอังเดรยิ่งยากจะเป็นไปได้

   หลังกอบเอาเศษแก้วใส่แผ่นกระดาษหมดแล้ว อังเดรก็ใส่ถุงแยกแล้วค่อยทิ้งลงถังขยะเพื่อป้องกันไม่ให้เศษแก้วตกกระจายหลังจากเก็บทิ้งแล้ว

   “จะว่าไป...รถที่จอดฝั่งตรงข้ามนั่นของใครกันนะ?” จู่ ๆ อังเดรก็ถามเปรยขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ซูเล่ยจึงมองออกไปข้างนอกและพบว่ามันกำลังเคลื่อนตัวออกไปราวกับรู้ว่าพวกเขารู้ตัวแล้วอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้ซูเล่ยขนลุกยิ่งกว่าเดิม

   “...ไม่รู้สิครับ ของเพื่อนบ้านหรือเปล่า?” เจ้าตัวลองตะล่อมถาม

   “ไม่แน่ใจเหมือนกัน คิดว่าไม่เคยเห็นนะ แต่ถ้ามีคนถอยรถใหม่ก็อาจจะใช่” ดูเหมือนอังเดรจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเมื่อวานนี้ก็ไม่ทันจะได้สังเกตการณ์ปรากฏตัวของรถเจ้าปัญหา

   สุดท้ายจึงมีเพียงซูเล่ยที่ดูปริวิตกไปเองอยู่คนเดียว เจ้าตัวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

   “แต่...ฉันมีเรื่องจะถามเธอหน่อย”

   “...อะไรหรือครับ?” แต่แล้ว สิ่งที่น่าปริวิตกมากกว่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าโดยคนใกล้ตัว

   อังเดรเงียบไปสักครู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่าจะลำดับคำถามใดขึ้นมาก่อน

   “เธอ...รู้จักกันกับมารีนดีหรือเปล่า?”

   “ก็ไม่เชิง ที่จริงแล้วพวกเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะรำลึกความหลังผ่านทางผมเห็นจะเลือกผิดคน” ซูเล่ยกลอกตาและโบกมือด้วยสีหน้าหน่ายใจ ความจริงแล้ว...เขาคงจะผิดหวังอยู่เล็กน้อยที่แม้กระทั่งตอนนี้ อังเดรก็ยังคงพยายามที่จะระลึกถึงคู่ชีวิตซึ่งได้อยู่ร่วมกันเพียงสี่ปีของชีวิต เมื่อรวมกับช่วงที่ทำความรู้จักกันก็จะเป็นห้าปีขาดเกินนิดหน่อย พอนับอย่างนี้แล้ว...มันก็สมควรอยู่ที่อังเดรจะยังอยากพูดถึงมารีนแม้เธอจะจากไปโดยไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว

   แต่มารีนในความทรงจำของซูเล่ยไม่คล้ายมารีนในความทรงจำของอังเดรนัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองไม่พูดถึงอีกฝ่ายเสียจะดีกว่า

   “งั้นหรือ? แล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหนล่ะ?”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วนึกสงสัยความหมายของคำถาม

   “เรียกว่าไม่มีน่าจะถูกกว่า” ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับความจริง แต่ก็ไม่ห่างจากความจริงมากนัก และซูเล่ยก็คิดว่ามันเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ดีแล้ว “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์อังเดร” เพราะไม่อยากถูกถามซักไซ้อะไรอีก ในที่สุดจึงปลีกตัวโดยใช้เอเดรียนเป็นข้ออ้าง ทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัยได้ในคืนนี้ ทว่า...วันต่อ ๆ ไปล่ะ?

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 14-11-2013 18:07:29
มีถึงเนื้อถึงตัวกันนิดส์หน่อยแล้วก็วกเข้าบรรยากาศอึมครึม
แต่ซูเองก็ความลับเยอะจริงๆอะ
ทำไมลางสังหรณ์บอกว่ามารีนไม่ใช่คนดีเท่าไหร่

โหปมเยอะมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 14-11-2013 18:30:32
ติดตามอ่านค่ะ

สงสารซูจังเลย พ่อตาก็คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แล้วใครกันที่ตามมาแอบดูซู อยากรู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ :katai1:

ขอร้องล่ะ อย่าดราม่าเลยนะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-11-2013 21:29:55
ครึครึ
เขาเริ่มจะอะไรๆกันบ้างแล้วสินะ
ว่าแต่ไอรถเจ้าปัยหานั้นเป็นครกันน่ะ
ขอบคุณพี่เซียร์ที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-11-2013 22:14:38
ยิ่งอ่านนิ่งอยากรู้ว่าซูเกี่ยวข้องกับพ่อตายังไง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-11-2013 13:08:59
-9-

   วันคริสต์มาสอีฟใกล้เข้ามาอย่างไม่ทันได้รู้ตัว และซูเล่ยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้นึกสนใจเลยจนกระทั่งเอเดรียนพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง

   “ซู แต่งต้นคริสต์มาสกัน”

   “ต้นคริสต์มาส?” นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ซูเล่ยหันมองปฏิทินที่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือก่อนจะนึกได้ว่าตนเคยเห็นต้นคริสต์มาสปลอมตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งของบ้านหลังนี้ เอเดรียนเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับวันคริสต์มาสในปีที่ผ่านมา ได้ความว่าทั้งมารีนและอังเดรจะช่วยกันตกแต่งต้นคริสต์มาสก่อนวันคริสต์มาสอีฟ จากนั้นในคืนวันที่ 24 ซานตาครอสก็จะเอาของขวัญมาวางไว้ให้ แน่นอนว่าของขวัญเหล่านั้นต้องเป็นฝีมือของอังเดรและมารีนที่พยายามจะพิทักษ์ความสุขอันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของลูกสาว

   และเพราะถูกคะยั้นคะยอ ซูเล่ยจึงต้องลองเดินไปดูที่โรงรถซึ่งใช้เป็นห้องเก็บของไปในตัว มันไม่ค่อยจะมีข้าวของอยู่มากนัก มองหาอยู่สักพักจึงพบต้นคริสต์มาสฝุ่นจับถูกตั้งไว้ในมุมหนึ่ง

   ถึงอย่างนั้นการลากต้นคริสต์มาสออกมาก็ทำให้เขารู้สึกประสาทเสีย ไม่ใช่เพราะความหนักและเกะกะของมัน แต่การที่เขาต้องกระทำบางสิ่งบางอย่างต่อหน้าคนอื่นที่เขาไม่รู้จักต่างหาก...

   ใช่แล้ว...รถคันนั้นยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนทุกเย็นอย่างสม่ำเสมอจนคล้ายเป็นกิจวัตร

   มันอะไรกันนักกันหนา?

   หลังจากจัดการตั้งต้นคริสต์มาสไว้มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นแล้ว ซูเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปที่ประตูบ้านและมองออกไปข้างนอกผ่านกระจกรูปร่างยาวที่ติดอยู่ข้างบานประตู รถสีเทาและเป็นยี่ห้อที่พบเห็นได้ทั่วไป ดูไม่ได้มีจุดเด่นอะไรเลย คงเพราะอย่างนั้นกระมังจึงไม่น่าแปลกหากมันจะจอดนิ่งอยู่ที่ใดนาน ๆ ทว่าสำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกขนลุกเสียจนผะอืดผะอม

   เขาต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว...

   เพราะซูเล่ยไม่อาจทนกับสถานการณ์คลุมเครือได้อีกต่อไป กอปรกับไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งได้ดูหนังแนวฆาตกรรมไปสด ๆ ร้อน ๆ จึงยิ่งร้อนอกร้อนใจจนต้องตัดสินใจสำรวจดูให้รู้แน่ก่อนจะเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเหมือนอย่างในหนังที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

   “เอเดรียน เอาของพวกนี้ไปประดับต้นคริสต์มาสก่อนนะ” ชายหนุ่มส่งถุงใส่ของประดับให้เด็กหญิงและเดินเข้าไปหยิบมีดหั่นเนื้อที่เพิ่งลับเมื่อเช้ามาจากในครัว

   เขาซ่อนมันไว้ข้างหลังและเปิดประตูบ้านออกมา เงาคนในรถไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว เหมือนกับว่ากำลังชั่งใจมองปฏิกิริยาของเป้าหมาย

   ซูเล่ยก้าวออกมาจนถึงทางเท้าหน้าบ้าน แค่ข้ามถนนไปเท่านั้นก็จะได้พบกับเจ้าของปัญหา แต่เขากลับหยุดยืนชั่วครู่หนึ่งด้วยความไม่แน่ใจ กระนั้นมันก็เป็นเพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะถอนหายใจและก้าวลงไปยังถนนสองเลน และทันใดนั้นเองที่รถสีเทาคันนั้นสตาร์ทเครื่องก่อนรีบร้อนขับออกไปโดยที่ซูเล่ยยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้มากกว่านั้น ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นโครงร่างของคนข้างในชัดขึ้นแล้วแท้ ๆ

   คำถามที่อยู่ในใจยังไม่ได้รับการแถลงไข คนในรถเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร และต้องการอะไรจากบ้านหลังนี้? คำตอบของคำถามทั้งหมดได้ปลิวหายไปพร้อมการลาจากของรถปริศนาซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นไปอีกระยะหนึ่ง ทว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ซูเล่ยคาดการณ์ไม่ได้ เขาจึงมักจะมองออกไปข้างนอกด้วยความระแวงทุกครั้งที่เข้าใกล้หน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะล้างจาน

--------------------->

   อังเดรกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมในห้องนั่งเล่นอย่างทันที นั่นคือต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับตกแต่งไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนอื่น ๆ ยังคงกองอยู่บนพื้นโดยเอเดรียนกำลังวิ่งไล่เก็บลูกบอลสำหรับตกแต่งลูกหนึ่งที่กลิ้งหนีไปอีกทาง

   “ปีนี้กลัวซานตาครอสมาช้าหรือเอเดรียน?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงขำขันเด็กหญิงที่ตั้งอกตั้งใจกับการไล่จับลูกบอลจนไม่ได้รู้เลยว่าพ่อของตนกลับมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียง เอเดรียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างทันควันและวิ่งโดดเข้าใส่พ่อเหมือนเช่นทุกวัน

   “ซูเอาต้นคริสต์มาสมาให้” มือเล็ก ๆ วาดไปมาบนอากาศแสดงถึงความพออกพอใจ

   “แต่อาทิตย์หน้าถึงจะคริสต์มาสอีฟนะเอเดรียน”

   “ใกล้แล้ว” คำว่าอาทิตย์หน้าไม่มีผลต่อเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องเวลา สำหรับเด็กวัยเท่านี้ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่สำคัญ ด้วยเหตุนั้นเมื่อเอเดรียนมองปฏิทินเห็นว่าใกล้วันที่ 24 เข้าไปทุกทีก็สำคัญว่าอีกไม่นานดังนั้นจึงควรทำในตอนที่คิดได้ อุปนิสัยข้อนี้ของเด็ก ๆ ทำให้ผู้ใหญ่อย่างอังเดรรู้สึกอิจฉาอยู่นิด ๆ พอถึงวัยอย่างเขา วันเหล่านี้มักจะไร้ความหมายเพราะมักจะมองออกไปไกลเกินกว่าจะเห็นสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัว บางทียังลืมกระทั่งวันเกิดของตัวเอง พอเลยไปแล้วจึงเพิ่งนึกได้ก็มี

   แต่อย่างไรคำว่า ใกล้แล้ว ก็ยังไม่ใช่ ถึงวันแล้ว อังเดรจึงดึงความสนใจเอเดรียนจากต้นคริสต์มาสไปยังอาหารเย็นของวันนั้นซึ่งในเวลานี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าวันคริสต์มาสในอาทิตย์หน้าหลายเท่า

   หลังจากนั่งคุยกันหลังมื้ออาหาร ซูเล่ยที่จัดเก็บของในครัวเรียบร้อยก็พาเอเดรียนขึ้นนอน แต่แทนที่เจ้าตัวจะหลบหน้าขึ้นนอนเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มา กลับลงมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งเพื่อแต่งต้นคริสต์มาสต่อ

   ซูเล่ยทำเป็นไม่สนใจอังเดรที่นั่งมองจากโซฟา และจับเครื่องตกแต่งขึ้นแขวนบนกิ่งพลาสติกที่รกไปด้วยใบปลอมสีเขียวซึ่งทิ่มแทงผ่านเสื้อให้คันยิบ ๆ เป็นระยะ

   ด้วยความสูงของต้นคริสต์มาสปลอมไม่ได้เป็นอุปสรรคกับตัวซูเล่ยนัก แค่เขย่งนิดหน่อยก็สามารถติดได้ถึงยอดแล้ว แต่พวกใบไม้และกิ่งก้านที่แสนเกะกะก็ยังเป็นตัวขัดขวางชั้นเยี่ยมทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วเมื่อพยายามจะนำดาวแห่งเดวิดขึ้นไปติดบนยอด แต่เมื่อมือของเขาเอื้อมใกล้จะถึงแล้วนั่นเอง ฝ่ามือใหญ่กลับเอื้อมมาจับและดึงออกไปอย่างง่ายดาย

   “นี่ไว้ให้เอเดรียนติดเองดีกว่า ส่วนที่เหลือก็ทิ้งไว้ก่อนก็ได้” เสียงของอังเดรกระซิบอยู่ข้างหูทำให้ซูเล่ยเผลอเกร็งตัวเพราะอนุมานได้ว่าร่างกายอีกฝ่ายกำลังแนบอยู่บนแผ่นหลัง

   “ก็แต่งให้เสร็จไปเลยไม่ดีกว่าหรือครับ?” เจ้าตัวถามโดยไม่ได้หันไปมองและคิดในใจว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจึงจะถอยออกไป แต่ก็ราวกับอังเดรอ่านใจได้ ชายหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งเสมือนจงใจกลั่นแกล้งและเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเสียหลักล้มใส่ต้นคริสต์มาสก็ช่วยพยุงไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวก่อนจะอธิบาย

   “ปกติแล้วการแต่งต้นคริสต์มาสเป็นกิจกรรมของครอบครัว พูดง่าย ๆ คือพ่อแม่ลูกจะช่วยกันตกแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเด็ก ๆ จะมองต้นไม้ที่ประดับตกแต่งเสร็จแล้วด้วยความภาคภูมิใจถึงแม้ว่าในวันต่อมาพวกเขาจะหลงลืมความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไปก็ตาม แต่ในปีต่อมาพวกเขาก็จะนึกถึงมันได้”

   ผู้ฟังมุ่นคิ้ว ตัวซูเล่ยไม่เข้าใจความรู้สึกและเหตุผลเหล่านั้นแม้แต่น้อยเพราะในวัยเด็กเขาไม่เคยมีส่วนร่วมกับเทศกาลแบบนี้เลยสักครั้ง และเมื่อโตขึ้น เขาก็ยังคงรู้สึกว่าเทศกาลนี้เป็นเพียงข้ออ้างเวลาที่ผู้คนจะให้หรือรับสิ่งดี ๆ จากกันและกันเหมือนอย่างปีใหม่ หรือวาเลนไทน์

   แต่ในเมื่อเจ้าบ้านว่าอย่างนั้น เขาจะขัดอะไรได้

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะเตรียมของไว้ให้พวกคุณก็แล้วกัน” ซูเล่ยโคลงศีรษะและขยับตัวออกจากต้นไม้จำลอง อังเดรจึงก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายมีพื้นที่ทรงตัวบ้างแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เดินหนีไปเฉย ๆ เพราะเมื่อได้ยินคำพูดเหมือนว่าไม่ใช่ธุระของตนเอง อังเดรก็เริ่มเสริมขึ้นมาทันที

   “เธอก็ต้องช่วยด้วย”

   ...หา?

   “แต่คุณว่าเป็นกิจกรรมครอบครัว...”

   “ตอนนี้เธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้วไม่ใช่หรือ?”

   แม้จะเป็นประโยคพื้น ๆ ที่ดูไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร แต่มันกลับทำให้เกิดแรงสั่นระรัวขึ้นในอก สูบฉีดเม็ดเลือดจนอุ่นวาบถึงปลายนิ้วมือ ตอนนั้นเองที่ซูเล่ยคิดว่าตนเองโชคดีที่หันหลังอยู่ อังเดรจึงไม่เห็นสีหน้าของเขาที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะตอบโต้กันอย่างไรอีก จึงเกิดช่องว่างของเสียงขึ้นเป็นระยะเวลาหลายนาที

   และมันคงจะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ หากว่าอังเดรไม่โน้มใบหน้าลงทำให้ลมหายใจเป่ารดบนหลังคอขาวจนซูเล่ยเผลอสะดุ้งตะปบหลังคอตนเองและเอี้ยวหน้ามองคนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าตกใจเล็ก ๆ

   “...อะไรหรือครับ?” เพราะเห็นสายตาที่จ้องมองอย่างพิจารณา ซูเล่ยจึงอดไม่ได้ที่จะถามกลับไปเพื่อทำลายบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วน

   “เปล่า...แค่กำลังคิดว่ามันพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ” คำพูดคลุมเครือกำกวมดูไม่ใช่คำตอบที่ช่วยให้กระจ่างมากนัก แต่ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ อังเดรก็ถือโอกาสจับบ่าคนตัวเล็กกว่าให้หันมาเผชิญหน้าตรง ๆ โดยไม่ขออนุญาตแม้สักคำเดียวก่อนจะเลื่อนมือลงสำรวจบริเวณเอวและชายโครง การกระทำที่ไม่มีคำอธิบายและไม่มีสาเหตุทำให้ซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งถูกลวนลามหรือไม่ก็เป็นการประเมินสินค้าซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ทว่าพอคิดจะดึงตัวออกจากการสำรวจอันอุกอาจ ก็กลับถูกดึงกลับเข้าไปจนประชิดแผงอกก่อนที่ลำแขนแข็งแรงจะโอบรัดเอวส่วนอีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาบนแผ่นหลัง ด้วยการกระทำทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีที่ไร้คำพูดก็พาให้คิดลึกไปไกลเสียจนความกระดากอายและความคิดถูกแสดงออกมาหมดสิ้นบนใบหน้า

   “ค...คุณคิดจะทำอะไรกันน่ะ!” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ซูเล่ยแสดงอาการตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ออกมาทางน้ำเสียงและสีหน้า เขาผลักอีกฝ่ายออกอย่างแรงแต่เพราะหลักไม่ดีนักจึงเป็นฝ่ายถลาถอยหลังเสียเอง กระนั้นก็ต้องขอบคุณที่อังเดรไม่ได้ปล่อยมือ พวกเขาจึงยังคงอยู่ในท่วงท่าที่ล่อแหลมถึงขนาดที่ว่าหากใครเดินผ่านเข้ามาคงไม่อาจคิดเป็นอื่นได้

   ชายหนุ่มร่างเล็กที่ตกอยู่ในอ้อมกอดทั้งตัวเหลือบตาขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามและพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อรวบรวมสติพลางเตือนตนเองว่าอย่าตื่นตกใจไป

   ใช่...แค่ทำตัวเหมือนปกติ แค่ถามคำถามสองแง่สามง่ามที่ทำให้ผู้ดีอย่างอังเดรทนฟังไม่ได้เหมือนช่วงแรกที่พบกัน...

   “คุณกำลังคิดลึกอะไรกับผมอยู่หรือเปล่า?” ซูเล่ยฝืนบิดรอยยิ้มที่ดูแปลกตาขณะถามก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไปจากใบหน้าในวินาทีต่อมา

   “ก็อาจจะใช่”

   คำตอบสั้น ๆ แต่ก็เป็นเหมือนการดักทางไปในตัวทำให้ซูเล่ยรู้สึกผิดแผนอย่างแรงจนสมองตื้อตันไปชั่วขณะ ซึ่งระหว่างนั้นเองที่อังเดรฉวยโอกาสพูดต่อ

   “เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าฉันเองไม่ได้รังเกียจผู้ชาย จะว่าคาดเดาเก่งหรืออะไรก็ตามแต่มันก็อาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง” สีหน้าท่าทางของอังเดรตอนที่พูดอย่างนั้นดูกึ่งจริงจังกึ่งไม่ใส่ใจทำให้ซูเล่ยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารอะไรจากประโยคนี้ “ยังไงเธอเองก็จ้องจะยั่วฉันมาตั้งแต่แรก ถ้าฉันจะขอทดลองอะไรให้แน่ใจสักหน่อยคงไม่มีปัญหาจริงไหม?”

   ทดลอง?

   ทดลองอะไรกัน? ทดลองว่าชอบผู้ชายหรือเปล่าน่ะหรือ?

   ถ้าจะให้เดาด้วยประโยคคำพูดและการกระทำทั้งหมด อย่างไรก็เดาได้เพียงเท่านี้ แต่ซูเล่ยก็ยังไม่เข้าใจว่าทดลองไปแล้วจะได้อะไร เพราะตัวเขารู้อยู่แก่ใจว่าอังเดรมีรสนิยมอย่างไร เจ้าตัวเองก็น่าจะรู้เหมือนกัน หรือเพราะผ่านมาถึงห้าปีแล้วจึงอยากจะทำให้แน่ใจ?

   หากเขาปฏิเสธ...คงมีแต่จะโดนรุกเร้ามากกว่าเดิมเพราะความสงสัยแน่

   “แล้วจะทดลองยังไงล่ะครับ?”

   “อยู่เฉย ๆ ก็พอ โอเคไหม?”

   ซูเล่ยถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะยืนนิ่งตามคำขอ ฝ่ามือใหญ่จับที่ต้นแขนทั้งสองข้างอย่างมั่นคง สำหรับเขาแล้ว มันออกจะแน่นเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าจงใจล็อกเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีอย่างไรอย่างนั้น

   ทั้งร่างถูกดึงเล็กน้อยด้วยแรงจากมือทั้งสองที่จับอยู่บนแขน เมื่อซูเล่ยเลื่อนสายตาขึ้นมองก็เห็นดวงตาสีอ่อนคู่สวยจ้องกลับมาจนเขาเผลอหลบตาเสียเอง

   ลมหายใจอุ่นรดแผ่วบนปลายจมูกก่อนที่ริมฝีปากจะประกบเข้าหาอย่างช้า ๆ ทว่าไม่มีความโลเลผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย ในตอนแรกซูเล่ยก็นึกขัดขืนและอยากจะให้มันจบลงโดยไว แต่เมื่อถูกกระชับอ้อนแขนเข้าจนแนบชิดทั้งร่างรวมถึงลมหายใจที่ถูกดูดกลืนจนเริ่มผสานเป็นหนึ่ง ความคิดเมื่อครู่ก็เตลิดล่องลอยไปในทันที ดวงตาเรียวเล็กปรือปิดลงเพราะไม่อาจทานทนต่อแรงยั่วยวนอันหอมหวาน เรียวลิ้นอุ่นกวาดซอนลิ้มรสชาติอันลึกล้ำพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่เคลื่อนไปบนแผ่นหลัง

   ในหัวของเขาพลันคิดถึงภาพฟลอร์เต้นรำกลางห้องที่ผนังบุด้วยกระจกเงา เสียงเพลงพลิ้วคลอขับกล่อมให้สติล่องลอย ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตนเองและอีกฝ่ายที่ชัดเจน นอกจากนั้นเป็นเพียงภาพอันลางเลือนไม่แจ่มชัดราวกับอยู่แสนไกล

   ในขณะที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางบทเพลงแสนหวาน แสงสว่างก็พลันวาบเข้ามาเรียกสติให้กลับคืนเมื่อรสจูบถูกถอนออก และเขารู้สึกถึงปลายนิ้วที่ไล้ไปบนแก้มแต่กลับไม่สามารถขืนตัวหนีได้ด้วยถูกตรึงเอาไว้โดยสายตาที่จับจ้องบนใบหน้าของตนเอง

   ซูเล่ยเริ่มหายใจด้วยตัวเองอีกครั้งและหลุบตาลงเพราะไม่รู้ว่าควรจะมองไปยังจุดไหนถึงจะสามารถปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจตนเองจนถึงเมื่อครู่นี้ได้

   “ราตรีสวัสดิ์ ซู” แต่แล้วคนตัดบทกลับเป็นอังเดร ชายหนุ่มร่างสูงผละออกอย่างเรียบง่ายและไม่มีคำอำลาอื่นใดนอกจากคำทักทายสั้น ๆ ตามมารยาท ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากชีวิตประจำวันอันแสนปกติเลยแม้สักนิด ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซูเล่ยเจ็บแปลบขึ้นมาในอกเมื่อสำนึกว่าตนเองเป็นเพียงของทดลองของอีกฝ่ายจริง ๆ และไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น ทั้งที่ควรจะดีใจที่อังเดรยังคงวางระยะห่างอย่างเหมาะสมเช่นเดิม ซึ่งจะทำให้งานที่ได้รับมอบหมายสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ทว่าในส่วนลึกของเขากลับปรารถนาที่จะได้รับการเหลียวแลเยี่ยงคนสำคัญอีกครั้ง

------------------------>
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-11-2013 13:10:25
   เมื่อถึงวันที่ 24 โรงเรียนต่าง ๆ ก็เข้าสู่ช่วงคริสต์มาสเบรกจนกว่าจะถึงหลังเทศกาลปีใหม่ ทำให้อังเดรมีเวลาอยู่บ้านในช่วงกลางวันเพื่อช่วยเอเดรียนตกแต่งต้นคริสต์มาส

   เอเดรียนได้รับเกียรติเป็นผู้ประดับดาวแห่งเดวิดซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่ต้นคริสต์มาสจะสมบูรณ์แบบ วันนี้อังเดรงดสอนในช่วงเย็นเพราะทุก ๆ คนต่างก็อยากจะใช้เวลากับครอบครัวในคืนคริสต์มาสอีฟ และเมื่อทุกอย่างครบครันสมบูรณ์แล้ว อังเดรก็เสียบปลั๊กไฟทำให้ต้นคริสต์มาสสว่างไสวเต็มไปด้วยสีสันจากหลอดไฟเล็ก ๆ จำนวนมาก

   เด็กหญิงปรบมืออย่างดีอกดีใจที่ผลงานตนเองออกมาดูดีตามที่คิดไว้

   “จริงสิ วันนี้จะมีแขกมากินมื้อค่ำกับเรานะเอเดรียน” นี่เป็นสิ่งที่อังเดรบอกซูเล่ยไว้ตั้งแต่เช้าเพื่อให้เตรียมอาหาร แต่เอเดรียนยังไม่รู้เพราะชายหนุ่มตั้งใจจะเซอร์ไพรซ์ลูกสาว เนื่องจากการที่มีคนมาเยือนในวันคริสต์มาสอีฟ ย่อมหมายถึงจำนวนกล่องของขวัญที่มากขึ้น และเป็นดังคาด เอเดรียนยินดีจนออกนอกหน้าพร้อมทั้งมองไปยังโคนต้นไม้ด้วยดวงตาเป็นประกายด้วยความหวังว่าคืนนี้ซานตาครอสก็จะมาเช่นกัน

   เสียงออดดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ซูเล่ยเดินไปเปิดประตูรับและพบว่าแขกที่มาร่วมเลี้ยงฉลองมีอาร์เลนและยูล่าสองคน เห็นจะจริงที่ว่าอังเดรไม่มีญาติสนิทอยู่ในเมืองนี้...

   “ต้นคริสต์มาสสวยจังเลยนะคะ” ยูล่าออกปากชื่นชมเพื่อเอาใจเอเดรียนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเธอมาพักใหญ่แล้ว กล่องของขวัญกล่องใหญ่ในมือก็นำมาเพื่อเป็นบรรณาการเด็กหญิงคนนี้เช่นกัน

   “เอเดรียนทำ” ผู้ถูกชมยืดอกอย่างภูมิใจและเดินไปจับมือซูเล่ยกับอังเดร “แดดดี้กับซูช่วยทำด้วย”

   “ไหน เอเดรียนทำตรงไหนบ้าง?” อาร์เลนเข้าไปคุยเล่นกับหลานและอุ้มให้ชี้ตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพื่อเปิดโอกาสให้อังเดรได้คุยกับยูล่า ส่วนซูเล่ยก็คล้ายจะรู้จุดยืนของตนเองจึงเดินเข้าครัวไปเพื่อจัดโต๊ะอาหารสำหรับคืนพิเศษคืนนี้พลางเงี่ยหูฟังเสียงจากอีกฝั่งของผนัง

   “ดูเหมือนเอเดรียนจะไม่ชอบฉันเสียแล้วนะคะ” เสียงของยูล่านำมาก่อนเป็นการเปิดบทสนทนา ซึ่งมันเต็มไปด้วยการตัดพ้อและผิดหวัง “คราวก่อนกระทั่งอาหารที่ฉันทำก็ไม่ยอมกิน กลับเรียกร้องของคุณซู ทำเอาฉันเสียความมั่นใจไปเลย” ซูเล่ยไม่นึกว่าตนเองจะถูกรวมเข้าไปในหัวข้อด้วยจึงยิ่งพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจมากขึ้น แต่มือก็ยังจัดจานไปอย่างช้า ๆ

   “อาจจะเป็นช่วงต่อต้านก็ได้ ผมลองคุยกับคนที่เลี้ยงเด็กมาก่อน เขาก็บอกว่าเด็กจะมีช่วงที่ติดผู้ใหญ่เพศตรงข้ามกับตัวเองทำให้ไม่ชอบคนเพศเดียวกันที่เข้ามาใกล้”

   หมายถึงโอดิปุสคอมเพล็กซ์ หรืออิเล็กตราคอมเพล็กซ์สินะ...

   ซูเล่ยคิดถึงคำศัพท์เฉพาะที่ไม่น่าจะคุ้นหูคนส่วนใหญ่ขึ้นมาได้ ตัวเขาเองก็ได้ยินจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแต่เพราะเป็นชื่อที่เกี่ยวกันกับตำนานกรีกจึงสามารถจดจำได้ง่ายกว่าคำศัพท์หลาย ๆ คำที่มีความหมายจดจำได้ยากกว่า

   จะว่าไป...เอเดรียนก็คงถึงวัยที่จะมีเรื่องแบบนี้แล้วกระมัง

   “แบบนี้ฉันคงต้องง้อแกอีกนานเลยสินะคะ” ดูเหมือนยูล่าจะท้อใจขึ้นมาแล้ว น้ำเสียงของเธอจึงไม่มั่นคงอย่างเคย

   “บางที...อีกไม่นานก็คงจะเป็นเหมือนเดิมล่ะมั้งครับ” อังเดรเองก็ไม่ได้มั่นใจมากนักกับสิ่งที่ตนพูดออกไป เพราะที่จริงแล้วปมเหล่านี้อาจจะมีผลในระยะยาวจนถึงช่วงวัยรุ่นหรือหายไปเองในสามหรือสี่ปีแรกก็เป็นไปได้ทั้งนั้น และในจำนวนพวกเขาทั้งหมด ไม่มีใครที่เคยศึกษาจิตวิทยาเด็กเลย จึงไม่มีใครที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ปมอิเล็กตราหมดไปโดยไว

   แต่ซูเล่ยกลับคิดอีกแบบหนึ่ง...

   เขาคิดว่ากรณีของเอเดรียนเกิดมีปมอิเล็กตราขึ้นมาเพราะการแทรกแซงจากผู้หญิงนอกครอบครัวในช่วงเวลาที่เธอกำลังปรับตัวจากการสูญเสียผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต ซ้ำผู้หญิงคนใหม่คนนี้ยังแย่งยื้อเวลาและความรักไปจากพ่อซึ่งเป็นครอบครัวใกล้ชิดคนเดียวที่เอเดรียนเหลืออยู่ ดังนั้นจะเรียกว่าปมอิเล็กตราก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หลัก ๆ แล้วน่าจะเป็นอาการหวงอย่างออกหน้าออกตาตามนิสัยกอปรกับวัยที่เริ่มเข้าถึงช่วงที่กำลังพัฒนาบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องกับเพศจึงผูกกันขึ้นมาเป็นปมนั่นเอง

   กระนั้นมันก็อาจไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องอยู่ดีเพราะไม่มีความรู้มากพอจะวิเคราะห์หรือสรุปได้ สิ่งเดียวที่เขารู้เช่นเดียวกับที่ทุก ๆ คนรู้คือ ในสายตาเอเดรียน ยูล่าเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเพื่อขวางกั้นระหว่างตนเองและพ่อ และความเกลียดชังนี้จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยูล่ายังดึงดันจะทำเช่นเดิมเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

   มันไม่ดีต่อยูล่าเอาเสียเลย กลับกัน มันดีต่อเขาเสียมากกว่า เพราะเป้าหมายของพ่อตาอังเดรก็คือการกันผู้หญิงทุกคนที่หมายจะมายุ่มย่ามกับลูกเขยของตนด้วยสาเหตุมากมายสุดแต่จะนึกได้ หลัก ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องทรัพย์สมบัติกับความเผด็จการต้องการควบคุมชีวิตคนอื่นให้อยู่ในกำมือนั่นกระมัง

   เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจผู้ชายคนนั้นนัก และก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย

   ซูเล่ยถอนหายใจให้กับตนเองที่ระยะหลังนี้มักจะคิดมากเกินควรอยู่บ่อย ๆ จะว่าไปแล้ว ขอแค่อังเดรไม่หวั่นไหวไปกับยูล่าหรือผู้หญิงคนใด ๆ นั่นก็เพียงพอแล้วแท้ ๆ กระนั้น...ลึก ๆ เขากลับรู้สึกหึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่หึงไปจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อในอนาคตอังเดรก็อาจจะต้องแต่งงานอีกครั้งอยู่ดี เมื่อฝั่งพ่อตาสามารถหาหญิงสาวที่คู่ควรและถูกใจได้ เมื่อนั้นเขากับอังเดรก็จะไม่ต้องมีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก

   “ซู โต๊ะเรียบร้อยไหม?” เพราะรอนานแล้วหรืออย่างไรไม่อาจทราบ อังเดรจึงเดินเข้ามาเรียกด้วยความสงสัย ซูเล่ยเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารซึ่งเหลือแต่รินไวน์แดงให้ครบทุกแก้วและรินน้ำผลไม้ให้เอเดรียนก็จะพร้อมสรรพสำหรับการรับรองแขกในวันพิเศษ อังเดรคงรู้สึกว่ามันช้าเกินไปจึงหยิบน้ำผลไม้มารินใส่แก้วของเอเดรียนด้วยตัวเองและออกไปเรียกคนอื่น ๆ เข้ามาซึ่งช่วงเวลานั้นไวน์แดงก็พร้อมพอดี

   อาหารฝีมือซูเล่ยยังคงได้รับคำชื่นชมอย่างไม่ขาดปาก แม้แต่เอเดรียนก็ไม่ยอมน้อยหน้าถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าการชมคนอื่นนั้นทำอย่างไรจึงทวนคำพูดของพ่อและอาไปเรื่อยเปื่อย

   “ไหน ๆ ก็เป็นวันพิเศษทั้งที เต้นรำกันหน่อยไหมคะ?” เพราะเป็นช่วงวันหยุดของโรงเรียน ทั้งยูล่าและอาร์เลนจึงสามารถอยู่ได้นาน กระทั่งเอเดรียนก็ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องขึ้นนอนตามเวลาที่กำหนด หญิงสาวหนึ่งเดียวในบ้านหลังนี้จึงออกความเห็นให้ทุกคนทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานของทุกคนเว้นแต่เพียงซูเล่ยซึ่งเคยแต่เต้นกับเอเดรียนอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ และเต้นกับอังเดรเมื่อครั้งก่อนที่ไปโรงเรียนสอนลีลาศ ซูเล่ยจึงไม่ลังเลเลยที่จะกันตัวเองไว้นอกวงในขณะที่คนอื่น ๆ ไปเลือกเพลงด้วยกันอย่างสนุกสนาน

   จังหวะวอลซ์ ซึ่งเป็นจังหวะพื้นฐานสำหรับเต้นกันอย่างสบาย ๆ ส่งเสียงคลอออกมาจากเครื่องเล่นแผ่นซีดี เอเดรียนวิ่งเข้าจับคู่กับพ่อทันทีแต่อาร์เลนกลับขัดขวางด้วยการอุ้มมาเต้นด้วยกันเสียก่อน มองดูก็รู้ว่าชายหนุ่มค่อนข้างจะสนับสนุนให้พี่ชายของตนหาผู้หญิงคนใหม่เพื่อเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งอังเดรก็เข้าใจความปรารถนาดีของน้องชายจึงไม่ออกอาการต่อต้านใด ๆ ให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ เขาผายมือให้ยูล่าและหญิงสาวก็ตอบรับด้วยความยินดี ใบหน้าของเธอฉายแววของความสุขจนล้นปรี่ถึงขนาดซูเล่ยที่นั่งมองอยู่ห่าง ๆ ยังสัมผัสได้ถึงประกายแสงแห่งความสุขสมหวังของเธอ

   แต่เอเดรียนก็ไม่ปล่อยให้ศัตรูหัวใจมีความสุขนานนัก เมื่อจบเพลงแรก เด็กหญิงก็ออกปากทันทีว่าอยากสลับคู่จึงไม่มีใครขัดใจและยอมเปลี่ยนคู่ให้โดยดี แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขของอาร์เลนว่าจบเพลงหนึ่งเปลี่ยนคู่ครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเอาใจเอเดรียนและเปิดทางให้ยูล่าไปในตัว ซึ่งผู้หญิงทั้งสองวัยต่างก็ยอมตอบรับข้อเสนอนี้แม้ว่าฝั่งเอเดรียนจะขุ่นใจกับมันอยู่ไม่น้อย

   สุดท้ายแล้วก็วนเวียนเต้นกันไปร่วมชั่วโมงก่อนจะพากันนั่งพักและจิบไวน์ไปพูดคุยกันไป เรียกว่าเป็นช่วงเวลาของการรีแล็กซ์ของจริงเสียที

   แต่ทุกการสนทนาก็ทำให้ซูเล่ยรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน เขาจึงเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ และเข้าไปเก็บล้างของในครัว

   “เดี๋ยวฉันไปช่วยดีกว่าค่ะ” ยูล่าอาสาเมื่อเขาบอกว่าตั้งใจจะปลีกตัวไปทำอะไร ตอนนี้พวกเขาทั้งสองจึงยืนอยู่หน้าซิงค์สำหรับล้างจานและทำหน้าที่คนละอย่าง คนหนึ่งทำหน้าที่ล้างและอีกคนช่วยเช็ดให้แห้งก่อนนำไปวางเก็บ มีคนช่วยทุ่นแรงอย่างนี้ คงจะเสร็จทุกอย่างก่อนเวลาที่คิดไว้

   ซูเล่ยขัดจานทีละใบอย่างตั้งอกตั้งใจเพราะซอสที่ติดบนจานเริ่มจะล้างยากเนื่องจากทิ้งไว้นาน เมื่อสะอาดดีแล้วเขาก็ส่งให้ยูล่าเช็ดและเก็บ แต่ละขั้นตอนเวียนวนในความเงียบอันแสนสงบ และซูเล่ยก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างพวกเขาทั้งสอง

   แต่แล้ว ยูล่ากลับพูดขึ้นมา

   “เอ่อ...” หญิงสาวใช้เสียงเพื่อบอกผู้ฟังว่าตนเองมีสิ่งที่อยากจะพูด ซูเล่ยจึงหันไปมองและเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเห็นสีหน้าลังเลใจของคนข้างตัว

   “ครับ?” เสียงตอบรับของเขาเพื่อบ่งบอกอีกฝ่ายว่ากำลังฟังอยู่ ซึ่งช่วยให้ความลังเลค่อย ๆ จางหายไป

   “ฉัน...เห็นว่าเอเดรียนชอบคุณมากทีเดียว” การเกริ่นนำของยูล่าดูห่างไกลจากสิ่งที่คาดไว้มากโข “แต่ดูเหมือนฉันจะทำให้แกเกลียดเอาเสียแล้ว ฉันก็เลยรู้สึกกังวล”

   “เดี๋ยวก็คงจะหายเองมั้งครับ ถ้าคุณกังวลขนาดนั้น ลองห่าง ๆ สักพักอาจจะดีก็ได้”

   “ไม่ค่ะ!” จู่ ๆ เสียงของยูล่าก็ดังขึ้นก่อนที่เธอจะหลับตาครู่หนึ่งและควบคุมระดับเสียงตนเองให้เท่าเดิม “ที่จริงแล้วไม่เชิงว่าเรื่องของเอเดรียนโดยตรง...แต่ว่าฉันก็ไม่อยากให้แกเกลียดฉัน จริง ๆ แล้วคุณซูอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ เรื่องที่ฉัน...แอบชอบคุณแอชฟอร์ดข้างเดียวมานาน...”

   “...ก็พอทราบครับ” ในที่สุดก็วนเข้าเรื่องที่คาดเดาไว้จนได้ แต่เมื่อพูดจบ ยูล่ากลับทิ้งความเงียบไว้อีกหลายวินาทีคล้ายพยายามชั่งใจดูอีกครั้ง

   “คุณซูอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันฉวยโอกาสตอนที่คุณแอชฟอร์ดกำลังทำใจเรื่องภรรยาเลยนะคะ แต่ว่า...ฉันอยากจะให้เขาเหลียวแลฉันบ้าง ฉันคงไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีถึงขนาดที่ขอรักอยู่ห่าง ๆ ตลอดไปก็ไม่เป็นไร เพราะตอนคุณแอชฟอร์ดแต่งงานฉันก็เคยคิดอย่างนั้น แต่ฉันก็เสียใจตลอดมาว่าทำไมฉันถึงไม่แสดงให้เขารู้ ทำไมถึงไม่เปิดเผยออกไปตรง ๆ ว่าฉันชอบเขา บางที...ฉันอาจจะมีโอกาสที่จะยืนอยู่ที่นั่นบ้าง” ว่าแล้วเธอก็หัวเราะขมขื่น “ฉันดูไม่ดีเอาเสียเลยใช่ไหมคะ ที่คิดกับคนที่แต่งงานแล้วแบบนี้”

   ซูเล่ยกลอกตา นึกสงสัยว่าทำไมคนรอบตัวถึงนึกคาดหวังคำปลอบใจจากเขากันนะ หน้าเขาเหมือนคนใจดีช่างปลอบโยนถึงขนาดนั้นเลยหรือยังไงกัน?

   “ถ้าถามความเห็นของผม จะคิดยังไงก็ไม่มีถูกผิดหรอกเพราะยังไงมันก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ขึ้นกับว่าคุณจะทำยังไงกับความคิดมากกว่า” เขาพยายามวิจารณ์อย่างเบามือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ใจจะอยากพูดตรง ๆ ว่าถึงเธอจะคิดอย่างไรมันก็ไม่มีผลอะไรขึ้นมาหรอก หากว่าคนที่เธอคิดด้วยเป็นคนที่ผู้ชายคนนั้นซึ่งเป็นพ่อของมารีนจับตาจองตัวเอาไว้แล้ว

   และเพราะอย่างนั้น...เขาถึงได้เลือกตัดใจไปเสีย...

   บางทียูล่าก็น่าจะทำเช่นกัน

   แต่...

   “ครั้งนี้ฉันคิดว่า...อยากจะทำให้ตัวเองไม่เสียใจทีหลังค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง “ฉันอยากจะทำทุกอย่างที่ทำได้ และหากถึงขั้นนั้นแล้วคุณแอชฟอร์ดยังคงเลือกผู้หญิงคนอื่น หรือไม่ตอบรับความรักของฉัน ฉัน...ก็จะยอมรับแต่โดยดี อย่างน้อยฉันก็จะไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเพราะนึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมาได้รำไร

   “แต่ฉันยังกังวลเรื่องเอเดรียน ถึงแม้คุณแอชฟอร์ดอาจจะยอมรับฉัน แต่ถ้าเอเดรียนยังเกลียดฉันอยู่มันก็ไม่มีความหมาย...”

   จู่ ๆ ผู้ฟังก็สังหรณ์ขึ้นมาได้ว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่าที่คิด เพราะในนาทีต่อมา ยูล่าก็หันมาทางเขาด้วยสายตามั่นคง

   “ฉันอยากขอให้คุณซูช่วยฉันสักอย่าง แค่ช่วยพูดให้เอเดรียนเกลียดฉันน้อยลงก็พอ เพราะตอนนี้เอเดรียนคงไม่ฟังใครนอกจากคุณ”

   เป็นคำขอที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวทีเดียว แต่ผู้หญิงที่ได้รับความรักความชื่นชมมาตลอดกลับถูกเด็กคนหนึ่งเกลียดขี้หน้าคงเป็นเรื่องเกินจะรับได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเด็กคนนั้นเป็นลูกของผู้ชายที่หลงรัก นับเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดอนาคตส่วนหนึ่งของตัวเธอก็ว่าได้ แต่ซูเล่ยก็จำไม่ได้ชัดเจนว่าตนเองตอบรับหรือปฏิเสธไป เพราะเขาจำได้ว่าตนเองแค่ยืนนิ่ง ๆ และรับฟังคำขอนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ยูล่าเองก็ละมือกลับไปทำงานต่อโดยไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก คงอนุมานว่าเขาตอบรับแล้วกระมัง?

   เมื่อพวกเขาจัดการของในครัวเรียบร้อยก็พบว่าเอเดรียนหลับคาตักพ่อไปเสียแล้ว ซูเล่ยจึงอุ้มเด็กหญิงขึ้นนอน ส่วนยูล่าและอาร์เลนก็ขอตัวกลับเช่นกัน

   งานเลี้ยงคืนนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายกว่าที่คิดไว้ คงเพราะจำนวนคนร่วมกระมัง แต่ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเช่นกัน นั่นคือความมุ่งมั่นของยูล่าที่มองข้ามไปไม่ได้เลย ซูเล่ยเริ่มจะหนักใจขึ้นมาเพราะบางทีความมุ่งมั่นนั้นอาจจะสั่นคลอนใจของอังเดรได้ เหมือนกับที่มารีนเคยทำสำเร็จมาแล้ว

   ระหว่างที่คิด ซูเล่ยก็เดินลงมาชั้นล่างเพื่อเก็บแก้วไวน์และน้ำผลไม้รวมถึงจานของกินเล่นบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น จึงได้เห็นอังเดรยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ในมือหมุนก้านแก้วไวน์เปล่าด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเมื่อหันมาเห็นเขา เจ้าตัวก็ลุกขึ้นและเดินไปเปิดเพลงที่ใช้เต้นรำกันไปเมื่อชั่วโมงก่อน

   “เต้นด้วยกันหน่อยสิ”

   คำขอที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในคืนเดียวถึงสองครั้ง...

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วและชั่งใจอยู่นานจนอังเดรเดินเข้ามาหาด้วยตนเองก่อนดึงมือของเขาไปกุมโดยไม่รอความยินยอมจากเจ้าของ

   เอาเถอะ...คริสต์มาสอีฟ แถมไม่มีใครอยู่แล้ว ยอมสักหน่อยก็ได้...

   การเต้นรำครั้งนี้ไม่ได้จงใจจับจังหวะเคร่งครัดเหมือนครั้งก่อน เจ้าของร่างสูงเพียงโอบกอดคนตัวเล็กกว่าในท่าพื้นฐานและพาเดินพลางโยกตัวน้อย ๆ ไปรอบห้องทั้งยังหลับตาพริ้มคล้ายกำลังปลดปล่อยตัวตนให้ผ่อนคลายไปกับเสียงเพลงและการเคลื่อนกายอันเนิบช้า

   “ส่งท้ายคืนอีฟหรือครับ?”

   “คงประมาณนั้น...ที่จริงแล้วมันทำให้ฉันคิดถึงใครคนหนึ่ง”

   ซูเล่ยไม่ได้ถามว่าคนคนนั้นคือใคร เพราะอนุมานได้ว่าอาจจะเป็นมารีน การที่สามีภรรยาจะส่งท้ายคืนอีฟด้วยความโรแมนติกแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในใจของอังเดรกลับคิดถึงคนอื่น...ที่มีรูปร่าง ท่าทาง และส่วนสูงเหมือนกับซูเล่ยทุกกระเบียด เพียงแต่เขาไม่รู้จักใบหน้าแท้จริงของอีกฝ่าย และไม่เคยเต้นรำด้วยกันอย่างนี้ พวกเขาพบกันโดยมีบาร์กั้นกลางเสมอ ครั้งเดียวที่ได้แนบชิดกายกันคือครั้งสุดท้ายที่ได้พานพบ แม้จะเลิกคิดถึงอีกฝ่ายไปเพราะไม่อยากจะผิดต่อคำสาบานที่ให้ไว้กับมารีนในวันแต่งงาน แต่เมื่อซูเล่ยปรากฏตัว ความทรงจำเกี่ยวกับลีผู้ลึกลับก็ค่อย ๆ ไหลย้อนกลับมา...

   ดวงตาของอังเดรฉายแววของการรำลึกถึงสิ่งที่ติดค้างในความทรงจำ ซูเล่ยจึงไม่ได้ขัดขวางความคำนึงของเจ้าตัวอีก และปล่อยให้เสียงเพลงไหลผ่านไประหว่างพวกเขาทั้งสอง

   เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้...ที่ศีรษะของเขาแนบไปบนบ่ากว้างเพราะเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง บรรยากาศ และห้วงอารมณ์ ทว่าอังเดรก็ไม่ได้ผลักไส...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 18-11-2013 13:39:47
เมื่อไหร่จะNC  เค้าอยากอ่าน :ling1: 
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 18-11-2013 14:14:49
เริ่มแล้วสินะ
เค้าเริ่มหวานกันเรื่อยๆแล้ว
แต่ก็ยังมีเรื่องของยูล่าเข้ามาเอี่ยวเรื่อยๆ
รอลุ้นต่อไป
ซุน่าจะบอกความจริงกับอังเดรไป
ตอนนี้ใจน่าจะตรงกันแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-11-2013 16:02:12
อย่างงี้เรียกบรรยากาศเป็นใจของจริงเลย
ว่าแต่ยูล่าไม่ไหวนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 18-11-2013 18:35:59
ซูเป็นนายเอกที่ผ่านอุปสรรคเยอะ
นี่ถ้าย้อนไปได้ตอนนั้นมารีนก็คงไม่ใช่ภรรยาอังเดรหรอใช่แม้ะ
ขอให้เอเดรียนแบนยูล่าตลอดไป คือหนูเป็นไม้กันหมาที่ดีที่สุดแล้วลูก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 19-11-2013 16:43:54
รออ่านอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 19-11-2013 19:34:07
ชอบเรื่องนี้ :hao5: มากกกกกกกก

เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดยวจบ  น่าสงสารซู  เกลียดอีตาพ่อตา  แต่ไม่เกลียดยูล่านะ  ออกจะสงสารนิดๆมากกว่าที่รักข้างเดียว(แบบไม่มีวันได้ปะป๊าอังเดรเด็ดขาด)  ส่วนหนูเอเดรียนยอดมากเลยลูก  เป็นราชินีตัวน้อยแต่เด็ก  โตขึ้นมาเอาแต่ใจชัวร์  แต่คงเป็นวัยต่อต้านมั้ง 

ขอให้เอเดรียนไม่เกลียดซูก็พอค่ะ  ส่วนพระเอก...  ดูจะงงกับอดีตนะ  ตกลงเมื่อหน้าปีก่อนนี่เขารักกันจริงหรือเปล่าหว่า  ซูน่ะรักแน่ๆ  แต่พระเอกนี่...  งงกับพระเอกค่ะ  ท่าทางพระเอกงงๆมึนๆชอบกล 

แต่อยากอ่านตอนต่อไปมากกกก   เรียบมาลงนะคะ :bye2: 
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 19-11-2013 20:43:32
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 19-11-2013 23:09:36
กรี๊ด อังเดรมาก ตอนนี้ อัลไลอ้ะ  ชอบท่อนนี้มาก
“เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าฉันเองไม่ได้รังเกียจผู้ชาย จะว่าคาดเดาเก่งหรืออะไรก็ตามแต่มันก็อาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง”
ส่วนอี สโตคเกอร์ติดตามนั่นคือใคร ?? มาตามทำไม
แอบทำให้นึกถึงหนังฆาตกรรม หนัง ต่างประเทศ สยองแทน ฮ๋าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 20-11-2013 16:25:16

ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับความมุ่งมั่นของยูล่า
ที่จะทำตามที่ใจของนางต้องการ
เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
เพียงแต่ดันซวยที่มาเจอกระดูกชิ้นโตคือเอเดรียน
แล้วที่สำคัญผู้ชายเค้าไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่สิ

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-11-2013 21:38:19
เรื่องนี้ปมลึกลับเยอะมากค่ะ ทั้งพระทั้งนายเลย  :ling1: แต่ชอบนะคะ รอวันค่อยๆเผย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-11-2013 14:36:55
-10-

   เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านเรียกให้ซูเล่ยซึ่งกำลังทำความสะอาดบ้านหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่ารถของอังเดรกำลังถอยเข้าไปในโรงรถอย่างช้า ๆ ทว่าหลังจากนั้นกลับพบเงาคนเดินออกมาพร้อมกันสองคน คนหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งเป็นหญิง แม้จะเห็นเป็นเพียงภาพไกล ๆ ที่ถูกกรอบหน้าต่างบดบังทัศนวิสัยไปหลายส่วน แต่ก็ยังสามารถอนุมานได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

   ที่จริงแล้วนับแต่คืนอีฟ ยูล่าก็ขยันมาที่บ้านบ่อยขึ้นด้วยข้ออ้างว่าอยากจะสนิทสนมกับเอเดรียนให้มากกว่านี้ และทางกลับที่พักของยูล่าจากบ้านของอังเดรจะใกล้ว่าเดินทางจากโรงเรียน หญิงสาวจึงมีเหตุผลมากมายที่จะโน้มน้าวชายหนุ่มให้พาเธอติดรถมาด้วย

   ภายในระยะเวลาสองสัปดาห์ เธอก็มาที่นี่ถึงห้าครั้งแล้ว บางวันยังมาหาอังเดรถึงบ้านในช่วงกลางวันเพื่อเดินทางไปโรงเรียนลีลาศด้วยกันในตอนเย็นเสียด้วยซ้ำ นั่นยังไม่รวมคืนปีใหม่ซึ่งเดินทางมาอยู่ฉลองจนถึงช่วงเคาท์ดาวน์ สุดท้ายจึงไม่ได้นอนกันทั้งคืนเพราะอยู่เป็นเพื่อนยูล่าจนรุ่งเช้า ทั้งนี้ เพราะอังเดรไม่อยากให้หญิงสาวนอนโซฟา แต่ก็ตะขิดตะขวงใจที่จะให้ไปนอนบนห้องเช่นกัน

   “ยูล่าจะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” เด็กหญิงตัวน้อยเดินมาถามพี่เลี้ยงของตนด้วยสีหน้าขุ่นใจ แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่เธอก็สัมผัสได้ว่ายูล่าต้องการความสัมพันธ์ที่เพิ่มระดับมากขึ้นกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเริ่มปฏิบัติตัวประหนึ่งจะเป็นแม่ของเอเดรียนอยู่กลาย ๆ อย่างเช่นมาถึงบ้านก็กอดอุ้มอย่างสนิทสนม อาสาเป็นคนทำอาหารเย็น คอยดึงความสนใจของเอเดรียนและอังเดรไปจากซูเล่ยอยู่บ่อยครั้งระหว่างการสนทนา ยังคงมีหน้าที่อยู่สองประการในช่วงเย็นและค่ำที่ยูล่าก้าวก่ายไม่สำเร็จนั่นคือการพาเอเดรียนไปอาบน้ำและเข้านอน เพราะซูเล่ยจะให้เอเดรียนอาบน้ำก่อนอังเดรกลับมาเสมอ และห้องนอนก็อยู่ชั้นสองซึ่งปกติแล้วไม่ให้คนนอกขึ้นไปยุ่มย่าม

   “ไม่หรอก ยูล่าก็มีบ้านของตัวเองนี่” ซูเล่ยตอบแล้วลูบหัวเอเดรียนเพื่อให้เธอเลิกหงุดหงิดใจกับเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองกลับเริ่มกระสับกระส่ายเสียเองในระยะหลัง เพราะนอกจากยูล่าจะรุกหนักแบบถวายชีวิตแล้ว ตัวอังเดรก็คงจะอ่อนโอนให้ไม่น้อยเพราะความพยายามนั้นรวมถึงการสนับสนุนจากอาร์เลน เพราะหากไม่คิดจะตอบรับ ก็คงปฏิเสธความใกล้ชิดที่มากเกินพอดีอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
   ประตูหน้าบ้านเปิดออกพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักจากบทสนทนาที่เข้าใจกันเพียงสองคน

   เอเดรียนเข้าไปทักทายอังเดรและได้รับการทักทายจากยูล่าเช่นเดิม และดูเหมือนตัวเด็กหญิงจะขี้เกียจต่อต้านแล้วจึงยอมให้อุ้มเฉย ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แทน

   หลังจากเอาอกเอาใจเอเดรียนพอเป็นพิธีแล้ว ยูล่าก็ผละเข้าครัวไป

   “แบบนี้จะดีหรือครับ?” ซูเล่ยเปรยเมื่อแน่ใจว่ายูล่าจะไม่ได้ยินบทสนทนา

   “อะไรหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วและมองพี่เลี้ยงของลูกสาวด้วยสายตากังขาเพราะไม่เข้าใจประเด็นที่อีกฝ่ายต้องการพูด

   “ที่จริงผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ถูกแย่งงาน แต่พวกคุณกว่าจะเลิกงานกลับมาก็ค่ำแล้ว กว่าจะทำอาหารเสร็จอีก กินผิดเวลาบ่อย ๆ เดี๋ยวจะมีปัญหาเสียเปล่า ๆ” ดวงตาสีดำกลอกรอบหนึ่งและหยุดที่ประตูห้องครัว แน่นอนว่าปัญหาเรื่องสุขภาพปากท้องเป็นสิ่งที่ซูเล่ยกังวลแต่แรกแล้วจึงอาสาเป็นคนทำอาหารให้ตนเองและเอเดรียนกินไปก่อนแล้วยูล่าค่อยจัดการเรื่องอาหารของอังเดรกับของตัวยูล่าเองโดยมีเอเดรียนร่วมโต๊ะพร้อมกับน้ำนมอุ่น ๆ เป็นของว่างก่อนนอน ด้วยเหตุนั้นเอเดรียนจึงไม่ทำตัวมีปัญหากับอาหารเลยนับแต่กิจวัตรเริ่มเปลี่ยนไป แต่ตัวอังเดรเองต่างหากที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็ม ๆ

   “ก็กินรองท้องกันมาก่อนน่ะ ดูเหมือนยูล่าเองก็รู้ว่าจะมีปัญหาเหมือนกัน ก็เลยทำของเบา ๆ ไปให้กินที่นั่นแล้วค่อยกลับมาฟูลคอร์สที่นี่” อังเดรว่าพลางลูบผมเอเดรียนเพื่อให้เด็กหญิงอารมณ์ดีขึ้น

   เสียงกอกแกกในครัวเรียกให้คนทั้งสามในห้องนั่งเล่นมองไปยังประตูด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป แต่เมื่อยูล่าโผล่หน้าออกมา คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นอังเดรที่ของว่างละลายหายไปจากกระเพาะแล้ว ด้วยเหตุนั้นการสนทนาจึงโยกย้ายไปที่โต๊ะอาหาร ซูเล่ยรินนมอุ่นใส่แก้วใบโปรดของเอเดรียนและยกส่งเจ้าของที่นั่งตีขารออยู่ที่เก้าอี้สูงสำหรับเด็ก ส่วนอังเดรก็กำลังจัดการอาหารด้วยความหิวโหยโดยมียูล่าเฝ้ามองด้วยสายตาปลื้มปิติจนออกนอกหน้า และเมื่อซูเล่ยพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ หญิงสาวจึงเริ่มหันไปมาสนใจเจ้าตัวบ้าง

   “จะว่าไป คุณซูมีแฟนหรือยังคะ?”

   เพราะไม่ทันฟังว่าเมื่อครู่ยูล่าและอังเดรกำลังคุยประเด็นไหนอยู่ พอโดนถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซูเล่ยก็ได้แต่นั่งอึ้งและเลิกคิ้วเหมือนต้องการให้ทวนคำถามอีกครั้ง

   “อย่างคุณซูคงจะมีสาว ๆ มาชอบเยอะแน่”

   คนถูกถามกลอกตาไปมาเพื่อเรียบเรียบความคิด เมื่อนำประโยคที่สองกับคำถามแรกที่ได้ยินเพียงแวบ ๆ มาประกอบกันจึงพอจะเข้าใจประเด็นได้บ้าง

   “ผมไม่เคยคบกับใครเป็นเรื่องเป็นราวหรอก” เขาว่า “เอาเข้าจริงแล้วพวกผู้หญิงก็แค่ชื่นชมผม แต่พอถึงเวลาต้องเลือก พวกเธอก็หันไปเลือกผู้ชายแบบอังเดรเสียทุกที”

   เจ้าของชื่อที่ถูกกระทบเงยหน้าขึ้นมาทันควันก่อนมุ่นคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

   “แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเลยหรือคะ?” ยูล่าย้ำถามทำให้ผู้ฟังเริ่มนึกสงสัยขึ้นมา เพราะร้อยวันพันปีอีกฝ่ายไม่เคยนึกสนใจชีวิตส่วนตัวของเขาเลยสักครั้ง แต่ซูเล่ยก็แค่ไหวไหล่แทนคำตอบ “ฉันไม่ได้คิดจะละลาบละล้วงหรอกนะคะ ถ้าฉันทำให้ไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วย”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...” แต่แล้วจู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในสมองเขาจึงลองถามกลับไปบ้าง “แล้วคุณยูล่าล่ะ?”

   ใบหน้าหญิงสาวแดงขึ้นนิดหน่อยพร้อมกับแววตาเสมือนได้รับสิ่งที่รอคอย ซูเล่ยเดาได้ถูกต้อง ยูล่าพูดประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะอยากจะพูดเรื่องของตนเองแต่ไม่สามารถพูดขึ้นมาโดยไม่มีมูลเหตุได้เพราะจะดูจงใจเกินไป จึงต้องใช้คู่สนทนาให้เป็นประโยชน์

   “ที่จริง...ฉันก็พอมีคนมาสนใจอยู่บ้างตามประสาผู้หญิงล่ะมั้งคะ” หญิงสาวหัวเราะพลางเกลี่ยปอยผมทัดหูตนเอง

   ใครก็ตามที่ฟังข้อความนี้ย่อมรู้ว่าเป็นการถล่มตัว ยิ่งมาเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอแล้วต้องเรียกว่าเป็นการถล่มตัวเกินจริงไปมากทีเดียว เพราะยูล่าเป็นผู้หญิงที่มีทุกอย่างซึ่งคนเพศเดียวกันต่างอิจฉาตาร้อน ผู้ชายทั่วโลกต่างระบุว่ารูปลักษณ์เช่นนี้คือผู้หญิงในฝัน มีหรือที่จะเพียงแค่ ‘มีคนมาสนใจอยู่บ้าง’ อย่างที่กล่าวอ้าง

   “ฉันคงดูไม่มีเสน่ห์เท่าไหร่” เธอยิ้มเขินอายอย่างมีจริตจะก้าน

   “...คุณก็ดูดีในแบบของคุณอยู่แล้ว” อังเดรเป็นฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่ซูเล่ยเอาแต่นั่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดีที่จะไม่ทำให้บรรยากาศย่ำแย่ และคำตอบของชายหนุ่มก็ทำให้ผู้ฟังยิ้มจนแก้มแทบปริ เธอเบือนสายตาไปทางอื่นขณะกัดริมฝีปากน้อย ๆ

   “แล้ว...คุณล่ะคะ ก่อนพบกับคุณมารีน คุณสนใจใครอยู่หรือเปล่า?” หลังจากใช้ประโยชน์จากซูเล่ยจนได้สิ่งที่ตนเองต้องการ หญิงสาวก็ละความสนใจไปจากคู่สนทนาคนแรกทันที

   อังเดรเงียบไปเล็กน้อยสำหรับคำถามนี้ ส่วนซูเล่ยก็ไม่ได้ใส่ใจกับการที่ตนเองถูกทอดทิ้ง เพราะเจ้าตัวมีเอเดรียนให้ดูแลอยู่แล้ว กระนั้นคำตอบของอังเดรก็ทำให้บางส่วนในร่างกายกระตุกวูบเบา ๆ

   “ครับ ผมมีอยู่คนหนึ่ง ก่อนที่จะพบมารีนแค่ไม่นาน”

   สีหน้ายูล่าฉายความผิดหวังออกมาเล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าในเวลานั้น ถึงไม่มีมารีนเธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาอังเดรอยู่ดี

   “คงจะมีเหตุผลบางอย่างสินะคะ เอาเถอะ ฉันไม่ถามลึกถึงขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวหัวเราะกลบเกลื่อนแม้ใจจริงจะอยากรู้

   ทว่า...อังเดรคล้ายจะอยากพูดในประเด็นนี้

   “ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดหรอก คนคนนั้นหายตัวไปเฉย ๆ ในวันหนึ่งและพวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย มันก็เท่านั้นเอง”

   ซูเล่ยฟังจบก็หันไปมองเจ้าตัว แต่ก็ลมหายใจก็สะดุดไปวูบหนึ่งเพราะสายตาของอังเดรก็กำลังจ้องมองมาทางเขาเช่นกัน ราวกับว่ากำลังสังเกตปฏิกิริยา...เจ้าตัวจึงรีบกลบเกลื่อนด้วยการเก็บแก้วเปล่าของเอเดรียนและลุกออกไปจากโต๊ะ ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดคุยเลยแม้แต่น้อย

   “แล้วก็ไม่เคยเจอกันอีกเลยจนถึงตอนนี้น่ะหรือคะ?” ยูล่ายังคงไถ่ถามเพื่อความมั่นใจ แม้อดีตเธอจะไม่สามารถเอาชนะทั้งมารีนและหญิงสาวปริศนาคนนั้นได้ แต่ในเวลานี้หากไม่มีใครอื่น เธอคงสามารถวางใจได้ว่าตนเองอาจจะมีโอกาสขึ้นมาบ้าง

   “ครับ แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่ค่อยจะติดใจกับเรื่องนั้นแล้ว” พอได้ยินอย่างนั้น ซูเล่ยก็รู้สึกคล้ายในอกของตนมีตะกอนขุ่นกระจายตัวเพราะถูกตีกวน แต่เจ้าตัวก็ตีสีหน้าปกติ เดินมาเก็บจานบางส่วนที่ว่างเปล่าแล้วไปเก็บในซิงค์ก่อนอุ้มเอเดรียนขึ้นจากเก้าอี้

   “ผมขอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนนะครับ” ว่าจบ ชายหนุ่มร่างเล็กพร้อมกับเด็กหญิงในอ้อมกอดที่กำลังขยี้ตาปรือปรอยก็เดินออกไปจากห้องครัว

   พวกเขาเดินขึ้นชั้นสองและเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนสำหรับเด็ก ซูเล่ยวางเอเดรียนลงบนเตียง เด็กหญิงที่ง่วงได้ที่ก็ควานหาผ้าห่มด้วยตัวเองโดยไม่อิดออด

   “ทำไมยูล่าถึงมาบ้านบ่อยจัง” เสียงเล็ก ๆ งัวเงียเอ่ยถาม

   “ไม่รู้สิ บางทีเธออาจจะเหงาก็ได้” ฝั่งพี่เลี้ยงว่าไปก็ห่มผ้าให้เรียบร้อย “ทำไมล่ะ เอเดรียนไม่ชอบยูล่าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

   “ยูล่าชอบแย่งแดดดี้”

   ในสายตาเด็ก ๆ มันก็คงเป็นอย่างนั้น ทั้งที่เวลาก่อนนอนอันน้อยนิดคือเวลาที่พ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกัน แต่แล้วกลับมีบุคคลที่สามยื่นมือเข้ามารบกวนช่วงเวลาปกติสุขและแทรกตัวเป็นส่วนหนึ่งทำให้ความปกติที่เคยดำเนินมาบิดเบี้ยวไปจากเดิมจนสังเกตได้ ซูเล่ยคิดแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา...

   “แล้วเอเดรียนไม่ชอบพี่ด้วยหรือเปล่า?” เพราะตัวเขาเองก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในช่วงแรก ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่เอเดรียนยอมรับเขาได้ง่ายกว่าที่คิด

   “ซูใจดี อยู่เป็นเพื่อนเอเดรียนแทนแดดดี้ด้วย” ดวงตากลมโตส่องประกายขณะชื่นชมพี่เลี้ยงที่ตนแสนภาคภูมิใจ “เอเดรียนชอบซู ซูจะอยู่กับเอเดรียนตลอดไปไหม?”

   ...

   จู่ ๆ หัวข้อก็ถูกเบี่ยงไปสู่ประเด็นที่ตัวซูเล่ยไม่สามารถตอบได้ เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะกำหนดในเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนที่เหมาะสมกว่า คนที่จะมาเป็นแม่คนใหม่ของเอเดรียนซึ่งได้รับการยอมรับจากตาของเธอ เขาก็จะต้องจากไปอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

   กระนั้นส่วนหนึ่งในสมองของเขาก็คิดถึงแผนการที่ดีขึ้นได้

   หากว่าการมีอยู่ของเขาเป็นข้อแม้ที่ทำให้เอเดรียนไม่มีวันยอมรับยูล่าล่ะ? นั่นจะทำให้งานของเขาง่ายขึ้นมากและเขาก็จะไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่มย่ามด้วยตัวเอง แค่เพียงเอเดรียนยืนยันเสียงแข็งว่าจะยอมรับผู้หญิงคนนี้เป็นแม่คนใหม่ อังเดรก็คงยินยอมตามใจลูกสาวคนโปรดเป็นแน่

   “...ก็ไม่แน่นะ” ซูเล่ยกล่าวกับเอเดรียน “ถ้าหากว่าแดดดี้มีมามี้คนใหม่ ฉันก็คงจะต้องไปจากที่นี่ เพราะมามี้คนใหม่จะมาดูแลเอเดรียนแทน”

   “เอเดรียนไม่อยากมีมามี้คนใหม่” ใบหน้าเล็ก ๆ มู่ทู่ทันตาเห็น

   “แดดดี้อาจจะอยากมีก็ได้”

   “แต่เอเดรียนไม่เอา ถ้าแดดดี้มีมามี้ใหม่ เอเดรียนจะไปอยู่กับซู” นั่นเป็นข้อแม้ที่เกินคาดไปสักหน่อย ซูเล่ยไม่คิดเลยว่าเอเดรียนจะติดตนถึงขนาดนี้ หากคิดเข้าข้างตัวเองอีกสักนิด สถานการณ์คงคล้าย ๆ เวลาที่ฝ่ายแม่ถามลูกว่าหากพ่อกับแม่ต้องแยกทางกันลูกจะไปอยู่กับใคร เพียงแต่มันเป็นการสมมติสถานการณ์ที่ค่อนข้างเลยเถิด ซูเล่ยจึงปล่อยให้มันรบกวนสมองตนเพียงเสี้ยววินาทีก่อนปัดมันทิ้งไป

   “เรื่องนั้นเอาไว้แดดดี้มีมามี้คนใหม่แล้วค่อยคิดดีไหม? คืนนี้นอนก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นแดดดี้จะว่าพี่เอาได้” เขาปล่อยให้เอเดรียนนอนหลับโดยไม่ชวนคุยอีก และเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงหลับสนิทแล้วจึงค่อย ๆ ย่องออกมา ชั่วขณะที่กำลังจะปิดประตู ร่างเล็ก ๆ ที่นอนขดบนเตียงด้วยท่าทางไร้เดียงสาทำให้ความรู้สึกผิดวูบขึ้นมาในใจ เขาคงจะเป็นคนที่เลวมากถึงได้หลอกใช้ความใสซื่อของเด็กที่เชื่อใจตนเอง ซึ่ง...ก็คงเพราะเขาเป็นคนอย่างนี้ คนที่ใช้ประโยชน์จากคนรอบตัวเพียงเพื่อทำให้เป้าหมายของตนเองลุล่วง จึงสมควรแล้วที่จะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องคัดง้างกับความรู้สึกของตนเองทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้

   และสุดท้ายก็เลือกทางออกที่ง่ายกับตนเองมากที่สุด นั่นคือไม่ทำอะไรเลย...

   แค่ทิ้งมันไปและทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

------------------------------->

   ซูเล่ยเดินลงมาเพื่อเก็บของข้างล่างเมื่อเอเดรียนหลับไปแล้ว เขาพบว่ายูล่านั่งอยู่ในครัวคนเดียวและไม่เห็นเงาของอังเดรเลย

   “คุณแอชฟอร์ดไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ” ยูล่าตอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัย

   “อ้อ...” ซูเล่ยรับคำสั้น ๆ แล้วมองไปที่อ่าง พบว่าจานชามถูกล้างคว่ำหมดแล้ว “กำลังรออังเดรไปส่งหรือครับ?” เพราะการเดินทางกลับที่พักในตอนดึกไม่ค่อยดีนักสำหรับหญิงสาวตัวคนเดียว อังเดรจึงมักอาสาไปส่งทุกครั้งที่ยูล่าสละเวลามาถึงบ้าน มันกลายเป็นภาระที่เพิ่มมากขึ้นแต่น่าแปลกที่อังเดรไม่ยักบ่นเรื่องนี้สักครั้ง เป็นไปได้ว่าเลือดสุภาพบุรุษสั่งให้ทำจึงไม่สามารถขัดขืนได้

   “ค่ะ ที่จริงฉันก็รู้สึกเกรงใจ แต่ส่วนหนึ่งก็ดีใจนะคะที่เขาเอาใจใส่ฉันขึ้นมาบ้าง”

   ถึงยูล่าจะพูดว่าเกรงใจแต่ซูเล่ยกลับให้น้ำหนักกับคำหลังมากกว่าเพราะประโยคแรกคล้ายจะเป็นแค่การพูดตามมารยาท เพราะหากเกรงใจจริงคงจะหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระให้อีกฝ่ายมากกว่าตื้อขอตามมาทำตามใจตัวเองและให้อีกคนหนึ่งจัดการส่วนที่เหลือให้อย่างนี้

   กระนั้นทุกสิ่งที่คิด ซูเล่ยก็ไม่ได้พูดหรือแสดงออกทางสีหน้า

   “ผมคิดว่าปกติอังเดรก็ไม่ค่อยจะขัดใจคุณอยู่แล้วนะครับ” เขาพูดเพื่อไม่ให้หญิงสาวหวังเกินควร แต่เธอกลับแสดงความไม่พอใจในคำพูดของเขาทันที

   “ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมฉันถึงขนาดนี้หรอกค่ะคุณซู” เธอพูดคล้ายพยายามย้ำว่าตอนนี้อังเดรเปลี่ยนไป “ถ้าเป็นสมัยก่อนพอฉันจะมาที่บ้านเขามักจะบอกว่าไม่สะดวกเพราะเหตุผลต่าง ๆ นานา ซ้ำยังไม่ค่อยยินยอมสัมผัสตัวฉันนอกจากเวลาที่เต้นคู่กัน แต่วันนี้เขา...”

   สัมผัสตัว?
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-11-2013 14:37:34
   ซูเล่ยฟังแล้วมุ่นคิ้ว แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องสามัญแต่สำหรับคนที่ถูกหล่อหลอมด้วยวิถีของลีลาศจนเข้าเส้นแบบอังเดรย่อมให้เกียรติสุภาพสตรีและจะไม่สัมผัสตัวหากไม่จำเป็น นอกจากว่าเป็นการสัมผัสเพื่อแสดงความเอ็นดูแบบผู้ใหญ่กับเด็ก สัมผัสเพื่อปลอบโยน หรือสัมผัสเพื่อให้กำลังใจ ซึ่งกรณีของยูล่าดูจะไม่อยู่ในกรณีเหล่านี้เลยสักกรณีเดียว ดังนั้นการสัมผัสของอังเดรจะต้องมีความหมายพิเศษบางอย่าง

   ตะกอนที่ถูกตีกวนเริ่มขุ่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนอนก้นจนถึงเมื่อครู่

   มันไม่ใช่ความไม่พอใจเพราะเรื่องนอกใจมารีนหรือขัดใจพ่อตา แต่เป็นความไม่พอใจส่วนตัวของซูเล่ยเองซึ่งเจ้าตัวพยายามหาเหตุผลอื่นกลบเกลื่อน

   “...อย่างนั้นหรือครับ” ซูเล่ยรู้สึกคล้ายลำคอแห้งผากกะทันหันจึงเค้นเสียงออกมาได้ไม่เต็มที่ จากที่เคยมั่นใจว่าอังเดรคงไม่โอนอ่อนไปกับอีกฝ่ายเพราะยังมั่นคงต่อมารีน เห็นแก่เอเดรียน หรืออะไรก็ตาม ดูท่าทางจะไม่เป็นความจริงเสียแล้ว ความเหงาเป็นเหตุหรือ? เพราะเหตุนั้นด้วยหรือเปล่าอังเดรจึงเพิ่งคิดถึงลีขึ้นมาอีกครั้งหลังจากลืมเลือนไปนาน และความเหงานั้นด้วยใช่ไหมคือเหตุผลที่อังเดรโอบกอดตนอย่างอ่อนโยน...

   “คุณซูคงจะช็อคอยู่นิดหน่อย ก็ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะมันค่อนข้างกะทันหัน แม้แต่ฉันก็ยังตกใจ” สีหน้าของหญิงสาวระบายด้วยความสุขสมใจโดยไม่ต้องอธิบายความ

   “ก...”

   “ขอโทษด้วยแต่เราคงต้องรีบไปกันแล้วก่อนที่จะดึกไปกว่านี้” อังเดรโผล่พรวดเข้ามาในห้องครัวทำให้คำพูดที่ซูเล่ยกำลังจะพูดกลืนกลับหายไปในลำคอ ชายหนุ่มมองนาฬิกาด้วยสีหน้ากังวลเล็ก ๆ ดูจะไม่ได้สนใจบทสนทนาก่อนหน้าแม้แต่น้อย

   ยูล่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยิ้มให้ซูเล่ยอย่างมีความหมายและเดินตามอังเดรออกไป

   หญิงสาวถูกขอให้รออยู่ตรงทางเท้าขณะที่เจ้าของบ้านเข้าไปถอยรถ ซูเล่ยจึงมองเห็นเธอท่ามกลางแสงไฟจากริมถนน และเมื่อขึ้นรถ เขาได้เห็นหญิงสาวโน้มตัวไปทางคนขับมากจนผิดปกติทำให้หัวใจเผลอกระตุกวูบแม้มันจะเป็นเพียงแค่เงาที่เห็นผ่านกระจก ไม่แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าเสียด้วยซ้ำ

   ซูเล่ยไม่ได้ขึ้นนอนทันที เขารอจนกระทั่งอังเดรกลับมาอย่างเงียบงันแต่ก็ได้พูดคุยอะไรกันเพราะอังเดรเหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุยกับใครได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญมากเพียงใดก็ตาม

   ทั้งสองแค่บอกราตรีสวัสดิ์ จากนั้นอังเดรก็ขึ้นนอน

   มีแต่เพียงซูเล่ยที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาว่าเขาพลาดอะไรไป ทำไมจึงเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ หรือบางทีมันอาจจะเป็นความชะล่าใจของเขาเองที่ไม่รู้จักอังเดรมากพอ เพราะหากว่าตามจริง เขากับอังเดรได้พบกันก็เพียงช่วงค่ำหลังกลับจากทำงาน กับวันหยุดสองวันที่อีกฝ่ายมีเวลาอยู่บ้านช่วงกลางวัน สิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำงานเจ้าตัวไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟัง ซึ่งช่วงเวลามากมายที่ยูล่ามีโอกาสสนิทสนมกับอังเดรนั้นคือสิ่งที่เขาพลาดไปหรือเปล่า? ช่วงเวลาที่ไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน รวมถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันในโรงเรียนลีลาศ หากนับแล้วมันก็มีมากจนเกินพอสำหรับคนสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีพันธะผูกพันซึ่งได้รับการยืนยันจากปากของทั้งคู่เองเมื่อช่วงอาหารเย็น

   เป็นความผิดของเขาหรือที่พยายามกันตัวเองให้อยู่เพียงระยะผู้สังเกตการณ์

   ซูเล่ยกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจโดยหาสาเหตุไม่ได้ นึกอยากจะไล่หญิงสาวให้ออกไปจากชีวิตของอังเดรเสียเดี๋ยวนี้แต่หากทำเช่นนั้นตัวเขาเองนั่นแหละที่อาจจะถูกไล่ออกไป ชายหนุ่มสูดหายใจและคิดถึงสิ่งที่ตนเองเคยมั่นใจ ใช่ เขาเคยมั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการกับเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างนี้ได้ แค่ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาปะปนและจัดการไปตามที่เห็นควรก็พอ

--------------------------------------->

   วันรุ่งขึ้น ขณะที่อังเดรออกไปทำงานแล้วซูเล่ยก็ได้ยินเสียงริงโทนคุ้นหูแต่เป็นเสียงที่ไม่น่ามีอยู่ในเวลานี้ได้เพราะมาจากโทรศัพท์มือถือของอังเดรเอง เขาเดินหาอยู่สักระยะพร้อมกับเอเดรียนจึงพบว่ามันตกอยู่บนโต๊ะที่ใช้วางชั้นเก็บแผ่นซีดี คงจะทำตกเอาไว้ตอนที่มาหยิบของกระมัง แต่ตอนที่ซูเล่ยหาเจอเสียงก็เงียบไปเสียแล้ว และเขาก็ไม่คิดจะโทรกลับเพราะไม่น่าจะใช้ธุระของตนอีกทั้งไม่ไดคิดจะนำไปให้เจ้าตัวถึงโรงเรียนเหมือนอย่างเมื่อครั้งก่อนด้วย จึงเพียงแค่หยิบมาวางให้เป็นที่ แต่แล้วมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง

   ซูเล่ยคว้าขึ้นมากดรับเพราะเห็นเอเดรียนทำท่าจะรับเสียเอง

   “สวัสดีครับ”

   “อุ้ย นี่เบอร์คุณแอชฟอร์ดใช่ไหมคะ?” เสียงของฝ่ายนั้นเป็นผู้หญิงที่ดูจะอายุมากกว่าเขาอยู่โข คงเพราะเสียงไม่คุ้นจึงได้อุทานออกมา

   “ครับ วันนี้เขาลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน”

   “อ้อ...แหมคุณแอชฟอร์ดนี่ไม่ไหวเลย ทั้งที่วันนี้เป็นวันสำคัญแท้ ๆ เชียว” ต้นสายรำพึงรำพันแบบจงใจให้ปลายสายได้ยินก่อนจะหัวเราะคิกคักกับตนเอง “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณรามอสน่ะค่ะ” เธอพูดเองตอบเองโดยที่ซูเล่ยไม่ได้ถามเลยสักคำเดียว แต่ชื่อที่ได้ยินก็ทำให้ชายหนุ่มต้องกลอกตาอยู่หลายตลบว่าคุ้นหูมาจากที่ไหนก่อนจะนึกได้ว่าเป็นนามสกุลของยูล่านั่นเอง

   “เอ่อ...แล้วจะจัดงานฉลองกันที่ไหนหรือครับ ผมจะลองติดต่อคุณแอชฟอร์ดดูหากทำได้” แม้ใจจริงจะไม่ได้คิดแจ้งข่าวดังปากว่าแต่อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นไกลหูไกลตา

   “ก็ที่โรงเรียนนั่นแหละค่ะ แล้วก็ไม่ต้องบอกคุณแอชฟอร์ดหรอก พอคิด ๆ ดูแล้วทำให้เป็นเซอร์ไพรซ์ของทั้งคู่เลยก็ดีเหมือนกัน” น้ำเสียงของเธอดูจะสนุกสนานอยู่ไม่น้อย และบางจังหวะก็คล้ายจะหันไปกระซิบกับคนข้างตัวบ้างก่อนหันกลับมาพูดใส่โทรศัพท์อีกครั้ง “แหม แต่น่าอิจฉาทั้งคู่เลยนะคะ เหมาะสมอย่างกับกิ่งทองใบหยก คุณรามอสก็สวยขนาดนั้น คุณแอชฟอร์ดก็หล่อเหลาไม่ใช่น้อย ทางฉันเองก็คิดมานานแล้วว่าสองคนนี้น่าจะได้ลงเอยกันในสักวัน น่าเสียดายที่คุณแอชฟอร์ดแต่งงานไปเสียก่อนแต่ตอนนี้เห็นจะมีลุ้นนะคะ”

   คำชื่นชมผสมยกยอพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนพัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝั่งของสายคงจะเป็นแม่บ้านมีฐานะที่ช่างพูดช่างคุย บางทีลูกสักคนของเธออาจจะเป็นลูกศิษย์ในโรงเรียนสอนลีลาศของอังเดร หรือไม่ก็เป็นตัวเธอเองที่ไปเรียนที่นั่นและได้เห็นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่ใกล้ชิดประหนึ่งเชื่อมใจไว้ด้วยกัน จึงรู้สึกลุ้นไปกับความรักอันสวยงามตามแบบเทพนิยาย

   หากมีคนแบบนี้อยู่หลาย ๆ คนคอยชี้นำและสนับสนุน คงไม่น่าแปลกใจหากอังเดรจะเริ่มไขว้เขว...

----------------------------------->

   คืนนั้นอังเดรกลับมาค่ำกว่าปกติมาก ซึ่งซูเล่ยก็รู้เหตุผลอยู่แก่ใจจึงพาเอเดรียนขึ้นนอนไปก่อนและนั่งรอเจ้าของบ้านเพียงลำพังจนถึงเกือบเที่ยงคืน

   อังเดรกลับมาถึงด้วยท่าทางเมามึนอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มถอดโค้ทแขวนบนราวแล้วโซเซมานั่งที่โซฟาก่อนถอนหายใจและปลดเนคไทเพราะเริ่มอึดอัด

   “ขอน้ำเปล่าหน่อยสิซู” เขาว่าแล้วเอนพิงพนัก

   ไม่นานซูเล่ยก็ยกน้ำเปล่ามาให้จึงได้เห็นหน้าอังเดรที่แดงเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ อังเดรไม่ใช่คนคออ่อนอะไร ถ้าแสดงอาการมึนประมาณนี้คงจะโดนบังคับดื่มไปหลายแก้วอยู่ ครั้งเดียวที่เขาเห็นอังเดรมึนเมาก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อห้าปีที่แล้ว...

   แล้วนอกจากอาการเมา ยังมีอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า?

   “วันเกิดคุณยูล่าหรือครับ?”

   “อา...” เสียงครางจากในคอแทนคำตอบ

   “แล้วเป็นยังไงบ้าง?”

   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกที่โรงเรียนจู่ ๆ ก็รวมหัวกันเซอร์ไพรซ์ทั้งฉันทั้งยูล่า ทำเอาตกใจแทบแย่แต่ก็....ถ้าถือเป็นวันพักผ่อนก็สนุกดี พอตกค่ำพวกเด็ก ๆ กลับไปแล้ว พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มเปิดเหล้าฉลอง คุยกันไปคุยกันมาก็ดึกเสียขนาดนี้”

   ฟังดูไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งที่ซูเล่ยอยากรู้ไม่ใช่เรื่องสามัญเหล่านี้ เพราะท่าทางของอังเดรบ่งบอกว่ามีมากกว่าสิ่งที่พูด ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วอยู่ตลอดเหมือนมีสิ่งที่คิดไม่ตกอยู่ในใจ

   “คุณรู้หรือเปล่าว่าคนรอบข้างอยากให้คุณกับคุณยูล่าลองคบหากัน”

   “อืม...”

   “แล้ว...คุณคิดยังไง?”

   คำถามของซูเล่ยทำให้อังเดรต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงกลอกตามองคนข้างตัวอย่างพิจารณาและจิบน้ำอีกอึก

   “โดยส่วนตัวแล้วฉันก็คิดว่ายูล่าเป็นผู้หญิงที่ดี คงจะน่าเสียดายถ้าต้องมาติดแหงกกับผู้ชายที่มีพันธะแบบฉัน แต่เธอก็จริงจังเสียจนบางครั้งอดใจอ่อนไม่ได้เหมือนกัน” ถ้อยคำของอังเดรฟังดูมั่นคงและผ่านการไตร่ตรองอย่างดี ไม่มีวี่แววของเขามึนเมาอย่างที่ปรากฏบนหน้าแม้แต่น้อย “ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่เธอกลุ้มใจเรื่องเอเดรียน ทำให้ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ไม่ได้รักเอาฉาบฉวย อาร์เลนก็คอยพูดเรื่องนี้กับฉันอยู่บ่อย ๆ แต่ฉันก็ยังลังเลเพราะเอเดรียนยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้และฉันก็ไม่อยากจะฝืนใจเอเดรียนด้วย”

   ดูเหมือนว่า...ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้อังเดรตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะเอเดรียนจริง ๆ นั่นหมายความว่าหากเอเดรียนไฟเขียว เจ้าตัวก็อาจจะ...

   ซูเล่ยกลืนน้ำลาย

   “สุดท้ายก็ลืมเรื่องมารีนเสียแล้วสินะครับ ทั้งที่เธอเพิ่งจะเสียไปไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ” เพราะไม่อยากจะเปิดเผยความอึดอัดใจของตนเองออกมาตรง ๆ ซูเล่ยจึงไพล่ไปพูดถึงมารีนแทน ซึ่งทำให้ดวงตาของอังเดรลุกวาบด้วยความไม่พอใจ

   “คิดจะเอาเรื่องนั้นมาข่มขู่ฉันหรือ? หรือว่าเป็นคำสั่งของพ่อมารีนอีกล่ะ?”

   “ก็สุดแต่คุณจะคิด ยังไงซะ หากไม่มีเอเดรียนคุณก็คงจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอย่างยูล่าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมสงเคราะห์ให้ก็ได้นะครับ แค่คุณยกสิทธิการเลี้ยงดูให้พ่อของมารีนไปเสีย คุณก็จะได้ใช้ชีวิตอิสระกับใครก็ได้อย่างที่ต้องการ”

   “ไม่จำเป็น เอเดรียนเป็นลูกของฉัน ถ้าฉันจะแต่งงานกับใครก็ต้องผ่านการเห็นชอบของเธอด้วย” อังเดรลุกพรวดขึ้นก่อนจะเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมให้เสียหลักจนต้องพยุง เขาหยัดตัวอย่างมั่นคงหลังจากตั้งสติอยู่สักพักหนึ่ง “และฉันเชื่อว่าหากยูล่ารักฉันจริง ๆ เธอก็ต้องสามารถเอาชนะใจเอเดรียนได้ในสักวัน และถึงตอนนั้นมันก็จะเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอหรือพ่อของมารีน”

   ว่าจบ อังเดรก็กระแทกเท้าขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าโทรศัพท์ของตนกำลังส่งเสียงร้อง ซูเล่ยจึงเดินไปรับเสียเองและพบว่าเป็นข้อความฝากจากยูล่าหลายข้อความต่อ ๆ กันแสดงถึงความยาวของข้อความเมื่อนำมาเรียงร้อย

   ‘คุณแอชฟอร์ดกลับถึงบ้านหรือยังคะ? วันนี้ฉันต้องขอบคุณคุณมากในหลาย ๆ อย่าง นับแต่ได้พบกันนี่เป็นวันเกิดปีแรกที่ฉันมีความสุขถึงขนาดนี้’

   ‘แต่ว่าคุณอย่าใส่ใจมากเลยนะคะ...เรื่อง...เกมจูบอะไรนั่น พวกเขาก็นึกสนุกไปอย่างนั้นเอง และถึงแม้มันจะมีความหมายกับฉันมากเพราะฉันรู้สึกพิเศษกับคุณจริง ๆ และเป็นแบบนั้นมาตลอด...’

   ‘แต่ถ้าหากมันทำให้คุณรู้สึกไม่ดีฉันก็จะลืมมันไปเสีย สำหรับฉันขอเพียงคุณปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิม เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา นั่นก็มากพอแล้ว’

   ‘เอ่อ...ตายจริง...ฉันคงมึนมากไปหน่อยถึงได้พิมพ์ข้อความอะไรอย่างนี้ ช่างมันเถอะค่ะ แล้วพบกันพรุ่งนี้นะคะ – ยูล่า’

   สี่ข้อความผ่านตาไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งและทำให้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บางส่วน นั่นอาจเป็นสาเหตุที่อังเดรมีท่าทีเหมือนกำลังคิดมากก็เป็นได้ ชายหนุ่มคงกำลังคิดเรื่องของยูล่าอย่างจริงจังมากกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา และเมื่อถูกถามจี้ทั้งยังยกเอเดรียนและมารีนมาเป็นข้ออ้างจึงได้อารมณ์เสีย ดูเหมือนคนทั้งสองจะเริ่มใจตรงกันขึ้นมาบ้างแล้ว...

   ซูเล่ยมองแก้วน้ำในมือตนที่หากส่องกับแสงไฟจะเห็นผงสีขาวขุ่นลอยอยู่เล็กน้อย เขาคิดไม่ผิดเลยที่จะลงมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งหากมันได้ผล เขาจะสามารถกันยูล่าออกไปจากอังเดรได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรง แค่เพียงปกปิดไว้ไม่ให้อังเดรรู้เรื่องก็พอแล้ว

   ชายหนุ่มร่างเล็กวางโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวลงที่เดิม และก้าวเท้าตามอีกฝ่ายขึ้นไปบนชั้นสอง เขายืนอยู่หน้าบ้านประตูซึ่งนับแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นมันเปิดออกเพียงครั้งเดียวคือตอนที่รับชุดเครื่องนอน นอกจากนั้นอังเดรก็ยืนยันว่าจะเป็นคนทำความสะอาดห้องของตัวเองเขาจึงไม่เคยได้เข้าไปอีกเพราะไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น

   แต่วันนี้...เขามีเหตุผลแล้ว

   ลูกบิดประตูเคลื่อนหมุนทีละน้อยเพื่อให้เกิดเสียงเบาที่สุด ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก ซูเล่ยก้าวเข้าไปในห้องที่มืดสนิท ทำให้นึกถึงบรรยากาศเดิม ๆ ขึ้นมา...คืนนั้นก็หนาวเย็นเหมือกันคืนนี้...

   หลังจากปิดประตูลงแล้ว ซูเล่ยก็ถอดเสื้อตนเองออก อากาศเย็นกระทบผิวกายพาให้สั้นสะท้านจึงรีบก้าวเท้าไว ๆ ไปที่เตียงและก้มลงมองเจ้าของห้องด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนจะมีมันอยู่มากมายถึงขนาดนี้

   เขาปลดกระดุมอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าพลางสูดหายใจ

   นี่เป็นความผิดของคุณเองนะอังเดร...มันเป็นเพราะความโลเลของคุณ...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-11-2013 15:12:38
เห้ยยยยยยยยยยย ค้างอ้ะ แบบนี้
ซูจะทำอาร๊ายยยย อั๊ยยะ!!!!!!
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-11-2013 15:45:03
กรี๊ดดด
ซูจะทำอะไร
แอบหมั่นไส้ยูล่าเอามากเลยนะ
ทำแบบนี้ไม่ปลื้มเลยจริงๆ ......
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 23-11-2013 18:23:34
เป้นนิยายอีกเรื่องที่อ่านในเล้า สนุกดี มาต่อไวๆๆนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 23-11-2013 18:31:19
อ่านแล้วมันดูง่ายๆๆไงไม่รู้ ไม่ใช่อันเดร วางแผนเพื่อจะหาความจริงจากซูนะ มันดูเหมาะเจาะเกินไป อิอิอิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 24-11-2013 00:14:59
ซูจะทำอะไรรรรร คือซูหึงแล้วแระ
ขัดใจอังเดร ตอนที่แล้วยังกอดยังจูบซูละดูตอนนี้ดิ แต่ละคำพูดแบบโคตรบั่นทอนจิตใจ
ยูล่าก็นะ ก็แบบว่าบาย มั่นใจเกินไป
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 24-11-2013 08:38:59
กรี๊ดดดดด
ซูจะทำอะไร อย่านะซูอย่าช้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-11-2013 13:59:15
-11-

   คอฟฟี่ชอปเป็นสถานที่ซึ่งไม่ได้เหยียบย่างบ่อยนัก เพราะปกติจะเป็นสถานที่นัดพบสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เพียงแต่ในตอนนี้เด็กเหล่านั้นกำลังเล่าเรียนกันอยู่ร้านจึงค่อนข้างเงียบและร้างผู้คน จะมีก็เพียงพวกฟรีแลนซ์มาหาที่สงบเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ส่วนตัวเขา...ใช้มันเพื่อพบกับใครคนหนึ่ง

   และเพื่อการนั้น เขาถึงกับต้องฝากเอเดรียนไว้กับดาริลที่โดนบังคับให้มาเฝ้าบ้านแทนชั่วระยะหนึ่งโดยหวังว่าตอนบ่ายจะกลับไปทันก่อนเอเดรียนจะเริ่มงอแง

   หลังจากเฝ้ารออยู่ราวครึ่งชั่วโมง หญิงสาวเชื้อสายละตินก็เยื้องย่างเข้ามาในร้าน รูปลักษณ์ของเธอยังคงเป็นเป้าสายตาเหมือนเดิม พาให้คนในร้านมองตามกันจนแทบเหลียวหลัง ทั้งนี้ คงเพราะการแต่งกายของเธอที่ค่อนข้างเน้นสัดส่วนด้วยกระมัง

   “สวัสดีค่ะคุณซู”

   “สวัสดีครับ” ซูเล่ยทักทายแล้วผายมือให้อีกฝ่ายนั่งฝั่งตรงข้าม หญิงสาวจึงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และสั่งน้ำชากับบริกรก่อนประสานมือบนโต๊ะ

   “เห็นว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยฉันเลยขอลางานช่วยสอนมาโดยเฉพาะ แต่ว่าตอนบ่ายฉันก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานช่วงเย็น ดังนั้นคงต้องทำเวลากันหน่อยนะคะ” ยูล่ากล่าวเพื่อเร่งรัดให้อีกฝ่ายเข้าเรื่องโดยไวแม้เธอจะไม่ได้ใส่ใจกับงานสอนที่โรงเรียนมากนัก แต่มันก็เป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับชายที่หลงรักและตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเริ่มมีใจให้เธอบ้างแล้วเช่นกัน

   “ผมเองก็ต้องกลับไปดูเอเดรียนเหมือนกัน ดังนั้นขอไม่อ้อมค้อมนะครับ” ซูเล่ยพักหายใจครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “ผมต้องขอโทษคุณจริง ๆ คุณยูล่า ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้บอกความจริงเพราะเกรงว่าอังเดรจะเสียหน้าและถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ จากคุณซึ่ง...จำเป็นต่อเขา”

   ได้ยินท้ายประโยค หญิงสาวก็ยิ้มกว้างด้วยความชุ่มชื่นใจ กระนั้นส่วนที่เหลือก็พาให้สงสัยว่าเหตุใดซูเล่ยจึงต้องขอโทษ และมีอะไรที่จะทำให้เธอมองอังเดรต่างไปจากเดิม

   ปลายนิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนโต๊ะ ซูเล่ยจงใจแสดงความลังเลและลำบากใจออกมาให้สมจริงสมจังอย่างที่สุด เพื่อที่คำพูดที่จะกล่าวต่อไปจะได้ดูมีน้ำหนักมากขึ้น

   “ที่จริงแล้ว...คุณคงจะรู้สึกแปลกมาแต่แรกว่าทำไมถึงจ้างผู้ชายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมคงดูไม่เหมือนพี่เลี้ยงเอาเสียเลย ดังนั้น...ผมพูดมาถึงขนาดนี้ คิดว่าคุณคงจะพอเข้าใจบ้างแล้ว” เสียงถอนหายใจบางเบาของฝ่ายชายกลับสร้างความอึดอัดใจที่มากยิ่งกว่าให้ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นผู้ฟัง เพราะเมื่อเธอคิดดูดี ๆ แล้ว มันก็จริงอย่างที่ว่า เป็นเรื่องที่แปลกมากที่จ้างผู้ชายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงซึ่งสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายในทุก ๆ ด้านเมื่ออยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ซ้ำอุปนิสัยของซูเล่ยก็มีส่วนที่แข็งกระด้าง ไม่ใช่อุปนิสัยของคนที่จะเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กตัวเล็ก ๆ ได้เลยแม้แต่น้อย

   เหตุผลที่อังเดรรับซูเล่ยไว้ เธอไม่เคยสงสัยมาก่อนเลย แต่หากคิดดี ๆ แล้ว อังเดรเป็นผู้ชายรอบคอบ มีหรือจะรับคนที่ไม่รู้จักมาดูแลลูกสาวของตัวเองง่าย ๆ อย่างนี้ นอกจากว่า...ทั้งสองจะมีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็น และอังเดรอยากจะให้เอเดรียนอยู่กับสิ่งนั้นได้ด้วย

   หรือว่าทั้งสองคนจะ...

   “อ...แหม...ฟังคุณพูดอยู่ฝ่ายเดียวมันออกจะ...” ยูล่าสับสนเล็กน้อยกับความคิดที่ถูกชี้นำจึงเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอเกลี่ยผมทัดหูและเสสายตามองไปทางอื่นพลางหาข้ออ้างอยู่ในใจว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะหากใช่ อังเดรควรจะบอกเธอเมื่อรู้ว่าเธอพยายามอย่างมากที่จะแสดงให้รู้ว่ามีใจ กระนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา อังเดรกลับไม่เคยพูดถึงเลยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

   แต่บางครั้ง...ใช่...บางครั้งผู้ชายคนนั้นก็ใกล้ชิดกับพี่เลี้ยงของลูกจนน่าสงสัย...

   “ผมรู้ว่าคุณอาจจะสับสนและกังขา จริงอยู่ว่าผมพูดฝ่ายเดียวคงไม่น่าเชื่อ แต่จะให้คุณไปเค้นถามกับอังเดรคงไม่ได้ เราตัดสินใจจะปิดเงียบไว้เพราะเขาเองก็มีภาระทางสังคม เรื่องแบบนี้มันจะทำให้เขาดูไม่ดีเสียเปล่า ๆ แต่เพราะคุณจริงจังกับเขามากผมจึงไม่อยากจะทำร้ายจิตใจหากรู้ความจริงเอาทีหลัง” ว่าแล้ว ซูเล่ยก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเปิดภาพและยื่นให้ยูล่า “เมื่อคุณดูจะเข้าใจเอง”

   เรียวคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันและรับมือถือแม้จะลังเลอยู่ไม่น้อย

   เธอก้มลงมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแบบทัชสกรีนก่อนเบิกตาและเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ซูเล่ยสังเกตเห็นว่ามือของเธอสั่นเทาน้อย ๆ

   บนหน้าจอคือภาพของชายหนุ่มสองคนเปลือยเปล่าบนเตียง ทั้งสองผมเผ้ายุ่งเหยิง คนหนึ่งหลับใหลและกอดอีกคนด้วยอ้อมแขน ส่วนชายหนุ่มที่ถูกกอดยังตื่นอยู่และเป็นคนที่ถ่ายภาพนี้ ยูล่าสามารถจดจำชายทั้งสองได้แม้จะถูกถ่ายในที่มืดและมีเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงที่ทำให้ภาพสว่างขึ้นเพียงเล็กน้อยเพราะคุณภาพอันย่ำแย่ของกล้องโทรศัพท์มือถือ

   “ถ้าคุณเข้าใจแล้ว ผมก็อยากขอให้คุณถอยออกไปจากเขาอย่างแนบเนียนด้วย เพราะผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมมาบอกคุณ” ซูเล่ยหยิบโทรศัพท์มือถือคืนจากมือยูล่าและเก็บใส่กระเป๋า หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยราวกับกำลังตกในภวังค์และถูกปลุกขึ้นมา เธอพยายามฝืนยิ้มแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวประหลาดตาคล้ายเป็นส่วนผสมของความริษยาและความรังเกียจเดียดฉันท์ จากนั้นจึงลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไร ไม่สนกระทั่งแก้วชาที่เกือบล้มตอนเอื้อมหยิบกระเป๋าและเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

   บริกรมองมาที่โต๊ะคล้ายกำลังสงสัยว่าเป็นคู่รักทะเลาะกันหรือเปล่า เช่นเดียวกับสายตาคนอื่น ๆ ในร้าน ณ เวลานั้น แต่ซูเล่ยก็ไม่ได้นึกสนใจ

   เขายกแก้วชาขึ้นจิบและถอนหายใจที่อย่างน้อยมันก็ไปได้สวย ยูล่าคงไม่นำเรื่องนี้ไปถามกับอังเดรซ้ำอีกเพราะเขาแน่ใจว่าพูดสคริปต์ที่เตรียมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งน่าจะสื่อให้เธอเข้าใจได้ว่าถึงจะถามกับตัวอังเดรอย่างไรเจ้าตัวก็ไม่มีวันพูดเรื่องนี้ตามจริง

   ดังนั้น...มันจะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงที่รู้กันเพียงเขากับยูล่า

   เพราะที่จริงแล้วเมื่อคืนเขาเพียงผสมยานอนหลับลงไปในแก้วน้ำของอังเดร คนเมาที่กำลังกระหายน้ำย่อมไม่ทันสังเกตเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ จากนั้นก็เข้าไปจัดท่าทางเหมือนกับจัดท่าให้หุ่น เพียงแต่อังเดรตัวค่อนข้างหนักจึงจัดท่าได้ลำบากอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายมันก็ออกมาได้ดีเกินคาด ซึ่งต้องขอบคุณการร่วมมือในช่วงสุดท้าย ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะเป็นการนอนเคียงกันธรรมดา แต่แล้วอังเดรกลับละเมอพลิกมารวบเขาเข้าไปกอดอย่างพอดิบพอดี ด้วยเหตุนั้นภาพที่เห็นจึงไม่สามารถเข้าใจเป็นอื่นไปได้

   ซูเล่ยนึกทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้แต่ถอนใจ แน่นอนว่าเขาไม่ได้นึกเสียใจเลยที่หลอกลวงคนอื่นด้วยเรื่องที่ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่...ความอึดอัดที่ยังอวลอยู่ในอกกลับเป็นเรื่องของอังเดร เขากำลังจินตนาการว่าหากเวลานั้นเจ้าตัวกอดเขาและเรียกชื่อออกมาเขาจะรู้สึกอย่างไร จะเป็นชื่อลี หรือ ซู มันก็คงจะทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่าหวาดหวั่น แต่เมื่อคิดดี ๆ มันก็ดีแล้วที่อังเดรเพียงแค่กอดและนอนอย่างเงียบ ๆ เพราะหากชื่อที่ออกมาจากปากเป็น มารีน มันคงจะน่าสมเพชตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

-------------------------->

   ตอนที่ซูเล่ยกลับมาถึงบ้าน ดาริลก็ดูจะดีใจอย่างบอกไม่ถูก

   “สาวน้อยของนายแทบจะฆ่าฉันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าอิดโรยเพราะต้องตื่นมาดูแลเด็กแทนเพื่อนทั้งที่ทำงานจนเกือบเช้าทุกวัน

   “คงไม่ได้โดนบังคับให้เต้นลีลาสหรอกนะ” ซูเล่ยถอดผ้าพันคอแขวนแล้วเดินไปหาเอเดรียนในห้องนั่งเล่นซึ่งเจ้าตัวกำลังนอนกลิ้งเพราะหมดพลังงานจากการละเล่นแสนโปรดปราน แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าของพี่เลี้ยง ก็คล้ายว่ามีพลังงานจากส่วนลึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน เด็กหญิงลุกพรวดขึ้นจากพื้นและถลาตัวเข้าหาซูเล่ยเต็มแรงราวกับจากกันไปนานปี

   “ซูทิ้งเอเดรียน” เธอว่าพร้อมกับพองแก้ม

   “เต้นกับดาริลไม่สนุกหรือ?”

   “สนุก แต่เอเดรียนชอบซูมากกว่า” ได้ยินอย่างนั้น ดาริลก็แกล้งทำเป็นแซวด้วยการถองศอกใส่เพื่อนเบา ๆ

   “ยังไงก็เถอะ พวกเธอสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งฉันเองก็ตื้นตันใจไม่น้อย” ชายหนุ่มอ้าแขนและแสร้งทำสีหน้าเหมือนเป็นตัวประกอบในหนังรัก “ดังนั้นส่วนเกินอย่างฉันคงต้องขอลากลับก่อน เพราะถ้าไม่กลับไปงีบสักหน่อยฉันคงได้สลบคาบาร์แน่ ๆ”

   “ฉันจะไปส่งหน้าบ้าน” ซูเล่ยว่าแล้วโยนกระเป๋าของดาริลให้แก่เจ้าของ ทั้งสามออกไปที่ป้ายรถประจำทางใกล้ ๆ บ้านด้วยกัน และระหว่างที่กำลังรอก็อดถามไถ่ขึ้นไม่ได้

   “ธุระของนายเสร็จเรียบร้อยดีแล้วหรือ?”

   “ก็อาจจะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”

   ดาริลฟังแล้วกลอกตา เพราะซูเล่ยมักจะประเมินความผิดพลาดไว้ต่ำเกินไป เมื่อถึงเวลาต้องแก้ปัญหาจึงมักจะต้องคิดแก้เอาแบบกะทันหัน เหมือนอย่างเมื่อห้าปีก่อนที่เกิดผิดพลาดขึ้นเพราะอารมณ์ของเจ้าตัว ซึ่งทำให้ต้องหายหน้าหายตาไปชั่วระยะหนึ่ง ครั้งนี้เขาเองก็มีลางสังหรณ์อยู่ว่าผลที่ออกมาอาจจะไม่ต่างกัน หวังแต่ว่าซูเล่ยจะตระหนักถึงมันได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง

------------------------>

   อังเดรเก็บของและขับไปที่โรงเรียนลีลาศเพียงลำพังเป็นครั้งแรกในช่วงหลายสัปดาห์ เพราะปกติแล้วจะมียูล่ามานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถจนเริ่มคุ้นเคย พอต้องมาขับรถคนเดียวจึงเกิดไม่ชินขึ้นมาเพราะความรู้สึกโล่งจนน่าแปลก มีแต่เขากับข้าวของหลังรถและเสื้อนอกที่พาดไว้บนพนักของที่นั่งข้างคนขับ

   วันนี้หญิงสาวทำตัวแปลกประหลาด หลังพบกันที่โรงเรียนในตอนเช้าและทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปตามปกติ แต่พอถึงช่วงเที่ยงก็มีโทรศัพท์เข้ามาหา จากนั้นก็ขอปลีกตัวไปโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ และเธอก็ไม่กลับมาที่โรงเรียนอีกเลยจนเริ่มสงสัยว่าเย็นนี้จะได้พบกับเธอที่โรงเรียนลีลาศหรือไม่ อีกใจหนึ่งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าธุระอะไรที่ทำให้ยูล่าหายไปนานถึงขนาดนี้ หวังแต่ว่าจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี

   ตอนที่ไปถึงก็มีคนทยอยกันเข้ามาแล้ว หลายคนเปลี่ยนชุดและลงไปซ้อมบนฟลอร์ บางส่วนก็กำลังจับกลุ่มคุยอยู่มุมหนึ่ง

   อาร์เลนมาถึงก่อนและกำลังยืนมองอยู่ไกล ๆ เขาจึงเดินเข้าไปหา

   “เห็นยูล่าหรือเปล่า?”

   “ไม่นี่ครับ เธอไม่ได้มากับพี่หรือ?”

   “ช่างเถอะ วันนี้เธออาจจะลาหยุดล่ะมั้ง” อังเดรคิดเช่นนั้นเพราะหญิงสาวก็คงมีเรื่องราวของตัวเองให้จัดการเช่นกัน แต่ในขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้คงไม่มีคู่เต้น ยูล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่ากลางฟลอร์เข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง เพียงแต่สีหน้าของเธอดูแปลกตาไปมาก

   ขอบตาหญิงสาวมีรอยช้ำเล็กน้อยและหมองจนไม่เหมือนยูล่าที่แสนสดใสคนเดิม เหมือนว่าเธอเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ แต่ไม่ทันจะได้ถาม เจ้าตัวก็ขอตัวไปดูแลบางคู่ที่มีปัญหากับการเต้น

   อังเดรและอาร์เลนมองหน้ากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างมีคำถาม กระนั้นก็ไม่มีใครให้คำตอบได้

   ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะรอจนกระทั่งเลิกงาน ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะที่จะไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบในแต่ละวัน
   “ยูล่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

   ทันทีที่ได้ยินคำถาม สีหน้าหญิงสาวก็หมองลงทันตา

   “นิดหน่อยค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าบางครั้งมันก็ยังดีไม่พอ” เธอพูดจากำกวมและฝืนยิ้มบาง “คุณแอชฟอร์ดไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ ฉันจะยังคงทำงานที่นี่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันหวังว่าคุณคงจะไม่ขัดข้องที่ฉันยังอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้นฉันก็คงพอทำใจได้”

   การอธิบายของยูล่าเพิ่มความสับสนงุนงงให้กับผู้ฟังเสียจนคำถามมากมายประเดประดังใส่และไม่รู้ว่าควรจะถามคำถามไหนก่อน

   “เดี๋ยวสิยูล่า ผม...ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณพยายามจะบอกอะไร”

   “ฉันก็แค่...สงสัยว่าตัวเองไม่ดีตรงไหนเท่านั้นเองค่ะ” เสียงของยูล่าแฝงแววสะอื้นอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนคำถามที่แสนเอาใจใส่ของอังเดรจะไปสะกิดให้เธอโศกเศร้ามากขึ้น

   ชายหนุ่มร่างสูงแตะบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ ให้รู้สึกถึงการปลอบโยน

   “ฟังนะ สำหรับผมคุณเป็นผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อม ไม่ว่าใครจะพูดยังไงผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดีในสายตาของผมและของทุก ๆ คนที่นี่” แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่อังเดรก็อนุมานได้ว่าหญิงสาวคงถูกอะไรบางอย่างหรือใครสักคนทำลายความมาดมั่นที่เคยมีจนหมดสิ้น ซึ่งเขาอยากจะให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงที่สดใสและมั่นใจในตัวเองดังเดิม

   ทว่ายูล่ากลับช้อนตามองเขาคล้ายกำลังตัดพ้อต่อว่า

   “แล้วทำไมคุณถึงไม่เลือกฉันเสียที ฉันได้แต่เฝ้ารอ รอแล้วรอเล่ามาหลายต่อหลายปี หวังว่าสักวันคุณจะหันมามองฉันบ้าง แต่...สุดท้ายคุณก็ยังเลือกคนอื่น”

   “เดี๋ยวสิ...ผมหรือ?” เรียวคิ้วสีเข้มมุ่นเข้าหากันทันที เขาไม่เข้าใจว่าประเด็นนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเองได้ยังไง “ผมยังไม่ได้...”

   “เลิกโกหกเถอะค่ะ” เสียงสูดลมหายใจลึกตามด้วยคำพูดหนักแน่นพาให้ผู้ฟังต้องหยุดที่จะแก้ตัวต่อเพื่อจะฟังว่าตนพูดอะไรผิดไป “ฉันเห็นมาแล้ว ภาพนั้น...คุณซูนำมาให้ฉันดูและบอกความจริงกับฉันทุกอย่าง ฉันรู้ว่าคุณมีหน้ามีตาในสังคมคงจะต้องปิดบังเรื่องแบบนี้ แต่ว่าได้โปรด...อย่าให้ความหวังกับฉันอย่างลม ๆ แล้ง ๆ อีกเลยค่ะ” ว่าแล้วยูล่าก็ดึงมืออังเดรออกก่อนเดินจากไปโดยกล้ำกลืนน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลหยดต่อหน้าผู้ชายที่หลงรักแต่กลับไม่เคยได้รับความรักตอบซ้ำยังถูกหลอกลวงอย่างโหดร้าย

   ทว่า...ยูล่าไม่ได้รู้เลยว่าอังเดรเป็นเพียงเหยื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   ชายหนุ่มยืนเคว้งในห้องแต่งตัวแคบ ๆ มองภาพสะท้อนในกระจกเงา และถามตนเองอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

   เขาปะติดปะต่อทุกถ้อยคำของยูล่าเหมือนต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นภาพที่เสร็จสมบูรณ์ของมัน

   จากนั้น...ชื่อของใครบางคนก็ผุดขึ้นมา

   ซู...

   ซูบอกอะไรบางอย่างกับยูล่า และสิ่งที่บอกเล่านั้นได้นำมาซึ่งความเข้าใจผิดใหญ่หลวง...

   อังเดรคว้ากระเป๋าและเสื้อนอกก่อนจ้ำเท้าออกไปนอกอาคาร เขาพาตนเองเข้าไปในรถและรีบขับกลับบ้านด้วยใจร้อนรนเพราะต้องการคำตอบ แต่ด้วยนิสัยของซูเล่ยคงจะบ่ายเบี่ยงและพาออกนอกเรื่องจนต้องทะเลาะกันอีก ดังนั้นเขาคงจะต้องหาวิธีอื่นที่จะได้รับคำตอบโดยไม่ต้องถามจากเจ้าตัว

---------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-11-2013 14:00:01
   อังเดรกลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะไม่ได้อยู่ดูแลความเรียบร้อยก่อนกลับอย่างเคย แต่อาร์เลนคงจัดการทุกอย่างได้ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มจึงไม่นึกกังวลเกี่ยวกับโรงเรียนที่ตนเองทิ้งไว้เบื้องหลังมากนัก

   ในเวลานั้นซูเล่ยกำลังเตรียมอาหารในครัวและเอเดรียนนั่งเล่นอยู่ ดูเหมือนว่าเด็กหญิงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จใหม่ๆตัวจึงยังหอมกลิ่นสบู่จนฟุ้ง

   “แดดดี้กลับไวจัง” เอเดรียนกระโดดกระเด้งให้พ่ออุ้มด้วยความดีใจ ชายหนุ่มจึงโน้มตัวลงไปอุ้มลูกสาวขึ้นมากอดและหอมแก้มฟอด สัมผัสขอเอเดรียนช่วยให้อังเดรลืมความร้อนใจไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าในนาทีต่อมาเมื่อเห็นหน้าซูเล่ย ความรู้สึกนั้นก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง

   แต่อังเดรก็เลือกที่จะรอ...เขาไม่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ผิดปกติ และรอจนกระทั่งถึงเวลาอันเหมาะสม เมื่อซูเล่ยพาเอเดรียนเข้านอนเจ้าตัวจะต้องใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อกล่อมให้เอเดรียนหลับ ซึ่งในเวลานั้นเอง อังเดรแอบย่องผ่านประตูไปทางห้องของซูเล่ยโดยที่เจ้าตัวไม่ทันเอะใจ ชายหนุ่มบิดลูกบิดโดยไม่มีความลังเลเหมือนกับครั้งก่อนที่มายืนอยู่หน้าประตูบ้านนี้และปิดลงอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้

   เอาล่ะ เขาควรจะมองหาอะไร?

   อังเดรคิดทบทวนบทสนทนาในหัว จำได้เลือนรางว่ายูล่าพูดถึงบางสิ่งที่ซูเล่ยนำมาให้ดู เธอบอกว่าเป็นภาพ ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะเป็นรูปถ่ายหรืออะไรบางอย่างแนว ๆ นั้น

   ชายหนุ่มเริ่มต้นจากเปิดลิ้นชักใกล้ตัว เขาพบกล่องที่ข้างในใส่ผ้าปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนที่มองไม่เข้าใจความหมายแต่ไม่พบสิ่งที่น่าจะใกล้เคียงคำว่าภาพเลย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงปิดลิ้นชักและค้นหาจุดอื่นต่อ และพบว่าซูเล่ยไม่ได้รอบคอบและช่างระแวงอย่างที่เคยคิด เพราะลิ้นชักและประตูตู้ทั้งหมดในห้องไม่มีอันใดเลยที่ถูกลงกลอนไว้ ซ้ำของก็ยังมีอยู่น้อยนิดจนนับชิ้นได้ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่อาศัยนานนัก และพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ มันทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

   แต่เวลานี้ อังเดรโยนสังหรณ์ของตนทิ้งไปและมองหาสิ่งที่ควรจะมีอยู่ในห้องนี้ หรือไม่...ซูเล่ยก็คงเก็บไว้กับตัวแม้แต่ในเวลานี้...

--------------------->

   หลังจากกล่อมเอเดรียนจนหลับได้ ซูเล่ยก็พาตัวเองออกมาจากห้องและเดินลงไปเก็บของ แต่น่าแปลก...อังเดรไม่ได้อยู่ข้างล่าง ไม่ว่าจะในครัวหรือในห้องนั่งเล่น

   ชายหนุ่มตามไปดูถึงห้องน้ำแต่ก็ไม่อยู่เช่นกัน

   อังเดรไปไหน?

   ซูเล่ยมองไปที่ประตูและพบว่าเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ หรืออะไรก็ตามที่ใช้ป้องกันตัวจากความหนาวเย็นที่แม้จะลดลงแล้วในช่วงนี้แต่ก็ยังบาดผิวอย่างโหดร้าย แต่มันอยู่ครบ เขาเดินออกไปดูกระทั่งรองเท้าซึ่งก็ยังอยู่ทุกคู่ไม่ได้หายไปไหนเลย แล้วตัวอังเดรจะไปที่ไหนได้?

   ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็พลันเต้นเร่าอย่างกระวนกระวายและเสสายตามองขึ้นไปตามขั้นบันไดราวกับจะมีบางสิ่งปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดนตรีที่ดังก้อง แต่แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเหมือนในภาพยนตร์ที่ดูผ่านไป บ้านหลังนี้สงบเงียบเหมือนที่เคยเป็น สิ่งเดียวที่ผิดสังเกตคือเจ้าของบ้านที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับหายตัวไปเฉย ๆ แต่หากคิดดี ๆ แล้วเจ้าตัวอาจจะแค่ขึ้นนอนไวกว่าปกติ

   ไม่สิ...อังเดรต้องอาบน้ำก่อนเข้านอน ดังนั้นอาจจะอยู่ที่ห้องน้ำชั้นสอง

   ไม่รู้ว่าเหตุใดใจจึงไม่เป็นสุขถึงขนาดนี้ ราวกับมีบางสิ่งกำลังเตือนเขาถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วแต่เขากลับไม่เข้าใจสัญญาณ

   ซูเล่นตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสองและถือวิสาสะเปิดประตูห้องของอังเดรเข้าไป และพบว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในนั้นตามคาด ที่สุดท้ายจึงน่าจะเป็นห้องน้ำ

   แม้ใจจะถามตัวเองเป็นระยะว่าทำไมต้องเดินหาอังเดรจนทั่วบ้าน แต่เขาก็ยังทำต่อไปแม้จะหาคำตอบที่ดีให้ตัวเองไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่...ความระแวงต่อความผิดของตัวเอง

   ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกและมันก็ว่างเปล่า

   ห้องสุดท้าย...

   ซูเล่ยเดินออกมาและมองประตูห้องตัวเอง ห้องของเขาคือห้องสุดท้ายในบ้านหลังนี้แล้ว แต่เป็นห้องที่มีโอกาสน้อยที่สุด ชายหนุ่มร่างเล็กสูดหายใจเข้าปอดและเปิดประตูห้องอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังพาตัวเองเข้าไปในประตูพิศวงซึ่งไม่รู้ที่มา แต่ไม่ทันที่จะผ่านเข้าไปก็กลับมีมือข้างหนึ่งพุ่งออกมาคว้าตัวเขาเสียแทน

   ชั่ววินาทีนั้นซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญ เขาไม่ทันมีเวลาขืนตัวเสียด้วยซ้ำเพราะเมื่อรู้ตัวอีกครั้งเสียงประตูก็ปิดปังข้างหู และตัวเขาก็ถูกผลักกระแทกบานประตูเต็มแรง

   “อังเดร?” ดวงตาเรียวรีจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกมึนงงสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วกลับปรากฏสิ่งของชิ้นหนึ่งในกรอบสายตา มือของอังเดรถือโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่งซึ่งมองแล้วเป็นของเขาอย่างแน่นอน และมันถูกฉวยไปจากกระเป๋ากางเกงยีนส์เมื่อครู่นี้

   ด้วยความตกใจ ซูเล่ยตะปบกระเป๋าหลังและพบว่ามันหายไปจริง ๆ

   ฝาพับถูกเปิดออกต่อหน้า เจ้าของไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายล้วงค้นความลับของตนได้จึงเอื้อมมือคว้าคืน ทว่ากลับถูกมืออีกข้างจับตรึงไว้กับบานประตูไม้ อังเดรเอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อยระยะแขนข้างที่เหลือของซูเล่ยก็ไม่อาจแย่งยื้อสมบัติส่วนตัวคืนได้เสียแล้ว เขาทำได้เพียงมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังถูกเปิดเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าผู้ค้นรู้จุดมุ่งหมายดีและกำลังหาทางเข้าไปยังจุดนั้นให้ได้

   และในที่สุด หน้าจอก็ปรากฏภาพที่ทำให้ผู้มองต้องกลั้นหายใจ ตอนแรก...ก็เพียงเพราะตกใจและประหลาดใจ ทว่าในนาทีต่อมา สีหน้าของอังเดรกลับระบายไปด้วยโทสะพลุ่งพล่านอย่างที่ซูเล่ยไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาคมกริบตวัดกลับมาหาเจ้าของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจดจำสิ่งที่เคยผ่านเข้ามาอย่างแม่นยำ ใบหน้าของซูเล่ยก็ซีดลงทันควันเพราไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นไวถึงขนาดนี้

   เจ้าตัวเพียงคิดว่าจะลบมันทิ้งแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะคิดว่าวันอื่นค่อยลบก็ได้

   ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นปัญหาเพราะความชะล่าใจ

   “มีอะไรจะธิบายไหม?” เสียงของอังเดรที่เคยนุ่มทุ้มอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แสดงถึงความอดทนอดกลั้น พร้อมกับคำถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็ยื่นโทรศัพท์มือถือเข้าใกล้ใบหน้าของผู้ที่ปรากฏอยู่บนภาพเคียงคู่กับตนในสภาพที่ล่อแหลมอย่างที่ไม่มีใครเคยคิดถึง

   “คุณยูล่าบอกหรือครับ?” ซูเล่ยปรับน้ำเสียงให้ปกติและถามกลับ ทว่ามือของอังเดรกลับบีบแน่นจนข้อมือเขาแทบหัก นั่นคงเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าซูเล่ยประเมินมารยาหญิงต่ำเกินไป ยูล่าไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความคับแค้นใจแล้วจะเก็บเงียบ เธอพร้อมจะระบายมันออกมาเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้เช่นเดียวกับที่เคยระบายความปรารถนาที่จะเป็นที่รักของอังเดรต่อหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมา

   ดวงตาของอังเดรยังคงเค้นถามอย่างเงียบงันแต่ซูเล่ยกลับเบี่ยงสายตาหลบ

   “คุณจะสนใจมันทำไม แค่ไปบอกเธอว่าทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิดและผมใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงพวกคุณ เท่านี้เธอกับคุณก็จะได้สมรักกันง่ายขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”

   “เลิกเบี่ยงประเด็นเสียที!” เสียงตะคอกดุดันพาให้ผู้ฟังสะดุ้งเฮือกเพราะไม่คิดว่าตนเองจะถูกคุกคามด้วยน้ำเสียงเช่นนี้จากผู้ชายตรงหน้า แต่แล้วท่าทางของอังเดรก็กลับสงบลง ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจบางเบาและหลับตาคล้ายขอเวลาคิดสักครู่หนึ่งและเมื่อลืมตาขึ้น มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเฝื่อนฝืดคล้ายเป็นส่วนผสมของการเหยียดหยามและความฉุนเฉียว “อ้อ...ฉันลืมไปเสียสนิท ดูเหมือนเขาจะส่งเธอมาเพื่อปกป้องดูแลไม่ให้ฉันเอาสมบัติของมารีนไปใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ สมบัตินั่นคงหมายถึงตัวฉันที่เป็นสามีด้วยสินะ?”

   ซูเล่ยไม่ได้ตอบ เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ เพียงแค่ปล่อยให้อังเดรสันนิษฐานไปตามใจคิดโดยคิดว่าอีกไม่นานเจ้าตัวคงเลิกใส่อารมณ์กับเขาและโทรไปโวยวายกับพ่อตาแทนเหมือนกับครั้งแรกที่เขามาที่นี่

   แต่เป็นอีกครั้งที่ซูเล่ยคิดผิด

   “แล้วยูล่าดูเหมือนจะเข้าแผนเธอด้วยสินะ? คงจะเดินหนีไปทั้งน้ำตาเพราะคิดว่าฉันหลอกลวงเอาเธอเป็นเครื่องบังหน้าเพื่อหาความสุขกับพี่เลี้ยงของลูกสาวอย่างเต็มที่ล่ะสิ”

   “ก็ไม่ต่างจากความเป็นจริงไม่ใช่หรือ?” ถึงตรงนี้ ซูเล่ยกลับไม่สามารถผิดปากเงียบต่อไปได้ ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะทนฟังคนอื่นเฉย ๆ ได้อยู่แล้ว “หรือคุณจะทำเป็นจำไม่ได้ที่จูบผม กอดผม เหมือนกับว่าผมเป็นตัวแทนผู้หญิงของคุณที่ตอนนี้ไม่สามารถลุกจากหลุมมาปรนนิบัติรับใช้ได้อีกแล้ว!”

   “พอได้แล้ว!”

   “ไม่! ปากคุณก็พูดแต่ว่าเพื่อเอเดรียนบ้าง มารีนเพิ่งจะเสียไปบ้าง แต่เอาเข้าจริงก็ดีแต่ปาก คุณก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นรู้สึกยังไงแต่ก็ยังให้ความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากบอกว่าไม่สนใจแต่พอถูกยั่วยวนนานวันก็เริ่มโลเล” สุดท้ายเขาก็ไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ ซูเล่ยได้แต่หลอกตนเองว่ามันเป็นเพียงความไม่พอใจเพราะผิดแผน กระนั้นกลับไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าภายในคำพูดทั้งหมดไม่ได้มีความหึงหวงอยู่เลยแม้กระผีกริ้น “คุณจะให้ผมรอจนเธอท้องป่องเดินมาบอกว่าใครเป็นพ่อเด็กแล้วค่อยให้ผมร้อนใจหรือยังไงกัน!”

   “ถ้าเธอไม่เลิกดูถูกคนอื่นเราจะได้เห็นดีกันแน่ซู!”

   เสียงตะคอกของอังเดรเป็นเหมือนสัญญาณพักหายใจของพวกเขาทั้งสอง ซูเล่ยรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนกำลังร้อนผ่าวเพราะความโกรธที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อาจจะเป็นความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจนานแล้วและไม่ได้พูดมันออกมา เพราะรู้สึกได้ว่าอังเดรกำลังโอนอ่อนไปทางยูล่าแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนให้ความหวังเขาไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ความจริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่กำลังรู้สึกว่าถูกหลอกใช้เพื่อบังหน้า

   “ถ้าหากจะถามว่าใครน่ารังเกียจที่สุด ก็คงจะเป็นเธอนั่นแหละ” คำพูดและสายตาของอังเดรไม่มีความขัดแย้งกันแม้แต่น้อย มันแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจนน่าเจ็บปวด

   ซูเล่ยแค่นยิ้ม

   “ถ้าคิดแบบนั้นก็เชิญเอาตัวออกไปห่าง ๆ คนน่ารังเกียจแบบผมเสียที” อาจเพราะรู้อยู่แล้วว่าสักวันความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องจบลงในรูปแบบนี้ เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ตนเองสามารถพูดประโยคเมื่อครู่ได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่สมองว่างโหวง แต่เมื่อพยายามจะรั้งตัวเองออกก็กลับรู้สึกได้ว่ามือของอังเดรบีบรัดแน่นขึ้น ซ้ำลำตัวกว้างยังเบียดชิดเข้ามาจนไม่อาจขยับหนีไปทางไหนได้นอกจากจะเปิดประตูและถลาไปด้านหลัง ทว่ามือของเขากลับไม่อาจเอื้อมไปถึงลูกบิดของมันได้

   สายตาของซูเล่ยตวัดมองอีกฝ่ายคล้ายกำลังจะถามว่าคิดจะทำอะไร แต่ก็ต้องชะงักพร้อมกับเสียงร้องที่หลุดจากลำคอเพียงสั้น ๆ เพราะท่อนขาของอังเดรแทรกเข้ามาระหว่างขาทั้งสองข้างและกำลังกระทำการอันน่าอับอายอย่างที่เขานึกไม่ถึง

   “คุณ...จะทำอะไร...” ซูเล่ยเค้นเสียงถามได้ในที่สุดแต่ถึงตอนนั้นช่องท้องของเขาก็กำลังไหววูบเพราะสัมผัสหนักแน่นและจงใจ

   อังเดรจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาคมปลาบก่อนเลื่อนใบหน้าเข้ามาจนชิดและกระซิบคำตอบ

   “ทำให้สิ่งที่เธอหลอกลวงคนอื่นไว้กลายเป็นความจริงน่ะสิ”

   ชายหนุ่มร่างเล็กสะดุดลมหายใจตนเองเมื่อมือข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้เสื้อ ปลายนิ้วเย็นเฉียบลูบไล้ไปบนผิวกายสีซีด เขาพยายามรั้งมือข้างนั้นออกทว่าท่อนขาแกร่งก็ยังจงใจปลุกเร้าไม่ออมแรงและไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่าแม้สักวินาที เพียงไม่นานนัก ลมหายใจของเขาก็เริ่มแตกพร่าพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหาย

   แววของความปรารถนาที่ปรากฏในแววตาสีอ่อนพาให้ใจวูบไหว เหมือนกับดวงตาที่เคยจ้องมองเขาเมื่อในอดีต ดวงตาคู่นี้ที่เคยทำให้ใจอ่อนจนไม่อาจรั้งตนเองให้อยู่กับเหตุและผลได้อีกต่อไป ครั้งนี้มันได้หวนกลับมาอีกครั้งและทำให้หวั่นไหวไปกับความอ่อนโยนที่แสนเย็นชา

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 28-11-2013 14:57:54
อ่า ชอบจังความอ่อนโยนที่แสนเย็นชา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Little_Devil ที่ 28-11-2013 14:59:15
ยูล่ามารยาใส่อังเดรจริงหรือเปล่าเนี่ย

แล้วอังเดรกับซูเล่ยจะเป็นยังไงต่อไป จะได้กินมาม่ากี่ชาม
มาปูเสื่อรอตอนต่อไป รีบมาต่อเร็วๆ นะคะ
ค้างงงงงงงงงงงงงงง  :katai1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-11-2013 16:44:55
กีสสสสสส
เย็นชาและใจร้ายกันมากเลยอะ
สงสารซู คงจะเจ็บมากเลยที่เป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 28-11-2013 17:09:48
หวังว่าจับตัวซูแล้วจะจำได้นะว่าคนเดียวกับในบาร์อะ!
งี่เง่าโวยยยยยยยยยยยยยยยยย จะไม่หงิดเล๊ยถ้าไม่เคยกอดไม่เคยจูบเค้า
ยูล่านี่ก็--_______---เบื่อ เซงนาง

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 28-11-2013 17:55:36
มาเม้นท์ก่อนอ่าน ชอบเรื่องนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-11-2013 19:09:13
เย้ยยยยยย อังเดร
ถนอมซูหน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 28-11-2013 22:21:49
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย ชอบเรื่องนี้เหลือเกิน
อยากอ่านต่อล่ะอ้ะะะะ
ซูจะโดนจิ้มแล้วววว
อังเคร อย่าติดใจละกัน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 29-11-2013 15:36:36

รอฉากนี้มานาน

ในที่สุด...

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 29-11-2013 18:33:03
โอ้ยยยยยยย ไอ้บ้าา เมื่อเอ็งจะจำเค้าได้

เค้าหนีก็เอ็งไปแล้วเฟ้ยยย  :serius2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 30-11-2013 11:39:53
It's to late apologize...
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 30-11-2013 13:56:16
อ่า เพิ่งอ่านไปได้ตอนเดียวแต่ก็ชอบซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 02-12-2013 20:47:05
มาปูเสื่อรอ อิอิ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 02-12-2013 22:18:02
 :hao6: :hao6: o13 o13 o13
เพิ่งได้มาอ่าน
ขอบอกว่าเข้มข้นมากกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 03-12-2013 04:43:42
มาจากกระทู้แนะนำนิยาย
สนุกดีค่ะ o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 03-12-2013 16:06:20
แอบสงสารชูนิสสนึงอ่า
นี้ถ้าชูบอกไปว่าผมมีชื่อเล่นว่าลี อยากรู้ว่าคุณสามีที่เลิฟจะ
ทำท่าคุกคามชูแบบนี้ไหมอะ
ปล แต่ไม่สงสารยูล่าหรอก ฮ่าๆ ปล่อยนางออกนอกวงโคจรไปได้ก็ดี
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-12-2013 17:22:30
จิ้มรอ ครึครึ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 03-12-2013 17:51:43
ชอบบบบบบ! และ ค้างง!!!  :ling1:

เราเพิ่งตามมาจากกระทู้แนะนำนิยาย
ชอบสำนวนการเขียนและภาษาที่ใช้มากเลย  o13

การดำเนินเรื่องไหลลื่นมาก
ส่วนปมในเรื่องก็ซับซ้อนซะเหลือเกิน หรือเราอ่านแล้วงงเองก็ไม่รู้ฮ่าาๆ  :really2:

แต่อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็เหมือนจะคลายๆแล้วนะ
แต่ก็รู้สึกมีบางอย่างที่มันลึกลับซับซ้อนผูกเป็นปมอยู่ดี
ง่ายๆคือยัง งง ความสัมพันธ์ของซู กับพ่อตา กับมารีน และกับอังเดร  :เฮ้อ:

ยิ่งตอนล่าสุดนี่อะไรๆมันชักจะไปกันใหญ่แล้วววว และจบตอนได้ค้างมว๊ากกก  :hao7:
มาต่อเถอะน้าคนแต่ง อยากอ่านต่อแล้วจ้าา :L2:



หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 04-12-2013 19:16:59
สงสารซู
อังเดร ผู้ชายใจร้ายและโลเล เมื่อไหร่จะจำซูได้สักทีหละคะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 05-12-2013 14:01:16
-12-


   อาการปวดหัวเพราะนอนผิดเวลาอาจจะเป็นสิ่งแรกที่ปลุกให้เขารู้สึกตัวในตอนเช้า...หรือว่าอาจจะเป็นตอนสาย...

   ซูเล่ยมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือที่คว้ามาได้จากโต๊ะข้างเตียงและพบว่าเป็นเวลาสายโด่งกว่าที่ตื่นปกติมาก หากจะว่าจริง ๆ คือตอนนี้ก็ 10 โมงเข้าไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้สมองตื่นตัวปลุกทุกกระแสประสาทให้แล่นพล่านกลับไม่ใช่เวลาแต่เป็นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแทนภาพพื้นเดิมที่เคยตั้งไว้

   ใบหน้ายามหลับใหลของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมองเห็นผ่านม่านสลัว มีเพียงแสงยามเช้าที่ทำให้เห็นเค้าโครงของแต่ละส่วน รวมถึงรอยประทับสีแดงที่เห็นได้ในบางจุด เพียงเท่านั้นเลือดก็สูบฉีดขึ้นมาจนแดงซ่าน เขาไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนถ่ายภาพนี้ไว้และถ่ายไว้เมื่อไหร่ เพราะร่องรอยต่าง ๆ ที่ปรากฏในรูปก็ปรากฏบนร่างกายของเขาเช่นกัน ซูเล่ยยกมือขึ้นลูบคอตนเองในบริเวณที่ถูกย้ำจูบโดยไม่รู้ตัว

   ภาพของค่ำคืนที่หนาวจับใจแต่ก็ระอุไปด้วยไอร้อนของสองร่างที่กอดก่ายยังแล่นพล่านอยู่ในหัว เขาจำได้ทุกเหตุการณ์ ทั้งเสียง ภาพ และกลิ่นอายที่พาให้ดวงตาและสติพร่ามัว

   สองแขนที่โอบกอดอย่างแนบแน่นราวกับปรารถนาจะกลืนกินเข้าไปทั้งร่างยังคงฝากสัมผัสไว้บนผิวเนื้อขาวซีด แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็สามารถรู้สึกได้

   และเป็นคืนแรก...นับจากหลายปีที่จากกัน ที่เขาฝันถึงคืนวันที่ได้พบกับอังเดร

   ผู้ชายคนนั้นเคยโอบกอดเขาอย่างนี้ด้วยสติที่พร่าเลือน ลูบไล้ไปบนร่างกายราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทิ้งรอยจูบที่พาให้หวนคำนึงแม้มันจะจางหายไปภายในเวลาไม่นาน ถูกร่ำเรียกด้วยน้ำเสียงอันไพเราะอ่อนหวานและเพ้อครวญหลงใหล

   ในเวลานั้นเขาแทบจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร เพียงแค่ปล่อยทุกสิ่งไปตามครรลองโดยไม่ต่อต้าน หรือไม่...ก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเพราะใจได้จำยอมไปเสียแล้ว แม้สุดท้ายจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง แต่เขาก็ยังไม่ลืมเลือนสิ่งที่ผ่านเลยไป

   ทว่า...เมื่อคืนนี้ มันกลับไม่สวยงามเหมือนเช่นเศษเสี้ยวในความทรงจำ

   อังเดรเต็มไปด้วยโทสะและความฉุนเฉียวอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนไม่ว่าครั้งไหน ๆ ใช้กำลังรุนแรงแม้จะไม่ถึงขั้นหยาบคายแต่ก็ทิ้งร่องรอยที่มองเห็นได้จนถึงตอนนี้ บางส่วนของร่างกายไม่ได้มีเพียงรอยจูบสีแดงที่น่าอับอาย ทว่ามีรอยช้ำเขียวที่เกิดจากการบีบรัดอย่างไม่ปรานีปราศรัย

   ซูเล่ยอดจะหัวเราะกับตัวเองไม่ได้

   ที่จริงเขาก็คิดอยู่แล้วว่ามีโอกาสที่อังเดรจะรู้ความจริง แต่เขากลับไม่นึกเสียใจเลยที่เป็นเช่นนั้น เพราะส่วนหนึ่งในใจก็ยังคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยังคงปรารถนาในตัวเขา แม้จะรู้ว่าควรถอยหนีและเว้นระยะห่างเพื่อจะได้ไม่จบลงอย่างในอดีต

   นี่มัน...ไม่ดีเอาเสียเลย...

----------------------------->

   เอเดรียนอาจจะรู้สึกแปลกอยู่เล็ก ๆ กับยามเช้าที่ไม่มีซูเล่ย เพราะวันนี้อังเดรกลับทำหน้าที่เหล่านั้นแทนทั้งทำอาหารง่าย ๆ และฆ่าเวลากับลูกสาวจนกว่าจะถึงเวลาทำงาน คิด ๆ ดูแล้ว ก็ทำให้นึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันยากลำบากที่มารีนเพิ่งเสียไปใหม่ ๆ เรื่องราวเหล่านั้นผ่านมาหลายเดือนแล้วและน่าแปลกที่เขาเริ่มจะจดจำความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไม่ได้ เหมือนกับว่าความทรงจำถูกหั่นออก พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็มีสมาชิกคนใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านซึ่งทำให้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งในทางที่ดีขึ้นและแย่ลง

   แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เรียกว่าดีขึ้นหรือแย่ลงกันล่ะ?

   ยังไม่ทันที่จะหาคำตอบให้ตัวเองได้ เขาก็แว่วเสียงเดินจากทางบันไดและเห็นว่าซูเล่ยในเสื้อตัวหนาแบบปิดคอกำลังย่องลงมาเหมือนเด็กที่แอบเที่ยวกลางดึกและกลัวว่าจะถูกจับได้

   “ซู ซูตื่นสาย” เอเดรียนเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายพร้อมทั้งพองแก้มอย่างแง่งอนและลุกขึ้นเท้าเอวทำให้ตอนนี้เธอดูแก่แดดแก่ลมและน่าขันไปพร้อม ๆ กัน

   “ฉัน...”

   “ไม่ค่อยสบาย” ก่อนที่ซูเล่ยจะคิดหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลได้ อังเดรก็แทรกขึ้นก่อนทำให้บรรยากาศตกกอยู่ในความเงียบชั่วขณะเพราะฝ่ายหนึ่งอึดอัดใจที่จะสู้หน้า ส่วนอีกฝ่ายกลับใช้สายตาจับจองอย่างอุกอาจ มีเพียงเอเดรียนเท่านั้นที่ไม่เข้าใจสถานการณ์และพูดจาไปเรื่อยตามประสา

   “ซูป่วยต้องพาหาหมอหรือเปล่า คุณหมอน่ากลัวจะเอาเข็มจิ้มซูไหม?” เธอเขย่าแขนพ่อเพื่อเอาคำตอบ

   “ไม่หรอก” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มให้ลูกสาวแล้วลูบผมเบา ๆ “ซูแค่นอนพักนิดหน่อยก็หายดีแล้ว ใช่ไหม?” คำถามกลับถูกส่งไปหาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวข้อสนทนา ซูเล่ยปั้นสีหน้าไม่ถูกจึงกลอกตาไปมาอยู่สักพักก่อนตัดสินใจพยักหน้าเพื่อให้จบเรื่องจบราวไป แม้ในความเป็นจริงแล้วร่างกายเขาก็ไม่ได้สบายดีอย่างที่ทุกคนคิด เขารู้สึก...แปลกอยู่นิดหน่อยเวลาที่เคลื่อนไหวหรือแม้กระทั่งยืนเฉย ๆ

   น่าแปลกที่อังเดรไม่ได้แสดงท่าทางผิดแปลกอะไรเลย หรือจะมีเพียงแต่เขาที่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเรื่องผิดปกติ สำหรับอังเดร มันคงจะเหมือนการเชิญชวนผู้หญิงสักคนมาที่บ้าน ผ่านค่ำคืนแสนหวาน และต่างคนต่างก็จากกันไปด้วยดี

   เขาเรียกกันว่า...วันไนท์สแตนด์ใช่ไหม?

   คำนั้นทำให้ในอกรู้สึกชาวูบ เหมือนทิ้งก้อนหินลงไปในบ่อลึกไร้ก้น

   “แต่...ไปหาหมอก็น่าจะดี” เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะอากาศหนาวมักทำให้เขาเป็นหวัด จึงเผลอเปรยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร กระนั้นกลับเรียกสายตากังขาจากสองพ่อลูก โดยเฉพาะอังเดรที่นอกจากสายตากังขายังมีความรู้สึกอื่นเจือปนอยู่ด้วย แต่ผู้พูดกลับไม่ได้สนใจ เขาไม่กล้ามองตาอีกฝ่ายตรง ๆ เสียด้วยซ้ำ จึงเพียงแค่เดินผ่านไปและเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาว่ามีอะไรที่ตนเองควรทำในเวลาอย่างนี้

   คล้ายว่าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก ซูเล่ยจึงรู้สึกล่องลอยไม่มีจุดหมาย เขายืนมุ่นคิ้วอยู่หน้าตู้เย็นหลายนาทีพลางคิดว่าจะทำอะไรต่อไป อาหารเช้า? ไม่สิ นี่มันเลยเวลาเช้าแล้ว ก็ต้องเป็นอาหารเที่ยง อีกชั่วโมงกว่า ๆ จะถึงเวลาเที่ยง

   หลังจากทบทวนอยู่สักพัก ซูเล่ยจึงถอยหลังเพื่อเปิดประตูตู้เย็น แต่กลับชนเข้ากับใครอีกคนที่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

   ซูเล่ยไม่ได้หันไปเพราะรู้ว่าเป็นใคร แต่เพราะรู้จึงได้ทำอะไรไม่ถูก...

   กระนั้น...เขาก็ยังถูกดึงให้หันโดยไม่เต็มใจ อังเดรยืนอยู่ข้างหน้าและมองลงมา

   “มีอะไรหรือครับ?” เพื่อคลายความอึดอัดให้ตัวเอง ซูเล่ยจึงตัดสินใจถามออกไปก่อน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ และแทนคำตอบที่ควรจะได้ ฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงกับหน้าผาก

   “ก็ไม่เห็นจะมีไข้?”

   เป็นห่วง?

   นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจก่อนที่ซูเล่ยจะเฉไฉไปคิดเรื่องอื่น

   “ผมแค่เป็นหวัดง่าย ไม่ถึงกับเป็นไข้หรอก” เขาไม่ได้ปัดมืออีกฝ่ายออก ไม่รู้ว่าเพราะความอุ่นหรืออะไรแต่เจ้าตัวก็ยอมให้อังเดรแนบฝ่ามืออยู่อย่างนั้น แต่ความอุ่นก็ค่อย ๆ ไล่ลงมาจากหน้าผากเป็นแก้มและลำคอ ทันใดนั้นสายตาของอังเดรก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองฝากเอาไว้ มันคือคำตอบว่าทำไมวันนี้ซูเล่ยจึงจงใจสวมเสื้อคอเต่า ฝ่ายซูเล่ยก็ใช่จะไม่รู้ตัว เขาหายใจลึกและปัดมืออังเดรออกในที่สุด

   “เมื่อคืนออกจะอุ่นถึงขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นหวัดได้” ในช่วงที่กำลังพูด เขาสังเกตได้ว่าในดวงตาสีอ่อนของอังเดรแฝงด้วยแววของความขบขันไม่ใช่ความรู้สึกผิดพลาด

   “คุณไปกินยาผิดขนานมาหรือยังไง” ซูเล่ยเบือนหน้าหลบแล้วถอยหลังให้ทางตนเอง แต่กลับถูกกักไว้หน้าตู้เย็นโดยแขนทั้งสองข้าง

   “ลองคิดทบทวนดูดี ๆ ซู ใครกันแน่ที่กินยาผิดขนาน”

   พูดแบบนี้แปลว่ากำลังโทษเขาหรือ?

   ซูเล่ยมุ่นคิ้ว แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นเลิกขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   “ชอบภาพที่ฉันถ่ายให้ไหม ฝีมือของฉันคงไม่ได้ด้อยกว่าเธอสักเท่าไหร่หรอกนะ” ว่าแล้ว อังเดรก็ผละออกไปพร้อมกับรอยยิ้มสมใจประหนึ่งว่าแก้แค้นสำเร็จแล้ว

---------------------------------->

   อังเดรเดินทางถึงโรงเรียนในตอนเย็นด้วยสีหน้าชื่นบาน แม้จะไม่ได้ผิดสังเกตนักที่อังเดรจะอารมณ์ดีแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ยิ้มอย่างเปิดเผยอย่างนี้มานานแล้วนับแต่มารีนเสียชีวิต ซ้ำเมื่อวานนี้ยังดูขึ้งเครียด ด้วยเหตุนั้น อาร์เลนที่เห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงกลับขั้วของพี่ชายจึงเดินเข้าไปถาม

   “มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหรือครับ?”

   “เปล่า ทำไมหรือ?” ชายหนุ่มกลับแปลกใจไม่น้อยที่ถูกทักอย่างนี้

   “ไม่รู้สิ...พี่ดูเหมือน...กำลังมีความสุขนิดหน่อย” คำบอกเล่าทำให้อังเดรเลิกคิ้ว “แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบหรอก พี่มีความสุขดีก็ดีแล้ว มารีนที่อยู่บนสวรรค์เองก็คงมีความสุขไปด้วย” ผู้เป็นน้องไม่อยากให้พี่ของตนคิดมากเกินไป เพราะเมื่อพี่ชายมีความสุข ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ย่อมดีทั้งนั้น ทว่าอังเดรกลับไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ความสุขของเขาเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ หรือบางที...อาจจะรู้แต่ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญ...

   เรือนร่างผอมบางและขาวซีดที่ถูกครอบครองยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่ยอมจางหาย และมันไม่ใช่การกระทำด้วยความรู้สึกเพียงชั่ววูบ เพราะแม้ในเวลานี้เขาก็ไม่ได้คิดเลยว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด กระนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันผสมกับความกรุ่นโกรธเหมือนถูกฉีกหน้าในที่สาธารณะ และอีกส่วน...คล้ายจะเป็นความสาสมใจที่ได้เป็นฝ่ายตอบโต้บ้าง เขากลายเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ?

   “สวัสดีค่ะคุณแอชฟอร์ด”

   หากตัวเขาในตอนนี้ถูกนิยามว่ามีความสุข ยูล่าก็อาจถูกนิยามได้ว่าอมทุกข์ สีหน้าของหญิงสาวไม่สู้ดีนักหรือจะเป็นเพราะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางค์จัดอย่างเคย วันนี้สีที่เธอใช้ค่อนข้างจะอ่อนและให้อารมณ์ของวัยสดใส กระนั้นกลับไม่สามารถช่วยขจัดความหม่นหมองออกไปได้ ราวกับว่าความทุกข์เศร้าของเธอกลายเป็นสีหม่นเทาที่ห่อหุ้มร่างพาให้บรรยากาศโดยรอบกลายสีเทาไปด้วย

   อังเดรรู้ได้ทันทีว่าสาเหตุของอารมณ์ที่ขุ่นมัวนั้นมาจากเขา แม้ว่าโดยแท้จริงแล้วมันจะไม่ใช่ความผิดของเขาก็ตาม แต่อย่างไรมันก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนโดนหลอกลวง

   และเขาก็ไม่ปฏิเสธ...

   อาจเพราะหลายครั้งแล้วที่เขาพยายามจะหาข้ออ้างสักข้อหนึ่งเพื่อที่จะเว้นระยะห่างจากเธอ ในขณะที่ยูล่าเริ่มรุกไล่เข้ามามากขึ้น กอปรกับเสียงสนับสนุนจากรอบข้าง ทำให้ตัวเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยเลยตามเลยและไม่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเอง ถึงอย่างนั้นระยะหลัง ๆ เขาก็หาทางออกได้ยากขึ้นทุกที การปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองกลายเป็นว่าทางหนีทีไล่ถูกปิดลงทีละทาง

   ที่จริงแล้ว...หลาย ๆ ครั้งอังเดรก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดจึงไม่เคยรู้สึกกับยูล่ามากไปกว่าผู้ช่วยและเพื่อนคนหนึ่งเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ใกล้ชิดกัน เขาก็เพียงใจอ่อนเพราะความจริงจังของเธอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความรู้สึกเอ็นดู ทั้งที่เธอเป็นผู้หญิงที่หากหมายปองชายใดคงได้มาครอบครองไม่ยาก ทั้งรูปลักษณ์ หน้าตา อุปนิสัย และทักษะประจำตัว ล้วนแต่เรียกได้ว่าเกือบอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ กระนั้น....สำหรับเขา ทั้งหมดนี้คงจะสมบูรณ์แบบมากเกินไป

   ให้ความรู้สึกคล้ายกำลังมองดูผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งรู้สึกดีเมื่อได้มองดู แต่ไม่ได้คิดอยากเป็นเจ้าของ
   แน่นอนว่าเขารู้สึกผิดกับเธออยู่หลายส่วน เพราะหากสามารถปฏิเสธออกไปตรง ๆ ได้คงจะสบายใจกว่านี้เมื่อมองหน้าหญิงสาว

   และในเวลานี้...การมองหน้ายูล่ากลับยากลำบากยิ่งกว่าเดิม เพราะมักจะมีส่วนหนึ่งในห้วงคำนึงกระหวัดไปถึงบุคคลที่สาม...

   ซูเล่ย...

   อังเดรถอนหายใจให้กับตนเองก่อนยิ้มตอบหญิงสาวที่หลังเอ่ยทักทายก็ยืนนิ่งและเลี่ยงสายตาไปทางอื่น โดยปกติแล้วเธอจะมั่นใจในตัวเองมากและไม่เคยหลบเลี่ยงสายตาใครแท้ ๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 05-12-2013 14:01:40
   “เข้าไปแต่งตัวเถอะยูล่า” ชายหนุ่มว่าแล้วแตะบ่าหญิงสาวเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจและปลอบใจไปในตัว แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำนี้ได้มอบความหวังให้กับผู้ถูกกระทำมากกว่าสิ่งอื่นใดที่เคยผ่านมา และด้วยการสัมผัสอย่างเป็นพิเศษโดยไม่ได้คิดอะไรนี้เองที่ทำให้ยูล่ากล้ารุกมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และกล้าที่จะมั่นใจว่าอังเดรเริ่มมีให้โน้มเอียงมาทางตนเองมากขึ้นแล้ว

   ทั้งที่มั่นใจอย่างนั้น แต่กลับ...

   คืนที่ผ่านมาหญิงสาวคิดมากจนนอนไม่หลับ คิดว่าวันนี้จะลาหยุดเพราะไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าอังเดร ทว่า...ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมอง ราวกับมีแสงสว่างเล็ก ๆ ลอดผ่านรอยปริแยกทำให้เธอมองเห็นทางออกซึ่งถูกบดบังจนมืดบอด

   เมื่อคิดย้อนดูแล้ว เธอก็แค่หลงไปตามคารมของซูเล่ยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ? ทุก ๆ อย่าง ผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายพูดเอาคนเดียวทั้งหมด ซ้ำยังย้ำว่าถามอังเดรไปก็ไม่ได้อะไร ทั้งนี้เมื่อมองอีกด้านก็เป็นไปได้ว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มาถามเอาความจริงจากบุคคลที่สาม ซ้ำในรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือก็มีคนที่ได้สติอยู่คนเดียว จะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานั้นอังเดรได้เต็มใจจะเป็นตัวประกอบฉากหรือไม่

   นับว่าเธอประมาทไปมากจริง ๆ ที่คิดว่าซูเล่ยไม่มีอะไรสักเท่าไหร่นอกจากอิทธิพลที่มีต่อเอเดรียน และการที่เอเดรียนไม่ต่อต้านเธอออกนอกหน้าก็ทำให้ไว้ใจอีกฝ่ายว่าจะช่วยสนับสนุนเธอเหมือนกับคนอื่น ๆ
   แต่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรจึงได้ทำอย่างนี้...

   และเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยรวมถึงให้ความหวังตัวเอง ยูล่าจึงทำใจกล้าเข้าไปพูดกับอังเดรอีกครั้ง

   “ฉัน...ยังไปบ้านคุณได้ไหมคะ?”

   ตอนที่ได้ยิน อังเดรดูจะแปลกใจไม่น้อยจึงได้เลิกคิ้วขึ้นสูงและครุ่นคิดอยู่นาน

   “ฉันรู้ว่าคุณยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับฉัน เพราะฉันวู่วามใส่คุณเมื่อคืนนี้ ก็เลย...อยากจะขอโอกาสแก้ตัว นอกจากนี้ หนูเอเดรียนก็ยังไม่ค่อยชอบฉันเหมือนเดิม ถ้าเป็นไปได้ขอแค่สามารถใกล้ชิดกับพวกคุณเหมือนก่อนหน้านี้ได้ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ”

   เมื่อถูกอ้างด้วยชื่อของเอเดรียน อังเดรก็ลังเลขึ้นมา ตอนแรกเขาคิดว่าจะปฏิเสธไปอย่างสุภาพแต่ในที่สุดก็จำยอมและคิดว่าคงต้องหาวิธีอื่น วิธีที่จะไม่ทำให้ยูล่าคิดว่าตนเองเป็นที่รังเกียจ จะมีทางใดบ้างที่สามารถทำให้หญิงสาวยอมจำนนและถอยออกไปด้วยตัวเองโดยไม่เจ็บช้ำมากนัก ทางที่จะทำให้เขาไม่ต้องตอบคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะปฏิเสธเธอ...

---------------------------->

   “โดยสรุปแล้วก็มาจบเอาที่นี่สินะครับ?” ซูเล่ยกล่าวอย่างเอือมระอากับความเป็นสุภาพบุรุษของอังเดร ถึงแม้ในช่วงนี้เขาจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วว่าเจ้าตัวเองก็มีด้านมืดที่เขาไม่รู้จักอยู่เช่นกัน ถึงอย่างนั้นกลับไม่แสดงด้านที่ปกปิดให้ใครเห็นนอกจากเขา มันช่างน่าโมโหอย่างบอกไม่ถูก

   ทั้งที่เมื่อห้าปีก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย...

   แต่ก็เพราะความสุภาพบุรุษนี้เอง ยูล่าถึงได้ตามมาที่บ้านอีกครั้งทั้งยังอาสาเป็นคนช่วยดูแลเอเดรียนระหว่างที่ซูเล่ยกำลังทำครัวสำหรับทั้งสองคน ไม่ได้ขอเป็นคนทำอาหารอย่างเคย ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจงใจให้คำกล่าวอ้างถึงความต้องการจะสนิทสนมกับเอเดรียนมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะที่ผ่าน ๆ ถึงยูล่าจะอ้างอย่างนั้นมาตลอด แต่กลับทำตัวใกล้ชิดอังเดรมากกว่าเอเดรียนจนเห็นได้แม้ไม่ต้องสังเกต

   “แค่ปฏิเสธไปตรง ๆ ก็หมดเรื่อง เพราะคุณให้ความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นแหละมันถึงได้เป็นแบบนี้” ระหว่างที่ว่าเช่นนั้น ซูเล่ยก็ตักอาหารแบบง่าย ๆ ที่ใช้เวลาทำไม่มากลงจาน

   “ทำไมถึงมั่นใจว่าฉันอยากปฏิเสธ”

   พอถูกถามสวน มือที่กำลังทำงานก็ชะงักทันที

   “เพราะถ้าอยากตอบรับคุณคงทำไปนานแล้ว” ซูเล่ยพูดช้า ๆ แบบคนที่คิดคำตอบอย่างกะทันหัน “อีกอย่างคุณคงไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง”

   ดวงตาของอังเดรหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองคู่สนทนาอย่างพินิจ

   “ถ้าเป็นเรื่องของพ่อมารีนล่ะก็ เอาเข้าจริงฉันอาจจะไม่แคร์เขาสักเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าฉันจะแต่งงานใหม่จริง ๆ เขาจะทำอะไรได้ จะฟ้องเอาตัวเอเดรียนไปหรือ? คนที่เป็นภรรยาใหม่ของฉันต้องมีคุณสมบัติมาพอจะดูแลเอเดรียนได้อยู่แล้ว เขาก็ไม่มีข้ออ้างจะมาทำอะไรฉันได้อีก” ขณะตอบ เขาก็ฉวยจานไปจากมือซูเล่ยและช่วยจัดโต๊ะอีกแรง แม้ว่ามันจะเป็นมื้ออาหารง่าย ๆ ที่มีอาหารจานเดียวสำหรับสองที่และของว่างก่อนนอนของเด็กอีกที่หนึ่งก็ตาม

   ซูเล่ยรู้สึกคั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าประหลาดหลังได้ยินคำตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งดิ้นรนอยู่ภายในอกเมื่อพบว่าตนเองเพลี้ยงพล้ำไม่อาจใช้ข้ออ้างใดมาอยู่เหนืออีกฝ่ายได้สำหรับหัวข้อนี้ แต่นอกจากนั้นยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวที่พยายามกักไว้ภายในซึ่งนับวันมันก็ยิ่งรุนแรง

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตอบตกลงไปเสียก็จบเรื่องแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องเอามาพูดให้ผมฟังลับ ๆ ล่อ ๆ” ชายหนุ่มร่างเล็กเคาะตะหลิวกับกระทะก้นแบนก่อนยกไปใส่ซิงค์ เขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากเกินไปเสียจนใคร ๆ ก็มองออกว่ากำลังขุ่นเคือง กระนั้นกลับไม่สามารถห้ามตนเองได้ทัน เมื่อรู้ตัวก็เผลอแสดงกริยาเหล่านั้นออกไปเสียแล้วจึงได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าล้างกระทะ “ไปชวนคุณยูล่าเข้ามากินก่อนมันจะเย็นชืดเถอะครับ เอเดรียนจะได้กินของว่างแล้วเข้านอนเสียที”

   “โมโหอะไรอยู่กันแน่?”

   “ก็เปล่านี่ครับ”

   “โกหก” อังเดรเท้าแขนกับขอบเคาท์เตอร์ สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีร่องรอยของความอวดดีเหมือนยามปกติ เรียวคิ้วสีดำมุ่นเข้าหากันจนแทบจรดอยู่ตรงกลาง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนบางเฉียบคล้ายกำลังอดกลั้น ดูเป็นการแสดงออกทางใบหน้าที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับใบหน้าของผู้ชายคนนี้ที่ไม่ค่อยจะพบรูปแบบอารมณ์ที่ปรากฏชัดเจนนัก

   “จะมายืนอ่านใจผมอยู่ตรงนี้หรือจะไปปรับความเข้าใจกับผู้หญิงของคุณให้เรียบร้อยก็เอาสักอย่าง ถ้ามันทำให้พวกคุณอึดอัด ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพักก็ได้” ซูเล่ยถอนหายใจเฮือก เก็บอุปกรณ์เรียบร้อยก็เดินหลบออกมาเพื่อจะเช็ดมือที่ผ้าแห้งบนเคาท์เตอร์อีกฝั่ง แต่เพราะหลบไม่พ้นหรือกะจังหวะมานานแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ ยังไม่ทันจะเดินไปถึงผ้าผืนที่ต้องการ เอวสอบก็ถูกรวบดึงโดยบุคคลที่ยืนเงียบอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่
   “น่าแปลกนะ ตั้งแต่อยู่ที่นี่ไม่ว่าฉันจะทำอะไรเธอก็ไม่เคยโมโหเลยสักครั้ง กลับกัน เธอกลับเป็นคนยั่วให้ฉันโมโหเองเสียมากกว่า” รูปแบบคำพูดเหมือนจะเป็นความสงสัย แต่น้ำเสียงและสีหน้าของอังเดรไม่ได้กำลังถามแต่เป็นการสรุปความอย่างรวบรัด จากนั้นจึงก้มลงมองผ่านคอเสื้อที่ปีนขึ้นมาเกือบถึงต้นคอเพื่อปกปิดร่องรอยหลักฐาน “หรือเธอจะรู้จักหวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้หมือนกัน?”

   เป็นครั้งแรกที่ซูเล่ยนึกอยากจะลงไม้ลงมือ เขาวาดศอกไปด้านหลังโดยไม่ออมแรงซึ่งก็กระแทกถูกชายโครงเข้าเต็ม ๆ แต่อังเดรก็ไม่ได้ถอยออกไป เพียงแค่สะดุ้งและร้องออกมาเบา ๆ

   “เลิกทำเรื่องบ้า ๆ เสียที ถ้าคิดจะเอาคืนผมด้วยวิธีแบบนี้ก็คิดสั้นเกินไปแล้ว”

   “คิดสั้น? แต่เธอเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูพาให้เจ้าของสะดุ้งเฮือกจนขนลุกไปทั้งแขน

   “นั่นมันเพราะคุณไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน เอาแต่ใช้ฉากหน้าของความเป็นสุภาพบุรุษเป็นข้ออ้างอยู่ร่ำไป คุณก็แค่ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดตอบรับหรือปฏิเสธด้วยตัวเองไม่ใช่หรือยังไงกัน?” ซูเล่ยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลนระคนขุ่นใจ สิ่งที่ติดค้างอยู่ในอกและอยากพูดมาตลอดก็คือเรื่องนี้ เขาอยากจะให้อังเดรรู้เสียทีว่าอุปนิสัยด้านนั้นนั่นแหละที่ร้ายกาจมากที่สุด ทั้งสุภาพ อ่อนหวาน และช่างเอาใจ มันถึงได้ทำให้ทุกคนชื่นชมและหลงใหลได้ง่าย แม้กระทั่งตัวเขาเอง...ก็เคยติดกับมาแล้วครั้งหนึ่ง

   กับดักร้ายที่ทิ้งรอยบาดแผลที่ไม่ยอมจางหายจนถึงตอนนี้...

   “เพราะรู้อย่างนั้นถึงช่วยปฏิเสธให้? มีน้ำใจเสียจริง” ถ้อยคำคล้ายประชดเมื่อผนวกกับรอยยิ้มบนริมฝีปากในแบบที่ซูเล่ยไม่เคยเห็นยิ่งพาให้อยากออกไปจากสถานการณ์นี้โดยไว

   “แล้วสรุปว่าคุณจะกินไหม อาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่หิวผมจะได้จัดการเก็บเสียที”

   “จะเบี่ยงประเด็นอีกหรือ? คิดว่าวิธีนั้นจะใช้ปกป้องตัวเองได้ตลอดไปหรือยังไง?” น้ำเสียงเย็นชาที่ลอยผ่านหูพาให้ต้องนิ่งอึ้งไปหลายวินาที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูเล่ย อังเดรจึงแค่นเสียงในคอคล้ายเสียงหัวเราะสั้น ๆ “ไม่ใช่มีแต่เธอหรอกนะที่รู้ไปเสียทุกอย่าง ฉันไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนหรือ? เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าอยากจะกันฉันออกจากพวกผู้หญิงก็ตั้งใจกว่านี้อีกหน่อยสิ ถ้าหากเธอจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อผู้ชายคนนั้นจริง ๆ ล่ะก็ สละกระทั่งร่างกายนี้ก็คงไม่เสียดายจริงไหม?”

   หลังคำถาม ดูเหมือนผู้ถามจะไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเจ้าตัวไม่รีรอเลยที่จะดึงอีกฝ่ายให้หันมาหาและดันให้หลังติดกับซิงค์ ซูเล่ยไม่สามารถขยับตัวหนีได้ เพราะนอกจากข้อมือจะถูกตรึงไว้แล้ว ทั้งร่างกายก็ยังแนบชิดจนยากจะหาช่องว่าง

   “ในเมื่ออุตส่าห์นำมาขนาดนี้แล้ว ก็ร่วมมือจนถึงที่สุดด้วยสิ ซู”

   สายตาและท่าทางของอังเดรเอาจริงเอาจังเสียจนไม่น่าจะคิดเป็นอื่นไปได้ อาวุธเดียวของซูเล่ยในเวลานี้คือคำพูดที่ใช้เพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ แต่มันก็ถูกปิดผนึกอย่างง่ายดายก่อนที่เจ้าของจะทันคิดออกว่าตนควรจะพูดอะไรในเวลานี้เสียอีก

   ซูเล่ยสูดหายใจลึกและพยายามถอยหนี มือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือข้างหนึ่งก่อนรวบดันแผ่นหลังให้แนบเข้าหา แม้ตอนนี้แขนของซูเล่ยจะเป็นอิสระแล้วหนึ่งข้าง ทว่ากลับไม่สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือตนเองได้เลย เพราะเรี่ยวแรงของอังเดรมากมายกว่าหลายเท่า จึงทำได้เพียงผลักไสอย่างหมดหนทาง ซ้ำแรงที่มีก็กำลังถูกลดทอนไปเรื่อย ๆ ด้วยรสจูบลึกล้ำและฝ่ามือที่โลมเล้าไปทั่วแผ่นหลัง

   “...พอแล...” ช่วงจังหวะที่ริมฝีปากออกห่างกันซูเล่ยก็ได้พักหายใจครู่หนึ่ง แต่พูดไม่ทันจบคำ ริมฝีปากร้อนก็ประกบซ้ำลงมาเรียกได้ว่ารุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับจงใจให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้อย่างชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้

   พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าภาพที่ปรากฏฉายชัดในดวงตาของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสงสัยว่าเหตุใดทั้สองจึงหายไปนานและปล่อยให้เธอเล่นกับเอเดรียนจนเด็กหญิงหลับไปแล้ว เมื่อตั้งใจจะเดินเข้ามาถามถึงอาหารค่ำ ก็กลับพบว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังพรอดรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน

   ยูล่าผละจากประตูและเข้าไปนั่งรอเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายนาที อังเดรจึงออกมาเรียกให้กินอาหารพร้อมทั้งขอโทษอย่างสุภาพที่ให้รอนาน กระนั้นเมื่อเธอเข้าไปก็ไม่พบซูเล่ยเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้ซึ่งควรจะอยู่ที่นี่กลับเลือกที่จะไปพาเอเดรียนขึ้นนอนและไม่เฉียดกรายเข้าไปในห้องครัวเลยตลอดเวลาที่เธอและอังเดรร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน

   แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น...กลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดจากปากของทั้งคู่

   หลังมื้ออาหารนอกเวลา อังเดรก็อาสาจะไปส่งยูล่าถึงที่พักตามเคย ทว่าหญิงสาวปฏิเสธและขอเรียกแท็กซี่กลับด้วยตัวเอง ครั้งนี้ชายหนุ่มผู้ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงอาการแปลกใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอน...พวกเขาโจ่งแจ้งเสียขนาดนั้นหากไม่รู้ไม่เห็นเลยถึงจะน่าแปลก

   มันคงจะทำร้ายจิตใจของหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่เขารู้ว่าตนไม่มีทางเลือก เพราะนอกจากวิธีนี้แล้วคงไม่มีทางอื่นใดที่จะขอให้เธอถอยห่างออกไปโดยไม่ทำให้บอบช้ำ

   แค่ปล่อยให้คำลวงของซูเล่ยกลายเป็นความจริงด้วยฝีมือของเขา...

   ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว

   อังเดรมองส่งยูล่าจนลับสายตาก็กลับเข้าบ้าน เขาเดินเข้าไปในห้องของเอเดรียนก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อสำรวจว่าลูกสาวนอนกลับดีหรือไม่ก่อนจะเดินออกไป แต่แทนที่จะกลับห้องตัวเอง ชายหนุ่มกลับเดินไปที่ห้องของซูเล่ยและบิดลูกบิดอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่า...มันกลับล็อค

   ซูเล่ยไม่เคยล็อคประตู

   เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะยกมือเคาะ

   “จะรบกวนเวลานอนของผมหรือยังไง” เสียงที่ลอดผ่านออกมาเจือปมด้วยความฉุนเฉียวอย่างไม่ปิดบัง เจ้าตัวคงรู้แล้วกระมังว่าทำไมเขาจึงได้ทำเช่นนั้น

   “ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงถามกลับอย่างนุ่มนวลแต่แฝงด้วยแววของการบังคับอย่างผู้เหนือกว่า

   “คุณแค่ต้องการให้ผมเป็นข้ออ้างที่คุณจะไม่ต้องปฏิเสธเอง ตอนนี้คุณก็ทำสำเร็จแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก?”
   หลังสิ้นคำถามของซูเล่ย ก็เหลือแต่เพียงความเงียบลอยผ่านบานประตู จากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะช้า ๆ ของอังเดรก็ถอยห่างออกไป แม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายล่าถอยไปง่าย ๆ แต่ซูเล่ยก็คิดว่าบางทีเจ้าตัวคงคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขา กระนั้นเมื่อหันหลังตั้งใจจะกลับขึ้นเตียงและพักผ่อน เสียงก้าวเดินของอังเดรก็ย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมเสียงโลหะกระทบกัน

   ลูกบิดถูกไขเปิดอย่างง่ายดาย

   ใช่ เขาลืมไปเสียสนิทว่าอภิสิทธิเจ้าของบ้านคืออะไร!

   “ทีนี้คงไม่มีอะไรป้องกันได้แล้วใช่ไหม?” อังเดรวางพวงกุญแจห้องลงบนตู้เล็กข้างประตูและก้าวเข้ามาหาเจ้าของห้องซึ่งทำได้เพียงถอยไปประชิดเตียง

   ปลายนิ้วเย็นเฉียบไต่เข้าใต้เสื้อพาให้สะดุ้งไหว ในขณะที่ในสมองเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา อังเดรกลับทำเพียงแค่แนบหน้าผากจรดกันและมุ่นคิ้ว

   “มีไข้จริง ๆ ไม่ใช่หรือ?”

   เอ๋?

   ซูเล่ยเบิกตาขึ้นเล็กน้อยโดยฉายแววสงสัยออกมาเป็นอย่างแรกหลังได้ยินคำถาม แต่จะว่าไป...วันนี้เขาก็รู้สึกมึนหัวอยู่บ้างเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้ออกอาการในทันทีหลังตื่นนอน คงเพราะเหตุนั้นเมื่อตอนกลางวันอังเดรจึงบอกว่าเขาเหมือนจะไม่มีไข้

   เสียงพ่นลมหายใจจากเหนือศีรษะทำให้ต้องเงยขึ้นมองและเห็นอังเดรกำลังมองกลับลงมาด้วยสายตาห่วงใยที่เจ้าตัวคิดว่าอาจจะตาฝาดไปก็เป็นได้

   “นอนพักซะ ฉันจะไปเอายามาให้” ฝ่ามือใหญ่กดบ่าคนป่วยให้นั่งลงบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกประตูไป ซูเล่ยยังคงไม่มั่นใจนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าอังเดรจะเริ่มสังเกตว่าเขามีไข้ตั้งแต่ที่กอดกันในห้องครัว เพราะอย่างนั้นจึงมาที่ห้องอีกครั้งเพื่อดูอาการ...อย่างนั้นหรือ?

   เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจเจ้ากรรมกับเร่งจังหวะขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่ขยายในอก

TBC



---------------------------------

เห็นมีคนบอกว่าตามมาจากห้องแนะนำนิยาย รู้สึกดีใจแบบเขินๆ :-[ แบบว่าไม่คาดคิดเลยว่านิยายตัวเองจะมีคนชอบถึงขนาดแนะนำต่อ ขอขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนให้กำลังใจมาจนถึงตอนนี้ รวมถึงนักอ่านคนใหม่ๆที่ถูกล่อลวง(?)เข้ามาก็ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจติดตามนิยายของเราด้วย ^ ^

แต่เนื่องจากเซียร์อัพนิยายหลายที่ ดังนั้นอาจจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับทุกๆคนนัก (แต่ก็สตอร์คเกอร์ไล่อ่านคอมเมนท์ทุกที่นะคะไม่ต้องห่วง =w=b) ถ้ามีอะไรที่อยากติชม แนะนำ สอบถาม หรือพูดคุยกับเซียร์โดยตรง ก็ไปหาที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel ได้เลยค่ะ เซียร์เฝ้าเพจแทบตลอดเวลา XD
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 05-12-2013 14:24:24
ใช้วิธีปฏิเสธแบบนี้เลยเหรออังเดร
จริงๆเริ่มชอบซถแล้วก็บอกมาเถอะน่า
ห่วงเขาเสียขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 05-12-2013 17:33:01
แหม สนใจซูเล่ยก็บอกเถอะอังเดร อย่ามาอ้างว่าเพราะยูล่าเลย
สงสัยล่ะสิว่าคนเดียวกับลีหรือเปล่า

ยูล่าก็จากกันแต่โดยดีเนอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 05-12-2013 17:43:28
ยูล่าก็ไม่มีปัญหากับคู่นี้แล้ว
แต่อ่านแล้วตื่นเต้นมากค่ะ ลุ้นตลอดว่าอังเดรจะโกรธ ซูจะพูดไร
แต่แบบโอ๊ยทำไมตอนนี้อังเดรทำดีอะ ไม่เดินหนีแถมต่อปากต่อคำ
ชอบกันสักที~~~ เอ้ะหรือชอบกันแล้ว:P
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 05-12-2013 18:01:20
ไหนว่าแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด

บนเตียงตอนกลางคืน ยูล่าก็อยู่ด้วยเหรอ  :a14: :a14: :a14: :a14:

เกลียดมันนนนนน  :serius2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-12-2013 18:36:56
อังเดรนี่ไม่รู้ใจตัวเองเลยน๊า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 05-12-2013 19:25:35
หวังว่าจะสลัดยูล่าออกไปได้สักทีนะ
ต่อไปก็เป็นเรื่องของคนสองคนแล้ววว อังเดรอ่อนโยนบ่อยๆ แล้วรีบรู้ใจตัวเองด้วยนะ
ทำร้ายซูมากๆ เดี๋ยวซูหนีไปไม่รู้ด้วยนะ ชิชิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 05-12-2013 20:37:24
ชะนียูล่าไปได้ซักที :katai2-1:

อังเดรนี่เมื่อไหร่จะจำซูได้นะ
แต่แค่ตอนนี้แสดงความห่วงใยซูให้เห็นก็โอเคแระ
ซูป่วยเพราะอังเดรจัดหนักเมื่อคืนชิมิ

ปล.นึกว่าจะมีฉากอัศจรรย์ให้อ่านซะอีก คึคึ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 05-12-2013 20:57:24
ชอบนิยายเรื่องนี้ของคุณคนแต่งมาก เนื้อเรื่องน่าสนใจ น่าติดตาม
จะติดตามและมาให้กำลังใจบ่อยๆนะครับ
ถึงแม้จะมาลงนิยายไม่ถี่ แต่มาลงทีนึงก็เยอะเอาการ
ก็โอเคครับ เหมือนได้ลุ้นอะไรดี ^^
แล้วก็ยังแอบหวังให้ฉาก nc ทะลุทะลวงมากกว่านี้
สรุปปลื้มมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 05-12-2013 21:48:05
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 05-12-2013 21:54:50
สงสารซูเล่ยนะคะ...
เหมือนรักไปทำใจไปชอบกลนะ
เราเฉยๆกับนิสัยอังเดร แต่ชอบซูนะ ดู...แกร่งดี(ลางสังหรณ์บอกว่าจะเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่คิดสินะ)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: akera ที่ 05-12-2013 23:13:53
มารอตอนต่อไป
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้สู้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 06-12-2013 15:43:27

เดี๋ยวถ้าพ่อตารู้จะเป็นยังไงนะ
อุตส่าห์ส่งให้มากันคนอื่นแต่ดันมาได้กันเอง

เดาว่ารถคันนั้นคงจะถูกส่งมาจับตาดูซูอีกทีรึเปล่านะ

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 06-12-2013 20:41:02
ใช้ซูเป็นข้ออ้างกันยูล่าหรือว่าแอบติดใจซูกันแน่
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 08-12-2013 02:36:27
อ่านถึงตอนล่าสุดแล้ว เฮ้!

เหมือนแผนซูจะไปได้ดีนะ แต่ไหงกลับโดนอังเดรเล่นกลับซะได้
อยากรู้ว่าซูจะทำยังไงต่อไป แบบเดายากจริงๆกับซูเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 08-12-2013 12:49:54
อร๊ายยย จะน่ารักเกินไปแล้วนะพ่ออังเดร

สงสารซูเล่ยบ้าง มาเป็นชุดขนาดนี้ไม่ให้ได้พักยกกันบ้างเล้ยยย :hao3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-12-2013 15:26:39
-13-

   ผมที่เริ่มยาวปรกหน้าทำให้ซูเล่ยอดจ้องมองตนเองในกระจกอย่างแปลกตาไม่ได้ จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านอังเดรเขายังไม่เคยตัดผมเลยสักครั้ง และหลายปีมานี้เขาก็ไว้ผมสั้นมาโดยตลอด หากจะนับจริง ๆ ก็คงหลังแยกจากอังเดรเขาก็ตัดผมสั้นทันทีและไม่เคยปล่อยยาวอีกเลย

   ชายหนุ่มจับปอยผมแล้วถอนหายใจ

   คงจะต้องไปร้านตัดผมสักครั้งแล้วกระมัง เพราะหากปล่อยให้ยาวไปมากกว่านี้มันจะไปกระตุ้นให้ใครคนหนึ่งคิดถึง ‘ลี’ เสียเปล่า ๆ

   หลังจากส่งอังเดรไปทำงานแล้ว ซูเล่ยก็จับเอเดรียนแต่งตัวเตรียมออกข้างนอก

   “ไปเที่ยวกับซู~” เด็กหญิงตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ออกไปท่องในโลกกว้างหลังจากอุดอู้ในบ้านมานานและไม่นับวันเสาร์ที่พวกเขาออกไปซื้อของด้วยกัน ระหว่างโดนจับแต่งตัวจึงไม่อยู่นิ่งเลย ถึงอย่างนั้นซูเล่ยก็สามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้ด้วยความชำนาญ เอเดรียนในเสื้อกันหนาวและกระโปรงน่ารักกระโดดกระเด้งไปรอบ ๆ ห้อง ในมือก็ยังอุ้มตุ๊กตากระต่ายตัวเดิมไม่ยอมปล่อย

   “เอาน้องกระต่ายไว้ที่บ้านเถอะ ถ้าออกไปข้างนอกเดี๋ยวจะสกปรกเอา” ทุกครั้งที่จะออกนอกบ้าน ก็ต้องตะล่อมเอเดรียนให้ยอมวางตุ๊กตาตัวโปรดเสียก่อน แต่ในระยะหลังดูเหมือนเด็กหญิงก็เรียนรู้ได้ดี เมื่อได้ยินก็จะวางตุ๊กตาลงบนโซฟาโดยไม่อิดออดเหมือนครั้งแรก ๆ

   “อากาศเย็นน้องต่ายจะเป็นหวัด” เธอพูดไปก็เอาผ้าขนหนูห่มให้ตุ๊กตา สำหรับเด็กมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งไม่มีชีวิตจะมีความรู้สึก

   ซูเล่ยเดินเช็คสิ่งต่าง ๆ ในบ้านให้อยู่ในสภาพที่มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันระหว่างที่เอเดรียนกำลังร่ำรากระต่ายแสนรัก แต่แล้ว เสียงออดหน้าบ้านก็พาให้พวกเขามองไปยังประตูด้วยสายตาแสดงความสงสัยที่ถูกขัดจังหวะแต่ซูเล่ยก็บอกให้เอเดรียนรออยู่ในบ้านดี ๆ แล้วเดินออกไปที่ประตู

   เมื่อมองลอดตาแมว เขาก็เห็นว่าคนข้างนอกสวมเครื่องแบบของไปรษณีย์และในมือถือกล่องพัสดุอยู่ใบหนึ่งแต่ดูจะไม่ได้หนักมาก

   “พัสดุมาส่งให้คุณอังเดร แอชฟอร์ดครับ” พนักงานไปรษณีย์กล่าว “ใช่คุณแอชฟอร์คหรือปล่าครับ?”
   “คุณแอชฟอร์ดไม่อยู่ ผมเป็น...คนดูแลบ้าน เซ็นรับแทนได้ไหมครับ?”

   “เอ...ได้ครับได้” พนักงานหนุ่มว่าแล้วสละมือข้างหนึ่งควานหาเอกสารสำหรับเซ็นรับของ ในช่วงนั้น ซูเล่ยก็สังเกตเห็นความผิดปกติ รถสีเทาที่ดูคุ้นตาจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องไปจากหน้าบ้านแค่เพียงเล็กน้อยเหมือนไม่ได้เจาะจงว่าจะมาบ้านไหน แต่เพียงแค่เห็น ซูเล่ยก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตอนที่เขาคิดจะหันไปเร่งพนักงานที่มัวแต่โอ้เอ้นั้นเอง สิ่งที่ปรากฏในมือของพนักงานไปรษณีย์กลับทำให้ต้องชะงัก

   โลหะสีดำมันปลาบมีส่วนประกอบที่มองมุมไหนก็รู้ได้ว่าเป็นปืนถูกจ่ออยู่ที่ลำตัว ด้วยมุมนี้ถึงจะมีคนเดินไปเดินมาบนทางเท้าก็ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

   “เดินเข้าไป” พนักงานที่แสนสุภาพเมื่อครู่แสยะยิ้มพร้อมออกคำสั่ง และเมื่อซูเล่ยถอยหลัง เขาก็เห็นว่ามีใครอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างบานประตูกำลังเดินเข้ามาด้วยเช่นกัน

   สถานการณ์แบบนี้...มันอะไรกันแน่!?

   แต่ก่อนที่จะสรุปความให้ตัวเองได้ เขาก็ถูกผลักให้ล้มลงบนพื้น เมื่อคิดจะลุกขึ้น ปืนกระบอกเดิมก็มาจ่ออยู่ด้านหน้า

   “อย่าเล่นตุกติก ไม่งั้นตัวได้มีรูแน่” ผู้ชายร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาทีหลังปิดประตูหน้าบ้าน ทำให้ตอนนี้ซูเล่ยถูกขังไว้ในบ้านที่ตัวเองเป็นคนดูแล “ฉันได้ยินมาว่านายชอบนอนกับผู้ชายสินะ แถมเป็นใครก็ได้ด้วย พวกฉันก็เลยอยากจะใช้บริการบ้าง”

   อะไรนะ?

   ซูเล่ยขึงตาใส่ผู้มาเยือนแสนหยาบคายทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร กลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะกึกก้องตอบแทนความขุ่นใจที่ถูกดูหมิ่น

   เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทว่าผู้บุกรุกก็ไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรมากนัก คนหนึ่งรวบมือของเขาเอาไว้ด้วยกันและถือปืนจ่อกันเขาหลบหนี ส่วนอีกคนหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าก็เริ่มทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากถูกกระทำนัก

   “อยู่เฉย ๆ สิ” เสียงทุ้มต่ำแฝงแววคุกคามออกคำสั่งเมื่อเขาถีบยันอย่างสุดแรง แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายคว้าจับอย่างง่ายดายราวกับเป็นแค่การต่อต้านของสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ไร้เรี่ยวแรง กางเกงถูกปลดออกในขณะที่เจ้าของพยายามดิ้นรนเท่าที่ทำได้

   “พวกแก...ต้องการอะไร...” เขาเต้นเสียงลอดไรฟันพร้อมหอบหายใจหนัก ภายในอกกำลังถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว ทั้งกลัวและถูกทำร้ายและกลัวถูกฆ่า มันเป็นความรู้สึกสามัญของมนุษย์ซึ่งหากไม่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างยิ่งยวดคงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองจะสามารถหวาดกลัวอะไรได้ถึงขนาดนี้ แต่ภายใต้ความกลัวยังแฝงด้วยความขึ้งโกรธเพราะไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นในดวงตาของซูเล่ยจึงเต็มไปด้วยประกายของการขัดขืนมากกว่าขลาดกลัว

   “ก็บอกไปแล้วไงว่าอยากใช้บริการน่ะ เอ้ แค่นี้ฟังไม่ออกหรือยังไงก...”

   “ซู!”

   จู่ ๆ เสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของทั้งสามคนจากสิ่งที่ทำอยู่ไปยังเจ้าของเสียงซึ่งยืนทำท่าโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่ไกล

   “เอเดรียน!”

   “อย่าทำร้ายซูนะ!” เด็กหญิงเห็นพี่เลี้ยงกำลังตกอยู่ในอันรายก็เริ่มอาละวาดหยิบข้าวของระดมปาใส่ผู้บุกรุกถึงแม้บริเวณนั้นจะมีเพียงแค่รองเท้าไม่กี่คู่บนชั้นวางและเสื้อโค้ทที่แขวนบนขาตั้งสูงซึ่งเธอไม่สามารถดึงลงมาได้ ผู้บุกรุกร่างเล็กที่มีปืนในมือรำคาญการรบกวนของเด็กหญิงจึงปัดรองเท้าบูทที่ลอยมาให้กระเด็นไปอีกทางก่อนลุกขึ้นย่างสามขุนไปทางเอเดรียนด้วยท่าทางมาดร้ายไม่ปิดบัง

   “เอเดรียนไปหลบในห้อง!” ซูเล่ยตะโกนได้แค่นั้นก็จับพลิกคว่ำ ชายร่างสูงใหญ่ดึงแขนล้อคไปด้านหลังอย่างแรงจนเขาเผลอร้องออกมา “...ไอ้...บ้าเอ๊ย...”

   เอเดรียนถูกจับตัวได้ไม่ยากเย็นด้วยรูปร่างที่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถขัดขืนแรงของผู้ใหญ่ได้ แม้ผู้ชายที่จับตัวเอเดรียนจะรูปร่างพอ ๆ กับซูเล่ยก็ตาม เด็กหญิงถูกจับหิ้วขึ้นจากพื้นโดยไม่มีการออมแรง เมื่อเอเดรียนรู้สึกเจ็บก็ร้องออกมาและพยายามที่จะดิ้นหนี

   “ปล่อยนะ! ปล่อยเอเดรียนนะ! คนไม่ดี!”

   “เฮ้ย จะไม่ช่วยฉันจัดการเจ้านี่แล้วหรือไง?” ชายร่างสูงใหญ่ถามเพื่อนที่จับเด็กเป็นตัวประกัน

   “ไม่ล่ะ พอดีสเปคฉันมันต้องตากับผู้หญิงมากกว่า ถึงจะเด็กก็ไม่เกี่ยงหรอก” ผู้บุกรุกร่างเล็กเลียริมฝีปากแต่กลับโดนเอเดรียนข่วนหน้า ถึงแม้จะมีแค่รอยแดงถาก ๆ แต่คนโดนก็เจ็บไม่ใช่น้อย เขาโยนเด็กหญิงลงพื้นอย่างเดือดดาล “ไอ้เด็กบ้า! อยู่ดีไม่ว่าดีนักใช่ไหม!”

   ร่างเล็กของเด็กหญิงกระแทกพื้นดังอั่ก

   เอเดรียนแน่นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะค่อย ๆ สั่นสะท้านตามด้วยเสียงสะอื้น เพียงไม่นานก็กลายเป็นเสียงร้องไห้จ้า

   “ไอ้บ้า เดี๋ยวคนแถวนี้ก็รู้กันหมด อุดปากมันซะที!” เจ้าของร่างใหญ่สั่งอีกคนให้รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป คนถูกสั่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอด้วยความรำคาญก่อนก้าวเดินไปหาเอเดรียนที่ขดตัวร้องไห้เพราะเจ็บจุกที่กระแทกพื้น ตอนนี้ความกลัวได้คืบคลานเข้าสู่จิตใจของเด็กน้อยแล้ว แต่เด็กย่อมไม่รู้วิธีเอาตัวรอด เมื่อเผชิญอันตรายก็จะพยายามพาตัวเข้าหาคนที่สามารถปกป้องตนเองได้ ซึ่งในที่นี้มีเพียงซูเล่ย กระนั้นระหว่างเธอกับซูเล่ยก็มีชายอีกคนหนึ่งขวางกั้น เมื่อเด็กหญิงพยายามคลานไปหาพี่เลี้ยงก็ถูกล็อคตัวไว้อีกครั้ง

   “ปล่อยเอเดรียนเดี๋ยวนี้นะ! พวกแกมาที่นี่เพราะฉันไม่ใช่หรือไง!”

   “ไหน ๆ ก็มีเหยื่อเพิ่มแล้ว ปล่อยไปก็เสียดายแย่น่ะสิ”

   ซูเล่ยฟังแล้วสูดหายใจหนักหน่วงจนเจ็บหน้าอก ฟันกรามขบเข้าหากันจนแน่น ในใจพยายามนึกหาวิธีที่จะพาตนเองและเอเดรียนออกจากสถานการณ์นี้ แต่น่าเสียดายที่วิธีเดียวที่มีคือต้องมีใครสักคนกลับมาเจอ ทว่า...อีกหลายชั่วโมงกว่าที่อังเดรจะกลับมาบ้าน

   “เอ้า เฮ้ย! แกจัดการตรงนี้ไปนะ ฉันขอพายัยหนูนี่ไปจัดการอีกทางแล้วกัน”

   ถ้ามัวแต่คิดวิธีก็จะไม่ทันการ

   ซูเล่ยตัดสินใจในชั่ววินาทีคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดซึ่งบังเอิญว่าเป็นรองเท้าบูทสำหรับเดินในหิมะ มันทั้งหนาและหนักมากพอที่จะทำร้ายใครสักคนให้ชะงักได้ ซูเล่ยฝืนกลับตัวกระแทกส้นรองเท้าใส่ขมับชายร่างสูงทำให้เจ้าตัวเผลอปล่อยมือ เขาไม่ทิ้งโอกาสในเสี้ยววินาทีที่จะดึงตัวออกให้พ้นจากพันธนาการ แม้วิธีนั้นจะทำให้แขนที่ถูกล็อคได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อจนขยับแทบไม่ได้ โชคดีที่กระดูกหัวไหล่ไม่ได้หลุดออกแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในขณะนี้ เพราะเมื่ออีกคนหนึ่งร้อง อีกคนก็รู้สึกตัว

   เจ้าของร่างเล็กที่กำลังอุ้มเอเดรียนหันกลับมาพร้อมปืนในมือ แต่เพราะอารามตกใจจึงไม่ได้สั่นไกในทันที เปิดโอกาสให้ซูเล่ยคว้าตัวเอเดรียนและกระแทกอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี

   เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้กอดพี่เลี้ยงแน่นด้วยร่างกายสั่นเทาและบอบช้ำ

   บ้านหลังนี้ไม่มีประตูหลัง มันกลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะประตูหน้ามีคนยืนจังก้าตั้งสติอยู่ ส้นรองเท้าบูทคงได้ผลเกินคาดหมายแต่ก็ถ่วงเวลาได้ไม่นาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็แค่ล้มกระแทกพื้น ในไม่กี่วินาทีก็ลุกขึ้นได้เหมือนเดิม ทางออกที่เหลือจึงเป็นห้องใดสักห้องที่แข็งแรงพอจะป้องกันคนเหล่านี้ได้จนกว่าตำรวจจะมาถึง

   ถ้าหาก...เขามีโอกาสที่จะโทรเบอร์ฉุกเฉินล่ะก็นะ...

   เมื่อไม่เหลือทางเลือก ซูเล่ยก็อุ้มเอเดรียนขึ้นด้วยแขนข้างที่ยังมีแรงและพาขึ้นบันไดเพื่อมุ่งไปยังชั้นสอง ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าควรจะเข้าไปที่ห้องไหน

   และผู้บุกรุกก็ไม่ปล่อยให้มีเวลาคิด

   หลังจากทั้งสองตั้งสติและตั้งหลักได้ก็พากันวิ่งตามมาทางบันไดไม่ให้เหยื่อหนีสำเร็จ แม้ว่าซูเล่ยจะทิ้งระยะได้ แต่กลับไม่มากพอ เพราะเมื่อไปถึงแค่กลางทาง ความเจ็บก็บังเกิดบนหนังศีรษะเพราะกระจุกผมถูกจับและดึงอย่างแรงจนเสียหลัก เขาเอนล้มลงจากบันไดในท่วงท่าที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้และคนดึงก็ไม่ทันคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะล้มลงมาจึงไม่ได้คิดที่จะรับทำให้ศีรษะของซูเล่ยพุ่งลงโดยไร้การป้องกันเพราะเขากอดเอเดรียนเอาไว้แน่นแทนที่จะป้องกันส่วนหัวของตนเอง

   เสียงโครมดังขึ้นตามด้วยข้าวของบางส่วนที่ตกลงมาจากตู้และกระจายอยู่บนพื้น

   มันคงจะเป็นแค่การตกบันไดธรรมดา หากว่าไม่มีของเหลวสีแดงที่ไหลนองและกระจายวงอย่างช้า ๆ ...
   ความเงียบทิ้งตัวลงจนน่าใจหาย ไม่มีใครกล้าขยับเคลื่อนไหวในช่วงวินาทีที่ยาวนานนั้น

   “ซวยแล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น โทษบุกรุก โทษทำร้ายร่างกาย ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าโทษฆาตกรรม ทั้งสองไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น และด้วยความตกใจจึงร้องเช่นนั้นและรีบพากันวิ่งออกไปจากบ้านโดยทิ้งซูเล่ยและเอเดรียนไว้

   เด็กหญิงลืมตาขึ้นเมื่อหายตกใจ เธอถึงพื้นอย่างปลอดภัยเพราะมีตัวของซูเล่ยรองรับ ทว่า...พี่เลี้ยงซึ่งปกป้องเธอกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง

   “...ซู...” เอเดรียนสะอื้นแล้วเขย่าตัว “ซู! ตื่นสิ ซู!”

   หลายต่อหลายครั้งที่เพียรพยายามจะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้น แต่คนที่หลับใหลก็ไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวทำให้เด็กหญิงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจและระบายออกมาเป็นเสียงสะอื้นไห้ที่ไม่มีใครได้ยิน ในบ้านอันว่างเปล่า มีเพียงเด็กน้อยที่ไร้เกราะป้องกันกับร่างไร้สติของผู้ชายคนหนึ่ง

   เลือดยังคงขยายวงออกไปเรื่อย ๆ เปรอะเปื้อนชายกระโปรงตัวสวยกลายเป็นคราบสีสนิมดูน่ากลัว

---------------------------->

   วันนี้อังเดรรู้สึกใจไม่ดีมาตั้งแต่เช้า ตอนที่ซูเล่ยบอกว่าจะออกไปตัดผมและขอให้แนะนำร้านใกล้ ๆ ให้ เขาก็รู้สึกคันยุกยิกในอกจนอยากจะทักท้วง ทว่า...มันไม่มีเหตุผลมากเพียงพอจึงได้แต่ปล่อยไปและคิดว่ามันคงจะเป็นแค่อาการคิดมากเพราะซูเล่ยจะออกไปข้างนอกกับเอเดรียนตามลำพัง

   เขากับยูล่าพบกันที่โรงเรียนในชั่วโมงเต้นรำ หลังจากวันนั้นหญิงสาวยังคงปฏิบัติต่อเขาเช่นเดิมโดยไม่ได้รุกเข้าใกล้มากขึ้นซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่ดี ดูเหมือนยูล่าจะทำใจได้แล้วกับเรื่องของเขา และเลือกที่จะเว้นระยะกลับไปเป็นผู้ช่วยและเพื่อนที่ดี

   เขาและยูล่าจับคู่เต้นสาธิตตามปกติ หลังจากนั้นก็สนุกสนานกับการเรียนของพวกเด็ก ๆ ทำให้ลืมความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าไปเสียสนิท

   ทว่า...เมื่อตกบ่ายในระหว่างที่กำลังสอนอยู่นั้น กลับมีคนโทรเข้ามา

   “ขอโทษนะยูล่า ฉันขอตัวไปโทรศัพท์สักหน่อย” เขาว่าก่อนปลีกตัวออกไปรับสาย แต่ปลายสายกลับบอกเล่าสิ่งที่น่าตกตะลึง

   “คุณแอชฟอร์ด ได้ยินหรือเปล่าครับ?” ปลายสายที่แนะนำตัวว่าเป็นนายตำรวจถามย้ำเมื่อคู่สนทนาเงียบหายไปนาน

   “ครับ...ผมได้ยิน แล้วตอนนี้พวกเขา...”

   “ทั้งสองคนอยู่กับเราที่โรงพยาบาล” นายตำรวจพูดถึงชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในละแวกนั้น อังเดรร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รีรอเลยที่จะไปบอกให้ยูล่าจัดการทุกอย่างเองโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ และรีบขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่เอเดรียนและซูเล่ยอยู่ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเหยียบที่ความเร็วเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าสมองของเขาว่างเปล่าจนกลายเป็นสีขาว ภาพทิวทัศน์ผ่านตาไปแต่ไม่ได้ผ่านสมอง และด้วยเวลาเพียงสองในสามของปกติ อังเดรก็มาถึงโรงพยาบาลโดยที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามาทางถนนเส้นไหน
   “คุณแอชฟอร์ดใช่ไหมครับ?” เมื่อเขามาถึง นายตำรวจก็เอ่ยทักทันที

   “ครับ...ลูกสาวผม?”

   “ทางนี้ครับ” ตำรวจหนุ่มเดินนำไปที่จุดนั่งรอสำหรับญาติผู้ป่วย ที่เก้าอี้ยาวมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอเดรียน และล้อมกรอบด้วยตำรวจสองนายซึ่งพยายามตะล่อมถามสิ่งที่เกิดขึ้นจากเด็กหญิง ทว่าเธอตกใจมากจนไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้เลยสักข้อเดียว ทำให้ทั้งสองลำบากใจอยู่ไม่น้อย

   “เอเดรียน”

   เด็กหญิงสะดุ้ง หยุดร้องไห้และหันมองต้นเสียง

   “แดดดี้!” โดยไม่สนใจอาการช้ำของตนเองที่ทำให้เจ็บจนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปกอดพ่อทั้งน้ำตา “แดดดี้ ซูเลือดออกเต็มไปหมดเลย แล้วซูก็โดนเอาตัวไป” เสียงละล่ำละลักปนสะอื้นไม่ได้ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจอะไรมากขึ้นนัก แต่อังเดรก็อุ้มลูกสาวขึ้นมากอดปลอบเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความอุ่นใจและปลอดภัย เสียงร้องไห้จึงพอจะเงียบลงบ้าง กระนั้นเมื่อเขาเห็นรอยเลือดบนชายกระโปรงลูกสาว หัวใจก็เต้นระรัวจนผิดปกติด้วยคิดถึงใครอีกคนซึ่งควรจะอยู่ที่นี่

   “ดีแล้วที่คุณมา คุณแอชฟอร์ด” ชายสูงวัยลุกขึ้นและเดินมาหา คนคนนี้คือเพื่อนบ้านผู้แสนดีนั่นเอง คงจะเป็นผู้เห็นเหตุการณ์จึงได้ติดตามมาช่วยดูแลเอเดรียนที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จักในขณะที่พี่เลี้ยงถูกหามเข้าห้องฉุกเฉินไปต่อหน้าต่อตา

   “คุณบรองซ์ ขอบคุณมากนะครับ” อังเดรเอ่ยขอบคุณด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งที่ช่วยดูแลเอเดรียน ช่วยเป็นหูเป็นตามองดูสิ่งผิดสังเกต และช่วยโทรแจ้งตำรวจ แต่...
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-12-2013 15:27:13
   “ไม่หรอก ที่จริงแล้วผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย” ชายที่ถูกเรียกว่าคุณบรองซ์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิด เพราะเขาไม่ได้รู้เลยว่าคนข้างบ้านกำลังลำบาก ไม่รู้กระทั่งว่าเอเดรียนร้องไห้อยู่นานแค่ไหนเพื่อขอให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ และเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยจากคู่สนทนาเขาจึงพูดต่อ “ตอนนั้นผมกำลังจัดของอยู่ในบ้าน แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงออดเลยเปิดออกไปดู มีผู้ชายคนหนึ่งสวมโค้ทกับแว่นกันแดดมาหาที่หน้าบ้าน เขาบอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้มาจากบ้านของคุณ ตอนแรกผมก็คิดระแวงแต่พอเห็นประตูหน้าบ้านคุณเปิดอ้าอยู่ก็สังหรณ์ใจไม่ดี ผมเข้าไปดูเห็นเจอพี่เลี้ยงของคุณนอนอยู่บนพื้นแล้วหนูเอเดรียนก็ร้องไห้อยู่ข้าง ๆ”

   ผู้ชายสวมโค้ทกับแว่นกันแดด?

   “แล้ว...ซูล่ะครับ?” อังเดรเลือกที่จะละความสนใจจากบุคคลปริศนาไปก่อนเพราะได้ยินจากตำรวจว่าซูเล่ยตกจากบันไดหัวแตก ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง

   “พอหมอบอกว่าได้สติแล้ว พวกตำรวจก็เลยเข้าไปสอบปากคำอยู่น่ะ สิบนาทีแล้วยังไม่ออกมากันเลย” ว่าแล้วบรองซ์ก็ถอนหายใจ

   “อย่างนั้นหรือครับ?” อาการร้อนอกร้อนใจทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย แต่อังเดรก็พยายามทำตัวให้ปกติเพื่อไม่ให้ความกังวลของตนส่งไปถึงเอเดรียนที่ตอนนี้ขวัญผวามากพออยู่แล้ว

   “แล้วผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาด้วยหรือครับ?”

   “ไม่หรอก พอผมเข้าไปดูเอเดรียนเขาก็หายตัวไปแล้ว” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะอ่อนอกอ่อนใจเพราะเรื่องนี้พวกตำรวจก็ถามเขาอยู่เหมือนกัน “แต่...ผมนึกถึงอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาได้ ตอนที่เขาหายไป รถสีเทาที่จอดตรงข้ามก็หายไปเหมือนกัน รถคันนั้นดูคุ้นตามากทีเดียวเหมือนว่าจะเห็นมาจอดอยู่ตรงนั้นบ่อย ๆ อาจจะเป็นคนละแวกนั้นแต่ไม่อยากเปิดเผยตัวล่ะมั้ง”

   รถสีเทา?

   อังเดรรู้สึกว่าเรื่องนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก แต่เพราะใจไม่สงบจึงนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหรือได้ยินมาจากที่ไหนและมีความเกี่ยวข้องกับใคร

   บังเอิญว่าหมอคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นพูดคุยกับตำรวจสองนายที่อยู่ด้านนอก อังเดรจึงรีบเข้าไปหาโดยเก็บข้อสงสัยอื่น ๆ ไว้ในใจไปก่อน

   “ขอโทษครับ ผมเป็นนายจ้างของ...” เขากลอกตานึกหาชื่อเต็มของซู แต่ความทรงจำในส่วนนี้กลับว่างเปล่า จริงสิ...เขาไม่เคยรู้ชื่อเต็มจริง ๆ ของอีกฝ่ายเลย...

   “คุณแอชฟอร์ดสินะครับ ตอนนี้พี่เลี้ยงของคุณไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว มีแค่บาดแผลบนศีรษะส่วนสมองก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากนี้คงต้องมาตรวจเช็คอีกสักสองหรือสามครั้งเพื่อความมั่นใจ ส่วนลูกสาวคุณก็มีแค่รอยช้ำ กระดูกกับอวัยวะภายในไม่เสียหายแต่ก็ควรพามาตรวจเสียด้วยกัน เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเขียนใบนัดให้ ช่วยรอรับด้วยนะครับ” ว่าจบ หมอหนุ่มก็รีบเร่งเดินจากไป คงจะถูกเรียกตัวฉุกเฉินกระมังจึงได้รีบอธิบายอย่างรวบรัดแล้วจากไปในทันที แต่อย่างน้อยก็วางใจได้เปลาะหนึ่งว่าทั้งซูเล่ยและเอเดรียนไม่ได้รับอันตรายจนถึงชีวิต

   “แดดดี้ ซูล่ะ?” เอเดรียนยังเป็นห่วงพี่เลี้ยงของตน

   “ขอโทษครับ ผมขอเข้าไปดูเขาได้ไหม?” ชายหนุ่มเดินเข้าไปถามตำรวจที่ยืนคุยกันด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายจากคดีที่ดูไม่ได้ช่วยให้มีผลงานมากนัก

   “อ...ครับ ๆ” ตำรวจสองนายมองหน้ากันก่อนปล่อยให้อังเดรผ่านเข้าไป

   “เอ่อ...คนตัวสูงราว ๆ 8 ฟุตได้ล่ะมั้งครับ” พอเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในหูคือเสียงที่แสดงความไม่มั่นใจของซูเล่ยที่กำลังถูกขอให้บรรยายลักษณะของคนร้าย กระนั้น ด้วยความที่ไม่มีเวลาได้สังเกตนานนักกอปรกับเพิ่งได้สติข้อมูลจึงแสนจะเลือนราง

   ดูเหมือนอังเดรจะเข้าไปถูกจังหวะ เพราะพวกตำรวจทำท่าเหมือนจะกลับกันแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้น นึกอะไรออกอีกก็โทรไปแจ้งด้วยนะครับ”

   พวกตำรวจเดินสวนออกไป อังเดรจึงเบี่ยงหลบแล้วเดินเข้าไปทางเตียง เห็นซูเล่ยกำลังคลำศีรษะตนเองในจุดที่เพิ่งถูกเย็บแผลไปสด ๆ และมุ่นคิ้วก็นึกเป็นห่วง ทว่า เมื่อเจ้าตัวหันมาทางเขาและเลิกคิ้วจึงค่อยสบายใจได้ว่าอีกฝ่ายยังสบายดี

   “ซู!” เอเดรียนโถมตัวจากแขนพ่อลงไปหาพี่เลี้ยงโดยไม่นึกสังวรร่างกายของตนแม้แต่น้อย อังเดรจึงต้องยอมวางอีกฝ่ายลงบนตักของซูเล่ย และมองเด็กหญิงคลานเข้าไปกอดอีกฝ่ายจนแน่นเสมือนว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่ยอมปล่อยให้พี่เลี้ยงอยู่ห่างกายอีกแล้ว

   “รู้สึกยังไงบ้าง?”

   “...ปวดหัวนิดหน่อยครับ” ซูเล่ยกลอกตาอยู่สักพักก่อนตอบ เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ตอบสนองต่อคำถามได้ช้าลงแม้มันจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยก็ตาม เหมือนกับว่าสมองของเขาเฉื่อยชาที่จะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ไปชั่วขณะ โชคยังดีที่หมอบอกว่าอาการนี้จะหายไปเองในไม่ช้าหากพักผ่อนอย่างเพียงพอและไม่ทำอะไรให้สมองกระทบกระเทือนซ้ำอีก

   ในขณะที่เขากำลังมุ่นคิ้วเพราะไม่พอใจประสิทธิภาพของตนเองตอนนี้ อังเดรก็นั่งลงข้าง ๆ และถอนหายใจหนักหน่วง

   “จะว่าไป...คุณมีสอนไม่ใช่หรือ?” ได้ยินเสียงถอนหายใจและไม่พูดอะไร ซูเล่ยจึงถามต่อเพื่อไม่ให้ห้องเงียบจนน่าอึดอัด

   “เกิดเรื่องแบบนี้ใครจะมีกะใจทำอย่างอื่น”

   “...นั่นสินะครับ...” หลังจากตอบรับไปแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อคิดสิ่งที่จะพูดต่อไป “ดูเหมือนเอเดรียนจะไม่เป็นอะไรมาก แค่เหนื่อยนิดหน่อย ส่วนรอยช้ำพวกนี้คงจะหายไปเองในไม่ช้า” เขาว่าพลางลูบผมเด็กหญิงที่กอดตนเองร้องไห้จนหลับไป สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความตึงเครียดให้เป็นอย่างมาก ถ้าหากสามารถหลับตาลงได้ก็แปลว่าได้หลุดพ้นจากความเครียดและความหวาดกลัวแล้ว เขายกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มเอเดรียนแล้วจับขยับให้เอนซบในท่าที่สบายขึ้น

   อังเดรหันมองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนยกมือลูบผ้าพันแผลบนหน้าผาก จากมุมนี้มองไม่เห็นแผลก็จริง แต่เมื่อคะเนจากเลือดที่เปื้อนชายกระโปรงเอเดรียน มันคงจะร้ายแรงน่าดู

   “ผมกลับได้เลยหรือเปล่า?” เมื่อมองสายตาห่วงใยของอังเดร มันทำให้เขารู้สึกได้ว่าใจของตนกำลังสั่นไหวจึงถามเพื่อกลบเกลื่อน

   “คิดว่าคงกลับได้เลย แล้วหมอจะเขียนใบนัดให้มาตรวจอีกที วันไหนที่ต้องมาโรงพยาบาลฉันจะหยุดงานพามาเองก็แล้วกัน” ว่าแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปคุยกับพยาบาลเสียหน่อย พอเรียบร้อยแล้วจะได้กลับไปพักที่บ้าน”

   หลังอังเดรเดินออกไป ซูเล่ยก็เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

   ในตอนที่รู้ว่าอังเดรสละละทิ้งทุกอย่างและรีบเดินทางมาที่นี่ แม้ส่วนหนึ่งจะเพราะเอเดรียนแต่เขาก็อดเผลอรู้สึกดีใจไม่ได้

------------------------------->

   เมื่อกลับถึงบ้าน เอเดรียนก็ตื่นแล้วแต่ยังงัวเงียอยู่ ซ้ำยังพยายามใช้อภิสิทธิ์เด็กเพื่ออ้อนมห้อุ้มเข้าบ้าน อังเดรจึงให้ซูเล่ยถือถุงยาและกระเป๋าใส่แผ่นซีดีและอุ้มเอเดรียนเข้าบ้านเอง

   รอยเลือดยังคงเกรอะกรังอยู่ที่ตีนบันได ของที่ตกแตกก็ยังคงตกแตกอยู่อย่างนั้น และมีร่องรอยของการตรวจสอบจากตำรวจทิ้งไว้เพิ่มด้วย หากเป็นแม่บ้านที่หลงรักความสะอาดเข้าเส้นมาเห็นภาพแบบนี้คงมีลมจับกันบ้าง แต่ซูเล่ยกลับรู้สึกว่าโชคดีแล้วที่รอดชีวิตมาได้

   ตอนที่ถูกกระชาก วูบหนึ่งในใจคิดแล้วว่าอาจจะไม่รอดก็เป็นได้ ยิ่งเมื่อศีรษะกระแทกเข้ากับมุมราวบันได ความเจ็บแล่นปราดเดียวก็ชาดิกไปทั้งร่าง จากนั้นโลกทั้งใบก็มืดสนิท เขาไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกเหมือนว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งอยากอาเจียนและมึนงงราวกับสมองถูกเขย่าและปั่นในมูลิเน็กซ์จนละเอียด พอลองขยับตัวมันก็ปวดเมื่อยไปหมดโดยเฉพาะช่วงหลังและสะโพกที่กระแทกกับขั้นบันได แต่หมอก็บอกว่ากระดูกสันหลังไม่ได้รับอันตรายจึงพอเบาใจได้บ้าง

   “เป็นอะไรไป? หรือว่านึกอะไรออก?” อังเดรเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นซูเล่ยเอาแต่ยืนมองจุดเกิดเหตุราวกับกำลังด่ำดิ่งลงไปในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น

   “เปล่า...ผมแค่...ยังมึนอยู่นิดหน่อย” ซูเล่ยคลำผ้าพันแผลแล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อย แม้จะไม่สามารถสัมผัสบาดแผลได้แต่ความเจ็บก็ยังอยู่ “ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พอสวมเสื้อที่เปื้อนเลือดตัวเองแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย” ว่าแล้วเขาก็เดินเลี่ยงหลบรอยเลือดเพื่อก้าวขึ้นบันได

   ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง อังเดรก็พาเอเดรียนไปอาบน้ำอาบท่าในห้องข้าง ๆ

   จะว่าไป เอเดรียนถูกโยนลงพื้นแรงไม่ใช่น้อย ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นยังไงบ้าง เพราะรู้สึกห่วงจึงรีบเปลี่ยนเสิ้อผ้าและไปดูสองพ่อลูกในห้องอาบน้ำ

   รอยช้ำเขียวปรากฏเป็นจ้ำบนแขนและสีข้างของเด็กหญิง มันดูน่ากลัวเพราะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำทำให้ผู้มองเผลอกลั้นหายใจ แต่สีหน้าของอังเดรตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่ารอยช้ำบนตัวเอเดรียนเสียอีก เพียงแต่พยายามสะกดกลั้นไว้เพื่อให้ไม่ลูกสาวตกใจกลัว

   “คุณต้องไปโรงเรียนลีลาศต่อ ไปเตรียมตัวดีกว่านะครับ” ซูเล่ยเดินเข้ามาหมายจะจัดการเอเดรียนต่อเอง แต่กลับถูกอังเดรรั้งมือไว้

   “วันอย่างนี้ฉันไม่มีใจจะทำงานหรอก เมื่อกี้โทรไปบอกอาร์เลนให้ดูแลแทนแล้ว เธอเองก็ไปกินยาแล้วนอนพักเสียจะดีกว่า”

   “ผมนอนมามากพอแล้ว” เขาว่าก่อนลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งข้างอ่างอาบน้ำ มองดูสองพ่อลูกเล่นน้ำด้วยกันจนเสื้อเชิ๊ตของอังเดรเปียกโชก ดูเหมือนเอเดรียนจะหายกลัวแล้วและอีกไม่นานเธอคงจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปจนสิ้น ซึ่งนั่นจะดีสำหรับตัวเอเดรียนมากกว่า

   เด็กหญิงไม่แสดงอาการใด ๆ ที่บ่งบอกว่าถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ในตอนกลางวันเลย เธอยังคงซุกซนตามปกติ แต่เพราะยังเจ็บอยู่จึงซนไม่ได้มากและเลือกที่จะนั่งอ้อนอังเดรกับซูเล่ยให้ทำนั่นทำนี่ให้ กระนั้น เพราะซูเล่ยบาดเจ็บอังเดรจึงเป็นคนที่ทำตามคำขอเสียเป็นส่วนมาก

   และจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน อังเดรก็เป็นคนอุ้มเอเดรียนเข้านอน ทว่า...

   “เอเดรียนอยากนอนกับแดดดี้”

   เมื่อผ่านช่วงเวลาวิกฤติ คนเราย่อมอยากจะอยู่ใกล้คนที่ทำให้อุ่นใจทุกวินาที อังเดรจึงเปลี่ยนใจเดินหมุนตัวไปที่ห้องของตัวเอง แต่...

   “ซูนอนด้วยนะ”

   ทั้งซูเล่ยและอังเดรต่างมองหน้ากัน ซูเล่ยไม่ได้คิดอะไรมากนักกับคำขอนี้ เขาเพียงสงสัยว่าอังเดรจะตอบรับหรือไม่เพราะห้องนอนนับเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่ายกับคนที่เลือกสรรแล้วเช่นมารีน ที่อังเดรโกรธเขาก่อนหน้านี้ก็เพราะการรุกล้ำสถานที่ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง

   “ไม่เป็นไร พี่นอนคนเดียวได้” เขาลูบผมเอเดรียนเพราะไม่อยากจะยืนเล่นแง่นานนัก เพราะร่างกายเขาไม่พร้อมที่จะรับฟังความเอาแต่ใจของใครในตอนนี้ แต่เอเดรียนกลับมุ่ยหน้าแม้จะง่วงจนตาแทบปิดและจับมือซูเล่ยแน่นเป็นการยืนยันความตั้งใจของตัวเอง

   “เอเดรียนอยากนอนกับซู อยากนอนกับแดดดี้” ความมุ่งมั่นของเอเดรียนพาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองพากันอ่อนอกอ่อนใจ และแม้อังเดรจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องยินยอมเพื่อให้ลูกสาวยอมนอนโดยไม่งอแงหรือผวาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย

   ซูเล่ยรู้สึกแปลกที่ได้เป็นผู้ได้รับเชิญในห้องนอนของสามีภรรยาที่ยังคงให้กลิ่นอายของคู่แต่งงานแม้ว่าคนหนึ่งจะเสียชีวิตไปหลายเดือนแล้วก็ตาม

   ความอิจฉาอบอวลในอกเมื่อมองไปยังภาพถ่ายที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ

   “ซู นอนกัน” เอเดรียนตะโกนเรียกจากบนเตียงกว้างขนาดนอนได้สองคนสบาย ๆ เด็กหญิงตบเตียงข้างตัวแล้วไถลนอนลง อังเดรก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่พูดอะไร ซูเล่ยจึงโคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินไปนอนอีกฝั่ง เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าฝั่งที่ตนเองได้นอนเป็นฝั่งที่อังเดรนอนเป็นปกติหรือฝั่งของมารีนกันแน่

   พอถูกขนาบข้างด้วยคนใกล้ชิด เอเดรียนก็ไม่อิดออดอีกและปล่อยให้ตนเองจมลงสู่ห้วงนิทรา แค่ไม่กี่นาทีลมหายใจก็สม่ำเสมอด้วยความสบายใจด้วยความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีสิ่งใดเข้ามาทำร้ายตัวเองได้เมื่อได้รับการปกป้องโดยผู้คุ้มครองสองคนนี้

   ซูเล่ยเองก็หลับไปในเวลาหลังจากนั้นไม่นานเพราะฤทธิ์ยาที่กลบความไม่คุ้นชินต่อสถานที่ได้อย่างชะงัด เหลือแต่เพียงอังเดรที่ตาเบิกโพลงในความมืดเพราะไม่คุ้นที่มีคนร่วมห้อง และยังติดใจหลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวันที่ตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็น แต่เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและเหลือเพียงเสียงลมหายใจทอดยาวของผู้ร่วมห้องสองคน ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นมามองฝ่าความมืดไปยังคนที่อยู่อีกฝั่ง

   เขาค่อย ๆ โน้มตัวข้ามเอเดรียนด้วยความระมัดระวังเผื่อเพ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายยามหลับใหล ก่อนแนบจูบบางเบาและถอยกลับมายังที่ของตัวเอง


TBC


ตอนต่อไปจะอัพช้าหน่อยนะคะ เพราะคีย์บอร์ดที่ใช้อยู่เจ๊งกลางอากาศ ตัวสำรองก็ปุ่มแข็งมากต้องกระแทกตลอดเวลา เลยพิมพ์นิยายไม่ได้ ;w; พบกันเมื่อได้คีย์บอร์ดใหม่ค่ะ แง....
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 10-12-2013 15:48:58
เย้ๆ มาต่อแล้ว
ซูโดนทำร้าย เรื่องนี้มันต้องมีคนต้นเรื่องสิ
แล้วผู้ชายสวมโค้ทกับแว่นกันแดด? ใครอ่ะเนี่ย
รอตอนต่อไปนะคะ คีย์บอร์ดพังไม่เป็นไรเรารอได้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-12-2013 16:05:25
กีสสสสส
อังเดรทำแบบนี้คิดอะไรอยู่กันแน่คะะะ
เริ่มชอบเริ่มรู้สึกอะไรกับซุขึ้นมาอีกนิดแล้วสิ
มีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายที่เข้ามาจะโดนยูล่าจ้างมา
มันน่าสงสัยจริงๆ

ป.ล. ขอให้ได้คีย์บอร์ดไวๆเน้อ รออ่านๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 10-12-2013 16:16:48
ผู้ชายชุดดำเป็นใครกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 10-12-2013 16:40:23
พวกนั้นไม่ธรรมดานะ เหมือนรู้เวลาว่าอังเดรไม่อยู่เลยมาทำร้ายซู(เดาล้วนๆ)
ส่วนอังเดร อะไรเนี่ยยย หวั่นไหวใช่เปล่า แอบเขินนะเนี่ย :-[
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: zitronen-tee ที่ 10-12-2013 18:21:51
สรุปว่ารถสีเทาเป็นพวกดีสินะ
สร
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 10-12-2013 18:41:14
มารอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 10-12-2013 18:44:52
อ็ากกกกกกกกกกก ไอ้แก่ พี่เลี้ยงเด็กแกก็จะเอาสินะ

ซูน่ารัก อร่อยนักซูซู

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-12-2013 19:52:58
อังเดร มีแอบหอมแก้มนะ
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับยูล่ามั้ย น่าสงสัยยย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 10-12-2013 20:32:12
อ่านรวดเดียวเลย
ตัวละครปริศนาคนนั้นคือใครนะ
แล้วพวกที่ทำร้ายซูเล่ยต้องโดนจ้างมาแหงเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 10-12-2013 20:39:03
 ผู้ร้ายสองคนนั่นต้องจับมายำซะให้เข็ด
ชายในรถนั้นเป็นใครกัน
ขอให้ซูกับเอเดรียนหายไวๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 10-12-2013 20:59:57
ใครคะมันบัอาจทำซู  :beat: ไอเลวว จับให้ได้เร็วๆนะ  :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 10-12-2013 21:55:58
 :a5: ฉากระทึกขวัญ!!! นองเลือดเลยย 

มันสองตัวเป็นคร้ายยย! บังอาจมาทำร้ายซูกับเอเดรียน  :ling1:

ขอให้ได้คีย์บอร์ดใหม่เร็วนะก๊าบคนแต่ง  :katai4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 11-12-2013 00:39:31
ก็ยังแอบกรุบกริบตอนท้ายๆนะคะคุณแอชฟอร์ด
ใครมันทำซูกับเอเดรียน! เลวจริงๆ

แต่คนในรถเทาอะน่าสงสัยมากกว่า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Khunsathi ที่ 11-12-2013 02:31:24
ขออนุญาตคนเขียน คอมเม้นท์ทีเดียวเลยนะกันนะคะ ขอโทษด้วยจริงๆ
หลังจากซุ่มอ่านอยู่นาน ยอมรับเลยค่ะ ว่าชอบนิยายเรื่องนี้มาก
รู้สึกว่าตัวละครแต่ละตัว มีบทบาทและมีมิติมากค่ะ ชอบทุกคนเลย
ตั้งแต่คุณอังเดร คุณซูเล่ย และหนูเอเดรียน แต่ตัวละครที่อยากจะบอกว่่าชอบสุดๆ
ก็คือ คุณยูล่า ชอบเธอค่ะ มีความเป็นผู้หญิงสูงดี ทำทุกอย่างเพื่อความรัก
จริงๆเธอน่าสงสารออกนะคะ แต่ว่าในใจยังไงก็เชียร์คุณซูค่ะ เพราะมีอดีตกับตาอังเดรมา...
คู่นี้ก็แลหวานๆ เหมือนรักในเงามืด เราก็แอบลุ้นอยู่ในใจว่าตาอังเดรแกจะจำซูได้เมื่อไหร่...
จริงๆเราแอบเดาแบบเข้าข้างตัวเองค่ะ ว่าตาอังเดรแกอาจจะทำเนียน จริงๆแกอาจจะรู้อยู่แล้ววว...

ทั้งนี้ทั้งนั้นนนน ขอให้ได้คีย์บอร์ดใหม่ไวๆนะคะ...
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว... :)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: vk_iupk ที่ 11-12-2013 15:19:22
อ่านรวดเดียวจบเลยต่ะ อยากบอกว่า
อ่านเรื่องนี้แล้วสนุกมากจนวางไม่ลงเลยทีเดียว
รอติดตามตอนต่อไปนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 12-12-2013 20:28:37
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-12-2013 11:33:06
เห็นเรื่องนี้ซักพักแล้ว  แต่เพิ่งได้อ่าน น่าติดตามมาก ๆ ค่ะ ชอบมาก ๆ เลย
มีปม มีเงื่อนงำให้ต้องติดตามได้ตลอด  ชอบนายเอกมากค่ะ  ดูฉลาด รอบคอบดี
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 14-12-2013 12:36:37
มาต่อเร็วๆนะ
สนุกมากมากเลย ♥
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 14-12-2013 13:08:07
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน พออ่าน จบ เฮ่ย ติดอย่างแรงอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-12-2013 14:19:10
ได้ย้อนกลับไปอ่านนิทานก่อนนอนที่ซูเล่าให้เอเดรียนฟังอีกครั้ง
และติดใจว่ามารีนอาจเป็นพี่สาวของซูหรือเปล่า
นั่นหมายความว่าพ่อตาของอังเดรก็คือพ่อที่แท้จริงของซูนั่นเอง
ส่วนจะเรียกซูกลับมาเพราะอะไรไม่รู้  เดาล้วน ๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 15-12-2013 01:05:04
ใครส่งคนมาทำร้ายซูนะ ชอบบุคคลิกของอังเดร
เป็นคนฉลาดดี ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นใช่ไหมล่ะ
แอบเนียน ไม่อยากให้ซูไปตัดผมใช่ไหมล่ะ
ขอชมคนเขียนเก็บรายละเอียดเรื่องดีมาก o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-12-2013 15:15:14
-14-

   กลิ่นกายกรุ่นยวนใจอยู่บนปลายจมูก สัมผัสของมืออุ่นลูบคลึงไปทั่วร่างเปลือยเปล่าปลุกให้เขาต้องลืมตาตื่นแม้ว่าจะยังอ่อนเพลียจากกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไป สิ่งแรกที่มองเห็นคือแผงอกกว้างในความมืดที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่ทอดยาว แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นมองกลับพบดวงตาแวววามคู่หนึ่งกำลังจ้องตอบกลับมาพาให้ต้องหลบตาโดยพลัน

   ครั้นเมื่อพลิกตัวไปอีกทาง บาดแผลบนศีรษะก็กลับกลายเป็นอุปสรรค

   “นอนเฉย ๆ ก็ไม่เจ็บตัวแล้วแท้ ๆ” เสียงทุ้มกล่าวแล้วจับให้พลิกกลับมา

   ซูเล่ยเขม้นมองคนตรงหน้าผ่านความมืด สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนในใจอยู่ไม่น้อย

   เหตุการณ์นั้นเริ่มต้นเมื่อเอเดรียนยอมแยกห้องนอนในคืนที่สาม แม้เด็กหญิงจะหลับตาลงได้ทว่าเป็นเขาเองที่กระสับกระส่ายไม่อาจข่มตา ทุกครั้งเมื่อหลับตาลง ลมหายใจจะติดขัดคล้ายถูกกดทับด้วยบ่วงเหล็กที่กระชับเข้ามาเรื่อย ๆ จนแทบหายใจไม่ได้ แต่แล้ว...หูก็แว่วเสียงฝีเท้าอังเดรที่มาเข้าห้องน้ำกลางดึก ในห้วงเวลานั้นเขาปรารถนาเพียงใครสักคนที่จะปัดเป่าความหวาดกลัวไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ

   จึงได้เชิญชวนอังเดรโดยที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองพูดอะไรออกไปบ้าง กระนั้น...อีกฝ่ายกลับตอบสนองโดยไม่มีความลังเล ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากลายเป็นแบบที่หาคำจำกัดความได้ยาก ไม่ใช่แค่ร่วมหลับนอนชั่วข้ามคืน แต่เป็นเมื่อไหร่ก็ตามที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ หรือหากจะว่าจริง ๆ คือ เมื่ออังเดรพึงพอใจและเขาไม่ขัดข้อง ซูเล่ยเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าตนเองกำลังปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินควร

   หรือบางที มันอาจจะเป็นแค่การพยายามลืมความเลวร้ายที่เกือบจะถูกข่มขืนก็เป็นได้

   จากตอนนั้นก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่า เวลานี้รอยเย็บบริเวณขยับเริ่มสมานตัวแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเจ็บตึง ๆ เพราะสภาพอากาศอยู่บ้าง กระนั้นหลายครั้งที่ซูเล่ยยังกระหวัดนึกถึงช่วงเวลาที่เหมือนไต่บนเส้นด้าย ปืนที่ไม่รู้ว่ามีกระสุนหรือไม่จ่ออยู่ตรงหน้าในขณะที่ร่างกายของเขาตกในสภาวะล่อแหลม ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ที่ใบหน้าของผู้ร้ายทั้งสองค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นสีขาวว่างเปล่าและรอยยิ้มน่าขยะแขยง

   ราวกับรู้ว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดด้านลบ อ้อนแขนแกร่งกระชับร่างโปร่งบางเข้าไปกอดและตลบผ้าห่มขึ้นคลุม

   “ทำแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัยนะครับ”

   “หมายถึงที่เราหลับนอนด้วยกันน่ะหรือ? พอฉันแต่งงานใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

   ...

   ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยิน มันทำให้เขานึกขึ้นมาได้ว่าตนเองมาที่นี่เพื่อทำอะไร ผู้ชายคนนั้นกำลังเฟ้นหาผู้หญิงที่ดีและเหมาะสมกับอังเดรอยู่ ส่วนตัวเขาแค่มีหน้าที่คอยกันท่าคนอื่น ๆ เท่านั้น การที่มาถึงจุดนี้ได้นับว่าเหตุการณ์พาไปอย่างไม่คาดฝัน

   “อย่าให้ภรรยาใหม่ของคุณจับได้แล้วกัน” ชายหนุ่มร่างเล็กเค้นเสียงจากในคอ

   “ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก พ่อของมารีนเลือกมาเองกับมือ คงไม่พ้นเป็นหุ่นเชิดเหมือนเธอนั่นแหละ”
   เสียงลมหายใจหนักหน่วงพรูออกมาเสมือนระบายความอึดอัดจากในอก แต่น่าแปลกที่เสียงลมหายใจนั้นกลับมาจากทางอังเดรเสียมากกว่าฝั่งซูเล่ยที่ถูกเสียดสี ทำให้ผู้ฟังต้องมุ่นคิ้วเพราะถูกแย่งหน้าที่ กระนั้นยังไม่ทันจะได้มองตาอีกฝ่ายให้ชัด อังเดรก็ผุดลุกขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองเวลา

   “ฉันจะลงไปเตรียมอาหาร เธอนอนพักไปก่อนแล้วกันเดี๋ยวเอเดรียนตื่นแล้วฉันค่อยมาปลุก”

   หลังจากซูเล่ยถูกทำร้าย อังเดรก็ทำหน้าที่ตอนเช้าแทนเพื่อให้คนเจ็บมีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ กระนั้นซูเล่ยกลับรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นการทดแทนแบบหนึ่งสำหรับการรบกวนในยามค่ำคืนก็เป็นได้

   เขามองตามร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มที่คว้าเสื้อขึ้นมาสวมอย่างลวก ๆ ก่อนเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น และเมื่อสิ้นเสียงประตูจึงหลับตาลงเพื่อพักต่อ

   ทว่า...การนอนหลับทั้งที่ภาพชวนฝันร้ายยังติดอยู่ในหัวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด หากจะพูดตามตรง...ตอนนี้เขาสามารถหลับสนิทโดยไม่อาศัยยาช่วยก็เฉพาะเมื่อมีอังเดรนอนอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้น แต่ครั้งจะลุกไปหยิบยามากินเอาตอนนี้ก็คงจะไม่รู้ตัวไปอีกหลายชั่วโมง สุดท้ายซูเล่ยจึงนอนพลิกไปมาบนเตียงทั้งที่ยังสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นจนแสงสว่างสาดเข้ามาถึงตัวจึงค่อยลุกขึ้น

---------------------->

   ภาพบนกระจกสะท้อนให้เห็นรอยเย็บยาวบริเวณขมับซึ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหนึ่งตนเองเป็นมาเฟียชั้นล่างกำลังสั่งสมประสบการณ์ เสียแต่ใบหน้าของเขาช่างไม่มีเค้าของความเป็นมาเฟียเอาเสียเลย ดังนั้นถึงจะมีรอยแผลเป็นเพิ่มอีกสักสองหรือสามแผลก็คงไม่ได้ช่วยให้ใบหน้าดูขึงขังขึ้นแต่อย่างใด

   “ซู เสร็จหรือยัง” เสียงเจื้อยแจ้วของเอเดรียนเรียกอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ทำให้เขายอมผละจากกระจกและเดินออกมา

   “เสร็จแล้ว เอเดรียนจะใช้ห้องน้ำหรือ?” แต่ห้องน้ำข้างล่างก็มี เอเดรียนไม่น่าจะทนปวดท้องขึ้นมาถึงข้างบนเพียงเพื่อรอให้เขาสละห้องให้

   “ซูไม่ยอมลงซะที” เด็กหญิงพองแก้มใส

   “พี่ก็ต้องทำธุระส่วนตัวบ้างสิ แล้วแดดดี้ทำอะไรให้กินล่ะวันนี้?” เขาจูงมือเอเดรียนแล้วเดินลงไปชั้นล่างด้วยกัน เด็กหญิงดูจะติดเขามากขึ้นหลังเหตุการณ์ระทึกขวัญ จนตอนนี้แทบจะไม่ยอมเอาตัวออกห่างเขาเลยนอกจากเวลานอน ซึ่งก็ดีกว่าสองคืนแรกที่ต้องไปนอนรวมกันในห้องของอังเดรเพราะตัวเอเดรียนกลัวเกินกว่าที่จะนอนเพียงลำพัง แต่คืนที่สามเจ้าตัวก็สามารถนอนห้องตัวเองได้แต่ต้องให้อังเดรคอยดูแลจนกว่าจะหลับ

   “แดดดี้ทอดไข่ กับปิ้งขนมปัง แล้วก็มีนม”

   “แล้วของพี่ล่ะ?”

   “ของซูเป็นไข่ทอด ขนมปัง แล้วก็มีนมเหมือนกัน” เอเดรียนหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนจะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กหญิงที่ได้กินได้ทำเหมือนกับคนที่ตนเองสนิทชิดเชื้อ “แต่ว่าของซูมีขนมปังสองแผ่น แล้วก็มีไส้กรอกอีกชิ้นนึง แดดดี้บอกว่าซูไม่สบายต้องกินเยอะ ๆ”

   “เอเดรียนเลยขึ้นมาเรียกเผื่อพี่ไม่กินจะได้แอบกินคนเดียวหรือเปล่า?” ซูเล่ยแกล้งเย้าแล้วหยิกแก้มนุ่มนิ่มอย่างมันเขี้ยว

   “ถ้าไม่กินฉันจะได้เก็บต่างหาก” ไม่ทันที่เอเดรียนจะตอบอะไร อังเดรก็ตอบเสียเองเพราะทั้งสองเดินมาถึงห้องครัวพอดี ชายหนุ่มนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ข้างหน้ามีจานว่างเปล่าวางซ้อนอยู่น่าจะเป็นของตัวเองและของเอเดรียน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีจานที่ยังไม่พร่องใบหนึ่ง

   ซูเล่ยเดินไปนั่งที่ของตนเอง และมองจานอาหารเช้า

   “รอผมจนสายขนาดนี้จะไม่เป็นไรหรือครับ?”

   วันนี้เป็นวันแรกที่อังเดรจะกลับไปทำงาน ดังนั้นปกติจะต้องเดินทางไปโรงเรียนก่อนสิบโมงแต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสิบโมงแล้วก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง แค่แต่งตัวเตรียมออกและกระเป๋าก็จัดรอท่าไว้แล้วเท่านั้น
   “ออกสายสักหน่อยไม่เป็นไรหรอก ฉันบอกทางโรงเรียนไว้แล้ว”

   ฟังแล้วซูเล่ยจึงพยักหน้ารับอย่างใจลอย

   เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ด้วยกันแทบทุกเวลา ซึ่งคงเป็นเพราะมัวแต่กังวลเรื่องอื่นอยู่กระมัง อย่างเช่นเรื่องที่ว่า...ทำไมคนพวกนั้นจึงได้เลือกที่จะบุกเข้ามาในบ้านและไม่ได้ขโมยของอะไรออกไปเลยนอกเสียจากพยายามจะทำมิดีมิร้ายผู้ชายคนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงที่บังเอิญอยู่ด้วยกัน เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วมันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ?

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปทำงานก่อนก็แล้วกัน” อังเดรว่าพลางยกจานที่ว่างแล้วไปใส่ในซิงค์ “ถ้ามีอะไรก็โทรเข้ามือถือฉัน เข้าใจไหม?”

   อังเดรว่าและรอจนกระทั่งซูเล่ยขานรับจึงออกจากบ้านไป

   “ซูยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?” เด็กหญิงส่งพ่อที่หน้าบ้านแล้วก็วิ่งกลับมาในครัวเพื่อถามสารทุกข์สุขดิบของพี่เลี้ยงคนโปรด

   “ก็นิดหน่อย” เขาว่าพลางเคี้ยวขนมปัง สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยช้ำม่วงบนแขนของเอเดรียนที่จางไปมากแล้วแต่ก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็น เขาจำได้ว่าอังเดรเดือดดาลแค่ไหนตอนที่เห็นรอยช้ำของเอเดรียนอย่างเต็มตา กระนั้นเจ้าตัวกลับไม่ได้ตำหนิเขาเลยสักคำ

   เอเดรียนปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วมองซูเล่ยกินอาหารเช้าโดยไม่คิดจะไปวิ่งเล่นเหมือนที่เคยทำ ราวกับว่าการวนเวียนอยู่ใกล้ตัวพี่เลี้ยงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของชีวิต

   “น้องต่ายเป็นห่วงซูด้วยนะ” ขนปุกปุยของตุ๊กตาไล้บนแขนแทนการปลอบใจ

   “แล้วเอเดรียนไม่เป็นห่วงพี่หรือ?” เขาเย้าแล้วจิ้มไส้กรอกป้อนให้

   “เอเดรียนห่วงซูมาก ๆ เหมือนกัน” แขนเล็กบอบบางอ้ากว้างก่อนเจ้าตัวจะยื่นหน้ามางับไส้กรอกจากปลายส้อมและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “แดดดี้ด้วย แดดดี้บอกว่าซูไม่ค่อยสบายต้องให้กินมาก ๆ ต้องให้พักเยอะ ๆ แล้วซูจะได้หายไว ๆ”

   ดวงตาสีดำในกรอบเรียวรีสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นความใสซื่อของเอเดรียนแล้วเขาไม่แน่ใจนักว่าหากเธอได้รู้ความจริงบางประการจะยังคงรักเขาเหมือนเช่นตอนนี้หรือไม่

   โดยเฉพาะ...เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

   เอเดรียนจะเกลียดเขาเหมือนที่เกลียดยูล่า เพราะกำลังแย่งความรักไปจากพ่อของเธอด้วยหรือเปล่า?

--------------------->

   อังเดรมาถึงโรงเรียนก็สายแล้ว ตอนไปถึงห้องเรียนชั่วโมงลีลาศก็เริ่มไปแล้วสิบนาที ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครจ้องมองเขาด้วยสายตาตำหนิติเตียนเพราะนักเรียนทุกคนต่างทราบดีถึงความจำเป็นของผู้สอน พวกเขาต่างได้รับรู้เหตุไม่คาดฝันในบ้านอังเดรด้วยข่าวลือที่ลอยมาจากที่ใดก็ไม่ทราบกอปรกับการเล่าเรื่องโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดจากยูล่า ผู้คนร่ำลือกันหนาหูแม้ไม่ได้ออกในสื่อใด ๆ ถึงเหตุสะเทือนขวัญอันน่ากลัว เคหะสถานคือสถานที่ซึ่งทุกคนคิดว่าปลอดภัย ได้กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

   ยูล่ายิ้มให้ชายหนุ่มอย่างไม่ถือสาเมื่อได้รับคำขอโทษที่มาช้ากว่าเวลา

   “ช่วงนี้คงต้องลำบากหน่อยนะคะ” เธอกล่าวและถามสารทุกข์สุขดิบตามมารยาท “แล้ว...คุณซูกับหนูเอเดรียนเป็นยังไงบ้าง คงดีขึ้นแล้วสินะคะ?”

   “ครับ ทั้งสองคนดีขึ้นมากแล้ว เอเดรียนเหลือแค่รอยช้ำนิดหน่อยส่วนซู...ถ้ารอยแผลหายดีก็คงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” สีหน้าของอังเดรบ่งบอกถึงความกังวลใจที่ต้องทิ้งทั้งสองมาทำงานแม้ใจจะอยากอยู่ดูแลจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายใด ๆ ซ้ำซ้อน

   “ถ้าคุณกังวล ฉันว่าคุณน่าจะลาหยุดอีกสักระยะ”

   “ไม่ได้หรอก ผมจะโยนภาระให้คุณไปตลอดก็ใช่ที่” ชายหนุ่มถอนหายใจ ครั้งหนึ่งที่เขาเคยลาหยุดก็คือตอนที่มารีนเสียชีวิต ตอนนั้นยูล่าก็มาทำงานแทนเขาเช่นกันแต่ก็ไม่นานนักเพราะหลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วเขาก็พาเอเดรียนมาด้วยทดแทนที่ไม่มีเวลาดูแล จนกระทั่งซูเล่ยปรากฏตัวขึ้นชีวิตการทำงานของเขาจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ไม่คิดว่ามันจะมาสั่นคลอนเพราะเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบนี้

   อังเดรอดโทษตนเองไม่ได้ แม้ซูเล่ยจะไม่ได้บอกว่าเขาทำอะไรผิด แต่หากวันนั้นเขาเตือนสักหน่อยเพราะสังหรณ์ใจไม่ดี ซูเล่ยอาจจะระวังตัวมากกว่านี้

   “คุณแอชฟอร์ด ฉัน...ทราบว่าคุณเป็นห่วงทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะคุณซู” คำพูดยูล่าเหมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าเธอเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีแล้ว “ดังนั้นฉันไม่ถือโทษคุณหรอกค่ะ”

   “ขอบคุณครับ” เขากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “แล้ว เอ่อ...วันนี้พวกเขาเรียนจังหวะอะไรกัน?”

   “ก็ทบทวนของเก่าน่ะค่ะเพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะสอนจังหวะไหนต่อ ซ้ำไม่มีแผ่นซีดีด้วย” หญิงสาวผายมือให้อังเดรเห็นเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาที่ตนเองนำมา กับแผ่นเพลงไม่กี่แผ่นซึ่งมีติดตัวอยู่บ้าง อังเดรจึงวางกระเป๋าลงและเปิดค้นแผ่นที่เตรียมไว้ออกมาแล้วจึงปรบมือเรียกความสนใจจากเด็กนักเรียนที่กำลังทบทวนบทเพลงอย่างไม่จริงจังนัก

   “แหม นึกว่าคุณจะไม่สนใจพวกเราเสียแล้วสิ” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยแซวแล้วเดินกระเถิบเข้ามาหาพร้อมกับคนอื่น ๆ เพื่อรอฟังสิ่งที่ผู้สอนจะพูดต่อไป

   “ฉันสนใจพวกเธออยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ถึงได้เตรียมเพลงใหม่มาให้โดยเฉพาะไง”

   พวกเด็กนักเรียนแสดงอาการตื่นเต้นโดยทันที เพราะพวกเขาไม่ได้ซึ้งใจในจังหวะลีลาศนัก เมื่อเต้นแต่เพลงเดิมซ้ำ ๆ จึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย พอได้ยินว่าจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงพอจะมีไฟกับการเรียนวิชานี้ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากซึมเซากันมากว่าสัปดาห์
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-12-2013 15:15:33
   “เพราะคุณปากหวานแบบนี้แหละถึงมีแต่สาวติดตรึม” เด็กหนุ่มหัวเราะขณะกวาดตามองเพื่อนสาวในห้องที่ส่วนใหญ่จะหลงเสน่ห์ชายหนุ่มแสนสุภาพคนนี้ แม้จะไม่ได้คาดหวังอยากเป็นแฟนหรือต้องการครอบครองเพราะเป็นความหลงใหลแบบเด็ก ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าตัวดูดึดดูดใจในทุกบุคลิกท่าทาง

   “ถ้าอย่างนั้นเธอน่าจะลองปากหวานแบบฉันดูบ้าง เผื่อสาวน้อยที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายนั่นจะสนใจเธอมากขึ้น” เขาสวนเด็กหนุ่มกลับอย่างนิ่มนวล เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่จะต้องมีการประลองฝีปากกันสักยกสองยกสำหรับเด็กวัยคะนองเหล่านี้ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ลามปามเกินไปเขาก็ไม่ได้นึกถือสา กลับกัน มันกลับทำให้เขาสนิทสนมกับเด็กเหล่านี้มากขึ้นและเรียกเสียงหัวเราะเฮฮาได้ทุกครั้งที่เข้าสอน เสียงหัวเราะอย่างเริงร่าช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าชีวิตการทำงานอันแสนปกติของเขาได้กลับคืนมาอีกครั้ง

   ในระหว่างที่อังเดรกำลังพูดคุยกับเด็กนักเรียนอย่างสนุกสนาน ยูล่าก็ค้นแผ่นซีดีออกมาดู แต่แล้ว สายตาของเธอก็สะดุดกับของบางอย่างในกระเป๋า ซึ่งผู้เป็นเจ้าของวางไว้อย่างไม่ระมัดระวัง

   หญิงสาวเหลือบสายตามองเจ้าตัวอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นจึงหยิบของสิ่งนั้นใส่กระเป๋ากระโปรงตนเองอย่างแนบเนียน จากนั้นก็จัดของไปตามปกติไม่ให้ผิดสังเกต ซึ่งกว่าอังเดรจะรู้ว่าของสิ่งนี้หายไปก็คงจะหลังจากนี้อีกพักใหญ่

   “เริ่มกันเลยดีไหมคะ?” เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเธอใช้เวลานานเกินไป ยูล่าจึงเดินเข้าไปถามด้วยตัวเอง อังเดรพยักหน้ารับและเลือกแผ่นออกมาแผ่นหนึ่งให้เปิดบรรเลง จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงสอนจังหวะและสาธิตไปตามลำดับ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย...ราวกับว่าเรื่องร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว...

----------------------->

   วันที่แสนปกติจะกลับมาหาอังเดรแต่เพียงผู้เดียว แต่ซูเล่ยและเอเดรียนก็กลับสู่กิจวัตรประจำวันที่ควรจะเป็นเช่นกัน นั่นคือการอยู่โดยไม่มีอังเดรคอยดูแล ทั้งที่มันควรจะเป็นวันปกติธรรมดาอันแสนสงบเหมือนเช่นที่เคยเป็น ทว่าสำหรับซูเล่ย เขากลับรู้สึกขึ้นมาว่าบ้านหลังนี้กว้างขวางและเงียบงันจนเกินไป พาให้รู้สึกวังเวงเมื่อทุกสรรพเสียงเงียบสงัดลง

   เสียงน้ำไหลทิ้งจากก็อกสแตนเลสพอจะช่วยให้เขาสงบใจได้บ้าง แม้ว่าตอนนี้ในซิงค์จะไม่มีภาชนะที่ต้องล้างแล้วก็ตาม

   “ซู เต้นกัน” เอเดรียนคงจะเบื่อที่พี่เลี้ยงเอาแต่ยืนเหม่อจึงเดินเข้ามาชวนหาอะไรทำ และอะไรที่ว่าก็คือกิจกรรมยามว่างที่เธอแสนโปรดปราน

   ซูเล่ยคิดจะปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อคิดดูแล้ว เสียงเพลงคลอเบาแบบคลาสสิกคงช่วยให้ใจของเขาสงบได้มากกว่าเสียงน้ำไหลอย่างเปลืองเปล่า

   ชายหนุ่มร่างเล็กปิดก๊อกและหันไปเช็ดมือกับผ้าแห้ง

   “เอเดรียนเลือกเพลงไว้หรือยัง?” เขาลูบเรือนผมสีน้ำตาลแล้วเดินตามเด็กหญิงเข้าไปห้องนั่งเล่น เขาเห็นแผ่นซีดีหลายแผ่นไหลออกมาจากกองที่ตั้งไว้ แสดงว่าคงเลือกเล่นอยู่สักพักแล้วแต่เพราะยังเปิดเครื่องเล่นเองไม่เป็นจึงต้องอาศัยผู้ใหญ่ช่วย

   “เอาอันนี้” กล่องซีดีที่เอเดรียนชูขึ้นมา หน้าปกเป็นภาพเวกเตอร์สีสันสบายตา เมื่อพลิกดูด้านหลังจึงเห็นชื่อนักร้องและชื่อเพลงต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้คุ้นตาคุ้นใจเอาเสียเลย

   “เพลงแรกเลยหรือ?”

   “ไม่ใช่ เปิดไปเรื่อย ๆ ก่อน”

   ซูเล่ยกลอกตาแล้วใส่แผ่นเข้าไปในเครื่องพลางเปิดเล่นเพลงไปทีละเพลง เพลงหนึ่งก็รอจังหวะขึ้นสักสิบวินาที จนถึงเพลงที่สี่เอเดรียนก็บอกให้หยุด

   “เอาเพลงนี้ เต้นเพลงนี้กัน” เอเดรียนมักจะจู้จี้กับเพลงแรก และเมื่อมันเปลี่ยนแทร็กเจ้าตัวก็ไม่ขัดข้องนักเมื่อเพลงเปลี่ยนไป

   เสียงเพลงคลอหวานเป็นทำนองหนักเบาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เขาลุกขึ้นและปล่อยให้เอเดรียนพาโยกตัวไปรอบห้องโดยพยายามที่จะไม่หมุนมากนักเพื่อป้องกันอาการวิงเวียน พอโยกเบา ๆ อย่างอิสระแบบนี้ก็ทำให้เขาอดคิดถึงตอนที่เต้นรำกับอังเดรไม่ได้ทุกทีไป

   ทว่าเมื่อเขากำลังหลับตาลงเพื่อซึมซับความสงบใจในช่วงเวลาอันแสนนั้นนั้นเอง เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น

   เพลงท่วงทำนองแบบจีนยังคงเรียกความสนใจของเอเดรียนได้อย่างเคย เธอมองตามเสียงตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มดังจากกระเป๋ากางเกงของซูเล่ยจนกระทั่งเจ้าตัวหยิบขึ้นมาเปิดดูเบอร์โทรศัพท์แล้วหันไปลดเสียงเพลงลงเล็กน้อยก่อนกดรับสาย

   “เป็นไงบ้างน่ะซู?” คำถามของดาริลที่เต็มไปด้วยความห่วงกังวลดังมาตามสายแต่ก็แอบแฝงด้วยน้ำเสียงแสดงการหยั่งเชิง

   “นายรู้ข่าวได้ยังไง?” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนเอ่ยถามทัก เพราะเรื่องราวของเขาไม่ได้ใหญ่โตขนาดเป็นข่าวออกสื่อใด ๆ และจงใจที่จะไม่บอกใครอื่นเพราะไม่อยากให้คนรู้จักมาโทรถามซักไซ้กันเป็นพรวนแม้เขาจะไม่ได้มีเพื่อนมากนักก็ตาม

   “โถ่เอ๊ย นี่นายไม่ได้คิดจะบอกฉันเลยใช่ไหม?” เสียงต้นสายดูจะหงุดหงิดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าการหยั่งเชิงของตนเป็นไปตามคาด “ฉันคงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าเมื่อคืนนี้ไม่มีลูกค้าตำรวจมานั่งดื่มแล้วเล่าคดีเกี่ยวกับคนร้ายบุกบ้านทำร้ายพี่เลี้ยงเด็กกับเด็กผู้หญิงอายุสองขวบให้ฉันฟัง แล้วรู้ไหม ฉันคิดได้ทันทีว่าต้องเป็นนายเพราะตำรวจคนนั้นใช้สรรพนามแทนนายว่า เขา ไม่ใช่ เธอ และพี้เลี้ยงเด็กผู้ชายคงหาได้ไม่มากนักหรอก ถ้าหากว่านายเข้าใจพรสวรรค์ในการสรุปความและสืบสวนข้อเท็จจริงแบบมั่ว ๆ ของฉันแล้วก็เล่ามาเสียดี ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” คงเพราะน้อยใจที่เพื่อนไม่บอกข่าวทั้งที่อยู่ไม่ไกลกัน ปล่อยให้ต้องคาดเดาไปเองและลองโทรถามว่ามันใช่หรือไม่ ดาริลจึงร่ายยาวประชดประชันเสียเต็มเหนี่ยวก่อนเปิดโอกาสให้ซูเล่ยเป็นฝ่ายพูดบ้าง

   “ก็ไม่มีอะไร”

   “นายเลิกนิสัยขึ้นต้นการเล่าเรื่องด้วยคำนี้เสียทีได้ไหม ในเมื่อรู้กันอยู่ว่ามันมี”

   “ก็ได้ ๆ” ชายหนุ่มทางปลายสายถอนหายใจเล็กน้อย “มันก็มีอะไร และไอ้ที่มีที่จริงฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่” ซูเล่ยเว้นระยะแล้วหันไปทางเอเดรียน

   เขาคงไม่ควรเล่าต่อหน้าเด็กคนนี้...

   “เอเดรียน พี่จะไปคุยกับเพื่อนแปบนึงนะ” เขาบอกให้เอเดรียนรออยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วเดินออกมาที่หน้าบ้าน “ถ้าจู่ ๆ มีคนร้ายบุกเข้าบ้านนายแล้ว...” กระนั้นพอจะต้องเล่า ซูเล่ยกลับรู้สึกถึงก้อนแข็งที่จุกในลำคอป้องกันคำพูดไม่ให้หลุดออกมา

   “แล้ว?” แต่ฝั่งดาริลที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็เอ่ยถามเพราะข้องใจ

   “...แล้วพยายามทำร้ายร่างกาย” ในที่สุด ผู้เล่าก็สามารถหาคำอื่นมาทดแทนได้ “แถมยังลามไปถึงเด็กที่นายดูแลด้วย นายจะคิดยังไงล่ะ?”

   “หา? ก็ต้องคิดจะขโมยของอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

   ใคร ๆ ก็คงคิดแบบเดียวกัน กระทั่งเขาก็คิดเช่นนั้นชั่วแวบหนึ่ง

   “แต่พวกนั้นไม่ได้เอาอะไรติดมือไปเลยนี่สิ”

   “เอ...แล้วนายทำให้พวกนั้นถอยออกไปได้ยังไงกันน่ะ? ตำรวจคนนั้นบอกฉันแค่นายได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้บอกรายละเอียดสักเท่าไหร่เลย”

   ซูเล่ยกลอกตาอยู่สักพักเพื่อคิดว่าจะเรียบเรียงเหตุการณ์อย่างไรไม่ให้ตนเองรู้สึกลำบากใจและดาริลสามารถเข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่ได้

   “ฉัน...พาเอเดรียนหนีแล้วก็โดนฉุดตกบันไดหัวแตก” เขาไหวไหล่ คิดว่าแค่นี้น่าจะพอตอบคำถามได้ “แล้วฉันก็หมดสติ จำอะไรไม่ได้เลย”

   “อ้อ แสดงว่าพวกนั้นคงตกใจเพราะนึกว่านายตายแล้วก็เลยหนีไปโดยที่ลืมหยิบของติดไม้ติดมือไปด้วยล่ะมั้ง ปกติพวกอันธพาลถ้าไม่ถึงขนาดเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ที่ยกพวกตีกันเป็นกิจวัตรก็คงไม่พึงใจกับการฆ่าคนสักเท่าไหร่หรอก เวลานั้นคงลืมจุดประสงค์เดิมหมดแล้ว”

   ที่ดาริลพูดมาก็พอฟังขึ้นอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม การที่ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ทำให้ไม่สามารถสรุปอะไรได้ชัดเจนนัก

   “ก็คงจะเป็นแบบนั้น...”

   ทว่าระหว่างที่ยังคุยกันไม่จบดี ก็มีเสียงสายซ้อนเข้ามาอย่างกะทันหันจากทางฝั่งของซูเล่ย ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ส่งสัญญาณบอกว่ามีสายเรียกซ้อนพร้อมปรากฏเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

   “ถือสายรอเดี๋ยวนะ” ซูเล่ยกล่าวก่อนกดสลับสายสนทนา “สวัสดีครับ”

   “สวัสดีค่ะ”

   ...

   เสียงแบบนี้คุ้นหูจนต้องชะงักไปวูบหนึ่ง แม้เขาจะไม่เคยได้ยินเสียงอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์จึงสับสนอยู่ในตอนแรก กระนั้นเมื่อคิดทบทวนแล้ว โทนเสียงแบบนี้ไม่น่ามีเป็นอื่น

   “คุณยูล่า?”

   “คิดว่าคุณซูจะจำเสียงฉันไม่ได้เสียอีก” อีกฝั่งหัวเราะ

   “คุณรู้เบอร์มือถือผมได้ยังไงน่ะครับ?” ซูเล่ยจำได้ว่าตนเองไม่เคยเผยแพร่เบอร์โทรศัพท์มือถือให้ใครรู้ยกเว้นแต่เพียงอังเดร

   “ฉันถามมาจากคุณแอชฟอร์ดน่ะค่ะ” คำตอบของยูล่าพานึกสงสัยอยู่ในใจ เพราะอังเดรน่าจะขออนุญาตเขาก่อนจะแจกจ่ายเบอร์ของเขาให้ใครไม่ใช่หรือ? “อย่าคิดว่าฉันเสียมารยาทเลยนะคะ วันนี้คุณแอชฟอร์ดมาทำงานเป็นวันแรกแต่ก็ดูเหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องทางบ้านสักเท่าไหร่ ฉันรู้สึกเป็นห่วงก็เลยขอติดต่อกับคุณซูโดยตรงจะได้ถามสารทุกข์สุขดิบประสาคนรู้จักไปในตัว”

   แม้ผู้ฟังจะมีคำถามอยู่ในใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงอ้าปากและค้างอยู่เช่นนั้น

   “...ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลืนคำถามลงคอและตอบรับความปรารถนาดีของหญิงสาวแทน

   “ตอนนี้ทั้งคุณกับหนูเอเดรียนคงจะต้องปรับตัวกันไม่น้อยสินะคะ ฉันรู้มาว่าในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าได้ออกมาเจอคนข้างนอกบ้างจะช่วยเยียวยาได้มากกว่า ถ้ายังไงเย็นนี้สนใจจะออกมาทานอาหารด้วยกันไหมคะ? คุณแอชฟอร์ดเองก็เห็นดีด้วย”

   กินอาหารข้างนอก?

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วครุ่นคิด เพราะถ้าออกไปกันหมดก็ต้องพาเอเดรียนไปด้วย ที่จริงมันคงไม่มีปัญหาหากว่ามันเป็นแค่การกินอาหารเย็นธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย

   “ถ้าพาเอเดรียนไปด้วยคงอยู่นานไม่ได้นะครับเพราะต้องพาเข้านอนแต่หัวค่ำ”

   “เอ...คงไม่นานมากล่ะมั้งคะ ทั้งฉันทั้งคุณแอชฟอร์ดคิดว่าคงจะเลิกจากโรงเรียนลีลาศไวหน่อยแล้วไปพบกับคุณซูที่ร้านเลย แค่ชั่วโมงเดียวก็คงจะกลับน่ะค่ะ ฉันจะส่งที่อยู่ร้านให้นะคะ สักหกโมงครึ่งเจอกันค่ะ” และโดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ ยูล่าก็ชิงวางสายไปราวกับว่ามีธุระเร่งด่วยทำให้คุยนานไม่ได้ ซูเล่ยมุ่นคิ้ว มองเวลาในโทรศัพท์มือถือซึ่งบอกเวลาว่าเกือบสี่โมงแล้ว ยังมีเวลาอีกมากที่จะตัดสินใจแต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีสิทธิปฏิเสธมาแต่ต้น กระนั้นใจของเขากลับยังมีข้อกังขาที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
   หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน มันได้ส่งผลให้เขารู้สึกระแวงไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งการเปิดประตูบ้านก็ยังน่าหวาดหวั่นจนน่าขำ

   และแทนที่จะกลับไปคุยสายกับดาริล เขาก็โทรไปหาอังเดรเพื่อความมั่นใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รับสายซึ่งก็แปลกเอาการ

   “ดาริล”

   “หือ?” หลังจากนั่งรอสายมานานสองนาน ในที่สุดซูเล่ยก็จำได้ว่ามีเพื่อนกำลังถือหูโทรศัพท์ค้างอยู่เพื่อรอคุยต่อจนจบ

   “วันนี้มาดูเอเดรียนแทนฉันสักพักสิ”

   “เอ๋ แต่ฉันต้อง...”

   “แค่ไม่นานหรอก ประมาณหกโมงเจอกันที่นี่ สักทุ่มกว่า ๆ ฉันคงกลับมาถึงแล้ว” ซูเล่ยคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะออกไปดูลาดเลาคนเดียวก่อน เพราะหากไม่ไปเลยและเป็นคำชวนอย่างจริงจังคงเป็นเรื่องเสียมารยาท และถ้าทั้งยูล่าและอังเดรไปที่นั่นด้วยกันจริงเขาค่อยโทรให้ดาริลพาเอเดรียนมาส่งก็ได้ อย่างน้อยเขาก็ไว้วางใจเพื่อนคนนี้มากกว่าคนอื่นรอบตัว

   “ก็ได้ ฉันจะโทรบอกที่ร้านว่าจะไปสายหน่อยก็แล้วกัน” ได้ยินเสียงจริงจังของอีกฝ่ายแล้ว ดาริลก็ปฏิเสธไม่ลง เพราะเจ้าตัวจะมีสุ้มเสียงอย่างนี้ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่ทำให้หนักใจจริง ๆ

   ซูเล่ยนัดแนะเรียบร้อยก็เดินกลับเข้าบ้าน เขาคงต้องบอกเอเดรียนว่าตนเองจะออกไปข้างนอกสักพัก ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าเอเดรียนจะยังยินดีต้อนรับดาริลเหมือนเมื่อครั้งก่อน


TBC

ข้ากลับมาแล้ววว พร้อมคีย์บอร์ดใหม่ไฉไลกว่าเดิม Logitech นี่กดมันมือแท้เหลาค่า แต่ระยะปุ่มไม่เท่ากับ MDtech ที่เพิ่งพังไปเลยจิ้มผิดจิ้มถูกบ่อยมาก... เดี๋ยวชินมือคงพิมพ์รัวนิ้วได้เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 15-12-2013 16:00:02
ยูล่าจะทำอะไรน่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 15-12-2013 16:02:07
เย้ๆ  :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
ฉลองคีย์บอร์ดใหม่ด้วยจ้าา

รอตอนหน้าอยู่นะก๊าบ มีแววว่ายูล่านี่จะมีส่วนเอี่ยว  :m16:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: zitronen-tee ที่ 15-12-2013 16:06:31
อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับซูเลยนะ 
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 15-12-2013 16:19:58
นางมีแผนการร้ายๆอีกแล้วใช่ไหมมมยูล่าา
นิสัยไม่ดี นิสัยไม่ดีเลยจริงๆให้ตายสิ

 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 15-12-2013 16:22:07
 :a5:                       :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-12-2013 16:40:38
เอ ยังงัย หรือว่าเรื่องนี้ยูล่าจะเกี่ยวข้องด้วย
แต่การจะข่มขืนเด็กเล็กด้วยนี่มันจะโรคจิตเกินไปหรือเปล่า
ยูล่าต้องการอะไรกันแน่  แล้วทำไมอังเดรไม่รับโทรศัพท์
หวังว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากนะ
อยากบอกว่าอังเดรช่างร้ายกาจเหลือเกิน
กล้าพูดว่า ถ้าแต่งงานก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
แกไม่มีคนเดียวสิ แต่ซูล่ะได้คิดถึงจิตใจของซูบ้างหรือเปล่า เซ็ง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 15-12-2013 16:54:16
 :katai5: :katai5: :katai5:

เรื่องเริ่มซับซ้อนขึ้นเเล้ววววว ใครจะเป็นคนร้าย!!  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 15-12-2013 16:57:23
เธอวางแผนเรื่องคราวที่แล้วสินะนังยูล่า (อินทุกที)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 15-12-2013 18:28:00
จะเกิดอะไรขึ้นกับ ซูกับเอเดรียน อีกไหมนิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 15-12-2013 18:53:09
เอาคนร้ายมาลงโทษให้สาสมนะคะ

จะข่มขืนเด็ก อุบาทว์ชาติจริงๆ (อิน)

ปล. งอนพระเอก พูดเหมือนซูเป็นแค่คู่นอน ซูลองหายไปสิ จะสมน้ำหน้า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 15-12-2013 19:28:03
นังยูล่า ฉันอ่านเกมออกนะยะ! หล่อนขโมยโทรศัพท์เขามาแหลใช่ไหม?!

เลวเกินไปละ ล่อเขาไปหาฝูงโรคจิตอีก สาธุ ขอให้อังเดรรู้ความจริงก่อนสายเกินไป
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-12-2013 19:51:28
อ่านรวดเดียวเลยเรื่องนี้สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 15-12-2013 20:17:32
มันต้องเป็นแผนของอินังชะนียูล่า แน่ๆ อังเดรรร นายต้องอย่าโง่นะ ปกป้องซูด้วย
เค้าดูพัฒนาจากตอนแรกๆเบอะมากกกกกก

ตอนนี้เดาเล่นๆคือ

กรณีที่ 1. พ่อตาของอังเดร คือพ่อของ ซู และซูคือลูกของเมียอีกคนของพ่อตา
พ่อตามีเมียอยู่แล้วและมีลูกคือ มารีน แต่ก็แอบคบกะแม่ของซู จนมีคนรู้และให้แม่ของซู
ออกจากชีวิตพ่อตาไป และคงมีเรืาองอะไรสักอย่างทำให้ซูต้องมาอยู่กะพ่อ
และที่ซูต้องหายไปจากอังเดรเพราะมารีนชอบอังเดร? #อันนี้เอามาจากนิยายที่ซูเล่าล้วนๆ

กรณีที่ 2. พ่อตาคือแม่มดในนิยายที่ซูเล่า และที่ซูต้องช่วยพ่อตาเพราะพ่อตาเคยมีบุญคุณ
ที่เคยให้เงินกะแม่ของซูหนี #เดาอีกเช่นกานนนน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 15-12-2013 21:47:04
 :mc4: เราอ่านทันแล้ว เผอิญเจอในทู้แนะนำนิยาย
ชอบการบรรยาย การเล่าเรื่อง ทำได้ดีมากทีเดียว
อ่านแล้วลื่นไหล ไม่สะดุด ในเรื่องก็มีปมให้สงสัยอยู่เยอะ
อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าใครเป็นคนทำร้ายซู จะว่ายูล่า ก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่
แต่ที่ยูล่านัดชูออกไป  นางจะทำอะไรนะ แต่ซูก็ฉลาดมาก
พอมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้น ซูก็ต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม

ขอบคุณและรอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 15-12-2013 21:50:35
เย้ๆๆ กลับมาแล้ว
รออยู่ทุกวันเลยค่ะ รู้สึกว่ายูล่านางจะร้ายยังไงก็ไม่รู้สิ
อารมณ์ผู้หญิงยิ่งคาดเดายากอยู่ด้วย รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 15-12-2013 22:46:41
รออ่านต่อไปว่ายูล่าจะทำไรซู
คนที่จ้าวคนร้ายมา คิดว่าคงจะให้จัดการแค่ซู
แต่คนร้ายมันโรคจิต จะข่มขืนเอเดรียนด้วย
เดาเอา  :ling1:
แต่ชอบอังเดรอ่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 15-12-2013 23:09:28
ยูล่าจะทำอะไร ไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้เลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2013 23:35:52
ยูล่าจะทำอะไร ???
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 15-12-2013 23:44:46
ยูล่ามีแผนอะไรในใจกันนะ ฮึ่มๆ
น่าเป็นห่วงซูสุดๆเพิ่งจะผ่านอะไรแย่ๆมาด้วย ถ้าเจอยูล่าคิดอะไรไม่ดีอีกจะรับมือไหวมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 15-12-2013 23:51:08
อียูล่า !!!!!!!!!!!!!
นางจะทำอัลไล ไม่ไหวกะนางละนะ
คริ อังเดร แอบติดใจอัลไลซูเหรอ
แหม ได้ทีเอาใหญ่เชียว
ปล.อยากได้ nc แบบดุเด็ด เผ็ดร้อนอ๊าาา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Khunsathi ที่ 16-12-2013 03:20:51
คุณอังเดรร้ายกาจเหลือเกินนนน ทำแบบนี้มันมากกว่าความสิเน่หาแล้ววว
คุณซูเล่ยนี่ไม่อาจห้ามใจได้ใช่ไหมคะ ><
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าอยากรู้เกี่ยวกับคนร้ายที่เข้ามาในบ้านมากจริงๆ
แล้วก็เรื่องคุณพ่อของคุณมารีน...

แต่ที่สำคัญตอนนี้
ยูล่าคิดจะทำอะไรกันแน่คะ ชวนไปทานข้าวจริงๆหรือมีแผน
โอ้ยลุ้น...

น้องเล่ยสู้ๆ > <
ตอนนี้ขอเชียร์น้องเล่ยอย่างเดียวแล้วค่ะ
แต่รู้สึกว่าพักหลังๆ เอาตรงๆว่าหลังจากคืนที่เหตุการณ์เรื่องหลอกกลายเป็นเรื่องจริง
ว้ากกกเขินน อิอิ เรารู้สึกว่าคุณอังเดรมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลย ชอบพระเอกแนวนี้อ่ะ  :laugh:

^^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 14 [15/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 16-12-2013 14:41:38
หน๊อยยยยยยยยพูดว่าจะแต่งงานใหม่ก็เลิกยุ่งกับซูให้ได้ก่อนสิย่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 19-12-2013 14:54:04
-15-

   “อา...สวัสดีครับ...” เสียงทักทายต้อนรับกลับบ้านที่ไม่คุ้นหูมาพร้อมกับรอยยิ้มจืดเจื่อนและท่าทางประหม่าของชายหนุ่มซึ่งไม่ว่าจะค้นในมุมไหนของสมองก็ไม่อาจค้นเจอได้เลยว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่และอย่างไร

   อังเดรมุ่นคิ้วมองคนตรงหน้า และยืนนิ่งอยู่สักพัก พยายามทบทวนให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้เข้าผิดบ้าน
   เขาขับรถเข้ามาจอดในโรงรถ แล้วจากนั้นก็เดินเข้ามา คงไม่ใช่ว่าบังเอิญมีบ้านที่โครงสร้างเหมือนกับเปี๊ยบอยู่ในละแวกเดียวกันหรอกนะ?

   “แดดดี้!”

   แต่แล้วการปรากฏตัวของเอเดรียนก็ทำให้อังเดรรู้ว่าตนเองไม่ได้เข้าผิดบ้าน และไม่ได้เข้าใจผิดอะไร เพียงแต่...มีคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านของเขาเท่านั้นเอง

   “ขอโทษนะครับ คุณ...”

   “เอ่อ...ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผมก็ได้” ชายหนุ่มเกาท้ายทอยพยายามทำตัวให้ไม่เหมือนกับตนเองตอนทำงานมากที่สุด เพราะซูเล่ยไม่อยากให้อังเดรจำตนเองได้ดังนั้นเขาก็ไม่ควรให้อังเดรจำได้เช่นกัน “ผมแค่...อ่า...มาดูแลเอเดรียนแทนซูน่ะครับ เห็นว่ามีธุระต้องออกไปข้างนอกกะทันหัน”
   “ธุระ?” ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วพลางมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ เขาอุ้มลูกสาวขึ้นมาเพราะไม่อยากให้อยู่ใกล้คนแปลกหน้านานเกินไปนัก

   “ผมก็ไม่รู้ว่าธุระอะไร ตอนผมมาถึงเขาก็รีบร้อนออกไปจนตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย” ดาริลมองนาฬิกาด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจ “แต่ในเมื่อคุณกลับมาแล้วก็ยังดี เพราะผมต้องไปทำงานแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณแอชฟอร์ด” เขารีบบอกลาอย่างรวบรัด และหันไปคว้ากระเป๋าเป้ของตนเองขึ้นมาพาดบ่า ถึงไปตอนนี้จะสายแล้วแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ไปเลย ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไป เขากลับถูกผู้ชายในเสื้อโค้ทตัวยาวสีน้ำตาลขวางทางเอาไว้ ท่าทางของฝ่ายนั้นบ่งบอกว่ากำลังคิดจะกดออดแต่กลับมีคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน

   พวกเขาทั้งสองต่างชะงักไปชั่ววินาที

   “ผมมาหาคุณแอชฟอร์ด” ผู้ชายในเสื้อโค้ทกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง หนวดเข้มเหนือริมฝีปากและเรียวคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันแทบตลอดเวลายิ่งขับให้น้ำเสียงและท่าทางของเจ้าตัวดูจริงจังหนักแน่นมากขึ้น
   “เอ่อ...คือว่าผม...คือว่าเขา...” ดาริลยังไม่หลุดจากอาการตกใจจึงอึกอักอยู่สักพักก่อนหันไปมองอังเดรซึ่งกำลังมองกลับมาด้วยสายตาเหมือนต้องการให้หลีกไปจากหน้าบ้านตนเองเสียที

   ชายหนุ่มบาร์เทนเดอร์ยิ้มแหยแล้วขยับเบียดวงกบประตูเพราะถูกกั้นทั้งจากข้างในและข้างนอกทำให้เลือกไปทางไหนไม่ได้เลย เขารู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่และผิดเวลาอย่างแรง แถมยังทำได้แค่โทษซูเล่ยที่ไม่มาอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม ส่วนเขาเองก็ควรจะไปยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์บาร์ตั้งนานแล้ว

   “ผมอังเดร แอชฟอร์ด ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรครับ?” อังเดรวางเอเดรียนลงแล้วเดินออกมารับหน้าแขกโดยหลีกทางให้ดาริลหลบไปข้าง ๆ จะได้ไม่เกะกะนัก

   “คุณแอชฟอร์ด ผมมอริส เคนตัน นักสืบเอกชน” ชายหนุ่มอายุราวสี่สิบ หยิบนามบัตรขึ้นมาส่งให้คู่สนทนาขณะแนะนำตัว “ผมอยากให้คุณไปกับผมเดี๋ยวนี้ ผมอาจจะอธิบายอะไรไม่ได้มากนัก แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่เลี้ยงเด็กของคุณ”

   “ซูน่ะหรือ? ขอโทษนะครับ ผมไม่เข้าใจ...”

   “ถ้าจะให้ผมพูดตรง ๆ ก็คือ เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้”

   อันตราย?

   อันตรายอะไรกัน?

   “ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจผิด ซูเป็นแค่พี่เลี้ยงธรรมดาแล้วใครกันที่คิดจะทำร้ายเขา ผมว่าอีกสักเดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว” อังเดรโบกมือเพราะไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง ซูเล่ยอาจจะดูมีลับลมคมในในบางครั้ง แต่นั่นก็เพราะพ่อตาของเขาสั่งมาให้คอยจับตาดูเขาไปด้วยระหว่างดูแลเอเดรียน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขา ไม่น่าจะไปมีความเกี่ยวพันกับใครอื่นจนมีอันตรายถึงชีวิตได้

   “คุณแอชฟอร์ด ผมไม่มีเวลาจะต่อล้อต่อเถียงกับคุณหรอกนะ ที่จริงผมจัดการเรื่องนี้เองก็ได้แต่นายจ้างของผมกำชับให้พาคุณไปด้วย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน คุณลองไตร่ตรองดูดี ๆ ว่าเมื่อครั้งก่อนที่มีคนบุกบ้านเข้ามาทำร้ายพี่เลี้ยงเด็กกับลูกสาวของคุณ มันคือเหตุบังเอิญหรือเป็นความโชคร้ายจริง ๆ น่ะหรือ? ผมคิดว่าคุณเองก็คิดเรื่องนี้ไม่ตกอยู่เหมือนกันถึงได้หยุดงานเป็นสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุจะไม่เกิดซ้ำไม่ใช่หรือครับ?” ถ้อยคำของมอริสเตือนให้อังเดรนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่น่าฉงนขึ้นมาได้อีกครั้ง

   “คุณจะบอกว่าอาจเกี่ยวข้องกัน?”

   “ผมกำลังคิดว่ามันน่าแปลก ที่พี่เลี้ยงเด็กของคุณจะออกไปข้างนอกโดยทิ้งลูกสาวของคุณเอาไว้ทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะพานพบเรื่องราวซึ่งไม่น่าจดจำและต่างก็ไม่อยากจะอยู่เพียงลำพัง มันเป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวอย่างหนึ่งหลังเหตุการณ์ร้าย พวกเขามักไม่อยากออกจากบ้าน และไม่อยากอยู่ไกลจากคนรู้จักใกล้ชิด แล้วทำไมเขาถึงออกไปข้างนอกลำพังโดยที่ไม่ติดต่อคุณเลย?”

   ไม่ติดต่อเลย...จริง ๆ หรือ?

   อังเดรเริ่มรู้สึกถึงความผิดแปลกดังว่า

   “เอเดรียน ก่อนซูออกไปได้โทรหาแดดดี้หรือเปล่า?” เขาหันไปถามเอเดรียนซึ่งยืนมองคนแปลกหน้าอยู่ข้างหลังอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ตั้งแต่เมื่อครู่

   “เอเดรียนเห็นซูถือโทรศัพท์มือถือออกไปข้างนอก แล้วตอนกลับเข้ามาซูก็เก็บไปแล้ว”

   อังเดรฟังแล้วก็มุ่นคิ้ว คำตอบของเอเดรียนไม่ได้ช่วยให้กระจ่างขึ้นนักจึงเปิดกระเป๋าตนเองเพื่อหยิบโทรสัพท์มือถือขึ้นมาดูว่ามีสายที่ไม่ได้รับระหว่างวันหรือไม่ ทว่า...

   “ไม่อยู่?”

   “อ่า...เขาบอกว่าโทรหาแล้วคุณไม่รับสาย” ดาริลอดไม่ได้ที่จะสอดปากในฐานะคนที่ได้รับรู้เหตุการณ์ส่วนหนึ่งและอีกส่วนจากที่ซูเล่ยบอกเล่า

   ตอนนี้สังหรณ์ด้านลบกำลังสั่นไหวอยู่ภายในใจเหมือนกับบางสิ่งกำลังพยายามกะเทาะเปลือกไข่ออกมา มันทำให้อังเดรตัดสินใจได้ในทันที

   “คุณ...เพื่อนของซู ผมคงต้องรบกวนคุณต่ออีกสักพัก” แต่อย่างไรก็ไม่อาจพาเอเดรียนไปข้องแวะด้วยได้ อย่างไรผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่ซูเล่ยไว้วางใจ ดังนั้นเขาคงจะไว้ใจได้เช่นกัน จากนั้นอังเดรก็หันไปทางมอริส “ผมขอเวลาสักเดี๋ยว คุณไปรอที่รถก่อนเลย”

   ชายหนุ่มกล่าวแล้วหันมาอธิบายเหตุการณ์ให้เอเดรียนเข้าใจอย่างรวบรัด ก่อนจะเดินไปที่บ้านของบรองซ์เพื่อฝากฝังให้ช่วยดูแลอีกแรง จากนั้นจึงเดินตามมอริสไปที่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่แล้ว เขาก็ชะงักเมื่อเห็นรถของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา...

   รถสีเทาคันที่เคยเห็น และมีคนพบเห็นในช่วงหนึ่งซึ่งทำให้ซูเล่ยหวาดผวา และยังเป็นคันเดียวกับที่ชายชราบรองซ์พูดถึงว่ามีคนมาเตือนให้ไปดูบ้านของเขาหลังซูเล่ยถูกทำร้าย

   เป็นรถของผู้ชายคนนี้เองหรือ?

   “ขึ้นมาเร็วเข้าเถอะครับ” เมื่อถูกเร่งเร้า อังเดรก็รู้ว่าตนเองไม่มีเวลามากังขาอะไรอีก เขาก้าวขึ้นทางฝั่งผู้โดยสารและปล่อยให้มอริสออกรถไปโดยไม่ได้ถามอะไร

---------------------->

   เสียงพูดคุยของชายหญิงเป็นสิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในมโนสติก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นด้วยความรู้สึกประหนึ่งว่าสรรพสิ่งในกระเพาะจะพากันพรั่งพรูออกมา แต่โชคดีที่มันเป็นเพียงความคลื่นเหียนชั่วขณะเมื่อพยายามลืมตาตื่น เพราะในนาทีต่อมาเขาก็รู้สึกดีขึ้นแม้จะยังคงคลื่นไส้อยู่เล็กน้อย

   ซูเล่ยมองภาพของห้องเล็ก ๆ ในโรงแรมจิ้งหรีดซึ่งเอียงไปด้านหนึ่งจนดูประหลาด กระนั้นเมื่อตั้งสติได้เขาก็พบว่าตนเองต่างหากที่นอนอยู่บนพื้น

   เตียงราคาถูกตั้งอยู่ตรงหน้า เห็นเงาผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่อีกฝั่ง และเงาร่างของผู้ชายยืนห่างไปไม่มาก ดูเหมือนทั้งสองจะไม่เห็นว่าเขาตื่นแล้วจึงยังคงคุยกันโดยไม่นึกสนใจว่ามีคนอื่นอยู่ในห้อง

   ชายหนุ่มกลอกตาไปมาเมื่อนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

   เขาออกมาจากบ้านหลังจากที่ดาริลไปถึง นั่งแท็กซี่ออกมาและบอกสถานที่ตามที่ยูล่าให้เอาไว้ เมื่อมาถึงแท็กซี่ก็จอดตรงมุมถนนเพราะไม่รู้จุดที่แน่นอนในละแวกนั้น เขาคิดว่าคงจะเดินจากหัวมุมไปไม่ไกลเพราะดูจากแผนที่ที่ยูล่าให้มาแล้วเหมือนจะห่างออกไปแค่ไม่กี่หลัง เพียงแต่ต้องเลี้ยวเข้าซอยด้วยจึงมองหายากสักหน่อย

   หลังลงจากแท็กซี่ เขาก็เดินหาซอยซึ่งพบว่ามันเป็นซอยที่ดูมืดและเปลี่ยวจนน่ากลัว หากเป็นคนปกติธรรมดาคงไม่มีใครอยากเข้าไปข้างใน

   มีร้านอาหารอยู่ในที่แบบนี้จริง ๆ น่ะหรือ? แล้วอังเดรจะเลือกที่แบบนี้ให้ลูกสาวตัวเองจริง ๆ หรือ? คิดอย่างไรก็ไม่น่าเป็นไปได้

   บางที...เขาน่าจะใจเย็นและโทรหาอังเดรอีกสักรอบหลังจากพยายามมาห้าครั้งแล้ว

   ตอนนั้นจึงเลือกที่จะถอยออกมา และรออยู่ข้างนอก ทว่ากลับถูกใครคนหนึ่งจับตัวเอาไว้ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงเส้นเชือกตวัดลงมาบนลำคอ ลมหายใจถูกปลิดไปอย่างรวดเร็ว เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่นานกว่าที่สติจะดับวูบ แล้วจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลยจนถึงตอนนี้

   คอของเขา...ยังเจ็บอยู่เลย...

   ซูเล่ยลองพยายามขยับตัว ทว่ามือเท้ากลับถูกพันธนาการ นอกจากนี้ ที่คอของเขาก็คล้ายจะยังมีเชือกเส้นหนึ่งคล้องอยู่หลวม ๆ

   “อ้าว ตื่นแล้วหรือคะ?” เสียงหวานใสของหญิงสาวกล่าวขึ้นเมื่อเธอหันมาเห็นร่างที่ถูกมัดขยับตัวเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ ซูเล่ยเงยหน้ามองสวนแสงหลอดไฟเพดานและพยายามหรี่ตาเพื่อเพ่งมองใบหน้านั้นให้ชัด แต่แค่สังเกตจากบุคลิกและรูปร่างก็พอเดาได้ว่าเป็นใคร

   “คุณยูล่า?”

   นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเกินคำบรรยาย ยูล่า ผู้หญิงที่แสนเรียบร้อย แม้จะมั่นใจในตัวเองแต่ก็มีส่วนที่ขี้อายอยู่บ้าง ดูแล้วไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้เลย นอกจากนี้...ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเธอนั่นใครกัน? ทำไมจึงอยู่ด้วยกันภายใต้สถานการณ์แบบนี้ได้?

   “นี่มัน...”

   ซูเล่ยหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ

   “ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณซูคงแปลกใจและมีคำถามมากมาย แต่ฉันจะตอบให้เป็นบางข้อเพื่อที่คุณจะได้ไม่รู้สึกแย่เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็แล้วกัน”

   เวลาอันสมควร?

   ฟังดูไม่ใช่คำที่ดีนัก...

   “จริงสิ ทำไมถึงไม่พาเอเดรียนมาด้วยล่ะคะ?” เธอถามก่อนเอียงคอยิ้มหวาน “คงเพราะคุณเริ่มระแคะระคายแล้วหรือเปล่า? หรือว่าคุณมีเบื้องหลังอยู่อีก ถึงได้มีนักสืบคอยเฝ้าดูอยู่หน้าบ้านแทบตลอดเวลาจนฉันทำอะไรไม่ได้เลย แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณนั่นแหละคุณซู”

   “เพราะผม?” ซูเล่ยเขม้นมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยว่าทำไมตนจึงกลายเป็นต้นเหตุให้ตัวเองถูกจับตัวอย่างนี้ได้

   “ใช่ค่ะ เพราะคุณหักหลังฉัน ทั้งที่ทำเหมือนจะช่วยฉันแท้ ๆ แต่กลับฮุบคุณแอชฟอร์ดไปเสียเอง” ในขณะที่พูดเช่นนั้น ดวงตาหญิงสาวก็วาววามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าเป็นคนละคนกับยูล่าที่เขาหรือใคร ๆ รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยคต่อมาไม่น่าจะออกมาจากปากของหญิงสาวที่ชื่อยูล่าได้เลย “ทั้งที่ฉันอุตส่าห์กำจัดคุณมารีนออกไปจากชีวิตเขาได้แล้วแท้ ๆ”

   อ...อะไรนะ?

   “มารีน...ประสบอุบัติเหตุไม่ใช่หรือ?”

   “แหม ตายจริง” เธอหัวเราะคิก “คุณเองก็เชื่ออย่างนั้นสินะคะ คนอื่น ๆ ก็ด้วย แต่จะว่าอุบัติเหตุก็คงไม่ผิดเพราะฉันก็แค่บันดาลโทสะแล้วผลักเธอออกไปบนถนน เสร็จแล้ว...เขาก็ช่วยจัดการที่เหลือให้” ว่าแล้ว มือบอบบางก็ผายไปยังชายหนุ่มด้านหลัง

   ผู้ชายท่าทางมากเล่ห์ไม่น่าไว้วางใจแสยะยิ้ม

   “และคราวนี้เขาก็จะช่วยคุณด้วย”

   “ขอโทษนะครับ ผมไม่เข้าใจ” ซูเล่ยหลับตาลงเพราะรู้สึกปวดหัวก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้งและสูดหายใจลึก “คุณกำลังจะบอกผมว่า...มารีน...ถูกฆาตกรรม...”

   ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงหัวเราะลั่นสะท้อนในห้องแคบ ๆ มันผสมผสานไปด้วยความสาสมแก่ใจและสังเวชอาดูรซึ่งเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นความสังเวชที่มีให้ใคร ให้เจ้าของเสียงหัวเราะ มารีน หรือตัวเขา แต่ไม่ทันที่จะได้คำตอบ หญิงสาวก็หุบยิ้มอย่างกะทันหันและโน้มตัวลงก่อนกระชากเส้นเชือกที่ร้อยคอซูเล่ยขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายมองตาของเธอชัด ๆ จนเห็นได้ถึงประกายของความริษยาและเคียดแค้น

   “รู้หรือเปล่าว่าฉันพบเขามานานเท่าไหร่แล้ว เจ็ดปี...เจ็ดปีที่ฉันทำได้แค่เฝ้ามองเขา นักศึกษาหนุ่มแสนสุภาพที่มาช่วยงานพ่อ ฉันทำได้แค่มองจนกระทั่งตัดสินใจสมัครเป็นผู้ช่วยเมื่อมีการติดประกาศ แต่ถึงขนาดได้อยู่ข้างเขาแล้วฉันก็ยังทำได้แค่มองอยู่ดีเพราะเขาไม่เคยมองฉันกลับเลยสักครั้งเดียว แต่ว่าฉันก็มีความสุขแค่เพียงได้อยู่ใกล้ ๆ มีเขายิ้มให้ฉัน จับมือฉันประคองและหมุนไปบนฟลอร์เต้นรำเหมือนว่ามีแต่เราสองคนบนโลกใบนี้ จนกระทั่งคุณมารีนปรากฏตัวขึ้นและยึดครองเขาไปเป็นของตัวเอง” ในตอนแรก หญิงสาวบอกเล่าเรื่องราวเสมือนล่องลอยในความฝันแสนหวาน ก่อนที่มันจะกลับกลายเป็นสีมืดดำและหนามแหลมคมที่ทิ่มแทง

   “ฉันคิดจริง ๆ ว่าไม่เป็นไร แต่คุณซูรู้อะไรไหม...คุณมารีนทำให้ฉันรู้ว่าผู้หญิงควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครอง เธอทั้งขี้หึงและไร้เหตุผล วันไหนที่เธอมาชมการเรียนการสอนจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่มีสิทธิสัมผัสตัวคุณแอชฟอร์ด แม้กระทั่งฉัน เธอกำจัดผู้หญิงทุกคนที่คิดจะให้ท่าเขาด้วยวิธีต่าง ๆ นานาจนมีคนเลิกเรียนไปหลายต่อหลายคน และบางครั้งถึงกับเกือบจะมีเหตุทำร้ายร่างกาย  หึ คงถูกคุณแอชฟอร์ดตำหนิไปล่ะมั้งเธอถึงเพลา ๆ มือลงบ้าง ไม่อย่างนั้นคงต้องปิดโรงเรียน”

   ในตอนท้าย น้ำเสียงของยูล่ามีแววเย้ยหยันออกมาจนเห็นได้ชัด

   แต่ซูเล่ยกลับไม่แปลกใจแม้สักนิดกับคำบอกเล่าถึงโฉมหน้าอีกด้านหนึ่งซึ่งอังเดรไม่ค่อยมีโอกาสจะได้เห็น เพราะนั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเธอ ผู้หญิงที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ ตัวเขาและคนอื่น ๆ รอบตัวล้วนแต่เผชิญมาแล้ว นั่นเพราะมารีนถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจและประเคนทุกสิ่งที่ต้องการให้แค่เพียงออกปากขอคำเดียวเท่านั้น คนที่ไม่เคยถูกขัดใจย่อมไม่พึงปรารถนาหากถูกขัดใจ

   แต่...สำหรับคนที่เธอรักมันกลับต่างออกไป มารีนจะมอบความรักอันล้นเหลือให้อย่างไร้ข้อกังขา ทำทุกอย่างตามใจอีกฝ่ายได้แม้จะขัดกับนิสัยของตนเอง ยอมเป็นผู้หญิงที่แสนดีเพียงเพื่อให้ได้รับความรักตอบกลับมาและรักนั้นจะไม่เสื่อมคลายหายไป แต่มันนำมาซึ่งความหึงหวงที่รุนแรงด้วยเช่นกัน คนที่ได้เห็นด้านที่สวยงามของมารีนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คืออังเดร ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มจะรักและภักดีต่อภรรยาถึงขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 19-12-2013 14:54:45
“แต่ว่า...มันกลับไม่ได้สงบอย่างที่คิด” ยูล่าทำเสียงขึ้นจมูก “ผู้หญิงคนนั้นยังคงชิงชังฉันที่ได้ใกล้ชิดคุณแอชฟอร์ดด้วยข้ออ้างว่าเป็นผู้ช่วย ฉันถูกต่อว่า ถูกแบล็กเมล์ ทุกวิถีทางที่สุดจะทานทน แต่ในเวลานั้น เขาก็เข้ามาช่วยฉันได้พอเหมาะพอเจาะ” ว่าแล้ว เธอก็ผายมือไปยังชายหนุ่มด้านหลังซึ่งแย้มยิ้มให้เธอ

   “เธอมีปัญหาฉันก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว” เขาว่า

   ดูจากระดับความสัมพันธ์แล้ว ซูเล่ยคาดเดาว่าเจ้าตัวคงเป็นเพื่อนของยูล่าซึ่งคบหากันมานาน และอาจจะรู้สึกพิเศษกับหญิงสาวด้วย

   “ทำเป็นพูดดีไป นายน่ะสนใจนี่ด้วยต่างหากล่ะ” ว่าแล้วยูล่าก็ถูปลายนิ้วเป็นอันรู้กัน แล้วเธอก็หันกลับมาทางซูเล่ยอีกครั้ง “ก็อย่างว่า เขาสนใจเงิน ส่วนฉันแค่อยากได้คุณแอชฟอร์ด พวกเราก็เลยได้แผนการดี ๆ แค่ฉันเรียกคุณมารีนออกมาคุยกันเพื่อให้เธอเลิกทำเรื่องบ้า ๆ ถ้าเธอเลิกราไปโดนดีฉันคงปล่อยเธอไปเพราะฉันลังเลอยู่ไม่น้อย แต่เธอกลับอาละวาดใหญ่โตซ้ำยังด่าทอฉันไม่เหลือดี ตอนนั้นเอง...ที่ฉันรู้ว่าการฆ่าคนมันไม่มีอะไรมากมายเลย แค่ผลักออกไปบนถนนแล้วเขาก็ขับรถมาชนทับจนแน่ใจว่าตายแล้ว จากนั้นพวกเราก็เอารถไปขายกับพวกนอกกฎหมายเสียก็ไม่มีใครจับเราได้”

   สิ่งที่ได้ยินอยู่นอกเหนือความคาดหมายไปไกล ซูเล่ยเบิกตากว้าง มองหญิงสาวตรงหน้าเสมือนคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบซึ่งไม่เคยพบเห็น รอยยิ้มบนเรียวปากอิ่มสวยพลันบิดเบี้ยวน่าขยะแขยง อาการคลื่นเหียนของเขาหวนกลับมาอีกครั้ง

   “...ถ้าอย่างนั้น...มันก็ไม่ใช่อุบัติเหตุ” เป็นคำถามที่โง่แสนโง่แต่ซูเล่ยกลับไม่อาจประมวลผลอะไรได้มากกว่านี้ เพราะรู้สึกราวกับว่าสมองของเขาถูกบดบังด้วยมืดหมอกหนาทึบ หรือไม่...สมองของเขาก็คงกลายเป็นหมอกไปหมดแล้ว เพราะมันเบาโหวงเสียจนโคลงเคลง

   “มันเป็นอุบัติเหตุค่ะคุณซู” หญิงสาวยิ้มกว้างประหนึ่งว่าคำบอกเล่าทั้งหมดเมื่อครู่เป็นแค่เรื่องตลกร้ายในวันเอพริวฟูล “สำหรับคนทั่วไปมันเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับคุณมันจะต่างออกไป”

   “...หมายความว่ายังไง?” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วและคนทั้งสองตรงหน้าด้วยสายตาแสดงความฉงนสงสัยอย่างเปิดเผย รวมถึงความรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในความฝัน

   “ที่จริงฉันอยากให้คุณพาเอเดรียนมาด้วย เพราะถึงฉันจะกำจัดคุณได้แต่เอเดรียนคงไม่ยอมรับฉันง่าย ๆ แม้ว่าฉันจะชอบเธอมากก็ตาม บางที...คุณมารีนอาจจะสิงสู่ลูกสาวเพื่อแก้แค้นฉันอยู่ก็ได้ ดังนั้นควรจะกำจัดให้หมดเสี้ยนหนาม แต่เอาเถอะ...แค่คุณก็พอแล้ว”

   ความรู้สึกเหมือนแมงมุมตัวใหญ่ไต่ขึ้นมาบนแผ่นหลังเป็นแบบไหนซูเล่ยเพิ่งจะสำนึกรู้ในวันนี้ ซ้ำเขายังไม่ได้บอกใครว่ามาที่ไหนแล้วใครจะมาช่วยเขาได้ กระทั่งอังเดร...

   เดี๋ยวสิ...วันนี้เขาติดต่ออังเดรไม่ได้เลย...

   “อังเดร...ทำไมผมถึงโทรหาเขาไม่ได้?”

   “แหม...คุณซูบทจะไร้เดียงสาก็น่ารักไม่ใช่น้อยนะคะ” จากนั้น ยูล่าก็หยิบโทรศัพท์มือถือสีดำดูคุ้นตาขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเปิดเครื่องดูจะพบมิสคอลมากมายจากซูเล่ย “เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราก็เริ่มกันเลยดีกว่า” เธอหันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มซึ่งเดินเข้ามาดึงให้ซูเล่ยลุกขึ้น

   “เดี๋ยว...คุณจะทำอะไร...” เขายืนโงนเงนขณะถูกแก้มัดที่ข้อเท้าทำให้ซูเล่ยเห็นว่าเชือกถูกคาดทับด้วยผ้าขนหนูบาง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดรอยมัด คาดว่าที่มือก็คงเช่นกัน จากนั้นก็ถูกดันให้เดินไปกลางห้องซึ่งมีเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่ ส่วนรองเท้าก็ถูกวางอย่างไม่ตั้งใจอยู่แถวนั้น ซูเล่ยเพิ่งจะรู้ว่าตอนนี้ตนเองเท้าเปล่า แต่ก็ไม่มีเวลามาห่วงใยเท้ามากนักเมื่อเขาถูกลากดึงให้เดินเข้าสู่ความตายโดยไม่อาจต่อต้าน

   “คุณเกือบจะถูกข่มขืน แฟนผู้ชายของคุณที่แอบนัดพบกันอย่างลับ ๆ ก็มาบอกเลิก พอทนความเครียดไม่ไหวก็เลยฆ่าตัวตายในห้องพักโรงแรมเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แบบนี้ดีไหมคะ?”

   สิ้นคำของยูล่า ทั้งร่างกายของชายหนุ่มก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวที่ก่อตัวอยู่ในใจมานาน ถึงแม้จะประมวลผลได้ไม่ชัดเจนนักในเวลาแบบนี้ แต่เขาเองก็คงกำลังจะมีชะตากรรมแบบเดียวกับมารีน ถูกฆ่าเพื่อสนองความโลภของคนสองคน...

   “คุณกำลังเข้าใจผิด!” เขาพยายามหาทางออก ทว่ายูล่ากลับไม่คิดฟัง

   หางตาของซูเล่ยเหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำลังปีนเก้าอี้อีกตัวเพื่อผูกปมเชือกกับพัดลมเพดาน มันคงไม่เป็นปัญหาหากว่าปลายอีกด้านของเชือกไม่ได้คล้องบนคอของเขา!

   “ด...”

   “ลาก่อนนะคะ คุณซู” สิ้นคำของยูล่า ชายหนุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดก็ลงจากเก้าอี้และตั้งท่าจะดึงของเขาออกด้วยเช่นกัน ทว่า...

   ปัง!

   บังเกิดเสียงดังของประตูที่ถูกเปิดออกโดยแรงจนกระแทกกับโต๊ะที่วางอยู่ข้างวงกบ ตามด้วยการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูคุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ

   “พอแล้วยูล่า!”

   ซูเล่ยไม่เคยรู้สึกดีใจที่ได้พบอีกฝ่ายเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต...

   “คุณแอชฟอร์ด...”

   แต่สำหรับยูล่า วินาทีกลับเปรียบได้กับโลกถล่มลงตรงหน้าทั้งที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างตั้งใจและใกล้จะสำเร็จเสร็จสมบูรณ์

   ทำไม...เขาจึงต้องมาเห็นในเวลาแบบนี้ และเป็นไปได้อย่างไร

   “อ...คุณแอชฟอร์ด อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ฉัน...” เป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ทุกคนเมื่อถูกจับได้ว่ากระทำผิดก็จะพยายามผลักความผิดเหล่านั้นให้พ้นตัว เพียงแต่ว่า เวลานี้เธอไม่อาจผลักภาระอันหนักอึ้งนี้ไปทางใดได้เลยเพราะทุกสิ่งปรากฏชัดต่อหน้าอย่างยากจะปฏิเสธ

   “บ้าเอ๊ยยูล่า! ตอนนี้แก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์!” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ถีบเก้าอี้ล้มทันที ทำให้ร่างกายของซูเล่ยถูกแรงดึงดูดของโลกดึงลงทั้งที่มีเชือกคล้องอยู่ที่ลำคอ ลมหายใจถูกตัดขาดพาให้ทั้งร่างต้องดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดแม้ไม่มีหนทาง อังเดรผวาตัวเข้าไปอุ้มซูเล่ยโดยไม่คิดไตร่ตรองซ้ำแม้ว่ามันจะเป็นการเปิดทางให้ยูล่าและผู้สมรู้ร่วมคิดหนีไปได้ก็ตาม

   ยูล่ามองกลับมาที่อังเดรด้วยสายตาอาลัยและเจ็บปวดเสมือนถูกมีดกรีดแทง ทว่าตอนนี้เธอไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว จึงปล่อยให้ชายหนุ่มลากตัวเธอออกไปขณะที่อังเดรพยายามอุ้มร่างของซูเล่ยขึ้นเพื่อช่วยชีวิต สายตาที่เขาใช้ทอดมองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยทำให้ยูล่ารู้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่มีวันมองมาทางเธอ...
   จู่ ๆ ความริษยาอันรุนแรงก็ถาโถมเข้าใส่จนเกินจะทานทนได้

   หญิงสาวสะบัดมือออกจากการฉุดดึงก่อนกระชากมีดพับจากกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดมาด้วย เธอกางใบมีดออกและพุ่งถลาเข้าใส่อังเดรโดยไม่มีความลังเล

   เสียงใบมีดเสือกผ่านผ้าเนื้อหนาไม่ได้ดังไปกว่าเสียงแมลงหวี่แต่กลับทำให้เวลาหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่วงเลือดสีแดงจะกระจายออกจากรอยแทงซึ่งใบมีดยังฝังลึกอยู่ในสีข้าง ความเจ็บเสียดแล่นปราดจนแขนอ่อนแรงในชั่วพริบตาทว่าอังเดรกลับไม่ยอมปล่อยมือ เขาทำได้เพียงหันไปมองยูล่าและเห็นหญิงสาวมองตอบกลับมาด้วยน้ำตานองหน้าเสมือนกำลังตัดพ้อเขาอย่างรุนแรง

   “รีบหนีได้แล้ว!” ผู้ชายซึ่งเป็นผู้ร่วมมือหันกลับมาฉุดกระชากยูล่าให้วิ่งตามออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซูเล่ยซึ่งอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะมือถูกผัดไพล่หลัง กับอังเดรที่มีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะมีมีดเสียบคาอยู่ที่สีข้างแต่ก็ยังต้องฝืนออกแรงยกตัวอีกฝ่ายไม่ให้รั้งลงจนเชือกบาดคอ

   “ปล่อย...ผมลงก่อนก็ได้...” ซูเล่ยเกรงว่าพวกเขาจะต้องยืนตายอยู่ตรงนี้ไปข้างหนึ่งจึงเลือกทางที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุดคืออังเดรปล่อยเขาลง แต่อังเดรกลับมีสติดีกว่าจึงมองหาตัวช่วย

   “ฉันจะปล่อยเธอลงครู่หนึ่ง ตกลงไหม? ตั้งสติไว้และอย่างตกใจ ทำได้หรือเปล่า?”

   ไม่น่าเชื่อว่ากระทั่งเวลาแบบนี้ ผู้ชายคนนี้ยังมีหน้าเตือนให้คนอื่นตั้งสติ แต่ซูเล่ยก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับ อังเดรจึงค่อย ๆ ปล่อยมือเพื่อไม่ให้เชือกกระตุกรัดจากนั้นก็รีบดึงเก้าอี้ที่ถูกถีบล้มลงไปขึ้นมาตั้งและสอดเข้าใต้เท้าซูเล่ยซึ่งพยายามกลั้นใจไม่ดิ้นรน

   ตอนนี้ซูเล่ยจึงปลอดภัยแล้ว เหลือเพียงแค่เอาเชือกออกไปให้พ้นคอก็วางใจได้ เพียงแต่...

   “อย่าใช้มีดนั่น!” เขารีบตะโกนบอกเมื่อเห็นอังเดรคิดจะดึงมีดออกจากสีข้างตัวเอง “คุณแค่...แก้เชือกที่มือผมก็พอ” มีดปักเข้าไปลึกมาก ถึงขนาดว่าแม้แต่การขยับตัวก็ยังทำให้ทรมาน ถึงแม้อังเดรจะทำเหมือนไม่เจ็บมากแต่เขาก็เห็นชัดเจนว่าขณะที่ชายหนุ่มขยับตัว ฟันกรามจะขบเข้าหากันแน่นจนเห็นสันนูนออกมาและใบหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มซีดขาวผิดกับวงเลือดที่กระจายออกมาจนฉ่ำเสื้อสีอ่อน แต่หากดึงมีดออกตอนนี้ เลือดจะยิ่งทะลักออกมาจากปากแผล ซึ่งหากเสียเลือกมากเกินไปก็อาจจะไปไม่ภึงโรงพยาบาล

   อังเดรเองก็คิดทบทวนเรื่องนี้ แม้ทุกครั้งที่ขยับตัวจะบังเกิดกระแสชาวาบไปทั่วร่างจนแทบเข่าอ่อน เขาก็ฝืนเดินเข้าไปแก้มัดที่ข้อมือซูเล่ย แต่ตัวเขาที่เสียเลือดมากและถูกความเจ็บจากบาดแผลจู่โจมตลอดเวลาไม่สามารถตั้งสมาธิกับปมเชือกได้เลย กว่าที่เชือกจะหลุดออกจึงต้องแกะอย่างทะลักทุเลอยู่นานหลายนาที จนกระทั่งมือของซูเล่ยเป็นอิสระ อังเดรก็ทรุดนั่งลงบนพื้นเพราะหมดเรี่ยวแรง

   “พวกคุณอยู่ที่นี่...เอง...คุณแอชฟอร์ด!” มอริสเพิ่งจะตามเข้ามาถึงและได้เห็นสภาพทั้งสองก็ถึงกับตกตะลึง “ใครก็ได้ โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว!” เขาเข้ามาช่วยซูเล่ยเอาเชือกออกจากคอและรีบสั่งคนด้านนอกให้โทรเรียกหน่วยพยาบาล ตอนนั้นเองที่ซูเล่ยได้เห็นว่านอกจากผู้ชายคนนี้แล้วยังมีนายตำรวจตามมาด้วย

   เดี๋ยวสิ...ผู้ชายคนนี้เป็นใคร...แล้วทำไมถึงมีตำรวจตามมา?

   แล้วอังเดรมาที่นี่ได้ยังไง?

   หลังจากสามารถหลุดจากนาทีวิกฤติมาได้ คำถามมากมายก็ถาโถมเข้าใส่ซูเล่ยอย่างไม่หยุดยั้งแต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไปในทันทีเพราะใจนึกเป็นห่วงอังเดรมากกว่า ด้วยเหตุนั้น คำถามที่เกิดขึ้นมาจึงถูกเก็บเอาไว้ในใจจนกระทั่งหน่วยพยาบาลมาถึงและพาตัวอังเดรขึ้นรถไป พวกเขาก็ตามไปถึงโรงพยาบาลเช่นกัน เป็นเวลาเดียวกับที่อังเดรถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อยแล้ว

   ซึ่งตอนนั้นเอง ซูเล่ยก็ได้รับฟังคำบอกเล่าว่ายูล่าและผู้สมรู้ร่วมคิดถูกตำรวจรวบตัวได้หลังจากหนีออกไปจากห้องได้ไม่นาน

   “คุณไม่ไปให้หมอดูหน่อยหรือ?” มอริสว่าหลังจากบอกเรื่องยูล่าแล้วพร้อมชี้รอยแดงรอบคอ

   “ผมไม่เป็นไร...” ซูเล่ยลูบคอตนเองขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเฝ้ารออยู่หน้าห้องจึงเป็นโอกาสดีที่จะไขข้อสงสัยให้กระจ่าง “คุณ...เป็นใครกัน?”

   “ผมมอริส  เคนตัน เป็นนักสืบเอกชนที่ถูกจ้างมาให้คอยเฝ้าดูเรื่องรอบ ๆ ตัวคุณกับเขา” นักสืบบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้องฉุกเฉิน

   “ถูกจ้าง?” ซูเล่ยขมวดคิ้วและทวนคำ

   “ครับ โดยคุณเวสลอยด์”

   ...

   สมองของซูเล่ยมึนงงชั่วขณะราวกับมีก้อนวัตถุสีดำขนาดใหญ่กดลงมาบดบังทุกสรรพสิ่งจนไม่อาจคิดหรือตอบสนองอะไรได้ในฉับพลัน

   นามสกุลนั้น...ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จัก...

   เพราะนามสกุลเก่าของมารีนก็คือเวสลอยด์เช่นกัน!

   “ผม...ผมไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงต้อง...”

   “ใจเย็นเอาไว้ก่อนครับ คุณเวสลอยด์สั่งให้ผมคอยจับตาดูเรื่องรอบ ๆ ตัวคุณกับคุณแอชฟอร์ด แต่ไม่ใช่จับตาดูพวกคุณ หากว่าจริง ๆ แล้ว เหมือนผมคอยดูแลความปลอดภัยให้มากกว่า เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ไปอยู่หน้าบ้านบ่อย ๆ แต่เพราะคุณเกิดระแวงสงสัยขึ้นมาผมเลยต้องถอย แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลานั้นจะกลายเป็นช่องว่างให้มีคนเข้าไปทำร้ายคุณเข้าจนได้”

   เฝ้าหน้าบ้าน...

   “คุณ...รถสีเทาคันนั้น...”

   “ครับ ผมเอง”

   จู่ ๆ ซูเล่ยก็รู้สึกผะอืดผะอมคล้ายน้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นมาตามหลอดอาหาร

   รถสีเทาที่น่าสงสัยแท้จริงแล้วคือคนที่พ่อของมารีนส่งมาเพื่อคอยดูแลเรื่องราวต่าง ๆ และคงจะมีหน้าที่สืบหาเหตุผลของสิ่งเหล่านั้นด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงทุนขนาดจ้างนับสืบเอกชน แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาถึงขนาดจะว่าจ้างคนมาคอยดูแลคนอื่นด้วยความห่วงใยเลยสักนิด นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายรู้มาก่อนแล้วว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเลือกที่จะเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อที่จะโผล่ออกมาในตอนสุดท้ายและได้ผลสรุปอันน่าพึงพอใจ

   ซูเล่ยรู้มานานแล้วว่าคน ๆ นั้นเลือดเย็นแค่ไหน แต่...

   ผู้ชายคนนั้นรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวถูกฆ่าและใช้เขาเป็นนกต่อเพื่อจับฆาตกรอย่างนั้นหรือ!


TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 19-12-2013 15:19:25
ยายยูล่า นางร้ายกว่าที่คิดนะเนี่ย :beat:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 19-12-2013 15:29:30
ยูล่าว่าเลวแล้วนะ  แต่อีตาคุณเวสลอยด์นี่ท่าทางจะเลวกว่า  ชอบหลอกใช้คนอื่น

อยากรู้จังค่ะว่ามันมีปมอะไรอยู่น้า  อีตา(แก่)เวสลอยด์ถึงทำกับซูกับคุณแอชฟอร์ดขนาดนี้  เป็นโรคจิตอ่อ  อยากแจกถูกถีบ :fire:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-12-2013 15:29:56
โอ้โฮ ช่างเป็นพ่อที่เลือดเย็น เอ้ย ใจเย็นชิ๊บอ๋าย
แล้วยังงัยล่ะคราวนี้ ต้องทำอะไรต่อไป
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 19-12-2013 15:39:06
อียูล่า อิเหรี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย
จะฆ่าซุแล้วยังเอามีดมาทิ่งอังเดรอีก
สมควรแล้วที่มันโดนจับ น่าจะโดนตบสักฉาดสองฉาด

 :z3: :z3: :z3: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 19-12-2013 15:40:17
ยูล่าเธอช่างร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 19-12-2013 15:56:42
ตามาจากกระทู้แนะนำ
แล้วววววว โอ้วววววววว
บวกและเป็ดขอบคุณ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 19-12-2013 17:23:14
ว่าแล้วเชียวนางยูล่า ร้ายกาจมากจริงๆ
แต่พ่อของมารีนก็ใช่ย่อยนะ มาทำแบบนี้กับซูได้ไงเนี่ย สงสารซูอ่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 19-12-2013 17:41:48
สรุป ซูซวยสุดสินะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 19-12-2013 17:42:32
อ่านตอนนี้แล้วอ้วกจุกคอเลย

โฮ้้ยย เวียนหัว ไม่ชอบเลย  :sad2: :sad2: :sad2: :oak: :oak: :oak:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 19-12-2013 18:11:27
ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ มารีนโดนฆาตกรรมนี่เอง
สรุปว่าพ่อของซู เอ้ย พ่อของมารีน ใช้ซูมาเพื่อเป็นนกต่อเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 19-12-2013 18:50:23
ยูล่าเลวมากอ่ะ นางมันไม่ใช่คน
สงสารซูอ่ะเจอเรื่องแย่ๆซ้ำซ้อนอยู่สองรอบ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 19-12-2013 19:32:57
ผู้หญิงเป็นเพศที่"น่ากลัว" นะนี่ ทางด้านจิตใจ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 19-12-2013 20:12:57
 :m31:นังยูล่า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 19-12-2013 20:33:35
ตบยูล่าาาา นิสัยยไม่ดีสุดๆอะ
ดีนะที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรมาก
เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 19-12-2013 20:36:02
ทำยังไงถึงจะหลีกพ้นจากคุณพ่อตามากเล่ห์ไปได้


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 19-12-2013 21:01:33
ยูล่านางร้ายกว่าที่คิดไว้เยอะ!  :beat: :z6:

อังเดรเสียเลือดไปเยอะรึป่าว ขอให้หายไวๆน้า  :เฮ้อ:
แบบนี้ต้องมีฉากเรียกเลือดกลับมา(?) เกี่ยวกันป่ะ 555 แต่เราว่าเกี่ยว คึคึ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 19-12-2013 21:52:19
ตอนแรกว่าคุณพ่อตาร้ายแล้ว แต่ยูล่านั้สุดเลยอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 19-12-2013 23:31:15
ยูล่าแบบบบบเฮ่อ ไปอยู่ในคุกนะ
คิดสภาพถ้าซูกับอังเดรรักกันแล้วพ่อมารีนนี่อุปสรรคใหญ่เลยอะ

ขอพักความขุ่นมัวแล้วสวีทๆสักตอนได้มั้ยคะ?
เติมเลือดให้คุณแอชฟอร์ดหน่อยกิกิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-12-2013 17:47:49
เห้ยยยยยย นังยูล่า
โคดแย่อ้ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 20-12-2013 21:02:18
ให้ยูล่าติดคุกจนแก่ตายในคุกไปเลย ให้สมกับความชั่วช้าของนาง

แล้วพ่อมารีนจะรู้ป่ะเนี่ย ว่าลูกเขยฉึกๆ  :hao6:กับคนที่่ตัวเองส่งมา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 20-12-2013 22:08:40
นังยูล่านี่มันร้ายกาจจริงๆ
เหนือยูล่าก็คือพ่อของมารีน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: vassalord4822 ที่ 21-12-2013 21:49:31
 :m15:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: zenixs ที่ 22-12-2013 00:11:10
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ จากนิยายแนะนำ ค้นพบว่าเป็นแนวที่เราชอบอ่านสุดๆ ประทับใจมาก o13

เนื้อเรื่องก็กำลังเข้มข้น มีปมอีกหลายปมที่จะต้องคลี่คลาย ทั้งเรื่องความเป็นมาของซูกับพ่อตา อดีตของซูกับอังเดร

ยังไงก็รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :pig4:

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 22-12-2013 01:15:06
ฮื้อออออออออ บีบคั้นนน :katai1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ploygy ที่ 22-12-2013 07:59:39
ซุ่มอยู่นาน ขอเม้นโหน่ย :hao3:
ตามมาจากกระทู้แนะนำ เรื่องนี้หนุกมากกกกกกก
ชอบการดำเนินเรื่อง ภาษา ทุกสิ่งอย่าง คุณนักเขียนบรรยายดีมาก o13 o13

นุ่งซูนางน่าสงสารจิงๆ โดนพ่อมารีนหลอกใช้ซะนี่
ส่วนยัยก๊อกน้ำซันว่านั่นขอให้นางโดนข้อหาหนักๆเลย หมั่นไส้ นางร้ายมาก!
อังเดรก็จำซูซี่ให้ได้ซักทีเหอะ  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 15 [19/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 24-12-2013 22:34:36
รออยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 26-12-2013 14:41:55
-16-

   เสียงฝีเท้าเดินไปกลับในห้องเล็ก ๆ ดังซ้ำไปซ้ำมาไม่ขาดมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อนประหนึ่งหนูติดจั่น เช่นเดียวกับสายโทรศัพท์ที่ตัดแล้วตัดอีกก็ยังไม่มีใครยอมรับสาย ทั้งที่มันเป็นเบอร์ส่วนตัว ทั้งที่มันควรจะดังอยู่นานพอจนใครต่อใครได้ยินกันทั่ว ทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาสำคัญและเป็นเวลาเดียวในชีวิตที่เขาอยากจะสนทนากับอีกฝ่ายมากยิ่งกว่าช่วงเวลาอื่นใดเท่าที่เคยจำได้

   แล้วทำไม...ทำไมในเวลาแบบนี้เขาถึงติดต่อผู้ชายคนนั้นไม่ได้!

   ความรู้สึกผะอืดผะอมย้อนกลับมาอีกครั้งหลังจากพยายามกล้ำกลืนฝืนปิดทับความเครียดด้วยการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา กระนั้น มันกลับช่วยได้ไม่มากนัก

   ลมจากในกระเพาะตีขึ้นมาจุกในคออย่างต่อเนื่องจนน่าสงสัยว่ามันมาจากไหนมากมาย

   ซูเล่ยยกมือปิดปากตนเองทั้งใบหน้าซีดเซียวก่อนคู้ลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง โทรศัพท์มือถือที่ไร้การตอบรับถูกทิ้งลงข้างตัว

   เขานึกไม่ออกเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ราวกับความทรงจำบางส่วนถูกบดบังจนกลายเป็นหมอกขาวไร้รูปร่างและรูปลักษณ์ให้จับต้อง เมื่อนึกย้อนกลับไป หลายสิ่งหลายอย่างพลันเลือนรางระเหยหายไม่ต่างกับภาพลวงตา

   บางส่วนในใจของเขาคงกำลังพยายามปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่

   เพราะกลัวว่ามันจะเป็นความจริง...กลัวว่าทุก ๆ สิ่งจะไม่ใช่เพียงความฝัน...

   มันจะเป็นยังไงกันนะ หากสะดุ้งตื่นขึ้นและพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนรถคันหรู ฟังผู้ชายวัยกลางคนพร่ำบ่นเรื่องลูกเขยทั้งใบหน้าที่แฝงด้วยความเศร้าโศกอย่างลึกล้ำเมื่อรำลึกถึงลูกสาว ผู้ชายคนนั้นคงหันมาถามเขาว่าอยากจะช่วยเหลือหรือไม่ จะเป็นอย่างไรหากเขาตอบปฏิเสธ...หากเขามีโอกาสอีกครั้งที่จะได้ปฏิเสธ บางที...คนที่พบเจอเรื่องพวกนี้คงจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขา

   ดวงตาของชายหนุ่มเลื่อนลอยไปยังเพดาน เขามองเห็นแต่แผ่นฝ้าว่างเปล่ากับหลอดไฟที่ปิดสนิท หากข่มตาหลับได้มันคงจะดีไม่น้อย...

   แต่ทุกครั้งที่ลองหลับตาลง เขาจะเห็นใบหน้าของมารีนส่งยิ้มของผู้มีชัยมาให้ เธอมักจะมีรอยยิ้มแบบนั้นอยู่เสมอเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะเป็นผู้ชนะในทุกเกม ส่วนเขาเป็นเพียงเครื่องมือที่มีไว้เพื่อช่วยให้ชัยชนะของหญิงสาวสมบูรณ์พร้อมไร้ข้อกังขา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือกระทั่งเมื่อเธอจากไปและไม่มีวันฟื้นคืนมาอีกแล้ว เงาของมารีนก็ยังคงทาบทับลงมาบนตัวของเขา ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง จะอีกกี่หน ชีวิตของเขาก็จะต้องมีไว้เพื่อชัยชนะของมารีนหรือ? แม้กระทั่งในครั้งนี้...เธอก็มีชัยเหนือกระทั่งผู้ที่สังหารตนเอง

   ยูล่า...ผู้หญิงที่ทุ่มเทถวายตัวเพื่อความรักอย่างหมดหัวใจ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังล่องลอยอยู่ปลายสายตาผสมกับใบหน้าเคียดแค้นและเจ็บปวดของเธอ นั่นอาจจะเป็นใบหน้าสุดท้ายที่เขาได้เห็นก่อนความตายจะปลิดลมหายใจหากว่าอังเดรมาไม่ทันเวลา

   ไม่ว่าจะเปลือกตาจะเปิดหรือปิดลง สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีจากความจริงได้พ้น

   ทว่าทันใดนั้น เสียงริงโทนก็ดังขึ้นในความเงียบ

   บทเพลง ‘หงเฉินเค่อจ้าน’ เหมือนกำลังตอกย้ำซ้ำเติมชะตากรรมของเขาที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นแดงที่ตลบอบอวลเพราะกีบม้าที่ย่ำผ่าน

   ซูเล่ยต้องตั้งสติอยู่นานก่อนสูดหายใจลึกจนเจ็บปอดเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรกลับมา เขากดรับสายทั้งมือที่สั่นเทาและกระแทกเสียงใส่อีกฝ่ายโดยไม่รอการทักทาย

   “คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง!”

   ทันทีที่ได้ระบายออก พลันร่างกายก็อ่อนยวบ ชายหนุ่มหอบหายใจเมื่อความรู้สึกคลื่นเหียนเจือจางลงพร้อมเสียงตะโกนที่สิ้นสุดลงและทิ้งความเงียบงันไว้แทนที่

   ต้นสายไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับจงใจทิ้งระยะเวลาไว้นานเสียจนใจของซูเล่ยร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
   “เฮ้อ”

   เสียงถอนหายใจ?

   สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงถอนหายใจสั้น ๆ เหมือนกำลังระอาแค่นี้เองหรือ!?

   “คุ...!”

   “ฉันรู้ว่าเธอโกรธและมันก็สมควร ฉันเองก็ไม่คิดจะแก้ตัวกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ แน่นอน ฉันรู้โดยตลอดแต่กลับอยู่เฉยและปล่อยให้เธอเผชิญกับมันตามลำพังอย่างจงใจ จะร้องจะด่าจะชิงชังฉันยังไงก็ตามใจเพราะยังไงฉันก็เชื่อว่าตัวเองทำสิ่งที่ควรทำเพื่อลูกสาวของฉัน” เสียงของฝ่ายนั้นไม่ได้เอือมระอาดังคาด กลับกัน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเสียจนน่าใจหาย ซูเล่ยเผลอคิดไปชั่ววูบหนึ่งด้วยซ้ำว่าตนเองอาจจะหูฝาดเพราะผู้ชายคนนั้นไม่เคยขอโทษใคร แต่เสียงแบบนี้...

   “...นั่นสินะครับ...เพื่อมารีน...” เขายกมือขึ้นกำอกเสื้อเพราะบางสิ่งจุกอยู่ข้างในจนอึดอัดและเจ็บแปลบ ด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงของฝ่ายนั้นทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ราวกับว่า เพียงคำพูดที่แสดงถึงความสำนึกผิดแม้จะมีข้อแก้ตัวมากมายแต่มันก็ละลายความโกรธในใจของเขาไปได้หลายส่วน แต่กลับถมทับคืนด้วยความเสียใจจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา “...แล้วผมล่ะ...” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วหวิว
   ต้นสายเพียงพรูลมหายใจ

   “เธออยากให้ฉันตอบอะไรกันล่ะ?” น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินราวกับกำลังพยายามปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำ แต่ซูเล่ยกลับนึกใบหน้าของคนคนนี้ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเอื้ออาทรไม่ออกเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ดวงตาที่จ้องมองเขาราวกับมองดูของประดับราคาถูก มีเพียงมารีนเท่านั้นที่ได้รับสายตาและคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักซึ่งไม่มีใครอื่นเสมอเหมือน

   “...งั้นตอบผมสิ...คุณเคยสักครั้งไหม? สักครั้งในชีวิตที่คุณแคร์ผม...” มือที่กำโทรศัพท์มือถือพลันสั่นเทาเมื่อสรรพนามหนึ่งถูกเปล่งออกมา “...พ่อ...”

   นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้พูดคำคำนี้ ถ้อยคำซึ่งเขาเองก็มีสิทธิที่จะเอื้อนเอ่ยเช่นเดียวกับหญิงสาวคนนั้น ทว่า...ในความทรงจำของเขา เมื่อรู้ความชัดเจนก็เข้าใจได้ทันทีว่าตนเองเป็นเพียงส่วนเกินที่ไม่มีสิทธิเสียงใด ๆ สรรพนามนี้จึงถูกผนึกนับแต่นั้น

   ทั้งสองฝั่งต่างเงียบไป ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดผ่านสายแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ

   “...ชูเลย์...” อาจเพราะสรรพนามที่ได้ยินส่งอิทธิพลให้ผู้ฟังไม่น้อย เสียงที่ตอบกลับมาจึงแผ่วเบาและโอนอ่อนกว่าครั้งใด ๆ “เพื่อตอบแทนกับสิ่งที่เธอทำ หลังจากนี้จะทำอะไรฉันจะไม่บังคับอีก”

   สุดท้ายก็ลงอีหรอบนี้...แค่ผลต่างตอบแทน...

   ไม่ต่างกับห้าปีก่อนเลยสักนิด

   ซูเล่ยกลอกตาอย่างไร้จุดหมายก่อนจะขบริมฝีปากคล้ายชั่งใจ แต่ดวงตากลับฉายความมุ่งมั่นแม้จะมีความหวั่นไหวผสมอยู่ไม่น้อย

   “ผมจะกลับไปทำงานตามเดิม” เขาพูดถึงงานที่ทำอยู่ก่อนจะถูกมอบหมายหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก “แล้วเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก ผมจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

   “ก็แล้วแต่จะตัดสินใจ” อีกฝ่ายว่าแค่นั้น ซูเล่ยจึงกดตัดสายไปเสียเอง

   สายตาของเขาเลื่อนจากเพดานไปยังประตูห้อง ความคิดแล่นผ่านออกไปยังประตูอีกบาน ห้องของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของพ่อและพี่เลี้ยงจนดึกดื่นถึงผล็อยหลับไป เอเดรียนไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ที่เกิดขึ้นในคืนนี้เลย แม้แต่ดาริลก็รับรู้เพียงน้อยนิดก่อนจะจากลากัน เธอจะรู้สึกยังไงหากว่าเขาต้องหายตัวไปกะทันหันอีกครั้ง สักวันหนึ่งเธอจะลืมเขาหรือเปล่า?

   แล้วอังเดรล่ะ?

   มันจะเป็นยังไงนะหากว่าในอนาคตมีโอกาสได้พบเจอกันอีกครั้ง...

   ชายหนุ่มส่ายศีรษะและหัวเราะตัวเอง

   เพราะเขายังคงยึดติดกับอังเดรไม่ใช่หรือยังไงถึงต้องพบเจอกับความทรงจำที่เลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการเป็นตัวแทนของมารีน การถูกปองร้าย และเกือบถูกฆ่า ถึงแม้เขาจะทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจแต่เอาเข้าจริงแล้วกลับไม่อาจสลัดพวกมันออกไปจากความคิดได้เลย

   ยังไง...อังเดรก็ต้องแต่งงานใหม่กับคนที่เหมาะสม...เพื่อเอเดรียน

   นั่นเป็นความจริงที่ ‘พ่อ’ รู้ดีกว่าเขาและคิดถูกมาตั้งแต่ต้น แล้วเขามาทำอะไรอยู่ตรงนี้กันนะ? ก็แค่เป็นนกต่อเพื่อดึงให้ยูล่าเผยธาตุแท้ออกมา ถึงตอนนี้มันก็จบสิ้นหน้าที่แล้วไม่ใช่หรือ?

   มันคงถึงเวลาที่จะสะบั้นเยื่อใยเสียที...

   ซูเล่ยคิดด้วยสมองอันว่างเปล่า ทั้งยังอดแปลกใจตัวเองไม่ได้เมื่อสัมผัสแก้มแล้วพบว่าไม่มีน้ำตาแม้สักหยดอาบรินออกมา

------------------------>

   มอริสขับรถไปรับอังเดรออกจากโรงพยาบาลด้วยตัวเองในตอนบ่ายหลังจากตรวจร่างกายและให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ที่เบาะด้านหลัง เอเดรียนนอนหลับอยู่โดยไม่สนใจแรงกระแทกของตัวรถเพราะถูกปลุกไปโรงพยาบาลแต่เช้าและต้องรอแกร่วจนถึงบ่าย กระนั้นก็น่าแปลกที่พี่เลี้ยงไม่ได้มาด้วยเพราะอ้างว่าร่างกายไม่ค่อยปกติ มอริสจึงไม่อยากคะยั้นคะยอ

   “ข่าวนี่ไวกว่าที่คิดนะครับ”

   ชายหนุ่มร่างสูงนิ่วหน้าเมื่อรถกระแทกตัวเบา ๆ เพราะขับผ่านเนินแต่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าแสดงความฉงนทันทีที่คำเปรยลอย ๆ ของนักสืบผ่านหู

   “พูดถึงอะไรหรือครับ?”

   “อ้อ...” มอริสเปล่งเสียงสั้น ๆ ก่อนลูบหนวดตัวเองพร้อมกลอกตา “เหมือนผมจะเก็บหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายไว้ในลิ้นชักฝั่งคุณนะ ลองเปิดอ่านดูสิ”

   ได้ยินดังนั้น อังเดรจึงโน้มตัวด้วยความระมัดระวังเพื่อเปิดลิ้นชักและดึงหนังสือพิมพ์ที่ถูกพับไว้อย่างลวก ๆ ออกมา หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ก็เป็นข่าวฉาวของนักการเมือง และข่าวเด่นดังที่มีคนติดตามทั่ว ๆ ไป อังเดรจึงนึกสงสัยว่าทำไมมอริสจึงให้ความสนใจนัก แต่ยังไม่ทันอ้าปากถาม สายตาก็เหลือบไปเห็นข่าวกรอบเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่มุมหนึ่งของหน้าแรก เนื้อหาสั้น ๆ ดูดึงดูดใจไม่ใช่น้อย

   ชายหนุ่มพลิกเปิดอ่านเนื้อข่าวต่อขณะที่คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน

   ‘เมื่อคืนวานได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้น’ ย่อหน้าแรกเริ่มต้นด้วยประโยคที่คุ้นเคยกันดีเมื่อมีเหตุร้ายลงในหนังสือพิมพ์ แต่เขาไม่ได้สนใจเนื้อหาข่าวมากนักเพราะเผชิญและรู้เห็นมากับตัวแม้ชื่อของเขาจะไม่ได้ปรากฏบนหน้ากระดาษก็ตาม สิ่งที่เขาให้ความสนใจคือชื่อของผู้เกี่ยวข้องซึ่งปรากฏอยู่เรียงกันต่างหาก...

   ‘ชูเลย์ เลสลอยด์ บุตรชายของนักธุรกิจชื่อดัง ลามอนต์ เวสลอยด์’

   ‘คดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อครึ่งปีก่อนของ มารีน เวสลอยด์ แอชฟอร์ด’

   เวสลอยด์...

   เวสลอยด์...

   นามสกุลที่แสนคุ้นหูอย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำยังถูกตอกย้ำด้วยชื่อกลางของภรรยาซึ่งเป็นนามสกุลก่อนแต่งงาน พ่อของมารีนคือ ลามอนต์ เวสลอยด์ และชูเลย์คนนี้คือซุเล่ยไม่ผิดแน่ ถ้าอย่างนั้น...

   “เจ็บแผลหรือครับ หน้าซีดเชียว?” มอริสหันมองคนข้างตัวเมื่อรถติดไฟแดง

   “คุณเคนตัน คุณรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?” แทนที่จะตอบคำถามที่แสดงถึวความห่วงใย อังเดรกลับถามด้วยคำถามใหม่ซึ่งทำให้ผู้ฟังต้องเลิกคิ้วเพราะคำถามไม่กระจ่างนัก “ซูเป็นลูกของคุณเวสลอยด์ คุณรู้หรือเปล่า?” เขาถามซ้ำด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ก็ต้องรู้สิครับ ที่จริงผมเองยังอดสยองไม่ได้เลยที่คุณเวสลอยด์ลงทุนใช้ลูกชายเป็นนกต่อแบบนี้ แต่เขาก็เป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร วางแผนดีเยี่ยม ไม่เคยปล่อยให้ผิดพลาด แล้วพี่เลี้ยงของคุณก็คงเอาตัวรอดเก่งไม่ใช่น้อยถึงได้รับความไว้วางใจมาทำเรื่องอันตรายแบบนี้” สีหน้าของมอริสยามพูดถึง ลามอนต์ เวสลอยด์ ช่วยสนับสนุนคำพูดของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดีถึงวิสัยที่ชอบใช้คนเหมือนตัวหมากซึ่งอังเดรก็รู้ดีแก่ใจ แต่...คำพูดนั้นได้บอกเป็นนัย ๆ ว่าตัวซูเล่ยก็รู้จุดประสงค์นี้เช่นกัน

   แต่กลับไม่เคยบอกเขาแม้สักคำ!

   อังเดรรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำซาก หลงเป็นห่วงจนแทบบ้า แค่รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บก็มือสั่นจนทำอะไรไม่ถูกจนต้องรุดมาดูถึงที่ว่าปลอดภัยจึงจะเบาใจได้ พอได้ยินว่าตกอยู่ในอันตรายใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และไม่ถือโทษสักนิดที่ทิ้งเอเดรียนไว้กับคนแปลกหน้า ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับซูเล่ยกลับไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเลยสักเรื่องเดียวอย่างนั้นหรือ?

   ทั้งที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่จู่ ๆ ภาพซูเล่ยที่ผุดขึ้นมาก็คล้ายจะผิดแปลกไป กลายเป็นใครบางคนซึ่งเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

   เขาจะต้องถูกบ้านเวสลอยด์ปั่นหัวอีกสักกี่ครั้งเจ้าตัวถึงจะพอใจ

   ชายหนุ่มพับหนังสือพิมพ์ในมือเพื่อทำให้อารมณ์เย็นลงแม้ตอนนี้ใจจะร้อนรนเสียจนอยากถลาตัวลงจากรถแล้วพุ่งรวดเดียวให้ถึงบ้านและเจาะเข้าไปในสมองของซูเล่ยให้รู้แล้วรู้รอด เขาไม่ได้พูดคุยกับมอริสเลยตลอดเส้นทางแม้อีกฝ่ายจะเปรยคล้ายชวนสนทนาเป็นช่วง ๆ เขาก็แค่ตอบรับสั้น ๆ เพราะไม่สามารถตั้งสมาธิอยู่กับคำถามหรือสภาพแวดล้อมรอบตัวตอนนี้ได้

   มอริสจอดรถที่หน้าบ้านและช่วยอุ้มเอเดรียนลงจากรถให้เพราะเกรงว่าบาดแผลอังเดรจะเปิด แต่เมื่อไปถึงประตู ก็พบว่าซูเล่ยรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มร่างเล็กเดินเข้ามารับตัวเด็กหญิงที่ทำตาสะลึมสะลือโดยไม่พูดอะไร เอเดรียนก็โผเข้าอ้อมกอดพี่เลี้ยงและหลับต่ออย่างง่ายดาย ไม่นึกสังเกตความผิดปกติระหว่างพ่อและพี่เลี้ยงแม้แต่น้อย แต่มอริสกลับรู้สึกได้และเลือกที่จะถอยฉากออกมา

   หลังมอริสจากไป ซูเล่ยก็พาเอเดรียนขึ้นไปพักบนห้อง ตอนนั้นเองอังเดรจึงได้เห็นว่าบ้านของตนมีบางสิ่งแปลกตาไป

   กระเป๋าเดินทางใบเดียวกับที่ซูเล่ยใช้หอบของใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ มาจนถึงที่นี่ กอปรกับขอบตาบวมคล้ำของเจ้าของกระเป๋า เดาได้ไม่ยากเลยว่าเมื่อคืนนี้เจ้าตัวคงจัดของใส่กระเป๋าตลอดทั้งคืนทำให้ตอนเช้าไม่เหลือเรี่ยวแรงจะตามไปส่งเอเดรียนที่โรงพยาบาล หรือไม่...ก็อาจจะมีเหตุผลว่าไม่อยากเจอหน้าเขาตรง ๆ พ่วงมาด้วย และท่าทีที่ซูเล่ยแสดงออกในวันนี้...ก็คล้ายกำลังบอกเขาว่าหมดธุระที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันแล้ว
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 26-12-2013 14:42:22
อังเดรมองกระเป๋าเดินทางใบเล็กอย่างฉุนเฉียวก่อนโยนมันไปไว้ที่มุมหนึ่งของห้องและเดินขึ้นไปตามบันได สายตาของเขาเห็นว่าซูเล่ยกำลังเดินออกมาจากห้องของเอเดรียนและมองมาทางบันไดเช่นกัน เมื่อสายตาสบประสาน ซูเล่ยก็เบือนหลบทันควัน

   ขณะเดินสวนกัน ซูเล่ยเอาแต่มองไปข้างหน้า ทำเสมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน ยิ่งเพิ่มพูนโทสะของอังเดรเป็นเท่าทวี

   ทั้งที่ห่วงใยและเสี่ยงเอาตัวเข้าช่วยเหลือขนาดนั้น แต่ซูเล่ยกลับเห็นว่าเป็นแค่เรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรือ?
   คำถามที่ผุดขึ้นมากระตุ้นให้ชายหนุ่มคว้าตัวพี่เลี้ยงของลูกสาวก่อนอีกฝ่ายจะลงบันไดไปและลากเข้าไปในห้องนอนซึ่งบัดนี้เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์เพราะข้าวของส่วนตัวถูกนำออกไปหมดแล้ว และเมื่อประตูปิดลง ซูเล่ยก็ถอนหายใจพลางเสสายตามองพื้นห้อง

   “ต้องการอะไรครับ?” เขาถามอย่างเย็นชา

   “คิดจะไปโดยไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือยังไง?” อังเดรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจะไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่พูดต่อโดยไม่เว้นจังหวะ “โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเป็นน้องชายของมารีน”

   “น้องชาย? ผมไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเรียกแบบนั้นได้ และเธอก็ไม่คิดว่าผมเป็นน้องไม่อย่างนั้นคุณน่าจะเคยได้ยินชื่อผมบ้างไม่ใช่หรือ?” จู่ ๆ ท่าทีของซูเล่ยก็ขึงขังจริงจังขึ้นมาในแบบที่อังเดรไม่เคยเห็น “สำหรับคุณแล้วผมไม่มีตัวตนจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน และคุณก็ไม่ได้ต้องการให้ผมมีตัวตนอยู่แต่แรก การที่ผมจะหายไปจากชีวิตของคุณกับเอเดรียนมันมีปัญหาตรงไหนกัน”

   คำพูดของซูเล่ยอาจจะถูกต้องหากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ตอนนี้...

   “มีแน่” ชายหนุ่มร่างสูงกดเสียงลงต่ำก่อนก้าวเท้าเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายและบีบแรงจนใบหน้าคมบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ “คิดว่าบ้านหลังนี้เป็นอะไร จะมาก็มาจะไปก็ไป ถ้าฉันไม่อนุญาต พ่อของเธอจะทำอะไรอีก? จะแจ้งความจับฉันข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวด้วยเลยไหม!?” พร้อมกับที่ถามเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ก้าวเข้าหาจนซูเล่ยต้องถอยหลังจนกระทั่งขาสัมผัสขอบเตียง หากถอยอีกก้าวเขาก็จะล้มลงจึงจำต้องยืนเฉยและปล่อยให้อังเดรเข้าประชิดตัวจนรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นแรงเหนือศีรษะซึ่งแสดงถึงอารมณ์โกรธขึ้งรุนแรง

   “เขาจะมาสนใจอะไร!” ซูเล่ยตวาดกลับเพราะเมื่อได้ยินอังเดรเอ่ยอ้างถึงพ่อของตน “ถึงขนาดผมจะถูกฆ่าตายอยู่แล้วเขาก็ยังนิ่งเฉย ถึงคุณจะชกผม หรือหักแขนขาผม หรือจะโยนผมลงจากบันไดให้หัวแตกอีกรอบเขาก็ไม่ระคายเคืองสักเท่าไหร่หรอก!” เขาพูดออกมาจากใจจริง ถึงแม้อังเดรจะโกรธเคืองและทำร้ายร่างกายเขา แต่ลามอนต์ก็คงมองว่าเป็นแค่หนอนแมลงที่ถูกเหยียบขยี้จนบอบช้ำเท่านั้น

   “เขาระคายเคืองแน่!” ทันใดนั้นร่างของซูเล่ยก็ถูกผลักลงกับเตียงอย่างแรง ตามด้วยการทาบทับจากด้านบน ดวงตาของอังเดรฉายแววเฉียบขาดและทิ่มแทงเสียจนเจ็บไปถึงข้างใน เจ้าตัวฝืนละเลยความเจ็บบริเวณสีข้างและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อตรงหน้าซูเล่ย ให้เห็นเบอร์โทรศัพท์ที่เขากำลังจะกดโทรออก “ถ้าหากเขารู้ว่าเธอทำอะไรกับฉันบนเตียงหลังนี้ล่ะก็...”

   อังเดรพูดไม่ทันขาดคำ ซูเล่ยก็เบิกตากว้างแล้วเอื้อมมือหมายจะคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น แต่เจ้าของก็ดึงหลบได้ทันท่วงทีก่อนจะก้มลงขย้ำเขี้ยวบนเนินไหล่โดยแรง

   ชายหนุ่มร่างเล็กร้องอุทานเพราะความเจ็บและทุบมือไปบนหลังอีกฝ่าย ผู้ถูกเอาคืนกลับไม่ยี่หระ เขาโยนโทรศัพท์มือถือไปไว้บนโต๊ะเล็กและคว้ามือซูเล่ยที่วาดตามตรึงไว้เหนือหัว

   การที่ซูเล่ยแสดงออกว่าหวาดกลัวที่จะถูกเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขา ยิ่งทำให้อังเดรบันดาลโทสะมากกว่าเก่า ชายหนุ่มฝากรอยฟันไว้อีกครั้งที่ลำคอและเนินบ่า ซึ่งซูเล่ยทำได้เพียงสะดุ้งผวา กลั้นเสียงร้อง และพยายามผลักไสด้วยมือที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว

   “หยุด...อึก!” ในขณะที่พยายามจะห้ามปราม ฝ่ามือใหญ่ก็สอดเข้าใต้เสื้อ ตะโบมนวดเฟ้นอย่างไร้ความปรานีไปทั่วร่างพร้อมกับต้นขาซึ่งกดลงมาจนเจ้าตัวต้องพยายามถดตัวหนีแต่ก็ไร้ผล

   “ร้องอีกสิ เขาจะได้ได้ยินชัด ๆ” สีหน้าและแววตาของ อังเดรจริงจังเสียจนซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจและเหลือบตามองไปยังโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังต่อสายอยู่จริงหรือไม่ แต่เพราะความไม่แน่ใจผนวกกับท่าทางของอังเดรทำให้เจ้าตัวไม่กล้าเปล่งเสียงแม้สักครึ่งคำ ครั้นจะต่อต้านให้รุนแรงขึ้นเขาก็พลันสังเกตเห็นสีหน้าแสดงความเจ็บปวดของอังเดร ทำให้ไม่กล้าขยับตัวมากนักเพราะอาจจะไปกระทบบาดแผลจากรอยมีดให้เปิดออก เป็นโอกาสให้อังเดรรุกเร้าได้มากกว่าเดิม

   เสื้อถูกสลัดออกเป็นสิ่งแรก ทั้งเขาและอังเดรต่างเหลือเพียงท่อนบนเปล่าเปลือยและร่องรอยบนร่างกาย ต่างกันก็เพียงบนร่างกายอังเดรมีแค่รอยมีดที่ถูกปิดทับด้วยสำลีก ส่วนซูเล่ยเต็มไปด้วยรอยจูบและขบกัดแทบทั้งตัว กลายเป็นรอยสีแดงพาดบนเนื้อขาวเนียนจำนวนนับไม่ถ้วน

   ตัวซูเล่ยในเวลานี้ไร้ความพยายามต่อสู้โดยสิ้นเชิง เจ้าตัวหอบหายใจระรวยทั้งใบหน้าแดงซ่าน แผ่นอกสะท้านขึ้นลงภายใต้แสงแดดสีแดงส้มที่ส่องเข้ามาในห้องผ่านบานหน้าต่าง

   “อ...” เสียงถูกเปล่งผ่านลำคอแค่เพียงสั้น ๆ เมื่อกางเกงถูกถอดออกไปและเรือนกายเบื้องล่างถูกรุกล้ำบีบเค้นหมายจะกระตุ้นให้ทั้งสุขสมและเจ็บปวดไปพร้อมกัน

   ซูเล่ยยังอดสงสัยตนเองไม่ได้ ว่าเหตุใดภายในส่วนลึกของเขาจึงได้ยินยอมที่จะถูกกระทำอย่างนี้ สมองของเขาขาวโพลน คิดไม่ออกกระทั่งว่าจะทำอย่างไรต่อไป และเมื่อถูกรุกล้ำเข้ามาจนถึงภายใน สติสัมปชัญญะก็พลันระเหิดหายกลายเป็นหมอนควันเจือจาง ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงแต่เลือดในกายกลับสูบฉีดพลุ่งพล่านจนร้อนรุ่ม ผุดพรายออกมาเป็นเหงื่อเม็ดใสแต้มพรมบนใบหน้าที่แดงซ่านไม่ต่างกับโดนลวกด้วยน้ำร้อนจัด ทั้งที่อากาศในยามนี้แม้ไม่ได้เย็นเยียบจับใจแต่ก็ไม่ได้อบอุ่น ทว่ารอบกายของสองร่างที่กอดก่ายแนบชิดกลับประหนึ่งมีไอร้อนอบอวลพร้อมกับกลิ่นอายของความใคร่กรุ่นกำจาย

-------------------------->

   รอยเลือดสีแดงบนสำลีและความเจ็บที่ลามไปทั้งซีกซ้ายของร่างกายทำให้เจ้าของร่างคาดเดาว่าแผลคงจะฉีกอย่างที่คิด ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นอย่างระมัดระวังและทุลักทุเล จนเมื่อสามารถนั่งได้สำเร็จ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองคนข้างตัวซึ่งเหนื่อยอ่อนสะสมมาตั้งแต่เมื่อวานจนหลับใหลไม่ได้สติไปเสียแล้ว

   ชายหนุ่มเกลี่ยปอยผมสีดำสนิทออกจากใบหน้าชื้นเหงื่อเพื่อเพ่งพิศมองดูอีกฝ่ายให้ชัดเจนภายใต้แสงสลัวราง ทำให้มองเห็นเพียงเครื่องหน้าซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของมารีน เพราะมารีนเป็นผู้หญิงที่สวยคมแบบฉบับชาวอเมริกัน แต่ซูเล่ยกลับมีรูปหน้าที่ฉีกไปทางเอเชียอย่างเด่นชัด มีส่วนที่ผสมกับความเป็นอเมริกันบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งส่งเสริมให้ใบหน้าดูน่าพิศมองมากขึ้นราวกับจงใจ

   หลังจากสำรวจใบหน้าอยู่นาน สายตาก็เลื่อนไปตามเรือนร่างซึ่งถูกฝากร่องรอยไว้นับไม่ถ้วน น่าแปลกที่เขารู้สึกพึงพอใจอยู่ลึก ๆ เมื่อเห็นตราประทับเหล่านี้ มันเป็นความรู้สึกของการได้ครอบครองบางสิ่งบางอย่างและไม่ต้องการปล่อยให้หลุดมือ

   อังเดรตลบผ้าห่มให้อีกฝ่ายก่อนกุมสีข้างและลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเอาเข้าจริง มันไม่ได้ต่อสายไปหาใครเลย...

   เขาเดินออกมาจากห้องเพื่อปล่อยให้ซูเล่ยพักผ่อนและคิดว่าตนเองน่าจะไปดูเอเดรียนเสียหน่อย แต่แล้วกลับได้ยินเสียงกุกกักจากชั้นล่างทั้งที่ไฟไม่ได้เปิด ชายหนุ่มจึงเดินลงไปดูและเห็นเงาตะคุ่มของเด็กหญิงในชุดสีชมพูอ่อนกำลังค้นหาของในตู้เย็น

   “เอเดรียน?” เขาเอ่ยเรียกแล้วกดสวิตช์ไฟ

   “แดดดี้!?” เอเดรียนเองก็แปลกใจไม่น้อยที่เห็นพ่อลงมาในเวลาอย่างนี้ แต่ใบหน้าขาวซีดของเด็กหญิงทำให้ผู้มองรู้ว่าเธอต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมากที่จะลงมาถึงข้างล่างทั้งที่มือเอื้อมไม่ถึงสวิตช์และไม่มีใครให้พึ่งพา การปรากฏตัวของอังเดรทำให้เอเดรียนตกใจจนเกือบกรีดร้องแต่ก็กลายเป็นความยินดีในเวลาต่อมา เธอโผกอดพ่อโดยละทิ้งข้าวของที่ค้นออกมาจนเต็มพื้นทันที

   “เอเดรียน ลงมาทำอะไรคนเดียวน่ะหือ?” อังเดรกอดลูกสาวพลางลูบหลังให้หายตกใจ สายตาก็พลันเห็นของกินมากมายวางเรียงราย “หิวหรือ?”

   เอเดรียนพยักหน้ารับ

   “เอเดรียนตื่นมาก็มืดแล้ว แดดดี้กับซูก็นอนไปแล้ว เอเดรียนก็เลยไม่กล้าปลุก...” เธอซุกหน้ากับบ่ากว้าง นึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่พ่อตื่นขึ้นมาทำให้เธอไม่ต้องผจญภัยในความมืดที่แสนน่ากลัวเพียงลำพัง

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแดดดี้จะทำแซนด์วิชให้เอาไหม?” เขาเสนอแล้วอุ้มลูกสาวไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กก่อนก้มลงเก็บข้าวของที่ถูกรื้อค้น ทว่า... “อึก...” รอยแผลที่ปริแตกเพราะการฝืนออกแรงทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจคิด แม้จะเป็นแค่การเผลอเปล่งเสียงเบา ๆ แต่เอเดรียนก็ได้ยิน

   “แดดดี้เจ็บแผลเหรอ?”

   “นิดหน่อยน่ะ”

   “แต่เลือดซึมออกมาเยอะ...แดดดี้จะไม่เป็นไรใช่ไหม?” สีหน้าของเอเดรียนไม่สู้ดีเมื่อเห็นสำลีฉ่ำไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ ทำให้เธออดคิดถึงตอนที่ซูเล่ยตกบันไดไม่ได้

   ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วเอื้อมมือลูบศีรษะทุย

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้แดดดี้จะไปหาหมอ ให้เขาทำแผลให้ใหม่” ได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของเด็กหญิงก็ดีขึ้นเพราะหมดห่วง จึงยิ้มตอบแล้วนั่งแกว่งขารอแซนด์วิชรอบดึก

   แม้จะขยับลำบากแต่อังเดรก็จำต้องฝืนทำแซนด์วิชสองชุดเพราะตนเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน อีกทั้งหากไม่กินอะไรรองท้องก็กินยาไม่ได้ และถ้าเขานอนโดยไม่กินยาคงต้องปวดจนนอนไม่หลับแน่ ๆ แต่เพราะไม่อยากให้เอเดรียนสังเกตเห็นความทรมานของตนเอง เขาจึงหาหัวข้อมาเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าตัวเสียก่อน ซึ่งหัวข้อที่นึกได้ในตอนนี้กลับเกี่ยวพันกับซูเล่ย

   “เอเดรียน จำนิทานที่ซูเคยเล่าให้ฟังได้ไหม?”

   เด็กหญิงพยักหน้ารับ

   “แต่ว่าจำได้แค่นิดเดียว” เธอหยิบนิ้วประกอบ

   “ไม่เป็นไร เล่าเท่าที่จำได้เถอะ พอเล่านิทาน แดดดี้จะได้ลืมความเจ็บไง” ด้วยคำอธิบายที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลนักแต่กลับได้ผลสำหรับเด็กวัยนี้ เอเดรียนจึงขมวดคิ้วเพื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินผ่านหูเพียงครั้งเดียวอย่างตั้งใจ และค่อย ๆ ถ่ายทอดออกมาเท่าที่สมองเล็ก ๆ จะจดจำได้

------------------------------------>

   อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนกำลังเคาะนิ้วกับโต๊ะไม้ขัดเงาตัวใหญ่ ตรงหน้าคือโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางสายจากใครบางคนและทำให้เขาต้องครุ่นคิดหนัก

   เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นสิ่งที่ผิด ตราบใดที่ทุกกอย่างดำเนินไปอย่างที่วางแผนไว้ เพราะทุก ๆ สิ่งเกิดจากการคิดคำนวณอย่างรอบคอบทั้งผลได้และผลเสีย จนกระทั่งถึงจุดที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีโอกาสผิดพลาดน้อยที่สุด เขาจึงจะตัดสินใจลงมือทำ

   ทว่า...ในครั้งนี้ในใจของเขากลับกระสับกระส่าย

   ‘พ่อ’

   เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนั้นเรียกเขาเช่นนี้หลังจากหลายปีที่ทำตัวห่างเหินอย่างจงใจ ราวกับว่าสถานภาพครอบครัวได้สิ้นสุดลงไปพร้อมกับช่วงวัยที่เลยผ่าน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมองเด็กคนนั้นในแบบเดิมที่เคยมอง เฝ้าดูในฐานะที่สามารถทำได้และจัดไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม กระนั้น ในครั้งนี้ที่เจ้าตัวจำต้องเสี่ยงอันตราย แม้เขาจะคำนวณอย่างดีและผ่านไปตามแผนที่วางไว้แล้วแต่กลับไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นกว่าเดิมเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซูเล่ยขอกลับมาทำงานเหมือนเดิม...

   “ไม่ได้เห็นทำสีหน้าแบบนั้นนานแล้วนะคะ” เสียงหนึ่งทักขึ้นก่อนจะปรากฏหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินออกมาจากหลังบานประตูที่ไม่มีเสียงเคาะบอกล่วงหน้า

   “บางครั้ง...” เขาเปรยขึ้นมาและหยุดแค่นั้น แต่หญิงสาวก็ทำสีหน้าเข้าใจ

   “คงจะถึงเวลาแล้วล่ะมั้งคะ?”

   เธอว่าโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ลามอนต์ก็พยักหน้ารับ...

TBC


เพลงหงเฉินเค่อจ้าน(โรงเตี๊ยมฝุ่นแดง/โรงเตี๊ยมสีชาด) สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ หงเฉิงเค่อจ้าน (http://"http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000001202")
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 26-12-2013 14:54:09
ถึงตาแก่นี่จะรู้สึกผิดแต่ไม่อยากให้อภัยเลยอ่ะ  สงสารซูกับอังเดร 

เกลียดตาแก่ที่สุด!!! :fire: :beat: :beat: :beat:

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 26-12-2013 15:27:03
นึกว่าจะดีขึ้น หนักกว่าเดิมอีก สงสานซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 26-12-2013 15:57:41
เหมือนเรื่องจะคลี่คลาย และเคลียร์ขึ้นแล้ว
แต่ทำไมตาแก่ตอนท้ายถึงมีอะไรกำกวมมาอีกแล้ว! :katai1:
แกคิดจะทำอะไรให้แย่กว่าเดิมรึป่าวเนี่ย! :angry2:

หนูซูกับอังเดรน่าสงสารอ๊าาา เข้มแข็งไว้นะทั้งคู่เลย
แต่อังเดรก็พยายามนะตอนนี้ แม้จะเจ็บแผลแต่ก็ทำจนเสร็จ :hao6:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 26-12-2013 16:56:29
โอ้ยยยยย ชอบเรื่องนี้มากกกก
อังเดรต้องรั้งซูไว้นะ อย่าให้ซูไป
แอบอยากอ่าน nc เบาๆ
กร๊าสสสสสสสสสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 26-12-2013 18:42:01
แล้วซูก็โดนเข้าใจผิด

ไอ้แก่  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 26-12-2013 18:58:57
วางแผนอะไรอีกล่ะ ชีวิตซูไม่ใช่หุ่นเชิดของใครนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2013 19:21:19
ผญ นั่นใครอีกหว่า หรือว่ามารีนยังไม่ตาย ??
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 26-12-2013 19:29:51
อังเดรนายอึดอะ 555555555555555555555
ไอ้เราก็นึกว่าจะโมโหแล้วไล่เมื่อก่อนๆ
รั้งนะ ปกป้องซูนะนายยยยย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 26-12-2013 20:06:19
ถ้าซูตื่นมา ยังคิดที่จะไปอยู่มั้ยนะ
อยากให้อังเดรรั้งไว้ได้


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 26-12-2013 20:29:33
จะเกิดอะไรขึ้นอีกกันนะ
ซูน่าสงสารอะ ฮือออ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 26-12-2013 20:46:40
คิดบ้างมั้ยว่าซูจะเจ็บแค่ไหน ฮือออออออออ :mew4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 26-12-2013 22:09:30
อ่านแล้ว เห้อออออออ สงสารและเห็นใจซูกัยอังเดร มาก  แต่ตาแก่นี่ลึกลับน่าดูนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-12-2013 22:09:52
     คนที่เลวที่สุดคือพ่อซูนี่เอง  สงสารซูจัง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 26-12-2013 22:51:40
นี่่น่ะหรือคือคนเป็นพ่อ ทำไมใจร้ายกับลูกได้ถึงขนาดนี้
ซูยังจะต้องเจอกับอะไรอีก  แต่อังเดรก็คงไม่ยอมปล่อยซูให้ไปไหนแน่นอน
แล้วผู้หญิงที่โผล่มาตอนท้ายคือใครอีกล่ะ จะมีปมอะไรอีกหนอ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 26-12-2013 23:24:30
พ่อไม่รัก เศร้ากว่าผู้ชายไม่รักอีก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 28-12-2013 06:40:57
คนอย่างนั้นอย่าเรียกว่าพ่อเลย เลวมากๆๆๆ ชีวิตคนไม่ใช่ราคาหุ้นนะ แม่ของเล่ยรักผู้ชายอย่างนี้ได้ยังไงกัน  :angry2:
ความเลวของนางร้ายเรื่องนี้ เป็นเรื่องขี้ผงไปเลย

ว๊ายย อินจัด แบบสงสารซูเล่ยมากๆ เป็นนายเอกชีวิตรันทดอีกคน
คนเขียนอย่าให้อังเดรทำร้ายน้องซูเล่ยอีกเลย สงสารคนอ่านเถอะ น้ำตาเป็นลิตรแล้ว :sad4:
อยากอ่านต่อๆๆ พึ่งอ่านรวดเดียว อารมณ์มันได้มาก ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนายเอก

...ชอบเสียงเรียกเข้าน้องซู
ยิ่งเวอร์ชั่นที่เฮียเจย์ร้องกับป้าเติ้งดิจิตอลนี่เพราะแต่เศร้ามากๆเลย เป็นท่อนที่ชอบที่สุด http://youtu.be/TixHYua3XCI
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 16 [26/12/13]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 28-12-2013 10:03:24
สนุกจังค่ะ สงสารซูเล่ย

อิตาคุณพ่อนี่อะไรคะ มองลูกเป็นหมากเหรอ

เคือง :beat:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-01-2014 15:52:51
-17-


   มันคงดูประหลาดที่อากาศเริ่มอุ่นแล้วแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะสวมเสื้อคอเต่า กระนั้นซูเล่ยก็คิดว่าดูเข้าทีกว่าพันผ้าพันคอในบ้าน ร่องรอยที่อังเดรฝากไว้เสมือนตราประทับที่ติดตรึงแน่นยากลบเลือน รอยสีแดงบนร่างกายพาให้สะท้อนใจว่าตนเองคงจะเป็นได้แค่เครื่องมือระบายอารมณ์ของอีกฝ่าย เวลาโกรธหรือฉุนเฉียวถึงชอบมาลงกับเขานัก ซ้ำยังบังคับผูกมัดเอาไว้ไม่ยอมให้เดินจากไป

   ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไปมองที่ประตู กระเป๋าเดินทางถูกยกขึ้นมาวางไว้ก่อนเขาตื่น บ่งบอกว่าไม่มีทางยอมให้ไปจากบ้านหลังนี้โดยง่าย

   ตอนที่เดินลงไปข้างล่าง ซูเล่ยก็เห็นว่าอังเดรกำลังเตรียมออกไปข้างนอกโดยมีเอเดรียนตามส่งและหยิบข้าวของให้อย่างกะตือรือร้น และเมื่อเขาเดินลงไป สายตาที่อังเดรมอบกลับมาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาจนน่าใจหาย เหมือนกับสายตาที่อังเดรมองเขาในตอนแรก เหมือนคนไม่รู้จักที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางโดยไม่ได้รับความยินยอม ซูเล่ยทำได้เพียงสูดหายใจลึกและทำไม่สนใจสายตานั้นเสีย

   แต่...ในตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพันเล่ม ทั้งที่เมื่อครึ่งปีก่อนเขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรกับสายตาคู่นั้นเลย

   หรือเพราะว่า...เขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง?

   “แดดดี้ไปก่อนนะ” อังเดรบอกลาลูกสาวที่หน้าประตู “ซู ช่วยฉันยกกระเป๋าไปที่รถหน่อย”

   กระเป๋าถือของอังเดรไม่ได้ใหญ่โตหรือหนักมากมาย ทำให้ซูเล่ยรู้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรอยากจะพูดกับเขาแต่ไม่อยากให้เอเดรียนได้ยิน

   “บางทีฉันก็สงสัยว่าเสื้อปีนคอแบบนี้เธอมีกี่ตัวกันแน่” เจ้าของร่างสูงว่าด้วยเสียงเรียบนิ่งขณะเปิดประตูหลังให้ซูเล่ยเก็บกระเป๋าให้    แต่เมื่อยืนตัวขึ้นมา เจ้าของคำถามก็เอื้อมมือมาเปิดคอเสื้อมองดูร่องรอยที่ตนเองฝากเอาไว้โดยที่สายตาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ

   “อยากให้ผมเปิดโชว์มากกว่าหรือยังไง” ซูเล่ยปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วดึงเสื้อให้ปิดคอเหมือนเดิมก่อนเดินถอยออกมาให้อีกฝ่ายปิดประตูรถ

   “โกรธหรือ?” คำถามของอังเดรน่าโมโหนัก ผู้ฟังเม้มปากโดยไม่ได้ตอบเพราะเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าโกรธหรือไม่ หากจะให้พูดจริง ๆ คือ เขาไม่มั่นใจในตัวอังเดรเอาเสียเลยเพราะไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มันจึงเป็นความไม่พอใจในสถานะที่คลอนแคลนของตนเองเสียมากกว่าโกรธ กระนั้นอังเดรก็ไม่รอคำตอบนานนัก มือข้างหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าและจับปลายคางให้หันมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เจ้าตัวเพียงจ้องมองมาคล้ายกำลังพินิจพิจารณาแต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาไร้ก้นบึ้ง

   ชายหนุ่มร่างสูงปล่อยมือจากคู่สนทนาแล้วเปิดประตูรถฝั่งคนขับ

   “ถ้าคิดจะแอบหนีไปกลางคันก็รู้ไว้ด้วยว่าฉันก็กล้าไปตามตัวกลับมาเหมือนกัน” ว่าจบ อังเดรก็ปิดประตู สตาร์ทรถ ก่อนขับออกไป

   ซูเล่ยถอนหายใจออกมาแผ่วเบาพลางสัมผัสลำคอตนเอง ใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอังเดรอารมณ์เสียใส่เขาด้วยเรื่องอะไรกันแน่ เพราะแค่เขาไม่ยอมบอกความจริงว่าเป็นน้องชายของมารีนเท่านั้นเองหรือ? หรือจะเป็นเรื่องที่เขาจะหนีกลับบ้าน? ซูเล่ยนึกเหตุผลไม่ออกเลยว่าทำไมอังเดรจึงได้ใส่ใจและฉุนเฉียวกับเรื่องส่วนตัวของเขานัก ในเมื่ออีกไม่นานก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว

   อย่างไรก็ตาม...การกระทำเสมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของอังเดรก็ทำให้เขาหวั่นไหวเสียจนเริ่มลังเลที่จะจากไปเงียบ ๆ แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ความรัก และไม่ได้คาดหวังให้มันเป็น แต่เขาก็ยังรู้สึกพึงพอใจอยู่ลึก ๆ ที่ได้ครอบครองอังเดรเอาไว้เช่นกัน

   ความรู้สึกของยูล่าคงจะเป็นแบบนี้...รุนแรงและลึกล้ำเสียจนไม่อาจเมินเฉย หากปล่อยให้มันหยั่งรากลึกลงไปก็รังแต่จะถอนตัวไม่ขึ้น...

   “ซู แดดดี้ทำแซนด์วิชไว้ให้ด้วยนะ” เอเดรียนคงรออยู่นานว่าทำไมพี่เลี้ยงยังไม่กลับมา จึงถืออาหารมารอที่หน้าประตู ซูเล่ยเลิกคิ้ว มองแซนด์วิชที่ทำอย่างปราณีตก่อนยิ้มให้เด็กหญิงและรับแซนด์วิชมากินเมื่อท้องเริ่มประท้วงหาพลังงานประจำวัน

   “วันนี้แดดดี้ไปทำงานเลยหรือ?” เขานึกสงสัยเพราะอังเดรได้รับบาดเจ็บ ถึงจะไม่สาหัสมากแต่ก็น่าจะพักต่อสักวัน

   แต่เอเดรียนกลับส่ายศีรษะ

   “แดดดี้เจ็บที่เอวก็เลยไปหาคุณหมอ”

   “เจ็บเอว?”

   “อื้อ! เมื่อวานแดดดี้ลงมาทำแซนด์วิชให้เอเดรียน แล้วแดดดี้ก็บอกว่าเจ็บ ตรงนี้มีเลือดออกมาด้วย” เด็กหญิงอธิ บายพร้อมชี้สีข้างตนเอง ทำให้ซูเล่ยนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้อังเดรใช้แรงไปมาก คงจะกระทบบาดแผลเข้า แม้จะสรุปได้เช่นนั้นเขากลับสมน้ำหน้าอีกฝ่ายไม่ลง

   “แล้วแดดดี้ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?” ถึงภาพที่เห็นในวันนี้เหมือนว่าอังเดรจะยังแข็งแรงดี แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นอยู่แล้ว จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าอังเดรพยายามฝืนตัวเองให้เหมือนไม่เป็นอะไรมากหรือว่าไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ กันแน่

   “แดดดี้บอกว่าเจ็บนิดหน่อยจะไปให้คุณหมอทำแผลให้”

   เพราะอย่างนี้เองถึงได้ออกจากบ้านแต่เช้า...

   ทั้งที่เจ็บตัวอยู่ยังฝืนทำเรื่องบ้า ๆ แล้วยังหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นมาคืนถึงบนห้อง ทำแผลกลับมาคราวนี้คงต้องให้เอเดรียนช่วยเตือนเรื่องการออกแรงเกินกำลัง เพราะอังเดรอาจจะไม่อยากจะฟังเขาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าลูกสาวพูดก็เป็นอีกเรื่อง

   แต่ก่อนที่ซูเล่ยจะได้นัดแนะกับเอเดรียนเรื่องคำเตือน ก็มีเสียงออดดังขึ้น

   บางทีคงเป็นมอริสโดนพ่อใช้มาถามไถ่กระมัง

   ซูเล่ยคิดเช่นนั้นจึงเดินออกไปเปิดประตูโดยไม่ได้ตรวจดูให้แน่ชัด วินาทีที่ประตูเปิดออกจึงนึกได้ว่าตนเองเคยพลาดถูกทำร้ายที่หน้าประตูครั้งหนึ่ง แต่เพราะยูล่าถูกจับตัวแล้วจึงได้สบายใจจนสะเพร่า กระนั้น เมื่อประตูเปิดออกก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะเปลี่ยนใจ

   คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของบานประตูไม่ใช่มอริสอย่างที่คาดไว้ แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมหยักศกสีน้ำตาลทอง ใบหน้าหวานคมสะสวย และเครื่องแต่งกายเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่าสมตัว

   และ...เธอคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับซูเล่ย

   “ไม่ได้พบกันนานเชียว ดูเหมือนจะสุขสบายดีใช่ไหม ชูเลย์” หญิงสาวกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ไม่มีท่าทีประหม่าเคอะเขินแม้จะยืนอยู่หน้าบ้านคนอื่นที่เพิ่งจะเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกในชีวิต

   กลับเป็นตัวซูเล่ยที่วางสีหน้าไม่ถูกเมื่อพบอีกฝ่าย

   “ลอร์เรน...”

   “คุณแอชฟอร์ดอยู่ไหม?” คำถามของหญิงสาวทำให้ซูเล่ยนึกกังขาจุดประสงค์ของเธอ เพราะเมื่อเขาบอกพ่อว่าจะกลับ ทำไมลอร์เลนจึงปรากฏตัวขึ้นและขอพบอังเดรในวันต่อมา ความคิดของชายหนุ่มแล่นอย่างรวดเร็วก่อนจะได้ข้อสรุป

   “หรือว่าเธอ...”

   “เธอเป็นคนขอเลิกงานนี้เองนะชูเลย์ ทำให้เขาต้องรีบหาคนทั้งที่ตั้งใจจะคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ สุดท้ายฉันก็เป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุด” ลอร์เรนแย้มยิ้มแล้วเอียงคอน้อย ๆ “แล้วฉันเข้าไปได้ไหม? หรือว่าฉันควรจะกลับมาอีกทีตอนเย็น?”

   เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?

   ลอร์เรน...คือผู้หญิงที่คนคนนั้นต้องการจะให้เป็นภรรยาคนใหม่ของอังเดร

   ซูเล่ยต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยขยับถอยหลังเพื่อเปิดทางให้ลอร์เรนเข้ามาในบ้าน

--------------------------->

   อังเดรไปถึงโรงพยาบาลก็ถูกหมอเทศนาเอายกใหญ่เพราะแผลปริแตกจากการออกแรงมากเกินจำเป็นทั้งที่เตือนแล้วว่าให้หลีกเลี่ยง กระนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้ฟังเลยว่าหมอพร่ำบ่นอะไรบ้างระหว่างหันไปสั่งให้นางพยาบาลจัดของมาเย็บแผลให้ใหม่

   ในหัวของอังเดรตอนนี้กำลังนึกฉุนเฉียวหลายอย่าง ทั้งเรื่องซูเล่ย มารีน และบ้านเวสลอยด์ที่เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเขาจนเหมือนเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานแผ่นใหญ่

   เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้ว ในช่วงชีวิตของเขามีเวลาไหนบ้างที่เป็นจริง ไม่ใช่เพียงแผนการของใครบางคน บางที...มันอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสินะ...

   เสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะความคิด อังเดรชะงักเท้าที่กำลังเดินกลับไปที่รถเพื่อรับสายและพบว่าเป็นอาร์เลนนั่นเองที่โทรเข้ามา

   “พี่คิดจะบอกผมเรื่องนี้เมื่อไหร่!” เสียงของต้นสายเสียดแทงเข้ามาในหู หลายปีแล้วที่เขาไม่เคยได้ยินอาร์เลนแผดเสียงด้วยความโกรธถึงขนาดนี้ “ทั้งเรื่องยูล่าถูกจับแล้วพี่ก็บาดเจ็บ ผมเป็นน้องชายนะทำไมถึงไม่ยอมโทรมาบอกกันบ้าง ถ้าทางโรงเรียนที่พี่ไปสอนพิเศษไม่โทรมาถามผม ผมคงไม่มีทางได้รู้เลยใช่ไหม?” ตอนนั้นเองอังเดรจึงคิดได้ว่าตนเองไม่ได้ติดต่อไปบอกอีกฝ่ายเลย และอาร์เลนก็ไม่ค่อยนิยมอ่านหนังสือพิมพ์จึงไม่มีทางรู้ข่าวคราวด้วยตนเอง ไม่แปลกหากอาร์เลนจะโกรธขึ้นมาเพราะรู้เรื่องของคนใกล้ชิดจากปากคนนอก

   “พี่ขอโทษ พอดีว่า...มีอะไรหลาย ๆ อย่าง...” ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้ว่าตนเองผิดที่ละเลยการแจ้งข่าว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาลืมไปจริง ๆ เพราะกระทั่งในเวลานี้เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายูล่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้มารีนตายและยังเป็นคนว่าจ้างคนมาทำร้ายซูเล่ยและทำให้เอเดรียนโดนลูกหลงแม้ว่ายูล่าจะให้การสารภาพกับตำรวจแล้วก็ตาม ซ้ำวันต่อมาก็ยังได้รู้ความจริงบางส่วนเกี่ยวกับตัวตนของซูเล่ยที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นแค่คนโง่ ๆ คนหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เขาลืมเรื่องอื่นไปเสียสิ้น

   “เอาเถอะ...ผมเข้าใจว่าพี่ต้องคิดหลายอย่าง ตัวผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน” เสียงของอาร์เลนอ่อนลงมาก และถอนหายใจเมื่อพูดจบ “แล้วพี่จะทำยังไงต่อ...เรื่องยูล่า”

   “ก็คงต้องปล่อยให้กฎหมายจัดการ บอกตามตรงว่าพี่อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของเรื่องนี้” เพราะความรักที่มีต่อเขามากจนเกินไป และเขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างเหมาะสม สุดท้ายมันจึงได้ลงเอยในสภาพที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย “ส่วนเรื่องโรงเรียน...หลายคนก็คงรู้ข่าวจากหนังสือพิมพ์แล้ว นายก็จัดการไปตามที่เห็นสมควรแล้วกัน แล้วก็...คงต้องปิดป้ายรับสมัครผู้ช่วยคนใหม่ด้วย”

   “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวผมดูแลเอง แล้วพี่ค่อยกลับมาทำงานตอนที่หายดีแล้วก็แล้วกัน” อาร์เลนเห็นใจพี่ชายไม่น้อยที่ช่วงหลังนี้ต้องพบกับมรสุมชีวิตหลายอย่าง นับแต่ระหองระแหงกับภรรยาเป็นระยะจนกระทั่งมารีนเสียชีวิต ต้องเลี้ยงดูลูกตามลำพังพร้อมกับทำงาน พอมีพี่เลี้ยงมาช่วยก็กลายเป็นว่าเป็นคนของพ่อตาที่ไม่ถูกกัน ซ้ำยังมีคนร้ายบุกเข้าไปถึงในบ้าน สุดท้ายคนใกล้ชิดที่ไว้ใจก็กลายเ)นตัวการใหญ่ไปเสียอย่างนั้น หากเจ้าตัวเป็นอังเดรคงจะทำใจเป็นปกติสุขอยู่ไม่ได้แน่

   “จริงสิ โรงเรียนโทรมาว่าอะไรหรือ?”

   “อ้อ...ทางโรงเรียนถามว่ามีคนพอจะไปแทนได้หรือเปล่า ผมก็เลยบอกไปว่าผมจะไปแทนระยะหนึ่ง”

   ช่วงที่มารีนเสียชีวิต อังเดรก็ลาหยุดได้แค่ระยะสั้น ๆ แล้วต้องหอบหิ้วเอเดรียนไปทำงานด้วย แต่ตอนที่โดนคนร้ายเข้าบ้านและอังเดรต้องอยู่ดูแลลูก ยูล่าก็ทำหน้าที่แทน แต่ตอนนี้ยูล่าถูกจับและทางโรงเรียนก็มีแค่สองพี่น้อง อาร์เลนไม่ได้ทำงานรัดตัวเหมือนอังเดรจึงพอมีเวลาว่างมากกว่า

   “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็อยู่ที่โรงเรียนน่ะสิ?”

   “ครับ อีกเดี๋ยวก็จะเข้าเรียนแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปที่โรงเรียนลีลาศตอนหัวค่ำ เดี๋ยวค่อยคุยกันก็แล้วกัน” ว่าแล้วอังเดรก็ตัดสายไปก่อนจะขับรถกลับบ้าน ใจของเขาปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้พูดคุยกับน้องชาย แม้จะไม่ได้ระบายความอึดอัดใจให้ฟังแต่การที่มีคนพร้อมจะเข้าใจและให้เวลาก็ช่วยได้ไม่น้อย

   พอใจเย็นลงและได้คิดเงียบ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า ที่เขากระทำกับซูเล่ยออกจะไร้เหตุผลเกินไป ยังไม่ทันได้ถามได้ไถ่ก็ใส่อารมณ์ไปเสียก่อนเพราะความหงุดหงิดใจและโกรธขึ้งที่หาทางออกไม่ได้ ในเวลานั้นเขาคิดแต่เพียงว่าอยากจะผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้เพราะไม่อยากจะสูญเสียไป อยากจะครอบครองเป็นเจ้าของทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่ปั้นแต่งหรือตัวตนแท้จริง

   แต่ซูเล่ยกลับจะวิ่งหนีทั้งที่ทำเหมือนยินยอมตอบรับมาตลอด สุดท้ายเขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

   เมื่อขับรถกลับมาถึงบ้าน อังเดรคิดจะขอโทษซูเล่ยที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุด้วยแรงอารมณ์ ทว่าความคิดนั้นก็ถูกกลืนหายไปเพราะรองเท้าส้นสูงทรงเรียบ ๆ คู่หนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างชั้นวางรองเท้า บ้านหลังนี้นอกจากยูล่าก็ไม่มีแขกผู้หญิงคนอื่นอีก แล้วใครกันที่มาในเวลาแบบนี้?

   อังเดรถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาเห็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลทองนั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็ก โดยที่ซูเล่ยและเอเดรียนนั่งบนโซฟาตัวยาว บนโต๊ะมีขนมขบเคี้ยวและน้ำหวานสำหรับรับแขกวางอยู่สองแก้ว ส่วนอีกแก้วเป็นน้ำผลไม้ของเอเดรียน

   ทิศทางที่หญิงสาวนั่งอยู่สามารถเห็นเขาได้ในทันที เธอเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้ก่อนลุกขึ้นยืน พาให้ซูเล่ยลุกและหันมองตาม แต่เจ้าตัวไม่ได้ยิ้มต้อนรับเหมือนหญิงสาวผู้เป็นแขก แค่เพียงเบี่ยงสายตาหลบและยกมือขึ้นลูบคอตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

   “หิวหรือเปล่า? ผมจะไปเตรียมข้าวเที่ยงให้” ซูเล่ยหาหัวข้อเพื่อออกจากวงสนทนาแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายโมงแล้วก็ตาม

   “แค่อะไรง่าย ๆ ก็พอ” อังเดรพอมองออกว่าอีกฝ่ายจงใจหนีหน้า แต่ครั้นจะเดินตามไปคาดคั้นถึงในห้องครัวก็เกรงจะเสียมารยาทต่อแขกที่รออยู่ จึงเดินมาที่โซฟาและเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ...”

   “ลอร์เรนค่ะ ลอร์เรน เฟอร์เรสต์” หญิงสาวยิ้มอย่างสุภาพก่อนปัดปอยผมไปด้านหลัง “คุณคงจะเป็นคุณแอชฟอร์ด”

   เมื่อได้ยินนามสกุล อังเดรก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่ไม่ใช่คนตระกูลเวสลอยด์อีกคน แต่อาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็เป็นได้ กระนั้นเขาก็ยังยิ้มตอบและผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลง

   “ขอโทษนะครับที่ผมไม่อยู่ต้อนรับ พอดีว่าเกิดเรื่องนิดหน่อยผมก็เลย...”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ” ลอร์เรนโบกมือ “ฉันมาในวันนี้ก็กะทันหัน ที่จริงฝ่ายฉันก็ผิดที่ไม่ติดต่อมาก่อน ดังนั้นถือว่าต่างฝ่ายต่างแล้วกันไปดีกว่านะคะ” บุคลิกและวิธีการเจรจาของลอร์เรนไม่เหมือนทั้งมารีนและซูเล่ย ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยแต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจกับผู้ใกล้ชิด

   “พี่คนนี้บอกว่าจะมาเป็นครูสอนพิเศษให้เอเดรียน” เด็กหญิงเห็นว่าพ่อเอาแต่คุยไม่สนใจตนเองเลยหันมาพูดบ้างก่อนปีนขึ้นนั่งตักแล้วหยิบแก้วมาดื่ม

   “ครูสอนพิเศษหรือ? แต่ว่าตอนนี้ผมยัง...”
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-01-2014 15:53:21
“นี่เป็นความต้องการของคุณเวสลอยด์ค่ะ เขาเชื่อว่าหากเด็กได้รับความรู้เหมาะสมกับช่วงวัยจะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างดี แต่ว่าเขาก็ไม่ได้บังคับให้คุณตอบรับหรอกนะคะ แต่หากคุณไม่ขัดข้องเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินจ้างฉันแม้สักแดงเดียว” ลอร์เรนยื่นข้อเสนอแบบไม่ได้บังคับให้ต้องปฏิบัติตาม อังเดรจึงนิ่งคิดไปเล็กน้อย

   “บ้านของเราไม่มีที่ทางนัก ถ้าคุณมาค้างคงจะไม่ได้”

   “ฉันมีรถส่วนตัวค่ะ แล้วฉันก็มีที่พักไม่ไกลจากที่นี่นัก คิดว่าเรื่องการเดินทางคงไม่มีปัญหาอะไร”

   อังเดรลังเลอยู่ไม่น้อย เพราะเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายซึ่งนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ครอบครัวของเขาหลายอย่าง หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะดีหรือร้าย นอกจากนี้...อย่างไรลอร์เรนก็เป็นคนของลามอนต์ เวสลอยด์ เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นบริสุทธิ์ใจ เพราะเท่าที่จำได้ พ่อตาของเขาไม่เคยทำสิ่งใดโดยไม่หวังผลตอบแทน

   “ผมขอปรึกษากับซูดูก่อน” เขาว่าแล้วอุ้มเอเดรียนลงจากตัก “รอแดดดี้ตรงนี้ได้ไหม นั่งเป็นเพื่อนกับ...ลอร์เรนเขาหน่อยนะ”

   หลังจากเอเดรียนพยักหน้ารับอย่างดิบดีแล้ว อังเดรก็เดินเข้าครัว เห็นซูเล่ยกำลังจัดอาหารลงจานอย่างเนิบนาบราวกับจงใจให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้

   “เรื่องนี้เธอรู้เห็นด้วยหรือเปล่า?” ตอนที่ส่งเสียงถาม ซูเล่ยก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมองแล้วโคลงศีรษะ

   “ไม่นี่ครับ แต่ถ้าให้เดาแบบพ่อตาของคุณก็คงบอกได้แค่ว่า เธออาจจะเป็นว่าที่ภรรยาใหม่ของคุณก็ได้” ว่าไป ซูเล่ยก็จัดของลงจานเสร็จพอดีจึงหมุนตัวนำจานไปวางที่โต๊ะแล้วหยิบแก้วน้ำมาวางประกบคู่ จากนั้นจึงผายมือเสมือนเชื้อเชิญให้เจ้าของบ้านรับประทานอาหารได้ แต่อังเดรยังคงยืนนิ่งเจ้าตัวจึงว่าต่อ “ลอร์เรนไม่เหมือนมารีนหรอก เธอเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยและมีเหตุผลแถมยังใจเย็น แล้วก็ไม่เจ้าเล่ห์หวังผลแบบพ่อของมารีนด้วย” ถึงแม้จะยอมรับว่าตนเองคือลูกของลามอนต์เหมือนกับมารีนแล้ว แต่สุดท้ายซูเล่ยก็ยังทำใจเรียกอีกฝ่ายว่าพ่ออย่างเต็มปากเต็มคำต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ กระนั้น นั่นก็ไม่ใช่จุดที่อังเดรสนใจ
   “ฟังดูสมบูรณ์แบบดี อย่างกับโฆษณาชวนเชื่อ”

   “ก็ผมพูดถึงแต่ข้อดี ข้อเสียเอาไว้คุณไปค้นหาเองทีหลังก็ได้ เพราะยังไงเขาก็ตั้งใจจะให้คุณกับลอร์เรนทำความรู้จักกันไปก่อน พอแน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างรับกันได้ก็ค่อยแต่งงาน” ซูเล่ยพูดราวกับเป็นเรื่องไกลตัวและตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย

   “แล้วถ้าไม่ล่ะ?” ผู้ฟังได้ยินคำถามก็มุ่นคิ้ว อังเดรจึงขยายความต่อ “มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าฉันจะชอบพอกับลอร์เรน ระหว่างนั้นฉันอาจจะไปถูกตาต้องใจคนอื่นก็ได้จริงไหม?” ท้ายประโยค ชายหนุ่มจงใจจ้องมองไปดวงตายังคู่สนทนา ซูเล่ยจึงหลุบตาลงและทำเป็นก้มจัดช้อนส้อม

   “ที่จริงการที่คุณกับมารีนแต่งงานอยู่กินกันได้นานขนาดนี้ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีอยู่แล้ว” เขาพูดราวกับว่าทุกสิ่งถูกกำหนดไว้และไม่มีทางขัดขืนได้ ซึ่งในใจซูเล่ยก็เชื่อเช่นนั้นเจ้าตัวจึงไม่เคยกังขาเลยว่าสิ่งที่ลามอนต์ เวสลอยด์ต้องการจะไม่เป็นความจริง

   “เพราะอย่างนั้นเธอจึงมั่นใจว่าครั้งนี้จะเหมือนเดิม?”

   “ดูแล้วพวกคุณน่าจะเข้ากันได้ดี ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่ครับ” ซูเล่ยพูดไปก็เห็นว่าอังเดรเดินอ้อมมาข้างหลังตนแต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าประชิดตัวโดยทำเป็นไม่ใส่ใจ

   “ฉันว่าอาจจะมีปัญหาเพราะฉันคงไม่รับลอร์เรนเข้ามาทำงานแทนเธอด้วยความไม่สะดวกในหลาย ๆ อย่าง” ว่าแล้วอังเดรก็เลื่อนมือสัมผัสบริเวณเอวของอีกฝ่ายเพื่อบอกเป็นนัยว่าสิ่งใดที่ไม่สะดวกทำให้ซูเล่ยเข้าใจได้ในทันทีและได้แต่แค่นยิ้มแทนที่จะขยับถอย

   “ถ้าคุณต้องการแค่คู่นอนฆ่าเวลา จะไปหาที่ไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

   ซูเล่ยคงไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนเองทำให้อังเดรรู้สึกอย่างไร เพราะตอนนี้อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังทำให้มองไม่เห็นอารมณ์บนใบหน้าหรือการแสดงออกด้วยท่าทาง กระนั้นเจ้าตัวก็รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีเพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่คอยทิ่มแทงอยู่ทุกเวลาโดย เฉพาะอย่างยิ่ง หลังกลับจากโรงพยาบาลและรู้ความจริงเข้า คล้ายกับว่าอังเดรพยายามจะใช้สายตาของตนเองลอกเปลือกของเขาให้เหลือแต่ร่างเปลือยเปล่าไร้สิ่งปิดบัง แต่การเปิดเผยตัวเองโดยไม่มีสิ่งใดปกปิดคือสิ่งที่ซูเล่ยหวั่นเกรงมากที่สุด

   แขนสองข้างเท้าคร่อมโดยมีเขาอยู่ตรงกลางและแผ่นอกกว้างทาบบนแผ่นหลัง ปลายจมูกของอังเดรคลอเคลียแนบใบหูทำให้รู้สึกถึงลมอุ่นที่ข้างแก้ม

   “เธอเป็นคนเสนอตัวเอง ฉันไม่มีทางยอมให้เลิกกลางคันหรอกซู” พร้อมกับที่ว่าเช่นนั้น ฟันคมก็ขบที่ใบหู แม้จะไม่ได้เจ็บแต่ก็รู้สึกคล้ายมีกระแสไฟฟ้าเบา ๆ แล่นผ่านจนสะดุ้งถึงปลายนิ้ว “แต่ว่า ถ้าเธอกลัวพ่อจะโวยวายเอาทีหลังฉันจะรับลอร์เรนไว้ก็ได้ แต่ฉันมีข้อแม้”

   “เรื่องนั้นคุณควรไปเรียกร้องเอากับลอร์เรนหรือพ่อตาของคุณเองไม่ดีกว่าหรือ?” ซูเล่ยมุ่นคิ้วและเอียงหน้ามองอีกฝ่ายจึงได้เห็นรอยยิ้มจากหางตา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายยิ้มด้วยอารมณ์แบบนั้น

   “ดูเหมือนคนที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่สุดคือตัวเธอเอง ดังนั้นก็ต้องเป็นคนจ่ายค่าตอบแทนด้วยสิ” เหตุผลของอังเดรแม้จะดูสมเหตุสมผล แต่ในความเป็นจริงมันก็คือการยัดเยียดทุกอย่างให้ซูเล่ยรับผิดชอบเพราะไม่อยากไปตามเก็บกับคนอื่น และแน่นอนว่าซูเล่ยไม่มีสิทธิปฏิเสธ

   “...ถ้าผมให้ได้” เขาจำเป็นต้องป้องกันตัวด้วยคำนี้ เพราะไม่อาจมั่นใจได้ว่าอังเดรจะขอสิ่งที่เขาให้ได้หรือเปล่า แม้ว่า พอคิดดี ๆ แล้ว คำขอของอังเดรไม่น่าจะแปลกพิสดารมากนักก็ตาม

   เมื่อได้ยินคำตอบรับแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เจ้าของร่างสูงก็ถอยออกเล็กน้อยแล้วดึงให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้า ทำให้ซูเล่ยได้เห็นรอยยิ้มประชดประชันและแววตาแสดงการหยั่งเชิงของคู่สนทนา

   “ข้อแม้คือ เธอห้ามลาออกจนกว่าฉันจะอนุญาต”

   “แต่...”

   “ถ้าปฏิเสธก็จูงมือลอร์เรนออกไปได้เลย แต่ฉันไม่รับประกันหรอกนะว่าจะไม่มีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งไปถึงพ่อของเธอด้วย”

   ซูเล่ยเบิกตากว้างมองอังเดรอย่างตกตะลึง แน่นอนว่าคืนนั้นเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตนเองถูกอัดเสียงหรือถ่ายภาพอะไรเอาไว้บ้าง ซึ่งอาจจะมีหลักฐานน่าอายมากมายว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีของพี่สาวตัวเองและลามอนต์คงไม่พอใจกับมันนัก

   และทั้งที่อาจจะต้องแต่งงานใหม่ในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังเลือกที่จะเก็บคนอย่างเขาเอาไว้ใกล้ตัว ผู้ชายคนนี้คิดว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่...

   “ตกลงหรือไม่ตกลง?” เมื่อเห็นเงียบไปนาน อังเดรก็กระตุ้นเอาคำตอบ ซูเล่ยจึงเม้มปากและคิดสรตะ แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะเลือกข้อไหน เพราะนานมาแล้วที่ซูเล่ยไม่เคยคิดจะขัดขืนพ่อตัวเองอย่างจริงจังเลยสักครั้งเดียวแม้มันจะทำให้ต้องมาเผชิญกับตัวเลือกที่ฆ่าตัวตายอย่างในครั้งนี้ก็ตาม

   “ตกลงครับ”

   ทั้งที่ตอบไปแล้ว แต่อังเดรก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ เจ้าของร่างเล็กจึงเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาฉงนสงสัยว่าต้องการอะไรอีก

   “อีกข้อ แต่ข้อนี้แค่สั้น ๆ แค่ทำแล้วก็จบ” อังเดรพูดเร็ว ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากค้าน แต่เมื่ออังเดรเฉลยความต้องการกลับทำให้คำค้านเมื่อครู่มลายหายไปจากสมองทันใด “จูบฉัน”

   จูบหรือ?

   ทั้งที่เคยมีอะไรกันแล้วแต่คำขอนี้กลับทำให้ซูเล่ยรู้สึกประดักประเดิด เพราะเมื่อคิดย้อนดู พวกเขาไม่ได้จูบกันเลยสักครั้งระหว่างที่กกกอด ราวกับว่าเป็นเพียงกิจกรรมที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ครั้งเดียวที่พวกเขาจูบกันก็คือตอนที่อยู่หน้าต้นคริสต์มาสสองต่อสอง เพื่อให้ อังเดรยืนยันว่าตนเองพอใจความสัมพันธ์กับเพศชายหรือไม่ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย...

   “คุณนึกอยากจะทดลองรสนิยมตัวเองอีกครั้งหรือ?” ผู้พูดหรี่ตาลงคล้ายกำลังมองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณาซึ่งสิ่งที่ซูเล่ยอยากรู้ในตอนนี้คือความคิดของอังเดร

   “ก็แค่ข้อแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเธอไม่ทำฉันก็จะทำเอง”

   ‘ก็แค่’ เป็นคำที่บ่งบอกถึงความสำคัญที่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ซูเล่ยอดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาก็คงมีค่าเพียงพอกับคำว่า ‘ก็แค่’ เท่านั้นเอง

   “เข้าใจแล้วครับ” เขายอมตอบรับในที่สุดเพราะไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องอิดออดเล่นตัว ในเมื่ออย่างไรอังเดรก็มองว่าเขาเป็นคนแบบนั้นไปเสียแล้ว

   ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายและเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ความสูงไม่ต่างกันมากนัก เขารู้สึกถึงสายตาที่มองลงมาอย่างรอคอย แต่ซูเล่ยไม่เคยเป็นคนเริ่มต้นการจูบจึงไม่แน่ใจว่าควรรวบรัดตัดความเลยหรือไม่ในสถานการณ์ที่ไม่มีความโรแมนติกแบบนี้

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซูเล่ยช้าเกินไปหรือเปล่า ที่สุดอังเดรก็เป็นคนดึงอีกฝ่ายเข้าไปหาและประกบจูบอย่างรวดเร็วไม่มีการอารัมภบทใด ๆ ให้เสียเวลา ถึงอย่างนั้นกับเป็นรสจูบที่อ่อนโยนเกินกว่าที่คาดหมาย ปลายลิ้นละเลียดชิมดื่มด่ำความหอมหวานพร้อมทั้งกอดกระชับคนในอ้อมแขน แม้ในตอนแรกซูเล่ยจะขัดขืนอยู่บ้างเพราะตกใจแต่เพียงไม่นานก็ปรับเปลี่ยนเป็นการคล้อยตาม

   ทว่า...เพียงไม่กี่นาทีต่อมา อังเดรก็ถอนริมฝีปากและกดลงรุนแรงกว่าเดิม ทั้งยังขบเม้มจนซูเล่ยเริ่มรู้สึกเจ็บแต่กลับถอยหนีไม่ได้เพราะมือข้างหนึ่งกดศีรษะให้ประกบจูบแนบแน่น รสจูบครั้งนี้ราวกับจงใจจะกระชากลมหายใจทั้งหมดไปด้วย อีกทั้งสัมผัสเล้าโลมก็รุกล้ำเข้าใต้เสื้อ แผ่ความอุ่นบนไปเนื้อขาวซีดพร้อมทั้งเลื่อนไล้สำรวจอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ การขัดขืนทุกอย่างล้วนไร้ผลเมื่อเรี่ยวแรงของผู้ต่อต้านหดหายประหนึ่งถูกดูดกลืนไปพร้อมกับลมหายใจที่แทบจะไม่ได้เป็นของตนเองอีกต่อไป

   และจนกระทั่งผู้ควบคุมเกมพึงพอใจแล้วจึงผละออก

   ซูเล่ยสูดหายใจเฮือกแรกลึกจนถึงปอดเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองได้รับออกซิเจนกลับมาเพียงพอกับที่เสียไป ใบหน้าของเขาตอนนี้คงตลกไม่น้อยเพราะแววตาของอังเดรมีร่องรอยของความขบขันปะปนอยู่ จึงเผลอยกแขนขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้พร้อมกับปลายนิ้วอุ่นที่เกลี่ยบนริมฝีปากแดงช้ำอย่างย่ามใจ
   “ลอร์เรนกับคุณเวสลอยด์คงดีใจถ้ารู้ว่าเธอยอมทำได้ถึงขนาดนี้”

   ถ้อยคำของอังเดรภายหลังบทจูบดูดดื่มกลับคมกริบประดุจปลายมีดที่ปักลงกลางอก

   “เอาล่ะ ไปแจ้งผลกับลอร์เรนก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันค่อยกลับมากินข้าวเที่ยง” ว่าแล้ว ชายหนุ่มต้นเรื่องก็เดินออกไป ทิ้งให้ซูเล่ยลิ้มรสปลายมีดแหลมคมซึ่งเมื่อแรกมันจะชาวาบแต่ในนาทีต่อมาความเจ็บก็แผ่ซ่านไปทั่วจนแทบขยับไม่ได้

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเริ่มทำงานพรุ่งนี้นะคะ” เสียงสดใสของลอร์เรนแว่วผ่านประตูเข้ามา

   “พรุ่งนี้ผมคงจะอยู่ช่วงกลางวันแต่ตอนเย็นผมต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นถ้าถึงเวลาแล้วคุณจะกลับไปก่อนไม่ต้องรอผมก็ได้” เสียงของอังเดรตามเข้ามาหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เป็นสุ้มเสียงที่อ่อนโยนและเป็นมิตร ไม่มีท่าทีรู้สึกต่อต้านการปรากฏตัวของผู้มาเยือนหน้าใหม่แม้แต่น้อย

   ที่จริง...เขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าตนเองเริ่มจะหักใจจากอังเดรได้ยากขึ้นทุกที จึงตั้งใจจะเดินจากไปอย่างรวดเร็วเท่าที่ทำได้ แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ทั้งด้วยกำลังและคำสัญญา

   มันจะต้องกลายเป็นประสบการณ์ที่เขาต้องเฝ้ามองอีกฝ่ายจับมือเดินเคียงคู่ไปกับคนอื่นอีกครั้งจริง ๆ น่ะหรือ?

   แล้วครั้งนี้เขาจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเหมือนเมื่อห้าปีก่อนได้หรือเปล่า...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-01-2014 16:42:22
พระเอกใจร้ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สงสารซูเล่ยสุด ๆ ส่วนตัวร้ายสุดห่วยของปีนี้ยกให้พ่อมารีนแล้วกัน แย่มากกก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 08-01-2014 17:25:05
เจ็บ!
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 08-01-2014 17:30:20
กร๊าซซซซ :fire:   อังเดรจะร้ายเกินไปหน่อยแล้วนะ  มาทำร้ายจิตใจซูเล่ยได้ไง  สงสารซูเล่ยอ่ะ  นี่ถ้าพระเอกร้ายกว่านี้จะเกลียดพระเอกเท่ากับอีตาเวสลอยแล้วนะ :angry2: 
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-01-2014 17:50:06
โถ่ซู ก็อย่าอมพะนำนักสิคะะ

บอกไปเลยค่ะว่ารัก  :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 08-01-2014 18:37:31
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 08-01-2014 18:52:43
ซู..... อีกแล้ว :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 08-01-2014 19:17:15
สงสารซู
ถ้าจะด่านี่คงต้องด่าอิตาเวสลอยสินะ ร้ายกาจมาก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-01-2014 20:02:37
โอยยยยย
ซู น่าสงสารจัง
ถ้าต้องเห็นคนที่ตัวเองรักแต่งงานไปกับคนอื่นอีกรอบจริงๆ
คงเจ็บอีกมากแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 08-01-2014 20:05:13
อังเดร เหมือนจะดีนะ

เหมือนๆอ้ะ ดีกับลูกสาวคนเดียว ที่เหลือเลวหมด น่ารักจุงพ่อคุณ

 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-01-2014 20:09:52
เห้อออออออออออออ อังเดร
จริงๆ เหมาะกับยูล่านะ นิสัยเสียแบบเนี้ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-01-2014 20:24:29
สงสารซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 08-01-2014 20:46:27
ทำเหมือนรักแต่ก็ไม่ หรือรัก? เดาใจอังเดรไม่ถูกเหมือนกัน
ถ้าซูยอมนะ ซูจะเป็นนางเอกยิ่งกว่าละครไทยอ่ะ Y_Y

เบื่อไอ้คุณเวสลอยแม่งยุ่งไรหนักหนา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 08-01-2014 20:57:45
มาต่อแล้ว เมื่อไรจะเลิก เศร้า ซะที่ สงสารซูอะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 08-01-2014 23:03:22
ทำตัวเองนะซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 08-01-2014 23:05:14
เจ็บซ้ำๆ สงสารซู
อิตาแก่นั่นเมื่อไรจะปล่อยวาง อายุก็มากแล้วน่าจะคิดดีทำดีบ้าง


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 08-01-2014 23:11:12
ซุเอ้ยยยยย รักก็บอกไปสิ
อังเดรเค้าเป็นคนปากหนัก ไม่รู้ใจตัวเอง
เหตุการณ์จะต้องมาม่าแน่ๆ
แอบฟินฉากในห้องครัวเบาๆ
จูบแบบดูดดื่มมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 09-01-2014 00:35:46
 :ling1: ซู ซู ซู และก็ซูอีกแล้ว ทำไมเหมือนเคราะห์กรรมถึงได้ตกอยู่ที่ซูคนเดียว
มีพ่อแบบนี้สู้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า นี่เขารักลูกบ้างหรือเปล่าเนี่ย!!!
อ่านแล้วก็ของขึ้นเลย ฮ่าๆๆๆ อินจริงๆ สงสารซูจริงๆ
คุณพระเอกก็ปากแข็งไม่หยอกเลยนะคะ
ดูก็รู้ว่ามีใจให้เขาแล้วทำไมจะรั้งเค้าไว้ด้วยคำพูดหวานๆไม่ได้นะ
แบบนี้น่าจะให้เป็นหนักซะยิ่งกว่าแผลปริเลยนะ ตีๆๆๆๆ
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนคนเก่งนะคะ หวังว่าท้ายสุดซูจะได้เอาคืนทุกคนอย่างสาสม  :o12:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 09-01-2014 10:57:15
อยากยื้อไว้แต่ไม่แน่ใจว่าซูรู้มีใจให้ตัวเองไหม เลยหาข้ออ้างเพราะคิดว่ายังไงซูก็ต้องทำตามคำสั่งของพ่อหรือเปล่า..
สงสารซูนะ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่ได้เป็นที่รัก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 09-01-2014 17:23:59
สงสารซูเล่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 17 [08/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 09-01-2014 22:33:44
อังเดรเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ จอมบงการ(ชีวิตของชู)
ชูก็ต้องทำใจและยอมรับล่ะนะ ก็ในเมื่อตัดเค้าไม่ขาดนี่นา
ก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้แหละ จนกว่าคุณพ่อโรคจิตของชูจะยอมรามือสักที
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 12-01-2014 16:04:04
-18-


   ลอร์เรนมาถึงบ้านในตอนเช้าพร้อมกับถุงกระดาษใบใหญ่สองใบซึ่งใส่กล่องสีสันสดใสเอาไว้หลายใบ ซูเล่ยเป็นคนออกไปเปิดรับขณะที่อังเดรกำลังกินอาหารเช้าอยู่ในครัวพร้อมกับเอเดรียน ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างมีความหมายก่อนหลุบตาลงมองถุงในมือของเธอ

   “อะไรน่ะ?”

   “เป็นความลับ ฉันเอามาให้เอเดรียนน่ะ คิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอ” ลอร์เรนยิ้มบางพลางตอบด้วยเสียงหวานใสตามแบบฉบับ

   “มาสิ ฉันช่วยถือ” ซูเล่ยยื่นมือไปรับถุงหนึ่งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มจะมีปัญหากับของพะรุงพะรังเพราะต้องคอยยกแขนไม่ให้กระเป๋าสะพายร่วงหล่นลงมาด้วย เมื่อสามารถสละถุงไปได้ใบหนึ่งแล้ว ลอร์เรนก็ใช้มือที่ว่างขยับสายสะพายที่ร่วงมาถึงข้อศอกให้กลับขึ้นไปบนบ่าเหมือนเดิม “ฉันไม่แน่ใจว่าเธอกินอะไรมาหรือยัง เลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้แต่ถ้าจะกินเดี๋ยวฉันทำแบบง่าย ๆ ให้แล้วกัน”

   “ไม่เป็นไร ฉันคิดแล้วว่าเธอต้องไม่ได้เตรียมให้ฉันเพราะฉันเองก็ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า” ลอร์เรนหัวเราะคิก “อีกอย่าง คุณเวสลอยด์ก็ไม่อยากให้ฉันรบกวนคุณแอชฟอร์ดมากเกินไปด้วย”

   “แต่ยังไงข้าวเที่ยงเธอก็ต้องกินที่นี่อยู่ดีนี่” ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “อาจจะแถมมื้อเย็นด้วย”

   “ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกัน” ว่าแล้วลอร์เรนก็วางถุงในมือลงข้างโซฟาก่อนจะหันมาทางซูเล่ยและจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา

   “มีอะไรหรือ?”

   “เปล่าหรอก ก็แค่...คิดถึงเธอสมัยก่อนที่ชอบซอยผมให้ยาวหน่อย แต่จู่ ๆ ก็ตัดสั้นเหมือนอยากเปลี่ยนอิมเมจตัวเอง” เธอว่าพลางจับปลายผมอีกฝ่ายที่เริ่มยาวและทิ้งปลายหรอมแหรมเพราะไม่ได้ตัดแต่งให้เข้าทรง “เดี๋ยวฉันเล็มให้ดีไหม แต่ตอนนี้ขอไปทักทายคุณแอชฟอร์ดกับเอเดรียนก่อนก็แล้วกันนะ” ลอร์เรนจัดทรงผมซูเล่ยอย่างลวก ๆ ด้วยปลายนิ้วคล่องแคล่วก่อนจะเดินเร็ว ๆ ไปในครัวเพื่อทักทายเจ้าบ้าน

   ซูเล่ยมองตามแผ่นหลังหญิงสาวและจับปลายผมตนเองที่ใกล้จะถึงบ่าเข้าไปทุกที ช่วงนี้เขามักจะรำคาญต้นคออยู่บ่อย ๆ เพราะไม่ได้ไว้ยาวมาหลายปี แต่ครั้นจะไปตัดก็ต้องมีวิบากกรรมทำให้ไปร้านตัดผมไม่ได้ สุดท้ายก็เลยไม่ได้ตัดจนถึงตอนนี้ที่จริง...เขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าตนเองเริ่มจะหักใจจากอังเดรได้ยากขึ้นทุกที จึงตั้งใจจะเดินจากไปอย่างรวดเร็วเท่าที่ทำได้ แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ทั้งด้วยกำลังและคำสัญญา


   “ของให้เอเดรียน!” เสียงเล็กของเด็กหญิงดังจากในครัวตามด้วยร่างน้อย ๆ ที่ถลันพรวดเข้ามาในห้องนั่งเล่นโดยมีเป้าหมายเป็นถุงกระดาษใบใหญ่ทั้งสองใบ เธอนั่งลงและคว้าเอากล่องสีชมพูข้างในออกมาวางบนพื้น “ซู แกะกัน ลอร์เรนเอามาให้” กระนั้นเอเดรียนก็ยังไม่ได้ถูกของขวัญดึงดูดความสนใจไปจนลืมพี่เลี้ยง เธอหันมาชวนให้ซูเล่ยแกะกล่องด้วยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

   “อย่าใจร้อนสิเอเดรียน เดี๋ยวเผลอทำพังหรอก” อังเดินเดินตามออกมาพร้อมลอร์เรน “คุณหอบของมาให้เยอะขนาดนี้จะดีหรือครับ?”

   “ของพวกนี้เป็นของเล่นสำหรับส่งเสริมพัฒนาการตามวัย ถือว่าเป็นของที่มีประโยชน์ คุณเวสลอยด์คงจะไม่ขัดข้องอะไรหรอกค่ะ” ลอร์เรนตอบแล้วลงไปนั่งกับเอเดรียนที่กำลังสาละวนกับกล่องกระดาษใส่ของเล่นขนาดเท่าอ้อมแขนเด็ก “หนูชอบกล่องนี้หรือ ลองเปิดดูเลยสิ”

   เมื่อได้รับคำอนุญาต เด็กหญิงก็แงะกล่องอย่างขะมักเขม้นทันที ของเล่นทำจากพลาสติกรูปทรงต่าง ๆ อัดอยู่ในกล่องโดยเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเมื่อเอเดรียนเทออกมาก็พบว่าพวกมันมีสีสันละลานตาและรูปทรงหลากหลายซึ่งสามารถประกอบเข้าด้วยกันได้หลายแบบ ซึ่งเหมาะสมจะให้เด็ก ๆ เรียนรู้เกี่ยวกับสี รูปทรง และการคิดสร้างสรรค์ วิธีเลือกของของลอร์เรนช่างสมกับเป็นผู้หญิงจริง ๆ ทำให้ซูเล่ยคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย

   ความละเอียดอ่อนยังไงผู้ชายก็สู้ผู้หญิงไม่ได้สินะ? และต้องเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจที่พร้อมจะเลี้ยงดูเด็กซึ่งไม่ใช่ลูกของตนเองด้วย

   เพราะแบบนั้นเองหรือ ลามอนต์จึงย้ำหนักหนาว่าจะเป็นผู้เลือกภรรยาใหม่ให้อังเดรด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปเจอใครคนไหนก็ได้

   คิดถึงทั้งมารีน และเอเดรียน ผู้ชายคนนั้นช่างดีกับลูกและหลานเหลือเกิน...

   ซูเล่ยอดที่จะรู้สึกขมขื่นไม่ได้

---------------------->

   “ไง วันนี้ไปได้ดีไหม?” อังเดรเอ่ยถามอาร์เลนเมื่อมาถึง สายตาหลายคู่จับจ้องมายังเขาขณะสนทนา ซึ่งล้วนแต่แสดงถึงความเป็นห่วง ความอยากรู้อยากเห็น และความสงสาร

   “ครับ ดูเหมือนพวกนักเรียนจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวเท่าไหร่ ผมก็เลยบอกปัด ๆ ไปแค่ว่าเกิดเรื่องนิดหน่อย แต่พวกที่มาเรียนลีลาศที่นี่ส่วนใหญ่จะรู้ข่าวจากสื่อต่าง ๆ และการบอกเล่าต่อกันมา พวกเขาก็เลยค่อนข้างจะเป็นห่วงพี่พอสมควร หลังจากนี้ไปทักทายให้พวกเขาหน่อยก็ดีนะครับ” อาร์เลนกล่าวขณะจูงพี่ชายเข้าไปในห้องด้านหลังซึ่งจะสามารถพูดคุยเป็นส่วนตัวได้มากขึ้น “ว่าแต่...พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ทั้งเรื่องยูล่า แล้วยังเรื่องพี่เลี้ยงคนนั้นอีก ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

   ชายหนุ่มร่างสูงส่ายศีรษะ

   “พี่เองก็ไม่ค่อยเข้าใจ เอาเข้าจริงถึงจะอยู่ในเหตุการณ์แต่พี่ก็ยังสับสน”

   ฝ่ายน้องบีบบ่าพี่ชายอย่างเห็นอกเห็นใจ

   “ถ้าผมเป็นพี่ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน คนที่อยู่ใกล้กันมานานถึงขนาดนี้แต่กลับไม่รู้จักตัวตนเลย ตัวผมเองก็น่าจะสังเกตเห็นบ้างแต่กลับไม่ได้นึกใส่ใจจนกระทั่งเกิดเรื่อง”

   อังเดรมองตอบน้องชายตนเองก่อนจะยิ้มรับคำปลอบใจ กระนั้นความคิดของเขากลับไพล่ไปหาเรื่องอื่นเมื่อพูดถึงคนใกล้ชิดแต่ไม่รู้จักตัวตน

   นอกจากยูล่าแล้ว น่าแปลกว่าเขายังมีคนแบบนั้นอยู่รอบกายมากมายจนนึกไม่ถึง

   ทั้งลามอนต์ เวสลอยด์ พ่อตาซึ่งเขาไม่เคยคิดจะสนิทสนมด้วย และมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยากจะหยั่งถึง

   มารีน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาจนมีลูกสาวเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่เขากลับเพิ่งรู้ว่าเธอมีใบหน้าอีกแบบสำหรับคนอื่น ๆ ที่ไม่พึงใจ

   ซูเล่ย...คนที่เขาพยายามค้นหาตัวตนจนเข้าใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ ทว่าความจริงแล้วกลับอยู่ห่างไกลอย่างคาดไม่ถึง

   ซ้ำเวลานี้ ยังมีลอร์เรนเข้ามาอีกคน แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้หญิงที่ไม่มีพิษภัย แต่จากประสบการณ์ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะระแวงเอาไว้ก่อน

   บางครั้ง...ชีวิตคนเราก็น่าแปลก ทั้งที่เห็นหน้ากันอยู่กลับไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหน คิดอะไร หากว่ามีเครือข่ายเหมือนอย่างลามอนต์ มันคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่จะสืบล้วงความลับเบื้องหลังของใครสักคน แต่เขาเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวัน ๆ จึงมีโอกาสที่จะได้มองเห็นภาพของผู้คนเพียงด้านเดียวนั่นคือด้านที่คนเหล่านั้นอยากให้เห็น

   เขาจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง...ก็ต่อเมื่อถึงจุดแตกหักเท่านั้นเองหรือ?

   “แล้วตอนนี้ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง? เอเดรียนล่ะครับ?” อาร์เลนรู้สึกเป็นห่วงหลานสาวไม่น้อยไปกว่าพี่ชาย เพราะแม้จะยังเด็กแต่กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์มากมายถึงขนาดที่ว่าผู้ใหญ่บางคนยังคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะสามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้มากแค่ไหน และจะมีผลกระทบต่ออนาคตมากเพียงไร

   “คิดว่าเอเดรียนคงจะไม่เป็นไร ถึงตอนแรกจะร้องไห้ที่ฉันบาดเจ็บแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกและไม่ได้ถามถึงเรื่องยูล่า คงเพราะไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้วการที่เธอหายไปเฉย ๆ จึงไม่น่าแปลกใจอะไร แล้วตอนนี้ดูเหมือนจะได้คนที่ถูกใจเพิ่มขึ้นอีกคน”

   “คนที่ถูกใจ?”

   “เป็น...ครูพิเศษ จะว่าแบบนั้นก็คงได้” อังเดรกลอกตาขณะคิดถึงลอร์เรน “เห็นว่าเป็นคนที่คุณเวสลอยด์ส่งมาเพื่อช่วยดูแลเอเดรียนและสอนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมเข้าสู่ชีวิตวัยเรียนในอนาคต วันนี้ก็หอบของเล่นเด็กมาให้เสียเยอะ”

   “จะดีหรือครับ?” อาร์เลนเป็นอีกคนหนึ่งที่มีปฏิกิยาง่ายดายกับสกุลเก่าของพี่สะใภ้ แม้เขาจะไม่เคยพูดคุยกับลามอนต์โดยตรง แต่จากสิ่งที่คนคนนั้นทำกับพี่ชายก็ทำให้มีอคติตามไปด้วย

   “สำหรับเอเดรียนแล้วคงจะดี แต่...”

   “แต่?”

   “ช่างเถอะ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องในครอบครัวทางนั้น” ชายหนุ่มผู้พี่โบกมือ ในสมองของเขาเมื่อครู่นี้กำลังคิดถึงเสียงสนทนาระหว่างซูเล่ยและลอร์เรน ซึ่งดูจะสนิทสนมกันมากเกินคำว่าคนรู้จัก ท่าทางที่ทั้งสองมีต่อกันคาดเดาได้ทันทีว่าต้องเคยใกล้ชิดกันมานานพอสมควร และจะใกล้ชิดในฐานะไหนก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ไม่น้อย วูบหนึ่งที่เขาอดคิดไม่ได้ว่าบางที...ทั้งสองอาจจะเคยคบหากัน...

   กระนั้นมันอาจจะเป็นแค่การคิดมากเกินไป อังเดรจึงพยายามที่จะไม่ใส่ใจในประเด็นนี้และปล่อยให้อาร์เลนนึกสงสัยต่อไปว่าพี่ชายของตนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

-------------------------->

   โลหะสีเงินสะท้อนแสงวาววับแกว่งไกวไปมาในอากาศตามแรงส่งของข้อมือบอบบางขณะที่เจ้าของกำลังตีสีหน้าครุ่นคิดพลางมองเรือนผมสีดำสนิทเป็นมันเงาอย่างพินิจพิจารณา ข้างตัวมีเด็กหญิงตัวน้อยกำลังมองด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

   “คิดอะไรมากล่ะ แค่ซอยให้เข้าทรงก็พอแล้ว” ซูเล่ยมุ่นคิ้วหลังจากถูกจับผมจัดทรงมาหลายนาทีแต่ช่างทำผมอาสาก็ยังไม่ยอมลงมือเสียที เอาแต่แกว่งไกวกรรไกรคมเล่มเล็กที่ติดมาในกระเป๋าถือให้แสงสะท้อนไปมาเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของเด็กที่ยังไม่รู้หลักการสะท้อนแสงของโลหะ

   “แต่ผมของเธอสวยดีออก จะตัดก็เสียดายนะน่าจะไว้ยาวสักหน่อยแล้วก็ซอยนิด ๆ พอจะทำให้เนื้อหอมได้เลย” ช่างทำผมอาสายิ้มหวาน “ที่จริงฉันสงสัยมาตลอดว่าทำไมระยะหลังชูเลย์ถึงได้ตัดผมสั้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ชอบไว้ให้ดูยาวหน่อย มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณเวสลอยด์ไหว้วานหรือเปล่า?” บางครั้ง ผู้หญิงก็สามารถถามได้ตรงจุดอย่างน่าตกใจและไม่มีการอ้อมค้อมราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติแสนปกติธรรมดา

   “ไม่เห็นเกี่ยวกับเธอนี่” ซูเล่ยตอบปัด “แล้วตกลงจะตัดหรือไม่ตัด ถ้าไม่ตัดฉันจะได้ไปทำความสะอาดต่อระหว่างเธอเล่นกับเอเดรียน”

   “ตัดสิ ทีนี้นั่งนิ่ง ๆ ล่ะ” ดูเหมือนลอร์เรนจะนึกได้แล้วว่าควรเล็มตรงไหนบ้าง “เอเดรียนถอยไปหน่อยนะจ๊ะ” เธอโบกมือให้เด็กหญิงถอยไปด้านหลังเพื่อไม่โดนลูกหลงจากการใช้ของมีคม จากนั้นปลายนิ้วเรียวก็เริ่มทำงานร่วมกับกรรไกรอย่างคล่องแคล่ว เส้นผมสีดำร่วงลงพื้นทีละช่อจากตอนแรกเป็นการตัดให้ได้ระดับที่ต้องการแล้วตามด้วยการซอยให้เข้าทรง ลอร์เรนจำไม่ได้ชัดเจนนักว่าทรงผมที่ซูเล่ยตัดก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร จึงคงทรงเดิมเอาไว้และทำให้ระดับสั้นลงกว่าเดิมเล็กน้อย

   ปอยผมบนพื้นแสดงถึงปริมาณของเส้นผมที่ถูกหั่นออก ซูเล่ยลูบผมตนเองที่สั้นเท่ากับเมื่อครึ่งปีก่อนแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นับแต่เมื่อห้าปีก่อนที่เขาแยกจากอังเดรมาอย่างเงียบ ๆ ใจของเขาไม่เคยสงบเลยเมื่อมองดูตัวเองในกระจกและเห็นภาพเช่นเดียวกับที่อังเดรอาจจะจดจำได้ เพราะเหตุนั้นเองเขาจึงได้ตัดสินใจไว้ผมสั้นมาตลอด

   ชายหนุ่มลุกขึ้นขณะที่ลอร์เรนยกผ้าคลุมออกและสะบัดให้เส้นผมทั้งหมดลงไปอยู่บนพื้น เอเดรียนจ้องมองพี่เลี้ยงของตนด้วยความรู้สึกแปลกตาเล็กน้อย

   “เอเดรียนตัดผมด้วยนะ” เด็กหญิงว่าแล้วเข้าไปเกาะแกะลอร์เรน เพราะเมื่อเห็นคนใกล้ชิดทำสิ่งแปลกใหม่เธอจึงอยากจะทดลองดูบ้าง

   “จะดีหรือ ผมเอเดรียนสวยอยู่แล้ว ไว้ยาวจะน่ารักกว่านะจ๊ะ” หญิงสาวลูบผมยาวสลวยนุ่มมือ ใจจริงเธอคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่จะตัดผมให้เด็กคนหนึ่งโดยที่ผู้ปกครองไม่ยินยอม และในเวลาแบบนี้จะไปถามอังเดรก็ไม่ได้หรือจะโทรศัพท์ไปหาก็ออกจะเกินไปเสียหน่อย

   “แต่เอเดรียนอยากตัดเหมือนซูนี่นา” เอเดรียนหันไปหาซูเล่ยเพื่อให้ช่วยเป็นปากเสียงแทน กระนั้นซูเล่ยก็ไม่เห็นด้วยที่จะตัดผมเด็กหญิงลับหลังพ่อเช่นกัน

   “ไม่รอถามแดดดี้ดูก่อนหรือ?” เขาว่า

   “ทำไมต้องรอถามแดดดี้ล่ะ?” เด็กหญิงเอียงคอมองตาใสแป๋ว

   “ก็...ถ้าแดดดี้เกิดไม่ชอบขึ้นมา อาจจะโกรธจนไล่พี่ออกจากบ้านก็ได้” ซูเล่ยพูดโดยรู้อยู่แก่ใจว่าอังเดรไม่มีทางทำแน่นอน กระนั้นกลับทำให้เอเดรียนชะงักไปก่อนจะเบะปากด้วยความไม่พอใจ

   “เอเดรียนไม่ให้ซูไป” เธอผละจากลอร์เรนมาเกาะขากางเกงพี่เลี้ยงของตนทันที “ถ้าแดดดี้ไล่ซู เอเดรียนจะโกรธแดดดี้”

   “แต่เอเดรียนก็ไม่อยากให้แดดดี้เสียใจใช่ไหม?”

   เด็กหญิงพยักหน้า แม้จะรักพี่เลี้ยงมากแค่ไหนแต่ก็ยังรักพ่อมากกว่าอยู่ดี

   “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้แดดดี้กลับมาแล้วลองถามดูสิว่าขอตัดผมได้ไหม”

   “ให้ลอร์เรนตัดให้ด้วยนะ” สำหรับเอเดรียนแล้ว การได้ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนคนที่ตนเองชื่นชมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ยอมให้ตกหล่นแม้สักรายละเอียด ด้วยเหตุนั้นเงื่อนไขการตัดผมจึงพ่วงชื่อช่างทำผมจำเป็นมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้

   ซูเล่ยมองไปทางลอร์เรน ซึ่งเจ้าตัวก็แค่ยิ้มรับแทนคำตอบ

   “ถ้าแดดดี้โอเค...ก็ได้”

   เอเดรียนยิ้มกว้าง

   “งั้นเอเดรียนจะรอแดดดี้กลับมาแล้วขอแดดดี้ตัดผม”

   “แต่ระหว่างรอแดดดี้ เอเดรียนไปเล่นของเล่นกับลอร์เรนก่อนได้ไหม?” ชายหนุ่มโน้มน้าวให้เด็กหญิงเลิกสนใจเรื่องปัจจุบันเพราะเธอกระโดดกระเด้งไปทั่วจนเส้นผมที่กองรวมกันเริ่มกระจายเป็นฝอยซึ่งจะยากต่อการทำความสะอาดในภายหลัง และถึงแม้จะใช้ผ้าคลุมไหล่ไว้ตอนตัดแต่เส้นผมบางส่วนก็ร่วงลงไปใต้เสื้อทำให้คันยุบยิบจนรู้สึกอยากจะปลีกตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียที
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 12-01-2014 16:05:09
   หลังจากเอเดรียนยอมให้ลอร์เรนพาตัวไปนั่งเล่นของเล่นใหม่ที่อีกฝั่งของห้อง ซูเล่ยก็เดินไปหยิบไม้กวาดและไม้ตักผงจากห้องใต้บันไดมาเก็บกวาดเศษซากอารยธรรมบนพื้นจนแน่ใจว่าสะอาดดีแล้วก็เก็บผ้าคลุมไปใส่เครื่องซักผ้าแล้วเดินขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

   ซูเล่ยมองตนเองในกระจกก่อนที่จะถอดเสื้อ ผมที่สั้นลงทำให้แปลกตาไปเล็กน้อยแม้แต่สำหรับตัวเขาเอง จึงไม่แปลกที่เอเดรียนจะสังเกตเห็นและอยากลองบ้าง

   ช่วงหลังของลำคอที่ตอนนี้ไม่มีสิ่งปิดบังทำให้รู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ ในบางที และชั่ววินาทีหนึ่งที่เขาเผลอคิดไปว่าหากตอนนี้อังเดรยืนอยู่ด้านหลังและหายใจรดต้นคอจะรู้สึกอย่างไร แต่ในวินาทีต่อมาซูเล่ยก็รีบปัดความคิดนั้นออกไปจากสมองเพราะความกระดากอายที่วูบอยู่ในอก

   เมื่อซูเล่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ลอร์เรนก็กำลังจะกลับพอดีเพราะหากมืดค่ำคงดูไม่ดีนัก

   “ของพวกนี้ทิ้งไว้ที่นี่ได้ใช่ไหม?” เธอชี้ของเล่นที่บางกล่องยังไม่ถูกแกะด้วยซ้ำ

   “ก็คิดว่าได้ ตอนเธอเอามาอังเดรก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มไหวไหล่พลางมองเอเดรียนที่กำลังสนุกกับการต่อหอคอยด้วยของเล่นรูปทรงต่าง ๆ กัน

   “ถ้ามันรกเกินไปก็ฝากไว้ในรถฉันได้นะ” ลอร์เรนว่า “ไปส่งที่รถหน่อยสิ”

   ซูเล่ยไม่อยากจะขัดใจและเห็นว่าเดินไปส่งก็ไม่เสียหาย จึงเดินตามออกไปที่รถโดยกำชับให้เอเดรียนรออยู่ในบ้าน เด็กหญิงได้ของเล่นแล้วก็ไม่อิดออดที่จะต้องเป็นคนเฝ้ารอเพราะมีของให้ฆ่าเวลา

   เสียงปิ๊บเบา ๆ จากรีโมทอันเล็กตามด้วยเสียงปลดล็อคประตูรถเป็นสัญญาณว่าประตูทั้งหมดสามารถเปิดออกได้แล้ว ลอร์เรนโยนกระเป๋าสะพายเข้าไปข้างในแต่กลับไม่ได้เข้าไปประจำที่คนขับในทันที เธอเปิดประตูค้างและหันมาทางซูเล่ย

   “ฉันได้ยินมาว่า เธอบอกคุณเวสลอยด์ว่าจะกลับใช่ไหม?”

   “ก็ใช่...” ซูเล่ยไม่แปลกที่ลอร์เรนจะรู้เพราะตอนนี้เธอนับเป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจที่สุดในหมู่คนในการปกครองของลามอนต์ เวสลอยด์

   “แล้ว?” หญิงสาวเลิกคิ้วเรียวเป็นแนวโค้งสวย

   “ก็ไม่มีอะไร แค่อังเดรคิดว่าฉันยังไม่ควรลาออก” ชายหนุ่มไหวไหล่ทำเหมือนว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องแสนปกติธรรมดา เพราะไม่เห็นว่าการบอกความจริงทั้งหมดจะได้ประโยชน์อะไรทั้งสำหรับตัวเขาและลอร์เรน ซ้ำยังเป็นเรื่องที่น่าอายเกินกว่าจะพูดจากปากได้โดยตรง

   “งั้นหรือ? แต่ก็จริง...” ลอร์เรนโคลงศีรษะน้อย ๆ “เพราะถ้าเธอลาออกฉันคงต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงไปด้วยแล้วก็เป็นแม่บ้านไปด้วย”

   ข้อหลังดูจะเป็นปัญหาสำหรับลอร์เรน เพราะหญิงสาวถูกเลี้ยงมาแบบผู้หญิงสมัยใหม่คือทำงานเก่ง มีความสามารถเฉพาะตัว แต่ไม่ถนัดงานบ้านงานเรือนมากนัก ถึงแม้จะมีความสนใจเกี่ยวกับขนมหวานแต่อาหารคาวก็ไม่กระดิกเอาเสียเลย

   “ไม่หัดทำครัวเดี๋ยวก็ขายไม่ออกหรอ...” พูดไปแล้ว ซูเล่ยก็เผลอชะงักและกลืนคำพูดลงคอไป
   สิ่งที่เขาพูดมันอาจจะเป็นจริงก่อนหน้านี้ แต่...ปัจจุบันหญิงสาวคือคนที่ลามอนต์หมายมั่นปั้นมือให้เป็นภรรยาคนใหม่ของลูกเขย ดังนั้นจึงถือได้ว่าขายออกแล้วแบบกลาย ๆ

   “เป็นห่วงฉันหรือ?” ดวงตาสีเขียวกลมโตจับจ้องใบหน้าของคู่สนทนาพร้อมเผยรอยยิ้มเปิดเผยบนเรียวปากอิ่มสวย

   “ฉันก็ต้องห่วงเธออยู่แล้ว ไม่เห็นจะแปลก” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วพลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เรียกเสียงหัวเราะคิกจากผู้ฟัง

   “แล้วเป็นห่วงเรื่องไหนมากกว่า? เรื่องที่ฉันจะได้แต่งงานกับคุณแอชฟอร์ดแล้วกลายเป็นตัวแทนของมารีน หรือเรื่องที่เขาอาจจะปฏิเสธฉันในตอนท้าย?”

   เป็นคำถามที่ตอบยากเอาเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลอร์เรนมีใจให้อังเดรขึ้นมา ไม่ว่าตัวเลือกไหนก็ทำให้เธอ เสียใจได้ทั้งสิ้น แต่หากลอร์เรนไม่ได้นึกชอบอังเดร ตัวเลือกแรกคงจะทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่า กระนั้นผู้หญิงคนนี้กลับไม่แสดงความหวาดหวั่นต่ออนาคตของตนเองที่ถูกกำหนดโดยผู้อื่นแม้แต่น้อย บางครั้งเขาก็อดอิจฉาความเข้มแข็งของลอร์เรนไม่ได้

   “เธอคิดว่าจะชอบเขาได้จริง ๆ หรือ?”

   หญิงสาวกลอกตาเมื่อได้ยินคำถาม

   “คุณแอชฟอร์ดเป็นคนดี อาจจะมีข้อเสียอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูแย่ในสายตาของฉัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงกับต้องตาต้องใจในทันทีจนอยากครอบครองเป็นเจ้าของเหมือนอย่างมารีน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ก็จะเกิดเป็นความผูกพัน อาจจะถือได้ว่าเป็นความรักรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”

   คำตอบของลอร์เรนสามารถตอบข้อสงสัยของซูเล่ยได้อย่างครอบคลุม

   และก็เป็นจริงอย่างที่เธอว่า อังเดรไม่ใช่คนนิสัยเลวร้าย ไม่สำมะเลเทเมา ไม่ใช้กำลังโดยใช่เหตุ ให้เกียรติผู้หญิง ใจเย็นและขยันขันแข็ง ด้วยอุปนิสัยเหล่านี้คงจะทำให้คนเกลียดได้ยาก เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อกันและได้ใกล้ชิดกัน ไม่นานก็คงจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักอันแสนเรียบง่าย ไม่ได้งดงามหวือหวาอย่างในเทพนิยายแบบที่ผู้หญิงทั่วไปใฝ่ฝันหา แต่ก็ดูเหมาะกับคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่และอยู่ในโลกของความเป็นจริงอย่างลอร์เรน

   แต่...

   “เธอน่าจะปฏิเสธ...”

   “ทำไมล่ะ?”

   “ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วกับยังไม่แต่งงานมันไม่เหมือนกันหรอกนะ ถ้าหลังจากนี้เธอไปเจอคนที่ชอบจริง ๆ ก็จะหันหลังกลับไม่ได้ไม่ใช่หรือไง?”

   หญิงสาวฟังจบก็หัวเราะร่า

   “ยังทำตัวหัวโบราณเหมือนเดิมเลย” ว่าแล้วเธอก็ขยับเข้าไปใกล้ซูเล่ย “แต่ว่าที่นี่น่ะเป็นอเมริกา ไม่ใช่ประเทศจีนนะ”

   “ไม่ต้องย้ำเรื่องแบบนั้นก็ได้” ซูเล่ยกลอกตา

   ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมข้างรถของลอร์เรนโดยไม่ได้สังเกตถึงเวลาที่ผ่านไปรวมถึงคนที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ

   อังเดรที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนสอนลีลาศเพราะตัดสินใจกลับก่อนเวลาเลิกสังเกตเห็นรถของลอร์เรนที่ยังจอดอยู่หน้าบ้านทั้งที่คิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว นอกจากนี้ข้างรถยังมีเงาคนสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมออกหน้าออกตาและใกล้ชิดเกินกว่าที่ชายหญิงซึ่งไม่มีความสัมพันธ์พิเศษทั่วไป ชายหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าเป็นลอร์เรนและซูเล่ย เพียงแต่รูปเงาของซูเล่ยดูแปลกไปจากที่เคยชินนิดหน่อย

   “กำลังจะกลับหรือครับ?” เขาเดินเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติและแย้มยิ้มให้ลอร์เรนเมื่อหญิงสาวยิ้มทักทาย

   “ค่ะ พอดีอยู่ตัดผมให้ชูเลย์ก่อนกลับก็เลยค่ำไปหน่อย”

   ตัดผม?

   อังเดรฟังแล้วหันไปมองซูเล่ยชัด ๆ จึงเห็นว่าที่ดูแปลกไปเพราะผมสั้นลงนั่นเอง

   “แล้วได้ทานอะไรหรือยังครับ?” เขาหันกลับไปถามลอร์เรนอีกครั้งเพราะไม่อยากไพลไปเรื่องซูเล่ยให้เสียมารยาทต่อผู้ร่วมสนทนา

   “ชูเลย์ทำอาหารง่าย ๆ ให้ทานแล้ว เขายังเก่งเรื่องงานบ้านงานครัวเหมือนเดิม ทำเอาฉันอิจฉาคุณกับเอเดรียนที่ได้ทานของอร่อยแบบนี้ทุกวันขึ้นมาเลยล่ะค่ะ”

   “ดูเหมือนเอเดรียนก็จะติดใจไม่น้อยเหมือนกัน ถึงขั้นไม่ยอมกินที่คนอื่นทำให้เลยทีเดียว” อังเดรตอบกลับพลางหัวเราะกลั้วไปด้วย “แล้วตอนนี้เอเดรียนหลับไปแล้วหรือ?” ชายหนุ่มหันไปถามซูเล่ยซึ่งมีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของเอเดรียนโดยตรง คล้ายว่ากำลังตำหนิว่าเหตุผลจึงมายืนอยู่ที่นี่โดยทิ้งเอเดรียนไว้ลำพัง ซึ่งเจ้าตัวก็พอจะเข้าใจเจตนาจึงมุ่นหัวคิ้วก่อนตอบตามตรง

   “รออยู่ในบ้านน่ะครับ ผมกำลังจะกลับเข้าไปพอดี”

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเข้าไปพร้อมกัน”

   “เช่นนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน” ลอร์เรนก็คิดว่าตนเองถูกต่อว่าอย่างอ้อม ๆ เช่นกันจึงบอกลาทั้งซูเล่ยและอังเดรก่อนขึ้นรถและขับออกไป

   อังเดรเดินนำกลับเข้าบ้านก่อนโดยมีซูเล่ยเดินตามหลัง

   “ถ้าอยากตัดผมขนาดนั้นบอกให้ฉันพาไปก็ได้” ชายหนุ่มร่างสูงว่าขณะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน น้ำเสียงดูจะแอบแฝงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย

   “ผมไม่อยากรบกวนขนาดนั้น แต่พอคิดจะออกไปตัดนอกบ้านก็มีเรื่องให้เจ็บตัวเสียก่อน” ซูเล่ยไหวไหล่แล้วปิดประตูลงกลอน ทว่าเมื่อหมุนตัวกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน เขากลับพบว่าอังเดรยืนดักหน้าอยู่โดยทอดสายตามองลงมาคล้ายกำลังพิจารณาสิ่งที่อยู่ในระยะกรอบสายตาของตนเอง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือตัวเขา...นับตั้งแต่ศีรษะจนถึงช่วงอกโดยประมาณ

   ฝ่ามือที่ประคองหญิงสาวมานับไม่ถ้วนยกขึ้นสัมผัสปลายผมที่ถูกตัดแต่งอย่างปราณีตทำให้ซูเล่ยไม่กล้าขยับเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร

   ระยะนี้อังเดรชักจะเดาใจยากขึ้นทุกที บางทีก็ดีบางทีก็ร้าย ซ้ำเวลาจะร้ายขึ้นมาก็กล้าทำเรื่องน่าอายที่แต่ก่อนนี้ไม่เคยกล้าได้อย่างหน้าตาเฉย

   มืออุ่นเลื่อนจากปอยผมด้านข้างไปถึงลำคอและท้ายทอย สัมผัสปลายของเส้นผมที่เรียงตัวสม่ำเสมอเพราะการจัดแต่งอย่างจงใจประหนึ่งกำลังสำรวจสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นเคย แต่เมื่อสำรวจไปสักพัก ชายหนุ่มก็ใช้นิ้วหัวแม่มือดันคางอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นขณะที่ตนเองโน้มใบหน้าลง

   ดวงตาทั้งสองสบประสานก่อนที่จะมีเสียงกล่าวว่า

   “เอาเถอะ แบบนี้ก็สะดวกดี”

   ตามด้วยการบังคับให้อีกฝ่ายเอียงคอไปด้านหนึ่ง เผยลำคอขาวซึ่งร่องรอยที่เคยฝากไว้เลือนหายไปหมดแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงแนบริมฝีปากลง รู้สึกได้ถึงชีพจรเต้นระรัวภายใต้ผิวเนื้อบาง

   ซูเล่ยเกร็งตัวเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกขบเม้มบนลำคอ เขาดันอีกฝ่ายออกและตะปบบริเวณที่ถูกจู่โมโดยสัญชาตญาณ แต่มือข้างนั้นก็กลับถูกรั้งเอาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นสบกับเจ้าของแรงดึงรั้งก็พบเห็นดวงตาคมปลาบเป็นประกายกล้าราวกับกำลังกรีดเฉือนร่างเนื้อภายใต้การควบคุมอย่างเย็นชา เขาถูกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาสีอ่อนคู่นั้นก่อนจะสะดุ้งไหวอีกครั้งเพราะฟันคมขบลงบนปลายนิ้ว ความรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านพาให้แขนไร้เรี่ยวแรงไม่สามรารถดึงมือของตนกลับมาได้

   “แดดดี้กลับมาแล้ว!” เสียงของเอเดรียนเสมือนระฆังสวรรค์ อังเดรผละจากสิ่งที่ทำอยู่อย่างทันทีทันใดและหันไปหาลูกสาวซึ่งเดินออกมารับที่หน้าประตู

   “ว่ายังไงเอเดรียน วันนี้ลอร์เรนพาเล่นสนุกไหม?” ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวโดยไม่แสดงถึงพิรุธของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ผิดกับซูเล่ย...

   “แดดดี้กับซูทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมซูถึงหน้าแดงแป๊ดเลยล่ะ?”

   เสียงทักทายของเด็กหญิงทำให้ซูเล่ยรู้ว่าตนเองกำลังมีสีหน้าแบบไหน และเขายิ่งกระดากอายยิ่งขึ้นจนไม่รู้จะหลบซ่อนอย่างไร ชายหนุ่มร่างเล็กยืดตัวขึ้นจากท่าเอนหลังพิงบานประตูขณะคิดหาคำตอบ แต่ดูเหมือนสมองที่สับสนของเขาจะไม่มีความจำเป็นเมื่อมีคนที่คิดได้ไวกว่า

   “ซูตากลมมากเกินไปก็เลยเป็นหวัดขึ้นมาล่ะมั้ง เมื่อกี้นี้แดดดี้ก็วัดไข้ให้ซูเหมือนที่เคยทำให้เอเดรียนไง” อังเดรตอบด้วยรอยยิ้มทำให้เอเดรียนไม่นึกสงสัยอะไร

   “แล้วซูไม่สบายหรือเปล่า?”

   “ไม่หรอก ซูสบายดี แค่ตากลมนานเกินไปเท่านั้นเอง” เขาว่าแล้วก็อุ้มเอเดรียนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่ “ซู อย่าลืมจัดอาหารให้ฉันด้วยล่ะ”

   ซูเล่ยต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่จะตั้งสติได้ว่าตนเองต้องทำอะไร บริเวณที่ถูกสัมผัสยังอุปทานว่ามีความอุ่นหลงเหลืออยู่จนถึงตอนนี้ ในตอนแรกเขาเผลอคิดไปว่าอังเดรจะจูบ แต่เมื่อกลายเป็นการกระทำอย่างอื่น ใจเขากลับเต้นระรัวยิ่งกว่าการจูบเสียอีก

   วูบหนึ่งที่รู้สึกราวกับว่า อังเดรสามารถอ่านความคิดของเขาได้ และรู้ว่าควรทำอย่างไรให้เขาหวั่นไหวและโอนอ่อนตามได้มากที่สุด

   เขาจะสามารถทนอยู่แบบนี้โดยไม่เผลอหลงคิดเข้าข้างตัวเองได้อีกนานแค่ไหนกันนะ...

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 12-01-2014 16:37:47
เอาเลยยยยยย คิดเข้าข้างตัวเองไปเลยซู เขาฮิตกันจะตาย 55555555


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-01-2014 16:38:53
อังเดรแย่ สงสารซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-01-2014 17:30:29
เหมื่อไหร่จะเข้าใจกันเล่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 12-01-2014 17:53:59
คุณอังเดรคิดไปถึงไหนแล้วคะนั่น ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนจะเข้ามาในจังหวะที่ชวนให้เข้าใจผิดอยู่เรื่อยเลย
แต่นั่นก็ทำให้ได้เห็นว่าใครบางคนกำลังลมออกหูอยู่นะ อิอิ *ส่งฮอลล์คูลให้คุณอังเดรหนึ่งเม็ด*
คิดว่าซูคงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองผมยาวๆแน่ แล้วแบบนี้จะมีทางไหนที่ทำให้คุณพระเอกจำซูได้บ้าง
ตอนนี้คนอ่านนี่เดาไม่ถูกเลยค่ะ แงงงงงงงง :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 12-01-2014 18:33:39
อังเดรก็ชอบทำตัวแบบนี้ล่ะน้าา
ทำให้อยากแล้วจากไปเหรออออ ฮึ่มมมม
เดี๋ยวเถอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 12-01-2014 18:54:22
 :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 12-01-2014 19:26:15
อังเดรอย่าเล่นให้มากนัก ไม่ชอบให้นายเอกเป็นของเล่นอ่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-01-2014 19:37:18
อังเดรร้ายนะยะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 12-01-2014 19:49:07
ตบอังเดร ไม่ชัดเจนสักที หึงก็บอกเขาเซ่
ลอร์เรนดูเหมือนจะเป็นคนดีนะ ติดตรงเป็นคนของตาแก่นี่แหละ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 12-01-2014 19:55:46
อังเดร!!!! แกเป็นอะร้ายยยยยย! เล่นกับความรู้สึกสนุกดีมั้ยห๊ะ!? ตอบ!!! :angry2:

 :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 12-01-2014 22:54:17
บอกมาตรงๆจะเอายังไงกันแน่ห๊ะ อังเดร  :angry2:

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 13-01-2014 10:23:31
นี่เค้าเรียกว่าหึง? หวง?หรือกั๊ก?
คุณอังเดรนิสัยไม่ดีเลย ต้นๆก็แมนมาตลอด โธ
ทำอย่างงี้แล้วถ้าหนีแต่งงานใหม่จะให้ซูรับบทนางร้ายแระ
อีตาผู้ชายคนนี้ชอบเล่นกับความรู้สึกซูฮือ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 14-01-2014 17:01:16
เอิ่ม เดาใจอังเดรไม่ถูก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 18 [12/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-01-2014 18:05:12
อังเดรเริ่มอ่านยากขึ้นทุกที...
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-01-2014 14:42:15
-19-

   อังเดรกลับไปทำงานอีกครั้งหลังจากทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวเป็นปกติ ซึ่งการมีลอร์เรนเข้ามาเป็นตัวช่วยกลับสามารถทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้นกว่าที่คาดคิดเอาไว้ เพราะเธอสามารถปรับตัวเข้าหาเอเดรียนได้อย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย แม้แต่ซูเล่ยก็ยังเผลอคิดไปวูบหนึ่งว่าลอร์เรนได้เป็นสมาชิกของบ้านหลังนี้มานนานแล้ว พลังการดึงดูดใจคนของหญิงสาวคนนี้ยังคงทำให้เขาทึ่งได้เสมอ

   แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเห็นจะเป็นอังเดร...ที่พาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดยิ่งขึ้นเสียจนแทบไม่เหลือช่องว่างใด ๆ ระหว่างพวกเขา

   ซูเล่ยปรือตาพลางถอนหายใจในความมืด พลันนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่ลูบคลึงบนเนินไหล่เปล่าเปลือย สัมผัสของอังเดรหลังการร่วมรักอ่อนโยนขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือไม่แต่มันก็ทำให้เขาพึงพอใจและอบอุ่นเสียจนไม่อยากให้รุ่งเช้าเดินทางมาถึง เพราะเจ้าตัวจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาที่มองเขาราวกับกำลังมองคนนอกที่เข้ามาเป็นกาฝากอยู่ในบ้าน เพียงแต่มีเหตุผลบางประการที่ทำให้ไม่สามารถตัดเจ้ากาฝากต้นนี้ออกไปได้จึงจำเป็นต้องยึดเหนี่ยวไว้อย่างช่วยไม่ได้

   กลับกัน อังเดรจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษและเป็นเจ้าบ้านที่ดีต่อหน้าลอร์เรน ทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ

   จนตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่าอังเดรมีโฉมหน้าเช่นไรกันแน่ ช่างแตกต่างกับการพบกันเมื่อห้าปีก่อนที่อังเดรยังเป็นเพียงชายหนุ่มแสนสุภาพ สงวนท่าที และซื่อตรง แต่ทั้งที่อีกฝ่ายแปรเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ น่าแปลกที่ทุกการกระทำของเจ้าตัวยังทำให้หัวใจหวั่นไหวได้จนบางครั้งนึกอยากจะเมินหน้าหนีแต่ก็จำต้องมองดู

   เสียงถอนหายใจจากด้านหลังทำให้ซูเล่ยหยุดคิดเรื่องของตนเองชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกรวบกอดสู่อกกว้าง ปลายจมูกได้รูปสวยสัมผัสต้นคอซึ่งเวลานี้ไร้เส้นผมปิดบัง เขารู้สึกคล้ายถูกจูบอย่างแผ่วเบาผ่านทางลมหายใจที่ทอดยาวสม่ำเสมอ

   แม้จะรู้แก่ใจว่ามันคงจะไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้ตลอดไป แต่ในที่สุดซูเล่ยก็หลับตาลงและปล่อยให้ตนเองจมลงสู่ห้วงนิทรา

----------------------------->

   เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในระหว่างที่หญิงสาวกำลังเตรียมตัวออกจากห้องในตอนเช้าตรู่ ลอร์เรนผละจากกระเป๋าถือมายังต้นเสียงที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะข้าง ๆ กุญแจรถ และเมื่อเห็นเบอร์โทร เธอก็ยิ้มออกมา

   “สวัสดีค่ะ”

   “ชูเลย์เป็นยังไงบ้าง?”

   เสียงหัวเราะคิกดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาวแล้วจึงตอบคำถาม

   “หนูก็ไม่อยากจะคิดให้มากเกินไปหรอกนะคะ แต่ว่าอาจจะเป็นอย่างที่พ่อว่าไว้ก็ได้” ลอร์เรนกลอกตาเล็กน้อยพลางเอนหลังพิงพนัก “พวกเขาเจอเรื่องร้าย ๆ มามาก การจะมีความผูกพันกันขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ว่าตัวชูเลย์เองกลับยืนยันเสียงแข็งว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น หนูเองก็จนปัญญาจะแทรกแซงเข้าไปในทันที คงจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คิดเสียล่ะมั้งคะ?”

   “นานขนาดนั้นจะไม่เป็นผลดีเอา” อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ    “แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับแอชฟอร์ดล่ะ?”

   “จะว่ายังไงดีนะ...หนูคิดว่าเขาก็ปฏิบัติกับหนูเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่ง อาจจะดูพิเศษสักหน่อยตรงที่บุคลิกของเขาชวนให้คิดแบบนั้น ไม่แปลกใจสักนิดที่จะมีผู้หญิงสักคนหรือสองคนหลงใหลเขาจนหัวปักหัวปำ เป็นนิสัยที่ส่งผลเสียให้ตัวเองไม่ใช่น้อยเลย”

   “ถ้าอย่างนั้นเธอก็จัดการส่วนที่ทำได้ต่อไป ฉันจะจัดการส่วนที่เหลือเอง” ว่าแล้ว อีกฝั่งก็ตัดสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบ ลอร์เรนไหวไหล่แล้วโยนโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าถือจากนั้นจึงออกเดินทางโดยไม่ได้นึกใส่ใจบทสนทนาเมื่อครู่มากนัก เพราะคล้ายว่าอีกฝ่ายแค่อยากจะโทรมาทักทายมากกว่าเป็นธุระสำคัญ

   หญิงสาวเดินทางถึงบ้านของอังเดรสายกว่าปกติเล็กน้อยทำให้มาถึงตอนที่อังเดรกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านพอดี

   “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ลอร์เรนทักทาย

   “อรุณสวัสดิ์คุณเฟอร์เรสต์” อังเดรตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ซูเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณในห้องครัวแล้ว ถ้าหากคุณยังไม่ได้ทานอะไรมา”

   “พอดีเลยค่ะ วันนี้ฉันตื่นสายไปหน่อยซ้ำรถยังติดฉันจึงยังไม่ได้ทานอะไรมาเลย” วันนี้หญิงสาวตอบรับอาหารเช้าด้วยความยินดีหลังจากผลัดมาตลอดเพราะไม่อยากจะรบกวนมากเกินไป ถึงอย่างนั้นการตอบรับอาหารเช้าบนโต๊ะตัวเดียวกันก็บ่งบอกได้ถึงระดับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น ซึ่งทำให้ซูเล่ยรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลอร์เรนหลังจากพยายามจะไม่สังเกตมาสักระยะแล้ว

   หญิงสาววางตัวอยู่ใกล้อังเดรมากขึ้นเรื่อย ๆ ...

   ก็แน่สิ เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้อังเดรหันมามองและยอมรับให้ได้

   “ลอร์เรน เอานี่ไปให้เขาสิ” ซูเล่ยยื่นของสิ่งหนึ่งให้หญิงสาวหลังจากอังเดรเดินออกไป “ดูเหมือนจะลืมเอาไว้ แล้วก็...ดูเหมือนเขาจะกังวลเรื่องบางอย่างอยู่ ถ้าเธอลองถามดู...”

   “ฉันรู้ ขอบใจนะชูเลย์” หญิงสาวรับของแล้วจูบแก้มขอบคุณทีหนึ่งก่อนรีบเดินตามอังเดรออกไป ซูเล่ยเปิดประตู มองตามหลังหญิงสาวที่วิ่งไปยังรถที่กำลังเคลื่อนตัว เห็นการเคลื่อนไหวของยานพาหนะที่หยุดลง กระจกเปิดออกตามด้วยการพูดคุยของหญิงสาวและชายหนุ่มที่ถูกกำหนดให้ได้อยู่เคียงข้างกันในอนาคต โทรศัพท์มือถือที่เขาแอบดึงออกมาจากกระเป๋าของอังเดรในตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย นี่แหละหน้าที่ที่เขาควรทำ นั่นคือเหตุผลที่ยังคงอยู่ที่นี่

   ซูเล่ยคิดกับตนเองเช่นนั้น

   “ซู เปิดโทรทัศน์ได้ไหม?” เอเดรียนเดินมาดึงชายเสื้อพี่เลี้ยงแล้วลากกลับเข้าไปในห้อง ระยะนี้เอเดรียนดูจะสนใจโลกภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการเด็กสีสันสวยงามเนื้อหาน่ารักที่นำเสนอในช่วงเช้าของแต่ละวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้หากลอร์เรนไม่บอกว่ามีเขาก็คงนึกไม่ถึง

   หน้าจอโทรทัศน์ดำมืดค่อย ๆ ปรากฏภาพตุ๊กตามือที่อ้าปากพะงาบ ๆ ดูไม่เป็นคำ แต่เด็ก ๆ ก็สามารถเข้าใจได้จากเสียงพากย์ที่ตรงกับจังหวะการพะงาบปากตุ๊กตา เอเดรียนอุ้มตุ๊กตากระต่ายไปจับจองที่นั่งกลางโซฟายาวที่สามารถมองโทรทัศน์ได้ชัดเจนที่สุดและตบเบาะข้างตัวให้ซูเล่ยมานั่งด้วยกัน ชายหนุ่มก็ทำตามแต่โดยดีแม้ว่าจะมีจานชามรอให้ล้างอยู่ แต่เด็กหญิงจะงอแงทุกครั้งที่ไม่มีคนมานั่งดูเป็นเพื่อน

   ลอร์เรนกลับเข้ามาในบ้าน เสียงเปิดประตูเรียกให้ซูเล่ยหันไปมองและเห็นหญิงสาวมองตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่นเสมือนกำลังพึงใจ

   “พี่ขอคุยกับซูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?” เธอเดินมาหาเอเดรียนและขออนุญาต เด็กหญิงนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

   “แล้วมานั่งดูกับเอเดรียนเร็ว ๆ นะ” เธอว่าแค่นั้นก่อนหันไปสนใจรายการโทรทัศน์ต่อ

   แม้จะไม่แน่ใจนักว่าลอร์เรนต้องการพูดคุยเรื่องอะไร แต่ซูเล่ยก็เดินตามเข้าไปในครัวและยืนรอหญิงสาวเปิดบทสนทนาอยู่เงียบ ๆ

   “เมื่อครู่นี้คุณแอชฟอร์ดบอกเรื่องสำคัญกับฉัน ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้จะเป็นวันเกิดของเอเดรียนและเธอก็ตื่นเต้นมาก แต่เขากำลังทำเป็นไม่สนใจเพื่อที่จะเซอร์ไพรซ์เมื่อถึงวัน”

   ซูเล่ยฟังแล้วมุ่นคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินเรื่องวันเกิดของเอเดรียนมาก่อนเลย ไม่สิ...ใคร ๆ ก็ต้องมีวันเกิดกันทั้งนั้น เพียงแต่เมื่อเราโตขึ้น ความสำคัญของมันก็ลดน้อยลงตามไปด้วย แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังลืมวันเกิดของตนเองเสียสนิทใจและปล่อยให้มันผ่านเลยไปโดยไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ วันเกิดคือวันสำคัญของชีวิตเพราะมันเป็นตัวบ่งบอกว่าพวกเขากำลังเติบโตขึ้น และคงเป็นเรื่องนี้เองที่ทำให้อังเดรดูคล้ายกำลังครุ่นคิดอยู่บ่อยครั้งในระยะหลังจนเปิดโอกาสให้ลอร์เรนได้สร้างผลงาน

   “แล้วพวกเราจะต้องทำอะไร?” การที่ลอร์เรนมาบอกเรื่องนี้กับเขาด้วยก็แสดงว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับทั้งเขาและเธอ

   “เก็บไว้เป็นความลับ” หญิงสาวยิ้มกว้าง “เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดของคุณแอชฟอร์ด เขาบอกว่าอยากจะให้ฉันไปช่วยเลือกของขวัญในขณะที่เธอช่วยดูแลเอเดรียนและหาทางทำให้ไม่ระแคะระคายเรื่องวันเกิดจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร”

   อ้อ...อย่างนี้เอง

   มันเป็นโอกาสอันดีที่ลอร์เรนและอังเดรจะได้รู้จักกันอย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะเวลาส่วนใหญ่ที่ลอร์เรนมาที่ก็จะไม่ค่อยได้เจออังเดรโดยตรง ในวันหยุดแม้จะได้อยู่ด้วยกันแต่ก็มีตัวเขาและเอเดรียนคั่นกลางอยู่เสมอ ถ้าไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังคงยากที่จะเกิดใจให้กันได้

   “ฉันจะพยายามเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน” เขาจำใจตอบรับในที่สุด

---------------------------->

   ในวันต่อมา อังเดรก็ออกไปรับลอร์เรนแต่เช้า ส่วนซูเล่ยก็ดูแลเอเดรียนอยู่ที่บ้านตามที่นัดกันไว้ เด็กหญิงดูจะสงสัยไม่น้อยว่าทำไมวันนี้พ่อจึงหายหน้าไป ไม่พาออกไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าตามที่เคยทำตามปกติ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงค่อนข้างจะดื้อแพ่งมากกว่าวันอื่น ๆ คงเพราะยังฝังใจเรื่องยูล่าไม่หายกระมัง

   “ถ้าอย่างนั้นออกไปกับพี่สองคนดีไหม?” ซูเล่ยถามเพราะไม่อยากให้เอเดรียนโมโหร้ายจนเกลียดขี้หน้าลอร์เรนขึ้นมาอีกคน

   “ซูจะพาไปเที่ยวเหรอ?” เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปข้างนอก อารมณ์ของเด็กหญิงก็เย็นลง

   “ใช่ ยังไงของสดกับของใช้ก็หร่อยหรอแล้ว ไปซื้อเพิ่มก็ดีเหมือนกัน” นอกจากจะเติมของใช้ในบ้านให้สมบูรณ์แล้ว มันยังช่วยให้เอเดรียนเลิกงอแงกับเรื่องของพ่อได้อีกด้วย “เอาล่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” ชายหนุ่มรุนหลังเด็กหญิงตัวน้อยไปทางบันได และหลังจากนั้นไม่กี่นาทีทั้งสองก็กลับลงมาพร้อมเสื้อผ้าตัวสวย น่าเสียดายที่กระโปรงตัวโปรดของเอเดรียนเปรอะเปื้อนคราบเลือดแห้งกรังจนซักแทบไม่ออก อังเดรตัดสินใจซื้อตัวใหม่ที่สีคล้าย ๆ กันให้ เด็กหญิงจึงไม่อาลัยอาวรณ์กระโปรงเปื้อนเลือดที่ถูกโยนทิ้งไปนัก

   ซูเล่ยเอาของกระจุกกระจิกที่ไม่มีค่ามากนักใส่ในกระเป๋าสะพายให้เอเดรียน เธอจะได้ไม่น้อยอกน้อยใจที่ตัวเองไม่ได้ถือกระเป๋า และหลังจากหว่านล้อทให้เอเดรียนยอมว่าตุ๊กตากระต่ายสีหม่นหมองที่ถือติดมือตลอดเวลาได้สำเร็จ ทั้งสองก็พร้อมออกเดินทาง

   ห้างสรรพสินค้าเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นเฉียบทั้งที่อากาศภายนอกร้อนขึ้นแล้ว เมื่อเข้าไปได้ไม่ถึงสิบนาที เอเดรียนก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิด ซูเล่ยจึงดึงผ้าพันคอผืนบางออกมาจากกระเป๋าของเอเดรียนเองและจัดแจงพันรอบคอเพื่อให้อบอุ่นขึ้นแม้ว่ามันจะช่วยได้ไม่มากนัก

   พวกเขาเดินตรงไปยังชั้นขายของสดก่อน เอเดียนยังคงมองผักด้วยสายตาแปลก ๆ เมื่อมันถูกโยนใส่รถเข็น แต่เมื่อนำไปทำเป็นอาหาร เอเดรียนก็ยอมกินอย่างว่าง่ายโดยจะเขี่ยทิ้งแค่บางชนิดเท่านั้น ไม่เหมือนกับช่วงแรก ๆ ที่เขี่ยทิ้งไปเสียทุกอย่าง

   ผัก ผลไม้ เนื้อ คอนเฟล็กซ์ และอาหารกระป๋องถูกลำเลียงลงรถเข็นโดยมีเอเดรียนคอยจัดอยู่ข้างในอีกที จากนั้นซูเล่ยก็พาไปเดินโซนของหวานเพื่อให้เด็กหญิงได้เลือกขนมด้วยตัวเองบ้าง

   กล่องและถุงขนมหลากสีสันอวดโฉมแข่งกันบนชั้นวาง มีหลายกล่องที่ระบุไว้ชัดเจนว่าเหมาะกับเด็กอายุเท่าไหร่ขึ้นไป และของที่เอเดียนจะสามารถเลือกกินด้วยตัวเองได้ก็มีอยู่น้อยเสียเหลือเกิน ส่วนพวกขนมขบเคี้ยวอุดมผงชูรสเขาก็ไม่อยากให้แตะต้องมากนัก สุดท้ายจึงไปจบลงที่ขนมจำพวกเจลาตินและบิสกิต เขาปลอบใจเด็กหญิงที่พยายามจะออดอ้อนเอาขนมอย่างอื่นด้วยน้ำหวานสองขวดเธอจึงยอมลงให้ จากนั้นซูเล่ยก็เลยไปถึงส่วนที่ขายเครื่องอุปโภค สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน และผงซักฟอกเป็นสิ่งที่ต้องซื้อเติมอยู่เสมอ

   หลังจากซื้อของและทบทวนของขาดอยู่ร่วมสามชั่วโมง ซูเล่ยก็มั่นใจได้ว่าของทุกอย่างครบครันสำหรับการดำรงชีวิตแล้ว

   “อยากกลับหรือยัง?” เขาถามเอเดรียน

   “ซื้อหมดแล้วเหรอ?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นถามในขณะที่พยายามจัดของในรถเข็นให้ตัวเองมีที่นั่งสบาย ๆ
   “คิดว่าหมดแล้วนะ หรือว่าเอเดรียนมีของที่อยากได้อีก?” เมื่อถูกถาม สีหน้าของผู้ฟังก็หงอยเหงาลงคล้ายกำลังเง้างอนอยู่เล็ก ๆ “เป็นอะไรไปหรือ?”

   เอเดรียนพองแก้มแล้วส่ายศีรษะ

   “แดดดี้ยังไม่สนใจเอเดรียนเลย” จู่ ๆ คำตัดพ้อก็ระบายออกมาโดยที่ตัวซูเล่ยไม่ทันได้คาดคิด แต่การที่พูดออกมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุแบบนี้แสดงว่าเธอคงคิดมากมานานพอสมควรแล้ว และไม่มีโอกาสที่จะได้พูด “พอซูกับลอร์เรนมาแดดดี้ก็กลับไปทำงาน เอเดรียนจะไปหาที่ทำงานบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ แดดดี้จะต้องลืมวันเกิดของเอเดรียนแล้วแน่ ๆ เลย” เธอพูดไปก็เบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้

   ในสถานการณ์แบบนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี?

   ลอร์เรนกำชับมาว่าอย่าให้เอเดรียนรู้เด็ดขาดว่าพวกเขามีแผนการอะไรอยู่ในใจ ซึ่งแปลว่าจะต้องปิดบังเอเดรียนอีกสองวัน

   “แปลว่าถ้าไม่มีพี่จะดีกว่าหรือ?” เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

   “ไม่ใช่นะ!” เอเดรียนร้องก่อนจะทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม “แต่ว่าไม่มีใครพูดถึงวันเกิดของเอเดรียนเลยนี่นา”
   ซูเล่ยโน้มตัวไปลูบหัวเด็กหญิง

   “ถ้าแดดดี้ลืมก็ไม่เป็นไรหรอก ฉลองกับพี่สองคนก็ได้นี่ หรืออาจจะชวนลอร์เรนให้มาร่วมด้วย ให้แดดดี้ร้องไห้ที่ไม่มีใครชวนเลยดีไหม?” ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ตัวคนพูดก็ยังนึกภาพอังเดรตอนร้องไห้งอแงเพราะนึกน้อยใจที่ไม่มีใครเชิญไปร่วมงานไม่ออกเลย

   “แต่เอเดรียนไม่อยากให้แดดดี้ร้องไห้นี่นา” เอเดรียนก้มหน้าพูดอุบอิบ

   “คราวหน้าแดดดี้จะได้ไม่กล้าลืมอีกไง” ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าซุกซนให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามันคือการละเล่นแสนสนุกสำหรับการแก้เผ็ดโดยเฉพาะ ผู้ฟังได้ยินอย่างนั้นก็ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับด้วยท่าทางไม่ค่อยแน่ใจ อย่างไรก็ตาม ซูเล่ยก็สามารถทำให้หัวข้อนี้จบลงได้ด้วยดีโดยไม่ทำให้เอเดรียนระแคะระคายได้สำเร็จ ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าความพยายามของตนเองมันคุ้มค่าหรือไม่

   “เอเดรียน ชอบลอร์เรนหรือเปล่า?” เขาเปิดหัวข้อใหม่ระหว่างยืนรอคิวจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

   “อื้อ ลอร์เรนใจดี”

   “แล้วถ้าลอร์เรนจะมาอยู่ด้วย เอเดรียนจะว่าอะไรไหม?” ได้ฟังคำถาม เด็กหญิงก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
   “แดดดี้บอกว่าไม่มีห้องให้ลอร์เรนนี่นา”

   “แค่เรื่องสมมติเท่านั้นเอง” ซูเล่ยไถลรถเข็นเข้าเคาท์เตอร์และหยิบของขึ้นวางบนสายพานโดยมีเอเดรียนเป็นผู้ช่วยลำเลียงของที่ยกไหว ระหว่างที่มือทำงานเอเดรียนก็ไม่ได้คิดเรื่องคำตอบเลยจนกระทั่งเรียงของเสร็จและรอจ่ายเงินซูเล่ยจึงถามซ้ำ

   “อยู่ด้วยกันหมดก็สนุกดี” เด็กหญิงตอบแล้วยิ้มกว้างโดยไม่คิดอะไรมาก เพราะลอร์เรนไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดอกขัดใจอะไร การมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจะทำให้ชีวิตมีสีสันเสียด้วยซ้ำ เพราะลอร์เรนเป็นคนที่นำโลกภายนอกเข้ามาสู่บ้านอันโดดเดี่ยวในขณะที่ซูเล่ยทำหน้าที่เพียงดูแลให้โลกของเอเดรียนไม่มีอะไรติดขัด แต่ก็ไม่ได้เพิ่มเติมอะไรเข้าไปนอกจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวที่ไม่มีอะไรพิเศษ

   ซูเล่ยอดตัดพ้อตัวเองไม่ได้ แม้จะไม่มีใครว่าอะไรเลยสักคน

---------------------------------->
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-01-2014 14:42:40
   “เอเดรียนคงดีใจนะคะที่ได้ของขวัญเซอร์ไพรซ์จากพ่อแบบนี้” ลอร์เรนว่าพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามถนนโดยมีอังเดรนั่งอยู่ข้างตัวและกล่องของขวัญวางอยู่ที่เบาะหลัง

   รถของลอร์เรนเป็นสาเหตุหนึ่งที่อังเดรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือเรื่องของขวัญของเอเดรียน เพราะเขาไม่สามารถนำของขวัญไปเก็บในบ้านหรือรถของตนเองได้ด้วยเกรงว่าเอเดรียนจะบังเอิญมาเห็นเข้า และไม่รู้ว่าจะนำไปฝากไว้ที่ไหนก่อนได้ ดังนั้นจึงเอ่ยปากขอยืมรถของลอร์เรนเป็นที่ฝากของสักสองวัน และหญิงสาวเองก็ไม่ขัดข้องซ้ำยังเสนอตัวจะเป็นคนช่วยเลือกของด้วย

   เซ้นส์ของผู้หญิงน่าจะมีประโยชน์มากกว่าผู้ชายอย่างเขาและซูเล่ย อังเดรจึงตอบรับทันที

   “ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะชอบไหมนะครับ” อังเดรว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย

   “ทำไมล่ะคะ?”

   “ความพอใจของเอเดรียนออกจะเข้าใจยากสำหรับผู้ใหญ่แถมยังเป็นผู้ชายแบบผมล่ะมั้งครับ ตอนอายุได้ขวบปีเป็นครั้งแรกที่เธอได้ของขวัญ แต่เอเดรียนก็มักจะพอใจของขวัญจากมารีนมากกว่าผมไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่เทศกาล อย่างตุ๊กตาที่ถือติดมือเสมอก็เป็นของที่มารีนซื้อให้ ถึงแม้เอเดรียนจะดีใจที่ได้ของจากผมแต่ก็ไม่เห็นว่าจะหยิบออกมาเล่นสักเท่าไหร่ ทำให้ผมไม่ค่อยมั่นใจเอาเสียเลย”

   ลอร์เรนยิ้มขำเมื่อได้เห็นจุดอ่อนไหวของอังเดร ผู้ชายคนนี้มีจุดอ่อนที่ลูกสาวเช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งนั่นเป็นความน่ารักของผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วและถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ ไม่แปลกเลยที่สาว ๆ บางคนจะนิยมพ่อหม้ายกัน

   “คุณซื้อของขวัญอะไรให้เอเดรียนบ้างหรือคะ? บอกฉันได้ไหม?”

   อังเดรมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดทบทวน

   “ล่าสุดรู้สึกว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์กระเป๋าสำหรับเด็กน่ะครับ พอกดแล้วก็จะเป็นเสียงอ่านตัวอักษรและตัวเลข” ตอนที่เขาซื้อ เขารู้สึกว่ามันช่างเหมาะกับวัยที่ควรจะเริ่มเรียนรู้การอ่านออกเสียงได้แล้ว และการที่มีเสียงอ่านนำรวมถึงปุ่มกดสีสันสดใสน่าจะทำให้เอเดรียนนึกสนใจมันมากกว่าของเล่นชิ้นอื่น ๆ

   แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเอเดรียนไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่เพราะยังไม่เข้าใจการอ่านมากพอ สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่กระเป๋าสีสวยที่เอาไว้ถือเดินอวดและจิ้มให้คนอื่น ๆ ดูว่ามันพิเศษยังไงเท่านั้น เพียงสองเดือนมันก็ถูกเก็บเอาไว้โดยไม่ได้เอาออกมาเล่นอีก

   “แหม...” หญิงสาวพูดแค่นั้นก่อนหัวเราะออกมา

   “อะไรหรือครับ?”

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันคิดว่าคุณซื้อให้ไวเกินไปหน่อย ถ้าวันมะรืนเอเดรียนได้ของแบบนั้นเป็นของขวัญคงจะสนใจเล่นมากกว่าสมัยก่อนก็ได้”

   เมื่ออังเดรคิดทบทวนก็เห็นจริงดังนั้น เพราะเอเดรียนเพิ่งจะมาสนใจเรื่องการอ่านเขียนเมื่อเร็ว ๆ นี้ คงเพราะเขาลืมคิดเรื่องอายุไปกระมัง

   “ผมคิดถูกจริง ๆ ที่ขอให้คุณมาด้วย” เขาว่า

   “ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือค่ะ” ลอร์เรนตอบรับด้วยรอยยิ้มเปิดเผยก่อนจะพารถเข้าเทียบทางเท้าหน้าบ้าน ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ซูเล่ยและเอเดรียนเพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน ทั้งสองจึงยังยืนอยู่หน้าประตูและกำลังไขเข้าบ้านเพื่อนำข้าวของไปเก็บข้างใน

   “แดดดี้กลับมาแล้ว” เอเดรียนดึงชายเสื้อซูเล่ยที่กำลังง่วนกับการเปิดประตูบ้าน และเมื่อเขาเห็นมาก็พบว่าชายหนุ่มกำลังลงจากรถพร้อมกับลอร์เรน “ทำไมถึงมากับลอร์เรนล่ะ? แดดดี้ไปเที่ยวกับลอรืเรนมาเหรอ?” เด็กหญิงหันมาถามพี่เลี้ยงด้วยสายตาฉงนสงสัย

   “คงจะบังเอิญเจอกันล่ะมั้ง ลอร์เรนเห็นว่าแดดดี้ไม่ได้ขับรถไปก็เลยมาส่งไง” ซูเล่ยแก้ตัวแทนด้วยข้ออ้างที่ดูแนบเนียนที่สุดทำให้เอเดรียนไม่นึกสงสัยต่อ

   ลอร์เรนทักทายเอเดรียนและซูเล่ยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่แสดงพิรุธเลยว่าไปไหนมากับอังเดร ก่อนจะขอตัวลากลับไปก่อน ทั้งสามคนที่เหลือจึงพากันเข้าบ้าน

   ข้าวของถูกขนเข้าไปวางในครัว ซูเล่ยก็ยังคงรับหน้าที่ลำเลียงเข้าตู้เก็บไปทีละอย่างเช่นเดิม

   “ของล่ะครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นอังเดรหิ้วถุงสุดท้ายเข้ามา

   “ฝากไว้ในรถคุณเฟอร์เรสต์” ชายหนุ่มร่างสูงวางถุงกระดาษลงบนโต๊ะ “วันนี้เอเดรียนเป็นยังไงบ้าง คงไม่ได้งอแงมากใช่ไหม?”

   ซูเล่ยเหลือบตามองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะถอนใจ

   “ที่จริงแล้วเธอน้อยใจคุณมากทีเดียว แล้วผมก็ช่วยปิดบังให้แล้ว แล้วทางคุณล่ะครับ ไปซื้อของกับลอร์เรนเป็นยังไงบ้าง?”

   “ก็ดี คุณเฟอร์เรสต์เป็นคนละเอียดอ่อนกับเรื่องพวกนี้มากทีเดียว ถ้าเป็นฉันไปคนเดียวคงจะตัดสินใจลำบากกว่านี้” เขานึกถึงตอนที่ไปยืนอยู่หน้าร้านของเล่นสำหรับเด็กและนึกไม่ออกว่าควรจะมองดูอะไรเป็นอันดับแรก ครั้นจะเปลี่ยนใจไปซื้อเสื้อผ้าก็คงไม่พิเศษสำหรับเอเดรียนนัก ส่วนตุ๊กตาเอเดรียนก็มีตัวโปรดอยู่แล้วและเขาก็ไม่อยากพรากความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับแม่ไปจากลูกสาว สุดท้ายจึงทำได้แค่เดินตามพนักงานแนะนำสินค้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลอร์เรนเริ่มออกความเห็นขึ้นมาและช่วยพูดคุยกับพนักงานให้ จากหลายชิ้นที่ถูกนำมาให้เลือกลอร์เรนก็ช่วยคัดจากปัจจัยต่าง ๆ จนกระทั่งได้ชิ้นที่ดูใช้ได้ที่สุด นับเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาต้องมองลอร์เรนในแง่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมหลายขุมโดยละเลยอคติไปแทบสิ้น

   “ถ้ามันดีถึงขนาดนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ” เมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายและมีความสุขของอังเดร ตะกอนขุ่นในใจซูเล่ยก็ถูกตีกวนให้ฟุ้งขึ้นมา “ยังไงเธอก็จะมาเป็นแม่ของเอเดรียนในอนาคต ถ้าเธอเข้าใจเอเดรียนดีถึงขนาดนั้นเห็นทีว่าผมคงจะหมดห่วงได้เสียที”

   “แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าคุณเฟอร์เรสต์เข้าใจเอเดรียนดี?” คิ้วสีเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย

   “ยังไงผู้หญิงก็ต้องเข้าใจกันดีกว่าผู้ชายอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ และยังไงเอเดรียนก็ต้องการแม่มากกว่าพี่เลี้ยง ตัวลอร์เรนเองก็ไม่ได้นิสัยเลวร้าย ตามความเห็นผมเธอมีสัญชาตญาณความเป็นแม่อยู่สูงมากทีเดียว มากกว่ามารีนหลายเท่าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น...”

   “ดังนั้นฉันจึงต้องยอมแต่งงาน?”

   คำถามของอังเดรทำให้ซูเล่ยหยุดชะงัก

   “นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว”

   อังเดรแค่นเสียงขึ้นจมูกเป็นจังหวะสั้น ๆ แล้วเดินเข้ามาเชิญหน้ากับคู่สนทนา

   “เธอยังมีสิทธิพูดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ ในเมื่อยอมให้ฉันใช้ร่างกายนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้วแท้ ๆ” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น อังเดรก็คร่อมร่างของซูเล่ยไว้ระหว่างแขนทั้งสองข้างโดยมีตู้เย็นอยู่ด้านหลัง สายตาที่มองลงมาคล้ายกำลังพินิจพิจารณาถึงความตั้งใจจริงของผู้ถูกกักขัง และเมื่อซูเล่ยเลือกที่จะหลุบตาหลบ ชายหนุ่มร่างสูงก็โน้มใบหน้าลงขบเม้มใบหูนิ่มพาให้ทั้งร่างสะดุ้งไหว ก่อนจะเลื่อนไล้มายังลำคอขาวที่ยังหลงเหลือร่องรอยจากเมื่อคืนนี้อยู่เล็กน้อย เขาเม้มรอยซ้ำที่เดิมเพื่อให้ชัดเจนขึ้นราวกับกำลังตอกย้ำถึงความเป็นเจ้าของ

   “สำนึกบ้างสิว่า...ตัวเองกำลังจะต้องแต่งงานน่ะ...” ซูเล่ยเตือนสติอีกฝ่ายและตนเองก่อนที่จะเลยเถิด สัมผัสของอังเดรนับวันยิ่งทำให้เขาเตลิดจนควบคุมใจตัวเองไม่ได้

   “ก็ใช่ แต่ก่อนหน้าที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังต้องเป็นของฉันต่อไป” เป็นครั้งแรกที่อังเดรประกาศความเป็นเจ้าของอย่างตรงไปตรงมาพร้อมผละมือข้างหนึ่งลูบไปบนร่างกายผ่านผ้าเนื้อบาง “อยากลองนับดูไหมว่าบนร่างกายของเธอมีรอยที่ฉันเคยฝากไว้กี่รอย กี่ครั้งที่เธอครวญครางสุขสมเมื่อถูกกกกอด แล้วยังกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าไม่ได้คาดหวังอะไรจากฉันเลยนอกจากเป็นเครื่องมือฆ่าเวลา” ความอุ่นของฝ่ามือไล้ไปบนแผ่นหลังและผ่านลงไปยังสะโพก ซูเล่ยทำได้เพียงใช้มือข้างที่เป็นอิสระพยายามผลักอีกฝ่ายออกซึ่งมันไม่เคยได้ผล

   “เราทั้งสองฝ่ายก็เหมือน ๆ กันไม่ใช่หรือครับ ก็แค่ฆ่าเวลาให้กันและกัน พอจบเรื่องก็ต่างคนต่างไปและลืม ๆ มันไปเสีย”

   “จะเอาอย่างนั้นก็ได้” อังเดรตอบรับอย่างเรียบง่าย “ยังไงมุกลืมโทรศัพท์มือถือของเธอมันก็ช่วยได้มาก สิ่งที่เธอจะต้องทำต่อไปคืออย่าให้คุณเฟอร์เรสต์จับได้ว่าฉันกับเธอมีอะไรกันสินะ?”

   ซูเล่ยตวัดสายตาขึ้นมองผู้พูด

   อังเดรรู้อย่างนั้นหรือว่าเขาเป็นคนแอบขโมยโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ลอร์เรนเป็นคนนำไปให้และเปิดบทสนทนานำไปสู่สถานการณ์ที่เอื้อต่อการสานต่อความสัมพันธ์ที่แนบชิดยิ่งขึ้น

   แต่ที่ถามออกมาอย่างนี้มันมีความหมายอะไรกันแน่?

   ทันใดนั้น สายตาของซูเล่ยก็เลื่อนไปที่หน้าต่างประหนึ่งมีสัญญาณบ่งบอก ทำให้เขาได้เห็นรถของลอร์เรนซึ่งย้อนกลับมาที่บ้านด้วยเหตุผลบางอย่าง

   หรือว่า...

   “คุณ...!”

   “ขอใช้มุกซ้ำคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม? พอดีว่าฉันลืมกระเป๋าเงินไว้ในรถของคุณเฟอร์เรสต์โดยบังเอิญก็เลยขอให้เธอย้อนรถกลับมาคืน ก็แค่นั้นเอง” น้ำเสียงของอังเดรเรียบนิ่งราวกับกำลังเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันแสนปกติธรรมดา แน่นอนว่าวิธีนี้เคยใช้ได้ผลมาแล้วกับยูล่า ซูเล่ยไม่แปลกใจเลยหากว่าอังเดรจะเลือกใช้มันอีกครั้งเพื่อกำจัดลอร์เรนออกไป แต่เพื่ออะไรกันล่ะ?

   สมองของซูเล่ยแล่นอย่างฉับพลัน

   เพื่อเอาคืนเขาอย่างนั้นหรือ? และเพื่อหักหน้าพ่อของเขาไปในตัวด้วย...

   ทำไมกัน...หรือว่าอังเดรจะรู้แล้ว เรื่องเมื่อห้าปีก่อน...

   ไม่น่าเป็นไปได้...

   ซูเล่ยคิดกับตนเองอย่างสับสน เสียงออดจากหน้าบ้านทำให้สมองขาวโพลนในทันที และได้แต่หวังว่าลอร์เรนจะรอฟังคำอธิบายของเขาก่อนที่จะสรุปเองแบบที่ยูล่าเคยทำ ในระหว่างที่ทำใจอยู่เงียบ ๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อังเดรผละออกไปโดยไม่ได้บังคับขู่เข็ญอะไรอีก ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกไปนอกห้องครัวเป็นจังหวะเดียวกับที่เอเดรียนเปิดประตูรับลอร์เรนเข้ามา

   ทั้งสองพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกเกี่ยวกับเรื่องกระเป๋าเงินอยู่ครู่หนึ่ง

   “แล้วชูเลย์ล่ะคะ?” จู่ ๆ ลอร์เรนก็ถามถึงซูเล่ยขึ้นมา

   “จัดของในครัวอยู่น่ะครับ จริงสิ ไหน ๆ ก็รบกวนให้กลับมาถึงที่นี่ อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันนะครับ” อังเดรเอ่ยชักชวนอย่างสนิทสนมและหว่านล้อมอีกเล็กน้อยพร้อมกับการสนับสนุนของเอเดรียนทำให้ลอร์เรนยอมตอบรับในที่สุด และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในสายตาของซูเล่ยซึ่งทำได้เพียงมองดูด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจอังเดร ลอร์เรน หรือแม้กระทั่งตนเอง...

   ลอร์เรนอาสาที่จะช่วยซูเล่ยทำครัวเพราะอยากเรียนรู้จึงเข้ามาในครัวและได้อยู่กับซูเล่ยตามลำพังโดยระหว่างนี้อังเดรก็รับหน้าที่ดูแลเอเดรียนไปตามระเบียบ

   ถึงอย่างนั้นลอร์เรนก็ช่วยได้ไม่มากนักเพราะเธอไม่เคยสนใจฝึกฝนมาก่อน ซูเล่ยจึงขอให้หยิบของให้เป็นช่วง ๆ เท่านั้น

   “...ดูเหมือนเขาจะพอใจเธออยู่...” ซูเล่ยเปิดประเด็นเพราะไม่อยากให้เงียบมากเกินไประหว่างที่รอให้อาหารสุกดี “บางที...”

   “เธอยังอยากกลับไปทำงานเดิมอยู่หรือเปล่า?” แต่แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ดูไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย “ถึงจะปิดบังฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกชูเลย์ อย่าลืมสิว่าฉันอ่านเธอออกเสมอ รวมถึงเรื่องที่คุณแอชฟอร์ดกับเธอ...”

   “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” เขารีบปฏิเสธ หญิงสาวจึงไหวไหล่

   “เธอรู้สึกผิดอยู่สินะ ที่เคยหลอกลวงและทิ้งเขาไปโดยที่ไม่อธิบายอะไรเลย ตัวตนของเธอในตอนนั้นเป็นแค่ภาพมายาที่ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง แค่เข้าใกล้เขาเพื่อเปิดโอกาสให้มารีนแบบที่ทำเพื่อฉันในตอนนี้ กลัวอย่างนั้นหรือ? ว่าคุณแอชฟอร์ดจะรู้ความจริงเข้าในสักวัน” คำพูดของมารีนประหนึ่งเข้ามานั่งอยู่ข้างในหัวใจและอ่านทุกความรู้สึกที่ปกปิดเอาไว้อย่างง่ายดาย

   “เรื่องพวกนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก” ซูเล่ยโบกไม้โบกมือเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขุดค้นความคิดไปมากกว่านี้ แต่ที่ลอร์เรนพูดมาก็ไม่ได้ผิดอะไร เขารู้สึกผิดมาตลอดที่โกหกอังเดรรวมถึงโกหกตัวเอง ทำราวกับว่าทุก ๆ สิ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่กลับสลัดความรู้สึกลึกล้ำออกไปไม่ได้ หลังจากอังเดรแต่งงาน เขาก็ย้ายไปอยู่ที่จีนตามที่เคยขอกับลามอนต์เป็นข้อแลกเปลี่ยน เพื่อจะได้กลับไปอยู่กับแม่และห่างไกลจากภาพของอังเดรที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง การทำงานเป็นผู้ประสานงานกับบริษัทคู่ค้าที่นั่นช่วยให้ลืมเลือนไปได้บ้าง ทว่าเมื่อถูกเรียกตัวกลับมาร่วมงานศพมารีนก็กลับหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ที่จะเสนอตัว

   การใช้คำสั่งของลามอนต์เป็นข้ออ้างเริ่มจะมีน้ำหนักน้อยลงทุกที ความรู้สึกที่ทั้งอยากอยู่ใกล้แต่ก็อยากหนีให้ไกลห่าง ใครจะมาเข้าใจได้...

   ทั้งกลัวว่าจะรัก กลัวจะถูกรัก กลัวผิดหวัง และกลัวถูกหักหลังเหมือนที่ตนเคยทำ

   หากว่านี่เป็นเกม เขาก็คงกลัวว่าหากเลือกช้อยส์ผิดเกมก็จะโอเวอร์ จึงได้หยุดมันไว้แค่นั้นและไม่ยอมเดินต่อ แต่พ่อของเขาคงไม่ยอมหรอก...เพราะอย่างนั้นจึงได้ส่งลอร์เรนมาเพื่อให้แน่ใจว่าอังเดรจะแต่งงานกับคนที่เหมาะสมอย่างที่ต้องการ ส่วนเขาก็จะหมดหน้าที่และถูกเขี่ยทิ้งเหมือนอย่างทุกที

   “ถ้าเธออยากจะไปจากที่นี่จริง ๆ ล่ะก็...ฉันช่วยเอาไหม?”

   ซูเล่ยเม้มปาก ยากจะบอกออกไปได้ว่าตนเองถูกกักขังในสภาพไหน ในแต่ละคืนที่อังเดรมาที่ห้องของเขาใช่แต่เพียงมาหาเศษหาเลยเท่านั้น แต่มาคอยจับตาดูว่าเขาจะไม่แพคกระเป๋าหนีไปด้วยต่างหาก กระนั้นหญิงสาวกลับยิ้มมีเลศนัยราวกับล่วงรู้ความคิดโดยไม่จำเป็นต้องฟังคำอธิบายใด ๆ

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-01-2014 15:21:34
มาไม้ไหนกันอีกล่ะเนี่ยยยลอเรนส์
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
อังเดรก็นะ ดูสุภาพก็จริง แต่ก็ดูเจ้าชู้ไปด้วย
น่าหมั่นไส้อะ หาคนมาจีบซุน่าจะดีกว่า หมั่นไส้มากๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 17-01-2014 16:01:16
ซูนี่นางเอกมาก บางทีก็ขัดใจทำไมไม่บอกๆไปให้หมด
ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆยิ่งสงสาร คืออังเดรก็ไม่เคยทำอะไรให้ชัดเจนแบบว่าฮีก็เป็นงี้ตั้งแต่ยูล่า
ที่ไม่ชอบใจสุดคือตาแก่พ่อซูปะ คือยุ่งอะไรหนักหนา =_= ลูกสาวตัวเองก็ตายไปแล้ว รำคาญจริง
ลอร์เรนนี่จะดีหรือร้าย ถ้ารู้ว่าซูกับอังเดรนี่ซัมติงคนดีๆเค้าควรจะถอยแล้วช่วยซูปะ

เห็นด้วยค่าหาใครมาจีบซูที
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 17-01-2014 16:03:04
อื้มมมมมมมม ดูเหมือนอังเดรจะมีแผนนะ

อา........เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 17-01-2014 16:21:57
อ่านตอนนี้แล้วเกลียดลอเลนส์  ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาให้ซูช้ำใจอีกหรือเปล่า

เฮ้อ~  เรื่องนี้ซูน่าสงสารที่สุดอ่ะ  เหมือนถูกรังแกกับถูกกดขี่มานาน  แถมพอจะเข้มแข็งตัดใจก็ดันมามีคนอื่นมาแทรกอีก  อีกอย่าง...

พระเอกมันเป็นอะไรของมันฟร๊ะ  ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนซักที  กั๊กไปกั๊กมาอยู่นั่นแหละ  คนอ่านหงุดหงิดระ :fire:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 17-01-2014 16:38:33
อยากรู้ว่า พ่อซูนี่เคยรักซูบ้างใหม ทำทุกอย่างเพื่อมารีน

มารีนตายแล้วยังมาวุ่นวายกับอังเดร

ทั้งที่น่าจะรู้เรื่องซูกับอังเดร ก็ยังใช้ซูเป็นหมากตัวหนึ่งในการมาบงการชีวิตอังเดร นี่พ่อจริงๆเหรอ คือเลวไปใหม???

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 17-01-2014 18:27:55
สงสารซู เหมือนว่าซูกำลังเป็นอะไรสักอย่างที่อังเดรและพ่อใช้เล่นแก้เบื่อ อังเดรอยากยื้อก็ไม่พูด กดดันให้ซูอยู่แบบจำยอม
พ่อกะลอเลนส์ก็รู้ว่าซูคิดยังไงแต่ก็หลอกล่อให้ซูสับสนว่าถูกส่งมาทำหน้าที่ไม่ให้ทำอย่างใจหวัง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 17-01-2014 19:38:38
อ่านๆไปเหมือน อังเดร จะรู็อะไรมั้งแล้วหละ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-01-2014 20:28:13
นี่ก็พี่สาวหรอ
นึกว่าเลขาพ่อตา
สงสารซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 17-01-2014 20:28:25
ยังไงเนี่ย ตาแก่กลับใจ? แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ เดามั่วคงไม่ดี
อังเดรเป็นผู้ชายใจร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นพัฒนาการที่ดีในทางที่แย่จริงๆ


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 17-01-2014 21:35:25
พ่อซูนี่ไม่ได้รักซุเลยใช่ไหมเนี่ย
แล้วซูก็ ทำเพื่อลอเรนเหลือเกินนน
แบบว่า ขัดใจมากกกก
นางเอกสุดฤทธิ์ ฮ่าๆๆๆๆ
แล้วก็อังเดร ก็ปากแข็งอยู่นั่นละ
ทำขนาดนี้เพื่อให้ลอเรนออกไปจากชีวิต
ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
บอกๆซุไปเลย โด่ ว่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 17-01-2014 22:06:52
เอาเลยค่ะพาซูหนีไปเลยนะคะ อังเดรจะได้รู้ใจตัวเองซักที
และบางทีอาจจะทำให้อะไรๆ ชัดเจนมากกว่านี้?  :hao5:
นายเอกเราก็แม่พระมากจริงๆ แต่พระเอกดันรู้ทันซะงั้น
โหยยยย ทีเรื่องแบบนี้หล่ะรู้ ทีคนที่ตัวเองชอบหล่ะไม่รู้เลยหรือว่าเป็นคนๆเดียวกัน แงๆๆ
รอความจริงจะถูกเปิดเผยอยู่นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 17-01-2014 23:06:02
หมั่นไส้อังเดร
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ploygy ที่ 18-01-2014 10:23:23
เห็นด้วย หาคนมาจีบซูเถิด อังเดรจะได้ทำอะไรให้มันชัดเจนซะที=3=
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-01-2014 13:42:05
ไม่เข้าใจพ่อซูเลยจริง ๆ .. นึกย้อนกลับไปว่า  ตอนที่แม่ซูกลับเมืองจีนและรู้ว่าตัวเองท้องนี่
ตอนนั้นแม่ซูจากไปเพราะผู้หญิงคนหนึ่งจัดการให้ ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นปริศนาอยู่เลยว่าใคร
เพราะไม่ใช่แม่มารีนที่ทำแบบนี้  แต่หลังจากนั้น พ่อซูรู้ได้อย่างไรว่าแม่ซูท้องลูกของตัวเอง
และเพราะอะไรทำให้ซูต้องมาทำอะไร ๆ ๆ ตามที่พ่อซูบงการด้วย ตกลงเมิงรักลูกคนนี้บ้างไหม
ลอเรน สำหรับผู้หญิงคนนี้ตอบยากว่ามาดีหรือร้าย  แต่ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อซูมาก
จนสงสัยว่าอาจเป็นญาติหรือลูกพี่ลูกน้องกับซูด้วยหรือเปล่า ... ตอนนี้ยังมีเงื่อนงำเยอะพอสมควร
.. เห็นด้วยกับหลาย ๆ คนที่บอกว่า อยากให้ซูมีทางเลือกบ้าง นับวันยิ่งจมลึกลงไปในหลุมรัก
โดยที่อังเดรก็มัวแต่ปากหนัก รักษาท่าอยู่นั่นแหละ .. จะเอาอย่างไรก็ว่ามา ทำแบบนี้สงสารซูนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 18-01-2014 15:33:31
ซู แบบ นางเอ๊กกกกกกกกกกกก(กอไก่อีกหลายตัว)มาก(กอไก่อีกหลายตัว)

โอ้ย เหนื่อย  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 18-01-2014 15:56:46
อังเดรเริ่มจะร้ายขึ้นเรื่อย ๆแล้วสิน่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 18-01-2014 17:21:18
อ่านทันแล้ว  :really2:

ทำไมพ่อตาต้องอยากได้อังเดรเป็นลูกเขยขนาดนี้? ตั้งแต่แรกเลยที่ส่งซูเล่ยไป จนได้แต่งกับมารีน

ใครเป็นอังเดร ก็คงจะหงุดหงิดนะ ไอ่แก่นี่จะยุ่งอะไรกับชีวิตตูนักหนาฟะ คงอยากเอาคืนอ่ะ

เรื่องนี้สงสารซูเล่ยที่สุด น้ำตาซึมตั้งแต่ชื่อแล้ว แล้วยังมีพ่อที่นอกจากไม่สนใจ ยังไม่รักอีก

สามารถเห็นซุเล่ยเจ็บแทบตายได้ ทั้งที่รู้อยู่แล้ว เลือดเย็นมากกกก

ซูเล่ยมีชีวิตเพื่อตัวเองบ้างเถอะ เลิกทำเพื่อพ่อแบบนี้ได้แล้ว

รักเอเดรียน นางน่ารัก  :pig4: นักเขียนแต่งได้สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-01-2014 17:56:24
โอยซู ส่วนตัวคิดว่าคุณพ่อน่าจัทำเพื่อซูอยู่นะคะตอนนี้..
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 18-01-2014 18:41:47
สงสารซู

แต่เราก็เข้าใจอังเดรนะ
ถ้าเราเป็นอังเดร เราคงอยากเอาคืนพ่อตาตายชักเลย
เมียก็ตายไปแล้ว ยังจะมาวุ่นวายอะไรกับตูอีก

อยากให้ทั้งสองมีความสุขนะ
ทั้งซู ทั้งอังเดรเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 18-01-2014 19:45:13
คือ ซูเป็นอะไร ผ้าขี่ริ้ว หรอ เดี๋ยวคนนั้นเช็ดทีคนนี้เช็ดที จนมันเปื้อนไปหมดแล้ว แล้วคิดว่าคงซักออกยากด้วย เฮ้อ..

อีพระเองจะรักหรือไม่รักนี่ไม่สนใจแล้วนะ แต่คนเป็นพ่อทำกับลูกได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ให้ตาย มึงไม่เคยรักลูกคนนี้ของมึงเลยใช่มั้ย น่าเสียดายทีเกิดมาเป็นพ่อคน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wiwari ที่ 18-01-2014 19:49:44
โอ๊ยยยยย อึดอัด ปวดร้าวแทนซู  :katai1: อยากให้ซูมีชีวิตที่ดีบ้างนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 18-01-2014 19:50:43
สงสารซูสุด เจ็บกับอังเดรคงไม่เจ็บเท่าที่พ่อตัวเองใช้เป็นแค่เครื่องมือให้ลูกอีกคน และยังคอยตอกย้ำอีก เพลียแทน :heaven
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 18-01-2014 20:27:31
ชูน่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 18-01-2014 22:35:09
นับวันความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของอังเดรก็ยิ่งทวีคูณ
อยากให้ซูหนีไปให้พ้นๆ อังเดรจะได้กระอักเลือด
แต่ซูก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ อยากรู้ว่าที่ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้
ซูจะมีความสุขแค่ไหนกันเชียว ลอเรนดูเจ้าเล่ห์ตามอังเดรไปอีกคน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 19 [17/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 19-01-2014 02:32:30
มันหน่วงจริงๆ :z3: แต่ตอนนี้เหมือนลามอนมีแผนช่วยซูยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-01-2014 16:01:15
-20-


   ค่ำคืนวันจันทร์ อังเดรก็กลับมาพร้อมกับเค้กปอนด์ก้อนใหญ่ ชายหนุ่มแอบนำเข้ามาในบ้านในจังหวะที่ซูเล่ยพาเอเดรียนไปอาบน้ำและให้ลอร์เรนช่วยจัดข้าวของ พวกเขาสาละวนกับห้องนั่งเล่นด้วยความคล่องแคล่วเพื่อให้เสร็จภารกิจทันท่วงที

   ซูเล่ยที่ทำหน้าที่กันเอเดรียนออกจากห้องนั่งเล่นได้แต่สงสัยว่าจะต้องถ่วงเวลานานสักเท่าไหร่ เพราะจะให้เอเดรียนอาบน้ำจนตัวเปื่อยหลุดเป็นชิ้น ๆ ก็ไม่ไหว ในที่สุดเมื่อเด็กหญิงถามว่าจะต้องอาบไปอีกนานแค่ไหน เขาก็จำต้องบอกให้ขึ้นจากอ่างได้และพาไปแต่งตัว

   “ทำไมต้องแต่งชุดสวย ๆ ด้วยล่ะ?” เอเดรียนถามเมื่อซูเล่ยหยิบชุดสำหรับออกไปข้างนอกมาสวมให้

   “วันนี้วันเกิดเอเดรียนไม่ใช่หรือ? ต้องทำให้แดดดี้เสียใจที่ลืมวันเกิดไง” ชายหนุ่มหาข้ออ้างได้ทันท่วงที เอเดรียนจึงยอมสวมเสื้อผ้าด้วยรอยยิ้มสดใสแกมซุกซน

   “แดดดี้จะตกใจมาก ๆ เลย” เด็กหญิงหัวเราะคิกคักในขณะที่ซูเล่ยช่วยแต่งตัวให้ พี่เลี้ยงเด็กรู้สึกผิดอยู่ในใจที่หลวกลวงอีกฝ่ายแต่ในเมื่อดเป็นการเซอร์ไพรซ์ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการปิดบังหลอกลวงด้วยกันทั้งสิ้น คิดเช่นนั้นจึงรู้สึกสบายใจขึ้นและแต่งตัวให้เอเดรียนจนเสร็จ

   “ลงไปข้างล่างกันเถอะ แดดดี้คงกลับมาแล้ว” ซูเล่ยลุกขึ้น มองดูความเรียบร้อยเป็นรอบสุดท้ายแล้วจูงมือเอเดรียนออกไปจากห้อง ตอนนั้นเอง เด็กหญิงก็สังเกตเห็นว่าชั้นล่างของบ้านปิดไฟมืดสนิท ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างผิดปกติเนื่องจากตอนขึ้นมาลอร์เรนยังอยู่ข้างล่าง

   “ลอร์เรนกลับไปแล้วเหรอ?”

   “ยังหรอกมั้ง...พวกเราลองลงไปหาลอร์เรนกันเถอะ อาจจะหลงทางในความมืดก็ได้” ชายหนุ่มเสนอแล้วจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยค่อย ๆ เดินลงบันไดสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง แต่แม้ว่าเอเดรียนจะเคยลงบันไดท่ามกลางความมืดด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว แต่ตอนนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย ตอนนี้เอเดรียนจึงแสดงความเป็นเด็กขี้กลัวออกมาอย่างชัดเจนด้วยการเกาะขากางเกงพี่เลี้ยงแน่นและค่อย ๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง

   แต่แล้วเมื่อปลายเท้าเล็กบอบบางก้าวถึงขั้นสุดท้าย ก็บังเกิดเสียงเพลง Happy Birthday ดังมาจากห้องครัว จากนั้นแสงแวววามของเทียนก็ปรากฏขึ้น ทำให้มองเห็นเค้กขนาดสองปอนด์ที่ใช้เป็นฐานรับ รวมถึงบุคคลซึ่งถือมันเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงอวยพรไปด้วย เวลานั้นเองที่ซูเล่ยเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟ

   “แดดดี้!?” เอเดรียนร้องขึ้นด้วยเสียงแหลมเล็ก

   “สุขสันต์วันเกิดเอเดรียน” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มกว้างก่อนวางเค้กลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น เด็กหญิงก็ปล่อยมือจากพี่เลี้ยงแล้วโผเข้าสู่อ้อนอกของผู้เป็นพ่อทั้งรอยยิ้ม

   “แดดดี้ไม่ลืมวันเกิดเอเดรียน! แดดดี้น่ารักที่สุดเลย!” เธอร้องพร้อมทั้งกระโดดกระเด้งในอ้อมกอดของพ่อด้วยความปิติยินดีอันล้นเหลือ

   “ใครจะลืมวันเกิดลูกของตัวเองได้กัน หืม?” อังเดรจูบแก้มลูกสาวดังฟอด

   “แต่ซูบอกว่าแดดดี้ลืมนี่นา” ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าของผู้เป็นพ่อด้วยความฉงนฉงาย ซูเล่ยที่กลายเป็นจำเลยสังคมจึงได้แต่ยอมรับมันอย่างเงียบ ๆ

   “แดดดี้เป็นคนบอกซูเองว่าให้ปิดเป็นความลับ อย่าโทษซูเลยนะ” อังเดรว่าแล้วลูบศีรษะทุย

   “อื้อ เอเดรียนไม่โกรธซูหรอก เอเดรียนชอบซู แต่ว่ารักแดดดี้มากกว่า” เมื่อได้สิ่งที่ถูกใจ เด็กหญิงก็โปรยปรายความรักอย่างทั่วถึง แต่เป็นความจริงใจไม่มีความเสแสร้ง “แล้วลอร์เรนกลับไปแล้วเหรอ?”

   ทันใดที่ถูกถามถึง ประตูก็พลันเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวและกล่องของขวัญห่อใหญ่ซึ่งถูกนำเข้ามาอย่างระมัดระวัง เอเดรียนมองลอร์เรนและของที่อยู่ในมือด้วยดวงตากลมโต

   “ของขวัญของเอเดรียน?”

   “ใช่แล้วจ้ะ แดดดี้ไปซื้อให้เอเดรียนโดยเฉพาะเลยนะ” ลอร์เรนวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะในขณะที่อังเดรพยักเพยิดให้ลูกสาวไปเปิดห่อของขวัญได้ เจ้าของวันเกิดจึงไม่รอช้าเลยที่จะตรงดิ่งเข้าไปหากล่องของขวัญที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีลูกกวาดและริบบิ้นสดสวย แต่กระดาษและริบบิ้นไม่น่าสนใจเท่าสิ่งที่อยู่ข้างใน พวกมันจึงถูกดึงทึ้งออกอย่างรวดเร็วผิดกับตอนที่ห่อเข้าไปซึ่งต้องใช้เวลาหลายนาทีในการกระดิษฐ์ประดอย

   เมื่อกระดาษห่อถูกดึงออกจนหมด กล่องกระดาษลูกฟูกสีสดก็ปรากฏขึ้น ด้านหน้าของกล่องเป็นรูปผลิตภัณฑ์ด้านในเด่นหรา ด้านบนมีชื่อยี่ห้อและชื่อเรียกผลิตภัณณ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของเอเดรียนแม้สักน้อยเพราะเธอตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ข้างในมากกว่า

   เด็กหญิงแกะเปิดกล่องด้วยสองมือเล็ก และดึงเอาออร์แกนสำหรับเด็กสีสดใสออกมา ประกอบด้วยตัวคีย์บอร์ด ขาตั้ง ไมโครโฟน และเก้าอี้ สีสันของมันดูจัดจ้านแปลกตา ทั้งสีเหลือง ชมพู ส้ม และแดง แต่เมื่อเอเดรียนลองกดแป้นคีย์บอร์ดมันกลับไม่มีเสียงออกมา

   “เดี๋ยวสิเอเดรียน ยังไม่ได้ใส่ถ่านเลย” ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อหัวเราะให้กับความใจร้อนของลูกสาวแล้วจับอุปกรณ์แต่ละชิ้นขึ้นประกอบก่อนใส่ถ่านตามจำนวนที่ผลิตภัณฑ์ระบุไว้

   “ลองเล่นได้แล้วจ้ะ” ลอร์เรนดันให้เอเดรียนนั่งบนเก้าอี้พลาสติกที่มีสีเดียวกับตัวออร์แกน

   เด็กหญิงเริ่มต้นกดคีย์มั่ว ๆ ทันใดนั้นเองก็บังเกิดเป็นเสียงดนตรีแหลมสูง เอเดรียนดูจะถูกอกถูกใจจึงปรบมือแล้วหัวเราะคิกคัก

   “เอเดรียนรู้หรือเปล่าว่าเจ้านี่สามารถอัดเสียงได้ด้วยนะ” อังเดรชี้ไปที่ไมโครโฟน “หลังจากนี้ถ้าเอเดรียนเบื่อ ๆ ตอนซูทำงานบ้านก็จะได้ชวนลอร์เรนมาแต่งเพลงด้วยกัน บางทีแดดดี้อาจจะเอาไปใช้ตอนทำงานได้ด้วย ดีไหม?” เมื่อได้รับข้อเสนอ เอเดรียนก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้า แม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงคำพูดติดตลกของผู้ใหญ่ก็ตาม

   “แน่ใจหรือครับว่าจะเอาไปใช้จริง ๆ” ซูเล่ยอดถามไม่ได้เพราะดูท่าทางเอเดรียนจะเอาจริงเอาจังกับข้อเสนอนั้นเป็นอย่างมาก

   “ก็อาจจะ” ชายหนุ่มร่างสูงไหวไหล่ก่อนยิ้มมุมปาก “อย่างเช่นเต้นคู่กับเธอในบางวาระโอกาส”

   ผู้ฟังมุ่นคิ้ว คิดจะอ้าปากท้วงแต่แล้วความคิดที่แล่นเข้ามาในสมองก็ทำให้ต้องกลืนทุกสิ่งกลับลงไป

   ในบางวาระโอกาส...

   ซูเล่ยรู้อยู่เต็มอกว่าคงไม่มีวาระโอกาสนั้นอีกแล้ว

   เมื่อสองวันก่อน จู่ ๆ ลอร์เรนก็ยื่นข้อเสนอสำคัญให้กับเขา การจะได้ย้ายออกจากที่นี่...และกลับสู่ชีวิตเดิม ๆ ที่สงบสุข ไม่ต้องวุ่นวายใจกับอังเดรอีกต่อไป

   ซึ่ง...เขาก็ตอบรับ

   ผลของมันทำให้เขากับอังเดรเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันอีกเพียงไม่กี่วัน หลังจากนี้อีกไม่นาน เส้นทางชีวิตก็จะแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์ น่าแปลกที่เมื่อคิดถึงมัน หัวใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ซูเล่ยหวังเพียงแต่ว่าจะสามารถลืมเลือนช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดครึ่งปีนี้ได้โดยไว

   ลอร์เรนคล้ายจะเข้าใจถึงความคิดของเขา จึงจ้องมองมาและแย้มยิ้มบางที่สื่อได้หลายความหมาย ซูเล่ยไม่แน่ใจว่ามีความหมายใดที่ชัดเจนในเวลานี้ แต่ที่ใกล้เคียงที่สุดอาจจะเป็นคำปลอบใจ

   “เธอแน่ใจหรือเปล่าว่าพร้อมแล้ว” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อซูเล่ยอาสาพาออกมาส่งที่รถหลังจากตัดแบ่งเค้กกินกันเรียบร้อยแล้ว

   “ไม่รู้สินะ” ซูเล่ยไหวไหล่ “ปกติฉันก็ตัดสินใจทำอะไรปุบปับอยู่แล้ว อีกเดี๋ยวมันก็คงจะผ่านไปได้เอง”
   “ที่จริงแล้วฉันคิดว่ามันจะง่ายกว่า ถ้าเธอปล่อยวางและยอมรับความจริง” ลอร์เรนเลิกคิ้วโก่งสวยขึ้นสูงพลางจับจ้องปฏิกิริยาจากคู่สนทนา ผู้ถูกมองหลุบตาหลบแล้วถอนหายใจ

   “ถ้ามันง่ายแบบนั้นฉันคงจะทำไปแล้ว”

   ลอร์เรนยิ้มระอาใจ นึกถึงสมัยก่อนตอนที่ถูกรับมาจากจีนใหม่ ๆ และพยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตนไม่รู้จัก ซูเล่ยมักจะดูแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน จะว่าดูเป็นผู้ใหญ่เกินไปก็ใกล้เคียง เพราะเจ้าตัวมักจะเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน ไม่ยอมหัวเราะหรือร้องไห้อย่างเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น และยินยอมทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้งเพื่อที่จะไม่ต้องถูกรังเกียจ เพราะเหตุนั้นสำหรับมารีน ซูเล่ยจึงไม่ใช่น้องชายแต่เป็นของเล่นชั้นดีที่ตนเองสามารถบงการได้เหมือนกับตุ๊กตา แม้เมื่อโตขึ้น ซูเล่ยจะมีความเป็นตัวของตนเองมากขึ้น แต่ภายในก็ยังหวาดกลัวที่จะถูกชิงชังจึงได้เว้นระยะห่างจากคนอื่นเพื่อให้ตนเองสามารถถอยออกมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ

   สภาพแวดล้อมของบ้านเวสลอยด์คงไม่เหมาะกับเด็กอย่างซูเล่ยที่เติบโตมากับครอบครัวชาวจีนซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดมากนัก ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้

   ถ้าตอนนั้นลามอนต์ไม่รับเอาซูเล่ยมาเลี้ยงเอง ลอร์เรนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนคนนี้จะแตกต่างไปจากที่เห็นอยู่สักเท่าใด

   “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะชูเลย์”

   “แล้วเจอกัน” ซูเล่ยยอมรับการตัดบทสนทนาของลอร์เรนและเอ่ยอำลาตามปกติ แต่เขารู้สึกได้ว่า ‘เจอกันพรุ่งนี้’ ของลอร์เรน มีความนัยแอบแฝงอยู่อย่างแนบเนียน...

   ซูเล่ยหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน และเห็นว่าเอเดรียนกำลังสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นนอกจากออร์แกนเด็กเล่น มันคือของเล่นทำจากพลาสติกสีสันจัดจ้านเช่นเดียวกับออร์แกน แต่มีรูปร่างคล้ายคอมพิวเตอร์กระเป๋า และเมื่อกดปุ่มก็จะมีเสียงพูดออกมาแทนเสียงดนตรี

   “ฉันซื้อให้เมื่อปีก่อนแต่ตอนนั้นเอเดรียนไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่” อังเดรช่วยตอบคำถามให้เมื่อความสงสัยบังเกิดขึ้นในใจ

   “คงเพราะตอนนั้นยังไม่ถึงวัยที่จะสนใจเรื่องพวกนี้ล่ะมั้งครับ” ซูเล่ยลองคาดเดา

   “ลอร์เรนก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน”

   ซูเล่ยไม่แปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ลอร์เรนเซ้นส์ดีเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เพียงแค่เด็ก แม้กระทั่งผู้ใหญ่หากว่าใกล้ชิดพอเธอก็สามารถอ่านออกโดยง่ายได้เช่นกัน เขาจึงไม่ตกอกตกใจเมื่อลอร์เรนพูดเรื่องของเขากับอังเดรขึ้นมา

   เมื่อซูเล่ยเงียบไปเฉย ๆ อังเดรก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เสียงลมหายใจที่พรูแรงข้างตัวพาให้ซูเล่ยคิดว่าเจ้าของเสียงคงกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกแล้ว และคงหาเรื่องล่วงเกินเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เพราะมีเอเดรียนอยู่ด้วยจึงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกกระมัง

   “ตอนนี้ดึกแล้ว ผมว่าควรพาเอเดรียนขึ้นนอนจะดีกว่า”

   “นั่นสินะ” อังเดรแสดงความเห็นด้วยโดยไม่ได้มีความรู้สึกอื่นเจือปน พี่เลี้ยงเด็กจึงเดินเข้าไปหาเอเดรียนและหว่านล้อมเด็กหญิงเริ่มหาวจนน้ำตาปริบปรอยขึ้นนอนได้แล้ว แต่เอเดรียนที่ยังสนุกกับของเล่นดูท่าจะดื้อแพ่งอยู่ไม่ใช่น้อย กระทั่งว่าลืมตาแทบไม่ขึ้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากของขวัญวันเกิดของตนเอง ซูเล่ยจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการอนุญาตให้เอาคอมพิวเตอร์กระเป๋าของเล่นขึ้นไปบนห้องนอนด้วยได้ แต่ออร์แกนต้องวางไว้ข้างล่างเพราะเกะกะเกินกว่าจะยกขึ้นลงได้ตามใจชอบ

   คอมพิวเตอร์ของเล่นถูกวางไว้ข้างเตียงเพราะเจ้าของยืนยันที่จะให้มันวางอยู่ในระยะสายตาราวกับกลัวว่าเมื่อตื่นมาของเล่นอันโปรดที่ถูกละเลยมาเป็นปีจะอันตรธานไป

   ซูเล่ยเฝ้ารอจนกระทั่งเอเดรียนหลับไปก็ถอนหายใจออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะลงไปหาอังเดรหรือกลับเข้าห้องนอนเลยจะดีกว่า อย่างไรผลก็ออกเหมือนกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? หากลงไปหาข้างล่าง อังเดรก็คงจะพูดคุยด้วยนิดหน่อยแล้วก็พาขึ้นห้อง แต่ถ้าไม่ลงไปอังเดรก็จะตามขึ้นมาบนห้องเลย

   ระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้ เท้าก็พาก้าวออกมาถึงนอกห้องเสียแล้ว และตอนนั้นเองที่สายตามองไปทางประตูห้องนอนของอังเดร ประตูบานที่เขามีโอกาสก้าวผ่านเข้าไปแค่เพียงครั้งเดียวคือวันที่เกิดเหตุร้ายจนเอเดรียนขวัญเสีย และนับจากนั้น...ห้องของอังเดรและมารีนก็ปิดประตูต่อหน้าเขาเสมอมา การที่อังเดรเลือกจะร่วมรักกับเขาเฉพาะบนเตียงของห้องนอนแขกเท่านั้นนั่นหมายถึงสถานะซึ่งไม่อาจนึกเข้าข้างตนเองได้เลย มันชัดเจนดีอยู่แล้วแต่ทำไมยังอดคาดหวังไม่ได้กันนะ...

   แต่จะคิดอย่างไรหลังจากนี้ก็หันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว ลอร์เรนอาจจะหาทางให้ลามอนต์เอาตัวเขากลับเสียที หลังจากปล่อยปละละเลยไม่ยอมเรียกตัวให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

   “ซู” เสียงของอังเดรผ่านเข้าสู่โสตประสาท เรียกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์และมองลงไปที่ตีนบันไดจึงพบว่าตนเองเกือบจะก้าวพลาดตกบันไดอยู่แล้ว

   “ครับ?” เขาขานรับเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองฟังอยู่

   “ถ้าวันนี้ไม่รีบนอนก็ขอคุยด้วยหน่อย”

   คุยหรือ?

   ซูเล่ยนึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่อังเดรอยากจะพูดคุยอย่างเป็นทางการมันเมื่อไหร่กัน เหมือนกับว่าระหว่างพวกเขา คำพูดเริ่มมีความหมายน้อยลงทุกที ไม่ใช่ว่าไม่พูดแล้วเข้าใจกัน แต่เพราะเข้าหน้ากันแล้วไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำเสียดสีซึ่งมีแต่จะทำให้อึดอัดทั้งสองฝ่าย

   แต่ครั้นจะปฏิเสธคำขอที่ดูจริงจังอย่างนั้นก็เห็นจะไม่ดี ไหน ๆ ก็กำลังจะต้องลาจากกันแล้ว เขาเองก็อยากให้มีความทรงจำดี ๆ นอกจากเรื่องบนเตียงเหลือไว้บ้างเหมือนกัน จึงตัดสินใจเดินลงไปหา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-01-2014 16:01:38
   “มีอะไรหรือครับ?” เมื่อเดินลงไป ซูเล่ยก็เห็นอังเดรกำลังเก็บกล่องกระดาษใส่ถุงหลังจากเอาเค้กที่เหลือไปเก็บในตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายยังคงคิดไม่ตกในเรื่องบางเรื่องทั้งที่ผ่านวันเกิดของเอเดรียนไปด้วยดีแล้ว ผู้เฝ้ามองนึกไม่ออกเลยว่ามีอะไรให้เจ้าตัวกลุ้มใจได้อีก

   “นั่งลงก่อนสิ” ชายหนุ่มร่างสูงผายมือไปทางโซฟาพร้อมกับเอาถุงใส่กล่องกระดาษไปวางไว้มุมห้องรวมกับขยะกระดาษอื่น ๆ ที่จะทิ้งพร้อมกันทีเดียว

   ผู้ถูกเชิญเดินไปนั่งและเฝ้ารอว่าอีกฝ่ายต้องการคุยเรื่องอะไร

   อังเดรนั่งลงข้างตัวโดยเว้นระยะเล็กน้อย เจ้าตัวประสานมือบนตักพลางมุ่นคิ้ว

   “ฉันรู้ว่าเรื่องระหว่างเราสองคนมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหลายอย่าง ที่จริงตอนนี้ฉันเริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ก็อยากจะให้มีสักครั้งที่เธอจะพูดดี ๆ กับฉันโดยไม่พยายามกวนน้ำให้ขุ่น ช่วยสัญญาก่อนจะได้หรือเปล่า?” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ดวงตาคมก็หันมาสบกับคู่สนทนาโดยตรงไม่หลบเลี่ยง พาให้ซูเล่ยเผลอใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ อังเดรจึงเริ่มเปรยหัวข้อที่อยากจะพูดถึง “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดและเชื่อตามที่เธอบอก โดยสรุปคือคุณเวสลอยด์มีจุดประสงค์สองอย่างคือหาตัวคนที่ฆ่ามารีน และให้ฉันแต่งงานใหม่กับคนที่เขาต้องการเพื่อเป็นตัวแทนของมารีนต่อไปใช่ไหม?”

   “ผมคิดว่าข้อหลังน่าจะเป็น...แต่งงานใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าภรรยาใหม่ของคุณเมื่อมีลูกแล้วจะไม่ลดสิทธิเสียงของเอเดรียนซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของเขามากกว่า” ซูเล่ยช่วยแก้ไขให้ถูกต้องตามความเข้าใจของตนเอง เพราะลามอนต์รักมารีนมากจนไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ จึงน่าจะรักเอเดรียนในระดับเดียวกัน

   “ภรรยาใหม่คนนั้นก็คือคุณเฟอร์เรสต์สินะ” อังเดรว่าก่อนจะมองไปทางอื่น “ที่จริงแล้วฉันก็ไม่คิดว่าคุณเฟอร์เรสต์จะเหมือนกับยูล่าหรอก ยิ่งคุณเวสลอยด์เลือกด้วยตัวเองแล้วก็ยิ่งเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดี แต่ฉันก็ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง”

   “อะไรหรือครับ?” เมื่อเอ่ยถาม ซูเล่ยก็พบว่าสายตาของอังเดรย้อนกลับมาบนใบหน้าตนเองอีกครั้ง
   “เธอกับคุณเฟอร์เรสต์และคุณเวสลอยด์ แน่ใจหรือว่าไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกัน”

   คำถามที่ได้รับทำให้ซูเล่ยนิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะหันหลบไปอีกทางหนึ่ง

   “อย่างที่คุณรู้แล้วว่าผมเป็นน้องชายของมารีน ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรน่ากังขานี่ครับ หรือถ้าคุณอยากรู้ว่าผมกับลอร์เรนเคยเป็นคนรักกันมาก่อนหรือเปล่าผมก็ขอตอบตรง ๆ ว่าไม่ใช่” ถึงแม้คำตอบของซูเล่ยจะฟังหนักแน่นจริงจังไม่แพ้ความอยากรู้ของผู้ถาม แต่อังเดรก็รู้สึกได้จากท่าทางว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่ปกปิดอยู่ ไม่ใช่คำโกหก แต่เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว...

   “ซู เธอเป็นคนสนับสนุนและคะยั้นคะยอให้ฉันเปิดใจยอมรับคุณเฟอร์เรสต์ให้มาอยู่ในฐานะเดียวกับมารีนในอนาคต แล้วมันจะดีหรือที่ปล่อยให้มีสิ่งที่ฉันไม่รู้ปะปนอยู่ด้วย” ชายหนุ่มร่างสูงดึงคู่สนทนาหันกลับมาหาตนเองเพื่อรับฟังสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ให้ดี ๆ “ตอนที่แต่งงานกับมารีน ฉันอาจจะโง่และซื่อที่หลงเชื่อไปเสียทุกอย่าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็เรียนรู้แล้วว่าแต่ละคนต่างก็มีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แม้กระทั่งมารีนที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ยังมีส่วนที่ฉันไม่รู้จัก ดังนั้นจะถือว่าสงเคราะห์ฉันด้วยความเวทนาก็ได้ บอกความจริงมาจะดีกว่าเพราะถ้าฉันได้รู้เองทีหลังฉันคงไม่ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมแน่”

   ได้ยินดังนั้น ซูเล่ยก็มั่นใจว่าอังเดรเอาจริง และหากรู้ความจริงเอาทีหลังคงจบไม่สวยนัก และจะเดือดร้อนไปถึงลามอนต์เอาได้

   “เอาเถอะ ปิดบังไปก็คงไม่มีประโยชน์จริง ๆ เพราะหากเรื่องนี้แดงขึ้นมาคุณก็คงจะเป็นฟืนเป็นไฟอีก” หลังจากปลงตกแล้ว ความจริงจึงเปิดเผยออกมา “ลอร์เรนเป็นพี่สาวอีกคนหนึ่งของผม”

   “อ้อ...”

   เสียงรับสั้น ๆ สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ฟัง ซูเล่ยมุ่นคิ้วมองอังเดรด้วยสายตากังขา

   “รู้อยู่แล้วหรือครับ?”

   “ก็นะ” อังเดรปล่อยมือจากบ่าเล็ก “ในบางมุมฉันก็รู้สึกว่าพวกเธอดูคล้ายกัน นอกจากนี้พวกเธอยังสนิทสนมกันมาก ถ้ายืนยันว่าไม่ใช่คนรักแล้วจะมีอะไรให้คาดเดาได้อีก”

   ในที่สุดซูเล่ยก็เข้าใจว่าที่อังเดรตั้งใจถามตรง ๆ อย่างนี้ก็เพื่อที่จะยืนยันความจริงจากปากของเขานั่นเอง
   “แล้ว...มันมีปัญหาหรือครับ? ถึงจะเป็นพี่สาวของผมแต่ก็ใช้นามสกุลตามแม่ที่ไม่ยอมแต่งงานกับพ่อของผม และไม่ได้รับเป็นลูกตามกฎหมาย ดังนั้นจะถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้”

   “ไม่หรอก แบบนี้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ ฉันจะได้เข้าใจว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ให้มันจบเรื่องจบราวกันไป” หลังจากกล่าวเช่นนั้น ดวงตาสีอ่อนก็ฉายแววอ่อนโยนขณะมองไปยังคนข้างตัว “มันคงจะดีถ้าหากว่าเธอสามารถพูดเรื่องจริงกับฉันได้ทุกเรื่องแบบนี้”

   ซูเล่ยไม่แน่ใจนักว่าคำพูดของอังเดรมีความนัยถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนหรือที่เขาปิดบังหลาย ๆ อย่างในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แต่หากเป็นข้อสงสัยถึงเมื่อห้าปีก่อน...เพียงแค่คิด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็จุกขึ้นมาถึงคอ ปลายนิ้วพลันเย็นเฉียบ มันกลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติไปแล้วกระมัง ที่จะรู้สึกเครียดทุกครั้งที่คิดถึงมันขึ้นมา
   แต่แล้ว อังเดรกลับไม่ได้ถามต่อดังที่กลัวเอาไว้ก่อน

   เจ้าตัวเพียงลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปทางบันได

   “ราตรีสวัสดิ์”

   คำทักทายที่ห่างหายไปนานกลับได้ยินอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด แรงกระตุกในอกเสมือนตอบรับอยู่กลาย ๆ แม้จะไม่ได้เปล่งจากปากโดยตรง และเมื่อเดินตามไปดูก็เห็นว่าอังเดรตรงเข้าห้องตนเอง นั่นหมายความว่าคืนนี้จะเป็นคืนแรกนับจากพยายามหนีกลับบ้านที่จะได้นอนเพียงลำพัง แต่ว่า...ข้างในอกกลับเบาโหวงเหมือนถูกควานออกไปจนเหลือแต่ช่องว่างกลวงเปล่า

   อาจด้วยความรู้สึกเช่นนั้นที่ชักนำให้เขาไปยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของอังเดร เพียงแค่ยืนโดยไม่แน่ใจว่าตนเองต้องการอะไร แต่ทันใดนั้น ประตูกลับเปิดออกและปรากฏร่างอังเดรที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชะเง้อมองออกมาเพราะประตูชนเข้ากับปลายเท้าซูเล่ยพอดี

   “มีอะไรหรือ?” เมื่อถูกถาม ซูเล่ยก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วเลื่อนสายตามองไปยังแขนเจ้าของห้อง พบว่าอีกฝ่ายถือผ้าขนหนูอยู่จึงนึกได้ว่าที่แท้อังเดรยังไม่อาบน้ำจึงเข้าไปเอาของใช้ส่วนตัวนี่เอง

   “เปล่าครับ แค่สงสัยนิดหน่อยแต่ตอนนี้ไม่แล้ว” หลังบอกปัดเรียบร้อย ซูเล่ยก็หมุนตัวไปทางห้องตัวเองพลางคิดว่าอีกไม่นานอังเดรก็คงจะตามเข้ามาเอง ทว่า...คืนนั้นอังเดรกลับไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปในห้องของซูเล่ยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

----------------------------->

   วันรุ่งขึ้น ซูเล่ยตื่นเช้ากว่าปกติซึ่งที่จริงแล้วมันคือเวลาปกติในตอนเริ่มแรกที่เขามาอาศัยอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเดินลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมอาหารเช้า เขากลับพบว่ามีคนตื่นเช้ากว่า

   “ครับ เดี๋ยวผมกำลังจะออกไปหาพอดี ไม่คิดว่าคุณจะโทรมาหาผมเสียก่อน” ชายหนุ่มร่างสูงหนีบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยไหล่ขณะเดินคนแก้วกาแฟอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ไม่นานก็นั่งลงที่โซฟาตัวยาวแล้ววางแก้วกาแฟลง เสียงพูดคุยกับคนอีกฝั่งของสายยังไม่จบบทสนทนา “ใช่ครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วยถ้าคุณไม่รังเกียจ และผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจเพราะผมเองก็ไม่อยากงัดข้อกับคุณแบบนี้โดยไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะจบเรื่อง”

   น้ำเสียงของอังเดรค่อนข้างแข็งกระด้างบ่งบอกว่าต้นสายไม่ใช่คนที่เจ้าตัวปรารถนาพิศวาสจะพูดคุยด้วยนัก ซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นใคร

   ซูเล่ยยืนอยู่กลางบันไดจนกระทั่งอังเดรวางสายและเริ่มจิบกาแฟ ตอนนั้นเองที่สายตาของชายหนุ่มเหลือบมาเห็น

   “มีอะไรหรือเปล่า?”

   “เปล่าครับ...คุณคุยกับ...คุณเวสลอยด์หรือ?”

   อังเดรไหวไหล่แทนการตอบรับ

   “เขาโทรมาหาฉันแต่เช้า บอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย”

   “แล้วคุณคิดจะแข็งข้อใส่เขาหรือครับ?” แม้ซูเล่ยจะไม่ได้คิดว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ใจหนึ่งก็อยากให้อังเดรเอาชนะพ่อตาได้เพื่อที่จะเป็นอิสระจากการควบคุมเสียที ซึ่งหากอังเดรทำสำเร็จ บางที...เขาก็อาจจะทำได้ในอนาคตอันใกล้เช่นกัน

   “เรียกว่าพูดคุยหาทางออกน่าจะดีกว่า บางทีการที่ฉันกับเขาคุยกันไม่รู้เรื่องเสียทีอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ยอมเข้าไปเผชิยหน้าโดยตรงก็ได้” อังเดรว่าไปก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ

   “เรื่องลอร์เรนหรือครับ?” เพราะเมื่อวานพูดคุยกันเรื่องนี้พอดี มันจึงไม่ได้ไปไกลกว่าข้อสันนิษฐานที่มีเค้าลางมากที่สุด

   “ก็ราว ๆ นั้น กลัวว่าจะถูกตำหนิหรือยังไง?” คิ้วดกเข้มเลิกขึ้นสูงในขณะที่ดวงตาสีอ่อนจับจ้องบนใบหน้าเจ้าของคำถามเมื่อครู่ แต่คนถามก็ไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้เพราะคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องตอบ อังเดรจึงพูดต่อ “วันนี้ฉันไม่แน่ใจว่าจะกลับกี่โมง ไม่ต้องทำข้าวเที่ยงเผื่อก็แล้วกัน”

   ซูเล่ยรับคำแล้วเข้าครัวไป ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูบ้าน ตอนที่ออกมาดูก็เห็นแต่เพียงแก้วกาแฟที่เย็นชืด

   เอเดรียนถูกปลุกขึ้นมาตอนสายตามปกติและลงมากินอาหารเช้าด้วยความสงสัย

   “แดดดี้ล่ะ?”

   “มีธุระน่ะ แต่คิดว่าตอนบ่าย ๆ คงจะกลับ” ว่าไป ซูเล่ยก็ตักอาหารใส่จานเอเดรียนและตนเองก่อนเดินไปรินนมใส่แก้วให้

   “ธุระที่โรงเรียนเหรอ?” เพราะเป็นวันหยุดที่พ่อควรจะได้อยู่บ้านกับตนเอง เอเดรียนจึงขี้สงสัยเป็นพิเศษและพยายามถามหา

   “ไม่ใช่หรอก...” ในเมื่อไม่รู้จะตอบอย่างไร พี่เลี้ยงจึงต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็นเสียเอง “จริงสิ แดดดี้บอกว่าให้เอเดรียนหัดเล่นออร์แกนเก่ง ๆ จะได้ร้องเพลงประกอบแล้วอัดไปให้แดดดี้ใช้สอนด้วยใช่ไหม? หลังจากกินเสร็จไปลองกันสักเพลงดีหรือเปล่า?”

   “อื้อ!” ด้วยความเป็นเด็ก เมื่อถูกเปลี่ยนเรื่องจึงโอนอ่อนตามไปในทันที “ซูจะทำเพลงกับเอเดรียนด้วยใช่ไหม? ซูจะร้องด้วยหรือเปล่า?”

   พูดถึงเรื่องร้องเพลงหรือดนตรี...นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซูเล่ยถนัดเอาเสียเลย

   “เรื่องร้องเพลงคงไม่ไหว แต่จะช่วยดูเรื่องคีย์ก็แล้วกัน” ถึงแม้ออร์แกนเด็กเล่นจะไม่สามารถทำให้เป็นเสียงไพเราะเพราะพริ้งแบบที่อัดแผ่นเสียงกันได้ แต่สำหรับเด็ก แค่มีเสียงที่เปลี่ยนโทนไปเรื่อย ๆ ก็มากพอสำหรับการเรียนรู้เรื่องเสียงแล้ว เพียงแต่...หากปล่อยให้เล่นเสียงสูงต่อเนื่องกันบ่อย ๆ ถึงเด็กจะชอบแต่ผู้ใหญ่อย่างเขาอาจจะประสาทกินเอาได้

   เมื่อเอเดรียนกินเสร็จเรียบร้อย ซูเล่ยก็ปล่อยให้ไปเล่นตามสบายก่อนระหว่างที่ตนเองเริ่มต้นเก็บล้างข้าวของจะได้ไม่หมักหมมไปถึงตอนค่ำ

   แต่เวลานั้นเอง เสียงออดก็ดังขึ้น

   ซูเล่ยเดินออกไปเปิดรับเพราะเกรงจะเป็นคนแปลกหน้าและเอเดียนจะเป็นอันตราย ทว่าคนที่ยืนหน้าประตูกลับเป็นคนที่ควรจะมาถึงที่นี่เมื่อหลายนาทีก่อน

   “วันนี้มาสายนะลอร์เรน”

   “ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ แล้วเอเดรียนล่ะ?” หญิงสาวมองเข้าไปด้านในและเห็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังเล่นของขวัญวันเกิดด้วยความเห่อ ตอนนั้นเอง ซูเล่ยจึงได้เห็นผู้ชายในชุดไปรเวทสองคนที่ยืนรอข้างรถของลอร์เรน แต่เมื่อกำลังจะอ้าปากถาม หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้น “เดี๋ยวฉันดูแลเอเดรียนให้เอง ระหว่างนี้เธอก็ไปเก็บข้าวของเสียนะชูเลย์ ระวังอย่าให้อะไรตกหล่นจนต้องกลับมารับคืนอีกรอบล่ะ”

   เก็บของหรือ?

   เดี๋ยวสิ...

   “หรือว่าเธอ....”

   “ก็เธอบอกเองว่าอยากจะไปไม่ใช่หรือ?” เรียวคิ้วโก่งสวยเลิกสูง

   คำถามของลอร์เรนทำให้ซูเล่ยเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อเช้านี้ลามอนต์จึงโทรมาเรียกตัวอังเดรออกไป เพราะหากอังเดรไม่อยู่...ทางของเขาก็สะดวก

   “แต่ว่าเอเดรียน...”

   “ชูเลย์ คนเราในบางเวลาก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ตอนนี้เป็นโอกาสที่เธอเฝ้ารอไม่ใช่หรือ?” หญิงสาวไม่รอให้อีกฝ่ายหาข้อโต้แย้งทำให้ซูเล่ยฉุกคิดขึ้นได้

   จริงอย่างที่ลอร์เรนว่า หากปล่อยเวลาให้ผ่านไปและอังเดรกลับมารู้เรื่องเข้า มันคงเป็นเรื่องยากกว่าเดิมที่จะไปจากที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะการหน่วงเหนี่ยวอย่างเอาแต่ใจของอังเดร แต่ใจของเขาเองก็อาจจะไม่สามารถผลักดันให้เท้าก้าวออกไปได้อีก

   “ฉันเข้าใจแล้ว...” ซูเล่ยกล่าวก่อนจะเดินขึ้นไปเก็บข้าวของ

TBC
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-01-2014 17:15:36
สงสารซู
ทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าซูคิดยังไงกับอังเดร
ยังจะมากีดกันอยู่ได้ เห้อออออ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-01-2014 17:54:15
ดี ลองไปดูซิ จะเป็นไง :ling1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 20-01-2014 18:06:56
เฮ้อ ตกลงเรื่องนี้ใครดื้อดึงสุด?
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-01-2014 18:28:41
เอาล่ะสิ
ซูจะไปแล้วนะ
แล้วทีนี้อังเดรจะทำยังไง
ดูเหมือนจะมีแผนอะไรบางอย่างนะ
แง้ววววว อยากรู้แล้วอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 20-01-2014 18:35:49
มาต่อแล้ว...จะไปไม่ไปดี คิดให้ดีนะ ซู นึกถึงใจตนเองด้วย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 20-01-2014 19:06:36
คนบางคนผ่านมาให้รักไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน
ทำได้แค่นี้เรื่องเธอกับฉันท่องไว้
คนบางคนผ่านมาแค่เขียนภาพเพื่อให้จดจำเอาไว้
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ได้มีความทรงจำที่แม้จะเจ็บก็สวยงาม

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 20-01-2014 19:22:32
 :o12: ไปเหอะซู ใช้ชีวิตที่ไม่ต้องมีใครกำหนดซะบ้าง

อังเดรก็พ่อจะอึมครึมไปไหน ครึ่งๆกลาง ไม่เคยพูดอะไรที่จะใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจได้เลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 20-01-2014 19:58:31
อยากให้ซูเล่ยร้องเพลงพี่ตูน "ชีวิตแม้ต้องล่มลงตรงไหน แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะไป"


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 20-01-2014 20:03:36
ซูเอ้ย....จะทำตัวเป็นตุ๊กตาไขลานไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-01-2014 20:16:41
สงสารซู ต้องทำไรฝืนใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 20-01-2014 20:42:23
ซูดูเหมือนจะครึ่งๆกลางๆ อยากไปแต่ก็ดูไม่อยากจากอะไรทำนองนั้น
แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นโยคนี้ของอังเดรนะคะ “มันคงจะดีถ้าหากว่าเธอสามารถพูดเรื่องจริงกับฉันได้ทุกเรื่องแบบนี้”
คือก็อยากจะบอกทั้งพระเอกกับนายเอกเลยเหมือนกันค่ะ 55555  :o12:
แต่ว่าอังเดรพูดแบบนี้เหมือนมีนัยยะแอบแฝงยังไงชอบกลนะคะ
หรือว่าจะรู้อ่ะ นี่ก็รู้ไปตั้งหลายเรื่องแล้วนะ หูยยยยยย น่าสนใจมากค่ะ
ว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง จะหนีพ้นมั้ย แล้งอังเดรคุยอะไรกับพ่อซูอีก
เป็นอะไรที่อยากให้ถึงตอนหน้าไวไวแล้วจริงๆนะคะคุณนักเขียน >< :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-01-2014 20:58:08
ซูน่าสงสาร หวังว่าอังเดรจะเข่าใจซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 20-01-2014 23:28:32
มีใครรักซูบ้างมั้ยเนี่ยนอกจากเอเดรียน เอิ๊ก
ทุกๆคนในเรื่องนี้ก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองหมด
ตาแก่ก็เพื่อตัวเองและลูกสาวที่ตายไปแล้วไม่มีวันฟื้น ทำไมชอบมากมั้ยอังเดรแต่งเองเลยสิ เซง
ลอร์เรนก็บ้า นั้นน้องทั้งคนไม่คิดจะขัดอะไรอีก
อังเดรนี่ก็บ้าใหญ่ ขัดใจสุดๆ ไม่ใช่ว่าไม่รั้งซูแล้วก็เลยตามเลยอีกนะ โอ้ยยย อินค่ะอิน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 20-01-2014 23:40:20
ไม่น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
วูตัดสินใจจะออกไปจากชีวิตอังเดรหรอ
ไม่เอาๆๆ พ่อซูไม่เคยรักซูเลย
ลอเรนก็ รู้ทั้งรู้  เรื่องซูกับอังเดร
ทำไมไม่ช่วยบ้างเลยหล่ะ
หงุดหงิดๆๆๆๆๆๆ
ปล.ดีใจมากๆเลย ที่รอบนี้แอบมาอัพไว
เพราะนั่งรอทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 20-01-2014 23:46:29
อยากรู้ว่าถ้าอังเดรกลับมาแล้วไม่เจอซูจะเป็นยังไง หึหึ o18
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 21-01-2014 01:11:41
จะมีนิยายอินเดียให้อ่านมั้ยนะ จะให้อังเดรวิ่งร้องเพลงตามซูข้ามเขาสักร้อยลูกซะให้เข็ด
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 21-01-2014 04:18:25
คนรอบข้างซูแต่ละคนนี่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจริงๆนะ
ทำอะไรอ้อมค้อม วางแผนอ้อมโลก แล้วคนที่รับผลกระทบมากที่สุดคือซู
พ่อกับพี่สาวที่ไม่น่าไว้ใจ ทำอะไรไม่คิดถึงใจคนอื่น กับอังเดรที่เป็นสุดยอดแห่งความโลเลไม่แน่นอน
คนเดียวที่ไว้ใจได้คงเป็นเอเดรียนล่ะมั้ง

งั้นเชียร์เอเดรียน หนูน้อยน่ารักแทนดีกว่า
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 21-01-2014 04:51:41
โอยซูขา :z3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 21-01-2014 13:36:15
อยากคิดแบบโลกสวยนะ คือพ่อยากลองใจอังเดรว่าซูหายไปอังเดรจะเป็นยังไง จะไปรับตัวกลับมาไหม
ส่วนในแง่ร้าย ไม่มีใครรักซูจริงสักคนนอกจากเอเดรียน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 21-01-2014 15:28:05
กลับจีนเหอะซู เริ่มต้นชีวิตใหม่ หนีให้พ้นจากคนพวกนี้  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 21-01-2014 19:47:19
ซูจะไปแล้ว อังเดรกลับมาด่วนเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 22-01-2014 11:45:04
อ๊ายยย ซูไปเลยค่ะ ถ้าอังเดร มันรักจริง (ซึ่งมันก็รัก) เด๋วมันก็ตามเองแหละ

สงสารหนูน้อย เอเดรียน คุณแม่พี่เลี้ยงจะมาหายไป เด็กน้อยน่าสงสารอ่ะ

ตอนที่อ่าน เกี่ยวกับ ชาร์มมิ่งเทียร์ เราร้องไห้เลยค่ะ แบบว่า น้ำตาไหลออกมาเองไม่รู้ตัว

หวังว่าคนเป็นพ่อ จะคิดถึงจิตใจลูกมั่งนะคะ สงสารซูเล่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 22-01-2014 12:14:38
ซูจะไปจริงๆ เหรอ จะหนีใจตัวเองไผถึงไหน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 25-01-2014 12:47:01
อ่านจนถึงตอนปัจจุบันในที่สุด
โอ๊ยยยย...เรื่องนี้พออ่านแล้วเจอTBC.เหมือนจะขาดใจ
อ่านแล้วแบบอยากอ่านต่อ :katai4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-01-2014 14:46:39
ปูเสื่อรอออ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 25-01-2014 15:16:08
ซูจะไปจริงๆหรอ ถ้าซูไปบางทีอังเดรอาจจะโกรธมากจนไม่ตามง้อนะ
เพราะงั้น อย่าไปเลยซู  :ling1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-01-2014 16:13:56
-21-


   บ้านหรูหราสไตล์กรีกกึ่งโมเดิร์นตั้งอยู่เบื้องหน้า นานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจคะเนได้เมื่อพยายามนึกถึงครั้งสุดท้ายที่อังเดรเคยเหยียบย่างมายังสถานที่แห่งนี้ ที่จริง อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ซึ่งก็คือตอนที่ตัดสินใจจะแต่งงานกับมารีนจึงมาสู่ขออย่างเป็นทางการ ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ไม่มีอะไรสวยงามน่าจดจำ เพราะเหตุนั้นกระมังจึงได้เลือกลืมมันไปเสีย

   แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้มาเยี่ยมเยือนอีกเลย แม้ว่ามารีนมักจะพาเอเดรียนมาเยี่ยมตาของเธอในบางครั้งก็ตาม

   อังเดรกดแตรเรียกหน้าประตู เพียงไม่นานประตูก็เปิดออกด้วยระบบไฟฟ้า กระนั้นก็ยังมีคนรับใช้ท่าทางมีน้ำใจเดินออกมาช่วยโบกบอกทางรถให้เข้าไปจอดอย่างนิ่มนวล

   “คุณเวสลอยด์รออยู่ในห้องรับแขกแล้วครับ” คนรับใช้กล่าวและผายมือเชิญให้เข้าไป ชายหนุ่มผู้มาเยือนสูดหายใจจนเต็มปอดและผ่อนออกเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัดก่อนเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งตกแต่งหรูหราสมฐานะผู้เป็นเจ้าของ

   ห้องรับแขกอยู่ด้านขวามือของโถงหน้าบ้าน เมื่อมองผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปก็จะเห็นชายสูงวัยท่าทางสุขุมไร้รอยยิ้มนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวตัวเขื่อง บนโต๊ะรับแขกมีจานขนมขบเคี้ยววางเอาไว้โดยไม่ถูกแตะต้อง รวมถึงถาดวางถ้วยชาซึ่งมีเพียงกาเท่านั้นที่มีน้ำชาบรรจุอยู่

   คนรับใช้ผายมือให้อังเดรเข้าไปด้านในและรุดไปรินน้ำชาเสิร์ฟเจ้าบ้านกับแขกก่อนปลีกตัวจากไปอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

   ในที่สุด ก็เหลือเพียงแขกและเจ้าบ้านตามลำพัง เป็นบรรยากาศที่อังเดรไม่พึงปรารถนาแต่ก็รู้แก่ใจว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงคิดหาหนทางที่ทำให้ธุระจบลงโดยไวและจะได้แยกย้ายจากกันเสียที

   “ไม่ได้พบกันนานนะครับ คุณเวสลอยด์”

   เมื่อได้ยินคำทักทาย ชายสูงวัยก็ทำเสียงขึ้นจมูก

   “มารีนตายไปยังไม่นานเท่าไหร่ก็เปลี่ยนวิธีเรียกฉันเสียแล้วหรือ?”

   พอถูกทัก อังเดรจึงเพิ่งรู้ตัวว่าระยะหลังมานี้ไม่ได้เอ่ยเรียกผู้ชายคนนี้ในฐานะพ่อตาเลยสักครั้ง คงเพราะไม่มีความจำเป็นแล้วกระมังจึงได้เลือกที่จะเรียกด้วยนามสกุลเช่นเดิม

   “ขอโทษครับ คุณพ่อ” เขากลับมาเรียกเช่นเดิมเพื่อให้บรรยากาศการสนทนาดำเนินไปด้วยดี ซึ่งผู้ฟังก็ดูจะพึงพอใจ

   “แล้วจะว่าธุระของใครก่อน แกหรือฉัน?”

   “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอพูดก่อนก็แล้วกัน” อังเดรเสนอ เพราะไม่อยากจะเสียเวลาจนโดนเบี่ยงประเด็นทำให้ไม่ได้พูด เขารู้นิสัยของอีกฝ่ายดี ผู้ชายที่ชอบควบคุมบงการทุกอย่างรอบตัว หากลามอนต์รู้จุดประสงค์ของเขาจากการสนทนาเบื้องต้นคงจะไม่มีทางยอมให้พูดต่อจนจบ ดังนั้น หากเป็นฝ่ายฉวยโอกาสพูดก่อนคงจะสามรถสื่อสารให้อีกฝ่ายรับฟังได้

   ลามอนต์พยักหน้ารับแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ ฝ่ายที่ได้รับอนุญาตจึงหลับตาลงครู่หนึ่งและเริ่มกล่าว

   “ผมจะไม่แต่งงานใหม่”

   เพียงแค่สั้น ๆ แต่กลับเรียกให้ลามอนต์เลิกคิ้วและจ้องมองใบหน้าคมด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ

   “หึ พูดเหมือนรู้อนาคตไปได้”

   “ผมเข้าใจว่าคุณหวังดีต่อเอเดรียน ที่จริงคุณคงไม่ได้คิดว่าผมจะหักหลังมารีนอะไรหรอก แต่กลัวว่าเอเดรียนจะไม่มีที่ยืนหากเป็นแค่ลูกติดพ่อใช่ไหมครับ?” อังเดรได้ข้อสรุปนี้หลังจากลองคิดในมุมของคนเป็นพ่อ ที่ลูกสาวต้องแต่งงานออกเรือนไปและมีหลานสาวให้เชยชมแต่ก็ต้องจากไปทั้งที่อายุยังน้อย หากเป็นเขา ก็คงห่วงและหวงหลานสาวไม่ต่างกับที่ห่วงและหวงลูกสาวเป็นแน่ ลามอนต์เองก็เป็นพ่อคน และรักมารีนมากยิ่งกว่าใคร ๆ ที่อ้างมาทั้งหมดก็แค่พยายามจะยึดโยงให้ตนเองยังคงมีส่วนในชีวิตของเอเดรียนเท่านั้น

   “แล้วยังไง แกจะบอกว่าแค่ไม่แต่งงานใหม่ก็จบงั้นสิ คิดหรือว่าสมบัติที่มารีนทิ้งไว้จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหอมหวานดึงพวกแมลงเข้ามารุมตอม” มุมปากที่มีรอยย่นจาง ๆ กระตุกขึ้นมาคล้ายเหยียดยิ้ม “จะไม่ดีกว่าหรือยังไงถ้ามีไม้กันหมาเอาไว้ก่อน”

   “อย่างคุณเฟอร์เรสต์น่ะหรือครับ?”

   “เธอมีอะไรไม่ถูกใจแกหรือไง?”

   “ไม่ครับ คุณเฟอร์เรสต์เพียบพร้อมไปเกือบทุกอย่าง เรียกได้ว่าสมบูรณ์ในระดับเดียวกับมารีนก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผมรู้ว่าตัวเองคงรักเธอไม่ได้” อังเดรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางประสานมือเข้าด้วยกันคล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าไม่คิดจะเปลี่ยนใจ กระนั้นท่าทีตอบกลับของลามอนต์กลับผิดคาด เพราะเจ้าตัวไม่ได้คิดจะบังคับขู่เข็ญเลย กลับเพียงเอนหลังพิงพนักและโคลงศีรษะเล็กน้อย

   “เพราะลอร์เรนเป็นลูกคนหนึ่งของฉันหรือเปล่า?”

   “ทราบด้วยหรือครับว่าผมรู้”

   ชายสูงวัยกลอกตา

   “ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนโง่ ลอร์เรนกับชูเลย์มีโครงหน้าคล้ายกันหลายส่วน ถ้ามองพิศดี ๆ มีหรือจะมองไม่ออก แล้วตกลงว่ามันเป็นปัญหาหรือยังไง?”

   “ไม่ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับทันที “ถึงแม้จะเป็นลูกของคุณแต่ถ้าหากว่าผมพึงใจผมก็ไม่เกี่ยงงอน แต่เหตุที่ผมต้องมาบอกเรื่องนี้กับคุณไม่ใช่เพราะคุณเฟอร์เรสต์เป็นลุกของคุณผมจึงไม่อยากแต่ง แต่เป็นเพราะผมควรจะบอกเรื่องนี้กับผู้หลักผู้ใหญ่ของเธอให้เข้าใจตรงกัน”

   “ถ้าอย่างนั้น?”

   “ผมมีคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วยแล้ว แต่ผมไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้”

   ลามอนต์โบกมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายทันที

   “ทำเป็นพูดอ้อมไปอ้อมมาน่ารำคาญจริง ๆ สรุปว่าแกแค่มีคนที่พอใจอยู่แล้วก็เลยปฏิเสธลอร์เรน และคิดว่าควรจะมาบอกกับฉันอย่างสุภาพบุรุษเท่านั้นเองน่ะหรือ?” ว่าแล้ว ชายสูงวัยท่าทางแข็งแรงก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหมุนตัวไปทางหน้าต่างก่อนไกวมือไพล่หลัง

   “ถ้าคุณพ่อพอจะเข้าใจแล้ว ผมจะขออะไรอีกสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ?”

   “จะว่าอะไรก็รีบว่ามาให้จบ” น้ำเสียงคู่สนทนายังคงแข็งกร้าวพาให้รู้สึกอึดอัด แต่อังเดรก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องจบเรื่องให้ได้

   “เรื่องของซู ผมจะให้เขาอยู่ต่อ”

   ลามอนต์หันกลับมามองลูกเขยพลางเลิกคิ้ว

   “ชูเลย์น่ะหรือ?”

   “ครับ ถึงมันจะระคายหูคุณอยู่สักหน่อยแต่เขาคือคนที่ผมพึงใจจะอยู่ด้วย ดังนั้น...”

   “เสียใจด้วยแต่มันคงเป็นไปไม่ได้”

   ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินคำปฏิเสธเต็มหู ท่าทางของลามอนต์ไม่ได้มีวี่แววของการล้อเล่นแม้แต่น้อย

   “คุณคงไม่เข้าใจ...”

   “แกนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ คิดว่าตัวเองรู้จักชูเลย์ดีแค่ไหน” ว่าแล้ว ลามอนต์ก็ชักเสียงขุ่น “ถ้าแกรู้เรื่องทั้งหมดแน่ใจหรือว่าจะยังพูดเหมือนเดิม เจ้าเด็กนั่นดีแต่ทำตามคำสั่งคนอื่น เรื่องของตัวเองกลับไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดซ้ำยังหาข้ออ้างเพื่อให้ดูเหมือนเป็นการจำยอม เพราะแบบนั้นเมื่อห้าปีก่อนถึงได้ยอมโดนมารีนบีบบังคับให้ไปช่วยเป็นพ่อสื่อคอยสอดส่องชักจูงแกให้เข้าทาง”

   “เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้วครับ”

   คำตอบรับแสนเรียบง่ายของอังเดรพาให้ผู้ฟังต้องชะงัก

   “คุณเป็นคนพูดเองว่าผมไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยสังเกต ถึงแม้จะลืมไปเพราะเวลาที่ห่างกันแต่หากคิดทบทวนดูก็สามารถจดจำได้ไม่ยาก ที่คุณอาจจะไม่รู้ก็คือ ในตอนนั้นผมกับเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแล้วโดยที่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ความเผลอไผลไปตามอารมณ์ น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมปล่อยให้เขาหลุดมือไปและปลอบใจตัวเองด้วยการรักคนอื่น”

   “ครั้งนี้แกเลยจะผูกมัดไว้ให้ได้งั้นสิ?”

   “เรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณนะครับ เพราะทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการควบคุมคนอื่นจะต้องทำยังไง” อังเดรพูดกึ่งประชดประชัน

   แต่แล้วลามอนต์กลับไพล่ไปพูดเรื่องอื่นในทันที

   “แกรู้หรือเปล่าว่าหลังจากนั้นชูเลย์ทำอะไร”

   “เรื่องนั้นผมไม่...”

   “เขาขอให้ฉันปล่อยเขาไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน ชูเลย์อยากจะกลับประเทศไปอยู่กับครอบครัวที่อยู่ทางนั้น แต่กลับไปตัวเปล่ามันก็คงดูไม่ดีฉันจึงมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานงานอยู่กับบริษัทสาขาที่ตั้งอยู่ที่ประเทศจีน และก่อนที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้แก เขาก็ยังคงทำงานนั้นอยู่” ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายใจ “เมื่อไม่นานมานี้เขาขอให้ฉันพาเขากลับไปที่จุดเดิมที่เคยอยู่ แกเป็นคนฉลาด หวังว่าจะเข้าใจความหมายของมันดีนะ?”

   อังเดรฟังคำแล้วนิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่ง บางที...ลามอนต์คงกำลังพยายามบอกเขาว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ผิดพลาด และซูเล่ยต้องการจะเดินจากไปด้วยความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง

   ลามอนต์อาจจะคิดไม่ผิด...

   เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับผูกมัดซูเล่ยไว้โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ทว่า...เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถยึดเหนี่ยวอีกฝ่ายไว้ได้ เพราะตราบใดที่ผู้ปกครองอย่างลามอนต์ยังมีจุดมุ่งหมายแอบแฝง เจ้าตัวก็คงจะไม่มีวันยอมรับความต้องการของตนเอง

   “ถ้าหากคุณยอมปล่อยมือจริง ๆ...”

   “ส่วนนั้นแหละที่แกเข้าใจผิด” ลามอนต์สวนกลับ “เหตุผลที่ชูเลย์ต้องพึ่งพิงฉันแม้จะไม่อยากทำเพราะฉันมีความมั่นใจมากพอที่จะพูดและทำในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว แล้วแกล่ะ เคยให้ความมั่นใจอะไรกับเขาได้บ้าง? หลักที่ไม่มั่นคงใครจะอยากยึดถือเอาไว้?”

   อังเดรเถียงไม่ออก เพราะสิ่งที่พ่อตาของตนพูดก็ไม่ห่างไกลจากความจริงเกินไปนัก เขาไม่เคยให้ความมั่นใจกับซูเล่ยเลยไม่ว่าจะเรื่องการแต่งงานใหม่ หรือรักชอบใคร สิ่งที่เขาทำก็แค่การทำให้ซูเล่ยไม่กล้าที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ อีกก็เท่านั้น แต่นั่นก็เพราะรู้แก่ใจว่าถึงจะพูดออกไปซูเล่ยก็คงปฏิเสธ มีบางอย่างที่ปรากฏจากการกระทำที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีกำแพงที่กลัวเกินจะก้าวข้ามซึ่งมันจำต้องใช้เวลา

   เขาก็คงทำได้เพียงเฝ้ารอเวลานั้น...

   ความเงียบโรยตัวระหว่างพวกเขาทั้งสองซึ่งรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พูดคุยกันยาวนานถึงขนาดนี้ และมันจะต้องมีความหมายบางอย่าง

   “หรือว่าคุณ...”

   “กลับมาแล้วค่ะ” เสียงหวานใสของลอร์เรนแทรกเข้ามาเมื่ออังเดรอ้าปากคิดจะพูดบางอย่าง ทำให้สิ่งที่คิดเอาไว้ระเหิดหายไปในชั่ววินาที

   “กลับมาแล้วหรือ?” ลามอนต์เอ่ยทักทายลูกสาวต่างนามสกุล “แล้วเอเดรียน?”

   “เอเดรียน?” อังเดรมุ่นคิ้ว นึกสงสัยว่าทำไมจึงถามถึงเอเดรียนขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าของชื่อก็ปรากฏตัวขึ้นและวิ่งด้วยท่าทางเริงร่ามาหาพ่อ

   “แดดดี้ ลอร์เรนบอกว่าแดดดี้อยู่กับคุณตา” เด็กหญิงหัวเราะร่าและหันไปทางตาของตนเอง ซึ่งเมื่อเห็นหลานสาว ท่าทางของลามอนต์ก็อ่อนลงในทันที

   “นี่มันหมายความว่ายังไง คุณพาเอเดรียนมาที่นี่ทำไม?” ถึงแม้ตาหลานได้พบกันจะเป็นเรื่องดี แต่กลับทำให้อังเดรรู้สึกได้ถึงความนัยที่แอบแฝงอยู่ ลอร์เรนมาที่นี่กับเอเดรียน นั่นหมายความว่า... “ซูขอให้คุณทำแบบนี้อย่างนั้นหรือครับ?”

   ชายสูงวัยหรี่ตาลงมองลูกเขยด้วยสายตาขัดอกขัดใจ

   “อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉันฝ่ายเดียว”

   “เขาอยู่ที่ไหนครับ?” อังเดรยืนขึ้นและจ้องสบตาอย่างแข็งกร้าว เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าลามอนต์โดยไม่สนใจฐานะของตนเอง

   “แกรู้แล้วจะทำอะไรได้” ลามอนต์โบกมือให้ลอร์เรนพาเอเดรียนออกไปข้างนอกก่อนแล้วจึงว่าต่อ “จะไปหาแล้วบังคับพาตัวกลับไปหรือไง แล้วแกจะสามารถกักขังชูเลย์ไว้ได้อีกนานแค่ไหน แกเองก็น่าจะรู้ดี ผลของการควบคุมคนอื่นทำให้ตกอยู่ภายใต้การบงการ...” ประโยคหลัง คล้ายว่าลามอนต์จะพูดกับตนเอง ผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่นและบงการชักใยราวกับทุกสรรพสิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือ แต่คงไม่มีใครรู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงชีวิตที่คนที่รักเขาซึ่งมีอยู่น้อยนิดล้วนแต่จากไปหมดสิ้น

   “ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ผมทำยังไง ปล่อยไปแบบนี้แล้วยอมแต่งงานกับคนที่คุณต้องการหรือ? ต้องขอโทษด้วยที่ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้” อังเดรยืนยันชัดเจน

   “หึ ทำอย่างกับว่าตัวคนเดียวจะทำอะไรได้” ลามอนต์หัวเราะในคอโดยไร้รอยยิ้ม “แต่ก็ดี เห็นแก่ที่แกทำตัวน่าชื่นชม ฉันจะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน”

   เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ฟังก็ลังเลอยู่เล็กน้อยแต่เพราะรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงยอมนั่งลงเช่นเดิมและฟังข้อเสนอของพ่อตาซึ่งไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าจะได้ผลอย่างที่คาด อย่างไรก็ตาม...อังเดรทำได้เพียงรับฟังเพราะไม่อาจทำสิ่งอื่นใดที่มีประโยชน์กว่านี้ได้และเมื่อเข้าใจดีแล้วก็ขอลากลับโดยไม่คิดจะอยู่พูดคุยจิปาถะเช่นที่คนอื่น ๆ ปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่ และพาเอเดรียนกลับไปพร้อมกันด้วย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [20/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-01-2014 16:15:46
   หลังจากอังเดรจากไปแล้ว ลอร์เรนก็เดินเข้ามาในห้องและนั่งลงรินน้ำชาให้ตนเองพลางปยิบขนมขึ้นมากินเล่นด้วยท่าทางสบาย ๆ

   “กำลังเหงาอยู่หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามชายสูงวัยที่ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือเสียงถอนหายใจจึงหัวเราะคิก “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อชูเลย์ ทั้งที่จงใจให้ยอมไปเป็นพี่เลี้ยงและชักนำให้คิดว่าจะต้องถูกบีบบังคับให้แต่งงานในเร็ววัน แต่ว่า...ในจำนวนพวกเราทั้งหมด คนที่คุณพ่อแสดงออกชัดเจนว่ารักปานแก้วตาดวงใจมีแค่มารีนเพียงคนเดียว ดังนั้นคงไม่แปลกหรอกมั้งคะ ที่ชูเลย์จะคิดว่าตัวเองไม่ได้มีค่าอะไรเลยและไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง”

   ลามอนต์ส่ายศีรษะระอาใจแล้วหันกลับไปมองด้านนอก ชีวิตของเขาคงจะแปลกประหลาดสำหรับคนอื่นจึงไม่มีใครจินตนาการออกกระมังว่าเหตุใดจึงต้องทำเรื่องวุ่นวายให้คนรอบข้างปวดเศียรเวียนเกล้า การเติบโตภายใต้แรงกดดันและจำต้องทำในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองแม้กระทั่งการเลือกคู่ชีวิต นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาไม่เคยราบรื่นและไม่เคยมีเศษเสี้ยวของความรักเกิดขึ้นมาเลย

   การหาเศษหาเลยไปตามอารมณ์อยากประชดทำให้เลขาของตนเองและหญิงสาวซึ่งทำให้เขาหลงรักเกิดตราบาปในชีวิตขึ้นมา ลูกสองคนที่เกิดขึ้นโดยที่กฎหมายไม่รองรับทำให้ภรรยาตัดสินใจหย่าขาด แต่ทั้งเลขาสาวและผู้หญิงชาวจีนที่เขามอบหัวใจให้กลับไม่ยอมร่วมชีวิตด้วย แม้จะพยายามแก้ไขความผิดด้วยการรับลูกนอกสมรสมาเลี้ยงดูและมอบความรักให้แก่มารีนอย่างเต็มที่ทดแทนที่ไม่เคยทำกับผู้เป็นแม่กลับทำให้เกิดช่องว่างที่บิดเบี้ยวในครอบครัว สุดท้ายแล้ว...สิ่งที่เคยคิดว่าถูกก็กลายเป็นความผิดพลาด

   และบั้นปลายของชีวิตเขาก็ไม่หลงเหลือใครที่จะรักได้เลยแม้สักคน...

   ไม่รู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่มอบให้แก่ซูเล่ยจะเพียงพอหรือไม่ แต่เขาก็คงไม่อาจมอบอะไรให้เด็กคนนั้นได้มากกว่านี้อีกแล้ว

   “แล้วเธอล่ะลอร์เรน? คิดว่าฉันเป็นแค่ชายแก่ไร้หัวใจด้วยหรือเปล่า?”

   เจ้าของชื่อยิ้มให้กับคำถาม

   “คุณอาจจะเป็นพ่อที่ไม่ดีนัก แต่ในฐานะเจ้านายฉันยินดีจะรับใช้คุณไปชั่วชีวิต” หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเติบโตเป็นเลขาคนสนิทแทนที่แม่ตอบรับหน้าที่ของตนโดยไม่อิดออด “แต่ฉันยังกังวลเรื่องของเอเดรียน เธอจะต้องเติบโตมาในฐานะทายาทของคุณพ่อ คิดว่าเธอจะเป็นยังไงต่อไปคะ?”

   “เรื่องนั้นก็คงขึ้นกับคนเลี้ยงดู...ซึ่งต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเธอด้วย”

--------------------------->

   รถสองคันที่แยกจากกัน คันหนึ่งวิ่งไปทางบ้านใหญ่ของเวสลอยด์ แต่อีกคันวิ่งสู่ถนนอีกสายซึ่งมีเพนท์เฮาส์หรูหราตั้งอยู่ ลามอนต์ได้มอบห้องหนึ่งที่ตนเองเป็นเจ้าของให้แก่ลูกชายคนเดียวเป็นของขวัญวันเกิดสมัยเด็กเพื่อที่ในอนาคตจะได้มีที่อยู่เป็นสัดเป็นส่วนไม่ต้องกังวลสายตาใคร แต่สำหรับซูเล่ยในตอนนั้นกลับรู้สึกว่ามันคือของขวัญที่จับต้องไม่ได้จึงไม่เคยนึกสนใจ จนกระทั่งโตขึ้นมันจึงได้ใช้งานตามหน้าที่และกลายเป็นที่อยู่ถาวรไปจนกระทั่งย้ายไปอยู่ที่ประเทศจีน

   นับจากตอนนั้นก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาเลย ทั้งที่มันคือสถานที่หลบภัยเพียงหนึ่งเดียวซึ่งผู้เป็นพ่อเคยหยิบยื่นให้

   ตอนที่ซูเล่ยเดินเข้าไปในห้องเขาก็คิดว่ามันคงจะรกไปด้วยฝุ่น แต่ผิดคาด เพราะมันสะอาดสะอ้านกว่าที่คิดไว้ คงเพราะลามอนต์จ้างคนดูแลทำความสะอาดให้สม่ำเสมอกระมัง

   ชายหนุ่มร่างเล็กนั่งลงบนเตียงที่ยังไม่ปูผ้าคลุมและไม่มีเครื่องนอน มองไปรอบห้องด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน มันช่างกว้างขวางและเงียบเหงาจนน่าแปลก สีสันจืดจางผิดกับของเล่นของเด็ก ๆ ทำให้รู้สึกหม่นหมองพิกล แต่อย่างนั้นเขาก็คงจะได้อยู่ห้องนี้เพียงคืนหรือสองคืนเพราะยังไม่แน่ใจว่าลามอนต์ได้จิงเที่ยวบินเที่ยวไหนเอาไว้ให้ และจะต้องไปในทันทีหรือไม่ นอกจากนี้เขายังต้องไปเก็บข้าวของที่ฝากไว้ที่บ้านใหญ่ด้วย

   ความเงียบที่อวบอวลอยู่รอบตัวชักนำให้เจ้าของห้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยที่ยังไม่แน่ใจว่อยากโทรหาใครกันแน่ เพียงแต่...เขาไม่คุ้นกับความโดดเดี่ยวแบบนี้เอาเสียเลย

   หลังจากนั่งมองโทรศัพท์เครื่องใหม่ด้วยสายตาว่างเปล่าเพราะแม้แต่ซิมการ์ดก็ไม่ใช่ของเดิมของตนจึงไม่มีรายชื่อใครบันทึกอยู่เลย ซูเล่ยก็นึกได้ว่าตนเองไม่ได้โทรหาแม่นานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เดินทางกลับมาอเมริกาใหม่ ๆ เพื่อรายงานว่าถึงโดยปลอดภัย จึงตัดสินใจต่อโทรศัพท์ทางไกลไปถึงประเทศจีนแม้ว่าราคาของมันจะแพงจนชวนผวาก็ตาม

   เสียงต่อสายดังอยู่นานจนคนฟังเริ่มเคลิ้มคล้ายจะหลับ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงแกร๊กเบา ๆ

   “สวัสดีค่ะ” ภาษาจีนแสนคุ้นหูแทรกเข้าสู่โสตประสาท กระตุ้นความทรงจำทั้งกลิ่นอายและสัมผัสให้หวนกลับคืนมา

   “สวัสดีครับ แม่”

   “ซูเล่ย?” ปลายสายเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความคิดถึงเหลือคณา “โถ่เอ๊ย ลูกคนนี้ ขาดการติดต่อไปเสียตั้งนานให้แม่ใจหายใจคว่ำ ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงได้ไม่ติดต่อมาบ้างเลย แม่ก็เป็นกังวลอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่กล้าโทรหา รู้หรือเปล่าว่าคุณน้ากับน้าสะใภ้เขาก็เป็นห่วงกันแทบแย่ คุณเวสลอยด์ทำอะไรลูกหรือเปล่า? หรือว่าถูกใครรังแกเอาอีก?”

   “แม่ครับ...ผมไม่เป็นอะไร ไม่มีใครมารังแกผมหรอก” ซูเล่ยหัวเราะ ดูเหมือนทางบ้านจะเป็นห่วงเขาเอามากจริง ๆ น้ากับน้าสะใภ้ก็ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่ตลอด “แต่ว่าผมต้องสะสางงานที่นี่นิดหน่อยก็เลยไม่มีเวลาโทรหา ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

   นับแต่เขาไปอยู่ที่บ้านของอังเดร น้อยครั้งที่จะได้มีเวลาส่วนตัวเพราะต้องคอยสอดส่องสายตาดูแลเอเดรียนไปพร้อม ๆ กับความเรียบร้อยของบ้าน สำหรับเขาที่ไม่เคยดูแลเด็กเล็กมาก่อน งานที่ได้รับค่อนข้างจะหนักหนาในช่วงแรกทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวและลืมเรื่องส่วนตัวไปเสียสนิทใจ

   “แล้วตอนนี้เสร็จธุระแล้วหรือ?” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม “อยู่ที่นั่นกินดีอยู่ดีหรือเปล่า อย่าโหมงานจนลืมกินลืมนอนอีกนะ”

   “ผม...ใกล้จะได้กลับแล้วล่ะครับ”

   “จริงหรือ?” เสียงปลายสายฟังดูตื่นเต้นไม่น้อย

   หญิงสาวมีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกแค่ในช่วงวัยเด็กก่อนที่จะถูกขอตัวไปเลี้ยงโดยผู้เป็นพ่อซึ่งยอมกระทั่งบากหน้ามาคุกเข่าขอขมาต่อพ่อแม่ของเธอในเรื่องที่ทำลงไปและขอให้ได้นำซูเล่ยไปเลี้ยงดูในฐานะของบิดา หลังจากนั้นแม่ลูกก็จะได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งในวาระโอกาสสำคัญโดยลามอนต์จะพามาอยู่ที่บ้านเดือนหนึ่งช่วงปิดเทอมก่อนพาตัวกลับไป สำหรับเธอแล้ว ทุกวินาทีที่ลูกอยู่ด้วยจึงกลายเป็นช่วงเวลาแสนสำคัญและมักจะเฝ้ารอที่จะได้พบหน้าลูกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี้เองที่ซูเล่ยได้กลับมาอยู่ที่บ้านอย่างถาวร

   “แล้วจะกลับเมื่อไหร่จ๊ะ? เดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่า? คงไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้วโทรมาให้แม่ตกใจเล่นหรอกนะ” หญิงสาวหัวเราะคิก

   “แม่พูดแบบนี้ผมก็อดแกล้งเลยสิครับ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมยังอยู่อเมริกา คิดว่าคงจะได้กลับไม่อาทิตย์นี้ก็อาทิตย์หน้านี่แหละครับ” เมื่อได้พูดคุยกับแม่ ความหงอยเหงาในใจก็มลายหายไปสิ้น ซูเล่ยรู้สึกได้ว่าช่องว่างในใจได้ถูกถมลงไปจนเกือบเต็ม แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ยังเป็นหลุมบ่อ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ที่มีแต่จะถูกคว้านลึกลงไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุด

   หลังจากวางสาย ซูเล่ยก็ลุกขึ้นขยับตัวเพื่อให้รู้สึกกระฉับกระเฉง จากนั้นจึงเริ่มจัดห้องโดยเริ่มจากเปิดตู้หาเครื่องนอนมาจัดเตียงเพื่อให้คืนนี้ได้นอนอย่างสบาย ตามด้วยการนำข้าวของที่จำเป็นต้องใช้เช่นเสื้อผ้าออกมาใส่ตู้บางส่วนเผื่อว่าจะอยู่ไม่นาน

   ใช้เวลาแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง ทั้งหมดที่คิดไว้ก็เสร็จเรียบร้อย จู่ ๆ ด้วยความเคยชินเขาก็เดินเข้าครัวไปเพื่อทำอาหารกลางวันให้อังเดรและเอเดรียน แต่...เขาก็พบเพียงเตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าง่าย ๆ โดยที่ไม่มีของสดใด ๆ อยู่เลยสักชนิดเดียว ทำให้ซูเล่ยเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำเรื่องแปลกประหลาดอยู่เพราะที่นี่ไม่มีทั้งอังเดรหรือเอเดรียน ไม่มีงานบ้านให้ดูแล และไม่มีเด็กคอยมาตามเกาะแข้งขาให้เล่นด้วย

   ความเย็นเยียบไต่ขึ้นมาจากปลายมือและปลายเท้า เช่นเดียวกับความหดหู่ที่พลันเข้าเกาะกุมหัวใจจนหนาวเยือกออกมาจากข้างใน

   ไม่รู้ว่าป่านนี้เอเดรียนจะเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าเขาหนีมาแบบนี้ทั้งที่ก่อนจากกันก็พูดว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน

   ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องในฐานะพี่เลี้ยงแล้ว แต่อย่างไรเอเดรียนก็นับได้ว่าเป็นหลานของเขา ในอนาคตจะมีโอกาสได้พบเจอกันอีกหรือไม่ แล้วเมื่อพบกันจะทำสีหน้ายังไง จะเหมือนกับอังเดรหรือเปล่าที่หลงลืมเขาไปและกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน

   แต่แล้ว ก็เป็นอีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์มือถือได้ช่วยปัดเป่าความมืดมนออกไป เสียงริงโทนเสียดหูเรียกให้เจ้าของใหม่ไปรับ

   “สวัสดีครับ”

   “มารับช้าแบบนี้แสดงว่าไม่ค่อยคุ้นกับโทรศัพท์ใหม่หรือ?” ลอร์เรนส่งเสียงทักทายก่อนหัวเราะร่า “รู้หรือเปล่าว่าหลังจากคุณแอชฟอร์ดกลับไป เขาโทรเข้าเครื่องเธอตั้งหลายครั้งจนฉันต้องรับเองแล้วบอกเขาว่าเธอเปลี่ยนเครื่องและเบอร์แล้ว”

   ซูเล่ยเกือบจะอ้าปากถามไปแล้วว่าอังเดรทำอย่างไรต่อ แต่ก็หักใจไม่ถามจะดีกว่า

   “เครื่องนี้มันไม่มีเพลงที่ปกติใช้ แถมปุ่มก็ไม่เหมือนกันเลยต้องใช้เวลานิดหน่อย”

   “ก็ตอนถามว่าจะเปลี่ยนแค่ซิมไหม เธอเป็นคนบอกเองนี่ว่าเปลี่ยนเครื่องเลยดีกว่า”

   “ก็เครื่องของฉันมันเก่า ตั้งใจจะเปลี่ยนตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปดูเสียที ยังไงดูของที่นี่ไปก็ดีกว่ารอไปซื้อที่จีนล่ะน่า” ชายหนุ่มถอนหายใจ “เอาเถอะ เรื่องเพลงเดี๋ยวฉันหาเอาใหม่ก็ได้ แต่เบอร์เก่าของฉันคงไม่มีคนอื่นโทรหาใช่ไหม อย่างดาริลหรือเพื่อน ๆ”

   “ถ้ามีโทรมาเดี๋ยวฉันจะบอกพวกเขาเองก็แล้วกัน” ลอร์เรนกล่าวก่อนจะหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “อีกเดี๋ยวจะมีคนของคุณพ่อไปหา เห็นว่าจะไปแจ้งเรื่องเที่ยวบินกับเรื่องจิปาถะ ถ้ามีอะไรที่อยากได้ก่อนกลับก็บอกกับเขาได้เลยนะ อย่างพวกของฝาก”

   “เข้าใจแล้ว ก่อนกลับฉันจะเข้าไปหาอีกครั้งแล้วกัน”

   ซูเล่ยวางสาย แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงอินเตอร์โฟน ดูท่าคนของลามอนต์จะมาถึงเร็วกว่าที่คิด เขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูและเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางขึงขังยืนอยู่ เจ้าตัวโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาด้านในด้วยท่าทางสุภาพสำรวมและนั่งลงที่โซฟากลางห้อง

   “ได้เที่ยวบินแล้วหรือครับ?”

   “ครับ คุณเวสลอยด์ไม่อยากให้คุณต้องรีบร้อนเกินไปจึงดูเที่ยวบินที่ไม่กระชั้นไปนัก” เจ้าตัวว่าก่อนหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับจดบันทึกขึ้นมาเปิดดู “วันจันทร์หน้า เวลาเก้าโมงเช้า หวังว่าคุณจะไม่ติดขัดอะไร”

   “ไม่ครับ ไม่มี”

   ซูเล่ยตอบอย่างมั่นใจ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับมีความเคลือบแคลงปรากฏขึ้นมา

   “แต่คุณเวสลอยด์บอกว่าคุณอาจจะอยากเลื่อน” ผู้ฟังมุ่นคิ้วสงสัย ผู้แจ้งข่าวจึงพูดต่อ “ก็...เพิ่งจะมีกำหนดการณ์ใหม่เข้ามา เดือนหน้าจะเป็นงานหมั้นของคุณเฟอร์เรสต์ เขาจึงบอกผมว่าคุณอาจจะอยากอยู่ร่วมงานหมั้นของพี่สาวก่อนแล้วค่อยกลับ ซึ่งเขาจะยกเลิกเที่ยวบินให้ถ้าคุณต้องการ”

   งานหมั้นของลอร์เรน?

   เดือนหน้า?

   นี่มันผิดปกติเกินไป ซูเล่ยรู้สึกได้ เพราะลอร์เรนไม่เคยมีท่าทีว่าจะคบหาผู้ชายคนไหนเลย นอกเสียจากว่าจะเป็น...อังเดร

   อา...ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็ยินยอมตามแผนการของพ่อจริง ๆ

   แม้ใจจะรู้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน และทำใจเอาไว้นานแล้ว แต่มันช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงมาจนเผลอบีบมือตนเองเต็มแรง

   “คุณชูเลย์?”

   “ครับ เอ่อ...ไม่ครับ ผมคงอยู่ไม่ได้” เมื่อได้ยินเสียงเรียก ซูเล่ยก็พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อตอบกับคนตรงหน้าอย่างปกติที่สุด “ดูเหมือนว่างานทางนั้นจะรอผมอยู่เพราะหายหน้ามานาน คงต้องขอโทษลอร์เรนเรื่องนี้ด้วยแต่ผมจะหาทางแก้ตัวในภายหลัง”

   “อ้อ...ครับ” ชายหนุ่มจดบันทึกลงไป “แล้วมีอะไรอยากจะฝากผมจัดการก่อนกลับหรือเปล่า?”

   “เดี๋ยวผมจะลิสต์รายการให้ ช่วยรอสักครู่ก็แล้วกัน” ว่าแล้ว เจ้าของห้องก็ลุกไปหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาจดรายการที่อยากจะซื้อไปฝากทางบ้าน แต่...มือของเขากลับขยับแทบไม่ได้เมื่อนึกถึงข่าวที่ได้รับเมื่อครู่ที่ผ่านมา

TBC

ตอนหน้าจบค่า XD เรื่องนี้ยาวกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลย ยาวกว่าเรื่องคิวปิดอีก... แทบสูสีกับกรงเกล็ดมังกร
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-01-2014 16:28:49
อังเดรกำลังพยายามตามหาอยู่นะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 25-01-2014 16:54:56
ทำไมยิ่งอ่านยิ่งเกลียดตาแก่เวสลอยด์  ถึงตอนนี้จะรู้เหตุผลแล้วว่าที่ตาแก่ทำแบบนี้เพราะรักลูกแต่แสดงออกไม่เป็น  แต่เราว่า  ถ้าตาแก่รู้นิสัยซุดีขนาดนั้น แค่บอกว่ารักซูคำเดียวก็น่าจะจบ  ทำไมต้องมาวางแผนซ้ำซ้อนให้ซูต้องเสียใจอยู่ตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้ 

แล้วไหนจะลอเลนก็อีกคน. ก็รู้นะว่าชีวิตคนสังคนตะวันตกกับคนตะวันออกมันไม่เหมือนกัน  แต่แค่การพูดความจริงกับซูเล่ยเนี่ยมันยากมากใช่ไหมหา  แล้วยิ่งมาร่วมมือกันวางแผนกับตาแก่จนเหมือนซูเป็นหมากตัวหนึ่งแบบนี้เรายิ่งไม่เปลื้อมใหญ่เลย

ส่วนอังเดร  ตอนนี้เริ่มแสดงความฉลาดมาแล้วนิดนึงก็จะให้อภัยไปก่อนแล้วกัน (ทำไมกับพระเอกมันอภัยให้ง่ายกันจัง//ฮา)

สรุปคืออ่านตอนนี้แล้วอยากกระทืบตาแก่มากๆ  และสงสารซูเล่ยมากๆเลยค่ะ  หวังตอนหย้าซูเล่ยจะเริ่มมีความสุขมากขึ้นนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 25-01-2014 17:05:00
สู้ๆนะอังเดร เราว่านายต้องรู้อะไรบ้าง

ไม่งี่เง่า แถมยังเป็นพระเอกที่รู้ใจตัวเอง

ดั้งนั้น ปัญหาอยู่ที่"ซู" แล้วหละ จะเอาไงดี
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 25-01-2014 17:48:30
เบื่อตาแก่ร้ายยันตอนสุดท้ายจริงๆ
แต่งงงแต่งงานบ้าบอไรฟะ ทำให้ลูกเจ็บอยู่ได้โอ้ย
คือตอนนี้อังเดรรีบๆหาซูแล้วปรับความเข้าใจดีกว่า
เพราะถ้าให้อังเดรบินไปหาซูที่จีนนี่ไม่ใช่สไตล์ฮีแน่ๆ
จะขาดใจละลุ้นเกิน ถ้าเรื่องนี้ไม่มีตาแก่ลามอนคือทุกอย่างจะราบรื่นเลยนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-01-2014 17:57:57
น่าสงสารที่สุดคือซูสินะ
คุณพ่อตาก็นะ
ทำอะไรผิดไว้แต่ก่อนก็น่าจะเข้าใจอะไรบ้างสิ
ตอนหน้าจบแล้วเหรอ
ใจหายอะ ไม่อยากให้จบเล๊ยยย 555
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 25-01-2014 18:05:45
เป็นแผนของพ่อจริงๆสินะ ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากด้วยก็ไม่รู้ สงสารซูลากไปลากมา
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 25-01-2014 18:34:47
อ่านมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเดิมว่าตัวเองคงไม่สามารถคาดเดาอะไรกับตอนจบได้เลย
ทำไมอะไรๆก็ดูจะซับซ้อนเหลือเกิน
แต่อังเดรดูหล่อมากค่ะ ตอนที่เข้าไปสารภาพกับพ่อซู
เยี่ยมจริง!! ฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย
แต่คุณควรจะไปสารภาพกับซูด้วยนะ ต้องตามมาเคลียร์กันก่อนจะถึงวันจันทร์นะรู้มั้ย
คนอ่านคิดถึงฉากระหว่างซูกับเอเดรียนจะแย่แล้วค่ะ  :m15:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 25-01-2014 18:55:52
หวังว่าคุณพ่อจะทำสิ่งที่ถูกที่ ถูกเวลาซะที

ถ้าซูเล่ยเติบโตมากับแม่ ต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่ๆ

หวังว่าอังเดรจะทำสำเร็จนะ ใช้ใจแลกใจเถอะ

การบังคับมีแต่จะอึดอัด และไม่มีความสุขกันทั้งคู่

 :pig4: นักเขียน ลุ้นและสนุกกับเรื่องนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 25-01-2014 19:22:25
ใกล้จบแล้วววว ว
สงสารซุเล่ยยย
TTTT
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-01-2014 19:39:01
มาจิ้มก่อนอ่านน้องซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 25-01-2014 20:02:09
ใกล้จบแล้ว ก็ยังไม่ชอบอิคุณพ่อตาอยู่ดี ถ้าจะช่วย ทำไมไม่ช่วยดีๆละ เล่นแง่อยู่ได้ น่าตบกะโหลก ยิงทิ้ง
เอาซูมาเลี้ยง แต่ตามความรู้สึกที่ซูพูดถึงพ่อ ก็ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกเขานัก แล้วจะเอาเขามาเลี้ยงทำไม
เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงหรอ เป็นผู้ชายที่เลือดเย็นที่สุด ซูเป็นคนไม่กล้าคิด ตัดสินใจแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อเขานั่นแหละ
โอ้ยอินจัด มันขัดใจอะ คนแต่งอย่าใส่ใจเลย

จะรออ่านตอนที่น้องซูเล่ย มีความสุขจริงๆเสียทีนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-01-2014 20:06:43
คิดเอาเองว่าสิ่งตนทำดีแล้ว แหกตาดูคนอื่น ๆ บ้างสิ เขามีความสุขไหม
สงสารซูจริง ๆ หวังว่าอังเดรจะทำเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 25-01-2014 21:20:26
จะจบแร้วหร้อออ~ ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
อยากได้ตอนหวานๆของอังเดรกับซูบ้าง
เพราะรู้สึกมันจะหน่วงมาตลอดเลยอ่าช่วงหลัง :ling3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 25-01-2014 21:52:07
ตอนหน้าจบ งั้นความสุขของซูก็รออยู่ตอนหน้าสินะ

พ่อของซูก็รักลูกนะ แต่วิธีการแปลกๆไปหน่อย

อังเดรก็ไม่ต้องเสียใจนะ ไม่มีใครแย่งหัวใจซูจากนายได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 25-01-2014 22:34:17
นี่ตอนหน้าจะจบแล้ว แกยังไม่เลิกเล่นแง่อีกเร๊อะตาแก่!!
รู้ว่าเป็นคนฉลาดล้ำกว่าชาวบ้านเขา แต่เรื่องรักลูกเนี่ยช่วยแสดงออกแบบธรรมดาๆได้มั้ยคะ

อังเดร คุณยังมีโอกาสจนถึงตอนหน้านะคะ สู้นะ


 :กอด1:


หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-01-2014 23:42:31
ห๊ะ ตอนหน้าจบ
ซูเอ้ยยยย จะมีความสุขกับเค้าสักทีมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Khunsathi ที่ 25-01-2014 23:52:46
พลิกสุดๆ 5555
ตอนแรกสงสารยูล่ามาก แล้วมองคุณพ่อตาร้ายยยยยยยที่สุด
กลายเป็นว่าวางแผนให้ลูกชายคนเดียวสมหวังซะอย่างนั้น..
ปลื้มมมมมมมม มากค่ะ
แถมอังเดรยังจำซูเล่ยมาได้ตลอด... ^^
ถึงเวลาต้องให้ความมั่นใจอีกฝ่ายเสียทีนะอังเดรร
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 26-01-2014 16:06:15
หนีเลยๆ  :katai2-1: :katai2-1:

ชูป้ายเชียร์  :hao6:

อังเดรนิสัยแมวมากอ้ะ ไม่เคยทำอะไรให้ซูเลย  :fire:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 27-01-2014 16:59:39
อ้าวววว...คดีพลิก สรุปคุณพ่อเป็นพวกรักนะ แต่ไม่แสดงออกสินะ...สินะ

ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านฉากมุ้งมิ้งของอังเดรกับซูเยอะๆอ่ะค่ะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 30-01-2014 00:04:08
มีแผนอะไรกันอีกเนี่ย สงสารซู
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 31-01-2014 16:49:23
-22-


   กลิ่นอายของวัฒนธรรมในแต่ละสถานที่ล้วนแต่ให้ความรู้สึกที่ผิดแผกแตกต่างแม้แต่ในยุคสมัยที่โลกเปิดกว้างจนไร้พรมแดน ซูเล่ยหวนกลับสู่กลิ่นอายที่ตนปรารถนาและคุ้นเคย สลัดอดีตทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ใช้ชีวิตเสมือนว่าโลกอีกฝั่งหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่

   “อ้าว กลับมาแล้วหรือ? วันนี้กลับเร็วนะ” เยว่ซินเอ่ยทักลูกชายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดหิ้งวางรูปของพ่อและแม่ที่เสียไปได้หลายปีแล้ว “แม่ทำของว่างเอาไว้ให้ ลองไปดูในครัวดูนะว่าอยากกินอะไร”

   “ครับ แล้วอาไปรับน้องอยู่หรือครับ?” ซูเล่ยถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามากอดแม่จากด้านหลัง

   หลังจากตัดสินใจกลับบ้านที่จีน และทำงานตามหน้าที่เดิมซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากคอยนั่งโต๊ะตรวจดูผลการทำงาน คุยกับหัวหน้าแต่ละแผนก ส่งผลการดำเนินงานให้บริษัทแม่เป็นระยะ แต่แม้จะเป็นชีวิตที่แสนเรียบง่ายก็กลับทำให้สงบสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่อย่างหรูหราสุขสบายในบ้านของลามอนต์ เวสลอยด์ ฐานะทางบ้านของฝั่งแม่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อัตคัดขัดสนจึงถือว่าอยู่ได้โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

   ผ่านมาได้สองสัปดาห์ การปรับตัวกลับสู่วิถีชีวิตปกติก็เป็นไปอย่างราบรื่น เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าอีกประมาณสองสัปดาห์ข้างหน้าจะมีงานมงคลเกิดขึ้นที่โลกอีกฝั่ง

   งานหมั้นของลอร์เรนและอังเดรคงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่สิ...ถึงจะทำได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำ เพราะอังเดรคงไม่แคร์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนั้น ตัวซูเล่ยจึงพยายามที่จะไม่ใส่ใจและคิดเสียว่ามันคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว ทว่า...ในสายตาของผู้เป็นแม่ มีหรือจะมองไม่ออกว่าลูกชายมีเรื่องทุกข์ใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างปกติสุขดี แต่ในบางครั้งก็มีสีหน้าหงอยเหงาและผิดหวัง ซึ่งเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของตนเองเพราะซูเล่ยไม่ยอมเล่าให้ฟังแม้แต่น้อย

   เสียงโทรศัพท์ที่เปลี่ยนริงโทนเป็นเพลง ‘เหลี่ยวเจี๋ย’ ดังลอยมาจากกระเป๋าเป้ ซูเล่ยชะงักมือจากขนมจีบฝีมือแม่และเดินออกไปมองดูเบอร์ที่ปรากฏซึ่งคุ้นตาอย่างน่าแปลก กระนั้นกลับไม่มีบันทึกชื่อเอาไว้ บางทีคงจะเป็นคนที่ทำงานด้วยกันสักคนหนึ่ง

   “สวัสดีครับ”

   “ชูเลย์” เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของลอร์เรน “ใจร้ายจริง ๆ ไม่ยอมบอกฉันว่าเบอร์ที่ใช้ที่จีนเป็นเบอร์อะไร ทำให้ฉันต้องไปตื้อเอาจากพ่อถึงจะติดต่อได้”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้ว เขาจงใจที่จะไม่เปิดเผยเบอร์โทรที่ใช้หลังกลับจีนของตนเอง โดยจะบอกไว้กับแค่บางคนเช่นพ่อหรือดาริลเพื่อความสะดวกใจ แต่ไม่นึกว่าลอร์เรนจะขุ่นเคืองใจกับเรื่องแบบนี้ด้วยเพราะปกติพวกเขาสองคนก็ไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักในระยะหลัง ๆ

   หรือว่าจะเป็นเรื่องงานหมั้น...

   “ฉันรีบไปหน่อยก็เลยไม่ได้บอกเธอเอาไว้ ว่าแต่ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” เขาเลือกที่จะไม่คาดเดาไปก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้บทสนทนาอื่นที่อาจเป็นไปได้

   “อาทิตย์หน้าเธอว่างไหม?”

   อาทิตย์หน้า?

   ซูเล่ยนึกไม่ออกเลยว่าอาทิตย์หน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดกับเขามีอะไรเกี่ยวข้องกับลอร์เรนหรืออย่างไรจึงต้องถามถึง

   “ไม่แน่ใจ ถ้าเป็นบ่ายวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ก็ว่างอยู่”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” เสียงดีดนิ้วเป๊าะดังขึ้นพร้อมกับเสียงตอบรับอย่างดีใจ “ฉันคิดว่าจะไปเที่ยวที่จีนกับว่าที่คู่หมั้นอาทิตย์หน้า และอยากให้เธอช่วยนำทางหน่อยเพราะทางนี้ไม่มีคนรู้ทิศรู้ทางกันเลยแถมพูดภาษาจีนกันก็ไม่เป็น มีเธออยู่ด้วยคงสบายไปหลายอย่าง” ลอร์เรนว่าแล้วจึงเริ่มบรรยายถึงสถานที่ที่อยากจะเที่ยวชมซึ่งอยู่ในเขตใกล้ ๆ กับที่อยู่ของเขา ที่ไกลสุดก็ขับรถไปไม่เกินชั่วโมงครึ่งถ้าสภาพการจราจรเอื้ออำนวย นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่อยากซื้อเอาไว้ตระเตรียมหลังจากแต่งงาน

   ลอร์เรนพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ราวกับว่าไม่มีส่วนใด ๆ เกี่ยวข้องกับคู่สนทนาเลย กระทั่งการพูดถึงอังเดรก็ยังแทนที่ด้วยคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ซึ่งทั้งหมดนั่นคงเพื่อความสบายใจของเขา...

   หลังจากวางสาย เยว่ซินก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมน้องชาย น้องสะใภ้ และหลานชายที่อยู่ในวัยประถมปลาย ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยเรื่องจิปาถะกันอยู่โดยไม่ทันสังเกตว่าซูเล่ยโทรศัพท์อยู่ เมื่อผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้นมาเห็นลูกชายกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าแปลกตาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

   “เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ? หรือว่างานมีปัญหา?” เธอเดินเข้าไปลูบหลังปลอบ ซูเล่ยจึงยิ้มและตอบว่าไม่มีอะไรก่อนขอตัวไปพักจนกว่าจะถึงเวลาอาหาร

   ซูเล่ยกลิ้งตัวบนเตียงอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง เยว่ซินก็ตามขึ้นมาบนห้องและนั่งลงที่ขอบเตียงก่อนลูบมือบนไหล่ของลูกชายเบา ๆ

   “ซูเล่ย ลูกรู้ใช่ไหมว่าสามารถเล่าให้แม่ฟังได้ทุกเรื่อง แต่ถ้ายังไม่อยากพูดอะไรแม่ก็ไม่คาดคั้นหรอกนะ” เมื่อเห็นลูกชายยังไม่ตอบสนอง หญิงสาวก็ถอนหายใจแล้วประสานมือพลางมองทอดสายตาไปทางประตู “จำได้หรือเปล่า ว่าสมัยก่อนลูกมักจะร้องไห้เมื่อจะต้องกลับไปอยู่กับพ่อ ลูกจะกอดขาแม่แน่นและถามทั้งน้ำตาว่าทำไมถึงไม่ไปอยู่ด้วยกัน ทำไมถึงปล่อยให้ลูกไปคนเดียว”

   “เพราะแม่ไม่อยากแต่งงานกับพ่อสินะครับ เพราะตอนพ่อทำให้แม่ท้องพ่อก็มีภรรยาอยู่แล้ว แถมเลขาของพ่อที่มาเตือนแม่ก็กำลังท้องลูกของเขาอยู่เหมือนกัน แม่คงจะกังขาว่าแต่งไปจะเป็นยังไง เขาจะแคร์แม่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่าแค่อยากแก้ตัวให้เรื่องจบ ๆ ไป” สมัยก่อน ซูเล่ยไม่เคยเข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย เมื่อยังเด็กก็มีแต่ความสงสัยว่าเหตุใดพ่อจึงต้องทิ้งแม่ และเหตุใดแม่จึงไม่ยอมมาอยู่กับพ่อ ทำไมครอบครัวของตนจึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ และเมื่ออยู่ในบ้าน ฐานะของเขากับลอร์เรนก็เป็นรองมารีนอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้ เชาคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว เยว่ซินกลับฟังแล้วยิ้มบางก่อนส่ายศีรษะช้า ๆ

   “ตอนที่พ่อมาที่นี่เพื่อขอโทษและยอมรับผิดชอบในทุก ๆ สิ่งที่ทำกับแม่ เขาคุกเข่าก้มหน้าก้มตาให้คุณตาด่าทอโดยไม่ตอบโต้ คิดดูสิว่าผู้ชายที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครกลับยอมถึงขนาดนี้ มีหรือที่แม่จะไม่ใจอ่อน” ได้ยินดังนั้น ซูเล่ยก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย เขานึกภาพของลามอนต์ในช่วงเวลานั้นไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
   “ถ้าอย่างนั้น ทำไมล่ะครับ?”

   “แหม...จะว่ายังไงดีนะ ตอนนั้นแม่ยังเด็กและไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ พอถูกเอาอกเอาใจก็หลงคารมจนยอมเขาไปเสียทุกอย่าง พอนึกถึงตัวเองในตอนนั้นมันก็ช่างน่าอายจนมองหน้าใครไม่ติด” เธอว่าไปใบหน้าก็มีริ้วแดงนิด ๆ “แล้วสังคมที่นี่ก็ไม่เปิดกว้างเหมือนอย่างทางนั้น พอมีเรื่องงามหน้าขึ้นมาพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ร้อนหูจนอยู่กันแทบไม่ได้ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็แสนยากลำบาก ถ้าหากแม่ตอบรับไปกับพ่อ ตากันยายก็คงต้องร้อนหูกันอีกว่าลูกสาวใจง่ายเห็นแก่ความสุขสบาย เขาเอาเงินมาหว่านก็วิ่งตามเขาไป ซ้ำคุณอาของลูกก็ยังเด็ก ยังไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ พอถูกเพื่อนถามเรื่องพี่สาวกับหลานที่ไม่มีพ่อก็ร้องไห้กลับมาต่อว่าแม่ แม่จึงไม่อยากสร้างปัญหาให้กับครอบครัว แต่อนาคตของลูกก็สำคัญจึงยื่นข้อเสนอให้พ่อรับตัวลูกไปเลี้ยงแทน”

   ซูเล่ยพลิกตัวนอนหงาย มองแผ่นหลังบอบบางของแม่ที่ต้องผ่านความลำบากและเจ็บช้ำมามากมายเพียงเพราะรักผิดคน พลางนึกสงสัยว่าเขารับสืบทอดดวงเรื่องความรักมาจากแม่หรือยังไงกันนะ อาจจะดีกว่าก็แค่ถึงจะทำยังไงก็ไม่มีทางจะท้องขึ้นมาได้จึงไม่ต้องกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน

   “หลังจากที่ลูกไปอยู่กับพ่อเขา ที่บ้านก็เงียบไปสนิทใจ คุณอาก็เริ่มโวยวายต่อว่าพ่อว่าเอาลูกคนอื่นเขาไปเป็นกรรมสิทธิ์แล้วไม่เห็นหัวบ้านฝั่งนี้บ้าง แต่แค่เดือนเดียวพ่อเขาก็โทรกลับมาเพื่อเล่าเรื่องลูกให้แม่ฟัง และก็เป็นแบบนั้นทุก ๆ เดือน เขาจะบอกแม่อยู่เสมอว่าลูกไปโรงเรียนเป็นยังไง มีเพื่อนชื่ออะไร เป็นคนแบบไหน อยู่ที่บ้านลูกมีความสุขดีหรือเปล่า เป็นไข้ไม่สบายอย่างไรบ้าง เรียกว่าตามติดลูกแทบทุกฝีก้าว”

   เป็นเรื่องน่าแปลก...ที่ซูเล่ยไม่เคยรู้เลยว่าตนเองถูกจับตาดูถึงขนาดนั้น แต่เมื่อคิดย้อนไปตอนเด็ก ๆ พอกลับมาบ้านนี้แม่มักจะรู้ว่าเขาเจอกับอะไรบ้างและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทางอเมริกาเสมือนว่าแม่มีส่วนร่วมด้วยกับทุกสถานการณ์ในชีวิตของเขา

   มือบอบบางลูบบนเรือนผมสีเข้มพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

   “แต่ว่าตอนนี้ลูกโตแล้ว พ่อคงเดินตามต้อยๆเพื่อเอามารายงานไม่ไหว ดังนั้นถ้าลูกอยากเล่าเมื่อไหร่...แม่พร้อมฟังเสมอนะจ๊ะ”

   “...ครับ” เขาตอบรับเพื่อให้แม่สบายใจ แต่เอาเข้าจริง...ก็ไม่รู้ว่าจะเล่าจากตรงไหนอยู่ดี “แม่จำลอร์เรนได้หรือเปล่า?”

   “อ้อ จำได้สิจ๊ะ” บางครั้งลอร์เรนก็ตามมาด้วยเมื่อลามอนต์พาซูเล่ยกลับบ้าน ครอบครัวนี้จึงรู้จักลอร์เรนในฐานะลูกนอกสมรสคนหนึ่งของลามอนต์ และรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษเพราะอยู่ในฐานะเดียวกับซูเล่ย

   “เธอจะมาเที่ยวที่จีนสักสองหรือสามวัน ผมคงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนะครับ”

   เยว่ซินรับคำและตอบแค่ว่าให้พามาเยี่ยมเยียนกันบ้างเนื่องจากไม่ได้เห็นหน้านานแล้ว ก่อนจะบอกให้ซูเล่ยลงไปกินข้าวเย็นและเดินออกไปจากห้อง

--------------------------------->

   วันศุกร์ในอาทิตย์ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังปลุกในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนไม่นาน

   “ชูเลย์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงแรมแล้วนะ” ลอร์เรนว่าก่อนบอกชื่อโรงแรมที่พักอยู่ “ถ้าหากว่าเธอเลิกงานแล้วจะมาที่นี่เลยหรือเปล่า? หรือว่าจะเก็บของแล้วค่อยมา?”

   “เธอรีบขนาดนั้นเลยหรือ? ที่จริงเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้ก็ได้นี่” ซูเล่ยหนีบโทรศัพท์มือถือด้วยหัวไหล่พลางจัดกระเป๋าเตรียมออกไปทำงาน

   “ชูเลย์ พวกเราเพิ่งได้คุยกันแค่ไม่เท่าไหร่หลังจากหายหน้าหายตาไปเป็นปี ๆ ซ้ำเรื่องที่พูดคุยส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของพวกเราเลย ฉันก็แค่อยากจะพบปะเธอในฐานะพี่น้องธรรมดาบ้าง ซึ่งถ้าเป็นวันพรุ่งนี้เราก็ต้องไปกันเป็นหมู่คณะคงไม่ได้คุยอะไรกันเหมือนเดิม”

   คำขอของลอร์เรนทำให้ซูเล่ยอดใจอ่อนไม่ได้ พวกเขาทั้งสองค่อนข้างสนิทกันมากกว่ามารีนซึ่งวางตัวอยู่เหนือกว่าเสมอจึงเข้าใจกันดีและเข้าอกเข้าใจกันและกัน สำหรับซูเล่ยลอร์เรนก็เหมือนกับน้องชายดูแลพี่สาวตัวเองและมักจะปฏิเสธคำร้องขอไม่ได้

   บ่ายวันนั้น ซูเล่ยจึงกลับบ้านเร็วและรีบร้อนออกไป

   “เดี๋ยวสิ เพิ่งกลับมาจะรีบไปไหนหรือ?” เยว่ซินเห็นซูเล่ยแวะเข้ามาเก็บกระเป๋าก็รีบเรียกตัวไว้ “เข้ามานั่งพักในบ้านก่อนสิ”

   “ลอร์เรนรออยู่น่ะครับ เดี๋ยวผมไปเจอแล้วจะพามาเยี่ยมแม่ด้วย ถ้าค่ำกว่านี้เดี๋ยวจะไม่สะดวก” ซูเล่ยว่า เพราะเมื่อลอร์เรนโตขึ้นก็ขาดการติดต่อกับบ้านนี้ไปอย่างสิ้นเชิง อากับอาสะใภ้ของเขาคงไม่คุ้นชินนักถ้าเห็นมีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวมาก่อน ด้วยเหตุนั้นซูเล่ยจึงรีบร้อนออกจากบ้านไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลานี้แม่ของเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง

   หลังซูเล่ยลับตาไปแล้ว ชายสูงวัยก็ก้าวออกมา

   “ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่จะลำบากใจเสียเปล่า ๆ” ลามอนต์ว่าพลางผ่อนลมหายใจ “คงมีแต่เธอนี่แหละที่ยังต้อนรับฉันอยู่”

   “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เราก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ คุณดูแก่ตัวลงไปมากทีเดียว” เยว่ซินกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็หลงลืมไปหมดแล้วว่าเคยโกรธเคืองผู้ชายคนนี้มากแค่ไหนที่ถูกหักหลังและทำให้ความรักครั้งแรกที่สวยงามต้องพังทลายลง บางที เธอคงจะอภัยให้หมดแล้วเมื่อเห็นภาพของลามอนต์ที่คุกเข่าบนพื้นและก้มหน้านิ่ง ในภาพลักษณ์ทั้งหมดที่เคยเห็น นั่นคือภาพที่ทำให้ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อีกครั้งแม้จะข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณมามากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกันได้...

   “เธอเองก็ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วฉันในตอนนี้คงจะเหมือนพ่อของเธอเลยล่ะมั้ง” ลามอนต์นับอายุตนเองในใจ คร่าว ๆ ก็มากกว่าเยว่ซินเสียสิบปี เมื่อรวมกับชาติพันธุ์ซึ่งคนตะวันตกมักจะโรยราไวกว่าคนตะวันออกทำให้รูปลักษณ์ของเขากับเยว่ซินห่างกันไกลโข

   “เวลาผ่านไปไวก็อย่างนี้แหละค่ะ แม้แต่เด็ก ๆ ก็เติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงพวกเราอีกแล้ว คิด ๆ  ไปก็เหงาอยู่ไม่ใช่น้อย”

   ผู้ฟังมองเจ้าของประโยคคำพูดด้วยสายตาเฉียบคมทว่าอ่อนโยน

   จริงอยู่ว่าเวลาผ่านเลยไป แต่ความรักที่เขาเคยมีกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชายสูงวัยเดินเข้าไปจับมือหญิงสาวและนิ่งไปครู่หนึ่ง

   “บางที เมื่อเด็ก ๆ มีชีวิตของตัวเองแล้ว คงจะมีเวลาของเราเกิดขึ้นบ้าง”

   เยว่ซินเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนเผยรอยยิ้มพลางรอฟังอีกฝ่ายพูดต่อ

   “เยว่ซิน ถึงตอนนี้แล้ว เธอจะยินดีรับคำขอแต่งงานของฉันหรือเปล่า”

----------------------------->

   ซูเล่ยเดินทางถึงโรงแรมโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง และเห็นลอร์เรนรออยู่ในล็อบบี้พร้อมกับเอเดรียน เด็กหญิงเป็นคนแรกที่กันมาเห็นและชูไม้ชูมือดีใจก่อนวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง แน่นอนว่าซูเล่ยก็คิดถึงเอเดรียนอยู่ไม่ใช่น้อย จึงนั่งลงไปกอดตอบพลางมองรอบข้างหาคนเป็นพ่อแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงเอเดรียนและลอร์เรนที่ออกมารอรับ บางที...อังเดรคงจะไม่อยากพบเขากระมัง...

   “เอเดรียนคิดถึงเธอมากทีเดียว บ่นถึงแทบทุกวันไม่ได้ขาดเลย แล้วที่คิดถึงมากที่สุดคงจะเป็นกับข้าวฝีมือพี่เลี้ยงคนเก่งล่ะมั้ง” หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อเอเดรียนทำแก้มพอง

   “ลอร์เรนทำกับข้าวไม่เก่งเลยนี่นา ทำผักก็ขม”

   “แหม...พี่คงต้องฝึกอีกนานกว่าจะเทียบชูเลย์ได้” ลอร์เรนไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อยที่ถูกตำหนิในสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ช่วงที่เขาหายตัวไป เจ้าตัวก็คงลำบากไม่น้อยกับการทำหน้าที่แทนทั้งงานบ้านและงานครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนเลย

   “ซูมาเที่ยวแล้วเดี๋ยวจะกลับบ้านด้วยกันใช่ไหม?” เอเดรียนหันกลับมาหาพี่เลี้ยงแล้วจับมือแน่น “เอเดรียนดุแดดดี้ที่รังแกซูแล้วนะ”

   ซูเล่ยได้ยินแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ การให้เด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นห่วงมันไม่ใช่เรื่องเอาเสียเลย แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ ว่าตอนนี้ไม่ใช่พี่เลี้ยงของเธออีกแล้ว

   “เอาไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ” เขาลูบผมของเด็กหญิงและสังเกตเห็นว่ามันสั้นลงกว่าครั้งล่าสุดที่พบกัน บางทีเอเดรียนคงจะอ้อนอังเดรสำเร็จแล้วจึงให้ลอร์เรนตัดให้กระมัง “จริงสิ เธอคงไม่ได้เรียกฉันมาเพียงเพื่อพบกับเอเดรียนใช่ไหม?”

   “รู้ทันฉันอีกแล้วนะ ที่จริง...เวลานี้เขาควรจะมาถึงได้แล้ว แต่...” ลอร์เรนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แต่แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มกว้างพร้อม ๆ กับที่หูของเขาได้ยินเสียงรองเท้าหนังก้าวเข้ามาใกล้เป็นจังหวะเดินที่ค่อนข้างเร็ว สามารถอนุมานได้ทันทีว่าเป็นผู้ชาย อังเดร...กำลังเดินมาทางนี้ เพียงแค่คิด ทั้งร่างซูเล่ยก็พลันเย็นเฉียบเสมือนถูกเยือกแข็ง

   แต่ว่าทำไมเขาจะต้องรู้สึกอะไรด้วย ตอนนี้อังเดรเป็นว่าที่คู่หมั้นของลอร์เรนแล้ว เรื่องระหว่างเขากับเจ้าตัวก็กลายเป็นอดีตที่ควรถูกหลงลืม อังเดรเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะนำเรื่องเหล่านี้มาคิดเล็กคิดน้อย คงจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าในเวลานี้เขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน...

   “ชูเลย์ ฉันขอแนะนำให้รู้จักว่าที่คู่หมั้นของฉัน” หญิงสาวผายมือพร้อมพูดประโยคที่ทำให้ซูเล่ยกลายเป็นคนนอกไปในทันที นี่อาจจะเป็นวิธีการของลอร์เรนเพื่อทดสอบว่าเขายังคงมีใจให้คู่หมั้นของเธอหรือเปล่าสินะ? ถึงแม้ตามจริงแล้วลอร์เรนจะดูไม่ใช่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ก็ตาม กระนั้นเขาก็หลวมตัวมาถึงที่นี่แล้ว จะฝืนต่อไปก็ใช่ที่ คงต้องเดินตามเกมของอีกฝ่ายเพื่อให้เธอมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นสามีที่ดีของเธอเพียงคนเดียว ไม่ได้มีใจสิเน่หากับใครอื่นหรือมีใครที่คิดสิเน่หาด้วย

   ซูเล่ยขบริมฝีปากก่อนหันไปเผชิญหน้า ใจนึกอยากรู้เหมือนกันว่าอังเดรจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อพบเขา จะแย้มยิ้มจับมือเหมือนคนไม่รู้จัก หรือประหลาดใจและเกิดมีพิรุธให้จับได้

   ทว่า...

   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มที่แย้มยิ้มอ่อนโยนและยื่นมือมาให้เขากลับกลายเป็นชายที่ไม่คุ้นหน้า ส่วนสูงใกล้เคียงกับอังเดรแต่แววตาดูฉลาดเฉลียวเฉียบคมเกินธรรมดา เรือนผมสีอ่อน ตาสีฟ้าใส เครื่องหน้าคมคายตามเชื้อสายซึ่งดูไม่คล้ายอังเดรแม้สักส่วนเดียว

   “...ครับ” ซูเล่ยตอบรับทั้งที่ยังงงงวยเหมือนสมองถูกเขย่าจนกลายเป็นฟองลอยฟุ้ง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 31-01-2014 16:49:47
   “คุณแคมป์เบล นี่น้องชายของฉันเองค่ะ ชูเลย์” ลอร์เรนกล่าวแล้วเดินไปยืนข้างชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของนามสกุลแคมป์เบล “ชูเลย์ นี่ไงว่าที่คู่หมั้นของฉัน ที่จริงแล้วฉันคิดจะแนะนำให้เธอรู้จักก่อนกลับจีน แต่น่าเสียดายที่เธอหนีกลับมาเสียก่อนฉันถึงต้องพาเขาดั้นด้นมาหาถึงนี่”

   “อย่าพูดเหมือนผมลำบากใจที่จะมากับคุณสิ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงระรื่นหูก่อนหันกลับมาทางซูเล่ย “ผมยินดีที่ได้พบคุณนะครับ ลอร์เรนเล่าให้ผมฟังหลายอย่างเกี่ยวกับคุณ โดยเฉพาะเรื่องที่คุณเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับเธออย่างกับเป็นคู่แฝด”

   ซูเล่ยหน้าเจื่อนเล็กน้อยขณะฟังเรื่องราวที่ลอร์เรนนำไปเล่าให้ว่าที่คู่หมั้นฟัง

   “แล้วพาคุณพ่อไปส่งถึงที่หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม

   “อ๋อ ครับ พอไปถึงเขาก็ขอให้ผมกลับมาก่อนแต่หลงทางนิดหน่อยก็เลยมาถึงช้า”

   “....พ่อ...มาด้วยหรือ?”

   ลอร์เรนเลิกคิ้วสูง

   “อะไรกัน ไม่ได้เจอกันหรอกหรือ? เขาโทรมาบอกฉันว่าถึงบ้านของเธอก่อนเธอกลับเสียอีก”

   เมื่อนึกย้อนก็จำได้ว่าแม่พยายามจะบอกอะไรบางอย่างก่อนออกจากบ้าน บางที...ลามอนต์คงจะนั่งอยู่ข้างในด้วย...

   “เอาเถอะ ที่จริงแล้วก็มีคนอื่นที่อยากจะเจอเธออยู่อีกคนนะ” เมื่อลอร์เรนกล่าวจบ เสียงร้องเรียก ‘แดดดี้’ ก็ดังขึ้น ครั้งนี้ซูเล่ยหันกลับไปหาในทันทีด้วยใจหวาดหวั่นว่าตนจะถูกหลอกลวงให้เข้าใจผิดไปเองอีกครั้ง แต่ผู้ชายที่เดินตรงเข้ามานั้น...คืออังเดรไม่ผิดแน่...

   ชายหนุ่มหยุดยืนไม่ไกลจากเขานัก สายตาทั้งสองสบประสานกันชั่วครู่ก่อนที่เสียงของลอร์เรนจะดึงสติของพวกเขาให้กลับมา ณ เวลาปัจจุบัน

   “พวกเขาคงมีอะไรคุยกันหลายอย่าง เราขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวชวนคู่หมั้นแล้วจูงมือเอเดรียน “เราไปเล่นของเล่นกันต่อก่อนดีไหมจ๊ะ? แล้วก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกับซูไง” การโน้มน้าวของลอร์เรนได้ผล เพราะเมื่อได้ฟัง เอเดรียนที่คิดจะดื้อแพ่งในตอนแรกก็ยอมคล้อยตามและหันมาทำสีหน้าแง่งอนเล็กน้อยกับพี่เลี้ยงของตนก่อนเดินตามครูพิเศษไปทางลิฟต์

   เวลานี้ แม้ล็อบบี้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ซูเล่ยกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ที่นี่มีเพียงตนกับอังเดรและความเงียบที่ต่างคนต่างทิ้งเอาไว้

   “ออกไปเดินเล่นกันหน่อยได้ไหม?” เสียงเอ่ยชวนพาให้ซูเล่ยนึกฉงน แต่ก็พยักหน้าตอบรับและเดินนำออกไปข้างนอกโดยไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งพ้นประตูแล้ว ซูเล่ยจึงถอนหายใจแล้วเริ่มเปิดหัวข้อ เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเงียบใส่กันอยู่แบบนี้ให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะเป็นคู่หมั้นของลอร์เรนเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”

   “ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันนั้นฉันแค่ไปบอกกับพ่อของเธอตรง ๆ ว่าฉันไม่คิดจะแต่งงานใหม่กับใครทั้งนั้น ลอร์เรนจึงเปิดเผยกับฉันว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วก็เท่านั้น” อังเดรว่าก่อนยิ้มมุมปาก “ฉันก็บอกว่าฉันเองก็มีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงขนาดเรียกว่าคนรักได้”

   ลมหายใจซูเล่ยติดขัดเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอังเดรมีคนอื่นที่เขาไม่รู้จักอยู่อีก

   “ถ้าอย่างนั้น...เขาคงโอเคสินะครับ คุณเวสลอยด์น่ะ” ดวงตาสีดำหลุบหลบใต้แพขนตาและถามต่อไปเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดตอน

   “เขาไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน ถึงเขาจะพอใจหรือไม่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรนักหรอก แต่...คงจะมีผลกับคนที่ฉันพึงใจอยู่มากทีเดียว” เมื่อได้ยินคำอธิบาย ซูเล่ยก็มุ่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าคนที่อังเดรชอบมีอะไรเกี่ยวข้องกับลามอนต์ และขณะที่ซูเล่ยยังคงเงียบ อังเดรจึงพูดต่อ “ฉันพบกับเขาเมื่อเกือบหกปีก่อน ที่จริงแล้วฉันเองยังนึกสงสัยอยู่บ่อย ๆ ว่าทำไมถึงได้ติดใจคนคนนี้นักทั้งที่พวกเราดูไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย แต่คงเพราะลึก ๆ แล้วเขาดูจะใส่ใจเรื่องราวของฉันและอยากจะรู้จักตัวตนของฉันล่ะมั้ง”

   ฟัง ๆ ไปแล้ว... ‘เขา’ ที่อังเดรพูดถึงช่างคลับคล้ายคลับคลา...

   “แต่ว่าหลังจากมีสัมพันธ์กันแค่คืนเดียวเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางทีฉันคงจะเร่งรัดมากเกินไป...”
   ถึงตรงนี้ ซูเล่ยก็เสมองไปทางอื่น เพราะที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของอังเดรเลย แต่เป็นความผิดของเขาเองที่ปล่อยตัวทำตามใจจนเกือบเป็นเรื่อง และก็ไม่ทันคิดเลยว่า...อังเดรเองก็หลงชอบ ‘ลี’ เช่นกัน แม้จนถึงตอนนี้อังเดรก็ยังคงตามหาตัวตนของลีอยู่หรือ...

   บางทีเขาควรจะบอกความจริงได้แล้วกระมัง...เพื่อปลดปล่อยทั้งอังเดรและตัวเขาเองจากอดีตที่พันธนาการความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง จะเป็นความชิงชัง รังเกียจ หรือเดียดฉันท์ อย่างไรหัวใจของอังเดรก็คงไม่มีวันเป็นของ ‘ซูเล่ย’ ได้อยู่ดี

   ที่ผ่านมาได้แต่หวาดกลัว กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา กลัวสายตาที่จะเปลี่ยนไป แต่เมื่อได้มีโอกาสแยกห่างจากกันเขาจึงตระหนักได้ถึงความเป็นจริง...ว่าช่วงชีวิตของเขาและอังเดรจากนี้ไปคงไม่มีวันได้บรรจบกันอีก หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะต้องหวาดกลัวไปอีกทำไม

   “คุณคงไม่ชอบฟังข่าวร้าย” ซูเล่ยเกริ่นนำพลางปลอบใจตัวเองให้กล้าพูดออกไปจนจบ “แต่คุณคงไม่มีทางหา ‘ลี’ พบหรอก...”

   “ทำไมฉันถึงต้องหาลีให้พบด้วย?” พูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของอังเดรก็แทรกขึ้นมาทำให้ผู้พูดต้องหยุดชะงักและหันกลับไปมองด้วยสายตาฉงน จึงได้เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ประดับตรงมุมปากภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงส้มในยามเย็นเสริมใบหน้าคมให้ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าที่เคยเห็นจนชินตา

   ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจวูบหนึ่งตามความเคยชินเพราะหัวใจเผลอเต้นผิดจังหวะและผิดสถานการณ์ ในช่วงนาทีนั้นเองที่อังเดรสาวเท้าเข้าหาจนเกือบประชิดก่อนโน้มใบหน้าลงเล็กน้อย

   “ในเมื่อคนคนนั้นอยู่ตรงหน้าฉันมาตลอด ซ้ำจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ตัวเสียทีดีแต่ขับไล่ไสส่งฉันไปหาคนอื่นอยู่เนือง ๆ”

   ...

   ดวงตาสีดำกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อค้นหาคำตอบที่ง่ายแสนง่ายแต่กลับยากจะค้นเจอ

   “...คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

   “ประมาณช่วงคริสต์มาส”

   หลังได้รับคำตอบ ซูเล่ยก็เผลอยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหลังให้ทันที

   จากตอนนั้นมันก็นานมากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันและปฏิกิริยาของอังเดรเริ่มแปรเปลี่ยนแทบจะหน้าเป็นหลังมือ เขาไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าอาจจะเป็นเพราะอังเดรจำได้แล้ว เพราะติดใจมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายชิงชังตนเองเพราะเรื่องของลามอนต์ อังเดรมักจะแสดงออกด้วยอารมณ์ด้านลบแม้ทุกสิ่งจะทำเพื่อรั้งเขาเอาไว้ก็ตาม แต่ใครจะนึกเข้าข้างตัวเองในสถานการณ์แบบนั้นได้กัน

   ทว่า...ก็ไม่อาจปฏิเสธ ว่าบางครั้งเขาเองก็เผลอไผลปล่อยใจให้คิดไปไกล แต่กลับไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริงและคิดว่าเป็นเพียงความหวังเลื่อนลอย

   เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับกับสถานการณ์ที่เชิญอยู่อย่างไร ซูเล่ยจึงเลือกเดินหนีไปเฉย ๆ

   “ฉันขอโทษ”

   แต่ถ้อยคำที่อังเดรเอ่ยต่อไปกลับทำให้ชะงัก เท้าทั้งสองหยุดเดินเสมือนกำลังรอฟังว่าเจ้าของคำขอโทษตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป

   “ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เพราะฉันเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าความรู้สึกของฉันจะได้รับการตอบรับ” การพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองดูไม่ใช่อังเดรเลยแม้แต่น้อย กระนั้น แม้ผู้ฟังจะหันหลังแต่ก็รู้ได้ว่ามันออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้อยู่จริง ๆ “เพราะเหตุนั้น ฉันจึงพยายามจะทำเหมือนกับพ่อของเธอ...สร้างเงื่อนไขให้ต้องยินยอมทำตามโดยไม่รู้เลยว่าเธอต้องเป็นทุกข์เพราะวิธีการของเขามากแค่ไหน ฉันจึงมาที่นี่เพื่อถือโอกาสขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ทำลงไป”

   “...พ่อกับลอร์เรนมีส่วนด้วยสินะครับ” ซูเล่ยเดาได้ไม่ยาก เพราะอังเดรไม่มีทางรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ซ้ำยังเดินทางมาพร้อมกับลอร์เรนโดยทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคู่หมั้นแบบนี้ คงเป็นแผนการใครอื่นไปไม่ได้นอกจากลามอนต์หรือตัวลอร์เรนเอง

   “ใช่ เรื่องนี้ฉันต้องยกความดีความชอบให้พวกเขา”

   หลังจากอังเดรยอมรับอย่างง่าย ๆ ทั้งสองต่างก็เงียบไป มีเพียงเสียงลมพัดผ่านต้นไม้สูงและผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากตรงนี้ อังเดรมองเห็นเพียงแผ่นหลังเหยียดตรงของซูเล่ยโดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวอื่นหรือสิ่งใดที่เป็นสัญญาณการยอมให้อภัยหรือปฏิเสธการคืนดี ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหาเมื่อไม่อาจเฝ้ารอให้เวลาเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้และเมื่อเขาหยุดยืนข้างหลัง ก็เห็นว่าไหล่ของอีกฝ่ายสั่นไหวเล็กน้อย

   “ซู เราต่างรู้ว่าไม่มีทางยื้อเวลาเอาไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือกบ้างแล้ว ว่าจะเดินจากไปและอีกไม่นานหลังจากนี้ฉันคงจะทำใจได้ที่จะลบเบอร์ของเธอออกไปจากโทรศัพท์ หรือหันกลับมาพูดอะไรสักอย่างให้ฉันรู้ว่าตัวเองยังพอมีหวังอยู่บ้าง”

   “เพิ่งมาให้ทางเลือกผมเอาตอนนี้ ไม่คิดว่าขี้โกงไปหน่อยหรือครับ?” ซูเล่ยเอ่ยก่อนขบริมฝีปากพยายามตัดสินใจทั้งที่รู้แต่แรกแล้วว่าควรจะเลือกข้อไหน แต่เขาก็เพียรที่จะหาข้ออ้างสักข้อหรือสองข้อให้ตนเองไปเลือกอีกทางหนึ่งถึงอย่างนั้นในที่สุดเท้าก็ค่อย ๆ พาเจ้าของหมุนตัวกลับมาหาผู้ให้ทางเลือกในวินาทีสุดท้าย แต่เขากลับไม่อาจทำใจเงยหน้าขึ้นมองสบตาเจ้าตัวตรง ๆ ได้ เพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบบ่งบอกว่าใบหน้าของเขาตอนนี้กำลังระบายไปด้วยสีสันอย่างไร ซึ่งมันคงไม่น่ามองเอาเสียเลย

   แต่ทั้งที่หันมาแล้ว อังเดรก็ยังไม่ยอมพูดอะไรต่อและเฝ้ารอว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป

   “แน่ใจหรือครับว่าอยากจะทำแบบนี้ เอเดรียนยังเล็กและต้องการแม่เป็นแบบอย่างซึ่งหน้าที่นั้นผมไม่มีทางทำได้ คุณก็รู้ดี”

   “ที่จริง...ถ้าเอเดรียนจะโตมาเป็นเหมือนกับลอร์เรน ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” อังเดรไหวไหล่ “เธอบอกว่าจะมาช่วยดูแลและสอนเรื่องต่าง ๆ ให้จนกว่าจะเข้าโรงเรียน และหลังจากนั้นก็จะคอยมาดูแลให้เป็นระยะ”

   ลอร์เรนน่ะหรือ?

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเล็ก ๆ แต่คิดอีกที หากเพื่อหลานสาวสุดที่รักแล้วลามอนต์คงไม่เดือดร้อนนักที่จะสละคนรู้ใจคนหนึ่งให้ไปคอยดูแลใกล้ชิด

   “งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ” เมื่อหมดเรื่องพูดคุยต่อไป ซูเล่ยจึงขอปลีกตัวเพราะการยืนอยู่ต่อหน้าอังเดรเริ่มจะน่าอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่เป็นความอึดอัดคนละแบบกับที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้ แต่เพียงแค่หันหลัง ทั้งร่างก็พลันถูกรั้งเข้าไปในอ้อมแขนอุ่น แผ่นหลังของเขารู้สึกได้ถึงอกกว้าง และลมหายใจที่รินรดข้างแก้ม แค่นาทีเดียวที่เผลอตกตะลึงเพราะนาทีต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็ปลุกให้ตื่นขึ้นในโลกของความเป็นจริง “อังเดร! คนอื่นเขามองอยู่นะ!”

   “ไม่เห็นเป็นไร เดี๋ยวคนพวกนี้ก็ลืมหน้าเราแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...ฉันเพิ่งจะสารภาพรักเธอไปนะ ไม่คิดจะตอบอะไรหน่อยหรือ?”

   ซูเล่ยแทบสำลักลมหายใจตัวเองเมื่อได้ยิน

   “คุณบอกให้ผมเลือก ผมก็เลือกแล้ว นั่นไม่นับเป็นคำตอบหรือครับ?” อังเดรไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนเพื่อที่จะหันกลับมา ซึ่งสำหรับเขา สิ่งที่ทำก็เพียงพอจะเป็นคำตอบได้แล้ว กระนั้นสำหรับอังเดรกลับเห็นต่างออกไป

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามตรง ๆ ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มว่า “ซู...ชอบฉันหรือเปล่า?”

   อา...ให้ตายสิ...

   หากว่าสามารถระเบิดได้ ตัวซูเล่ยคงกระจายเป็นชิ้น ๆ เพราะความร้อนที่แล่นมากระจุกบนใบหน้าและหัวใจที่เต้นระรัวสูบฉีดเลือดอย่างแข็งขัน แต่ว่าหากไม่ยอมตอบ อังเดรก็คงคิดจะกอดอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุด...ซูเล่ยจึงกลั้นใจพยักหน้าและตอบรับเสียงแผ่วพลางคิดว่าแค่นี้อังเดรคงจะพึงพอใจและยอมปล่อยเขาไปได้แล้ว ทว่า...มันเป็นความคิดที่ผิดไปไกลโข

   ชายหนุ่มร่างสูงเผยรอยยิ้มขณะกระซิบเสียงนุ่มข้างใบหู

   “ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปคุยกันต่อข้างบนเถอะ” ว่าแล้วอ้อมแขนก็คลายออก เจ้าของคำเชิญชวนแสนหวานเหน็บรอยยิ้มแฝงเลศนัยก่อนผินหลังเดินนำกลับเข้าไปในโรงแรม

   ซูเล่ยมองตามพลางคิดในใจว่าบางทีอังเดรคงเริ่มติดใจนิสัยจอมบงการแบบลามอนต์จริง ๆ เสียแล้วกระมัง ทว่า...ทั้งที่เขาไม่ชอบนิสัยส่วนนี้เอาเสียเลย สองเท้าก็ยังนำพาเจ้าของให้ก้าวตามไป ไม่ใช่เพราะถูกบงการหรือสร้างเงื่อนไข แต่ซูเล่ยรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากจะเลือกให้ตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครชี้นำ หรือมีข้ออ้างใดมาชักจูงใจ


END

เพลงเหลี่ยวเจี๋ยค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=EKyw9amIqWM#t=966 จริงๆตอนแรกจะเอาเพลงอ้าวหว่อ(เพลงที่2) หรือ เจว๋วู้(เพลงที่3) แต่รู้สึกว่ามันตรงไปหน่อย 555


ถึงเวลาทักทายช่วงท้ายเรื่อง

ในที่สุดเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดจบที่ยาวกว่าที่คิดเอาไว้แล้วค่า ตอนแรกคิดว่าจะไม่ถึง20ตอนด้วยซ้ำไป XD เรื่องนี้คิดว่าน่าจะมีหลายๆคนหงุดหงิดกับการกระทำของอังเดรกับซูเล่ยอยู่บ้าง แหม่ ช่างเก็บช่างงำงุบงิบกันไม่เข้าเรื่อง แถมพ่อตาก็วุ่นวายตั้งแต่ต้นยันจบ มีแต่หนูเอเดรียนที่น่ารักน่าชัง แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่าอุปนิสัยของซูเล่ยไม่น่าจะแตกต่างจากนี้มากนักเมื่อคิดถึงสภาพแวดล้อมในสมัยเด็กที่ต้องมาอยู่ในบ้านของพ่อที่ไม่สนิทใจ ใครๆก็มองว่าเป็นส่วนเกิน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครต้องการอะไร ส่วนอังเดรก็คล้ายว่าผ่านประสบการณ์มาทำให้ต้องปรับตัวและซึมซับอุปนิสัยบางอย่างมาจากมารีนโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งสุดท้ายทั้งสองก็จบลงได้ด้วยดี (จริงๆแล้วเอเดรียนก็เป็นกาวใจอยู่เบาๆ 555) ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามมาจนถึงจุดนี้ แม้ว่าเซียร์จะเขียนนิยายรักได้ไม่ดีนัก (คราวหน้ากลับไปเขียนเคะควีนเหมือนเดิมดีกว่า /เอ๊ะ) ถ้าหากว่ามีข้อติชมอะไรสามารถบอกได้เสมอนะคะ แล้วเซียร์จะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนถ้าส่วนไหนที่เซียร์จงใจให้เป็นแบบนั้นก็จะเขียนอธิบายเอาไว้ให้ หรือถ้าอยากจะแนะนำตัวต่อตัวก็สามารถไปพูดคุยกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel เซียร์เช็คเพจแทบทุกวันอยู่แล้วค่ะ XD

ส่วนเรื่องการเปิดจอง อาจจะช้าสักหน่อยนะคะเพราะยังไม่ได้ทำปกเลย ;w; สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel เช่นกัน สุดท้ายนี้อยากถามทุกท่านว่า อยากให้มีภาพประกอบในเล่มด้วยหรือเปล่าคะ สัก4-6ภาพ (คงมีปัญญาวาดได้แค่นั้น 555) ส่วนตอนพิเศษไม่ต้องห่วงนะคะเพราะคิดเอาไว้ในใจแล้วค่ะ - -+
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-01-2014 17:18:26
ชอบมากกกกกกกก รอรวมเล่ม ขอให้ reprint เรื่องเก่าด้วยนะคะ พลาดไปเรื่องหนึ่ง
ขอบคุณคนแต่งมาก ๆ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 31-01-2014 17:52:00
กรี๊ดดด มาง้อแล้ววว พากลับไปด่วน เอเดรียนน่ารักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ตรงไปตรงมา ไม่เหมือนพวกผู้ใหญ่เนอะ เก็บงำความในใจจนเกือบสูญเสียของสำคัญ

ชอบเรื่องนี้มากๆบีบหัวใจสุดๆ สงสารซู เอาใจช่วยซูมาทั้งเรื่องเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 31-01-2014 18:53:34
 :mc4:  ในที่สุดก็มีความสุขซะที อังเดรชูเล่ย

รอหนังสือค่ะ อยากได้ภาพปลากรอบด้วย 4-5ภาพก็เอาจ้ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-01-2014 19:06:07
ดีใจที่เข้าใจกันซะที
ขอบคุณมากเลยน๊าสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 31-01-2014 19:16:34
โฮ๋
จบไปอีกเรื่องนึงแล้วสินะ
ตามกันมาก็พักนึง
จบไปแบบนี้ก็แอบใจหายนิดนึงเหมือนกันแฮะ 555
ขอบคุณสำหรับตอนจบน่ารักๆนะคะ

ป.ล.แถมตอนพิเศษให้บ้างก็จะดีนะคะ สองคนนี้เขาไม่ค่อยจะได้หวานกันเลยยยอะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 31-01-2014 19:57:39
จบซะแล้ว  เห้อโล่งอก

ขอบคุณมากๆ สำหรับนิยายดีๆ

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 31-01-2014 20:39:23
จบแล้ววววววว ลุ้นมาตลอด อังเดร
นายแน่มากกกกกก
รักกันสะทีเนอะ
จริงๆอยากอ่าน nc วาบหวิวๆ T T
ขอตอนพิเศษเนอะๆๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-01-2014 23:21:08
happy ending
จุบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 31-01-2014 23:30:13
โอ้ยยยยยยยยยยยตามง้อเค้าเลยหรออังเดรรรร
ขอตอนพิเศษได้มั้ยค่า อยากอ่านหวานๆบ้าง
กว่าจะแฮปปี้นะลุ้นตลอดเรื่อง555555555

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ^^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 31-01-2014 23:51:13
 :o8: :-[ ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้ เขินไปเลยทีเดียว มีความสุขได้ซักทีนะคะ
พออ่านมาถึงตอนที่ซูถามอังเดรว่ารู้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย นึกแทบไม่ทันเลยว่ามันนานแค่ไหนแล้ว
งืออออออออออออออออ บทจะน่ารักก็น่ารักแบบถล่มทลายเลยนะคุณอังเดร
จบแบบนี้ชื่นใจจริงๆค่ะ แถมยังได้อ่านฉากซูกับหนูน้อยเอเดรียนด้วย บอกเลยว่าคิดถึงสุดๆ
งานนี้ก็ทั้งแฮปปี้แฟมิลี่ แฮปปี้เอ็นดิ้งเลย
ขอบคุณคุณZiarมากๆเลยนะคะที่มาเขียนนิยายดีๆภาษาสวยๆให้พวกเราได้อ่านกัน
จะคอยติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: Lilly_Fw ที่ 01-02-2014 00:46:44
 :mew1: สนุกมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 01-02-2014 01:19:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 01-02-2014 01:24:29
กรี๊ด ในที่สุดก็แฮปปี้เอนดิ้ง ได้รักกันและก็ได้อยู่ด้วยกัน
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อยากได้ตอนพิเศษ แบบเอ็นซีจัดเต็มเหมือนกันค่ะ
จัดให้หน่อยนะคะ (เอาแบบเร่าร้อน :hao6:)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 22 [31/01/14] END
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 01-02-2014 11:20:33
ตอนจบ อังเดรกลายเป็นอิตาเจ้าเล่ห์ไปแล้ว แต่ชอบนะ กรุ่มกริ่มดี



ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-02-2014 17:35:49
Special : Wedding


   ในช่วงชีวิตคนเราสักชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่วันที่สามารถพูดได้ว่าเป็นวันอันแสนสุขราวกับเทพนิยาย ซึ่งหลายคนคงจะคิดถึงวันต่าง ๆ ในชีวิตและมากกว่าครึ่งในจำนวนนั้นอาจจะตอบว่าเป็นวันที่เขาและคนรักได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าได้ตอบรับเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน ได้อยู่เคียงข้างกันนับจากนี้จนถึงวันสิ้นลม แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคู่ที่สามารถรักษาสัตย์สาบานได้ ทว่า...มันกลับเป็นวันที่พวกเขาไม่มีวันลืมลงแม้จะต้องเลิกราหรือตายจากกันไป ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บทเพลงแสนหวาน และถ้อยคำสาบานรักจะยังคงตราตรึงในหัวใจ
   ด้วยภาพฝันอันสวยงามนั้น ทำให้ผู้หญิงทุกคนต่างวาดฝันว่าอยากจะสวมชุดเจ้าสาวสีขาว จูงมือคนรักเดินเข้าพิธีวิวาห์ เช่นเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เลิกคิดฝันถึงหวามหวังอันเลิศหรูมานานแสนนานเพราะความพลาดพลั้งในวัยเยาว์ กระนั้น ในวันนี้เธอกลับได้รับโอกาสอีกครั้งโดยไม่ทันคาดคิด

   “แต่งงานตอนแก่แบบนี้น่าอายจริง ๆ” เยว่ซินรำพึงในชุดเจ้าสาวสีขาวที่ดูเรียบร้อยแตกต่างจากชุดแต่งงานสมัยนิยมที่พบเห็นได้ทั่วไป

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงตอบรับพ่อล่ะครับ” ซูเล่ยเอ่ยถามขณะมองลอร์เรนช่วยแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าให้แก่แม่ของตน ตอนนี้อายุอานามเยว่ซินก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าใกล้ห้าสิบแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังคงความอ่อนเยาว์จนไม่น่าเชื่อถึงจำนวนเลขบอกอายุ เมื่อถูกแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางจึงยิ่งดูสดสวยประหนึ่งหญิงสาวในวัยเพียงสามสิบต้น ๆ พอไปยืนคู่กับลามอนต์คงดูคล้ายพ่อลูกมากกว่าคู่แต่งงาน

   “ก็แม่ไม่คิดว่าเขาจะจัดงานจริง ๆ ถึงจะเป็นงานเล็ก ๆ ก็เถอะ” หญิงสาวมองเงาตัวเองในกระจกอย่างเขินอาย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอไม่ได้สัมผัสกับเครื่องประทินโฉมจนคุ้นชินกับใบหน้าที่แสนจืดชืดของตน พอถูกตบแต่งแบบนี้แล้วช่างดูแปลกตาดีจริง “แต่แม่ก็รู้สึกดีใจนะที่ลูกกับอามาร่วมงานด้วย ตอนแรกแม่คิดว่าทั้งสองคนจะไม่เห็นด้วยและคัดค้านหัวชนฝาเสียอีก”

   ผู้ฟังหลุบตาเล็กน้อย หากเป็นก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ถึงความเสียดายวันเวลาที่ผ่านเลยไปและไม่อาจดึงรั้งให้ย้อนคืนมาได้ แม้จะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังแต่หากได้รับโอกาสก็อยากจะไขว่คว้าเอาไว้เพื่อที่จะปลูกสร้างความทรงจำที่ดีต่อไปในอนาคตหลังจากนี้และชดเชยเวลาที่ต้องจากไกลกัน

   งานแต่งงานแบบตะวันตกเป็นที่นิยมเสียจนไม่มีใครนึกผิดแปลกแม้คู่แต่งานจะไม่ได้นับถือคริสตศาสนา พวกเขาจะถูกตระเตรียมให้พร้อมสำหรับขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อวันจริงจะได้ผ่านไปอย่างราบรื่น

   และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง งานแต่งเล็ก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นของชายเจ้าของธุรกิจใหญ่โตแต่ก็เป็นความต้องการของคนทั้งคู่ที่ต้องการเพียงการจัดงานโดยไม่ได้สนใจจะประกาศให้โลกได้รับรู้จึงมีเพียงแขกเหรื่อไม่กี่คนซึ่งนับหัวได้เกินจำนวนนิ้วมือเพียงเล็กน้อย

   เสียงดนตรีคลอเบาจากแป้นเปียโนในโบสถ์หลังน้อยที่ประดับประดาด้วยช่อดอกไม้สีขาวและริบบิ้น เจ้าบ่าวในชุดสูทดูเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าแท่นพิธีพร้อมกับบาทหลวงสูงวัยท่าทางอารี แต่สายตาของแขกเหรื่อรวมถึงเจ้าบ่าวกลับไม่ได้จดจ่อที่แท่นบูชาแต่เป็นประตูทางเข้าโบสถ์ซึ่งเปิดกว้าง การปรากฏตัวของเจ้าสาวพร้อมกับบุตรชายซึ่งทำหน้าที่แทนบิดาผู้ล่วงลับ

   ซูเล่ยประคองมือแม่ก้าวเข้าโบสถ์โดยมีเอเดรียนแต่งตัวเป็นนางฟ้าตัวน้อยคอยถือชายกระโปรงเดินตาม หญิงสาวข้างตัวเขางดงามอย่างหาใดเปรียบได้ในวันอันแสนพิเศษเช่นวันนี้ ทำให้เขารู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยที่ถูกขอให้ทำหน้าที่สำคัญ

   ลามอนต์รับเจ้าสาวของตนจากการมอบหมายของบุตรชาย ออกจะเป็นพิธีที่แปลกอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีใครนึกคัดค้านเมื่อเยว่ซินเสนอ

   ชายหนุ่มร่างเล็กทอดสายตามองแผ่นหลังบอบบางของผู้เป็นแม่ที่ยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวหน้าแท่นพิธีที่บาทหลวงยืนรออยู่ และเมื่อเขาหาที่นั่งเรียบร้อย พิธีก็ดำเนินไปท่ามกลางคำสาบานรักตามตำรา เมื่อถึงช่วงนั้นน้ำตาก็พานจะรื้นไหลแต่เมื่อคิดจะยกมือขึ้นปาดก็กลับมีมือข้างหนึ่งกุมลงมาอย่างแผ่วเบาจนรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ซ่าน ซูเล่ยเหลือบมองข้างตัวและเห็นรอยยิ้มของอังเดร

   “รับครับ” เสียงตอบรับคำสาบานของเจ้าบ่าวกลับเปล่งจากริมฝีปากของชายหนุ่มข้างกาย จากนั้นเมื่อบาทหลวงหันมาถามเจ้าสาว อังเดรก็ทำสายตาให้เขาพูดรับเช่นกัน แต่ซูเล่ยกลับเม้มปากนิ่งเพราะกระดากอายเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น และคล้ายว่าอีกฝ่ายจะเดาใจได้จึงกระซิบข้างหูว่า “แค่พยักหน้าก็ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นซูเล่ยจึงฝืนพยักหน้าน้อย ๆ โดยพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น

   จากนั้นอังเดรก็ทำในสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิด แสงที่สะท้อนจากวัตถุเล็ก ๆ ในกล่องใบจิ๋วทำให้นึกสงสัยในวูบแรก แต่แล้วนาทีต่อมา มันก็ถูกสวมประดับบนนิ้วของเขา แหวงสีทองวงเล็บเรียบไร้รอยต่อคือแหวนแต่งงานที่มีความหมายถึงความรักที่ไร้จุดสิ้นสุด ซูเล่ยถึงกับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกได้แต่จับจ้องแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายราวกับว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

   “...ขอโทษนะครับ ผมไม่มี...” พูดยังไม่ทันขาดคำ ซูเล่ยก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สะกิดจากด้านหลัง และเมื่อเขาหันไปก็เห็นลอร์เรนส่งยิ้มพร้อมกล่องใส่เครื่องประดับใบน้อยมาให้จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นการวางแผนมาก่อนแล้วระหว่างคนทั้งสอง กระนั้นสายตาคะยั้นคะยอก็ทำให้เขาต้องรีบรับเพราะไม่อยากให้ใครบังเอิญหันมาเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในระหว่างพิธีของคนอื่น

   หลังจากสวมแหวนให้เรียบร้อยแล้วก็มาถึงช่วงท้าย

   “จูบเจ้าสาวได้”

   ทันใดนั้นซูเล่ยก็รีบหันมองอังเดรด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่บ้าจี้ทำตาม ซึ่งก็โล่งใจขึ้นหลายเปราะเมื่อเห็นคนข้างตัวเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าโดยจับมือเขาอย่างเงียบงัน

   เมื่อเสร็จสิ้นพิธี เจ้าบ่าว เจ้าสาว และแขกเหรื่อก็พากันออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ถึงแม้เจ้าบ่าวจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม

   และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่งนั่นคือการโยนช่อดอกไม้ และเพราะมีคนเป็นแขกจำนวนน้อยจึงไม่จำเป็นต้องโยนให้ตื่นเต้น เยว่ซินเดินไปยื่นช่อดอกไม้ให้แก่ลอร์เรนซึ่งเพิ่งจะผ่านงานหมั้นไปไม่นานและกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

   “ขอบคุณค่ะคุณหลี่ อ๊ะ! ไม่สิ จากนี้จะเป็นคุณนายเวสลอยด์แล้วสินะคะ” ลอร์เรนกล่าวขอบคุณแล้วหัวเราะคิกคัก

   “ไม่เป็นไรจ้ะ ที่จริงแล้วงานนี้ต้องขอบคุณหนูอยู่หลายอย่างที่ช่วยจัดแจงจนเข้าที่เข้าทางในเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ ซ้ำยังยอมฟังความเอาแต่ใจของคุณลามอนต์เขาด้วย” เมื่อถูกโยนความผิด ลามอนต์ก็ปั้นสีหน้าขรึมเคร่งเครียดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและในนาทีต่อมาก็คลายลงเป็นสีหน้าผ่อนคลายเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของภรรยา ลูกหลาน และคนใกล้ชิดรอบตัว

   “แต่ว่านอกจากแล้วฉันก็มีคนที่มีข่าวดีอยู่อีกนะคะ” หญิงสาวมองไปทางซูเล่ย และโดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อนเธอก็ส่งช่อดอกไม้ให้เอเดรียนท่ามกลางความสงสัยของคนรอบข้างและกระซิบว่า “เอาไปให้ชูเลย์แล้วขอให้กลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันสิจ๊ะ”

   เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนางฟ้าฟูฟ่องพยักหน้าแข็งขันก่อนนำช่อดอกไปให้พี่เลี้ยงของตนที่ยืนอยู่ห่างไกลจากกลุ่มคน

   “ซู!” เธอร้องและยืนตรงหน้าอดีตพี่เลี้ยงซึ่งตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่ในเพนเฮาส์เป็นการชั่วคราว เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่กลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิมเสียที “เอเดรียนให้ซูนะ แล้วกลับมาอยู่บ้านด้วยกัน กับแดดดี้กับเอเดรียน” เธอว่าพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้แต่งงานสวยหวานให้แก่อดีตพี่เลี้ยง รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาที่ส่งมาพร้อมกับช่อบูเก้พาให้ผู้รับปฏิเสธไม่ลงแต่ก็ไม่ได้ตอบรับเช่นกัน

   ซูเล่ยลูบผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยเมื่อรับช่อบูเก้สีขาวมาไว้ในมือก่อนจะทอดสายตามองไปยังอังเดรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังพูดคุยกับบ่าวสาวอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะลดอคติที่มีต่อพ่อตาไปได้มากพอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันยอมอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดนี้ แต่ตัวเขาเอง...กลับคล้ายยังมีความไม่แน่ใจอยู่ทำให้ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในสถานะเดิมได้อย่างสนิทใจ

   แต่ทว่า...

   แหวนสีทองแวววาววงเล็กดูไม่มีราคาค่างวดมากมายประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ทุกครั้งที่เหลือบมองความอุ่นซ่านก็แผ่นเข้ามาจนล้นอกเสียจนเกรงว่าตนเองจะสำลักความสุขที่โถมถั่งหลั่งรดลงมา

---------------------------->

   งานเลี้ยงตอนค่ำถูกจัดให้เป็นการร่วมโต๊ะอาหารมื้อพิเศษในบ้านหลักของเวสลอยด์ เยว่ซินและลอร์เรนปรากฏตัวขึ้นในชุดราตรีสีหวาน เจ้าสาวของคืนนี้ยังคงเป็นตัวเด่นที่ทุกคนจับจ้องและกล่าวแสดงความยินดีไม่ขาดปากแม้จะเป็นคำที่พูดมาแล้วตลอดทั้งวันแต่เมื่อได้ยินก็ยังพาให้สุขใจ

   เสียงดนตรีคลอเบาหวานแว่วถูกคัดเลือกมาโดยอังเดรและอาร์เลนผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีคลาสสิกและลีลาศ และดาริลก็มาช่วยทำหน้าที่เกี่ยวกับเครื่องดื่ม ทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเล็ก ๆ ดูคล้ายเป็นงานเลี้ยงแต่งงานในโรงแรมหรูหรา ลามอนต์เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ยอนดีต่อบรรยากาศเช่นนี้มากนักเพราะคุ้นชินแต่ภาพลักษณ์ทางการที่มีองค์ประกอบเท่าที่จำเป็น แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้า เจ้าตัวก็ยอมเต้นรำกับเจ้าสาวเพลงหนึ่งก่อนจะพาตัวกลับไปนั่งโต๊ะเช่นเดิมและปล่อยให้คนอื่น ๆ สนุกสนานไปตามสะดวก

   “แม่ตกใจพอควรเลยนะตอนได้ยินเรื่องลูกกับคุณแอชฟอร์ด” เยว่ซินกล่าวขึ้นพลางโยกตัวไปตามการนำของลูกชายซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเต้นรำนัก

   “จากลอร์เรนหรือครับ?” ซูเล่ยเลิกคิ้วเพราะเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ด้วยตนเอง แปลว่าจะต้องได้ยินจากปากคนอื่นแน่นอน ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็ไม่มีให้คาดเดามากนัก

   “ที่จริงแล้วแม่เป็นคนถามลอร์เรนเอง เขาสินะที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ใจตอนที่กลับบ้าน แล้วตอนนี้ตกลงปลงใจกันแล้วหรือ?” หญิงสาวแย้มยิ้มอ่อนโยนขณะสัมผัสแหวนสีทองเกลี้ยงเกลาบนนิ้วเรียวยาว

   “จะว่าแบบนั้นก็ใช่ครับ” เมื่อไม่รู้จะปิดบังต่อไปทำไมจึงได้แต่ยอมรับอย่างเรียบง่าย

   “แต่ก็แปลกนะที่แม่รู้สึกว่าลูกยังไม่เปิดใจยอมรับเต็มที่”

   มันชัดเจนถึงขนาดนั้นเชียวหรือ…

   ความลังเลที่ยังสุมอยู่ในอกคล้ายว่าพยายามกระตุ้นเตือนให้รู้สึกตัวถึงเงื่อนไขเล็ก ๆ คล้ายเสี้ยนที่ตำนิ้วและฝังอยู่ใต้ผิวหนังไม่อาจบ่งออกได้ เมื่อใดที่สัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บแต่ก็จำต้องปล่อยมันไว้เช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วนชิ้นเล็กจิ๋ว แต่หากถูกย้ำอยู่บ่อยเข้าก็พาให้ใจคอยกระหวัดกลับไปหาเสียทุกที เหมือนเช่นทุกครั้งที่มองดูอังเดรและเอเดรียน เสี้ยนเล็ก ๆ ในใจก็เสียดแทงเนื้อบางจนต้องเผลอหลบตา

   หลังจากเต้นรำกับเยว่ซินและลอร์เรน ซูเล่ยก็ดื่มดอกเทลไปสองแก้วก่อนเดินออกมารับลมที่ระเบียงด้านนอกเพราะเริ่มรู้สึกกรึม ๆ

   ระเบียงด้านนอกเย็นเฉียบเพราะลมยามค่ำบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เวียนผ่านไปใกล้ครบหนึ่งปีที่เขาและอังเดรได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันยาวนาน แต่ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้กลับมาหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเสียจนเวลาห้าปีนั้นแทบจะกลายเป็นฟองว่างเปล่าที่ลอยฟุ้งไร้แก่นสาร

   แสงจันทร์ลอยกระจ่างส่องแสงกระทบบนแหวนกลมเกลี้ยงอย่างเงียบงัน ที่จริงแล้วมันค่อนข้างจะหลวมไปนิดหน่อยคงจะเทียบจากนิ้วลอร์เรนแล้วกะให้อวบกว่าเล็กน้อยกระมัง เขาคิดเช่นนั้นและคิดจะถอดออกมากลิ้งดูเล่น แต่แล้วกลับมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามาในมุมมอง เป็นมือใหญ่ที่ทาบลงบนหลังมือ แหวนแบบเดียวกันแต่ขนาดใหญ่กว่าปรากฏอยู่เคียงข้างแหวนวงเล็กเมื่อเรียวนิ้วสอดประสานและกุมมือของเขาเอาไว้จนความเยียบเย็นในบรรยากาศถูกไล่หายไปสิ้นเหลือแต่เพียงความอุ่นของฝ่ามือ

   “จะรีบถอดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามก่อนจูบข้างขมับด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ซูเล่ยเผลอเกร็งไหล่เล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ในเวลาต่อมาก็ผ่อนคลายดังเดิม

   “ผมแค่รู้สึกว่ามันหลวมไปหน่อย” เขาว่าตามตรงซึ่งความจริงก็ไม่ถึงกับหลวมหลุดจากนิ้วแต่ก็ไม่พอดี

   “เพราะว่าเธอผอมลงต่างหาก” อังเดรยิ้มพลางพลิกฝ่ามืออีกฝ่ายพิจารณา “ได้ยินว่าตอนกลับไปอยู่ที่บ้านกินอะไรไม่ค่อยลง”

   ทำไมคนรอบข้างเขาถึงชอบเล่าสู่กันฟังนักนะ

   ซูเล่ยอดจะรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาไม่ได้

   “แล้วเมื่อไหร่ถึงจะตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านฉันเหมือนเดิม” หัวข้อเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้อีกคนหนึ่งตั้งตัวเตรียมใจก่อนจะหมุนแหวนบนนิ้วที่เจ้าของบอกว่าค่อนข้างหลวม “ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับคะยั้นคะยอ แต่การที่เธอยอมรับความเอาแต่ใจของฉันระหว่างพิธีแต่งงานแปลว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรกับการคบหากับฉันอย่างเปิดเผยไม่ใช่หรือ?”

   ดวงตาสีดำหลุบลงต่ำไม่คิดปฏิเสธในสิ่งที่อังเดรสรุป

   “ที่จริงแล้วผมยังรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา” เสี้ยนที่ฝังอยู่ในใจเริ่มปรากฏโฉมทีละน้อย “เอเดรียนยังเด็กถึงจะไม่คิดอะไรที่มีผมอยู่ในตอนนี้ แต่อนาคตเมื่อมีคนถามขึ้นมาเธอคงจะลำบากใจที่จะตอบเมื่อรู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ผิดไปจากวิถีสังคมปกติ”

   “แต่ถึงจะแยกกันอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหานี้หมดไปเพราะเอเดรียนก็ต้องรู้ในที่สุดว่าพวกเราเป็นอะไรกัน” อังเดรแจงพลางถอนหายใจ “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะเลิกกับฉันเพื่อแก้ปัญหาหรือเปล่า? หรือว่าควรจะจัดการให้ทุกอย่างลงตัวและทำให้เอเดรียนเข้าใจเสียตั้งแต่แรก”

   เรื่องเลิกรา...หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะทำ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ยอมรับของแหวนมาและไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่แห่งนี้อีก ถึงอย่างนั้น หลายต่อหลายครั้งที่อยากจะตอบรับคำเชิญชวนของอังเดร ทว่าเสี้ยนเล็ก ๆ ที่ทิ่มแทงก็ทำให้ต้องขอยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้

   “ซู ฉันรักเธอและฉันก็ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง ส่วนเอเดรียนก็ต้องการคนดูแลใกล้ชิด สักวันหนึ่งเมื่อลอร์เรนมีลูกของตัวเองคงไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้เหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา ฉันเองก็มีงานต้องทำจึงไม่มีเวลามากนัก แล้วเธอจะปล่อยให้เอเดรียนเคว้งคว้างโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพิงทางใจหรือ?” อ้อมแขนอุ่นโอบกอดแนบชิด ใบหน้าคมแนบบนผิวแก้ม คงจะเป็นเรื่องโกหกหากซูเล่ยพูดว่าตัวเองไม่รู้สึกเขินอายเลยในสถานการณ์แบบนี้ แต่เหนือจากความเขินอายและหัวใจที่เต้นแรง เขารู้สึกอุ่นใจเสียจนอยากหลับตาลงและหลอมละลายไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งคิดกังวลถึงอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   “คุณก็รู้ว่าผมใจอ่อนกับเรื่องเอเดรียนเสมอ” เขาแก้ตัว “วันนี้เอเดรียนเอาช่อดอกไม้มาให้ผมแล้วขอให้กลับไปอยู่ด้วยกัน เหมือนกับพยายามขอผมแต่งงานยังไงอย่างงั้น คุณเสี้ยมสอนมาหรือครับ?”

   “ลอร์เรนต่างหาก อย่าโยนความผิดมาให้ฉันหมดสิ” เจ้าของร่างสูงหัวเราะในคอ “อา..ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ” ว่าแล้ว อังเดรก็ปล่อยซูเล่ยแล้วผลุบหายเข้าไปด้านใน ไม่นานหลังจากนั้นก็ย้อนกลับมาพร้อมช่อบูเก้ช่อเดียวกับเมื่อตอนเช้า

   ในระหว่างที่ซูเล่ยยังไม่ค่อยเข้าใจ อังเดรก็คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับยื่นช่อบูเก้มาให้

   “ถึงจะข้ามขั้นตอนไปสักหน่อยก็เถอะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ซูเล่ย จะแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”

   คำขอที่กะทันหันและดูไม่เข้าสถานการณ์ทำให้ผู้ถูกถามชะงักไป

   “แต่ว่ามีเงื่อนไข” ซูเล่ยไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร อังเดรก็ขัดจังหวะเสียก่อน “ถ้าเธอตอบรับจะต้องมาอยู่กับฉัน แต่ถ้าเธอปฏิเสธฉันก็จะทำให้เธอตอบรับอยู่ดี”

   ถึงแม้จะดูกึ่งบังคับ แต่ก็คล้ายว่าอีกฝ่ายรับรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ทำได้แค่เลื่อนเวลาให้คำตอบออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้อังเดรคงไม่ยินยอม เพราะถึงกับให้แหวนมาอย่างนี้แล้วก็บ่งบอกอยู่กลาย ๆ ว่าตั้งใจจะผูกมัดอย่างเปิดเผย

   ซูเล่ยรับฟังเงื่อนไขก่อนหลบตาเพราะใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

   “ผมก็ตอบรับไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” เขาพูดถึงคำสาบานในพิธีแต่งงาน การตอบรับในเวลานั้นก็คือการตอบรับการเป็นคู่ชีวิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับอังเดร

   “ตอนนั้นเธอแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดตอบรับเสียด้วยซ้ำ”

   ผู้ฟังอึกอักแต่เมื่อไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงต่อไปทำไมจึงต้องยินยอมตามที่อีกฝ่ายต้องการด้วยเกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อน

   “ครับ...ผมตกลง”

   เป็นแค่คำตกลงสั้น ๆ แต่เมื่อพูดออกไปซูเล่ยก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักหนักอึ้งของมัน เพราะคำสัญญาได้พ่วงมาด้วยเงื่อนไขของการร่วมชีวิตที่เกิดจากการพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่คบหาอย่างผิวเผินไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าวันใดจะอยู่หรือจะไปจากกัน

   ในที่สุดอังเดรก็ลุกขึ้นและส่งบูเก้ให้ซูเล่ยถือ

   “ยังมีอีกขั้นตอนที่เรายังไม่ได้ทำ” เขาว่าพลางไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากแห้งผากซีดเซียวเพราะอากาศเย็นในยามค่ำ ซูเล่ยสามารถรับรู้จากภาษากายได้ทันทีว่าขั้นตอนนั้นคืออะไรจึงไม่ได้ขัดขืนเมื่อเห็นใบหน้าคมโน้มลงมาหา ริมฝีปากร้อนแนบสนิทขับไล่ความเย็นออกไปเสียจนรู้สึกได้ถึงเลือดฝาดไหลขึ้นมารวมตรงจุดที่ถูกสัมผัสแนบแน่น นานหลายนาทีที่ทั้งความคิดและจิตสำนึกถูกดึงเข้าสู่ห้วงสเน่หาอันล้ำลึก เสี้ยนเล็ก ๆ ที่ฝังค้างอยู่ภายในได้ละลายหายไปทีละน้อยจนหมดสิ้น

   ...ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณ...

   ...ทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ ในเวลาป่วยไข้และเวลาสบาย...

   ...จะรัก ยกย่อง และให้เกียรติคุณตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่...

END


แถมตอนพิเศษให้นักอ่านผู้น่ารักทุกท่านค่า~ หวังว่าจะทำให้ทุกคนอิ่มอกอิ่มใจกับคู่นี้ได้มากขึ้นนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 03-02-2014 18:21:09
 :o8: หวานมาก ซุเล่ยอึมครึมแท้ อยากให้ยิ้มแบบกว้างๆ มีความสุขแบบสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-02-2014 18:27:48
 :-[
แอร๊ยยย บทจะหวานก็หวานเจี๊ยบเลยนะอังเดร
เขินแทนซูจริงๆ
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษน่ารักๆนะคะ
แล้วจะรอผลงานเรื่องต่อไปค่าาา

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 03-02-2014 18:52:15
ตอนนี้น่ารักมุ้งมิ้งดีจัง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: frenzy19 ที่ 03-02-2014 19:00:04
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 03-02-2014 19:03:24
อังเดร ได้ใจมากเลย ตอนนี้หวานจัง เขินแทนซู :-[

เอเดรียนน่ารักมาก มาช่วยขอให้คุณป๊าด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 03-02-2014 19:08:53
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 03-02-2014 20:17:37
ชีวิตจริงพึ่งเริ่ม ซูสู้ๆ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-02-2014 20:26:56
เป็นตอนพิเศษที่อิ่มเอมใจมากๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 03-02-2014 23:44:32
ยินดีกับซูและอังเดรด้วยน๊าาา  :L1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 04-02-2014 17:05:26
หวานสุดดดดด อังเดรทำอะไรแบบนี้ก็เป็นฮิ้ววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 04-02-2014 20:28:12
ลด ละ เลิกเครียด!! รู้สึกรักอย่างมีอิสระได้แล้วซูเล่ย


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 04-02-2014 20:32:28
อ่านรวดเดียวจบเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 04-02-2014 22:59:18
ตอนจบค่อยหวานหน่อย  :o8:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 05-02-2014 13:27:13
หวานกันซักที  :o8:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-02-2014 13:40:05
เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมาก ๆ เลยค่ะ รอรวมเล่มนะคะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: simkit ที่ 09-02-2014 10:46:27
อ่านจบแล้ว
สนุกมากจริงๆค่ะ ถ้าไม่เข้าไปในกระทู้นิยายแนะนำ คงไม่เจอเรื่องนี้
ชอบมากๆๆๆๆๆๆ ซูเล่ยเป็นคนน่าสงสารแต่ทำตัวเข้มแข็ง ชอบคาแรคเตอร์แบบนี้

ในที่สุดก็แฮปปี้เอนดิ้ง อิอิ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 10-02-2014 06:23:41
โอยจบน่ารักกก

ว่าแล้วว่าคุณพ่อต้องทำเพื่อซูค่ะ ถึงวิธีจะไม่ดีก็เถอะ แต่เอาเถอะค่ะ ให้อภัย

รักหนูเอเดรียนนะคะจุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: eddiam ที่ 24-02-2014 12:37:44
เกบเงินๆ  รอเปิดจอง อิอิ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-02-2014 00:09:24
เรื่องมันซับซ้อนมากก แต่สนุกจริงๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 25-02-2014 01:07:44
เรื่องสนุกค่ะ ภาษาก็ดี  :katai2-1:

แต่งได้แบบว่าสมจริง จนมีอารมณ์ร่วมมากๆ โดยเฉพาะกะคุณพ่อตาอ่ะนะ  :m16:

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 25-02-2014 03:45:30
เขียนดีมากค่ะ สนุกมาก แต่บางจุดน่าจะมาม่าเรียกน้ำตาได้อีกนะ แต่แบบนี้ก็หน่วงอยู่55555555
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 26-02-2014 20:45:00
คือว่า...

มันยังไม่จบไม่ใช่เหรอ แค่มาต่อตอนพิเศษเองนะ  :m28: :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 27-02-2014 18:01:23
ที่แท้ก็ส่ง ซู มากัน ผญ. ออกจากเนื้อคู่ตัวเอง  ความคิดซับซ้อนมากเลยนะคุณพ่อ

เรื่องราวจะไม่บานปลายจนมีคนตาย หรือติดคุก แค่เพียง ทุกคนยอมละอคติ และพูดแสดงความรู้สึก ออกมาตรงๆนะ

ชอบ ไม่ชอบ ต้องการ หรือไม่ต้องการ  ก็แค่บอกอแกมาตามความจริง แค่นั้นเนอะ o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: LiqueuR ที่ 27-02-2014 18:33:57
เก๋เฟ่ออ!

ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากๆ

 :o8:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 28-02-2014 10:47:26
สนุกมาก ๆ เลยค่ะ
กว่าจะลงเอยกันได้น๊าาา >.<

ขอบคุณมากนะคะ^^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 28-02-2014 21:51:11
รับค่ะ  :m3: ชอบอ่ะ ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 15-03-2014 19:25:22
ตอนจบฟินสุด 55
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: jambool ที่ 07-04-2014 20:25:20
อ่านจบแล้วค่ะ ภายใน2 วัน ไปอุดหนุนหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือมาด้วย
เรื่องนี้ชอบมากกก  อังเดรตอนหลังๆนี้ ชอบมากกกกกกกกกกกกกเป็นพิเศษ 555
ดูเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจ  รู้สึกได้ว่าที่เป็นสุภาพบุรุษมาครึ่งเรื่อง มันแค่เพราะหน้าที่การงาน ^ ^
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 08-04-2014 01:18:24
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 12-04-2014 22:55:44
สนุกดีนะคะ
เป็นแบบเรื่อยๆ เอื่อยๆ
สับสน งงๆ กับรักครั้งนี้
แต่ไม่ค่อยชอบพระเอกเลยอ่ะ
เป็นคนดีเกินไป
ชอบร้ายใส่นายเอกด้วยแหละ
แต่รักนายเอกที่อดทนเก่งมาก
เอเดรียนก็น่ารักสุดๆ
ชอบเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 19-04-2014 17:00:23
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 19-04-2014 18:07:49
 :-[
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: K2B ที่ 19-04-2014 21:50:27
มันหน่วงเนอะ เศร้าด้วย เฮิร์ทด้วย ฮืออออออออ แต่เราชอบ
ซูดีเกินไปอ่ะ ตาแก่กะอังเดรก็ใจร้ายเกินไปนะบางที

ขอบคุณนะคะ อ่านรวดเดียวจบเลย ข้ามๆไปบ้างอะไรบ้าง ก็แหม.. มันอยากรู้ตอนต่อไปเร็วๆนี่นา
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 20-04-2014 06:15:44
 o13 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 22-04-2014 14:05:19
สารภาพว่า เข้ามาอ่านโดยบังเอิญ อ่านเพราะชื่อเรื่อง rhythm <<< คำนี้เลย
เป็นคนชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับดนตรี และเด็ก ๆ ค่ะ คอนแรกนึกว่าพระเอกหรือนางเอกเป็นนักดนตรี

อ่าน ๆ ไป สนุกแหะ เลยอ่านไปทำงานไป (ฮ่าาา) ใช้เวลาอ่าน 3 วันแนะ

ขอบนะคะ เห็นว่ารวมเล่มด้วย อยากได้ เดียวแวะไปส่อง FB ค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 30-04-2014 01:17:22
สนุกมากๆเลยค่ะเรื่องนี้
ตอนแรกก็ไม่พอใจคุณพ่อตา
แต่สุดท้ายก็เป็นคุณพ่อแสนใจดี
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-05-2014 01:11:07
ขอบคุณนะ สำหรับนิยายสนุกๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 25-05-2014 17:48:09
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย นี่คือนิยายที่ตามหา
อยากอ่านอารมณ์แบบนี้เลย อ่านแล้วหน่วงๆ ดราม่าเบาๆ?? คือชอบบบบบบบบบบบบบ
ชอบมากกกกกกกกก ชอบนิยายที่อ่านแล้วทำให้ปวดใจอ่ะ 5555 ปวดใจแต่มีความสุข
ซูน่าสงสารมากกกกกก เรื่องความรักอ่านแล้วปวดหนึบๆ ส่วนเรื่องพ่ออ่านแล้วน้ำตาจะไหลแทนซู
อ่านแล้วอินมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หนูเอเดรียนน่ารักมากๆๆๆๆ
ชอบเรื่องนี้สุดๆ ภาษาดีมากค่ะ อ่านลื่นมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ ปลื้มมมมมมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: owo.balloon ที่ 25-05-2014 19:23:26
 :o8: อ๊ายน่ารักสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Y2Y ที่ 25-05-2014 20:01:51
หนุกดีไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปกำลังน่าอ่าน  ชอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 25-06-2014 12:57:17
อ่านจบแล้วซึ้งอ่ะ :impress2: ความรักครั้งนี้ต้องผ่านอะไรกันมาเยอะจริงๆ
ขอให้มีความสุขมากๆนะจ้ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 25-06-2014 23:15:15
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วอินสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: dear77 ที่ 26-06-2014 19:24:52
 o13. เยี่ยม
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 28-06-2014 20:48:11
เรื่องนี้หนูเอเดรียนชนะเลิศ
แปลกใจที่คุณพ่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องกับมารีนไม่ได้... พลาดไปได้ยังไงกัน
เรื่องยูน่านี่น่ากลัวจริงๆ เธอร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ โดนที่เกิดเรื่องที่บ้านก็แอบคิดอยู่แว่บหนึ่งว่า
หรือจะเป็นเธอ ตอนแรกก็นึกว่าคิดมากไปเอง แต่แล้วก็จริงๆ เสียด้วย ผู้หญิงแบบนี้นี่น่ากลัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Wednesday ที่ 30-06-2014 02:13:25
 :heaven  :heaven 

จบได้หวานซึ้งมากค่ะ

  :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 31-07-2014 18:54:05
กว่าจะแฮปได้
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: naizoza ที่ 25-10-2014 00:26:34
จบแล้ววววววว :sad4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 18-11-2014 14:47:00
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 19-11-2014 21:09:00
อร๊ายยยยย ฟินเฟ่อออ ขอบคุณสำหรับนิยาย น่าร๊ากกกกก อยากอ่านต่อจุงเบยยยย >♡<
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 20-11-2014 22:32:53
อร๊ายอ่านจบแล้ว คือวันเดียวจบเลยอ่ะ ชอบมากกกก
อิตาอังเดรตอนแรกคือ อะไรของแก๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่สงสารชูเล่ยบ้างหรอไงคนเรา
แต่สุดท้ายก็จบแฮปปี้ สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 03-12-2014 22:21:31
อึมครีมมาตั้งนานอยากได้ฉากหวานๆเยอะๆๆๆ

สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 02-01-2015 23:39:45
สนุกค่ะ  แอบเซ็งซูเล่ย อึมครึมเหลือเกิน
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 04-01-2015 21:43:13
ชอบซูเล่ยค่ะ รู้สึกเอ็นดูอะ

แอบหมั่นไส้คุณพ่อและยูล่า จริงๆพอจะเดาได้ว่าฝีมือนางตั้งแต่ต้นละ มีจุดที่เผยไต๋มาไม่น้อย เสียดายที่ซูเอาแต่ตกใจเลยไม่สะกิดใจจนเกือบตายอะ ;__;
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 05-01-2015 02:16:10
 o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 08-01-2015 14:33:41
 :L2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 09-01-2015 16:30:32
 :3123:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 10-01-2015 01:31:40
แอร๊ยยยยยยย ฟินมากกก หวานมากกกก
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารัก ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 12-01-2015 00:55:19
ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายที่สนุกแบบนี้  :L2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 13-07-2015 05:33:34
หวานแซงคู่พ่อแม่แล้วซู  o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 05-10-2015 19:38:31
จบแฮปปี้มาก แต่อึมครึมมาทั้งเรื่องเบยย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 07-10-2015 17:29:12
จบแล้วอ่ะ ยังไม่อยากให้จบเลย สนุกอ่ะ :katai5: :katai5:เอาอีกๆๆ มาต่อ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 07-10-2015 21:15:48
เป็นอีกเรื่องเราชอบตอนจบและตอนพิเศษมากถึงมากที่สุด
ฟินจนถึงที่สุด สมบูรณ์แบบมากในความคิดเรา
เป็นอีกเรื่องที่สนุก อ่านได้ไม่เบื่อเลย ชอบมากๆ
ขอเก็บเป็นเรื่องในดวงใจเลยค่ะ :z2:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 11-10-2015 21:34:58
 :pig4: ขอบคุณค่า

น่ารักมากๆเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 19-10-2015 06:15:59
จริงๆยังรู้สึกเคืองพ่อชูอยู่นะ คนตายสำคัญกว่าคนเป็นสินะ เอาเป็นเหยื่อล่อ ถึงตอนสุดท้ายจะทำเพื่อชูก็เถอะ

ขอบคุณนะคะคนแต่ง อ่านทสนุกทั้งคืนเลย
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 22-10-2015 13:58:18
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 10-08-2016 16:19:57
 :L1: :L1: :heaven :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 13-08-2016 23:31:58
ในที่สุดก็มีมีฉากหวานๆของอังเดรกับซู  :mew1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-09-2016 00:20:45
ชอบเด็กน้อยเอเดรียนน่ารัก
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 05-01-2017 00:05:09
กลับมาอ่านอีกรอบ

ชอบตัวละครแบบซูเล่ยจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-01-2017 18:23:50
นิยายดีๆ ที่พลาดไปไม่ได้อ่านตั้งแต่ตอนกำลังลงอยู่
ขอบคุณคนแต่งมากครับ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Azuryngel ที่ 08-01-2017 23:00:51
5 years of waiting to end in a sweet scenario.  :mew4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: namminzz ที่ 09-01-2017 02:43:37
สนุกมากกกกกกกกกก
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ลุ้นตั้งแต่ต้นเรื่อง55555
แอบขัดใจอังเดรตอนกลางเรื่อง สงสารซู :o12:
ชอบที่เป็นแนวยุโรปด้วยค่ะ ไม่ค่อยมีคนแต่งแนวนี้เลย

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 25-03-2017 05:50:23
กว่าจะลงเอยกันได้ ลุ้นแทบตายเลยคับ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 27-03-2017 23:22:37
รอบที่สอบแล้วสำหรับเรื่องนี้ อยากบอกว่าชอบมาก คือทุกคนมีมุมมีปม ที่ต้องขบคิด มากด้วยเฉพาะซู ชอบที่สุดเป็นตอนที่ซูเล่านิทาน คือเอาเรื่องของตัวเองมาแต่งเป็นนิทาน เป็นความจริงที่เจ็บปวดนะ ส่วนพ่อพระเอกตัวดีเลย ไม่ชอบที่พ่อตาทำกับตนเองแบบนั้น แต่ตัวเองกลับทำแบบนั้นกับซู เพ้อเจ้อและอินไปนิด ขอบคุณนักเขียนมากๆ นะครับที่เขียนนิยายสนุกๆ มาให้อ่าน แล้วจะติดตามผลงานในเรื่องต่อๆ ไปนะครับ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-03-2017 06:16:43
ชอบบบบบ อ่านติดต่อจนจบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ปมเยอะมาก แต่เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของพ่อ
ซึ่งมีลูกต่างแม่สามคน
ลอร์เลน มารีน ซูเล่ย
ซู พบอังเดร รักอังเดร ก่อนมารีน
แล้วหนีหายไปคืนที่มีอะไรกัน
อังเดร ตามหาไม่พบ หลังจากนั้นถึงมีมารีน
ไรท์เข้าใจผูกปม นะ คิดว่ามารีนตายแบบไม่มีเงื่อนงำ
เลยทำให้ซู กลับมาเจออังเดร  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่กว่าจะเข้าใจกัน ยากมากกกกกกก  :z3: :z3: :z3:
ขอบคุณไรท์ อ่านไป ลุ้นไปตลอด จนจบ เยี่ยมมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แม้ฉาก nc ไม่มี แต่ไม่เสียอรรถรสเลย /คนอ่านชอบนะฉากนี้ แหะๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 13-04-2017 22:52:22
ลุ้นมากกับเรื่องนี้ ปมแต่ละอันทำเอาเราอึมครึมไปด้วยเลย อินมาก :katai1:

อ่านเรื่องนี้รู้สึกว่ามันเรียลมากๆ พล็อตเรื่องดีงามมาก ภาษาก็ลื่นไหลมาก ดำเนินเรื่องดี ชอบมาก

เรื่องนี้มีตอนพีคทึ่ทำเราอึ้งเยอะเหมือนกัน สตั้นหลายรอบมาก

เป็นนิยายทึ่ถูกจริตเราอย่างแรง ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่านกันนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 20-11-2017 12:35:01
 :mew3:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: peppermintt ที่ 12-03-2019 09:03:48
จบแฮปปี้ แต่รู้สึกว่าบางเรื่องก็ไม่เคลียเท่าไหร่ ซูน่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 15-04-2020 21:56:03
อ่านจบละ เนื้อเรื่องดีเลยค่ะ เขียนดี เรียบเรียงดี แต่ตอนอ่านหรือแม้กระทั่งอ่านจบแล้วเรายังรู้สึกเหมือนอยู่ในหมอกเลยแฮะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะสไตส์การเขียนที่คุมโทนหม่นละมั้งเลยรู้สึกว่ามันไม่ชัดเจนแม้ว่าจะเฉลยในหลายๆเรื่องไปแล้ว แต่ช่างมันเถอะ5555

ตัวละครที่ชอบคือเอเดรียนกะลอว์เรนแหละ แอบแปลกใจอายุเอเดรียนว่าสองขวบแน่เหรอ ถามตอบได้เป็นประโยคยาวๆ เราไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเด็กอาจจะไม่สันทัดนักต้องขออภัยที่สงสัยอะไรกับเด็กสองขวบ5555 ส่วนลอว์เรนเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องละมั้งเป็นตัวละครตัวเดียวที่มีสีสันสดใสในวัยผู้ใหญ่ก็เลยชอบนางกว่าคนอื่น


พระเอกอังเดรนี่ดูสมเป็นคนเป็นมนุษย์ดีค่ะ มีช่วงฉลาดและช่วงที่สมองช้าไปบ้างแต่ก็ให้อภัยได้


น้องซูคนมืดมนที่สับสนในตัวเอง นางมีช่วงที่เราเห็นใจและช่วงที่ทำให้เราอึดอัดตามไปด้วย ถ้าพูดถึงเรื่องพ่อของซู เรางงนะว่าทำไมแม่ถึงปล่อยให้พ่อเอาซูมาเลี้ยงทั่งๆที่ครอบครัวที่จีนก็ดูแลซูได้  ที่สำคัญเอาซูมาเพื่อให้ซูมาเห็นว่าพ่อรักลูกสาวของอีกเมียแค่ไหนงั้นรึ?? งงนะเนี่ย555


ยังไงก็แล้วแต่ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ❤️
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-02-2022 09:02:49
“ก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับ”
ตอบครับเฉยๆมันจะตายมั้ย ทำไมต้องต่อปากต่อคำ นิสัยแบบนี้น่ารังเกียจนะ สันดานแบบนี้เขาคงมาชอบหรอกนะ
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 28-02-2022 17:02:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 21-03-2024 19:40:07
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)

หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 22-04-2024 19:10:29
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 43บ./1วัน กด *777*7721*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 75บ./2วัน กด *777*7724*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 113บ./3วัน กด *777*7719*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7722*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 97บ./2วัน กด *777*7725*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 140บ./3วัน กด *777*7720*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 70บ./1วัน กด *777*7723*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8 (https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)


AIS ระบบเติมเงิน เอไอเอส เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 31 มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k (https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k)
หัวข้อ: Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 26-04-2024 19:56:03
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 43บ./1วัน กด *777*7721*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 75บ./2วัน กด *777*7724*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 113บ./3วัน กด *777*7719*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7722*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 97บ./2วัน กด *777*7725*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 140บ./3วัน กด *777*7720*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 70บ./1วัน กด *777*7723*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8 (https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)


AIS ระบบเติมเงิน เอไอเอส เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 31 มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k (https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k)