Rhythm of Lust : กลเกมสเน่หา
-1-
ภายใต้บรรยากาศสีดำและเทา แว่วเสียงเพลงภาวนาอันแสนวังเวงใจและโศกเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งกำลังทอดสายตาไปยังโลงศพสีขาวที่เคลื่อนตัวลับหายไปในหลุมลึก ดวงตาสีอ่อนของชายหนุ่มฉายความอาลัยอย่างไม่ปิดบัง เพราะร่างที่ทอดกายในโลงสีขาวนั้นคือหญิงสาวซึ่งเคยผูกพันกันด้วยคำสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าบัดนี้ผู้ให้คำสาบานนั้นได้จากไปอย่างไม่หวนกลับ นั่นคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกราวกับว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตและวิญญาณถูกฉีกกระชากหายไปกลายเป็นหลุมดำอันว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงโซ่ทองคล้องใจเส้นหนึ่ง คือเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของความตายได้แต่กอดคอพ่อและมองไปรอบข้างด้วยสายตาสงสัยระคนซุกซนตามวัย
เด็กหญิงคนนั้นมองมาทางเขาก่อนจะเลยผ่านไปเพราะใบหน้าไม่ได้คุ้นเคยในความทรงจำ เธอไม่ได้แสดงความโศกเศร้า ทุกข์ระทม หรือห่วงหาอาลัย นั่นเพราะเด็กวัยเพียงแค่นี้ยังไม่อาจเข้าใจได้ถึงการจากที่ชื่อว่าความตาย รวมถึงไม่เข้าใจต้นเหตุความเศร้าของพ่อและคนรอบตัว
และจนกระทั่งเสร็จพิธี แขกเหรื่อพากันแยกย้ายกลับบ้านแต่ก็ไม่ลิมที่จะไปทักทายแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ส่วนตัวเขาก็ยังคงยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสนใจจะสังเกต แม้กระทั่งผู้ชายคนนั้นที่จูงลูกสาวไปส่งแขกที่ต่างก็จากไป ทิ้งบรรยากาศเงียบสงัดของสุสานไว้เบื้องหลัง
ชายหนุ่มร่างเล็กรอจนกระทั่งแขกกระจายตัวไปหมดแล้วจึงเดินทอดจังหวะเท้าช้า ๆ ไปยังหลุมซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ เขาถอนหายใจพร้อมปรากฏไอสีขาวบางเบาลอยฟุ้งไปในอากาศ และโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเพียงทิ้งดอกไม้ลงไปในหลุมและเดินจากมา ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานยืนรออยู่ไม่ไกล เขายิ้มให้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปน ทั้งประหม่าและแสดงความเสียใจ
ชายวัยกลางคนทอดสายตากลับมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะพยักพเยิดให้อีกฝ่ายตามขึ้นรถ ทั้งสองทอดสายตามองกลับไปด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลาผู้ที่หลับใหลไปตลอดกาลอย่างเงียบงัน
พิธีล่ำลาอาลัยแสนเรียบง่ายผ่านพ้นไป เหลือไว้เพียงความทรงจำอันสวยงามยามเมื่อคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และสร้างความสุขให้แก่ผู้คนรอบตัว
ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงทอดสายตาออกไปเบื้องนอกหน้าต่างซึ่งติดฟิล์มหนา อากาศภายในรถยนต์ยี่ห้อหรูค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่สำหรับตัวเขาที่เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นอากาศภายในรถยนต์คันนี้หรือข้างนอกนั้นก็พาให้หนาวเหน็บจนต้องกระชับเสื้อสูทเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด...
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเรียกผมกลับมาเพียงเพื่อร่วมพิธีศพของเธอ” เขาจำต้องเป็นคนเปิดบทสนทนาเพราะไม่อยากจะทรมาณตัวเองด้วยความเงียบอีกต่อไป
“ไม่พอใจงั้นหรือ?”
“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิรู้สึกแบบนั้นหรอก อีกอย่าง คุณเองก็ตอบแทนไว้ดีไม่น้อย ดังนั้นที่เรียกผมมาในตอนนี้ก็คงมีอะไรให้ทำอีกสินะครับ?”
สายตาเยียบเย็นของชายวัยกลางคนเหลือบกลับมามองคนข้างตัวโดยไม่ฉายความรู้สึกใดแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังถูกประชดประชัน
“ฉันไม่ไว้ใจ”
“ครับ ผมก็คิดว่าคุณคงจะรู้สึกแบบนั้น” ชายหนุ่มร่างเล็กกรอกตาก่อนปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเพราะเจลที่ทาไว้ลวก ๆ เริ่มอ่อนตัว
“ถ้าอย่างนั้นคงรู้สินะว่าฉันคิดจะทำอะไร”
ดวงตาสีดำในกรอบตาเรียวรีกลอกไปสบกับคู่สนทนาก่อนถอนหายใจน้อย ๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยพวกเขาไป ถึงเด็กคนนั้นจะเป็นหลานของคุณแต่ก็เป็นลูกของเขาเหมือนกัน เขาน่าจะมีสิทธิเลือกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ”
“ฉันตัดสินใจไปแล้ว” ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าคำค้านใด ๆ ก็ไม่มีผล ผู้ฟังจึงเสสายตาออกไปข้างนอกเช่นเดิมและคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
เรื่องที่เขา...สมควรจะลืมมันไปเสียที...
-------------------------->
บรรยากาศของพิธีอำลาผู้จากไปไม่ได้อบอวลแต่เพียงในสุสาน แต่ได้ลุกลามมาถึงภายในรถยนต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวกลับบ้านที่ไม่เหมือนเดิมนับแต่เธอคนนั้นจากไป
“มามี้?” เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสองปีมองพ่อของตนด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยนพร้อมส่งคำถามสั้น ๆ ตามแบบของเด็กที่ยังพูดไม่คล่องปากนัก แน่นอนว่าเด็กหญิงยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับเธอแล้ว การที่แม่ไม่อยู่นั้นหมายถึงว่าในอีกไม่กี่นาทีแม่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนทุก ๆ วัน ด้วยเหตุนั้นในวันแรก ๆ ของการสูญเสีย เธอจึงถามพ่อของตนแทบทุกชั่วโมงว่าแม่อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับมา และเมื่อไม่ได้เห็นแม่เธอก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งหลับ เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันและคืน จนถึงวันนี้ที่ร่างของผู้เป็นแม่กลับสู่ผืนดินและวิญญาณล่องลอยสู่อ้อมหัตถ์พระผู้เป็นเจ้า เด็กหญิงก็ยังคงถามถึงแม่ของตนอยู่เสมอเมื่อรู้สึกขึ้นมาว่าใครบางคนข้างตัวได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยจะร้องไห้แล้วเท่านั้น
กระนั้นทุกครั้งที่ถูกถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ลูกของตนรับรู้ว่าแม่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว
“มามี้เขาไปพักผ่อนแล้ว เอเดรียน ตอนนี้ลูกต้องอยู่กับแดดดี้สองคนแล้วนะ” ชายหนุ่มลูบมือไปบนเรือนผมสีน้ำตาลพลางถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองกับมารีนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นถึงเพียงนี้ 5 ปีสำหรับความรักอันแสนหวานและความสุขประหนึ่งว่าชีวิตนี้ได้พบที่พักพิงใจในที่สุด ทว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน เพียงข้ามวันทุกอย่างก็พังทลายไปอย่างง่ายดาย
เด็กหญิงไม่ได้ถามอะไรอีกและไม่ได้ร้องไห้งอแงเพราะถูกทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกสบายใจขึ้นแม้เขาจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อทำความคุ้นชินกับช่วงเวลาที่จะไม่มีรอยยิ้มสดใสคอยต้อนรับเมื่อยามกลับถึงบ้านอีกแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความเหงาของเขาก็คือเขาจะต้องเลี้ยงลูกสาวไปพร้อม ๆ กับการทำงานซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเอเดรียนจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรเมื่อขาดแม่พิมพ์ของชีวิต
และแม้เขาจะอยากให้ลูกสาวเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขได้โดยไม่มีแม่มากสักเท่าใด เขาก็ไม่อยากจะให้เธอลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งเคยมีมืออันอ่อนโยนของหญิงสาวคอยอุ้มชูดูแลชีวิตเล็ก ๆ นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตและลมหายใจ
ไม่อยากให้ความรักพิสุทธิ์เลอค่านั้นเลือนรางจางหายไปเหมือนหมอกควัน เมื่อเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นก็อยากจะให้จดจำได้ถึงอ้อมแขนคู่นั้นที่แม้จะบอบบางแต่ก็อบอุ่นเหนือสิ่งใด
-------------------->
หลายวันหลังจากนั้น พ่อหม้ายมือใหม่ก็ต้องสาละวนกับการสัมภาษณ์พี่เลี้ยงมากหน้าหลายตาซึ่งจะมาทำหน้าที่เลี้ยงดูเอเดรียนในช่วงที่ตนไม่อยู่ ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถูกสำนักงานจัดหางานส่งมาอย่างไม่ขาดสาย พวกเธอมีทั้งคนมีอายุและเด็กวัยรุ่น มีประสบการณ์ ไร้สบการณ์ ความแตกต่างมากมายที่พร้อมจะกลายเป็นแม่แบบสำหรับตัวตนของเอเดรียนในอนาคตทำให้เขาต้องคัดกรองอย่างเข้มงวดแต่ก็ยังไม่มีใครต้องตา นั่นคงเพราะใจจริงของเขากำลังมองหาคนที่เหมือนมารีนที่สุดก็เป็นได้
ระหว่างที่ยังตัดสินใจเรื่องพี่เลี้ยงไม่ได้ เขาก็ต้องหอบหิ้วเอเดรียนไปที่ทำงานด้วยซึ่งไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยเอาเสียเลย
แต่แล้วหลายวันต่อมา...เขาก็ได้รับของขวัญที่ไม่คาดฝัน
ชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้ามีเค้าโครงแบบคนเอเชียกำลังยืนมองประตูบ้านของเขาด้วยสายตากังขาก่อนจะกดออดซึ่งเจ้าตัวคงจะกดมาหลายครั้งแล้วจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้ ตัวเขาที่เพิ่งจะกลับจากการทำงานพร้อมกับเอเดรียนเดินเข้าไปหาผู้มาเยือนก่อนจะเอ่ยถาม
“ขอโทษครับ คุณมาพบผมหรือเปล่า?”
ดวงตาเรียวสีดำเงยขึ้นสบกับเจ้าของคำถาม
“คุณ...อังเดร แอชฟอร์ด?”
“ใช่ นั่นชื่อผม ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
“คุณเรียกผมว่าชูเลย์ก็ได้” ชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียไหวไหล่ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญให้พร้อมจดหมายแนะนำ เมื่ออังเดรเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นจดหมายจากพ่อตาของตนเองซึ่งกำชับให้รับชายหนุ่มคนนี้เป็นพี่เลี้ยงโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจน ถึงอย่างนั้นอังเดรก็รู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่าคนคนนี้มีใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาชอบกล เพียงแต่ชื่อไม่คุ้นหูจึงคิดว่าอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้
“ชื่อแปลกดี” เขาว่าก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะขำขันจากว่าที่พี่เลี้ยง
“ที่จริงแล้วชื่อผมเป็นภาษาจีน ออกเสียงว่า ซูเล่ย น่ะครับ” เจ้าของชื่อออกเสียงให้ฟังเป็นภาษาจีนที่สำหรับคนอเมริกันแล้วมันช่างทรมาณทรกรรมลิ้นเสียเหลือเกิน เมื่อซูเล่ยเห็นสีหน้าปุเลี่ยนจากอีกฝ่ายก็หัวเราะอีกคำรบ “เอาเถอะ ผมชินกับสีหน้าแบบนั้นแล้ว ทีนี้กรุณาเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปสำรวจบ้านใหม่หน่อยสิ”
“เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้บอกว่าจะรับคุณเลยนะ แล้วคิดจะมากินอยู่ที่นี่จะมากเกินไปหรือเปล่า?” อังเดรมุ่นคิ้วด้วยท่าทางจริงจัง แม้จะเป็นข้อเสนอจากพ่อตา แต่ผู้ชายที่ดูไม่มีมารยาทแบบนี้จะสอนลูกสาวเขาได้จริง ๆ หรือ? ซ้ำเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีบอก จะเชื่อถือได้ยังไงกัน
“มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิปฏิเสธ เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับเขาก็จะเอาตัวเอเดรียนไป ถ้าถึงชั้นศาลคิดว่าจะสู้เขาได้จริง ๆ หรือ?”
ชายหนุ่มร่างสูงอึกอัก พ่อตาของเขาเป็นคนที่มีฐานะและชื่อเสียงอยู่พอตัว เมื่อเทียบกับเขาที่ต้องทำงานทุกวันและไม่ได้ฐานะดีเด่อะไรย่อมไม่อาจต่อกรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น เอเดรียนก็เป็นของสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่มารีนเหลือเอาไว้ให้ เขาย่อมไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ใครเอาตัวไปอย่างเต็มใจ ตอนนี้...คงจะต้องยอมไปก่อนกระมัง แล้วหลังจากนี้ค่อยคิดหาทางกันอีกที เมื่อเขาได้พี่เลี้ยงที่เหมาะสม พ่อตาของเขาก็อาจจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เขาเลยก็ตาม
อังเดรเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านในขณะที่เอเดรียนยืนสบตากับผู้มาเยือนด้วยคำถามที่ฉายในดวงตากลมโต กระนั้นเด็กหญิงขี้อายก็ไม่กล้ามองนานนัก เมื่อซูเล่ยมองกลับเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปเกาะขากางเกงพ่อและแอบมองมาอย่างไม่ไว้ใจ
“บนชั้นสองมีห้องนอนว่าง ที่จริงมันกลายเป็นห้องเก็บของมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ไปจัดเอาแล้วกัน”
อาจเพราะไม่ได้เต็มใจต้อนรับแต่แรก การแสดงออกของอังเดรที่มีต่อผู้มาเยือนจึงเต็มไปด้วยความเย็นชาและคล้ายจะขับไล่ไสส่งอยู่กลาย ๆ กระนั้นซูเล่ยเองก็มีเหตุผลที่กลับไม่ได้เช่นกัน เขาโคลงศีรษะอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนพาตนเองตามหลังเจ้าของบ้านขึ้นไปดูห้องนอนซึ่งเวลานี้ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเคยใช้ให้คนนอนมาก่อน เพราะมันเต็มไปด้วยข้าวของที่สมควรจะโยนทิ้งหรือขายเลหลังจนมองไม่เห็นเตียงเล็ก ๆ ที่แอบอยู่อีกฝั่ง
“พวกนี้ทิ้งได้หมดหรือเปล่า?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านมองไปรอบ ๆ แล้วไม่คิดว่าจะมีของสำคัญ แต่แล้วเอเดรียนกลับวิ่งเข้าไปในห้องและกอดตุ๊กตาตัวหนึ่งแน่น
“เอเดรียนเอาน้องต่าย”
“แต่ว่ามันสกปรกแล้วก็ขาดหมดแล้วนะเอเดรียน” อังเดรถอนหายใจแล้วย่อตัวลงเพื่อขอตุ๊กตาพัง ๆ คืนจากเด็กหญิงตัวน้อย เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าเอเดรียนชอบมันมากแค่ไหน ตอนที่มันขาดและบอกจะเอาไปทิ้ง เอเดรียนร้องไห้งอแงจนมารีนใจอ่อนบอกว่าให้น้องกระต่ายไปพักก่อนแล้วก็โยนมันไว้ในห้องว่างจนถึงบัดนี้ พอมาเห็นอีกครั้งทำให้เด็กหญิงจำได้ว่าตนเองเคยมีของรักชิ้นนี้อยู่ ทำให้ยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย
“เอเดรียนจะเอาน้องต่าย” เด็กหญิงร้องเบะปากทำท่าจะร้องไห้เมื่อพ่อไม่ยอมให้พาไปด้วย อังเดรไม่รู้จะทำอย่างไรก็คิดว่าคงต้องปล่อยให้กอดไปสักพักคงจะยอมปล่อยเอง แต่ซูเล่ยกลับเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับหูยาว ๆ ที่ห้อยแกว่งอยู่ข้างตัวตุ๊กตา
“เอเดรียนจะปล่อยให้คุณกระต่ายบาดเจ็บแบบนี้หรือ? ให้พี่เอาคุณกระต่ายไปรักษาแล้วก็อาบน้ำสักหน่อยดีกว่าไหม?” คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้เด็กหญิงลังเล แต่เมื่อหันไปมองพ่อที่อาจจะแอบเอาไปทิ้ง เอเดรียนจึงปาดน้ำตาแล้วส่งตุ๊กตากระต่ายให้ซูเล่ยแต่โดยดี
ชายหนุ่มรับกระต่ายก่อนส่งสายตาให้อังเดรคล้ายกำลังอวดฝีมือตนเองทำให้คนมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้ามากกว่าเดิม
“ตอนนี้พวกคุณช่วยออกไปได้แล้ว ผมจะได้จัดการห้องรก ๆ นี่เสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมจะไปนอนเบียดบนเตียงคุณแทน”
อังเดรได้ยินก็ขึงสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งมากันนะ? มันน่าสงสัยจริง ๆ
คืนนั้นหลังส่งเอเดรียนเข้านอน ชายหนุ่มก็โทรไปหาพ่อตาซึ่งไม่ถูกกับตนนักเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ตอนที่ได้ยินคำทักทายสั้น ๆ จากปลายสาย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที
“ไม่ได้คุยกันเสียนานนะครับคุณพ่อ”
“พูดแบบนี้จะโทษว่าฉันไม่ค่อยได้โทรไปคารวะลูกเขยหรือยังไง”
เพราะชอบประชดประชันแบบนี้นี่แหละถึงได้ไม่อยากคุย...
“เปล่าครับ เป็นผมเองที่ไม่ค่อยมีเวลาโทรไปหา เพียงแต่วันนี้ผมมีเรื่องจะมาถามก็เลยโทรมาเสียดึก หวังว่าจะไม่รบกวนจนเกินไป”
“ในเมื่อรู้ว่ารบกวนก็รีบ ๆ พูดให้จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องซูเล่ยล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันเขียนในจดหมายไปชัดเจนดีแล้ว หรือว่ามีอะไรไม่เข้าใจอีก?” ชายวัยกลางคนกระหวัดหางเสียงอย่างเฉียบขาดเสมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าอย่างไรอังเดรก็ต้องทำตามที่ตนเองต้องการและห้ามมีข้อสงสัย ด้วยนิสัยเผด็จการแบบนี้เองที่ทำให้อังเดรไม่ชอบพ่อตาของตนเองเอาเสียเลย เป็นโชคดีที่มารีนไม่ได้นิสัยเช่นนี้ติดตัวมาด้วย
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่มีคำถามแล้ว...”
“แต่ฉันมี”
เมื่ออังเดรจะวางสาย อีกฝั่งกลับชวนพูดต่อเสียอย่างนั้น
“สมบัติส่วนตัวของมารีนอยู่ในชื่อของเอเดรียนทั้งหมด แกคงได้ยินจากทนายแล้ว แต่ยังไงแกก็เป็นผู้ดูแลโดยชอบธรรม ฉันหวังว่าแกจะเห็นแก่มารีนและเอเดรียน...” หลังจากฟังอยู่สักพักอังเดรจึงได้เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อตา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูก
“คุณพ่อคิดว่าผมจะเอาสมบัติลูกเมียมาผลาญเล่น หรือเอาไปปรนเปรอผู้หญิงหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมจะดูแลอย่างดีไม่ให้ตกหายไปสักสตางค์แดงเดียว ถ้าคุณพ่อไม่มั่นใจ จะเอาบัญชีไปดูแลเองก็ได้เพราะผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างเอาเงินทองไปใช้สอยอยู่แล้ว”
“หึ งั้นก็ดี” อีกฝ่ายเมื่อเห็นลูกเขยแข็งข้อก็ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าให้ดีเฉพาะตอนมารีนยังอยู่ก็แล้วกัน”
ทั้งสองต่างวางสายใส่กันด้วยความขุ่นใจ สนทนากันทีไรก็จบลงแบบนี้ทุกทีถึงได้หลีกเลี่ยงการพบหน้ากันแม้กระทั่งในวันฝังศพมารีน แต่ในที่สุดอังเดรก็เข้าใจว่าทำไมพ่อตาจึงได้ส่งซูเล่ยมาที่บ้าน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาดูแลเอเดรียน แต่เพื่อจับตาดูเขาไม่ให้นอกลู่ทางต่างหาก ความจริงที่ได้พบทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่ชอบใจการมาของซูเล่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกของเล็ก ๆ ผมเอาใส่ถุงดำหมดแล้ว ส่วนของใหญ่ผมกองไว้มุมห้องก่อนเพราะหลายชิ้นดูจะยังใช้ได้” ซูเล่ยถือถุงดำใส่ขยะชิ้นเล็กเดินลงมาขากชั้นสอง และได้เห็นอังเดรปั้นสีหน้าขุ่นเคืองใจอยู่หน้าโทรศัพท์ก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงชะงักคำพูดไว้แค่นั้นและเดินเลี้ยวไปทางประตูบ้านเพื่อนำขยะไปทิ้ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงหันกลับไปมอง
“เครื่องดูดฝุ่นอยู่ในห้องใต้บันได ใช้เสร็จแล้วก็เก็บเข้าที่ด้วยแล้วกัน” อังเดรพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินไปทางบันไดเพื่อพักผ่อนเสียที ทว่าหูกลับแว่วเสียงเปรยเบา ๆ ตามหลังมา
“แต่ก่อนไม่ใช่คนขี้โมโหแท้ ๆ ...”
“อะไรนะ?”
“ครับ?” ซูเล่ยหันกลับมาตอบรับด้วยสีหน้าสงสัย ทำให้อังเดรชะงักและคิดว่าบางทีตนเองอาจจะหูแว่วก็เป็นได้จึงโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นชั้นสองไป เมื่อชายหนุ่มร่างสูงลับตาไปแล้ว ซูเล่ยก็ลอบแย้มรอยยิ้มกับตนเอง “ช่างเป็นผู้ชายที่ความจำสั้นเสียจริง ๆ แต่ก็คงไม่แปลก...มันตั้ง 5 ปีแล้วนี่นะ”
เวลา 5 ปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปได้มากมาย ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็ดูไม่เหมือนคนเดิมที่ต่างคนต่างจำได้ แตกต่างก็เพียงเมื่อ 5 ปีก่อนเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาแต่แรก แต่อังเดรไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งวันที่เขาหายตัวไปจากโลกของเจ้าตัว
ขี้โกงจริง ๆ ที่มีเขาคนเดียวที่จดจำอีกฝ่ายได้ทุกเวลา...
--------------------->
Special : Wedding
ในช่วงชีวิตคนเราสักชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่วันที่สามารถพูดได้ว่าเป็นวันอันแสนสุขราวกับเทพนิยาย ซึ่งหลายคนคงจะคิดถึงวันต่าง ๆ ในชีวิตและมากกว่าครึ่งในจำนวนนั้นอาจจะตอบว่าเป็นวันที่เขาและคนรักได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าได้ตอบรับเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน ได้อยู่เคียงข้างกันนับจากนี้จนถึงวันสิ้นลม แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคู่ที่สามารถรักษาสัตย์สาบานได้ ทว่า...มันกลับเป็นวันที่พวกเขาไม่มีวันลืมลงแม้จะต้องเลิกราหรือตายจากกันไป ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บทเพลงแสนหวาน และถ้อยคำสาบานรักจะยังคงตราตรึงในหัวใจ
ด้วยภาพฝันอันสวยงามนั้น ทำให้ผู้หญิงทุกคนต่างวาดฝันว่าอยากจะสวมชุดเจ้าสาวสีขาว จูงมือคนรักเดินเข้าพิธีวิวาห์ เช่นเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เลิกคิดฝันถึงหวามหวังอันเลิศหรูมานานแสนนานเพราะความพลาดพลั้งในวัยเยาว์ กระนั้น ในวันนี้เธอกลับได้รับโอกาสอีกครั้งโดยไม่ทันคาดคิด
“แต่งงานตอนแก่แบบนี้น่าอายจริง ๆ” เยว่ซินรำพึงในชุดเจ้าสาวสีขาวที่ดูเรียบร้อยแตกต่างจากชุดแต่งงานสมัยนิยมที่พบเห็นได้ทั่วไป
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงตอบรับพ่อล่ะครับ” ซูเล่ยเอ่ยถามขณะมองลอร์เรนช่วยแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าให้แก่แม่ของตน ตอนนี้อายุอานามเยว่ซินก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าใกล้ห้าสิบแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังคงความอ่อนเยาว์จนไม่น่าเชื่อถึงจำนวนเลขบอกอายุ เมื่อถูกแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางจึงยิ่งดูสดสวยประหนึ่งหญิงสาวในวัยเพียงสามสิบต้น ๆ พอไปยืนคู่กับลามอนต์คงดูคล้ายพ่อลูกมากกว่าคู่แต่งงาน
“ก็แม่ไม่คิดว่าเขาจะจัดงานจริง ๆ ถึงจะเป็นงานเล็ก ๆ ก็เถอะ” หญิงสาวมองเงาตัวเองในกระจกอย่างเขินอาย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอไม่ได้สัมผัสกับเครื่องประทินโฉมจนคุ้นชินกับใบหน้าที่แสนจืดชืดของตน พอถูกตบแต่งแบบนี้แล้วช่างดูแปลกตาดีจริง “แต่แม่ก็รู้สึกดีใจนะที่ลูกกับอามาร่วมงานด้วย ตอนแรกแม่คิดว่าทั้งสองคนจะไม่เห็นด้วยและคัดค้านหัวชนฝาเสียอีก”
ผู้ฟังหลุบตาเล็กน้อย หากเป็นก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ถึงความเสียดายวันเวลาที่ผ่านเลยไปและไม่อาจดึงรั้งให้ย้อนคืนมาได้ แม้จะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังแต่หากได้รับโอกาสก็อยากจะไขว่คว้าเอาไว้เพื่อที่จะปลูกสร้างความทรงจำที่ดีต่อไปในอนาคตหลังจากนี้และชดเชยเวลาที่ต้องจากไกลกัน
งานแต่งงานแบบตะวันตกเป็นที่นิยมเสียจนไม่มีใครนึกผิดแปลกแม้คู่แต่งานจะไม่ได้นับถือคริสตศาสนา พวกเขาจะถูกตระเตรียมให้พร้อมสำหรับขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อวันจริงจะได้ผ่านไปอย่างราบรื่น
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง งานแต่งเล็ก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นของชายเจ้าของธุรกิจใหญ่โตแต่ก็เป็นความต้องการของคนทั้งคู่ที่ต้องการเพียงการจัดงานโดยไม่ได้สนใจจะประกาศให้โลกได้รับรู้จึงมีเพียงแขกเหรื่อไม่กี่คนซึ่งนับหัวได้เกินจำนวนนิ้วมือเพียงเล็กน้อย
เสียงดนตรีคลอเบาจากแป้นเปียโนในโบสถ์หลังน้อยที่ประดับประดาด้วยช่อดอกไม้สีขาวและริบบิ้น เจ้าบ่าวในชุดสูทดูเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าแท่นพิธีพร้อมกับบาทหลวงสูงวัยท่าทางอารี แต่สายตาของแขกเหรื่อรวมถึงเจ้าบ่าวกลับไม่ได้จดจ่อที่แท่นบูชาแต่เป็นประตูทางเข้าโบสถ์ซึ่งเปิดกว้าง การปรากฏตัวของเจ้าสาวพร้อมกับบุตรชายซึ่งทำหน้าที่แทนบิดาผู้ล่วงลับ
ซูเล่ยประคองมือแม่ก้าวเข้าโบสถ์โดยมีเอเดรียนแต่งตัวเป็นนางฟ้าตัวน้อยคอยถือชายกระโปรงเดินตาม หญิงสาวข้างตัวเขางดงามอย่างหาใดเปรียบได้ในวันอันแสนพิเศษเช่นวันนี้ ทำให้เขารู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยที่ถูกขอให้ทำหน้าที่สำคัญ
ลามอนต์รับเจ้าสาวของตนจากการมอบหมายของบุตรชาย ออกจะเป็นพิธีที่แปลกอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีใครนึกคัดค้านเมื่อเยว่ซินเสนอ
ชายหนุ่มร่างเล็กทอดสายตามองแผ่นหลังบอบบางของผู้เป็นแม่ที่ยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวหน้าแท่นพิธีที่บาทหลวงยืนรออยู่ และเมื่อเขาหาที่นั่งเรียบร้อย พิธีก็ดำเนินไปท่ามกลางคำสาบานรักตามตำรา เมื่อถึงช่วงนั้นน้ำตาก็พานจะรื้นไหลแต่เมื่อคิดจะยกมือขึ้นปาดก็กลับมีมือข้างหนึ่งกุมลงมาอย่างแผ่วเบาจนรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ซ่าน ซูเล่ยเหลือบมองข้างตัวและเห็นรอยยิ้มของอังเดร
“รับครับ” เสียงตอบรับคำสาบานของเจ้าบ่าวกลับเปล่งจากริมฝีปากของชายหนุ่มข้างกาย จากนั้นเมื่อบาทหลวงหันมาถามเจ้าสาว อังเดรก็ทำสายตาให้เขาพูดรับเช่นกัน แต่ซูเล่ยกลับเม้มปากนิ่งเพราะกระดากอายเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น และคล้ายว่าอีกฝ่ายจะเดาใจได้จึงกระซิบข้างหูว่า “แค่พยักหน้าก็ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นซูเล่ยจึงฝืนพยักหน้าน้อย ๆ โดยพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น
จากนั้นอังเดรก็ทำในสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิด แสงที่สะท้อนจากวัตถุเล็ก ๆ ในกล่องใบจิ๋วทำให้นึกสงสัยในวูบแรก แต่แล้วนาทีต่อมา มันก็ถูกสวมประดับบนนิ้วของเขา แหวงสีทองวงเล็บเรียบไร้รอยต่อคือแหวนแต่งงานที่มีความหมายถึงความรักที่ไร้จุดสิ้นสุด ซูเล่ยถึงกับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกได้แต่จับจ้องแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายราวกับว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“...ขอโทษนะครับ ผมไม่มี...” พูดยังไม่ทันขาดคำ ซูเล่ยก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สะกิดจากด้านหลัง และเมื่อเขาหันไปก็เห็นลอร์เรนส่งยิ้มพร้อมกล่องใส่เครื่องประดับใบน้อยมาให้จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นการวางแผนมาก่อนแล้วระหว่างคนทั้งสอง กระนั้นสายตาคะยั้นคะยอก็ทำให้เขาต้องรีบรับเพราะไม่อยากให้ใครบังเอิญหันมาเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในระหว่างพิธีของคนอื่น
หลังจากสวมแหวนให้เรียบร้อยแล้วก็มาถึงช่วงท้าย
“จูบเจ้าสาวได้”
ทันใดนั้นซูเล่ยก็รีบหันมองอังเดรด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่บ้าจี้ทำตาม ซึ่งก็โล่งใจขึ้นหลายเปราะเมื่อเห็นคนข้างตัวเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าโดยจับมือเขาอย่างเงียบงัน
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี เจ้าบ่าว เจ้าสาว และแขกเหรื่อก็พากันออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ถึงแม้เจ้าบ่าวจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม
และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่งนั่นคือการโยนช่อดอกไม้ และเพราะมีคนเป็นแขกจำนวนน้อยจึงไม่จำเป็นต้องโยนให้ตื่นเต้น เยว่ซินเดินไปยื่นช่อดอกไม้ให้แก่ลอร์เรนซึ่งเพิ่งจะผ่านงานหมั้นไปไม่นานและกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ขอบคุณค่ะคุณหลี่ อ๊ะ! ไม่สิ จากนี้จะเป็นคุณนายเวสลอยด์แล้วสินะคะ” ลอร์เรนกล่าวขอบคุณแล้วหัวเราะคิกคัก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ที่จริงแล้วงานนี้ต้องขอบคุณหนูอยู่หลายอย่างที่ช่วยจัดแจงจนเข้าที่เข้าทางในเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ ซ้ำยังยอมฟังความเอาแต่ใจของคุณลามอนต์เขาด้วย” เมื่อถูกโยนความผิด ลามอนต์ก็ปั้นสีหน้าขรึมเคร่งเครียดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและในนาทีต่อมาก็คลายลงเป็นสีหน้าผ่อนคลายเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของภรรยา ลูกหลาน และคนใกล้ชิดรอบตัว
“แต่ว่านอกจากแล้วฉันก็มีคนที่มีข่าวดีอยู่อีกนะคะ” หญิงสาวมองไปทางซูเล่ย และโดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อนเธอก็ส่งช่อดอกไม้ให้เอเดรียนท่ามกลางความสงสัยของคนรอบข้างและกระซิบว่า “เอาไปให้ชูเลย์แล้วขอให้กลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันสิจ๊ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนางฟ้าฟูฟ่องพยักหน้าแข็งขันก่อนนำช่อดอกไปให้พี่เลี้ยงของตนที่ยืนอยู่ห่างไกลจากกลุ่มคน
“ซู!” เธอร้องและยืนตรงหน้าอดีตพี่เลี้ยงซึ่งตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่ในเพนเฮาส์เป็นการชั่วคราว เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่กลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิมเสียที “เอเดรียนให้ซูนะ แล้วกลับมาอยู่บ้านด้วยกัน กับแดดดี้กับเอเดรียน” เธอว่าพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้แต่งงานสวยหวานให้แก่อดีตพี่เลี้ยง รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาที่ส่งมาพร้อมกับช่อบูเก้พาให้ผู้รับปฏิเสธไม่ลงแต่ก็ไม่ได้ตอบรับเช่นกัน
ซูเล่ยลูบผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยเมื่อรับช่อบูเก้สีขาวมาไว้ในมือก่อนจะทอดสายตามองไปยังอังเดรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังพูดคุยกับบ่าวสาวอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะลดอคติที่มีต่อพ่อตาไปได้มากพอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันยอมอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดนี้ แต่ตัวเขาเอง...กลับคล้ายยังมีความไม่แน่ใจอยู่ทำให้ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในสถานะเดิมได้อย่างสนิทใจ
แต่ทว่า...
แหวนสีทองแวววาววงเล็กดูไม่มีราคาค่างวดมากมายประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ทุกครั้งที่เหลือบมองความอุ่นซ่านก็แผ่นเข้ามาจนล้นอกเสียจนเกรงว่าตนเองจะสำลักความสุขที่โถมถั่งหลั่งรดลงมา
---------------------------->
งานเลี้ยงตอนค่ำถูกจัดให้เป็นการร่วมโต๊ะอาหารมื้อพิเศษในบ้านหลักของเวสลอยด์ เยว่ซินและลอร์เรนปรากฏตัวขึ้นในชุดราตรีสีหวาน เจ้าสาวของคืนนี้ยังคงเป็นตัวเด่นที่ทุกคนจับจ้องและกล่าวแสดงความยินดีไม่ขาดปากแม้จะเป็นคำที่พูดมาแล้วตลอดทั้งวันแต่เมื่อได้ยินก็ยังพาให้สุขใจ
เสียงดนตรีคลอเบาหวานแว่วถูกคัดเลือกมาโดยอังเดรและอาร์เลนผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีคลาสสิกและลีลาศ และดาริลก็มาช่วยทำหน้าที่เกี่ยวกับเครื่องดื่ม ทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเล็ก ๆ ดูคล้ายเป็นงานเลี้ยงแต่งงานในโรงแรมหรูหรา ลามอนต์เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ยอนดีต่อบรรยากาศเช่นนี้มากนักเพราะคุ้นชินแต่ภาพลักษณ์ทางการที่มีองค์ประกอบเท่าที่จำเป็น แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้า เจ้าตัวก็ยอมเต้นรำกับเจ้าสาวเพลงหนึ่งก่อนจะพาตัวกลับไปนั่งโต๊ะเช่นเดิมและปล่อยให้คนอื่น ๆ สนุกสนานไปตามสะดวก
“แม่ตกใจพอควรเลยนะตอนได้ยินเรื่องลูกกับคุณแอชฟอร์ด” เยว่ซินกล่าวขึ้นพลางโยกตัวไปตามการนำของลูกชายซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเต้นรำนัก
“จากลอร์เรนหรือครับ?” ซูเล่ยเลิกคิ้วเพราะเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ด้วยตนเอง แปลว่าจะต้องได้ยินจากปากคนอื่นแน่นอน ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็ไม่มีให้คาดเดามากนัก
“ที่จริงแล้วแม่เป็นคนถามลอร์เรนเอง เขาสินะที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ใจตอนที่กลับบ้าน แล้วตอนนี้ตกลงปลงใจกันแล้วหรือ?” หญิงสาวแย้มยิ้มอ่อนโยนขณะสัมผัสแหวนสีทองเกลี้ยงเกลาบนนิ้วเรียวยาว
“จะว่าแบบนั้นก็ใช่ครับ” เมื่อไม่รู้จะปิดบังต่อไปทำไมจึงได้แต่ยอมรับอย่างเรียบง่าย
“แต่ก็แปลกนะที่แม่รู้สึกว่าลูกยังไม่เปิดใจยอมรับเต็มที่”
มันชัดเจนถึงขนาดนั้นเชียวหรือ…
ความลังเลที่ยังสุมอยู่ในอกคล้ายว่าพยายามกระตุ้นเตือนให้รู้สึกตัวถึงเงื่อนไขเล็ก ๆ คล้ายเสี้ยนที่ตำนิ้วและฝังอยู่ใต้ผิวหนังไม่อาจบ่งออกได้ เมื่อใดที่สัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บแต่ก็จำต้องปล่อยมันไว้เช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วนชิ้นเล็กจิ๋ว แต่หากถูกย้ำอยู่บ่อยเข้าก็พาให้ใจคอยกระหวัดกลับไปหาเสียทุกที เหมือนเช่นทุกครั้งที่มองดูอังเดรและเอเดรียน เสี้ยนเล็ก ๆ ในใจก็เสียดแทงเนื้อบางจนต้องเผลอหลบตา
หลังจากเต้นรำกับเยว่ซินและลอร์เรน ซูเล่ยก็ดื่มดอกเทลไปสองแก้วก่อนเดินออกมารับลมที่ระเบียงด้านนอกเพราะเริ่มรู้สึกกรึม ๆ
ระเบียงด้านนอกเย็นเฉียบเพราะลมยามค่ำบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เวียนผ่านไปใกล้ครบหนึ่งปีที่เขาและอังเดรได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันยาวนาน แต่ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้กลับมาหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเสียจนเวลาห้าปีนั้นแทบจะกลายเป็นฟองว่างเปล่าที่ลอยฟุ้งไร้แก่นสาร
แสงจันทร์ลอยกระจ่างส่องแสงกระทบบนแหวนกลมเกลี้ยงอย่างเงียบงัน ที่จริงแล้วมันค่อนข้างจะหลวมไปนิดหน่อยคงจะเทียบจากนิ้วลอร์เรนแล้วกะให้อวบกว่าเล็กน้อยกระมัง เขาคิดเช่นนั้นและคิดจะถอดออกมากลิ้งดูเล่น แต่แล้วกลับมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามาในมุมมอง เป็นมือใหญ่ที่ทาบลงบนหลังมือ แหวนแบบเดียวกันแต่ขนาดใหญ่กว่าปรากฏอยู่เคียงข้างแหวนวงเล็กเมื่อเรียวนิ้วสอดประสานและกุมมือของเขาเอาไว้จนความเยียบเย็นในบรรยากาศถูกไล่หายไปสิ้นเหลือแต่เพียงความอุ่นของฝ่ามือ
“จะรีบถอดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามก่อนจูบข้างขมับด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ซูเล่ยเผลอเกร็งไหล่เล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ในเวลาต่อมาก็ผ่อนคลายดังเดิม
“ผมแค่รู้สึกว่ามันหลวมไปหน่อย” เขาว่าตามตรงซึ่งความจริงก็ไม่ถึงกับหลวมหลุดจากนิ้วแต่ก็ไม่พอดี
“เพราะว่าเธอผอมลงต่างหาก” อังเดรยิ้มพลางพลิกฝ่ามืออีกฝ่ายพิจารณา “ได้ยินว่าตอนกลับไปอยู่ที่บ้านกินอะไรไม่ค่อยลง”
ทำไมคนรอบข้างเขาถึงชอบเล่าสู่กันฟังนักนะ
ซูเล่ยอดจะรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาไม่ได้
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านฉันเหมือนเดิม” หัวข้อเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้อีกคนหนึ่งตั้งตัวเตรียมใจก่อนจะหมุนแหวนบนนิ้วที่เจ้าของบอกว่าค่อนข้างหลวม “ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับคะยั้นคะยอ แต่การที่เธอยอมรับความเอาแต่ใจของฉันระหว่างพิธีแต่งงานแปลว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรกับการคบหากับฉันอย่างเปิดเผยไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาสีดำหลุบลงต่ำไม่คิดปฏิเสธในสิ่งที่อังเดรสรุป
“ที่จริงแล้วผมยังรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา” เสี้ยนที่ฝังอยู่ในใจเริ่มปรากฏโฉมทีละน้อย “เอเดรียนยังเด็กถึงจะไม่คิดอะไรที่มีผมอยู่ในตอนนี้ แต่อนาคตเมื่อมีคนถามขึ้นมาเธอคงจะลำบากใจที่จะตอบเมื่อรู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ผิดไปจากวิถีสังคมปกติ”
“แต่ถึงจะแยกกันอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหานี้หมดไปเพราะเอเดรียนก็ต้องรู้ในที่สุดว่าพวกเราเป็นอะไรกัน” อังเดรแจงพลางถอนหายใจ “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะเลิกกับฉันเพื่อแก้ปัญหาหรือเปล่า? หรือว่าควรจะจัดการให้ทุกอย่างลงตัวและทำให้เอเดรียนเข้าใจเสียตั้งแต่แรก”
เรื่องเลิกรา...หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะทำ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ยอมรับของแหวนมาและไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่แห่งนี้อีก ถึงอย่างนั้น หลายต่อหลายครั้งที่อยากจะตอบรับคำเชิญชวนของอังเดร ทว่าเสี้ยนเล็ก ๆ ที่ทิ่มแทงก็ทำให้ต้องขอยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้
“ซู ฉันรักเธอและฉันก็ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง ส่วนเอเดรียนก็ต้องการคนดูแลใกล้ชิด สักวันหนึ่งเมื่อลอร์เรนมีลูกของตัวเองคงไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้เหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา ฉันเองก็มีงานต้องทำจึงไม่มีเวลามากนัก แล้วเธอจะปล่อยให้เอเดรียนเคว้งคว้างโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพิงทางใจหรือ?” อ้อมแขนอุ่นโอบกอดแนบชิด ใบหน้าคมแนบบนผิวแก้ม คงจะเป็นเรื่องโกหกหากซูเล่ยพูดว่าตัวเองไม่รู้สึกเขินอายเลยในสถานการณ์แบบนี้ แต่เหนือจากความเขินอายและหัวใจที่เต้นแรง เขารู้สึกอุ่นใจเสียจนอยากหลับตาลงและหลอมละลายไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งคิดกังวลถึงอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“คุณก็รู้ว่าผมใจอ่อนกับเรื่องเอเดรียนเสมอ” เขาแก้ตัว “วันนี้เอเดรียนเอาช่อดอกไม้มาให้ผมแล้วขอให้กลับไปอยู่ด้วยกัน เหมือนกับพยายามขอผมแต่งงานยังไงอย่างงั้น คุณเสี้ยมสอนมาหรือครับ?”
“ลอร์เรนต่างหาก อย่าโยนความผิดมาให้ฉันหมดสิ” เจ้าของร่างสูงหัวเราะในคอ “อา..ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ” ว่าแล้ว อังเดรก็ปล่อยซูเล่ยแล้วผลุบหายเข้าไปด้านใน ไม่นานหลังจากนั้นก็ย้อนกลับมาพร้อมช่อบูเก้ช่อเดียวกับเมื่อตอนเช้า
ในระหว่างที่ซูเล่ยยังไม่ค่อยเข้าใจ อังเดรก็คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับยื่นช่อบูเก้มาให้
“ถึงจะข้ามขั้นตอนไปสักหน่อยก็เถอะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ซูเล่ย จะแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”
คำขอที่กะทันหันและดูไม่เข้าสถานการณ์ทำให้ผู้ถูกถามชะงักไป
“แต่ว่ามีเงื่อนไข” ซูเล่ยไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร อังเดรก็ขัดจังหวะเสียก่อน “ถ้าเธอตอบรับจะต้องมาอยู่กับฉัน แต่ถ้าเธอปฏิเสธฉันก็จะทำให้เธอตอบรับอยู่ดี”
ถึงแม้จะดูกึ่งบังคับ แต่ก็คล้ายว่าอีกฝ่ายรับรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ทำได้แค่เลื่อนเวลาให้คำตอบออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้อังเดรคงไม่ยินยอม เพราะถึงกับให้แหวนมาอย่างนี้แล้วก็บ่งบอกอยู่กลาย ๆ ว่าตั้งใจจะผูกมัดอย่างเปิดเผย
ซูเล่ยรับฟังเงื่อนไขก่อนหลบตาเพราะใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
“ผมก็ตอบรับไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” เขาพูดถึงคำสาบานในพิธีแต่งงาน การตอบรับในเวลานั้นก็คือการตอบรับการเป็นคู่ชีวิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับอังเดร
“ตอนนั้นเธอแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดตอบรับเสียด้วยซ้ำ”
ผู้ฟังอึกอักแต่เมื่อไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงต่อไปทำไมจึงต้องยินยอมตามที่อีกฝ่ายต้องการด้วยเกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อน
“ครับ...ผมตกลง”
เป็นแค่คำตกลงสั้น ๆ แต่เมื่อพูดออกไปซูเล่ยก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักหนักอึ้งของมัน เพราะคำสัญญาได้พ่วงมาด้วยเงื่อนไขของการร่วมชีวิตที่เกิดจากการพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่คบหาอย่างผิวเผินไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าวันใดจะอยู่หรือจะไปจากกัน
ในที่สุดอังเดรก็ลุกขึ้นและส่งบูเก้ให้ซูเล่ยถือ
“ยังมีอีกขั้นตอนที่เรายังไม่ได้ทำ” เขาว่าพลางไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากแห้งผากซีดเซียวเพราะอากาศเย็นในยามค่ำ ซูเล่ยสามารถรับรู้จากภาษากายได้ทันทีว่าขั้นตอนนั้นคืออะไรจึงไม่ได้ขัดขืนเมื่อเห็นใบหน้าคมโน้มลงมาหา ริมฝีปากร้อนแนบสนิทขับไล่ความเย็นออกไปเสียจนรู้สึกได้ถึงเลือดฝาดไหลขึ้นมารวมตรงจุดที่ถูกสัมผัสแนบแน่น นานหลายนาทีที่ทั้งความคิดและจิตสำนึกถูกดึงเข้าสู่ห้วงสเน่หาอันล้ำลึก เสี้ยนเล็ก ๆ ที่ฝังค้างอยู่ภายในได้ละลายหายไปทีละน้อยจนหมดสิ้น
...ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณ...
...ทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ ในเวลาป่วยไข้และเวลาสบาย...
...จะรัก ยกย่อง และให้เกียรติคุณตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่...
END
แถมตอนพิเศษให้นักอ่านผู้น่ารักทุกท่านค่า~ หวังว่าจะทำให้ทุกคนอิ่มอกอิ่มใจกับคู่นี้ได้มากขึ้นนะคะ ^ ^