❤️::::แม่พันธุ์จำเป็น[MpreG]::::❤️ตอนที่ 13 หวั่นไหว l Up:03-06-2018
-๑๓-
หวั่นไหว
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด เจฟฟี่ก็รีบขับรถมุ่งตรงมายังร้านเบเกอร์รี่ของพี่สาวอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อมาถึงก็รีบวิ่งเข้าไปหาพี่สาวในร้านด้วยความร้อนใจ ขณะนั้นสายตาคมก็ส่องไปรอบๆร้านเพื่อมองหาคนรักไปด้วย
“อ้าว! มาส่งเงินถึงที่นี่เลยเหรอยะ” เจสสิก้าเข้าใจว่าน้องชายมาส่งคนรักที่ร้าน
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ผมมาตามหาเงินต่างหากล่ะ เงินอยู่ไหนครับพี่” เจ้าตัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล ทำให้เจสสิก้ารู้ทันทีว่าทั้งสองกำลังมีเรื่องขัดใจกันแน่นอน
“เดี๋ยวนะ...เงินไปหาแกที่โรงแรมไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยนะเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจสสิก้าเริ่มเป็นห่วงเงินขึ้นมาแล้ว
“เงินหนีกลับมาเพราะเข้าใจผมผิดน่ะสิ...ไม่น่าเลย” พูดแล้วก็โมโหให้กับตัวเอง เขาไม่น่ายอมไปนั่งทานข้าวกับหญิงเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรยะหรือว่าแกนอกใจเงิน...บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!” เจสสิก้าเริ่มไม่มั่นใจในตัวน้องชายซะแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ตอนนั้นผมกำลังสำลักข้าวอยู่หญิงเลยมาช่วยลูบหลังให้ แล้วเงินเดินเข้ามาเห็นพอดีเลยคิดว่าหญิงกำลังกอดผมอยู่” เจฟฟี่เล่าความจริงให้พี่สาวฟัง
“แล้วคนที่ชื่อหญิงเป็นใครกันยะ...หรือว่าเป็นกิ๊กคนใหม่ของแก” เจสสิก้าพยายามคาดคั้นเอาความจริงจากปากน้องชาย
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ หญิงเป็นประชาสัมพันธ์ที่โรงแรม แต่ก็ยอมรับว่าเธอคิดเกินเลยกับผม แต่ผมไม่ได้เล่นด้วยนะ” เจฟฟี่รีบปฏิเสธ
“ฉันว่าแล้วผู้หญิงที่อยู่ใกล้แกมักจะเป็นแบบนี้ทุกราย...แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้”
“ผมอยากเจอหน้าเงินอยากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง” เจฟฟี่พูดด้วยความลนลาน และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะโทรหาอีกฝ่าย จึงหยิบมือถือขึ้นมารีบกดเบอร์โทรทันที แต่ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเจสสิก้าก็มีสายโทรเข้ามา เจฟฟี่จึงหยุดชะงักแล้วมองหน้าพี่สาวทันที
“ไม่ต้องแล้วเงินโทรมาหาฉันพอดี” เจสสิก้าโชว์หน้าจอให้ดู เจฟฟี่รีบยื่นมือจะไปรับสายเองแต่พี่สาวกลับไม่ยอม
“ทำไมล่ะพี่” เจ้าตัวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในใจก็รู้สึกคลั่งแทบจะเป็นบ้าแล้ว
“ฉันจะรับเองย่ะ...ถ้าแกรับมีหวังเงินได้หนีไปอีกแน่” เธอกลัวว่าน้องชายจะทำเสียเรื่องจนเงินเตลอดหนีไป หลังจากกดรับสายแล้วเจสสิก้าก็เปิดลำโพงให้น้องชายได้ยินบทสนทนาด้วย
“ฮัลโลว่าไงจ๊ะเงิน”
[“พี่เจสครับคือผม..ขอลางานครึ่งวันได้ไหมครับ”] เงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เงินเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ แล้วเอาข้าวไปให้เจฟมันรึยังเนี่ย” เธอถามราวกับว่ายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลย
[“เอ่อ..เอาไปให้แล้วครับ ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยครับ”]
“แล้วเงินอยู่ไหนจ๊ะตอนนี้”
[“ผมให้มอสมาส่งที่คอนโดครับ ตอนนี้มอสน่าจะใกล้ถึงร้านแล้ว”]
“ถ้างั้นก็พักผ่อนเถอะจ้ะพี่ไม่กวนแล้ว..ดีขึ้นตอนไหนค่อยมาทำงานละกันนะ”
[“ขอบคุณครับพี่เจส”]
หลังจากเจสสิก้าวางสายไปแล้วเจฟฟี่ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที
“ผมไปก่อนนะพี่”
“ง้อให้ได้ล่ะแล้วทีหลังก็ระวังตัวด้วย”
“ครับๆ” เจฟฟี่ตอบรับแล้วรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะขับกลับไปที่คอนโดทันที
เมื่อมาถึงคอนโดแล้วเจฟฟี่ก็รีบขึ้นไปบนห้องทันที เปิดประตูเข้าไปก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก จึงรีบวิ่งเข้าไปกอดจากด้านหลังเอาไว้ เขาจะไม่ยอมให้เงินจากไปไหนทั้งนั้น
“เงินกำลังเข้าใจพี่ผิดนะครับ” เสียงเข้มเอ่ยใกล้กับใบหูเพียงเล็กน้อย
เมื่อรู้ตัวเงินก็พยายามเหวี่ยงตัวสุดแรง หวังจะให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนแกร่ง ตอนนี้เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ร้อนลงได้เลย ยิ่งนึกถึงคำสัญญาที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้ยิ่งรู้สึกโมโหเข้าไปใหญ่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ไอ้คนไม่รักษาสัญญาฮึก” พูดไปน้ำตาก็ไหลลงมาด้วย
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เงินเห็นนะครับพี่อธิบายได้” เจฟฟี่พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายรับฟัง แต่ตอนนี้คงไม่เป็นผลเพราะยิ่งพูดอีกฝ่ายยิ่งงอแงไม่ยอมท่าเดียว
“กอดกันซะขนาดนั้นมีอะไรที่ต้องอธิบายอีกเหรอวะฮือๆๆ”
“ตอนนั้นพี่กำลังสำลักข้าวอยู่หญิงเลยมาช่วยเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรเลยจริงๆนะครับพี่สาบานได้ ตั้งแต่เราคบกันมา เงินก็รู้ว่าพี่ไม่เคยผิดคำพูดแม้แต่ครั้งเดียว เงินต้องเชื่อใจพี่นะครับ” เจฟฟี่พยายามยกเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายให้เข้าใจ
“แล้วทำไมต้องไปกินข้าวกันแค่สองคนด้วยล่ะ” ตอนนี้เงินเริ่มใจอ่อนลงมาบ้างแล้วหลังจากได้ฟังคำอธิบายจากคนรัก แต่ก็ยังมีเรื่องค้างคาในใจอยู่อีกเล็กน้อย
“พี่ก็แค่ตัดรำคาญเพราะผู้หญิงคนนั้นมาเซ้าซี้ให้พี่ไปกินข้าวด้วย และที่สำลักข้าวก็เพราะพี่รีบกินอยากออกไปจากตรงนั้นเร็วๆไงล่ะ มันคือเรื่องจริงทั้งหมดพี่ไม่มีทางโกหกเงินแน่” พูดแล้วก็หอมแก้มคนรักทันที
เงินได้ฟังก็ยืนนิ่งกำลังชั่งใจว่าจะเชื่อดีหรือเปล่า ตั้งแต่คบกันมาเจฟฟี่ไม่เคยมีคนอื่นเลย แถมยังยอมเสียสละในหลายๆอย่างทำเพื่อเขาได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้คิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิด ที่ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเขาไม่ควรจะวิ่งหนีมาอย่างนั้นควรจะถามให้แน่ใจเสียก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้เงินคิดว่าตัวเองรักเจฟฟี่เข้าให้แล้วสินะ พอรู้ตัวอีกทีก็หึงหวงจนหน้ามืดตาตัวแทบไม่ฟังอะไรเลย
“ผมจะเชื่อพี่แต่ต้องสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกเด็ดขาดเข้าใจไหม” ตอนนี้เงินเริ่มใจเย็นขึ้นมาแล้ว
“พี่สัญญา...ถึงแม้จะมีใครมายืนแก้ผ้าอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหวั่นไหวแน่นอน” เจฟฟี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หวังจะให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวเขาเต็มร้อย
“ให้มันจริงเถอะ” เงินทุบกำปั้นน้อยๆไปที่อกแกร่งหนึ่งที ใบหน้ารูปไข่ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างแล้ว
“คนที่ยืนแก้ผ้าต่อหน้าพี่แล้วทำให้รู้สึกหวั่นไหวได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...ก็คือเงินไงล่ะ” มาถึงตอนนี้แล้วเจฟฟี่ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายรอดมือไปได้แน่นอน มาง้อทั้งทีต้องง้อให้ถึงเตียงไม่งั้นถือว่าไม่สำเร็จ
“หยุดพูดเลย...กลับไปทำงานได้แล้ว” ร่างเล็กเริ่มหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าหื่นนั้น และรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการอะไร
“กลับให้โง่น่ะสิ...เนื้อกำลังจะเข้าปากเสือแล้วพี่ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่” พูดจบก็อุ้มคนรักขึ้นในท่าเจ้าสาว หลังจากนั้นก็เดินไปที่เตียงแล้ววางร่างเล็กลงอย่างช้าๆ สายตาคมจ้องมองปานจะกลืนกินอีกฝ่ายไปทั้งตัวเสียให้ได้ ไม่นานเจ้าตัวก็เริ่มทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องโดยทันที เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ทำให้เจฟฟี่รู้ว่าชีวิตคงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนที่กำลังนอนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
*-*-*-*-*-*-*
รถหรูกำลังวิ่งมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองแสงสีแห่งแดนตะวันออก ที่นักท่องเที่ยวต่างก็เรียกขานกันว่าเมืองพัทยา นักบินเลือกมาที่นี่เพราะระยะทางกำลังพอดี มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ขับรถจากกรุงเทพไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
หลังจากออกเดินทางมาได้สักพักจนเกือบถึงครึ่งทางแล้ว ทำให้ปลาวาฬผู้ที่ตื่นตัวมาตลอดทางเริ่มรู้สึกง่วง เปลือกตาค่อยๆปรือลงจนเกือบจะปิดสนิท แต่ทว่า...
“นี่นาย!...อย่าเพิ่งหลับสิ” แม้มือทั้งสองจะควบคุมพวงมาลัยรถอยู่ แต่นักบินก็ปรายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆตลอด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกำลังจะหลับก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“คุณมีหน้าที่ขับก็ขับไปสิผมง่วงงง!” ร่างเล็กหันมาชักสีหน้าใส่แล้วหลับตาลงนอนอีกครั้งอย่างไม่สนใจ
“ไม่เอา! ลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้” นักบินยังเซ้าซี้อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด แต่เมื่อเห็นปลาวาฬยังคงนอนเงียบ ก็คิดแผนการปลุกอีกฝ่ายด้วยการเพิ่มระดับเสียงเพลงจนดังกระหึ่มไปทั้งรถ ทำเอาคนที่นอนหลับตาอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งตื่นแล้วหันมามองตาขวางทันที
“โอ้ยยยย!!! จะกวนกันไปถึงไหนเนี่ย ปิดเพลงเดี๋ยวนี้เลยหนวกหูจะแย่แล้ว” ปลาวาฬยกมือเรียวมาปิดหูทั้งสองข้างไว้ด้วยความรำคาญ นักบินจึงยอมลดระดับเสียงเพลงลงก่อนจะยิ้มมุมปาก
“ห้ามนอนเด็ดขาดฉันไม่มีเพื่อนคุย กว่าจะถึงก็อีกนานเลยนะ ถ้าฉันง่วงจนหลับในจะทำยังไง” นักบินเอาเรื่องความปลอดภัยมาอ้าง แต่ที่จริงแล้วอยากจะฟังเสียงของอีกฝ่ายไปตลอดทางต่างหาก
“ปากเหรอนั่น...กวนขนาดนี้คงจะหลับลงอยู่หรอก เอาแต่ใจจริงๆเลยคุณเนี่ย...รู้งี้ไม่มาด้วยตั้งแต่แรกก็ดี” ว่าแล้วก็ทำหน้าบึ้งตึงนั่งกอดอกแล้วมองตรงไปข้างหน้า นักบินปรายตามองอีกฝ่ายผ่านแว่นกันแดดแล้วยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็เอาชนะจนได้
“ถึงนายไม่มาฉันก็จะบังคับให้มาจนได้ อย่าลืมว่าฉันสั่งอะไรนายก็ต้องทำตาม”
“คร้าบบบเจ้านาย..เชิญสั่งได้ตามสบายเลย...พอใจรึยัง” ร่างเล็กหันไปตวาดใส่เสียงดัง
“ยัง!”
“อะไรอีกล่ะเนี่ยยย” เมื่อโดนอีกฝ่ายกวนไม่ยอมหยุดปลาวาฬก็ปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที ตามด้วยการแผ่รังสีอำมหิตผ่านดวงตาคู่สวยไปให้
“ฉันหิวน้ำอ่ะป้อนหน่อยดิ”
“มีมือก็หยิบกินเองดิ” ปลาวาฬยังคงนั่งกอดอกอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับเขยื้อน
“ตาบอดรึไงฉันขับรถอยู่”
“ก็จอดก่อนสิ” ร่างเล็กทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังไงซะเขาก็ไม่มีทางยอมทำตามที่นายนั่นสั่งแน่นอน
“ถ้าฉันจอดรถ ฉันสาบานเลยว่าจะไม่ดื่มแค่น้ำแน่นอนคิดเอาเองก็แล้วกัน” คำพูดที่เอ่ยขึ้นเปรียบเหมือนเป็นคำขู่กลายๆ
“อย่ามาขู่กันซะให้ยากเลย” แม้จะยังคงนั่งนิ่งแต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นๆ เพราะเวลาที่โดนขู่มักจะตามมาด้วยการถูกคุกคามทุกครั้งไป
“ก็แล้วแต่นายนะ จะเอาอย่างนั้นก็ได้เดี๋ยวฉันจะจอดรถข้างหน้านี้แล้ว” ว่าแล้วนักบินก็ตีไฟเลี้ยวทันที
“ดะ...เดี๋ยวคุณ ผมป้อนให้ก็ได้ถ้าจอดเดี๋ยวจะถึงช้าไปอีก” ปลาวาฬหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ตรงข้างคนขับขึ้นมา แล้วเปิดฝาออกยื่นเข้าไปจ่อที่ปากของอีกฝ่าย “อ่ะ”
“ไกลไปเอาเข้ามาใกล้กว่านี้หน่อยดิ” นักบินออกคำสั่ง
“เรื่องมากจริงๆเลยคุณเนี่ย” ปลาวาฬถอนหายใจเสียงดังแล้วจับหลอดยื่นเข้าไปในปากของอีกฝ่าย จากนั้นนักบินก็ดูดเข้าไปสองสามอึก
“ฉันอิ่มแล้ว...ขอบใจ”
“กองไว้ตรงนั้นล่ะ” ปลาวาฬตอบเสียงห้วนสั้นแล้ววางขวดน้ำลงไว้ที่เดิม
“ฉันกองไว้แล้วอย่าลืมมาเก็บเอาล่ะ” พูดแล้วก็ขำออกมาเบาๆ
“ตลกล่ะ แล้วนี่อีกนานป่ะกว่าจะถึง” ปลาวาฬขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงหาเรื่องอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้คุย
“ใกล้แล้วล่ะทำไมตื่นเต้นเหรอ”
“ก็...นิดหน่อย” ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้สัมผัสกับน้ำทะเลเลยแม้แต่สักครั้ง เพราะมัวแต่ทำงานไม่ได้มีเวลาได้ไปเที่ยวไหนเหมือนคนอื่นๆ นั่นทำให้ตอนนี้คิดถึงเพื่อนรักขึ้นมาทันที ถ้าได้มาด้วยกันคงจะดีไม่น้อย
“ทำไมทำหน้างออย่างนั้นล่ะ ไหนบอกว่าตื่นเต้นไง” นักบินปรายตามองร่างเล็กก็เห็นว่ากำลังทำหน้างองุ้มเหมือนกำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
“คิดถึงเพื่อนอ่ะอยากให้มันมาเที่ยวด้วย”
“แล้วทำไมไม่ชวนมาด้วยกันล่ะ”
“ไม่เอาหรอก...ผมไม่อยากให้เพื่อนผมเจอคนบ้าบออย่างคุณ เอาไว้หลังจากคลอดแล้วค่อยพามันมาดีกว่า” พูดแล้วก็เบะปากกลอกลูกตาไปมา ทำเอาคนที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับคันไม้คันมือขึ้นมาทันที เขามันไม่ดีในสายตาอีกฝ่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เจ้าตัวคิดในใจ
“อยากเป็นอิสระเต็มทนแล้วว่างั้นเถอะ” นักบินกระแทกเสียงใส่อย่างประชดประชัน
“แน่นอน” ปลาวาฬตอบกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ถ้างั้นก็ต้องรอนานหน่อยนะ เพราะกว่านายจะคลอดก็อีกหลายเดือน หวังว่าคงจะไม่อกแตกตายก่อนหรอกนะ” นักบินเอ่ยประชดประชันอีกรอบ
“ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผมก็รอได้” ปลาวาฬพูดเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกว่าการมีนักบินอยู่ข้างๆทุกวัน ก็ทำให้ชีวิตดูมีรสชาติมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“นอนเถอะถ้าถึงแล้วฉันจะปลุกเอง” ยิ่งปลาวาฬพูดตัดรอนออกมาให้ได้ยินนักบินยิ่งรู้สึกไม่ดี จึงตัดปัญหาด้วยการให้อีกฝ่ายนอนงีบสมใจอยาก จะได้ไม่ต้องเสียสมาธิในการขับรถ
“ผีเข้าผีออกนะคุณ”
“หรือไม่อยากนอนแล้ว ฉันจะได้กวนอีก”
“หยุดเลยแล้วก็อย่ามากวนผมอีกล่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็เบนหน้าหนีแล้วหลับตาลง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราปล่อยให้นักบินขับรถไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นนักบินก็ขับรถมาถึงโรงแรม เมื่อจอดรถแล้วเจ้าตัวก็หันไปมองไอ้เด็กดื้อที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าลงไปไซร้ซอกคอขาวแทนการส่งเสียงปลุก
“อื้อ...คนจะนอน” ปลาวาฬส่งเสียงอู้อี้ออกมาขณะยังคงหลับตาพริ้มไม่ยอมตื่น มือเรียวที่ปัดป่ายไปมานั้นถูกรวบเอาไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
นักบินยังคงสูดกลิ่นความหอมหวานอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด ตอนแรกคิดแค่ว่าจะแกล้งแต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองได้เลย จากซอกคอขาวก็เลื่อนขึ้นมาบนใบหน้าทำให้คนที่นอนสะลึมสะลืออยู่นั้นเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
เมื่อปลาวาฬลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหล่อคม กำลังคลอเคลียบนใบหน้าของตัวเอง ด้วยความตกใจเจ้าตัวจึงสบถคำหยาบออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เหี้ยยยย!!”
“ตื่นขึ้นมาก็ปากดีเลยเหรอฮึ” นักบินเอ่ยเสียงเบาข้างใบหู มือหนายังคงตรึงข้อมือเรียวเอาไว้
“คุณคิดจะทำอะไรผม...ในรถก็ไม่เว้นไอ้คนโรคจิต!”
“นายคิดไปเองรึเปล่าใครจะมาทำอะไรแบบนั้นบนรถ ฉันก็แค่ปลุกนายเท่านั้นเอง” นักบินเอ่ยแก้ตัวแล้วกลับมานั่งที่เดิม
“คนธรรมดาเขาไม่ปลุกกันแบบนี้หรอกมีแต่คนหื่นๆอย่างคุณนั่นล่ะ” ปลาวาฬตวาดแหวใส่
“ไม่ต้องพูดมากถึงแล้วรีบลงไปซะ” พูดจบนักบินก็เปิดประตูรถลงไปก่อน
“โหววว..โรงโรมสวยมากเลยอ่ะ” เมื่อเห็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวปลาวาฬก็มองด้วยความตื่นตาตื่นใจ นี่คือครั้งแรกที่มีโอกาสได้มาพักในสถานที่หรูหราอย่างนี้
“ตามฉันมาจะได้รีบเข้าไปเช็คอินกัน” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าเข้าไปในโรงแรม ส่วนปลาวาฬก็มองซ้ายมองขวาราวกับเป็นต่างด้าวเข้ากรุงอะไรเทือกนั้น
นักบินจัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมจนเรียบร้อยแล้วก็รับกุญแจห้องมา หลังจากนั้นก็เดินตามพนักงานของทางโรงแรมเพื่อขึ้นไปยังห้องพัก
“คุ๊ณ!!! ดูสิเห็นวิวทะเลด้วยอ่ะ” เมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศภายในห้องพักอีกครั้ง เพราะนอกจากจะมีความหรูหราแล้ว ยังมองเห็นวิวสวยๆของทะเลแบบพาโนรามาอีกด้วย
“ตื่นตูมจริงๆนะนายเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพอใจกับการมาเที่ยวในครั้งนี้ซะเหลือเกิน แสดงว่าตอนนี้คงจะหายเครียดแน่นอนแล้วสินะ
“คนขาดโอกาสอย่างผมเจออะไรก็ต้องตื่นตูมเป็นธรรมดา คนรวยอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร” พูดพร้อมกับมองค้อนใส่แล้วเดินไปนั่งบนเตียง
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย นายชอบคิดไปเองอยู่เรื่อย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พอใจนักบินก็รีบอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาจะพูดดูถูกจริงๆ
“แล้วหมายความว่ายังไงอธิบายมาสิ ถ้าพูดไม่ถูกใจผมเอาคุณตายแน่” ตอนนี้ปลาวาฬเริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกนายไง เรามาเที่ยวกันนะอย่าทำให้เสียบรรยากาศดิ”
“คุณนั่นล่ะชอบทำให้เสียบรรยากาศอยู่เรื่อย” ว่าแล้วก็แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายทันที
“เอาล่ะๆช่วงสองสามวันนี้ฉันจะพยายามไม่ทำให้นายอารมณ์เสียก็แล้วกัน เดี๋ยวลูกฉันจะติดนิสัยนายมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะแย่น่าดู” พูดยังไม่ทันขาดคำนักบินก็ลืมตัวพูดให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่สินะถ้าผมไม่ตั้งท้องลูกของคุณอยู่ คงจะทำอะไรต่อมิอะไรให้ผมเจ็บตัวไปแล้วสินะ” เมื่อนักบินเอาเรื่องลูกมาอ้างก็ทำให้ปลาวาฬก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องอะไรเลย
“นายนี่มันชอบคิดอะไรไปเองจริงๆ ฉันก็ห่วงนายไม่ต่างจากลูกหรอกเพราะอย่างน้อยนายก็....” นักบินเกือบหลุดคำว่าแม่ของลูกออกจากปาก เขาเริ่มไม่ค่อยแน่ใจกับสถานะของอีกฝ่าย ว่าจะเป็นแม่ของลูกหรือเป็นแค่คนรับจ้างอุ้มท้องเท่านั้น
“ก็เป็นแค่คนรับจ้างอุ้มท้องใช่ไหมล่ะ ผมเข้าใจเอาเป็นว่าผมจะพยายามเจียมตัวก็แล้วกัน” พูดจบก็นอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลงทันที ไม่รู้เขาเอานิสัยขี้งอนพวกนี้มาจากไหนกัน หวังว่านายนั่นคงไม่คิดว่าเขากำลังให้ท่าอยู่หรอกนะ
นักบินเองก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นอาการงอนของอีกฝ่าย เพราะแต่ก่อนจะมีแต่ชอบแกล้งและกวนตีนเขาเท่านั้นเอง ไอ้อาการนี้มันเหมือนคนเป็นแฟนกำลังงอนกันซะอย่างนั้น หรือว่าเขาควรจะง้อ....
“นายอย่าคิดมากสิวันนี้เรามาเที่ยวกันนะ” นักบินเดินไปนั่งบนเตียงแล้วนอนซ้อนหลังเอื้อมมือหนาไปรั้งที่เอวคอดเอาไว้แน่น ใบหน้าคมก็ซุกไซร้ที่เรือนผมอย่างถือวิสาสะ การถึงเนื้อถึงตัวปลาวาฬเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
“คุณจะขึ้นมาทำไมเนี่ยยย แล้วก็เอามือสกปรกของคุณออกไปด้วย” ร่างเล็กหันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาดุให้ทันที
“ก็เห็นนายกำลังงอนฉันอยู่เลยจะมาง้อไง” นักบินตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่น
“ใครงอนคุณจะบ้าเหรอผมก็แค่...ง่วงเท่านั้นเอง”
“ถ้าง่วงก็นอนด้วยกันนี่ล่ะฉันเองก็เริ่มเพลียๆแล้วเหมือนกัน” พูดจบก็กระชับตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แน่นยิ่งขึ้น แล้วโน้มใบหน้าคมไปหอมแก้มหนึ่งฟอด “หอมจัง”
คนที่นอนขดตัวในอ้อมกอดหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไมยิ่งนานวันเขายิ่งรู้สึกเหมือนเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หากวันไหนไม่โดนกอดโดนหอมแก้มเหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่าง หวังว่าเขาคงไม่ได้ชอบนายคนนี้ไปแล้วหรอกนะ
“ปล่อยดิ” แทนที่จะตะโกนด่าเหมือนทุกครั้ง แต่ปลาวาฬกลับเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตื่นแล้วค่อยปล่อยละกันนะ...เดี๋ยวจะพาไปเล่นน้ำทะเลดีไหม” นักบินเองก็ตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ฟังแล้วอีกฝ่ายแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้นเสียให้ได้
“อื้ม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบรับเสียงเบา ก่อนจะหลับตาลงแล้วยิ้มน้อยๆออกมา
นักบินได้ใจจึงโน้มใบหน้าคมเข้าไปสูดกลิ่นกายที่หอมเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย ทั้งซอกคอและแก้มขาวนวลอย่างพอใจ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อปลาวาฬคืออะไรกันแน่ เพราะหัวใจมันเต้นแรงทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กันและมีความต้องการตลอดเวลาเมื่อได้สัมผัสกับเรือนร่างนี้...
-๑๕-
ความจริงที่แสนเจ็บปวด
วันนี้เงินและมอสมาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวอีกครั้ง และคนที่มารับออเดอร์ก็ยังคงเป็นบอลอีกเช่นเคย วันที่บอลป่วยทั้งสองมาถามที่อยู่จากเจ้าของร้าน แต่กลับต้องผิดหวังเพราะเจ้าของร้านบอกให้มาถามกับเจ้าตัวเองหากกลับมาทำงานแล้ว
“เป็นไงบ้างวะ ดีขึ้นหรือยัง” มอสเอ่ยถามพร้อมกับจ้องใบหน้าของเพื่อน แสดงถึงความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“อืมยังไม่ตาย จะเอาอะไรก็รีบว่ามา” บอลทำหน้านิ่งแม้สายตาจะเหลือบมองมือของคนทั้งสองที่จับกันไว้บนโต๊ะอย่างไม่วางตา
“เดี๋ยวก่อนดิวะ...กูจะแนะนำให้รู้จักกับแฟนกูสักหน่อย...นี่เงินแฟนกูเอง” มอสแนะนำเงินให้รู้จักพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนเพื่อดูปฏิกิริยา
บอลยังคงทำหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกอะไรทำให้มอสรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เงินเอ่ยออกไปพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“เช่นกันครับ” บอลตอบ
“เอาเหมือนเดิมพูดแค่นี้พอจะเข้าใจนะ” มอสเอ่ยกระแทกเสียงขึ้นมาเหมือนรู้สึกไม่พอใจอีกฝ่าย ทำให้เงินรีบกุมมือเอาไว้ เพื่อเตือนสติให้เพื่อนอารมณ์เย็นขึ้น
“เราก็สั่งเหมือนมอสครับ” เงินยิ้มแห้งๆให้อีกฝ่าย
“รอสักครู่นะครับ”
หลังจากบอลเดินออกไปแล้ว เงินก็เอ่ยเตือนสติเพื่อนทันที
“มอสเป็นอะไรไปอ่ะ”
“ก็มันไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เราหงุดหงิดเราโมโหมันคงไม่ได้รักเราเหมือนเดิมแล้วล่ะมั้ง” มอสตอบพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ
“เอาน่าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มอสคิดก็ได้นะ” เงินพยายามปลอบใจอีกฝ่าย
“อย่างที่เราเคยบอกว่ามันเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่ค่อยจะอยู่ ถ้ามันยังรักเราป่านนี้มันคงร้องไห้ตาแดงต่อหน้าเราไปแล้ว” มอสเอ่ย
“คนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ ตอนนี้บอลอาจจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว นิสัยบางอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปสิ”
“เราจะเชื่อเงินรอดูอีกสักพักก่อน แต่ถ้ามันไม่มีอะไรคืบหน้าเราก็ต้องยอมแพ้แล้วล่ะ” มอสเอ่ยอย่างตัดพ้อ
“แค่นี้ก็ท้อแล้วรักจริงหรือเปล่าเนี่ย” เงินพูดหยอก
“รักจริงดิแต่...เราคิดว่าตอนนี้เวรกรรมมันกำลังตามสนองเราอ่ะ เหมือนที่เคยทำไว้กับมันในตอนนั้น” พูดแล้วมอสก็ทำหน้าเศร้าทันที นึกถึงสีหน้าของบอลในตอนนั้นยิ่งรู้สึกสงสาร
“เอาน่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว อย่าเพิ่งไปคิดมากอย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้เห็นหน้าเขาทุกวัน แค่นี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เงินพูดให้กำลังใจเพื่อน
“ก็ใช่..ขอบใจเงินมากที่คอยเตือนสติเรา”
“ไม่เป็นไรจ้าเราเพื่อนกันนี่นา”
อีกฟากหนึ่งหลังจากบอลไปรับออเดอร์มาแล้ว ก็วานกับเพื่อนร่วมงานให้ไปเสิร์ฟแทน ส่วนเจ้าตัวขอไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็นั่งบนชักโครกปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาเป็นสาย เพื่อระบายความเจ็บปวดที่มอสตามมายัดเยียดให้เขาถึงที่นี่ อุตส่าห์หนีออกมาจากวังวนนั้นได้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ตามมาเพิ่มระดับความเจ็บปวดให้อีกเป็นเท่าตัว
*-*-*-*-*-*-*
ช่วงเวลาสามวันแห่งความสุขและความสนุกสนานหมดลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆของคนทั้งสองก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ทว่าไม่มีใครที่จะกล้าฟันธงกับความรู้สึกของตัวเองว่ามันคืออะไรกันแน่ ในทุกๆวันนักบินยังคงดูแลปลาวาฬไม่เคยห่างเพราะตอนนี้น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายเริ่มเพิ่มมากขึ้น แถมยังมีอาการแพ้ท้องอยู่เรื่อยๆนั่นทำให้คนทั้งสองแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
หลังกลับมาจากเที่ยวได้หลายวัน อาการแพ้ท้องของปลาวาฬก็เริ่มปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทำเอาคนที่ดูแลแทบจะห่างไม่ได้เลย เพราะเป็นห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม หรือวิงเวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้
อ้วกกก!!
ขณะกำลังนั่งอ่านคู่มือการดูแลตัวเองที่คุณหมอนำมาให้ ปลาวาฬก็รู้สึกคลื่นไส้จนต้องรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ นักบินเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามหลังไป พร้อมกับลูบหลังป้อยๆ อยู่ไม่ห่างกาย
“เป็นไงบ้าง” นักบินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้ว” ปลาวาฬตอบขณะกำลังลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่เคยขาวใสกลับแดงก่ำจากการสำรอกเอาของเหลวในท้องออกมา
“ค่อยๆเดินเดี๋ยวก็ได้ล้มเอาหรอก” นักบินเอ่ยขณะพยุงตัวร่างเล็กออกมาจากห้องน้ำ
เมื่อมาถึงโซฟาแล้วนักบินก็นำยาดมไปให้อีกฝ่ายดมเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น ปลาวาฬเอาแต่นั่งนิ่งอย่างหมดแรงทำเอานักบินถึงกับรู้สึกสงสารขึ้นมา
“ดีขึ้นยัง”
“อื้ม...ไม่ต้องห่วงหรอกผมยังไหว”
“ยังมาทำเป็นปากเก่งอีก นอนพักผ่อนเถอะเดี๋ยวฉันจะช่วยนวดขาให้” แม้จะรู้สึกเขินๆแต่นักบินก็ยอมทำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่เขาจะช่วยได้
“จริงดิ..ถ้างั้นผมจะนอนแล้วนะ” ว่าแล้วปลาวาฬก็นอนราบลงบนโซฟา โดยพาดขาไปวางไว้บนตักของนักบิน
“ฉันนวดให้ทุกวันเลยดีไหม ลูกในท้องจะได้รู้สึกผ่อนคลายไปด้วย” นักบินเอ่ยขณะบีบเคล้นไปที่ขาของอีกฝ่ายอย่างเบาแรง
“รู้สึกดีจัง คุณไปเรียนนวดมาจากไหนหรือเปล่าเนี่ย” ปลาวาฬทำหน้าเคลิ้มเมื่อนักบินเริ่มนวดไปได้สักพัก ทำเอาคนที่โดนชมถึงกับยิ้มน้อยๆออกมา
“เปล่า..ดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อื้ม..ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครนวดให้ผมอย่างนี้มาก่อนเลยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับลูบที่ท้องตัวเองไปด้วย พลางคิดในใจว่าหากได้อยู่กับลูกพร้อมกับนักบินคงจะเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย
“เอาไว้วันหลังนายนวดให้ฉันบ้าง...นวดบนเตียงนะ” ว่าแล้วนักบินก็ยักคิ้วให้อย่างมีเลศนัย
“ไม่มีทาง...ผมกำลังท้องอยู่นะ” ปลาวาฬรีบปฏิเสธทันที
“ฉันล้อเล่นหรอกน่า ถ้าขืนทำอย่างนั้นมีหวังคุณแม่ได้ด่าฉันทั้งปีแน่นอน”
“ผมง่วงจัง” อยู่ๆปลาวาฬก็เอ่ยขึ้นมา แล้วอ้าปากหาวหวอดทำเอาคนที่กำลังมองอยู่ถึงกับขำออกมา เมื่อหมดฤทธิ์แล้วก็เหมือนกับลูกแมวเชื่องๆตัวหนึ่งเท่านั้นเองสินะ นักบินคิดในใจ
“ง่วงก็นอนสิจะรออะไร เดี๋ยวฉันจะนวดให้จนกว่านายจะหลับ” รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนทำให้คนที่นอนอยู่นั่นยิ้มตอบ ขณะที่เปลือกตาก็ค่อยๆปรือลงมาอย่างช้าๆ
“ตั้งแต่ที่เราสงบศึกกันคุณดูเป็นคนดีขึ้นนะ”
“นายเองก็ไม่ดื้อเหมือนแต่ก่อน”
“อื้ม...ไม่ดื้อแล้ว....” ว่าแล้วปลาวาฬก็หลับตาลงทันที หลังจากนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราทำเอาคนที่มองดูอยู่นั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วไปนั่งลงข้างๆจ้องใบหน้าเรียวรูปไข่ที่กำลังหลับอยู่บนโซฟา ขนตาเป็นแพยาวทำให้ดวงตาคู่สวยดูมีเสน่ห์ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนก็ช่างยั่วให้เขาต้องการสัมผัสมันเสียเหลือเกิน นักบินค่อยๆโน้มใบเข้าไปหมายจะจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม แต่ระหว่างนั้นกลับมีสายโทรเข้ามาเสียก่อน จึงเปลี่ยนแผนรีบลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้น เพราะกลัวว่าจะรบกวนคนที่กำลังนอนหลับอยู่
สายที่โทรเข้ามาทำให้นักบินถึงกับคิดหนัก เพราะมันคือสายของ ‘เมย์’ แฟนเก่าของเจ้าตัวนั่นเอง นักบินยืนมองหน้าจอมือถือชั่งใจอยู่นานก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงเมย์” น้ำเสียงของนักบินไม่ได้รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย ทั้งที่แต่ก่อนเขาแทบจะเป็นจะตายตอนที่เลิกรากัน
[“เมย์คิดถึงคุณจังเลยค่ะนักบิน สบายดีไหมคะ] เสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยผ่านสายมา
“ผมสบายดีว่าแต่อยู่ๆทำไมถึงโทรมาล่ะ”
[“ก็เมย์คิดถึงคุณไงคะ แล้วก็มาถามข่าวคราวเรื่องลูกของคุณด้วย ว่าแต่เด็กคนนั้นท้องหรือยังคะ”]
“ท้องแล้วอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะต้องไปอัลตร้าซาวน์แล้ว” นักบินยังคงทำเสียงเรียบนิ่งไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับการพูดคุยกับคนรักเก่า
[“ว้าว! ดีใจด้วยนะคะแล้วอย่าลืมสัญญาที่คุณเคยบอกกับเมย์ไว้นะ เมย์ยินดีเสมอเพราะถึงยังไงคุณก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายที่เมย์รักมากที่สุดคนหนึ่ง”] หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่น้อย
“ผมไม่ลืมหรอกว่าแต่คุณเถอะตอนนี้มีน้องหรือยัง” เมย์เป็นแฟนคนแรกและคนเดียวที่นักบินรักมาก เพราะเป็นคนที่เข้าใจเขาทุกอย่าง แม้หล่อนจะรู้ว่านักบินเป็นโรคแพ้ผู้หญิงไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวเหมือนคู่รักคนอื่นๆได้ แต่ก็ยังให้กำลังใจอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาถึงห้าปี ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายบอกเลิกเพราะต้องการมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นๆ และย้ายไปอยู่กับแฟนใหม่ที่คบซ้อนระหว่างคบกับนักบินที่ต่างประเทศจนถึงตอนนี้
“ฉันเองก็ไม่ต่างจากคุณหรอกค่ะ ฉันมีปัญหาเรื่องมดลูกเลยทำให้มีลูกยาก จนตอนนี้ความสัมพันธ์กับแจ็คสันก็แย่เข้าไปทุกทีๆ จะเลิกกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันเองก็รู้สึกเบื่อๆอยากกลับเมืองไทยเหมือนกัน” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เมื่อรู้ว่าคนรักเก่ากำลังจะมีลูกยิ่งทำให้เธอรู้สึกดีใจ และตั้งใจว่าจะกลับไปทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ตั้งแต่ก่อนมาเมืองนอก
“ชีวิตคู่ก็อย่างนี้ล่ะคุณมีโอกาสก็ทำมันให้ดีสิ ส่วนเรื่องลูกอยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็มีเองล่ะ หรือถ้าไม่มีจริงๆคุณก็ยังมีสัญญากับผมอยู่ไม่ใช่หรือไง” นักบินไม่อยากเอ่ยคำนี้ออกไปเลย เพราะกลัวว่าวันที่อีกฝ่ายมาจริงๆแล้วคงจะลำบากใจน่าดู
[“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะนักบิน ถ้ายังไงก็อย่าลืมโทรมาบอกเมย์ด้วยนะว่าได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย”]
“ครับเมย์”
[“ถ้างั้นเมย์ขอวางสายก่อนนะคะจะต้องออกไปชอปปิ้งกับแจ็คสันแล้ว”]
“ครับแค่นี้ล่ะดูแลตัวเองดีๆด้วย”
[“คุณก็เช่นกันนะบาย”]
“บาย”
หลังจากวางสายไปแล้ว นักบินก็เดินกลับมาหาปลาวาฬที่โซฟาในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว จึงเดินตามหาไปทั่วทั้งบ้านแต่ก็ไม่พบ เมื่อเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังเดินมาก็เอ่ยถามทันที
“นงค์เห็นคุณปลาวาฬบ้างหรือเปล่า” เจ้าตัวเอ่ยด้วยท่าทีร้อนใจราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปซะอย่างนั้น
“ไม่เห็นนะคะ นงค์เพิ่งมาจากสวนหลังบ้าน” สาวใช้เอ่ย
“ไม่เป็นไรไปทำงานต่อเถอะ” เมื่อไม่ได้ความก็ปัดมือไล่ให้ไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วยืนเท้าสะเอวอารมณ์เสียอยู่คนเดียว เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมเป็นแล้งไปน่ะสิ ถ้าหากหกล้มขึ้นมาแล้วลูกในท้องจะเป็นยังไง คิดแล้วก็ยิ่งโมโหหนักเข้าไปใหญ่
“นายไปไหนกันแน่เนี่ย” อยู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าอาจจะขึ้นไปบนห้องนอนจึงรีบวิ่งขึ้นไปหาทันที ในใจก็คิดว่าจะอบรมเรื่องการปฏิบัติตัวให้เสียใหม่
เมื่อเดินมาถึงแล้วก็เปิดประตูเข้าไป นักบินเข่าแทบทรุดเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า นักรบกำลังก้มลงไปจูบคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เจ้าตัวกำหมัดโดยไม่รู้ตัว ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนสวมเขาซะอย่างนั้น เหมือนครั้งที่เมย์เคยทำกับเขา มันช่างรู้สึกเจ็บปวดและทรมานมากเหลือเกิน
“นักรบแกกำลังทำอะไร” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยกับน้องชายของตัวเอง
“พี่นักบิน!” เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายนักรบก็รีบผละจากริมฝีปากของปลาวาฬ แล้วรีบลุกขึ้นเดินออกห่างจากเตียงทันที
“แกออกมาคุยกับพี่ข้างนอกเดี๋ยวนี้” นักบินเอ่ยกับน้องชายด้วยความโมโห เขาไม่นึกเลยว่ามันจะเกิดเรื่องบ้าๆอย่างนี้ขึ้นมา
นักรบยืนตัวสั่นแล้วเดินตามหลังพี่ชายออกมานอกห้องทันที เจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะรู้สึกละอายใจที่ทำอย่างนั้นกับปลาวาฬลงไป แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้เพราะปลาวาฬคือคนที่ตรงสเปคทุกอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“แกกำลังทำบ้าอะไร รู้ทั้งรู้ว่าปลาวาฬเป็นอะไรกับฉัน” เมื่อออกมานอกห้องแล้ว นักบินก็เริ่มบทสนทนาขึ้นมาทันที เจ้าตัวกัดกรามจนใบหน้าสั่นบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกโมโหมากแค่ไหน
“ผมขอโทษ แต่ผมแอบรักปลาวาฬมานานแล้ว ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆครับพี่” นักรบยกมือไหว้พี่ชายพร้อมกล่าวขอโทษ สีหน้าของเจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกผิดมากเหลือเกิน
“ตัดใจซะมันเป็นไปไม่ได้หรอก” นักบินกัดฟันพูดกับน้องชาย ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าคนที่ไม่มีสิทธิ์คือเขาเอง หากปลาวาฬคลอดลูกแล้วทั้งสองก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
“ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อพี่กับปลาวาฬเองก็ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย ก็จริงที่พี่กับปลาวาฬมีอะไรกันแล้ว แต่นั่นมันก็เป็นแค่การจ้างงานเท่านั้นเองไม่ใช่หรือครับ” เขาพยายามตัดใจจากปลาวาฬมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้สักที
“ใช่มันเป็นแค่การจ้างงานแต่...แกคิดว่าคุณแม่จะรับได้เหรอที่พี่กับน้องจะมีเมียคนเดียวกัน” หากไม่เอาเรื่องนี้มาอ้างเขาก็ไม่รู้จะหาเหตุผลข้อไหนมาทำให้น้องชายเปลี่ยนใจได้
“คุณแม่รักปลาวาฬเหมือนกับลูกคนหนึ่ง ผมว่าท่านต้องรับได้แน่นอนพี่ไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นหรอก ถ้าหากในอนาคตปลาวาฬคลอดลูกแล้ว ก็จะเป็นอิสระจากข้อผูกมัดต่างๆ ถึงตอนนั้นแล้วผมจะจีบปลาวาฬอย่างเปิดเผยและเป็นคนบอกกับทุกคนเอง” นักรบเอ่ยด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น
“แกนี่มันดื้อจริงๆ ฉันบอกว่าไม่ได้ยังไงล่ะทำใจซะเถอะ” นักบินหันหน้าหนีไปอีกทางเขาไม่อยากจะฟังคำพูดใดๆจากปากน้องชายอีกแล้ว
“พี่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามผม ปลาวาฬไม่ใช่สมบัติของพี่ซะหน่อย ผมจะไม่ยอมตัดใจจากปลาวาฬเด็ดขาด”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์เพราะปลาวาฬเป็นเมียฉันไง” ในที่สุดนักบินก็ไม่สามารถห้ามปากตัวเองได้ เขาหลุดคำว่าเมียออกมาให้น้องชายได้ยิน บ่งบอกว่ากำลังหึงหวงอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
“อย่าบอกนะว่าพี่ชอบปลาวาฬ” นักรบจ้องหน้าพี่ชายลุ้นคำตอบ
“ฉันไม่ได้ชอบ!”
“ถ้าพี่ไม่ได้ชอบ ผมขอเถอะนะให้โอกาสผมได้จีบปลาวาฬ ผมสัญญาว่าระหว่างนี้จะไม่ทำให้ปลาวาฬลำบากใจแม้แต่นิดเดียว” นักรบมองพี่ชายด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำเอานักบินถึงกับจุกอกพูดไม่ออกแม้แต่สักคำ ดูท่าทางน้องชายของตัวเองคงจะชอบปลาวาฬมากจริงๆ
“ได้ฉันจะไม่ห้ามแกแต่ห้ามให้ปลาวาฬรู้เรื่องนี้จนกว่าจะคลอด ฉันห่วงสุขภาพของปลาวาฬและลูกในท้อง” นักบินเอ่ยกับน้องชาย แต่สีหน้าไม่ต่างจากคนกำลังสิ้นหวังในชีวิต
“ครับพี่ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ปลาวาฬลำบากใจ ขอบคุณพี่มากๆเลยนะครับ” ว่าแล้วนักรบก็ยิ้มร่าโผเข้ากอดขอบคุณพี่ชายสุดที่รัก แม้จะไม่ได้แสดงออกให้ปลาวาฬรับรู้แม้แต่น้อย แต่ความจริงนักรบกลับแอบมองปลาวาฬอยู่ตลอดเวลา แม้ในบางครั้งจะเชียร์ให้พี่ชายเอาอกเอาใจอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวกลับไปนั่งทุกข์ใจในห้องนอนอยู่บ่อยครั้ง เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นก็ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“แกลงไปก่อนเถอะฉันจะเข้าไปเฝ้าปลาวาฬในห้อง”
“ครับพี่”
หลังจากน้องชายลงไปแล้วนักบินก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก่อนจะนั่งลงข้างๆเตียงแล้วจ้องหน้าคนที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาคงจะมองอีกฝ่ายได้เต็มตาเพียงตอนที่นอนหลับอยู่เท่านั้นแล้วสินะ ทำไมเรื่องอย่างนี้มันต้องเกิดขึ้นตอนที่อะไรกำลังจะเป็นไปด้วยดี ทุกอย่างกำลังจะลงตัวอยู่แล้วแท้ๆ มันยากเหลือเกินที่จะทำตัวไม่เหมือนเดิมทั้งๆที่ใจยังคงโหยหาอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา มันรู้สึกเหมือนตอนที่เขาเสียเมย์ให้ผู้ชายคนอื่นไป เขารู้แล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อปลาวาฬมันคืออะไร ‘มันคือความรัก’ ที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ต้องเจออุปสรรคเข้าให้ซะแล้ว