-
(http://image.free.in.th/v/2013/ik/190909035527.png) (http://picture.in.th/id/e6ebb573caf8767fd37a18a5a21ad515)
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com) ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
เรื่อง :: ทาสที่รัก
แต่งโดย :: Lady Mellow
...‘ความรัก’ มักเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ทันตั้งตัว
ความเป็น‘ทาส’ ก็เช่นกัน...
เมื่อมีความรัก ชีวิตแสนธรรมดาก็มีสีสัน
พอกลายเป็นทาส ชีวิตแสนธรรมดาก็เริ่มปั่นป่วน
เพียงแต่สุทธิรักษ์ยินยอมที่จะมีความรักอย่างเต็มใจ
แต่ความเป็นทาสเนี่ยสิ ...ทำไมถึงไม่ถามความสมัครใจกันก่อนเล่า!!
สารบัญ
บทนำ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2
ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70916.msg4004772#msg4004772)
-
บทนำ
• การสำรวจโลกครั้งแรก •
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลประกอบไปด้วยดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมาย นักวิทยาศาสตร์ต่างเสาะหาสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ว่า ‘โลก’ ไม่ได้เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ การค้นพบอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมากมาย ดาวดวงแล้วดวงเล่าถูกเราค้นพบแล้วถือสิทธิ์ในการตั้งชื่อให้มัน มีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่เหล่ามนุษยชาติได้ลงไปเหยียบย่ำ แต่ก็ยังมีอีกมากมายนักที่เรามิอาจค้นเจอ
สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอแม้จะอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์สามารถไขข้อสงสัยได้ทุกสิ่ง ทั้งเรื่องลี้ลับ เรื่องราวเขย่าขวัญ หรือแม้แต่โลกคู่ขนานที่ถูกกล่าวว่าเป็นความคิดของคนเพ้อฝัน แต่ใครเล่าจะพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง ใครเล่าจะชี้ชัดได้ว่าในโลกที่เราเกิดและเติบโตนี้...จะไม่มีโลกใบอื่นทับซ้อนกัน
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงเสียดสีจากพุ่มไม้สีเขียวสดดังขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครในอาณาบริเวณสังเกตถึงสิ่งที่กำลังจะผ่านพงพุ่มสีเขียวนั้นออกมา ทุกคนเดินผ่านมาและเลยไป สายตาต่างจดจ้องยังเบื้องหน้า ไม่มีแม้เพียงสักคนเดียวที่จะรู้สึกถึงผู้มาเยือน
ตุบ...
เท้าหนึ่งข้างแตะบนแผ่นอิฐแข็งๆ แม้จะรู้สึกไม่สบายเท้าสักเล็กน้อยแต่มันก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดระคนตื่นเต้น นี่คือโลกอีกใบสินะ! ดวงตาสีฟ้าแกมน้ำเงินสดใสจ้องมองไปรอบตัวทันทีที่พ้นออกมาจากทางเชื่อม บรรยากาศแห่งการผจญภัยแทรกซึมอยู่ทุกรูขุมขนจนเนื้อตัวสั่นระริก ลิ้นสีแดงอมชมพูแลบเลียริมฝีปากด้วยความมาดมั่น
ช่างเป็นดินแดนที่น่าท่องเที่ยวอะไรเช่นนี้
เนื้อตัวสีขาวกระจ่างเรียกสายตาของคนอื่นๆ ได้ไม่น้อย แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปด้วยความมั่นใจ ทุกย่างก้าวบนผืนแผ่นดินใหม่พาใจให้กระโดดโลดเต้นอย่างที่สุด แม้ผู้คนจะเยอะแยะเสียจนน่าปวดหัว แต่ร้านรวงที่ขายของแปลกๆ นั่นก็น่าสนใจไม่หยอก ไหนจะกลิ่นหอมๆ ที่โชยมานี่อีก
แต่ด้วยความที่เขาศึกษาโลกใบนี้มาพอสมควร ทำให้รู้ว่าการใช้ชีวิตของคนที่นี่ แตกต่างกับโลกของเขาอย่างชัดเจน การซื้อขายสินค้าที่ต้องใช้กระดาษใบบางๆ ที่เรียกว่าเงิน ทั้งยังมีเหรียญตรามากมายที่ทำเอาสับสน การเดินทางไปยังที่ต่างๆ ก็ต้องอาศัยเครื่องกลไก อาจเพราะสภาพแวดล้อมนั้นไม่ได้สวยงามพอจะทำให้เดินเท้าได้อย่างรื่นรมย์
ร่างใหญ่โตกว่าปกติเดินอาดๆ ผ่านฝูงชนที่เริ่มหันมาให้ความสนใจ มันก็เป็นซะอย่างนี้สิน่า! ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องได้รับความสนใจเสมอ ใครใช้ให้เขาเกิดมาในวงศ์ตระกูลที่ดี แถมยังดูดีจนติดอันดับ 1 ใน 3 ของ ‘ผู้ที่อยากได้ไปเป็นพ่อพันธุ์ตลอดกาล’ กันเล่า
เขากะเวลาการมาท่องเที่ยวยังโลกนี้พอให้ตะวันตกดินเท่านั้น อันที่จริงเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูมายังโลกนี้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดความแตกขึ้นมาว่าผู้มีฐานันดรอย่างเขาหนีเที่ยวตามใจชอบ คงจะถูกติเตียนจากหัวหน้าตระกูลเอาแน่
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอใช้เวลาให้คุ้มค่ากับที่ต้องการเสียหน่อยเถอะ
แต่ละก้าวย่างนั้นช่างเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ สิ่งที่โลกใบนี้มีนั้นช่างน่าหลงใหล อาหารการกินก็ช่างอุดมสมบูรณ์ แลดูน่าอร่อยไปเสียหมดทุกอย่าง มิน่าเล่าถึงได้มีการย้ายถิ่นที่อยู่เกิดขึ้นไม่เว้นวัน เพื่อนพ้องบางคนย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่โลกนี้ บ้างก็กลับไปเยี่ยมเยียนกัน บ้างก็หายหน้าไปเลยก็มี
คงเพราะเสน่ห์ของโลกแห่งนี้สินะ
“เฮ้ย! แกน่ะ มาจากไหนวะเนี่ย?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง เขาหยุดชะงักก่อนจะหันกายกลับไปมอง มนุษย์สามคนยืนอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยท่าทีคุกคาม
“มาเดินท่อมๆ อย่างนี้ คงหลงทางมาสินะ” มนุษย์อีกคนพูดบ้าง ร่างสูงขยับตัวเข้าใกล้เขามากขึ้น “เหย! มันกลัวกูว่ะ”
เขาไม่ได้มีนิสัยชมชอบคนแปลกหน้าเท่าไหร่หรอกนะ !
“ในเมื่อหลงมาอย่างนี้ก็มาเล่นกับพวกกูเถอะวะ!” มนุษย์คนสุดท้ายประกาศกร้าว พร้อมกับเอื้อมมือมาจับเนื้อตัวเขาไว้ มือใหญ่ออกแรงบีบขาเขาแน่นจนเจ็บ
ความกลัวเข้าครอบคลุมจิตใจอย่างกะทันหัน เขาออกแรงดิ้นหนีอย่างสุดชีวิต ปัดป่ายมือไปตามใบหน้าของมนุษย์ใจทรามผู้นั้น เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บดังขึ้น มันปล่อยเขาเป็นอิสระ เขาพยายามจะวิ่งหนีให้พ้น แต่กลับถูกมนุษย์อีกสองคนจับตัวเอาไว้ได้ เมื่อร่างกายถูกพันธนาการ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือริมฝีปาก เพื่อหวังให้มนุษย์ที่มีจิตเมตตาผู้อื่นมาช่วยเหลือ เขาจึงได้ตะโกนสุดเสียงที่มี
“เมี๊ยวว!!”
-
มารอเลยจ้า อยากอ่านแล้ววววว :-[ สนุกตอนลุ้นว่าเป็นแบบไหน
-
ตอนที่ 1
บางครั้งความรัก ก็มาไม่ทันให้ตั้งตัว
สุทธิรักษ์ไม่รู้ว่าชีวิตคนธรรมดาแบบเขานั้นจะพิเศษกว่านี้ได้ยังไง
ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน กลับบ้าน นอนหลับ แล้วก็ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานในวันต่อไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีเป็นหลายปี จากความเหงาสู่ความชาชิน แล้วสุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าชีวิตที่เป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร
แต่ไม่ใช่ว่าชีวิตจะจืดชืดเหมือนน้ำต้มผักหรอกนะ เพราะในช่วงวันหยุดเขายังได้รื่นเริงกับงานศิลปะที่ชอบ ไม่ก็อ่านหนังสือใต้ร่มไม้จางๆ ในสวนขนาดกะทัดรัด ตกเย็นก็ออกไปเดินเล่นรับลมในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ...เรียบง่าย แต่มันน่าพอใจอย่างยิ่ง
นัยน์ตาสีเข้มเหม่อมองยอดไม้สูงที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าหลากสียามพลบค่ำ เสียงเสียดสีของใบไม้ก่อเกิดท่วงทำนองเสนาะหู ฝ่ามือสีขาวสอดที่คั่นในหน้ากระดาษที่อ่านค้างไว้ก่อนบรรจงปิดหนังสือเล่มโปรดอย่างเบามือ แสงสว่างที่เริ่มโรยราไม่เหมาะแก่การเสพบรรยากาศอีกต่อไป ร่างที่เริ่มมีเนื้อมีหนังเพราะไม่ชมชอบการออกกำลังกายยืดตัวขึ้นเต็มความสูงตามเกณฑ์ชายไทย สองตายังคงเหม่อมองภายรอบสวนสาธารณะประจำหมู่บ้านที่ขยับใกล้คำว่าวังเวงเข้าไปทุกที
“แม่งเอ๊ย!!”
ฉับพลันก็มีเสียงแว่วดังมาจากอีกฟากหนึ่งของสวน อันที่จริงสุทธิรักษ์ก็ไม่ได้ถนัดยุ่งเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่ แต่เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดีนั้นเสียงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่บุคคลเดียว เสียงสบถสาดใส่ให้ขรม ยังมีเสียงหัวเราะสะใจดังมาเป็นระรอก ในหัวคนฟังนั้นจินตนาการได้ถึงคนโดนรุมทำร้าย
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวล
เขาควรจะรีบจากไปให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายในกิจธุระของผู้อื่น แต่ถ้ามันเป็นการรุมทำร้ายอย่างที่คิดเล่า... ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความกล้าที่มีน้อยนิด กระชับหนังสือเล่มโปรดไว้แนบอก หยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมพร้อมโทรหมายเลขฉุกเฉิน
สองเท้าค่อยๆ เดินเงียบเชียบไปตามต้นเสียง พยายามไม่ให้คนก่อเหตุรู้ตัวและเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองไปด้วย แม้แสงไฟจากเสาที่ตั้งอยู่รอบบริเวณจะสว่างเพื่อขับไล่ความมืด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในตอนนี้ไม่ใช่บรรยากาศที่ดีเอาเสียเลย สุทธิรักษ์เพ่งมองไปยังเบื้องหน้าที่ปรากฏเงาร่างคนกลุ่มหนึ่ง
“เตะแม่งแรงๆ เลย -- เชี่ย!! กัดกูโคตรลึก”
“มีเจ้าของเปล่าวะเนี่ย”
“สนใจทำไมกะอีแค่แมวตัวเดียว!”
สุทธิรักษ์กระพริบตาปริบๆ ‘แมว’ อย่างนั้นเหรอ?
ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นมากขึ้น แล้วความสว่างก็ทำให้เขาเห็นว่าเงาร่างพวกนั้นคือกลุ่มเด็กสาม-สี่คน ผมที่สั้นเกรียนนั้นบอกให้รู้ว่าน่าจะอยู่ในช่วงวัยมัธยมต้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำร้ายกาจพวกนั้นจะหลุดออกมาจากปากในเด็กวัยนี้ แต่ก่อนที่เขาจะหงุดหงิดกับสังคมที่เริ่มเสื่อมลงไปมากกว่านี้ สองตาจึงเริ่มกวาดมองไปยังพื้นเพื่อเสาะหา ‘แมว’ ที่กำลังถูกรุมทำร้าย
สุทธิรักษ์อยากจะหลุดสบถเสียงดังเมื่อเห็นร่างเล็กๆ นอนหมดสภาพในวงล้อมของเหล่าเด็กชาย ต่อให้เป็นคนไม่ชอบทำให้ตัวเองมีปัญหาแต่ภาพที่เห็นก็คงทำเป็นเฉยเมยไม่ได้หรอก
ชายหนุ่มเดินปรี่เข้าไปด้วยสีหน้าที่แสร้งถมึงทึงเต็มที่ “หยุดนะ!!”
กลุ่มเด็กชะงักการกระทำทุกอย่างแล้วหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว สุทธิรักษ์กวาดตามองใบหน้าทีละคนเพื่อจดจำก่อนจะจ้องไปยังเบื้องล่างที่มีสิ่งมีชีวิตนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ ในหัวรีบกลั่นกรองความน่าจะเป็นที่จะทำให้เด็กร้ายกาจพวกนี้กลัวและเผ่นไป และสิ่งหนึ่งที่คิดได้ก็คือการแสดงสถานะว่าเป็นเจ้าของ
“ชายสี่!!” เพียงแค่เขาตะโกนชื่อออกไปแม้ว่ามันจะเป็นชื่อของสุนัขข้างบ้านก็เถอะ กลุ่มเด็กเลวก็พลันหน้าตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กที่กลัวการถูกจับได้เมื่อทำความผิด ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ใช่พวกกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เกรงกลัวอะไรเอาเสียเลย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
สุทธิรักษ์ปรี่เข้าไปทรุดตัวลงบนพื้นข้างแมวตัวนั้น สภาพของมันในขณะนี้แทบจะแยกไม่ออกว่าลักษณะแบบไหน เพราะทั้งเนื้อตัวขะมุกขะมอม เลือดเปรอะเปื้อนตามเส้นขนเป็นหย่อมๆ นอนแนบพื้นแข็งด้วยสภาพโรยแรง ขาหน้าข้างหนึ่งงอหงิกคล้ายจะบาดเจ็บรุนแรง -- ไอ้เด็กพวกนั้นช่างใจยักษ์เกินคนจริงๆ
ชายหนุ่มถอดเสื้อนอกออกจากตัวหวังคลุมร่างผู้ป่วยอาการหนักเพื่อไปหาหมอ จังหวะนั้นเองที่ดวงตากลมโตที่ปิดสนิทแน่นลืมขึ้น ชั่วขณะที่เขาสบตากับดวงตาสีฟ้าสดใสของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนี้ อย่างกับมันจะสื่อทุกอย่างออกมาโดยไม่ต้องพูดภาษาเดียวกัน ทั้งความกังวล ความกลัว ความเจ็บปวด ทุกสิ่งนั้นราวกับว่าเจ้าแมวตัวนี้ตะโกนออกมาดังๆ
และนั่นก็ทำให้เขาทำบางสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
“ไม่เป็นไรนะ” นี่คือการพูดกับสัตว์ครั้งแรกในชีวิต! “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวจะพาไปหาหมอนะ”
ทั้งยังใจกล้ายื่นมือออกไปลูบหัวมันเบาๆ อย่างที่ไม่เคยทำกับแมวตัวไหน เจ้าแมวมองเขาอีกครั้งราวกับชั่งใจก่อนจะหลับตาลงสลบไป
เขาห่อตัวมันด้วยเสื้อคลุมแล้วอุ้มไว้แนบอก จากสวนด้านในหมู่บ้านไปจนถึงด้านหน้าทางเข้าอันเป็นร้านรักษาสัตว์นั้นนับว่าไม่ใกล้เลยทีเดียว แต่เพื่อร่างที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอด สุทธิรักษ์จึงเร่งทำความดีด้วยการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เร็วกว่าที่เคยวิ่งจับเวลาสมัยเรียนวิชาพละเสียด้วยซ้ำ -- เขาเกลียดการออกกำลังกาย มันเหนื่อยและทำให้ตัวเหม็น เพราะฉะนั้นทุกวันนี้รูปร่างเขาเลยเข้าใกล้คำว่าอวบเข้าไปทุกที
วิ่งไปไม่เท่าไหร่สองขาก็เริ่มล้าจนสั่นประท้วง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอก เสียงหอบหายใจดังก้องผสานกับหยาดเหงื่อที่ไหลโทรมกาย เขาก้มลงมองผู้ป่วยในอ้อมกอดที่บัดนี้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมองเขา นัยน์ตาที่ราวกับอัญมณีสีฟ้าอ่อนแสงลงจนน่าหวั่นใจ
“ทำใจดีๆ ไว้นะ เข็มแข็งเข้าไว้”
“...เมี๊ยว~” ผู้ป่วยเปล่งเสียงสั้นๆ อย่างใกล้โรยแรง แต่มันกลับปลุกลูกฮึดให้คนฟังมากมาย
สุทธิรักษ์กระชับแมวตัวน้อยในวงแขน พ่นลมหายใจแรงๆ เรียกกำลังวังชาที่หวังว่ามันจะเผลอไปซุกซ่อนอยู่ตรงหลืบมุมไหนออกมา สองขาเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง เขาสาบานเลยว่านับจากนี้จะเริ่มออกกำลังกายให้แข็งแรง ไม่งั้นวันข้างหน้าเกิดเปลี่ยนจากแมวเป็นหมาเขาต้องตายอยู่กลางทางแน่ๆ
แต่วิ่งได้ไปไม่เท่าไหร่หรอก เขาก็ต้องหยุดพักหายใจอีกแล้ว!
"คุณครับ" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัว สุทธิรักษ์หันหน้าไปมองทั้งที่ยังโกยลมเข้าปอดไม่หยุด ท่ามกลางแสงสลัวจากแสงไฟรอบบริเวณคือชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่งกับจักรยานทรงแม่บ้าน
"ผมเห็นวิ่งเหมือนรีบร้อนน่ะครับ เลยแวะถามเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง" คนแปลกหน้ากล่าวอย่างใจดี
สวรรค์โปรด!!
เหงื่อชโลมใบหน้าจนตาพร่า สุทธิรักษ์ไม่มีเวลามาสังเกตหน้าตาของคนใจดีผู้นี้หรอก แต่การที่เห็นสภาพเขาแบบนี้แล้วแวะถามไถ่ต้องนับว่าเป็นคนจิตใจดีอยู่แล้ว และขืนเขาปฏิเสธไปเพราะความกลัวคนแปลกหน้า เจ้าแมวในอ้อมกอดเขาอาจจะไม่รอดก็ได้
“ช่วย...แฮ่กๆ ช่วยไป...” สุทธิรักษ์พูดแทบจะไม่เป็นคำ เสียงหอบหายใจยังดังกว่าเสียงพูดเขาเสียอีก “ไปคลินิก...แฮ่กๆ แมว!...แฮ่กๆๆ”
คนแปลกหน้านิ่งมองเขาสักครู่แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดความเร่งร้อนก็เกิดขึ้นในทันที เจ้าของจักรยานออกปากเร่งให้เขาขึ้นไปนั่ง แล้วออกแรงปั่นด้วยความเร็วที่บอกได้เลยว่าอีกฝ่ายออกกำลังกายเป็นกิจวัตรแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่รักษาความเร็วในขณะที่มีผู้ชายตัวไม่เล็กซ้อนอยู่ได้แบบนี้หรอก
ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น รถสองล้อก็มาจอดเทียบหน้าร้านรักษาสัตว์ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปใช้บริการ สุทธิรักษ์ซวนเซลงจากรถโดยที่คนใจดียังอุตส่าห์ยึดแขนเขาไว้ไม่ให้ร่วงไปนั่งกับพื้นเพราะขาหมดกำลัง ชายคนนั้นยื่นมือรับเจ้าแมวไปอุ้มเสียเองโดยที่มืออีกข้างก็ยังต้องช่วยประครองเขา ความเป็นผู้ชายเหมือนๆ กันทำให้สุทธิรักษ์หน้าชาด้วยความอาย แต่จนปัญญาที่สองขานั้นไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆ
หนุ่มน้ำใจงามชี้ไปยังส่วนนั่งรอที่เป็นเก้าอี้ชิดผนังกระจกบานใหญ่ ซึ่งเขาเองก็ไม่รีรอที่จะลากขาตัวเองไปนั่งอย่างว่าง่ายแล้วปล่อยให้หนุ่มจักรยานแม่บ้านคนนั้นติดต่อทำเรื่องรักษาแมวผู้โชคร้ายแทน
สุทธิรักษ์หลับตาอย่างคลายกังวล อย่างน้อยเจ้าแมวนั่นก็ถึงมือหมอแล้ว จากนี้ก็ไม่มีเรื่องที่เขาจะเข้าไปวุ่นวายได้อีก ไม่สิ! ยังมีค่ารักษาพยาบาลอีกนี่นา คิดถึงตรงนี้ก็ให้พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ อีกหน ได้ยินว่าค่ารักษาสัตว์นั้นแพงกว่าของคนเสียอีก ไม่รู้ว่าเจ็บหนักขนาดนั้นเขาจะต้องควักกระเป๋าจ่ายเท่าไหร่ ...แต่ยังไงก็ช่างเถอะ แค่ไม่ตายก็นับว่าดีแล้ว
“คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหน้า สุทธิรักษ์เปิดเปลือกตาขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงอบอุ่น หากแสงไฟที่สาดสว่างทำให้เขาต้องกระพริบตาเสียหลายครั้งก่อนที่สองตาจะจับภาพใบหน้าของคนตรงหน้าได้
“ดื่มน้ำก่อนนะครับ” แก้วน้ำที่มีไอเย็นเกาะรอบแก้วถูกยื่นมาให้ เขารับมันไปโดยที่ดวงตายังไม่คลายภาพที่เห็น ก่อนหน้านี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมองอะไรให้ชัดเจนจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มองข้ามความหล่อเหลาที่เด่นชัดอยู่บนใบหน้าคนน้ำใจงามผู้นี้ได้หรอก
สุทธิรักษ์นิ่งค้างกับความบาดตาระดับที่คงหาไม่ได้ตามถนนทั่วไป แม้จะไม่อาจเทียบเท่าพระเอกหรือนายแบบบางคนได้ แต่ถ้าไปถามคนสิบคนก็คงไม่มีใครกล้าปดว่าผู้ชายคนนี้ขี้เหร่ แต่เหนือไปกว่านั้นคือบุคลิกอบอุ่นที่เขาสัมผัสได้แม้ยังไม่สนิทสนมกัน เพราะเมื่อรวมกับเครื่องหน้าและสีผิวแล้วนั้น ...ชายคนนี้คือความละมุนอย่างแท้จริง
“ผมชักจะเขินแล้วนะครับ” แม้จะดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังเขินอายอย่างที่พูดแต่มันก็ทำให้คนมองรู้สึกตัวขึ้นมา
สุทธิรักษ์กระแอมกลบเกลื่อนความไร้มารยาทของตัวเองเล็กน้อย พยายามหลีกเลี่ยงสายตาจากใบหน้าน่ามองของชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิต “แมวเป็นยังไงบ้างครับ?”
“เบื้องต้นมีอาการช็อกนะครับหมอให้น้ำเกลือกับออกซิเจนไปแล้ว ไม่มีการแตกหักของกระดูกแต่ร่างกายบอบช้ำจากการกระทบที่รุนแรง คืนนี้คงต้องนอนดูอาการไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะส่งไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลสัตว์เพื่อตรวจให้แน่ใจอีกที ส่วนเลือดที่เห็นน่าจะมาจากที่อื่นไม่ได้เกิดจากร่างกายแมวนะครับ”
สุทธิรักษ์ถึงกับลอบถอนใจ ค่ารักษาเจ้าแมวตัวนั้นคงฟันเงินเดือนเขาไปทั้งเดือนแน่ๆ แต่เงินจะมาสำคัญเท่าการช่วยหนึ่งชีวิตให้อยู่รอดได้ยังไง ก็แค่กินมาม่ามากหน่อยหรือไม่ก็กลับบ้านไปขอข้าวแม่กินก็เท่านั้นเอง…
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้ สงสัยว่าผมต้องเข้าไปพบหมอเพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ใจสักหน่อย” เขาขยับตัวเพื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางสอดส่ายสายตาไปยังห้องตรวจที่เปิดประตูอ้าไว้ “หมออยู่ข้างในเหรอครับ?”
“เปล่าครับ” คนตอบปฏิเสธเอ่ยเจือเสียงหัวเราะ เรียกสายตาของสุทธิรักษ์ให้หันไปค้นหาว่าตรงไหนของคำพูดกันที่น่าขบขัน หากเมื่อหันไปก็พบว่าตัวเองยืนใกล้อีกฝ่ายเกินพอดีจึงรีบถอยหลังออกมาสองก้าว แล้วนั่นก็ทำให้เขาพบว่าตัวเองนั้นช่างน่าอนาถเหลือเกิน นอกจากรูปร่างจะเข้าใกล้ความอวบแล้วนั้น ส่วนสูงเมื่อยืนเทียบกันก็เสมอพอแค่ปลายติ่งหูอีกฝ่ายเผลอๆ จะเตี้ยกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ หน้าตารึก็ธรรมดาไร้ความโดดเด่น ที่พอจะสูสีอีกฝ่ายได้ก็คงเป็นความขาวเนี่ยแหละ
“จ้องผมอีกแล้ว” ชายน้ำใจงามยิ้มขันอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเรียกริ้วแดงให้พาดสองข้างแก้มของคนเผลอมอง...น่าขายหน้าจริงๆ
“เอ่อ...แล้วหมออยู่ที่ไหนหรือครับ?” คนอายรีบวกเข้าประเด็นต่อ พยายามละสายตาด้วยการมองผ่านชายหนุ่มตัวสูงเลยไปทางด้านห้องตรวจ
“ก็...” ชายตรงหน้าอมยิ้มจนเกิดรอยบุ๋มข้างแก้ม “อยู่ตรงนี้ไงครับ”
เรียวนิ้วยกขึ้นชี้เข้าที่อกเสื้อเพื่อชี้ชวนให้เขามองดู สุทธิรักษ์ยื่นหน้าเข้าใกล้เพื่ออ่านตัวอักษรที่ถูกปักด้วยด้ายสีเขียวเข้มบนเสื้อสีขาวสะอาด ‘นายสัตวแพทย์กวิน ภวภิรมย์’
เหลือเพียงแค่ความอายเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาตอนนี้ ให้ตายสิ! นอกจากใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ไม่ได้คิดสังเกตอะไรบ้างเลย ในเมื่อเสื้อที่คนๆ นี้สวมก็เป็นเสื้อกาวน์อยู่ทนโท่ซ้ำยังปักชื่อบอกตำแหน่งงานเสียเรียบร้อย นอกจากสายตาสั้นแล้วเขาคงมีปัญหากับการรับรู้ด้วยเสียล่ะมั้ง
“ขอโทษครับ คือผมไม่ได้สังเกตเลย” สุทธิรักษ์ยอมรับไปตามตรง อีกฝ่ายทำเพียงอมยิ้มเช่นเดิมไม่ต่อความยาวสาวความให้ยืด
หมอกวินส่งยิ้มให้อย่างไม่ถือสา “พรุ่งนี้ทางร้านจะพาไปเองครับ แต่ถ้าลูกค้าไม่สะดวกใจก็สามารถพาคนไข้ไปติดต่อได้เองเช่นกัน”
“ไม่ครับๆ เพราะผมก็ไม่สะดวกที่จะต้องติดต่อเองเหมือนกัน” สุทธิรักษ์รีบร้อนปฏิเสธ เขาไม่ถูกกับพวกสัตว์อยู่แล้ว ยิ่งเป็นโรง
พยาบาลสัตว์นั้นอยู่ที่ไหนเขายังไม่รู้เลย
“งั้นรบกวนทำประวัติคนไข้ก่อนนะครับ” หมอกวินผายมือให้เขาเดินไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่อยู่บริเวณด้านหน้าของร้าน อีกหนึ่งเรื่องที่เขาเพิ่งจะสังเกตคือตอนนี้ทั้งร้านไม่มีใครอยู่เลย
“แล้วเจ้าหน้าที่คนอื่นล่ะครับ” เขาออกปากถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามและกำลังเปิดเครื่องคอมฯ พลางหยิบเอกสารต่างๆ ออกมาจากตู้เก็บด้านข้าง
“วันนี้ร้านปิดครับแต่ผมอยู่ทำงาน แล้วลูกค้าขอให้ช่วยเข้าไปดูชิวาว่าที่คลอดยากน่ะครับ เลยเจอคุณเข้าพอดี”
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ คลอดรึยัง?”
“พอไปถึงก็เบ่งพรวดออกมาสามหน่อเลยครับ ผมนี่ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือเลย” สีหน้าคุณหมอเจือความเสียดายขั้นสุด พานเอาคนฟังอมยิ้มกับคนอยากทำคลอดไม่ได้ “ว่าแต่แมวของคุณไปเจออะไรมาครับถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้”
“ไม่ใช่แมวผมนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรมันด้วย” สุทธิรักษ์ปฏิเสธเสียงหลงอีกรอบ ก่อนจะพรั่งพรูเหตุการณ์ที่เห็นออกมาให้อีกฝ่ายร่วมรับฟัง “แต่ว่าค่ารักษาผมจะเป็นคนชำระเองนะครับไม่ต้องห่วง และถ้าเป็นไปได้ผมรบกวนให้ทางร้านช่วยตามหาเจ้าของให้ทีนะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นแมวของคนในหมู่บ้าน”
“ไม่มีปัญหาครับ แล้วผมจะค้นประวัติคนไข้ดูอีกที แต่อันที่จริงคนในหมู่บ้านที่เลี้ยงแร็กดอลล์คงจะหายากสักหน่อย เพราะเจ้าตัวนี้ดูจะเป็นพันธุ์แท้ซะด้วย”
“เอ่อ...อะไรดอๆ นะครับ”
“หึหึ แร็กดอลล์ครับ (Ragdoll) เป็นชื่อพันธ์ของแมวตัวนี้ ส่วนราคาขายสายพันธุ์แท้ที่เคยเห็นก็หลายหมื่นบาทอยู่ครับ ผมคิดว่ายังไงเจ้าของคงประกาศหาตัวแน่ๆ”
คนฟังได้แต่อ้าปากค้าง ช่างเป็นแมวที่ค่าตัวแพงอะไรอย่างนี้ ต้องมีฐานะขนาดไหนกันถึงจะเลี้ยงเจ้าตัวนี้ได้ แต่อย่างน้อยค่าตัวขนาดนั้นก็คงทำให้เจ้าของร้อนใจออกตามหาอย่างที่หมอว่าแน่นอน
“งั้นก่อนที่จะเจอเจ้าของ คุณคงต้องตั้งชื่อไว้เรียกไปพลางๆ ก่อนแล้วล่ะครับ” หมอกวินยิ้มหวานจนแก้มบุ๋ม เล่นเอาสุทธิรักษ์พักสายตาที่หลุมตื้นๆ ข้างแก้มเนียนนั้นไปชั่วครู่ “ก่อนอื่นขอทราบชื่อคุณหน่อยนะครับ”
“...เอ่อ...สุทธิรักษ์ครับ”
“คุณสุดที่รักนะครับ” คุณหมอหนุ่มอมยิ้มยามทวนชื่อของเขา เหมือนกันไปหมดทุกคนสิน่า...ก็ใครให้แม่ชอบชื่อนี้หนักหนาจนเขาไม่กล้าเปลี่ยนล่ะ เวลาบอกชื่อปากเปล่าทีไรมีแต่คนเข้าใจผิดกันหมด
“สุทธิรักษ์นะครับ ‘สุด-ทิ-รัก’ ไม่ใช่ ‘ที่-รัก’” คราวนี้เขาพูดช้าๆ ชัดๆ เพื่อแก้ความเข้าใจผิด แต่มันกลับยิ่งเพิ่มรอยยิ้มบนริมฝีปากคนรับฟังมากยิ่งขึ้น เจ้าของชื่อเลยตัดปัญหาเขียนชื่อส่งให้เสียเลย
“ขอทายเลยว่าชื่อเล่นคงเป็น ‘ที่รัก’ ใช่มั้ยครับ”
เจ้าของชื่อหน้าแดงแปร๊ดทันที แต่ก็ออกปากปฏิเสธไม่ได้ในเมื่อมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง พ่อนะพ่อ! แม่ตั้งชื่อแบบนั้นมาแล้วก็ไม่ควรเล่นง่ายกับชื่อเล่นลูกแบบนี้เลย “เรียก ‘รัก’ ก็พอเถอะครับ”
"ได้ครับคุณรัก” เสียงหวานหูเอ่ยรับคำเสียนุ่มนวล บนใบหน้าละมุนกลับมีดวงตาที่คมชัดโดดเด่นและตอนนี้เจ้าของนัยน์ตาระยิบระยับตรงหน้าก็กำลังใช้มันจ้องมองเขาอยู่
สุทธิรักษ์ไม่เชื่อในรักแรกพบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง แต่คุณสัตวแพทย์ตรงหน้าคือผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขาอยากจะหาสัตว์สักตัวมาเลี้ยงเพื่อที่จะได้มีโอกาสมาที่คลินิกนี้อีกครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนมองโลกตามความเป็นจริง เขาไม่ชอบสัตว์ ไม่มีทางที่จะดูแลสิ่งมีชีวิตนอกเหนือไปจากตัวเองได้ดีหรอก เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเล่นกับมันอย่างไร หรือต้องเลี้ยงอย่างไรให้มันมีความสุข
เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกจบความรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจแล้วบอกลาความมีน้ำใจของคุณหมอกวินไว้เพียงเท่านี้ อย่างน้อยกว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องราวของเจ้าแมวตัวนี้ก็คงพอให้เขาได้เห็นใบหน้าละมุนละไมของคุณหมออีกสักหลายครั้งล่ะนะ
• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •
-
การเดินทางด้วยรถโดยสารในเวลาหลังเลิกงานนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก ทั้งการจารจรที่แออัด การเบียดเสียดของผู้คนหลายสิบภายในรถที่แสนอบอ้าว กว่าสุทธิรักษ์จะชาชินจนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นคือความปกตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเคยผ่านช่วงเกือบเป็นลมจนร่ำๆ จะถอดใจซื้อรถมาแล้วเสียหลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงค่าผ่อนบ้านที่กินจำนวนเงินต่อเดือนไปมากโขแล้วนั้นก็มีแต่ต้องคุ้นชินกับมันให้เร็วที่สุด
สุทธิรักษ์ลงมาจากรถโดยสารสีขาวคาดน้ำเงินพร้อมกับลมหายใจที่พรั่งพรูออกมายาวเหยียด ฝ่ามือขาวยกขึ้นปาดเหงื่อตามขมับก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าทรงเล็กน้อย พร้อมกับกระชับกระเป๋าสะพายข้างที่มีกระเป๋าสตางค์บรรจุเงินสดมากกว่าเงินเดือนทั้งเดือนเอาไว้ ที่จริงเขามากดเงินเอาหน้าคลินิกรักษาสัตว์ก็ได้ แต่ก็ยังเกรงภาพลักษณ์เผื่อคุณหมอกวินจะมาเห็นเอา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ปั่นจักรยานมากดเงินสดที่ตู้อัตโนมัติตรงนั้นประจำ
หวังว่าคุณหมอกวินจะไม่เคยเห็นเขานะ เพราะสภาพตอนนั้นเขาดูไม่ได้จริงๆ
เขาไม่รู้ว่าค่ารักษามันประมาณเท่าไหร่ แต่ถ้ามันเกินกว่าจำนวนเงินที่เขากดมาล่ะก็วี่แววที่จะต้องเพิ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปทั้งเดือนก็ลอยมาแต่ไกล แต่เขาก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วถือเสียว่าเป็นการสร้างกุศลที่ไม่ค่อยได้ทำก็แล้วกัน
ชายหนุ่มผลักบานกระจกเข้าไปช้าๆ ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศตีเข้าใบหน้าพลอยให้ความร้อนระอุด้านนอกสลายไปในทันที จากนั้นกลิ่นเฉพาะของบรรดาสิงสาราสัตว์ที่นั่งกันหน้าสลอนจึงปะทะเข้าจมูกบ้าง สุทธิรักษ์ตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อพบกับเจ้าหน้าขนมากมายหลายตัวรวมกันในห้องๆ เดียว เจ้าสัตว์พวกนั้นก็คล้ายรับรู้ถึงความกลัวของเขาได้ถึงได้พร้อมกันหูตั้งหางชี้พุ่งความสนใจมาที่คนแปลกหน้า
บรรดาเจ้าของที่นั่งรอตรวจต่างอมยิ้มกับคนท่าทางประหลาดที่สืบเท้าหนีสัตว์เลี้ยงน่ารักเสียจนชิดผนัง แต่ก็ไม่อาจหยุดเจ้าตัวใหญ่สีน้ำตาลทองที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาอย่างไม่คิดสงสาร ชายหนุ่มคุ้นๆ ว่าสุนัขตัวนี้จะเป็นพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่คนนิยมเลี้ยง เขาเคยเห็นจากที่ไกลๆ อยู่หรอกแต่ไม่คิดว่ายามอยู่ต่อหน้ามันจะตัวใหญ่แบบนี้ เขาไม่ปฏิเสธว่าดวงตาแป๋วๆ นั้นทำให้มันดูน่ารักก็จริง แต่ปากที่อ้ากว้างกับลิ้นที่ห้อยตกลงมามันออกจะไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่
โดยเฉพาะตอนมันเดินเข้ามาใกล้แล้วยืดตัวตะปบขาหน้าเข้ากับท้องของเขาแบบนี้
และท่าทางเช่นนั้นของไอ้หมาที่เหมือนจะมีตำแหน่งเป็นลูกพี่ใหญ่ ทำให้เจ้าตัวเล็กๆ ทั้งหลายพากันมายืนล้อมรอบส่งเสียงเห่าบ๊อกๆ ปิดทางหนีเขาอย่างสิ้นเชิง
สุทธิรักษ์หวังความช่วยเหลือจากคนรอบข้างแต่กลับได้แต่เสียงหัวเราะขบขันมาแทน กว่าคุณพนักงานจะมาลากสิ่งมีชีวิตแสนรื่นเริงพวกนี้ออกจากเขาก็เล่นเอาขาแข้งเกือบอ่อนขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขากลัวจนจับต้องไม่ได้หรอกนะ แต่มันไม่สะดวกใจที่จะอยู่ร่วมกันในระยะประชิดก็เท่านั้น
“ต๊อกแต๊กนั่ง!” คุณพนักงานสั่งเจ้าหมาสีน้ำตาลทองเสียงนุ่ม ผมยิ้มทันทีเมื่อเจ้าหมานามต๊อกแต๊กนั่งลงในทันทีอย่างเชื่อฟัง แต่เพียงไม่นานเท่านั้นเพราะเมื่อเจ้าตัวยังเห็นหมาตัวอื่นให้ความสนใจเขาอยู่ มันก็พาร่างอวบใหญ่ของตัวเองมาหยอกล้อกับร่างกายของเขาอีกครั้ง
เจ้าของหมาท่านอื่นคงเริ่มจะสงสารถึงได้เริ่มพากันลุกมาอุ้มสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองกลับไปนั่งที่ตามเดิม ยกเว้นเจ้าหมาโกลเด้นตัวนี้ที่ยังคงแกยิ้มจนน้ำลายเปียกเสื้อเขาเป็นด่างดวง
“ต๊อกแต๊กมานี่!” คุณพนักงานสั่งอีกครั้งแต่ก็ล้มเหลวเช่นเคย ใบหน้านั้นแทบจะระทดท้อเมื่อมองมา
“เอ่อ...ต๊อกแต๊ก” คนไม่ถูกกับสัตว์พยายามทำใจกล้าโดยการลูบหัวพลางเอ่ยชื่อ สัมผัสนั้นนุ่มนิ่มและฟูฟ่องแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่เขาจะต้องเริ่มออกแรงดันใบหน้าที่ใกล้เข้ามาจากการพยายามกระโดดเหยงๆ อย่างร่าเริง
“โฮ่ง! โฮ่ง!”
โอย~ จะพลังงานเหลือล้นไปถึงไหนล่ะเนี่ย
“ต๊อกแต๊กนั่ง!!” คราวนี้เสียงคำสั่งแตกต่างออกไป เจ้าหมานิ่งไปในทันทีก่อนจะทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทางรอรับคำสั่งอย่างแข็งขัน ราวกับจะประกาศให้คนทั้งร้านได้รับรู้ว่านี่ต่างหากคือเสียงจากเจ้านายตัวจริง
สุทธิรักษ์รีบหันไปทางต้นเสียงของผู้ช่วยชีวิตและก็พบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นเลย สองตาจับภาพของชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอวีสีเทากับกางเกงยีนส์สวมทับด้วยกาวน์สีขาวสะอาด รอยยิ้มกึ่งขบขันกึ่งขออภัยนั้นเปล่งประกายระยิบระยับจนทำตาของคนมองพร่ามัว ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงดูละมุนแม้ยามส่งเสียงดุสุนัข
คุณหมอกวิน...
“สวัสดีครับคุณรัก” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย ฉีกยิ้มจนข้างแก้มขึ้นร่องบุ๋มทรงเสน่ห์ สุทธิรักษ์ที่คล้ายกำลังถูกสะกดอีกครั้งพยายามกระพริบตาปริบๆ เพื่อขับไล่สิ่งน่ามองตรงหน้าให้ผ่านเลยไป เขาจึงเลือกที่จะจดจ้องไปที่ปลายคางที่อยู่เสมอระดับสายตาแทน
มันช่วยได้นิดหน่อย แต่คางที่ขึ้นเหลี่ยมมุมชัดเจนตรงหน้านี้ก็นวลเนียนน่ามองไม่แพ้กันจริงๆ
“จ้องหน้าผมอีกแล้ว”
“ผมเปล่านะครับ!” คนโดนจับได้ส่งเสียงออกมาอย่างร้อนตัว แล้วเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำเปล่งประกายเขาก็รีบเบือนหน้าหนีในทันที “คือผมมาเรื่องแมวตัวนั้นน่ะครับ”
“ครับ รบกวนคุณรักนั่งรอสักครู่นะครับ ผมมีคิวตรวจอีกไม่เยอะหรอก” หมอกวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ฝ่ามือใหญ่ผายมือไปยังมุมที่นั่งที่ห่างไกลกับบรรดาสัตว์มากที่สุด แล้วยังสั่งความให้คุณพนักงานนำน้ำมาให้เขาดื่มระหว่างรอก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตรวจตามเดิม
สุทธิรักษ์ค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้นมาหน่อย เขาพาร่างตัวเองไปนั่งแอบเงียบอยู่ตรงมุมที่ถูกแนะนำ หนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาถูกหยิบขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา ชายหนุ่มค่อยๆ พาตัวเองจมจ่อมอยู่กับตัวอักษรตัวแล้วตัวเล่า แต่เขาไม่อาจล่องลอยไปกับความไหลลื่นของตัวบทความได้ เพราะไม่ได้อยู่ที่บ้านเหรอ? หรือเพราะรอบตัวไม่สงบพอ? ไม่หรอก...มันเป็นเพราะสายตาของสัตว์สี่ขาตัวหนึ่งตางหาก
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มบางเพื่อมองไปยังต้นตอความความไม่สงบใจ เจ้าหน้าขนนามต๊อกแต๊กยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นแม้จะไม่มีเจ้าของมันจะไม่อยู่แล้วก็ตาม เจ้าตัวใหญ่ยังคงนั่งหลังตรงอวดขนสีน้ำตาลทองเงางามให้แก่บรรดาเจ้าของสัตว์ที่มาใช้บริการ หากสองตากลมโตของมันกลับเอาแต่จดจ้องคนแปลกหน้าอย่างเขาไม่หยุดหย่อน
ยิ่งเขาสบตามันก็ยิ่งรู้สึกถึงความกระตือรือร้นที่พุ่งออกมาจนล้น เหมือนมันพร้อมจะพุ่งเข้ามาหาเพียงแค่เขาอนุญาต ซึ่งนั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่!
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจ้าหมาต๊อกแต๊กสร้างความสนใจได้มากกว่าหนังสือ หลายครั้งที่เขาแสร้งเหม่อมองไปทางอื่นแต่เมื่อกลับไปมองอีกครั้งอิริยาบถของสุนัขตัวนั้นก็เปลี่ยนไปคล้ายกับมันเมื่อยเกินทน หลายครั้งที่เล่นจับผิดกันเงียบๆ จนกระทั่งในที่สุดเจ้าหมาต๊อกแต๊กก็มานั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ตรงหน้าในระยะหนึ่งเมตร
สุทธิรักษ์เกือบจะเชื่อแล้วเชียวว่ามันจะฟังคำสั่งของเจ้านายไปจนตลอด
“อย่าได้เข้ามาใกล้กว่านี้เชียว”
“โฮ่ง!”
เขาจะถือว่านี่คือคำตอบรับแล้วกัน
ชายหนุ่มตัดสินใจเก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วเลือกที่จะนั่งมองเจ้าสุนัขหน้าเป็นตัวนี้เงียบๆ เขาไม่รู้ว่าพวกเกลียดสัตว์จะเห็นถึงความน่ารักของสัตว์น่าขนแบบที่เขากำลังรู้สึกอยู่หรือไม่ แต่พวกมันน่ารักจริงๆ ให้ตาย! เพียงแค่เขาไม่ชอบสุงสิงกับพวกมันก็เท่านั้น
พวกสัตว์ชอบเข้ามาวอแวกับเขา นั่นถือเป็นเรื่องดีที่ใครหลายคนอาจอิจฉาแต่สำหรับเด็กตัวเล็กที่ถูกหมาใหญ่สามตัวรุมเข้ามาพร้อมกันทีเดียวนั้นมันค่อนข้างเป็นเรื่องน่ากลัวทีเดียว และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้เขาแขยงสัตว์ไปโดยปริยาย แม้จะรู้ว่ามันต้องการเล่นด้วยไม่ได้ต้องการทำร้าย แต่การฝังใจนั้นมันก็ยากจะลบไปได้จริงๆ
เจ้าต๊อกแต๊กยืดคอขึ้น หูสองข้างกระดิกรับฟังเสียงแล้วฉับพลันมันก็ยืดลำตัวนั่งด้วยหลังเหยียดตรงเหมือนก่อนหน้า สุทธิรักษ์อมยิ้มให้กับกิริยาเสแสร้งของสุนัขตัวใหญ่เมื่อพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะเจ้าของของมันเดินตรงเข้ามา
“เห็นอยู่นะแต๊ก” เจ้าของเอ่ยแซว สุทธิรักษ์ไม่รู้หรอกว่าเจ้าหมามันรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า แต่ทันทีที่คุณหมอกวินพูดจบมันถึงกับวิ่งปรู๊ดหนีไปอีกทางอย่างกับคนกำลังอับอาย
“ขอโทษที่มันมารบกวนอีกแล้วนะครับ” หมอกวินหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่พาให้หัวใจคนมองคันยุบยิบอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ คือ ต๊อกแต๊กแค่นั่งเฉยๆ” สุทธิรักษ์รีบพาสายตาตัวเองออกจาก ‘ของอันตราย’ ตรงหน้า “หมอเป็นเจ้าของมันใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ หึๆ มันเป็นหมาติงต๊องสักหน่อยแต่ก็ฉลาดไม่น้อย”
เสียงหัวเราะเบาๆ กับน้ำเสียงอบอุ่นที่น่าจะเจือรอบยิ้มจากคนตรงหน้าทำให้คนฟังอยากจะเงยหน้าขึ้นไปมองเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าหัวใจจะทำงานหนักเกินไปน่ะซี
“คือ...เรื่องแมว...”
“อ้อ! เจ้าเหมียวนับว่าโชคดีนะครับที่ไม่มีการบาดเจ็บร้ายแรงมาก กระดูกไม่หักแต่ข้อต่อถูกกระทบกระเทือนอาจเกิดจากการดึงกระชากนะครับ ตอนนี้หมอให้ยาที่จะลดอาการอักเสบที่กล้ามเนื้อกับเส้นประสาทไปแล้ว ไม่มีอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในนะครับ นอกนั้นก็จะเหลืออาการตื่นกลัวที่คงจะต้องให้เวลาแมวได้ปรับตัวก่อน”
สุทธิรักพรูลมหายใจโล่งอก เขากลัวกับสภาพที่เห็นในครั้งแรกจะแย่ในเมื่อไม่เป็นอะไรร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตก็นับว่าดีมากๆ แล้ว
“คุณรักอยากเข้าไปเยี่ยมหรือไม่ครับ เจ้าเหมียวอยู่ที่ห้องพักด้านหลังนี่เอง”
“เอ่อ...คือ...ในนั้นมีคนไข้เยอะไหมครับ?”
“อยู่ในกรงทุกตัวครับ คุณรักปลอดภัยแน่นอน” หมอกวินยิ้มขันพลางกระพริบดวงตาข้างหนึ่งให้อย่างหยอกเย้า
คุณหมอจะรู้ไหมว่าท่าทางแบบนั้นทำให้หัวใจคนมองทำงานหนักแค่ไหน มันเป็นธรรมชาติเสียจนเชื่อได้ว่าไม่มีใครกล้าใส่ร้ายว่าคุณหมอเจ้าชู้ สุทธิรักษ์ยังเชื่ออีกว่าทุกคนที่ได้เห็นท่าขยิบตาแบบเมื่อกี้จะต้องใจสั่นแบบเดียวกับที่เขาเป็นแน่ และคง...คงอยากจะเห็นไปอีกหลายครั้ง
“คุณรัก...” เสียงนุ่มละมุนกระตุ้นสติให้กลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง สุทธิรักษ์กระพริบตามองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะผุดลุกขึ้นพร้อมใบหน้าแดงซ่านที่ไม่อาจปิดบัง
“ป...ไปทางไหนครับ”
ทว่ากลับไม่ได้คำตอบ
เสียงหัวเราะเบาๆ เรียกสายตาของสุทธิรักษ์ให้มองขึ้นไป ทั้งรอยยิ้มและสีหน้าของคุณหมอหนุ่มพาให้สมองเขาหยุดทำงานอีกครั้ง
“คุณรักนี่เก่งจังนะครับ...”
หมอกวินยิ้มหวาน นัยน์ตาส่องประกายวิบวับรับการร่องแก้มบุ๋มที่ดึงให้ใบหน้าน่ามองเป็นเท่าทวี
“...คุณทำผมเขินได้ตลอดเลย”
พูดจบคุณหมอก็ออกเดินนำไปโดยไม่หันมามอง สุทธิรักษ์ยังประมวลข้อความไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นการแซวเล่นหรือเป็นการบอกเชิงต่อว่าแบบละมุนละม่อม แต่จะอย่างไรก็ดี เขาสามารถบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้อันตราย ขืนอยู่ใกล้มากกว่านี้ล่ะก็หัวใจของเขาคงถูกทำให้ล้มเหลวในสักนาทีหนึ่งแน่นอน
สุทธิรักษ์เดินตามคุณหมอเจ้าของร้านผ่านประตูกระจกบานเลื่อนเข้าไป ภายในห้องที่ตกแต่งสีสันไม่ต่างจากด้านนอกนั้นเย็นสบาย แถมยังดูโปร่งโล่งจากประตูเลื่อนบานใหญ่อีกบานสุดทางเดินที่ทำหน้าที่รับแสงอ่อนๆ จากภายนอกเข้ามา หลังบานประตูนั้นเป็นพื้นที่ประมาณสองเมตรเมื่อกะด้วยสายตา มันปกคลุมไปด้วยผืนหญ้าสีเขียวอ่อนเข้มกับพุ่มไม้ขนาดเล็กที่คงกินความยาวเต็มพื้นที่บ้าน สุนัขพันธุ์เล็กสองสามตัววิ่งเล่นไปมาข้างนอกนั้น กับสุนัขตัวใหญ่อีกตัวนอนเอกเขนกข้างพุ่มไม้
ด้านในมีกรงสัตว์ที่ไม่เหมือน ‘กรง’ ในความคิดของเขาสักเท่าไหร่นัก
“นี่คือห้องพักผู้ป่วยของเราครับ” คนฟังอมยิ้มขำกับการผายมืออวดสถานที่ของคุณเจ้าของ ข้างกำแพงหนึ่งด้านมีกรงขนาดใหญ่ติดตั้งซ้อนกันอยู่สองแถวๆ ละห้ากรง คนสำรวจทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้เพื่อมองบรรดาผู้ป่วยที่เข้าแอดมิด ทุกกรงมีเจ้าของจับจอง บ้างยืน บ้างนั่ง บ้างก็...นอนบนเตียง
“ดูสบายดีจังเลยครับ” เขายิ้มให้หมอกวิน ทุกกรงล้วนมีเตียงไม้ที่ใหญ่พอสำหรับสุนัขขนาดกลาง เบาะคงนุ่มมากพอให้บางตัวหลับเพลิน
“เพื่อนผมคนหนึ่งมีกิจการโรงไม้ครับก็เลยให้ช่วยต่อเตียงให้ ราคาเลยถูกกว่าท้องตลาดมาก” หมอกวินอธิบาย แล้วชี้ไปยังอีกฝั่งห้องที่มีกรงขนาดใหญ่มากสามกรงตั้งอยู่ “ฝั่งนั้นเป็นของสุนัขตัวใหญ่ครับ กรงเลยดูอลังการมากมายจนวางกรงแมวซ้อนได้หลายกรงเลย”
สุทธิรักษ์ยิ้ม จริงอย่างคุณหมอว่าที่กรงนั้นอลังการ เพราะคะเนด้วยตาก็คงมีพื้นที่มากพอให้มนุษย์ผู้ใหญ่สองคนเข้าไปนั่งได้สบาย และแน่นอนว่ามีเตียงอีกเช่นกัน ส่วนกรงแมวนั้นมีขนาดเล็กมากที่สุด เมื่อนำมาติดตั้งข้างบนเลยทำให้วางเรียงกันได้นับสิบและที่นอนก็ดูจะนุ่มน่านอนมากกว่าด้วย
“ร้านเรารับฝากเลี้ยงด้วยครับ ผมก็เลยเตรียมพื้นที่สวนเล็กๆ ให้เด็กๆ วิ่งเล่นสูดอากาศบ้าง ส่วนของเสียจากการขับถ่ายก็มีพี่เลี้ยงเข้ามาทำความสะอาดตามเวลา”
เขาพยักหน้ารับรู้ตามคำอธิบาย ที่จริงเขาเห็นเครื่องฟอกอากาศเปิดทำงานไว้อยู่ด้วย ถึงว่าไม่ค่อยมีกลิ่นเหม็นสาบให้ระคายจมูก กรงไม่สกปรก ผู้ป่วยทุกตัวก็สะอาดสะอ้านดี นับว่าคุณหมอเปิดร้านรักษาสัตว์ตามวิชาชีพด้วยหัวใจจริงๆ
เนี่ย...ความดีทำหัวใจคนอ่อนยวบได้จริงๆ นะ
“และนี่คือผู้ป่วยที่คุณรักช่วยชีวิตไว้” หมอกวินพาเดินมาหยุดที่กรงแมวหลังมุม สุทธิรักษ์มองเข้าไปภายในก็พบเจ้าแมวนอนหงายสบายอารมณ์อยู่บนเตียงหลังเล็กอวดขนสีขาวสะอาดน่าจับต้อง ใบหูเล็กกระดิกไปมาราวกับถูกรบกวนความสงบ ยังผลให้ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองออกมา
“มีคนมาเยี่ยมแน่ะเจ้าเหมียว” ไม่รู้ว่าสัตว์หน้าขนตัวนี้เข้าใจหรือไม่ แต่มันขยับร่างปุกปุยของมันขึ้นแล้วเดินกระเผกลงมาจากที่นอน ดวงตาสีฟ้าสดใสจับจ้องเขาแน่นิ่ง ส่งเสียงเล็กๆ พลางถูไถหัวกับซี่เหล็กของกรง
“ลองจับดูสิครับ ผมคิดว่ามันจำคุณได้” คุณหมอคนดียังคงแนะนำด้วยรอยยิ้ม ด้วยลักยิ้มน่ามองนั้นทำคนคล้อยตามยื่นมือออกไปลูบกลุ่มก้อนขนด้วยปลายนิ้ว เป็นความกล้าหาญอย่างลืมตัวโดยแท้
“เมี๊ยว~” เจ้าแมวร้องรับแล้วผินหน้ามาแลบลิ้นเลียนิ้วมือเขา สุทธิรักษ์ตกใจชักมือกลับไปกุมไว้ ความสากของลิ้นแมวให้สัมผัสแปลกประหลาด
“โดนขบหรือเปล่าครับ” คุณหมอกวินไม่พูดเปล่าฉวยคว้ามือข้างนั้นไปกุมดู เจ้าของนั้นหน้าร้อนแทบไหม้แต่คุณหมอคนเก่งก็ยังคงจับๆ ลูบๆ ตรวจดูจนเขาต้องชักมือออกมาเอง
“มันเลียครับ ผมแค่ตกใจเกินไปหน่อย” เขาอ้อมแอ้มบอกด้วยความอาย แต่คุณหมอก็ไม่ได้ทำทีท่าเหนื่อยใจหรือรำคาญ หมอกวินแค่ยิ้ม...
เป็นรอยยิ้มที่ผุดผาดความมีเสน่ห์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
“ผมว่ามันคงอยากขอบคุณคุณรักน่ะครับ”
...เจ้าแมว
สุทธิรักษ์ครวญครางในความคิดกับหัวใจที่เต้นตุบตับคล้ายจะทะลุออกมานอกอก
อยากขอบคุณแกเหมือนกัน...
...ที่ทำให้รู้ว่าการตกหลุมรักเป็นแบบไหน
• • • • • • • • • • • • • โปรดติตามต่อ•วันอังคารหน้า • • • • • • • • • • • • •
กลับมาพบกับหอยทากคนเดิมอีกครั้ง =v=
หลังจากแต่งเรื่องไสยๆ มาตลอด ก็อยากจะเปลี่ยนมาเป็นใสๆ ไร้ความหื่นดูบ้าง
จะรอด หรือ จะร่วง ก็ติชมกันได้เสมอ
สไตล์เรื่องนี้จะเป็นความรักสบายๆ ผสมแฟนตาซีเล็กน้อย
อาจจะไม่ถูกใจสายหื่น(555)
แต่ก็ลองอ่านกันดูนะคะ...♥♥
ปล. มีตอนสำรองอยู่พอสมควร จะพยายามลงสม่ำเสมอสัปดาห์ละหนึ่งตอนนะคะ
-
เป็นแร็กดอลด้วย จะสวยหรือจะหล่อกันนะ
-
กรี้ดดดดดดดดด
เปิดเรื่องใหม่ งุ้ยยยย
เอ้ะๆๆๆ พระเอกคราวนี้จะเป็นใครน้า
คุณหมอ หรือ น้องแมว
-
:pig4: :pig4:
-
:L2: :L1: :pig4:
ชอบความยาวอลังการของแต่ละบทจริงๆ
-
สรุปว่าแมวเป็นแมว หมอเป็นพระเอกใช่ไหม
-
น่ารักทั้งคนทั้งแมว :mew1:
-
:pig4:
:3123:
-
รอสุดที่รักตอนหน้า :katai2-1: :katai2-1:
-
ม้าวววววววว
-
คนหรือแมวที่เป็นพระเอกเนี่ย555
-
ตอนที่ 2
• แอบรักเธอ...อยู่ในใจ •
'ขณะนี้เวลา 17 นาฬิกา 59 นาที ...แต ตะ ดะ แต แตะ แต่ แตะ แต๊!'
เสียงจากลำโพงสาธารณะของหมู่บ้าน ดังก้องไปทั่วบริเวณถนนหลักอันเป็นสถานที่ตั้งร้านรวงต่างๆ ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ชานเมืองแห่งนี้ ตลอดแนวถนนสายหลักสองเลนเต็มไปด้วยรถจักรยาน ที่จอดเทียบตามร้านต่างๆ รถยนต์ขับผ่านเชื่องช้าเพราะอยู่ในเขตชุมชนและเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้คนที่เดินกันแบบไม่เกรงใจรถสี่ล้อ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูจะสำคัญน้อยลงไป เมื่อชายหนุ่มที่ปั่นจักรยานด้วยความเร็วอยู่นั้น ซอกแซกผ่านช่องทางว่างด้วยความชำนิชำนาญ ยิ่งเสียงติ๊กตอกผ่านลำโพงกระจายเสียงดังถี่กระชั้นขึ้นเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งออกแรงถีบจักรยานให้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
สุทธิรักษ์เลี้ยวรถสองล้อคู่ใจเข้าข้างทางทันทีที่ถึงเป้าหมาย หลังจากลงมายืนบนพื้นได้ก็ใช้เท้าถีบขาตั้งให้รถจอดมั่นคง ชายหนุ่มรีบสาวเท้าไปยังร้าน 'เจ๊มาลี' อันเป็นร้านขายน้ำปั่น+ชา+กาแฟ
เขาพุ่งตรงเข้าไปหน้าร้านพอดีกับที่เสียงเพลงชาติดังกึกก้องไปทั่วหมู่บ้าน เจ๊มาลีปรายตามองลูกค้าหน้าใหม่สักเล็กน้อยก่อนจะยืนตรงเคารพธรงชาติ สุทธิรักษ์ยิ้มเหือดแห้งให้แม่ค้าแล้วปรับท่าทางเป็นยืนหลังตรงบ้าง เสียงเพลงดำเนินไปเรื่อยๆ สายตาของชายหนุ่มเองก็เช่นกัน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องลึกเข้าไปยังด้านหลังร้านขายน้ำที่ไม่ต่างจากซุ้มยาดอง มองทะลุผ่านกระจกใส เพื่อสอดส่ายสายตาเข้าไปในร้านคลินิกสำหรับสัตว์แห่งเดียวในระแวกนี้ ภายในร้านตกแต่งสีเอิร์ธโทนเรียบง่ายแต่ดูดี มีเจ้าของสัตว์เลี้ยงนั่งรอเวลาเข้าตรวจบนโซฟาสั่งทำพิเศษที่ทอดยาวไปตลอดแนวกำแพงกระจก การตกแต่งทุกอย่างดูลงตัวไปหมด และยังรวมไปถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร้านแห่งนี้ได้รับการพูดถึงมากพอดูในโลกโซเชียล แถมยังได้ลงในนิตยสารที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอีกหลายคอลัมน์
สุทธิรักษ์มีครอบครองอยู่หนึ่งเล่มถ้วน เป็นภาพคุณหมอขึ้นปกคู่กับสุนัขพันธุ์เดียวกับที่เป็นเจ้าของ ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นเตะตาเขามาแต่ไกลจากแผงขายหนังสือมือสอง
เพลงชาติใกล้จะจบลงแล้ว แต่คนที่เขาอยากเห็นถึงขนาดปั่นจักรยานจนปวดข้อเท้านั้นกลับยังไม่ปรากฏตัวเสียที เขาชะเง้อคอมองซ้ายย้ายเอียงมาทางขวา ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวของคนที่อยากเจอ ตั้งตามองเสียจนเจ๊มาลีต้องขมวดคิ้วจ้องตอบด้วยความสงสัย ทำเอาเขาเก้อกระดากจำยอมต้องรักษามารยาทหากสายตาก็ยังไม่หยุดค้นหา
'...มีชัย...ชโย...'
ความห่อเหี่ยวเกิดขึ้นทันทีที่เสียงดนตรีจบลง ...หมดแล้วสำหรับวันนี้ สุทธิรักษ์คอตกกับความผิดหวัง
"เอาอะไรหนุ่ม?"
"แตงโมปั่นครับเจ๊" แม้แต่เสียงจะเอื้อนเอ่ยยังพาลห่อเหี่ยวไปด้วยเลย ก็นะ...เวลาแค่นาทีสองนาทีใช่ว่าจะทำให้เห็นคนที่อยากเห็นได้ทุกวันนี่นา มันก็ต้องมีบ้างเเหละน่าที่เขาจะต้องผิดหวังแล้วกลับไปดูดน้ำปั่นแก้คิดถึงอยู่คนเดียว
"เจ๊ครับ น้ำแตงโมปั่นหนึ่งแก้ว"
คนคอตกแทบจะดีดตัวผึงขึ้นมา พอๆ กับที่หัวใจเต้นโครมครามเมื่อได้ยินเสียงของลูกค้ารายใหม่ที่ก้าวมายืนข้างๆ ความไม่คาดฝันทำให้ตั้งตัวไม่ถูก แม้สมองจะสั่งให้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงแต่ร่างกายกลับสั่งให้เท้าก้าวถอยห่าง ช่องว่างเพียงสองเก้าที่ทำให้หัวใจกลับมาเบิกบานอีกครั้ง
ไม่ได้มองหน้าก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...
"เมื่อตะกี้หมอเพิ่งสั่งกาแฟไปเองนะ" เจ๊มาลีชวนลูกค้าคนสำคัญคุย ส่วนหูของสุทธิรักษ์นั้นก็กระดิกพั่บๆ รอฟังเสียงตอบ "กินหมดแล้วรึหมอ?"
"แค่กๆ!! เอ่อ...เผอิญผมอยากกินแตงโมปั่นมากกว่าน่ะครับ"
"อ้าวเหรอ?? เจ๊ก็นึกว่าหมอชอบกาแฟซะอีก เห็นสั่งทุกวัน"
"อะ แฮ้ม!! ก็วนๆ กันไปน่ะครับเจ๊"
สุทธิรักษ์ซุ่มเงียบเก็บข้อมูล ที่แท้คนๆ นี้ก็ชอบดื่มกาแฟกับน้ำแตงโมปั่น อืม... แต่วันนี้ดูท่าคุณหมอแกจะเป็นหวัดซะด้วยแฮะ ทั้งไอทั้งกระแอมน่ากลัวจะเจ็บคอไปหมด หรือเขาควรจะหันไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงนะ อย่างน้อยเขาก็เคยไปเป็นลูกค้าของคลินิกมาก่อน แค่ดูเหมือนทักทายตามมารยาทเท่านั้นเอง...เขาคงไม่ปล่อยไก่จนอีกฝ่ายรู้ตัวหรอกน่า!
เมื่อให้เหตุผลตัวเองจนเพียงพอแล้ว คนขี้ขลาดก็กลั้นใจเงยหน้าไปยังคนข้างๆ แต่กลับต้องเจอกับสายตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
"สวัสดีครับคุณรัก"
ความตั้งใจก่อนหน้าพลันสลายกลายเป็นควัน
แม้จะต้องเงยหน้าเพื่อมองคนๆ นี้ให้เห็นเต็มตา แต่รูปหน้าทั้งหมดของผู้ชายคนนี้ก็ชัดเจนทุกสัดส่วน หน้าผากกว้างรับกับคิ้วเข้มคมเป็นมุมศร จมูกโด่งเป็นสันช่างเข้ากันดีเหลือเกินกับดวงตาคมกล้า ที่มีนัยน์ตาสีดำขลับเป็นประกาย ริมฝีปากที่แม้จะอิ่มหนาแต่ก็ได้รูปกระจับสวย แถมมันยังบิดขึ้นเล็กน้อยอวดรอยบุ๋มข้างแก้มให้ปรากฏออกมา โครงหน้าเป็นเหลี่ยมมุมชัดเจนหากดูนุ่มนวลเมื่อถูกสีผิวขาวสะอาดฉาบเคลือบไว้ สุทธิรักษ์เหม่อมองจนตาลอย เขาอยากจะสางผมสั้นที่หวีเรียบๆ นั่นให้ดูกระเซอะกระเซิงเหลือเกิน
"จ้องขนาดนี้ผมก็เขินแย่สิครับ"
น้ำเสียงกระเซ้าจากอีกฝ่ายฉุดสมองของสุทธิรักษ์ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน คนตัวเตี้ยกว่ากระพริบตาปริบๆ มองรอยยิ้มสว่างไสวของคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหลุบตาลงต่ำเช่นเดียวกับใบหน้าที่มุดกลับตำแหน่งเดิม
"คุณรักสบายดีนะครับ"
"............" คนฟังพยายามข่มสติตัวเองไม่ให้ลอยละล่องไปกับน้ำเสียงอบอุ่นน่าฟัง
"ตอนนี้แมวตัวนั้นแข็งแรงดีแล้วนะครับ คุณรักอยากไปเยี่ยมมันมั้ย?"
"..........."
จะทำยังไงดีๆๆ !!!
สุทธิรักษ์อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่เอาแต่เงียบแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปเรื่อยอย่างกับคนโง่ เขาต้องโดนมองว่าไร้มารยาท ไม่สิ! อาจจะโดนหมั่นไส้ไปแล้วก็ได้ แต่ถ้าขืนเขาพูดตอบกลับไปเสียงมันก็จะต้องสั่นแน่ๆ แล้วถ้าเงยหน้ามองคุณหมอคนนี้อีกครั้ง ไอ้แก้มที่มันร้อนวูบวาบอยู่ตอนนี้คงได้กลายเป็นเครื่องประจานชั้นดี
"เอ่อ...ผม--"
"เอ้า! แตงโมปั่นได้แล้วจ้ะหนุ่ม" เสียงเจ๊มาลีดังขัดเสียงนุ่มๆ ที่กำลังจะพูดบางอย่างอีกครั้ง สุทธิรักษ์แทบอยากจะกระโดดกอดเจ๊ที่ชวยคลายความอึดอัดในครั้งนี้ เขารีบยัดเงินใส่มือแม่ค้าแล้วรับแก้วน้ำมาอย่างว่องไว แม้ความลังเลใจจะผุดขึ้นมาเล็กน้อยแต่เขาก็ตัดสินใจรีบซอยเท้าไปยังจักรยานของตัวเอง
"เดี๋ยวสิครับ!" เสียงคุณหมอหนุ่มส่งเสียงรั้งไว้
"รอก่อนพ่อหนุ่ม!" เจ๊มาลีก็ยังอุตส่าห์ยื้อเขาไว้ด้วย
สุทธิรักษ์ไม่สนใจเสียงใครทั้งสิ้น เขารีบถอยรถออกด้วยสองเท้าก่อนจะรีบพุ่งออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วไม่แพ้ขามา ยามเมื่อลมตีใส่หน้าความเสียดายก็ผุดขึ้นมาระรอกใหญ่ โง่เง่าจริงๆ! โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ เสียด้วย ยิ่งเขาเป็นคนไม่ชอบสัตว์ จะให้หาตัวอะไรมาเลี้ยงเพื่อหวังเข้าไปพบปะก็ทำไม่ได้
โธ่ ไอ้รักเอ๊ย!! แกปล่อยช่วงเวลาดีๆ ลอยไปแล้ว...
คนรีบร้อนจากไปก็เผ่นไกลจนไม่เห็นเงา ทิ้งให้คนที่อยู่ข้างหลังมองตามด้วยความไม่เข้าใจ
กวินยืนมองไปยังทิศทางเดิมที่ชายหนุ่มอดีตลูกค้าจากไป ใบหน้าคมสันฉายแววสับสน คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะเป็นปมครุ่นคิดถึงคำสนทนาของตัวเองเมื่อสักครู่ เป็นเขาที่พูดอะไรทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจถึงได้หนีไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน หรือว่าเคยไปทำกิริยาอะไรให้อีกฝ่ายไม่ชอบรึเปล่า?
ครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกันก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแท้ ทั้งเรื่องค่ารักษาเจ้าเหมียวเขาก็ไม่คิดเก็บแต่เป็นคนขี้เกรงใจต่างหากที่แอบมาถามเอากับพนักงานและชำระครบทุกบาททุกสตางค์ เขายังไม่ทันพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำว่าเงินจำนวนนั้นเขาเก็บเอาไว้ให้เพื่อส่งคืน แต่จากวันนั้นสุทธิรักษ์ก็ไม่มาที่ร้านอีกเลย ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมแมวที่ตัวเองช่วยชีวิตเอาไว้ แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่ามันคงสืบสาเหตุมาจากการไม่ถูกกับสัตว์ แต่กับเขาที่เป็นมนุษย์ล่ะ...
“ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหนสิน่า” เสียงเจ้าของร้านบ่นอุบ เรียกสายตาของคนสับสนให้หันกลับไป ในมือของแม่ค้าร้านน้ำมีแบงค์สีม่วงที่ถูกนำมาจ่ายเป็นค่าน้ำอยู่ทำให้คนมองเข้าใจได้ในทันที
“ไว้เจ๊รอทอนเขาวันหลังก็ได้ครับ ยังไงก็คนหมู่บ้านเดียวกัน” กวินเอ่ยให้อีกฝ่ายคลายความขุ่นเคือง
“มันก็ใช่หรอกหมอ แต่ว่าเจ๊จะกลับต่างจังหวัดไปงานบวชหลานน่ะสิ คงเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับมาเปิดร้าน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างลำบากใจ ถึงจะเห็นหน้ากันแทบทุกวันจนเป็นลูกค้าประจำก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มาคุยเล่นสนิทสนมกัน เงินทอนก็มิใช่น้อยหล่อนไม่อยากเก็บไว้กับตัวนานจนเจ้าของเงินกร่นด่าหรอก
ชายหนุ่มเจ้าของพื้นที่หันกลับไปมองทิศทางที่คนต้นเรื่องหายตัวไปอย่างใช้ความคิด จนกระทั่งเสียงเจ๊มาลีดังขัดจังหวะเพื่อยื่นส่งน้ำปั่นสีชมพูในแก้วใสมาให้ กวินรับน้ำไปพร้อมกับพูดประโยคที่อยู่ในความคิดออกมา
"เงินนั่น...ฝากไว้ที่ผมได้ไหมครับ"
• • • • • •
สุทธิรักษ์กลับมาบ้านพร้อมกับน้ำแตงโมปั่นด้วยความเสียดายสุดแสน
ร่างสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน แต่มวลหนาแน่นในร่างเกือบจะเกินเกณฑ์อยู่รอมร่อเดินไปนั่งเก้าอี้ในชุดโต๊ะสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะกินข้าวหรือนั่งทำงานแม้กระทั่งฟุบหลับก็เป็นโต๊ะชุดนี้ เขาดูดน้ำจากหลอดสีส้มสดเล็กน้อยก่อนจะวางมันลง สองมือเท้าคางอย่างคนใจลอย ซึ่งมันจะลอยไปไหนได้ถ้าไม่ใช่คุณหมอหมาหน้าคมคนนั้น แค่คิดว่าวันนี้ได้ใกล้ชิดกับคุณหมอกวินในระยะห่างไม่ถึงเมตรหัวใจก็เต้นตูมตามไปหมด นี่ถ้าเกิดว่าได้ใกล้ชิดมากกว่านี้เขาไม่หัวใจวายตายไปเลยรึ แต่แน่ล่ะว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้น...เพราะสุทธิรักษ์รู้ดีว่าตัวเองไม่กล้าข้ามสะพานเพื่อไปสู่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องจบแค่ความเสียดายเช่นวันนี้
ก็ชีวิตของคนที่รักชอบเพศเดียวกันนั้นมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี่นา
แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนต่อไหน แต่การจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ชื่นชอบการติฉินนินทามันก็ลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะตั้งแต่รู้ตัวเองว่าไม่สามารถมองผู้หญิงในเชิงชู้สาวได้นั้น เขาก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนเก็บตัว ไม่กล้าสุงสิงกับเด็กผู้หญิงมากเกินไปเพราะกลัวเด็กผู้ชายจะล้อเลียนว่าเป็นตุ๊ด แถมยังไม่กล้าสนิทสนมกับเพื่อนผู้ชายมากนักเพราะกลัวว่าความชอบอันผิดแผกของตัวเองจะถูกเพื่อนๆ จับได้ เพราะฉะนั้น...ตลอดมาเขาจึงได้แต่แอบอิจฉาบรรดาเกย์ใจกล้าที่เปิดเผยตัวแบบไม่เกรงใคร
ก็ดีใจหรอกนะที่ตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวในเส้นทางนี้ แต่เขาก็ได้แต่เงียบไว้เพราะกลัวทุกคนคิดว่าวันหนึ่งเขาจะลุกขึ้นมาแต่งหน้าทาปากเดินบิดก้นไปมา ฉะนั้นเพื่อนทุกคนเลยเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า ‘สุทธิรักษ์เป็นคนเก็บตัว’ แถมเขายังขี้อายเกินกว่าจะไปเข้าหาคนแปลกหน้าก่อน นั่นทำให้ตลอดระยะเวลา 24 ปีมานี้เขาไม่เคยคบหาใครในเชิงคนรักเลยสักคน จนที่บ้านคิดว่าเขาถือครองพรหมจรรย์เพราะอยากจะลาไปถือสมณเพศในสักวันหนึ่ง
เขาอยากจะบอกกับทุกคนที่เข้าใจผิดๆ เหมือนกัน ...เขาแค่ขี้อายเกินกว่าจะไปจีบผู้ชายสักคนเท่านั้นเอง
แต่ใช่ว่าตลอดชีวิตนี้เขาจะไม่มีคนที่แอบชอบเอาเสียเลย คนแรกคือเพื่อนสมัยประถมซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้ชาย เพื่อนร่วมชั้นที่เฮฮาร่าเริง ชอบมาขอลอกการบ้านทุกวันทำให้เขาต้องตั้งใจทำการบ้านเป็นพิเศษ ช่วงเวลาที่นั่งมองเพื่อนคนนั้นลอกการบ้านของเรามันช่างอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก นึกย้อนไปเมื่อสมัยนั้นก็นับว่าเป็นคนแรกที่ทำให้เขาเริ่มเอะใจกับความชอบของตัวเอง
แต่ถ้าเป็นคนที่ทำให้หัวใจหวิวๆ ได้ครั้งแรก ก็คงจะเป็นครูฝึกสอนวิชาภาษาอังกฤษเมื่อครั้ง ม.2 แค่เห็นหน้าของเขาก็หวั่นไหวแปลกๆ ใจมันไม่สงบ เรียนแทบไม่รู้เรื่องเพราะเอาแต่แอบมองครู ...คุณครูคนนี้แหละคือคนที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจในตัวผู้หญิงแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นสุทธิรักษ์ก็กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่มอง ไม่สนใจใคร และก็ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาสนใจเขาเช่นกัน
มันไม่ได้แย่กับการอยู่ลำพัง เขามีความสุขเสียด้วยซ้ำที่ได้ใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่ตัวเองชอบ การปิดกั้นตัวเองทำให้การดูแลคนอื่นเป็นเรื่องยากและมันคงกลายเป็นความอึดอัดต่อทั้งตัวเองและคนอื่นเป็นแน่ เขาคิดเลยไปถึงชีวิตเดียวดายยามแก่เฒ่าเสียด้วยซ้ำ หวังว่าในยามนั้นบรรดาหลานๆ ที่น่ารักจะพอมีเวลามาเยี่ยมคุณอาแก่ๆ คนนี้บ้างก็พอ
กว่าจะถึงเวลานั้น ไมรู้ว่าคุณหมอกวินจะมีลูกที่รักสักกี่คน
สุทธิรักษ์คว้าแก้วน้ำขึ้นมาดูดเพื่อดับความห่อเหี่ยวในอก แค่ได้แอบเห็นหน้า บังเอิญได้ยินเสียงบ้างแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ได้คิดเกินเลยกับหมอกวินไปมากกว่าคนที่แอบชื่นชอบ เหมือนการติดตามผลงานอย่างห่างๆ ของศิลปินนักแสดงที่ชื่นชม จะต่างก็ตรงคนที่เขาติดตามนั้นเป็นแค่สัตวแพทย์ธรรมดาที่มีรอยยิ้มไม่ธรรมดาเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปเก็บน้ำแตงโมที่ยังไม่หมดแก้วเข้าตู้เย็นจากนั้นจึงออกไปนอกชานบ้านเพื่อนั่งรับลมสักเล็กน้อย ความสงบเงียบคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัย และโชคดียิ่งนักที่เพื่อนบ้านที่อยู่ในบริเวณซอยเดียวกันต่างก็อยู่กันเงียบเชียบ เจอะหน้ากันก็ยิ้มทักทาย ไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่ก็ไม่มีการก่อความรำคาญให้แก่กัน
จะมีก็แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญบางท่านเท่านั้นที่ถือวิสาสะเข้ามาในบ้านเขาอย่างไม่สนใจสายตาเจ้าของ
สุทธิรักษ์นั่งมองผู้บุกรุกตัวเล็กที่เดินกร่างไปมาในสวนขนาดย่อมที่เขาปลุกปั้นมากับมือ เจ้าตัวร้ายมองเขาเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงร้องราวกับทักทาย
“เมี๊ยว~”
เจ้าแมวดำมอมแมมตัวนี้มาต้อนรับเขาตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา เจอหน้ากันทุกวัน นอนกลิ้งเกลือกบนสนามหญ้าอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือมันมักจะเป็นทัพหน้าให้แมวจรอีกสามตัวเสมอ
“เมี๊ยว~”
ชายหนุ่มยกยิ้มเมื่อเห็นลูกน้องอีกสามตัวที่ว่ากระโดดปุบลงมาจากเสารั้ว มันพากันมองหน้าเขาแล้วร้องทักทายอย่างพร้อมเพรียง สภาพแต่ละตัวสกปรกเป็นคราบดำปื้นตามขนแต่เขาก็ไม่เคยเห็นแมวพวกนี้บาดเจ็บเลยสักครั้ง ดูท่าคงเป็นแก๊งนักเลงขาใหญ่พอตัว
“เมี๊ยว~”
เจ้าแมวดำที่คาดว่าจะเป็นตัวหัวหน้าร้องขึ้น เขาจะถือว่านั่นคือเสียงของการขออนุญาตและขอบคุณไปในตัวแล้วกัน เมื่อร่างปราดเปรียวเดินเฉิดฉายไปยังเครื่องให้อาหารที่มีอาหารเม็ดสำหรับแมวอยู่เต็มถังและยังมีช่องสำหรับให้น้ำอยู่ด้านข้าง เขาตัดสินใจซื้อมาในราคาไม่กี่ร้อยบาทให้สำหรับแก๊งแมวจรพวกนี้ แรกเริ่มก็ผอมโซกันอยู่หรอก พอเป็นขาประจำบ้านเขานานวันเข้าก็อวบล่ำกันทุกตัว
บรรดาลูกแก๊งนอนกลิ้งเกลือกบนหญ้ากันอย่างสบายอารมณ์เพื่อรอให้ตัวหัวหน้ากินข้าวเสร็จ ไม่นานนักพอเจ้าตัวสีดำกินน้ำเป็นการตบท้าย พวกลูกสมุนก็วิ่งกรูกันไปกินข้าวบ้างสวนทางกับหัวหน้าใหญ่ที่เดินกลับมาพักกายที่สนามหญ้านุ่มอีกครั้ง
ถึงเขาจะให้อาหารแต่พวกมันก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ แมวแก๊งนี้จะมากินข้าวที่บ้านเขาในตอนเช้าและตอนเย็น อิ่มหนำและพักผ่อนกันเพียงพอแล้วก็จากไป เพราะฉะนั้นเขาจึงค่อนข้างจะเอ็นดูพวกมันแบบห่างๆ ไม่น้อยแม้จะต้องคอยทำความสะอาดชามน้ำให้ทุกวันก็ตาม
สุทธิรักษ์นั่งรับลมไปพลางมองดูกลุ่มแมวจรไปพลาง เจ้าสี่ตัวนั่งหลับตาพริ้มเมื่อท้องอิ่ม ลมพัดโชยมาเบาๆ กับท้องฟ้าที่มืดสนิทในที่สุด ไม่นานนักเจ้าตัวหัวหน้าเริ่มขยับยืน อีกสามตัวที่เหลือก็ขยับลุกตาม พวกมันพร้อมใจกันหันมามองเขาแล้วส่งเสียงร้องสั้นๆ ก่อนจะพากันกระโดดขึ้นไปบนเสารั้วแล้วออกเดินไปตามวิถีของแมวจร
ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยกับท่าทางของทั้งสี่ตัว เขาเดินไปทำความสะอาดเศษอาหารที่พวกมันกินเลอะออกมาจากนั้นจึงยกชามกับขวดน้ำออกเพื่อไปทำความสะอาดแล้วเติมน้ำดื่มให้ใหม่ เขาไม่รู้หรอกว่าพวกมันใช้ชีวิตกันยังไงหรือว่าไปนอนที่ไหน แต่เมื่อยามหิวก็ควรได้รับสิ่งดีๆ เพื่อให้มีแรงใช้ชีวิตในวันต่อไป
หลังจากปิดบ้านเรียบร้อยดีแล้ว สุทธิรักษ์จึงค่อยหาอะไรกินง่ายๆ ดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอให้อาหารย่อยจึงปิดชั้นล่างแล้วขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนที่ชั้นบน ก่อนจะล้มตัวลงนอนก็ได้รับสายจากรุ่นพี่ในที่ทำงานที่ขอให้ช่วยขึ้นเวรเพราะลูกคนเล็กไม่สบาย ซึ่งคนไม่มีภาระอะไรอย่างเขาก็ตกปากรับคำโดยไม่อิดออด
ก็แค่จะไม่มีโอกาสเห็นหน้าคุณหมอกวินไปอีกสามสี่วันก็เท่านั้น... บางทีเขาควรจะแอบถ่ายรูปเก็บไว้ดีหรือเปล่านะ?
• • • • • •
-
วันนี้สุทธิรักษ์ทำงานอย่างเป็นสุขแม้จะต้องเข้าเวรที่ห้องการเงินของโรงพยาบาลจนถึงสามทุ่มก็ตาม เพราะเมื่อเช้าเป็นครั้งแรกที่เขาเจอหมอกวินก่อนมาทำงาน ร่างสูงอยู่ในชุดแปลกตากว่าที่เคยเห็น เสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงวอร์มขายาวดูสบายๆ ทรงผมที่เคยจัดทรงเรียบร้อยก็ดูยุ่งเหยิงน่ามองไปอีกแบบ เจ้าตัวคล้ายจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาแต่แค่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นรอยยิ้มสดใสก็แตะแต้มใบหน้าเช่นทุกที
ส่วนเขาที่กำลังเก็บจักรยานเข้าที่จอดทำยังไงน่ะหรือ? ก็ได้แต่ฉีกยิ้มเกร็งๆ ให้แล้วรีบเผ่นจากไปน่ะสิ
แม้จะเจ็บใจกับปฏิกิริยาส่วนตัว แต่การบังเอิญพบคนที่แอบชอบในตอนเช้ามันก็ทำให้วันทั้งวันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่อให้เจอผู้คนร้อยพ่อพันแม่สักแค่ไหนเขาก็รับมือด้วยรอยยิ้ม จนเพื่อนร่วมงานคงคิดว่าเขาบ้าไปแล้วก็ได้
“กลับยังไงเรา?” เสียงทักทายจากช่องกระจกบานเลื่อนเบื้องหน้าเรียกสายตาของคนที่กำลังจัดเก็บของให้หันไปมอง สุทธิรักษ์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขย่าพวกกุญแจรถในมือคล้ายเชื้อเชิญ
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็อยากจะติดรถกลับไปด้วยครับ”
“ถ้ารบกวนล่ะก็ พี่คงเผ่นแนบไปก่อนแล้ว” อั๋น หรืออันดา เภสัชกรที่ขึ้นเวรยังห้องใกล้เคียงกันเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “รีบเก็บของเร็วเข้า พี่หิวข้าวด้วย”
สั่งความเสร็จก็พาร่างมานั่งลงที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง สุทธิรักษ์อมยิ้มมองคนรอที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาก่อนจะรีบกลับไปเก็บของต่อจนเสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาไม่นานคนทั้งคู่ก็เดินก้าวฉับๆ ไปยังที่จอดรถของเจ้าหน้าที่ พากันขึ้นมอเตอร์ไซค์คันเก่งของอันดาแล้วมุ่งหน้าออกจากโรงพยาบาลไปตามทาง
อันดาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันแต่บ้านอยู่ห่างออกไปหลายซอย วันไหนที่ขึ้นเวรตรงกันก็มักใจดีพาเขากลับบ้านด้วยเสมอ เพราะรู้กันดีว่ารถประจำทางที่จะวิ่งผ่านหน้าหมู่บ้านในยามดึกเช่นนี้มีน้อยมาก ต้องรอกันนานเลยทีเดียวกว่าจะมาสักคัน ยังดีที่ในหนึ่งเดือนมีขึ้นเวรประจำห้องการเงินไม่เท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นสุทธิรักษ์คงได้ดิ้นรนหาซื้อรถเข้าให้จริงๆ
หลังจากแวะเติมพลังรอบดึกจากร้านบะหมี่เกี๊ยวปูแถวบ้าน อันดาก็พาเขามาหย่อนไว้ตรงที่จอดจักรยานบริเวณหน้าหมู่บ้านแล้วบอกลาเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
สุทธิรักษ์เดินมาปลดล็อกจักรยานท่ามกลางความเงียบ เวลาเกือบห้าทุ่มเช่นนี้ร้านรวงต่างๆ ก็พากันปิดเงียบเชียบ จะเหลือก็แต่ร้านสะดวกซื้อ 24 ชม. แต่บรรยากาศก็ยังพาให้วังเวงไม่หยอก ชายหนุ่มวางชุดสายคล้องในตะกร้าหน้าแล้วจึงเคลื่อนรถออกมาเพื่อตั้งทิศทางให้พร้อม แต่ความหนืดของการเคลื่อนที่ทำให้เขาต้องก้มลงไปดูสาเหตุ
“โหย~ แบนได้ไงล่ะเนี่ย” เสียงโอดครวญดังฝ่าความเงียบเมื่อพบว่าล้อทั้งสองของจักรยานคู่ใจนั้นแบนเสียจนติดพื้นทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งจะเติมลมไป ไม่มีทางที่เขาจะฝืนปั่นไปมาได้เป็นแน่ สุทธิรักษ์จำต้องตัดใจล็อกจักรยานไว้กับที่ตามเดิมแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเดินเท้ากลับบ้านที่ห่างกันเป็นกิโลแทน
ชายหนุ่มหยุดยืนมองร้านคลินิกรักษาสัตว์ที่ปิดไฟมืดสนิทแล้วอดคิดถึงคุณหมอเจ้าของร้านไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะนอนหลับฝันดีไปหรือยัง? ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะโชคดีได้เจอกันอีกหรือเปล่า? จะมีโอกาสได้แอบถ่ายรูปหมอเก็บไว้ได้บ้างไหม? หากขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเสียงเปิดรั้วก็ดังแว่วมาจากทางด้านข้าง เขาหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อให้ตัวเองคลายกังวลแล้วก็พบกับเงาตะคุ่มของใครสักคนกำลังเดินออกมา
บ้านหลังที่ติดกับคลินิกนี้คงไม่ใช่...
“อ้าว! คุณรัก”
อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้นะสุทธิรักษ์!!
“ส...สวัสดีครับคุณหมอ” คนตอบรับพยายามเหลือเกินที่จะรักษาระดับเสียงให้เป็นปกติ ใจหนึ่งก็อยากจะออกวิ่งหนีไปอย่างทุกที แต่ก็กลัวว่าคุณหมอจะมองว่าเขาเป็นคนไม่มีมารยาทจนพาลไม่มองหน้ากัน
สุทธิรักษ์สูดหายใจเข้าออกยาวๆ ขณะรออีกฝ่ายที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาข้างกายก็ปรากฏร่างสูงยืนเคียงคู่กัน หัวใจเขานั้นเต้นตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง ทั้งใบหน้าก็เห่อร้อนอย่างห้ามไม่อยู่ยามมองรอยยิ้มสวยๆ ที่ส่งมาให้
“กลับดึกจังเลยครับ”
“คือ...วันนี้ผมขึ้นเวรน่ะครับ” สุทธิรักษ์อ้อมแอ้มตอบ พยายามอย่างยิ่งที่จะหลบสายตาคู่คมที่มองมา
“ขอละลาบละล้วงนะครับ คุณรักทำงานอะไรหรือครับ”
“ผมทำแผนกธุรการในโรงพยาบาลครับ บางวันก็มีขึ้นเวรที่ห้องการเงินด้วย” หมอกวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ สายตายังคงจับจ้องคล้ายกับจะมีคำถามบางอย่างเพิ่มเติมหากมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่แย้มพรายออกมา
“เอ่อ...คุณหมอกำลังจะไปไหนรึเปล่าครับ?”
“อ๋อ ผมกะจะไปซื้อของใช้สักหน่อย” คุณหมอว่าพลางชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงฝั่งตรงกันข้าม “แล้วคุณรักทำไมถึงจะเดินกลับล่ะครับ เมื่อเช้าคุณปั่นจักรยานมานี่”
“ยางมันแบนทั้งสองล้อน่ะครับ”
“แย่จัง” คุณหมอหนุ่มเอ่ยเห็นใจทว่ามุมปากจุดรอยยิ้มอ่อนบางเกินกว่าที่ใครอีกคนจะทันสังเกตเห็น
สุทธิรักษ์ทั้งตื่นเต้นทั้งกดดัน เขาอยากจะยืนอยู่ด้วยอย่างนี้ไปอีกสักพักแต่เกรงว่าคนพูดไม่เก่งอย่างเขาจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดซะเปล่าๆ การพูดคุยทักทายแบบผิวเผินมันอาจจะดีกว่าการสนิทสนมกับคนน่าเบื่อแบบเขาก็ได้ คิดได้ดังนั้นก็ไม่นึกเสียใจ สุทธิรักษ์จำใจต้องบอกลาชายหนุ่มผู้เลอค่าในความรู้สึกแต่เพียงเท่านี้ เขาจะรีบกลับไปนอนเผื่อเช้าพรุ่งนี้จะมีโอกาสได้บังเอิญพบกันอีก
“...งั้นผม--”
“ผมไปส่งนะครับ”
คำกล่าวลาถูกเสียงนุ่มสบายหูขัดกลางประโยคเสียก่อน สุทธิรักษ์เก็บกลืนเสียงตัวเองลงคอด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อกี้คนตรงหน้าได้เอ่ยคำพูดบางอย่างออกมาจริงๆ ใช่ไหม? คุณหมอกวินบอกว่าจะไปส่งเขาอย่างนั้นหรือ? ไปส่งเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะเขาหูฝาดไปใช่ไหม? ชายหนุ่มที่ชักจะไม่เชื่อความสามารถในการฟังของตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะขอคำยืนยัน
“ให้ผมไปส่งนะครับคุณรัก” หมอกวินบอกอีกครั้งราวกับเข้าใจความหมายของสายตาที่เขาสื่อออกไป สุทธิรักษ์มองรอยยิ้มของคุณหมอด้วยใบหน้าเห่อร้อน หัวใจทำงานหนักด้วยความตื่นเต้น มันพองโตจนแทบจะทะลุออกมานอกอกแล้ว
“คือ...”
“อย่าปฏิเสธเลยครับ ยังไงก็คนหมู่บ้านเดียวกัน”
คำพูดจากคนยิ้มสวยเหมือนเข็มแหลมที่เจาะหัวใจอันอาจหาญของคนฟังให้เหี่ยวแฟ่บลง
สุทธิรักษ์แสร้งยิ้มตอบรับทั้งที่ในอกปวดแปลบๆ เขายืนรอคุณหมอหนุ่มที่รีบวิ่งกลับเข้าบ้านเพื่อไปเอาจักรยานท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ความเงียบนั้นทำให้เขาต่อว่าความรู้สึกเหิมเกริมของตัวเองได้ดี ...หน้าจะแดงจะร้อนแล้วยังไง หัวใจมันจะโป่งพองจนแตกออกมาแล้วจะทำไม เขาไม่มีสิทธิ์ใช้ความใจดีเล็กๆ น้อยๆ ของใครอีกคนมาให้ความหวังตัวเอง ผู้ชายทุกคนไม่ใช่เกย์ และคนที่ใจดีกับอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องทำเพราะกำลังมีความรักให้
เฮ้อ~ เกือบไปแล้วไหมเล่าสุทธิรักษ์ ดีแค่ไหนแล้วที่ได้คำพูดคุณหมอเตือนสติ
เขาเป็นแค่คนหมู่บ้านเดียวกัน และเป็นได้แค่นั้นนั่นแหละ
“คุณรัก ไปกันครับ”
คุณหมอกวินยิ้มร่ามาพร้อมกับจักรยานแม่บ้านคันเดิม เขายิ้มให้แล้วเดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้าย อมยิ้มกับคำแซวให้เขาจับแน่นๆ เพื่อเตรียมซิ่งจากอีกฝ่าย แต่ในความเป็นจริงคือการปั่นเอื่อยๆ รับลมสายเย็นๆ ยามค่ำคืน คุณหมอถีบจักรยานได้เชื่องช้ามากเสียจนเขากังวลเรื่องน้ำหนักตัวเอง แต่เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ที่พาเจ้าแมวไปคลินิกคุณหมอยังปั่นได้รวดเร็วยิ่งกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าก็ให้ถอนหายใจ...คุณหมออาจจะเหนื่อยแล้วก็เริ่มง่วงขึ้นมาก็ได้
“เจ้าเหมียวหายแล้วนะครับ” เสียงของคุณหมอลอยมาตามลม เพราะรอบข้างเงียบสงัดจึงทำให้ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั้นชัดเจน “คุณรักอยากไปเยี่ยมมันไหมครับ?”
สุทธิรักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามหยุดหัวใจที่คล้ายจะลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าเลยครับ ผมไม่ค่อยถูกกับสัตว์เท่าไหร่”
“...เหรอครับ”
“คุณหมอยังหาเจ้าของไม่เจอหรือครับ”
“ใช่ครับ ผมลองประกาศหาที่เพจของคลินิกกับที่กระดานประกาศของหมู่บ้านแล้วแต่ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลย”
“ขอโทษนะครับ ผมเลยทำให้คุณหมอลำบากไปด้วย”
“ไม่ลำบากอะไรเลยครับ” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เจ้าเหมียวนั่นนับว่าเลี้ยงง่ายมากครับ ดูจะเข้าใจคำพูดของคนเก่งกว่าแมวตัวอื่น แต่ติดตรงที่หัวสูงไปหน่อย”
สุทธิรักษ์ได้แต่ยิ้มตาม เขาไม่เข้าใจว่าแมวหัวสูงเป็นอย่างไหร่แต่ก็ไม่ทันได้ถามเพราะคุณหมอยังคงเจื้อยแจ้วเรื่องแมวตัวเดิมไปเรื่อย เขาเองก็รับฟังเสียงนั้นแล้วยิ้มออกมาราวกับคนบ้า แต่เวลาแห่งความสุขมันต้องมีจุดสิ้นสุดของมัน เมื่อคุณหมอเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กขนาดรถสวนกันพอได้ สองข้างทางมีเพียงแสงจากเสาไฟข้างทาง ไม่กี่วินาทีต่อมาจักรยานแม่บ้านคันใหญ่ก็จอดเทียบรั้วระแนงสีเข้มที่สูงเท่าอก
“ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มลงจากรถก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แต่บางอย่างมันดูจะผิดปกติไปสักหน่อย เขาเงยหน้ามองคนใจดีตรงหน้าด้วยความสับสน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเพราะกำลังนึกถึงบางอย่างที่ไม่ใคร่จะถูกต้องนัก
“หืม? อะไรครับ?” สุทธิรักษ์หลบตาฉับเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย
“คือ..ผมยังไม่ทันได้บอกทางมาบ้านเลยนี่?” เพราะเขามัวแต่ฟังเสียงเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ของคุณหมอมาตลอดทาง
“อะ! เอ่อ...ที่จริงแล้ว...”คุณหมอหนุ่มมีสีหน้าเขินอายระคนรู้สึกผิดเล็กน้อย “บ้านเพื่อนสนิทผมอยู่หลังโน้นครับ ก็เลยได้เห็นคุณรักบ่อยๆ” เขามองตามปลายนิ้วของคนพูดที่ไปตกยังบ้านหลังตรงข้าม
“เห็นบ่อยเหรอครับ” คนฟังทวนคำสีหน้ากังวล
“ใช่ครับ ก็เห็นว่าคุณรักมีรถแฟนมารับมาส่งบ่อยๆ”
“หา! ผมไม่มีแฟนนี่ครับ” สุทธิรักษ์สับสนหนักยิ่งกว่าเดิม
“ฮะๆ ผมล้อเล่นหรอกครับ” หมอกวินหัวเราะจนตาปิดทิ้งร่องรอยเสน่ห์ไว้ที่ลักยิ้มอีกเช่นเคย “ผมเห็นคุณชอบมานั่งตรงชานบ้านแล้วมองแมวกินข้าว ถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเหมียวนั่นเป็นของคุณในตอนแรกไง”
“คือ...ผมแค่วางอาหารทิ้งไว้เฉยๆ”
“อาหารสำหรับแมวจรสามสี่ตัวไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ ถ้าคุณไม่ได้รักสัตว์คงทำแบบนี้ทุกวันไม่ได้”
“ผมไม่ได้ชอบ--” สุทธิรักษ์พยายามแย้ง แต่เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเขาถูกขัดจากคนยิ้มสวย
“คุณอาจจะไม่ชอบแต่คุณไม่ได้เกลียดแน่นอน เพราะคนที่เกลียดสัตว์ไม่มีทางใจดีแบบนี้หรอกครับ”
เขาว่ากันว่า การทำดีสุดท้ายแล้วจะได้ผลตอบแทน สำหรับสุทธิรักษ์แล้วนั้นคงจะเป็นรอยยิ้มของคุณหมอคนนี้เป็นแน่ คำชมกับลักยิ้มน่ารัก... มันช่างเป็นผลตอบแทนเล็กน้อยที่อุ่นหัวใจเหลือเกิน
“พรุ่งนี้คุณรักยังกลับดึกแบบนี้อยู่รึเปล่า?”
“ครับ ผมอยู่เวรอีกสามวัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอกุญแจล็อกจักรยานของคุณรักไว้นะครับ พรุ่งนี้จะได้เข็นไปร้านซ่อมให้”
ความใจดีของคุณหมอทำเขาใจบางอีกแล้ว
“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากรบกวน” สุทธิรักษ์รีบปฏิเสธ แต่เขาไม่รู้เลยว่าคุณหมอคนนี้กลับมีความดื้อดึงที่เกินคาด ใบหน้าหล่อเหลาง้ำลงเป็นการปฏิเสธเช่นกัน
“แล้วคุณรักจะเดินกลับบ้านทุกคืนหรือครับ แบบนั้นมันอันตรายไม่ใช่หรือไงกัน”
“เอ่อ...”
“ถึงหมู่บ้านเราจะดูสงบสุขดี แต่ก็ยังมีพวกเด็กวัยรุ่นซ่าๆ อยู่นะครับ อย่างพวกที่ทำร้ายเจ้าเหมียวนั่นไง”
“คือ...”
“อีกอย่างร้านซ่อมก็อยู่ใกล้ๆ กับคลินิก ผมเลยไม่เห็นเป็นเรื่องลำบาก”
“แต่...”
“ผมเต็มใจนะครับ ...หรือว่าคุณรักรังเกียจผม”
“ผมชอบต่างหากล่ะครับ!!”
สุทธิรักษ์หวังใช้เสียงที่ดังกว่าปกติโต้ตอบเพื่อหยุดการสาธยายอันยาวเหยียดของคนใจดี เพราะฉะนั้นท่ามกลางความเงียบรอบตัวเสียงของเขาจึงดังราวกับตะโกนออกมา
แต่...
เมื่อกี้เขาพูดอะไรออกไป!!
“ผมหมายถึงว่าผมไม่ได้รังเกียจคุณหมอน่ะครับ ค...คุณหมอเป็นคนใจดีแบบนี้ใครๆ ก็ชอบใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าอธิบายแก้ต่างให้กับความน่าอับอายของตน และเขาหวังว่าคุณหมอจะเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันด้วยกลัวว่าความเงียบที่คุณหมอสร้างขึ้นตอนนี้จะเกิดเพราะการรังเกียจ
“ถ้าอย่างนั้นก็เอากุญแจมาให้ผมสิครับ”
สุทธิรักษ์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงที่อีกฝ่ายพูดกับเขานั้นยังคงนุ่มนวลเหมือนเดิม เขารีบหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าส่งให้คนตัวสูง แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่อีกคนต้องการ
“โทรศัพท์ด้วยครับ”
แม้จะงุนงงแต่สุทธิรักษ์ก็ยังหยิบแล้วยื่นส่งให้อีกฝ่ายง่ายๆ ชายหนุ่มจำต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ คุณหมอไม่ตอบอะไรแต่กลับยื่นโทรศัพท์มาให้เขาปลดล็อกจากนั้นก็ชักกลับไปปัดๆ กดๆ หน้าจอด้วยความรวดเร็ว เขายืนรอด้วยความสงสัยอยู่เกือบห้านาทีคุณหมอถึงจะยอมคืนมือถือให้
“ผมเพิ่มเบอร์โทรไว้แล้ว พรุ่งนี้กลับมาถึงเมื่อไหร่ก็ติดต่อมานะครับ” คราวนี้คุณหมอล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเล่นบ้าง ครู่เดียวเท่านั้นก็เก็บลงกระเป๋ากางเกงแล้วเผยรอยยิ้มที่พาให้คนละลายได้ เสี้ยววินาทีต่อมาก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์ในมือ สุทธิรักษ์ปัดหน้าจอแล้วพบกับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ
[Kawin Pawapirom เพิ่มคุณเป็นเพื่อนบน Facebook]
[คุณเพิ่ม WIN_KaWIN เป็นเพื่อนด้วย LINE ID]
“หืม!!” สุทธิรักษ์มองสลับของในมือกับเจ้าของชื่อให้วุ่น เขาคิดว่าหมอกวินเพียงบันทึกเบอร์โทรเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าช่อทางการติดต่อทุกอย่างก็ยังถูก...
“คุณรักจะได้เลือกได้ไงครับว่าจะติดต่อผมช่องทางไหนดี” คนพูดยิ้มกริ่ม ไม่สนใจอาการสับสนของคนฟังสักนิดแม้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะเรียกว่าพลการและค่อนไปทางเสียมารยาท
“ผมไปก่อนนะครับ” ยังไม่ทันที่คำพูดจะหลุดออกมาจากปากเขา ชายหนุ่มร่างสูงก็บังคับหมุนจักรยานแล้วขับออกไปยังทางเดิมทันที
สุทธิรักษ์มองตามเงาร่างนั้นจนหายลับไป
ต่อให้ถูกเข็มแหลมเจาะทิ่มสักแค่ไหน แต่เขาก็อดที่จะปะติดหัวใจจนมันกลับมาพองฟูได้ดั่งเดิมเสมอ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านด้วยรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายจากใบหน้า เขาเตรียมอาหารและน้ำให้แมวจรทั้งสี่ตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ อาบน้ำ อ่านหนังสือที่ค้างไว้สักเล็กน้อย เขาทำทุกอย่างตามกิจวัต แต่วันนี้มันกลับพิเศษกว่าที่เคย อาจจะเพราะรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย อาจเพราะรอยยิ้มและการกระทำของใครบางคนยังคงทำให้หัวใจอิ่มเอิบ
กระทั่งถึงเวลาที่จะต้องนอน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตั้งปลุกอย่างทุกที แต่คราวนี้ที่หน้าจอกลับแสดงบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม มีข้อความส่งมาหาเขา...จากคนที่เพิ่งจะได้เป็นเพื่อนกัน
WIN_KaWIN [เลิกงานแล้วติดต่อมานะครับ]
WIN_KaWIN [แล้วก็...]
WIN_KaWIN [ฝันดีครับ]
ดีใจที่ตอนนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นในห้องนี้ สุทธิรักษ์เก็บคำกรีดร้องลงคอแล้วเปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นการดิ้นไปมาบนที่นอนหลังใหญ่ กลิ้งไปมาจนพอใจแล้วจึงกลับมาตั้งสติกับสิ่งที่อยู่ในมือ สองตาเรียวยาวมองหน้าจอนิ่งนาน ซึมซับคำอวยพรให้ตราตรึงถึงห้วงฝัน
มันคงเป็นการบอกฝันดีตามมารยาททั่วไป แต่เขาก็ยังคงดีใจและยินดีเหลือเกินที่ได้รับมัน ชายหนุ่มมองเวลากำกับข้างข้อความแล้วให้กังวลเล็กน้อย ดูท่าว่าคุณหมอคงส่งข้อความมาทันทีที่ถึงบ้านมันจึงห่างจากเวลาในตอนนี้เกือบสองชั่วโมง เขาควรจะโต้ตอบกลับไปหรือปล่อยไว้แบบนี้ดี
คิดไปทั้งที่มือเริ่มพิมพ์ตัวอักษร พิมพ์แล้วลบ พิมพ์แล้วลบนับหลายนาทีจนกระทั่งได้คำง่ายๆ ที่ดูไม่มีนัยอะไรสำคัญให้คิดต่อ แต่กระนั้นก็ยังลังเลที่จะส่งกลับไป
เอาเลยสิ! นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดคำนี้ก็ได้นะ! ความกล้าหาญที่พอจะมีอยู่บ้างบอกกับเขาแบบนั้น และในเมื่อความคิดที่ว่ามันอาจเป็นเพียงครั้งเดียวมีอิทธิพลกับใจมากกว่า นิ้วจึงถูกสมองสั่งให้กดลงไปเบาๆ ยังหน้าจอ
[ครับ...ฝันดีเช่นกันครับ]
เขามองข้อความบ้านๆ ที่เด้งขึ้นไปอย่างพอใจ เท่านี้เขาก็ฝันดีไปอีกหลายคืนแล้ว
หากขณะที่กำลังจะปิดโปรแกรมบางอย่างบนหน้าจอก็พลันเปลี่ยนแปลง ข้อความเขามีคำว่า ‘อ่านแล้ว’ กำกับอยู่ ใจคนมองเต้นระส่ำอีกรอบ อย่างนี้ก็หมายความว่าคุณหมอเห็นแล้วน่ะสิ!
WIN_KaWIN [ขอบคุณครับ]
ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองนะ...ย...อย่างนี้ที่หน้าจอของคุณหมอก็ต้องรู้สิว่าเขากำลังอ่านอยู่ มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม คุณหมอจะไม่มองเขาไม่ดีใช่ไหม
WIN_KaWIN [บางทีคืนนี้...]
คนอ่านกลืนน้ำลายลงคอรอคอยข้อความต่อไปที่น่าจะมีต่อ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้
WIN_KaWIN [ผมคงฝันดีกว่าที่เคย]
สุทธิรักษ์กำโทรศัพท์กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอีกรอบ แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้ว่าจะโต้ตอบข้อความนั้นอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายระแวง คุณหมอก็ช่างไม่รู้เลยว่าคำพูดหวานๆ แบบนี้ไม่ควรส่งมาให้คนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน คงไม่คิดเลยสินะว่าจะทำให้ใครหัวใจพองจนแน่นอกบ้าง
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตอบข้อความกลับ ทำเพียงจัดการตั้งปลุกตามที่ตั้งใจแล้วปิดไฟเพื่อเข้านอนทันที
และเขาก็ฝันดี...
ฝันดีกว่าที่ครั้งไหนจะเทียบได้
• • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันอังคารหน้า • • • • • • • • • • • • •
ขอบคุณสำหรับความสงสัยค่ะ 555
คุณหมอกวินเป็นพระเอกนะคะทุกคน
แต่ความทาสนี่จะเกี่ยวกับคุณหมอหรือไม่
น้องแมวจะเกี่ยวข้องอย่างไร
ที่รักจะเป็นทาสหรือว่าจะเป็นใคร?
รออ่านตอนต่อไปเน่อ กิ๊วกิ้ว--*
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจ้า
เจอกันวันอังคารสีชมพู
:bye2:
-
คุณหมอเนียนเชียว 555555
-
ขี้เขินมาก
-
:hao7: :hao7: มีนิยายอ่านแล้ว ดีใจๆ
-
ทาส? หรือคุณหมอมีรสนิยมmaster and slave :ruready
-
เจ้าแมวเนี่ยน่าจะมีส่วนไม่มากก้น้อย
แต่รักจะเอามาเลี้ยงมั้ย
-
มันต้องเป็นแผนของหมอแน่ๆเลย
-
รักคุณหมอเลย อ่านเปิดเรื่องนึกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว 555
-
คุณหมอ อ้อยเก่งไปแล้วววว ฮืออออ :o8: :-[
-
คุณหมอเตาะเก่งง่า :hao7:
-
ฮั่นแหน่~ คุณหมอ แอบส่องบ้านเขาด้วยอ่ะ
-
:3123: :pig4: :3123:
-
ทาส? หรือคุณหมอมีรสนิยมmaster and slave :ruready
เจออันนี้เข้าไปขำก๊ากเลย :laugh:
แมวขาวหัวสูง มีทาสสองคนที่จีบกัน งุงิ งุงิ
-
:hao5: ตอนแรกยังไม่กล้าเข้ามาอ่าน.... กลัวค้าง.... แต่อดใจไม่ไหว......เลยต้องมาพบกับ ....คุณหมอขี้อ่อย...กับหนุ่ม(อวบ)น้อยๆขี้อาย... รออังคารต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
-
ตอนที่ 3
โลกคู่ขนาน
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลประกอบไปด้วยดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมาย นักวิทยาศาสตร์ต่างเสาะหาสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ว่า ‘โลก’ ไม่ได้เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ การค้นพบอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมากมาย ดาวดวงแล้วดวงเล่าถูกเราค้นพบแล้วถือสิทธิ์ในการตั้งชื่อให้มัน มีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่เหล่ามนุษยชาติได้ลงไปเหยียบย่ำ แต่ก็ยังมีอีกมากมายนักที่เรามิอาจค้นเจอ
สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอแม้จะอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์สามารถไขข้อสงสัยได้ทุกสิ่ง ทั้งเรื่องลี้ลับ เรื่องราวเขย่าขวัญ หรือแม้แต่โลกคู่ขนานที่ถูกกล่าวว่าเป็นความคิดของคนเพ้อฝัน แต่ใครเล่าจะพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง มนุษย์ผู้ใดจะชี้ชัดได้ว่าในโลกที่เราเกิดและเติบโตนี้จะไม่มีโลกใบอื่นทับซ้อนกัน
มีเพียงเหล่าผู้ล่วงรู้เท่านั้น...
และหนึ่งในผู้รู้เหล่านั้นก็กำลังนั่งรับลมท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่มกำลังดี ลมโชยพัดอ่อนๆ ขับไล่ไอร้อน ขับเสียงเสียดสีของแมกไม้ให้เสนาะน่าฟัง ขนสีขาวนุ่มฟูพลิ้วไหวพาให้ร่างกายรู้สึกดี
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นระยะเวลาแน่นอนเท่าไหร่แล้ว แต่จากการคำนวณคร่าวๆ ก็น่าจะกินเวลาร่วมเดือนเข้าไปแล้วที่ผู้สูงศักดิ์อย่างเขาต้องมาติดแหง่กอยู่ในโลกแห่งนี้ กินๆ นอนๆ อยู่ในพื้นที่จำกัดจำเขี่ย กับผู้ร่วมอาศัยแสนจะน่ารำคาญที่ทำเอาปวดหัวได้อยู่เรื่อย
‘มาเล่นกันเถอะๆๆ’
บรรยากาศอันแสนสงบจบลงเพียงเท่านี้สินะ
แมวหนุ่มเจ้าของขนสีขาวกระจ่างหันไปมองเจ้าของเสียงร่าเริงที่วิ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับลูกบอลสีส้มในปาก จากนั้นก็สะบัดของเล่นชิ้นโปรดเข้าใส่ -- อี๋~ น้ำลาย!!
‘สกปรกจริงเจ้าหมา!’ เขาจำต้องใช้อุ้งเท้าสีขาวสะอาดยกปัดลูกบอลนั้นไปให้พ้นทาง แล้วปล่อยให้เจ้าหมาแสนร่าเริงวิ่งตามไปคาบด้วยความสนุก ขนสีน้ำตาลทองดกหนาขยับไหวไปตามลม ผู้มองได้แต่ถอนหายใจเมื่อเจ้าก้อนขนนั้นวิ่งกลับมาโยนบอลใส่อีกเพื่อให้เขาเล่นด้วย
เขาปัดบอลไปไกลกว่าเดิมอีกครั้ง
‘เย่ๆๆ~’
เจ้าหมาน้อยเอ๊ย...
แมวหนุ่มทำใจรับสภาพพี่เลี้ยงเด็กมาได้หลายวันแล้ว มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นักหรอกเพราะพอเจ้าตัวเหนื่อยก็จะไม่มาตอแยกันอีก แต่บางครั้งพลังงานอันล้นเหลือก็ทำเอาคนเล่นด้วยตั้งรับไม่ได้เหมือนกัน
‘ขอบใจนะโทนี่’
‘ไม่เป็นไรหรอกคุณต๋อมแต๋ม’ โทนี่หันไปบอกผู้มาใหม่อย่างเป็นกันเองพลางตบลูกบอลที่ลอยมาอีกครั้ง เจ้าของนามต๋อมแต๋มเดินมานั่งลงข้างๆ อวดขนสีน้ำตาลอ่อนสวยงามไม่ต่างจากของลูกชาย เท่าที่ทำความรู้จักกันมานั้นคุณต๋อมแต๋มอยู่กับเจ้าของบ้านมานานหลายปี และต๊อกแต๊กเจ้าหมาร่าเริงนั่นคือลูกคอกสุดท้ายก่อนที่เธอจะมีลูกอีกไม่ได้
‘แม่ๆๆ มาเล่นกัน’ เจ้าต๊อกแต๊กวิ่งมาหาแม่ตัวเอง แต่พอเห็นเขาปัดลูกบอลไปไกลอีกก็รีบวิ่งตามอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของความเป็นเด็กพลอยให้คนฟังยิ้มได้
‘เป็นอย่างไรบ้าง ติดต่อกับคนที่บ้านได้รึยัง’ คุณต่อมแต๋มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจดี
‘อาจจะเป็นเรื่องลำบากสักหน่อย แต่คงอีกไม่นานคงกลับไปได้’ เจ้าของขนสีขาวฟูนุ่มบอกอย่างมีความหวัง เรื่องทั้งหมดต้องกล่าวโทษพวกมนุษย์ใจทรามกลุ่มนั้น! ทำร้ายร่างกายเราไม่พอยังบังอาจดึงหนวดเส้นสำคัญที่คอยนำทางไปยังประตูมิติ แม้ตอนนี้มันจะเริ่มขึ้นมาแล้วแต่กว่าจะยาวเต็มที่จนรับรู้ตำแหน่งได้ก็คงกินเวลาอีกเกือบสองเดือน
คิดแล้วก็ให้ถอนหายใจพลางทำหน้าที่ตบลูกบอลไปด้วย
‘เผ่าพันธุ์ของเราก็มีเรื่องเล่าถึงดินแดนที่เธอจากมาเหมือนกัน’ คุณต๋อมแต๋มมองลูกชายวิ่งเล่นด้วยสีหน้าเป็นสุขก่อนจะเงยหน้ารับลมที่โชยกลิ่นหญ้าหอม
‘เล่ากันว่าดินแดนนั้นไม่มีมนุษย์แม้แต่ผู้เดียว มีแต่เผ่าพันธุ์ของเราใช้ชีวิตกันอย่างเสรีและมีความสุข จนกระทั่งค้นพบห้วงมิติที่นำมาสู่โลกนี้ เหล่าสุนัขพากันข้ามมาสำรวจด้วยความอยากรู้ ทุกสิ่งดูแปลกใหม่น่าค้นหา แต่ใครจะรู้ว่านานวันเข้าโลกใบนี้จะทำให้พวกเราไร้ซึ่งความบริสุทธิ์จนไม่อาจกลับดินแดนได้อีกต่อไป’
เกิดความเงียบท่ามกลางเสียงแห่งความสุขของเด็กน้อย เราก้มหน้าลงด้วยความกังวลที่ไม่อาจปิดบัง ในหัวมีแต่ภาพของครอบครัวและเหล่าแมวที่รู้จักคุ้นเคย นึกถึงบรรดาสหายที่ผ่านประตู้มิติไปแล้วไม่เคยได้กลับมาอีกเลย เขา...เขาจะไม่อาจได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนอีกแล้วใช่หรือไม่
‘อย่ากังวลไปเลย’ แมวหนุ่มเงยหน้ามองแม่หมาใจดีที่ส่งยิ้มให้กำลังใจ ‘ขอเพียงเธอมีสิ่งนำทางไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องได้กลับไปแน่’
อัลโทนีโอพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเคยอ่านตำนานของอาณาจักรมาบ้างเหมือนกัน มีอยู่ข้อหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า เด็กที่เกิดนอกดินแดนจะไร้ซึ่งความบริสุทธิ์แห่งสายเลือดจึงมิอาจนับเป็นส่วนหนึ่ง และผู้ที่มีสัมพันธ์กับสายเลือดไม่บริสุทธิ์จะมิอาจกลับมาได้อีก
เพราะฉะนั้นเขาจะต้องได้มีโอกาสกลับไปแน่นอน
“แต๋ม! แต๊ก! เจ้าเหมียว!”
‘คิก เจ้านายเรียกแน่ะ’ ร่างสูงใหญ่ของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ลุกขึ้น คุณต๋อมแต๋มเรียกลูกชายให้ตามไปต้อนรับเจ้าของบ้านที่กลับมาจากที่ทำงานที่อยู่ข้างๆ บ้าน
‘เราอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าเราไม่ได้ชื่อนั้น’ แมวเพียงหนึ่งเดียวในบ้านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
‘ฟังดูน่ารักดีจะตาย’ ว่าแล้วสองแม่ลูกก็พากันวิ่งไปยังทิศทางของเสียงเรียก
เขาคือหนึ่งในตระกูลขุนนางระดับสูงของราชวงศ์อันเกรียงไกรที่ปกครองอาณาจักรแคทเทอร์นิปมาช้านาน มีนามอันไพเราะว่า ‘อัลโทนีโอ บวารี่ คูเท่น เดอ มองฟรัวร์ ที่แปด’ ซึ่งตั้งตามชื่อท่านปู่ที่มีชื่อเดียวกับท่านปู่ทวด อันเป็นชื่อเดียวกับท่านทวดของท่านทวดของท่านปู่ทวดอีกที แต่เจ้ามนุษย์ผู้นี้กลับเรียกเขาว่าเจ้าเหมียวๆ อย่างไม่ให้เกียรติกันสักนิด อย่างน้อยถ้าไม่รู้ชื่อกันก็ควรตั้งชื่อให้เป็นกิจจะลักษณะสิ!
ตอนที่เดินเข้าไปถึงก็เห็นสองแม่ลูกกำลังกินของว่างกันอย่างเอร็ดอร่อย พอเจ้ามนุษย์เห็นเขาเดินไปถึงก็เผยยิ้มร่า บรรยากาศเฉพาะตัวของเจ้ามนุษย์ที่แผ่ออกมานั้นทำให้เขาอดใจที่จะเข้าไปอยู่ใกล้ไม่ได้เลย
“ม๊าว~”
“มาๆ กินขนมเร็วเจ้าเหมียว”
แม้จะขัดใจเรื่องชื่อ แต่กลิ่นหอมๆ ที่โชยออกมาจากซองในมือมนุษย์นี่จะทำเป็นลืมเรื่องนั้นไปก่อนแล้วกัน
“ม๊าว~”
‘อร่อยมากมนุษย์’
“ม๊าว~”
‘เจ้านี่ช่างหาของมากำนัลเราเก่งเสียจริง!’
“อร่อยใช่มั้ย?”
เอาเถอะ! ถึงมนุษย์ชั้นสามัญผู้นี้จะเรียกชื่อเขาอย่างขอไปทีก็ช่าง เขายกโทษให้เพื่อเห็นแก่การดูแลอย่างดีและขนมแสนอร่อยที่มีให้บ่อยๆ แถมตัวก็ยังมีกลิ่นที่ชวนให้สบายใจแผ่ออกมา ฝ่ามือก็อุ่นกำลังดี ตะกรุยมือปรนนิบัติเขาได้ถูกที่ถูกจุดอีกต่างหาก
เมื่อของดีหมด เขาก็เช็ดปากอย่างมีมารยาทรวมถึงถือโอกาสล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย ขณะที่มนุษย์ลูบขนอันสวยงามของเขาแล้วค่อยลุงขึ้นไปเก็บถาดอาหารที่สุนัขแม่ลูกกินกันเสร็จแล้วเช่นกัน รอยยิ้มเต็มใบหน้ามนุษย์เจ้าของบ้านตลอดเวลาจนคุณต๋อมแต๋มต้องคอยมองตามด้วยความเป็นห่วง
“อยู่บ้านกันดีๆ นะเด็กๆ” ว่าจบมนุษย์ตัวสูงเท่ายักษ์ก็เดินยิ้มแฉ่งเดินหายเข้าประตูที่เชื่อมต่อกับร้านไป
‘พักนี้เจ้านายดูอารมณ์ดีแปลกๆ นะ’ คุณต๋อมแต๋มเอ่ยเลื่อนลอยด้วยความไม่สบายใจ
แมวหนุ่มทิ้งตัวนอนกับพื้นพลางทำความสะอาดอุ้งมือไปด้วย เขาเองก็ไม่รู้จะไขข้อข้องใจของคุณต๋อมแต๋มได้อย่างไร แต่จากที่เห็นมนุษย์ผู้นั้นมาช่วงไม่กี่วันมานี้นั้นเรียกได้ว่ารื่นเริงเหมือนเจ้าต๊อกแต๊กได้ของเล่นเลยเชียว
‘สองสามวันนี้ก็ออกไปนอกบ้านตอนกลางคืนประจำด้วย’ ความกังวลของแม่หมายังมีไม่หยุด ‘กลับมาก็ยิ้มจนหน้าบาน แล้วก็ยังไปเอารถสองล้อของใครมาก็ไม่รู้’
‘แต๊กรู้ๆๆ เป็นตักกะยานของมนุษย์ลูกค้า’ เจ้าหมาอวดรู้เด้งตัวขึ้นนั่ง หันไปมองแม่ตัวเองด้วยท่าทางไร้เดียงสา ‘แต็กจำกลิ่นได้ แต๊กเจอที่ร้านเจ้านาย กลิ่นห๊อมหอมล่ะแม่ เขากลัวแต๊กด้วยนะ แต่กลิ่นใจดีมันโชยหึ่งๆ เลยล่ะ’
‘อา~ สงสัยเจ้านายจะใกล้ถึงฤดูผสมพันธุ์แล้วสินะ’ คุณต๋อมแต๋มพยักหน้าหงึกหงักให้ลูกชาย
‘ที่ออกไปกลางคืนก็ไปเจอมามนุษย์คนนั้นมาแน่เลย กลิ่นหอมๆ ติดเจ้านายฟุ้งเลยล่ะ’ เจ้าหมาช่างเจรจาเสริม เรียกเสียงถอนหายใจจากแม่ผู้มากประสบการณ์
‘เราใกล้จะมีเจ้านายน้อยกันแล้วสินะ’
‘แต่มนุษย์ลูกค้าเป็นผู้ชายนะแม่’ ต๊อกแต๊กบอกหน้าซื่อ
‘...........’
คุณต๋อมแต๋มหมดคำพูด อัลโทนีโอมองดูร่างใหญ่โตเคลื่อนตัวจากไปนอนเล่นตรงชานบ้านเงียบๆ ปล่อยให้ขนสีน้ำตาลทองสวยพลิ้วไหวไปกับสายลมคล้ายกับปล่อยใจไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เขาเลยต้องตกเป็นเป้าของเจ้าหมาน้อยไปโดยปริยาย
‘ไว้คืนนี้ไปแอบดูเจ้านายกันนะโทนี่’ ต๊อกแต๊กเคลื่อนร่างมานอนข้างๆ ใช้อุ้งเท้าหนาโกยร่างเราไปนอนซุกท้องนุ่ม
‘ทำไมเราต้องไปตามติดชีวิตมนุษย์ด้วยเจ้าหมา’ มนุษย์น่ะแค่มีหน้าที่หาของอร่อยๆ ให้พวกเรากินก็เท่านั้น เป็นข้าทาสสองขาที่ต้องคอยดูแลพวกเราอย่างดี แค่ยอมให้ลูบให้เกาก็ถือว่าเขาใจดีมากแล้ว
เจ้าหมาต๊อกแต๊กเอียงหัวไปมาคล้ายไม่เข้าใจ ฮึ! ก็แน่ล่ะ... สุนัขน่ะมีความสัตย์ซื่ออยู่ในสายเลือด แค่ถูกทำดีด้วยก็ยกให้เป็นมิตร แต่สายพันธุ์แมวอย่างเขาน่ะทั้งหยิ่งและผยองในศักดิ์ศรี ไม่ได้ยอมกระดิกหางไว้ใจใครไปทั่วหรอกนะ
‘แต่มนุษย์ลูกค้าเป็นคนช่วยโทนี่นะ’
สิ้นคำเจ้าหมา เขาถึงกับอดใจยกมือขึ้นตะปบหัวปุยเบาๆ ไม่ได้
‘โทนี่ตีแต๊กทำไม’
‘เรื่องนี้ต้องรีบบอกเราไม่ใช่รึไง’
‘ก็แต๊กไม่รู้นี่ ขอโทษนะโทนี่’ ลิ้นใหญ่ยาวสีชมพูของเจ้าหมาแลบเลียหน้าเขาทีเดียวก็เปียกไปครึ่งหน้า อัลโทนีโอพยายามหลีกหนีแต่อุ้งเท้าใหญ่ก็ตะปบตัวเขาให้อยู่กับที่เพื่อที่จะเลียขนเอาใจ เขาได้แต่ถอนหายใจปล่อยให้เจ้าหมาน้อยทำไปจนกว่าจะพอใจ
เขาหวนนึกถึงกลิ่นหอมๆ กับความอบอุ่นของอ้อมกอดแล้วให้พึงพอใจ มนุษย์ผู้นั้นช่างดียิ่ง! เขาจะตอบแทนความดีนั้นด้วยการกระดิกหางให้บางเวลาก็ได้ แล้วจะแถมเลียแต่งขนให้เป็นพิเศษด้วย ถึงแมวจะหยิ่งขนาดไหนแต่ก็รู้จักตอบแทนบุญคุณหรอกนะ!
• • • • •
สุทธิรักษ์ลงจากรถประจำทางด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวพิกล
วันนี้เป็นเวรวันสุดท้ายสำหรับสัปดาห์นี้แล้วกว่าจะขึ้นอีกทีก็เป็นช่วงปลายเดือน และจากที่หมอกวินส่งข้อความมาบอกว่าพรุ่งนี้ร้านซ่อมรถจะเปิดบริการหลังจากปิดไปเสียหลายวัน นั่นหมายความว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้นั่งซ้อนท้ายจักรยานของคุณหมออีกแล้ว ทำไมเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้นะ...
ร่างผอมบางระยะสุดท้ายเดินฝ่าความเงียบยามค่ำคืนจนมาถึงหน้าบ้านคุณหมอกวิน ฝ่ามือขาวผ่องล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมา ปัดปลายนิ้วเปิดข้อความล่าสุดที่เจ้าของบ้านส่งมาอ่านทวนซ้ำไปซ้ำมา
WIN_KaWIN [ลงจากรถแล้วรีบโทรหาผมเลยนะครับ]
หัวใจเนี่ยโบยบินไปเร็วกว่าสัญญาณโทรศัพท์เสียอีก แต่สมองมันคอยแต่จดๆ จ้องๆ ชั่งใจเอาไว้
เขากับคุณหมอก็ไม่ได้สนิทสนมเป็นเพื่อนกัน แค่ความสัมพันธ์ของคนรู้จักกันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับสามวันที่อีกฝ่ายปฏิบัติด้วย คุณหมอทั้งมารับถึงที่บ้านในตอนเช้าและไปส่งในตอนกลางคืนอีก มันทั้งรบกวนเวลาและแรงกาย แล้วถ้าวันนี้เขาโทรเรียกคุณหมอออกมาอีกจะดูเป็นคนไร้มารยาทไม่รู้จักความพอดีหรือเปล่า
แต่ถ้าปล่อยโอกาสวันนี้ให้หลุดลอยไป ก็คงหมดหวังจะได้ใกล้ชิดคุณหมออีกแล้ว คนไม่ชอบสัตว์อย่างเขาจะหาทางไปเป็นลูกค้าที่ร้านก็นับว่าเป็นไปไม่ได้ จากนี้คงมีสิทธิ์แค่ยิ้มทักทายกันเวลาบังเอิญเจอกันแน่ๆ
เอาไงดีเล่าไอ้รัก!!
คิ้วเรียวสวยเป็นระเบียบขมวดมุ่น ความต้องการกับจิตสำนึกตีกันให้วุ่นในหัว... แต่แล้วหัวใจก็เป็นฝ่ายชนะ
ปลายนิ้วกดเบอร์โทรออกที่บันทึกไว้ รอสายไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงนุ่มๆ จากปลายสาย
“เอ่อ...สวัสดีครับคุณหมอ”
“สวัสดีครับคุณรัก” เพียงแค่คำทักทายสั้นๆ ก็ทำเอาคนได้ยินเคลิ้มไปกับเสียงนุ่มหูเคล้าเสียงขบขัน
“คือ...ผมมาถึงแล้วครับ”
“รับทราบครับผม”
หลังอีกฝ่ายวางสายไป ภายในบ้านหลังตรงหน้าก็เกิดเสียงตึงตังแว่วออกมา เสียงเรียกชื่อสุนัขดังเป็นระยะจวบจนกระทั่งประตูไม้ระแนงบานใหญ่เลื่อนออกแทนที่จะเป็นประตูเล็กที่เจ้าของมักนำจักรยานจูงเดินออกมา คนมองเคลื่อนตัวไปมองด้วยความสงสัย แล้วก็พบว่าวันนี้คงไม่ใช่จักรยานหรอกที่เขาจะได้นั่งกลับบ้าน
รถยนต์คันใหญ่ห้าประตูสีเทาเปิดไฟหน้าสว่างวาบ มันค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจากที่จอด สุทธิรักษ์ขยับหลบให้พ้นทางด้วยความฉงน แอบคิดไปว่าหรือเพราะน้ำหนักตัวเขาเลยทำให้จักรยานคุณหมอยางแบนไปแล้ว
“คุณรักขึ้นรถเลยครับ เดี๋ยวผมปิดบ้านก่อน” ร่างสูงสมส่วนของคุณหมอคนเก่งเปิดประตูลงมาบอกับเขา ก่อนจะวิ่งอ้อมไปรูดประตูรั้วปิดด้วยความรวดเร็ว
สุทธิรักษ์เดินไปเปิดประตูข้างคนขับแล้วขยับขึ้นนั่งอย่างไม่อิดออด ได้มีโอกาสเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้คุณหมอในเวลาสั้นๆ ก็นับว่าคุ้มอย่างที่สุดแล้ว เขาขยับตัวนั่งรอในท่าสบายพลางแอบชำเลืองมองความสะอาดสะอ้านของรถคันใหญ่
“โฮ่ง!”
บางเสียงดังขึ้นจากด้านหลังพาให้คนได้ยินตัวเกร็งขึ้นมาทันทีทันใด ตุ๊กตาหน้ารถชั่วคราวค่อยๆ หันไปยังเบาะหลังที่เขาไม่ได้สนใจจะมอง และบางอย่างที่เห็นทำให้คนมองร้องครางในใจเสียงดัง
“โฮ่ง!” เจ้าหมาตัวใหญ่ขนสีน้ำตาลสวยคล้ายจะยิ้มหน้าเป็นใส่เขา
“ว...หวัดดี เอ่อ...ต๊อกแต๊กใช่ไหม” เป็นอีกครั้งที่เจ้าหมาส่งเสียงประหนึ่งยินดีที่เขาจำชื่อมันได้ ใบหน้ายาวยื่นผ่านช่องกลางออกมา ส่งจมูกดุนดันแขนเขาไปมา ขาหน้าข้างหนึ่งยังอุกอาจยื่นขึ้นมาสะกิดเขาพลางแนบหัวลงสื่อสารบางอย่าง
“ไม่เอาแบบแตะเนื้อต้องตัวกันได้ไหม?” สุทธิรักษ์งึมงำกับตัวเอง ร่างเครียดเกร็งด้วยต้องใกล้ชิดกับสัตว์โดยไม่มีหนทางให้หลบหนี เขาได้แต่อดทนกลืนน้ำลายก้อนแล้วก้อนเล่าลงคอยามเพื่อนร่วมทางยังไม่หยุดแสดงการมีตัวตน
เขาไม่ได้เกลียดกลัวสัตว์ แต่ก็ไม่ชอบที่มันจะเข้ามาคลุกคลีด้วย แต่การโวยวายไล่ส่งหรือทำร้ายร่างกายก็ไม่เคยเกิดขึ้นในหัว ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นสุนัขของคุณหมอหรือไม่หรอก เพราะเขาเชื่อว่าสัตว์ทุกตัวมีความคิดและความรู้สึก มันเจ็บได้แล้วก็คงร้องไห้เป็น การลงมือทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่โต้ตอบเราทางคำพูดไม่ได้ดูจะใจร้ายเกินไป
แต่เขาก็ไม่ใช่สายมังสวิรัติ แถมยังตบยุง ตีแมลงวัน รวมถึงดักแมลงสาปด้วย... ก็นับว่าเป็นความเห็นใจที่ดูย้อนแย้งเหลือเกิน
“ต๊อกแต๊ก!” เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนคำเรียกชื่อเจ้าหมาไม่กี่วิ ร่างสูงใหญ่ขมวดคิ้วฉับเมื่อเห็นเจ้าหมายังคงตีมึน มันยื่นขาออกมาเกาะผู้โดยสารซ้ำยังแนบหน้าซบไม่สนใจคำเรียกเชิงขู่ของเจ้านาย
สุทธิรักษ์ได้แต่ยิ้มแห้ง
“แต๊กคงชอบคุณ” เจ้าของรถควบเจ้าของหมากล่าวสรุป สุทธิรักษ์ยิ้มแห้งเหือดกว่าเดิมเสียอีก “ผมว่าคุณต้องลูบมันหน่อยแล้วล่ะครับ ไม่งั้นหมอนี่คงไม่พอใจ”
หา!! สุทธิรักษ์เบิกตาโต หันไปมองคนพูดราวกับตัวเองฟังอะไรผิดไป แต่ขณะยังไม่ทันจะได้เตรียมใจก็ถูกฝ่ามือใหญ่ยื่นออกมาจับมือของเขาเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวนะครับ” หมอกวินเอ่ยเจือรอยยิ้มน่ารัก แต่ใจของสุทธิรักษ์ถูกฝ่ามือที่ถูกกุมไว้ตรึงความสนใจไปหมดแล้ว ไฉนเลยจะมาสนใจกับรอยยิ้มหวานนั่นได้
ฝ่ามือหนาเลื่อนพามือเขาไปหยุดลงที่หัวปุยขนของเจ้าหมาช่างตื๊อ ขนนุ่มนิ่มเสียดสีฝ่ามือให้รู้สึกจั้กจี้ ทว่าบนหลังมือของเขากลับถูกความอุ่นร้อนจากฝ่ามือคุณหมอแนบเนาอยู่กลับรู้สึกจั้กจี้ยิ่งกว่า ฝ่ามือคุณหมอไม่ได้นุ่มมากออกจะสากนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่กลับอบอุ่นเหมือนรอยยิ้มบนใบหน้า
“เป็นไงครับ? ไม่น่ากลัวใช่ไหม”
เขาพยักหน้าอย่างเคอะเขิน สายตาจับจ้องเพียงแต่ฝ่ามือที่ประสานกันบนหัวสีน้ำตาลทองของสุนัข เขาพยายามเก็บรายละเอียดความโชคดีนี้ไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด กระทั่งนิ้วโป้งของคุณหมอที่เผลอเกลี่ยผิวเนื้อเขาไปมาก็ยังทนข่มกลั้นความอายจดจำร่องรอยอุ่นร้อนนั้นเอาไว้
ไม่รู้ว่ามันจะกินเวลาไปสักกี่นาที หรือคุณหมอต้องการให้เขาชาชินกับสัตว์ได้ในครั้งเดียว
สุทธิรักษ์ลอบมองสีหน้าของคุณหมอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจดจ้องอยู่บนฝ่ามือทั้งสอง ดวงตาคมทอประกาย รอยยิ้มจุดขึ้นตรงมุมปาก
เขาไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองเลยไม่อาจตีความหมายจากท่าทางของอีกฝ่ายได้ แต่ครั้นคนถูกจ้องรู้ตัว สายตาคู่สวยก็พลันมองตรงมาที่เขา ริมฝีปากรึก็ส่งยิ้มกว้างจนขึ้นร่องเสน่ห์ข้างแก้ม
ตาพร่าไปหมดแล้ว...
มือของเรายังคงวางอยู่ตำแหน่งเดิมเป็นเหตุให้สุทธิรักษ์ว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ถ้าเขาดึงมือออกมาตอนนี้ก็จะดูเหมือนรังเกียจคุณหมอใช่หรือไม่? แต่ถ้ายังคงปล่อยวางเอาไว้ก็จะดูเสนอตัวเกินไปใช่หรือเปล่า? ถ้าคุณหมอเขาไม่ชอบเกย์เล่า? หมอกวินจะหลีกหนีไหมยามเจอกันครั้งหน้า อาจจะคิดว่าเขาเป็นเกย์แล้วยังไม่เจียมเชื้อเชิญให้ท่าดอกฟ้า หรือ... โอ๊ย~ บ้าจริง!! จะหยุดยิ้มก่อนสักวิสองวิได้ไหม!
“เมี๊ยว!” หนึ่งเสียงดังขึ้น พร้อมร่างสีขาวกระโดดพุ่งขึ้นมาจากทางด้านหลังลงปุบลงบนฝ่ามือคนทั้งสองที่ถูกน้ำหนักตัวพาให้กระเจิดกระเจิงแยกกันไป น้ำหนักจากเจ้าก้อนขนสีสะอาดตากดหัวเจ้าต๊อกแต๊กลงไปก่อนใช้แรงดีดตัวลงมานั่งปุบลงบนตักของสุทธิรักษ์อย่างนุ่มนวลประหนึ่งจอมยุทธ์ผู้ใช้วิชาตัวเบา
อืม...ก็ไม่ได้เบานะ หนักอยู่เหมือนกัน
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเจ้าพวกนี้เกิดคึกอะไรไม่รู้วอแวจนผมเกือบหน้าคะมำ เล่นเอาเข็นจักรยานออกมาไม่ได้เลย” หมอกวินยิ้มแห้งให้เขา นี่คงเป็นต้นเหตุของเสียงโวยวายในบ้านก่อนหน้านี้สินะ
“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนคุณหมอ” เขาตอบให้อีกคนคลายกังวลทั้งที่ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเกร็งเขม็งยิ่งกว่าเดิม
“ผมเต็มใจต่างหากล่ะครับ” หมอกวินเอ่ยพลางสตาร์ทเครื่อง ไม่กี่วินาทีต่อมาล้อรถจึงขับเคลื่อนไปตามทาง “จำมันได้ไหมครับ เจ้าเหมียวนี่ที่คุณช่วยเอาไว้”
สุทธิรักษ์ก้มมองก้อนขนปุยบนตัก มันนั่งนิ่งประหนึ่งตุ๊กตาหากการหายใจทำให้ร่างเคลื่อนไหวไปมาทำให้รู้ว่ามันมีชีวิต เขาจำได้ว่าก่อนหน้าที่พามันอุ้มวิ่งคล้ายตัวมันจะไม่หนักเท่าตอนนี้ สงสัยว่าคุณหมอคงจะเลี้ยงมันอย่างดีถึงได้ตัวอวบอ้วนมากกว่าเก่า เขาทำใจกล้าส่งนิ้วชี้ลงไปลูบตรงหัวเพื่อพิสูจน์ความนิ่ม
“เมี๊ยว~” เสียงร้องอย่างพึงใจของเจ้าแมวทำเอาคนใจกล้าหดมือกลับแทบไม่ทัน เป็นเหตุให้เจ้าของรถหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“ผมว่าเจ้าเหมียวมันยังจำคุณได้ เพราะขนาดผมยังไม่ได้รับเกียรติให้มันนั่งตักเลยนะครับ”
“ฮะๆ อย่างนั้นหรือครับ” เสียงหัวเราะนั้นแหบแห้งยิ่งกว่าหน้าแล้งที่ไร้ฝน สุทธิรักษ์นั่งตัวเกร็งตามเดิม ไม่คิดยื่นมือไปทำสิ่งใดที่ไม่ควรอีก
“พรุ่งนี้คุณรักเลิกงานกี่โมงครับ” คุณหมอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ปกติเลิกสี่โมงครึ่งครับ กลับมาถึงนี่คงไม่เกินห้าโมงครึ่ง” สุทธิรักษ์ตอบ พลางคิดไปถึงจักรยานที่คุณหมอรับฝากเอาไว้ “คุณหมอฝากกุญแจไว้กับที่ร้านซ่อมเลยก็ได้นะครับผมไม่อยากรบกวนให้คอย พรุ่งนี้ผมกะว่าจะไปซื้อของที่ห้างอาจกลับช้าหน่อยแต่น่าจะมาทันร้านปิด”
“อืม~ พอดีเลยครับ! ผมก็ต้องไปซื้อของพอดีเลย ถ้าไงเราไปด้วยกันดีกว่านะครับ”
“หืม!!?” สุทธิรักษ์หันขวับไปมองคนยิ้มกริ่ม คุณหมอหนุ่มหันมายิ้มรับให้เขาเพียงเสี้ยววิก่อนจะหันกลับไปมองถนนเมื่อรถเลี้ยวเข้าซอย ไร้การขยายความจนกระทั่งรถคันใหญ่จอดสนิทหน้าบ้านของเขา
“อาหารหมาแมวหมดครับ เจ้าพวกนี้กินจุมากซะด้วย ผมซื้อทีก็สองสามกระสอบใหญ่เลยครับเผื่อเป็นอาหารของคนไข้ด้วย”
“แต่...” สุทธิรักษ์ชักปฏิเสธไม่ออก หรือคุณหมออยากให้เขาช่วยขนกระสอบอาหารหมาเพื่อตอบแทนบ้าง
“ผมจะไปรับคุณที่โรง’บาลนะครับ แล้วเราก็ไปกินข้าวกันก่อน ซื้อของเสร็จก็กลับบ้านกัน คุณรักจะได้ไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่ พอถึงร้านซ่อมคุณรักก็เอาจักรยานแล้วปั่นกลับบ้านไป ส่วนผมก็ขับรถเอาของตามไปส่งให้ คุณรักจะได้ขี่สบายๆ ไม่พะรุงพะรัง”
สุทธิรักษ์ได้อ้าปากเตรียมคัดค้านแต่จนด้วยหาช่องแทรกไม่ได้ แถมยังถูกรอยยิ้มทำให้ไขว้เขวเสียอีก
“นะครับ...”
เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณหมอรวบรัดแบบมัดมือชกสุทธิรักษ์จึงได้ตอบตกลงไปอย่างว่าง่าย
คุณหมอช้อนตัวแมวขนดกไปไว้ด้านหลังให้อย่างเอื้ออารี แม้จะขัดขืนเล็กน้อยแต่ครั้นถูกปรามด้วยเสียงก็ยอมสงบเสงี่ยมลงราวกับรู้ภาษา ชายหนุ่มบอกราตรีสวัสดิ์เขาเหมือนเคย แต่คราวนี้ยังอุตส่าห์ปัดขนแมวหมาที่ติดฝ่ามือเขาออกให้อยู่ตั้งนานสองนานกว่าจะยอมให้เขาลงจากรถ
รถสีเงินคันโตขับออกไปแล้ว
แต่สุทธิรักยังคงมองส่งด้วยหัวใจเต้นดั่งกลองรัว ชายหนุ่มยกมือข้างที่คุณหมอลูบปัดขนให้ขึ้นมอง มันไม่มีเส้นขนแปลกปลอมหลงเหลือให้เห็นสักเส้นแล้ว ...แต่สัมผัสร้อนๆ จากคุณหมอยังคงอยู่
• • • • •
[มีต่อ]
-
ครึ่งวันเช้าสุทธิรักษ์ทำงานแทบไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากถูกหัวหน้าเรียกไปตักเตือนเรื่องงบจัดซื้ออุปกรณ์ที่รวมตัวเลขผิดพลาด เขาพยายามตั้งสมาธิให้ดีอีกครั้งด้วยการปัดคุณหมอกวินออกไปจากความคิด แล้วการทำงานก็ลื่นไหลไปได้ดังที่ผ่านมาทุกวัน พอครึ่งวันบ่ายเขาก็ยุ่งหัวหัวหมุนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากงาน
หมอกวินโทรเข้ามาเมื่อใกล้เวลาเลิกงานเพื่อถามสถานที่นัดหมาย แต่เขาที่กำลังยุ่งหัวปั่นกับเอกสารด่วนของลูกจ้างที่ต้องส่งกระทรวงฯ ในวันพรุ่งนี้เช้าจึงออกปากปฏิเสธไปเพราะคิดว่าคงต้องเลิกงานช้าอย่างน้อยเกือบครึ่งชั่วโมง แต่คุณหมอก็ยังยืนยันที่จะอยู่รอ เขาไม่ได้คัดค้านอะไรเพียงคิดว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ คุณหมออาจจะรอไม่ไหวแล้วไปก่อนเอง
ไม่คิดว่ายี่สิบนาทีต่อมาคุณหมอจะยังรออยู่จริงๆ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมพับแขนขึ้นดูสบายๆ ขับเน้นรูปร่างตึงแน่นกับแผงอกกว้างแบบคนออกกำลังกาย กางเกงผ้าสีน้ำเงินเข้มกับสลิปออนคู่สวยสีเดียวกับเสื้อ ช่วงขาวยาวนั่งไขว่ห้างด้วยท่วงท่าที่ราวกับหลุดออกมาจากนายแบบนิตยสาร สายตากำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ราคาแพงในมือ ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังยืนจ้องอยู่แม้แต่น้อย
สุทธิรักษ์ยืนค้างกลางประตู สองตามองคุณหมอประจำใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งขัดเขินทั้งซึ้งใจในคราวเดียวกันจนปั้นสีหน้าตัวเองไม่ถูก เขาคิดจริงๆ ว่าคุณหมอคงกลับไปแล้วและเขาก็ไม่โกรธด้วยถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งรอเขาเงียบๆ ไม่มีการส่งข้อความไปเร่งเร้าเขาสักประโยค และการที่ปวดหัวกับงานมาทั้งวันแล้วได้พบกับสิ่งที่ทำให้เจริญตาเจริญใจแบบนี้นับว่าเป็นการเหนื่อยที่คุ้มค่าทีเดียว
“ยืนขวางประตูเพื่อ” เสียงคุ้นหูไล่หลังมา เรียกให้สายตาคนรอคอยเงียบๆ ละความสนใจจากมือถือได้ในที่สุด สุทธิรักยิ้มตอบคุณหมอรูปหล่อเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาให้พ้นทางรุ่นพี่ที่อยู่ทำงานเกินเวลาเหมือนกัน หากพออีกฝ่ายเดินออกมาแล้วเห็นคุณหมอเท่านั้น สองเท้าก็พลันชะงักงันรีบถอยกลับไปหารุ่นน้องที่ยังคงยืนเก้กังไม่ไปไหน
“หล่อบาดขั้วหัวใจเจ้ไปเลย” สาวโสดวัยล่วงสามสิบต้นๆ นามนันทวรรณเอ่ยกระซิบกับรุ่นน้อง สองตาที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีพราวระยับด้วยไม่ค่อยพบเจอของดีราคาแพงในโรงพยาบาลชั้นสองแบบนี้ บรรดาหนุ่มๆ ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ไม่เรียกว่าหน้าตาด้อยแต่อย่างใด หากพอเห็นกันทุกวันจนชินตารู้นิสัยกันมากเข้าความหล่อมันก็ลดลงไปจนไม่น่าตื่นเต้นในที่สุด
“มาติดต่อเรื่องอะไรรึเปล่านะ” สาวสวยพึมพำกับตัวเอง ไม่ได้สนใจรุ่นน้องที่กำลังอึกอักอยู่ข้างๆ แม้แต่น้อย
“เสร็จงานแล้วหรือครับ” เป็นหมอกวินที่ลุกขึ้นทักทายทำลายความประดักประเดิด ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มพิฆาตที่ทำเอาคนมองทั้งสองตาพร่าไปชั่วขณะ เขาถือว่าตัวเองมีภูมิดีกว่าอีกคนตรงที่เห็นมาหลายครั้ง ผิดกับสาวคนข้างๆ ที่แอบเขย่าแขนเขาพร้อมกับส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างอดไม่อยู่
นั่นคืออาการที่เขาอยากจะทำตอนที่เห็นรอยยิ้มของคุณหมอครั้งแรกเหมือนกัน
“เราไปกันเลยไหมครับคุณรัก” สิ้นคำของแขกแปลกหน้า นันทวรรณถึงกับใช้สายตาหรี่เล็กหันมาจ้องเขา
“อะไรยังไง? เป็นเพื่อนกันก็ไม่บอก” รุ่นพี่สาวส่งเสียงขัดใจหากสายตายังคงเหลือบมองคนตัวสูง
“คือว่า...” สุทธิรักษ์เกิดอาการอึกอักอย่างแท้จริง เขาไม่รู้จะบอกความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ยังไงดีจริงๆ เป็นแค่คนรู้จัก? ก็ดูจะหยามน้ำใจคุณหมอเกินไป หรือจะให้บอกว่าเป็นเพื่อน? มันก็ยังไม่สนิทชิดเชื้อกันถึงขนาดนั้น
คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะใช้ความคิด แต่ดูท่าจะไม่จำเป็นต้องอีกแล้ว เพราะคนที่กำลังมองด้วยสายตาขบขันระคนเอ็นดูนั้นตัดสินใจเดินหมากหนึ่งตา แม้จะตั้งใจเก็บไว้ใช้ในโอกาสที่ดีกว่านี้ก็ตามที
“ผมกวินครับ เป็นเพื่อนกับคุณรัก” กวินหันไปบอกหญิงสาวตรงหน้า หากสายตาก็ยังเอาแต่เหลือบมองชายหนุ่มอยู่ตลอด
“...และผมก็หวังว่าคุณรักจะยอมให้เราพัฒนาความสัมพันธ์มากขึ้นไปอีก”
ทันทีที่พูดจบ ปฏิกิริยาของคนฟังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวที่นับว่าหน้าตาสะสวยตรงหน้าหลิ่วตามองรุ่นน้องสลับกับเขาอย่างทราบถึงความนัยน์ ส่วนอีกคนนั้นบัดนี้ถูกความขาวพาให้สีแดงระเรื่อฉาบทับสองข้างแก้ม สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มดูอดทนข่มกลั้นได้อย่างน่ามองเหลือเกิน หากเพียงครู่เดียวเท่านั้น ระบบความคิดก็คงเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งส่งผลให้คิ้วคู่งามขมวดผูกปม แสดงสีหน้าราวกับถูกเขากลั่นแกล้งเสียใหญ่โต
“พี่ไปก่อนนะรัก สาวโสดอย่างพี่ทนเหม็นกลิ่นความรักไม่ค่อยไหว” กวินยิ้มขันกับท่าทางปัดอากาศไปมาของหญิงสาว ทำเอาคนข้างตัวออกอาการกินปูนร้อนท้องขึ้นมา
“พี่นัน!! มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ!!”
“จ้าๆ ไปก่อนนะคะคุณกวิน” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยตอบกลับคำลา ต่อเมื่อหญิงสาวเดินจากไปแล้วก็เหลือเพียงชายหนุ่มตัวเล็กที่แสนจะมีน้ำมีนวล ท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่เห็นนั้นไม่ได้ช่วยให้คนทำดูน่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับดูน่ารักด้วยแก้มเต่งตึงที่คล้ายจะเป่งขึ้นกว่าเดิม ไหนจะริมฝีปากอิ่มสีชมพูธรรมชาติที่ขยับไปมาไม่หยุดราวกับสบถใส่เขาอีก
มันน่าดูน้อยเสียเมื่อไหร่
“คุณหมอล้อเล่นแบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ!”
“แย่ยังไงครับ” เขาถามกลับเสียงซื่อ ทั้งที่ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้มกับท่าทางอีกมุมที่เพิ่งจะเคยได้เห็น
“ผมต้องโดนล้อไปอีกนานแน่เลย” คนน่ารักโอดครวญ “ไม่คิดเลยว่าคุณหมอจะขี้แกล้งแบบนี้”
กวินหัวเราะเบาๆ ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาอุตส่าห์ยอมรุกเดินก่อนเวลาแล้วแท้ๆ แต่คนตัวเล็กกลับคิดว่าเป็นการหยอกเล่นเสียได้ ดูเอาด้วยสองตาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจให้กันแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเข้าข้างตัวเองเอาเสียบ้าง คอยแต่จะหนีห่างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คงจะคิดเองเออเองว่าเขามีไมตรีให้เพราะเป็นคนรู้จักกัน
ถ้าเขาอยากจะเป็นแค่นั้น คงไม่ลงทุนแอบปล่อยลมจักรยานจนแบนแต๊ดแต๋แบบนั้นหรอก!
“ไปกันเถอะครับ” ฝ่ามือใหญ่แตะแผ่นหลังของอีกคนแผ่วเบาให้ออกเดินไปพร้อมกัน อมยิ้มยามสุทธิรักษ์ปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียดคล้ายกับยอมรับชะตากรรมในที่สุด “คุณรักอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
“ตอนนี้ไม่มีครับ เลือกร้านที่คุณหมอชอบได้เลยครับผมกินง่ายสบายมาก”
“งั้นเป็นชาบูนะครับ ผมยังไม่ได้กินกลางวันมาด้วย ตอนนี้หิวจนเห็นคุณรักเป็นเนื้อชาชูไปแล้ว”
“คุณหมอ~ ล้อผมอีกแล้ว” คนข้างกายโอดครวญเสียงสูงน่าฟัง หากครู่เดียวสีหน้าก็พลันรู้สึกผิด “...ขอโทษนะครับ เพราะต้องมารอผมแท้ๆ”
“ผมเต็มใจครับ”
“..........”
อา...เมื่อไหร่เขาจะได้ฟัดแก้มแดงๆ นั่นจนหนำใจได้นะ
เมื่อมาถึงซูเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ละแวกบ้าน เราก็มุ่งลงชั้นใต้ดินอันมีร้านอาหารหลากหลาย เมื่อพบร้านเป้าหมายก็ตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล พนักงานพามานั่งโต๊ะพร้อมกับแจกเมนู ต่างคนต่างเปิดหน้าเลือกสรรสิ่งที่ต้องการชนิดที่ไม่มีการปรึกษากันให้เสียเวลาเล่นเอาพนักงานบันทึกออเดอร์ในเครื่องมือเป็นระวิง
“เท่านี้ก่อนครับ” กวินปิดเมนูเล่มใหญ่หลังจากสั่งไปไม่ต่ำกว่าสิบรายการ
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ?” พนักงานถามเป็นอย่าสุดท้าย
“ผมขอน้ำแตงโมครับ” สุทธิรักษ์ตอบด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันมามองเขา “คุณหมอเอาเหมือนกันไหม?”
ผมยิ้ม หากส่ายหน้าแล้วบอกพนักงาน “ขอชามะนาวครับ”
“ผมนึกว่าคุณหมอชอบน้ำแตงโมซะอีก” สุทธิรักษ์รอจนกระทั่งพนักงานเดินจากไปถึงได้ถามตามความสงสัย คำถามนั้นออกจะทำให้คนรับฟังขัดเขินได้ไม่น้อย อีกคนคงคิดเอาเองตามสิ่งที่เคยเห็นแต่คงต้องโทษตัวเขาเองที่ทำให้ถูกเข้าใจเป็นอย่างนั้น ก็เขาเห็นว่าสุทธิรักษ์ชอบน้ำแตงโมเสียเหลือเกิน มาซื้อน้ำหน้าคลินิกเขาทีไรก็สั่งแต่น้ำแตงโมปั่นสีหวานๆ สมหน้าตา ไอ้เขาก็อยากให้อีกฝ่ายสนใจบ้างก็เลยลองสั่งเหมือนกันไป
“ที่จริงผมชอบดื่มกาแฟครับ หรือไม่ก็ต้องเป็นน้ำที่มีรสเปรี้ยวสักหน่อยถึงจะถูกปาก” กวินอมยิ้มพลางเอ่ยต่อ “เห็นคุณรักชอบสั่งแต่น้ำแตงโมปั่น ผมอยากรู้ว่ารสชาติแบบไหนที่คุณรักชอบ วันนั้นก็เลยลองสั่งดูบ้าง”
“แล้วเป็นไงครับ?”
“อืม...ก็หวานชื่นใจดีครับ ดื่มแล้วคิดถึงคุณรักเลย”
“..........”
พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟได้เวลาถูกใจคนขี้อาย สุทธิรักษ์เลยได้โอกาสหาอะไรทำกลบเกลื่อนความขัดเขินที่กระจายบนใบหน้า ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้ม เขาเองก็ไม่อยากรุกหนักให้อีกฝ่ายลำบากใจจนเกินไปเลยทำมองเมินเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับอาหารแทน
และเขาก็ได้รู้...เนื้อตัวที่ช่างมีน้ำมีนวลน่าจับต้องนั้นไม่ได้มาเพราะความหนาของมวลกระดูกแน่ๆ
สุทธิรักษ์กินง่ายอย่างปากว่า แถมยังกินน่าอร่อยไปเสียทุกอย่าง ทำเอาเขามองเพลินจนกินเกินพอดีตามไปด้วย ดีแค่ไหนแล้วที่อีกฝ่ายกินดุขนาดนี้แล้วยังตัวไม่อวบอ้วน คงต้องขอบคุณระบบเผาผลาญอันดีเยี่ยมในร่างกายล่ะนะ เพราะสังเกตจากเนื้อนิ่มๆ ไร้กล้ามเนื้อแล้วนั้น สุทธิรักษ์คงไม่ใช่นักออกกำลังกายที่ดีแน่นอน
กวินรีบชิงออกค่าอาหารทั้งหมดเมื่ออิ่มหมีพีมันกันถ้วนหน้า แม้จะถูกคัดค้านอย่างหนักแต่เขาก็ยื่นคำขาดในการให้อีกคนเป็นเจ้ามือบ้างในครั้งหน้าเอาตัวรอดมาได้อย่างสบาย หลังจากนั้นก็พากันเดินไปเลือกรถเข็นคนละคันแล้วเข้าสโตร์เพื่อเลือกซื้อของ เพื่อเป็นการเว้นระยะให้ความเป็นส่วนตัวทั้งสองจึงตัดสินใจแยกกันเดินหลังจากนัดแนะจุดนัดพบในอีกสี่สิบนาทีข้างหน้า
ชายหนุ่มเข็นรถไปยังโซนอาหารสัตว์ก่อนเป็นอันดับแรก ออกแรงยกกระสอบใบเล็กสองลูกสำหรับอาหารสุนัข และหนึ่งลูกสำหรับอาหารแมว และยังมีถุงเล็กใหญ่อีกหลายถุงไว้ให้คุณๆ ที่บ้านได้ผลัดเปลี่ยนรสชาติบ้าง เขายังวนเวียนดูอาหารเสริมกับขนมสำหรับสัตว์อีกหลายนาทีก่อนจะโกยลงรถมาได้หลายกล่อง ถัดจากนั้นก็ไปหยิบอาหารปลาทองอีกสองถุงใหญ่ก็เป็นอันจบ
เหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบกว่านาที แต่คนไม่ได้ตั้งใจมาซื้อของก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อแล้ว กวินเข็นรถไปตามทางเรื่อยเปื่อยพลางสอดส่องมองหาของน่าสนใจ เดินไปจนถึงโซนอาหารก็ไปกวาดอาหารปรุงสำเร็จแช่แข็งมาได้อีกหลายถาด ได้ผักไว้แกล้ม กับผลไม้อีกสองสามชนิด รวมถึงนมและธัญพืชอีกเล็กน้อย
พอถึงเวลาไปจุดนัดพบ สุทธิรักษ์ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วกึงกับอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นรถเข็นของเขาเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย กวินออกจะขัดเขินตัวเองไม่น้อย คราแรกก็ตั้งใจหาเรื่องมากับสุทธิรักษ์จะได้เพิ่มความสนิทสนม ไปๆ มาๆ กลับได้ของกลับบ้านมากกว่าอีกคนซะอีก
“ทำไมอาหารแช่แข็งเยอะขนาดนี้ล่ะครับ” คนตัวเล็กเอ่ยถามขณะรอต่อคิวชำระเงิน
“ก็ผมเป็นชายโสดที่ทำอาหารเลี้ยงดูปากท้องตัวเองไม่เป็นนี่ครับ”
“แต่ร้านอาหารตามสั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคลินิกเองนะครับ”
“พอดีว่ารสมือไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่น่ะ” กวินตอบ หากความจริงต้องบอกว่ารสมือของป้าคนนั้นนับว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว แต่เสียตรงที่ว่าไม่ค่อยดูแลสภาพร้านสักเท่าไหร่ สัตว์เลี้ยงไม่ได้รับเชิญเลยมากมายจนเห็นเดินผ่านไปมาต่อหน้า วันหนึ่งที่เขาไปนั่งรอสายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นแมลงสาปตัวโตกำลังเดินผ่านกองผักที่ล้างตั้งไว้บนลังน้ำแข็ง
เขาไม่ได้แพร่งพรายออกไปก็จริง แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่กินอาหารร้านนั้นอีกเลย
จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็ถึงคราวขนย้าย กวินรวบรวมทุกอย่างให้มาอยู่ในรถคันเดียวกันเพื่อเข็นไปยังลานจอดแล้วช่วยกันจัดวางลงบนหลังรถโดยมีถุงกระสอบของเขาปูรองเป็นฐานให้ทุกสิ่งอย่าง เขาวางกระสอบอาหารแมวของสุทธิรักษ์ไว้อีกมุมหนึ่ง อดประเมินน้ำใจของอีกฝ่ายด้วยความชุ่มชื่นใจไม่ได้ อาหารแมวยี่ห้อนี้ไม่นับว่าดีที่สุดก็จริง แต่ถือเป็นระดับกลางที่ดีเกินกว่าจะซื้อเลี้ยงแมวจรจัดหลายตัวได้
กวินรักสัตว์ถึงได้เลือกเรียนสัตวแพทย์และเลือกหากินกับสายอาชีพนี้ด้วยความรัก เขาเคยคบหากับคนที่ถูกใจแต่ไปกันไม่รอดเพราะความรักในสัตว์เลี้ยงมีไม่สมดุลกันก็มาก แต่ครั้งแรกที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งมองแมวกินข้าวอยู่นานสองนานก็ให้ดึงดูดความสนใจ อาศัยที่บ้านของเพื่อนสนิทอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยทำให้มีโอกาสเห็นภาพนั้นอีกหลายครั้ง
ภาพใบหน้าอิ่มเอิบมองฝูงแมวด้วยรอยยิ้ม ภาพขณะดูแลเปลี่ยนชามน้ำใหม่ทุกวันหลังฝูงแมวจากไป ภาพยามผ่อนคลายกับสายลมและต้นไม้ร่มรื่นในสวนสาธารนะกลางหมู่บ้าน วิถีชีวิตแสนจะเรียบง่ายที่เขาเห็นมาหลายเดือน กระทั่งคืนที่บังเอิญเห็นอีกฝ่ายวิ่งหอบเหนื่อยแทบขาดใจไปตามทางสลัว
หากเป็นคนอื่นเขาอาจจะปล่อยผ่านไป
แต่เมื่อเป็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยกวินจึงไม่รีรอที่จะหยุดถาม และภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าคือใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อโทรมกาย ลมหายใจกระแทกหนักหน่วงหวิดขาดใจ หางเสียงสั่นไหวด้วยความกลัวที่ส่งขึ้นไปถึงแววตา
ทั้งหมดเพียงเพราะแมวที่ถูกทำร้ายในอ้อมอก
วินาทีนั้นกวินได้ตัดสินใจ...เขาจะไม่ปล่อยคนๆ นี้หลุดมือไป
“คุณรักทำอาหารเป็นไหมครับ?” คุณหมอหนุ่มชวนคุยขณะติดไฟแดงอยู่บนท้องถนน หากเป็นเมื่อก่อนคงได้หงุดหงิดเล็กน้อย แต่มาตอนนี้เขากลับอยากให้ไฟแดงยืดระยะเวลาออกไปเรื่อยๆ
“พอได้ครับ พอดีว่าครอบครัวผมเปิดร้านอาหารสืบต่อกันมาหลายรุ่นก็เลยได้เรียนรู้มาบ้าง”
“ร้านอะไรหรือครับ? คราวหน้าคราวหลังผมจะได้ตามไปชิม”
“ชื่อร้านหอมมะลิครับ มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน ไว้ผมจะพาคุณหมอไปเลี้ยงตอบแทนนะครับ”
“อันนี้เข้าตำราเรือล่มในหนองทองจะไปไหนหรือเปล่าเนี่ย” กวินหัวเราะพลอยให้อีกคนยู่ปากราวกับถูกจับได้ แต่เขาก็ทราบดีว่าค่าอาหารที่อีกคนว่าจะตอบแทนคงเทียบกันไม่ได้ ราคาที่เขาจ่ายไปมื้อนี้ไม่ถึงพันบาท หากไปกินร้านอาหารที่ว่าไม่แน่เงินสามพันจะเพียงพอหรือเปล่าด้วยซ้ำ
เขาเคยไปทานร้านหอมมะลิอยู่สองสามครั้ง มื้อหนึ่งแม้จะผ่านการหารกันมาแล้วก็ยังตกคนละพันนิดๆ แม้จะเป็นสวนอาหารที่ค่อนข้างราคาสูงแต่วัตถุดิบทุกอย่างก็สดใหม่จัดหนักทุกจาน ยิ่งตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจด้วยแล้วนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าไม่ได้จองโต๊ะล่วงหน้าอาจไปเก้อก็ได้
รถยนต์คันใหญ่ขับล่วงหน้ามาจอดหน้าบ้านหลังประจำ ชายหนุ่มดับเครื่องก่อนจะลงมาเปิดประตูหลังเพื่อจัดการแยกถุงสินค้า ซึ่งไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าของบ้านก็ปั่นจักรยานมาถึงด้วยรอยยิ้ม
“คุณรักเปิดบ้านเลยครับ เดี๋ยวผมช่วยขนเข้าไปให้”
“...ขอบคุณครับ” สุทธิรักเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนหันไปรีบเร่งไขกุญแจเปิดรั้วให้กว้าง
กวินตรงเข้าอุ้มกระสอบข้าวแมว ปล่อยให้คนตัวเล็กหิ้วถุงของใช้น้ำหนักเบาเดินนำเข้าบ้านไป กลับออกมายังช่วยเข็นจักรยานเข้าที่เก็บให้อีกต่างหาก
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณหมอใจดีมากๆ เลย”
“ผมเต็มใจครับ”
“..........”
เป็นอีกครั้งที่เขาได้โลมเลียความน่ากินของผิวแก้มแดงระเรื่อผ่านทางสายตา
เมื่ออิ่มหนำทางใจเต็มที่ กวินก็เดินกลับไปที่รถ เปิดช่องเก็บของหยิบซองสีขาวที่เตรียมเอาไว้ออกมา แล้วล้วงหยิบธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบจากในกระเป๋าเงินออกมารอท่า เขาเดินกลับไปหาเจ้าของบ้านแล้วยื่นทั้งหมดส่งให้
“อ...อะไรครับเนี่ย!?” ใบหน้าชวนมองบัดนี้เหรอหราเช่นเดียวกับที่เขาคิดเอาไว้
กวินชี้ไปที่แบงค์สีม่วงเป็นอันดับแรก “วันนั้นที่ร้านน้ำคุณให้เงินไว้แล้วก็เผ่นไปเลย ผมเลยอาสารับเงินทอนมาให้แต่ก็ลืมไปทุกที”
“แต่นี่?” สุทธิรักษ์ชูเงินเต็มใบที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเงินทอน
“ไว้คุณรักเลี้ยงผมคืนแล้วกันนะ” พูดจบก็จุดรอยยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าอย่างว่าง่าย คราวนี้เขาชี้ไปที่ซองสีขาวที่เหลือ “ส่วนนี่เป็นเงินค่ารักษาเจ้าเหมียวครับ ผมบอกแล้วว่าคุณไม่ต้องจ่ายก็ยังแอบไปชำระเองอีก”
“แต่ว่าผมเป็นคนพาไปนะครับ ต้องออกค่ารักษาเองถึงจะถูก” ครานี้รอยยิ้มของกวินไม่อาจจบเรื่องได้ง่ายๆ เช่นเคย “มันไม่ใช่พันสองพันนะครับแต่ทั้งหมดตั้งหมื่นกว่าบาท แถมคุณหมอยังรับเลี้ยงเจ้าแมวต่ออีก เลี้ยงดีจนมันอ้วนกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
“ผมเต็มใจนี่ครับ”
“ไม่ครับ!!”
กวินเกาหัวแกร่กๆ นัยน์ตาคมจับจ้องคนตีหน้าขึงขังอย่างอ่อนใจ ทุกครั้งเห็นว่าตามน้ำไปกับเขาตลอดไม่คิดว่าจะมีส่วนดื้อแบบนี้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็พอให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเอาเปรียบใคร
“รับเงินไปเถอะนะครับคุณหมอ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าสู้หน้าคุณได้หรอก” สุทธิรักษ์ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก พยายามยัดซองเงินให้เขาที่เอาแต่ปัดป้องท่าเดียว
“แต่ผมตั้งใจเอามาคืนคุณรักนะครับ ถ้าคุณไม่รับก็เท่ากับว่าความตั้งใจของผมไร้ความหมายแล้ว” คำตัดพ้อได้ผล คนตัวเล็กนิ่งเงียบไปในทันใด ส่งเสียงอ้อมแอ้มตอบอย่างรู้สึกผิด
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ”
“อืม...เอางี้ไหมครับ” กวินเสนอหนึ่งในความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว “ถ้าคุณรักไม่อยากรับเงินส่วนนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างผูกปิ่นโตกับคุณดีไหม”
“หืม?” คนฟังเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ น่ารักเสียจนคนมองต้องเผยยิ้มออกมา
“ผมเองก็ไม่อยากกินอาหารแช่แข็งบ่อยๆ หรอกนะครับ แต่ยังหาร้านข้าวใกล้ๆ ที่ถูกใจไม่เจอ ทีนี้คุณรักทำอาหารเป็น ผมก็เลยอยากฝากท้องไว้ด้วยคน ไม่ต้องทำทุกวันทุกมื้อหรอกครับ แค่ช่วงเวลาที่คุณรักว่างก็พอ จะได้ไม่รบกวนคุณรักมากไป”
“แต่...ถ้าผมทำไม่ถูกปากคุณหมอล่ะครับ?”
“คุณรักไม่มั่นใจตัวเองหรือครับ?” คุณหมอหนุ่มย้อนถามด้วยรอยยิ้ม ปลุกความเชื่อมั่นของคนฟังเสียไฟลุกพลุ่งพล่าน “ถ้ามื้อไหนคุณรักจะทำปิ่นโตมาก็ไลน์บอกผมก่อนผมจะได้หิ้วท้องรอ และเผื่อวันไหนไม่สะดวกจะได้รู้ล่วงหน้ากันก่อน ...ดีไหมครับ?”
“ดีครับ” สุทธิรักษ์พยักหน้าเห็นชอบ ริมฝีปากอิ่มเม้มกลั้นรอยยิ้มจนสองแก้มเต่งใสอย่างกับแป้งฮะเก๋า
“คุณรักครับ...” หมอกวินเอ่ยเรียกเสียงนุ่ม สองตาจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววปรารถนา อยู่มาตั้งหลายสิบปีเพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ความรักจู่โจมเขาได้อย่างหนักหน่วงที่สุด
“เรื่องเมื่อเย็น...ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ”
ใบหน้าขาวใสเงยขึ้นสบสายตาสับสน หากใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็คล้ายจะนึกถ้อยคำที่ผ่านมาของเขาออก แก้มขาวขึ้นสีระเรื่อยามประมวลข้อความเมื่อกี้เข้าไว้ด้วยกัน
“ผมอยากให้เราเป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน...หวังว่าคุณรักจะให้โอกาสผมนะครับ”
คลับคล้ายจะมีบางอย่างระเบิดปุ้งในหัว
สุทธิรักษ์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ตอบอะไรออกไปหรือไม่ ในหัวสมองตอนนี้นั้นขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก เขาถูกคนที่แอบชอบไปรับที่ทำงาน พาไปกินข้าว ไปซื้อของ พูดคุยกันมากมาย เขาถือว่าเป็นความสุขทิ้งทวนก่อนจากกันแท้ๆ แต่... แต่เขาไม่คิดเลย...
คุณหมอชอบเขาอย่างนั้นเหรอ!?
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้จนไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น!
มันเกิดขึ้นจริงๆ เหรอ...
“เข้าบ้านเถอะครับ” เขาถูกเสียงนุ่มชักจูงอย่างว่าง่าย
สุทธิรักษ์เดินกลับเข้าไปรูดรั้วเหล็กแล้วจัดการล็อกบ้าน เขาทำทุกอย่างราวกับราวกับอยู่ในความฝัน เดินล่องลอยเข้าบ้านไปโดยที่ลืมบอกลาคุณหมอเสียด้วยซ้ำ กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเรียบร้อยก็ยังมึนงงไม่หาย จนล้มตัวลงบนที่นอนก็ยังรู้สึกว่าทุกถ้อยคำเป็นเพียงจินตนาการ
ดวงตาเรียวกระพริบมองเพดานอย่างเลื่อนลอย เขาอยากจะหลับฝันไปทั้งแบบนี้เหลือเกิน...
สุทธิรักษ์จำใจกระชากตัวเองออกจากความฟุ้งซ่านชั่วครู่เพื่อคว้าโทรศัพท์มาตรวจเช็คข้อความอย่างที่ทำประจำ และบนหน้าจอนั้นก็ปรากฏข้อความเดียวจากคนที่ทำให้เขาเพ้อหนักขนาดนี้
WIN_KaWIN [ผมจะรอคำตอบจากคุณนะครับ]
WIN_KaWIN [ราตรีสวัสดิ์]
WIN_KaWIN [ฝันถึงผมบ้างนะครับ...ที่รัก]
ระเบิดอีกลูกพุ่งลงกลางสมอง
เขาเดาว่าวันรุ่งขึ้น ข้างบ้านคงจะมาสอบถามเรื่องเสียงกรีดร้องของเขาในคืนนี้อย่างแน่นอน
• • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันอังคารหน้า • • • • • • • • • • • • •
เปิดตัวแมวหนุ่มนาม ‘อัลโทนีโอ บวารี่ คูเท่น เดอ มองฟรัวร์ ที่แปด’ อย่างเป็นทางการ
ชื่อยาวจริ๊งงงง และโปรดอย่าถามหาความหมาย 555
เขาตัวนี้จะยืนในตำแหน่งไหนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สองคน
โปรดติดตามนะจ๊ะ
เผื่อใครไม่รู้ว่าน้องแมวสายพันธุ์ RAGDOLL เป็นยังไง
นี่คือรูป ref.ของคุณโทนี่เขาล่ะค่ะ หล่อเหลาเอาการเลยใช่มั้ย :-[
(http://image.free.in.th/v/2013/iz/190924021821.jpg) (http://picture.in.th/id/d21d51354f51fb075c166029141657d9)
(http://image.free.in.th/v/2013/ir/190924021913.jpg) (http://picture.in.th/id/6178dc5565d08aa7ad5263d9bbf6c2ec)
[รูปตัวอย่างจ้า ขออภัยเจ้าของภาพ หาเครดิตต้นทางไม่เจอจริงๆ]
-
สงสารนุ้งอัลโทนีโอ โดนเด็กเวรดึงหนวด แงงง
คุณหมอก็รุกเก่งงงง รุกแบบเปิดเผย
-
:z1:
:กอด1: :pig4: :กอด1:
o13
-
คุณหมอจีบเก่งมาก
คนอ่านอ่านไปก็กรีดร้องไป
ดีอะไรขนาดนี้คะคุณ
ยิ่งรู้จักน้องรักผ่านมุมมองคุณหมอยิ่งรู้สึกว่าน้องน่ารักคูณสิบไปอีก
คุณอัลโทนีโอ(กราบขออนุญาตเรียกชื่อนายท่านสั้นๆนะคะ)จะเอาเรื่องวุ่นๆอะไรมาให้น้องรักหนอ..เห็นแววความอลเวงมาแต่ไกลคุณโทนีโอกับต๊อกแต๊กตัวป่วน
:pig4:
-
โอ้โห หมอเอาจริงเว้ย ไม่ยอกเล่นเจ้าชู้ o13 ให้คุณหมดคนจริง
:man1: อยากฟัดหมาแมว
-
คุณโทนี่ นายท่านต้องเป็น หนามยอกอก ของคุณหมอแน่ๆ
แต่ชอบน้องต๊อกแต๊ก กลิ่นใจดีโชยหึ่งๆเลยแม่
-
:mew1: น้องรัก .... รีบคว้าคุณหมอไว้เลยนะคะ..... เดี๋ยวหลุดมือ..... เจ้าแมวหล่อนะเนี่ย
-
:L2: :pig4:
-
คุณหมอออออ รุกเก่งไปไหนนนน :o8: :-[
ปล. ถึงป้าต๋อมแต๋ม คุณหมอมีฤดูผสมพันธุ์ตลอดปีนะป้านะ ตอนเค้าเป็นแฟนกัน ป้าจะได้ไม่ตกใจ :impress2: :impress2:
-
ตาย อย่างสงบศพสีชมพู~
-
อ่านไปก็ร้องหมอๆ :o8: :o8:
-
อัลโทนีโอจะเป็นพ่อสื่อมั้ยน้าาาาาา
ทำให้หายกลัวสัตว์ดีมั้ย
-
อ่อยน้ออ!! รุกหนักมาก
-
โง้ยยยยยยยยยย
หมอน่าร้ากกกกกกกก ที่รักก็น่าร้ากกกกกกก
หมาเอย แมวเอย นกเอย
น่าร้าาาาาาาากกกกกทั้งหมดเลย
-
ตอนที่ 4
อัลโทนีโอแห่งแคทเทอร์นิป
อ่านแล้ว10.23 [วันนี้ผมจะทำมื้อเย็นไปให้นะครับ]
WIN_KaWIN [จริงเหรอครับ!!!] 11.01
WIN_KaWIN [ผมจะรอนะครับ] 11.01
สุทธิรักษ์เผลอกดโปรแกรมแชทเข้าไปอ่านข้อความโต้ตอบสั้นๆ อยู่หลายครั้ง อมยิ้มก็หลายทีให้กับสติ๊กเกอร์ต่อท้ายที่เป็นรูปหมาท่าทางดีใจที่ช่างน่ารักเหมาะกับรอยยิ้มหวานๆ ที่ปรากฏในความนึกคิด ถ้าจินตนาการแบบเข้าข้างตัวเองสักหน่อยก็ต้องบอกว่าความดีใจของอีกฝ่ายมันกระโดดออกมาจากตัวอักษรเลยทีเดียว
เนี่ย~ จะไม่ให้เปิดอ่านหลายครั้งได้ยังไง
พอรดน้ำหวานชโลมใจตัวเองเรียบร้อยชายหนุ่มก็หลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานตามเดิม พิมพ์รายงาน เขียนเอกสาร ทบทวนความเรียบร้อยต่างๆ นานา ในเอกสารต่อสัญญาของลูกจ้างกระทรวงฯ แม้งานจะยืดเยื้อแต่ก็ถือว่าไม่เชื่องช้าท่าเทียบกับกำหนดส่ง ดังนั้นสุทธิรักษ์เลยสามารถเลิกงานตามเวลาปกติได้อย่างไม่ต้องเคร่งเครียด
“แฟนไม่มารับเหรอวันนี้” เสียงกึ่งกระเซ้าของรุ่นพี่ดังขึ้นจากโต๊ะด้านข้าง เขาหันไปมองเจ้าของเสียงคนสวยที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านเช่นเดียวกัน แต่เขายังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร เสียงจากคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่พร้อมให้ความสนใจกันเต็มที่
“นันเล่าให้พี่ฟังว่าแฟนรักหล่อมาก”
“เมื่อไหร่จะมารับอีก พี่อยากเห็นบ้าง”
“พวกแกจะต้องร้องกรี๊ดๆ สูง หล่อ ขาว มีเสน่ห์สุดๆ” นันทวรรณผันตัวเองเป็นกระบอกเสียงโฆษณา เรียกกระแสความอยากพบคนหน้าตาดีของสาวๆ
“ล้อผมอีกแล้ว” สุทธิรักษ์เอ่ยเสียงอ่อน “ผมยังไม่มีแฟนครับ คุณหมอเปิดคลินิกรักษาสัตว์อยู่หน้าหมู่บ้านผม” ยังไม่ได้ทันอธิบายถึงสาเหตุที่พบกัน เสียงของสามสาวก็ร้องวี๊ดว้ายชอบใจกันเสียงดัง
“อ๊าย~ เป็นหมอหมาด้วย!”
“ผู้ชายรักสัตว์เขาว่าอบอุ่น”
“ฮึ่มมม!!” เสียงดังกันจนหัวหน้าที่นั่งเงียบมานานต้องออกเสียงขู่ เล่นเอาสามสาวหันไปยิ้มแห้งๆ ให้พลางยกมือไหว้กันถ้วนหน้า สุทธิรักษ์ก็อาศัยจังหวะนี้สวัสดีทุกคนแล้วรีบเผ่นออกมาจากห้อง
ตั้งแต่วันนั้นที่คุณหมอมารับแล้วถูกนันทวรรณเห็น วันรุ่งขึ้นข่าวลือเรื่องสุทธิรักษ์มีแฟนก็กระจายไปหลายส่วนงาน ยามเขาเดินติดต่อแผนกไหนก็มักได้ยินคำถามคำแซว ถึงเขาจะปฏิเสธแต่ก็ยังออกปากล้อกันอย่างสนุกสนาน แม้จะไม่มีถ้อยคำดูถูกหรือรังเกียจต่อหน้าแต่ลับหลังเขาก็สุดจะคาดเดาจริงๆ เพราะอย่างที่รู้กันว่าผู้คนส่วนมากก็ยังไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ หากชายหนุ่มก็แอบคิดอย่างแปลกใจเมื่อโดนคำแซวมาทั้งวัน เขาไม่อับอายอย่างที่เคยคิด อาจเพราะว่าคุณหมอบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่การตบมือเพียงข้างเดียวกระมัง
เขาห้ามรอยยิ้มของตัวเองไม่ได้เลยให้ตาย!
ก่อนกลับบ้าน ชายหนุ่มแวะตลาดสดตามความตั้งใจแต่แรกเริ่ม สองเท้าก้าวเดินด้วยความกระฉับกระเฉง สองตาสอดส่ายหาของที่ต้องการอย่างกระตือรือร้น หัวใจก็ช่างเบิกบานราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ สุทธิรักษ์คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างตั้งใจ ต้องขอบคุณความชอบในการทำอาหารของครอบครัวที่ทำให้เขาต้องเป็นลูกมือซื้อของในตลาดบ่อยๆ
เขาเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนได้ของเต็มสองมือ จากที่ตั้งใจว่าจะนั่งรถประจำทางกลับก็ต้องเปลี่ยนเป็นแท็กซี่ คิดไว้ว่าเดินออกมาส่งข้าวให้คุณหมอแล้วค่อยปั่นจักรยานกลับ
ทันทีที่ถึงบ้านชายหนุ่มก็รีบผลัดเปลี่ยนชุด สวมผ้ากันเปื้อนแล้วจัดเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างทันทีเพื่อให้ทันมื้อเย็นที่ใกล้เข้ามาทุกที วันนี้เขาซื้อของมาเยอะพอสมควรเผื่อสำหรับมื้อกลางวันและเย็นในวันพรุ่งนี้กับมะรืนที่เป็นวันหยุด ในหัวก็นึกถึงรายการอาหารอย่างสนุกสนาน จินตนาการถึงใบหน้าคุณหมอขณะกินข้าวที่เขาทำก็ให้เกิดลูกฮึดแปลกๆ อดที่จะขอบคุณคุณยายไม่ได้ที่จับลูกหลานทุกคนฝึกทำอาหารด้วยเหตุผลที่ว่าอาหารคือสิ่งที่เลี้ยงพวกเราทุกคนให้มีกิน อย่างน้อยต้องทำพอได้ไม่ให้อับอายครอบครัว...ซึ่งสุทธิรักษ์สอบผ่านในจุดนั้น
ชายหนุ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าด้วยผ้าขนหนูสะอาดหลังกับข้าวทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อย ผัดกะเพราะทะเลส่งกลิ่นหอมฉุยอวดความเต่งตึงของกุ้งตัวโตกับความอวบขาวของปลาหมึก และยังมีเนื้อปูชิ้นใหญ่เสริมความน่ากินอีกระดับ งานนี้สุทธิรักษ์จัดเต็มที่ทั้งวัตถุดิบละฝีมือ เขาอยากให้คุณหมอได้กินของดี นี่ถ้าเปลี่ยนจากกุ้งขาวเป็นกุ้งแม่น้ำให้ได้เขาก็จะทำ แต่กลัวคุณหมอจะคิดว่าเขาอยากจะปลดเปลื้องหนี้สินไวๆ เสียมากกว่า
นอกจากกะเพราโคตรทะเลแล้ว ก็ยังมีไข่เจียวผักสามสีชิ้นหนาอวบนุ่มกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ จากหม้อ สุทธิรักษ์มองดูทุกอย่างที่เสร็จสิ้นบนโต๊ะแล้วให้ปาดเหงื่อทิ้งด้วยความปลื้มปริ่มใจ
เขาตักทุกอย่างลงปิ่นโตเถาเล็กขนาดสามชั้นที่เพิ่งไปถอยมาใหม่จากห้าง บรรจงเลือกสรรแบบที่สามารถนำไปอุ่นในไมโครเวฟได้และรูปลักษณ์ทันสมัยและสีไม่หวานแหววเกินไป จำนวนสองเถาไว้สำหรับสลับสับเปลี่ยนกันแล้วยังรวมถึงกล่องพลาสติกใส่อาหารแยกต่างหากอีกสองกล่องเผื่อไว้
เมื่อได้เวลาสมควร คนมีความสุขก็จัดการหิ้วของออกจากบ้านโดยมีเสียงทักทายจากหัวหน้าแก๊งแมวเจ้าประจำที่กำลังนอนเอกเขนกรอตัวอื่นๆ กินข้าวอยู่ สุทธิรักษ์เห็นว่ามีแมวหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมา เป็นเจ้าตัวเล็กที่ค่อนข้างขี้กลัวไปสักหน่อยดูจากการที่เขาเดินผ่านแล้วถูกมันขู่ฟ่อเข้าให้ เจ้าแมวดำตัวหัวหน้าเห็นเขาจับจ้องสมาชิกใหม่ก็ลุกขึ้นเดินมายืนประกบข้างเจ้าตัวเล็กแล้วส่งเสียงร้อง
“เมี๊ยว~”
สุทธิรักษ์เดาว่าเป็นการร้องแนะนำสมาชิกใหม่ หรือไม่ก็เป็นคำขออนุญาตกับเขาผู้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาตลอด รึอะไรก็สุดจะเดาใจแมวเหมือนกัน แต่เขาเห็นแมวแก๊งนี้มาก็นานก็มักวนเวียนมากันแค่สี่ตัวไม่เคยเห็นพาแมวตัวอื่นเข้ามา ส่วนสมาชิกใหม่รายนี้ทั้งตัวเล็กแถมยังผอมแกร็นจนเห็นซี่โครง ดูแล้วคงพลัดหลงกับแม่จนเจ้าแก๊งนี้ไปเก็บตกมาได้เสียมากกว่า
เขาอยากจะบอกพวกมันว่าเชิญตามสบาย จะเพิ่มมาอีกสักตัวก็คงไม่หนักหนาไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ แต่ครั้นจะออกเสียงตามอย่างใจก็เห็นว่าพวกมันคงไม่รู้ความ เลยทำทีพยักหน้าให้เจ้าตัวหัวหน้าที่ยังจ้องมาอย่างกับรอคำตอบ มันร้องเสียงสูงอีกครั้งคล้ายตอบรับก่อนจะเดินกลับไปนอนแผ่บนสนามหญ้าตามเดิม ส่วนเจ้าตัวเล็กก็วิ่งไปหลบข้างสมาชิกที่กำลังสวาปามกันอย่างเอร็ดอร่อย
ชายหนุ่มอมยิ้มให้เหล่าแมวก่อนจะเดินออกจากบ้านไปด้วยความสุขที่เพิ่มขึ้นมา
.
.
.
‘ทำไมวันนี้เจ้านายดูระริกระรี้จัง’ เจ้าหมาโกลเด้นน้อยนั่งมองเจ้านายหนุ่มมาพักใหญ่ มนุษย์ร่างสูงใหญ่เดินวนไปวนมารอบบ้าน จัดตรงนู้น ขยับตรงนี้ ทั้งที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์แม่บ้านที่มาทำความสะอาดทุกวัน
‘ไปได้ยินคำนั้นมาจากไหนกัน ลูกควรใช้คำว่ากระตือรือร้นหรือว่าตื่นเต้นสิ’ แม่หมาแย้งสีหน้าฉงน
‘แต๊กได้ยินจากมนุษย์แม่บ้านเวลาเห็นมนุษย์สาวๆ อยากผสมพันธุ์กับเจ้านาย’ เจ้าหมาน้อยอธิบาย เอียงหน้าไปมาอย่างน่ารักน่าหมั่นไส้ แต่ตัวไหนจะรู้สึกแบบนั้นได้เท่าแมวหนุ่มขนงามที่กำลังเอนกายพิงแม่หมาอย่างสบายตัว
‘แต่ว่านะคุณต๋อมแต๋ม มนุษย์หมอทำตัวเหมือนกำลังติดสัดเลย กลิ่นต้องการผสมพันธุ์งี้ลอยฟุ้งเชียว’ เจ้าแมวโทนี่ทำจมูกฟุดฟิดไปมา ‘เราอ่านมาบ้างนะว่ามนุษย์ไม่มีฤดูติดสัดที่แน่นอน ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการเสียจริง’
‘เมื่อก่อนเจ้านายก็กลับมาพร้อมกับกลิ่นตัวผู้ตัวอื่น’ ต๊อกแต๊กพยักเพยิดไปทางเจ้านายหนุ่มที่เดินอมยิ้มไปมาไม่หยุด ‘แต๊กไม่เคยได้กลิ่นตัวเมียจากเจ้านายเลยนะแม่ อย่างนี้เจ้านายก็ไม่เคยผสมพันธุ์น่ะสิ’
‘มนุษย์มีความชอบหลากหลายน่ะลูก’ คุณต๋อมแต๋มผู้อ่อนโยนตอบรับลูกชายแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่เจ้าแมวที่ฟังอยู่น่ะเข้าใจแจ่มแจ้งเหมือนที่เคยอ่านมาจากบันทึกไม่ผิดเพี้ยน มนุษย์น่ะไม่ได้ต้องการผสมพันธุ์เพื่อการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่ยังเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่จำกัดเพศพันธุ์ในการหาความรื่นรมย์
‘เขาเรียกตุ๊ดตู่ใช่มั้ยคุณแต๋ม’ อัลโทนีโอกระซิบถามขณะที่เจ้าหมาน้อยละความสนใจจากการสนทนาไปแล้ว
‘ฉันก็ไม่เคยรู้ถึงคำเรียกที่แน่นอนเหมือนกันจ้ะโทนี่’ แม่หมาใจดีแลบเลียขนสีขาวนุ่มของแมวแปลกถิ่นจนขนลู่เป็นแผ่น
‘เมื่อไหร่มนุษย์หมอจะพาเราไปหามนุษย์ใจดีอีกนะ’
‘ฉันก็อยากเจอสักครั้ง แต๊กเล่าว่าหอมกลิ่นใจดีเอามากๆ’
‘มากจริงๆ คุณแต๋ม เราคิดว่าถ้ามนุษย์หมอเป็นตุ๊ดตู่ก็ควรหาพ่อพันธุ์แบบนั้นมาเป็นคู่’ ว่าจบก็ทิ้งร่างซุกกลุ่มขนสีน้ำตาลทองตามเดิม
แมวหนุ่มนอนมองมนุษย์ตัวโตตื่นเต้นไม่หยุด เดี๋ยวก็มองไปทางหน้าประตู เดี๋ยวก็หยิบเครื่องมือสี่เหลี่ยมขึ้นมาดู ทำไมมนุษย์ไม่รู้จักวางตัวให้สุขุมเสียบ้างนะ เพราะงี้ถึงได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สับสนวุ่นวายที่สุดในจักรวาล ไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนก็บอกกันเป็นเสียงเดียวว่ามนุษย์มีหลากหลายอารมณ์ ซ้ำยังสลับซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดาได้
...แต่มีแมวที่ไหนจำเป็นต้องเข้าใจมนุษย์ด้วยรึ เฮอะ!!
สายลมเย็นๆ กับกลิ่นสดชื่นจากหมู่ไม้ ทำให้เขาผล็อยหลับไปกับท้องคุณต๋อมแต๋มบนระเบียงไม้ได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ แต่พอครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาก็เป็นจังหวะที่คุณต๋อมเลียหัวให้คล้ายต้องการปลุก พร้อมกับที่เสียงเห่าของเจ้าต๊อกแต๊กดังมาให้ได้ยินด้วยความรื่นเริง
‘ดูเหมือนว่ามนุษย์ใจดีคนนั้นจะมาหาเจ้านายนะ’
เจ้าแมวขนปุยเด้งตัวลุกขึ้นในทันที สี่เท้าวิ่งปรี่ไปยังทิศทางของเสียงกระทั่งพบกับมนุษย์หมอตัวโตกำลังยืนจังก้าจับปลอกคอต็อกแต๊กเต็มกำลังเพื่อไม่ให้พุ่งเข้าใส่มนุษย์อีกคน อัลโทนีโอหยุดมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยกลัวว่าตัวเองจะโดนลูกหลงจากการร่าเริงเกินเหตุของเจ้าหมาเด็ก
‘ปล่อยแต๊กนะเจ้านาย!’
“หยุดนะต๊อกแต๊ก!! หยุด!!!”
‘ปล่อยแต๊ก! ปล่อยแต๊กกกกก!’
“ไม่ต้องกลัวนะคุณรัก มันไม่กัดคุณแน่นอนผมรับประกัน”
‘คนใจดีๆ แต๊กคิดถึง! ปล่อยแต๊กนะเจ้านายยย!!’
เช่นเดียวกับแมวหนุ่ม มนุษย์ที่ถูกปกป้องอย่างเต็มที่ตรงหน้าก็ดูจะทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน อัลโทนีโอมองคนตรงหน้าด้วยสายตาประเมิน ดูท่าว่ามนุษย์คนนี้จะเป็นโรคกลัวสัตว์ในระดับหนึ่งเลยสินะ ทั้งที่มองก็รู้ว่าเจ้าต๊อกแต๊กยิ้มร่าเริงขนาดนี้ก็ยังจะมองมาด้วยแววตาสั่นระริก แค่มนุษย์หมอปล่อยเจ้าแต๊กให้ไปคลอเคลียจนพอใจก็จบแล้วแท้ๆ
“โฮ่ง!” เสียงเฮ่าเพียงครั้งเดียวก็สามารถหยุดความบ้าพลังของเจ้าหมาเด็ก ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคุณต๋อมแต๋มจะโมโหกับกิริยาของลูกชายตัวเองขนาดไหน
“เฮ้อ! หยุดสักที” มนุษย์หมอเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อเจ้าหมาน้อยหยุดดิ้นรนแถมยังหมอบลงแนบพื้นอย่างหงอยหงอ “ขอบใจมากนะต๋อมแต๋ม วันนี้แต๊กดื้อจริงๆ”
อัลโทนีโอมองเจ้านายหนุ่มรุนหลังแขกกลิ่นหอมให้เดินไปพร้อมกันโดยไม่ลืมลูบหัวแม่หมาอย่างรักใคร่ ทีนี้กลับมาที่สองแม่ลูก... คุณต๋อมแต๋มเดินตรงไปหาลูกชายที่ยังหมอบอยู่ที่เดิมราวกับรู้ความผิด สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความอ่อนใจยามมองเด็กน้อย
‘แม่สอนเสมอว่าไม่ให้ดื้อกับเจ้านายไง’
‘แต๊กขอโทษ’ เจ้าหมาน้อยครางหงิง
‘แม่ว่าต้องอบรมข้อปฏิบัติกับแต๊กใหม่แล้วล่ะ’
‘..........’
ฟังแค่เท่านั้นแมวหนุ่มแสนฉลาดที่วางตัวดีมาตลอดอย่างเขา ก็ขอหลบเลี่ยงการอบรมเพื่อเข้าไปหามนุษย์ใจดีคนนั้นก่อนแล้วกัน
ร่างอวบอัดขนปุยสีขาวสะอาดตาเดินส่ายก้นอาดๆ ไปตามพื้น ทำจมูกฟุดฟิดตามกลิ่นหอมเฉพาะตัวไปกระทั่งพบเจอสองคนที่โต๊ะทานอาหาร และตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมของบางอย่างแตะจมูก
อัลโทนีโอเดินมายังเก้าอี้ว่าง เขาเลือกกระโดดขึ้นไปบนนั้นซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับมนุษย์หมอ จากนั้นก็ร้องเรียกอย่างทุกที
“เมี้ยว~” แล้วเจ้าหนุ่มคนนี้ก็ทำเหมือนเช่นเคยโดยการหันมามองด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดกับเขาด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
“ว่าไงเจ้าเหมียว”
อัลโทนีโอหันไปยกคิ้วใส่มนุษย์ใจดีที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มพูดกับเจ้าของกลิ่นใจดีที่กำลังตีกับกลิ่นหอมของอาหารอยู่ตอนนี้
‘เป็นอย่างไรล่ะ เขาว่ากันว่ามนุษย์รักสัตว์คือมนุษย์ดี ถ้าเจ้าอยากมาเป็นพ่อพันธุ์ให้มนุษย์หมอก็ยกก้นเลย!’
“มันเป็นอะไรเหรอครับคุณหมอ ร้องเมี้ยวๆ ไม่หยุดเลย”
“มันคงอยากทำความรู้จักคุณรักมั้งครับ”
แมวหนุ่มหาได้สนใจการสนทนาของมนุษย์ไม่ มันยังคงยืดอกมองตรงไปยังผู้ช่วยชีวิตเพื่อแนะนำสิ่งดีๆ ‘เราน่ะถึงจะอยู่ที่นี่ไม่นานแต่ขอยืนยันเลยว่ามนุษย์หมอเหมาะสมที่เจ้าจะผสมพันธุ์ด้วย ใช่ว่าเราจะรักชอบเพศผู้นะ เพียงแต่เราไม่ได้กลิ่นเพศเมียจากเจ้าเหมือนกัน หมายความว่าเจ้าก็เป็นตุ๊ดตู่เหมือนมนุษย์หมอ ยอดเยี่ยม! เรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นกามเทพเลย’
เจ้าแมวตัวนี้ไปกินอะไรผิดปกติมากันนะ?
กวินขมวดคิ้วขบคิดพลางจ้องมองแมวขนปุยสีขาวสง่าบนตัก เขาออกจะแน่ใจว่าอาหารที่ให้สัตว์ในบ้านกินนั้นก็เหมือนกันทุกวัน ขนมก็เป็นยี่ห้อเดิมที่บรรดาเจ้าตัวเล็กตัวใหญ่ชื่นชอบ แต่ทำไมวันนี้เจ้าเหมียวถึงได้ร้องแง้วๆ อย่างกับพูดจ้อไม่หยุดแบบนี้กัน
“ไปเล่นกับแต๊กนะเจ้าเหมียว” เจ้าของตักลูบขนนุ่มๆ หลังคอแมวพูดมากไปมา ก่อนจะกระตุ้นให้มันลงไปจากตัก แม้มันจะอิดออดในคราแรกแต่เมื่อเขาจัดการอุ้มมันลงด้วยตัวเองก็ดูว่ามันจะยอมอย่างเสียไม่ได้
“แม้วว!” นั่น มีหันมาร้องว่าเขาเสียด้วย แต่เมื่อเห็นว่าเขาส่งสายตาดุโต้ตอบ เจ้าแมวแสนฉลาดก็สะบัดก้นเดินอวดหางเป็นพวงสวยจากไป
“มันเจ็บปวดตรงไหนรึเปล่าครับ?” กวินยิ้มตอบน้ำเสียงเป็นห่วงจากคนที่ปากบอกว่าไม่ชอบสัตว์ เมื่อเขาบอกไปว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ทำท่าโล่งอกได้อย่างน่าเอ็นดู
“เรามาสนใจอาหารตรงหน้าดีกว่า” คุณหมอหนุ่มเอ่ยอย่างกระตือรือร้น สองตาจับจ้องปิ่นโตที่ถูกแยกชั้นวางไว้ตรงหน้า ทั้งกลิ่นทั้งหน้าตานั้นอย่างกับหลุดมาจากร้านอาหารมีราคา กวินจับอาวุธมั่นตักจ้วงผัดกระเพราที่เหมือนยกสัตว์มาทั้งทะเลก่อนเป็นอันดับแรก กุ้งตัวใหญ่ที่แม้แกะหางมาให้พร้อมสรรพแต่ก็ยังคงความอวบอ้วนนอนแผ่เต็มช้อน เขาอ้าปากรับเข้าไปลิ้มรสด้วยความคาดหวัง
แต่ดูท่าคนทำจะลุ้นเสียยิ่งกว่า
กวินอมยิ้มพลางเคี้ยวอาหารไปด้วยด้วยขณะสบสายตาสุทธิรักษ์ที่มองมาราวกับเป็นกังวลเสียหนักหนา ความไม่มั่นใจในตัวเองนั้นฉายชัดเสียจน เขาอยากจะป้องปากตะโกนให้ได้ยินไปสักสามบ้านแปดบ้านว่ามันอร่อยเกินกว่าที่คิดไว้เยอะมาก กุ้งในปากนั้นชุ่มฉ่ำสุกกำลังพอดีไม่แห้งแข็งเหมือนร้านตามสั่งทั่วไป
“อร่อยมากๆ เลยครับคุณรัก” เขาหยอดคำชมให้คนมองคลายกังวล จากนั้นก็ขอหยุดการสนทนาชั่วคราวไปกับการทางอาหารทุกอย่างเสียจนไม่เหลือหลอ นอกจากผัดกะเพราจะเผ็ดสู้ลิ้นกำลังดีแล้วนั้น ไข่เจียวชิ้นหนานุ่มก็ตัดความเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี
ต้องเรียกว่ากินเสียเต็มคราบ กวินอิ่มมากซะจนอยากขยับคลายเข็มขัดที่รัดท้องแน่นอยู่ตอนนี้แต่ก็กลัวคนที่แอบชอบจะตกใจจนพานให้คะแนนติดลบ แต่กระนั้นการขยับร่างกายไปมาเพื่อให้อยู่ในท่าสบายก็เรียกเสียงขบขันได้อยู่ดี
“ผมทำมาเยอะ เพราะไม่รู้ว่าปกติคุณหมอทานประมาณไหน” สุทธิรักษ์บอกพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้คนมองต้องยิ้มตาม “คุณหมออิ่มรึเปล่าครับ?”
“มากเลยครับ” กวินรู้สึกขัดเขินไม่น้อย “ที่จริงคราวหน้าคุณรักทำมาน้อยกว่านี้ก็ได้นะครับ ปกติผมทานไม่เยอะขนาดนี้หรอก” ว่าจบก็หัวเราะแก้เขิน แม้ปิ่นโตตรงหน้าจะไม่เหลือเศษซากอาหารเลยแม้แต่น้อย
“ได้ครับ ถ้าคุณหมออยากกินอะไรเป็นพิเศษก็บอกเลยนะครับ ถ้าผมทำได้จะทำให้หรือถ้ากินอาหารที่ผมพอแวะได้ก็จะซื้อมาให้”
“ผมชอบอาหารไทยครับ แล้วฝีมือที่สุดยอดกว่าคุณรักก็คงไม่มีอีกแล้ว”
“ผมไม่ตัวลอยเพราะคำชมคุณหมอหรอกครับ”
“งั้นเปลี่ยนเป็น ต่อไปนี้ผมคงทานอาหารที่ไม่ใช่ฝีมือคุณรักไม่ได้อีกแล้วล่ะครับ”
“...ก็เหมือนจะลอยขึ้นมานิดๆ แล้วครับ” สุทธิรักษ์ก้มหน้างุดกับคำตอบของตัวเอง ทิ้งผิวแก้มระเรื่อให้ลอยล่อตาคนอยากสัมผัส
“ลอยสูงๆ ได้เลยนะครับ ยิ่งสูงยิ่งดี” กวินฝืนเก็บมือตัวเองมาเท้าคางไว้ไม่ให้เอื้อมออกไปลูบแก้มที่ดูนิ่มนวลตรงหน้า
“ตอนตกลงมาคงเจ็บน่าดูนะนั่น” คนฟังหัวเราะเบาๆ
“ผมจะรับไว้เองครับ ...ไม่ปล่อยให้คุณรักเจ็บตัวแน่นอน”
“..........”
อา...แก้มแดงได้น่ากินจริงๆ
.
.
.
-
ในที่สุดสุทธิรักษ์ก็มีงานอดิเรกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างในชีวิตแสนธรรมดาเรียบง่ายนี้
เขาชอบไปจ่ายตลาดสดมากขึ้น เปิดเว็บไซต์ดูสูตรอาหารใหม่ๆ ทุกครั้งที่ว่าง เรียนรู้ประโยชน์ของวัตถุดิบต่างๆ ที่จะนำมาประกอบอาหาร ก็คนเขาอยากให้คุณหมอกินอาหารดีๆ เลยไม่รู้สึกว่าเรื่องมันน่าเสียเวลาสักนิด ทั้งยังช่วยประดับความรู้ในสมองเขา นับเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริง
เมื่อวันก่อนคุณหมอกวินอยากกินทอดมัน แต่เมื่อวานเขาขึ้นเวรเลิกดึก วันนี้จึงตั้งใจเลิกงานตรงเวลาแล้วเผ่นไปตลาดเพื่อหาซื้อของโดยไม่ลืมส่งข้อความบอกคุณหมอว่าวันนี้จะไปส่งปิ่นโต พอกลับมาถึงบ้านเขาก็รีบเทอาหารแมวที่พร่องไปใส่เครื่องแล้วรีบทำความสะอาดร่างกายเบื้องต้นเพื่อเตรียมปรุงอาหาร
ใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่สารพัดทอดมันจะเสร็จเรียบร้อย มีทั้งทอดมันปลากราย ทอดมันหมู ทอดมันปลาหมึกชิ้นอวบ และยังมีทอดมันกุ้งให้คุณหมอได้กินจุกๆ แบบสมใจ แต่เมื่อเสียเวลากับทอดมันไปมากเขาก็เลยได้ทำเพียงแกงจืดเต้าหู้อ่อนกับผักแบบธรรมดาเพิ่มอีกอย่างเท่านั้น
สุทธิรักษ์จัดทุกอย่างใส่ปิ่นโตแล้วรีบปั่นจักรยานไปยังบ้านคุณหมอกวินที่ติดกับคลินิก แต่พอกดออดไปไม่เท่าไหร่ก็พบว่าคนที่มาเปิดประตูให้นั้นเป็นผู้หญิงสาวคนหนึ่ง สุทธิรักษ์ยิ้มค้างไปเล็กน้อยแต่ก็ยังปรับสีหน้าได้ทัน
“หนูเปงลู่จ้างที่คลินิกค่ะ พอดีว่ามีเคสฉุเฉออยู่คูหมอปลี่ตัวออกมาไม่ได้เลยให้หนูมารอคู” หญิงสาวอธิบายรวดเดียวราวกับถูกท่องจำมา น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ชัดเจนพอที่จะเรียกว่าคนไทยแท้ได้ แถมยังเบี่ยงตัวออกผายมือเชื้อเชิญเขาเข้าไปในบ้านอีก “คูหมอสั่งหนูมาว่าให้พู่ยังไงก็ได้ให้คูเข้าไปรอในบ้าน”
สุทธิรักษ์ถึงกับหลุดขำให้ประโยคซื่อๆ แต่เขาก็คงไม่อาจทำตามที่ว่าได้ในเมื่อเจ้าของบ้านกำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำงานอยู่
เขาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนยื่นปิ่นโตให้หญิงตรงหน้า “ฝากปิ่นโตไว้ก็พอ ผมไม่เข้าไปดีกว่า”
“ถ้าง้าหนูโคต้อไปกับคูแล้ว” สิ้นเสียงโต้ตอบแบบที่ต้องตั้งใจฟังแล้วนั้น สุทธิรักถึงกับกระพริบตาปริบๆ ด้วยยังประมวลผลการรับฟังไม่ถูก “คูหมอบอกว่าถ้าหนูพู่ให้คูเข้าไปไม่ได้ ก็ให้หนูไปกับคูด้วยแล้วคูหมอจะไประเอง”
โอย~ ทำไมคุณหมอถึงได้ชอบแกล้งคนนักนะ!
สุทธิรักษ์ได้แต่ถอนใจกับแววตาจริงจังของลูกจ้างชาวต่างชาติคนนี้ เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ยอมพยักหน้าตกลง ลูกจ้างคนดีก็ยิ้มกว้างออกมารีบส่งมือมารับปิ่นโตไปถือเอง
“คูหมอเก่งม่าเลย! บอกว่าพู่แบะนี้แล้วคูจะโตะโล”
มาตอนนี้สุทธิรักษ์ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขาก็ก้าวเข้ามาในบ้านคนอื่นตามคำล่อหลอกแล้วจะให้หันหลังกลับก็คงไม่ทัน สุดท้ายคุณหมอก็ไม่ได้ชอบแกล้งคนอื่นแต่ชอบแกล้ง ‘เขา’ ต่างหาก!
เขาเดินตามลูกจ้างสุดซื่อที่เดินปรี่เข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเขาที่เดินตามไป แต่เสียงบางเสียงกลับทำให้ขาสองข้างหยุดชะงักอยู่กับที่
“โฮ่ง!!/ เมี๊ยว~”
สุนัขสีน้ำตาลทองวิ่งโร่มาแต่ไกล ข้างกันนั้นเป็นเจ้าแมวสีขาวขนฟูที่วิ่งตามติดกันมา สุทธิรักษ์ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณแต่ก็ยังไม่วายถูกเจ้าของบ้านโผเข้ามาคลอเคลีย หมาหนึ่งแมวหนึ่งพากันพันแข้งพันขา เจ้าตัวใหญ่กระโดดโถมเข้าใส่ไปมา เจ้าตัวเล็กก็นัวเนียจนแทบจะรวมร่างเข้ากับขา
“หยุดก่อน! อย่าสิพวกแก” สุทธิรักษ์พูดแทบไม่เป็นภาษา ความกลัวมีไม่เท่าไหร่นักเพราะเริ่มคุ้นหน้ากัน แต่เขาก็ไม่อยากได้รับความใกล้ชิดขนาดนี้! ขนทั้งตัวพร้อมกันลุกเกรียว สองขายิ่งพยายามถอยหลังอย่างไม่รู้จะต้องทำอย่างไร
“เมี๊ยว~ เมี๊ยว~”
“แฮ่ะๆ แฮ่ะๆ”
และในจังหวะที่เจ้าหมายิ้มหวานโถมร่างเข้าใส่เต็มแรงอีกครั้ง เจ้าแมวที่พันขาอยู่ก็กลายเป็นเครื่องขัดขาชั้นดี
สุทธิรักษ์ร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อร่างกายวูบหล่นไปด้านหลัง ไร้สิ่งยึดเกาะเพื่อช่วยต้านแรง ซ้ำยังถูกน้ำหนักของเจ้าหมาล้มเข้าใส่ซ้ำ สุทธิรักษ์เจ็บไปทั้งตัว แต่ที่มากกว่านั้นคือศีรษะกระแทกเข้ากับพื้นเต็มแรง เจ็บเสียจนหยดน้ำตาเล็ดออกมา
เขาได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตกใจจากที่ไหนสักที่ และในขณะที่ความนึกคิดเริ่มถดถอย บนใบหน้าก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นจนทั่ว เสียงครางหงิงๆ กับเสียงร้องเหมียวๆ
สุทธิรักษ์พยายามจะหลบเลี่ยงบางสิ่งที่เหมือนจะเป็นลิ้นที่กำลังเลียใบหน้าเขาจนเปียกชื้น แต่นอกจากจะหลบไม่ได้แล้วนั้นยังถูกบางสิ่งเดินขึ้นมาบนอก เขารู้สึกได้ถึงฝ่าเท้าเล็กๆ สี่ข้างที่เหยียบย่ำลงน้ำหนักเต็มแรง จากนั้นริมฝีปากก็พลันรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
เขารู้สึกว่ามีบางอยู่ไหลเข้ามาในปาก เป็นน้ำบางอย่างที่กลิ่นฉุนไม่เบาแต่เขาก็เผลอกลืนมันเข้าไป
ชายหนุ่มลืมตาด้วยความตกใจพร้อมๆ กับที่เสียงคุ้นหูดังขึ้นอย่างร้อนรน
“คุณรัก!!” เสียงของคุณหมอกวินดังใกล้เข้ามา เขาพยายามฝืนร่างกายให้ลุกขึ้นพลอยให้เจ้าก้อนขนบนอกหล่นตุ้บลงไปบนพื้น
“เป็นยังไงบ้างครับ” เขาถูกวงแขนแข็งแรงช้อนขึ้นมา แต่ความมึนหัวทำให้เขาต้องหยุดความคิดที่จะผินหน้าไปมองเจ้าของเสียงห่วงใย
“ผมมึนหัวนิดหน่อยครับ เจ็บด้วย” สุทธิรักษ์คิดจะสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไปแต่กลับถูกมือใหญ่จับให้อยู่กับที่โดยการยึดพิงไว้กับแผ่นอก
...เขินมาก เขินแบบมึนๆ
“วันนี้ได้โดนทำโทษแน่ต๊อกแต๊ก” เจ้าของอ้อมออดบอกกับเจ้าหมาตัวโตที่นั่งหมอบหูลู่หางตกอย่างข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างที่สุด มันครางหงิงอย่างรู้สึกผิด
‘แต๊กขอโทษนะเจ้านาย แต๊กแค่อยากเล่นกับมนุษย์ใจดี’
สุทธิรักษ์พยักหน้าเห็นด้วย ก็เป็นหมานี่นะยังไงก็คงนึกถึงเรื่องเล่นเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว
‘มนุษย์ใจดี นายเป็นอะไรมากหรือไม่’
“เจ็บหัวเท่านั้นเอง ไม่เป็นอะไรมากหรอก” เขาตอบเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้น
“ผมว่าไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดีกว่าครับ” คราวนี้เป็นเสียงของหมอกวิน
‘เจ้านายเป็นหมอนี่’
‘มนุษย์หมอรักษาคนได้เหรอ’
เขาอดขันกับสองเสียงที่แสดงความสงสัยไม่ได้ “หมอกวินเป็นสัตวแพทย์ จะมารักษาคนได้ยังไง” เขายิ้มพลางมองไปยังต้นเสียง
“..........”
“อันที่จริงผมก็พอรักษาคนได้นะครับ แต่มันจะผิดจรรยาบรรณแพทย์ไปหน่อยผมเลยจะพาคุณไปโรงพยาบาลนี่ไง” แล้วเขาก็หันไปมองคุณหมอที่ยิ้มเครียดส่งมาให้
“คุณหมอ?”
“ครับ?”
สุทธิรักษ์มองรอบตัวอีกครั้งแต่นอกจากคนงานต่างชาติที่ยืนให้กำลังใจอยู่ไกลๆ แล้วนั้นก็ไม่มีใคร
“คุณหมอได้ยินเสียงใครพูดไหมครับ?”
".........."
".........."
“...เผื่อคุณรักอยากจะหาข้อเสียจากผม ผมกลัวผีนะครับ” ใบหน้าหล่อเหลาหันมองรอบตัวบ้าง ความหวาดกลัวพาดผ่านแววตาคมกล้าอย่างเห็นได้ชัด
‘อย่างนี้เจ้านายก็ไม่เก่งน่ะสิ มิน่าในร้านถึงมีแต่สัตว์เต็มไปหมด’ เสียงที่ติดจะทุ้มเล็กน้อยดังขึ้นอีก สำเนียงนั้นราวกับเจ้าของเสียงเป็นเด็กน้อยที่ยังอ่อนต่อโลก
‘เขาถึงเรียกสัตวแพทย์ไงล่ะแต๊ก เหมือนที่หมอคนก็ไม่รักษาสัตว์ไงล่ะ’ เสียงเล็กๆ ดังขึ้นโต้ตอบ
สุทธิรักษ์พุ่งสายตาไปยังต้นเสียงอีกครั้ง
ที่ตรงนั้นมีสุนัขตัวใหญ่ขนสีน้ำตาลทองเงางาม มันกำลังเอียงหน้าไปมาให้กับเจ้าแมวขนสีขาวฟูนุ่ม มองหน้ากันคล้ายกับสื่อสารกันเงียบๆ ผ่านสายตา กระทั่งทั้งสองตัวรู้สึกว่าถูกแอบมอง ดวงตาใสกระจ่างสองคู่จึงหันสบมา
‘แต๊กขอโทษนะมนุษย์ใจดี เดี๋ยวแต๊กให้กระดูกเป็นการขอโทษนะ’
‘สวัสดีมนุษย์ใจดี’
“บ...บ้าไปแล้ว...” ภาพและเสียงตรงหน้าเหมือนจะทำสติของเขาเตลิดเปิดเปิง ยิ่งแมวตัวนั้นเดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวเสียจนกระทั่งการเบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดของคนที่แอบชอบก็ไม่มีการเขินอายอีกแล้ว
“คุณรัก?”
“ผ...ผมต้องหัวกระแทกแรงจนสมองเบลอไปแล้วแน่ๆ”
อุ้งเท้าสองข้างยกวางลงบนหน้าขา เขาอยากจะกระเถิบตัวหนีแต่ก็ดูเหมือนร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อไปหมด
‘เจ้าได้ยินเราพูดแล้วสินะ ยอดเยี่ยมจริงๆ เราไม่คิดว่าจะเป็นจริงตามคำบอกเล่านะเนี่ย’
“คุณหมอ...คุณหมอครับ!!”
“คุณรักเป็นอะไรครับ” เสียงคุณหมอกวินฟังดูร้อนรนไม่ต่างกัน หากแต่ตอนนี้สองตาเขาเอาแต่จ้องเป๋งไปยังเจ้าของเสียงเล็กๆ
‘เราชื่ออัลโทนีโอ บวารี่ คูเท่น เดอ มองฟรัวร์ ที่แปด เป็นขุนนางระดับสูงแห่งอาณาจักรแคทเทอร์นิปอันยิ่งใหญ่’
“ห๊า!”
‘เรียกเราสั้นๆ ว่าโทนี่ก็ได้ ...ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือมนุษย์?’
“..........”
“คุณรัก!!!”
ท่ามกลางสติที่กำลังดับวูบสุทธิรักษ์ได้ยินเสียงคุณหมอเรียกชื่อเขาเสียงดัง และจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
• • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันพุธหน้า • • • • • • • • • • • • •
เรียจ้านาย
ขอเลื่อโส่นิยายไปเปวาพุนะจ๊ะ (กรุณาอ่านสำเนียงต่างประเทศนะคะ 555)
วันอังคารทำงานเต็มวัน16ชม.เลยมาส่งนิยายไม่ได้ จะส่งวันจันทร์ก็ไม่ได้เพราะมันเร็วเกินไปไม่ใช่แนว 555
หลังจากนี้ชีวิตธรรมดาๆ ของสุทธิรักษ์จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป
นอกจากจะมีคุณหมอขี้อ่อยแล้วนั้น ยังเพิ่มพี่โทนี่ผู้หล่อเหลาเข้าไปอีกตัว และจะมีตัวอื่นตามมาอีกในอนาคต
...ไว้อาลัยให้กับความสงบของนายที่รักเลยค่ะ :call:
-
น้ำที่สุทธิรักษ์กินเข้าไปคือน้ำอะไรน้อออ คิดดีไม่ได้เลย 55555
-
:pig4:
:katai2-1:
-
o13 o13 o13
-
:laugh:
:L2: :pig4: :L2:
o13
-
สวัสดีที่รัก นี่โทนี่ไง
หมอคะ หมอกลัวผีจนเสียอาการเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ
-
เป็นลมเลย 55555555555555555
แต่อัลโทนีโอให้กินอะไรก๊อนนนนนนน
-
อ่านไปก็หิวไป อยากจะขอยืมตัวน้องรักมาทำอาหารให้กินบ้างจังค่ะ
เอ็นดูภาษาพูดน้องต๊อกแต๊ก ซื่อๆตรงๆ รอสงสารน้องรักเลยต้องมาฟังต๊อกแต๊กพูด ฮา
:pig4:
-
ดีใจกับคุณรักด้วยค่า :mew4: ชีวิตคงมีบันเทิงเริงใจอีกเย๊อะ 555
-
อะเมซิ่งงงงงงง~ 5555
-
สุทธิรักษ์จากนี้ไปมีเรื่องสนุกๆเข้ามาไม่หยุดแน่ๆ :hao7: :hao7:
-
บันเทิงล่ะทีนี้ :laugh: :laugh:
ทีนี้ ถ้าแค่สุทธิรักษ์คนเดียวที่ฟังภาษาสัตว์ออกนี่เดี๋ยวจะมีปัญหาไหมครับ เผื่อคุณหมอจะงงๆแล้วกลัว โทนเรื่องจะฉีกออกทำให้เป็นคอเมดี้โรแมนซ์ไม่ได้รึเปล่า อาจต้องระวังนิดนึง ถ้าให้ดีก็ให้คุณหมอกลืนน้ำลายอันโทนิโอด้วยก็ดีนะครับ คราวนี้ล่ะยิ่งบันเทิงแน่ :m20: :m20: ทั้งพระเอกนางเอกฟังภาษาสัตว์ออก น่าจะมีเรื่องดีๆเข้ามาให้ฟีลกู๊ดได้
ชอบน้องต๊อกแต๊กอะครับ น้องหมาน่าร้ากกกกกก น่าจับมาฟัดมากเลย
-
ตอนที่ 5
เป็นทาสโดยไม่ตั้งใจ
เสียงจอแจปลุกสุทธิรักษ์ให้ฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหล เอ๊ะ? หรือที่จริงแล้วเขาไม่ได้หลับ? ชายหนุ่มส่ายหัวสลัดความปวดหนึบที่อยู่ด้านหลังแต่กลับถูกฝ่ามือของใครสักคนประคองให้อยู่กับที่ สุทธิรักษ์เหลือบตามองเจ้าของความอบอุ่นที่แนบเนาอยู่ข้างแก้ม และพบว่าฝ่ามือที่ติดหยาบกร้านเล็กน้อยนั้นเป็นของคุณหมอกวินที่บัดนี้เผยสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดเจน
“คุณทำผมเป็นห่วงแทบแย่” หมอกวินพรูลมหายใจออกมาแต่ยังไม่คลายมือออกจากผิวแก้มของเขา
“ผมเป็นอะไรไป?” คนเจ็บตัวเอ่ยถามอย่างสับสน สองตากวาดมองรอบด้านจึงพบบรรยากาศของโรงพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่เดินกันขวักไขว่ แน่นอนว่าบางคนนั้นคุ้นหน้าคุ้นตากันดี “คุณพาผมมาโรง’บาลเหรอครับ?”
“ก็คุณเล่นเพ้อออกมาแล้วก็สลบไป” ว่าถึงตรงนี้ คนพูดก็อดไม่ได้ที่จะลูบมือลงกับศีรษะคนป่วยย่างห่วงใย “วันนี้นอนดูอาการกันสักคืนนะครับ”
สลบ? สุทธิรักษ์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นเป็นเช่นนั้น หากพอนึกถึงสาเหตุก็ให้ขนแขนลุกพรึบไปตามๆ กัน อันที่จริงแล้วมันอาจจะเป็นอย่างที่คุณหมอบอกว่าเขาเพ้อเพราะหัวกระแทกพื้น คงต้องเป็นตามนั้นแน่! ก็ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยพบเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อนคงไม่มาเกิดเอาช่วงเบญจเพสตามตำราหรอกน่า
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาพูดจริงตามความรู้สึก นอกเสียจากว่าหลังศีรษะเหมือนจะบวมตุ่ยขึ้นมาจากการกระแทก หากเมื่อสัมผัสดูก็ไม่พบกับผ้าก๊อซปกปิดเอาไว้จึงออกจะแน่ใจว่าไม่ได้หัวร้างค่างแตกเป็นแน่ จึงหวังแค่เพียงว่ามันจะไม่รุนแรงขนาดเลือดออกในสมอง
“น้องรักของหมอ” คราวนี้เป็นเสียงคุ้นเคยที่ได้ยินเกือบทุกวัน สุทธิรักษ์หันไปมองผู้มาใหม่ที่เข้ายืนประชิดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หกล้มมาหรือครับ ไม่มีแผลแตกใช่มั้ย? ไหนเอียงหัวให้หมอดูหน่อย”
สุทธิรักษ์เอียงด้านข้าง สูดปากเล็กน้อยยามแพทย์ผู้คุ้นหน้าลงน้ำหนักนิ้วบนก้อนมะกรูดบนหลังหัว
“ทีนี้หันหน้ามานะ ลืมตาไว้” จากนั้นนายแพทย์พชรผู้เป็นมิตรกับเจ้าหน้าที่ทั้งโรงพยาบาลก็หยิบไฟฉายขนาดเล็กส่องเข้าที่ตาทั้งสองข้าง จากนั้นก็ตรวจสอบอากรต่อโดยให้เขายกแขนกับขาต้านกำลังมือของแพทย์ “ปวดหัว คลื่นไส้ไหม?”
“ไม่ครับหมอกบ แค่เจ็บหัวที่โนเท่านั้น”
“อืมๆ ไม่อาเจียน ไม่ปวดหัว แขนขาไม่อ่อนแรงไม่กระตุก ม่านตาก็ปกติ ญาติไม่ต้องกังวลนะครับ” ว่าแล้วก็หันไปมอง ‘ญาติ’ ที่ยืนฟังการวินิจฉัยเงียบๆ “แต่เพื่อความมั่นใจคงต้องแอดมิตดูอาการสักคืน เดี๋ยวญาติตามเจ้าหน้าที่ไปทำเรื่องเข้าพักรักษาตัวได้เลยนะครับ”
“ไม่ใช่นะครับ!” คนเจ็บจำต้องรีบแย้งความเข้าใจผิดของคนกันเอง “คุณกวินเป็น...เป็น...”
เป็นอะไรดีล่ะ!!
สุทธิรักษ์ขบคิดจนหัวหมุน เป็นคนร่วมหมู่บ้านงั้นหรอ? ตอนนี้ก็ชักจะก้าวหน้าไปมากกว่านั้นแล้วนี่! แต่จะให้เป็นเพื่อน เขาก็ยังไม่ได้สนิทคุ้นเคยกันมากพอ ร...หรือจะให้เป็นแฟน...ต...แต่เขาก็ยังไม่กล้าคิดไกลถึงขนาดนั้นนี่นา แล้วจะวางสถานะคุณหมอไว้แบบไหนดีล่ะ หรือว่า...ค...คนคุยๆ กันอยู่
มัน...มันจะน่าอายเกินไปหน่อยแล้ว!!
“ดูเหมือนความสัมพันธ์จะอธิบายยากนะครับ” เสียงของหมอพชรที่หันไปเอ่ยกับ ‘ญาติ’ ด้วยรอยยิ้มทำให้คนฟังบนเปลนอนกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน
“เขาแค่ขี้อายเท่านั้นล่ะครับ” แล้วการตอบกลับของคุณหมอกวินก็ทำให้สองหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
แต่คนนอนมองเนี่ยสิ หน้าจะไหม้อยู่แล้ว...
ในท้ายที่สุด สุทธิรักษ์ก็ถูกจับรับตัวเข้ารักษาเพื่อประเมินอาการ โดยอาศัยความเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทำให้ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องเอกสารมากนักแค่มีบัตรประชาชนใบเดียวก็มีคนกันเองใจดีทำเรื่องให้หมด จะนับว่าใช้เส้นสายก็คงได้ล่ะนะ แต่เรื่องที่น่าหนักใจที่สุดกลับเป็นคนพามาส่งเสียได้
หมอกวินยัดเยียดตัวเองเป็นญาติเขาอย่างสมบูรณ์ ทั้งการกรอกเอกสารยินยอมให้การรักษา หรืออาสาที่จะนอนเฝ้าเป็นเพื่อน ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเอาแต่หาเหตุผลมาหักล้างความอายของเขาอยู่เรื่อย และในเมื่อทนความดื้อของคุณหมอไม่ไหว สุทธิรักษ์ก็ต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย
“ผมจัดการปิดบ้านให้เรียบร้อยแล้วนะครับ อาหารแมวก็มีเต็มถัง ผมเลยเติมน้ำเผื่อไว้พรุ่งนี้ซะเลย”
คนป่วยบอกขอบคุณ พลางมองคนตัวสูงที่เดินไปวางกระเป๋าเป้บนโซฟาแล้วนั่งลงข้างๆ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสว่างละลานตากับลักยิ้มข้างแก้มแสนมีเสน่ห์ให้กับเขา ไม่ได้มีร่องรอยความเบื่อหน่ายหรือความไม่พอใจสักนิดที่ต้องเทียวไปบ้านเขากับโรงพยาบาลเพื่อเอาเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัว ซ้ำยังต้องตรวจตราความเรียบร้อยให้อีก
“ผมเกรงใจคุณหมอมากเลย ขอโทษจริงๆ นะครับ” เขาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ เป็นเพราะหมากับแมวบ้านผมที่ทำให้คุณต้องมาเจ็บตัวแบบนี้” หมอกวินลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ข้างเตียง สีหน้ายิ้มกริ่มขณะเท้าคางมองผม “ผมกำลังคิดว่าจะชดใช้ให้คุณรักยังไงดีนะ”
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง!” สุทธิรักษ์รีบร้อนปฏิเสธ “แค่คุณมานอนเฝ้าก็ถือว่ามีน้ำใจกับผมมากแล้วครับ”
“อืม...คุณรักจะรวมความตั้งใจกับการแสดงน้ำใจไว้ด้วยกันก็ไม่ถูกนะครับ”
“ยังไงล่ะครับ?” คนเจ็บลอบขยับตัวเล็กน้อยเพื่อถอยห่างจากใบหน้าของอีกคนที่ยื่นใกล้เข้ามา
“ก็ยกตัวอย่างเช่น แม้ต๊อกแต๊กไม่ได้ทำร้ายคุณ แต่เมื่อไหร่ที่คุณนอนโรงพยาบาลผมก็จะมานอนเฝ้าคุณแบบนี้เรื่อยๆ นี่คือความตั้งใจจริงครับ” คุณหมอกวินแย้มรอยยิ้มหวาน “แต่ถ้าเป็นแค่การแสดงน้ำใจ ผมก็จะแค่มาเยี่ยมคุณเท่าที่ทำได้ อาจจะซื้อกระเช้าใหญ่ๆ เพื่อมาขอโทษ รึให้เงินปลอบขวัญแล้วก็จบกัน”
“..........” ชั่วขณะหนึ่ง สุทธิรักษ์เผลอกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งที่ผู้ชายตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนหมาป่าที่หุ้มหนังสุนัขบ้านตัวใหญ่ยังก็ไม่รู้
“ทีนี้คุณรักเห็นถึงความแตกต่างรึยังครับ”
“ต...แต่ว่า”
“ถ้าคุณรักจะเกรงใจผมให้ได้ งั้นเราคงต้องเริ่มทำความสนิทสนมเพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้วล่ะครับ” คุณหมอกวินสรุป พลางเอื้อมมือข้างที่ว่างขึ้นมาเกี่ยวปอยผมเขาเล่น สุทธิรักษ์ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจแต่พยายามสยบร่างกายไม่ให้สะบัดหนี กลัวว่าท่าขืนดิ้นรนแม่แต่น้อยคุณหมอจะคิดว่าถูกรังเกียจ แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน! ตอนนี้ใบหน้าเขาร้อนวูบวาบไปหมด เสียงหัวใจก็ดังตุบๆๆ เสียจนอยากให้มันหยุดเต้นไปซะเลย
หน้าไม่แดงใช่ไหม!? เสียงหัวใจมันเต้นดังมากไปรึเปล่า!?
กวินมองคนป่วยตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกกับท่าทีข่มอารมณ์ที่แสนน่าเอ็นดู ริมฝีปากเม้มแน่นเสียจนสั่นระริก นัยน์ตาเบิกกว้างกึ่งตกใจกึ่งสุขสมอย่างประหลาด ไหนจะร่างกายที่ฝืนไม่ขยับหนีจนแข็งทื่อนั่นอีก แล้วยังมีแก้มแดงน่ากัดนั่นอีก
ดูท่าเขารุกหนักไปอีกแล้วสิเนี่ย
“เริ่มจากการเรียกชื่อก่อนดีไหมครับ?” คุณหมอหนุ่มตัดใจเก็บมือเก็บนิ้วตัวเองเข้าที่ “คุณเอาแต่เรียกผมว่าคุณหมอๆ แล้วถ้าเกินอยู่กันหลายๆ หมอ คุณรักจะเรียกผมว่ายังไงครับ”
“ก็ ก็เรียกคุณหมอกวินไงครับ”
“ห่างเหินจัง” ว่าจบ คนผ่านโลกมามากกว่าก็แสร้งถอนหายใจ “ถึงว่าทำไมคุณถึงบอกใครไม่ได้ว่าผมเกี่ยวข้องกับคุณยังไง ที่แท้เราก็เหินห่างกันขนาดนี้”
“ไม่ใช่นะครับ! ไม่ใช่ๆ คือผม...”
เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนของคนป่วยก็ทำใจร้ายไม่ลงจริงๆ กวินต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นที่เคยเจอ ความขี้อายของคนนี้มีมากกว่าใครเป็นเท่าตัวโดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่สนิทสนมกันนักแบบเขา
“ถ้าคุณรักยังทำตัวไม่ถูกเรื่องที่ผมอยากขยับความสัมพันธ์ งั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดถึงมันเลยครับ” กวินปลอบตัวเองให้ยอมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แม้จะไม่เต็มใจนักแต่ก็ดีกว่าไปเพิ่มความกดดันให้อีกคน “เราอยู่ในฐานะเพื่อนไปก่อนก็ได้ครับ แค่อย่าใจร้ายทิ้งผมให้อยู่ที่เดิมนานนักก็พอ”
“..........”
“เพียงแต่... ผมขอเป็นเพื่อนที่จับมือคุณรักได้ไหมครับ?” มือหนาเลื่อนกอบกุมฝ่ามือที่ไม่ได้นุ่มนิ่มเท่าไหร่นักหากอุ่นพอดิบพอดีกับฝ่ามือที่ติดจะเย็นของเขา แม้อีกคนจะไม่ได้ขัดขืนแต่ก็เกร็งเสียจนคนจับนึกไปถึงก้อนหิน แต่เขาทำเพียงลอบยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อราวไม่รับรู้ “เป็นเพื่อนที่กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวกัน บางวันก็ไปรับไปส่งที่ทำงาน”
หรือขอแอบหอมแก้มบ้างบางครั้งที่คุณเผลอ...
“ผมขอเป็นเพื่อนแบบนั้นได้ไหมครับ?”
เนิ่นนานหลายวินาทีกว่าคนฟังจะมีปฏิกิริยาตอบรับ คนมองอดยิ้มไม่ได้กับสีหน้าเขินอายหากแววตานั้นเปล่งประกายระยิบระยับ เพียงแค่เห็นใบหน้าน่ารักกับแก้มสีแดงระเรื่องพยักหน้าตอบรับคนร้องขอก็คล้ายมีกำลังใจรอขึ้นมา
กวินต้องห้ามใจอย่างยิ่งยวดที่จะไม่โน้มตัวลงไปจรดริมฝีปากเข้ากับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนตรงหน้า เขาไม่เคยแอบชอบใคร ไม่เคยต้องอดทนรอใครแบบนี้ แต่หากนับว่าตอนนี้มันดีหรือไม่ เขาก็คงยืดอกบอกได้เต็มปากว่าดีไม่น้อย แต่เขาเชื่อว่าอนาคตมันจะต้องดีเกินกว่าความอดทนรอของเขาในตอนนี้แน่นอน
• • • • • • •
สุทธิรักษ์ที่ถูกงดน้ำงดอาหารระหว่างรอประเมินอาการจึงไม่อิดออดต่อความหิวที่มีจนล้นตั้งแต่เมื่อเช้า ส่วนหมอกวินนั้นที่ยอมอดข้าวเป็นเพื่อนทั้งคืนทำเอาคนป่วยซึ้งใจจนน้ำตาเอ่อ ดังนั้นเมื่อแพทย์สั่งให้ออกจากโรงพยาบาลได้ คนหิวทั้งสองก็แบกเสียงท้องร้องไปหาของกินก่อนเป็นอันดับแรก
สุทธิรักษ์ก็ถูกญาติจำเป็นพาไปเลี้ยงรับขวัญ เป็นร้านติ่มซำที่มีหลายสิบชนิดและให้บังเอิญเป็นร้านโปรดของคนทั้งคู่ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมือคีบปากเคี้ยวไม่เป็นอันสนทนา เมื่ออิ่มหนำกันเต็มที่ก็พากันกลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านของเขาน่ะสิ!
“ค้างกับผมสักคืนเถอะครับ ผมจะได้สบายใจว่าคุณไม่เป็นอะไร”
นั่นคือข้ออ้างต่อคำคัดค้านทั้งหลายทั้งปวงของเขา เมื่อทนแรงดึงดันไม่ไหวสุทธิรักษ์ก็จำต้องพยักหน้ายินยอม หมอกวินที่ยิ้มแก้มแทบปริจึงขับรถพาเขากลับมาเอาของที่บ้านก่อน แถมยังใจดีช่วยเปลี่ยนน้ำให้แมวอีกครั้งก่อนรับเขากลับไปบ้านตัวเอง
มันมีคำพูดที่ว่า ‘เมื่อไม่คิดถึง เราก็จะลืมมันไป’ หากทันทีที่คุณหมอเข้ามาจอดรถในบริเวณบ้านภาพเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะสลบก็แวบเข้ามาในความคิด ทำให้คนที่ควรจะตามเจ้าของบ้านลงจากรถไปต้องนั่งนิ่งด้วยความไม่แน่ใจ ยิ่งพอเห็นเจ้าหมาขนเป็นเงากำลังตะกุยขาเจ้านายอย่างเป็นบ้าเป็นหลังก็ให้ขนทั้งร่างลุกเกรียว
เมื่อวาน... เมื่อวานคือเรื่องจริง หรือเป็นเพราะสมองเขาถูกกระเทือน
สุทธิรักษ์นิ่วหน้าขบคิด มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะเข้าใจว่าสัตว์หน้าขนพูดอะไร เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้มันมีแค่ในนิยายเท่านั้น ใช่! เขาคงมึนหัวมากจนสติสร้างภาพหลอนขึ้นมา
แต่มันมาทั้งภาพและเสียงเลยนะ?
ชายหนุ่มสะบัดหัวขับไล่ความคิดที่ว่าตัวเองอาจจะเข้าข่ายอาการทางจิต ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ ต๊อกแต๊กก็ดูร่าเริงเหมือนเดิม ส่วน...ส่วนเจ้าแมวนั่นก็...ก...ก็นั่งมองมาทางนี้นิ่งๆ
สุทธิรักษ์สูดหายใจลึกเข้าปอดเรียกความกล้าอันน้อยนิด เอื้อมหยิบกระเป๋าเป้หลังรถมาสะพายแล้วลงจากรถ สองเท้าปรี่เข้าประชิดคนตัวสูงอย่างจงใจ
“โฮ่งๆๆ” เสียงต๊อกแต๊กเห่ารับ ปากฉีกกว้างจนลิ้นสีชมพูห้อยตกลงมา สะบัดหางเป็นพวงจนน่ากลัวจะหลุดปลิว
“นั่งเลยนะ! ทำเรื่องไว้แสบมากนะเมื่อวาน” คุณหมอดุเจ้าตัวใหญ่เสียงเข้มจนมันหมอบนอนเอาขาหน้าปิดตาอย่างรู้สำนึก
นี่ไง...ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องของสมองถูกกระทบกระเทือนเท่านั้น
‘ขอโทษนะเจ้านาย แต๊กจะงดขนมสำนึกผิดแล้วกัน’
สองขาที่กำลังก้าวไปพร้อมเจ้าของบ้านพลันหยุดชะงัก
เขาไม่ได้หันไปมองทางต้นเสียง ไม่สิ! เขาไม่กล้าหันไปต่างหาก ก็เสียงนั้นน่ะ...เสียงนั้น...
“คุณรักครับ?” สุทธิรักษ์เงยหน้ามองคนตัวสูงที่หยุดเท้ารอเขาด้วยความสงสัย นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะนะ ที่ความอายถูกความรู้สึกอื่นกดข่มไว้ได้ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หลักพักพิง เอื้อมมือจับชายเสื้ออีกคนเอาไว้ราวกับเด็กกลัวหลงทาง หมอกวินมองการกระทำของเขาด้วยรอยยิ้มแปลกใจ แต่แล้วอีกฝ่ายก็ดึงมือของเขาไปกุมไว้แทน
“ต้องจับแบบนี้สิครับ” ตามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจกับลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่เกือบจะทำให้สุทธิรักษ์ยิ้มตามได้
ถ้าไม่ติดว่ามีสายตากลมโตสีฟ้าจับจ้องอยู่น่ะนะ
“คุณหมอไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอครับ” สิ้นคำ เจ้าของฝ่ามือที่จับจูงอยู่หยุดกะทันหันจนใบหน้าเขาเกือบชนเข้ากับหัวไหล่อีกฝ่าย คุณหมอหันหน้ามามองด้วยความสงสัยกับรอยยิ้มที่...แข็งค้างไปสักหน่อย
“เสียงอะไรหรือครับคุณรัก?”
แค่ได้ฟังเสียงที่เจือความกลัวจากคนพยายามแข้งใจตรงหน้า หัวสมองสุทธิรักษ์ก็พลันนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานก่อนที่ตัวเองจะสลบไป ‘เผื่อคุณรักอยากจะหาข้อเสียจากผม ผมกลัวผีนะครับ’ คุณหมอพูดไว้ประมาณนั้น แล้วจะให้เขาใจดำลากคนกลัวเข้ามาร่วมรับรู้ได้ยังไง
เขาจำใจส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เสียงลมแรงซะน่ากลัวจะมีพายุน่ะครับ เดินต่อเถอะครับ”
เขากระตุกมือหมอกวิน อีกฝ่ายทำหน้าโล่งอกชัดเจนเสียจนคนมองต้องอมยิ้ม แล้วผู้อาศัยชั่วคราวก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปด้านใน แน่นอนว่าเบื้องหลังนั้นเขารู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่พากันกรีธาทัพเข้ามา พร้อมกับเสียงสองเสียงที่เขาได้ยินแจ่มชัดเมื่อวาน
‘เจ้านายมีกลิ่นมนุษย์ใจดีติดตัวด้วยล่ะโทนี่’ เสียงที่ติดจะทุ้มเล็กน้อยนี้เป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินเมื่อครู่
‘กลิ่นอยากผสมพันธุ์ก็แรงพอกันนะ’ ส่วนเสียงเล็กๆ ติดจะเย่อหยิ่งนี่ที่เขาได้ยินเมื่อวาน
สุทธิรักษ์กลืนน้ำลายก้อนโตลงคออย่างยากลำบาก อันที่จริงแล้วเขาอยากจะสะบัดมือคุณหมอทิ้งแล้ววิ่งกลับบ้าน แต่ทั้งขาทั้งมือมันอ่อนแรงเสียงจนยกสะบัดไม่ไหว
‘ว้า แสดงว่ายังไม่ได้ขี่กันน่ะสิ ทำไมเจ้านายไม่เป็นงานเลยน้า’
‘สงสัยมนุษย์ใจดีไม่กระดกก้นให้น่ะสิ หรือว่าจะไม่ชอบมนุษย์หมอ?’
‘ไม่ใช่สิ เจ้านายของแต็กใจดีจะตาย มนุษย์ผู้หญิงตั้งเยอะที่อยากได้เจ้านายเป็นพ่อพันธุ์’
‘แต่มนุษย์ใจดีเป็นผู้ชายนะแต๊ก’
‘...งั้นแต๊กไปแม่ถามก่อน’
จบเสียงติดทุ้มนี้ เจ้าหมาต๊อกแต๊กก็วิ่งพรวดไปอีกทางพร้อมกับเสียงที่ดังตามติดตัวไป ‘แม่จ๋า! แม่จ๋า!’
เหมือนเด็กเล็กๆ ที่ร้องเรียกหาแม่อย่างตื่นเต้น และมันก็ทำให้คนได้ยินลืมความกลัวจนเผลอหลุดขำออกมา ไหนจะกระแสเสียงนินทาที่เขาฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างนั่นอีก มันก็...ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าตลกล่ะนะ
แต่หมอกวินกลับกลายเป็นคนที่ทำให้เขาขำไม่ออก เพราะหลังจากพากันเดินขึ้นชั้นสองไป และประตูบานหนึ่งถูกเจ้าของบ้านเปิดเข้าไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น สุทธิรักษ์ก็คลับคล้ายจะอยากสะบัดมือคุณหมอทิ้งอีกครั้ง หากเขายังคงเดินตามเข้าไปโดยไร้ปากเสียง แม้ว่าเบื้องหน้านั้นจะเป็นเตียงนอนหลังใหญ่ที่ดูนุ่มสบายน่านอน
สุทธิรักษ์ลอบสูดหายใจสงบสติอารมณ์อันเตลิดเปิดเปิงของตัวเอง มันก็แค่เตียง! แค่เตียงของคุณหมอเท่านั้นเอง!
“ทำตัวตามสบายนะครับ” คุณหมอคนดีแย้มยิ้มบอก
ใช่! ทำตัวตามสบาย ผ่อนคลายสิไอ้รัก
...ใครมันจะไปทำได้กันเล่าครับคุณหมอ!!
เจ้าของบ้านมองร่างแข็งทื่อของผู้อาศัยชั่วคราวแล้วให้ขบขัน แต่กวินก็ยังมารยาทดีพอที่จะไม่เพิ่มความอายให้อีกคนโดยการเอ่ยกระเซ้า เขาทำเพียงแนะนำที่ทางคร่าวๆ และถือวิสาสะเอากระเป๋าเป้ของสุทธิรักษ์มารื้อของจัดเก็บเข้าที่ เขาปล่อยให้คนขี้อายยืนตามอัธยาศัยขณะที่ตัวเองแขวนเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าตู้เสื้อผ้า ตามด้วยของใช้ส่วนตัวที่ต้องเอาไปวางไว้ในห้องน้ำ
มันเป็นความรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจอย่างน่าประหลาด การที่มีเสื้อผ้าของคนอื่นในตู้ส่วนตัว มีแปรงสีฟันของใครอีกคนเพิ่มเข้ามา บ้านที่เคยมีเพียงเขากลับมีเงาร่างของบางคนทับซ้อน แม้จะแค่ชั่วข้ามคืนที่อาจจะได้รู้สึกแบบนั้นแต่ถ้ามันยืดยาวนานไปตลอดจะให้ความรู้สึกแบบไหนกันนะ
กวินส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความคิดเกินตัว สุทธิรักษ์นั้นเหมือนผลไม้ดิบที่ต้องใช้เวลาเพาะบ่มความอร่อย ขืนเขาใจเร็วมากไปคงโดนอีกฝ่ายเขินอายจนหลบหน้าหลบตาเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องนอนแล้วพบว่าสุทธิรักษ์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างทำตัวไม่ถูก เขาทั้งสงสารทั้งขำแต่ถ้าไม่พูดให้อีกฝ่ายคลายกังวลสักหน่อยก็ดูจะใจร้ายไปสักนิด คุณหมอหนุ่มเดินตรงเข้าไปหา เลือกที่จะเว้นระยะห่างเล็กน้อยให้อีกคนหายใจโล่ง
“ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันไงครับ คุณรักไม่ต้องกลัวว่าผมจะคิดมิดีมิร้ายนะ” เมื่อเอ่ยอย่างรู้ทันก็พาให้คนฟังสะดุ้งออกมาเล็กน้อย แถมยังรีบร้อนปฏิเสธปากคอสั่น
“ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่! ผ...ผมแค่ทำตัวไม่ถูก”
“โล่งอกไปที ผมก็คิดว่าคุณรักจะกลัวถูกผมจับกิน” กวินทำทีพ่นลมหายใจออกมา
“จับกิน? ค...คุณหมอ!! ล้อผมเล่นอีกแล้ว” เขาหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนขี้อายยกมือขึ้นคล้ายตั้งการ์ดปกป้องตัวเอง คงไม่คิดว่าจะต้านเขาได้หรอกชะไหม? ต่อให้รูปร่างมีน้ำมีนวลขนาดไหนแต่กวินก็ยังเชื่อว่าตัวเองมีกำลังมากกว่าแน่นอน ดังนั้นเขาเลยแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ โดยการง้างท่อนแขนสองข้างของสุทธิรักษ์ออกแล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบหยอกล้อที่ข้างหู
“ผมคิดอยากกินคุณรักจริงๆ นะครับ”
ราวกับสัมผัสได้ถึงไอร้อนผะผ่าว กวินเหลือบมองซีกแก้มที่พลันแดงระเรื่อขึ้นมา มันใกล้กันถึงเพียงนี้แต่เขาก็จำต้องหักใจทำเพียงลอบให้แก้มแตะต้องกันอย่างไม่ตั้งใจ แม้จะอยากเปลี่ยนเป็นให้ริมฝีปากแนบเนาอยู่ก็ตามที
“แต่ผมจะรอวันที่คุณรักเต็มใจครับ ขืนวู่วามผมก็อกหักกันพอดีน่ะสิ”
“..........”
เฮ้อ~ เขาจะอดใจไม่ให้พุ่งเข้าไปหอมแก้มแดงๆ นั่นได้อีกนานแค่ไหนกันนะ
• • • • • •
-
หลังจากทำร้ายหัวใจเขาจนพอใจ หมอกวินก็ขอตัวไปทำงานพลอยให้สุทธิรักษ์หายใจโล่งปอดมากขึ้น ใบหน้าที่ร้อนวูบวาบก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ หัวใจที่เต้นถี่รัวก็คล้ายจะสงบลง คุณหมอช่างเป็นบุคคลที่อันตรายต่อการทำงานของร่างกายเหลือเกิน แค่ได้เห็นรอยยิ้ม ได้อยู่ใกล้ๆ ทุกอย่างก็ดูติดขัดไปเสียหมด
เฮ้อ~ บางที่สุทธิรักษ์ก็เบื่อตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ชายหนุ่มมองรอบห้องอย่างนึกสำรวจ ภายในห้องนี้ตกแต่งโทนสีขาวครีมโดยมีเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนเป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับบริเวณชั้นล่าง แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็บ่งบอกรสนิยมที่ดี
จู่ๆ หัวใจที่สงบลงแล้วก็กลับเต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง สุทธิรักษ์ได้แต่ยืนเก้กังอยู่แบบนั้นอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้...คืนนี้...เขาจะได้อยู่กับคุณหมอสองต่อสองสินะ ช่างเป็นเรื่องที่เกินความคาดฝันชะมัด กลิ่นหอมเดียวกับที่ติดตัวคุณหมอในห้องนี้ทำให้จิตใจไม่สงบเอาเสียเลย สุทธิรักษ์ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเรียกสติก่อนจะสำนึกรู้ถึงความจริง
อยู่กันเพียงสองต่อสองอะไรเล่าไอ้รักเอ๊ย! ยังมีหมากับแมวพวกนั้นอีกนี่
เรื่องพิลึกพิลั่นนั่นทำหัวใจเขาห่อเหี่ยวได้อย่างชะงัดนัก เขาได้ยินเสียงบ้าพวกนั้นมาจากหมากับแมวของคุณหมอขณะที่เจ้าของพวกมันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อะไรทำให้เขาไม่ปกติแบบนี้ล่ะ? แล้วกับสัตว์ตัวอื่นล่ะ เขาจะได้ยินพวกมันพูดแบบนี้หรือเปล่า?
ในหัวคนครุ่นคิดมีแต่คำถามเต็มสมอง เขายืนนิ่งงันอยู่แบบนั้นกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากประตู ไม่ใช่เสียงเคาะ แต่เหมือนมีบางอย่างกำลังตะกรุยประตูอยู่จากเบื้องล่าง แน่นอนว่ามนุษย์ปกติไม่ทำแบบนั้นแน่
มาตึงตอนนี้มีข้อสรุปสองอย่างอยู่ในหัว อย่างแรกนั้น สุทธิรักษ์จะไม่รับรู้อะไรทั่งสิ้น เขาจะกระโจนขึ้นเตียงคุณหมอแล้วคลุมโปงให้มิด แต่เขาไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้แน่นอนนอกเสียจากว่าเขาจะเลิกยุ่งกับคุณหมอได้อย่างเด็ดขาด และในเมื่อทำไม่ได้จึงมีข้อสรุปที่สองตามมา
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด!
สองเท้าคนกลัวสืบย่างไปยังประตูที่ยังมีเสียงตะกรุยไม่หยุด เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อยู่หลายครั้งถึงจะตัดใจหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู
สองตามองตรงไปในระดับปกติ ...แน่นอนว่าไม่มีใคร
แต่ขณะเดียวกันกับการตัดสินใจว่าจะมองลงต่ำดีหรือไม่ มวลบางอย่างก็คล้ายเคลื่อนผ่านขาของเขาไป และแน่นอนว่าเมื่อสายตามองลงไปย่อมไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
‘กว่าจะเปิดได้ เท้าเราเจ็บไปหมดเลยมนุษย์’
เสียงเล็กๆ เอ่ยกล่าวโทษมาจากเบื้องหลัง แม้จะพอรู้สึกได้แต่สุทธิรักษ์ก็ยังตัวเกร็งรับความผิดปกติอยู่ดี แต่ในเมื่อตัดสินใจที่จะลองเผชิญหน้าดูสักตั้งเขาจึงเลือกที่จะหมุนตัวกลับไปมองยังต้นเสียง
บนที่นอนที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าห่มผืนหนาดูนุ่มนิ่มอย่างเรียบร้อย มีหนึ่งร่างนั่งเอกเขนกพลางยกเท้าขึ้นเลียอย่างรื่นรมย์ ขนสีขาวพลิ้วฟูไปตามแรงเคลื่อนไหว ใบหน้าที่มีสีน้ำตาลอ่อนปนเทาแปลกๆ ปกคลุมยิ่งขับเน้นให้ดวงตาสีน้ำเงินเด่นชัดขึ้น หางเป็นพวงสีเดียวกับแต้มบนใบหน้าสะบัดพลิ้วไปมา
เป็นแมวที่สวยและก็ตัวใหญ่มากจริงๆ
สุทธิรักษ์พูดไม่ออก เขาไม่รู้จะเริ่มอย่างไร การสนทนากับสัตว์คือหนึ่งในเรื่องที่เขาไม่คิดอยากจะทำเพราะในเมื่อมันโต้ตอบมนุษย์ไม่ได้เราก็ไม่ควรไปเสียเวลาด้วย แต่คงเพราะเขาไม่ชอบสัตว์ก็เลยมีความคิดเช่นนี้ เพราะดูจากเวลาคุณหมอพูดกับสัตว์นั้นดูมีความสุขจนเขาอมยิ้มให้กับเสียงเล็กเสียงน้อยที่ใช้สื่อสาร มันก็เป็นแค่เรื่องความชอบที่ไม่เหมือนกัน เขาเข้าใจ
แต่ตอนนี้เขากลับหวังให้เจ้าหน้าขนตรงหน้า ‘พูด’ อะไรขึ้นมาสักอย่าง
ร่างที่ใหญ่กว่าแมวทั่วไปถึงสามเท่าวางเท้าหน้าลงหลังจากการแลบเลียอย่างเมามันผ่านพ้นไป มันใช้สายตาสีน้ำเงินรูปไข่จ้องมองมาที่เขา หลายวินาทีของการประสานสายตาจนกระทั่ง...
‘ดูท่าเราคงต้องแนะนำตัวอีกครั้งสินะ’
สุทธิรักษ์แทบจะทรุดตัวลงเมื่อความเป็นจริงกระจ่างแจ้งอยู่เบื้องหน้า แมว...แมวพูดได้จริงๆ !!!
‘เราชื่ออัลโทนีโอ บวารี่ คูเท่น เดอ มองฟรัวร์ ที่แปด เป็นขุนนางระดับสูงแห่งอาณาจักรแคทเทอร์นิปอันยิ่งใหญ่’
ประโยคนี้เขาก็คุ้นว่าเคยได้ยินมาแล้วเมื่อวาน ไอ้ชื่อยาวเหยียดนั่น ไหนจะอาณาจักรชื่อประหลาดนั่นอีก
‘เราขอขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตเราไว้ ทั้งคำพูดปลอบโยนจากเจ้าและกลิ่นหอมที่ทำให้เราสงบใจได้มาก เจ้าคือมนุษย์ใจดีคนแรกที่เราได้พบ’
“..........”
‘เอาล่ะ บอกชื่อมาสิมนุษย์ใจดี เราจะได้ทำความรู้จักกัน’
“ส...สุทธิรักษ์” กว่าจะคิดได้ ปากก็หลุดบอกชื่อไปเสียแล้ว เขากระพริบตาปริบๆ มองแมวตรงหน้าคลอนหัวรับรู้ แต่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
‘เรียกยากจริง มีสั้นกว่านี้ไหม’
“ที่รัก” ชื่อเล่นเต็มหลุดออกจากปากโดยไม่ผ่านกระบวนการไตร่ตรองอีกครั้ง แต่สุทธิรักษ์ก็หาใส่ใจไม่เพราะตอนนี้ทุกสิ่งมันอัศจรรย์มากเกินกว่าที่เขาเคยเจอมาตลอดชีวิตเสียอีก ทั้งในสมองยังมีแต่คำว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด
‘สายตาดูมีความสงสัยนะมนุษย์’
สิ้นเสียงแมวขนฟูสุทธิรักษ์ก็พยักหน้ารัวเร็วอย่างเห็นพ้อง สองตามองเจ้าแมวที่เอนกายนอนด้วยท่วงท่าแสนสบาย แลบเลียเท้าหน้าสีขาวสะอาดราวกับเบื่อหน่ายมนุษย์ตัวโตที่เอาแต่ยืนจ้องมันอย่างกับไร้สติ
‘เมื่อวานเรากับต๊อกแต๊กทำเจ้าล้มไปใช่มั้ย’ ว่าแล้วมันก็วางขาไขว้กัน เชิดหน้าขึ้นมองสบเขาพลางอ้าปากอธิบายไปเรื่อย ‘เราก็ตกใจไม่น้อยแหละ แต่ต๊อกแต๊กนี่ตกใจวิ่งวนไปมาเสียจนเราปวดหัว’
แมว... แมวพูดไม่หยุดเลย
สุทธิรักษ์ร่ำร้องในใจ เขาเห็นมันอ้าปากส่งเสียงภาษาคน แต่เขาไม่ได้ยินเสียงร้องเหมียวๆ แบบที่แมวควรจะมีเลย แถมเจ้าแมวตัวนี้ยังบอกว่าตกใจ แถมยังปวดหัว! แมวปวดหัวได้ด้วย!!
‘เราซึ่งเป็นขุนนางอันมีชื่อย่อมต้องทดแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือ และเจ้าอาจไม่รู้ว่าน้ำลายของเรานั้นพิเศษมากนะมนุษย์ มันใช้รักษาแผลได้ทุกชนิดแถมยังเล่ากันว่ามีพลังวิเศษเล็กๆ น้อยๆ’
“..........”
‘เราคิดว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องได้แผลบ้างก็เลยสั่งสมน้ำลายไว้เต็มที่ แต่นอกจากจะไม่มีแผลแล้ว เจ้ายังเผลออ้าปากร้องโอดโอย’
“ม...หมายความว่า...” สุทธิรักษ์ใจสั่นขึ้นมาทันที
‘เราเผลอทำน้ำลายหยดใส่ปากเจ้าน่ะ’
"อี๋!!!" เสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของเขาลากยาวจนเจ้าแมวประหลาดหูกระดิกด้วยความไม่พอใจ เจ้าตัวใหญ่สีขาวลุกขึ้นยืนจับจ้องมา
‘อย่าได้ทำกิริยาอย่างนี้นะมนุษย์ เราให้เกียรติเจ้าขนาดไหน ต้องขอบคุณเราด้วยซ้ำที่ทำให้เจ้าได้มีโอกาสนั่งสนทนากับเราน่ะ’
แต่นั่นมันน้ำลายนะ!! ถ้าเป็นไปได้สุทธิรักษ์ก็อยากจะอาเจียนออกมาเสียด้วยซ้ำ น้ำลายของคนก็ว่าแย่แล้วนะ แต่นี่มันมาจากสัตว์หน้าขนเชียวนะเชื้อโรคต้องมีแน่นอน แล้วนี่ยังเป็นแมวไม่รู้จักมักจี่กันเขาที่ไม่แหวะออกมาให้เห็นต่างหากที่เป็นคนให้เกียรติมัน
‘ในเมื่อเจ้าได้ดื่มกินน้ำลายของเราแล้ว เจ้าก็ได้กลายเป็นทาสของเราอย่างสมบูรณ์แล้วล่ะ’
“ห๊า!!”
'ในเมื่อเจ้าสื่อสารกับเรารู้เรื่อง จึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้าต้องสนองตอบความต้องการของเราไม่ใช่หรือ?' เจ้าแมวขนปุยปัดความตกใจของเขาทิ้งด้วยท่าทางไม่ยี่หระ มันยกขาหน้าขึ้นแลบเลียไปมาแล้วทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง
“บ้าน่ะสิ! ฉันไม่ได้ร้องขอน้ำลายแกสักหน่อย” ให้เป็นทาสคอยสนองความต้องการอะไรกัน แค่เข้าใกล้พวกสัตว์เขายังต้องทำใจแล้วทำใจอีกอยู่เลย
'โวยวายไปก็เท่านั้นน่า ปลายทางมันก็เหมือนเดิม' ว่าแล้วก็หดแข้งขาหายเข้าไปในกลุ่มก้อนขนของตัวเองแล้วปิดตาตัดการสื่อสารกับเขาอย่างสมบูรณ์
หลับ?...นี่มันหลับใส่เขาอย่างนั้นรึเนี่ย!
ท่าติดว่าใจกล้าสักหน่อย สุทธิรักษ์ก็อยากจะตรงเข้าไปเขย่าไอ้แมวตัวอวบตรงหน้าให้ตื่นมาคุยกันให้จบเรื่อง แต่เขาไม่บ้าพอแบบนั้นหรอก ทะเลาะกับสัตว์หน้าขนเนี่ยนะ! บ้าไปแล้ว
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย
สุทธิรักษ์ตัดสินใจเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋า เขาชอบคุณหมอ และไม่มีทางเลิกชอบเพียงเพราะคุณหมอเลี้ยงแมวประหลาดตัวนี้เอาไว้ แต่วันนี้เขาต้องขอกลับไปตั้งหลักให้มั่นคงซะก่อน
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็สะพายเป้พร้อมออกจากห้อง สุทธิรักษ์เปิดประตูให้เบาที่สุดและปิดไว้ไม่สนิทเพื่อให้เจ้าแมวที่นอนหลับสนิทด้านในสามารถตะกรุยออกไปได้ เขาย่องลงบันไดมาชั้นล่างสอดส่ายสายตาหาเจ้าหมาต๊อกแต๊ก เมื่อพบว่าทางสะดวกเขาก็เผ่นผลิวออกจากบ้านไปด้วยความเร็วระดับนั่งย่องเบา
เมื่อพ้นจากอาณาเขตของเรื่องประหลาดมาได้สุทธิรักษ์ถึงกับปล่อยลมหายใจยาวเหยียดออกมา เขาเลือกที่จะโทรบอกหมอกวินในทันทีแต่ก็แอบดล่งใจที่อีกฝ่ายไม่รับสาย เขาจึงเลือกส่งข้อความทิ้งไว้แทน
[พอดีเพื่อนผมมีปัญหาเลยต้องขอตัวกลับก่อน ขอโทษจริงๆ นะครับ]
สุทธิรักษ์อ่านข้อความที่ไม่เชิงว่าโกหกก่อนจะกดส่งไป ที่จริงแล้วถ้าตัดคำว่าเพื่อนทิ้งไปก็ต้องถือว่าเขาพูดความจริงล่ะนะ ...แต่ตอนนี้เขาขอกลับไปตั้งหลักก่อนเถอะ!!
• • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันพุธหน้า • • • • • • • • • • • • •
ในที่สุดเจ้านายกับทาสก็ได้สนทนากันซะที
แต่ดันเป็นเจ้านายจอมหยิ่งที่อยากจะน้วยพุงให้ดิ้นแด่วๆ เหลือเกิน :-[
-
โอ๊ย สงสารน้องรัก555555555
แล้วท่านอัลโทนี่จะบัญชาให้ทาสอย่างน้องรักทำอะไรบ้างละเนี่ย
:pig4:
-
:z1:
:L2: :pig4: :L2:
-
นาทีนี้สงสารคุณหมอกวินมาก :laugh:
-
คนนึงกลัวสัตว์ อีกคนกลัวผี เหมาะกันพอดีเลยยย
-
ใครเจอแบบนี้ก็กลัวจ้า
-
ให้เวลาปรับตัวกันหน่อยนะ 5555555555
-
ที่รักต้องรับมือทั้งคนทั้งแมว :hao7: :hao7:
-
โทนี่ว่าชื่อที่รักเรียกยากหรอ แล้วชื่อนายล่ะเจ้าแมว…
-
:L2: :pig4:
-
ทาส เจ้าทาส จะหนีไปไหน....โอ้ย..ขำจริงๆค่ะ
-
เข้าใจว่าที่รักถอยไปตั้งหลักก่อนแต่ก็ขำอนาคตวี่แววทาสแมวลอยมาเลย :mew4:
-
หมอไม่รุกตอนไหนห๊ะ! ตอนไหน! ตอนไหน!
เขินจนตัวจะม้วนแล้วววววว
ว่าแต่...โทนี่....นายสะสมทาสแบบนี้ก็ได้เหรอ?
-
ตอนที่ 6
• เรื่องเดียวที่ขอ •
กวินหอบขนมถุงใหญ่ขึ้นไปให้คนป่วยเป็นของว่างแล้วพบว่าห้องว่างเปล่า…
สุทธิรักษ์หายตัวไปเหลือเพียงเจ้าแมวอ้วนที่หันมามองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะเอนตัวหงายท้องแล้วนอนหลับต่อ เมื่อตั้งใจจะโทรหาก็พบว่าเขาไม่ได้รับหนึ่งสายจากคนที่ไปโดยไม่บอกกล่าวกับหนึ่งข้อความอธิบายที่ไม่มีอื่นใดเพิ่มเติม พอโทรกลับไปก็คล้ายว่าอีกฝ่ายจะปิดเครื่อง
นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าจะมีปัญหาเรื่องเพื่อนตามที่ส่งข้อความบอก หรือ... กวินเหลือบตามองเจ้าขนปุยบนที่นอน หรือว่าปัญหาจะเกิดจากเจ้าขี้เกียจตัวนี้
“เป็นเพราะแกใช่ไหมเจ้าเหมียว” เขาหันบริภาษเจ้าเหมียวที่น่าจะเป็นตัวการทำให้สุทธิรักษ์หนีไป ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่โต้ตอบเป็นคำพูดกลับมานอกจากส่งเสียงร้องสั้นๆ แล้วพลิกตัวหงายเก๋งนอนต่อไป
สัตวแพทย์หนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดตัดสินใจหิ้วถุงขนมที่เป็นม่ายลงมาให้พนักงานกินแทน ส่วนตัวเองก็กลับไปทำงานอย่างหงอยๆ
เขาคิดว่าหลังจากคืนที่ผ่านมาจะได้ขยับเข้าใกล้คนขี้อายได้อีกสักหน่อยแล้วเชียว แค่คิดว่าจะได้นอนห้องเดียวกัน อาจจะตื๊อขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน อาจจะแสร้งละเมอไปกอดบ้าง เขาก็แค่อยากจะชื่นใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ยังไม่ได้คิดเกินเลยไปกว่านั้นแท้ๆ เฮ้อ~
“คุณหมอ! สติค่ะ!!”
“เฮ้อ~ การจีบใครสักคนนี่มันยากจังเนอะคุณแอ้ม”
“ตื่นค่ะ! เด่นชัยฉี่ใส่คุณหมอใหญ่แล้วค่ะ”
ในที่สุดสติเขาก็กลับมาอยู่กับการทำงาน... ไม่ใช่เพราะเสียงของผู้ช่วยหรอกที่เรียกสติ แต่เป็นกลิ่นฉุนและความเปียกชื้นที่อยู่บนตัวต่างหาก
คุณหมอที่ถูกลอบทำร้ายมองเจ้าของกระสุนน้ำ เจ้าบูลเทอร์เรียนามเด่นชัยยืนตาตี่แลบลิ้นสีชมพูจ้องเขาอย่างไร้เดียงสา เขาผิดเองที่จับมันไว้ในท่านี้แล้วดันเหม่อลอยแต่มันก็ไม่ควรปล่อยเรี่ยราดหรือเปล่า?
“จิตใจทำด้วยอะไรนะเด่นชัย หมอเป็นคนแท้ๆ ยังไม่คิดฉี่รดหมาเลยนะ”
“โฮ่ง!”
“แน่ะ ว่าแล้วยังจะเถียงอีก”
“คุณหมอ~” ลงท้ายเขากับคุณลูกค้าเด่นชัยก็ถูกคุณผู้ช่วยกรอกตาใส่อย่างเอือมระอาไปหนึ่งที
หลังจากเลิกงานเขาก็หอบจิตใจบอบช้ำไปหาเพื่อนด้านในหมู่บ้าน ลมเย็นๆ ที่โชยพัดเข้าร่างยามปั่นจักรยานช่วยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เขาลงจากเมื่อถึงที่หมาย เลื่อนประตูรั้วออกแล้วไถจักรยานคันเก่งเข้าไปจอดเสมือเป้นเจ้าของบ้าน แต่พอสองตาได้เห็นบ้านของสุทธิรักษ์ที่เปิดไฟสว่างอยู่ก็พาให้จิตใจห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกรอบ คนในบ้านมีธุระเรื่องเพื่อนจริง หรือแค่หาเรื่องหลบเลี่ยงเขากันนะ
“ยืนทำหน้าเป็นพระเอกไปได้ คิดว่าหล่อมากรึไง!”
เสียงเหยียดหยามจากด้านหลังทำให้กวินละสายตาจากบ้านฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ชายหนุ่มตัดใจเดินไปหาเจ้าของเสียงซึ่งเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน นึกอยากจะถองมันสักหนึ่งศอก แต่ก็ให้เกียรติที่มันเป็นเจ้าบ้านและเจ้ามือมื้อค่ำถึงได้เดินตามเข้าบ้านไปอย่างว่าง่าย
“มึงไปห่อเหี่ยวมาจากไหนวะ”
กวินถอนหายใจให้คนถามไปหนึ่งเฮือก ก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทานอาหารที่มีของว่างวางระเกระกะอยู่ เขาหันไปมองเพื่อนที่เดินตามมาติดๆ ที่มีฐานะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในช่วงนี้
ธนานพ คือเพื่อนตั้งแต่สมัยประถม แต่พอช่วงขึ้นม.ปลายก็มีเหตุให้ต้องแยกกันไป แล้วความบังเอิญก็เหวี่ยงกลับมาเจอกันอีกครั้งในรั้วมหาลัยแต่ต่างคณะ แม้ต่างฝ่ายต่างมือกลุ่มเพื่อนของตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์แต่อดีตขาดสะบั้นลง
แถมตอนนี้ยังกลายมาเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านด้วยกันอีกต่างหาก
“ทำไมการจีบมันยากอย่างนี้วะนพ” ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจอีกหนึ่งรอบ ขณะมองเพื่อนจัดเก็บโต๊ะให้ว่างเพื่อเตรียมวางจานอาหารมื้อเย็น
ธนานพเหลือมองคนห่อเหี่ยวครู่เดียว ก่อนเอ่ยอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย “เบื่อรึยังล่ะ? ถ้าเบื่อก็พอ มีคนรอเข้าหามึงอีกเยอะแยะ”
“ไม่ได้สิไอ้นพ! กูชอบเขานี่” แต่เล่นเอาคนฟังต้องรีบแย้งเสียงเข้ม “ที่รักแม่งน่ารักขนาดนั้นกูจะเบื่อได้ยังไง กูยังไม่ได้ขบแก้มแดงๆ นั่นเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างนะ ฝีมือทำกับข้าวก็เด็ดดวงมาก เนี่ย! มีแต่เรื่องทำให้กูหลงอย่างนี้จะไปเบื่อได้ยังไง”
“โอย~ กูจะอ้วก”
“อาหารเป็นพิษเหรอเพื่อน?”
“คำพูดมึงเนี่ยแหละเป็นพิษ!”
กวินหัวเราะที่ยั่วต่อมแข็งกระด้างของเพื่อนได้ “มึงเป็นคนไม่หวานเลยนพ อีกไม่นานพลอยต้องเลิกกับมึงแน่ๆ”
“ไม่ต้องแดกมันแล้วข้าวน่ะ” ธนานพหมนุตัวไปยังถังขยะในทันที หมายทิ้งข้าวกล่องที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาฝากอย่างไม่เสียดายเงิน เดือดร้อนให้คนมาพึ่งใบบุญชาวบ้านต้องรีบลุกขึ้นไปแย่งจากมือมาถือไว้ตามกรรมสิทธิ์ “ปากดีจริงๆ กูกับพลอยจะแต่งงานกันต้นปีหน้าแล้ว มึงสนเรื่องตัวเองก่อนดีไหม?”
“กูสนสิ แต่ที่รักไม่ค่อยให้ความร่วมมือนี่หว่า” เมื่อเห็นเพื่อนชักจะพร้อมขับไล่เขาได้ทุกเมื่อแล้ว ก็จำต้องเป็นฝ่ายเตรียมจัดโต๊ะเองเพื่อให้เจ้ามือใจเย็นลงบ้าง “วันนี้กูก็หว่านล้อมจนเขายอมตกลงค้างด้วยได้แล้วแท้ๆ แต่พอกูคล้อยหลังได้ไม่เท่าไหร่ก็เผ่นหนีกูไปซะงั้น”
“ไปเงียบๆ แบบไม่ลาเลยเหรอ?”
“เขาโทรหาหนึ่งสายแต่กูตรวจอยู่ไงเลยไม่ได้รับ เขาเลยทิ้งข้อความไว้ว่าเพื่อนมีปัญหาขอกลับก่อน” กวินเล่าพลางแกะถุงสลัดผักเพื่อสุขภาพลงจานเพื่อแกล้มกับกระเพราะหมูกรอบไข่ดาว จากนั้นจึงหันไปเปิดตู้เย็นเตรียมน้ำใส่แก้ว
“อาห๊ะ... กูก็ไม่อยากพูดให้มึงเสียกำลังใจหรอกนะ แต่ตอนกูกลับมาก็เห็นเขายืนรดน้ำต้นไม้ดูมีความสุขดี”
“มึงทำกูเสียกำลังใจแล้วนพ แต่เล่ามาเถอะกูอยากฟัง” กวินวางแก้วลงตามตำแหน่งแล้วนั่งลง จับช้อนจ้วงข้าวเข้าปากได้ก็เคี้ยวไม่รอเจ้าบ้าน อย่างน้อยหมูกรอบอร่อยๆ ก็พอจะเยียวยาจิตใจเขาได้ล่ะนะ
“ก็แค่นั้นแหละ กูไม่ใช่มึงนะวินที่จะได้ตามติดชีวิตเขาขนาดนั้น” ว่าแล้วเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ออกเงินค่าอาหารทั้งหมดก็ตักข้าวเข้าปากบ้าง เคี้ยวไปสักพักก็เหมือนจะนึกเรื่องเล่าเพิ่มเติมได้ “ตอนกูออกไปรดน้ำต้นไม้ก็เห็นพวกแมวๆ เดินเข้าบ้านเขาตามปกตินะ แต่คราวนี้แปลกว่ะ...”
กวินมองหน้าเพื่อด้วยความอยากรู้เต็มที่
“ปกติแล้วที่รักของมึงชอบนั่งมองแมวกินข้าวใช่ไหม? คราวนี้นอกจากไม่นั่งรอแล้วยังร้องโวยวายแล้ววิ่งเข้าบ้านไปเลยด้วย เล่นเอาแมววิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงเลย”
“เกิดอะไรขึ้นวะ? แล้วจากนั้นล่ะ” ความกังวลของคนฟังเริ่มฉาบบนใบหน้า
“ก็เดินกลับเข้าไปกินข้าวกันใหม่นะ กูสงสัยเลยเดินไปดูก็เห็นนอนกลิ้งกันในสวนสบายใจเฉิบ”
“คนสิมึง ไม่ใช่แมว” กวินเดาะลิ้นดังจิ๊ เกือบจะคว่ำจานสลัดใส่คนไม่รู้ความให้แล้วถ้าไม่ติดว่ามันรสชาติพอใช้ได้ล่ะก็
“อันนั้นพอเขาวิ่งเข้าบ้านก็เกินขอบเขตหน้าที่เพื่อนบ้านอย่างกูแล้วล่ะ”
เขาถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก แต่ความหิวก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาวางช้อนส้อมแม้มันจะรู้สึกตื้อในอกก็ตาม สมองก็หลุดออกจากการสนทนาที่ธนานพเปลี่ยนเข้าไปสู่ผลบอลคู่เมื่อวาน เขาอยากรู้ว่าต้องมีขอบเขตหน้าที่แค่ไหนถึงจะสามารถบุกเข้าไปหาสุทธิรักษ์ในตอนนี้ได้ ฐานะคนจีบอย่างเขาได้สิทธิ์นั้นหรือยัง? แล้วถ้าจะเดินไปกดกริ่งถามด้วยความห่วงใยตอนนี้จะโดนหลบหน้ารึเปล่า?
“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้วะ ทั้งที่กูออกจะมั่นใจว่าคุณรักเขาก็ชอบกูเหมือนกัน”
“มึงไปทำหน้าหื่นใส่จนเขากลัวรึเปล่า?”
“เวลาอยู่กับเขากูเป็นผู้ชายอบอุ่นเถอะ”
“โถ๊ะ! สร้างภาพเนอะ” กวินยักไหล่ไม่สนใจคำเสียดสี ธนานพจะว่ายังไงก็ช่าง เขาไม่ได้อยากอบอุ่นอ่อนหวานกับมันก็แล้วกัน
“แล้วนี่คุณผู้ชายแสนดีจะไปเยี่ยมสุดที่รักรึเปล่าล่ะครับ?” ธนานพถามขึ้นอีกครั้งเมื่ออาหารทุกจานบนโต๊ะหมดเกลี้ยง
“ไม่ดีกว่า กูให้เวลาเขาปรับตัวอีกวันนึง”
“หลอกตัวเองเก่งไปอี๊ก~ มึงกลัวเขาปิดประตูบ้านใส่หน้ามากกว่า”
“..........”
“หรือที่จริงมึงก็คิดไปเองเรื่องที่เขาชอบมึงวะ?”
กวินหรี่ตามองเพื่อนอย่างเจ็บปวด ความคิดที่จะสนองคุณโดยการล้างจานให้พลันหายเกลี้ยง มันคงไม่เคยเห็นสินะว่าการกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเป็นยังไง ถึงเขาจะปีนขึ้นไปขี้บนหลังคาไม่ได้ แต่เขาวิ่งไวนะเอ้อ!
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้วิน!! ไอ้หมอหมามึงจะไปไหน!”
แชมป์วิ่งระยะสั้นสมัยมัธยมไม่ได้มาเพราะดวงหรอกนะเพื่อน
กวินอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอวิ่งไปทางประตูบ้านด้วยความรวดเร็ว กว่าที่ธนานพจะตั้งสติได้ทันเขาก็เปิดประตูรั้วบ้านปั่นจักรยานออกไปแล้ว
เป็นไงเล่า! ปากเป็นตะขอจิกใจเขาดีนัก เดินมาปิดรั้วเองเถอะมึง!
• • •• • •
สุทธิรักษ์นอนไม่หลับแทบทั้งคืน
เขาตื่นไปทำงานด้วยความงัวเงีย สภาพร่างกายเหมือนคนขาดพลังงานแถมจิตใจยังย่ำแย่เอามากๆ การหนีหมอกวินกลับมาเมื่อวานก็นับว่าทำลายแหล่งน้ำเลี้ยงในหัวใจตัวเองไปแล้ว เขาแค่หวังว่าจะกลับมาพักฟื้นสติตัวเองเงียบๆ เพื่อตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไปกับความประหลาดที่เกิดขึ้น
แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่ใช่แค่เจ้าสองตัวที่บ้านคุณหมอเท่านั้นที่เขาได้ยินเสียง
เมื่อวานเขารดน้ำต้นไม้ จัดการอาหารของพวกแมวๆ อย่างทุกที ไม่นานนักเจ้าพวกนั้นก็พาเลทกันเดินมาอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ เจ้าแมวดำตัวหัวหน้าเดินนำมาก่อน ตามด้วยเจ้าลูกแมวตัวเล็กที่ยังคงกลัวเขาเหมือนเคย โดยมีคณะแมวต่างสีอีกสามตัวเดินปิดท้าย
เมื่อตัวหัวหน้าเห็นเขา มันมักจะส่งเสียงร้องคล้ายทักทาย ...วันนี้มันก็ทำแบบเดิม เพียงแต่เสียงที่เขาได้ยินมันไม่ใช่เสียงร้องตามธรรมชาติของแมว
‘หวัดดีนุด วันนี้ก็ขอรบกวนเหมือนเดิมนะ’
เขาไม่รอยืนฟังให้แน่ใจหรอก เพราะทันทีที่ได้ยินจบก็ตกใจจนเผลอร้องโวยวายออกไป พวกแมวพากันตกใจวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ส่วนเขาก็วิ่งเข้าบ้านจนลื่นพื้นกระเบื้องล้มก้นกระแทกให้เจ็บตัวเข้าไปอีก เขาไม่รู้ว่าพวกแมวจะกล้ากลับมากินข้าวอีกหรือเปล่า เพราะเขาก็คลุมโปงหมกตัวอยู่บนที่นอนแม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กินเหมือนกัน
แน่นอนว่าตอนพักเที่ยงเขากินข้าวไปถึงสองจานใน ตามด้วยขนมหวานอีกหนึ่งถ้วยและน้ำหวานเพิ่มความสดชื่น
งานในช่วงเช้าทำให้เขาวุ่นวายอยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปแผนกไหนนัก เพราะมีงานค้างจากเมื่อวานที่เขาลาหยุดรวมอยู่ด้วย เขารอให้ช่วงบ่ายที่น่าจะพอมีเวลาว่างจะเดินไปเยี่ยมๆ มองๆ แผนกจิตเวชบ้างเพื่อดูลาดเลาว่าจะสามารถเข้าไปปรึกษาได้บ้างหรือไม่ แต่อีกใจเขาก็กลัวถ้าคนอื่นจะรู้ แม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลแต่ก็เป็นที่ทำงานของเขาเช่นกัน การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเป็นคนไข้ในแผนกจิตเวชนั้นดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักกับการพิจารณาขั้นเงินเดือน
สุทธิรักษ์ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน เขาถึงขนาดทำใจแข็งไม่รับสายของคุณหมอ ไม่อ่านข้อความที่ส่งมา เขาอยากอยู่กับตัวเองให้มากที่สุดแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะบอกใครก็ไม่ได้ จะระบายกับใครก็คงถูกคิดว่าเขาป่วยทางจิต ความกลัวที่จะต้องบอกกับที่บ้านว่าตัวเองเป็นเกย์ดูจะเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกัน
เขาจิตใจไม่สงบไปตลอดบ่าย ความคิดมากมายตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ขนาดที่เผลอแฟกซ์เอกสารด่วนไปผิดหน่วยงานจนถูกต่อว่าเพราะงานล่าช้า
ให้ตายเถอะ! เขาเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
กว่าจะได้เริ่มเก็บของก็เลยเวลาเลิกงานไปชั่วโมงกว่า ไอ้งานที่ค้างก็เสร็จไปได้สักพักแล้วแต่เขาก็ยังหาเรื่องทำนั่นนี่ไปเรื่อยเพราะยังอยากอยู่ในสถานที่ที่ปลอดจากบรรดาสิงห์สาราสัตว์ให้นานที่สุด แต่ในเมื่อที่ทำงานมันนอนค้างไม่ได้เขาก็ต้องจำใจกลับบ้าน
สุทธิรักษ์ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก สุดท้ายก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องแล้วล็อคประตูให้เรียบร้อย หากจังหวะที่หมุนตัวเพื่อเตรียมจากไปนั้น บางสิ่งบางอยู่จากหางตาก็พลันดึงดูดความสนใจ เขาหันมามองภาพนั้นให้ชัดเจนอีกครั้ง คราวนี้เกือบจะหลุดอุทานเมื่อรับรู้ว่า ‘ใคร’ ที่มานั่งกอดอกหลับพิงเสาปูนอยู่หน้าห้องธุรการอยู่
“หมอกวิน!”
แม้จะไม่ได้ร้องเสียงดังจนเกินเหตุ แต่มันก็ดังพอให้คนที่ระยะห่างกันเพียงหนึ่งเมตรนี้ได้ยินแต่กลับกลายเป็นว่าคุณหมอหนุ่มยังนั่งหัวพิงเสาไม่รู้เรื่องอยู่ท่าเดิม สุทธิรักษ์มองคนหลับสนิทอย่างสับสนระคนขบขัน หมอกวินอยู่ในชุดสบายๆ อย่างที่เข้าใจว่าพอถอดเสื้อกาวน์ก็คงพร้อมเดินทางไปไหนต่อไหน แต่ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่?
“คุณหมอ?” สุทธิรักษ์เดินไปเขย่าหัวเข่าคนขี้เซาเบาๆ และโชคดีที่อีกฝ่ายปลุกง่ายกว่าที่คาด
คุณหมอหนุ่มลืมตาขึ้นมองคล้ายคนงัวเงียอยู่ไม่กี่วิก็ดีดตัวผึงขึ้นนั่งตัวตรง ใบหน้าละมุนละไมที่เขาชื่นชอบมีแววเก้อเขินไม่น้อย แถมยังเผยรักยิ้มให้คนมองใจไหวๆ อีกต่างหาก “สวัสดีครับคุณรัก”
“สวัสดีครับ ทำไมมานอนตรงนี้ได้ล่ะ” สุทธิรักษ์ถามเจือรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจนั้นแอบคิดเข้าข้างตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือแค่อยากได้ยินจากปากผมกันแน่ครับ” หากอีกคนก็ช่างรู้ทันนัก เล่นเอาคนถูกยอกย้อนต้องเม้มปากอย่างจนด้วยคำโต้ตอบ
“ผมมารับคุณ”
“...คือ เราไม่ได้นัดกันไว้นี่ครับ”
“ก็ถ้าคุณรักรับสาย หรืออ่านข้อความจากผมสักนิด ผมก็คงจะยื่นใบนัดให้คุณไปแล้ว” สุทธิรักษ์ปิดปากฉับเมื่อคนพูดนั้นแฝงความไม่พอใจในน้ำเสียงไม่น้อย
“ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ! ไม่ใช่แบบนั้นเลย”
สุทธิรักษ์ปฏิเสธอย่างร้อนรน เรื่องที่เกิดกับเขานั้นไม่ใช่เพราะคุณหมอ แต่ไอ้ตัวการที่ทำให้เขากึ่งจะเป็นบ้าแบบนี้ดันเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณหมอก็เท่านั้น แต่จะพูดยังไงดีเล่า! มันไม่ใช่เรื่องปกติสามัญนี่นา ถ้าเขาบอกความจริงออกไปว่าตอนนี้เขาได้ยินสัตว์มันพูดคุยอะไรกันบ้างคุณหมอมิมองว่าเขาจิตไม่ปกติหรอกเหรอ?
คนเป็นหมอที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์น่ะ จะไปเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
“งั้นผมว่า...เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะ” ส่งเสียงเข้มๆ จบ หมอกวินก็ลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าจับมือเขาให้เดินตามไปแบบไม่แคร์สายตาใคร
“ปล่อยเถอะครับ ผมเดินไปเองได้” คนขี้อายกระซิบบอก แม้จะเป็นเวลาปิดทำการของตึกผู้ป่วยนอกไปแล้วทำให้คนไม่เยอะแต่ก็ยังพอมีผู้ใช้บริการที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง ไหนยังมีเจ้าหน้าที่ที่พากันหันมามองเขาด้วยความสนใจนั่นอีก
“คราวนี้คุณรักทำให้ผมหงุดหงิดนิดๆ นะครับ เพราะฉะนั้น...” คุณหมอลากเสียงเข้มให้คนดิ้นรนหยุดขัดใจ ซ้ำยังพาใบหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาสบกันในระยะประชิด
“อย่าดื้อนะที่รัก”
“..........”
ข...เขาต้องโมโหสิ! เขาต้องไม่พอใจที่คุณหมอทำเสียงดุใส่ ต้องไม่ชอบที่ถูกฉุดกระชากลากถูกแบบนี้สิ แต่ทำไม...ทำไมหน้ามันร้อนเหมือนแก้มจะระเบิดแบบนี่เล่า!
ตลอดการเดินทาง คุณหมอไม่พูดคุยอะไรเลยพาให้ภายในห้องโดยสารเงียบสนิทจนน่าอึดอัด เขาเองก็ไม่รู้จะทำลายบรรยากาศขมุกขมัวนี้อย่างไรดีจึงทำได้แค่นั่งเงียบตามกันไป จนกระทั่งคุณหมอเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านเขาก็เริ่มลุ้นว่าไอ้ที่อยากจะคุยกันเนี่ยจะไปที่ไหน แต่พอหมอกวินขับเลี้ยวอีกครั้งสุทธิรักษ์ก็อยากจะ ‘ดื้อ’ ขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหมครับ?” น้ำเสียงแทบจะเป็นการขอร้อง แต่อีกคนแค่ปรายตามามองแล้วหักพวงมาลัยชิดข้างทางหยุดจอดตรงหน้าบ้านพอดิบพอดี สุทธิรักษ์น้ำตาเกือบจะไหลอยู่รอมร่อ
“ทำไมครับ?” หมอกวินดับเครื่องแล้วค่อยหันมาถาม
“คือผมไม่...” ไม่อยากเข้าไป เขาต่อประโยคในใจแต่ไม่กล้าส่งเสียงออกไปเพราะกลัวคุณหมอจะรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าจะให้เขาเข้าไป เขาก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนี่!
“คุณรักรำคาญผมรึเปล่าครับ?”
สุทธิรักษ์เบิกตามองเจ้าของคำถาม ยังไม่ทันจะได้ตอบปฏิเสธ คนพูดก็ยิงคำถามเพิ่มขึ้นอีก
“อยากให้ผมยอมแพ้ เลิกจีบคุณรึเปล่าครับ?”
“..........”
เมื่อมองสบสายตาจริงจัง กับฟังน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่การตั้งคำถามเล่นๆ สุทธิรักษ์จึงตกอยู่ในห้วงจำยอม แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรำคาญหมอกวิน และการจะต้องตัดใจจากคุณหมอในตอนนี้ก็ยากเย็นไม่น้อย
“ผมจะถือว่าคุณปฏิเสธทุกคำถามนะครับ” หมอกวินรวบรัดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ พาร่างสูงใหญ่อ้อมมาเปิดประตูฝั่งเขาเป็นการกดดัน
สุทธิรักษ์จำยอมลงจากรถ หากตลอดเวลาที่เดินตามร่างสูงต้อยๆ เขาซอยฝีเท้าถี่ยิบจนแทบจะสิงร่างอีกคน ทำเอาเดินชนกันอยู่หลายครั้งจนเจ้าของแผ่นหลังต้องหยุดถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไปครับ?”
“...คุณหมอ--” พูดยังไม่ทันจบประโยค เพราะทันทีที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้าไป เสียงของสุนัขก็ดังขึ้นทันที สุทธิรักษ์ตัวเกร็งเกาะแขนขุนหมอแน่นยามเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“โฮ่งๆ!!”
‘เจ้านาย! เจ้านายมีหนมกลับมาไหม?’
สุทธิรักษ์เริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ใช่คนรักสัตว์ ไม่ได้อยากรู้ว่ามันพูด หรือว่านินทาคนอย่างไรบ้าง เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรนัก เป็นผู้ใหญ่ที่วุฒิภาวะยังเติบโตตามอายุไม่ทัน เขาขี้แงมาตั้งแต่เด็กถึงแม้จะดีขึ้นตามประสบการณ์ที่พบเจอแต่ก็ยังเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายอยู่ดี
มันไม่ใช่ลักษณะที่ดีของผู้ชายเขารู้! แต่ใครห้ามต่อมน้ำตาตัวเองได้บ้างล่ะ!
‘มนุษย์ใจดี!! มนุษย์ใจดีก็มาด้วยเหรอ? มีหนมไหม?’
เจ้าหมาขนสีน้ำตาลทองเปลี่ยนเป้าหมายมาเกาะก่ายเขา นั้นทำให้สุทธิรักษ์ยิ่งอยากจะฝังร่างเข้าไปในตัวคุณหมอให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่กระนั้นเขาก็ยังเผลอส่ายหน้าโต้ตอบมัน
‘แย่จังๆ แต๊กหิวหนม เจ้านายลงโทษแต๊กจริงๆ ด้วยนะ แต๊กแค่พูดไปงั้นเอง คนอะไรใจแข็งจริงเชียว’
ทำไมเจ้าหมาตัวนี้ถึงได้จ้อเก่งขนาดนี้เล่า! สุทธิรักษ์กำเสื้อหมอกวินแน่นขึ้นไปอีก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำตัวเข้มแข็งให้ได้มากที่สุดแม้ขอบตาจะเริ่มแดงก่ำแล้วก็ตาม
“คุณรัก...เป็นอะไรไปเนี่ย?” จังหวะที่คุณหมอหันมามองเขาเต็มตา ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สองตาของเขาเห็นเจ้าแมวอ้วนเดินส่ายก้นออกมาจากในบ้าน
-
น้ำตาที่กลั้นไว้พลันหยดติ๋งลงมา
“คุณหมอ! ช่วยผมทีนะ ผมบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย!” เขาปลดปล่อยความในใจออกมาอย่างกับเด็กที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ สีหน้าของหมอกวินดูงุนงงจนถึงขีดสุด แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ถูกเจ้าแมวตัวต้นเรื่องสอดแทรกขึ้นมา
‘โอ๊ะ นี่เจ้าร้องไห้ทำไม โดนใครเหยียบหางรึไง’
“ฉันเป็นคน! จะมีหางเหมือนแกได้ไงเล่าไอ้แมวอ้วน!”
สุทธิรักษ์รู้ตัวเอง... เขาหลุดโดยสมบูรณ์
‘เสียมารยาทมากนะเจ้าทาส! หุ่นเราเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ต่างหาก’
“พุงแกน่ะย้วยจนจะติดพื้นอยู่แล้ว!”
‘สำหรับมนุษย์เจ้าก็ถือว่าอ้วนเหมือนกันนั่นแหละ!’
“ฉันแค่อวบต่างหากเล่าไอ้แมวผี!”
ต่างฝ่ายต่างจ้องตาไม่ยอมกันอยู่เงียบๆ แล้วสุดท้ายก็ถูกเจ้าหมาทำลายบรรยากาศอึมครึมลง
‘แต๊กไม่อ้วน แต๊กไม่ยุ่งนะ’ บอกจบก็วิ่งด๊อกแด๊กเข้าไปในบ้าน
‘ชิ เราไม่เถียงกับทาสอ้วนๆ หรอก’ คราวนี้เป็นเจ้าแมวตัวเปิดเรื่องที่ส่งเสียงไม่พอใจออกมา หันหันหลังแกว่งหางเป็นพวงใส่เขาแล้วกระดกก้นเดินหายเข้าไปในบ้านอีกตัว ทิ้งเขาไว้กับ... กับ...
สุทธิรักษ์หันมองหมอกวินที่ยืนจ้องเขาราวกับพอเจอสิ่งประหลาด แววตาสับสนระคนหวาดกลัวของคนตรงหน้าทำให้ความรู้สึกที่เจือจางไปเพราะการโต้เถียงกลับมาอีกครั้ง ขอบตากลับมาแดงกล่ำอีกครั้งรองรับมวลน้ำใสๆ ที่พากันเอ่อขึ้นมาอีกระรอก
คุณหมอกลัวเขาจริงๆ ด้วย...
สุทธิรักษ์ตัดสินใจถอยหลังออกห่าง จบแล้วแน่ๆ หมอกวินคงคิดว่าเขาเป็นบ้าพูดคนเดียว ต่อจากนี้ถึงเขาไม่บอกให้เลิกคุณหมอก็คงจะขาดการติดต่อกันไปเอง
ชายหนุ่มร่างอวบเปล่งปลั่งขยับปลายท้ายหวังจะหมุนตัวเดินจากไป แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่จับรั้งเอาไว้ได้ทันท่วงที สุทธิรักษ์มือฝ่ามือที่กำท่อนแขนตัวเองก่อนเอนสายตาไปยังอีกคนเพื่อตั้งคำถาม
“คือ... ผมงงไปหมดแล้ว” หมอกวินเอ่ยอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก “คุณพูดกับใครน่ะ ผม...ผมไม่เข้าใจ”
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” สุทธิรักษ์ปัดฝ่ามือของอีกคนออกเบาๆ แต่ใครจะไปคิดว่าคุณหมอกลับไม่ยินยอม
“ผมขอถามคำนึงก่อน” เจ้าของฝ่ามือเอ่ยเสียงเครียด
“...........”
“มัน...เอ่อ...ที่คุณพูดด้วย...มัน...ไม่ใช่ผีใช่ไหมครับ?”
“..........”
“ผมเข้าบ้านผีสิงยังไม่ได้เลยนะครับ คุณเข้าใจใช่ไหม?”
สุทธิรักษ์อยากจะอมยิ้ม แต่ติดที่สถานการณ์มันยังตึกเครียดอยู่
“ไม่ใช่ครับ... ผมไม่มีสัมผัสที่หกหรืออะไรทำนองนั้นหรอก”
“แน่นะครับ ไม่หลอกผมใช่ไหม?” หมอกวินดูโล่งใจเป็นที่สุด
“ผมรู้ว่าคุณกลัว ผมไม่หลอกคุณเรื่องนี้แน่”
สิ้นคำของเขา คุณหมอหนุ่มผู้อบอุ่นละมุนละไมถึงกับถอนหายใจยาวเหยียดพลางตบอกเรียกขวัญกลับเข้าตัว มันช่างเป็นภาพที่บรรยายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าบ้านกันเถอะครับ ผมเองก็ไม่ชอบที่เห็นคุณไม่สบายใจเหมือนกัน” ความเป็นผู้นำกลับเข้าสู่จิตใจหมอกวินอีกครั้ง และสุทธิรักษ์ก็ถูกจูงเข้าบ้านไปอย่างไร้คำโต้แย้ง
กวินพาคนอารมณ์หดหู่มานั่งตรงโซฟา ตอนแรกเขาคิดจะลุกไปเอาน้ำเอาท่ามาให้ดื่มคลายร้อน แต่พอสุทธิรักษ์เห็นแมวหมาวิ่งหน้าเริ่ดมานั่งล้อมถึงกับยึดเสื้อเขาแน่นไม่ยอมให้ลุกไปไหน
“อยากทำใจก่อน หรือจะเล่าออกมาเลยดีครับ”
“ผมทำใจมาวันกว่าแล้วครับ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ” สุทธิรักษ์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วพ่นออกมาแรงๆ “เล่าเลยก็ได้ครับ”
“โอเคครับ ผมจะนั่งอยู่กับคุณตรงนี้”
“..........” กวินยิ้มให้คนที่ช้อนตาขึ้นมองด้วยแววตาขลาดเขลา เขายื่นมือออกไปกุมฝ่ามือนุ่มนิ่มของสุทธิรักษ์เอาไว้ ขอแค่ไม่มีเรื่องผีสางมาเกี่ยวข้องเขาก็พร้อมจะรับฟังคนๆ นี้ในทุกเรื่อง
“ผม...ผมได้ยินเสียงพวกมันครับ” เขามองสุทธิรักษ์ที่เอ่ยเสียงเบาหวิวออกมา ก่อนไล่สายตาตามปลายนิ้วไปตกอยู่ที่สุนัขสองตัวที่นอนหมอบอยู่ใกล้เขา กับหนึ่งแมวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“...ผมก็ได้ยินครับ มันร้องตลอดนั่นแหละ”
“ไม่ใช่สิครับ! ผมไม่ได้ยินมันร้องโฮ่งๆ หรือเหมียวๆ นะ”
โอย~ ทำไมร้องเสียงเหมียวๆ ได้น่ารักอย่างนี้นะ หมอใจไม่ดีเลย...
“มันพูดครับ! พูดเป็นภาษาคนเลย พูดไม่หยุดด้วย!”
“..........”
“..........”
“หา!!” เขาร้องเสียงดังจนหมาแมวผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ สุทธิรักษ์เองก็เบิกตามองเขาเสียโต แต่วินาทีต่อมากลลับหรี่ลงพร้อมความผิดหวังที่ฉาบบนใบหน้า
“...คุณหมอไม่เชื่อผมสินะครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เพียงแค่มันดูเหลือเชื่อไปหน่อย” ที่จริงคือเหลือเชื่อเอามากๆ แต่เขาไม่อยากพูดความรู้สึกออกไปตามตรงให้อีกคนเสียกำลังใจ
“แล้วผมจะทำยังไงให้คุณเชื่อได้ล่ะว่าผมไม่ได้บ้า ผมได้ยินเสียงพูดมันพูดจริงๆ” ทันทีที่สุทธิรักษ์พูดจบ เจ้าหมาต๊อกแต๊กก็เห่าออกมาหนึ่งคำเรียกสายตาของพวกเขาให้หันไปมอง เขาจ้องมันอย่างสงสัย ผิดกับคนตัวอวบข้างๆ เขาที่จับจ้องแลกสายตากับหมาราวกับสื่อสารกันรู้เรื่องได้จริงๆ คราวนี้เขาหันไปมองสุทธิรักษ์ที่ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มแตะแต้มราวกับขบขันบางอย่าง
“ต๊อกแต๊กขอให้ช่วยบอกคุณ...คือ...” คนแก้มยุ้ยอึกอักอย่างเอียงอายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกเล่าออกมารวดเดียว “มันบอกว่าเวลาคุณเมาจะชอบแกล้งมัน มันขอว่าอย่าตด เอ้ย! อย่าผายลมใส่หน้ามันอีกแล้วได้ไหม...มัน ...มันขมคอ...ครับ”
ปลายประโยคเสียงอ่อยด้วยความอาย
อาย? ...อายทำไม?
เขาสิต้องอับอาย!!
สุทธิรักษ์ไม่มีทางรู้เรื่องนี้มาจากปากใครแน่นอน เรายังไม่สนิทกันมากพอที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ไร้ยางอายใดๆ ทั้งสิ้น มันก็แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาเคยทำ และก็ไม่ได้ทำต่อหน้ามนุษย์คนไหน คนที่รู้ คนที่เห็น คนที่ได้กลิ่น ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร!!
เขาหันไปมองเจ้าหมาตัวโปรดด้วยแววตาที่แทบจะถลนออกมา ต๊อกแต๊กรีบหมอบตัวต่ำหลบสายตาเขา ซ้ำยังยกขาหน้าขึ้นมาปิดหน้าปิดตาอย่างกับจะซ่อนได้พ้น
“บ้าน่า! เรื่องแบบนี้มัน...” เขาหันกลับไปมองสุทธิรักษ์อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับหันไปมองหมาอีกตัวที่เขาคิดว่าไร้พิษภัยมากที่สุด
“อะไร?”
“คือ...คุณหมาผู้หญิงตัวนี้กลัวว่าคุณจะไม่เชื่อก็เลย...” คราวนี้เป็นสุทธิรักษ์ที่หลบตาเขาวูบ
“ก็เลยอะไร?”
“ก็เลยบอกผมว่า คุณชอบแกล้งหมาแบบนี้มาตั้งนานแล้ว สมัยคู่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกคุณแกล้งผายลมใส่หน้าประจำ”
“..........”
“ตอนเธอยังเด็กก็โดนมาเหมือนกัน... ครับ...”
หึๆ อ้อ... เชื่อไม่ทิ้งแถวมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ
หมอกวินคนขี้แกล้งตวัดสายตามองเจ้าหมาแม่ลูกตัวดีเขม็ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมาเจ้าสองตัวก็พากันวิ่งแจ้นหนีให้พ้นสายตา
พวกมันจะรู้ไหมว่าเจ้านายคนนี้อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้ว
“คุณหมอเชื่อผมไหมครับ” สุทธิรักษ์เอ่ยถามในทันทีเมื่อความเงียบมาเยือน
“โหย~ คุณเล่นเล่าวีรกรรมผมได้ขนาดนี้ก็คงต้องยอมเชื่อแล้วล่ะครับ” กวินถอนหายใจยาวอย่างจำยอม เรื่องหน้าไม่อายแบบนั้นไว้เขาจะอธิบายให้คุณรักเข้าใจอีกที แต่ให้ตายเถอะ! ถึงเขาจะยอมรับว่ามันคือความจริงก็ตาม แต่การที่มนุษย์สื่อสารกับสัตว์รู้เรื่องนี่ไม่ว่าจะมองยังไงก็นับว่าประหลาดอยู่ดี
“คุณเป็นแบบนี้มานานแล้วหรือครับ?” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัยที่อัดแน่นเต็มหัว “แต่ก่อนนี้คุณดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยถูกกับสัตว์ทั่วๆ ไปนี่”
“...เรื่องมันเกิดเมื่อวานก่อนตอนที่ผมหกล้มหัวฟาดครับ” จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็ถูกถ่ายทอดออกมา ผมฟังแล้วก็เห็นพ้องในหลายจุด อย่างในวันนั้นที่จู่ๆ คุณรักก็พูดคนเดียวแล้วก็โวยวายออกมาจนสลบไป หรืออย่างตอนที่ธนานพได้ยินเสียงโวยวายแล้วจบด้วยการที่สุทธิรักษ์วิ่งหนีเข้าบ้าน
สุทธิรักษ์เล่าออกมาคล้ายต้องการระบาย ยิ่งพูด สีหน้าคนเล่าก็ยิ่งดูดีขึ้น ไม่หมองหม่นคิดมากเช่นก่อนหน้า
“หมายความว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนทำให้คุณรักพูดกับสัตว์ได้” เขาหันไปมองเจ้าแมวจอมหยิ่งที่เป็นผู้ร่วมรับฟังตั้งแต่ต้น มันอ้าปากหาวหวอดราวกับเบื่อหน่ายเต็มที
“ด้วยน้ำลายเนี่ยยะ!”
ช่างเป็นการมอบพรสวรรค์ที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน อย่างกับกระสือที่ต้องให้ผู้สืบทอดดื่มกินน้ำลายชัดๆ
"เมี๊ยว~"
เจ้าแมวต้นเรื่องร้องขึ้นมา มันกระโดดจากพื้นขึ้นมาบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้า สายตาจับจ้องมาทางเขาอย่างกับต้องการอะไรสักอย่าง
“มันพูดอะไรกับคุณรึเปล่า?”
“...มันบอกว่า” จู่ๆ สุทธิรักษ์ก็มองเขาด้วยสายตาแปลกไป ดวงตากลมโตสดใสขึ้นในทันใดประหนึ่งคนค้นพบความหวัง แต่เป็นเขาเสียเองที่กลับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกล
“มันถามคุณหมอว่าอยากลองไหม?”
“..........”
“คุณหมอจะลองสักหน่อยไหมครับ?”
“..........!!!”
• • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันพุธหน้า • • • • • • • • • • • • •
โอ๊ย... สงสารหมอกวิน ทำไมต้องมาเจอหมาจิตใจหยาบช้าขนาดเน้ 5555
เผาเจ้านายแบบนี้ได้ยังไง มันน่างดหนมซะให้เข็ด
อยากบอกหมาแมวทุกตัว เจ้านายตดอัดหน้าแสดงว่าเจ้านายรักและเอ็นดูนะจ๊ะ :hao7:
รอลุ้นกันว่าโทนี่แมวอ้วนจะตกทาสเพิ่มได้อีกหนึ่งตำแหน่งรึเปล่า?
คนเขียนบอกน้องเกียมกรอน้ำลายรอไว้แล้ว :oak:
คำเตือน
การตกทาสเป็นความสามารถพิเศษส่วนตัว ห้ามลอกเลียนแบบ
:จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:
-
คุณหมอแกล้งแต๊กเหมือนเวลาน้องชายเราแกล้งหมาน้อยที่บ้านเลยค่ะ 555555 น้องเราใช้ผ้าห่มคลุมแล้วตดอัดใส่ผ้าห่ม
-
เอาสักหน่อยเถอะหมอ จะได้เป็นเพื่อนกัน
-
:laugh:
:กอด1: :pig4: :กอด1:
o13 o13 o13
-
โถถถถถ..... สงสารที่รัก
-
:L2: :pig4:
-
หมอกวิน! ทำไมทำแบบเน้! โว๊ะ! พัง ๆ ๆ ๆ หมดกันคนหล่อ
เห็นภาพโทนี่นั่งน้ำลายย้อยเลย สยองขวัญมาก
-
คุณหมอ ไม่ไหวแล้ว 5555555555555555555555555
ดีใจที่ที่รักบอกไปนะเลือกเรื่องที่แบบมีน้ำหนักพอสมควร
-
ไม่ต้องการตัวช่วยเลยจร้าาาา
-
หมอน่าลองน๊าจะได้รักษาสัตว์ง่ายขึ้น...รึเปล่า5555 :mew4:
-
หลงรักต๊อกแต๊ก :กอด1: :กอด1:
-
:laugh:ภาพพจน์ไม่มีเหลือ
-
มาตามอ่านรวดเดียว ชอบมากกกกกก น่ารักที่สุด เปลี่ยนงานได้เลยที่รัก....ทาสนัมเบอร์วัน
-
ทาสแมวมาแล้ว ขอบคุณนะครับ
-
มารอค่าาาาา รอแมววววว
-
คุณหมออย่าไปลองเลยค่ะ
เดี๋ยวน้องแต๊กอดเม้าท์คุณหมอ ฮา
:pig4:
-
รออยู่น๊า~
-
ต๊อกแต๊กสายฮา เอ็นดูนาง. :กอด1:
เม้าส์กันได้แบบนี้ ที่รักน่าจะกลัวสัตว์น้อยลงนะ เพราะน่าจะมีเรื่องเด็ดของคุณหมอรอเผาอีกเยอะเลยแหละ. :laugh:
-
:pig4:
:3123: