พิมพ์หน้านี้ - KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kaino ที่ 28-09-2012 22:32:37

หัวข้อ: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 28-09-2012 22:32:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

________________________________________________________________________

เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งของตัวเอก ระหว่างที่คนหนึ่ง ชอบเกาหลีแบบสุดขั่ว
และอีกคน ชอบญี่ปุ่นแบบสุดฤทธิ์ แต่ก็ต้องมาอยู่ชายคาบ้านเดียวกัน
ทำให้เกิดเรื่องวุ่น ๆ ระหว่างความชอบสองฝั่ง

...............................

ตอนที่แต่งเรื่องนี้ก็กลัว ๆ เหมือนกันว่ามันจะจุดประเด็นอะไร

แต่ว่าก็เป็นแนวเรื่องที่น่าสนใจและอยากจะแต่ง

ถ้ากระแสมันแรง ก็จะหยุด

เพราะไม่อยากจะสร้างปัญหาให้แฟนคลับทั้งสองฝ่ายมาทะเลาะกัน

เดี๋ยวจะดูไปเรื่อย ๆ และกันนะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะฮะ

Kaino.


>.<

Ps1. นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการ ไม่ได้ต้องการให้เกิดความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
หากไม่พอใจในตอนใด ขอร้องว่าอย่าก่อดราม่านะฮะ สามารถส่งข้อความ หรือโพสบอกได้ ว่าไม่เหมาะสมยังไง ถ้าผมเห็นว่าไม่ดี แล้วจะลบเรื่องทันทีครับ

Ps2.เหตุการณ์ต่าง ๆ บางอย่างที่นำมาอ้างอิง หรืออธิบาย หรืออยู่ในคำพูดของตัวละคร บางเหตุการณ์จะเป็นเรื่องจริง....ชื่อศิลปินที่มีอยู่ในเรื่องนี้ เป็นชื่อจริงทั้งหมดครับ เครดิตเนื้อเพลง ทุกอย่างจะใส่ให้เจ้าของเครดิตที่ผมนำมา

หากไม่พอใจ หรือคิดว่าไม่เหมาะสมยังไง รีบบอกนะฮะ
จะลบเรื่องนี้ทันที

________________________________________________________________________
สารบัญเรื่อง

KO-JAP # 1 : ศาสดา vs ศิลปิน http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 2 50% : เดินทางกลับบ้าน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 2 100% : เดินทางกลับบ้าน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 3 100% : ที่บ้าน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 4 100% : ฉันคือเอลฟ์ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 5 100% : พื้น - เตียง : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 6 100% : อาการช็อค : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 7 100% : เพื่อนใหม่ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 8 100% : ภาพบาดตา : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 9 100% : เพื่อเพื่อน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 10 100% : มหาวิทยาลัย : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.0)
KO-JAP # 11 100% : นักศึกษาแลกเปลี่ยน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 12 100% : กว่าจะเจอคนที่ชอบเหมือนกัน มันยากนะ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 12-10-12
KO-JAP # 13 100% : เกมป๊อกกี้ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 13-10-12
KO-JAP # 14 100% : เข้าเล่นเกม : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 14-10-12
KO-JAP # 15 100% : ชัด ๆ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 15-10-12
KO-JAP # 16 100% : ชั้นไม่ยอม!!!! : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 16-10-12
KO-JAP # 17 100% : เอาคืน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 18 100% : ทะเลาะ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 19 100% : จับผิด : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 20 100% : เช้าวันเสาร์ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 21 100% : ถ่าย VTR : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 22 100% : แค่คิดว่า : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)
KO-JAP # 23 100% : รักไม่ได้ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30) For 23-10-12
KO-JAP # 24 100% : ชกต่อย :  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.30)For 24-10-12
KO-JAP # 25 100% : การกระทำ สำคัญ กว่าคำพูด :  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60)For 25-10-12
KO-JAP # 26 100% : NC!for Bedroom :  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60)For 26-10-12
KO-JAP # 27 100% : NC!for Bathroom :  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60)For 27-10-12
KO-JAP # 28.1 50% : NC! for Kitchen :  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60)For 28-10-12
KO-JAP # 28.2 100% : NC! for Kitchen : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 28-10-12
KO-JAP # 29 100% : พายุ วันอาทิตย์ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 29-10-12
KO-JAP # 30 100% : สุดท้ายแล้ว : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 30-10-12
KO-JAP # 31 100% : ก่อน ก่อกำเนิด ตำนาน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 31-10-12
KO-JAP # 32 100% : (ว่าที่) ตำนานฟื้นคืนชีพ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 01-11-12
KO-JAP # 33 100% : บทส่งท้าย : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60) For 02-11-12
KO-JAP # 34 100% : บทส่งท้าย : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34973.60)










 






________________________________________________________________________


KO-JAP # 1 : ศาสดา vs ศิลปิน

“นายมาช้า”
“ห่า กูมาเร็วที่สุดแล้ว”



“ชั้นนั่งรอนายเกือบชั่วโมง”
“รถมันติดเว้ย”



“แล้วทำไมไม่รู้จักคำนวณเวลา”
“สัส! กูไม่ได้เรียนวิทย์-คณิตนะว้อย~~”



“ถ้าทำแบบนี้ที่ญี่ปุ่นจะถือว่าเสียมารยาทมาก”
“แต่นี่ที่ไทยนะ”



“นั่นทรงผมอะไรของนาย”
“อย่ามาว่าทรงผมกู”



“หน้าม้าอะไรวะ โค้งยังกะทางโค้งร้อยศพ”
“นี่เป็นทรงกำลังฮิตในศิลปินเกาหลี”
“เอ๋อเหรอ?”



“ผมมึงก็เหมือนกันแหละ จะหนามไปใหน”
“เชี้ย อย่ามาว่าทรงศาสดากู”
“มึงก็ว่าศิลปินกูเหมือนกัน”



“แต่งตัวยังกะจะไปเดินแบบ บ้านมึงขายอมยิ้มโลลิป๊อปหรือไง”
“ส่วนมึง แต่งตัวยังกะจะไปงานศพ ดำยังกะอีกา ญาติเสียเหรอ?”



“ไอ้เวร ศาสดากูชอบโทนสีดำ”
“ศิลปินกูก็ชอบแนวแคนดี้ โลลิป๊อป สีสัน”



“ไอ้ไบเซป!!!!”
“ไอ้เชี้ยฟีนิกซ์!!!”


แล้วเราจะอยู่กันรอด 1 ปีการศึกษาไหมอาครับ T.T

________________________________________________________________________

แฮร่~~~ ^^

KainO.
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 28-09-2012 23:52:57
เฮ้ย ชอบอ่ะ

มาต่อเร็วๆ

แค่บทนำเค้าก็ติดแล้ว

 o9
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 1]
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 29-09-2012 02:35:52
ชอบ ๆ ๆ ใจเรามันเอนเอียงไปทางญีุ่ปุ่นมากกว่าอ่ะนะ  คือไม่ใช่อะไร  หนังเอวีเต็มเครื่องไง๊.....กร๊ากกกกก  ผู้ชายญี่ปุ่นดูดีเป็นธรรมชาติ  ไม่ผ่านคมมีด....แบบ....ไอ้ที่หน้าตาแจ่ม ๆ นี่ก็ค้นพบในหนังเอวีท๊างน๊านนนน...เอิ๊ก ๆ

เกาหลีก็ชอบนะ  ชอบ 2PM....

อยากอ่านต่อ  เพราะแค่อินโทรก็เกรียนและมันส์มากมายแล้ว
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 50%]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 29-09-2012 07:07:39
KO-JAP # 2 : เดินทางกลับบ้าน

โหมด : ไบเซป
ขณะนี้ผมกำลังเดินนำไอ้บ้าญี่ปุ่นหัวหนาม ชุดดำ ญาติเสีย (มาเป็นชุด) ลงมาที่ชั้นล่างของสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อที่จะมาขึ้นรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ หลังจากที่เกิดสงครามน้ำลายย่อย ๆ ที่จุดผู้โดยสารขาเข้า มาถึงตอนนี้ ตลอดทั้งทางเราไมไ่ด้คุยกันครับ เพราะทั้งผมทั้งมันต่างก็ย้ายมาอยู่ในโลกส่วนตัว

ผมเอาหูฟังยัดหู เปิดเพลงบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีฟังอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่อีกคนมันเดินไปด้วยผงกหัวไปด้วย จนคนที่เดินผ่านเป็นอันต้องหันเหลียวมามองว่ามึงเป็นอะไรวะ เดินไปผงกหัวไป ซึ่งผมพอจะรู้สาเหตุโดยไม่ต้องรอให้มันบอกครับ

ก็จะอะไรอีกล่ะ ตอนนี้มันคงฟังเพลงเจร็อค บ้าบอสติแตก ชอบความรุนแรงนั่นแหละ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยว่ามันมีเสน่ห์ตรงไหนนะ ร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งเพลงมีแต่ส่งเสียงว๊ากน่ารำคาญ มันทำให้ผมรู้สึกราวกับผมกำลังอยู่ในช่วงรับน้อง ที่จะมีพี่ว๊ากมาตะโกน แบบนั้นน่ะ ฟังไปเป็นอันตรายต่อเยื่อประสาทหูเปล่า ๆ

สู้เพลงเกาหลีก็ไม่ได้ ไพเราะชิบหาย ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ แถมเต้นก็เก่งอีกตางหาก มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแฟนคลับ ที่เวลาขึ้นคอนเสิร์ตจะมีบางช่วงที่แฟนคลับจะช่วยร้องเพลง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีนะ แบบว่าช่วยสานสัมพันธ์อันดีระหว่างศิลปินและแฟนคลับ

แล้วเจร็อคของไอ้ฟีนิกซ์ล่ะ?

เหอะ! เท่าที่ผมรู้ เข้าไปในคอนเสิร์ตก็ห้ามเอากล้องเข้าไป เวลาอยู่ข้างนอกก็ห้ามถ่ายรูป ห้ามตาม ห้ามนู้น ห้ามนี่ แล้วศิลปินและแฟนคลับจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงวะ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ผมคิดจนเดินมาถึงช่องขายตั๋ว

“พญาไท 2 ที่ครับ” ผมบอกพนักงานแล้วยื่นเงินให้ คุณเธอยื่นเหรียญสีแดงให้ผม พลางมองดูคนที่เดินตามผมมาติด ๆ

คงจะคิดว่าพิลึกสินะ ฮ่า ๆ ไม่ใช่แค่พี่สาวคิดคนเดียวหรอกครับ ผมว่าป่านนี้ เค้าคิดกันทั้งสนามบินแล้วล่ะ ผมส่งยิ้มให้เธอ แล้วเดินออกมาจากช่องขายตั๋วเพื่อให้ลูกค้าคนอื่นได้ใช้บริการ ผมยื่นเหรียญสีแดงให้อีกฝ่าย

ฟีนิกซ์ยังคงหลับตา ผงกหัว และอยู่ในโลกส่วนตัวของมัน

ผมสะกิด

มันยังคงทำเหมือนเดิม

ผมสะกิดอีก

มันก็ยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร รอบนี้ผมเลยตัดสินใจดึงหูฟังมันออกครับ ตาของมันลืมพรึบขึ้นมาราวกับผีที่ฟื้นคืนชีพ เล่นเอาผมก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว


“ห่าเอ๊ย! ศาสดากูกำลังร้องท่อนฮุค” ฮุคบ้านมึงสิ มึงจะกลับบ้านไหมเนี่ย มัวแต่สรรเสริญศาสดาอยู่นั่นแหละ

“ฟังเข้าไป เจร็อคอะไรของมึงน่ะ ระวังหูจะหนวกซักวัน” ผมพูดประชด ฟีนิกซ์เบ้หน้า

“แล้วไงวะ แนวกูนิ”

“กูเตือนมึงด้วยความหวังดี”

“มึงก็เหมือนกันแหละ”

“อะไร?” ผมถามมันงง ๆ ศิลปินกูมีอะไรให้กูต้องระวังวะ

อีกฝ่ายฉีกยิ้ม “มึงก็ระวังเถอะ ซักวันหน้ามึงจะเป็นพลาสติก หึึหึ หึหึ”
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 50%] [290912]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 29-09-2012 14:18:42
โอ้ววว แรง !

หน้าพลาสติก 555555

 :beat:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 50%] [290912]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 30-09-2012 08:54:36
มาต่ออีก 50%
(สั้นนิดนึงฮะ)


โหมด : ฟีนิกซ์
อ่าาา สวัสดีครับทุกท่าน ผมฟีนิกซ์นะ เด็กเจร็อคตัวพ่อเลยล่ะ (ผมกล้าพูดนะ >.<) ผมคิดว่าเพลงแนวนี้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ชีวิตของมนุษย์ได้ดีมากอีกแนวหนึ่งเลย บรรดาแบนด์แมนจะหยิบยกเอาความรู้สึก ประสบการณ์รอบกายแต่งออกมาเป็นเพลง มันทำให้เราได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่บทเพลงต้องการจะสื่อออกมา คุณเชื่อไหม บางเพลงผมฟังไม่เข้าใจเท่าไรนะ แต่ว่ามันก็ทำให้ผมร้องไห้ได้

เพราะบทเพลงนั่นถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ไม่เหมือนเพลงติ๊งต๊องหวานแหววของไอ้ไบเซป ไบเซ็กซ์ช่วลอะไรนั่นหรอก เห็นที่ TV บนเครื่องบินระหว่างที่บินกลับไทย แล้วรู้สึกว่าปัญญาอ่อน

ทำอะไรวะ สีเสื้อเครื่องแต่งกายจะสดใสไปไหน โลกมันไม่ได้สวยงามดังที่พวกนั่นบรรยายออกมาหรอกนะเว้ย จะบ้าหรือไง ร้องเพลงแล้วอัดใส่ CD จากนั้นก็เอาไปให้สาว ๆ ถึงประตูหน้าบ้าน แถมยังไปเต้นอยู่หน้าบ้านสาวอีก ชุดใส่นี่ยังกะเทวดาลงมาเกิด แมร่ง ขาวทั้งตัว เห็นแล้วยังงงเลยว่า มาผิดงานเป่าวะ หรืออันที่จริงพวกศิลปินของมันกำลังจะไปวัด แต่ค่ายเพลงดันจับมาเต้นเสียก่อน ทั้งเพลงไม่มีไรและ Boyfriend Boyfriend ทั้งเพลง ฟังแล้วเครียด =.=”

ผมเดินตามเจ้าไบเซปพลางนึกขำ ๆ กับรสนิยมในแนวเพลงของมัน แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมกำลังฟังเพลง VORTEX ของศาสดาอยู่ หากจะคิดถึงศิลปินวงอื่นก็ดูเหมือนจะเป็นการไม่ให้เกียรติศาสดาเท่าไร เพราะงั้น เรื่องเพลง Boyfriend Boyfriend อะไรนั่นทิ้งไว้ก่อนแล้วกัน

ผมหลับตาในขณะที่ไอ้ไบเซปกำลังซื้อเหรียญของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง การที่ได้ซึมซับไปกับบทเพลงของศาสดานี่เป็นช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดแล้ว ต่อให้โลกนี้ดินถล่มฟ้าทลาย ขอแค่มีเพลงของศาสดาผมก็บ่หยัน

I don't wanna become the fuckin' garbage like you
ฉันไม่อยากกลายเป็นเศษสวะอย่างเธอ
Vortex of industry
วังวนของธุรกิจ
Shut the.....
หุบ.....

0.0!!!!! ผมลืมตาพรึบ!!!! ห่า!!! คิดว่า fuck up Jack off มันหายไปไหน!!! ท่อนต่อไปมันหายไปหน๊าย ๆๆๆ!!!อารมณ์กำลังมันส์ เพลงกำลังจะไคลแม็กซ์ กำลังจะเข้าฮุกอยู่แล้ว ใครมันบังอาจมาขัดช่วงเวลาแฮปปี้เนสของกูวะ แมร่ง อารมณ์ค้างชิบหาย และมันก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ เพราะเตี้ยตรงหน้าผมกำลังถือหูฟังทั้งสองข้างอยู่

“ห่าเอ๊ย! ศาสดากูกำลังร้องท่อนฮุค” ผมบ่นใส่ไอ้ไบเซปอย่างอารมณ์เสีย

“ฟังเข้าไป เจร็อคอะไรของมึงน่ะ ระวังหูจะหนวกซักวัน” มันพูดประชดผมครับ ผมเบ้หน้า มึงเป็นใครวะ มาหาว่าเพลงของศาสดาจะทำกูหูหนวก

“แล้วไงวะ แนวกูนิ” ผมตอบกลับครับ

“กูเตือนมึงด้วยความหวังดี”

“มึงก็เหมือนกันแหละ”

“อะไร?” ไอ้เตี้ยทำหน้างง ๆ ได้ทีผมล่ะครับ ^,..,^

ผมฉีกยิ้ม แล้วกระซิบข้างหูมัน “มึงก็ระวังเถอะ ซักวันหน้ามึงจะเป็นพลาสติก หึึหึ หึหึ” พอผมพูดจบครับ อีกฝ่ายแมร่งค้างเลย ฮ่า ๆ สมน้ำหน้า มากัดกับใครไม่กัด เสือกมากัดกับฟีนิกซ์ รู้ไว้ซะด้วยว่าศาสดากูอ่ะ พูดเก่งแค่ไหน (ไม่อยากจะใช้คำว่าปากดี เพราะเดี๋ยวศาสดาจะเสียหาย) ผมหัวเราะใส่หน้ามันด้วยความสะใจ คว้าเอาหูฟังยัดหูอีกรอบ บทเพลงของศาสดาบรรเลงอยู่ในหัวสมอง ผมหยิบเอาเหรียญรถไฟฟ้าจากมือมัน แล้วเข้าไปยังเกทรอรถไฟ โดยที่อีกคนสบถไล่หลังเป็นชุด

ช่างสิ

Who care!!!!



ชื่อเพลง, ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องในตอนนี้ :
VORTEX - the GazettE [J-Rock] เนื้อเพลง : http://bit.ly/GDqj4z (http://bit.ly/GDqj4z)
Boyfriend - Boyfriend [Korea]
Who care - Waii Kamikaze [Thai]

หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 100%] [300912]
เริ่มหัวข้อโดย: maii ที่ 30-09-2012 11:53:40
 :z13:

ตลกดีคะ สนุกมาก

จริงๆเราชอบหมดนะ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ไทย

แต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง

แต่...ชอบที่เถียงกันอ่ะ เคยเห็นในบอร์ด(สักแห่ง = =)  อ่านแล้วก็ขำๆดี


รอตอนต่อไปจ้า  o13
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 100%] [300912]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 30-09-2012 13:05:58
 :m20:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 3 100%] [011012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 01-10-2012 14:21:19
KO-JAP : ที่บ้าน 100%

โหมด : ไบเซป

ตอนนี้ผมกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน ช่วงเวลาที่นั่งอยู่แอร์พอตลิ้งแทบอยากจะฆ่าตัวตาย เพราะสายตาหลายคู่ในรถไฟ ทั้งไทยและเทศต่างก็มองมาที่พวกผม ไม่มีอะไรหรอกครับ สงครามน้ำลายเหมือนเดิมนั่นแหละ มันยังคงหาจุดจบแห่งการเถียงกันไม่ได้ ผมเหล่มองฟีนิกซ์ที่มันไม่สนใจโลกภายนอก หลังจากที่ทะเลาะกัน แล้วต่างฝ่ายต่างไม่มีคำจะเถียง มันก็เข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของมันและศาสดาทันที

นี่มันเรียกว่าเถียงไม่ได้แล้วหนีนี่หว่า โถ ๆๆๆๆ ไอ้ญี่ปุ่น!!!!

จะว่าไป นี่ผมยังไม่ได้บอกที่มาที่ไปของไอ้ฟีนิกซ์ใช่ไหมครับ? อ้าาา งั้นจะเล่าให้ฟังนะครับ อันดับแรกเลย เจ้าเนี่ย แม่ของมันเป็นเพื่อนกับแม่ผมครับ พวกเราชอบไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ บ้านฟีนิกซ์ทำธุรกิจที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนบ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าเสื้อผ้า แม่ผมต้องบินไปบินมาหลายประเทศ เพื่อไปดูแฟชั่นและเทรนด์ใหม่ ๆ ทั่วโลก ผมชอบอยู่บ้านคนเดียว แต่ก็ไม่ได้อะไรมากหรอก ต่อให้อยู่คนเดียว ก็ไม่ได้เหงา ไม่สิ อันที่จริงก็เหงาอยู่ แต่ว่า เพราะมีเพลงคอยเปิดแก้เหงา เรียกได้เลยว่าเพลงนี่แหละที่เป็นเพื่อนผมเวลาที่ผมอยู่บ้านคนเดียว

มาถึงเจ้าฟีนิกซ์ มันจะมาอยู่กับผม 1 ปีการศึกษา มันเป็นเด็กแลกเปลี่ยนจากประเทศญี่ปุ่นครับ ผมก็ยังงง ๆ อยู่ว่า มึงจะแลกเปลี่ยนมาทำไม ในเมื่อมึงก็มีบ้านที่ไทยอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง ทุนของทางการญี่ปุ่นไม่ได้กำหนดเหรอว่าให้เฉพาะคนที่ไม่เคยมาประเทศไทย หรือเคยมาประเทศไทย แต่ไม่เกิน 1 เดือนอะไรทำนองนั้น เฮ้อ~ พูดเรื่องทุนแล้วปวดหัว ไม่พูดดีกว่า แต่ที่หน้าหมั่นไส้มากที่สุดคือ ทำไมมึงต้องเลือกแม่กูเป็นโฮส แถมแม่ก็บ้าจี้เล่นกับมันอีกตางหาก =.=” เครียดครับ

นั่นแหละครับ ขี้เกียจหาจุดเชื่อมโยง งั้นเอาง่าย ๆ สรุปว่า มันมาแลกเปลี่ยนครับ

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันก็ไม่มีอะไรมาก แม่รู้จักกัน ลูกก็เลยลูกจักกันตามไปด้วย ส่วนพ่อผมกับพ่อมัน เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน ถึงจะไม่ได้ประกอบการกิจการเดียวกัน แต่ก็แข่งกันทำยอดขาย =[]= ดู ๆ ไปพวกผู้ใหญ่นี่ก็ชอบทำอะไรแปลก ๆ นะ แต่ละกิจการจุดอ่อน จุดแข็งมันต่างกัน แล้วจะมาแข่งยอดขายกันได้ไงวะ

ไบเซปไม่เก็ต!!!!!!

“เปิดประตูบ้านได้ยังมึง กูร้อน” เสียงนรกดังทะลุผ่านหูฟังของผม แมร่ง มินโฮกำลังแร๊ปเพลง Hello บังอาจเอาเสียงของมึงมากลบเสียงศิลปินกู ไม่มีมารยาท =...= ผมไขกุญแจบ้าน ผลักประตูเข้าไปพลางทิ้งตัวลงบนโซฟา ในขณะที่อีกคนมันไม่ยอมเข้ามาซักที

ผมปิดเครื่องเล่น iPod แล้วมองมันที่ประตู

“เข้ามาสิมึง”

มันอ้าปากค้าง กระเป๋าเดินทางตั้งอยู่ข้าง ๆ เท้ามัน

“มึงแน่ใจนะว่านี่คือบ้านมึง ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์” มันพูดออกมา ผมขมวดคิ้ว

“พิพิธภัณฑ์ไรวะ” ผมยังคงไม่เก็ตครับ

ฟีนิกซ์ปลดหูฟังออกจากหู ทำมือเป็นรูปไม้กางเขน แล้วพึมพำอะไรซักอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด ก่อนที่จะลากกระเป๋าเข้ามาในบ้าน

“มึงจะให้กูอยู่ท่ามกลางดงเกาหลีเนี่ยนะ???” มันถามผม พลางชี้ไปที่ชั้นหนังสือติดผนัง ที่ตอนนี้มันกลายสภาพเป็นชั้น CD, DVD ที่วางสินค้าของศิลปินที่ผมชอบไปหมดแล้ว

ผมมองมันพลางทำตาปริบ ๆ

“ทำไม ศิลปินกูทำมึงร้อนหรือไง”

“ห่า กูไม่ใช่ผี” มันพูดพลางสะบัดผมหนาม ๆ ของมันสองสามที เฮ้ย ไอ้ฟีนิกซ์ กูถามจริง ๆ เถอะว่ามึงใช้สเปรย์ยี่ห้อไหนวะ ผมแมร่ง ชี้โด่ชี้เด่ไม่มีล้ม

“อย่ามายุ่งกับศิลปินกูเลย เอาของไปเก็บไป๊” ผมบอกมัน ขืนให้มันอยู่แบบนี้ มีหวังไม่ได้เก็บของแน่ ๆ

“กูนอนห้องไหน”

“ห้องเก่ามึงนั่นแหละ” มันมานอนบ้านผมบ่อยครับ

“นึกว่าจะให้กูนอนกับมึง”

ผมสะดุ้งเฮือก รีบหันควับไปหามัน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายลากกระเป๋าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว บักบ้าเอ๊ย!! ทำกูขนลุก ใครจะไปนอนกับมึงวะ สยองตายห่า ที่นอนกูนี่คงจะเป็นรุนพรุนเพราะหัวหนาม ๆ ของมึงแน่ ๆ


โหมด : ฟีนิกซ์
ผมละไม่เข้าใจกับไอ้ไบเซปเลยแม้แต่น้อย เมื่อก่อนจำได้ว่ามันยังแอ๊บแบ้วไม่ได้อะไรขนาดนี้ แต่นี่อะไรของมันวะ เถียงไฟแล๊บ ปากหมา คำก็ศิลปิน สองคำก็ศิลปิน ฟังมันอยู่นั่นแหละเพลงมองโลกแง่ดีเนี่ย แล้วไหนจะเรื่องการแต่งตัว เมื่อก่อนมึงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่เดี๋ยวนี้เล่นซะขนมเม็ดช็อคโกแลต M&M ยังต้องเรียกพี่ เห็นแล้วปวดตับ ความน่ารักของมันหายไปไหน T.T

ผมลากกระเป๋ามายืนอยู่หน้าห้องที่ผมเข้ามาพักเป็นประจำ นี่คงยังไม่รู้สินะว่าผมน่ะมาค้างบ้านมันบ่อยแค่ไหน ก็แบบว่า แม่ของผมและแม่ของมันเป็นเพื่อนกันมาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่บรรดาลูก ๆ ของแม่ ๆ จะไปมาหาสู่กัน (พูดยังกับผัวเมียเลย =[]=) เฮ้ย ไม่ได้เป็นผัวเป็นเมียกันแต่อย่างใดครับ ผมยังไม่เคยล่วงเกินมันเลยนะครับ

ไว้ใจได้ :P

ผมค้นเอากุญแจห้องกับกระเป๋าลากที่หอบมาจากญี่ปุ่น เหตุเพราะเข้ามาค้างที่นี่บ่อยคุณแม่ของบักไบเซปก็เลยให้ผมถือกุญแจไว้เลย ตอนที่มาค้างจะไม่ได้ลำบากหากุญแจเปิดห้อง จะว่าไปคุณแม่มันนี่ก็เทคแคร์ดีชิบหาย ไม่เหมือนแม่ผมเลย วัน ๆ ยุ่งแต่กับธุรกิจ จะดีหน่อยก็โทรมาชวนผมไปกินข้าวนอกบ้าน และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร ผมควานหากุญแจจนเจอและไขเข้าไปภายในห้องตามปกติที่ผมทำเป็นประจำเวลาที่มานอนค้างที่นี่ แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมคิ้วกระตุกทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

...กูว่าแล้ว กูว่าแล้ว กูว่าแล้ว!!!!!!...


หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 2 100%] [300912]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 01-10-2012 14:31:22
อะไร อะไร อะไร ????
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 4 ฉันคือเอลฟ์ 100%] [021012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 02-10-2012 20:30:04
KO-JAP : ฉันคือเอลฟ์ 100%

โหมด : ไบเซป

เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อผมกำลังกระดกน้ำเข้าปาก เล่นเอาซะตกใจเผลอพ่นน้ำออกมา เลอะแมร่งทั่วทั้งห้องครัว เวรเอ๊ย เพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อเช้านี่เอง T.T

“มึงจะกรี๊ดหาเตี่ยมึงหรือไงวะ ไอ้ฟี!!!” ผมเดินออกมาจากห้องครัว หลังจากที่ใช้ผ้าซับน้ำเรียบร้อยแล้ว ตะโกนขึ้นไปด้านบนเพื่อให้อีกฝ่ายมันได้ยิน แต่ผมว่าไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะฟีนิกซ์ทำหน้าบอกบุญไม่รับเดินตึงตังลงมาจากชั้นล่าง มันคว้าเอาคอเสื้อด้านหน้าของผม แล้วลากผมขึ้นบันไดราวกับผมเป็นกระเป๋าล้อลากได้

“เฮ้ย ๆๆๆๆ มึง ๆๆๆๆ” ผมพูดพลางทุบแขนมันเพื่อให้มันปล่อย แต่อีกฝ่ายก็ยังลากผมขึ้นบันไดเหมือนเดิม อะไรของมึงวะ ห้องมึงมันมีหนูตายอยู่ในนั้นหรือไง =[]=!!! มันลากผมจนตอนนี้ขึ้นมาชั้น 2 และยืนอยู่หน้าห้องมันแล้วครับ มันปล่อยคอเสื้อผมแล้วชี้ไปที่ประตู

“มึงทำอะไรกับห้องกูเนี่ย” อ้าว สัส! ถามแบบนี้แล้วกูจะรู้ไหมว่ากูทำอะไร ผมไม่รู้ว่าจะตอบมันยังไงก็เลยเงียบ แล้วทำหน้าเอ๋อแดก “อย่าเงียบสิวะ!!!” เอ๊า!! บักอันนี้นิ

“กูทำอะไรว้าาาา” ผมพูดยานคางพลางเกาหัวแกรก

“มึงดูเลย มึงมาดูเลย” มันพูดซ้ำไปซ้ำมาพลางบิดลูกบิดประตู แล้วโยนผมเข้าไปข้างใน ก่อนที่มันจะตามเข้ามา โดยที่ยังเปิดประตูห้องทิ้งไว้

“มึงดูเลย นั่นมันอะไรวะ มึงเอามาตั้งไว้ในห้องกูได้ยังง๊าย!!!!!~~~”

เมื่อเข้ามาในห้องและมองตามนิ้วที่มันชี้ ผมก็เข้าใจทันทีว่ามันหมายความถึงอะไร ผมอมยิ้ม แล้วหันไปมองหน้ามัน

“เอ๊าาา มึงไม่รู้หรือไงว่าดงเฮ แห่งวง SJ เค้าไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้คอนแทกเลนส์ maxim อ่ะ” ผมพูดพลางเดินไปยังป้ายรูปดงเฮขนาดเท่าตัวจริงที่ผมพิงไว้ข้างผนัง กว่าจะได้ป้ายแผ่นนี้มา กูควานหาแทบตายนะเว้ย ต้องไปตอแยร้านแว่นว่า ถ้ามีรูปเวอชั่นใหม่มา ป้ายเก่าอย่าทิ้ง ผมขอเอามาเก็บสะสม (โคตรหน้าด้านอ่ะ)

ฟีนิกซ์อ้าปากค้าง มองผมราวกับเป็นตัวประหลาด

“นี่มึงบ้าเป่าวะ”

“มึงไม่เข้าใจเอลฟ์อย่างกูหรอก”

“หะ? ตะกี้มึงว่ามึงอะไรนะ?”

“เอลฟ์”

“เอลฟ์ห่าอะไรวะ” =.=” มึงไปอยู่ขุมไหนมาวะ ไม่รู้จักเอลฟ์เนี่ย

“ชื่อแฟนคลับ Super Junior ไง พวกเรามีชื่อว่าเอลฟ์” ฟีนิกซ์อ้าปากค้างอีกรอบ ก่อนที่จะหุบ แล้วโบกไม้โบกมือราวกับจะไล่แมลงวัน

“เออ งั้นกูว่ามึงไม่ใช่แล้วเอลฟ์แล้วล่ะ มึงน่ะ โรคจิตชัด ๆ”

“อย่ามาว่ากูนะ!!!” อ๊ายยยยยย บังอาจมาว่าผมโรคจิตได้ยังไง นี่มันเป็นความชอบส่วนบุคคลเว้ย

“กูไม่ได้ว่ามึง กูพูดตามความจริง แล้วแมร่ง อันที่จริงถ้ามึงจะเอามาตั้งโชว์ กูก็ไม่ได้ใส่ใจดงฮ่ง ดงเฮ หรือดงมันสำปะหลังอะไรของมึงหรอก มึงจะเอาไปชาบู ที่ไหนก็เรื่องของมึง แต่กูไม่เข้าใจว่า มึงจะเอาเข้ามาไว้ในห้องกูทำไมมิทราบ”

เอ๊า!!! บักบ้านิ มึงไม่รู้หรือไงว่าห้องมึงมันเป็นห้องเก็บของขนาดย่อม ๆ ของกูอ่ะ ถึงมึงจะมาค้างบ้านกูบ่อย แต่มันก็ไม่ได้บ่อยอะไรขนาดมาทุกเดือน แล้วจะให้กูปล่อยห้องมึงว่างเนี่ยนะ จะบ้าเหรอ กูก็แค่ขออนุญาต (โดยไม่บอกมึง) ใช้สอยให้มันเกิดประโยชน์แค่นั้นเอง

“พอ ๆๆๆ เออ ๆๆ สรุปว่ากูผิด แมร่ง ผ้าปูที่นอน ห้องห่าอะไรกูก็ทำความสะอาดให้ แค่เอาฮยองดงเฮมาฝากไว้ในห้องทำเป็นโวย โด่เอ๊ย!!!” ผมบ่นกระปอดกระแปดเหมือนผู้หญิงไม่มีประจำเดือน(?) พลางยกป้ายที่ฮยองดงเฮเป็นพรีเซ้นเตอร์คอนแทกเลนส์ออกจากห้อง

ในขณะที่ใกล้จะถึงประตู ไอ้ฟีนิกซ์มันก็ดึงแขนผมไว้ ผมหันกลับไปขมวดคิ้วให้มัน สะบัดแขนออกอย่างงอน ๆ ตามองมัน แต่เท้าผมก้าวออกจากห้องไปแล่ว

“อะไรอีกล่ะ” หัวเสียเว้ย ฮยองกูไม่มีที่อยู่ T.T

“เออ กูขอโทษ” สำนึกแล้วเหรอมึง

“แล้วไงต่อ” ผมยังเล่นลิ้น

“เออ มึงจะเอาฮยง ฮยองอะไรของมึงไว้ห้องกูก็ได้” เหยดดดดดดดดดดดดดดด ให้มันได้แบบนี้สิวะบักฟี ผมอมยิ้ม รีบเดินอุ้มป้ายโฆษณาดุ่ม ๆ กลับเข้าห้อง แล้วเอาไปตั้งไว้ที่เดิม ยังไม่ทันได้หันหลังกลับ เสียงบักฟีก็ลอยมาตามลม

“แต่กูจะไปนอนห้องมึง”

=[]=!!!!! สัส!!!!


ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
ลี ดงเฮ - Super Junior [Korea]

ชื่อแฟนคลับที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
E.L.E - ใช้เรียก FC ของ Super Junior
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 4 ฉันคือเอลฟ์ 100%] [021012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 02-10-2012 21:06:55
เออนะ  :m20:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 5 พื้น-เตียง 100%] [031012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 03-10-2012 23:01:53
KO-JAP : พื้น-เตียง

โหมด : ไบเซป
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพหัวฟู และปวดหลัง เหตุเพราะเมื่อวาน หลังจากที่บักฟีนิกซ์มันโวยวายเรื่องป้ายโฆษณาคอนแทกเลนส์ของโอ๊ปป้าดงเฮแล้ว มันก็ไม่ยอมนอนห้องมันอีกเลย โดยคำให้การของมันมีอยู่ว่า

“มึงจะบ้าเหรอ เวลากูอยู่ในห้องแล้วมีดงเกย์คอยจ้องกูเนี่ยนะ”

=____= ดงเกย์บ้านมึงสิ

“กูไม่เอาอ่ะ ถ้ามึงจะเก็บไว้ห้องกู มึงก็ต้องให้กูไปนอนห้องมึง”

=[]=!!! เรื่องมากอ่ะมัน

“เชี่ย มึงเข้าใจกูไหมเนี่ย กูเป็นผู้ชาย เวลากูอาบน้ำ กูเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมีผู้ชายมองแบบนี้ กูหลอน”

0.0!!!! แล้วทีตอนมัธยมมึงแอบดูกูอาบน้ำ แอบดูกูเปลี่ยนเสื้อผ้า มึงคิดว่ากูไม่หลอนหรือไง บักบ้า!!!!!

“ไม่ ๆๆๆๆ มึงจะหันด้านหน้าของป้ายเข้าผนัง แต่ตอนปิดไฟ มันก็เหมือนกับมีคนยืนอยู่นะเว้ย”

*.......* นี่มึงกลัวผีหรือไง?

“กูไม่เอา กูไม่ชอบนอนเปิดไฟ”

T.T กล่อมไงก็ไม่ยอมอ่าาาาา

“มึงไม่ต้องพูดและ กูจะไปนอนห้องมึง”

T____________T ไอ้คนใจร้าย !!!!

และนี่ก็คือที่มาอย่างคร่าว ๆ ของเรื่องนี้ หลังจากที่มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว มันก็จับกระเป๋าลากของมันลากไปห้องผมอย่างรวดเร็ว ผมที่วิ่งตามมาพยายามที่จะเกลี่ยกล่อม สุดท้ายมันสั่งผมให้เปิดประตู เพราะมันไม่มีกุญแจ ผมไม่ยอมเปิด มันก็หันมาเล่นงานผมโดยการค้นทั้งตัวเพื่อหากุญแจ

อันค้นธรรมดากูไม่ว่า แต่ถ้าเล่นถอดเสื้อนี่กูยอม

เสื้อของผมปริวว่อนลงไปชั้นล่าง เหลือเพียงแค่เสื้อกล้ามสีขาว ห่า มึงก็รู้ว่าทั้งตัวกูกระเป๋ามันอยู่ที่กางเกง แล้วมึงจะมาถอดเสื้อกูหาพระแสงอะไร ทำไมมึงไม่ถอดกางเก๊งงงง!!!! หะ? เอ๊ย!!! เดี๋ยว!!! ไม่ใช่นะ ตะกี้ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย =[]=!!!! ไม่ ๆๆๆ ลืมมันซะ

มาสรุปกันเลยแล้วกัน เพื่อไม่ให้ออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ =[]=!!! หลังจากที่เสื้อของผมปริวว่อนเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจวิ่งฉิวลงไปชั้นล่าง คว้าเอากุญแจห้องแล้วไขให้มันทันทีอย่างไม่มีข้อแม้ ขืนมีนี่มีหวังว่าจะได้ตายอย่างอนาทแน่ ๆ

และเมื่อมันเข้าไปในห้องปุ๊บ มันยืนค้าง สายตาจองมันจ้องไปยังฝาผนังห้องอีกฝั่งหนึ่งที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคอเล็กชั่น Mr.Simple ของวง Super Junior กะจะบอกให้ทราบคร่าว ๆ นะครับว่า Mr.Simple เนี่ยเป็นอัลบัมที่ 5 ของวง Super Junior โดยได้มีคอเล็กชั่นออกมาคือ กล่องอัลบัมนั้นจะมีเท่ากับจำนวนสมาชิกวง ด้านหน้าของกล่องจะเป็นรูปของสมาชิกแต่ละคนต่อ 1 กล่อง โดยมาในคอนเซปท์ Ubersexual ที่มาในแบบโคตรจะคัลเลอร์ฟูล

งานนี้ พูดตรง ๆ คนได้เงินคือศิลปิน และคนเสียเงินคือเอลฟ์

แต่ยังไงก็ยอมเสียละวะ

1 คอเล็กชั่นมันตกราคาราว ๆ ห้าร้อยบาท แล้วคิดดู มีทั้งหมดสิบคอเล็กชั่น ผมยอมรับว่าผมเสียเงินไปเกือบหมื่นเพื่อเก็บสะสมคอเล็กชั่นของสมาชิกวงทุกคน ปาดเหงื่อเหมือนกันครับ แต่พอเห็นติดอยู่ที่ฝาผนังทั้งสิบกล่องแล้วรู้สึกหายเหนื่อยในทันที

ก็ความสุขทางใจของผมนิเนอะ ^w^

แต่ดูท่าอีกคนมันจะไม่สุขครับ ตลอดทั้งวัน (ทั้งคืนด้วย) มันเล่นเงียบแล้วจมจ่อมอยู่ในโลกส่วนตัว กดโน๊ตบุคต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ทั้งคืนจนผมไม่ได้นอน แล้วเมื่อผมนอน เสียงโทรศัพท์บักฟีดันดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิดหรอก กรี๊ดครับ บักฟีมันกรี๊ดจนผมสะดุ้ง

คำพูดมันเมื่อคืนที่ผมพอจะจำได้

“ห่า Goods ออกมาแล้วเหรอ!!!” เสียงมันโคตรจะตกใจ แล้วเสียงกดรัวคีบอร์ดก็ดังขึ้น กูขอภาวนาให้น้องแมกบุคโปรของมึงพัง เพี๊ยง ๆ !!!

“เชรี่ย ผ้าขนหนูพันสองร้อยเยน แมร่ง งามชิบหาย ฮือ ๆๆ” แล้วมึงจะร้องไห้ทำไมเนี่ย

“เอ๊า มึงยังทำถุงยางอยู่อีกหรอ!!!!!” =[]=!!!!

“เฮ้ย กางเกงในสีโคตรแรด นี่กูต้องซื้ออีกตัวใช่ไหมนิ” =__________+ ยิ่งฟังยิ่งเครียดครับ มีทั้งถุงยาง ซึ่งผมคิดว่ามันคงไม่พ้นถุงยางอนามัย มีทั้งกางเกงในสีโคตรแรด (มันเป็นยังไงวะ) (แถมบักฟียังบอกว่าต้องซื้ออีกตัว แสดงว่าตอนนี้มันมีอยู่แล้วใช่มะ?) แล้วก็มีนู้นมีนี่ตามมาอีกเป็นสิบรายการ เล่นเอาผมที่นอนอยู่ข้างเตียงถึงกับต้องดึงผ้าขึ้นมาคุมโปงด้วยความสยดสยอง

นี่หรือวะที่เรียกว่าเจร็อค บรึ๋ย~~~ น่ากลัว

ผมนอนฟังฟีนิกซ์กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อยู่ราว ๆ สิบนาทีก่อนที่จะหลับไป และตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่เห็น ณ. ตอนนี้แหละครับ ด้วยความที่นอนบนพื้น เอ๊ะ!!! ผมบอกพวกคุณหรือยังว่าเมื่อคืนผมนอนที่พื้นข้างเตียงล่ะ ใครจะกล้าขึ้นไปนอนกับเตียงกับมันล่ะ สยองขวัญ

เห็นดังนั้น ผมก็เลยตัดสินใจยกเตียงให้มันนอน ส่วนผมไปลากเอาที่นอนปิ๊กนิกมาปูกับพื้นข้าง ๆ เตียงนั่นแหละ ดู ๆ แล้วเหมือนหมานอนเฝ้าเจ้าของยังไงยังงั้น แต่ช่วยไม่ได้นินา เป็นหมาก็ดีกว่าเป็นคนนอนเตียงเดียวกับมันล่ะ =[]=!!!!

ผมโผล่หน้าขึ้นมาที่ขอบเตียงด้วยอาการที่เรียกว่าสะลึมสะลือ แต่แล้วก็ต้องรีบล้มตัวลงไปนอนเหมือนเดิม อาการสะลึมสะลือตะกี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมนอนลืมตาโพลงดูเพดานห้อง

ถ...ถ้า...ถ้ากูไม่ตาฝาดนะ ม...เมื่อกี้...เมื่อกี้นี้มัน....

ผมโผล่หน้าไปอีกรอบ ซึ่งรอบนี้ไม่ล้มลงไปนอนแล้วครับ ผมนั่งค้างเลย

ห่า!!! ถ้ามึงจะมาโป๊ในห้องกูขนาดนี้ สงสารกูบ้างอะไรบ้าง T......T



ศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
Goods - สินค้าของที่ระลึก

Mr.Simple Collection - http://bit.ly/GSsn93

Goods ของ the GazettE - http://on.fb.me/GHyI6x
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 4 ฉันคือเอลฟ์ 100%] [021012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 04-10-2012 01:02:01
สงสัยฟีนิกซ์จะขี้ร้อน
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 6 อาการช็อค 100%] [051012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 05-10-2012 06:43:58
KO-JAP : อาการช็อค
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมไม่รู้ว่าไอ้ไบเซ็กชวลมันเป็นบ้าอะไรแหกปากโวยวายแต่เช้า แมร่ง คนจะหลับจะนอน เมื่อคืนอาบน้ำเสร็จ มานั่งเล่นคอม กูยิ่งสติแตกอยู่ กว่าจะได้นอนก็เกือบตี 3 (มัวแต่นั่งดู Goods ของศาสดา) ขนาดปิดคอมแล้ว ตาผมยังหมุนวนเป็นสัญลักษณ์เงินเยนอยู่เลย ก็ศาสดาอ่ะดิ เล่นอัพราคาสินค้ากันตอนเที่ยงคืน เพื่อนที่ญี่ปุ่นโทรมาบอกอย่างรวดเร็ว แล้วมีหรือที่ HERESY อย่างผมจะรอช้า

เปิดเว็บไซต์ของต้นสังกัดแล้วส่องอย่างรวดเร็วครับ

เพียงแค่เห็นสินค้า ผมก็กรีดแตก เนื้อเต้นเป็นเจ้าเข้า แล้วยิ่งมาเห็นราคา เนื้อยิ่งเต้นหนักเข้าไปอีก มันรู้สึกราวกับไปยืนอยู่กลางภูเขาหิมาลัยที่มีหิมะโอบล้อม มีลมเย็นพัดผ่านจนเย็นยะเยือก นั่นแหละครับ พอเห็นราคาแล้วเย็นยะเยือก =[]=!!!!

ผ้าขนหนู ผืนละหนึ่งพันสองร้อยเยน กางเกงชั้นในสีสันแสบตา ชมพูโคตรแรดอีกสามพันกว่าเยน ถุงยางอนามัยรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น (รุ่น the GazettE ที่หาซื้อจากไหนไม่ได้) แล้วไหนจะกระจก นู้นนั่นนี่ สรุปแล้ว คาดว่าผมจะถูกศาสดาสอยไปไม่ต่ำกว่าสองหมื่นเยน =___=” โปรดไว้อาลัยให้ผมด้วย ฮือ ๆ

เอาเถอะ ยังไงเป็น HERESY ก็ต้องสนับสนุนสินะ เรื่องเงินช่างแม่ง เอาของไว้ก่อน

คิดได้ดังนั้นผมก็นอนครับ แล้วก็มาตื่นเพราะเสียงแปดหลอดของไอ้คนที่นอนพื้นนี่แหละ แมร่ง บอกให้มานอนเตียงด้วยกันก็ไม่เอา เรื่องมากนอนพื้น เป็นไงล่ะมึง พื้นมันแข็ง เจ็บตัวล่ะสิ สมน้ำหน้า

ผมแอบสะใจเล็ก ๆ แต่ก็ยังไม่อยากจะตื่น ก็เลยถู ๆ ไถ ๆ หน้าไปกับหมอนจากนั้นก็ยกหมอนขึ้นมาคลุมหัว เป็นสัญญาณบอกว่า กูรำคาญเสียงมึง สาดดดดดดดดดดดดดดดด~~~!!!!!! ป่านนั้นมันก็ยังกรีดร้องไม่หยุด โยนหมอน โยนผ้าห่มมาใส่ผม

อะไรของมึงวะไอ้นิ

ผมรำคาญก็เลยลุกขึ้นนั่ง อีกฝ่ายเอามือปิดตา

“อะไรของมึง” ผมพูดเสียงงัวเงีย

“มึงทำบ้าอะไรของมึงเนี่ย” =.=’ เอาให้มันกระจ่างกว่านี้สิ

“กูทำไร กูนอนอยู่ดี ๆ มึงก็กรี๊ด”

“กูไม่ได้กรี๊ด”

“เออ กูใช้คำผิด กูนอนอยู่ดี ๆ มึงก็โวยวาย”

“ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม” เอ๊า 0.0!!! เสือกด่าผมว่าหื่นกามซะงั้น น้องชายกูมันไปแตะตูดมึงหรือไงวะ

“เดี๋ยวดิ ตกลงมึงเป็นอะไรวะเนี่ย แล้วมึงจะปิดตาทำไม” ผมก้าวลงจากเตียงแล้วไปกระชากมือมันออก ไอ้ไบค้างในทันที แต่ผมว่ามันไม่ได้ค้างหรอก แบบนี้มันเรียกว่าช็อคมากกว่า เฮ้ย!!!! มึงจะมาช็อคอะไรตอนนี้ ไอ้บ้า ผมรีบตบหน้ามันในขณะที่ตามันเหลือกขึ้นเรื่อย ๆ มือมันเริ่มจับจีบ

ตายละว้า ตายละว้า คนช็อค คนช็อค คนช็อคทำไงวะ!!! มือจับจีบ เดี๋ยวนะ มือจับจีบ มันช็อคใช่มะ? มันเรียกว่าช็อคใช่มะ? เว้ย ตายและ กู...กูจะทำไงดีเนี่ย...!!!

ในช่วงเวลาที่รนลาน ผมทุบหัวตัวเองเพื่อฟื้นความจำ ไงวะ มือจับจีบ จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่องหมอเจ็บ มันต้องมีกรวยใช่ไหม อะไรก็ได้ที่เป็นกรวย ใช่ ๆๆๆ แล้วเอามาครอบปากมัน เดี๋ยวนะมึง ผมหันไปมองไอ้ไบที่ตอนนี้มันเริ่มกระตุก อย่าเพิ่งตายนะมึง

ผมภาวนาในใจพลางรีบรื้อของในห้องเผื่อมีอะไรที่พอจะทำเป็นกรวยครอบปากมันได้บ้าง อะไรวะ กูยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลยเสือกมาช็อคซะแล้ว อะไรของมึงเนี่ย ผมตัดสินใจกระชากสมุดออกมาจากโต๊ะ เล่มไหนก็ช่างแม่งมันเถอะ เอามาบิดเป็นกรวยได้ก็พอ ดังนั้นผมจึงฉีกหน้ากระดาษออกมาแผ่นนึงแล้วม้วน ๆๆๆๆ อีกฝ่ายเริ่มส่งเสียงเฮือก ๆ

เฮ้ยมึง อย่าเพิ่งมาตายอะไรแถวนี้นะ ผมนั่งคล่อมมัน ใช้เข่าทับแขนทั้งสองข้างของมันไว้ แล้วเอากระดาษที่บิดเป็นกรวยครอบปาก ผ่านไปไม่นานอาการดิ้นรุนแรงเมื่อครู่เริ่มดีขึ้น ไอ้เตี้ยเริ่มที่จะกลับมาหายใจเป็นปกติ แต่ผมก็ยังคงเอากรวยกระดาษครอบปากมันไว้อย่างนั้น แบบว่าไม่ชัวร์อ่ะ ถ้าเกิดมันเป็นอะไรมากกว่าเดิมผมจะซวยเอา โตมาจนปูนนี้ยังไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้ T.T

เจอทีก็ตกใจเหมือนกันนะครับ




 
โหมด : ไบเซป

ผมรู้ว่าผมช็อค มันเอาอีกแล้วครับอีอาการนี้ มือจีบเท้าจีบเนี่ย ส่วนมากจะเป็นเวลาที่ตกใจมาก ๆ แม่เคยบอกว่าจะพาผมไปหาหมอ แต่ผมไม่ไปหรอก น่ากลัวจะตาย เดี๋ยวก็ได้ยาบ้าบออะไรมากินอีก ผมเคยถามเพื่อนที่มีอาการเช่นนี้เหมือนกัน เพื่อนก็บอกว่า มันเป็นเรื่องปกติ แค่หาที่ครอบปากเวลาที่เกิดอาการเดี๋ยวก็หายแล้ว

ดังนั้นผมจึงไม่ไปหาหมอครับ 55555 แล้วมันก็นาน ๆ เป็นทีก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ว่าตอนนี้นี่ดิ ทรมานครับ มันหายใจไม่ออก ตัวเกร็งไปหมด แต่ผมรับรู้สิ่งรอบตัวได้หมดทุกอย่างเลยนะ ผมรู้ว่าไอ้ฟีนิกซ์มันตกใจ

ใช่สิ คนอย่างมึงไม่เคยเจออะไรแบบนี้นอกจากศาสดาเจร็อคของมึงอยู่แล้วนินา =.=” และมันก็ตามมาด้วยเสียงค้นของ เสียงของตกจากโต๊ะ เสียงกระดาษถูกฉีกดังแขวกกกกกก~~ แขนทั้งสองข้างของผมที่เกร็งรู้สึกถึงแรงที่กดทับลงมา หน้าท้องของผมรู้สึกหนักราวกับมีคนนั่งทับ โลกเบื้องหน้าเริ่มมืดลง เห็นเพียงใบหน้าซีดเผือกของไอ้ฟีนิกซ์

จากนั้นจมูกและปากของผมก็ถูกครอบด้วยกรวยกระดาษที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ

อ่าาาา ในที่สุดมึงก็หาวิธีแก้ให้กูได้แล้วสินะ

การหายใจของผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ ผมเริ่มกำหนดลมหายใจของตัวเองได้ มือและเท้าที่จับจีบอยู่เริ่มคลาย อาการเกร็งต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น แต่มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไร นั่นก็คือ...

ทำไมมันต้องมานั่งคล่อมผมด้วย






โหมด : ฟีนิกซ์
ผมรับรู้ถึงอาการที่ดีขึ้นของอีกฝ่าย คงจะพอวางใจได้แล้ว จึงเอากรวยกระดาษออก หน้าอกของไอ้ไบเซปกระเพือมขึ้นลงอย่างช้า ๆ และเป็นปกติ ดวงตาของมันจากที่เหลือกขึ้นเริ่มปิดลง สงสัยกำลังทำสมาธิกับการหายใจอยู่ มือของมันที่จับจีบตอนนี้คลายเป็นปกติแล้ว

ผมปาดเหงื่อให้ตัวเอง แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง ในขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น

“เป็นไรมากไหมนิ?” ผมถามมัน ไบเซปเอามือลูบไปตามใบหน้าเรียวของมัน

“เปล่า ไม่เป็นไร” เสียงตอบกลับมาบ่งบอกได้ถึงความเหนื่อย

“มึงเป็นแบบนี้บ่อยเหรอ”

“ไม่อ่ะ แค่เวลาที่ตกใจมาก ๆ มันจะเป็น” หะ? เวลาที่ตกใจมาก ๆ ?

ผมขมวดคิ้ว “แล้วมึงตกใจไรวะ”

อีกฝ่ายตวัดตาหันควับมามองผม เล่นเอาซะขนลุก “ก็จะตกใจอะไรอีกเล่า บ้านมึงสอนให้มึงใส่กางเกงในนอนหรือไง” =[]=!!!! อะไรวะไอ้เตี้ย เนี่ยนะเหตุผลมึง??? ผมก้มลงมองสารรูปตัวเองที่ท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าส่วนท่อนล่างผมใส่กางเกงในสีชมพูแรดของท่านศาสดา แล้วเงยหน้ามองมันสลับไปสลับมาอยู่สามครั้ง หน้ามันเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับเครื่องหมายคำถามที่มันผุดอยู่บนหน้าผม

“เฮ้ย มึงจะบ้าหรือไง นี่มันเรื่องคอมม่อนของผู้ชายมากนะเว้ย ไอ้ใส่กางเกงลิงนอนน่ะ”

(-””-; ) <<<< ดูมันทำหน้า อะไรของมึงนิ

“ก็....ก็....ก็กูไม่เคยเห็นนิ!!!!!!!” แล้วมึงจะขึ้นเสียงสูงทำเพื่อ? ผมเกาหัวแกรกด้วยความงุนงง นี่มันอะไรของมันวะ อีแค่ใส่กางเกงในนอนทำเป็นตกใจ ศาสดากูยิ่งนอนแบบไม่ใส่อะไรเลย กูยังไม่แคร์ (ดูเหมือนเคยเห็นเอง แต่อันที่จริง ฟังจากที่แฟนคลับเล่ามาอีกที ฮ่า ๆ )

“ศาสดากูไม่ใส่ไรนอนเลยนะ” ผมพูดขึ้น อีกฝ่ายอ้าปากค้าง

“ศาสดามึงต้องโรคจิตแล้วแน่ ๆ” รอบนี้คิ้วกระตุก ว่าใครไม่ว่าเสือกมาว่าศาสดานี่มีของขึ้นนะครับ ได้ไง มันไม่ใช่โรคจิต มันเป็นเพียงวิถีชีวิตการหลับการนอนของแต่ละคนเว้ย

“มึงจะบ้าเหรอ มันเป็นวิถีการนอนของศาสดา”

“วิถีการนอนบ้านมึงดิ โรคจิตชัด ๆ”

“งั้นไอ้พวกที่ชอบใส่ชุดนอนมันก็โรคจิตเหมือนกัน” แทงใจมันเต็ม ๆ เพราะมึงก็ชอบใส่ชุดนอนเวลานอน

“ไอ้บ้า!!! มันจะโรคจิตได้ไง ไม่มีเหตุผล!!!!” =.=” เถียงไม่สู้แล้วพาลซะงั้น ไอ้เตี้ยตรงหน้าผมทำท่ากระฟัดกระเฟี้ยดไม่พอใจเหมือนพวกชะนีแรกรุ่นที่ไม่มีใครเอา ปากมันยื่นออกมาเหมือนที่พวกเนตไอดอลเกาหลีชอบทำเวลาถ่ายรูป นี่มึงคิดว่ามึงดูดีหรือไงวะ (=‵′=)

ด้วยความหมั่นไส้ บวกกับอารมณ์อยากแกล้งที่บังอาจปลุกผมให้ตื่น ทั้ง ๆ ที่เพิ่งนอนได้เพียง 3 ชั่วโมง แถมยังมาด่ามาว่าศาสดาผมโรคจิต (ทีมึงยังว่าศิลปินกูเลย T.T // ไบเซป) ผมลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปหามัน อีกฝ่ายสงสัยจะรู้ทันครับ เพราะมันถอยหลังกรูดไปจดผนัง แต่ก็นั่นแหละ ชนผนังแล้วมันจะหนีผมได้ที่ไหนเล่า

“ออกไปนะไอ้บ้า!!!” มันทั้งเตะทั้งผลักผมเมื่อผมอุ้มมันขึ้นแล้วโยนลงไปที่เตียง เอ๊ะ!! ช้าก่อนนะครับ งานนี้ไม่มี NC ผมรับรองได้ แค่จะเล่นกับมันเหมือนที่ผู้ชายเขาเล่นกันเฉย ๆ

ไอ้ไบเซปรีบคลานลงจากเตียง แต่ก็ลงไปได้ครึ่งตัวครับ ผมจับขามันไว้ในขณะที่หัวมันห้อยลงไปอยู่กับพื้นท่าทางมันโคตรจะอุบาทเลยครับ คึคึ คึคึ เห็นแล้วผมล่ะอยากจะหัวเราะก๊าก ให้คนทั้งโลกได้ยิน แต่ก็ต้องกลั่นไว้ แล้วลากขาให้ตัวมันกลับขึ้นมาอยู่บนเตียง จากนั้นก็จับการปลดกระดุมชุดนอนของมันออกทั้งหมด

อีกฝ่ายกรี๊ดแตก 55555 ได้ข่าวว่ามึงบรรยายลักษณะของกูให้รีดเดอร์รู้ว่ากูกรี๊ดใช่มะ งั้นกูเอามึงคืนมั้ง เสื้อของมันถูกผมดึงออกแล้วโยนลงเตียง ไอ้เตี้ยตาโตเลยครับงานนี้ แต่ผมตาโตกว่า เพราะทันทีที่เสื้อมันหลุดออกผิวขาวของมันก็กระแทกตาผมเต็ม ๆ เรียกได้ว่าผมอึ้งไปเกือบจะครบวิ =.=” กว่าจะเรียกสติมาได้

ไอ้ห่านี่!!! ซ่อนรูปนี่หว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามึงจะขาวอมชมพูขนาดนี้

อยากไปเตะบอล

เฮ๊ย!!! ไม่ใช่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อสอบคุณภาพต่ำของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (ไทย) ไม่เกี่ยวครับ ไม่เกี่ยว เพียงแค่ผมอ่านเจอแล้วดันนึกถึงเฉย ๆ มาต่อดีกว่าครับ พอถอดเสื้อ พออึ้งในเรือนร่างของมันแล้ว(?) ชิ้นต่อไปที่ต้องถอดก็คือกางเกง งานนี้ไม่ยาก เพราะกางเกงนอนมันหัวยืด ดึงปรื้ดเดียวก็หลุดแล่ว แต่มันจะมายากตรงที่ อีกฝ่ายมันขัดขืนนี่แหละ

ยิ่งใกล้ตีนมันแล้วด้วย ถูกเตะแน่ ๆ กู T^T แต่ด้วยศรัธทาอันแรงกล้าที่มีต่อท่านศาสดา ตีนเล็ก ๆ ของไอ้ไบเซปมันทำอะไรผมไม่ได้มากหรอกคร้าบบบบบบบบบ

ผมจัดการดึงกางเกงมันอย่างรวดเร็ว กะว่าจะม้วนเดียวจบ แต่ไอ้นั่นก็ไม่ยอมง่าย ๆ ครับ มันดึงขอบกางเกงไว้ทันเมื่อมันหลุดมาแล้วครึ่งตูด O_o!! ห่าเอ๊ย ใส่กางเกงในทั้งที เอาให้มันมีสีสันเหมือนเสื้อผ้ามึงหน่อยสิวะ

“มึงจะทำอะไรกูเนี่ย!!!” เสียงของไอ้ไบเซปดังอู้อี้ออกมาในขณะที่กำลังต่อสู้อยู่กับแรงของผม

“ก็ทำให้มึงโรคจิตเหมือนกูไง”

“กูไม่เอ๊าาาาาา กูไม่ได้อยากโรคจิตเหมือนมึ๊งงงงงง~~~”

ถึงมึงจะว่างั้นก็เถอะ แต่ซอรี่วะ เล่นว่าศาสดากู มันทำกูของขึ้นนะ >.<~~~

พวกเราสองคนยังยื้อหยุดฉุดกระชากขอบกางเกงกันอยู่บนเตียง โดนที่มีผมนั่งส่วนอีกคนนอน และดูท่ามันจะไม่จบง่าย ๆ งานนี้เลยงัดท่าไม้ตายครับ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตกูรู้จุดอ่อนทั่วร่างกายมึงดี ไอ้ไบเซ็กชวล!!! นิ้วมือของผมจิ้มเข้าไปที่เอวของอีกฝ่าย และนั่นแหละ มือมันปล่อยขอบกางเกงทันทีหันมากอดเอวตัวเองไว้

สรุปแล้ว ไอ้นี่บ้าจี้ครับ 5555555

ได้โอกาส ผมก็ดึงกางเกงของมัน รอบนี้ม้วนเดียวจบจริง ๆ กางเกงมันหลุดแล้วฟาดอยู่กับขอบเตียง ตอนนี้ทั้งผมและมันก็ล่อนจ่อนเหลือแต่กางเกงในทั้งคู่

“โอเค ทีนี้มึงก็โรคจิตเหมือนกูแล้ว ฮ่า ๆๆๆๆ” ผมหัวเราะอย่างสะใจ อีกฝ่ายกัดริมฝีปาก สะบัดหน้าไป ๆ มา ๆ กับที่นอน แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง ตีนมันฟาดเข้าต้นคอผมเต็ม ๆ =[]=!!! ผมลงไปนอนนับดาวอยู่บนเตียง เรียกได้ว่าแทบจะสลบ แต่ก็ยังมีสติอยู่ อีกฝ่ายกระโดดขึ้นมานั่งบนตัวผมแล้วเอาหมอนมาปิดหน้า

ไอ้ควายไบ~~!! มึงทำแบบนี้แล้วกูจะหายใจยังง๊ายยยย!!!

ดิ้นครับ งานนี้ต้องดิ้นให้หลุดถ้าไม่อยากตายลงข่าวหน้าหนึ่งว่าขาดอากาศหายใจ มือของผมวาดเปะปะไปทั่วอากาศ แล้วก็จับเอาหัวไอ้ไบ ผมโยกหัวมันกลับไปกลับมา แรงที่กดหมอนลงมาเริ่มเบา ผมโยกหัวมันอีกรอบ หมอนหลุดออกจากหน้าผมทำให้ผมหายใจโล่งขึ้น แต่ก็ยังมองเห็นดาวอยู่ซักสามดวงได้

ผมพลิกตัวกลับมาอยู่ด้านบน หน้าไอ้ไบแดงเป็นลูกตำลึง ผิวของมันชมพูมากขึ้นจากแรงเสียดสีของผ้า ของผิวหนัง หรือของห่าอะไรก็ช่าง แต่มันชมพูงามมากเลยนะครับ ฮือ ๆ

พวกเราฟัดกันอยู่บนเตียง แรงที่ถาโถมใส่กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุก ผลัดกันรับ (เอ๋?) จากที่เล่น ๆ เสือกมาตีกันจริง ๆ โอ๊ยน๊อออออ~~~~ ไม่รู้ว่าพวกผมนัวเนียกันบนเตียงนานแค่ไหน เพราะรู้ตัวอีกทีอะไรบางอย่างแตกมันก็ดังขึ้นอยู่หน้าห้องแล้ว




ศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

HERESY - ชื่อแฟนคลับของวง the GazettE [Japan]
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 6 อาการช็อค 100%] [051012]
เริ่มหัวข้อโดย: ListeL ที่ 05-10-2012 09:00:22
ชอบบบบบบบบบบ><
เข้าข้างฟีเต็มที่ ฮ่าๆ เรามาแนวเดียวกันเว้ยยยย สนุกจ้าดูเปนธรรมชาติดี:)
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 6 อาการช็อค 100%] [051012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 05-10-2012 14:39:08
ถ้าจะกระฟัดกระเฟียดกันขนาดนี้  :-[ (ไม่ปล้ำกันไปเลยล่ะ)
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 7 เพื่อนใหม่ 100%] [061012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 06-10-2012 06:35:54
KO-JAP : เพื่อนใหม่
โหมด : ไบเซป

ตอนนี้ผมล่อนจ่อน

ตอนนี้ผมถูกจับถอดเสื้อผ้า

ตอนนี้ผมถูกไอ้บ้า หน้าหล่อ คลั่งเจร็อคนั่งทับผมอยู่

และตอนนี้ผมถูกจับจ้องด้วยดวงตา 1 คู่ที่หน้าประตู

อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค!!!!! ซวยแล่ว ๆๆๆๆๆๆ ทำไมมึงต้องโผล่หน้าสวย ๆ ของมึงมาตอนที่กูกำลังอยู่ในสภาวะไม่พร้อมด้วยวะ แล้วนั่นอะไรน่ะ อย่ามาชี้แล้วอ้าปากค้างแบบนั้นนะ ไม่ได้มีอะไรอย่างที่มึงคิดเว้ย ๆๆๆๆ =.=”

“ไบเซป นี่นาย” ฮือ ๆๆๆ กูไม่ได้อะไรอย่างที่มึงคิด อีฟีมันทำกูตางหาก อย่าเข้าใจกูผิด ขอร้อง T...T

“แล้วนาย.....” บุคคลมาใหม่ชี้นิ้วไปยังอีฟีที่ตอนนี้ก็คงจะอึ้งพอ ๆ กับผม มันรีบกระโดดลุกพรวดแล้วไปยืนอยู่มุมห้อง เออ ทีเรื่องแบบนี้ล่ะเร็วนะมึง ผมยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอาผ้าห่มมาพันตัว ดู ๆ ไปเหมือนฉากนางเอกถูกพระเอกข่มขืนแล้วมีคนมาเห็น

เฮ้ย!!! แล้วทำไมต้องฉากข่มขืนล่ะ? ม่ายยยยยยยยย มันแค่จับผมถอดเสื้อผ้าให้แลดูบ้าเหมือนมันแค่นั้นเอง T_____T

“ไม่ได้มีอะไรอย่างที่มึงคิดนะเว้ย” ผมเดินตรงไปแล้วเขย่าร่างผู้มาใหม่ อีกคนโยกไปโยกมาตามแรงเขย่าของผม

“เออ ๆๆๆๆ กูรู้ ๆๆๆๆ” อีกฝ่ายตอบกลับแล้วผลักมือผมออก รู้เหี้ยบ้านมึงทำหน้าซีดแบบนั้นหรือไง

“ไม่มีจริง ๆ นะเว้ย”

“.....” รอบนี้มันเงียบ ไอ้ห่าฟีนิกซ์ มึงเล่นกูแรงมาก T.T เพื่อนกูเข้าใจกูผิดแล้ว มึงเห็นไหมเนี่ย ฮือ ๆๆๆ

“มึงอย่าเงียบเซ่!!” ผมยังเขย่าตัวมันต่อเพื่อให้มันพูดอะไรบ้าง ไม่ใช่เงียบแบบนี้

“เอ่อ... มึงจะให้กูพูดอะไรล่ะ” เออ นั่นดิ O.O

“มึงพูดอะไรก็ได้ บอกว่ามึงเข้าใจ มันไม่ได้เกิดอะไรขึ้น” ผมพยายามยัดเยียดคำพูดให้มัน ในขณะที่อีกคนกลืนน้ำลายลงคอ

“เอ่อ.....”

“ปล่อยเพื่อนนายเหอะไบเซป” หือ? เสียงใครวะ มึงจะทำเสียงหล่อไปไหนมิทราบ?? ผมหันไปหาอีฟีแล้วก็ต้องยิ้มค้าง เหอะ ๆ เหอะ ๆ เหอะ ๆ

ไอ้เชรี้ย!!!! มึงปล่อยให้กูแก้ตัวกับเพื่อนผับ ๆ แล้วมึงหนีไปแต่งตัวเนี่ยนะ ไอ้เลววววววว T______T แล้วให้กูล่อนจ่อนอยู่คนเดียว ฮือ ๆๆๆ หมดคำจะด่ามันแล้วครับ ไม่ทราบว่าเด็กเจร็อคมันเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ประมาณว่าเวลามีโอกาสนี่ไวชิบหาย ชอบทำให้คนอื่นเดือนร้อน อับอาย ฮือออออออ

“นายไปใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันคุยเอง” น่าน มาดคุณชายเชียวนะมึง ไอ้ภาษาที่ชอบคุยกะกูนี่ไม่มีหลุดเลยนะ โว้ยยยย หมั่นไส้ ผมมองหน้ามันสลับกับเพื่อน ก่อนที่จะวิ่งไปคว้าเสื้อผ้าแล้วเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว แต่พอมาคิดไปคิดมา ก็เพิ่งจะคิดได้ว่า...

กูปล่อยอีฟีอยู่กับเกย์!!!!!



โหมด : ฟีนิกซ์
บอกตามตรงว่าผมอึ้ง ช่วงเวลาที่กำลังฟัดกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงของตกแตก และร่างใครคนหนึ่งที่หน้าหวานโคตรพ่อโคตรแม่ หวานกว่าไอ้ไบอีก จมูกนี่สวยมากตามแบบฉบับเกาหลี ปากรูปกระจับสีชมพู ตาเรียว ผิวขาวจั๊วน่าเจี๊ยะ (ชักหื่น TwT) หมอนั่นยืนอยู่หน้าห้อง พลางยกมือขึ้นปิดปาก ไบเซปจากที่ดิ้นถึงกลับเงียบ ส่วนผมกระโดดออกมาอย่างรวดเร็ว

ผมมองดูไอ้ไบที่เหลือเพียงกางเกงในเดินเข้าไปเขย่าตัวเพื่อนมันราวกับมันเป็นเพื่อนเป็นกระทิงแดงที่ต้องเขย่าก่อนดื่ม เสื้อผ้าผมอยู่ใกล้ ๆ มือหลังจากที่ถอดทิ้งไว้เมื่อคืน ผมรีบคว้าเอามาสวมลวก ๆ แล้วเดินไปหาไอ้ไบและเพื่อน

“ปล่อยเพื่อนนายเหอะไบเซป” ผมพยายามทำเสียงหล่อ อยู่ต่อหน้าคนอื่นมันต้องดูดีเข้าไว้ (แต่ตะกี้ดีแตกวะ =.=”) ไอ้ไบมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “นายไปใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันคุยเอง” ผมพูดกล่อมมันอีก มันมองผมสลับกับเพื่อน ก่อนที่จะคว้าเอาเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ

โอเค ตัดปัญหาไปได้แล้ว 1 ทีนี้ก็เหลือไอ้หน้าหวานที่ยืนค้างอยู่หน้าห้อง ผมส่งยิ้มหวานที่คิดว่าผู้หญิงทั้งโลกคงต้องละลายไปให้ อีกฝ่ายยังค้างอยู่ ผมกระแอม 1 ครั้งมันถึงรู้สึกตัว

“สวัสดีครับ” เอ่ย แอ๊บเสียงหล่อ อีกฝ่ายก้มหน้า โยกไปโยกมา

“สวัสดีครับ” อุแม่เจ้า!!! ขนาดเสียงมึงยังทำกูขนลุกได้ขนาดนี้ สดใส ไพเราะที่สุด เอ๊ะ!! หรือกูเริ่มเบี่ยงเบน =.=”

“ฟีนิกซ์ครับ” พูดพลางยื่นมือไปให้อีกฝ่าย หมอนั่นหน้ามันเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ เฮ้ย อิพวกเด็กไทยสมัยใหม่นี่มันเป็นอะไรมากหรือเปล่า นิด ๆ หน่อย ๆ ก็หน้าแดง กูว่าโลกมันก็ไม่ได้ร้อนอะไรมากมายนี่หว่า บ้านอิไบก็ถูกออกแบบมาอย่างดี ที่ต่อให้อากาศภายนอกร้อน แต่ภายในตัวบ้านจะเย็นสบาย

“เอ่อ...ทวิตครับ” มันยื่นมือมาจับ แล้วรีบปล่อยอย่างรวดเร็ว ผมยิ้มน้อย ๆ ให้มัน แค่ชื่อก็ยังน่ารักเลยอ่ะ ทวิต ทวิตเตอร์!!!! TwT ผมก้มลงมองอะไรบางอย่างที่มันตกอยู่แทบเท้า จากนั้นจึงนั่งยองกับพื้นเพื่อเก็บถุง เสียงข้างในเมื่อผมยกถุงขึ้น ส่งเสียงบ่งบอกเป็นอย่างดีว่ามันแตกละเอียดเรียบร้อยแล้ว

ทวิตรีบก้มตามลงมา และมือมันกุมมือผมพอดีครับ =[]=!!!!!

ไอ้เด็กนั่นรีบเอามือออกแทบจะทันควัน

“อ่ะ ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร” ผมยืนขึ้น ไอ้เด็กทวิตเตอร์ยืนตาม ของในถุงส่งเสียงกรอบแกรบของเศษแก้วกระทบกัน ผมเปิดดู แต่อีกฝ่ายกลับคว้าเอาไปถือไว้ก่อน

“แย่จังเลยนะครับ” มันพูดเสียงค่อย ผมยืนมองมือของมันที่กำลังสั่น

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า สั่นใหญ่เลย” ผมเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นมือออกไปจะจับมือมัน แต่ไอ้เด็กนั่นกระชากมือออกอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

“ไม่...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม...ผมว่า ผมไปรอไบเซปที่ข้างล่างดีกว่า ขอโทษที่รบกวนครับ”

แล้วมันก็วิ่งจู๊ดลงไปชั้นล่าง

ผมยืนอมยิ้มอยู่หน้าประตู มองไล่ตามหลังมันไปซักพักก่อนที่จะกระชากประตูปิด จัดการได้แล้ว 2 ทีนี้ก็เหลือแต่ต้นคอกูที่โดนฝ่าตีนอีไบฟาดเข้าให้สินะ เจ็บอ่ะ ฮือ ๆๆๆๆ T_____T
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 7 เพื่อนใหม่ 100%] [061012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 06-10-2012 17:40:26
 :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 8 ภาพบาดตา 100%] [071012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 07-10-2012 21:49:18

KO-JAP : ภาพบาดตา
โหมด : ทวิต

อ่าาา นี่ผมเป็นอะไรครับ ผมเป็นอะไรเนี่ยยยยย ทำไมหน้ามันร้อนผ่าว ๆ ไปหมด ตะกี้ตอนที่ยืนอยู่หน้าฟีนิกซ์มือผมก็สั่นด้วย แบบว่าฟีนิกซ์จับมือผมอ่ะ กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!~~ อยากจะกรี๊ดให้โลกแตก แต่ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายนั้นเป็นคนจับมือผมก่อน แล้วทำไมผมต้องกระชากมือหนีด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลย คนหล่อ ๆ แบบนั้นอ่ะ หายากจะตาย ถ้ามัวแต่กระชากหนี อีกฝ่ายต้องคิดว่าเราเสียมารยาทอยู่แน่ ๆ เลย Y.Y

อ่าาา นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย

จะว่าไป ฟีนิกซ์นี่เขาเป็นใครเหรอครับ ทำไมจู่ ๆ มาอยู่บ้านของไอ้ไบได้ ในเมื่อบ้านหลังนี้มีมันอยู่คนเดียวนี่นา หรือว่าเพื่อนผมมันมีวิวัฒนาการ นิวเจเนอเรชั่น แปลสภาพมาเป็นแบบผมเรียบร้อยแล้ว??? โวะ งี้มันก็แรงกว่าผมสิ ถึงผมจะเป็นชาวสีม่วง แต่ผมก็ไม่เคยมั่วใครเลยนะ ไม่เคยจูบใคร ไม่เคยกอดใครที่ไหนนอกจากเพื่อนอ่ะ

แฟนมี แต่ผมไม่ปล่อยให้แฟนลวนลาม จนอีกฝ่ายบอกเลิก =[]=!! นั่นแหละครับ ผู้ชายเมะ ๆ มันไม่ได้ต้องการอะไรหรอก นอกจากฟันเคะไปวัน ๆ

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ถ้าว่าไอ้ไบมันมีเจเนอเรชั่นใหม่เหมือนผม ถ้างั้น คนที่ชื่อฟีนิกซ์ก็ต้องเป็นแบบมันใช่มะ ถึงได้มานั่งใส่กางเกงในกดกันแบบนี้ งั้นคุณสมบัติการเท่ากันทางคณิตศาสตร์ที่กล่าวไว้ว่า
       
เมื่อ A เท่ากับ B และ B เท่ากับ C

จะได้ความว่า A เท่ากับ C

A เท่ากับ C

A เท่ากับ C

ผมเป็นเกย์ ไอ้ไบก็เป็น แล้วฟีนิกซ์ก็เป็นเกย์.....

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ทั้งผมและฟีนิกซ์ต่างก็เป็นเกย์เหมือนกันใช่ม๊ายยยยยยยยยย!!!!!!!!







โหมด : ไบเซป

ขณะนี้ผม ทวิต และไอ้เหี้ยฟีนิกซ์กำลังนั่งจ้องหน้ากันอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ผมนั่งตัวตรงกลางที่มันยาวที่สุด ขวามือผมเป็นไอ้ทวิตที่นั่งบิดไปบิดมา สายตาปิ๊งปั๊งนี่ส่งให้อีฟีตลอด =.=” กูว่าและ นี่มึงกำลังเล็งจะจับอีฟีขึ้นเขียงใช่มะ? เสียใจเว้ย อีนั่นมันเป็นผู้ชาย (มั้ง)

ส่วนอีกคน อีตัวก่อเรื่อง อีพระเอกจอมปลอม อีชอบหว่านเสน่ห์ อีทำทรงผมไม่ดูกาลเทศะ และอีกางเกงในสีชมพูแรดฟีนิกซ์ก็กำลังส่งยิ้มให้เพื่อนผมที่นั่งบิดตัวเป็นเกลียว

ผมนั่งมองสองคนนี้สลับไปสลับมาอย่างอารมณ์เสีย

ถ้ามึงจะมัวแต่บิดแต่จ้องกันแบบนี้ กูเปิดห้องให้พวกมึงคืนนึงเลยเอ๊าาาา แมร่ง รำคาญ!!!

“มึงมาทำไมนิ” ผมเอ่ยปากทำลายความเงียบ ไอ้ทวิตค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมามองผม อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะ กูจะอ๊วก

“เอ่อ เอาของฝากจากเกาหลีมาให้น่ะ แต่ว่า...ตอนนี้มันแตกหมดแล้ว” เสียงมันเบาลงเรื่อย ๆ ผมทำเสียงหายใจ ‘เฮือก’ ของฝากจากเกาหลี? แล้วมึงทำแตกเนี่ยนะ?

“แตกเหรอ?”

“....” มันไม่พูดแต่พยักหน้าแทน

“เออ ช่างมันเหอะ ไม่เป็นไรหรอก อย่าเศร้าหลาย” ผมพูดปลอบใจมัน แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง แล้วมันก็ยกนิ้วขึ้นมาเช็ดน้ำตา ห่า!!! อีอารมณ์ลูกคุณหนูอีกแล้วสินะ

“เฮ้ย กูไม่ได้อะไรจริง ๆ นะเว้ย มันแตกแล้วก็ไม่เป็นไร แค่มึงซื้อมาให้กู กูก็ดีใจแล้ว” ผมพยายามพูดปลอบมันอีก ไอ้ทวิตส่งเสียงสะอื้น แล้วพูดประโยคที่เล่นเอาผมอยากจะถอนคำพูดเมื่อตะกี้

“มันเป็นแก้วน้ำ แก้วน้ำลาย SISTAR19” มันเว้นระยะสะอื้น แต่ผมคิดว่ามันเป็นระยะเวลาให้คำพูดของมันกระแทกเข้าหัวผมมากกว่า SISTAR19 SISTAR19 SISTAR19!!!!! สาด ๆๆๆๆๆ แก้วน้ำลาย SISTA19 อิมพอตมาจากเกาหลี แล้วเสือกมาแตก???? งานนี้ผมนั่งนิ่ง ค้างครับ ค้างอีกแล้ว รู้สึกราวกับวิ่งอีกก้าวเดียวจะถึงเส้นชัย แต่ดันล้มแล้วถูกคนอื่นวิ่งแซง

ทำไมอ่ะ ทั้ง ๆ ที่อีกนิดเดียวก็จะถึงมือผมอยู่แล้ว ทำไมต้องมาแตกด้วย ทำม๊ายยยย!!!

แต่เดี๋ยวนะ ถ้าถามว่าทำไม ผมก็พอจะนึกอะไรออก หันไปมองอีกคนที่มันนั่งหน้าสลอนอยู่ทางซ้ายมือสิครับ หึหึ กูพอจะมองออกแล้วว่าอีต้นเหตุที่ทำให้แก้วน้ำลาย SISTAR19 แตกคือใคร เลวมากนะมึง ถ้ามึงไม่มามัวจับกูแก้ผ้าแก้วน้ำกูก็คงไม่แตก

ผมหันไปมองมันตาเขียวปั๊ด แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลยครับ หัวหนาม ๆ ของมันที่เช้านี้มันทำหนามเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างฟู ๆ พอง ๆ ทรงบ้าบออะไรของมึงวะ กูไม่เก็ต ตาของมันจ้องเข้าไปที่ iPhone 4S หูมันสวมหูฟัง หน้ามันผงกขึ้นผงกลง ขานี้กระทืบพื้นเบา ๆ พอเป็นจังหวะ แหมะ! มีความสุขจริงนะมึง ไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองทำความผิดอะไรไว้ ชิ!

ด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมปล่อยให้ไอ้ทวิตร้องไห้ไปกับเรื่องที่มันทำแก้วแตก ส่วนผมลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมโซฟาไปอยู่ด้านหลังไอ้ฟี ตอนนี้พอจะมองเห็นอยู่ว่าหน้าจอไอโฟนของมันกำลังเล่นอะไร มันกำลังฉาย MV เพลงครับ ฉากขาว ๆ แล้วก็มีคนตีกลอง มีคนดีดกีต้าร์ เล่นเบส มีคนร้อง พูดง่าย ๆ ก็วงแบนด์นั้นแหละครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมงงก็คือ ถ้าสังเกตดี ๆ ทำไมนักร้องนำมันไม่ใส่รองเท้าวะ =.=”

เท้าเปล่าเข้าฉากเนี่ยนะ มึงจะอินดี้ไปไหนมิทราบ? MV นี่โคตรจะไม่ลงทุน ยืนร้องเพลง ทำท่าม้าดีดกะโหลกอยู่ในฉาก ก้ม ๆ เงย ๆ ดีดกีต้าร์ พวกมึงจะเมพไปหน๊ายยยยยย!!!! แล้วนั่นชุดอะไรของมึงเนี่ย รัดเอาแค่หน้าอกแล้วโชว์พุง ตัวก็เตี้ย เล็ก แคระ สู้เด็กน้อยอายุ 17 ที่มีความสูง 179cm. Ren มักเน่แห่ง NU’EST ก็ไม่ได้ =[]=!!!!!

ดูเหมือนไร้รสนิยมแปลก ๆ ไม่เหมือนศิลปินของกูเลย เสื้อผ้าหน้าผมต้องดูดี สมกับเป็นไอดอลของวัยรุ่น เห็นอีพวกนี้แล้วปวดตับ แต่ป่านนั้นบักฟีมันก็ยังคงจมอยู่ในโลกส่วนตัว เสียงสะอื้นของไอ้ทวิตเงียบไปแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน อีเด็กคุณหนูนั่นนั่งทำตาปริบ ๆ มองดูว่าผมจะทำอะไร

เหอะ งานนี้ขอขัดความสุขมึงหน่อยเถอะ แด่แก้วของ SISTAR19 อิมพอตจากเกาหลีที่มึงเป็นต้นเหตุให้มันแตก แต่มินโฮ ที่กำลังแร๊พในเพลง Hello แล้วเสียงนรกของมึงก็เข้ามากลบ แด่โอปาดงเฮ ที่โดนบักฟีไล่ออกมาจากห้อง (แต่ตอนนี้โอปาได้อยู่ที่เดิมแล้วนะ) และแด่ศิลปินเกาหลีทั้งหลายที่โดนไอ้ฟีนิกซ์สบประมาท

ผมยกนิ้วแตะที่ปากเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ไอ้ทวิตเงียบเข้าไว้ ก่อนที่จะโน้มใบหน้าลงไปข้าง ๆ หูไอ้ฟีนิกซ์

“ฟี....~~~” ผมค่อย ๆ ส่งเสียงช้า ๆ หลอน ๆ อีกฝ่ายยังคงอยู่ในโลกส่วนตัว

“ฟี~~~~” รอบนี้เอาอีกครับ เท้ามันหยุดกระทืบแล้ว

“ฟี ฟี่ ฟี๊~~~” คราวนี้ไล่ตามวรรณยุคต์ มันเอามือปัด ๆ แถวหู ผมรีบเอาหน้าออก ก่อนที่มือมันจะฟาดหน้าผม จากนั้นผมก็กลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม

“ฟี~~~นิกกกกกก~~~~” คราวนี้มันถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง แล้วหันไปมองโซฟาที่ผมเคยนั่งอยู่ ก่อนที่จะเอ่ยถามไอ้ทวิต

“หะ ไอ้ไบไปไหนแล้วล่ะ” ไอ้ทวิตอ้าปากเหมือนจะตอบ ผมที่ตอนนี้ยืนอยู่หลังไอ้ฟียกนิ้วขึ้นแตะที่ปาก ทวิตส่ายหน้าแล้วบอกว่าผมไปห้องน้ำ “ฮะ ฮะ สงสัยไปหาศิลปิน” พูดกลั๊วหัวเราะ เอาอีกแล้วนะมึง กัดกูต่อหน้าเพื่อนกูเลยนะรอบนี้อ่ะ จากนั้นมันก็ก้มลงไปจมกับ iPhone 4S ของมันต่อ ไอ้ทวิตทำปากพะงาบ ๆ บอกให้ผมหยุด แต่ผมทำมือห้ามมัน

กูจะหยุดทำซากอะไรล่ะ กัดทั้งกู กัดทั้งศิลปินกู ถ้าแฟนคลับฝั่งเกาหลีมาอ่านแล้วเห็นว่ากูไม่ทำอะไรเลย  ปล่อยให้มันกัดโอปา กัดนูนา ตลอดทั้งเรื่อง แล้วแบบนี้กูจะสู้หน้าบรรดาแฟนคลับได้ไงวะ บางอย่างที่โดนมากไปก็ต้องออกมาปกป้อง ยิ่งกับไอ้ฟีด้วยแล้ว สมควรที่จะเอาคืนเลยล่ะ

ไอ้ทวิตเห็นว่าจะห้ามไม่อยู่ มันก็หันไปหยิบรีโมตแล้วยิงไปที่จอทีวีเพื่อเปิดเครื่อง รายการล่าสุดที่ผมเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนที่จะไปรับไอ้ฟีนิกซ์ที่สนามบินคือรายการสอนเต้นเพลงเกาหลี ผมละสายตาจากจอทีวีแล้วก้มลงไปหวังจะแกล้งมันต่อ แต่อีบ้านี่มันอะไรไม่รู้ถอดหูฟังออกแล้วเสือกหันหน้าไปทางทีวี มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมก้มหน้าและหันเข้าหาหูมันเรียบร้อยแล้ว

งานนี้ไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น

ไอ้ทวิตนี่ถึงกับทำรีโมตหลุดจากมือ

ไอ้ฟีนิกซ์ค้าง

ส่วนผม ค้างมากกว่า

จูบแรกของกู~~~~ T____________________T

__________

ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

SISTAR19 [Korea] - http://bit.ly/GJNdXs
REN - NU'EST [Korea] - http://on.fb.me/GJNZUC

ศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

มักเน่ - น้องเล็ก

หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 8 ภาพบาดตา 100%] [071012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 08-10-2012 16:55:37
จูบแรกผ่านไปแล้ว ~
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 9 เพื่อเพื่อน 100%] [091012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 09-10-2012 14:19:10
KO-JAP : เพื่อเพื่อน
โหมด : ฟีนิกซ์

อันที่จริงผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะศาสดาผมและบรรดารุ่นน้องที่อยู่ในค่ายมันก็เซอวิสกันเองยกค่าย เพราะงั้นเรื่องนี้ปกติมาก แต่อีกคนนี่สิ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไอ้ไบเซปอาระวาดบ้านแตกเลยครับ เจ้าทวิตเตอร์นี่เงียบเป็นเป่าสาก แล้วรีบขอตัวกลับบ้านอย่างรวดเร็วหลังจากที่เริ่มเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ถ้าจะอยู่ต่อ

ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมันแหละ รีบ ๆ กลับไปก่อนน่ะถูกแล้ว เพราะอยู่ไปก็คงจะช่วยอะไรผมไม่ได้ หลังจากที่ทวิตกลับไป อะไร อะไรมันน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยครับ รอบนี้มันเล่นนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าโซฟา ทั้งเลื้อยทั้งกลิ้งตกพื้นแล้วลุกขึ้นมาใหม่

ไอ้นี่มันบ้าวะ =.=”

“ฮือ ๆๆๆๆ มึงเอาจูบแรกกูคืนมา!!!!” เรียกร้องหาอดีตอะไรล่ะมึง มันผ่านมาแล้ว

“มันผ่านมาแล้ว มึงจะเอาคืนยังไง ไอ้บ้า!!!”

“มึงทำให้กูเสียจูบแรก สัสเอ๊ย!!! กูกะว่าจะเก็บไว้ให้แฟน”

“ใครบอกให้มึงมาแกล้งกูล่ะ”

“แล้วใครบอกให้มึงหันหน้ามาวะ” ความผิดกูอีก ควายยยยยยยยยย

“พอเลย มึงน่ะ พาลมากแล้วนะ” ผมพูดพลางลากมันขึ้นมานั่งบนโซฟา หลังจากที่มันกลิ้งตกลงไปเป็นรอบที่ 3 อุบาทจริงไอ้นิ

“ไม่ต้องมาแตะตัวกูเลย” แหนะ กูจะช่วยยังมีการเล่นตัวอีก “อันที่จริงมึงว๊อนที่จะฉวยโอกาสกับกูอยู่แล้วใช่ไหม เพราะกูหน้าสวยใช่ไหมล่ะ ฮือ ๆๆๆๆ ไอ้เลว!!!!!” เชรี่ย!!! ไอ้คนหลงตัวเอง อย่างมึงน่ะ สวยไม่เท่าไอ้ทวิตเตอร์เพื่อนมึงด้วยซ้ำ มันทั้งด่าผมทั้งสะอึกสะอื้น ทั้งคลานขึ้นไปนอนแผ่บนโซฟา เห็นแล้วอยากถีบจริง ๆ

“มึงโตแล้วนะเว้ย”

“โตแล้วทำไม โตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะต้องเสียจูบแรกนิ”

“ในอนาคตมึงก็ต้องเสียอยู่ดี”

“แต่ไม่ใช่กับมึง”

O.O ถึงขั้นว่าหน้าชาครับ โดนคำพูดนี่เข้าไปนี่ชาเลย เหมือนกับมันกำลังจะบอกผมว่า ผมมันไม่สำคัญพอที่จะอยู่กับมันอะไรทำนองนั้น ผมเงียบ ยืนนิ่ง ไอ้ที่ด่า ๆ มามันไม่เข้ากะโหลกหนา ๆ ของผมเท่าไร แต่ทำไมคำนี้มันถึงกระแทก กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวได้นะ

“เออ กูไม่สำคัญอยู่แล้วนิ” ผมพูดออกไปอย่างงอน ๆ

“มึงไม่ต้องมางอนกูเลย”

“กูไม่ได้งอน แค่กูพูดไปตามความจริง มึงจะให้กูทำยังไงล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดมาแล้ว มันเอาคืนไม่ได้” ผมพยายามพูดกับมันด้วยเหตุผล ทั้ง ๆ ที่ในใจงอนมันไปสามโลกแล้ว “หรือมึงจะให้กูจูบมึงอีกรอบจะได้รู้สึกว่ากูคืนให้มึงแล้ว”

ไอ้ไบเซปเงียบครับ...

“ม...ไม่ต้อง...” มันพูดออกมาเบา ๆ แล้วนอนคว่ำหน้ากับโซฟาตัวยาว ผมมองกริยาท่าทางของมันแล้วต้องส่ายหน้า กูว่านะ มึงกำลังทำตัวเลียนแบบนางเอกในซีรี่ส์ชัด ๆ








โหมด : ทวิต
ผมว่าแล้ว ผมว่าแล้ว ไอ้ไบมันจะต้องเป็นแบบผมจริง ๆ ด้วย และฟีนิกซ์เองก็อีกคน ไอ้ตอนที่ผมเปิดห้องแล้วไปเจอพวกนั่น 2 คนล่อนจ่อนอยู่ในกางเกงในตัวเดียวยังพอให้อภัยได้ว่าอาจจะเล่นกันแบบผู้ชายธรรมดา แต่ต่อมาเล่นโชว์หนังสดให้ดูนี่คิดหนักนะครับ

เพราะทันทีที่ริมฝีปากของพวกมันทั้งคู่แตะกัน มันก็น่าจะผละออกจากกันทันทีด้วยความตกใจ แต่นี่อะไร ค้างอยู่เกือบจะ 1 นาที แล้วค่อยรู้ตัว แบบนี้มันแปลกนะครับ 0.0!!!

งานนี้ทวิตมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น คอนเฟิร์ม อีกไม่นานมันจะต้องได้กันเองแน่ ๆ =[]=!!!!! แต่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ฝ่ายเสียหายก็ต้องเป็นไบเซป เพราะมันเป็นเคะ เคะอ่ะจะรักด้วยใจจริง แต่เมะเท่าที่ผมเจอมา ก็มีแต่พวกฟันแล้วทิ้ง เฮือก ๆๆๆ นี่ผมจะปล่อยให้เพื่อนถูกฟันเป็นของเล่นอย่างนั้นเหรอครับ เหอะ! ไม่มีทางหรอก

เพื่อนผมมันเพิ่งเจเนอเรชั่นใหม่ ๆ อาจจะยังตามเล่ห์กลของไอ้พวกเมะไม่ทัน ยิ่งหน้าตาแบบฟีนิกซ์ด้วยแล้ว บอกได้เลยครับว่าไอ้นี่เหลี่ยมจัด แล้วแบบนี้ไบเซปเพื่อนรักของผมจะรอดจากเงื่อมมือฟีนิกซ์หรอเนี่ย ไม่ได้ ๆๆๆ ผมเป็นเพื่อนที่ดี ผมจะต้องช่วยเพื่อน ผมจะไม่ยอมให้ไอ้คนไม่รักจริงหวังแต่ง อย่างฟีนิกซ์มาทำอะไรเพื่อนผมเด็ดขาด ต่อให้ผมต้องใช่ร่างกายของผมเพื่อแลกกับความปลอดภัยของเพื่อนก็ตาม(?)

เห็นดังนั้นผมจึงวางแผนครับ อันดับแรก จะต้องพยายามทำให้ฟีนิกซ์อยู่ห่างไบเซปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก่อนที่จะเริ่มแผนแรก จนปูนนี้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า ฟีนิกซ์คือใคร? มาทำอะไร? มาทำไมที่บ้านเพื่อนผม? หงะ ก็ถ้าไม่รู้แบบนี้แล้วจะวางแผนถูกได้ไงเล่าาาาาาาา

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรถามไอ้ไบทันที







โหมด : ไบเซป
โลกนี้จบลงแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ทั้งจูบแรก ทั้งหัวใจของผม มันรุ้สึกถูกพรากออกไป ผมรู้สึกราวกับจะเข้าใจนางเอกในซีรี่ส์เกาหลีที่ถูกพระเอกพรากจูบแรก นี่มันนรกชัด ๆ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะเก็บไว้ให้คนที่รักเท่านั้น แล้วนี่อะไร ทำไมต้องเป็นไอ้ฟีนิกซ์ กูแกล้งมึงก็จริง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่มึงจะต้องหันหน้ามาในจังหวะนั้น อันที่จริงมึงน่ะ จ้องจะลวนลามกูอยู่แล้วใช่มะ? สัส!!! ทั้งงอแงจะนอนห้องกู ทั้งจับกูถอดเสื้อผ้า

กูไม่ใช่ตุ๊กตาที่มึงจะทำอะไรก็ได้นะเว้ย T______T


Dance I wanna dan dan dan dan dance fantasric baby~~~~

น่าน กราบเรียน BIGBANG งาม ๆ นะครับ แบบว่าตอนนี้ V.I.P อย่างกระผมกำลังเศร้าเจียนขาดใจ(ตาย) ยังไม่พร้อมที่จะไปแฟนตาสติกอะไรที่ไหนทั้งนั้นเฟร้ยยยยย~~~ เวลานี้ไม่ใช่เวลาแฟนตาสติกนะ Y....Y มันเป็นเวลาเศร้า เงียบ ๆ เสียงของพวกคุณไปซะ (ความเกรียนของ V.I.P เริ่มออก)

แล้วเสียงของศิลปินก็เงียบจริง ๆ ครับ แหมะ ศิลปินดี เข้าใจอารมณ์ของแฟนคลับ TwT *ซาบซึ้ง*...ผมพ่นลมออกจากปาก แล้วมุดหน้าเข้ากับโซฟาตัวยาวอีกรอบ ไอ้ฟีนิกซ์นี่แมร่งก็หายตัว ไอ้เลว!! ก่อเรื่องแล้วไม่แก้ เสือกหนี นี่มึงคงจะหนีไปสิงอยู่กับศาสดาพันธุ์(เจ)ร็อคของมึงอีกแล้วใช่มะ แทนที่จะมาช่วยปลอบใจกู พูดซักนิดว่าจะรับผิดชอบ พูดห่าอะไรก็ได้ให้กูรู้สึกดี แต่นี่ไม่มีอะไรเลย เอาแต่แก้ตัวว่าคนที่ผิดคือกู T___T ฮือ ๆๆๆ อีคนใจร้าย


Dance I wanna dan dan dan dan dance fantasric baby~~~~

=[]=!!!!! เอ่อ ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะไปแฟนตาสติกที่ไหนทั้งนั้น จะส่งเสียงขึ้นมาทำไมเนี่ย วุ้ย!!! ผมควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงอย่างอารมณ์เสีย กดรับสายแบบเหวี่ยง ๆ

“ว่าไงวะ”


...เอ่อ นายโอเคหรือยัง...

“กูกำลังจะผูกคอตายแล้ว”


...เฮ้ย!!!... แล้วมึงจะตกใจทำไม กูประชด =.=” ...อย่าเพิ่งคิดสั้นนะ...

“มีไรว่ามาเร็ว ๆ อารมณ์กูไม่คงที่”


...เออ คือ คนที่ชื่อฟีนิกซ์นี่เขาเป็นใครเหรอ..

นั่น!!! อีทวิตนี่เริ่มออกลาย เริ่มแรดอีกแล้วนะมึง มึงกำลังคิดจะงาบไอ้ฟีไปแดกใช่ไหมนิ

“เพื่อนกูอ่ะ” ผมตอบแบบสั้น ๆ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ไอ้ฟีมั่นบุคคลอันตราย


...แล้วเขามาทำอะไรเหรอ...

“นักเรียนแลกเปลี่ยนอ่ะ”


...หือ? แลกเปลี่ยนปี 2 เนี่ยนะ...

“เออ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันบอกกูว่างั้นน่ะ”


...นายไม่คิดว่ามันแปลก ๆ เหรอ...

ไม่ใช่ว่ากูไม่คิด แต่กูคิดแล้ว กูคิดจนกูขี้เกียจคิดแล้ว

“ไม่รู้อ่ะ กูไม่ได้ใส่ใจอะไร มันเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น บางทีระบบการศึกษาอาจจะไม่เหมือนกัน” ผมพูดไปตามที่คิดออกในตอนนี้


...งั้นเหรอ อืมมมมมม ขอบคุณมากนะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ...

จากนั้นมันก็ตัดสายครับ แหมะ มาไวไปไวจริง ๆ นะมึง ถ้าอยากรู้ทำไมไม่โทรถามมันวะ เสือกมาถามกู แล้วกูจะไปรู้ได้ไงเนี่ย แต่จะว่าไป การที่ไอ้ฟีนิกซ์มาไทยครั้งนี้ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย นอกเสียจากว่ามันมาแลกเปลี่ยนในสาขาภาษาญี่ปุ่นที่มันกำลังศึกษาอยู่ เฮ้อ~~~ มึงจะมาแลกเปลี่ยนอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ แมร่ง ปั่นหัวกูตั้งแต่เจอกันครั้งแรกยันตอนนี้ แถมนี่มึงยังหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนกูอีก เลวชิบหายเลยมึงเนี่ย






โหมด : ทวิต

หลังจากที่ผมวางสาย ความคิดผมก็ตีกันยุ่งเลยครับ ผมว่างานนี้ไบเซปไม่ปลอดภัยแน่ ๆ การที่ฟีนิกซ์จะแลกเปลี่ยนมาในตอนปี 2 มันใช่เรื่องซะที่ไหน ส่วนมากจะแลกเปลี่ยนกันในตอนปี 3 ถึงไอ้ไบมันจะบอกว่าระบบการศึกษาอาจจะต่างกันก็เถอะ แต่แบบนี้โอกาสที่จะเกิดขึ้นมันน้อยนะครับ

ผมคิดแล้วว่า ยังไงผมก็ปล่อยให้เพื่อนผมอยู่ใกล้ไอ้คนอันตรายฟีนิกซ์ไม่ได้เด็ดขาด เห็นทีจะต้องวางแผนเพื่อช่วยเพื่อนแล้วล่ะ...


__________

ชื่อเพลง, ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
FANTASTIC BABY - BIGBANG [Korea] http://bit.ly/GLX8zp

ชื่อแฟนคลับที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
V.I.P - ใช้เรียก FC ของ BIGBANG
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 9 เพื่อเพื่อน 100%] [091012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 09-10-2012 17:02:26
ก๊ากกกกกกกกก
ทวิตนี่แอบช่วยหวังผลป่าวเนี่ย
ปิ้งฟินิส์ก็บอกมาจิ๊ อิอิ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 9 เพื่อเพื่อน 100%] [091012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 09-10-2012 20:19:46
จิ้มๆ 5555555 :z13:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 10-10-2012 11:32:04
KO-JAP : มหาวิทยาลัย
โหมด : ไบเซป

เป็นเวลาเกือบเดือนที่ผมต้องทนทุกข์อยู่กับเด็กเจร็อค ที่วัน ๆ ไม่ทำอะไรล่ะ ยึดห้องนอน(น้อย ๆ)ของผมนั่งจัดแต่งทรงผมตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน แล้วกว่าจะเสร็จก็ตะวันตกดินพอดี (เว่อร์) แต่ละวันแต่ละทรงนี่ไม่เคยมีซ้ำกัน ชุดมันก็มีแต่สีเดิม ๆ คือสีเผาศพ (สีดำ) เสื้อผ้าที่มันใส่ก็โยนลงตะกร้าและเป็นผมที่ต้องมานั่งซักให้มัน ไม่เว้นแม้แต่กางเกงในสีโคตรแรดที่มีตั้ง 7 ตัว (ถ้าผมนับไม่ผิด)

อันที่จริงก็ไม่อยากจะซักให้หรอกครับ แต่พอผมไม่ทำ มันก็ไม่ทำ แถมนับวันยิ่งจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้าย ผมทนมองอะไรอุบาท ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องเทตะกร้าผ้าของมันแล้วเอาไปซักให้ =.=”

และวันนี้ก็เป็นวันเปิดเทอมครับ ชุดนักศึกษาไซต์ S ของผมก็ยังคงใส่ได้ปกติ นี่แสดงว่าผมไม่ได้โตขึ้นเลยสินะ ทั้ง ๆ ที่ปี 2 แล้วแท้ ๆ T.T ส่วนอีกคนที่มีชีวิตร่วมหายใจอยู่บนโลกเดียวกัน มันไม่ยอมใส่ชุดนักศึกษาครับ โดยอ้างเหตุผลที่ว่า วันแรกมันจะแอ๊บแบ้วทำเป็นเด็กญี่ปุ่น ไม่รู้วิถีชีวิตของนักศึกษาไทย

ถุ๊ย!!!! กูจำได้ว่าเป็นมรึงไม่ใช่เหรอที่แอบไปส่องสาว XX แถวรังสิตโดยการใส่ชุดนักศึกษา YY อ่ะ =.=” แล้วอีกอย่าง จะเป็นเด็กแลกเปลี่ยนได้มันต้องศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ มาก่อนแล้ว ไม่ใช่มาเดาสุ่มเอาแบบนี้ เหตุผลควาย ๆ ของมึงนี่ก็เพื่อล่อสาวใช่ไหมล่ะ เลวไม่มีคำจะบรรยายจริง ๆ

“นี่มึงจะเอาผมทรงนี้เข้ามหาลัยจริงดิ” ผมเหล่มองทรงผมมันที่ไม่ต่างอะไรจากตระกูลทุเรียนเลยแม้แต่น้อย

“เออ นา กูไม่รู้วิถีชีวิตของนักศึกษาไทย” มันพูดพลางกระโดดโลดเต้น ไว้เผลอเมื่อไร กูจะแฉมึงให้หมดเปลือกเลย

“ตั้งแต่มึงมา กูยังไม่รู้เลยว่ามึงแลกเปลี่ยนคณะอะไร” ผมเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม อีกคนตวัดเปลือกตาที่เต็มไปด้วยเส้นอายไลเนอร์หนาทึบหันมามองผม เล่นเอาซะหลอนไปสามชาติ

“มึงพูดจริงดิ เอ๊ะ! หรือกูยังไม่ได้บอกมึง” =.=” มึงยังไม่ได้บอกกู กูก็ไม่เคยถามมึง และกูก็จินตนาการมั่ว ๆ ว่ามึงอยู่คณะเจร็อค สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการผสมพันธุ์สัตว์หัวหนาม

นั่นแหละ ถูกต้องที่สุดแล้ว

แล้วมันก็ทำปากพะงาบ ๆ บอกชื่อคณะที่มันแลกเปลี่ยนมา เล่นเอาผมต้องร้องห๊าเสียงดังด้วยความไม่เชื่อ =[]=!!!!!!!

“ห๊าาาาา!!!!! มึง...มึงเอาใหม่ดิ....มึงเอาให้ชัด ๆ นะ” ผมถึงกับตะลึง เอาใหม่นะ พูดให้ชัด ๆ เอาให้ชัด ๆ อีกครั้ง บอกกูดี ๆ อย่ามาอำ เรื่องนี้มันไม่ตลก เพราะกูต้องเดินไปส่งและมอบตัวมึงที่คณะ อีฟียิ้มครับ มันชี้ที่ปากของมัน

“อ่านปากของฉันนะ” เชรี่ยนี่ ยังมามีเวลาเล่นเพลงพี่โต๋อีกนะ “ว่า...” ใจผมเต้นตึก ๆ เพราะลุ้น

“ศึก-ษา-ศาสตร์”

...อ่าาาาา ไว้อาลัยแด่ Faculty of Education.....

อาเมนนนนน~~~





ขณะนี้พวกเรากำลังยืนกันอยู่ในรถไฟฟ้า BTS เพื่อไปมหาวิทยาลัย ผมไม่ขับรถมาเองเพราะวันเปิดเทอมวันแรกคนจะเยอะ รถจะแน่น เผลอ ๆ ไปเข้าปฐมนิเทศไม่ทันด้วยซ้ำ ดังนั้น ตัดปัญหาครับ ใช้ขนส่งมวลชนนี่แหละ

“ทำไมมึงไม่เอารถม๊าาาา” อีฟีมันคร่ำครวญอยู่บน BTS ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าอัดปลากระป๋อง กูว่าข้างในรถไฟฟ้ามันก็ไม่ได้ร้อนอะไรนิหว่า แต่เป็นมึงอ่ะที่มีปัญหาเอง ไม่สิ ไม่ใช่มึงที่มีปัญหา แต่ทรงผมมึงตางหาก หนามมึงมันจะทิ่มตาชาวบ้านอยู่แล้ว ยิ่งอัดกันแบบนี้ กูโคตรจะส่งสารคนบนขบวน แต่ดีหน่อยที่กูเตี้ย ยอดผมกูชี้ตรงแล้วอยู่เพียงแค่จมูกมึง

เพราะงั้น ปัญหาเรื่องหัวหนาม ๆ ของมันจึงไม่ส่งผลต่อผมมากนัก แต่คนที่จับเสาภายในรถไฟฟ้านี่สิ มองมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

เด็กน้อยมัธยมต้น (คิดว่างั้น) คนหนึ่งชี้มือชี้ไม้มาที่มันแล้วคุยโทรศัพท์ที่คิดว่าคงเบาที่สุดแล้วมั้ง

‘กูเจอตัวอะไรก็ไม่รู้บน BTS วะ’ โวะ!! เล่นแรงนะนั่น ‘วันนี้มันไม่มีงานอะไรอยู่สยามใช่มะ แมร่ง แต่งตัวไม่ดูอากาศ ร้อนจะตายห่าใส่ชุดดำ หน้าตามันไม่เหมือนคนไทยเว้ย สงสัยจะต่างชาติอ่ะ ฮ่า ๆๆๆ ฟังไม่ออกหรอก’

เหอะ ๆ เด็กหนอเด็ก มึงจะแน่ใจได้ไงว่าอีฟีมันฟังไม่ออก มึงคุยกับมันแล้วหรือไง ต่อให้มันหน้าตาญี่ปุ่นแค่ไหน แต่ด่าไทยนี่ไฟแล๊บเลยนะมึง ผมละสายตาจากเด็กน้อยปากสุนัขไม่รับประทานแล้วมองไปที่อีตัวที่ถูกด่า

=.=” เอ่อ... สไตร์มึงสินะ ไอ้อยู่ในโลกส่วนตัวเนี่ย ไม่เคยจะมาอยู่ในโลกความเป็นจริงกับชาวบ้านเขาเลย เขาด่าเขาว่าอะไรมึงก็ทำหน้าสลอน ฟังเพลงพระศาสดาของมึงไปเรื่อยเปือย เห็นแล้วกูเพลีย

บอกก็แล้ว เตือนก็แล้วว่าเอาหูฟังยัดหูบ่อย ๆ มันจะทำให้หูมึงหนวกเร็วผิดปกติ ยิ่งเพลงมึงนี่ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูตายและ ว๊ากกันทั้งเพลง ยัดกันเข้าไปเสียงกลอง เสียงเบสน่ะ ทำร้ายตัวเองชัด ๆ เลย เฮ้อ~~ ไอ้พวกเด็กเจร็อคเนี่ย เข้าใจยาก คร้านจะพูด

แล้วในที่สุด รถไฟฟ้ามันก็มาหยุดอยู่ที่สถานีสยามครับ ณ. จุดตรงนี้คนลงค่อนข้างจะเยอะ ผมต้องเบียดตัวออกมา ส่วนไอ้ฟีมันยังยืนพงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ เอาตูดหนีบเสาอยู่ในรถไฟฟ้า โอ๊ยยย!!! ไอ้บ้า มันถึงที่ลงแล้วเว้ย และเป็นผมที่ต้องวิ่งเข้าไปลากมันออกมา เกือบโดนประตูรถไฟหนีบ

“มึงน่ะ จะไม่ฟังเพลงซักสิบยี่สิบนาทีมันจะตายไหม” ระหว่างที่เดินเข้าไปมหาลัยผมก็บ่นอีก ไอ้ฟีมันดึงเอาหูฟังออก แล้วม้วนสายเก็บเข้ากระเป๋า เออ ดีที่มึงยังพอฟังกูบ้าง

“บทเพลงของศาสดาขับเคลื่อนชีวิตกู” อ๋อ เหรอ

“เออ งั้นวันหลัง กูจะเอาบทเพลงของศิลปินกูไปขับเคลื่อนชีวิตมึงบ้าง”

“ขอโทษวะ กูยังไม่อยากขับถอยหลัง” อ...ไอ้...ไอ้ปากหมา =.= เห็นว่าเถียงไม่ได้ผมเลยเงียบครับ ขืนเถียงกับมันต่อมีหวังศิลปินผมเปื้อนมลทินหมด อย่าไปเอาอะไรกับไอ้คนใจแคบพวกนี้เลย

“ตกลงมึงศึกษาศาสตร์จริง ๆ ใช่มะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“เออ” มันตอบสั้น ๆ

“กูไม่อยากเชื่อ คณบดีคิดอะไรวะรับมึงมาแลกเปลี่ยนเนี่ย”

“กูว่าคณบดีคิดถูกแล้วที่รับกู” ผมเหลือบตามองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้ามึงคิดว่าคณบดีคิดถูกแล้ว กูว่าคณบดีคนนั้นต้องโดนมึงวางยาแน่ ๆ เดินเข้ามาในมหาลัยนี่โคตรจะตกเป็นเป้าสายตา ป่านนั้นมันยังคงความสามารถเชิดได้ทั้ง ๆ ที่ผมต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วเดิน เพราะอายที่ต้องมาเดินคู่กับอิตัวประหลาดชุดดำ





ภายในคณะศึกษาศาสตร์คราคร่ำไปด้วยนิสิตนักศึกษาที่ บอร์น ทู บี จะเป็นครูในหลักสูตร 5 ปี พวกเขาต่างแต่งตัวถูกระเบียบเรียบร้อยตามแบบฉบับความเป็นครู เสื้อผ้าหน้าผมทุกอย่างนี่เรียกว่าเป๊ะ ไม่แต่งตัวจัดจ้าน  ท่าทางการเดินสง่าผ่าเผยน่านับถือเมื่อยามพบเจอ

นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของศึกษาศาสตร์

หากแต่ตอนนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าพวก และโผล่มาราวกับแกะดำ...
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 10-10-2012 14:48:44
ตัวประหลาด ...  o16
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 10-10-2012 15:17:35
น่ารักค่ะ  และสนุกมาก  ตัวละครทุกตัวน่ารัก  แม้กระทั่งน้องทวิต  ก็แร่ดแบบน่ารักสัด ๆ

โชคดีที่เราไปทางสายตะวันตก  ฮิปฮอปอาร์แอนด์บีอะไรเทือกนั้น  เลยไม่มีปัญหากับมุขจิกกัดสไตล์ Ko-Jap  แต่ก็เข้าใจนะ  ว่าคนแต่งต้องการจะสื่ออะไร  เพราะเคยตามกระแสเอเชี่ยนป๊อบอยู่ช่วงหนึ่ง (หลัง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ตามแล้ว  วงเกาหลีหน้าใหม่ออกมาเพียบ  ไม่รู้จักซักวง  แต่วง Nu'est นี่รู้จักนะ  รู้จักแต่น้องเรนคนงาม  งามจริงอะไรจริง)

ชอบเนื้อเรื่องมากค่ะ  แปลกใหม่  และเอาเรื่องบันเทิงกระแสหลักมาเชื่อมเรื่องได้อย่างน่าสนใจ  ฉากพระนางเถียงกัน  พาลนึกไปถึงพันทิพย์  สยามโซน  กวน ๆ เกรียน ๆ งีองแง๊งน่ารักดี  ฉากเด็กบนบีทีเอสก็ฮามาก  มุขเฉียบหลายมุข  โดนใจอย่างแรง  แหวกกระแสสุด ๆ แถมคนแต่งยังน่ารักมาก  อัพถี่จุใจดีค่ะ

ปล.วงเกาหลีที่ชอบที่สุดคือ 2PM กับ 2NE1 ค่ะ ส่วนญีุปุ่นเราชอบวง WaT (น่ารักมาก) ชอบเพลงของ Chara ,Crystal Kay ,Namie Amuro,ACO,Yukari Fresh,Kahimi Karie  เยอะค่ะ 5555+


หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 10-10-2012 15:51:36
จะติดตามอ่านต่อไปนะครับ......
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-10-2012 16:15:57
รอๆ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: railay ที่ 10-10-2012 16:42:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 10 มหาวิทยาลัย 100%] [101012]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 10-10-2012 21:32:30
ติดตามนะ :L2:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 11 นักศึกษาแลกเปลี่ยน 100%] [111012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 09:10:48
เดี๋ยวจะไม่อยู่ 5 วัน วันนี้จะลงให้ 5 ตอนฮะ


KO-JAP : นักศึกษาแลกเปลี่ยน
โหมด : ไบเซป

หลังจากที่ฝ่าดงลูกกะตากว่าห้าร้อยคู่ที่มองมาอย่างทิ่มในแทง ในที่สุด ทั้งผมและไอ้ฟีนิกซ์ก็มานั่งอยู่ในห้องรับรองแขกของทางคณะศึกษาศาสตร์ อาจารย์ผู้หญิงที่ยกน้ำมาเซิร์ฟลอบมองผมกับเด็กเจร็อคผ่านทางแว่นสายตาหนาเต๊อะ ซึ่งผมนั้นรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่อีกคนกลับทำตัวแมร่งโคตรสบาย =.=”

ไม่นานเกินรอครับ ท่านคณบดีประจำคณะศึกษาศาสตร์ก็ก้าวเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่ผมสังเกตได้คืออาการสะดุดครับ ต่อให้ท่านคณบดีจะเก็บอารมณ์ไว้ก็เถอะ แต่สายตาผมนี่มันไม่พลาดแน่ ๆ ริมฝีปากที่เม้มแน่นขนาดนั้น บอกได้เลยว่าท่านคณบดีไม่ค่อยจะพอใจเท่าไร และผมก็ไม่คิดจะว่าอะไรท่าน เพราะไอ้นี่มันไม่รู้กาละเทศะจริง ๆ

ทั้งผมและไอ้ฟีลุกขึ้นเมื่อท่านคณีบดีเดินผ่าน ก่อนที่จะนั่งลงตามเดิม ท่านคณบดีกระแอมเสียงดัง 1 ครั้ง ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท หยิบแว่นสายตาออกมาสวม มือของท่านคณบดีเอื่อมไปหยิบเปิดแฟ้มสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า

นั่นคงจะเป็นประวัติไอ้ฟีนิกซ์ ผมสังเกตเห็นว่าท่านคณบดียกแฟ้มขึ้น แล้วเอาแฟ้มลง จ้องหน้าไอ้ฟี จากนั้นก็ยกแฟ้มขึ้นอีก เอาลง จ้องหน้าไอ้ฟี ทำแบบนี้อยู่ประมาณ 3 รอบ ก่อนที่จะปิดแฟ้มแล้วเริ่มรัวภาษาญี่ปุ่นชนิดที่มนุษย์เกาหลีปี 2 อย่างผมฟังไม่รู้เรื่อง (ก็แหงล่ะ)

ผมนั่งฟังไอ้ฟีและท่านคณบดีรัวภาษาญี่ปุ่นใส่กัน ไอ้ฟีหัวเราะก๊ากในขณะที่ท่านคณบดีทำหน้าบึ้ง งานนี้ดูท่าจะไปไม่สวยแฮะ เฮ้ย มึง รักษามารยาทมั่งสิวะ นี่ท่านคณบดีนะเว้ยเฮ้ย จะมาหัวเราะแบบนั้นได้ยังไง

ตัวของผมเล็กลีบลงเหลือ 1 นิ้ว เมื่อสำเนียกได้ว่า ตัวเองต้องเซ็นรับรองให้มัน






โหมด : ฟีนิกซ์
หลังจากที่ต้องทนกับการยืนอัดกันบนรถไฟฟ้าแล้ว ผมก็ต้องเดินลากเท้าเข้ามายังมหาวิทยาลัยท่ามกลางแดดเปรี๊ยงในตอนเช้า ไม่รู้ว่าประเทศไทยนี่มันจะร้อนกันไปถึงไหน เล่นเอาซะผมเซ็งจนต้องหยิบไอโฟนขึ้นมาฟังเพลงของศาสดาเพื่อให้บทเพลงของศาสดาช่วยจรรโลงจิตใจที่ร้อนรุ่มของผม(?) แต่ป่านนั้นฟังไปได้ไม่ถึงสามเพลง ไอ้เตี้ยไบเซปก็เริ่มบ่นถึงแนวเพลงเจร็อค

....จิตใจมึงนี่จะสนเพียงแค่เกาหลีหรือไงวะ หัดเปิดใจกว้างฟังเพลงแนวอื่นมั้งซะมั่งสิ ฟังแต่แอ๊บแบ้ว แอ๊บแบ้ว มิน่า มึงถึงไม่โตซักที... ผมด่ามันในใจอยากเจ็บแสบ (ด่าดังไม่ได้ครับ เดี๋ยวมหาลัยแตก) นี่ยังถือว่าผมให้เกียรติมหาลัยอยู่นะ >.<~~~

พอมาถึงคณะที่ผมได้แลกเปลี่ยน เป็นอันว่าตามคาดครับ เด็กศึกษาศาสตร์นี่หน้าจืดกันดีจริง นี่พวกคุณ ๆ ทั้งหลายแต่งหน้าเป็นไหมเนี่ย สาวน้อยคนนั้นน่ะ ถ้าเธอหัดแต่งหน้าบ้าง เธอจะดูดีกว่านี้นะ โวะ กระเทยคนนั้นน่ะ เออ หล่อนนั่นแหละ ไม่ต้องมาส่งสายตายั่วกู กูไม่ได้ชอบแบบมึง หัดไปมาร์คหน้าบ้างนะ ทั้งมัน ทั้งสิวขนาดนั้น เฮ้อ~~~ เห็นคณะนี่แล้วรู้สึกปวดตับกับการศึกษาไทย ตกลงครูต้องมีอิมเมจแบบนี้ใช่มะ? แมร่ง  =.=”

ผมเดินตามไอ้ไบเซปผ่านบรรดาสายตาทิ่มแทง ไม่รู้ว่าทิ่มเพราะเรื่องอะไร แต่เล่นมองผมเป็นตาเดียวแบบนี้มันก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันนะ จนตอนนี้มาอยู่ในห้องคณบดีแล้วครับ ป่านนั้นก็ยังไม่วาย ดันมาเจออาจารย์สวมแว่นหนาเตอะที่เข้ามาเสิร์ฟน้ำให้อีก

น่าจะเอาอาจารย์สาวสวย อกดูม ๆ มาเสิร์ฟมากกว่า เห็นแบบนี้แล้วต้องอยู่ตั้ง 1 ปี นี่มันหดหู่นะครับ T.T

หลังจากอาจารย์สวมแว่นเดินออกไปจากห้องแล้ว ตอนนี้ทำได้ก็เพียงรอคณบดี กินเวลาไม่นานครับ ท่านคณบดีผู้ทรงเกียรติก็เสด็จมา =.+’ อารมณ์นี่แรงจนผมสัมผัสได้ ผมรู้ว่าท่านคณบดีไม่เต็มใจที่จะต้อนรับผม ก็ใช่สิ ผมเล่นบุกมาด้วยสภาพที่มันแหกคำว่าศึกษาศาสตร์(มาก) หัวผมก็เป็นหนาม เสื้อผ้าก็สีดำ เปลือกตานี่ละเลงอายไลน์เนอร์มาเต็มที่ ชนิดที่หลุมดำยังต้องอาย แล้วคนแก่ที่ไหนจะชอบล่ะ

ท่านคณบดีนั่งลงยังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ล้วงเอาแว่นสายตามาสวม เปิดแฟ้มประวัติ ซึ่งอันที่จริงไม่ต้องเปิดท่านก็คงจะรู้ประวัติผมเองดี แต่ก็นั่นแหละ เพื่อให้มันดูเป็นทางการ หลังจากนั้นก็วางแฟ้มแล้วรัวภาษาญี่ปุ่นใส่ผมเป็นชุด

“แกมาที่นี่ทำไม” น่าน เริ่มมาก็ดราม่า ดีที่ไอ้ไบมันฟังไม่ออก ผมปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

“ตกใจหรือไงครับลุง” ผมพูดยิ้ม ๆ อีกฝ่ายทำหน้าเครียด

“แกก็รู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับแก”

“แต่แม่ส่งผมมานิครับ”

ท่านคณบดียกมือนวดขมับทั้งสองข้าง “แม่แกนี่คิดอะไรกันแน่วะ”

“ผมก็ไม่รู๊ววววว” ผมพูดเสียงสูง ลุงผมที่ดำรงตำแหน่งคณบดีประจำคณะศึกษาศาสตร์เหล่ตามอง

“ห้ามบอกว่าแกก่อเรื่องยุ่งอีกแล้วนะ” จบคำพูดจองลุง ผมก็ทำได้เพียงแค่ฉีกยิ้ม “แกนี่มันตัวปัญหาจริง ๆ”

“ถ้าลุงจะว่าอย่างนั้น ทำไมไม่โทษคนที่เลี้ยงดูผมมาล่ะครับ” ผมสวนกลับทันควัน เล่นเอาลุงมองผมตาเขียวปั๊ด ไอ้ไบที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ขยับตัวหยุกหยิก ผมจ้องเข้าไปในดวงตาพร่ามัวนั่น

        "ฉันจะให้แกอยู่คลาสอินเตอร์ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งตัวและพฤติกรรม" ลุงพูดเสียงเหี้ยม ผมยังคงทำได้แค่ยิ้ม

        "เอาสิครับ อยากจับผมไปอยู่คลาสไหนก็ตามใจลุงเลย เพราะยังไงผมก็ขอบอกลุงตรงนี้เลยว่า J-Rock is my life" ผมพูดภาษาอังกฤษออกไปช้า ๆ ชัด ๆ หวังจะให้อีกคนที่มันนั่งข้าง ๆ รู้เรื่องในบางส่วน ลุงจ้องผมตาแทบถลน จนผมต้องรีบหาทางระงับอารมณ์โกรธของลุง

“ผมว่านะ ลุงรีบ ๆ จัดการฉากนี้ให้มันเสร็จเถอะครับ อีกคนมันไม่รู้เรื่องนะ” รอยยิ้มของผมโค้งขึ้นอย่างผู้มีชัย อีกฝ่ายทำหน้าเข้มพลางค้นเอกสารจากแฟ้มแล้วยื่นเอกสารให้ไอ้ไบเซ็นรับรอง

ฉากแรกจบลง ทันทีที่ไอ้ไบเซปมันเซ็น และยกปากกาขึ้น ลุงก็หยิบกระดาษ ยัดใส่แฟ้ม แล้วก้าวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งผมและไอ้ไบเซปมองหน้ากันซักพัก มันอ้าปากเหมือนจะถามผม แต่ผมชิงออกจากห้องก่อน

ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาถามตอบปัญหาอะไรหรอกนะ

เอาล่ะ ทีนี้ผมก็อยู่ในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว


_______
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 11 นักศึกษาแลกเปลี่ยน 100%] [111012]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 11-10-2012 13:00:11
คณบดีคือลุงของฟีนิกซ์นี่เอง 55555555
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 11 นักศึกษาแลกเปลี่ยน 100%] [111012]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 11-10-2012 13:10:03
มาวันแรกก็ป่วนซะคุณลุงจิตตกเลยนะฟีนิกซ์

 o13 :L2:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 11 นักศึกษาแลกเปลี่ยน 100%] [111012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 11-10-2012 13:40:43
55555
อะไรจะเยอะขยาดน้านค๊าน้องฟินิกส์
แล้วอีแบบนี้จะรักกันได้ตอนไหนวะเนี่ย
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 12 กว่าจะเจอคนที่ชอบ... 100%] [12101
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 14:02:27
สำหรับวันที่ 12-10-12


KO-JAP : กว่าจะเจอคนที่ชอบเหมือนกัน มันยากนะ
โหมด : ไบเซป

ผมเดินตามไอ้ฟีนิกซ์ออกมาจากห้องของคณบดี ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาตะกี้มันจะดราม่าแปลก ๆ หรือท่านคณบดีอารมณ์บ่จอย? หรือท่านคณบดีงานยุ่งมาก หรือว่าท่านคณบดีทะเลาะกับเมียมา? เฮ๊ย! อันหลังไม่ใช่และ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ทางที่ดีรีบ ๆ ออกจากคณะนี้ให้ได้ก่อน ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่หน้าทางเข้าคณะเริ่มมีบรรดาผู้คนมายืนออกันอยู่ ส่วนมากยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เดาได้ทันทีว่ามือถือเครื่องนั้นกำลังเข้าโหมดถ่ายรูป

“มาแล้ว ๆๆๆๆๆ” อาเจ๊กระเทยริมฝีปากดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วเสียงกรี๊ดมันก็ระงมครับ ทั้งผมและฟีนิกซ์มองหน้ากันสลับกับมองดูกลุ่มคนที่กรี๊ดอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ห้ามบอกนะว่ากรี๊ดไอ้ฟีนิกซ์กันน่ะ

“อ่าาาาา สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาจากกลุ่ม พร้อมทั้งยกมือไหว้ไอ้ฟีนิกซ์ หมอนั่นยืนนิ่ง สายตาที่ละเลงอายไลน์เนอร์จ้องผู้หญิงคนนั้นราวกับจะหลอมละลายเธอ อีกฝ่ายหน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“นี่มาทำอะไรกันเหรอครับ” ไอ้ฟีเอ่ยถาม น้ำเสียงมันแตกต่างตามความงามของคู่สนทนา ทีกับไอ้ทวิตมึงทำเสียงโคตรหล่อ แต่พอมากับผู้หญิงความหล่อของมึงหายไปไหนวะ =.=” ผมหมั่นไส้มันเล็กน้อยถึงปานกลาง เรื่องมันเริ่มที่จะชุลมุนขึ้น เมื่อผู้หญิงคนนั้นกระโดดเกาะแขนไอ้ฟี

เรียกเสียงกรี๊ดอีกรอบครับ

ทั้งผมและไอ้ฟีนิกซ์ร้องเฮ้ยออกมาพร้อมกัน ไอ้ฟีนิกส์พยายามสะบัดออก แต่ผมนี่เล่นเอามือไปตีแขนอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วกระชากแม่คนหน้าด้านออกจากเพื่อน =[]=!!! คิดดูอีกที แล้วกูจะทำแบบนั้นทำไมเนี่ย >.<~~~

คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในตอนนี้ ทั้งอาจารย์ ทั้งแม่บ้านต่างก็หยุดยืนมอง แล้วก็เดินจากไป สงสัยคงคิดว่ากำลังถ่ายทำโปรเจคกันสินะ เฮ้ย นี่มันไม่ใช่โปรเจคนะเว้ย พวกผมถูกรุมถ่ายรูปครับ ไม่มีการสร้างภาพ ไม่มีเอ็กตรา ไม่มีหน้าม้า ไม่มีห่าอะไรทั้งสิ้น จนเจ๊กระเทยปากดำคนนั้นอ้าปากจะพูด แต่อีกเสียงก็ดังขึ้น และช่วยชีวิตพวกผมไว้








โหมด : ทวิต
งานนี้เล่นเอาผมตะลึงไปหลายวิ กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมฟีนิกซ์และไบเซปถึงมาอยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ แล้วนั่นอะไร อีกลุ่มม๊อบสาวคลั่งเด็กอินเตอร์อีกแล้วสินะ ตลอดอ่ะพวกนี้ เด็กศึกษาศาสตร์คลาสอินเตอร์คนใหม่โผล่มา เป็นต้องโดนเจ้าพวกนี้รุมลวนลามทุกที

เฮ้อ~ ผมถอนใจอย่างปลง ๆ งานนี้ก็คงต้องเข้าไปช่วยอีกสินะ ว่าแต่ ถ้าม๊อบกลุ่มนี้มันกรี๊ด ก็หมายความว่า....

ไบเซปเรียนที่คณะข้าง ๆ กัน คือมนุษย์ศาสตร์ เกาหลี

ถ้างั้น....กลุ่มนี้มันก็ต้องกรี๊ด....

คิ้วของผมกระตุกอย่างแรง

ห...ห้าม....ห้ามบอกว่า...ห้ามบอกว่าฟีนิกซ์แลกเปลี่ยนศึกษาศาสตร์นะ!!!!!









โหมด : ฟีนิกซ์
มาวันแรกกูก็ฮอต

มาวันแรกกูก็ป๊อบ

มาวันแรกกูก็เป็นข่าว

อีสามเหตุผลข้างบนกูไม่ว่า กูรู้ กูเข้าใจ เพราะกูมันหล่อ(?)และกูจงใจให้มันเป็นอย่างนั้น แต่อันที่กูไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมต้องมาแตะต้องตัวกูวะ หน้าตาดีจะไม่ว่าซักคำ แต่นี่หน้าตายังกะปลาบู่ชนเขื่อนแล้วถูกสันเขื่อนกระทบดั้งอีกที ทั้งแบน ทั้งดำ โอ๊ยยยย!!!! แค่คิดถึงก็ขนลุก =[]=!!!! นี่ถ้าไม่ได้ทวิตเตอร์สุดสวยมาช่วยก็ไม่รู้ว่าพวกผมจะถูกบรรดาชะนีจับไปทำต้มยำหรือเปล่า

เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับเพื่อนไอ้ไบจริง ๆ

“ฟีนิกซ์แลกเปลี่ยนศึกษาศาสตร์เหรอครับ” เสียงอันไพเราะชวนเคลิ่มของทวิตลอยเข้าหูผม ผมพยักหน้า ทวิตส่งเสียงอืมแล้วหันไปดูดน้ำผลไม้ที่เจ้าตัวสั่งมา ริมฝีปากนั่นชมพูแลดูสุขภาพดีมากอ่ะ นี่อีกฝ่ายจะรู้ไหมนะว่ากำลังยั่วผมมากขนาดไหน อ๊าคคคคคค ถูกผู้ชายหน้าสวยทำร้ายอ่ะ TwT

ส่วนอีกคน งานนี้ไม่ต้องพูดถึงมันครับ เพราะหลังจากที่ทวิตเตอร์ช่วยพวกเราออกมาได้แล้ว มันก็วิ่งแจ่นกลับคณะมันอย่างรวดเร็ว ปากมันบอกผมว่าจะเข้าปฐมนิเทศไม่ทัน เหอะ ไอ้ไบเซกชวล ไอ้โฮสไม่รักดี ไอ้โฮสทิ้งนักศึกษาที่มึงต้องดูแล อีแค่การปฐมนิเทศ จะไปสนใจทำไม ขาด ๆ หน่อยก็ได้ มึงจะเด็กดีไปไหนมิทราบ

ผมหันกลับมามองดูขนมปังเนยสดตรงหน้าที่ทวิตสั่งมาให้ อ้อ ตอนนี้เราอยู่กันที่ศูนย์อาหารของมหาวิทยาลัยครับ ร้านเค๊กครับ นักศึกษาเยอะดี แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่สเปกผมซักคน ส่วนมากมันเอนเอียงไปทางเกาหลี นอกจากผมจะอยู่ในดงเกาหลีของอีไบแล้ว งานนี้ คิดว่าหลงเข้ามาอยู่ในกลุงโซลเลยล่ะ ก็ดูแต่ละคนแต่งตัวสิ พวกมึงจะโลลิป๊อปไปไหน สีผมนี่ทำสีอื่นไม่เป็นนอกจากสีออกโทนน้ำตาลใช่มะ? จะทำสีผม จะทำร้ายเส้นผมทั้งที ทำไมไม่ทำให้มันสุด ๆ ไปเลยวะ

เด็กเจร็อคไม่เข้าจ๊ายยยยยยยย

“แล้วทวิตเตอร์ไปทำอะไรที่ศึกษาศาสตร์เหรอครับ” คราวนี้เป็นผมที่ถาม อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมอง สัสเอ๊ย! ถ้ามึงจะน่ารักขนาดนี้ กูยอมเป็นเกย์วะ TwwwwwT

“ทวิตเรียนที่นั่นครับ” =[]=!!!!!! กูว่าและ นี่คงเป็นผลจากการชาบูบทเพลงของท่านศาสดาเช้า สาย บ่าย เย็น ก่อนนอนสินะ ท่านศาสดาคงจะนึกสงสารที่จู่ ๆ ก็ถูกแม่ตัวเองโยนเข้ามาในดงเกาหลี ก็เลยบรรดาลหนุ่มรูปงามมาอยู่เคียงข้างผม เฮ้ย แต่จะว่าไป ทำไมจู่ ๆ กูต้องหันมากรี๊ดผู้ชาย หรืออันที่จริง กูกำลังเบี่ยงเบน (+.+?) แล้วนั่นอะไร แทนตัวเองด้วยชื่อ คุณมึงจะน่ารักไปไหนมิทราบ TwT (ให้กูเป็นเกย์เถอะวะ 55555)

“เอ๊ะ! เรียนที่ศึกษาศาสตร์เหรอครับ” แกล้งถามต่อ อีกฝ่ายพยักหน้า “อ่าาา ดีจังเลย”

“ว่าแต่ ทำไมฟีนิกซ์มาคณะด้วยสภาพนี้ละครับ” 0.0 กูรู้สึกเหมือนมึงจะตำหนิกูอย่างสุภาพอยู่ใช่มะ นี่มึงกำลังหลอกด่ากุยุใช่มะ?? แว๊ก ๆๆๆ ไอ้หน้าสวย มาให้กูตีตูดซักทีสิ (ทำไมผมต้องหื่นใส่หนูทวิตตลอดเลย TwT)

“ไม่รู้สิ” ผมตอบเลี่ยง ก็อันที่จริงกูทำมาเพื่อยั่วโมโหคณบดีโดยเฉพาะ “ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหนนินา” พยายามทำหน้าซื่อบื้อที่สุดแล้วครับ

“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ” หนูทวิตนี่เข้าใจง่ายจริง ๆ อีกฝ่ายละสายตาจากผมแล้วมองออกนอกกระจกร้าน “ฟีนิกซ์นี่ชอบเจร็อคเหรอครับ”

เฮ้ย จู่ ๆ มึงมาชวนคุยเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย

“ชอบมาก เปรียบได้กับอีกครึ่งชีวิตเลยล่ะ” ผมตอบ อีกฝ่ายหันมายิ้มให้ผม

“ทวิตก็ชอบนะ แต่ไม่ได้ชอบแนวหัวหนามแบบฟีนิกซ์อ่ะ” มันพูดพลางหัวเราะ สัส!! ยั่วกูอีกแล้ว >w< “ทวิตชอบแบบวงซักกุ”

“อ๊าคคคคคค ซักกุฟีก็ชอบน่ะ” อ้าวเฮ้ยไปแล้วกู แทนตัวเองด้วยชื่อแล้วกู อีกฝ่ายทำตาวิบวับ

“อ่าาา จริงเหรอครับเนี่ย” รีแอคชั่นมึงเยอะมากอีทวิต แต่ช่างเถอะ นี่คงจะเป็นผลตอบแทนจากท่านศาสดาแน่ ๆ ฮือ ๆๆๆ ถ้าชาบูฟังเพลงทุกวันและจะเกิดเรื่องดี ๆ แบบนี้ นับจากนี้ไป ฟีนิกซ์คนนี้จะฟังแมร่งทั้ง 24 ชั่วโมงเลย wwwww

หลังจากที่เราต่างคุยต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องวงเจร็อคที่ชื่นชอบแล้ว ผมก็รู้สึกราวกับหลุดออกมาจากดงเกาหลี ถึงมันจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เพราะตอนกลับบ้านยังไงผมก็ต้องกลับไปอยู่ในดงนั่นอีก แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว ทั้งผมและทวิตอยู่คณะเดียวกัน ชอบเหมือนกัน อยู่คลาสอินเตอร์เหมือนกันแต่คนละสาขาวิชา มันก็ไม่ยากเท่าไรที่จะหาเวลาเจอกันใช่มะ? เฮ้ย จริง ๆ นะเว้ย กว่าจะหาคนที่ชอบเจร็อคเหมือนกันได้น่ะ มันยากมาก มาอยู่ไทยก็เพิ่งจะมาเจอทวิตนี่แหละ ที่พอจะคุยกันรู้เรื่อง TwT นี่คงจะเป็นของขวัญจากท่านศาสดาสินะ *ซาบซึ้ง*


_______

ชื่อศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

SuG [Japan]

________
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 12 กว่าจะเจอคนที่ชอบเหมือนกัน 100%]
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 11-10-2012 16:05:22
ไม่เอาทวิตตตตตตตตตตตตต ! จะเอาไบเซปคนเดียว ทวิตแอ๊บแบ๊วสุดริดแต่คุณเธอมิธรรมดาเลยชริงๆ
อยากให้มีตัวพระรองมาอีกตัวจริงๆ จะได้งาบไบเซปไปเลย จะสมน้ำหน้าอีฟีมัวแต่หลงนังหน้าสวย หึหึ
# ขอบคุณจ่ะคนแต่ง มาต่อไวไวเน้อ อ่านแล้วไม่เครียดดีอ่าาาา><
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 12 กว่าจะเจอคนที่ชอบเหมือนกัน 100%]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 11-10-2012 17:59:51
มันยากจริงๆที่จะเจอคนที่ชอบอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอย่างเรา  o3
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 13 เกมป๊อกกี้ 100%]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 21:54:11
สำหรับวันที่ 12.10.13




KO-JAP : เกมป๊อกกี้
โหมด : ทวิต

ผมไม่รู้ว่าไอ้พวกเด็กเจร็อคมันซื่อบื้อเหมือนกันหมดทุกคนหรือเปล่า นี่ไม่รู้หรือไงว่าผมเสแสร้งทั้งนั้นอ่ะ อันที่จริงผมไม่ได้ชอบเจร็อคหรอกครับ เจป๊อบพอไหว แต่เจร็อคนี่บ๊าย บาย เพราะหลังจากที่ศึกษาหาข้อมูลของฟีนิกซ์ ผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร และนั่นทำให้ผมต้องหันมาเปิดเพลงเจร็อคฟัง เพื่อที่จะซึมซับ จะได้คุยกับอีกฝ่ายรู้เรื่อง

ไม่อยากจะบอกว่าแค่เสียงดนตรีขึ้น คนยังไม่ได้ร้องก็เล่นเอาผมกดปิดหน้าจอยูทูป วิ่งไปทำใจอยู่ในห้องน้ำเป็นนานสองนาน มันฟังยากนะครับ ดนตรีขึ้นมาก็แรงแล้วอ่ะ ยิ่งพวกวงมืด ๆ ดำ ๆ อย่าง เอ่อ...อะไรนะ...ซา..ซาดาย ซาดายหรือซาดี้นี่แหละ ผมไม่ได้ใส่ใจ.... MV เพลงโคตรจะน่ากลัว แล้วอีกวงนึงครับ ชื่อว่าวง Nega ผมเปิดดู MV ก็เจอแต่ของชวนแหวะ ทรมานจิตใจผมมากอ่ะ สู้ฝั่งเกาหลีก็ไม่ได้ ของสวย ๆ งาม ๆ กันทั้งนั้น >.< แต่จะมีพอรับได้หน่อยก็วง SuG นี่แหละ คล้าย ๆ เกาหลีอยู่ โลลิป๊อบ น่ารักดี ผมก็เลยจับวงนี้เป็นวงหลักในการสนทนา

ตอนนี้ฟีนิกซ์หัวเราะอย่างออกรสครับ ดู ๆ ไปเหมือนผมเลวแปลก ๆ เลยเนอะ แต่เลวยังไงก็ยอมอ่ะ เพราะเพื่อไบเซปเพื่อนรักของผมแล้ว แค่นี้ผมไม่เป็นไรหรอก ผมเสมองออกนอกกระจกหน้าร้านอีกรอบ ตอนนี้เกิดการรวมกลุ่มแปลก ๆ ที่กลางศูนย์อาหาร มีนักศึกษาทั้งชายหญิง ตุ๊ดแต๋วกระเทย กำลังยืนออกันอยู่ มีป้ายมาตั้งด้วยอ่ะ เหมือนกับกำลังจัดอีเว้นท์ ผู้ชมบางคนกำลังอ้าปากหวอ ท่าทางเหมือนลุ้นอะไรซักอย่าง

“ตรงนั้นมีอะไรกันนะ” เสียงของฟีนิกซ์ดังขึ้น

“นั่นสิ”

“ไปดูกันไหม”

ผมมองหน้าอีกฝ่าย แล้วก้มลงมองน้ำผลไม้ที่มันยังเหลืออยู่

“แต่ทวิตยังกินไม่หมดเลยนะครับ” อีกฝ่ายยิ้มให้ผม รอยยิ้มนั่นมันไม่เข้ากับเปลือกตาดำ ๆ เลยซักนิด

“ของฟีก็ยังไม่หมด ฮ่า ๆ Who care!!!!” พูดจบฟีนิกซ์ก็ลุกขึ้น และนั่นทำให้ผมต้องลุกตาม เด็กเจร็อคนี่เอาแต่ใจ








โหมด : ไบเซป
จะมาเห็นคาตาก็วันนี้แหละ หนอยยยยย เล่นแรงมานะอีทวิต อีแรด (โมโห) ถ้าจะงาบไอ้ฟี มึงมาบอกกูตรง ๆ ก็ได้ เดี๋ยวกูจัดให้ ไม่ต้องมาแอบฉกแบบเน่ ๆๆๆๆ มึงรู้ไหมว่ากูตามหามันทั่วมหาลัยจนตาเหลือก เพราะกูกลัวว่ามันจะไปก่อเรื่องกับชาวบ้าน ไอ้นั่นมันยิ่งศรัธทาแรงกล้าต่อศาสดาพันธุ์หนามของมันอยู่ ใครไปแตะต้องไม่ได้ ไม่งั้นมันมีเหวี่ยง

แต่มึงก็แอบฉกมันมา

โดยไม่บอกกู

ปล่อยให้กูเหนื่อย

T....T อีเพื่อนใจร้ายยยยยยยย

นี่คือเสียงที่สะท้อนอยู่ในใจของผม ไม่ได้พูดออกมาจริง ๆ หรอก 5555555 ผมที่ตอนแรกท้อแล้วว่ายังไงก็ตามหาไอ้ฟีไม่เจอ เพราะโทรไปแม่มก็เสือกไม่รับสาย แถมมันยังตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติอีก เรียกได้ว่าจนปัญญาจริง ๆ ก็เลยเดินมาจะหาอะไรกินซักหน่อย แล้วมันก็นั่นแหละครับ โป๊ะเซะ!!! กำลังนั่งแดกขนมปังน้ำผลไม้สวีทหวานกันได้ที่ อันตัวกูนี่เหนื่อยแทบตาย อยากทรุดลงไปกองกับพื้น

ตอนแรกว่าจะเข้าไปทัก แต่เห็นอีฟีมันหัวเราะซะปากกว้าง แล้วทวิตมันก็ยิ้ม ๆ ก็เลยคิดว่าไม่ทักจะดีกว่า ไม่อยากขัดช่วงเวลาความสุขคนอื่น ว่าแต่ แล้วกูจะมาดราม่าเพื่ออะไรเนี่ย มันจะไปสวีทหวานแถวไหนก็เรื่องของมันสิวะ ไม่ได้เกี่ยวกับผมนิ ผมก็แค่โฮสที่คอยดูแลมันระหว่างที่มันอยู่ไทยเฉย ๆ

เช่นนั้นแล้ว กระผมก็เลยเดินว่อนศูนย์อาหารเพื่อหาอะไรยัดปาก แต่สายตามันไปกระทบกับป้ายบอร์ดที่เพิ่งมีคนเอามาตั้งพอดีครับ มีอีเว้นท์หรือไงเนี่ย เครื่องเสียงอะไรครบ แต่ที่มันสะดุดตามากที่สุดคือป้าย....

มันไม่ใช่ป้ายศิลปินเกาหลีแต่อย่างใด แต่นั่นมันเป็นป้ายของ Net Idol เกาหลี!!!!! อ๊าคคคคคคคคคคค ไม่ใช่เพียงแค่ว่าไบเซปคนนี้จะชอบศิลปินอย่างเดียวนะครับ อะไรอะไรที่เป็นเกาหลีผมรับได้หมดอ่ะ แล้วนี่ยิ่งเนตไอดอล ไม่ต้องพูดถึง หน้าแทจุนนี่ขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลย แล้วก็เสือกมีแทจุนอยู่ในป้ายด้วย พระเจ้า!!!! กูไม่หาอะไรยัดปากและ อยู่ดูอีเว้นท์ดีกว่า (เพื่อพี่แทจุน TwT)

“สวัสดีค่ะพี่น้องชาว AAA ทุกท่าน” เสียงพิธีกรสาวผู้น่ารักเอ่ย เสียงของพี่สาวถูกขยายด้วยไมค์โครโฟนที่ติดอยู่บนปกคอเสื้อ ทำให้มันดังไปรอบศูนย์อาหาร เรียกความสนใจจากบุคคลอื่นได้ดี “พบกันอีกแล้วนะค่ะกับอีเว้นท์พิเศษของเราที่จัดขึ้นให้กับแฟนคลับเกาหลีโดยเฉพาะ” เสียงปรบมือดังขึ้นแสดงถึงความพอใจ ผมก็ปรบครับ ปรบแรงด้วย แถมเสนอหน้าอยู่หน้าสุดของเวทีอีกตางหาก 55555

เอาสิ งานนี้กูไม่ติดกล้องออกทีวีให้มันรู้ไป

“ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะค่ะว่าอีเว้นท์นี้เราจะตระเวนไปยังทุกภาคของประเทศไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแห่งเกมป๊อกกี้!!!” พี่สาวยังคงพูดพลางยิ้มสวย ตอนนี้คนเริ่มมาออกันเยอะแล้วครับ แถมผมยังถูกเบียดอีกตางหาก “และที่ภาคนี้ค่ะ ภาคกลาง ถือว่าเป็นภาคสุดท้ายที่เราจะเฟ้นหาตัวแทน เพื่อไปแข่งกับตัวแทนอีกสามภาค คงไม่ต้องพูดถึงกติกาการเล่มเกมนะค่ะ เพราะคิดว่าทุกท่านรู้จักเกมนี้ดี ก็ผ่านมาตั้ง 3 ภาคแล้วนิเนอะ” เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้น

“ขอเพียงแค่มีความกล้าเท่านั้นค่ะ เราให้สิทธิ์เป็นคู่ จับคู่ได้แล้วลงชื่อสมัครที่บูธด้านข้างได้เลยค่าาาาาา” พี่ผู้หญิงผายมือไปยังอีกบูธหนึ่งที่ตอนนี้กำลังมีชายหญิงกระเทยแต๋วแตกหลายคนควงคู่กันไปลงชื่อ

ป๊าดดดดดด อีพวกนี้เอาจริงดิ พวกมึงรู้ไหมเนี่ยว่าเกมป๊อกกี้มันคือเกมอะไร แน่นอนครับถ้าไม่ใช่แฟนคลับฝั่งเกาหลีไม่มีทางรู้หรอก มันคือเกมที่เอาแท่งป๊อกกี้ยัดปากแต่ละคู่ไว้ครับ โดย 1 ทีมมีสมาชิก 2 คน (ก็แหงล่ะ มาเป็นคู่นี่นา) แล้วก็คาบไว้ทั้ง 2 ฝั่ง จากนั้นก็ให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งกัดครับ กัดไปเรื่อย ๆ กัดจนให้เหลือแท่งป๊อกกี้ที่สั้นที่สุด ทีมไหนกัดแล้วสั้นที่สุดทีมนั้นเป็นฝ่ายชนะ

ดู ๆ ไปเหมือนง่าย แต่เกมนี้ไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อปากใกล้จะชนกัด ส่วนมากฝ่ายที่อยู่นิ่งจะผลักฝ่ายที่ทำหน้าที่กัด และมันทำให้แท่งป๊อกกี้หักครับ ผมชอบนั่งดูรายการ Ulzzang Shidae แบบว่าบรรดาเนตไอดอลเอามาเล่นกันบ่อย (จูบกันบ่อยด้วย 555555)

ตอนนี้พี่สาวเรียกผู้เข้าแข่งขันทีมที่หนึ่งขึ้นเวทีแล้วครับ เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ดูท่าแล้วจะเป็นแฟนกันครับ ตอนนี้ฝ่ายหญิงหน้าแดงมาก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มเกมเลยอ่ะ จะไหวไหมหนอ =[]=

มีการแนะนำตัวพอเป็นพิธี จากนั้นพิธีกรก็ให้เลือกสีป๊อกกี้ครับ คู่นี้เลือกสีชมพู หวานกันจริง ฮ่า ๆ แล้วเกมก็เริ่ม ฝ่ายชายเป็นคนกัดในขณะที่ฝ่ายหญิงคาบป๊อกกี้ไว้ ทั้งสองคนนี้จ้องหน้ากันตลอด ผมว่าแบบนี้ไม่รอดอ่ะ น่าจะให้ฝ่ายที่คาบหลับตาจะดีกว่า จะได้ไม่เขิน สุดท้ายครับ เมื่อใกล้จะถึงปากแล้วฝ่ายหญิงเกิดหลุดขำออกมา เอามือผลักฝ่ายชายอย่างแรง แท่งป๊อกกี้หัก!!!

น่าน กูว่าและ

วัดแท่งป๊อกกี้ที่คาปากฝ่ายหญิงได้ 5 เซนติเมตร =[]=!!!! ตกรอบแน่ ๆ ครับ

คู่ที่ 2 ขึ้นมา คู่นี้เรียกเสียงกรี๊ด เพราะแมร่งเป็นชายกับชาย!!!!! O.O!!! พระเจ้าช่วย แต่สุดท้ายแล้ว ก็ตามรอยคู่แรกไป เพราะเสือกหลุดขำก่อน

การแข่งขันเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ คนยิ่งมาดูเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แรงกดดันของผู้แข่งขันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ และความไม่พอใจของผมก็มาขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน แมร่ง ถ้าเล่นแบบไม่รู้เทคนิคแบบนี้นะ อย่ามาเล่นเลย อายชาวบ้านวะ ตอนนี้สถิติของแท่งป๊อกกี้ที่สั้นที่สุดคือ 3 เซนติเมตร

นี่สั้นแล้วใช่ไหมนิ???

พี่แทจุนของผมเล่นในรายการ Ulzzang Shidae... กัดจนเหลือแค่เซนเดียวเอง (แต่มันก็ต้องแลกกับการจูบกัน ฮร๊าาาาา) เอานา ถือว่าพี่เซอวิสแฟนคลับก็แล้วกัน 55555

“อยากเล่นไหม” หะ? อะไรนะ

“หือ?” ผมส่งเสียงแต่ยังไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า คู่ที่ผมกำลังดูอยู่เป็นผู้หญิงทั้งคู่ครับ ดูเหมือนมีสมาธิกันมาก

“ก็เกมนี้ไง อยากเล่นไหมล่ะ เผื่อชนะแล้วได้ไปเกาหลี”

=[]=!!!!! เอ่อ...คุณมึงเป็นใครครับที่มาชวนผมเนี่ย อันเกาหลีผมมีปัญญาไปเอง ไม่ต้องมาเล่นเกมอะไรแบบนี้หรอก แล้วอีกอย่าง คนที่จะเล่นเกมนี้กับกูมันต้องหน้าตาดีนะเว้ย ไม่ใช่ว่าจะให้คนหน้าตาดีอย่างกูไปจูบกับพวกหน้าเฮียก

ไบเซปไม่ยอมอ่ะ

ดังนั้น ขอดูหนังหน้าของคุณมึงผู้หน้าด้านหน่อยเหอะ!!!......

=.=

o.o

O.o

O.O

!!!!!!!!!

ผ่านไป 3 วิ.....






กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด (อาการแรดออกทันที =[]=!!!!!)

________

ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

SuG [Japan] - http://bit.ly/GRahZ6 (http://bit.ly/GRahZ6)
Nega [Japan] - http://bit.ly/H4yOGl (http://bit.ly/H4yOGl)
Sadie [Japan] - http://bit.ly/H526mK (http://bit.ly/H526mK) 


บุคคลที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

Park Taejun - http://bit.ly/H4z8Vr (http://bit.ly/H4z8Vr)


รายการที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

Ulzzang Shidae [พาทเล่นเกมนี้นะฮะ] - http://bit.ly/H4A77X (http://bit.ly/H4A77X)
_______
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 13 เกมป๊อกกี้100%] [13.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 11-10-2012 22:29:19
ยังไม่มาต่อเหรอค๊า
ไหนว่า 5 ตอนงายยยยยยยยยย
รึเรามาคั่นกลางหว่า
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 14 เข้าเล่นเกม100%] [14.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 22:41:29
สำหรับวันที่ 14.10.12





คลิปตัวอย่างฮะ
http://<object width="560" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Kvqb7pZprqE?version=3&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Kvqb7pZprqE?version=3&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" width="560" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
http://www.youtube.com/watch?v=Kvqb7pZprqE&feature=youtu.be (http://www.youtube.com/watch?v=Kvqb7pZprqE&feature=youtu.be)


KO-JAP : เข้าเล่นเกม
โหมด : ไบเซป

ตอนนี้ กระผมรับรู้ถึงพลังงานความหล่อที่แรงมาก ณ. สถานที่นี่ ใช่แล้วครับ กระผมรู้สึกได้ =.=”!!! อ๊าคคคคคคคคคคค ถ้ารุ่นพี่จะเล่นทักกันแบบนี้ผมเขินนะครับ ^.^

“ร...รุ่นพี่...รุ่นพี่จะเล่นจริงเหรอครับ” ปากสั่นถามไป ให้ตายสิ ถ้ารู้ว่าเป็นรุ่นพี่ซางมิน ลูกครึ่งไทยเกาหลี ปี 3 แห่งมนุษย์ศาสตร์ เกาหลี ไบเซปน้อยคนนี้จะไม่คิดด่ารุ่นพี่เลย หนูขอโต๋ดดดด~~~ T___T

“อื้อ อยากลองเล่นเหมือนกัน” รุ่นพี่ตอบกลับมา แล้วส่งยิ้มหวาน ตาย ๆๆๆๆ อิไบตายแน่ ๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย แอร๊ยยยยยย~~~

“ต..แต่...แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ” ห่าาา รุ่นพี่อุตส่าห์ชวน แล้วกูจะพูดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนินา ที่เกาหลีพวกออลซางเล่นกันบ่อย” =[]=!!!! ไม่มีอะไรจะเถียง ผมเอาแต่ก้มหน้าครับ จะเล่นได้ไงวะ เขินจะตายห่าแบบนี้

“จะเล่นกันไหมล่ะ นี่ใกล้จะถึงเวลาปิดรับสมัครแล้วนะ”

“เอ๋? มีเวลาปิดรับสมัครด้วยหรอครับ” กูนี่ก็ถามควาย ๆ เนาะ 5555

“มีสิ”

“อ่ะ...เอ่อ.....” อันอยากเล่นก็อยากเล่นครับ แต่ว่า...เฮ้ย จะบ้าเหรอ!!!! นั่นรุ่นพี่เลยนะ แถมฮอตที่สุดในมนุษย์เกาหลีแล้ว ถ้าเกิดผมขึ้นไปเล่นเกมป๊อกกี้กับรุ่นพี่ มีหวังโดนแฟนคลับรุ่นพี่ฆ่าตายแน่ ๆ แล้วอีกอย่าง.... มือผมลูบริมฝีปากตัวเอง...อีกอย่าง.... มือลูบอีก....อีกอย่าง....

บนปากกูมันมีจูบของอีฟี!!!!!! =[]=!!!!!!!!!









มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานครั้งหนึ่งในชีวิตกับการตัดสินใจที่จะเล่นเกมกับใครซักคน

น่าน =.= อะไรมันจะคิดหนักขนาดนี้ รุ่นพี่เองก็ยืนรอ คนบนเวทีเองก็เชียร์กันมันส์หยดติ๋งโดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงความทุกข์ยากของกูเลย อยากเล่นกับรุ่นพี่ แต่ว่า...ถ้าต้องสัมผัสกันจริง ๆ แล้วจูบของฟินิกส์ล่ะ?

ซักพัก ภาพที่มันหัวเราะงอหายกับไอ้ทวิตก็ผุดขึ้นมาครับ

แล้วไฟแค้นก็บังเกิด (เกิดง่ายจริงกู =.=”) ในขณะที่เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ สงสัยเพราะปากเริ่มจะใกล้กันมั้ง ผมก็คว้าแขนรุ่นพี่ แล้ววิ่งไปที่บูธทันที พี่ซางมินเหมือนจะหน้าเหวอหน่อย ๆ แต่ก็ยอมตามผมมา

“สมัครครับ” ผมพูดเสียงดัง (ไฟแค้นกูมันแรง) พี่คนที่นั่งรับลงชื่อเงยหน้าขึ้นมอง

“คู่ล่ะค่ะ”

“อยู่นี่ครับ” ผมลากรุ่นพี่มายืนอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายมองพี่สาขาผมด้วยดวงตาที่หวานหยดย้อย เฮ้ย เจ๊ ผมมาสมัครนะ ไม่ใช่มาให้เจ๊ลวนลามพี่โผ๊มมมมม!!!!

เป็นอันว่าต้องกระแอมถึง 3 ครั้งกว่าเจ๊แกจะรู้สึกตัวและเขียนรายชื่อลงไปยังใบสมัคร ทั้งผมและรุ่นพี่เดินไปยังทางขึ้นเวที ด้านหน้าของผมเหลืออีกเพียงคู่เดียวเท่านั้น ผมบีบมือตัวเองแน่นด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้หัวสมองเริ่มที่จะสำเนียกว่า กูทำอารายลงปายเนี๊ยยยยย~~~~~

แต่ถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วสินะ T.T

คู่ที่อยู่บนเวทีลงไปอย่างรวดเร็วเพราะความเขินอีกนั่นแหละ ป๊อกกี้หักกลางแท่งเลยครับ แล้วแบบนี้มันจะไปชนะได้ยังไงวะ ตอนนี้คู่ที่อยู่ข้างหน้าผมขึ้นไปบนเวทีแล้ว ผมมองไปยังบูธรับสมัคร อาเจ๊หน้าหื่นคนนั้นยกป้ายขึ้นมาปิดด้านหน้าโต๊ะว่า ‘ปิดรับสมัคร’ งี้ก็หมายความว่า คู่ของผมเป็นคู่สุดท้ายใช่มะ???

โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคคคคค ได้ข่าวมาว่าคู่สุดท้ายมันมักจะมีอะไรที่เซอร์ไพร์เสมอ (เหรอ?)

“ไม่เป็นไรนะ” เสียงรุ่นพี่ดังอยู่ข้างหู ผมหันไปตามเสียง เป็นอันต้องถอยตัวออกมาอย่างรวดเร็ว แบบว่ามันใกล้เกิ๊นนนนน อย่ามาทำให้เขินตอนนี้สิครับ เดี๋ยวสติผมก็แตกหรอก TwT

“ตื่นเต้นนิดหน่อยครับ” ผมบอกรุ่นพี่เสียงสั่น รุ่นพี่ยิ้ม

“ถ้าต้องสัมผัสกันจริง ๆ จะว่าอะไรไหม”

=[]=!!!!!! นี่กะจะเอาให้ชนะใช่ไหมครับ ผมได้ข่าวว่ารุ่นพี่เป็นลูกครึ่งนะครับ อยากจะบินไปกลับกรุงเทพเกาหลีเมื่อไรก็ได้ นึกว่าจะเล่นขำ ๆ ซะอีก

“อ่ะ....เอ่อ....”

“ถ้าลำบากก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะพยายามไม่ให้โดนก็แล้วกัน” พูดแบบนี้เป็นการบอกอ้อม ๆ ว่าให้ผมอยู่นิ่ง ๆ แล้วรุ่นพี่จะคุมเกมเองใช่ไหมครับ อืมมมมมมมมม ก็ได้ เพราะยังไงผมก็คิดว่า ผมอยู่นิ่ง ๆ แล้วหลับตามันจะง่ายกว่าที่ต้องมาเป็นฝ่ายกัดป๊อกกี้ แต่คำถามของรุ่นพี่นี่มัน..... ผมยกมือขึ้นลูบริมฝีปากอีกรอบ เอาไงดีวะ ตั้งแต่พลาดจูบกับอีฟีวันนั้น ปากผมก็ไม่ได้แตะใครอีก แต่นี่.... เอ่อ.....

เฮ้อ~~~ ไหน ๆ ก็เสียจูบแรกไปแล้ว อีกซักครั้งมันจะเป็นไรไป =.=’ ดังนั้น ผมจึงตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าจะโดนก็โดนเหอะ ผมไม่ถือ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น

“เสียจูบแรกหรือยัง” แน่ะ จะถามผมทำไมล่ะเนี่ย

ผมส่ายหน้า อันนี้กูโกหกวะครับ

“อ่าาาาา ลำบากแย่เลยสินะ” ง่ะ รุ่นพี่อย่าทำเสียงแบบนั้นสิครับ

“แล้ว...แล้วรุ่นพี่ละครับ” กูจะถามทำไมเนี่ย อีกฝ่ายมองผม และเป็นผมเองที่ต้องหลบสายตา

“ยังไม่เสียเหมือนกัน” อ้าว เวรรรรร~~~~ ถ้าพี่จะตอบแบบนี้ สรุปว่า (เอาเรื่องที่ผมโกหก) นี่เราต่างก็ไม่เคยเสียจูบแรกใช่ไหมครับ จูบแรกของรุ่นพี่เป็นของผม และจูบแรกของผมก็เป็นของรุ่นพี่ (ถ้ายึดตามข้อมูลที่ผมโกหก)

อ๊าคคคคคคคคคคคคค (กลับมาที่ข้อมูลจริง) กูแค้นอีฟี กูแค้นมาก กลับบ้านไปกูจะไปนั่งถลกหนังมันออกมาต้ม แล้วโยนให้เป็ดกิน (?) ถ้า...ถ้า... ถ้าวันนั้นมึงไม่หันหน้ามานะ จูบแรกของกูก็จะต้องเป็นของรุ่นพี่ในวันนี้ แล้วทำม๊ายยยย~~~~!!!!

เกิดอาการสติแตกขึ้นในฉับพลัน หน้าผมเริ่มเครียดลง เครียดลงเรื่อย ๆ เมื่อเสียงของพิธีกรดังขึ้นมาว่า

จะถูกแล้ว~~ (เสียงพิธีกร)
ฮึก!!! (เสียงท่านผู้ชม)




อึ๋ยยย~~ (เสียงพิธีกร)
อ่าาาา (เสียงท่านผู้ชม)




แอร๊ยยยย~~~ (เสียงพิธีกร)
พรืดดดดด~~~ (เสียงท่านผู้ชมสูดลมหายใจ)




โอ๊ยยยย~~ (เสียงพิธีกร)
โอ๊ะ!!! (เสียงท่านผู้ชม)




ถูกแล้ววว~~ (เสียงพิธีกร)
เฮ้!!!!!!! (เสียงท่านผู้ชม)




เฮ้อ~~~....(เสียงกูเอง) ไม่ทราบว่าพวกคุณมึงจะส่งเสียงเพิ่มความกดดันให้ผมทำม๊ายยยยย~~ T_____T ฮือออออออออ คนดูกะพิธีกรอ่ะมันส์ แต่คนรอแข่งอย่างกูมันเครียดนะเว้ยเฮ้ยยยย!!!!!

มือของผมบีบกันแน่นด้วยความเครียด ตอนนี้พี่สาวพิธีกรบอกว่าเกมจบลงแล้ว และกำลังวัดความยาวกันอยู่ ใกล้แล้วสินะ อีกไม่กี่นาทีกูต้องไปเล่นเกมนั่นแล้วสินะ ทุกทีมีแต่ดู แล้วก็วิจารย์ รอบนี้สงสัยพี่แทจุนจะลงโทษที่กูแซวพี่แกในยูทูปละมั้ง (ได้ข่าวว่ากูแซวแรงซะด้วยสิ) ก็เลยบรรดาลให้กูเป็นผู้ร่วมแข่งขันเองซะเลย

ถ้าอาถรรพ์ท่านปาร์ค แทจุนจะแรว๊งขนาดนี้ ผมเหล่ตามองป้ายโปสเตอร์ที่เป็นรูปท่านพี่กำลังทำปากพอง ๆ แอ๊บแบ้ว ๆ .... T____T เห็นทีเสร็จงงานนี้ คงต้องเตรียมของไปขอขมาถึงเกาหลีแล้วล่ะมั้ง

แต่ว่านะ นึกถึงฉากพี่แทจุนเล่นแล้วสยิ๋วกิ๋ว จูบกันจริง ๆ เลยอ่ะ ถึงงั้นก็เถอะ พี่แทจุนเป็นเนตไอดอลนี่นา ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด ต่อให้พี่แกจะใส่เสื้อลงไปแช่ในอ่างจากุชชี่ (ขอเผาเหอะ) แฟนคลับก็ยังบอกว่าน่ารัก พอหันกลับมาดูตัวเอง =.=” เอ่อ.... หน้าหวานก็จริง แต่กูก็ไม่ได้มีแฟนคลับเหมือนพี่แทนะเว้ย!!!!

เริ่มสติแตกอีกรอบ

“ไบเซป” เสียงรุ่นพี่เอ่ยขึ้นครับ สงสัยจะเห็นผมเครียดมั้ง ผมเงยหน้าขึ้น เพื่อที่จะมองรุ่นพี่ (รุ่นพี่ซางมินสูงกว่าผมครับ) และมันก็....

....จุ๊บ....

หือ???

o.o

O.o

o.O

O.O!!!!!

ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 15 ชัด ๆ 100%] [15.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 23:17:39
สำหรับวันที่ 15.10.12



 KO-JAP : ชัด ๆ
โหมด : ไบเซป

ขอรีรันอีกรอบ (กูปลื้มเกิ๊นนนนน)

“ไบเซป”... รุ่นพี่เรียก และผมก็เงยหน้า

...จุ๊บ...

ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เป็นผมที่ก้าวถอยหลังและยกมือขึ้นปิดปาก ตะกี้...ตะกี้มัน...เดี๋ยวนะ เฮ้ย!!! ตะกี้มัน...

“ร...ร...รุ่นพี่....รุ่นพี่ทำอะไรครับเนี่ย” ปากสั่นแล้วกู ปากสั่นของจริงเลยคราวนี้ รุ่นพี่ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มจนตาหยี ฮือออออ เห็นแล้วอยากจะละลายลงไปกองกับพื้น คนอะไรวะ เกิดมาแมร่งโคตรจะหน้าตาดี แถมยังสูง แล้วที่สำคัญ ยังมาจุ๊บกูอีก

แต่เดี๋ยว!!! ช้าก่อนนะท่าน....

จุ๊บ...

จุ๊บหรอ???...

ผมยกมือแตะปากตัวเองอีกรอบ แล้วถูไปถูมา

“เมื่อกี้รุ่นพี่จุ๊บผมใช่ไหมครับ” คำถามควาย ๆ อีกแล้ว T______T รุ่นพี่ซางมินยังคงยิ้ม แต่รอบนี้พยักหน้า

เฮือก!!!!!!!!









โหมด : ฟีนิกซ์
มันเป็นเพราะดวงตาของท่านศาสดาที่มีการมองการไกล ที่มีการมองไปยังอนาคต ที่มีการมองไปยังสถานการณ์ต่าง ๆ และท่านศาสดาก็ทรงมอบทรงผมสารพัดประโยชน์ให้แก่บรรดา HERESY....

‘โยกหัวของพวกคุณซะ!!!’ คำพูดของศาสดาที่ชอบพูดในคอนเสิร์ต มันยังติดหูผม ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น แต่ตอนนี้ HERESY อย่างฟีนิกซ์ได้รู้ซึ้งและเข้าใจถึงความหมายอันล้ำลึกของคำพูดนั้นแล้ว

กราบสวัสดีท่านผู้อ่าน 555555 ฟังผมเพ้อเป็นยังไงบ้างครับ ตอนนี้ผมและทวิตเตอร์กำลังอยู่แถวเกือบจะข้างหน้า เกือบที่จะคิดเวทีแล้ว แต่คิดว่าตรงนี้น่าจะมองเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องเงยหน้าให้ปวดคอ เห็นกันจะ ๆ เห็นกันชัด ๆ ก็จุดที่ผมยืนอยู่นี่แหละครับ

ผมจับให้ทวิตยืนอยู่ข้างหน้าผม และผมยืนอยู่ข้างหลัง เพราะผมสูงกว่า มือของผมจับไหล่ทวิตไว้ อีกฝ่ายก็กุมมือผมครับ

อบอุ่นชิบหายเลยมึง

ฝ่ามือของคนที่มีแนวความคิดด้านดนตรีเหมือนกันเนี่ย ช่างอบอุ่น ไม่เหมือนใครบางคนหรอก ที่ต่อให้ผมนั่งนอนทอดกายอยู่บ้านมัน ความอบอุ่นที่ได้รับก็ไม่สามารถนำมาเทียบกับฝ่ามือเล็กนี้ได้

จะขอกล่าวถึงขั้นตอนการเบียดเสียดเข้ามายังจุดนี้นิดนึงนะครับ หลังจากที่พวกผมออกมาจากร้านเค๊กแล้วก็มุ่งตรงมายังอีเว้นท์นี้ทันที ตอนนั้นคนเริ่มเยอะ และเริ่มที่จะเบียดยากขึ้นเรื่อย ๆ อันตัวผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะมันเกี่ยวกับเกาหลี (อีกแล้ว) ยิ่งมองป้ายโปสเตอร์แล้วแทบจะแหวะออกมา

เฮ้ย นั่นมึงผู้ชายหรือเปล่าน่ะ ถ่ายรูปจะแอ๊บแบ้วไปไหนมิทราบ คิดว่าหล่อหรือไง มันไม่ได้หล่อซักนิดนะเว้ย เป็นผู้ชายมันต้องทำขรึม แมน ๆ สิวะ วุ้ย!!! เห็นแล้วเริ่มของขึ้น (ฮร๊าาาา) จะบอกไว้ให้ ถ้าถ่ายรูปแบบแมน ๆ ไม่เป็นนะ แนะนำให้ไปที่ 7-11 ที่ญี่ปุ่นแล้วไปกดดิจิโฟโต้วง Visual Kei แนวศาสดามาซักวงสองวง จากนั้นมึงก็เอามาเลียนแบบซะ แบบนั้นแหละ ที่จะเรียกว่าแมนของจริง (แต่อย่าเผลอไปกดดิจิโฟโต้ของวงแนวโอซาเระเคย์ล่ะ เพราะมันก็ไม่ค่อยต่างจากที่มึงแอ๊บเท่าไรนัก ฟีนิกซ์เตือนด้วยความหวังดี >.<)

ผมเชิดหน้าใส่ป้ายโปสเตอร์ศิลปินเกาหลีหน้าสวยคนนั้น (ตกลงมันเป็นศิลปินใช่มะ ไม่เคยจะเห็นผ่านลูกกะตาเลยแฮะ) กะว่าจะหาที่นั่งซักหน่อย แบบว่าขี้เกียจไปยืนเบียดเสียดกับคนอื่น แต่เป็นไอ้ทวิตเตอร์ที่มันยืนไม่ยอมไปไหน

“อยากดูใกล้ ๆ อ่ะ” ดูหน้ามันนี่อ้อนเต็มที่ครับ

“แต่ฟีไม่ค่อยชอบเกาหลีเท่าไร”

“ง่ะ...งั้นเหรอ Y.Y” แล้วมันก็ทำหน้าละห้อยเหมือนหมาถูกทิ้ง เฮ้ย อย่านะ ฟีนิกซ์ยิ่งเป็นโรคแพ้น้ำตาอยู่ด้วย กรี๊ดดดดดด ทำตัวไม่ถูก เจอคนน่ารักจู่โจม(?) และเป็นผมเองที่จับมือมันแล้วลากเข้าไปในดงอีเว้นท์(เกาหลี)นั่น

ขั้นตอนการเบียดเสียดไม่มีอะไรยุ่งยากครับ อันดับแรก ไปยืนอยู่แถวหลังสุด ณ. จุดนี้คนจะไม่ค่อยมีการรวมตัวกันแน่นเท่าไร เพราะฉะนั้น เราสามารถพูดว่า ‘ขอโทษครับ’ แล้วเบียดไปอย่างหน้าด้าน ๆ ได้ แต่พอใกล้เวทีเมื่อไร จะเริ่มมีการแออัดมากขึ้นเรื่อย ๆ วิธีที่พูดว่าขอโทษครับ แล้วแทรกเข้าไปนั้นเริ่มที่จะใช้ไม่ได้ผล งานนี้จึงต้องพึ่งทรงผมที่ศาสดาประทานมาให้ ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่ทำท่าเอียงคอไปซ้ายที ขวาที โยกหน้า โยกหลัง บุคคลที่อยู่ในรัสมีที่หนามบนหัวสามารถทิ่งแทงได้จะเริ่มหันมามอง

ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกฝ่ายจะรำคาญและเริ่มถอยหนี จากนั้นเราก็เข้าเสียบแทนที่ทันที 55555 เป็นยังไงครับ วิธีนี้ใช้ได้ผลเหลือหลาย ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนทั้งผมและทวิตได้ตำแหน่งยืนที่พอใจแล้วจึงเลิกนิสัยเลว ๆ แบบนั้น (เข้าใจอยู่ว่าตัวเองเลว =.=X)

เวทีนี้เห็นชัดครับ ผู้เข้าแข่งขันก็เห็นชัดหมดรอบด้านว่าทำอะไรกัน เกมนี่มันสุด ๆ จริง ๆ สงสารคนเล่นชิบหาย อันพิธีกรและท่านผู้ชมอ่ะ สนุกครับ ลุ้นแทบตาย แต่คนเล่นนี่ถ้าจะไม่ไหวและ บางคู่แท่งป๊อกกี้หักกลางแท่งเลยครับ ไม่ต้องไปวัดความยาวให้มันเสียเวลา เพราะไงก็ตกรอบแน่ ๆ

ผมดูไปก็ขำไป

แมร่ง ไอ้พวกนี้ ไม่ชัวร์แล้วจะขึ้นมาเล่นให้ขายหน้าทำไมวะ 5555 ตอนนี้ผมกำลังดูพิธีกรพูดแนะนำคู่สุดท้ายอยู่ครับ เออ สุดท้ายแล้วก็ดี กูยืนจนปวดน่องหมดแล้วเนี่ย

“เอาล่ะค่ะ มาถึงคู่สุดท้ายกันแล้ว....” พิธีกรหน้าตาแนวเกาเหลาเอ่ยขึ้น (ห่านี่ มหาลัยเกาหลีหรือไงวะ =.=”) “โอ๊ะ! โอ” ส่งเสียงให้น่าตื่นเต้นสินะมึง “คู่สุดท้ายนี่เป็นชาย กับ ชายค่ะท่านผู้โช๊มมมมมมมม~~~~” พอยัยเกาเหลาพูดจบ เสียงเฮก็ดังลั่นศูนย์อาหาร กูว่านะ นอกจากจะเป็นมหาลัยแห่งประเทศเกาหลีแล้ว ยังเป็นมหาลัยที่รวมพวกวาย ๆ ยาโอยมาอยู่ด้วยกันอีกตางหาก!!!

อ่าาาาา ประเทศไทยจงเจริญ

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาพบกับผู้เข้าแข่งขันคู่สุดท้ายได้เลยค่าาาา” ยัยพิธีกรจมูกพลาสติก (คิดว่านะ) เอ่ยหน้าตายิ้มแย้มพลางวาดมือไปที่หลังเวที ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนก้าวขึ้นมา และนั่นทำเอาผมแทบช็อค








โหมด : ทวิต
มือของฟีนิกซ์ที่กำไหล่ผมนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับมือผมที่กุมมือเขา ก็จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้ไงเล่า!!! บนเวทีนั้นมันไอ้ไบเซปชัด ๆ ไบเซปของแท้และแน่นอน ไอ้บ้านั่นมันขึ้นไปเล่นเกมแบบนี้ได้ยังไงนะ แถมคู่มันยังเป็นผู้ชาย!!!!!

ดังที่ทวิตเคยกล่าวไว้เมื่อตอนต้น ๆ ของนิยายเรื่องนี้ ไอ้ไบเซปกำลังนีวเจเนอเรชั่น ต...แต่ว่า...แต่ว่า

มันจะไวไฟไปไหมครับ????? =[]=!!!!!

พิธีกรถามชื่อพอเป็นพิธี แต่รู้สึกว่าจะสนใจคู่นี้เป็นพิเศษ เพราะคนนึงหล่อลาก และอีกคนหน้าหวานชนิดน้ำตาลเรียกพี่

“ไบเซปฮะ” =.=” พอมันพูดจบเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้น (แล้วจะพูด ‘ฮะ’ ทำไมเนี่ย)

“ซางมินครับ” รอบนี้เสียงกรี๊ดดังกว่ารอบแรก คนที่ชื่อซางมินโบกมือให้กับท่านผู้ชมข้างล่าง มีหลายคนโบกตอบ อ่าาาา ไอดอลกับแฟนคลับหรือไงเนี่ย

“อยู่มนุษยศาสตร์ สาขาเกาหลีครับ” ไอ้ไบตอบอีกเมื่อพิธีกรสาวสวยถาม คราวนี้พวกมนุษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างส่งเสียงเชียร์ (แล้วศึกษาศาสตร์อย่างผมก็ต้องหัวหด T____T)

“อีกคนล่ะค่ะ” พูดพลางยื่นไมค์ให้คนที่ชื่อซางมิน

“มนุษยศาสตร์ เกาหลีเหมือนกันครับ ผมอยู่ปี 3 น้องเขาอยู่ปี 2” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาในบรรดล

“โอ๊วววววววววว พี่สาขากับน้องสาขาสินะค่ะ” พิธีกรพูดยิ้ม ๆ ไอ้ไบเซปยืนกุมเป้าพยักหน้า นั่นท่าอะไรของนายเนี่ย เชิด ๆ หน่อยสิคร้าบบบบบบบบบบบบบ (ทวิตเชียร์อยู่นะ) ทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ นายดูคนข้าง ๆ นายสิ รุ่นพี่ซางมินของนายอ่ะ พี่เขาฉีกยิ้ม โบกไม้โบกมือ นายเห็นไหมนั่นน่ะ =.=’

ผมรู้สึกขัดหูขัดตากับท่าทางแปลก ๆ ของไอ้ไบเซป เจอมันที่บ้านไม่เห็นจะหัวหดเขินอายอะไรแบบนี้เลยนินา อีกอย่างเห็นว่าตอนนี้ก็อยู่กับคนหล่อ ผมเหลือบมองอีกคนที่กำลังบีบไหล่ผมแน่น สายตาของฟีนิกซ์น่ากลัวมากครับ มันจ้องตรงไปที่เวทีแบบไม่กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ขนของผมลุกซู่จนสัมผัสได้(?) เห็นดังนั้นผมจึงละสายตาจากอีกคนแล้วหันไปมองเวที ที่ตอนนี้รุ่นพี่ซางมินถือไมค์ และไอ้ไบเซปยังคงยืนก้มหน้ากุมเป้าเหมือนเดิม เฮ้อ~~~ อนาทแท้ ทีตอนอยู่บ้านล่ะทำเป็นเก่ง พอเจอคนหล่อจริง ๆ เสือกหด ไอ้หอยเอ๊ย!!!!

“ผมรู้สึกว่ารุ่นน้องผมกำลังเขินอยู่นะ” รุ่นพี่ซางมินพูดกลั๊วหัวเราะ เรื่องนี้เรียกเสียงฮาได้ทั่วทั้งบริเวณ และเป็นไอ้ไบอีกนั่นแหละที่ไม่ทำอะไรเลย ไม่ยิ้ม ไม่เงยหน้า นอกจากกุมเป้า ไอ้นี่นิ =.=’

“ถ้ารุ่นน้องเขินแบบนี้ผมก็เริ่มเกมไม่ได้นะครับ” รุ่นพี่ซางมินยังคงพูดอีก “เพราะงั้น ผมคิดว่าบางที ผมขอเวลาทำสมาธิกับรุ่นน้องซักแปปนะครับ” เกิดความเงียบพราะไม่เข้าใจในคำว่าทำสมาธิกับรุ่นน้อง รุ่นพี่ซางมินยื่นไมค์ให้พิธีกร แล้วเดินไปจับไหล่ไอ้ไบเซปที่ตอนนี้กำลังก้มหน้ากุมเป้าอยู่เหมือนเดิม แต่มันก็เงยหน้าแล้วแหละเพราะมันคงงงว่า รุ่นพี่หมายความว่ายังไง

และจังหวะนั้นก็...

...จุ๊บ...

=[]=!!!!!!

        งานเข้าแล้วล่ะมึง


_____

อธิบายหน่อยนะฮะ เกี่ยวกับการกด Digiphoto ที่ประเทศญี่ปุ่น
คือที่ 7-11 จะมีเครื่องกด Digiphoto ของศิลปิน โดยทางเว็บไซต์
ของต้นสังกัดจะประกาศรหัส Digiphoto ออกมา จากนั้นแฟนคลับ
ที่อยากได้รูปเซตนี้ ก็สามารถจดรหัสแล้วนำไปกดที่ตู้ที่ 7-11 ได้
จากนั้นก็จะได้รูปมาครับ ดู ๆ ไปเหมือน ๆ เครื่องล้างรูปอัตโนมัติอ่ะครับ

_____

ศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

Oshare Kei - http://bit.ly/He4efU (http://bit.ly/He4efU)
_____
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 16 ชั้นไม่ยอม!!!! 100%] [16.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 11-10-2012 23:54:41
สำหรับวันที่ 16.10.12


KO-JAP : ชั้นไม่ยอม!!!
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมช็อคครับ อยู่ตรงนี้มันเห็นชัด อยู่ตรงนี้มันเห็นทั้งหมดของเวที อยู่ตรงนี้มันอยู่กึ่งกลางพอดี และอยู่ตรงนี้มันแทงใจชิบหาย T.T เพราะทันทีที่ผู้เข้าแข่งขันทีมสุดท้ายโผล่หัวขึ้นมาบนเวทีก็เล่นเอาผมช็อคจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่บีบไหล่ไอ้ทวิตแน่น ไม่ใช่บีบและ ผมว่าผมจิกเล็บลงไปเลยล่ะ

โฮ๊คคคคคค!!!!!!! นี่มันอาร๊ายยยยยยยยยย

นอกจากจะพูดจาแทะโลมจูบที่เท่าไรของกูแล้ว (เอาตรง ๆ ไอ้ไบไม่ใช่จูบแรก แต่มันเป็นจูบล่าสุดของโผ๊มมมมมมมม!!!! *โวยวาย*) นี่มึงยังมาเล่นจูบมันต่อหน้ากู (และต่อหน้าประชาชี) อีก!!! งานนี้มีของขึ้นครับ (รู้สึกว่าอยู่กับไอ้นี่แล้วของขึ้นบ่อยมาก =0=)

อีไบนี่ก็เลวใช่ย่อย ทิ้งกูให้ตลอนอยู่กับเพื่อนมึงแล้วแมร่งหนีหายไปเข้าปฐมนิเทศ นี่คงเป็นการนิเทศของมึงใช่มะ? อันที่จริงมึงไม่ได้ไปเข้าคณะอะไรเลย แต่มึงกำลังจับผู้ชายมาเล่นเกมต๊อง ๆ เพื่อมาสนองความอยากของมึงใช่มะ!!!! ฮือออออออออออออออออออ เห็นฉากบาดตาแล้วอยากโยนระเบิดเข้ากลางเวทีให้ตายห่ากันให้หมดเลย

ถ้ามึงอยากมากนะ มึงบอกกูก็ได้ เดี๋ยวกูสนองให้ มึงไม่ต้องมาเกรงใจว่ามึงจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะยังไงกูก็ไม่ค่อยแคร์เรื่องเพศว่ามึงจะเพศอะไร แค่มีทางให้กูเข้าได้ก็พอ แต่นี่มึง...มึง...มรื๊งงงงงง~~~~ (คลั่งหนัก)

ไว้กูจะคิดบัญชีมึงตอนกลับบ้าน

ผมคิดอย่างเคียดแค้น สายตาจ้องไปที่เวทีราวกับจะแผดเผาให้มันสาแก่ใจ ตอนนี้ไอ้บ้าซางมินนั่นเรียกร้องหาเก้าอี้ เพราะมันอ้างว่ามันสูงมากเกินไป และอิไบมันเตี้ยถ้าจะยืนเล่นเกมมันไม่ถนัด หึ! เรื่องมากจริงนะมึง ชนะเกมนี่มึงจะได้ฟันอิไบหรือไงวะ

แต่ป่านนั้นทางผู้จัดอีเว้นก็ยังสรรหาเก้าอี้มาให้มัน ไอ้ไบเซปที่แรก ๆ ทำเป็นเขอะ ทำเป็นเขิน ตอนนี้เริ่มเดินว่อนทั่วเวทีแล้วครับ ไอ้มารยา T___T กูว่าแล้ว อันที่จริงมึงอยากจริง ๆ ด้วย มึงจะเห็นกูไหมว่าตอนนี้ต่อให้กูไม่ต้องเซตผม ผมกูมันก็จะตั้งด้วยพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้(?)

ซางมินกำลังจัดเก้าอี้ครับ โดยการหันด้านพนักพิงของเก้าอี้ชนกัน จากนั้นก็นั่งคล่อมเก้าอี้แล้วหันหน้าไปทางพนักพิง จินตนาการกันออกไหมนิ ผมก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงแล้ว โมโหมาก ฮือ ๆๆๆ ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันคู่สุดท้ายนั่งหันหน้าเข้าหากันแล้วครับ (ไม่อยากจะเอ่ยชื่อ) ทั้งพิธีกรทั้งท่านผู้ชมต่างก็เงียบเสียงราวกับรู้ว่าวินาทีต่อจากนี้มันต้องลุ้น

แล้วทีทำไมคู่อื่นพวกมึงเฮกันเสียงดังชิบหาย ไอ้พวกสองมาตรฐาน!!!!!!

ผมมองดูไอ้ไบที่หลับตาพริ้มคาบป๊อกกี้ไว้ในปาก ในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มที่จะกัดป๊อกกี้จนมันสั้นลงเรื่อย ๆ มือของไอ้รุ่นพี่ซางมินอะไรนั่นจับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของไอ้ไบ ส่วนไอ้คนที่มันยินยอมให้ถูกลวนลามเอื่อมมือไปจับไหล่อีกฝ่ายไว้เช่นกัน

ให้ตายสิ แทงใจกูเว้ยยยยยย!!!!!!

แล้วผมทำไงต่อครับ??? ไม่ได้ทำไรล่ะ จิกเล็บลงไหล่ไอ้ทวิตอย่างแรง งานนี้กูขอโทษมึงจริง ๆ แต่มีมึงนี่แหละนี่อยู่ใกล้ตัวกูที่สุดแล้ว T^T ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ แม้แต่เสียงแมลงหวี่แมลงวันจะบินมาซักตัวก็ไม่มี ราวกับโลกนี้เต็มใจให้ผู้เข้าแข่งขันคู่นี้ได้รู้ว่าโลกนี้มีเพียงพวกมึงสองคน....

แล้วกูก็อันตรธานหายไปสินะ ฮือออออออออออ เจ็บปวดอีกแล้ววววว!!!!!

ตอนนี้ไอ้ซางมิน (ไม่เรียกรุ่นพี่แล้ว) กัดมาจนจะถึงปากไอ้ไบแล้วครับ เสียงสูดหายใจรอบ ๆ เริ่มดังขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครเสนอหน้าพูดอะไรออกมา พิธีกรสาวที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ พูดเก่งเป็นต่อยหอย ตอนนี้กลับเงียบและจ้องมองดูอย่างตื่นเต้น

อีกนิดเดียวก็จะถูกปากไอ้ไบแล้ว อีกนิดเดียวมันก็จะมาซ้ำรอยริมฝีปากกู ไอ้ไบเริ่มเผยปากออกเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้กัดป๊อกกี้ได้ลึกขึ้น ถ้าสังเกตให้ดีไอ้ซางมินมันยิ้มครับ แถมยังเป็นยิ้มเลว ๆ อีกตางหาก ปากของซางมินเผยออกเช่นกัน และมันก็เสือกนั่งอยู่ฝั่งขวาของเวที คือ คนส่วนมากเท่าที่ผมดู AV มา เวลาจูบกันมันจะหันหน้าไปด้านขวามือครับ และงานนี้ก็เช่นกัน ตอนนี้ผมเห็นหมดทุกกระบวนท่าว่าไอ้ลูกครึ่งเกาหลีคนนี้ลวนลามริมฝีปากของไอ้ไบเซปยังไงบ้าง

เริ่มแรกเผยปากออก แล้วพอแตะกันนิดนึง มันก็ยกมือขึ้นประคองใบหน้าของไอ้ไบเซปไว้ ส่วนไอ้หอยหลอดนั่น รู้ว่าเขาจะจูบอยู่แล้วยังมีหน้ามาหลับตาแทนที่จะขัดขืน เห็นแล้วมันเคืองลูกกะตาจริง ๆ อยากจะไปจับแยกออก แต่กูก็เกรงใจ เพราะพวกมึงกำลังเล่นเกมกันอยู่ นี่กูต้องพยายามเข้าใจพวกมึงใช่ไหม ฮือออออออออออ

ผมยังคงทนดูหนังสดต่อไปเรื่อย ๆ ผมรู้แล้วว่าเกมนี้มันมีอะไรแอบแฝงแน่ ๆ พอไอ้รุ่นพี่ประคองใบหน้าของไอ้ไบเซป ริมฝีปากของซางมินก็ประกบเข้าไปทันที ไม่มีเสียงฮือฮา ไม่มีเสียงฟ้าร้อง(?) มีแต่เสียงที่ทุกคนรีบยกมือถือขึ้นมาแล้วรัวกดชัตเตอร์กันจ้าละหวั่นไม่เว้นแม้แต่ไอ้ทวิต

มันจูบกันอยู่ประมาณ 5 วิ ไอ้ซางมินก็ผละริมฝีปากออกและไอ้ห่าไบเซปก็ลืมตาขึ้นพร้อมทั้งแท่งป๊อกกี้ที่กัดเหลืออยู่จิ๊ดเดียวที่ฟันของมัน นี่พวกมึงเล่นกัดกันลึกขนาดนั้นเลยหรือไงวะ พิธีกรสาวรีบเอาถาดมารับแท่งป๊อกกี้จากปากไอ้ไบเซปแล้วเริ่มวัดความยาวครับ

“เฮือกกกกก!!!” เชี้ยและ หน้าสวยแต่ส่งเสียงเฮือกนี่มันขัดกันแปลก ๆ นะ “นอกจากจะหวานแหววแล้ว  ยังน่าตกใจด้วยค่ะท่านผู้โช๊มมมมมมมมมม” คราวเสียงเชียร์ต่าง ๆ เริ่มดังขึ้น ส่งสัยมันจะเก็บกดมานาน ไอ้ไบเซปหนีไปยืนแอบอยู่ด้านหลังไอ้ซางมิน โถ ๆๆๆๆๆ ไอ้ร้อยเล่มเกวียน =.+’ (ให้กูด่าหน่อยเหอะ กูแค้น)

“ผลออกมาแล้ว หนึ่งจุดสองเซ็นติเมตรค่าาาาาา” เสียงโห่ร้องยิ่งดังกว่าเก่าในเมื่อนี่คือสถิติใหม่ที่ดีที่สุดเท่าที่แข่งกันมา ทั้งไอ้ซางมินและไอ้เชี้ยไบเซปหันไปยิ้มให้กัน มือของพวกมันนี่สานกันแน่นราวกับคู่รักหวานแหววแห่งปี

หึ๋ย~~~!!!!

“แต่ว่านะค่ะ” เสียงเฮเงียบลงทันที =.+’ แล้วมึงจะมาแต่อะไรเนี่ย “ที่ภาคเหนือสถิติทำไว้ที่หนึ่งเซนติเม....”

เท่านั้นแหละ ผมไม่ปล่อยให้เจ๊พูดจบหรอก ผมรีบกระชากมือไอ้ทวิตยกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนเสียงดัง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไอ้ทวิตมองหน้าผม ประมาณว่า อะไรเนี่ยมึง แต่ผมไม่สนใจแล้วครับ เล่นทำแบบนี้ต่อหน้ากู กูหึงนะเว้ย ถึงมึงจะไม่ใช่แฟนกูก็เหอะ แต่มึงคือจูบล่าสุดของกูนะ

ทุกสายตามองมาที่ผม ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ตัวก่อเรื่องบนเวที

“ค...คะ?” พิธีกรสาวสวยทำหน้างง ผมเดินจับมือไอ้ทวิตแทรกฝ่าฝูงชนไปที่เวที

“หนึ่งเซนติเมตร” ผมพูด

“คะ?” เจ๊ยังคงทำหน้างงอีก หูหนวกหรือไงวะ

“ผมจะทำให้ดู หนึ่งเซนติเมตร” พูดพลางเหลือบตามองไอ้ไบเซปที่ตอนนี้อ้าปากหวอ หึ เป็นไงล่ะมึง มึงจูบคนอื่นได้ กูก็จูบได้เหมือนกัน

“แต่...แต่ตอนนี้ปิดรับสมัครแล้วนะค่ะ” อาเจ๊พิธีกรยังเถียงต่อ ให้ตายเถอะ อย่ามาพูดให้มันมานักได้ไหม อารมณ์กูยิ่งไม่ปกติอยู่

“ขอผมล่ะ แล้วผมจะทำให้ดู”

พิธีกรเดินไปพูดคุยกับทีมงานที่ด้านหลังเวที ผมยังคงจ้องไอ้ไบเซปอย่างหาเรื่อง พยายามจะบอกมันผ่านสายตาว่า มึงตายแน่ แต่อีกฝ่ายก็หลบสายตาผม แบบนี้มันเหมือนพวกที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ชัด ๆ ผมยังคงเบนสายตาต่อไปที่ไอ้ซางมิน หมอนั่นยืนแล้วส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่จะยื่นมือมาข้างล่างเวที สงสัยจะดึงผมขึ้นไปมั้ง

“เอาสิ หนึ่งเซนติเมตร” มันพูดครับ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ๊พิธีกรเดินมาประกาศว่าจะมีคู่พิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคู่

ผมจับมือกับซางมินแล้วกระชากมันให้ก้มลงมาในระดับสายตา

“ครับ หนึ่งเซนติเมตร”

หลังจากที่ปะทะคารมกันแค่ 2 ประโยคผมก็อุ้มไอ้ทวิตที่ทำตัวเงะงะขึ้นไปบนเวทีโดยที่มีซางมินช่วยดึงอีกแรง ส่วนตัวผมนั้นใช้พลังของตัวเอง

เด็กเจร็อคมีความสามารถพอ แค่ปีนขึ้นเวที กูไม่ต้องไปจับมือใคร
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 15 ชัด ๆ 100%] [15.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 12-10-2012 21:24:29
อ๊ากกกกกกกกกกกกก
อู๊ยยยยยยย หนูไบเลือกไม่ถูกเลยนะเนี่ย
ึอีกตั้ง 5 วันแหนะกว่าจะได้อ่านต่อ
T^T
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 15 ชัด ๆ 100%] [15.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 12-10-2012 22:54:35
ใจจุ จุใจ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 15 ชัด ๆ 100%] [15.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 15-10-2012 13:44:14
จะติดตามต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 15 ชัด ๆ 100%] [15.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 16-10-2012 21:00:39
 อ่านเต็มที่เลย o13 o13
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 17 เอาคืน 100%] [17.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 17-10-2012 16:59:07
 KO-JAP : เอาคืน
โหมด : ไบเซป

เป็นอันว่าตอนนี้ประกาศผลออกมาคือพวกผมทำได้หนึ่งจุดสองเซนติเมตร และก็เป็นสถิติใหม่ด้วย ทั้งผมและรุ่นพี่ซางมินส่งยิ้มให้กันด้วยความยินดี เพราะยังไงงานนี้ก็ชนะแน่ ๆ แถมยังได้จูบรุ่นพี่ด้วย อร๊างงงง~~~~ คาดว่าคนทั้งคณะต้องอิจฉาตาร้อน ไม่สิ อาจจะทั้งมหาลัยเลยก็ได้ แต่เสียใจด้วยนะพวกคุณเธอววว ผู้โชคดีคนนั้นคือกู 55555 (หัวเราะเลว)

ในช่วงที่ผมกำลังดีใจอย่างลิงโลด ชัยชนะกำลังจะเป็นของผมและรุ่นพี่ซางมิน มันก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น และกูเองก็ไม่เคยคาดถึงมันด้วย เพราะจู่ ๆ อีฟีนิกซ์ตัวแสบมันก็โผล่หน้าหล่อ ๆ พร้อมกับหัวหนาม ๆ ของมัน

อันโผล่มาคนเดียวกูไม่ว่า แต่ทำไมต้องมีอีแรดทวิตโผล่มาด้วยวะ =.=” กูชักเริ่มไม่มั่นใจในพวกมึงสองคนแล้วนะนิ ตกลงพวกมึงกำลังจะเป็นแฟนกัน หรือยังไง?

แถมยังมีหน้ามาพูดว่า หนึ่งเซนติเมตร

มึงจะบ้าเหรอ!!! ใช้มันสมองส่วนไหนคิดมิทราบ แค่กูกับรุ่นพี่ซางมิน หนึ่งจุดสองเซนติเมตรยังแทบจะแลกลิ้นกันอยู่แล้ว >.< อ่าาาาาาาา~~ พูดแล้วสยิ๋วครับ ฮ่า ๆ ของมึงหนึ่งเซนติเมตรนี่โคตรจะเพ้อฝันเลย (แต่ได้ยินข่าวมาว่าภาคเหนือก็ทำได้นี่หว่า)

ไอ้ฟีนิกซ์ถลึงตามองผมครับ สายตามันนี่แทบจะเผาผมให้ไหม้เป็นจุลได้เลยอ่ะ ไม่รู้ว่ามันจะจ้องอะไรผมนักหนา เฉกเช่นนั้นแล้ว กระผมจึงหาวิธีหนีสายตาแผดเผาคู่นั้นง่าย ๆ ด้วยการหลบสายตาแมร่งซะเลย 555555 แบบว่าถ้ายังเผลอมองอยู่แบบนี้ มีหวังจิตใจหวั่นไหวกันพอดี =[]=!!!!!

ไม่ได้ ไม่ได้ จะหวั่นไหวไปกับมันไม่ได้เด็ดขาด ไอ้หมอนี่มันสร้างปัญหาให้ผมตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ายันเวลา ณ ปัจจุบัน ดูท่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของมึงสินะอีฟี =.=”

ตอนนี้ทั้งไอ้ฟีนิกซ์และไอ้ทวิตยืนจ้องหน้ากันแล้วครับ พี่พิธีกรจับแท่งป๊อกกี้ไว้ ในขณะที่อีสองตัวนี้ใช้ปากคาบ ฟีนิกซ์เอามือไขว้หลังไว้ทั้งสองข้าง มันก้มลงเยอะพอสมควรครับ เพราะไอ้ทวิตมันเตี้ย (เตี้ยกว่าผมอีก) แล้วไอ้ทวิตก็จับไหล่ของฟีนิกซ์ไว้

เสียงกรี๊ดดังขึ้นไปตามระเบียบ สาบานว่าไอ้พวกคนดูนี่มันต้องเป็นหนุ่มวาย สาววายแน่ ๆ สายตาขวาง ๆ ของไอ้ฟีตวัดมองบรรดาท่านผู้ชม เล่นเอาเงียบไปตาม ๆ กัน ส่วนไอ้ทวิต ผมบอกได้เลยว่ามันตัวสั่นครับ

เหอะ!! นี่คงจะดีใจจนเนื้อเต้นเลยสินะ โถถถถถ ไอ้เพื่อนควายยยยยยยยยยยยย

ช่วงเวลาที่พิธีกรบอกว่าเริ่ม เสียงสูดลมหายใจเข้าก็ดังขึ้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียง คงเป็นเพราะกลัวสายตาของไอ้หนุ่มเจร็อค ผมจ้องไอ้สองคนนี้กัดป๊อกกี้กันคนละข้าง ในขณะที่พี่ซางมินยังคงยืนแอ๊บหล่อเหมือนเดิม แล้วทันใดนั้นครับ ไอ้ฟีนิกซ์มันนึกบ้าอะไรไม่รู้ มือที่มันไขว้กันไว้ด้านหลัง จู่ ๆ ก็ผละออกแล้วเอื้อมมาคว้าตัวไอ้ทวิตเข้าไปกอด!!!!

O^O~!!!!!!!!

ผมแทบจะพ่นไฟเผาไหม้ศูนย์อาหารให้มันรู้แล้วรู้รอด

แท่งป๊อกกี้จากที่มันขนานกับพื้นโลก ตอนนี้มันเฉียงขึ้นครับ ไอ้ทวิตก็ต้องเงยหน้าขึ้นไปเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้กัดลงมาได้ถนัด โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคค นี่มันฉากจูบกันชัด ๆ !!!! บรรดามือถือที่มีกล้อง ทั้งไอแพด ทั้งกาแลกซี่แท๊บ ต่างถูกยกขึ้นมาเพื่อที่จะบันทึกวีดีโอฉากนี้ไว้ คาดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังจากเกมนี้จบลง คลิปนี้จะต้องโผล่ว่อนอินเตอร์เนตแน่ ๆ

มันจะถูกอัพโหลดลง Youtube เป็นที่แรก จากนั้นก็จะเกิดปรากฏการณ์แชร์กระหน่ำซัมเมอร์เซล ไม่ว่าจะทั้ง Twitter, Google+ หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง Facebook!!! หลังจากนั้นยอด View ใน Youtube ก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างฉุดไม่อยู่ มันจะแซงหน้าบรรดา MV ของศิลปินเกาหลี ไม่เว้นแม้แต่สุดยอด Girl Group อย่าง Girls Generation ที่ MV เพลง Gee มียอด View สูงถึง 88 ล้านครั้ง!!!!

พอมันถล่มสาว ๆ Girls Gen เรียบร้อยแล้ว MV ต่อไปที่คลิปนี้มันจะไปถล่มก็คือ MV สุดฮอตของหนุ่มน้อยวัยละอ่อนอย่าง Justin Bieber ที่จะถูกถีบให้ตกจากอันดับ MV ที่มียอด View สูงที่สุดในโลก (MV เพลง Baby) แล้วคลิปตัวนี้ก็จะเข้าแทนที คนก็จะกด Like ให้มันมากกว่า MV ของพี่ PSY นั่นก็คือ GANGNAM STYLE!!!

และมันจะกลายเป็นตำนานบทใหม่แห่งเว็บไซต์ Youtube!!!! สื่อต่าง ๆ จะต้องตกตะลึงและวิ่งวุ่นสัมภาษณ์อีสองตัวนี้ ภายในเวลาไม่กี่นาที มันก็จะดังไปทั่วโลก ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก!!!

และเป็นผม ที่จะอันตรธานหายไป.....

เรื่องมันหน้าเศร้า.....

เฮือกกกกกกกกกกกกกก!!!!!! น..นี่...นี่กูจินตนาการบ้าบออะไรวะเนี่ยยยยย~~!!!!!



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด สงสัยจะโกรธจนเป็นบ้าแน่ ๆ (ไม่ยอมใช้คำว่าหึง เชอะ!!!) T_____T มันจะไปทำได้ไงกัน อีแค่คลิปคนจูบกันเฉย ๆ ขนาดหนัง AV ที่ว่าแรง ๆ ยอด View ยังไม่เท่าไรเลย (พูดยังกะรู้ดี)

กลับมา ณ.ปัจจุบัน (หลังจากจินตนาการไปไกล) ตอนนี้อีสองตัวนี้มันกอดกันอยู่ครับ ไม่สิ ต้องบอกว่า ไอ้ฟีนิกซ์กอดไอ้ทวิต ส่วนไอ้ทวิตก็เอามือเกาะไหล่แนบอก เบียดตัวเข้าหาอีกฝ่าย ฮืออออออออออออออออออออ (กูอยากจะร้องไห้เป็นภาษาเกาหลี)

ในช่วงเวลาที่แท่งป๊อกกี้มันสั้นลงเรื่อย ๆ ไอ้ทวิตเลิกกัดครับ มันแค่คาบไว้เฉย ๆ ส่วนไอ้คนคุมเกม เออ นั่นแหละ สายตามันจ้องไปที่ปากชมพู ๆ ของไอ้ทวิต เสียงเชียร์ยังคงเงียบ ต่อให้ปากมันจะชนกันแล้วก็ตาม ไม่ใช่แค่เสียงเชียร์ที่เงียบหรอกครับ แม้แต่เสียงผมเองก็ยังเงียบเลย T.T บทจูบ (ดูท่าจะเร้าร้อนพอตัว เพราะทั้งสองฝั่งมันเปิดปากเข้าหากันทั้งนั้น) กำลังบรรเลงไปเรื่อย ๆ ผมไม่เข้าใจว่ากะอีแค่กัดแท่งป๊อกกี้ให้สั้น พวกมึงจะจูบกันนานขนาดเกือบยี่สิบวิเลยหรือไง มึงเห็นใจกูหน่อยเถอะ กูที่ต้องยืนมองพวกมึงเนี่ย

แล้วเสียงครางของไอ้ทวิตก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่มันเอามือทุบไหล่ของอีกฝ่าย หายใจไม่ออกสินะมึง (q_p) ไอ้ฟีนิกซ์ผละริมฝีปากออก แท่งป๊อกกี้ติดปากมันมาครับ โอ๊ะ!!!!!! นี่มึงเล่นขนาดแลกป๊อกกี้กันในปากได้เลยเหรอเนี่ย!!!!!! อ๊าคคคคคคคคค มึงจะเทพไปไหน ฮือออออออออออออออ

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเมื่อเกมสุดสยิ๋วนี่จบลง ไม่ว่าจะทั้งท่านผู้ชม พิธีกรต่างก็มีสีหน้าที่สดใสและโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่นั่งลุ้นกันมากนาน (แต่กูนี่ดิ เครียดอย่างเห็นได้ชัด =.=”) พี่พิธีกรสาวยื่นถาดมารับป๊อกกี้จากปากไอ้ฟีนิกซ์ แต่ไม่ได้รับเปล่า ๆ นะครับ พี่แกยังทิ้งคำแซวที่เล่นเอาผมอยากจะเดินหนีจากอีเว้นท์นี้ทันที เพราะพี่สาวคนสวยพูดว่า ‘เห็นแล้วอยากเล่นด้วยอีกคนจัง’ อันทุกทีที่ไอ้ฟีเจอผู้หญิงหยอดคำหวานแบบนี้ มันต้องถลึงตามองชนิดที่เธอคนนั้นต้องหลอนไปสามชาติ แต่ทำไมรอบนี้มันเสือกยิ้มหวานละลายใจให้คุณเธอล่ะ???

ฮือออออออ อีฟี การกระทำของมึงมันทรมานใจกู มึงจะรับรู้ไหมเนี่ย T________T

ใช้เวลาการวัดความสั้นของแท่งป๊อกกี้ไม่นาน ผลประกาศก็ออกมาที่เล่นเอากรี๊ดกันลั่นศูนย์อาหารอย่างไม่เกรงใจคนที่ไม่รู้เรื่อง เพราะแท่งป๊อกกี้ที่สองตัวนี้มันกัดมีความยาวเพียงศูนย์จุดเก้าเซนติเมตร เรียกได้ว่าสถิติใหม่และสั้นที่สุด บทสรุปสุดท้ายคืออีพวกนั้นชนะไป และได้เป็นตัวแทนของภาคกลางที่จะไปแข่งในอีกสองเดือนข้างหน้า

รุ่นพี่ซางมินหันมามองผมยิ้ม ๆ พูดอย่างสบายอารมณ์ว่าแพ้แล้ว เอ่อ....ขอโทษนะครับ นั่นมันสีหน้าคนแพ้ของรุ่นพี่เหรอครับ รุ่นพี่พูดเหมือนเชียร์ให้มันชนะเลยอ่ะ ผมเพียงแค่ส่งเสียงอืมเบา ๆ แล้วรีบลงเวทีหนีหายเข้าฝูงชนอย่างรวดเร็ว

ทุกคนที่มาดูการแข่งขันต่างก็มุ่งเดินตรงไปแสดงความยินดีกับผู้ชนะ ในขณะที่ผู้แพ้อย่างผมต้องเดินคอตกออกมา น้ำตาผมมันคลออยู่ที่เบ้าตาอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรมากระทบนิดนึงนี่น้ำตาแตกแน่ ๆ

ผมร้องไห้ ไม่ใช่เพราะผมแพ้ ....

แต่ผมร้องไห้ เพราะผมเจ็บ.....

________

MV เพลง และศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

Gee - Girls Generation : http://bit.ly/HffOYj (http://bit.ly/HffOYj)

Baby - Justin Bieber : http://bit.ly/HcYH8d (http://bit.ly/HcYH8d)

GANGNUM STYLE - PSY : http://bit.ly/TuuBPt (http://bit.ly/TuuBPt)
_______
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 18 ทะเลาะ 100%] [18.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 19-10-2012 11:08:33
 KO-JAP : ทะเลาะ
โหมด : ฟีนิกซ์

แหมะ รสชาติของชัยชนะนี่มันช่างหอมหวานยิ่งนัก พอ ๆ กับตอนที่ผมหนีแม่เพื่อที่จะไปคอนเสิร์ตของศาสดาเลย แต่ผมคิดว่าครั้งนี้ผมรู้สึกดีกว่าที่หนีแม่อีกนะ ไม่ใช่ว่าผมรักศาสดาของผมน้อยลง แต่เป็นเพราะวันนี้ผมได้เอาคืนใครบางคนไงล่ะ หึหึ


หลังจากที่ประกาศผลออกมาว่าแท่งป๊อกกี้ที่ผมและไอ้ทวิตกัดนั้นมีความยาวเพียงศูนย์จุดเก้าเซนติเมตร และผมเป็นฝ่ายชนะ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้น ผมเหล่ตามองฝั่งตรงข้าม ไอ้ซางมินถือว่ารักษาสภาพรอยยิ้มขี้เล่นไว้ได้ แต่อีกคนนี่ท่าจะอาการหนักครับ เพราะทันทีที่ประกาศผลว่าคู่ของผมคือผู้ชนะ ไบเซปมันก็วิ่งแจ่นลงเวทีแล้วหายเข้าสู่ฝูงชน ตอนแรกที่เห็นผมก็คิดว่าจะวิ่งตามนะ แต่พอมองดูกองเชียร์ที่ยื่นมือจะจับแสดงความยินดี ผมก็คิดว่า อยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า ยังไม่อยากไปก่อดราม่ากับมัน เดี๋ยวจะอารมณ์เสียงเปล่า ๆ 

ตลอดเวลาแห่งการแสดงความยินดี มีหลายคนที่มาขอถ่ายรูปกับผม และผมก็เต็มใจครับ ไอ้ทวิตก็ยิ้มน้อย ๆ แต่ดูเหมือนมันลำบากใจแปลก ๆ ก็สมควรอยู่หรอก เพราะไบเซปก็เพื่อนมันนินา มาแย่งชัยชนะของเพื่อนนี่ก็ต้องคิดหนักเป็นธรรมดา แต่ผมไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นยังไง เพราะอันที่จริง มันก็หลอกผมไว้เหมือนกันแหละ อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องที่มันเสแสร้งว่าชอบเจร็อคนะครับ เท่าที่คุยกันมา ข้อมูลที่มันพูดบวกกับท่าทางนี้มันสวนกันชัด ๆ ผมที่มันเจร็อคฝังหัวทำไมจะแยกไม่ออกว่าคนไหนชอบจริง ๆ คนไหนชอบเล่น ๆ

แล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือตอนที่ผมเจอมันครั้งแรกที่บ้านไอ้ไบเซป ถ้าชอบเจร็อคจริง มึงจะไปทำห่าอะไรที่เกาหลี แล้วมึงจะซื้อแก้วน้ำลายศิลปินมาทำไม ไร้เหตุผลวะ หึหึ

หลังจากที่มีการถ่ายรูปและแสดงความยินดีกันมากพอแล้ว ทั้งผมและไอ้ทวิตก็ถูกทีมงานเรียกไปด้านหลังเวทีเพื่อกรอกรายละเอียด และนัดวันมาถ่ายทำวีทีอาร์ผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งเห็นบอกว่าทีมงานจะโทรไปนัดอีกที พร้อมทั้งบอกวันแข่งจริงที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า

พอเสร็จกิจจากทีมงาน ผมก็ขอตัวกลับ เพราะตอนนี้มันก็ใกล้จะมืดแล้ว (เสียเวลาเยอะกับไอ้นัดแนะการแข่งขันนี่แหละ แล้วไหนจะมีคนขอถ่ายรูป สัมภาษณ์ลงเว็บ บลา ๆ สารพัด) ตอนนี้ผมกำลังเดินบนถนนที่อีกประมาณห้าร้อยเมตรก็จะถึงบ้าน หูของผมยังคงยัดหูฟังเพื่อที่จะฟังเพลงของศาสดาเหมือนเดิม ดังที่บอกแหละครับ เพลงของศาสดาขับเคลื่อนชีวิตผม แต่ว่า ก็ไม่ได้มีเฉพาะเพลงของศาสดาเท่านั้นนะ วงเจร็อควงอื่นผมก็ฟัง แต่จะเน้นหนักไปที่เพลงของ the GazettE เท่านั้นเอง

เท้าของผมก้าวมาจนถึงหน้าบ้าน ตอนนี้ไฟในตัวบ้านเปิดอยู่เพียงจุดเดียว นั่นคือที่ห้องรับแขก และมันก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากไอ้ไบเซป ผมเดาได้เลยว่าตอนนี้มันคงกำลังเปิดเพลงเกาหลี ศิลปินของมันอยู่แน่ ๆ เฮ้อ~ นี่ผมต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย =.=” คิดได้ดังนั้นจึงเร่งเสียง iPod ให้ดังขึ้นกว่าเดิม จะบอกว่าเครื่อง iPhone แบตหมดครับ T.T เลยต้องเอา iPod มาฟังเพลงแทน

ผมไขประตูบ้านเข้าไปครับ สิ่งแรกที่แปลกเลยก็คือ ไม่มีเสียงเพลงเกาหลีดังเข้ามากระแทกหูผมแต่อย่างใด ทั้งบ้านเงียบกริบ ผมค่อย ๆ ปิดประตู รู้สึกราวกับกำลังอยู่ในบ้านผีสิงยังไงยังงั้น ผมมองไปที่ห้องนั่งเล่น ทีวีเปิดอยู่ครับ แต่ไม่มีเสียง =.=’ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ผมเดินไปที่บันไดเพื่อที่จะขึ้นชั้นบนและเข้าห้อง แต่เสียงไอ้ไบเซปก็ดังขั้น เล่นเอาผมสะดุ้ง

“ไปไหนมา” เสียงมันให้ความรู้สึกราวกับแม่กำลังจับผิดลูกว่าหนีเที่ยว

“กูคุยรายละเอียดการแข่งขันอยู่” บอกมันตามความจริง แต่ก็มีเพียงแค่เสียงหัวเราะแกมประชดตอบกลับมา

“คงจะถูกใจมึงมากสินะ” ผมขมวดคิ้ว และเป็นมันที่โผล่หัวลุกขึ้นนั่งจากโซฟาตัวยาวห้องรับแขก ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะขึ้นห้อง แต่ตอนนี้ไม่ขึ้นและ เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมันว๊อนที่จะก่อดราม่า เออ อยากมากนักเดี๋ยวจัดให้

“เรื่องอะไรของมึงอีกนิ” ผมถามกลับ พลางปลดหูฟังออก ไม่อยากจะฟังเพลงศาสดาทั้ง ๆ ที่ดราม่า เดี๋ยวมันจะเป็นการไม่ให้เกียรติ

อีกฝ่ายมองผมอย่างหาเรื่อง และผมไม่ชอบที่มันมองแบบนี้เลย

“จูบกันกับไอ้ทวิตแล้วเป็นไงล่ะ ชอบมันล่ะสิ ถ้าชอบมึงบอกกูก็ได้ เดี๋ยวกูจะจัดให้มึงได้ฟันมันซักคืน” ไอ้ไบเซปพูดพลางสะบัดหน้าแล้วหันไปปิดทีวีที่มันเปิดทิ้งไว้ ผมหน้าชาทันทีที่ประโยคนี้กระแทกเข้าหู ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะไม่คิดอะไรมาก แต่ถ้ามาพูดตอนที่อารมณ์ผมขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้ก็มีโอกาสจุดชนวนระเบิดได้เยอะเหมือนกัน ยิ่งเอาผมไปเทียบกับไอ้คนโกหกอย่างทวิตด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธ

ขาผมก้าวเข้าไปยังห้องรับแขก ในขณะที่อีกคนจงใจเดินกระแทกไหล่ผม แต่มีหรือที่ผมจะยอม ในเมื่อจุดประเด็นขึ้นมาแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องเอามันให้เคลียครับ ผมคว้าแขนมันไว้

“ปล่อยกู” มันพูดพลางสะบัด ผมกระชากมันเข้ามาใกล้แล้วเหวี่ยงมันติดฝาผนัง ผมตามไปอย่างรวดเร็วแล้วเอาแขนกันมันไว้ทั้งสองข้าง เอาซี่ ถ้าวันนี้ไม่เคลียกูไม่ยอมปล่อยมึงไปไหนแน่ ๆ

“มึงเป็นอะไรของมึงวะ!!!” ผมตะโกนใส่หน้ามัน ในขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องผมอย่างไม่ยอมแพ้

“วันนี้มึงทำอะไรมึงน่าจะรู้ดีนะ” ไอ้ควายยยยยยย มึงจะมาดราม่าเรื่องเกมห่าเหวอะไรนั่นใช่ไหม ถ้ามึงจะดราม่า กูแนะนำให้มึงไปนั่งทบทวนว่าใครมันเริ่มก่อน

“แล้วกูทำอะไร?” ผมถามมันทั้ง ๆ ที่พอจะรู้เรื่องอยู่แล้ว

“เลววววววว” มันพูดใส่หน้าผมครับ ผมใช้มือข้างหนึ่งจับคอมันไว้

“อย่ามาพูดแบบนี้กับกู” ผมพูดเบา ๆ แต่กะให้มันได้ยิน

“ทำไมล่ะ แทงใจมึงล่ะสิ”

“มึงต้องการจะสื่ออะไรไอ้ไบเซป มึงพูดให้มันชัด ๆ ก่อนที่กูจะขย่ำมึงตรงนี้” ผมเตือนมัน อีกฝ่ายปัดมือผมที่จับคอออก จู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา และนั่นทำให้หัวใจผมกระตุกวูบ

“ต้องการจะสื่ออะไร ถามออกมาได้ ไอ้คนเฮงซวย!!! มึงรู้ไหม วันนี้กูตามหามึงรอบมหาลัย กูเหนื่อยแทบตาย รถกูก็ไม่ได้ขับไป กูต้องเดินเข้าคณะนู้นออกคณะนี้ มึงเข้าใจกูไหม!!!!” เมื่อมันพูดออกมา เป็นผมที่ค้าง มือผมที่ยันผนังไว้ปล่อยลู่ลงข้างตัว น้ำตาของมันไหลอาบแก้ม ไอ้ไบพูดไปสะอื้นไปครับ แต่มันไม่ยอมเช็ดน้ำตา

“แล้วเป็นไง สุดท้าย กูมาเจอมึงนั่งแดกอะไรก็ไม่รู้อยู่ในร้านเค๊ก พวกมึงสนุกสนานในขณะที่กูตาเหลือกหามึง กูโทรหามึงก็ไม่รับ มันบอกให้กูฝากข้อความ พอกูฝาก มึงก็ไม่โทรกลับมา สัส!! แล้วแบบนี้กูผิดไหม!!!” ทุกคำด่าของมันกระแทกเข้าหัวผมเต็ม ๆ และนั่นทำให้ผมเริ่มที่จะสำนึก แต่อันที่จริงผมก็คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ผิดนะ อันเรื่องโทรศัพท์นั่นเพราะมือถือผมแบตหมด แล้วถ้ามันจะฉลาดขึ้นมาซักนิด มันมาโพสหน้า wall ของผมใน Facebook ก็ได้ เพราะยังไง ผมก็ยังมี iPod สำรองไว้อีกเครื่องอยู่แล้ว เพราะงั้น เมื่อมองจริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าผมไม่ผิดนะ และผมคงไม่ยอมให้มันมาด่าผมฝ่ายเดียวด้วย

“มึงบอกแต่ว่ากูผิด กูผิดแล้วมึงเคยหันกลับไปมองตัวเองบ้างไหม” ผมตะโกนกลับไป ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ “เป็นมึงไม่ใช่เหรอที่ปล่อยกูอ่ะ เป็นมึงไม่ใช่เหรอที่ทิ้งกูแล้วไปเข้าปฐมนิเทศ เป็นมึงไม่ใช่เหรอที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นไปบนเวที ไปเล่นเกม ไปปล่อยให้คนอื่นจูบ แล้วทีกูทำบ้างเสือกมาด่ากู!!!” สาบานว่ารอบนี้ของขึ้นจริง ๆ ครับ หลายอย่างที่มันทำเริ่มที่จะก่อให้ผมโมโห ผมกระชากมือมันแล้วลากให้ไปที่โซฟา ผมผลักมันลง ในขณะที่ผมนั่งอีกตัวที่อยู่ใกล้ ๆ

“โอ๊ยยย!!!” เสียงมันร้องขึ้น

“อย่ามากระแดะ ถ้าวันนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง มึงไม่ต้องลุกไปไหนทั้งนั้น” ผมขู่มัน อีกฝ่ายทำท่ากระฟัดกระเฟียด แต่ก็ยอมนั่งโดยดี ปากมันทำขมุบขมิบบ่นไปเรื่อย น้ำตาจากที่ไหลราวกับเขื่อนแตกเมื่อครู่ ตอนนี้กลับแห้งซะอย่างงั้น เปลี่ยนอารมณ์ไวจริงนะมึง =.=”

ผมมองมันด้วยสายตาที่อ่อนลง ช่วงเวลาแห่งความเงียบช่วยให้ผมได้คิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งตอนที่มันขึ้นไปเล่นเกมบนเวที ทั้งตอนที่มันด่าผมเมื่อตะกี้ และเมื่อเอาอะไรหลาย ๆ อย่างมาสรุปรวมกัน ผมว่านะ ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วล่ะว่าไอ้ที่มันทำไปทั้งหมดนั่นเพราะมันหึง ใช่แล้ว ไอ้อาการแบบนี้แหละ หึงชัด ๆ


โธ่เอ๊ย!!! ไอ้บ้า!!! จะหึงกูทั้งทียังมีแอ๊บเรียกน้ำตา

ผมลอบยิ้ม

______

ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

the GazettE [Japan] : http://bit.ly/GX88v4 (http://bit.ly/GX88v4)
______
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 19 จับผิด 100%] [19.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 19-10-2012 11:10:25
 KO-JAP : จับผิด
โหมด : ไบเซป

แรก ๆ ผมก็ดราม่าได้สมกับที่ตั้งใจไว้ แต่หลัง ๆ ชักหลุดครับ ยิ่งตอนที่มันเหวี่ยงผมเข้าผนังนี่หลุดเยอะมาก เพราะกลัวว่ามันจะทำมิดีมิร้าย พยายามด่ามันด้วยคำแรง ๆ แต่พอแมร่งสวนกลับ ผมนี่แทบอึ้ง เพราะมันพูดเรื่องจริงทุกประการ =[]=!!!! แล้วคนที่โมโห(แบบหลอก ๆ) จะไปไหนรอดวะ

ตอนแรกที่กลับมาบ้านก็อารมณ์เสียอยู่หรอก ภาพที่มันจูบกับไอ้ทวิตตามหลอกหลอนผมอยู่เป็นชั่วโมงเหมือนกัน แต่พอมาคิดดี ๆ ก็เป็นผมเองแหละที่เริ่มเรื่อง ปกติตามนิสัยของไอ้ฟีนิกซ์ ถ้าไม่มีใครแหย่มันก่อน มันก็จะเฉยสนใจแค่ชาบูศาสดาของมันอยู่คนเดียว เรียกได้ว่า ดีมาก็ดีกลับ ร้ายมา ก็ร้ายกลับประมาณนั้น

แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าช่วงเวลาที่ผมเล่นเกม มันก็ดันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หรือถ้ามันจะอยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะมาเล่นนี่นา ในเมื่อเกมนี่มันเป็นเกมที่ส่วนใหญ่เกาหลีจะเล่นกัน แล้วมันชอบเกาหลีซะเมื่อไรเล่า!!!! เรื่องนี้ผมคิดวนอยู่หลายตลบแล้ว ถ้าไม่แกล้งผมให้หึงเล่น ๆ ก็คงอยากจะทำให้ผมขายหน้ามั้ง (ผมคิดแบบนั้นนะ)

ตอนนี้ผมกำลังนั่งจ้องหน้ามันอยู่ครับ หลังจากที่ถูกมันเหวี่ยงลงโซฟาผมก็รีบเด้งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความหลอนว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นตามที่นักเขียนนิยายส่วนมากชอบเขียน แถมคนอ่านก็เชียร์กันเหลือเกิน ในฐานะที่ผมรับบทนายเอก งานนี้ไม่ปลอดภัยอย่างเห็นได้ชัด =[]=!!! เพราะงั้น รีบลุกขึ้นนั่งแหละ ถูกต้องที่สุดแล้ว

พวกเราจ้องหน้ากันอยู่นาน ความเงียบบวกกับความอึดอัดโรยตัวลงมาเรื่อย ๆ

“ว่าไงมึง” เป็นผมที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เลยเอ่ยขึ้นมา ไอ้ฟีนิกซ์ไม่พูดอะไร มันยังจ้องหน้าผมไปเรื่อย ๆ ห่านิ จ้องหาอะไรวะ กูยิ่งเขินอยู่ >///////<

“มึงจ้องอะไรนักหนาวะ” ผมพูดอีก รอบนี้ก้มหน้าลงมองหน้าตักตัวเอง อีกฝ่ายขยับอยู่บนโซฟา

“กูจ้องหน้าคนซึน” =.=” ดูมันพูด

“ซ...ซึน...ซึนอะไร” รอบนี้ผมพูดตะกุกตะกักครับ มั่นใจแล้วว่ามันจับได้แล้วแน่ ๆ

“หึหึ” เสียงหัวเราะสยองขวัญของมันดังขึ้นแล้วก็ตามมาด้วยเสียงลุกออกจากโซฟา ผมยังไม่เงยหน้ามองมันเพราะไม่กล้ามองสานสายตาคู่นั้น

“แมร่ง หึงกูก็บอกมาเหอะ” รอบนี้เสียงของมันอยู่ใกล้หูมาก ๆ ครับ แถมลมหายใจมันยังรดต้นคอผมอีกต่างหาก ทำให้ผมต้องยู่คอหนีด้วยความสยิว พร้อมทั้งผลักหน้ามันออกจากตัว

“กะ...กู...กูหึงที่ไหนกัน” ปากสั่นแล้วครับ ถูกจับได้เต็ม ๆ แบบนี้ไม่สั่นได้ไง ยิ่งตอนนี้แอ๊บหลุดแล้วด้วย ท..ทำไงดีวะ อ๊าคคคคคคคคคคคคค ต้องตีหน้าขรึมเข้าไว้ ต้องโกรธเข้าไว้ อ่าาาาา ใช่แล้ว ต้องโกรธครับ เช่นนั้นแล้ว ไอ้ไบเซปจึงแอ๊บหน้าขรึมอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่ามันอะไรยังไงนะ เพราะอีกฝ่ายมันไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางถึงความกลัวซักนิด นอกเสียจากรอยยิ้มที่มันส่งมาให้

ไอ้ฟีเดินกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนผมนั้นหน้าแดงไปถึงใบหู ป่านนั้นยังไม่ยอมแพ้ครับ ไบเซปคนนี้ยังคงแอ๊บขรึมต่อไป

“มึงหึงกูจริง ๆ นะ” =[]=!!! ให้ตายสิ มึงจะพูดคำนี้อีกกี่รอบวะ สาดดดดดดดดดดดด กูไม่อยากได้ยิน!

“มึงเอาอะไรมาพูดว่ากูหึงมึง มึงเป็นแฟนกูหรือไง” เออ ใช่แล้ว ตอบมันไปแบบนั้นแหละ

“ความรู้สึก”

“หือ?” ตอบสั้นแบบนั้นกูจะเข้าใจไหมวะ

“ความรู้สึกมันบอก มันบอกว่ามึงหึง แล้วก็หึงแรงด้วย” พูดจบมันก็ส่งยิ้ม เล่นเอาผมแทบจะละลายอยู่ตรงนั้น ฮืออออออออออ กูเกลียดรอยยิ้มมึง อีฟี กูเกลียดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!

“มั่ว!!!” ผมพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่จริง ความรู้สึกมึงผิดพลาดแล้ว กูไม่ได้หึงมึงเว้ยยยยยยย มึงไม่ใช่แฟนกูแล้วกูจะหึงมึงเพื่อ?” ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายมันนั่งตัวตรงแล้วบิดแขนไปทางซ้ายทีขวาที อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย

“เออ โอเค กูเข้าใจแล้ว” หลังจากที่บิดเสร็จมันก็กลับมานั่งเท้าคางมองผมต่อ “มึงไม่ได้หึงกู โอเคไหม”

“ช่ายยยย นั่นแหละ ถูกต้องที่สุ.......”


“แต่กูหึงมึง”

=[]=!!!!!!!!

ห...ห๋า????....ตะ...ตะกี้....ตะกี้มึงว่าไงนะ???? มึงหึงกู??? กะ...กู...กูยังพูดไม่จบประโยค มึงพูดสวนขึ้นมา เอาใหม่ดิ กูได้ยินไม่ชัด เอาใหม่ ขออีกรอบ เอาให้มันช้า ๆ ชัด ๆ เหมือนตอนที่มึงบอกกูว่ามึงแลกเปลี่ยนที่ศึกษาศาสตร์

“กูหึงมึง” มันพูดอีกรอบราวกับอ่านใจผมออก ห่านิ!!! มีญาณวิเศษหรือไงวะ ผมที่ตอนแรกค้างเพราะคิดว่าได้ยินผิด แต่รอบนี้มันเล่นพูดอีกครั้งครับ และเป็นผมที่ร้องเฮือกออกมา คือถ้าจินตนาการเสียง ‘เฮือก’ ของผมไม่ออก แนะนำให้ไปฟังเพลง WARRIOR ของ B.A.P ท่อนที่ Zelo แร๊ป เวลาประมาณนาทีที่ 1.47 นี่แหละ ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเป็นฉากที่ Zelo บีบคอตัวเองแล้วส่งเสียง ‘เฮือก’ อ่ะ แบบนั้นแหละ

“กูหึงมึงจริง ๆ นะ” ม..มึง...มึงไม่ต้องพูดบ่อยขนาดสามรอบก็ได้ แค่สองรอบกูก็ได้ยินแล้ว “กูแทบบ้าตอนที่ไอ้ซางมินจูบมึง” =.=” แล้วจะพูดถึงมันอีกทำไมวะ “จูบของกูอยู่บนปากมึง แต่มึงก็เสือกให้คนอื่นมาทับรอยกู” ผมยกมือขึ้นลูบริมฝีปากทันที “คือ...ถ้ากูไม่เห็น กูก็ไม่หึงหรอก แต่นี่มันเต็มตากู มึงเข้าใจมะ?” โฮ๊คคคคคคคคคคค ถ้ามึงจะพูดความจริงจนกูสำนึกขนาดนี้ ไปบวชเป็นพระในศาสนาคริสแล้วทำพิธีสารภาพบาปให้ชาวโลกเถอะมึง T.T

ใครบอกว่ากูไม่เข้าใจ กูน่ะโคตรจะเข้าใจเลยว่าหึงมันเป็นยังไง กูหึงมึงตั้งแต่อยู่กับไอ้ทวิตที่ร้านเค๊กแล้ว แต่กูไม่บอกไม่แสดงอาการเฉย ๆ เพราะกูคิดว่า ยังไงกูกับมึงก็ไม่ใช่แฟนกัน แล้วกูจะบอกจะแสดงอาการทำเพื่อ?

ผมยังคงนั่งเงียบเป็นเป่าสาก ส่วนไอ้ฟีก็ยังพูดเรื่อยเปื่อยของมันไม่หยุด

“ที่กูขึ้นไปบนเวทีเพราะกูอยากให้มึงรู้ว่าที่กูหึงมันเป็นยังไง แต่ดูเหมือนว่ามึงไม่ได้รับรู้อะไรเลยนิ มึงยังคงมองกูที่จูบกับคนอื่น มึงยังเฉย แต่จะว่าไป เป็นกูเองล่ะที่คิดไปเองว่ามึงจะหึง หึ!” แล้วมันก็ยิ้มเหมือนสมเพศตัวเอง เฮ้ย อย่ามาทำแบบนั้นสิวะ กูเจ็บไปด้วยนะเว้ย

“เอ่อ...กูขอโทษ” แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดขอโทษมันครับ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังมันพูดเรียกน้ำตาของผมอีกนานแน่ ๆ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ จบเรื่องแล้วขึ้นนอนซะ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว

“ไม่ทันแล้วล่ะ” แหนะ พูดเหมือนให้กูมีตราบาปซะงั้น

“งะ...งั้น...งั้นในเมื่อไม่ทันก็ไม่มีอะไรแล้วใช่มะ?” ผมถามมัน เพราะอยากจะหนีออกจากสถานการณ์อึดอัดนี่เต็มทน

“มี” ไอ้ควายนี่ จิตใจมึงจะไม่ปล่อยให้กูนอนใช่ไหม?

“รีบ ๆ พูดมาเซ่ ง่วงนอนนะเว้ย”

“กูบอกมึงตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถ้าคุยกันไม่รุ้เรื่อง มึงไม่ต้องลุกไปไหนทั้งนั้น”

“แล้วยังมีอะไรที่ยังไม่รู้เรื่องอีกวะ กูว่าตอนนี้กูก็รู้หมดแล้วนะ”

“มีอยู่เรื่องนึง” แล้วมันก็เว้นช่วงไปครับ ผมนี่ทนรอคำถามมันพลางนั่งขยุกขยิกอยู่บนโซฟาด้วยความอึดอัด “เอาจริง ๆ มึงหึงกูไหม”

0.0!!!! กูเชื่อแล้วว่ายังไงคืนนี้มึงก็คงจะเอาคำตอบจากกูให้ได้สินะ ไม่เว้ยยยยยยยย กูไม่ได้หึง ไม่สิ กูหึง แต่กูไม่มีสิทธิ์หึงมึง(ยังไง?) เพราะกูไม่ใช่แฟนมึง และมึงก็ไม่ใช่แฟนกู ไม่ใช่แฟนกันแล้วมันจะหึงกันได้ไงวะ มึงนี่เกิดอาการสับสนอะไรหรือเปล่า ไอ้บ้าเอ๊ย!!!!

“ไม่ได้หึง” ผมพูดออกไปอย่างรวดเร็วพลางลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าห้อง รู้ได้เลยว่าตอนที่ตอบออกไปนั้นเสียงสั่นราวกับคนไม่มั่นใจ มันเหมือนกับคนโกหก และก็นั่นแหละ ผมยอมรับ ผมโกหกจริง ๆ

อีกฝ่ายไม่ได้ตามเข้ามา ผมเดินไปที่เตียงช้า ๆ ตอนนี้หน้าผมร้อน ๆ แปลก ๆ คงจะเขินสินะ ไม่สิ ทำไมต้องเขินล่ะ ที่บอกไม่ได้แบบนี้มันควรจะเจ็บตางหาก จากนั้นตาของผมก็เริ่มร้อน และน้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาในที่สุด

อะไรวะ ไม่หึงนะ ไม่ได้หึงซะหน่อย ไม่ได้เป็นแฟนกัน เพราะงั้นหึงไม่ได้ หึงไม่ได้เด็ดขาด!!! ผมทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงกับเตียง เอาหน้าถูไถไปกับผ้าปูที่นอนเพื่อเช็ดคราบน้ำตา ผมเบนหน้าไปทางหน้าต่างของห้องที่ตอนนี้สภาพภายนอกนั้นมืดหมดแล้ว

ดึกแล้วล่ะ และมันก็มืดแล้วด้วย แต่มันยังคงมืดไม่เท่าจิตใจของผมตอนนี้หรอก...

ตกลงมันยังไงกันแน่นะ

ผมหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวราวกับดอกเห็ด

_____

ชื่อ MV และศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

WARRIOR - B.A.P : http://bit.ly/GXoxv9 (http://bit.ly/GXoxv9)

ศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

ซึน - มาจากคำว่า ซึนเดเระ ที่แปลว่า ปากไม่ตรงกับใจ
เป็นภาษาญี่ปุ่น ส่วนมากใช้ในวงการ Anime ครับ
______
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 19 จับผิด 100%] [19.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 19-10-2012 11:51:38
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 19 จับผิด 100%] [19.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 19-10-2012 12:48:48
^^
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 20 เช้าวันเสาร์ 100%] [20.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 22-10-2012 20:33:04
 KO-JAP : เช้าวันเสาร์
โหมด : ทวิต

เอ่อ...สวัสดีครับ!!! เอ๊ะ นี่ยังจำผมได้หรือเปล่า ทวิตครับ!!! หลังจากที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเพื่อนสุดเลิฟให้ปลอดภัยจากตัวอันตรายอย่างฟีนิกซ์ ผมก็วางแผนที่จะตีสนิทและทำให้ฟีนิกซ์แยกตัวออกห่างจากไบเซปให้ได้มากที่สุด อันดับแรกผมไปศึกษาประวัติเจร็อค และเราก็คุยกันสนุกสนานพอสมควร นั่นก็หมายความว่า แผนของผมมันไปได้สวยครับ

แต่ที่มันไม่สวยร้อยเปอร์เซ็นก็เพราะไอ้เกมป๊อกกี้นี่แหละครับ T.T ทำไมฟีนิกซ์ต้องใจร้ายดึงผมเข้าไปเล่นเกมนั่นด้วยนะ สายตาของไบเซปที่จ้องมองผมและฟีนิกซ์นั้นแทบจะฆ่าผมให้ตายได้เลยอ่ะ มันตามหลอกหลอนผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จนกระทั่งเช้านี้ที่เป็นเช้าวันเสาร์ผมยังเลิกหลอนไม่หาย

แล้วเจ้าฟีนิกซ์นั่นก็เหมือนกันครับ ไม่รู้ว่ามันแค้นอะไรนักหนา เล่นจูบซะผมแทบละลาย จูบมันรุนแรงมากครับ จนตื่นมาเช้านี้ผมพบว่าตัวเองปากเจ่อหน่อย ๆ =.=” แถมป๊อกกี้ที่อยู่ในปากผม ฟีนิกซ์ก็ยังสามารถสลับไปที่ปากของตัวเองได้

ไอ้นี่ขั้นเทพครับ

แล้วไงต่อ?

แล้วทีมพวกผมก็ชนะครับ ได้เป็นตัวแทนของภาคกลาง นี่ก็แสดงว่าผมต้องไปจูบกันกับฟีนิกซ์อีกรอบใช่ไหมฮะ???? โฮ๊คคคคคคคคคคคคค แค่จูบแรกก็ถือว่าสาหัสแล้ว เสียจูบแรกให้ไอ้หนุ่มเจร็อค!!!

ฮือออออออออออออออออ ทำไมผมไม่ได้เสียให้หนุ่มเกาหลีล่ะ ทำไมต้องเป็นหนุ่มเจร็อค???? ม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมชักจะรู้สึกว่างานนี้ไม่คุ้มซะแล้วสิครับ T_____________T






โหมด : ไบเซป
เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ครับ เพราะงั้น มหาวิทยาลัยหยุด ไม่มีเรียน!!! เฮ้!!!! แบบนี้ก็ไม่ต้องตื่นเช้าแล้วใช่มะ ฮ่า ๆๆๆ โอเค งั้นไม่ตื่น นอนต่อและนะ

ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหตุเพราะหน้าต่างมันไม่ได้ปิดตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้ตอนนี้แสงแดดยามเช้าส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาในห้อง =[]= เฮ้ย!!! มันแยงตานะเว้ย!! ผมพลิกตัวหนีแสงแดด ราวกับเป็นพระเอกในหนังเรื่องแวมไพร์ (ที่โดนแสงไม่ได้) มุดหน้าเข้ากับผ้าปูที่นอน ตานี่มันรู้สึกถึงคราบน้ำตาที่มันแห้งอยู่บนผิวหนัง ผมขยี้ตาตัวเอง คราบน้ำตามันหลุดออกมาเป็นกอบเป็นกำเลยครับ (เว่อร์)

แต่จะว่าไป เมื่อวานที่ทะเลาะ (จอมปลอม) กับไอ้ฟี ผมก็ขึ้นมานอนที่ห้อง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตามขึ้นมา แถมตอนนี้ผมยังนอนที่เตียงอีก อ้าว แล้วแบบนี้อีกฝ่ายมันจะไปนอนที่ไหนวะ?? เออ ช่างมันเหอะ มันคงจะหนีไปนอนห้องมันนั่นแหละ =[]=!!!!

....

หือ???

เหมือนลมหายใจเป่ารดหัวแปลก ๆ

ผมลืมตามขึ้นอย่างสลึมสลือ มือนี่ขยี้ดวงตาเช็ดคาบน้ำตาออก สายตาเริ่มปรับเข้าที่ครับ

หือ???

เหมือนลมหายใจเป่ารดหัวอีกแล้ว!!!

เงยหน้าขึ้นไปเพื่อหาสาเหตุ....

O[]O!!!!!!

ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก








โหมด : ฟีนิกซ์
เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ครับ เพราะงั้นมหาลัยหยุด ไม่มีเรียน!!! เฮ้อ~~~ ผมนั่งง่วงหงาวหาวนอนพลางเขี่ยไข่ดาวแบบเละ ๆ อยู่ในห้องครัว กินไข่กึ่งสุกกึ่งดิบแบบนี้เดี๋ยวได้ติดไข้หวัดนกตายกันพอดีี ผมเขี่ยไปเขี่ยมาอยู่สองสามรอบก่อนที่จะวางช้อนและส้อมลง

“แดกสิมึง” =.=” อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะขึ้นเสียงพลางมองผมด้วยสายตาอาฆาต

“มึงจะให้กูกินยังไงวะ เละแบบเนี่ย”

“กินแบบนั้นแหละ”

“มันไม่ถูกสุขอนามัยนะเว้ย”

“ก็มึงมันไม่เคยถูกสุขอนามัยอยู่แล้วนิ” ง่ะ นี่กะจะไม่ยอมกูจริง ๆ ใช่มะ อีแค่กูนอนใส่กางเกงในสีโคตรแรดของศาสดาแล้วกอดมึงไปด้วยนี่มันผิดมากหรือไงวะ ปากกูที่เลือดไหลซิบ ๆ นี่มันก็เพราะมึงทำเมื่อเช้าไม่เร๊อะ แล้วยังจะมาอารมณ์เสียใส่กูอีก

เดี๋ยวแม่จับดีฟซะเลยนิ (;^,...,^)

กราบเรียนท่านผู้อ่านที่รัก หากท่านใคร่รู้ว่าเมื่อเช้านั้นเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวกระผมฟีนิกซ์จะรับหน้าที่ เป็นไกต์พาทัวร์ความหลังเองครับ (^^) แรกเริ่มเดิมทีมันเกิดจากเมื่อไม่กี่สิบชั่วโมงก่อน ทั้งผมและไอ้ไบเซปทะเลาะกันครับ จากนั้นผมก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันยอมรับให้ได้ว่ามันหึงผม แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับ แถมยังสะบัดตูดหนีผมไปนอน เช่นนั้นแล้ว กระผมจึงนั่งเปิดทีวีดูซักพัก แล้วมันก็ไม่มีอะไรนอกเสียจากรายการและซีรี่ส์เกาหลี!!! (กูละเพลีย)

ผมเบื่อ ๆ เพราะไม่มีอะไรจะดู ก็เลยปิดทีวีแล้วตามมันขึ้นไปนอนอีกคน ซึ่งตอนนี้กระผมก็ยังไม่กลับห้องตัวเอง เพราะในห้องผมยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลี ดงเฮ ณ. Super Junior ยึดห้องอยู่ ดังนั้น ผมยังคงใช้ห้องไอ้ไบเซปเป็นที่ซุกหัวนอนต่อไป (ก็จนกว่ามันจะเอาศิลปินมันออกจากห้องผมนั่นแหละ)

หลังจากที่เปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่ผมเลยก็คือ ไอ้ตัวเล็กนอนคว่ำหน้าอยู่ที่เตียง ตอนแรกผมก็งง ๆ ว่ามึงจะมานอนห่าอะไรตรงนี้วะ ที่นอนมึงมันอยู่ตรงโน๊นนนนนนน อยู่ที่พื้นโน้นนนนนน~~~ กะว่าจะปลุกมันครับ แต่คิดไปคิดมา ปล่อยให้มันนอนเตียงบ้างก็ดี เป็นเจ้าของห้องแต่เสือกนอนพื้นมาเดือนกว่า ๆ นี่ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงปล่อยมันนอนอยู่ตรงนั้นส่วนผมก็หนีไปอาบน้ำ พอกลับออกมา ผมก็ใส่เพียงแค่กางเกงในสีโคตรแรดของท่านศาสดาตัวเดียว ก็ดังที่บอกตั้งแต่เริ่มแรก ไม่รู้เป็นไรนะ ผมน่ะ ชอบใส่กางเกงชั้นในนอน ผมคิดว่ามันสบายตัวดี ไม่ต้องมาอะไรเยอะแยะ นี่จะนอนนะเว้ย ไม่ใช่ไปเดินห้างอวดแฟชั่น แต่งตัวอะไรดีนักหนา

แต่คนที่มันนอนอยู่บนเตียงไม่คิดงั้นอาดิ วันแรก ๆ นี่เล่นอาละวาดบ้านแตก ทำเป็นรับไม่ได้ โถ ๆๆๆๆ เด็กน้อยเอ๊ย ผมคิดว่าอยู่กันไปเรื่อย ๆ มันจะชิน แต่จนป่านนี้มันก็ยังว่าผมโรคจิตอยู่เนือง ๆ =.=”

ผมล้มตัวลงนอนอีกฝั่งของเตียงในขณะที่เจ้าของห้องมันพลิกตัวนอนหงายแล้วเอาขามาพาดต้นขาผม

นั่น ไอ้นี่มันนอนดิ้นครับ ผมค่อย ๆ ยกขาของมันออก ป่านนั้นยังไม่วายส่งเสียงไม่พอใจ ไอ้ควายยยยยยยยยย นอนดิ้นระรานคนอื่นแล้วยังจะมาส่งเสียงอีก ผมจัดขามันให้เข้าที่ อีกฝ่ายพลิกตัวหันหน้ามาฝั่งผมครับ คราวนี้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะกันเลยทีเดียว

โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคค ถ้าอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของคนเรา มันต้องส่องตอนโนเมคหรือไม่ก็ตอนนอนหลับครับ แต่ไอ้นี่มัน....ไม่ว่าจะตอนไหนมึงก็หน้าหวาน หน้ารัก หน้าสวย สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฆ่ากูเถอะ ถ้ามึงจะสวยครบสูตรแบบนี้

แต่ว่านะ ตอนนี้หน้าตามันเปียกไปด้วยน้ำตา บางส่วนก็แห้งเป็นคราบ ยิ่งตามขนตางอน ๆ ของมันนี่ยิ่งเยอะ แสดงว่ามึงร้องไห้ใช่ไหมนิ? ร้องหนักด้วยสินะ =.+’ เฮ้อ~~ กูล่ะไม่เข้าใจมึงจริง ๆ เลย มึงจะซึนไปถึงไหนวะ หึงก็บอกว่าหึงสิ ยังจะแอ๊บไม่หึงอีก

ระวังคนอื่นมาฉกกูไปแล้วมึงจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะเว้ยยยยยย หุหุ

และนั่นมันก็คือความคิดเลว ๆ ในสมอง เพราะอันที่จริงยังไงผมก็ไปบังคับมันให้พูดคำว่าหึงไม่ได้อยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแล้วว่า ถ้ามันพูด ก็จะเลิกยุ่งกับไอ้ทวิต แต่นี่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมพูดซักที แล้วผมมันพวกยอมคนที่ไหนล่ะ หึ!!! เดี๋ยวพ่อจะบีบให้พูดจนได้ล่ะนา

ผมนอนส่องหน้ามันยามหลับไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายมันก็ตวัดแขนมากอดผมครับ!!! เฮ้ย!!! อะไรมึง กูไม่ใช่หมอนข้างลายศิลปินนะเว้ย!!!! เรื่องนี้ตกใจพอตัวเพราะไม่คาดคิดมาก่อน แถมยังเอาหน้ามาถู ๆ ไถ ๆ กับแผงอกผมอีก เล่นเอาซะขนลุก ผมพยายามผลักมันออกเพราะห่วงถึงความปลอดภัยของมัน (มึงจะทำกูของขึ้นอ่ะอีไบ T.T) แต่มือมันก็เหนียวยังกะตีนตุ๊กแก จะปลุกก็กระไรอยู่แบบว่าคนกำลังนอน ไม่อยากจะกวน (อันที่จริงกูไม่คิดจะปลุกตางหาก)

ดังนั้นผมจึงปล่อยเลยตามเลย แถมยังสนองนี๊ดมัน (นีดตัวเองด้วยแหละ) กอดมันคืนซะเลยครับ 555555 แล้วผมก็หลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกต่อยเข้าที่มุมปากในตอนเช้า พร้อมทั้งคำด่าสารพัดที่อีไบมันจะขุดขึ้นมาด่าได้ มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเตะผมออก ส่วนมันลุกขึ้นไปยืนติดมุมห้อง ตัวสั่นยังกะเจ้าเข้า ผมมองมันอย่่างสลึมสลือเพราะยังตื่นไม่ครบร้อยเปอร์เซ็น จากนั้นก็หลับต่อ เพราะคิดว่านี่มันไร้สาระชัด ๆ

อีไบมันก็ยังไม่วายตามมารังควานครับ เล่นวิ่งเข้ามากระโดดทับผมแล้วตบตียังกะชะนีแรดซะอย่างงั้น คำด่าที่ผมยังพอจำได้ราง ๆ มีอยู่ว่า

“สัส!!! กูด่ามึงอยู่นะเว้ย” แล้วผมก็ถูกต่อยเข้าที่หน้าอก

“มึงตื่นมาฟังกูด่าก่อน อย่าพึ่งนอน!!!” รอบนี้ถูกตบเข้าที่หน้า

“เชี่ยยยยย~~~ มึงจะนอนไปถึงไหนเนี่ย~~” จนถึงรอบที่ห้า ผมก็เลยจับมันพลิกมาอยู่ด้านล่าง ส่วนผมขึ้นคล่อมมันทันที อีไบมันกรี๊ดหนักกว่าเก่า ทั้งทุบ ทั้งต่อย ผมก็เลยเอาผ้าห่มมาอุดปากมัน แล้วงับเข้าที่ซอกคอทีนึงจนเป็นรอยแดงขึ้นมา อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะทำนะ แต่ผมเมาอะไรไม่รู้ ฮืออออออออออออออออออ

แล้วเราก็นิ่งกันไปซักพักครับ ซักพักแค่นั้นหละ กินเวลาไม่นาน

เกิดความเจ็บขึ้นเพียงแป๊ป แล้วมุมปากผมก็เลือดแตกทันที

และนี่ก็คือที่มาของอาหารเช้าและไข่ดาวเละ ๆ ในวันนี้

กะจะแก้แค้นกูสินะ ไอ้คนใจร้ายยยย~~~~
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 21 ถ่าย VTR 100%] [21.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 22-10-2012 20:34:03
 KO-JAP : ถ่าย VTR
โหมด : ไบเซป

ผมยังรู้สึกสยองขวัญกับเหตุการณ์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนไม่หาย ตอนนี้ผมย้ายมานอนที่พื้นอย่างเป็นทางการ ไม่มีการหลงผิดคิดไม่นอนเตียงแต่อย่างใด ต่อให้เมื่อก่อนมันจะเคยเป็นเตียงของผมก็เถอะ T.T

รอยที่ไอ้ฟีนิกซ์ทำที่ซอกคอผมมันเริ่มจางลงแล้วครับ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ก็ยังมองเห็นอยู่ แรก ๆ ที่เห็นรอยนั่นทำเอาผมสติแตก คลั่งอยู่หลายวัน พลางคิดว่า ถ้ามันอยู่ครบปีการศึกษา ไม่วันใดก็วันนึง ผมต้องเสียตัวให้มันแน่ ๆ คิดแล้วก็สยอง แต่ว่า...ใครจะไปยอมเสียให้มึงง่าย ๆ วะ คนที่จะฟันกูมันต้องเด็กเกาหลี ไม่ใช่เด็กเจร็อคอย่างมึงเว้ย!!!!! (ประกาศกร้าว)

ดังนั้น ผมก็เลยลงโทษมันที่บังอาจสร้างรอยแดงนี่ด้วยการทอดไข่เละ ๆ ให้มันกิน ประมาณว่า ลงกระทะปุ๊บ ปิดแก๊สปั๊บ ทำให้ไข่ไม่สุก อีกทั้งยังอมน้ำมัน มันมองไข่ในจานพลางทำตาละห้อย เพราะผมรู้อยู่แล้วว่ามันทำอาหารอะไรไม่เป็น จึงได้แกล้งมันแบบนี้ จนสุดท้าย มันก็ลุกไปหาอะไรยัดปากที่ 7-11 (เจริญเหอะมึง)

ตอนนี้ผมนั่งมองบรรดาตัวแทนผู้เข้าแข่งขันเกมป๊อกกี้ทั้งสี่ภาค ที่กำลังโพสท่าถ่ายแบบทำ VTR กันอย่างเอาเป็นเอาตาย สามคู่เป็นชายหญิง อีกหนึ่งเป็นชายชาย แล้วจุดสนใจมันจะไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง ถ้ามันไม่อยู่ที่คู่ของไอ้ฟีนิกซ์กับไอ้ทวิต ทั้งสองคนถูกรุมถามนู้นถามนี่ ถามถึงวิธีการกัดยังไงให้เหลือเพียงศูนย์จุดเก้าเซนติเมตร อีสองตัวนั้นมันไม่ตอบ ทำเพียงแค่ยิ้ม ๆ เหอะ!! เห็นแล้วหมั่นไส้

แล้วมันก็มีคนในกองถ่ายพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่าเหมาะสมกัน เป็นแฟนกันซะเถอะ!! ผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่นี่แทบจะเดินไปพ่นน้ำใส่พี่คนนั้นให้มันรู้แล้วรู้รอด อย่ามาพูดเรื่องแบบนี้สิวะ หึงนะเว้ย!!!

อ่ะ!! หึง??? หึงอีกแล้ว!!! ม๊ายยยยยย!!!! กรุณาลืมสิ่งที่ผมพูดไปซะ ผมไม่ได้หึง T.T

ช่วงเวลาที่กำลังนั่งหดหู่ราวกับผีรอญาติ อีฟีก็เดินเข้ามาครับ

“ถ่ายใกล้จะเสร็จแล้ว” ใครถามมึงวะ

“เออ” ตอบไปงั้น ๆ

“มึงเป็นไรอีกวะเนี่ย หน้าบูดอีกแล้ว” ง่ะ กูหน้าบูดจริงดิ กูเพียงแค่ไม่พอใจที่มีคนว๊อนให้มึงกับอีทวิตเป็นแฟนกัน

“เปล่า ไม่มีไร”

อีกฝ่ายหัวเราะหึึหึ เอ่อ กูขอร้องล่ะ อย่ามาส่งเสียงหัวเราะแบบรู้ทันได้ไหม มันทำให้กูรู้สึกว่าหัวสมองไม่โต เถียงไม่เป็นนะเว้ย!!!!!

“เห็นว่าถ้าทีมไหนชนะจะได้ไปเกาหลี พร้อมทั้งกระทบไหล่ Ulzzang ด้วยอ่ะ” อีฟีทำท่าพูดลอย ๆ แต่ผมรู้ว่ามันจงใจให้ผมได้ยิน และมันก็สำเร็จครับ เพราะผมนั่นหูผึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้หน่อย

“แล้วไง” น่าน แอ๊บต่อไป

“โอ๊ะ!!!” อีฟีแกล้งทำท่าตกใจ ยกมือขึ้นทาบอก หึ๋ย~~ หมั่นไส้ “กูก็จะได้ไปเจอตัวเป็น ๆ ของพวก Ulzzang ไงมึง!!!!”

จากที่หน้าตาแบบนี้ (=.=) มันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ครับ (TwT) ฮือออออออออออออออออ อีฟี มึงพูดจริงดิ ถ้ามึงชนะ มึงจะได้ไปกระทบไหล่ Ulzzang แล้วมึงก็ต้องเจอพี่แทของกูสิถ้างั้นอ่ะ ฮือออออออออออออออ มึงรู้ไหมว่ากูปลื้มพี่แทมากขนาดไหน อันที่จริงมึงอยู่กับกูมาก็ประมาณสองเดือนได้ มึงคงจะเข้าใจกูอยู่แล้วใช่ไหม ฮือออออออออออออออ ถ้างั้น กูขอสั่งให้มึงเล่นเกมให้ชนะ แล้วกูจะขอเกาะไปเกาหลีกับมึงในฐานะสตาฟ TwT

“เฮ้ย!! มึงสนใจอะไรที่มันเกาหลีตั้งแต่ตอนไหนวะ” ผมรีบตั้งคำถาม อีกคนหัวเราะก๊าก!!!

“ใครบอกว่ากูสนล่ะ กูแมร่งจะลาออกจากการแข่งขันอยู่แล้วเนี่ย” มันพูดหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมจับแขนมันแน่

“ม...มึง...มึงห้ามลาออกนะ” ผมตะโกนเสียงดังลั่น กูรู้ว่ามึงรวยขนาดจะบินไปเกาหลี ไปหาบรรดา Ulzzang ตัวเป็น ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร แต่มึงคิดดูดี ๆ นะเว้ย ว่าฐานะที่มึงไปมันต่างกันนะ

“ทำไมล่ะ” ถามพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม กูละเกลียดจริง ๆ เวลาที่มึงถือไพ่เหนือกว่าเนี่ย “ถ้ากูลงแข่งต่อ กูก็ต้องกัดอีท่าไหนก็ได้ให้มันสั้นที่สุด เผลอ ๆ ศูนย์จุดเก้าอาจจะไม่ชนะแล้วนะ ถ้าจะให้ปลอดภัยมันต้องราว ๆ ศูนย์จุดห้า” มันพูดพลางทำท่านักวิชาการ ผมนั่งฟังพลางพยักหน้าหงึก ๆ เพราะแนวความคิดมันดี “ดังนั้น ถ้าจะทำให้ได้ศูนย์จุดห้าจริง กูว่างานนี้กูต้องทำอะไรที่มันมากกว่าดีฟล่ะ” พูดจบมันก็ส่งยิ้มให้ผมทีนึง แล้วเดินกลับไปเข้ากองถ่ายเหมือนเดิม ทิ้งให้คำพูดของมันลอยวนอยู่ในหัวผม

ทำอะไรที่มันมากกว่าดีฟ? ดีฟ? ดีฟคิส...

ยังมีอะไรที่มันมากกว่าดีฟคิสอีกหรือไง หรือมึงจะทำซุปเปอร์ดิฟคิสห๊า!!!!

เฮ้ย!!! แล้วถ้ามึงจะทำ มึงก็ต้องทำกับอีทวิตใช้ไหม???

อ...อ๊าคคคคคค!!!!!! ม๊ายยยยยยยยยยยยยย

และเป็นผมที่ถูกมันยั่วให้หึงอีกแล้ว T.T









โหมด : ทวิต
วันนี้ผมมาถ่าย VTR เพื่อโปรโมตบุคคลที่เข้าแข่งขันเกมป๊อกกี้ ซึ่งพูดจริง ๆ ว่าตอนนี้ผมหมดอารมณ์จะเล่นแล้วอ่ะ เพราะดูสถิติอีก 3 คู่ที่ผ่านมามันชวนให้คิดหนัก หนึ่งจุดสามลงมาทั้งนั้น แล้วผมก็คิดว่ายังไงทุกคนก็คงจะไม่ยอม และคงจะไปฝึกกัดให้มันสั้นกว่านี้ ความทุกข์ใจก็ตกมาที่ผมสิครับ กะว่าจะลาออกจากเกมอยู่แล้วเนี่ย =.=”

ไม่ใช่ว่าฟีนิกซ์ไม่หล่อ แต่ฟีนิกซ์ไม่ใช่สไตล์ผม แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องมาเปลืองตัวให้กับเด็กเจร็อคคนนี้ด้วยอ่ะ แค่ที่มหาลัยมันก็มาพออยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้คลิปนั่นก็ว่อนไปตามเน็ต รู้ถึงไหนอายถึงนั่น คนในศึกษาศาสตร์ ภาคอินเตอร์ ก็มองผมแปลก ๆ ยิ่งบรรดาแฟนเก่านี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้ว่าไม่หาเบอร์ใหม่ผมมาจากไหน โทรมาร้องห่มร้องไห้ว่าไอ้คนที่มันจูบกับผมนั่นมันเป็นใคร =.=”

แต่ละคนนี่อาการหนักกันทั้งนั้น

ช่วงนี้เป็นเวลาพักครับ เหลือแค่ถ่าย VTR ตัวสุดท้ายก็จะเสร็จแล้ว ผมนั่งมองฟีนิกซ์ที่เดินไปหาไอ้ไบเซป ดูหน้าตาหมอนั่นเรียกได้ว่าบุญไม่รับ นอกจากจะหน้าบูดแล้วยังมีการสะบัดหน้างอน ๆ จากนั้นไม่นานก็เอามือไปคว้าแขนอีกฝ่าย เล่นเอาซะฟีนิกซ์หลุดหัวเราะออกมา

ผมว่านะ ยังไงคู่นี้มันต้องได้ฟันกันซักวันแน่ ๆ ฟีนิกซ์น่ะไม่เท่าไร เพราะรายนี้เริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่าชอบอีกฝ่าย แต่ไอ้ไบนี่สิ ผมเห็นแล้วเครียดครับ ไม่รู้ว่ามันจะแอ๊บไปถึงไหน อย่าคิดนะว่าผมไม่เป็นอะไรที่ลำคอมันน่ะ ถึงรอยมันจะจางแล้วก็เหอะ สำหรับผมที่ศึกษาเรื่องนี้มาเยอะก็พอจะรู้อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

หรือว่า...อันที่จริง สองคนนี้มันเป็นของกันและกันเรียบร้อยแล้ว =[]=!!!!!

ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะมีเจเนอเรชั่นใหม่แท้ ๆ ไวไฟกันจริง ๆ










โหมด : ฟีนิกซ์
การถ่ายทำจบลงที่ภาพของผมกับไอ้หนูทวิตเตอร์ ผมไม่รู้ว่ารูปสุดท้ายนี่มันอยู่ในลิสรายการ หรือพี่ที่กองต้องการสร้างกระแสกันแน่ เพราะมันเป็นรูปที่ผมกับไอ้ทวิตกำลังคาบแท่งป๊อกกี้คนละข้าง ถ้ามันแท่งความยาวเท่าปกติมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นี่ สั่งให้พวกผมทั้งสองคนกัดจนปากจะชนกันอยู่แล้ว ยิ่งพี่ผู้หญิงที่เป็นตากล้องยิ่งแล้วใหญ่ เพราะรายนั้นถามตรง ๆ เลยว่า ขอปากแตะกันได้ไหม

=.=” งั้นนี้ทั้งผมและทวิตมองหน้ากัน ผมดึงแท่งป๊อกกี้ออกจากปากแล้วถามไอ้ทวิต

“เอาไงดี” ผมถามมัน อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนบอกไม่ถูก

“เอ่อ......ตามใจฟีนิกซ์แล้วกัน” =[]=!!! นี่มันเรียกว่าโยนงานกันชัด ๆ และในเมื่อมันตอบแบบนั้นผมก็เลยจัดไปครับ ตามใจกูใช่มะ งั้นมึงเจอดีแน่ ผมเอาแท่งป๊อกกี้ยัดปากไว้เหมือนเดิม แล้วคว้ามันมากอด ทำเหมือนกับวันที่แข่งที่มหาลัยเด๊ะ ๆ แต่รอบนี้แค่ปากแตะกันเฉย ๆ

เรียกได้ว่าผมลวนลามไอ้นี่สองรอบและ =.=” และถ้าผมลงแข่งจริง มันจะต้องมีรอบที่สาม ดังที่บอกไว้ ผมอ่ะไม่มีปัญหา แต่อีกคนที่มันมาเป็นสตาฟให้วันนี้นี่ดิ สติแตกแน่ ๆ 5555555 เออ ดี อย่างน้อยถ้ากูทำแล้วมึงหึงมันก็เป็นความสุขของกู (เหมือนโรคจิตเลย)

“สวยค่ะ” พี่ผู้หญิงพูดพลางกดรัวชัตเตอร์ ไอ้ทวิตที่อยู่ในอ้อมกอดผมนี่สั่นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นี่มันมีดีอะไร แต่พอเห็นมันเขินแล้วอยากแกล้งชะมัด ดังนั้น ผมจึงเบียดริมฝีปากเข้าไปอีกนิด โอ๊ะ!!!! ทำไมรู้สึกว่าตัวเองหลายใจแปลก ๆ นะ ไหนจะไอ้ไบเซป แล้วไหนจะคุณหนูจอมลวงโลกอย่างทวิตเตอร์

ฮร๊าาาาาาาาาาาาา~~ เสน่ห์แรงก็งี้ TwT




การถ่าย VTR วันนี้จบลงด้วยดีครับ ผมบอกลาไอ้ทวิตพร้อมทั้งเดินตรงไปยังที่ที่ไอ้ไบเซปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่ว่ารอบนี้ไปไม่เจอแฮะ ผมลองโทรเข้ามือถือมัน โทรติดนะ แต่ไม่มีคนรับ เอ๊าาาา ไอ้นี่นิ ไปไหนของมันวะ =.=”

“รอใครเหรอฟีนิกซ์” เสียงใสของไอ้ทวิตดังขึ้นครับ เอ๊ะ! นี่มึงยังไม่กลับอีกเหรอ

“รอไบเซปน่ะ” ผมตอบ อีกฝ่ายทำหน้างงกลับมา

“หือ? ทวิตเห็นเดินไปกับรุ่นพี่ซางมินตั้งแต่เราถ่ายเซตสุดท้ายแล้วนะ”

เท่านั้นแหละครับ กูไม่ฟังคุณมึงแล้วล่ะว่าจะพูดอะไรต่อ ผมคว้าเอาไหล่ไอ้ทวิตแล้วถามรัวเลยครับ

“แล้วเห็นหรือเปล่าว่าไปไหน” ซึ่งอันที่จริงผมคิดว่าคำถามของผมนั่นโง่มาก ก็ไอ้ทวิตจะไปรู้ได้ยังไง ในเมื่อผมกับมันก็ถ่ายแบบด้วยกันนินา รอบนี้มือผมสั่นอย่างเห็นได้ชัด ทำไมวะ พูดถึงชื่อไอ้รุ่นพี่คนนี้ทีไรแล้วอารมณ์เสียทุกที อาจจะเพราะมันมีบังอาจมาจูบคนที่ผมชอบมั้ง

....

เมื่อกี้ผมว่าไรนะ?

ผมว่าชอบงั้นเหรอ????

เฮ้ย!!!!!

เอ๊ะ แต่อันที่จริงผมว่าผมก็รู้ตัวเองมาได้ซักระยะแล้วนะ เพราะถ้าไม่ชอบ ก็คงไม่หึง และผมก็หึง ถ้างั้นก็แสดงว่าผมชอบ อุวะ!!! ตกลงผมชอบไอ้เด็กเกาหลีไบเซปใช่ไหมนิ!!!!!!!


___
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 22 แค่คิดว่า 100%] [22.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 22-10-2012 20:35:07
 KO-JAP : แค่คิดว่า
โหมด : ไบเซป

ผมล่ะอยากจะกระโดดเตะก้านคอยัยเจ๊ช่างภาพจริง ๆ นี่มันสร้างกระแสชัด ๆ มันไม่มีภาพแบบนี้อยู่ในลิสเลยเว้ย ๆๆๆๆๆๆๆ พูดมาได้ไงว่าขอปากแตะกันได้ไหม พูดไม่ดูเลยว่ามันเป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วอีฟีก็อีกคน ไปถามมันอยู่ได้ว่าเอาไง อีทวิตมันเป็นเกย์มันก็ต้องว๊อนอยู่แล้ว มึงก็ยังจะถาม แล้วแทนที่มันจะปฏิเสธยัยตากล้อง มันกลับทำตามที่ยัยนั่นบอก

ผมละปวดตับกับเจร็อค

ไม่รู้ว่าที่มันทำเพราะอะไรกันแน่ เพราะจะบีบให้ผมพูดคำว่าหึงหรือไง เชอะ!!! ให้ตายยังไงก็ไม่พูดหรอก มึงไม่ใช่แฟนกู สัส!!!!! เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาแบบนั้นก็เลยเลี่ยงออกมา ในขณะที่จะลงบันไดก็ดันเจอกันรุ่นพี่ซางมินเดินขึ้นมาพอดี

“เอ๊ะ!!???” ผมร้องด้วยความฉงน ซึ่งรุ่นพี่เองก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเจอผมที่นี่

“เฮ้ย น้องไบ มาที่นี่ได้ไงเนี่ย” รุ่นพี่ทักพลางลากตัวผมเข้าไปกอด เฮ้ย!!!

“อ๋อ พอดีพาฟีนิกซ์มาถ่าย VTR กิจกรรมน่ะครับ” ผมตอบพลางผลักตัวเองออกมาอย่างสุภาพ รุ่นพี่ทำเสียงอืมในลำคอ แล้วมองมาที่ผม

“อีกนานไหมเนี่ยกว่าจะเสร็จ”

“ไม่รู้อ่ะครับ” ผมตอบกลับไปตามความเป็นจริง รุ่นพี่มองดูนาฬิกาข้อมือ ท่าจะแพงน่าดูเลยนะนั่นอ่ะ

“อืมมมมมม ไบเซปพอจะว่างไหมล่ะ พี่มีเรื่องเกี่ยวกับงานสาขาจะบอกน่ะ” รุ่นพี่เอ่ยออกมายิ้ม ๆ ผมมองกลับไปที่ฉากถ่ายแบบ พวกนั้นยังกอดกันไม่เลิก อีกทั้งไอ้ฟีนิกซ์ยังก้มหน้าลงไปอีก งานนี้ฉุนครับ!!!!!

“คิดว่าว่างครับ แล้วก็ว่างนานด้วย” ผมตอบพลางกัดริมฝีปาก รุ่นพี่พูดพึมพำว่าไปนั่งคุยกันที่ร้านสตาบัคข้างล่างตึกท่าจะสะดวกกว่า และผมก็เดินตามครับ อันที่จริงเดินนำซะด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากเห็นอะไรที่มันบาดตา ไม่อยากถูกยั่วให้โมโห ให้โกรธ หรือแม้แต่หึง

เพราะงั้น....

หนีแมร่งเลย 555555






ร้านสตาบัคช่วงคนยังไม่เลิกงานลูกค้าไม่แน่นครับ ผมและรุ่นพี่ซางมินสั่งนมสดร้อนคนละแก้ว แล้วเลือกที่นั่งติดกับกระจกหน้าร้าน ผมใช้ไม้คน ๆ นมเพื่อให้มันเย็น

“แล้วตกลงรุ่นพี่จะคุยเรื่องอะไรอ่ะครับ” ผมถามในขณะที่อีกฝ่ายยกนมขึ้นดื่ม

“ตอนนี้เด็กปี 1 ก็ปฐมนิเทศแล้ว พวกพี่ปีสามก็เลย...”

“รุ่นพี่จะเรียกว๊ากเหรอครับ” ผมพูดอย่างรู้ทัน อีกฝ่ายยิ้มแล้วตบหัวผมเบา ๆ ทีนึง “อะไรของรุ่นพี่เนี่ย” ผมพูดอย่างงอน ๆ พลางทำแก้มป่อง

“ไอ้บ้า ไม่ได้จะเรียกว๊าก คือพี่กับเพื่อนในห้องปีสามน่ะ คุยกันแล้วว่าเราจะยกเลิกการว๊ากน้อง” เฮ้ย!! นี่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหมนิ?

“จ..จริงเหรอครับ???”

“เออ เพราะพี่คิดว่าว๊ากไปจะทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องมองกันไม่ดีเปล่า ๆ” โฮ๊คคคคคคคค แทบอยากจะกระโดดกอดรุ่นพี่ซางมินแน่น ๆ แล้วหอมแก้มซักฟอด นี่แหละนี่รอมานาน ใช่เลย ยกเลิกได้ซักทีกับอีการว๊ากเนี่ย เบื่อจะตายอยู่แล้ว จำได้ว่าตอนอยู่ปีหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งถูกว๊ากซะช็อคเลย ลำบากหามส่งโรงพยาบาลกัน เพราะงั้น ตัดปัญหา ไม่ว๊ากแหละ ถูกต้องที่สุดแล้ว

“ถูกต้องแล้วครับ!!!” ผมพูดพลางปรบมือเสียงดัง

“แต่ว่า พี่ได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนของปีสาม ให้มาคุยรายละเอียดกับปีสอง”

“โอ๊ยยยยย ไม่ยากครับรุ่นพี่ รุ่นพี่คุยกับผมคนเดียวก็ได้ ผมน่ะข่าวไวนะจะบอกให้ เดี๋ยวผมกระจายข่าวให้เองครับ” ผมพูดพลางยิ้มจนตาหยี ดีใจแทนรุ่นน้องที่ต่อไปไม่ต้องโดนด่าแบบไม่มีเหตุผลอีกแล้ว รุ่นพี่เองก็ยิ้ม พลางยกแก้วนมขึ้นดื่ม ผมเองก็ดื่มบ้าง เราทั้งสองคนวางแก้วลงพร้อมกัน ผมเงยหน้ามองพี่เขา ปรากฏว่ามีคราบนมเลอะริมฝีปาก

“โอ๊ะ!!!!” ผมร้องขึ้น

“หือ?”

“คราบนมครับ” ผมชี้บอก

“ที่ไหน”

“ริมฝีปากพี่อ่าาาาา” พูดจบผมก็จัดการดึงทิชชูให้แผ่นนึง พี่เขารับมาแล้วยิ้มขำ ๆ “ยิ้มไรอ่ะครับ” ผมถาม

“เอ๊า ได้ข่าวว่าชอบเกาหลีฝั่งหัวใช่ไหมเราอ่ะ” รุ่นพี่ถามพลางเช็ดคราบนมออก ผมพยักหน้าอย่างงง ๆ “ก็ ในพวกซีรี่ส์ ถ้านมเลอะริมฝีปาก อีกฝ่ายชอบ.......” รุ่นพี่ละไว้เพียงเท่านั้น แต่ไม่ต้องบอกผมก็รู้ครับ เพราะผมเองก็ดูบ่อย และผมก็เข้าใจด้วยว่ารุ่นพี่ต้องการที่จะสื่ออะไร พลันหน้าผมก็ร้อนผ่าว กะว่าตอนนี้มันคงแดงไปถึงใบหูแล้วครับ >///////////////////////< รุ่นพี่จะมาสื่ออะไรเนี่ย ผมยิ่งเขินอยู่

ผมรีบก้มหน้าหงุดมองหน้าตักตัวเอง แล้วแอบเหลือบมองรุ่นพี่เป็นระยะ อีกฝ่ายไม่ทำอะไรนอกจากนั่งเท้าค้างแล้วยิ้มอย่างเดียว โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคคค กูอยากจะเป็นฝ่ายที่นมเลอะขอบปากแล้วให้รุ่นพี่ทำแบบนั้นจัง อ๊าคคคคคคคคคคคคค เอาให้เหมือนกับของ BIGBANG ที่ จีดราก้อน แสดงกับ ท๊อป นะ

อ่าาาาาาา หนูไบขอแบบนั้นแหละฮร๊าาาาาา

5555555 อาการแรดออกอีกแล้ว >.<~~~~

แต่ก็ดังที่ทราบนั่นแหละครับ ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ด้วย

“ร่านมากเลยนะมึง” เสียงนรกดังมาแต่ไกล ทั้งผมและรุ่นพี่หันควับไปตามเสียง อีฟีนี่เรียกได้ว่าเลือดขึ้นหน้า ส่วนไอ้ทวิตก็ตามหลังมาติด ๆ เหอะ!!!!

“อะไรของมึงอีกเนี่ย” เป็นผมที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปประจัญหน้ากับมัน นี่กูกำลังคุยธุระแล้วมึงจะมารยาททรามโผล่มาทำอะไรตอนนี้วะ

“อะไรของกูเหรอ แมร่ง มึงปล่อยกูตลอนกับทวิตเป็นรอบที่สองแล้วนะเว้ย” ไอ้ฟีนิกซ์ตะคอกใส่ผม รุ่นพี่ซางมินลุกขึ้น

“รักษาความสงบหน่อยเถอะครับ”

“รักษาบ้านมึงสิ” อ้าว ไอ้เวรนี้ มึงพูดแบบนี้กับรุ่นพี่ได้ไงวะ ไอ้บ้า!!!

“มึงจะบ้าหรือไงไอ้ฟีนิกซ์ มึงพูดกับรุ่นพี่แบบนี้ได้ไงวะ” ผมพูดพลางรีบลากมันออกมาจากร้านให้เร็วที่สุด ก่อนที่ระเบิดจะลงแล้วร้านจะพัง จากหางตาผมเห็นว่าไอ้ฟีนิกซ์ทำตัวมารยาททรามชูนิ้วกลางให้รุ่นพี่ นั่นมึงจะบ้าเหรอ มึงอยู่ศึกษาศาสตร์แล้วคณะสั่งสอนให้มึงเป็นแบบนี้หรือไงวะ!!!

ผมลากไอ้ฟีนิกซ์ผ่านหน้าไอ้ทวิต อีกฝ่ายยืนเอ๋อจนผมหมั่นไส้

“ยืนอะไร เกะกะ!!!!” ผมตะหวาดใส่มัน แมร่ง!!! ไอ้ทวิตไม่ตอบครับ หากแต่มันหลีกทางให้ ผมทำเสียงไม่พอใจ แล้วลากไอ้ฟีนิกซ์ไปที่รถ จัดการเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วยัดมันเข้าไปข้างใน ซึ่งไอ้ตัวปัญหามันก็ยอมเข้าไปโดยดีครับ จากนั้นผมก็นั่งประจำที่คนขับ สตาร์ทรถ กดปุ่มล็อคประตูทั้งหมด แล้วเปิดแอร์ให้แรงสุดโดยหวังว่าแอร์จะช่วยบรรเทาอารมณ์โกรธของไอ้ฟีนิกซ์ลงบ้าง

“มึงเป็นอะไร” ผมถามมันเสียงเรียบ

“กูหึง”

“แล้วมึงจะหึงทำไม”

“ก็กูหึงอ่ะ” มันขึ้นเสียง ผมกัดริมฝีปาก พลางระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้ตะคอกกลับ คนยิ่งอารมณ์ร้อนแล้วเราร้อนกลับ มันก็เท่ากับราดน้ำมันลงบนกองไฟ

“มึงโคตรจะไม่มีเหตุผลเลยไอ้ฟี”

“กูไม่เคยมีอยู่แล้ว หรือถ้ากูมี มึงก็ไม่เคยฟังกู” น้ำเสียงมันน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นมึงก็พูดออกมาชัด ๆ ว่าตกลงมึงเป็นอะไร”

“ทำไมมึงต้องไปนั่งกินอะไรกับมันด้วย”

“กูถามมึง ไม่ใช่ให้มึงถามกู”

“แต่กูจะถาม” เสียงมันสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมส่ายหน้าให้กับนิสัยที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ของมัน

“กูไปคุยงาน” ผมตอบกลับ

“คุยงานบ้าเตี่ยมึงสิ หน้าแดงขนาดนั้น” และรอบนี้ผมเงียบ มันพูดเข้าเป้าครับ และผมรู้สึกว่ามันจะได้โอกาสเสียด้วย “เงียบทำไมล่ะมึง” ผมยังคงไม่ตอบมันอีก รอบนี้ไอ้ฟีนิกซ์หันมายังที่นั่งฝั่งคนขับ มือของมันทุบลงเบาะอย่างแรงจนผมสะดุ้ง

“ตอบไม่ได้ล่ะสิ” และมันก็จริงอย่างที่มันพูด ผมยังคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะมันพูดเรื่องจริง “กูเคยบอกมึงแล้ว ถ้ามึงอยากมึงก็บอกกู” นี่เป็นคำด่าที่แรงพอดู แต่ผมรู้ว่ามันพูดเพราะมันโกรธ ดังนั้น ผมจะไม่โมโหมัน ผมจะไม่ต่อปากกับมัน ผมจะอยู่นิ่ง ๆ ฟังมันระบายให้หมด ผมจะเป็นที่รองรับอารมณ์ของมัน ดีกว่าให้มันไปต่อว่ารุ่นพี่สาขาตัวเอง

ไอ้ฟีนิกซ์จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ผมไม่มองตามันครับ สายตาของผมจ้องไปยังสิ่งแวดล้อมเบื้องหน้า เสียงหายใจของคนข้าง ๆ หอบและถี่ มือของผมกำพวงมาลัยรถแน่นจนเจ็บ เวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไร แต่ผมรู้สึกว่ามันนานมาก ไอ้ฟีนิกซ์ทิ้งตัวลงกับเบาะ มันถอนหายใจออกมาแรง ๆ แล้วมองตรงไปด้านหน้า

มือของผมที่จับพวงมาลัยเริ่มคลายออก

ระบายหมดแล้วสินะ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“กูขอโทษ” ไอ้ฟีนิกซ์พูดออกมาเบา ๆ

“อืม” ผมตอบเพียงแค่นั้น

“กูไม่รู้ว่าทำไม แต่กูเห็นมึงกับไอ้บ้านั่นไม่ได้” มันพูดพลางเสมองออกกระจกฝั่งมัน ผมยังคงนิ่งฟัง แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบ

“หมดยัง” เป็นผมที่เอ่ยปากถามในที่สุด

“อะไร”

“กูถามมึง คำที่จะด่ากูอ่ะมันหมดหรือยัง”

อีกฝ่ายไม่ตอบ และเราก็เงียบอยู่เหมือนเดิม อากาศภายในรถเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“กูคิดว่ากูชอบมึง”

คำพูดที่ผมไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากคนที่ผมไม่เคยคาดหวัง....

____

ส่วนนี่คือคลิปที่ไบเซปพูดถึงครับ

http://bit.ly/Hs1siD (http://bit.ly/Hs1siD)
_____
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 22 แค่คิดว่า 100%] [22.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 23-10-2012 00:09:08
บอกชอบกันแล้ววววววววววววววว
รีบๆมาต่อนะค๊าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 22 แค่คิดว่า 100%] [22.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 23-10-2012 03:39:44
สนุกมากค่ะ แต่แอบสงสารนังทวิต.....ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างหึง...
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 23 รักไม่ได้ 100%] [23.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 28-10-2012 11:01:33
 KO-JAP : รักไม่ได้
โหมด : ฟีนิกซ์

“กูคิดว่ากูชอบมึง” แล้วผมก็ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด ผมรู้ดีว่ามันอาจจะเร็วไป แต่ผมก็คิดว่าผมชัวร์แล้วนะ เพราะอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะห่าง ๆ กันบ้าง แต่ตอนนี้ก็อยู่กับมันมาจะสองเดือนแล้ว อะไร ๆ ที่เป็นตัวมันผมก็คิดว่าผมรับได้ ต่อให้มันชอบเกาหลีแล้วแอนตี้เจร็อคแค่ไหนก็ตาม

เพราะมันคอยช่วยผมทุกอย่าง อาหารทุกมื้อมันก็ทำให้ผมกิน เตียงมันก็ทิ้งให้ผมนอน ส่วนตัวมันก็สละนอนพื้น ถึงมันจะบ่น แต่มันก็ยอมผม อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่ว่า.... แต่ความรู้สึกมันบอกผมว่าผมชอบไอ้นี่เข้าให้แล้ว ตอนแรกกะว่าจะเก็บไว้บอกนู้นนนนน~~ วาเลนท์ไทต์ปีหน้าที่จะกลับญี่ปุ่น

แต่พอเจอเหตุการณ์ไอ้ซางมินแล้วรู้สึกว่า หากไม่รีบทำอะไรมีหวังโดนแย่งแน่ ๆ เพราะงั้น บอกมันไปนั่นแหละ ทำถูกแล้ว

ผมคิดว่าอีกฝ่ายจะด่ากลับ หรือพูดอะไรบ้าง แต่ทุกอย่างก็เงียบ ไอ้ไบเซปใช้มือเคาะพวงมาลัยรถสองสามครั้งก่อนที่จะขับรถออกจากตัวตึก ระหว่างทางนั้นเงียบมากครับ สายตามันไม่หันมามองผมเลย นอกเสียจากถนนเบื้องหน้า หรือที่ผมทำไปมันทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจงั้นเหรอ?

ทั้ง ๆ ที่ท่าทางแสดงออกมากขนาดนั้นก็ยังจะปากแข็ง คนเราถ้าชอบ มันก็รอได้ แต่ถ้ารอนาน ๆ มันก็ท้อเหมือนกันนะครับ

ผมมองออกไปนอกกระจกรถ ตึกสูงวิ่งผ่านสายตาอย่างรวดเร็ว

“มึงไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยเหรอ” และเป็นผมเองที่ทนความอึดอัดไม่ไหว

“มึงจะให้กูพูดอะไรล่ะ” มันถามกลับ

“อะไรก็ได้”

“แล้วอะไรล่ะ” ในเมื่อตอบกลับมาแบบนี้ก็แสดงว่าไม่ต้องการที่จะคุยต่อสินะ ผมเงียบอีกตามเคย เอาหัวพิงไว้กับกระจกรถ

“มึงพูดไม่คิดอ่ะฟีนิกซ์” คราวนี้ไอ้ไบเซปเป็นคนเปิดครับ

“กูคิดแล้ว”

“มึงพูดเพราะมึงโกรธ”

“กูไม่ได้โกรธ กูหึง”

“อย่ามาเถียงกู” ผมเงียบ ในขณะที่ไบเซปจอดรถเพราะสัญญาณไฟแดง “มึงจะรัก หรือมึงจะชอบ มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ มึงมาอยู่กับกูจริง ๆ จัง ๆ แค่สองเดือนกว่า มึงก็มาบอกว่าชอบกู ทั้ง ๆ ที่เหลืออีกตั้งแปดเดือนให้ได้เจออะไรมากมาย มึงว่ามันเร็วไปไหมล่ะ”

“แต่ความรู้สึกกูบอกแบบนี้”

“มึงคิดว่าความรู้สึกมึงมันเปลี่ยนไม่ได้หรือไง อย่างเมื่อตะกี้ มึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ มึงเงียบ” ผมเงียบให้กับคำพูดของคนที่ขับรถ ไม่รู้ว่ามันสับสนอะไรระหว่างคำว่า ‘ความรู้สึก’ และ ‘อารมณ์’ หรือเปล่า

ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันอีก เพราะผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดกับแบบ เล่นบอกกันแบบนี้แสดงว่าปฏิเสธชัด ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองอกหักแปลก ๆ ไม่ได้เจออารมณ์นี้มานาน จนตอนนี้เหมือนจะรับความจริงไม่ได้

รถจอดสนิทที่โรงจอดรถ ไอ้ไบเซปกดปุ่มปลดล็อค ผมผลักประตูเปิดออก แล้วปิดลงอย่างแรง ตั้งท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของอีกคนรั้งผมไว้

“ฟีนิกส์” ผมยืนรอฟัง “อนาคตข้างหน้า ยังไงทั้งกูและมึงต่างก็ต้องมีครอบครัว ต่างก็ต้องมีทายาท มึงเข้าใจไหม” มันเว้น ผมพยักหน้า แน่ใจแล้วว่าตอนนี้อกหักไปเป็นที่เรียบร้อย หัวใจของผมบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก “เรื่องวันนี้ที่มึงพูดอะไรออกมา กูจะถือว่าไม่ได้ยิน ห้องกูมึงจะนอนเหมือนเดิมก็ได้ กูไม่ว่าอะไร”

ผมพยักหน้าแบบร่างไร้วิญญาณ “มีอะไรอีกไหม” ผมถามมัน น้ำเสียงของผมสั่นเพราะพยายามที่จะกลั่นน้ำตา นี่สินะที่เรียกว่าอกหัก เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย ไม่อยากเจอแบบนี้เลย

“ไม่มีแล้ว” อีกฝ่ายตอบ ผมรีบไขประตูแล้วเดินเข้าบ้านทันที ขาของผมพาร่างกายที่ไร้วิญญาณขึ้นไปชั้นสอง ผมไม่ได้มุ่งตรงไปที่ห้องของไอ้ไบเซป แต่รอบนี้ผมกลับมาที่ห้องของตัวเอง ป้ายของลี ดงเฮยังวางอยู่ที่เดิมเหมือนตอนแรก โปสเตอร์นั่นมีรอยยิ้ม ดูแล้วมันขัดตาผมชอบกล จนอยากจะต่อยให้ล้ม

ทำไมนะ ทั้ง ๆ ที่เศร้าแบบนี้ ทำไมถึงยังยิ้มล่ะ ทำไมต้องส่งยิ้มมาให้ด้วย ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น!!!!

ผมทรุดตัวนั่งลงกับเตียง ผ้าปูที่นอน หมอนอะไรถูกเปลี่ยนใหม่ต่างจากเมื่อตอนแรก นี่แสดงว่าไอ้ไบเซปมันมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ผมทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครนอนเนี่ยนะ คงจะคิดว่าผมจะกลับมานอนห้องตัวเองมั้ง ก็เลยเตรียมห้องให้พร้อมตลอดเวลา

พอคิดได้แบบนี้แล้วน้ำตามันพานจะไหล ผมพยายามเบิกตาให้กว้างเพื่อรองรับน้ำตาที่มันไหลออกมามากกว่ายามปกติ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไหลอาบแก้มอยู่ดี ผมล้มตัวลงนอน เงยหน้ามองเพดานห้อง ภาพต่าง ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันที่สนามบินหมุนเวียนฉายซ้ำอยู่ในหัว ทั้ง ๆ ที่ทะเลาะ แต่ก็ยังสามารถหัวเราะได้ทีหลัง แต่สิ่งที่ผมตัดสินใจพูดในวันนี้เหมือนกับเป็นเชื้อไฟที่เผาไหม้ภาพในอดีต หัวเราะทีหลังไม่ได้...

บางครั้ง ถ้าบอกความจริงไป อะไร ๆ มันก็จะไม่เหมือนเดิม

คำพูดที่ว่าอกหักดีกว่ารักไม่เป็น หึ!! มันไม่จริงหรอก เพราะไม่เคยอกหัก ถึงพูดได้ แต่ลองมาอกหักดูสิ มันเจ็บเจียนตาย

น้ำตาของผมไหลมากขึ้น

ผมยกหูฟังขึ้นมา จนสุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยู่กับผมเวลาที่ผมเศร้าเสียใจ ก็คงจะมีเพียงแค่บทเพลง.....






โหมด : ไบเซป
ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บ สายตาของฟีนิกซ์ผมมองออกว่าเขาเสียใจมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังทำอะไรไม่ได้ หมอนั่นพูดออกมาเพราะอารมณ์ล้วน ๆ มันไม่จริงที่มันจะมาชอบหรือมารักผม หรือถ้ามันรักมันชอบจริง มันก็ควรจะคิดว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ทั้งพ่อแม่ฝ่ายมันและฝ่ายผมต่างก็มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งนั้น แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าลูกต้องมาเป็นแบบนี้...

อนาคตทั้งผมและมันต่างก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ต้องมีทายาทไว้สืบสกุล

เพราะฉะนั้นต่อให้รักกันมากแค่ไหน...ยังไงมันก็เป็นจริงไม่ได้หรอก...

ผมหลับตาเงยหน้ามองฟ้า...ไอ้ฟีนิกซ์มาไทยในเดือนห้า ตอนนี้ก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว อ่าาาา หน้าฝนแล้วสินะ ทำไมทุกอย่างมันถึงเหมาะเจาะขนาดนี้

ผมรับรู้ถึงหยดน้ำที่ตกลงมาจากฟ้า

หนึ่งหยด...สองหยด...และหลาย ๆ หยดจนนับไม่ได้

ผมร้องไห้...

และน้ำฝน ช่วยปิดบังน้ำตานั้น
___
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 24 ชกต่อย 100%] [28.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 28-10-2012 14:55:53
 KO-JAP : ชกต่อย
โหมด : ไบเซป

นี่ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เพราะตั้งแต่มันบอกว่าชอบผม ไอ้ฟีนิกซ์ก็เปลี่ยนไป มันเงียบ วัน ๆ มันจมอยู่แต่กับหูฟัง เวลาไปมหาลัย มันก็ชิงไปคนเดียว ข้าวที่ผมทำไว้ให้มันก็ไม่กิน แถมผมยังเจอมันชอบโผล่หน้ามาคณะผมบ่อย ๆ ไม่รู้ว่าจะโผล่มาทำไม ห้องนอนมันก็ย้ายไปนอนห้องมันที่ยังมีป้ายของฮยอนลี ดงเฮ แต่ละวันกว่าจะกลับบ้านก็ดึกดื่นเที่ยงคืน และเป็นผมที่ต้องนั่งเฝ้าว่ามันจะกลับตอนไหน รายงานนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ผมต้องเขียนส่งคณะมันทุกอาทิตย์ ผมก็ต้องโกหกว่ามันทำตัวดีไม่มีปัญหา ทั้ง ๆ ที่ของจริง มันสร้างปัญหาไว้มากมายเหลือเกิน แล้วไหนนี่ก็จะใกล้วันแข่งเกมป๊อกกี้แล้วด้วย

สรุปง่าย ๆ ว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

เวลาขณะนี้สี่ทุ่มเกือบจะห้าทุ่ม ผมกดรีโมตสลับช่องทีวีกลับไปกลับมาอย่างอารมณ์เสีย มันผิดด้วยเหรอที่ผมบอกมันไปอย่างนั้น ผมพูดกับมันด้วยเหตุผล มันก็ควรจะฟังผมบ้าง ในช่วงเวลาที่กำลังคิดทบทวน จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมกดรับอย่างคร้าน ๆ

“ว่า” ผมพูดกรอกลงไปในโทรศัพท์ ทวิตโทรมาครับ

“แย่แล้ว!!!!!” เสียงของมันตื่นตระหนัก หัวใจของผมเต้นตุบ ๆ

“แย่อะไร???” ยิ่งฟีนิกซ์ไม่อยู่กับผมด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมแน่ใจโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายบอกว่ามันบอกว่าโทรมาเพราะอะไร

“ฟีนิกซ์...ฟีนิกซ์....” อีกฝ่ายพูดย้ำแต่คำเดิม ๆ จนผมเหวี่ยงใส่มัน

“มึงพูดดี ๆ สิวะ ไอ้ฟีนิกซ์มันทำไม!!!” เกิดเสียงเฮดังเข้ามาในสาย ผมขนลุกซู่ มันมีแต่เสียงผู้ชาย แล้วเสียงคนกรีดร้อง มีเสียงของล้ม เสียงแก้วแตก

“ฟีนิกซ์มีเรื่องชกต่อย” เสียงไอ้ทวิตตอบกลับมา ดูเหมือนว่ามันจะร้องไห้แล้วนะนั่นอ่ะ ผมกำโทรศัพท์มือถือแน่น ปากเม้มเป็นเส้นตรง กระโดดเด้งตัวเองออกจากโซฟาห้องรับแขก คว้าเอากุญแจรถแล้วมุ่งออกจากบ้านทันที มือถือยังถือโทรศัพท์ไว้แนบหู

“ที่ไหน” ผมถามพลางขับรถด้วยความเร็ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน

“ผับ...ผับอีเด้นท์” ทวิตตอบกลับ ผมส่งเสียงอืมแล้ววางสาย ผับอีเด้นท์... ถ้าจากบ้านผมแล้วไปผับนี้ เอ่อ.... ผมกด GPS ในรถ เครื่องบอกว่าห่างจากที่ผมอยู่ประมาณสิบกิโลเมตร ผมรู้สึกหัวเสีย มึงจะห่างอะไรมากขนาดนั้นวะ แค่กิโลเมตรเดียวกูก็จะคลั่งแล้ว อีฟีนั่นก็เหมือนกัน นอกจากจะทำตัวให้อึดอัด ก็ยังมาสร้างปัญหา!!!

ผมเลี้ยวตามที่ GPS บอก รู้สึกขัดใจบ้างเมื่อต้องเจอไฟแดงถึงสามครั้ง คนยิ่งรีบ สวรรค์ยิ่งแกล้ง เท้าของผมเหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อเจอทางตรง อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงแล้ว






ผับอีเด้นท์ถือว่าเป็นผับที่ไม่ค่อยใหญ่เท่าไร ภายในร้านส่วนมากตกแต่งด้วยกระจก มีแสงไฟสลัวให้พอมองเห็น บาร์เครื่องดื่มใช้สีที่สะท้อนแสง นั่นช่วยให้มันสวยมากขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สลัวเช่นนั้น หากแต่ตอนนี้สภาพภายในผับที่ผมเห็นคือเละไม่เป็นท่า ไอ้พวกตีกันก็ตี ไอ้พวกไทยมุงก็มุง ไอ้พวกหนีก็หนี แล้ว รปภ มันไปไหนวะ ทำไมไม่มีใครมาห้าม!!!!

ผมเดินแหวกพวกไทยมุงเข้าไป เจอไอ้ทวิตยืนทำเอ๋อยกมือขึ้นปิดปาก เออ ถ้ามึงจะทำแบบนั้น มึงรีบเข้าไปห้ามมันจะไปดีกว่าหรือไงวะ ไอ้ลูกคุณหนู!!! ผมด่ามันในใจ สายตาของผมกำลังจ้องภาพไอ้ฟีนิกซ์ปล่อยหมัดใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง และนั่นทำให้ผมตกใจถึงขีดสุดจนต้องตะโกนให้มันหยุด

“หยุดนะฟีนิกซ์!!!” เสียงของผมดังขึ้น ทุกอย่างเงียบ มันหันมามองผม ก่อนที่จะสะบัดหน้าหนี แล้วกระโดดคล่อมไอ้คนที่มีปัญหากับมัน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนครับ

รุ่นพี่ซางมินนั่นเอง

“นี่นายจะบ้าหรือไง” ผมตะคอกพลางเดินจะเข้าไปในวง หวังจะกระชากมันออก เมื่อมันกระหน่ำหมัดลงไปบนใบหน้าของรุ่นพี่อย่างไม่ยั้ง แต่ผมก็ต้องเป็นอันสะดุด เมื่อคอเสื้อของผมถูกดึงจากด้านหลัง

“อย่าดีกว่าไอ้น้อง” เสียงของใครบางคนดังขึ้น “คนละทะเลาะกันก็ปล่อยมันไปสิ” เสียงนั่นพูดได้เรียบมาก และมันทำให้ผมโมโห คนมันทะเลาะกันมันก็ต้องห้ามสิโว้ยยยยยยยยยย ไม่ใช่มายืนดูแบบนี้!!! เสื้อของผมถูกสะบัดออกจากมือนั่นด้วยตัวผมเอง ผมกระโดดขี่หลังไอ้ฟีนิกซ์แล้วดึงมันออก แต่ไอ้นี่แมร่งแรงควายชะมัด

มันตวัดสายตามองผมอย่างโกรธ ๆ

“มึงจะห้ามกูทำไม” เสียงมันเจือไปด้วยความเจ็บปวด

“กูต้องห้าม เพราะกูเป็นโฮส” ผมบอกมัน พลางแทรกตัวเข้าไปกันระหว่างรุ่นพี่กับไอ้บ้านี่

“แมร่ง มึงอย่ามาห้ามกูได้ไหมวะไอ้ไบเซป” มันตะคอกใส่หน้าผม แล้วชี้หน้ารุ่นพี่ซางมิน “มึงรู้ไหมว่ามันพูดถึงมึงยังไง มึงยังจะปกป้องมันอีก” คราวนี้เป็นผมที่มองรุ่นพี่ สภาพอีกฝ่ายนี่เรียกได้ว่าเละครับ คิ้วแตก มุมปากนี่ช้ำ แต่กระนั่นรุ่นพี่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา และเป็นผมที่สะบัดหน้าไปคุยกับไอ้ฟี

“มึงไปเคลียกับกูที่บ้าน”

“กูจะเคลียกับมันที่นี่” พูดพลางถุยน้ำลายลงที่พื้น นั่นทำให้ผมคิ้วกระตุก แล้วเดินไปตบหน้ามันทีนึง เกิดเสียงดังขึ้นรอบตัว ใบหน้าหล่อของไอ้ฟีก็ช้ำไม่ต่างกัน แต่มันคงเจ็บไม่เท่ารุ่นพี่ เพราะเลือดมันยังไม่ออก

“ถ้าจะเถียงกูแบบนี้ กูจะเอาเลือดบ้าของมึงออกมา” พูดจบผมก็คว้าข้อมือมันแล้วลากออกมาจากผับ เสียงโห่ร้องอย่างดูถูกดังไล่หลังมา ราวกับจะบอกว่าแพ้แล้วหนี

ผมยัดไอ้ฟีนิกซ์เข้าไปในรถยังที่นั่งที่มันนั่งประจำ นั่นคือเบาะข้างคนขับ แต่รอบนี้มันไม่ง่ายครับ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าไป

“มึงจะห้ามกูทำไมวะ” มันพูด ดูก็รู้ว่าตอนนี้โกรธมากแค่ไหน และตามแบบฉบับแหละครับ ผมเงียบ “มึงอย่าเอาแต่เงียบแซ่!!!” มันจับไหล่ผมแล้วเขย่ากลับไปกลับมา รอบนี้ผมสะบัดแขนมันออกแล้วตบมันไปอีกที

“มึงจะเลิกบ้าได้ยัง” ผมถามมัน เลือดผมมันขึ้นหน้า ทั้ง ๆ ที่เขียนรายงานโกหกให้แล้วว่าพฤติกรรมไม่มีปัญหา แต่มาเล่นชกต่อยแบบนี้ ผมจะเขียนรายงานโกหกต่อได้ไง แล้วถ้าอีกฝ่ายเอาเรื่อง อนาคตมันคงไม่จบง่าย ๆ มึงจะรู้ไหมว่ามึงจะเจออะไรบ้าง เท่าที่กูดูนะ รุ่นพี่ไม่ได้โต้ตอบมึงเลย มีแค่มึงแต่ที่ต่อยอยู่ฝ่ายเดียว

“กูทำอะไรกูก็ผิดหมด” คราวนี้มันก้มหน้าแล้วยืนพิงตัวรถ

“ก็มึงทำไม่คิด” เสียงของผมอ่อนลง

“ไอ้บ้านั่นมันว่ามึงเสีย ๆ หาย ๆ แล้วกูจะไปต่อยปิดปากหมา ๆ ของมัน มันผิดหรือไง” อีกฝ่ายเงยหน้ามองผมที่เล่นเอาหัวใจของผมเจ็บแปรบ น้ำตานั่น...

“รุ่นพี่จะว่าอะไรกูก็ช่างสิ แต่มึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อยนะ” ผมพูดกับมันเสียงเบา เพราะน้ำตาของผมเองก็จะไหลอยู่รอมร่อ “กลับบ้านเถอะ” ผมพูดขึ้น อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกเสียจากแทรกตัวเข้าไปในรถอย่างว่าง่าย ผมเดินกลับไปยังที่นั่งคนขับ งานนี้ผมรู้สึกว่ามันผิดพลาดมาตั้งแต่แรก มันผิดตั้งแต่เกมป๊อกกี้ที่ทำให้ผมกับมันต่างทำอะไรก็ตามเพื่อที่จะเอาคืนอีกฝ่าย และมันก็อาจจะผิดที่ผมด้วย ที่ชอบยั่วให้มันโมโห เพราะหมั่นไส้ที่มันไปเจาะแจะกับคนอื่น

และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมทำผิดมหันต์คือ...ผมไม่บอกความจริงกับมัน

ผมให้อีกฝ่ายตั้งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันก็บอกว่าชอบผมแล้ว แต่ผมจะบอกกลับได้ยังไง ในเมื่อมองหาเหตุผลหลาย ๆ อย่างแล้ว ถึงจะบอกไป สุดท้ายมันก็ต้องทางใครทางมันอยู่ดี แล้วผมจะบอกให้ตัวเองเสียใจทำไมล่ะ

ผมขับรถช้า ๆ เพื่อถ่วงเวลา

“เอาตั้งแต่ต้น” ผมพูดขึ้น “มึงไปที่นั่นได้ยังไงโดยไม่บอกกู แล้วไอ้ทวิตด้วย มันโผล่ไปทำอะไรกับมึง”

“กูลากมันไปเองแหละ”

“แล้วมึงไปทำไม”

“กูอยากไป”

“อย่ามากวนตีน” รอบนี้ผมพูดลงเสียงหนัก ๆ อีกฝ่ายขยับตัวอยู่บนเบาะ

“กูอยากแดกเหล้า กูก็เลยไปที่ผับ” มันตอบเสียงกระชาก

“แล้วไอ้ทวิตโผล่ไปได้ยังไง”

“ก็บอกว่ากูลากมันไปเอง”

“แล้วมึงไปเจอรุ่นพี่ได้ยังไง”

“กูเห็นมันนั่งกินเหล้าอยู่” มันตอบเพียงแค่นั้น และผมก็ต้องกระตุ้นให้มันพูด “แล้วกูก็ได้ยินมันพูดถึงมึงแบบเละเทะมาก กูก็เลยไปต่อยมัน แค่นั้นเอง”

“มึงทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว” ผมส่ายหน้าให้ไอ้กับตัวปัญหา เท้าของผมเหยียบคันเร่งให้ความเร็วมันเท่ากับปกติที่ผมขับ

“กูทำเพื่อมึงมันผิดเหรอ”

“มันจะไม่ผิด ถ้ามึงไม่ต่อยรุ่นพี่”

“มึงเห็นรุ่นพี่ดีกว่ากู” คราวนี้มันหันหน้ามาฝั่งผมครับ น้ำตาของมันไหลออกมาจากหางตา น้อยครั้งนะที่จะเห็นมันร้องไห้ เพราะชีวิตมันไม่เคยสนใจอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะทำให้มันร้องไห้ได้ก็เลยมีน้อย แต่นี่มัน...เขาว่ากันว่าน้ำตาของนกฟีนิกซ์ช่วยสมานแผล และรักษา แต่ผมว่า น้ำตาของฟีนิกซ์ตัวนี้มันกรีดลึกจนเจ็บ มันไม่ได้สมานแผล มันไม่ได้รักษา แต่มันทำให้เกิดแผล...แผลใหญ่ซะด้วยสิ

ผมรู้สึกเจ็บจนต้องเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเก่าเพื่อที่จะถึงบ้านให้เร็วที่สุด

____
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 24 ชกต่อย 100%] [28.10.12]
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 28-10-2012 17:20:45
เฮ้ออออ เศร้าจริงจริ๊ง ไบมีเหตุผลนะแต่มากเกินไป
บางทีถือความรู้สึกตัวเองก่อนความเป็นจริงบ้างก็ได้
เดี๋ยวสุดท้ายก็ต้องเจ็บกันหมด แล้วเมื่อไหร่จะได้รักกันล่ะเนี่ยยยย
# มาต่อไวๆนะค้า สนุกมากกกก 5555
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 25 การกระทำ สำคัญ กว่า 100%] [28.10.
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 28-10-2012 18:57:25
 KO-JAP : การกระทำ สำคัญ กว่าคำพูด
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมรู้แล้วว่าเวลาของผมที่ไทยมันใกล้จะหมดลงในไม่ช้านี่ เพราะยังไงไอ้รุ่นพี่ซางมินนั่นก็ต้องเอาเรื่องไปบอกทางคณบดีของศึกษาศาสตร์ เออ ก็ลุงผมนั่นแหละ ทางนั้นด้วยความที่หมั่นไส้ผมเป็นทุนเดิม ยังไงก็ต้องถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น เรื่องนี้เดากันไม่ยาก แล้วอีกอย่าง ทุนแลกเปลี่ยนอะไรนั่นน่ะ โกหกทั้งนั้น เพียงแค่ส่งผมมาดัดนิสัยแค่นั้นแหละ

ผมจะบอกให้ว่า ตอนนี้ผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยล่ะ อยู่ที่ญี่ปุ่นผมถูกไล่ออก เนื่องจากไปมีเรื่องชกต่อยกับเด็กที่มันชอบเกาหลี ก็ใครสั่งใครสอนให้มันเอาเจร็อคมาเทียบกับเกาหลีล่ะ พูดมาได้ว่าบัตรคอนเสิร์ตเกาหลีไม่กี่นาทีก็ขายหมด เจร็อคดองไว้เป็นชาติก็ไม่มีใครมาซื้อ ผมก็เลยต่อยมันเอาซะพูดไม่ได้ไปหลายวัน

ดีแล้ว สมน้ำหน้า!!! แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนของมหาวิทยาลัยมาที่บ้าน และบอกว่าผมถูกไล่ออก จะว่าไล่ออกมันก็ไม่เชิงเท่าไร แค่พักการเรียน แต่ผมทะลึ่งบอกว่าจะออกเองแหละ สุดท้ายก็ได้ออกสมใจ

แม่นี่ถึงกับกุมขมับแล้วกวาดบรรดาแผ่น CD, DVD เจร็อคทั้งหลายให้มันตกจากชั้น บางกล่องก็แตก บางกล่องก็หัก แม่ชี้หน้าด่าผมว่าวัน ๆ ไม่ทำอะไร สร้างแต่ปัญหา แถมยังบอกว่าเพราะเจร็อคแน่ ๆ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

หึ!!! คำก็เจร็อคผิด สองคำก็เจร็อคผิด ใช่สิ เพราะพวกเราทำตามที่ตัวเองอยากจะทำ เพราะพวกเรารักในความอิสระจนบางคนคิดว่ามันเกินเลย แล้วก็เกิดการต่อต้านเหมือนแม่ผมเป็นต้น

แล้วผมก็ถูกส่งมาที่ไทย โดยการสร้างข้อมูลเท็จทั้งหมด แม่ผมโทรไปหาแม่ของไอ้ไบเซป ขอร้องให้ผมไปพักกับมันเผื่ออะไรในตัวผมมันจะดีขึ้นบ้าง ตอนแรกผมก็คัดค้าน เพราะอีกคนมันเกาหลีฝังหัว และผมก็เกลียดเกาหลียิ่งอะไรดี ถ้าให้ผมไปอยู่กับมัน มีหวังว่าแค่สองอาทิตย์ผมก็หอบกระเป๋าหนีแล้ว แต่ผมจะไปขัดอะไรแม่ได้ล่ะ?

ผมถูกส่งตัวมาไทยอย่างเร็วที่สุด ไอ้ไบเซปก็มารับผมที่สนามบิน ครั้งแรกที่ผมเห็นมันนี่ถึงกับต้องส่ายหน้าแล้วอยากจะวิ่งขึ้นเครื่องบินกลับญี่ปุ่นทันที แต่บางที ผมก็กลับมาคิด การที่ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ อย่างเกาหลีในแบบเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มันก็น่าจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจอยู่ต่อ ซึ่งผมคิดว่า บางทีผมก็ตัดสินใจผิด เพราะระยะเวลาทำให้ผมได้ซึมซับอะไรที่เป็นตัวมัน ทำให้ผมได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง

ทั้ง ๆ ที่พยายามต่อต้านเกาหลีมาก ๆ แต่พอมาอยู่กับไอ้นี่ ผมกลับมองเกาหลีเป็นเรื่องตลก และหาทางที่จะแกล้ง จนสุดท้าย ผมก็ชอบมัน

นั่นแหละ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของผม

ตอนนี้ผมนั่งรอไอ้ไบเซปอยู่ในห้องนอนมัน มันลากผมขึ้นมาพร้อมทั้งบอกว่า คืนนี้ให้นอนที่นี่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเป็นปกติมันคงจะไล่กลับห้อง แถมด่าเสีย ๆ หาย ๆ แต่วันนี้มันเงียบ

ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อม ๆ กับโฮสของผมโผล่หน้าเข้ามา มือของมันถือกระปุกยาเข้ามาด้วย

“หน้ากูมีแผลเหรอ” ผมถามมัน พยายามทำตัวให้ปกติ เพราะบรรยากาศตอนนี้มันชวนอึดอัด

“มันช้ำน่ะ” อีกฝ่ายตอบพลางทิ้งตัวนั่งตรงหน้าผม

“แค่ช้ำ เลือดไม่ได้ออกซักหน่อย” ผมปัดมือมันออกเมื่ออีกฝ่ายจิ้มสำลีตรงที่มันช้ำ

“อย่าดื่อนักได้ไหม” มันบ่นกระปอดกระแปด พลางเอาสำลีชุบยาจิ้มลงอย่างแรง

“โอ๊ย!!!” ผมร้องออกมาพลางยกมือขึ้นปัด แต่อีกฝ่ายคว้ามือของผมไว้ แล้วกดมันลงกับหน้าตัก

“ทีต่อยละไม่เคยร้อง” มันเริ่มสั่งสอนครับ “ทีตอนนี้ละร้องดีนัก”

“....”

“กูเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากท่านคณบดี” มันพูดพลางจับหน้าผมหันซ้ายหันขวา

“แล้วไง”

“อีกฝ่ายข่าวเร็วมาก” น่าน นี่มึงกำลังจะบอกกูว่ากูถูกส่งตัวกลับใช่มะ เหอะ! ดังคาด “ท่านคณบดีบอกว่ารับมึงไว้ที่คณะไม่ได้แล้ว มึงทำคณะเสียชื่อเสียง ทางคณะจะทำเรื่องส่งมึงกลับญี่ปุ่น”

“กูคิดไว้แล้วแหละ”

“กูไม่เชื่อ” อีกฝ่ายพูดขึ้น ปิดฝากล่องกระปุกยา แล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะคอม ไบเซปกลับมานั่งประจัญหน้ากับผมอีกครั้ง “ถ้ามึงคิดจริง มึงคงไม่ทำแบบนั้น”

ไอ้ห่านิ =.=” กูเพิ่งคิดเมื่อไม่กี่นาทีนี่เองเว้ย!!! ผมจ้องมันอย่างขุ่นเขือง แต่ก็ไม่พูดอะไร

“เฮ้อ~~” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา ก้มหน้ามองตักตัวเอง แล้วช้อนสายตาขึ้นมองผม

“ลำบากมากสินะมึง” ผมพูดกึ่งประชด

“กูน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มึงเนี่ยดิ” มันพูดแล้วมันก็เงียบ พลางเอามือขยี้ผม “กูละปวดหัวกับมึงจริง ๆ เล้ยยยย~~ จะอะไรกันนักกันหนา จะรีดคำพูดจากกูไปไหนเนี่ย” พูดจบ มันก็คลานมานั่งพิงเตียงข้าง ๆ ผม หัวของมันเอนลงมาซบไหล่ผมไว้ เฮ้ย!!! บรรยากาศแบบนี้ชักแปลก ๆ

“มึงเคยได้ยินว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูดไหม” ผมพยักหน้าหงึก ๆ แล้วฟังมันพูดต่อ “แต่มึงก็ไม่เคยเอาใจใส่ มึงต้องการเพียงแค่คำพูด มึงไม่ได้มองการกระทำเลย”

“มึงต้องการจะสื่ออะไรวะเนี่ย” และเป็นผมที่งงเอง อีกฝ่ายยกมือผลักหัวผม แล้วตีไหล =.=” อะไรของมึงอีไบ อารมณ์ไหนอีก ซักพักมันก็เอาหัวมันออกจากไหล่ผม แล้วเปลี่ยนมาประคองหน้าผมแทน และนั่นทำให้ผมยิ่งงงหนัก

สายตาของเราทั้งสองประสานกัน หน้าของไอ้ไบเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ และผมคิดว่าตัวเองก็คงไม่ต่าง มันหลบสายตาผม แต่แล้วก็กลับมาสานสายตาใหม่

“มึงมองไม่เห็นเลยหรือไง การกระทำทุกอย่างของกู มันไม่เคยอยู่ในสายตามึงเลยเหรอ” แล้วจู่ ๆ ตามันก็ฉ่ำครับ เอ่อ...กูขอโทษนะไบเซป แต่ชีวิตกูมันมีเพียงแค่ดราม่ากับสะใจ กูไม่รู้ว่าบรรยากาศแบบนั้นมันคืออะไร หรือถ้ามึงบอกกูว่านี่คือโรแมนติค กูก็คงจะนั่งเอ๋อแดกอยู่ดี กูคงจะงงว่าโรแมนติคบรรยากาศมันเป็นแบบนี้เหรอ

“หลายเรื่องที่มึงทำกูวุ่นวาย กูด่ามึงก็จริง แต่สุดท้ายกูก็ยอมมึง มึงสังเกตไหม” รอบนี้ผมพยักหน้า “แล้วเพราะอะไรล่ะ?”

กูจะรู้ไหมล่ะ T____T กูก็คิดแค่ว่ามึงเบื่อที่จะต่อปากต่อคำกับกู ก็เลยยอมแมร่งซะเลย เรื่องมันจะได้จบ แต่สุดท้าย ผมก็ส่ายหน้าครับ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองโง่แปลก ๆ =.=”

“มึงรู้ไหมว่าเวลาที่มึงด่ากู กูไม่เคยเจ็บเท่ากับตอนที่มึงพูดว่ากูเห็นรุ่นพี่ดีกว่ามึง” รอบนี้เป็นผมที่หลบสายตามันครับ กูไม่ได้ตั้งใจพูดนะ แต่ตอนนั้นอารมณ์กูมันขึ้น >////< “กูไม่ได้เห็นใครดีกว่ามึง ฟีนิกซ์ กูเห็นมึงดีที่สุดแล้ว”

มันพูดซะจนผมสำนึกในความผิดของตัวเอง ผมก้มหน้าหงุดเพราะความอาย บวกกับกำลังระลึกชาติว่าทำอะไรไม่ดีกับมันไว้บ้าง แล้วทุกอย่างก็ประดังประเดเข้ามาจนตัวผมสั่น นอกจากจะพยายามบีบให้มันพูดคำว่าหึงอย่างไร้เหตุผลแล้ว ผมยังทำให้มันต้องมายุ่งยาก เพราะลุงโทรมาบอกว่าจะส่งผมกลับประเทศ อีกฝ่ายคงจะหนักใจน่าดู เพราะผมยังไม่ได้บอกความจริงกับมันว่า ไอ้ทุนที่มึงเซ็นไปน่ะ จัดฉากทั้งนั้น (แต่ไอ้ที่ทะเลาะกันผ่านภาษาญี่ปุ่น นั่นของจริง)

มือของไบเซปที่ประคองใบหน้าของผมจับให้ผมเงยหน้าขึ้น ดวงตาของมันรื่นไปด้วยน้ำตา ทำเอาหัวใจของผมเจ็บแปรบ ปากบอกว่าชอบ ไม่สิ ตอนนี้เรียกว่ารักดีกว่า ปากบอกว่ารักแต่ผมกลับทำให้มันร้องไห้ น้ำตาของมันไหลต่อหน้าต่อตาผม นี่กี่รอบแล้วนะ ผมนี่มันใช้ไม่ได้เลยแฮะ

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้มัน นี่คงจะเจ็บกับการกระทำของกูมากเลยสินะ จะบอกว่าขอโทษ กูก็พูดบ่อยจนบางทีมันอาจจะไม่มีผลอะไรแล้วก็ได้

พลันก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง มือของไอ้ไบเซปรั้งใบหน้าของผมให้เคลื่อนเข้าไปใกล้ ในขณะที่อีกฝ่ายก็เคลื่อนเข้ามาเหมือนกัน ผมขืนไว้นิดนึง แต่สุดท้ายก็คิดว่า นี่แหละ...การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ไบเซปมันไม่พูด แต่มันทำทุกอย่างให้ผมเห็น แล้วก็เป็นผมที่โง่ ตาบอดไม่เห็นสิ่งที่มันทำ

ริมฝีปากของเราสัมผัสกันในที่สุด

รอบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รอบนี้ไม่ใช่เพราะไม่เต็มใจ ผมสัมผัสได้ถึงความรัก ความรักที่ผมโหยหามานาน และผมก็เจอมันแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะเกาหลีมากแค่ไหน แต่ถ้ารักจริง แล้วมันจะทำไมล่ะ

มือของผมแทรกเข้าไปยังเรือนผมนุ่มของอีกฝ่าย ไบเซปเปิดปากราวกับจะเชิญชวนให้ผมเข้าไปสำรวจ และผมก็เข้าไปจริง ๆ อีกฝ่ายเริ่มแสดงออกถึงความไม่คุ้นเคย ผมคิดว่ามันน่ารักจนอยากจะแกล้ง ก็เลยดีฟให้มันซักหน่อย อีกฝ่ายส่งเสียงครางเพราะหายใจไม่ออก

นั่นยิ่งทำให้ผมคลั่ง...

มือของผมเริ่มไม่อยู่นิ่ง มันเลื่อนต่ำลงไปที่ลำคอ ลากผ่านเสื้อของไอ้ไบ และสุดท้าย มันก็เลื้อยเข้าไปสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายผ่านทางชายเสื้อ......
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 25 การกระทำ สำคัญ กว่าคำพูด 100%] [2
เริ่มหัวข้อโดย: Mingky ที่ 28-10-2012 19:21:18
ค้างอ่ะ มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 26 NC!for Bedroom 100%] [28.10
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 28-10-2012 22:42:43
NC!!! 100% for Bedroom

   มือของผมสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายผ่านทางชายเสื้อ แต่คนตัวเล็กกลับจับมือของผมไว้แน่นราวกับมีสัญญาณเตือนภัย ผมผละริมฝีปากจากมันแล้วยิ้มให้

   “โห~~ ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมอีกเหรอ?” ผมถามพลางยักคิ้ว อีกฝ่ายทำหน้าตาบอกไม่ถูก

   “ค..ครั้งแรกนะ...” มันพูดปากสั่น ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ดึงมือออกจากชายเสื้อแล้วแตะที่ริมฝีปากมัน

   “เดี๋ยวผมคุมเกมเองครับ” ผมปิดปากมันอีกรอบ แล้วรอบนี้ไม่คิดจะปล่อยให้มันมาจับมือผมด้วย แขนเล็กของมันทั้งสองข้างถูกผมรวบไว้ข้างหลัง อีกฝ่ายออกอาการตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่นานหรอก หึหึ ร่างกายของคนเรามันปรับกันได้

        ผมอุ้มมันขึ้นไปบนเตียง หากจะทำกันที่ขอบเตียงมันก็กระไรอยู่ บทเพลงรักเริ่มบรรเลงไปเรื่อย ๆ ผมซุกหน้าเข้ากับซอกคออีกฝ่าย และไม่ลืมที่จะฝังเขี้ยวลงไปให้เกิดรอยรักขึ้นมา ผิวสีขาวของมันตัดกับรอยสีชมพูชวนให้น่าหลงไหล กระดุมเสื้อของมันถูกถอดออกจากรังกระดุม แล้วเหวี่ยงลงพื้น ผมลากริมฝีปากผ่านไหปาร้า กัดเบา ๆ ที่หัวไหล่ แต่อีกฝ่ายก็เล่นครางเสียงหน้ารัก ผมเงยหน้ายิ้มให้มัน พลางลูบโครงหน้าเรียว

   “อย่าเพิ่งครางสิ นี่แค่อุ่นเครื่องเองนะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ตีแขนผมเต็มแรง ผมมองอาการเขินของมันอย่างขำ ๆ ก่อนที่จะก้มหน้าลงไปจัดการกับยอดอกสีชมพูหน้ารัก ผมทั้งเม้ม ทั้งกัดด้วยความหมั่นเขี้ยว ปล่อยให้รอมาตั้งนาน(เกือบจะทั้งเรื่องเลยเหอะ) ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขอเต็มที่เลยแล้วกัน

   มือของอีกฝ่ายขยุ่มเรือนผมของผมเต็มแรงราวกับจะปลดปล่อย ริมฝีปากมันคอยแต่จะส่งเสียงน่ารักยามที่ผมเม้มกัดไปตามผิวหนังนุ่ม ๆ ของมัน ตอนนี้มือของผมลากผ่านหน้าท้องแบนราบแล้วไปหยุดอยู่ที่ขอบกางเกง แล้วผมก็ไม่ทำอะไรต่อ อีกฝ่ายปรือตามองผม

   “อะไรของนายเนี่ย” เสียงใสเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

   “อ้าว นึกว่าจะห้ามเสียอีก” ผมแหย่ แล้วเป็นอันต้องโดนสายตาหวานค้อนให้ ก่อนที่มันจะใช้มือเล็ก ๆ ผลักผมออก

   “พอเลย ถ้าแบบเนี่ย ไม่ทำแล้ว!!!” อ้าว ไอ้เชี้ย!!! ไม่พูดเปล่าครับ หลังจากที่มันผลักผมออก ก็ตั้งท่าจะลุกหนีซะงั้น แล้วมีหรือที่ผมจะยอม เล่นมาขนาดนี้แล้ว =.=” มือของผมคว้าเอามืออีกฝ่ายแล้วผลักมันลงเตียงเหมือนเดิม เจ้าตัวเล็กยิ้มทะเล้น แหมะ ไว้ใจไม่ได้เลยนะเนี่ย

   “งอนเป็นด้วย”

   “อย่ามัวแต่พูดมากเหอะ” แล้วมันก็เป็นฝ่ายผลักผมลงกับเตียง แล้วให้ตัวเองขึ้นคล่อม งานนี้ทำเอาผมงงอยู่หลายวินาทีเหมือนกัน

   “ถ้าไม่อยากทำเดี๋ยวทำเองก็ได้” พูดจบริมฝีปากของมันก็ประกบเข้าที่ริมฝีปากผม รอบนี้ผมไม่ต้องเข้าไปควานหาความหวานของอีกฝ่ายให้ยากลำบาก เพราะไอ้ไบเล่นเปิดปากรอเลยครับ พวกเราสองคนแลกลิ้นกันอยู่นาน ก่อนที่มันจะผละออก แล้วส่งยิ้มน่ารัก

   “คุมเกมต่อสิ” มันสั่งครับ เสียงยั่วซะด้วย เพราะงั้น ไม่ขัดคำสั่งและนะ ผมจับมันพลิกลงข้างล่างอีกรอบ แล้วดึงกางเกงออกอย่างรวดเร็ว ส่วนกางเกงชั้นใน ลำบากมาก ฉีกแมร่งเลย (เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ก็ได้) มือของผมกอบกุมส่วนที่อ่อนไหวของไอ้ไบไว้ แล้วรูดขึ้นลงช้า ๆ อีกฝ่ายหน้าเริ่มแดงแต่มันยังกัดริมฝีปากครับ

   เหอะ! พอถึงเวลาครางมึงก็ครางสิโว้ยยยยยยยย

   ด้วยความไม่ยอม ผมรูดให้มันเร็วขึ้น อีกฝ่ายทำหน้าอึดอัดก่อนที่จะปล่อยเสียงครางออกมา ผมยิ้มอย่างดีใจ และไม่วายอยากจะแกล้งต่อ รอบนี้ไม่มือแล้วครับ มือน่ะ เด็กน้อยไป ผมก้มลงไปจูบส่วนอ่อนไหวของร่างข้างใต้เบา ๆ แค่แตะ ๆ เท่านั้นนะ

   “อ...อ่าาาาา ....” แมร่งครางซะขนลุก >/////////////<

   ไม่ปล่อยให้รอครับ ในเมื่อครางออกมาแล้ว ต่อไปก็ต้องเอาให้มันสุด ๆ ผมจัดการอมส่วนนั้นของมัน พร้อมทั้งกัดนิด ๆ อีกฝ่ายดิ้นพร่านแล้วผลักหัวผมออก น้ำตามันคลอเบ้าหน่อย ๆ ผมหลุดหัวเราะออกมา แล้วเปลื่ยนกลับมาเป็นมือเหมือนเดิม ส่วนไอ้ไบกระชากคอเสื้อผมเข้าไปหาแล้วประกบจูบผมอย่างแรง มือของมันถอดเสื้อของผมออก แล้วลากวนอยู่ที่แผงอก ทำเอาผมแทบจะเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือที่รูดขึ้นรูดลงนั้นเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายกระตุกครั้งนึง แล้วน้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมาเลอะมือของผม

   ผมเปลี่ยนจุดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มือก็เลอะแล้ว ละเลงหน่อยก็ดี นิ้วแรกของผมค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปยังร่างกายของอีกฝ่าย

   “ฮึก...เดี๋ยวสิ...” เสียงมันร้องออกมาเบา ๆ แต่ผมก็ไม่หยุดตามที่มันบอกหรอก นิ้วที่สองเริ่มตามเข้าไปติด ๆ อีกฝ่ายเริ่มบิดตัว จนกระทั้งนิ้วที่สาม น้ำตาเม็ดเล็ก ๆ ก็ไหลออกมาครับ ผมก้มลงจูบซับน้ำตาให้มัน

   “เจ็บไม่มากหรอก” ผมกระซิบบอก มือของผมหมุนวนอยู่ในร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อหาจุดกระสัน แล้วผมก็พบครับ อีกฝ่ายสะดุ้งเบา ๆ ถึงจะเบาแค่ไหน แต่ผมที่ผ่านอะไรมาเยอะ ก็พอจะมองออก และผมก็กดจุดตรงนั้นย้ำ ๆ แรง ๆ เน้น ๆ ไอ้ไบกรีดร้องออกมา ผมไม่ปล่อยให้มันร้องนาน อีกทั้งอยากจะแกล้งด้วยแหละ ก็เลยปิดปากมันซะ ส่วนมือก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่สร้างความกระสันให้อีกฝ่าย

   ไหล่ของผมถูกมันทุบอย่างแรง เสียงที่อยากจะเปร่งออกมากลับไม่มี น้ำตาของมันเริ่มไหลออกมาเป็นทาง ผมเลยผละริมฝีปากออกเพราะเกรงว่าไอ้ตัวเล็กมันจะตายเสียก่อน

   “จ...เจ็บ...มัน...” มันพูดออกมาแทบจะไม่รู้เรื่อง เหงื่อผุดพรายขึ้นตามใบหน้าและร่างกาย ผมมองมันยิ้ม ๆ “ม..ไม่ไหว..ไม่ไหวแล้ว” ไอ้ไบเซปหลับตาลง ฟันสวยกัดเข้าที่ริมฝีปากอย่างเชิญชวน ผมจัดการกับกางเกงของตัวเอง

   มือของผมจับสะโพกของไอ้ไบไว้ พลางค่อย ๆ ดันแก่นกายของผมเข้าไป

   “โอ๊ยยย...เจ็บ...” ไอ้ตัวเล็กร้องลั่นกว่าเดิมครับรอบนี้ อาจจะด้วยที่ว่าเป็นครั้งแรก บวกกับความใหญ่ของผมด้วยมั้ง ผมจับใบหน้าของมันให้มาสานสายตา แล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปอีกจนมิด ไบเซปหลับตาแน่น เสียงครางดังออกมาเบา ๆ น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ผมใช้นิ้วโป้งเช็ดออก แล้วจูบมันที่ริมฝีปากล่าง ทั้งดูดทั้งดุนเพื่อให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บปวดจากเบื้องล่าง ก่อนที่ผมจะเริ่มขยับ

   “ฟี..ฟี เดี๋ยว..หยุดก่...หยุดก่อน...” จะมาบอกหยุดตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะมึง ผมคิดขำ ๆ มือผมสานเข้าที่มือของไอ้ไบแล้วยกขึ้นเหนือหัว อีกฝ่ายหลับตาแน่นเมื่อผมเริ่มจังหวะเร็วขึ้น

   “ม..มันเจ็บ... อ่าาาา...” แรก ๆ บอกว่าเจ็บ พอกัดเข้าที่ยอดอก เสือกครางซะงั้น อ่าาาา นี่สิ ผมล่ะติดใจมันตรงนี้แหละ ตอนนี้ผมกำลังหยอกล้อกับยอดอกของไอ้ไบที่ชูชันเพราะความเสียว ลิ้นผมกระวัดสลับกลับไปกลับมาทั้งสองข้าง อีกฝ่ายทั้งร้องว่าเจ็บ ทั้งครางจนผมปรับอารมณ์ตามมันไม่ทัน จังหวะของผมเริ่มเร่งเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของอีกฝ่ายคลอนไหวไปกับจังหวะนั่น

   ผมมองดูสีผิวของไอ้ไบที่ตอนนี้ออกสีชมพูอย่างเห็นได้ชัดเพราะอารมณ์ที่พุ่งสูง ใบหน้าของมันชื้นเหงื่อ ดวงตาที่หลับแน่นแล้วมีน้ำตาไหลออกมาช่างยั่วยวนยิ่งนัก แล้วไหนจะแก้มสีชมพู หรือแม้กระทั่งริมฝีปากที่เผยออกอย่างเชิญชวน อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคค นี่มันยาเสพติดชัด ๆ 0.0!!!!!

   มือของผมจับสะโพกของคนตัวเล็กเพื่อความถนัด ผมรั้งมันเข้ามาใกล้เมื่อตัวเองใกล้จะถึงจุดสุดยอด ส่วนอีกฝ่ายมันปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาอีกรอบเรียบร้อยแล้ว ผมกระแทกแรง ๆ เข้าไปอีกสองสามครั้ง แล้วผมก็ปล่อยภายในตัวมัน

   “ฮึก...” เสียงไอ้ไบกระตุกเมื่อรับรู้ถึงน้ำรักของผมที่ฉีดพ่นอยู่ในร่างกาย ผมค่อย ๆ ถอนแก่นกายออกมา ก้มลงจูบริมฝีปากสีชมพูนั่น พลางเช็ดเหงื่อให้มัน ไอ้ไบปรือตามองผม

   “เหนื่อย...” มันพูดออกมาเพียงแค่นั้นแล้วเงียบ ผมแตะมือที่ริมฝีปากมัน

   “อย่าเพิ่งเหนื่อยสิ นี่แค่รอบแรกเองนะ”

   “มันเหนื่อยจริง ๆ นะ” มันพูดพลางเสมองไปทางอื่น ผมจับคางมันแล้วหันกลับมามองผม

   “ไปต่อที่ห้องน้ำ” ผมพูดยิ้ม ๆ แล้วลุกขึ้นช้อนตัวอีกฝ่าย

   “ห๋า???.. ด...เดี๋ยว....เดี๋ยวสิ..นี่มันเหนื่อยนะ...เหนื่อยแล้วนะ...!!!” ไอ้ไบดิ้นอยู่ในห้องกอดของผม แต่ก็นั่นแหละ จะสู้อะไรผมได้เล่า เท้าของผมเตะเข้าที่ประตูห้องน้ำภายในห้องนอนของมัน ประตูเปิดออกอย่างแรง ผมจับให้อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหากระจกที่อ่างล้างหน้า

   “น..นายจะทำอะไรน่ะ” ไอ้ไบเซปหันควับกลับมาถาม

   “ฉันอยากให้นายได้เห็นหน้าตัวเองน่ะ แล้วนายจะรู้ว่านายทำชั้นคลั่งมากขนาดไหน” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปตามอารมณ์ เจ้าตัวเล็กอ้าปากค้างราวกับไม่เข้าใจคำพูดเมื่อครู่ ผมปิดปากอีกฝ่าย แล้วส่งลิ้นเข้าไปสำรวจ มือของผมเริ่มทำหน้าที่หยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวของไอ้ไบ

   “อ่าาา...ฟีนิกซ์.....ฟี....เดี๋ยว...อ๊าาาา~~!!!!” ขาเล็กสั่นราวกับจะทรงตัวไม่อยู่ หน้าของไอ้ไบเซปเริดขึ้นด้านบน แก่นกายของผมจ่ออยู่ที่ช่องทางรักของมัน

   ...หึหึ หึหึ ไม่จบง่าย ๆ หรอก...

หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 26 NC!for Bedroom 100%] [28.10.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: Mingky ที่ 28-10-2012 23:29:15
 :haun4: :jul1: :jul1: จมกองเลือด 5555555555555555555
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 26 NC!for Bedroom 100%] [28.10.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 28-10-2012 23:33:36
โอย โดนกินทั้งตัว
หนูฟีจ๋า ป้าแย่แล้ว เลือดหมดตัวเล้ยยยยย
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 27 NC!for Bathroom100%]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 29-10-2012 20:20:45
KO-JAP : NC!!! for Bathroom
   โหมด : ไบเซป

   ผมว่าผมกำลังจะตายล่ะ

   โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคค ถ้ารู้ว่ายอมแล้วจะเป็นแบบนี้ จะเลิกทำตั้งแต่มันหยุดแล้ว จะไม่ยั่วมันต่อแล้วด้วย จบจากเตียงมันก็อุ้มผมมาที่ห้องน้ำ ทั้ง ๆ ที่ที่เตียงผมก็เหนื่อยจนจะสลบอยู่แล้ว หมอนี่ชอบแกล้งผมอ่ะ ปล่อยทีเผลอไม่ได้เลย ใจร้ายชะมัด

   ตอนนี้ผมกำลังหอบจนตัวโยน พยายามไล่งับอากาศให้ได้มากที่สุด ด้านหน้าผมเป็นกระจกที่คอยสะท้อนใบหน้าของผม เล่นเอาไม่อยากจะมอง เพราะมันทั้งออกเป็นสีชมพู ทั้งเหงื่อ ทั้งทุกอย่าง เอาง่าย ๆ คือไม่อยากจะเห็นหน้าตัวเองในสภาพที่ถูกปลุกอารมณ์เช่นนี้ แต่กระนั้น อีฟีมันก็บังคับให้ผมมองเข้าไปในกระจก ส่วนหน้ามันซุกเข้าที่ซอกคอผมแล้วกัดแมร่งโคตรแรง เล่นเอาผมต้องร้องออกมา เพราะทั้งเสียว ทั้งเจ็บ ไอ้นี่มันซาดิสหรือไงนะ กัดผมจนเป็นรอยทั้งตัวอยู่แล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าใส่ชุดนักศึกษาแล้วจะปิดรอยพวกนี้ได้ยังไง

   เห็นทีคงต้องพึ่งรองพื้น หรืออะไรซักอย่าง T______T แต่ถึงกระนั้นเถอะครับ ตอนนี้มันก็กำลังปลุกอารมณ์ผมอีกรอบ มือผมเกาะขอบอ่างล้างหน้าไว้แน่น เพราะถ้าปล่อยนี่มันทรุดลงกับพื้นแน่นอน ขาผมสั่นเพราะความเสียว บวกทั้งความเหนื่อยล้า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายมันไม่รับรู้อะไรเลย มือมันรูดขึ้นลงที่ส่วนอ่อนไหวของผม ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยขนาดนี้ มันก็สามารถทำให้จุดนั้นของผมกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง

   อ..ไอ้นี่มันน่ากลัวชิบหาย 0.0!!!!!!

   “อะ...อ๊าาา...ฟี....เดี๋ยวสิ...!!!~~” ผมครางออกมาราวกับคนละเมอ ปากของผมอ้าออก ในขณะที่ส่วนล่างมันพ่นของเหลวออกมาอีกแล้ว ฮือออออออออออออออออออ ถูกปลุกมันทั้งตัวแบบนี้สติแตกกันพอดี

   “หน้านายสวยมากเลย ^^” มึงไม่ต้องมาย้ำเป็นรอบที่ล้านแปดให้กูเขินหรอกไอ้บ้า!!!! ผมหันหน้ากลับไปหามันเพื่อที่จะบอกให้มันหยุด เพราะตอนนี้ผมจะตายแล้วครับ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากบอก ริมฝีปากผมก็ถูกประกบปิดอย่างแรงราวกับมันมีญาณวิเศษรับรู้ได้ว่าผมจะทำอะไร มือของมันปล่อยส่วนอ่อนไหวของผมแล้วหันมาหยอกล้อกับยอดอกแทน นั่นยิ่งทำให้ผมสั่นไปทั้งตัว

   ช่องทางด้านหลังตอนนี้รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มันจ่ออยู่ที่ทางเข้า ผมพยายามผลักหน้ามันออก แต่พอผลักได้มันก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ร้องนาน นิ้วมือของมันก็ล้วงเข้ามาภายในโพรงปากของผม เรียกได้ว่างานนี้รับบทหนักมาก นิ้วมือนี่มันจะช่ำชองไปไหนนะ ลิ้นเล็กของผมตามไม่ทันกันเลยทีเดียว ในขณะที่สติกำลังจดจ่ออยู่กับนิ้วที่มันหมุนวนอยู่ในโพรงปาก จู่ ๆ ความเจ็บปวดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาจากช่องทางด้านล่าง

   ผมหลับตาปี๋ น้ำตาไหลออกมาเป็นทางอีกรอบ นิ้วมือของไอ้ฟียังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แต่รุ้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะรอบนี้รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิม เสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้องน้ำ จนผมเกรงว่าคนข้างบ้านจะได้ยิน

   เสียงหอบหายใจของฟีนิกซ์ปะปนกับเสียงกรีดร้องของผมที่ทำได้เพียงแค่อู้อี้อยู่ในคอ น้ำตาของผมยังไหลเป็นทาง ก็ไหนตอนแรกบอกว่าเจ็บไม่มากไง นี่มันเจ็บจวนจะขาดใจอยู่แล้ว

   นิ้วมือของไอ้ฟีนิกซ์ถูกดึงออกจากปากของผมในสุด เวลานี้ผมครางได้เต็มที่ และรู้สึกว่ามันจะช่วยได้ ถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม สะโพกของผมถูกรั้งไม่ให้หนีไปไหน มือผมยังคงเกาะอ่างล้างหน้า ปากผมอ้าออกไล่งับอากาศ ดวงตาของผมปรืออย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์หรือความเหนื่อยกันแน่ แต่ตอนนี้เงาที่สะท้อนออกมาในกระจก ทำเอาผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตัวผมเอง

   ตอนนี้ผมถูกจับพลิกตัวให้หันหน้าไปเผชิญหน้ากับไอ้คนเอาแต่ใจ รายนั้นรอยยิ้มยกที่มุมปาก ผมหมั่นไส้ก็เลยทุบไปที่ไหล่มันทีนึง อีกฝ่ายแสร้งทำหน้าเจ็บ แล้วหันมาขยับต่อ และเป็นผมที่ต้องกลับมาครางเหมือนเดิม

   ...ฮือออออ T___T ถ้ากูรุกมึงเมื่อไร กูจะเอาให้แสบกว่านี้เป็นร้อยเท่าเลย อีฟี อีบ้า!!!... ผมก่นด่ามันในใจ ในขณะที่อีกฝ่ายงับเข้าที่ยอดอก

   “อ๊าาาาา!!!!” ไม่ต้องบอกก็รุ้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมไม่รู้นะ แต่ผมรู้สึกว่าจุดอ่อนของผมมันอยู่ตรงนี้ ตรงยอดอกนี่แหละ ทุกทีที่โดนสัมผัส หรือโดนกัดเป็นต้องสั่นไปทั้งร่าง แล้วมันก็ต้องส่งเสียงครางออกมาเพื่อระบายอารมณ์ และผมรู้ดีว่าฟีนิกซ์มันก็รู้จุดนี้ มิน่า แกล้งกูซะเหลือเกิน Y___Y

   ยอดอกผมยังถูกละเลงต่อไป พร้อมทั้งช่องทางด้านหลังที่ถูกระรานไม่หยุด แถมมันยังกระแทกไปถูกจุดนั้นของผมซ้ำ ๆ ราวกับอยากแกล้ง เสียงครางของผมทั้งหนักทั้งถี่ จนสติผมแทบจะหลุดลอย โลกเบื้องหน้ามันพร่ามัวไปหมด มือของผมโอบรอบลำคออีกฝ่ายเพื่อหาที่ยึดเกาะ ผมซุกหน้าเข้าหาเรือนผมสีน้ำตาลของไอ้ฟี กลิ่นแซมพูกระทบเข้าจมูกผมเต็ม ๆ และมันก็ทำให้ผมนึกบ้าอะไรไม่รู้ กัดเข้าที่หัวไหล่มัน ไอ้ฟีหยุดการกระทำทั้งหมด แล้วหันมาจับหน้าผมที่ตอนนี้คาดว่าหน้าตาคงเหมือนกับคนเมาเข้าไปทุกที

   “เดี๋ยวนี้กัดเป็นแล้วเหรอ” มันถามหน้าตายียวน ในขณะที่ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะอารมณ์มันค้าง!!!!!! =[]=!!!!!!! มึงอย่าเพิ่งมาพูด มึงมาช่วยกูก่อน!!! ไอ้บ้า!!!!

   “ฟี...ฟี~~” ผมเรียกมันเสียงหลง มือของผมเลื่อนลงไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวของตัวเอง แล้วรูดขึ้นรูดลง ไอ้ฟีมองผมอย่างขำ ๆ “ช..ช่วย...ช่วยด..ด้วย....” ผมพูดเสียงแหบแห้ง ที่ขนาดผมฟังเองยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเสียงของผม ไอ้ฟีนิกซ์หัวเราะซะลั่นห้องน้ำ ในขณะที่น้ำตาผมไหลพราก

   “อยากคุมเกมไหมละ” มันถามพลางจูบลงที่ริมฝีปากบวมเจ่อของผม ผมส่ายหน้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อ

   “ช..ช่วย..ช่วย...”

   “เออ ๆๆๆ รู้แล้วว ๆๆๆๆ ฮ่า ๆๆๆ โอ๊ยๆๆๆ กูขำ” ไอ้เวร!!!!! กูกำลังจะลงแดงตายเสือกมาหัวเราะใส่กู อย่าให้กูได้เอาคืนบ้างนะ ฮือ ๆๆๆๆ นอกจากจะทำให้กูเหนื่อยแล้วยังมาทำให้กูอาย ฮือออออออออออออออ เดี๋ยวจะเอาคืน เดี๋ยวจะทำให้หึง เดี๋ยวจะไปจี๋จ๋ากับรุ่นพี่ให้มึงหึงเป็นฟืนเป็นไฟเลยคอยดูสิ T_____________T

   ผมด่ามันอย่างเคียดแค้นอยู่ในใจ มือของผมก็ยังคงรูดขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จนไอ้ฟีมันตีมือผมออก แล้วดึงให้ไปโอบรอบคอมัน ผมซบใบหน้าเข้ากับไหล่แกร่งของอีกฝ่าย ตอนนี้ดวงตาของผมหลับไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ผมก็รู้หมดแหละว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมบ้าง

   แก่นกายของไอ้ฟีนิกซ์เริ่มขยับ และผมก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่มันแล่นขึ้นมาอีกรอบ มือของมันกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมแล้วทำหน้าที่แทน เสียงกระแทกยังคงดังเข้าสู่โสตประสาท จนตอนนี้ผมภาวนาให้มันจบเร็ว ๆ เพราะถ้าขืนยังทำต่อไปอีกไม่เกินห้านาที ผมขาดใจตายแน่ ๆ

   “อะ...อ้าาาาา~~” แล้วผมก็ปลดปล่อยในที่สุด แขนของผมโอบรอบคอไอ้ฟีนิกซ์ ใบหน้าของผมซบลงไปไหล่ของมัน หัวสมองผมขาวโพลนไปหมด ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เริ่มที่เตียงแล้วตอนนี้อยู่ที่ห้องน้ำ ผมปล่อยออกมากี่รอบ แต่รู้สึกว่าจะหลายรอบแล้วล่ะ ฟีนิกซ์กระแทกไม่กี่ครั้งผมก็รู้สึกถึงของเหลวที่มันอยู่ในร่างกาย และไหลออกมาตามขาของผม แก่นกายของฟีนิกซ์ถูกถอดออก ผมทรุดลงทันที แต่ดีที่รั้งคอมันไว้ได้ อีกฝ่ายพยุงผมให้ไปพิงผนังห้องน้ำ

   ความเย็นจากผนังสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง ทำให้ผมขนลุก ริมฝีปากของผมถูกครอบครอง อีกฝ่ายทั้งดูดทั้งเม้มจนเกิดเสียง แล้วริมฝีปากมันก็จรดลงที่หน้าผากของผม

   “เหนื่อยแล้ว” ผมพูดเบา ๆ มือลูบที่แผ่นอกของไอ้คนหื่นกาม ฟีนิกซ์รั้งมือผมขึ้นไปสานไว้เหนือหัวแล้วกดเข้ากับผนังห้องน้ำ

   “มันเพิ่งจะสองรอบเองนะ” มันยิ้มส่งมาให้ เล่นเอาผมหมั่นไส้จนต้องยกขาขึ้นเตะ แต่ก็นั่นแหละ เบื้องล่างของผมมันระบมอยู่แล้วจะเตะได้ไงเล่า งานนี้ก็เลยถูกมันสะกัด เข่าของมันแทรกเข้าหว่างขาผมจนรู้สึกเสียวถ้าเกิดมันแทรกขึ้นมาสูงกว่านี้ “จะเตะแบบนี้แสดงว่ายังมีแรงเหลืออยู่”

   ผมมองรอยยิ้มมันแล้วส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้ว”

   “ไม่เอา เพิ่งสองรอบเอง” ไอ้...ไอ้...ไอ้ควายยยยยยยยยยยยย!!!!!

   “สองรอบที่ไหน ชั้นหลายรอบแล้วนะ”

   “แต่ฟีเพิ่งจะสองรอบเองนะ” =.=” รอบนี้นึกบ้าอะไรเรียกชื่อแทนตัวเนี่ย

   “นั่นมันนายนิ”

   “ไม่เอา ยึดตามฟีแล้วกัน ตอนนี้สองรอบ เอ~~ อยากได้ซักสามสี่รอบ” แล้วมันก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมต้องทุบไหล่มันไปทีนึง

   “ไอ้บ้า ไม่เอาแล้ว”

   “ไม่ยอมหรอก” พูดจบมันก็อุ้มผมพาดบ่า ผมนี่ทั้งเตะทั้งทุบหลังมัน แต่ไม่ยักมีอะไรเกิดขึ้น ผมกรีดร้องสุดเสียง เพราะรู้แน่ ๆ ว่าคืนนี้มันไม่จบง่าย ๆ T___T จะเอากูให้ตายเลยไหมไอ้ฟี ฮือออออออออออออออออ

   น้ำที่อ่างอาบน้ำถูกเปิด ไอ้ฟีนิกซ์วางผมลงแล้วมันก็ตามลงมา รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า

   “อาบน้ำดีกว่าเนอะ ^,........,^”

   ผมมองรอยยิ้มมัน พลางเบียดตัวเข้ากับมุมอ่างให้ได้มากที่สุด ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวราวกับสัญญาณเตือนภัยว่า สถานที่ต่อไปมันอยู่ตรงนี้แน่ ๆ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 27 NC!for Bathroom100%] [29.10.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 29-10-2012 21:34:30
โห
ถ้าจะอัดอั้นตันใจมากนะเนี่ย
จัดซะหนักเลย ถนอมๆเค้าหน่อยเซ่ ตาฟินิกส์
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 27 NC!for Bathroom100%] [29.10.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 29-10-2012 21:55:23
ร้อนแรง  :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 27 NC!for Kitchen100%]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 30-10-2012 19:55:51
KO-JAP : NC!!! for Kitchen
   โหมด : ฟีนิกซ์

   โอ๊สสสสส!!!!! เอาล่ะ ตอนนี้ผมเล่นสนุกกับเจ้าตัวเล็กมาสองรอบแล้ว ขณะนี้ผมและไอ้ไบเซปกำลังพักยกนั่งแช่อยู่ในอ่างอยู่ครับ ใช่แล้วล่ะ ผมใช้คำว่าพักยก เพราะงั้น แสดงว่ามันยังไม่จบครับ (^,.....,^) กะว่าจะเล่นกับมันซักสามสี่รอบ โทษฐานที่ทำให้ผมรอนาน แล้วก็ทำให้ผมหึงด้วย แต่มองหน้าเหนื่อย ๆ ตาปรือ ๆ ของมันแล้วก็รู้สึกสงสารอยู่นิด ๆ อันที่จริงจะว่าผมเซ็กส์จัดก็ได้นะ แต่ว่า จัดแค่กับไม่กี่คนหรอก และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้ไบเซปรวมอยู่ด้วย ฮ่า ๆ

   ร่างกายของมันทำผมคลั่งราวกับกำลังลิ้มรสอาหารราคาแพงในภัตคารสุดหรู หรือไม่ก็ราวกับร่างกายของมันเป็นสารเสพติด ที่เมื่อเสพเข้าไปแล้วหากจะเลิก มันก็ยาก... ผมนั่งมองอีกฝ่ายที่พยายามทำตัวลีบ เบียดตัวเข้ากับขอบอ่างอาบน้ำอีกฝั่ง ผมขำกับการกระทำของมันจนต้องกวักน้ำใส่อีกฝ่าย เจ้าตัวเล็กส่งเสียงไม่พอใจพร้อมทั้งทำปากพองลม

   ...น่ารักชะมัด...

   “เล่นอะไรของนายน่ะ” โดนไปสองรอบยังปากจัดเหมือนเดิมครับ =.=”

   “เล่นน้ำ” ผมตอบยิ้ม ๆ

   “กวนตีน” ปากหมาจริงไอ้นิ

   หลังจากนั้นมันก็เงียบไป ไม่พูดอะไรอีก ผมเอียงคอมองใบหน้าด้านข้างของมันที่จู่ ๆ ก็เริ่มแดงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ไอ้ตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ในอ่าง ในขณะที่ผมนั่งทำตัวตามสบายเต็มที่ และสายตามันก็เล็งมาที่แก่นกายของผมเสียด้วยสิ หุหุหุหุ แอบหื่นนิหว่า (=w=)

   “หน้าแดงอีกแล้ว” ผมแซว

   “อ...อะไร”

   “นายหน้าแดงน่ะ” ผมย้ำอีกพลางหัวเราะหึหึ อีกฝ่ายรีบวาดมือเปะปะกลางอากาศ พลางพูดแก้ตัวไปต่าง ๆ นานา ผมยังคงยิ้มพลางมองการกระทำของมัน จนคนซึนเดเระหุบปาก ผมถึงพูดขึ้น

   “หายเหนื่อยยัง” ไอ้คนซึนเดเระทำหน้าปรับอารมณ์ตามไม่ทัน เพราะผมเปลี่ยนเรื่อง มันเอามือมากอดเข่าเหมือนเดิม

   “อื้อ แช่น้ำหน่อย ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น” เมื่อมันพูดจบรอยยิ้มก็ประดับผมใบหน้าของผม ผมรีบลุกขึ้นจากอ่าง ไอ้บ้านั่นกรี๊ดลั่นพลางยกมือขึ้นปิดตา

   “เฮ้ย ไอ้บ้า!!! จะลุกก็บอกก่อนสิเว้ย” มันพูด มือยกขึ้นปิดตาแน่น ผมกระชากมือมันขึ้นมาคล้องคอแล้วจัดการอุ้มขึ้นจากอ่าง เห็นของกูหมดแล้วยังจะอายอีก

   “โอเค หายเหนื่อยแล้ว งั้นไปต่อ”

   อีกฝ่ายตาเบิกโพลง แล้วดิ้นในอ้อมกอดผม

   “เฮ้ย!! นายจะบ้าเหรอ??!!! ชั้นบอกว่ารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าหายเหนื่อยนะเฟร้ย!!!” ไอ้ไบเซปเริ่มที่จะโมเมเอาตัวรอด ผมฮัมเพลงของท่านศาสดาเพื่อกลบเสียงโวยวายของคนในอ้อมกอดอย่างสบายอารมณ์ อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ แม้แต่แรงดิ้นนั้นเริ่มที่จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะความเหนื่อยอ่อน ผมเปลี่ยนท่าอุ้มเป็นจับมันพาดบ่าแล้วเดินลงมาจากชั้นบนทั้ง ๆ ที่เปลือยอยู่อย่างนั้น

   อ่าาาา ถ้าถามว่าอายไหม ผมคงพูดได้เต็มปากว่าไม่อาย เพราะทั้งบ้านมีอยู่แค่สองคน อะคุๆๆๆๆ (หัวเราะเลว)

   “น..นาย...นายจะพาชั้นไปไหนน่ะ” ไอ้ไบส่งเสียงมาทั้ง ๆ ที่หัวห้อยลงด้านล่าง

   “ห้องครัว” ผมตอบห้วน ๆ

   “เฮ้ย!! ไปทำอะไรที่ห้องครัว” เสียงมันเริ่มรนลานมากยิ่งขึ้น ผมหัวเราะในลำคอ

   “ไปต่อกิจกรรมของเราไง”

   “ไอ้บ้า!!! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ไอ้คนซาดิส ปล่อยลงเลย ชั้นเหนื่อยแล้ว ชั้นง่วงนอนนะ”

   “ก็บอกแล้วไงว่ายึดตามฟี ฟีเพิ่งจะสองรอบ แล้วอีกอย่าง ที่บอกว่าซาดิสเนี่ย แรงไปหน่อยไหม เดี๋ยวก็ซาดิสจริง ๆ หรอก” ผมพูดชวนให้อีกฝ่ายคิดไปในทางที่ไม่ดี เสียงร้องห้ามยังคงดังมาจากริมฝีปากเล็ก แต่ใครสนล่ะ ผมวางไอ้ไบลงที่โต๊ะกินข้าวตัวยาวกลางห้องครัว ไอ้ตัวเล็กทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ สภาพมันตอนนี้กำลังนั่งถ่างขาและผมก็มองมันเต็ม ๆ อีกฝ่ายรีบหุบอย่างรวดเร็ว

   “มองอะไร” ไอ้ไบตะวาด ทั้ง ๆ ที่หน้าแดงเป็นผลตำลึง ผมหัวเราะหึหึ แล้วหันไปค้นของในเค้าเตอร์ติดผนัง ที่จำได้ลาง ๆ ว่าบนนี้มันมีเหล้าอยู่นินา

   “นั่งยั่วจังเลยนะไอ้ตัวเล็ก” ผมพูดพลางหยิบขวดไวท์องุ่นแดงออกมาจากเค้าเตอร์ ถึงมันจะไม่ใช่เหล้า แต่ก็ถือว่าเมาได้เหมือนกัน อีกฝ่ายมองผมที่กำลังเปิดขวด

   “นายจะทำอะไรน่ะ” สายตาของมันเพ่งไปที่ขวดไวท์พร้อมทั้งกลืนน้ำลาย ผมยิ้มให้อีกฝ่ายที่คิดว่าถ้าผู้หญิงทั้งโลกเห็น เป็นต้องละลายแน่ ๆ

   “เอ๊า!!” ผมแสร้งทำท่าแปลกใจ “ก็เรียกฟีว่าซาดิสไม่ใช่เหรอ? ก็เลยจะซาดิสให้ดูไง” แล้วผมก็กระดกไวท์เข้าปากไปหนึ่งอึก ความหวานแปลก ๆ ของไวท์องุ่นสัมผัสเข้าที่ลิ้น ผมส่งเสียงอ้าออกมาเบา ๆ พลางสืบเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย ไอ้ไบเริ่มกระเทิบตัวหนีอยู่บนโต๊ะ

   “เฮ้ย!! อย่าเข้ามานะ” สิ่งของที่อยู่ใกล้มือถูปามาที่ผมเรื่อย ๆ โดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่ไงผมก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะตอนนี้สายตาของผมจดจ้องอยู่ที่ร่างบางบนโต๊ะที่กำลังหาทางหนีเอาตัวรอด ดูแล้วก็นึกขำในความกลัวของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ผมถือไพ่เหนือกว่า หรือว่า...อันที่จริงแล้ว ผมก็ซาดิสเหมือนที่มันว่าจริง ๆ (=.=;)

   เฮ้ย ไม่ใช่ดิ ผมไม่ได้ซาดิสนะ แค่อยากแกล้งมันเฉย ๆ ก็ใครบอกให้มันว่าผมซาดิสล่ะ งานนี้เลยสนองความว๊อน (want) ของมัน ไม่สิ ขนาดนี้เรียกว่าความนี๊ด (need) ดีกว่า >.<

   ผมกระดกไวท์เข้าไปอีกอึก ตอนนี้สมองเริ่มแล่นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ สีหน้าของไอ้ไบบ่งบอกถึงความกลัว แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง 0.0!!!

   บอกแล้ว ว่าไอ้นี่น่ะ ยาเสพติดดี ๆ นี่เอง ไวท์องุ่นแดงถูกส่งเข้าปากผมเป็นรอบที่สาม แต่รอบนี้ผมไม่กลืนมันลงไปครับ เท้าของผมสืบเข้าไปหาอีกฝ่ายบนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากผมประกบเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย มือสะกิดเข้าที่ยอดอกเพื่อบังคับให้อีกคนเปิดปาก ไวท์องุ่นแดงถูกส่งเข้าไปยังปากของเป้าหมาย ลิ้นของผมกวาดไปทั่วโพรงปากของไอ้ไบเซป เพื่อบังคับให้มันกลืนไวท์ลงไป อาจจะมีไวท์บางส่วนที่เลอะออกมาที่มุมปาก แต่นั่นไม่ถือว่าเสียหาย เพราะผมยังมีอีกเป็นขวด ฮ่า ๆๆๆๆๆ

   ไอ้ไบเซปยกมือขึ้นเช็ดปาก แล้วคลานหนีลงจากโต๊ะ ผมรั้งเอวของมันไว้แล้วลากเข้ามาแนบอก แผ่นหลังของมันถูไถไปกับแผ่นอกของผม ยิ่งดิ้น แรงเสียงสียิ่งเยอะ และอารมณ์ผมยิ่งพุ่งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ แต่เท่านี้ยังไม่พอครับ แค่นี้ยังสนุกไม่พอหรอก หึหึหึ ไวท์ยังคงถูกส่งเข้าปากของคนตัวเล็กไปเรื่อย ๆ จนถึงอึกที่ห้า (เยอะพอตัวครับ) ใบหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มขึ้นสีแดงเพราะความเมา ตัวของไอ้ไบเซปเริ่มอ่อนและมันเริ่มที่จะทำอะไรโดยไม่รู้เรื่อง

   การมอมเหล้าเป็นอย่างนึงที่ผมชอบทำเวลาที่จะมีอะไรกับพวกผู้หญิง เพราะลีลาที่แท้จริงมันชอบออกมาตอนเมานี่แหละครับ ฮ่า ๆๆๆ (ถึงตอนนี้ผมคงรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมซาดิสแน่ ๆ 555555)

   “ฟี~~นิกซ์~~” มันเรียกชื่อผมเสียงยานคาง ผมวางขวดไวท์ลงที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้มือ ในขณะที่อีกฝ่ายหันตัวเข้ามาเผชิญหน้ากับผม มือของมันลากวนอยู่ที่ริมฝีปากและแผ่นอกจนทำให้ผมขนลุก บ๊ะ!!! ถ้ารู้ว่ามอมเหล้าแล้วมันจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ มอมมันตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง ผมนี่ก็โง่อยู่ตั้งนาน ฮ่า ๆๆๆๆ

   ริมฝีปากของผมถูกริมฝีปากของไอ้ไบเซปประกบ และเป็นมันที่ลุกล้ำเข้ามายังโพรงปาก ตอนนี้ผมปล่อยให้มันคุมเกม มือเล็ก ๆ ของไอ้ไบกอบกุมแก่นกายของผม แล้วทำหน้าที่รูดขึ้นลง ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อริมฝีปากบางลากผ่านลำคอ มันลากวนอยู่ที่แผ่นอก มือของมันข้างที่ว่างยกขึ้นมารั้งรอบคอของผมไว้ แล้วริมฝีปากมันก็วกกลับมาที่ริมฝีปากของผมอีกรอบ ราวกับติดใจ

   เสียงหอบหายใจของมันพ่นออกมาแรงพร้อม ๆ กับกลิ่นไวท์ที่ติดมาด้วย ผมส่งยิ้มให้มัน พลางลูบศีรษะราวกับเจอเด็กน้อยน่าตาน่ารัก อีกฝ่ายก้มลงไปอมแก่นกายของผมที่มันเริ่มจะแข็งตัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดาน นี่แหละที่เรียกว่าสุขสมล่ะ เมาแล้วเอาใจเก่งแฮะ แบบนี้ต้องเอาให้เมามากกว่าเดิม (^.^)

   คิดได้ดังนั้น ผมก็ถอยตัวออกห่าง จนเจ้านั่นของผมหลุดจากปากมัน ไอ้ตัวเล็กทำท่าเหมือนจะคว้าไว้ แต่ก็พลาด ผมส่งขวดไวท์กลับไปให้ ไอ้ไบเซปเลียริมฝีปากอย่างเชิญชวน

   “เอาดิ ช่วยได้นะ” ผมยิ้มให้มันราวกับผู้ใหญ่ใจดี อีกฝ่ายครางเบา ๆ คว้าเอาขวดไวท์จากมือผม แล้วกระดกอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเพราะมันจะยั่วผมกันแน่ เพราะตอนนี้ไวท์ที่มันกระดกเข้าไป น่าจะสองในสามส่วนไหลเลอะออกมาจากริมฝีปากสวย มันไหลลงมาตามลำคอจนมาถึงแผงอกของมัน แล้วไหลย้อยไปกองที่ส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย นิ้วมือของมันลากวนอยู่ที่ร่างกายของตัวเอง ราวกับจะล่อให้ผมเข้าไปหา และดูท่าสิ่งที่มันทำจะได้ผลเสียด้วยสิ

   ผมเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างหื่นกระหาย (ยอมรับว่าตอนนี้เอาไม่อยู่แล้ว) จากนั้นก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วรวบร่างบางของมันเข้ามากอด ไวท์ที่เลอะอยู่ที่ร่างบอบบางละเลงไปบนตัวผมด้วย ผมดึงขวดไวท์ออกจากริมฝีปากสวย แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ ดวงตาที่มันมองผมนั้นหวานฉ่ำเพราะความเมา ผมออกแรงดึงอีก และไอ้ไบก็ยอมปล่อยอย่างว่าง่าย ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายทำให้ผมสติแตกด้วยการเลียไปมาที่ริมฝีปากตัวเอง มือของผมวางขวดไวท์ไว้ที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้เหมือนเดิม แล้วหันกลับมาสนใจร่างกายตรงหน้าต่อ

   “อ๊าาา~~~” เสียงครางของมันดังขึ้นเมื่อผมก้มลงไปทำความสะอาดร่างกายนั้นด้วยการเลียคราบไวท์ออกจากตัว เริ่มที่ริมฝีปากสีชมพูน่ารัก ลากผ่านลำคอระหงที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยรักสีชมพู แผงอกที่ชวนให้ผมหลงไหล แล้วไหนจะยอดอกทั้งสองข้างนั่นที่ผมไม่ลืมที่จะสะกิดเบา ๆ ให้เจ้าของขนลุกเล่น

   ผมผลักไอ้ไบให้นอนลงกับโต๊ะแล้วเริ่มละเลงไวท์ที่มันเลอะอยู่ตามตัว ริมฝีปากของผมลากผ่านหน้าท้องแบนเรียบ ถึงผมจะรู้ว่าตอนนี้ทุกส่วนของมันต่างก็เต็มไปด้วยร่องรอยที่ผมทำทิ้งไว้ แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังทำเพิ่ม และย้ำจุดเดิมเพื่อให้มันเด่นขึ้นมาอีก ใบหน้าของผมซุกลงเข้าที่ส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย และจูบลงไปเบา ๆ

   “อึก...อะ...” ไอ้ไบเริ่มที่จะส่งเสียงร้อง แต่ดูเหมือนมันพยายามจะห้ามเสียงตัวเอง เพราะเมื่อผมเงยหน้ามองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังกัดนิ้วอยู่ ผมดึงมือมันออก

   “จะกลั้นไว้ทำไมล่ะเนี่ย” ผมถามยิ้ม ๆ

   “ไบเซ..ไบเซปไม่...ส่ง...ส่งเสีย..เสียงหรอกกกกกก~~” มันพูดแล้วหัวเราะ

   “เอ๊ะ! คิดจะยั่วเหรอ” ผมถามกลับ มันยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก

   “ไม่โส่งงงง...เสียงหรอกกกก~~...ยัง..ยังมี..ซาติ อยู่วววน๊าาาา~~” เนี่ยนะมีสติของมึง ไอ้บ้า!!! ผมขมวดคิ้วให้ไอ้ตัวเล็กที่ตอนนี้คิดว่าไวท์ที่มันกินเข้าไปคงเริ่มออกฤทธิ์

   “ไม่ส่งเสียงจริงดิ” ผมยิ้มแล้วถาม

   “อื้อออออ~~~อ่าาาา~~” =.=” เอาไงของมึงไอ้หอย มึงอื้อ แล้วมึงจะอ่าาาาา ทำไมเนี่ย???

   “โอเค งั้นคอยดูก็แล้วกัน”

   “อื้ออออ~~คอยยยย ดูวววว น๊าาาา~~” ล้อเลียนคำพูดกูอีก ผมคิดว่าตอนนี้มันไม่ไหวแล้วล่ะ

   “เดี๋ยวจะทำให้ร้องให้ได้เลย”

   “อู๊วววว น่ากลัววววว~~จาง~~” เฮ้ย!!! ไอ้เชี้ย!! อย่ามาท้าทาย

   “ของจริงกำลังจะมาแล้วนะ” ผมพูดเผื่อมันจะกลัวบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตาหยี แล้วหัวเราะคิกคัก ในขณะที่หน้ามันเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมือมันก็เริ่มที่จะจับส่วนอ่อนไหวของตัวเองรูดขึ้นลง

   “อ่ะะะ อ้าา~ ฮึก!! มาเล้ยยยยย ม่ายกลัวววว~~” สัส!! ท้าทายอย่างนี้ จัดไปครับพี่น้อง ผมก้มลงจูบริมฝีปากมันส่งท้าย ก่อนที่จะเริ่มอะไรที่มันเรียกว่าซาดิสของจริง ว๊อนมากเดียวจัดห๊ายยยย!!!~~

   ผมจับมือไอ้ไบที่กำลังช่วยตัวเองออก แล้วลากมันให้ลงมาจากโต๊ะ จากนั้นก็จัดท่าให้อีกฝ่ายนอนราบลงไปกับพื้นโต๊ะในสภาพคว่ำหน้า เสียงหัวเราะคิดคักด้วยความเมาของมันยังกวนประสาทผมไม่หาย นิ้วของผมส่งเข้าไปยังช่องทางด้านหลังทีเดียวถึงสามนิ้ว เสียงหัวเราะคิกคักหายไป กลายเป็นเสียงอึก ๆ อัก ๆ ราวกับคนกลั้นเสียงไว้ แล้วผมก็พบว่ามันกำลังกัดนิ้วตัวเองอยู่ แต่ช่องทางของมันนี่เรียกได้ว่ารัดนิ้วของผมไว้เต็มที่

   งานนี้ผมไม่ยอมครับ เมาแล้วท้าทายแบบนี้แหละผมชอบ เดี๋ยวจะจัดให้แบบขอสิบให้ร้อยเลย นิ้วของผมเริ่มเร่งความเร็วเพื่อที่จะเรียกเสียงครางจากอีกฝ่ายให้ได้ พยายามกดเข้าไปที่จุดกระสัน รู้สึกว่าผมจะเป็นบ้ากับเสียงของไอ้ไบเซปมาก แต่ผมก็อยากจะฟังมันครางจริง ๆ นะ แบบว่าผมชอบอ่าาาา TwT แต่จนแล้วจนรอด กดมันตรงนั้นตรงนี้ มันก็มีเพียงเสียงอึก ๆ อัก ๆ จนผมล้มเลิกความตั้งใจ แล้วดึงนิ้วออก

   ดูท่ารอบนี้จะไม่หมูแล้วแฮะ ผมง่วนคิดอยู่กับวิธีการในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ พลางส่ายก้นไปมาจนน่าหมั่นไส้ ผมก็เลยตีป๊าบเข้าไปทีนึง คราวนี้มันหันหน้าหวานเยิ้มของมันมายิ้มแฉ่งให้ผมราวกับจะเยาะเย้ย

   “ม่ายยยยร้องงงง ม่ายยยยยยครางงงงง~~ อิอิ” กวนตรีนกูอีกและมึง =.=” แล้วสายตาของผมก็กระแทกเข้ากับขวดไวท์ที่มันตั้งอยู่บนเก้าอี้

   ราวกับศาสดากำลังตรัสอะไรบางอย่างกับผม...

   ผมมองขวดไวท์ สลับกับใบหน้ายิ้มแฉ่งยียวนกวนตีนของไอ้ไบเซป

   ราวกับได้ยินเสียงกระซิบถึงเคล็ดลับจากท่านศาสดา...

   แล้วรอยยิ้ม(เลว)ของผมก็ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับผู้ชนะ

   หึหึ หึหึ งานนี้ถ้ามึงไม่ร้อง กูยอมเป็นฝ่ายรับตลอดชีวิต หึหึ หึหึ


มีต่อฮะ
เดี๋ยวมาต่อ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 28 NC! for Kitchen50%] [30.10.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 01-11-2012 12:26:53
จะติดตามอ่านต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 28.2 NC! for Kitchen100%] []
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 02-11-2012 23:04:28
   เสียงหัวเราะเลว ๆ ของผมดังขึ้นในหัว ในขณะที่มือคว้าเอาขวดไวท์ขึ้นมา ผมเหล่มองขวดไวท์สลับกับไอ้ไบที่ตอนนี้นอนราบคว่ำหน้าเกาะขอบโต๊ะไว้ ราวกับจะรอคอยเวลาที่ผมจะกระหน่ำมันให้เต็มที่ ซึ่งผมก็ไม่ปล่อยให้มันรอนานครับ

   แต่อย่าคิดว่าผมจะกระหน่ำมันโดยใช้ส่วนนั้นนะ ผิดถนัดเลย รอยยิ้มเลวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม พร้อม ๆ กับไวท์แดงองุ่นที่ถูกเทลงมาที่มือ ผมละเลงน้ำไวท์แดงให้ชุ่มมือแล้วลูบไปที่คอขวดไวท์เพื่อใช้หล่อลื่น ดูท่าอีกฝ่ายมันจะยังไม่รู้เรื่อง และผมก็ไม่รู้ว่าผมซาดิสอะไรด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมลองอะไรแปลก ๆ แบบนี้ แอบหวั่นอยู่เหมือนกันครับ >.<

   ผมก้มลงจูบแผ่นหลังของไอ้ไบ อีกฝ่ายเริดหน้าขึ้นแต่ก็ยังไม่ส่งเสียงนอกเสียจากเสียงหัวเราะ ผมกัดเข้าที่ใบหู เจ้าตัวเล็กยู่คอหนีอย่างน่ารัก ผมหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่จ่อขวดใกล้กับช่องทางด้านหลัง

   “ไบเซป” ผมเรียกมัน อีกฝ่ายหันหน้ามาแล้วผมก็รีบประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็ว มือข้างที่ว่างกดศีรษะมันไว้เพื่อไม่ให้มันสะบัดหลุดได้ ในขณะที่มือข้างที่ถือขวดไวท์ค่อย ๆ ดันปากขวดเข้าไปยังช่องทางด้านหลัง เสียงร้องอู้อี้ดังออกมาจากลำคอของอีกฝ่าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะผมยังปิดปากมันไว้อยู่

   มือเล็กสะบัดเปะปะไปทั่วจนผมต้องผละริมฝีปาก ปล่อยศีรษะของมันให้เป็นอิสระ แล้วหันมารวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไขว้ไว้ข้างหลัง จากนั้นก็เอนตัวทับอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ดิ้นหนักเมื่อปากขวดถูกยัดเข้าไปจนมิด

   “โอ๊ยยยยยย!!!~~” เสียงร้องของมันหลุดออกมาจนได้ ขาเล็กสั่นอย่างเห็นได้ชัด ผมค่อย ๆ ขยับขวดไวท์ที่ส่วนคอขวดนั้นเข้าไปยังร่างกายของคนด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ยิ่งขยับมากเท่าไร เสียงร้องยิ่งดัง และขาไอ้ไบยิ่งสั่นมากเท่านั้น มือของผมเลื่อนลงไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย จับมันรูดขึ้นลงช้า ๆ ให้สอดประสานงานกับมือที่ทำหน้าที่ช่องทางด้านหลัง ริมฝีปากของผมพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังเล็ก และไม่ลืมที่จะทำร่องรอยทิ้งไว้

   ใบหน้าของไบเซปเงยขึ้นด้านบน ริมฝีปากเปิดอ้า ส่งเสียงครางน่ารัก ผมหัวเราะหึหึในความสะใจที่สามารถเรียกเสียงออกมาได้ ร่างกายของไอ้ไบเซปสั่นสะท้านจากการปลุกเร้าอารมณ์ทุกช่องทาง

   “ฮึก!! จาไป~~....” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ดวงตาสวยปิดแน่น น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง นั่นยิ่งช่วยขับให้ไอ้นี่ดูสวยกว่ายามปกติ จนผมอดไม่ได้ที่ก้มลงไปจูบเบา ๆ ที่เปลือกตานั่น

   “จะ...จาปายยยย~~...” เสียงไอ้ไบเซปยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับอารมณ์ของมัน ตอนนี้มือของผมทำหน้าที่อย่างดีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จนกระทั่งผมเห็นแก่สมควร จึงค่อย ๆ ดึงขวดไวท์ออกแล้วหยุดการกระทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายค้าง อันนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่อยากแกล้ง ฮร๊าาาาาาาาา ผมขยับนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว มือกอบกุมแก่นกายของตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อม ส่วนไอ้ไบเซปปล่อยมือที่เกาะกับขอบโต๊ะแล้วทรุดลงกองกับพื้น เหงื่อผุดอยู่ทั่วร่างกาย ใบหน้าของมันเหยเกด้วยความทรมาน

   “ฟีนิกซ์~~ ช่วย~~~” เสียงหอบเรียกให้ผมเกิดอารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองไอ้ไบเซปที่ดิ้นอย่างทรมาน มือของมันเริ่มที่จะขยับช่วยตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่าแค่นั้นไม่พอหรอก

   “ช่วยอะไรล่ะ” ผมพูดพลางมองดูอีกฝ่ายคลานเข้ามาหา

   “ช่วย...ช่วยด้วย...” เสียงหอบยังคงพูดติดขัด มือของมันแตะถูกที่เท้าผมพลางใช้เป็นหลักดันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ผมใช้มือเชยคางมันขึ้น อีกฝ่ายปรือตามอง

   “งานนี้นายต้องคุมเกมแล้วล่ะ” ผมพูดกับมันยิ้ม ๆ ดวงตาที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่มีหยาดน้ำตาไหลออกมา

   “ฟีนิก..ซ์...ต้อง..ช่วย.....~~” เสียงของมันยังขาดห่วง ใบหน้าหวานนั่นขึ้นสีแดงชัดเพราะความเมา ในขณะที่มือยังคงช่วยตัวเองอย่างไร้หนทาง ผมไม่ตอบอะไร แถมยังนั่งอยู่เฉย ๆ จนอีกฝ่ายตีมือผมออกแล้วไอ้ไบเซปก็ซุกหน้าลงกับหว่างขาของผม

   โพรงปากเล็กดูดเม้มส่วนปลายแก่นกายที่กำลังชูชันเพราะอารมณ์ ผมนั่งมองอีกฝ่ายปรนเปรอร่างกายของผมอย่างยิ้ม ๆ ตอนแรกกะว่าจะไม่ทำแบบนี้ แต่พอมันด่าว่าซาดิสแล้วก็อดแกล้งไม่ได้ อาการค้างนี่คงทรมานน่าดู ผมสังเกตร่างกายของอีกฝ่ายที่สั่นไปทั้งตัว แถมยังขึ้นสีอีกตางหาก ยิ่งมองยิ่งหลงไหล แล้วยิ่งมาทำแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งอยากจะขย่ำมันอีกรอบ แต่ก็ต้องบอกตัวเองให้รอ

   แก่นกายของผมถูกโพรงปากของอีกฝ่ายอมจนมิด ไอ้ตัวเล็กทำแบบนี้อยู่หลายนาที น้ำตาของมันไหลพรากเพราะความต้องการที่ไม่ได้สนอง ผมจับศีรษะของอีกฝ่ายเพื่อให้มันหยุด ก่อนที่จะดึงมันให้ลุกขึ้นแล้วนั่งคล่อมหันหน้าเข้าหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

   มือบางของคนตัวเล็กโอบรอบคอผม ปากของมันอ้าออก ส่งเสียงน่ารัก ผมค่อย ๆ จับร่างกายอีกฝ่ายนั่งทับแก่นกายที่กำลังชูชัน ไอ้ไบเซปร้องออกมาเบา ๆ เมื่อร่างกายของมันกลืนกินส่วนนั้นของผมเรียบร้อย

   “ขยับสิ” ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย และไม่ต้องให้บอกเป็นครั้งที่สอง สะโพกเล็กเริ่มขยับขึ้นลงช้า ๆ พร้อมกับเสียงครางที่ผมไม่รู้ว่าเกิดจากความเจ็บปวดหรือเกิดจากอารมณ์กันแน่

   จังหวะขยับที่ตอนแรกช้า ๆ บัดนี้มันถูกเร่งให้เร็วขึ้น เสียงหอบเริ่มหนักขึ้น และมือที่โอบรอบคอกลายเป็นจิกเข้าที่แผ่นหลังของผมจนรู้สึกเจ็บ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรมัน กลับหันไปสนใจยอดอกของอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า ผมใช้ลิ้นเลียไปที่ยอดอก มือกุมส่วนอ่อนไหวของมันแล้วขยับแรง ๆ ไอ้ไบเซปร้องเสียงหลง เพราะถูกรุกรานจากทุกช่องทาง เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นมากกว่าเดิมเพราะแรงที่มากขึ้นเมื่อจะถึงจุดสุดยอด แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ยอมให้มันจบง่าย ๆ

   ในจังหวะที่เจ้าตัวเล็กร้องว่าจะถึงแล้ว ผมก็จัดการปิดช่องทางการพ่นน้ำรักของมัน สีหน้าของไบเซปบ่งบอกได้อย่างดีถึงความทรมาน

   “ฟีนิกซ์...ได้โปรด....” เสียงหวานเอ่ยอ้อนวอน ผมหัวเราะหึหึ แล้วกัดเข้าที่ติ่งหูของอีกฝ่าย

   “ไปพร้อมกันสิ”

   “ได้~~โปรด~~ปล่อย~~” ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มที่จะละเมอแล้วครับ แก่นกายของผมที่ค้างอยู่ในตัวมันรู้สึกปวดหนึบพอกัน เพราะมันหยุดขยับ ทำให้อารมณ์ผมค้างไม่น้อย

   “ขยับเดี๋ยวนี้ไบเซป ไม่งั้นนายไม่ได้ปล่อยแน่” ผมกรอกคำขู่ลงที่หูเล็ก ร่างบางเริ่มขยับขึ้นลงอีกครั้งราวกับคนละเมอ และเสียงครางหวานใสน่ารักก็เริ่มบรรเลงเช่นกัน

   ผมรับรู้ถึงอารมณ์ตอนนี้ที่มันถาโถมเข้ามาและพร้อมที่จะทำให้ผมปลดปล่อย ผมมองร่างบางที่นั่งกระแทกขึ้นลงอยู่บนตัก โครงหน้าเรียวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ดวงตาที่ปิดแน่น  และน้ำตาที่ไหลออกมา ดู ๆ ไปแล้วราวกับปฏิมากรรมชิ้นโบแดงสำหรับผม เพราะกับผู้หญิง ผมไม่เคยให้ความสำคัญมากขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยก็ได้

   ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ปลดปล่อยน้ำรักเข้าที่ร่างกายของอีกฝ่าย มือของผมผละออกจากส่วนอ่อนไหวของไอ้ไบเซปและมันก็พ่นน้ำรักออกมาเลอะมือผมแทบจะทันที ร่างบางอ่อนยวบราวกับตุ๊กตายางถูกปล่อยลม มันเอนตัวเข้ามาซบกับบ่าของผม เสียงหอบดังอยู่ข้าง ๆ หู ผมยกมือลูบเส้นผมมันเบา ๆ แล้วจูบเข้าที่แก้ม

   “เก่งมาตัวเล็ก เก่งมาก” เกิดเสียงรับรู้อู้อี้ดังเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะปล่อยลมหายใจที่สม่ำเสมอออกมา และนั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าตัวเล็กของผมดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

   ผมฉีกยิ้มให้กับตัวเอง

   ...สามรอบสำหรับเซ็กครั้งแรก... ถือว่าไม่เลว...

   ผมช้อนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไว้แนบอก ก่อนที่จะเดินขึ้นบันได แล้วเข้าห้อง ร่างบางถูกผมวางอย่างเบามือไว้บนเตียง ผมล้มตัวลงนอนข้าง ๆ มัน พลางยกผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อีกฝ่าย แล้วกอดไว้แน่น คืนนี้ผมมีความสุข แต่ยังไงผมก็ต้องรีบนอน เพราะเช้าวันพรุ่งนี้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไบเซปต้องอาระวาดบ้านแตกแน่ ๆ หรือบางทีอาจจะไม่ อ่าาาา ผมไม่แน่ใจเลยแฮะ (>.<~~)
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 28.2 NC! for Kitchen100%] [02.11]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 02-11-2012 23:14:04
อู๊ยยยยยยยยยยยยย
แกล้งกันขนาดนี้ขอให้หนูไบอาระวาดให้บ้านฟังไปเล้ย
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 29 พายุ วันอาทิตย์100%] [09.11.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 09-11-2012 07:20:37
KO-JAP : พายุ วันอาทิตย์
โหมด : ไบเซป

ผมผงกหัวหนัก ๆ ขึ้นจากหมอน ดวงตาของผมยังปรับแสงได้ไม่เต็มที่ ผมกระพริบตาถี่ ๆ ลำคอรู้สึกแห้งผากอย่างเห็นได้ชัด จะว่าไปแล้วก็หิวน้ำอยู่นะ ผมขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดก็แล่นจากช่องทางเบื้องล่างเข้าสู่สมอง ผมทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด และก็ตัดสินใจที่จะนอนลงเหมือนเดิม อย่างน้อย ถ้าอยู่นิ่ง ๆ มันก็ไม่เจ็บล่ะนะ

ลมหายใจของใครบางคนกระทบเข้าที่แก้มด้านข้างของผม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ผมหันหน้าไปมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่าย จมูกนี่โด่งเป็นสันสวยมาก ใบหน้ามันก็เรียวราวกับผ่านมีดหมอก็ไม่ปาน เอ๊ะ! หรือมันจะผ่านมาจริง ๆ =[]=” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูนั่น ที่ผมสัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบสองชั่วโมง โดยสรุปแล้วหน้าตามันออกจะเหมือนกับเด็กปีสองที่สุดแสนจะไร้เดียงสา แต่ซอรี่เถอะครับ ไอ้นี่น่ะจอมวายร้ายเลย

หัวสมองของผมแล่นย้อนความทรงจำอันแสนสาหัสเมื่อคืน จำได้ว่าบนเตียง ต่อในห้องน้ำ แล้วจบที่ห้องครัว (หรือเปล่า?) เพราะผมจำได้ว่าผมสลบไปตอนที่อยู่ในห้องครัว และก่อนที่ผมจะสลบแมร่งมอมเหล้าผมอีกตางหาก เกิดมาเคยแดกแอลกอฮอล์เยอะขนาดนั้นซะที่ไหน!!!

หลังจากที่เหล้า จะว่าเหล้ามันก็ไม่เชิงครับ รสชาติมันแปลก ๆ เออ แอกอฮอล์อะไรก็ช่างนั่นแหละ ถูกส่งเข้าปากผมเป็นครั้งที่...น่าจะครั้งที่สี่ อาการเมาผมก็เริ่มออก พอเมาแล้วแถมยังถูกปลุกอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้ผมสติแตกเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง แต่มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเข้ามาในตัวผม มันเย็น ๆ แปลก ๆ แล้วมันก็คับแน่นมาก ๆ อาจจะไม่เท่าน้องชายไอ้ฟีนิกซ์ แต่มันก็แน่นล่ะ จากที่ว่าจะไม่ร้อง กลายเป็นว่าผมร้องลั่น จากนั้นไอ้ที่นอนอยู่ข้างผม หรือจะเรียกให้ถูกก็คือผัวผมนี่แหละ >/////////////////< มันก็ทำให้ผมค้าง ช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมาน ผมทำอะไรมากไม่ได้ เพราะด้วยความเมาและมันเป็นครั้งแรก ความสามารถเดียวที่ผมทำได้คือช่วยตัวเอง แต่รู้สึกว่ามันไม่ช่วยห่าอะไรเลยครับ =.+” ถ้าจำไม่ผิด จำได้ว่าตัวเองคลานไปหาไอ้ฟีนิกซ์ชนิดเรียกได้ว่าแทบเท้า แล้วก็ทำทุกอย่างที่มันสั่ง หรือมันไม่ได้สั่งหว่า ผมลืม >.< แต่เอาที่มันชัด ๆ ในหัวสมองเลยก็คือ

...ผมเป็นฝ่ายคุมเกม!!!!! =[]=!!!!!...

รู้สึกอับอายแปลก ๆ ราวกับตัวเองเป็นคนที่อยาก แต่อันที่จริงมันก็อยากจริง ๆ นั่นแหละ และพอใกล้จะปล่อยออกมา มือของไอ้ฟีนิกซ์ก็เสือกมาปิดกั้นทางออก นี่ถ้าตอนนั้นมีสติกราบมันได้ผมคงกราบมันไปแล้ว คิดดูสิครับ จะปล่อยอยู่แล้วแต่ดันปล่อยไม่ได้อ่ะ ส่วนอ่อนไหวของผมปวดหนึบ พยายามอ้อนวอนมัน แต่แมร่งดันมาสั่งให้ผมขยับ ไม่งั้นไม่ปล่อย แล้วใครมันจะกล้าขัดคำสั่งล่ะ งานนี้ก็เลยต้องขยับตามที่มันสั่ง จนกระทั่งมันเสร็จนั่นแหละครับ มันถึงยอมปล่อยผม

ผมเอนตัวซบไหล่มันทันทีราวกับตุ๊กตาถูกปล่อยลม จากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีก คาดว่าหลับอานะ

“จะจ้องอีกนานไหม?” ผมสะดุ้งเฮือก ตื่นจากพะวัง หวังจะยันกายออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่าจะไม่ทันแล้วล่ะ เพราะร่างแกร่งนั่นกระชับอ้อมกอดแน่น และมันก็ตามมาด้วยริมฝีปากนุ่ม ๆ ของมันที่ทาบทับริมฝีปากของผม

“Morning kiss” ไอ้หน้าหล่อพูดขึ้นเมื่อมันผละออก ผมยังคงนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก หากแต่ใบหน้าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

“เช้านี้เป็นยังไงบ้างครับ?” =.+” อีกฝ่ายถามผมยิ้ม ๆ นี่มึงเมาอะไรหรือเปล่านิ

“เจ็บ” ผมตอบกลับไปแค่นั้น อีกฝ่ายระบายยิ้มบนใบหน้า แล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกรั้นของผม

“เจ็บตรงไหน ให้ฟีเป่าให้ไหม” คำพูดเหมือนดูดี แต่หน้าตามึงนี่มันไม่ให้เว้ย!!! ผมผลักหน้ามันออกเพราะรู้ความหมายแอบแฝงของมันภายใต้รอยยิ้มเทพบุตร

“ม...ไม่ต้อง” ง่ะ ทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธแล้วทำไมมันต้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั่วตัวด้วยวะ >/////////< แต่แล้วความจริงก็บังเกิด เมื่อผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันหยุบหยับ ๆ ไปทั่วตัว

เพี๊ยะ!!! ผมตีมือหนวดปลาหมึกของไอ้ฟีนิกซ์ที่กำลังลวนลามร่างกายของผมอย่างแรง พลางจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“หื่นแต่เช้าเลยนะ” ผมพูดแล้วทำแก้มพองลม ไอ้ฟินิกซ์ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแล้วเอานิ้วจิ้มเข้าที่ข้างแก้มของผมเพื่อที่จะไล่ลมออก

“ก็นายน่ารักนิ”

“พอเลย!!” ผมผลักหน้ามันที่ยื่นเข้ามาใกล้ แล้วขยับตัว “โอ๊ย!!!!”

“ไหวไหม” อีฟีนิกซ์รีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มหลุดลงมากองอยู่ที่ตัก เผยให้เห็นสัดส่วนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดของอีกฝ่าย พลันผมก็หน้าขึ้นสี โฮ๊ค!!!! กูล่ะอยากจะคลั่ง ทั้ง ๆ ที่กูเห็นมันอยู่ทุกวัน แล้วทำไมวันนี้กูเสือกเกิดอารมณ์กับหุ่นมึงวะ กรี๊ดดดดดด~~!!! หรือว่าอารมณ์หนูค้างตั้งแต่เมื่อคืน TwT

ผมจ้องหุ่นมันตาเป็นมัน และถ้าจำไม่ผิดยังคิดว่าตัวเองแอบเลียริมฝีปาก เหอะ ๆ เสียงหัวเราะของฟีนิกซ์ดังขึ้นเรียกให้ผมกลับมามีสติ แล้วทำหน้าเชิดนิด ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบเอาผ้าห่มตรงที่นอนปิ๊กนิกจากนั้นก็ค่อย ๆ จับมันพันไปทั่วร่างบอบบางของผม ถึงจะเจ็บช่วงล่างหน่อย ๆ แต่ถ้าค่อย ๆ ทำความเจ็บปวดก็จะน้อยลง

“ไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมไล่ไอ้ฟีนิกซ์ ทำท่าเหมือนแม่สอนลูก อีกฝ่ายยู่หน้าแล้วล้มกลิ้งลงที่เตียง =.=” ที่นอนกูนะมึง

“ไม่เอา วันนี้มันวันอาทิตย์นะ” เถียงเป็นเด็กเป็นเล็ก ไอ้นิ

“แต่นายก็ต้องหัดตื่นแต่เช้านะ”

“งั้นอาบน้ำด้วยกันไหมล่ะ” (=[]=!!!!) เรียกได้ว่าหน้าชาวูบ เถียงไม่ออกทันที ไอ้คนหื่นเด้งตัวลุกจากที่นอนอีกครั้งแล้วฉีกยิ้มหวานที่มันเคลือบไปด้วยยาพิษ ผมคว้าของใกล้มือแล้วโยนกลับไปที่เตียง

“ไม่ต้องแล้ว ไอ้บ้า ไอ้คนหื่น” พูดจบกระเดินกระแทกเท้าช้า ๆ ไปที่ห้องน้ำ ผมปิดประตูเสียงดังเพื่อระบาย ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะมันเขิน (>///////<)







โหมด : ฟีนิกซ์
ผมนั่งมองอีกคนที่เรียกได้ว่าคลานเข้าห้องน้ำ เพราะกว่ามันจะก้าวแต่ละก้าวนี่โคตรจะช้า จนผมยังแอบคิดว่าหอยทากจะเร็วกว่าหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกับมันหรอก เพราะคนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ก็ฝีมือผมเองแหละ ฮ่า ๆๆๆๆๆ สามรอบ วู๊ววววววววว~~~~!!! ไม่มีอะไรวิเศษเท่านี้ได้อีกแล้ว (>.<) คิดแล้วขำ แมร่ง ใครวะพูดอย่างดิบดีว่าอนาคตต้องมีครอบครัว ต้องมีทายาท แล้วไงวะไอ้ฟาย สุดท้ายมึงก็ครางอยู่ใต้ร่างกูอยู่ดี แถมตอนในห้องครัว มึงก็ยังขยับเองอีกตางหาก!!! กร๊าก ๆๆๆๆๆๆ (หัวเราะเลว)

ผมขยับตัวลุกเก็บเสื้อผ้าที่มันเรี่ยราดอยู่บนพื้น คว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันรอบเอว แล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่ห้องนอนของตัวเอง ในขณะที่มือแตะลูกบิดประตูเสียงโทรศัพท์ไอโฟนของผมก็ดังขึ้น ผมเดินกลับไปคว้ามือถือที่อยู่บนหัวเตียง ชื่อบุคคลที่โทรเข้าโชว์เด่นหราอยู่หน้าจอ และผมก็รับรู้ได้ทันทีว่า ช่วงเวลาที่จะถูกส่งตัวกลับใกล้เข้ามาทุกที






ตอนนี้ผมนั่งอยู่ห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งไอ้ไบเซปที่วิ่งตาเหลือกลงมาต้อนรับคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ หลังจากที่ผมได้รับโทรศัพท์ และตะโกนบอกมันเข้าไปในห้องน้ำ

“เอ่อ...ท่านคณบดีมาหาผมในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ?” ไอ้ไบเซปถามอย่างมีมารยาท ในขณะที่ผมนั้นนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า ท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์ยกน้ำเย็นที่ไอ้ไบเซปนำมาเสิร์ฟ หากแต่ถือค้างไว้ แล้ววางมันลงบนที่รองแก้ว

“นั่งก่อนสิ” ลุงของผมผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง จนผมต้องขมวดคิ้วว่าตกลงนี่มันบ้านใครวะ

“อืมมมมม” เสียงของท่านคณบดีดังขึ้น ไอ้ไบเซปกัดริมฝีปากรอฟังเหตุธุระในวันนี้ แต่ไม่ต้องบอก ผมก็คิดว่ามันรู้นะ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของผมกับไอ้ซางมินอะไรนั่นหรอก “ดังที่เธอรู้ เธอคือผู้รับผิดชอบดูแลเจ้านี่” ลุงชี้นิ้วมาที่ผม ซึ่งผมก็ยังกระดิกเท้าอยู่

“อ่าาา ใช่ครับ” ไอ้ไบเซปตอบปากสั่น คือมันยังไม่รู้ว่าผมกับคณบดีคณะศึกษาศาสตร์เป็นญาติกัน (ทั้ง ๆ ที่จะจบเรื่องแล้วนะมึง =.=”)

“เธอคงจะรู้เรื่องที่นักศึกษาแลกเปลี่ยนในการดูแลของเธอไปก่อเหตุวิวาทที่ผับ” เสียงของลุงกดให้ต่ำลง ดวงตามองสลับไปมาระหว่างนักศึกษาแลกเปลี่ยนและโฮส ไอ้ไบเซปพยักหน้าไม่พูดอะไร พลางถูมือที่วางอยู่บนตัก

“เรื่องนั้นผมทราบครับ และก็จัดการแล้วครับ”

ท่านคณบดีขมวดคิ้ว “เธอจัดการยังไง”

“ผมรีบลากตัวเขากลับมาครับ”

“แต่ชั้นได้ข่าวว่าคู่กรณีถูกต่อยซะหน้ายับ” นี่คงหมายถึงไอ้ซางมินสินะ โถ~~ จะไปห่วงมันทำไมครับ ปากหมาแบบนั้นน่ะ หลังจากที่ลุงพูดจบ สายตาทั้งสองคู่ก็ตวัดมองผมด้วยความหมายที่ต่างกัน สายตาของลุงฉายแววถึงความสะใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกคน ไอ้นั่นทำหน้าเศร้า =.=” เฮ้ย!! มึง อย่ามาดราม่าอะไรตอนนี้ กูรู้ว่ากูผิด และกูก็รู้ว่ากูทำอะไร ไม่ต้องมามองให้กูเอ่ยคำว่าขอโทษ หรือขอร้องให้กูสำนึก ไม่มีวันเหอะ!!!!

“เอ่อ...เรื่องนั้นผมยังไม่ทราบครับ” ไอ้ไบเซปตอบอ้อมแอ่ม เอาแต่ก้มหน้ามองหน้าตักตัวเอง และมันทำให้ผมอยากจะกระชากแขนมัน เหวี่ยงเข้าห้องนอน ล็อคประตู ส่วนผมเป็นฝ่ายที่เคลียธุระนี่เอง แต่ผมก็ไม่ทำ ผมยังไงนั่งฟังการสนทนาเสแสร้งนี่ต่อไป

“เธอไม่ทราบ?” ลุงผมพูดขึ้นเสียงสูงราวกับแปลกใจ อีกฝ่ายยังก้มหน้า “ชั้นไม่รู้ว่าเรื่องที่จะพูดต่อจากนี้มันจะทำให้เธอรู้สึกผิดในฐานะโฮสหรือเปล่า แต่ชั้นบอกตามตรงว่า ที่ชั้นมาหาเธอในวันหยุดแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราจะ ‘มองข้าม’ ไม่ได้” ลุงจงใจเน้นเสียงหนัก ไอ้ไบยังคงเงียบต่อเพราะถูกต้อน ส่วนผมกำหมัด จิกนิ้วลงที่หน้าขา นี่ถ้าอัดได้คงอัดไปนานแล้วนะ

“ครับ ผมรู้”

“และเธอคงจะรู้ดีว่าคณะศึกษาศาสตร์เราบ่มเพาะนักศึกษาให้เป็นครูที่ดีของสังคม”

“ครับ ผมรู้”

“นักศึกษาที่ก่อปัญหา ก็เท่ากับขาดคุณสมบัติความเป็นครู”

“ครับ ผมรู้”

“แถมเขายังมาในนามนักศึกษาแลกเปลี่ยน”

“ผมรู้ครับ”

“เธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่ชั้นจะพูดต่อจากนี้นะ” ลุงของผมเว้นระยะ ไอ้ไบเซปเงยหน้าขึ้นมาในรอบหกล้านปี

“ผมคิดว่าผมรู้ครับว่าท่านจะพูดอะไรต่อ” ดูเหมือนว่าน้ำตามันเริ่มจะเอ่อที่เบ้าตา ผมนั่งมองอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้คงต้องเย็นชาแล้วสินะ อีกฝ่ายเศร้า แล้วจะมาเศร้าตอบ เรื่องมันจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ คงต้องถึงเวลาใจร้ายแล้วล่ะ

“ลุงจะพูดอะไรก็รีบพูดเถอะ จะมาบิ้วอารมณ์มันทำไม” ผมพูดแทรกขึ้นกลางคลันเป็นภาษาญี่ปุ่น ลุงตวัดสายตามองผมอย่างโกรธแค้น “จะมองผมแบบนั้นทำไมล่ะครับ ในเมื่อคนทั้งคณะมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าเราเป็นญาติกัน ชื่อเสียงของลุงและคณะมันเสียหายไม่เยอะหรอกครับ” ผมตอบกลับไปอย่างโกรธ ๆ

“ชั้นคิดผิดที่รับแกเข้าคณะไอ้ฟีนิกซ์”

“มันผิดตั้งแต่ผมเกิดมาแล้ว”

“หุบปากซะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” จบคำพูดของลุง ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนรับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือด ถ้าไม่ได้มีบุญคุณกับผม ผมจะไม่ง้อเลย

“ลุงไม่เคยเข้าใจผมหรอก”

“แกก็ไม่เคยเข้าใจคำว่าหน้าตาหรอก”

การปะทะคารมด้วยภาษาญี่ปุ่นจบลงแค่นั้นเมื่อผมไม่พูดต่อ ไอ้ไบเซปมองผมและลุงที่จ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์เบนสายตาไปคุยธุระของท่านต่อ ส่วนตัวผมดิ่งขึ้นไปชั้นบนห้องของไอ้ไบเซปเพื่อที่จะเก็บของ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ ๆ







โหมด : ไบเซป
เรื่องมันชักจะดราม่าขึ้นมาเรื่อย ๆ มาวันแรกขำ ๆ แต่เสือกไม่ขำเมื่อมีเรื่องเกมเข้ามา เรื่องรุ่นพี่ เรื่องชกต่อย โลกนี่มันพลิกด้านได้ทุกเมื่อจริง ๆ ผมนั่งมองตามไอ้ฟีนิกซ์ที่กระแทกเท้าขึ้นห้องอย่างรวดเร็วหลังจากคุยกันอย่างรุนแรงกับท่านคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ด้วยภาษาญี่ปุ่น ผมยังคงขมวดคิ้ว เพราะสองคนนี้กระแทกเสียงใส่กันราวกับมีสงครามต่อกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ผมยังคงนิ่งเงียบ เมื่อท่านคณบดีถอนหายใจออกมา แล้วกลับมาจ้องผมต่อ ผมรู้สึกอึดอัดเมื่อคนมีหน้ามีตาจ้องผมแบบนี้

“ชั้นเสียใจที่จะต้องบอกว่าเราต้องส่งตัวเขากลับญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด”

ผมกะไว้แล้ว “ครับ” ผมพูดเบา ๆ พยักหน้ารับรู้

“เธออาจจะเสียใจในฐานะโฮส แต่ชั้นอยากให้เธอเข้าใจชั้นในฐานะคณบดีของคณะศึกษาศาสตร์เช่นกัน”

ผมพยักหน้าอีก “ผมเข้าใจครับ”

“ชั้นเสียใจจริง ๆ แต่ชั้นจะต้องมองถึงอนาคตและชื่อเสียงของคณะ”

“ไม่เป็นไรครับ” น้ำตาผมมันเอ่อขึ้นมาที่เบ้าตา ท่านคณบดีเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงสั่น “ขอโทษที่ร้องไห้นะครับ แต่อยู่ด้วยกันมาก็เกือบ ๆ จะสามเดือนแล้ว ก็ย่อมผูกพันธ์กันตามประสาโฮสและนักศึกษาแลกเปลี่ยน ผมขอโทษที่ไม่สามารถรับผิดชอบเขาได้ แถมยังปล่อยให้เขาไปก่อเรื่อง” ผมพูดระบายความในใจ ท่านคณบดีนิ่งฟังผม “ผมขอโทษกับชื่อเสียงคณะของท่าน”

“ไม่เป็นไร”

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำมูก แล้วมองไปยังท่านคณบดี สายตาที่อ่อนล้ามองมาที่ผม ท่านผายมือเป็นเชิงอนุญาต “เขาจะต้องกลับประเทศเมื่อไหร่เหรอครับ”

ท่านคณบดีนิ่งไปครู่ ก่อนที่จะควักกระเป๋าเอกสารขึ้นมา เปิดดูอะไรบางอย่างในกระเป๋า สายตาของท่านคณบดีจ้องมาที่ผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและหายใจลำบาก

“เฮ้อ~~ ลำบากหน่อยนะ” ท่านผมพลางปิดกระเป๋า ผมนิ่งรอฟัง “แต่เขาจะต้องขึ้นเครื่องคืนนี้”

คำตอบของท่านคณบดีช่างทำร้ายผมราวกับสายฟ้าฟาด

____
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 29 พายุ วันอาทิตย์100%] [09.11.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 12-11-2012 12:51:37
จะติดตามต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 29 พายุ วันอาทิตย์100%] [09.11.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 12-11-2012 19:11:10
ฟีจะไปแล้วกลับมาหาไบใช่มั้ย ทิ้งกันไปไม่แลกันคงเป็นไปไม่ได้หรอก
สงสารกว่าจะรักกันแล้วต้องจากกันอีก ขอให้อยู่ด้วยกันเร็วๆ อ่านแล้วสงสารทั้งคู่
เข้าใจว่าฟีไม่อยากต่อให้เรื่องยาวแต่ควรพูดกับไบก่อนดีมั้ย จะจากกันแล้วนะ tt'

# มาต่อไวไวนะค้าาาาาา น่ารักดีถึงจะดูงงๆหน่อยก็เถอะ อึนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 29 พายุ วันอาทิตย์100%] [09.11.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 12-11-2012 20:42:29
เอ๊ะ
มันผิดไปหน่อยนะเนี่ย
ไหงต้มมาม่าให้กินซะงั้นอ่าคะ
รีบๆมาต่อน๊า อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 30 สุดท้ายแล้ว100%] [19.11.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 19-11-2012 07:49:36
 KO-JAP : สุดท้ายแล้ว
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมเก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าอย่างลวก ๆ บางอันคิดว่าจะทิ้งไว้ที่นี่ซะด้วยซ้ำ หัวสมองกำลังวางแผนหาช่องโหว่จนความคิดตีกันยุ่ง ถ้าลุงบุกมาถึงที่นี่และคิดจะส่งตัวผมกลับ งั้นก็หมายความว่าแม่เห็นด้วยกับการนี้งั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ไล่ผมให้มาอยู่ไทยแท้ ๆ ไหงจะรับตัวผมกลับล่ะ? ผมว่างานนี้ลุงเล่นผมแรงมาก ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะได้อยู่เต็มหนึ่งปีการศึกษา กลับกลายเป็นว่าแค่หนึ่งเทอมยังอยู่ไม่ถึง

บางที ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับชีวิตการเป็นนักศึกษา

หรือผมควรจะไปเรียนรู้การบริหารธุรกิจต่อจากแม่?

แต่ผมไม่อยากที่จะทำอะไรแบบนั้นนินา ผมไม่ชอบแวดวงสังคมแบบนั้น แต่ก็ยังจะยัดเยียด... เพราะมีทรัพย์สินที่ต้องรักษามาก มันถึงได้ยุ่งยากแบบนี้

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเอือม ๆ มือยัด ๆ เสื้อผ้าชุดดำที่เมื่อวันแรกไอ้ไบเซปชอบเรียกมันว่าเสื้อผ้างานเผาศพเข้ากระเป๋า เสียงเปิดประตูดังเข้ามาทำให้ผมหันกลับไปมองตามต้นเสียง พบไอ้ไบเซปยืนพิงกรอบประตูอยู่ ดวงตามันแดงก่ำเพราะร้องไห้ ท่าทางมันอิดโรยน่าดู

“นายรู้หรือยังว่าจะขึ้นเครื่องเมื่อไร” มันถาม ผมส่ายหน้าส่งเสียอู้อี้ว่าไม่รู้ พลางวิ่งวุ่นเก็บของ “ถ้ายังไม่รู้ทำไมต้องรีบเก็บล่ะ?” อีกฝ่ายถามอีก ผมชะงัก

“แค่ชั้นรู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้วน่ะ” ผมตอบแบบขอไปที

“งั้นเหรอ?” แล้วมันก็ไม่พูดอะไรต่อจากนั้นอีก มือของมันยกขึ้นมาปาดน้ำตา นั่นทำให้ผมหยุดเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วเดินไปลากมันเข้ามากอด อีกฝ่ายไม่ขัดขืน “ท่านคณบดีบอกชั้นว่านายจะต้องขึ้นเครื่องคืนนี้” เสียงไอ้ไบเซปสั่นอย่างเห็นได้ชัด มือของมันขยุ่มเสื้อของผม ในขณะที่ผมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น คางเกยอยู่ที่ไหล่ของมัน

“เร็วมาก” ผมพูดออกมาเบา ๆ ดวงตาเริ่มร้อน เพราะผมเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเร็วขนาดนี้

“ท่านบอกว่ามันเรื่องใหญ่มาก”

“อืม” ผมส่งเสียงรับรู้พลางลูบหัวของอีกฝ่าย

“นายทำไปทำไมอ่ะฟีนิกซ์ นายไม่คิดเหรอว่าผลมันจะเป็นแบบนี้” ไอ้ตัวเล็กในอ้อมกอดผมสั่นหนักขึ้น ผมไม่ตอบมัน เพราะให้ตอบยังไง มันก็เหมือนกับแก้ตัว อันที่จริงผมก็คิดอยู่ว่าอย่างน้อยก็แค่น่าจะพักการเรียน หรือไม่ก็ตัดคะแนนความประพฤติ หรืออะไรก็ตามที่มันไม่หนักเท่ากับส่งกลับประเทศ แต่นี่เล่นเอาผมงงมากเมื่อจู่ ๆ ลุงก็โผล่หน้ามา เล่นมาบอกด้วยตัวเองนี่คงจะเป็นแผนขั้นเด็ดขาดที่จะรักษาหน้าตาตัวเองและคณะ

ผมคิดว่าผมพลาดนะงานนี้...

ไอ้ไบเซปผละตัวออกจากอ้อมกอดผม มันสูดน้ำมูกฟุดฟิด พลางกลั้นสะอื้น ก่อนที่จะใช้หลังมือไหล่ไปตามโครงหน้าของผม

“เก็บของเถอะ ท่านคณบดีบอกว่าจะเป็นคนไปส่งนายที่สนามบินด้วยตัวท่านเอง”

และผมก็รู้ได้ทันทีว่า ลุงกัดไม่ปล่อย... ผมจับข้อมือของอีกฝ่ายที่มันละอยู่ข้างแก้ม พวกเราจ้องหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไร จนในที่สุดไอ้ไบเซปเป็นฝ่ายหลบสายตา มันพูดงึมงำในลำคอว่าจะส่งไปชั้นล่าง เพราะลุงของผมยังคงนั่งรออยู่ที่นั่น ผมมองมันที่เดินช้า ๆ ออกจากห้อง แล้วผมก็หลับตา

...นายทำไปทำไมอ่ะฟีนิกซ์... เสียงของไอ้ไบเซปที่ถามผมดังขึ้นในหัว

...ศาสดาชั้นเคยพูดไว้ว่า ต่อให้คนฟังจะไม่เข้าใจในความหมายของเพลงที่ศาสดาแต่ง นั่นมันก็เรื่องของคนฟัง ขอเพียงแค่ศาสดาเข้าใจคนเดียวก็พอ นั่นแหละไบเซป ต่อให้นายไม่เข้าใจในสิ่งที่ชั้นทำ มันก็เรื่องของนาย ขอแค่ให้ชั้นได้เข้าใจคนเดียวก็พอ...




ณ. ตอนนี้ผมสอดตัวเข้ามายังที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับในรถประจำตำแหน่งคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ผมไม่บอกลาอีกฝ่ายให้เสียเวลา และไอ้ไบเซปก็ไม่ยืนคุยนานด้วย ผมมองลุงตบไหล่ไอ้ไบเซปสองสามครั้งผ่านทางกระจกหน้ารถ ลุงทำหน้าเศร้า ตีบทแตก ในขณะที่หันหลังให้กับประตูบ้าน รอยยิ้มก็ผุดฉายขึ้นมายังใบหน้าเหี่ยวย่นของลุง ผมกำหมัดแน่นอยู่ที่หน้าตัก และลุงก็สอดตัวเข้ามา

รถสตาร์ทเครื่องอย่างรวดเร็วราวกับว่ากลัวถ้าช้าผมจะกระโดดลงจากรถ ไอ้ไบเซปไม่ยืนส่งที่หน้าบ้าน มันปิดประตูลงและรถก็เคลื่อนตัวออก หัวใจของผมบีบแน่นมันทำให้ผมเจ็บ ในขณะที่มือของลุงเอื้อมไปเปิดเพลงเครื่องเสียงในรถ

“สำนึกหรือยัง?” เสียงของลุงถามขึ้นมาท่ามกลางเพลงยุค 70

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนิ” ผมตอบทั้ง ๆ ที่มองออกนอกกระจกรถ

“นี่แกยังคิดว่าแกไม่ผิดอีกเหรอ?”

“ต่อให้ผมทำถูกยังไง ลุงก็มองว่าผิดอยู่ดี”

“แกจะมองชั้นในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไงวะ”

รอบนี้ผมเบนสายตาไปมองลุง ก่อนที่จะเบนออกนอกกระจกอีกครั้ง

“ลุงไม่เคยทำอะไรให้ผมมองในแง่ดีหรอก”

เกิดความเงียบขึ้นในรถ มันชวนให้ผมอึดอัด จนต้องยกหูฟังขึ้นมาเพื่อที่จะฟังเพลง แต่หูฟังของผมก็ถูกกระชากไปโดยคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดีที่มันหลุดไปแค่หูฟัง ตัว iPhone ยังคงอยู่กับผม

“เพราะเพลงพวกนั้นแหละ ทำให้แกนิสัยเป็นแบบนี้” ผมไม่ตอบอะไร เอาหัวพิงกระจกรถ

“แม่ว่าไงเรื่องที่จะส่งผมกลับ”

“แม่แกปรี๊ดแตก”

ผมถอนหายใจออกมา “แล้วแม่เต็มใจรับผมกลับไหมล่ะ”

“ไม่” ลุงตอบกลับมาสั้น ๆ ผมนิ่งเงียบไปซักพัก

“แล้วลุงจะส่งผมกลับทำไม ในเมื่อแม่ไม่ต้องการ”

“แล้วแกคิดว่าชั้นต้องการหรือไงวะ!!!!” ลุงตะหวาดขึ้นเสียงจนผมยังตกใจ ใบหน้าของลุงขึ้นสีแดงด้วยความโกรธ “แกคิดว่าชั้นต้องการแกหรือไง แกน่ะมันตัวปัญหา แกไปมีเรื่องกับเด็กคณะมนุษย์ แล้วไหนประวัติแกยังมีเรียนไม่จบ แถมยังถูกไล่ออก!!!”

เสียงด่าทอของลุงแทรกเข้ามาในหูของผม มันทะลุเข้าสมองเล่นเอาผมมึนแทบจะเป็นลม แต่ถึงอย่างนั้น คำว่าไม่ต้องการอย่างน้อยมันก็จุดประเด็นความคิดอย่างหนึ่งให้ผม หึ! ในเมื่อไม่ต้องการ...ได้!!! ผมจะทำให้ลุงรู้เองว่า คนอย่างผม มันก็มีดีเหมือนกัน

ผมกดมือถือเข้าแอปพริเคชั่น iMessage ทักไปหาไอ้เด็กทวิตเตอร์นั่น และก็รู้สึกว่าสวรรค์จะเข้าข้างผม เพราะไอ้เด็กนั่นตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว นิ้วของผมละเลงอยู่ที่หน้าจอมือถือไอโฟนในขณะที่เสียงบ่นของลุงเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อผมไม่สนใจ

หน้าจอตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยคำพูดโต้ตอบระหว่างผมและไอ้ทวิต

ผมบอกมันถึงสิ่งที่ผมต้องการ อีกฝ่ายถึงกับส่งข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็รีบตอบกลับไปว่า มันเป็นไปได้ ถ้านายช่วยชั้น แต่ไอ้เด็กนั่นมันก็ยังเรื่องมากบอกว่ามันจะต้องมีการสัมภาษณ์ แล้วไงวะ สัส!! ไอ้เรื่องการสัมภาษณ์มันลำบากมากนักหรือไง ถ้ากูเก่งซะอย่าง ประวัติกูมันก็มีดีอยู่นะ ถ้าตัดเรื่องที่กูชกต่อยกับไอ้เด็กคลั่งเกาหลีที่ญี่ปุ่นออกน่ะ ภาษาญี่ปุ่นกูก็สอบผ่าน N2 แล้วยังมีอะไรที่กูยังไม่ผ่านอีกวะ??!!

...ตกลงนายจะช่วย หรือไม่ช่วย... ผมพิมพ์กลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะขี้เกียจจะเถียงกับมัน แต่ไอ้ทวิตมันก็เล่นผมแสบมาก เพราะมันทิ้งให้ผมรอจนตอนนี้ผมมาถึงสนามบินเรียบร้อยแล้ว มันก็ยังไม่ตอบกลับ จิตใจของผมเริ่มกระวนกระวายในขณะที่ลุงกระแทกประตูฝั่งที่ผมนั่งแล้วลากคอผมลงมาอย่างแรง

“แกจะเล่นอีกนานไหมวะ ไอ้เครื่องเนี่ย” ลุงพูดพลางชี้มาที่เครื่องไอโฟน ผมไม่สนใจ เดินไปเปิดประตูหลังแล้วคว้าเอากระเป๋าเดินทางของตัวเอง ลากเข้าไปในสนามบิน หวังที่จะหนี แต่ลุงก็ยังอุตส่าห์วิ่งตามมา พลางยัดตั๋วเครื่องบินที่มันระบุจุดหมายปลายทาง เวลาที่เครื่องจะออก รอบเที่ยวบิน ระบุที่นั่ง โถ~~~!!!! นี่มันเรียกว่าเตรียมพร้อมชัด ๆ

“ลุงกลับเถอะ ผมขึ้นเครื่องเองได้” ผมพูดพลางลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อน แต่ลุงก็ยังตามมา

“เหอะ! ชั้นจะนั่งเฝ้าจนกว่าเครื่องแกจะขึ้นนั่นแหละ”

“ลุงจะตามอะไรผมนักหนา”

“ชั้นกลัวว่าแกจะไปไม่ถึงญี่ปุ่น!!!” คำพูดนั่นเล่นเอาคิ้วผมกระตุก มือกดออกจากแอป iMessage อย่างรวดเร็วพลางยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง เพราะผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว ไอ้ทวิตยังคงไม่ตอบกลับข้อความของผม เฮ้อ~ นี่จะเรียกได้ว่าจบแล้วดีไหมนะ ทำไมวะ คนยิ่งต้องการความช่วยเหลือ เสือกมาทิ้งกันแบบนี้ คอยดูเถอะไอ้ทวิต ถ้ากูได้กลับไปเมื่อไร กูเอามึงตายแน่

ผมก่นด่ามันในใจพลางก้าวออกจากบันไดเลื่อนเมื่อมาถึงชั้นสำหรับผู้โดยสารขาออก ลุงนี่ตามติดผมราวกับตังเม ผมนั่งรอประกาศเรียกเข้าเกท ตอนนี้ใบหน้าของลุงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มราวกับผู้ชนะ ผมควักมือถือออกมาจากกระเป๋าอีกครั้งโดยหวังว่าจะมีข้อความจากไอ้ทวิต แต่กลับไม่มีอะไร ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าพึ่งไอ้ทวิตไม่ได้ คงต้องโทรคุยกะแม่ให้รู้เรื่อง

นิ้วของผมกดหาเบอร์โทรของแม่และกดปุ่มโทรออก เท้าของผมเดินห่างออกมาจากลุง ทั้ง ๆ ที่กระเป๋าก็ทิ้งไว้ตรงนั้น ผมบอกลุงว่าจะเข้าห้องน้ำ ลุงมองดูนาฬิกาพลางตะโกนบอกว่าอีกสิบห้านาที







ตอนนี้ผมอยู่ภายในห้องน้ำของสนามบิน มือถือถูกยกแนบหู ผมต้องโทรถึงสามรอบกว่าแม่จะรับสาย

“ว่า” เสียงของแม่เฉียบขาดจนผมขนลุก

“แม่รู้หรือยังว่าลุงส่งผมกลับ”

“รู้แล้ว”

“แล้วแม่ก็รับผมกลับเนี่ยนะ”

“แม่ก็เกรงใจลุงแกนิ ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายหน้ายับ”

“เกินไปครับ”

“หน้าตาลุงกับชื่อเสียงคณะคงพัง”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ ลุงน่ะใส่ไฟ”

“แต่ไงแกก็ต้องกลับล่ะ เพราะมันเรื่องใหญ่”

“แม่ครับ...” ผมพูดเสียงเบา มือกำแน่น

“อะไร”

“ถ้าผมจะขอโอกาสล่ะ”

“โอกาสอะไร”

“ให้ผมได้เรียนที่นี่”

“ที่ไหน” =.=” โถ แม่ครับ ผมเครียดอยู่นะครับ

“ที่ที่แม่ส่งผมมานี่แหละ”

“แกยังจะมีหน้าไปเรียนอยู่อีกเหรอ”

“มีคนอื่นที่ก่อเรื่องเยอะกว่าผมอีกนะครับ”

“ไม่ล่ะ แกมาอยู่กับแม่เรียนรู้ธุรกิจนี่แหละ ดีแล้ว”

“แต่แม่ครับ”

“จะเอาอะไรอีกฟีนิกซ์” คราวนี้แม่เรียกชื่อผม และนั่นทำให้ผมต้องเงียบ “หยุดดื้อได้แล้ว อยู่ในโลกความเป็นจริงได้แล้ว”

“ผมก็อยู่ในโลกของความเป็นจริงอยู่แล้วนิ”

“ความเป็นจริงของแกคือเอาหูฟังยัดหูแล้วฟังเพลงเนื้อหามืด ๆ บั่นทอนจิตใจใช่ไหม” นี่กะว่าศาสดากันเลยเหรอ ผมเจ็บเหมือนกันนะครับ

“แม่ไม่เคยเข้าใจผม” ผมพูดอย่างน้อยใจ อีกฝ่ายเงียบ

“แกพูดแบบนี้ประจำ” เสียงของแม่เบาลง

“ผมขอละครับ ผมขอครั้งสุดท้าย” เสียงของผมสั่นราวกับจะร้องไห้ โทรศัพท์ที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงเงียบเสียง หัวใจของผมเต้นตึกตัก ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับแม่ ผมไม่เคยขออะไรจริงจังแบบนี้ เสียงถอนหายใจของแม่ดังขึ้น ผมรู้สึกใจชื้นเพราะคิดว่าแม่คงจะยอม แต่สิ่งที่ตอบกลับมาราวกับน้ำเย็นที่ราดลงบนผิวหนัง

“กลับญี่ปุ่นเถอะลูก ที่นี่เหมาะกับลูกที่สุดแล้ว”






ผมเดินเข้าเกทขึ้นเครื่องราวกับผีดิบไร้วิญญาณ สิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายถูกตัดขาดราวกับไยแมงมุมที่แบกรับน้ำหนักมากจนเกินไป แล้วพังลงมาทั้งไย

ไอ้ทวิตก็ทิ้งผม แถมแม่ยังบอกให้กลับ ที่ทางออกลุงก็ยืนเฝ้า เรียกได้ว่าแผนทุกอย่างที่ผมคิดไว้พังลงไม่เป็นท่า ตอนนี้ที่ผมทำได้คงมีเพียงเดินขึ้นเครื่อง แล้วบินไปญี่ปุ่น

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ที่นั่งติดหน้าต่าง ประกาศจากกัปตันบอกว่าเครื่องกำลังจะขึ้น มือของผมยังคงจับไอโฟนหมุนกลับไปกลับมา หวังว่าจะได้รับข้อความจากไอ้ทวิต แต่ผมก็คงจะหวังมากเกินไป จะรับข้อความจากมันได้ไงล่ะ ในเมื่อปิดเครื่องแบบนี้

ผมยิ้มให้กับเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกเครื่องบิน หึ! มั่นใจมาก ๆ แล้วเป็นไงล่ะ เละไม่เป็นท่า แถมตอนนี้หูฟังก็ยังถูกยึดอีกตางหาก ผมถอนหายใจช้า ๆ ราวกับจะบอกตัวเองว่าทำใจแล้วบินไปญี่ปุ่นเถอะ เครื่องเริ่มเชิดหัวขึ้น ผมยังคงนั่งมองพื้นเบื้องล่างที่มันเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อง ๆ ตกลงนี่ผมกำลังบินอยู่ใช่ไหม... คงจะบินจริง ๆ สินะ สรุปแล้ว ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินไทยแล้วใช่มะ? อีกประมาณแปดชั่วโมงก็จะถึงญี่ปุ่น จากนั้นก็ตลอนตามแม่ ออกเปิดตัวงานสังคมต่าง ๆ นานาแล้วใส่หน้ากากอย่างนั้นเหรอ?

สมองของผมคิดในแง่ร้าย...

ผมล้วงเอากระเป๋าเงินขึ้นมา หยิบเอาบัตรต่าง ๆ นานาออกมาจากกระเป๋า บัตรเครดิตรูดได้ทุกที่ถูกหมุนอยู่ในมือ ตอนนี้จักรกลในสมองของผมกำลังแล่น

เครดิต...รูดได้ทุกที่...

เสียงประกาศว่าสามารถเปิดมือถือได้ดังขึ้น มือของผมกดปุ่มเปิดอย่างรวดเร็ว ข้อความจากไอ้ทวิตยังคงไม่ถูกส่งเข้ามา แต่ผมไม่ได้สนใจหรอก ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งจะนึกได้

หึ! แล้วชั้นจะทำตัวเป็นตำนาน ศึกษาศาสตร์ให้ดู...

 
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 31 ก่อน ก่อกำเนิด..100%] [19.11.2012
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 19-11-2012 07:52:05
 KO-JAP : ก่อน ก่อกำเนิด ตำนาน
โหมด : ไบเซป

ชีวิตผมขาดสีสัน ทุกวี่ทุกวันผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะคิดว่าจะมีอีกคนอยู่ แต่ก็มีเพียงผมและไอ้ทวิตอยู่ภายในห้อง หรือบางครั้ง ถ้าผมตื่นช้ากว่าไอ้ทวิต ก็กลายเป็นว่ามีผมคนเดียวอยู่ในห้อง ทั้ง ๆ ที่พยายามลืม ผมย้ายขึ้นมานอนบนเตียงเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าฟีนิกซ์ยังคงอยู่ที่นี่ และหลายครั้งที่ผมเผลอหยิบเอาที่นอนปิ๊กนิกมาปูบนพื้น

นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่านะ

นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา หกโมงเช้า ผมบิดขี้เกียจพลางลุกไปเข้าห้องน้ำทำกิจวัตประจำวัน ตอนนี้ก็เข้าสู่เทอมที่สอง เวลาผ่านมาเกือบสี่เดือน เอ๊ะ! หรือห้าเดือนกันนะนับตั้งแต่ฟีนิกซ์ถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น มีข่าวหลากหลายหลุดออกมาจากแหล่งข่าวทั้งเชื่อถือได้และไม่ได้ บางกระแสบอกว่าไอ้ฟีนิกซ์ถูกใส่ร้าย บางกระแสบอกว่าเพราะหนีเกมป๊อกกี้ที่ตัวเองจะต้องลงแข่ง บางกระแสบอกว่า เพราะรับไม่ได้ที่ต้องไปจูบกับไอ้ทวิต หรือแม้แต่กระแสที่มันสุดแสนจะน่าขำก็คือ นี่เป็นกลลวง

ผมไม่รู้ว่าไอ้พวกนี้มันคิดกันได้ยังไง แต่ผมก็นั่งฟังขำ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อกระแสไหนดี เกมป๊อกกี้เป็นอันว่าคู่ตัวแทนของภาคกลางถูกยกเลิก หลายคนบ่นว่าเสียดาย แต่กลับกัน ไอ้ทวิตนี่ยิ้มหน้าระรื่น

ผมจะเล่าให้ฟังว่า คืนวันที่ฟีนิกซ์ถูกลากตัวกลับ ทันทีที่รถของท่านคณบดีเคลื่อนตัวออกไปและผมปิดประตูหน้าบ้าน จนสิ้นฐานะโฮสของนักศึกษาแลกเปลี่ยน ผมเดินขึ้นชั้นบน รื้อผ้าปูเตียงออกมาทิ้งลงที่ตระกร้าผ้ารอซัก เพราะมันมีคราบอันไม่พึงประสงค์เลอะไปหมด จากนั้นก็โทรไปร้องห่มร้องไห้กับไอ้ทวิตราวกับคนบ้า

เราสองคนคุยโทรศัพท์อยู่นานเกือบสามสิบนาที ผมก็ยังไม่หยุดร้องไห้ จนอีกฝ่ายต้องรีบบึ่งรถมาบ้านผมอย่างรวดเร็ว โดยมันให้ข้ออ้างว่ากลัวผมฆ่าตัวตาย (ดูมันคิด) แต่พอมันมาบ้านผม ก็ใช่อยู่ว่ามันมาอยู่เป็นเพื่อน มันเปิดเพลงของบอยแบนด์เกาหลี เกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอตอย่าง Girls Gen หรือแม้กระทั่งวงที่ผมภูมิใจที่สุดอย่าง 2PM ที่มีคนไทยอย่างนิชคุณอยู่ในวง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจเรียกความสดใสร่าเริงของผมกลับมาได้

เอาจริง ๆ คือผมตายซากเรียบร้อยแล้ว

ผมกำลังตายซากกับไอ้หนุ่มเจร็อค =[]=!!!!

ช่วงเวลาที่กำลังหดหู่จนถึงขีดสุด เสียงของหนุ่ม ๆ 2PM ที่กำลังร้องเพลงดังออกมาจากลำโพงข้างจอทีวี มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แถมยังต้องมาเจอไอ้ทวิตนั่งกดมือถือไอโฟนต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ให้รำคาญลูกกะตา สุดท้ายผมก็ระบายความเครียดด้วยการคว้าเอามือถือไอ้ทวิตขึ้นมาแล้วเหวี่ยงติดฝา หน้าตาอีกฝ่ายนี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันทำปากพะงาบ ๆ แล้ววิ่งไปดูสภาพมือถือของมันอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกที มือถือของมันก็เปิดไม่ติด เอาเป็นว่ามันพังไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่า มันจะยิ้มทำห่าอะไร

“ยิ้มอะไรของมึง” ผมถามมันแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา กดปิดเพลง 2PM

“ขำ” มันตอบสั้น ๆ พลางบิดขี้เกียจ ผมคร้านจะต่อปากต่อคำก็เลยไล่มันกลับ แต่ไอ้นั่นก็หน้าด้านไม่กลับครับ มันบอกว่าจะอยู่นอนเป็นเพื่อนผม

“มือถือมึงเป็นไงบ้าง” ผมถามมันเมื่อเข้ามาถึงห้องนอน และมันกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว

“พังแล้ว”

“มึงไม่โกรธเหรอ”

“ไม่ล่ะ ทวิตเข้าใจว่าไบเซปกำลังโกรธ” =.=” อะไรของมึงไอ้คุณหนู มือถือมึงทั้งเครื่องนะเว้ย ต่อให้มึงจะรวยล้นฟ้า แต่โกรธกูหน่อยก็ดี

“ข้อมูลข้างในจะไม่หายเหรอ”

“ไม่หรอก ทวิตมีไอคราว เอาไว้เก็บข้อมูล ข้อมูลมันอยู่บนอากาศ ต่อให้เครื่องพัง เดี๋ยวโหลดกลับมาก็ได้ ท่านศาสดาคิดค้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ Apple’s user โดยเฉพาะเชียวนะ” เอ่อ โอเค กูเข้าใจแล้ว แต่ทำไมมึงต้องกล่าวถึงคำว่า ศาสดา ให้กูได้ยินด้วยวะ แมร่ง ยิ่งเคือง ๆ อยู่ด้วย

“นอนเหอะ”

“ราตรีสวัสดิ์”

“ทวิต”

“หือ?”

“ทำไมมึงร่าเริงได้ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเศร้า”

“เรื่องมันยังไม่จบ ทำไมต้องเศร้าด้วยล่ะ”

“หมายความว่าไงวะ”

“หมายความตามนั้นแหละ”

“กวนตีน”

“อ่าาาาาา ใจร้ายจัง”

“ทวิต”

“ห๋า?”

“เป็นมึงนี่ดีจังเลยเนอะ”

“หือ?” มึงเลิกส่งเสียงแบบนี้ได้มะ กูขอร้อง

“กูนี่เป็นโฮสที่ไม่ดีเลยเนอะ”

“ไม่ใช่หรอก”

“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ”

“ใช่ ๆ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ” =.=” ตกลงมึงจะเข้าข้างกู ให้กำลังใจกู หรือจะด่ากู เอาให้แน่ซิ

“ทวิต”

“What?” เออ ไอ้เด็กอินเตอร์

“มึงว่าไอ้ฟีนิกซ์จะได้กลับไทยไหมวะ”

“ได้สิ”

“หือ?” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายส่งเสียงไม่เข้าใจ

“ฟีนิกซ์ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้ายข้ามชาตินิ แค่ถูกส่งตัวกลับเพราะประพฤติไม่เหมาะสมในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนเฉย ๆ ยังไงก็เข้าประเทศได้อยู่แล้ว”

“อืมมม นั่นสินะ”

“ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ”

“ทวิต”

“อะไรเหรอ?” เปลี่ยนไปเรื่อยอ่ะมึง

“ขอบคุณมากนะ”

“ช่างมันเหอะ”

“ขอโทษที่ต่อว่ามึงหลาย ๆ อย่าง”

“เข้าใจน่าว่าหึง” ผมรีบหันควับไปมองมันที่นอนตะแคงหันหน้ามาหาผม งานนี้ผมผลักหัวมันเต็มแรง

“พูดอะไรของมึง”

“ฮ่า ๆๆๆ”

“นอนได้แล้ว!!!”

“คร้าบบบบบบบบบ~~~!!!”

และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ไอ้ฟีนิกซ์ถูกพาตัวออกไปแล้ว นับจากนั้นผมก็ตายซากอยู่ราว ๆ เดือนกว่า ๆ และไอ้ทวิตก็แทบจะย้ายบ้านมาอยู่บ้านผม เพราะมันมาค้างเป็นเพื่อน การบ่งการบ้านมันก็เอามาทำที่บ้านผม ตอนอยู่คณะ พักเที่ยงก็อุตส่าห์เดินข้ามถนนมากินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนทุกวัน หรือแม้แต่ตอนที่มันเลิกเรียนก่อน ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจมานั่งรอเพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมกัน

อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว ก็มีมันนี่แหละที่อยู่เป็นเพื่อน

อาการตายซากของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ บทเพลงเกาหลีเริ่มทำให้ชีวิตผมกลับมามีสีสัน ยิ่งมีวงเด็กใหม่ผุดขึ้นมาทั้งชายและหญิงยิ่งทำให้หัวใจของผมกระชุ่มกระชวยและเริ่มที่จะลืมเรื่องของไอ้ฟีนิกซ์ได้บ้าง ช่วงที่สอบปลายภาคของภาคเรียนที่หนึ่งผมทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากจิตใจที่ยังไม่คงที่ แต่ผมก็คิดว่าทำได้เยอะอยู่

ช่วงปิดเทอมสั้น ๆ ก็ออกไปเที่ยวพักตากอากาศกับไอ้ทวิต เอาง่าย ๆ เรียกได้ว่าผมลืมไอ้ฟีนิกซ์เกือบจะทั้งหมดแล้วครับ มีบางช่วงที่คิดถึงบ้าง แต่ก็ไม่นาน ผมไม่สนใจว่าทำไมอีกฝ่ายมันถึงไม่ส่งข่าวกลับมาเลย เพราะคิดว่ามันคงจะสำนึกที่ทำตัวเป็นปัญหา ซึ่งแบบนั้นมันก็ถือว่าโอเคนะ ถ้าเหตุการณ์นี้จะช่วยเปลี่ยนนิสัยบ้า ๆ บอ ๆ แปลก ๆ ของมันได้บ้าง

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้ากระจก มองดูการแต่งตัวของตัวเองว่าเข้าที่หรือยัง เสียงเจี้ยวจ้าวแต่เช้าของไอ้ทวิตเรียกให้ผมลงไปกินข้าว เอ่อ ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ามันทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านที่ดีระหว่างที่พักอยู่บ้านผมครับ อาหารที่มันทำนี่รสเลิศทั้งนั้น จนผมแอบสงสัยว่า ผู้ชายบอบบางอย่างมันทำอาหารเป็นด้วยเหรอ

ผมเดินลงมาชั้นล่างแล้วนั่งลงยังที่นั่งประจำบนโต๊ะกินข้าว แต่ผมก็ชะงักทุกครั้งที่มายังสถานที่นี่ ก็จะอะไรอีกเล่าาา!!! ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยนะ ภาพที่่ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกวางบนโต๊ะ แล้วไหนจะภาพเหล้าที่ถูกส่งเข้าปากอีก 0.0!!!! เรียกได้ว่ากินข้าวไม่อร่อยล่ะครับ

“ทวิตมีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่อยากจะถามมานานแล้ว” เสียงของไอ้ทวิตส่งมาจากอีกฟาก มันทำหน้าตาแอ๊บแบ้ว แล้วยิ้ม

“อะไร”

“ทุกครั้งที่ลงมากินข้าว ไบเซปชอบหน้าแดง”

ห่า!! รู้อีกว่ากูหน้าแดง =.=” ผมมองค้อนมันครั้งหนึ่งแล้วไม่ตอบคำถาม ก็ใครมันจะกล้าบอกละว่ากูเคยมีอะไรกับไอ้หัวหนามที่นี่!!! อ๊าคคคคคคคคค รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

ผมรีบยัดข้าวเข้าปากในขณะที่เสียงหัวเราะฮิฮิของไอ้ทวิตดังออกมาให้ได้ยิน

“รีบกินข้าวเว้ย วันนี้เปิดเทอมวันแรก” ผมทำเสียงดุ อีกฝ่ายตอบรับขำ ๆ แล้วเร่งกินข้าวตามที่ผมบอก

“ของมึงมีเรียนเลยหรือเปล่า” ผมถามไอ้ทวิต

“ไม่น่ะ ปฐมนิเทศเฉย ๆ” อีกฝ่ายตอบพลางยัดข้าวเข้าปาก

“เออ ของกูก็เหมือนกัน น่าจะเสร็จก่อนเที่ยง”

“อืมมมม ของทวิตมันแล้วแต่สาขาวิชาแฮะ ตอบไม่ได้ด้วยสิ”

“เออ ถ้าเสร็จแล้ว หรือยังไงก็โทรบอกกูด้วยล่ะ”

“ครับผม!!!”






ขณะนี้เวลาเกือบจะแปดโมงเช้า ผมขับรถมาจอดที่คณะศึกษาศาสตร์เพื่อที่จะส่งไอ้ทวิต หลังจากที่เพื่อนยามทุกข์(?) เดินลงจากรถไปแล้ว ผมก็ขับรถเข้าคณะ วันเปิดเรียนของภาคเรียนที่สอง เด็กคณะมนุษย์ก็ยังคงมาน้อยนิด แถมไอ้พวกที่มาก็แต่งตัวได้ถูกระเบียบมว๊ากกกกกกกกกก (ประชด) ก็เข้าใจอยู่นะว่าเรียนมนุษย์ไม่ใช่ศึกษาศาสตร์ที่จะต้องแต่งตัวให้ถูกระเบียบ แต่ว่า วันนี้มันวันปฐมนิเทศนะเว้ยเฮ้ย!!!!

ผมบ่นอยู่คนเดียวเป็นผู้เฒ่าหัวล้าน เดินวนหาห้องปฐมนิเทศของภาควิชาภาษาเกาหลี เมื่อเจอก็ก้าวเข้าไปในห้อง แล้วนั่งแหมะยังที่นั่งหลังสุดของห้อง เพื่อนก็เริ่มเดินเข้ามาก็ทักทายผมตามมารยาท เพราะหลังจากที่เด็กในความดูแลของผมไปต่อยกับรุ่นพี่ คนที่สาขาก็เริ่มที่จะมองว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ

ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเป็นตัวผมที่ผิดจริง ๆ

ผมนั่งรอจนกระทั่งเวลาประมาณแปดโมงสิบนาที อาจารย์ก็เข้ามาในห้อง และเริ่มแจกเอกสาร

“เอ่อ...มาครบทุกคนหรือยัง” อาจารย์คนเกาหลีเอ่ยขึ้น สำเนียงภาษาไทยแบบแปร่ง ๆ

“ครบครับ” เสียงเพื่อนในห้องพูด

“งั้นอาจารย์จะเริ่มอธิบ....” พูดยังไม่จบ ประตูห้องด้านหน้าก็เปิดผ่างออกอย่างไม่มีสัญญาณเตือนก่อน อาจารย์ที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ออกอาการผงะอย่างเห็นได้ชัด เพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่แถวหน้าบางคนถึงกับลงไปหมอบกับพื้น ราวกับหลบกับระเบิดก็ไม่ปาน คนทั้งห้องที่ตกใจก็มีส่งเสียงบ้าง โดยเฉพาะพวกผู้หญิง หลายคนทำปากขมุบขมิบบ่นถึงการเสียมารยาทตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอม ส่วนตัวผมนั้น

...ตาถลน
____


ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
2PM [Korea] - http://bit.ly/HqB7a2
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 31ก่อนก่อกำเนิดตำนาน100%] [19.11.201
เริ่มหัวข้อโดย: zylph_z ที่ 30-11-2012 21:02:35
สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 31ก่อนก่อกำเนิดตำนาน100%] [19.11.201
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 30-11-2012 22:13:28
ใครน้ออออออออออออออออ
ใครเปิดประตูเข้ามาเนี่ย หนู่ฟี่ทีเห๊อะ
จะได้อ่านฉากหวานๆกันซ๊ากที
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 32(ว่าที่) ตำนานฟื้นคืน100%] [02.12.
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 02-12-2012 16:57:17
 KO-JAP : (ว่าที่) ตำนานฟื้นคืนชีพ
โหมด : ไบเซป

“ฮะ ฮะ ห้ามบอกนะว่านายตะโกนซะลั่นห้องแล้วปล่อยหมัดน่ะ” ไอ้ทวิตหัวเราะจนเม็ดข้าวกระเด็นออกจากปากแล้วมาเกาะอยู่ที่แขนผม มือของผมปัดออกไปอย่างรังเกียจ พลางมองไปรอบ ๆ ที่ตอนนี้ผม ไอ้ทวิต และไอ้บ้าหลงประเทศกำลังนั่งอยู่ที่โรงอาหารของคณะมนุษยศาสตร์ เพื่อนผมหลายคนที่เดินผ่านนี่ต้องรีบหลบสายตา พร้อมทั้งชี้มือชี้ไม้มาทางพวกผมสามคน

ฮืออออออออออออออออออ กูละอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“เฮ้ย~~ ทวิตเตอร์ ไอ้ไบมันพูดแบบนั้นจริง ๆ นะเว้ย!!!” มึงจะขายกูอีกนานไม๊? ห๊า!!! แค่มึงโผล่เข้ามาเกินเวลาแล้วทำให้กูกับคนทั้งห้อง อีกทั้งอาจารย์ตกใจมันก็หนักหนาแล้วนะเว้ย!!! แล้วตกใจไม่พอ มึงยังทำให้กูขายหน้า!!! ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย!!!~~ (แค้น)

“โอ๊ยยยย!! ฮาปวดท้อง” กูขอให้มึงฮาปวดขี้ด้วยอีทวิต

“โถ่เอ๊ย!! ไอ้ไบ มึงพูดจริง ๆ แล้วมึงจะอายทำไมว๊าาาา” มือพร้อมเล็บดำ ๆ ของไอ้หัวหนามโอบรอบคอผม ผมรีบปัดออกอย่างรวดเร็ว

“ตอนนั้นกูตกใจ”

“แต่กูว่ามันมาจากจิตใต้สำนึก” =.=” ก...กู...กูเปล่านะเว้ย!!!!

“เฮ้!! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าเอาแบบละเอียดให้ฟังอีกหน่อยได้มะ” เสียงใสของไอ้ทวิตเอ่ยขึ้น อีเด็กเจร็อคหัวหนามที่มันอยู่ข้าง ๆ ผมพยักหน้า แล้วเริ่มเล่า ตัวผมเล็กลีบลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะของไอ้ทวิตที่มันดังขึ้น และเม็ดข้าวที่กระเด็นออกจากปาก

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ... หลังจากที่ประตูห้องเปิดผ่างออก และคนทั้งห้องก็ตกใจกันเป็นที่เรียบร้อย ไอ้คนที่มาช้ามันก็โผล่เข้ามาในห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ ดูแล้วโคตรจะมีมารยาท แต่มันจะขัด ๆ หน่อยก็ทรงผมกับเรื่องการแต่งตัวของมันนี่แหละ

ไอ้หัวหนาม ๆ นั่นมันอะไรกัน!!! แล้วหูมึงอีกตางหาก ไปเจาะเพิ่มตั้งแต่ตอนไหนวะ!!!! เสื้อผ้าของมึงอีก ชุดนักศึกษาน่ะ ยัดเสื้อเข้าในกางเกงเว้ยเฮ้ย ไม่ใช่เอากางเกงเข้าในเสื้อ =.=” โอ๊ยยยยยยยยยยยย!!!! กูละเพลีย ผมนั่งทำหน้าเอ๋อในขณะที่อาจารย์ภาควิชาก้มลงดูกระดาษในมือ แล้วพูดขึ้น

“เธอคือนักศึกษาที่ยื่นขอเรียนรายวิชานี้ใช่ไหม” อาจารย์ถาม ไอ้บ้านั่นพยักหน้าตอบ อาจารย์พยักพเยิดให้มันหาที่นั่ง ไอ้เด็กนั่นมันโค้งศีรษะให้ แล้วเดินแหวกฝ่าฝูงชนจากหน้าห้องมาหลังห้อง สุดท้ายแล้ว มันก็มานั่งแหมะลงข้าง ๆ ผม

ตัวผมนี่สั่นยังกะเจ้าเข้า

“ไง” เสียงมันทัก ผมเหล่ตามองครับ

“นายชื่อ....”

“เฮ้ย!!!! กูหายไปเพียงไม่กี่เดือน มึงลืมกูแล้วเหรอ” อีกฝ่ายทำตาโตราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด อย่าว่าแต่มึงไม่เชื่อกูเลย กูก็ยังแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ม...มึง..มึงจริง ๆ เหรอ!!!!” ผมขึ้นเสียง เพราะตอนนี้อารมณ์มันหลุดเรียบร้อยแล้ว

“หรือมึงอยากรื้อฟื้นความทรงจำไหมล่ะ” แล้วสายตามันก็โลมเลียผมเต็มที่ ผมผลักหน้ามันแล้วหันไปสนใจอาจารย์ที่กำลังจ้องพวกผมสองคน

“อาจารย์เข้าใจว่าจะต้องทำความรู้จักกันเพื่อนใหม่ แต่ไม่ใช่ในตอนที่อาจารย์กำลังอธิบายอยู่นะ” เสียงหัวเราะหึหึดังขึ้นทั่วห้อง พร้อมทั้งสายตาพิฆาต

“ขอโทษครับ” ผมพูดออกมาเบา ๆ ไอ้บ้าข้างผมหัวเราะหึหึ

“แล้วมึงกลับมาได้ไงเนี่ย ไหนว่าถูกส่งกลับไปแล้ว” ผมกระซิบถามมัน อีกฝ่ายหมุนปากกาในมือ แล้วหันมายิ้ม

“มึงน่ะ ถูกหลอกแล้ว”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“มึงอยากรู้จริงดิ?” ถามหน้าตากวนตีนครับ =.=

“ถ้ามึงไม่อยากบอก กูก็ไม่ว๊อน” ผมหันกลับไปสนใจอาจารย์ที่กำลังอธิบายรายวิชา

“แม่ดัดนิสัยกูน่ะ” ไอ้ฟีนิกซ์กระซิบข้างหูผม นั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว แล้วหันไปกระซิบกับมันต่อ

“ยังไงวะ”

“มึงอยากฟังรวดเดียวจบไหมล่ะ?” ผมย่นคิ้ว รวดเดียวจบอะไรของมึงวะ แต่ผมก็เงียบเพื่อเป็นคำตอบให้มันว่าฟังก็ได้ แล้วมันก็กวักมือให้ผมเอียงหูเข้าไปใกล้ แต่สุดท้ายก็ไม่วายถูกหอมแก้มฟรี =.=” ไอ้เลววววววววววว!!!

“ไอ้บ้า นี่มันที่สาธารณะนะเว้ยยยย คนเยอะ” ผมตีแขนมันพลางทำเสียงดุ อีกฝ่ายหัวเราะเสียงขึ้นจมูก เพื่อนผมบางคนเริ่มหันหน้ามามอง เชรี่ยนี่ ถ้ามาแล้วจะสร้างปัญหาให้กู อย่ามาเลย (ผมพูดเล่นน่ะ >/////<)

“คืองี้” มันเริ่มเล่าอีกรอบ “กูเรียนไม่จบมหาลัยวะ ถูกไล่ออกเพราะไปต่อยกับติ่งเกาเหลาที่ญี่ปุ่น”

“ห๊า!!!!!” ผมส่งเสียงดัง พลันอาจารย์ก็หันมามองผม

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ป...เปล่าครับ” ผมกล่าวขอโทษแล้วนั่งต่อ สายตาตวัดมองไอ้ฟีนิกซ์

“อะไรของมึงวะเนี่ย”

“มึงจะฟังกูต่อมะ?”

“เออ ๆๆๆ พูดมา” ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ ไหน ๆ ก็เล่าแล้ว งั้นก็ขอฟังให้จบเลยแล้วกัน

“แล้วกูก็ถูกไล่ออก แม่อยากดัดนิสัยกู ก็เลยส่งมาไทย แล้วคณะศึกษาศาสตร์น่ะ ลุงกูใหญ่เว้ย” มันพูดทิ้งไว้แค่นั้น และเป็นผมที่ต้องกระตุ้นให้มันพูดต่อ “ลุงกูเป็นคณบดีน่ะ”

=[]=!!!!! ก...กู...กูว่าแล้ว กูว่าแล้วว่าทำไมมึงแมร่งโคตรจะไม่มีมารยาทต่อหน้าท่านคณบดีเลย ที่แท้มันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

“แล้ว...แล้วเรื่อง...” มือปากผมเริ่มสั่น เพราะผมเริ่มประติดประต่อเรื่องได้

“เรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนใช่มะ?” ผมพยักหน้า อีกฝ่ายปล่อยหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน จนเพื่อนผมต้องสะกิดมัน แต่เธอคนนั้นก็เป็นอันว่าต้องละลายหายไปในอากาศเมื่อเจอ รอยยิ้มพิฆาตของอีฟี “เรื่องโกหกทั้งเพ”

สิ้นคำพูดของมัน เป็นอันว่าตัวของผมชาวาบ เรื่องต่าง ๆ นานาเริ่มที่จะต่อกันราวกับจิ๊กซอที่รู้ตำแหน่ง งั้นที่มึงเข้าคณะศึกษาศาสตร์นี่ก็เพราะว่าลุงมึงใหญ่ที่นั่นใช่มะ? แล้วเรื่องไอ้ตั๋วเครื่องบินคืนนั้นมันยังไงกันแน่วะ...

“มึงไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง อีแค่ต่อยกันถึงกับส่งกลับประเทศ อันที่จริงไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่อยากโยนปัญหาชิ้นใหญ่ของศึกษาศาสตร์ทิ้งน่ะ” มันเอามือสานกันไว้ที่ท้ายทอย “แต่ตอนนี้ กูก็กลับมาเป็นเด็กศึกษาศาสตร์อยู่ดี”

“มึงก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่อาดิ” ผมถามมัน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับสมองกำลังขาดออกซิเจน

“เสียใจวะ” มันพูดยิ้ม ๆ “กูบอกแล้วไงว่าลุงกูใหญ่ กูจะไปเรียนทำไมปีหนึ่ง ปัญญาอ่อน” แล้วมันก็หัวเราะหึหึ

“แล้ว...แล้วมึงมาเรียนเกาหลีได้ไงวะ!!!” เสียงของผมเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

“วิชาเลือกของกูน่ะ”

“นี่มันเกาหลีตัวที่ 4 นะเฟร้ย มึงต้องผ่านตัวที่ 1, 2, 3 ก่อน ถึงจะเรียนได้”

“เหอะ! ก็บอกแล้วไงว่าลุงกูใหญ่” =.=” สัสนี่ บัดนี้กูบังเกิดแล้วว่าเส้นใหญ่มันเป็นยังไง โถ~~

“แล้วมึงจะเรียนรู้เรื่องเหรอ”

“มึงคิดว่าช่วงที่กูหายไป กูไม่ไปเตรียมตัวหรือไง”

“ไหนว่ามึงไม่ชอบเกาหลี”

“กูก็ไม่ได้ชอบเกาหลี แค่กูชอบคนที่เรียนเกาหลี” พลันหน้าผมก็ขึ้นสีทันที ไอ้บ้า!!! มึงจะมาบอกว่าชอบอะไรตอนเน่~~ กูเขินนะเว้ย!!!! >//////////////////////< ผมเลยตีแขนมันไปทีนึงแก้เขิน

“เอ่อ...จบยัง” ผมถามมัน อีกฝ่ายเหล่ตามอง

“มึงอยากให้จบยังล่ะ” สัส!! กูถามนี่เพื่อจะได้สรุปเว้ย

“สมมติว่าจบนะ งั้นกูขอสรุปเพื่อความเข้าใจของกู”

“เชิญ”

ผมสูดหายใจ พลางพูดออกมาเบา ๆ ในขณะที่อาจารย์อธิบายรายวิชาใกล้จะจบแล้ว

“สรุปคือ มึงถูกแม่ดัดนิสัยโดยการส่งมาที่ศึกษาศาสตร์ อ้างว่ามาแลกเปลี่ยน ทั้ง ๆ ที่พูดจริง ๆ คือมึงมาเล่นก็ได้ ใช่ไหม?” อีกฝ่ายพยักหน้า

“แล้วกูก็เสือกไม่รู้ แล้วแม่มึงก็ไม่บอกกู สรุปง่าย ๆ คือกูโง่เป็นควายโดนหลอก” มันพยักหน้าอีก =.= เจ็บนะนิ

“จากนั้นไอ้เรื่องต่าง ๆ นานาที่มันเกิดขึ้นคือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มึงแลกเปลี่ยน” ยังพยักหน้า “ต่อให้มึงไปปาดคอคนตาย ยังง๊าย ยังไงมึงก็ไม่ถูกส่งกลับประเทศ”

“ใช่!!!”

“แต่ที่มึงถูกส่งกลับเพราะลุงมึงหาช่องทางสลัดมึงทิ้งอยู่แล้ว”

“เยส”

“แล้วไอ้ตั๋วนั่นล่ะ”

“ลุงก็จองให้กูไง ประมาณว่ารีบถีบกูออกจากคณะน่ะ”

“แล้วเรื่องคืนนั้นล่ะ”

“คืนไหนวะ”

“คืนนั้นน่ะ”

“แล้วคืนไหน”

โถ!!! ไอ้ควายยยยยยยยยยยย มึงจะให้กูพูดชัด ๆ ไหมว่าคืนที่มึงฟัดกูน่ะ T_____T

“มึงอย่ามาแอ๊บไม่รู้ จำไม่ได้” ผมพูดเบา ๆ สั่น ๆ เพราะตอนนี้อารมณ์มันเริ่มกรุ่น ๆ

“เออ ๆๆๆ คืนที่กูเอามึง (^o^)” =[]=!!!! พูดพลางยิ้มจนตาหยี แล้วมึงจะพูดออกมาทำไม ไอ้บ้า เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก

“เออ คืนนั้นแหละ ตกลงมันยังไง”

“กูฟันมึงฟรีอ่ะ”

O^O!!!! ห...ห๊า!!!!!

“กูฟันมึงฟรีไง นี่มึงคงเข้าใจว่าเป็นคืนส่งท้ายอะไรแบบนั้นใช่มะ คือถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาดัดนิสัยกู ก็เท่ากับว่ามันเป็นเซ็กสั่งลาที่สุดแสนจะร้อนแรงแผดเผา เพราะฟัดกันไปสามรอบ” สามรอบบ้านเตี่ยมึงสิ กูนี่หลายรอบมากอ่ะ T^T

มันพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่นิ้วมือของผมเริ่มกำเข้าหากัน จนตอนนี้มันกลายร่างเป็นกำปั้นเตรียมที่จะยกขึ้นมาต่อยอยู่แล้ว “แต่บังเอิ๊นนนน บังเอิญว่าเรื่องมันเสือกกลับตาลปัต และกูก็ไม่ได้มีพันธะสัญญานักศึกษาแลกเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น สรุปแล้วก็คือ กูฟันมึงฟรี”

“อ...ไอ้...” ฟันผมกระทบกันดังกึก ๆ อย่างน่ากลัว หมัดของผมถูกยกขึ้นมาอยู่ระดับหน้าอก อีกฝ่ายจ้องผมแล้วเอนตัวหลบหมัดของผมไปอย่างหวุดหวิด

ภาพเหตุการณ์ต่อมาโคตรที่จะสโลโมชั่น เสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาพูดว่า ‘วันนี้พอแค่นี้แหละ’ พร้อม ๆ กับหมัดของผมที่มันพุ่งไปกระแทกใบหน้าด้านข้างของนักศึกษาร่วมคลาสอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไอ้เชี่ยฟีนิกซ์ เพราะเมื่อมันเอนตัวหลบ ผมก็ไม่สามารถที่จะยั้งมือไว้ได้ทัน และมันก็พลั๊วเข้าที่ใบหน้าของเพื่อนอย่างจัง

ใบหน้าของเพื่อนหันไปตามแรงหมัด เกิดเสียงอ๊ากขึ้นมา และเพื่อนก็ล้มลง ผมรีบตั้งสติแล้วหันกลับไปหาอีกคนที่มันก่อเรื่อง ปากของผมตะโกนอะไรบางอย่างออกไปที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังอึ้ง

“อีฟี!!!! มึงหลอกฟันกู!!!!!!”

ทั้งห้องหันพรึบมามองเมื่อประโยคสุดแสนจะหน้าอับอายขายหน้าถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากของผม ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ที่ก้มเก็บเอกสารต่าง ๆ นานา ใบหน้าของไอ้ฟีนิกซ์เผยรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด จนผมอยากจะซัดเข้าไปที่ใบหน้านั่นซักหมัด แต่ผมก็ทำไม่ได้ เพราะสายตาเกือบห้าสิบคู่พุ่งมามองผมเป็นตาเดียวกัน

เกิดเหตุชุลมุนไม่ถึงห้านาที เพื่อนทั้งคลาสก็รีบเข้ามาฉุดเพื่อนคนที่โดนต่อยให้ลุกขึ้น หลายคนเดินเข้ามาหาผมเพื่อที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมยังคงยืนนิ่งเพราะสติตอนนี้ไม่อยู่กับตัวแล้ว ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งขายหน้าจนอยากจะมุดแทรกไปอาศัยอยู่ใต้ดิน

ในช่วงที่กำลังมึนงงกับการกระทำของตัวเอง ผมก็ถูกไอ้ฟีนิกซ์ลากออกมาจากห้อง ก่อนที่จะถูกรุมกระทืบดับอนาท ผมมองไปที่ใบหน้าเพื่อนของแต่ละคน ทุกคนเย็นชา แม้บางใบหน้าจะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า ชีวิตสงบสุขในช่วงหลายเดือนที่ปราศจากไอ้ฟีนิกซ์กำลังจะจางหายไป

ต่อไปคงยุ่งวุ่นวายสินะ

ประตูห้องปิดลง และผมก็ถูกลากมาที่โรงอาหาร

เรื่องมันก็จบด้วยประการฉะนี้แล







“กร๊าก!!!!” เสียงหัวเราะของไอ้ทวิตดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจคนรอบข้าง ในขณะที่เสียงของไอ้ฟีนิกซ์ก็ดังขึ้นไม่แพ้กัน ผมถอนหายใจออกมาอย่างเอือม ๆ

“ขำอะไรกันวะเนี่ย” หน้าของผมขึ้นสีแดงจัดเพราะความอาย (ไม่ได้เขินนะ)

“ขำคนขี้หึง” เสียงพูดกลั๊วหัวเราะของไอ้ทวิตผสมผสานกับเสียงหัวเราะตามแบบฉบับเจร็อคของไอ้ฟีนิกซ์

“เฮ้อ~~” ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ

“เออ นา มันผ่านมาแล้ว” ไอ้ทวิตเอื้อมตัวมาแตะบ่าผมอย่างให้กำลังใจ “ตอนนี้ก็รู้กันทั้งคลาสแล้วมั้ง” ไม่วายกัดต่อ ผมก็เลยจัดการตบหัวไปมันดอกนึง

“อย่ามาย้ำได้ไหมวะ”

“ความจริงเป็นสิไม่ตาย” เสียงของไอ้ฟีนิกซ์ลอดเข้ามาในหู เออ กูรู้ว่าไม่ตาย แต่ความจริงจะทำให้กูอายนี่ดิ

“แล้วตอนนี้มึงพักที่ไหนนิ” ผมถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง อีสองตัวนั้นมองหน้ากัน แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก ผมยกมือขึ้นกุมขมับ ชีวิตมหาลัยของกูอีกสองปีจะเป็นยังไงวะ

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมทวิตเตอร์จัง” =[]=!!! ทวิตเตอร์จังอะไรของมึงนิ

“จ๋า จ๊ะ เรียบร้อย” แล้วมึงอีกอีทวิต พวกมึงสองตัวจะพูดจาหวานแหววกันไปไหนวะ เกรงใจกูที่นั่งอยู่ตรงนี้บ้างเหอะ

“คุยเรื่องอะไรกันนิ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“โอ๊ะ!!! กลับบ้านไปเดียวก็รู้” รอยยิ้มเลว ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอ้ฟี ทำเอาผมรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งผมกลับมาบ้านพร้อมทั้งไอ้ทวิตและไอ้ฟีนิกซ์นี่แหละ ความจริงอันโหดร้ายก็บังเกิดขึ้น

“ม...มึง...มึง” ผมพูดเสียงติดขัด เมื่อภาพตรงหน้าห้องนอนผมมันเป็นอีกโลกที่ผมไม่เคยสัมผัส อีพวกสองตัวที่มันตามขึ้นมามองหน้ากันพลางส่งเสียงหัวเราะชวนให้น่าหมั่นไส้

ผมรู้สึกหน้าชาราวกับถูกหยามศักดิ์ศรีเด็กเกาหลี เพราะตอนนี้ผนังห้องที่มันเคยมีเพียงแค่คอลเล็กชั่น Mr.Simple ของ SJ แปะติดฝาผนัง กลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าพวกเสริมเข้ามา

...ป้ายโปสเตอร์เจร็อคแปะรอบคอลเล็กชั่น Mr.Simple ราวกับจะประกาศศักดาว่า พวกเมริงถูกกูล้อมไว้หมดแล้ว!!!!! บนโต๊ะคอมก็มีกระจกวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีบรรดาภาพอัดโฟโต้ของไอ้พวกศิลปินเจร็อคจัดเรียงอย่างสวยงามภายใต้กระจกนั่น

ผมวิ่งวุ่นรอบห้องราวกับหนูติดจั่น เพราะห้องที่ผมเคยอยู่บัดนี้มันกลายสภาพเรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำ ที่เล่นเอาผมสะดุดตาสุด ๆ ก็คือไอ้กล่องสีดำ ๆ ที่มันมีขนาดพอดีมือ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคืออะไร คิ้วของผมกระตุกอย่างแรง ในขณะที่ไอ้ฟีนิกซ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำ พอดีกับที่ผมถือไอ้ของสิ่งนั้นไว้

“เฮ้ย!! สอยมาจากคอนศาสดาเลยนะนั่นอ่ะ” มันพูดพลางยิ้มผมตาหยี และผมก็ปาไอ้สิ่งนั้นลงพื้น

“มึงจะเอามาทำไมเนี่ย” ผมกระทืบเท้าออกมาจากห้องน้ำ สภาพห้องตอนนี้เรียกได้ว่าแปดสิบกว่าเปอร์เซ็นเป็นเจร็อคทั้งหมด โอ๊ยยยยย!!!! ชีวิตชั้น!!!!!

“กันท้องไงมึง” คำพูดมันกระแทกเข้าหู พร้อม ๆ กับไอ้ทวิตที่หัวเราะพรืดออกมาแล้ววิ่งออกจากห้องปิดประตูล็อคอย่างรวดเร็ว ผมรับรู้ถึงลางร้าย พลางวิ่งไปกระชากประตูเปิดออก แต่ปรากฏว่ามันล็อคจากด้านนอก!!!

0.0!!!! ซวยแล้วกู!!!

ร่างของผมถูกรวบจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงลงไปที่เตียง อีกฝ่ายขึ้นคล่อมผมอย่างรวดเร็ว บัดนี้ผมตรัสรู้แล้วว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

“ไม่ได้เจอตั้งนาน โคตรจะคิดถึงเลย”

“เฮ้ย!! ไม่เอานะเว้ย” ผมพยายามผลักใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังจะจู่โจมริมฝีปากของผมออก

“เออนา สนองกูหน่อยเหอะ กูไม่ได้ทำกับมึงมาหลายเดือนแล้ว” มันพูดพลางถลกเสื้อของผมขึ้น แล้วก็ถอดออกอย่างง่ายดาย

“ไม่เอาเว้ยยยยย!!!! อย่ามาสนองกู กูไม่ได้ต้องก๊านนนนน!!!!!” ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่ออีกฝ่ายหยอกล้อกับจุดอ่อนของผม (มันมีอยู่ไม่กี่จุดหรอก เข้าใจว่าอ่าน NC กันมาแล้ว คงเดาได้ไม่ยาก หรือถ้ายังเดาไม่ออก แนะนำให้ไปอ่านใหม่อีกรอบครับ)

ฮืออออออออออออออ น้ำตาของผมแทบจะไหลพรากให้กับชีวิตของตัวเอง อุตส่าห์ทำใจได้แล้วแท้ ๆ อุตส่าห์กลับมาสนุกกับศิลปินโดยปราศจากเจร็อคแล้วแท้ ๆ แล้วมึงจะกลับมาทำไมวะ สาดดดดดดดดดดด!!!!

กางเกงของผมถูกดึงออก

“เฮ้ย!!! อย่านะ” เสียงร้องห้ามของผมดูเหมือนจะไม่เป็นผลครับ

ฮืออออออออออออออ ตกลงกูต้องเสียเอกราชให้มึงอีกแล้วใช่มะ??? ทำไมกูต้องมาอะไรกับอีพวกเจร็อคด้วยวะ อ๊าคคคคคคคคค ใครก็ได้ ใครก็ได้ ช่วยเอาเจร็อคออกไปจากชีวิตของผมที๊!!!!!!!!!!!!





...





...

สรุปว่าผมก็ไม่รอด ส่วนไอ้ทวิต รู้ตัวอีกทีคือมันกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว (ทิ้งกู!!!)

และชีวิตอันสงบสุขของผมก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้

ต่อจากนี้ก็คงต้องเป็นศึกหนักสินะ สินะ สินะ

โฮ๊คคคคคคค กี่ปีที่กูต้องอยู่กับมึงเนี่ย!!!! แล้วกี่ปีกว่ามึงจะเรียนจบ!!!!!


                  ไว้อาลัยแด่ผมด้วยครับ 
ไบเซป...
                           เด็กเกาหลี ที่บูชาศิลปินสุดขั้วหัวใจ
                                            T_____T ฮืออออออออออออออออออออออ

____

สำหรับตอนหน้า จะเป็นเรื่องการเดินทางก่อนกลับมาของ (ว่าที่) ตำนาน

บทส่งท้าย : เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 32บทส่งท้าย100%] [02.12.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 02-12-2012 16:59:36
 KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 1
โหมด : ฟีนิกซ์

โอ๊สสสสสส!!! สายันสวัสด์ครับท่านผู้อ่าน ไม่ได้เจอกันกี่เดือนนะ วู้วววว หลายเดือนจนไม่อยากจำเลยล่ะ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นผมก็ยุ่งเอาการเหมือนกันกับการทำตัวให้เป็นตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์...อันดับแรก ผมจะขอเล่าก่อนเลยว่า ผมนั่งเครื่องบินจากไทยไปญี่ปุ่นครับ ลงเครื่องที่นาริตะ แต่ผมไม่ได้มุ่งตรงกับบ้านทันที ด้านหน้ามีบรรดาคนขับรถที่แม่ส่งมาให้มารับผม แต่ผมบอกปฏิเสธพวกเขา พร้อมทั้งรีบดิ่งหนีออกมาจากนาริตะผ่านทางชินกันเซ็นอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็เข้าไปที่ตู้ ATM แล้วกดเงินออกมาเท่ากับจำนวนเงินจำกัดของบัตรเครดิตที่กดได้เยอะที่สุดต่อวัน ซึ่งมันก็เยอะพอที่จะทำให้ผมได้ทำอะไรตามแผนที่วางไว้ เคยดูเถอะ คราวนี้ศึกษาศาสตร์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้กับผม ไอ้ตัวประหลาดคนนี้จะกลับไปเป็นตำนานให้ดู

แต่ก่อนอื่น ผมจัดการโทรหาเพื่อนที่อยู่โตเกียว แล้วลากกระเป๋าไปนอนค้างบ้านมัน ระหว่างที่พักอาศัยอยู่กับเพื่อน พวกเราก็มีตระเวนออกทัวร์ดูคอนเสิร์ตตามสถานที่ต่าง ๆ เรียกได้ว่ามีคอนศิลปินเจร็อคที่ไหน พบผมกับเพื่อนได้ที่นั่น แต่มีครั้งหนึ่งที่ศิลปินฝั่งเกาหลีจู่ ๆ ก็ตั้งชื่อวงว่า VIVID เล่นเอาผมกับเพื่อนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะมัวแต่เกรียนด่าเกาหลีกัน มันจะบ้าหรือไงตั้งชื่อวงเหมือนกัน แถมยังมาเขียนเหมือนกันอีก!!! ประสาทวะพวกนี้

เพื่อนผมจัดการทวิตหา Koki มือกลองวง ViViD แห่งญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว บอกว่าที่เกาหลีมีวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ตั้งชื่อและเขียนเหมือนวงของ Koki เปี๊ยบ!!!!!

แล้วไงต่อ? ผมกับเพื่อนกะว่าโคคิจะตอบกลับประมาณว่า เหรอ?!!!ๆๆๆ อะไรประมาณนั้น แต่โคคิกลับตอบมาว่า

...รู้แล้ว แล้วอีกอย่าง วงนั้นก็เป็นวงผู้หญิง ถึงจะชื่อเหมือนกัน แต่แนวเพลงต่างกัน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก...

เล่นเอาผมกับเพื่อนนี่แทบจะหน้าหงาย แล้วที่กูอุตส่าห์เกรียนใส่พวกเกาหลีทั้งคืนนี่เพื่อ????

หลังจากนั้นก็มารู้อีกทีว่าโคคิก็ชอบเกาหลี =.=”

นี่จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่กูจะเลิกศรัทธาในเพลงของ ViViD 555555

หลังจากที่ทั้งทัวร์ ทั้งเกรียนกันเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะมาคิดหาทางแก้เผ็ดคณบดี คณะศึกษาศาสตร์กันจริง ๆ จัง ๆ ซักที ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดทุกอย่างให้เพื่อนคนญี่ปุ่นฟัง เพราะผมคิดว่าบุคคลที่สามจะมีมุมมองที่กว้างกว่าบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะบุคคลที่สามหรือบุคคลนอก เขาจะมองทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ลำเอียง และมันก็บังเกิดผลครับ

เพื่อนคนญี่ปุ่นของผมเริ่มร่างความคิดออกมาเป็นมายแม๊พปิ้ง เออ สมควรแล้วที่มึงเรียนกฏหมาย =.=” คิดโยงไยเป็นแมงมุมชักไยไปได้ อันดับแรก มันบอกผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่ายมาก (กูก็คิดเหมือนมึงแหละ แต่กูแค่ปรึกษามึงเฉย ๆ)

มันบอกผมว่า ให้ไปสมัครสาขาวิชาที่อยากจะเรียน หรือที่เปิดรับในภาคเรียนที่สอง มันบอกว่าถ้าเป็นหลักสูตรอินเตอร์น่าจะเดินเรื่องได้ง่ายกว่า และผมก็คิดเหมือนมันครับ จากนั้นมันก็แนะนำผมว่าให้แต่งตัวดี ๆ ดูมีภูมิฐานไปสอบสัมภาษณ์ เพราะมันให้เหตุผลว่ามันไม่ห่วงเรื่องสอบข้อเขียน เออ กูก็ไม่ห่วงเหมือนกัน แล้วขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้สำคัญมาก และผมต้องทำแอคติ้งให้ผ่าน.... ถ้าเจอหน้าคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ และอีกฝ่ายทำท่าจะโยนผมออกจากคณะ ก็ให้หยิบยกเรื่องที่คณบดีปลอมแปลงเอกสารนักเรียนแลกเปลี่ยนของผมขึ้นมาขู่

ซึ่งพอมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งของเพื่อนและของผมก็ฉายแววแห่งชัยชนะ!!! อ่า!!! ใช่แล้ว!!!! เพราะลุงปลอมแปลงเอกสาร เนื่องจากแม่ขอร้อง ทำให้งานนี้ลุงมีความผิดเต็ม ๆ ถึงขั้นอาจจะโดนสอบวินัยถ้าความแตก!!! ทั้งผมและเพื่อนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ (ผมไม่รู้ว่าที่เพื่อนมันดีใจเพราะผมจะออกจากบ้านมันหรือเป่าอานะ) แต่ผมก็กล่าวขอบคุณมันแมร่งทุกภาษาเท่าที่ผมจะพูดได้ แต่ผมก็ยังคงอาศัยอยู่บ้านมันจนถึงช่วงที่คณะศึกษาศาสตร์ภาคอินเตอร์ประกาศรับนักศึกษาในเทอมที่สอง

ผมส่งข้อมูลการสมัคร และเพื่อนช่วยทำเรื่องพอร์ทโฟลีโอให้ผม เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมและถูกวางแผนมาเพื่อการนี้ เมื่อเช็คดูอีกที สาขาวิชาการสอนภาษาญี่ปุ่น ภาคอินเตอร์ที่ผมจะเข้าไม่มีสอบข้อเขียนซะงั้น มีเพียงแค่สัมภาษณ์ ทั้งผมและเพื่อนแปะมือ Hi5 กันเพราะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าติดแน่ ๆ เนื่องจากมี N2 เป็นบัตรเครดิต คอยรูดปื๊ด รูดปื๊ด ให้ทางสะดวกอยู่แล้ว

ช่วงระหว่างที่รอฟังผลอยู่นั้น ผมก็ลั่ลล๊า ลั่ลล๊ากับเพื่อนนักกฏหมาย กอดคอกันเฮดแบงในคอนเสิร์ตอย่างไม่อายฟ้าอายดินว่าภายในอนาคต กูคนนี้กำลังจะกลายเป็นครูไปสอนเด็กนักเรียนที่เป็นอนาคตของชาติ และเพื่อนกู ก็จะไปเป็นนักกฏหมาย ทำน่านับถืออยู่ในชั้นศาล =.=”

แต่สำหรับผม...ก็ใครจะสนเล่า เรียนศึกษาศาสตร์ จบออกมาไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเป็นครูนิหว่า เรียนเอาวุฒิเฉย ๆ แล้วไปทำอาชีพอื่น ไว้เวลาหมดปัญญาจริง ๆ ค่อยไปเป็นครู (ความคิดเลวเหมือนกันนะนิ)

และแล้ววันแห่งการพิพากษา (ประกาศผลนั่นแหละ) ก็มาถึง ทั้งผมและเพื่อนก็ไม่ต้องไปลุ้นอะไรให้มากความ เพราะมีรายชื่อผมในบุคคลที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ เรื่องนี้เป็นไปตามคาด ผมจัดการจองตั๋วเที่ยวบินชึ้นประหยัดกลับไทยในทันที เสื้อผ้าอะไรก็หอบหิ้วไปเรียบร้อย ชนิดเตรียมตัวอยู่ยาวห้าปีกันเลยทีเดียว ตอนที่ไปที่นาริตะ เพื่อนก็มาส่ง แถมยังยัดเงินใส่มือผมอีกแสนเยน ราวกับผมเป็นเด็กยากไร้ซะอย่างนั้น แต่ผมก็รับไว้ เพราะตอนนั้นผมยากไร้จริง ๆ 555555

เครื่องบินลงจอดที่สุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย และผมก็เห็นไอ้ทวิตโบกมือหยอย ๆ เมื่อผมก้าวออกมาสู่ทางเดินยาวที่จะมีบรรดาญาติ ๆ มาเกาะขอบราวเหล็กเพื่อที่จะรอญาติตัวเองที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ผมรีบเดินเข้าไปหาไอ้ทวิต ก่อนที่จะใส่เป็นชุด

“วันนั้น iMes หา ทำไมไม่ตอบ”

“อ๋อ ไอ้ไบเซปปามือถือทวิตน่ะ” มันตอบยิ้ม ๆ

“ปามือถือ?” ผมถามมันงง ๆ

“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายตอบพลางเดินนำหน้า “ไบเซปโมโหที่เห็นทวิตเอาแต่เล่นมือถือน่ะ ก็เลยปาทิ้งเลย”

“อ้อ” ผมครางออกมาในขณะที่เดินตาม ลงชั้นล่างเพื่อที่จะไปที่แอร์พอร์ตลิ้ง บรรยากาศในวันแรกย้อนกลับมาในความทรงจำของผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดันเป็นทวิตเตอร์ไปซะได้นิ =.=” “แล้วตอนนี้ไบเซปเป็นไงบ้าง”

“โอ๊ยยย กลับมาบ้าเกาหลีได้เหมือนเดิม” ไอ้ทวิตตอบยิ้ม ๆ พลางส่งเหรียญรถไฟให้ผม “ก็มีเศร้าบ้าง แต่ดูเหมือนจะทำใจได้แล้ว”

“แล้วนายแอบมาแบบนี้ ไอ้ไบไม่สงสัยเหรอ”

“ไม่หรอก” ทวิตส่ายหน้า “เพราะทวิตบอกไบเซปว่ากลับบ้านไปจัดของน่ะ”

“อ้อ” ผมครางอีก พลางพูดในสิ่งที่ตกลงกันไว้ “สรุปแล้ว ฟีพักที่บ้านของทวิตได้ใช่ไหม”

“อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเดินเข้ารถไฟ ผมเดินตาม “ทวิตอยู่กับไบเซปมาหลายเดือนแล้ว ห้องก็เลยว่าง แล้วทวิตก็บอกที่บ้านไว้แล้วด้วย เพราะงั้น ไม่มีปัญหา”

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ใบหน้าหวานของไอ้ทวิตส่ายไปมา นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่ารัก >////< (ต่อให้มึงจะตอแหลเรื่องเจร็อคก็เหอะ)

เมื่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งพาผมและไอ้เด็กทวิตเตอร์มาถึงจุดหมาย มันก็พาผมเดินต่อไปอีกนิด ก่อนที่จะเจอรถสีดำสนิทจอดรออยู่ มีคนเดินมาเปิดประตูให้ กระเป๋าของผมถูกเก็บไว้ที่กระโปรงรถด้านหลัง ผมสอดตัวเข้าไปภายในรถ และพนักงานขับรถก็เข้าประจำที่

ตลอดระยะเวลาการเดินทางไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก เมื่อถึงบ้านของทวิต ไอ้เด็กนั่นก็แนะนำผมให้กับที่บ้านรู้จัก เป็นการแนะนำตัวตามมารยาท ซึ่งผมต้องสวมบทบาทให้ดูดีที่สุด จากนั้นก็เอาของไปเก็บ และเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ในวันต่อมา ส่วนทวิตต้องรีบกลับไปที่บ้านของไอ้ไบเซป

ช่วงเวลาสัมภาษณ์นักศึกษาใหม่นั้นเป็นช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่หนึ่ง ทำให้ผมไม่ต้องระวังตัวอะไรมาก เช้าวันนั้นผมแต่งตัวให้ดูดีที่สุดในชีวิต ทรงผมจากที่เคยหนาม ๆ นี่หวีเรียบราวกับเป็นเจ้าบ่าวงานแต่ง ไอ้ทวิตที่ทำหน้าที่พาผมไปสัมภาษณ์ถึงกับอึ้งไปหลายวิ ก่อนที่จะหลุดปากแซวผมว่า เป็นแฟนกับมันเถอะ =.=”

พอไปถึงคณะศึกษาศาสตร์ที่ผมกำลังจะทำตัวให้เป็นตำนาน ปรากฏว่าวันนี้คนน้อยมาก คงเป็นเพราะเปิดรับเฉพาะบางสาขาเท่านั้นมั้ง ไอ้ทวิตส่งผมไว้แค่นั้นก่อนที่จะรีบบอกทางกลับบ้านมันให้กับผม เพราะมันอ้างว่ามีนัดเที่ยวตลอนกับไอ้ไบ และผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ช่วงเวลาที่ผมสัมภาษณ์นั้นไม่มีอะไรมาก ตอนแรกอาจารย์ที่สัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์เป็นภาษาไทย แต่ผมโชว์ภูมิครับ ไม่พูดไทยเลย ถามไรมา ตอบญี่ปุ่นแมร่งทั้งหมด จนสุดท้ายพวกเราก็คุยญี่ปุ่นกันมันส์หยดติ๋ง ชนิดที่ว่า ก่อนที่ผมจะออกจากห้องสัมภาษณ์อาจารย์ตะโกนตามไล่หลังมาว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะศึกษาศาสตร์

ผมฉีกยิ้ม...

ติดแน่ ๆ กู

____

Next : KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 2

____
09-04-2012 : 09:27 AM.

ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

ViViD [Korea] - http://bit.ly/Hu712r
ViViD [Japan] - http://www.pscompany.co.jp/vivid/

หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 33 บทส่งท้าย 100%] [02.12.2012]
เริ่มหัวข้อโดย: dog ที่ 02-12-2012 20:04:48
ตอนฟี่อยู่กะไม่อยู่นี่ รู้สึกหนูไบจะทุกข์ไม่ต่างกันเลยนะเนี่ย
แต่อยู่ด้วยกันยังไงก็ดีกว่าแยกกันละนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: kaino ที่ 14-03-2013 08:31:17
 KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 2

พอออกมาจากห้องสัมภาษณ์ด้วยจิตใจอันร่าเริงว่ายังไงก็ต้องติดแน่ ๆ แล้วผมก็ดันมาเจ๊อะเข้ากับท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์ในขณะที่ท่านจะเข้าลิฟต์พอดี เท้าของกระผมก้าวอย่างไวพลางเดินไปสะกิดท่าน

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทาย ในขณะที่อีกคนจ้องตาแทบจะถลน พลางลากผมเข้าไปในลิฟต์พร้อมทั้งผู้ติดตามผู้หญิงอีกหนึ่งคน ลิฟต์โดยสารภายในคณะส่งเสียงกึกกักตามอายุการใช้งานของมัน เสียงสัญญาณบอกถึงจุดหมายดึงขึ้นเมื่อมาถึงชั้นห้องทำงานของท่านคณบดี คณะศึกษาศาสตร์

ลุงของผมคุยธุระกับผู้หญิงที่ผมคิดว่าเป็นเลขาโดยใช้เวลาไม่นาน ลุงก็เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่หน้าลิฟต์ ก่อนที่ผมจะถูกลากเข้าห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

“แกมานี่ได้ไงวะ” ใบหน้าของลุงเริ่มขึ้นสี ในขณะที่เสียงนั้นกดให้ต่ำลง ผมยังคงฉีกยิ้ม เพราะรู้ดีว่ากำลังถือไพ่เหนือกว่า

“I’m legend (ฉันคือตำนาน)” ผมพูดออกมายิ้ม ๆ

“เอาดี ๆ ชั้นส่งแกกลับไปแล้ว”

“แต่ผมก็มีปัญญามานี่นินา”

ลุงของผมขมวดคิ้ว “แกใส่ชุดนักศึกษาของที่นี่”

“อ่าาาา นี่ผมคงยังไม่ได้บอกลุงสินะว่าผมเพิ่งจะไปสัมภาษณ์มาเมื่อตะกี้นี้เองครับ” คราวนี้ลุงเงียบไปซักพัก ผมยังคงมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้า

“แกเข้าสาขาอะไร”

“จะไล่ผมออกเหรอ?”

“ชั้นถามว่าแกเข้าสาขาอะไร!!!” ทั้งขึ้นเสียงทั้งทุบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง แสดงอาการที่เรียกว่าเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ผมส่งเสียงหัวเราะหึหึ ประสานมือกันไว้บนโต๊ะแล้วยกขึ้น ก่อนที่จะเอาคางวางอยู่บนมือที่เท้ากับโต๊ะ

“เก็บอารมณ์หน่อยสิครับ” ผมพูดเสียงเบา หากแต่คิดว่าลุงได้ยินชัด “ไม่เหมาะกับเป็นคณบดีเลยแฮะ”

อีกฝ่ายทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้ประจำตำแหน่ง พลางยกมือขึ้นนวดขมับ

“ผมเข้าสาขาการสอนภาษาญี่ปุ่น ภาคอินเตอร์” ผมพูดออกไปช้า ๆ ลุงทำท่าจะอ้าปาก แต่ผมยกนิ้วห้าม “ถ้าลุงจะไล่ผมออก ขอโทษนะครับ กรุณามองตัวเองก่อนว่าทำอะไรไว้บ้างช่วงที่ผมมาที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อน” ผมพูดช้า ๆ เนิบ ๆ ดวงตาของลุงกรอกไปมาในเบ้า

“แกจะแบล็กเมชั้นเหรอ” ปากของลุงเริ่มสั่น และผมก็พอใจในสิ่งนั้น

“ถ้าลุงเป็นคณบดีที่ดี มันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ หึหึ”

“แกทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก”

ผมยกคิ้ว “จริงเหรอครับ?”

“แกทำอะไรชั้นไม่ได้จริง ๆ ฟีนิกซ์” น้ำเสียงของลุงสั่น แต่กริยาท่าทางเรียกความมั่นใจให้ตัวเองจนผมหลุดขำออกมา หึ! คนที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดมันเป็นเช่นนี้นี่เอง

“แล้วลุงคิดว่าเอกสารปลอมที่ทำให้ผมนั่นมันไม่ผิดเหรอครับ อาจจะถึงขั้นสอบวินัย แล้วมหาลัยนี้ชื่อเสียงดังจะตายไป หน้าตามันต้องมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ แล้วถ้าเป็นถึงคณบดี แต่กลับไม่ซื่อสัตย์ คิดเหรอว่าคนที่อยู่สูงกว่าลุงจะปล่อยลุงไว้ให้เป็นตราบาปของมหาลัยน่ะ”

ผมพูดทิ้งท้าย แล้วนั่งพิงพนักกอดอกมองดูปฏิกิริยาของผู้เป็นลุง สายตานั่นวอกแวกอยากเห็นได้ชัด ราวกับกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ แต่เชื่อเถอะ ลุงคิดอะไรไม่ออกหรอก ก็ในเมื่อตัวเองผิดซะขนาดนั้น แล้วจะหาข้อแก้ตัวให้ถูก งั้นนี้มันคงจะยาก แถมมีผมที่รับรู้เรื่องทั้งหมดอีก เรียกได้ว่าทางรอดเกือบจะเท่ากับศูนย์

ผมยังคงนั่งยิ้ม ในขณะที่ลุงทุบมือลงที่โต๊ะเสียงดังโดยที่ไม่กลัวว่าข้างนอกจะได้ยิน คำพูดที่ลุงพ่นออกมาก็ทำให้ผมยิ้มมากกว่าเดิม

“แกอยากได้อะไร”

เท่านั้นแหละ

ทุกอย่างก็จบ





หลังจากการเจรจาธุรกิจกันสั้น ๆ ในวันนั้น ผลประกาศรายชื่อผู้ผ่านสัมภาษณ์เข้าศึกษาในเทอมที่สองก็โชว์หราให้ดาวโหลดอยู่บนเว็บ แต่ผมไม่จำเป็นต้องไปเช็ครายชื่อตัวเองหรอก เพราะลุงโทรมาบอกอย่างรวดเร็วว่าดำเนินการทุกอย่างตามที่ผมต้องการให้เรียบร้อยแล้ว มีแค่ไม่กี่อย่างที่ผมขอจากลุงในฐานะคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ อย่างแรกคือ ทำให้ผมได้เรียนในชั้นปีที่สอง เทอมสอง เอาง่าย ๆ คือเรียนได้เท่ากับเพื่อนนั่นเอง ข้อต่อมา ให้ผมได้เรียนเกาหลีตัวที่สี่ ที่มันมีเงื่อนไขว่าจะต้องผ่านเกาหลี 1, 2 และ 3 มาก่อน ซึ่งลุงนั่นแสดงท่าทางลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

โดยลุงให้เหตุผลว่า ถ้าเรียนถึงเกาหลี 4 ก็แสดงว่าต้องพูดได้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม เพราะสิ้นคำพูดของลุง ผมก็รัวเกาหลีใส่ชนิดที่ผมเองก็ยังงงว่า ระยะเวลาสั้น ๆ ผมทำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ สรุปแล้ว ไอ้สองข้อที่ขอไปได้ผลครับ แถมดำเนินการอะไรเรียบร้อยทุกอย่าง

มาถึงข้อสุดท้าย ผมบอกแก่ลุงสั้น ๆ ว่า อย่ายุ่งกับผม แค่นั้น แล้วผมก็จะเหยียบเรื่องเอกสารเท็จลงดิน พอมาถึงข้อนี้ สายตาของลุงที่มองผมนั้นแทบจะเผาผมให้เป็นขี้เถ้าได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที แต่สุดท้ายลุงก็ยอมตกปากรับคำ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ความทุกข์ใจต่าง ๆ ถูกยกออก มันทำให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น ผมรีบโทรศัพท์หาแม่ที่ญี่ปุ่น หลังจากที่ไม่ยอมติดต่อเป็นเวลานาน เพราะไม่อยากให้คำพูดของแม่ที่จะคอยกล่อมผมมาเป็นเครื่องรบกวนจิตใจระหว่างที่ดำเนินแผนการ

ทันทีที่มีคนรับสาย และแม่ก็สวดผมซะเละ ซึ่งผมก็ยอมถือสายทนฟัง เพราะรู้ดีว่าตัวเองผิด แต่พอบอกว่าจะตั้งใจเรียน แรก ๆ แม่ก็ทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ตะล่อมนิดหน่อยน้ำเสียงของแม่ก็อ่อนลง คำพูดสุดท้ายก่อนที่จะวางสาย แม่พูดในสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิดว่าแม่จะพูด และผมก็จับในน้ำเสียงได้ว่าแม่กำลังเขิน

...ตั้งใจเรียนนะลูก...







พอมาถึงวันเปิดเรียน กระผมก็ทำตัวตามปกติเพื่อที่จะเป็นตำนาน เช้านี้ผมออกจากบ้านของไอ้ทวิตด้วยสภาพที่เรียกว่าเจร็อคเต็มที่จนคนที่บ้านไอ้เด็กทวิตมองกันตาถลน บางทีอาจจะคิดว่าผมดีแตก แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงผมก็จะไม่ได้อยู่บ้านนี้อีกแล้วนี่นา

ผมกล่าวขอบคุณพ่อและแม่ของไอ้ทวิตสำหรับที่พัก ซึ่งทางนั้นก็จัดรถไปส่งที่มหาลัยให้เป็นอย่างดี ผมซาบซึ้งในน้ำใจ และสัญญากับตัวเองว่าบุญคุณนี้จะไม่ลืม

เมื่อผมสอดตัวเข้ารถ และล้อเริ่มหมุนนั้น ผมก็โทรศัพท์หาไอ้ทวิตเพื่อที่จะเช็คความเรียบร้อย แต่มันก็เข้าอีหรอบเดิม คือมันไม่รับสาย สุดท้ายผมก็ต้องส่ง iMessage หามัน และกว่ามันจะตอบก็เล่นเอาผมรอจนแทบจะบ้า

“รบกวนช่วยไปตามเส้นทางที่ผมบอกก่อนได้ไหมครับ พอดีต้องเอาของไปเก็บ” ผมพูดกับคนขับรถ และพี่แกก็ยอมทำตามผม โดยการขับรถมาที่บ้านของไอ้ไบเซปก่อน

รถจอดลงที่หน้าประตูบ้าน ผมก้าวลงแล้วมองดูนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เก็บของคงจะแป๊ปเดียวไม่นาน แล้วก็ไปมหาลัยก็ใช้เวลาราว ๆ สามสิบนาที น่าจะทันปฐมนิเทศของภาควิชาเกาหลี ผมมองบ้านที่ผมจากไปเมื่อหลายเดือนก่อน พลันความรู้สึกยินดีก็ปรี่ขึ้นมาในอก ผมยิ้มให้กับตัวบ้าน พร้อมทั้งเดินไปเปิดประตูเพื่อที่จะให้คนขับรถยกกระเป๋าเข้าไปเก็บ (คงจำกันได้ใช่ไหมครับว่าผมมีกุญแจ)

สภาพภายในบ้านทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ผมไม่ยอมเสียเวลาเพื่อที่จะสำรวจอะไรทั้งนั้น เท้าของผมรีบเดินนำคนขับรถที่ยกกระเป๋าขึ้นมาบนชั้นสอง กุญแจที่ผมมีสอดเข้าเพื่อปลดล็อคประตูห้องไอ้ไบเซป ผมบุ้ยหน้าบอกให้คนขับรถเอากระเป๋าเข้าไปเก็บไว้ในนั้น ซึ่งพี่แกก็ทำตามโดยที่ไม่พูดอะไร

“เอ่อ ขอเวลาจัดห้องซักแปปได้ไหมครับ” ผมพูดเป็นเชิงขออนุญาตพลางรื้อของที่เตรียมมาออกจากกระเป๋า

“ไม่ทราบว่ากระผมพอจะช่วยได้ไหมครับ เผื่อจะช่วยประหยัดเวลามากขึ้น” พี่คนขับรถถามผมอย่างสุภาพ ซึ่งผมก็รีบพยักหน้าตอบก่อนที่จะโยนพวกแผ่นโปสเตอร์ให้พี่แก

“ติดรอบไอ้คอลเล็กชั่น คัลเลอร์ฟูลนั่นเลยครับ” ผมบอกพลางเบนหน้าไปที่คอลเล็กชั่น Mr.Simple ของ SJ ที่ไอ้ไบเซปติดอยู่ที่ฝาผนัง พี่คนขับพยักหน้าอย่่างเข้าใจ ยื่นมือมารับเทปกาว และกรรไกรไปจากผม ส่วนผมก็หันไปตกแต่งห้องด้วยภาพอัดโฟโต้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมขนมาเตรียมเปลี่ยนห้องนี้โดยเฉพาะ

หึหึ หึหึ แล้วเจร็อคจะบังเกิด หึหึ หึหึ

และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ครับ นั่นก็คือ ถุงยาง ลิมิเต็ด อิดิชั่นของท่านศาสดา ที่กว่าจะสอยมาได้ต้องยืนรอต่อคิวเกือบสามชั่วโมง แล้วไหนจะต้องลุ้นอีกว่ามันจะเหลือถึงผมไหม แต่สุดท้ายผมก็สอยมาได้ TwT

ผมจงใจวางสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นของท่านศาสดาไว้ที่ห้องน้ำ หน้าอ่างล้างหน้า เพราะผมจำได้ดีว่า อ่างตรงนี้มันมีประวัติ 555555 แถมประวัติเสียวซะด้วยสิ >//////<

หลังจากที่ตกแต่งห้องกันอย่างลวก ๆ แต่ก็ออกมาเป็นที่หน้าพอใจแล้ว ผมก็พลิกข้อมือดูนาฬิกา

“ยี่สิบนาทีนี่ทันไหมครับ” ผมถามพลางเร่งให้พี่คนขับออกจากห้อง อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด

“น่าจะทันนะครับ”

“เลทหน่อยก็คงไม่เป็นไร งั้นเอาสุดฝีมือพี่เลยครับ”

หลังจากนั้นผมและพี่คนขับก็เคลื่อนตัวออกจากบ้าน ล็อคประตูบ้าน แล้วกระโดดขึ้นรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นการนั่งรถที่มีคนขับฝีมือการขับหวาดเสียวที่สุดแล้วครับ ขนาดใจกลางกรุงพี่แกยังขับปาดซ้ายปาดขวา บีบแตรบ้างเป็นบางโอกาส จนผมยังแอบคิดว่า ถ้ามีลูกกระสุนลอยมานี่คงไม่น่าแปลกใจเท่าไร

และสุดท้ายผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยโดยใช้เวลายี่สิบนาทีเป๊ะ ผมรีบกระโดดลงรถ ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่ากว่าจะหาคณะมนุษยศาสตร์เจอมันต้องสายแน่ ๆ แล้วไหนจะวิ่งหาห้องอีก ระหว่างทางเหล่านักศึกษาทั้งเก่าและใหม่เป็นอันต้องหมุนสามร้อยหกสิบองศาเมื่อผมวิ่งผ่าน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามองอะไรครับ

ทั้งหัวหนาม ทั้งแต่งตัวผิดระเบียบโคตรพ่อโคตรแม่ ยังไงก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว

ผมวิ่งถามทางชาวบ้านชาวช่องมาเรื่อย ๆ ว่าคณะมนุษยศาสตร์อยู่ที่ไหน จนในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าตึกสีขาวที่มันสูงหลายชั้น ผมหอบจนตัวโยน นี่กูวิ่งสี่คูณร้อยเมตรหรือไงวะ มีเซ็กกับไอ้ไบเซปกูยังไม่หอบขนาดนี้เลยนะ!!!!! แต่แล้วอะไรบางอย่างมันก็กระแทกหัวผมอย่างจัง อันที่จริง คณะนี้มันก็อยู่ตรงข้ามกันกับศึกษาศาสตร์ แล้วกูจะวิ่งวนหารอบมหาลัยทำเตี่ยอะไรวะ =.=”

ผมบ่นให้กับความโง่งี่เง่าของตัวเอง พลางวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร แล้วเริ่มปฏิบัติการถามหาห้อง จนสุดท้ายก็เจอรุ่นพี่สาขาเกาหลีที่ใจดีอุตส่าห์เดินนำทางมาจนถึงหน้าห้อง ผมรีบกล่าวขอบคุณแล้วเปิดประตูพรวดเข้าไป

เป็นอันว่างานนี้ผมทำให้คนทั้งห้องตกใจไม่เว้นแม้แต่อาจารย์

ภาพที่บางคนมุดใต้โต๊ะ แถวด้านหลังกรี๊ด อาจารย์ผงะนี่ถูกบันทึกเข้าสู่สมองของผมทั้งหมด ซึ่งผมก็แอบลอบขำในกิริยาท่าทางของแต่ละคน (กูได้เรื่องเม้าท์มนุษย์เกาหลีและ)

ดูเหมือนว่าอาจารย์จะตั้งสติได้ก่อนใครอื่น เพราะอาจารย์รีบก้มดูกระดาษแล้วทักผมทันที

“เธอคือนักเรียนที่ยื่นขอเรียนรายวิชานี้ใช่ไหม” สำเนียงไทยแปร่ง ๆ ดังขึ้น ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นอาจารย์ก็พยักเพยิดให้ผมหาที่นั่ง ผมโค้งให้อาจารย์ ก่อนที่จะเดินแหวกฝ่ากลางห้อง ทุกคนเหลียวหลังหันมามองผม ไม่เว้นแม้แต่สายตาของใครบางคนที่ผมไม่ได้เจอกันมาเกือบหลายเดือน

จากนั้นก็เป็นการทักทายกันตามปกติ และผมก็เล่าความจริงของเรื่องทั้งหมดให้ไอ้ไบเซปฟัง แรก ๆ ก็ดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอผมเล่าจบนี่หมัดพุ่งเลยครับ โชคดีที่ผมหลบทัน ไม่งั้นมีดั้งหัก แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ ผมนี่ดิ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ทำให้เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นภายในห้อง นักศึกษาทั้งคลาสรีบกรูกันเข้ามาเพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้น (งานนี้สามารถเรียกได้ว่า เกาหลีมุง!!!!) และผมก็ลากไอ้ไบเซปออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะโดนรุมกระทืบ

จากนั้นก็มาพบกันกับไอ้ทวิตเตอร์ที่โรงอาหารมนุษยศาสตร์ ไม่วายนั่งเผาไอ้ไบเซปให้ไอ้ทวิตฟัง ทั้งผมและทวิตหัวเราะกันเอิกอากตามประสาพวกรู้ใจ (ต่อให้มึงตอแหลก็ตาม) และก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ นั่นก็คือช่วงเวลากลับบ้านครับ ทั้งผม ไบเซป และไอ้เด็กทวิตมีความเห็นดีเห็นงามว่าจะไปนั่งคุยกันทั้งบ้านของไบเซปก่อน และเมื่อมันเข้าบ้าน วิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

ทันทีที่มันเปิดประตูห้อง ไอ้ไบเซปก็ชะงักค้างทันที ผมและทวิตหัวเราะคิกคัก ก่อนที่อีกคนมันจะก้าวขาสั่น ๆ ของมันเข้าไปในห้อง มันจ้องมองคอลเล็กชั่นคัลเลอฟูล ที่ตอนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าโปสเตอร์เจร็อค มันเดินเข้าไปห้องน้ำ แล้วโวยวายเมื่อเห็นกล่องถุงยางอนามัยรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น

พอถึงตอนนี้ผมก็ส่งสัญญาณให้ไอ้ทวิตออกไปนอกห้องแล้วล็อคประตูจากด้านนอก เพราะผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างกับเพื่อนมัน และไอ้นั่นมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ

...มาไว ไปไว ล็อคไว ได้ดั่งใจ นี่สิ ทวิต!!!...

ดูเหมือนว่าไอ้ไบเซปมันจะรู้ทัน เพราะมันก็วิ่งไปที่ประตูแล้วกระชากประตูเปิด แต่มันไม่เปิดครับ สรุปว่างานนี้ไอ้ทวิตมันทำสำเร็จ และไอ้ไบเซปมันเสร็จผมแน่...

และมันก็เสร็จผมจริง ๆ TwT

หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาผ่านไป ผมก็กลับไปเรียน กลับไปป่วนคณะตามปกติ จนมีเรื่องเล่าขานยังตำนานของผมที่ผมก่อไว้กับคณะศึกษาศาสตร์แถมยังไปก่อไว้ที่คณะมนุษยศาสตร์อีกตางหาก!!!

สุดท้าย...ผมหวังว่ามันจะถูกเล่าต่อ ๆ กันไปถึงอะไรที่มันอยู่นอกกรอบ มันหลุดโลก และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การกระทำต่าง ๆ ของผม ที่ผมทำไปกับคณะนั้น มันจะช่วยจุดประเด็นอะไรซักอย่างในความคิดของผู้ใหญ่ที่มองชีวิตเพียงแค่ครูที่อยู่ในกรอบ

เพราะผมรู้ หากมีกรอบ เราก็ไม่พัฒนา...

และถ้าหากไร้กรอบ เราก็พัฒนาเกินไป จนอาจจะรั้งไว้ไม่อยู่

เพราะงั้น...นอกกรอบบ้าง ยามต้องการอะไรที่สร้างสรรค์ และในกรอบบ้าง ยามที่รู้ว่ามันมาก จนเกินไป...
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: Riko ที่ 14-04-2013 13:03:55
อ่ารวดเดียวเลยค่ะ สุดยอดมากก สนุกมากค่ะ
ขอชื่นชมฉาก NC นะคะ บรรยายใช้ภาษาสละสลวยมากเลยค่ะ
ลื่นไหลและมองเห็นภาพทันที
แอร๊ยยยยยยยยยยยย
อยากรู้ว่าฟีจะทำผมหัวหนามอีกนานมั้ย ฮ่าๆๆ
ทำผมเทรนญี่ปุ่นหัวปกติก็ได้น๊าา มันมีหลายทรงนะฟี กร๊ากกกก
ในเรื่องจริงๆแล้วไม่ชอบทวิตอ่ะ ฮ่าๆๆ
แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าทวิตทำถูกแล้วล่ะ ล็อคห้อง กรี๊ดดดด  :z1:

ขอบคุณมากนะคะที่นำเสนอเรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี
เราเป็นคนนึงที่รักญี่ปุ่นมาก ถึงขั้นไม่ชอบเกาหลีเลย
แต่พอเราได้รับรู้อะไรมามาก ก็เข้าใจในความแตกต่างและเริ่มยอมรับ
กลายเป็นว่าไม่ได้เกลียดเกาหลีแล้ว เริ่มยอมรับ
และเราก็จะยังรักญี่ปุ่นต่อไปเรื่อย มากขึ้น มากขึ้น
เรื่องราวสนุกมากค่ะ ขอบคุณจริงๆค่ะ :-[


+1 ทุกอันเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 03-10-2013 19:25:04
อ่านไปขำไป

น่ารักทั้งคู่เลย 55555
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: aoaer ที่ 06-10-2013 02:20:56
ฮ่าๆๆๆ ขำ ฮา ดราม่า ครบ แต่ดราม่าไม่เยอะนิแหละที่ชอบมากกกกก    :mew1: :mew1: :mew1:


และก็  สุดท้ายเนี่ย เห็นด้วยก่ะฟีนะคะนี่ว่า ครูถ้าแค่อยู่ในกรอบก็ไม่มีการพัฒนา

บอกตรงๆ เราก็เรียนครูนะ แถมชอบแหกกฎบ่อยๆด้วย ฮ่าๆๆๆๆ เพราะว่าเราเคยเป็นเด็กนักเรียนเรารู้ว่าชอบไม่ชอบตรงไหน

พอรู้ เราก็เลยแหกมันตรงนั้นเลย คิคิ  :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: viz ที่ 07-10-2013 15:36:48
อ่านแล้วอยากกรี้ดดังๆล้านรอบค่ะ 5555
สนุกมากกกกก เพลิน >_<
ไบเซป ฮาได้ใจ
ฟีก็บ้าได้ใจ
ชอบๆๆๆๆ  o18
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 07-05-2014 14:51:10
เรื่องโคคิเฟบเกาหลีหนิเรื่องจริงเหรออออออ????   :a5:
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: oop ที่ 09-05-2014 23:37:05
เรื่องนี้สนุก!!!! ได้สัมผัส j-rock ซึ่งไม่เคยคิดฟังและไม่รู้จักเลย
จนอยากไปหาฟัง 555555 พอดีมาทาง k-pop
 
ตอนแรกนึกว่าk-popจะรุกเห็นขึ้นหัวเรื่อง แต่ที่ไหนได้ คิคิ
**แอบเชียร์ให้ทวิตมีคู่ไม่เฟซบุค ทัมเบลอ ก็เหวยป๋อ
ปล.ชื่อไบเซปเห็นแล้วเบ่งกล้ามมองต้นแขนตัวเอง เป็นชื่อที่เจิดนะคะ -3-
หัวข้อ: Re: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:35:44
 :mew1: