บทที่2 ใต้แสงจันทร์กับชายผู้สวมผ้าพันคอสีฟ้า..
“ก๊อกๆ” 7:55นาที ผมมาก่อนเวลานัด5นาที ไม่รู้ว่าพี่เบิ้มเตรียมตัวพร้อมรึยัง
“Good morning” พี่เบิ้มเปิดประตูทักทายผมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะหอมซ้ายหอมขวาตามธรรมเนียม
..เหรอวะ!?
ด้วยความที่คิดว่าผมจะเดินตามเข้าไปในห้อง พี่เบิ้มจึงปล่อยมือที่จับประตูไว้ ทำให้ประตูค่อยๆปิดลงมา ไอ้ผมที่มัวยืนอึ้งอยู่เอามือดันประตูไว้แทบไม่ทัน ไม่งั้นดั้งกูยุบแน่ๆ!!
พี่เบิ้มในวันนี้ยังมาในลุคเซอร์เหมือนเดิม ผมยาวระต้นคอถูกรวบมัดไว้อย่างดี หรือว่าพี่เบิ้มมันจะรู้ว่าผมแอบชมในใจว่าต้นคอมันมีเสน่ห์เซ็กซี่ วันนี้เลยมัดผมซะ..อ่อยกู?! ผมว่าผมคงคิดมากไป พี่เบิ้มมันจะมารู้ความในใจผมได้ไง ว่ามะ..
กางเกงยีนส์ขาสั้นเท่าเข่า เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวส่วนแขนสีน้ำเงินสกรีนคำว่า’กระทิงแดง’ พร้อมกับรูปกระทิงสีแดงสองตัวหันหัวชนกัน มันคือกิมมิคที่ฝรั่งทุกคนที่มาเมืองไทยต้องมีสินะ เสื้อเครื่องดื่มชูกำลังกับเสื้อแบรนด์น้ำเมาทั้งหลาย
วันนี้ไม่ใส่อีแตะแฮะ ใส่คอนเวิร์สสีขาวรุ่นคลาสสิค ที่ดูแล้วสีไม่ขาวเท่าไหร่น่าจะผ่านการใช่งานมาพอสมควร เอาง่ายๆคือเน่า ไม่ต่างจากคอนเวิร์สแจ็คเพอร์เซลล์ที่ผมใส่อยู่ตอนนี้สักเท่าไหร่ เน่าพอๆกัน
ช่างหัวรองเท้าเน่าๆมันไปก่อน สนใจอีพี่ฝรั่งตรงหน้าดีกว่าที่ตอนนี้กำลังยัดเสื้อใส่ในกระเป๋า เพราะวันนี้พี่แกจะไปนอนที่เกสท์เฮ้าส์ของผม สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพี่มึงไม่เก็บตั้งแต่เมื่อคืน
“เมื่อคืนผมกลับมาก็เผลอหลับไป เลยไม่ได้เก็บของใส่กระเป๋า คุณรอแป๊ปนึงนะครับ” อีพี่เบิ้มหันมาบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรอยู่ในใจ มึงเป็นริว จิตสัมผัส เวอร์ชั่นฝรั่งแน่ๆ!!
“ครับ ไม่ต้องรีบ” ไม่ถึง10นาทีพี่เบิ้มที่สะพายกระเป๋าเป้ใหญ่ก็พร้อมออกเดินทางด้วยเจ้ากระป๋องของผมที่ดูยังไงๆ คนก็ตัวใหญ่กว่ารถ เราแวะที่เกสท์เฮ้าส์ของผมก่อนเพื่อเก็บสัมภาระของพี่เบิ้ม
“คุณมีอะไรให้รองท้องบ้างมั้ยครับ ผมตื่นสายเลยไม่ได้ลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรม”
ที่เกสท์ของผมก็มีบริการอาหารเช้าให้กับลูกค้าเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยที่นั่งทานอาหารตอนนี้ถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ผมจึงต้องพาลูกค้าวีไอพีมาทานที่บ้านของผมแทน แล้วทำไมไม่นั่งทานที่ร้านกาแฟก็เพราะทานที่บ้านสะดวกกว่าในความคิดของผมอ่ะนะ
“น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก่ เป็นอาหารเช้าง่ายๆที่คนไทยนิยมกินในตอนเช้า” ผมอธิบายให้พี่เบิ้มฟังคราวๆกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ส่วนนี่ก็ข้าวต้มหมูสับครับ ขนมปังปิ้งกับแจมก็นี้นะถ้าคุณต้องการเดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว” รอยยิ้มแทนคำขอบคุณช่างแสบตาดีแท้ เออ..แว่นตากันแดดลืมได้ไงว่าแล้วก็ลุกไปหยิบแว่นตากันแดดที่วางไว้ในห้องนอน หยิบมาเหน็บไว้กับคอเสื้อจะได้ไม่ลืม
“บ้านคุณน่าอยู่จังเลยนะครับ เล็กๆแต่ดูอบอุ่น” บ้านของผมเป็นบ้านหลังเล็กๆมีแค่สองห้องนอน เป็นบ้านชั้นเดียวกึ่งปูนผสมไม้ เฟอร์นิเจอร์ก็เป็นของเก่าเก็บที่แม่กับพ่อสะสมไว้ บ้านหลังนี้จึงให้ความรู้สึกวินเทจหน่อยๆบวกกับต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับ บ้านหลังนี้ค่อนข้างเก่า ผมอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่จำความได้ ส่วนเกสท์เฮ้าส์เพิ่งสร้างได้สิบปี พอผมเรียนจบแม่ก็ยกให้ผมดูแลแทน ส่วนพ่อกับแม่ก็ไปดูแลอีกเกสท์เฮ้าส์นึงที่สร้างตอนก่อนที่ผมจะเรียนจบ”
ผมค่อนข้างโชคดีที่พ่อแม่ปูทางในเรื่องธุรกิจไว้ให้ แต่ใช่ว่าจะสบายซะทีเดียว เพราะผมต้องบริหารจัดการเองทุกอย่าง ต้องมีความรับผิดชอบและใส่ใจอย่างมากถึงจะดูแลธุรกิจด้านบริการนี้ได้
“คล้ายกับผมเลย ผมเรียนจบก็มาบริหารงานต่อจากครอบครัวเหมือนกัน ..ผมทานเสร็จละครับ” รอยยิ้มที่พี่เบิ้มส่งมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนเข้าอกเข้าใจว่าผมรู้สึกยังที่ต้องแบกรับหน้าที่ต่อจากพ่อแม่ที่สร้างไว้ให้..อืม หัวอกเดียวกันสินะ
แต่ไม่น่าเหมือนของผมมันแค่ธุรกิจขนาดย่อม ส่วนของพี่เบิ้มคงเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มหึมา!!
“ครับ งั้นก็ออกเดินทางได้”
เจ้ากระป๋องค่อยๆพาผมกับพี่เบิ้มขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ1,000เมตร ได้อย่างปลอดภัย อึดมากลูกพ่อกลับลงไปข้างล่างแล้วพ่อจะพาไปเข้าศูนย์เช็คช่วงล่างให้แน่นเปี๊ยะเหมือนใหม่เลยไม่ต้องห่วง!!
“เดี๋ยวเราขึ้นไปไหว้พระข้างบนกันครับ”
“ข้างบน?”
“ครับ” แล้วผมก็ชี้ไปยังบันไดนาค ที่ยาวขึ้นไปสู่องค์พระธาตุด้านบน
“บันไดมีทั้งหมด306ขั้น คุณขึ้นไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวมีกระเช้าพาขึ้นไป”
“ผมไหวเพราะผมออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว ว่าแต่คุณเหอะไหวรึป่าว” สายตานี้ช่างสบประมาท ดูถูกอย่าว่าแต่ขึ้นบันไดเลย
รับน้องขึ้นดอยวิ่งจากมหา’ลัยขึ้นมาบนนี้กูก็ทำมาแล้ว!! เออ..แต่นั้นก็น่าจะประมาณเจ็ดปีมาแล้ว เอาน่าสังขารผมยังไหว..
“ผมไหว เห็นแบบนี้ผมแข็งแรงนะครับ”
“แฮกๆๆ” เสียงหมาหอบแดดที่ไหน ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล..ผมนี่แหละ น่าอายชะมัดเดินขึ้นบันไดมายังไม่ถึงร้อยขั้นผมก็หอบแดกซะแล้ว!!
“นี่ครับ ค่อยๆจิบนะ” ที่เบิ้มยื่นขวดน้ำเปล่าที่เปิดฝาเรียบร้อยแล้วมาให้กับผม
“ขอบคุณครับ” ผมค่อยๆจิบน้ำตามที่พี่เบิ้มบอก ตาก็แอบชำเรืองมองฝรั่งตัวเบิ้มที่ตอนนี้ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พกมาช่วยพัดให้กับผม ดูๆแล้วก็อย่างกะพี่เลี้ยงนักกีฬา!!
มึงเป็นหุ่นยนต์แน่ๆถึงไม่มีความรู้สึกเหนื่อยใดๆ เหงื่อสักหยดก็ไม่มี การหายใจก็ปกติ ทั้งที่ตัวก็หนักมีกระเป๋าเป้ใบเขื่องสะพายอยู่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าก็มีกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอไว้ด้วยสายคล้องกล้อง
ส่วนผมเดินขึ้นมาตัวเปล่าเล่าเปือยมีแค่แว่นตากันแดดที่เหน็บอยู่ตรงคอเสื้อชิคๆ ที่ตอนนี้อยากจะช่างหัวชิคๆมัน!!แค่แว่นตาอันเดียวก็รู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงในชีวิตกูเหลือเกิน อย่าถามว่าเหงื่อผมออกมั้ย? ออกตั้งแต่หัวรามไปถึงง่ามดาก!! หึๆ
แต่ที่น่าโมโหคือหลังจากที่หยุดพัดให้ผมอีพี่เบิ้มเอาแต่ถ่ายรูปผมตอนที่นั่งพักหายใจพะงาบๆ หมดกันความชิค!!
“คุณนี่น่ารักจริงๆ” พี่เบิ้มบ่นพึมพำ ตาก็ก้มลงมองภาพในกล้อง ถึงจะพึมพำแต่กูได้ยิน..น่ารักกับผีนะสิ!! แรงเถียงก็ไม่มี ทำไมผมถึงปวกเปียกแบบนี่น้า เกลียดตัวเองจริงๆ ไม่ได้ละจากนี้ไปผมต้องฟิตร่างกายให้แน่นเปี๊ยะสักหน่อยแล้ว!!
“โอเค ผมพร้อมแล้ว” เมื่อนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วก็ต้องฝืนใจเดินขึ้นต่อไป
และแล้วก็เดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย 306ขั้นเองเหรอ จิ๊บๆแค่นี่สบ๊าย ก็แค่ขาสั่นพั่บๆเท่านั้นเอง
บอกแล้วว่าผมน่ะแข็งแรง (หรา!!)
เมื่อขึ้นมาถึงก็พาพี่เบิ้มมาสักการะองค์พระธาตุก่อนเป็นอันดับแรก พี่เบิ้มทำตามผมทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะจุดธูปเทียน นำเทียนไปตั้งตรงแท่นสำหรับวางเทียน จากนั้นก็นั่งคุกเข่าพนมมือโดยมีดอกบัวและธูปอยู่ในมือผมตั้งจิตอธิฐาน พอลืมตาก็เห็นพี่เบิ้มมองมาอย่างยิ้มๆ ก่อนจะถามผม
“ผมขอพรได้มั้ย”
“ได้สิ องค์พระธาตุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่นี่ก็ต่างเคารพนับถือ และก็มีหลายคนที่ขอพรกับองค์พระธาตุแล้วสัมฤทธิ์ผล”
เมื่อฟังผมพูดจบพี่เบิ้มก็พนมมือขึ้นไหว้ขอพรแบบเก้ๆกังๆ เห็นแล้วผมก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ ฝรั่งที่พนมมือไหว้แบบไทยๆนี่ก็ดูน่ารักดี..หืมมม น่ารักงั้นเหรอ!?
ประวัติของวัดพระธาตุดอยสุเทพ ผมก็ไม่รู้หรอกให้พี่เบิ้มอ่านเอาเอง เค้ามีแปลเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้เรียบร้อย สบายแฮเลยเรา!! จากนั้นก็พาพี่เบิ้มไหว้พระภายในวัดจนครบ และให้พี่แกได้ถ่ายรูปจนหนำใจโดยเฉพาะวิวตัวเมืองเชียงใหม่ที่มองเห็นจากด้านบน พอหนำใจแล้วก็เดินลงไปยังลานด้านล่าง
ขาลงสบายหน่อยไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้น อากาศตอนนี้ก็เย็นสบายกำลังดี เหมาะแก่การเดินลงแบบชิวๆ
“หิวรึยังครับ” ผมหันไปถามพี่เบิ้มที่ตอนนี้กำลังก้มดูรูปที่ตัวเองถ่ายด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ถ้าตาผมไม่ฝาดผมเห็นรูปตัวเองอยู่ในนั้น..
“นิดหน่อยครับ คุณละป้านด” ป้านดก็ยังคงตามมา มาไกลถึงดอยสุเทพ!!
“นิดหน่อยเหมือนกันครับ งั้นเราลงไปกินข้างล่างกันนะครับ ผมมีร้านแนะนำ”
“โอเค” พี่เบิ้มหันมายิ้มจนตาหยี โอ้ยแสบตา..แว่นกันแดดมีประโยชน์ก็คราวนี้แหละว่าแล้วก็หยิบมาใส่สักหน่อย
ขับรถลงจากดอยสุเทพก่อนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ผมพาพี่เบิ้มแวะนมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ซึ่งที่นี่เค้าเรียกว่าตีนดอยทางขึ้นดอยสุเทพ อันที่จริงผิดแผนไปนิดความจริงเราต้องแวะนมัสการก่อนที่จะขึ้นดอยสุเทพแต่ผมเห็นคนเยอะเลยขับผ่านเลยไป ตอนนี้เห็นคนโล่งๆเลยเลี้ยวรถเข้าไป
“แวะที่นี่สักหน่อยนะครับ ตามจริงผมต้องพาคุณแวะตอนขาขึ้น”
“โอะ ชื่อนี้เหมือนในประวัติที่อ่านเมื้อกี้” พี่เบิ้มที่อ่านป้ายทางด้านเข้า แล้วหันมาถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วครับ นี่คืออนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ผู้ทำถนนขึ้นดอยสุเทพ”
“เค้าเป็นพระ?”
“ใช่แล้วครับท่านเป็นพระ ที่คนในท้องถิ่นรวมถึงคนนอกพื้นที่ศรัทธาเลื่อมใส”
“พระ สร้างถนนได้ด้วย?”
“ท่านช่วยระดมทุนและแรงงานจากชาวบ้านให้มาช่วยกันทำทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อจะได้ง่ายต่อการเดินทางขึ้นไปสักการระองค์พระธาตุ ไม่ใช่แค่ที่นี่นะท่านยังบูรณะวัดหลายวัดในแผ่นดินล้านนาหรือภาคเหนือในปัจจุบันด้วย” นี่ตกลงเมื่อกี้ได้อ่านประวัติจริงป่ะเนี่ย หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจ?
“ว้าว ท่านและชาวบ้านมีน้ำใจและเสียสละดีจัง”
“เค้าเรียกว่าแรง
ศรัทธาครับ” ผมหันไปบอกพี่เบิ้มอย่างยิ้มๆ คนเราถ้ามีแรงศรัทธาต่ออะไรสักอย่างแล้วต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็สามารถฝ่าฟันไปถึง..
หลังจากนมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่พาพี่เบิ้มไปร้านอาหารที่ผมคิดไว้ว่าน่าจะถูกใจ และสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมล้านนา มื้อนี้เลยพาพี่เบิ้มมาท่านอาหารเหนือแบบฟูลคอร์ส
ร้านที่ผมพามาเป็นร้านแนวขันโตก ตกแต่งด้วยสไตล์ล้านนา ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟสาวสวยที่แต่งกายด้วยชุดผ้าซิ่นล้านนาก็ยกขันโตกมาเสิร์ฟ
ในขันโตกเต็มไปด้วยสำรับอาหารเหนือ ทั้งแกงฮังเล แกงโฮะ ลาบหมูคั่ว น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่มพร้อมกับผักนึ่งและแคบหมู
อืม..มีแต่อาหารรสเผ็ด แต่จากการสังเกตเมื่อวานพี่เบิ้มทานเผ็ดได้ ไม่น่าจะมีปัญหา
“ถ้าเรามาตอนเย็นที่นี้จะมีโชว์การแสดงศิลปวัฒนธรรมของภาคเหนือให้ดูด้วย เสียดายที่ผมไม่ได้พาคุณมาทานมื้อเย็น” ผมทำหน้าเสียดายอย่างที่พูดจริงๆ เนื่องด้วยเวลาจำกัดเพราะตอนเย็นต้องไปหลายที่ผมเลยตัดสินใจพามาทานมื้อเที่ยงแทน
“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าเราค่อยมาใหม่” พี่เบิ้มพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆไม่ได้ซีเรียสอะไร
“...” หืม..คราวหน้า? เรา? ยังจะมาอีกเหรอ!! พูดแบบนี้หมายความว่าผมต้องเป็นฝ่ายพามาอีกใช่มะ?!
..แต่ทำไมรู้สึกดีใจอยู่หน่อยๆแฮะ..
“อร่อยมั้ยครับ เผ็ดเกินไปรึป่าว”
“อร่อยครับ เผ็ดไม่มากแบบนี้ผมทานได้สบาย” ส่วนใหญ่ร้านอาหารที่เน้นบริการให้กับนั่งท่องเที่ยวอาหารจะทำออกมารสกลางๆรสไม่จัดเท่าไหร่ พี่เบิ้มที่พอทานเผ็ดได้ เลยทานได้สบายคิดถูกแล้วพี่พามาที่นี่..
“ผมต้องเช็คอินที่เกสท์เฮ้าส์คุณมั้ย”
“ไม่ต้องครับผมฝากเด็กจัดการให้แล้ว”
“อาหารอร่อย บรรยากาศดีผมชอบนะ กลับไปผมคงต้องคิดถึงอาหารเหนือมากๆแน่” แปลกๆแฮะ ตอนพูดคำว่าคิดถึงทำไมต้องจ้องนัยน์ตาผมนิ่งด้วยละ ..หรือกูมีขี้ตาติด!!
หลังจากซัดขันโตกจนเกลี้ยง ถ้าแดกขันโตกได้พี่เบิ้มคงแดกลงท้องไปแล้วแน่แท้
ก็พาแกมาย่อยโดยการพามาเดินชมวัดไหว้พระ เนื่องด้วยเวลามีจำกัดผมจึงพยายามเลือกวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแกจะได้ประทับใจ วัดแรกที่ผมพามาคือวัดเจ็ดยอด จากนั้นก็พาไปวัดอุโมงค์ และจบด้วยวัดพระสิงห์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์ของผม พี่เบิ้มก็ดูตื่นตาตื่นใจและสนอกสนใจภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นพิเศษ
“ผมชอบจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้จัง และที่ผมสังเกตแต่ละวัดจะมีรูปไม่เหมือนกัน”
“ใช่แล้วครับแต่ละวัดจะเลือกใช้เรื่องราวที่ไม่เหมือนเหมือนกัน ลายเส้นแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับฝีมือของจิตรกร จิตรกรรมฝาผนังในวัดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของพุทธประวัติในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงพวกนิทานชาดกประมานนี้ครับ” ไอ้ผมคนอธิบายก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากมายซะด้วยสิ คราวๆแบบนี้ไปก่อนละกัน
“เมื่อวานที่ถนนคนเดินผมเห็นมีภาพคล้ายๆแบบนี้ขายด้วย พอเห็นที่นี่แล้วผมอยากได้ขึ้นมาซะแล้วสิ”
“วันนี้มีถนนคนเดินท่าแพเดี๋ยวผมพาไปซื้อครับถ้าคุณอยากได้”
“ครับ”
“งั้นเรากลับกันนะครับ”
“ได้ครับ”
“จิ๊บพี่ขอกุญแจห้องพักหมายเลข1หน่อย”
“ให้แขกไปแล้วพี่”
“แขกไหน? ในเมื่อMr.jeremy อยู่กับพี่ เอาไปให้ตอนไหน”
“อ้าว แปปนะพี่” แล้วจิ๊บก็เข้าดูข้อมูลลูกค้าพี่มาพักในแล็ปท็อป
“ห้องพักหมายเลข1 ลูกค้าชื่อหย่าจิ้ง เป็นชาวจีนนะพี่ แล้วลูกค้าก็เช็คอินแล้วเรียบร้อยทั้งแต่บ่าย”
“เอกไม่ได้บอกไว้เหรอว่าพี่จองไว้ให้ลูกค้าแล้ว”เอกคือพนักงานกะเช้าที่ผมสั่งให้เจ้าตัวจัดการเรื่องห้องพักหมายเลข1ที่จะว่างในวันนี้หลังเที่ยงวัน แล้วทำไมมันไม่จัดการวะ ไอ้เอกเล่นงานกูแล้ววว
“ไม่เห็นบอกอะไรเลยนะพี่ เปลี่ยนกะปุ๊บก็เห็นรีบออกไปเลยเห็นว่าจะไปซื้อของขวัญให้สาว”
ไอ้เอกมึงลืมได้ยังไงวะ ตัดเงินเดือนเดือนนี้เลยดีมั้ย เอาไงดีกับฝรั่งตัวเบิ้มที่ยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวนี่ดีวะ โรงแรมที่พี่แกพักก็เช็คอินออกมาแล้วซะด้วยสิ
“มีเรื่องอะไรรึป่าวครับ”
“พอดีเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย พนักงานผมไม่ได้จองห้องพักให้คุณ ความผิดผมเองแหละที่ไม่ได้ตรวจดูให้เรียบร้อย..งั้นคุณมาพักที่บ้านผมละกันครับถ้าไม่รังเกียจ”
“Lucky!” เสียงพี่เบิ้มพึมพำเบาๆ อะไรกี้ๆนะ?
“อะไรนะครับ”
“เอ่อ ผมไม่ได้รังเกียจ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้พักบ้านคุณ..กับคุณ” ประโยคทำนองนี้กลับมาหลอกหลอนกูอีกแล้ววว..
“โอเคครับ งั้นเราไปที่บ้านผมกัน” ผมพาพี่เบิ้มเดินลัดเลาะมาตามทางก้อนอิฐมอญที่วางเป็นทางยาวจากเกสท์เฮ้าจนมาถึงบ้านหลังน้อยๆของผม
“คุณพักที่ห้องของผมเลยละกันนะครับ ส่วนผมจะไปนอนห้องของพ่อกับแม่เอง” พักที่ห้องผมน่าสะดวกสบายกว่า โชคดีที่เพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อวันก่อน
“ผมรบกวนคุณรึป่าว”
“ไม่ครับๆ มันเป็นความผิดผมเองผมต้องรับผิดชอบครับ”
“เรานอนห้องเดียวกันก็ได้นะครับ ผมไม่นอนดิ้น”
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณไม่สะดวก ตกลงตามนี้นะครับ” สายตามึงโคตรไม่น่าไว้ใจ ขืนนอนด้วยกลัวไส้แตก!!
อ๊ะ..อย่าคิดลึกกันครับ ผมกลัวพี่แกจะมานอนทับผมจนไส้แตกต่างหากล่ะ!
“คุณพักตามสบายเลยนะครับ ผมขอตัวไปทำงานสักหน่อย แล้วเดี๋ยวห้าโมงผมจะมาเรียกนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการโทรไปเทศนาไอ้เอกก่อนเป็นอันดับแรก สะเพร่าแบบนี้มันต้องโดน ฮึมมม
เกทส์เฮ้าส์ตอนนี้ก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร ผมเลยมาช่วยบีที่ร้านกาแฟที่ลูกค้าตอนนี้มีอยู่พอสมควร
โดยปกติแล้วงานที่เกสท์เฮ้าส์ผมจะเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อนในตอนเช้าและตอนค่ำ ส่วนเวลาที่เหลือผมก็จะอยู่ที่ร้านกาแฟเป็นหลัก
“คาปูชิโน่เย็นแก้วนึงครับ”
“ได้ครับ โอ๊ะ..ทำไมคุณไม่พักที่บ้านละครับ”
"ผมอยากมานั่งเล่นที่ร้านกาแฟของคุณมากกว่า"
พี่เบิ้มคงจะอาบน้ำถึงได้เปลี่ยนชุดใหม่ กางเกงยีนส์ขาสั้นตัวเดิมแต่เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อกล้ามสีขาวล้วน แขนค่อนข้างเว้าลึกทำให้มองเห็นแผงหน้าอกแพลมๆ อกจะแน่นไปไหน กล้ามแขนก็เป็นมัดๆ ฮึมมม นี่คือครั้งแรกที่เห็นหุ่นผู้ชายด้วยกันแล้วนึกอิจฉา
ผมก็ยังหมาดๆปล่อยสยายเส้นผมหยักศกเป็นลอนสวยตามธรรมชาติอยากจะลองสัมผัสกลุ่มเส้นผมนั้นสักครั้งคงจะนุ่มมือน่าดู..
..เบรกกกก เอี๊ยดดดด.. มึงกำลังคิดอะไรอยู่วะไอ้ณต นั้นมันผู้ชาย อยากจะจับผมผู้ชายเนี่ยนะ!! บ้าแล้ววว
“ณต ป้านด”
“อ่า ครับว่าไง” ตายห่า เผลอจ้องนานไปหน่อย น้ำลายไหลรึป่าววะ!!
“ผมขอชีสเค้กชิ้นนึงด้วยนะครับ”
“ได้ครับ รอสักครู่”
“พี่ณต คุณเจเรมีหุ่นแซบเน๊อะ เห็นแล้วน้ำลายแตก” บีที่กำลังชงกาแฟที่พี่เบิ้มสั่งไปเมื่อครู่หันมากระซิบกับผม กระซิบทำไมวะ พี่แกฟังภาษาเราไม่ออกเว้ย!!
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพี่จะเข้าฟิตเนส” ผมพูดด้วยความมุ่งมั่น
“พี่ณตพูดคำนี้มาน่าจะ88รอบได้ละ” บีหรี่ตามองผมอย่างล้อๆ
“ครั้งนี้เอาจริงโว้ย” ผมสัญญากับตัวเองบนพระธาตุดอยสุเทพไว้แล้วว่าผมจะไม่อ่อนปวกเปียก ผมจะต้องแน่นเปี๊ยะ!!!!
“คำนี้ก็น่าจะประมาณ58รอบที่ได้ยิน”
“แล้วคำว่าหักเงินเดือนละ ได้ยินกี่รอบ”
“โธ่ พี่ณตสุดหล่อ หุ่นฟิตแอนด์เฟิม แถมยังใจดีอีกต่างหากน้องบีคนนี้จะเป็นกำลังใจให้และผลักดันให้เข้าฟิตเนสอย่างสม่ำเสมอค่ะ” คำพูดที่แข็งขันเหมือนทหารพร้อมทำท่าตะเบ๊ะ ทำให้ผมหลุดขำ
“ดีมาก แต่ว่าตอนนี้เอากาแฟไปเสิร์ฟได้แล้ว”
“รับทราบ” ยัง..ยังเล่นไม่เลิก
“นี่ครับ ชีสเค้ก”
“ขอบคุณครับ นั่งด้วยกันสิครับ” ลูกค้าเริ่มบางตาผมจึงลากเก้าอี้ลงนั่งตามคำชวน
“คุณคงเหนื่อยน่าดู พาผมไปเที่ยวทั้งวันยังต้องกลับมาทำงานอีก”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับไม่ได้ใช้แรงงานอะไรมากมายสักหน่อย สนุกดีออก ว่าแต่วันนี้คุณไม่ทำงานเหรอครับ”
“ไม่ครับวันนี้ฟรี” ยิ้มซะกว้างเชียว ขอซื้อรอยยิ้มนี้ทิ้งได้มะ มันทำให้หัวใจตุ๊มๆต่อมๆ
ต่อหน้า2ค่ะ