พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: perlina ที่ 02-08-2016 21:29:54

หัวข้อ: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 02-08-2016 21:29:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


(ผม)จีบหมอ
Beside you

(http://upic.me/i/bk/besideyou1.jpg)

-คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องพรมลิขิตอย่างผมเหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้งให้ได้พบกับบุพเพสันนิวาส
จู่ๆผมก็ดันไปเจอคนๆหนึ่งที่ขึ้นแจ้งเตือนเพื่อนแนะนำในหน้าแรกของ face book
และสาบานได้ว่าตอนแรกผมไม่ได้นึกสนใจอะไรสักนิด...แต่พอดูไปดูมา แม่งน่ารักว่ะ
หนึ่งปีกับการที่เคยเจอเขาแต่ในโลกออนไลน์ ถ้าปล่อยเวลาให้นานกว่านี้เห็นทีจะไม่ได้การ
ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล-

"ผม นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ คณะเกษตรศาสตร์
รหัส 8590001021 กำลังสนใจ หมอครับ!"

                                                                                                                                                   perlina เขียน
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [00: (ก่อน)จีบหมอ 100%] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 02-08-2016 21:40:52
(ก่อน)จีบหมอ

   อีกสิบห้านาที…


   ตึก ตึก ตึก
   เสียงฝีเท้าดังขึ้นท่ามกลางสนามบินที่มีผู้คนพลุกพล่าน รองเท้าแตะราคาถูกหลุดออกตามแรงวิ่งที่เร็วขึ้น เขาหันกลับไปมองรองเท้าของตัวเองก่อนจะคิดในใจว่า เออเดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บ สิ่งตรงหน้าทำให้เขาเลือกที่จะทำแบบนั้น สัญญาณเตือนขึ้นเครื่องดังขึ้นอีกครั้งทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะเต้นแรงขึ้นอีกเท่าตัว


   ต้องทันสิวะ…


   เขาหยุดลงหน้าทางเข้าเกทพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กดดูโทรศัพท์มือถือทุกๆห้าวินาที ทันทีที่เธอเห็นเขาขาทั้งสองข้างก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างอัตโนมัติ น้ำตาที่เอ่อล้นรินไหลออกมาไม่ขาดสายราวกับสั่งได้ เสียงหอบหายใจทำให้เธอรู้ว่าคนตรงหน้ารีบมามากแค่ไหน มือหนาค่อยๆเอื้อมมือเช็ดน้ำตาผู้หญิงตรงหน้าก่อนจะระบายยิ้ม


   “เกือบไม่ทัน”

   “อื้อ” เธอตอบรับสั้นๆก่อนจะกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ เวลาเร่งรัดทำให้เธอต้องรีบพูดกับเขาก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องไม่ทัน

   “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ไปเรียนต่อนะ”

   “ฉันคิดถึงนายนิ” มือเรียวค่อยๆปาดน้ำตาก่อนจะพูดต่อ “คิดว่านายจะไม่มาซะแล้ว”

   “บ้าหรอ ยังไงก็ต้องมาอยู่แล้ว” เขาพูดพร้อมกับก้มลงมองรองเท้าของตัวเองที่เหลือเพียงข้างเดียว


   อีกข้างหล่นที่ไหนวะ…


   “ไม่มีเวลาแล้ว แพรต้องไปแล้ว” เธอพูดเสียงสั่น มือเรียวกุมมือคนตรงหน้าไว้แน่นราวกลับมันเป็นครั้งสุดท้าย


   ใช่…ครั้งสุดท้าย


   “ไปเถอะ” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพราะระยะทางที่เขาวิ่งมาไม่ใกล้และเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะออกจากสนามบินนี้อย่างไร “มาเพราะคิดว่าเธอต้องรอ”

   “ต้องรออยู่แล้ว…แฟนทั้งคนนะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นกล่องเล็กๆที่ถือไว้ในมือให้คนตรงหน้า “แพรทำไว้ให้บุ๋นเผื่อคิดถึงแพร”

   “ไม่เห็นต้องทำเลย” เขาดันมือกลับ “ไปเรียนไม่ได้ไปถาวรซะหน่อย”

   “แต่แพรทำ…”

   “ไม่เอา แพรเก็บไว้เถอะ”

   “แต่…”

   “เอาก็ได้ สบายใจกว่าใช่ไหม” เขารับของจากแฟนสาวอย่างจำยอมแม้ว่าจะไม่ได้นึกดีใจกับของที่เธอตั้งใจทำให้

   “บุ๋น…แพรต้องไปแล้วนะ” เธอเรียกชื่อคนรักเสียงสั่น น้ำตาที่หยุดไหลเริ่มคลอที่ดวงตาทั้งสองข้างอีกครั้ง

   ไม่อยากไป…อยากอยู่ตรงนี้

   “อืม โชคดีนะ”

   “สัญญานะว่าจะไม่เปลี่ยนไป” มือเรียวบีบมือคนตรงหน้าแน่น


   แค่สี่ปี…


   “เปลี่ยนไปแน่นอน” เขาตอบกลับมาทันควัน “เธอมีคนใหม่ได้เลย”


   “บุ๋น…นี่ไม่ใช่เวลาที่นายจะมาพูดเล่นนะ”


   “เปล่า ไม่ได้พูดเล่น” สีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ทำเอาหญิงสาวถึงกับเดาทางไม่ออก “ที่รีบมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอก”


   “ว่ามาสิ” เธอกดดูเวลาในโทรศัพท์อีกครั้ง


   ขอแค่อีกสองนาทีเท่านั้น…


   “เราเลิกกันเถอะ”


   “อะ…อะไรนะ” เธอถามอย่างไม่เชื่อหู


   เขาบ้าไปแล้ว


   “ไม่ต้องถามซ้ำหรอก เรารู้ว่าเธอได้ยินชัดแล้วว่าเราจะมาบอกเลิก” เขาทำหน้าเหมือนเรื่องที่พูดมาเป็นเรื่องธรรมดาที่พูดออกมาง่ายๆ

   แพรมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มีคำถามมากมายที่เขาอยากจะถามคนรักเพียงแต่เวลาเริ่มบีบทำให้เธอไม่สามารถที่จะถามอะไรต่อได้


   “คงมีคำถามสินะ” เขาพูดอย่างรู้ทัน


   “อืม”


   “สรุปง่ายๆเธอจะได้ไม่ตกเครื่อง คือสี่ปีนี้เรารู้ตัวเองว่าเปลี่ยนไปแน่นอน เข้ามหาลัยใหม่อะไรๆมันก็ต้องเปลี่ยน”

   ถึงจะรู้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่แต่นั่นก็เป็นทางที่ชัดเจนกับเขาและเธอมากที่สุด

   “เธอเองก็ไปเจอสังคมใหม่ การที่เราจะให้สัญญากันว่าจะไม่เปลี่ยนไปหรือรอจนกว่าเธอจะกลับมา บอกเลยเราทำไม่ได้” เขาสรุปให้เธอฟังเสร็จสรรพ

   “บุ๋น…ที่ผ่านมามันคืออะไร”

   แม้ระยะเวลาที่เขาและเธอคบกันเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่นั่นก็ทำให้เธอรู้สึกรักผู้ชายตรงหน้า รักแม้ว่าเขาแทบจะไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย

   “มันก็คือความรู้สึกดีๆแหละแพร เราไม่ใช่พระเอกในนิยายว่ะที่จะบอกว่า เราจะไม่เปลี่ยนไปเราจะเหมือนเดิม เรามีชีวิตจิตใจ รอขนาดนั้นไม่ไหวหรอก”

   “บุ๋นพูดแบบนี้ได้ยังไง” นิ้วเรียวกำหมัดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว “แพรรักบุ๋นมากนะ”

   “รู้ว่ารัก แต่สี่ปีนี้อย่าทรมานตัวเองโดยการคิดถึงเราเลยเพราะเรารู้ว่ามันแย่กว่าการที่เราเลิกกัน”

   “ง่ายกว่างั้นหรอ…”

   “แบบนี้ดีที่สุดแล้วแพร”

   “บุ๋นพูดง่ายเนอะ”

   “เอาน่า เจ็บไม่กี่วันเดี๋ยวแพรก็หาย อีกอย่างฝรั่งหล่อกว่าเราตั้งเยอะไม่เห็นต้องเศร้านาน ใช้ชีวิตให้คุ้ม…”


   เพี๊ยะ!!!


   มือเรียวสะบัดลงบนแก้มซ้ายอย่างแรง แรงเหวี่ยงที่มือทำให้คนตรงหน้าถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง เขาหันมามองหน้าเธอช้าๆพร้อมความรู้สึกเจ็บที่แก้มซ้าย


   ชา


   เสียงเตือนครั้งสุดท้ายดังขึ้น เขาค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ผ่อนลมหายใจหนักๆ ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้าอีกครั้ง เขาไม่โกรธที่เธอทำแบบนี้ กลับดีซะอีกที่ทุกอย่างมันจะได้จบแบบไม่ต้องมีอะไรติดใจกันอีก

   “มีคนใหม่ได้เลย…เพราะเราก็จะมีเหมือนกัน”

   “…”


   “โชคดี ตั้งใจเรียนล่ะ”


.

   คุณมีหนึ่งการแจ้งเตือน



   เสียงแจ้งเตือนจากคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ดังขึ้นดึงสมาธิของคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือการ์ตูน บุ๋นละสายตาจากหนังสือที่เปิดอ่านแล้วหันไปสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีเสียงแจ้งเตือนพร้อมกับหน้าต่างเล็กๆเด้งขึ้นมา เกือบสองชั่วโมงแล้วที่เขาเปิดคอมทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรกับมันนอกจากเปิดไว้ให้เสียงเพลงคลอไปกับบรรยากาศการอ่านหนังสือการ์ตูนในช่วงปิดเทอมใหญ่

   
   Thanthup titrirat ได้โพสต์รูปภาพใหม่

   จากตาที่เริ่มจะปิดลงทุกทีกลับสว่างขึ้นอีกครั้งเพราะชื่อของคนตรงหน้า มือรีบเลื่อนเมาส์เข้าไปดูในแจ้งเตือนที่ตั้งค่าไว้ให้เขาเป็นคนพิเศษ บุ๋นสามารถติดตามทุกอย่างที่เขาอัพเดทได้โดยไม่มีทางพลาดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขา
   เขา…คนที่บุ๋นเชื่อว่าเป็นรักแรกพบ


   1 นาทีที่แล้ว
   Thanthup titrirat : อ่านหนังสือว่ายากแล้ว อ่านใจเธอนั้นยากกว่า




   “แคปชั่นอะไรวะ” รอยยิ้มบางๆหลุดออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ มือค่อยๆเลื่อนดูคอมเม้นท์ที่ขึ้นมาไวประหนึ่งว่าคนๆนี้เป็นเน็ตไอดอล



   Kinnnn : โอ้โห้ไอ้หมอ เดี๋ยวนี้มึงเสี่ยวขึ้นนะเพื่อนนน
   PPong : ไอ้คินมันแกล้งมึง กูเปล่าฟ้อง แต่กูเห็น *แนบรูปที่คินถือโทรศัพท์ของเจ้าตัวเอาไว้แล้วยิ้มคิกคัก*
   Nannie : ว้าวว คุณหมอฐานทัพหล่อจังเลยค่ะ ขนาดหลับยังหล่อเลย




   อีกสองสามคอมเม้นท์ที่ออกไปทางเด็กมอต้นกรี๊ดคนหล่อ ขออ่านข้ามๆไปแล้วกัน อ่านไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับตัวเท่าไหร่



   Save as…


   รูปภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ฟุบหลับคาหนังสือเล่มหนาที่เขาอ่านมาได้เกือบครึ่งกับภาพเบื้องหลังทำให้บุ๋นเดาไม่ยากว่าตอนนี้เจ้าตัวเขาอยู่ที่ไหน
   เวลานี้ยังอยู่ที่หอสมุดอยู่อีกหรอ…คุณหมอ


   
   มนุษย์ล่องหน ถูกใจรูปภาพของ Thanthup titrirat


   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หัวใจของเขาคนนี้เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อมองภาพตรงหน้า แม้ว่าในความเป็นจริงเขาเองจะไม่เคยเจอคนๆนี้เลยสักครั้ง มาถึงตรงนี้คงมองว่าเขาเป็นโรคจิต ไม่แปลกที่หลายๆคนละคิดแบบนั้นมีเพียงแต่ตัวเขาเองที่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มาจากภาวะการบ่งพร่องทางสมอง


   แต่ว่า…มันเป็น…


   รักแรกพบ


   ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน

   ‘บุ๋น’ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งในรั้วโรงเรียนที่มีแต่เด็กหัวกะทิอยู่รวมกันและเขาก็เหมือนกับเด็กนอกคอกที่ไม่เคยได้เศษเสี้ยวความฉลาดจากผู้คนรอบข้าง กระดาษแผ่นสีขาวสะอาดที่อาจารย์แจกให้เขียนชื่อสถาบันที่อยากจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยยังคงว่างเปล่าไม่มีร่องรอยของการขีดเขียนอะไรลงไป

   อยากเรียนอะไร…เขายังไม่รู้เลย

   “เป็นอะไรวะไอ้สี่” เพื่อนสนิทเรียกชื่อที่มีแต่พวกเขาสี่คนที่รู้กันเอง

   “ว่างเปล่า” เขาตอบพร้อมกับชูกระดาษที่ขาวสะอาดกว่าใบหน้าของเพื่อนตัวเองไปตรงหน้าเพื่อนสนิททั้งสามคน

   “ละไมไม่เขียนวะ”


   ‘หนึ่ง’ เพื่อนที่เปรียบเสมือนหัวสมองของกลุ่มเอ่ยขึ้น มือกระตุกขาแว่นเล็กน้อยก่อนจะมองบุ๋นด้วยความเป็นห่วงหรือสมเพชเจ้าตัวก็ยังแยกไม่ออก แม้ว่าจะคบกันมานานแล้วแต่หนึ่งเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วไอ้สี่เพื่อนของเขาอยากจะเรียนอะไรกันแน่


   “ถ้าคิดได้กูก็เขียนไปนานแล้ว”

   “ไปจิตวิทยากับกูไหม”

   ‘สอง’ เพื่อนที่แทบจะเอาหลักการของจิตวิทยาทุกอย่างมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทุกครั้งที่มีปัญหาเขาเปรียบเสมือนพี่อ้อยพี่ฉอดที่จะคอยบรรเทาทุกข์ให้แก่เพื่อนๆถึงแม้หน้าตามันจะเหมือนกับพึ่งออกจากคุกมาก็ตาม


   “หน้ากูดูให้คำปรึกษาคนได้ว่างั้น” เขาถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ คะแนนถึงอันไหนก็เลือกไป”

   “อนาคตมึงนะไอ้สัด” มือที่เปื้อนไปด้วยดินสอตบหัวเพื่อนตัวเองเสียงดัง


   ‘สาม’ เพื่อนที่ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการวาดรูป เป็นคนที่มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายและก็เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ต้องคิดมากเรื่องมหาลัยเพราะผลงานที่ผ่านมาทำให้สามารถเข้าเรียนได้ในรอบรับตรง


   “ตบซะความรู้กูสะเทือนเลย”


   เขามองเพื่อนทั้งสามคนที่ดูจะเครียดเรื่องการเลือกคณะเรียนของเขามากกว่าของตัวพวกมันเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดแต่เขาคิดมาหลายวันติดแต่ก็ไม่ได้คำตอบสักทีว่าสิ่งที่ต้องการจริงๆของเขาคืออะไร


   หนึ่ง สอง สาม สี่ คือชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกันแทนชื่อจริงๆโดยที่ไม่มีเหตุผลว่าเรียกทำไม ถึงช่วงแรกๆจะฟังดูแปลกๆแต่พอหลังๆมันก็กลายเป็นชื่อที่สองของพวกเขาที่ใช้เรียกกันแทนชื่อจริงๆ


   “เดี๋ยวก็คงคิดได้เองแหละ” ในเมื่อยังคิดไม่ออกก็ปล่อยให้มันว่างต่อไป อีกไม่นานเขาก็คงจะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาอยากจะเรียนอะไรกันแน่

   “เออยังไงก็รีบคิด” สองตบบ่าเพื่อนด้วยความเป็นห่วง “ไปเถอะ คาบอาจารย์สมรถ้าสายเจ๊แกสวดยาวแน่ กูขี้เกียจฟัง”


   “เออไปดิ”


   คาบที่ห้าของวันเริ่มต้นขึ้นกับน้ำเสียงของอาจารย์ที่ชวนนอนทุกๆห้านาที อยากจะถามคนจัดตารางเรียนว่าเอาวิชาพระพุทธศาสนามาไว้ตอนบ่ายได้อย่างไร เกือบครึ่งห้องแทบจะเข้าเฝ้าพระอินทร์เพราะน้ำเสียงที่ยานยิ่งกว่าเทปรุ่นเก่า


   “กูนอนนะ เลิกละบอกด้วย” สองที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดบอก ไม่รอให้เพื่อนตอบรับเขาก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะทันที

   “เออ” บุ๋นรับคำสั้นๆก่อนจะหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่การกระทำต่างกันโดยสิ้นเชิง

   หนึ่งแทบจะจดทุกคำพูดที่อาจารย์สอน ถ้ามันวาดรูปเป็นการ์ตูนได้มันคงวาดทุกท่าทางของอาจารย์ไว้หมด ส่วนสามก็ก้มหน้าวาดรูปเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกครั้งเวลาที่มันเบื่อเนื้อหาที่ต้องเรียน


   ใช่สิ…มึงมีที่เรียนแล้วนิ


   รอบที่สามของวันเห็นจะได้ที่เขาถอนหายใจทิ้งไปกับความคิดที่วิ่งแล่นอยู่ในหัว มือข้างหนึ่งเลื่อนดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยหน้าเฟสบุ๊คของตัวเอง อย่างน้อยมันก็น่าเบื่อน้อยกว่าการฟังเสียอาจารย์


   นิ้วของเขาเลื่อนไปเรื่อยๆไม่ได้หยุดสนใจอะไรเป็นพิเศษ หลายคนที่อัพโหลดรูปภาพพร้อมชื่อของตัวเองที่ติดรับตรงของมหาลัยต่างๆ เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้แต่สิ่งที่ทำได้ก็แค่กดถูกใจและแสดงความยินดีกับเขา


   เฮ้อ…
   
   เพื่อนแนะนำ

   เขาหยุดตรงแถบที่มีใบหน้าที่คุ้นเคยของเพื่อนสมัยเด็ก มือเลื่อนไปดูรายชื่อเผื่อได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไปนาน


   นี่ก็รุ่นน้องที่ย้ายไปอีกโรงเรียน


   นี่ก็เพื่อนสมัยอนุบาล


   นี่ก็แฟนเก่า…


   เอ่อ…คนสุดท้ายไม่แอดคงจะดีกว่า


   เกือบสามนาทีที่เขาจดจ่ออยู่กับแถบรายชื่อตรงหน้า รายชื่อถูกเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่ชื่อของคนๆหนึ่งกับรูปภาพที่ดึงความสนใจของเขาไปมากพอสมควร


   ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อกราวด์ ใบหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก แต่กลับทำให้เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เบื้องหลังเป็นเพื่อนอีกสองคนที่เบลอหน้าไว้เห็นเพียงแต่การแต่งกายที่เหมือนกับคนข้างหน้าไม่มีผิด


   เหมือนเวลาหยุดหมุน…


   ตึกตัก ตึกตัก



   หัวใจของบุ๋นเต้นแรงขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เหมือนร่างกายไร้การควบคุม นิ้วมือกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ที่มีคนกดไลค์เกือบห้าร้อยพร้อมกับค่อยๆเลื่อนดูภาพเขาไปเรื่อยๆ แม้เขาจะไม่ได้อัพเดทอะไรในเฟสบุ๊คของเขาแต่บุ๋นกลับรู้สึกสนใจเขาอย่างไม่มีเหตุผล


   นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ…


   “ทำอะไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาคนที่กำลังเลื่อนดูรูปภาพไปเรื่อยๆถึงกับสะดุ้งสุดตัว โทรศัพท์มือถือตกลงกับพื้นพร้อมกับอาจารย์ที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา


   “เปล่าครับ” เขาตอบกลับไปพร้อมๆกับสะกิดสองให้ตื่น


   “อย่าเล่นโทรศัพท์เวลาเรียน ถ้าเห็นอีกครูจะยึด” อาจารย์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกลับไปสอนเนื้อหาหน้าห้องต่อ


   “เชี่ย” เขาอุทานออกมาเบาๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา



   เครื่องดับ…



   “โถ่เว้ย!!!” จู่ๆก็อุทานออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรีบกดเปิดเครื่อง ในใจหวังให้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม


   ไม่มีทาง…

   แอพเฟสบุ๊คเปิดขึ้นพร้อมกับข่าวสารหน้าแรกของเขาแทนที่จะเป็นชื่อของคุณหมอที่เขาพึ่งไล่ดูรูปเมื่อครู่ เขาอยากจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดแต่ทำได้แค่เลื่อนหาแถบเพื่อนแนะนำ

   หายไปไหนวะ


   หายไปไหน!!!!!


   “เป็นอะไรมึง ทำหน้าทำตาอย่างกับมีใครเป็นอะไร” สองที่ตื่นขึ้นมาเพราะถูกปลุกหันมามองหน้าเพื่อนตัวเองอย่างไม่เข้าใจ


   “ไม่มีอะไร”


   กูไม่เป็นไร


   กูโอเค…


   โอเคก็เหี้ยละ…หายไปไหนวะ!!!!




-----------------------------
100%
ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากบุ๋นและหมอไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ ขอกำลังใจเยอะๆนะคะ ^^
แล้วจะมาอัพต่อจ้า ไว้เจอกันใหม่~
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [00: (ก่อน)จีบหมอ 100%] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-08-2016 06:44:41
 น่าสนุก ชอบบบ:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [00: (ก่อน)จีบหมอ 100%] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-08-2016 12:44:32
รอออ  :katai3:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [00: (ก่อน)จีบหมอ 100%] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 03-08-2016 15:28:23
น่ารัก ว่าแต่เขาจะได้เจอกันเมื่อไหร่เนี่ย  :bye2:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [001: (ก่อน)จีบหมอ ตอนที่สอง 100%] 3/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 03-08-2016 17:14:21

(ก่อน)จีบหมอ


   เสียงออดหมดเวลาดังขึ้นเมื่อเข็มสั้นชี้เลขสี่ คนที่หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์รีบเด้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงทำเอาคนอื่นๆที่กำลังเก็บของอยู่หันมามองด้วยความสงสัย


   เป็นอะไรของมันวะ


   “เชี่ย แบตหมด!!!” เสียงสบถดังขึ้นพร้อมกับท่าทางที่หงุดหงิดมากกว่าช่วงบ่าย


   อีกนิดเดียวจะหาเจอแล้วแท้ๆ…


   “เป็นอะไรของมึงวะไอ้สี่” สามที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันมาถามด้วยความสงสัย ปกติไอ้สี่ไม่ได้เป็นคนขี้หงุดหงิดง่ายขนาดนี้


   เหมือนมีอะไรบางอย่าง


   “เปล่า…ไม่มีอะไร” น้ำเสียงที่พยายามปกปิดความจริงของบุ๋นทำให้เพื่อนทั้งสามได้แต่มองหน้ากันเองแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจทั้งๆที่เจ้าตัวดูมีพิรุธจนทุกคนดูออก

   “เออวันนี้ไปหาไรกินกันปะ ต้นเดือนพอดี” หนึ่งเอ่ยปากชวน มือข้างหนึ่งยกกระเป๋าขึ้นมาสะพาย มืออีกข้างเอื้อมไปตบบ่าไอ้สี่ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

   “วันนี้กูไม่ว่าง” บุ๋นที่ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองตอบกลับมาทันที “กูต้องไปหา…เอ้ย ไปคิดว่าจะเรียนอะไร” เขาแกล้งทำสีหน้าเคร่งเครียดให้เพื่อนๆไม่จับพิรุธที่เขาพยายามปกปิด


   จะให้พวกมันรู้ไม่ได้เด็ดขาด


   “อ่อหรอ จริงจังขนาดนั้นเลยหรอ” สองที่สังเกตเพื่อนมาพักใหญ่ถึงกับถามด้วยน้ำเสียงกวน “จะไปคิดหรือไปทำอะไรกันแน่ไอ้สี่”


   “เรื่องของกู”

   บอกไปพวกมันได้ล้อยันลูกบวชแน่ๆ


   “เออก็แล้วแต่ กำลังจะให้ยืมสายชาจ” สองเห็นท่าทางน่าแกล้งของเพื่อนตัวเองก็ทำทีหยิบสายชาจโทรศัพท์ขึ้นมาแกว่งลอยหน้าลอยตาคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


   ยังไงวันนี้เขาก็ต้องหาหมอคนนั้นให้เจอ…แค่นี้จิตใจของเขาก็ว้าวุ่นมากเกินไปแล้ว

   “เอามา” บุ๋นรีบพุ่งตัวไปที่สายชาจแต่สองรีบชักมือกลับแล้วยักคิ้วกวน “ไอ้สอง กูไม่เล่น เอามายืมก่อน”

   “กูก็ไม่ได้เล่น แค่อยากรู้ว่าทำไมต้องร้อนรนขนาดนี้”

   “กู…กลัวที่บ้านติดต่อไม่ได้”

   “ถ้าจะโกหกช่วยโกหกให้เนียนกว่านี้หน่อยได้ไหมวะ” สองหัวเราะออกมา

   “กู…”

   “ถ้าจะโกหกอีกกูจะเก็บสาย” เขาขู่ออกมาเพราะต้องการแกล้งคนที่ทำหน้าอย่างกับไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเพื่อนของตัวเองเป็นแบบนี้

   “ไม่ต้องไปถามมันหรอกไอ้สอง มันไม่อยากบอกก็ปล่อยมันไป” สามเดินมาตบบ่าบุ๋นสองที “แต่รู้ไว้นะไอ้สี่ พวกกูไม่เคยปิดบังอะไรมึง”


   เกือบจะดีละครับ!!!!


   “ไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูด พวกกูไม่สำคัญอะไรที่จะต้องรู้หรอก” หนึ่งพูดเสริม


   ฉึก!


   ถ้าจะขนาดนี้พวกมึงก็เอามีดมาแทงกูเถอะ


   “เออๆๆๆ กูบอกแล้ว” เขาพูดอย่างจำยอม


   ต้องบอกจริงๆหรอวะ


   “ถ้าคิดจะโกหกอีกก็เลิกคิดซะ มึงโกหกไม่เนียนยิ่งกว่าเด็กอนุบาลสองอีกรู้ไว้ซะ” สองพูดดักทางไว้ก่อนที่เพื่อนของเขาจะสารภาพออกมา   


   ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือทักษะการโกหกของไอ้สี่อยู่ในระดับศูนย์ไปจนถึงติดลบ เวลาที่มันเริ่มโกหกเหงื่อจะเริ่มออก น้ำเสียงจะเริ่มเปลี่ยน ดวงตาจะเริ่มหลุกหลิกไม่อยู่กับที่และที่สำคัญ ไอ้สี่จะโกหกอะไรที่ไกลความจริงเสมอ


   “กูหาคนๆหนึ่งอยู่” บุ๋นยอมพูดออกมาเพราะรู้ว่าโกหกไปทุกคนก็คงจับได้อยู่ดี “ไม่รู้ทำไมต้องหา แต่กูไม่หาไม่ได้”


   “…”


   “มันคาใจแปลกๆ”


   และอาจจะมากกว่าคาใจ…เพราะหัวใจมันเต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึงใบหน้าได้รูปของเขา   


   “ใครวะ” สามถามออกมาพร้อมกับมองหน้าบุ๋นที่แทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว


   เป็นเอามากจริงๆ


   “ไม่รู้ว่ะ…ไม่รู้จักมาก่อน” เขาเอนหลังพิงกับเก้าอี้ไม้ ดวงตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง “รู้แค่ว่ากูต้องหาเขาให้เจอ”

   “แล้วถ้ากูหาเจอมึงจะให้อะไร” หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขากระตุกขาแว่นก่อนจะมองมาทางเพื่อนของเขาที่กำโทรศัพท์แน่น

   “ไม่ต้องหาให้กูหรอก กูอยากหาด้วยตัวกูเอง”

   “เอางั้นหรอ”

   “มึงแค่บอกวิธีเข้าไปในหน้าเพื่อนแนะนำให้กูก็พอแล้ว”


   นอกนั้นกูจัดการเอง

.

   นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง เสียงแป้นพิมพ์ยังคงดังขึ้นไม่ขาดช่วง ใบหน้าที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบสี่ชั่วโมงหลังจากกลับมาถึงบ้านยังคงไม่ละสายตากับสิ่งตรงหน้า แว่นตาที่สะท้อนภาพหน้าแรกของเฟสบุ๊คกับชื่อที่เขาสุ่มพิมพ์ไปเกือบๆร้อยชื่อ


   ทำไมยังไม่เจอวะ!!!


   ไอ้หนึ่งนะไอ้หนึ่ง ตอนแรกก็บอกจะช่วยดิบดีแต่พอเขาบอกว่าจะจัดการเองมันก็เลยสรุปเสร็จสรรพว่า


   ‘ถ้ามึงจะจัดการเองนั่นหมายถึงมึงต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง…โชคดีเพื่อน’


   แม่งเอ้ย ไม่น่าทำเท่เลยกู!


   “อยู่ไหนวะ” น้ำเสียงที่ดูมุ่งมั่นมากกว่าการเรียนดังขึ้นพร้อมกับนิ้วที่ยังคงรัวไปเรื่อยๆ


   หน้าจอการค้นหาต่างๆเด้งขึ้นมาไม่ต่ำกว่าสิบหน้า ตั้งแต่ที่บุ๋นกลับมาเขาก็ตรงดิ่งมานั่งจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อสะสางสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจ ยังไงเขาก็ต้องเจอให้ได้


   ไม่เจอก็ไม่นอนวะ!


   มันไม่มีจริงหรอกคำว่าพรมลิขิตหรือคำว่าถ้าเราจะเจอมันก็ต้องเจอ ถ้าไม่หามันจะเจอได้ยังไงวะ คิดแล้วก็หุดหงิด ถ้าตอนนั้นไม่ตกใจจนทำโทรศัพท์ตกคงไม่ต้องมานั่งวุ่นขนาดนี้


   ทำไปก็คิดไปว่าทำไมเขาต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้


   เออทำไปทำไมวะ


   “โว้ยยยยยยยย!!!!!”


        ตึงตึงตึง!!


   มือหนักๆทุบแป้นพิมพ์อย่างหมดความอดทน ทำไมหายากหาเย็นแบบนี้วะทั้งๆที่ตอนบ่ายก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรขนาดนี้


   โทรศัพท์ที่ชาจแบตจนเต็มสว่างขึ้นเพราะแจ้งเตือนไลน์กลุ่มห้อง การบ้านต่างๆที่เพื่อนๆช่วยกันตอบในตอนนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขามากมาย มือข้างที่ว่างอยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปในเฟสบุ๊คของตัวเองก่อนจะเลื่อนไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย


   ทำไมไม่เจอวะ


   ทำไม


   ทำไมไม่…



   เจอ!!!!



   “เห้ยยย!!”



   เพื่อนแนะนำ
   


   มือของบุ๋นสั่นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เสียงหัวใจเต้นดังขึ้นท่ามกลางห้องที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบ นิ้วโป้งค่อยๆกดเลื่อนดูรายชื่อเรียงคน ผ่านไปทีละชื่อช้าๆ


   ขอให้เจอ



   ตึกตัก ตึกตัก


   “…!!!!!”



   Thanthup titrirat



   “วะฮู้วววววว ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะมาพร้อมกับความดีใจ ไม่รู้อะไรที่ทำให้เขาลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้องอย่างกับประกาศผลเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย



   “เจอแล้วโว้ยยยยยยยย ฮ่าๆ”


   สี่ชั่วโมงที่เสียไปไม่ศูนย์เปล่า ครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิมเหมือนตอนบ่าย เขารีบกดคำร้องขอเป็นเพื่อนทันทีก่อนจะแคปหน้าจอไว้กันหาไม่เจอ ไม่มีทางที่จะกลับมานั่งหาอย่างกับคนบ้าเหมือนวันนี้อีกแล้ว


   พอเจออีกครั้งมันก็ยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม



   ทำไมหัวใจ


   เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา…



   ตือดึ้ง~

   เสียงแจ้งเตือนจากแชทเฟสบุ๊คเรียกสติของคนที่นั่งย้อนคิดถึงอดีตให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง กล่องแชทสีเหลี่ยมมุมขวาปรากฏชื่อของคนที่เขาไม่คุ้นเคย


   Cangcacoa : สวัสดีบุ๋น พี่โกโก้ จำพี่ได้ไหม



   “โกโก้…” บุ๋นทวนชื่อของคนในแชทก่อนที่ความทรงจำเก่าๆจะไหลเข้ามาในหัวอย่างกับรอคอยให้รื้อฟื้นมัน
   พี่โกโก้หรือฉายาที่เพื่อนๆในห้องตั้งให้ว่าเจ้าแม่ขี้แย คนที่เวลาร้องไห้ทีทำเพื่อนเดือดร้อนกันทั้งห้อง คนที่ร้องไห้ง่ายยิ่งกว่าหัวเราะ โกโก้…ความทรงจำเริ่มปะติดปะต่ออีกครั้ง ภาพเล็กๆของผู้หญิงร่างอวบในชุดนักศึกษาของมหาลัยชื่อดังทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าคนที่ทักมาคือใคร



   มนุษย์ล่องหน : จำได้สิ พี่โกโก้ห้อง 6/1 ใช่ไหม



   รู้สึกว่าหนังสือตรงการ์ตูนหน้าไม่สำคัญขึ้นมาทันทีที่ได้เริ่มพูดคุยกับรุ่นพี่ที่เรียนจบไปสองปีแล้ว  พี่โกโก้เล่าเรื่องราวความเป็นไปหลังจากที่พวกเขาขาดการติดต่อกันไปตั้งแต่ช่วงมอต้น แต่ถึงอย่างนั้นบุ๋นก็มักจะเห็นเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพี่โกโก้บนหน้าเฟสบุ๊คเป็นครั้งคราว



   Cangcacoa : ดีใจจังเลยที่บุ๋นยังจำพี่ได้ ตอนนี้รอแอดมิชชั่นใช่ไหม
   มนุษย์ล่องหน : ใช่ครับ กำลังจะเข้ามหาลัยแล้ว
   Cangcacoa : ไวเหมือนกันเนอะ พี่ยังรู้สึกเหมือนพึ่งเรียนจบจากโรงเรียนมาเอง
   มนุษย์ล่องหน : แล้วพี่โก้เป็นยังไงบ้าง
   Cangcacoa : พี่เรียนพยาบาล
   มนุษย์ล่องหน : โห ต้องเป็นพยาบาลที่ใจดีมากแน่ๆ



   เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงคุยกับพี่โกโก้ พูดคุยเรื่องราวของรุ่นพี่อีกหลายคนที่ขาดการติดต่อไป รวมไปถึงเพื่อนสนิทของบุ๋นที่หายหน้าหายตาไปนาน ก็ได้พี่โกโก้ที่เป็นคนเอาเฟสบุ๊คของเพื่อนมาให้เขา
   ช่วงมัธยมต้นบุ๋นเคยสนิทกับพี่โกโก้อยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะเริ่มห่างออกมาตอนใกล้จะเรียนจบมอสาม พอกลับไปคิดดูแล้วคิดถึงวัยเด็กชะมัด วัยที่อยากจะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเยอะแยะให้ปวดหัว
   


   มนุษย์ล่องหน : กำลังพิมพ์…


   ตาของเขาใกล้จะปิดลงทุกทีหลังจากที่คุยกันมานานพอสมควร ถึงเวลาที่จะต้องหยุดไว้เท่านี้ก่อนที่เขาจะไม่ได้บอกลาอีกฝั่ง
   กลัวจะหลับคาคอมเหมือนทุกวันที่ผ่านมา



   Cangcacoa : บุ๋นเราขอถามอะไรหน่อยดิ



   นั่นไง…พอเขาจะไปต้องมีคำถามแบบนี้มากระตุ้นต่อมทุกที เชื่อว่าคนเกือบร้อยละเก้าสิบเป็นเหมือนกันคือ คำว่า ถามอะไรหน่อยดิ เป็นคำพูดง่ายๆที่ใช้พลังงานไม่เยอะในการเปล่งเสียงออกมาหรือพิมพ์แล้วกดส่ง แต่มันเป็นคำที่ทำให้ผู้รับและผู้ฟังรู้สึกอยากรู้แม้จะปวดขี้อยู่ก็ตาม



   Cangcacoa : พี่อยากรู้ว่าสองเขาเป็นคนยังไงหรอ?
   มนุษย์ล่องหน : ไอ้สองเพื่อนผมหรอ?
   Cangcacoa : ใช่จ้ะ
   มนุษย์ล่องหน : อ่อ…



   ตาที่แทบจะปิดกลับมาสว่างอีกครั้ง เขาเริ่มพูดคุยกับเธอเรื่องของไอ้สองเพื่อนสนิทในกลุ่มและสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าพี่โกโก้กับไอ้สองกำลังคุยกันอยู่ ซึ่งมันก็ไม่แปลกอะไรเพราะทั้งคู่ก็เคยได้เจอกันสมัยเรียนมาบ้าง แต่ทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยวะ ไหนมันบอกว่าไม่เคยมีความลับต่อกันไง


   
   Cangcacoa : ขอบคุณมากนะบุ๋น
   มนุษย์ล่องหน : ไม่เป็นไรครับ มีอะไรก็ถามผมได้
   Cangcacoa : ขอบคุณนะ พี่ไม่กวนแล้ว
   มนุษย์ล่องหน : ได้งั้น…
   


   ยังไม่ทันที่จะกดส่งไปความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัวประหนึ่งกระแสไฟฟ้าลัดวงจร บุ๋นรีบกดเข้าไปในเฟสบุ๊คของพี่โกโก้ก่อนจะหาเพื่อนที่มีร่วมกัน



   Cangcacoa เป็นเพื่อนกับ Thanthup titrirat



   ชัดเจน!!!!



   มนุษย์ล่องหน : เห้ยพี่โก้เดี๋ยวๆๆๆๆๆ



   เงียบ…



   มนุษย์ล่องหน : เห้ยพี่เดี๋ยว อย่าพึ่งไป ตอบผมก่อน มีเรื่องด่วน
   มนุษย์ล่องหน : ผมมีเรื่องด่วนจริงๆนะ
   มนุษย์ล่องหน : พี่ตอบผมก่อนนนนน
   Cangcacoa : ว่าไง? ขอโทษพี่ไปเข้าห้องน้ำมา
   มนุษย์ล่องหน : พี่รู้จักรุ่นพี่คนนี้รึเปล่า *แนบลิ้งเฟสบุ๊ค*
   Cangcacoa : อ่อ ฐานทัพ รู้จักดิ มีอะไรรึเปล่า
   มนุษย์ล่องหน : รู้จักจริงดิ



   มือของเขาสั่นอย่างไร้การควบคุม ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ มือเย็นและชา ใบหน้าเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า


   โลกกลมเกินไปแล้ว…



   มนุษย์ล่องหน : คือเพื่อนผมมันแอบชอบมานานแล้ว
   Cangcacoa : ใครหรอ?
   มนุษย์ล่องหน : บอกไม่ได้ มันขี้อาย



   ไม่ใช่เพื่อนที่ชอบ…เขานี่แหละชอบ



   มนุษย์ล่องหน : เขาเป็นคนยังไง
   Cangcacoa : เอาจริงๆคำถามนี้ตอบยากแฮะ จากที่พี่เคยเจอเขาเป็นคนเงียบๆนะ นิ่งมากกกก ตัวจริงสูงมากอย่างกับเสาไฟฟ้า หล่อมากด้วยนะ >////<



   น้อยๆหน่อยพี่โก้…



   มนุษย์ล่องหน : แล้วเขามีแฟนรึเปล่า แฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
   Cangcacoa : ถามแปลกๆแฮะ 555555 แต่เท่าที่รู้มาไม่เคยเห็นว่าเขามีแฟนนะ ปกติเจอทีไรก็เอาแต่อ่านหนังสือตลอด
   มนุษย์ล่องหน : เขาไม่ค่อยสนใจอย่างอื่นหรอ เช่นพวกเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์
   Cangcacoa : อืม…ปกติฐานทัพไม่ค่อยสนใจโลกโซเซียลเท่าไหร่นะ
   มนุษย์ล่องหน : แล้วผม…*ลบ*
   มนุษย์ล่องหน : แล้วเพื่อนผมจะติดต่อเขาได้ทางไหน
   Cangcacoa : เบอร์โทรศัพท์ไหม?
   มนุษย์ล่องหน : บ้าหรอ ไม่เอา



   ถึงมีก็ไม่กล้าโทรไป



   Cangcacoa : อ่าว
   มนุษย์ล่องหน : ขอไลน์ได้ไหม? ฝากพี่ไปขอไลน์แล้วบอกเขาว่าเพื่อนอยากคุยด้วย ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาให้ก็เอา
   Cangcacoa : ร่ายมาซะยาวขนาดนี้ใครจะไม่ทำให้ล่ะ งั้นรอแปปนะ
   มนุษย์ล่องหน : ตอนนี้เลยหรอ
   Cangcacoa : อื้ม แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะตอบไหมนะ
      


   ตึกตัก ตึกตัก



   หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ภาวนาให้คำตอบที่ได้รับเป็นสิ่งที่เขาหวังไว้ด้วยเถิด


   หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานเกินไปแล้ว


   ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง


   ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป…




   Cangcacoa : *ส่งรูปภาพ*





   หลังจากที่เงียบหายไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เขาพยายามถ่างตาตัวเองไว้ไม่ให้ปิดลงเพื่อหวังแค่เสียงเตือนจากแชทเฟสบุ๊ค พอเห็นว่าเป็นแจ้งเตือนของพี่โกโก้ มือก็สั่นระรัวขึ้นมาทันที บุ๋นคลิกเข้าไปดูรูปภาพที่อีกฝ่ายส่งให้อย่างตื่นเต้น ภาพแชทสนทนาสั้นๆปรากฏขึ้นพร้อมกับชื่อเฟสบุ๊คที่เจ้าตัวจำได้ขึ้นใจ



   เขาจริงๆ



   Cangcacoa : ฐานทัพๆ คือพอดีน้องเราเขาฝากมาขอไลน์
   Thanthup titrirat : ไม่ค่อยเล่น
   Cangcacoa : แล้วให้ได้ป่าว?
   Thanthup titrirat : อืม
   Thanthup titrirat : thanthuptitri
   Cangcacoa : ขอบคุณมากกกกก
   


   Thanthuptitri!!!!
   Thanthuptitri!!!!!
   Thanthuptitri!!!!!!!





   “เยสสสสสส” เสียงแห่งความดีใจดังทั่วทั้งห้อง มือที่สั่นระรัวรีบพิมพ์กลับไปขอบคุณอีกฝ่ายยกใหญ่



   ทำไมไม่ทักมาให้เร็วกว่านี้สักครึ่งปีวะพี่ ทำไมไอ้สองกับพี่โก้ไม่คุยกันเร็วกว่านี้สักครึ่งปีไม่ก็ปีหนึ่ง ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้



   ทำไมถึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานถึงหนึ่งปี


   ได้แต่ถามว่าทำไม



   ไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ นิ้วรีบกดตัวอักษรลงในช่องค้นหาไอดีไลน์ตามที่เขาส่งชื่อมาให้ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะตกลงให้ง่ายดายขนาดนี้



   ทำไมพึ่งคิดได้วะไอ้บุ๋นเอ้ยยยย!!!!


   ติ๊ง~


   ยังไม่ทันที่จะพิมพ์ตัวอักษรครบชื่อของกลุ่มเพื่อนสนิทก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับข้อความที่เขาเผลอกดเข้าไปอ่าน กลุ่มที่มีสมาชิกเพียงแค่สี่คนกับชื่อกลุ่มที่ดูขัดตาทุกคนที่ได้เห็นมากที่สุด



   F4 เมืองไทย



   3 : วันนี้เป็นวันอับโชค ไม่ควรพบปะเจอะเจอทำความรู้จักกับผู้คนแปลกหน้า ท่านใดที่กำลังจะสารภาพรักควรหลีกเลี่ยงวันนี้



   ข้อความลูกโซ่ป่าววะ…



   วันอับโชคอย่างนั้นหรอ



   เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่เหลืออีกสองตัวอักษรก็จะครบตามที่เจ้าตัวให้มาก่อนจะกดลบทิ้งทั้งหมดแล้วปิดโทรศัพท์ลง



   ไม่ได้เป็นคนถือเรื่องโชคลาง ไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ



   แต่ทักไปวันพรุ่งนี้ก็ไม่เสียหาย…
   




------------
100%
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะคะ
ชอบก็คอมเม้นท์บอกกันหน่อยน้าาาาาาา
หวังว่าจะมีความสุขกับความรักของบุ๋นจ้า :)
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [001: (ก่อน)จีบหมอ ตอนที่สอง 100%] 3/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-08-2016 18:26:39
หืออออ ใช่หรือสี่ ใช่แน่หรือ ไม่เชื่อจริงหรืออออ  :hao7:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [001: (ก่อน)จีบหมอ ตอนที่สอง 100%] 3/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 03-08-2016 18:28:45
เข้ามาให้กำลังใจคนเขียน ชอบๆ รอตอนต่อไปจร้า
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [02: จีบหมอครั้งที่หนึ่ง 100%] 4/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 04-08-2016 20:10:04
จีบหมอครั้งที่หนึ่ง


   หลงรักคนยืนข้างซ้ายตรงที่เก้านาฬิกา…


   เสียงเพลงดังก้องไปทั่วห้างที่มีผู้คนพลุกพล่าน บุ๋นค่อยๆหันหน้าไปตามเสียงเพลงที่บรรเลงไปเรื่อยๆอย่างเพลินหู


   ซ้าย…เก้านาฬิกา…


   ไอ้หนึ่ง


   เออ…ไม่ควรจะมาทำตอนที่พวกมันเสนอหน้าอยู่ตรงนี้


   “ไอ้คุณสามเมื่อไหร่จะมาวะ” สองพูดไปกดโทรศัพท์ไป เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ วันสำคัญในชีวิตของพวกเขาทั้งสามคนไม่รวมสามที่ผ่านจุดนี้ไปแล้ว


   วันประกาศผลแอดมิชชั่น


   “มึงจะรีบอะไรวะ มันประกาศตั้งหกโมงเย็น นี่ยังสิบโมงเช้าอยู่เลย” หนึ่งที่เงียบฟังอยู่พักนึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรายตามองคนขี้บ่น


   “กูตื่นเต้นนี่วะ ใช่ปะไอ้สี่”


   “ฮะ…อะไรวะ เออใช่ๆ” คนที่พะวงกับหน้าจอโทรศัพท์อยู่สะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนเรียกชื่อ มือที่กำโทรศัพท์แน่นรีบเอาซ่อนไว้ข้างหลังกลัวเพื่อนเห็นว่าตัวเองกำลังกังวลกับรายชื่อตรงหน้า


   กูจะทักไปยังไงดีวะ…




   สวัสดีครับ อยากรู้จักครับ
   อันนี้ดูจู่โจมมากไปหน่อย…



   สวัสดีครับ ผมแอบติดตามพี่มานานแล้ว
   โรคจิตสุดๆ…   



   นี่ใครครับ พอดีเห็นแอดมา
   หน้าด้านเรียกพ่อ แอดเขาไปก่อนแท้ๆ



   บุ๋นอยากจะวิ่งออกไปตะโกนดังๆเพื่อระบายอารมณ์แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือยิ้มให้เพื่อนที่เริ่มจะทำตัวเป็นนักสืบโคนันเป็นรอบที่ล้านตั้งแต่คบกันมา เขาจะบอกเรื่องพวกนี้ไม่ได้ พวกมันรู้แค่ว่าเขาเคยบอกว่าชอบคนๆหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าเขาชอบมานานเป็นปีขนาดนี้


   ยิ่งคนที่ชอบเป็นผู้ชาย…ยิ่งบอกไม่ได้


   “มีอะไรจะบอกพวกกูไหมสี่” มือหนักๆของหนึ่งที่วางลงบนบ่าทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ รังสีที่แผ่ซ่านมาทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนกดดันทางอ้อม


   “มีอะไร…คนอย่างกู…จะมีอะไร๊”



   เสียงสูง ไม่มีพิรุธเลยไอ้บุ๋น



   “กูถามอีกครั้ง” แววตาที่เต็มไปด้วยสายตาจับผิดทำให้คนที่ถูกต้อนจนมุมเสมองไปอีกฝั่งอย่างห้ามไม่ได้


   ไอ้สาม…


   มาทันเวลาพอดีเลยนะมึง


   “มีอะไรกันวะ” คำถามแรกที่เจอหน้ากันของสามทำเอาคนที่ถูกจ้องมองไม่วางตาถึงกับยิ่งกดดัน การที่โกหกพวกมันทั้งสามคนก็เหมือนเด็กอนุบาลสามโกหกว่าไม่ได้ฉี่รดที่นอน



   “ไอ้สี่มีความลับ”



   ตึก!



   “ความลับอะไรวะ” มือหนักของสามวางลงบนบ่าทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากหนึ่ง



   กูต้องแพ้พวกมึงอีกแล้วใช่ไหม



   “กูเปล่า…”


   “ไอ้สี่!!!” เสียงเรียกที่พร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ทำเอาคนที่ถูกเรียกถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ถ้าตอนนี้เปรียบเสมือนลานประลองเขาก็เหมือนกับมนุษย์ที่โบกผ้าแดงสู้กับกระทิง



   “กู…”



   “…”



   มองตาก็รู้ใจ…



   “กูกำลังจะทักไปจีบคนๆหนึ่ง” เขาพูดออกมาอย่างจำยอม เสียงถอนหายใจแห่งความกดดันถูกพ่นออกมาก่อนจะมองหน้าเพื่อนที่ล้อมเข้าอยู่ทั้งสามคน



   “ใครวะ” หนึ่งถามต่อ



   “ไม่บอกได้ปะวะ”



   “ทำไม”



   “คือกู…”


   “เราไม่เคยมีความลับต่อกัน แต่ถ้ามึงอยากมีกูก็เข้าใจเพื่อน” สองตัดพ้อพร้อมกับตบบ่าคนตรงหน้าสองทีแล้วทำท่าจะเดินออกไป



   “หมอ”



   “อะไรนะ” ทั้งสามประสานเสียง



   “กูจีบหมอ” สุดท้ายก็ต้องบอกออกไปอยู่ดี “พอใจพวกมึงรึยัง กูจีบหมอโว้ยยยยย” เขาพูดกรอกหูเพื่อนเสียงดังพร้อมกับมองหน้าเพื่อนรายคน



   แต่ละคนทำหน้าแตกต่างกันออกไป ไอ้หนึ่งยังไม่แสดงสีหน้าอะไรมากอาจจะเพราะกำลังอึ้งในความหวังสูงของเขา ไอ้สองทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ไอ้สามพยักหน้าเข้าใจทั้งๆที่ในใจก็เตรียมหาผ้าเช็ดหน้ามาให้บุ๋น



   เออกูหวังสูง…กูรู้



   “ไหนๆก็ไหนๆ กูถามอะไรหน่อย” ในเมื่อถูกต้อนจนรู้ทุกอย่างก็ขอปรึกษาเลยก็แล้วกัน นอกจากเพื่อนสามคนเขาก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใครแล้ว



   “ว่ามา” สองยืดอกเตรียมพร้อมเหมือนจะลืมจุดประสงค์จริงๆไปว่าวันนี้มารอทำอะไรกัน



   “กูจะทักเขาไปว่าไง”



   “ง่ายๆเพื่อน ทักไปเลยว่าชอบ…ผู้หญิงเขาชอบผู้ชายตรงๆ” สองตอบออกมาอย่างมั่นใจ



   แต่คนที่กูชอบเขาเป็นผู้ชาย…



   “แต่เดี๋ยว มึงไม่ได้คบกับแพรอยู่หรอวะ” สามที่ยืนฟังอยู่พักใหญ่หันมาถามอย่างไม่รู้ “หรือว่ามึง…”



   “เลิกแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้บอก”



   “ว่าไงนะ” สามพูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เรื่องใหญ่แบบนี้มึงไม่ได้บอกพวกกูคืออะไรวะ” อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องทั่วไปแต่สำหรับพวกเขาทั้งสี่คนมันไม่ทั่วไป



   มีอะไรต้องบอก เกิดอะไรขึ้นต้องเล่า


   ทันที



   “กูคิดว่ามันไม่สำคัญอะไร” คนที่กำลังกังวลเรื่องอีกคนพูดออกมาหน้าตาย น้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึก “อีกอย่างเราจากกันด้วยดี”




   แค่โดนตบเอง



   “ไอ้สี่เอ้ยยยย” แขนยาวๆของเพื่อนทั้งสามคนดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบเหมือนเจ้าตัวเป็นเด็กปอสี่ ทุกคนคงคิดว่าเขารู้สึกแย่ แต่เปล่าเลย



   ยังไงเขาก็ไม่คิดจะคบแพรนานอยู่แล้ว…ตัวจริงของเขาคือคนนี้



   คนที่เขากำลังจะทัก




   “กูไม่ได้รู้สึกอะไร กลับมาเรื่องทักต่อเถอะ” เขารีบดึงให้กลับมาเรื่องเดิมก่อนจะหันไปมองหนึ่งที่มีความรู้มากที่สุด



   “คงไม่ทักว่ะ ถ้ากูจะจีบใครสักคนกูคงไปเจอเขาเลย ลงทุนหน่อยสิวะ”


   เจอ…



   ไม่กล้าว่ะ



   “แล้วมึงคิดว่าไง” เขาหันไปถามความเห็นจากสาม ความหวังสุดท้าย




   “กูคงจะทักไปชวนคุยธรรมดา ค่อยๆเป็นค่อยๆไป”



   ค่อยๆเป็นค่อยๆไป…



   “เห้ย! ขอบคุณว่ะ” บุ๋นดึงสามที่ยืนข้างๆมากอดแน่น “กูจะลองทำวิธีมึงดูนะ” เขาพูดด้วยหัวใจที่เริ่มพองโต


   จริงอยู่


   เขาควรจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป



   “เดี๋ยวกูไปทักเขาก่อน จะกินร้านไหนไปก่อนเลย เดี๋ยวโทรหา” บุ๋นพูดด้วยท่าทีรีบร้อนก่อนจะวิ่งออกมาจากจุดที่ยืนอยู่



   “ไปไหนวะมึง”



   “ไปทักหมอ” น้ำเสียงร่าเริงตอบกลับมาผิดกับตอนที่พูดถึงชื่อของแฟนเก่า



   “แล้วจะไปทักถึงไหนวะ” สองพึมพำอยู่กับตัวเองแล้วส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปชวนเพื่อนอีกสองคนที่เหลือไปหาร้านนั่งสิงสถิต



   วันนี้อยู่จนประกาศผลละวะ!!   



   บุ๋นที่วิ่งขึ้นมาจนถึงชั้นดาดฟ้าของห้างรีบพุ่งตรงออกไปตรงลานที่ผู้คนชอบขึ้นมาชมวิวบรรยากาศด้านนอก ลมเย็นๆพัดเข้าประทบใบหน้าที่ยิ้มแก้มปริอย่างกับคนบ้าพึ่งได้ออกจากโรงพยาบาลศรีธัญญา เขาเอาโทรศัพท์มือถือไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนจะพนมมือขึ้นแล้วหันไปทางพระอาทิตย์



   “คุณพระอาทิตย์ครับ ช่วยดลบันดาลให้ผมมีแต่แสงสว่างเจอหนทางในการจีบหมอฐานทัพด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะพนมมือยกขึ้นเหนือหัว



   ช่วยให้ผมไม่มีอุปสรรคอะไรด้วยนะครับ



   แม้ว่าคนรอบข้างจะมองด้วยสายตาแปลกประหลาดแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้านอะไรในเมื่อคนพวกนี้ไม่ได้มีผลต่อชีวิตของเขา คนในโทรศัพท์ต่างหากที่มีผลกับชีวิตของเขาตั้งแต่หนึ่งปีที่แล้วจนถึงวันนี้


   เขาที่ทำให้บุ๋นรู้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคืออะไรและบุ๋นจะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปมากกว่านี้


   
   Thanthuptitri



   ตัวอักษรแต่ละตัวถูกคนที่ถืออยู่บรรจงพิมพ์ลงไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว มือสั่นๆกดที่ค้นหาพร้อมกับบุคคลที่ปรากฏขึ้นทำให้หัวใจเขาเต้นแรงกว่าเดิม



   ภาพของผู้ชายในชุดกราวด์ที่คุ้นเคยกับเพื่อนอีกสองคนที่กอดคอเขาอยู่ทำให้บุ๋นมั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่นอน นิ้วเคลื่อนไปที่ปุ่มสีเขียนด้วยความสั่นเทา เสียงหัวใจดังพอๆกับเสียงเพลงที่ดังออกมาจากข้างใน



   ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี


   เขากลั้นใจกดปุ่มสีเขียวด้วยหัวใจที่เต้นผิวจังหวะไปหลายห้องก่อนที่จะรีบกดแชทของหมอทันทีอย่างกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป



   ค่อยๆเป็นค่อยๆไป…



   อย่ารีบร้อน…



   B : สวัสดีครับ
   B : *สติ๊กเกอร์หมีสีน้ำตาลกระโปรงฟ้าเต้นอยู่ริมทะเล*

   


   ตึกตัก ตึกตัก

   ผมขอให้พี่เห็น…แล้วตอบผม


.


   
   ติ๊ง!

   เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องนอนของนักศึกษาแพทย์ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเตรียมเปิดเทอม เมื่อเสียงโทรศัพท์ไม่ได้เป็นของคนที่นั่งใกล้ที่สุดนั่นก็หมายความว่าเป็นของอีกคนที่อยู่ในห้อง



   “ฐานทัพ มีคนทักมา”



   “…” ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมามีเพียงสายตานิ่งๆของคนที่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือปึกหนาพร้อมกับพยักหน้านิดๆแล้วสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ



   “เอ้า ไม่ตอบหรอวะ”




   ‘ปกป้อง’ เจ้าของห้องหันมาถามเพื่อนของตัวเองด้วยความสงสัย เขาเป็นเพื่อนสนิทของหมอฐานทัพที่นิสัยแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าถามถึงหน้าตาก็พอสูสีกันแต่ถ้าเรื่องเรียนต้องยกให้หมอฐานทัพเป็นที่หนึ่งของกลุ่ม



   “ไม่ว่าง” คุณหมอตอบกลับมาทันทีเหมือนรู้ว่าเพื่อนกำลังจะถามอะไรต่อ



   “แต่เขา…”



   “อ่านหนังสือ” สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่เพื่อนสนิททำเอาป้องไม่กล้าพูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจแล้วหันกลับหยิบโทรศัพท์โยนไปข้างๆเพื่อนของเขา



   ว่างแล้วค่อยตอบ



   “เดี๋ยวกูลงไปรับไอ้คินก่อน” ป้องลุกจากเก้าอี้ที่นั่งมานานกว่าสองชั่วโมง เขารู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปหมดอย่างกับนั่งมาทั้งวัน



   ขี้เกียจอ่าน…แต่ก็ต้องอ่าน




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง



   เขาถอดแว่นตาที่ใส่อยู่ออกก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างลง อ่านหนังสือนานๆมันทำให้ตาเริ่มเบลอมองอะไรไม่ชัด พักก่อนดีกว่า รอให้พวกนั้นกลับมาแล้วค่อยอ่านต่อ คนที่เริ่มเพลียไม่ต่างจากเพื่อนที่พึ่งออกไปค่อยๆล้มตัวลงนอนราบกับเตียงแต่ดันนอนทับโทรศัพท์ตัวเอง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะวางไว้ข้างตัว



   ใครทักมา




   โทรศัพท์ที่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแต่ละวันปรากฏชื่อของคนที่เขาไม่คุ้นเคยพร้อมกับคำทักทายปกติที่เขามักจะเจอบ่อยจนนึกอยากจะลบแอปพลิเคชั่นออกไป ถ้าไม่ติดว่าต้องติดต่อกับเพื่อนเขาคงลบออกไปทันที
   


   B : สวัสดีครับ
   B : *สติ๊กเกอร์หมีสีน้ำตาลกระโปรงฟ้าเต้นอยู่ริมทะเล*





   คนที่อ่านข้อความขมวดคิ้วงง รูปที่ปรากฏเป็นรูปหมาสีขาวนอนทำหน้าตาน่ารักๆกับชื่อแค่ตัวอักษรเดียวและมั่นใจว่าไม่ใช่คนที่เขารู้จักแน่นอนแต่ในเมื่อกดอ่านไปแล้วเขาก็ควรที่จะตอบกลับ



   ตามมารยาท
   


   Thanthup : ครับ




   แอปพลิเคชั่นปิดลงพร้อมกับเขาที่ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ความอ่อนล้าจากการอ่านหนังสือติดต่อกันทั้งที่ควรจะชินแต่เขากลับไม่ชินเลยสักครั้ง อยากจะนอนโง่ๆอยู่ในห้องก็ทำได้แค่คิด



   ในชีวิตจริงทำไม่ได้เลยสักวัน



.



   “เห้ย!!!!” เสียงของบุ๋นดังขึ้นท่ามกลางร้านอาหารที่มีผู้คนอยู่เต็มร้าน เพื่อนทั้งสามคนหันมามองเป็นตาเดียวกับพฤติกรรมที่ไม่ปกติของสี่




   เป็นอะไรของมันอีกวะ…




   “เขาตอบกูแล้ว เขาตอบกู” พูดไปหัวใจก็เต้นเร็วอย่างกับวิ่งสี่คูณร้อย เขารู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าทั้งๆที่คำตอบโคตรจะสั้นและตัดสนทนาอย่างไร้เยื่อใย





   ไม่เป็นไร…เขาคงไม่รู้จะตอบว่าอะไร




   “ไหนเอามาดู” สามทำท่าจะดึงโทรศัพท์จากสี่แต่ดูเหมือนเขาจะช้ากว่าเพื่อนไปนิดเดียว




   “ไม่ให้ดู” สี่รีบเก็บโทรศัพท์ลงกางเกงก่อนจะพูดต่อ “กูหวง”



   เออ…หวงจริงๆ



   “อะไรของมึงวะ” สามบ่นแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ



   “แล้วมึงจะตอบกลับไปว่าไง” หนึ่งที่นั่งข้างๆสามถาม



   “เออน่า” บุ๋นยิ้มแก้มปริ ท่าทางของเขาทำให้เพื่อนทั้งสามคนหันมามองหน้ากันด้วยสายตาประหลาดใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เห็นเพื่อนของเขาดูมีความสุขมากขนาดนี้



   “ขอให้จีบติด” สองตบบ่าเพื่อนสนิท “กูเอาใจช่วย”



   “เออ…ขอบใจว่ะ”



   ต้องติดสิ คนอย่างเขาถ้าจีบใครสักคนแล้วไม่มีทางพลาด



   มั้ง…



   
   B : ผมชื่อบุ๋นครับ
   B : น้องพี่โกโก้





   ตอบไปแบบนี้จะดีรึเปล่าวะ…



   แต่อย่างน้อยทางฝั่งนู้นก็จะได้รู้ว่าเขาคือใคร



   “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับมีที่เรียนแล้ว” พอเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้ของสี่ก็อดที่จะแขวะไม่ได้ สองเบ้ปากไปทางคนข้างๆที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย




   “ติดอันดับไหนกูก็เรียนหมด”



   เพราะเลือกมหาลัยเดียวทั้งสี่อันดับ



   มหาลัยที่หมออยู่



   วันนี้เป็นวันที่สำคัญและเป็นวันที่นาฬิกาเดินช้ากว่าปกติ เขาพึ่งรู้ว่าการรออะไรสักอย่างมันทรมานมากมายขนาดนี้โทรศัพท์ที่ถือไว้ตลอดไม่ยอมให้ห่างตัวไม่มีอะไรเด้งขึ้นมาทั้งๆที่เขากดดูหน้าจอทุกๆห้านาที



   สงสัยหมอยุ่งอยู่



   ไม่เป็นไร…รอได้



   
   17.45 น.




   ตึกตัก ตึกตัก…




   “เห้ยมึงผลออกแล้วว่ะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับโทรศัพท์ในมือที่เปิดทวิตเตอร์ตามติดทุกวินาที



   “จริงอะ!” สองเด้งตัวขึ้นเต็มแรง สีหน้าที่หวั่นวิตกไม่แพ้กันมองหน้าหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “กูพร้อมแล้ว”



   คนที่จ้องแต่โทรศัพท์รออีกฝั่งตอบกลับถึงกับละสายตาจากสิ่งตรงหน้าหันไปมองเพื่อนด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน แม้ว่าตอนแรกจะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากแต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆหัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา



   “กูขอดูคนสุดท้าย” บุ๋นวางโทรศัพท์ตัวเองลงก่อนจะรีบขยับเข้าไปใกล้สองที่เปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองที่เตรียมมาพร้อมเพื่อการนี้



   หัวใจของทั้งสามคนเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ มือเย็นเฉียบ สีหน้าของแต่ละคนดูไม่สู้ดีนัก สามเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนๆ ถึงจะติดแล้วแต่เขาก็หวังให้ทุกคนติดในคณะที่อยากเรียนและอยากให้ติดมหาวิทยาลัยเดียวกันหมด



   หวังให้เป็นแบบนั้น




   “พร้อมไหมวะ” สองหันไปถามอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา



   ตอนนี้บุ๋นและหนึ่งนั่งติดขนาบข้างของสองจนแทบจะรวมเป็นร่างเดียวกัน สามรีบเดินอ้อมมายืนอยู่ข้างหลังสองคอยให้กำลังใจเพื่อนๆ



   ติดไปด้วยกันนะพวกมึง



   ตึกตัก ตึกตัก…



   “มึงก่อนเลยไอ้หนึ่ง” โน๊ตบุ๊คถูกยกหันไปทางคนที่โดนเรียกชื่อ หนึ่งดูตื่นเต้นไม่แพ้กันถึงแม้ว่าคะแนนของเขาจะเกินจากคะแนนต่ำสุดมามากก็ตาม



   “อืม..” เขารับคำสั้นๆก่อนจะกรอกเลขประจำตัวลงไป มือของเขาสั่นจนแทบที่จะบังคับทิศทางเม้าส์ไม่ถูก



   คลิ๊ก!




   เพียงเสี้ยวนาทีที่กดลงไปหน้าจอปรากฏรายชื่อของเขาพร้อมอันดับหนึ่งที่ขึ้นว่าผ่านการคัดเลือก หนึ่งดึงคนข้างๆมากอดเต็มแรงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาทันที



   “กูทำได้แล้วมึง ทำได้แล้ว” เขาย้ำคำพูดเดิมกับสองที่ดีใจกับเพื่อนและหวั่นใจกับตัวเอง



   หนึ่ง…คณะสัตวแพทย์ศาสตร์



   “ทุกอย่างจะโอเค” บุ๋นวางมือลงบนบ่าสองช้าๆ เขามั่นใจว่าสองต้องทำได้ ถึงแม้ว่าสองจะเลือกจิตวิทยาทั้งสี่อันดับแต่เขาก็หวังกับอันดับแรกไว้มากที่สุด




   อยากจะอยู่กับพวกมึง…เหมือนเดิม




   “กูเชื่อว่ามึงทำได้” สามพูดเสริมพร้อมกับวางมือลงบนบ่าอีกข้าง   



   มึงต้องผ่านไปได้ด้วยดี




   “อืม กูขอให้เป็นอย่างนั้น”




   คลิ๊ก!



   “เชี่ยยยยย!!!!” เขาเด้งตัวขึ้นทันทีที่รายชื่อปรากฏขึ้นบนหน้าจอ



   สอง…คณะจิตวิทยา



   “เชี่ย แม่งเชี่ยยยยยย” เขายังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้า มือสั่นๆเอื้อมไปกุมมือบุ๋นที่ดูเครียดที่สุดในหมู่เพื่อนตอนนี้




   หนึ่งและสองติดอันดับหนึ่งทั้งคู่…เขาหวังเพียงให้สี่ติดอันดับหนึ่งไปด้วยกัน



   แม้คะแนนของบุ๋นจะติดลบอยู่หลายร้อยก็ตาม



   “เห้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นดิวะ” คนที่ยังไม่รู้ผลหันไปยิ้มให้เพื่อน แม้จะบอกไปอย่างนั้นแต่ตัวเขาเองก็อดที่จะเครียดไม่ได้



   อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแหละวะ!!!!



   “ไม่ว่ากูจะติดอันดับไหนพวกมึงก็ควรดีใจ…เพราะกูเลือกมหาลัยเดียวกันกับพวกมึงทั้งสี่อันดับ” เขาร่ายยาวก่อนจะยิ้มให้เพื่อนสนิททั้งสามคน



   อยากเจอหมออาจจะเป็นเรื่องใหญ่…แต่อยากอยู่กับพวกมึงเป็นเรื่องใหญ่กว่า



   เขาค่อยๆพิมพ์ตัวเลขลงไปในกล่องสีขาวเล็กๆด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หวังเพียงแค่ไม่หลุดถึงอันดับสี่เขาก็พอใจแล้ว



   ตึกตัก…ตึกตัก



   คลิ๊ก!



   “…!!!!!!” ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกมาจากปากของเขา ภาพตรงหน้าบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เพื่อนของเขาเองก็เงียบกันไปตามๆกัน



   ไม่เคยมีใครรู้ว่าสี่เลือกคณะอะไรลงไปบ้าง



   เขา…ติดอันดับสาม




   “เกษตรศาสตร์…” บุ๋นพูดออกมาอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก




   คณะที่เขาเคยบอกตัวเองไว้ตลอดว่าไม่มีทางที่จะเรียน คณะที่เขาพยายามผลักไสมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบแต่เพราะเขาไม่อยากเดินตามรอยธุรกิจของครอบครัว จนถึงวันที่เขาได้เห็นว่าที่บ้านเกิดปัญหาขึ้นมากมาย แม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่เคยบังคับแต่เขาก็อยากทำเพื่อให้พ่อแม่ดีใจที่จะมีคนมาสานต่อธุรกิจ




   ลงไว้เพราะคิดว่าไม่น่าจะติดแน่ๆ



   “กูคงหนีไม่พ้นจริงๆ” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆที่ดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าตัวพูด “อย่าทำหน้าแบบนั้นดิวะ…กูดีใจที่ติด”





   “แต่มึงเคยบอกว่ามึงไม่ชอบ” หนึ่งขมวดคิ้วงง ภายใต้กรอบแว่นหนามีความห่วงใยปรากฏให้คนตรงหน้าเห็น




   ใช่…เขาไม่ชอบ




   “บางทีกูก็ทำอะไรที่กูชอบไปหมดทุกอย่างไม่ได้”




   “…”




   “ครอบครัวกูตอนนี้…มันไม่ได้มีทางเลือกมาก”




   “ไอ้สี่…”




   “ตอนนั้นกูอาจจะเคยต่อต้าน…แต่พอลองช่วยพ่อทำสวนดูมันก็ไม่แย่ กูอาจจะชอบมากกว่าเรียนสายสุขภาพเสียอีก” เขาหัวเราะออกมา




   พ่อแม่คงดีใจ



   “เดี๋ยวกูจะปลูกผักปลอดสารพิษมาให้พวกมึงกินทุกวันเลยเป็นไง” เขาพูดติดตลกก่อนจะหันไปกอดเพื่อนทั้งสามคน



   “กูเชื่อว่ามึงทำได้ ไอ้สี่” สองพูดพร้อมกับขยับแขนเพื่อกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้น



   “อืม…อย่างน้อยมันก็ไม่แย่ไปทุกอย่าง”



   “…”



   “เพราะมีพวกมึงอยู่กับกู”



   “เออ อย่าทำซึ้ง เดี๋ยวไอ้หมอหมาร้องไห้” สามพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าหนึ่งที่ดูเหมือนจะร้องไห้ออกมา



   “กูเปล่า…เปล่าโว้ยยยยย” คนที่โดนพาดพิงถึงกับโวยออกมา



   เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความดีใจของทั้งสี่คน แม้ว่าอาจจะไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกเรื่องแต่มันก็มีเรื่องดีในเรื่องร้ายๆอยู่เสมอ บุ๋นมองโทรศัพท์ที่ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นก่อนจะถอนหายใจ



   คงไม่ว่างจริงๆสินะหมอ…


   
   B : วันนี้ประกาศผลแอดมิชชั่น ผมติดคณะเกษตรศาสตร์
   B : : )



   คนที่กำลังตอบข้อความเพื่อนในกลุ่มถึงกับขมวดคิ้วกับข้อความที่เด้งขึ้นมาตรงแถบแจ้งเตือน มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องรู้




   บอกทำไม




   ฐานทัพมองข้อความที่คนชื่อแปลกส่งมาก่อนจะกดออกโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ฝั่งนั้นคงแค่บอกแต่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา



   “ทำอะไรวะไอ้หมอ” คินที่กำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่หันมาถามเพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่ปลายเตียงมาพักใหญ่




   “เปล่า” น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับก่อนที่เขาจะโยนโทรศัพท์ไปอีกฝั่งแล้วทิ้งตัวลงนอน “ง่วง”




   “เอ้า มึงก็นอนสิครับเพื่อน”



   “อืม”



   ตาทั้งสองข้างของเขาหนักอึ้งจนแทบจะปิดลง ความเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือมาทั้งวันทำให้เขาเลือกที่จะหยุดการอ่านไว้ก่อนที่สมองจะระเบิดออกมา



   ติ๊ง~



   อะไรอีก



   เขาตั้งคำถามอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป โทรศัพท์ที่ถูกโยนไปกลางเตียงกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้งพร้อมกับข้อความของคนเดิมที่เขาไม่ได้ตอบกลับไป



   B : ดึกแล้ว พักผ่อนเยอะๆ อย่าหักโหมนะ
   B : ฝันดีครับ




   หืม…อย่าหักโหม



   อะไรของคนๆนี้ แปลก



   
   Thanthup : ครับ





   ตอบกลับไปเพราะคิดว่าอีกฝั่งคงรอคำตอบ ก็เขาเล่นอ่านไม่ตอบมาสองรอบแล้วถ้าทำอีกเป็นรอบที่สามก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย



   ช่างเถอะ…คงไม่ทักมาแล้ว



   B : ขอบคุณที่ตอบนะครับ
   B : *หมีสีน้ำตาลบิดตัวเขิน*

   



   “…” เขาค้างอยู่ที่หน้าต่างไลน์ตรงหน้านานเกือบหนึ่งนาทีก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือลงอีกครั้งแล้วโยนออกไปไกลว่าเดิม



   ง่วงนอน
   
.


   สมุดบันทึกเล็กๆที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อถูกเปิดออกพร้อมกับปากกาที่บรรจงเขียนตัวหนังสือที่คิดว่าอ่านง่ายที่สุดลงไปทีละข้อ



   วิธีจีบหมอ




   บุ๋นดูตั้งใจกว่าการรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยเสียอีก เขาเขียนตัวเลขข้อลงไปเรื่อยๆก่อนจะคิดไปถึงเรื่องที่สองพูดก่อนที่จะจากกัน
   



   วิธีที่หนึ่ง…ทฤษฏีเจ็ด




   “จะได้ผลไหมวะ” เขาพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่วายเขียนลงไปในข้อหนึ่งที่ยังว่างเปล่า



   ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรจะทำยังไงต่อไป วิธีที่สองแนะนำก็ดูจะเข้าข่ายมากที่สุดที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ ยังไงก็คงต้องลองทำไปก่อน



   เอาวะ! ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว





---------------
จบกันไปอีกตอนนะคะ  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ที่ให้กำลังใจทุกคนเลยนะคะ
พึ่งลงเล้าเป็ด ยังไงก็ฝากติดตามหมอของบุ๋นด้วยนะคะ ^^
คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันเยอะๆน้าาาา แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [02: จีบหมอครั้งที่หนึ่ง 100%] 4/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 04-08-2016 20:30:38
เชียร์ให้บุ๋นจีบติดเร็วๆ
เดี๋ยว!! เขายังไม่ได้เจอกันเลย  555
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [02: จีบหมอครั้งที่หนึ่ง 100%] 4/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 04-08-2016 23:04:16
หมอเหมือนพวกขี้เบื่อเลย บุ๋นจีบให้ติดไวๆนะ

ปอลิง.คนเขียนสู้ๆนะ  o13
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [02: จีบหมอครั้งที่หนึ่ง 100%] 4/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-08-2016 23:47:23
เป็นกำลังใจให้นะบุ๋น
จีบหมอให้ได้

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 24-09-2016 18:38:58
จีบหมอครั้งที่สอง


   ‘ทฤษฏีเจ็ดก็คือทฤษฏีที่กูคิดขึ้นมาเอง’ คนพูดยืดอกมั่นใจก่อนจะพูดต่อ


   ‘เรียกง่ายๆก็คือการวางเงื่อนไข มึงต้องทำอะไรซ้ำๆเดิมๆทุกวันเป็นเวลาเจ็ดวันเพื่อวางเงื่อนไขกับเขาว่าทุกๆวันเวลานี้มันเป็นเวลาของมึงและเขาจะจดจำและคุ้นเคยว่ามึงต้องมาเวลานี้ มันใช้ได้ผลนะเว้ย ติดมาหลายคนแล้ว’


   ‘เหมือนกูเคยอ่านที่ให้ทักไปยี่สิบเอ็ดวันปะวะ’


   ‘เออเหมือนกัน แต่ถ้าคนเขาจะสนใจ แค่เจ็ดวันก็รู้ผลแล้ว’


   ‘เออ กูจะลองดู’



.

   ติ๊ดติ๊ด ติ๊ดติ๊ด


   ครืดดดดดดดดด!!!


   ตื้อดึง ตื้อดึงงงง!!!


   เสียงนาฬิกาปลุกสองตัวกับเสียงโทรศัพท์ทำให้คนที่นอนหลับสบายถึงกับเด้งตัวตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดในห้อง จอดิจิตัลบอกเวลาตีห้าห้าสิบ เขาขยี้ตาก่อนจะเปิดแอปพลิเคชั่นที่ใช้คุยกับคนๆหนึ่งขึ้นมาแล้วรอเวลาให้เข็มยาวชี้เลขสิบสอง


   ทฤษฏีเจ็ด…วันแรก

   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://i1061.photobucket.com/albums/t473/perlina1/12.jpg) (http://s1061.photobucket.com/user/perlina1/media/12.jpg.html)



   เขามองหน้ามองโทรศัพท์ที่กดส่งไปแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ เวลาหกโมงเช้าไม่ใช่เวลาปกติในการตื่นนอนของเขา
   หวังว่าหมอจะตอบ



   
   ยังไม่ทันที่จะได้ยินเสียงปลุกจากโทรศัพท์ร่างสูงก็เด้งตัวลุกขึ้นมาก่อนเหมือนทุกๆวัน ฐานทัพขยี้ตาไล่ความง่วงก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนไปแปรงฟันทำกิจวรรคประจำวันยามเช้าเหมือนทุกๆวัน วันนี้เป็นอีกวันที่เขาได้นอนน้อยกว่าปกติ เมื่อคืนเขาอ่านหนังสือยาวจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีตอนตีสามที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา




   เพื่อนอีกสองคนที่สภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมาจากที่นอนก่อนจะอ้าปากหาวออกมา แม้ว่าจะอยากนอนต่อแต่พอเพื่อนคนนึงตื่นคนอื่นๆก็ต้องตื่นด้วยเพราะเป็นวันที่เขาต้องเข้ามหาลัยเพื่อไปเตรียมงานรับน้องที่จะเกิดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า




   “ตื่นก่อนเวลาทุกทีเลยนะมึง” คินพูดพร้อมกับหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาแปรงแล้วยื่นอีกแปรงให้ปกป้อง


   “ชินแล้ว” ฐานทัพตอบสั้นๆก่อนจะเดินแปรงฟันออกไปนอกห้องเพื่อไปกดปิดนาฬิกามือถือ



   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://i1061.photobucket.com/albums/t473/perlina1/12.jpg) (http://s1061.photobucket.com/user/perlina1/media/12.jpg.html)



   “อีกแล้ว” เขาพึมพำเบาๆก่อนจะกดอ่านข้อความของคนที่ส่งมา รูปภาพแปลกๆที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขารู้สึกงงมากขึ้นไปอีก


   หลุดมาจากยุคไหน



   จะให้ตอบกลับไปว่ายังไง


   “มึงจะอาบน้ำก่อนไหมไอ้หมอ” คนที่แปรงฟันเสร็จแล้วเดินออกมาถามเพื่อนที่ยังถือแปรงฟันคาไว้ในปากอยู่



   “อืม” เขาหยักหน้าแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนเตียงเหมือนเดิม



   วันนี้มีนัดไปที่มหาลัยแต่เช้า



   ง่วง

   10.30 น.



   อ่าน…



   แต่ไม่ตอบ



   ไม่ตอบคืออะไรวะ!!!!!



   “อะไรวะเนี่ย” บุ๋นอยากจะทึ้งหัวตัวเองทันทีที่เห็นว่าสถานะทางฝั่งนั้นขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา



   ทำอะไรผิดไปรึเปล่าวะ…



   ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นจากที่นอนไปแปรงฟันแจ้งเตือนเฟสบุ๊คก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับชื่อของคนที่เขาคุ้นเคย บุ๋นขยี้ตาตัวเองก่อนจะปรับสายตาให้มองสิ่งตรงหน้าชัดขึ้น



   
   1 นาทีที่แล้ว
   Kinnnn : งานเช้า โคตรง่วง *แท็ก Thanthup titrirat และ PPong* เช็คอิน มหาลัยวิทยาลัย
   



   หนึ่งนาทีที่แล้ว


   มหาวิทยาลัย



   หมายความว่า…



   “แม่ วันนี้บุ๋นออกไปดูหอกับไอ้หนึ่งสองสามนะ” เขาตะโกนลั่นห้องก่อนจะเด้งตัวจากที่นอนอย่างรวดเร็ว



   ไม่ถึงห้านาทีในการอาบน้ำหรือจะเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำก็ได้ เขารีบออกมาแต่งตัวก่อนจะกดโทรหาเพื่อทั้งสามคนแล้วกดประชุมสาย



   “อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่มหาลัย ไปจองหอกัน” เขาสรุปให้เพื่อนทั้งสามคนฟังเสร็จสรรพ



   ( อะไรของมึงวะ รีบไปไหน ) หนึ่ง



   “กูกลัวหอในเต็ม ไม่อยากอยู่หอนอก รีบๆเตรียมตัว กูใกล้เสร็จละ”



   ( เดี๋ยว… ) สองและสาม



   ติ๊ด!



   เขากดวางสายก่อนจะวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน วันนี้อาจจะเป็นวันดีของเขาก็ได้



   มหาลัยที่ว่ากว้างไม่ยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา



   ยังไงก็ต้องเจอ



   ต้องเจอให้ได้!!!!



   ถ้าเป็นวันนัดปกติคงจะเป็นเขาที่ไปสายสุดแต่ในวันพิเศษอย่างเช่นวันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้มายืนรอเพื่อนอยู่หน้ามหาวิทยาลัยกับยามหน้าประตูที่อยู่ใกล้กันแต่เหมือนอยู่คนละโลก ในโลกของเขาตอนนี้มีแต่หน้าของคนที่อยากเจอล่องลอยเข้ามาอยู่เรื่อยๆผิดกับลุงยามที่ทำตาปรือพร้อมจะหลับทุกๆห้านาที




   “ช้าจังวะ” เขาบ่นก่อนจะกดเล่นดูหน้าฟีดแรกของเฟสบุ๊คเรื่อยๆฆ่าเวลา



   ขอให้ยังอยู่



   ขอให้เจอ




   B : อย่าลืมทานข้าวนะครับ




   อดไม่ได้ที่จะทักไปอีกครั้งถึงแม้ว่าเขาจะไม่ตอบก็ตาม ช่างเถอะ อย่างน้อยแค่ฝั่งนั้นอ่านเขาก็พอใจแล้ว ดีกว่าไม่อ่าน



   หรอ…



   “นัดซะอย่างกับพวกกูบ้านอยู่หน้ามหาลัย” คนที่เดินมาพร้อมกับผมไม่ที่ไม่ได้เซทพูดขึ้นพร้อมกับใช้มือจัดผมให้อยู่ทรง




   “กูกลัวหอเต็ม” บุ๋นตอบเพื่อนหน้าตายก่อนจะเดินไปดึงแขนสอง “อีกสองคนค่อยให้มันตามมา ไปดูหอกันก่อนเถอะ”



   “มึงจะรีบอะไรวะ”




   “เดี๋ยวเขากลับ”



   “อะไรนะ”




   “เอ่อ…เดี๋ยวหอเต็มไง”



   “ไม่มีพิรุธเลยครับ” สองพูดประชด ความจริงก็พอดูออกว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆแต่แค่ไม่อยากถามออกไป บางเรื่องแกล้งไม่รู้บ้างก็น่าจะดี



   ไอ้สี่นะไอ้สี่ เนียนกว่านี้ไม่ได้หรอวะ



   “ทางนี้ๆ” คนที่เห็นป้ายคณะแพทย์ศาสตร์ชี้นิ้วไปตามทางที่ลูกศรชี้ทำเอาคนที่เคยมาเดินในมหาลัยหลายรอบถึงกับขมวดคิ้ว



   อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงป้ายรอรถของมหาลัยแล้ว จะเดินอ้อมทำไม



   “ไมไม่รอรถวะ” สองถามอย่างไม่เข้าใจ



   “กูอยากเดิน กลัววันมอบตัวหลง” บุ๋นตอบตามสิ่งที่คิดไว้ว่าเพื่อนจะถาม ขาทั้งสองข้างก้าวไปตามทางด้วยอารมณ์สดใสเบิกบานเป็นพิเศษ



   “ไม่ใช่ว่าอยากไปเจอใครหรอ”   



   “เจอใคร เจออะไร เปล๊า~”



   เออ กูเชื่อว่าเปล่าจริงๆ



   วันนี้เป็นวันที่มหาลัยมีผู้คนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ เป็นช่วงของการเตรียมตัวรับน้องที่รุ่นพี่ทุกคณะจะมาจัดแจงงานและแบ่งฝ่ายกัน จากที่เขาดูข้อมูลมาคณะของเขาอยู่คนละฝั่งกับคณะแพทย์เลย คณะเกษตรจะใกล้จิตวิทยาส่วนคณะแพทย์จะใกล้กับพวกสายสุขภาพ




   อิจฉาไอ้หนึ่ง




   “มึงจะยืดคอหาอะไรนักหนาวะ” สองที่เห็นท่าทางผิดปกติของเพื่อนถึงกับถามออกมาอย่างทนไม่ไหว ท่าทางประหลาดๆแบบนั้นทำเอาไอ้สี่เสน่ห์หายหมด



   ทำตัวอย่างกับพวกถ้ำมอง



   “ปวดคอ”



   “หรอ”




   “เออออออออ”



   “ไปนั่งรอที่คณะเลยไหมล่ะ”



   “ไป!!!!” สี่ตอบกลับมาทันควัน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง หวังที่จะได้เจอ




   อยากเจอมาตลอดหนึ่งปี



   “กูล้อเล่น”



   “ไอ้สอง ไอ้สอง มึงมันนนนน!!!!” เขาเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งไล่เพื่อนสนิทที่วิ่งนำออกไปไกล



.

   
   เสียงที่ดังขึ้นแว่วๆเรียกความสนใจจากคนตรงหน้าที่กำลังนั่งระบายสีให้เงยหน้าขึ้นไปมองภาพของผู้ชายสองคนที่วิ่งไล่กันอยู่ไม่ไกลจากคณะมากนัก



   เล่นอะไรกัน



   “ไอ้ฐาน กูจะไปเซเว่นไปปะ”



   “อืม…ไปดิ” เขาตอบปกป้องโดยที่สายตายังมองคนที่เริ่มวิ่งออกไปไกลเรื่อยๆ



   “มองอะไรวะ”



   “เปล่า…ไม่มีอะไร”



   
   B : อย่าลืมทานข้าวนะครับ
   


   อืม...

   
   Thanthup : กำลังจะไปเซเว่น




   ติ๊ง!



   เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้บุ๋นต้องหยุดวิ่งไล่สองก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งบริเวณตึกเรียนรวมพร้อมกับสองที่ทิ้งตัวนั่งลงหอบข้างๆ



   “สงสัยไอ้หนึ่งกับสามถึงแล้ว” เขาพูดพร้อมกับเปิดหน้าจอ




   Thanthup : กำลังจะไปเซเว่น




   “เชี่ย!” บุ๋นเด้งขึ้นสุดตัว ความรู้สึกเหนื่อยหายไปในพริบตาเมื่อคนที่ไม่คิดว่าจะตอบดันตอบข้อความของเขา



   และคำตอบของเขาเป็นประโยชน์กับบุ๋นด้วยสิ



   “เป็นอะไรวะ” สองที่ยังไม่หายเหนื่อยหันไปถามคนที่ทำตัวแปลกๆ



   “กูรู้สึกหิวน้ำ”


   “นั่นไง ไปซื้อดิ” สองชี้นิ้วไปที่ร้านน้ำข้างล่างตึกเรียนรวม



   “ไม่ กูไม่กินน้ำที่นี่”



   “อะไรมึงวะ”



   “หิวน้ำเซเว่น…กูหิวน้ำที่เซเว่น”




   ร่างกายของเขาควบคุมไม่ได้อีกต่อไป ขาทั้งสองข้างเปลี่ยนจากเดินปกติเป็นเดินเร็วก่อนที่จะกลายเป็นวิ่งในที่สุด บุ๋นไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขามีปฏิกิริยาแปลกๆแบบนี้เกิดขึ้น



   และมันจะเป็นทุกครั้งที่เกี่ยวกับหมอ



   “มึงจะรีบวิ่งไปไหนวะ” เสียงสองตะโกนถามพร้อมกับฝีเท้าที่วิ่งตามมาติดๆ



   “กูหิวน้ำ” เขาตอบกลับไปทั้งๆที่ในกระเป๋ามีน้ำดื่มที่ยังไม่ได้เปิดขวดอยู่




   ในมอมีกี่เซเว่นวะ!!



   ตื้อดือ…



   เสียงต้อนรับหน้าประตูเซเว่นแรกดังขึ้น เขารีบวิ่งเข้าไปดูทุกล็อกก่อนจะวิ่งออกมา แล้วหันไปมองหน้าสองที่หยุดวิ่งเพื่อสูดลมหายใจเข้าท้อง



   “เอ้า ไม่ซื้อน้ำวะ” สองถามไปหอบไป



   “กูต้องดื่มน้ำแร่จากเทือกเขาทางตอนเหนือเท่านั้น”



   สมองเริ่มประมวลความจำตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยมาจนถึงตอนนี้ เขาจำไม่ได้ว่าเซเว่นตั้งอยู่ตรงไหนในมหาลัยแห่งนี้บ้างและถ้าไปถามยามแถวนี้ก็คงจะสายเกินกว่าที่จะได้เจอกัน



   เอาไงดีวะ…



   ติ๊ง!



   เหมือนเสียงเตือนจากสวรรค์ เส้นผมบังภูเขาชัดๆ



   “ไอ้สอง ในมอมีเซเว่นกี่ที่วะ”



   “สี่ ทำไมวะ”




   “อีกสามที่อยู่ที่ไหนบ้าง เร็ว!!” บุ๋นเร่งเพื่อนอย่างลืมตัว พอคิดว่าจะได้เจอหมอจริงๆเขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้



   หัวใจเต้นแรง…



   “อยู่ตรงคณะมึง แล้วก็…” ยังไม่ทันที่จะพูดจบโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดบทสนทนา สองเงียบไปก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่มีชื่อเพื่อนที่ยังมาไม่ถึงโทรเข้า



   โถเว้ย…



   “งั้นมึงอยู่รอพวกมันแถวนี้นะ เดี๋ยวกูมา” เขาทิ้งท้ายไว้อย่างเร่งรีบก่อนจะรีบวิ่งออกไปหาวินมอเตอร์ไซค์ที่ใกล้ที่สุด



   ต้องเจอ เขาต้องเจอให้ได้!


.


   ตื้อดือ…



   แอร์เย็นฉ่ำกระทบเข้าที่ใบหน้าของคนที่ตาใกล้จะปิดเต็มทน ฐานทัพเดินเข้ามาในเซเว่นพร้อมกับเพื่อนสนิท เขาตรงดิ่งไปยังโซนกาแฟที่ตอนแรกคิดไว้ว่าจะไม่แตะสักพักใหญ่แต่ขืนปล่อยไว้อย่างนี้เขาคงทำงานช่วยคนอื่นต่อไม่ได้แน่ๆ



   คิดถึงงานก็ง่วงขึ้นมาทันที



   “เชี่ย…กูลืมเอากระเป๋าตังมา” เสียงของปกป้องดังขึ้นข้างตัว



   “ยืมก่อนก็ได้”



   “มึงมีตังเท่าไหร่”



   “หนึ่งร้อย” เขาหยิบแบงค์สีแดงที่ถือติดมือมาแค่ใบเดียวก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนที่พอจะเดาออกว่าคงไม่พอสำหรับการซื้อของ



   ก็ทุกคนเล่นฝากซื้อกันอย่างกับเขาสองคนเป็นมินิมาทเคลื่อนที่




   “ไม่พอว่ะ เดี๋ยวกูกลับไปเอาเงินก่อน มึงจะไปด้วยกันหรือรอนี่”



   “รอนี่ก็ได้”



   “เออ งั้นเดี๋ยวรีบมา”



   ฐานทัพหันกลับไปสนใจกาแฟตรงหน้าต่อหลังจากที่เพื่อนออกจากเซเว่นไปแล้ว ปกป้องกลับมาเขาก็คงดื่มกาแฟหมดพอดี



   ง่วง



   สายตาของเขาพลันไปเห็นผ้าปิดปากที่มักจะซื้อเก็บไว้ใส่ตลอดทุกครั้งที่ทำกิจกรรมและเจอฝุ่นเยอะๆ วันนี้เขาเองก็เจอทั้งฝุ่นทั้งกลิ่นสี เริ่มปนกันจนเวียนหัวแล้วเหมือนกัน




   ซื้อไปก็ดี



   เขาจ่ายตังก่อนจะเดินออกมานั่งรอเพื่อนที่เก้าอี้หน้าเซเว่น กาแฟกระป๋องในมือถือเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาเหมือนเพื่อนสนิทคนที่สามตั้งแต่เริ่มขึ้นปีสอง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาติดจนลืมโทษของมันไป




   ป็อก!




   กาแฟกระป๋องถูกยกดื่มหมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เขาโยนกระป๋องลงถังขยะก่อนจะแกะผ้าปิดปากออกมาใส่เพราะขี้เกียจที่จะถืออะไรกลับไปแล้วหาที่ทิ้ง ไหนๆถังขยะก็อยู่นี่แล้ว



   “นี่ที่สุดท้ายแล้วใช่ปะพี่ ขอบคุณมาก ไม่ต้องทอน” เสียงกระหืดกระหอบของคนๆหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว




   รีบไปไหน




   เขาใส่ผ้าปิดปากเสร็จเสียงแจ้งเตือนในกลุ่มก็ดังขึ้น ถึงจะไม่อยากอ่านแต่ก็ต้องอ่านอยู่ดี เขาเลื่อนอ่านข้อความที่หาสาระอะไรไม่ได้ก่อนจะกดปิดลง




   เสียเวลาชะมัด




   “อยู่ไหนวะเนี่ย” เสียงของคนๆเดิมดังขึ้นพร้อมกับประตูเซเว่นที่เปิดออก เสียงหอบหายใจของเขาดังพอที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ได้ยิน




   ฐานทัพหันไปมองหน้าคนที่ยืนหอบแว๊บหนึ่งก่อนจะเขยิบตัวชิดริมเก้าอี้เพื่อให้คนที่กำลังยืนเหนื่อยอยู่สามารถนั่งได้และเหมือนคนที่ยืนจะรู้ตัว พอถูกขยับเขาก็รีบนั่งลงทันที



   “ขอบคุณมากพี่” บุ๋นหันไปขอบคุณคนใจดีข้างตัว เหงื่อของเขาเปียกเต็มหลังเพราะวิ่งเข้าวิ่งออกเซเว่นจนครบ



   สุดท้ายเขาก็ไม่เจอ




   “ผมมาตามหาคนๆหนึ่งน่ะ…แต่ไม่เจอ” อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจว่าคนข้างๆอยากจะฟังรึเปล่า “รู้ปะ ผมอยากเจอเขามาตลอดหนึ่งปี”




   “…” ฐานทัพขมวดคิ้วงงกับคำพูดของคนข้างๆ




   บอกเขาทำไม




   “พอรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ผมก็รีบวิ่งตามหา แต่แม่ง…ไม่เจอไง” บุ๋นหัวเราะออกมา มือข้างหนึ่งปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะมองตรงไปอย่างไร้จุดหมาย




   “…”




   “อยากเจอเขาในชีวิตจริง ไม่อยากเจอในโลกออนไลน์”



   “…”



   “ทำไมไม่เจอวะ” เขาบ่นกับตัวเอง




   ฐานทัพไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่นั่งเงียบๆฟังคนข้างๆปรับทุกข์ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะฟังสักเท่าไหร่ แต่เขาต้องรอเพื่อนอยู่ตรงนี้




   จะไปนั่งที่อื่นก็ดูเสียมารยาท




   “พี่รู้จักคนที่เรียนหมอมั่งปะ” ถามคนข้างๆแต่สายตาของเขายังคงทอดมองไปไกล



   “…”



   รู้จักสิ



   “คงไม่หรอกเนอะ พี่คงเรียนเกษตรเหมือนผม” บุ๋นสรุปเองเสร็จสรรพในเมื่อเซเว่นที่เขานั่งอยู่มันอยู่ตรงตึกของคณะเกษตร



   หมอคงไม่มาซื้อไกลขนาดนี้



   ฐานทัพอยากจะปฏิเสธแต่เมื่อคนข้างๆสรุปแบบนั้นเขาก็ไม่อยากจะแย้ง บอกไปก็แค่นั้น อีกอย่างเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความรักของใครทั้งนั้น



   “ผมชอบเขามากว่ะพี่ เขาเป็นหมอ”



   “…”



   “หมอที่ดูใจดีกับทุกคน” ฐานทัพหันไปมองหน้าคนที่พูดถึงคนที่แอบชอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเลยสักครั้ง



   บุ๋นพูดไปยิ้มไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เขากำลังพูดถึง…นั่งอยู่ข้างๆ



   “พูดอะไรวะเนี่ย ผมขอโทษด้วยนะพี่ที่พูดอะไรก็ไม่รู้”



   อืม…



   “หายเหนื่อยแล้ว ผมไปนะครับ ไว้เจอกันวันรับน้องครับรุ่นพี่” บุ๋นลุกขึ้นก่อนจะยกมือไหว้คนตรงหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่ได้หันกลับมามองคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม




   อะไรของเขา



   ฐานทัพได้แต่คิดในใจ สายตายังคงจดจ้องไปที่ผู้ชายที่พึ่งมานั่งข้างๆเขาแล้วก็บ่นในเรื่องที่เขาไม่อยากรู้แล้วก็เดินจากไปโดยที่เข้าใจว่าเขาเป็นรุ่นพี่คณะเกษตร




   อืม…เต็มที่



   คงไม่ได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง




   “มีอะไรรึเปล่าวะ” ปกป้องเดินเข้ามาถามหลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว




   “ไม่มีอะไร” ฐานทัพตอบก่อนจะมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมา




   B : ผมก็พึ่งไปมาเหมือนกัน




   เขาไม่ได้เปิดอ่านเพียงแค่รับรู้ว่าอีกฝ่ายตอบมา ฐานทัพเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงกระเป๋าก่อนจะเดินตามปกป้องเข้าไปช่วยถือของ



   วันนี้ยังทำงานอีกยาว


.


   คนที่ผิดหวังเดินคอตกมาเรื่อยๆจนถึงที่ๆนัดหมายกับเพื่อนอีกสามคนไว้ เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ ทั้งๆที่คิดว่าทันแล้วแท้ๆแต่กลับไม่เจอ




   โชคชะตาเล่นตลก



   “โถ่เว้ยยยยย!!!!” บุ๋นทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดทำเอาเพื่อนที่กำลังนั่งกินมาม่ากันอยู่ถึงกับหยุดกินแล้วมองเขาเป็นตาเดียว



   เป็นอะไรของมันอีกวะ…



   “กูคิดว่าจะเจอ แต่กูไม่เจอ” บุ๋นพูดโดยที่ไม่รอให้ใครถาม “ทำไมกูไม่เจอหมอวะ” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะแย่งมาม่าในมือของสามมากิน



   “เอ้า ของกู” สามบ่นแต่ก็ไม่ได้แย่งของจากสี่



   เอาเถอะ…เพื่อนคงเครียดอยู่



   “ไปจองหอกัน แม่งเซ็ง” บุ๋นพยายามคิดในแง่ดีว่าวันนี้อาจไม่ใช่วันของเขา



   แล้วเมื่อไหร่จะเป็นวันของกูวะ!!!



   เอาน่า…นี่พึ่งวันแรกของทฤษฏีเจ็ด อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ไม่แน่วันที่ห้าของทฤษฏีเขาอาจจะได้เจอหมอก็ได้




   หวังว่า…




   ทฤษฏีเจ็ด…วันที่สอง



   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://www.mx7.com/i/9ae/wZ59BD.jpg) (http://www.mx7.com/view2/znxfcdTBMGwMDT3D)




   ทันทีที่ส่งเสร็จบุ๋นก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้งเหมือนวันแรก ไม่น่าทักเช้าขนาดนี้เลย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ปาไปตีสาม ง่วงชิบหาย


   บ่ายๆหมอก็คงตอบ



   บ่าย…

   บ่ายจนจะสี่โมงแล้วทำไมไม่ตอบวะ!!!!

   อ่าน


   แต่ไม่ตอบ…


   มันคืออะไรรรรรรรร!!!!!!!




   ทฤษฏีเจ็ด…วันที่สาม



   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://www.mx7.com/i/19e/ERjLep.jpg) (http://www.mx7.com/view2/znxfcdTBMDNSKipy)




   เมื่อวานคงแค่ลืมตอบ วันนี้แหละเขาต้องตอบกลับมาพร้อมกับขอโทษที่เมื่อวานอ่านแล้วไม่ตอบแน่ๆ แต่ก่อนที่จะรอถึงตอนนั้น



        ง่วง...



   คร่อกก


.



   ครืดด!



   โทรศัพท์ที่ตั้งสั่นไว้ดังขึ้นข้างตัวคนที่พึ่งลุกจากที่นอน ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความที่เขาได้รับเป็นวันที่สามก่อนจจะวางลงข้างตัวเหมือนเดิม



   ออโต้ไลน์หรือไง



   ทักมาเหมือนเดิมทุกวัน


.
   
   “อะไรวะ…” น้ำเสียงของคนพึ่งตื่นตอนบ่ายสองเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ยังลืมไม่สนิท เขาหรี่ตามองหน้าจอแอปพลิเคชั่นบนมือถือก่อนจะถอนหายใจ “อ่าน…ไม่ตอบ”



   อีกแล้วหรอวะ!!!!



   ไม่เป็นไร…พรุ่งนี้เอาใหม่



   ทฤษฏีเจ็ด…วันที่สี่




   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://www.mx7.com/i/9e6/41xFcJ.jpg) (http://www.mx7.com/view2/znxfDSeNTZZefdlP)




   ครืดดด!



   อีกแล้วหรอ…



   ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัว ฐานทัพไม่จำเป็นต้องเปิดดูก็รู้ว่าใครเป็นคนทักมา นี่คงเป็นวันที่สี่ของข้อความซ้ำๆเดิมๆกับรูปภาพที่เปลี่ยนสีไปตามวัน



   หลุดมาจากยุคไหน




   ทฤษฏีเจ็ด…วันที่ห้า



   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://www.mx7.com/i/b06/DlfS9O.jpg) (http://www.mx7.com/view2/znxfczSi4dFBA5zw)



   “ถ้าไม่ตอบอีกก็ใจร้ายเกินไปแล้ว” คนที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกจากนาฬิกาบนหัวเตียงบ่นงึมงำก่อนจะกำโทรศัพท์ไว้แน่น



   ตอบเถอะ



   ไม่อยากแป๊ก
   



   อืม…



   อ่านเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือไม่ตอบ(อีกแล้ว)



   อะไรวะหมอ!!!!





   ทฤษฏีเจ็ด…วันที่หก




   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://upic.me/i/a6/4rt1y.jpg)
   
.

   ครืดดด!



   อะไรของเขา



   ฐานทักหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจครั้งแรกของวัน อยากจะถามคนๆนี้เหลือเกินว่ามีปัญหาอะไรกับเขารึเปล่า ทักมาทุกวันด้วยข้อความเดิมๆ รูปภาพแปลกๆกับเวลาหกโมงของทุกเช้า



   จะขายประกันหรือไง



   ช่างเถอะ…




   ทฤษฏีเจ็ด…วันสุดท้าย(แล้วนะ)



   (06.00) B : สวัสดียามเช้าครับ
   (06.00) B : (http://www.mx7.com/i/b18/z34XnD.jpg) (http://www.mx7.com/view2/znxfczSi46WvsrpI)




   คนที่ไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเลยถึงกับตีหน้าเครียด นี่ก็วันสุดท้ายตามทฤษฏีที่ไอ้สองบอกแล้ว ถ้าวันนี้อีกฝ่ายยังไม่ตอบนั่นก็หมายความว่าเขาทำไม่สำเร็จ




   ผิดพลาดตรงไหนวะ…




   แม้จะอยากพิมพ์ถามไปมากกว่านี้แต่ก็กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญ



   แต่…ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่วะ!!




   B : อ่านแล้วไม่ตอบ
   B : แป้นพิมพ์เสียหรอครับ?



   ถ้าวันนี้ไม่ตอบอีก ก็คง…


   หาวิธีใหม่!!!!



   จะให้ท้อตอนนี้มันง่ายเกินไปโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




   B : แป้นพิมพ์เสียหรอครับ?


   
   คนที่เลื่อนอ่านมาจนถึงประโยคจบถึงกับขมวดคิ้ว การที่เขาอ่านแล้วไม่ตอบก็น่าจะตอบคำถามทุกอย่างได้ดีหมดแล้วว่าเขาไม่อยากคุย



   แต่นี่ก็วันที่เจ็ดแล้วที่เขาไม่ยอมตอบข้อความของคนๆนี้



   อืม…ตอบก็ได้



   
   Thanthup : ไม่ค่อยได้เล่นไลน์




   มันคือความจริง




   เขาไม่ค่อยได้เข้ามาดูบ่อยเท่าไหร่ยกเว้นกลุ่มใหญ่ที่เปิดดูเวลามีเรื่องราวจากอาจารย์ฝากบอกหรือคุยกลุ่มงาน น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาพิมพ์ตอบลงไปในไลน์กลุ่มใหญ่



   อ่านแล้วไม่ตอบมันคือเรื่องปกติสำหรับเขา




   “เชี่ยยยยย!!!!” คนที่กำโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาที่ออกมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง




   จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง



   หมอตอบ!!!




   “เขาตอบกูแล้วว่ะ เขาตอบกูแล้ว” บุ๋นกระโดดดีใจอย่างกับเด็กประถมสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดติด




   “เออแล้วยังไง” สามคนที่เหลือถึงกับทำหน้างง




   “เขาไม่ตอบกูมาหลายวันนะเว้ย แล้วมาตอบเอาวันสุดท้าย”




   “แล้ว?” สองยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่สี่ต้องการจะสื่ออยู่ดี




   “เขาต้องเริ่มชอบกูแล้วแน่ๆเลยว่ะ” บุ๋นพูดออกมาเต็มปากด้วยความมั่นใจ




   “หา” คำตอบของเพื่อนยิ่งทำให้สองงงเข้าไปใหญ่ “ชอบยังไงวะ”




   “ก็เขาตอบกู แสดงว่าเขาแคร์กู”




   “…”




   ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ




   “เชี่ยเอ้ยยย กูจะสมหวังแล้วมึง สมหวังแน่ๆ” บุ๋นพูดซ้ำไปซ้ำมา รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งเครียดมาทั้งวันทำให้เพื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อ




   เอาที่มันสบายใจ




   เพราะที่พวกกูสามคนเห็น…เขาไม่ได้แคร์อะไรมึงเลย




   เขาเรียกว่าตอบตามมารยาทโว้ยไอ้ฟายยยยยยยยยยยย!!!!!!!








------------------------------- 100%
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ กลับมาอัพปกติแล้ว
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ
พึ่งเข้ามาเล่นเลยไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ผิดพลาดตรงไหนไปก็ขออภัยด้วยนะคะ
คอมเม้นท์กันเยอะๆน้าาา >_____________<
ขอบคุณมากค่าาาา #จีบหมอ #perlina

Fan page : Perlina.
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 24-09-2016 20:39:39
สู้ต่อไปค่ะบุ๋น
คนเเอบชอบกับงานมโนเป็นของคู่กัน55555555
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 25-09-2016 13:51:37
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 25-09-2016 15:20:28
555. ทฤษฎี7วัน สำเร็จละ

ตามต่อไปทาเคชิ.

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 25-09-2016 22:12:55
พรุ่งนี้มาอัพเดทต่อนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ^^

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-09-2016 23:00:30
 :m20: ทำไปได้ ทำไมส่งสวัสดีรูปเหมือนคนทำงานขนาดนั้น ครั้งหน้าเอาอีโมน่ารักๆนะหนู
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 25-09-2016 23:03:41
รออ่านต่อค่า จะรอดไหม จีบแบบนี้  :laugh:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สอง 100%] 24/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-09-2016 10:29:52
หมอดูง่วงๆเนือยๆ เขาจะมาสนใจอะไรแกนังบุ๋นนน 555555555555555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [04: จีบหมอครั้งที่สาม 50%] 26/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 26-09-2016 18:47:39
จีบหมอครั้งที่สาม

   ตึกตึกตึก!!



   ฝีเท้าหนักๆดังขึ้นท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านในมหาลัยชื่อดัง วันแรกพบของทุกคณะที่ถูกรวมไว้ให้พบปะกันในวันนี้เพียงวันเดียว บุ๋นเร่งฝีเท้าสุดชีวิตกับเวลาที่เริ่มสายขึ้นทุกที



   ตื่นสาย!!!!



   ถ้าไอ้หนึ่งไม่โทรมาเขาก็คงยังไม่ตื่น เมื่อคืนมัวแต่ตื่นเต้นกับวันแรกพบกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม นาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ก็ไม่ได้ยิน



   เจริญ…   




   เสียงเจี้ยวจ้าวในสนามกีฬาที่เป็นจุดนัดลงทะเบียนของทุกคณะกับเสียงพิธีกรที่กำลังจะเริ่มเปิดงานทำให้เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม


 
   บุ๋นหยุดลงตรงป้ายที่เขียนให้เห็นเด่นชัดว่า ‘มาสาย’ พร้อมกับผู้คนที่ต่อแถวกันอยู่ประมาณหกถึงเจ็ดคน เขาหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินไปตามป้ายที่เห็น



   สุดท้ายก็ไม่ทัน



   โถ่เว้ยไอ้บุ๋น…




   “ลงชื่อตรงนี้ค่ะ” น้ำเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบบริเวณนั้น บุ๋นมองหน้าเธอแว๊บหนึ่งก่อนจะเดินไปเขียนชื่อลงทะเบียนพร้อมกับใส่คณะต่อท้ายตรงหมายเหตุ



   ถ้ารู้ว่าจะโดนเข้าแถวตรงนี้ ไม่วิ่งมาก็ดี



   เหนื่อยชิบหาย



   “ไปต่อแถวรอ เดี๋ยวจบช่วงเปิดงานจะมีรุ่นพี่พาเข้าไปตามคณะค่ะ”



   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆกลุ่มคนที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อทดแทนอากาศที่ขาดหายไป




   ถือว่าออกกำลังกายตอนเช้า




   เขาทอดมองเข้าไปผ่านลูกกรงที่ล้อมรอบสนามกีฬาไว้ ทุกคนในสนามใส่เสื้อสีดำมีเพียงแต่ข้อมือที่แยกคณะตามสีประจำคณะ มองจากตรงนี้ยังหาคณะตัวเองไม่เจอ



   พอเริ่มเข้าช่วงพิธีเปิดที่มีคณะบดีมากล่าวทักทายเขาก็ละสายตาจากตรงนั้นกลับมามองโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความของเพื่อนๆเด้งขึ้นมาเต็ม หากแต่ไม่มีข้อความของคนที่เขาอยากคุยด้วย



   นี่ก็เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้ทักไปหาหมออีกหลังจากจบทฤษฏีเจ็ดของไอ้สอง ตอนแรกก็คิดว่าหมอจะทักกลับมาแต่กลับไม่มีเลยแม้แต่ข้อความเดียว เขายังคงทักไปต่อหลังจากวันนั้นอีกสองสามวันแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือไม่ตอบเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือไม่อ่าน



   คงต้องเจอตัวจริงๆ


.


   
   เป็นรอบที่สามของเช้าวันนี้ที่ฐานทัพแอบปิดปากหาว เสียงของคณะบดีทำให้เขารู้สึกง่วงเหมือนฟังพระเทศน์ จะแอบไปงีบก็ไม่ได้เพราะต้องอยู่คอยคุมเด็กปีหนึ่งที่เยอะกว่ารุ่นของเขาเกือบครึ่ง เพราะเหตุนี้เขาเลยจำเป็นต้องลงมาช่วยคุมเด็กปีหนึ่งควบคู่กับปีสองตามคำขอร้องจากน้องๆ ทั้งๆที่ความจริงเขาควรจะได้นอนพักผ่อนอยู่ที่หอรอเปิดเทอม



   ไม่เป็นไร…อย่างน้อยก็มีคนง่วงเป็นเพื่อน



   ฐานทัพหันไปมองคินที่หลบมุมไปเฝ้าอยู่แถวหลังสุดแทนแถมแกล้งเนียนนั่งลงไปกับเด็กปีหนึ่งแล้วฟุบหน้าลงไปกับตักของตัวเอง ถึงเขาจะอยากทำแต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะหน้าที่ของเขาตอนนี้คือถือป้ายให้ทุกคนเห็นว่าจุดนี้คือโซนของคณะแพทย์ให้รุ่นน้องที่มาสายหรือมาทีหลังหาคณะเจอ



   ปวดแขนชะมัด



   “ให้กูถือแทนก่อนปะ” ปกป้องที่กำลังเก็บภาพบรรยากาศของรุ่นน้องหันมาถามเพื่อนที่ทำหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์



   “ไม่เป็นไร ถือได้”



   “ไม่ไหวยังไงก็บอก เดี๋ยวไปเรียกไอ้คินให้”



   “ปล่อยให้มันนอนไป”




   เห็นตั้งใจหลับซะขนาดนั้น ไม่รบกวนจะดีกว่า




   หลังจากที่คณะบดีพูดจนเกือบสิบนาทีก็ส่งไม้ต่อให้พิธีกรดำเนินรายการต่อไป ฐานทัพถือป้ายให้สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยหลังจากที่เห็นน้องกลุ่มที่มาสายเริ่มเดินเข้าพร้อมกับกวาดสายตาหาคณะของตัวเอง




   “เราจะให้คนมาสายเข้าไปง่ายๆก็ดูจะใจดีไป” พิธีกรชายพูดขึ้น



   “แล้วเราจะทำยังไงกับคนมาสายดีน้า” พิธีกรหญิงพูดสมทบ




   “เราให้น้องๆแนะนำตัวเองพร้อมบอกคณะดีไหมครับ”



   “ดีเลยค่ะ งั้นขอให้น้องๆที่มาสายทุกคนมายืนเรียงหน้ากระดานนะคะ”



.
   


   เวร…



   บุ๋นได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป นี่มันเรื่องบ้าอะไร แค่มาสายทำไมเขาจะต้องแนะนำตัวให้คนทั้งมหาลัยรู้จักด้วย ปล่อยให้เข้าไปธรรมดาก็ได้ จะทำให้ยุ่งยากทำไมวะ




   โว้ยยยยย!!!



   เสียงแนะนำตัวของคนแรกดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเก้ๆกังๆ เขาหันไปมองพักหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปมองอย่างอื่นแทนเพราะตัวเองอยู่ในลำดับที่แปด กว่าจะมาถึงเขาก็คงหลับพอดี



   หาคณะตัวเองไปพลางๆดีกว่า…



   ซ้ายสุด…พยาบาล



   ข้างๆ…จิตวิทยา




   นั่นไอ้สองนิ…ทำหน้าระรื่นเชียวนะมึง




   ข้างๆ…อุตสาหกรรมเกษตร




   คณะเกษตรศาสตร์อยู่ไหนครับผม




   ยังไม่ทันที่จะกวาดสายตาครบเขาก็ต้องหยุดลงที่ป้ายคณะแพทย์ศาสตร์ที่เด่นหราราวกับรอให้เขาสนใจ เหมือนเวลาหยุดหมุนเมื่อป้ายที่ถืออยู่ลดลงเพราะความเมื่อยของคนที่ถือป้ายเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในชีวิตของบุ๋น




   เชี่ย…




   ตึกตัก ตึกตัก





   หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างกับรอคอยเวลานี้มานานแสนนาน ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่ผู้ถือป้ายของคณะแพทย์ศาสตร์ ไม่ผิดแน่ๆ…เขามั่นใจ




   หมอ…ฐานทัพ




   เหมือนเวลาหยุดหมุนจริงๆเหมือนในสนามกีฬานี้มีเพียงเขาและคนตรงหน้า คนที่เขาเฝ้ามองผ่านทางโลกออนไลน์มาตลอดหนึ่งปี คนที่เขาเฝ้าฝันว่าอยากจะเจอตัวเป็นๆสักครั้ง




   เขาได้เจอแล้ว!!




   สมองมันขาวโพลนไปหมดแม้เสียงรอบข้างจะดังแค่ไหนก็ไม่สะทกสะท้านกับคนที่ยืนจ้องคุณหมอนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์




   เคยได้ยินเพลงนี้ไหมครับ…รักแรกพบ




   แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น…ดวงใจเป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน
   



   บทจะเจอ…ก็เจอง่ายราวกับร่ายมนตร์



   ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเป็นล้านๆเท่า



   เชี่ยเอ้ย…





   อย่ามองมาทางนี้สิโว้ยยยยยยยย!!!




   หลงจนจะเป็นบ้าตายแล้วหมอ ผมกำลังจะหัวใจวายแล้วหมอ!!!




   “นายๆ นาย” ก่อนที่ความคิดจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้แรงสะกิดจากคนข้างๆทำให้เขารู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องแนะนำตัว




   ต้องพูดอะไรบ้างวะ




   “ผม…” บุ๋นสัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองประหม่ามากแค่ไหน มือของเขาเย็นและสั่นเทา




   อย่าตื่นเต้น เขากำลังมองอยู่




   มึงต้องเท่!




   “ผม นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ คณะเกษตรศาสตร์ รหัส 8590001021” พูดจบเขาก็ยื่นไมค์ส่งให้อีกคนเป็นเวลาเดียวกันกับคนที่เขาจ้องมองอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี


   
   ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน





   “กำลังสนใจ หมอครับ!!”





   นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด




   สิ้นเสียงประกาศกร้าวทั่วทั้งงานเงียบสนิทโดยมิได้นัดหมาย บุ๋นเริ่มรู้สึกถึงความชิบหายที่ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาเขาทีละนิด





   เวรเอ้ย…พูดอะไรออกไปวะเนี่ย





   “หมอชื่ออะไร” ดันมีคนบ้าจี้ตะโกนออกมาจากโซนของคณะแพทย์ทำเอาคนที่ยื่นไมค์ไปให้อีกคนถูกส่งไมค์กลับมาที่ตัวเอง





   หมอที่ยืนถือป้ายอยู่นั่นไง!!!




   อยากจะตอบออกไปแบบนั้นแต่ก็ทำได้แค่คิด




   “ไม่บอกครับ”




   “…”




   “หวง เดี๋ยวคนจีบเยอะ”




   อึ้ง…อึ้งหนักกว่าเดิมก็งานนี้ บุ๋นรู้สึกอยากจะมุดหน้าลงไปกับดินตรงหน้า พูดอะไรออกไปวะเนี่ย ความตื่นเต้นมันทำให้สติของเขากระเจิดกระจิงหายไปหมด




   เด่นตั้งแต่วันแรก




   หลังจากที่ตอบออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้มีการคาดคั้นอะไรเกิดขึ้นอีก บุ๋นเดินตามรุ่นพี่ของคณะที่เดินออกมารับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ




   คงได้ยินทั้งคณะแล้วสินะ




   ไม่สิ…ทั้งปีหนึ่งเลยมากกว่า




.


   
   ฐานทัพยกป้ายที่ถืออยู่ให้ขึ้นสูงกว่าเดิมหลังจากที่ได้ยินคำพูดแปลกๆจากปีหนึ่งคณะเกษตรศาสตร์ ทำไมเขารู้สึกเหมือนคนๆนั้นจ้องมองมาที่เขา ตอนแรกก็คิดว่าบังเอิญแต่เอาเข้าจริงๆคนๆนั้นจ้องมองเขาตลอดเวลาที่พูดแทบจะไม่กระพริบตา





   คิดมากไปมั้ง…





   “ไปพักเถอะไอ้หมอ เดี๋ยวกูถือแทน” คินที่ไม่รู้ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เดินมาตบบ่าเพื่อนหลังจากที่แอบงีบหลับไปพักหนึ่ง





   “อืม โอเค” ฐานทัพตอบรับสั้นๆก่อนจะยื่นป้ายให้เพื่อนแทนแล้วเดินไปด้านหลังแถวที่มีปกป้องยืนถ่ายรูปอยู่





   ทำไมรู้สึกเหมือนมีสายตาใครสักคนคอยจับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าว




   แปลกๆ




   “ไง ปวดแขนหรอ” ปกป้องลดกล้องถ่ายรูปลงพร้อมยิ้มให้คนที่กำลังเดินมาหา




   “อืม ว่าจะไปเข้าห้องน้ำ”




   “เออรีบไป เดี๋ยวเขาจะย้ายไปตามจุดแล้ว”




   “โอเค เดี๋ยวมา” ฐานทัพเดินเลี่ยงออกมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่อยู่มากนักแต่กลับต้องเดินเลี่ยงไปอีกทางเพราะแถวต่อห้องน้ำชายยาวผิดปกติ





   เดินเลี่ยงไปอีกทางโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังเดินตามเขามา




   “คนต่อแถวยาวมากเลย เดี๋ยวผมไปอีกทางนึง พี่ไม่ต้องห่วงนะ” บุ๋นหันไปบอกรุ่นพี่ที่เดินมาส่งเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันที่รุ่นพี่จะพูดอะไรขายาวๆก็รีบวิ่งไปตามร่างของคุณหมอที่เลี้ยวหายไป





   เขาจะไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปมากกว่านี้อีกแล้ว




   ฐานทัพเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จ ยังไม่ทันที่ขาทั้งสองข้างจะก้าวออกจากห้องน้ำเขาก็ต้องหยุดลงเมื่อมีร่างของใครอีกคนมายืนขวางหน้าเขาไว้




   “…” เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเชิงถามว่ามีอะไร




   “สะ…สะ…สวัสดี…คะ…คือ” บุ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกช็อตไฟฟ้าด้วยสายตาของคนตรงหน้า เขารู้สึกเหมือนคำพูดที่เตรียมมาหายไปหมดเหลือเพียงสมองที่ว่างเปล่า





   หายไปหมดเลย…





   “ครับ?” ฐานทัพถามออกมาสั้นๆ ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าดูประหม่าเหมือนกับกังวลอะไรบางอย่าง





   “ผม…ผม…”





   “…?”





   “ผม…จะ…เข้าห้องน้ำ!!” ไม่รู้ว่าสมองส่วนไหนที่กลั่นกรองคำพูดประหลาดๆนี้ออกมาทั้งๆที่เขายืนอยู่หน้าห้องน้ำ




   ไอ้บุ๋นเอ้ยยย!!!




   ฐานทัพไม่พูดอะไรเพียงแต่ก้าวไปทางขวาเพื่อให้อีกคนเดินผ่านเข้าไปได้แต่คนที่บอกอยากเข้าห้องน้ำกลับยืนอยู่ที่เดิม




   “เดี๋ยว…เดี๋ยวครับ” บุ๋นรีบเรียกคนที่กำลังจะเดินออกไปให้หยุดฝีเท้าลง




   “…?” ฐานทัพเริ่มงงกับคนตรงหน้า เขาต้องการอะไร




   “บุ๋นครับ”




   “ครับ?”





   “ผมชื่อบุ๋นครับ!!” คนตรงหน้าพูดจบก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำพร้อมกับปิดประตูดังปังทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างนอกยังคงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น




   บุ๋น…บอกทำไม




   บอกเขาทำไม





   ฐานทัพยืนประมวลผลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินออกมาในเมื่อชื่อนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับตัวเขา ถึงเขาจะเห็นว่าคนๆนี้มองเขาตอนแนะนำตัวก็ตาม





   คงเห็นว่าเขาอยู่คณะแพทย์




   กำลังสนใจหมอ




   อืม…



.




   ตึกตัก ตึกตัก




   กิตติกร กิตติกร ใจเย็นๆ…




   ใจเย็น…




   เย็น





   เย็นไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยย!!!!





   “เยสสสสสสสส!!! กูได้เจอหมอแล้ว วู้ฮู้ววววววววว” เขาตะโกนสุดเสียงอยู่ในห้องน้ำของสนามกีฬา





   หัวใจจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว น้ำเสียงของหมอที่เขาได้ยินครั้งแรก แววตาของหมอที่ได้จ้องมอง ท่าทางและกิริยาที่หมอแสดงออกมา




   ทุกอย่างที่เป็นตัวหมอ




   มันดีต่อใจเขามากๆ…มากจนเขาแทบจะคลั่งตาย





   พ่อครับแม่ครับ บุ๋นอยากได้หมอ บุ๋นจะเอาหมอ บุ๋นอยากสู่ขอหมอ!!!!!





   ปังปังปัง!!!





   ก่อนที่ความคิดของเขาจะไปไกลกว่านี้เสียงทุบประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงคุ้นหูของเพื่อนสนิทของเขาที่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างนอก




   “ไอ้สี่ มึงออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้” เสียงของสามตัดทุกจินตนาการที่แล่นอยู่ในหัวของเขา





   ให้กูมีความสุขสักห้านาทีไม่ได้หรือไงวะ





   “อะไร” บุ๋นพยายามทำสีหน้าเคร่งเครียดทั้งๆที่ปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว ไม่เคยรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เท่าวันนี้




   “แมนนะมึงบอกจีบสาวทั่วมอขนาดนี้” สามยิ้มเหยียด “นี่ถ้ากูไม่รีบตามมึงมาป่านนี้มึงคงจับหมอทำเมียแล้วมั้ง”





   “มึงก็พูดไป ยังไม่ถึงขั้นนั้น!!!” ปากปฏิเสธแต่ใจนี้คิดไปไกลถึงแต่งงาน




   “ขั้นไหนกูไม่รู้ แต่มึงต้องไปเข้าแถวแล้ว”




   “เออรู้แล้วน่า”





   “ไปพร้อมกูเดี๋ยวนี้”





   “เอออออออ ไปก็ไป” เขาลากเสียงพร้อมกับวางแขนหนักๆไว้บนไหล่ของเพื่อนสนิทอย่างมีความสุข




   วันนี้ทั้งวันจะให้เขาไปบุกป่าฝ่าดงที่ไหนเขาก็พร้อมจะทำ ให้วิ่งขึ้นดอยลงดอยสิบรอบเขายังทำได้





   แค่ได้เห็นหน้าหมอ




   พอเดินกลับมาถึงโซนคณะก็ถึงเวลาที่เขาต้องแยกย้ายไปตามจุด บุ๋นรับป้ายชื่อจากรุ่นพี่มาห้อยไว้ที่คอแม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจกับชื่อที่รุ่นพี่เขียนให้เท่าไหร่




   ‘บุ๋นจีบหมอ’




   “พี่ มันชัดเจนไปรึเปล่า” เขาพูดพร้อมกับชูป้ายชื่อตัวเองที่คำว่าจีบหมอเด่นกว่าชื่อเล่นของเขา




   “ไม่ชัดเจนหรอก มึงประกาศออกไมค์ขนาดนั้น” รุ่นพี่ที่ห้อยป้ายปีสามยิ้มเยาะ “ว่าแต่มึงจีบหมอปีไหน ปีหนึ่งหรอ”





   “ไม่อะ ปีสาม”




   เชี่ย…หลุดปาก




   “เฮ้ย ไอ้เด็กนี่มันปีนเกลียวว่ะ” รุ่นพี่หันไปสะกิดรุ่นพี่อีกคนก่อนจะชี้มาที่บุ๋นอย่างกับเป็นเรื่องตลก




   “ปีนเกลียวมันสูงมากไหมครับ…ถ้าไม่มาก เดี๋ยวผมปีนขึ้นไปหา” เขาพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร





   ปีนเกลียวไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา




   “กูจะอินถ้ากูเป็นผู้หญิงนะไอ้น้อง” รุ่นพี่อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตบบ่าบุ๋นหนักๆ “สู้ๆว่ะ เด็กเกษตรอย่างเราหนักเอาเบาสู้!!!”





   “แน่นอนพี่ สู้อยู่แล้ว”




   ไม่สู้ได้ไง…ตัวจริงทำใจสั่นขนาดนี้




   ไม่ปล่อยให้หลุดมือง่ายๆหรอก







------------
50%
รู้สึกตกหลุมรักรึยังคะ -/////////-
เกลียดความออกตัวแรงของบุ๋นน
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่ควรเอาไปทำตามเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ
แต่ใครชอบวิธีจีบหมอเจ็ดวันของบุ๋นจะลองเอาไปทำตามก็ไม่ห้ามน้าาา >_<
ปล. คอมเม้นท์แทนกำลังใจ ขอบคุณมากๆนะคะ
ตามไปพูดคุยกันได้ทางFan page : perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun อยากบอกอะไรติดแฮชแท็กได้เลย

#ผมจีบหมอ

จะตามอ่านน้า ^_____________^


หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สาม 100%] 27/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 27-09-2016 18:48:19
.


   ปีหนึ่งเริ่มทยอยเปลี่ยนฐานตามเสียงสัญญาณ บุ๋นที่นั่งเบื่อตั้งแต่ฐานแรกเริ่มหาวออกมาหลังจากที่โดนมาเข้าฐานของคณะตัวเอง ความจริงสำหรับคนอื่นมันน่าสนุกแต่สำหรับเขาความสนุกมันดันอยู่ฐานอื่น




   หวังว่าจะได้ไปฐานของคณะแพทย์




   “ฐานต่อไปฐานอะไรพี่” บุ๋นหันไปถามรุ่นพี่ที่คอยประกบเขาทุกฝีก้าวราวกับต้องการอะไรบางอย่าง




   “ไม่บอก แต่รับรองสนุก” หญิงสาวหน้าตาน่ารักตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “น้อง…บุ๋น?”




   “ครับ บุ๋น” ตอบกลับไปโดยไม่ได้สนใจสายตาของคนข้างๆ




   อยากเจอหมอแล้ว อยากใกล้มากกว่านี้




   คณะของเขาเริ่มเคลื่อนตัวออกไปตามเส้นทางของฐานต่อไป รุ่นพี่ประจำฐานเดินมาดักรอหน้าทางเข้าพร้อมกับแจกผ้าปิดตาให้คนละผืนเพื่อใส่ก่อนเดินเข้าฐาน




   บุ๋นรับผ้าสีดำสนิทมาใส่ไว้ แม้ความตั้งใจของรุ่นพี่จะต้องการให้มองไม่เห็นแต่เขากลับมองเห็นทุกอย่างผ่านผ้าสีดำบางๆที่ไม่ได้หนาเพียงพอที่จะทำให้มองอะไรไม่เห็น




   แกล้งหลับตาก็ได้วะ…




   “ระวังนะ” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นไม่ไกลจากตัวเขา สัมผัสอุ่นๆจากมือของคนที่จับเขาทำให้บุ๋นรู้สึกดีแปลกๆ มือนั้นจับแขนบุ๋นหลวมๆให้เดินไปตามทาง





   “นี่ฐานอะไรครับ” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป




   อยากถึงฐานของหมอเร็วๆ





   “เดี๋ยวก็รู้” คนข้างตัวตอบกลับมาพร้อมกับหยุดเดินทำให้เขาต้องหยุดเดินตามไปด้วย





   ของเย็นๆถูกป้ายลงบนหน้าตั้งแต่หน้าผากถึงแก้ม ถึงจะเดาออกว่ามันคืออะไรแต่สิ่งเดียวที่อยากจะถามคือทำไปเพื่ออะไร





   “เยอะไปละมั้งพี่” คนที่หลับตาอยู่ถามคนตรงหน้าที่ดูจะสนุกกับการป้ายสีลงบนหน้าเขา





   ใครวะ…





   ความอยากรู้ทำให้บุ๋นค่อยๆลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของคนที่กำลังละเลงใบหน้าเขาอยู่ ผ้าสีดำที่โปร่งแสงจนมองเห็นอีกฝ่ายทำให้เขาชะงักตัวลงทันที





   บ้าไปแล้ว





   เล่นตลกชัดๆ…






   นี่มัน…






   หมอฐานทัพ!






   หมับ!!





   มือของบุ๋นไปไวกว่าความคิดเสมอ เขาจับแขนของคนตรงหน้าไว้แน่นโดยที่ไม่รู้ตัวเองว่าทำไปทำไม รู้ตัวอีกทีก็จับไปแล้ว





   “หืม?” คนตรงหน้าดูงงกับปฏิกิริยาของเขา





   “อะ…เอ่อ…ผม…”





   ผมอะไรดีวะ





   “ผม…ผมชอบ…”





   ชอบหมอ!!







   ก็เหี้ยละ…




   “ชอบให้มีสีอยู่บนหน้าเยอะๆ ทาลงมาเลยครับ ทามาเลย!!!!”





   เวรเอ้ย…พูดอะไรออกไปวะเนี่ย





   “อ่อ…ครับ” ฐานทัพดูไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามที่เขาบอก เวลาที่หมอทำหน้างงๆนี่มันใจเต้นฉิบหายเลยว่ะ คนอะไรดูดีทุกอิริยบทขนาดนี้





   เสียงของรุ่นพี่บอกให้ปล่อยน้องเข้ามาในฐานทำให้เวลาแห่งความสุขของบุ๋นจบลง เขาอยากจะถอดผ้าปิดตาเพื่อมองใบหน้าของคุณหมอให้ชัดๆแต่ก็ทำได้เพียงยกมือไหว้ขอบคุณเท่านั้น






   พอเรียงแถวเสร็จเสียงประกาศให้ถอดผ้าปิดตาก็ดังขึ้น บุ๋นรีบถอดผ้าปิดตาออกโดยที่เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้อยู่ที่ฐานของคณะแพทย์





   ชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก





   “ถ้าน้องๆอยากรู้สาเหตุของการเขียนหน้าให้น้องลองไปถามรุ่นพี่ที่เขียนหน้าให้น้องดูนะครับ” เสียงของพิธีกรดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของปีหนึ่ง






   “แล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าใครเป็นคนเขียน” เสียงแจ๋วๆของคนที่นั่งข้างบุ๋นถามกลับ





   “ชื่อรุ่นพี่เขียนอยู่บนหน้าผากน้องๆ อยากรู้คนไหนก็ดูตามป้ายชื่อห้อยคอเลยครับ”





   หน้าผาก…





   งั้นหมายความว่า…





   “เธอมีกระจกปะ” บุ๋นรีบหันไปสะกิดคนข้างๆที่กำลังทำท่าเหมือนควานหาอะไรบางอย่าง





   “ไม่มี แต่เราอ่านให้นายฟังได้นะ”





   “งั้นอ่านเลย” บุ๋นก้มหน้าลงเพื่อให้เธออ่านได้ง่ายขึ้น




   “ฐานทัพ”




   “ของเธอพี่โสภา ขอบใจมาก” บุ๋นตบไหล่เธอสองทีก่อนจะลุกขึ้นตามคนอื่นๆที่เริ่มลุกเดินไปหารุ่นพี่ตามรายชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าผาก





   ไม่รอให้หมอคอยนานในเมื่อเขามองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณหมอยืนอยู่จุดไหน ก็เด่นซะขนาดนั้นเขาจะไม่เห็นได้ยังไง ขาทั้งสองข้างรีบก้าวเข้าไปหาราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป





   “สวัสดีครับ” เขาทักทายคนที่ยืนทำหน้านิ่งๆด้วยรอยยิ้มสดใส





   ทำหน้าแบบไหนก็น่ามอง





   “ครับ” ฐานทัพตอบรับก่อนจะมองใบหน้าของบุ๋นแล้วพูดต่อ “บุ๋น”





   “ครับ บุ๋น จำได้หรอครับ” หัวใจของบุ๋นพองโตขึ้นมาทันทีที่คนตรงหน้าเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก จากชื่อที่โคตรธรรมดาพอหมอเรียกมันทำให้ชื่อเขาดูมีค่าขึ้นมาทันที





   “ป้ายชื่อ” ฐานทัพพูดพร้อมกับชี้ป้ายชื่อที่มีตัวอักษรใหญ่ๆเขียนทำต่อท้ายชื่อไว้





   “อ่อ…ครับ” ไปต่อไม่เป็น หัวใจห่อเหี่ยวลงทันที “พี่…เอ่อ เป็นคนเขียนนี่ใช่ไหม” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้หน้าผากของตัวเองอย่างมั่นใจ





   ฐานทัพคณะแพทย์ศาสตร์มีแค่คนที่ยืนตรงหน้าเขาแค่คนเดียวเท่านั้น!!!




   “รู้ได้ยังไง”




   “ก็ป้าย…อ่าว” เขาถึงกับเหวอเมื่อคนตรงหน้าไม่ได้ห้อยป้ายชื่อเหมือนรุ่นพี่คนอื่นๆ บุ๋นลดมือที่กำลังจะชี้เปลี่ยนเป็นเกาหัว





   “รู้ได้ยังไง” ฐานทัพยังคงย้ำถามคำเดิม




   “ผม…”






   “…” เหมือนคนตรงหน้าจะรอฟังคำตอบซะจนคนที่เตรียมตัวจะแถเริ่มไปไม่เป็น






   “ผมเก่ง”





   เออ…เขาคงเชื่อ





   “หรอ” ฐานทัพยกยิ้ม “สาเหตุที่เขียนหน้าก็เพราะอยากให้รุ่นน้องรู้จักพี่ต่างคณะ เลยให้หารุ่นพี่จากชื่อที่เขียนบนหน้าผาก”





   เขายอมรับเลยว่าสิ่งที่คุณหมออธิบายมาไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเหมือนโดนมนตร์สะกดให้จับจ้องจนลืมสนใจสิ่งรอบข้าง





   “เข้าใจไหม”





   “…”





   “เข้าใจไหม” ฐานทัพย้ำถามคนตรงหน้าที่จ้องมองเขาไม่กระพริบตา





   “ครับ…เข้าใจ” บุ๋นตอบกลับไปแม้ว่าจะจับใจความไม่ได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว ขืนมองหมออยู่แบบนี้เขาไม่เป็นอันทำอะไรแน่ๆ




   “งั้นพูดให้ฟังอีกรอบ”





   “หะ..หา”





   “เมื่อกี้พูดว่าไงบ้าง”





   “เอ่อ…” โถ่เว้ย พูดอะไรบ้างใครจะไปจำได้วะ ก็เขาเล่นมองหน้าหมอจนไม่ได้ฟังอะไรเลยสักอย่าง จะให้บอกความจริงก็ดูจะโรคจิตเกินไป





   “จะเรียกรวมแล้ว”




   “เอ่อ…”





   “ว่าไง” ฐานทัพถามเสียงเข้ม เขารู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาอธิบายเลย ก็แค่อยากจะต้อนให้จนมุมแล้วสารภาพความจริงออกมา





   “โอเค…ผมไม่ได้ฟัง” เขาถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็ต้องยอมรับออกไปตรงๆ





   “ทำไมไม่ฟัง”





   “ถามต่ออีกหรอ” บุ๋นกลืนน้ำลายลงคอ




   โหดจังหมอ





   “ทำไมไม่ฟัง”





   “ผม…” เขาหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสู้หน้าคนตรงหน้าที่จ้องเขาไม่วางตา “ผม…”






   “เรียกรวมแล้ว”





   “ผม…ผมชื่อบุ๋น!!”






   “อะไร” ฐานทัพขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไร”






   “ผมบอกว่าผมชื่อบุ๋น”






   “แล้ว?”





   “ผมชื่อบุ๋น ไปก่อนนะ เรียกรวมแล้ว” เขาแอบยิ้มก่อนจะรีบวิ่งออกมาหนีที่จะตอบคำถามของหมอฐานทัพ





   จะให้บอกได้ยังไงว่าจ้องหมอจนไม่ได้ฟัง






   ดูโรคจิตยังไงไม่รู้





   กิจกรรมฐานคณะแพทย์ได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้รุ่นน้องได้รู้จักรุ่นพี่กันไปแล้ว กิจกรรมของฐานนี้เกี่ยวกับความจำซึ่งบุ๋นได้แต่นั่งมองเพื่อนๆเล่นกันเพราะเขาไม่ถนัดที่จะเล่นเกมส์แนวนี้สักเท่าไหร่ ทำให้เวลาส่วนมากของเขาหมดไปกับการจ้องมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อนของเขา





   พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน…






   เสียงเตือนบอกเหลือเวลาห้านาทีดังขึ้นเหมือนเสียงนาฬิกาที่ปลุกให้เขาตื่นจากความฝัน พิธีกรบอกให้ทุกคนเรียงแถวเหมือนเดิมอีกครั้งก่อนจะสรุปข้อคิดของเกมส์ให้ฟัง






   “เอาล่ะครับ เหลือเวลาอีกสองนาทีมีใครอยากจะพูดอะไรไหม”





   “…”





   เงียบ…






   “ผมครับ” จู่ๆเขาก็ยกมือขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ พอรุ่นพี่เห็นว่าเป็นเขาก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วบอกให้ลุกขึ้น







   “น้องบุ๋นจีบหมอ ว่าไงครับ”





   ก็ว่า…ยิ้มอะไรกัน ที่แท้ก็ยิ้มป้ายชื่อของเขา







   “ผมอยากจะขอเขียนหน้ารุ่นพี่กลับครับ” พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคงทำเอาคนที่ยืนทำหน้านิ่งๆถึงกับขมวดคิ้ว






   “เขียนคนไหนครับ คนที่บุ๋นจะจีบหรอ” พอพิธีกรพูดจบเสียงแซวก็ดังขึ้นยกใหญ่ ใจมันก็อยากจะตอบไปตรงๆว่าใช่แต่ติดตรงที่ไม่กล้า






   ปอดแหก






   “เขียนคนที่เขียนผมครับ” บุ๋นหันไปมองหน้าหมอที่จ้องมองมาที่เขา “ผมรู้จักรุ่นพี่แล้วก็อยากให้รุ่นพี่รู้จักผมบ้าง”






   “อ่ออออ…งั้นเชิญเลยครับ~” พิธีกรผายมือเชิญพร้อมกับเสียงกลองที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ






   บุ๋นเดินแหวกผู้คนตรงไปทางคุณหมอที่ดูจะไม่สนุกด้วยเท่าไหร่แต่เขาไม่สนใจในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้เขาได้เปรียบ อีกอย่าง…โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ







   “ผมชื่อบุ๋นครับ” บุ๋นย้ำอีกครั้งหลังจากที่มายืนอยู่ตรงหน้าหมอฐานทัพแล้ว





   เขารับแก้วสีมาไว้ในมือก่อนที่จะยกมือไหว้รุ่นพี่ด้วยความเคารพก่อนจะจรดพู่กันลงบนหน้าผากเนียนที่ไม่มีแม้แต่สิวสักเม็ด






   “ขอเขียนนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ถึงแม้จะเห็นว่าหน้าของหมอดูไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่บรรยากาศรอบข้างทำให้หมอต้องจำยอมเปิดผมที่ปรกหน้าขึ้นเพื่อให้เขาเขียน






   บุ๋นค่อยๆเขียนลงไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว ใกล้กันเกินไปแล้ว…





   “เยอะไป” ฐานทัพท้วงเมื่อรู้สึกว่ารุ่นน้องจะเขียนหน้าผากเขาจนเละเทะ




   “อีกนิดเดียว จะเสร็จแล้ว” บุ๋นบอกพร้อมกับรอยยิ้มที่เริ่มกว้างขึ้นทุกที




   เสร็จแล้ว…




   “อย่าล้างนะพี่…ผมก็จะไม่ล้างเหมือนกัน” บุ๋นวางแก้วสีไว้บนโต๊ะก่อนจะมองตัวอักษรที่ตัวเองเป็นคนเขียนบนหน้าผากของหมอ





   “เขียนว่าอะไร” ฐานทัพหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ





   “บุ๋น” คนเขียนตอบแทนเพื่อนที่กำลังจะอ้าปากพูด




   “บุ๋น?” ฐานทัพขมวดคิ้วมากกว่าเดิม




   จะเขียนชื่อของตัวเองไว้บนหน้าผากเขาทำไม





   “หน้าผากผมมีชื่อพี่ หน้าผากพี่มีชื่อผม”





   “…”





   “จะได้รู้จักกันไงครับ”






------------- 100%
ขอโทษที่ต้องแบ่งอัพเป็นสองรอบนะคะ พอดีตัวอักษรเกิน งื้อออ T^T
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ รออ่านต่อตอนไปด้วยน้าาาาา
รับรองจะไม่ทำให้ผิดหวังงงงงง ฝากบุ๋นกับหมอฐานทัพไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ค่า เม้นๆกันด้วยน้าาาา -A-

ทักทายพูดคุยกันได้ทาง Fan page : Perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun

#ผมจีบหมอ
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [03: จีบหมอครั้งที่สาม 100%] 27/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 28-09-2016 11:40:08
เย็นๆเจอกันนะคะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [03: จีบหมอครั้งที่สาม 100%] 27/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 28-09-2016 16:26:34
โอ้ยยย ตายยยๆๆๆ น่ารักกกกก บุ๋นนนน  :ling1:
ใครเคะ ใครเมะเนี่ยย เชียร์ บุ๋นเป็นเคะได้ม๊ายยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [04: จีบหมอครั้งที่สี่ 50%] 28/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 28-09-2016 20:36:06
จีบหมอครั้งที่สี่

   บุ๋น เกษตร



   ฐานทัพมองกระจกตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจกับชื่อตัวใหญ่ที่เขียนอยู่บนหน้าผาก ลำพังแค่ชื่อเอาผมลงมาปิดก็ไม่เห็นแล้ว แต่คำว่าเกษตรที่แก้มของเขามันเด่นหราซะจนรุ่นน้องที่เข้ามาในฐานต่างหันมามองอย่างสนใจ บ้างก็คิดว่าเขาเรียนเกษตร บ้างก็คิดว่าเขาเป็นแฟนเด็กเกษตร



   อยากจะลบ



   “อย่าเชียวนะไอ้หมอ น้องเขาบอกว่าไง” หนึ่งในคนคุ้มกันไม่ให้ล้างหน้าเอ่ยเสียงดัง ปกป้องเดินเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะยิ้มนิดๆ “ขำๆ อย่าทำหน้าซีเรียสดิวะ”



   “กูไม่ชอบ”



   “เออกูรู้ แต่นานๆทีจะได้ทำอะไรแบบนี้ ปล่อยไปสักวันเถอะ” ปกป้องตบบ่าเพื่อนตัวเองแม้ในใจจะเริ่มรู้สึกตะหงิดๆกับสายตาของรุ่นน้องที่เขียนหน้าเพื่อนของเขา




   สายตาแบบนั้นมันคือสายตาของผู้ชายเวลามองกันหรอวะ…



   “เดี๋ยวจะเรียกรวมที่สนามอีกรอบแล้ว มึงจะอยู่ยันเลิกปะ”



   “อยู่ก็ได้”




   “ดีครับเพื่อน เป็นคำตอบที่ดี” ปกป้องหัวเราะก่อนจะกอดคอเพื่อนที่ทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เดินออกมาจากห้องน้ำ




   “ทำหน้าเป็นตูดเลยนะไอ้หมอ” คินที่เก็บอุปกรณ์อยู่หันมาแซวคนที่กำลังเดินเข้ามา




   “มันเซ็งที่ไม่ได้ล้างหน้า” ปกป้องตอบแทนก่อนจะเดินไปช่วยเพื่อนเก็บของอีกแรง




   “ตามนั้น” ฐานทัพไม่มีอะไรจะพูดต่อ เขาเดินไปช่วยเพื่อนเก็บของก่อนจะเคลียร์สถานที่ให้สะอาดเหมือนปกติ



   ไม่ล้างก็ไม่ล้าง


.


   เสียงประกาศเรียกรวมดังขึ้นทั่วมหาวิทยาลัย ปีหนึ่งจากคณะต่างๆเริ่มทยอยกันเรียงแถวกลับเข้ามาในสนามกีฬาอีกครั้งเพื่อร่วมกันปิดงานวันแรกพบ บรรยากาศช่างเอื้อเฟื้อจากตอนกลางวันที่แดดสาดส่องไปทั่วทุกสารทิศในตอนนี้กลายเป็นลมเย็นๆที่พัดมาเป็นระลอกให้คนที่อยู่ภายในสนามกีฬารู้สึกผ่อนคลาย



   บุ๋นเดินนำแถวเข้ามาในสนามกีฬาโดยมีรุ่นพี่เดินตามมาติดๆ สายตาของเขากวาดหาป้ายชื่อของคณะตัวเองโดยไม่ลืมที่จะมองหาป้ายของอีกคณะ



   นั่นไงเกษตรศาสตร์!




   เขาเดินตรงดิ่งไปที่ป้ายชื่อคณะที่มีคนถือป้ายไว้ให้เป็นระเบียบก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับป้ายคณะแพทย์ที่ถูกคณะสัตวแพทย์คั่นกลางคณะของเขา




   จะคั่นไว้ทำไมวะ




   ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในหัวทันทีที่เขาใกล้จะถึงป้ายคณะของตัวเอง บุ๋นเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกสองคณะยังไม่ได้เดินเข้ามาในสนามกีฬา




   เสร็จบุ๋น!!!




   “พี่ครับๆ” บุ๋นเดินตรงเข้าไปหารุ่นพี่ที่ถือป้ายคณะของตัวเองด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สต๊าฟกลางบอกว่าคณะเรากับคณะสัตวแพทย์ต้องสลับที่กันครับ”




   “หืม? ทำไมวะ” รุ่นพี่ที่ยืนถือป้ายอยู่โดดเดี่ยวถามกลับมาก่อนจะก้มลงมองป้ายชื่อของบุ๋นที่เขียนตัวอักษรไว้เด่นหรา “คนที่บอกคือตัวมึงเองรึเปล่า”




   “รู้ทัน” บุ๋นยิ้มรับ “ช่วยหน่อยดิพี่ หลังจากงานนี้ก็ไม่รู้จะมีงานไหนได้เจอกันแบบนี้อีก”




   รุ่นพี่คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันไปมองคนถือป้ายคณะสัตวแพทย์ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสะกิดคนที่ยืนทำ
หน้าตาซื่อๆ




   “มึง เปลี่ยนที่กับกูดิ้”



   “คะ…ครับ?”



   “เออมึงไม่ต้องงง เปลี่ยนที่กัน”



   “แต่ผม…”



   “มึงไม่ต้องแต่ กูบอกเปลี่ยนก็เปลี่ยนดิ”



   “เอ่อ…ครับ”



   “แล้วห้ามบอกใครว่าแอบเปลี่ยนที่ ไม่งั้นมึงเจอ” เขาชี้หน้าคาดโทษคนที่ดูไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่ก่อนจะย้ายไปยืนอยู่ที่จุดของคณะสัตวแพทย์แทน




   “ขอบคุณพี่ แต่ว่าพูดแบบนั้นจะไม่เป็นไรหรอ” บุ๋นเดินไปอยู่ที่จุดใหม่ก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆที่พึ่งเดินตามมา



   “ว่าที่เมีย ไม่ต้องกลัว” รุ่นพี่ยักคิ้วก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคนที่มองมาพอดี



   “อ่อ อย่างนี้นี่เอง” เขาพึ่งเข้าใจก็ตอนนี้ ก็งงว่าทำไมคนเจอกันครั้งแรกถึงพูดเหมือนสนิทกันมานาน ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง




   คงเป็นเพราะบุ๋นหันไปมองทำให้เจ้าตัวที่มองมาถึงกับหลบสายตามองไปอีกฝั่งทันที




   “หวังสูงก็ขอให้ได้ตามที่หวัง” รุ่นพี่ตบบ่าก่อนจะพูดต่อ “หมอเดินมานู่นแล้ว”




   “ครับ”




   บุ๋นรีบหันไปตามที่รุ่นพี่บอก แถวของคณะแพทย์เริ่มเดินเรียงกันเข้ามาพร้อมกับรุ่นพี่ที่คอยประกบราวกับกลัวว่าน้องๆจะเป็นอันตราย เขาค่อยๆไล่สายตาตามระยะทางที่ค่อนข้างไกล มองจากตรงนี้ยังไม่เห็นเลยว่าหมออยู่ไหน




   หรือว่ากลับไปก่อน




   ไม่ได้นะ!!! เขาไม่ได้ขอเปลี่ยนที่เพื่อที่จะพลาดโอกาสหรอกนะ




   ต้องอยู่สิวะ…




   “มองขนาดนั้นมึงไม่ถอดจิตไปเลยล่ะ” รุ่นพี่อดไม่ได้ที่จะแขวะท่าทางของบุ๋นที่ดูสนใจคณะแพทย์จนออกนอกหน้า




   “ทำได้ทำแล้ว” ตอบกลับแต่ไม่ได้หันไปมองหน้าคู่สนทนา




   อยู่ไหนวะหมอ




   ปีหนึ่งเริ่มเข้ามาจนเกือบครบทุกคณะ เขายังคงมองคณะแพทย์ที่เดินเข้ามานั่งข้างๆเขาแต่ก็ยังไม่เห็นใครนอกจากรุ่นเดียวกัน




   “อยู่ไหนวะ” บุ๋นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงพิธีกรที่เริ่มกิจกรรมยามเย็น




   “เลิกมองแล้วนั่งหลังตรง” เสียงของรุ่นพี่อีกคนดังขึ้นทำเอาคนที่เหลียวหลังจนคอแทบเคล็ดถึงกับรีบหันหน้ากลับมาตามคำสั่ง




   เสียงพิธีกรไม่ได้ทำให้บุ๋นรู้สึกสนุกไปกับกิจกรรม ตลอดเวลาเขาพยายามหันมองซ้ายขวาเท่าที่ตัวเองจะทำได้แม้จะโดนเพ่งเล็งจากสายตารุ่นพี่บางคนก็ตาม



   ไม่เจอจริงๆหรอวะ…



   “วันนี้กิจกรรมเป็นยังไงบ้างครับ” ไมค์โครโฟนถูกจ่อมาตรงหน้าคนที่กำลังเหลียวหลัง บุ๋นถูกสะกิดให้หันกลับมาพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่เขา



   อะไรกับกูนักหนาวะเนี่ยยยย!!!



   “อะไรนะครับ ขอคำถามอีกรอบ” ถึงจะไม่ชอบที่โดนถามแต่ก็ต้องยิ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมื่อทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา




   “วันนี้กิจกรรมเป็นยังไงบ้างครับ ชอบฐานไหนเป็นพิเศษ”




   “อ่อ…สนุกดีครับ ได้รู้จักเพื่อนๆเยอะดี” เขายิ้มนิดๆก่อนจะพูดต่อ “ชอบฐาน(ทัพ)คณะแพทย์ครับ” อยากจะพูดออกไปว่าจริงๆชอบอะไรแต่ก็ทำได้แค่ตอบอ้อมๆ




   ยังไม่กล้าพอ




   “อ่อ ชอบฐานคณะแพทย์หรอครับ” พิธีกรพูดพร้อมกับมองป้ายของเขา “ที่ชอบเพราะคนที่ชอบอยู่คณะแพทย์รึเปล่าครับ”




   เสียงฮือฮาดังขึ้นหลังจบคำถามของพิธีกร บุ๋นได้รับความสนใจมากกว่าเดิมจนเขาเองเริ่มรู้สึกเกร็งกับสถานการณ์




   “ครับ ใช่” ตอบกลับไปแมนๆ




   จะแก้ตัวอะไรได้อีก ป้ายชื่อบอกซะขนาดนี้ ไม่ต้องรู้จักแค่เห็นป้ายก็รู้ว่าเขาชอบคณะอะไร




   “เอาใจช่วยนะครับ” พิธีกรพูดพร้อมทำท่าจะเดินไปที่คณะอื่นแต่ก็ชะงักตัวลง สายตาทอดมองไปยังฝั่งคณะแพทย์ก่อนจะพูดขึ้น “ข้างหลังมีอะไรรึเปล่าครับ”



   ข้างหลัง…




   บุ๋นค่อยๆหันหลังกลับไปพร้อมกับหลายๆคน




   หมอ

.


   “คิน!!” ฐานทัพเรียกชื่อเพื่อนเสียงดุเมื่อคินกระโดดเรียกร้องความสนใจจากพิธีกรแล้วชี้นิ้วมาที่เขาอย่างสนุกสนาน



   “มันคู่กันครับ” คินพูดไปหัวเราะไปก่อนจะเอื้อมมือมาเปิดผมที่ปรกตรงหน้าผากของฐานทัพให้ทุกคนเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่




   ไอ้คิน…



   ฐานทัพพร้อมที่จะพ่นคำด่าออกมาสารพัดแต่เขาได้แค่คิดเมื่อจู่ๆพิธีกรก็เดินตรงมาที่เขาพร้อมกับพูดออกไมค์เสียงดัง



   อืม…งานเข้า



   “มีสีเขียนที่หน้าเหมือนกันเลยนะครับ” พิธีกรพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



   “ครับ” ฐานทัพตอบกลับนิ่งๆ



   รีบๆไปเถอะ




   “เอ…หรือว่าจะเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ครับ!!!!”




   เสียงวี้ดวิ้วดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่แซวของพวกเพื่อนๆเขาที่ดูสนุกกับท่าทางของฐานทัพที่ดูจะไม่ตลกด้วยสักเท่าไหร่ เขาถอนหายใจหนักๆก่อนจะมองตรงไปยังคนนั่งหน้าสุดที่หันมายิ้มอย่างกับเป็นเรื่องดี




   “อยากรู้ต้องเชิญเขาขึ้นมาถามครับ” คินใส่ไฟเพิ่ม




   “ถ้าอย่างนั้น…โอ้ ลุกขึ้นมาแล้วครับ” พิธีกรบ้าจี้ตามคำพูดของคนที่กำลังสนุก




   ไม่รอให้พิธีกรพูดจบบุ๋นเด้งตัวลุกขึ้นอย่างกับรู้ว่าต้องทำอะไร ขาทั้งสองข้างก้าวตรงไปหาคุณหมอที่เริ่มขมวดคิ้วใส่เขา บุ๋นไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่



   เหมือนร่างกายมันขยับไปเอง



   “ชื่อบนหน้าผากหมายความว่ายังไงครับ” พิธีกรยิงคำถามใส่ทันทีที่เขามายืนขนาบข้างหมอที่มองหาตั้งแต่เข้าสนาม



   “ก็ชื่อครับ” บุ๋นตอบแทนเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากตอบ



   ถึงสถานการณ์ตอนนี้เขาเองจะไม่ชอบสักเท่าไหร่แต่มันก็ดีที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับหมอฐานทัพมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ที่ทุกคนหันมามองเขาทั้งสองเป็นตาเดียวเหมือนกับงานแต่งงานที่มีบาทหลวงกำลังอ่านคำมั่นสัญญา


   
   ‘คุณจะรับนายฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ เป็นคู่ชีวิต จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขหรือไม่’



   ‘รับครับ’



   
   “บุ๋น” เสียงของหมอทำให้เขาดึงสติกลับมาก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคนที่ตอนนี้เปิดผมขึ้นเผยให้เห็นชื่อเขาเด่นหรา




   ไม่ลบจริงๆด้วย…ขอบคุณครับ




   “ครับ?”




   “ถ่ายรูป” ฐานทัพพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กล้องตัวใหญ่ของตากล้องที่มาเก็บภาพบรรยากาศในงานวันแรกพบ




   “ได้ครับ” เขารีบตอบรับทันที




   เข้าทาง!




   บุ๋นขยับเข้าไปใกล้คุณหมอที่เขยิบออกห่างเพื่อให้ได้รูปที่สวยงามตามความต้องการของตากล้องและของเขาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา




   “ไหนๆก็ไหนๆแล้วพี่”




   “อะไร”




   “เซลฟี่กัน” เขายิ้มกว้าง ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบตกลงเขาก็กดเปิดกล้อง “มองกล้องนะ”




   “…”



   ฐานทัพตกอยู่ในสถานะจำยอมอีกครั้ง เขามองกล้องของคนที่ยืนยิ้มจนแก้มจะปริด้วยสีหน้านิ่งๆพร้อมกับเสียงกล้องที่ดังขึ้น



   แชะ!



   “ทำไมทำหน้าบึ้งอะพี่…อีกรูปนะ” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น




   “ไม่ถ่าย แค่นั้นพอ” ฐานทัพตอบก่อนจะดันโทรศัพท์ของบุ๋นออก “กลับไปนั่งที่”




   “โห่…” เขาพึ่งรู้ตัวว่าพิธีกรเดินออกไปแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้อีกทีก็ตอนที่มองไปรอบๆ ตอนนี้เขายืนอยู่ในโซนของคณะแพทย์โดยที่มีรุ่นพี่คณะเขากวักมือเรียกให้กลับไปนั่งที่



   “ไว้เจอกันใหม่นะครับ” บุ๋นทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง




   เขาโชคดีที่ทุกอย่างเป็นใจราวกับจัดวางไว้



   โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาถูกเพ่งเล็งจากรุ่นพี่คณะเกษตร…



.




   กิจกรรมจบลงหลังจากที่ประธานกล่าวขอบคุณ ปีหนึ่งจากทุกคณะถูกปล่อยออกจากสนามในเวลาพร้อมกันทำให้คนเดินไปออกันที่ประตูเป็นจำนวนมาก บุ๋นยืนรอเพื่อนทั้งสามคนอยู่ที่กลางสนามเพื่อรอที่จะกลับหอพักของมหาวิทยาลัยที่พึ่งย้ายเข้ามาเมื่อไม่กี่วัน



   “ไงมึง” หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนักๆที่เอื้อมมาผลักหน้าผากคนที่ยืนยิ้ม




   หมั่นไส้สี่




   “ยิ้มร่าเลยนะ” หนึ่งอดไม่ได้ที่จะแขวะท่าทางของเพื่อนสนิท “รู้กันทั้งมอแล้วว่าจะจีบหมอ”



   “เออ เซ็ง” บุ๋นตอบกลับก่อนจะยกมือโบกเรียกเพื่อนอีกสองคนที่กำลังมองหาเขาอยู่



   สองกับสามเดินมาสมทบด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้าเต็มที เขาทั้งสี่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นรอให้ผู้คนในสนามทยอยออกไปจนเกือบหมดเพราะไม่อยากจะเข้าไปเบียด




   เหนื่อยมาทั้งวัน



   “กลับหอไปกูอาบน้ำคนแรกนะ” สองพูดขึ้นพร้อมกับถอดป้ายชื่อที่คล้องคอออกวางไว้ข้างตัว




   “กูคนที่สอง” สามพูดต่อ




   “กูคนสุดท้ายก็ได้” บุ๋นตบท้าย




   “เออ กูมันคนนอก” หนึ่งหันมามองทั้งสามคนก่อนจะถอนหายใจ




   ทุกคนได้อยู่ด้วยกันหมดยกเว้นเขาเพราะคณะของเขามีหอพักนักศึกษาสัตวแพทย์แยกอีกฝั่งหนึ่งอยู่ห่างจากหอในของเพื่อนอยู่มากพอสมควร ทิศเหนือกับทิศใต้ ทั้งๆที่อยากจะไปอยู่ด้วยกันแต่เพราะกฏของปีหนึ่งที่ต้องอยู่หอในมหาวิทยาลัยทุกคนทำให้เขาต้องยอมรับกับกฏที่มีมานาน



   “เออไอ้สี่” เสียงของสองเรียกความสนใจจากคนที่เงยหน้ามองท้องฟ้าให้กลับมามองหน้าเขา “วันนี้กูว่ามึงแสดงออกเยอะไป”



   “ยังไงวะ”



   “มึงเป็นปีหนึ่ง ที่มึงออกตัวแรงเรื่องจีบหมอ” สองหันมามองหน้าเพื่อนสีหน้าจริงจัง “บางคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องสนุกแต่กับบางคนอาจจะไม่”



   “หรอวะ…” บุ๋นลากเสียงอย่างไม่เข้าใจนัก



   “การเป็นจุดสนใจมันไม่ดีไปทุกอย่างหรอก กูเตือนด้วยความหวังดี”



   “อืม กูก็เห็นด้วย” หนึ่งพูดเสริม “กูว่ามึงควรออกตัวน้อยกว่านี้หน่อย”




   “กูไม่ได้อยากทำ…แต่ เฮ้อ” บุ๋นถอนหายใจยาว ถ้าเขาไม่หลุดปากพูดว่ากำลังสนใจหมอก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นและคงไม่มีใครรู้ว่าเขารู้สึกอะไรกับใคร




   แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาได้ใกล้ชิดหมอมากขึ้น




   “กูเข้าใจ…แต่มึงต้องระวังมากกว่านี้” หนึ่งตบบ่าคนข้างๆ “การโดนเพ่งเล็งตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมมันไม่สนุกเลยว่ะ”




   “อืม กูก็คิดงั้น”




   “…”




   “แต่ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ…กูพร้อมจะรับผิดชอบ”




   หลังจากนี้ต่อไปคงต้องระวังมากกว่านี้




   มากกว่านี้…



.


   ตุ้บ!!




   ถุงขยะถุงสุดท้ายถูกโยนกองรวมกันหลังจากที่เคลียร์ลานกิจกรรมรวมทั้งขยะในสนามกีฬาหมด ฐานทัพจอดรถจักรยานลงก่อนจะ
ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนที่ห่างออกมาจากที่ทิ้งขยะอยู่หลายเมตร รอบสุดท้ายที่เขาปั่นเอาขยะออกมาทิ้งและตอนนี้งานทุกอย่างจบลง


   เหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าทำให้สีที่เขียนอยู่เลือนลางจนดูไม่ออกว่าเขียนคำว่าอะไร เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกไว้ขึ้นมาเช็ดพร้อมกับถูสีที่อยู่บนใบหน้าออกให้หมด ความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้เขาอยากจะนอนลงไปตรงนี้ ไม่มีแรงที่จะปั่นจักรยานกลับหอนักศึกษาแพทย์



   มันคงจะดีกว่านี้ถ้าตอนนี้เขาอยู่กับคินไม่ก็ปกป้องแต่เพื่อนทั้งสองคนกลับไปก่อนเขาเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วเพราะมีนัดไปฉลองต่อส่วนฐานทัพเองเลือกที่จะกลับหอเพราะเขาไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืนสักเท่าไหร่และพลังงานในร่างกายของเขาเหลือน้อยเกินกว่าที่จะคิดไปไหนต่อ



   อยากกลับไปที่ห้องไวๆ



   เขาหยิบผ้าปิดปากขึ้นมาสวมอีกครั้งเมื่อเห็นว่ารถขยะกำลังขับมาใกล้กับจุดที่เขาทิ้งขยะ ยังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็ต้องรีบลุกขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นออกไปเพื่อเลี่ยงกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์



   อดทนอีกนิดเดียวก็จะถึงหอพักแล้ว



   ฐานทัพปั่นจักรยานไปตามทางผ่านรุ่นน้องที่เดินกลับหอกันเป็นกลุ่มก็นึกถึงตัวเองเมื่อสองปีก่อนตอนที่เขาเป็นปึหนึ่งใหม่ๆ ช่วงนั้นเขาแทบจะไม่รู้จักใครเลยเพราะไม่ได้เป็นคนช่างพูดแต่โชคดีที่มีคินกับปกป้องเข้ามาคุยด้วยจนสนิทกันถึงปัจจุบัน คิดแล้วก็อดเสียดายที่ปีหน้าเขาจะต้องย้ายไปอยู่หอพักในโรงพยาบาลและคงไม่ได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศมหาวิทยาลัยเหมือนตอนนี้




   “พี่ๆ เห้ยพี่!!!” เสียงๆหนึ่งตะโกนดังลั่นทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆถึงกับเบรกแทบไม่ทัน ฐานทัพหันไปขมวดคิ้วใส่เจ้าของเสียงและยิ่งต้องขมวดคิ้วมากกว่าเดิมเมื่อคนที่เรียกเขาคือปีหนึ่งที่กวนเขาตอนฐานคณะ




   “ใช่พี่จริงๆด้วย…จำผมได้ปะ” บุ๋นรีบเดินเข้าไปหา “เราเจอกันหน้าเซเว่นไงพี่ ผมว่าแล้วผมจำพี่ได้” เขารู้สึกดีใจอย่างกับถูกหวย




   ฐานทัพมองคนตรงหน้าที่ยังไม่เช็ดชื่อของเขาออกก่อนจะมองคนๆนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คนอะไรถอดรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่า




   “ผมขอกลับด้วยดิพี่…พี่จะไปหอในชายใช่ปะ”




   หืม…ไปทำไมหอในชาย




   “พอดีผมเดินมาส่งเพื่อนน่ะมันเดินมาคนเดียวแล้วรูมเมทผมมันก็กลับหอกันไปแล้ว” บุ๋นพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “แต่ถ้ารบกวนไม่เป็นไรนะพี่”




   เขาไม่อยากจะบังคับหรือขอร้องให้ใครทำอะไรที่ไม่อยากทำ



   “อืม” ฐานทัพตอบสั้นๆแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้บุ๋นขึ้นมาซ้อนท้ายจักรยานของเขา




   “ได้หรอพี่!” เขาพูดเสียงดัง รอยยิ้มของบุ๋นเวลาดีใจดูมีเสน่ห์จนทำให้ฐานทัพหยุดมองไปพักหนึ่ง




   “…” ฐานทัพพยักหน้าอีกครั้ง เขาเหยียดขาทั้งสองข้างลงให้คนที่ขึ้นมาซ้อนท้ายนั่งได้สะดวกก่อนจะค่อยๆปั่นออกไป




   “ขอบคุณมากนะพี่ ถ้าผมไม่คุ้นพี่ผมคงเดินเท้าเปล่าแบบนี้กลับหอแน่ๆ”




   ฐานทัพอยากจะถามกลับถึงเรื่องรองเท้าแต่เขาก็หยุดความคิดไว้เท่านั้น ถามไปทำไมในเมื่อเขาไม่ได้คิดสนใจ




   “ผมโดนรองเท้ากัด เจ็บมาก” พอเห็นว่าคนปั่นเงียบคนซ้อนเลยพูดต่อเพื่อให้บรรยากาศไม่อึดอัดจนเกินไป




   ลมเย็นๆกระทบใบหน้าของเขาทั้งสองคนท่ามกลางไฟสีส้มของมหาวิทยาลัยในตอนกลางคืนที่สว่างทอดยาวไปจนสุดสายตา บุ๋นยกมือที่ว่างขึ้นมาจับชายเสื้อของฐานทัพเบาๆเพื่อทรงตัวก่อนจะมองบรรยากาศรอบข้าง




   “วันนี้ผมไม่เจอพี่เลย พี่ไม่ได้อยู่คณะเกษตรเหมือนผมหรอ”




   “เปล่า” ฐานทัพตอบกลับ




   “อ่าวหรอ” บุ๋นเอ่ยเสียงอ่อน “ผมก็นึกว่าพี่อยู่เกษตรเหมือนผม ตอนนั้นเห็นพี่ที่เซเว่นหน้าคณะ”




   “เปล่า” ฐานทัพตอบกลับอีกครั้งก่อนจะเร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิม




   แทนที่เขาจะได้กลับไปอาบน้ำนอนเขาต้องมาปั่นจักรยานอ้อมมหาลัยเพื่อไปส่งปีหนึ่งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากรู้จักและอยากพูดคุย




   “วันนี้ผมเจอทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี” บุ๋นยังคงพูดต่อ “ว่าแต่พี่ชื่ออะไร?”




   “…” ฐานทัพเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ




   “ผมชื่อบุ๋นนะ เวลาเรียกต้องปรือปากเรียก บุ๋นนนน~” เขาทำเสียงตลก “ไม่ตลกหรอพี่”




   “ไม่” ฐานทัพตอบกลับมานิ่งๆแต่ภายใต้ผ้าปิดปากกลับมีรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น




   แม้จะไม่เข้าใจในตัวเองแต่ขาทั้งสองข้างมันก็ปั่นพาเขาทั้งสองมาจนถึงหอพักชายตามที่คนซ้อนเข้าใจว่าอยู่หอใกล้กัน




   “ขอบคุณมากนะพี่” บุ๋นรีบลงจากรถทันทีที่ถึงหน้าหอพัก เขาปวดระบมเท้าไปหมดทั้งๆที่ตอนร่วมกิจกรรมไม่ได้รู้สึกปวดขนาดนี้แท้ๆ




   “แช่น้ำอุ่นจะดีขึ้น” ฐานทัพพูดพร้อมกับก้มลงมองเท้าของบุ๋นที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นดินตามข้างทาง



   “ขอบคุณครับ” บุ๋นวางรองเท้าลงก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า เขาเตรียมตัวจะวกรถกลับแต่เสียงของบุ๋นขัดขึ้นก่อน




   “อ่าว…พี่ไม่ได้อยู่หอข้างผมหรอ”




   “เปล่า”



   “แล้วอยู่ไหน…เออ ตกลงพี่ชื่ออะไร”



   “ดึกแล้ว ไปละ” ฐานทัพเลี่ยงที่จะตอบคำถามก่อนจะปั่นจักรยานออกจากหอในชายอย่างรวดเร็ว



   สิ่งเดียวที่เขาสงสัยคือ…คนๆนี้จำไม่ได้จริงๆว่าเขาคือใครหรือแกล้งจำไม่ได้ทั้งๆที่ตอนฐานคณะพูดกับเขาตั้งหลายประโยค




   อืม…แปลก






----------- 50%
ขอโทษที่ต้องแบ่งลงนะคะ เนื้อหาเยอะมากจริงๆ T_T
ใครยังติดตามอยู่คอมเม้นท์บอกกันหน่อยได้ไหมมมม
รู้สึกเหมือนคุยคนเดียวทุกวันเลย55555555

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ รอดูกันต่อไปว่าจะเป็นยังไง
ลุ้นเนอะะ : )

ติดตามพูดคุยกันได้ทางFan page : Perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun

#ผมจีบหมอ  เข้าไปส่งกันได้น้าาาาาา

ฝากติดตามด้วยนะคะ >______<
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [04: จีบหมอครั้งที่สี่ 50%] 28/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: mmdzcg ที่ 28-09-2016 22:04:34
ทำไมรู้สึกหมอหล่อ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [04: จีบหมอครั้งที่สี่ 100%] 29/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 29-09-2016 18:18:12


   ฟ้ายังไม่สว่างเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น บุ๋นพลิกตัวกลับมาปิดเสียงก่อนจะยันตัวขึ้นอย่างจำใจตื่น วันนี้เป็นวันแรกพบคณะเกษตรศาสตร์ซึ่งรุ่นพี่นัดรวมที่คณะก่อนเจ็ดโมง หลังจากที่ได้พักเหนื่อยจากงานแรกพบมหาลัยไปหนึ่งวันเต็ม



   บุ๋นลงจากที่นอนชั้นสองที่มีสองนอนอยู่ชั้นล่างกับสามที่เอาหัวเตียงหันมาชนกับเตียงของเขา วันนี้เป็นอีกวันที่เพื่อนทั้งสองคนไม่ต้องไปร่วมกิจกรรมมีก็แต่เขาที่โดนนัดแต่เช้า



   ขี้เกียจ



   ทางเดินไปห้องอาบน้ำเงียบสนิทราวกับว่าทั้งหอมีแค่เขาคนเดียวที่อยู่คณะเกษตร บุ๋นเดินตรงไปที่ห้องน้ำก่อนจะจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง



   “กูไปก่อนนะ” เขาพูดเสียงเบา ทั้งๆที่รู้ว่าอีกสองคนยังไม่ตื่นแต่เขาก็ต้องบอกเหมือนติดเป็นนิสัยตั้งแต่เข้าหอในมา


   ง่วง



   บุ๋นเดินลงมาจากหอเหมือนโดนถอดวิญญาณ เขายังรู้สึกปวดเท้าไม่หายหลังจากวันแรกพบมหาลัย ถึงจะเอาเท้าแช่น้ำอุ่นแต่มันก็ดีขึ้นนิดเดียวเพราะเขาต้องมาร่วมกิจกรรมต่อ



   ถ้าหนีบแตะได้หนีบแล้ว



   ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นตามเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ บุ๋นเดินมาตามทางไปคณะพร้อมกับอ้าปากหาวไม่หยุด เขาง่วงนอนเกินกว่าที่จะร่าเริงได้



   เมื่อคืนไม่น่านอนดึก



   มาถึงคณะก็พบกับเพื่อนที่อยู่ในชุดเดียวกับที่เขาใส่ เสื้อยืดสีดำสกรีนลายคณะเกษตรกับกางเกงยีนส์สีเข้มรองเท้าผ้าใบสีดำสนิท บุ๋นเดินไปที่จุดลงทะเบียนก่อนจะเซ็นชื่อพร้อมกับบอกชื่อเพื่อเขียนป้ายชื่อ



   “ขอบคุณครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆพร้อมรับป้ายชื่อขึ้นมาห้อยคอแล้วเดินเลี่ยงออกไปยังจุดที่มีเพื่อนนั่งรวมกันอยู่



   “สวัสดี” น้ำเสียงเข้มของผู้ชายร่างใหญ่เอ่ยทัก ใบหน้าไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏแต่ดูเป็นมิตร “นั่งดิ” เขาพูดพร้อมกับขยับที่ว่างข้างๆให้คนที่ใกล้จะตาปิดได้นั่ง



   “ขอบคุณ” บุ๋นตอบรับก่อนจะสอดตัวลงไปนั่งข้างๆ



   “กูชื่อเดช มึงชื่ออะไร” คนตัวใหญ่หันมาถามอย่างสนใจ



   “บุ๋น” เขาพูดพร้อมกับชูป้ายชื่อก่อนจะหาวออกมาอีกครั้ง



   “เออยินดีที่ได้รู้จัก”



   “เหมือนกัน” บุ๋นตบบ่าคนข้างๆก่อนจะฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะยาว “ของีบสักสิบห้านาทีนะ”




   “อย่าหลับ เดี๋ยวรุ่นพี่มาเห็น” เดชพูดพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของบุ๋นไว้ไม่ให้เจ้าตัวฟุบลงไป




   “เห็นแล้วไงวะ” บุ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ



   “มึงไม่รู้หรือไงว่าคณะเรารับน้องยังไง”



   “ไม่”



   “SOTUS” เดชเน้นคำหนักๆก่อนจะหันไปมองฝั่งที่มีรุ่นพี่ยืนอยู่เป็นกลุ่ม “ถ้าไม่อยากซวยตั้งแต่วันแรกก็อย่าหลับ”



   “เออ…ก็ได้” เขาเอ่ยเสียงยาน



   หลับในก็ได้วะ…



   “ปีหนึ่ง ตั้งแถว!!!” เสียงประกาศกร้าวดังขึ้นพร้อมกับรุ่นพี่ในชุดช้อปสีเขียวเข้มเดินเรียงกันเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ



   “เฮ้ออออ” คนที่ตั้งใจจะหลับในถอนหายใจเบาๆก่อนจะลุกขึ้นไปเรียงแถวตามที่รุ่นพี่บอก



   แม้จะยังไม่ถึงเวลานัดแต่จำนวนของปีหนึ่งที่มาก็เยอะจนเป็นที่น่าพอใจสำหรับรุ่นพี่ หนึ่งในพี่ว๊ากเดินไปรอบๆแถวของปีหนึ่งช้าๆก่อนที่สายตาจะสะดุดกับคนๆหนึ่งที่เขาเล็งไว้เป็นพิเศษ



   “แถวสามตอนหก ลุกขึ้น!!!” น้ำเสียงดุดันเอ่ยพร้อมกับนิ้วที่ชี้ตรงมาที่บุ๋น



   “ครับ?” บุ๋นชี้ตัวเองอย่างงงๆ จากที่ง่วงนอนพอโดนชี้ตัวกลับหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง



   อะไรอีกวะ




   บุ๋นได้แต่คิดในใจก่อนจะดันตัวลุกขึ้นตามคำสั่งของรุ่นพี่ว๊าก เขายืนตรงก่อนจะมองไปที่คนเรียกเหมือนต้องการถามเป็นเชิงว่ามีอะไรกับเขา



   “บอกชื่อ นามสกุล รหัสนักศึกษา” เสียงเข้มสั่งต่อเมื่อเห็นว่าคนที่ชี้ตัวลุกขึ้นตามที่เขาบอก



   “ผมนายกิติกร เกรียงไกรรักษ์ รหัส 8590001021 ครับ!!” เขาเอ่ยด้วยถ้อยคำชัดเจนราวกับท่องบทมา



   “จุดประสงค์ที่คุณเข้ามหาลัยคืออะไร”



   “หาความรู้ครับ!” เขารู้สึกงงกับคำถามของรุ่นพี่ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ต้องตอบ



   “หาความรู้…คุณบอกว่าหาความรู้แล้วทำไมวันแรกพบถึงประกาศว่าจะจีบหมอ!!!”



   “…” คนถูกตะคอกเสียงดังเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ บุ๋นถอนหายใจแรงๆก่อนจะจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่ยอม



   เขาผิดจริงที่บอกว่าจีบหมอ…เขาผิด



   “ผมถามทำไมไม่ตอบ!!!”



   “ผมขอโทษครับ”




   “ผมไม่ต้องการคำขอโทษของคุณ ผมต้องการคำตอบ”




   “ไม่มีครับ” จะให้เขาตอบอะไรกลับไปในเมื่อตอนนั้นเขาเองก็ไม่มีสติพอที่จะบังคับตัวเองได้ อธิบายไปก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี




   “อยากเด่นผมไม่ว่า แต่อย่าทำให้ภาพลักษณ์ของคณะดูแย่” พี่ว๊ากพูดต่อก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “คุณมาเรียนไม่ได้มาหาแฟน”



   “ครับ” บุ๋นถอนหายใจยาวอีกครั้ง



   เขาอยากจะเถียงกลับไปใจจะขาดกับคำพูดของพี่ว๊ากแต่ก็ทำได้เพียงตอบรับแล้วเบนสายตาไปอีกฝั่ง ไม่อยากจะมีปัญหากับรุ่นพี่ตั้งแต่วันแรก



   “หวังว่าผมจะไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นอีก นั่งลง!!!”



   “…” บุ๋นจ้องหน้าคนที่ตะเบ็งเสียงจนแทบจะไม่มีเสียงพูดตั้งแต่เช้าก่อนจะนั่งลงตามคำสั่ง



   “คุณมองผมทำไมครับ มีอะไรกับผมรึเปล่า” เหมือนทางพี่ว๊ากยังไม่จบกับเขาเมื่อเห็นเขามองตัวเองตาไม่กระพริบ



   “เปล่าครับ” บุ๋นตอบ “ผมกลัวลืมหน้าพี่”




   “คุณยังได้เจอผมอีกนาน”




   “ครับ” บุ๋นยกยิ้ม “ผมจะเอาพี่เป็นเยี่ยงอย่าง”




   “อะไร!”




   “มาเรียนไม่ได้มาหาแฟน” บุ๋นพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ “ขอบคุณที่สอนผมนะครับ ผมจะจำไว้”




   จำว่าใครจะกลืนน้ำลายตัวเองก่อนกัน



   หึ…



.


   “ฝากซื้ออะไรอีกไหม” เสียงของคินถามทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่คณะทำงานกิจกรรมรับน้องปีหนึ่งในวันพรุ่งนี้



   “ไปด้วย” ฐานทัพพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอาสาไปช่วยเพื่อนถือของ



   “เออ ไปดิ” คินพูดพร้อมกับเดินออกมาเมื่อไม่มีใครฝากซื้ออะไรต่อ เขาควบรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนในคณะก่อนจะหันไปหาฐานทัพ “ขึ้นสิครับเพื่อน”




   “เดี๋ยวปั่นจักรยานตามไป จะไปเติมลม”   




   “อ่อ…งั้นเจอกันร้านป้าเหนียวนะ”




   “อืม”




   ร้านป้าเหนียวคือร้านขายของอเนกประสงค์ที่ไม่ว่าจะอยากได้อะไรร้านป้ามีหมดแต่ติดตรงที่ราคาของจะแพงกว่าปกติจึงได้ฉายาป้าเหนียวที่นักศึกษาของมหาลัยเกือบทุกคนได้เข้าไปเยี่ยมเยียนร้านของป้าเพราะสะดวกที่สุดในการซื้อของทำงาน




   ฐานทัพปั่นจักรยานออกมาตามทางพร้อมกับเสียงของคณะต่างๆที่เริ่มรับน้องกันตั้งแต่วันนี้ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของกิจกรรมที่เขาสามารถจะทำได้เพราะตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเขาก็แทบจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากเรียนและคนไข้




   อากาศดี



   อากาศช่วงเช้าสดชื่นจนเขาชะลอความเร็วลงเพื่อสูดอากาศที่สดชื่นของวัน ไม่มากนักที่กรุงเทพจะอากาศเย็นสบายไม่ร้อนตั้งแต่เช้า เขาปั่นจักรยานไปเรื่อยๆตามทางที่มีผู้คนเดินผ่านเป็นช่วงๆ



   กึก!



   จักรยานของเขาหยุดลงพร้อมกับเสียงแปลกๆที่ขาของเขา ฐานทัพยันขาลงกับพื้นก่อนจะลงมาดูจักรยานที่มีเสียงแปลกๆ




   โซ่ที่เปื้อนไปด้วยน้ำมันหลุดออกจากตัวปั่น เขายกรถจักรยานขึ้นมาบนฟุตบาทเพื่อไม่ให้เกะกะขวางทางคนอื่นก่อนจะมองหาของที่พอจะช่วยจับโซ่เพื่อไม่ให้มือเขาเปื้อนน้ำมัน




   “โซ่จักรยานหลุดหรอครับ เดี๋ยวผมดูให้” เสียงหอบของคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อวิ่งตรงมาที่จักรยานของเขาโดยที่ไม่รอให้เขาตอบอะไรกลับ




   เจออีกแล้ว…




   ฐานทัพได้แต่คิดในใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงแค่ยืนมองคนตรงหน้าที่ยังไม่รู้ตัวว่าคนข้างหลังคือใคร บุ๋นเอามือจับที่โซ่อย่างเชี่ยวชาญราวกับทำมาเป็นสิบๆปีแล้วใส่เข้าที่ให้เหมือนเดิมโดยไม่มีท่าทีรังเกียจทั้งๆที่ไม่ใช่จักรยานของเขา




   “เสร็จแล้วครับ” บุ๋นลุกขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้เจ้าของจักรยานก่อนที่เขาจะชะงัก “อ่าว…”




   “…” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเหมือนจะพูดอะไรต่อ




   “ผม…ผมไม่รู้…ไม่รู้ว่าเป็นพี่” เขาตอบเสียงสั่น บุ๋นรู้สึกไม่เป็นตัวเองอีกครั้ง เขารู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ “ไปเติมลมหน่อยก็ดีนะครับ เดี๋ยวยางแบน”




   ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อพูดพร้อมกับใช้แขนของตัวเองเช็ดเหงื่อบนใบหน้า บุ๋นฉีกยิ้มให้คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปทั้งหัวใจ เขาไม่รู้ว่าคนที่เขาเข้ามาช่วยคือหมอฐานทัพ




   บังเอิญเกินไปแล้ว…




   “ขอบคุณ” ฐานทัพพูดพร้อมกับจูงรถจักรยานลงฟุตบาท หางตาของเขามองมือที่เปื้อนไปด้วยน้ำมันจากโซ่จักรยานของเขา




   “ครับ”




   “จะไปไหน” พอเห็นสภาพที่เต็มไปด้วยเหงื่อฐานทัพก็อดที่จะถามไม่ได้ เขาไปทำอะไรมา




   “อ่อ วิ่งรอบมหาลัยน่ะครับ…พอดีไปกวนรุ่นพี่ว๊ากนิดหน่อย” บุ๋นยิ้มเจื่อน “ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะโดนไปด้วย” ถ้ารุ่นพี่มาเห็นตอนนี้มันคงไม่ดีแน่




   “อืม” ถึงเข้าจะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ




   “ไว้เจอกันครับ” บุ๋นยิ้มอีกครั้ง




   “เดี๋ยว” ถึงอยากจะปล่อยผ่านไปแต่เขาก็ทำไม่ได้ “หิวน้ำไหม”




   “ครับ?”




   “เดี๋ยวไปซื้อน้ำมาให้”




   “…!!!” บุ๋นเหมือนถูกสตั้นเมื่อหมอพูดออกมาแบบนั้น เขาอึกอักอยู่พักหนึ่งจนหมอทำท่าจะปั่นจักรยานออกไป “เอาครับ!!!”




   “อืม”




   “ผมจะรอนะ”




   “รู้แล้ว” ฐานทัพตอบ “รอแถวนี้ เดี๋ยวกลับมา”




   เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะปั่นจักรยานออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันหลังกลับไปดูว่าท่าทางของอีกคนในตอนนี้เป็นยังไง บุ๋นกระโดดดีใจราวกับได้เกียรตินิยมก่อนจะหันมองจักรยานของฐานทัพที่ปั่นออกไปไกลเรื่อยๆ




   ขอบคุณครับ…คุณหมอ




   ฐานทัพจอดรถจักรยานลงหน้าร้านของป้าเหนียวแล้วเดินตามคินเข้าไปหลังจากที่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับมาจอดอยู่หน้าร้าน วันนี้คนในร้านดูคึกคักเป็นพิเศษ ถ้าให้เดาก็คงเหมือนพวกเขาที่ต้องมาซื้ออุปกรณ์เพื่อใช้ในการจัดงานรับน้อง




   “เดี๋ยวถือให้” ฐานทัพดึงตะกร้าที่ใส่ของอยู่เต็มจากมือคินมาถือไว้




   “กูนึกว่ามึงหลง” คินหันมาหัวเราะก่อนจะหยิบของใส่ต่อตามลิสรายการที่เขียนมา




   “มีปัญหานิดหน่อย” เขาตอบกลับก่อนจะเดินไปหยิบน้ำเปล่าตามที่ได้บอกคนๆหนึ่งไว้




   ไม่ได้ลืม




   “หิวน้ำหรอวะ กลับไปที่คณะเราก็ได้”




   “เปล่า ไม่ได้หิวน้ำ”




   “เอ้า แล้วซื้อไปทำไมวะ”




   “ถามมาก” ฐานทัพพูดก่อนจะวางตะกร้าที่ถือไว้ข้างตัวเพื่อน “จะอยู่อีกนานไหม”




   “สักพักแหละ ทำไมวะ”




   “เดี๋ยวกลับมา รอนี่” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าไปจ่ายตังแล้วตรงออกจากร้านกลับไปที่ๆบอกคนๆนั้นไว้




   หวังว่าจะยังรออยู่



   ฐานทัพปั่นจักรยานมาตามทางเดิมพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาเจ้าตัวที่เขาบอกว่าจะซื้อน้ำมาให้ สายตาเขาหยุดลงกับร่างสูงที่ยืนโบกมือให้เขาอย่างร่าเริง ใบหน้าที่ดูคมเข้มเวลายิ้มเหมือนคนละบุคลิกราวกับเป็นคนละคน



   “ผมนึกว่าพี่จะไม่มา” บุ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นคุณหมอปั่นจักรยานตรงมาทางเขา ถึงจะกลัวรุ่นพี่มาเห็นก็ตาม




   “บอกไว้แล้ว” ฐานทัพพูดพร้อมยื่นน้ำเปล่าให้คนตรงหน้า




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นยิ้มกว้างก่อนจะรับขวดน้ำจากมือของหมอ




   มือทั้งสองคนสัมผัสกับชั่วครู่ ฐานทัพรู้สึกได้ว่ามือของคนตรงหน้าเย็นเฉียบผิดกับเหงื่อบนใบหน้าที่ผุดขึ้นมา เขาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วยื่นให้คนที่กำลังดื่มน้ำอย่างกับขาดน้ำมาหลายชั่วโมง




   “ไม่เป็นไรครับ” บุ๋นรีบปฏิเสธ “วันนี้ผมต้องทำกิจกรรมทั้งวัน ยังไงก็ต้องสกปรกอยู่ดี”




   “อ่อ อืม” เขาพยักหน้าพร้อมเก็บผ้าเช็ดหน้าลง




   “ขอบคุณมากๆนะครับ น้ำอร่อยมากเลย”




   “อร่อย?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้น “น้ำเปล่า?”




   “อะ…เอ่อ...” บุ๋นชะงักก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ “ผมว่าน้ำเปล่ายี่ห้อนี้อร่อย อร่อยมากๆเลย” เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ




   “อ่อ” ฐานทัพหัวเราะออกมา “อร่อยก็ดื่มให้หมด”




   “ถ้าดื่มหมดผมจะได้ขวดใหม่รึเปล่า” บุ๋นมองขวดที่ถืออยู่ในมือก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้า “เอ่อ…ผมหมายถึง…คือ…”




   “ไปละ”




   “เดี๋ยวครับ!!!” บุ๋นเรียกเจ้าตัวเมื่อเห็นว่าฐานทัพกำลังจะปั่นออกไป



   “…?” เขาหันกลับมามองด้วยความสงสัย ในตอนนี้คนที่ยืนถือขวดน้ำอยู่สภาพร่างกายดูเหนื่อยและอ่อนแรงเกินกว่าที่จะไปทำกิจกรรมต่อไหว




   แต่นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย จะสนใจทำไมกัน



   “ขอบคุณสำหรับน้ำขวดนี้นะครับ” บุ๋นกำขวดน้ำในมือไว้แน่นเหมือนกลัวว่ามันจะสลายหายไป




   “ไม่เป็นไร”




   “ถ้าคราวหน้าโซ่พี่หลุดอีก เรียกใช้ผมได้ตลอดเลยนะครับ” บุ๋นยิ้มก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นคุณหมอกำลังจะอ้าปากตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ ผมเต็มใจ ไม่ต้องบอกว่าไม่เป็นไร เพราะผมอยากทำ”




   “อืม” เขารับคำสั้นๆในเมื่อพูดดักทางเขาไว้หมดขนาดนี้ก็คงทำได้แค่รับปาก




   “อีกอย่างก่อนพี่จะไป…”




   “อะไร”




   “ผมชื่ออะไร พี่จำได้ไหม” บุ๋นยืนยิ้มร่าด้วยความหวังเต็มหัวใจ




   หวังว่าหมอจะจำเขาได้




   “อืม จำได้” ฐานทัพตอบกลับไปตามความจริง จะให้เขาจำไม่ได้ได้ยังไงในเมื่อคนๆนี้คอยย้ำชื่อตัวเองให้เขาฟังเสมอ




   “ยิ้มอะไร” เขาถามต่อเมื่อเห็นบุ๋นยืนยิ้มไม่หุบ




   “รอพี่เรียกชื่อผมไง”




   “…” เขาเงียบไปพักใหญ่ ไม่ใช่เพราะจำไม่ได้แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องจำและพูดออกมาในเมื่อคนๆนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเขา




   “พี่ฐานทัพ” บุ๋นเรียกชื่อคุณหมอเต็มเสียง หัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินและได้เอ่ยชื่อนี้ออกมา




   “บุ๋น”




   ตึกตัก ตึกตัก…




   เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา หมอไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากที่เรียกชื่อเขา จักรยานของหมอฐานทัพปั่นออกไปไกลเรื่อยๆแต่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเขาและหมอใกล้กันมากกว่าเดิม




   ตอนนี้เวลานี้…แค่พี่จำชื่อผมได้ผมก็พอใจแล้ว


   
   ‘บุ๋น’



   ไม่เคยมีใครเรียกชื่อตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนบินได้เท่าคนนี้เลย




   ผมคง…หลงรักพี่ขึ้นมาจริงๆแล้วว่ะ





   หมอฐานทัพ




-------------------------
จบ 100% แล้วววววววววววว
แอบมีความรู้สึกเหมือนไม่มีใครอ่าน T___________T
ใครอ่านอยู่บ้าง แสดงตัวให้มีกำลังใจอัพต่อหน่อยยยย
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [04: จีบหมอครั้งที่สี่ 100%] 29/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: tungz ที่ 29-09-2016 21:49:48
บุ๋นเอ้ยยย 5555555
มีคนอ่านอยู่น้าา หนุกมากเลยค่าา
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [04: จีบหมอครั้งที่สี่ 100%] 29/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 30-09-2016 01:58:52
โง้ยยยชอบบบ
ยังรอติดตามอยู่เสมอค่าไม่เหงาน้าคนเขียนน5555555
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [05: จีบหมอครั้งที่ห้า 50%] 30/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 30-09-2016 23:44:48
 
จีบหมอครั้งที่ห้า



   กิจกรรมแรกพบคณะเกษตรผ่านไปด้วยความสนุกสนานและเหน็ดเหนื่อยไปพร้อมๆกัน ปีหนึ่งค่อยๆทยอยเดินออกมาจากคณะด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยขี้ดินและขี้โคลนที่เปื้อนขึ้นมาถึงเสื้อ กางเกงยีนส์ที่ดูดีในตอนเช้าตอนนี้กลับดูเหมือนไปบุกป่าผ่าดงจนสภาพดูไม่ได้และเริ่มมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์




   บุ๋นบอกลาเพื่อนๆในคณะก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้หินอ่อนในคณะเพราะถูกเรียกตัวไว้ก่อน เขาก็พอรู้ว่ารุ่นพี่ไม่ค่อยชอบในกิริยาท่าทางของเขาเท่าไหร่ ดูจากที่ให้วิ่งรอบมหาลัยสองรอบเขาก็พอจะเดาออก แต่มันดันมีเรื่องดีเกิดขึ้นเขาเลยไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรกับสิ่งที่รุ่นพี่ทำ ถึงไม่อยากจะทำในตอนแรกแต่พอเจอเหตุการณ์นั้น ให้วิ่งอีกสักสิบรอบเขาก็ทำได้ถ้าได้เจอกับเขาคนนั้น



   “ยิ้มอะไร คุณคิดว่าพวกผมเรียกคุณไว้มันเป็นเรื่องดีหรือไง!!!!” เสียงของรุ่นพี่ว๊ากดังขึ้นทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆถึงกับสะดุ้งสุดตัว




   “ขอโทษครับ” บุ๋นก้มหน้าลงเพื่อแสดงว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ



   เหนื่อยมาทั้งวันแล้วยังจะมาเรียกเขาเพื่อที่จะว๊ากส่วนตัวอีกหรือไง บางทีเขาก็รู้สึกว่ารุ่นพี่ไม่มีเหตุผลเกินไป แต่คิดแบบนั้นก็คงไม่ดีแน่ ในเมื่อเขาเป็นปีหนึ่งหน้าที่ก็คือรับฟังคำสั่งของรุ่นพี่




   “คำพูดของคุณในวันนี้ผมจะถือว่าผมไม่เคยได้ยินมัน แต่ถ้าครั้งหน้าคุณยังทำอีก…” รุ่นพี่เว้นช่วงให้หายใจ “คุณไม่ได้รุ่น!!!”




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้สึกอยากได้รุ่นอะไรที่รุ่นพี่บอกมากมายแต่เขาไม่อยากเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้




   อะไรที่ทนได้ก็จะทน




   “ผมหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกนะปีหนึ่ง”




   “ครับ”




   “อีกเรื่องที่เรียกตัวคุณมาผมอยากจะให้คุณลงประกวดดาวเดือนของคณะเรา”




   “ผมไม่ชอบประกวด” เขาถอนหายใจยาว ถึงจะเห็นว่ารุ่นพี่อีกคนทำท่าจะอธิบายแต่เขาก็เลือกที่จะหันหน้าหนี




   เขาไม่ชอบการประกวด




   “ผมไม่ได้ขอ แต่ผมบังคับคุณ”




   “…” บุ๋นเงยหน้ามองรุ่นพี่ว๊ากอย่างไม่เข้าใจ “คนอื่นก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นผม”




   “เพราะพวกผมเลือกคุณ”




   “ครับ?” บุ๋นเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ถึงอยากจะถามต่อก็ไม่ได้ใช้สิทธินั้นเมื่อรุ่นพี่อีกคนเข้ามาอธิบายให้เขาฟังเสร็จสรรพโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก




   การประกวดดาวเดือนของคณะปีหนึ่งจะถูกส่งตัวแทนโดยรุ่นพี่แต่ละฝ่ายเข้าประกวด ซึ่งมีฝ่ายสโมสรนักศึกษา ฝ่ายเชียร์ ฝ่ายพี่ระเบียบ และฝ่ายยิบย่อยที่จะเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสมเข้ามาประกวดดาวเดือนของคณะ ซึ่งเขาดันถูกเลือกจากฝ่ายพี่ระเบียบ




   “มีแบบนี้ด้วยหรอ” บุ๋นถามด้วยความสงสัย ไม่เห็นเคยได้ยินว่าเขาเลือกดาวเดือนกันแบบนี้




   “มีที่คณะเราและคุณต้องลงประกวด”



   “ผม…”




   “ผมหวังว่าคุณจะทำได้”




   “ผมทำไม่ได้”




   “ต้องได้…แล้วเจอกันที่ห้องเชียร์ กลับไปได้” รุ่นพี่ไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อ พอจบสิ่งที่ต้องการพูดก็เดินออกไปปล่อยให้เขานั่งทำหน้างง




   “อะไรวะ…แม่ง” บุ๋นสบถออกมาก่อนจะมองสภาพตัวเองที่ดูเลอะเทอะสิ้นดี




   กลิ่นโคลนที่ไปคลุกมาวันนี้แตะจมูกจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิดไว้ ถ้าไอ้สองกับไอ้สามเห็นสภาพนี้พวกนั้นคงไม่เข้าใกล้เขาแน่ๆเพราะขนาดตัวเขาเองยังรับตัวเองตอนนี้ไม่ได้




   รีบกลับไปอาบน้ำดีกว่า…




   บุ๋นคิดได้พร้อมกับถอดรองเท้าที่เลอะเทอะจนดูไม่ได้ออก อาการปวดเท้าของเขากำเริบขึ้นอีกครั้งเมื่อโดนสั่งวิ่งตอนเช้า เมื่อไหร่เขาจะได้รถมอเตอร์ไซค์สักที ถึงตอนนั้นเขาคงไม่ลำบากเดินกลับหอแบบนี้




   ทำไมปวดขนาดนี้วะ!!




   เขาเดินออกมาจากคณะได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลงเหมือนลืมอะไรสักอย่าง ไม่ต้องคิดให้นานขาทั้งสองข้างก็รีบวิ่งกลับเข้าคณะอย่างกับลืมความเจ็บปวดก่อนหน้านี้




   ขวดน้ำที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดวางอยู่ที่เดิม เจ้าตัวรีบวิ่งไปหยิบขึ้นมาเพราะกลัวแม่บ้านจะเก็บไปทิ้งก่อนจะเดินกลับออกไปอีกครั้ง ถึงจะดื่มน้ำจนเกือบหมดเขาก็ไม่คิดที่จะทิ้งขวดน้ำขวดแรกที่ได้จากคนที่เขาสนใจ




   บุ๋นเดินมาตามทางที่แทบจะไม่เหลือคนในคณะอยู่ทั้งๆที่ออกมาจากคณะช้ากว่าไม่เกินสิบห้านาที แต่ก็พอจะเดาออกว่าทุกคนคงรีบกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่หอเพราะทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว เขาเองก็อยากจะทำแบบนั้นแต่ระยะทางกลับหอไม่ได้ใกล้ขนาดสามสี่ก้าวถึงเลย อีกอย่างรถโดยสายก็แทบไม่ผ่านมาสักคันในเวลาเกือบสองทุ่มแบบนี้




   เฮ้อ…   




   ขาทั้งสองข้างเหมือนจะเริ่มเดินต่อไปไม่ไหว บุ๋นมองหาที่นั่งพักก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้บนฟุตบาท เขาไม่ได้พกโทรศัพท์มาเพราะรุ่นพี่บอกไม่ได้เอามาเดี๋ยวเปียก ก็จริง ถ้าเอามาป่านนี้คงพังไปแล้ว





   “เหนื่อยจังโว้ยยยย!!” บุ๋นตะโกนออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าแถวนั้นมีใครอีกคนที่มองเขาอยู่ไกลๆ





   ฐานทัพที่นั่งถัดจากเก้าอี้บุ๋นไปสามตัวหันไปมองตามเสียงก่อนจะหยิบผ้าปิดปากขึ้นมาใส่ไว้เพราะกลัวว่าเขาจะจำได้ว่าเป็นตัวเอง ฐานทัพที่แอบมานั่งพักเหนื่อยค่อยๆลุกขึ้นเดินกลับไปทางคณะของตัวเองอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้คนที่นั่งอยู่อีกคนรู้ตัว




   “พี่…จะรีบไปไหนหรอ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียทักทายเขาพร้อมกับกลิ่นตุๆที่ลอยมากระทบจมูกของฐานทัพถึงแม้จะใส่ผ้าปิดปากไว้




   ไปทำอะไรมา



   “หืม?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหันกลับไปเมื่อบริเวณนั้นมีแค่ตัวเขาและคนที่กำลังเดินมา




   “เจอกันอีกแล้ว” บุ๋นเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก “เจอทีไรพี่ใส่ผ้าปิดปากตลอดเลย พี่เป็นไข้หวัดหรอ” เขาแซวคนตรงหน้าแต่ดูเหมือนฐานทัพจะไม่รับมุก




   “ไปล่ะ”




   “เห้ยเดี๋ยวดิพี่ อยู่ด้วยกันก่อน” บุ๋นทำท่าจะคว้าแขนคนตรงหน้าแต่ฐานทัพรีบดึงแขนขึ้นก่อน




   ไม่ได้รังเกียจ แต่เหม็น




   “ขอโทษ ผมลืมตัว” บุ๋นพูดพร้อมก้มมองตัวเองที่สภาพไม่น่าดูเท่าไหร่ “พอดีผมเจ็บเท้าก็เลยนั่งพักรอให้มันเบาลงกว่านี้ เห็นพี่อยู่ไกลๆก็เลยจะชวนมานั่งคุยด้วย”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะก้มลงมองเนื้อตัวของคนตรงหน้า




   เพราะเหตุผลนี้เลยไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าที่เขาให้สินะ ฐานทัพมองไปเรื่อยๆจนสายตาไปหยุดลงที่ขวดน้ำที่คนตรงหน้าถืออยู่ ขวดน้ำที่เขาซื้อให้ช่วงเช้าตอนนี้มันแทบจะไม่เหลือน้ำอยู่แล้ว




   “ขยะ” ฐานทัพชี้นิ้วไปที่ถังขยะที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว




   “หืม? ผมตัวเหม็นถึงขนาดต้องเอาไปทิ้งเลยหรอ” บุ๋นแกล้งทำเสียงน้อยใจ




   “เปล่า ขวดน้ำ” ฐานทัพพูดต่อพร้อมกับชี้ไปที่ขวดน้ำที่บุ๋นถือไว้แน่น




   “อ่อออออออออออออ” คนที่เข้าใจผิดร้องเสียงดัง “ไม่ทิ้งหรอกครับ”




   “…”




   “มีคนให้ผมมา” บุ๋นพูดด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกที่อัดแน่นเต็มหัวใจ คิดถึงตอนนั้นเขายังเขินไม่หายที่จู่ๆหมอก็ซื้อน้ำมาให้เขาจริงๆ




   “แล้ว?”




   “คนๆนั้นเป็นคนสำคัญสำหรับผม” บุ๋นพูดพร้อมกับสบตาฐานทัพ “ทิ้งไม่ลงหรอก”




   “…” ฐานทัพเงียบลง เขามองคนตรงหน้ากลับด้วยคำถามที่แล่นอยู่ภายใน เขาจำได้ดีว่าขวดน้ำขวดนั้นเขาเป็นคนซื้อให้




   แต่…เขาเป็นคนสำคัญสำหรับคนๆนี้ได้ยังไง




   “ทำไมพี่ต้องอึ้งขนาดนั้น คำพูดผมมันเลี่ยนหรอ” บุ๋นยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมทำเอาคนที่กำลังใช้ความคิดถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว




   “เปล่า” ถึงจะอยากถามต่อแต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรถามเพราะตัวเขาเองไม่ได้สนิทกับคนตรงหน้ามากขนาดที่จะถามถึงเรื่องส่วนตัว




   “พี่จะกลับแล้วหรอ”




   “อืม”





   “อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนไม่ได้หรอ แค่ห้านาทีก็ได้” บุ๋นรั้งคนตรงหน้าไว้เพราะไม่อยากจะนั่งอยู่คนเดียว แถวนี้มันเริ่มวังเวงแปลกๆ




   “อืม เอาดิ” ฐานทัพตอบกลับอย่างว่าง่าย เขาเองก็ยังไม่อยากกลับไปที่คณะเหมือนกัน




   “งั้นพี่นั่งตรงนี้ เดี๋ยวผมนั่งตรงนั้น” บุ๋นชี้ไปที่เก้าอี้ยาวสองตัวที่อยู่ห่างกันไม่ถึงเมตร “จะได้ไม่เหม็นผม”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะนั่งลงตามที่คนเลอะเทอะบอก




   “ผมชื่อบุ๋นนะ อยู่คณะเกษตร พี่จำผมได้ใช่ไหม”




   “จำได้”




   “แล้วพี่ชื่ออะไรอยู่คณะอะไร ผมยังไม่เคยรู้เลย”




   “ไม่บอก” ฐานทัพหันมาสบตานิ่งๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้รับน้องมาหรอ”




   “ครับ แอบโดนพี่ว๊ากดุด้วย ผมโดนสั่งให้วิ่งรอบมหาลัยสองรอบ เหนื่อยมากเลย” บุ๋นเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้คนที่นั่งเก้าอี้ถัดจากเขาฟัง




   “อืม…”




   “แต่ในเรื่องร้ายๆก็มีเรื่อยดีๆอยู่นะ” เขาเงียบลงก่อนจะก้มมองขวดน้ำที่อยู่ในมือ “เรื่องดีๆก็คงจะเป็นเจ้าของขวดน้ำขวดนี้”




   “…” ฐานทัพหันไปมองคนข้างๆที่ยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงขวดน้ำราคาไม่กี่บาทที่เขาซื้อให้แทนคำขอบคุณที่ซ่อมจักรยานให้




   ทำไมมันถึงมีความหมายมากขนาดนั้น




   “ผมน่ะ…ดีใจมากเลยนะ” บุ๋นยิ้มไม่หุบ เขาไม่รู้เลยว่าท่าทางและสีหน้าที่เขาแสดงออกมามันดูมีความสุขมากแค่ไหน




   สุขจนทำเอาคนข้างๆถึงกับหยุดมองไปพักใหญ่




   “แล้ว…” ฐานทัพกำลังจะพูดต่อแต่เมื่อเห็นคนๆหนึ่งที่กำลังเดินมาถึงกับเงียบไปก่อนจะจ้องมองดีๆแล้วรีบเอานิ้วชี้แตะที่ปากเป็นเชิงให้เงียบๆ




   “ไอ้หม…” คินที่กำลังจะเรียกเพื่อนเสียงดังถึงกับเงียบลงก่อนจะรีบวิ่งไปหลบยังจุดใกล้ๆเพื่อไม่ให้คู่สนทนาของเพื่อนเห็น




   ไอ้ฐานทัพคุยกับใครอยู่วะ…




   “ไปล่ะ” เขาลุกขึ้นโดยที่ปล่อยให้คำถามที่ค้างคาใจหยุดลงแค่นั้น ไม่อยากรู้อะไรไปมากกว่านี้ ฐานทัพหันไปมองหน้าคนที่ยังมองขวดน้ำตรงหน้าประหนึ่งเป็นของมีค่าก่อนจะพูดต่อ “กลับไปก็เอาเท้าแช่น้ำอุ่น”




   “อ่าว พี่จะไปแล้วหรอ”




   “อืม”




   “งั้น…ไว้เจอกันใหม่นะครับ” บุ๋นยิ้มให้กับคนตรงหน้า “ผมจะรีบกลับไปเอาเท้าแช่น้ำอุ่นตามที่พี่บอก ขอบคุณมากครับ”




   “อืม” ฐานทัพเดินออกมาก่อนจะชะงักลงแล้วหันกลับไปพูดคำที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องพูดออกมา “ฝันดี”




   “ครับ…ฝันดี” บุ๋นยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นโบกมือแล้วเดินกลับไปที่หอหลังจากที่เห็นว่ารุ่นพี่เดินออกไปแล้ว




   คงต้องรีบกลับไปเอาเท้าแช่น้ำอุ่นจริงๆ…ปวดฉิบหาย



   บุ๋นค่อยๆเดินกลับไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหยุดยืนมองอยู่ไกลๆกับคินที่พร้อมจะพ่นคำถามออกมามากมายกับสิ่งที่เขาสงสัย



   “เด็กนั่นคุ้นๆว่ะ” คินพูดพร้อมกับมองหน้าเพื่อนที่ใส่ผ้าปิดปากไว้ก่อนจะมองร่างที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะถอดผ้าปิดปากออก “ไปเถอะ”




   “ไอ้หมอ มึงมีอะไรปิดบังกูรึเปล่าวะ” คินคาดคั้นเพื่อนที่เดินนำกลับไปที่คณะ




   “ไม่มี” ไม่มีอะไรทั้งนั้น




   “แน่ใจหรอวะ”




   “เออ” ฐานทัพตอบกลับอย่างปัดรำคาญ “มึง”




   “ว่าไง”




   “เวลาใส่ผ้าปิดปากมึงจำได้ไหมว่าเป็นใคร” ฐานทัพพูดพร้อมกับหยิบผ้าปิดปากขึ้นมาใส่อีกครั้ง “แบบนี้”




   “จำได้สิวะ มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว” คินตอบกลับมาทันที




   “แล้วถ้าพึ่งรู้จักกัน” ฐานทัพเงียบไปพักหนึ่ง “ช่างเถอะ”




   เขาไม่ควรจะเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้กลับมาคิดถึงแม้ว่าจะอดสงสัยไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะใส่ใจ




   ไม่เป็นตัวเอง



.


   26/07/59
   ขอบคุณสำหรับน้ำขวดแรกที่ซื้อให้ผมนะครับ ขอบคุณจริงๆ  :)




   บุ๋นปิดสมุดบันทึกลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เท้าทั้งสองข้างหลังจากที่ผ่านการแช่น้ำอุ่นก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอนเดินกลับหอ ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่ออกไปหาอะไรกินอยู่ข้างนอกป่านนี้ยังไม่กลับเข้าหอทั้งๆที่เวลาผ่านไปเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว บุ๋นเก็บสมุดบันทึกลงใต้หมอนก่อนจะหยิบขวดน้ำมาเขียนวันที่ติดขวด




   ทุกอย่างที่เกี่ยวกับหมอ…สำคัญสำหรับเขาเสมอ





   B : ฝันดีครับ




   กดส่งไปแม้ปลายทางไม่อ่านข้อความของเขาก็ตาม อย่างน้อยเขาก็มีความสุขมากแล้วในตอนนี้ ตอนที่หมอจำชื่อของเขาได้ ตอนที่ได้พูดคุยกับหมอจริงๆและได้รู้ว่าความรู้สึกของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ




   “ดีว่ะ” เขาหลุดพูดกับตัวเองก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนขวดน้ำเบาๆราวกับว่าขวดน้ำคือคนที่เขากำลังคิดถึง




   ถึงแม้บางครั้งเขาจะขนลุกกับพฤติกรรมของตัวเองที่ดูประหลาดไปบ้างแต่มันก็จะมาพร้อมความสุขเสมอ จากคนที่ไม่เคยจีบใคร จากคนที่ไม่เคยพยายามเพื่อใคร จากคนที่ไม่เคยเขียนบันทึกเรื่องของใคร จากคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต




   เขาเปลี่ยนไปเพราะคนๆนี้





   ถ้าถามถึงเหตุผลเขาเองก็คงตอบไม่ได้ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดกับความรู้สึกล้วนๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำก็ไม่เป็นไร




   แค่เขาที่เข้าใจก็พอ





   “ฝันดีครับ…หมอ” บุ๋นพูดกับขวดน้ำที่วางไว้ข้างหมอนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน





   คืนนี้ถ้าฝันถึงหมอก็คงดี…



.


   วันแห่งการพักผ่อนของบุ๋นมาพร้อมกับเพื่อนๆอีกสองคนที่หายตัวไปทำกิจกรรมรับน้องของคณะตัวเอง เขาเดินลงมาข้างล่างหอพักก่อนจะทำการยืมจักรยานปั่นไปซื้อของเข้าหอหลังจากที่ดูแล้วว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องซื้อเข้ามาไว้ในห้อง




   ถึงจะแอบเอาของเพื่อนอีกสองคนมายืนใช้บ่อยๆก็ตาม…




   “ขอบคุณครับ” เขารับกุญแจไขโซ่จักรยานมาพร้อมกับเดินไปไขกุญแจแล้วปั่นออกไปอย่างรวดเร็ว





   วันนี้ที่มหาลัยดูครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะเป็นวันที่คณะส่วนมากจะนัดน้องมารับน้องตามคณะต่างๆแต่คณะของเขานัดไปแล้วเลยทำให้จักรยานที่ปกติยืมไม่เคยทันกลายเป็นไม่มีใครยืม





   คณะแพทย์รับน้องวันนี้…ปั่นไปดูหน่อยก็ได้ ยังไงก็ทางผ่าน





   ผ่านก็เหี้ยละ…คนละทาง!!!





   บุ๋นทะเลาะกับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนจะปั่นจักรยานไปทางคณะแพทย์ตามเสียงเรียกร้องของตัวเอง เสียงกลองกับเสียงร้องเพลงสันทนาการดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่เริ่มใกล้ขึ้น เขาเริ่มชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้จะถึงคณะก่อนจะหยุดลงที่ต้นไม้สูงใหญ่ที่พอจะบังตัวเขาไม่ให้คนในคณะเห็นแต่เขาสามารถมองเห็นกิจกรรมการรับน้องได้จากตรงนี้




   รุ่นพี่สันทนาการร้องเพลงพร้อมกับเต้นประกอบทำให้เขามองเพลินจนลืมหาคุณหมอฐานทัพที่ตั้งใจจะมาแอบส่อง กิจกรรมสันทนาการยาวเป็นพิเศษสำหรับช่วงเช้าของวัน บุ๋นหยุดดูอยู่พักใหญ่ก่อนจะปั่นจักรยานออกไปเมื่อไม่เห็นวี่แววของคนที่เขาตามหา




   หรือว่าจะไม่มา…




   “เฮ้อ…” เขาถอนหายใจระหว่างทางปั่นไปร้านขายของข้างมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าเมื่อวันก่อนจะเจอกันไปแล้วแต่เขาอยากเจออีก





   เหมือนสิ่งเสพติดที่มีความต้องการมากขึ้นทุกวัน




   ร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินออกมาจากคณะเรียกความสนใจจากบุ๋นได้มากเมื่อคนๆนั้นหันหน้ามามองรถที่ขับไปมาเพื่อข้ามถนนไปอีกฝั่งของทางเดิน




   กริ๊ง กริ๊ง!




   บุ๋นกดกระดิ่งจักรยานก่อนจะรีบปั่นให้เร็วขึ้นกว่าเดิมแล้วหยุดลงหน้าผู้ชายที่ทำหน้างงกับเขา แม้ว่าจะคุ้นหน้าอยู่นิดๆก็ตาม





   “สวัสดีครับพี่” บุ๋นยิ้มสดใสให้คนตรงหน้าก่อนจะแนะนำตัวต่อ “ผมบุ๋นไงครับ คนที่เขียนหน้าผากพี่ฐานทัพ”




   “อ่ออ” คินพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “คนๆนั้น”




   “ครับ?” บุ๋นเลิกคิ้วขึ้น “คนไหน”




   “อ่อ เปล่า” คินส่ายหน้า “แล้วมีอะไรรึเปล่า”      




   “ไม่มีครับ” บุ๋นตอบกลับมาทันที “แล้วพี่จะไปไหนหรอครับ?”




   “แน่ใจหรอว่าถามพี่” คินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำไมทำท่าเหมือนมองหาใคร” คินพูดเหมือนรู้ใจคนตรงหน้าทำเอาบุ๋นที่กำลังมองหาหมอออกนอกหน้าถึงกับหยุดหา





   “เปล่าครับ ผมก็ถามพี่ไง”





   “อ่อ นึกว่าถามหาไอ้หมอฐาน…”





   “อยู่ไหนครับ!!” ปากเขาไวกว่าความคิดเสมอ พอหลุดคำถามออกไปโดยที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบก็เรียกรอยยิ้มจากคินได้อีกครั้ง




   “ไวนะมึง”




   “เอ่อ…คือผม…”





   “ไม่ได้ว่าอะไร แซวเล่น” คินหัวเราะ “ไอ้หมอมันเดินไปซุปเปอร์หน้ามอ ไปซื้อของทำกิจกรรมตอนบ่าย”




   “อ่อ”




   หน้ามอ…เดินไปงั้นหรอ




   “ถ้าว่างก็ไปช่วยมันดิ มันพึ่งออกไปเมื่อกี้ น่าจะยังไปไม่ไกล”




   “ครับ ได้ครับ” บุ๋นแอบยิ้มในใจ แม้จะอยากยิ้มออกมาแต่ก็ไม่กล้าทำตัวให้เพื่อนของหมอรู้มาก ถึงบางพฤติกรรมเขาจะปิดไม่อยู่ก็ตาม “พี่จะไปด้วยรึเปล่าครับ เดี๋ยวผมปั่นไปส่ง”




   “ไม่เป็นไร ไปเถอะ”




   “อ่อ…งั้นผมไปก่อนนะ”





   “เออไปๆ” คินโบกมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายปั่นออกไป เมื่อบุ๋นเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มให้คินอีกครั้งก่อนจะรีบปั่นออกไปให้ทันอีกฝ่าย




   คินมองคนที่ปั่นออกไปก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ ถึงแม้ตอนแรกจะแค่สงสัยแต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ทั้งการกระทำ สีหน้า แววตา



   เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ…




------------------ 50%
ต้องแบ่งจริงๆเพราะเนื้อที่ไม่พอ ก๊ากกกก T_______T
เป็นยังไงกันบ้างงงง เราก็ลงมาตอนที่ห้าแล้ววว
อีกไม่นานเราก็จะพูดกับตัวเอง ตอบตัวเอง5555555
ฝากพี่บุ๋นน้องหมอไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ

ปล. คอมเม้นท์กันหน่อยน้าาาาT3T

ปล2. พูดคุยกันได้ทาง fan page: Perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun

#ผมจีบหมอ <<< ตามไปส่องกันโล้ดดดดด

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ :heaven :heaven

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [05: จีบหมอครั้งที่ห้า 50%] 30/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 01-10-2016 11:55:29
สนุกมากกกกกเชียร์ให้บุ๋นโดนพี่หมอกด55555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [05: จีบหมอครั้งที่ห้า 50%] 30/09/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 01-10-2016 19:30:42
คนเขียนกระดาษหมดหรอ อะเราให้กระดาษ

บุ๋นเอ้ย ออกนอกหน้าไปละ วันหน้าวันหลังก็จำหมอให้ได้ดิ จะได้รู้ซักทีว่าอ่อยเจ้าตัวอยู่ อ่อยจนหมอเขินหมดละ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [05: จีบหมอครั้งที่ห้า 100%] 01/10/59 หน้า1
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 01-10-2016 20:42:20



        ฐานทัพเดินมาตามทางฟุตบาทพร้อมกับเหงื่อที่ผุดออกมาเพราะความร้อนของเสื้อที่เขาใส่รวมไปถึงสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนเป็นพิเศษ ทุกอย่างจะดีกว่านี้ถ้าเขามีจักรยานแต่ดันโดนเพื่อยืมไปซื้อของตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้เขายังไม่เจอเพื่อนที่ยืมจักรยานเขาไป



   ร้อน




   ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับซับเหงื่อบนใบหน้า เขามองทางข้างหน้าด้วยความรู้สึกท้อใจ ระยะทางไปซุปเปอร์กับคณะเขาไกลกันจนท้อ ถ้าวันนี้มีรถโดยสารของมหาลัยก็คงจะดี




   กริ๊ง กริ๊ง!




   เสียงกระดิ่งจากจักรยานดังขึ้นพร้อมกับจักรยานของมหาลัยที่ขับมาปาดหน้าเขาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเจ้าของใบหน้าที่ฐานทัพเห็นถึงกับถอนหายใจยาวๆแล้วมองเหงื่อบนใบหน้าของคนที่คร่อมจักรยาน




   “จะไปไหนครับ” บุ๋นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หอบจนแทบหายใจไม่ทัน



   “หืม?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้น ถามเขาทำไม




   “พี่จะไปไหน”




   “ซุปเปอร์” เขาตอบสั้นๆ




   “เหมือนผมเลย!!” บุ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นราวกับว่าลืมความเหนื่อยทั้งหมดที่สั่งสมมา “ไปด้วยกันไหม”




   “บังเอิญเนอะ” เขามองท่าทางของคนตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “ไม่เป็นไร”




   “เห้ยได้ไง ผมรีบปั่นมา…” บุ๋นยกมือขึ้นปิดปากอย่างลืมตัว “ผมชอบปั่นจักรยานเร็วๆ”




   “ปั่นเร็วแล้วเท้า…” ฐานทัพหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจำเขาตอนใส่ผ้าปิดปากไม่ได้




   เท้าดูหายดีแล้ว




   “เท้าผม?”




   “หมายถึงรองเท้าไม่หลุดหรอ” เขาแก้ตัวหน้าตาย เกือบหลุดปากถามออกไปแล้ว ถ้าหลุดออกไปจริงๆคนๆนี้คงถามเขาต่อยาวแน่ๆ




   “อ่อ ไม่หลุดหรอกครับ ผมเก่ง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ไปละ”




   “เห้ยพี่ ไปกับผมดิ เนี่ยซ้อนท้ายผม” เขาไม่ยอมให้หมอเดินไปแน่ๆ หมอจะรู้ไหมว่าเขารีบปั่นขนาดไหนเพื่อที่จะมาให้ทันเจอหมอตรงนี้




   “ไม่เป็นไร”




   “เป็นดิ”




   “เป็นอะไร”




   “เป็น…เป็น…” ถามมาแบบนี้แล้วจะตอบยังไงครับหมอ “ก็ทางเดียวกันก็ต้องไปด้วยกันไงพี่ เร็วเถอะ ซ้อนผม” บุ๋นคะยั้นคะยอคนที่ยืนถือผ้าเช็ดหน้ามองเขานิ่งๆ




   ดูก็รู้ว่าร้อน




   “มะ…”




   “ไม่ต้องปฏิเสธ อีกตั้งไกลกว่าจะถึงซุปเปอร์ พี่เลิกปฏิเสธแล้วซ้อนท้ายผม”




   “อืม” ฐานทัพถอนหายใจแรงๆเพราะไม่รู้จะเถียงกับคนตรงหน้าไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายเขาก็เถียงไม่ชนะอยู่ดี “ไปก็ไป”




   “ก็แค่นั้นแหละ” คนที่ทำสำเร็จเผยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาก่อนจะจับแฮนจักรยานแน่น “เกาะผมไว้ดีๆนะพี่ เดี๋ยวตกรถ”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะเอื้อมมือไปจับเหล็กข้างหลังที่ยื่นออกมานิดนึงเพื่อให้ทรงตัวได้




   บุ๋นค่อยๆปั่นจักรยานออกมาช้าๆจนแทบจะเรียกว่าเต่าเดิน เขารู้สึกอยากจะให้ช่วงเวลานี้อยู่กับเขาไปนานๆ ช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับหมอ มันเป็นความสุขเล็กๆที่เขาไม่อยากให้มันหมดไป




   “ปั่นดีๆ” ฐานทัพพูดขึ้นเมื่อเห็นจักรยานขยับอย่างกับเต่าเดิน




   “คร้าบบบบบ~” บุ๋นรับคำเสียงสดใสก่อนจะเร่งแรงปั่นให้เป็นปกติ




   โถ่หมอ…โรแมนติกหน่อยก็ไม่ได้



   

   ซุปเปอร์ในช่วงเช้าดูโล่งเป็นพิเศษ ฐานทัพเดินเข้าไปพร้อมกับคนที่เดินไปยิ้มไปจนคนในซุปเปอร์ที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ถึงกับหันมามองเพราะท่าทางของเขาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ




   ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะมองว่าบุ๋นเป็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างดี หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูหล่อโดยไม่ต้องผ่านมีดหมอ แต่ในสายตาของฐานทัพเขามองบุ๋นเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ออกจะไปทางประหลาด




   ประหลาดจริงๆ




   “ตามทำไม” ฐานทัพหันไปมองคนที่เดินตามทุกฝีก้าวอย่างสงสัย นึกว่าพอมาถึงซุปเปอร์แล้วจะแยกย้าย




   “ผมลืมว่าจะต้องซื้ออะไร” คนที่เดินตามไม่ได้รู้สึกเลยว่าคนตรงหน้ากำลังไล่เขาแบบอ้อมๆอยู่ “เดินตามพี่ดีกว่า”




   ฐานทัพถอนหายใจกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรคนที่ยืนยิ้มอย่างกับคนบ้าแล้วเดินไปตรงแผนกของตามที่เพื่อนฝากซื้อในการทำกิจกรรมฐาน




   “ผมถือตะกร้าให้” บุ๋นไม่รอให้ฐานทัพตอบตกลง มือของเขาดึงตะกร้าที่ยังไม่ได้ใส่อะไรมาถือไว้ก่อนจะพูดต่อ “เลือกสิครับ ตามสบายเลย”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆแล้วหันกลับไปหาของต่อ




   “หาอะไร ให้ผมช่วยไหม?” คนที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง




   “ช่วย” ฐานทัพตอบพร้อมหันกลับมา “ช่วยอยู่เฉยๆ”




   “โอ้…” เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มต่อ “ครับ จะอยู่เฉยๆ”




   ฐานทัพไม่ได้ตอบกลับ เขาหยิบของใส่ลงตะกร้าพร้อมกับบุ๋นที่เดินตามติดทุกฝีก้าว ถึงแม้ฐานทัพจะพูดเชิงไล่เขายังไงแต่เจ้าตัวก็ยังดึงดันที่จะช่วย




   “ของเยอะเหมือนกันนะครับ” บุ๋นพูดเมื่อเดินมาพักหนึ่งแล้วของเริ่มล้นตะกร้า





   “ถ้าหนักก็เอามา” ฐานทัพยื่นมือไปขอตะกร้าคืน




   บุ๋นไม่ตอบแต่เอามือข้างที่ว่างอยู่ไปแตะมือคนตรงหน้าเบาๆ ฐานทัพหันมามองหน้าอย่างสงสัยก่อนจะดึงมือกลับไป





   “อะไร”





   “แปะไง”





   “แปะ?”





   “แปะไว้ก่อน รอบหน้าพี่ค่อยถือ”





   “รอบหน้า” ฐานทัพเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองหน้าคนเจ้าเล่ห์ “ไม่มีรอบหน้า”





   “ต้องมีสิ” บุ๋นยิ้มรับ “ยังไงก็ต้องมี”




   “เฮ้อ…” ฐานทัพถอนหายใจเสียงดัง เขาไม่ได้รำคาญถึงขนาดทนไม่ได้แต่แค่ไม่เข้าใจว่าคนๆนี้มาตามติดเขาทำไม




   ทั้งๆที่ตัวเขาก็ไม่ได้ทำตัวให้น่าสนิท




   “ท้องพี่ร้องหรอ” บุ๋นยกมือขึ้นป้องหู “พี่หิวข้าวหรอ?”




   “เปล่า” เขาตอบกลับทันที จะท้องร้องได้ยังไงในเมื่อเขาเพิ่งกินข้าวไปเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว




   “แต่ผมได้ยิน พี่ไม่ต้องอายหรอกน่า”




   “เปล่า”




   “ซื้อของเสร็จไปกินข้าวกัน” บุ๋นเหมือนไม่ได้ยินคำปฏิเสธของคุณหมอ เขาถือตะกร้านำไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงินก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง




   อ้าว…หายไปไหน





   “เอ้า…” เขาหลุดออกมาอย่างงงๆก่อนจะเดินไปหาตามล็อคต่างๆ




   หายไปตอนไหนนะ




   “มาแล้ว” เสียงของหมอดังขึ้นพร้อมกับถุงแครอทในมือ “ไปจ่ายตัง”




   “นั่นก็ต้องใช้หรอครับ?” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้ไปที่ถุงแครอทที่ดูไม่น่าทานเอาเสียเลย




   “เปล่า ซื้อไปกินเอง”




   “แล้วนี่คือถุงที่ดูดีที่สุดแล้วหรอครับ ผมว่ามันไม่น่าทานเท่าไหร่”




   “ดีไม่ดีก็กินได้”




   “ไม่ได้ครับ รสชาติมันต่างกันนะ” บุ๋นถือวิสาสะหยิบถุงแครอทในมือของหมอเดินไปเก็บก่อนจะกวาดตามองหาถุงใหม่ที่น่ากินกว่าถุงเดิม




   ถึงเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานของที่บ้านแต่เขาก็คลุกคลีกับผักผลไม้มาเยอะและเขาก็พอดูออกว่าการเลือกผักผลไม้ต้องดูจากอะไรบ้าง




   ฐานทัพเดินตามคนที่เดินดุ่มๆมาอย่างไม่เข้าใจ เขามองบุ๋นที่ดูสนใจกับการเลือกแครอทตรงหน้าให้เขาด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้เพราะคิดว่ากินแบบไหนก็เหมือนกันหมด




   ไม่เห็นจะต่างตรงไหน




   “ถุงนี้น่ากินที่สุดแล้ว” บุ๋นหันกลับมาพร้อมกับชูถุงแครอทที่เลือกอยู่นานให้คนตรงหน้าดู “ก็ไม่ได้น่ากินเท่าไหร่หรอก แต่ก็ดีกว่าที่พี่เลือก”



   “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้ “ขอบคุณ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะเดินนำไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงินเพราะจะเอาของไปให้เพื่อนเพื่อเตรียมกิจกรรม ถึงจะเป็นกิจกรรมช่วงบ่ายแต่การเผื่อเวลาไว้ก่อนมันคงดีกว่า





   “ไว้ผมจะปลูกให้พี่กินนะ” บุ๋นวางตะกร้าลง “พี่ชอบทานผักผลไม้อะไรบ้างครับ”




   “ปลูก?” ฐานทัพมองคนตรงหน้า “ไม่เป็นไร”




   “ผมเต็มใจ” บุ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คำตอบของเขาทำเอาคุณหมอที่ยืนอยู่ถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง




   “ไม่เข้าใจ” ฐานทัพเอ่ยเสียงเบา





   “ครับ?”





   “เปล่า” เขาส่ายหน้า “แยกกันตรงนี้นะ”





   “ไม่ครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” บุ๋นพูดพร้อมกับรวบถุงของเอาไว้ในมือเดียว “ของเยอะขนาดนี้จะถือกลับไปได้ยังไง ไกลก็ไกล”




   “แต่…”




   “ถ้าเกรงใจก็ไปกินข้าวกับผม” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตกลงตามนี้นะครับ”




   “งั้นเดิน”





   “โหพี่…” บุ๋นเอ่ยเสียงอ่อน “รังเกียจกันขนาดนี้เลยหรอ”





   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “ล้อเล่น” เขาพูดกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย





   “เย้!” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่ใจดีที่สุดเลย”    





   ทั้งสองคนเดินออกมาจากซุปเปอร์พร้อมกับของที่ซื้อมาถุงใหญ่ ฐานทัพหยุดเดินก่อนที่จะเอื้อมมือไปสะกิดไหล่คนที่เดินนำอยู่สองก้าวแล้วชี้ไปที่ร้านอาหารข้างทางที่เดินไปไม่ไกลมากจากจุดที่ยืน




   “ครับ?” เจ้าตัวหันมาถามพร้อมกับรอยยิ้ม





   บางครั้งฐานทัพก็นึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนๆนี้ถึงยิ้มตลอดเวลาที่คุยกับเขา อาจเพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่ยิ้มเก่งขนาดนี้และทำไมรอยยิ้มของคนๆนี้มันดูมีเสน่ห์มากกว่าหลายๆคนที่เขารู้จัก





   แปลกดี





   “ยังพอเหลือเวลา ไปกินก่อนไหม”





   “ได้หรอครับ?”





   “อืม”





   “ไปครับ” บุ๋นพยักหน้ารัว เขาหิวข้าวมาสักพักใหญ่ๆแล้วแต่พออยู่กับหมอก็ดันลืมความหิวไปซะหมด ถ้าทนไปอีกสักพักท้องคงร้องประสานเสียงแน่ๆ



    บุ๋นเดินนำเข้ามาในร้านก่อนจะเดินไปสั่งโดยไม่ต้องดูเมนูหน้าร้านอาหาร ฐานทัพหันไปมองคนที่ยืนสั่งอย่างคล่องแคล่วก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้านในของร้าน เขายังรู้สึกอิ่มๆอยู่เลย




   “ของพี่ครับ” เสียงของบุ๋นดังขึ้นพร้อมกับถุงน้ำหวานกระดาษที่อยู่ข้างๆร้านอาหาร




   “หืม?” ฐานทัพเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองถุงน้ำหวานที่บุ๋นยื่นให้ “น้ำอะไร”





   “ชาเขียวครับ”





   “ไม่ชอบชา” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะเห็นสีหน้าที่ฉีกยิ้มดูสลดลงเล็กน้อยที่เขาพูดออกไปแบบนั้น





   “งั้นหรอครับ” บุ๋นเอ่ยเสียงอ่อย “ของผมเป็นชาดำเย็น พี่คงไม่ชอบ”




   “อืม”





   “ไม่เป็นไรครับ ผมกินสองถุงก็ได้” บุ๋นยิ้มอีกครั้งก่อนจะดึงถุงน้ำหวานมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง





   “เดี๋ยว” ฐานทัพเอ่ยขัด “กินก็ได้…เผื่ออร่อย” เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงหน้าเขาก็เลือกที่จะพูดออกมา




   “จริงหรอครับ” บุ๋นตาโต “อร่อยสิครับ พวกเพื่อนๆชอบซื้อมาฝาก” บุ๋นยื่นถุงชาเขียวกลับไปตรงหน้าคุณหมอ





   “ขอบคุณ” ฐานทัพรับมาก่อนจะเจาะถุงแล้วดูดเพื่อชิมรสชาติของชาเขียวที่เขาไม่เคยถูกปากเลย





   อืม…ไม่ถูกปากจริงๆ แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูดีใจของคนตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเห็นสีหน้าผิดหวัง





   “ชอบไหมครับ?”





   “อืม อร่อยดี” เขาโกหกกลับไป ฐานทัพไม่ชอบอะไรที่หวานมากนัก ปกติเขาเองก็ดื่มแค่กาแฟเป็นชีวิตจิตใจ




   “ไว้ผมจะซื้อให้พี่อีกนะ” บุ๋นพูดพร้อมกับดูดชาดำเย็น “พี่จะได้คิดถึงผม”




   “ไม่…เพ้อเจ้อ” ฐานทัพเสมองไปทางอื่นพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากเล็กๆ




   อยู่กับคนๆนี้ก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด




   อาหารมาเสริฟพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกของทั้งสองคน บุ๋นยื่นจานแรกให้ฐานทัพก่อนจะรับอีกจานมาวางไว้ตรงหน้าของตัวเอง เขาเลือกที่จะสั่งราดหน้าให้ฐานทัพเหมือนกับตัวเขาที่ชอบทานอาหารนี้มาตั้งแต่เด็กๆ




   “ทานเลยครับ ผมเลี้ยงเอง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะตักราดหน้าเข้าปาก ถึงจะไม่หิวแต่ปฏิเสธตอนนี้ก็ดูจะเสียน้ำใจกันเกินไป เขาพยายามกินให้ช้าที่สุดเพื่อให้คนตรงหน้าเห็นว่าเขากำลังกินอยู่ ไม่ได้เขี่ยอาหารไปมา




   ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าบอกไปตรงๆว่าไม่หิว




   “ขึ้นปีสามแล้วเหนื่อยแย่เลยนะครับ” บุ๋นชวนคุยระหว่างที่กำลังกินข้าว




   เขาอยากจะให้เวลาในตอนนี้อยู่กับเขาไปนานๆ




   “อืมเหนื่อย” ฐานทัพหยักหน้าก่อนจะชะงักไป “รู้ได้ยังไงว่าปีสาม”




   บุ๋นกลืนราดหน้าที่เคี้ยวอยู่ลงคออย่างลืมตัว เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มแห้งๆ ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาหลุดปากพูดอะไรพวกนี้ออกมา



   ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยย!!!




   “ผมเดาไง” เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ




   “หรอ” ฐานทัพมองอย่างจับผิด “กินต่อเถอะ”




   “แล้วพี่ไม่มีแฟนหรอครับ” บุ๋นอดไม่ได้ที่จะถามตรงๆ คำถามของเขาทำเอาคนที่กำลังจะตักราดหน้าเขาปากถึงกับชะงักไป




   “ไม่มี” ฐานทัพถอนหายใจ “ไม่อยากมี”




   “ทำไมล่ะครับ”




   “เรียนก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีเวลาไปดูแลใคร” ฐานทัพพูดอย่างไม่ใส่ใจ แฟนไม่เคยอยู่ในหัวเขาอีกเลยตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามหาลัย





   “ให้เขาดูแลพี่สิครับ” บุ๋นสบตาคนตรงหน้านิ่ง “บางทีอาจจะมีคนที่พร้อมจะดูแลพี่อยู่ก็ได้”




   “ใคร” ฐานทัพสบตากลับ เขามองบุ๋นตรงๆพร้อมนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ได้คุยกันเมื่อวันที่บุ๋นโดนรับน้อง วันที่บุ๋นจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร




   “ผม…” บุ๋นเว้นช่วง “ไม่รู้สิครับ แหะๆ”




   “ช่างเถอะ” ฐานทัพบอกปัด เขาไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเข้ามากวนใจเขานอกจากเรื่องเรียน ขึ้นปีสามแล้วงานก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีเขาก็จะต้องเรียนจบและไปใช้ทุนต่อ




   ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องอะไรพวกนี้




   “ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่าจะเจอกันบ่อยแค่ไหน”




   “…”





   “พี่จะยอมให้เขาเข้ามาดูแลพี่ไหม?”




---------------- 100%
มาต่อแล้วค่าาาาาา ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
ติดตามกันไปยาวๆเลยยยยย
5555555555555555  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:


หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [05: จีบหมอครั้งที่ห้า 100%] 01/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 02-10-2016 13:18:01
บุ๋นเอ้ยยย
น่ารักจังเลยยยย :ling1:
พี่ฐานทัพใจอ่อนเร็วๆนะคะ555555
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 50%] 04/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 04-10-2016 21:35:18
จีบหมอครั้งที่หก

   “ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่าจะเจอกันบ่อยแค่ไหน”



   “…”




   “พี่จะยอมให้เขาเข้ามาดูแลพี่ไหม?”




   น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังเอ่ยถามคนตรงหน้าที่เงียบไป ขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกถูกยกขึ้นมาตีหัวคนที่จริงจังเบาๆก่อนที่คุณหมอจะวางขวดน้ำไว้ที่เดิม




   “ถึงเวลาก็รู้เอง”




   แปดโมงเช้ากับการเปิดเทอมวันแรกของปีหนึ่ง…



   “ง่วงว่ะ” บุ๋นเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากหาวเป็นรอบที่สามหลังจากที่ลากสังขารตัวเองมาถึงตึกเรียนรวมของมหาลัยได้อย่างทันเวลา




   “กาแฟไหม” เดชพูดพร้อมกับยื่นกาแฟกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดมาตรงหน้า




   “ไม่ว่ะ ทนได้”




   “เออตามใจ” เดชเปิดกระป๋องก่อนจะยกดื่มจนหมดในเวลาไม่นาน




   เดชเป็นเพื่อนคนแรกที่บุ๋นได้คุยด้วยจริงๆจังๆหลังจากที่ผ่านกิจกรรมของคณะ จากหลายๆอย่างทำให้เขาคิดว่าเขากับเดชน่าจะเข้ากันได้ เดชเป็นคนนิ่งๆแต่มักจะมีเรื่องต่างๆมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ รู้ทุกเรื่องของมหาวิทยาลัยราวกับเป็นพี่เนียนแต่ติดตรงที่เขาเฉลยพี่เนียนกันไปหมดแล้ว ถึงแม้หน้าจะแก่เกินกว่าจะอยู่ปีหนึ่งแต่นี่ก็คือเพื่อนคนเดียวที่เขาคุยด้วยบ่อยที่สุดในคณะเกษตร




   “จบนี่แล้วมึงไปไหนวะ” บุ๋นหันไปถามฆ่าเวลาระหว่างรออาจารย์เข้าห้อง



   “ว่าจะไปสมัครชมรมแล้วไปหอสมุดต่อ มึงล่ะ?”




   “ไปไหนก็ได้ที่กูนอนได้” พูดอีกก็หาวอีก “งั้นกูไปรอมึงที่หอสมุด สมัครเสร็จก็ตามมาละกัน”




   “เออเอางั้นก็ได้”




   ทั้งห้องเงียบลงเมื่ออาจารย์วัยกลางคนเดินเข้ามาด้วยสายตาตำหนิตั้งแต่คาบแรก บุ๋นเลิกหันไปคุยกับเดชก่อนจะสนใจเนื้อหาตรงหน้าที่แทบจะไม่ไหลเข้าสมองเขาเลยราวกับว่าพูดกันคนละภาษา




   บ้าไปแล้ว




   เขาไม่เข้าใจ…




   “อะไรวะ” บุ๋นอุทานออกมาหลังจากที่อาจารย์สอนไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพร้อมกับสไลด์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่รอให้นักศึกษาจดเลกเชอร์




   “ไม่ทันตรงไหน” เดชหันมามองสมุดที่เปิดหน้าไว้พร้อมกับปากกาที่อยู่ในมือบุ๋น “อะไรของมึง” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาในเมื่อกระดาษของบุ๋นว่างเปล่าราวกับพึ่งซื้อใหม่แล้วไม่กล้าทำให้สมุดเป็นรอย




   “กูจดไม่ทัน ทำไมไวแบบนี้วะ” เขาพูดพร้อมกับขยี้หัวตัวเอง




   เมื่อก่อนก็คิดว่าตัวเองเรียนพอใช้ได้…พึ่งรู้วันนี้ว่าตัวเองโง่




   “ใจเย็น” เดชพูดพร้อมกับยื่นสมุดจดของตัวเองให้ “เอาของกูไปลอก”




   “เออขอบ…โอ้โหเหี้ย” บุ๋นสบถออกมา “นี่มันตัวหนังสือคนจริงๆหรอวะ” เขามองตัวหนังสือที่ตวัดไปมาจนแทบอ่านไม่ออกก่อนจะมองหน้าเดช




   “ไม่จดแล้วยังว่า ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา” เดชพูดพร้อมกับดึงหนังสือกลับมาก่อนจะหันไปสนใจอาจารย์ต่อ




   “เอ้า…แล้วกู…”




   ไม่ทันที่บุ๋นจะพูดต่อนิ้วเล็กๆของคนที่นั่งถัดไปก็สะกิดเขาเบาๆพร้อมกับใบหน้าขาวใสของผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งถัดจากเขาไปอีกหนึ่งเก้าอี้ ยิ้มหวานปรากฏขึ้นภายใต้กรอบแว่นทรงกลมที่ดูรับกับใบหน้ารูปไข่ เธอยิ้มให้บุ๋นอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นสมุดสีชมพูลายการ์ตูนน่ารักมาให้เขา




   “ยืมของเราก็ได้นะ”




   “ยืม?” บุ๋นทำท่างงก่อนจะพูดต่อ “อ่อ…ขอบคุณมากนะ” เขารับมาแม้จะไม่รู้จักคนข้างๆแต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา




   “เราชื่อน้ำฟ้านะ” น้ำฟ้าแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มหวานที่ใครๆเห็นก็ต้องใจละลาย “บุ๋นใช่ไหม?”




   “อืม ใช่ครับ” บุ๋นยิ้มตอบ “เดี๋ยวเรายืมถ่ายรูปแล้วจะเอาคืนให้เลย” บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาระหว่างที่อาจารย์ออกไปเข้าห้องน้ำ




   “จ้ะ” น้ำเสียงหวานตอบกลับ




   เธอหันไปมองคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเลกเชอร์ของเธอทีละหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏขึ้น บุ๋นผู้เข้าประกวดเดือนคณะเกษตรศาสตร์และน้ำฟ้าผู้เข้าประกวดดาวคณะเกษตรศาสตร์ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว




   คนๆนี้มีเสน่ห์มากจนเธอไม่อยากละสายตา…



.   


   หอสมุดในวันเปิดเทอมวันแรกดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ไม่แปลกเพราะเด็กปีหนึ่งที่พึ่งเข้าใหม่ก็เข้ามารับแอร์เย็นๆก่อนเข้าเรียนเป็นเรื่องปกติ แต่เสียงในหอสมุดเจี้ยวจ้าวมากเกินกว่าที่จะอ่านหนังสือเตรียมเข้าห้องเรียนได้ เสียงที่น่ารำคาญแบบนี้มันไม่ควรจะมีในหอสมุดของมหาวิทยาลัย




   ฐานทัพปิดหนังสือลงหลังจากที่ทนมาได้พักหนึ่ง เสียงไม่ได้ดังมากแต่มันน่ารำคาญสำหรับเขาที่ต้องการสมาธิ หนังสือเล่มหนาถูกยกขึ้นมาถือไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปขึ้นบันไดเพื่อไปหาชั้นที่เสียงจะเงียบลงกว่านี้หน่อย วันนี้เขามีเรียนตอนบ่ายโมงแต่ออกมานั่งอ่านหนังสือรอที่หอสมุดตั้งแต่สิบโมงเกือบสิบเอ็ดโมงรอเพื่อนอีกสองคนมา




   ชั้นสองของหอสมุดไม่ได้ต่างจากชั้นแรกมากนัก เขาเดินขึ้นมาถึงชั้นสามของหอสมุดที่แบ่งเป็นโซนอ่านเดี่ยวและโซนโต๊ะกลุ่ม แปลกอีกอย่างคือโซนอ่านเดี่ยวเต็มทุกโต๊ะจนไม่มีที่ว่างให้เขาเลยสักที่เดียว โซนโต๊ะกลุ่มก็มีคนเอาคอมพิวเตอร์มาเล่นกันราวกับเป็นร้านเกมส์ขนาดย่อมและเอาไว้นอนอยู่หลายโต๊ะ ที่เห็นว่าว่างที่สุดก็โต๊ะข้างในสุดที่มีร่างของคนๆหนึ่งฟุบอยู่กับโต๊ะพร้อมสมุดที่เปิดอ้าไว้และโทรศัพท์ที่วางข้างตัว ฐานทัพคิดอยู่นานก่อนจะยอมเดินตรงไปที่โต๊ะกลุ่มในสุดเมื่อหาโต๊ะนั่งเดี่ยวไม่ได้




   อย่างน้อยคนที่นอนอยู่ก็ไม่น่าจะเสียงดังเท่ากับข้างล่าง




   ขอนั่งด้วยคงไม่เป็นไร




   “ขอนั่งด้วยได้ไหม?” เขาถามเสียงเบาหากแต่ว่าคนที่นอนอยู่กลับไม่ได้ยินเสียงของเขา




   อืม…ถือว่าตกลง




   ฐานทัพไม่รอฟังคำตอบจากคนที่เขาหลับอยู่ ร่างสูงวางหนังสือเล่มหนาลงก่อนจะค่อยๆลากเก้าอี้ออกมาเพื่อสอดตัวเข้าไปนั่งเงียบๆเพื่อไม่ให้รบกวนเวลานอนของคนตรงหน้า




   บทเรียนที่อ่านค้างไว้ถูกเปิดอีกครั้งพร้อมกับคุณหมอที่เริ่มอ่านหนังสือต่อจากเมื่อครู่ เขาค่อยๆไล่สายตาอ่านที่ละตัวอักษรอย่างใจเย็น ความรู้ค่อยๆแล่นเข้าไปในหัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆจากหนังสือที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นพี่ปีสูง เขามักจะอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนเสมอเพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและเก็บเรื่องที่ไม่เข้าใจไปทำความเข้าใจในห้องตอนที่อาจารย์สอน ทำแบบนี้มาเสมอจนติดเป็นนิสัย ไม่แปลกที่ฐานทัพมักจะได้คะแนนติดอันดับท๊อปของรายวิชาอยู่เสมอ




   พึ่บ พึ่บ




   กระดาษที่ปิดหน้าอยู่ค่อยๆร่วงลงเมื่อคนตรงหน้าขยับตัว เขาหันไปสนใจคนตรงหน้าเพราะกลัวว่าจะทำให้คนที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมา ทันทีที่มองชัดๆเขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เขาบังเอิญเจอๆคนนี้ จะว่าไปก็เกือบสองอาทิตย์ที่เขาไม่ได้เจอหน้าคนๆนี้เลย




   ควรย้ายโต๊ะ…




   ความคิดแรกแล่นขึ้นมาในหัว ฐานทัพปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงอีกครั้ง เขามองคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อหาที่นั่งใหม่ ขืนถ้าตื่นขึ้นมาตอนนี้เขาเชื่อเลยว่าต้องถูกรบกวนจนอ่านหนังสือต่อไม่ได้แน่ๆ




   “อืม…” เสียงในลำคอดังขึ้นพร้อมกับสมุดที่ถูกดันออกมาจากที่ๆแขนทั้งสองทับราวกับลืมไปแล้วว่ากำลังนอนทับสมุดอยู่




   ฐานทัพมองตัวหนังสือที่แทบจะอ่านไม่ออกก่อนจะมองคนที่นอนหลับอยู่สลับกับสมุด ตัวหนังสือที่ใหญ่จนล้นเส้นบรรทัดกับคำอธิบายที่ดูเข้าใจยากทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่ยากจะเขียนให้มันดูยากทำไม




   “เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจของคุณหมอดังขึ้นอย่างรำคาญตัวเอง เขาดึงสมุดที่ถูกเขี่ยออกมามาไว้ฝั่งตัวเองก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง




   ปากกาที่เหน็บกระเป๋าเสื้อไว้ถูกดึงออกมาพร้อมกับคำอธิบายที่เขาเขียนลงหน้าใหม่ข้างๆหน้าเดิมเพื่อให้ดูเข้าใจง่ายมากกว่าเดิม แม้จะไม่ใช่ธุระอะไรของเขาแต่ในเมื่อเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้




   อย่างน้อยคนๆนี้ก็เคยช่วยงานเขาหลายครั้ง




   เนื้อหาถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับตัวหนังสือที่อ่านง่ายกว่าเดิม ฐานทัพใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีในการสรุปบทแรกจบในสองหน้า เขาปิดสมุดลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของคนตรงหน้าขึ้นมาทับสมุดไว้เผื่อเจ้าตัวปัดสมุดทิ้งไปทางอื่นอีก




   ดวงตาทั้งสองข้างที่หลับสนิทกับท่าทางที่ดูไม่มีพิษมีภัยทำให้เขาหยุดมองอยู่พักใหญ่ ฐานทัพมองคนตรงหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด คนๆนี้จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง เสียอยู่อย่างเดียวคือเพี้ยนไปหน่อย




   “…” เขายิ้มมุมปากก่อนจะสลัดความคิดแปลกๆในหัวทิ้ง




   ร่างสูงของหมอค่อยๆเหยียดตัวยืนขึ้น เขายกหนังสือที่เตรียมมาอ่านขึ้นไว้กับตัวก่อนจะมองคนที่นอนหลับไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้




   ดีแล้วละ




   ฐานทัพค่อยๆลากเก้าอี้ให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนจะเดินออกมาปล่อยให้เจ้าตัวยังคงนอนหลับสบายอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปลุกให้ตื่น




   เปิดเทอมวันแรกก็หลับแล้ว…บุ๋น




   เดชเดินเข้ามาหลังจากที่หมอเดินออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เขาหันมองฐานทัพแว๊บหนึ่ง เหมือนเขาเห็นคนๆนี้นั่งโต๊ะเดียวกับเพื่อนของเขา




   คงไม่ใช่มั้ง




   “ไอ้บุ๋น” เดชเรียกเพื่อนตัวเองพร้อมเขย่าให้คนที่ฟุบหลับอยู่ตื่น




   บอกเขาเองแท้ๆว่าจะมานั่งรอที่หอสมุด ก่อนออกห้องก็พูดไว้ดิบดีว่าจะจดเลกเชอร์ที่ไปยืมของอีกคนมาเขียนให้เสร็จ แล้วไหงหลับไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแบบนี้




   “อืม..” บุ๋นขยับตัวหันหน้าไปอีกข้างราวกับไม่ได้อยู่ในหอสมุด




   “ถ้ามึงไม่ตื่นมึงจะเข้าเรียนคาบบ่ายไม่ทัน”




   “อืม…เรียนๆ” เสียงงัวเงียตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่ค่อยๆเหยียดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ บุ๋นขยี้ตาตัวเองก่อนจะหยิบสมุดที่ยังเขียนไม่ถึงไหนขึ้นมาเปิดหน้าที่เขียนค้างไว้




   “ยังไม่ถึงไหนสินะ” เดชพูดเหมือนรู้ทัน




   “เออดิ หลับไปตอน…เห้ย!” เขาร้องเสียงหลงก่อนจะมองตัวหนังสือที่เป็นระเบีบยกับคำอธิบายที่เข้าใจง่ายข้างๆหน้าที่ตัวเองยังเขียนไม่เสร็จ “นี่มันไม่ใช่ลายมือกู”




   “ไหน” เดชพูดพร้อมชะโงกหน้ามาดู “เออ เป็นระเบียบดี ใครทำให้วะ”




   “ไม่รู้” บุ๋นขมวดคิ้ว “มึงเขียนให้กูรึเปล่า”




   “ถ้ากูเขียนให้มึงสวยขนาดนี้กูคงเขียนให้ตัวเองก่อน”




   “แล้วใครวะ…” เขาค่อยๆไล่สายตาอ่านตัวหนังสือที่เป็นระเบียบทุกบรรทัดพร้อมโน๊ตจุดสำคัญไว้ว่าตรงไหนที่ควรจำ มันทำให้เรื่องที่เขาไม่เข้าใจกลับมาเข้าใจได้เพราะสรุปสองหน้า




   ใครวะ…




   “เมื่อกี้กูเห็นคนมานั่งโต๊ะกับมึงตอนมึงหลับอยู่” เดชเริ่มประมวลภาพความทรงจำ “พึ่งเดินออกไปตอนที่กูเข้ามา”




   “ใครวะ”




   “ไม่รู้ กูจะไปรู้ได้ยังไง รู้แค่ว่าถือหนังสือมาหนามาก”




   “หรอ…” บุ๋นตอบกลับอย่างไม่สนใจก่อนที่สายตาจะสะดุดที่คำสุดท้ายในหน้าที่สองของบทเรียนที่ถูกสรุปจากคนนิรนาม



   เปิดเทอมวันแรกก็หลับแล้ว...บุ๋น



   “หมอ” คำแรกที่หลุดออกมาจากปากเขาทำเอาเดชที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้มากๆ”




   “อะไรวะ?”




   “คนที่มานั่งกับกูเมื่อกี้ หน้าตาดูฉลาดไหม?”




   “ก็ดูฉลาดกว่ามึง”




   “เออ ถือว่าเป็นคำตอบที่ดี” แม้อยากจะตบกะโหลกคนตรงหน้าสักทีแต่บุ๋นก็ทำได้แค่คิด เขาปิดสมุดตัวเองลงก่อนจะใส่เก็บไว้ในกระเป๋า




   ไม่ผิดแน่ๆ…





------------------------- 50%
ตอนนึงยาวมากเลยต้องแบ่งมาลง ฮื้อออออออ
ไหนใครอ่านอยู่บ้างขอเสียงหน่อยยยยยยยย
รู้สึกเหมือนพูดคนเดียว ว๊ากกกก  ถถถถถถถถถถถถถถถ  :hao5: :hao5: :hao5: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 50%] 04/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 04-10-2016 22:20:05
หมอก็น่าร้ากกกกชอบบ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนเลิ้บบบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 50%] 04/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 05-10-2016 21:59:37
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 50%] 04/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 06-10-2016 10:36:02
สนุกมากกกกชอบบบบบุ๋นน่ารักพี่หมอก็น่าร๊ากกกก :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 50%] 04/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: tungz ที่ 06-10-2016 11:02:10
Fc พี่หมอ  :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 100%] 06/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 06-10-2016 22:33:02
   

   สองทุ่มตรง…



   นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามทยอยเดินออกมาจากห้องเลกเชอร์ใหญ่ที่ถูกเลื่อนเวลาให้มาเรียนเย็นกว่าเดิมเพราะอาจารย์ติดธุระตั้งแต่วันเปิดเทอมวันแรก ฐานทัพที่เดินตามหลังปกป้องกับคินบอกลากันหน้าคณะเพราะตัวเขาอยู่หอในของมหาวิทยาลัยแต่คินกับปกป้องออกไปเช่าหอข้างนอกอยู่ด้วยกัน เหตุผลที่เขาไม่ออกไปด้วยก็คงเป็นเพราะเขาชอบอยู่คนเดียวมากกว่า




   “ไม่ไปกินข้าวด้วยกันหรอวะ” คินถามเสียงเหนื่อย




   ขนาดเปิดเทอมวันแรกยังเหนื่อยขนาดนี้ เขาเดาไม่ออกเลยว่าวันถัดๆไปจะเป็นยังไง แค่ตอนปีสองที่สภาพพวกเขาอย่างกับศพก็รับไม่ได้มากพอแล้ว ปีสามจะเป็นยังไงไม่อยากจะนึกภาพเลย




   “ไม่ละ เดี๋ยวหาไรกินทางกลับหอ” ฐานทัพตอบกลับ




   “เออ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะมึง”




   “อืม บาย” เขาโบกมือลาเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะเดินไปทางจักรยานตัวเองที่จอดไว้อีกตึกตั้งแต่เช้า




   เขารู้สึกเพลียเกินกว่าที่จะทำอะไรได้อีก ในความคิดของฐานทัพตอนนี้คิดถึงแต่เตียงนุ่มๆ อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีก




   ทำไม่ได้…




   สายตาของเขาสะดุดเข้ากับร่างของคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ที่บันไดทางขึ้นตึกเหมือนมารอใครสักคน มือหนึ่งเกาแขนตัวเองอีกมือหันไปตบยุงบริเวณรอบตัว




   “บุ๋น” เขาเรียกชื่อคนๆนั้นเสียงเบาเป็นเวลาเดียวกับที่ใบหน้าได้รูปหันมามองทางเขาพอดี รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาคุณหมอ




   ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ามารอใคร




   “นึกว่าจะไม่เจอซะแล้ว” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บุ๋นมารอคุณหมอที่ตึกตั้งแต่ห้าโมงเย็นหลังจากที่เขาเลิกเรียน เขาต้องการถามในสิ่งที่เขาค้างคาใจ




   ไม่อยากปล่อยไว้ข้ามวัน




   “มีอะไร” ฐานทัพถามกลับ เขามองรอยแดงๆที่แขนสองสามจุดของบุ๋นสลับกับใบหน้าที่ยังคงยิ้มไม่หุบ




   “ผมแค่จะมาถามว่า…” บุ๋นพูดพร้อมกับหยิบสมุดเลกเชอร์ของตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าที่เขาไม่ได้เป็นคนเขียนให้คนตรงหน้าดู “พี่เขียนให้ผมใช่ไหมครับ”




   “ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ฐานทัพถามกลับ




   “ไม่รู้สิ ผมแค่คิดว่าเป็นพี่” บุ๋นเกาหัวแก้เก้อ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “อ่านแล้วเข้าใจไหม” เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนให้อีกคนจะทำให้งงกว่าเดิมหรือเข้าใจมากขึ้น




   “เข้าใจครับ” บุ๋นตอบกลับด้วยท่าทางดีใจ “เป็นพี่จริงๆด้วย” เขายิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่กว้างจนทำให้ตาทั้งสองข้างเหลือขีดเดียวทำให้ฐานทัพหัวเราะออกมา





   “อืม ดีแล้ว”




   “ขอบคุณมากนะครับ” บุ๋นปิดสมุดลงแล้วกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น “ผมจะเก็บรักษาอย่างดี”




   “อืม”




   “ผมมาถามแค่นี้แหละ…ผมไปนะ” เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วเขาก็หันหลังทำท่าจะเดินออกมา ความรู้สึกในตอนนี้ของเขามันล้นเอ่อจนกลัวจะแสดงพฤติกรรมแปลกๆให้คนตรงหน้าเห็น




   “เดี๋ยว” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะเรียกคนตรงหน้าให้หยุด “หิวข้าวไหม” ไม่รู้ทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น แต่การที่บุ๋นมานั่งรอเขาจนโดนยุงกัดทั้งตัวเพื่อต้องการคำยืนยันจากเขานั่นก็ทำให้เขาอดที่จะถามไม่ได้




   มานั่งรอเพราะต้องการคำตอบแค่นี้




   “หิวครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมกลับไปกินที่หอได้”




   “อ่อ” เขาพยักหน้า “จะชวนไปกินข้าว”




   “ครับ?” บุ๋นทำตาโต “ชวนผมหรอ”




   “ไม่เป็นไร ไปกินที่หอเถอะ”




   “เป็นครับ เป็นแน่ๆ” บุ๋นพูดเสียงดังฟังชัด “ผมหิวพอดี หิวมากจนทนไม่ไหวคงกลับไปกินที่หอไม่ได้แน่ๆ”




   “เว่อร์”




   “เราไปกันเลยไหมครับ?”




   “ทันทีเลยนะ” ฐานทัพเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน บุ๋นหัวเราะนิดๆก่อนจะดึงหนังสือที่ฐานทัพถืออยู่มาถือไว้




   “ผมถือให้นะ พี่คงถือมันมาทั้งวันแล้ว”




   “ไม่เป็นไร”




   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นไม่รอให้หมอพูดอะไรต่อ เขาเดินนำไปที่รถจักรยานของตัวเองก่อนจะวางหนังสือทั้งหมดไว้ที่ตะกร้าหน้ารถ




   ฐานทัพควานหาของบางอย่างในกระเป๋าก่อนจะยื่นยากระปุกเล็กๆให้คนที่กำลังจะไขกุญแจรถจักรยาน บุ๋นมองยาอย่างไม่เข้าใจความหมายก่อนจะชี้นิ้วเข้าตัวเองเป็นคำถามว่า ผมหรอ




   “ยุงกัด” ฐานทัพถอนหายใจ “ทายาสิ”




   “อ่อ…” บุ๋นลุกขึ้นยืนก่อนจะรับยาจากคุณหมอมา “ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม”




   “ไม่ได้ห่วง” เขาตอบกลับแทบจะทันที




   ไม่ค่อยได้ใช้ยาเท่านั้นเอง




   “ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงครับ” คนที่รับมาแอบยิ้มก่อนจะเปิดกระปุกยาแล้วทาบริเวณที่โดนยุงกัด เขามานั่งรอหมอนานจนเกือบจะถอดใจกลับหอ




   ดีที่ไม่กลับ




   “ทาไม่ถึงเลย” คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมกับแกล้งทำท่าแขนสั้น “ทำไมทายากแบบนี้นะ”




   “เยอะไป” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะพูดต่อ “หิว”




   “ขอโทษครับ แหะๆ” บุ๋นรีบปิดกระปุกยาที่ยังทาไม่เสร็จลงก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยานแล้วหันไปยิ้มให้คนที่ยืนมองอยู่ “ขึ้นสิครับ”




   “เดี๋ยวเอาจักรยานก่อน” ฐานทัพพึ่งนึกได้ว่าเขาต้องเอาจักรยานของตัวเองปั่นกลับหอ มัวแต่ยืนดูคนๆนี้ยืนยิ้มจนลืมสิ่งที่ตัวเองจะทำ




   “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมปั่นไปส่ง” บุ๋นพูดพร้อมกับปั่นจักรยานมาหยุดตรงหน้าฐานทัพ “ดูท่าทางพี่เหนื่อยมาก ให้ผมปั่นไปส่งนะ”




   “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เรียนเช้า”




   “งั้นเดี๋ยวผมปั่นกลับมาส่ง ยังไงก็ทางผ่านกลับหอผมอยู่แล้ว” เขาโกหกคำโต ทางกลับหอเขาอยู่คนละทางกับคณะแพทย์




   แค่อยากจะยืดเวลาให้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้




   “ทางเดียวกัน…เหรอ” ฐานทัพแม้จะรู้อยู่ในใจว่ามันคนละทางแต่เพราะความเหนื่อยและขี้เกียจเขาเลยพยักหน้าแกล้งไม่รู้เรื่องแล้วขึ้นซ้อนท้ายคนที่รออยู่ “ตามใจ”




   “ครับ” บุ๋นตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง




   เขาปั่นจักรยานออกมาจากคณะแพทย์ตรงไปตามทางที่ฐานทัพบอก แสงไฟจากร้านอาหารที่มีผู้คนบ้างประปราย จากตรงนี้กลับคณะแพทย์ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ บุ๋นสังเกตสีหน้าของคุณหมอที่ดูเพลียเต็มทนเขาเลยอาสาไปสั่งอาหารให้แล้วให้อีกคนไปรอที่โต๊ะก่อน




   “พี่เอาอะไรครับ”




   “ข้าวผัดหมู” ฐานทัพในตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะคิดว่าตัวเองอยากกินอะไร เขาอยากจะฟุบหลับไปตรงนี้แต่เพราะเสียงท้องร้องทำให้เขาต้องฝืนตัวเองให้ตื่น




   “ผมว่าให้ผมกลับไปส่งพี่เถอะ” เมื่อเห็นสภาพของคนตรงหน้าบุ๋นเองก็อดห่วงไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นคุณหมอแสดงอาการเหนื่อยอ่อนขนาดนี้มาก่อน





   “ไม่เป็นไร” ยังไงฐานทัพก็ยังยืนยันคำเดิม





   “งั้นผมจะปั่นไปส่งพี่ที่หอด้วย” บุ๋นพูดเสียงเบาก่อนจะเดินไปสั่งอาหารตามที่ฐานทัพบอก “เป็นห่วงพี่ว่ะ” เขาพึมพำเบาๆไม่ให้คนที่นั่งรออยู่ได้ยิน




   “ดื่มน้ำก่อนครับจะได้สดชื่น” บุ๋นยื่นแก้วน้ำที่ไปตักมาให้ฐานทัพก่อนจะนั่งลงมองคนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจความสกปรกของโต๊ะอาหาร




   “อืม ขอบคุณ” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมารับแก้วน้ำจากบุ๋นก่อนจะยกดื่มจนหมด “ทำอะไร” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางสื้อกันหนาวไว้ตรงหน้าเขา




   “ถ้าทนไม่ไหวก็นอนบนเสื้อผมก่อน พี่นอนลงไปแบบนั้นสกปรกจะตาย”




   “ไม่เป็นไร”




   “ผมต้องพูดคำนั้นครับ” บุ๋นพูดเสียงแข็ง อดห่วงไม่ได้ อีกอย่างเสื้อกันหนาวที่เตรียมมาก็เอามาไว้อย่างนั้นไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว




   เขาไม่ได้เป็นคนขี้หนาว




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอย่างคนขี้เกียจเถียงก่อนจะฟุบหน้าลงไปกับเสื้อกันหนาวที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนๆ




   หอม




   “เปิดเทอมวันแรกพี่เหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ” บุ๋นมองคนตรงหน้าอย่างปกปิดความรู้สึกห่วงข้างในไม่ได้




   “ตื่นตั้งแต่เช้า เลยเพลียๆ” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเอาเสื้อกันหนาวของบุ๋นวางไว้ที่เก้าอี้ข้างตัวเมื่อเห็นว่าอาหารมาเสริฟแล้ว




   “เรียนหมอนักมากเลยหรอครับ”




   “อืม หนัก” เขาตอบกลับไปตามความจริง





   “แล้วพี่ไหวไหม”




   “ไม่ไหวก็ต้องไหว” ฐานทัพพูดพร้อมกับตักข้าวผัดเข้าปาก “เลือกแล้ว”




   “นั่นสิ” บุ๋นยิ้มบางๆ “ผมเชื่อว่าพี่ทำได้”





   “เชื่อ?” ฐานทัพเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้ เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้ตั้งแต่วันแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาแพทย์




   แต่เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำหน้าที่แพทย์ได้ดีอย่างที่ทุกคนหวังรึเปล่า ฐานทัพรู้ตัวเองดีว่าเขาเป็นคนพูดน้อยจนหลายคนคิดว่าเขาเป็นใบ้ เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่งเรียกว่าติดลบเลยก็ว่าได้ ฐานทัพพูดคำหวานๆไม่เป็นปลอบใจคนก็ไม่เป็นเช่นกัน เขาคิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้นจนบางทีทำให้หลายๆคนไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูด




   “ครับ ผมเชื่อว่าพี่จะเป็นคุณหมอที่เก่งและใจดีมากๆ” คำธรรมดาที่เปล่งออกมาจากปากของคนที่เขาเคยเจอกันไม่กี่ครั้งแววตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งบางอย่างถูกส่งมายังคนที่อยู่ตรงหน้า “จริงๆนะครับ”




   “ขอบคุณ” เขาพูดคำๆนี้ออกมาอย่างง่ายดาย “ที่เชื่อ”




   “ถ้าวันไหนที่พี่เหนื่อยหรือทนไม่ไหวก็ปล่อยมันออกมาบ้างก็ได้”





   “…”





   “พี่ไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้คนเดียว” แววตาที่ส่งผ่านทุกความรู้สึกทำให้ฐานทัพรับรู้ได้ทุกอย่าง แม้เขาอยากจะถามคำถามที่ค้างคาใจแต่ก็ทำได้แค่พยักหน้ารับ





   ไม่ถามดีกว่า





   “มีคนเป็นห่วงพี่นะ”





   “ใคร” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบุ๋นทำให้ฐานทัพถามกลับทันที เขาสบตาคนตรงหน้าเหมือนต้องการคำตอบจากสิ่งที่บุ๋นพูดออกมา





   “ผมไง” บุ๋นยิ้มกว้าง “เดี๋ยวไม่มีคนคอยจดเลกเชอร์สรุปให้” สุดท้ายก็ดึงเรื่องอื่นเข้ามาเป็นข้ออ้างเพราะไม่กล้าบอกเจ้าตัวไปตรงๆ





   “ฝันไปเถอะ” ฐานทัพถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “รีบกิน อยากกลับไปนอน”





   “งั้นมาแข่งกันไหมครับ”





   “แข่ง?”





   “ใครกินหมดช้าคนนั้นเลี้ยง”





   “อืม” ฐานทัพตอบรับทันที “ไม่มีปัญหา”




   “เริ่ม” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงสนุกก่อนที่จะเริ่มกินข้าวตรงหน้าโดยที่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของทั้งสองคนอีก



   ถึงแม้บุ๋นจะหิวข้าวมากไม่ต่างจากฐานทัพแต่เจ้าตัวก็ผ่อนแรงลงให้กินช้ากว่าคุณหมอตรงหน้าที่ดูจะหิวจริงจัง เขาไม่ได้อยากชนะ




   แค่อยากให้คนตรงหน้าผ่อนคลาย…




   “หมด” ฐานทัพพูดพร้อมกับวางช้อนส้อมที่ถืออยู่อย่างภาคภูมิใจ ถึงเขาจะหมดแรงแต่เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยแพ้ใคร





   “โห…ผมแพ้สินะ” คนที่รู้อยู่แล้วแกล้งทำเสียงเสียใจก่อนจะยิ้มนิดๆ “งั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงเองครับ”




   “ไม่ต้อง เดี๋ยวจ่ายให้” ฐานทัพพูดดักไว้ ถึงเขาจะกินหมดก่อนแต่ก็ตั้งใจจะเลี้ยงอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการเลี้ยงที่มานั่งรอเขาจนโดนยุงกัดเต็มตัว




   ถึงจะไม่ได้บอกให้รอก็ตาม




   “ไม่ครับ ผมแพ้ผมต้องจ่าย” บุ๋นไม่รอให้คุณหมอพูดอะไรต่อ เขาเดินไปจ่ายตังก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วยิ้มให้คนที่ดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนแรกที่มาถึงร้าน “กลับกันครับ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบเสื้อของบุ๋นขึ้นมา “เดี๋ยวซักแล้วจะคืนให้”




   “ไม่ต้องครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับดึงเสื้อคืน “เดี๋ยวพี่เหนื่อย”




   ฐานทัพอยากจะดึงเสื้อกลับมาแต่พอเห็นเจ้าตัวพูดแบบนั้นเขาเลยปล่อยเลยตามเลย ไม่ชอบเถียงกับใครอยู่แล้ว




   “เดี๋ยวผมพากลับไปเอาจักรยานนะครับ” พออีกคนขึ้นซ้อนแล้วบุ๋นก็ปั่นจักรยานออกมาทันที ตอนนี้เวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ถ้าเขาปล่อยให้ยืดเยื้อกว่านี้คนที่ซ้อนอยู่คงไม่ไหวแน่ๆ




   ลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าของเขาพร้อมกับความเงียบบริเวณรอบข้าง ในมอช่วงค่ำแทบจะไม่มีคนเพ่นพ่านเหมือนตอนกลางวันเลยทำให้บรรยากาศดูสงบและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน




   “พรุ่งนี้พี่เรียนกี่โมงหรอครับ” เขาถามคนข้างหลังทำลายความเงียบที่เข้ามาปกคลุม





   “…” ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนซ้อนมีเพียงของหนักๆที่พิงกับแผ่นหลังของเขาแทนคำตอบ





   “พี่ครับ พี่…” บุ๋นชะลอจักรยานลงก่อนจะหยุดลงในที่สุดแล้วหันมองข้างหลัง





   ภาพที่เห็นทำให้คนที่มองหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคุณหมออยู่ใกล้เขาเพียงเอื้อมมือ ตาทั้งสองข้างหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลียที่สะสมมาทั้งวัน บุ๋นมองภาพตรงหน้าราวกับถูกหยุดเวลาไว้ รอยยิ้มของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะลมหายใจของหมอ




   “เหนื่อยขนาดนี้ให้ผมไปส่งพี่นะ”




   บุ๋นค่อยๆเอื้อมมือไปจับแขนทั้งสองข้างของหมอให้โอบรัดรอบตัวเขาไว้เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอันตรายระหว่างทางกลับ มือของเขาข้างหนึ่งจับมือของหมอที่โอบรอบตัวไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนข้างหลังจะเป็นอันตรายก่อนจะเปลี่ยนทิศทางปั่นจักรยานกลับไปทางหอพักนักศึกษาแพทย์





   ตอนนี้แค่เขาได้ทำหน้าที่ตรงนี้ก็พอใจแล้ว





   จักรยานเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆไม่นานก็ถึงหน้าหอพักของนักศึกษาแพทย์ เขาค่อยๆชะลอจักรยานจนหยุดนิ่งก่อนจะหันไปมองคนที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างกับว่าหลังของเขาเป็นหมอน





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกเสียงเบา ใจจริงก็อยากจะพาขึ้นไปส่งถึงห้องแต่กฏของหอพักในมหาลัยทุกที่เหมือนกันคือห้ามคนนอกเข้า อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าหมออยู่ห้องไหน





   “พี่ครับ…ถึงแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกเรียกยังไม่ตื่นเขาเลยต้องเรียกอีกครั้งพร้อมเขย่าแขนเบาๆให้ฐานทัพรู้สึกตัว





   “อืม…” เสียงในลำคอตอบกลับมาพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจ





   “ถึงแล้วครับ” บุ๋นพูดประโยคเดิมอีกครั้ง




   “ถึง?” ฐานทัพทวนคำพูดก่อนที่เขาจะตาสว่างเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเป็นหอพักนักศึกษาแพทย์ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าพึ่งออกมาจากร้านอาหารตามสั่ง





   “พี่หลับไประหว่างทาง” บุ๋นไขข้อสงสัยก่อนจะหันมายิ้ม “ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะลงจากจักรยานแล้วเดินมาหยิบหนังสือที่อยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานของบุ๋น





   ปกติก็ไม่เคยเผลอหลับไประหว่างทางแบบนี้





   “พี่จะเอาจักรยานผมไปใช้ก่อนไหมครับ ผมเห็นพี่หลับไปก็เลยพามาส่งที่หอเลย”




   “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยไปเอา” ฐานทัพตอบอย่างไม่ใส่ใจ ถึงแม้จะขี้เกียจเดินไปคณะแต่ในเมื่อเขาเผลอหลับไปแบบนี้จะโทษใครก็คงไม่ได้





   “พี่ล็อกกุญแจไว้รึเปล่าครับ หรือว่าใส่รหัสไว้”





   “ใส่รหัส”





   “รหัสอะไรหรอครับ” บุ๋นถามด้วยความสงสัย





   “2114” อาจเพราะความง่วงเลยทำให้คนที่ตอบกลับไปลืมคิดว่าคนตรงหน้าจะถามไปทำไม





   “โอเคครับ” บุ๋นยิ้มรับ “พี่ไปนอนเถอะครับ ดึกแล้ว”





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอีกครั้ง เขาหันหลังกำลังจะเดินกลับเข้าหอแต่กลับต้องชะงักฝีเท้าลงอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เขาควรจะพูด “ขอบคุณ”





   คนที่ยังรอคุณหมอเดินขึ้นหอพักยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจ เขาคิดว่าหมอจะไม่หันกลับมาพูดอะไรกับเขาแล้วซะอีก บุ๋นมองคนที่คิดว่าตลอดมาไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่ในตอนนี้คนๆนั้นกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา





   แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ได้พัฒนา แต่สำหรับเขาถือว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้




   “ฝันดีครับ” ทุกคำพูดถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกข้างใน บุ๋นเริ่มแน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าความรู้สึกพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง




   เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ




   “อืม ฝันดี”





   “แล้วเจอกันอีกนะครับ” บุ๋นพูดตามหลังคนที่ปิดประตูหน้าหอลง




   เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินในสิ่งที่เขาพูดไหม หากแต่ว่าใบหน้าที่มองกลับมาทางเขานิดๆนั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็น




   คือรอยยิ้มของหมอฐานทัพ…





   บุ๋นปั่นจักรยานกลับมาที่คณะแพทย์อีกครั้งก่อนจะมองหาจักรยานของคุณหมอฐานทัพที่ไม่ได้ยากต่อการตามหา เพราะบริเวณนั้นเหลือจักรยานที่จอดอยู่เพียงคันเดียว เขาเลือกที่จะจอดจักรยานของตัวเองไว้ที่คณะแพทย์ก่อนจะไปปลดล็อกกุญแจตามรหัสที่หมอบอกไว้





   เขาปั่นจักรยานกลับมาที่หน้าหอพักนักศึกษาแพทย์เป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งนี้จักรยานที่ปั่นไม่ใช่จักรยานของเขาเหมือนครั้งแรก ฐานทัพจอดจักรยานลงในที่จอดจักรยานก่อนจะล็อกล้อไว้เหมือนตอนแรกที่หมอทำ




   หอพักที่ยังคงมีไฟเปิดไว้อยู่หลายห้องนั่นคงเป็นการบอกว่าหลายชีวิตในหอกำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็ทำกิจวรรคส่วนตัวต่างๆ เขามองหอพักตรงหน้าอยู่พักหนึ่งพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมช่วงนี้ถึงยิ้มบ่อย พักหลังๆเขายิ้มจนรู้สึกว่าตัวเองใกล้เป็นคนบ้าขึ้นทุกวัน





   “ฝันดีนะครับ…หมอฐานทัพ” บุ๋นพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่พูดถึงชื่อของหมอ





   ร่างของบุ๋นหมุนตัวกลับไปเอาจักรยานของตัวเองเพื่อที่จะได้กลับหอซึ่งป่านนี้เพื่อนอีกสองคนคงอาบน้ำเตรียมตัวนอนกันแล้วเพราะมีเรียนเช้าเหมือนกันทุกวันเลยทำให้คนที่ปกตินอนตีหนึ่งตีสองเปลี่ยนเวลามานอนตั้งแต่หัวค่ำหลังจากที่ถูกนัดรับน้องหลายวันจนเหมือนเปิดเทอมมานาน





   ถ้าในตอนนี้เพื่อนอีกสามคนรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่พวกนั้นคงงงกันไปสามวันเจ็ดวันแน่ๆ ไม่เคยมีใครคิดว่าคนดิบๆอย่างเขาจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเป็น บุ๋นเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรให้ใครก่อน เขาไม่ได้เป็นผู้ให้ กลับกันเขาเป็นผู้รับมากกว่า เขาไม่เคยใส่ใจไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเอง เขาเป็นคนพูดตรง คิดอะไรก็พูดออกไป และนั่นคือสิ่งที่เขาเปลี่ยนไป





   ตั้งแต่เจอหมอ…เขาก็ไม่เคยพูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกไปตรงๆเลยสักครั้ง





------------------------- 100%
มาแล้วจ้าาา วันนี้มาดึกไปหน่อยยยยย
เม้นๆกันเยอะๆน้าาาาา ขอกำลังใจจจจจจ
อ่านแล้วเป็นยังไงบอกกันด้วยนะคะ  :z2: :z2:

ปล. น้องบุ๋นกับหมอฐานทัพมี #ผมจีบหมอ  แล้วนะรู้รึยัง? อยากติดตามฟีดแบคอย่าลืมติดแฮชแท็กนะคะ
เข้าไปส่องกันได้น้าาา เจอกันในทวิตเตอร์ อิ้อิ้   :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 100%] 06/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 10-10-2016 22:52:04
เป็นกำลังใจให้น้องบุ๋นจีบพี่หมอให้ติดเร็วๆนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 100%] 06/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 11-10-2016 23:03:00
ตามลุ้นทุกตอนเลย   พี่หมอน่ารักอ่ะ รอๆ  (เสมือนตามจีบพี่หมอเองเลยทีเดียว :hao7:)  ชีวิตมหาลัย  อยากโตเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [06: จีบหมอครั้งที่หก 100%] 06/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 11-10-2016 23:40:54
ชอบมากกกกก มาต่อบ่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 50%] 23/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 23-10-2016 20:40:48
จีบหมอครั้งที่เจ็ด


   “ครับ” น้ำเสียงตอบรับรอบที่ห้าของวันเอ่ยออกมาเนือยๆ บุ๋นพยักหน้ารับทุกคำพูดที่รุ่นพี่กำลังบอกเขาเกี่ยวกับวันประกวดดาวเดือนของคณะในอาทิตย์หน้าที่จะถึง




   แม้จะไม่ได้สนใจและไม่อยากลงเข้าประกวดแต่ก็ต้องโดนลากมาเพียงเพราะในตอนนี้เขาโดนรุ่นพี่ว๊ากหลายคนหมายหัวไว้ ถ้าขัดคำสั่งตอนนี้ทุกอย่างคงแย่ลงกว่าเดิม




   “น้องบุ๋นมีอะไรจะถามพี่ไหมคะ” รุ่นพี่ที่พูดยิงยาวมาเกือบยี่สิบนาทีถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นหากแต่คนฟังไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น




   “ไม่มีครับ” บุ๋นทำท่าจะลุกออกไปจากลานคณะที่มีคนมานั่งฟังเหมือนเขาเกือบสิบคน





   “เดี๋ยวน้องบุ๋น!” รุ่นพี่เรียกเขาไว้อีกครั้ง “อย่าลืมบอกการแสดงกับพี่ภายในวันศุกร์นี้นะ”





   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะยกมือไหว้ด้วยความเคารพแล้วขอตัวออกมา





   มีหลายคนที่ลงประกวดก็จริงแต่เหมือนรุ่นพี่จะต้องการเขามากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ที่เอาใบสมัครมาให้ถึงหน้าห้องเรียน เรียกไปพูดเรื่องการประกวดบ่อยๆ รวมถึงพูดชื่อของเขาบ่อยมากกว่าเพื่อนที่ประกวดด้วยกัน




   เฮ้อ…




   ยังไม่ทันที่จะเดินออกมาจากคณะเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะซื้อของกลับเข้าไปกินที่ห้อง วันนี้เลิกเรียนตั้งแต่บ่ายโมงเลยทำให้เขาพอมีเวลาทำอาหารกินเอง ถึงแม้ว่าปกติจะชอบซื้อทานมากกว่าก็ตาม ไหนๆเขาก็เรียนอยู่คณะเกษตร อุดหนุนคณะตัวเองก็ไม่แปลก




   บุ๋นเดินเข้ามาในร้านเล็กๆที่เปิดอยู่ในคณะของตัวเอง ภายในร้านเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์จากคณะเกษตร แยมทาขนมปัง นมเกษตร รวมไปถึงผักปลอดสารพิษ เขากวาดตามองไปทั่วร้านอย่างกับหาจุดสนใจไม่ได้ในเมื่อของในร้านดูน่าซื้อไปหมดทุกอย่าง จนสายตาของเขาหยุดลงที่แครอท




   แครอทที่ไม่ได้ใหญ่เท่าที่หมอเคยซื้อ…มันคือเบบี้แครอท




   พอเห็นแครอทเขาก็นึกถึงหน้าของหมอขึ้นมาทันที ไม่รอให้ความคิดแล่นไปมากกว่านี้ บุ๋นหยิบเบบี้แครอทที่ใส่ถุงไว้อย่างดีขึ้นมาก่อนจะหันไปเลือกของอีกสองสามอย่างเพื่อกลับไปทำกับข้าวกินกับสองและสามที่หอ




   จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา



.


   แลปสามชั่วโมงในตอนบ่ายไม่สามารถดึงสมาธิของคนที่สวมเสื้อกราวด์ให้อยู่ได้โดยไม่ง่วง ฐานทัพเดินออกจากห้องมาเพื่อล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวก่อนที่จะกลับเข้าไปเผชิญแลปที่แสนง่วงอีกครั้ง ความจริงเขาก็ดื่มกาแฟตั้งแต่เช้าแล้ว สงสัยคาเฟอีนในร่างกายยังไม่พอ




   ระหว่างทางที่กำลังเดินไปห้องน้ำสายตาของเขาก็หยุดลงที่ร่างของคนคุ้นตาเดินตรงมาที่จักรยานของเขาอย่างไม่ลังเลพร้อมกับถุงพลาสติกที่มีของอะไรบางอย่างอยู่ในถุง บุ๋นแขวนถุงไว้ที่แฮนจักรยานก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วฉีกสมุดหน้ากลางออกมาพร้อมกับเขียนข้อความยุกยิกอยู่พักหนึ่งแล้วม้วนสอดเข้าไปในถุง




   ทุกการกระทำถูกจับจ้องด้วยสายตาของเจ้าของจักรยานที่ไม่เข้าใจว่าบุ๋นกำลังทำอะไรอยู่ ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มดูมีความสุขหลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุ๋นหมุนตัวทำท่าว่าจะเดินกลับแต่ดันหันมาอีกรอบทำให้คนที่กำลังมองเพลินๆถึงกับต้องรีบหมุนตัวไปซ่อนหลังเสาต้นใหญ่



   ทันใช่ไหม




   ฐานทัพนึกในใจก่อนจะค่อยๆยื่นหน้าไปดูอีกครั้งแต่กลับไม่พบร่างของคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่อีกแล้ว เขาถอนหายใจช้าๆก่อนจะมองถุงที่แขวนอยู่ที่จักรยาน ใจก็อยากจะเดินลงไปดูว่ามันคืออะไรแต่เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น ฐานทัพมองถุงตรงหน้าอีกพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าห้อง




   โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครอีกคนจ้องมองเขาอยู่…




   บุ๋นค่อยๆยื่นหน้าออกมาจากบันไดชั้นสองที่เขารีบวิ่งขึ้นมาหลังจากที่เห็นเงาแว๊บๆมองเขาตอนที่อยู่ข้างล่าง ทันทีที่รู้ว่าเป็นหมอฐานทัพใจก็อยากจะเดินเข้าไปทักเหมือนทุกทีแต่เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ควรทำแบบนั้น ท่าทางของหมอดูเหมือนตั้งใจจะไม่ให้เขาเห็น




   งั้น…เขาแอบดูอยู่ตรงนี้ก็ได้




   ถ้ามันจะทำให้หมอสบายใจมากกว่า





   ฐานทัพกลับเข้ามาในห้องแลปอีกครั้งก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับปกป้องและคินที่มีสภาพไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ เห็นทีวันนี้เขาต้องหลับเป็นตายเหมือนวันก่อนๆอีกแน่ๆ




   เวลาในการเรียนผ่านไปช้าๆราวกับหนึ่งปีจนเข็มยาวชี้เลขสิบสอง เสียงถอนหายใจจากคุณหมอหลายๆคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงของอาจารย์ที่บอกให้เก็บอุปกรณ์แล้วกลับได้ ฐานทัพจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่ทำหน้าตาเหมือนต้องการกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ




   “พรุ่งนี้เจอกัน” คำพูดลาที่มักพูดกันทุกวันหลังเรียนเสร็จ ฐานทัพโบกมือลาเพื่อนอีกสองคนก่อนจะตรงไปที่รถจักรยานของตัวเองที่จอดอยู่พร้อมกับถุงที่ยังไม่หายไปไหน




   วันนี้ขาดูก้าวยาวผิดปกติ เขาเดินมาถึงที่รถพร้อมกับดึงกระดาษที่สอดอยู่ออกมากางดูข้อความที่เขียนสั้นๆแต่ใช้กระดาษได้สิ้นเปลืองพื้นที่ เนื้อความเขียนว่า…
   



   ‘เห็นแครอทแล้วนึกถึงพี่ผมเลยซื้อมาฝาก ลองทานดูนะครับ




   แต่นี่ไม่ใช่แครอทนะ…เรียกว่า เบบี้แครอท’




   ตัวหนังสือที่ค่อนข้างอ่านยากลงท้ายชื่อที่คุณหมอคุ้นเคย ฐานทัพม้วนกระดาษเก็บไว้อย่างเดิมก่อนจะเปิดดูถุงที่ใส่เบบี้แครอทสีสวยไว้ข้างในจนคนที่เห็นแอบยิ้มในใจ ถ้าเรียงลำดับผักผลไม้ที่ชอบทานมากที่สุดสิ่งแรกของฐานทัพก็คือแครอท ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบแต่เห็นทีไรก็อดใจซื้อกลับไปไว้ที่หอไม่ได้ทุกที





   เขาหยิบถุงที่แขวนไว้ใส่ตะกร้าหน้ารถก่อนจะปลดล็อกจักรยานเพื่อเตรียมตัวกลับหอพัก พอเห็นจักรยานก็นึกขึ้นได้ถึงวันนั้นที่ตอนเช้ามาจักรยานก็มาจอดอยู่หน้าหอเขาทั้งๆที่เขาจอดทิ้งไว้ที่คณะ แต่ไม่ต้องสงสัยนานเขาก็พอจะเดาออกว่าใครเป็นคนเอามาจอดไว้ให้เขา





   มีคนเดียวที่รู้รหัส





   ฐานทัพปั่นจักรยานกลับมาที่หอพักในเวลาเกือบห้าโมงเย็น เป็นวันที่เรียกว่าเลิกไวที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาจอดจักรยานโดยไม่ลืมที่จะหยิบถุงแครอทที่อีกคนซื้อให้ติดมือขึ้นไปด้วย





   ขอบคุณสำหรับแครอท   


.



   สนามบาสของมหาลัยมีผู้คนพลุกพล่านผิดปกติ คนที่ถูกโทรเรียกจากเพื่อนจอดจักรยานไว้ข้างสนามก่อนจะเดินไปหาเจ้าตัวที่นั่งยิ้มดีใจที่เห็นเพื่อนตัวเองยอมมาตามคำคะยั้นคะยอของเขา




   “อะไรวะสอง” บุ๋นที่โดนเรียกออกมากลางคันทำหน้างงๆ ความจริงมีอะไรด่วนก็กลับไปคุยกันที่หอก็ได้ไม่เห็นต้องเรียกมาถึงที่นี่




   รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้




   “นึกว่าจะไม่มาแล้วครับพ่อว่าที่เดือนคณะ” คนที่ติดนิสัยกวนๆลุกขึ้นเดินมากอดคอบุ๋นไว้ “มาแล้วมึง” สองพูดพร้อมกับหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้า





   ไอ้หนึ่ง ไอ้สาม





   อะไรของพวกมันวะ…





   ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรใครอีกคนก็เดินมาตบบ่าบุ๋นหนักๆก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยคำพูดสบายๆที่ทำให้อีกคนถึงกับเงียบไปชั่วขณะ





   “ไงบุ๋น ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”





   “พี่ต้า” บุ๋นเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างไม่เต็มเสียง ความทรงจำเก่าๆที่เขาเคยพยายามลบออกไปเริ่มกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง





   ทั้งๆที่ไม่อยากจะให้ความทรงจำพวกนั้นกลับมาอีก





   “กูขอตัว” บุ๋นแกะมือสองออกแล้วทำท่าจะเดินออกมาโดยไม่รักษามารยาท ทำให้เพื่อนอีกสองคนที่เห็นท่าว่าจะไม่ดีต้องรีบวิ่งเข้ามาขวาง





   “ไอ้สี่…ใจเย็นดิวะ” สามพูดก่อนจะเหลือบไปมองพี่ต้าที่ยังคงหันมายิ้มให้เพื่อนของเขา





   “พากูมาเจอมันทำไม” บุ๋นกดเสียงลงต่ำ พยายามข่มอารมณ์ที่พลุ้งพล่านอยู่ข้างใน “กูถามว่าพากูมาเจอมันทำไม!!!”





   “ใจเย็นดิมึง” หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น เขารู้ดีว่าระหว่างไอ้สี่กับพี่ต้ามีเรื่องที่ไม่ดีต่อกันมานานและมันทำให้เพื่อนของเขาไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่รักต่อ





   เพราะไม่อยากให้จมอยู่กับอดีตเลยต้องให้มันมาเผชิญหน้า





   “เย็นยังไงวะ พวกมึงก็รู้ว่ากูเกลียดหน้ามัน” เขาไม่เคยโมโหอะไรเท่าวันนี้มาก่อน วันที่เพื่อนทุกคนรู้ทุกอย่างแต่ยังดันให้เขามาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ





   “ก็เพราะรู้ว่ามึงเกลียดกูเลยพามึงมาเจอไง” สองที่เดินตามมาพูดขึ้นบ้าง “มึงไม่อยากกลับไปแก้ไขอดีตหรอวะ”





   “หึ…กูกลับไปแก้ไขอะไรได้วะ” บุ๋นรู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อและเขาไม่ชอบตัวเองทุกครั้งที่เป็นแบบนี้





   “ฟังกูนะไอ้สี่…” สองถอนหายใจก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่เขาต้องการบอก “มึงวิ่งหนีมากี่ปีแล้ววะ มึงไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับมันบ้างหรอ”




   “ไม่…” บุ๋นพูดพร้อมก้มลงมองขาตัวเอง




   ขาที่กว่าจะกลับมาเดินได้ปกติ ขาที่เขาต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาตัวนานแรมปี ขาที่เขาเคยเดินวิ่งได้สะดวกสบายแต่กลับโดนมันทำให้ความฝันทุกอย่างของเขาจบลง





   “มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก” เขาพูดอย่างคนยอมแพ้





   บุ๋นไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆแต่กับเรื่องนี้เขายอมที่จะเป็นฝ่ายถอยออกมาเพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับคนๆนี้อยู่ดี ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่เคยทำอะไรให้มันก่อน




   ไม่เคยเลย





   “เชื่อในพวกกูสักครั้ง มึงลองวิ่งชนปัญหาครั้งนี้ได้ไหมวะ เหมือนครั้งก่อนๆที่มึงเคยทำ” สองพูดออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลายภายในใจ




   ไม่อยากให้ไอ้สี่ต้องทิ้งความฝันของตัวเองเพียงเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น





   “จะให้กูทำยังไงวะ”




   “สมัครเป็นตัวแทนบาสมหาวิทยาลัย”





   “…!!!” คำพูดของสองทำเอาคนที่ถามออกไปเงียบลงทันทีที่เพื่อนพูดจบ บุ๋นถอนหายใจออกมาหนักๆก่อนจะส่ายหน้าแทนคำปฏิเสธ




   เขาไม่กล้า





   “กูแค่อยากให้มึงหลุดจากเหตุการณ์ในวันนั้น” สองพูดต่อ “ยังไม่ต้องให้คำตอบพวกกูตอนนี้ก็ได้ แค่อยากให้มึงกลับไปคิด”




   “อืม” บุ๋นพยักหน้ารับคำแม้ว่าในใจลึกๆจะไม่คิดลงสมัคร





   “พรุ่งนี้สมัครวันสุดท้าย”





   “…”




   “กูหวังว่ามึงจะทำ…เพื่อตัวมึงเอง”





   เขาปั่นจักรยานออกมาจากสนามบาสหลังจากที่คุยกับเพื่อนอีกสามคนเสร็จ บุ๋นขอตัวกลับมาที่หอก่อนส่วนอีกสามคนยังคงอยู่ที่สนาบาสดูคนอื่นๆเล่นบาสเพื่อรอเวลานัดช่วงเย็นที่ทั้งสี่คนว่างตรงกันเพื่อไปหาร้านนั่งกินแถวมหาลัย ในตอนนี้หัวสมองของเขาขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปทั้งๆที่ในใจเขาก็ยังคงต่อต้านอยู่ลึกๆ





   แต่เพราะความกลัว…





   กึก!




   จักรยานของเขาหยุดลงเมื่อเห็นใครบางคนกำลังเดินสวนกับจักรยานของเขา ถ้าเป็นเหมือนทุกครั้งบุ๋นเองก็คงจะกระตือรือร้นแล้วรีบวกจักรยานกลับไปหา แต่ในครั้งนี้เขาทำเพียงแค่หันไปมองดูอีกคนเดินออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ จนคนๆนั้นหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมามองเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมองเขาอยู่




   “มีอะไร” ฐานทัพเป็นฝ่ายเริ่มถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูสีหน้าไม่ดี เขาแค่จะเดินออกไปซื้อของไม่ไกลจากที่ยืนอยู่ คุยสักพักก็คงไม่เป็นไร





   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้าแล้วพยายามยิ้มให้อีกฝ่ายดู เขาค่อยๆถอยจักรยานเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตะโกนคุยกับหมอ “พี่จะไปไหน…ผมไปส่งไหม”





   “เป็นอะไร” ฐานทัพไม่ได้สนใจคำถามของคนตรงหน้า เขารู้สึกแค่ว่าวันนี้รอยยิ้มที่เห็นนั้นเปลี่ยนไป มันเหมือนเป็นการฝืนยิ้มทั้งๆที่ในใจมีเรื่องบางอย่างอยู่




   ซึ่งถ้าคนตรงหน้าไม่เล่าเขาก็คงไม่ถามต่อเพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเปล่าๆ





   “ผม…”




   “โกหก” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เตรียมตัวจะเดินออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่อยากจะเล่า ฐานทัพเองไม่ใช่คนที่อยากรู้อะไรต้องรู้ให้ได้ขนาดนั้น





   ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อม เขาก็ไม่ถามต่อ





   “พี่ครับ” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยเรียกอีกคนให้หยุดเดิน “พี่ว่างไหม”





   “…”





   “อยู่กับผมก่อนได้รึเปล่า”





   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง สีหน้าของคนตรงหน้าบ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี




   บุ๋นจอดจักรยานลงข้างๆริมฟุตบาทก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ไม่ไกลจากที่จอดจักรยาน ร่างของหมอฐานทัพนั่งลงเงียบๆเพื่อรอฟังสิ่งที่คนข้างตัวกำลังจะเอ่ยออกมา





   “เมื่อก่อน…ผมชอบเล่นกีฬามากๆ” บุ๋นเหม่อมองออกไปไกลสุดสายตาราวกับกำลังหวนนึกถึงอดีตที่ข่มขื่น “กีฬาที่ผมชอบเล่นที่สุดคือบาสเกตบอล”





   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆแล้วหันไปมองแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด





   “ผมเล่นเก่งมาก เก่งชนิดที่อาจารย์ขอให้ผมเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกีฬาระดับภาค มันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่เป็นนักกีฬาของโรงเรียนว่าสักวันผมต้องได้ไปแข่งระดับภาคให้ได้ เพราะมันไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ถ้าเกิดฝีมือดีก็อาจจะได้เป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ” บุ๋นหัวเราะเบาๆ “แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด…”






   เสียงของเขาขาดห้วงทำให้คนที่กำลังฟังอยู่เงียบๆหันไปมองคนข้างๆอีกครั้ง ในแววตาคู่นั้นมีความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ซ่อนอยู่ ทั้งเศร้า เสียใจ และ ความเกลียด ฐานทัพกำลังจะบอกให้บุ๋นหยุดเล่าแค่ตรงนี้แต่ยังไม่ทันที่จะพูดขัดเสียงของบุ๋นก็เล่าต่อ





   “ผมมีรุ่นพี่ที่เคารพอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อพี่ต้า พี่ต้าเป็นหัวหน้าทีมของโรงเรียน เป็นคนที่เก่งที่สุดในทีมก็ว่าได้ ในตอนนั้นผมเคยฝันว่าอยากจะเล่นบาสเก่งให้ได้ครึ่งของพี่ต้า แล้ววันนั้นก็มาถึง ผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งระดับภาคโดยที่ผมเป็นเด็กมอสี่คนเดียว นอกนั้นเป็นรุ่นพี่ของผมทั้งหมด ผมได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงและพี่ต้าโดนเปลี่ยนไปเป็นตัวสำรองเพียงเพราะช่วงนั้นพี่เขาไม่ได้มาซ้อมเพราะมีปัญหากับแฟนบ่อย ครูเลยลงโทษพี่เขาโดยการเปลี่ยนผมที่เป็นตัวสำรองขึ้นมาเป็นตัวจริงและให้พี่เขาเป็นตัวสำรองแทน”






   “แล้วทำไมไม่เปลี่ยนกับคนอื่น”





   “ผมก็ไม่รู้ แต่ครูบอกว่าอยากจะให้ผมเป็นตัวจริงแทนพี่ต้า”





   “แล้วเขาไม่โกรธ?”





   “โกรธสิครับ โกรธมากด้วย” บุ๋นหันมายิ้มบางๆให้ฐานทัพ เป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นจากคนๆนี้ “วันนั้นเป็นวันก่อนไปแข่งสองวัน ผมนัดกับพวกเพื่อนๆไปเล่นเกมส์ที่ร้านเกมส์เหมือนปกติทุกวัน แต่ผมไปช้ากว่าเพราะผมติดซ้อมที่โรงเรียน กว่าจะเลิกก็เกือบหนึ่งทุ่ม...ผมเดินไปตามทางที่เคยไปทุกวันเหมือนปกติ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดไว้” บุ๋นพูดพร้อมกับก้มหน้าลงพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง




   ทั้งๆที่เขาพยายามจะลืม…





   “ถ้าไม่ไหว ก็หยุดก่อน”





   “ผมไหวครับ ถ้าพี่อยากจะฟังต่อ” บุ๋นหันมายิ้มให้อีกครั้ง “จู่ๆก็มีของแข็งฟาดลงที่ขาของผมอย่างแรง ในตอนนั้นตัวผมทรุดลงไปกับพื้น ผมร้องเสียงดังจนคิดว่าคนในละแวกนั้นต้องได้ยิน แต่ทางที่ผมเดินมันเป็นซอยลัดที่ไปถึงร้านเกมส์ได้ใกล้กว่า คนเลยไม่ค่อยพลุกพล่าน ผมถูกรุมกระทืบโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทั้งๆที่ผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร ที่แปลกก็คือพวกมันดันสนใจขาทั้งสองข้างของผมเป็นพิเศษ…ไม้หน้าสามตีลงมาที่ขาผมอย่างไม่ยั้งจนผมรู้สึกเหมือนกระดูกของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเสียงๆหนึ่งก็สั่งให้คนพวกนั้นหยุด…ผมหันไปมองตามต้นเสียงนั้น พี่รู้ไหมว่าใคร”





   “…”





   “พี่ต้า” บุ๋นพูดน้ำเสียงสั่น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “ผมโทรไปหาเพื่อนอีกสามคนหลังจากที่พวกมันไปกันแล้ว ขาผมหักต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ส่วนพี่ต้าได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งเพราะผมได้รับบาดเจ็บเลยต้องขอสละสิทธิ”





   “อืม…” ฐานทัพไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในเมื่อสิ่งที่เขาได้ฟังมาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของคนที่มีใจรักในสิ่งหนึ่งมากๆ





   “ผมจะไม่โกรธถ้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมทำตัวเอง…แต่ที่ผมโกรธเพราะผมทำอะไรไม่ได้ ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน” พูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะในสายตาหลายๆคนพี่ต้าคือเทวดาใจดี ส่วนเขามันก็แค่เด็กคนหนึ่งที่พาลว่าพี่ต้าเป็นคนทำร้าย “ความจริงผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าพวกเพื่อนมันไม่โทรเรียกผมให้ไปเจอพี่ต้าวันนี้”





   “ไปเจอทำไม”





   “พวกมันอยากให้ผมแก้ปมในอดีต อยากให้ลงสมัครคัดเลือกบาสมหาลัย”





   “สมัครสิ”





   “ครับ?” บุ๋นเลิกคิ้วขึ้นเมื่อหมอตอบกลับมาทันที “พี่บอกผมว่าให้สมัครหรอ”





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “จะยอมทิ้งสิ่งที่รักเพราะคนๆเดียวงั้นหรอ”





   “ผมกลัว…กลัวว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”





   “อย่าพึ่งคิดไปก่อน” เขาหันมาสบตาคนข้างๆ “ถ้ายังเอาชนะตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีวันชนะคนอื่น”





   “ผมรู้”





   “เชื่อว่าทำได้” ฐานทัพหันมาพูดด้วยความรู้สึกที่คิดอย่างนั้นจริงๆ เหมือนที่อีกคนเคยเชื่อมั่นในตัวเขา “ต้องทำได้”





   “ขอบคุณนะครับ” บุ๋นหันมายิ้มให้คนข้างๆ “ขอบคุณที่เชื่อ”





   ขอบคุณที่เชื่อทั้งๆที่ตัวเขาเองยังไม่เคยเชื่อ…





   “เหมือนที่เชื่อ” ในตัวของเขา ฐานทัพเลือกที่จะเก็บคำหลังไว้เหลือเพียงแค่ความคิด เขารู้สึกเหมือนคนข้างๆเริ่มรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนแรก “กำลังจะไปไหน”






   “ไปไหน?” บุ๋นทวนคำถามอย่างไม่เข้าใจ






   “เมื่อกี้” ตอนที่ขับสวนกัน





   “อ่อ…” บุ๋นยิ้มออกมาบางๆ “ไม่รู้ครับ…ไม่รู้ว่าจะไปไหน”





   “…”





   “รู้ตัวเองอีกทีก็ปั่นมาแถวนี้แล้ว” คำตอบที่ไม่ได้กุเรื่องขึ้นมา ตอนแรกตั้งใจจะกลับไปที่หอก่อนที่จะออกไปอีกครั้ง แต่รู้ตัวอีกทีจักรยานก็ดันขับมาคนละทางกับหอพัก





   “อ่อ” ฐานทัพรับคำสั้นๆ “สบายใจขึ้นรึยัง”






   “ครับ” บุ๋นตอบกลับมาทันที คำถามของหมอฐานทัพอาจจะเป็นเพียงคำถามธรรมดาทั่วไป แต่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยในคำถามนั้น “พี่จะไปไหน ให้ผมไปส่งไหม”




   “ไม่เป็นไร”





   “แต่ผม…”






   “ครั้งนี้ห้ามปฏิเสธ” ฐานทัพรีบพูดดัก หลายครั้งแล้วที่เขาโดนเด็กปีหนึ่งคนนี้พูดคำๆนี้ใส่ ถึงเวลาที่เขาต้องพูดกลับบ้าง “กลับไปพักผ่อน”






   “ครับ…ขอบคุณมากนะครับที่รับฟังผม”





   “ไม่เป็นไร”





--------------------------------------
50%
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ  :hao5:
เค้าขอโทษน้าาาาาา กลับมาอัพเดทแล้วค่าา
ฝากติดตามกันด้วยน้าาาาา คอมเม้นกันหน่อยยยย พลีสสสสสส
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 50%] 23/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 25-10-2016 13:46:56
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 50%] 23/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 25-10-2016 13:51:51
ร้ายกาจมาก
จะร้องไห้สงสารน้องบุ๋นนฮืออออ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 50%] 23/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Puufah ที่ 25-10-2016 14:58:57
อ่านแล้วหงุดหงิดอ่ะ   คนถูกทำร้ายให้กลับไปแก้ปัญหาในอดีต บ้าป่าว  เพื่อนก็ปัญญาอ่อนคิดได้ไง
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 50%] 23/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 25-10-2016 21:24:23
เกลียดอิพี่ต้าาา!!!  :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 27-10-2016 17:01:46
   “จะไม่ให้ผมไปส่งจริงๆหรอ”




   “ไม่” ฐานทัพตอบกลับมาทันควันทำเอาคนที่มีความตั้งใจเต็มที่ถึงกับทำหน้าจ๋อย




   “ครับบบบ…ไม่ถามแล้ววว” บุ๋นยกมือยอมแพ้




   “เลิกทำหน้าแบบนี้” ฐานทัพลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป เขาหันกลับมามองคนที่ยังคงทำหน้างงก่อนจะพูดต่อ “ทำหน้าแบบเดิมดีกว่า”





   แบบเดิม…





   บุ๋นหยุดคิดไปพักหนึ่ง ไม่ทันที่เขาจะถามอะไรต่อร่างของหมอฐานทัพก็เดินจากเขาไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งคำพูดให้เขาต้องมานั่งแปลความหมายในสิ่งที่หมอพูดออกมา





   ทำหน้าแบบเดิม…




   หรือว่าหมอจะหมายถึง…เวลาเขายิ้ม





   “ยิ้ม…” พอคิดได้รอยยิ้มของบุ๋นก็เผยออกมา สายตาของเขาทอดยาวไปยังทางที่คุณหมอเดินไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่หายไปจากใบหน้าได้รูป





   ต่อให้ต้องยิ้มจนตีนกาขึ้น…มันก็คุ้มสำหรับเขา





   เขานั่งอยู่ที่เดิมพักใหญ่ก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะดังพร้อมกับข้อความแจ้งเตือนของเพื่อนๆที่บอกว่าให้ไปเจอกันที่ร้านแถวมหาลัยในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า บุ๋นถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง ทั้งโล่งอก ทั้งสบายใจและกดดันไปในเวลาเดียวกัน





   ต้องทำได้สิ…ในเมื่อมีอีกหลายคนเชื่อมั่นในตัวเขาและหนึ่งในนั้นก็คือคนสำคัญ




   พี่จำไว้นะ ที่ผมกล้ากลับไปเล่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่เชื่อในตัวผม…



.

   ร้านแถวมหาลัยเต็มไปด้วยผู้คนแน่นเกือบทุกร้าน เป็นโซนกว้างที่ร้านต่างๆจะตั้งเรียงกันเป็นแถว อยากจะเดินไปสั่งร้านไหนกินก็ได้ กว่าทั้งสี่คนจะได้ที่นั่งก็รอคิวไปเกือบยี่สิบนาที ทันทีที่ได้นั่งเมนูที่วางอยู่ก็ถูกดึงจากทั้งสี่ทิศราวกับว่าใครหยิบก่อนกินฟรี





   “เอ่อ…เดี๋ยวไปเอาเมนูมาให้เพิ่มนะคะ” พนักงานที่เตรียมจะจดรายการถึงกับยิ้มนิดๆก่อนจะเดินไปหยิบเมนูเครื่องดื่มและอาหารออกมาให้ทั้งสี่คนเพิ่ม





   “รีบอะไรขนาดนั้นวะ” หนึ่งที่แย่งเมนูมาถือไว้ไม่ทันเป็นฝ่ายพูดก่อน ทำเหมือนตัวเองไม่ได้แย่งเมนูเมื่อครู่





   “แพ้อะดิเลยพาล” สองยิ้มชอบใจเมื่อเป็นฝ่ายชิงเมนูมาดูได้เป็นคนแรก




   “เปล่า กูไม่หิวอยู่แล้ว” หนึ่งแก้ตัวน้ำขุ่นๆก่อนจะเปิดเมนูที่พนักงานเอามาให้เพิ่มดูรายการอาหารและเครื่องดื่ม





   “ผมเอา…ชาเขียวกับราดหน้าครับ” บุ๋นสั่งคนแรกโดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดเมนูให้ยุ่งยาก ปกติเขาก็กินอะไรซ้ำๆเดิมๆแบบนี้ประจำ





   “โห่ไอ้สี่ มึงมาถึงนี่ยังจะแดกราดหน้าอีกหรอวะ ไม่อินเตอร์เลย” สองอดแขวะเพื่อนไม่ได้ “ผมเอาส้มตำปูปลาร้าครับ”





   ครับ…เมนูมึงอินเตอร์มาก





   “ผมเอาโกโก้เย็นกับข้าวผัดก็ได้ครับ” สามที่เลือกอยู่นานหันไปบอกบ้าง





   “งั้นเอาเหมือนกันครับ” หนึ่งที่คิดเมนูไม่ออกหันไปเลือกเมนูตามสามเหมือนทุกๆครั้งที่ขี้เกียจคิดจนทำเอาคนที่สั่งก่อนหันมามอง





   “ลอกกูอีกแล้ว” สามพูดทีเล่นทีจริง “นี่ถ้ากูมีแฟนมึงจะเอาแฟนคนเดียวกับกูอีกไหม”





   “ไม่ว่ะ กูไม่อยากมีแฟน” หนึ่งรีบปฏิเสธออกมาทันที “แค่เรียนกูก็หัวปั่นแล้ว มีแฟนอีกกูคงตายแน่ๆ” ว่าที่หมอหมาพูดออกมาพร้อมส่ายหัว





   “เอ้า มึงจะโสดหรอวะ” สองแซว





   “โสดไม่โสดไม่รู้ รู้แค่ตอนเรียนกูยังไม่อยากมี” หนึ่งพูดต่อ “เรียนก็หนักแล้ว จะเอาเวลาไหนไปดูแลวะถามจริง”





   “อืม นั่นสิ” บุ๋นที่นั่งเงียบไปนานพึมพำเบาๆ “คนที่เรียนสายนี้คิดแบบนี้กันหมดเลยหรอวะ”





   “ก็ไม่มั้ง แต่ส่วนมากก็คงคิดแบบนี้”





   “ช่างเถอะ มาพูดเรื่องเครียดทำไมวะ มาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ” สองที่เห็นสีหน้าของเพื่อนเริ่มซีเรียสเอ่ยขัดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ




   “คุยไร กูขอบ่นก่อนได้ปะ” คนที่มีเวลานอนน้อยสุดยกมือขึ้นนิดๆ “งานเยอะชิบหาย ไหนจะงานของปีหนึ่ง งานวิชาเรียนอีก” สามทึ้งผมตัวเองที่ปล่อยให้ยาวจนระต้นคออย่างหงุดหงิด




   “ของกูแทบไม่มีอะไรเลย แค่ต้องไปล่าลายเซ็นรุ่นพี่” สองพูดตาม “คณะกูไม่เคร่งมากว่ะ”




   “เหมือนกัน” หนึ่งพูดต่อ “ของกูก็รับน้องทั่วไป ไม่มีอะไรมาก คงเพราะแค่เรียนก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้วมั้ง”




   “แต่ของกูเคร่งว่ะ” บุ๋นที่นั่งฟังเพื่อนพูดถึงรับน้องถึงกับพูดขึ้นมาบ้าง “ตอนนี้ยังไม่ได้รุ่น ไหนจะต้องเข้าห้องเชียร์เกือบทุกเย็นอีก ขี้เกียจ”





   “นี่หรอวะเรื่องผ่อนคลาย” สองหันไปมองหน้าสามที่จุดประเด็น “หน้าไอ้สี่แทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว”





   “เออกูขอโทษ”





   “พวกมึงเลิกนอกเรื่องได้แล้ว เข้าประเด็นเลย” บุ๋นที่นั่งจับผิดพฤติกรรมของเพื่อนทั้งสามคนตั้งแต่แรกทนไม่ไหว ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าพวกนี้ต้องการจะพูดอะไรกับเขา





   เพียงแค่ไม่มีใครกล้าเริ่ม





   “รู้ได้ไงวะ” สามยอมรับคนแรกก่อนจะมองไปทางสองเหมือนให้เป็นฝ่ายเริ่มพูด “มึงเลย คนต้นคิด”





   “ทีงี้ละโยนให้กูเลยนะ” สองมองค้อนก่อนจะหันกลับมาทำสีหน้าจริงจัง “คือ…”




   “พูดมา” บุ๋นเร่ง





   “กูบังเอิญเจอพี่ต้าก่อนกลับหอ แล้วก็เลยนึกถึงมึง”




   สองพูดในสิ่งที่เขารู้สึกออกมา แม้จะเป็นการเสี่ยงที่สี่จะโกรธแต่เขาก็อยากจะลองเพื่อให้เพื่อนตัวเองได้กลับไปทำในสิ่งที่มันรัก ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าบุ๋นรักการเล่นกีฬามากแค่ไหน เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงเพราะใครที่ไม่หวังดี





   “กูไม่อยากให้มึงฝังใจกับเรื่องนี้ อยากให้มึงลองเผชิญหน้ากับปัญหา ถึงมันจะยากแต่มึงไม่ต้องกลัว” สองระบายยิ้มออกมาบางๆ “พวกกูอยู่ตรงนี้…มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก”





   “อืม…เห็นด้วยกับมันนะ” ภายใต้กรอบแว่นหนามีสายตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง “ตอนที่มึงเล่นบาส มึงเหมือนคนละคน”





   “อืม…” คนที่นั่งฟังตอบรับสั้นๆ





   เขารู้ รู้มาตลอด





   “ครั้งนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก เชื่อพวกกู” หนึ่งพูดด้วยแววตามุ่งมั่น ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเพื่อนเจออะไรมาบ้าง แต่จะให้เขาทำตัวเป็นศัตรูกับฝ่ายนั้นก็ดูจะโจ่งแจ้งไปนิดนึง





   ค่อยๆทำให้อีกฝ่ายตายใจน่าสะใจกว่า




   “อืม รู้แล้ว” บุ๋นถอนหายใจ ความจริงเขาก็คิดมาตลอดระหว่างทางที่มาร้าน แม้ใจจะไม่อยากกลับไปแต่อีกใจก็ยังบอกให้ลองอีกครั้ง




   ยิ่งคำพูดของคนๆนั้น…





   “กูจะพยายาม” คำพูดของบุ๋นทำเอาอีกสามคนตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง





   “ทำไมครั้งนี้มึงรับคำง่ายจังวะ” สองดูสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น




   “ไม่รู้ว่ะ” บุ๋นยิ้มออกมา “คงถึงเวลาที่กูต้องลองเผชิญกับมัน”





   เพื่อนทั้งสามคนหันไปแปะมืออย่างดีใจก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าบุ๋นกันคนละทีสองที พวกเขาไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้จะตอบตกลงง่ายขนาดนี้ ทั้งๆที่แต่ก่อนกว่าจะเชื่อสักอย่าพวกเขาต้องหาเหตุผลมาร้อยแปด





   “กูจะทำเต็มที่” บุ๋นหันไปมองเพื่อนก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง “กูไม่อยากทำให้คนที่เชื่อมั่นในตัวกูผิดหวัง”

.



   ร่างของคนที่ตื่นมาเรียนวิชาแรกตอนแปดโมงเดินออกมาจากห้องเลกเชอร์หลังจากที่อาจารย์สอนยาวไปสามชั่วโมง บุ๋นยกสมุดขึ้นมาปิดปากหาว ถ้าดูตารางดีๆไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่ต้องตื่นเช้า ทั้งๆที่คิดว่าอยู่มหาลัยแล้วจะไม่ต้องตื่นเช้า




   คิดผิด…





   “ไปหาไรกินไหมวะ กูหิว” บุ๋นหันไปมองเดชที่สภาพไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ คนที่ถูกเรียกชื่อพยักหน้าตอบรับก่อนจะหาวตามคนถาม




   “เออ เอาดิ” เป็นการตกลงที่ไม่ต้องมากความ ทั้งสองคนเดินตรงไปที่โรงอาหารกลางของมหาลัยอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าโรงอาหารคณะไม่น่าจะมีที่ว่างเหลือให้พวกเขาสองคน





   “บุ๋น เดช!” น้ำเสียงใสดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กๆของหญิงสาวที่ถือแฟ้มสีสดใสไว้ในมือกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขาสองคนอย่างรีบร้อน





   “มีอะไรรึเปล่า” เดชเป็นฝ่ายถาม นานๆทีสาวสวยในคณะจะเรียกชื่อก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา





   “จะไปโรงอาหารกลางกันใช่ไหม” เธอถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ





   “อืม ใช่”




   “เราไปด้วยได้ไหม” น้ำฟ้าเว้นช่วงไปนิดก่อนจะพูดต่อ “พอดีเรามีเรียนต่อแต่เพื่อนไม่มีเรียนเลยกลับกันไปหมดแล้ว”





   “อืม ได้ดิ” เดชเป็นฝ่ายตอบเมื่อเห็นว่าบุ๋นไม่ได้คัดค้านอะไร




   “ขอบคุณนะ” รอยยิ้มหวานหันไปยิ้มให้เดชก่อนจะหันไปยิ้มให้บุ๋น





   “อืม ไปเถอะหิวแล้ว” บุ๋นตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินนำไปโดยปล่อยให้น้ำฟ้ากับเดชเดินคุยไปเรื่อยๆถึงแม้เจ้าตัวจะต้องหันไปตอบคำถามน้ำฟ้าบางครั้งก็ตาม





   โรงอาหารกลางไม่แตกต่างจากโรงอาหารคณะมากนัก อาจเพราะเป็นเวลาเลิกคลาสของหลายๆวิชาเลยทำให้คนแน่นเต็มโรงอาหาร บุ๋นกวาดสายตาเพื่อหาโต๊ะว่างสำหรับนั่งกินข้าว ถึงจะเห็นโต๊ะว่างหลายโต๊ะแต่พอมองดูดีๆก็ล้วนแต่มีของวางจองทั้งนั้น





   “กูนึกว่าแจกข้าวฟรี คนเยอะชิบ” เดชบ่นตามประสาคนใจร้อน





   “มึงไปซื้อก่อนไป เดี๋ยวกูหาโต๊ะให้” บุ๋นหันไปบอกเดชกับน้ำฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหลัง





   “เดี๋ยวเราไปหาโต๊ะกับบุ๋นก็ได้ เดชไปซื้อข้าวก่อนเลย” น้ำฟ้าหันไปบอกพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักที่ทำเอาคนที่ถูกเรียกชื่อถึงกับพยักหน้าด้วยความเขินอาย





   ปกติก็ไม่ได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มผู้หญิงมากขนาดนี้ แต่รอยยิ้มของน้ำฟ้ามันเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้เดชอดเขินไม่ได้





   “โอเค จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า”





   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปซื้อเอง” บุ๋นไม่ได้หันไปตอบเพราะสายตาของเขากำลังกวาดตาหาที่นั่งอยู่





   ไม่ไกลจากจุดที่บุ๋นยืนอยู่มีสายตาของคนๆหนึ่งที่เงยหน้าขึ้นไปเห็นพอดี ฐานทัพมองภาพตรงหน้าผ่านกรอบแว่นที่ใส่อยู่ ร่างของคนที่เขาเคยเจออยู่บ่อยๆกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักข้างตัวที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน





   ช่างเถอะ






   “ใช่ปะไอ้ฐาน”






   “…”





   “ไอ้ฐาน!!” คินที่เรียกชื่อเพื่อนเพื่อต้องการคนสนับสนุนกับเรื่องที่ตัวเองพูด “ไอ้หมอ” ถึงกับเรียกเพื่อนซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ตอบ






   ฐานทัพเหม่อมองภาพตรงหน้าอยู่นานจนถูกดึงความสนใจกลับไปเมื่อคินที่นั่งอยู่มองตามฐานทัพด้วยความอยากรู้ว่าเขาเหม่ออะไร





   “เด็กนั่นหน้าคุ้นๆว่ะ”




   “…”





   “มึงรู้จักปะไอ้ฐาน” คินถามเพื่อนที่ยังคงมองภาพตรงหน้าอยู่




   “กินข้าว” ฐานทัพละสายตาก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่อาหารตรงหน้าที่กินไปได้ไม่กี่คำ





   “เหมือนเขาไม่มีที่นั่งว่ะ ชวนเขามานั่งไหม”




   “ไม่ต้อ…”





   “เฮ้ยน้อง มานั่งด้วยกันดิ!!!” ไม่ทันที่ฐานทัพจะพูดจบคินก็หันไปโบกไม้โบกมือเรียกคนที่ยังคงหาที่นั่ง





   ทันทีที่บุ๋นเห็นว่าคนที่เรียกเป็นใครและคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นใครขาทั้งสองข้างก็รีบก้าวไปหาโดยอัตโนมัติ เขายิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าจะได้นั่งกินข้าวกับหมอฐานทัพอีกครั้ง





   ฐานทัพถอนหายใจยาวๆเมื่อร่างของบุ๋นมาหยุดยืนตรงหน้า ความจริงเขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเพราะก็เห็นอยู่ว่าในโรงอาหารแทบจะไม่มีที่นั่งเหลือ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขารู้สึกไม่อยากร่วมโต๊ะด้วย





   “สวัสดีครับพี่” น้ำเสียงร่าเริงของบุ๋นเอ่ยทักฐานทัพเหมือนทุกๆครั้งหากแต่ว่าครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่คนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมา






   “วางของไว้ก่อนดิ จะได้ไปซื้อข้าว” คินบอกพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้ชิดตัวฐานทัพเพื่อให้บุ๋นและน้ำฟ้านั่งได้





   “อ่อ ขอบคุณครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับวางของไว้บนเก้าอี้ข้างๆปกป้องที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรก่อนจะหันไปหาน้ำฟ้า “ไปซื้อเลยไหม”





   “อืม…ไปสิๆ” น้ำฟ้ายิ้มตอบก่อนจะเดินตามบุ๋นออกไป





   “น่ารักว่ะ” คินพูดหลังจากที่ร่างเล็กเดินออกไปแล้ว คุณหมอเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อนทั้งสองคน “มึงว่าไง”





   “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะตักข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งจานเข้าปาก





   “เฉยๆ” ปกป้องที่กินข้าวอยู่เงียบๆตอบออกมาเป็นประโยคแรก มือข้างหนึ่งตักข้าวเข้าปากส่วนอีกข้างเลื่อนดูความเป็นไปในโทรศัพท์มือถือ






   “อะไรวะ น้องเขาน่ารักจะตาย”   





   “รีบๆกินเถอะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” ปกป้องพูดขัดคนที่มัวแต่พูดก่อนจะหันไปมองฐานทัพที่เงียบตั้งแต่ที่บุ๋นเดินออกไป




   ไม่หรอก…ปกติก็เงียบแบบนี้อยู่แล้ว






   บุ๋นเดินกลับมาพร้อมกับเดชส่วนน้ำฟ้าบอกว่าจะเดินตามมาเนื่องจากร้านที่จะกินคนต่อแถวยาวเหยียด ทันทีที่มาถึงโต๊ะก็ประสบปัญหานั่งไม่พอเพราะขนาบทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผู้คน บุ๋นให้เพื่อนนั่งลงข้างๆปกป้องก่อนที่เขาจะหันไปถามคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ






   “พี่ครับ ผมไปนั่งข้างๆพี่ได้ไหม” ถ้าเขาไปนั่งเบียดกับฝั่งของหมอฐานทัพและพี่คิน น้ำฟ้าจะได้นั่งสบายกว่านั่งเบียดกันหมด





   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆก่อนจะขยับตัวเข้าไปชิดร่างของเพื่อนสนิทมากกว่าเดิม





   “ขอบคุณครับ” บุ๋นยิ้มให้คนตรงหน้าบางๆก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วนั่งลงข้างๆคุณหมอ ถึงแม้ว่าจะดูอึดอัดไปหน่อยแต่สำหรับเขามันคือการกินข้าวมื้ออร่อยที่สุด





   “วันนี้พี่เลิกเรียนกี่โมงหรอครับ” บุ๋นหันไปชวนคนข้างๆคุย




   “หก” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ





   “แล้วจะไปไหนต่อไหมครับ”





   “ไม่”





   “แล้ว…”





   “บุ๋น เรานั่งตรงนี้ใช่ไหม?” เสียงของน้ำฟ้าขัดคำถามที่บุ๋นกำลังจะถามต่อ เขาหันไปพยักหน้าให้คนที่ถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวก่อนจะหันไปมองคุณหมอที่ไม่พูดอะไรต่อ





   สงสัยวันนี้คงอารมณ์ไม่ดี





   “คนเยอะมากเลยวันนี้ กว่าเราจะได้รอนานมาก” น้ำฟ้าพูดตามประสาคนชอบชวนคุย






   “อืม ก็จริงนะ” ถึงจะไม่ได้เจาะจงว่าเขาต้องตอบแต่ในเมื่อสายตาของน้ำฟ้าจ้องมาที่เขาบุ๋นก็อดที่จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้




   “เอ้อ แล้วบุ๋นคิดการแสดงออกรึยัง”





   “การแสดงประกวดดาวเดือนหรอ”





   “ใช่ๆ”





   “ยัง ค่อยคิด”




   “เราคิดไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันดีรึเปล่า”





   “คงดีกว่าเรา” บุ๋นตอบเลี่ยงๆ เขารีบกินอาหารตรงหน้าให้หมดเมื่อเห็นว่าหมอกำลังจะกินข้าวเสร็จแล้ว





   ฐานทัพวางช้อนส้อมลงเมื่อจัดการอาหารตรงหน้าหมดเกลี้ยง เขาหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่กินเสร็จพร้อมๆกันก่อนจะพยักหน้าเหมือนบอกเป็นเชิงว่าให้ลุก




   “พี่จะไปแล้วหรอครับ” ยังไม่ทันที่จะก้าวขาน้ำเสียงของคนข้างๆก็ถามขึ้นทันที





   “อืม”





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกฐานทัพไว้อีกครั้งทำให้คนที่กำลังจะหันหลังเดินออกไปหันหน้ากลับมาอีกครั้งพร้อมเลิกคิ้วเชิงถามว่ามีอะไร “เหนื่อยหรอครับ”





   “นิดหน่อย” เขาตอบกลับไปแม้ว่าจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อยแต่ไม่ได้เหนื่อยขนาดที่ทนไม่ไหวหรือแสดงอาการอะไรมากมายขนาดนั้น




   “วันนี้พี่หน้าบึ้งกว่าทุกวันนะ” บุ๋นทำหน้าเลียนแบบคนตรงหน้า “หน้าแบบเดิมดีกว่านะ” บุ๋นพูดพร้อมรอยยิ้ม




   “อืม” ฐานทัพตอบสั้นๆ “รู้แล้ว”




   “สู้ๆนะครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลิกเรียนแล้ว!” บุ๋นพูดพร้อมกับชูกำปั้นเป็นการบอกว่าสู้




   “อืม” ไม่กี่ชั่วโมงอะไรล่ะ เขาต้องเรียนอีกตั้งห้าชั่วโมง “ไปละ”




   “พี่ครับ” น้ำเสียงที่เบาจนแทบจะเรียกว่ากระซิบเอ่ยขึ้น “ยิ้มก่อน”





   ฐานทัพขมวดคิ้วใส่คนตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนแต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะเล่นด้วยแน่ๆ บุ๋นเห็นสีหน้าของหมอที่แปลกไปกว่าทุกวันเขา ถึงหมอฐานทัพจะชอบทำหน้านิ่งๆแต่วันนี้มันนิ่งเกินไป นิ่งกว่าทุกวันที่เคยเจอกัน





   “เย็นนี้ผมไปหานะ” บุ๋นพูดดักไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “ผมเลิกเรียนหกโมงพอดี เลกเชอร์ที่พี่จดให้ผมงงอยู่นิดนึง ว่าจะถามแล้วลืมถาม”





   “อืม แล้วแต่” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปหาปกป้องกับคินที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่นั่ง






   บุ๋นมองตามร่างของหมอฐานทัพที่เดินออกไปก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อยๆหายไปตามร่างที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าวันนี้หมอแปลกไป





   “วันนี้มึงเลิกบ่ายสามไม่ใช่หรอวะ” เดชที่แอบอ่านปากเพื่อนถามออกมาอย่างต้องการคำตอบ





   “เออ ช่างเถอะ” รออีกสามชั่วโมงจะเป็นอะไรไป




   ไม่ได้งงเลกเชอร์ตามที่บอก…แค่หาข้ออ้างในการเจอ




   แค่เป็นห่วง







------------------------
100% แล้วจ้าาาาาา
ไหนใครติดตามอยู่บ้างง ขอเสียงหน่อยยยยยยยย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 27-10-2016 18:21:09
ทำไมยิ่งอ่านยิ่งอยากให้สี่เป็นรับ ถถถถ
มีความละมุน~ แหน่ะๆ พี่หมอแอบหึงด้วยคิดอะไรกะน้องแล้วล่ะสิ
 :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-10-2016 21:10:03
พี่หมอเริ่มมีอาการล่ะ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 28-10-2016 00:32:30
พี่หมออออออ ฮั่นแน่ คิดอะไรกับน้องสี่แน่ๆเลยยยมีหงมีหึงงง กิ๊วๆๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 28-10-2016 14:13:35
เรื่องนี้น่ารักมากๆ เลยคับ ให้ความรู้สึกละมุน เรื่อยๆ แต่ไม่น่าเบื่อ เป็นกำลังใจให้คนเขียน เขียนจนจบนะคับ อยากอ่านตอนต่อไปแล้วสิ..
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [07: จีบหมอครั้งที่เจ็ด 100%] 27/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 29-10-2016 08:19:07
จะจีบติดเมื่อไรน้อเอาใจช่วยนะบุ๋นนนน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 50%] 29/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 29-10-2016 13:03:50
จีบหมอครั้งที่แปด


   เวลาหกโมงเย็นของหลายๆคนคงจะเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปเดินเที่ยวตลาดหน้ามหาลัยไม่ก็นอนกลิ้งอยู่บนเตียงเล่นๆเพื่อรอพระอาทิตย์ตกดิน หากแต่ว่ากลับมีอีกกลุ่มที่ใช้เวลาพวกนี้อย่างมีค่า ในห้องปฏิบัติการคณะแพทย์เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีที่สามสวมเสื้อกราวด์กำลังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่กำลังจะสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า




   ฐานทัพถอดแว่นตาของตัวเองออกก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างลงเพื่อพักผ่อนสายตาที่จดจ้องอยู่กับจอโปรเจคเตอร์และเนื้อหาที่เรียนในห้องปฏิบัติการ เสื้อกราวด์ถูกถอดออกพร้อมกับเสียงจากสวรรค์ที่บอกเลิกคลาสหลังจากที่เลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมง เขามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงครึ่งก่อนจะหันไปมองนาฬิกาผาผนังที่บอกเวลาต่างกันไม่กี่นาที





   คงกลับไปแล้ว





   “ไปไหนต่อปะมึง” คินถามขณะที่กำลังเดินออกจากห้อง





   “หาไรกิน” เขาตอบกลับสั้นๆก่อนจะหันไปถามเพื่อนอีกคนที่เดินมา “มึงไปไหน”





   “ไม่รู้ว่ะ” ปกป้องที่ดูอ่อนล้าจากเนื้อหาที่เรียนตอบเสียงเบา “ไปหาไรกินแล้วค่อยแยกย้ายไหม”




   “ได้” ฐานทัพไม่ปฏิเสธ ไปผ่อนคลายกับทั้งสองคนบ้างก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่เปิดเทอมมาเขาก็แทบจะไม่ไปไหนเลิกเสร็จก็รีบกลับหอ





   ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี





   ทั้งสามลงลิฟท์จากชั้นสี่มาถึงชั้นหนึ่งก่อนจะตรงไปที่จอดรถข้างหลังตึกของคณะหากแต่ว่าคนที่เดินช้าสุดค่อยๆกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งที่บอกว่าจะมารอเขา ลานคณะข้างล่างไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหา มีเพียงเด็กปีหนึ่งที่นั่งทำบอร์ดรายชื่อตามคำสั่งของรุ่นพี่ปีสองอยู่เป็นกลุ่มใหญ่





   คงกลับไปแล้วจริงๆ





   “พี่ครับ!!!” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงวิ่งตรงมาทางคุณหมอที่หยุดยืนรอนิ่งๆก่อนจะหยุดลงหอบหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าปอด





   เกือบไม่ทัน…





   “พี่รอนานไหม ผมขอโทษ” เสียงหอบหายใจทำให้คนที่กำลังจะอ้าปากถามถึงกับเงียบลงเมื่อเห็นว่าในมือของเขาถือถุงอะไรบางอย่างอยู่ “ผมถูกพี่ที่คณะเรียกตัวไป ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่ยืนรออยู่ คินทำท่าชี้ไปทางที่จอดรถเป็นเชิงว่าจะไปรออยู่ตรงนั้น ฐานทัพพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับมาสนใจคนตรงหน้าต่อ




   “ผมซื้อแครอทมาฝาก มันดูอวบอ้วนดี ผมว่าน่าจะอร่อยนะ” ถุงแครอทถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เผยให้เห็นลักยิ้มบางๆ




   “อวบอ้วน?” ฐานทัพทวนคำพูดอย่างไม่เข้าใจ




   “แครอทไง”




   “ขอบคุณ” เขารับถุงมาถือไว้ แม้จะอยากปฏิเสธแต่เมื่อเห็นความตั้งใจก็ไม่อยากจะทำให้เสียน้ำใจ “ไม่เข้าใจตรงไหน”




   “ครับ?” ดูเหมือนคนที่คิดข้ออ้างจะลืมไปสนิทว่าพูดอะไรไว้ บุ๋นทำหน้าไม่เข้าใจจนคนที่ถามถึงกับขมวดคิ้ว




   “เลกเชอร์ที่บอกตอนกลางวัน”




   “อ่ออออออออ” ถึงกับตอบรับเสียงดัง บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะตอบกลับ “ผมเข้าใจแล้ว”




   “ฮะ?” ฐานทัพทวนอย่างไม่เข้าใจ ตอนกลางวันพึ่งบอกเขาไปว่าไม่เข้าใจ ทำไมตอนนี้ถึงเข้าใจ “แล้วแต่”




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับเมื่อตอนกลางวัน” บุ๋นถามเรื่องที่ค้างคาใจออกมาทันที แววตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงคนตรงหน้าอย่างปิดไม่มิด




   หมอไม่เคยเย็นชาแบบนี้มาก่อน





   ถึงจะเย็นชาอยู่แล้วก็เถอะ…




   คนถูกถามเงียบไป แววตาคมมองคนตรงหน้าตรงๆก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง เขาไม่มีคำตอบให้บุ๋นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร




   “ไม่มีอะไร”




   “มีสิ” คนเป็นห่วงตอบกลับทันที “แววตาพี่มันบอกว่ามี”




   “หรอ” ไม่คิดว่าคนๆนี้จะสังเกตเขามากขนาดนี้ “ถ้ามี…คิดว่าเป็นอะไร” ฐานทัพโยนคำถามกลับมาที่คนถามอีกครั้ง




   “ผมไม่รู้” บุ๋นส่ายหน้า “รู้แค่ว่าพี่แปลกไป”




   “อืม” เขาพยักหน้าช้าๆ “ไม่มีอะไร”




   “แน่นะ” บุ๋นย้ำถามเพื่อความแน่ใจ แม้ว่าลึกๆเขาจะรู้สึกว่าหมอเป็นแต่ในเมื่อหมอบอกว่าไม่ เขาก็จะเชื่อแบบนั้น





   “อืม”




   “งั้นยิ้มหน่อย ทำหน้าเครียดบ่อยๆตีนกาจะขึ้นนะครับ” บุ๋นยิ้มให้คนตรงหน้าพร้อมทำหน้าตาประหลาดให้คนที่มองเขาอยู่หัวเราะออกมา




   “เพี้ยน” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆแต่กลับมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจนคนที่แลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ถึงกับยิ้มกว้างอีกครั้ง




   แบบนี้สิ…คุณหมอฐานทัพคนเดิม




   “ทำหน้าแบบนี้ดีกว่าเมื่อตอนกลางวันเยอะเลยครับ” บุ๋นมองใบหน้าที่ดูผ่อนคลายลงกว่าตอนกลางวันมากพร้อมรอยยิ้ม




   ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร…แต่ตอนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็พอแล้ว




   “รู้แล้ว”




   “ถ้าแครอทหมดก็บอกผมนะ เดี๋ยวจะซื้อมาให้พี่อีก”   




   “พอ” ฐานทัพยกมือห้าม “เกรงใจ”




   “เกรงใจก็มาติวหนังสือให้ผมสิครับ แลกกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น บุ๋นกระพริบตาปริบๆเชิงอ้อนวอนแต่ใช้ไม่ได้ผลกับฐานทัพ




   “ไม่” เขาเว้นช่วง “ไม่มีเวลา”





   “ใจร้าย”




   “แน่นอน” ไม่ปฏิเสธ “ไปล่ะ”




   “อย่าเป็นแบบนั้นอีกนะครับ” บุ๋นตะโกนไล่ตามหลังคนที่กำลังจะก้าวเดิน “ผม…”




   ฐานทัพหยุดรอฟังคำที่บุ๋นกำลังจะเอ่ยออกมา ถึงอยากจะเดินไปที่รถแต่ขาก็บังคับให้หยุดรอฟังสิ่งที่คนข้างหลังจะพูดให้จบ




   ไม่เข้าใจ




   “ผม…ผม…” พอจะพูดคำที่คิดปากมันก็สั่น บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะ “ผม…ไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนั้นอีก”




   โถ่เว้ย!!!




   เขานึกหงุดหงิดในใจ แค่คำๆเดียวยังพูดออกไปไม่ได้ทั้งๆที่หมอรอฟังอยู่แท้ๆ บุ๋นยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะได้ยินเสียงของฐานทัพตอบกลับ




   “ถ้าไม่เข้าใจก็มาถาม…ถ้าช่วยได้จะช่วย” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปไม่รอฟังคำขอบคุณจากปากของคนที่กำลังเป็นบ้า





   “ขอบคุณครับ!!!” บุ๋นป้องปากตะโกนออกไปก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง




   ถึงปากจะบอกว่ายุ่งแต่จริงๆแล้วหมอก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะไม่สนใจเลย…อย่างน้อยเขาก็พร้อมจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้




   พี่ครับ…รู้ไหมเราใกล้กันมากกว่าเดิม





   “ผมห่วง ห่วงพี่ เข้าใจไหมมมมม!!!!” บุ๋นพูดกับตัวเอง อยากจะตบปากสักสิบรอบ ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้ทั้งๆที่มีโอกาส




   แค่คำว่าห่วง ทำไมมันยากจังวะ!!!

.


   ‘ห่วง’
   


   คำสุดท้ายที่ดังแว่วเข้ามาในหูติดอยู่ในความคิดเขาจนถึงตอนนี้ พยายามสลัดออกไปเท่าไหร่คำๆนี้ก็เวียนกลับเข้ามาทุกครั้ง ฐานทัพถอนหายใจรอบที่สามตั้งแต่เดินไปสั่งอาหารจนถึงตอนนี้





   เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้หูแว่วและพอจะเดาได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร




   บุ๋น




   ชื่อแรกที่แล่นเข้ามาในหัวโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาจำชื่อของคนๆนี้ได้แม่น ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องรู้จักกับคนๆนี้





   แปลก





   “คิดอะไรอยู่วะ” ปกป้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้นหลังจากสังเกตมาพักหนึ่ง





   “เปล่า” ฐานทัพไล่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวทิ้งไปก่อนจะหันไปหาคินที่ฟุบโต๊ะอยู่ “ถ้าไม่ไหวก็ขอห่อกลับ”





   “กูไหว” คินค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ “ปวดหัวนิดหน่อยว่ะ”





   “รีบกิน กลับไปจะได้กินยา” ปกป้องพูดพร้อมดันจานข้าวของคินที่ยังกินไปไม่ถึงครึ่งไปตรงหน้า “กิน”




   “เออ รู้แล้วน่า” คินทำท่ารำคาญกับความจู้จี้ของเพื่อนแต่ก็ยอมกินตามที่ปกป้องบอก กลับไปกินยาแล้วจะได้นอนยาวเลย





   “ฝนใกล้จะตกแล้ว มึงจะกลับก่อนรึเปล่า” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่จอดจักรยานไว้ในมหาลัย




   “ไม่เป็นไร” เขาบอกปัด “กลับพร้อมกัน”




   “จะซื้ออะไรกลับไปที่หอไหม”





   “คงไม่” กินแค่นี้ก็อิ่มแล้ว กลับไปเขาก็คงอาบน้ำแล้วนอนเลย




   ฟ้าฝนทำท่าจะตกเหมือนที่ปกป้องพูดจริงๆ ฐานทัพเริ่มเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าพร้อมกับคินที่กินใกล้จะเสร็จแล้ว เขาไม่คิดว่าวันนี้ฝนจะตกเลยไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนกับร่มติดออกมา





   คงต้องรีบปั่นกลับหอ




   “เสร็จแล้ว ไปเถอะ” คินเอ่ยเสียงเนือย เขารู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมา “ให้พวกกูขับไปส่งมึงก่อนไหม” ถึงจะปวดหัวมากแต่เห็นฝนทำท่าจะตกก็อดห่วงเพื่อนไม่ได้ ระยะทางจากตรงนี้กลับหอพักไม่ได้ใกล้




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ “ห่วงตัวเองก่อน กูกลับได้”




   “เออ ขอบใจว่ะ” คินตบบ่าเพื่อนสนิท เขาเคยชวนฐานทัพออกมาอยู่หอข้างนอกด้วยกันแต่เพื่อนก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอจนเขาถอดใจที่จะชวน




   ยังไงมันก็ปฏิเสธอยู่ดี





   “ไว้เจอกัน” ปกป้องพูดพร้อมโบกมือลา “พรุ่งนี้”





   “อืม” ฐานทัพรับคำ “อย่าลืมให้มันกินยา”





   “เออรู้แล้วน่า” เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงหันมาทำคิ้วยุ่งใส่ก่อนจะเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์





   ฐานทัพรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมก่อนที่ฝนจะตกลงมา อยากจะตกก็ตกแต่ช่วยตกตอนที่เขากลับไปถึงหอแล้วเพราะในตัวเขาตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะใช้กันฝนได้เลย





   เสียงฟ้าร้องมาพร้อมฟ้าแลบ ฐานทัพเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปทั่วทั้งบริเวณ เขารีบเดินไปที่จักรยานตัวเองก่อนจะไขกุญแจแล้วรีบขึ้นคร่อมเพื่อปั่นกลับหอให้ไวที่สุด




   ครึมมม!!





   เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระลอกราวกับส่งสัญญาณเตือน ขาทั้งสองข้างปั่นจนแทบจะพันกันเมื่อจักรยานปั่นได้ไวสุดเท่านี้ สุดท้ายเขาก็ไม่ทันตามที่คิดไว้เมื่อเม็ดฝนค่อยๆลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องหาที่จอดหลบฝน





   ตึกเรียนรวมในตอนนี้เงียบสงัดไปทั่วบริเวณ อาจเพราะตอนนี้เวลาเกือบสองทุ่มแล้วเลยทำให้นักศึกษาทยอยออกจากตึกไปหมดเหลือเพียงแค่เขาที่ต้องจอดจักรยานเพื่อหลบฝน เอกสารการเรียนที่พึ่งได้มาวันนี้ฐานทัพคงไม่คิดจะเอาไปเสี่ยงกับการกลับหอแน่ๆ รวมๆแล้วก็หลายร้อยบาทถ้าจะถ่ายเอกสารใหม่หมด




   รอสักพักฝนคงหยุดตก




   นั่งได้ไม่นานเสียงคุยของคนกลุ่มใหญ่ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เขาค่อยๆหันไปมองต้นเสียงพร้อมกับสายตาที่จับจ้องคนๆหนึ่งได้อย่างอัตโนมัติ เขามองอยู่พักหนึ่งอย่างลืมตัวจนคนๆนั้นหันมาสบตากับเขา





   “อ้าว พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงดังขึ้นพร้อมกับขายาวๆที่ก้าวนำกลุ่มที่ยืนคุยออกมาหาคนที่นั่งอยู่




    ฐานทัพมองคนตรงหน้าที่การแต่งกายดูแปลกตาไปกว่าทุกวัน เสื้อกีฬาหลวมกว่าตัวเล็กน้อยกับกางเกงกีฬาเข้าชุดกับเสื้อและรองเท้าวิ่งสีดำเรียบหรู ใบหน้าที่มีเลือดฝาดบริเวณแก้มทั้งสองข้างพร้อมกับรอยยิ้มที่มีให้เขาทุกครั้งที่เจอ




   บุ๋น




   “ติดฝน” เขาตอบกลับไปสั้นๆพร้อมกับมองออกไปข้างนอกที่ดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกแถมยังตกหนักกว่าตอนแรก




   “อ่อ พี่ไม่มีเสื้อกันฝนหรือร่มหรอครับ”





   “ไม่มี”





   “งั้น…” บุ๋นหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อน” เขานั่งลงข้างๆเจ้าตัวโดยที่ไม่รอฟังคำตอบจากคุณหมอ





   “ไม่เป็นไร”





   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับหันไปมองกลุ่มเพื่อนนักบาสที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เป็นเชิงว่าให้กลับไปก่อน





   “ไม่ไปต่อด้วยกันหรอวะ” หนึ่งในนั้นถามขึ้น





   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูนั่งอยู่กับพี่ ไปกันเลย” บุ๋นโบกมือลาเพื่อนที่นัดกันว่าจะไปหาอะไรกินหน้ามหาลัยหลังเล่นบาสเสร็จ





   ทั้งๆที่เขาจะกลับไปตอนนี้ก็ได้เพราะเพื่อนขับรถยนต์…แต่เขาไม่กลับ




   เสียงฝนยังคงกระทบกับพื้นราวกับว่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ บุ๋นยืดขาเหยียดตรงหลังจากที่ไปเล่นบาสกับเพื่อนมาตั้งแต่ช่วงหกโมงกว่าๆ เขารู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ





   “ผมไปสมัครบาสมาแล้วนะครับ” เมื่อเห็นว่าคนข้างๆได้แต่นั่งเงียบเขาก็เลยเปิดประเด็นชวนคุย





   “อืม พอรู้” ฐานทัพเหยียดขาตาม “เป็นไง”





   “ก็ดีครับ แต่ไม่ได้เล่นนานก็เลยยังไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่”




   “ค่อยๆเล่นไป”




   “ครับ ผมคงจะไปซ้อมทุกๆวัน” บุ๋นยิ้ม “เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก พอกลับมาเล่นอีกครั้งผมรู้สึกโกรธตัวเองลึกๆที่ทิ้งมันไป”




   “อืม รู้ก็ดีแล้ว” ฐานทัพไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรในเมื่อคำๆนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา





   “แล้วพี่มานั่งรออยู่ตรงนี้นานรึยังครับ”




   “ไม่นาน”




   “อยากกลับหอแล้วใช่ไหมครับ” บุ๋นดูท่าทางคนข้างๆออก หมอฐานทัพมองออกไปข้างนอกตลอดเวลาราวกับว่าอยากจะออกไปจากที่ตรงนี้





   “อืม” เขารับคำสั้นๆ




   “เดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้ว ไม่นานหรอก” พูดไปแบบนั้นแม้ว่าตัวเขาเองก็พอจะรู้ว่าอีกสักพักใหญ่ๆกว่าฝนจะหยุดตก





   ฐานทัพอาจจะอยากให้ฝนหยุดตกไวๆแต่สำหรับเขาแล้ว…เขาอยากให้ฝนตกนานๆ




   ครั้งนี้เป็นความบังเอิญที่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเจอหมอจริงๆ บุ๋นไม่คิดว่าเขาจะได้มาเจอหมอฐานทัพที่นี่ในเวลาแบบนี้ทั้งๆที่เขาคิดว่าหมอน่าจะกลับไปที่หอพักแล้วแท้ๆ





   พรมลิขิตช่วยผมหรอครับ…ขอบคุณนะ




   “พี่ครับ…” เขาค่อยๆหันไปหาคนข้างๆที่เงียบไปสักพัก ภาพตรงหน้าตอบทุกคำถามที่อยู่ในหัว




   ร่างของคุณหมอที่เอาหัวพิงกับเสาข้างตัวด้วยท่าทางสบายๆ ตาทั้งสองข้างหลับสนิทมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆที่ทำให้รับรู้ว่าคนข้างๆยังอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏขึ้นกับผู้ที่ได้มองเห็นอีกครั้ง บุ๋นค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ๆแม้จะกลัวหมอได้กลิ่นตัวก็ตามแต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นช่วงที่เขาจะได้พูด




   พูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด




   “ผม…ห่วงพี่นะ” น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายเอ่ยออกมาให้กับคนที่อยู่ข้างๆได้ฟังชัดๆ แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆที่ไม่ได้เสียงดังแต่กลับเต็มไปด้วยทุกความรู้สึกของผู้พูด





   บุ๋นค่อยๆหลับตาลงช้าๆพร้อมกับเพลงที่แล่นเข้ามาในหัว



   
แล้วเธอก็เข้ามา เปลี่ยนหัวใจที่เคยอ่อนล้าให้มีหวัง




   ภาพวันแรกที่เจอกันยังคงติดอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ แววตาคู่นั้นที่มองมา สีหน้าและท่าทาง บุ๋นจำได้หมดทุกอย่างราวกับว่าพึ่งผ่านมาเมื่อวาน




   
ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน
   ให้เธอเป็นดังเจ้าหญิงในใจฉัน และจะมีเธอเท่านั้น



   ที่มีค่า สูงเกินกว่า จะหาคำมาอธิบาย







----------------------------
50%
สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมต้องแบ่งอัพขอบอกว่าเนื้อหามันยาวเกินกว่าตัวอักษรกำหนด เลยต้องแบ่งนะคะ T^T
เป็นยังไงกันบ้างง เริ่มตกหลุมรักบุ๋น หมอฐานทัพ ขึ้นมาบ้างรึยังคะ ?
อ่านแล้วยิ้มตามเหมือนคนเขียนรึเปล่า ^^
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จะพยายามอัพบ่อยๆจ้าา

ติดตามกันต่อได้ทางแฟนเพจ perlina. หรือทวิตเตอร์ @perlinjun
อยากพูดคุยเรื่องของหมออย่าลืมติดแฮชแท็ก
#ผมจีบหมอ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 50%] 29/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 29-10-2016 15:38:57
หลงรักทั้งคู่ซะแล้วสิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 50%] 29/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 29-10-2016 17:27:13
เค้าน่ารักกันจังเลยค่ะคุณณ :ling1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 50%] 29/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 30-10-2016 11:59:24
 :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 50%] 29/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 30-10-2016 13:11:28
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 100%] 30/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 30-10-2016 22:27:11
   เสียงฝนค่อยๆซาลงพร้อมกับคุณหมอที่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ตัวเองเผลอหลับไป ฝนที่ตอนแรกตกหนักในตอนนี้เหลือเพียงเม็ดฝนบางๆที่ใกล้จะหยุดตกเต็มที นาฬิกาข้อมือบอกเวลาใกล้จะสี่ทุ่ม เขาเผลอหลับไปเกือบสองชั่วโมง




   รู้สึกเหมือนงีบหลับไปแค่สิบห้านาที





   ฐานทัพเตรียมจะลุกขึ้นกลับหอแต่รู้สึกถึงอะไรหนักๆที่ซบพิงมาทางเขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่พิงอยู่ที่ไหล่เขากับดวงตาทั้งสองข้างที่หลับสนิท ในมือของเขาถือถุงพลาสติกไว้






   บุ๋น





   “ตื่น” เขาแตะขาคนข้างๆ “ฝนหยุดแล้ว”




   ไม่ใช่แค่เขาที่หลับแต่คนข้างๆก็หลับด้วย





   “ตื่น…ตื่นได้แล้ว” คุณหมอเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนข้างๆไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนข้างๆที่ปกติเขาไม่เรียกบ่อยนักหากแต่ว่าคนข้างๆกลับยังไม่รู้สึกตัว





   ฐานทัพยื่นมือไปแตะหน้าผากคนข้างตัวเบาๆ ไออุ่นจากบริเวณหน้าผากพอที่จะทำให้เขารู้ว่าคนข้างๆเริ่มที่จะไม่สบาย เป็นไปได้เพราะพึ่งเล่นกีฬามาเหนื่อยๆแล้วต้องมานั่งตากละอองฝนรออยู่กับเขา





   ทำไปทำไม ทั้งๆที่กลับไปก่อนก็ได้





   “ตื่น ตื่น” ฐานทัพเพิ่มเสียงเรียกให้ดังกว่าเดิม





   “ครับ…ครับ” เสียงเนือยๆตอบก่อนที่บุ๋นจะค่อยๆลืมตา “ผมหลับไปตอน…ขอโทษครับ!!!” พอเห็นว่าหัวของเขากำลังพิงไหล่หมออยู่บุ๋นก็เด้งตัวออกอัตโนมัติ





   ทำอะไรลงไป!!!





   “ประหลาด” ฐานทัพโล่งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้างๆไม่ได้เป็นอะไรมาก “ฝนเริ่มหยุดแล้ว”





   “อ่อ…” บุ๋นพูดพร้อมกับมองตาม “ผมเห็นพี่เหนื่อยก็เลยไม่กล้าปลุก”





   “คราวหลังปลุกได้”




   “คราวหลังแสดงว่าต้องมีอีกใช่ไหมครับ” บุ๋นพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ถึงจะรู้ว่าหมอไม่ได้คิดแบบที่พูดออกมาแต่เขาก็อดคิดไม่ได้




   “เพ้อเจ้อ” ฐานทัพส่ายหน้า “กลับได้แล้ว”




   “ผมให้” บุ๋นยื่นถุงพลาสติกที่ถือไว้ก่อนหน้านี้ให้คนตรงหน้า “พอดีมันเหลืออันสุดท้าย ก็เลยเลือกสีไม่ได้”





   “อะไร” ฐานทัพถามพร้อมกับรับมาถือไว้ “เสื้อกันฝน?” เขาเลิกคิ้วก่อนจะหยิบเสื้อกันฝนสีชมพูสดใสออกมาจากถุง





   “ผมว่าพี่ควรมีติดตัวไว้ เผื่อฉุกเฉินเหมือนวันนี้”





   “ไม่เป็นไร”




   “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” บุ๋นตอบกลับประโยคของฐานทัพด้วยคำพูดเดิมๆ




   “ฝนหยุดแล้ว”




   “มันก็ยังตกอยู่ เดี๋ยวเอกสารพี่จะเปียกนะ”





   “ใส่สิ” ฐานทัพยื่นเสื้อกันฝนคืน “เอาไปใส่แล้วถือของด้วย”





   “ทำไมต้องเป็นผมล่ะ” บุ๋นชี้ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เขาตั้งใจจะซื้อมาให้ฐานทัพไม่ได้ซื้อมาให้ตัวเองใส่สักหน่อย





   “เดี๋ยวไปส่ง”





   “ครับ?” ดูเหมือนเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ฐานทัพจะสื่อ “ไปส่งผมหรอ”





   “อืม”





   “แต่ว่าผมปั่น…เอ้ย ใช่ ผมไม่ได้ปั่นจักรยานมานี่นา ว้า~ ลืมไปเลย” บุ๋นพูดรัวจนลิ้นแทบพันกัน โกหกว่าไม่ได้ปั่นจักรยานมาทั้งๆที่จักรยานของเขาจอดอยู่ที่สนามบาส




   ไม่เป็นไร…พรุ่งนี้ค่อยมาเอา





   “ใส่” ฐานทัพไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแกะถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มเสื้อกันฝนออกก่อนจะยื่นเสื้อกันฝนสีชมพูให้บุ๋น





   “ทำไมผมต้องใส่สีชมพูด้วยเนี่ย” บุ๋นดูมีท่าทีทำใจที่จะใส่ไม่ได้แต่ก็ยอมรับมาใส่ตามที่หมอฐานทัพบอก ทำยังไงได้ มันดันเหลือสีนี้สีเดียว




   ฐานทัพวางเอกสารไว้ข้างๆก่อนจะเดินนำออกมาไขกุญแจรถจักรยานที่จอดไว้ไม่ไกลจากที่นั่งพัก เขาปัดน้ำฝนออกจากเบาะนั่งก่อนจะปัดน้ำฝนที่เบาะคนซ้อน





   “ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสีชมพูก็วันนี้” เสียงบ่นดังขึ้นพร้อมกับมนุษย์เสื้อกันฝนสีชมพูสดใสที่ทำเอาคุณหมอที่กำลังทำหน้านิ่งๆถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ





   “เหมาะดี”





   “พี่ไม่ต้องมาหัวเราะผมเลยนะ…บอกว่าอย่าหัวเราะไงงงงง” บุ๋นลากเสียงยาวเมื่อเห็นว่าฐานทัพกำลังหัวเราะชุดที่เขาใส่อยู่





   ไม่ได้อยากใส่เลยโว้ยยยยยยยย!!!




   “ไม่ได้แย่” ฐานทัพพยายามไม่หันไปมอง บอกตรงๆเลยคือสีชมพูมันขัดกับบุคลิกของคนตรงหน้ามากจริงๆ เหมือนเด็กที่โดนแม่บังคับให้ใส่





   “ไม่ได้แย่แล้วพี่หัวเราะทำไม” ถึงจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นฐานทัพหัวเราะแต่เขาก็อดที่จะอายไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่พี่ผมไม่ยอมใส่หรอก” เขาพูดประโยคหลังเสียงเบาจนคนที่เตรียมขึ้นจักรยานหันมาถาม





   “หืม?”





   “เปล่าครับ…กลับกันเถอะ” บุ๋นรีบปฏิเสธก่อนจะกระชับเอกสารในมือที่กอดไว้ภายใต้เสื้อกันฝนให้แน่นกว่าเดิม





   อากาศเย็นๆในช่วงค่ำเวลาที่ฝนพึ่งหยุดตกเหมือนกับหน้าหนาวในเดือนธันวา ฐานทัพปั่นจักรยานช้าลงกว่าเดิมเพราะความเย็นของบรรยากาศรอบข้าง เขาไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวผิดกับอีกคนที่ชอบอากาศหนาวมากกว่าอากาศร้อน





   “พี่ครับ อาทิตย์หน้าผมมีประกวดดาวเดือนคณะ พี่ว่างไหม” บุ๋นถามทำลายความเงียบรอบข้าง “ผมอยากจะ…เอ่อ ชวนพี่”





   “คงไม่ว่าง” ฐานทัพตอบกลับมาแทบจะทันที





   “ไม่ว่างเลยหรอครับ แต่ประกวดช่วงเย็นนะ” คนถามถามออกไปอย่างมีความหวัง ถึงเขาจะไม่ได้สนใจในการประกวดแต่เขาก็อยากให้คนที่เป็นเสมือนกำลังใจมาดูเขาในวันประกวด





   “เรียนเต็ม”




   “แต่ว่า…”





   “เลี้ยวข้างหน้าใช่ไหม” ฐานทัพไม่รอฟังคำตอบ เขาเลี้ยวไปตามทางเหมือนครั้งแรกที่เคยมาส่ง




   “ครับ…ว่าแต่” บุ๋นเงียบไปพักหนึ่ง “พี่รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่หอตรงนี้”




   “ก็เคย…” ฐานทัพชะงัก เขาลืมไปว่าครั้งที่แล้วเจ้าตัวไม่รู้ว่าเป็นเขาที่มาส่ง “เพื่อนเคยอยู่แถวนี้”




   “อ่อ ครับ” บุ๋นไม่ได้นึกสงสัยอะไรต่อ ไม่แปลกที่หมอจะคิดว่าเขาอยู่หอในชายฝั่งนี้ในเมื่ออีกฝั่งเป็นหอของคณะแพทย์และคณะสายสุขภาพซะส่วนใหญ่





   รถจักรยานค่อยๆจอดลงหน้าหอพักชายพร้อมกับฝนที่หยุดตก บุ๋นลงจากรถจักรยานก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งดึงเสื้อออก เขาพลิกเสื้อฝั่งที่อยู่ด้านในออกก่อนจะวางลงในตะกร้าหน้ารถแล้วเอาเอกสารวางลงไปตาม




   “เผื่อระหว่างกลับฝนตก” บุ๋นบอกพร้อมรอยยิ้มโดยที่ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเขามีคนตรงหน้าจ้องอยู่ด้วยความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัว




   “ขอบคุณ” ฐานทัพเอ่ยออกมา จากที่ปกติเขาพูดคำๆนี้น้อยมากกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนแต่กับบุ๋นเขารู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาบ่อยและไม่ได้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อ





   ทุกครั้งที่เขาพูด…เขารู้สึกขอบคุณบุ๋นจริงๆ




   “ผมเต็มใจ” บุ๋นพูดออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี




   แค่นี้ยังน้อยไปสำหรับการทำอะไรเพื่อคนๆหนึ่ง





   “รอก่อน” ฐานทัพพูดดักไม่ให้บุ๋นเดินขึ้นหอทั้งๆที่คนตรงหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีรีบขึ้นหอ ในทางกลับกันบุ๋นอยากจะยืนอยู่ตรงนี้นานๆ




   ฐานทัพเปิดกระเป๋าของตัวเองก่อนจะเปิดซิปเล็กที่มีถุงยาสามัญติดตัวไว้อยู่ เขาหยิบออกมาอ่านอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเลือกแผงยาที่ยังไม่เคยแกะใช้ออกมาแล้วหันไปยื่นให้คนที่ยืนรออยู่





   “กินด้วย” เขาไม่รอให้คนตรงหน้ายิงคำถาม “เดี๋ยวจะไม่สบาย”





   “ให้ผมหรอ” บุ๋นยังคงความซื่อเสมอต้นเสมอปลาย ถึงจะรู้สึกปวดหัวหน่อยๆแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่เขาจะต้องกินยา





   แต่ถ้าหมอสั่ง…ก็กินครับ





   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ตัวร้อน”




   “ตัวร้อน…” บุ๋นทวนคำก่อนจะทบทวนคำพูดอยู่พักหนึ่ง “พี่จับตัวผมหรอ!!!!!” คนตรงหน้าเอ่ยเสียงดังพร้อมกับทำตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง





   ไม่จริงใช่ไหม…ไม่จริง





   “อืม แปลกตรงไหน?” ฐานทัพดูไม่เข้าใจกับปฏิกิริยาตรงหน้าหรือว่าบุ๋นเป็นโรคผิวหนังเขาถึงจับตัวไม่ได้





   “ไม่แปลกครับ ไม่แปลกเลย” คนที่หัวใจหลุดลอยไปถึงดาวอังคารยิ้มแก้มปริ “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ” ถึงจะพยายามเก็บอาการแต่ยังไงตอนนี้ก็เก็บไม่อยู่





   “ไม่เป็นไร”





   “ผมจะรีบกินยาเลย”




   “กินข้าวก่อน” ฐานทัพเอ่ย “กินข้าวก่อนกินยา”





   “ผมไม่หิว ไม่มีอะไรกินด้วย”





   “ต้องกิน” ฐานทัพถอนหายใจ ทั้งๆที่แค่มาส่งก็จบแล้วแท้ๆ ทำไมเขาต้องทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมด้วย “ให้” ฐานทัพยื่นถุงขนมปังที่ซื้อไว้ในกระเป๋าเมื่อเช้าให้คนตรงหน้า





   “ให้ผมหรอครับ”




   “นับหนึ่ง”





   “เอาสิครับเอา” บุ๋นรีบรีบมาถือไว้แน่น “ผมจะกินขนมปังแล้วกินยาตามเลยครับ หลังจากนั้นก็จะเข้านอนแล้วตื่นมาด้วยความสดใสในพรุ่งนี้เช้า”





   “ดี” ฐานทัพพยักหน้า “กลับล่ะ”





   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกคนที่กำลังจะขึ้นคร่อมจักรยาน “คืนนี้…ฝันดีนะครับ”





   “อืม” ฐานทัพมองหน้าคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่ปากจะเผลอเรียกชื่อออกไป “บุ๋น”





   “ครับ?”





   “ตั้งใจประกวด” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าว่าง…จะแวะไปดู”   




   “ผมจะรอนะครับ” บุ๋นตะโกนตามหลัง รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบ่งบอกความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี ร่างสูงยืนมองคนที่ปั่นจักรยานออกไปจนไกลลิบตาก่อนจะเดินขึ้นหอพัก




   วันนี้ถือเป็นวันพิเศษอีกวันสำหรับเขา




   “อ่าว ยังไม่นอนหรอวะ” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็เห็นสามนั่งวุ่นอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือกับกระดานวาดภาพแผ่นใหญ่




   “เออ ปั่นงานอยู่” สามตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าเพื่อน นิ้วมือเต็มไปด้วยผงดินสอ “มึงว่างปะ เหลาดินสอให้กูหน่อย” พูดพร้อมยื่นดินสอแท่งยาวที่ไม่หลงเหลือความแหลม





   “เอาวางไว้ กูกินยาก่อนแล้วเดี๋ยวเหลาให้” บุ๋นไม่ปฏิเสธ มือหนึ่งฉีกถุงขนมปังที่หมอให้มากินส่วนอีกมือดึงผ้าเช็ดตัวเตรียมไปอาบน้ำ “ว่าแต่ไอ้สองไปไหน”





   “มีนัดเลี้ยงสายมั้ง เห็นคืนนี้บอกว่าอาจจะกลับดึกไม่ก็ไม่กลับเลย”




   “อ่อ เออๆ”





   “แล้วมึงเป็นอะไร กินยาทำไม”





   “ไม่รู้ว่ะ” บุ๋นตอบตรงๆ “รู้แค่ต้องกิน”





   “อะไรของมึงวะ” สามปรายตามองก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ วันนี้ถ้าไม่เสร็จเขาตายแน่ๆ





   “เหลืออีกเยอะปะ” บุ๋นชะโงกหน้าดูงานที่เพื่อนกำลังนั่งวาดอย่างตั้งใจ ไอ้สามมันวาดรูปสวยเขารู้แต่ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้





   “เกินครึ่ง” คนที่ขอบตาเริ่มดำจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนจะอ้าปากหาว “กาแฟก็เอาไม่อยู่แล้วตอนนี้”




   “แล้วไมไม่ทำตั้งแต่เนิ่นๆวะ”




   “เรื่องมันยาว ขี้เกียจเล่า” สามตัดบท “รีบกินยาแล้วเอาดินสอกูไปเหลาด้วย”




   “เออครับ รู้แล้ว”




   ขนมปังที่ปกติก็ไม่ได้อร่อยมากมายแต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันอร่อยผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะคนให้หรือเพราะคนทำที่เปลี่ยนสูตร แต่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลแรกมากกว่า




   แผงยาที่ไม่เคยถูกแกะออกไปกินทำให้บุ๋นนึกสงสัยในใจว่าหมอให้เขามาทั้งแผงทำไม ทั้งๆที่ให้แค่เม็ดหรือสองเม็ดก็น่าจะพอหรือคิดว่าเขาขี้โรค…ก็ไม่น่าใช่




   จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันไม่สำคัญเท่ากับคนที่ให้สิ่งนี้กับเขามา




   คุณหมอฐานทัพ





   “อย่าทำให้กูรู้สึกกลัวไปมากกว่านี้เลย” เสียงของสามทำลายจินตนาการในหัวของคนที่กำลังมองแผงยาอยู่ บุ๋นค่อยๆหันไปมองก็พบว่าสามหันมาจ้องเขาอยู่





   “กลัวอะไร”




   “มึงไง คนบ้าอะไรยิ้มให้ยาวะ” สามมองบุ๋นด้วยความหวาดกลัว “หรือว่ามึงยิ้มให้กับสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่นะ ไม่…”





   “เพ้อเจ้อ” บุ๋นตอบกลับไปก่อนจะยิ้มออกมา





   เพ้อเจ้อ…





   พูดคำนี้แล้วคิดถึงใครบางคน…คนที่ชื่อว่า ฐานทัพ   



.

   ประตูห้องปิดลงพร้อมกับร่างของคุณหมอที่ทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจว่าสภาพตัวเองตอนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำ ฐานทัพวางของทุกอย่างไว้บนโต๊ะข้างประตู ความเหนื่อยล้าถาโถมจนเขาอยากจะนอนหลับไปโดยไม่ต้องอาบน้ำหากแต่ว่าความจริงเขาทำแบบนั้นไม่ได้





   ครืดดดดด!





   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นเรียกสติของคนที่กำลังจะจมลงสู่ห้วงนิทราให้ตื่นขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยไม่ดูว่าเจ้าของเบอร์คือใคร





   เหนื่อย





   “ครับ” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยพร้อมกับมืออีกข้างที่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาให้สบายตัวมากขึ้น




   ( กูโทรหามึงกี่สาย ทำไมไม่รับ )





   “ไม่ได้ยิน” ฐานทัพตอบกลับ เขาค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลงเมื่อรู้ว่าปลายสายคือเพื่อนสนิทของตัวเอง




   ( เลิกตั้งเป็นเสียงสั่น มึงจะได้รับโทรศัพท์ชาวบ้านเร็วๆ )




   “อืม ไว้จะทำ” เขาถอนหายใจ “มีอะไร”




   ( คินมันฝากบอกว่ามันโอเคขึ้นแล้ว )





   “อืม แค่นี้?”




   ( เออ ตอนแรกก็จะโทรมาถามว่าถึงหอรึยังด้วย )





   “ถึงแล้ว”




   ( รู้แล้ว คราวหลังก็ช่วยเปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย )




   “อืม”




   ( แค่นี้แหละ ไว้เจอกัน ) ปกป้องเตรียมจะกดวางสายหากแต่ว่าเสียงของฐานทัพเรียกให้เขาอยู่ฟังต่อ




   “อาทิตย์หน้ามีเรียนนอกตารางไหม” เสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ถามออกไปทำเอาคนที่อยู่ปลายสายถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง





   ( คิดว่าไม่มี ทำไมวะ จะไปไหน )




   “เปล่า” เขาปฏิเสธ “ไม่มีอะไร”




   ( เออๆ พรุ่งนี้เจอกัน )




   “อืม” เขาตอบกลับก่อนที่ปลายสายจะตัดไป ฐานทัพปล่อยโทรศัพท์ลงบนเตียงพร้อมกับความง่วงที่เริ่มคลืบลานเข้ามา




   วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกว่าการรอฝนหยุดไม่ได้น่าเบื่อเหมือนทุกๆครั้งอาจเพราะเขาไม่ได้ติดฝนอยู่คนเดียว

.

   
   สวนเกษตรที่ถูกเซ็ทเป็นที่สำหรับการถ่ายรูปโปรโมทดาวเดือนของคณะเกษตรเต็มไปด้วยผู้คนยี่สิบกว่าชีวิตที่ยืนอยู่คนละจุดเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่และความเรียบร้อยของผู้เข้าประกวดทั้งสิบคน เสื้อผ้าของผู้เข้าประกวดถูกออกแบบมาจากรุ่นพี่ปีสองที่ดูสนุกกว่าคนที่ได้ใส่จริง เสื้อสีกรมแขนยาวกับผ้าขาวม้าที่มัดคาดเอวของฝ่ายชายให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่างจังหวัด หมวกปีกกว้างที่สานทอมาอย่างดีถูกนำมาสวมใส่ให้เข้ากับเสื้อผ้า ฝ่ายหญิงเป็นเสื้อลายสก๊อตกับกางเกงยีนส์ดูดีขัดกับฝ่ายชาย





   “เสื้อนี่ใส่แล้วผมต้องคืนปะครับ” บุ๋นที่ดูจะมีความสุขในการแต่งตัวหันไปถามรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น




   “คืนสิจ้ะ น้องบุ๋นจะเอาไปใส่ต่อที่ไหนหรอลูก” รุ่นพี่ตอบกลับด้วยความเอ็นดู ถ้าได้รู้จักบุ๋นดีๆแล้วเขาเป็นเด็กที่น่ารัก เคารพรุ่นพี่และมีสัมมาคาราวะ





   “ผมว่ามันใส่สบายดี” บุ๋นมองเสื้อผ้าของตัวเองที่สวมใส่อยู่ก่อนจะหยิบหมวกปีกกว้างขึ้นมาใส่





   “พี่นึกว่าน้องบุ๋นจะไม่ชอบซะอีก” พี่ที่เป็นคนคิดรูปแบบเสื้อผ้าถึงกับยิ้มแก้มปริ “ปีนี้คณะเราไม่เน้นหล่อ เราเน้นความเป็นเด็กเกษตร”





   “ดีครับ ผมชอบ” บุ๋นยิ้มกว้าง “จะให้ผมถ่ายตอนไหนบอกได้เลยนะครับ”





   “จ้า รออีกสักพักนะ” หลังจากที่จัดแจงเสื้อผ้าของบุ๋นเสร็จรุ่นพี่ก็เดินไปจัดการเสื้อผ้าของผู้ประกวดคนอื่นๆต่อ




   อากาศร้อนชิบ…บุ๋นคิดพร้อมยกมือขึ้นมาพัดอย่างคนขี้ร้อน แป้งที่ทาอยู่บนหน้าคงหายไปพร้อมกับเหงื่อของเขา บุ๋นเป็นคนเหงื่อออกง่ายและขี้ร้อนมาก




   “พัดไหม” น้ำเสียงเล็กๆถามขึ้นพร้อมกับพัดลมจิ๋วที่เปิดอยู่ “เราเตรียมมาเผื่อ”




   “อ่าวน้ำฟ้า” บุ๋นหันไปตามเสียงก่อนจะมองคนที่ยืนอยู่ด้วยสายตาอึ้งปนทึ่ง




   ปกติน้ำฟ้าเป็นคนสวยอยู่แล้วแต่วันนี้อาจเพราะแต่งหน้าทำผมเลยทำให้เสน่ห์ของน้ำฟ้าพุ่งทะลุปรอดขึ้นอีกจนเขาเองไม่อาจละสายตามองไปทางอื่น ถ้าย้อนกลับไปสักสามปีเขามั่นใจเลยว่าเขาจะจีบผู้หญิงคนนี้แน่ๆ




   “ตกลงเอาไหม” น้ำฟ้าถามอีกครั้งเมื่อเห็นคนตรงหน้าเงียบไป




   “อ่อ…ไม่เป็นไร น้ำฟ้าใช้เถอะ” บุ๋นยิ้ม “เดี๋ยวเครื่องสำอางหายหมด ของเราเดี๋ยวเติมแป้งก็โอเคแล้ว”




   “ก็ได้จ้ะ” น้ำฟ้าดึงมือกลับก่อนจะมองคนที่นั่งอยู่ด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากบุ๋น เสื้อผ้าที่น้อยคนจะใส่แล้วดูมีราศีจับแต่บุ๋นคือหนึ่งในนั้นที่ใส่แล้วดูดี “ขอเรานั่งด้วยได้ไหม ยังไม่ถึงคิวถ่ายเลย”





   “อ่อ…อืม ได้ๆ” บุ๋นพยักหน้าก่อนจะขยับเก้าอี้ของตัวเองห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อให้อีกคนเข้ามาอยู่ในร่มไม่โดนแดดจากข้างนอก




   “ขอบคุณนะ” น้ำฟ้ายิ้มให้กับความเป็นสุภาพบุรุตของคนข้างๆ จะมีสักกี่คนที่เห็นมุมนี้ของบุ๋น เธอรู้สึกดีใจที่เธอเป็นหนึ่งในนั้น “บุ๋นใจดีจัง”





   “ใจดียังไง” บุ๋นยิ้ม “แบบไหนที่เรียกว่าใจดีหรอ”





   “ก็แบบที่บุ๋นทำอยู่นี่ไง”





   “ไม่หรอก เราก็ทำกับทุกคน” เขาตอบกลับอย่างไม่คิดอะไรหากแต่ว่าทำให้อีกฝ่ายชะงักไปพักหนึ่ง




   “งั้นหรอ” น้ำฟ้ายิ้มเจื่อน “ถ้าใครได้เป็นบุ๋นแฟนคงโชคดีมากแน่ๆเลย”




   “คิดแบบนั้นหรอ” บุ๋นหันมายิ้ม “ทำไมล่ะ?”





   “เพราะบุ๋นใจดี” น้ำฟ้าหันไปตอบพร้อมจ้องมองตาคนข้างๆที่หันมาสบตากับเธอพอดี ความรู้สึกที่มีต่อบุ๋นเริ่มชัดเจนขึ้นทุกวัน




   “อืม…” บุ๋นเป็นฝ่ายหลบตาหันไปอีกทาง “เราก็หวังให้เป็นแบบนั้น”




   “…”





   “หวังว่าเขาจะดีใจที่มีแฟนเป็นเรา”





   “อะ...อื้ม นั่นสิเนอะ” น้ำฟ้าตอบกลับ แม้เธอจะไม่รู้ว่าคนที่บุ๋นพูดถึงคือใครแต่อย่างหนึ่งที่เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนคือ





   คนๆนั้นไม่ใช่เธอ





   “น้องบุ๋นมาเลยจ้า” เสียงร่าเริงของรุ่นพี่ที่เป็นฝ่ายจัดคิวถ่ายภาพเรียกบุ๋น “มาหาพี่เร็วหนุ่มน้อยยยยยยยยย”





   “ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” บุ๋นตะโกนกลับไปก่อนจะหันไปหาน้ำฟ้า “ขอตัวนะ”





   “อืม จ้ะ”





   ร่างสูงของบุ๋นรีบวิ่งออกไปตรงจุดที่ตั้งกล้องอยู่ ในสายตาของรุ่นพี่หลายๆคนบุ๋นถือเป็นตัวเต็งในการประกวดดาวเดือนของคณะเพราะมีความโดดเด่นกว่าผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ




   “แอ็กท่าไหนก็ได้ตามสบายเลยลูก หล่อทุกท่า”




   “ได้ครับ” บุ๋นยืนเตรียมตัวจะเข้าไปยังจุดที่ถูกทำเป็นสัญลักษณ์ไว้




   “ว่าแต่น้องบุ๋นจะแสดงอะไรวันประกวดจ้ะ พี่อยากรู้จังเลย”




   “บอกไม่ได้ครับ” เขายิ้ม “เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น”




   “โถ่น้องบุ๋น แอบกระซิบเจ้หน่อย”




   “ไม่ได้ครับ ยังไงก็บอกไม่ได้”




   “…”





   “เพราะคนที่มาดูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”




--------------------------
100% มาแล้วจ้าาาาาาาาาาาา
เป็นยังไงกันบ้างงงง  :hao6: :hao7: :hao6: :hao7: :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 100%] 30/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 30-10-2016 22:59:27
เรื่อยๆ แต่น่ารักตรงใจ^ω^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 100%] 30/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 31-10-2016 06:33:53
น่ารักดี  หมอฐานทัพมาดนิ่ง น้องบุ๋นดูใสๆ

พยามเข้านะ ทาเคชิ

 :katai5:  :katai5:  :katai5: :katai5: :katai5:

..
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [08: จีบหมอครั้งที่แปด 100%] 30/10/59 หน้า2
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 31-10-2016 07:55:39
ชอบพระเอกแบบบุ๋นจัง
ซื่อๆ จริงใจ
เอาชนะใจคุณหมอให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 50%] 1/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 01-11-2016 20:21:58
จีบหมอครั้งที่เก้า

   ร่างสูงของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์นั่งอยู่ใจกลางตึกคณะแพทย์ที่มีนักศึกษาอยู่ประปราย บุ๋นมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมกับลมหายใจร้อนๆที่พ่นออกมา สี่วันแล้วที่เขาไม่ได้เจอหมอฐานทัพอีกเลยหลังจากวันที่ฝนตก เสื้อที่ใช้เปลี่ยนเวลาเล่นบาสพาดอยู่ที่ไหล่ซ้ายด้วยความรีบกลัวว่ามาแล้วจะไม่เจอหมอเหมือนสองวันก่อนที่เขามานั่งรอ




   “เฮ้ออ” ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่ที่ชีวิตของเขากลับมาน่าเบื่ออีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอคนที่อยากเจอ





   ไม่รู้แม้กระทั่งตารางเรียนแต่ก็มานั่งรอเกือบทุกวันก่อนจะไปซ้อมบาส เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนและรู้ว่าถ้าเจ้าตัวรู้คงไม่ชอบใจกับการกระทำของเขา แต่เขาแค่อยากมาเตือนความจำ





   ว่าพรุ่งนี้คือวันประกวดดาวเดือนของคณะเกษตรศาสตร์




   “อีกสิบนาทีจะเข้าเรียนแล้ว คราวหลังไม่ไปกินแล้วนะมึง อร่อยก็จริงแต่นานชิบหาย” เสียงบ่นของคินดังขึ้นพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่กำลังเดินเข้ามาที่ตึกคณะ




   “มึงเป็นคนเสนอเองนะ” ปกป้องพูดพร้อมกับก้าวขาให้เร็วกว่าเดิม




   วันนี้มีเวลาว่างก่อนคาบถัดไปเกือบสองชั่วโมงคินเลยชวนทั้งสองคนไปกินร้านอาหารที่ถูกแนะนำผ่านทางเพจชวนกินรอบมหาลัย ไม่ปฏิเสธเรื่องรสชาติของอาหารแต่กว่าจะได้กินก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงจนทำให้พวกเขาเกือบเข้าเรียนคาบเย็นสาย



   “ไอ้หมอ นั่นเด็กมึงปะ” คินพูดตามประสาคนไม่คิดอะไรมากแต่ทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับตีแขนเพื่อนดังป๊าบ “อะไรวะ กูพูดอะไรผิด” คินทำหน้าเหวอเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฐานทัพ




   “พูดมาก” เขาตอบกลับสั้นๆก่อนจะหันไปมองร่างที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเขามาก ถึงจะมองไม่ชัดแต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร




   “โห่ววว ถ้าไม่ใช่เด็กมึงก็ปฏิเสธดิวะ” คินแซวต่อ




   “เอาที่มึงสบายใจ” ฐานทัพไม่เถียงต่อ ถึงเถียงไปคินก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดอยู่ดี “ขึ้นก่อนเลย เดี๋ยวตามไป”




    “ไม่ปฏิเสธด้วยนะมึง” คินยังไม่เลิกแซว




   “รีบตามมา” ปกป้องใช้แขนล็อกคออีกคนจนทำให้คนที่หัวเราะแซวอยู่ถึงกับสำลัก “เลิกพูดมากแล้วไปเรียน”




   “ไอ้ป้องปล่อยกูดิวะ กูไม่ได้เป็นเด็กนะโว้ยย!!!” คินโวยวายไม่หยุด ฐานทัพมองเพื่อนที่เดินเลี่ยงไปอีกทางแล้วถอนหายใจเบาๆ



   “นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอพี่ซะแล้ว”




   เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาคนที่พึ่งถอนหายใจโล่งอกถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ถึงจะรู้ว่าเป็นเสียงใครแต่เขาไม่ได้ตั้งรับว่าอีกฝ่ายจะเดินมาหาเขาก่อน แทนที่เขาจะต้องเดินเข้าไปหา





   “มีอะไร” ฐานทัพหันกลับไปมองด้วยใบหน้าเรียบเฉยหากแต่เขาถึงกับชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าได้รูป





   รอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจ ความรู้สึกสบายใจและความรู้สึกต่างๆที่ต้องการจะถ่ายทอดออกมาผ่านทางรอยยิ้ม ฐานทัพรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ดีโดยที่คนตรงหน้ายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา




   “ผมมารอพี่” คำพูดที่ตรงจนทำให้คนตรงหน้าถึงกับเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆนี้ “นึกว่าจะไม่เจอ”




   “เจอแล้วไง”





   “ครับ…เจอแล้ว” ไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาเองถึงหุบยิ้มไม่ได้ ตลอดเวลาสี่วันที่เขาไม่ได้เจอหน้าหมอมันเหมือนว่าเขาขาดอะไรบางอย่างไป




   ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาขาดไปคือ…รอยยิ้ม




   “จะไปเรียนแล้ว มีอะไร” ฐานทัพดูเวลาที่ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนเต็มที เขาไม่เคยเข้าห้องเรียนสายขนาดนี้มาก่อน




   ไม่เป็นไรครั้งแรก



   “ผมแค่อยากจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ผมประกวดห้าโมงนะครับ” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่คุยนานไม่ได้เขาก็เลือกที่จะพูดเข้าประเด็น “ผมมาชวนพี่”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ไม่แน่ใจ”



   “แต่อาจจะมาใช่ไหมครับ” บุ๋นถาม “ไม่แน่ใจไม่ได้หมายถึงจะไม่มาเลยใช่ไหม”




   “อืม” เขาพยักหน้าอีกครั้ง “มีอะไรถึงอยากให้ไป”





   “ไม่มีหรอกครับ” บุ๋นยิ้ม “แค่อยากให้ไป”




   “จะพยายาม” ฐานทัพดูนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าอีกสามนาทีจะถึงเวลาเข้าห้องเรียน “ไปละ”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ อยากจะคุยนานกว่านี้แต่เขารู้ดีว่าฐานทัพมีเรียนต่อและเขาเองก็คงไม่รบกวนเวลาเรียนของคุณหมอ




   “พรุ่งนี้สู้ๆ” ฐานทัพเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องเครียด”




   “ผมเครียดแน่ๆ” บุ๋นพูดอย่างรู้ทันตัวเอง เขาไม่เคยต้องมาทำอะไรแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเขามากๆ ถึงจะไม่อยากประกวดแต่ก็ถอนตัวไม่ทัน




   “ยกนิ้วโป้งขึ้นมา” ฐานทัพที่ทำท่าจะเดินออกไปชะงักหันกลับมาพูดกับเขาต่อ “เอานิ้วโป้งแตะที่ปาก”




   บุ๋นทำตามที่ฐานทัพบอกอย่างไม่เข้าใจ เขายกนิ้วโป้งขึ้นมาก่อนจะหันหน้านิ้วโป้งเข้าหาตัวแล้วแตะนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากเบาๆ




   “เป่า” ฐานทัพพูดสั้นๆก่อนจะทำท่าตามให้บุ๋นเข้าใจ เขายกนิ้วโป้งขึ้นมาเป่าอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมามองอีกคนที่ยังคงยืนงง




   บุ๋นไม่เข้าใจจริงๆ




   “ช่วยลดความเครียด” ฐานทัพเฉลยแก้ข้อสงสัย “นิ้วโป้งมีเส้นประสาทที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ เป่าแล้วจะช่วยให้รู้สึกใจเย็นขึ้น ลดความเครียดได้” เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพพูดออกมายาวๆโดยที่บุ๋นเป็นฝ่ายยืนฟังอยู่เงียบๆ




   “ลดความเครียดหรอครับ” บุ๋นทวนคำก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ”




   “อืม ไปละ”




   “พี่ครับ!!” บุ๋นเรียกฐานทัพอีกครั้ง “อย่าลืมมาเชียร์ผมให้ได้นะ”




   “…”




   “จะได้มาเป่านิ้วโป้งเป็นเพื่อนผม” ไม่รู้ว่าสิ่งที่บอกออกไปคนที่เดินนำไปจะได้ยินรึเปล่าหากแต่คนพูดเองกลับยิ้มไม่หยุด




   พรุ่งนี้เขาจะทำมันให้เต็มที่



.

   หอประชุมคณะเกษตรเต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายคณะที่มารอดูโฉมหน้าของผู้ประกวดดาวเดือน ทำให้หอประชุมที่กว้างใหญ่ดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมีผู้คนนั่งกันเต็มเกือบทุกที่นั่งสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ที่กำลังเตรียมตัวอยู่หลังเวลา




   ร่างสูงถูกจับแต่งตัวในชุดเสื้อยืดสีดำสนิทพร้อมกางเกงยีนส์สีเข้มดูเรียบง่ายไม่เยอะจนเกินไปกับรองเท้าเข้าชุด ผมที่ถูกเซ็ทขึ้นเปิดหน้าผากเผยให้เห็นใบหน้าคมคาย ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องไปที่กระจก เป็นรอบที่สามที่บุ๋นยืนส่องกระจกด้วยความไม่มั่นใจ เขาไม่เคยต้องเซ็ทผมและแต่งตัวแบบนี้ ถึงแม้ในใจลึกๆจะบอกตัวเองว่ามันดีแล้วแต่อีกใจก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ




   “บุ๋น…มีอะไรรึเปล่า” น้ำฟ้าที่สังเกตความผิดปกติของบุ๋นอยู่พักหนึ่งเดินมาถามเพื่อให้แน่ใจ “กังวลหรอ”





   “นิดหน่อย” บุ๋นตอบกลับไปตามความจริง “เราไม่เคยต้องใส่ชุดต้องทำผมแล้วแสดงอะไรแบบนี้” คนที่ไม่เคยทำอะไรนอกจากขึ้นสแตนเชียร์ตอนมอปลายพูดออกมาพลางยิ้มแหยๆ




   “เราว่ามันดูดีแล้วนะ” น้ำฟ้าตอบกลับจากความรู้สึกจริงๆ เธอรู้สึกว่าบุ๋นดูมีเสน่ห์มากขึ้นหลังจากที่ถูกรุ่นพี่รุมแต่งตัวอยู่นานสองนาน




   “มันไม่ตลกใช่ไหม ไอ้ผมแบบนี้” บุ๋นพูดพร้อมกับมองตัวเองในกระจก ผมเขาไม่เคยเรียบร้อยเป็นระเบียบเท่าวันนี้มาก่อน




   “อื้ม ดูดีเลยล่ะ”




   “ขอบคุณนะ…วันนี้น้ำฟ้าก็สวยมาก” เขาตอบตามสิ่งที่เห็น น้ำฟ้าเป็นคนสวยอยู่แล้วไม่ว่าจะแต่งยังไงก็ไม่มีทางบดบังความสวยของเธอ




   “อีกสิบห้านาทีเตรียมเปิดตัวนะคะ” รุ่นพี่ฝ่ายดำเนินกิจกรรมเดินเข้ามาบอกพร้อมกับวิทยุสื่อสารหนึ่งตัวที่ถืออยู่ในมือ




   “สู้นะ” น้ำฟ้ากำมือแล้วชูขึ้นนิดๆเป็นกำลังใจให้คนตรงหน้า




   “อืม เหมือนกันนะ” บุ๋นตอบก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับประสานกัน เขารับรู้ได้ถึงมือตัวเองที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง




   ตื่นเต้นจริงๆ




   “น้องๆเตรียมต่อแถวขึ้นเวทีเลยนะคะ” รุ่นพี่คนเดิมเดินกลับมาบอกอีกครั้งพร้อมเสียงหัวใจของร่างสูงที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ




   บุ๋นเดินไปต่อแถวตามหมายเลขที่จับได้ก่อนวันประกวด หมายเลขสี่ติดอยู่ที่ข้อมือขวานั่นหมายความว่าเขาจะขึ้นทำการแสดงเป็นลำดับที่สี่หลังจากที่ฝ่ายหญิงลำดับที่สามทำการแสดงเสร็จ หรือเข้าใจง่ายๆก็คือคนที่เจ็ดจากทั้งหมดสิบคนซึ่งถือเป็นลำดับที่เขาพอใจอยู่ไม่น้อย เขาอยากจะอยู่ลำดับสุดท้ายด้วยซ้ำไป




   กลัว…กลัวว่าจะมาไม่ทัน




   “เตรียมตัวนะคะ”




   บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่เคยรู้สึกประหม่าเท่าวันนี้มาก่อน เขาค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลงเพื่อให้จิตใจสงบเตรียมที่จะเดินขึ้นไปบนเวที




   เป่านิ้วโป้ง




   เสียงของหมอฐานทัพที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาททำให้คนที่สีหน้าเคร่งเครียดกลับกลายเป็นรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่ บุ๋นชูนิ้วโป้งขึ้นมาก่อนจะเป่าเบาๆตามที่คุณหมอของเขาเคยบอก




   ไม่รู้ว่าความเครียดหายไปไหมแต่ที่รู้ๆคือ…ความสุขเข้ามาแทนที่




   “ขอเชิญพบกับผู้เข้าประกวดดาวเดือนคณะเกษตรศาสตร์!!!!” เสียงเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่จากพิธีกรดังขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงที่ได้ถูกซักซ้อมกันมาอย่างดี




   บุ๋นเดินขึ้นเวทีด้วยความมั่นใจอันน้อยนิด ยิ่งเห็นว่าในห้องประชุมมีผู้คนหนาตามากเป็นพิเศษยิ่งทำให้ความมั่นใจของเขาเหลือเท่าเม็ดถั่วเขียว เขาเห็นเพื่อนสามคนนั่งอยู่แถวหน้าๆของห้องประชุมพร้อมกับป้ายเชียร์ปัญญาอ่อนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงหยุดยืนตรงหลังจากที่เดินวนรอบเวทีครบหนึ่งรอบ เสียงแนะนำตัวของผู้เข้าประกวดดังขึ้นจนมาถึงลำดับของเขา




   “นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ บุ๋นครับ!!!” เสียงดัง หนักแน่นตามแบบฉบับรุ่นพี่ที่ส่งเขาเข้าประกวดในนามพี่ระเบียบ



   ตึกตัก ตึกตัก




   เสียงหัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา ไม่กี่ครั้งที่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้มากขนาดนี้ ถ้าตัดการเจอหมอทิ้งไปนี่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ต้นๆที่มีอิทธิพลต่อใจของเขา บุ๋นค่อยๆกวาดสายตามองหาคนเพียงคนเดียวที่เขาแอบหวังลึกๆว่าเขาจะมาหากแต่ว่าทั่วบริเวณกลับไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหา




   ไม่เป็นไร…เดี๋ยวก็คงมา




   “บุ๋น บุ๋น” เสียงเรียกของคนข้างตัวทำให้สติเขากลับมา บุ๋นหันไปมองหน้าคล้ายจะถามว่าอะไรแต่ไม่ต้องรอให้เธอตอบเขาก็รู้ทันทีว่าเธอเรียกเขาทำไม




   “ขอโทษครับ” เขาเอ่ยอย่างสุภาพก่อนจะเดินวนกลับไปหลังเวทีเนื่องจากว่าเพื่อนคนก่อนหน้าเขาเดินกลับเข้าไปได้สักพักหนึ่งแล้ว




   สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยว่ะ!!




   “น้องบุ๋น เป็นอะไรรึเปล่าจ้ะ” รุ่นพี่ที่ดูแลเขามาตั้งแต่ช่วงถ่ายรูปโปรโมทเดินเข้ามาถามถึงหลังเวทีหลังจากที่เห็นเขายืนค้างอยู่กับที่บนเวทีเมื่อครู่




   “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” คนที่ไม่เข้าใจตัวเองตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ผมแค่คิดอะไรไปเรื่อย”




   “ไม่ได้นะจ้ะ จะเหม่อแบบนั้นอีกไม่ได้นะ” รุ่นพี่เอ่ยยิ้มๆ “เราต้องมีสมาธินะ”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้ารับ “ผมรู้”




   “ใจเย็นๆไม่ต้องตื่นเต้น คิวเราอีกสักพักเลย นั่งรอไปก่อนเนอะ”




   “ครับ ขอบคุณครับ” บุ๋นยกมือไหว้ด้วยความเคารพก่อนจะถอนหายใจออกมา




   ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ว่างมาแต่เขาก็แอบหวังลึกๆว่าจะเห็นหมอฐานทัพอยู่ที่นี่
   

.

   ห้องเรียนรวมคณะแพทย์เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีที่สามที่กำลังง่วนอยู่กับการจดเลกเชอร์และฟังสิ่งที่อาจารย์สอนทั้งๆที่ความจริงควรจะถึงเวลาที่ต้องเลิกคลาสแล้ว





   “เป็นอะไรรึเปล่าวะ กูเห็นมึงมองนาฬิกาหลายรอบแล้ว” คินที่นั่งอยู่ระหว่างฐานทัพกับปกป้องหันมาถาม




   “เปล่า” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะเงยหน้ามองจอโปรเจคเตอร์ “หิวข้าว”





   “อดทนนะมึง” คนที่ไม่รู้อะไรตอบกลับพร้อมกับตบบ่าเพื่อนสนิทอย่างเข้าใจ





   “อืม” เขาพยักหน้าพร้อมกับมือที่จดเลกเชอร์ไม่หยุด




   อาจารย์ยังคงสอนต่อไปจนเวลาล่วงเลยมาพอสมควรเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้น ฐานทัพเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็วโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องรีบร้อนขนาดนี้




   “ไว้เจอกัน” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องเลกเชอร์ไปอย่างรวดเร็วโดยที่เพื่อนอีกสองคนยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรต่อ




   ขอให้ทัน


.
   
    การแสดงของผู้เข้าประกวดคนที่ห้าจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่ม ยิ่งทำให้คนที่อยู่หลังเวทีกดดันมากขึ้นไปอีก บุ๋นถอนหายใจก่อนจะหันไปยิ้มให้น้ำฟ้าที่กำลังจะเตรียมตัวขึ้นทำการแสดงเป็นคนต่อไป




   “สู้ๆนะ”




   “ขอบคุณนะบุ๋น” น้ำฟ้าเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสวยที่ส่งให้เขา




   เสียงปรบมือต้อนรับการแสดงของน้ำฟ้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงเล็กๆที่เอ่ยแนะนำตัวอย่างคล่องแคล่วไม่มีท่าทีเขินอายหรือเกร็งต่อสายตาผู้คนเยอะๆ




   ไอ้บุ๋นเอ้ยยย จะรอดไหมวะ!!!




   “น้องบุ๋นเตรียมตัวนะ เดี๋ยวเราต่อจากนี้แล้ว” รุ่นพี่ฝ่ายดำเนินกิจกรรมเดินเข้ามาบอกพร้อมกับยื่นของที่เขาจะต้องใช้ประกอบการแสดงความสามารถพิเศษ




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นรับกีตาร์โปร่งมาถือไว้ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาชูนิ้วโป้งขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเป่าซ้ำๆเพื่อบรรเทาความกังวลที่อยู่ในจิตใจ




   ไม่เป็นไรบุ๋น เดี๋ยวทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น




   นาฬิกาบอกเวลาใกล้จะหกโมงตรง เขาตั้งสติเตรียมเดินขึ้นเวทีต่อจากน้ำฟ้าหลังจากที่ได้ยินเสียงเพลงการแสดงของน้ำฟ้าจบลง เสียงพิธีกรคู่พูดคุยเตรียมจะเรียกเขาขึ้นเวทีเป็นลำดับถัดไป




   “บุ๋นสแตนบายค่ะ”




   “ครับ”




   ใจเย็นๆ…ใจเย็นๆ




   เย็นไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยย!!!




   เขาเหมือนคนสติแตกที่ทะเลาะกับตัวเอง บุ๋นกำกีตาร์ในมือแน่นพร้อมกับเสียงของพิธีกรที่เรียกชื่อเขาเป็นการแสดงถัดไป




   ขาทั้งสองข้างค่อยๆก้าวขึ้นเวทีอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะขึ้นมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดีเพราะครั้งนี้เขาต้องขึ้นไปทำการแสดงเพียงคนเดียว




   เสียงกรี๊ดดังไปทั่วหอประชุมจนคนที่พึ่งก้าวขึ้นเวทีถึงกับชะงักด้วยความตกใจ ป้ายที่ไอ้หนึ่งสองสามทำมาชูโบกไปโบกมาจนเขารู้สึกอายและอยากจะเดินลงไปดึงป้ายที่พวกมันถือไว้ไปทิ้ง





   ‘บุ๋นบ้าซ่ากระแทกใจ’




   สโลแกนอะไรของพวกมึงเนี่ย!!!!!!




   “สวัสดีครับ” เขาเปล่งเสียงออกไปผ่านไมค์โครโฟนที่ปรับระดับให้อยู่ตรงปากเขาพอดี เขานั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับวางกีตาร์อยู่ในท่าพร้อมจะทำการแสดง





   สายตากวาดมองหาคนที่เขาหวังว่าจะมาหากแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม




   คงไม่ว่างจริงๆ





   “ผมชื่อว่าทุกคนคงมีความรู้สึกที่แอบรักใครสักคน” เสียงกรี๊ดดังขึ้นตามคำพูดที่เขาค่อยๆเปล่งออกมา “และใครสักคนที่เรารักบางทีเขาอาจจะอยู่สูงเกินไป”




   ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบลงราวกับว่ารอฟังคำพูดต่อไปที่เขาจะพูด บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม




   “ถึงจะสูง…แต่ก็คุ้มที่จะเสี่ยง”




------------------------------
50% มาแล้วจ้าาาาาา
เป็นยังไงกันบ้างง คอมเม้นท์กันหน่อยน้าาา  :z2: :z2: :z3: :z3:




หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 50%] 1/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 01-11-2016 21:15:38
ลุ้น ลุ้น  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 50%] 1/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 01-11-2016 21:24:45
อินโทรมาเลยครับ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองงงง  สู้นะบุ๋น  จะปีนไปหาหรือจะสอยลงมาดี ฮ่าๆๆ  :z2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 50%] 1/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 01-11-2016 21:48:36
ลุ้นๆ
ให้พี่หมอมาทันบุ๋นร้องเพลงนร้า
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 50%] 1/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 03-11-2016 13:09:18
บุ๋นสู้ๆๆๆๆๆ
แต่ไม่อยากให้บุ๋นชนะนะ
เด๋วมีคนมาชอบเยอะะะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 100%] 3/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 03-11-2016 19:28:28
   เสียงกีตาร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ชม บุ๋นกดคอร์ดตามที่ได้ซ้อมมาหลายวันก่อนที่จะเริ่มร้องท่อนแรก ร่างของใครคนหนึ่งที่เขารอคอยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมาย


   ฐานทัพวิ่งเข้ามายืนอยู่ด้านหลังสุดของหอประชุมพร้อมเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขารีบวิ่งมาทั้งๆที่เดินปกติก็ถึงห้องในเวลาที่ต่างกันไม่มากเท่าไหร่แต่เขาเลือกที่จะวิ่ง



   เพราะรู้สึกว่า มีคนกำลังรอเขาอยู่




   เหมือนห้องทั้งห้องสว่างขึ้นมาเมื่อบุ๋นเห็นหมอฐานทัพ แม้จะอยู่ไกลแต่เขารับรู้ว่าหมอยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังดูการแสดงที่เขากำลังแสดงอยู่



   รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อยถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง ยังไงจะขอลองดูสักที


   
   รู้ว่าเราแตกต่างกันเท่าไร รู้ว่าเธออยู่ไกลอยู่สูงขนาดไหน ใครๆ ก็รู้เป็นไปไม่ได้หรอก
   แต่คำว่ารักมันสั่งให้ฉันต้องปีนขึ้นไป




   “ผม นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ คณะเกษตรศาสตร์ รหัส 8590001021”
   “กำลังสนใจ หมอครับ!!”




   ภาพเหตุการณ์วันแรกที่เขาได้เจอกับหมอฐานทัพปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมกับเพลงที่เขายังคงร้องต่อไปเพื่อแทนความรู้สึกทุกอย่างที่เขามี
   


   ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที ไม่ว่ายังไงจะลองดีสักวัน
   อยากรักก็ต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน


   ลำบากลำบนไม่สนใจ ตะเกียกตะกายสักเพียงใด
   ก็ดีกว่าปล่อยเธอไปจากฉัน…ตกหลุมรักจริงๆ เพราะรักจริงๆ
   เธอคงไม่ว่ากัน
   

   แม้ต้อยต่ำ แต่ยังมีหัวใจ แม้ต้องเจ็บ แต่มันก็คุ้มก็สุขใจ
   ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันไม่เจียมตัว




   แม้ผู้คนรอบกายจะมองว่าเขาเป็นหมาเห่าเครื่องบินหรือมองว่าเป็นดอกฟ้ากับหมาวัดก็ไม่เป็นไร เขาแค่อยากทำทุกอย่างให้เต็มที่ให้ดีที่สุด อยากดูแลเท่าที่ความสามารถตัวเองจะมี



   ท่อนสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้อง บุ๋นยิ้มออกมาจากความรู้สึกทุกอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ถึงจะกังวลถึงจะตื่นเต้นแต่ทุกอย่างกลับหายไปหมดเมื่อเขาหาจุดสนใจของเขาเจอ




   “ผมมีคำๆหนึ่งที่เก็บไว้มานานและไม่เคยได้พูดออกไป” เขากวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่คนๆเดิม




   ดูผมอยู่ใช่ไหม




   “อยากจะพูดแต่พูดออกไปไม่ได้ มันเป็น…หนึ่งคำที่ล้นใจ” เขาระบายยิ้มออกมาเมื่อมีเสียงกรี๊ดจากผู้คนและเพื่อนอีกสามคนที่ทนความพระเอกนิยายน้ำเน่าของเขาไม่ไหว




   ไม่มีใครรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดออกไปมันคือความรู้สึกจริงๆของเขาที่มีต่อคนๆหนึ่ง




   กีตาร์ค่อยๆบรรเลงไปตามจังหวะเพลงช้า เพลงที่ไม่ค่อยมีผู้ชายเอาเพลงนี้มาร้องแต่เขากลับรู้สึกว่าเพลงนี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างที่เขาต้องการจะบอก




   ผ่านเพลงนี้…

เคยมองแค่เพียงไกลๆ ทำได้แค่เพียงเท่านั้น
นี่ฉันฝันไปรึเปล่า ที่ได้มายืนข้างๆเธอ


   เขายังจำความรู้สึกแรกที่ฐานทัพตอบกลับข้อความของเขาได้ แม้จะเป็นข้อความธรรมดาสั้นๆแต่มันทำให้เขาแทบบ้า



   “เห้ย!!!!”
   “เขาตอบกูแล้ว เขาตอบกู”



ไม่เคยจะคิดเลยว่าเธอจะอยู่ตรงนี้
รู้ไหมทั้งใจที่มีอยากบอกว่ารักเพียงใด

ได้ยินบ้างไหมได้ยินหรือเปล่า หนึ่งคำที่มันล้นใจ
ใกล้กันแค่นี้ได้ยินบ้างไหม คือเสียงหัวใจของฉันเอง


   “ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่าจะเจอกันบ่อยแค่ไหน”
   “…”
   “พี่จะยอมให้เขาเข้ามาดูแลพี่ไหม?”




ได้ยินบ้างไหมได้ยินหรือเปล่า ใจฉันแอบบอกว่ารัก
รักเธอเหลือเกินมาเนิ่นนาน หวังว่าเธอจะได้ยินฉันรักเธอ


   เขาทอดมองผู้คนที่จ้องมองเขาเป็นตาเดียวพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆระบายออกมาหลังจากที่ท่อนสุดท้ายของเพลงจบลง




   “หวังว่าคุณจะได้ยิน…ผมรักคุณ” สิ้นเสียงสุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับยกมือขอบคุณทุกเสียงกรี๊ดทุกเสียงปรบมือ




   “ขอบคุณ…ที่มานะครับ” เขาพูดทิ้งท้ายไว้อีกครั้ง อาจดูเหมือนการขอบคุณทุกคนในห้องประชุมหากแต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าต้องการจะบอกใคร




   สุดท้าย…พี่ก็มา




   ร่างสูงเดินลงจากเวทีพร้อมกีตาร์ในมือ ทันทีที่เดินลงมาเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายเสียงปรบมือจากน้ำฟ้าก็ดังขึ้นเบาๆ ใบหน้าสวยยิ้มให้บุ๋นอย่างจริงใจก่อนจะพูดสิ่งที่คิดอยู่ในหัว




   “เราไม่รู้ว่าบุ๋นจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้นะเนี่ย”




   “ไม่หรอก” คนที่ได้รับคำชมถึงกับยิ้มเขิน




   “ตอนร้องบุ๋นคิดถึงอะไรอยู่หรอ” น้ำฟ้าถามด้วยความอยากรู้ “เรารู้สึกเหมือนบุ๋นกำลังร้องเพลงให้ใครสักคนฟัง”




   “ใช่” บุ๋นตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เราร้องเพลงให้ใครสักคนฟัง”



   “ใครหรอ”



   “ไม่บอกหรอก” บุ๋นเผยยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่พึ่งผ่านไป



   หุบยิ้มไม่ได้เลย…



   
   ฐานทัพยืนอยู่ที่เดิมจนการแสดงของบุ๋นจบลง เขายอมรับว่าการแสดงของบุ๋นเป็นการแสดงที่เพอร์เฟ็คจากเสียงตอบรับของผู้คนรอบข้างที่คิดเหมือนกันกับเขา ตอนที่วิ่งมาเขามีความรู้สึกเหมือนว่าคนที่อยู่บนเวทีมีแววตาประกายออกมาเมื่อเห็นเขามาถึง อาจจะคิดไปเอง




   แต่ที่แน่ๆ…เขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดการแสดงตั้งแต่เริ่มจนจบ




   เสียงประกาศเรียกผู้ประกวดคนต่อไปดังขึ้น ทำให้คุณหมอที่เตรียมตัวมาดูแค่ผู้สมัครคนเดียวทำท่าจะเดินออกจากห้องประชุมหากแต่ว่าคนในห้องประชุมอัดแน่นเกินกว่าที่เขาจะแทรกตัวออกไปได้



   ฐานทัพมองกลุ่มคนที่อัดแน่นปิดหน้าประตูทางออกอย่างถอดใจ เขาไม่ชอบการเบียดเสียดอยู่กับคนเยอะๆ อยู่ในนี้อีกสักพักแล้วรอให้คนน้อยกว่านี้ค่อยหาทางออกไปคงจะดีกว่า คิดได้แบบนั้นสายตาก็กวาดหาเก้าอี้ว่างเพื่อที่จะได้นั่งแทนการยืนเบียดอยู่ทางด้านหลังเป็นเวลาเดียวกันกับที่มีคนลุกออกจากที่นั่งพอดีทำให้ฐานทัพได้เข้าไปนั่งต่อได้โดยที่ไม่ต้องมองหาที่นั่งนาน




   “จบไปแล้วนะคะสำหรับการแสดงของผู้เข้าประกวดทั้งสิบคน” เสียงพิธีกรคู่เดิมดังขึ้นด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง“ตอนนี้เราขอเชิญผู้เข้าประกวดทุกคนขึ้นมาบนเวทีเพื่อตอบคำถามในรอบถัดไปค่ะ”




   เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับผู้เข้าประกวดทั้งสิบหมายเลขที่เดินขึ้นมาบนเวทีกันเป็นคู่ๆ ฐานทัพยกมือปิดปากหาวเพราะความเหนื่อยล้าทั้งวันก่อนจะหรี่ตามองภาพตรงหน้าชัดๆ ในเมื่อยังออกไปไหนไม่ได้ก็ดูตรงหน้าแก้เบื่อไปพลางๆ




   “เรามาเริ่มกันที่หมายเลขแรกเลยค่ะ มีหมายเลขหนึ่งถึงสิบเลือกหมายเลขอะไรคะ” พิธีกรดำเนินรายการต่อพร้อมกับคำถามที่ถามผู้เข้าประกวดเพื่อใช้ในการตัดสิน



   คำตอบจากหลากๆหลายเลขเหมือนกับยานอนหลับที่ทำให้คนฟังใกล้จะวูบไปทุกทีจนกระทั่งคำถามล่วงเลยมาจนถึงลำดับที่เจ็ดของผู้เข้าประกวด




   “เลือกหมายเลขอะไรดีคะ” พิธีกรถามพร้อมกับซองคำถามในมือที่เหลือเลขอยู่สี่เลข




   “หมายเลขสี่ครับ” บุ๋นมองซองที่มีหมายเลขสี่ที่ยังไม่ได้ถูกเลือกไว้ก่อนจะเงยหน้ามองบรรยากาศที่ผู้คนเริ่มน้อยลงกว่าตอนแรกและในผู้คนมากมายยังมีหนึ่งในคนที่เขาอยากให้อยู่มากที่สุด




   หมอฐานทัพ…ขอบคุณที่ยังอยู่นะครับ




   “คำถามนะคะ…คุณคิดว่าอาชีพเกษตรกรแตกต่างจากอาชีพอื่นๆอย่างไร”




   “โห…” บุ๋นที่พึ่งฟังคำถามเสร็จถึงกับหลุดคำอุทานออกมาก่อนจะยิ้มนิดๆ “ผมต้องพูดว่าขอบคุณสำหรับคำถามด้วยรึเปล่า” เขาหันไปมองพิธีกรพร้อมหัวเราะ



   ต่างยังไง…



   “ผมคิดว่าทุกอาชีพมีความแตกต่างไม่เหมือนกัน ถ้าจะถามแตกต่างยังไงคงเพราะรูปแบบการทำงานไม่เหมือนกัน” บุ๋นยิ้ม “แต่ถ้าจะให้มองลึกกว่านั้นผมคงมองถึงความสำคัญที่แตกต่างกัน อาชีพทุกอาชีพล้วนมีความสำคัญแตกต่างกันไป”




   น้ำเสียงของบุ๋นทำให้คนที่เผลอหลับตื่นขึ้นมาฟังราวกับถูกปลุกอัตโนมัติ ฐานทัพค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูภาพตรงหน้ากับน้ำเสียงที่กำลังตอบคำถาม




   “ผมขออนุญาติยกอาชีพหมอกับเกษตรกรมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนนะครับ หลายๆคนมองว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมีความสำคัญ กลับกันยังมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาชีพเกษตรกร มองว่าเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำได้ เคยมีคนบอกว่าถ้าใครๆก็ทำได้ทำไมไม่ลองให้หมอมาทำอาชีพเกษตรกรดูละ ผมว่ามันเป็นการพูดที่ดูจะรุนแรงไปหน่อย” เขาตอบออกมาตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง “บนโลกนี้ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหมอเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ใช่ครับผมเห็นด้วย…แต่หมอเองก็ขาดเกษตรกรไปไม่ได้เหมือนกัน”



   ทั้งห้องเงียบลง ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของบุ๋นที่ซึ้งกินใจหรือเพราะว่าไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะสื่อสารอะไรกันแน่ แต่หนึ่งในนั้นกลับมีคนที่เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว




   หมอเองก็ขาดเกษตรกรไปไม่ได้เหมือนกัน




   “ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ทำมันยากหรือง่าย มันอยู่ที่ผลตอบรับในสิ่งนั้นๆ นี่เป็นคำตอบของผมครับ เกษตรกรต่างจากอาชีพอื่นตรงที่ผลตอบรับของสิ่งที่ทำ” เขายิ้มอีกครั้ง “แม้ว่าในสายตาของคนอื่นๆอาจจะไม่สนใจหรือละเลยแต่เรารู้ในตัวเราดีว่าสิ่งที่เราทำลงไปเพื่อผู้คนอีกมากมาย ขอบคุณครับ” เขายกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังขึ้นจากผู้คนในห้องประชุม




   บุ๋นไม่รู้ว่าคำตอบที่เขาตอบไปจะตรงใจกรรมการหรือจะทำให้ใครรู้สึกขัดใจกับคำตอบของเขารึเปล่า แต่เขาเพียงแค่อยากจะบอกในสิ่งที่เขารู้สึก ว่าทุกอาชีพมีความสำคัญและที่เขาเปรียบอาชีพหมอขึ้นมาไม่ใช่เพราะหมอฐานทัพ แต่เป็นเพราะหลายๆคนมองว่าอาชีพของหมอสำคัญกว่าอาชีพเกษตรกรซึ่งเขาไม่เห็นด้วย




   หมอต้องดูแลคนไข้…เกษตรกรสร้างผลผลิตเพื่อดูแลหมอและผู้คนทุกคน




   ความสำคัญมันจึงต่างกัน




   การตอบคำถามของผู้เข้าประกวดทั้งสิบคนจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ พิธีกรดำเนินรายกายต่อไปพร้อมกับเสียงของเหล่าสต๊าฟผู้ดูแลงานที่ดังอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งของฐานทัพ




   “เตรียมตัวยกดอกไม้ไปนะ”




   “แล้วของหมายเลขสี่ต้องทำยังไง มันเยอะมากเลย”




   “แกก็หาคนแถวนี้ช่วยยกสิ”




   เสียงคุยที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้ฐานทัพหันไปมองตามต้นเสียง ทันทีที่สายตาของเขาประสานกับสายตาของผู้หญิงที่ถือตะกร้าดอกกุหลาบเธอก็ยิ้มกว้างก่อนจะเดินตรงมาที่ฐานทัพทันที




   “ขอโทษนะคะ ช่วยยกดอกไม้ไปที่หน้าเวทีหน่อยได้ไหม พอดีว่าคนไม่พออะค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจแม้ว่าในใจจะตั้งใจเดินตรงมาที่ฐานทัพก็ตาม




   “ครับ” คนที่เบลอๆเพราะพึ่งตื่นตอบรับกลับไปพร้อมเดินไปหยิบตะกร้าดอกกุหลาบตระกร้าใหญ่ที่มีดอกกุหลาบอัดแน่นเต็มอยู่ภายใน




   “เดี๋ยวอีกสักพักพิธีกรจะประกาศคะแนนป๊อปปูล่าโหวต แล้วเราจะเอาดอกไม้ไปให้ผู้เข้าประกวดหน้าเวทีนะคะ” เธอหันมาจัดเตรียมงานกับคนข้างๆเพราะนึกว่าฐานทัพเป็นรุ่นน้องคณะเกษตร




   “ครับ” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหมุนตะกร้าที่ถืออยู่ดูป้ายที่ห้อยอยู่ข้างหน้า




   หมายเลขสี่ (ชาย)




   “หมายเลขสี่ชาย…คนไหน” ด้วยความที่สายตาสั้นเขาเลยมองเลขที่ติดอยู่ที่ข้อมือของผู้เข้าประกวดไม่ออก



   “เออ…มองไม่เห็นเหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มแหยๆ




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพตอบกลับอย่างใจเย็น “ไปหน้าเวทีเดี๋ยวก็รู้เอง”




   “เอาล่ะค่ะ มาถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยกันแล้วนะคะ ช่วงต่อไปเป็นการประกาศผลป๊อปปูล่าโหวตที่ได้จากการซื้อดอกไม้ที่จุดบริการทางเข้าตั้งแต่เริ่มงาน ไหนๆซื้อให้หมายเลขไหนกันบ้าง”




   เสียงกรี๊ดมาพร้อมกับหมายเลขที่แข่งกับตะโกนจนฟังไม่ออกว่าหมายเลขไหนเป็นหมายเลขไหน ฐานทัพเดินตามสต๊าฟที่ถึงคิวยกดอกไม้ไปมอบให้หน้าเวทีโดยที่เขาเดินตามหลังเป็นคนสุดท้าย




   ทั้งๆที่กะจะมาดูแป๊บเดียวแล้วก็กลับ




   แสงไฟจากหน้าเวทีจ้าจนคนที่ถือดอกไม้ถึงกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ฐานทัพมองป้ายหมายเลขที่ติดอยู่ก่อนที่สายตาจะไปหยุดลงที่หมายเลขสี่ผู้ชายตามป้ายตะกร้าที่ติดไว้




   “บุ๋น” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหมายเลขสี่ชายเป็นคนที่เขารู้จักและเป็นเวลาเดียวกันกับที่สายตาของบุ๋นหันมาสบตากับเขาพอดี




   “พี่…” เหมือนถูกสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์เมื่อฐานทัพเดินมาตรงหน้าพร้อมกับยื่นตะกร้าดอกกุหลาบนับร้อยดอกให้เขา




   “มีคน…” ฐานทัพเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของบุ๋นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มดีใจ เขาพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยื่นตะกร้าไปสุดมือเพื่อให้อีกคนไม่ต้องก้มลงมารับ “ให้” คำพูดที่ตอนแรกต้องการจะบอกว่ามีคนให้ช่วยยกมาให้กลับถูกตัดรอนจนเหลือแค่คำว่า ให้



   “ขอบคุณครับ” เขาก้มลงมารับพร้อมเสียงหัวใจที่เต้นแรง “ขอบคุณที่มานะครับ”




   ในสายตาของคนอื่นๆภาพตรงหน้าเปรียบเหมือนหนังเมื่อสมัยสิบปีที่แล้ว ฉากของเจี๊ยบที่ให้ดอกกุหลาบน้อยหน่าในวันงานโรงเรียน




   ถ้าคิดให้เหมือน…ก็คงเหมือน




   “อืม” กลับเป็นฐานทัพเองที่ทำอะไรไม่ถูก เขาปล่อยมือจากตะกร้าก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับออกไปแต่หากแต่ว่าเสียงของคนบนเวทีทำให้ฐานทัพหันกลับไปตอบอีกครั้ง “อืม ก็ดี”




   บุ๋นมองคนที่เดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า เขามองจนร่างของฐานทัพเดินกลับไปนั่งที่เดิมแล้วถอนหายใจเบาๆ




   นึกว่าจะเดินออกไปจากห้องประชุมซะแล้ว




   เขานึกขำคำพูดที่ตัวเองพูดออกไปพร้อมคำตอบของหมอฐานทัพที่แทบจะไม่เว้นช่วงคิดคำตอบ การที่ถามออกไปว่าการแสดงเป็นยังไงแล้วได้คำตอบกลับมาว่า อืม ก็ดี ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของบุ๋น




   อย่างน้อยหมอก็ไม่ได้ตอบแค่ อืม




------------------------
100%
เป็นยังไงกันบ้างคะ ^^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 100%] 3/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 04-11-2016 00:17:04
หุบยิ้มไม้ได้เลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 100%] 3/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 04-11-2016 08:24:09
 :-[
บุ๋นน่ารักกกก เขิลเลยยยย บอกรักหมอแบบเนียนๆ (โดยหมอไม่รู้ 555)
เอาใจช่วยนะบุ๋น
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 100%] 3/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 04-11-2016 20:11:57
น่ารักกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [09: จีบหมอครั้งที่เก้า 100%] 3/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 06-11-2016 01:05:33
น่ารักมากเลยยย
เป็นกำลังใจให้คนแต่ง
ยังรออ่านอยู่เสมอนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 50%] 9/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 09-11-2016 18:15:59
จีบหมอครั้งที่สิบ

   การประกวดดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ช่วงที่หลายๆคนรอคอยรวมถึงคนที่ยืนอยู่บนเวที ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะอยากได้แต่รู้สึกปวดฉี่ อยากลงไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับไปนอนหลับ ง่วงจะตายอยู่แล้ว



   “เอาล่ะค่ะ เราจะเริ่มประกาศดาวกันก่อนนะคะ และผู้ที่ได้รับรางวัลดาวคณะเกษตรประจำปีนี้ได้แก่…” เสียงของผู้ประกาศที่ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าคนประกวดกับเสียงเอฟเฟ็คที่ดูลุ้นเกินจริงทำให้คนบนเวทีรู้สึกตื่นเต้นคูณสอง




   “หมายเลขสาม นางสาวน้ำฟ้า รัตตานันท์ ค่าาาาาา~” เป็นไปตามคาด น้ำฟ้าที่ดูโดดเด่นกว่าผู้ประกวดคนอื่นๆเดินออกไปรับรางวัลด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข




   เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับแฟลชกล้องถ่ายรูปหลายตัวที่หันไปโฟกัสน้ำฟ้าเป็นจุดเดียว เธอหันไปยิ้มให้กล้องอย่างมั่นใจก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณกรรมการผู้มอบรางวัล




   “เป็นยังไงกันบ้างคะ ดาวคณะเราปีนี้ตรงกับใจหลายๆคนรึเปล่า” พิธีกรหญิงพูดต่ออย่างคล่องแคล่ว “เอาละค่ะ ลำดับต่อไป ผู้ที่ได้รับรางวัลเดือนคณะเกษตรปีนี้ได้แก่…”




   บุ๋นมองลงไปที่เพื่อนทั้งสามคนที่ยังคงชูป้ายไว้ อยากจะถามพวกมันเหลือเกินว่าไม่ปวดแขนกันรึไง ก่อนจะเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่คนที่เหมือนพึ่งตื่นอีกครั้ง ฐานทัพขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตามองมาที่เวทีตามประสาคนสายตาสั้น บุ๋นนึกขำในใจอีกใจหนึ่งเขาอยากวิ่งเข้าไปขอบคุณหมอฐานทัพที่มาอยู่ดูการประกวดของเขาจนจบ



   “หมายเลขสี่ นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ค่าาาาา~” สิ้นเสียงประกาศคนที่ยืนมองไปที่คนข้างล่างถึงกับสะดุ้งสุดตัว




   เมื่อกี้ชื่อเขาใช่ไหม




   “ครับ” บุ๋นเหมือนพึ่งได้สติ เขาเดินไปรับรางวัลอย่างงงๆก่อนจะย่อตัวเล็กน้อยเพื่อให้ใส่สายสะพายได้ถนัด เขายกมือไหว้กรรมการมอบรางวัลก่อนจะหันไปยิ้มให้คนที่ส่งเสียงเชียร์ให้เขาข้างล่าง




   ได้มาได้ไงวะ…




   “ขอเชิญดาวกับเดือนมาข้างหน้าเวทีด้วยค่ะ” กล้องหลายตัวรัวแฟลชกันอย่างกับว่าดาวเดือนเป็นของแปลกหายาก บุ๋นยิ้มให้กล้องก่อนจะขยับเข้าใกล้น้ำฟ้าอีกนิดตามคำขอของช่างภาพ




   คนที่นั่งมองภาพอยู่ข้างล่างได้แต่ปรบมือเบาๆก่อนจะลุกออกไปโดยไม่รอให้งานจบ ความจริงเขาควรจะออกไปตั้งแต่การแสดงของบุ๋นจบแล้วด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมยังอยู่ต่อ อาจเพราะไม่อยากเบียดเสียดคนหรือกลัวใครบางคนหาเขาไม่เจอ




   จะว่าไป




   ดาวกับเดือน เหมาะสมกันดี


.

   บุ๋นเดินลงมาจากเวทีพร้อมกับตะกร้าดอกกุหลาบที่ได้จากหลายๆคนที่โหวตให้เขาได้รางวัลป๊อปปูล่าโหวต แต่เขาดันได้น้อยกว่าอีกคนหนึ่งไปสิบกว่าดอกซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าคิดมาก แต่เรื่องที่ทำให้เขาคิดมากจนคิ้วขมวดคือเขาหาหมอฐานทัพไม่เจอ




   เงยหน้ามาอีกที…ที่นั่งของหมอก็ว่างเปล่า




   “ไงครับคุณเดือน” น้ำเสียงกวนประสาทของสองดังขึ้นพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่เดินมาสมทบแถมยังไม่ลืมที่จะถือป้ายพิเรนๆมาด้วย




   “เดือนอะไรล่ะ” บุ๋นตอบแต่สายตากลับกวาดมองไปทั่วห้องประชุม



   “แหม่ๆ ได้ตำแหน่งแล้วหยิ่งหรอวะ” สามที่ยอมทิ้งเวลาที่มีน้อยนิดของตัวเองมาเชียร์เพื่อนถึงกับเอ่ยแซว



   “เปล่าเว้ย” บุ๋นหัวเราะก่อนจะมองตะกร้าดอกกุหลาบที่เขาถือ




   ตะกร้าดอกกุหลาบที่มีคนพิเศษยกมาให้




   “เออมึงจะกลับเลยปะ จะได้กลับพร้อมกัน” สามถามพร้อมกับช่วยบุ๋นถือของในมือ



   “อืม คงกลับเลย ไม่มีอะไรแล้วนิ” เขาถอดใจ หมอคงกลับไปแล้วจริงๆ




   แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย



   “งั้นเดี๋ยวกูไปส่งไอ้หนึ่งก่อน แล้วเจอกันที่หอ” สองออกตัวเพราะว่าหอของหนึ่งอยู่คนละฝั่งกับหอของพวกเขาทั้งสามคน



   “เดี๋ยวกูไปส่งก็ได้” พอนึกได้บุ๋นก็รีบพูดออกมาทันที “วันนี้พวกมึงอุตส่าห์มาเชียร์กู เดี๋ยวกูบริการเอง” ไม่ง่ายนักที่พวกเขาทั้งสี่คนจะมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ถึงจะเจอไอ้สองกับสามบ่อยแต่กับไอ้หนึ่งเวลาของมันแทบจะหายไปกับกองหนังสือ



   “เออแล้วแต่มึง เอาตะกร้ามาเดี๋ยวแบกกลับให้” สองพูดพร้อมกับดึงตะกร้าในมือของบุ๋นไป



   “ขอบใจว่ะ” บุ๋นบอกก่อนจะหันไปมองหนึ่งที่สภาพเหมือนใกล้จะหลับเต็มที “ไป กลับหอกัน”



   “อืม” หนึ่งตบบ่าสี่อย่างนึกขอบใจ ถ้างานเลิกดึกกว่านี้อีกนิดก็คงหลับคาห้องประชุม



   “เฮ้ยไอ้สอง” บุ๋นเรียกเพื่อนที่กำลังจะเดินแยกไปอีกทางหนึ่งไว้ก่อนจะเอื้อมไปหยิบดอกกุหลาบออกมาหนึ่งดอก “แค่นี้ละ ไปเถอะ” เขายิ้มนิดๆทิ้งความสงสัยไว้ให้คนที่ถือตะกร้าก่อนจะเดินนำหนึ่งไปที่รถจักรยาน




   “ขอบคุณนะมึงที่มาเชียร์กู” บุ๋นหันไปคุยกับร่างของเพื่อนที่เหมือนถูกถอดวิญญาณ “กลับไปก็รีบนอนเลยละ อย่าหักโหม”




   “อืม รู้น่า” หนึ่งตอบก่อนจะยิ้มนิดๆ “กูไม่ได้มาเชียร์มึง กูมาเชียร์สาว”



   “หรอ เชื่อครับเพื่อน” บุ๋นประชด จะมาเชียร์สาวได้ไงในเมื่อหนึ่งไม่เคยเหลียวมองอะไรนอกจากหนังสือ




   “รีบกลับเถอะ กูจะหลับแล้ว”



   “เออ ขึ้นมา” บุ๋นหัวเราะนิดๆก่อนจะขึ่นคร่อมจักรยานแล้วให้เพื่อนสนิทนั่งซ้อนข้างหลัง




   ระยะทางจากคณะเกษตรไปที่หอพักของคณะสัตวแพทย์ไม่ได้ใกล้แต่บุ๋นกลับรู้สึกชินระยะทางจนมองว่ามันไม่ได้ไกลมาก ตลอดทางเขาแทบไม่ได้พูดอะไรกับหนึ่งอีกเพราะรู้ว่าคนที่ซ้อนอยู่เริ่มไม่ไหว บุ๋นไม่เคยคิดว่าการเรียนมหาลัยของคณะสายสุขภาพจะเหน็ดเหนื่อยมากขนาดนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้เห็นหมอฐานทัพดูอ่อนเพลียกับหนึ่งที่มีสภาพไม่ต่างกันก็พอจะทำให้เขารู้ว่าทำไมพวกหมอถึงไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากเรื่องเรียน




   เพราะไม่มีเวลาให้สนใจ เวลานอนยังแทบจะไม่ค่อยมี




   เขาเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น




   รถจักรยานของบุ๋นจอดลงหน้าหอพักนักศึกษาพร้อมกับหนึ่งที่ลงจากจักรยานอย่างสะลึมสะลือ เขายิ้มให้เพื่อนสนิทก่อนจะโบกมือลา




   “ฝันดีนะมึง ไว้เจอกัน”




   “อืม ขอบคุณเหมือนกัน” น้ำเสียงเนือยๆตอบกลับมาพร้อมกับร่างของหนึ่งที่เดินเข้าหอพัก




   บุ๋นรอจนหนึ่งปิดประตูลงก่อนจะปั่นจักรยานถัดไปอีกไม่ไกล หอพักนักศึกษาแพทย์ที่เขาคุ้นเคย ไฟแต่ละห้องยังเปิดสว่างอยู่ราวกับเป็นการบอกว่าคนในหอพักส่วนใหญ่ยังไม่นอน บางคนก็เห็นเงากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ บางคนก็เดินผ่านระเบียงกลางเหมือนพึ่งอาบน้ำเสร็จ




   แล้วหมอฐานทัพจะทำอะไรอยู่




   บุ๋นจอดจักรยานลงข้างๆตัวก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งหน้าหอ เขาไม่รู้ว่าหมอฐานทัพอยู่ห้องอะไรและถึงรู้เขาก็ขึ้นไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกของเขามันยังไม่อยากจะกลับหอตอนนี้ เขาอยากขอบคุณ ขอบคุณทุกๆอย่าง




   ดอกกุหลาบสีแดงสดดูสวยเมื่อถูกหยิบออกมาเพียงดอกเดียว ความจริงแล้วดอกไม้ทุกชนิดมีความสวยในตัวของมันแต่ในบางครั้งมันอาจจะถูกกลบจากดอกไม้ดอกอื่นๆที่โดดเด่นมากกว่า เขานั่งมองดอกกุหลาบที่ถืออยู่พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่หมอฐานทัพยกตะกร้าดอกกุหลาบมาให้เขา




   คิดแล้ว…ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว




   อยากจะขอบคุณแต่ก็ไม่รู้จะขอบคุณใครที่ทำให้หมอฐานทัพได้ยกดอกกุหลาบมาให้เขา มันเป็นความบังเอิญที่เข้าข้างตัวเขาสุดๆจนแอบคิดไปไกล




   โคตรฝันลำเอียง




   ฐานทัพเดินออกมาจากห้องอาบน้ำพร้อมพร้อมกับขันอาบน้ำที่เต็มไปด้วยแชมพูสระผม ครีมอาบน้ำ โฟมล้างหน้าและยาสีฟันกับผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่ที่ไหล่ซ้าย เขารู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากที่ได้กลับมาอาบน้ำ ยังไม่ทันที่เขาจะเดินผ่านระเบียงกลางไปสายตาก็หยุดลงที่ร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ไม้หินอ่อนกับดอกกุหลาบสีแดงในมือ เขาไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใครเพราะไกลเกินกว่าจะมองด้วยสายตาที่ไม่ผ่านกรอบแว่นได้ ฐานทัพละความสนใจตรงหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง




   ความสงสัยหรือความอยากรู้ที่ผิดไปจากนิสัยเดิมของเขาทำให้เขาเดินกลับออกมาพร้อมกับแว่นตาที่สวมอยู่ ร่างของคนๆนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับความชัดที่ทำให้เขาพอจะดูออกว่าคนที่นั่งอยู่หน้าหอพักของเขาคือใคร




   บุ๋น




   ขาทั้งสองข้างพาเขาก้าวออกมาโดยที่ฐานทัพเองแทบไม่รู้ตัวว่าเดินออกมาถึงหน้าประตูทางเข้าได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับมองคนที่นั่งอยู่ข้างนอก




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนตรงหน้าก่อนจะเดินออกมาหลังจากคนที่ถูกเรียกชื่อหันมามองอย่างรวดเร็ว




   “พี่มาทำอะไรครับ” บุ๋นเด้งตัวลุกขึ้นอย่างลืมตัวก่อนจะเอาดอกกุหลาบที่ถือไว้หลบด้านหลัง




   วันนี้หมอฐานทัพแปลกตาไปกว่าทุกวัน อาจเพราะอยู่ในชุดเตรียมเข้านอน เสื้อยืดกางเกงกีฬาสบายๆ เส้นผมที่ยังเปียกน้ำอยู่บ่งบอกว่าหมอฐานทัพพึ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ กลิ่นแชมพูอ่อนๆลอยมากระทบจมูกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจนทำให้บุ๋นเผลอยิ้มออกมา




   หอมจัง




   “หอนักศึกษาแพทย์” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะขมวดคิ้ว เขาควรจะถามว่ามาทำอะไรไม่ใช่ถูกถาม “มาทำอะไร”




   “อ่อ…” บุ๋นยิ้มแหยๆ “ผมลืมว่าพี่ต้องถาม” เขาหัวเราะ




   มาทำไม…มาทำไม




   “มาขอบคุณครับ” รอยยิ้มของบุ๋นปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่สดใสทุกครั้งและดูได้ไม่เบื่อ “ขอบคุณที่พี่มาดูผม…ถึงจะไม่ได้อยู่ถึงจบก็ตาม”




   “ง่วง” เขาตอบกลับไปทั้งๆที่ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกง่วงขนาดนั้น




   แค่ไม่อยากอยู่ต่อ




   “ผมขอโทษนะครับ” บุ๋นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “แต่ผมดีใจที่พี่มานะ”




   “รู้แล้ว” ฐานทัพเสมองไปทางอื่น เขารู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของบุ๋น “เลิกยิ้ม”




   “ครับ? ยิ้มผมมันทำไมหรอ” คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลิกคิ้วถาม “มันน่ากลัวหรอครับ”




   “เปล่า” ฐานทัพถอนหายใจ




   ช่างเถอะ




   “มาแค่ขอบคุณ?” ฐานทัพถามกลับเมื่อเห็นคนยิ้มไม่เลิกจนเขาต้องพูดต่อ “ฟันแห้งแล้ว”




   “ผมมีความสุข ก็ต้องยิ้ม” บุ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองแทบบ้าเมื่อได้มาเห็นหมอฐานทัพในมุมที่เขาไม่เคยเห็น จากหัวใจที่มันเริ่มปรับตัวได้เริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง




   หมอมีอิทธิพลกับใจเขามากจนเขาถอนตัวไม่ทัน




   “ความสุขอะไร” ฐานทัพถามกลับอย่างต้องการคำตอบหากแต่ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมา บุ๋นยกนิ้วโป้งขึ้นมาก่อนจะเป่าลมลงไปเบาๆ




   “เป่านิ้วโป้ง”




   “หืม?” ฐานทัพดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนต้องการสื่อ “แล้วช่วยได้ไหม”




   “ได้มั้งครับ” บุ๋นตอบกลับ เขาไม่รู้ว่ามันช่วยได้ไหมเพราะเขาคิดถึงหน้าหมอแทนเรื่องที่กำลังเครียด เลยไม่รู้ว่าวิธีเป่านิ้วโป้งใช้ได้จริงรึเปล่า




   “ดีแล้ว”




   “พี่ครับ ผมเล่นมายากลได้นะพี่รู้รึเปล่า”   




   “ไม่รู้”




   “งั้นพี่หลับตา เดี๋ยวผมจะเสกของมาให้พี่ดู” บุ๋นหัวเราะกับคำตอบตรงๆของหมอฐานทัพ




   “ทำไมต้อง…” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามต่อมือของบุ๋นก็ค่อยๆเอื้อมมาปิดตาเขาโดยที่ไม่ได้สัมผัสกับใบหน้าของเขาโดยตรง




   “หนึ่ง” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยช้าๆ “สอง”




   รู้ตัวอีกทีตาทั้งสองข้างของเขาก็หลับลงพร้อมกับเสียงของบุ๋นที่นับสาม แสดงสว่างวาบเข้ามาในตาพร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงตรงหน้า




   “ตกใจอะดิ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ




   เขาเห็นตั้งแต่อยู่ที่ระเบียง




   “พี่ตกใจจริงปะเนี่ย” บุ๋นรู้สึกเหมือนฐานทัพไม่ได้ตกใจอย่างที่พูดออกมา “มายากลมืออาชีพเลยนะพี่”




   “อืม ตกใจ” เดี๋ยวจะเสียกำลังใจ   




   “ผมให้” บุ๋นสอดก้านกุหลาบไว้ในมือของฐานทัพ “แทนคำขอบคุณที่พี่มาดูผมวันนี้”




   “อ่อ…อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะเด็ดกลีบกุหลาบออกมาหนึ่งกลีบ “ให้”




   “ครับ?”



   “แทนคำขอบคุณที่ให้”




   เหมือนถูกกลีบดอกกุหลาบกระแทกเข้าที่ใจอย่างจัง บุ๋นถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อฐานทัพยื่นกลีบดอกกุหลาบคืนมาให้เขาด้วยท่าทีเฉยๆไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์อะไร




   “ให้…เอ่อ…” บุ๋นยิ้มออกมาอย่างคนทำตัวไม่ถูกก่อนจะยกมือเกาหัว “ให้ตามมารยาทรึเปล่าครับ”




   “เปล่า” ฐานทัพถอนหายใจ “แล้วแต่จะคิด”




   “งั้น…ขอบคุณนะครับ” บุ๋นรีบกลีบดอกกุหลาบมาถือไว้อย่างเบามือ กลีบดอกกุหลาบที่ได้จากหมอฐานทัพ




   ไม่อยากปล่อยให้มันเหี่ยวเลย




   “กลับได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนยิ้มอยู่ไม่มีท่าทีจะขอกลับฐานทัพจึงต้องเป็นฝ่ายไล่ “ดึกแล้ว”




   “นั่นสิ ผมลืมตัว” บุ๋นเหมือนพึ่งนึกได้ว่าวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ป่านนี้เพื่อนของเขาคงถึงหอกันแล้ว



   “ไปๆ” ฐานทัพโบกมือไล่




   “โห่พี่ ไล่กันแบบนี้เลยหรอ”




   “ดึกแล้ว” ฐานทัพยังคงพูดคำเดิม




   บุ๋นพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินไปขึ้นคร่อมจักรคานคันเก่งแล้วหันมายิ้มให้ฐานทัพอีกครั้ง รอยยิ้มที่แปลความหมายได้อย่างเดียวว่าคนๆนี้กำลังมีความสุข




   “ฝันดีนะครับพี่”




   “ฝันดี” ฐานทัพตอบกลับก่อนจะยืนรอส่งจักรยานที่กำลังจะปั่นออกไปหากแต่ว่าคนที่กำลังจะปั่นหันกลับมาเหมือนลืมบอกอะไรเขา




   “เรายังจะได้เจอกันอยู่ใช่ไหมครับ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้างงๆ “มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เจอ” เขาถามกลับไปแต่คนที่คร่อมจักรยานกลับไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มส่งกลับมา




   จักรยานของบุ๋นปั่นออกไปพร้อมความรู้สึกในหัวของฐานทัพที่ยังวนเวียนแล่นอยู่ไม่หยุด คำถามที่เป็นคำถามธรรมดาทั่วไปสำหรับเขา




   แต่กลับไม่ธรรมดาสำหรับอีกคน…






-----------------------
50%
ขอโทษที่หายไปนะคะ กลับมาต่อแล้วจ้าาา
เป็นยังไงกันบ้างง ชอบรึเปล่าาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 50%] 9/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 09-11-2016 21:10:41
ชัดเจนขนาดนี้ หมอจะไม่รู้ต้วหน่อยหรอ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 50%] 9/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 10-11-2016 01:07:44
มีความละมุนหมอพูดน้อยเหมือนเดิม
ชอบโมเมนต์ให้กลีบกุหลาบ
อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 50%] 9/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 10-11-2016 12:58:35
โอ๊ยยยยยยย
บุ๋นนน รุกเข้าลูก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 50%] 9/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 11-11-2016 06:36:12
เบื่อน้ำฟ้าอ่ะ จะไปไหนก็ไปเถอะไปไกลๆ ~

บุ๋นสู้ๆบุ๋นสู้ตาย  o13
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 100%] 14/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 14-11-2016 20:33:38
   เทศกาลปั่นงานกลับมาอีกครั้งเมื่อถึงเย็นวันศุกร์ที่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของใครหลายๆคนแต่ไม่ใช่กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามที่เปิดเทอมมาไม่กี่วันก็โดนสั่งรายงานเล่มโตทำให้วันหยุดสุดสัปดาห์ถูกใช้ไปกับการที่สิงอยู่ในหอสมุดของมหาวิทยาลัยสลับกับหอพักของปกป้องกับคิน


   “ตรงนี้ได้ปะวะ” คอมพิวเตอร์เครื่องบางถูกยกหันไปทางเพื่อนทั้งสองคน คินในแบบที่ใส่แว่นตาคงไม่คุ้นหน้าสำหรับใครหลายๆคนแต่กับฐานทัพและปกป้องแล้วนี่ถือเป็นเรื่องปกติเวลาทำงาน




   “อืม ได้” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาจากตำราเล่มโตที่กำลังหาข้อมูลอยู่ก่อนจะกระชับแว่นตัวเอง “เป็นไงบ้าง” เขาหันไปถามปกป้องที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับตำราตรงหน้า



   “ข้อมูลแค่นี้น่าจะไม่พอ” ปกป้องพึมพำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฐานทัพ “ต้องหาเนื้อหาอ้างอิงจากในเน็ตเพิ่ม”




   “อืม ได้ๆ” ฐานทัพพยักหน้าก่อนที่ทุกคนจะหันไปสนใจเนื้อหาตรงหน้าต่อ




   เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาทำงานกลุ่ม พวกเขามักจะจริงจังและไม่มีใครทำลายสมาธิของใคร ถ้าอยู่ในช่วงทำงานพวกเขาก็พร้อมจะทำออกมาให้ดีทุกสุด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาสามคนถึงอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีปัญหาแม้นิสัยจะต่างกันคนละขั้ว




   “โห ไม่ไหวว่ะ ขอกาแฟอีกแก้ว” คินยกมือลาคนแรกหลังจากที่นั่งจ้องหน้าคอมมาเกือบสามชั่วโมง ความอ่อนล้าทำให้เขาถอดแว่นตาที่สวมใส่อยู่ออกก่อนจะใช้นิ้วมือนวดบริเวณขมับ




   “มึงจะไม่หลับไม่นอนเลยรึไง” ปกป้องหันมาถามก่อนจะใช้นิ้วเคาะหน้าผากอีกคนเบาๆ “พักสายตาก่อนก็ได้”




   “อืม” คินตอบรับสั้นๆก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมือถือของหมอฐานทัพมาอย่างถือวิสาสะ ปกติเขาเล่นโทรศัพท์ฐานทัพบ่อยจนเจ้าตัวเคยพูดว่าเอากลับไปเล่นที่หอเลยก็ได้




   ฐานทัพเป็นแบบนี้เสมอ…ไม่เคยมีความลับ




   “โหไอ้หมอ…ไลน์มึงพันกว่าข้อความแล้วครับ” คินพูดพร้อมกับเลื่อนดูแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ถึงจะชอบเล่นมือถือเพื่อนแต่ก็ไม่เคยไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว




   “ช่าง” ฐานทัพที่กำลังสนใจงานตรงหน้าตอบปัดๆ




   “เหงาจังเลยครับ ทำงานคนเดียว” คินพูดพร้อมกับกดหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดเสียงสั่นไว้ ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมามองแว๊บหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงไปทำงานต่อ   



   ปล่อยมันเล่นไป




   “คนเดียวหรอ อีกสองคนคือภูตผีหรอ” ปกป้องหันไปแขวะเพื่อนที่ดูมีความสุขผิดปกติ ตอนแรกก็เข้าใจว่าเหนื่อยแต่ตอนนี้ดูจะสนุกมากกว่าเหนื่อยแล้ว




   “เอ้า มึงก็รู้ไอ้ฐานแค่พิมพ์ว่าอืมคนไลค์เป็นร้อย นี่ลงสเตตัสพร้อมรูปแบบนี้ไปเผลอๆมีคนอาสามาอยู่เป็นเพื่อนมันด้วยซ้ำ”




   “เพ้อ...” ฐานทัพที่หันไปหาคินหยุดคำพูดไว้ก่อนจะถอนหายใจ “ทำงาน”




   “อะไรวะ” คินมองเพื่อนสนิทงงๆ “เมื่อกี้จะพูดว่าอะไร”




   “เปล่า” เขาปฏิเสธ “รีบทำจะได้รีบกลับ”

.



   สนามบาสครึกครื้นเหมือนทุกๆวัน ยิ่งดึกมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ บุ๋นวิ่งตามลูกบาสที่แต้มนำอยู่สองแต้มพร้อมกับเพื่อนในทีมที่รับส่งกันอย่างรู้ใจ เกือบสามอาทิตย์ที่เขาได้กลับมาเล่นบาสอย่างจริงๆจังๆ เวลาส่วนใหญ่ของเขาเลยหมดไปกับการฝึกซ้อม



   “บุ๋นรับ!!!” เสียงตะโกนบอกจากเพื่อนทำให้คนที่วิ่งอยู่หันมารับลูกบาสได้พอดีก่อนจะวิ่งต่อไปแล้วเลี้ยงบาสชูตเข้าแป้น



   ตึง!




   ลูกบาสลงห่วงอย่างกับถูกจับวาง เขาหันไปแตะมือกับเพื่อนก่อนจะเริ่มเล่นต่อ วันนี้คงได้กลับหอดึกเหมือนทุกๆวัน




   “ทางนี้ๆ” เสียงดังในสนามไม่ได้ทำให้สมาธิของพวกเขาหายไป บุ๋นหันไปมองตามเสียงก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเหมือนโดนหยุดเวลา




   มาทำไม




   “พี่ต้าสวัสดีครับ” เพื่อนคนอื่นๆที่นั่งดูหันไปยกมือไหว้พี่ต้าอย่างคุ้นเคย พี่ต้าเป็นหนึ่งในนักกีฬาบาสมหาลัยที่เป็นคู่แข่งด้านกีฬากับมหาลัยของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกคนรู้จักเขาเป็นอย่างดีเพราะมักจะแวะมาซ้อมบาสที่มหาลัยของเขาบ่อยๆ




   “เป็นไงกันบ้าง” รอยยิ้มที่ประดุจเทพบุตรหันไปถามพวกที่นั่งดูอยู่บนอัศจรรย์ก่อนจะหันมามองที่สนาม




   “หึ” ความเกลียดพลุ่งพล่านจนบุ๋นเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เห็นหน้าก็หมดอารมณ์จะเล่นต่อ บุ๋นทำท่าจะหันไปบอกเพื่อนว่าจะกลับก่อนแต่ดูเหมือนจะไม่ทันอีกคน




   “อ้าวบุ๋น ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” น้ำเสียงที่หาความจริงใจไม่ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างที่เดินเข้ามาใกล้ “ซ้อมเป็นไงบ้างวะ เหนื่อยไหม”




   “ก็ดี” บุ๋นตอบกลับอย่างคนไม่อยากคุยด้วย เขาถอนหายใจนิดๆก่อนจะพูดต่อ “ถอยพี่ ผมจะกลับแล้ว”




   “จะรีบกลับไปไหนวะ” คนที่พึ่งมาเอ่ย “อยู่เล่นด้วยกันสักควอเตอร์ก่อนแล้วค่อยกลับดิวะ”




   “ไม่ละครับ” เขาปฏิเสธแทบจะทันที บุ๋นทำท่าจะเดินเลี่ยงออกมาแต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาไปง่ายๆ




   “อะไรวะ นานๆจะได้กลับมาเล่นด้วยกัน ก็อยากจะรู้ว่าฝีมือน้องพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”




   “ยังไงก็จะเอาให้ได้ใช่ไหม” บุ๋นถาม




   “ไม่ทำหน้าตาแบบนั้นสิ คนชวนเสียใจนะรู้ไหม” พี่ต้าหัวเราะออกมาก่อนจะถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ออกเผยให้เห็นเสื้อกีฬาที่สวมทับมา




   “เหอะ” ไม่รู้จะสรรหาคำใดๆออกมาพูดจริงๆเมื่อเห็นปฏิกิริยาตรงหน้า ตอนแรกเขาก็ว่าจะเดินออกไปเลยแต่พอเห็นพี่ต้าเดินเข้าไปชวนเพื่อนที่กำลังเล่นกันอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่ทัน




   ไม่มีใครรู้เรื่องระหว่างเขากับพี่ต้า




   สนามดูครึกครื้นขึ้นอีกเมื่อตัวแทนบาสของอีกมหาลัยลงเล่นในควอเตอร์นี้ บุ๋นที่อยู่คนละทีมถอนหายใจเป็นรอบที่หนึ่งร้อย ไม่รู้ทำไมเขาต้องมายอมเล่นทั้งๆที่ไม่อยากจะจับลูกบาสลูกเดียวกับพี่ต้าเลยด้วยซ้ำ




   เสียงเริ่มเกมส์ดังขึ้นพร้อมกับลูกบาสที่ไปอยู่ในทีมฝั่งตรงข้าม บุ๋นวิ่งตามเท่าที่กำลังทั้งหมดยังมี ถึงจะไม่อยากเล่นแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกฝีมือ เขามั่นใจว่าเขาเองก็เก่งไม่แพ้อีกฝั่ง




   “บุ๋นรับ” เพื่อนที่แย่งบาสมาได้สำเร็จตะโกนบอกคนที่อยู่จุดที่ใกล้แป้นบาสที่สุด




   เสียงของเพื่อนเหมือนเป็นตัวส่งสัญญาณที่ดี บุ๋นยกมือขึ้นเตรียมกระโดดรับลูกบาสที่กำลังลอยมาหากแต่ว่าร่างของเขาถูกกระแทกจากร่างของอีกคนจนเสียการทรงตัว




   ตึก!!!



   “เชี่ยเอ้ย” คนถูกกระแทกสบถออกมาก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ครองลูกบาสที่ทำสีหน้าตกใจ




   “เห้ยขอโทษๆ เป็นไรปะวะ” พี่ต้าทำท่าทางตกใจพร้อมกับเพื่อนๆในทีมที่วิ่งเข้ามาดูอาการ




   “ไม่เป็นไร” บุ๋นตอบเสียงแข็งก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมา นี่พึ่งเริ่มเกมส์ได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงกว่าเดิมก่อนจะเล่นต่อ




   รู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่ข้อเท้า…




   เกมส์ยังคงดำเนินต่อไป แต้มเริ่มสูสีกันมากขึ้นเรื่อยๆจนพักครึ่งแรกคะแนนก็กลับมาเสมอกัน บุ๋นเดินเข้ามาตรงที่วางของก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเพราะรู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากข้อเท้า



   “เห้ยเป็นไรปะวะ” เพื่อนร่วมทีมเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นท่าทางของเขาแปลกไป




   “ไม่เป็นไร สงสัยเมื่อกี้ล้มผิดท่า” บุ๋นยิ้มตอบก่อนจะยกขวดน้ำที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นดื่ม




   ครึ่งหลังดำเนินต่อไปหลังจากที่พักไปครู่เดียว บุ๋นรับบาสจากเพื่อนที่ส่งมาก่อนจะเลี้ยงบาสไปยังแป้นของฝ่ายตรงข้าม ขาทั้งสองข้างวิ่งประสานกันราวกับเป็นหนึ่งเดียวแต่เขากลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเห็นพี่ต้าวิ่งตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างจากเขา




   จะอะไรกับกูนักหนาวะเนี่ย



   ความคิดในใจแล่นขึ้นมา ใจอยากจะโยนบาสอัดหน้าแต่ทำได้แค่คิด ขืนทำไปก็มีแต่จะทำทุกอย่างให้แย่ลงกว่าเดิม



   “รับ” บุ๋นตัดสินใจโยนบาสให้เพื่อนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเองเพื่อชู้ตแต่ยังไม่ทันที่จะปล่อยลูกบาสหลุดมือร่างของพี่ต้าก็กระโดดโถมตัวมาทางเขาอย่างตั้งใจ




   ปึก!!!



   หลังกระแทกกับพื้นเสียงดังก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บที่บริเวณขา บุ๋นค่อยๆชันตัวขึ้นมาก่อนจะพบว่าถูกร่างของพี่ต้าทับขาไว้แถมตัวก็ไม่ได้เบา




   “ขอโทษว่ะ” พี่ต้าค่อยๆดันตัวขึ้น มือข้างหนึ่งจับข้อเท้าของบุ๋นไว้เพื่อชันตัวลุกขึ้นก่อนจะมีเพื่อนๆมาช่วยพยุงทั้งสองคนขึ้นจากพื้น





   “อืม” บุ๋นรับคำสั้นๆ เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อถึงแม้อีกไม่กี่นาทีก็จะจบควอเตอร์แรก เขาค่อยๆเดินออกมาจากสนามโดยขอเปลี่ยนให้เพื่อนคนอื่นลงไปเล่นแทนก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับหอ




   จงใจชัดๆ




   เวลานี้จะไปซื้อยาทาจากไหนวะเนี่ย…




   บุ๋นปั่นจักรยานออกมาจากสนามบาสก่อนจะจอดจักรยานลงที่ตึกเรียนรวมหลังจากที่ทนปั่นต่อไปไม่ไหว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนต้องพาตัวเองมานั่งพักเพื่อดูอาการข้อเท้าของตัวเองที่เริ่มปวดตุ้บๆ




   นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!!!!




   เขานึกหงุดหงิดในใจ




   ปวดแบบนี้ให้ทนปั่นกลับไปถึงหอคงไม่ไหว รอให้ดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยกลับคงจะดีกว่า เขาค่อยๆเหยียดขาตรงก่อนจะมองไปรอบๆตึกที่เงียบสงัดหัวก็ดันไปคิดถึงเหตุการณ์วันฝนตกที่เขาได้นั่งอยู่กับหมอฐานทัพ   




   เทียบกับวันนี้แล้วบรรยากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว




   โทรศัพท์ที่แทบไม่มีอะไรแจ้งเตือนสั่นอยู่ในกระเป๋าของเขาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาให้เห็นข้อความไลน์กลุ่มที่เด้งเป็นดอกเห็ด บุ๋นทำท่าจะปิดหน้าจอลงแต่มือกลับเลื่อนไปสะดุดตรงความเคลื่อนไหวของคนที่เขากดติดตาม


   
   30 นาทีที่แล้ว
   Thanthup titrirat : เหงาจังเลยครับ ทำงานคนเดียว



   ภาพพร้อมแคปชั่นปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับยอดไลค์ที่ขึ้นเร็วอย่างกับเป็นภาพของดารา บุ๋นยิ้มออกมาหลังจากที่เห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าที่ดูจริงจังเวลาทำงานของหมอฐานทัพน่ามองเสมอ เขากดค้างไว้ที่รูปก่อนจะ…



   Save




   นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรในเฟสบุ๊คของหมอฐานทัพอีก วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในรอบหลายสัปดาห์ที่หมออัพเดทชีวิตของตัวเองลงเฟสบุ๊ค บุ๋นยิ้มเหมือนคนบ้าโดยลืมความโมโหที่มีอยู่ไปทันที เขามองภาพตรงหน้าที่เหมือนมีคนแอบถ่ายหมอฐานทัพก่อนจะซูมดูบรรยากาศรอบๆ



   หอสมุดมหาลัย…




   เขาปิดโทรศัพท์ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่จางหายไปจากใบหน้า แค่ได้รู้ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันก็ไม่เป็นไร เขารู้ว่าหมอฐานทัพเรียนหนัก งานก็เยอะ อย่างน้อยอาทิตย์นึงเจอกันแค่สี่วันก็พอแล้ว




   เอาจริงๆก็ไม่พอ…




   “เออกูกำลังรีบกลับเนี่ย เร่งจัง” เสียงของคนๆหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่เดินผ่านหน้าเขาไปด้วยความเร่งรีบ




   นั่นมัน…




   “พี่คิน!” บุ๋นตะโกนเรียกเสียงดังจนคนที่พึ่งวางโทรศัพท์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามามอง พอเห็นว่าเป็นใครเจ้าตัวก็ยกมือทักทายก่อนจะเดินกลับมาหา




   “ไง”




   “มาทำอะไรครับ”




   “ธุระนิดหน่อย ว่าแต่นี่มาทำอะไร” คินถามกลับเมื่อเห็นว่ารอบข้างเงียบสงัด เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เจอคนๆนี้คนเดียวในเวลาแบบนี้



   เท่าไหร่ครับ




   อะไม่ใช่…




   “พึ่งเล่นบาสเสร็จครับ เจ็บข้อเท้านิดหน่อยเลยมานั่งพัก” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะมองถุงในมือของคินที่เต็มไปด้วยกาแฟกระป๋องและขนมปัง “พี่จะไปไหนครับ”




   “ไปหอสมุด งานเยอะว่ะ” คินถอนหายใจ “แล้วนี่จะกลับยังไง ให้ไปส่งปะ”




   “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเกรงใจ”




   “เกรงใจอะไรวะ ไปส่งได้ แต่เดี๋ยวเอาของไปให้พวกมันก่อน โทรเร่งจนจะฆ่ากูแล้วเนี่ย” แค่คิดถึงเสียงไอ้ปกป้องที่โทรมาเร่งให้เอาของที่สั่งไปให้ก็นึกโมโหในใจ




   เพื่อนนะโว้ยไม่ใช่คนใช้!!




   “อ่อ…งั้นก็ได้ครับ” บุ๋นชั่งใจคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “รบกวนด้วยนะครับ”



   “เออไม่เป็นไร คนหล่อมักใจบุญแบบนี้แหละ” คินยักคิ้วก่อนจะถามต่อ “ลุกไหวไหม”



   “ได้อยู่ครับ” บุ๋นค่อยๆดันตัวขึ้นก่อนจะลุกยืนโดยทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าอีกฝั่งที่ไม่เป็นอะไร “พี่เดินนำไปเลย เดี๋ยวผมเดินตาม”   




   “ไม่ให้ช่วยพยุงหรอ”




   “ไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นหรอครับ” บุ๋นยิ้ม “ผมเดินได้อยู่”




   “เออโอเคๆ” คินพยักหน้าก่อนจะเดินนำไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ไกล




   เขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดไว้ที่ตะกร้าหน้ารถแล้วหันไปมองบุ๋นที่เดินตามมาติดๆ ท่าทางจะเจ็บไม่น้อย




   “เดี๋ยวแวะไปหอสมุดก่อนนะ” คินพูดเมื่อรู้สึกว่าบุ๋นขึ้นซ้อนข้างหลังแล้ว




   “ครับ ตามสบายเลย”




   “ดีมากไอ้น้อง” เขาค่อยๆขับออกมาจากอาคารเรียนรวมไปหอสมุดที่อยู่ห่างกันไม่ไกลมาก




   ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆหลุดออกมาจากปากของทั้งสองคน อาจเพราะความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้เลือกที่จะเงียบแทนการหาเรื่องคุย




   รถมอเตอร์ไซค์จอดลงหน้าหอสมุดพร้อมกับคินที่ลงจากรถพร้อมกับดึงเอกสารที่สอดไว้ในถุงขนมออกมาแล้วหันมาบอกบุ๋น




   “จะรอนี่หรือเข้าไปด้วยกัน”




   “รอนี่ก็ได้ครับ” ถึงจะอยากเดินเข้าไปแต่ก็ไม่ได้ เขารู้สึกปวดระบมจนไม่อยากจะขยับเขยื้อนตัว ถึงจะแอบเสียดายเล็กๆก็ตาม




   “โอเค เดี๋ยวรีบมา” คินทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเอาเอกสารเข้าไปในหอสมุดที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะปิดให้บริการ



   ยิ่งดึกหอสมุดก็ยิ่งโล่ง ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครเข้าหอสมุดกันเท่าไหร่เพราะยังไม่ถึงช่วงสอบ ถ้าเป็นช่วงสอบป่านนี้ไม่มีโต๊ะว่างเหลือให้ได้ดูต่างหน้า




   คินเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีตำราวางกองอยู่ก่อนจะวางถุงเอกสารที่ถูกใช้ไปถ่ายมาลงบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นคล้ายกับจะบอกว่าอย่าพึ่งพูดอะไรเมื่อเห็นปกป้องทำท่าจะอ้าปาก



   “กูไม่ได้ไปผลิตหมึกแต่เครื่องถ่ายเอกสารที่ร้านมีปัญหา กูก็เลยต้องรอให้เขาแก้ไข โอเคไหมครับ” เตรียมคำตอบมาดีเหมือนรู้ว่าเพื่อนต้องการจะพูดอะไร




   “เออ ทำงานต่อ” ปกป้องตอบกลับมาก่อนจะก้มหน้าลงไปทำงานอีกครั้ง




   “เดี๋ยวกูมา”




   “ไปไหน” ปกป้องถามเสียงนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่พึ่งมาทำท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง




   “อ่อ พอดีกูไปเจอเด็กไอ้หมอมา เห็นว่าข้อเท้าเจ็บเลยจะไปส่งมัน”




   “ใครวะ” ปกป้องขมวดคิ้วแต่อีกคนที่กำลังก้มทำงานอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาแล้วรอฟังต่อ




   “ชื่ออะไรวะ กูจำไม่ได้”




   “บุ๋น?” ฐานทัพถามออกไปสั้นๆพร้อมกับคำตอบของคินที่พยักหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว




   “เออนั่นแหละ เห็นว่าพึ่งเล่นกีฬามา กูดูท่ามันน่าจะกลับเองไม่ไหวเลยอาสาไปส่ง กูไปก่อนนะเดี๋ยวจะรีบกลับมา”



   “คิน” ฐานทัพเรียกชื่อเพื่อนไว้อีกครั้ง “เดี๋ยวกูไปส่ง”




   “หืม? ทำไมวะ” คินถามอย่างนึกแปลกใจ



   “เดี๋ยวไปส่งเอง” ฐานทัพไม่ตอบ มือข้างหนึ่งปิดหนังสือลงก่อนจะถอดแว่นตาแล้วยื่นมือไปหาคิน “กุญแจรถ”




   “อ่อ…เออเอาไปๆ” คินที่ยังงงๆกับท่าทางของเพื่อนยื่นกุญแจให้ไปก่อนจะย้ำถามอีกครั้ง “มึงจะไปส่งจริงหรอวะ”



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “หิวข้าวพอดี จะไปหาอะไรกิน”



   ตอบไปทั้งๆที่ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกหิวอย่างที่พูด…



   บรรยากาศข้างนอกหอสมุดในตอนกลางคืนดูเงียบเหงาแปลกๆ คนที่นั่งรออยู่ไม่ไกลจากรถมอเตอร์ไซค์มองซ้ายทีขวาทีแก้เบื่อระหว่างรอก่อนจะหันกลับมาสนใจรถมอเตอร์ไซค์ของพี่คินที่เขานั่งมา ในหัวก็พลันคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น…



   “บุ๋น เดี๋ยวกลับบ้านครั้งหน้าแม่จะพาไปซื้อรถนะ จะได้ขับไปเรียนได้” คนเป็นแม่หันมาพูดระหว่างทางกลับมหาลัย หลังจากที่มารับลูกชายออกไปกินข้าวข้างนอก
   “ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากได้แล้ว” คนที่ตอนแรกเคยบอกว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ขี้เกียจเติมน้ำมัน ปั่นจักรยานดีกว่า”
   “หืม?” คนเป็นแม่เลิกคิ้วอย่างนึกสงสัย “จักรยานแบบไหนลูก พวกเสือภูเขาหรอ” คำว่าจักรยานในความหมายของบุ๋นคงเป็นพวกจักรยานราคาแพงที่ต้องซื้ออุปกรณ์มาตกแต่งซึ่งเทียบกันแล้วราคาไม่ต่างอะไรกับรอมอเตอร์ไซค์
   “เปล่าครับ จักรยานธรรมดาทั่วไป ขอมีตะกร้าหน้ารถกับที่คนซ้อนก็พอ” บุ๋นตอบออกมาก่อนจะพูดต่อ “แต่เอาจริงๆช่วงนี้ใช้จักรยานที่หอไปก่อนก็ได้ มีให้ยืมเยอะแยะ”
   “จักรยานธรรมดา?” คำตอบของบุ๋นทำให้ผู้เป็นแม่งงหนักเข้าไปอีก “แปลกจัง ไหนตอนแรกบอกแม่ว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์”
   “ไม่อยากได้แล้วครับ เปลืองน้ำมัน” บุ๋นย้ำคำเดิม
   ความจริงเขามีอีกเหตุผลที่ไม่ได้บอกออกไป รถมอเตอร์ไซค์ถึงที่หมายเร็วกว่าจักรยาน…ถึงจะดีในความคิดของคนอื่นๆแต่สำหรับเขามันไม่ดี
   “บางทีจักรยานก็มีข้อดีนะครับ”
   “หืม…ยังไง?”
   “ไม่รู้สิครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะเสมองออกไปนอกหน้าต่าง
   จักรยานทำให้เขาได้มีเวลาอยู่กับคนที่อยากอยู่นานขึ้น


   
   พอกลับมาคิดอีกทีเขาไม่ได้รู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นการตัดสินใจที่ผิด ถึงแม้ว่าจะลำบากในบางครั้งที่ต้องไปเรียนให้ทันเวลาแต่ถ้าดูโดยรวมแล้วมันก็คุ้ม อีกอย่างเขาแทบไม่ออกไปไหนนอกจากหน้ามอกับคณะและหอพักของตัวเอง



   ไม่เห็นจำเป็นเลย


หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [10: จีบหมอครั้งที่สิบ 100%] 14/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 14-11-2016 20:34:11


   บุ๋นนั่งเหม่ออยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปมองประตูหอสมุดที่ยังไม่มีวี่แววของพี่คินที่หายเข้าไปเกือบสิบนาที เขาค่อยๆถอดรองเท้าตัวเองเพื่อให้สบายเท้ามากขึ้นหลังจากที่เห็นว่ายังไม่มีใครออกมา




   “เจ็บมากไหม”    




   “นิดหน่อยครับ เดี๋ยวก็คง…” เขาค่อยๆเงยหน้าจากที่กำลังก้มดูเท้าตัวเองก่อนที่คนตรงหน้าจะทำให้เขาพูดต่อ “เจ็บมากครับ”




   พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนที่ไม่ใช่คนเดียวกับคนที่พามาปากก็ดันตอบกลับไปอีกอย่าง…



   “ตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บ” ฐานทัพขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะไล่สายตาลงไปมองที่เท้าของบุ๋นที่ถอดรองเท้าออกข้างหนึ่ง



   “เจ็บครับ” บุ๋นพยักหน้ารัวพร้อมกับยิ้มกว้าง



   ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน ไม่คิดว่าการตัดสินใจให้พี่คินไปส่งจะเป็นการตัดสินใจที่ถูก



   “เจ็บแล้วยิ้มทำไม” ฐานทัพงงกับปฏิกิริยาที่ค่อนข้างสวนทางกัน ใบหน้าของบุ๋นไม่ได้บ่งบอกถึงความรู้สึกเจ็บเหมือนที่ปากพูด




   “มีคนเคยบอกว่าถ้าเจ็บต้องยิ้มสู้ครับ”




   ความจริงคือยิ้มเพราะเจอหมอฐานทัพ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะย่อตัวลงไปในระดับที่ต่ำกว่าที่นั่งของบุ๋น “ดูหน่อย”




   “เห้ยพี่ อย่าๆ เท้าผมเหม็น” บุ๋นรีบชักเท้ากลับ คนที่พึ่งเล่นกีฬามาหมาดๆกับรองเท้าที่ใส่เล่นบาสทุกวัน กลิ่นมันคงไม่รัญจวนใจเท่าไหร่นัก ถึงจะใส่ถุงเท้าอยู่ก็ตาม




   “ถ้าไม่ดูจะรู้ได้ยังไง” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมามองบุ๋นนิ่งๆ




   แว๊บแรกที่เขารู้สึกคือ…หมอฐานทัพดุ



   “แต่เท้าผมเหม็น ผมอายเหมือนกันนะ” เขาพูดไปตามความจริง ถึงจะกล้าในหลายๆเรื่องแต่กลิ่นเท้าไม่ใช่เรื่องที่ควรกล้าสักเท่าไหร่



   “เดี๋ยวกลั้นหายใจ” ฐานทัพตอบกลับมานิ่งๆ ไม่ได้สนใจอะไร เขารู้ว่าบุ๋นเจ็บเพราะเล่นกีฬา




   “รู้สึกแย่กว่าเมื่อกี้อีกพี่” บุ๋นยิ้มแหยๆ “ผมว่าข้อเท้าคง โอ้ยยยย!!” ยังไม่ทันที่จะพูดจบนิ้วของหมอฐานทัพก็จิ้มลงบริเวณที่เขาปวดราวกับมีญาณวิเศษ




   “เจ็บ?”



   “เจ็บดิพี่ เล่นจิ้มมาไม่ให้ผมเตรียมใจเลย” บุ๋นขมวดคิ้ว ถ้าเป็นเพื่อนป่านนี้ได้โดนด่าจนลืมคณะไปแล้ว



   “ข้อเท้าน่าจะพลิก ประคบน้ำแข็งสัก20นาที” ฐานทัพไม่สนใจคำบ่นของคนที่นั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองบุ๋นก่อนจะถามต่อ “เข้าใจไหม”



   “ครับ” คนที่ไม่เคยเจอฐานทัพโหมดนี้เข้าไปถึงกับเงียบกริบลงในพริบตา




   ทำไมวันนี้หมอดูดุ



   “ทำทุกๆสองถึงสามชั่วโมง ประคบให้รู้สึกชา แล้วเอาผ้ายืดพันไว้”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้า “แต่ผมคงยังไม่พันผ้าเพราะไม่มี” อันที่เคยซื้อไว้ก็ดันอยู่ที่บ้าน ไว้ฝากเพื่อนซื้อกลับมาให้ใหม่น่าจะง่ายกว่า




   “อืม ประคบน้ำแข็งไปก่อน”




   “ครับ เข้าใจแล้วครับ” บุ๋นพยักหน้าช้าๆ




   “คราวหลังระวังให้มากกว่านี้” ฐานทัพพูดพร้อมกับเหยียดตัวลุกขึ้นยืน “ช่วงนี้ก็งดซ้อม”




   “ครับ” บุ๋นได้แต่ตอบรับโดยที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อ ถ้าเป็นปกติเขาคงจะหาเรื่องมาพูดกับฐานทัพมากมายแต่ในตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก



   เหมือนหมออารมณ์ไม่ดี




   “ลุกได้ไหม” ฐานทัพถามคนที่กำลังจะสวมรองเท้ากลับ ถึงภายนอกบุ๋นจะดูไม่เป็นอะไรมากแต่คิดว่าคงเจ็บไม่น้อย




   “พอได้ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ “ขอบคุณนะครับ”




   “อืม” พอเห็นรอยยิ้มที่ตอบกลับมาก็ทำให้คนที่ยืนอยู่เสมองไปทางอื่น




   เจ็บตัวแล้วยังยิ้ม แปลกดี




   “แล้วพี่คินละครับ”




   “อยู่ในหอสมุด”




   “อ่าว…พี่คินขอให้พี่มาส่งผมแทนหรอ” บุ๋นถามด้วยความไม่รู้ เขาแอบรู้สึกผิดที่ไปรบกวนเวลาทำงานของหมอฐานทัพ



   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “หิวข้าว ก็เลยออกมาแทน”



   “อ่อ…ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะเหลือบมองถุงขนมปังกับกาแฟกระป๋องที่อยู่ที่ตะกร้าหน้ารถ “ผมก็หิวเหมือนกัน…เราไปกินพร้อมกันเลยดีไหมครับ?”




   คำถามที่เหมือนรวบรัดตัดตอนทำให้ฐานทัพเงียบไปพักหนึ่ง ความจริงเขาไม่ได้หิวข้าวอะไรมากมายขนาดนั้นแต่ในเมื่อบอกไปแล้วเขาก็คงต้องยอมเลยตามเลย




   “อืม ตามใจ”




   “ครับ” บุ๋นตอบกลับมาสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ผมพร้อมแล้วครับ” ร่างสูงค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับถ่วงน้ำหนักไปที่ขาข้างที่ไม่เจ็บ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะเดินไปพร้อมๆกับบุ๋นที่ค่อยๆก้าวช้าๆไปที่รถ




   “พี่จะขับหรอครับ” บุ๋นหันมาถามเมื่อเห็นฐานทัพเสียบกุญแจมอเตอร์ไซค์ของพี่คิน เขาไม่เคยเห็นหมอฐานทัพขับมอเตอร์ไซค์มาก่อน




   “อืม ทำไม” ฐานทัพหันมาถาม ถึงเขาจะปั่นจักรยานทุกวันแต่เขาก็พอจะขับมอเตอร์ไซค์ได้




   “เปล่าครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อน” บุ๋นยิ้มตอบ




   “อืม”



   บุ๋นค่อยๆขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนที่เสียงสตาร์ทรถจะดังขึ้น ฐานทัพเร่งเครื่องก่อนจะหันมาดูความเรียบร้อยของคนซ้อนแล้วค่อยๆขับออกมาจากหอสมุด




   “กินอะไร” เสียงของคนขับถามพร้อมกับเสียงของลมที่ตีกระทบหน้า




   “แล้วแต่พี่เลยครับ ผมกินได้หมดเลย”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะเลี้ยวไปตามทางถนนที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ




   ร้านอาหารที่ปกติมักจะอยู่เปิดจนถึงดึกแต่ในวันนี้กลับไม่เปิดทำให้เขาตัดสินใจจอดรถมอเตอร์ไซค์ลงหน้าเซเว่นในมหาลัยที่เปิดไฟสว่างทั่วบริเวณ




   “รอนี่” ฐานทัพสรุปให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินนำเข้าไปในเซเว่นปล่อยให้คนที่พึ่งลงจากรถมองตามอย่างไม่เข้าใจ




   บุ๋นนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ไกลจากเซเว่น มีแสงพอให้เขาได้เห็นบริเวณรอบข้างก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าหมอฐานทัพจะออกมาแทนที่จะเป็นพี่คิน เขาคิดไม่ถึงว่าหมอจะก้มลงมาดูเท้าของเขาที่เหม็นรึเปล่าก็ไม่รู้แถมไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ ถึงจะรู้ว่าหมอเรียนหมอแต่ก็อดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้




   ฐานทัพเดินออกมาพร้อมกับถ้วยมาม่าและถุงใส่ขวดน้ำ ความจริงก็อยากจะซื้อเยอะกว่านี้แต่เพราะไม่คิดว่าจะต้องออกมาซื้ออะไรกินจริงๆเลยเอาเงินติดตัวมาไม่มาก




   “พี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบกินรสนี้” บุ๋นถามหลังจากที่มาม่าหมูสับถูกวางไว้ตรงหน้าเขาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด



   “เดา” คำเดียวสั้นๆหากแต่ทำให้อีกคนยิ้มกว้าง



   “เดาถูกซะด้วย”



   “พูดมาก” ฐานทัพมองก่อนจะก้มลงไปสนใจมาม่าในมือของตัวเอง




   “ผมรบกวนเวลาทำงานพี่นานเลย ขอโทษด้วยนะครับ” บุ๋นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด



   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพตอบปัด งานส่วนของเขาเหลืออีกไม่มาก ยังไงก็ทำทันอยู่แล้ว ที่น่าเป็นห่วงคืนส่วนของคิดกับปกป้องมากกว่าเพราะต้องหาข้อมูลเพิ่ม




   “เรียนหมอนี่ดูเหนื่อยมากเลยนะครับ เห็นพี่ทำงานกันจนดึกเลย” บรรยากาศรอบข้างที่เงียบสงัดทำให้เขาคิดหาเรื่องชวนคุยเพื่อทำลายบรรยากาศ




   “อืม หนัก” ฐานทัพไม่ปฏิเสธ “แต่ก็สนุก ได้ความรู้ใหม่เยอะดี”



   “ความรู้ใหม่มันก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้เรื่องจำๆผมไม่ถนัดเลยจริงๆ” เขาพูดพร้อมกับเป่าเส้นมาม่าร้อนๆ “ถนัดลงมือมากกว่า”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า




   “แล้ว…”




   “ไปทำยังไงถึงข้อเท้าพลิก” คำถามของฐานทัพดังขึ้นก่อนที่บุ๋นจะชวนคุยอะไรต่อ แววตาที่จริงจังแฝงความดุดันไว้ข้างในมองตรงมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบ




   “ผม…” บุ๋นชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มกลับไป “ซุ่มซ่ามเองครับ”




   “หรอ” คำถามกลับดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไหร่




   “ครับ” บุ๋นตอบรับสั้นๆ




   “อืม” ฐานทัพไม่ได้ถามต่อ




   ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งหลังบทสนทนาจบลง เส้นมาม่าที่ลอยอยู่เต็มถ้วยในตอนนี้เหลือเพียงร่องรอยความว่างเปล่ากับน้ำซุปครึ่งถ้วย



   “พี่อิ่มแล้วหรอครับ” บุ๋นถามเมื่อเห็นคนตรงหน้ากินไปได้นิดเดียว




   “อืม”




   “ผมนึกว่าพี่จะหิวมากกว่าผมซะอีก ผมกินจนหมดเลย” บุ๋นหัวเราะ




   “อิ่ม” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ เขาไม่ได้หิวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงบอกออกไปว่าหิว พอได้กินจริงๆก็กินไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วย




   “กลับกันเถอะครับ พี่จะได้กลับไปทำงานต่อด้วย” ถึงจะอยากอยู่ด้วยกันนานๆแต่เขาก็รู้ว่าหมอฐานทัพมีงานที่ต้องทำต่อ นี่ก็ดึกแล้ว




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวเข้าเซเว่นอีกรอบ”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้าพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ ไม่ลืมที่จะถือถ้วยมาม่าของเขาและหมอฐานทัพไปทิ้งที่ขยะ เขารู้สึกเหมือนหมอแทบจะไม่ได้กินมาม่าในถ้วยไปเลยด้วยซ้ำ




   เหลือเยอะมาก




   บุ๋นค่อยๆพาร่างของตัวเองมายืนรอฐานทัพที่รถมอเตอร์ไซค์ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาเจอเรื่องแย่ๆปนเรื่องดีๆ ถึงจะเจ็บตัวแต่ก็คุ้มที่ได้เจอหมอฐานทัพ ได้เจอโดยที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ




   รถมอเตอร์ไซค์ขับมาถึงหน้าหอพักชายโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที บุ๋นค่อยๆลงจากรถพร้อมกับหมอฐานทัพที่ดับเครื่องแล้วลงมาตาม




   “ขอบคุณมากนะครับ” บุ๋นยิ้มกว้างแทนคำขอบคุณ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหันไปหยิบถุงเซเว่นที่พึ่งซื้อมาให้คนตรงหน้า “เอาไป”




   “ครับ?” บุ๋นรับถุงมาอย่างงงๆก่อนจะเปิดถุงดู ในถุงมีผ้ายืดพันขาพร้อมกับถุงน้ำแข็งใส่รวมกัน “พี่ซื้อให้ผมหรอ?”



   “อืม”



   “ขอบคุณครับ” บุ๋นอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “ทำไมพี่ถึงมาส่งผม” คำถามเดิมที่ได้รับคำตอบแล้ววนกลับมาถามอีกครั้ง



   “หิวข้าว” ฐานทัพก็ยังคงตอบกลับด้วยคำตอบเดิม



   “ผมนึกว่า…”



   “ว่า”



   “เปล่าครับ” บุ๋นชะงักไปก่อนจะส่ายหน้า “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”



   “จะพูดก็พูด”



   “ให้พูดหรอครับ” บุ๋นชั่งใจเล็กน้อย บางทีเขาไม่ควรคิดจะถามตั้งแต่แรก



   “อืม” คำยืนยันของฐานทัพทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงแม้จะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแต่ก็ยากที่จะกล้าถามไปตรงๆ




   “นึกว่า…พี่ห่วงผม”




   คำพูดที่พูดออกมาทำให้คนที่รอฟังชะงักกึก ฐานทัพสบตาคนตรงหน้าตรงๆก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เขาควรจะกลับไปทำงานต่อ




   “อืม” เขาตอบกลับมาสั้นๆ “ไปละ”




   ร่างสูงขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีคนที่ยืนส่งตะโกนบอกฝันดีตามหลังด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ถึงจะตอบออกมาตามแบบฉบับของหมอฐานทัพแต่มันก็ทำให้เขาคนนี้ยิ้มได้ทุกครั้ง



    แค่คำว่า ‘อืม’ คำเดียวก็ตอบคำถามทุกอย่าง




-----------------------
 ขอโทษที่หายไปนานนะคะ กลับมาต่อให้แล้วน้าาา
คอมเม้นท์กันหน่อยน้าา  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 20-11-2016 17:37:13
จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด



   “จะให้มารับกี่โมงก็บอก แต่ถ้ากูติดเรียนก็โทรหาไอ้สามนะ” สองพูดหลังจากที่จอดจักรยานลงหน้าคณะเกษตร



   “เออ ขอบคุณมาก” บุ๋นตบบ่าเพื่อนสนิท




   ความจริงเขามีเรียนตอนสิบเอ็ดโมงแต่สองมีเรียนตอนเก้าโมง ส่วนไอ้สามมีเรียนอีกทีบ่ายโมงและสภาพก็ไม่น่าพร้อมจะไปส่งเขาเท่าไหร่เลยออกมาพร้อมสอง ค่อยไปนั่งหาอะไรทำที่คณะ




   ทำอะไรวะ…




   “อย่าลงน้ำหนักมากล่ะมึง เดี๋ยวไม่หาย”




   “เออรู้แล้วน่า” บุ๋นถอนหายใจ เขาโดนย้ำมาเป็นรอบที่สี่แล้ว “ไปๆ ไว้เจอกันตอนเย็น”




   “เออ บาย” สองพยักหน้าก่อนจะปั่นจักรยานออกไปทิ้งให้คนที่พันขาไว้ค่อยๆเดินเข้าคณะช้าๆ




   สายตาของผู้คนในคณะหันมามองเขาเกือบครึ่งของทั้งหมด ความจริงมันเป็นแบบนี้มาสักพักตั้งแต่วันที่เขาได้เป็นเดือนของคณะ ตอนแรกก็คิดว่าไม่มีอะไรพิเศษ แต่ตอนนี้เขาคงคิดผิด ทุกสายตาจับจ้องราวกับเขาเป็นคนดัง




   “น้องบุ๋นเท้าเป็นอะไร” รุ่นพี่ที่สนิทตั้งแต่ช่วงประกวดเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง




   “เล่นกีฬามานิดหน่อยครับ” เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพ “วันนี้ที่คณะคนดูเยอะผิดปกตินะครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับหันไปมองรอบข้าง




   ปกติลานคณะไม่เคยมีรุ่นพี่นั่งกันเต็มทุกโต๊ะขนาดนี้ เหมือนวันนี้ผิดปกติไปจากทุกวันหรือบางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง




   “อ่อ พวกพี่นัดคุยกันเรื่องปีหนึ่งเนี่ยแหละ”



   “ปีหนึ่งทำไมหรอครับ”




   “ยังบอกไม่ได้หรอกจ้ะ แต่พี่ว่าบุ๋นไปนั่งรอกับเพื่อนตรงนู้นดีกว่าเนอะ” รุ่นพี่พูดเหมือนสั่งทางอ้อม นิ้วชี้ไปยังจุดที่มีเพื่อนสองสามคนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่




   “อ่อ…ได้ครับ”




   บุ๋นเดินตรงไปที่โต๊ะช้าๆพร้อมกับเพื่อนที่หันมายิ้มให้แล้วขยับที่นั่งให้บุ๋นได้นั่งด้วย เขาค่อยๆสอดตัวเข้าไปก่อนจะได้ยินคำพูดที่เพื่อนพูดออกมา




   “บุ๋นรู้รึเปล่าว่าพี่เขามาทำอะไรกัน”




   “ไม่อะ ไม่รู้” บุ๋นส่ายหน้า “รู้หรอ”




   “ก็ไม่เชิงอะ แต่เหมือนได้ยินมาจากพี่ปีสองว่าอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีงานรับเสื้อภาคสนาม”




   “งาน? ต้องเป็นงานเลยหรอ”




   “อื้ม ถ้าได้รับเสื้อก็เหมือนได้รับรุ่น”




   “อ่อ…ไม่เคยรู้เลยแฮะ” เขาหัวเราะออกมา ยังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่าเขาเคยรู้อะไรเกี่ยวกับคณะของตัวเองบ้าง




   “เอ้อแก ฉันเคยได้ยินมาเรื่องเสื้อภาคสนาม” เพื่อนอีกคนที่นั่งฟังอยู่พูดเสริม




   “ทำไมแก”




   “คือว่า…”




   คนที่พึ่งเข้ามาร่วมกลุ่มนั่งเงียบฟังตลอดการสนทนา เขาฟังเรื่องความเชื่อและเรื่องเล่าต่างๆที่ไม่เคยได้รู้และแอบแปลกใจที่มีคนเชื่ออย่างนั้นจริงๆ




   ดูงมงาย…แต่เขาก็เชื่อ




   เสื้อภาคสนาม

.




   จักรยานของฐานทัพจอดลงหน้าคณะเกษตรตอนเวลาเกือบหกโมงเย็น เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเองเป็นครั้งที่สามก่อนจะลงจากจักรยานตรงไปที่ร้านผลิตภัณฑ์คณะเกษตร วันนี้เลิกเร็วกว่าที่คิดไว้เลยมีเวลาแวะมาก่อนที่ร้านจะปิด




   อยากกินแครอท




   เขาเดินเข้ามาตอนพนักงานกำลังจะเดินมาปิดร้านแต่พอเห็นฐานทัพเธอก็ยิ้มให้นิดๆก่อนจะผายมือเหมือนบอกเชิงว่าเลือกซื้อได้เลย เขาเดินตรงไปที่โซนผักผลไม้ก่อนจะหยิบถุงแครอทขึ้นมาเลือกเหมือนที่ใครอีกคนเคยเลือกแต่อันน่ากินให้เขา



   เบบี้แครอท



   สายตาแทนที่จะจับจ้องอยู่ที่แครอทกลับมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกใสที่กั้นเอาไว้ บรรยากาศของคณะเกษตรตอนหกโมงเย็นดูคนน้อยกว่าคณะของเขา ในเวลาแบบนี้คงใกล้เลิกคลาสกันหมดแล้ว



   อืม…ก็แค่มาซื้อแครอท



   ในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกไม่ได้ก็เลยซื้อกลับไปทั้งสองถุง ไม่กี่วันเขาก็กินหมด คนอื่นอาจจะมองว่าเขาเป็นคนเงียบสุขุมแต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้มีแค่ด้านแบบนั้นเพียงด้านเดียว แค่มุมอื่นๆของเขาไม่โดดเด่น




   “เจ็ดสิบบาทค่ะ” น้ำเสียงใสบอกพร้อมรับแบงค์ร้อยจากมือฐานทัพมา เธอรับไปก่อนจะทอนตังให้อย่างรวดเร็ว “ขอบคุณค่ะ”




   “ครับ” ฐานทัพตอบสั้นๆก่อนจะเดินออกมาจากร้านแต่ขาดันหยุดกึกเมื่อเห็นร่างของใครอีกคนข้างนอก




   ใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่คนเดียว




   บุ๋นเดินออกมาพร้อมกับดาวคณะปีล่าสุดใบหน้าทั้งสองคนยิ้มแย้มดูมีความสุข หากมองจากตรงนี้พวกเขาก็เหมือนคู่รักที่น่าอิจฉาคู่หนึ่ง ใบหน้าของน้ำฟ้าดูมีความสุขมากจนฐานทัพเสมองไปทางอื่น




   บางทีเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน




   ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านร้านไปมือเล็กๆของน้ำฟ้าก็ค่อยๆจับมือของบุ๋นเอาไว้ทำเอาคนที่เดินช้าอยู่แล้วหยุดเดินก่อนจะหันไปมองคนที่จับมือด้วยท่าทางงงๆ




   “มีอะไรรึเปล่าน้ำฟ้า” บุ๋นถามอย่างคนไม่รู้ แม้จะเดาได้ลึกๆแต่ก็ขออย่าให้เป็นแบบนั้น   




   “บุ๋น เรามีอะไรอยากจะบอก” น้ำฟ้ามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่มากขึ้นทุกวัน เธอไม่คิดว่าเธอจะรู้สึกกับบุ๋นถึงขั้นที่เรียกว่ามากกว่าเพื่อน




   “อืม ว่าไง” คนใจเย็นหันมายิ้มให้บางๆ




   “เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่มันเป็นไปแล้ว” น้ำฟ้าลังเลที่จะพูดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เรา…”




   “น้ำฟ้า” บุ๋นเรียกชื่อเธอเสียงนุ่ม “ถ้าสิ่งที่น้ำฟ้าจะบอกมันสร้างความอึดอัดให้ทั้งเราและน้ำฟ้า…ก็อย่าบอกเลย”




   “บุ๋น…” เธอเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ




   เขารู้มาตลอดงั้นหรอ




   “ขอบคุณที่เดินมาส่งนะ แต่เราไม่เป็นอะไรแล้ว น้ำฟ้ากลับไปก่อนเถอะ” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาระบายยิ้มบางๆให้คนตรงหน้า




   น้ำฟ้าเป็นเพื่อนที่ดีและเขาคิดกับเธอได้แค่นั้น




   “งั้นหรอ…” ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำ “อืม งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้าช้าๆก่อนจะมองตามร่างที่เดินออกไปอีกทาง




   ขอโทษที่เขาต้องพูดออกไปตรงๆ




   เสียงถอนหายใจออกมาจากคนที่อยู่ในร้านตอนไหนก็ไม่รู้ ฐานทัพรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พนักงานในร้านเดินมาสะกิดเขาบอกว่าร้านใกล้จะปิดแล้ว ถึงจะยังไม่อยากออกไปตอนนี้เพราะรู้ว่าต้องเจอใครแต่ก็เลี่ยงไม่ได้




   “อ่าว…” บุ๋นที่หันไปชมนกชมไม้อยู่หันมาเจอฐานทัพพอดี ใบหน้าที่ตอนแรกดูบึ้งตึงเล็กน้อยค่อยๆเผยยิ้มออกมา “มาหาผมหรอ”




   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธเสียงแข็ง “มาซื้อแครอท”




   “อ่อ…ผมไม่ได้ซื้อไปให้พี่เลยช่วงนี้”




   “ไม่เป็นไร”




   “วันนี้พี่เลิกเร็วนะครับ”




   “อืม”




   “จะไปไหนต่อไหม”




   “ไม่ล่ะ”




   “งั้น…ไปที่ๆหนึ่งกับผมหน่อยได้ไหม” เป็นคำถามที่ค่อนไปทางบังคับแปลกๆ ถ้าจะตอบว่าไม่ไปก็ดูจะเสียน้ำใจคนชวน




   ไปก็ไป





   “ไกลไหม”




   “ไม่ครับ เดินถัดไปอีกสองตึกก็ถึงแล้ว”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะเดินตามบุ๋นที่เปลี่ยนทิศเดินกลับไปที่คณะอีกครั้ง




   ถึงจะไม่รู้ว่าจะไปไหนแต่เขาก็ดันตอบตกลงมาอย่างงงๆ เท้าของอีกคนยังไม่หายดีทำให้เดินช้ากว่าปกติเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงแค่เห็นว่าผ้าที่บุ๋นพันอยู่มันดูไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไหร่




   “นั่ง” ฐานทัพพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตรงทางเชื่อมตึกที่ไม่มีใครอยู่แล้ว ละแวกนั้นเลยดูเงียบเป็นพิเศษ





   “ครับ?” บุ๋นดูงงๆแต่ก็ยอมนั่งตามที่หมอฐานทัพบอก




   “พันผ้าหลวม” ไม่ต้องรอให้อธิบายอะไรต่อ ร่างสูงวางถุงแครอทไว้ข้างตัวบุ๋นก่อนจะก้มลงไปแกะผ้าที่เจ้าตัวพันอยู่ออกอย่างรวดเร็ว




   “เห้ยพี่” บุ๋นทำท่าจะชักเท้ากลับแต่คนเป็นหมอมือไวกว่าที่คิด มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับเข่าไว้เหมือนรู้ว่าอีกคนจะไม่ยอม





   “อยู่เฉยๆ” ฐานทัพสั่งเสียงนิ่ง “จะพันให้”




   “…!!!!” แค่คำพูดสั้นๆคำเดียวทำเอาคนที่ฟังถึงกับรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าราวกับว่าอุณหภูมิสูงขึ้นกะทันหัน รู้สึกร้อนผ่าวที่หูคล้ายๆกับว่าเขากำลัง…เขิน




   “ดึงให้ตึง” ฐานทัพค่อยๆบรรจงพันผ้าที่เท้าของบุ๋นช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมาบอกวิธีเป็นระยะเพื่อที่คราวหลังบุ๋นจะได้พันถูกวิธี




   แต่หมอฐานทัพคิดผิด…การที่หมอทำให้เขาแบบนี้ยิ่งทำให้อีกคนไม่อยากจะทำเป็น




   อยากจะให้หมอเป็นคนทำให้ทุกๆวัน




   “เสร็จแล้ว” ฐานทัพติดตัวล็อกผ้าไว้ก่อนจะยืดตัวขึ้นมองดูเท้าที่ถูกพันใหม่อย่างเรียบร้อยและดูปลอดภัยกว่าบุ๋นพันเอง




   “ขอบคุณครับ” ไม่คิดว่าเขาจะต้องหลบสายตาหมอฐานทัพที่มองมา เขารู้สึกร่างกายร้อนจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ




   “ไข้ขึ้นหรอ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าก็ทำให้อดที่จะถามไปไม่ได้




   “เปล่าครับ ไม่ได้ไข้ขึ้นหรอก”   




   “อ่อ อืม”




   “แค่หัวใจจะวาย” คำพูดเบาๆที่หลุดออกมาจากปากของบุ๋นหากแต่อีกคนไม่ได้ยิน ฐานทัพหันมามองก่อนจะเลิกคิ้วเชิงถาม





   “หืม?”




   “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” บุ๋นยิ้มออกมาอีกครั้ง




   หมอฐานทัพจะรู้ตัวไหมว่ายิ่งทำดีกับเขาคนนี้มากเท่าไหร่…ความรู้สึกที่มีให้หมอมันก็ยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น




   มากจนจะล้นออกมาแล้วหมอ




   “เลิกยิ้ม” ฐานทัพทนดูคนตรงหน้ายิ้มต่อไปไม่ได้ เวลาเห็นบุ๋นยิ้มทีไรเขาก็รู้สึกแปลกๆกับตัวเองทุกครั้งและก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร




   “ลืมตัวครับ” บุ๋นหุบยิ้มก่อนจะหัวเราะ “ไปเถอะครับ เดี๋ยวจะมืดกว่านี้” บุ๋นลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินนำไปต่อ




   แปลงคณะเกษตรเต็มไปด้วยผักผลไม้หลากหลายชนิดที่ปลูกละลานตา บุ๋นค่อยๆเดินนำไปช้าๆก่อนจะหยุดลงที่แปลงเกือบในสุดที่มีแต่ดินโล่งๆกับฝักบัวรดน้ำวางอยู่ข้างๆ ฐานทัพมองภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปเลิกคิ้วเชิงถามคนที่ยืนยิ้มอยู่





   “แปลงของผมเอง” บุ๋นพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ผมเห็นว่าตรงนี้ยังไม่ได้ปลูกอะไรเลยไปขออนุญาตปลูกแครอท”




   “ปลูกให้ใคร”




   “ให้พี่ไง” คำถามที่ตอบออกมาอย่างไม่หยุดคิดทำให้คนที่ถามถึงกับเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะทำตัวเป็นปกติแล้วถามต่อ




   “ปลูกให้ทำไม”




   “ก็เห็นว่าพี่อยากกิน ผมก็เลยปลูก” บุ๋นยังคงตอบด้วยความซื่อของตัวเองโดยที่ไม่รู้เลยว่าทำให้อีกฝ่ายชะงักเป็นรอบที่สอง




   บทจะตรงก็ตรงจนลืมตัว




   “อ่อ อืม” ในเมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวของคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ทำให้ทุกคำถามที่อยู่ในหัวถูกกลืนหายไปหมด




   จะกล้าปฏิเสธได้ยังไง




   “ถึงเวลาเก็บเมื่อไหร่ผมจะบอกพี่นะครับ” บุ๋นหันมาพูดด้วยสายตาเป็นประกาย “จะได้มาเก็บด้วยกัน”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ก็ได้”




   “ว่าแต่ผมจะบอกพี่ยังไง เบอร์โทรก็ยังไม่มีเลย” พอเห็นว่าอีกฝ่ายยอมตกลงก็เอาใหญ่ บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูรายชื่อก่อนจะขมวดคิ้ว “ผมไม่มีเบอร์พี่จริงๆ”




   “เนียน” ฐานทัพมองคนเจ้าเล่ห์ก่อนจะถอนหายใจ




   เจอกันบ่อยจนเจ้าตัวลืมไปเลยว่ายังไม่มีเบอร์ของกันและกัน แต่ถึงมีก็ไม่ต่างอะไรกับตอนนี้เพราะเขาก็เจอกันบ่อยอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็น





   “ถ้าสมมติว่าผมไม่เจอพี่ ผมก็คงต้องมานั่งเก็บแครอทเหงาๆคนเดียว” บุ๋นทำหน้าตาน่าสงสารแต่ไม่ได้ทำให้อีกคนรู้สึกแบบนั้น กลับกันฐานทัพยิ่งรู้สึกหมั่นไส้




   “อืม ถือว่าเป็นความคิดที่ดี” คุณหมอยิ้มมุมปาก “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ฝากด้วย” มือขวายกขึ้นมาตบบ่าคนข้างๆเบาๆ




   คนที่โดนตบบ่าเหมือนถูกสตั้นไปสามนาที บุ๋นค่อยๆหันไปมองมือที่วางอยู่บนบ่าก่อนที่จะรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกครั้ง ถ้าคิดไปตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้นี่คงเป็นครั้งแรกที่หมอแตะต้องตัวเขาโดยที่ไม่มีความจำเป็น




   รู้สึกดี




   “พี่ครับ” บุ๋นหมุนตัวไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่ที่ไหล่ พี่ช่วยดูให้หน่อยได้ไหม” พูดแล้วก็รีบหันข้างที่ยังไม่ได้โดนสัมผัสไปทางหมอ




   “ไม่มี” ฐานทัพวางมือลงบนไหล่อีกข้างช้าๆเหมือนต้องการหาสิ่งที่บุ๋นบอก หากแต่ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรอยู่บนไหล่ของบุ๋นตั้งแต่แรก




   “งั้นหรอ ผมคงคิดไปเอง” บุ๋นหันกลับมายิ้มแป้น




   ไม่น้อยใจแล้วนะ ไหล่ทั้งสองของบุ๋น




   “แล้วตกลงพี่จะไม่ให้เบอร์ผมจริงๆหรอครับ” บุ๋นวกกลับมาที่เรื่องเดิม “เผื่อมีอะไรเร่งด่วนไง”




   “ไม่ค่อยสนใจ” ฐานทัพบอกออกมาตามความจริง มีโทรศัพท์ก็เหมือนไม่มี เขาแทบจะไม่ได้แตะโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ บางครั้งยังงงว่าแบตหมดไปตอนไหน





   “ไม่ค่อยได้เล่นหรอครับ?”



   “อืม”




   “คงไม่ค่อยได้เล่นจริงๆ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเก็บโทรศัพท์ที่ถือไว้ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม “พี่มาคณะผมบ่อยไหมครับ”




   “ไม่” ฐานทัพตอบไปตามความจริง “ครั้งที่สอง”




   “หืม? น้อยจัง”




   “อืม”




   “แต่เดี๋ยวพี่ก็อาจจะได้มาบ่อยๆแล้วก็ได้” บุ๋นพูดด้วยความมั่นใจ “ไปนั่งเล่นตรงนู้นหน่อยไหมครับ?” บุ๋นชี้ไปที่เก้าอี้เล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากแปลงที่เขายืนอยู่ ไฟสีส้มที่พึ่งเปิดทำให้บรรยากาศรอบข้างดูโรแมนติกขึ้นมาแปลกๆ




   “อืม” ฐานทัพรับคำอย่างว่าง่าย วันนี้เขาไม่ต้องรีบกลับไปทำอะไรต่อ




   นั่งคุยสักพักคงไม่เป็นไร




   บุ๋นเดินนำมาก่อนจะปัดใบไม้ที่ตกอยู่บนเก้าอี้ลงพื้นแล้วหันไปยิ้มให้ฐานทัพที่เดินตามมา เขาค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ก่อนจะขยับที่ให้ฐานทัพนั่งข้างๆได้อย่างสบาย




   “แปลงเกษตรตอนใกล้มืดนี่ก็ดูเหงาดีนะครับ” บุ๋นมองแปลงเกษตรที่ไม่มีผู้คนมีเพียงแต่ต้นผักผลไม้ที่ออกดอกออกผลในเวลาใกล้จะหนึ่งทุ่ม




   “อืม คงงั้น” ฐานทัพมองตามก่อนจะพยักหน้าช้าๆ




   “พี่ครับ ผมมีอะไรจะบอก” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบุ๋นทำเอาคนที่กำลังจะทำตัวสบายๆถึงกับชะงักกึก




   “ว่า”




   “ผม…ไม่ได้ชอบน้ำฟ้า” คำพูดตรงๆที่พูดออกมาทำให้คนที่ตั้งใจฟังถึงกับเลิกคิ้วสงสัย ฐานทัพไม่เข้าใจว่าจะบอกเขาทำไม




   “แล้ว?”




   “เปล่าครับ ผมก็แค่อยากบอก” บุ๋นระบายยิ้มบางๆ สายตาทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย “แค่อยากให้รับรู้ไว้ว่าผมไม่ได้ชอบ”




   “อืม”




   “ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าผมชอบคนที่ผมไม่ได้ชอบ”




   “…”




   “ผมกลัวใครบางคนเข้าใจผิด” ประโยคสุดท้ายบุ๋นหันมายิ้มให้คนที่ตั้งใจฟัง “ผมโง่จะตาย ดูไม่ออกหรอกว่าคนที่ชอบจะคิดอะไรอยู่”




   “อืม”




   “เพราะคนๆนั้นเขาก็ไม่ค่อยแสดงท่าทางออกมาให้ผมรู้ด้วยเหมือนกัน”




   “ก็ถาม” ฐานทัพเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน “ไม่รู้ก็ถาม อยากให้รู้ก็บอก”




   “ครับ” คนข้างๆพยักหน้า “ก็เคยถามและบอกไปแล้ว”




   “อืม”




   “แล้วเขาก็ชอบตอบว่า…”




   “อืม”




   “ตามนั้นครับ” บุ๋นหัวเราะออกมาผิดกับอีกคนที่งงเป็นไก่ตาแตกว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป ฐานทัพขมวดคิ้วงงมองคนที่หัวเราะมีความสุข




   เมื่อกี้เขาพูดอะไรผิดไปรึเปล่า




------------------------------
 มาแล้วจ้าาาาา ขอโทษที่มาอัพเดทช้านะคะ
ช่วยคอมเม้นท์กันหน่อยน้า ฮืออออออออ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 20-11-2016 20:37:34
หมอน่ารักกก
มาต่อบ่อยๆนะ ละจะเม้นให้ทุกตอนเลย
มาช้าไม่เม้นนะ 5555555
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 21-11-2016 01:33:27
หมอชอบผมไหมครับ????


....อืม......

แอร๊ย!!!มโนแปบ ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 21-11-2016 08:21:38
โอ๊ยยย บุ๋นมีความช่วยลุ้นหนักมากกกก
พี่เต้ เนี้ย ยังไม่เลิกราต่อกันจริงๆ ซินะ แต่ก็ดีทำให้รู้ว่าหมดเป็นห่วงบุ๋น

หมอค่ะ บุ๋นแสดงออกขนาดนี้แบ้ว ไม่ซึนๆ 5555

บุ๋ยบอกไปเลยยย ช่วงลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 22-11-2016 22:51:58
ชอบเรื่องนี้มากๆ อ่านวันเดียวจนถึงล่าสุด อย่าหายไปนะคะ 
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 23-11-2016 18:12:25
รอๆๆๆๆๆ คิดถึงบุ๋น คิดถึงพี่หมอ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 100%] 24/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 24-11-2016 16:49:19
ครืดดดดดดด!!!



   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นขัดจังหวะความสุขที่กำลังไปได้ดี บุ๋นหุบยิ้มก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมอะไรไป




   ไอ้สอง…




   “ว่าไงเพื่อนรัก” คนที่รู้ความผิดตัวเองอยู่เต็มอกพูดเสียงร่าเริงผิดกับปลายสายที่แทบจะพ่นไฟ




   ( ไอ้เหี้ยเพื่อนสี่ครับ มึงอยู่ไหน กูรออยู่หน้าคณะมึงจนยุงจะแดกเลือดกูหมดตัวอยู่แล้ว!!! )



   “เห้ย กูลืมมึง แย่จัง”



   ( แย่บ้านมึงดิ รีบๆออกมา ไม่งั้นกูจะกลับแล้ว!!! )




   “เออ เดี๋ยวจะรีบออกไป” บุ๋นถอนหายใจยาวๆ




   ถึงจะไม่อยากกลับแต่ก็ต้องกลับ เขาปล่อยให้สองกลับไปคนเดียวไม่ได้ มันคงด่าหูชาแน่ๆถ้าไม่ยอมกลับด้วย




   “เพื่อนผมโทรตามแล้ว” บุ๋นหันไปบอกคนที่นั่งฟังเงียบๆ




   “อืม กลับ” ฐานทัพลุกขึ้นยืนก่อนคนข้างๆ




   สำหรับหมอฐานทัพอาจจะไม่รู้สึกอะไรเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน แต่สำหรับบุ๋นทุกเวลาที่อยู่ด้วยกันของเขากับหมอฐานทัพมีค่าเสมอ




   “ขอบคุณที่มาอยู่คุยด้วยนะครับ”




   “อืม” เขาตอบก่อนจะหยุดคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อ “ขอบคุณ…เรื่องแครอท”




   ถึงแม้จะสงสัยอยู่ลึกๆว่าทำไมบุ๋นถึงทำอะไรให้เขามากขนาดนี้แต่ก็ทำได้เพียงแค่ตั้งคำถามในใจ บางทีคำถามบางคำก็อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบ




   “ผมเต็มใจ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “อืม รู้แล้ว” รู้แล้วว่าเต็มใจ




   “ไว้เจอกันนะครับ”




   “อืม” ฐานทัพยืนรอให้บุ๋นเดินนำไปก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเดินตามออกมา




   รถจักรยานของสองจอดเด่นอยู่หน้าคณะพร้อมกับสีหน้ายุ่งๆที่ยกมือขึ้นตบยุงตามตัว บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆเตรียมโดนด่าก่อนจะหันไปยิ้มให้ฐานทัพอีกครั้ง




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนที่กำลังจะเดินไปอย่างลืมตัว




   “ครับผม?”




   “เท้า” พูดพร้อมกับมองเท้าที่มีผ้าพันไว้อยู่ “หายไวๆ”




   “ขอบคุณครับพี่” บุ๋นหันมายกมือไหว้เล่นๆก่อนจะยิ้มอีกครั้ง




   ถึงจะไม่ค่อยแสดงออก ถึงจะไม่พูด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็รู้ว่าหมอฐานทัพของเขาใจดีและเป็นห่วงอยู่ลึกๆ ถึงจะไม่ชัดเจนแต่ทุกคำพูดเขาสัมผัสได้




   หมอฐานทัพของบุ๋น

.


   หอสมุดช่วงใกล้สอบมิดเทอมดูครึกครื้นเป็นพิเศษ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงช่วงเวลาแห่งการอดหลับอดนอนเพื่ออ่านหนังสือแต่ไม่ใช่กับฐานทัพที่เข้าหอสมุดบ่อยกว่าคนปกติทั่วไป



   หนังสือเล่มหนาวางลงบนโต๊ะที่เหลือที่นั่งไม่กี่ที่ก่อนจะตามมาด้วยกระเป๋าที่เต็มไปด้วยชีทเรียนและเอกสารสรุปรายวิชาที่ยังทำไม่เสร็จ ฐานทัพลากเก้าอี้ออกก่อนจะสอดตัวเข้าไปช้าๆ บรรยากาศห้องสมุดชั้นอ่านเดี่ยวเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การอ่านหนังสืออย่างจริงจังเพราะทุกคนล้วนมีโต๊ะอ่านเป็นของตัวเองและมีที่กั้นระหว่างโต๊ะเพื่อไม่ให้เกิดการพูดคุยกันระหว่างอ่านหนังสือ ชั้นนี้เลยเงียบเป็นพิเศษ   




   ฐานทัพเปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ก่อนจะหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมใส่เหมือนทุกครั้งเวลาอ่านหนังสือ วันนี้อาจารย์งดคลาสเพราะติดธุระทำให้เขามีเวลาว่างมานั่งอ่านหนังสือสบายๆคนเดียวในหอสมุด ส่วนคินกับปกป้องกลับหอไปตั้งแต่ที่รู้ว่ายกคลาสเพราะงานกลุ่มที่ทำพึ่งเสร็จสมบูรณ์เมื่อคืน สงสัยตอนนี้คงนอนหลับกันไปหลายตื่นแล้ว




   หนังสือถูกเปิดอ่านผ่านๆจากคนที่อ่านเนื้อหาซ้ำเป็นรอบที่สอง ฐานทัพทำแบบนี้เสมอกับทุกวิชาที่เรียน เขามักจะอ่านไม่ต่ำกว่าสองรอบเลยทำให้คะแนนของเขาอยู่อันดับต้นๆของชั้นปีเสมอ ทำจนกลายเป็นเรื่องปกติไม่ได้ดูว่ามันนักหนาจนเกินไป



   ถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเลือกเรียนคณะแพทย์ในตอนนั้นฐานทัพก็เป็นเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งที่มีผลการเรียนอยู่อันดับต้นๆของระดับชั้นมาเสมอจนวันหนึ่งที่เขารู้ตัวเองว่าเขาอยากจะเป็นอะไร




   วันที่สูญเสียคนที่รักที่สุดไปโดยที่เขาเองไม่สามารถทำอะไรได้




   เขารู้ดีว่าการที่สูญเสียคนที่รักที่สุดไปโดยที่ตัวเองได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆมันทรมานมากแค่ไหน วันนั้นที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเลือกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก ถึงแม้จะรู้ว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคนแต่เขาก็มุ่งมั่นและตั้งใจอย่างสุดความสามารถของตัวเอง เหมือนคำสัญญาสุดท้ายที่เขาให้ไว้กับผู้เป็นพ่อ



   ‘ผมจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้พ่อผิดหวัง’



   แม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จของเขาแต่ทุกอย่างที่ฐานทัพทำมาก็ถือเป็นการแสดงออกตามที่เขาเคยให้คำสัญญาไว้ ฐานทัพทำทุกอย่างออกมาได้ดีจนหาที่ติไม่ได้และนั่นคือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาสนใจแต่เรื่องเรียนจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เรื่องแฟนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฐานทัพไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว ที่เคยจำได้ก็มีแต่คนที่เคยเข้ามาคุยไม่นานก็หายไป เขาไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกว่าโลกเป็นสีชมพูเลยไม่แปลกที่เขาจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ยากกว่าคนอื่น




   ปฏิกิริยาเคมียังง่ายกว่าเข้าใจความรัก




   มือที่เปิดหนังสืออยู่หยุดชะงักลงเมื่อเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าคล้ายกับเนื้อหาของอีกคน คนที่เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ฐานทัพนึกวนกลับไปถึงตอนที่เขียนสรุปให้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาทำไปทำไม ทั้งๆที่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเขา




   พอคิดดูดีๆแล้วก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับเขามากไปอีก คนที่ไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกัน ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อนแต่ทำไมถึงเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาหลายครั้ง แม้จะพยายามไม่คิดแต่รอยยิ้มนั้นก็มักจะลอยเข้ามาในหัวของอยู่เสมอ




   ไม่เข้าใจจริงๆ…




   ฐานทัพจดเนื้อหาที่สำคัญลงไปในกระดาษที่เตรียมมาจดสรุปแยกพร้อมกับสายตาที่ไล่อ่านเนื้อหารวดเดียวก็สรุปได้ครอบคลุมทุกอย่างโดยที่ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเขาถูกจับจ้องด้วยสายตาของใครอีกคน




   บุ๋นที่มายืมหนังสือไปทำรายงานยืนแอบมองอยู่ที่มุมเสาไม่ไกลจากที่นั่งของหมอฐานทัพ ในมือถือหนังสือไว้สามเล่มพร้อมสมุดอีกหนึ่งเล่มที่เตรียมจะมานั่งอ่านพร้อมจดสรุป พอเห็นหมอฐานทัพนั่งอยู่ตรงนั้นเขาก็เลยยืนแอบดูเพลินจนลืมไปว่าตัวเองตั้งใจจะมาทำอะไร




   รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนยิ้มเก่ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่เขายิ้มออกมาเมื่อได้พบเจอหมอฐานทัพ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้เดินเข้าไปทักแต่การที่ได้เห็นแค่แผ่นหลังก็ทำให้เขาสุขใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้เขานึกย้อนกลับไปก่อนที่จะได้เจอหมอฐานทัพตัวจริงๆ เขาเคยอยู่ในจุดที่แอบติดตามหมอฐานทัพโดยที่ไม่เคยเจอตัวมาเกือบหนึ่งปี อยู่ในมุมที่เขาจะไม่ทำให้อีกคนอึดอัด มุมที่บุ๋นอยู่แล้วมีความสุขทุกครั้งที่เห็นความเป็นไปของอีกฝ่าย




   บางครั้งเขาก็เคยถามตัวเองว่าเขามาอยู่ในจุดๆนี้ได้อย่างไร จุดที่ได้ใกล้ชิดกับหมอฐานทัพมากกว่าที่เคยหวังไว้ จุดที่หมอฐานทัพเข้ามาเป็นทุกอย่างในชีวิตของเขา รอยยิ้มที่เห็นได้ยากแต่เขาก็ได้เห็นจากใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่แสดงอารมณ์อะไร คำพูดที่ดูธรรมดาแต่กลับเป็นคำพูดแสนพิเศษเมื่อหมอฐานทัพเป็นคนเปล่งเสียงออกมา แต่ก่อนเขาเคยคิดว่ายังไงเขาก็ต้องบอกความรู้สึกทั้งหมดให้หมอฐานทัพรู้และเขาต้องการให้หมอฐานทัพตอบกลับความรู้สึกของเขา แต่ในตอนนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป




   บุ๋นคิดว่าการที่เขาได้มาอยู่ในจุดที่หมอฐานทัพยอมเปิดให้เขา แม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่ามากกว่าตอนที่หมอไม่ยอมตอบข้อความ แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับคนที่ฝันลมๆแล้งๆอย่างเขา คนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของคนที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ตอนนี้เขามาไกลเกินสิ่งที่ฝันไว้มาก




   จนบางทีเขาก็คิดว่า…ไม่ต้องมีความสัมพันธ์ แค่ได้ดูแลกันแบบนี้ตลอดไปก็พอ




   ความรู้สึกที่เขามีให้กับหมอฐานทัพมันมากกว่าการประเมินค่าด้วยคำจำกัดความแค่คำๆเดียว ในตอนนี้ขอให้เขาได้ดูแลคนๆนี้ต่อไปนานๆและไม่มีใครเข้ามาแย่งหน้าที่ของเขาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว




   เขายืนมองคนตรงหน้าเพลินจนรู้ตัวอีกทีหมอฐานทัพก็ฟุบลงไปกับกองหนังสือเล่มหนานั่นทำให้รอยยิ้มของบุ๋นกว้างขึ้นกว่าเดิม เป็นเวลาเดียวกันกับคนที่นั่งตรงข้ามโต๊ะของหมอฐานทัพลุกออกไปพอดี บุ๋นรีบเดินไปตรงโต๊ะราวกับกลัวว่าจะมีคนมาแย่งตัดหน้า ข้อเท้าของเขาดีขึ้นกว่าวันศุกร์มากเลยทำให้เขาเดินได้เกือบจะปกติ




   หนังสือทั้งสามเล่มวางลงช้าๆ คนที่วางหนังสือค่อยๆยื่นหน้าผ่านที่กั้นโต๊ะเพื่อดูคนที่พึ่งฟุบหลับไป ดวงตาทั้งสองข้างที่หลับสนิทกับลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะทำให้บุ๋นหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมากดถ่ายรูปตรงหน้าอย่างห้ามใจไม่ได้ บุ๋นกดรัวภาพอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือตัวเองลงแล้วค่อยๆย่อตัวนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง เขากลัวว่าจะทำให้หมอฐานทัพตื่น




   ไม่ได้หวังให้หมอฐานทัพรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้…แค่อยากอยู่ในที่ที่หมอฐานทัพอยู่ก็เท่านั้น




   ตัวหนังสือในหนังสือเหมือนยานอนหลับสำหรับคนที่ไม่รักการอ่านอย่างบุ๋น บทแรกยังผ่านพ้นไปไม่ถึงครึ่งก็ทำเอาคนที่อ่านหาวเป็นรอบที่สาม บางทีเขาก็คิดว่าหนังสือไม่เหมาะกับคนอย่างเขาจริงๆ



   ง่วง…




   ไม่มีคำว่าฝืนสำหรับนายกิตติกร ไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นหน้าของเขาก็ฟุบลงกับหนังสืออย่างคนยอมแพ้ ทั้งๆที่เมื่อคืนก็นอนกลับมาเต็มอิ่ม ทำไมยังง่วง




   อืม…น่าสงสัยจริงๆ…




   หลังจากที่บุ๋นหลับไปได้ไม่นานคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ค่อยๆดันตัวลุกขึ้นมาหลังจากที่พักสายตาไปได้สักพัก ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทำให้ฐานทัพรู้สึกง่วงนอนอยู่บ่อยๆ บางทีในตอนนี้เขาคิดว่าเขาควรจะไปหากาแฟดื่มสักกระป๋องก่อนจะลุยอ่านหนังสือต่อ พอคิดได้แบบนั้นร่างสูงก็ดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ อาจเพราะความสูงของฐานทัพทำให้เขาเห็นคนที่ฟุบหลับอยู่ตรงข้าม




   บุ๋น…




   คนที่พึ่งตื่นหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะเผยออกมาเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้จำคนผิด ใบหน้าเกลี้ยงเกล้าที่ฟุบหลับอยู่กับปากกาเมจิกที่เปิดฝาทิ้งไว้ทำให้ฐานทัพถือวิสาสะเอื้อมมือไปค่อยๆดึงปากกาออกจากมือของบุ๋นก่อนจะหยิบปลอกปากกาที่วางอยู่ใกล้ๆกันขึ้นมาสวมปิดไว้เหมือนเดิม




   เปิดค้างไว้แบบนั้นหมึกก็แห้งพอดี




   ฐานทัพมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินลงไปหากาแฟดื่ม นี่พึ่งบ่ายสองกว่า เขากะว่าจะกลับหอสักทุ่มสองทุ่ม กลับไปเร็วก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี




   หอสมุดแอร์เย็นเสียงรบกวนก็น้อย




   ร้านน้ำที่แยกออกมาจากหอสมุดอยู่ไม่ไกลกันมากเลยทำให้มีผู้คนต่อแถวอยู่สองสามคน ฐานทัพเดินไปที่ตู้เย็นก่อนจะหยิบกาแฟกระป๋องที่ดื่มเป็นประจำออกมา ยังไม่ทันที่จะปิดประตูลงหน้าของใครอีกคนก็ลอยเข้ามาจนทำให้เขาเลือกที่จะหยิบกาแฟเพิ่มมาอีกหนึ่งกระป๋อง




   ซื้อไปฝากหน่อยก็ดี




   กาแฟกระป๋องหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ฐานทัพทิ้งกาแฟกระป๋องที่ดื่มหมดอย่างรวดเร็วลงถังขยะก่อนจะเดินเข้าหอสมุดเพื่อกลับไปอ่านหนังสือ หอสมุดความจริงไม่อนุญาตให้เอาของกินเข้าไปรับประทานแต่ถ้าเป็นพวกน้ำเปล่าหรือน้ำกระป๋องถือว่าอนุโลมได้เป็นพิเศษเลยทำให้เขาเดินเข้าไปโดยไม่ถูกห้ามจากเจ้าหน้าที่หอสมุด




   ชั้นสามยังคงเงียบเหมือนตอนที่เขาพึ่งมาถึง ฐานทัพเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองก่อนจะชะโงกหน้าดูอีกคนที่ยังคงฟุบโต๊ะหลับอยู่ ยังไม่ทันที่ฐานทัพจะทำอะไรคนตรงหน้าก็ทำท่าเหมือนกำลังจะตื่น




   กาแฟกระป๋องเย็นๆถูกแนบลงข้างแก้มของคนที่กำลังจะลืมตาทำให้คนที่ถูกกระตุ้นด้วยของเย็นเด้งตัวตื่นขึ้นมาทันที บุ๋นทำท่าเหมือนจะอ้าปากด่าแต่พอเห็นว่าใครเป็นคนทำคำพูดต่างๆก็ถูกกลืนหายไปหมด




   หมอตื่นมาตั้งแต่ตอนไหน…




   “ให้” ฐานทัพพูดสั้นๆก่อนจะวางกาแฟกระป๋องไว้ที่โต๊ะเขาแล้วย่อตัวกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง




   “ให้…” คนที่พึ่งตื่นทวนคำพูดงงๆก่อนจะอ้าปากค้าง




   หมอรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้…และเห็นว่าเขาแอบหลับ




   ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยย ความเท่ของมึงหายไปหมดแล้ว!!




   “ขอบคุณนะครับ” บุ๋นลุกขึ้นพร้อมเอาคางเกยที่กั้นโต๊ะไว้แล้วยิ้มให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งอย่างอารมณ์ดี




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะเงยหน้ามองเขา “กลับไปอ่านหนังสือ”




   “โหพี่…อ่านยังไม่จบบทแรกผมก็ไปเฝ้าพระอินทร์แล้วเนี่ย” บุ๋นบ่นกับนิสัยของตัวเอง เวลาอ่านหนังสือทีไรเป็นแบบนี้ทุกที




   “อืม อ่านไป” ฐานทัพหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมเตรียมจะอ่านหนังสือต่อ




   “ครับ ก็ได้” บุ๋นรับคำสั้นๆ




   ได้กาแฟมาก็คงตื่นกว่าเมื่อกี้ละวะ




   “ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม” ก่อนที่บุ๋นจะย่อตัวกลับไปนั่งที่เดินฐานทัพก็พูดต่อ “ถ้าเข้าใจจะสอน”




   “สอนหมดได้ไหมครับ ผมไม่เข้าใจอะไรเลย” บุ๋นเผยความเจ้าเล่ห์ออกมาแต่ครั้งนี้ฐานทัพไม่ได้หลงกลเขาเหมือนครั้งก่อนๆ




   “บุ๋น” น้ำเสียงนิ่งๆที่เรียกชื่อเขาทำเอาคนเจ้าเล่ห์ถึงกับหุบยิ้ม




   เจอหมอโหมดนี้ไปต่อไม่ถูกเลย




   “คร้าบบบ เข้าใจแล้ววว” บุ๋นลากเสียงก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้าไม่เข้าใจจะโผล่หน้ามาถามนะครับพี่”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจเมื่อบุ๋นยังไม่ยอมยื่นหน้ากลับไปแถมยังยิ้มให้เขาจนแทบจะไม่เห็นตาอยู่แล้ว “กลับไปนั่งที่”



   “อ่อ ครับ ได้ครับ” บุ๋นยิ้มอีกครั้งก่อนจะทำตามที่หมอฐานทัพบอก




   ฐานทัพถอนหายใจออกมาช้าๆ…ที่พูดไปเมื่อกี้เขาคงไม่ได้ตัดสินใจผิดใช่ไหม




   เวลาผ่านล่วงเลยไปกว่าสองชั่วโมงกับที่นั่งที่ถูกเปลี่ยนจากชั้นสามลงมานั่งชั้นสอง โซนนั่งอ่านกลุ่มที่หมอฐานทัพชวนเขามานั่งร่วมโต๊ะด้วยเพราะเห็นว่าถ้าปล่อยให้อ่านคนเดียวคงจะไม่เข้าหัวแน่ๆ แม้ว่าฐานทัพจะชอบชั้นอ่านเดี่ยวมากกว่าแต่ก็อดเห็นบุ๋นทำท่าเบื่อโลกแบบนั้นไม่ได้




   อีกไม่นานก็จะสอบมิดเทอมแล้ว



   “ตื่น” ปากกาที่อยู่ในมือเคาะหัวคนขี้เซาเบาๆ เป็นรอบที่ห้าที่ฐานทัพต้องคอยพูดคำเดิมๆกับการปลุกบุ๋นด้วยวิธีเดิมๆ




   “อ่านไปก็จำไม่ได้ ผมนอนให้ตัวอักษรซึมซาบเข้าสมองดีกว่า” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เขาคงไม่เหมาะกับตัวหนังสือเยอะๆจริงๆ




   “วิธีแบบนั้นมีจริงที่ไหนล่ะ” ฐานทัพส่ายหัว “ลุกขึ้นมาอ่าน”




   “ไม่ครับ ผมง่วง”




   “บุ๋น”




   “โหพี่…ผมง่วงจริงๆนะ”




   “บุ๋น” น้ำเสียงจริงจังที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองทำให้คนที่ฟุบอยู่กับแขนตัวเองค่อยๆดันตัวขึ้นอย่างขัดไม่ได้




   “ครับ ผมรู้แล้ว” บุ๋นพยักหน้าก่อนจะเปิดหนังสือหน้าที่อ่านค้างไว้แล้วเพ่งสายตาอ่านอีกรอบ




   เมื่อเห็นแบบนั้นคนที่หยุดอ่านหนังสืออยู่ก็เบาใจ ฐานทัพหันกลับไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อก่อนที่หางตาจะรู้สึกเหมือนหัวอีกคนกำลังจะทิ่มลงไปกลางหนังสือ



   ปึก!!!



   หน้าผากที่กระแทกเข้ากับฝ่ามือของอีกคนอย่างจังทำให้ลดความเจ็บปวดลงได้มากจากที่จะกระแทกเข้ากับหนังสือ ฐานทัพถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเขาเอามือไปรองรับไว้ได้ทันก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่รู้สึกตัว เขาค่อยๆดันมือตัวเองออกก่อนจะมองคนที่หลับตาอยู่พักหนึ่ง



   อีกสักพักค่อยปลุกก็ได้




   คิดแบบนั้นก็กลับไปสนใจเนื้อหาตรงหน้าต่อโดยที่ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มบางๆได้ปรากฏขึ้นบนมุมปากของอีกคนที่ไม่ได้หลับไปอย่างที่คุณหมอเข้าใจ บุ๋นค่อยๆหรี่ตามองคนที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือด้วยความรู้สึกที่รบกวนจิตใจไม่หยุด



   เมื่อกี้…เรียกว่าห่วงได้ไหมนะ



   จากที่คิดว่าไม่ง่วงก็กลายเป็นง่วงจริงๆ หลังจากที่แอบมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆปิดลงอย่างห้ามไม่ได้



   งีบสักพักค่อยตื่นมาอ่านต่อก็ได้…




   บทสุดท้ายที่ใช้สอบของวิชาที่สามจบลง ความล้าจากการมองตัวหนังสือเยอะๆทำให้ฐานทัพถอดแว่นตาที่ใส่อยู่ออกก่อนจะหลับตาลงช้าๆเพื่อพักสายตา วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ถ้าอ่านเยอะกว่านี้มีหวังเขาเบลอแน่ๆ พอคิดแบบนั้นหนังสือเล่มหนาก็ปิดลงพร้อมกับของที่เก็บใส่กระเป๋าเตรียมกลับหอก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าปล่อยให้คนตรงหน้าหลับนานเกินไปแล้ว




   สุดท้ายก็เหมือนบุ๋นมารอเขาอ่านหนังสือ




   “บุ๋น ตื่น” ฐานทัพเอื้อมมือไปเขย่าแขนคนที่นอนหลับอยู่ให้รู้สึกตัว เขาจะรู้ตัวไหมว่านอนหลับไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม




   “บุ๋น” เรียกชื่ออีกครั้งหลังจากไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากคนตรงหน้า




   “อืม…” เสียงตอบรับเอ่ยออกมาเบาๆ ร่างของเขาจะค่อยๆดันตัวลุกขึ้นมา บุ๋นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตาเพื่อปรับแสงให้อยู่ในสภาวะปกติ




   “ถ้าไม่อ่านก็กลับ” ฐานทัพเริ่มดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้ตั้งใจอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่จุดประสงค์ที่ชวนมานั่งอ่านด้วยกันก็เพื่อกระตุ้นบุ๋นแท้ๆ




   “ก็ผมไม่เข้าใจ” บุ๋นตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ยากจะตาย”




   “ถ้าบ่นว่ายากแล้วเมื่อไหร่จะได้” เขาถามกลับไปเสียงแข็ง “บอกว่าทำไม่ได้ พยายามเต็มที่รึยัง”




   “พี่…” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มดุอีกครั้งความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ก็หายไปในพริบตา บุ๋นกระพริบตาปริบๆพร้อมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ “โกรธผมหรอ”




   “เปล่า” ตอบกลับตามความจริง เขาไม่จำเป็นต้องโกรธอะไรอยู่แล้ว “แค่ไม่เห็นความพยายามในการอ่านหนังสือ”




   “ผมขอโทษ” บุ๋นเอ่ยอย่างคนรู้สึกผิด ไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อน “ผมจะตั้งใจอ่านแล้วก็ได้”




   “อืม แล้วแต่” ฐานทัพตอบนิ่งๆ “จะกลับแล้ว”




   “ผมรู้ว่าผมผิดแต่พี่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนนะ” เขาเอ่ยเสียงเบา พอเห็นหมอฐานทัพในโหมดนี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกทุกครั้ง จะปล่อยให้หมอกลับไปพร้อมอารมณ์แบบนี้เขาก็ยิ่งอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง




   อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้หมอเห็นว่าเขาตั้งใจจะอ่านแล้วจริงๆ



   “ทำไมต้องอยู่” คำถามที่ถามกลับมาทันทีทำเอาคนที่ฟังถึงกับชะงักเล็กน้อย




   “เพราะผมอยากให้อยู่” เมื่อโดนถามมาตรงๆเขาก็ตอบกลับไปตรงๆ



   อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจที่มีหมออยู่ใกล้ๆ




   “อย่าหลับอีก” ฐานทัพไม่ได้ตอบกลับมาตรงๆแต่คำพูดนั้นก็ทำให้บุ๋นเข้าใจทุกอย่าง ร่างสูงยืดหลังตรงก่อนจะพยักหน้ารัว




   “ครับ ไม่หลับแล้ว จะไม่หลับ” บุ๋นพูดพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถ่างตาตัวเองไว้




   “เพี้ยน” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ



   “หัวเราะแล้ว” แค่เห็นคนตรงหน้าหัวเราะก็ทำให้อีกคนคลายความกังวลเมื่อครู่ลงได้ คิดว่าหมอจะโกรธจนไม่ยอมอยู่ต่อซะแล้ว



   “อ่านหนังสือ”



   “ครับ อ่านแล้วครับ” บุ๋นดูกระตือรือร้นมากกว่าเดิม เมื่อโดนสั่งให้อ่านเขาก็อ่านตามที่ฐานทัพบอกโดยไม่มีท่าทีอิดออดเหมือนตอนแรก




   คนที่มีอำนาจเหนือกว่าในตอนนี้มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกพอใจ ใบหน้าของบุ๋นเวลาที่ดูจริงจังดูแปลกตากว่าทุกที ปกติจะเห็นเจ้าตัวเอาแต่ยิ้มไม่ก็ทำหน้าทะเล้น พอเห็นในมุมนี้ก็เหมือนได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น




   มีมุมจริงจังเหมือนคนอื่นเป็นเหมือนกัน




   “พี่ครับ ตรงนี้มันคืออะไรหรอครับ” หลังจากที่อ่านไปไม่ถึงสิบนาทีบุ๋นก็ต้องยอมแพ้ให้กับวิชาเคมีที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย




   ตอนที่เข้ามาเรียนคณะเกษตรก็คิดมาตลอดว่าไม่น่าจะเจอวิชาพวกนี้ ที่ไหนได้เขาคิดผิด วิชาส่วนมากที่ได้เรียนล้วนมีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นรวมไปถึงวิชาเคมีที่เขาต้องเจอในเทอมแรกนี้ด้วย




   “ไหน” ฐานทัพลากหนังสือส่วนที่บุ๋นชี้มาดูก่อนที่จะไล่อ่านตัวหนังสือที่ติดกันเป็นแถวยาว




   “ผมไม่เข้าใจว่ากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง”



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบดินสอที่พึ่งเก็บไปออกมาแล้วเริ่มอธิบาย “ดูตรงนี้…” คำอธิบายที่เข้าใจกว่าในหนังสือทำให้คนที่เกาหัวอยู่ร้องอ๋อขึ้นมาทันที



   “โห แค่นี้เองหรอ หนังสืออธิบายซะดูเหมือนยากเลย” บุ๋นพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้หมอฐานทัพ “ขอบคุณนะครับ”



   “อืม” เขารับคำสั้นๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับหูฟังก่อนจะเปิดเพลงสากลที่ชอบฟังไปพลางๆ



   บุ๋นที่พึ่งเข้าใจเนื้อหานั่งอ่านต่อไปได้สักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคุณหมอที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตาที่เหม่อมองมาทางเขาทำให้คนที่เงยหน้าถึงกับต้องเสมองไปทางอื่น แม้จะรู้ว่าหมอเหม่ออยู่แต่ก็อดใจเต้นกับสายตาที่มองมาไม่ได้




   อีกนิดเดียวส่งผมไปปั๊มหัวใจได้เลย



   “อะไรวะเนี่ย” เขาบ่นออกมาอีกครั้งเมื่อขึ้นหัวข้อใหม่ ทั้งๆที่มันก็สืบเนื่องมาจากเรื่องเก่าแต่ทำไมพอดูแบบนี้มันเหมือนคนละเรื่องกัน




   ไม่เข้าใจโว้ยยยยยย!!!




   “ไหน…ขอดูหน่อย” ฐานทัพที่เห็นท่าทางของคนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น เขาดึงหนังสือไปดูอีกครั้งก่อนจะถอดหูฟังออก “ดูนะ”



   “ผมโง่เนอะ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ” คำพูดของบุ๋นทำให้คนที่กำลังจะสอนหยุดคำพูดตัวเองไว้ก่อนจะเงยหน้ามองบุ๋นช้าๆ




   “ไม่โง่” เขาไม่เคยมองว่าคนที่ไม่เข้าใจจะเป็นคนโง่ “แค่ยังไม่เข้าใจ อธิบายก็เข้าใจแล้ว อย่าว่าตัวเอง” ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าคำปลอบใจได้ไหมแต่สำหรับฐานทัพมันถือเป็นกำลังใจเล็กๆที่เขาพยายามจะสื่อให้คนตรงหน้ารู้




   รู้ว่าเขาเชื่อมั่นในตัวบุ๋น




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆก่อนจะยิ้มบางๆ “ขอบคุณสำหรับกำลังใจ”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ “ตรงนี้ให้กลับไปดูเรื่องก่อนหน้า ที่บอกว่า…” บทเรียนดำเนินไปต่อสำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมา




   ฐานทัพเป็นคนที่อธิบายอะไรแล้วคนที่ได้ฟังมักจะเข้าใจโดยทันทีแต่กับบุ๋นเขาต้องอธิบายให้ละเอียดกว่าเดิมและใช้เวลามากกว่าเดิมเพื่อให้อีกคนค่อยๆคิดตามสิ่งที่เขาอธิบาย




   “บุ๋น”



   “ครับ?”




   “เลิกมอง” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาสบตาหลังจากที่สังเกตเห็นบุ๋นมองเขามาพักใหญ่ “ดูหนังสือ” นิ้วของเขาเคาะที่หนังสือเชิงเรียกสติคนตรงหน้า




   “อ่อ…ขอโทษครับ” บุ๋นยิ้มแห้งๆ “ผมลืมตัว”




   “อืม” เขารับคำสั้นๆก่อนจะพูดต่อ “อย่าลืมตัวบ่อย”




   “ครับ”




   “เดี๋ยวจะไม่รู้เรื่อง” คำพูดที่ไม่ได้แฝงความหมายอะไรไว้หากแต่ทำให้อีกคนคิดไปไกลจนหน้าแดง จู่ๆบุ๋นก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว




   ใช่…เขาไม่รู้เรื่อง เพราะเวลาได้เห็นหมอในอิริยาบทที่แปลกออกไปก็ทำให้เขามองเพลินจนไม่อาจละสายตาไปสนใจสิ่งอื่นได้




   หมอมีอิทธิพลกับตัวเขามาก…มากเกินไปแล้ว




   บุ๋นเอ้ยยยย สติโว้ยยยยยยยย!!!




   ป็อก!




   ปลายดินสอเคาะลงที่หน้าผากเขาเบาๆเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาสนใจสิ่งตรงหน้า ฐานทัพขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง




   “บุ๋น…จะให้สอนอยู่ไหม”




   “สอนครับสอน” คนที่พึ่งได้สติรีบตอบกลับทันที




   “ตั้งใจฟัง” ฐานทัพถอนหายใจ “เลิกเพ้อเจ้อ”




   “ครับ รู้แล้ววววว” บุ๋นลากเสียงยาวก่อนจะยิ้มออกมา




   เรื่องที่เพ้อเจ้อไม่พ้นเรื่องของ…หมอฐานทัพ




----------------------------------
100% มาแล้ววววววววว  :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 100%] 24/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 24-11-2016 20:48:35
งื้ออออออออ จะน่ารักกันไปไหน คุณหมอน่ารักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ชอบเรื้องนี้จังค่ะ ไปเรื่อยๆ แต่ตลอดเวลาละมุน ดีกับใจเหลือเกิน รอมาต่ออีกนะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 100%] 24/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 25-11-2016 08:16:52
โอ๊ยย หวีดแรงง
บุ๋นมีความเพ้อ แต่อยู่ใกล้คนที่ชอบเนอะ
ให้หมอเป็นติวเตอร์ส่วนตัวเลยยย

ละมุน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 50%] 26/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 26-11-2016 19:07:36

จีบหมอครั้งที่สิบสอง




   สัปดาห์สอบได้เวียนมาถึงไวอย่างกับโกหก บุ๋นยังรู้สึกเหมือนพึ่งเปิดเทอมเมื่อวาน ร่างที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือในหอกำลังขะมักเขม้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเพราะถึงเวลาที่ต้องจริงจังกับการอ่านหนังสือสอบมิดเทอมครั้งแรกในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งข้อสอบจากที่ได้ฟังมาจากรุ่นพี่ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยมัธยมเพราะเป็นข้อสอบอัตนัยซึ่งต้องใช้ความรู้อย่างกว้างขวาง ทำให้คนที่ขี้เกียจมาตลอดต้องกระตุ้นตัวเองมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ




   อีกเหตุผลหนึ่งคงจะหนีไม่พ้นวันที่หมอฐานทัพติวหนังสือให้…เขาไม่อยากให้เวลาของหมอต้องมาสูญเปล่ากับคนอย่างเขา




   “อะกาแฟที่มึงฝากซื้อ” สองที่พึ่งกลับมาจากแวะไปหาเสบียงตุนไว้ยามดึกวางถุงพลาสติกที่บรรจุกาแฟสองกระป๋องกับขนมปังหนึ่งถุงไว้บนโต๊ะของคนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่




   “เท่าไหร่ หยิบเงินในกระเป๋ากูไปเลย” บุ๋นยื่นกระเป๋าสตางค์ให้เพื่อนโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เนื้อหาที่กำลังอ่านเข้าหัว




   ตั้งแต่ที่หมอฐานทัพอธิบายให้ฟังอะไรๆก็ดูง่ายขึ้นกว่าเดิมสำหรับคนที่เข้าใจอะไรยากอย่างเขา บุ๋นขีดเน้นข้อความที่สำคัญก่อนจะจดเนื้อหาที่ควรจำแยกไว้ที่กระดาษเปล่าอีกแผ่น




   ปกติไม่เคยต้องมาทำอะไรยิบย่อยขนาดนี้มาก่อน




   “ดูมึงขยันกว่าปกตินะไอ้สี่” สองหันมาแซวก่อนจะนั่งประจำโต๊ะอีกฝั่งของห้อง




   “แน่นอน กูขยันแข่งไอ้สาม” บุ๋นแลตาไปที่ร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากที่อดนอนมาเกือบสองคืนกับงานที่ต้องเร่งส่งก่อนมิดเทอม




   บางทีก็แอบอิจฉาที่ไอ้สามไม่ต้องมีเนื้อหาให้อ่านเยอะๆเหมือนคณะของเขา แต่ถ้าเทียบกันแล้วการสอบของมันก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าคณะอื่นๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีฝีมือด้านศิลปะติดลบอย่างบุ๋นแล้วยิ่งยากเข้าไปอีก




   เขาคิดว่า…เกษตรคงเหมาะกับตัวเขามากที่สุดแล้วในตอนนี้




   พรึ่บ!



   จู่ๆไฟในห้องก็ดับลงพร้อมกับเสียงของห้องข้างๆที่ดังขึ้นมาราวกับว่าไม่ได้ดับแค่ห้องของเขาห้องเดียว บุ๋นหันไปมองหน้าสองก่อนจะเดินออกไปดูที่ระเบียงกลางของหอพักชาย หม้อแปลงที่อยู่หน้าหอมีควันพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นที่บ่งบอกว่าพึ่งมีการระเบิดของหม้อแปลงไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา




   “ชิบเอ้ย…” คนที่พึ่งขยันสบถออกมาอย่างหัวเสีย ทั้งๆที่ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบพรุ่งนี้ เขายังเหลือเนื้อหาอีกสองบทใหญ่ๆที่อ่านยังไม่จบ




   “เอาไงวะเนี่ย” สองดูหัวเสียไม่ต่างกัน ถึงแม้พรุ่งนี้จะสอบบ่ายแต่การที่ไฟดับในเวลาอ่านหนังสือแบบนี้ก็สร้างความเดือดร้อนไม่น้อย




   จะอ่านหนังสือในความมืดไม่ได้




   เสียงพูดคุยเริ่มดังจนกลายเป็นเสียงโวยวายของหลายๆชั้น พอมองดูแล้วทุกชั้นก็เกิดปัญหาเหมือนกันไม่ได้มีแค่ชั้นของเขาชั้นเดียว




   เอายังไงต่อไปดีวะ…




   “จุดเทียนอ่าน” บุ๋นพูดออกมาก่อนจะตบบ่าเพื่อน “กูว่าอีกชั่วโมงสองชั่วโมงไฟก็น่าจะกลับมา”




   “อืม เอาไงก็เอา” ในเมื่อหาทางเลือกไม่ได้ก็ต้องยอมเดินคอตกกลับเข้าห้องของตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า




   ไฟดับครั้งนี้ไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด อาจเพราะความเหนื่อยล้าทำให้สามไม่มีแรงที่จะตื่นขึ้นมารับรู้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น




   “โห เทียนอะไรมึงเนี่ย จะสุขสันต์วันเกิดใครหรอ” สองประชดเมื่อเห็นสี่เดินไปหยิบเทียนเล็กๆที่บรรจุไว้ในกล่องสีขาว




   “ก็ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้วะ มีให้ใช้ก็บุญแล้วมึง” บุ๋นตอบกลับก่อนจะเดินไปหยิบไฟแช็กที่ชั้นวางของมาจุดเทียนเพื่อให้ในห้องมีแสงสว่าง




   “กูว่าไม่ถึงสิบห้านาทีก็หมดแล้ว” สองส่ายหัว เขาคิดว่าเทียนแบบนี้ไม่น่าจะอยู่จนถึงไฟมา




   “เออ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มี” บุ๋นให้กำลังใจเพื่อนตัวเองก่อนจะจุดเทียนแล้วยื่นไปให้สองเพื่อเอาไปวางไว้ที่โต๊ะของตัวเอง




   แสงสว่างจากเทียนเล่มเล็กทำให้เขาพอจะอ่านหนังสือต่อได้แม้ว่าบรรยากาศภายในห้องจะเริ่มอบอ้าวเพราะไม่มีลมจากข้างนอกและลมจากพัดลม




   ร้อนว่ะ…




   มือข้างหนึ่งเช็ดเหงื่อส่วนมืออีกข้างเปิดหนังสือ บุ๋นรู้สึกเสียสมาธิมากกว่าเดิมหลังจากที่เขาไม่สบายตัวกับอากาศที่ค่อนข้างร้อน   




   “เชี่ย ไม่ไหวว่ะ ร้อนชิบ” สองบ่นออกมาก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อไปดูที่ระเบียงกลางอีกครั้ง




   อย่างน้อยข้างนอกอากาศก็ถ่ายเทสะดวกมากกว่าข้างในที่แย่งอากาศกันสามคน มองดูข้างล่างก็ยังไม่มีวี่แววของช่างที่จะมาซ่อมหม้อแปลงหน้าหอพัก




   “เออกูก็ไม่ไหว” บุ๋นพูดพร้อมกับเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเหงื่อบนใบหน้า




   อยู่ไม่ได้โว้ยยยย!!!!




   “ประกาศ ประกาศ” เสียงประกาศดังขึ้นจากลำโพงที่อยู่หน้าหอพักชาย “ขณะนี้เกิดเหตุขัดข้องทำให้ไฟฟ้าใช้การไม่ได้”




   “เออกูรู้แล้วครับ” สองถอนหายใจแรงๆ




   “ทางหอพักกำลังดำเนินการตามช่างซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบและซ่อมราวๆสามถึงสี่ชั่วโมง สำหรับผู้อาศัยหากมีความจำเป็นที่จะใช้ไฟฟ้าสามารถไปเข้าพักหอพักในกำกับมหาวิทยาลัยและหอพักชายตึกอื่นๆได้โดยทางหอพักได้ติดต่อประสานงานให้สามารถขึ้นหอพักได้ทุกที่โดยไม่มีข้อยกเว้นเนื่องจากเหตุสุดวิสัยนี้ ขออภัยในความไม่สะดวกทางหอพักจะรีบแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด ขอบคุณครับ”



   “เอางี้เลยหรอวะ” สองบ่นออกมาอีกครั้งหลังเสียงประกาศจบลง




   “เออ ก็คงต้องเอางั้น” บุ๋นถอนหายใจออกมาก่อนจะถามต่อ “มึงจะไปหรือจะรอ”




   “กูคงไปว่ะ เพื่อนกูอยู่หอถัดไป คงไปขออยู่กับมัน” สองตอบ “ไปกับกูปะ”




   “ไม่เป็นไร มึงไปอยู่ก็สี่คนแล้ว เพิ่มกูไปอีกคงอึดอัด” บุ๋นคิดก่อนจะถอนหายใจ “เดี๋ยวกูลองโทรถามไอ้เดชดู”




   “เออ งั้นเดี๋ยวกูไปปลุกไอ้สามก่อน”




   “อืมๆ” บุ๋นพยักหน้ารับก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาเดชที่อยู่หอพักในมหาวิทยาลัยเหมือนกันกับเขา




   หวังว่าจะได้…




   ( ไงมึง ) น้ำเสียงโหดทักทายเหมือนทุกครั้งที่บุ๋นโทรหา




   “หอกูหม้อแปลงระเบิดว่ะ ไปนอนหอมึงได้ปะวะ”




   ( เออได้ แต่ว่าจะมีเพื่อนมาขอนอนอีกสองคน )




   “รวมกูเป็นหกหรอวะ?”




   ( เออ แต่นอนได้ อัดๆกันเอา )   




   “อืม” บุ๋นรับคำสั้นๆ “งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกอีกที”




   ( เออๆ จะมาก็มาเลยไม่มีปัญหา )




   “ขอบใจว่ะ”




   โทรศัพท์ตัดสายไปก่อนที่บุ๋นจะกดโทรหาใครอีกคนที่น่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย หวังว่าไอ้หนึ่งจะมีที่นอนให้เขาได้นอนเพื่อผ่านค่ำคืนนี้ไป




   ( ไงไอ้สี่ ) คำทักทายประโยคเดิมๆดังขึ้นเมื่อเสียงสัญญาณดังไม่นาน




   “อยู่หอปะวะ กูจะไปนอนด้วย”




   ( เอออยู่ แต่จะมานอนทำไมวะ )




   “หอกูหม้อแปลงระเบิด ใช้ไฟไม่ได้ว่ะ”




   ( อืม ความจริงมึงจะมาก็ได้ แต่… ) เสียงถอนหายใจของหนึ่งดังขึ้นก่อนจะปรับเสียงให้เบาลง ( มีปัญหากับรูมเมทว่ะ )




   “อ่าวหรอ…เอาไงดีวะ” เขาเริ่มหมดหนทาง จะให้รอต่อไปสี่ชั่วโมงก็เสียดายเวลาเปล่าๆ




   คิดสิบุ๋นคิด




   ( มึงไม่มีรุ่นพี่หรือเพื่อนคนอื่นหรอวะที่พอจะไปขอนอนด้วยได้ )




   “เพื่อนมันก็มีแต่ห้องมันก็มีคนมาขอนอนเพิ่ม ส่วนรุ่นพี่กูไม่ค่อยรู้จัก…” ยังไม่ทันที่จะพูดจบความคิดหนึ่งในหัวก็แล่นขึ้นมา “เชี่ยยย กูคิดออกแล้ว!!!” บุ๋นร้องออกมาเสียงดังก่อนที่จะรู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังร้อนผ่าว



   ทำไมคิดไม่ได้วะ!!!!



   ( อะไรของมึงวะสี่ )




   “เออเปล่า ไม่เป็นไรมึงกูรู้แล้วว่าจะไปนอนกับใคร”




   ( ใครวะ )




   “รุ่นพี่” เสียงของบุ๋นอ่อนลงเมื่อพูดถึงรุ่นพี่ที่เขาคิดถึง “แค่นี้นะ เดี๋ยวกูไปเตรียมของ ขอบใจมากเพื่อนรัก” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะกดตัดสาย




   หัวใจของบุ๋นเต้นแรงขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อคิดว่าเขาจะไปขอนอนกับใครในคืนนี้ แม้จะยังไม่รู้คำตอบแต่นั่นก็คือหนทางสุดท้ายของเขาแล้ว




   หมอฐานทัพ




   แค่คิด…ก็เขินแล้วโว้ยยยยยยยยยย!!!!!!

.



   วันนี้เป็นอีกวันที่ไฟของหอพักนักศึกษาแพทย์สว่างเกือบทุกห้อง เป็นปกติที่ในช่วงสอบหอพักจะดูสว่างขึ้นกว่าปกติเป็นสองเท่าเพราะไฟจากทุกห้องที่เปิดรวมกัน ฐานทัพทิ้งกระป๋องกาแฟที่พึ่งดื่มหมดลงถังขยะข้างตัวก่อนจะเปิดหนังสือหน้าถัดไปหลังจากที่อ่านจบแล้ว




   วันพรุ่งนี้เป็นวันสอบวันแรกแต่เขาดันมีสอบวันที่สองเลยทำให้ไม่ต้องฝืนตัวเองมากจนเกินไป แต่การดื่มกาแฟมันเป็นกิจวรรคประจำวันจนเขาเลิกไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ดีแต่มันก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว




   เสียงเคาะประตูห้องด้านนอกดังทะลุมาถึงห้องเขา ปกติเวลาที่ข้างห้องพูดอะไรก็จะได้ยินถึงกัน ยิ่งเสียงเคาะประตูยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาได้ยินบ่อยจนชิน




   “ขอโทษนะครับ นี่ใช่ห้องพี่ฐานทัพรึเปล่า” เสียงที่ดังแว่วเข้ามาในห้องทำให้คนที่อ่านหนังสืออยู่ชะงักกึกก่อนจะตั้งใจฟังเสียงอีกครั้ง




   ก๊อกก๊อกก๊อก




   เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันเริ่มใกล้ห้องเขาเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่ถามก็เริ่มดังชัดเจนจนเขาไม่ต้องเดาว่าชื่อนั้นคือชื่อของใคร




   ฐานทัพ…ก็มีแค่เขาคนเดียว




   ก๊อกก๊อกก๊อก




   เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงจากห้องข้างๆซึ่งทำให้คนที่หยุดอ่านหนังสือแล้วตั้งใจฟังได้ยินทุกประโยคราวกับวนลูปซ้ำๆ




   “ขอโทษนะครับนี่ใช่ห้องพี่ฐานทัพรึเปล่า”




   เสียงที่ดังชัดเจนทำให้ฐานทัพค่อยเดินไปที่ประตู เสียงที่ตอบกลับจากห้องข้างๆทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกพูดตอบกลับด้วยประโยคเดิมหลังจากที่รู้ว่าไม่ใช่




   “ขอโทษนะครับ” บุ๋นพูดเป็นรอบที่สิบหลังจากที่เขาเดินวนหาห้องของหมอฐานทัพตั้งแต่ชั้นสองเพราะไม่เจอพี่ประจำหอทำให้ไม่รู้ว่าห้องของหมอฐานทัพอยู่ชั้นไหน




   เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่มีเลยต้องมาเดินตามหาทุกห้องราวกับเขาเป็นโรคจิต




   “ขอโทษนะครับนี่ใช่ห้อง…” ยังไม่ทันจะพูดจบประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของหมอฐานทัพในชุดนอนสบายๆกับแว่นตาที่สวมไว้พร้อมใบหน้าที่ดูสงสัยไม่น้อย




   ไม่สงสัยก็แปลก…




   “ขึ้นมาได้ยังไง” คำถามแรกที่หลุดออกจากปากหมอฐานทัพหากแต่ได้คำตอบกลับมาเป็นรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้า




   “นึกว่าจะต้องพูดคำเดิมๆไปถึงชั้นสี่ซะแล้ว” บุ๋นถอนหายใจด้วยความเหนื่อยก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า




   “มีอะไร”




   “ผมจะมาขอนอนด้วย” บุ๋นแจ้งความประสงค์ออกไปตรงๆทำเอาคนที่ไม่เข้าใจอยู่แล้วไม่เข้าใจขึ้นไปอีก




   จู่ๆมาบอกว่าขอนอนด้วย…อะไรของเขา




   “คือที่หอผมหม้อแปลงระเบิดเลยใช้ไฟไม่ได้ หอของเพื่อนคนอื่นก็มีคนขอนอนเยอะผมเลยไม่อยากจะไปอัดเพิ่มอีกคน” บุ๋นรัวยาว “ผมก็เลย…”




   “เลย?”




   “คิดถึงพี่” บุ๋นตอบกลับไปตรงๆก่อนจะยิ้มบางๆ




   “…” คำว่าคิดถึงที่สื่อออกมาอาจจะตีความไม่เหมือนกันทำให้คนที่ได้ยินอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะมองกระเป๋าที่บุ๋นสะพายอยู่




   เตรียมพร้อมขนาดนี้ ถ้าเขาปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายเกินไป




   “แต่ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับไปรอให้เขาซ่อมหม้อแปลงก็ได้” เมื่อเห็นว่าฐานทัพเงียบไปคนที่อยู่รอฟังก็รู้สึกใจแป้ว




   ไม่ได้บอกล่วงหน้าก็ไม่แปลกที่หมอจะไม่ให้เขานอนด้วย




   “อืม เข้ามา” ฐานทัพเบี่ยงตัวหลบ “คราวหลังถามพี่ประจำหอว่าห้องอยู่ไหน ไม่ต้องเดินเคาะทุกห้อง”





   “ก็พี่เขาไม่อยู่นี่ครับ” บุ๋นตอบ “ผมเห็นมีคนกำลังจะเข้าหอพอดีก็เลยเดินตามเข้ามาเลย”




   “อืม”




   “ถ้าพี่ให้เบอร์ผมตั้งแต่แรกผมก็คงโทรมาขอพี่ล่วงหน้าแล้ว” บุ๋นบ่นอุบอิบ




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ สิ่งที่บุ๋นพูดก็ถูก วันนั้นเขาไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไปเพราะคิดว่าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องโทร




   ทั้งๆที่ความจริงบุ๋นอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเขาก็ได้…อย่างเช่นตอนนี้




   “เอาไป” ฐานทัพหยิบโทรศัพท์มือถือที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้คนตรงหน้า




   “ครับ? ให้ผมทำไม”




   “เบอร์” ฐานทัพพูดสั้นๆ “คราวหลังจะได้โทร”




   “ครับ ได้ครับ ได้เลย” บุ๋นกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เขารับโทรศัพท์ของคนตรงหน้ามาถือไว้แล้วกดเลขทั้งสิบหลักลงไปพร้อมกับตั้งชื่อให้เสร็จสรรพก่อนจะกดโทรออกหาเบอร์ของตัวเองเพื่อเมมเบอร์ของฐานทัพไว้ในเครื่อง




   ฐานทัพยืนดูบุ๋นที่กดโทรศัพท์เขาด้วยสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะส่ายหัวนิดๆ บางทีเขาก็ไม่เข้าใจพฤติกรรมที่คนตรงหน้าแสดงออกมาสักเท่าไหร่




   “นี่ครับ” บุ๋นยื่นโทรศัพท์คืนให้เมื่อได้เบอร์โทรของหมอฐานทัพเรียบร้อยแล้ว




   “อืม” เขารับกลับไปก่อนจะพูดต่อ “เข้าห้อง”




   “ครับ!” บุ๋นดูตื่นเต้นกว่าทุกๆครั้ง อาจเพราะครั้งนี้เขาไม่ได้เจอกันตามสถานที่สาธารณะแต่เป็นสถานที่ที่หมอฐานทัพใช้ชีวิตอยู่ทุกๆวัน




   ถ้าได้เจอหมอแบบนี้ให้หม้อแปลงระเบิดทุกวันเขาจะไม่เดือดร้อนเลย




   ห้องสี่เหลี่ยมที่เล็กกว่าห้องของเขากับเพื่อนๆถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ของในห้องของหมอฐานทัพมีน้อยชิ้นจนดูเหมือนพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ กองหนังสือและกองเอกสารถูกวางอยู่ข้างๆโต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงนอนที่พับผ้าห่มไว้อย่างเป็นระเบียบ ทางเดินออกไปนอกระเบียงเล็กมีชั้นวางของเล็กๆที่ไว้ตากถ้วยชามและแก้วน้ำ ถัดไปอีกนิดมีหม้อหุงข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างๆกับกาต้มน้ำ




   ต่างกับที่เขาคิดไว้เยอะเลย…




   “มองอะไร” ฐานทัพที่เห็นบุ๋นมองอยู่นานถามขึ้นด้วยความสงสัย




   “ห้องพี่…” บุ๋นกวาดสายตามองไปรอบๆ “ต่างกับที่ผมคิดไว้เยอะเลย”




   “คิด?”




   “ครับ…ผมคิดว่าห้องพี่จะมีของเต็มไปหมดแต่ของห้องพี่น้อยกว่าห้องผมอีก” บุ๋นพูดก่อนจะหันมามองหน้าฐานทัพตรงๆ




   “อืม น้อยดีแล้ว” ฐานทัพตอบก่อนจะถอนหายใจ “ขี้เกียจย้ายของเยอะ”





   “ก็ไม่ต้องย้ายสิครับ” บุ๋นตอบกลับไปอย่างลืมตัวทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วทันทีที่คนตรงหน้าพูดออกมา





   “เมื่อกี้พูดว่า?”




   “เปล่าครับ” เขาปฏิเสธ “ผมอ่านหนังสือดีกว่า” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะวางกระเป๋าลงข้างเตียงแล้วย่อตัวนั่งลงไป




   เมื่อกี้เขาพูดอะไรออกไปทำไมเขาจะไม่รู้…มันเหมือนจิตใต้สำนึกที่เขารู้ดีว่าปีหน้าหมอฐานทัพจะต้องย้ายไปอยู่ฝั่งโรงพยาบาลและเขาจะไม่ได้เจอหมอฐานทัพบ่อยๆอีก




   ไม่อยากจะคิดถึงวันนั้นเลยจริงๆ




   ฐานทัพมองคนที่หยิบหนังสือออกมาอ่านอย่างตั้งใจก่อนจะเดินไปยกโต๊ะเล็กที่ใช้วางหม้อหุงข้าวกับกาน้ำมาเพื่อให้บุ๋นอ่านหนังสือสะดวกมากขึ้น




   “อ่านดีๆ เดี๋ยวปวดหลัง” เขาวางโต๊ะไว้ตรงหน้าคนที่ดูซึมผิดไปจากเมื่อครู่




   เป็นไบโพล่ารึไง




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นที่อารมณ์เปลี่ยนตอบกลับช้าๆแววตาเหม่อมองหนังสือแต่จับใจความไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว




   “เป็นอะไร” อาการที่ผิดไปจากเมื่อครู่ทำให้ฐานทัพตัดสินใจถามออกไป




   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้า “แค่คิดว่าปีหน้าพี่ต้องย้ายผมก็รู้สึกเหงา” อาจเพราะอยู่ในที่ส่วนตัวกว่าครั้งไหนๆทำให้บุ๋นพูดตามที่คิดออกมาอย่างลืมตัว




   “เหงา?” เขาทวนอย่างไม่เข้าใจ ฐานทัพย่อตัวนั่งลงตรงข้ามก่อนจะถามต่อ “ทำไมต้องเหงา”




   “ไม่รู้ครับ” บุ๋นตอบกลับไปตรงๆ เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้า “แค่รู้สึกว่าต้องเหงา”




   “อืม” คนที่ดูไม่เข้าใจพยักหน้าช้าๆ “ไม่ไกล ปั่นจักรยานเพิ่มอีกยี่สิบนาทีก็ถึง”




   “ครับ”




   “กลัวไม่มีคนติวหนังสือให้?” เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติคนที่ชวนคุยไม่เก่งอย่างฐานทัพถึงกับหาคำพูดเพื่อที่จะชวนอีกคนคุย




   “ครับ กลัวมากๆเลย” บุ๋นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแม้ว่าความจริงเขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ไม่อยากจะบอกหมอฐานทัพตรงๆ




   “ปีสี่คงไม่มีเวลา” เขาตอบไปตามความจริง จากที่เห็นรุ่นพี่ที่ย้ายไปฝั่งโรงพยาบาลเขาก็ได้รับรู้ว่าการเรียนอีกสามปีหลังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ





   “ใช่ครับ”




   “มาหา” ฐานทัพพูดสั้นๆ “เบอร์ก็มี”




   “ไปหาได้หรอครับ โทรได้หรอครับ?” คนที่ซึมเศร้าอยู่ตาประกายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคนตรงหน้าพูดออกมา




   “อืม” เขาตอบ “ทำไมจะไม่ได้”




   “งั้น…ขอบคุณล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะครับ” บุ๋นกลับมายิ้มเหมือนเดิมทำให้คนตรงหน้าเบาใจลง




   กลัวไม่มีคนติวหนังสือให้ขนาดนั้นเลยหรือไง




   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆเมื่อเห็นว่าคนที่หน้าบึ้งยิ้มออกมา





   ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาใส่ใจคนๆนี้มากขึ้น ทั้งๆที่แต่ก่อนเขาไม่เคยต้องมาใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ทุกครั้งที่เจอบุ๋น เขามักจะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำและไม่เคยคิดจะทำอยู่เสมอ




   เหมือนตอนนี้ที่ต้องการเห็นรอยยิ้มมากกว่าหน้าบึ้ง




   ไม่เข้าใจ





------------------------------------
มาแล้วจ้าาาา คิดถึงกันไหมมมมมมมม :mew1: :hao7: :hao6:

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 50%] 26/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 26-11-2016 20:55:20
คิดถึงที่สุด  :o8: :impress2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 50%] 26/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 27-11-2016 01:58:05
หม้อแปลงระเบิดนี้ก็ดีเนอะบุ๋น 555

พี่หมอซึนจริงๆ แสดงออกขนาดนี้
เอาใจช่วยบุ๋นนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 50%] 26/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 27-11-2016 08:51:55
หม้อแปลงระเบิดนี้ก็ดีเนอะบุ๋น 555

พี่หมอซึนจริงๆ แสดงออกขนาดนี้
เอาใจช่วยบุ๋นนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 50%] 26/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 28-11-2016 08:44:30
คิดถึงมากกกกกกกกก พี่หมอเริ่มผูกพันกับบุ๋นแล้วใช่มั้ย บุ๋นสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 100%] 30/11/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 30-11-2016 18:56:05
   “ผมซื้อกาแฟกับขนมปังมาฝากพี่ด้วยนะครับ” บุ๋นเปิดกระเป๋าหยิบถุงพลาสติกที่วางอยู่ออกมายื่นให้คนที่ทำท่าจะลุกกลับไปอ่านหนังสือ



   “ไม่เป็น…” ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธพอสบตากับคนที่บอกว่าซื้อมาฝากปากก็ดันพูดอีกอย่าง “อืม ขอบคุณ”



   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธเขาเหมือนทุกๆครั้ง




   เขาตั้งใจจะซื้อมาให้จริงๆ




   “งั้นผมอ่านหนังสือนะ” เมื่อหยิบอุปกรณ์เตรียมอ่านออกมาหมดแล้วก็เงยหน้าไปบอกคนที่กำลังจะเดินกลับโต๊ะ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า ยังไม่ทันที่จะหันกลับไปเขาก็พูดต่อ “พรุ่งนี้ไม่มีสอบ…ถ้าไม่เข้าใจก็เรียก”




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันกลับมาสนใจเนื้อหาตรงหน้าต่อ




   ถึงแม้ว่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่าการอ่านหนังสือแต่จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าเขาต้องอ่านให้จบเพื่อที่จะเอาความรู้ที่อ่านมาทั้งหมดไปสอบในวันพรุ่งนี้และไม่ทำให้คนที่ตั้งใจสอนเขาผิดหวัง




   ตั้งสติบุ๋น…ไม่เป็นไร กูเข้าใจ




   เข้าใจว่าอยากมอง…




   แต่ว่า…




   เออ ขอมองนิดนึงก็ยังดี




   หลังจากที่ทะเลาะกับตัวเองพักใหญ่บุ๋นก็ค่อยๆเงยหน้ามองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ แผ่นหลังกว้างที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่พอมองจากตรงนี้มันทำให้เขารู้สึกดีไม่ต่างกับตอนที่ได้พูดคุยกัน แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีประโยคใดๆหลุดออกมาจากปากของเขาทั้งสอง แต่แค่ได้มองหมอฐานทัพในทุกอิริยาบถก็มีความสุขมากแล้ว




   บางทีบุ๋นก็คิดว่า…เขาโรคจิต




   ถ้าจะโรคจิตก็เป็นโรคจิตที่ชอบทุกอย่างที่เป็นหมอฐานทัพแหละวะ…แค่หมอฐานทัพ




   บุ๋นยิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองก่อนจะกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง ถึงจะเริ่มรู้สึกหิวแล้วแต่พอเริ่มเข้าเนื้อหามันก็อ่านไปได้เรื่อยๆจนกระทั่งได้กลิ่นหอมๆลอยมาแตะจมูก




   ถ้วยมาม่าถูกวางไว้ข้างๆหนังสือพร้อมกับอีกถ้วยที่ถือไปวางไว้บนโต๊ะ บุ๋นมองการกระทำของหมอฐานทัพงงๆ ทั้งๆที่บรรยากาศรอบข้างก็ไม่ได้เสียงดังแต่ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยว่าหมอลุกไปต้มมาม่า




   “ให้ผมหรอครับ?” คนที่ปิดหนังสือลงเอ่ยถาม




   “อืม” ฐานทัพหันมาตอบ “ได้ยินเสียงท้องร้อง”




   “จริงหรอครับ” บุ๋นทำตาโต ถ้าเป็นเสียงท้องร้องทำไมจะไม่ได้ยิน เขาไม่ได้ตั้งใจอ่านจนไม่ได้ยินเสียงของร่างกายตัวเอง




   “ล้อเล่น” ฐานทัพตอบก่อนจะชี้ถ้วยมาม่า “กิน”




   “ครับกิน…แต่พี่ไม่มากินด้วยกันหรอครับ” บุ๋นยกหนังสือลงวางกับพื้น “ต่างคนต่างกินแบบนี้ดูใจร้ายเกินไปหน่อย”




   “หรอ” คนที่ไม่คิดอะไรรีบยกถ้วยมาม่ามาวางไว้ตรงหน้าบุ๋นทันที ปกติเขาก็ทำแบบนี้กับเพื่อนตลอดไม่เคยเห็นมีปัญหา




   ใจร้ายยังไง




   “ผมล้อเล่น” บุ๋นยิ้มนิดๆอย่างผู้ชนะก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆพี่ก็ยกมาแล้ว ก็กินตรงนี้กับผมเลย”




   “อืม” ฐานทัพที่พึ่งจะเข้าใจพยักหน้า “อ่านถึงไหน”




   “เหลือหนึ่งบทกับอีกครึ่งหนึ่งครับ” เขาเป่าไล่ความร้อนจากเส้นมาม่าก่อนจะพูดต่อ “แล้วพี่ล่ะครับ อ่านถึงไหนแล้ว”




   “จบแล้ว” ฐานทัพตอบ “วิชาอื่นเหลืออ่านทวน”




   “โห ทำไมไว”




   “เก่ง” เขาตอบกลับมากวนๆก่อนจะยิ้มมุมปาก “ล้อเล่น”




   “ถ้าไม่บอกว่าล้อเล่นผมก็เชื่อนะ” บุ๋นสบตาคนตรงหน้านิ่ง “เพราะพี่เก่งจริงๆ”




   “อืม” คนที่โดนชมตรงๆถึงกับไปต่อไม่ถูก ฐานทัพเป็นฝ่ายหลบตาแล้วกินมาม่าต่อ




   “พี่ไม่เหนื่อยหรอครับที่เรียนเยอะขนาดนี้”




   “เหนื่อย แต่ไหว” เขาตอบกลับ “หนักกว่านี้ก็ไหว…จบไปวิชาที่เรียนต้องเอาไปใช้กับผู้ป่วย ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น”




   “ครับ ผมรู้”




   “อืม แค่เห็นผู้ป่วยหายดีก็หายเหนื่อยแล้ว”




   “งั้นผมจะเป็นผู้ป่วยให้ไหมพี่จะได้หายเหนื่อย”





   “ไม่ต้อง” ฐานทัพตอบกลับทันที “ไม่เป็นอะไรดีแล้ว”




   “ทำไมครับ?”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงนิ่ง “เลิกถามแล้วกิน”




   “โหพี่…”




   “กินแล้วอ่านหนังสือต่อ” เขาพูดย้ำอีกครั้ง “เดี๋ยวนี้”




   ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาที่เขาจะต้องสั่งคนตรงหน้า อาจเพราะคำถามที่ถามเขามาตรงๆและเขาเองก็ไม่รู้คำตอบว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไร




   ที่ไม่อยากให้บุ๋นเป็นอะไรคงเป็นเพราะ…




   อืม เพราะอะไร




   การอ่านหนังสือล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งครึ่ง บุ๋นปิดหนังสือลงหลังจากที่อ่านจบทั้งหมดที่ต้องสอบก่อนจะหาวออกมาเพราะความเหนื่อยล้าและความง่วงที่กำลังคลืบคลานเข้ามา สายตามองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนโต๊ะตั้งใจอ่านหนังสือไม่ต่างไปจากสองชั่วโมงที่แล้ว รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นอีกครั้งกับคนที่แอบมอง แม้จะง่วงแต่ก็ไม่กล้าบอกเพราะเห็นท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจของหมอฐานทัพ บุ๋นค่อยๆบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้าก่อนจะวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ใช้อ่านหนังสือแล้วฟุบหน้าลงไป




   ขอพักสายตาสักพัก…




   ฐานทัพปิดปลอกปากกาลงเมื่อเขียนย่อเนื้อหาที่ใช้สอบเสร็จ เขาถอนหายใจออกมาช้าๆก่อนจะหันไปดูเวลาที่อีกไม่กี่นาทีก็จะตีสอง แว่นตาที่สวมอยู่ถูกถอดออกพร้อมกับมือที่ขยี้ตาเพื่อคลายความง่วง เขาปิดโคมไฟอ่านหนังสือลงแล้วลุกออกจากเก้าอี้เพื่อเตรียมตัวนอน สายตาของเขาหันมาสะดุดกับร่างที่ฟุบหน้านอนอยู่บนโต๊ะที่เขายกมาให้ ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะทำให้รู้ว่าคนตรงหน้านอนหลับสนิท ฐานทัพมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ




   เขากำลังยิ้ม




   รู้ตัวอย่างนั้นคนที่ปกติยิ้มยากถึงกับตกใจ ฐานทัพส่ายหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง อาจเพราะอ่านหนังสือมาหลายชั่วโมงเลยทำให้เขาเบลอๆ ร่างสูงละสายตาจากภาพตรงหน้าก่อนจะเดินไปเปิดตูเสื้อผ้าเพื่อหยิบผ้าห่มอีกผืนออกมาให้คนที่มาขอนอนด้วยกระทันหัน ดีที่เขามีผ้าห่มสองผืนไว้ผลัดเวลาต้องซัก




   “บุ๋น” ฐานทัพเดินไปสะกิดคนที่ฟุบหลับ “ขึ้นไปนอนบนเตียง”




   “…” ไร้เสียงตอบรับมีแต่เสียงลมหายใจของคนตรงหน้าเท่านั้น




   ลืมไปว่าตื่นยาก




   “บุ๋น บุ๋น” เขาเพิ่มแรงเขย่ามากกว่าเดิมหวังจะให้คนตรงหน้าตื่นขึ้นมา




   คงหลับลึกจริงๆ




   “บุ๋น ขึ้นไปนอนบนเตียง” ฐานทัพยังคงพยายามต่อไป “ตื่นก่อน”




   “อืม…” เสียงตอบรับเบาๆดังขึ้นก่อนที่ร่างของบุ๋นจะค่อยๆดันตัวขึ้นมาจากโต๊ะญี่ปุ่น ความรู้สึกแรกคือปวดหลัง เพราะโต๊ะที่ใช้อ่านมันเตี้ยกว่าตัวเขาเวลานั่งทำให้ต้องก้มลงไปเยอะกว่าเดิม




   ปวด…




   “ขึ้นเตียง” ฐานทัพพูดสั้นๆเพื่อให้คนตื่นยากขึ้นไปนอนบนเตียง




   “พี่นอนเถอะครับ ผมนอนพื้นได้” เสียงงัวเงียตอบกลับมา




   “ขึ้นเตียง” เขายังคงยืนยันคำเดิม




   “แต่ห้องพี่นะ”




   “ยังไม่ง่วง” ฐานทัพโกหกกลับไป




   ถ้าพูดแบบนี้แล้วจะทำให้อีกคนยอมขึ้นไปนอนง่ายๆเขาก็ยอม…ขี้เกียจเถียง




   “หืม? หรอครับ” คนที่ตาเหลือขีดเดียวถาม “งั้นถ้าพี่จะนอนปลุกผมนะ เดี๋ยวผมลงมานอนข้างล่างให้”




   อืม…ตัวเองปลุกง่ายมาก




   “ได้” เขารับปากกลับไป




   พอได้ยินอย่างนั้นบุ๋นก็พยักหน้าอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างกับที่พูดไปทั้งหมดคือการละเมอ พอหัวถึงเตียงสติเขาก็ดับลงอีกครั้งราวกับสั่งได้ ฐานทัพมองให้แน่ใจว่าบุ๋นหลับแล้วก่อนจะห่มผ้าให้บุ๋นแล้วเอาหมอนที่วางอยู่ข้างๆลงมาวางไว้ที่พื้นกับผ้าห่มประจำของเขา




   “ลืม” อยู่ๆเสียของบุ๋นก็ดังขึ้นอีกครั้งทำให้มือที่กำลังจะหยิบผ้าห่มบนเตียงชะงักลง




   “อะไร”




   “ฝันดีนะครับ…คร่อก”




   “อืม ฝันดี”




   ไม่รู้ว่าคำที่หลุดออกมาจากปากเป็นการละเมอหรือตื่นขึ้นมาบอกจริงๆแต่เพราะจิตใต้สำนึกบอกให้พูดออกมา แม้จะง่วงแต่ก็ฝืนพูดทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากฟังรึเปล่า




   แค่อยากบอก…ว่าฝันดี




   พอเห็นว่าบุ๋นหลับไปแล้วจริงๆฐานทัพถึงเดินไปปิดไฟที่เปิดอยู่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด เขาเดินกลับมาที่ข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ ดีหน่อยที่วันนี้ไม่ได้หนาวมากทำให้พื้นห้องเขาสามารถนอนได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาปู ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆหลับตาลงพร้อมความง่วงที่เริ่มคลืบคลานเข้ามา




   ทั้งๆที่รู้สึกง่วง…แต่กลับนอนไม่หลับ




   เหมือนมีคำถามต่างๆวิ่งวุ่นอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน ทั้งที่ปกติฐานทัพเป็นคนนอนหลับง่ายแต่ดันไม่ใช่กับวันนี้ เขารู้สึกง่วงแต่ข่มตานอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาก็ยังไม่ได้ผล




   สงสัยต้องนับแกะ




   ฐานทัพหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะใช้วิธีที่ตอนเด็กๆพ่อเคยบอกเขาอยู่บ่อยๆ ถ้านอนไม่หลับก็นับแกะทีละตัวแล้วจะค่อยๆง่วงหลับไปเอง




   แต่หากคืนนี้ภาพที่เขานับกลับไม่ใช่ภาพแกะ




   มันคือภาพของ…บุ๋น


.   

   แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องของนักศึกษาแพทย์ที่ยังคงนอนหลับสนิท เสียงนกร้องนอกระเบียงทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้นมา บุ๋นหรี่ตานิดๆเพื่อให้ดวงตาปรับแสงสว่างที่ส่องเข้ามา แขนทั้งสองข้างค่อยๆชันตัวลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกได้ว่า




   เขานอนอยู่บนเตียง




   หมายความว่า…




   บุ๋นค่อยๆชะโงกหน้าลงไปดูล่างเตียงช้าๆอย่างรู้สึกผิด ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าหมอฐานทัพต้องนอนอยู่ที่พื้น ทันทีที่เห็นร่างของหมอฐานทัพนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาทันที




   เขาจำได้ว่าเขาบอกหมอไปแล้วว่าให้ปลุก…ทำไมไม่ปลุก




   “พี่ครับ” บุ๋นสะกิดคนที่นอนหลับอยู่ “นอนบนเตียงเถอะครับ ผมตื่นแล้ว” พูดไปก็รู้สึกผิดในใจ




   ทำให้หมอฐานทัพลำบาก




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้น เขาหรี่ตาเพื่อปรับแสงจากข้างนอกก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้ตา




   “ทำไมพี่ไม่ปลุกผม นอนพื้นทำไม” บุ๋นถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ผมบอกให้ปลุกผมไง”




   “พูดมาก” ฐานทัพที่พึ่งตื่นตอบสั้นๆก่อนจะขยับตัวขึ้นมาอยู่บนเตียง “นอนล่ะ” พูดจบเขาก็ทิ้งตัวนอนลงไปไม่ตอบคำถามอะไรต่อ




   บุ๋นได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของหมอฐานทัพ เขาทำท่าจะลุกออกจากเตียงแต่แขนข้างหนึ่งของหมอพาดอยู่บนขาของเขา ทั้งๆที่จะลุกออกไปก็ได้แต่บุ๋นเลือกที่จะนั่งอยู่กับที่




   อืม…ตื่นมาแล้วเจอแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน



   แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่หมอนอนพื้นแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ บุ๋นนั่งอยู่บนเตียงต่อเกือบยี่สิบนาทีก่อนจะลุกออกมาเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับไปอาบน้ำแล้วออกไปสอบในเช้าวันนี้ เขาหวังว่าที่อ่านมามันจะออกสอบทั้งหมด





   ขอให้เป็นอย่างนั้น




   “พี่ครับ ผมไปก่อนนะ” พอเก็บของเสร็จหมดแล้วก็หันกลับมาบอกคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง เขาไม่ได้ต้องการให้หมอตื่นขึ้นมา แค่อยากจะบอก




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ ถึงจะสะลึมสะลือแต่ก็ได้จับใจความได้




   “นอนต่อเถอะครับ ถ้าปวดหลังบอกผมนะ เดี๋ยวผมไปซื้อยามาให้”




   “ไม่ปวด”




   “งั้นผมไปนะ”




   “อืม”




   “ครับ” บุ๋นรับคำแม้ว่าตัวเขาจะยังยืนรอฟังคำๆนึงอยู่




   เพราะเขาเชื่อว่าหมอฐานทัพจะต้องเรียก ‘บุ๋น’




   “บุ๋น”




   เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ คนที่ยืนรอฟังคำๆนี้อยู่ถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รอยยิ้มแรกของเช้าวันนี้ปรากฏขึ้นพร้อมน้ำเสียงของหมอที่เอ่ยออกมา




   “ตั้งใจสอบ” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่ง “ขอให้มั่วได้”




   “โหพี่…ไม่เชื่อว่าผมจะจำได้หรอ”




   “เชื่อ” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ “เลยไม่พูด”




   “ครับ” คำพูดที่แฝงความนัยไว้ทำให้บุ๋นยิ้มออกมาอย่างหุบไม่อยู่ “ผมจำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมั่วหรอก”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ถ้าตกเลี้ยงข้าว”



   “แล้วถ้าผ่านล่ะครับ?”




   “ก็ผ่านไง” ฐานทัพตอบกลับมากวนๆทำเอาคนที่ถามออกมาหัวเราะ




   “ถ้างั้น…ผมตกก็ได้ จะได้เลี้ยงข้าวพี่”




   “เดี๋ยวหมอนบิน” ฐานทัพพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับหมอนอีกใบที่ยังว่างอยู่ “ห้ามตก” เขาออกคำสั่ง แม้จะไม่จริงจังมากแต่ก็ถือว่าเขาห้าม



   เห็นความตั้งใจที่บุ๋นทำมาก็อยากจะช่วยลุ้นให้สอบผ่านไปได้ด้วยดี




   “ครับ ไม่ตกหรอก” บุ๋นยิ้มอีกครั้ง “ถ้าผ่านเลี้ยงมาม่าผมหนึ่งถ้วยนะ”




   “อืม” เขารับคำ “ให้สองถ้วยเลย”



   “โห มีเพิ่มให้ด้วย งั้นผมต้องได้รองท๊อปแน่ๆ”




   “ทำให้ได้” เขาหันไปมองหน้าบุ๋นก่อนจะพูดต่อ “กลับได้แล้ว เดี๋ยวสาย”



   “ครับ ขอบคุณสำหรับเมื่อคืนนะครับ” บุ๋นไม่ลืมที่จะพูดทิ้งท้าย “ถ้าหม้อแปลงระเบิดอีกผมจะมาหาพี่ใหม่นะ ถือว่าขออนุญาติแล้ว” พูดจบเขาก็ตรงดิ่งออกไปไม่รอให้ฐานทัพพูดอะไรต่อ   




   คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมประมวลคำพูดสุดท้ายก่อนที่บุ๋นจะออกไปแล้วขมวดคิ้ว




   เมื่อกี้…ถามความสมัครใจหรือแค่บอกให้รับรู้


------------------------------
 เม้นๆกันหน่อยยยยย  :hao5: :z3: :z10: :katai1: :mew5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 100%] 30/11/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 30-11-2016 20:45:36
หม้อแปลงระเบิดทุกวันไปเลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 100%] 30/11/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 30-11-2016 21:02:09
น่ารักกกกกกก  พี่หมอออ รีบรู้ตัวเองสักทีค่ะ เขินแทนบุ๋น :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [12: จีบหมอครั้งที่สิบสอง 100%] 30/11/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 30-11-2016 21:40:17
งั้นบุ๋นต้องไปทำลายหมอแปลงแล้ว จะได้มาอยู่ห้องหมอ 5555

เอาใจช่วยบุ๋นต่อไป
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 50%] 2/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 02-12-2016 18:12:51
จีบหมอครั้งที่สิบสาม


   บรรยากาศในห้องสอบเต็มไปด้วยความเครียดและความกดดันของนักศึกษาหลายคนที่พึ่งเจอข้อสอบมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก หนึ่งในนั้นคือเดือนคณะเกษตรที่ถอนหายใจเป็นรอบที่สี่ตั้งแต่เข้ามาอ่านข้อสอบ ความจริงเขาก็พอรู้แนวมาบ้างแต่ไม่คิดว่าข้อสอบจะประยุกต์เสียจนไม่เหลือเค้าโครงแนวเดิม คล้ายกับอาจารย์ไม่อยากให้นักศึกษาได้คะแนน




   นาฬิกาหน้าห้องบ่งบอกว่าใกล้จะหมดเวลาในการทำข้อสอบ บุ๋นเขียนความรู้ทุกอย่างลงไปในหน้าสุดท้ายแข่งกับเวลาก่อนจะวางปากกาลงแล้วเดินไปส่งข้อสอบหน้าห้องที่มีกรรมการคุมสอบนั่งอยู่สามคน




   เสร็จไปหนึ่งวิชา…




   แค่วิชาแรกยังรู้สึกเหมือนใกล้ตาย คิดไม่ออกเลยว่าวิชาอื่นๆจะเป็นยังไง




   โทรศัพท์มือถือถูกกดเปิดเครื่องหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบแล้ว หลายๆคนเริ่มทยอยกันออกมาเหลือก็แต่เพื่อนของเขาที่ยั่งนั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องสอบ มือข้างหนึ่งสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา ในใจก็อดเครียดไม่ได้กับข้อสอบที่เจอมา เขาไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้และเขาไม่มั่นใจเหมือนตอนแรกที่คิดไว้




   อาจเพราะเหม่อทำให้รู้ตัวอีกทีก็กดมือถือมาอยู่หน้าสมุดรายชื่อ บุ๋นค่อยๆเลื่อนดูรายชื่อในโทรศัพท์มือถือก่อนจะหยุดลงที่รายชื่อใหม่ที่เขาเป็นคนตั้งไว้เมื่อคืน




   อยากโทรหา…




   “ไงมึง” แรงตบที่บ่าทำให้คนที่กำลังเหม่ออยู่สะดุ้งสุดตัว มือดันกดพลาดไปโดนปุ่มโทรออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ




   ชิบหาย!!!




   กำลังโทรหา…คิดถึง




   “เชี่ยยย!!” บุ๋นอุทานเสียงหลงก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนงงอยู่ข้างๆ




   ใบหน้าของเดชมีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆแปะไว้ สีหน้าที่เครียดจากห้องสอบในตอนนี้หายไปเหลือแต่เพียงความงงกับสิ่งที่เขาทำ




   ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่วะ โมโหทำไม




   “อะไรของมึง”




   “เล่นอะไร กูตกใจหมด” คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะกดโทรบ่นใส่เพื่อนสนิทก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู




   ไม่ได้ตั้งใจจะโทร แต่ในเมื่อกดไปแล้ว…ก็ช่วยไม่ได้




   แย่จังเลย~




   เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่จนคนที่รอปลายสายรับเริ่มถอดใจ นิ้วกำลังจะกดวางสายแต่หน้าจอกลับเปลี่ยนเป็นเลขวินาที




   “ฮัลโหล…”




   ( ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ… )





   ถุ้ย!!!




   เสียงที่ได้ยินไม่เป็นดังที่หวังคนที่รอสายก็ถึงกับกดวางซ้ำๆแล้วถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ตั้งใจกดโทรไปแต่ก็หวังให้ปลายสายรับ




   ไม่ได้อยากได้ยินเสียงสัญญาณอัตโนมัติโว้ยยยยยย!!!





   “หงุดหงิดอะไรมึง” เดชที่ยังไม่ได้รับคำตอบถามซ้ำอีกครั้ง




   “หงุดหงิดทุกอย่าง” บุ๋นตอบก่อนจะเก็บมือถือใส่ในกระเป๋า




   “อะไรของมึงวะ” เดชไม่เข้าใจในความหมายของเพื่อน เขาไปทำอะไรให้หงุดหงิดขนาดนั้น “แล้วมึงจะไปไหนต่อ กลับเลยหรือว่าหาอะไรกิน”




   “กลับมั้ง กินอะไรไม่ลงแล้ว เจอข้อสอบแบบนี้”




   “ไม่เป็นไร กูเข้าใจ” เดชตบบ่าพร้อมพยักหน้า “งั้นไว้พรุ่งนี้เจอกัน”




   “เออ โชคดีนะมึง”




   “เออบาย” เขาโบกมือลาก่อนจะเดินลงบันไดไป




   บุ๋นเดินไปอีกทางที่จอดรถจักรยานไว้อยู่เพื่อเตรียมกลับหอ ตอนนี้ไฟที่หอกลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว ทั้งๆที่ความจริงเขาอยากจะให้มันเสียนานกว่านี้หน่อยแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นใจ




   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นจนทำให้เขาหยุดเดินเพื่อดูสายที่โทรเข้ามา ทันทีที่เห็นรายชื่อความหงุดหงิดที่มีอยู่ก็หายไปเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม


   
   คิดถึง



   รายชื่อที่แอบเมมไว้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งเจ้าของเบอร์ อาจจะดูเสี่ยวแต่มันเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเขา เพลงในสมัยเมื่อหลายปีก่อนทำให้เขาเลือกที่จะเมมชื่อหมอฐานทัพด้วยชื่อนี้




   ทุกครั้งที่โทรหาหมายถึง…กำลังคิดถึง




   ทุกครั้งที่หมอโทรมาหาหมายถึง…ความคิดถึงกำลังเดินทางมา




   “สวัสดีครับ ขอสายใครครับ” เสียงเก้ๆกังๆเอ่ยขึ้นเมื่อกดรับสาย รู้สึกมือเต็มไปด้วยเหงื่อ




   ปกติก็คุยกันบ่อย แต่ไม่เคยคุยโทรศัพท์ด้วยกันเลยสักครั้ง




   ( ขอสายคนโทร )




   “ผะ…ผมเอง ครับ” จะตะกุกตะกักทำไมวะบุ๋น!!




   ( ใคร ) ฐานทัพถามกลับมานิ่งๆ




   “น้องบุ๋นไงครับ”




   ( น้อง? ) ฐานทัพถามกลับ บุ๋นรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย




   น้องบุ๋น…แต๋วชะมัด พูดไปได้ไงวะ




   “บุ๋นเองครับ”




   ( อืม ว่าไง )




   “คะ…คือ มือมันไปกดโดน…แต่แบบว่า…ผม คือ”




   ( กำลังจะออกไปหาอะไรกิน ) ฐานทัพเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ ( หิวไหม )




   “หิวครับ!!!” ตอบกลับไปทันทีโดยลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ติดอ่างมากแค่ไหน บุ๋นยิ้มกว้าง หัวใจของเขาเหมือนมีเลือดเข้ามาสูบฉีดอีกครั้งหลังจากที่ผ่านสมรภูมิรบในห้องสอบมา




   ( อืม เจอกันที่ร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ )




   “ครับผม” บุ๋นตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ขาทั้งสองข้างรีบเดินลงบันไดเพื่อไปให้ถึงที่หมายตามที่หมอฐานทัพบอกไว้ให้เร็วที่สุด




   บุ๋นเดินผิวปากไปพร้อมกับเดินไปไขโซ่กุญแจจักรยานที่จอดอยู่หน้าตึกสอบ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาแน่นไปทั่วบริเวณ อาจเพราะเป็นวันสอบวันแรก




   จักรยานคันเก่งปั่นไปตามทางเพื่อไปหาจุดมุ่งหมายแห่งความสุข บุ๋นรู้สึกว่าหมอมีอิทธิพลกับตัวเขามาก ยิ่งเวลาที่เครียดๆแค่ได้ยินเสียงแค่ได้คิดถึงเรื่องทุกอย่างก็ดูเบาลงในทันที แบบนี้จะให้เขาห่างจากหมอฐานทัพได้ยังไง




   บุ๋นจอดรถจักรยานไว้หน้าร้านอาหารตามสั่ง สายตากวาดมองโต๊ะในร้านเพื่อหาร่างของอีกคนแต่ดูเหมือนคนที่เขาตามหาจะยังมาไม่ถึง บุ๋นเดินเข้าไปจองโต๊ะก่อนจะก้มหน้าฟุบลงไปอย่างคนหมดแรงอีกครั้ง




   คืนนี้จะได้นอนกี่โมงวะเนี่ย…




   ฐานทัพที่มาถึงหลังจากบุ๋นไม่กี่นาทีเดินตรงมายังโต๊ะที่เห็นคนที่มาถึงก่อนชัดเจน เขาเดินตรงเข้ามาอย่างไม่ลังเลก่อนจะลากเก้าอี้ตรงข้ามนั่งแล้วมองสภาพคนตรงหน้าเงียบๆ




   หมดสภาพจริงๆ




   “กินอะไร” เขาถามไปสั้นๆแต่กลับทำให้คนที่ฟุบอยู่เด้งตัวลุกขึ้นมาทันที




   “ครับ กินครับ!!!” บุ๋นตอบอย่างกระตือรือร้น




   “รู้ว่ากิน กินอะไร” ฐานทัพถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เข้าใจคำถาม ดูก็รู้ว่าเหนื่อยและเพลียมาทั้งวันแต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งมาให้เขาเสมอ




   เหมือนทุกๆครั้ง




   “พี่สั่งก่อนเลยครับ” บุ๋นยื่นเมนูให้ก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อหาวไล่ความง่วง




   “เดี๋ยวสั่งให้” เขาสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินไปสั่งอาหารหน้าร้านโดยไม่รอฟังเมนูอาหารจากอีกคน




   บุ๋นมองตามร่างสูงที่เดินไปสั่งพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าสองแก้ว ฐานทัพวางแก้วน้ำที่เย็นจัดบนแขนบุ๋นจนถึงกับต้องชักแขนหนีก่อนจะมองรอยยิ้มของหมอที่ดูสนุกกับการได้แกล้งเขา





   อย่ายิ้มเลยหมอ…แค่หน้าปกติหัวใจผมก็เต้นผิดไปหลายจังหวะแล้ว





   “ดีขึ้นไหม” ฐานทัพนั่งลงอีกครั้งแล้วถามคนตรงหน้า





   “ดีมั้งครับ เย็นจัดขนาดนี้”





   “สอบเป็นยังไง”





   “พลังหมด” บุ๋นทำท่าจะฟุบหลับอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อกี้ไม่ได้ง่วงนอนแต่พอมาเห็นหน้าหมอฐานทัพแล้วมันรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนไม่ต้องการอะไรอีกนอกจากได้นอนพัก




   “เงยหน้าขึ้นมา” ฐานทัพออกคำสั่ง




   “ขอสิบนาทีนะพี่”




   “บุ๋น” เขาเรียกเสียงนิ่ง “เงยหน้า”




   “ครับๆ เงยครับ” คนที่อ่อนแรงเต็มทีค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง




   แปะ!





   ฝ่ามือของหมอฐานทัพวางทับอยู่บนหน้าผากของเขาทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา ความเย็นจากมือของหมอส่งต่อมายังประสาทรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี




   รู้สึกดีแปลกๆ…





   “ชาจพลัง” ฐานทัพพูดสั้นๆ





   “ครับ?” อีกคนกลับไม่เข้าใจ




   “เห็นคินทำกับแฟนบ่อยๆ”





   “…”





   “แล้วพูดว่า…ชาจพลัง”





   เขาเห็นคินทำอยู่บ่อยๆจนชินตา ทุกครั้งที่เห็นคินทำแฟนมันก็ดูมีพลังขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าได้รับพลังจริงๆหรือเป็นการอุปทานขึ้นมาเอง




   “ทำบ่อยๆกับแฟนหรอครับ” บุ๋นถามก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ใบหน้า




   แฟน…




   “อืม แฟน”




   คนที่ไม่ได้คิดอะไรตอบกลับไปหน้าตาเฉย โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองมีอิทธิพลกับคนตรงหน้าที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากความเหนื่อยล้าเป็นความสดใส




   จาก…พลังที่หมอส่งมาให้




   “งั้น…พี่คงต้องชาจพลังให้ผมบ่อยๆแล้วล่ะ”




   “ไม่” ฐานทัพปฏิเสธ “เดี๋ยวไม่ได้ผล”




   “ครับ” บุ๋นไม่ได้พูดอะไรต่อมีเพียงแต่รอยยิ้มที่ส่งให้คนตรงหน้า




   หมอจะรู้ไหมว่าทุกอย่างที่หมอทำมันได้ผลกับเขาเสมอ แม้ว่าความจริงสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากแต่มันก็ทำให้บุ๋นรู้สึกดี…เพราะคนที่ทำให้คือคนสำคัญของเขา




   ฐานทัพดึงมือกลับไปหลังจากที่เห็นคนตรงหน้ากลับมายิ้มเหมือนเดิม พอเห็นรอยยิ้มนี้แล้วรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะแม้บุ๋นจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากลับเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันสามารถเพิ่มพลังให้คนตรงหน้าได้จริงๆ




   วิธีของคินได้ผล




   อาหารมาเสริฟหลังจากที่สั่งไปได้พักใหญ่ ฐานทัพยื่นจานราดหน้าไปตรงหน้าคนที่เอาแต่นั่งยิ้มก่อนจะส่งช้อนส้อมให้ คนที่เห็นจานราดหน้าทำตาโตก่อนจะมองคนตรงหน้าอึ้งๆ




   หมอจำได้…




   “ทำไม” ฐานทัพขมวดคิ้ว “ไม่ชอบหรอ?” เขาจำได้ว่าบุ๋นเคยสั่งให้เขาครั้งแรกที่ไปกินข้าวด้วยกัน ก็เลยเลือกเมนูที่บุ๋นเคยทานเพราะคิดว่าน่าจะชอบกิน




   หรือว่าเขาคิดผิด




   “เปล่าครับ” บุ๋นรีบส่ายหน้า “ผมชอบมากต่างหาก…แต่ไม่คิดว่าพี่จะจำได้”




   “จำได้” คนที่คิดไปไกลแอบถอนหายใจนิดๆ “ปกติก็เห็นกินอยู่ไม่กี่อย่าง เลยเดาว่าน่าจะชอบราดหน้า”




   “รู้ใจผมด้วย”




   “อืม เก่ง” ฐานทัพตอบกลับไปอย่างคนไม่คิดอะไรโดยไม่รู้เลยว่าความหมายที่บุ๋นต้องการสื่อในคำพูดนั้นมันลึกซึ้งกว่าที่เขาคิดไว้




   “พี่อ่านใจผมออกหรอ”




   “ไม่” เขาปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ใช่หมอดู”




   “แต่เป็นหมอฐานทัพใช่ไหมครับ” บุ๋นยิ้มบางๆ




   หมอฐานทัพ…ของบุ๋น




   “อืม” เขาพยักหน้าแล้วตอบกลับมาเสียงเบาเพราะข้าวที่เคี้ยวอยู่เต็มปากทำให้พูดไม่สะดวก




   เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอเมื่อได้อยู่กับคนที่ทำให้ยิ้มได้ตลอดเวลา บุ๋นรวบช้อนส้อมหลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ความจริงก็อยากจะกินให้นานกว่านี้แต่ไม่อยากทำให้อีกคนเสียเวลา




   ทำไมเวลาสอบไม่ผ่านไปไวๆแบบนี้บ้างวะ




   “พี่จะไปไหนต่อครับ” คนที่ไม่อยากกลับหอถามขึ้น บุ๋นหวังแค่จะได้อยู่กับหมอฐานทัพให้นานกว่านี้





   นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคเสพติดหมอฐานทัพ ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งมีความสุข ไม่อยากจะไปไหนไกล อยากจะอยู่กับหมอนานๆ แต่ก็ไม่อยากทำให้หมออึดอัดใจ เขาเลยต้องพยายามห้ามตัวเองในการกระทำที่ไม่ควรทำ




   ซึ่งบางทีมันก็ห้ามยาก




   “หอสมุด”




   เป็นปกติของฐานทัพที่มักจะไปใช้บริการหอสมุดในการอ่านหนังสืออยู่เสมอเพราะความสะดวกสบายและความเงียบที่เขาต้องการ เสียงรบกวนน้อยกว่าอ่านที่หอพักนักศึกษา แม้ว่าในบางชั้นของหอสมุดจะมีเสียงรบกวนบ้างแต่ไปนั่งตากแอร์ก็ยังดีกว่านั่งอ่านหนังสือกับพัดลม




   “ผมไปด้วยดิ อยากไปนอนแอร์เย็นๆ”




   “อืม นัดคินกับป้องไว้” ฐานทัพเตรียมจะลุกไปจ่ายเงิน “ไปได้”




   “พี่คินหรอ…” บุ๋นถึงกับชั่งใจเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนสนิทหมอฐานทัพ




   ความจริงเขาไม่มีปัญหาอะไรแต่กับพี่คินเขาไม่มั่นใจ เพราะครั้งที่เคยเจอกันเหมือนพี่คินจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับหมอฐานทัพและมันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาไปกับหมอในวันนี้





   ไม่อยากให้ความแตก…ไม่อยากให้หมอฐานทัพรู้สึกอึดอัด




   “ผมไม่ไปดีกว่า ไปก็กวนพวกพี่เปล่าๆ”




   “ตามใจ” ฐานทัพพยักหน้า เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ในเมื่อบอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลให้มากความเพราะเขารู้ว่าบุ๋นก็มีเหตุผลของบุ๋น




   “อ่านหนังสือเผื่อผมด้วยนะ”




   “อ่านเผื่อได้หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ




   “ได้สิครับ อ่านแล้วก็ชาจพลังให้ผมแบบเมื่อกี้” บุ๋นยิ้มกว้าง




   อยากแบตเสื่อมจะได้โดนชาจพลังบ่อยๆ





   “คนขี้เกียจ” แม้จะพูดเชิงตำหนิแต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกแย่ กลับกันยิ่งทำให้บุ๋นยิ้มกว้างกว่าเดิม





   อย่างน้อยในคำพูดนั้นก็มีรอยยิ้มเล็กๆของหมอให้เขาได้เห็น




   ชื่นใจว่ะ





   ทั้งสองเดินออกมาจากร้านหลังจากจ่ายค่าอาหารเสร็จ บุ๋นเดินช้าลงกว่าปกติ อาจเพราะเขายังรู้สึกไม่อยากกลับไปอ่านหนังสือต่อถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีสอบ




   บุ๋นอยากอยู่กับหมอ…




   “เดินจงกรม?” ฐานทัพหันมาถามเมื่อเห็นบุ๋นเดินช้าราวกับคนเดินสมาธิ





   “โหพี่” บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะรีบเดินมาหยุดอยู่ข้างๆหมอฐานทัพ “ผมแค่ยังไม่อยากกลับไปอ่านหนังสือ”





   “อ่านซะ” เขาตอบกลับ “สั่ง”





   “โห เดี๋ยวนี้สั่งผมเลยหรอ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ทำไม”




   “เปล่าครับ อ่านครับบบบ~” บุ๋นลากเสียงยาวอย่างคนอารมณ์ดี




   ถึงจะไม่อยากอ่านหนังสือแต่ในเมื่อโดนสั่งมาจากคุณหมอฐานทัพ มีเหรอที่คนอย่างบุ๋นจะไม่ทำให้ แม้จะขี้เกียจอยู่มากแต่ก็จะทำ




   ไม่ทำให้หมอผิดหวัง




   แต่เรื่องคะแนนไม่เกี่ยวกัน…อันนั้นตามบุญวาสนาที่ทำมา




   “พรุ่งนี้พี่ตั้งใจสอบนะครับ สู้ๆ ผมเชื่อว่าพี่ทำได้” บุ๋นชูกำปั้นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง




   “ขอบคุณ” ฐานทัพเลือกที่จะพูดคำว่าขอบคุณแทนคำตอบรับแบบเดิมๆ เขายิ้มนิดๆก่อนจะพูด “ตั้งใจเหมือนกัน”




   “ครับ ผมจะตั้งใจนะ”




   “ดีมาก”





   “ไม่ชาจพลังแล้วหรอ” เขาถามอย่างเด็กนึกเสียดาย ถึงหมอทำวันละสิบรอบเขาก็ไม่เบื่อ กลับกันเขายิ่งชอบ




   “พอ” ฐานทัพส่ายหน้า “เดี๋ยวไม่ขลัง”




   “โหพี่…พูดซะเหมือนหมอปลุกเสก”




   “ไม่ใช่…นี่หมอฐานทัพ”





   “ครับ” บุ๋นยิ้ม “นี่ก็บุ๋น” เขาชี้มาที่ตัวเอง




   “จะไปละ” ฐานทัพเตรียมจะขึ้นรถจักรยานปั่นออกไปหลังจากที่ยืนคุยกันมาได้สักพัก




   “มาๆ เดี๋ยวผมชาจพลังให้พี่” บุ๋นยื่นมือทำท่าเลียนแบบฐานทัพที่ทำกับเขาแต่หมอฐานทัพเอี้ยวตัวหลบมือของเขาก่อนที่จะโดนหน้าผาก




   “บุ๋น” เสียงดุๆที่เรียกทำเอาคนขี้เล่นแอบสะดุ้ง





   “ผมขอโทษครับบบ~”




   “อืม ไปละ”





   “เจอกันพรุ่งนี้นะครับ เดี๋ยวผมซื้อแครอทไปให้”




   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ “อย่าลืมนะ”





   พอได้ยินคำว่าแครอทคนที่ชอบกินเป็นชีวิตจิตใจถึงกับตาเป็นประกาย ฐานทัพย้ำบุ๋นเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดให้ดีใจเล่น ทั้งที่แครอทก็หาซื้อได้ตามทั่วไป แต่เขากลับรอแครอทจากบุ๋น แม้รสชาติไม่ได้แตกต่างกัน แต่กลับรู้สึกว่ามันต่าง




   อาจเพราะ…




   ฟรีมั้ง




-------------------------------------------------
มาแล้วจ้าาา คิดถึงกันไหมมมมมม >______<  :z2: :z3:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 50%] 2/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 02-12-2016 21:09:42
เพราะฟรี5555555555หมอจะน่ารักไปไหนเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 50%] 2/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 02-12-2016 21:24:09
 หมออออออออ รู้ตัวสักทีค่ะ เราลุ้นจนเหนื่อย หมอซึนมากอะ 5555 น่ารักได้อีก มาต่อเร็วมากเลย ขอบคุณคนเขียนนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 03-12-2016 20:55:23


   หอสมุดถูกจับจองเต็มทุกโต๊ะแม้ว่าบางโต๊ะจะไม่มีคนนั่งแต่ก็มีของวางอยู่เต็มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีคนจอง ดีที่คินกับปกป้องมาจองที่ไว้ก่อนเลยทำให้ไม่ต้องเดินหาโต๊ะว่างให้วุ่นเหมือนหลายๆกลุ่มที่ตั้งใจเข้ามารับแอร์เย็นๆและบรรยากาศสงบๆในหอสมุด



   “ไง มาสายนะไอ้หมอ” คินที่พึ่งถอดแว่นตาหันมาทักผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาถึงโต๊ะ




   “กินข้าวมา” ฐานทัพตอบพร้อมวางหนังสือที่ถือเข้ามาอ่านไว้ข้างๆปกป้องที่มีที่นั่งว่างอยู่




   “อ่ออออออ”




   “เลิกอ่อแล้วอ่านต่อ” ปกป้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมาบอกเสียงนิ่ง จะสอบวันพรุ่งนี้อยู่แล้วไอ้คินยังอ่านไปได้รอบเดียว




   “เออรู้แล้วครับไอ้เพื่อน” พอโดนดุคนที่กำลังมีความสุขก็กลับมาทำหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง แม้จะรู้สึกลายตาแต่ก็ต้องหยิบแว่นขึ้นมาสวมใส่เพื่ออ่านหนังสือต่อ




   ง่วง




   “วันนี้อยู่ถึงดึกเลยปะ” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่กำลังจัดเตรียมของออกมาเพื่อจดสรุป




   “ได้หมด”




   “อืม ถ้าดึกมากเดี๋ยวกูขับรถไปส่งมึงที่หอ”




   “อืมๆ” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อตั้งโหมดปิดเสียงและปิดการแจ้งเตือน




   หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏข้อความใหม่ที่ส่งเข้ามาที่เบอร์ของเขาเมื่อสามนาทีที่แล้ว ข้อความสั้นๆแต่หากทำให้คนที่อ่านยิ้มออกมาบางๆ




   จาก…คนส่งแครอท
   พี่อยากได้แครอทหรือเบบี้แครอทครับ? ผมจะได้ซื้อไปให้ถูก
   ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ อย่ามัวแต่คิดถึงแครอทล่ะ :)




   ชื่อที่พึ่งเมมเข้าเครื่องเมื่อวาน มองแค่ปราดเดียวก็รู้เลยว่าชื่อนี้หมายถึงใคร แม้ว่าจะเมมชื่อแบบธรรมดาก็ได้แต่ฐานทัพเลือกที่จะเมมต่างออกไป



   เพราะ…บุ๋นเหมาะกับชื่อนี้จริงๆ




   “ยิ้มไรวะ ทำตัวแปลกๆนะไอ้หมอช่วงนี้” คินที่ยังไม่มีสมาธิกับหนังสือตรงหน้าทักขึ้น




   “ยุ่ง” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆ




   “โอเคครับ เพื่อนคินขอโทษ” คินหัวเราะออกมานิดๆก่อนจะก้มลงไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ





   ฐานทัพพิมพ์ข้อความกลับไปสั้นๆก่อนจะกดส่งไปแล้วปิดมือถือลงหลังจากที่ตั้งค่าปิดเสียงปิดการแจ้งเตือนเสร็จหมดแล้ว



   
   จาก…คิดถึง
   เบบี้แครอท





   ข้อความสั้นๆที่ตอบกลับมาหากแต่ทำให้ผู้อ่านยิ้มกว้าง บุ๋นไม่คิดว่าหมอฐานทัพจะตอบกลับมา เขาก็แค่ลองส่งไปถามทั้งๆที่ความจริงเขาตั้งใจจะซื้อไปให้หมอฐานทัพทั้งสองแบบ




   อืม…งั้นซื้อเบบี้แครอทก็ได้



.


   ข้อสอบวันนี้ค่อนข้างดีกว่าเมื่อวานในการทำความเข้าใจ บุ๋นเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับรอยยิ้มต่างจากวันแรก เขารู้สึกว่าเขาทำได้และมั่นใจกว่าวิชาเมื่อวาน ขาทั้งสองข้างก้าวไปที่ร้านขายของที่คณะของตัวเองเพื่อซื้อแครอทให้อีกคนตามสัญญา




   เขาไม่ลืม จำได้แม่นยำ




   “เบบี้แครอทวันนี้เหลือถุงเดียวพอดีเลยค่ะ” พนักงานที่เห็นหน้าบุ๋นบ่อยจนจำได้เอ่ยทักทายเมื่อเห็นร่างของบุ๋นเดินเข้าร้าน




   “เกือบมาไม่ทัน” บุ๋นหันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเหมือนทุกครั้งก่อนจะเดินไปหยิบถุงแครอทถุงสุดท้ายแล้วจ่ายตัง




   ถึงแครอทจะไม่ได้ดูอ้วนมากแต่ก็น่ากินไม่แพ้ครั้งก่อนๆ




   บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัยว่าทำไมหมอฐานทัพถึงได้ชอบแครอทมากขนาดนี้เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกชอบอะไรมากมาย แต่ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของหมอฐานทัพเวลาได้รับแครอทมันทำให้เขามีความสุข จะให้เหมาแครอททั้งไร่ให้หมอเขาก็ทำได้




   “สงสัยจะชอบแครอทมากนะคะ” พนักงานประจำอดที่จะเอ่ยแซวไม่ได้




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ




   ไม่ได้ชอบแครอท ชอบคนที่กินแครอทมากกว่า




   จักรยานจอดลงหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่มีผู้คนแน่นกว่าปกติ อาจเพราะเป็นวันสอบเลยทำให้ที่คณะเต็มไปด้วยนักศึกษาจับจองที่นั่งกันอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องสอบ บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดส่งข้อความไปหาเจ้าของแครอท ตั้งแต่ที่ได้เบอร์มาก็รู้สึกว่าอะไรๆก็ดูสะดวกสบายมากขึ้น บุ๋นมองโทรศัพท์ที่ไม่มีข้อความตอบกลับก่อนจะปิดโทรศัพท์ลง



   เลือกที่จะส่งข้อความเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสอบเสร็จกี่โมง



   บุ๋นยืนรอห่างจากตัวคณะออกมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินที่ต้องอยู่ในวงของคุณหมอหลายๆคน แม้ว่าทุกคนจะสนใจหนังสือตรงหน้าแต่การที่มาต่างคณะก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน




   คณะแพทย์ดูใหญ่กว่าคณะเขาเกือบสองเท่า อาจเพราะมีนักศึกษาในแต่ละปีค่อนข้างเยอะและจำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับวิชาต่างๆเลยทำให้ตึกของคณะแพทย์สูงหลายชั้นกับความทันสมัยที่แตกต่างจากคณะของเขาโดยสิ้นเชิง



   เทียบดูดีๆแล้ว เขากับหมอก็ต่างกันมาก ทั้งความรู้…ขนาดตึกของคณะยังต่างกันราวฟ้ากับเหว



   บุ๋นนึกตลกก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ ถึงจะดูไม่คู่ควรแต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาไม่ปล่อยให้มันจบลงแบบครึ่งๆกลางๆแน่นอน




   ถ้าคิดจะจีบ…ก็จะจีบจนกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวและยอมรับในความรู้สึกที่เขามอบให้




   และคนๆนั้นก็คือหมอฐานทัพ




   ฐานทัพเดินออกมาจากห้องสอบก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ข้อสอบยากกว่าที่คิดไว้แต่ก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้ แค่ไม่มั่นใจสองถึงสามข้อ เขานวดคออย่างเมื่อยล้าก่อนจะหันไปมองเพื่อนที่พึ่งเปิดประตูออกจากห้องสอบตาม



   “เป็นไง” คำถามแรกหลุดออกมาจากปากปกป้องที่สภาพไม่ต่างจากเขา




   “พอได้” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “มึงล่ะ”




   “อืม ยากกว่าที่คิดไว้” ปกป้องยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปหาคินที่เดินตามออกมาติดๆ “ว่าไง เอาเอรึเปล่า”




   “มึงไม่เคยได้ยินเพลงนี้หรอวะ...ที่หนึ่งไม่ไหว ฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง~” คินร้องเพลงออกมาอย่างอัดอั้น ถ้าให้เทียบกันความรู้ของเขาคงน้อยกว่าเพื่อนสนิทอีกสองคน




   แต่ก็แค่นิดเดียว




   “แล้วจะไปไหนต่อปะวะ” คินถามต่อ




   “ดูเวลา” ฐานทัพพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยลืมไปว่าตัวเองใส่นาฬิกาข้อมืออยู่




   หน้าจอบอกเวลาเที่ยงครึ่งพร้อมกับข้อความที่เรียกความสนใจจากเขาไปได้มากพอสมควร ฐานทัพอ่านข้อความในมือถือปราดเดียวก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองคนที่รอคำตอบ




   “เที่ยงครึ่ง”




   “ไปกินข้าวกันปะ แล้วค่อยแยกย้าย” คินเสนอ




   “อืม ก็ได้ มึงเอาไง” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่เงียบไป




   “อืม ได้” เขาตอบสั้นๆ “เดี๋ยวตามไป ไปเอาของก่อน”




   “ของอะไรวะ” คินถามอย่างคนขี้สงสัย




   “แครอท” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆก่อนจะก้าวออกไปไม่รอฟังเสียงเรียกของคินที่ดังตามหลัง


   
   จาก…คนส่งแครอท
   แครอทมาแล้วครับ ผมรอพี่อยู่หน้าคณะนะ
   ปล.ร้อนมากเลย




   ฐานทัพรีบก้าวเท้าเพื่อที่จะไปถึงหน้าคณะให้เร็วที่สุด แสงแดดตอนกลางวันสาดส่องจนเขารู้สึกแสบตา ในใจหวังแค่ว่าบุ๋นคงจะไม่ยืนตากแดดรอเขา ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงหน้าคณะสายตาก็หยุดลงที่ร่างสูงกับถุงแครอทในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ถุงแครอทในมือราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่




   เขารู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายของตัวเอง แม้ว่าจะเคยเห็นรอยยิ้มของบุ๋นหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป รู้สึกเหมือนบุ๋นไม่ได้ยิ้มให้แครอท




   แต่ยิ้มให้เขา…




   “รอนานไหม” ทันทีที่เดินมาถึงก็เอ่ยปากถามคนตรงหน้าออกไปทันที




   “มาแล้วหรอครับ” บุ๋นที่เหม่อมองถุงแครอทรีบละสายตาแล้วเบนสายตามามองที่ฐานทัพแทน “ไม่นานครับ”




   “ทำไมไม่เข้าไปรอข้างใน” เขาถามอย่างนึกสงสัย ปกติที่เคยมาบุ๋นก็มักจะเข้าไปรอข้างในคณะเขาอยู่เสมอ




   “คนเยอะ ผมไม่ค่อยชอบ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะยื่นถุงแครอทในมือให้คนตรงหน้า “เหลือถุงสุดท้ายพอดีเลย เกือบอดกินแล้วนะ”




   “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้ “ขอบคุณ”



   “เต็มใจครับ” บุ๋นพูดออกไปเต็มเสียงอย่างลืมตัว




   “รู้แล้ว” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับท่าทางของบุ๋นที่ดูเต็มใจอย่างที่พูดจริงๆ นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าได้เห็นตัวตนจริงๆของคนตรงหน้ามากขึ้น




   “สอบเป็นยังไงบ้างครับ”




   “พอได้” เขาไม่เคยบอกว่าทำไม่ได้เพราะจริงๆเขาพอทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาไหนก็ตาม “สอบเป็นไง”




   “ก็ดีกว่าเมื่อวานครับ” บุ๋นยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เหลืออีกแค่สี่วิชา “แล้วพี่จะกลับเลยรึเปล่าครับ”




   “ไปกินข้าวกับเพื่อน”




   “อ่อ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ “งั้นผมไม่กวนแล้วดีกว่า พี่จะได้รีบไป”




   “ชวน” ฐานทัพพูดออกมาสั้นๆแต่ทำให้คนฟังถึงกับหันมามองหน้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าเมื่อกี้คือคำที่ฐานทัพพูดออกมาจริงๆ




   หมอชวนเขา…




   แต่ว่า…พี่คิน…




   ไม่สนแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!




   “ชวนผมหรอ” บุ๋นชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง




   “ชวนแครอท”




   “โหพี่…”




   “ชวนบุ๋น” ฐานทัพขยายความเพิ่ม “ไปไหม” เขาถามอีกครั้ง




   “ไปครับ ไปอยู่แล้ววววววววว~” บุ๋นตอบออกมาอย่างร่าเริง เขายิ้มอย่างคนยิ้มเก่งหากแต่ทำให้อีกคนต้องคอยเบนสายตาไปทางอื่น




   เกินไปแล้ว




   รู้สึกไม่เป็นตัวเองมากเกินไป




   เป็นอะไรไป…ฐานทัพ

.


   ร้านสเต็กหน้ามหาลัยเต็มไปด้วยนักศึกษาจากคณะต่างๆนั่งตั้งแต่หน้าร้านจนเลยออกมานอกร้าน ด้วยความที่เป็นร้านแอร์และสะอาดถูกหลักอนามัยเลยทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษา บุ๋นเดินตามฐานทัพเข้ามาในร้านที่เพื่อนทั้งสองคนจองกันไว้ก่อน พอเห็นพี่คินกับพี่ปกป้องบุ๋นก็รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างน้องเคารพรุ่นพี่




   “ว่าไงไม่ได้เจอกันนานเลยนะมึง” คินทักทายราวกับรู้จักกันมานานก่อนจะหันไปมองปกป้องที่ยังดูไม่เข้าใจเรื่องราวสักเท่าไหร่ “เด็กวันนั้นไง ที่เขียนหน้าไอ้หมอ”




   “เออ รู้แล้ว” ปกป้องตอบกลับมาก่อนจะยิ้มให้บุ๋นนิดๆ




   “แล้วมาด้วยกันได้ไงวะ” คินยังคงไม่เข้าใจเรื่องราว “ไหนมึงบอกว่าจะไปเอา…”




   “สั่งอาหาร” ฐานทัพพูดตัดบทก่อนจะยื่นเมนูให้เพื่อนที่ยังไม่ได้สั่งอาหาร



   ถามมาก



   “เออๆ”



   พนักงานมารับเมนูไปก่อนจะเดินไปรับเมนูจากโต๊ะอื่นต่อ วันนี้ร้านค่อนข้างแน่นเลยทำให้อาหารที่ได้ล่าช้ากว่าปกติไปนานพอสมควร



   “ข้อสอบวันนี้ยากมาก กูนี่แทบไมเกรนขึ้น” คินบ่นออกมาระหว่างรออาหาร




   “ถ้าอ่านเยอะก็ทำได้” ปกป้องตอบกลับมานิ่งๆ “มึงมัวแต่เล่น”




   “เอ้า แต่กูก็ทำได้นะเว้ยยย!” ถึงจะเล่นแต่ก็อ่าน ถึงแม้จะอ่านน้อยกว่าเพื่อนคนอื่นก็ตาม “มึงทำได้ปะไอ้หมอ”




   “พอได้” คนที่โดนถามตอบกลับมาทันที “อ่านเยอะๆ”




   “เออรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำโว้ยยยย” คินรู้สึกเหมือนตัวเองโดนรุม เขาถอนหายใจหนักๆแล้วหันไปถามคนที่นั่งเงียบฟังพวกเขาคุยกัน “สอบปะวะวันนี้ เออก็ต้องสอบดิใส่ชุดนักศึกษา”




   “สอบครับ” บุ๋นยิ้มรับ “ข้อสอบไม่ยากเท่าเมื่อวาน”




   “เออ เจ็บไปอีก” ไม่ต้องถามก็ได้รับคำตอบกลับมาทันที คินเลิกถามเรื่องสอบก่อนจะหันไปถามเรื่องที่ตัวเองยังค้างคาใจ “ตกลงมาด้วยกันได้ยังไงวะ”




   “ชวน” ฐานทัพเป็นฝ่ายตอบแทน




   “มึงชวนใครเป็นด้วยหรอไอ้หมอ” คินรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก ปกติเขาไม่ค่อยเห็นฐานทัพเอ่ยชวนใคร ช่วงนี้เพื่อนดูแปลกๆไป




   “อืม เป็น”




   “ถือว่าเป็นบุญของมึงนะ ปกติไอ้หมอมันไม่ค่อยชวนใคร” คินหันไปพูดกับบุ๋นที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่




   ไอ้เด็กนี่จะยิ้มไปถึงไหนวะ…รู้ว่าหน้าตาหล่อ แต่หมั่นไส้โว้ยยย!!




   “ผมต้องทำบุญมาเยอะมากแน่ๆเลย” บุ๋นตอบกลับ



   “เออ ระดับนึงเลยล่ะ” คินหัวเราะก่อนจะหันไปหาปกป้องที่ได้แต่นั่งเงียบ “มึงไม่พูดอะไรหน่อยวะ”




   “กูเหนื่อย” ปกป้องตอบกลับ “แล้วก็ไม่ได้ขี้สงสัยเหมือนมึง”




   “ว่ากูอีก” คินตีไหล่ปกป้องก่อนจะปล่อยให้เพื่อนอยู่เงียบๆ




   สงสัยมันคงเหนื่อยจริงๆ




   “ว่าจะถามนานละ” คินพูดต่อเมื่อเห็นโต๊ะเงียบ ปกติเขาก็พูดคนเดียวจนชินไปแล้วเพราะเพื่อนอีกสองคนชอบตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมๆซ้ำๆ “ตกลงจีบติดยัง หมอที่มึงจีบอะ”




   “ครับ?!” คำถามที่ไม่คิดว่าจะถามออกมาตรงๆทำให้คนที่กำลังดื่มน้ำอยู่สำลักน้ำ “พี่ถามว่าอะไรนะครับ”




   “ตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” คินสงสัย “แค่ถามว่าตกลงจีบติดรึยัง”




   “ยังมั้งครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ “เขาไม่เห็นว่าไง”




   “เอ้า แล้วบอกเขาไปไหมว่าจีบ” คินแอบอมยิ้มนิดๆ




   “ไม่ครับ ไม่ได้บอก” บุ๋นส่ายหน้า “เดี๋ยวเขาก็รู้เอง”




   “บางทีอาจจะไม่รู้ก็ได้” คินเบนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างๆบุ๋นที่ดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน




   ถ้าเขาเดาไม่ผิด…




   “หมอบางคนก็ฉลาดแค่เรื่องเรียน”




   “…”




   “เรื่องความรู้สึก…มันโง่”




   ฐานทัพที่นั่งเงียบอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตาคินนิ่งๆราวกับรู้สึกว่าเขาโดนด่าอยู่ ทั้งๆที่คินไม่ได้พูดชื่อแต่สายตาที่จับจ้องมาที่เขานั่นก็เพียงพอที่จะเดาได้




   “อืม ก็จริง” ฐานทัพพยักหน้าเห็นด้วย อย่างน้อยก็มีเขาคนนึงที่โง่เรื่องความรู้สึก




   “มึงรู้แล้วหรอว่าหมายถึงใคร” คินรู้สึกประหลาดใจที่เพื่อนสนิทดูเข้าใจง่ายกว่าทุกครั้ง




   “ไม่รู้” ฐานทัพส่ายหน้า “แค่เห็นด้วย”




   เรียนหมอก็หนักมากพออยู่แล้ว จะให้มาเข้าใจเรื่องความรู้สึกก็ดูจะยุ่งยากไปนิด เขาขมวดคิ้วงงเล็กน้อยเมื่อเห็นคินถอนหายใจหนักๆแล้วยีหัวตัวเองอย่างขัดใจ




   อะไรของมัน




   “มึงนี่มันฐานทัพจริงๆ” คำพูดที่แฝงไปด้วยคำบ่นปนแอบด่าหลุดออกมาจากปากของคิน การที่พูดว่ามึงนี่มันฐานทัพจริงๆในความหมายของเขาก็คือ ฐานทัพเป็นคนความรู้สึกช้าและมักไม่รู้สึกถ้าไม่พูดออกมาให้รับรู้




   “อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ” เสียงจากพนักงานขัดบทสนทนาให้หยุดลง กลิ่นหอมของเสต็กทำให้คินลืมเรื่องที่พูดไปก่อนหน้าทันที




   “กินละนะ” คนที่หิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพูดพร้อมหยิบมีดขึ้นมาตัดเสต็ก




   “เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆหลังจากที่เห็นว่าบทสนทนาเรื่องของเขาจบลง ที่นั่งเงียบไม่ใช่เพราะไม่มีเรื่องพูด แต่เพราะเขินจนไม่กล้าพูด ยิ่งเห็นสายตาของพี่ปกป้องที่มองมาเหมือนรู้ว่าที่พี่คินพูดหมายถึงอะไรเขาก็ยิ่งประหม่า




   ถ้าถามตอนนี้ว่าอยากให้หมอรู้ไหมเขาเองก็ตอบไม่ได้ มันมีทั้งอยากและไม่อยาก




   กลัวว่าถ้าหมอรู้…หมอจะเปลี่ยนไป




   ทั้งโต๊ะเลยเหลือเพียงแค่เพื่อนสามคนกับจานเสต็กที่มาเสริฟ ความค้างคาใจในสิ่งที่คินพูดทำให้ฐานทัพเลือกที่จะถามออกไป




   “ตกลงใคร” แม้ปกติจะไม่ได้สนใจเรื่องราวของคนอื่นแต่พอเป็นบุ๋นเขากลับรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาเฉยๆ




   “อะไรใครวะ” คินที่ลืมเรื่องที่พูดไปถามออกมาก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงดัง “อ่ออออออออออ”




   “อืม”




   “มึงคิดว่าใคร” กลับกลายเป็นคินที่ถามกลับมา ทำเอาคนที่ถามถึงกับอยากจะพ่นคำด่าออกมา ที่เขาถามเพราะเขาไม่รู้




   “ไม่รู้”




   “แล้วอยากรู้ไปทำไมวะ”




   คำถามของคินที่ถามกลับมาทำเอาคนที่ถามไปก่อนหน้าถึงกับชะงักมือที่กำลังตัดสเต็ก ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนช้าๆ




   นั่นสิ…อยากรู้ไปทำไม




   “ช่างเถอะ” ฐานทัพบอกปัดในเมื่อเขาตอบคำถามของคินไม่ได้เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากรู้




   “ดูไม่ออกจริงๆหรอวะ” คินอดที่จะสงสัยไม่ได้ แม้จะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นแต่เขาก็พอดูท่าทางออก





   “ไม่ได้เป็นหมอดู” ฐานทัพตอบกลับกวนๆ




   “เออครับไอ้หมอ” คินหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะหันไปหาปกป้องที่เงียบนานเกินไป “เออมึง งานสัปดาห์หนังสือตรงกับวันสอบวันสุดท้ายเราพอดี สนใจไปปะ”




   “อืม เอาดิ” ปกป้องพยักหน้า “ว่าจะไปหาหนังสือแปล”




   “แล้วมึงไปปะไอ้หมอ” คินหันมาถามฐานทัพที่ดูเหม่อลอยไปไกล



   “อืม ไป”




   “แล้วมึงไปปะ” เป็นเวลาเดียวกันกับที่บุ๋นเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพอดีคินเลยถือโอกาสเอ่ยปากชวน




   “ไปไหนหรอครับ” บุ๋นถามกลับ พอเดินมาถึงโต๊ะพี่คินก็พูดประโยคชวนโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง




   “งานสัปดาห์หนังสือ จัดวันสอบเราวันสุดท้ายพอดี”




   “อ่อ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ ปกติเขาก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสืออะไรขนาดนั้น บุ๋นกำลังจะพูดต่อแต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของฐานทัพที่มองมาแว๊บหนึ่งเขาจึงเปลี่ยนความคิด “ไปครับ”




   “เออ แต่แยกเดินนะ เดินด้วยกันคงไม่ถึงไหน” คินอธิบายต่อ “ยิ่งเดินกับไอ้หมอกูยิ่งไม่เดิน” คินส่ายหน้ารัว




   เขาเคยไปเดินงานสัปดาห์หนังสือด้วยกันบ่อยและทุกครั้งที่ไปเขาก็มักจะแยกกันเดินทุกครั้งเพราะแต่ละคนมีความชอบในหนังสือไม่เหมือนกัน แถมไอ้หมอฐานทัพเป็นคนที่เลือกหนังสือนานและกว่าจะเลือกได้สักเรื่องก็จะต้องยืนอ่านจนกว่าจะรู้สึกว่าคุ้มค่าถึงจะซื้อกลับมา ฐานทัพเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเดินงานหนังสือทั่วทั้งงานเพราะมัวแต่แวะและใช้เวลากับบูธนานมากจนคินกับปกป้องเข็ดที่จะเดินด้วย




   “กินไป” ฐานทัพรู้สึกว่าคินพูดมากกว่าทุกวัน อาจเพราะมีเพื่อนคุยอย่างบุ๋นเลยทำให้คินเล่าเรื่องต่างๆออกมาหมด




   “ครับ แยกเดิน” บุ๋นยิ้มรับนิดๆ




   หลังจากที่ใช้เวลากินกันพอสมควรก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวิชาถัดไป บุ๋นยกมือไหว้พี่คินกับพี่ปกป้องเหมือนทุกๆครั้งที่เจอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า การได้มานั่งแลกเปลี่ยนความคิด พูดคุยกันเรื่องต่างๆทำให้เขารู้ว่าคนเรียนหมอก็ชอบอะไรไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป เพียงแค่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนเท่านั้น




   “ไว้สอบเสร็จไปเล่นเกมกัน” คินเอ่ยทิ้งท้ายหลังจากที่รู้ว่าบุ๋นก็เล่นเกมเดียวกับที่เขาชอบเล่น




   “ได้เสมอครับ” บุ๋นยิ้มตอบ




   รถมอเตอร์ไซค์ของพี่คินขับออกไปพร้อมกับพี่ปกป้องก่อนที่บุ๋นจะหันกลับไปหาฐานทัพที่เตรียมจะเดินไปที่รถจักรยานที่จอดไว้ในมหาลัย




   “พี่กลับไปอ่านหนังสือต่อใช่ไหมครับ”



   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ สายตาทอดมองถนนที่มีรถขับผ่านไปมา




   “สู้ๆนะครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบสั้นๆ ไม่ว่าจะทำใจให้สงบยังไงคำถามที่ถามคินก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่หลุดออกไปสักที




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” บุ๋นถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นฐานทัพตอบกลับมานิ่งๆ




   เขาทำอะไรให้หมอไม่พอใจอีกรึเปล่า




   “เปล่า” เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้ามถนน” ฐานทัพพูดพร้อมกับก้าวขายาวๆเพื่อให้ทันกับรถที่กำลังขับผ่านมา




   บุ๋นเดินตามร่างสูงที่เดินไวกว่าเขาหลายก้าว แม้จะเดาอารมณ์ของหมอไม่ได้แต่เขารู้สึกว่าหมอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ปกติหมอฐานทัพจะเดินช้าพอๆกับเขาเสมอ แต่วันนี้หมอเดินไวเกินไปคล้ายกับคนกำลังต้องการหนี…




   หนีงั้นหรอ




   บุ๋นหยุดฝีเท้าลงหลังจากที่ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัว รอยยิ้มค่อยๆจางหายไปพร้อมกับความรู้สึกในใจ เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดไป หรือว่าหมอจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกับหมอ




   หรือว่าหมอจะรังเกียจ




   ความคิดทุกอย่างวิ่งวุ่นไปมาจนทำให้เขาเห็นหมอเดินออกไปไกลขึ้นทุกที บุ๋นรู้สึกถึงหัวใจที่หนักอึ้งขึ้นมา ความรู้สึกของเขามันเอ่อล้นจนกักเก็บไว้ไม่อยู่แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามไม่ทำอะไรให้หมออึดอัด แต่ทำไมเป็นแบบนี้




   ฐานทัพหยุดเดินหลังจากที่รู้สึกเหมือนลืมคนที่เดินมาด้วยกัน ร่างสูงหันกลับไปมองทางที่เดินมาก่อนจะเห็นร่างของบุ๋นหยุดยืนนิ่งๆเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ฐานทัพตัดสินใจหมุนตัวเดินกลับไปหาโดยที่เขาเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเดินกลับไป




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนตรงหน้า “เป็นอะไร”




   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้า “ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย”





   “อืม เหมือนกัน” เขาตอบกลับไปตามความจริงก่อนความคิดเก่าๆจะแล่นเข้ามาในหัว เขาเคยบอกบุ๋นว่าอยากรู้อะไรให้ถาม




   เขาก็ควรจะถาม…




   แล้วถ้าบุ๋นตอบกลับมาว่าอยากรู้ทำไม เขาจะตอบว่ายังไงในเมื่อเขาเองก็หาคำตอบไม่ได้




   “ที่บอกว่าจีบ…จีบใคร” ฐานทัพตัดสินใจถามออกไป คำถามนี้วิ่งวุ่นจนเขาไม่เป็นอันคิดเรื่องอื่นและถ้าปล่อยให้มันค้างคาวันนี้เขาคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ




   “จีบ…?” บุ๋นเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะเผยออกมา




   หรือว่าที่หมอฐานทัพเงียบไปเพราะคิดถึงเรื่องนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะตอบกลับไปว่าอะไร ในเมื่อคนที่ถามคือคนที่เขากำลังจีบอยู่ ถ้าบอกออกไปตรงๆก็กลัวคนตรงหน้าจะเปลี่ยนไป




   “พี่เก็บความลับได้ไหมครับ”




   “อืม”




   “คนที่ผมจีบ…” บุ๋นระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นแววตาที่ดูสนใจกับคำตอบ เขาก็ยิ่งอยากจะแกล้งเล่น




   “…”




   “เขาเป็นเจ้าของรอยยิ้มของผม”





---------------------------------
อัพครบแล้วจ้าาาาาา  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 03-12-2016 23:08:19
บุ๋นน่ารัก รักบุ๋น
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: manlika ที่ 04-12-2016 07:32:57
หมออออออออออ หมอกำลังหึงใช่ไหมมมมม   :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 06-12-2016 19:36:50
โอ๊ยบิกไปเถ๊อะ ยิ่มละมุน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 06-12-2016 23:53:11
โอ้ยยยย ลุ้นน  รู้สักทีเถอะค่ะหมอ เราลุ้นมากๆ บอกเลย อยากให้จีบกันตรงๆสักที  :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 07-12-2016 09:09:59
โอ๊ยยย ละมุน

หมอรู้สักทีเถอะค่ะ เอาใจช่วยบุ๋นสุดๆ
บุ๋นบอกไปเลย หมอเค้าไม่รู้หรอกกกกกก


หมอฐานทัพซึนมากก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 50%] 7/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 07-12-2016 19:49:08
จีบหมอครั้งที่สิบสี่



            สัปดาห์สอบผ่านไปไวเหมือนโกหกหากแต่คนที่สอบติดกันสามวิชาไม่ได้คิดแบบนั้น ร่างไร้วิญญาณเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ บุ๋นยังรู้สึกช็อคกับข้อสอบวิชาสุดท้ายจนแทบพูดไม่ออก ผิดกับฐานทัพที่ดูผ่อนคลายลงมาเยอะหลังจากที่อ่านหนังสือจนนอนดึกทุกคืน



            งานสัปดาห์หนังสืออัดแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ เป็นปกติที่จะมีคนรักการอ่านมาซื้อหนังสือในงานกลับไปกักตุนไว้ ซึ่งเป็นที่แปลกตาสำหรับคนที่ไม่เคยมางานสัปดาห์หนังสืออย่างบุ๋น…เขาพึ่งเคยมาครั้งแรก



            “คนเยอะใช้ได้เลยว่ะ” คินพูดหลังจากที่เห็นบรรยากาศของงาน



            “เจอกันอีกทีสักหกโมงเย็นก็ได้” ปกป้องเสนอหลังจากดูเวลาในตอนนี้เกือบจะบ่ายโมง



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้า




            ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อเพื่อนทั้งสามคนก็แยกย้ายกันเดินราวกับเป็นเรื่องปกติทำเอาคนที่ไม่เคยมาเดินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก บุ๋นเลือกที่จะเดินตามหมอฐานทัพเพราะเขาเองก็ไม่มีจุดมุ่งหมายจะซื้อหนังสือเล่มไหนเป็นพิเศษ



            “ผมขอเดินด้วยนะครับ” บุ๋นขออนุญาติคนข้างๆที่ไม่พูดอะไรออกมา




            “แน่ใจ?” ฐานทัพถามลองเชิง บุ๋นก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนเลือกหนังสือนานเหมือนที่คินเคยเล่า ถ้าเดินด้วยกันก็คงเบื่อเปล่าๆ



            “ครับ” บุ๋นยิ้ม




            ยิ้มอีกแล้ว…



            คำตอบวันนั้นกลับเข้ามาวนเวียนในหัวฐานทัพอีกครั้งหลังจากที่เขาพยายามเลิกคิดถึงมัน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายแต่ลึกๆเขาเองก็รู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของบุ๋น นับวันมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ



            “ตามใจ” ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความตั้งใจของคนตรงหน้าได้ฐานทัพก็เลือกที่จะตอบตกลงเพื่อเลี่ยงการเถียงกันไปมา



            เพราะเขารู้ว่าสุดท้ายบุ๋นก็เถียงชนะเขาอยู่ดี




            “ครับ” บุ๋นยิ้มตอบ แม้เขาจะเหนื่อยจากการอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้นอนแต่การที่ได้อยู่กับหมอฐานทัพก็เหมือนการเพิ่มพลังไปในตัว




            ฐานทัพเดินช้าลงกว่าปกติเพราะเห็นบุ๋นที่ดูสนใจกับสิ่งรอบข้าง อาจจะเพราะพึ่งเคยมาครั้งแรกและผู้คนที่เบียดอัดกันจนแทบจะต้องมุดหาทางเดินต่อไปข้างหน้า




            “ชอบหรอ” ฐานทัพถามเมื่อเห็นบุ๋นดูสนอกสนใจกับหนังสือของสำนักพิมพ์หนึ่งที่กำลังเดินผ่าน




            “ชอบครับ” บุ๋นหันมาตอบเสียงจริงจังหากแต่ว่าคำตอบนั้นกลับแปลความได้กำกวมจนทำให้ฐานทัพชะงักไป




            “ดูสิ” เขาเว้นช่วงหายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บุ๋นยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้า



            “ผมเลือกไม่ถูกหรอกว่าจะอ่านเล่มไหน” เขาตอบตามประสาคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ “เห็นว่าหน้าปกน่าอ่านเฉยๆ”


            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยุดลงที่ร้านหนังสือไม่ไกลจากร้านของบุ๋น “จะดูหนังสือตรงนี้ ไปดูสิ” หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตที่ไม่ใช่แนวที่ฐานทัพอ่านทำให้บุ๋นหยุดมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง



            “พี่รอผมตรงนี้นะ”




            “อืม” เขารับคำก่อนจะหยิบหนังสือที่ไม่เคยซื้ออ่านขึ้นมาดูทำท่าว่าเขาสนใจทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชอบแนวปรัชญาชีวิตสักเท่าไหร่



            ทำแบบนี้เพราะรู้ว่าบุ๋นอยากจะหยุดดูหนังสือแต่ไม่อยากให้รอ




            หนังสือเกี่ยวกับการเกษตรที่แต่ก่อนไม่เคยอยากจะหยิบแตะ แต่ตอนนี้มันกลับดึงดูดความสนใจของคนตรงหน้า เขายอมรับเลยว่าตั้งแต่เข้ามาเรียนคณะเกษตรเขาได้รู้ว่าเกษตรไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดและรู้ว่าตัวเขาเองเหมาะที่จะเรียนเกษตรมากกว่าเรียนคณะอื่นๆ จากที่เคยวิ่งหนีแต่ตอนนี้เขากลับเปิดใจให้ตัวเองได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้น สุดท้ายเขาก็เลือกคณะไม่ผิด



            คู่มือปลูกพืชผักสวนครัวฉบับพกพาถูกหยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยความสนใจ บุ๋นยืนเลือกอยู่นานแต่สายตาก็ยังคอยหันไปมองหมอฐานทัพเป็นพักๆ กลัวเจ้าตัวจะรอนาน




            “พี่ครับ ช่วยผมเลือกหน่อยได้ไหม” บุ๋นพูดขึ้นเมื่อฐานทัพเดินมาหาเขาที่บูธของสำนักพิมพ์




            “อืม” เขารับคำสั้นๆก่อนจะหยิบหนังสือที่มีหน้าปกแตกต่างกันสองอันแล้วเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน



            เนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก แต่เล่มแรกจะค่อนข้างอธิบายละเอียดกว่า ตัวหนังสืออ่านง่ายไม่เขียนติดกันจนน่าเวียนหัว เขาดูองค์ประกอบโดยรวมก่อนจะยื่นหนังสือเล่มแรกให้บุ๋น




            “คิดเหมือนผมเลย” รอยยิ้มดีใจเผยขึ้นอีกครั้งเรียกความรู้สึกประหลาดของฐานทัพให้ชัดเจนขึ้นอีกขั้น




            “อ่านง่ายดี”





            “งั้นเอาเล่มนี้ครับ” บุ๋นยื่นหนังสือพร้อมกับเงินจำนวนพอดีให้พนักงานก่อนจะยิ้มบางๆให้อีกครั้งก่อนเดินออกมาจากบูธ




            ฐานทัพมองรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าราวกับถูกสลักไว้ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเมื่ออีกคนรู้สึกตัวว่าเขามองอยู่ บุ๋นยิ้มออกมาอีกครั้ง หลังจากวันที่เขาบอกหมอฐานทัพออกไปแบบนั้นตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมอจะรู้ตัวรึเปล่า แต่ท่าทางของหมอที่แสดงออกมาคล้ายกับว่าหมอเริ่มรู้ว่าตัวเอง…เป็นเจ้าของรอยยิ้มของเขา




            “พี่มาเดินคนเดียวทุกปีเลยหรอครับ” บุ๋นชวนคุยเมื่อเห็นว่าหมอยังไม่มีท่าทีสนใจหนังสือที่บูธไหนเป็นพิเศษ




            “อืม คนอื่นก็แยกกันเดิน”




            “งั้นครั้งหน้าผมมากับพี่อีกดีไหม พี่จะได้ไม่เหงา” คนขยันหาโอกาสถามออกไปอย่างมีความหวัง แม้จะแอบเดาได้ลึกๆว่าหมอจะปฏิเสธก็ตาม



            “อืม ตามใจ” ผิดคาดที่ครั้งนี้หมอฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธออกมา “ถ้าไม่เบื่อก่อน”




            “ไม่เบื่อครับ” มากับพี่ผมไม่เคยเบื่อ ประโยคหลังบุ๋นได้แต่คิดในใจไม่กล้าพูดออกไป




            ฐานทัพหยุดเดินเมื่อถึงบูธที่เขามาประจำทุกปี หนังสือเกี่ยวกับทางการแพทย์ที่ลดราคาพิเศษจนเขาต้องซื้อติดไม้ติดมือไปทุกๆครั้ง ความสนใจหนังสือที่ออกใหม่ทำให้ฐานทัพดูตื่นเต้นเป็นพิเศษจนคนที่อยู่ข้างๆอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้




            บุ๋นยืนมองหมอฐานทัพเลือกหนังสือด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าไม่จางหายไป พอเห็นหมอในมุมที่ไม่เคยเห็นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขามองหมอฐานทัพอยู่อย่างนั้นจนคนที่เลือกหนังสืออยู่หันมามองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนเลือกนาน




            “ไปดูบูธอื่นก่อนไหม” คำถามที่เต็มไปด้วยความเกรงใจถามออกมาหากแต่คนข้างๆส่ายหน้ากลับมา




            “ไม่ครับ ผมไม่อยากได้อะไรแล้ว” บุ๋นยิ้ม “อยากดูมากกว่า”




            อยากดูคนข้างๆมีความสุข…มากกว่า





            “อืม” ฐานทัพเป็นฝ่ายหลบสายตาอีกครั้ง




            ช่วงหลังๆเขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง แม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนเดิมแต่เขากลับรู้สึกว่าข้างในของเขามีอะไรแปลกไป คนเป็นหมอไม่มีทางเข้าใจได้ทุกเรื่องแต่ครั้นจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดก็ดูจะยากเกินไปสำหรับเขา แต่อย่างหนึ่งที่เขารู้สึกและมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆคือ…เขาชอบรอยยิ้มของบุ๋น



            บุ๋นยืนรอให้ฐานทัพเลือกหนังสือเงียบๆ อาจเพราะเป็นบูธใหญ่เลยทำให้คนไม่ค่อยอัดแน่นกันเหมือนบูธเล็กๆหากแต่ว่าแรงเบียดจากข้างหลังก็ทำเอาเขาเซไปเล็กน้อยจนฐานทัพต้องเอื้อมมือมาจับแขนบุ๋นไว้หลวมๆ



            “ไม่สบาย?” เพราะไม่เห็นตอนโดนชนฐานทัพจึงคิดว่าบุ๋นเสียการทรงตัว แววตาของเขาแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิดจนคนตรงหน้าต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้า



            บุ๋นรู้สึกถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนเลือดสูบฉีดจนทำให้หน้าของเขาขึ้นสี ร่างสูงส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของหมอฐานทัพที่พร้อมจะทำให้หัวใจวายได้ทุกเมื่อ



            “เปล่าครับ โดนชน” บุ๋นตอบกลับไป



            “ระวังหน่อย” ฐานทัพบอกสั้นๆก่อนจะค่อยๆคลายมือที่จับอยู่ออกหากแต่มือของบุ๋นกลับเปลี่ยนไปจับที่แขนของฐานทัพเบาๆอย่างลืมตัว “หืม?”



            “ปะ…เปล่าครับ” พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบุ๋นก็รีบแก้ตัวแทบไม่ทัน เขาปล่อยมือออกจากแขนของหมอฐานทัพก่อนจะเปลี่ยนมาลูบท้ายทอย “ผมกลัวเซอีก แหะๆ”



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบหนังสือที่ถืออยู่จ่ายตังกับพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล



            ถุงหนังสือถูกส่งมาพร้อมกับตังทอน บุ๋นรีบรับถุงก่อนที่จะถึงมือหมอฐานทัพพร้อมหันไปยิ้มให้คุณหมอเหมือนทุกๆครั้ง




            “ผมอยากถือให้”



            “บุ๋น” ฐานทัพเรียกคนตรงหน้าเสียงนิ่งๆ หนังสือของเขาทำไมเขาจะถือเองไม่ได้ อีกอย่างเล่มก็ไม่ได้เบา เขาไม่อยากกินแรงใคร



            “ผมเต็มใจ” บุ๋นพูดคำเดิมๆที่หมอฐานทัพได้ยินแล้วต้องยอมแพ้เขาทุกครั้ง “พี่จะได้เดินสบายๆ”




            “ทำไม”




            “เพราะผมอยากทำให้” รอยยิ้มที่ออกมาจากใจทำให้ฐานทัพหมดคำถามที่จะถามต่อ เขาพยักหน้ารับความหวังดีจากบุ๋นก่อนจะเดินต่อ         




            แม้ในใจจะยังมีคำถามมากมาย




            “พี่ครับ”




            “หืม”




            “อยู่กับผมอึดอัดรึเปล่า” เขาถามออกไปเพราะอยากได้คำยืนยันจากคนข้างๆ แม้ว่าที่ผ่านมาหมอจะไม่ได้แสดงออกมารำคาญหรืออึดอัดแต่เขาก็อยากถามเพื่อให้แน่ใจ



            ถ้าเขาสุขแต่อีกฝ่ายทุกข์ เขาเองก็ไม่มีความสุข



            “ไม่” ฐานทัพตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิด เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เคยมีความรู้สึกนั้นตั้งแต่ที่อยู่กับบุ๋นมา



            ไม่เคยคิด



            “งั้นผมจะอยู่กับพี่ไปนานๆเลย” บุ๋นยิ้มกว้าง คำตอบสั้นๆของฐานทัพมีอิทธิพลมากสำหรับเขา ถ้าหมอตอบว่าอึดอัดเขาก็จะยอมถอยออกมาก้าวหนึ่ง



            แม้จะไม่อยากทำก็ตาม



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะพูดต่อเสียงเบาจนคนข้างๆแทบไม่ได้ยิน “อย่าเบื่อก่อน”



            ฐานทัพรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนน่าเบื่อ ในชีวิตของเขามีแต่เรื่องเรียนไม่เคยมีเรื่องอื่นเข้ามาคิดให้รกสมอง ตั้งแต่เขาเจอกับบุ๋นเหมือนเขาได้เจอโลกใหม่ ได้เจอสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยพบเจอ ได้รู้ว่าการที่มีใครอีกคนเข้ามาคอยอยู่ในช่วงเวลาต่างๆมันให้ความรู้สึกอย่างไรและรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป



            หรือถ้าบอกตรงๆก็คือ…เขารู้สึกดีที่มีบุ๋นอยู่ข้างๆ




            “บุ๋น” เขาเรียกชื่อคนข้างๆขึ้นมาระหว่างเดินเที่ยวงาน เรียกทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร




            “ครับผม?” บุ๋นหันมามองอย่างสนใจ




            “ขอบคุณ” ฐานทัพพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาชะงักฝีเท้าลงก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้างๆชัดๆ




            ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไรกัน




            “ขอบคุณเรื่องอะไรครับ?”




            “เรื่อง...” ฐานทัพหยุดคิดไปก่อนจะพูดต่อ “ถือหนังสือให้”



            “อ่อ” บุ๋นหัวเราะออกมา เขานึกว่าเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้หมอไม่ต้องขอบคุณเขาก็ได้ เพราะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาอยากจะทำให้



            ฐานทัพมองรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายไปก่อนที่ริมฝีปากจะระบายยิ้มออกมาบางๆ ตอนนี้เขาตอบได้แล้วว่าเขาขอบคุณบุ๋นเรื่องอะไร ไม่ใช่เรื่องถือของ



            แต่เป็นเรื่องที่…บุ๋นเข้ามาในชีวิตของเขา



            เวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงกับหนังสือเท่าเดิมที่ไม่ได้ซื้อเล่มไหนเพิ่ม ฐานทัพหยุดลงหน้าร้านขายไอศครีมพร้อมกับไปแลกบัตรเพื่อซื้อไอศครีมกินระหว่างเดินต่อโดยที่ไม่ลืมที่จะซื้อให้คนที่ถือของให้เขาด้วย



            ไอศครีมทูโทนรสนมช็อกโกแลตยื่นมาตรงหน้าบุ๋นที่ยืนมองอะไรไปเรื่อย พอได้รับไอศครีมคนที่เริ่มรู้สึกหิวก็รีบรับมาถือไว้พร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้จะหิวแต่เขาอยากเดินมากกว่าไปหาอะไรกิน ตอนแรกก็เล็งร้านไอศครีมไว้เหมือนกันแต่กลัวว่าจะเดินกินไม่ถนัด



            “ขอบคุณนะครับ”



            “อืม เดินต่อไหม” ฐานทัพถามเมื่อเห็นว่าบุ๋นไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มอีก เขาคิดว่าบุ๋นคงเหนื่อยและอยากหาที่นั่งพักแล้ว



            “เดินครับ ผมอยากเดิน”




            “อืม” เขาพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวไปตามเส้นทางอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้เดิน




            งานสัปดาห์หนังสือเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายทำให้ในบางบูธอัดแน่นจนแทบจะเดินต่อไปไม่ได้ บูธที่น่าสนใจก็มีคนยืนเต็มหน้าบูธจนทั้งสองคนถอดใจที่จะเดินเข้าไปดู ฐานทัพเดินมาหยุดลงที่บูธหนังสือแปลก่อนจะหันไปมองบุ๋นเพื่อบอกให้ไปเดินจุดอื่นรอ




            “ไปดูอย่างอื่นก่อนก็ได้”




            “งั้นพี่รอผมตรงนี้นะ เดี๋ยวผมกลับมา” บุ๋นพูดไปพร้อมกับทานไอศครีมในมือ ความหวานของไอศครีมทำให้เขาเพิ่มพลังขึ้นได้บ้าง




            “อืม”




            ร่างของบุ๋นเดินออกไปเหลือเพียงฐานทัพกับหนังสือแปลแถวยาวที่เรียงรายกันจนลายตา พนักงานขายบริเวณจุดนั้นเดินเข้ามาแนะนำอย่างเป็นกันเองก่อนที่เธอจะมองฐานทัพชัดๆ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าจัดว่าดูดีในระดับเทียบเท่าดารา เธอมองอยู่อย่างนั้นก่อนที่สายตาจะสะดุดลงกับร่างของผู้ชายอีกคนที่อยู่ไม่ไกลจากบูธของเธอ แววตาที่มองคนที่กำลังเลือกหนังสือเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ริมฝีปากระบายยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันกลับไปสนใจบูธที่ตัวเองเดินเข้าไป




            ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก




            “ลูกค้าสนใจเล่มไหนถามได้นะคะ หนังสือราคาพิเศษเลย” เธอรัวยาวเมื่อเห็นฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาสบตา




            หล่อ…




            “ครับ” ฐานทัพรับคำอย่างเป็นมารยาท เขาเป็นคนพูดไม่เก่งยิ่งกับผู้หญิงแล้วเขายิ่งไม่รู้จะพูดยังไงให้อีกฝ่ายไม่อึดอัด




            “ดูได้เลยค่ะลูกค้า”




            ด้วยความที่เป็นบูธหนังสือแปลเลยทำให้มีผู้คนเดินผ่านไปมามากกว่าจะหยุดยืนอ่าน แม้จะไม่ได้มีผู้คนเข้าบูธจนแน่นแต่ก็มีมาเรื่อยๆ




            “มาคนเดียวหรอคะ” เธออดสงสัยไม่ได้ ถ้ามาคนเดียวแล้วสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร




            หรือว่าเธอเข้าใจผิด…





            “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “มากับ...น้อง” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกไป ที่หยุดคิดเพราะเขาไม่รู้จะเรียกบุ๋นว่าอะไร ในเมื่อตลอดมาเขาไม่เคยมีสรรพนามเรียกบุ๋น



            “อ่อ ค่ะ” เธอยิ้มนิดๆ แม้จะอยากถามต่อแต่ในสถานะที่เธอเป็นพนักงานขายและคนตรงหน้าเป็นลูกค้าก็ดูจะไม่ดีเท่าไหร่นักที่ถามมากเกินไปในเรื่องที่ไม่ควรถาม



            แม้จะแอบสงสัยลึกๆแต่ก็ต้องอดทนเก็บความสงสัยนั้นไว้




            รอยยิ้มและแววตาที่เธอเห็น ไม่ใช่ความรู้สึกของน้องชายมองพี่ชาย…ไม่ใช่แน่ๆ




            “เป็นยังไงบ้างครับ” บุ๋นเดินเข้ามาหลังจากที่แวะไปดูบูธอื่นพักหนึ่ง




            “อยากได้สองเล่ม” ฐานทัพพูดพร้อมกับหยิบหนังสือแปลทั้งสองเล่มให้คนตรงหน้าดู



            “ก็ซื้อสองเล่มเลยครับ” บุ๋นตอบอย่างคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง “ยังไงพี่ก็อ่านทั้งสองเล่มอยู่แล้ว”




            “แพงไป” ฐานทัพพลิกราคาหลังปกให้ดูทำเอาคนที่บอกตอนแรกถึงกับผงะไป “เล่มไหนดี” เขาถามเพื่อต้องการตัดตัวเลือกออกหนึ่งเล่ม



            “ยากจัง” บุ๋นหัวเราะ ลำพังหนังสือปกติเขาก็แทบจะไม่อ่าน แถมหนังสือที่หมอให้เขาเลือกดันเป็นหนังสือแปล “ถ้าเป็นผมคงจะเลือกเล่มนี้ เพราะหน้าปกภาษาดูแปลง่ายกว่าอีกเล่ม”



            “อืม”



            “ผมโง่ ช่วยพี่เลือกหนังสือแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ” บุ๋นบอกไปตามความจริง “เวลาเลือกผมจะเลือกจากสิ่งที่ผมชอบที่สุดเพราะคิดว่ามันดีที่สุด”




            “แล้วเป็นไง”




            “สุดท้ายก็ชอบจริงๆ”



            ฐานทัพมองคนตรงหน้านิ่งๆ แม้เขาจะสนทนากันเรื่องหนังสือแต่คำพูดดูคิดไปไกลกว่าการช่วยเลือกหนังสือไปเยอะ ฐานทัพวางหนังสือเล่มที่อยู่ในมือลงเล่มหนึ่งก่อนจะยื่นอีกเล่มที่บุ๋นช่วยเลือกให้พนักงานที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ



            “รอสักครู่นะคะ” เธอรีบรับหนังสือแล้วตรงไปที่แคชเชียร์แม้จะอยากเห็นเวลาที่ทั้งคู่สนทนากันแต่เธอก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง



            ไม่ผิดแน่ๆ เธอว่าเธอคิดไม่ผิด



            “พี่เชื่อผมหรอ”



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้า แม้ปกติจะเป็นคนเลือกนานแต่ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่เขาตัดสินใจเร็วเพราะคำแนะนำของคนข้างๆ “จะลองเชื่อดู”




            “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะเอื้อมมือไปรอรับหนังสือแต่ฐานทัพเร็วกว่า พอคุณหมอดึงถุงหนังสือไปไว้ในมือได้สำเร็จก็หันมายิ้มให้คนที่พลาด




            “เร็วกว่า” ฐานทัพพูดอย่างผู้ชนะ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่รู้สึกสนุกกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจนมองข้ามความน่าเบื่อไป




            “งั้นครั้งหน้าผมจะรีบรับให้เร็วกว่านี้ครับ” บุ๋นยิ้มให้กับความเป็นตัวเองของหมอฐานทัพ บางครั้งเขาก็มองว่าหมอฐานทัพดุ แต่ในบางครั้งเขาก็แอบเห็นมุมกวนๆของหมอ




            หลงจะแย่แล้ว




            บุ๋นเดินตามหมอฐานทัพไปยังบูธต่างๆโดยที่ไม่มีการปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในสถานที่ๆมีผู้คนพลุกพล่านหรือแออัด แต่เพราะได้มากับคนที่อยากมา เขาเลยยอมแม้จะต้องเจอกับสิ่งที่เขาไม่ชอบ




            บุ๋นยังจำวันแรกที่เขากระวนกระวายหลังจากที่ต้องนั่งไล่หาเฟสบุ๊คของหมอฐานทัพใหม่ ความพยายามที่ไม่รู้ว่าเอาแรงฮึกเหิมมาจากไหน จนมาถึงวันนี้ที่ได้อยู่กับหมอฐานทัพใกล้ๆ มันทำให้เขารู้ว่าความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ การตัดสินใจของเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องและการที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหมอฐานทัพ เขาตัดสินใจไม่ผิด




            ร่างของหมอฐานทัพเดินไกลออกไปเรื่อยๆแต่ขาทั้งสองข้างก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ว่าจะไกลกันอยู่แต่เขาเชื่อว่าสักวัน เขาและหมอฐานทัพจะก้าวเดินไปพร้อมๆกัน แววตาของบุ๋นซ่อนความรู้สึกไว้มากมาย ทั้งๆที่ความจริงอาจจะมีหลายๆคนที่ดูออก แต่มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่เข้าใจ เขาก็หวังเพียงสักวันที่หมอจะรู้ตัวและรับรู้ความรู้สึกของเขาที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน



            ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่คนเอาแต่ใจอย่างเขายอมทำทุกอย่างเพื่อใครอีกคน





-------------------
เรื่องของหมอกับบุ๋นอาจจะอัพไม่ตรงวันบ้างเพราะเราอยากจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด
ตัวละครของหมอกับบุ๋นสำหรับเราและ เขาเหมือนมีตัวตนอยู่จริงๆ
เขาสำคัญกับเรามากจนเรารักตัวละครคู่นี้ ทุกครั้งที่แต่งเราเองก็ยิ้มไปกับความรักของทั้งคู่
และขอบคุณที่รู้สึกรักตัวละครของเรามากมายขนาดนี้ ขอบคุณนักอ่านมากๆเลยนะคะ
นักอ่านคือกำลังใจของเราและของพี่หมอกับน้องบุ๋น
ติดตามกันไปนานๆนะ ^^

ติดตามการอัพนิยายได้ทาง Fan page : perlina.
หรือติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 50%] 7/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 07-12-2016 22:22:02
ไม่บอกก็เชื่อฮะ ว่ามีตัวตนจริง
เพราะมันคุ้นๆ ...


แต่ตอนนี้สั้นจัง รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 50%] 7/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 08-12-2016 12:40:14
กำลังคิดถึง ก็มาเลย อัพไม่ตรงไม่เป็นไรค่ะ อย่าหายไปก็พอ รักคู่นี้จัง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 50%] 7/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 08-12-2016 18:04:36
ผู้ชายอย่างบุ๋นหาได้จากที่ไหนอีกกกก

ทุ่มเทให้ทุกอย่าง เอาใจช่วยนะบุ่น

สอนให้หมอรู้จักความรัก ❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 50%] 7/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 10-12-2016 08:42:47
บุ๋นสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ :z10:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 10-12-2016 13:00:01
            “บุ๋น” มือเย็นๆแตะที่แขนเขาเบาๆทำให้คนที่เหม่อลอยกลับมาสู่ปัจจุบัน “หยุดเดินทำไม” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจก่อนจะจับแขนของบุ๋นไว้หลวมๆ


            “ผม…เอ่อ…คิดอะไรเพลินไปหน่อย” บุ๋นตอบกลับไปตามความจริง สายตาเลื่อนลงมามองมือของหมอที่จับแขนเขาอยู่ “กลัวผมหายหรอครับ”



            “เปล่า” คำถามที่ถามมาทำเอามือที่จับอยู่ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว “นึกว่าหลง”



            “เกือบหลงแล้วครับ” ร่างสูงหัวเราะ “พี่จะเดินไปไหนก็จูงผมไปด้วย” บุ๋นยื่นแขนไปตรงหน้าหมอฐานทัพ



            จะลากจะดึงหรือจะฉุด…บุ๋นยอมทุกอย่างเลย



            “โตแล้ว” ฐานทัพส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้งโดยหันกลับมามองบุ๋นเป็นพักๆ “ถ้าเหนื่อยไปหาที่นั่ง”



            “ไม่ไปครับ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “ผมอยากจะเดิน” กับพี่



            “อืม อยากได้อะไร”



            “อยากได้ครับ” บุ๋นตอบอย่างลืมตัว “อยากได้หมอ…”



            “หืม?”



            “หมอนครับ…อยากได้หมอน” เขาแก้ตัวยกใหญ่ นิ้วชี้ไปที่บูธสำนักพิมพ์เด็กที่มีหมอนหน้าตุ๊กตาห้อยแขวนไว้อยู่



            “เอาไปทำไม” ฐานทัพถามกลับมาอย่างไม่เข้าใจ



            “นั่นสิครับ ไม่รู้” บุ๋นหัวเราะแห้งๆ




            ไม่ได้อยากได้หมอน…บุ๋นอยากได้หมอ




            “อืม” ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมากดรับหลังจากที่สั่นอยู่ในกางเกงมาพักหนึ่ง แค่มองหน้าจอแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าใครโทรมา




            บุ๋นหันไปมองทางอื่นเมื่อเห็นว่าหมอกำลังคุยธุระ ถึงแม้หมอฐานทัพจะไม่ได้ทำท่าว่าเป็นความลับแต่เขาก็ไม่อยากทำตัวเหมือนกำลังแอบฟัง



            “ก็ได้ ไว้เจอกัน” เขาพูดก่อนจะกดวางสายลงแล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “คินโทรมา”




            “มีอะไรรึเปล่าครับ?”




            “มันขอกลับก่อน บอกว่ามีธุระ”




            “แล้วพี่ปกป้องล่ะครับ?”



            “กลับพร้อมกัน มันซื้อหนังสือครบแล้ว ขี้เกียจรอ”




            “อ่าว งั้น…” รอยยิ้มของบุ๋นค่อยๆเผยขึ้นมา แม้จะไม่ได้หวังให้เป็นแบบนี้แต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ “เหลือผมกับพี่หรอครับ”




            “อืม”



            “งั้น…” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่อยากเดินให้ทั่วงานไหมครับ เห็นพี่คินเคยบอกว่าพี่ไม่เคยเดินทั่ว”




            “ไหว?” ฐานทัพถามกลับ เท่าที่เดินมาบุ๋นก็น่าจะรู้ว่าเขาเดินช้าและใช้เวลาในการดูหนังสือนาน ขืนให้ดูทั่วงานคงได้กลับตอนงานปิด




            “ครับ ผมไหว”




            “พูดเองนะ”



            “ครับ” บุ๋นยิ้ม เขาอยากจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แอบคิดไว้ตั้งแต่แรกแต่ไม่กล้าพูดออกไปเพราะรู้ว่าหมอมากับเพื่อนๆ “พี่อยากไปตรงไหนผมไปกับพี่ได้หมดเลย”




            ถึงจะไม่ได้ชอบงานสัปดาห์หนังสือมากมายแต่พอเห็นคนข้างๆก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ หมอฐานทัพดูมีความสุขมาก แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่เขารับรู้ได้ว่าหมอรู้สึกผ่อนคลายเพราะได้อยู่กับสิ่งที่ชอบจริงๆ



            “จบไปผมจะทำไร่ให้สวยๆแบบนั้นเลย” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้ไปที่ภาพหน้าปกของบูธที่กำลังเดินผ่าน




            “อืม ดี”




            “พี่ชอบไหม” เขาหันไปถามคนข้างๆเพื่อถามความคิดเห็น




            “ชอบ”




            “งั้นมาอยู่กับผมไหม”




            คำถามที่ตั้งใจถามออกมาตรงๆทำให้คนที่กวาดสายตาดูหนังสืออยู่หันไปมองหน้าบุ๋นตรงๆ ฐานทัพไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่หรือต้องการถามแบบนั้นจริงๆ




            “เรียนหมอ จะไปอยู่ไร่ได้ยังไง”




            “ได้สิครับ” บุ๋นระบายยิ้ม “ก็คนทำไร่จะไปอยู่ที่เดียวกับหมอ”




            “…” คำตอบของบุ๋นทำให้ฐานทัพชะงักอีกครั้ง




            “พี่จะได้อยู่กับสิ่งที่พี่ชอบ”




            “เพ้อเจ้อ” แม้จะพูดตัดบท แต่เขาเห็นถึงแววตาจริงจังที่บุ๋นมองมา




            ลึกๆเขารู้สึกว่า…บุ๋นจะทำอย่างที่พูดได้จริงๆ





            รถโดยสารจอดลงหน้ามหาวิทยาลัยหลังจากที่ทั้งสองคนเดินจนทั่วงานแล้ว ถุงหนังสือที่เพิ่มมาสองถุงอยู่ในมือของบุ๋นหนึ่งถุงและฐานทัพอีกหนึ่งถุง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่ม บุ๋นเดินข้างๆฐานทัพที่นั่งเงียบมาตลอดทาง อาจเพราะเดินจนเหนื่อยหมดพลังงานไปมากเลยทำให้เขาไม่ได้ชวนคุยอะไรต่อ




            ทั้งคู่จอดรถจักรยานไว้ที่บริเวณที่จอดจักรยานหน้ามหาลัยเพื่อที่จะได้ขับกลับหลังจากที่ลงรถแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้ฐานทัพอยากจะกลับไปถึงห้องเร็วๆเพื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ผิดกับบุ๋นที่ไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นทั้งๆที่เดินตามเขาทั่วงาน




            แปลก…




            “พี่จะกลับเลยหรอครับ” คำถามแรกถามขึ้นหลังจากที่เขาทั้งคู่ไม่ได้คุยกันมาตลอดทาง




            “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ เขาเหนื่อย อยากกลับไปนอน




            “อ่อ ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ ท่าทีของเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมาจนอีกฝ่ายต้องถามกลับ




            “มีอะไร”




            “ผมยังไม่อยากกลับ” เขาพูดในสิ่งที่รู้สึกออกมา แม้ว่าจะดึกแล้วและใกล้จะถึงเวลาเข้าหอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากกลับ



            แค่เขียนชื่อเข้าหอเลยเวลาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา




            “อยากไปไหน”




            “หิว” บุ๋นลูบท้องน้อยๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเดินเที่ยวงานจนลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรอีกนอกจากไอศครีมที่หมอซื้อให้




            “ลืม” ฐานทัพเองก็พึ่งรู้ตัว พอเห็นบุ๋นทำท่าลูบท้องความหิวก็แล่นเข้ามาทันที





            ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินข้าว




            “ร้านปิดแล้ว” เขาบอกคนที่ยืนทำหน้าหงอยอยู่ข้างๆ “เซเว่นไหม” พอเห็นท่าทางของบุ๋นก็อดสงสารไม่ได้




            “ครับ เซเว่น” ในเวลานี้ขอแค่มีอะไรตกถึงท้องก่อนกลับเข้าหอก็ดีมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวข้างทางหรือมาม่าอะไรก็กินได้หมด



            หิว




            บุ๋นเดินนำไปที่เซเว่นไม่ไกลจากที่จอดรถ ดีที่เซเว่นในมหาลัยเปิดถึงตีหนึ่งทำให้เขายังมีที่พึ่งพิงอยู่บ้างในเวลาสีทุ่ม เพียงเวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากเซเว่นพร้อมกับถุงขนมปังกับนมอีกสองกล่อง



            “ผมซื้อมาเผื่อพี่ด้วยนะ” บุ๋นชูถุงเซเว่นที่บรรจุขนมปังกับนมไว้ข้างในอย่างภูมิใจ “รอดตายแล้ว”




            “ขอบคุณ” ฐานทัพเอ่ยออกมา ความจริงเขาก็จะเดินเข้าไปซื้อแต่นึกขึ้นได้ว่าที่หอยังมีขนมปังอยู่เลยคิดว่าจะกลับไปกินที่หอ



            “พี่รีบไหมครับ” บุ๋นถามลองเชิง




            “ไม่รีบ”




            “งั้นเราไปหาที่นั่งกินกัน”




            “อืม”




            พอเห็นว่าฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธคนข้างๆก็ยิ้มออกมา บุ๋นเดินนำไปที่อ่างเก็บน้ำของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากเซเว่นหน้ามหาวิทยาลัยมากนัก อ่างเก็บน้ำของมหาลัยเป็นที่ๆนักศึกษาชอบมานั่งคุย บางคนก็มานั่งเพื่อรับบรรยากาศบริเวณรอบๆ เขาเองก็เคยปั่นจักรยานผ่านหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสแวะมานั่ง วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี




            บุ๋นเลือกนั่งบริเวณที่อยู่ใกล้กับไฟที่ส่องให้เห็นบรรยากาศรอบข้างแบบสลัวๆ แม้จะไม่ได้สว่างมากแต่ก็พอเห็นทัศนียภาพรอบด้าน บริเวณอ่างเก็บน้ำมีผู้คนอยู่เป็นจุดประปราย อาจเพราะเวลาที่เริ่มดึกไปทุกทีทำให้คนน้อยลงเรื่อยๆ เขายืดขาออกคลายความเมื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวันก่อนจะหันไปมองหมอฐานทัพที่ย่อตัวนั่งลงข้างๆ



            “บรรยากาศดีนะครับ พี่ว่าไหม”



            สายตาของเขาทอดมองออกไปสุดสายตา ความเงียบรอบข้างทำให้ได้ยินเสียงแมลงที่อยู่ตามต้นไม้ ลมเย็นๆพัดผ่านกระทบใบหน้าเป็นระลอก แม้ว่ารอบข้างจะยังคงเห็นคนอยู่บริเวณใกล้ๆกันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนเขาอยู่กับหมอฐานทัพแค่สองคน



            “ของพี่ครับ” บุ๋นยื่นถุงขนมปังที่ซื้อมาเหมือนกันให้ฐานทัพก่อนจะฉีกถุงของตัวเองแล้วกินขนมปังทันทีด้วยความหิว




            “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้แล้วฉีกกินตาม “พึ่งเคยมา”



            “เหมือนกันครับ” บุ๋นหันไปยิ้มบางๆ “ผมนึกว่าพี่จะเคยมาแล้วซะอีก”



            “ไม่เคย” แม้ว่าเขาจะอยู่ปีสามแล้วแต่ถ้าให้พูดตามความจริง ยังมีอีกหลายที่ในมหาวิทยาลัยที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากไป แต่ไม่มีเวลาที่จะไป



            “งั้นก็ถือว่าได้มาแล้วนะครับ”




            “ชอบ” เขาพูดออกมาสั้นๆ “เย็นดี”



            “ชอบเหมือนกันครับ” บุ๋นหันหน้ากลับไปมองน้ำในสระที่มืดจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงแสงสีส้มเหลืองบนท้องฟ้า




            ลมที่กระทบใบหน้าคล้ายกับเป็นการไล่ความเหนื่อยล้าทั้งวันของฐานทัพให้หายไปกลายเป็นความสดชื่น คนตัวสูงเหยียดขายาวตามคนข้างๆ ดวงตาทั้งสองมองไปยังจุดเดียวกันกับที่อีกคนกำลังมอง



            “โรแมนติก” บุ๋นพูดก่อนจะหันไปถาม “พี่ว่าไหมครับ”




            “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับแทบจะทันที “โรแมนติกยังไง” คนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนถามออกมาซื่อๆอย่างคนไม่รู้ทำเอาคนที่ถามถึงกับอธิบายต่อไม่ถูก




            “เอ่อ…ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย” บุ๋นเกาหัว “คือบรรยากาศมันเหมาะ แบบว่าถ้ามากับแฟน มัน…เอ่อ มันโรแมนติก” เขาไม่ได้ขยายความมากกว่าเดิม




            “อ่อ อืม คงใช่” คนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างฐานทัพคงยากที่จะเข้าใจ




            “พี่ครับ ผมลืมบอกไปเลย” พอนึกขึ้นได้เขาก็รีบพูดออกมา “ผมติดตัวจริงบาสมหาลัยแล้วนะ พอดีพึ่งรู้เมื่อสองวันที่แล้ว เห็นพี่สอบเลยไม่ได้บอก”




            “อืม” เขาพยักหน้า “ดีแล้ว”




            “อีกสองอาทิตย์ก็จะได้ลงแข่งสนามจริงแล้ว หลังจากนี้ผมคงต้องซ้อมหนักกว่าเดิม”




            “อืม”




            “พี่จะมาดูผมแข่งใช่ไหมครับ?” ถามออกไปอย่างมีความหวัง การแข่งขันครั้งนี้มันเดิมพันด้วยเรื่องในอดีตของเขาว่าเขาจะก้าวผ่านมันไปได้ไหม




            และอยากให้กำลังใจมาอยู่ใกล้ๆ




            “จะพยายาม” ครั้งนี้ฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธออกไป เขาไม่กล้ารับปากแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ “ใกล้ๆเตือนอีกที”




            “ครับ ผมอยากให้พี่มานะ”




            “ทำไมถึงอยากให้ไป” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ทุกๆครั้งเวลาที่บุ๋นชวนเขาแววตาของเจ้าตัวจะเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งๆที่ตัวฐานทัพเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้เขาไป




            “อยากได้กำลังใจ” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขาหันไปมองหน้าคนข้างๆชัดๆ “ถ้าผมพลังหมดขึ้นมาจะทำยังไง”




            “อยากได้เครื่องดื่มชูกำลัง?” ฐานทัพถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก ถ้าพลังหมดก็ต้องดื่มอะไรที่รู้สึกสดชื่นไม่ก็ได้ผ้าเย็นๆ



            แต่นั่นคือเหตุผลที่อยากให้เขาไปอย่างนั้นหรอ




            “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้าช้าๆ “อยากโดนชาจพลัง”




            “ตลก”




            “ผมพูดจริงนะ”




            บุ๋นค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของหมอฐานทัพช้าๆ แม้ว่าจะกลัวหมอปฏิเสธแต่ร่างกายมันไปไวกว่าความคิดเสมอ เขาค่อยๆยกมือของหมอฐานทัพขึ้นมาวางไว้บนหน้าผากเขาเหมือนที่หมอเคยทำก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง




            “อืม…หายเหนื่อยเลย”




            ฐานทัพได้แต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำ เขาไม่ได้ดึงมือกลับและไม่คิดปฏิเสธสัมผัสจากคนตรงหน้า ความงุนงงและความสับสนทำให้เขาปล่อยให้อีกฝ่ายชาจพลังอย่างเต็มที่ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไป




            “ช่วยได้จริงๆหรอ”




            “ครับ” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับ “ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ”




            “…” แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปแต่ฐานทัพกลับทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ “อืม”




            ความอบอุ่นจากฝ่ามือของหมอฐานทัพที่ประทับลงบนหน้าผากสามารถไล่ความเหนื่อยล้าของบุ๋นให้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้จะอยากค้างอยู่อย่างนี้อีกสักพักแต่เขาก็ต้องห้ามใจตัวเอง แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ดึงมือกลับ ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ปฏิเสธสิ่งที่เขาทำ




            “ขอบคุณนะครับ” บุ๋นค่อยๆดึงมือของฐานทัพออกจากหน้าผากอย่างอ้อยอิ่ง แม้จะไม่อยากปล่อยมือคนตรงหน้าก็ตาม




            “อืม” ฐานทัพที่ยังคงงงอยู่ตอบกลับมาสั้นๆ




            “พี่โกรธรึเปล่าครับ” คนที่แคร์ความรู้สึกของคนตรงหน้ามากถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ควรจะทำ แต่ร่างกายมันขยับเคลื่อนไหวไปเอง




            “ไม่” น้ำเสียงเรียบๆตอบกลับมา “บุ๋น”




            “ครับ?”




            “ตัวอุ่น ไม่สบาย?” หมอฐานทัพก็ยังคงเป็นหมอฐานทัพ ท่าทางซื่อๆของหมอเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ดูประดิษฐ์ขึ้นมา




            “เปล่าครับ ผมสบายดี” บุ๋นระบายยิ้มออกไปเพื่อให้คนข้างๆสบายใจ




            “อ่อ อืม” เขาคงรู้สึกไปเอง “ดีแล้ว”





            ฐานทัพหลบสายตาคนตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็ไม่เคยนับ แต่ช่วงหลังๆเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่กล้าที่จะมองรอยยิ้มนั้นตรงๆ ทุกครั้งที่บุ๋นยิ้มความรู้สึกข้างในของเขามันดูวุ่นวายแปลกๆ




            “พี่อยากลองชาจพลังดูไหมครับ?” บุ๋นถามหลังจากเห็นคนข้างๆเงียบไป




            “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ 




            “พี่จะได้รู้ว่ามันช่วยได้จริงๆ” บุ๋นยื่นมือไปตรงหน้า เขาไม่ได้มีความคิดที่อยากจะฉวยโอกาสสัมผัสตัวหมอฐานทัพแต่เขาแค่อยากให้หมอได้รับรู้ความรู้สึกที่เขาได้รับจากหมอ




            มันช่วยได้จริงๆ




            “อืม” มือเย็นๆสัมผัสมือที่ยื่นมาช้าๆ ฐานทัพวางมือของคนข้างๆไว้บนหน้าผากของตัวเองอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือมายังร่างกายของเขาเหมือนพลังงานของแบตเตอรี่ที่กำลังถูกชาจ



            อืม…



            “รู้สึกเหมือนผมไหมครับ?”




            “อืม”




            “ถ้าพี่เหนื่อย ผมจะคอยอยู่ข้างๆเพื่อชาจพลังให้พี่เอง”




            ฐานทัพสบตาคนตรหน้านิ่ง เขาค่อยๆถอนมือของบุ๋นออกจากหน้าผาก ความอบอุ่นยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย รอยยิ้มจากคนยิ้มยากปรากฏขึ้นอีกครั้ง




            “ขอบคุณ”


           






-------------------
ช่วงก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านที่เชียงใหม่แล้วไปนั่งอ่างแก้วที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความรู้สึกตอนนั้นบอกได้เลยว่าบรรยากาศรอบข้างโรแมนติกมากๆ ในหัวก็คิดถึงหมอฐานทัพกับบุ๋นขึ้นมาจนต้องขอเอาแรงบันดาลใจจากสถานที่มาเขียนไว้ในนิยายเพื่อให้คนอ่านได้เข้าถึงบรรยากาศไปกับเราด้วย
ขอบคุณอ่างแก้วนะคะที่ให้เรายืมสถานที่มาเขียนให้นักอ่านได้อ่าน ^^

ติดตามการอัพนิยายได้ทาง Fan page : perlina.
หรือติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 10-12-2016 14:00:57
ค่อยเป็นค่อยไปนะบุ๋น
ขนาดนี้แล้ว

ได้ชาร์ตพลังให้หมอด้วยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 10-12-2016 14:25:40
หมอน่าจะรู้ตัวแล้วแหละ...(น่าจะ นะ)

บุ๋น น่ารักเสมอเลย

ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 10-12-2016 21:20:59
ขอให้หมอรู้ตัวเร็วๆนะ  บุ๋นจะได้ชื่นใจซักที
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 11-12-2016 07:58:16
ทำไมเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ :ling1:  บุ๋นน่ารัก หมอก็น่ารัก
โอ้ยย ชอบบบบ เนื้อเรื่องเรื่อยๆแต่ไม่น่าเบื่อ แถมอ่านแล้วยิ้มทุกตอนเลย  :o8:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [14: จีบหมอครั้งที่สิบสี่ 100%] 10/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 11-12-2016 08:07:04
อรร้ายยยย.   ขอชาร์จพลังมั่ง    ช่วงนี้เพลียจิตเพลียใจ

ขอพลังคู่ ของพี่หมอกับน้องบุ๋นน้าาาา

 :hao7:   :hao7:   :hao7:   :hao7: 

.....
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 50%] 11/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 11-12-2016 18:07:53
จีบหมอครั้งที่สิบห้า


   วันมอบเสื้อภาคสนามมาถึงหลังจากที่ได้ยินข่าวลือกันมานานว่าใกล้จะถึงวันรับเสื้อ แม้ว่าจะไม่ได้มีกำหนดการล่วงหน้าจากรุ่นพี่แต่รุ่นน้องคณะเกษตรชั้นปีที่ 1 ก็สามารถตามตัวกันมาจนครบหมดทุกคนราวกับซักซ้อมกันมาอย่างดีทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน เช่นเดียวกับเดือนคณะที่เข้ามาในห้องประชุมเกือบคนสุดท้ายเพราะพึ่งรู้ข่าวจากเพื่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้



   ดีที่วันนี้เขามีเรียนช่วงเช้าพอดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มาถึงได้ทันเวลาขนาดนี้



   “เงียบ!” น้ำเสียงหนักแน่นของพี่ระเบียบดังขึ้นท่ามกลางนักศึกษากว่าสามร้อยคนในห้องประชุมของคณะ



   “ยังไม่หมดรับน้องอีกหรอวะ” บุ๋นเอ่ยออกมาเสียงเบา หันไปมองหน้าเดชที่นั่งอยู่ข้างๆ “นึกว่าจบไปนานแล้ว”



   “อืม” เดชพยักหน้าเห็นด้วย ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อเสียงของพี่ระเบียบก็ดังขัดขึ้นมา



   “ผมบอกให้พวกคุณเงียบ ทำไมไม่ฟัง!!” เสียงประกาศกร้าวทำให้ทั้งห้องที่เงียบอยู่แล้วเงียบลงจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนข้างๆ



   “คุณรู้กันไหมว่าทำไมพวกผมถึงนัดพวกคุณมาพร้อมกันที่นี่!!!”



   ไม่รู้ครับ



   คำตอบที่บุ๋นอยากจะตอบออกไปแต่ทำได้แค่เพียงเก็บไว้ในใจ การโดนเพ่งเล็งตั้งแต่ช่วงแรกๆของการเข้าห้องเชียร์ทำให้เขาต้องคอยระวังตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ลำพังแค่ตัวเองไม่มีปัญหาอะไร แต่การที่เพื่อนคนอื่นๆโดนทำโทษเพราะเขาด้วยมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ



   “เพื่อนผมถามทำไมไม่ตอบ” พี่ระเบียบที่ยืนเป็นกรอบตะโกนถามก่อนที่เสียงเดียวจะเพิ่มเป็นสองเสียงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนจับใจความไม่ได้




   ความกดดันในห้องประชุมทำให้บุ๋นได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากคนที่อยู่แถวใกล้ๆเขา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงพวกนี้แต่เขาต้องอดทนให้มากที่สุด สิ่งที่รุ่นพี่ทำก็แค่การฝึกความอดทนในหมู่เด็กปีหนึ่งก็แค่นั้น



   “พวกคุณรู้ไหมทำไมพวกผมถึงไม่นัดวันเวลาที่ชัดเจนกับพวกคุณ”




   เป็นอีกครั้งที่ห้องประชุมเงียบลง ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น ไม่มีเสียงจากรุ่นพี่คนไหน มีแต่เสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ บุ๋นถอนหายใจยาวๆ เขาไม่ชอบอยู่ในสภาวะที่กดดันแบบนี้เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด



   “เพราะพวกพี่อยากให้พวกเราแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าค่ะ” ผู้กล้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ทุกคนในห้องรู้ว่ามือที่ยกตรงแนบชิดใบหูอยู่นั้นสั่นจนแทบจะยกไม่ไหว




   “พวกพี่อยากเห็นความสามัคคีของพวกเรา”



   คำตอบจากหนึ่งเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนทั้งห้องประชุมกลับมามีเสียงดังอีกครั้ง บรรดานักศึกษาปีหนึ่งต่างยกมือกันตอบสลับกันจนพี่ระเบียบยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด



   “คำตอบของพวกคุณมันก็ถูก แต่ความจริงแล้วที่พวกผมไม่บอกเพราะอยากรู้ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกผมตั้งใจทำให้พวกคุณมากแค่ไหน” น้ำเสียงดุดันกลับแฝงความอ่อนโยนของรุ่นพี่ระเบียบไว้ในนั้น



   ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง ดวงตาของนักศึกษาปีหนึ่งจับจ้องไปที่พี่ระเบียบเป็นตาเดียวราวกับว่าสิ่งที่รุ่นพี่จะพูดต่อไปคือเรื่องที่พวกเขารอฟังมานาน



   “และพวกคุณก็ทำให้ผมได้รู้ว่า…พวกคุณพร้อมจะเป็นรุ่นน้องของพวกผม เป็นคณะเกษตรแล้วจริงๆ”



   สิ้นเสียงไฟในห้องประชุมก็ดับลง เสียงเรียกบูมของรุ่นพี่ระเบียบดังกึกก้อง ประตูห้องประชุมกลางถูกเปิดออกพร้อมกับรุ่นพี่ปีต่างๆที่วิ่งเข้ามาล้อมรอบรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงกลาง เสียงเตรียมบูมครั้งที่หนึ่งดังขึ้นเรียกน้ำตาของปีหนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยกับการรับน้องให้พรั่งพรูออกมาด้วยความดีใจ เป็นที่รู้กันว่าการรับน้องของคณะเกษตรศาสตร์ได้จบลงพร้อมกับสัญลักษณ์ที่ทุกคนจะได้เพื่อเป็นที่ยืนยันว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของคณะเกษตรแล้วจริงๆ



   เสื้อภาคสนาม



   เสียงบูมจากรุ่นพี่ยังคงดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม รอยยิ้มจากนักศึกษาปีหนึ่งเปรียบเสมือนกำลังใจที่ทำให้รุ่นพี่บูมจนถึงรอบสุดท้ายที่เป็นเลขรุ่นของพวกเขา รอยยิ้มของปีหนึ่งที่มอบให้รุ่นพี่อย่างเต็มใจและรุ่นพี่ก็พร้อมที่จะทำสิ่งนี้ให้ปีหนึ่งเพื่อให้น้องเก็บภาพความทรงจำดีๆไว้ ให้น้องจำว่าเกษตรของเรามีแต่ความรักและเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น



   การบูมจบลงพร้อมกับไฟในห้องที่ยังคงมืดสนิท แม้ว่าดวงตาจะปรับแสงให้พอเห็นอะไรในห้องได้บ้างแต่พวกเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าต่อไปรุ่นพี่จะทำอะไรต่ออีก จนกระทั่งมีเสียงสั่งให้ทุกคนหลับตา แม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่ปีหนึ่งทุกคนก็ทำตามที่รุ่นพี่บอก บุ๋นก้มหน้าหลับตาตามเสียงที่สั่งก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนเท้าคนเดินไปทั่วห้องประชุม เป็นการเดินที่ดูวุ่นวายและไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่



   จนทุกอย่างเฉลยออกมาเมื่อมีคำสั่งให้ลืมตา



   แสงไฟจากห้องประชุมที่สว่างขึ้นอีกครั้งด้วยเทียนจากคนที่นั่งตรงหน้า ในมือมีเสื้อภาคสนามกับรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากคนๆนี้มาก่อน คนที่บุ๋นเคยคิดว่าเกลียด คนที่บุ๋นคิดว่าเขาหาวิธีต่างๆมาแกล้งเพื่อให้ตัวเองสนุก คนที่เคยสั่งให้เขาไปวิ่งรอบมหาลัย คนที่เป็นคนบังคับส่งเขาให้ประกวดเดือนคณะ เป็นคนเดียวกับที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้



   พี่ระเบียบ



   “คนนะไม่ใช่ผี ตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” รุ่นพี่ระเบียบที่ใครๆก็ว่าโหดกลับยิ้มออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ ใบหน้าที่บึ้งตึงตอนนี้ไม่หลงเหลือความโหดให้บุ๋นได้เกรงกลัว




   “ผมไม่เข้าใจ” บุ๋นพูดออกมาเสียงเบา



   นี่มันเรื่องอะไรกัน




   “ไม่เข้าใจอะไรวะ ก็เราเป็นสายรหัสกัน วันนี้พี่มึงไม่ว่างกูเลยเป็นคนมามอบเสื้อภาคสนามให้มึงแทน”



   “สายรหัสงั้นหรอครับ”



   แม้จะรู้มาก่อนว่าสายรหัสของคณะเกษตรจะเฉลยวันสุดท้ายนั่นคือวันรับเสื้อภาคสนามแต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสายรหัสของเขาจะมีพี่ระเบียบที่ดูจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่อยู่ด้วย



   “เออดิวะ” พี่ระเบียบหัวเราะ “ความจริงกูก็เทคมึงเยอะนะ แต่มึงไม่รู้ตัวสักที”



   “เทคหรอครับ” บุ๋นขมวดคิ้ว “เทคที่ว่านี่อย่างเช่นสั่งผมวิ่งรอบมหาลัยรึเปล่า”



   “อืม คิดว่าใช่นะ” รุ่นพี่หัวเราะ “กูชื่อใบ มึงจะเรียกกูว่าอะไรก็เรื่องของมึง ส่วนมึงชื่อบุ๋นใช่ไหม”   



   “ครับ บุ๋นครับ”



   “ยื่นมือมาสิ เดี๋ยวกูผูกข้อมือให้” พี่ใบพูดก่อนจะหยดน้ำตาเทียนเพื่อให้ตั้งเทียนได้ก่อนที่จะหยิบสายสิญจน์ในกระเป๋าเสื้อออกมา



   บุ๋นยื่นมือไปตรงหน้ารุ่นพี่ที่เคยหนีหน้ามาตลอด ไม่ใช่เพราะเขากลัวแต่เพราะเขารู้สึกว่าทุกครั้งที่เจอกันเขาจะต้องเจอเรื่องแย่ๆอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้รุ่นพี่กลับเป็นคนเดียวกับที่นั่งผูกข้อมือให้เขา



   “อะไรที่กูเคยแกล้งมึงหรือทำให้มึงไม่พอใจกูก็ขอโทษด้วย” สายสิญจน์ที่ลนน้ำตาเทียนตรงกลางถูกเป่าลมเบาๆเพื่อไม่ให้ร้อนระหว่างผูกข้อมือ “กูดีใจที่สายรหัสเรามีมึงมาเป็นน้อง สายกูจะได้มีคนหล่อๆบ้าง”



   “ครับ” บุ๋นอดหัวเราะไม่ได้กับคำพูดที่ดูภาคภูมิใจของรุ่นพี่ใบ



   “กูจำได้นะที่มึงเคยบอกว่าจะจีบหมอ เอาจริงๆกูก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก แต่ก็ขอให้จีบติด เอาใจช่วย” พี่ใบผูกเสร็จพร้อมกับมือหนักๆที่เอื้อมมาตบบ่า “หลังจากวันนี้ไปมีอะไรมึงปรึกษากูได้ตลอด”



   “ขอบคุณนะครับ”



   “แต่ถ้าเป็นเรื่องเรียนมึงก็ไปถามคนอื่นเถอะ กูโง่” รอยยิ้มเล็กๆเผยออกมาก่อนที่รุ่นพี่จะหยิบเสื้อภาคสนามที่วางอยู่ข้างตัวมาถือไว้ “เสื้อภาคสนามของมึง ปักรหัสของมึง”



   “…”



   “มึงรู้ความหมายของเสื้อภาคสนามใช่ไหม”




   “ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเหมือนที่พี่จะบอกรึเปล่า”



   “อืม” พี่ใบพยักหน้า “งั้นบอกใหม่”



   “ครับ” บุ๋นตั้งใจรอฟังอย่างใจจดใจจ่อยิ่งทำให้รุ่นพี่ที่ได้รับฟังเรื่องมาจากรุ่นสู่รุ่นเริ่มออกอาการเกร็ง



   “เสื้อภาคสนามมึงกูรู้ว่าเราต้องใส่เวลาไปลงพื้นที่ มันแสดงถึงความลำบากกว่าที่จะได้อะไรมาสักอย่าง เสื้อนี้ก็เหมือนกับตัวแทนของเด็กเกษตร เขาว่ากันว่าถ้าเอาเสื้อภาคสนามไปสวมให้ใครเป็นคนแรก ก็เหมือนเป็นการบอกว่า…เราจะไม่ทำให้เขาต้องลำบากเพราะเราจะลำบากแทน”



   “อ่อ…”



   “มันก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา เป็นความเชื่อของพวกรุ่นพี่”



   “แล้วพี่เคยทำจริงไหมครับ?” คำถามที่ตั้งใจฟังคำตอบของบุ๋นทำให้พี่ใบอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม



   “อืม ทำแล้ว”



   “แล้วได้ผลไหมครับ?”



   “ไม่ว่ะ…เขาไม่พร้อมจะลำบาก”



   “…” คำพูดของพี่ใบทำให้คนฟังถึงกับเงียบไปพักใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาคตก่อนที่จะสบายเขาก็ต้องผ่านช่วงที่ลำบากก่อน



   ถ้าถึงตอนนั้น…หมอฐานทัพพร้อมจะลำบากไปกับเขาด้วยรึเปล่า




   “แต่รุ่นพี่บางคนที่เอาวิธีนี้ไปทำก็แต่งงานไปหลายคู่นะ”




   “หรอครับ”




   “มึงมีคนที่อยากจะสวมให้แล้วหรือไง ดูสนใจเป็นพิเศษ”




   “มีแล้วครับ” บุ๋นระบายยิ้ม “แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยากจะสวมมันรึเปล่า”



   “ต้องอยากสิวะ” พี่ใบพูดให้กำลังใจ



   “…”



   “ใครๆก็อยากสวมเสื้อของเดือนคณะอย่างมึง”




   “ครับ” เขาไม่อยากให้คนอยากสวมเสื้อของเขาเพราะเขาเป็นเดือน



   เขาอยากให้คนๆนั้นสวมเสื้อของเขาเพราะเห็นเขาเป็น…บุ๋น



   จาก…คนส่งแครอท
   ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ พี่ช่วยมาเจอผมที่แปลงเกษตรหน่อยได้ไหมครับ
   แต่ถ้าพี่ไม่สะดวก เดี๋ยวผมไปรับเอง ^^


 
   ฐานทัพเลื่อนสายตาอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอก่อนจะกดส่งกลับไปทันทีหลังจากที่ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงพักก่อนจะเรียนต่ออีกชั่วโมงกว่าๆ
         

 
   เดี๋ยวไปเอง แต่เลิกดึกหน่อย
 


   จาก…คนส่งแครอท
   ไม่เป็นไรครับ ผมจะรอ

 


   ฐานทัพปิดโทรศัพท์ลงหลังจากที่อ่านข้อความล่าสุดแล้ว ร่างสูงบิดขี้เกียจเล็กน้อยกับวิชาที่ต้องใช้สมาธิและทักษะในการจดเลกเชอร์ที่ค่อนข้างเร็วจนรู้สึกปวดมือ หันไปข้างๆตัวก็ได้แต่ถอนหายใจกับเพื่อนสนิทที่หลับไปตั้งแต่ต้นคาบ



   เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ให้เด้งตัวลุกขึ้นพร้อมกับอ้าปากหาวออกมา เขาได้แต่ส่ายหน้ากับความขี้เกียจของคินก่อนจะตั้งใจเรียนอีกครั้ง



   อีกชั่วโมงกว่าๆก็เลิกแล้ว




   การเรียนวิชาสุดท้ายจบลงไวกว่าที่คิดไว้เกือบครึ่งชั่วโมง อาจเพราะนักศึกษาตั้งใจฟังจนอาจารย์เห็นใจเพราะสีหน้าของแต่ละคนดูเหน็ดเหนื่อยทำให้เลิกคลาสเร็วกว่าปกติ ร่างของนักศึกษาปีสามเดินออกมาจากห้องด้วยสภาพไม่ต่างกัน ผิดกับฐานทัพที่ดูจะเดินออกมาเร็วเป็นพิเศษ เขามีสิ่งที่จะต้องทำต่อและสิ่งนั้นค่อนข้างรบกวนสมาธิเขาพอสมควร



   “จะไปไหนวะ” คินถาม



   “ธุระ” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินปลดล็อคกุญแจจักรยานแล้วรีบคร่อมจักรยานปั่นออกไป




   เวลาเกือบสองทุ่มทำให้ตึกคณะเกษตรค่อนข้างเงียบสงัด อาจเพราะส่วนหนึ่งเรียนเสร็จไปตั้งแต่ช่วงบ่าย อีกส่วนไม่มีงานที่จะต้องเร่งทำเลยทำให้คณะดูเงียบกว่าปกติ ฐานทัพค่อยๆเดินไปยังแปลงเกษตรที่บุ๋นนัดช้าๆ เขาเคยมาแค่ครั้งเดียวเลยกลัวว่าจะไปผิดทาง



   “สะ…สวัสดีครับพี่” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นหากแต่คนๆนั้นไม่ได้พูดกับเขา



   ฐานทัพมองร่างสูงที่ยืนพูดคนเดียวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาจะเอ่ยทักอะไรออกไปร่างที่อยู่ตรงแปลงเกษตรก็พูดขัดขึ้นมา




   “จะตะกุกตะกักทำไมวะบุ๋น” เขาดูโมโหไม่น้อยกับอาการของตัวเองที่แสดงออกมา “เอาใจช่วยกันด้วยนะเจ้าแครอท” บุ๋นหันไปพูดกับแปลงแครอทที่เขาเป็นคนปลูกให้หมอฐานทัพก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ



   ฐานทัพหยุดยืนดูสิ่งที่บุ๋นทำอย่างนึกสนใจ รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่บุ๋นกำลังทำอยู่แต่เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจที่บุ๋นแสดงออกมา




   “ผม…ผมอยากให้พี่” ใบหน้าของบุ๋นยิ้มออกมาไม่เต็มปากราวกับเรื่องที่ต้องการจะพูดเป็นเรื่องสำคัญ “ผม ผมไม่รู้ว่าพี่จะรังเกียจไหม”



   “…”




   “พูดยังไงดีวะ” เขาบ่นกับตัวเองอีกครั้ง



   ไม่บ่อยครั้งนักที่บุ๋นจะมีความรู้สึกแบบนี้ ความจริงแล้วเขาอยากจะพูดอะไรออกไปก็พูดได้ แต่สำหรับเรื่องนี้มันสำคัญมากสำหรับเขา



   ถ้าหมอไม่ยอมใส่ ก็เหมือนเขาโดนปฏิเสธทางอ้อม



   ฐานทัพเลือกที่จะแอบมอบต่ออีกสักพัก เขาเองก็อยากจะรู้ว่าบุ๋นกำลังทำอะไรอยู่ ยอมรับตรงๆเลยว่าเขาไม่อาจละสายตากับภาพตรงหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว




   “พี่จะรังเกียจผมไหม ถ้าผม…ผม…ผม” บุ๋นตะกุกตะกักอีกครั้ง ท่าทางเก้ๆกังๆเหมือนเป็นครั้งแรกทำให้ฐานทัพยิ้มอีกครั้ง




   ดูไปดูมาก็น่ารักดี




   “บุ๋น” ฐานทัพตัดสินใจเรียกออกไปเมื่อเห็นว่าปล่อยให้บุ๋นฟุ้งซ่านนานเกินไป



   “ครับ!” ร่างสูงสะดุ้งสุดตัว อย่างกับไม่ทันได้เตรียมใจเมื่อเห็นฐานทัพมาถึงแล้ว



   มือที่ถือเสื้อภาคสนามรีบไขว้ไปด้านหลังเพื่อไม่ให้หมอรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร รอยยิ้มประหม่าเผยออกมาก่อนที่น้ำเสียงของคนตื่นเต้นจะเอ่ยถาม



   “มา…มานานรึยัง…ครับ” บุ๋นยกมือข้างหนึ่งเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาจากความตื่นเต้น



   แม้ว่าพี่ใบจะบอกว่าเป็นแค่ความเชื่อที่เชื่อต่อๆกันมาแต่เขาเองก็อดที่จะคิดมากไม่ได้ ก่อนที่จะออกจากห้องประชุมก็ได้ยินเพื่อนๆพูดถึงเรื่องความเชื่อนี้จนเขาเองก็แอบคาดหวังลึกๆ




   หวังว่าจะผ่านไปด้วยดี




   “พึ่งถึง” ฐานทัพโกหกออกไป ถ้าเขาบอกไปตรงๆว่ามาถึงตั้งแต่ตอนที่เห็นคนกำลังคุยกับแครอทคงจะทำให้บุ๋นทำตัวไม่ถูก




   ไม่บอกคงดีกว่า




   “อ่อ…ครับ”




   “ว่าไง” ฐานทัพมองบุ๋นที่ดูประหม่าเป็นพิเศษ เขาไม่เคยเห็นบุ๋นมีท่าทางไม่มั่นใจเท่าวันนี้มาก่อน คล้ายกับว่าเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก




   แล้วมันจะเป็นเรื่องอะไร




   “ผม…ผม…คือผม” บุ๋นติดอ่างอีกครั้ง ความจริงก็ซ้อมมารอบหนึ่งแล้วแต่ก็เท่านั้น ตอนซ้อมเขาเองก็พูดติดๆขัดๆไม่ต่างกับพูดจริงๆ




   ตั้งสติหน่อยสิวะบุ๋นเอ้ย




   “ตื่นเต้นหรอ” ฐานทัพถามออกไป ไม่ต้อบตอบเขาก็ดูออก แค่อยากถามให้อีกคนผ่อนคลาย




   “ครับ…ตื่นเต้นมาก”




   “ใจเย็น”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะมีความกลัวซ่อนอยู่ลึกๆแต่เขาก็พยายามข่มมันไว้ข้างใน




   ไม่เป็นไรนะบุ๋น…ไม่เป็นไร



   “ผม…ผม…” ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อมือของฐานทัพก็เอื้อมมาวางไว้ที่บ่าบุ๋นเบาๆอย่างเข้าใจ



   “เครียด?”



   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้า “ผมแค่กลัว”




   “อืม” เขาพยักหน้าเข้าใจ “พูดมา”




   “วันนี้ผมได้รับเสื้อภาคสนาม”




   “ไหน” ฐานทัพถามเพื่อให้คนตรงหน้าคลายความกังวลลง บุ๋นค่อยๆเอาเสื้อที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาให้ฐานทัพดูช้าๆ




   “นี่ครับ ปักรหัสผมด้วยนะ”




   เสื้อภาคสนามแขนยาวสียีนส์เข้มปักรหัสไว้บนกระเป๋าซ้าย รหัส 8590001021 ข้างหลังเขียนชื่อคณะตัวใหญ่แสดงถึงความเป็นเด็กคณะเกษตรรุ่นสู่รุ่น




   “สวยดี”




   “เขามีความเชื่อกันว่า ถ้าเอาไปให้ใครสวมเป็นคนแรก คนๆนั้นจะไม่ลำบาก”




   “ทำไม”




   “เพราะเจ้าของเสื้อจะลำบากแทน” บุ๋นสบตาคนตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก




   “อืม”




   “พี่อยากสวมเสื้อของผมไหม?”




   “…” ฐานทัพนิ่งเงียบไป เขามองหน้าคนตรงหน้ากลับด้วยสายตาไม่เข้าใจ แม้ว่าจะอยากถามออกไปแต่ก็ไม่รู้จะถามว่ายังไง




   “ผมอยากให้คนแรกที่สวมเสื้อเป็นพี่”




   “เพราะอะไร”




   “ผมอยากให้เป็นพี่”




   “แน่ใจแล้วหรอ”




   “ครับ ผมมั่นใจว่าผมตัดสินใจไม่ผิด”




-----------------------------------------
เสื้อภาคสนามเป็นเพียงสิ่งที่นักเขียนคิดขึ้นมาเองนะคะ
เผื่อใครเรียนเกษตรแล้วจะท้วงว่าทำไมไม่มีบ้างงT3T
แต่จากที่เคยคุยกับคนที่เรียนบางคนก็บอกมีเสื้อลงสนามแต่ไม่ได้มีความเชื่ออะไรแบบนี้
หรือว่าถ้าที่ไหนที่มีความเชื่อแบบนี้บอกกันหน่อยน้า จะได้ฟินด้วย 55555555555

ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์นะคะ เราตั้งใจแต่งมากๆอยากคนคนที่อ่านมีรอยยิ้ม
ขอบคุณและติดตามกันไปนานๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 50%] 11/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 11-12-2016 19:15:28
อ่านไปยิ้มไปตลอดเลย
ตอนนี้บุ๋นตลกดี 555555  ยังไงหมอก็เห็นใจน้องหน่อยนะ อุตส่าซ้อมมาทั้งที
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 50%] 11/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 11-12-2016 19:50:09
 :pig4:

 :call:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 50%] 11/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 13-12-2016 05:13:11
บุ๋น เอยยย

หมอฐานทัพ เข้าใจความนัยของบุ๋นมั้ยเนี้ย
รอๆ ลุ้นๆ ต่อไป
เอาใจช่วยบุ๋น ให้หมอได้สวมคนแรกนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 13-12-2016 21:22:14
   “ครับ ผมมั่นใจว่าผมตัดสินใจไม่ผิด”



   “อืม” ฐานทัพยิ้มออกมา “ใส่สิ”



   “พี่ยอมใส่หรอครับ” บุ๋นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าเดิม แก้มทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างคนเก็บความสุขไว้ไม่อยู่




   “อืม คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดเหมือนกัน”




   “ผมดีใจมาก มากๆ มากจริงๆ”




   “รู้แล้ว” ฐานทัพหัวเราะออกมา พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มออกมาเขาก็โล่งใจแปลกๆ




   “ให้ผมใส่ให้พี่นะ”



   “อืม” เขาพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเพื่อให้อีกคนใส่ให้ได้สะดวก




   บุ๋นค่อยๆสวมเสื้อภาคสนามที่ถืออยู่ให้คนตรงหน้าช้าๆ เขาบังคับไม่ให้มือตัวเองสั่นไม่ได้จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจนเขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆ




   อย่างน้อยหมอก็ไม่ได้รังเกียจเขา




   “เหมาะจังเลยครับ” บุ๋นยิ้มกว้างเมื่อเห็นหมอฐานทัพสวมเสื้อของเขาแล้ว หมอใส่เสื้อของเขาได้อย่างพอดีราวกับเป็นเจ้าของเสื้อ




   “เป็นเด็กเกษตรได้ไหม” ฐานทัพมองเสื้อที่สวมอยู่แล้วถามออกไป




   “ไม่ได้หรอกครับ” บุ๋นยิ้ม



   เป็นแฟนเด็กเกษตรดีกว่า…




   “เป็นหมอเหมือนเดิม ส่วนผมจะเป็นเด็กเกษตรเอง”




   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ




   “ขอบคุณนะครับที่ยอมใส่ ผมนึกว่าพี่จะปฏิเสธผม”




   “ทำไมต้องปฏิเสธ” ฐานทัพระบายยิ้มบางๆ จากความตั้งใจของบุ๋นตอนที่เตรียมตัวก็ทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง




   ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นภาพเหล่านั้น…เขาก็คงไม่ปฏิเสธอยู่ดี




   เพราะ…เป็นบุ๋น




   “บางคนกลัวลำบาก”




   “เป็นหมอ…ไม่มีคำว่าสบายอยู่แล้ว”




   “นั่นสินะครับ ผมลืมไปเลย”




   “ขอบคุณ” ฐานทัพสบตาคนตรงหน้านิ่ง “ที่มาแบ่งความลำบากไป”




   “ผมเต็มใจ” เขายิ้มกว้าง “ให้รับความลำบากมาทั้งหมดผมก็ทำได้นะ” คนยิ้มเก่งพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจเสมอ




   “ทำไม” ฐานทัพถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ ที่บุ๋นทำให้เขามันมากเกินไปจนเขาอยากรู้เหตุผล “ทำไมถึงทำให้ทุกอย่าง”




   “พี่อยากรู้จริงๆหรอครับ”




   “อืม”




   “เพราะเป็นหมอฐานทัพ” บุ๋นยิ้ม เขาเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ เขาอยากจะอยู่แบบนี้ไปสักพักรอให้ถึงวันที่ความรู้สึกของเขาจะอัดแน่นจนกักเก็บไว้ไม่อยู่




   ถึงวันนั้นเขาจะบอกหมอฐานทัพทุกอย่าง…




   “และทุกอย่างที่ผมทำ…ผมทำกับพี่แค่คนเดียว”




   “อืม”




   “...”




   “คราวหลังมีอะไรก็บอก ไม่ต้องไปคุยกับแครอท”




   “ว่าไงนะครับ” บุ๋นเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆจากปากของหมอฐานทัพ เหมือนกับว่าหมอเห็นอะไรมาก่อนหน้านี้ “ไหนพี่บอกว่าพึ่งมาไง”



   “พึ่งมา” เขาพูดคำเดิม “พึ่งมาเห็นคนพูดกับแครอทก็วันนี้”




   “พี่…” บุ๋นเรียกชื่อฐานทัพออกมาอย่างแผ่วเบา เขาอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แสดงว่าหมอเห็นทุกอย่างที่เขาทำ




   บ้าไปแล้ว…




   “ผมอาย พี่อย่ามองผมแบบนั้นสิ” บุ๋นยกมือขึ้นมาปิดหน้า เขาไม่เคยรู้สึกอายเท่าวันนี้มาก่อนเลย หมอรู้ว่าเขาเตรียมตัวก่อนที่จะมาเจอหมอ




   หมอเห็น




   หมอเห็นหมดแล้ว!!!!!!




   “อายทำไม” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ “แค่นี้เอง”




   “แค่นี้หรอครับ ไม่แค่นี้นะ ให้ตายเถอะ” บุ๋นทรุดตัวนั่งลงกับพื้นดินที่เหยียบอยู่ “บุ๋นเอ้ยยยย!!!” เขาบ่นกับตัวเองก่อนที่จะรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆที่วางอยู่บนหัวเขาเบาๆ




   “คิดมาก” มือที่สัมผัสเส้นผมของอีกคนที่นั่งอยู่ทำเอาบุ๋นเผยยิ้มออกมาบางๆ




   รู้สึกดีแปลกๆ



   “ผมไม่ได้สระผมนะ” บุ๋นแกล้งคนที่ยืนอยู่




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “กลับไปสระซะ”




   “ความจริงก็ไม่อยากสระหรอกครับ แต่สระก็ได้” ที่ไม่อยากสระเพราะอยากเก็บสัมผัสของหมอไว้นานๆ




   โรคจิตเกินไปแล้วบุ๋น




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนที่นั่งลงข้างๆตัว “ขอนั่งด้วย” พูดจบร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆคนที่นั่งอยู่ก่อนโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ




   “พี่จะนั่งทำไมครับ สกปรกนะ”




   “ไม่เป็นไร” สายตาของฐานทัพทอดมองไปยังแปลงแครอทตรงหน้าที่เริ่มเจริญเติบโตขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป “อีกไม่นานก็ได้กินแครอทแล้ว”




   “หืม…หรอครับ” บุ๋นหันไปมองตามฐานทัพก่อนจะระบายยิ้มออกมา ไม่คิดว่าหมอจะสนใจแครอทที่เขาปลูกให้มากขนาดนี้




   “ถ้าถึงเวลาเก็บ บอกด้วย”




   “จะมาด้วยหรอครับ”




   “จะมานั่งดู”




   “โห…”




   “ล้อเล่น” ฐานทัพยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าเหวอของคนข้างๆ “จะมาช่วยเก็บ”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มกลับ “ผมไม่ลืมแน่ๆ”




   “ดี”




   “พี่ครับ” บุ๋นหันไปเรียกคนข้างๆเสียงเบา ความมืดเข้ามาปกคลุมจนทำให้เขาเห็นหน้าหมอฐานทัพไม่ชัดเท่าตอนแรก “ผมชอบเวลาพี่ยิ้มนะ”




   “หรอ” คนยิ้มยากเลิกคิ้ว “ไม่ค่อยยิ้ม”




   “ดีแล้วครับ”




   “หืม?”




   “ยิ้มให้ผมคนเดียวก็พอแล้ว” บุ๋นยิ้มกว้างตอบกลับไป เขาหวงรอยยิ้มของหมอฐานทัพ ไม่อยากให้ใครได้เห็นนอกจากเขา



   แค่เขาคนเดียวที่ชอบหมอฐานทัพก็มากพอแล้ว




   “ชอบ” คำสั้นๆที่ฐานทัพเอ่ยออกมาทำให้เสียงรอบข้างเงียบลง บุ๋นค่อยๆหันมามองหน้าหมอฐานทัพเพื่อรอฟังคำต่อไปที่หมอจะพูด




   “ชอบอะไรหรอครับ”




   “ยิ้ม” ฐานทัพหันกลับมาสบตา “ยิ้มของบุ๋น”




   “ยิ้มของผม” บุ๋นทวนคำพูดของหมอฐานทัพก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาบนใบหน้า จากอากาศที่ค่อนข้างเย็นกลับกลายเป็นร้อนขึ้นมาทันที




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “ชอบแค่รอยยิ้มหรอครับ อย่างอื่นไม่ชอบหรอ” พอได้ทีเขาก็ถามกลับใหญ่




   “อืม”




   “…”



   “ชอบหมด”




   รอบข้างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง บุ๋นที่ได้ฟังคำพูดสั้นๆของฐานทัพถึงกับไปต่อไม่ถูก บรรยากาศแบบนี้คล้ายกับว่าเขากำลังโดนหมอสารภาพความในใจ




   ทั้งๆที่ควรจะเป็นเขา




   “ผมเคยมีแฟนก่อนจะเข้าเรียนปีหนึ่งที่นี่” บุ๋นตัดสินใจเล่าเรื่องที่ค้างคามานานเพื่อให้อีกคนได้รับรู้ “ผมบอกเลิกเขาในวันที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ” แม้ว่าเขาจะไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่เพราะไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำแต่เขาก็ต้องเล่า




   ไม่อยากให้หมอได้ฟังเรื่องนี้จากปากคนอื่นที่ไม่ใช่เขา




   “บอกเลิกเพราะถึงเวลาที่ผมจะทำตามความรู้สึกที่มีต่อคนๆหนึ่งมาตลอดเวลาที่คบกับเธอ” เขารู้มาตลอดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแต่ในตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าจะคบกับใครก็ได้เพราะไม่คิดจริงจังกับใคร




   นอกจากหมอ




   “ผมรู้ผมผิดนะ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็จะทำแบบเดิม”




   “…”




   “ผมรู้สึกดีกับใครไม่ได้อีกตั้งแต่มาเจอเขา”




   “อืม” ฐานทัพรับฟังเงียบๆ เขาไม่ได้มีข้อคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่บุ๋นเล่าเพราะคิดว่าบุ๋นแค่ต้องการบอกเพื่อให้เขาได้รับรู้



   “ผมอยากจะบอกให้พี่รับรู้ไว้ก่อนที่พี่จะได้ฟังจากคนอื่น”




   “ฟังจากคนอื่นแล้วทำไม”




   “พี่อาจจะเกลียดผม”




   “ไม่เกลียด” ฐานทัพตอบกลับมาทันที “ทุกคนมีเหตุผล” บุ๋นที่เขารู้จักไม่ได้เป็นคนไม่ดีถึงขนาดที่เขาจะต้องเกลียด ฐานทัพมีเหตุผลพอที่จะชอบหรือเกลียดใคร



   “ผมดีใจครับที่ผมเชื่อความรู้สึกของตัวเอง” เขาโล่งอกอีกเปราะหนึ่งเมื่อเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฐานทัพฟังแล้ว




   อาจเพราะลึกๆเขากลัวว่าแพรจะกลับมาแล้ว...หมอฐานทัพจะเปลี่ยนไป




   “ดีแล้ว”




   “ชอบนะครับ” บุ๋นหันไปพูดให้คนข้างๆได้ยินชัดๆ




   “…”



   “ชอบที่สุด”




   ฐานทัพไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเพียงพยักหน้าตอบรับ แม้จะตีความหมายที่บุ๋นพูดไม่ชัดว่าต้องการสื่อถึงอะไรแต่เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงที่เปล่งออกมา




   “ผมไม่ได้พูดกับแครอทนะครับ” บุ๋นยิ้มอย่างรู้ทัน หมอฐานทัพมักไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อตรงๆ ถ้าไม่บอกชัดๆหมอก็ไม่เข้าใจ




   “อืม”




   “ผมพูดกับพี่”




   “รู้แล้ว” ฐานทัพหันไปมองทางอื่นเพื่อเลี่ยงสายตาของคนข้างๆที่มองมา ความไม่ชัดเจนกลายเป็นชัดเจนขึ้นมาในพริบตา



   ที่บอกว่าชอบ…หมายความแบบนั้นจริงๆ




   บุ๋นได้แต่นั่งเงียบเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้พูดออกไป เขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปจะทำให้หมอฐานทัพเปลี่ยนไป ลึกๆแล้วเขาก็รู้ว่าหมอรู้สึกไม่ต่างจากเขา



   ฐานทัพหลับตาลงช้าๆเพื่อให้สายลมพัดผ่านใบหน้าไป ช่วงเวลาที่เขาได้อยู่เงียบๆโดยไม่ต้องทำอะไรมันให้ความรู้สึกสบายใจ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันหายไปในชั่วพริบตา




   บางทีเขาก็สงสัยว่าแปลงเกษตรมีเวทมนต์พิเศษทำให้หายเหนื่อยหรือว่าเป็นเพราะคนข้างๆ




   “บุ๋น หิว” คนที่รีบมาตามนัดเอ่ยออกมาหลังจากที่รู้สึกว่าท้องว่างเกินไป วันนี้เรียนเต็มวันเลยหาอะไรรองท้องนิดหน่อยไม่ได้แวะกินข้าว




   “ไปกินที่ไหนดีครับ” บุ๋นก็ยังคงเป็นบุ๋นที่ตามใจหมอฐานทัพเหมือนทุกๆครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่บุ๋นปฏิเสธเขา




   “ตามใจ”




   “ไปกินร้านอาหารตามสั่งหน้ามอไหมครับ ร้านนั้นซื้อแครอทจากคณะผม”



   “ไป” ฐานทัพตอบกลับแทบจะทันที ร่างสูงดันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นมือให้คนตรงหน้าจับเพื่อลุกขึ้นตาม “หิว”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าหมอฐานทัพไม่ได้เย็นชาอย่างที่คิด ความจริงแล้วหมอฐานทัพน่ารัก




   มือของบุ๋นเอื้อมไปจับมือของคนตรงหน้าแน่นก่อนจะค่อยๆดึงตัวลุกขึ้นตาม แม้จะลุกขึ้นแล้วแต่มือของเขาก็ยังจับมือของหมอฐานทัพไว้อย่างลืมตัว




   ไม่อยากปล่อย




   “มือพี่เย็น”




   “อืม” ฐานทัพเป็นคนขี้หนาว ไม่แปลกที่จะมือเย็น “มือร้อน”




   “ครับ ผมขี้ร้อน” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์




   “ปล่อยได้แล้ว” ฐานทัพมองมือของบุ๋นที่จับมือของเขาแน่น




   “ผมลืมตัว” คนที่มีความตั้งใจจับมือโกหกคำโตก่อนจะยอมปล่อยมือของคนตรงหน้าช้าๆด้วยความเสียดาย อยากจะจับนานกว่านี้




   “ไปกินข้าว”




   “พี่จะไม่ถอดเสื้อของผมก่อนหรอครับ” บุ๋นถามเมื่อเห็นฐานทัพใส่ออกไปโดยไม่คิดจะถอดออก เขาไม่ได้ว่าอะไรถ้าหมอจะใส่นานๆ




   “ยืมก่อน” ฐานทัพเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หนาว”




   “ครับ” บุ๋นยิ้ม “ใส่นานๆนะครับ”




   ใส่ตลอดชีวิตเขาก็ไม่ว่า




--------------------------------
มีคนพร้อมจะสวมเสื้อของบุ๋นกันเยอะเลย คนเขียนก็คนหนึ่ง ._.
อยากขอบคุณที่ตามคอมเม้นท์กันมาทุกตอนนะคะ นักอ่านน่ารักมากเลย
กำลังใจของคนเขียนมาเต็ม <3 เค้าตามอ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ
จำได้หลายคนเลยเพราะมาเม้นบ่อย ขอบคุณมากๆนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนจีบหมอ ขอบคุณที่ 'รัก' เหมือนที่เรารัก :)


ติดตามกันได้ทาง Fan page : Perlina.
อย่าลืมติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun นะค
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 13-12-2016 23:57:35
เขินหมออะ  มึนๆแต่น่ารัก :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 14-12-2016 04:29:18
อ๊ายยย
หมอใส่เสื้อบุ๋นแล้ววว

บอกชอบด้วยยย หมอรู้ความนัยชิมิ

หมอน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 15-12-2016 10:17:01
อ่านแล้วทำไมเขินนนนนน :katai5:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 15-12-2016 10:36:09
หมอน่าร๊ากกกกก เราชอบคนที่มีนิสัยเหมือนหมอจัง พูดน้อยแต่พูดแล้วฟินเวอร์ ส่วนบุ๋นก็นะ เขิน อิอิ :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 16-12-2016 09:34:03
น่ารักมากมาย
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 16-12-2016 12:54:54
รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 16-12-2016 13:15:26
 ใส่นานๆ นะครับ แอร๊ !!!!!!! น้องบุ๋นของพี่    :o8:  :o8:  :o8: 
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 50%] 16/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 16-12-2016 22:01:56
จีบหมอครั้งที่สิบหก

   ร้านอาหารตามสั่งเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มานั่งจับจองกันจนแทบจะไม่มีที่ว่าง บุ๋นกับฐานทัพนั่งลงหน้าร้านหลังจากที่เห็นคนลุกออกไปจ่ายตังพอดี เขาหันไปสั่งเมนูที่คุ้นชินพร้อมกับสั่งให้หมอที่บ่นหิวข้าว



   “อดทนอีกนิดนะครับ”



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะฉีกถุงขนมปังที่แวะซื้อก่อนเดินเข้าร้าน “กินไหม”



   “ไม่ครับ พี่กินเถอะ” บุ๋นยิ้มนิดๆแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ



   พอเห็นหมอฐานทัพใส่เสื้อของเขาไม่ยอมถอดใจมันก็พลันแต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ระหว่างเดินเข้าร้านเขาเห็นสายตาของหลายคนที่มองมาที่เสื้อของเขาที่หมอฐานทัพใส่อยู่ บางคนก็คงรู้ความหมาย ส่วนบางคนก็คงคิดว่าหมอฐานทัพเรียนคณะเกษตร 



   ครืดดดดดด!!



   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นเหมือนเจ้าเข้าทำให้คนที่นั่งยิ้มอยู่รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาทันที



   “ขอโทษครับแม่ แต่ช่วงนี้ผมไม่ว่างจริงๆนะ” น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงทำให้ฐานทัพหยุดฟังอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจทางอื่น



   “พรุ่งนี้หรอครับ…ก็ได้ แต่ว่าไปไม่นานนะ” บุ๋นทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ครับแม่ เจอกันครับ”



   โทรศัพท์กดตัดสายไปก่อนที่เสียงถอนหายใจยาวๆจะพ่นออกมาระบายความเหนื่อยในวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง เขากับแม่ติดต่อกันบ่อยแต่ช่วงนี้อาจเพราะสอบและกิจกรรมหลายอย่างเลยทำให้บุ๋นไม่มีเวลาแวะกลับไปที่บ้านจนแม่ต้องโทรมาตาม



   พรุ่งนี้ต้องกลับบ้าน…ขี้เกียจโว้ยยยยยยย



   “เป็นอะไร” ฐานทัพที่เห็นท่าทีแบบนั้นอดที่จะถามไม่ได้



   “เปล่าครับ โดนแม่บ่นนิดหน่อย” บุ๋นยิ้ม “พรุ่งนี้ผมต้องไปช่วยงานที่บ้านสวน พอดีลูกจ้างคนเก่าเขาขอลาออกที่บ้านสวนเลยยุ่งๆ”



   ความจริงเขาก็รู้ปัญหานี้มาสักพักใหญ่ๆแต่ไม่คิดว่าจะหนักถึงขนาดที่แม่จะต้องโทรมาขอร้องให้เขาไปช่วยงานเพราะที่บ้านรู้ดีว่าเขาไม่ได้อยากจะสืบทอดธุรกิจของครอบครัว แต่ในเมื่อแม่โทรมาแบบนี้แสดงว่าที่บ้านกำลังต้องการความช่วยเหลือจริงๆ




   “บ้านสวน?” ฐานทัพเอ่ยถามอย่างสนใจ “มีบ้านสวน?”




   “ครับ ผมไม่เคยบอกพี่หรอ”    




   “ไม่”




   “บ้านผมเป็นเกษตรกร ปลูกพวกผักผลไม้ขายครับ” เจ้าตัวรีบอธิบายให้คนตรงหน้าฟังทันที “ผมก็เลยมีบ้านอยู่สองที่ก็คือในกรุงเทพกับที่บ้านสวน”




   “อ่อ” ฐานทัพพยักหน้าเข้าใจ



   “พี่อยากไปกับผมไหมครับ” บุ๋นถามเมื่อเห็นคนตรงหน้าดูสนใจ “ที่บ้านสวนมีผลไม้ให้กินเยอะแยะเลยนะ”



   “แครอทล่ะ”



   “ต้องมีอยู่แล้วสิครับ” เมื่อเห็นท่าทางของหมอฐานทัพบุ๋นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “แม่ผมปลูกไว้หลายแปลงเลย ตัวอ้วนๆทั้งนั้น”



   “ไปนอน?”



   “เปล่าครับ กลับเย็นๆ วันอาทิตย์ผมมีซ้อมตั้งแต่เช้าเลยค้างคืนไม่ได้”



   “อืม ไปสิ” ฐานทัพตอบกลับทันที “พรุ่งนี้ว่าง”



   “จริงหรอครับ พี่อยากไปบ้านสวนจริงๆหรอครับ” บุ๋นตาลุกวาว จากที่ขี้เกียจกลายเป็นสดใสขึ้นมาทันที “ผมจะบอกแม่ให้เตรียมแครอทเผื่อไว้ทำอาหารกินตอนเย็นนะครับ”



   “อืม”



   บุ๋นยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง พรุ่งนี้หมอฐานทัพจะไปเจอครอบครัวของเขาที่บ้านสวน แม้ว่าเพื่อนของเขาทุกคนจะเคยเจอพ่อแม่เขามาหมดแล้วแต่กับหมอฐานทัพกลับแปลกออกไป



   หมอไม่ได้ไปในฐานะเพื่อน…หมอไปในฐานะว่าที่แฟนในอนาคต



.

   ร่างสูงในชุดไปรเวทยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย เสื้อสีดำขนาดหลวมกว่าตัวเล็กน้อยกับกางเกงยีนส์สีเข้มตัดกับกระเป๋าขนาดกลางที่สะพายพาดข้างทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันกลับมาดู อาจเพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาเลยทำให้คนแปลกตาเมื่อเห็นเดือนคณะเกษตรอยู่ในชุดสบายๆกับท่าทางที่ไม่ดูรีบร้อนอะไรชวนให้หลงเสน่ห์ หูฟังที่เสียบฟังเพลงทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงตรงหากแต่คนที่เขารอยังไม่มา



   จะมาจริงๆใช่ไหม



   สัมผัสเบาๆที่แตะข้างหลังทำให้เขารีบหันกลับไปมองทันทีก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นเมื่อคนที่เขารอมาถึงตามนัด แม้ว่าท่าทางของคุณหมอจะดูเหนื่อยหอบมากแต่ก็มาตรงเวลาตามที่นัดไว้



   “ตื่นสาย” ไม่บ่อยนักที่เขาจะพูดคำๆนี้ออกมา ปกติฐานทัพเป็นคนตื่นเช้าแต่เมื่อคืนเขามัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยกว่าจะนอนหลับก็ปาไปเกือบตีสาม



   เกือบมาไม่ทัน



   “คราวหลังโทรบอกผมก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบมาขนาดนี้เลย” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



   ฐานทัพสวมชุดสบายๆตามสไตล์ของเขา เสื้อยืดสีกรมมืดกับกางเกงยีนส์สีเข้มรองเท้าเข้ากับชุดที่ใส่อยู่พร้อมกับหมวกแก๊ปอีกหนึ่งใบที่เตรียมมาเผื่อไว้เมื่อไปถึงยังสถานที่ที่นัดหมาย



   “รถมาแล้ว” บุ๋นหันไปมองรถเมล์ที่โล่งเกือบทั้งคันในวันเสาร์เช้า “ไปเถอะครับ”



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะเดินขึ้นรถเมล์ตามหลังเพื่อไปยังบ้านของบุ๋น



   ฟังไม่ผิด…บ้านบุ๋น



   “พี่นอนได้นะครับ ถ้าถึงเดี๋ยวผมบอก” บุ๋นหันไปบอกฐานทัพที่นั่งติดกระจก “หรือพี่จะรอไปนอนในรถที่บ้านผมรวดเดียวก็ได้”



   “อย่างหลังดีกว่า”ฐานทัพบอกก่อนจะทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง



   การจราจรวันนี้ดูโล่งกว่าวันธรรมดา รถราเคลื่อนตัวได้สะดวกแม้ว่าจะมีบางจุดที่ยังติดอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าดีกว่าวันธรรมดาในการเดินทางออกต่างจังหวัด



   รถเมล์จอดลงหน้าปากซอยใหญ่ที่มีวินมอเตอร์ไซค์จอดรออยู่สามถึงสี่คัน บุ๋นเดินไปบอกตำแหน่งทางเข้าบ้านของเขาก่อนจะเรียกให้ฐานทัพขึ้นซ้อนคันข้างๆแล้วขับเข้าไปในซอยใหญ่



   บ้านของบุ๋นเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ อาจเพราะอยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูกเลยทำให้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีบ้านหลังใหญ่ เสียงหมาเห่าทักทายเจ้าของที่ไม่กลับบ้านมานานกับบุคคลแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เสียงเห่าดังระงมอยู่อย่างนั้นจนบุ๋นเดินเข้าไปกอดหมาตัวอ้วนพันธุ์บางแก้วที่เลี้ยงไว้เกือบเจ็ดปี



   “ว่าไง คิดถึงกันไหม” บุ๋นยิ้มให้กับเจ้าอ้วนหมาประจำบ้านที่ส่ายหางดุกดิกน่าหมั่นเขี้ยว “คนนี้รุ่นพี่ของพี่บุ๋นเอง ไม่เห่านะครับ” บุ๋นพูดราวกับว่าเจ้าอ้วนของเขาฟังรู้เรื่อง



   ฐานทัพยืนมองร่างสูงที่นั่งลงไปเล่นกับหมาอย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ความจริงแล้วเขาเองก็เป็นคนรักสัตว์ แต่สัตว์มักจะไม่ถูกชะตากับเขา อาจเพราะฐานทัพไม่รู้วิธีการที่จะเล่นกับมันและน้ำเสียงที่มีเพียงโทนเสียงเดียวเลยทำให้สัตว์เลี่ยงที่จะเข้าใกล้เขา



   คิดแล้วก็เศร้า



   “พี่อยากเล่นกับเจ้าอ้วนไหมครับ” บุ๋นหันมาถามคนที่ยืนอยู่นอกรั้วบ้านเพราะกลัวหมาจะวิ่งเข้ามากัด



   “เล่นได้หรอ ไม่กัดหรอ” ฐานทัพถามอย่างนึกสนใจ หมาของบุ๋นตัวอ้วนกลมน่ารัก แค่มองยังรู้สึกได้ว่าขนรอบตัวต้องนิ่มไม่ต่างจากขนตุ๊กตาหมี



   “ปกติเจ้าอ้วนมันจะเห่าทุกคน แต่ตอนนี้มันหยุดเห่าพี่แล้ว”



   “อืม”



   “หมามันก็เหมือนเจ้าของแหละครับ” บุ๋นระบายยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปหาเจ้าอ้วนแล้วพูดต่อ “เวลามันรู้ว่าเจ้าของชอบใครมันก็ชอบด้วย”



   “หรอ” ฐานทัพหัวเราะเบาๆ



   เจ้าของชอบใครมันก็จะชอบด้วย…



   “มันไม่กัดหรอกครับ ผมจะอยู่ตรงนี้ ถ้าพี่อยากเล่นกับมัน” บุ๋นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทางของหมอฐานทัพดูสนใจเจ้าอ้วนมากแต่อาจเพราะด้วยความที่หมาของเขาตัวใหญ่เลยทำให้หมอออกอาการไม่มั่นใจ



   “ลองดูก็ได้” ฐานทัพพูดพร้อมกับค่อยๆเลื่อนประตูรั้วบ้านออกแล้วแทรกตัวเองเข้ามายืนอยู่ในบ้าน



   ทันทีที่ฐานทัพเข้ามาเจ้าอ้วนก็กระโจนเข้าหาร่างสูงเต็มแรงจนฐานทัพเซไปเล็กน้อย ลิ้นเปียกๆเลียที่มือของเขาก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะตะกุยเสื้อของฐานทัพจนเป็นรอยเท้าเต็มเสื้อ



   “อ้วน ไม่แกล้งพี่เขาสิ” บุ๋นยิ้มออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหมาตัวเอง



   แสดงว่ารู้จริงๆว่าเจ้าของชอบใคร…



   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพยิ้มออกมา “เจ้าอ้วน” น้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยออกมาทำให้คนที่นั่งดูอยู่เกิดอาการอิจฉาหมาขึ้นมาทันที



   รอยยิ้มของหมอฐานทัพเผยออกมาแสดงถึงความรู้สึกที่มีความสุขลึกๆข้างใน รอยยิ้มที่ดูสดใสกว่าทุกๆครั้งทำให้บุ๋นอดน้อยใจไม่ได้



   เจ้าอ้วน…รอยยิ้มนั้นของกูโว้ยยยยยย!!!!



   “มากไปแล้วนะ เกินหน้าเกินตา” บุ๋นบ่นอุบอิบหากแต่ไม่ได้รับความสนใจจากคนที่มาด้วย



   “เจ้าอ้วน” ฐานทัพยังเรียกชื่อของหมาเขาแบบนั้นพร้อมกับย่อตัวลงไปนั่งเล่นกับเจ้าอ้วน “ขี้เล่นนะ”



   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ



   เขามาอยู่ในจุดที่ตัวเองอิจฉาหมาตั้งแต่ตอนไหน…



   “จริงรึเปล่าเรื่องที่บอก” ฐานทัพหันกลับมาถามบุ๋นแต่มือยังคงลูบหัวเจ้าอ้วนที่อยู่ใกล้ๆ “เจ้าของชอบใครหมาก็ชอบด้วย”



   “หืม” บุ๋นลากเสียงก่อนจะหัวเราะ “จริงสิครับ”



   “จริงหรออ้วน” ฐานทัพหันกลับมาถามเจ้าอ้วนที่ทำหน้าตาไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด “ทำไมไม่ตอบ”



   “ถ้ามันตอบผมก็คงวิ่งคนแรก” บุ๋นหัวเราะเสียงดัง เขาไม่เคยเห็นหมอฐานทัพในมุมนี้มาก่อนและถ้าเห็นบ่อยก็คงไม่ส่งผลดีกับเขาเท่าไหร่นัก



   หัวใจของเขาทำงานหนักเกินไป



   ยิ่งเห็นหมอในมุมต่างๆเขาก็ยิ่งรู้สึกหวง




   “อย่าน่ารักได้ไหม” บุ๋นหลุดพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ



   “อะไร?”



   “อ่อเปล่าครับ…ผมพูดกับเจ้าอ้วน”



   “อ่อ”



   เกือบไปแล้วไหมละบุ๋น…




   “ไหนของที่จะเอาไป” ฐานทัพถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งจ้องเขาไม่ขยับไปไหน




   “รถไงครับ” บุ๋นชี้นิ้วไปที่รถกระบะรุ่นเก่าที่ดูคล้ายกับรถขนของ “ต้องเอาไปช่วยขนของที่บ้านสวน”




   “อ่อ” ฐานทัพพยักหน้าเข้าใจ “ใครขับ”



   “ผมไง” บุ๋นชี้ตัวเองพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ “ที่บ้านผมตอนนี้ไม่มีใครอยู่ พ่อกับแม่อยู่บ้านสวนทั้งคู่ ถ้าผมไม่ขับก็คงต้องให้เจ้าอ้วนขับแล้วล่ะ”



   “ตลก” 



   “ไปกันเลยไหมครับ?” บุ๋นเอ่ยถาม เจ้าตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่ในบ้านก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับผ้าห่มผืนเล็ก “ถึงรถจะดูเก่าแต่แอร์เย็นมาก ผมเตรียมผ้าห่มให้พี่ด้วย”



   “ขอบคุณ” ฐานทัพลูบหัวเจ้าอ้วนอีกครั้ง ความจริงเขาก็อยากจะเอาเจ้าอ้วนไปด้วยแต่ติดตรงที่บ้านของบุ๋นจะไม่มีใครเฝ้าเลยจริงๆ “แล้วข้าวล่ะ” ฐานทัพหันไปมองถาดข้าวที่ว่างเปล่าข้างรั้วบ้าน



   “อ่อ” บุ๋นยิ้ม “เดี๋ยวตอนเย็นแม่ก็กลับมาให้เองครับ เจ้าอ้วนกินข้าวแค่สองมื้อ”



   “สองมื้อทำไมอ้วน” ฐานทัพตั้งข้อสงสัย ร่างกายของเจ้าอ้วนดูอุดมสมบูรณ์เกินกว่าที่จะกินข้าวแค่สองมื้อ



   “เพราะมันขี้เกียจไง” บุ๋นตอบ




   “อืม…เหมือนเจ้าของรึเปล่า” ฐานทัพถามติดตลก



   “ไม่ใช่ซะหน่อย” บุ๋นรีบเถียงก่อนจะเปิดประตูรถให้ฐานทัพขึ้นไปนั่งฝั่งข้างคนขับแล้วเดินไปเปิดรั้วบ้านโดยมีเจ้าอ้วนนั่งมอง



   “ไว้ตอนเย็นเจอกันนะเด็กน้อย” บุ๋นทิ้งท้ายไว้กับหมาอ้วนกลมก่อนจะขึ้นไปประจำที่นั่งฝั่งคนขับแล้วขับรถออกมาจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้ว



   ฐานทัพไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุ๋นขับรถเป็นเลยทำให้เขาสนใจการขับรถของบุ๋นเป็นพิเศษ ท่าทางที่คล่องแคล่วกับสายตาที่ทอดมองไปข้างหน้าอย่างคนมีสมาธิในการขับรถทำให้แว๊บหนึ่งในความคิดของฐานทัพรู้สึกว่า คนข้างๆดูเป็นผู้ใหญ่



   “ผมเท่ใช่ไหมล่ะ” บุ๋นเปิดประเด็นชวนคุยเมื่อรู้สึกว่าคนข้างๆหันมามองเขา



   “ไม่” ฐานทัพรีบตอบกลับทันที



   “ชมผมหน่อยก็ไม่ได้”




   “ขับรถเก่งดี”




   “ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ” บุ๋นหัวเราะเบาๆ “ผมเริ่มขับตั้งแต่มอห้า ช่วงแรกๆที่หัดขับโดนพ่อดุไปตั้งหลายรอบ”



   เขายังจำได้วันแรกที่ต้องขับเพราะพ่อบอกว่าอีกหน่อยเขาจะต้องช่วยขับรถไปที่บ้านสวนผลัดเปลี่ยนกับพ่อในบางครั้งที่ต้องออกไปทำธุระที่อื่น ด้วยความที่พ่อไม่อยากให้แม่ของเขาขับรถไปต่างจังหวัดมากนักเลยทำให้รถคันที่สองของบ้านตกเป็นของบุ๋นที่ต้องหัดขับเพื่อไปรับแม่และไปส่งของ ตอนแรกก็ไม่อยากขับเพราะเป็นเกียร์กระปุกรุ่นเก่าที่ค่อนข้างน่ารำคาญแต่พอมาตอนนี้ก็ขับจนชินไปแล้ว



   “พ่อดุหรอ” ฐานทัพถาม



   “ไม่ดุครับ แค่เป็นคนจริงจังเวลาจะทำอะไร ครอบครัวผมไม่มีใครดุเลย” บุ๋นยิ้มกว้าง “อบอุ่นดี”



   “อืม ดีแล้ว”



   “ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียนคณะเกษตร แต่เพราะแอดมิชชั่นติดก็เลยจำเป็นต้องเรียน” บุ๋นเริ่มเล่าต่อ “ผมไม่อยากสานต่อธุรกิจของที่บ้าน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว”



   “…” ฐานทัพตั้งใจฟังเงียบๆ



   “สุดท้ายผมก็ชอบคณะนี้…เพราะมีหลายๆอย่างทำให้ผมชอบ” เวลาที่บุ๋นพูดไปแล้วยิ้มไปทำให้คนที่อยู่ด้วยเผลอยิ้มตาม



   รอยยิ้มของบุ๋นมีเสน่ห์ทุกครั้งที่ได้มอง



   “หนึ่งในเหตุผลของผมคือ…ได้ปลูกแครอทให้พี่”



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ เขาระบายยิ้มออกมาบางๆหากแต่คนที่ขับรถอยู่ไม่เห็น



   รถราเคลื่อนตัวได้สะดวกเลยทำให้เขาขับออกมาจากใจกลางเมืองกรุงเทพได้ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง บุ๋นขับมาตามทางโดยไม่ลืมที่จะหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ ฐานทัพไม่ได้นอนหลับ สายตาของเขาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายกับคนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว



   “ที่เลือกเรียนแพทย์เพราะอยากจะช่วยผู้คน มันทรมานที่เห็นเขากำลังจะตายแต่ทำอะไรไม่ได้” ฐานทัพค่อยๆเล่าเรื่องของตัวเองออกมา แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดเรื่องเหล่านี้กับใคร “พอได้เรียนก็รู้ว่าจะเรียนเล่นๆไม่ได้ เพราะคนไข้ไม่ได้มีไว้ให้ทดลองรักษา”



   “ครับ ผมรู้”



   “เหตุผลที่ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นนอกจากเรียน” ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แววตาที่บ่งบอกถึงความตั้งใจลึกๆทำให้บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ



   หมอไม่ได้บอกตรงๆว่าปฏิเสธความรู้สึกของเขาแต่หมอแค่บอกว่าทำไม…ถึงรู้สึกมากกว่านี้ไม่ได้



   บุ๋นกลับไปมองท้องถนนอีกครั้งแม้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ลึกๆด้านหนึ่งของเขากำลังประท้วงว่าให้บอกความรู้สึกทุกอย่างออกไป แต่อีกด้านก็ห้ามเขาไว้เพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้



   นั่นสิ…เขาควรทำยังไง



   “พี่จำคำถามของผมได้ไหม ที่ผมเคยถามว่า ถ้าวันหนึ่งมีคนๆหนึ่งพร้อมจะดูแลพี่ ไม่สนว่าพี่จะมีเวลาให้รึเปล่า ไม่สนว่า…”



   “จำได้” ฐานทัพตอบกลับมาทันทีโดยไม่รอฟังให้บุ๋นพูดจบ



   “คำตอบของพี่ยังเหมือนเดิมไหมครับ”



   “อืม…เหมือนเดิม” เขายังคงยืนยันคำเดิม



   ถึงเวลาก็รู้เอง…



   “ครับ ผมเข้าใจแล้ว” อยู่ดีๆเขาก็รู้สึกจุกอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก บุ๋นพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ทางข้างหน้าแม้ว่าหัวใจของเขามันกำลังเต้นช้าลงเรื่อยๆ



   ทั้งๆที่หมอไม่ได้ปฏิเสธ…แต่ก็เหมือนบอกเขาเป็นนัยว่าหมอยังไม่พร้อม



   ทั้งๆที่เขาคิดคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมในใจมันเจ็บจนรับไม่ไหว



   “อดทนได้จริงหรอเวลาที่เห็นคนอื่นจับมือกันแต่แฟนตัวเองกำลังผ่าตัดคนไข้” ฐานทัพหันไปมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ



   “…”



   “อดทนได้จริงหรอวันครบรอบที่แฟนตัวเองต้องเข้าเวรดึก”



   “…”



   ไร้คำพูดใดๆออกจากปากของอีกคน บุ๋นนิ่งเงียบๆฟังสิ่งที่ฐานทัพพูดออกมา แม้ว่าเขาอยากจะตอบกลับไปแต่ในใจกลับรู้สึกได้ถึงความหมายที่หมอต้องการจะสื่อ



   หมอไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง…หมอคิดถึงความรู้สึกของคนที่จะอยู่ข้างๆ



   “อาจจะอดทนได้ แต่ทนได้ไม่นาน” ฐานทัพถอนหายใจ “ไม่มีใครอยากได้แฟนที่ไม่มีเวลา”



   “ถ้าคนๆนั้นเป็นแฟนของผม ผมสามารถทำทุกอย่างได้ในเวลาจำกัดของเขา” บุ๋นตอบกลับอย่างมั่นคงในความรู้สึก ทำไมเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้



   “ถ้าเขาเข้าเวรดึกหรือตื่นไปทำงานไม่ไหว ผมก็จะเป็นคนคอยขับรถรับส่งเขาเอง แม้ว่าผมจะเหนื่อยแต่ผมรู้ว่าเขาเหนื่อยกว่า”



   “…”



   “ถ้าเขาได้ไปอยู่ในที่ไกลๆผมก็พร้อมที่จะไปกับเขาเพราะผมรู้ว่าเขาคงเหงาที่ต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียว”



   “…”



   “ไม่ได้จับมือกันเหมือนคู่อื่นๆ แต่ผมจะจับมือเขาทุกครั้งเวลาที่เขานอนหลับ”



   “…”



   “วันครบรอบสำหรับผมไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของคนรักของผม ถ้ามันตรงกับเวรดึกที่เขาบอก ผมก็จะโทรไปหา อย่างน้อยเราก็ได้ฉลองกันผ่านโทรศัพท์”



   “…”



   “ผมสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ผมพูดจริงๆ” บุ๋นหันกลับไปมองฐานทัพด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะพูดอะไรที่ค่อนข้างชัดเจนให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ถึงจะเคยหยอดไปบ้างแต่ครั้งนี้ต่างออกไป



   เขาตั้งใจจะบอกหมอฐานทัพจริงๆ



   “อืม รู้แล้ว” ฐานทัพระบายยิ้มออกมา



   “ผมคงรู้สึกเจ็บมากกว่าถ้าผลักไสผมโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พิสูจน์สิ่งที่พูดออกไป”





---------------------------------
มาแล้วจ้าาาาา วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างหลังจากที่เกือบทั้งเรื่องบรรยายสถานที่ในมหาวิทยาลัย
เริ่มมีปมดราม่าเล็กๆขึ้นมานิดนึงหลังจากที่ยิ้มกันไปหลายตอนจนปวดแก้ม ในตอนนี้เราคงได้เห็นมุมมองของหมอฐานทัพมากขึ้นกับความรู้สึกที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนบุ๋นเองก็เป็นคนที่ยังคงหนักแน่นกับคำพูดเพราะลึกๆแล้วเราเชื่อว่าบุ๋นทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ น่ารักกันทุกคนเลย จะพยายามอัพบ่อยๆน้า
ทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจเราได้รับจากทุกคนหมด ขอบคุณจากใจจริงนะคะ ^______^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 50%] 16/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 16-12-2016 22:19:27
งือออ  ดีกับใจ  พี่หมอให้โอกาสบุ๋นด้วยนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 50%] 16/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 16-12-2016 23:54:00
มันดีกับใจจริงๆ
รอวันที่เป็นแฟนกัน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 50%] 16/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 17-12-2016 08:14:58
งื้ออออออออออออ :-[ :-[ หมอฐานทัพจ๋าาาา ให้โอกาสน้องบุ๋นหน่อยน๊าาาาาาา  :o8:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 23-12-2016 15:31:00
   “อืม”



   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่แต่สำหรับเขา ทุกอย่างที่คิดเอาไว้เขาพูดไปหมดแล้ว



   “ถึงเวลาก็รู้เอง” ฐานทัพยังคงยืนยันคำเดิม



   บางที…อาจจะใกล้ถึงเวลานั้นแล้วก็ได้



   บุ๋นขับรถต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร ความเงียบเข้ามาปกคลุมทำให้เขารู้สึกอึดอัด สายตาของเขาหันไปมองหมอฐานทัพก่อนจะได้คำตอบ ดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหมอยังคงน่ามองเสมอ บุ๋นค่อยๆจอดรถเทียบข้างทางก่อนจะหยิบผ้าห่มที่วางไว้ที่นั่งข้างหลังออกมาห่มให้คนที่นอนกอดอกอยู่



   เขาจะยังคงดูแลหมอแบบนี้ต่อไป




   แค่หวังว่าสักวันหนึ่งหมอจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกทุกอย่างของเขา



   “อยู่กับผมแค่นี้ก็พอแล้วครับ” บุ๋นเอ่ยออกมาเสียงเบาจนแทบจะกลืนหายเข้าไปในลำคอ




   เขามองคนตรงหน้าต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจขับรถต่อไปยังบ้านสวน แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขายังเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว



   ฐานทัพค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ จากที่ตั้งใจว่าจะนอนหลับเพื่อหยุดคิดความคิดวุ่นวายในหัวแต่สุดท้ายเขาก็นอนไม่หลับ คำพูดที่บุ๋นพูดเสียงเบาหากแต่ว่าเขาได้ยินมันชัดทุกคำยิ่งตอกย้ำความชัดเจนในใจลึกๆ



   ตั้งแต่ที่ได้เจอบุ๋น…เขาก็ไม่เคยคิดอยากจะหนีไปไหน



   บางทีทุกอย่างมันก็ชัดเจนจนไม่จำเป็นที่จะต้องพูดออกมา…

.


   รถกระบะจอดลงหน้าบ้านสวนหลังจากใช้เวลาในการเดินทางเกือบสามชั่วโมง ฐานทัพที่เผลอหลับไปตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกของคนข้างๆกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในรถ คนพึ่งตื่นค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆเพื่อปรับสายตาจากแสงภายนอก



   “ถึงแล้วครับ” น้ำเสียงของบุ๋นกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ประตูรถฝั่งฐานทัพถูกเปิดออกพร้อมกับลมเย็นจากข้างนอกที่พัดเข้ามากระทบแขน



   “อืม” ฐานทัพลงมาจากรถก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆบ้านสวน



   บ้านชั้นเดียวที่ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้รอบด้าน แสงแดดเวลาเกือบเที่ยงไม่ได้ทำให้อากาศรอบข้างอบอ้าวหรือร้อนจนเกินไป บรรยากาศรอบข้างดีเสียจนเขาเผลอยืนมองนานจนบุ๋นต้องเรียกอีกครั้ง



   “เดี๋ยวผมพาไปดูรอบๆนะครับ ตอนนี้แวะเข้าไปทักทายพ่อกับแม่ผมก่อนนะ” บุ๋นยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่าหมอดูสนใจบ้านสวนของเขา



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ คนพึ่งตื่นเดินมึนๆตามเจ้าของบ้านไปยังบ้านหลังไม่ใหญ่มากที่มีต้นไม้ต้นเล็กๆปลูกไว้ล้อมรอบบ้าน



   ประตูบ้านสีขาวสะอาดเปิดออกเผยให้เห็นห้องนั่งเล่นที่มีร่างของหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ที่โซฟากับรีโมททีวีที่กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ทันทีที่เห็นใบหน้าของลูกชายรอยยิ้มแห่งความคิดถึงก็ปรากฏขึ้น ฐานทัพไม่แปลกใจเลยว่าบุ๋นยิ้มเหมือนใครเมื่อเขาได้มาเจอแม่ของบุ๋น



   “คิดถึงจังเลยครับ” บุ๋นเดินเข้าไปอ้อนตามประสาลูกคนเดียวพร้อมสวมกอดผู้หญิงที่เขารักที่สุด



   “คิดถึงแล้วทำไมไม่มาหาแม่ นี่ถ้าไม่โทรไปก็จะไม่มาใช่ไหมเจ้าลูกคนนี้” ผู้เป็นแม่เอ่ยดุหากแต่น้ำเสียงไม่ได้เป็นการต่อว่า “นั่งก่อนนะลูก” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่เชื้อเชิญให้ฐานทัพนั่งลงตรงโซฟาข้างตัว



   “สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างคนที่ได้รับการอบรมมาดี ฐานทัพยิ้มนิดๆเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง



   “จ้ะ เพื่อนบุ๋นหรอลูก”



   “รุ่นพี่ครับ” บุ๋นตอบแทนฐานทัพที่นั่งนิ่งๆ



   “อ่อ ตามสบายเลยนะจ้ะ ออกไปสวนอยากกินอะไรก็บอกให้น้องเก็บให้นะลูกนะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยบอกอย่างใจดี



   “ขอบคุณครับ”



   “ตอนเย็นแม่อย่าลืมแครอทนะ พี่เขามาเพราะอยากกินแครอทของสวนเราเลยนะแม่”



   “แม่ให้คนไปเก็บมาให้แล้ว เก็บมาเผื่อลูกกลับไปกินที่หอด้วยนะ”



   “ขอบคุณครับ” คนที่ชื่นชอบแครอทยิ้มขอบคุณ



   คงได้กินแครอทไปอีกหลายวัน



   “งั้นเดี๋ยวบุ๋นออกไปช่วยที่สวนก่อนนะแม่ จะได้ไม่กลับดึก”



   “จ้า ไปลูกไป พ่ออยู่ที่สวนกำลังขนผักขึ้นรถเลย”



   “ครับผม” บุ๋นยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปพยักหน้าเป็นเชิงเรียกหมอฐานทัพให้ไปกับเขา



   ฐานทัพหันไปยกมือไหว้แม่ของบุ๋นอีกครั้งก่อนจะขอตัวเดินออกมาเพื่อไปช่วยงานในสวนของบุ๋น บ้านสวนเป็นบ้านหลังเล็กไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ดูปลอดโปร่งโล่งสบาย อาจเพราะมีบ้านอยู่สองที่เลยทำให้ไม่มีของใช้ในบ้านเยอะจนดูรก หน้าบ้านมีบ่อน้ำเล็กๆที่มีปลาหางนกยูงนับสิบว่ายไปมากับจักรยารอีกสามคันที่จอดไว้ข้างๆ



   “เดี๋ยวผมพาไปปั่นจักรยานนะ” บุ๋นหันมายิ้มให้ฐานทัพอีกครั้ง เขากลัวว่าการที่พาหมอมาบ้านสวนจะทำให้หมอเบื่อ บ้านสวนสำหรับเขาไม่ใช่ที่ที่มีอะไรน่าสนุกให้ทำนักเพราะบริเวณรอบข้างก็มีแต่ต้นไม้กับแมลงหลากหลายชนิด



   “ไม่เป็นไร ทำงานก่อน” ฐานทัพรู้ดีว่าการที่บุ๋นถูกเรียกตัวมาบ้านสวนเพราะอะไร เขาไม่ได้ต้องการเที่ยวเล่น แค่อยากมากินแครอทและมาพักผ่อน   



   “ครับ” บุ๋นหันมายิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินนำเขาไปยังอีกฝั่งของบ้าน



   เสียงโหวกเหวกของผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อแขนยาวกับหมวกใบโปรดที่ใส่ทุกครั้งเวลาออกมาที่สวนเป็นลักษณะเด่นของผู้เป็นพ่อ บุ๋นรีบวิ่งไปข้างหลังโดยยกมือขึ้นบอกคนสวนเป็นเชิงอย่าทักเขาเพื่อที่จะได้แกล้งพ่อของตัวเอง



   “พ่อ!!!” บุ๋นตะโกนเสียงดังพร้อมกับนิ้วชี้สองข้างที่จี้เอวคนที่กำลังหันหลังอยู่



   “ไอ้บุ๋น!!” น้ำเสียงดุๆตวาดกลับมาอย่างคนขี้ตกใจ พ่อหันมาขมวดคิ้วใส่ลูกของตัวเองก่อนจะพ่นคำด่าออกมา “ถ้าไม่ยอมกลับบ้านอีกก็คงจำหน้าไม่ได้แล้ว”



   “คิดถึงก็บอกดีๆดิ ไม่เห็นต้องดุเลยพ่อ” บุ๋นยิ้มกว้าง เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ดุอย่างที่แสดงออกมา



   “ไม่คิดถึงโว้ยยยยย” พ่อปฏิเสธกลับมาทันที “อะ ละนั่นเพื่อนหรอ” เขาหันไปสบตาฐานทัพที่กำลังยกมือไหว้สวัสดี



   “รุ่นพี่ครับ” บุ๋นตอบ



   “เด็กเกษตรเหมือนกันหรอ” ผู้เป็นพ่อถามอย่างคนขี้สงสัย



   “เปล่าพ่อ พี่เขาเรียนหมอ”



   “บ๊ะ! เขายอมรับแกเป็นน้องด้วยหรอวะไอ้ลูก นี่ไปข่มขู่อะไรเขารึเปล่า” พ่อถามอย่างไม่เชื่อหู เท่าที่จำได้บุ๋นไม่เคยมีรุ่นพี่เก่งขนาดนี้มาก่อน



   “โห่พ่อ อะไรเนี่ย”




   “เอ้า ก็ตกใจนิวะ”



   “ไม่คุยด้วยแล้ว” บุ๋นเมินหน้าไปอีกทาง “พ่อยืนเฉยๆเลย เดี๋ยวยกของขึ้นรถเอง” เขาจับตัวพ่อให้เดินไปอีกทางเพื่อไม่ให้ขวางการทำงาน



   เป็นปกติของพ่อลูกคู่นี้ที่จะต้องหาเรื่องมาทะเลาะกัน น้อยครั้งที่จะพูดกันดีๆ แต่ทั้งคู่ก็รู้กันว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องทะเลาะกัน เหมือนเป็นการแสดงความรักของคนที่แสดงออกไม่เก่งทั้งคู่



   “เดี๋ยวช่วย” ฐานทัพพูดพร้อมกับยกตะกร้าผักที่วางอยู่ขึ้นรถกระบะ



   “เออดี ปวดแขนอยู่พอดี” พ่อที่ได้ยืนพักยิ้มออกมานิดๆ “แล้วเราชื่ออะไร”



   “ฐานทัพครับ” ฐานทัพหันกลับมาตอบ



   “เออชื่อเท่ดี ไม่เหมือนไอ้บุ๋น”



   “ได้ข่าวว่าพ่อเป็นคนทะเลาะกับแม่เรื่องชื่อผมนะ” บุ๋นหันมาหาพ่อทันทีที่เอ่ยถึงเขาเป็นบุคคลที่สาม



   “เอ้า ก็ตอนเด็กๆไม่คิดว่าจะหน้าตาดีนี่วะเลยตั้งชื่อให้สมกับหน้าตา”



   “พอโตมาแล้วก็หล่อไง” บุ๋นยักคิ้วกวนเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากฐานทัพที่ฟังพ่อลูกทะเลาะกัน



   ตะกร้าผักอันสุดท้ายถูกยกขึ้นกระบะก่อนที่เสียงถอนหายใจเบาๆจะพ่นออกมา บุ๋นหันไปมองผู้เป็นพ่อที่ยืนยิ้มอยู่ก่อนจะเดินไปแบมือขอกุญแจรถ



   “ไปส่งร้านเดิมใช่ไหมพ่อ”



   “เออ จะไปส่งให้หรอ”



   “อืม” บุ๋นรับคำสั้นๆ “วันนี้เป็นวันครบรอบไม่ใช่หรอ พ่อก็ไปอยู่กับแม่ดิ เดี๋ยวแม่น้อยใจนะ”



   “ครบรอบอะไร อายุปูนนี้เขาไม่นับกันแล้ว”



   “อะจริงดิ นี่ปีที่เท่าไหร่แล้วนะพ่อ”



   “ยี่สิบหก”



   “แหนะๆ” บุ๋นยิ้มอย่างรู้ทันทำเอาผู้เป็นพ่อถึงกับโวยวายออกมาเสียงดังตามประสาคนโรแมนติกไม่เป็น



   “ไปๆ พูดมากจังวะไอ้ลูกคนนี้”



   “ทำอย่างกับมีลูกหลายคนงั้นแหละ” บุ๋นหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินขึ้นรถกระบะ



   ฐานทัพขึ้นมานั่งบนรถก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ เขาหันไปมองบุ๋นที่กำลังสตาร์ทรถก่อนจะหยิบทิชชู่ที่อยู่ข้างๆแล้วยื่นส่งให้



   “ขอบคุณครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่ก็ร้อนเหมือนกันใช่ไหม” บุ๋นถามพร้อมกับปรับแอร์ให้แรงกว่าเดิม



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบทิชชู่เช็ดเหงื่อบนใบหน้า



   รถกระบะขับเคลื่อนออกจากบ้านสวนไปตามทางประจำที่บุ๋นคุ้นเคย วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ ความจริงเขาก็เกือบลืมไปแล้วแต่ดันไปเห็นปฏิทินที่ถูกวงไว้เลยนึกขึ้นได้



   เขาคิดมาตลอดว่าเขาอยากมีความรักเหมือนพ่อกับแม่



   “พี่รู้ไหม พ่อผมน่ะปากแข็งสุดๆไปเลย เป็นคนเอาใจคนไม่เก่ง พูดหวานก็ไม่เป็น” บุ๋นทอดมองทางข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เผยออกมา “แต่แม่ไม่เคยบ่นที่พ่อเป็นแบบนี้เลย”



   “ทำไม”




   “เพราะแม่รักพ่อ” บุ๋นหันมาสบตาคนข้างๆ “รักคำเดียว”   



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “รัก”



   “ครับ รัก” บุ๋นยิ้มอีกครั้ง “ผมอยากเป็นเหมือนพ่อแม่ อยากจะรักใครคนหนึ่งไปนานๆและดูแลเขาให้ดีที่สุดเหมือนที่พ่อแม่ผมรักกันมาตลอดยี่สิบกว่าปี”



   ฐานทัพหันกลับไปมองคนข้างๆ คำพูดของบุ๋นดูหนักแน่นและมั่นคง เขารับรู้ความรู้สึกทุกอย่างของบุ๋นได้จากคำพูดที่เปล่งออกมา คำพูดที่ไม่ได้พูดออกมาลอยๆแต่แฝงไปด้วยความตั้งใจจริงของบุ๋นอดทำให้ฐานทัพคิดไปไกลไม่ได้



   บางทีฐานทัพก็รู้สึกว่า…เขารับรู้ความรู้สึกของบุ๋นแล้ว



   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกคนข้างๆเสียงเรียบ “อยู่ตรงนี้”



   “ครับ?” คนที่ขับรถอยู่หันมามองอย่างไม่เข้าใจ “อะไรนะครับ”




   “อยู่ด้วยกัน” ฐานทัพถอนหายใจออกมา คำพูดที่อยากจะพูดแต่ยากที่จะพูดออกมา “จะอยู่เหมือนที่ขอให้อยู่”



   “ขอ…” บุ๋นลากเสียงก่อนที่ความทรงจำของเขาจะกลับมา



   หมอไม่ได้นอน…!!!




   “พี่ได้ยิน?” บุ๋นทำตาโต



   “อืม”



   “ได้ยินหมดเลย?”



   “ทุกคำ”



   “บ้าไปแล้ว!!!” บุ๋นหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาหันไปมองอีกฝั่งก่อนจะพูดออกมา “ผมว่าผมพูดเบาแล้วนะ”



   “รถเงียบ” ฐานทัพตอบกลับนิ่งๆ



   “แล้วพี่คิดยังไงล่ะครับ” บุ๋นหันกลับมาถาม ตอนนี้เขาอายจนแทบจะมุดลงไปใต้รถ ถ้าเขาไม่ขับรถอยู่เขาคงวิ่งหนีหมอไปไกลๆ



   อายโว้ยยยย!!



   “จะอยู่รอกินแครอท”



   “แค่แครอทหรอครับ?” คนยิ้มเก่งถามอีกครั้ง



   “ต้องมีอะไรอีก”




   “ก็…อยู่กับบุ๋นไง” รอยยิ้มมีเสน่ห์เผยออกมาเรียกรอยยิ้มจากคนที่เห็น ฐานทัพพยักหน้านิดๆ ความรู้สึกต่างๆเริ่มก่อตัวในหัวใจ




   “อืม…อยู่”





-------------------------------------
หายไปนานเพราะติดสิบไฟนอล มาแล้วจ้า แหะๆ  :hao5: :hao5:

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 23-12-2016 17:14:37
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 23-12-2016 17:41:40
ดีจัง
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 23-12-2016 17:50:22
 o13
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 23-12-2016 17:55:57
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-12-2016 23:14:39
นึกถึงเพลง...ผมมีแครอทมาฝาก....ฝากพี่หมอนะ  ฮิ้ววววว

... :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:

...
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 24-12-2016 09:35:27
สนุกมากๆ คู่นี้เขาเน้นหวานแบบสดชื่นจริง น่ารัก :katai4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 24-12-2016 10:55:55
อ๊ายยย ดีต่อใจ
หมออเยี่ยมมากกก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: snice_cz ที่ 24-12-2016 14:30:26
โอ๊ยยยย น่ารักกกกกกกก

รอตอนต่อไปนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 25-12-2016 01:42:41
ละมุน
เค้าก็จะ อยู่ตรงนี้ ด้วย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: NorthCat ที่ 25-12-2016 14:30:14
รอๆๆจ้ะ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 25-12-2016 16:36:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 25-12-2016 19:09:55
จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด


   ดวงตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า แสงจากพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินกระทบร่างสูงที่เดินอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชะอุ่ม บุ๋นมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้งแต่ครั้งนี้กลับแปลกออกไปตรงที่ พวกเขารู้สึกชัดเจนต่อกันมากขึ้น แม้จะไม่มีคำพูดใดๆที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว




   “อีกสักพักต้องกลับแล้วนะครับ ป่านนี้แม่คงทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว” คนที่นั่งห้อยขาอยู่หลังกระบะตะโกนบอกคุณหมอที่เพลินอยู่กับต้นไม้รอบข้าง



   วันนี้ทั้งวันหมอแทบไม่ได้เที่ยวชมบ้านสวนเพราะไปส่งของเสร็จก็ต้องไปส่งอีกที่ ส่งไปเรื่อยๆรู้ตัวกันอีกทีก็เย็นแล้วบุ๋นเลยแวะจอดรถบริเวณสวนเขาเพื่อให้หมอฐานทัพแวะดูก่อนจะกลับเข้าบ้าน



   “อืม” ฐานทัพตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่เปลี่ยนทิศทางเดินตรงมาที่เขา



   “พี่อยากจะเดินเที่ยวต่อก็ได้นะครับ” ยังพอมีเวลาที่บุ๋นจะให้หมอได้เดินเล่น



   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพส่ายหน้าก่อนจะขึ้นมานั่งที่หลังกระบะข้างๆบุ๋น “อยากนั่งมากกว่า”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ



   บ้านสวนตอนเย็นถือเป็นวิวดีที่จะได้ดูพระอาทิตย์ตกดิน บุ๋นชินกับการไปมาระหว่างสองบ้านจนเขาไม่ได้รู้สึกสนใจกับสิ่งตรงหน้า ผิดกับอีกคนที่นั่งจ้องมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับ



   “พี่ชอบดูพระอาทิตย์ตกดินหรอครับ”



   “เปล่า” เขาตอบ “ไม่เคยได้ดู”




   ฐานทัพไม่เคยได้นั่งอยู่เฉยๆหรือทำตัวเปื่อยๆนานๆ เขามีงานที่จะต้องทำอยู่เสมอ เวลาเลิกเรียนไม่เลิกเย็นก็เลิกค่ำไปเลย การมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินยิ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับนักศึกษาแพทย์อย่างเขา



   หรืออาจจะแค่เขา…



   “แล้วชอบไหมครับ?” บุ๋นถามต่อ



   “ชอบ”



   “งั้นไว้คราวหน้าผมจะพาพี่มาดูอีกนะ”



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “อย่าลืม”



   “ไม่ลืมหรอกครับ” บุ๋นยิ้มอย่างดีใจ เขาไม่เคยเห็นหมอฐานทัพในมุมมองแบบนี้ มุมที่หมอดูสนใจสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตำราหนังสือ   



   “เรียนจบแล้วจะมาทำงานที่บ้านสวนใช่ไหม” ฐานทัพไม่ได้หันมาถามคนข้างๆแต่เป็นอันรู้กันว่าเขากำลังพูดอยู่กับบุ๋น



   “ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่ได้คิดเลย”




   ลึกๆแล้วบุ๋นคงตอบว่าไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบแต่เพราะเขากลัวว่าจะทำให้ธุรกิจที่พ่อกับแม่ตั้งใจสร้างมาจะพังลงเพราะเขา




   “ที่นี่น่าอยู่”




   “ผมว่าถ้าอยู่ทุกวันคงเบื่อแน่ๆ ไม่มีอะไรให้ดูนอกจากต้นไม้”




   “น่าอยู่” ฐานทัพยังคงยืนยันคำเดิม   




   “ถ้าน่าอยู่ พี่มาอยู่ด้วยกันไหมครับ” บุ๋นแกล้งถามออกไป



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าอย่างใช้ความคิด “ถ้าอยู่คงจะเหนื่อย โรงพยาบาลอยู่ไกล”



   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวขับรถไปส่ง” บุ๋นยังพูดต่อ แม้น้ำเสียงของเขาจะไม่จริงจังมากนักเพราะไม่อยากให้หมอรู้สึกอึดอัดแต่ทุกคำพูดที่พูดออกไปเขาทำได้อย่างที่พูดจริงๆ



   “เหนื่อย”




   “ไม่เหนื่อย”



   “อืม” เขารับคำ “ไม่เถียง”



   “งั้นแสดงว่าจะอยู่ใช่หมครับ” บุ๋นเริ่มจุดประกายความหวังอีกครั้ง



   “เพ้อเจ้อ”



   “เปล่าเพ้อ ผมจริงจัง” เขาปรับโทนเสียงจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆหันมามองหน้าช้าๆ แววตาที่แสดงถึงความมุ่งมั่นทำให้รอยยิ้มบางๆของหมอฐานทัพเผยออกมา



   “อืม รู้แล้ว”



   “แต่ตอนนี้ผมคงต้องเรียนปีหนึ่งให้รอก่อน” บุ๋นหัวเราะ แม้จะวาดฝันอนาคตไว้เยอะแต่ถ้าเขาเรียนไม่รอดทุกอย่างก็จบ



   เกษตรไม่ได้เรียนง่ายอย่างที่คิด



   “รอดสิ” ฐานทัพตอบ “จะได้รับปริญญาพร้อมกัน”



   “รับปริญญา” สิ่งที่ไม่เคยคิดถึงเลยตั้งแต่ที่ได้เจอหมอแต่พอหมอพูดออกมาก็ทำเอาเขาเงียบไปพักหนึ่ง



   ใช่…เขากับหมอถ้าเรียนจบก็จะได้รับปริญญาพร้อมกัน



   “ใช่…ใช่จริงๆด้วย”



   “ตกใจอะไร” ฐานทัพแปลกใจกับปฏิกิริยาของคนข้างๆ บุ๋นดูตกใจและตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน



   “ถ้าจบพร้อมกันก็จะได้ถ่ายรูปด้วยกันใช่ไหมครับ”



   “อืม ใช่” ฐานทัพตอบอย่างไม่เข้าใจ มันเป็นคำถามที่บุ๋นก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว



   “งั้น…ผมจะตั้งใจเรียน ไม่เอฟ ไม่รีไทร์”



   “ดี” ฐานทัพพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม



   แปลกที่เขารู้สึกดีเมื่อได้ยินบุ๋นพูดออกมาว่าจะตั้งใจ แม้ว่าเขาจะเห็นความตั้งใจที่ผ่านๆมาของบุ๋นแต่ลึกๆแล้วเขาก็ยังกลัว ปีสี่เขาจะต้องย้ายไปอยู่ฝั่งโรงพยาบาล เวลาที่มีน้อยก็คงจะน้อยลงไปอีก ถึงตอนนั้นเขาคงช่วยติวหนังสือแบบตอนนี้ไม่ได้



   แค่คิด…ก็รู้สึกโหวงๆ



   “ปีหน้าพี่ก็จะย้ายไปอยู่ฝั่งโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงของบุ๋นแสดงออกถึงความรู้สึกต่างๆ แม้จะทำใจไว้แล้วแต่พอคิดถึงเรื่องนั้นทีไรเขาก็อดใจหายไม่ได้



   “ใช่” ฐานทัพที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับการต้องย้ายไปฝั่งโรงพยาบาลตอบออกมาเสียงเบาคล้ายกับว่าตัวเขาเองก็ไม่อยากให้มันมาถึง



   “ผมต้องเหงาแน่ๆเลย”



   “อืม” เขารับคำ “เหมือนกัน”



   รอบข้างตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่ประโยคสุดท้ายของฐานทัพเอ่ยออกมา บุ๋นทอดมองออกไปไกลสุดสายตาเหมือนกับที่คนข้างๆทำ ตอนนี้หมอฐานทัพจะคิดอะไรอยู่



   “ไม่หายไปไหน” ฐานทัพพูดออกมาทำลายบรรยากาศรอบข้าง “บอกว่าจะอยู่…ก็อยู่”



   “แล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”



   “อาจจะมากกว่าเดิม” ไม่รู้อะไรที่ทำให้ฐานทัพตอบออกไปอย่างนั้น บุ๋นยิ้มออกมาแต่ไม่ได้ถามอะไรกลับไป



   คำตอบของหมอทำให้อะไรหลายๆอย่างชัดเจนขึ้น



   “วันแข่งบาสตกลงพี่จะมาไหมครับ?” บุ๋นถามออกไปอย่างมีความหวัง แม้ว่าจะพอเดาออกว่าหมอน่าจะไม่ว่างแต่เขาก็แอบหวังให้หมอว่าง



   เหมือนตอนประกวดดาวเดือน



   “ไม่ว่าง” ฐานทัพตอบออกาอย่างชัดเจน เขาไม่ว่างจริงๆหลังจากที่เช็คตารางเรียนแล้ว



   “งั้นหรอครับ”



   “สู้ๆ” คำพูดธรรมดาแต่กลับแฝงกำลังใจให้คนที่ได้ฟัง “ไม่ได้อยู่ดูแต่ก็เอาใจช่วย”



   “อยากให้อยู่ดู”



   “รู้ว่าต้องชนะ” ฐานทัพหันกลับมามองหน้าคนข้างๆ “เชื่อ”



   “ผมกลัวแพ้” บุ๋นหัวเราะกลบเกลื่อนความกังวลใจ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากลัว ตั้งแต่วันที่ได้เจอหน้าของคู่ต่อสู้ใจมันก็บั่นทอนจนแทบจะไม่มีแรง



   เขาจะต้องผ่านไปให้ได้



   หวังให้เป็นแบบนั้น…



   “มีมือสองข้างเหมือนกัน ทำไมจะต้องกลัว” ฐานทัพถามกลับ



   “ผม…”



   “ถ้าชนะเดี๋ยวเลี้ยงแครอท”



   “โห นั่นคือกำลังใจใช่ไหมครับ” บุ๋นหัวเราะออกมา ดูเหมือนแครอทจะเป็นของรางวัลของหมอมากกว่าของเขา




   “อืม ใช่”



   “งั้นผมจะรอพี่เลี้ยงแครอทผมนะ”




   “ได้” ฐานทัพรับคำเสียงหนักแน่น




   บุ๋นกระโดดลงจากกระบะหลังจากที่คุยกันมาสักพัก ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับเข้าบ้านสวนเพื่อกินข้าวเย็นกับครอบครัวแล้ว




   “กลับกันเถอะครับ” บุ๋นยื่นมือมาตรงหน้าฐานทัพ ถึงกระบะจะไม่ได้สูงมากแต่เขาก็อยากให้หมอจับมือของเขาไว้




   อยากให้หมอรู้ว่าเขาพร้อมจะดูแลไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องอะไรก็ตาม




   “ลงได้” ฐานทัพตอบแต่กลับยื่นมือมาจับมือบุ๋นไว้แน่น




   มือของทั้งสองจับกันและกันไว้แน่นราวกับว่าความรู้สึกของทั้งสองได้ถูกส่งให้กันและกันได้รับรู้ แม้จะไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกมาแต่ความอบอุ่นที่ถูกส่งมาเป็นคำตอบสำหรับทุกๆอย่าง




   ไม่อยากปล่อยมือเลย…

.

   
   โต๊ะรับประทานอาหารเต็มไปด้วยอาหารมากมายที่แม่ของบุ๋นจัดเตรียมไว้ให้สำหรับการกลับมาบ้านนานๆครั้งของลูกชายและวันครบรอบยี่สิบหกปี กลิ่นหอมกรุ่นที่โชยมาทำเอาท้องร้องกันเป็นแถบ บุ๋นกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับกวาดตามองของโปรดแต่ละอย่างของเขากับพ่อโดยแม่ไม่ลืมที่จะทำเมนูพิเศษให้หมอฐานทัพ



   ต้มจืดแครอท



   “กินได้เลยนะลูก” คำพูดที่เหมือนเป็นการอนุญาติทำให้ทั้งสามคนที่หิวโหยกันมาตั้งแต่ช่วงเที่ยงไม่ปฏิเสธคำเชิญของผู้เป็นแม่



   ฐานทัพเลือกที่จะตักต้มจืดที่มีแครอทตัดเป็นรูปกลีบดอกไม้กับเต้าหู้ก่อนที่จะเลือกตักอาหารจานอื่นๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็หิวเหมือนกัน




   “ฐานทัพกินเยอะๆเลยนะลูก” แม่หันมายิ้มเมื่อเห็นฐานทัพรีบตักต้มจืดที่เธอตั้งใจทำไว้ให้



   “ขอบคุณครับ”



   “อะแม่ เดี๋ยวไอ้บุ๋นมันแย่งกินหมด” พ่อเอื้อมไปตักผัดผงกระหรี่หมูที่อยู่ไม่ไกลจากตัวให้จานของคนข้างๆ




   “อยากจะให้ก็พูดดีๆ ไม่ต้องมาเฉไฉอ้างคนอื่น” บุ๋นอดที่จะแซวพ่อตัวเองไม่ได้ ท่าทางที่แสดงออกมาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดสักนิด




   อยากจะโรแมนติกแต่โรแมนติกไม่เป็น…เฮ้อ พ่อนะพ่อ




   “กินไป” พ่อหันมาดุใส่ “พูดมาก”



   “แม่ พ่อว่าบุ๋น” คนที่โดนดุใส่รีบหันไปหาตัวช่วยที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า



   “พอกันทั้งคู่เลย อย่ามาทะเลาะกันให้แขกเห็นสิ” แม่ปรามก่อนจะยิ้มให้ฐานทัพอีกครั้ง “ไม่ถือสานะลูก พ่อลูกคุยกันแบบนี้เป็นปกติ”



   “ครับ ผมเข้าใจ” ฐานทัพพยักหน้า




   “แล้วนี่จะกลับกันเลยหรอลูก ไม่นอนบ้านสวนสักคืนหรอ”




   “คงไม่ครับ พรุ่งนี้ผมมีซ้อมบาสตั้งแต่เช้าเลย” บุ๋นตอบ




   “งั้นกลับบ้านก็เอาอาหารให้อ้วนด้วย คืนนี้พ่อกับแม่จะไปเที่ยวกันก่อนกลับบ้าน”




   “แหนะๆ จะไปไหนกัน” บุ๋นเหล่ตามองคนเป็นพ่อที่ทำตัวมีพิรุษ




   “ยุ่ง!!” น้ำเสียงดุๆตอบกลับมาเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากแม่




   “แล้วฐานทัพอยู่ปีไหนแล้วลูก”




    “ปีสามครับ”




   “อ่อ…เรียนหนักไหมจ้ะ”




   “ครับ หนักกว่าเดิมเพราะปีหน้าต้องย้ายไปฝั่งโรงพยาบาลเลยเรียนค่อนข้างเยอะ”




   “งั้นเหรอจ้ะ…ยังไงแม่ก็ฝ่ากลูกช่วยดูบุ๋นด้วยนะ”




   “อืมใช่ๆ ไอ้บุ๋นมันโง่” พ่ออดไม่ได้ที่จะแขวะลูกที่นั่งทำหน้าหล่ออยู่ตรงข้าม จะว่าไปแล้วดูไปดูมามันก็หน้าตาหล่อเหมือนพ่อ



   “ได้ครับ” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ “จะช่วยดูให้ครับ”




   “พี่ฐานทัพติวหนังสือให้ผมบ่อยมากเลยแม่ สงสัยแม่ต้องเร่งปลูกแครอทมาให้แทนคำขอบคุณซะแล้ว” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “ผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรเยอะขนาดนั้น” ฐานทัพตอบแม่ของบุ๋นที่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอย่างใจดี บ้านนี้ดูเหมือนจะยิ้มเก่งมาจากแม่



   “ดูสนิทกันดีนะ ยังไงแม่ก็ฝากด้วยนะจ้ะ” แม่เอ่ยอีกครั้งก่อนจะมองหน้าบุ๋นที่ยิ้มอยู่ข้างๆฐานทัพ เวลาเห็นรอยยิ้มของลูกชายตัวเองที่ยิ้มออกมาก็อดมีความสุขไม่ได้




   บุ๋นเป็นคนยิ้มแล้วมีเสน่ห์





   “ครับ” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   ถึงไม่ขอก็คิดจะทำอยู่แล้ว




   บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากคนในครอบครัวและฐานทัพที่มีส่วนร่วมในการฟังเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินของบุ๋นทำให้เขานึกแปลกใจอยู่หลายเรื่อง อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือเขารู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่คุยกับพ่อและแม่ของบุ๋น




   บางทีเขาก็คิดว่าเวลาผ่านไปไว เผลออีกทีก็ปาไปเกือบหนึ่งทุ่ม พ่อและแม่เดินจับมือกันออกมาส่งเขาสองคนที่จอดรถไว้หน้าบ้าน แม้ว่าลึกๆฐานทัพจะรู้สึกไม่อยากกลับเพราะชอบบรรยากาศรอบข้างแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้ว่าบุ๋นมีสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้เช้า




   “กลับมาบ้านบ่อยๆหน่อยไอ้ลูก” พ่อตบบ่าคนที่ยืนยิ้มสองที “ถ้าไม่กลับมาเดี๋ยวตัดเงินเดือน”




   “โห กลัวจังเลย เนอะแม่” บุ๋นหันไปหัวเราะให้กับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ “บุ๋นกลับก่อนนะ เดี๋ยวเจ้าอ้วนมันหิวแล้วจะหงุดหงิด”




   “ความจริงแม่โทรไปบอกพี่นาให้เอาอาหารให้อ้วนแล้ว แต่กลับไปบุ๋นเอาให้อีกรอบก็ได้ แม่ว่าอ้วนน่าจะไม่อิ่ม”   




   “ได้ครับ งั้นบุ๋นจะได้ไม่รีบขับกลับมากถ้าอ้วนได้กินข้าวแล้ว”




   “ไม่ต้องเป็นห่วงแม่บอกพี่นาแล้ว ขับรถดีๆละไม่ต้องรีบ”



   “ครับผมมมม~” บุ๋นพูดพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดแม่กับพ่อพร้อมกัน “สุขสันต์วันครบรอบนะครับพ่อแม่ มีความสุขมากๆนะ”




   “เออ ไม่ต้องมาซึ้งไปได้แล้ว” พ่อดันตัวบุ๋นออกอย่างคนแสดงออกไม่เก่ง “ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย”




   “ครับบบบ~” บุ๋นยิ้มอีกครั้งก่อนจะยกมือไหว้พ่อแม่เหมือนทุกๆครั้ง




   “สวัสดีครับ” ฐานทัพยกมือไหว้พ่อกับแม่ของบุ๋นก่อนจะรับถุงแครอทที่แม่ยื่นให้ถุงใหญ่ “ขอบคุณครับ”




   “ไว้มาใหม่นะลูก”




   “ครับ” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินขึ้นรถตามบุ๋นที่เดินนำไปก่อน




   “ฐานทัพ” เสียงดุๆของพ่อบุ๋นเรียกให้เขาหันกลับไป




   “ครับ?”




   “ฝากบุ๋นมันด้วย ถึงมันจะโง่แต่มันเป็นคนดี” พ่อยกมือเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่เคยต้องมาพูดชมลูกตัวเองกับใคร “ถ้ามันทำอะไรไม่ดีก็สอนมันด้วย”




   “ครับ ได้ครับ”




   “ไปเถอะ ไว้เจอกัน”




   “ครับ”




   ฐานทัพขึ้นมาบนรถก่อนจะเอาถุงแครอทวางไว้ที่นั่งข้างหลัง บุ๋นที่ขึ้นมานั่งอยู่ก่อนแล้วส่งผ้าห่มที่ถืออยู่ให้ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ




   “พ่อแม่ผมดุไหม” คำถามแรกถามขึ้นหลังจากที่เขาขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว




   “ไม่ น่ารักดี” เขาตอบออกมาตามความจริง เวลาที่ได้พูดกับพ่อแม่บุ๋นเขารู้สึกเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว เขารับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและความจริงใจจากครอบครัวนี้




   “ไว้ครั้งหน้ามาใหม่เนอะ”




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับทันที “ถ้าไม่ติดงาน”



   รถกระบะเคลื่อนตัวออกจากบ้านสวนช้าๆ บุ๋นมองกระจกมองหลังที่มีร่างของชายหญิงที่ยืนมองรถของเขาขับออกไปก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ พ่อกับแม่ก็ยังคงห่วงเขาไม่ต่างจากวันแรกที่ต้องออกมาอยู่คนเดียว



   ลึกๆแล้ว…เขาคิดถึงบ้าน



-------------------------------
Merry Christmas 2016
ขอให้คนอ่านมีความสุขมากๆนะคะ
ตามอ่านหมอไปนานๆน้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 25-12-2016 19:43:20
เปิดตัวพี่หมอกับที่บ้านละนะบุ๋น. คนนี้เอาจริงเนอะ

รักแค่ไหน  ไม่รู้ซิ แต่..รักมากอ่ะ

  :katai3:  :katai3:  :katai2-1:  :katai2-1:
...
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: nsai.ss ที่ 26-12-2016 09:46:05
เรื่องนี้น่ารัก...น่ารักมากด้วย แงงงงงงงงงง~
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: snice_cz ที่ 26-12-2016 18:41:18
 :L2:น่ารักมากกกก อ่านแล้วละมุน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: janny_j ที่ 27-12-2016 18:33:13
อ่านอยู่นะคะ รักพี่หมอ น้องบุ๋นนนนนน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: loocbomb ที่ 28-12-2016 04:58:51
 นี่เราสมัครสมาชิคเพื่อมาเม้นเรื่องนี้เลยนะเนี่ย55555
บุ๋นมีความน่าร้ากกกกแต่นางก็มีความแมนอยู่ในตัวจนบางโมเม้นนี่แอบสับสนว่าใครเป็นพระเอกนายเอกกันแน่ แต่ด้วยความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวของฐานทัพแล้วเราว่าเอาน้องบุ๋นได้อยู่หมัดแน่นอน กิกิ
รออ่านนะค่าาา เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 28-12-2016 18:25:32
บุ๋นน่ารัก บางทีพ่อแม่อาจรู้เนอะ

รอต่อไป ละมุนน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 100%] 28/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 28-12-2016 22:56:52

   “พี่ง่วงก็นอนเลยนะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำบอกกับคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง



   “อืม ไม่เป็นไร” เขาไม่อยากปล่อยให้บุ๋นต้องขับรถกลับคนเดียว “เดี๋ยวอยู่คุยด้วย”



   “หืม คุยเรื่องอะไรดีครับ” บุ๋นหัวเราะ



   “ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนคุยเก่งแต่เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่บุ๋นขับรถ มันคงไม่ดีถ้าเขาจะสบายคนเดียวโดยปล่อยให้อีกคนต้องเหนื่อย




   “พี่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมผมกับพี่ถึงได้รู้จักกัน” บุ๋นเปิดประเด็นที่น่าสนใจพอที่จะทำให้ฐานทัพตั้งใจฟัง




   “สงสัย” เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่เลิกสงสัยไปแล้ว”




   จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสงสัยตอนไหนและความสงสัยนั้นหายไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็จำชื่อคนๆนี้ได้ขึ้นใจ แม้จะอยู่กันคนละคณะคนละฟากของมหาวิทยาลัยแต่นั่นดูไม่เป็นปัญหาสำหรับการเจอกันของเขาและบุ๋น




   คิดๆดูแล้วก็แปลกดี




   “ทำไมถึงเลิกสงสัยล่ะครับ” บุ๋นถามต่อ




   “ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนที่จะเก็บเรื่องทุกอย่างมาคิดจนได้คำตอบ ในบางครั้งถ้าเขารู้สึกว่าปัญหาที่เกิดมันนานเกินไปเขาก็เลือกที่จะลืมเพื่อไม่ให้กวนใจในการใช้ชีวิต




   แต่บางเรื่องก็ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ




   “แล้วพี่อยากรู้ไหมครับ?” บุ๋นหันมาถาม บางทีในตอนนี้เขาคิดว่าเขาถึงเวลาที่ควรจะบอกความรู้สึกบางส่วนที่มีต่อหมอฐานทัพ




   กลัวว่าถ้าบอกทั้งหมดออกไปพร้อมกันหมอจะรับไม่ไหว




   ความรู้สึกของเขามันมากเกินไป…



   “อืม” คำสั้นๆที่เปล่งออกมาเรียกรอยยิ้มจากคนข้างๆได้ไม่น้อย แม้จะเป็นคำแค่พยางค์เดียวแต่นั่นก็พอให้บุ๋นรู้ว่าคนข้างๆกำลังตั้งใจรอฟัง



   “ผมอยากรู้จักพี่”




   “ทำไม?”




   “เพราะเป็นพี่ ต้องเป็นพี่” บุ๋นพูดไปยิ้มไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำมีสายตาของฐานทัพจับจ้องอยู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น




   สิ่งหนึ่งที่ฐานทัพรู้สึกคือ…เขายิ้มบ่อยขึ้น




   “ผมดีใจนะที่พี่ยอมให้ผมได้สนิทกับพี่ ได้รู้จักพี่ได้…เอ่อ ได้ ได้ติวหนังสือ” บุ๋นพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที เขาเกือบหลุดพูดออกไป




   เกือบหลุดว่าได้ใกล้ชิดกับหมอฐานทัพ…




   “ผม…ผมดีใจมาก…มากมาก” บุ๋นยิ้มกว้างจนเก็บอาการไม่อยู่ วันแรกเขารู้สึกกับหมอยังไงจนถึงวันนี้เขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม




   เขาไม่เคยรู้สึกน้อยลงเลย




   “ดีใจที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกของพี่” สายตาที่ทอดมองเส้นทางข้างหน้าไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาคนข้างๆ บุ๋นรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวที่เริ่มแผ่ซ่านทั่วใบหน้า




   “ผมดีใจที่พี่จำชื่อผมได้”



   “ย้ำบ่อย จำไม่ได้ก็ตลก” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะตอบออกไป เขาจำได้ว่าช่วงแรกๆบุ๋นย้ำชื่อตัวเองกับเขาบ่อยมากจนเขาจำได้ขึ้นใจ




   คนอะไรย้ำชื่อตัวเอง




   “ผมกลัวพี่ลืม”




   “ทำไมต้องกลัว”




   “กลัวไม่ได้สนิทกับพี่” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะพูดถ้อยคำที่กลั่นกรองออกมาจากใจ “ผมอยากให้พี่จำ ไม่อยากให้ลืม”




   “จำแล้ว” ฐานทัพตอบ “ไม่ลืม”




   “ผมรู้แล้ว” บุ๋นพยักหน้าเบาๆ “แล้วตอนแรกพี่เจอผมพี่รู้สึกยังไง”




   “เอาความจริง?”




   “ครับ ความจริง”



   “เพี้ยน”




   “เพี้ยนหรอ” ไปต่อแทบไม่ถูกเมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากหมอฐานทัพ บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะคิดไปถึงครั้งแรกที่เจอกัน




   ไม่แปลกที่หมอจะคิดแบบนั้น




   “แล้วตอนนี้ละครับ…รู้สึกยังไง”




   “อืม…” ฐานทัพนิ่งเงียบไป เขาหันไปมองคนข้างๆ ความมืดจากสองข้างทางทำให้เขาเห็นสีหน้าของบุ๋นไม่ชัดเจน




   “ตอบยากหรอครับ”




   “ไม่ยาก”




   ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันเขาเห็นบุ๋นในหลายมุม ได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ทั้งรอยยิ้มเสียงหัวเราะ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ เขาเคยสงสัยมาตลอดว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไรและคิดว่าตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว




   “ชอบ” คำสั้นๆที่พูดออกมาหากแต่ว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อคนข้างๆ เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนที่ไวต่อความรู้สึก แต่ครั้งนี้เขารู้สึก




   ชอบ…จริงๆ



   “ชอบผมหรอครับ?” บุ๋นถาม แม้น้ำเสียงจะเรียบๆแต่ใครจะรู้ว่าเสียงหัวใจของบุ๋นเต้นแรง เขารู้สึกดีจนแทบจะตะโกนออกมาดังๆให้โลกรู้



   ชอบ แค่คำๆเดียวจริงๆ



   “อืม” คำยืนยันจากปากคนข้างๆทำให้บุ๋นยิ้มกว้าง คนยิ้มเก่งถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อจู่ๆหมอก็พูดออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม



   “ชอบแบบไหนครับ”




   “ชอบแบบฐานทัพ” เขาหันไปสบตาคนข้างตัวก่อนจะยิ้มบางๆ ทุกอย่างที่พูดไปนั่นคือความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี




   “ชอบแบบฐานทัพเป็นยังไงหรอครับ” บุ๋นถามกลับตามประสาคนซื่อแอบเจ้าเล่ห์ แม้ว่าจะพอเดาออกแต่เขาก็อยากจะได้ยินจากปากของหมอ




    “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับ “คิดเอง”




   “พิเศษกว่าคนอื่นรึเปล่าครับ”




   “อืม” เขารับคำสั้นๆ




   “…”




   “ไม่เคยพูดกับใคร”



.

   ท้องถนนที่เริ่มเคลื่อนตัวได้สะดวกทำให้รถขยับได้เรื่อยๆ บุ๋นกับฐานทัพพึ่งขึ้นรถเมล์เพื่อกลับมอหลังจากที่เอารถกลับไปจอดที่บ้านและให้อาหารเจ้าอ้วนเสร็จแล้ว นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง แม้รถจะไม่ติดมากแต่กว่าจะถึงหอก็น่าจะปาไปห้าทุ่มกว่า




   ฐานทัพหันไปมองคนที่นั่งติดกระจกสายตาทอดมองการจราจรข้างนอก ในรถเมล์คันที่นั่งค่อนข้างโล่งทำให้ไม่น่าอึดอัดเหมือนทุกๆครั้งที่เคยขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของบุ๋นค่อยๆหลับลงด้วยความอ่อนเพลียจากการขับรถและไปช่วยงานที่บ้านสวนมาทั้งวัน




   ตลอดทางกลับบ้านฐานทัพไม่ได้นอนอย่างที่บอกกับบุ๋นไว้เพราะลึกๆแล้วเขาก็รู้ว่าอีกคนก็เหนื่อยไม่ต่างจากเขา ถึงแม้บุ๋นจะเหนื่อยแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่ได้รับรอยยิ้มจากคนข้างๆ บางครั้งเขาเองก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงยังยิ้มทั้งๆที่ตัวเองเหนื่อยแทบจะหมดแรง




   บุ๋นมาทำลายทุกทฤษฎีที่เขาเรียนมา เป็นคนที่เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตของเขาจะได้เจอ ทั้งที่คิดว่าคินร่าเริงและดูมีความสุขที่สุดแต่พอมาเจอบุ๋นความคิดเขาก็เปลี่ยนไป บุ๋นทำให้เขารู้สึกอยากจะสนุกไปกับบุ๋นด้วย แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบุ๋นมันน่าสนใจไปหมด




   หงึก




   ฐานทัพหันไปมองหัวที่โงนเงนไปมาราวกับหาที่พักพิงไม่ได้ ท่าทางของบุ๋นตอนนี้ดูหมดสภาพคล้ายกับต้องการการพักผ่อนสูง มือหนาค่อยๆประครองศรีษะของบุ๋นให้เอนมาทางไหล่เขาก่อนจะนั่งยืดตัวไปข้างหน้ามากกว่าเดิมเพื่อให้ไหล่ต่ำลงเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ปวดต้นคอ




   ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฐานทัพกลายเป็นคนใส่ใจอีกคนมากขนาดนี้…




   ภาพเหตุการณ์ต่างๆย้อนกลับมาทำให้คนยิ้มยากเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง บางทีฐานทัพก็รู้สึกว่าเขาติดนิสัยยิ้มบ่อยมาจากบุ๋น เขายังจำวันแรกที่เจอบุ๋นได้อย่างดีและนึกสงสัยว่าทำไมถึงจำได้ทั้งๆที่ปกติเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา แต่เหมือนบุ๋นเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกๆอย่าง




   ท่าทางตะกุกตะกัก ท่าทางพูดไม่รู้เรื่อง ท่าทางที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับตัวเอง แววตาประหม่า สีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มทั้งๆที่ตัวเองกำลังกังวล ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาเห็นได้จากคนๆเดียวและนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขามองว่า




   บุ๋น…ไม่เหมือนคนอื่นที่เคยรู้จัก




   บางครั้งเขารู้ว่าบุ๋นกำลังรู้สึกแย่แต่ทุกๆครั้งที่เขาเห็นบุ๋นก็มักจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มหรือคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าบุ๋นจะเจอเรื่องมามากมายแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่อยู่กับเขา…เหมือนเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น




   อะไรๆเริ่มชัดเจนและยิ่งชัดเจนมากขึ้น




   เมื่อวาน…




   หลังจากที่ไปกินข้าวเสร็จเขาก็ยังไม่เข้าใจในเสื้อภาคสนามที่บุ๋นขอให้เขาสวมและคนที่จะให้คำตอบเขาได้ดีที่สุดก็คงจะเป็น google เขาพิมพ์คำว่าเสื้อภาคสนามพร้อมกับคำถามสั้นๆเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลที่ไปในทางเดียวกันกับที่เขาสงสัย จนได้มาเจอกับกระทู้หนึ่งที่ตั้งขึ้นในเว็บบอร์ดข่าวสารของมหาวิทยาลัย เว็บบอร์ดที่นักศึกษาจะเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอบ เรื่องลงทะเบียนเรียนหรือเรื่องความเชื่อของแต่ละคณะ




   เหมือนกระทู้นี้…



                                   ‘แฟนเอาเสื้อภาคสนามของคณะเกษตรมาให้ใส่ หมายความว่ายังไงคะ?
                                         ถามไปเขาก็ไม่ตอบบอกว่าให้ไปถามคนอื่นเอง งงมากเลยค่ะ’


   ฐานทัพเลื่อนลงอ่านความเห็นด้วยความสนใจ ข้อความที่ตอบมาเกือบสิบข้อความล้วนมาจากนักศึกษาคณะเกษตรที่เล่าความเชื่อแตกต่างกันออกไป สายตาของเขาสะดุดเข้ากับความเห็นล่าสุดที่พึ่งเข้ามาตอบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว


   KAP : เสื้อภาคสนามส่วนมากก็เอาให้แฟนใส่ครับหรือว่าคนที่กำลังจีบอยู่ ส่วนความหมายที่ผมเคยได้ยินมาเขาบอกว่า เป็นการสัญญาว่าจะดูแลเขา ไม่ให้เขาต้องลำบากเพราะเราจะลำบากแทน ประมาณนั้นครับ


   แฟน…




   ฐานทัพนิ่งเงียบไปกับคำตรงหน้านานกว่าสิบนาที ก่อนจะค่อยๆเลื่อนอ่านความเห็นถัดไป แม้ว่าจะมีหลายความเชื่อแต่ที่อ่านคร่าวๆโดยสรุปก็คือจะนิยมให้แฟนสวมหรือไม่ก็เป็นคนที่กำลังจีบอยู่




   เขากับบุ๋นไม่ได้เป็นแฟนกัน งั้นก็เหลือแค่…




   คิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกถึงไอร้อนๆอีกครั้ง ฐานทัพสลัดความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่ยังคงนอนหลับสบายอยู่ คงเหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ




   ในตอนนี้เขายังมีเวลาที่จะให้คนข้างๆนอนซบเพื่อพักผ่อนแต่เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เขายังจะมีเวลาที่จะทำแบบนี้ได้อีกรึเปล่า บางครั้งการที่เป็นแบบนี้ยังพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนดำเนินต่อไปเรื่อยๆ 




   แต่…จะเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกนานแค่ไหน

.
   
   แรงสะกิดจากคนข้างๆทำให้บุ๋นค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่ารถเมล์กำลังจะจอดหน้ามหาวิทยาลัย บุ๋นหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะรู้ตัวว่า…




   เขาซบไหล่หมอตลอดทาง!!!




   “พี่ครับผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลับ คือมันเผลอ คือมัน…”




   “ไม่เป็นไร รู้ว่าเหนื่อย”




   “ผม…”




   “ถึงแล้ว ไปเถอะ” ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ




   เขาทั้งคู่ควรที่จะรีบกลับไปที่หอเพื่ออาบน้ำนอนจะได้พักผ่อนหลังจากที่ช่วยบ้านสวนมาทั้งวัน ตัวฐานทัพเองไม่เหนื่อยเท่ากับบุ๋นที่ทั้งยกของทั้งขับรถ เขาเลยไม่หลับเพื่อให้อีกคนที่เหนื่อยกว่าพักผ่อนแทน




   “พี่ไม่ได้นอนเลย ผมขอโทษนะครับ” บุ๋นยังรู้สึกผิดอยู่ เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตอนไหน




   “เดี๋ยวก็ได้นอน” ฐานทัพตอบกลับระหว่างทางเดินไปที่จักรยานที่จอดไว้




   “ขอบคุณนะครับพี่”




   “ไม่เป็นไร” เขาตอบ “พรุ่งนี้ซ้อมเช้า กลับไปก็รีบนอน”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง เขาเดินไปที่จักรยานที่จอดอยู่ก่อนจะปลดล็อกกุญแจแล้วขึ้นคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับ “เดี๋ยวผมปั่นไปส่งพี่ที่หอ”




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”




   “แต่ว่าผม…”




   “บุ๋น” น้ำเสียงนิ่งๆที่เอ่ยออกมาทำเอาคนที่กำลังคิดหาข้ออ้างชะงักไป เวลาหมอดุทีไรเขาก็ไม่กล้าขัดทุกที




   “ก็ได้ครับ”




   “ฝันดี” ฐานทัพคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับหอพัก




   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกฐานทัพไว้เมื่อเห็นว่าหมอกำลังจะปั่นออกไปจากที่จอดจักรยาน




   “ว่า?”




   “ผม…” บุ๋นเงียบไปก่อนจะรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด ความรู้สึกของเขาล้นทะลักออกมาจนต้องบอกออกไปให้หมอได้รับรู้




   “…”




   “ผมชอบพี่แบบบุ๋น”




   “…”




   “ชอบแบบบุ๋น”



-------------------------------------
ดีใจทุกครั้งที่มีคนติดตาม ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ทุกกำลังใจนะคะ^_^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 100%] 28/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 29-12-2016 09:56:20
เราก็ชอบทั้งแบบบุ๋นและแบบฐานทัพเลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 100%] 28/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 29-12-2016 19:37:17
อย่างงี้ก้อแย่ละ หัวใจทำงานหนัก ปากก้อ อมยิ้มมม
จะแบบหมอหรือแบบบุ๋นก้อชอบหมดจร้าาาาา ใจเต้นตับๆ :mew1: :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 100%] 28/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Skyflower ที่ 30-12-2016 20:57:47
 :mew3:ชอบความน่ารักสดใสของบุ๋นจัง
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 30-12-2016 22:49:24
จีบหมอครั้งที่สิบแปด


   ดินสอและอุปกรณ์ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกกวาดลงใส่กล่องเหล็กอย่างเร่งรีบ หางตามองเวลาที่ใกล้จะถึงเวลานัดหมาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเร่งให้เขาต้องรีบเก็บของให้เร็วกว่าเดิม



   “เออกำลังไป” น้ำเสียงเหนื่อยๆของคนที่นั่งทำงานมากว่าห้าชั่วโมงเอ่ยขึ้น



   ( เร็วเลยมึง คนเริ่มเยอะแล้ว )




   “อืม รู้แล้ว” เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกระบอกใส่งานขึ้นมาสะพายไว้พร้อมกับหนีบกระดานวาดรูปไว้ข้างตัว




   งานที่คิดว่าจะเสร็จเร็วดันเสร็จช้ากว่าที่คิดไว้เลยทำให้นั่งทำงานจนลืมเวลา ขาทั้งสองข้างก้าวยาวๆเพื่อเดินลัดไปที่สนามบาสที่กำลังจะมีแข่งบาสในอีกไม่กี่นาทีที่จะถึง เวลาที่เริ่มบีบเข้ามาทำให้เขาเลือกที่จะวิ่งแทนการเดินเร็ว



   วันนี้เป็นวันสำคัญของไอ้สี่…



   ร่างสูงที่วิ่งพร้อมกับของพะรุงพะรังทำให้ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินสวนกับเขาเข้าอย่างจัง แรงชนทำให้กระดานวาดรูปตกลงพื้น เขารีบเก็บกระดานขึ้นมาเพราะกลัวว่างานที่วาดค้างไว้จะเปื้อน ยังไม่ได้เอาเก็บในกระบอกใส่งานเพราะกลัวไปไม่ทัน




   “ขอโทษครับ” เขาเอ่ยอย่างคนรู้สึกผิด ปกติไม่เคยต้องรีบร้อนอะไรขนาดนี้ยกเว้นเวลาส่งงานอาจารย์




   “คราวหลังก็ดูทาง จะรีบไปไหน” น้ำเสียงตำหนิเอ่ยออกมาจากคนที่โดนชน




   “ครับ”




   “มึงจะไปดุเขาทำไมวะไอ้ป้อง” น้ำเสียงจากเพื่อนอีกคนที่เดินมาด้วยกันเอ่ยอย่างคนไม่คิดมาก “เขาคงจะมีเรื่องรีบ”




   “อืม ไปเถอะ”




   เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงให้ตัวเองอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม เวลาที่บีบคั้นทำให้เขาเลือกที่จะวิ่งต่อไปโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่เขาชนไปเมื่อครู่




   สนามบาสดูคึกคักมากกว่าปกติเพราะมีการแข่งครั้งสำคัญของมหาลัยที่เป็นคู่แข่งกันมายาวนาน เขาหยุดฝีเท้าลงที่กลุ่มเพื่อนที่มานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เกือบจะมาไม่ทัน




   “ไอ้สาม กูนึกว่ามึงนอนจมกองงานตายไปแล้ว” สองอดที่จะแขวะเพื่อนสนิทไม่ได้




   “เออ ความจริงกูจะมาเร็วกว่านี้ แต่มีปัญหานิดหน่อย”




   “อะไรวะ” สองถามอย่างนึกสนใจ




   “ช่างแม่ง คิดแล้วโมโห” พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็อดที่จะโมโหไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจชน ขอโทษไปแล้วก็น่าจะจบไม่ใช่มาพูดตำหนิให้รู้สึกผิดไปมากกว่าเดิม





   ไม่รู้สึกผิดหรอก…หึ





   “เออๆ รอดูไอ้สี่ดีกว่า” สองพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเพื่อนที่กำลังวอร์มร่างกายอยู่ในสนาม




   “มันมองหาใครวะ” หนึ่งที่นั่งเงียบตั้งแต่สามมาถึงเอ่ยขึ้น เขาเห็นทางท่าของสี่ดูชะเง้อมองนอกสนามอยู่ตลอดเวลา




   “มองหาพวกเรารึเปล่าวะ” สองเอ่ยอย่างคนไม่รู้ เขาก็พึ่งมาสังเกตว่าไอ้สี่ดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่คล้ายกับว่ารอใครสักคนอยู่



   “มันอาจจะอยากได้กำลังใจจากเรา” หนึ่งคาดการณ์



   “แล้วมันเห็นพวกมึงรึยัง”




   “เห็นแล้ว นั่นไงกำลังเดินมา” สองพูดพร้อมกับโบกมือเรียกสี่ที่เดินตรงมาทางเพื่อนที่ยืนดูอยู่ติดขอบสนาม



   บุ๋นยิ้มมาแต่ไกลเมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสามมารอตั้งแต่ก่อนที่เขาจะแข่ง อย่างน้อยก็ทำให้เขาเบาใจไปได้เปราะหนึ่งว่าวันนี้ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าลึกๆแล้วเขาจะแอบหวั่นแต่ให้ถอยตอนนี้คงไม่ทัน



   “มาเอากำลังใจจากพวกกูอะเด้” สองเอ่ยแซวพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่แวะกลับไปเอาที่หอมาเตรียมไว้เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทเป็นคนเหงื่อออกเยอะ




   “เออ สวดมนต์ช่วยกูด้วย” บุ๋นเอ่ยติดตลก เขารับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อก่อนจะหันกลับไปมองที่สนาม




   อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มแข่งแล้ว




   คงไม่มาจริงๆ…




   “มองหาใครอยู่วะ” สามอดที่จะสงสัยไม่ได้ ทั้งๆที่เพื่อนก็นั่งอยู่ตรงนี้แต่ดูเหมือนไอ้สี่จะกำลังหาใครสักคนที่ไม่ใช่พวกเขา




   “กำลังใจ” บุ๋นตอบออกมาก่อนจะถอนหายใจ “กำลังใจไม่มาเลยว่ะ”




   “เอ้า พวกกูนี่ไงกำลังใจ” สองเอ่ยออกมาเสียงดัง “นี่กูโดดเรียนคาบนึงเพื่อมึงเลยนะไอ้สี่”




   “อืม ไอ้สองมาลากตัวกูที่คณะ” หนึ่งบอกบ้าง “ยังคุยงานไม่เสร็จเลย แต่รีบมาเพราะกลัวมึงรอพวกกู”




   “ส่วนกูก็โดนไอ้สองโทรตาม เลยไปมีปัญหากับแม่ง” สามโมโหอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น




   “พูดอย่างกับพวกมึงน้อยใจ” บุ๋นหัวเราะ “กูดีใจที่พวกมึงมา นี่กูยิ้มได้เพราะได้กำลังใจจากพวกมึงนะ”




   “เออๆ สู้นะมึง ชนะเดี๋ยวพวกกูพาไปเลี้ยง” สองสรุปเองเสร็จสรรพโดยไม่ถามความเห็นเพื่อนอีกสองคน




   เสียงนกหวีดดังขึ้นเรียกให้นักบาสของแต่ละมหาลัยไปรวมตัวกันเพื่อรอลงสนามในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บุ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนทั้งสามคน




   อย่างน้อย…กำลังใจเขาก็มาครึ่งหนึ่ง




   ส่วนอีกครึ่งค่อยไปทวงหลังแข่งเสร็จ


.

   นาฬิกาบอกเวลาหกโมงตรง ฐานทัพเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาที่คณะเพื่อฝากงานไว้กับเพื่อนทั้งสองคนที่จะต้องส่งต้นคาบ แม้ว่าจะบอกบุ๋นไปแล้วว่าไม่ได้ไป แต่เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้




   ไปแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร




   “อ่าวมึงจะรีบไปไหนวะ” คินเอ่ยถามเมื่อฐานทัพวางงานไว้บนโต๊ะที่เขานั่ง




   “สนามบาส” เขาตอบส่งๆอย่างคนไม่มีเวลาจะคุยเยอะ




   “ไปทำไมวะ” คินยังคงถามต่อ วันนี้เห็นแต่คนทำท่าทางรีบร้อนก็อดสงสัยไม่ได้ ตอนไปกินข้าวกับปกป้องก็เห็นว่าที่สนามบาสมีคนอยู่เต็ม



   วันนี้มีแข่งอะไรหรือไง




   “ไปหา…” ฐานทัพเงียบไปอย่างคนพึ่งนึกได้ว่าเขาเสียเวลาไปเพราะมัวแต่ตอบคำถามของคิน “ไปละ” ฐานทัพตัดบท




   “เห้ยเดี๋ยว” คินยังไม่หยุดสงสัย




   “อะไร”




   “มึงคบกันแล้วหรอวะ”




   คำถามที่ถามออกมาทำเอาฐานทัพนิ่งไปพักใหญ่ แม้จะไม่เอ่ยชื่อแต่เขาก็รู้อัตโนมัติว่าคินกำลังถามถึงใคร คบกันงั้นหรอ…




   “ยัง”




   “เอ้า”




   “เขายังไม่ขอ”




   “แล้วทำไมมึงไม่ขอวะ” คินถามอย่างไม่เข้าใจ จริงๆเขาไม่แปลกใจกับการที่ฐานทัพตอบออกมาแบบนี้เพราะเขาเองก็ดูออกมาสักพัก




   “ขอก่อนได้หรอ” ฐานทัพถามกลับอย่างคนไม่เคยมีประสบการณ์




   “โว้ยยย นี่มึงสอบติดมาได้ไงวะเนี่ย ฉลาดแค่เรื่องเรียนจริงๆสินะ” คินบ่นออกมา เขาเอามือขยี้หัวตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ที่มีต่อเพื่อนสนิท




   ฐานทัพมันฉลาดแค่เรื่องเรียนจริงๆ




   “เออ” เขายอมรับอย่างว่าง่าย “ไปละ รีบ”




   ไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบกลับมาขาทั้งสองข้างก็วิ่งไปที่จักรยานเพราะกลัวไปไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะใกล้เข้าเรียนวิชาสุดท้ายของวันแต่ก็อดห่วงไม่ได้




   ไม่ไปไม่ได้จริงๆ




   ฐานทัพจอดลงหน้าตึกตรงข้ามสนามบาสที่มีผู้คนมุงอยู่จนแทบไม่เห็นด้านในสนาม เขารีบข้ามฝั่งมายังสนามบาสก่อนจะแทรกฝูงชนเข้าไปยังด้านในของขอบสนาม ปกติแล้วเขาไม่ชอบอยู่ในที่ๆมีคนเยอะๆแต่เพราะเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกทำให้เขาพาตัวเองเข้ามาถึงขอบสนามด้านในที่มีผู้คนแออัด




   บุ๋นถอนหายใจเป็นรอบที่หกของวันหลังจากที่เขาไม่ได้เจอหมอฐานทัพมาหลายวัน ความจริงเขาก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหมอคงไม่มาเพราะติดเรียน แต่มันก็อดหวังไม่ได้ ยิ่งเห็นคู่ต่อสู้ที่ดูจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองภาพเก่าๆก็ย้อนกลับมาหลอกหลอนเขา




   ไม่เป็นไร…เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป




   “บุ๋น” น้ำเสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นจากข้างหลัง บุ๋นรีบหันไปตามเสียงที่ได้ยินพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นคนเดียวกับที่เขารอ




   “เห้ย ไปไหนวะ จะแข่งแล้ว” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆถามออกมาเมื่อเห็นบุ๋นลุกพรวดทำท่าจะเดินไปที่อื่น




   “ไปเอากำลังใจ” บุ๋นหันมายิ้มอารมณ์ดี “เดี๋ยวรีบมา ไปแป๊บเดียว”




   ไม่รอฟังคำตอบจากเพื่อนขาทั้งสองข้างก็รีบก้าวตรงไปยังร่างสูงที่ยืนรออยู่ บุ๋นยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเห็นรอยยิ้มของหมอฐานทัพที่ยิ้มกลับมาให้กับเขา ใบหน้าของหมอมีเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขารีบมาจริงๆ




   “เกือบไม่ทัน” ฐานทัพเป็นคนเริ่มพูดเมื่อเห็นคนตรงหน้ายิ้มไม่หุบ




   บุ๋นไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของหมอฐานทัพขึ้นมาวางไว้บนหน้าผากช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลงคล้ายกับกำลังรับพลังงานจากคนตรงหน้าท่ามกลางผู้คนมากมายในสนาม เสียงหัวใจเต้นเร็วขึ้นบอกถึงความรู้สึกที่ยังคงไม่เปลี่ยนไป รอยยิ้มของคนยิ้มเก่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง




   “ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ” เขาบอกคนที่ยืนนิ่งๆไม่ได้ขัดขืน “ไว้ผมแข่งเสร็จจะมารับพลังอีกนะครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบออกมาเสียงเบา อาจเพราะเขาไม่คิดว่าบุ๋นจะทำแบบนี้ในที่ๆมีสายตาหลายร้อยคู่กำลังจับตามองอยู่




   “ผมไปก่อนนะ ขอบคุณที่มานะครับ”



   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกก่อนที่บุ๋นจะเดินกลับไปยังจุดที่ทีมเขาอยู่




   “ครับ?”




   “ให้” ขวดสเปรย์ที่นั่งหาข้อมูลมาหลายวันถูกยื่นไปให้อีกคนที่ยืนรออยู่ ฐานทัพไม่ชอบเล่นกีฬาเลยไม่ค่อยรู้เรื่องยาแก้ปวด




   ตอนแรกเขาจะซื้อแบบครีมให้แต่คิดว่าคงเสียเวลาที่จะมานั่งทาเลยหาข้อมูลยาที่เป็นสเปรย์แทน ถึงเขาจะไม่เคยใช้มาก่อนแต่คิดว่าน่าจะทดแทนกันได้




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นรับมาด้วยความเต็มใจ รอยยิ้มของเขายังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่หายไปไหน หมอฐานทัพก็ยังเป็นหมอฐานทัพ




   ห่วงเขาตลอด




   “สู้ๆ” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้ก่อนที่บุ๋นจะเดินออกไป




   “สู้อยู่แล้วครับ ชาจพลังแล้ว” บุ๋นยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งไปยังสนามเมื่อกรรมการเป่านกหวีดเป็นการเรียกผู้เล่นลงสู่สนาม




   ฐานทัพมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่เดียวก่อนจะรีบฝ่าฝูงชนออกไปเพื่อไปเรียนในวิชาสุดท้ายของวัน การได้เจอกันเพียงไม่กี่นาทีแค่นั้นก็ทำให้เขาทั้งคู่สบายใจ




   อย่างน้อยบุ๋นก็รู้ว่าหมอไม่ลืมและฐานทัพก็รู้ว่าบุ๋นรอเขา




   สู้ๆนะบุ๋น




   เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณในการเริ่มควอเตอร์แรก บุ๋นกระโดดรับบาสมาไว้ในมืออย่างชำนาญ มือเลี้ยงลูกไปเรื่อยๆก่อนจะโยนไปยังผู้ที่ยืนอยู่ใต้แป้นบาสรอรับลูกจากเขา ลูกบาสลอยสูงตกไปยังเพื่อนอีกคนตามที่เขาเล็งไว้ก่อนที่แต้มแรกจะเป็นแต้มของทีมเขา




   “เยี่ยม” สองที่ดูเพื่อนสนิทตาไม่กระพริบยิ้มออกมาเมื่อได้แต้ม




   “แล้วเมื่อกี้ใครวะ” สามที่สงสัยมาสักพักเอ่ยถาม “ไม่คุ้นหน้า”





   “ไม่รู้ กูก็อยู่กับมึงไหมครับเพื่อน” สองตอบกลับมา สายตายังคงจับจ้องไปที่สนาม




   ตอนนี้ฝั่งของบุ๋นนำอยู่สองแต้มซึ่งอีกทีมดูตีคะแนนมาสูสีจนคาดการณ์กันไม่ได้ว่าทีมไหนจะชนะ ตัวบุ๋นเองเขายังคงความกังวลไว้อยู่มาก




   ยิ่งสบตาคู่ต่อสู้…ภาพวันเก่าๆก็ยิ่งหลอกหลอน




   “สามแต้ม!!!” เสียงของกองเชียร์เฮเสียงดังเมื่อเดือนคณะเกษตรชู้ตบาสเข้าห่วงในบริเวณสามแต้ม




   รอยยิ้มจากคนอารมณ์ดีเผยออกมาพร้อมกับหันไปตบมือเพื่อนที่อยู่ข้างตัว แม้จะกังวลแต่เขาไม่ยอมให้เรื่องนั้นมาทำให้เขาพ่ายแพ้




   ต้องชนะเท่านั้น



.   
   เสียงของอาจารย์บรรยายในห้องใหญ่เหมือนทุกๆวันแต่วันนี้สมาธิของฐานทัพกลับหายไปหมด เขาพยายามนั่งจดเลคเชอร์ตามที่อาจารย์สอนแต่ดูเหมือนเนื้อหาที่เรียนจะไม่เข้าหัวเขาเลยแม้แต่น้อย




   “กังวลอะไรอยู่วะ” คินที่นั่งอยู่ข้างๆสังเกตความผิดปกติของเพื่อนที่ดูไม่ค่อยมีสมาธิ ปกติทุกครั้งที่เรียนฐานทัพจะตั้งใจจดและฟังอาจารย์ไม่วอกแวก แต่วันนี้ท่าทางดูแปลกไป




   “เป็นห่วงบุ๋น” ฐานทัพเอ่ยชื่อออกมาอย่างลืมตัว




   “เอ้า ไปหามาแล้วนิ” คินที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากหันมาถามพร้อมวางดินสอที่จดอยู่ทำเอาคนที่นั่งข้างๆกระทุ้งศอกเพื่อบอกให้หยุดคุย




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ “ช่างเถอะ”




   “ห่วงละไมไม่ไปดูเขาวะ”




   “สอบ” ฐานทัพตอบออกมาสั้นๆ อาทิตย์หน้ามีสอบเลยจำเป็นต้องเข้าเรียนเพื่อที่จะได้เอาเนื้อหาไปอ่านเตรียมสอบ




   ฐานทัพไม่เคยลอกเลคเชอร์ใครและในบรรดาเพื่อนทั้งสองคน คินจดแบบที่ตัวเองอ่านเข้าใจแค่คนเดียว ส่วนปกป้องตัวหนังสือแต่ละตัวต้องนั่งแกะไม่ต่ำกว่าสิบนาที เขาเลยไม่คิดจะขอยืมจากใคร




   “โห้ยเครียดไรวะ เอาของกูไปอ่านก็ได้” คินพูดอย่างคนมั่นใจ




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพตอบกลับทันที ไม่ใช่เพราะเกรงใจ




   แต่เพราะเอาไปก็ไม่เข้าใจ




   “ต้นคาบเห็นว่าจะปล่อยเร็ว” ปกป้องที่นั่งข้างคินหันมาบอกฐานทัพ “เลิกแล้วมึงก็รีบไป”




   ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปสนใจเนื้อหาข้างหน้าอีกครั้ง วันนี้เขารู้สึกกระวนกระวายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่แค่บุ๋นคนเดียวที่ลุ้น




   เขาเองก็ลุ้นไม่ต่างกัน


.

   เสียงนกหวีดพักครึ่งแรกดังขึ้น บุ๋นเดินมายังจุดที่นั่งพักของทีมตัวเอง แก้วน้ำเย็นถูกยื่นจากตัวสำรองที่นั่งดูการเล่นตลอดช่วงแรก




   “ไหวอยู่ปะวะ” เพื่อนในทีมถามหลังจากที่เห็นบุ๋นดูเหนื่อยหอบ




   “เออไหว” เขาสูดลมหายใจลึกๆ “ไหวอยู่” บุ๋นพูดพร้อมกับมองขวดสเปรย์ที่เปรียบเสมือนกำลังใจของเขา




   “ทีมนู้นแม่งดูจะสนใจมึงเป็นพิเศษนะ”




   “เออ ชิน” บุ๋นหัวเราะ ไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาก็รู้ว่าเพื่อนหมายถึงใคร



   “เอาวะ ครึ่งหลังทำให้เต็มที่”




   “เออสู้”




   เสียงนกหวีดเรียกนักบาสกลับเข้าสนามเพื่อเข้าสู่ช่วงหลัง บุ๋นสบตาพี่ต้าอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าลึกๆเขาจะรู้สึกหวั่นๆแต่ในวันนี้พี่ต้าไม่ได้เข้ามาระรานเขาจนทนไม่ได้




   หวังว่าจะมีน้ำใจนักกีฬา




   “เก่งนิ” น้ำเสียงคล้ายชื่นชมเอ่ยออกมาระหว่างเดินสวนกัน “อย่ามั่นใจมาก” คำพูดที่จงใจพูดให้เขาได้ยินแค่คนเดียวทำให้เลือดในร่างกายเริ่มพลุ่งพล่าน




   “ครับ” บุ๋นตอบกลับมาเสียงหนักแน่น




   ครึ่งหลังเริ่มขึ้น ฝั่งพี่ต้าได้บาสไปก่อนจะชู้ตสามแต้มทำให้คะแนนของอีกฝั่งนำอยู่ห้าแต้ม บุ๋นเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไล่ตามลูกบาสโดยที่มีอีกฝั่งขัดทางเขาไว้ไม่ให้ได้ลูก




   โถ่เว้ย!!!




   ลูกบาสส่งมายังบุ๋น ร่างของเขาก็กระโดดเองโดยอัตโนมัติ มือทั้งสองข้างจับลูกบาสไว้อย่างมั่นคงก่อนจะชู้ตลงห่วงแต่กลับโดยอีกฝ่ายปัดลูกได้สำเร็จ




   พี่ต้า…




   “บุ๋น!” เสียงเพื่อนดังขึ้นเรียกสติให้เขาหันกลับไปครอบครองลูกอีกครั้ง




   ลูกบาสชู้ตลงห่วงไปอย่างสวยงาม บุ๋นหันไปแท็กมือกับเพื่อนในทีมก่อนจะหันไปมองพี่ต้าที่ดูจะสนใจเขาในครึ่งหลังเป็นพิเศษ




   “มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ปะวะ” สามเอ่ยเมื่อเห็นบรรยากาศในสนามที่ดำเนินต่อไปแต่ในใจเขากลับเป็นห่วงเพื่อนสนิท




   คนอย่างพี่ต้าไม่เคยยอมแพ้ใคร




   “ไม่หรอก” หนึ่งที่นั่งดูอยู่เงียบๆตอบ




   การเล่นดำเนินไปจนถึงควอเตอร์สุดท้าย คะแนนของฝั่งเขาเป็นรองอยู่ 62 ต่อ 76 ทำให้ค่อนข้างเครียดกว่าเดิมจากที่ตอนแรกเป็นฝ่ายนำ แม้ว่าจะห่างอยู่ไม่มากแต่ก็ไม่ง่ายกว่าที่จะได้แต้ม

.
   
   ฐานทัพเก็บของออกจากห้องอย่างรวดเร็วหลังจากอาจารย์ปล่อยก่อนเกือบครึ่งชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที เท้าทั้งสองข้างรีบวิ่งไปยังจักรยานเพื่อปั่นไปให้ถึงสนามโดยเร็วที่สุด




   เป็นครั้งแรกที่เขารู้ตัวเองว่า…เขาไม่ใช่ฐานทัพคนเดิม




   “ขอให้ชนะนะโว้ยยยย” คินตะโกนตามหลัง ไม่เคยเห็นฐานทัพในมุมนี้มาก่อนพอได้เห็นเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้




   สนามบาสเงียบผิดปกติแม้จะมีผู้คนแน่นกว่าตอนแรกที่เขามา ฐานทัพรีบจอดจักรยานลงก่อนจะเดินแทรกตัวเข้าไป ดีที่ครั้งนี้ยังมีที่ๆเขาพอจะแทรกเข้ามาง่าย ทันทีที่เข้ามาถึงด้านในเขาก็รับรู้ได้ว่าทำไมทั้งสนามถึงเงียบ




   บุ๋นที่ยืนถือลูกบาสอยู่ตรงจุดหลังเส้นลูกโทษมีสีหน้ากังวลไม่น้อย ฐานทัพมองคนตรงหน้าก่อนจะเบนสายตาไปยังคะแนนที่เท่ากันราวกับโกหก




   86 ต่อ 86


หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 30-12-2016 22:54:46
   ลูกบาสที่อยู่ในมือถูกจับแน่นขึ้นอีกจากความกังวล จะชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับลูกที่เขากำลังจะชู้ตลงห่วง อีกไม่ถึงนาทีก็หมดเวลาแต่เขาดันโดนอีกฝั่งทำฟาล์วเลยทำให้ต้องมาเป็นผู้ชู้ตลูกโทษ




   บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะจ้องมองแป้นที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นการชู้ตปกติเขาคงไม่กังวลเท่ากับวันนี้ ถ้าชนะก็เหมือนแก้ปมต่างๆในอดีต




   สายตาของบุ๋นหยุดลงยังร่างที่ยืนเด่นอยู่ข้างสนาม สายตาประสานสายตา รอยยิ้มบางๆของฐานทัพเผยออกมา ดวงตาที่จ้องมองมายังเขาเปรียบเสมือนกำลังใจที่ส่งมาถึงเขาโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมา




   พี่ดูผมนะ…




   ตึง!!!




   ลูกบาสชู้ตลงห่วงอย่างสวยงามพร้อมกับเสียงเชียร์จากข้างสนาม บุ๋นถอนหายใจออกมาก่อนจะรับลูกบาสอีกครั้งเพื่อชู้ตครั้งที่สอง




   สวบ!!!




   ลูกบาสชู้ตลงอย่างกับจับวาง เกมส์ดำเนินต่อไปอีกไม่นานเสียงนกหวีดจบเกมส์ก็ดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากคนทั้งสนามได้อย่างล้นหลาม




   “เชี่ยยยยยย!!!!!!” สองที่นั่งเกร็งจนเป็นตะคริวอุทานออกมาเสียงดังก่อนจะหันไปกอดคอเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “มันทำได้ ไอ้สี่มันทำได้แล้ว!!”




   “เออ เห็นแล้ว” แม้จะไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับสองแต่หนึ่งเองก็รู้สึกดีใจไม่ต่างกัน




   “เพราะพวกเรามาเชียร์มันแน่ๆเลย” สองเอ่ยออกมาอย่างคนหลงตัวเอง เขาไม่เคยรู้สึกดีเท่าวันนี้มาก่อน วันที่เพื่อนของตัวเองก้าวผ่านความกลัวทุกอย่าง




   ไอ้สี่ มึงทำได้




   บุ๋นยิ้มกว้างหลังจากที่กรรมการตัดสินเกมส์จบลง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมายมันอัดแน่นจนเขาระบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก บุ๋นหันไปยิ้มให้เพื่อนทั้งสามที่ดูดีใจมากกว่าตัวเขาก่อนจะหันไปยังกำลังใจหนึ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาถึงเขา



   ผมทำได้แล้ว




   “ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยเมื่อมือแตะกับพี่ต้าที่ดูผิดหวังไม่น้อย




   แม้เขาจะเคยแค้นแต่เมื่อเห็นพี่ต้าตอนนี้เขาก็อดสงสารไม่ได้ คงหวังไว้มากไม่ต่างกับทีมของเขา




   “เออ” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เอ่ยออกมา “ยอมรับแล้วว่ามึงเก่ง” คำพูดที่บุ๋นไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของศัตรูได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย




   “พี่ก็เก่ง”




   “อืม” พี่ต้าหัวเราะในลำคอก่อนจะวางมือลงบนบ่าเขาหนักๆ “ไว้รอบหน้ามาเล่นกันอีก”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มรับ




   เขาไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ต้าจะคิดทำอะไรเขาอีกไหม แต่ลึกๆเขารู้สึกว่าทุกอย่างมันได้จบลงแล้ว แม้ว่าจะดูง่ายดายไปหน่อยแต่เขารับรู้ได้ถึงน้ำใจนักกีฬาของฝ่ายตรงข้าม




   ร่างสูงเดินกลับมาเก็บของพร้อมพูดกับเพื่อนในทีมที่นัดกันไปกินเลี้ยงแต่เขาต้องขอปลีกตัวออกมาเพราะนัดกับเพื่อนทั้งสามไว้แล้ว ถึงจะอยากไปแต่ถ้าเขาไปไอ้สามคนต้องน้อยใจเขามากแน่ๆ




   “ไง ยิ้มจนแก้มจะฉีกแล้วนะมึง” สองเอ่ยเมื่อเห็นร่างของสี่เดินมาแต่ไกล




   “เออ แน่นอน คืนนี้ไปกินที่ไหนกูพร้อม”




   “งั้นไปกันเลยปะ”




   “เดี๋ยว กูขอเวลาแป๊บ” บุ๋นยกมือห้ามเพื่อนที่กำลังจะลุกขึ้น “หรือพวกมึงจะไปรอที่ร้านก่อน”




   “แน่นอนว่าต้องอย่างหลัง” สามตัดสินใจแทนทุกคน เขาลุกขึ้นก่อนจะดึงเพื่อนอีกสองคนลุกขึ้นตามโดยไม่ถามอะไรต่อ




   “เดี๋ยวโทรหา”




   “เออ รีบตามมา” สามโบกมือก่อนจะลากคอสองที่ดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์ออกจากสนาม




   บุ๋นมองร่างของเพื่อนที่เดินจากไปก่อนจะหันไปมองยังจุดเดิมที่หมอฐานทัพยืน หมอยังอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน รอยยิ้มของบุ๋นเผยขึ้นมาอีกครั้ง ขายาวก้าวตรงไปยังร่างที่ยืนรออยู่อย่างรวดเร็ว




   “ดีใจด้วย” ฐานทัพเอ่ยออกมาทันทีที่ร่างของบุ๋นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า




   ร่างของเขาถูกดึงเข้าไปยังอ้อมแขนของอีกคนอย่างรวดเร็ว ฐานทัพนิ่งเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือหัวใจของคนตรงหน้าที่เต้นแรงจนเขาตกใจ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ




   “บุ๋น” ฐานทัพไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยายามเรียกคนที่กอดเขาแน่น




   “ขอบคุณนะครับ”




   “…”




   รอบข้างเงียบสนิทมีเพียงเขาสองคนที่ยังคงอยู่ในสนาม บุ๋นกอดคนตรงหน้าแน่นด้วยความรู้สึกที่ตีวุ่นไม่หยุด เขาบังคับตัวเองไม่ได้อีกต่อไป




   “ตัวผมมีแต่เหงื่อ เหม็นด้วย”




   “…”




   “แต่ขออยู่แบบนี้สักพักนะครับ”




   ฐานทัพพยักหน้าช้าๆในอ้อมแขนของคนตรงหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกส่งมา แม้จะดูแปลกๆที่ผู้ชายสองคนกอดกันแต่เขากลับไม่ขัดขืน




   “ชาจพลังเต็มแล้ว” บุ๋นค่อยๆผละออก ถึงจะไม่อยากปล่อยแต่ขืนอยู่นานกว่านี้คงไม่ได้ ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ




   “หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมา “เป็นยังไงบ้าง”




   “ชนะครับ”




   “รู้แล้ว” เขาไม่ได้หมายถึงผลคะแนน “เจ็บตรงไหนรึเปล่า”




   “เจ็บข้อเท้านิดหน่อยครับ สงสัยลงน้ำหนักมากไป”




   “ใช้สเปรย์ที่ให้”




   “ครับ ใช้ไปรอบนึงแล้ว คงต้องใช้อีกรอบ” บุ๋นหยิบขวดสเปรย์ที่ฐานทัพให้ขึ้นมาเขย่า




   “ไปนั่ง เดี๋ยวทำให้” เขาไม่รอให้บุ๋นตอบ มือทั้งสองข้างผลักร่างตรงหน้าไปยังที่นั่งข้างสนามก่อนจะกดให้บุ๋นนั่งลงตามคำสั่ง



   “ผมฉีดเองได้ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ด้วยความที่เล่นกีฬามาเขาเลยไม่อยากให้หมอฐานทัพเป็นคนทำให้




   กลิ่นเท้าไม่ใช่เรื่องตลก




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพดึงขวดสเปรย์ไปถือไว้ “เจ็บตรงไหน บอกหมอ” คำพูดทีเล่นทีจริงที่ไม่เคยออกมาจากปากของหมอฐานทัพทำเอาคนที่ได้ฟังถึงกับตาโต



   เจ็บตรงไหนบอกหมอ…




   คำธรรมดาแต่โคตรเขินเลยว่ะ!




   “อะ…เอ่อ ตรงนี้ครับ” บุ๋นตะกุกตะกักขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำเรียกแทนตัวเองของหมอฐานทัพครั้งแรก




   หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ




   ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!




   “ดีขึ้นไหม” ฐานทัพถามหลังจากฉีดสเปรย์ลงบริเวณที่บุ๋นชี้




   “ผมว่าน่าจะรอสักพักมันถึงจะออกฤทธิ์”




   “อ่อ ใช่” ฐานทัพพยักหน้าอย่างลืมตัว “ถ้ายังไม่หายก็กลับไปทายา”




   “ครับ” บุ๋นยิ้ม “วันนี้พี่เลิกเร็วหรอครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบ เขาไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดว่าที่เร็วขนาดนี้เพราะเขารีบมา บางทีบุ๋นก็ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้น




   “ดีใจที่พี่มานะครับ”




   “อืม” ฐานทัพก็ยังเป็นฐานทัพ แม้จะพูดมากขึ้นกว่าเดิมแต่ทุกครั้งที่บุ๋นขอบคุณเขาก็คิดคำอื่นไม่ออกนอกจากตอบรับสั้นๆ




   “ผมนึกว่าพี่จะไม่มาซะแล้ว” บุ๋นบอกความจริงออกมา เขาเตรียมใจไว้ส่วนหนึ่งว่าหมอฐานทัพคงมาไม่ได้จริงๆแต่ผิดคาด




   หมอมา…แม้จะเป็นช่วงสุดท้ายของเกมส์




   “ตอนแรกก็คิดว่างั้น”




   “แล้วทำไมถึงมาละครับ?” บุ๋นหันไปถามเพราะความอยากรู้




   “ห่วง” ฐานทัพพูดออกมาโดยไม่หยุดคิด




   “ห่วงผมหรอครับ” บุ๋นชี้นิ้วเข้าตัว ตาประกายแวววาวรอฟังคำตอบจากปากหมอฐานทัพ




   “อืม” คำตอบรับสั้นๆทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆไปไม่เป็น บุ๋นยิ้มกว้างออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้หมอเห็นอาการที่เขาแสดงออกมา




   หมอห่วง…หมอห่วง!!!!!!!




   “ยิ้มอะไร” เหมือนการหันไปอีกทางจะไม่ได้ช่วยให้หมอมองไม่เห็น ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ “แค่ห่วงก็ยิ้มแล้วหรอ”




   “ครับ” บุ๋นรับคำ “พี่เคยพูดคำนี้กับใครบ้าง”




   “พ่อ ปกป้อง คิน” ฐานทัพนับนิ้วก่อนจะชูนิ้วทั้งสามไปที่บุ๋น “สามคนมั้ง”




   “ผมก็เป็นคนที่สี่ใช่ไหมครับ?”





   “อืม”




   “นั่นคือสาเหตุที่ผมยิ้มครับ” บุ๋นตอบด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า “ทั้งสามที่พี่พูดมาเป็นคนสำคัญของพี่”





   “ใช่”




   “แล้วตอนนี้ผมก็กลายเป็นคนสำคัญของพี่”




   “มั่ว” คำสั้นๆที่เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มทำให้บุ๋นรู้ว่าหมอไม่ได้หมายความตามที่พูดออกมาแต่หมายความตามที่เขาพูด





   หลงไม่รู้จะหลงยังไงแล้วหมอ…





   “ผมไม่สนหรอก ผมคิดว่าผมสำคัญไปแล้ว” บุ๋นเอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจ “ขอบคุณที่พี่มาเป็นกำลังใจให้นะครับ”





   “อืม”





   “กำลังใจดีจริงๆ” เขาพึมพำออกมาคล้ายกับพูดกับตัวเองหากแต่หมอฐานทัพได้ยิน




   ฐานทัพไม่ได้ถามในสิ่งที่บุ๋นพูดไปแต่คำถามที่คินถามเขาไว้กลับมาวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าต้องขอยังไงและไม่รู้ว่าขอแล้วต้องทำยังไงต่อไป




   “ผมเคยคิดก่อนที่จะเข้าที่นี่ว่าถ้าได้แข่งบาสอีกครั้งแล้วคนที่ชอบมาเชียร์คงจะรู้สึกดีมากๆ” จู่ๆบุ๋นก็เปิดประเด็นใหม่หลังจากที่เห็นฐานทัพเงียบไป




   “แล้วเป็นยังไง”




   “เขาก็มาเชียร์จริงๆครับ” รอยยิ้มที่ดูมีความสุขสะกดสายตาของคนข้างๆไม่ให้หันไปมองสิ่งอื่น




   ชอบ…รอยยิ้มนี้




   “ใคร” ฐานทัพตัดสินใจถามออกไป ไม่รู้ทำไมในใจลึกๆเขาหวังให้บุ๋นตอบออกมาเป็นอย่างที่เขาคิด ถามไปก็รู้สึกกลัวคำตอบ




   กลัวว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด




   “เจ้าของรอยยิ้มของผม” เขายังยืนยันคำเดิม แม้ว่าจะรู้ว่าหมอฐานทัพคงไม่เข้าใจแต่กลับแปลกที่ครั้งนี้หมอไม่ได้มีท่าทางที่ดูงงเหมือนครั้งก่อน




   “ใคร”




   “หมอ” บุ๋นเอ่ยออกมาสั้นๆ “เขาเป็นหมอที่พี่รู้จักดีเลย”




   “หรอ” ฐานทัพเงียบไป คำว่ารู้จักดีนั่นหมายถึงเป็นคนใกล้ตัวของเขา ซึ่งก็หมายความว่าคนๆนั้น





   ไม่ใช่เขา…




   “เขาเป็นคนเงียบๆครับ ถามคำตอบคำ ดูไม่ค่อยอยากจะพูดกับผมสักเท่าไหร่ แต่เขาเรียนเก่งมากเลยนะ ติวหนังสือให้ผมด้วย”




   “อืม” ฐานทัพได้แต่รับคำกลับไปสั้นๆ




   นอกจากเขาที่เคยติวหนังสือให้บุ๋นแล้วยังมีคนอื่นอีกงั้นหรอ




   “เขาเหมือนจะไม่สนใจแต่เขาเก็บทุกรายละเอียด เหมือนจะเข้าถึงยากแต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ผมคิด”




   “…”




   “เขาเป็นคนที่ทำให้ผมอยากจะยิ้มให้ทุกครั้งแม้ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม”




   “…”




   “เขาทำให้ผมรัก…รักแรกพบ” รอยยิ้มที่มีความสุขของบุ๋นส่งไปถึงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาที่พร้อมจะบอกความรู้สึกทุกอย่างถ่ายทอดออกมาจากแววตาและคำพูด




   หวังว่าหมอจะรู้




   “ไม่ไปไหนกับเพื่อนหรอ เห็นเมื่อกี้ได้ยินเพื่อนพูด” ฐานทัพเปลี่ยนประเด็นเพราะเขาไม่อยากจะฟังต่อ ทั้งๆที่แต่ก่อนเขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากฟัง




   “ไปครับ” บุ๋นตอบ “แต่ผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า”




   “…”





   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมเงียบไป?” บุ๋นรู้สึกถึงความผิดปกติหลังจากที่เขาเริ่มพูดถึงเรื่องหมอหรือว่าหมอฐานทัพจะรู้แล้วว่าเป็นเขา




   ถ้ารู้แล้ว…ที่เงียบไม่ตอบหมายความว่ายังไง




   หรือเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว…




   “เปล่า” ฐานทัพตอบกลับมา เขาไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองตอนนี้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ รู้แค่ว่าจู่ๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา




   “แต่ว่า…”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนข้างๆเสียงนิ่ง




   “ครับ?”




   “เปล่า” เขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความกล้าที่เตรียมมาเหลือศูนย์ทันทีเมื่อเขาได้ยินบุ๋นเล่าถึงคนที่ชอบ




   ไม่ถามคงจะดีกว่า




   ฐานทัพเป็นคนพูดน้อย ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจใครแต่ความจริงแล้วเขาก็ใส่ใจ ดูเป็นคนเงียบแต่ที่เงียบเพราะไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยอะไร เขาเรียนเก่งแต่ในบรรดาเพื่อนๆรอบตัวทุกคนก็เก่งไม่ต่างจากเขา




   แล้วใคร…คือคนที่บุ๋นหมายถึง




   “พี่อยากจะถามอะไรผมรึเปล่า?”




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “ถามได้นะครับ” เมื่อเห็นคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนบุ๋นก็อดห่วงไม่ได้ หมอเครียดเรื่องอะไร




   หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เขาพึ่งพูดไป




   “ใครติวหนังสือให้บ้าง”




   “หืม?” คำถามธรรมดาที่ได้ยินทำเอาเขาเงียบไปพักหนึ่ง บุ๋นคิดว่าหมอจะถามอะไรที่มันยากกว่านี้แต่พอถามออกมาแบบนี้เขาก็ตั้งตัวไม่ทัน




   “ก็มีพี่แล้วก็เพื่อนที่คณะ”




   “ใครอีก” ฐานทัพถาม “ในคณะแพทย์”




   “ถ้าคณะแพทย์ก็มีพี่คนเดียวนะครับ”




   “คนเดียวได้ไงก็เมื่อกี้บอกว่า…” ฐานทัพชะงักไปเมื่อกำลังจะพูดประโยคถัดไป สมองค่อยๆประมวลผลช้าๆก่อนที่คำพูดทุกอย่างจะถูกจัดวางใหม่จนเขา…




   เข้าใจ




   “คนเดียวงั้นหรอ” ฐานถามย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ




   “ครับ” บุ๋นยังคงไม่รู้เรื่องแต่อีกคนเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นมาบนใบหน้า




   “หมายความว่ายังไง”




   “เรื่องอะไรหรอครับ?”




   “คนที่ชอบ” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “คนที่ชอบติวหนังสือให้”




   “ครับ”




   “ถ้าเป็นหมอ” ฐานทัพพยายามประมวลผลเพื่อไม่ให้สิ่งที่กำลังจะพูดออกไปเป็นความเข้าใจผิดหรือการคิดไปเอง




   “…”




   “ก็คือ…” เขาชี้นิ้วเข้ามาที่ตัวเองอย่างคนพึ่งเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง มือของเขาเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ รู้สึกร้อนๆหนาวๆคล้ายจะเป็นไข้




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้า เขาระบายยิ้มออกมาบางๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงมากแค่ไหน แต่กลับรู้สึกแปลกใจมากกว่าเมื่อเห็นคนตรงหน้ามีอาการที่ผิดปกติ




   หมอหน้าแดง…




   “…”





   “คนที่ผมพูดถึง…คือพี่”





---------------------------------
ใกล้จะปีใหม่แล้ว สุขสันต์วันปีใหม่ทุกคนนะคะ ไปเที่ยวก็ขอให้สนุกๆ ระวังตัวกันด้วยน้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 31-12-2016 16:49:58
หมอน่ารัก. อรักคู่นี้   รักคนเขียน :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 31-12-2016 21:29:59
ชอบมากค่ะ อ่านแล้วดีต่อใจมากๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: NorthCat ที่ 01-01-2017 11:18:06
หมอหน้าแดงล่ะ!!
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 01-01-2017 13:01:04
งื้ออ  :hao7: ทำไมเขินแทนหมออออ น่ารักไปอีก :hao3:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 01-01-2017 21:38:57
บุ๋นทำได้แล้ว เย้ๆๆๆ
หมอรู้ตัวเองแบบชัดๆ ซะทีนะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 05-01-2017 20:30:14
จีบหมอครั้งที่สิบเก้า

   “คนที่ผมพูดถึง…คือพี่”



   “หรอ…” เป็นเขาเองที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสารภาพออกมาตรงๆ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำตัวยังไง เขาไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน




   “ครับ” บุ๋นยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทั้งที่คิดว่ายังไม่ควรจะบอกแต่เขาเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไป




   มันล้นทะลักออกมาแล้วหมอ…




   “หรอ” ฐานทัพพูดได้แต่คำเดิม ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมดหากแต่คนข้างๆไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถาม




   “พี่เชื่อเรื่องรักแรกพบไหมครับ”




   “ไม่รู้” เขาตอบ ฐานทัพไม่เคยมีความรักมาก่อนเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ได้ ถ้าถามเรื่องเรียนเขาคงจะตอบได้เป็นบทๆ




   แต่เรื่องความรัก…เขาโง่กว่าเด็กอนุบาล




   “แต่ผมเชื่อนะ” บุ๋นระบายยิ้ม “มันมีอยู่จริงนะครับพี่”




   “อืม…” เขาพยักหน้าช้าๆ ความร้อนที่แผ่นซ่านทั่วใบหน้าทำให้เขายกมือที่เย็นเฉียบขึ้นมาวางบนแก้มทั้งสองข้าง





   หน้าร้อนแปลกๆ…




   “ผมเจอพี่ครั้งแรกจากเพื่อนแนะนำในเฟสบุ๊ค ตอนนั้นผมยังอยู่มอหก จำได้ดีเลยว่าวันนั้นผมโดนครูดุที่แอบเล่นโทรศัพท์ในห้องเรียน” บุ๋นค่อยๆระลึกถึงความหลัง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเดินหน้าจีบหมอมาจนถึงตอนนี้




   “มันตลกตรงที่พอโดนครูดุผมก็ทำมือถือดับ ต้องกลับไปนั่งหาตั้งนานกว่าจะเจอเฟสบุ๊คของพี่”




   “แค่เฟสบุ๊ค?” ฐานทัพไม่เข้าใจในสิ่งที่บุ๋นเล่าสักเท่าไหร่ เขาเคยได้ยินมาว่าการที่คนจะรู้สึกดีต่อกันคือการได้พบเจอกันได้รู้จักนิสัยของกันและกัน




   แต่ที่บุ๋นเล่า…มันไม่ตรงกับที่เขาเคยได้ยินมา




   “ครับ เฟสบุ๊คคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบพี่” พอสารภาพออกมาตรงๆก็อดเขินไม่ได้ “ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมก็เคยคิดแบบนั้น คิดว่าแค่ชอบสักพักเดี๋ยวก็เลิกชอบ แต่มันไม่ใช่”




   “…”




   “ยิ่งติดตามพี่มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะรู้จักตัวตนจริงๆของพี่”




   “…”




   “พอได้รู้จัก…รู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว” บุ๋นพูดความรู้สึกทั้งหมดออกมา ไม่จำเป็นที่เขาต้องเก็บไว้อีกในเมื่อหมอรับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้




   “ได้รู้จัก ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ?” ฐานทัพถามกลับ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรน่าสนใจ เขาเป็นคนใช้ชีวิตธรรมดาไม่มีอะไรหวือหวา เป็นคนที่น่าเบื่อคนหนึ่งด้วยซ้ำ   




   “ครับ ผมไม่เคยเปลี่ยนใจตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้” บุ๋นหันกลับมาสบตาคนตรงหน้านิ่ง “ผมไม่เคยคิดว่าการตัดสินใจของผมมันผิด”




   “…”




   “ผมเชื่อในความรู้สึกแรกของตัวเอง”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   ฐานทัพเชื่อทุกอย่างที่บุ๋นพูดออกมาโดยไม่ต้องมีคำยืนยันใดๆ คำพูดที่หนักแน่น แววตาที่มั่นคง ทุกคำพูดบุ๋นพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ




   เขารับรู้ได้





   “พี่รู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกรึเปล่า” คำถามที่พยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก แม้ว่าท่าทางของหมอจะไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่เขาไม่รู้เลยว่าในใจของหมอรู้สึกยังไงกำลังคิดอะไรอยู่




   ฐานทัพเงียบไป เขายอมรับว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกมันถูกต้องรึเปล่า แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่บุ๋นมีให้ต่อเขาได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ลึกๆแล้ว…เขารู้สึกมาตลอด




   “อืม รู้สึก” คำตอบที่ใช้เวลานานกว่าที่จะตอบออกมาทำเอาคนที่นั่งกลั้นหายใจอยู่ข้างๆถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



   สิ่งที่เขาทำไป…ไม่สูญเปล่า




   และถึงจะสูญเปล่าเขาก็เต็มใจที่จะทำ…เพราะหมอคือความสุขของเขา




   “ไม่เคยมีแฟนมาก่อน” ฐานทัพเอ่ยอย่างเริ่มกังวล “คงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ”




   “ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วหรอครับ?” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นหมอฐานทัพเอ่ยเปิดทาง




   “อ่าว” ฐานทัพร้องออกมาอย่างงงๆ “รู้สึกดีต่อกันก็ต้องคบกันหรือว่าเข้าใจผิด”




   “ไม่ผิดหรอกครับ” บุ๋นหัวเราะในความซื่อของคุณหมอ “พี่พูดต่อเลย”




   “ตามนั้น” เขาถอนหายใจ “ช่วงนี้เรียนหนักขึ้นกว่าเดิม เทอมสองก็หนักขึ้น ไม่มีเวลาหรอก”




   “…”




   “จะทนได้จริงๆหรอ” เขาถามออกมาอย่างต้องการคำตอบ ฐานทัพเป็นห่วงคนที่จะมาอยู่ข้างๆมากกว่าตัวเขาเอง




   เขารู้ดีว่าหลังจากนี้ตัวเองต้องเรียนหนักขึ้นและนั่นหมายถึงเขาอาจไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่นเท่าที่ควรจะทำ ถ้าเป็นอย่างนั้น…จะทนได้จริงๆรึเปล่า




   “ผมไม่ทนครับ” บุ๋นตอบกลับมาทำเอาคนฟังใจเสียไปครึ่งหนึ่ง “ไม่ขอใช้คำว่าทน”




   “…”




   “ผมขอใช้คำว่าเข้าใจแทนดีกว่า” บุ๋นยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่เจอพี่ว่าพี่มีการใช้ชีวิตยังไงและผมก็มีความสุขมาตลอด”




   “…”




   “ถึงจะไม่เจอกันหรือเจอกันน้อยลงมันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผมน้อยลง”




   “…”




   “พี่ไม่ว่างแต่ผมว่าง ไปหาสักห้านาทีสิบนาทีผมก็มีความสุขแล้ว”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าช้าๆ เขายิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ลึกๆแล้วเขาก็หวังให้บุ๋นเข้าใจในความเป็นเขาและเขาก็จะเข้าใจในความเป็นบุ๋น




   เหมือนกับเส้นขนานสองเส้นที่กำลังจะมาบรรจบกัน




   ครืดดดดด!!




   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นทำลายบรรยากาศรอบข้าง บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนที่จะได้ยินเสียงโหวกเหวกจากปลายสาย




   “เออรู้แล้ว กำลังจะไปแล้ว เดี๋ยวเจอกัน” เขาบอกสองที่โทรมาตามก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวเหมือนเดิม




   “เพื่อนโทรตามแล้ว”




   “ใช่ครับ”




   “อืม ไปเถอะ”




   “ยังไปไม่ได้หรอกครับ” บุ๋นพูดก่อนจะหันไปมองหน้าฐานทัพชัดๆ ความจริงเขามีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับหมอแต่เขาเองก็ไม่อยากผิดนัดเพื่อนๆ




   ขออีกคำถามก่อนที่จะไป




   “จะเอายังไงต่อไปดีครับ”




   “เรื่องอะไร?” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ




   “ก็เรื่องพี่กับผม” บุ๋นเกาหัวตัวเองแก้เขิน ถ้าจะให้ถามออกไปตรงๆก็ดูจะตรงเกินไป เขาควรจะถามอ้อมๆแต่ไม่รู้ว่าควรจะอ้อมไปทางไหน




   “ทำไม” ฐานทัพถามต่ออย่างไม่เข้าใจ เรื่องเขากับบุ๋นทำไม ก็ในเมื่อรู้สึกตรงกันก็เป็นแฟนกันหรือเขาเข้าใจอะไรผิดไป




   “โอเคครับ งั้นผมจะถามตรงๆแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าหมอไม่เข้าใจในความหมายจริงๆที่เขาต้องการจะสื่อบุ๋นเลยต้องถามออกไปตรงๆ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้ารอฟังคำที่บุ๋นจะพูดออกมา




   “เรามาคบกันไหมครับ?”




   “เป็นแฟนกันหรอ” ฐานทัพถามกลับตามประสาคนไม่เคย




   “ครับ” บุ๋นเขินหนักขึ้นไปอีกเมื่อหมอถามกลับมาตรงๆ ทั้งๆที่เขาควรจะเป็นฝ่ายถามแต่กลับเป็นหมอที่ถามกลับมา




   “ก็…”




   “ผมมีทางเลือกให้พี่ตอบระหว่างเป็น ได้ หรือ ตกลง”




   “ยังต้องเลือกอีกหรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมา สิ่งที่บุ๋นให้เขาเลือกมันเป็นการตอบไปในทางเดียวกันหมด




   “เอาจริงๆก็ไม่อยากให้เลือก อยากให้เป็นเลย”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “เป็น”




   “เย้!!!!!!!” บุ๋นร้องออกมาด้วยความดีใจ ร่างสูงลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นออกมาอย่างมีความสุข เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับของขวัญที่ดีที่สุดในวันแข่งกีฬาชนะ




   บุ๋นจีบหมอติดแล้วโว้ยยยยยย!!!!!!




   “ไม่เคยมีแฟน มีอะไรก็แนะนำได้” ฐานทัพยิ้มออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เวลาที่เห็นบุ๋นยิ้มเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้




   อาการหนักแล้วฐานทัพ




   “ถ้าจะให้แนะนำ ผมจะแนะนำให้พี่เข้ามากอดผม”




   “หรอ” ฐานทัพเอ่ยถาม เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงไปยังร่างสูงแล้วค่อยๆโอบกอดช้าๆ “แบบนี้หรอ”




   บุ๋นถึงกับยืนตัวแข็ง เขาไม่คิดว่าคำพูดที่แกล้งหมอฐานทัพจะทำให้หมอคิดจริง บางทีเขาก็คิดว่าหมอซื่อเกินไป




   น่ารัก




   “ครับ แบบนี้แหละ” อ้อมแขนของบุ๋นค่อยๆโอบรอบตัวของคนตรงหน้า




   “…”




   “ขอบคุณนะครับพี่หมอของบุ๋น”


.


   ฐานทัพกับบุ๋นแยกกันที่สนามบาสเพราะบุ๋นต้องไปตามนัดเพื่อนต่อทำให้ฐานทัพต้องปั่นจักรยานกลับหอพักคนเดียว บรรยากาศรอบข้างทำให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา




   วันนั้น…


   “มึงทำอะไรอยู่วะ” คินที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆหันมาถามเพื่อนสนิทที่นานๆทีจะเห็นนั่งจับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

   “คุยกับเพื่อน” ฐานทัพตอบพร้อมกับพิมพ์ข้อความหาคู่สนทนาที่เขาเป็นฝ่ายทักไป
   
   Thanthup titrirat : โกโก้อยู่ไหม
   Cangcacoa : ว่าไง ตกใจนะเนี่ยคุณหมอทักมา อิอิ
   Thanthup titrirat : มีเรื่องสงสัย
   Cangcacoa : ว่าไงงงงงง ถ้าเป็นเรื่องเรียนเราคงตอบไม่ได้นะ
   Thanthup titrirat : คนที่มาขอไลน์เราเป็นใคร ชื่ออะไร
   Cangcacoa : อ่ออ นึกว่าเรื่องอะไร เห็นบอกว่าเพื่อนฝากขอนะ
   Thanthup titrirat : อืม ใครขอ
   Cangcacoa : คนนี้ที่ขอๆ
   Cangcacoa : *ส่งรูปภาพ*

   ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ในชุดนักศึกษาพร้อมกับแคปชั่นสั้นๆว่า

   ‘ปีหนึ่งแล้วครับ’

   คนนี้มัน…บุ๋น

   
   Thanthup titrirat : ชื่ออะไร
   Cangcacoa : บุ๋น แต่คนที่ฝากขอไลน์เราไม่รู้นะ แต่บุ๋นมาขอไลน์ฐานทัพจากเรา
   Thanthup titrirat : โอเค ขอบคุณมาก
   Cangcacoa : จ้าาา ยินดีน้า

   “เห้ยนี่มันไอ้เด็กที่เขียนหน้ามึงวันแรกพบปะวะกูคุ้นๆ” คินที่แอบชะโงกหน้ามองข้อความในโทรศัพท์ถามออกมาอย่างสงสัย

   “ไม่รู้” ฐานทัพตอบแม้ว่าลึกๆเขาจะมั่นใจว่าใช่

   “ใช่แน่ๆกูจำได้ ว่าแต่มึงมีรูปเขาได้ยังไงวะ”

   “ยุ่ง”




   คิดถึงวันนั้นเขาก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนแรกที่ถามโกโก้ไปเพราะเขาสงสัยว่าทำไมคนๆนี้ถึงชอบส่งรูปภาพประหลาดๆคล้ายกับข้อความที่ส่งในไลน์กลุ่มครอบครัวมาให้เขาทุกวันจนต้องถามออกไปเพื่อคลายความสงสัย





   และทุกอย่างยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อคนๆนั้นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ไลน์เป็นรูปตัวเอง





   ไม่ใช่เพื่อนของเขาอย่างที่บอกแต่เป็น…ตัวเขาเอง




   บุ๋น

.

   นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ร่างของคนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออย่างขมักเขม้นคงเห็นได้ไม่ยากในตึกหอพักนักศึกษาแพทย์ที่ต่างคร่ำเคร่งกับการสอบย่อยและสอบไฟนอลที่จะสอบเร็วกว่าคณะอื่นๆ




   ฐานทัพเปิดหนังสือเล่มหนาที่ยืมมาจากหอสมุดกลางช้าๆ แม้ว่าจะอ่อนล้ามามากแต่เขาไม่มีเวลาพอที่จะหยุดอ่านตอนนี้ อาทิตย์หน้ามีสอบย่อยแล้วอีกไม่กี่อาทิตย์เขาก็ต้องสอบไฟนอล จะว่าเร็วก็เร็วแต่สำหรับเขาแล้วมันช้ากว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน บางครั้งเขาก็รู้สึกเบลอกับตัวหนังสือที่เต็มหน้ากระดาษ แต่จะให้เลิกอ่านก็ทำไม่ได้




   ครืด~




   โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงสั่นเตือนข้อความเข้า ฐานทัพถอดแว่นตาที่ใส่อยู่ออกก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วค่อยๆล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม




   ชื่อของคนส่งข้อความเรียกรอยยิ้มจากคนอ่านได้ไม่น้อย



   จาก…คนส่งแครอท
   กลับมาถึงหอแล้วครับ ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนมาอิ่มจนพุงปลิ้นแล้ว
   พี่ทำอะไรอยู่ครับ? ให้ผมเดาพี่คงอ่านหนังสืออยู่ใช่ไหม
   เจอกันพรุ่งนี้นะครับ ฝันดีครับ :)




   ฐานทัพอ่านข้อความที่ส่งมาซ้ำสามรอบก่อนที่เขาจะค่อยๆตอบกลับตามที่บุ๋นส่งข้อความมาโดยไม่ลืมที่จะเรียงลำดับให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายๆ



   จาก…คิดถึง
   โอเค ระวังท้องอืด กำลังอ่านหนังสืออยู่ เดาเก่งมาก
   พรุ่งนี้เจอกันที่ไหน? ฝันดีครับ




   บุ๋นอ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาก็อดหัวเราะไม่ได้ หมอฐานทัพก็ยังเป็นหมอฐานทัพ บุ๋นเข้าใจเลยกับคำว่าไม่เคยมีแฟนของหมอมันครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับความรักและความโรแมนติก




   คำว่าพรุ่งนี้เจอกันสำหรับบุ๋นเป็นแค่คำบอกเล่าธรรมดาเหมือนคนทั่วไปคุยกันแต่กับหมอฐานทัพแล้วคงเข้าใจอย่างที่พิมพ์ไปจริงๆ




   พรุ่งนี้…จะได้เจอกัน




   จาก…คนส่งแครอท
   พรุ่งนี้เราไปกินข้าวเย็นกันไหมครับ ผมเลิกเรียนหกโมง




   ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ที่มีการส่งข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วขึ้นมาอ่านขณะที่กำลังพักสายตาจากการอ่านหนังสือ
   พรุ่งนี้เขาเลิกหนึ่งทุ่ม…




   จาก…คิดถึง
   พรุ่งนี้เลิกหนึ่งทุ่ม วันอื่นไหม?




   จาก…คนส่งแครอท
   ไม่เป็นไรครับ ผมจะรอ
   



   จาก…คิดถึง
   อืม ตกลง



   บุ๋นอ่านข้อความสุดท้ายก่อนจะปิดโทรศัพท์ลง ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขายิ้มออกมาเพราะความน่ารักของหมอฐานทัพ ขออะไรก็ยอมง่ายๆไม่มีปฏิเสธหรือถามมากความ




   ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองมีแฟนแล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจแปลกๆ




   “ยิ้มอีกนิดปากมึงจะถึงหูแล้ว” สองที่พึ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาก็อดหมั่นไส้ในความอารมณ์ดีของเพื่อนสนิทไม่ได้





   คิดว่าตัวเองเป็นเทเลทับบี้หรือไงวะ อารมณ์ดีตลอดเวลา





   “อารมณ์ดีก็ต้องยิ้มดิวะ” บุ๋นยักคิ้วกวน




   “เออ รู้แล้วครับ” สองถอนหายใจ บ่นไปก็เท่านั้น ทำอะไรกับรอยยิ้มบ้าๆของไอ้สี่ไม่ได้




   เห็นแล้วหมั่นไส้โว้ยยยยยยย




   “ไปอาบน้ำละ ขี้เกียจฟังคนขี้อิจฉา” บุ๋นกวนทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูและขันที่ใส่อุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป




   อาบน้ำให้ตัวหอมๆแล้วจะได้นอนหลับฝันดี




   ฝันถึงหมอ~



.

   บุ๋นจอดจักรยานลงหน้าตึกคณะแพทย์ในเวลาใกล้จะหนึ่งทุ่มตรง วันนี้เขาเองก็เลิกสายกว่าที่ควรจะเป็นเพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างเยอะและอาจารย์เข้าห้องช้าเลยทำให้เวลายืดออกไปอีก เขาเดินไปนั่งที่นั่งใต้ตึกคณะที่มีผู้คนอยู่ประปรายเพื่อรอเวลาที่คุณหมอจะเลิกเรียน





   การแข่งขันเมื่อวานทำเอาเขารู้สึกอ่อนล้ามาทั้งวัน เมื่อวานเขาเล่นจนสุดแรงของตัวเองจริงๆเลยไม่แปลกที่จะทำให้รู้สึกปวดเมื่อย ขาของเขาดูจะหมดแรงเอาดื้อๆในเวลาที่จะลุกเดินหรือปั่นจักรยานออกไปเรียน




   เขามองตึกรอบข้างที่ดูทันสมัย มีนักศึกษาแพทย์นั่งอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆจดจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์บางเฉียบกับหนังสืออีกสองสามเล่มข้างตัว บางคนก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ บางคนก็ยืนคุยโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม บางคนก็นั่งหาวแต่ก็ต้องพยายามปลุกตัวเองเพราะยังทำงานไม่เสร็จ





   และบางคน…กำลังวิ่งตรงมาที่เขา

   
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 05-01-2017 20:35:05
   “รอนานไหม” คำพูดแรกที่เอ่ยขึ้นจากปากคุณหมอที่รีบวิ่งออกมาจากห้องทันทีที่เลิกเรียนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรอนานถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ



   ดูก็รู้ว่าหมอฐานทัพรีบมาเพราะเขายังไม่ถอดหูฟังทางการแพทย์ที่ห้อยอยู่ที่คอออก บุ๋นยิ้มออกมาบางๆก่อนจะส่ายหน้าเพื่อให้อีกคนคลายความกังวล




   “ไม่นานครับ ผมพึ่งมาเอง”




   “อ่าวหรอ” ฐานทัพเอ่ยเสียงเบาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบุ๋น “นึกว่าหิวเลยรีบมา”




   “หิวครับ” บุ๋นตอบกลับ “แต่รอได้”




   “ไปเถอะ” ฐานทัพทำท่าจะลุกขึ้นแต่บุ๋นดึงไว้ก่อน เห็นท่าทางเหนื่อยหอบของหมอเขาเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ความจริงหมอไม่ต้องรีบวิ่งมาก็ได้ ยังไงเขาก็รอได้




   “พี่นั่งพักก่อนเถอะครับ ผมว่าตรงนี้ลมเย็นดีนะ” บุ๋นให้เหตุผล เขาไม่ได้บอกไปตรงๆว่าเพราะอะไรถึงยังไม่ลุก




   “ไม่หิว?” ฐานทัพถามกลับอีกครั้ง




   “หิวครับ แต่ยังไม่อยากไป” บุ๋นตอบก่อนจะหันไปมองคนข้างๆชัดๆ “พี่จะไม่ถอดออกหรอครับ” เขาชี้ไปยังหูฟังที่หมอฐานทัพห้อยอยู่ที่คอ




   “อ่อ” ฐานทัพเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้ “ลืม” เขาตอบออกมาสั้นๆก่อนจะถอดออกเพื่อเก็บไว้ในกระเป๋า




   วันนี้วิชาที่เรียนต้องใช้หูฟังหรือที่เรียกว่าสเตโทสโคปเพื่อฟังการเต้นของชีพจรหัวใจและฟังเสียงจากปอด ฐานทัพจำได้ว่าเก็บไปแล้วแต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้เก็บตามที่คิดไว้




   “บุ๋น” ฐานทัพที่พึ่งนึกขึ้นได้ชะงักมือที่กำลังจะเก็บค้างไว้ก่อนจะหันไปเรียกคนข้างๆ “หันมา”   




   “ครับ?” บุ๋นดูไม่เข้าใจในสิ่งที่หมอบอกแต่ก็ยอมทำตามที่ขอ




   “ขอฟังเสียง” ฐานทัพใส่หูฟังสเตโทสโคปก่อนจะวางไดอะเฟรมหรือส่วนที่แนบกับลำตัวของผู้ป่วยลงบนอกข้างซ้ายของคนตรงหน้าทำเอาคนที่ไม่เข้าใจถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย




   “หายใจปกติ” ฐานทัพพูดอย่างไม่คิดอะไรแต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำส่งผลให้อีกคนใจไม่นิ่ง




   “พี่ทำอะไรครับ” ถึงจะพอเดาออกแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี




   ทำแบบนี้หมอก็รู้หมดน่ะสิว่าเวลาเขาอยู่กับหมอ…หัวใจเขาเต้นแรงขนาดไหน




   “นับชีพจรการเต้นของหัวใจ”




   “…!!!!”




   ชัดเจน…




   “เอ่อ…ผม…”




   “เต้นแรงมาก” ฐานทัพพึมพำก่อนจะถอดหูฟังออก “ไปตรวจร่างกายหน่อยไหม”




   “ครับ?”




   “หัวใจเต้นแรง” เขายังย้ำคำเดิม “เป็นโรคหัวใจหรอ”




   “ครับ?” บุ๋นยังคงงงกับคำถามของหมอฐานทัพ “ผมไม่ได้เป็นโรคหัวใจ”




   “ไปตรวจหน่อยก็ดี”




   “มันเต้นแรงแค่บางเวลาเท่านั้นแหละครับ” บุ๋นเกาหัวแก้เขิน หมอจะรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ นี่หมอกำลังแกล้งเขาอยู่ใช่ไหม




   “ยังไง ลองบอกอาการมา” ฐานทัพดูจริงจังขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินบุ๋นพูดแบบนั้น




   “ก็…” เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด “เวลาหัวใจเต้นแรง หน้าผมก็จะแดงทุกที”




   ถ้าร้องเป็นเพลงได้เขาคงร้องไปแล้ว…




   “มันไม่ได้เป็นโรคหัวใจหรอกครับ”




   “…”




   “เป็นโรคภูมิต้านทานหมอต่ำ…เจอทีไรใจเต้นแรงทุกที”




   “ต้องเขินไหม?” ฐานทัพยิ้มออกมาบางๆ




   “เขินหน่อยก็ดีครับ”




   “อืม เขิน”





   คำพูดที่บุ๋นแกล้งถามไปเล่นๆแต่คนข้างๆดันตอบกลับมาจริงจังทำเอาคนถามถึงกับไปไม่เป็น บุ๋นยกมือขึ้นเกาหัวกับความซื่อของหมอ คิดว่าหลังจากนี้เขาคงต้องเจอความซื่อแบบนี้ไปอีกนาน




   แต่นั่นคือเสน่ห์ของหมอฐานทัพ




   “ตอบแบบนี้ผมก็แย่ดิพี่”




   “แย่ยังไง”




   “เขินจะแย่” บุ๋นยิ้มกว้าง เขาไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งที่จะต้องยิ้มให้หมอ




   “อืม แย่จริงด้วย” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเก็บสเตโทสโคปลงกระเป๋า




   “อ่าว ไม่ให้ผมนับชีพจรพี่บ้างหรอ” บุ๋นแซว




   “ไม่” ฐานทัพตอบกลับมาทันที “เดี๋ยวรู้”




   “รู้ว่า?”




   “เต้นแรงเหมือนกัน”




   ฉึก!!!




   เหมือนมีมีดนับสิบเล่มแทงเข้ามาที่หัวใจเขาอย่างอ่อนโยน บุ๋นรับรู้ถึงรังสีสีชมพูที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ เขาต้องรับมือกับหมอฐานทัพให้หนักกว่านี้ ไม่อย่างนั้น




   เขาไม่ไหวแน่ๆ…




   เกินไปแล้วหมอ เสี่ยงต่อใจผมเหลือเกิน


.
   
   ทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักหลังจากใช้เวลากว่าชั่วโมงในการนั่งกินอาหารพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน เป็นช่วงเวลาที่เขาอยากจะหยุดมันไว้นานๆแต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะหมอต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อ



   “พรุ่งนี้ผมต้องไปคุยงานของปีหนึ่งที่คณะ แล้วพี่เรียนทั้งวันรึเปล่าครับ” ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถจักรยานเขาก็เอ่ยขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบข้างเงียบจนเกินไป




   “อืม แต่เลิกเร็ว สี่โมง”




   “ผมเลิกเร็วกว่าอยู่ดี ผมเลิกบ่ายสอง” บุ๋นอวดโดยที่ไม่รู้ว่าจะอวดไปทำไม เลิกเร็วเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร งานแต่ละวิชาเขาก็เคลียร์จนใกล้จะเสร็จหมดแล้ว




   “แล้วไปไหนต่อ”




   “กลับหอมั้งครับ ขี้เกียจไปไหน”




   ถ้าเทียบกับสองและสาม บุ๋นถือเป็นคนที่อยู่ติดห้องมากที่สุดเพราะเวลาเลิกเรียนเขาก็มักจะกลับหอพักหรือไม่ก็ไปวนเวียนแถวๆตึกคณะแพทย์ ส่วนอีกสองคนไม่ต้องพูดถึง สองจะเห็นก็ตอนค่ำๆไม่ก็เช้าตรู่เพราะเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเลยต้องไปประชุมงานบ่อยๆ ส่วนสามจะเห็นก็ตอนดึกที่ยกงานกลับมานั่งทำต่อที่ห้อง ดูๆไปแล้วเขาก็ดูว่างที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ




    “พรุ่งนี้จะไปอ่านหนังสือที่หอสมุด ไปไหม” ฐานทัพถามออกไป เขาตั้งใจว่าหลังเรียนเสร็จจะไปหาหนังสือที่จะต้องใช้อ่านในการสอบย่อย




   “ไปครับ” บุ๋นตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิด




   ถึงจะไม่ชอบหอสมุดสักเท่าไหร่แต่ถ้าคนที่ชวนคือหมอฐานทัพต่อให้ชวนไปที่ไหนเขาก็ไปทั้งนั้นเพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่แต่เกี่ยวกับ…




   คนที่ไปด้วย





   “ตอบไว” ฐานทัพหัวเราะ บางครั้งบุ๋นก็แสดงออกมาตรงๆไม่ต้องให้เขาคิดว่าบุ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนอย่างเขา




   “พี่ครับ วันนี้อากาศดีเนอะ” เมื่อใกล้จะถึงที่จอดจักรยานเขาก็หาเรื่องชวนคุยใหม่




   ยังไม่อยากกลับ




   “อืม”





   “เราไปเดินเที่ยวกันหน่อยไหมครับ ผมว่าอากาศแบบนี้เดินย่อยอาหารหน่อยก็คงดี”




   “หรอ” ฐานทัพถาม “อยากเดินย่อยอาหาร?”




   “อยากเดินกับพี่ครับ” บุ๋นตอบตามความจริงเมื่อเห็นสายตาของหมอฐานทัพที่มองมา เขาโกหกหมอไม่ได้เลยจริงๆ





   เหมือนหมอจะตามเขาไม่ทัน…แต่ความจริงหมอตามทัน




   “อืม ไป” ฐานทัพตอบรับง่ายๆตามประสาของเขา




   ฐานทัพยอมรับตรงๆว่าตั้งแต่ที่สถานะระหว่างเขาสองคนเปลี่ยนไปเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันต่างจากตอนที่ยังไม่ได้คบกัน บุ๋นยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนตัวเขาเองก็ยังเป็นตัวเขาเหมือนเดิม แบบนี้หรอที่เรียกว่าแฟน




   เขาคงต้องไปอ่านกระทู้กูรูให้มากขึ้นมั้ง




   “พี่คิดอะไรอยู่หรอครับ” เมื่อเห็นว่าหมอดูเงียบไปเขาเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ หรือว่าหมอจะรีบกลับไปอ่านหนังสือแล้วเขาทำให้หมอเสียเวลา




   “นิดหน่อย”




   “มีอะไรบอกผมได้นะครับ”




   “บอกได้จริงหรอ” ฐานทัพถามกลับอย่างมีความหวัง เขาไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรจะบอกบุ๋นไปตรงๆไหม แต่เขาก็ไม่รู้จะถามใครได้ดีเท่าคนข้างๆ




   “ครับ ได้สิ” บุ๋นระบายยิ้มบางๆ เมื่อเห็นใบหน้าของหมอที่ดูครุ่นคิดอะไรอยู่เขาก็อดห่วงไม่ได้





   เขาอยากให้หมอรู้สึกสบายใจที่อยู่กับเขา





   “เป็นแฟนต้องทำยังไง” ฐานทัพพึมพำออกมาอย่างคนไม่กล้าพูดเสียงดัง





   กลัวคนข้างๆจะหัวเราะกับคำถามของเขา





   “หืม? พี่คิดเรื่องนี้หรอครับ” บุ๋นหัวเราะออกมาเบาๆแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังก็รีบหยุดแล้วปรับสีหน้าให้จริงจังตามหมอฐานทัพ “ทำไมจู่ๆถึงถามขึ้นมา”




   “สงสัย”




   “แล้วทำไมถึงสงสัยครับ?”




   “กวน” เขาเอ่ยออกมาสั้นๆเมื่อบุ๋นเอาแต่ถามกลับไม่ยอมตอบคำถามเขาสักที




   “อะๆ ผมตอบก็ได้ครับ” เมื่อแกล้งอีกคนสำเร็จบุ๋นก็ยิ้มออกมา “ผมไม่รู้หรอกว่าแฟนกันต้องทำยังไง แต่ละคู่เขาก็มีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน”




   “…”




   “แต่สำหรับผมก็คงเป็นการได้เจอกัน ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน รู้ว่ามีอีกคนคอยห่วง มีกำลังใจให้กันและกัน”




   “แล้วมันต่างกับก่อนจะคบยังไง”





   “ต่างสิครับ ต่างมากด้วย”




   “ยังไง” ฐานทัพยังคงสงสัยไม่หยุด




   “เรารู้ว่าเราจะจริงจังกับใครสักคน สถานะชัดเจนและ…” บุ๋นเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เราจะมีเขาแค่คนเดียว”





   กลายเป็นฐานทัพที่เงียบไปเมื่อคำตอบของบุ๋นตอบคำถามทุกอย่างที่อยู่ในใจเขาได้หมดโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาเข้าใจทุกอย่าง




   “จะพยายามทำความเข้าใจ” ฐานทัพถอนหายใจออกมา “ไม่เคยคบใครเลยทำตัวไม่ถูก”




   “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เป็นแบบนี้ผมก็มีความสุขแล้ว”




   “สุขยังไง”




   “สุขยังงี้” บุ๋นจิ้มนิ้วไปที่แขนของหมอฐานทัพเบาๆ “โห จะว่าไปพี่ก็อ้วนเหมือนกันนะเนี่ย แขนแน่นเชียว”




   “กวนละ” ฐานทัพผลักหัวบุ๋นเบาๆ




   “พี่รู้รึเปล่าว่าพี่อารมณ์ดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย” บุ๋นยิ้มออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพในแบบที่ไม่เคยเห็นเมื่อก่อน “พี่ยิ้มพี่หัวเราะ ไม่เหมือนช่วงแรกๆที่ดูเงียบๆ”




   “รู้” และเขารู้ว่าเป็นเพราะใคร




   บุ๋น…ทำให้เขาเปลี่ยนไป




   ทั้งสองปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ก่อนที่จะเดินวนกลับมาที่จอดจักรยานบ่งบอกเวลาที่เขาทั้งสองจะต้องกลับไปที่หอพักของตัวเอง ถึงจะไม่อยากกลับแต่ก็คงต้องยอมกลับ




   “ให้ผมปั่นไปส่งพี่ไหม” บุ๋นถามแม้ในใจเขาจะมีคำตอบอยู่แล้ว




   “ไม่”




   “โหพี่…”




   “ไม่โห แยกกลับ” ฐานทัพสั่งเด็ดขาด วันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันไม่มีเหตุผลที่บุ๋นจะต้องปั่นไปส่งเขา แม้จะรู้ว่าบุ๋นเต็มใจแต่เขาต้องปฏิเสธความตั้งใจนั้น




   “แต่ว่า…”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกเสียงนิ่งๆทำเอาคนที่สรรหาข้ออ้างถึงกับเงียบลง




   “ก็ได้ครับ” กลายเป็นลูกหมาในกำมือทันทีที่ได้ยินเสียงดุ “ถึงหอแล้วผมจะส่งข้อความไปนะครับ”




   “อืม โอเค”




   “ถ้าพี่ถึงก่อนก็ส่งมาหาผมนะ”




   “อืม ได้”




   “ไม่ให้ผมไปส่งจริงๆหรอ” เขาถามอย่างมีความหวัง




   “บุ๋น”




   “ครับ เข้าใจแล้ว” บุ๋นเอ่ยคอตก ถึงจะดึงดันยังไงหมอก็คงยืนยันคำเดิม เขาเดินไปปลดล็อกโซ่จักยานเตรียมปั่นกลับหอ



   “พรุ่งนี้เจอกัน” ฐานทัพเอ่ยหลังจากที่ขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเองแล้ว




   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “ไปละ”





   “เดี๋ยวครับ” บุ๋นเรียกไว้ทำให้คนที่กำลังจะปั่นออกไปหันกลับมาเลิกคิ้วเชิงถาม




   “หืม?”





   “ยิ้มก่อน” บุ๋นพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มที่ลักยิ้มทั้งสองข้างของเขา “ยิ้มให้ดูก่อน จะได้กลับไปฝันดี”





   “เพี้ยน” ฐานทัพตอบกลับแต่ก็ไม่วายยิ้มตามที่อีกคนบอก แม้จะไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนคนยิ้มเก่งแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่คนยิ้มเก่งหวงที่สุด




   “ยิ้มให้ผมคนเดียวพอนะ” บุ๋นพึมพำกับตัวเองไม่ให้หมอได้ยิน




   “อืม” แต่บุ๋นคงคิดผิดไปเพราะบริเวณรอบข้างเงียบสงัดทำให้หมอฐานทัพได้ยินที่เขาพูดทุกคำ




   “ได้ยินด้วยหรอครับ?”




   “อืม” เขาพยักหน้าย้ำให้บุ๋นรู้ว่าที่ตัวเองพูดมาเขาได้ยิน




   “คือผม…”




   “เหมือนกัน” ฐานทัพเอ่ยขัด




   “ครับ?”




   “อย่ายิ้มให้คนอื่นเยอะ”




   “…”




   “ไม่ดี”   





   ไม่ดีก็คือ…ไม่ชอบ





---------------------------
แอบหนีเที่ยวหลายวันเลยยย กลับมาอัพเดทต่อแล้วจ้าาา
คิดถึงกันไหมน้าาาาาาา  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 05-01-2017 21:35:33
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 05-01-2017 21:59:34
พูดได้แค่ว่า น่าร๊ากกกกกกกก ดีต่อใจเหลือเกิน ปอลิง. อยากขโมยหมอมาฟัดจัง :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: nsai.ss ที่ 05-01-2017 22:17:46
ระเบิด...บู้มมมมม~
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 06-01-2017 08:32:03
คุณหมอค่ะ เราจะไม่ทน
น้ารักเกินไปแล้ว

ความซื่อ
แบบทันคนของหมอ น่ารักก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: NorthCat ที่ 06-01-2017 12:19:54
ไม่ดี..
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 09-01-2017 01:00:41
ไม่ทันแล้วจ้าพี่หมอน้องบุ๋น คนอ่านปากจะฉีกถึงแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 10-01-2017 18:12:35
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ

   จาก…คนส่งแครอท
   วันนี้ผมคงไปหอสมุดกับพี่ไม่ได้แล้ว งานที่คณะยังอีกเยอะเลยครับ
   เดี๋ยวจะไปซื้อสีทำคัทเอ้าท์ เลิกเย็นแน่ๆ (อีโมชั่นร้องไห้)
   ยังไงถ้าเสร็จเดี๋ยวผมโทรหานะ



   ข้อความที่ส่งมาถูกอ่านอย่างรวดเร็วจากคนที่วางมือถือไว้ข้างๆตัวบนโต๊ะของโรงอาหารคณะแพทย์ระหว่างรอเรียนวิชาถัดไป




   “ใครวะ” คินที่นั่งอยู่ตรงข้ามชะเง้อคอมองข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอเพื่อนสนิท




   “เลิกยุ่งเรื่องเพื่อนสักวันมึงไม่ตาย” ปกป้องดึงคอเสื้อคินกลับพร้อมถอนหายใจกับความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันลดน้อยลง




   “เอ้า หรือมึงไม่อยากรู้”





   “ถ้ามันไม่บอกก็เป็นเรื่องของมัน” ปกป้องตอบอย่างคนไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น “กินข้าวไป จะเข้าเรียนแล้ว”




   “เออ ดุจังวะ” คินบ่นอุบอิบ “นี่ถ้ามึงเป็นผู้หญิงกูไม่เอามึงเป็นแม่ของลูกแน่ๆ บ่นเยอะกว่าแม่กูอีก”




   “ถามว่ากูจะเอามึงไหม” ปกป้องสวนกลับ




   “พอๆ” ฐานทัพยกมือห้ามก่อนจะหันไปมองคิน “ข้อความจากบุ๋น”




   “หืม?” คินทำตาโตทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ “แลกเบอร์กันแล้วหรอวะ”




   “สักพักแล้ว”




   “โอ้โห…ไอ้หมอมึงมันร้าย”




   “ร้ายยังไง” ฐานทัพถามกลับอย่างไม่เข้าใจ




   “อธิบายไปมึงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” คินถอนหายใจอย่างคนขี้เกียจอธิบายยาว “แล้วนี่ไปถึงไหนแล้ว ขอคบยัง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “คบแล้ว”




   “ฮะ?!! คบแล้วด้วย?” คินกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่เชื่อหู ถึงเขาจะพอดูออกแต่ก็ไม่คิดว่าฐานทัพจะตอบกลับมาด้วยท่าทางธรรมดาไม่แสดงอารมณ์อะไร




   ไอ้หมอมันเข้าใจคำว่าคบจริงๆใช่ไหม…





   “อืม ตกใจอะไร”




   “เปล่า กูแค่ไม่คิดว่ามึงจะคบกันแล้ว”




   “ก็ตอนนั้นมึงบอกให้ขอ”





   “แล้วมึงขอหรอ?”




   “เปล่า เขาขอ” ฐานทัพตอบกลับตามความจริง เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเพื่อนสนิทและเขาก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะผิดแปลกตรงไหน




   “เอ่อ แล้วมึงโอเคหรอวะ…ที่คบกับ กูหมายถึงแบบ ผู้ชาย” คินพูดคำสุดท้ายออกมาเสียงเบา เขาไม่รู้ว่าฐานทัพเข้าใจคำว่าคบในรูปแบบไหน




   ฐานทัพไม่เคยมีแฟนมาก่อนและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนรักกันจะต้องปฏิบัติต่อกันยังไง ยิ่งแฟนคนแรกเป็นผู้ชายเขายิ่งตะขิดตะขวงในใจ




   กลัวว่าความรู้สึกของฐานทัพมันคือความรักแบบพี่ชายกับน้องชาย ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย




   “ทำไมจะไม่โอเค” ฐานทัพยังคงงงกับสิ่งที่คินถามออกมา เขาไม่เข้าใจว่าคินต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่




   “ถ้ามันไม่โอเคมันจะคบทำไม” ปกป้องที่นั่งฟังอยู่นานแทรกขึ้น ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องระหว่างฐานทัพกับบุ๋นเท่าไหร่ แต่จากที่ผ่านมาเขาก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของบุ๋น




   “มึงก็รู้มันไม่เคยมีแฟน” กลายเป็นคินที่เครียดแทน “กูกลัวว่ามันจะยังไม่เข้าใจดีพอแล้วมันจะแย่กันทั้งสองฝ่ายนะ”




   เขาไม่ได้ต้องการให้เพื่อนลังเลแต่ที่พูดเพราะห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ เขารู้ว่าบุ๋นรู้สึกกับเพื่อนเขายังไง แต่กับฐานทัพเขาไม่รู้ว่าจะรู้สึกแบบเดียวกับอีกคนไหม




   แล้วถ้าไม่…มันจะเป็นยังไงต่อไป




   “เข้าใจแล้ว” ฐานทัพที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น “เพราะกูเป็นผู้ชายแล้วบุ๋นก็เป็นผู้ชาย เรื่องนี้ใช่ไหมที่มึงห่วง”




   “เออดิ” คินตอบ “กูไม่ได้เหยียดเพศนะ แต่แค่แปลกใจเพราะกูไม่เคยเห็นมึงสนใจผู้ชายมาก่อน”




   “ผู้หญิงมันก็ไม่สน” ปกป้องพูดเสริม “มึงชอบน้องมันจริงๆใช่ไหม”




   “อืม” ฐานทัพรับคำ “จริง”




   ถึงจะไม่เคยมีใคร ถึงจะไม่เข้าใจความรักแต่เขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับบุ๋นมันพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ




   “เออ งั้นกูก็ดีใจด้วย” คินยิ้มออกมาบางๆ เขาไม่มีสิทธิจะไปห้ามความรู้สึกของเพื่อน กลับกันเขาไม่คิดจะห้ามด้วยซ้ำเพราะบุ๋นไม่มีส่วนไหนที่ทำให้เขาไม่ชอบ




   ถ้าไอ้หมอมั่นใจ…เขาก็ดีใจด้วย




   “เหมือนกัน” ปกป้องเอื้อมมาตีไหล่เพื่อนสนิทแรงๆ “แล้วไม่ตอบข้อความกลับหรอ”




   “เกือบลืม” เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ก่อนจะกดลบและพิมพ์ลงไปอีกครั้งและลบอีกจนต้องหันมือถือที่ถืออยู่ให้เพื่อนอีกสองคนอ่าน “ตอบไปว่าไงดี”




   คินกับปกป้องอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอพร้อมรอยยิ้มของคินที่เผยออกมาหลังอ่านข้อความจบ ทำไมเขารู้สึกถึงความใส่ใจเล็กๆน้อยๆของเด็กคนนี้




   “แล้วมึงอยากเจอเขาไหมล่ะ”




   “เกี่ยวอะไรกับข้อความ” ฐานทัพถามกลับ




   “เอาใหม่” คินถอนหายใจยาวๆ “กูหมายถึงถ้ามึงอยากเจอมึงก็ไปหาเขาที่คณะหลังจากไปหอสมุดเสร็จ”




   “อ่อ” เขาพยักหน้าเข้าใจ “คราวหลังก็บอกตรงๆ กูขี้เกียจคิด” ฐานทัพบ่นกลับก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป




   คินหันไปมองปกป้องก่อนจะส่ายหน้าไปมากับความซื่อบื้อของเพื่อนตัวเอง นี่ถ้าไม่ติดว่าฐานทัพสอบได้คะแนนเยอะกว่าเขาทุกวิชาเขาคงด่าไปแล้วว่าไอ้โง่




   ติดตรงที่ เขาโง่กว่า…

.

   จาก…คิดถึง
   ไปหอสมุดเสร็จเดี๋ยวไปหา ถ้ายังอยู่




   บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความแทบจะทันที สงสัยหมอยุ่งอยู่เลยตอบข้อความเขาช้ากว่าทุกๆครั้ง บุ๋นพิมพ์ตอบไปอีกครั้งก่อนจะหันไปหาเดชที่ยืนรออยู่ข้างๆ




   “ครับมึง กูไปเดี๋ยวนี้แหละ” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยกับเพื่อนสนิท




   ทั้งคู่จะปั่นจักรยานออกไปเพื่อไปซื้อสีมาทำคัทเอ้าท์ในวันเปิดบ้านอีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะถึง จะเรียกว่างานด่วนก็คงใช่เพราะเขาพึ่งรู้ว่าที่มหาลัยจะมีงานเปิดบ้านเมื่อตอนเช้าที่เรียกปีหนึ่งทุกคนมาประชุมและตอนบ่ายใครที่เรียนเสร็จก็ต้องมาช่วยจัดเตรียมงาน




   คณะเกษตรดูครึกครื้นกว่าทุกวันเพราะมีปีหนึ่งแยกกันทำงานตามจุดต่างๆของคณะ บางคนที่เก่งเรื่องศิลปะก็ประจำอยู่ที่คัทเอ้าท์แผ่นใหญ่กลางลานคณะ บางคนก็อาสาเป็นฝ่ายสวัสดิการคอยเสริมน้ำซื้อขนมมาให้เพื่อนๆจากเงินกองกลางของปีหนึ่ง ทุกคนแยกย้ายกันทำตามความถนัด เป็นภาพที่พี่ๆปีอื่นๆรู้สึกชื่นใจเหมือนทุกๆปี




   งานเปิดบ้านจะเป็นงานแรกที่ปีหนึ่งได้ลงมือทำอย่างเต็มรูปแบบเพราะรูปแบบที่ทำต่อๆกันมาเป็นแบบแผน ปีหนึ่งจะมีหน้าที่เตรียมงานวันเปิดบ้าน ส่วนพี่ปีอื่นๆจะมีหน้าที่คอยแนะแนวน้องในแต่ละสาขาของคณะเกษตรซึ่งในส่วนนี้ปีหนึ่งจะมีหน้าที่น้อยที่สุดเพราะยังไม่ได้เรียนพื้นฐานไม่ได้เจาะลึกเหมือนปีสูงๆ




   “สีมาแล้วววว~” บุ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ถังสีที่ซื้อมาถูกวางลงข้างๆเพื่อนที่กำลังนั่งร่างดินสอลงบนแผ่นคัทเอ้าท์ “ถึงไหนแล้ว”




   “ยังร่างไม่เสร็จเลย” เธอตอบกลับมาก่อนจะเริ่มร่างภาพต่อ




   “เดี๋ยวเราช่วยยก” บุ๋นเดินไปช่วยยกคัทเอ้าท์อีกอันแทนผู้หญิงที่กำลังช่วยกันคนละไม้คนละมือเพราะขนาดคัทเอ้าท์ที่ใหญ่และค่อนข้างหนัก




   “ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ก่อนจะขยับพื้นที่ให้อีกคนได้ช่วยถืออีกแรงเพื่อผ่อนแรงคนอื่นๆ




   จากที่แต่ก่อนทุกคนในคณะคิดว่าเดือนกับดาวเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่บุ๋นได้ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้ต่างจากทุกๆคน บุ๋นแทบจะไม่ได้ใส่ใจในตำแหน่งที่ตัวเองได้รับเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาได้รับคะแนนจากบุคคลรอบข้างไปเต็มๆเรื่องความใจดีและมีน้ำใจ




   แถมอีกอย่าง…ความหล่อ




   “น้ำฟ้า จะยกไปไหนเดี๋ยวเรายกไปให้” บุ๋นเข้าไปอาสาเมื่อเห็นร่างเล็กแบกกองชีทอยู่บนแขนทั้งสองข้าง




   “เอาขึ้นไปที่ห้องพักอาจารย์จ้ะ แต่ว่าเดี๋ยวเราเอาขึ้นไปเองก็ได้”




   “เห้ยไม่เป็นไร น้ำฟ้าไปช่วยคนอื่นเถอะ เดี๋ยวเรายกให้” บุ๋นไม่รอฟังคำตอบมือทั้งสองก็ฉวยเอากองชีทมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง




   “ขอบคุณนะ ห้องอาจารย์ยุภานะ”




   “ครับผม” บุ๋นตอบรับเสียงใส




   ร่างสูงเดินไปพร้อมกับกองชีทโดยไม่รู้เลยว่ามีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นจากการกระทำที่เขาทำไปอย่างเป็นปกติ ถึงบุ๋นจะเคยบอกทางอ้อมให้เธอหยุดคิดแต่ดูเหมือนความรู้สึกที่เกือบจะเป็นปกติมันกลับมารบกวนจิตใจอีกครั้ง




   บางทีเธอก็ควรจะบอกความรู้สึกให้เขาได้รับรู้…

.



   ความเย็นจากแก้วน้ำกระทบที่ข้างแก้มทำให้คนที่แอบอู้นอนหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา บุ๋นมองไปยังผู้กระทำที่ยืนหัวเราะคิกคักชอบใจดูมีความสุขกับการได้แกล้งเขา




   “ไอ้เดช!” น้ำเสียงดุเอ่ยออกมาหากแต่ไม่ได้มีอารมณ์ตามน้ำเสียง




   “อะไรมึง เห็นเพลียๆกูเลยไปซื้อน้ำมาให้” เดชบอกจุดประสงค์ก่อนจะยื่นแก้วน้ำสีใสมาให้ “เขาบอกว่าจะกินสไปร์ทต้องใส่ถุง แต่กูใส่แก้วมาให้”




   “เออ ขอบใจ” บุ๋นหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะรับแก้วน้ำไว้ในมือ




   “นี่ก็ใกล้เสร็จแล้ว มึงจะกลับก่อนก็ได้นะ”




   “ไม่ว่ะ กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ อีกอย่างมึงอยู่กูก็อยู่ ไม่ได้รีบไปไหน” บุ๋นตอบพร้อมกับลุกขึ้นตามเดชเพื่อไปดูคัทเอ้าที่มีเพื่อนสี่ห้าคนกำลังระบายสีอยู่




   “ตื่นแล้วหรอบุ๋น” น้ำฟ้าเอ่ยทักเป็นคนแรกเมื่อเห็นใบหน้าสะลึมสะลือของบุ๋นเดินตรงมายังจุดที่ระบายสี




   “อ่าว รู้ด้วยหรอ” บุ๋นหัวเราะก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างๆ “ให้เราช่วยไหม”




   “ได้จ้ะ เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนน้ำก่อนนะ น้ำสีดำหมดแล้ว”




   “เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนให้ อยู่นี่แหละ” บุ๋นออกตัวแทนเหมือนทุกครั้งที่เขาชอบทำ ร่างสูงเหยียดลุกขึ้นพร้อมยกแก้วน้ำที่ใช้ล้างพู่กันทาสีออกไปยังก๊อกน้ำ




   “เทลงต้นไม้นะ เดี๋ยวแม่บ้านด่า” เดชบอกตามหลัง




   “เออครับคุณเดช”

.   



   อยู่ไหน ถึงแล้ว   




   ฐานทัพส่งข้อความหาบุ๋นเมื่อจอดจักรยานลงหน้าคณะเกษตร ตอนนี้ที่คณะมีผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมดเหมือนกำลังเตรียมงานอะไรสักอย่าง เขาหยิบหนังสือที่ยืมมาจากหอสมุดไว้ก่อนจะเดินเข้าไปยังคณะเพื่อหาที่นั่งรอ




   สายตาของเขาหยุดลงตรงร่างของบุ๋นที่ลุกขึ้นเดินไปยังอีกจุด ฐานทัพเปลี่ยนทิศเดินไปตามบุ๋นก่อนจะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่เขาคุ้นหน้าลุกเดินตามบุ๋นไป




   คงไม่มีอะไร…




   ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ขาทั้งสองข้างก็พาเขาก้าวเดินตามไปจนถึงจุดที่บุ๋นหยุดยืนอยู่ น้ำสีดำถูกเทลงที่ต้นไม้ข้างๆตัวก่อนที่จะหันไปล้างแก้วน้ำโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามีใครอีกคนเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ




   “บุ๋น” น้ำเสียงเล็กเอ่ยเรียกทำให้คนที่กำลังล้างแก้วอยู่หันไปตอบ




   “อ่าวน้ำฟ้า ตามมาทำไม เดี๋ยวเรายกไปให้ไง”




   “ตรงนั้นคนเยอะแล้วเลยอยากออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย เรานั่งระบายสีนานจนปวดแขนไปหมดแล้ว”




   “อ่อ เข้าใจแล้ว” บุ๋นก็ยังคงเป็นบุ๋นที่อัธยาศัยดีกับทุกคน




   ฐานทัพมองการกระทำของทั้งคู่เงียบๆ จะเรียกว่าเขาแอบดูก็คงได้ แต่ในจุดที่เขายืนก็ไม่ได้เรียกว่าการแอบดูสักเท่าไหร่ ถ้าบุ๋นหันมาบุ๋นก็จะเห็นเขา




   “บุ๋น คือเรามีอะไรอยากจะบอก” น้ำฟ้าเปิดประเด็นอีกครั้ง คำพูดเหมือนกับครั้งก่อนแต่ครั้งนี้เธอต้องการจะพูดมันออกไป




   อย่างน้อยก็ให้อีกฝ่ายได้รับรู้




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆไม่ปฏิเสธ เขาก็พอจะเดาออกว่าน้ำฟ้าจะพูดอะไร ในเมื่อเธอกลับมาพูดเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เขาก็จะรับฟัง




   และจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน




   “เราชอบบุ๋นนะ” คำพูดที่เปล่งออกมาได้อย่างยากลำบากเอ่ยออกมาต่อหน้าคนที่ยืนรอฟัง น้ำฟ้าก้มหน้าลงต่ำรอคำตอบจากอีกฝ่าย




   ไม่ว่าจะเป็นยังไงเธอก็จะรับให้ได้




   “ความจริงเรารู้อยู่แล้ว” บุ๋นระบายยิ้มบางๆ “แต่เราคงรับความรู้สึกที่น้ำฟ้ามีให้เราไว้ไม่ได้”




   “…” เหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะพอเดาคำตอบออกแต่เธอก็หวังมาตลอดว่าสักวันคำตอบในใจของบุ๋นจะเปลี่ยนไป




   “เรามีคนที่เรารักอยู่แล้ว” เมื่อคิดถึงคนๆนั้นรอยยิ้มของเขาก็เผยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ถ้าเป็นแต่ก่อนเราคงเป็นฝ่ายขอจีบน้ำฟ้าด้วยซ้ำ”




   ฐานทัพที่ยืนฟังอยู่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคที่บุ๋นเอ่ยออกมา ถ้าเป็นแต่ก่อนอย่างนั้นหรอ…ทำไมล่ะ




   “แต่ตอนนี้เราทำไม่ได้ เรามีคนที่เราคิดจะจริงจังด้วย”




   “อืม…เราเข้าใจแล้ว” ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงความรู้สึกที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ




   “ขอโทษนะครับ”




   “อืม คนๆนั้นน่าอิจฉาเนอะ” น้ำฟ้าเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจื่อน




   “เราว่าเราอิจฉาตัวเองมากกว่า” บุ๋นยิ้มบางๆ




   “…”




   “ที่ได้เจอเขา”




   บริเวณรอบข้างที่เงียบสนิททำให้ฐานทัพได้ยินสิ่งที่บุ๋นพูดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ รอยยิ้มบางๆเผยออกมา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังบุ๋นก็ยังเป็นบุ๋น




   ถึงแม้คำพูดก่อนหน้าจะดึงอารมณ์ของเขาไปบ้างก็ตาม




   “อืม” น้ำฟ้าพยักหน้าอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวเราไปช่วยเพื่อนต่อนะ”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะหันกลับไปล้างแก้วน้ำต่ออย่างกับเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น ความจริงเขารู้มาสักพักแล้วแต่เขาก็เว้นระยะมาตลอด




   ป็อก!




   นิ้วชี้ที่มาจากไหนไม่รู้ดีดหน้าผากเขาไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ บุ๋นเตรียมจะหันไปด่าแต่พอเห็นเจ้าตัวที่ยืนอยู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก




   หมอมาตั้งแต่เมื่อไหร่




   “พี่มาทำไมไม่โทรบอกผม” รอยยิ้มดีใจเผยออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพมาหาเขาถึงที่




   “ส่งข้อความไปแล้วแต่ไม่เห็นตอบเลยเดินเข้ามาหา” ฐานทัพอธิบายก่อนจะสบตาคนตรงหน้านิ่งๆ




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำหน้าเครียดเชียว” บุ๋นค่อยๆหุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของหมอฐานทัพดูเครียดผิดปกติ




   “เป็น” ฐานทัพยอมรับตรงๆ “เป็นมาก”




   “เป็นอะไรหรอครับ” บุ๋นเริ่มเข้าโหมดจริงจัง พอเห็นท่าทีนิ่งๆของหมอก็ทำเอาเขาเครียดไปด้วย




   “ถ้าจะปฏิเสธก็อย่าพูดให้ความหวัง”




   “ครับ?” บุ๋นขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรหรอครับ”




   “ถ้าเป็นแต่ก่อนคงเป็นฝ่ายขอจีบ” ฐานทัพถอนหายใจออกมาแรงๆ เขาไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ แค่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “หมายความว่าไง”




   “พี่…” บุ๋นเงียบพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่



   หมอได้ยิน…




   “ตอบ” ฐานทัพไม่เคยบังคับให้ใครตอบในสิ่งที่ไม่อยากตอบ แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เข้าใจไปตลอด




   “พี่โกรธผมหรอ” บุ๋นหน้าเสีย หมอฐานทัพไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและเขาก็รู้สึกกลัวกับอาการที่หมอแสดงออกมา




   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “แค่อยากรู้”




   “…”




   “อยากเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง”




   “ผมหมายความตามที่พูดจริงๆแหละครับ” บุ๋นยอมรับไปตรงๆ “แต่นั่นมันความคิดก่อนที่ผมจะเจอพี่”




   “…”




   “พอเจอพี่ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอีก” บุ๋นค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆหมอฐานทัพ ครั้งนี้หมอนิ่งมากจนเขาทำอะไรไม่ถูก




   กลัวไปหมด…




   แต่เขาอยากให้หมอเชื่อว่าที่เขาพูดมาคือความจริงทั้งหมด




   “ทำไมถึงไม่คิด”




   “เพราะผม…” คำที่อยากจะพูดต่อมันจุกอยู่ที่อก เขาไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เขาควรจะบอกหมอฐานทัพรึยัง เขากลัวว่ามันจะเร็วเกินไปที่จะบอกคำๆนี้




   แม้ว่าเขาจะรู้สึก…รัก มานานแล้วก็ตาม




   “ไม่ต้องพูดแล้ว” ฐานทัพเป็นคนตัดบท “ช่างเถอะ”




   “ไม่ช่าง พี่ยังไม่เข้าใจ”




   “ใช่ ไม่เข้าใจ” ฐานทัพไม่อยากเป็นคนไม่มีเหตุผล เขาแค่ไม่อยากจะถามให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ “จะเสร็จงานรึยัง จะชวนไปกินข้าว”



   “อีกสักพักก็น่าจะเสร็จแล้วครับ” บุ๋นตอบเสียงอ่อน เขาอยากจะพูดแต่ในเมื่อหมอไม่อยากฟังก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องพูดต่อ



   มือหนักวางลงบนหัวของอีกคน ฐานทัพถอนหายใจออกมาก่อนจะลูบผมคนตรงหน้าช้าๆ เห็นสีหน้าของบุ๋นที่ดูเครียดไม่มีรอยยิ้มเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้



   ไม่ได้ต้องการให้เครียด…เขาแค่อยากจะถามเพื่อที่จะได้เข้าใจ




   “เครียดหรอ” ฐานทัพพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นักกับอารมณ์ที่ตัวเองแสดงออกไป




   “ครับ” บุ๋นยอมรับ “ผมไม่อยากให้พี่เข้าใจผิด”




   “อืม รู้แล้ว”




   “ผมไม่อยากให้พี่คิดมาก” บุ๋นยกมือขึ้นไปวางทับกับมือของหมอที่ลูบผมเขาอยู่ “ผมห่วงพี่มาก”




   “อืม”




   ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของทั้งสองคนอีก ฐานทัพลูบหัวคนตรงหน้าราวกับว่าเป็นบุ๋นเด็กๆโดยที่อีกคนก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธสัมผัสที่อบอุ่น ถึงจะไม่เข้าใจแต่ฐานทัพจะพยายามเข้าใจ




   เหมือนที่บุ๋นพยายามเข้าใจในตัวเขา




   “อย่าพูดแบบนี้กับใครอีก” ฐานทัพเป็นฝ่ายเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบรอบข้าง




   “ไม่พูดแล้วครับ”




   “อืม”




   “พี่…หึงหรอครับ” บุ๋นตัดสินใจถามออกไปเมื่อเห็นว่าหมอฐานทัพเริ่มกลับมาเป็นปกติไม่มีท่าทีเหมือนตอนแรก




   “หึง?” ฐานทัพเลิกคิ้ว “ยังไง”




   “ก็แบบที่พี่แสดงออกมา”




   “อืม”  ฐานทัพพยักหน้า




   “…”




   “ถ้าเมื่อกี้เรียกหึง…ก็คงหึง”



.   
   จักรยานสองคันจอดลงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ในเวลาเกือบสองทุ่มหลังจากที่ไปกินข้าวกันเสร็จ จากที่คิดว่าหมอฐานทัพยังเคืองเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่แต่ดูเหมือนเขาจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเมื่อหมอฐานทัพทำเหมือนเรื่องเมื่อตอนเย็นไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เขาเบาใจไปได้อีกเปราะ




   แฟนไม่ใช่คนคิดมาก…




   “กลับได้แล้ว” ฐานทัพที่พึ่งล็อกกุญแจเสร็จบอกอีกคนที่ยังยิ้มอยู่บนรถจักรยาน




   “ยังไม่อยากกลับเลย ผมหมดแรงแล้ว” บุ๋นแกล้งทำเป็นไม่มีแรงทั้งๆที่พลังงานเขาเหลือเฟือ




   “งั้นขึ้นก่อนนะ”




   “ใจร้าย”




   “พึ่งรู้หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเขาสวนกลับ เขารู้สึกว่ายิ่งอยู่กับบุ๋นนานๆเขายิ่งอยากแกล้ง



   “จะขึ้นไปจริงๆหรอครับ ไม่สงสารเด็กปีหนึ่งที่ปั่นมาส่งพี่หรอ”




   “ไม่” เขาตอบกลับมาทันที




   “ใจร้ายอีกแล้ว”




   “ล้อเล่น” ฐานทัพนั่งลงตรงเหล็กที่เอาไว้คล้องกับจักรยานก่อนจะมองคนตรงหน้า “นั่งแล้ว”




   “เย้” บุ๋นตอบเหมือนเด็กๆก่อนจะยิ้มออกมา เอาจริงๆเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรจะชวนหมอคุยแต่แค่ยังไม่อยากกลับ




   อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้




   “พี่ยังสงสัยเรื่องอะไรอีกไหมครับ” บุ๋นตัดสินใจถามออกไป เขาไม่อยากให้หมอรู้สึกค้างคา ถ้าสงสัยเขาก็พร้อมจะตอบทุกคำถาม



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   สงสัยงั้นหรอ




   “ทำไมคนนั้นถึงมาบอกชอบ”




   “คนที่พี่หึงหรอครับ” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกเสียงดุ




   “ฮ่าๆ” เขาหัวเราะออกมา “ความจริงน้ำฟ้าจะบอกผมแล้วรอบนึงแต่ตอนนั้นผมพูดดักไว้เธอก็เลยไม่ได้บอก แต่ทำไมวันนี้จู่ๆมาบอกผมก็ไม่เข้าใจ”




   “แล้วชอบไหม”




   “คนสวยใครๆก็ต้องชอบ” บุ๋นตอบตามความจริง “แต่ผมมีคนที่ชอบอยู่ก่อนแล้วเลยไม่ได้สนใจ”




   “อืม”




   “อยากรู้ไหมครับคนที่ผมชอบคือใคร” บุ๋นยิ้มกว้าง “ถึงพี่ไม่อยากรู้ผมก็จะบอก”




   “…”




   “ผมชอบพี่” บุ๋นพูดออกมาด้วยหัวใจที่พองโต “ชอบมาตลอด ไม่เปลี่ยนใจ”   


หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 10-01-2017 18:16:34
   แววตาที่จริงจังเหมือนต้องการจะสื่อออกมาจากความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี ฐานทัพรับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงและสายตา



   “ชอบเหมือนกัน” ฐานทัพตอบกลับไปทำเอาคนที่พึ่งสารภาพไปก่อนทำตัวไม่ถูก บุ๋นไม่คิดว่าหมอจะตอบกลับเขาด้วยคำๆนี้




   “ชอบมากไหมครับ?”




   “อืม”




   คำตอบสั้นๆเป็นตัวยืนยันทุกอย่าง บุ๋นระบายยิ้มออกมา ไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูดว่ามีความสุขมากแค่ไหน บอกได้แค่เขามีความสุขมากๆ




   สุขที่ได้อยู่กับหมอตรงนี้




   “คบกับผมพี่ไม่ต้องหึงเลย”




   “…”




   “เพราะผมไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจจากพี่”




   “…”




   “มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หนึ่งปีที่แล้วแล้วครับ”




   ตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่า…รักแรกพบมีอยู่จริง




   “เชื่อแล้ว” ฐานทัพตอบกลับ เขามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ว่าตอนนี้ข้างในเขารู้สึกอย่างไร นับวันความรู้สึกยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ




   ความรักมันดีแบบนี้นี่เอง




   “ผมดีใจนะที่พี่ไม่โกรธผม”




   “ไม่รู้จะโกรธไปทำไม” ฐานทัพตอบตามที่เขาคิด “โกรธไปก็รู้สึกไม่ดีเปล่าๆ”




   “ครับ ดีจังเลยเนอะ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   ไม่เคยรู้สึกผิดที่เลือกจีบคนๆนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาผิดเพราะหมอฐานทัพเข้าใจทุกอย่าง ถ้าไม่เข้าใจหมอก็เลือกที่จะถามไม่กลับไปคิดต่อคนเดียว




   เขารู้สึกโชคดีมากๆ




   “กลับ ดึกแล้ว” ฐานทัพดูเวลาในโทรศัพท์ที่เกือบจะสองทุ่มครึ่ง ความจริงก็ไม่ดึกมากแต่ว่าเขาไม่อยากให้บุ๋นอยู่คุยจนกลับดึก




   “ครับ พี่จะอ่านหนังสือต่อใช่ไหม” บุ๋นถามอย่างคนรู้ทัน




   “ใช่ จะมีสอบย่อย”




   “แล้วพรุ่งนี้พี่เลิกเรียนกี่โมงหรอครับ”




   “ห้าโมง”




   “งั้นเดี๋ยวผมซื้อของไปฝาก”




   “แครอทหรอ” ฐานทัพถามอย่างมีความหวัง




   หลังจากที่ไปบ้านสวนกลับมาเขาก็กินแครอทหมดภายในห้าวันหลังจากนั้น ตัวเขาเองก็ยังงงว่าทำไมแครอทถุงใหญ่ถึงหมดเร็วขนาดนี้ทั้งๆที่แม่ของบุ๋นก็ให้มาตั้งเยอะ



   สงสัยคงละเมอเผลอหยิบกิน




   “อย่ารู้ทันสิครับ” บุ๋นยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาประกายของหมอเมื่อพูดถึงแครอท “ที่ไม่ได้ซื้อให้เพราะคิดว่าพี่ยังกินไม่หมด”



   “หมดแล้ว” ฐานทัพตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เอาเบบี้แครอท”



   “ไม่เอาเบบี้บุ๋นหรอครับ”




   “ไม่” ฐานทัพตอบพร้อมหัวเราะ “เอาแครอทดีกว่า”




   “ทำไมปฏิเสธเร็วขนาดนั้น บางทีเบบี้บุ๋นอาจจะอร่อยกว่าก็ได้นะ” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาเชื่อเชิญขนาดนี้แล้วหมอไม่รู้สึกตะหงิดในใจบ้างเลยหรอ




   “เพ้อเจ้อ” เขาตอบกลับ “กลับได้แล้ว”




   “ครับ กลับแล้ววว” บุ๋นลากเสียงอย่างร่าเริง พอเห็นหมอกลับมาเป็นปกติเขาเองก็เบาใจ กลับไปคืนนี้เขาคงนอนหลับฝันดีเหมือนทุกๆวัน




   “ฝันดี”




   “ฝันดีครับ” เขาเตรียมจะปั่นจักรยานออกไปแต่ก็ไม่วายเหลียวหลังกลับมามองฐานทัพที่ยืนรอส่งเขาอยู่




   “เจอกัน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดจักรยานหันมามองฐานทัพเลยโบกมือลา “บาย”




   “ไม่ลองเบบี้บุ๋นจริงๆหรอครับ” บุ๋นยังไม่ละเลิกความพยายาม




   “ไม่ลอง” คำขาดที่ตอบกลับมาเป็นที่รู้กัน




   “ครับ เข้าใจแล้ววววว~” บุ๋นลากเสียง “ฝันดีครับ” ร่างสูงที่คร่อมจักรยานอยู่โบกมือลาสองสามทีก่อนจะปั่นออกไป




   ฐานทัพหยุดยืนรอจนกว่าจักรยานของบุ๋นจะปั่นออกไปพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏขึ้นมุมปาก บุ๋นจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองมีเสน่ห์ขนาดไหน ฐานทัพไม่เคยละสายตาจากรอยยิ้มนั้นได้เลย




   อะไรที่ทำให้บุ๋นชอบในตัวเขา…




   เขาที่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นๆ

.

   จาก…คนส่งแครอท
   ถึงหอแล้วนะครับ



   จาก…คิดถึง
   อืม




   บุ๋นวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้งทำให้เขาหันกลับไปมองข้อความที่พึ่งถูกส่งมา




   จาก…คิดถึง
   เบบี้บุ๋น ตลกดี




   “หืม?” บุ๋นหลุดพูดออกมาก่อนจะเลิกคิ้ว เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งก่อนจะพิมพ์ข้อความกลับไปหาปลายทาง




   จาก…คนส่งแครอท
   ตลกยังไงครับ น่ารักจะตาย




   จาก…คิดถึง
   อืม น่ารัก




   ฉึก!!!




   เหมือนโดนมีดกระหน่ำแทงอีกครั้ง ถึงหมอฐานทัพจะชอบตอบกลับมาตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมแต่เขาสารภาพได้เลยว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาชินกับการตอบกลับของหมอฐานทัพ





   แต่ก่อนก็คิดว่าตัวเองจู่โจมแรง…แต่ตอนนี้ไม่น่าจะใช่แล้วสิ




   “ยิ้มไรมึง มีความสุขมากไหมวะ” คนที่พึ่งกลับมาถึงห้องพูดขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้




   สามวางอุปกรณ์ที่ถือมาลงบนเตียงของตัวเองก่อนจะเดินมานั่งข้างๆเพื่อนสนิทที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชวนให้เขานึกหมั่นไส้ได้ทุกวัน ลำพังเจองานที่คณะก็เครียดมากพอแล้ว กลับมายังต้องเจอเพื่อนสติไม่สมประกอบอีก




   จะมีอะไรปกติบ้างในชีวิตเขา




   “ถ้าตอบว่ามากมึงจะทำไมวะ” บุ๋นถามกลับ




   “กูก็จะโยนงานให้แม่งทำ” เพราะงานที่ถูกสั่งมาอย่างกับว่าทำหนึ่งชั่วโมงเสร็จ ทำให้เขาค่อนข้างที่จะเครียด




   “ทำไมต้องโมโหขนาดนั้น” บุ๋นหัวเราะ “งานไร ให้กูช่วยไหม”




   “ไม่อะ เดี๋ยวงานกูพัง” สามส่ายหน้ารัว “แค่มานั่งคุยกับมึงแก้เหนื่อยเฉยๆ” เขาบิดขี้เกียจ




   “เอ้า อะไรของมึงวะ”




   “วันนี้กูทำงานยันเช้าแหละ เตรียมผ้าปิดตาใส่นอนด้วย โมเดลงานยังไม่เสร็จว่ะ” เขาพูดพร้อมกับมองไปยังโมเดลที่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียว




   “เออสมควรไม่เสร็จ กูเห็นมึงนั่งเล็งเป็นชั่วโมงกว่าจะทำแต่ละจุด” บุ๋นบ่น




   “เอ้า งานละเอียดสิวะ” เขาตอบก่อนจะหันไปมองรอบข้าง “เอ้า ไอ้สองยังไม่กลับมาหรอวะ”




   “ยัง เห็นว่าวันนี้กลับดึกไม่ก็ไปนอนหอเพื่อน”




   “อ่อ เออๆ” สามหันไปยกงานของตัวเองไปไว้บนโต๊ะประจำ “กูมีเรื่องจะถาม สงสัยมาตั้งแต่วันแข่งแล้ว”




   “เรื่องอะไรวะ”




   “คนที่พวกกูเจอ ใครวะ” ความจริงก็สงสัยมาสักพักแล้วแต่ไม่มีโอกาสเหมาะที่จะถาม เขาไม่อยากถามต่อหน้าคนอื่นๆเพราะไม่รู้ว่าไอ้สี่อยากจะเล่าให้เขาฟังรึเปล่า




   “บอกไปมึงจะรับได้หรอวะ” บุ๋นถามออกไปตรงๆ เขาไม่รู้ว่าเพื่อนจะมีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องแบบนี้




   “แฟนมึงหรือไง” สามประชดกลับไป ทำซะอย่างกับว่าเขาจะรับไม่ได้ยังไงยังงั้น



   “ถ้ากูตอบว่าใช่ล่ะ”




   “…” คนถามเงียบไป มือที่กำลังจะยกเก้าอี้เพื่อเตรียมทำงานค้างอยู่กับที่ เขาค่อยๆหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเตียง



   เมื่อกี้…มันพูดเล่นรึเปล่า



   “เรื่องจริง” บุ๋นยืนยันอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงจะช้าหรือเร็วพวกมันก็ต้องรู้อยู่ดี




   “ละ…แล้วไหนมึงบอกว่าสนใจหมอ จะจีบหมอ” สามถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ




   “คนนี้แหละ…หมอ” บุ๋นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทีตลกกับสิ่งที่พูดออกมา ที่เขาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง




   “หรอวะ” สามพูดเสียงอ่อน “ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”




   “มอหก”




   “แต่ตอนนั้นมึงคบอยู่กับแพร”




   “อืม”




   “กูไม่เข้าใจว่ะ”




   “เออรู้” บุ๋นถอนหายใจ “มึงรับไม่ได้สินะ มึงคงผิดหวัง”




   “ผิดหวังเหี้ยไรวะ” สามถามกลับ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมกูต้องผิดหวังเพราะรู้ว่าเพื่อนชอบผู้ชาย”




   “…”




   “ที่กูไม่เข้าใจคือทำไมมึงไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้ ไม่สิ มึงบอกว่ามึงชอบหมอ แต่มึงไม่ได้บอกว่าเขาเป็น…” สามถอนหายใจหนักๆ “กูแค่คิดว่าเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน”




   “ที่ปิดเพราะกลัวพวกมึงรับไม่ได้”




   “ทำไมกูจะรับไม่ได้” เขาถามกลับ “จะเป็นยังไงมึงก็เพื่อนกู”




   “…”




   “แค่ผิดหวังที่มึงบอกเพราะกูถาม” สามทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตามองตรงมายังเพื่อนสนิทของตัวเอง




   ถ้าไม่ถามก็คงไม่บอกอย่านั้นใช่ไหม




   “กูตั้งใจจะบอก แต่หาเวลาไม่ได้”




   “เออช่างแม่ง” เขาพูดปัด “เลิกแก้ตัว ไม่อยากฟังแล้ว”




   “นี่โกรธกูหรอ”




   “เออ” เขาตอบกลับมาอย่างไม่ต้องคิด “โกรธมาก”




   “เห้ย ไม่เอาดิวะไอ้สาม” บุ๋นเดินเข้าไปตบบ่าเพื่อนอย่างที่เคยทำ เขาไม่คิดว่าสามจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ “กูขอโทษ”




   “กูไม่ให้อภัย” สามตอบกลับเสียงแข็ง “จนกว่ามึงจะช่วยกูติดกาวทำโมเดล”




   “ฮะ? อะไรนะ” บุ๋นถามกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง




   “ช่วยกูทำงาน หูหนวกหรือไงวะ” สามตอบกลับ เขาเสมองไปทางอื่นพร้อมถอนหายใจ “จะให้กูโกรธมึงลงได้ยังไงวะไอ้สี่”




   “…”




   “แค่เรื่องแค่นี้ กูโกรธมึงไม่ลงหรอก” รอยยิ้มบางๆเผยออกมาทำให้คนที่พึ่งบอกความจริงโล่งไปใจเปราะใหญ่




   ถึงแม้ว่าเขาจะเคืองที่พึ่งรู้เรื่องต่างๆแต่เขาก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะถึงจะบอกกันได้และเป็นไปได้ไอ้สี่ก็คงไม่อยากปิดบังใคร



   แต่เพราะมันกลัว…ว่าคนรอบข้างจะไม่เข้าใจ



   มันคิดผิด…เพราะเพื่อนทุกคนพร้อมจะเข้าใจในตัวมัน



   “หายโกรธงี้มาให้กูจุ๊บแก้มหน่อยมา”




   “แก้มก้นไหมล่ะเดี๋ยวเปิดให้” สามสวนกลับทำท่าจะถอดกางเกงออก




   “ไม่เอาโว้ย มึงยังไม่ได้อาบน้ำ”




   “ถ้าอาบจะจุ๊บใช่ปะ”




   “ไม่โว้ยยยยยยยยย” บุ๋นโวยวายเสียงดัง




   เสียงหัวเราะของทั้งสองดังกึกก้องอยู่ในห้องเล็กๆของหอพักนักศึกษาชายซึ่งอาจจะไปรบกวนห้องข้างๆได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติของหอพัก




   บุ๋นคิดมาตลอดว่าเขาโชคดีที่ได้เจอพ่อแม่ที่เข้าใจ ได้เจอเพื่อนที่พร้อมจะรับฟังในทุกๆเรื่อง ได้เจอรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือ ได้เจอคนรักที่เข้าใจและพร้อมจะเดินไปกับเขา บุ๋นรู้สึกว่าทุกอย่างที่ผ่านมามันเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของคนๆหนึ่ง ถึงเขาจะเรียนไม่เก่ง สอบเข้าคณะตามที่หวังไว้ไม่ได้ แต่ในความผิดหวังมันกลับทำให้เขาเห็นทางเดินที่แท้จริง




   แค่นี้…ก็เพียงพอแล้ว




.

   คณะแพทย์เหมือนเดิมทุกครั้งที่เขามา บุ๋นจอดจักรยานไว้ก่อนจะไปนั่งรอยังโต๊ะที่ว่างอยู่พร้อมกับถุงเบบี้แครอทในมือ วันนี้เขามาทันเวลาพอดีเป๊ะเพราะอยู่ช่วยงานที่คณะก่อนที่จะออกมา   
   



   จาก…คนส่งแครอท
   ถึงแล้วนะครับ



   จาก…คิดถึง
   พึ่งเลิก เดี๋ยวลงไป





   บุ๋นอ่านข้อความที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บมือถือไว้ที่เดิม วันนี้เขาซื้อแครอทมาได้ถุงเดียวเพราะถูกเหมาไปเกือบหมดตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน ดีที่เขาไปบอกพนักงานให้เก็บไว้เผื่อเขาหนึ่งถุงไม่อย่างนั้นหมอคงอดกินแน่ๆ



   มือเย็นๆที่อ้อมมาจากด้านหลังปิดตาทั้งสองข้างของเขาไว้ บุ๋นวางถุงแครอทลงช้าๆก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นสัมผัสมือของอีกคน



   ไม่ใช่มือของหมอ…




   “พี่คิน สวัสดีครับ” บุ๋นลองสุ่มชื่อคนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดออกมาก่อนที่มือทั้งสองข้างจะปล่อยออก




   “อะไรวะ รู้ได้ไง” คนถูกจับได้เอ่ยออกมาอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินอ้อมมาข้างหน้าพร้อมกับหมอฐานทัพที่หัวเราะเบาๆที่แผนของคินใช้ไม่ได้ผล



   “ผมเก่ง”



   “เออจ้า จะบอกว่าจำได้ว่างั้นเถอะว่ามือไอ้หมอไม่ใช่แบบนี้”




   “ครับ” บุ๋นรับคำ




   “กูขอเบะปากสี่สิบห้าองศาได้ไหมวะ” คินพูดอย่างคนขี้อิจฉา “แวะมาทักทายเฉยๆ เดี๋ยวไปละ”




   “อ่าวพี่ไปไหนครับ”




   “ไปหาแฟนกูดิ เห็นงี้ก็มีแฟนนะเว้ย” ได้ทีก็ยืดข่มคนตรงหน้า ไม่อยากจะอวดว่าวันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีเขากับแฟน




   เขินจังเลย…




   “แล้วนี่ซื้ออะไรมา”




   “แครอทครับ” บุ๋นหยิบถุงแครอทไปให้คินดูใกล้ๆ




   “ให้ไอ้หมอสินะ” เห็นแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ “มึงเลี้ยงมันดีเกินไปละ ดูดิกูก็ว่าทำไมช่วงนี้แก้มมันแดงๆ”




   “อ่าวไม่ดีหรอครับ”




   “กูแยกไม่ออกนี่สิว่ามันแดงเพราะเขิน ร้อนหรือว่าเพราะกินแครอท”




   “ผมว่าน่าจะอย่างแรกนะครับ”



   “เออเรื่องของพวกมึงเลยยยยยย” พอเห็นความมั่นใจของเด็กปีหนึ่งก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “กูไปละ”




   “อ้าวแล้วพี่ปกป้องละครับ” บุ๋นพึ่งสังเกตว่ามีแค่หมอฐานทัพกับพี่คิน




   “มันมีนัดเลี้ยงสายเลยแยกไปตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว”




   “อ่อ ครับ”




   “กูไปก่อนนะ เดี๋ยวไปสาย” คินยักคิ้วกวนก่อนจะโบกมือลาแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว




   “อ่าว…” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อร่างของคินก็เดินออกไปไกลจนบุ๋นไม่ทันได้บอกลา “สงสัยพี่คินจะรีบจริงๆนะครับ”




   “อืม ใช่” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะนั่งลงข้างๆ “แก้มแดงหรอ” เขาไม่เห็นรู้สึกว่าแก้มแดงเหมือนที่คินพูด




   ไม่คิดว่ากินแครอทเยอะแล้วแก้มจะแดง




   “ไม่นิครับ พี่คินคงแซวเล่น”




   “อืม ไม่สนหรอก” ฐานทัพตอบ “แดงไม่แดงก็จะกิน”




   “เบบี้แครอทหรอครับ?”




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “แต่ถ้ากินเบบี้บุ๋นคงจะแดงตามที่พี่คินบอกนะครับ”




   “เนียนนะ” ฐานทัพหัวเราะออกมา




   “ว้า…แย่จัง พี่รู้ทันซะแล้ว”




   “บางที…อาจจะรู้ทันมานานแล้ว”



---------------------------------------
มาแล้วจ้าาา คิดถึงกันไหมน้อออออ >3<
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Lay Kin ที่ 10-01-2017 18:33:01
อมยิ้ม  :3123:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 10-01-2017 19:30:11
หมอพูดเก่งขึ้นเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 10-01-2017 20:01:56
 5555 เบบี้บุ๋น
จะดีหรอออออ
หมอหึงด้วยยยยยยยยยยยย

หึงก็รักเนอะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 11-01-2017 15:41:33
รักหมอรักบุ่นรักคนเขียนนน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 12-01-2017 22:34:03
ขอบคุุณ :)
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: nsai.ss ที่ 14-01-2017 20:34:20
เบบี้บุ๋น 555+
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [20: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ 100%] 10/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 16-01-2017 18:14:47
พี่หมอคร้าบบบบบเมื่อไรจะลองชิมเบบี้บุ๋นล่ะคร้าบบบอิอิ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 17-01-2017 19:31:41
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด

   งานเปิดบ้านมาถึงทำให้มหาวิทยาลัยวันนี้ค่อนข้างคึกคักกว่าทุกๆครั้ง โดยเฉพาะคณะที่เป็นที่โปรดปรานของเด็กมอหกอย่างคณะแพทย์ที่คนออกันเต็มจนล้นออกมานอกคณะ ส่วนคณะอื่นๆก็แบ่งสัดส่วนไปเท่าๆกัน



   ฐานทัพที่ถูกลากมายืนทำหน้านิ่งๆอยู่ที่ลานคณะแพทย์เพราะวันเปิดบ้านเลยทำให้อาจารย์เลิกเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะได้ไปแนะนำเด็กๆในการเรียนแต่ละชั้นปี ความจริงเขาตั้งใจจะกลับหอแต่โดนคินลากมาเลยทำให้ปฏิเสธไม่ได้



   “สงสัยตรงไหนถามพี่ได้นะครับ” คนร่าเริงยังคงพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจอาการของคนที่ยืนข้างๆ



   “พี่คะเรียนเป็นยังไงบ้างคะ” เด็กนักเรียนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาถามด้วยความสนใจ




   “เรียนหนัก อ่านหนังสือเยอะ” ฐานทัพตอบกลับเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาสบตาเขา




   “เอ่อ…แล้วมีอะไรอีกไหมคะพี่”




   “สอบบ่อย” เขาตอบกลับไปตามความจริงแต่ดูเหมือนคำตอบของเขาจะไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่




   “ถามพี่ก็ได้ครับ ไอ้นี่มันซื่อบื้อน่ะ” คินที่ได้ยินการสนทนาทั้งหมดออกตัวแทนก่อนจะหันไปมองหน้าฐานทัพ “มึงกลับก็ได้ถ้าจะเบื่อโลกขนาดนี้”




   “อืม ได้” เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย อยู่ไปก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม เขาไม่รู้จะแนะนำอะไร ไม่รู้ว่าต้องพูดแบบไหน เขาไม่ได้เป็นคนพูดน้ำไหลไฟดับเหมือนคิน




   “ไม่แวะไปคณะน้องมันก่อนกลับหรอวะ ป่านนี้โดนสาวขอไลน์ไปสิบกว่าคนละมั้งงง~” คินยังไม่วายที่จะทิ้งระเบิดไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกมา




   “เออ เดี๋ยวไป” พอได้ยินคำว่าขอไลน์เขาก็รู้สึกตะหงิดขึ้นมาทันที ถึงจะอยากกลับหอแต่แวะไปดูสักพักคงไม่เป็นไร



   ไหนๆวันนี้ก็ว่างแล้ว…



   จักรยานคันเก่งจอดลงหน้าคณะเกษตรที่ดูคึกคักไม่ต่างจากคณะอื่นๆ ฐานทัพเดินเข้าไปยังคณะโดยที่มีเด็กนักเรียนยืนดูกันเป็นจุดๆก่อนจะเห็นร่างสูงที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆยืนยิ้มให้กับเด็กๆที่เข้ามาถาม



   “สงสัยตรงไหนถามพี่ๆปีสองปีสามได้นะครับ” คนที่ถูกบังคับให้มายืนต้อนรับเอ่ยคำเดิมซ้ำๆตั้งแต่มาถึง เขาเป็นเดือนคณะเลยต้องทำหน้าที่ในการเรียกให้เด็กเดินเข้ามาเยี่ยมชมคณะ



   “ทำดีๆ” พี่ใบที่ยืนอยู่ไม่ไกลยกนิ้วโป้งให้ก่อนจะหัวเราะกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของเดือนคณะ



   “เชิญเข้ามาชมก่อนได้ครับ”



   “ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ พี่น่ารักมากเลย” น้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กมอหกเดินตรงเข้ามายังร่างสูงที่ยืนอยู่ “พี่ใช่เดือนคณะใช่ไหมคะ”



   “อ่อ ครับ” บุ๋นยิ้มแห้งๆ




   ใครก็ได้เอากูออกไปจากตรงนี้ที…




   “ก็ว่า หล่อมากเลยค่ะ” ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “ชูสองนิ้วนะคะพี่”



   “อ่อ ครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับทำท่าตามที่อีกฝ่ายบอก



   “ขอบคุณมากค่ะ พี่มีไลน์ไหมคะ เผื่อหนูมีเรื่องสงสัยอยากจะถาม”



   “เอ่อ…คงให้ไม่ได้ครับ”



   “ทำไมละคะ”



   “พอดีแฟนพี่หวงครับ” บุ๋นยกเรื่องหมอฐานทัพขึ้นมาอ้าง เอาความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธยังไง




   “พี่มีแฟนแล้วหรอคะ” คำถามที่ถามออกไปดังพอที่จะทำให้อีกคนที่ยืนฟังอยู่ได้ยิน



   “ครับ มีแล้ว” บุ๋นตอบกลับมาทันทีไม่มีท่าทีลังเล “อยากรู้อะไรเข้าไปถามข้างในดีกว่านะ พี่เองพึ่งปีหนึ่งยังไม่ได้เรียนวิชาในคณะมากเท่ารุ่นพี่ปีอื่นๆ”



   “อ่อ ได้ค่ะ” เธอยิ้มเจื่อนก่อนจะเดินเข้าไปยังจุดอื่นๆที่มีรุ่นพี่ประจำที่อยู่



   ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ไม่ใช่รายแรกที่ขอไลน์ เขาปฏิเสธจนแทบจะไปปริ้นกระดาษมาติดบนหน้าอยู่แล้ว




   “เชิญเข้าชมด้านในก่อน…” คำพูดทุกอย่างหายไปเมื่อเห็นใบหน้าของอีกคน รอยยิ้มบางๆเผยออกมา “คิดถึงผมหรอครับ”



   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธทันที “ว่างเลยแวะมา”



   “แวะมาทักทายหรอครับ”



   “เปล่า แวะมาดูว่าแจกไลน์ไปกี่คนแล้ว”




   “หืม?” บุ๋นเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไงครับ”




   “คินบอกให้แวะมาดู” ฐานทัพตอบตามประสาคนซื่อ พอเห็นว่าบุ๋นไม่ได้ให้ไลน์อย่างที่คินบอกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแปลกๆ



   “พี่คิดว่าผมจะแจกไลน์หรอครับ?”




   “เปล่า คินคิด”



   “ครับ” บุ๋นหัวเราะ “ไม่แจกหรอก พี่สบายใจได้”




   “รู้แล้ว ได้ยิน”




   เขาได้ยินชัดเจนเลยด้วยซ้ำตรงคำว่า ‘แฟนหวง’



   “แล้วพี่จะไปไหนต่อรึเปล่าครับ?” เขาอยากจะออกไปจากตรงนี้เพราะยืนมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เริ่มหิวข้าวขึ้นมานิดๆ



   “อืม เลยมาชวน”



   “ชวนไปไหนครับ?”




   “ไปเดต” ฐานทัพที่ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีพูดเต็มเสียงก่อนจะเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มมีเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า




   เขาพูดอะไรผิด?




   “พี่มาชวนผมไปเดต?” บุ๋นถามแม้ว่าจะได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำแล้ว เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆหมอก็ชวนขึ้นมา




   “อืม ตอนแรกว่าจะกลับหอ” เขาบอก “แต่เปลี่ยนใจแล้ว”




   “อ่อ…”




   “ไปเดตกันไหม?”




   “เอ่อ…”




   ถามมาแบบนี้….ใครจะกล้าปฏิเสธ




   เสียงหัวใจของบุ๋นมันร่ำร้องบอกให้ตอบตกลงออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก่อนที่จะตอบออกไปเขาก็รู้ถึงสายตาของพี่ใบที่จับจ้องมาที่เขา



   ไม่นะ…บุ๋นจะไป!!




   “เดี๋ยวผมไปบอกรุ่นพี่ก่อนนะครับ”




   “อืม เดี๋ยวออกไปรอข้างนอก”




   ฐานทัพเดินออกมารอยังที่จอดจักรยานเพราะไม่อยากอยู่ในที่ๆมีคนเยอะๆ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแวะมาแล้วก็กลับไปนอนเล่นที่หอแต่พอเห็นบุ๋นก็รู้สึกยังไม่อยากกลับ อีกอย่างวันนี้ว่างตรงกันพอดีเลยถือโอกาสชวนบุ๋นไปเที่ยวซะเลย




   ก่อนที่เขาจะเตรียมอ่านหนังสือสอบไฟนอลยาว




   เสียงคุยจ๊อกแจ๊กของเด็กนักเรียนดังผ่านหูเขาไป ฐานทัพไม่ได้สนใจฟังเป็นพิเศษจนกระทั่งคำพูดหนึ่งสะกิดให้เขาฟังอย่างปฏิเสธไม่ได้




   “แกเดือนคณะเกษตรหล่อเนอะ” ผู้หญิงหนึ่งในสามที่พึ่งเดินออกมาจากคณะคุยกันผ่านหน้าเขาไป




   “ใช่ แต่พี่เขาบอกว่ามีแฟนแล้ว”




   “โหยแก แฟนต้องสวยมากแน่ๆเลย”




   “แน่ดิ หล่อแบบนั้นแฟนไม่สวยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”




   “แฟนเขาอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงก็ได้นะเว้ยย”




   “ไม่มีทาง ฉันเชื่อว่าต้องเป็นผู้หญิง!!” คำที่เถียงเด็ดขาดลอยมาสะกิดให้คนที่ฟังรู้สึกถึงคำพูดนั้น




   ฐานทัพได้แต่ยืนฟังเงียบๆปล่อยให้เสียงนั้นลอยผ่านไปตามลม เขาถอนหายใจออกมายาวๆอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนี้ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป จากที่คิดว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนอื่น



   แต่ครั้งนี้…เขารู้สึก



   ทั้งๆที่ทุกอย่างมันชัดเจนดีอยู่แล้วแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกกับสิ่งที่ได้ยิน จากที่ไม่เคยสนสิ่งรอบข้าง แต่ในตอนนี้เขาได้ย้อนมองตัวเองผ่านมุมมองของคนอื่น




   รักแบบนี้จะเป็นไปได้จริงงั้นหรอ




   “มาแล้วครับ~” น้ำเสียงร่าเริงเรียกสติของคนที่ยืนคิดอะไรคนเดียวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เป็นไง”




   “ไปได้ครับ พอดีอีกสักพักน้ำฟ้าจะมาอยู่ต่อแทนผมเลยได้ออกมาก่อน” บุ๋นยิ้มกว้างด้วยความดีใจ นี่ถือเป็นเดตครั้งแรกของเขากับหมอหลังจากที่พึ่งคบกัน




   “เราจะไปไหนกันดีครับ” บุ๋นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นผิดกับอีกคนที่มีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ




   “อืม นั่นสิ” ฐานทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เมื่อเห็นหมอมีท่าทางที่แปลกไปบุ๋นก็อดสงสัยไม่ได้หรือว่าหมอรอนานจนไม่อยากไปแล้ว




   “เปล่า” เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพตอบออกไปส่งๆ ความจริงแล้วเขาเป็นแต่ไม่รู้จะให้เหตุผลว่าอะไร




   ในเมื่อเขาดันเก็บสิ่งที่ได้ยินมาคิดมากเอง…บุ๋นไม่ได้ผิดอะไร




   “หรือว่าพี่หิวข้าว เราไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ” บุ๋นยังคงถามต่อ เขาไม่ชอบเวลาเห็นหมอฐานทัพมีท่าทีเหม่อลอยดูไม่เหมือนปกติ




   “อืม ได้”




   “ยิ้มก่อน อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ” บุ๋นยิ้มเป็นตัวอย่าง “ผมเป็นห่วงนะ”




   “อืม ยิ้ม” ฐานทัพยกยิ้มบางๆหากแต่ไม่ได้มาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ




   แค่คำพูดของคนที่เขาไม่รู้จัก ทำไมมันมีอิทธิพลกับตัวเขามากขนาดนี้




   หรืออาจเพราะ…เขาเป็นผู้ชาย



.   

   ทั้งสองคนมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากเท่าไหร่นัก ฐานทัพพยายามสลัดความคิดในหัวทิ้งไปก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนจดบันทึกไว้ขึ้นมาอ่านเพื่อให้การเดตครั้งแรกของเขาสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น




   “พี่จดมาเลยหรอครับ”   




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า เขาไล่สายตาอ่านสิ่งที่จดมาก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ “ดูหนังไหม”




   “ได้ครับ พี่อยากดูเรื่องอะไร” บุ๋นถามอย่างคนตามใจ เขาเองก็ไม่ได้ดูหนังในโรงมาสักพักแล้วเลยไม่รู้ว่ามีหนังอะไรเข้าใหม่บ้าง




   “เห็นมีคนบอกเรื่องนี้สนุก” ฐานทัพชี้ชื่อเรื่องที่ลิสไว้ให้บุ๋นดู “เรื่องนี้ไหม”




   “ได้ครับผม”




   “เดี๋ยวไปซื้อตั๋วให้” ฐานทัพบอกเมื่อเดินมาถึงโรงหนัง ไม่รอให้บุ๋นตอบร่างสูงก็เดินเข้าไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วหนัง




   เมื่อเห็นหมอเดินเข้าไปยังที่ซื้อตั๋วบุ๋นเลยเดินแยกไปซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นเพื่อเตรียมเข้าสู่โรงหนัง ถึงเขาจะรู้สึกว่าหมอแปลกไปแต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ เขาไม่อยากให้บรรยากาศที่อยู่ด้วยกันตอนนี้แย่ลง



   บางทีเขาอาจจะรู้สึกไปคนเดียวก็ได้…




   เมื่อถึงเวลาเข้าโรงหนังทั้งสองก็เดินตามกันเข้าไปยังที่นั่งที่ฐานทัพเป็นคนเลือกไว้ ที่นั่งที่พอดีกับระดับสายตาทำให้คนที่มาด้วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไปอีก อาจเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาเลยทำให้คนในโรงหนังไม่เยอะมากเท่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์




   “หนังจะเริ่มแล้วบอกนะ” ฐานทัพหันไปกระซิบคนข้างๆเมื่อเห็นว่าตัวอย่างหนังกำลังเริ่มฉาย




   “พี่จะนอนหรอครับ?”




   “เปล่า พักสายตาเฉยๆ” เขาพูดพร้อมค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลง “บุ๋น” น้ำเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อคนข้างๆ




   “ครับ?”




   “ขอมือหน่อย” ฐานทัพแบมือไปตรงหน้าอีกคน “จับมือ”




   “คะ…ครับ” บุ๋นตะกุกตะกักขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายขออย่างเต็มใจ




   มือทั้งสองสอดประสานกันแน่นเป็นหนึ่งเดียว ฐานทัพรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมายังเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้




   มือคู่นี้…ไม่อยากปล่อยเลย




   บุ๋นปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือโดยไม่ถามอะไรต่อ เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนทุกๆครั้ง แม้เขาจะพยายามทำใจให้ชินแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ชินได้




   หมอฐานทัพมีอิทธิพลกับหัวใจเขามากจริงๆ




   “พี่คินจดลิสให้พี่หรอครับ” บุ๋นถามออกไปเมื่อเห็นว่าฐานทัพแค่พักสายตาไม่ได้งีบหลับ




   “เปล่า” เขาตอบ




   “อ่าว…”




   “อ่านพันทิป”




   เขานั่งหาข้อมูลทั้งคืนเพียงเพราะว่าตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์และไม่อยากให้อีกคนรู้สึกน้อยใจ ถึงเขาจะไม่เก่ง ถึงจะไม่เชี่ยวชาญแต่เขาจะพยายามทำให้ดีที่สุด




   เพื่อให้บุ๋นมีความสุขเหมือนที่เขามีความสุข





   บุ๋นแทบไม่มีสมาธิกับหนังที่ดูเพราะมือที่ประสานกันแน่นผิดกับหมอฐานทัพที่นั่งดูตาไม่กระพริบ แม้ว่ามือทั้งคู่จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ไม่มีสักวินาทีที่มือทั้งคู่หลุดออกจากกัน




   เป็นแบบนี้ไปนานๆนะครับ




   หนังกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงครึ่งทำให้ออกมาจากโรงหนังฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี บุ๋นดูเวลาในโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองอีกคนที่ยืนเงียบๆอยู่ข้างๆ




   “ไปไหนกันต่อดีครับ?”




   “ไปกินไอศกรีมไหม” เขาดูรายการที่เขียนมาก่อนจะบอกอีกคน “หรือว่าหิว…” ฐานทัพหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่มองกลับมา




   รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนยิ้มเก่ง แววตาที่บ่งบอกถึงความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ ความรักที่เขามีให้แก่อีกคน บุ๋นไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้หมด




   แต่เขาเชื่อว่า…หมอรับรู้




   “ยิ้มอะไร”





   “มีความสุขครับ” สุขที่เห็นความพยายามของอีกคน “ทำไมต้องน่ารัก”





   “น่ารัก?” ฐานทัพถามเสียงสูง “ไม่น่ารัก”




   “น่ารักสำหรับผมคนเดียว” บุ๋นบอกอย่างคนขี้หวง “ไปกินไอศกรีมกันครับ”




   “อยากกินหรอ”




   “ครับ” เห็นหมอเขียนเขาเองก็ไม่อยากขัด เขาไม่เคยคิดว่าการมาเดตจะต้องวางแพลนเขียนไว้ทุกอย่าง แต่พอเห็นสิ่งที่หมอทำก็อดอมยิ้มไม่ได้




   ใส่ใจรายละเอียดมากกว่าเขาอีก…




   ร้านไอศกรีมมีคนอยู่ในร้านประปรายเลยทำให้เขาได้ไอศกรีมไวกว่าทุกๆครั้ง บุ๋นเลือกสั่งดาร์กช็อกโกแลตส่วนหมอฐานทัพสั่งรสมะนาว




   “พี่ชอบเปรี้ยวๆหรอครับ”




   “บางครั้ง” ฐานทัพตอบ “กินแล้วตื่นดี”



   “พี่ง่วงหรอครับ?”




   “เปล่า สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย” เขาถอนหายใจ “หนังสนุกเนอะ” ฐานทัพพยายามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่มองมา




   จะให้บอกไปตรงๆว่านอนดึกเพราะอ่านกระทู้ก็ดูตลก




   “พี่ว่าการตัดสินใจของเขาถูกแล้วหรอครับ” บุ๋นหยิบประเด็นหนังที่ดูออกมาถาม เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพระเอกสักเท่าไหร่




   “ไม่รู้…แต่คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”




   “ไม่อะ ผมว่าพระเอกมันขี้แพ้เกินไป” เขาโต้ขึ้นมา




   “ขี้แพ้ยังไง”




   “ก็เขาไม่ถามความเห็นอีกฝ่ายสักคำว่าต้องการแบบนี้ไหม เขาเอาแต่การตัดสินใจของตัวเอง แล้วเป็นยังไง สุดท้ายก็เจ็บทั้งคู่” บุ๋นอินหนักกับหนังรักที่จบแบบไม่สมหวัง




   เขาไม่เข้าใจจริงๆ




   “บางทีเรื่องที่คิดไม่จำเป็นต้องพูดออกมา”




   “…”





   “รู้สึก…ก็รู้สึกแค่คนเดียวก็พอ”   




   “ทำไมล่ะครับ” บุ๋นถามอย่างคนไม่เข้าใจ




   ไม่เข้าใจจริงๆ



   “การที่ให้อีกฝ่ายไม่รับรู้คงเป็นทางที่ดีกว่าให้รับรู้” ฐานทัพเหม่อมองไอศกรีมตรงหน้า คำพูดเมื่อตอนกลางวันหวนกลับมาอีกครั้ง




   ทั้งๆที่เมื่อกี้ก็ลืมไปแล้วแท้ๆ




   “พี่ดูอินกว่าผมอีกนะเนี่ย” บุ๋นหัวเราะออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพพูดในแบบที่ไม่เคยพูดมาก่อน




   “อืม…คงงั้น”


.
   ทางเดินที่เคยมองว่ายาววันนี้มันกลับสั้นแปลกๆ ฐานทัพหยุดยืนอยู่ตรงจักรยานที่ล็อกไว้ของตัวเองกับบุ๋นที่จอดข้างกันก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่เดินตามมาเงียบๆระหว่างทาง




   อะไรหลายๆอย่างทำให้บทสนทนาของเขากับบุ๋นขาดช่วงไปและดูเหมือนบุ๋นจะไม่กล้าถามเหมือนทุกๆครั้ง ถึงจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ดูเหมือนตอนนี้หมอไม่พร้อมที่จะเล่า




   “เจอกัน” ฐานทัพพูดออกไปสั้นๆหากแต่อีกคนไม่อยากฟังคำๆนี้




   “พี่จะไม่บอกผมหน่อยหรอครับว่าพี่เป็นอะไร” คนที่รอให้ฐานทัพเป็นคนเปิดประเด็นตัดสินใจถามออกไปเมื่อไม่เห็นท่าทีที่หมอจะพูดออกมา




   “เปล่า” เป็นอีกครั้งที่ปากไม่ตรงกับความรู้สึกข้างใน




   รู้ว่าเป็น…แต่ไม่รู้จะบอกยังไง




   “ผมไปทำอะไรให้พี่โกรธรึเปล่าครับ”




   “เปล่า”




   “แล้วผม…”




   “ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยออกมาก่อนจะสบตาคนตรงหน้าช้าๆ “วันนี้สนุกมาก”




   “ผม…” คิ้วทั้งสองข้างยังขมวดเข้าหากัน บุ๋นรับรู้ได้ว่าครั้งนี้หมอกำลังปิดบังอะไรเขาอยู่ แม้จะไม่ยอมบอกแต่แววตาของหมอไม่เหมือนเดิม   





   เป็นอะไร




   “กลับเถอะ ดึกแล้ว”




   “พี่จะกลับทั้งๆที่พี่ยังเป็นแบบนี้งั้นหรอครับ” เขาไม่มีความสุขถ้าจะให้กลับทั้งๆที่อีกคนยังมีความรู้สึกอะไรในใจ




   “เป็นยังไง”




   “ผมว่าพี่รู้นะว่าพี่เป็นอะไร แค่พี่ไม่ยอมพูด” ถ้าเป็นกับคนอื่นๆบุ๋นคงโมโหไปแล้วแต่พอเป็นกับหมอ แค่จะโกรธเขายังทำไม่ลง




   เขาเข้าใจว่าหมอฐานทัพมีเขาเป็นแฟนคนแรกและไม่เข้าใจความสัมพันธ์เวลาคบกัน




   แต่ทุกครั้งหมอก็เลือกที่จะพูดออกมา…ทำไมครั้งนี้ไม่ยอมพูด




   “ขอโทษ” เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำๆนี้ออกมาจากปากของหมอฐานทัพ ตั้งแต่ที่เจอกันหมอไม่เคยพูดคำๆนี้มาก่อน




   ไม่ปกติแล้วสิ…




   “พี่จะไม่บอกผมจริงๆหรอ” จากอารมณ์ดีๆในตอนแรกเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อยากให้หมอเป็นแบบนี้ เขาอยากให้ทุกอย่างมันเคลียร์




   “บอกสิ” ฐานทัพยิ้มบางๆ เขาไม่อยากให้บุ๋นทำหน้าเครียด “แต่ไม่รู้จะบอกยังไง”




   “บอกเหมือนที่พี่เคยบอกผมไง บอกตรงๆแบบที่พี่ชอบทำ”





   “อืม”




   ฐานทัพเงียบอยู่นานหลายนาที ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมรอบข้าง เสียงถอนหายใจของคนตรงหน้าดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนที่ดึงเขาเข้าไปกอดไว้แน่น สัมผัสอบอุ่นที่ส่งผ่านมาเหมือนคำปลอบโยนไร้เสียง ฐานทัพหลับตาลงช้าๆพร้อมกับแขนที่โอบกอดคนตรงหน้าไว้แน่น ความกังวลที่เกิดขึ้นเหมือนถูกหักลบลงไปเรื่อยๆ




   “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่ชอบเลยที่พี่เป็นแบบนี้” น้ำเสียงที่ดังอยู่ข้างหูเอ่ยเสียงสั่น “พี่เป็นแบบนี้ผมกลัวนะ”




   “…”




   “ผมกับพี่เราได้คบกันแล้ว ผมก็อยากจะทำทุกวันให้ดีที่สุด” บุ๋นกอดคนตรงหน้าไว้แน่นราวกับว่าถ้าเขาปล่อย หมอจะหายไป




   “…”





   “พี่บอกผมเถอะนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้ทำอะไรได้บ้าง”




   “…”




   “ผม ผม…” เสียงบุ๋นสั่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีแต่ความกลัวที่เริ่มก่อขึ้นในจิตใจ




   กลัวไปหมด

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 17-01-2017 19:36:42
   “พอแล้ว” ฐานทัพตบหลังบุ๋นเบาๆ “ไม่มีอะไร”



   “…”




   “แค่รู้สึกว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง” เขายอมบอกในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ทั้งๆที่ใจอยากจะเก็บไว้คนเดียวแต่พอเห็นอาการของอีกฝ่ายเขาก็ทำอย่างที่คิดไม่ลง




   “ผมไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนคิดว่าชายกับหญิงต้องคู่กัน”




   “…”





   “แต่ผมมองข้ามมันไปตั้งแต่ได้รู้จักพี่”




   เสียงหัวใจของบุ๋นบอกทุกอย่างให้เขาได้รับรู้ ความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงใจ




   “ครับ” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   “…”




   “คิดมากไม่เข้าเรื่อง” เขาโทษตัวเอง “อย่าเครียด”




   “ผมเข้าใจครับว่าทำไมถึงคิดมาก เอาจริงๆผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะคิดเหมือนกัน” บุ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ผมก็เคยคิดแบบนั้น”




   “แล้วทำยังไงให้ไม่คิด”




   “รัก” คำๆเดียวสั้นๆ “แค่ใช้ใจรักก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว”




   “อืม นั่นสิ” ฐานทัพยิ้มออกมา เหมือนบุ๋นเป็นยางลบที่คอยลบเรื่องแย่ๆในความคิดของเขาให้หายไปหมดเหลือแต่ความสุขที่เริ่มอัดแน่นจนแทบจะล้นออกมา




   “ความรู้สึกมันจะตอบทุกอย่าง”




   “ขอบคุณ”




   “พี่เครียดเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอครับ”




   “จริงๆก็มีอีกเรื่อง”




   “เรื่องอะไรครับ?”




   “แครอทหมดแล้ว” ฐานทัพพูดติดตลกทำเอาคนที่แทบจะกลั้นหายใจรอฟังถอนหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอก




   “โถ ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร” บุ๋นหัวเราะ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมซื้อไปให้นะครับ”




   “ได้ จะรอ”




   “แล้วอย่าเครียดอีกนะครับ ถ้าเครียดอีกผมไม่ซื้อแครอทให้แล้วนะ”




   “อย่ามาขู่”




   “ผมพูดจริง”




   “เครียดเรื่องสอบนับไหม?”




   “เรื่องนั้นไม่นับก็ได้ครับ” บุ๋นยิ้มด้วยความเอ็นดูคนชอบกินแครอท




   หมอฐานทัพทุพครั้งที่พูดถึงแครอทจะเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่รอคอยการมาของสิ่งที่ชอบอย่างใจจดใจจ่อ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ทุกที




   อย่าขัดใจเชียว…


.   
   จาก…คิดถึง
   สอบเสร็จคินกับป้องชวนไปหาอะไรกินต่อ ไปไหม?


   จาก…คนส่งแครอท
   อยากไปครับแต่คงไม่ได้ วันนี้ผมมีทำรายงานกับเพื่อน
   กินให้อร่อยนะครับ :)


   จาก…คิดถึง
   ครับ


   บุ๋นวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปสนใจเพื่อนที่ช่วยกันหาหัวข้อใส่ลงไปในรายงานกลุ่มที่อาจารย์สั่งไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วยังไม่ได้เริ่มทำ อาทิตย์หน้าต้องส่งงานแล้ว ถ้าเพื่อนกลุ่มอื่นไม่มาถามกลุ่มเขาก็คงลืมรายงานนี้ไปเลย




   “ยากจังวะ” เดชที่เปิดหนังสือไปมาบ่น




   “เออ ทำๆไปเถอะ” บุ๋นพูดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ขึ้นมาเปิดช่วยหาเนื้อหา




   เวลาบ่ายสามล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่ม โน๊ตบุ๊คพับหน้าจอลงพร้อมกับไฟล์งานที่ถูกยื่นมาทางบุ๋นหลังจากใช้เวลากันมาหลายชั่วโมงในการทำรายงาน




   “ฝากด้วยนะบุ๋น” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยเมื่อบุ๋นเป็นคนออกปากว่าจะไปปริ้นเป็นรูปเล่มให้ “เข้าเล่มเท่าไหร่แล้วมาบอกนะ เดี๋ยวจ่ายให้”




   “อืม ได้ๆ” บุ๋นพยักหน้ารับ





   วันนี้ตั้งใจว่าจะไปเล่นบาสกับเพื่อนสักหน่อยหลังจากที่ห่างหายไปหลายวันจนโดนโทรตาม ไหนๆวันนี้เขาก็ไม่ได้ไปไหนกับหมอฐานทัพอยู่แล้วเขาจึงอาสาเอารายงานไปทำเป็นรูปเล่มที่ร้านถ่ายเอกสารไม่ไกลจากสนามบาสที่เปิดจนถึงสองทุ่ม




   “ให้กูไปด้วยไหม” เดชที่นั่งข้างๆถาม




   “ไม่เป็นไร กูไปเองได้ ว่าจะแวะไปเล่นบาสก่อนกลับด้วย”




   “เออก็ได้ ไงเจอกันพรุ่งนี้นะ”




   “เจอกันมึง” บุ๋นบอกลาก่อนจะยกมือบ๊ายบายเพื่อนที่กำลังเก็บของอยู่ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกมาเพื่อให้ทันเวลาที่ร้านถ่ายเอกสารจะไม่ปิด



   ร้านถ่ายเอกสารยังคงเปิดไฟสว่างพร้อมกับร้านที่ไม่มีลูกค้าต่างจากทุกวัน อาจเพราะเวลาที่ใกล้จะปิดร้านเต็มทีเลยทำให้ไม่มีคน




   “พี่ครับ รวมเล่มรายงานครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับเสียบไดร์ฟเข้ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วกดสั่งปริ้นเหมือนทุกๆครั้งที่เขามา




   “พี่ติดงานถ่ายเอกสารอีกตัวอยู่อะน้อง น้องรีบไหม เดี๋ยวค่อยกลับมาเอาได้รึเปล่า” น้ำเสียงของเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารเอ่ยบอก




   “ได้ครับ งั้นอีกสักครึ่งชั่วโมงผมจะมาเอานะครับ”




   “จ้ะ รวมเล่มเลยใช่ไหม”




   “ครับ ส่วนหน้าปกเอาเป็นสีฟ้าอ่อน”




   “จ้าได้เลย เดี๋ยวพี่ทำให้”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มบางๆก่อนจะเดินออกมาจากร้านถ่ายเอกสารโดยไม่ได้เอาจักรยานไปด้วยเพราะร้านถ่ายเอกสารกับสนามบาสอยู่ไม่ไกลกันมาก




   
   ถึง…คิดถึง
   สอบเป็นยังไงบ้างครับ ยากรึเปล่า?



   บุ๋นกดส่งข้อความไปก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม สายตาทอดมองไปยังสนามบาสที่มีเสียงลูกบาสกระทบกับพื้นและเสียงคนพูดคุยกันที่ดังมาแต่ไกล




   “มาได้แล้วหรอครับคุณบุ๋น~” น้ำเสียงที่ออกแนวประชดประชันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวหายไปนาน




   “เออ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างว่ะ” บุ๋นแก้ตัวออกไป “มากูพร้อมเล่นแล้ว” เขาถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมจะเล่นแต่โดนเพื่อนอีกคนเบรคไว้ก่อน



   “ใกล้จบแล้ว มึงรอเล่นรอบใหม่”



   “แบบนี้ก็ได้หรอวะ” เขาเอ่ยติดตลกแต่ก็ยอมทำตามที่เพื่อนในสนามบอก




   บุ๋นยืดเส้นยืดสายเตรียมจะรอเล่นเกมส์ใหม่ แขนที่ยืดเหยียดออกไปสัมผัสกับความเย็นจัดจนต้องรีบชักแขนกลับมาแล้วหันไปมอง ใบหน้าของคนที่คุ้ยเคยยืนอยู่บนอัศจรรย์ชั้นที่สูงกว่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลมในมือ




   “สักหน่อยไหม” พี่ต้าถามพร้อมกับยื่นขวดน้ำอัดลมที่ตั้งใจเอามาให้




   “มาไม้ไหนวะพี่” บุ๋นขมวดคิ้วงง ถึงครั้งสุดท้ายที่เจอกันทุกอย่างจะเหมือนปกติแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังอดหวั่นใจเล็กๆ




   “อะไรมาไม้ไหน ก็เอามาให้มึงไง”




   “ใส่ยาลงไปปะ” บุ๋นแกล้งถามออกไปลองเชิงดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้าว่าจะทำท่าทางยังไง




   “กูไม่ฉลาดพอที่จะใส่ยาลงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดกระป๋อง” พี่ต้าถอนหายใจแรงๆ “ไม่กินก็เรื่องของมึง”




   “เออกินครับ” บุ๋นเอื้อมมือไปดึงกระป๋องในมือพี่ต้ามาถือไว้




   “ก็แค่นั้น” คนแก่กว่าเอ่ยอย่างใจเย็นแล้วเดินลงมานั่งข้างๆบุ๋นที่มองไปยังสนาม




   “ไม่ได้มานานสิมึงอะ” เขาชวนคนข้างๆคุย แม้ว่าบรรยากาศระหว่างเขาสองคนจะแปลกๆไปบ้างแต่ก็คงถึงเวลาที่เขาจะต้องพูด




   “ครับ นาน” บุ๋นตอบพร้อมยกน้ำอัดลมในมือขึ้นดื่ม “มีอะไรรึเปล่าพี่ ทำตัวแปลกๆ” เขาสังเกตุปฏิกิริยของคนข้างๆออก




   เขากับพี่ต้าไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความจริงเขาเองไม่ได้มีปัญหาอะไร พี่ต้าเองมากกว่าที่ชอบมามีปัญหากับเขาและครั้งนี้มันแปลกที่จู่ๆพี่ต้าก็ทำตัวเป็นคนดีผิดปกติ




   ดีในที่นี้คือ…ให้น้ำเขาแถมยังเดินลงมานั่งคุยข้างๆ




   บุ๋นสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง…




   “กูดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอวะ” คนที่มีความในใจอยากจะพูดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนรู้ทันความคิดของเขา




   “ว่างั้นก็ได้มั้ง”




   “มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่มีก็คงไม่เชื่อ” พี่ต้าหัวเราะ “ความจริงกูอยากคุยกับมึงตั้งแต่วันแข่งเสร็จแต่เห็นว่ามึงมีความสุขกับเพื่อนๆก็เลยไม่อยากพูดให้เสียบรรยากาศ”




   “ครับ” เขาพยักหน้าช้าๆ




   จะพูดอะไรกันแน่




   “ขอโทษกับเรื่องทุกๆอย่างที่กูเคยทำกับมึง” คำพูดที่เคยคิดว่ายากลำบากแต่ในวันนี้เขาพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย มันออกมาจากความรู้สึกในใจของเขา




   “ทำไมถึงพึ่งมาขอโทษละครับ”




   “พึ่งคิดได้” พี่ต้าหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง “ย้อนกลับไปตอนนั้นกูทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เลวชิบหาย”




   “ยิ่งกว่าเลวอีกพี่” พอย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้นในใจเขามันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา “ถ้าตอนนั้นผมมีพยานเชื่อเถอะว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้”




   “เออ กูรู้” เขารู้ตัวเองดีมาตลอดว่าทำไมบุ๋นถึงไม่แจ้งความเรื่องของเขา “เกลียดกูมากสินะ”




   “มากว่ะพี่” เขายอมรับออกมาตรงๆ “พี่ทำให้ความสุขของผมครึ่งหนึ่งหายไป”




   “อืม” เขายอมรับ “กูเลยอยากขอโทษ”





   “…”




   “พอมาคิดดูแล้วกูไม่มีน้ำใจนักกีฬาเลยที่ทำแบบนั้นกับมึง อาจเพราะตอนนั้นกูยังเด็กเลยคิดไม่ได้” เขาหลับตาลงช้าๆ “แต่พอเห็นมึงชนะ กูรู้สึกเหมือนเกมส์โดมิโนที่กูพยายามต่อมามันพังลงกับตา”




   “…”




   “จนกูพึ่งมารู้ว่า…ที่ผ่านมากูไม่เคยยอมรับความจริง”




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ “แล้วทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นกับผม”




   “อิจฉา” เขาตอบ “คำเดียวเลยว่ะ” พี่ต้าหัวเราะออกมา คิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ เขาทำลงไปได้ยังไง




   “พี่จะอิจฉาผมทำไม ทั้งๆที่พี่ก็เก่ง เก่งกว่าผมอีก”




   “มึงจะมาเข้าใจอะไร ในตอนนั้นมึงคือเด็กมอสี่คนเดียวในทีม มึงรู้ไหมตอนกูอยู่มอสี่กูต้องใช้ความพยายามขนาดไหนเพื่อที่จะได้เข้ามาเป็นตัวจริง” เขายังจำภาพเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดี มันเหนื่อยและท้อ




   “…”




   “กูที่พยายามแทบตายแต่ต้องโดนเป็นตัวสำรองเพราะเรื่องที่ครูไม่ยอมฟังเหตุผลแล้วก็ให้มึงที่เป็นเด็กมอสี่ขึ้นมาเป็นตัวจริงแทน” เขาถอนหายใจ “ถ้ามึงเป็นกูมึงจะรู้สึกยังไงวะ ความพยายามที่กูทุ่มเทมาตลอดแต่ต้องมาพังเพราะเรื่องบ้าๆ”   




   “ครูเป็นคนเลือก ผมไม่ได้เลือก”




   “เออ แต่ตอนนั้นกูไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะอารมณ์อะไรหลายๆอย่างเลยทำให้กูต้องทำแบบนั้นกับมึง”




   “…”




   “ขอโทษว่ะบุ๋น” เขาหลุบสายตาลงต่ำ “กูก็รู้สึกแย่ไม่ต่างจากมึงหรอก มึงไม่ได้ทำอะไรผิดแต่คนที่ผิดคือกู”




   “ถ้าพี่คิดได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องโกรธพี่” บุ๋นตอบออกมาจากความรู้สึกตัวเองจริงๆ แม้ว่าเขาจะเกลียดพี่ต้ามากแต่เขาก็พอรู้เหตุผลลึกๆที่ทำไป




   แม้จะเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปผูกใจเจ็บ




   “ผมยกโทษให้”




   “…” คนข้างๆเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดที่เปล่งออกมา ความรู้สึกผิดถาโถมออกมาจนจุกพูดไม่ออก พี่ต้าหันไปมองคนข้างๆช้าๆ




   รอยยิ้มที่บุ๋นส่งกลับมาเหมือนเป็นคำตอบของทุกอย่าง แม้ว่าเรื่องที่เขาทำจะไม่สมควรแก่การให้อภัยแต่คนข้างๆกลับให้อภัยเขา



   เขาที่ทำไม่ดีมาตลอด




   “ผมดีใจที่ได้ยินคำขอโทษจากปากพี่”




   “กูก็ดีใจที่ได้ยินคำว่ายกโทษ”




   บุ๋นไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป ในวันข้างหน้าเขาอาจจะต้องเจอเรื่องที่ร้ายแรงกว่าที่เคยเจอหรือเหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์สุดท้ายในชีวิตเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อและยึดถือมาตลอดคือ




   คำว่าให้อภัย…จะทำให้การใช้ชีวิตอยู่บนโลกมีความสุขมากขึ้น


.

   บุ๋นปั่นจักรยานกลับหอหลังจากที่เล่นบาสกับเพื่อนจบจนเกือบลืมไปเอาเอกสารที่ร้านถ่ายเอกสาร ดีที่เจ้าของร้านยังทำงานต่อเลยทำให้เปิดร้านดึกกว่าทุกๆวัน ลมเย็นๆในยามค่ำคืนพัดกระทบใบหน้าของเขาพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง




   “ว่าไงครับ” บุ๋นจอดจักรยานลงตรงริมฟุตบาทก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่ปรากฏชื่อของคนสำคัญ




   ( อยู่ไหน )




   “กำลังกลับหอครับ พี่มีอะไรรึเปล่า”




   ( มี ) เขาตอบกลับมาทันที ( อยู่ตรงไหน เดี๋ยวไปหา )




   “ผมอยู่ตรงฟุตบาทแถวๆคณะพี่ครับ พอดีลมเย็นเลยขับอ้อม”




   ( รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวไปหา )




   “พี่มีอะไรรึเปล่าครับ” บุ๋นเริ่มใจไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงหมอฐานทัพที่เดาอารมณ์ไม่ออก




   ( มีเรื่องจะบอก )




   “…”




   ( แต่บอกต่อหน้าน่าจะดีกว่า )




---------------------------------------
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ กลับมาแล้วจ้าาาาาาาาา  :hao6: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 17-01-2017 21:29:02
เรื่องอะไรที่หมอจะบอกบุ๋นน๊าาาา อยากรู้จัง :hao7:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: nsai.ss ที่ 17-01-2017 22:36:17
จะบอกอะไรน้า
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย ที่ 18-01-2017 16:22:26
เรื่อยๆแต่ชอบจัง ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะค้า เค้ารอตอนใหม่ทุกเช้าค่ำอยู่น้า :hao3:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [21: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100%] 17/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 18-01-2017 17:39:28
จะบอกอะไรนะ

มีอะไรก็บอกบุ๋นตรงๆเลยนร้า อย่าคิดไปเองนะหมอ
แต่หมอน่ารักจังมีลิสรายการเดท 555
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 18-01-2017 19:13:10
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง

   บุ๋นจอดจักรยานลงข้างฟุตบาทเพื่อรอหมอตามที่บอกโดยที่เดาไม่ออกเลยว่าหมอจะบอกอะไรกับเขากันแน่ ลึกๆแล้วเขาแอบหวั่นลึกๆกลัวจะเป็นเรื่องไม่ดีเพราะปกติหมอฐานทัพไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน เรื่องอะไรกันที่จำเป็นต้องบอกต่อหน้า



   และต้องบอกตอนนี้…




   เขายืดเหยียดกล้ามเนื้ออีกครั้งหลังจากที่พึ่งเล่นบาสกับเพื่อนระหว่างรอหมอ ลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก บุ๋นบิดขี้เกียจไปมาจนสายตาสะดุดเข้ากับร่างสูงที่เขาคุ้นเคย




   เจอกันอีกแล้ว…




   “พี่ครับ!!!” บุ๋นตะโกนเรียกอย่างกับกลัวว่าร่างนั้นจะเดินหายไป




   คนที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดปากหันมามองช้าๆตามต้นเสียง บุ๋นไม่รู้เลยว่าใต้ผ้าปิดปากนั้นมีรอยยิ้มบางๆเผยออกมา เขายังคงตีเนียนทำตัวเป็นปกติก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินตรงไปยังบุ๋นที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม




   เก้าอี้ที่เคยนั่งคุยกัน




   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” บุ๋นดูดีใจมากเป็นพิเศษเมื่อเห็นคนที่เขาไม่ได้เจอมานาน “พี่จำผมได้ไหมเนี่ย”




   “จำได้” คนที่พึ่งเดินมาถึงเอ่ยตอบก่อนจะนั่งลงข้างๆ “มานั่งทำอะไรตรงนี้”



   “อ่อ ผมมารอ…” บุ๋นชะงักไปนิดหนึ่งอย่างคนไม่กล้าพูด “มารอแฟนครับ”




   “หืม? มีแฟนแล้วหรอ”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มอย่างภูมิใจ “พี่ไม่ได้เจอผมนานเลยไม่รู้”




   “อืม คงงั้น” คนที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดปากหัวเราะ “แล้วไหนแฟน”





   “ยังไม่มาเลยครับ” บุ๋นพูดพร้อมชะเง้อคอมองตามทางว่าเมื่อไหร่หมอฐานทัพจะมา “พี่อยากเจอหรอ”





   “อืม อยากเห็นว่าคนไหน”




   “คนเดียวกับตอนนั้นไงครับ” รอยยิ้มแห่งความสุขเผยออกมา บุ๋นหันไปสบตาคนข้างๆ “คนที่ผมเคยเล่าให้พี่ฟังตั้งแต่วันแรก”




   ความทรงจำเก่าๆย้อนคืนกลับมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ คนข้างๆได้เพียงแต่นั่งเงียบๆเพื่อรอฟังเรื่องที่บุ๋นกำลังจะเล่าต่อ




   “ผมเจอกับพี่ครั้งแรกที่เซเว่นใช่ปะ วันนั้นอะคนที่ผมชอบเขาบอกว่าเขากำลังจะไปเซเว่น” บุ๋นคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นก็อดขำไม่ได้ ตลกตัวเองที่ดูร้อนรนกลัวไม่ได้เจอ




   ความจริงแล้วเรื่องนี้ตัวเขาเองเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินคนข้างๆเล่าเขาก็จำเรื่องราววันนั้นขึ้นมาได้ทันที วันที่คนข้างๆเหงื่อท่วมตัว ท่าทางเหนื่อยหอบเหมือนกำลังวิ่งตามหาอะไรสักอย่าง



   “ผมโคตรบ้าเลยพี่ เซเว่นในมอมีตั้งหลายที่ ผมขึ้นวินมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้าออกเซเว่นเป็นว่าเล่นเลย แต่สุดท้ายก็คงคลาดกัน เหมือนยังไม่ถึงเวลาเจอก็เลยไม่เจอ”




   “อืม”




   “หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ละความพยายามนะ ผมเจอเขาครั้งแรกวันแรกพบของมหาวิทยาลัย ผมไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันในวันที่มีคนอยู่รวมกันเป็นพันๆ” ทุกครั้งเวลาพูดถึงหมอฐานทัพสีหน้าของบุ๋นจะแสดงออกถึงความรักความสุขที่เขาได้รับจากหมอเสมอ



   “เจอหรอ”



   “ครับ เขาถือป้ายคณะแพทย์” บุ๋นตอบ “อยู่เฉยๆผมก็แย่มากพออยู่แล้ว ยิ่งถือป้ายยิ่งเด่นดิพี่ หัวใจแม่งเต้นโครมครามจนจะออกมาเต้นแอโรบิคได้อยู่แล้ว”



   “ขนาดนั้นเลย” เขาหัวเราะออกมา




   “โห่พี่ ดูเหมือนเว่อร์นะแต่ในบรรยากาศตอนนั้นอะ มันมีเพลงขึ้นมาในหัวผมหลายเพลงมาก”




   “…”




   “ตอนได้สบตานะ ผมคิดเลยว่า” บุ๋นเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะร้องเพลงออกมา “แต่เราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา~”




   “แล้วเขารู้ตัวไหม?”




   “ไม่รู้หรอกพี่ ผมเป็นคนเก็บอาการเก่ง” บุ๋นเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ




   “แล้วไปคบกันได้ยังไง”




   “พี่เชื่อในเรื่องบังเอิญรึเปล่า?”




   “ก็เชื่อ”




   “แต่ผมไม่เชื่อ” บุ๋นตอบกลับแทบจะทันที “ทุกครั้งที่ผมเจอเขาอาจจะดูเหมือนเรื่องบังเอิญแต่ความจริงผมตั้งใจทั้งนั้นแหละ ทั้งขับจักรยานอ้อมมออ้างว่าออกกำลัง ทั้งแอบตามดูว่าเพื่อนๆเขาเช็คอินเฟสบุ๊คที่ไหนแล้วแอบตามไป”



   “แล้วเขารู้ไหมว่าทำแบบนี้”




   “โห้ยพี่จะไปรู้ได้ยังไง ถ้ารู้ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน น่าอายจะตาย”



   “แล้วยังไงต่อ”




   “แม่ผมจะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ขับแต่ผมปฏิเสธไปเพราะผมอยากจะหาข้ออ้างในการใช้เวลาอยู่กับเขาให้นานกว่าเดิม เวลาที่ได้ปั่นจักรยานกลับด้วยกันเป็นอะไรที่โคตรดีเลยนะพี่รู้ไหม”



   มันคือความจริงที่เขาคิด ถึงจะดูไร้สาระแต่มันคือความสุขของเขา



   “ผมรู้มาว่าเขาชอบกินแครอท ผมก็เลยโทรไปหาที่บ้านบอกว่าอยากปลูกแครอท จำได้ว่าช่วงนั้นศึกษาหลายที่เลยว่าปลูกยังไงแครอทถึงจะดูอวบอ้วนน่ากิน” บุ๋นเล่าอย่างภูมิใจ




   “แครอทเนี่ยนะ?”




   “ครับ…ถ้าจะให้ผมขอบคุณอะไรสักอย่างผมคงต้องขอบคุณเทพเจ้าแครอทที่ทำให้ผมจีบเขาสำเร็จ” บุ๋นหัวเราะออกมา ดูๆไปเขาก็ใช้แครอทในการเข้าหาหมอฐานทัพมาตลอด




   “…”




   “ผมเล่าข้ามไปตอนนึง ย้อนกลับไปวันที่ผมเจอเขาครั้งแรกอีกครั้งนะพี่” พอมีคนมารับฟังบุ๋นก็พูดออกมาไม่หยุด




   “อืม”




   “วันนั้นผมได้เขียนชื่อผมลงบนหน้าผากเขาและชื่อเขาก็อยู่บนหน้าผากผม” บุ๋นยิ้มกว้าง “เชื่อปะพี่ ผมไม่อยากล้างหน้าเลย อยากจะให้ติดอยู่อย่างนั้นตลอดไป”




   “แล้วล้างทำไม”




   “สิวขึ้น” เขาหัวเราะออกมา “นี่ยังเสียดายไม่หายเลย”




   “ไม่ถ่ายรูปเก็บไว้ล่ะ”




   “โห จะเหลือหรอพี่” บุ๋นพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับเปิดรูปหน้าจอที่ตั้งค่าไว้ให้คนข้างๆดู




   ใบหน้าที่ดูมีความสุขยิ้มกว้างเต็มจอ นิ้วมือชี้ไปที่หน้าผากของตัวเองอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับชื่อที่เขียนไว้ แม้จะดูเลือนลางลงไปบ้างแต่ก็พออ่านออกว่า




   ‘ฐานทัพ’




   “ฐานทัพ…ผู้ชายหรอ”




   “ครับ” เขาตอบกลับทันที “แฟนผมเป็นผู้ชาย”




   “…”




   “เมื่อวันก่อนเกือบจะไม่คุยกับผมเพราะเขาเครียดเรื่องนี้” บุ๋นยังจำสีหน้าของหมอฐานทัพตอนที่พูดเรื่องนี้ได้ดี “ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องเครียดเลย”




   “…”




   “เพราะผมไม่เคยอายที่มีแฟนเป็นเขา”




   “…”




   “เขาที่เป็นผู้ชายเหมือนผม”




   คนข้างๆหันไปมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข รอยยิ้มที่เผยออกมาคงเป็นที่น่าอิจฉาสำหรับใครหลายๆคน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแฟนของบุ๋นจะน่าอิจฉามากแค่ไหนกับความรักที่คนๆนี้มีให้




   “เขาทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับทุกๆการกระทำ”




   “…”




   “ปากบอกว่าไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นได้ตลอด”




   “ยังไง”




   “วันประกวดดาวเดือนที่คณะ ผมชวนเขามาแต่เขาบอกว่าไม่แน่ใจ อาจจะไม่ได้ไปแต่พี่รู้ไหม เขามาทันเวลาที่ผมทำการแสดงความสามารถพิเศษพอดี”




   “…”




   “เพลงที่ผมร้องผมก็ตั้งใจร้องให้เขาฟังและผมดีใจที่เขามาฟัง ความจริงวันนั้นผมเผื่อใจไว้แล้วว่าเขาอาจจะไม่มา แต่เขาก็มา”




   “…”




   “วันแข่งบาสเขาบอกมาไม่ได้แน่ๆแต่เขาก็ยังมาก่อนที่ผมจะแข่งทั้งๆที่เป็นเวลาเรียนของเขา มันอาจจะดูธรรมดาแต่สำหรับคนเป็นหมอผมคิดว่าเวลาเรียนของเขาสำคัญ เขามาเพียงเพื่อจะบอกให้ผมสู้ ถึงจะไม่ได้อยู่ตลอดช่วงแข่ง แต่เขาก็รีบมาในวินาทีสุดท้ายก่อนจบเกมส์”



   “…”




   “ผมชอบทุกอย่างที่เป็นเขา” บุ๋นยิ้มไม่หุบ “ทุกๆอย่างที่เขาทำมันทำให้ผมมองข้ามเรื่องเพศไป”




   “…”




   “ผมรักเขา” บุ๋นหันไปสบตาคนข้างๆ เขาเพียงแค่อยากจะสื่อส่ารให้อีกคนได้เข้าใจว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เรื่องวันนั้นของเขากับหมอฐานทัพมันพัฒนามาถึงจุดไหนแล้ว




   คนข้างๆที่เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ…แต่กลับเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม



   “อืม เชื่อแล้วว่ารัก”




   “ผมเล่าซะยาวเลย ขอโทษด้วยนะครับ”



   “ไม่เป็นไร อยากฟังอยู่แล้ว”




   “ว่าแต่ผมจะถามพี่นานแล้ว ทำไมเวลาเจอกันพี่ถึงใส่ผ้าปิดปากตลอด” เขาสงสัยมานานแล้วแต่แค่ไม่รู้ว่าจะถามยังไง




   “บังเอิญมั้ง”




   “สำหรับผมคำว่าบังเอิญคือความตั้งใจ”




   “อืม…งั้นก็คงตั้งใจ”





   “โหอะไรเนี่ยพี่ ผมงงไปหมดแล้ว” บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อดูเวลา    




   นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วทำไมหมอฐานทัพยังไม่มา




   “แฟนเมื่อไหร่จะมา” เขาถามออกไป




   “นั่นสิครับ ผมก็ไม่รู้” บุ๋นพูดพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์เพื่อที่จะโทรหา “เขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าจะคุยอะไร”




   “หืม ทำไมถึงนัดคุยที่นี่”




   “ผมไม่รู้ครับ สงสัยเรื่องด่วนมั้ง”




   “ด่วนหรอ ไม่รู้สึกแปลกๆหรอ”




   “แปลกยังไงครับ?” บุ๋นถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ




   “ไม่รู้สิ เคยเพื่อนนัดแฟนมาแล้วบอกมีเรื่องด่วน สุดท้ายก็นัดมาบอกเลิก”




   “พี่อย่าพูดแบบนี้ดิ ผมกลัวนะ”




   “กลัวอะไร”




   “ไม่รู้ กลัวไปหมด”




   “กลัวโดนทิ้งหรอ”




   “พี่!!!” บุ๋นเอ่ยเสียงหลง เอาจริงๆก็ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้นแต่ว่าน้ำเสียงของหมอฐานทัพที่เขาได้ยินก็อดทำให้คิดไม่ได้




   จะบอกเรื่องอะไรกันแน่




   “ลองโทรไปดิ”




   “…”



   “ถ้าโทรไปแล้วไม่รับก็เผื่อใจไว้หน่อยนะ”




   “โหพี่ทำไมให้กำลังใจกันแบบนี้…” บุ๋นกดโทรออกด้วยหัวใจที่เต้นตุ้มๆต่อมๆ เขาค่อยๆยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู



   
   เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…





   ไม่นะ…




   “ปิดเครื่องว่ะพี่” คนที่ร่าเริงก่อนหน้านี้หน้าถอดสีเมื่ออีกฝ่ายปิดเครื่อง “ทำไมปิดเครื่อง ปกติก็ไม่ปิดเครื่อง” ความร้อนรนเริ่มเข้ามาแทนที่




   “ถ้าปิดเครื่องแบบนี้…”




   “ไม่นะพี่ ไม่ อย่าพูดมันออกมา” บุ๋นเริ่มใจเสีย เขากดโทรออกซ้ำๆแต่ปลายสายก็ยังคงเป็นคำเดิม




   หมอปิดเครื่อง…




   “ทำยังไงดีพี่ โทรศัพท์ปิดเครื่อง เขาเป็นอะไรไปรึเปล่า” บุ๋นเริ่มกระวนกระวาย “หรือผมควรจะขับไปหาดี ผมทำยังไงดี”



   “ใจเย็น”




   “จะเย็นลงได้ไงวะพี่” บุ๋นเอ่ยเสียงสั่น “ผมกลัว”




   เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนข้างๆที่เครียดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้เขาเองทำตัวไม่ถูก เสียงลมหายใจพ่นออกมาช้าๆก่อนที่สมองจะค่อยๆคิดคำพูดที่จะพูดต่อ




   “ถ้าไปหาแล้วสวนกันจะทำยังไง”




   “แล้วจะให้ผมรออยู่ตรงนี้หรอครับ” แม้ว่าจะกระวนกระวายแค่ไหนแต่บุ๋นก็พยายามควบคุมตัวเอง “หมอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”




   “ทำไมถึงมั่นใจ”




   “เพราะผมรู้ว่าพี่ฐานทัพเป็นคนยังไง” บุ๋นกดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้งแต่ยังเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติเหมือนเดิม



   ความคิดเขาเข้าข้างตัวเองว่าหมอแบตหมด




   พยายามคิด…




   “เดี๋ยวก็คงมา อาจจะใกล้ถึงแล้ว”




   “ผม…” เสียงบุ๋นอ่อนลง “กลัวว่ะพี่”




   “…”




   “แค่คิดไปก่อนก็กลัวจะแย่แล้ว” บุ๋นก้มหน้าลงกับขาทั้งสองข้าง มือสั่นระริกราวกับว่าต้องการทำอะไรสักอย่าง




   เขากำลังจิตตก




   “ใจเย็นก่อน”




   “ความจริงผมกลัวมาตลอดเลยนะพี่รู้ไหม” บุ๋นตัดสินใจเล่าสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดออกมา “ถึงแม้ผมจะไม่เคยแสดงออกแต่ลึกๆแล้วผมกลัว”




   “…”




   “ทุกครั้งที่เจอหน้ากันผมมักจะคิดตลอดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ไหม เขาจะเข้าใจรึเปล่าว่าผมรู้สึกกับเขามากแค่ไหน” เสียงของเขาเริ่มสั่นคล้ายกับเก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหวอีกต่อไป




   “เขารู้ไหม”




   “ผมไม่ให้เขารู้” เสียงสะอึกที่ดังออกมาจากคนข้างๆตัวเริ่มทำให้ใบหน้าภายใต้ผ้าปิดปากเริ่มตึงเครียดตาม “ให้ผมคิดมากคนเดียวยังดีซะกว่าให้เขาคิดด้วย”



   “ทำไม”




   “ไม่อยากให้เขาเครียดเพราะผม” บุ๋นตอบ “แค่เรื่องเรียนมันก็หนักมากพอแล้ว ผมไม่อยากให้ผมเป็นหนึ่งในปัญหาของเขา”




   “…”




   “อยากให้เขาคบกับผมแล้วมีความสุข ไม่มีเรื่องให้ต้องคิด”




   “…”




   “ผมกลัวไปหมด” เสียงสะอื้นที่น้อยครั้งจะได้ยินจากคนที่ดูเข้มแข็งดังออกมาภายใต้ใบหน้าที่ฟุบอยู่กับหน้าขาของตัวเอง




   บุ๋นเก็บความรู้สึกกลัวไว้ลึกจนความรู้สึกนั้นเริ่มเอ่อล้นจนเก็บต่อไปไม่ไหว ความจริงแล้วเขาคิดมาตลอดแต่เขาเลือกที่จะเก็บ เลือกที่จะบอกตัวเองว่าเขาคิดมากเกินไป เลือกที่จะมองว่าความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น



   เขาไม่มีทางทำให้หมอเห็นว่าเขาอ่อนแอ




   “หมอ…เขาจะบอกเลิกผมจริงๆหรอ” เสียงที่เอ่ยออกมาตามไรฟันหากแต่อีกคนที่ได้ยินถึงกับรู้สึกเจ็บแปล๊บที่อก




   ไม่เคยคิดจะบอกเลิก




   ไม่เคย




   “ผม…” บุ๋นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาอ่อนแอเหลือเกิน




   เขากลัว…




   “ทำไมถึงกลัว”




   “รักมาก” คำพูดที่หนักแน่นและมั่นคงพูดออกมาจากปากของคนที่ไม่เคยต้องหยุดคิดนาน แววตาที่แม้จะเปื้อนคราบน้ำตาแต่คำพูดนั้นยืนยันได้จากสายตาที่มองมา



   รู้แล้ว รู้ทุกอย่าง




   “ใจเย็นๆ” เขาปลอบคนข้างๆอย่างคนไม่เคยปลอบใครมาก่อน เขาทำไม่เป็นและเขารู้สึกว่าเขาควรจะหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่




   “ผม…”




   “หลับตา”




   “…”




   “จะได้ใจเย็นขึ้น”




   “ครับ” บุ๋นรับคำอย่างว่าง่าย ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลงตามที่คนข้างตัวบอก



   ฐานทัพถอดผ้าปิดปากออก มือเย็นเฉียบค่อยๆเอื้อมไปจับใบหน้าที่ยังคงมีคราบน้ำตา ความรู้สึกผิดแผ่ซ่านจนไร้คำพูดใดๆที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆจนริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางความเงียบ บุ๋นลืมตาขึ้นมาช้าๆด้วยความตกใจ หัวใจเขาหล่นไปที่ตาตุ่มทันทีที่เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขามาตลอด




   คือ…หมอฐานทัพ




   ดวงตาทั้งสองข้างหลับลงอีกครั้งพร้อมรับสัมผัสที่อ่อนโยน ไร้การรุกล้ำใดๆมีเพียงความอบอุ่นของริมฝีปากที่ส่งผ่านกันและกัน ฐานทัพค่อยๆถอนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าบุ๋นชัดๆแม้ว่าตัวเขาเองจะทำตัวไม่ถูกหลังจากที่…จูบคนตรงหน้า




   “ไม่ต้องพูดอะไร”




   “…”




   “ครั้งนี้ให้…พี่ เป็นคนพูด” สรรพนามครั้งแรกที่ฐานทัพใช้เรียกแทนตัวเองกับบุ๋นทำเอาคนที่ยังอึ้งไม่หายกลับอึ้งหนักกว่าเดิม




   บุ๋นนั่งตัวแข็งราวกับถูกสต๊าฟไว้ให้อยู่ให้ท่าเดิม เขากระพริบตาปริบๆสองครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา ความคิดตีวุ่นกันอยู่ในหัวจนสุดท้ายเขาได้ข้อสรุปทุกอย่าง




   ที่ผ่านมาคนที่เขาเจอมาตลอด…คือหมอฐานทัพ

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 18-01-2017 19:19:39
   “ไม่คิดว่าจะร้องไห้” ฐานทัพพูดออกมา เขาวางมือตัวเองลงบนมือของบุ๋นแล้วบีบแน่น “ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้ง”



   “…” บุ๋นไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งฟังหมอฐานทัพเงียบๆเพราะเป็นครั้งแรกที่หมอเป็นฝ่ายพูดออกมา




   “ความจริงจะบอกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส”




   “เรื่องที่พี่กับผม…”




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “…”




   “ครั้งแรกที่เจอกันไม่ใช่ที่งานแรกพบ…แต่เป็นหน้าเซเว่น”




   “…”




   “ที่ตอนนั้นวิ่งหาพี่จนเหงื่อท่วมตัว”




   “พี่จำได้…”




   “ครับ” ฐานทัพระบายยิ้มบางๆ “เกือบลืม”




   “แสดงว่าพี่รู้มาตลอดว่าผมคิดยังไงกับพี่งั้นหรอ”




   “เปล่า ไม่รู้” ถึงเขาจะเจอบุ๋นตั้งแต่ตอนนั้นแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าคนที่บุ๋นพูดถึงจะเป็นตัวเขา




   “…”




   “ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้” ฐานทัพหันไปมองหน้าของบุ๋นที่ดวงตายังแดงก่ำแม้ว่าจะดีขึ้นจากตอนแรกมากแต่เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี “แค่อยากฟังสิ่งที่คิด”




   “…”




   “ถ้าไม่ทำก็คงไม่รู้ว่าคิดมากขนาดนี้”




   “…”




   “เคยบอกเองว่ามีอะไรให้บอก…แล้วทำไมไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไง” ไม่ใช่แค่บุ๋นที่ห่วงเขา





   “…”




   “ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว”




   ฐานทัพเองก็พอดูออกว่าลึกๆแล้วบุ๋นมีอะไรที่ยังไม่บอกเขาและเขาก็รอมาตลอดว่าเมื่อไหร่บุ๋นจะพูด เขาเองก็ห่วงบุ๋นไม่น้อยไปกว่าที่บุ๋นห่วงเขา



   แค่เขาพูดไม่เก่ง แสดงออกไม่เป็น



   “ผมไม่อยากให้พี่เครียด มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง”




   “อืม” บุ๋นมักจะคิดถึงเขาก่อนตัวเองเสมอ “ถ้าเครียดก็เครียดไปด้วยกัน”




   “…”




   “ไม่ปล่อยให้เครียดคนเดียวหรอก”




   บุ๋นขยับเข้าไปใกล้หมอฐานทัพมากกว่าเดิม แขนข้างที่ยังว่างอยู่ดึงหมอเข้ามากอดไว้แน่น ความอัดอั้นที่เขากักเก็บมาถูกปล่อยออกมาหมด ไร้ความกังวลใดๆเมื่อมีคนที่เขารักอยู่ในอ้อมแขนคู่นี้



   รัก




   “ไม่ร้องไห้” ฐานทัพกอดตอบแน่น “ไม่อยากให้ร้อง”



   “…”




   “ขอโทษ”




   “ผมไม่โกรธพี่หรอก” บุ๋นพูดเสียงอู้อี้ “ผมอายมากกว่าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้พร้อมกัน”




   “หืม?” ฐานทัพถาม “อายอะไร”




   “ผมพูดทุกอย่างไปหมดเลย พี่รู้ทุกอย่างหมดแล้ว มันเป็นเรื่องน่าอาย”





   “ไม่หรอก” ฐานทัพหัวเราะ ถึงแม้บางเรื่องที่เขาได้ฟังจะทำให้เขาตกใจไปบ้างแต่มันก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความพยายามของบุ๋น




   “…”




   “น่ารักดี”




   “พี่จะหัวเราะผมทำไม ผมอาย” บุ๋นมุดหน้าจนไม่รู้จะมุดยังไง เขารู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า ไม่เคยอายจนรู้สึกทรมานแบบนี้มาก่อน




   หมดกันบุ๋น…หมดทุกอย่าง




   “คินแนะนำมาว่าให้มาบอกแบบนี้”




   “พี่คินอีกแล้วหรอครับ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าช้าๆ




   “แล้ว…”




   “…”




   “เรื่องจูบ พี่คินแนะนำมารึเปล่าครับ”




   “เปล่า ไม่มีใครแนะนำ…”




   “…”




   “ทำเอง”




   คำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้อีกคนเขินจนไม่กล้าสู้หน้า บุ๋นก้มหน้าไม่ยอมเงยจนฐานทัพยกมือขึ้นมายีหัวบุ๋นเบาๆอย่างนึกเอ็นดู เขาไม่เคยเห็นบุ๋นในมุมนี้




   “ไม่เท่เลย พูดไปซะหมดเปลือก พี่ก็รู้หมดว่าผมเตรียมการมานานแค่ไหน”




   “ดีใจที่ได้รู้”




   “ทำไมครับ”




   “อยากรู้”




   ฐานทัพนึกขอบคุณเพื่อนสนิทตัวเองในใจ ถ้าคินไม่แนะนำเขาก็คงไม่รู้ความรู้สึกของบุ๋นทั้งหมด ครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้คิน



   ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็น…

   ร่างของนักศึกษาแพทย์เดินออกมาจากห้องเรียนที่ใช้ในการสอบย่อยอย่างคนไร้วิญญาณ แม้จะเป็นการสอบย่อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะง่ายกว่าการสอบหลักซึ่งนั่นทำให้พวกเขาหมดพลังในการทำข้อสอบไปมากพอสมควร

   “ยากโคตรๆ” คินบ่นออกมาพร้อมกับหันไปทำตาขวางใส่เพื่อนที่เดินตามออกมาเงียบๆ “มึงคงทำได้สินะไอ้หมอ”

   “อืม” ฐานทัพรับคำเหมือนทุกๆครั้งที่เขาทำ เวลาทำได้ก็บอกทำได้ไม่เห็นต้องโกหกว่าทำไม่ได้ “บางข้อก็ไม่ค่อยมั่นใจ”

   “กี่ข้อ” คินถาม

   “ข้อเดียว”

   “โว้ะ!!!!” คำตอบของฐานทัพเรียกเสียงบ่นจากเพื่อนได้เสมอ คินหันไปหาปกป้องที่เดินตามออกมาเงียบๆ “แล้วมึงเป็นไง”

   “กูหิวข้าว” ปกป้องตอบ “ตกลงวันนี้กินร้านไหน”

   “ร้านประจำก็ได้ ตอนนี้สมองกูขาวโพลนแทบจะไม่สามารถคิดวางแผนอะไรได้อีก”

   “เออตามนั้น”

   ทั้งสามคนเดินทางมายังร้านประจำหน้ามอก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน วันนี้คนค่อนข้างบางตาแต่ก็ยังพอมีตามร้านบ้างประปราย ทั้งสามสั่งเมนูง่ายๆก่อนที่คินจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง

   “ไหวปะมึง” ปกป้องที่นั่งอยู่ข้างๆถามพร้อมกับยกขวดน้ำเย็นวางลงบนแขนเพื่อนสนิท

   “อย่ามายุ่งกับกู…” น้ำเสียงอิดโรยตอบออกมาคล้ายคนใกล้จะสิ้นลมหายใจ

   “อย่าเว่อร์น่า” ปกป้องหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปมองฐานทัพที่มองไปรอบๆร้านไม่ได้หยุดสนใจสิ่งไหนเป็นพิเศษ “แล้วบุ๋นล่ะ?”

   “วันนี้ไม่ได้เจอกัน บุ๋นทำงาน”

   “ปกติน้องมันจะตามมาตลอดไม่ใช่หรอวะ”

   “อืม ครั้งนี้คงยุ่งจริงๆ”

   “รู้ใจกันจังเลยนะ” คนที่ฟุบลงไปรีบเงยหน้าขึ้นมาพาลใส่เพื่อน “พึ่งคบกันได้ไม่นานเหมือนจะรู้ใจกันหมดเลยนะ หึ!!!”

   “อะไรของมึง” ปกป้องหันไปถามอย่างงงๆ

   “เปล๊า!!”

   “มีเรื่องนึงที่บุ๋นยังไม่รู้” ฐานทัพที่ไม่ได้รับรู้ว่าเพื่อนกำลังประชดอยู่ตอบออกไปด้วยท่าทางใสซื่อ

   “เรื่องอะไรวะ…” สภาพเหมือนคนใกล้ตายหายไปในพริบตาเมื่อได้รับข่าวสารใหม่ที่ตัวเองยังไม่เคยรู้ คินไม่เคยพลาดเรื่องของคนอื่น

   “ไม่ค่อยอยากรู้เลยนะมึง” ปกป้องส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา

   “เรื่องผ้าปิดปาก” ฐานทัพบอกออกไปอย่างไม่มีปิดบัง

   “ฮะ? ผ้าปิดปาก อะไรวะ” คินงงหนักกว่าเดิมเมื่อเรื่องที่ได้ยินไม่สามารถให้เขาเดาเรื่องต่อได้เลย

   “คือ…”

   ฐานทัพค่อยๆเรียงลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอบุ๋นให้เพื่อนทั้งสองคนฟัง ทุกรายละเอียด ทุกการกระทำของบุ๋นเท่าที่ตัวเขาเองพอจะจำได้

   สิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไม…บุ๋นไม่รู้ว่าเป็นเขา

   “อ่ออออออออออ” คินร้องออกมาเสียงดังก่อนจะตบมือแปะใหญ่เหมือนคิดอะไรออก “กูว่ากูคิดอะไรออก”

   “อะไร” ฐานทัพถามกลับ

   เห็นสายตาคินแล้วแอบไม่มั่นใจแปลกๆ

   “มึงก็เรียกน้องมาคุยเลยแล้วแกล้งใส่ผ้าปิดปาก ลองดูว่าจะจำได้ไหม” คินยิ้มอย่างมั่นใจ “ถ้าจำไม่ได้มึงก็ชวนคุยตามน้ำแล้วลองถามไปเรื่อยๆ ถ้าเคยเจอกันมาก่อนกูว่ามันต้องเล่าอะไรบ้างแหละ”

   “เล่าอะไร” เขาถามกลับ

   “กูจะรู้ไหมเนี่ย” คินตอบ “หรือไม่มึงก็แกล้งปั่นว่าบางทีที่นัดมาอาจจะนัดมาบอกเลิกแล้วลองดูปฏิกิริยา”

   “แรงไปปะวะ” ปกป้องที่นั่งอยู่ข้างๆแทรกขึ้น

   “นั่นดิ”

   “ก็อย่าทำให้มันแรง ไม่รู้เว้ยมันอยู่ที่มึงว่าอยากจะรู้รึเปล่าว่าน้องจริงจังกับมึงมากแค่ไหน”

   “…”

   “กูว่าคนอย่างบุ๋นต่อให้มึงทำอะไรน้องมันก็ไม่โกรธ”

   “…”

   “ถ้าเรื่องนี้คือเรื่องสุดท้ายที่บุ๋นยังไม่รู้มึงก็ควรจะรีบบอก”

   “อืม รู้”

   “แต่ถ้าบอกแบบเซอร์ไพรส์มันก็น่าตื่นเต้นดีนะ”

   “แล้วถ้าบอกเสร็จต้องทำไงต่อ”

   “นี่ตกลงใครเป็นแฟนบุ๋นวะ คิดเองสิโว้ยยยยยยยย!!!!” คินโวยวายเป็นเวลาเดียวกันกับที่อาหารมาเสริฟพอดีเขาเลยหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น

   ทำไงต่อ…

   แล้วต้องทำไงต่อ…

   คนเป็นแฟนกันเขาต้องทำอะไรต่อ

   คิดสิ ฐานทัพ




   “คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” บุ๋นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้าทำให้ฐานทัพที่คิดถึงเรื่องเมื่อตอนเย็นกลับมาสู่ปัจจุบัน



   “อืม ไม่ทำแล้ว”



   “ผมเสียใจ”




   “ขอโทษ”




   “เปลี่ยนจากขอโทษเป็น…แบบเมื่อกี้ได้ไหม?” ความเจ้าเล่ห์เข้าสิงเมื่อเห็นว่าหมอมีท่าทีรู้สึกผิด “ผมคงจะหายเสียใจ”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อบุ๋นสั้นๆ




   “ครับ?”




   “อย่าเนียน”





   “อ่าว…”




   ทำไมครั้งนี้หมอไม่พูดง่ายเหมือนครั้งนั้น…ทีตอนนั้นเขาบอกให้กอดหมอยังยอมกอดง่ายๆเลย




   “เรื่องนั้นทำปีละครั้งก็พอ จะได้สำคัญ”




   “พี่หมายถึง?” บุ๋นกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่




   “ที่ทำเมื่อกี้” ฐานทัพยิ้มออกมา




   “เห้ย ได้ไงพี่ มันไม่นานไปหน่อยหรอ” บุ๋นท้วงอย่างไม่ยอม ใครเป็นคนบอกหมอว่าจูบกันปีละครั้งแล้วมันจะทำให้สำคัญ




   จูบทุกวันก็สำคัญโว้ยยยยยยยย!!!!




   ปีละครั้ง…





   ทนไม่ได้หรอกนะ บุ๋นทนไม่ได้!!!!!




   “กลับเถอะ ดึกแล้ว” ฐานทัพเตรียมจะลุกขึ้นแต่โดนมือของอีกคนดึงไว้ให้กลับลงมานั่งเหมือนเดิม




   “ยังไม่อยากกลับ ผมอยากอยู่ตรงนี้ฟังความรู้สึกจากพี่บ้าง”




   “เรื่องอะไร?”




   “วันแรกที่เราเจอกันหน้าเซเว่นพี่มองผมเป็นคนยังไง แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่แรกว่าพี่กับคนที่ใส่ผ้าปิดปากคือคนเดียวกัน”



   “ต้องถามกลับว่าทำไมจำไม่ได้”



   “ผมตอบไม่ได้” บุ๋นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงจำหมอฐานทัพไม่ได้ทั้งๆที่หมอแค่ใส่ผ้าปิดปาก




   อาจเพราะเขาเจอหมอแบบที่ใส่ผ้าก่อนที่จะเจอแบบหน้าเต็มเลยทำให้เขาคุ้นชินกับหน้าปกติมากกว่าหน้าตอนหมอใส่ผ้าปิดปาก




   แต่ยังไงก็อดโกรธตัวเองไม่ได้…หมอคงเสียใจที่เขาจำไม่ได้




   “ไม่เป็นไร” เมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มกลับมาเครียดฐานทัพก็พูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น




   วันแรกที่เจอบุ๋นงั้นหรอ…




   “วันแรกที่เจอรู้สึกว่า…คนอะไรพูดอยู่คนเดียว ขี้บ่น” เขานึกถึงวันแรกก็อดหัวเราะไม่ได้ บุ๋นเอาแต่พูดให้เขาฟังโดยไม่รอฟังคำตอบจากเขา




   “หลังจากนั้นที่เจอก็รู้สึกว่าเพี้ยน ประหลาด ติ๊งต๊อง”




   “โห…แต่ละอย่าง น่าประทับใจมากเลยครับ” บุ๋นหัวเราะแห้งๆ




   “เรื่องไลน์ที่ไม่ได้ตอบ” ฐานทัพพึ่งนึกขึ้นได้




   เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่ไม่รู้ว่าไปปิดเครื่องตอนไหนออกมาก่อนจะกดเปิดเครื่อง หน้าจอสว่างเป็นรูปแบตเตอรี่ที่ถูกใช้จนหมดเพราะเมื่อคืนเขาลืมชาจแบต นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุ๋นโทรหาเขาไม่ติด




   “ขอยืมมือถือหน่อย” ฐานทัพแบมือไปตรงหน้าคนที่กำลังรอฟังอยู่





   บุ๋นกดปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะยื่นให้หมอฐานทัพ ภาพพื้นหลังโทรศัพท์มือถือที่เป็นรูปแปลงแครอททำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฐานทัพกดเข้าไปยังแอปพลิเคชั่นไลน์ที่อยู่หน้าแรกสุดก่อนจะมองหาแชทของเขากับบุ๋นแต่เขาไม่ต้องหาให้เสียเวลาในเมื่อชื่อของเขาถูกปักหมุดให้อยู่แชทแรกสุดของการสนทนา




   แชทแรกสุด…แชทที่เขาไม่ได้ตอบมานาน




   ข้อความที่บุ๋นเป็นคนส่งอยู่ฝ่ายเดียวถูกขึ้นว่าอ่านแล้ว ฐานทัพเลื่อนดูข้อความก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขามีสาเหตุที่เขาไม่ตอบ




   “ใครสอนให้ส่งรูปพวกนี้” ฐานทัพเลื่อนขึ้นไปเกือบบนสุดของบทสนทนา




   รูปภาพสวัสดีวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ที่บุ๋นขยันส่งให้เขาทุกวันปรากฏขึ้นบนหน้าจอพร้อมกับข้อความคล้ายๆกันในทุกๆวัน ฐานทัพเลื่อนนิ้วจนมาถึงรูปสุดท้ายก่อนจะหันไปมองหน้าบุ๋น




   “ใครสอน”




   “ไม่มีครับ” บุ๋นตอบอย่างใสซื่อ “ก็ผมเห็นไลน์ครอบครัวชอบส่งกันก็เลยคิดว่าน่ารักดี”




   “กลัว” ฐานทัพพูดออกมาคำเดียว “ประหลาดจนไม่กล้าตอบกลับ”




   “อ่าว แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม”




   “กลัวเสียน้ำใจ”




   “พี่ก็เลยอ่านไม่ตอบเลยหรอครับ” บุ๋นถามเสียงเบา ความจริงแล้วเขาก็แอบเสียใจที่หมอฐานทัพตอบเขากลับมานับครั้งได้




   ถึงจะผ่านช่วงทฤษฏีเจ็ดไปแล้วเขาก็ยังคอยส่งไปหาหมอบ้างเป็นบางครั้ง แต่หมอไม่เคยตอบเขาอีกเลย




   “ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เจอกันทุกวัน”




   “…”




   “คุยต่อหน้าดีกว่า”





   “แล้วถ้าพี่รู้ว่าไลน์นี้คือผมทำไมไม่ตอบกลับมา”




   “กลัวจะอาย ก็โกโก้เคยมาขอไลน์แล้วบอกว่ามีคนมาขอไลน์ให้เพื่อน แต่ความจริงขอให้ตัวเอง” ฐานทัพปรายตามองคนที่กำลังหน้าแดงเพราะความจริงที่ค่อยๆปรากฏออกมา




   “…”




   “เลยส่งข้อความแทน จะได้ไม่ต้องอาย”




   “มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวผมจะอายแล้วมั้ง” บุ๋นหันหน้าไปอีกทาง รู้สึกเหมือนวันนี้ความจริงหลายๆอย่างค่อยๆเปิดเผยออกมา




   เขาก็งงมาตั้งนานว่าทำไมหมอถึงเลือกที่จะคุยทางข้อความแทนไลน์ ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว ที่เลือกส่งข้อความเพราะคิดว่าถ้าส่งทางไลน์หมายถึงหมอรู้ทุกอย่างหมดแล้วและจะทำให้ตัวเขาอาย




   ใช่…เขาอายจริงๆ




   “ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอกว่าใครถึงจะเคยแนะนำชื่อ แต่ตอนนั้นสงสัยก็เลยลองเปิดดูแล้วก็เห็นตั้งรูปเป็นรูปตัวเอง” ฐานทัพอธิบายยาวเพื่อให้บุ๋นเข้าใจได้ชัดเจน




   ชัดเจน…ชัดเจนจริงๆ




   นั่นสินะ เขาเปลี่ยนเป็นรูปตัวเองเพราะคิดว่าหมอคงไม่ตอบกลับมาอีกแล้ว




   ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยยยยยย หมดกัน!!!!




   “งั้นพี่ก็รู้มาสักพักแล้วว่าผมคือคนที่ส่งรูปสวัสดีให้พี่ทุกๆวัน…”




   “อืม”




   “แสดงว่าผมไม่เนียนเลย…”




   “อืม”




   “ผม…ผม…ผมอาย” บุ๋นติดอ่าง เขาเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะขยับออกห่างหมอฐานทัพออกไปสามสี่ก้าว ความจริงถ้าวิ่งออกไปได้คงวิ่งออกไปไกลที่สุด




   “ไม่ต้องอาย ดีใจที่ได้ฟังทั้งหมด”   




   “…”




   “จะว่าไปก็…แอบโรคจิตเหมือนกันนะ”

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 18-01-2017 19:35:08
มาต่อเลยได้ไหม
บอกอะไร
บอกรักเปล่า
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย ที่ 18-01-2017 22:23:08
ค้างอ่ะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 19-01-2017 00:34:08
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 19-01-2017 08:22:17
น่ารักกกกก 
บุ๋น ผช แบบนายหาได้จากที่ไหนอีกกกก

จะไม่ทนนนนน
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 19-01-2017 22:51:42
รอตอนต่อปายยยยยย
หมอบุ๋นน่ารักมากกก
เมื่อไหร่จะได้กัน555ตกลงใครรุกใครรับ
ยังมองไม่ออก :hao6:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: snice_cz ที่ 19-01-2017 23:48:48
โอ๊ย ค้างงงงงงงงงงงงงงง

รอตอนต่อไปค่าาาา
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 20-01-2017 14:20:11
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-01-2017 18:31:06
สนุกมากๆ เรื่องนี้ต้องอ่านช้าๆ เพราะหมอฐานทัพพูดน้อย และตรงกับความรู้สึกตัวเองมากๆ

น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 20-01-2017 19:14:54
โอ๊ยยยยย...เขินแทนนนนนน... :laugh:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [22: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสอง 100%] 18/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 21-01-2017 20:33:52
สนุกมาก อ่านละยิ้มตามตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 21-01-2017 20:46:10
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม

   โรคจิต…


   บุ๋นจมอยู่กับคำที่หมอฐานทัพพูดมานานกว่าสองชั่วโมงบนเตียงนอนของเขา หลังจากที่แยกกับหมอฐานทัพแล้วเขาก็พาตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียงและไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีก



   อายก็อาย



   แถมยังโดนมองว่าโรคจิต…



   ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยยยย!!!!



   “เป็นอะไรวะ ทำหน้าตาพิลึก” สองที่นั่งทำรายงานอยู่ข้างๆหันมาถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ นับวันยิ่งทำตัวประหลาด



   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ปากปฏิเสธแต่ความรู้สึกข้างในมันไม่ใช่อย่างที่พูด



   ถึงเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรหลายๆอย่างที่ค่อนไปทางโรคจิตแต่เขาก็ไม่คิดว่าหมอจะพูดออกมาตรงๆแบบนั้น จะเรียกว่าเสียเซลฟ์ก็ได้แต่อายมากกว่า



   บุ๋นเป็นโรคจิต : นอนรึยังครับ?



   ข้อความจากแอปพลิเคชั่นที่ไม่มีเสียงแจ้งเตือนมานานดังขึ้นขณะที่ฐานทัพกำลังจะปิดไฟเตรียมตัวนอน เขาหยิบแว่นตาที่พึ่งถอดกลับมาใส่อีกครั้งแล้วอ่านข้อความที่ปรากฏบนมือถือพร้อมรอยยิ้ม



   ทำไมตั้งชื่อไลน์แบบนี้
   


   Thanthup : กำลังจะนอน ชื่อไลน์?



   บุ๋นรีบกดอ่านข้อความที่ตอบกลับมาทันที
   


   บุ๋นเป็นโรคจิต : ครับ ผมเป็นโรคจิตไง
   Thanthup : คิดมาก?




   บุ๋นส่ายหน้ารัวโดยที่ลืมไปว่าหมอไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงถอนหายใจยาวๆ จะเรียกว่าคิดมากหรือเรียกว่าไม่กล้าสู้หน้าดี



   โดนมองว่าโรคจิตก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่


   
   Thanthup : เงียบ




   ยังไม่ทันที่เขาจะพิมพ์ตอบหมอก็พิมพ์กลับมาคล้ายกับว่ากำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ บุ๋นรีบพิมพ์กลับไปเพื่อจะอธิบายแต่กลับส่งช้ากว่าอีกคน



   Thanthup : โกรธหรอ?



   เขาไม่ได้โกรธ เขาแค่อาย…



   Thanthup : ขอโทษ



   บุ๋นถึงกับพิมพ์ต่อไม่ถูกเมื่อเห็นข้อความที่หมอส่งกลับมาแทบจะทันที เขายังไม่ทันจะพิมพ์อะไรเสร็จข้อความใหม่ก็เด้งขึ้น



   Thanthup : ง้อ



   ง้อ…



   โหหมอ…ง้อแบบนี้ใครจะโกรธลง



   บุ๋นเป็นโรคจิต : ผมไม่ได้โกรธครับ ผมแค่อาย
   บุ๋นเป็นโรคจิต : *สติ๊กเกอร์หมีสีน้ำตาลบิดตัวเขิน*
   Thanthup : ไม่ต้องอาย
   



   ฐานทัพหยุดพิมพ์ข้อความที่จะส่งต่อแล้วกดออกจากแชทที่กำลังคุยกันก่อนจะเปลี่ยนไปที่ตั้งค่า เขากดลบชื่อไลน์ของตัวเองที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยพร้อมกับตั้งชื่อใหม่

   
   ชอบโรคจิต : โอเคไหม?


   เขาพิมพ์ถามกลับไปอย่างคนไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ถ้าเพื่อนเขามาเห็นเขาตั้งชื่อแบบนี้มีหวังล้อกันยันเรียนจบแน่ๆ




   แต่ถ้าทำให้บุ๋นเลิกคิดมากได้มันก็คุ้ม




   บุ๋นเป็นโรคจิต : ถ้าเปลี่ยนเป็น ฐานทัพชอบบุ๋น จะโอเคกว่านี้ครับ




   พอได้โอกาสความเจ้าเล่ห์ก็เผยออกมา บุ๋นยิ้มกรุ่มกริ้มท่ามกลางสายตาของเพื่อนอีกสองคนที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ



   นับวันไอ้สี่ยิ่งเพี้ยน


   ชอบโรคจิต : อย่าเนียน
   ชอบแครอท : เปลี่ยนแล้ว



   บุ๋นถึงกับขมวดคิ้วเมื่อหมอฐานทัพไม่รับมุขแถมยังเปลี่ยนชื่อเร็วกว่าเขา พอคิดถึงอะไรดีๆออกเขาก็กดเปลี่ยนชื่อตัวเองบ้าง




   ชอบคนกินแครอท : เปลี่ยนเหมือนกันครับ
   ชอบคนกินแครอท : *สติ๊กเกอร์ยิ้ม*
   ชอบแครอท : ไม่เล่นแล้ว ง่วง
   ชอบแครอท : ฝันดี
   ชอบคนกินแครอท : ครับผม ฝันดีครับ
   ชอบแครอท : นอนไวๆ น้องบุ๋น
   ชอบคนกินแครอท : ครับ พี่หมอของบุ๋น



   หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นว่าอ่านแล้วก่อนที่บุ๋นจะกดล็อคโทรศัพท์ลง ไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกับหมอฐานทัพด้วยคำพูดแบบนี้ ดูๆไปหมอก็มีหลายมุมที่ทำให้เขาแปลกใจได้ตลอด



   มีความสุขโดยที่ลืมไปเลยว่าตัวเองโรคจิต…



   แต่ถ้าโรคจิตแล้วได้คบกับคนที่ชอบ ก็ยอมโดนเรียกว่าโรคจิตตลอดชีวิต




   เขินโว้ยยยยยยยยย!!!!
.

   ประตูห้องเรียนรวมเปิดออกพร้อมกับใบหน้าที่บอกบุญไม่รับของบุ๋นที่เด่นมาแต่ไกล ความจริงวันนี้ควรจะเป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวันแต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเขาโดนอาจารย์สั่งให้แก้รายงานเดี่ยวที่เขาส่งไปตั้งแต่กลางเทอมทั้งๆที่อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบไฟนอล



   “ทำหน้าเป็นตูดจังวะ” เดชที่โดนแก้รายงานเหมือนกันวางมือหนักๆไว้บนไหล่เพื่อน “อย่าคิดมาก โดนสั่งแก้ครึ่งเซค”



   “คิดดิวะ กูคิดว่าแม่งจะผ่านแล้ว มันมีอะไรต้องแก้วะเนี่ย” บุ๋นบ่นพร้อมกับเปิดดูรายงานที่มีปากกาสีแดงเขียนกำกับส่วนที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม



   ความจริงถ้าขี้เกียจเขาจะส่งทั้งอย่างนี้เลยก็ได้แต่เพราะอาจารย์ที่ดูห่วงในตัวนักศึกษาเลยให้โอกาสแก้งานอีกครั้งก่อนที่จะได้คะแนนเพื่อเป็นการช่วยคนที่คะแนนใกล้จะถึงเส้นแดงดิ่งลงเอฟ



   หนึ่งในนั้นคือบุ๋น…




   “กูเข้าใจ คืนนี้ไปทำกับกูไหมล่ะ” เดชเสนอ




   “ไม่เป็นไรว่ะ เรื่องของกูกับมึงมันต้องหาข้อมูลคนละเรื่องอยู่แล้ว กูกลับไปทำที่หอคงจะดีกว่า”   




   “ไหวแน่นะ ทำหน้าโคตรเบื่อโลก”




   “เออ ไม่ไหวก็ต้องไหว” สภาพไร้วิญญาณของบุ๋นทำให้เดชอดเป็นห่วงไม่ได้แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันแบบนั้นเขาก็ไม่อยากขัด




   เพราะตัวเขาเองก็ต้องแก้รายงานเหมือนกัน




   “กลับก่อนนะมึง จะได้รีบไปทำงาน” บุ๋นดูเวลาก่อนจะโบกมือลาเพื่อนที่เตรียมตัวจะแยกย้ายกลับหอ




   “เออ มีอะไรโทรมา”




   “ตามนั้น”




   บุ๋นเดินตรงไปยังจักรยานที่จอดอยู่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความบอกหมอฐานทัพเหมือนทุกครั้งที่เขาเคยทำ



   B : ผมต้องกลับไปแก้รายงาน วันนี้คงไม่ได้ไปหานะครับ
   B : *สติ๊กเกอร์ร้องไห้*


   บุ๋นเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่อ่านข้อความ ถึงแม้จะเสียดายที่วันนี้ไม่ได้เจอหมอแต่เขาก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่ส่งงานเขาจะยิ่งแย่



   เห็นเอฟลอยมาทักทายลางๆ…

   
   การหาข้อมูลรายงานเป็นไปอย่างจริงจัง บุ๋นเริ่มเสริชหาข้อมูลเสริมในรายงานตั้งแต่ห้าโมงกว่าจนตอนนี้เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งทุ่ม แม้จะรู้สึกหิวแต่งานตรงหน้าทำให้เขาลืมว่าตัวเองกำลังหิวอยู่



   “วันนี้นึกขยันอะไรวะ” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับสามที่เดินเข้ามา ในมือถืองานเหมือนทุกๆครั้งเวลากลับห้อง




   “แก้รายงานว่ะ เยอะชิบ” บุ๋นมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คไม่กระพริบ “มีอะไรให้กินปะวะ กูหิวข้าว”




   “เอ้า ไมไม่ไปหาอะไรกิน”




   “ทำงานอยู่ เดี๋ยวส่งไม่ทัน”



   “กูกลับเข้ามาเอาของ วันนี้ว่าจะไปใช้โต๊ะวาดรูปที่คณะคงไม่ได้กลับมานอนห้อง”




   “เออ สู้ๆนะมึง”




   “อยากกินไร เดี๋ยวกูออกไปซื้อมาให้” ปกติเขาไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองตั้งใจทำงานขนาดนี้ พอเห็นแบบนี้ก็อยากจะช่วยเป็นกำลังใจ



   “ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูออกไปซื้อเอง”



   “เอางั้นหรอวะ ตามใจนะ”



   “อืม ไปเถอะๆ”




   “งั้นไว้เจอกัน” สามทิ้งท้ายไว้แค่นั้นพร้อมกับหยิบของเพื่อเตรียมออกไปทำงานที่คณะต่อ




   ห้องกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้งเมื่อเพื่อนออกจากห้องไป วันนี้ก็คงเหลือเขากับไอ้สองที่นอนห้องนี้ด้วยกัน พักหลังมานี้ไอ้สองติดงานที่คณะบ่อยจนบางครั้งก็เข้าหอตามเวลาที่กำหนดไม่ทันเลยชอบออกไปนอนหอพักเพื่อนบ่อยๆ




   คนที่ใช้ค่าเช่าห้องคุ้มที่สุดคงจะเป็นเขา




   ก๊อก ก๊อก ก๊อก




   เสียงเคาะประตูดังขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้บุ๋นละสายตาจากสิ่งตรงหน้า บุ๋นไม่ได้ขานรับจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง



   “ไม่ได้ล็อค มึงเปิดเข้ามาเลย” เขาตะโกนกลับไป “มึงลืมของหรอวะ”



   “เปล่า”




   “เอ้าถ้ามึงไม่ได้ลืมแล้วจะ…” บุ๋นหันหน้าจะมาคุยกับเพื่อนตัวเองก่อนที่คำพูดจะถูกกลืนหายไปในลำคอ




   หมอ…




   “ไง” ฐานทัพยิ้มนิดๆก่อนจะวางถุงขนมที่ซื้อมาลงกับพื้นแล้วเดินตรงเข้ามาหาคนที่กำลังนั่งหาข้อมูลอย่างตั้งใจ “หิวไหม”



   “พี่มาได้ไง” บุ๋นอึ้งไม่หาย



   จริงอยู่ที่เขาเคยขึ้นไปที่หอพักของหมอฐานทัพ แต่ครั้งนั้นมันมีเหตุสุดวิสัยทำให้เขาสามารถขึ้นไปได้ แต่ครั้งนี้มันไม่มีเหตุอะไร…



   “เจอเพื่อนบุ๋น” ฐานทัพบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างกับว่าไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น



   ฐานทัพพึ่งมาถึงหน้าหอบุ๋นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เขากำลังจะกดโทรหาแต่บังเอิญมีคนๆหนึ่งทักเขาซึ่งเขาก็ไม่รู้จักแต่พอจะเดาได้ว่าเป็นเพื่อนของบุ๋น ตอนแรกก็จะฝากของเอาขึ้นไปให้แต่เพื่อนของบุ๋นดันเป็นคนเปิดประตูแล้วบอกเลขที่ห้องให้เขาเสร็จสรรพเขาเลยได้เข้ามาในหอแบบงงๆ



   “ไอ้สามหรอ”



   “ไม่รู้ชื่อ”




   “แล้วทำไมพี่ไม่โทรหาผม เดี๋ยวผมลงไปหาก็ได้” บุ๋นกวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างระแวงกลัวหมอจะเจอในสิ่งที่ไม่ควรเจอ




   ถ้าเจอมันจะยิ่งตอกย้ำความโรคจิตที่หมอเคยพูดไว้…




   “ขึ้นมาแล้ว ช่างเถอะ”



   “แต่ว่า…”



   “งานถึงไหนแล้ว เดี๋ยวช่วยทำ”




   “ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมก็ทำ…”




   “ซื้อขนมปังมาให้ ไปกินก่อน” ฐานทัพออกคำสั่ง “เดี๋ยวดูเนื้อหาให้”




   “ผมเกรงใจ พี่มีงานตั้งเยอะ”




   “บุ๋น”




   “…”




   “ไปกินก่อน เดี๋ยวดูให้”




   คำสั่งของหมอฐานทัพทำให้คนที่กำลังจะเตรียมตัวอ้าปากพูดถึงกับต้องเงียบลงแล้วก้มหน้ารับคำสั่งอย่างคนไม่กล้าเถียง




   “ครับผม ไปกินเดี๋ยวนี้แหละครับ”




   ฐานทัพมองคนที่เดินไปยังถุงขนมที่เขาซื้อมาก่อนจะหันกลับมามองหน้าจอที่มีเนื้อหาลายตาเต็มไปหมด เขาค่อยๆไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดสุดท้าย นิ้วยาวค่อยๆกดลบข้อความที่ไม่จำเป็นพร้อมกับลบเนื้อหาที่ซ้ำกันหลายวรรค




   “ความจริงเดี๋ยวผมทำต่อเองก็ได้นะครับ” บุ๋นถือขนมปังกับนมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆหมอ เขาไม่อยากให้หมอต้องมาเหนื่อยเพราะงานของเขา



   “ซ้ำเยอะ” ฐานทัพทำเป็นหูทวนลม “ข้อมูลหัวข้อนี้ควรหาเพิ่ม” เขาชี้ไปยังหัวข้อใหญ่ที่บุ๋นหาข้อมูลไว้เพียงสองหน้า



   “ได้ครับ เดี๋ยวผมหาเพิ่ม”



   “อย่าก๊อปวาง ลองอ่านก่อนเพราะข้อมูลคล้ายกันเยอะ”



   “ครับ”



   “อีกไม่เยอะ” ฐานทัพพูดให้กำลังใจ



   ความจริงมันก็เหลืออีกไม่เยอะจริงๆแค่ต้องจัดเรียงหน้า ดูเนื้อหาให้เข้าที่ เขียนสารบัญใหม่และแก้บรรณานุกรม



   บางทีอาจจะใช้คำว่าเหลือไม่เยอะไม่ได้…




   “ผมรู้หรอกน่าว่าข้อมูลเก่าที่ผมหามาแทบจะใช้ไม่ได้” บุ๋นยิ้มออกมา “พี่ดูออกอยู่แล้วใช่ไหมครับ”




   “อืม” เขารับคำ “แต่ข้อมูลใหม่ที่หามาก็ใช้ได้เยอะ”




   “ตอนนั้นคงไม่ได้ตั้งใจทำ”




   “ไม่เป็นไร” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวจะช่วยทำ วันนี้ก็เสร็จ”




   “พี่ไม่มีงานหรอครับ?”




   “เสร็จหมดแล้ว”




   “โห…” คำตอบธรรมดายิ่งตอกย้ำบุ๋นลึกลงไปอีก เขากับหมอฐานทัพต่างกันราวฟ้ากับเหว




   ถ้าเขาขยันได้ครึ่งหมอฐานทัพก็คงดี…


   
   เวลาล่วงเลยไปจนนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง บุ๋นเงยหน้าดูเวลาก่อนจะหันไปมองหมอฐานทัพที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงของเขาด้วยท่าทางสบายๆ




   ตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้หมอเสียเวลาแต่เปล่าเลย หมอฐานทัพเตรียมหนังสือมาอ่านเวลาที่เขากำลังหาข้อมูลและจะแวะเดินมาดูเขาเป็นพักๆจนตอนนี้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว




   ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะเสร็จภายในวันเดียว




   “เสร็จแล้วครับ” บุ๋นลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ก่อนจะเดินไปที่เตียงนอนที่หมอนั่งแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยความเมื่อยล้า




   “ดีมาก” ฐานทัพยิ้มออกมาบางๆ เขาวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงแล้วทำท่าจะลุกขึ้นไปดูงานแต่ถูกมือของอีกคนดึงไว้ให้นั่งลงเหมือนเดิม




   “อยู่นี่แหละครับ ผมบอกว่าทำเสร็จแล้วไง”




   “จะดูให้”




   “ไม่ต้องดูหรอกครับ เสร็จแล้วน่า” บุ๋นดึงมือของหมอฐานทัพมากุมไว้ใกล้หน้าก่อนจะค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลง




   ถ้าได้จับมือหมอนอนแบบนี้ทุกวันเขาคงนอนหลับสบาย




   ฐานทัพปล่อยให้บุ๋นทำตามใจจนเห็นว่าคนที่นอนอยู่หลับไปแล้วจริงๆ เขาค่อยๆแกะมือตัวเองออกช้าๆก่อนจะดึงหมอนบนหัวเตียงมาให้บุ๋นหนุนนอน มือของเขาสัมผัสเข้ากับสันหนังสือที่วางอยู้ใต้หมอน เขาหยิบมันออกมาวางไว้ข้างตัวก่อนจะค่อยๆช้อนหัวบุ๋นขึ้นเพื่อจะได้นอนสบายมากขึ้น




   จากที่ตอนแรกคิดว่าเป็นหนังสือแต่ความจริงเป็นสมุดเล่มเล็ก ฐานทัพชั่งใจอยู่นานว่าจะเปิดดีไหมแต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้เขาเลือกที่จะเปิดสมุดเล่มที่ถืออยู่ออก ลายมือที่เขียนด้วยตัวบรรจงในหน้าแรกทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว




   วิธีจีบหมอ
   



   วิธีที่หนึ่ง…ทฤษฏีเจ็ด
   ผล : แห้ว หมอไม่ตอบ ไม่อ่าน (สงสัยรูปที่ส่งไปจะไม่สวยมั้ง)

   
   วิธีที่สอง…เสนอหน้า
   ผล : ก็เสนออยู่ตลอด วิธีนี้ได้ผล หมอดูสนใจ
   ปล. อย่าพึ่งรำคาญผมเลยนะครับบบบบ


   วิธีที่สาม...บังเอิญ
   ผล : โรคจิตว่ะ บังเอิญเยอะไปไหม หมอจะจับได้ไหมนะ


   วิธีที่สี่…ยิ้มเข้าไว้
   ผล : หมอบอกชอบรอยยิ้ม ดีใจมาก จะยิ้มจนเจ็บแก้มเลยครับหมอ   


   วิธีที่ห้า…กำลังใจ
   ผล : ไม่รู้ว่ะ ใครให้กำลังใจใครก็ไม่รู้


   ฐานทัพอ่านตัวหนังสือบรรจงที่เขียนด้วยรอยยิ้ม ความพยายามของบุ๋นที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขารับรู้ได้ทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยคิดว่าบุ๋นจะจริงจังกับมันมากขนาดนี้




   หน้าสมุดเปลี่ยนไปอีกหน้า ข้อความซ้ำๆที่เขียนอยู่เต็มหน้าทำให้ฐานทัพยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ไม่คิดว่าบุ๋นจะทำอะไรแบบนี้


ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!
ผมนายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์ ชอบหมอฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ ครับ!


   คำเดิมๆที่เขียนเต็มหน้ากระดาษ ถ้าสังเกตจากตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดต่างกันออกไป บางอันก็เขียนด้วยตัวหนังสือบรรจงแต่บางอันก็เขียนหวัดๆเหมือนรีบเขียน คล้ายกับว่าเขาเขียนคำพวกนี้คนละวันกัน

   
หมอโคตรน่ารัก หมอชอบแครอท แต่บุ๋นชอบหมอ


   ข้อความที่หาความคล้องจองไม่ได้ทำให้ฐานทัพนึกอะไรออก เขาดึงปากกาที่เหน็บอยู่กับสมุดออกมาเขียนข้อความต่อให้จบประโยค



บุ๋นยิ้มเก่ง บุ๋นชอบบาส แต่หมอชอบบุ๋น

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 21-01-2017 20:51:58
   เรื่องราวแต่ละวันถูกบันทึกลงในสมุดเล่มเล็ก ฐานทัพไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรกจนมาถึงหน้าสุดท้ายของสมุด ข้อความที่เขียนไว้จนล้นหน้ากระดาษ ทุกใจความสื่อถึงความรักที่บุ๋นมอบให้เขา



   จะว่าไปก็นานเหมือนกันที่เริ่มเขียนสมุดเล่มนี้ ไม่รู้เขียนอะไรเยอะแยะจนตอนนี้ก็หน้าสุดท้าย ขอบคุณนะที่คอยบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ให้ได้กลับมาอ่าน วันแรกที่เริ่มเขียนไม่คิดว่าจะได้เขียนจนจบเพราะไม่ใช่คนชอบเขียนอะไรแบบนี้อยู่แล้ว นี่ก็เกือบหนึ่งเทอมที่ได้เจอหมอ ได้ทำความรู้จัก ได้อยู่ข้างๆ ได้รัก จะว่านานก็นานแต่ความจริงมันไม่นานหรอก ผ่านไปไวเกินไปด้วยซ้ำ จากวันแรกจนถึงวันนี้โคตรมีความสุขเลยว่ะ ถึงในบางครั้งจะมีปัญหาบ้างแต่โชคดีที่หมอเป็นคนพูดตรงๆ ไม่คิดว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เคยฝันอยากให้เกิดขึ้น
   เป็นแฟนกับหมอฐานทัพแล้วนะ :)
   อนาคตเป็นยังไงไม่รู้แต่ที่รู้ๆคือ…จะไม่ยอมปล่อยมือ
   ผมเชื่อนะว่ามือของผมกับพี่จับกันแน่นพอ…

บุ๋น
ปล.เขียนตั้งแต่ไม่ได้คบ แต่ตอนนี้ได้คบแล้ว
   


   ฐานทัพปิดสมุดลงแล้วเก็บสมุดไว้ที่เดิมราวกับว่าเขาไม่เคยเปิดมันมาก่อน สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างที่นอนหลับสบายไม่รู้ว่าเขาได้อ่านความในใจทั้งหมดแล้ว รอยยิ้มของฐานทัพไม่จางหายไป จากที่เคยยิ้มยากแต่วันนี้กลับยิ้มง่ายกว่าครั้งไหนๆ




   เขาโชคดีที่เจอคนที่รักเขามากๆ…และเขาก็จะตอบแทนความรักนั้นด้วยความรักทั้งหมดที่เขามี




   “ขอบคุณครับ” เสียงที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจะส่งไปถึงอีกคนไหมเขาไม่รู้แต่ที่รู้คือเขาจะตอบแทนทุกอย่างแทนคำพูดที่เขาได้เอ่ยออกไป




   ฐานทัพไม่ใช่คนที่ชอบพูด…เขาชอบทำให้เห็นมากกว่า




   มืออุ่นเอื้อมไปลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ ฐานทัพค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ๆก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกคนอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน เขาไม่ได้เป็นคนโรแมนติกแต่ทุกครั้งที่อยู่กับบุ๋นร่างกายของเขามันควบคุมไม่ได้



   ทำ…เพราะอยากทำ

.


   แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในยามเช้าปลุกคนที่ไม่อยากตื่นให้ลุกขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ บุ๋นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะปรับสายตาให้เป็นปกติแล้วกวาดตามองไปรอบห้อง



   เผลอหลับไปตอนไหนนะ…




   สายตาสะดุดเข้ากับโพสอิทที่แปะอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ บุ๋นลุกขึ้นเดินไปหยิบดูด้วยท่าทางงัวเงียแบบคนพึ่งตื่น ตัวอักษรที่เป็นระเบียบเขียนคำสั้นๆกำกับไว้




เห็นนอนอยู่เลยไม่ปลุก
กลับหอก่อนนะ
                        ฐานทัพ


   หมอพึ่งกลับไป…




   งั้นแสดงว่าเมื่อคืนหมอนอนอยู่กับเขา…ทั้งคืน




   เชี่ยยยยยยยย!!!!!!




   ทำไมไม่ตื่นวะไอ้บุ๋น ทำไมนอนหลับกินบ้านกินเมืองขนาดนี้!!!!!




   โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนสว่างขึ้นมาพร้อมกับข้อความจากหมอฐานทัพ บุ๋นรีบกดอ่านก่อนจะพิมพ์กลับไป จะว่าไปวันนี้เขาก็ตื่นเช้าเหมือนกัน พึ่งจะเจ็ดโมงเอง



   Thanthup : ตื่นรึยัง?
   B : ตื่นแล้วครับ
   B : ทำไมพี่รีบกลับจัง คราวหลังปลุกผมได้นะครับ
   Thanthup : คราวหลัง?
   B : เผื่อมีครั้งหน้า :)
   Thanthup : อืม
   B : วันนี้พี่เรียนกี่โมงครับ?
   Thanthup : สิบโมง บุ๋นล่ะ?
   B : สิบเหมือนกันครับ
   B : งั้น…ไปหาอะไรกินกันไหมครับ
   Thanthup : อืม ได้
   B : เดี๋ยวเจอกันหน้าหอพี่นะครับ ผมน่าจะเสร็จช้ากว่า พึ่งตื่น
   Thanthup : ครับ




   บุ๋นวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะพุ่งตัวออกไปอาบน้ำด้วยความไวแสง เขาอยากจะเจอหมอเร็วๆทั้งๆที่วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แค่รู้สึกอยากเจอ



   คิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็อดเสียดายไม่ได้



   บุ๋นนะบุ๋น…




   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจักรยานคันโปรดก็จอดลงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ บุ๋นจอดจักรยานลงก่อนจะเดินไปนั่งบริเวณใกล้ๆเพื่อรอหมอฐานทัพ

   
   B : บุ๋นถึงแล้วนะครับ


   ฐานทัพอ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาขณะที่กำลังเดินลงไป เขาเห็นบุ๋นปั่นจักรยานมาก่อนที่บุ๋นจะทักเขามาเสียอีก เท้าทั้งสองข้างเร่งให้เดินเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน



   ทั้งที่พึ่งแยกกันได้ไม่กี่ชั่วโมง




   “ไง” เขาทักทายร่างสูงที่นั่งกดโทรศัพท์รออยู่ ทันทีที่บุ๋นได้ยินเสียงทักทายจากเขารอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป




   “เร็วมากเลยครับ”




   “แน่นอน” ฐานทัพรับคำ “กินอะไรดี”




   “นั่นสิครับ ผมคิดไม่ออก พี่แนะนำเลย”




   “อืม ได้” เขาพอจะรู้จักร้านแถวนี้อยู่สองสามร้านที่เปิดตอนเช้า ลองขับผ่านๆไปดูเจอร้านไหนเปิดก็กินร้านนั้น




   ตอนนี้เริ่มหิวแล้ว




   “ครับ” บุ๋นเตรียมขึ้นคร่อมจักรยานอีกครั้งเพื่อปั่นตาม




   “ไปคันเดียวก็ได้” ฐานทัพบอก “ทางกลับผ่านหออยู่แล้ว”





   “เอางั้นหรอครับ” บุ๋นถาม “งั้นพี่ซ้อนผม”




   “ไม่” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง




   “อ้าว…”




   “บุ๋นซ้อน พี่รู้ทาง”



   พี่…




   บุ๋นเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายอีกครั้ง รู้สึกเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ ใบหน้าเริ่มรู้สึกถึงความร้อนผ่าว หมอขยันทำให้ระบบร่างกายเขาแปรปรวนจริงๆ




   “ทำไมหน้าแดง” ฐานทัพถามเมื่อเห็นว่าบุ๋นดูแปลกไป “คงไม่ใช่ไม่สบาย”




   “…”




   “เขินหรอ?”




   เฮือก…




   “ครับ ผมเขิน” บุ๋นยอมรับออกไปตรงๆในเมื่อเขาปิดบังอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ร่างสูงเดินไปซ้อนท้ายที่นั่งจักรยาน




   “จับแน่นๆ” ฐานทัพพูดตามละครที่เคยผ่านตา เขาหัวเราะออกมากับท่าทางเก้ๆกังๆของคนที่นั่งซ้อนหลัง




   เวลาเห็นบุ๋นเป็นแบบนี้ก็อดแกล้งไม่ได้




   น่ารักดี




   ฐานทัพค่อยๆปั่นจักรยานไปตามทางช้าๆไม่รีบร้อน อาจเพราะยังเช้าอยู่เลยทำให้ผู้คนในมหาวิทยาลัยไม่แออัดเหมือนช่วงบ่าย เขาตื่นเช้าเป็นประจำแต่ไม่เคยรู้สึกสดชื่นเท่าเช้าวันนี้




   อาจเพราะเช้านี้เขาได้อยู่กับคนที่ทำให้เขารู้สึกสดชื่น




   “เราเคยเจอกันตรงนี้พี่จำได้ไหมครับ” บุ๋นชี้นิ้วไปที่ๆพึ่งขับผ่าน    วันที่เขาถูกสั่งให้วิ่งรอบมหาลัยแล้วบังเอิญเจอหมอฐานทัพ ตอนนั้นดันไปกวนพี่ว๊ากเลยโดนสั่งทำโทษชุดใหญ่ เขาคิดว่าตัวเองโชคร้ายเป็นบ้าแต่พอวิ่งแล้วได้มาเจอหมอฐานทัพเขากลับรู้สึกว่ามันคือโชคดี



   “จำได้”




   “พี่ซื้อน้ำให้ผมด้วยนะ” บุ๋นเล่าต่อ “ผมยังเก็บขวดน้ำขวดนั้นไว้อยู่เลย”




   “เก็บไว้ทำไม?”



   “มันคือของชิ้นแรกที่ผมได้จากพี่นี่ครับ ผมก็อยากเก็บไว้”



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า รอยยิ้มบางๆเผยออกมา เขาจำวันนั้นได้ดี แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้เจอกันแต่บุ๋นกลับจำได้ทุกรายละเอียด



   “คิดถึงตอนนั้นแล้วมีความสุขมากๆเลยครับ”




   “แล้วตอนนี้ล่ะ”




   “คูณอินฟินิตี้เข้าไป”




   “เข้าใจแล้ว” เขาหัวเราะออกมา




   บุ๋นไม่รู้ว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ที่เขารู้คือความรู้สึกของเขาที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ในวันข้างหน้าเขาอาจจะมีปัญหาที่หนักกว่านี้ เจอกันน้อยลง ไม่มีเวลา ไม่ได้เจอหน้าแต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือ…หมอฐานทัพรักเขา



   “ผมเคยบอกพี่รึยังว่าผมรักพี่”



   “ถ้าบอกตรงๆ…คิดว่ายัง” บุ๋นชอบพูดเหมือนเป็นประโยคบอกเล่าที่เล่ารวมกับเรื่องอื่นๆ บุ๋นไม่เคยพูดบอกเขาตรงๆว่ารัก



   แต่ถึงไม่บอก…เขาก็รับรู้ได้



   “ผมรักพี่” บุ๋นเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง เขามั่นใจแล้วว่าถึงเวลาที่เขาจะสามารถพูดคำๆนี้ออกมาได้เต็มปาก



   ถึงการกระทำทุกอย่างมันจะบอกความนัยได้หมดแต่เขาก็ยังอยากจะบอกให้หมอได้รับรู้เอาไว้ ที่เขาพูดคำนี้ช้าเพราะเขาอยากให้หมอเชื่อเขาจากการกระทำก่อนจะเชื่อจากคำพูด



   “ผมรักพี่เท่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของผม…เพราะร่างกายไม่สามารถขาดเลือดได้”




   “คิดนานไหม”



   “ก็นิดนึงครับ” บุ๋นหัวเราะออกมาแก้เขิน




   “พี่ก็รักบุ๋น” ฐานทัพยิ้ม ยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ เขาเชื่อว่าเขาก็รักบุ๋นไม่น้อยไปกว่าความรักที่บุ๋นมอบให้เขา



   ถึงในเทอมถัดๆไปจะได้เจอกันน้อยลงแต่เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนไป เพราะคำๆเดียวที่เป็นคำตอบของทุกอย่าง…รัก



   “พี่รักบุ๋นเท่าน้ำที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต…เพราะต้นไม้ขาดน้ำไม่ได้”



   “พี่คิดนานไหมครับ?”



   “พึ่งคิด” เขาหัวเราะออกมา “เก่ง”



   “ครับ เก่งครับ” บุ๋นยิ้มกับคำตอบของหมอฐานทัพ




   คนอะไรยิ่งอยู่ด้วยยิ่งตกหลุมรัก




   คนๆนั้นคือ…หมอฐานทัพแฟนนายกิตติกร




   “พี่สอบวันสุดท้ายวันที่เท่าไหร่ครับ”




   “สิบสี่ บุ๋นล่ะ?”




   “สิบสามครับ” ถึงจะสอบเสร็จก่อนหมอหนึ่งวันแต่เขาก็มีตารางสอบติดกันยาวจนแทบจะอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาถัดไปไม่ทัน




   “ห่างกันวันเดียว”




   “ปิดเทอมแล้วพี่จะไปไหนไหมครับ?”




   “คงไม่”




   “ผมมาชวนตามที่เคยบอก”




   “…”




   “ปิดเทอมแล้วไปเก็บแครอทกับผมนะ”




----------------------------------------------
มาแล้วจ้าาา คิดถึงกันไหมมมมม
ใกล้จะจบแล้วน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 21-01-2017 21:39:55
รู้เลยว่าบุ๋นรักหมอมากจริงๆ ดีจังที่มีคนรักได้มากมายขนาดนี้^_^
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 21-01-2017 22:12:30
เพิ่งจะเข้ามาอ่าน ถึงตอนที่ 5
ติดใจ น้องบุ๋นซะแล้้ว..แวะมาแปะเม้นให้ กำลังใจก่อน  :L2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 21-01-2017 23:24:16
รักหมอฐานทัพค่ะ อะไรจะโรแมนติกขนาดนั้น
ทำ....เพราะอยากทำ มันดีงามจริงๆค่ะ

หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 21-01-2017 23:41:06
หมอฐานทัพโชคดีจริงๆ อิจอะ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 21-01-2017 23:58:40
ยิ้มจนปวดแก้มมม
น่ารักมากกกกกก บุ๋นๆๆๆๆๆ น่ารักไปแบ่ว
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 22-01-2017 00:01:07
คิดถึงงงง...
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 22-01-2017 16:47:03
อ่านทันปัจจุบันแล้ว +1
 :impress2: หวานละมุนละไมอยู่ในทุกตอน... ค่อยๆรักกัน เค้าชอบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [23: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสาม 100%] 21/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 22-01-2017 17:17:28
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 22-01-2017 19:19:27

จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่


   สัปดาห์สอบมาไวอย่างกับโกหก หอพักที่เคยเป็นระเบียบเต็มไปด้วยถ้วยมาม่ากับกองหนังสือที่ถ้าล้มลงมาทับก็คงนอนตายอย่างสงบ เสียงถอนหายใจของว่าที่คุณหมอคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากอ่านหนังสือไปเพียงครึ่งเล่ม



   “กูกำลังจะตาย…” คินอยากจะทึ้งหัวตัวเองเป็นรอบที่สอง อ่านหนังสือก็จริงแต่สมองเขาตอนนี้กลับจำอะไรไม่ได้เลย




   พรุ่งนี้จะสอบแล้วแท้ๆ




   “ใจเย็น” ฐานทัพที่ย้ายสถานที่อ่านหนังสือมาอ่านที่หอของคินกับปกป้องพูดพร้อมกับยื่นขนมที่เขากำลังกินอยู่มาให้ “อร่อยดี”




   “ไม่กิน” คินส่ายหน้า “มึงอ่านจบยังวะไอ้หมอ”




   “จบแล้ว กำลังอ่านทวน” ฐานทัพตอบกลับตามความจริง




   “แล้วมึงล่ะป้อง”




   “อีกสามบท” ปกป้องที่นั่งอยู่บนโต๊ะหันมาตอบ




   วิชาที่จะสอบในวันพรุ่งนี้เป็นวิชาแรกของการสอบไฟนอลซึ่งเป็นวิชาที่ยากพอสมควร ฐานทัพเองยังรู้สึกว่ายากกว่าหลายวิชาที่ผ่านมา ความจริงเขาควรจะอ่านหนังสืออยู่ที่หอขอตัวเองไม่ก็หอสมุดแต่เพราะคินขอร้องให้มาช่วยติวเขาเลยย้ายของมานอนอยู่หอเพื่อนสองสามวัน




   “กูเหลือเยอะสุดสินะ” คินเริ่มสติแตก “ทำไมมันยากแบบนี้วะเนี่ยยยย”




   “มึงเลิกบ่นแล้วตั้งใจอ่าน” ปกป้องหันมาดุ เขารู้ว่าคินไม่ชอบอยู่กับอะไรนานๆและชินกับเสียงบ่นของคินแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ถ้าคินไม่อ่านก็คงเรียนวิชาต่อไม่ได้




   “เออรู้แล้ว” คินยอมกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าอย่างจำยอม




   ฐานทัพที่นั่งฟังเพื่อนบ่นมาพักหนึ่งปิดหนังสือลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อเห็นแจ้งเตือนไลน์ที่พึ่งเด้งขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งนาที



   B : แวะมาเติมพลังให้ รออยู่ข้างล่างนะครับ :)




   ข้อความสั้นๆแต่กลับทำให้คนอ่านยิ้มออกมาทันที ฐานทัพเงยหน้าขึ้นก็พบว่าถูกสายตาของคินจ้องมองอยู่ด้วยท่าทางหมั่นไส้




   “มีความรักแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นะมึง!!!”




   “จะลงไปข้างล่าง ฝากซื้ออะไรไหม” เขาแกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนประชด




   “บุ๋นมาสินะ”




   “อืม”




   “งั้นลงไปซื้อข้าวเย็นเลยมึง ดันอ่านหนังสือจบก่อน สมน้ำหน้า” คินพูดอย่างกับว่าการอ่านหนังสือจบก่อนของเขาเป็นเรื่องที่ผิด




   ฐานทัพหัวเราะออกมาเพราะท่าทางขี้บ่นของเพื่อนตัวเองก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่เพื่อเตรียมลงไปข้างล่าง




   “มึงสองคนจะกินอะไร”




   “กูเอาผัดผงกะหรี่” ปกป้องหันมาตอบ




   “เอองั้นเอาเหมือนมัน” เขาขี้เกียจคิดเมนู สั่งตามปกป้องคนทำจะได้ไม่เหนื่อย




   “อืม งั้นเดี๋ยวมา” เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากห้อง




   ชั้นล่างสุดของหอพักเป็นที่จอดรถครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งแบ่งเป็นมินิมาร์ทกับห้องออกกำลังกาย บุ๋นนั่งรออยู่ที่เก้าอี้เล็กๆบริเวณหน้ามินิมาร์ท ในมือถือถุงขนมที่ซื้อมาให้หมอส่วนอีกมือถือข้าวกล่องสามกล่องที่แวะซื้อก่อนเข้ามา




   เสียงรองเท้าที่เดินลงมาจากบันไดทำให้บุ๋นหันไปมองทุกครั้ง เขากับหมอไม่ได้เจอกันมาสามวันแล้วเพราะช่วงก่อนสอบต่างคนต่างมีงานที่ต้องสะสาง วันนี้เขาเลยหาเวลาออกมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาเจอหมอ




   ได้เจอสักสิบนาทีก็ชื่นใจแล้ว




   “ไง” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างที่เดินลงมาจากบันได




   บุ๋นเด้งตัวลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ ร่างกายประสานงานกับหัวใจเสมอ ริมฝีปากเผยยิ้มกว้าง ไม่ได้เจอกันแค่สามวันแต่เขารู้สึกเหมือนสามเดือน




   “คิดถึงครับ” เพราะมัวแต่ดีใจเลยพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างลืมตัว




   “อืม” ฐานทัพหัวเราะออกมาก่อนจะก้มมองถุงขนมกับกล่องข้าว “ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”




   “อ่อ…พอดีผมซื้อมาฝาก คิดว่าพี่น่าจะอ่านหนังสือกันจนไม่มีเวลาลงมาหาอะไรกิน”




   “ไม่ขนาดนั้น”




   ความจริงไม่เชิงว่าไม่มีเวลาลงมา แต่อ่านจนลืมว่าหิว รู้ตัวว่าหิวอีกทีก็ดึกเลยคิดซะว่าค่อยกินอีกทีตอนเช้าก็แค่นั้น




   “เติมพลังไงครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับยื่นถุงทั้งสองให้คนตรงหน้า




   “คราวหลังไม่ต้องนะ เกรงใจ”




   “ผมเป็นห่วง”




   “อืม รู้” ฐานทัพยิ้มในความใส่ใจของบุ๋น “แค่มาเจอก็พอแล้ว”




   “…”




   “เติมพลังได้เยอะ” มือหนักวางลงบนหัวบุ๋นอย่างนึกเอ็นดู ฐานทัพโยกไปมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า




   เขาก็คิดถึงบุ๋น




   “ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ”




   “จะกลับแล้วหรอ” ฐานทัพถาม พึ่งเจอกันได้แป๊บเดียว




   “พรุ่งนี้พี่มีสอบ ผมแค่แวะมาหา”




   “อ่อ”




   “ได้เจอหน้าก็มีความสุขแล้วครับ”




   “อืม” ฐานทัพยิ้มอีกครั้ง ตั้งแต่ที่มีบุ๋นเข้ามาในชีวิตเขาจำไม่ได้เลยว่าตัวเองยิ้มไปกี่ครั้ง รู้แต่ว่าเขายิ้มบ่อยมากจนนับครั้งไม่ได้




   “ผมรู้ว่าพี่ทำได้ พี่เก่ง”




   “อืม ขอบคุณ”




   “ผมไปก่อนนะ”



   “เดี๋ยว” ฐานทัพใช้มือข้างที่ว่างอยู่เอื้อมไปจับมือบุ๋นหลวมๆ “ตั้งใจอ่านหนังสือนะ”



   “ครับผม” บุ๋นรับคำเสียงหนักแน่น เขาเองมีสอบตัวแรกอีกสองวันข้างหน้าแต่จะให้เบาใจก็คงไม่ได้เพราะเนื้อหาก็ไม่ใช่น้อยๆ



   “ชาร์จพลัง” ฐานทัพยกมือแตะหน้าผากบุ๋นเบาๆ “สู้ๆ”




   “พลังเต็มที่เลย” บุ๋นยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมืออุ่นๆมาแตะหน้าผากของหมอ “ชาร์จพลัง”




   “ครับ” เขาหัวเราะออกมา




   “บ๊ายบายครับ” บุ๋นทิ้งท้ายไว้ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายหมอฐานทัพที่ยืนรอส่งเขาอยู่หน้าหอพัก




   ถึงจะเจอกันไม่กี่นาทีแต่การเจอกันมันทำให้ความเหนื่อยล้าทั้งวันของฐานทัพหายไปเป็นปลิดทิ้ง บางทีการชาร์จพลังของบุ๋นคงได้ผลจริงๆ




   ฐานทัพกลับมาที่ห้องพร้อมกับถุงขนมของบุ๋น เขาวางถุงขนมไว้ก่อนจะเรียกคินกับปกป้องมากินข้าวกล่องที่บุ๋นซื้อมาให้




   “บุ๋นซื้อมาฝากเลยไม่ได้ไปซื้อข้าว”




   “เออไม่เป็นไร กินได้หมด” ปกป้องตอบพร้อมกับเปิดกล่องข้าว ไม่รอให้นั่งครบเขาก็เริ่มกินข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวตรงหน้าทันที




   “ไหวปะมึง” ฐานทัพหันไปถามคินที่มีสภาพไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่




   “เออ ได้อยู่” คินใช้มือข้างหนึ่งนวดขมับตัวเองก่อนจะเปิดข้าวกล่องกินตาม




   ไม่ถึงสิบห้านาทีข้าวกล่องตรงหน้าก็หมดเกลี้ยง ปกป้องเก็บกล่องโฟมออกไปทิ้งขยะก่อนจะเดินกลับไปประจำโต๊ะนั่งเพื่ออ่านหนังสืออีกสองบทให้จบ ส่วนคินเดินมานั่งลงข้างๆฐานทัพพร้อมกับหนังสืออ่านสอบ




   “ไอ้หมอกูไม่ไหวแล้ว ขอนั่งอ่านข้างมึงนะ”




   “อืม เอาดิ” ฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธ คินยังเหลืออีกเยอะที่ยังไม่ได้อ่าน ถ้ามีตรงไหนที่เขาพอจะช่วยได้เขาก็อยากจะช่วย

   
   B : ถึงหอแล้วนะครับ


   ไลน์เด้งขึ้นมาพร้อมกับข้อความของบุ๋น ฐานทัพไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไปเพียงแค่กดส่งสติ๊กเกอร์แล้ววางโทรศัพท์ลงเพื่ออ่านหนังสือต่อ




   พรุ่งนี้มีสอบเช้า เขาจะนอนดึกมากไม่ได้

.


   เคยมีคนบอกไว้ว่าเวลาตั้งใจกับอะไรมากๆจะสนใจจนลืมเวลา หลังจากที่ทวนเนื้อหาเสร็จฐานทัพก็ปิดหนังสือลงก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่อ่านหนังสือได้เกินครึ่งแม้ว่าจะยังไม่ใกล้บทสุดท้ายแต่ก็ถือว่าอ่านมาได้เยอะมากแล้ว นาฬิกาฝาผนังบอกเวลาห้าทุ่มครึ่งทำให้เขาตัดสินใจไปอาบน้ำเตรียมจะเข้านอน




   การสอบไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักแต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเลือกที่จะเรียนคณะแพทย์แล้วยิ่งหนักขึ้นไปอีก นอกจากจะมีสอบมิดเทอมกับไฟนอลยังมีสอบยิบย่อยตามรายวิชาซึ่งแรกๆอาจจะมีท้อกันไปบ้างแต่พอเจอเยอะๆเข้าก็เริ่มปรับตัวได้




   “เป็นไงบ้าง” ฐานทัพวางมือลงบนบ่าของเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม




   “มีไม่เข้าใจอยู่บ้าง เดี๋ยวจบบทช่วยอธิบายให้ที” คินพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อย




   “อืม ได้”





   “กูอาบน้ำก่อน” ปกป้องปิดหนังสือที่อ่านจบลงแล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำ




   วันนี้เขาทั้งสามคนนั่งจมกองหนังสือมาทั้งวันแล้วและจะเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ซึ่งก็คืออีกสองอาทิตย์ข้างหน้า


   
   B : นอนรึยังครับ?



   ข้อความที่ส่งมาถามเหมือนทุกๆวันหากแต่ไม่ได้สร้างความรำคาญแก่ผู้รับ ฐานทัพกดอ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบกลับไป



   Thanthup : อีกสักพัก บุ๋นล่ะ
   B : กำลังจะนอนแล้วครับ
   B : อ่านหนังสือถึงไหนแล้วครับ?
   Thanthup : จบแล้ว
   B : งั้นนอนไวๆนะครับ พรุ่งนี้จะได้ไม่ง่วงในห้องสอบ
   Thanthup : ครับ
   B : ผมนอนก่อนนะ ฝันดีครับ
   Thanthup : อืม
   Thanthup : *กำลังโทรหา…B*



   ( มีอะไรรึเปล่าครับ ) น้ำเสียงของคนกำลังจะนอนถามกลับมาอย่างงงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หมอกดโทรไลน์หาเขา




   “เปล่า ไม่มีอะไร” ฐานทัพเดินออกมาคุยนอกระเบียงเพราะกลัวเสียงดังรบกวนคิน




   ( อ่าว… )




   “จะโทรมาบอกว่า...”




   ( … )




   “ฝันดีครับ”




   ( … ) ไม่มีเสียงตอบกลับจากปลายสาย ฐานทัพรอฟังอยู่พักใหญ่แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมา




   “บุ๋น ได้ยินรึเปล่า”




   ( คะ…ครับ ) น้ำเสียงสั่นๆตอบกลับมา ( ผม…ได้ยิน )




   “เป็นอะไร”




   ( ผมกำลังแย่ครับ )




   “แย่ยังไง”




   ( พี่เป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมแย่แน่ๆ ) เสียงลมหายใจรดปลายสาย ( แต่ผมชอบนะ )




   “…”




   ( ฝันดีนะครับ…ถ้าฝันถึงผมจะยิ่งฝันดีนะ )




   อืม…คงฝันดีจริงๆ


.

   ตึกคณะเกษตรเต็มไปด้วยนักศึกษาที่พึ่งออกมาจากห้องสอบคุยกันเรื่องข้อสอบที่พึ่งสอบผ่านไป บุ๋นเดินออกมาเป็นคนท้ายๆถอนหายใจทิ้งเป็นครั้งที่ห้า ที่คิดว่าจะออกดันไม่ออก ที่คิดว่าไม่ออกดันออก




   “เป็นไงวะมึง ง่ายอะดิ” เดชที่นั่งรออยู่หน้าห้องสอบเอ่ยทักทันทีที่เห็นบุ๋นเดินออกมา




   “ง่ายกับผี” บุ๋นตอบเสียงเซง เมื่อคืนนั่งอ่านจนดึกรู้งี้น่าจะหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่ม




   “แล้วนี่จะไปไหนต่อวะ”




   “กลับหอดิวะ เหลือสอบอีกตั้งสองตัว” ถึงจะสอบผ่านมาสี่ตัวแล้วเขาก็ยังเหลือวิชาโหดอีกสองวิชาที่ต้องผ่านไปให้ได้



   “โห เคร่งนะมึง”



   “แน่นอน กูจะเอาเอ” บุ๋นแกล้งประชดกลับไปทั้งๆที่พอจะรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถถึงขั้นนั้น



   “เออไปๆ เกลียดจังคนเรียนเก่ง”



   “เออ ไว้เจอกัน” บุ๋นบอกลาเดชพร้อมโบกมือลาเพื่อนคนอื่นๆก่อนจะเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์




   หมดแรง…




   ไม่เหลืออะไรแล้ว…




   กูจะเอฟไหมเนี่ยยยยยยยย!!!!!




   บุ๋นเดินลงมาถึงชั้นล่างของตึกคณะ ร่างสูงกำลังจะเลี้ยวตรงไปยังจักรยานแต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวขามือเย็นๆก็แตะลงที่แก้มซ้ายของเขาเบาๆ ความเย็นจากมือทำให้บุ๋นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองยังจุดที่อีกคนยืน




   “วิญญาณหลุดหรอ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่เป็นกำลังใจสำคัญยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับแก้วชาเขียวในมือ




   “พี่…” บุ๋นถึงกับพูดไม่ออก รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น หัวใจของบุ๋นเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก




   ตั้งแต่สอบไฟนอลเขากับหมอก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลยถึงแม้จะโทรคุยกันทุกวันแต่ก็คุยไม่นาน เขาคิดไม่ถึงว่าหมอจะมาหาเขาที่คณะ ดีใจจนพูดไม่ออก




   “แวะมาเติมพลัง” ฐานทัพพูดต่อก่อนจะยื่นชาเขียวในมือให้บุ๋น “ให้”




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นยื่นมือไปรับพร้อมรอยยิ้ม




   ร่างกายที่กำลังจะหมดแรงกลับกลายเป็นสดชื่นขึ้นมาทันที




   “ไปกินข้าวกัน” ฐานทัพเป็นคนออกปากชวน วันนี้เขาสอบเสร็จก่อนบุ๋นครึ่งชั่วโมงเลยตั้งใจมานั่งรอที่คณะตั้งแต่ช่วงสิบเอ็ดโมง



   “ไปครับ” บุ๋นพยักหน้ารัว “หิวมากเลย”



   “อืม” ฐานทัพยิ้มออกมานิดๆ เห็นท่าทีของบุ๋นที่ดูสดชื่นขึ้นเขาเองก็ดีใจ




   เมื่อกี้ตอนบุ๋นเดินลงมาสภาพเหมือนคนกำลังจะหมดแรงทำเอาเขาอดห่วงไม่ได้ แต่เห็นยิ้มแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย




   “สอบเป็นยังไงบ้าง”




   “โหพี่ ยากมากอะ” บุ๋นเริ่มบ่น “ผมคิดว่าวงจรต้องออกแน่ๆแต่ดันไม่ออก ผมนั่งจำทั้งคืนเลย” พูดไปก็ไม่รู้จะโทษใคร




   ถ้าเขาเข้าใจและสามารถจำทุกอย่างได้เขาก็ทำได้




   “ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว อย่าเครียด” ฐานทัพพูดให้กำลังใจไม่เก่งแต่ก็พอรู้ว่าบุ๋นเครียดไม่น้อย





   “นั่นสิเนอะ มันผ่านไปแล้ว”




   “อยากกินอะไร” ระหว่างเดินไปที่จักรยานเขาก็ถามบุ๋นไปพลางๆ เขาสอบวิชาต่อไปอีกทีก็สองวันข้างหน้าเลยพอมีเวลาแวะมาหาบุ๋น



   ความจริงก็คือ…คิดถึง


หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 22-01-2017 19:24:15
   “ผมให้พี่เลือก”



   “พี่ให้บุ๋นเลือก”




   “โห…” บุ๋นรู้สึกตัวเองกำลังถูกลอบยิงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้




   ทุกครั้งที่หมอฐานทัพแทนตัวเองว่าพี่ มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเขาสั่นคลอนจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น เหมือนโดนกระหน่ำยิงด้วยลูกอมฮาร์ทบีท




   “ว่าไง”




   “ไปกินร้านหน้ามอก็ได้ครับ ตอนนี้น่าจะเปิดแล้ว”




   “อืม”




   ร้านหน้ามหาวิทยาลัยเปิดเป็นบางร้านอาจเพราะส่วนมากจะเปิดร้านในตอนเย็น บุ๋นเลือกร้านเสต็กที่มีผู้คนนั่งอยู่ประปรายเพราะดูไม่วุ่นวายเท่าร้านอาหารตามสั่งข้างๆ ทั้งสองเดินเข้ามานั่งพร้อมกับเมนูที่วางอยู่บนโต๊ะ




   “ผมเอาอันนี้ครับ” บุ๋นชี้ไปที่เมนูแนะนำ




   “เหมือนกัน” ฐานทัพสั่งตามก่อนจะยื่นเมนูคืนพนักงานที่จดรายการอาหารอยู่




   ฐานทัพมองบุ๋นที่ดูกลับมาซึมอีกครั้งหลังจากที่เดินเข้ามาในร้าน เขาพอดูออกว่าบุ๋นค่อนข้างเครียดกับการสอบไฟนอลครั้งแรกในรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็เคยเป็นมาก่อน




   “อยากพูดไหม”




   “ดูออกขนาดนั้นเลยหรอครับ” บุ๋นถอนหายใจ “เฮ้ออออ~”




   “รู้ว่าเครียด”




   “คะแนนมิดเทอมวิชานี้ผมไม่ได้ดีมาก ที่สอบไปก็ไม่ค่อยมั่นใจ ผมกลัวเอฟน่ะ” บุ๋นบอกความจริงออกมา “แย่เนอะพี่ เรียนเทอมแรกก็มีเอฟเนี่ย”




   “ไม่หรอก” ฐานทัพเอื้อมมือวางลงบนหัวบุ๋นเบาๆ “ไม่เอฟหรอก”





   “ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ”




   “ยิ้ม”




   “…”




   “ชอบให้ยิ้มมากกว่า” เขาเลื่อนมือลงมาดึงแก้มบุ๋นข้างหนึ่งเพราะเคยดูในทีวีมาก่อนว่าทำแบบนี้แล้วอีกฝ่ายจะอารมณ์ดี




   หวังว่ามันจะใช้ได้จริง




   “ยิ้มครับ” บุ๋นยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่ตามที่หมอบอก ความจริงเขาไม่ควรจะทำหน้าเครียดให้หมอเห็นเลยด้วยซ้ำ




   “ประชดหรอ”




   “เปล่าครับ ยิ้มจริงๆ”




   “…”




   “ยิ้มเพราะดีใจที่พี่มาหาถึงคณะ”




   “ไว้จะมาหาบ่อยๆ”




   ถึงเทอมสองจะเรียนเยอะขึ้นแต่ก็ยังพอมีเวลาที่จะทำอะไรได้บ้างแม้ว่าจะต้องเตรียมตัวขึ้นปีสี่แล้วย้ายเข้าไปฝั่งโรงพยาบาลก็ตาม ฐานทัพยังไม่อยากจะคิดล่วงหน้า ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว




   “แล้วพี่สอบเป็นยังไงบ้างครับ”




   “เหมือนเดิม ยากอยู่”




   “แต่ก็ทำได้ใช่ไหมครับ”




   “อืม ได้สิ” เขาไม่เคยโกหกเวลาที่ใครถามอะไร ถ้าทำได้ก็จะตอบว่าทำได้




   “เก่งจังเลย แฟนใครเนี่ย” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “แฟนบุ๋น” ฐานทัพตอบกลับด้วยความใสซื่อของเขาโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่บุ๋นพูดออกมาเป็นเพียงการพูดเล่นๆไม่ได้ต้องการคำตอบ




   ตายบุ๋น…หมออัพเลเวลขึ้นเรื่อยๆ




   “แล้วอีกสองวิชาที่ผมจะต้องสอบนะพี่ มัน…” บุ๋นเริ่มบ่นถึงวิชาถัดไปที่ใกล้จะถึงวันสอบในอีกสองวันข้างหน้าที่เครียดไม่แพ้วิชาในวันนี้



   ฐานทัพนั่งฟังเงียบๆตามปกติที่เขาเป็น แววตาจ้องมองไปยังคนตรงหน้าไม่วางตา บุ๋นยังคงพูดเรื่องต่างๆออกมาไม่หยุดในระหว่างช่วงที่เขาทั้งสองไม่ได้เจอกัน ฐานทัพเผยยิ้มออกมา เขารู้สึกเพลินที่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆของบุ๋น แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรกลับไป พึ่งเข้าใจก็ตอนนี้ว่าทำไมแต่ก่อนบุ๋นถึงเอาแต่ยิ้มเวลาได้คุยกับเขา…เพราะ มีความสุข




   เขามีความสุขที่ได้มองบุ๋นอย่างนี้




   เคยสงสัยว่าทำไมคนเราถึงอยากมีแฟน…วันนี้เขาเข้าใจแล้ว




   ตั้งแต่บุ๋นเข้ามาในชีวิต…ไม่เคยมีสักวันที่เขาไม่มีความสุข


.   

   วิชาสุดท้ายจบลงอย่างสวยงาม บุ๋นออกมาจากห้องด้วยหน้าตาระรื่นผิดไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้เขายอมรับว่าเขาเตรียมตัวมาดีและทำได้ค่อนข้างเยอะ




   เห็นเอลอยมาแต่ไกล…




   ทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบบุ๋นก็ตรงไปที่รถจักรยานเพื่อปั่นไปคณะแพทย์ทันที เขาไม่ได้เจอหมอมาสามวันแล้ว ถึงจะโทรคุยกันทุกวันแต่มันก็ทดแทนกันไม่ได้




   ป่านนี้หมอจะสอบเสร็จรึยังนะ…




   เขาลืมถามซะด้วยว่าหมอสอบเสร็จกี่โมง




   จักรยานตัวโปรดจอดลงหน้าคณะแพทย์ที่มีเหล่านักศึกษาแพทย์นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างล่างตึกเป็นแถว บุ๋นจอดจักรยานลงก่อนจะเดินตรงไปยังที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนหนาตามากนัก




   หมอจะสอบเสร็จกี่โมง   



   B : สอบเสร็จกี่โมงครับ ผมรออยู่ล่างตึกนะ :)



   ข้อความจากแอปพลิเคชั่นเด้งขึ้นมาขณะที่ฐานทัพกำลังนั่งรอเวลาเข้าห้องสอบ




   “มึงจะถึงเวลาแล้ว” คินที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยเสียงสั่น ถึงจะอ่านมาดีแต่ก็รู้สึกตุ้มๆต่อมๆทุกครั้ง ข้อสอบของวิชานี้เขาไม่เคยเดาทางข้อสอบออกเลย




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษ


   กำลังโทรหา…คนส่งแครอท


   เสียงสัญญาณจากปลายสายดังไม่นานบุ๋นก็กดรับ น้ำเสียงร่าเริงที่ผ่านมาทำให้เขายิ้มออกมาด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง




   หนึ่งในนั้นคงเป็น…ความคิดถึง




   “กำลังจะเข้าห้องสอบ” ฐานทัพเข้าประเด็นทันทีเพราะเขาไม่มีเวลาพูดนาน




   ( อ่าว พี่สอบบ่ายหรอครับ )




   “อืม” ฐานทัพเหลือบดูห้องสอบที่เปิดประตูเตรียมเรียกนักศึกษาเข้าห้องก่อนพูดต่อ “ไม่ต้องรอ เดี๋ยวเลิกแล้วโทรหา”




   ( ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรอ )




   “แต่…”




   ( ตั้งใจทำข้อสอบนะครับพี่ )




   “…”




   ( สอบเสร็จแล้วเจอกันครับ กำลังใจรออยู่ข้างล่าง )




   “…”




   ( แฟนผมเก่งอยู่แล้ว )




   “ครับ” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนที่ปลายสายจะถูกตัดไป เขามองโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วเตรียมเดินเข้าห้องสอบ




   กำลังใจรออยู่ข้างล่าง




   อืม…เดี๋ยวลงไปหา

.


   บุ๋นมองนาฬิกาสลับกับผู้คนที่เดินลงมาจากตึก สายตากวาดมองหาหมอฐานทัพ จากที่คุยกันครั้งล่าสุดจนถึงตอนนี้ก็สองชั่วโมงกว่าแล้ว อีกเดี๋ยวหมอก็คงลงมา




   อย่าคิดถึง…เดี๋ยวหมอทำข้อสอบไม่ได้




   บุ๋นอ้าวปากหาวออกมาก่อนจะสะบัดหน้าไปมา เขานอนดึกติดต่อกันมาหลายวันเลยไม่แปลกที่จะรู้สึกง่วงนอน พอเห็นว่าหมอฐานทัพยังไม่มีท่าทีลงมาเขาก็วางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะฟุบหลับลงไป




   ขอสักสิบห้านาที…




   เสียงของอาจารย์ดังขึ้นเมื่อหมดเวลาทำข้อสอบ ฐานทัพเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับคินและปกป้องที่ส่งข้อสอบพร้อมๆเขา วิชานี้เป็นวิชาที่คนออกห้องสอบก่อนเวลาน้อยมากทำให้นักศึกษากว่าครึ่งห้องส่งข้อสอบหลังจากหมดเวลาพร้อมกัน




   “ยากฉิบหาย” คินเอ่ยออกมาเบาๆเหมือนคนกำลังจะหมดแรง




   “พรุ่งนี้ก็ตัวสุดท้ายแล้ว” ปกป้องตบบ่าเพื่อนสนิท “เดี๋ยวมึงไปไหนต่อ” เขาหันไปถามฐานทัพที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา




   “ไปหาบุ๋น รออยู่ล่างตึก”




   “อ่อ งั้นแยกกันตรงนี้ก็ได้ ไอ้คินจะตายแล้ว” ปกป้องพูดพร้อมเอื้อมมือไปกอดคอคินที่แทบจะไม่รับรู้อะไรอีก





   “อืม พรุ่งนี้เจอกัน”




   “เออ บาย”




   “อย่าให้มันหลับละ” ฐานทัพบอกทิ้งท้ายเพราะรู้ว่าคินชอบแอบอู้หลับอยู่บ่อยๆและปกป้องก็มักจะตามใจในบางครั้ง




   อยากให้อดทนอีกแค่วันเดียว




   “ครับเพื่อนนนนน” คินตะโกนตามหลัง




   ฐานทัพรีบเดินลงมาที่ชั้นล่างของตึกคณะ เขาสอบเต็มสามชั่วโมงเลยแอบเป็นห่วงคนที่มานั่งรออยู่ข้างล่างตึกตั้งแต่ก่อนเข้าห้องสอบ ทั้งๆที่เขาบอกไปแล้วว่าไม่ต้องรอ




   ยังไม่ทันที่เขาจะกวาดสายตาหาเขาก็พบกับร่างที่นอนฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะตัวยาวที่ห่างออกไปจากผู้คน รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นมา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่รอนอนหลับอย่างสบาย




   ฐานทัพวางกระเป๋าลงบนโต๊ะเบาๆก่อนจะสอดตัวนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับบุ๋น เสียงลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นระยะทำให้เขาเลือกที่จะไม่ปลุกคนตรงหน้า คงเหนื่อยมาหลายวัน




   สรุปวิชาสุดท้ายที่หยิบติดมาถูกนำออกมาอ่านรอเวลาที่อีกคนจะตื่น ฐานทัพเป็นคนอ่านหนังสือที่ไหนก็ได้ อีกอย่างวิชาสุดท้ายเขาก็อ่านมาแล้วเหลือแค่ทบทวนอีกสองสามรอบ




   บุ๋นนอนหลับอย่างสบายโดยไม่รู้เลยว่าทุกกิริยาท่าทางถูกสายตาของใครอีกคนจับจ้อง




   คนที่…มีเขาเป็นแฟนคนแรก



   ฐานทัพมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ชัดเจนกว่าครั้งแรกที่ได้เจอกัน บุ๋นในตอนนั้นก็ยังเหมือนบุ๋นในตอนนี้ บุ๋นไม่เคยเปลี่ยนไป




   “อืม…” บุ๋นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าที่ใช้หนุนนอน ตาทั้งสองข้างค่อยๆปรับแสงที่เข้าสู่ดวงตาก่อนที่เขาจะร้องออกมาเสียงดัง “พี่!”




   กำลังใจตื่นแล้ว




   “หลับสบายไหม” รอยยิ้มอบอุ่นถามกลับ ฐานทัพเอื้อมไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนก่อนจะหัวเราะออกมาเพราะรอยซิปของกระเป๋าที่อยู่บนแก้มซ้ายของบุ๋น




   คงหลับไปนานมาก





   “นี่กี่โมงแล้วครับ…”




   “ห้าโมงครึ่ง”




   “ห้าโมงครึ่ง!!!” บุ๋นทำตาโต “ผมนอนหลับไปเกือบชั่วโมงหรอครับ”




   “อืม”




   “แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม”




   “ปลุกทำไม ก็เห็นนอนหลับสบาย” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ นอนหลับสบายๆถ้าโดนปลุกก็คงนอนไม่เต็มอิ่ม





   “แต่ผมทำให้พี่เสียเวลา” บุ๋นหลุบตาลงต่ำเมื่อหมอฐานทัพมองมาที่เขาไม่ละสายตา





   โหหมอ…ทำแบบนี้ผมจะทำตัวยังไง




   “พี่อ่านสรุปอยู่” ฐานทัพพูดพร้อมกับยื่นสรุปที่อยู่ในมือให้บุ๋นดู “อ่านจบไปสองรอบแล้ว”




   “ครับ ผมเข้าใจแล้ว” บุ๋นพยักหน้า “แต่คราวหลังพี่ต้องปลุกผมนะ”




   “อืม ได้” เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง “หิวรึยัง”




   “เอาจริงๆก็หิวครับ” บุ๋นยิ้ม เขาไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง “แต่เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินเองก็ได้ พี่ยังเหลือสอบอีกหนึ่งตัว”





   “อยากกินด้วย”




   “คะ…ครับ?”





   “ไปด้วย”





   น้ำเสียงของหมอที่บอกกับเขาทำเอาคนฟังทำตัวไม่ถูก บุ๋นยิ้มกว้างก่อนจะยกมือเกาหัวแก้เขิน ขอแบบนี้ใครจะปฏิเสธลง




   “ได้สิครับ ได้แน่ๆ”




   “ครับ” ฐานทัพยิ้มอีกครั้งก่อนจะเก็บของลงกระเป๋า “ปะ”




   “ครับๆ” บุ๋นรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายข้างก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหมอฐานทัพไปที่จอดรถจักรยาน




   เดี๋ยวนี้หมอเริ่มจู่โจมเขามากเกินไป…เกินใจจะทนไหว




   ถึงเวลาที่เขาจะต้องจู่โจมหมอกลับ




   “พี่ครับ เราเดินไปกันไหม” บุ๋นหันไปถามความคิดเห็น




   “จะกินแถวนี้หรอ”




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้า “ผมมาแถวคณะที่ก็บ่อยแต่ไม่เคยได้กินอาหารแถวนี้เลย”




   “ได้” ฐานทัพเอ่ยอย่างคนตามใจ




   “ผมไม่เคยมาแถวนี้กลัวเดินแล้วหลง”




   “…”





   “ขอจับมือพี่ได้ไหมครับ?”
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 22-01-2017 20:02:41
หวานไปอีกค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-01-2017 20:04:07
โอ้ยยยย  หวานเกินไปละ เราอิจ!!
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 22-01-2017 20:28:50
Feelgood จริงๆเรื่องนี้ รักษาความอบอุ่นนี้ไว้ต่อไปนะคับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 22-01-2017 21:00:26
 :-[
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: nsai.ss ที่ 23-01-2017 11:25:12
น่ะ...หวานนนนนนนนนนนนน~
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: b2friend ที่ 23-01-2017 14:57:32
รู้สึกเสียดายที่พึ่งจะเข้ามาอ่าน แบบว่า....น่ารักมาก
เดี๋ยวกลับไปอ่านอีกรอบค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 23-01-2017 18:29:55
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: snice_cz ที่ 23-01-2017 21:04:29
หวานอะไรขนาดนั้นเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย
มีกลัวหลงด้วยอ่ะ โอ๊ยยยยยยยยยยย เขินมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-01-2017 22:34:20
เขินหนักมากกกก ตามอ่านทันจนได้อดหลับอดนอนกันเลยทีเดียว น่ารักจริงๆบอกเลย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 24-01-2017 00:36:19
แน่ะๆ มีขอจับมือ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 24-01-2017 13:49:53
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 24-01-2017 22:00:53
แน่ะๆๆบุ๋นแบ๊วเป็นเด็กห้าขวบเชียว จับมือกลัวหลงงงง โอ๊ยน่าหมั่นนน  :ling1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [24: จีบหมอครั้งที่ยี่สิบสี่ 100%] 22/01/60 หน้า7
เริ่มหัวข้อโดย: JarmJuRee ที่ 26-01-2017 08:20:05
งื้มมมมมมม...ละมุนมากลูกแม่
 :o8:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: perlina ที่ 27-01-2017 17:32:44
ผมรักหมอ
[/b]


   จักรยานคันเก่งจอดลงหน้าตึกคณะแพทย์เหมือนทุกๆครั้ง รอยยิ้มของคนที่มารอรับแฟนเผยออกมาเมื่อเห็นร่างสูงเดินลงมาจากบันไดตรงมาที่เขา


   คนที่เปรียบเหมือนรอยยิ้มของเขา



   “เหนื่อยไหมครับ” คำถามแรกถามขึ้นเมื่อหมอฐานทัพเดินมาหยุดตรงหน้า



   “อืม นิดหน่อย” คนที่พึ่งผ่านการสอบวิชาสุดท้ายเสร็จหัวเราะแห้งๆ “ปวดหัวไปหมด” ร่างสูงก้มลงเอาหน้าผากวางบนไหล่ของบุ๋นเบาๆ



   “เหนื่อยแบบนี้จะมีแรงไปเก็บแครอทกับผมไหมเนี่ย” บุ๋นหัวเราะพร้อมยกมือทั้งสองข้างวางบนไหล่ของคุณหมอแล้วนวดเบาๆ



   “มี” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆก่อนจะเงยหน้าขึ้น “เสื้อสวยดี” เขาทักเมื่อเห็นเสื้อช้อปสีเขียวเข้มที่บุ๋นใส่ทับเสื้อข้างใน



   “ใส่มาให้พี่เห็นเป็นคนแรกเลยนะ” คนที่พึ่งได้เสื้อช้อปของคณะเมื่อวานถึงกับอวด เขาตื่นเต้นมากจนลืมซักเสื้อเลยยอมใส่มาแบบยังไม่ได้ซัก



   อยากให้หมอเห็นเป็นคนแรก



   “ปั่นจักรยานมาคนก็เห็นกันทั่วแล้ว” ฐานทัพหัวเราะ “คนแรกยังไง”




   “โห่พี่ แบบที่คนเห็นกันทั่วก็ไม่นับสิ” บุ๋นหัวเราะตาม



   “ครับๆ”




   “วันนี้ซ้อนผมไปนะ” บุ๋นยิ้มอีกครั้ง “เห็นแฟนเหนื่อย ไม่อยากให้ปั่นจักรยาน”



   “เว่อร์” ฐานทัพหัวเราะออกมา “ซ้อนก็ซ้อน”



   เห็นความตั้งใจที่ส่งผ่านมาทางสายตาเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ วันนี้ก็เพลียจริงๆอย่างที่ว่า ได้นั่งซ้อนท้ายไปคงสบายมากขึ้น



   “ไปกันครับ” บุ๋นหันมาเรียกหมอฐานทัพที่ยืนรอเขาเอาจักรยานออกเพื่อเตรียมจะปั่นไปที่คณะของเขา “เดี๋ยวเย็นกว่านี้จะเก็บยาก”    



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งซ้อนท้ายจักรยาน



   “จับแน่นๆนะครับ แถวนี้ถนนมันลื่น เดี๋ยวพี่ตกจักรยาน”



   “เนียนกว่านี้ไม่ได้หรอ” เขาหัวเราะออกมากับเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่



   นี่แหละ…บุ๋น



   บุ๋นปั่นจักรยานไปตามทางอย่างเคยชิน เขาปั่นกลับไปกลับมาระหว่างคณะแพทย์กับคณะเกษตรจนชินเส้นทาง เรียกว่าหลับตาขับยังไม่หลง มหาวิทยาลัยวันนี้มีนักศึกษาน้อยลงกว่าวันสอบวันแรกๆเยอะ อาจเพราะบางคณะสอบเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วหรืออาจเพราะบางคนรีบกลับไปอ่านหนังสือสอบวิชาถัดไปเลยทำให้ถนนในมหาวิทยาลัยไม่มีรถรามากเท่าที่เคยเป็น



   “คิดถึงวันแรกพบนะครับ” บุ๋นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อเหตุการณ์ในวันนั้นหวนกลับเข้ามาในความทรงจำของเขาอีกครั้ง



   “ทำไม” ถึงเขาจะจำเหตุการณ์ได้แต่ก็เดาไม่ถูกว่าบุ๋นจะพูดเรื่องอะไร



   วันนั้นเจอกันตั้งหลายรอบ



   “ตอนที่ผมเข้าใจว่าพี่พักอยู่หอพักเดียวกับผมไง” บุ๋นเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความประทับใจ “วันนั้นผมปวดเท้ามากๆเลย”



   “จำได้”



   “ตอนนั้นผมซื่อบื้อเองที่ไม่รู้ว่าคนที่ใส่ผ้าปิดปากอยู่เป็นพี่ ไม่อย่างนั้นนะ…”



   “ทำไม” ฐานทัพถามเมื่อบุ๋นเว้นช่วงเล่า



   “จะแกล้งทำเป็นซ้อนท้ายไม่เป็น”




   “งั้นคงต้องได้เดินกลับเอง”




   “ใจร้าย”




   “หรอ”



   “ผมล้อเล่น” บุ๋นหัวเราะเบาๆ “คนใจร้ายที่ไหนจะบอกให้ผมเอาเท้าแช่น้ำอุ่น”



   “…”




   “จริงไหมครับ?”



   “ไม่รู้” ฐานทัพตอบเลี่ยงๆพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้น คำพูดที่แสนจะธรรมดาสำหรับคนทั่วไปแต่พอเป็นบุ๋นที่พูดออกมาก็พลันทำให้เขารู้สึกพิเศษ



   บุ๋นจอดจักรยานลงหน้าตึกคณะที่แทบจะไม่มีคนหลงเหลืออยู่ทั้งๆที่ตอนนี้เวลาห้าโมงตรง รุ่นพี่ปีสูงๆสอบเสร็จก่อนปีหนึ่งไปเกือบสามวันเลยทำให้ที่คณะดูอ้างว้างร้างผู้คน



   “ไปครับ” จอดจักรยานเสร็จบุ๋นก็หันไปคว้ามือของคุณหมอมาจับทันที “ผมกลัวพี่เดินหลง”



   “อืม” ฐานทัพเลือกที่จะตามน้ำคนชอบเนียน ถึงเขาปฏิเสธบุ๋นก็จะมีข้ออ้างใหม่ๆมาเสมอ



   แปลงเกษตรทอดยาวไปจนถึงแปลงแครอทของบุ๋น ฐานทัพยิ้มออกมาเมื่อเห็นต้นแครอทที่เติบโตเต็มที่รอการเก็บขึ้นมารับประทาน



   “อ้วน” คำแรกที่เอ่ยออกมาทำเอาคนที่จับมืออยู่หลุดหัวเราะ



   “ครับ อ้วน” บุ๋นยิ้มในความน่ารักของหมอฐานทัพ “พี่รอตรงนี้นะเดี๋ยวผมไปเอาที่ขุดมาให้”



   “อืม”



   บุ๋นมองหมอฐานทัพด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่มากขึ้นทุกๆที เขายังจำวันแรกที่พาหมอมาที่นี่ได้ ตอนนั้นกับตอนนี้ความสนใจของหมอก็ยังเหมือนเดิม



   หมอชอบแครอทมาก



   “นี่ครับ” บุ๋นยื่นช้อนพรวนดินสีส้มสดใสมาตรงหน้าหมอฐานทัพก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างๆ “เดี๋ยวผมจะขุดให้ดูนะ”



   “อืม” ฐานทัพมองอย่างสนใจ



   บุ๋นค่อยๆใช้ช้อนพรวนดินขุดลงไปบริเวณดินรอบๆ เขาขุดช้าๆเพราะกลัวว่าช้อนจะไปโดนตัวแครอททำให้แครอทที่ขุดขึ้นมาบอบช้ำ



   “อ้วนจริงๆด้วย” บุ๋นหันไปมองหมอฐานทัพที่ดูตั้งใจดูเขามาก “ว่าไหมครับ”



   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าเห็นด้วย “ขอทำบ้าง”



   “ครับ ได้ครับ” เขาหัวเราะออกมาเมื่อคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามีท่าทีเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่



   ฐานทัพทำตามที่บุ๋นสอน เขาค่อยๆใช้ช้อนขุดลงไปในดินช้าๆเพราะกลัวจะไปโดนส่วนหัวแครอท มือที่ขุดลงไปเปื้อนดินทั้งห้านิ้ว แม้จะไม่ชอบให้มือสกปรกแต่เขากลับรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ได้ทำตรงหน้า



   เขาไม่เคยทำมาก่อน



   “เก่งนะครับ สงสัยถ้าผมทำสวนคงไม่ต้องจ้างคนงานแล้ว” บุ๋นแกล้งแซวคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บแครอทอย่างจริงจัง



   “อืม” ฐานทัพหัวเราะ “ค่าจ้างแพงนะ”



   “เท่าไหร่ครับ”



   “ทั้งหมดของกำไรทุกเดือน” ฐานทัพละสายตาจากแครอทหันกลับมามองบุ๋นก่อนจะยิ้มออกมา “จ้างไหวรึเปล่า”



   “งั้นผมจ้างคนงานน่าจะดีกว่า หลายโรงพยาบาลยังขาดหมออีกเยอะ”



   “ใช่” ฐานทัพเห็นด้วย “ถ้าเรียนจบแล้วยังไม่รู้จะต้องไปใช้ทุนที่ไหน”



   “พี่กังวลหรอครับ?”



   “เปล่า” เขาส่ายหน้า ตัวฐานทัพเองต่อให้ต้องไปใช้ทุนไกลแค่ไหนเขาก็ไม่มีปัญหา จะห่วงก็แต่คนที่รอ “บุ๋นจะไปอยู่ที่ไหน”



   “อ่อ” เมื่อเห็นแววตาที่ส่งผ่านมาบุ๋นก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง “พี่อยู่ที่ไหนผมก็อยู่ที่นั่นแหละครับ”



   “นี่จริงจัง”    



   “ผมก็ไม่เคยพูดเล่น” เขาตั้งใจไว้ว่าแบบนั้นอยู่แล้วและไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจ ชีวิตของเขาต่อให้ลำบากแค่ไหนเขาก็ยังมีความสุข ถ้าได้อยู่ใกล้กับคนที่รัก




   “แล้วถ้าวันนึงเลิกกันล่ะ”



   “ผมก็จะง้อ” บุ๋นตอบกลับแทบจะทันที




   “อืม…คิดเหมือนกัน” ฐานทัพยิ้มบางๆ เขาวางแครอทที่ขุดขึ้นมาไว้ข้างตัวก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่งข้างๆบุ๋น




   บรรยากาศตอนตะวันใกล้จะตกดินเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หวนคิดถึงอะไรหลายๆอย่าง ระยะเวลาที่เจอกัน ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน ความทรงจำเหล่านั้นพอคิดกลับไปก็ทำให้ยิ้มได้ทุกครั้ง




   “หนึ่งเทอมผ่านไปเร็วนะครับว่าไหม” บุ๋นหันไปถามคนข้างๆที่นั่งเงียบ



   “อืม เทอมหน้าคงเร็วกว่าเดิม” ฐานทัพรู้สึกหวิวๆในใจเมื่อรู้ว่าเทอมหน้าจะเป็นเทอมสุดท้ายที่เขาได้เรียนในรั้วมหาวิทยาลัยก่อนที่จะย้ายไปฝั่งโรงพยาบาล



   ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกเฉยๆ…แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเพราะเขารู้ว่ามีใครอีกคนที่อยู่ที่นี่



   “จะเทอมไหนๆผมก็จะไปหาพี่บ่อยๆ” บุ๋นรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความกังวลลึกๆ “เอาให้พี่เบื่อหน้าผมไปเลย”



   “ไม่เบื่อ”



   “ครับ” บุ๋นยิ้มอีกครั้งเมื่อได้รับคำตอบ



   “มีอะไรต้องพูด รู้สึกยังไงต้องบอก” ฐานทัพเอ่ยออกมาบ้าง “เพราะบางครั้งไม่รู้จริงๆ”



   “ครับ…พี่ก็ด้วย”



   “อืม รู้แล้ว” การที่ได้บอกกันตรงๆมันทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆและไม่ว่าจะเกิดอะไรเขาเชื่อว่าบุ๋นจะเข้าใจ



   “ผมดีใจที่ได้รักพี่นะ”



   “อืม” ฐานทัพรับคำ “ดีใจเหมือนกัน”



   ฐานทัพเหม่อมองแปลงแครอทตรงหน้าก่อนที่ความทรงจำเก่าๆจะหวนกลับมาให้นึกถึงวันแรกพบที่ได้เจอกัน วันที่บุ๋นประกาศออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง



   บุ๋นยังมั่นคงไม่เคยเปลี่ยนไป



   “ผม นายฐานทัพ ฐิไตรรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ รหัส 8573211214” จู่ๆฐานทัพก็พูดขึ้นมาทำเอาคนที่นั่งข้างๆถึงกับรีบหันมาสบตาอย่างไม่เข้าใจ



   “…”



   “กำลังสนใจ บุ๋นครับ!!”



   รอยยิ้มของบุ๋นปรากฏขึ้นทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ หมอฐานทัพจำได้ทุกประโยคที่เขาเคยพูดในวันนั้น เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้เป็นคำพูด มีความสุขจนไม่รู้จะแสดงออกมายังไง



   สุขจนพูดไม่ออก



   “ขอบคุณที่คอยซื้อแครอทมาให้ตลอด”



   “…”



   “ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ” ฐานทัพพูดจากความรู้สึกข้างในที่อยากจะให้อีกคนได้รับรู้




   ถ้าความอดทนของบุ๋นน้อยกว่านี้ เขากับบุ๋นก็อาจจะไม่มาถึงจุดนี้ เขาเป็นคนความรู้สึกช้า ไม่คิดเข้าข้างตัวเองและไม่เคยรู้ว่าใครคิดยังไง



   ขอบคุณที่ยังอยู่รอให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกที่บุ๋นมีให้



   ขอบคุณที่รอ



   “ขอบคุณเหมือนกันครับ” บุ๋นระบายยิ้มออกมา รู้สึกตื้นตันจนแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ บุ๋นไม่เคยรู้สึกรักใครมากขนาดนี้



   ทุ่มเทให้ได้ทุกอย่าง



   “ถ้าพี่ไม่ใจดีกับผมบ่อยๆผมก็คงไม่มีความกล้าที่จะเข้าหาพี่ขนาดนี้” บุ๋นยิ้ม “ผมรู้นะว่าช่วงแรกๆมันอาจจะดูน่ารำคาญที่ตามตื้อพี่”



   “…”



   “แต่อย่ารำคาญผมเลย…เวลาที่เราชอบอะไรมากๆเราก็มักจะทำตัวแปลกๆเสมอ มันลนไปหมด กลัวทุกอย่าง”



   “อืม ไม่รำคาญ”




   “ขอบคุณที่อยู่กับผมในทุกๆช่วงเวลา ขอบคุณที่ไม่เคยทิ้งให้ผมต้องเจออะไรคนเดียว”



   “…”



   “ผมรักพี่นะ”




   “ครับ” ฐานทัพวางมือลงบนมือของอีกคน นิ้วมือค่อยๆสอดประสานกันช้าๆ แม้จะเต็มไปด้วยเศษดินจากการขุดแครอท



   “…”



   “พี่รักบุ๋น”




   สิ้นเสียงไม่มีแม้แต่คำเอื้อนเอ่ยใดๆ ใบหน้าของทั้งสองค่อยๆเลื่อนเข้ามาหากันจนสัมผัสได้ถึงลมร้อนจากลมหายใจที่เป่ารดใบหน้า ริมฝีปากสัมผัสกันช้าๆอย่างแผ่วเบา ไร้การรุกล้ำ มีเพียงความรู้สึกที่ส่งผ่านให้อีกฝ่ายได้รับรู้



   รัก




   ฐานทัพค่อยๆถอนริมฝีปากออก รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณหมออีกครั้ง หน้าผากอุ่นๆสัมผัสกับหน้าผากของอีกคนคล้ายกับการส่งผ่านทุกความรู้สึก



   “อยู่ด้วยกันไปนานๆนะครับ” บุ๋นบีบมือคนตรงหน้าแน่น



   เขาพร้อมที่จะจับมือคู่นี้ไปตลอดและไม่มีวันที่คิดจะปล่อย




   “ครับ” ฐานทัพรับคำ “อย่าเบื่อก่อน”



   “ผมไม่เบื่อหรอก”



   “พี่เชื่อ”



   ความรักของบุ๋นมั่นคงและหนักแน่นตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ราบรื่นแต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง



   ตอนนี้…นายกิตติกร เกรียงไกรรักษ์จีบหมอติดแล้วครับ




   “บางทีก็อาจจะจริงอย่างที่บุ๋นเคยพูด”




   “…”




   “หมอเองก็ขาดเกษตรกรไปไม่ได้เหมือนกัน”


   
   วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่มีใครตอบได้ แต่ที่รู้คือตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเขาทั้งสองรู้ว่าจะสามารถผ่านปัญหาเหล่านั้นไปด้วยกันเพราะรู้ว่ามีอีกคนที่พร้อมจะเผชิญทุกปัญหาและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน



   บุ๋นมีหมอ



   หมอมีบุ๋น




   ทั้งคู่มีกันและกัน


หมอโคตรน่ารัก หมอชอบแครอท แต่บุ๋นชอบหมอ

บุ๋นยิ้มเก่ง บุ๋นชอบบาส แต่หมอชอบบุ๋น

ด้วยรัก

-END-




-----------------------------------------------------
จบแล้วจ้า :)
ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงบทสรุปของนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคอมเม้นท์ดีๆทุกครั้ง เรามีความสุขที่นักอ่านของเราทุกคนน่ารัก รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้คุยกับนักอ่าน ไม่ว่าจะเป็นทางเพจ ทางทวิตเตอร์ หรือทางหน้านิยายที่เราตอบคำถามบางครั้ง ขอบคุณและรักทุกคนจริงๆค่ะ

นิยายจีบหมอเริ่มต้นมาจากความรู้สึกอยากแต่งนิยายฟีลกู้ดปมน้อยดราม่าน้อย แต่ยิ้มเยอะ เลยทำให้เราตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ตัวละครทั้งสองมีเสน่ห์มากจริงๆค่ะ ทุกครั้งที่แต่งเราจะเอาความรู้สึกตัวละครเป็นที่ตั้งมันเลยทำให้เราค่อนข้างควบคุมยากเวลาที่ต้องกราจะให้ดราม่า นิยายเรื่องนี้ดราม่าน้อยที่สุดเท่าที่เราเคยแต่งมาเลย แต่เราดีใจที่ทุกคนชอบ ความรักคือสิ่งสวยงาม เรายังเชื่อแบบนั้นเสมอค่ะ

ขอบคุณแรงสนับสนุน ขอบคุณที่คอยติดตาม เราสัญญาว่าเราจะพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป
แม้หมอฐานทัพจะจบลงแล้วเราก็อยากให้ทุกคนเก็บนิยายเรื่องนี้ไว้ในใจของทุกคน
หวังว่าทุกคนจะได้รับความรัก ความสุขไปไม่มากก็น้อยนะคะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอบคุณจริงๆค่ะ

รักนักอ่าน
รักหมอฐานทัพ รักบุ๋นและรักตัวละครทุกตัวในเรื่อง
ด้วยรักจากใจ...perlina

#ผมจีบหมอ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 27-01-2017 22:38:45
 :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 27-01-2017 22:50:55
ละมุนละไมไปกับสายลม. อิอิ น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: NorthCat ที่ 27-01-2017 23:35:19
จบแล้ว...ช็อค!
นิยายที่ตามพร้อมใจกันจบรัวๆทำใจไม่ทัน...

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องนี้สนุกมากๆ แม้จะไม่ได้คอมเมนท์ให้บ่อยๆ
แต่ทุกวันที่เข้ามายังบอร์ดแห่งนี้ ก็จะรอคอยการอัพเดทของเรื่องนี้อยู่เสมอ
แล้วก็จะยิ้มทุกครั้งให้กับความน่ารักของบุ๋นและพี่ฐานทัพ^^

ถ้ามีโอกาส พบกันเรื่องหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: fernfabled ที่ 28-01-2017 01:12:08
โอยยยยย เรื่องน่ารักกกกก
พี่หมอ กับน้องบุ๋นนนน
เจอคนซื่อรุกนี่ ดาเมจแรงละเกินนน 555

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 28-01-2017 05:31:58
น่ารักมากกกกกกกกก แต่หมอกว่าจะรู้จัวซึนไปไหน
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 28-01-2017 05:42:25
รักหมอมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 28-01-2017 13:37:25
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: @causeshinki ที่ 28-01-2017 13:48:17
เขินหมอออออ. เขาบอกรักกันแต่ทำไมเราเขิน  :o8: :impress2: :o8:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 28-01-2017 16:58:16
ฟินนนนนนนนน ชอบจัง ขอบคุณค่าที่แต่งนิยายน่ารักๆ แบบนี้ให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 28-01-2017 23:25:02
งื้อทำไมเขิน :-[  ละมุนละไมจัง
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 29-01-2017 11:33:03
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคับ เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่าน รักบุ๋น รักหมอฐานทัพ และรักคนเขียน ขอบคุณค้าบบบ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: snice_cz ที่ 29-01-2017 20:24:02
โอ๊ยยย น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกก
ฟินไปสิ  :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-01-2017 21:00:39
เป็นนิยายที่ฟินจิกหมอน อ่านแล้วเพลินจริงๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 30-01-2017 13:37:42
ไม่มีคำไหนนิยามได้ดีกว่า ละมุนแล้ว เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: ฝุ่นแดง ที่ 30-01-2017 19:36:55
ขอบคุณมากค่ะ ละมุนจังเลยยยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 02-02-2017 06:28:53
^^
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-02-2017 05:03:55
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Earth112 ที่ 06-02-2017 00:03:22
ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
ปล. อยากสั่งหนังสือนะแต่เงินไม่เอื้อจริงๆ :o12:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 06-02-2017 07:04:28
 :o8: o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 06-02-2017 23:09:29
ฟีลกู๊ดมากกกก มันอุ่นในใจ บอกไม่ถูก
แบบเราอ่านเรารับรู้ทุกความเป็นไป พอจบแล้วใจหาย
เราดีใจกับความรักของบุ๋นที่มีให้หมอมากๆ ฮืออออออ
ละมุน ขอบคุณนะคะ แต่งดีมากๆเลย เราอินเราไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 08-02-2017 23:04:47
เรื่องนี้น่ารักมากกกกกกกกกก
ฟีลกู้ดสุดๆ
ชอบมากๆครับ
ชอบทั้งหมอและบุ๋น
วิธีการเล่าเรื่องก็ดี บรรยากาศรอบๆตัวเอกก็ดี ชอบทุกอย่าง
ขอบคุณผู้เขียนสำหรับเรื่องดีๆมากแบบนี้
จะขอติดตามเป็นแฟนผลงานเรื่องต่อๆไปนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Haruya ที่ 10-02-2017 21:53:26
ทำไม ทำไม

ทำไมน่ารักขนาดนี้

เป็นนิยาย feel good มาก

ชอบทั้งบุ้น ทั้งหมอ

ขอให้รักกันไปนานๆ อยู่ข้างกะนจับมือกันแบบนี้ไปนานๆนะ :mew3:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 12-02-2017 00:40:36
คือละมุนมากกก บุ๋นน่ารัก
หมอก็น่ารักกกกกกก
งื้อ ดี๊ดี
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 12-02-2017 22:00:42
 :-[
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 12-02-2017 23:12:24
หมอน่ารักสุดดๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: littlepig ที่ 13-02-2017 21:50:18
โอ๊ยยยยย เพิ่งอ่านตอนแรกจบ ตัวบิดเป็นเกลียวเลย เขินนนนนน :-[
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 14-02-2017 18:42:30
ฟีลกู้ดที่สุด!!!  คิดไม่ผิดที่เลือกเรื่องนี้อ่านในวันวาเลนไทน์ ขอบคุณนะคะ  :กอด1: o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 15-02-2017 09:34:58
ทำไมถึงเพิ่งเข้ามาอ่านนนนนนนนนนน ฮืออออ เรื่องนี้ดีมาก ฟีลกู้ดเบาใจมาก
สนุกมาเลยค่ะ อ่านมาสามวันสามคืนแล้วว ทั้งบุ๋นทั้งหมอน่ารักทั้งคู่เลย เลิฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 15-02-2017 22:48:41
เพิ่งจะได้มาอ่าน ตามมาจากกระทู้แนะนำ อ่านรวดเดียวจบ

บุ๋น ทำให้เห็นถึงความพยายาม มีเป้าหมายชัดเจน  ทำให้ได้ใจพี่หมอคนหม่เคยมีแฟน5555

อ่านละแบบ  ทำให้คิดว่า  ต้องลงมือทำก่อน ต้องพยายามก่อน ถึงจะได้มา

ขอบคุณ คุณผู้แต่ง ที่แต่งเรื่องราวน่ารักๆ  มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน

ยิ้มไป อ่านไป  คงคล้ายๆ  อ่านไป ยิ้มไป
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 20-02-2017 05:50:53
อ่านรวดเดียวจบเลยคร้าาาา ละมุนนนนน มาไม่ทันซื้อหนังสือ เสียใจ><
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 22-02-2017 02:30:08
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ รักคนเขียน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 23-02-2017 21:06:24
โอย ละมุนมาก ไม่ม่าด้วย  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Shin b ที่ 06-03-2017 22:38:56
มาอ่าน รวดเดียวจบ สนุกมาก จริงๆ  o13 o13 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: pimkihae ที่ 19-03-2017 13:24:40
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้
น่ารักมากค่ะ ชอบพี่หมอและน้องบุ๋น
ขอบคุณคนแต่งที่แต่งเรื่องน่ารักๆให้อ่านนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: NooMary ที่ 21-03-2017 21:43:35
เรื่องนี้ใครรุกใครคะ  บางทีหมอก็มาซะมาดเข้มเลย  เลยสงสัย  อิอิ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: nseboo ที่ 25-03-2017 03:10:42
ฟีลกู้ด ความรู้สึกที่ค่อยๆโตไปด้วยกัน ค่อยๆก้าวไปพร้อมๆกับใครซักคนมันอบอุ่นหัวใจดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 25-03-2017 09:26:16
 :mew1: :mew1: น่ารักกกก ยิ้มทั้งเรื่องเลยย ไรท์ดีอ้ะะะะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: heyguy ที่ 26-03-2017 22:06:01
โอ้ยยยยยยยย ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หมอก็น่ารัก บุ๋นก็คนดี งานดีกว่านี้ไม่มีแล้ว
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Sykes ที่ 28-03-2017 02:23:11
เป็นเรื่องแรกเลยค่ะที่อ่านแล้วเขินตาม
เขินมากกกกกกก  :-[  :-[. ยิ้มทั้งเรื่องเลย น่ารักกกกก :impress2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 29-03-2017 20:27:45
บุ๋นน่ารัก หมอก็น่ารัก
ค่อยๆรักกันเบาๆ  o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 18-04-2017 11:02:21
น่ารักมาก ๆ เลยครับ อ่านแล้วอมยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่องเลย :)
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 19-04-2017 17:13:15
สนุกมากๆ อ่านไปยิ้มไปทั้งเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: sawapalm ที่ 19-04-2017 20:54:10
บอกเลยว่าตายยยยยยยยย ตายคากองเลือดความฟิน อิอิ :jul1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 24-04-2017 10:20:14
หวานละมุนละมัย :-[
 :pig4: :pig4: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: tantai168 ที่ 03-06-2017 21:32:36
จากอ่านแบบหลบๆๆไม่เคยเม้นเรื่องนี้ผมอยากเม้นมากขอเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งครับอ่านแล้วมีอยากแต่งออกมาซักเรื่อง
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Tikking7 ที่ 14-06-2017 15:07:00
ອ່ານແລ້ວມີຄວາມສຸກ ອ່ານແລ້ວຫົວໃຈພອງໂຕ ອ່ານແລ້ວຢາກອ່ານຕໍ່ບໍ່ຢາກໃຫ້ຈົບເລີຍ 
ຂອບໃຈຄົນແຕ່ງເດີ້ ແຕ່ງໄດ້ດີຫຼາຍ ຊົມເຊີຍຈາກໃຈ :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 18-06-2017 03:38:45
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ละมุนดีจังงงงง
หมอน่ารักมากก จะบอกว่าซึนก้ไม่ใช่นะ
หมอแค่มึนๆซื่อๆเฉยๆเองงง
บุ๋นคือดีมากกอะ รักและทุ่มเทสุดๆๆๆ
อ่านๆแล้วคือแยกไม่ออกใครเมะเคะ5555
แต่หมอน่ารักอะ เป็นเคะไปละกันนะ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 21-06-2017 02:29:24
ไม่ดราม่าเพราะความเป็นคนจริงใจทั้งของหมอและบุ๋น ดีต่อใจมากจริงๆ แต่สิ่งเดียวที่ลุ้นคือใครจะเป็นพระเอกนายเอก มีความลุ้นเว่อวัง  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 22-06-2017 06:32:22
นิยายสวย บรรยากาศดี
ขี้เกลียดไปทำงานละเว้ย
แหม แต่ต้องไปใช่อ่ะ
งั้นบ่นให้ฟังเจยๆ
กริ๊สสสสสสสส
นิยายงามจริงๆนะ คือจะมีคู่3ต่อไหมคะ อยากอ่านจัง เอะ หรือมีไปแล้ว งั้นค้นแปป
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 06-07-2017 22:40:07
ง่า จะพิมพ์ขายมั้ยอ่า
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: numildkub ที่ 24-07-2017 19:36:52
โอ๊ย ละมุนมากๆ บุ๋นนี่ก็ตื้อไม่ถอย
หมอก็ซื่อจนบางครั้งเรียกบื้อเลยก็ว่าได้
แต่ก็เป็นความลงตัวที่ดีเลย ขอบคุณนักเขียนนะคะที่สร้างสรรค์ปลงานขึ้นมา
และสร้างตัวละครที่น่ารักขึ้นมา
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 07-08-2017 21:07:28
 :pig4: :pig4:
เรื่องนี้น่ารักมากกกกกกก
 o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Ningg.Destiny ที่ 10-08-2017 02:29:22
เรื่องนี่คือดีย์แนวฟีลกู้ดที่ดีมาก
ไปอยู่ไหนมานะเรา ฮืออออ
เรารักบุ๋น รักหมอ รักแครอทไปด้วยเลย
อ่านแล้วอยากมีแฟนขึ้นมาทันที 5555555
ชอบความรักมั่นคงของบุ๋นมากอ่ะ รักแล้วทุ่มสุดตัวในการจีบหมอ
หมอก็ซึนๆน่าร้ากกกกกก กว่าจะรู้ตัวว่าถูกจีบ ฮาาา
สัญญาจะกลับมาอ่านอีกหลายๆรอบ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-08-2017 21:47:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 13-08-2017 06:40:11
 :hao7: :hao7: ความพยายามบุ๋นเป็นเลิศ จีบหมอได้สำเร็จ
เรื่องนี้หมอฐานทัพน่ารักแบบไม่รู้ตัวด้วยความซื่อไม่เหมือนใคร
 :katai2-1: นิยายที่อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 20-08-2017 11:31:47
เริ่มต้นก็น่าติดตามแล้ว ขอบคุณนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 20-08-2017 12:49:44
เป็นกำลังใจให้บุ๋นนะ จีบพี่หมอให้ได้นะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 20-08-2017 19:27:17
เขินแทนหมอเลย หมอจะรับรู้ความรู้สึกที่บุ๋นมีให้บ้างมั้ย
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 21-08-2017 08:01:15
หมอเริ่มมีใจให้บุ๋นแล้วใช่มั้ย  :mew4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 100%] 24/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 21-08-2017 10:14:15
บุ๋นคิดไปซะไกลเลย ..น่าสงสารเด็กน้อย
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 100%] 24/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 21-08-2017 12:21:36
เด็กน้อย ใจชื้นขึ้นแล้วใช่ป่ะ พี่หมอเค้าเริ่มมีใจให้แล้วอ่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [11: จีบหมอครั้งที่สิบเอ็ด 50%] 20/11/59 หน้า3
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 21-08-2017 22:09:29
หมอดุแบบนี้น่ารักดีเนอะ อิจฉาบุ๋นนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 50%] 2/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 21-08-2017 22:47:01
หมออ่ะ ยังไม่รู้อีกเหรอ โอ๊ย....
บุ๋นบอกไปตามตรงเลยลูก..
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [13: จีบหมอครั้งที่สิบสาม 100%] 3/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 22-08-2017 07:42:25
ความอบอุ่น ความเข้าใจ อยู่ไม่ไกล
เกินเอื้อม...
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 22-08-2017 07:48:01
ความรัก ความเข้าใจ ความห่วงใย ใช่ต้องการ สิ่งตอบแทน ...(มีความอิจฉาหมอนิดๆ) :katai1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 22-08-2017 08:57:51
 ยากให้หมอรู้ใจตัวเองเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 50%] 16/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 22-08-2017 09:00:30
สมัยนี้หายากนะคะคนที่จะมาแคร์ความรู้สึก ของคนอื่น ได้ขนาดบุ๋น  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [16: จีบหมอครั้งที่สิบหก 100%] 23/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 22-08-2017 10:12:01
หมอให้โอกาส บุ๋นหน่อยนะคะ :katai2-1:
ขอเป็นกำลังใจให้บุ๋นนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 06:09:35
บุ๋นจีบหมอต้องใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดมาก เพราะหมอไม่เคยโดนจีบมาก่อน สู้ๆนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 50%] 11/12/59 หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 06:23:47
หมอยอมสวมเสื้อของบุ๋นเถอะนะ มั่นใจในตัวบุ๋น เถอะนะคะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [15: จีบหมอครั้งที่สิบห้า 100%] 13/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 06:29:19
มีความอิจฉาหมออ่ะ ที่บุ๋นบอกผมจะไม่ให้พี่ลำบาก :katai1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [17: จีบหมอครั้งที่สิบเจ็ด 50%] 25/12/59 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 22:14:45
 :angellaugh2: น่ารักค่ะ  ทั้งบุ๋น ทั้งพ่อกับแม่ เมื่อไหร่หมอจะรู้สักที บุ๋น บอกตรงๆ ไปเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 22:22:09
หมอมาให้กำลังใจ กำลังกายบุ๋น ก็มีในทันที :mew3: :mew4:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [18: จีบหมอครั้งที่สิบแปด 100%] 30/12/59 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 23-08-2017 22:24:38
พี่หมอนี่ก็นะ กว่าจะรู้ใจตัวเอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [19: จีบหมอครั้งที่สิบเก้า 100%] 5/01/60 หน้า6
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 24-08-2017 07:28:17
หวาน อ่ะ หวงกันแม้กระทั่งรอยยิ้ม คนอ่านก็อ่านไปยิ้มไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: kgolf ที่ 25-08-2017 12:14:44
ชอบหมอป้องกับหมอคิน อยากให้เค้าคู่กันอ่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 25-08-2017 15:31:02
ีพึ่งอ่านจบ น่ารักมากกกกก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Missuniverso ที่ 09-09-2017 01:16:06
เป็นนิยายที่ละมุน และดีต่อใจมากค่ะ ฟิน ฟินมากก  :impress2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 11-09-2017 06:43:51
เป็นนิยายที่น่ารักมากค่ะ ฟีลกู้ดสุดๆ อ่านไปยิ้มไป บิดไป เขินไป กัดหมอนไป อร้ายยย ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 12-09-2017 17:08:23
หมอดูอึนๆแต่หมอก็อ่อยเก่งอยู่นะ
น่ารัก. ชอบความมั่นคงของบุ๋นมาก
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 13-09-2017 19:22:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งธิดา ที่ 24-11-2017 13:50:09
 :katai2-1: :katai2-1:อยากได้หนังสือยังเหลือมั้ยคะ  ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [00: (ก่อน)จีบหมอ 100%] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 26-11-2017 20:15:28
ไม่ใช่พระเอกนนิยาย(ใช่หรออ)
หัวข้อ: Re: (ผม)จีบหมอ Beside you [001: (ก่อน)จีบหมอ ตอนที่สอง 100%] 3/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 26-11-2017 20:32:22
ได้ไอดีไลน์ละ555
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-04-2018 01:32:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 07-04-2018 14:10:32
บุ๋นน่ารัก หมอก็น่ารัก ชอบจัง  :impress2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 09-04-2018 10:15:53
ละมุนละไมมากเรื่องนี้

 :-[
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 28-05-2018 00:19:24
อ๊ากกกก เป็นเรื่องที่อ่านไปยิ้มไปตลอดเวลาเลยยย น่ารักมากๆเลยค่ะ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 29-05-2018 13:13:17
อ่านแล้วยิ้มตาม น่ารัก  :hao3:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 27-09-2018 22:35:53
 :katai2-1:  :katai2-1: ละมุนมากกกก
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: NYpat ที่ 17-11-2018 20:04:38
ชอบพระเอกมาก แอบรักมานาน  พยายามสร้างโอกาสให้ตัวเองตลอด  ชอบตอนที่พูดกับนายเอกโดยที่ไม่รู้จัก  ชอบตอนรับน้อง  มีความอดทนและอบอุ่นมาก   ชอบนายเอกที่เหมือนจะเย็นชา  แต่เวลาอยู่กับพระเอกแล้วมีนิสัยน่ารัก  คนอะไรบ้ากินแครอท  ชอบที่ไม่ต้องมีฉาก Nc  เนื้อเรื่องใหความอบอุ่น
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] เปิดพรี ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 19-11-2018 15:17:40
ขอบคุณค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 15-08-2019 06:34:01
เป็นเรื่องที่อบอุ่นละมุนละไมมาก อ่านไปยิ้มไปในความน่ารักของทั้งคู่ ไม่ดราม่า ไมหวือหวา น่ารักจริง ๆ เรื่องนี้

 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 18-08-2019 21:21:46
อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อเลย ขอบคุณนะคะ เป็นนิยายที่ค่อยเป็นค่อยไป แบบอบอุ่นชวนฟินสุด ๆ เลยค่ะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำหูู้ปาโก๋ ที่ 09-10-2020 19:29:37
ดีต่อใจจริงๆ  :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-10-2020 18:36:03
น่ารักมากเลยค่ะเรื่องนี้
ละมุนละไมมากกกกก
เราข้ามเรื่องนี้ไปได้ยังไง
คือเปิดผ่านเรื่องนี้หลายรอบมาก
พอได้เข้ามาอ่านแล้วกรี๊ดดดดดเลย
เนื้อเรื่องน่ารักมากๆ ชอบบบบข
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
เริ่มหัวข้อโดย: เกี๊ยวกงจื่อ ที่ 25-10-2020 23:16:46
เขินตัวบิดตั้งแต่ต้นจนจบ​ ขอบคุณ​มาก​ ๆ​ นะครับ