พิมพ์หน้านี้ - [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 16-03-2018 09:16:46

หัวข้อ: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 16-03-2018 09:16:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: มัจจุราชลงทัณฑ์รัก
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 16-03-2018 19:43:55
สวัสดีค่ะ เจี๊ยะบ่จ่ายเองนะจ๊ะมาลงนิยายในเล้าเป็นเรื่องที่สองแล้ว จริงๆ ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้เคยลงมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ว่าดองนานไปหน่อย เข้ามาอีกทีนิยายก็โดนลบไปซะแล้ว ฮ่าๆ มาลงรอบนี้รับรองว่าลงจบเรื่องแน่นอนค่ะ เพราะเขียนจบไปแล้ว อย่างไรก็ขอฝากนิยาเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ


มัจจุราชลงทััณฑ์รัก


ครั้งแรกที่นเรศเจอเจ้าจันทร์
       “คุณปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเราไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ คุณเข้าใจผิด”
       “หึหึ ใช่...กูไม่เคยรู้จักมึง แต่มึงรู้จักน้องสาวกูแน่ เพราะความเลวระยำตำบอนของมึงที่ไข่แล้วทิ้งไว้ในท้องน้องสาวกูยังไงวะ” เขาส่งเสียงรอดไรฟันพร้อมกับบดกรามแน่นจนได้ยินเสียงให้อีกคนได้หวาดหวั่น ฝ่ามือหนาข้างที่ว่างยื่นเข้ากำลำคอเรียวออกแรงกดเต็มแรงดวงตาคุโชนเต็มไปด้วยเพลิงแค้น
       อยากจะฆ่า...อยากจะฆ่ามันให้ตายด้วยสองมือของเขา ลำคอเล็กที่เขาอยากจะบีบให้แหลกละเอียดคามือเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

ครั้งต่อมา
       เป็นเพราะครั้งแรกที่ทำงามหน้าเอาไว้เยอะ ทำผิดหรือ แค้นหรือ เขาเป็นคนทำเองทั้งหมด ยัดเยียดความผิด กระทำความเลว บังคับข่มเหงรังแกอีกฝ่าย เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นทุกวันนี้นเรศจึงต้องหันมาปรึกษาศัตรูอย่าง ณัฐธัญ เจ้าน้องเขยที่เคยทำเลวพอๆ กับเขา เพื่อหาทางที่จะ...จีบเมียตัวเอง มันเป็นงานระดับช้างแมมมอธ เพราะเจ้าจันทร์ดันเป็นพวกทางสายกลาง เมื่อไม่โกรธ ไม่เกลียด ก็จะไม่มีรักเช่นเดียวกัน งานนี้นเรศทุ้มสุดตัวงัดเอากลเม็ดสารพัดวิชาจีบมาใช้กับเมีย เพื่อให้ครอบครัวเป็นครอบครัว นเรศบอกกับตัวเอง เขาจะต้องจีบเมียให้ได้



สำหรับนิยายเรื่องมัจจุราชลงทัณฑ์รักก็มี E-Book แล้วนะคะ
วางจำหน่ายกับทาง Meb ในราคา 139 บาทค่ะ
จำนวน : 314 หน้า (≈ 84,846 คำ) รวมตอนพิเศษ 4 ตอน
- วันเพ็ญเดือนสิบสอง จำนวน 8 หน้า (ลงในเว็บ)
- ความทรงจำดีๆ จำนวน 5 หน้า (ลงในว็บ)
- ได้เวลาปั๊มน้อง จำนวน 6 หน้า (ไม่ได้ลงในเว็บ)
- เมื่อเด็กๆ ไปโรงเรียนวันแรก จำนวน 12 หน้า (ไม่ได้ลงในเว็บ)
Buy :มัจจุราชลงทัณฑ์รัก (https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTc1Mzk1MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6IjcwNzIxIjt9)



 :m1:สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3804808#msg3804808)
บทที่ 1 ไอ้คนป่าเถื่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3805334#msg3805334)
บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3805800#msg3805800)
บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3806848#msg3806848)
บทที่ 4 เลือดตกยางออก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3807303#msg3807303)
บทที่ 5 ที่นี่คือนรก... (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3807767#msg3807767)
บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง...ไม่มีทางหนีพ้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3808263#msg3808263)
บทที่ 7 เผชิญหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3809202#msg3809202)
บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3809622#msg3809622)
บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3810003#msg3810003)
บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3810468#msg3810468)
บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3810886#msg3810886)
บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3811268#msg3811268)
บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3811735#msg3811735)
บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3812577#msg3812577)
บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3813014#msg3813014)
บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3813443#msg3813443)
​บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3813845#msg3813845)
​บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3814418#msg3814418)
บทที่ 19 พบหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3814921#msg3814921)
บทที่ 20 ขอโอกาส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3815293#msg3815293)
บทที่ 21 เพชรหึง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3816301#msg3816301)
บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3817021#msg3817021)
บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3817455#msg3817455)
บทที่ 24 เกือบจะดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3817804#msg3817804)
บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3818567#msg3818567)
บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊ เดี๋ยวพ่อจะจัดให้ได้บู๊สมใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3819092#msg3819092)
บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3819526#msg3819526)
​บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3819916#msg3819916)
ตอนพิเศษสั้นๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66512.msg3827230#msg3827230)



หัวข้อ: Re: มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 16-03-2018 19:48:02
บทนำ
       เม็ดทรายละเอียดขาวนวลแตกฟุ้งกระจาย ยามเมื่อปลายเท้าสัมผัสตามแรงฉุดกระชากลากถู เป็นแนวมาตั้งแต่ท่าเรือมุ่งหน้าสู่ผืนดินบนเกาะส่วนตัวของบุรุษร่างกายกำยำ ฝ่ามือหนาราวคีมเหล็กกำข้อมือเล็กแน่นลากอีกฝ่ายที่ล้มลุกคลุกคลานตามผืนทรายงาม พลันเสียงทุ้มสบถด้วยโทสะดังแทรกเสียงเล็กร้องโวยวายพร้อมกับฝ่ามือที่เคยจับกุมสร้างความเจ็บปวดยกสะบัดลงบนใบหน้าหวานเต็มแรง

       เพียะ!

       “หุบปาก!” นิ้วชี้แข็งแกร่งถูกยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายซึ่งกำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ นัยน์ตาคมกริบสีอำพันประดุจสายตาหมาป่าจับจ้องมองร่างเล็กที่นั่งหมดแรงอยู่บนพื้น เม็ดทรายติดกระจายตามผิวกายเนียนแดงก่ำด้วยพิษแดดร้อนแรง ดวงตาคมหรี่ลงแฝงเร้นด้วยความชิงชังอยากจะฆ่าให้ตายเสียตรงนี้ แต่ความตายของร่างตรงหน้ามันง่ายเกินกับความชั่วช้าที่อีกฝ่ายได้กระทำตราบาปเอาไว้กับครอบครัวของเขา

       “...” ไม่มีเสียงอ้อนวอนร้องขอใดๆ เช่นก่อนหน้าหลุดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ มีเพียงดวงตาโศกตวัดกลับมาจดจ้องด้วยความโกรธ ฝ่ามือเรียวเล็กกอบกุมใบหน้าครึ่งซีกที่เริ่มเห่อบวม มุมปากมีเลือดซึมเหยียดรอยยิ้มราวกับกำลังเยาะเย้ยชายตรงหน้า หากแต่มันกลับกลายเป็นว่าคนตัวเล็กกำลังยิ้มเยาะกับโชคชะตาของตัวเองที่ฟ้าเบื้องบนกำลังเล่นตลกประหนึ่งละครน้ำเน่า

       ดังคำที่โบราณกล่าวไว้ยามมองคนอย่ามองดูแค่ภายนอกแล้วตัดสินทันทีว่าเขาเป็นเช่นไร บางคราแม้อีกฝ่ายจะแต่งตัวดูดีดีเลิศเพียงใดหากแต่จิตใจหยาบช้าก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ดังชายหนุ่มที่ยืนใบหน้าถมึงทึงเบื้องหน้า รูปโฉมหล่อเหลาร้ายกายประหนึ่งเทพบุตรลงมาจุติ ดูภายนอกท่าทางภูมิฐานราวกับได้รับการศึกษามาอย่างดี แต่ข้างใน...ชั่วช้าดั่งสัตว์นรก

       ยิ่งมองเห็นสายตาที่ส่งมาให้โทสะในใจของเขายิ่งลุกโชนโหมกระพือคล้ายมีคนมาราดน้ำมันลงบนกองไฟ มือแกร่งบีบลงบนต้นแขนเล็กกระชากขึ้นฉุดให้อีกฝ่ายตามมา

       “ปล่อยนะ!” แม้จะใช้พลังกายมากมายขัดขืนดิ้นรนแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกมาจากฝ่ามือพญามารได้ ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มล้อมกรอบด้วยผมทรงรังนกสีน้ำตาลอ่อนนุ่มมือบิดเบ้ด้วยความเจ็บที่บริเวณต้นแขน ช่วงขาที่สั้นกว่าได้แต่ฝืนวิ่งตามอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล

       ยิ่งดิ้นแรงบีบต้นแขนยิ่งแรงขึ้นจนท่อนแขนเรียวเล็กแทบจะแหลกคามือของอีกฝ่าย จนในที่สุดเจ้าของร่างกายกำยำเหนือกว่าทั้งรูปร่างและพละกำลัง ก็ฉุดกระชากลากถูร่างเล็กขึ้นสู่ผืนดินและตรงดิ่งเข้ามาในป่าได้สำเร็จ ช่วงขายาวหยุดชะงักหน้ากระท่อมโกโรโกโสจะพักแหล่ไม่พังแหล่ ก่อนจะเหวี่ยงร่างเล็กเข้าไปข้างในไร้ซึ่งความปราณีใดๆ

       “โอ๊ย!” กายเล็กกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรงจนต้องทรุดกายลงไปกองบนพื้นด้วยความเจ็บ หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นประตูทำจากไม้หยาบๆ ก็ปิดดังปังส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังกระท่อมทั้งหลัง เด็กหนุ่มผวาเข้าทุบประตูดังปังๆ ด้วยความหวาดกลัวจับจิต

       เขากลัว...เขาหวาดกลัวมัน หวาดกลัวยิ่งกว่าเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายกับคนใจยักษ์ใจมารประหนึ่งซาตานจำแลงกายมาเกิดด้านนอกเสียอีก

       ปัง! ปัง!

       “ปล่อยผม ปล่อยผมออกไปคุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้ คุณไม่มีสิทธิ์” เสียงเล็กฟังดูผิวเผินไม่อาจแยกแยะว่าเป็นเพศใดตะโกนก้อง ฝ่ามือกำแน่นระรัวทุบใส่บานประตูทั้งพยายามใช้ร่างเล็กๆ ของตนกระแทกดังตึงๆ ดิ้นรนหาทางออกด้วยความกลัวจับจิต “ไอ้คนป่าเถื่อน ผมไม่เคยทำอะไรให้คุณ ไม่รู้จักคุณเสียด้วยซ้ำคุณมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้” เด็กหนุ่มยิ่งตะโกนเมื่อรับรู้ว่าบุรุษด้านนอกสืบเท้าออกห่างไปทุกที “กลับมา! กลับมาเปิดประตูให้ผม” เสียงตะโกนร้องโหยหวนประหนึ่งกำลังหวาดกลัวดัง สะท้อนก้องทั่วกระท่อมหลังเล็กออกไปด้านนอกแต่หาได้มีใครสนใจไม่

       ดวงตาโศกกวาดมองสำรวจรอบกายนัยน์ตาสั่นระริก แผ่นหลังถูกถอยร่นติดกับประตูฝ่ามือสั่นเทาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอดตัวเอง ความมืดมิดเริ่มเข้าครอบงำในช่วงเวลาโพล้เพล้ กระท่อมหลังเล็กกลางป่าด้านในมีเพียงเตียงไม้เก่าผุๆ หยากไย่ระโยงระยาง มันเงียบเชียบวังเวงไร้เสียงสิ่งมีชีวิตใดๆ ผ่านมา

       พรึบ

       พลันแข้งขาอ่อนยวบรีบยกมือขึ้นปิดหูด้วยความสะพรึงกับเสียงขยับด้านนอก กายเล็กถูกขดเข้าหากันคุดคู้อยู่กับบานประตู ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัวจับจิต เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าตนทำสิ่งใดผิดกับชายคนนั้นถึงได้กระทำราวกับศาลเตี้ยกับตัวเขาเช่นนี้ เค้นสมองคิดใคร่ครวญเท่าไหร่ก็ไม่สามารถนึกได้ว่าเคยทำสิ่งใดให้ชายผู้นั้นไม่พอใจ มาถึงอีกฝ่ายก็โยนความผิดกล่าวหาว่าตนได้กระทำสร้างตราบาปให้กับครอบครัวของเขา เอาแต่พร่ำด่าทอผรุสวาทใส่ทั้งการกระทำที่ป่าเถื่อนฉุดตนมาจากร้านกาแฟที่กำลังทำงานอยู่ในช่วงปิดเทอม ไม่พูดพร่ำทำเพลงชี้แจงสิ่งใดก็ถูกโปะยาสลบฟื้นมาอีกทีก็อยู่บนเรือที่กำลังแล่นโครงเครงกลางทะเล พอจะเอ่ยปากถามก็ได้กลับมาแต่คำด่าหยาบคาย ณ ตอนนี้เด็กหนุ่มเองก็ยังไม่รู้ว่าทำสิ่งใดผิดต่อชายผู้นั้นด้วยซ้ำ!
หัวข้อ: Re: มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 1 ไอ้คนป่าเถื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 17-03-2018 19:49:14
บทที่ 1 ไอ้คนป่าเถื่อน

นัยน์ตาสีอำพันแฝงไฟแค้นของความเกลียดชังจับจ้องไปยังผืนป่าท่ามกลางความมืดมิดราวกับจะมองให้ทะลุเห็นสิ่งที่ถูกคุมขังไว้ในกระท่อมโกโรโกโส ท่อนแขนแกร่งยกขึ้นขัดกันใต้อกยืนนิ่งใกล้ระเบียงความคิดจมอยู่กับไฟแค้นในใจ

เป็นเพราะมันไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม น้องสาวของเขาถึงได้ถูกคนดูถูกประณามหาว่าเป็นหญิงสำส่อนจนตั้งท้องไม่มีพ่อ ชีวิตของน้องสาว

ผู้เป็นที่รักซึ่งเขาเฝ้าทะนุถนอมประหนึ่งไข่ในหินถูกทำลายย่อยยับเพียงเพราะสิ่งที่มันทำไว้ และอีกหน่อยเด็กน้อยที่กำลังเติบโตในครรภ์ก็คงจะถูก

ตราหน้าว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ เกิดเป็นปมด้อยขึ้นทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความมักง่ายของมัน
ยิ่งจมลึกลงไปในอดีตความชิงชังต่ออีกคนยิ่งเพิ่มมากขึ้น...มากขึ้น ราวกับลาวาที่ใกล้ปะทุพร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง

“นายหัวครับ” เสียงวิ่งตึงตังขึ้นบันไดดังมาก่อนลูกน้องคนสนิทจะเข้ามาร้องเรียกให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ความแค้นได้สติ “ดูเหมือนว่าเจ้าสายลมกำลังเจ็บท้องคลอดครับ” เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มหันมาพร้อมรอฟังเขาก็รีบรายงานทันที

“ให้คนไปตามหมอมาหรือยัง” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามกลับพร้อมกับท่อนแขนที่ลดลงเตรียมสืบเท้ามุ่งหน้าไปยังคอกม้าที่เลี้ยงเอาไว้มากกว่าสิบตัว เพื่อจะได้ใช้งานในการเดินทางภายในเกาะแทนที่จะใช้แต่รถกินน้ำมันพวกนั้นให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็น

“หมอเพลิงกำลังมาครับนายหัว” โอภาสเจ้าของทรงผมหยักศกสีดำสนิทมันเงา ไว้หนวดเครารุงรังผิวสีน้ำตาลเข้มขับให้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นหล่อคมบาดตาแม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะอยู่ในชุดคนงานตัวเก่าสีซีดก็ตาม

“มันเจ็บท้องมานานหรือยัง” ขณะมุ่งหน้าก็ส่งคำถามให้ลูกน้องตอบกลับมาเป็นระยะตลอดทางไปคอกม้าที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อมาถึงก็เห็นชายหนุ่มท่าทีสุภาพหากแต่กระฉับกระเฉงทุกการเคลื่อนไหวกำลังจับตามองเจ้าสายลมที่กำลังนอนตะกุยพื้นด้วยสีหน้ากังวล

เจ้าสายลมเป็นม้าพันธุ์ดีที่แทบจะบอกได้ว่าดีที่สุดในคอกเลยก็ว่าได้ ตัวมันมีสีดำปรอทเงาวับตลอดทั้งตัว เป็นม้าแม่พันธุ์ที่ชายหนุ่มชื่นชอบเป็นพิเศษกับฝีเท้าเร็วราวกับสายลมเช่นเดียวกับชื่อที่ตั้งให้ หากแต่เสียอยู่อย่างเดียวเจ้าสายลมมันคลอดลูกยาก เมื่อปีที่แล้วมันคลอดลูกตัวแรกเขาเองก็ปล่อยให้มันคลอดตามธรรมชาติ โดยเฝ้าดูอยู่กับคนงานไม่ห่าง แต่แล้วก็ต้องรีบตามหมอเพลิง เมื่อเห็นว่าลูกม้าที่กำลังโผล่ออกมาแทนที่จะเอาหัวออกมาก่อนเช่นลูกม้าตัวอื่นๆ มันกลับเอาขาหลังออกมาก่อนอย่างผิดธรรมชาติ กว่าหมอเพลิงจะมาถึงลูกม้าก็ตายเพราะขาดอากาศหายใจเสียแล้ว ในครั้งนี้เขาจึงสั่งให้คนงานรีบตามหมอเพลิงทันทีหากเห็นว่าเจ้าสายลมทำท่าจะคลอด เพราะหากซ้ำรอยเดิมคงไม่เป็นผลดีแน่

“เป็นยังไงบ้างครับหมอเพลิง” เขารีบเอ่ยถาม

“ดูเหมือนใกล้จะออกมาแล้วครับคุณนเรศ” หมอเพลิงหันกลับมาตอบเจ้าของเกาะเจ้าของชื่อนเรศ หรือชื่อเต็มๆ คือ สาคเรศ ทวีภัทรบวร ผู้มีร่างแข็งแกร่งกำยำผิวกายสีแทน

“ออกมาแล้ว” เสียงร้องของคนงานหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากจับจ้องรอดูมาได้สักระยะ เวลานั้นทุกคนต่างรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าลูกของเจ้าสายลมตัวนี้จะเอาส่วนไหนออกมาก่อน

“รีบออกมาเร็วเข้าเจ้าตัวน้อย” หมอเพลิงกล่าวลุ้นจนตัวโก่ง

พลันรอยยิ้มแรกของวันก็เผยออกมาลดความกระด้างบนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของนเรศให้ดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งขึ้น เมื่อลูกของเจ้าสายลมที่พวกเขารอคอยกำลังโผล่ออกมาด้วยส่วนหัวอย่างเช่นลูกม้าที่คลอดโดยทั่วไป เสียงร้องด้วยความดีใจผสมปนเปกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังจากคนงานและสัตวแพทย์หนุ่ม

การคลอดครั้งที่สองของเจ้าสายลมผ่านไปด้วยดี พร้อมกับเจ้าลูกม้าสีดำปรอทเช่นเดียวกับตัวแม่ม้ากำลังค่อยๆ หยันกายด้วยขาสั่นระริกลุกขึ้นยืนภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ลูกม้าแรกเกิดลุกขึ้นเดินได้และจะวิ่งได้ในที่สุดภายในหนึ่งวัน ไม่เหมือนกับทารกแรกเกิดที่ต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการตั้งลำตัว และอีกกว่าหนึ่งปีในการหัดย่างก้าวกว่าจะสามารถก้าวเดินได้เองในที่สุด

“แม่มันชื่อสายลมแล้วงั้นให้ให้มันชื่อพายุดำก็แล้วกัน” นเรศเอ่ยชื่อทีคิดได้สายตาพลางจับจ้องมองเจ้าลูกม้าสีดำปรอทกำลังย่างเดินไปกินนมแม่ม้าหลังจากวิ่งจนเหนื่อยหอบด้วยความตื่นเต้นที่ได้ลืมตามาดูโลก

“นายหัวครับ ป้าสุดาให้มาถามว่าจะให้คนที่นายหัวมาด้วยเมื่อช่วงเย็นกินข้าวตอนไหนครับ ป้าสุดาจะได้รีบทำ” ลูกน้องค่อนข้างผอมกะหร่องวัยกลางคนเดินเข้ามาถามชายหนุ่ม

“ไอ้ภาส” เมื่อได้ยินเสียงเข้มๆ ของเจ้านายเรียกชื่อโอภาสก็รีบละสายตาจากเจ้าพายุดำหันมาสบมองเจ้านายเพื่อรอฟังคำสั่งทันที “มึงไปบอกป้าสุดาว่าไม่ต้องทำ คืนนี้กูจะไม่ให้มันแดกข้าว” จบประโยคแม้คนที่ได้ฟังจะอดแปลกใจไม่ได้แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามได้แต่ส่งเสียงรับคำสั่งทันที

หลังจากนั้นนเรศก็ชวนหมอเพลิงไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านพักของชายหนุ่ม ก่อนหมอเพลิงจะขอกลับหลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อยในเวลาต่อมา เมื่อทั้งบ้านกลับมาเงียบสงบหลงเหลือเพียงเจ้าของบ้านอย่างนเรศเพียงคนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มจึงสืบเท้ามุ่งหน้าพร้อมกับกระบอกไฟฉายเข้าไปในป่าอีกด้าน

ร่างกายกำยำหยุดชะงักอยู่หน้าประตูกระท่อมหลังเล็กที่พร้อมจะพังทุกเมื่อ เขายืนนิ่งรอฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านในก่อนจะใช้ลูกกุญแจที่

ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาเปิดผ่างออก ร่างเล็กกระจ้อยของเด็กหนุ่มผิวกายที่เคยขาวเนียนสะอาดบัดนี้เต็มไปด้วยคราบดินสกปรกนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาซุกอยู่กับเข่าเงยขึ้นมา ก่อนดวงตาโศกจะค่อยๆ เบิกกว้างแสดงออกถึงความหวาดกลัวและความสับสนตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

“ไม่ต้องทำท่าดีใจที่เห็นกูขนาดนั้น” คล้ายความหวังที่คิดว่าเขาจะมาปลดปล่อยเพื่อพูดคุยกันอย่างผู้คนที่มีอารยธรรมดับวูบลงกับประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไร้ความเห็นใจใดๆ “กูแค่จะมาดูว่ามึงตายหรือยัง ถ้ามึงตายง่ายๆ แบบนั้นมันคงไม่สนุก” ชายหนุ่มส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะพ่นคำเหน็บแหนมออกมา

“คุณปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเราไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ คุณเข้าใจผิด” ประโยคเดิมที่เคยกล่าวไปแล้วถูกกล่าวอีกครั้งพร้อมกับฝ่ามือเล็กที่ยกขึ้นบังแสงแสบตาจากกระบอกไฟฉายที่สาดใส่ใบหน้าตนอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มเฝ้าบอกตัวเองเขาต้องอดทน เขาต้องใจเย็น ค่อยๆ เจรจากับคนเลือดร้อนตรงหน้า อย่าทำให้เขาโกรธเพราะการเจรจาใดๆ กับชายหนุ่มอาจจะไม่เกิดขึ้นทันที

“หึๆ ใช่...กูไม่เคยรู้จักมึง แต่มึงรู้จักน้องสาวกูแน่ เพราะความเลวระยำตำบอนของมึงที่ไข่แล้วทิ้งไว้ในท้องน้องสาวกูยังไงวะ” เขาส่งเสียงรอดไรฟันพร้อมกับบดกรามแน่นจนได้ยินเสียงให้อีกคนได้หวาดหวั่น ฝ่ามือหนาข้างที่ว่างยื่นเข้ากำลำคอเรียวออกแรงกดเต็มแรงดวงตาคุโชนเต็มไปด้วยเพลิงแค้น

อยากจะฆ่า...อยากจะฆ่ามันให้ตายด้วยสองมือของเขา ลำคอเล็กที่เขาอยากจะบีบให้แหลกละเอียดคามือเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

“อั๊ก ปะ..ปล่อย” เด็กหนุ่มเค้นเสียงออกมาด้วยความยากลำบากผ่านลำคอที่กำลังถูกฝ่ามือมัจจุราชบีบแน่น ลมหายใจที่กำลังถูกจำกัดใกล้หมดลงเต็มที ใบหน้าของผู้คนอันเป็นที่รักค่อยๆ ลอยเข้ามา แม่ พ่อ เขาคงจะตายอยู่กลางเกาะของไอ้คนป่าเถื่อนคนนี้แล้ว ไม่อาจจะได้เจอะเจอพวกท่านอีก...

“มึงยังตายตอนนี้ไม่ได้” จบประโยคใบหน้าบิดเบี้ยวแดงก่ำเพราะเริ่มขาดอากาศก็ถูกผลักออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มจนหงายหลังล้มลงด้วยแรงอันมหาศาล นัยน์ตาสีอำพันจ้องมองอีกคนที่กำลังโก่งคอไอโคลกๆ ทั้งน้ำตาด้วยสายตาเย้ยยัน “ต่อไปมึงต้องอยู่ที่นี่ อย่าได้คิดหนีเพราะถ้ากูจับกลับมาได้มึงเละแน่” ขมขู่จบก็เดินออกไปปิดประตูดังปังล็อกกุญแจอย่างแน่นหนาเช่นเคย

ดวงโตโศกได้แต่จ้องมองตามร่างสูงที่หายลับไปพร้อมกับความมืดมิดเข้ามาครอบงำ ร่างกายที่สะสมความเมื่อยล้ามานานไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ได้แต่ตกลงสู่หลุมหุบเหวที่มืดมิดไร้หนทางเข้าออก เปลือกตาประดับแพนขนตาหนาค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นไหลเป็นทางไปตามพวงแก้ม ก่อนจะหยดลงจากปลายคางลงสู่พื้นดินที่นั่งทับอยู่

อยากกลับบ้าน...อยากจะหนีหายไป หากทำได้ตนจะไม่ขอพบเจอคนผู้นี้อีก ทั้งที่เด็กหนุ่มคนที่ชื่อว่าปักษาธร ศศิพัฒนาเมธี หรือ เจ้าจันทร์ คนนี้ไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดต่อเขา ชายผู้นั้นกลับใส่ร้ายปาดป้ายความผิดให้เจ้าจันทร์ ทำน้องสาวเขาท้องเหรอ เฮอะ เป็นไปไม่ได้ในเมื่อตนไม่เคยได้สัมผัสสิ่งคาวโลกีย์พวกนั้นด้วยซ้ำ แม้จะอธิบายไปแล้วแต่ชายผู้นั้นกลับไม่เชื่อซ้ำยิ่งทำให้เจ้าจันทร์เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น

เขาป่าเถื่อนสิ้นดี!

“ฮึก...ฮือๆ” เข่าทั้งสองข้างถูกตะกองกอดเอาไว้จนแน่นพร้อมกับใบหน้าเล็กก้มลงซุกเข่าปลดล่อยเสียงร้องไห้โฮๆ ในความเงียบสงบยามค่ำคืนในผืนป่าท่ามกลางความมืดมิดที่น่าหวาดกลัว ร่างกายเข็ดขัดยอกเจ็บระบมไปทั่ว ความเมื่อยล้าทั้งกายใจถาโถมเข้าใส่




ซ่าส์!!!

ความเย็นเปียกชื้นถูกสาดโครมเข้าใส่กายเล็กที่นอนคุดคู้อยู่ในที่เดิมกับเมื่อคืน พร้อมกับถังน้ำทำจากแสตนเลสมีหูหิ้วถูกโยนใส่แทบจะคลุมศีรษะเล็ก เจ้าจันทร์ที่ถูกปลุกด้วยความป่าเถื่อนลืมตาโพลงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เหลือบสายตาขึ้นมองเจ้าคนไร้มารยาทพร้อมหยันกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่าย ส่งสายตาว่าตอนนี้ตนกำลังกรุนโกรธกับการกระทำของเขา

พรึบ!

มือหนายื่นออกมากระชากคอเสื้อดึงเข้าประชิดใบหน้าห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้น ดวงตาของนเรศวาวโรจน์กับดวงตาโศกที่คล้ายจะท้าทายเขา

“ถึงปากมึงไม่พูดกูก็รู้ว่ามึงกำลังด่ากูในใจ” เสียงทุ้มรอดไรฟันพลางส่งสายตาสำรวจ เด็กหนุ่มในชุดทำงานเมื่อวานเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงสแล็คสีดำสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเดียวกับกางเกง วันนี้ดูมอมแมมสกปรกกว่าเมื่อวาน ทั้งยังเปียกชุ่มจนเสื้อสีขาวนั้นมองทะลุเห็นร่างกายบางขาวเนียนมีเสื้อกล้ามซ้อนทับข้างในเปิดเผยออกมา

“คุณอ่านใจคนได้หรอครับ” แม้จะพูดอย่างสุภาพหากแต่กลับเป็นคำถามที่ยียวนจนอีกฝ่ายง้างหมัดขึ้นซัดเปรี้ยงบนแก้มซีกซ้ายของเจ้าจันทร์เต็มแรง “....” ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดใดๆ ดังเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากสีซีด มีเพียงแค่การกระทำยกนิ้วโป้งขึ้นปาดเลือดออกจากมุมปากเท่านั้น

“ยั่วอารมณ์โมโหกูดีนัก งั้นก็ไม่ต้องแดกข้าวอีกสักมื้อจะเป็นไรไป ตามกูมานี่...” จบประโยคก็คว้าต้นแขนของเจ้าจันทร์มาบีบแน่น แล้วลากตามมาติดๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตามาด้วยความทุลักทุเลแค่ไหน

“จะพาผมไปไหน” เจ้าจันทร์ร้องลั่นพร้อมกับพยายามสะบัดกายให้หลุดจากการควบคุม

“มึงคิดว่ากูจะพามึงมาขังไว้เล่นๆ แค่นั้นหรือยังไง” พูดจบก็จับเด็กหนุ่มเหวี่ยงลงไปกองบนพื้น

เจ้าจันทร์ใช้สายตาสำรวจรอบกายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ถูกลาก

ถูลู่ถูกังออกมาจากป่าอีกฝั่ง ก็มาโผล่ที่ทุ่งหญ้าความกว้างพอประมาณที่จะทำให้มองเห็นม้าหลายสิบตัว มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เดินเล็มหญ้าอยู่ ก่อนนเรศจะจับเจ้าจันทร์เหวี่ยงลงไปอยู่หน้าคอกม้าจนแทบเอาใบหน้าถลาเข้าไปทักทายกองขี้ม้าสดใหม่ด้วยซ้ำ

“ไอ้ภาสเอาพลั่วมาให้มัน” นเรศตะโกนสั่งเสียงดังลั่น ยกฝ่าเท้าเตะท้องของคนที่กำลังหยันกายขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ไปทีหนึ่ง ส่งผลให้เจ้าจันทร์ลอยกระเด็ดหงายขึ้นด้วยอาการจุกเสียดไปทั่วหน้าท้อง ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวพร้อมกับเสียงครวญครางอย่างทรมาน ดวงตาโศกมีน้ำใสเอ่อคลอก่อนหยดลงอย่างไม่อาจอดทนได้

ไอ้คนป่าเถื่อน! เจ้าจันทร์ได้แต่สบถด่าอีกฝ่ายในใจขณะคดคู้กายใช้ฝ่ามือกุมท้องด้วยความจุก

“เอานี่ไป” พลั่วเหล็กถูกจับยัดใส่มือเจ้าจันทร์อย่างรวดเร็ว โอภาสเตรียมที่จะช่วยพยุงเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องรีบถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วกับสายตาจ้องเขม็งคุกรุ่นจากเจ้านาย

“นี่คืองานของมึง จัดการตักขี้ม้าทุกคอกออกไปเทรวมกันทางโน้นให้หมด ถ้าหากมึงยังอยากจะแดกข้าวอยู่ก็รีบทำให้เสร็จไวๆ ซะ ไอ้ภาสมึงไม่ต้องไปที่ไหนคุมงานมันอยู่นี่อย่าให้มันอู้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว” ส่งพลั่วให้เจ้าจันทร์เสร็จนเรศก็หันไปสั่งลูกน้องของตนต่อ เมื่อได้ยินเสียงรับคำจากลูกน้องแล้วก็ก้าวฉับๆ จากไป

เมื่อเจ้านายไปแล้วแต่คนที่มีพลั่วในมือก็ยังไม่ยอมขยับ โอภาสเริ่มหนักใจไม่รู้จะทำเช่นไรดีจึงได้เอ่ยเตือนอีกฝ่ายเบาๆ “ผมว่าคุณรีบทำงานเร็วๆ เข้าเถอะครับ”

“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ทำล่ะ จะทำไม?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับท่าทางยักไหล่ไม่สนใจสิ่งที่โอภาสเพิ่งกล่าวเตือน

“คุณคงเห็นอารมณ์นายหัว...คุณนเรศมาแล้ว ดังนั้นผมแนะนำให้คุณทำตามนายหัวบอกดีๆ เถอะครับ” แม้อีกฝ่ายจะอายุอานามน้อยกว่าแต่โอภาสก็ยังกล่าวด้วยถ้อยทีสุภาพให้เกียรติอีกฝ่าย

อ้อ...ที่แท้ชื่อนเรศ เจ้าจันทร์ย่นหน้าฉับพลันสองขาย่างก้าวเข้าไปในคอกม้าดังตึงๆ ถ้าหากในตอนนี้ไม่มีใครกำลังยืนมองอยู่เจ้าตัวคงอยากจะบดปลายเท้าขยี้พื้นให้แตกละเอียดคาฝ่าเท้าเสียเดี๋ยวนั้น พอเตรียมตัวจะลงมือตักขี้ม้ารถเข็นขนาดเล็กก็ถูกลากมาจอดข้างๆ คอกม้าพร้อมกับคำพูดของคนงานหนวดเฟิ้ม

“ตักใส่ในนี้แล้วเข็นไปทิ้งที่ฝั่งนู้นนะครับ”

ฟันขาวเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบในปากขบกันแน่น ดวงตาโศกถมึงทึงก่อนที่จะลงมือตักขี้ม้าใส่รถเข็น พอตักใส่จนเต็มก็ลากออกไปทิ้งทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าวนเวียนไปมา จากเวลาเช้าตรู่ที่ถูกปลุกอย่าง

ป่าเถื่อนก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามสาย คอกแรกยังไม่เสร็จแต่เจ้าจันทร์กลับยืนกายสั่นระริกรู้สึกอ่อนแรง ตนยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ดตั้งแต่เมื่อวานพลั่วที่อยู่ในมือจึงสั่นระริกตาม จะดีหน่อยก็ตรงที่คนงานหนวดเฟิ้มผิวคล้ำที่คอยเฝ้าดูอยู่ยังมีน้ำใจส่งน้ำให้เจ้าจันทร์ดื่มบ้าง

“พี่ชาย” ตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายที่ดูอายุมากกว่า เมื่อใบหน้าประดับหนวดเฟิ้มนั้นหันกลับมาสนใจก็ไม่รั้งรีรอที่จะเอ่ยถาม “ผมถามจริงนะ เจ้านายคุณ...ผมไปทำอะไรให้เขาถึงได้จับผมมาแบบนี้” ดวงตาโศกจ้องเขม็งจริงจังรอคำตอบจนคนฟังได้แต่อึกอักว่าจะตอบดีหรือไม่ ในเมื่อทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านายที่เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว “อย่างน้อยก็ขอให้ผมรู้ความผิดตัวเอง” น้ำเสียงนั้นเบาลงเมื่อเห็นท่าทีของคนงานหนุ่ม

“คุณทำน้องสาวนายหัวท้องครับ” น้ำเสียงเข้มๆ ตอบกลับมา

“หะ ผมเนี้ยนะ” นิ้วเรียวชี้ตวัดกลับเข้าหาตัวเองด้วยดวงตาเบิกโพลง “ผมขอบอกเลยว่าเจ้านายคุณเข้าใจผิดแบบผิดมากๆ ด้วย ผมไม่เคยทำผู้หญิงท้อง” เจ้าจันทร์แทบตะโกนปฏิเสธ

“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกครับ ผมว่าคุณน่าจะขอพูดคุยกับนายหัวดีๆ แล้วรับผิดชอบน้องสาวนายหัวน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ”

“บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้ทำเธอท้อง และอีกอย่างน้องสาวเจ้านายคุณเป็นใครผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ” ยิ่งปฏิเสธก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เมื่อคนงานหนุ่มยึดติดการตัดสินใจของตัวเองไปแล้วไม่ผิดกับคนเป็นเจ้านายสักนิด

“คุณเลิกเสแสร้งสักทีเถอะครับ ผมเชื่อว่าคุณรู้จักคุณชลแน่นอน” โอภาสตอบอย่างมั่นใจในเมื่อเขาเคยเห็นหลักฐานบางอย่างที่นายหัวมี

“คุณชล? คุณชลที่ไหนไม่รู้จัก” อดที่จะสบถอย่างหัวเสียไม่ได้จนคนงานหนุ่มหรี่นัยน์ตามองกลับมาด้วยความแปลกใจ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 1 ไอ้คนป่าเถื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 17-03-2018 20:51:49
โอ้วว.ว..  แนวตบจูบลูบคลำล่ะ ปูเสื่อรอ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 18-03-2018 18:53:43
บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!

“คุณชลธาร ทวีภัทรบวรทีนี้คุณรู้จักหรือยัง” จบประโยคใบหน้าขาวอมชมพูของเด็กหนุ่มที่กำลังแดงก่ำกับสภาพอากาศมีเหงื่อชื้นเกาะตามขมับก็นิ่งชะงักราวกับกำลังครุ่นคิดให้คนงานหนุ่มเผยรอยยิ้มแสยะราวกับกำลังเย้ยยัน

เจ้าจันทร์รู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ชลธาร ทวีภัทรบวร เธอเป็นใครทำไมถึงมีคนมากล่าวหาว่าเจ้าจันทร์เป็นคนทำเธอท้อง พลันใบหน้ารูปไข่หน้าตาจิ้มลิ่มคอยแย้มยิ้มให้ตนเสมอก็แวบเข้ามาในหัว หญิงสาวตัวเล็กเรียนอยู่คณะเดียวกันกับเจ้าจันทร์หากแต่เธอเป็นรุ่นพี่ปี 3 เธอมีชื่อเล่นว่าพี่ชล แต่เด็กหนุ่มไม่รู้จักชื่อจริงของเธอ

พี่ชลแอบชอบเจ้าจันทร์คอยโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ พร้อมกับขนมที่มักซื้อติดมือมาด้วย เธอเป็นรุ่นพี่ที่ใจดีทำให้เจ้าจันทร์ยอมสนิทด้วย แต่ในเวลาต่อมาจู่ๆ เธอก็หายไปก่อนช่วงปิดเทอม จากนั้นอีกสามเดือนเจ้าจันทร์ก็ได้พบกับเธออีกครั้งในร้านขนมไทย พี่ชลมาบอกว่าท้องพร้อมฝ่ามือเรียวเล็กลูบท้องนูนเล็กน้อย เจ้าจันทร์เองก็ยิ้มรับดีใจไปกับเธอพอเอ่ยถามว่าใครเป็นพ่อคำตอบที่ได้ทำให้รอยยิ้มหุบฉับทันที

“เจ้าจันทร์เป็นพ่อ” ใบหน้าขาวเนียนติดจะหวานของเด็กหนุ่มสะดุดลมหายใจดังกึก ดวงตาโศกเบิกโพลงด้วยความไม่เข้าใจระคนตระหนกแตกตื่น

“พี่ชล!” เจ้าจันทร์ครางชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะได้มีอะไรกับเธอแม้กระทั่งที่จะคิดเกินเลยกับรุ่นพี่คนนี้ เคยสัมผัสอีกฝ่ายอย่างมากสุดก็เคยสะกิดไหล่เล็กๆ นั้นในตอนเรียก แล้วทำไมพี่ชล....

“พี่อยากให้จันทร์ช่วยรับเด็กคนนี้เป็นลูก เป็นพ่อบุญธรรมให้กับเขา” ใบหน้าจิ้มลิ่มนั้นเริ่มหมองเศร้าราวกับคนทุกข์ตรมแต่ประโยคที่เอ่ยออกมาเรียกเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากเจ้าจันทร์

“แล้วพ่อที่แท้จริงละครับ...หรือว่ามีปัญหา” เมื่อเห็นเม็ดน้ำตาสีใสเริ่มหยดลงตามพวงแก้มขาวซีดเจ้าจันทร์ถึงได้ตระหนักว่ารุ่นพี่สาวคนนี้คงกำลังประสบปัญหาบางอย่างแน่ ฝ่ามือยื่นออกไปหยิบกระดาษทิชชูส่งให้อีกฝ่ายรับไปเช็ดน้ำตา

“พี่ไม่อยากจะพูดถึงมัน” ฟังดูคำเรียกขานคงไม่แคล้วเด็กคนนี้คงเกิดมาด้วยความไม่ได้ตั้งใจของทั้งสองฝ่าย น่าสงสารเด็กที่ไม่มีความผิดจริงๆ “เจ้าจันทร์ช่วยเป็นพ่อของเด็กคนนี้ได้ไหม...นะเจ้าจันทร์” ชลธารช้อนดวงตาแดงก่ำนั้นขึ้นสบมองรุ่นน้องตรงหน้าด้วยความอ้อนวอน

“ทำไมถึงอยากให้ผมเป็นพ่อเขา” แม้จะนึกสงสารแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“ถึงแม้ว่าพี่จะเห็นแก่ตัว แต่พี่ก็อยากให้เด็กคนนี้มีครบทุกอย่าง พี่เชื่อว่าเจ้าจันทร์จะเป็นพ่อที่ดีให้กับเด็กคนนี้ได้เพราะเจ้าจันทร์อ่อนโยนกับคนรอบข้างเสมอ แม้ว่าจะคนๆ นั้นจะไม่ได้ชอบเจ้าจันทร์แต่เจ้าจันทร์ก็ยังทำดีด้วย” ยามชลธารกล่าวน้ำเสียงของเธอฟังดูหนักแน่นไม่ลังเลคล้ายได้คิดไตร่ตรองตัดสินใจมาอย่างดีก่อนจะมาพบเจ้าจันทร์

“ผม...” ดวงตาโศกเริ่มกรอกไปมาอย่างครุ่นคิด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่ายๆ มันเป็นเรื่องใหญ่อยู่พอสมควร “แต่ผมก็ยังไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเด็กอยู่ดี ผมอยากให้พี่ชลคิดให้ดี”

“พี่คิดดีแล้ว” ชลธารตอบกลับแทบจะทันที “เจ้าจันทร์ช่วยพี่ที” ชลธารเริ่มน้ำตาหลั่งรินเธอกำลังอ่อนแอ เธอแค่อยากจะให้คนที่เธอรักช่วยบรรเทาปัญหาที่พบ เธอไม่ต้องการอะไรมากมายจากรุ่นน้องคนนี้ขอแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่อีกฝ่ายจะเมตตาก็เพียงพอแล้ว

“ผมอยากจะปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน” เสียงถอนหายใจของเจ้าจันทร์พร้อมกับประโยคที่ทำให้ชลธารเงยใบหน้าเศร้าหมองขึ้นมาแย้มยิ้มยินดีทั้งคราบน้ำตา

“ขอบคุณๆ พี่ขอบคุณเจ้าจันทร์มากจริงๆ” ชลธารเผยรอยยิ้มยินดีครั้งแรกในรอบหลายเดือนหลังจากที่เธอรับรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์

“เอาละเป็นถึงแม่คนแล้วอย่าร้องไห้ง่ายๆ สิครับ ดูสิเจ้าตัวเล็กคุณแม่ร้องไห้โยเยใหญ่แล้ว” เจ้าจันทร์บอกคนเป็นรุ่นพี่ก่อนจะยื่นมือแตะลงบนหน้าท้องนูนเล็กน้อยที่แทบมองไม่ออกว่ากำลังท้องอยู่เอ่ยสัพยอกคนเป็นแม่ขี้แยที่กำลังยกหลังมือเช็ดน้ำตายป้อยๆ


“ถ้าผู้หญิงที่ชื่อชลและกำลังท้องอยู่ ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง” เจ้าจันทร์หลุดออกจากห้วงความคิดบอกคนงานหนุ่มที่กำลังยืนใช้สายตาพิจารณาตน

“หึ” คล้ายได้ยินเสียงเย้ยยันอยู่ในที

“เอาเถอะ แล้วแต่เจ้านายคุณจะอยากลงโทษผมในเมื่ออธิบายไปแล้วก็ไม่ยอมฟัง” เจ้าจันทร์ถอนหายใจก่อนจะเรียกกำลังให้กลับมาทำงานต่อทั้งที่ตอนนี้เมื่อยล้าจนแทบไม่มีแรงจะก้าวเดินด้วยซ้ำ

“ยอมรับได้ก็ดีครับ” ยังไม่วายได้ยินเสียงถากถางจากคนที่เฝ้ามองอยู่ ท่าทีที่เจอครั้งแรกดูเหมือนจะสุภาพพอดูแต่เมื่อได้สนทนากับอีกฝ่ายแล้วเจ้าจันทร์ก็ตัดสินอีกฝ่ายได้ในทันที เจ้านายเป็นคนยังไงลูกน้องก็เดินตามรอยกันไม่ผิดเพี้ยน

ยิ่งเวลาเคลื่อนคล้อยไปมากเท่าไหร่เจ้าจันทร์ยิ่งรู้สึกว่าพื้นดินเริ่มพร่าเลือนขึ้นทุกที แต่กระนั้นเจ้าจันทร์ก็ยังยอมกัดฟันสู้ทนหากเพื่อครอบครัวเล็กๆ ของรุ่นพี่สาวที่กำลังก่อตัวขึ้น

หลังจากที่เจ้าจันทร์พบกับชลธารและเก็บเอาสิ่งที่เธอร้องขอไปปรึกษาพ่อแม่พวกท่านเองก็ไม่ได้คัดค้านยิ่งสนับสนุนด้วยซ้ำเมื่อจู่ๆ ก็จะมีหลานให้ได้อุ้ม แม้ว่าจะไม่ใช่หลานแท้ๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะรับเป็นพ่อบุญธรรมให้เด็กน้อยลูกของชลธารแต่เจ้าจันทร์กลับไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้เลย จนเวลาล่วงเลยผ่านมาอีกเกือบหนึ่งเดือนก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอม

“ใช่เจ้าจันทร์ใช่ไหมครับ?” จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างภูมิฐานในชุดสูทสีดำสนิทรอบกายมีบอดีการ์ดหน้าเคร่งยืนขนาบข้างอีกสองคนเดินเข้ามาทักในขณะที่เจ้าจันทร์กำลังเลิกงาน ดวงตาโศกจ้องมองเริ่มหวาดหวั่นเกิดความไม่ไว้ใจต่อพวกเขาจนอีกฝ่ายสังเกตได้หันไปสั่งลูกน้องทั้งสองให้ถอยห่างออกไป

“ใช่ครับ” เจ้าจันทร์ตอบรับด้วยท่าทีหวาดระแวงฝ่ามือที่จับกระเป๋าสะพายข้างเอาไว้กระชับแน่นขึ้น

“ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ ถ้าเจ้าจันทร์หวาดระแวงผมงั้นเชิญไปคุยที่ร้านอาหารตรงข้ามดีไหมครับ” เมื่อเห็นท่าทีเกร็งตัวดวงตากวาดมองไปมาคล้ายกำลังมองหาทางหนีทีไล่ชายหนุ่มก็เอ่ยชวนอีกฝ่ายพร้อมกับเชิญไปร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่มีคนพลุกพล่านในเวลาพระอาทิตย์กำลังตกดินแบบนี้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นอันตกลงชายหนุ่มก็หันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องไปจองที่นั่งไว้รอก่อนจะหันมาผายมือเชิญเจ้าจันทร์เดินนำไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้าม

“เข้าเรื่องเลยนะครับ เจ้าจันทร์พอจะรู้ที่อยู่ของชลไหมครับ” เมื่อเลือกที่นั่งด้านในห่างจากโต๊ะอื่นๆ ดูให้ความเป็นส่วนตัว ชายหนุ่มก็สั่งอาหารแบบหลับตาจิ้มมาก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจังเอ่ยถามเจ้าจันทร์ที่ถูกเชิญนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เจ้าจันทร์คงจะรู้แล้วว่าชลท้อง” เมื่อเห็นเพียงนัยน์ตาโศกจับจ้องมองไม่ตอบคำถามใดๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามต่อ

“...” คราวนี้เจ้าจันทร์พยักหน้าเล็กน้อยตอบคำถามคอยเฝ้าสังเกตว่าอีกฝ่ายจะเอายังไงต่อไป

“ผมชื่อณัฐธัญ ปัทมากรพิมุกข์เรียกธัญเฉยๆ ก็ได้ครับ ผมเป็นพ่อของเด็กในท้องครับ” ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของเขาเจ้าจันทร์นั้นรู้สึกคุ้นหูเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่พอประโยคต่อมาของเขาดวงตาโศกพลันเบิกกว้างทั้งตกใจและตื่นตะลึง

คนๆ นี้น่ะหรือที่ทำให้พี่ชลท้องและดูเหมือนทั้งคู่กำลังมีปัญหากัน

“เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะผมต้องการเอาชนะพี่ชายและแก้แค้นพ่อของเธอ ผม...ผมเลยจับตัวเธอมาขังไว้แล้วเพราะขาดสติทำร้ายเธอ...”

ซ่าส์

น้ำในแก้วที่ยังไม่ทันได้ดื่มสักอึกถูกสาดเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ใจจริงเจ้าจันทร์อยากจะทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำแต่ก็ยังหักห้ามใจเอาไว้ ในเมื่อเขายอมเล่าทุกอย่างให้เจ้าจันทร์ฟังทั้งที่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพี่ชล แสดงว่าในตอนนี้เขากำลังสำนึกได้กับสิ่งที่ทำ และหากเดาไม่ผิดเขาต้องการที่จะรับผิดชอบอีกฝ่าย

“เล่าต่อครับ” เจ้าจันทร์ใช้หางตาเหลือบมองลูกน้องทั้งสองที่ตั้งท่าจะเข้ามารวบตัวตนเองแต่ก็ถูกผู้เป็นเจ้านายห้ามเอาไว้ก่อน พอสงบสติอารมณ์ได้ก็นั่งลงรอฟังคำสารภาพจากอีกฝ่ายอย่างสงบ

“เธอหนีออกมา กว่าจะรู้ว่าชลท้องก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว ผมยอมรับว่าในตอนแรกทำไปเพราะความแค้นแต่ตอนนี้...ผมรักเธอครับ” เขายอมเล่าต่อจบลงท้ายด้วยคำบอกรักน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังไม่ต่างจากสายตาที่เปิดเผยความในใจทั้งสิ้น

“แล้วคุณเลยคิดว่าผมรู้ที่อยู่ของเธอ” เจ้าจันทร์ถามอีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้า “ผมไม่รู้”

ตึง

ร่างสูงสง่าลุกพรวดขึ้นทำเอาเจ้าจันทร์ผงะด้วยความตกใจไม่รู้ว่าเขาจะกระทำสิ่งใด ก่อนที่ดวงตาจะเบิกตะลึงด้วยความเหลือเชื่อ ผู้ชายคนนี้ยอมคุกเข่าให้ตนทั้งที่เพิ่งคุยกันได้ไม่นาน สายตาแน่วแน่จับจ้องส่งมาให้อย่างอ้อนวอนเขายอมทิ้งศักดิ์ศรียอมคุกเข่าร้องขอให้เด็กหนุ่มตรงหน้าบอกที่อยู่ของคนรักที่ไม่รู้ว่าโบยบินหนีไปที่ใด

“คุณธัญรีบลุกขึ้นเถอะครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระทำเช่นนั้นเจ้าจันทร์จึงต้องรีบฉุดดึงให้อีกฝ่ายยืนขึ้นเมื่อคนในร้านเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขาอย่างสนใจ แต่ณัฐธัญกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนกายใดๆ คุกเข่านิ่งประดุจหินศิลาก็ไม่ปาน

“ได้โปรด... เจ้าจันทร์ช่วยบอกผมด้วยว่าชลอยู่ที่ไหน ผมเป็นห่วงชลกับลูก” พอสบมองก็พบกับดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตาของเขา

“ผมบอกไปแล้วว่าไม่รู้ว่าพี่ชลอยู่ไหน ผมเองก็พยายามติดต่อหาพี่ชลแต่ไม่รู้อะไรเลย” เจ้าจันทร์ทำเพียงตอบคำถามด้วยสายตาจริงใจต่ออีกฝ่ายพร้อมทั้งใบหน้าหวานส่ายน้อยๆ ยืนยัน “ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ เถอะครับ” ในที่สุดณัฐธัญก็ยอมให้เจ้า**จันทร์พยุงขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แต่ใบหน้าของชายหนุ่มกลับหมองเศร้าดุจโลกทั้งใบกำลังถล่มลงตรงหน้า “เอาอย่างนี้ดีไหม” คำถามคล้ายจุดประกายความหวังให้เขาทำให้ณัฐธัญเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ถ้าหากพี่ชลติดต่อผมมาเมื่อไหร่ผมจะรีบบอกคุณ ผมอยากให้ทั้งสองคนรีบปรับความเข้าใจกัน คุณธัญจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อไถ่บาปที่ได้ทำกับพี่ชลเอาไว้”

“ขอบคุณครับ”

“คุณธัญอย่าเพิ่งท้อถอยเสียก่อนล่ะครับ แม้ว่าตอนนี้พี่ชลจะโกรธจะเกลียดคุณ แต่คุณธัญสามารถเอาชนะใจเธอได้ด้วยความดีของคุณเอง ผมในฐานะที่เป็นพ่อบุญธรรมของเด็กในท้องพี่ชลก็ย่อมต้องอยากให้ครอบครัวของลูกผมสมบูรณ์ที่สุด” รอยยิ้มอย่างให้กำลังถูกส่งมาจากเจ้าจันทร์มอบให้ชายหนุ่ม

“ขอบคุณเจ้าจันทร์มากเลยครับ” ชายหนุ่มขอบคุณอีกครั้งด้วยดวงตาที่มีกำลังใจมากยิ่งขึ้น

“เอาล่ะผมคงต้องไปแล้ว สู้ๆ นะครับ” เจ้าจันทร์เมื่อมองดูนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่าผ่านเวลาเลิกงานมาเยอะแล้วถ้ายังไม่ยอมโผล่หน้ากลับบ้านไปให้คุณแม่เห็นหน้าล่ะก็เห็นทีคงโดนสวดอวยพรก่อนนอนเป็นแน่

“เจ้าจันทร์ครับ” ใบหน้าหวานรีบหันกลับไปตามเสียงเรียกของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาประชิดพร้อมยื่นกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวให้ “เบอร์นี้จะเป็นเบอร์ส่วนตัวของผม ถ้าเจ้าจันทร์เจอชลขอความกรุณาด้วยครับ และถ้าเจ้าจันทร์มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็โทรขอความช่วยเหลือผมได้เหมือนกันนะครับ” ณัฐธัญส่งยิ้มล่ำลา


ในตอนนี้ณัฐธัญคงกำลังตามหาชลธารเพื่อรับผิดชอบอีกฝ่าย เจ้าจันทร์อยากจะให้ลูกบุญธรรมที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพศใดของตนมีครอบครัวที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นเขาจะขอรับเอาความโกรธแค้นของพี่ชายของชลธารเอง เขาจะยอมรับผลกรรมทั้งหมดแทนณัฐธัญเพื่อลูกบุญธรรมของเจ้าจันทร์ ถือเสียวว่าตนชดใช้กรรมแทนคนทั้งคู่ที่อาจเคยสร้างไว้กับพวกเขา

เสียงวิ้งดังเข้ากระแทกโสตประสาทการรับรู้พร้อมกับร่างกายเย็นเฉียบอาการชาแล่นจากปลายนิ้วกระจายไปทั่วร่างกาย พื้นดินเอียงกะเท่เร่ขยับใกล้เข้ามาทุกทีภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือใบหน้าบึ้งตึงพร่ามัวของเจ้าคนป่าเถื่อน

เจ้าจันทร์จะยอมให้อีกฝ่ายลงโทษตามแต่ที่ใจเขาต้องการจนกว่าจะได้รู้ข่าวว่าณัฐธัญสามารถปรับความเข้าใจกับรุ่นพี่สาวได้เท่านั้น จงรีบกระทำก่อนที่เจ้าจันทร์จะหนีหายไป...


*******************************************
ขอบคุณสำหรับเม้นแรกจาก agava1313 จ้า  :mew1:
ออเจ้าอ่านแล้วชอบก็อย่าลืมเม้นให้กำลังใจด้วยนะจ๊ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-03-2018 11:34:58
เจ้าจันทร์คือพ่อพระมาโปรด
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 19-03-2018 20:16:14
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-03-2018 00:20:29
โอ๊ยยยยย พ่อพระเหลือเกินเจ้าจันทร์ //เอาหัวโขกกำแพง  :ling2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-03-2018 00:32:53
ทำร้ายผิดคน...แล้วเธอจะเสียใจ  :m31:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 2 เจ้าจันทร์เป็นพ่อ!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2018 00:57:35
คุณพี่ที่สืบมาแล้วใช่ปะ ว่าจันทร์เป็นพ่อเด็กนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 20-03-2018 18:55:23
บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว

ความเจ็บแปลบๆ พร้อมกับอาการคันแสดงตามมา ทำให้ร่างที่นอนหลับใหลหลังจากสลบในตอนเย็นยกฝ่ามือเล็กนั้นใช้นิ้วกางออกเกาดังแกรกๆ ตามผิวกายเนียนติดจะมอมแมมให้แดงเถือกเป็นรอยเล็บ เสียงร้องครางอืออาเรียกให้อีกคนที่ได้รับคำสั่งมาดูว่าอีกฝ่ายตายหรือยังด้านนอกรีบเปิดประตูเข้ามาดู

“คุณ...คุณถ้าฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาครับ” ฝ่ามือหนาหยาบกระด้างจากการทำงานสะกิดคนนอน

ดวงตาโศกค่อยๆ กระพือขึ้นก่อนจะกะพริบปริบๆ แล้วมองสำรวจรอบกาย ภาพสุดท้ายก่อนจะเป็นลมแวบเข้ามาในหัว แม้คิดว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายดูถูกอีกแล้วแน่ๆ แต่ก็ยังอดเถียงในใจไม่ได้ว่าตนไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังให้มาทำงานหนักจนเป็นลมก็ดูจะไม่แปลก เจ้าจันทร์ไม่ใช่ควายใช่ม้าที่เขาเลี้ยงเอาไว้ที่กินแค่หญ้าก็อยู่ได้ ตนยังคงต้องการข้าวปลาอาหารกินอยู่เช่นคนปกติ

“นายบอกว่าถ้าคุณฟื้นแล้วก็ให้จัดข้าวของตัวเองนอนอยู่ที่นี่อย่าได้คิดหนี ตอนเย็นป้าสุดาจะเอาอาหารมาให้” โอภาสบอกคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนแรงพร้อมกับใช้สายตามองไปยังกองเสื้อผ้าเก่าของคนงานเป็นเชิงบอกว่านี่คือเสื้อผ้าของเจ้าจันทร์ที่จะต้องใส่

“แล้วกางเกงในของผม” เจ้าจันทร์อดร้องถามไม่ได้ในเมื่อตนถูกจับมาแต่ตัวไม่มีสิ่งของใดๆ ติดมาสักชิ้นนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ติดกายมาวันนั้น ซึ่งขณะนี้เองมันก็กำลังเน่าเพราะใส่มาแล้วเกือบสองวัน

โอภาสอดจะแปลกใจกับท่าทีว่าง่ายของอีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็ทำเพียงเฝ้าสังเกตเท่านั้น ก่อนจะยื่นถุงกางเกงในที่เพิ่งไปซื้อมาใหม่ๆ ให้กับเจ้าจันทร์

“ห้องน้ำอยู่ด้านข้าง หมดธุระแล้วผมกลับก่อน” จบประโยคก็หันหลังเดินจากไปทันที

ด้านนอกเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจันทร์หันไปหยิบตะเกียงเจ้าพายุที่ถูกติดไฟเอาไว้แล้วถือออกไปข้างนอกพร้อมกับเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว กว่าจะทำความสะอาดกระท่อมโกโรโกโสที่เต็มไปด้วยหยากไย่และสารพัดฝุ่นก็กินเวลาเกือบชั่วโมง เจ้าจันทร์สืบเท้าออกจากระท่อมมุ่งหน้าไปด้านข้างอย่างที่คนงานหนวดเฟิ้มที่เคยบอกที่ตั้งของห้องน้ำ แต่เมื่อมาถึงจุดหมายยกเจ้าตะเกียงพายุขึ้นส่องก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่านี่ตนมาเข้าค่ายลูกเสือกลางป่าหรือยังไง ห้องน้ำมีก็เหมือนไม่มี

ฝ่ามือเล็กดึงประตูทำจากไม้ไผ่ทั้งลำต่อกันดูมิดชิดหากแต่เริ่มผุผังจนทำให้เริ่มมีรูเจ้าจันทร์พยายามออกแรงดึงให้น้อยที่สุดราวกับกลัวว่าหากออกแรงดึงเต็มแรงบานประตูอาจจะพังลงต่อหน้าต่อตาก็ได้ พอเข้ามาข้างในมองสำรวจคร่าวๆ ข้างนอกว่าย่ำแย่แล้วแต่ข้างในก็ไม่ต่างกัน ห้องน้ำที่มีเพียงแค่ผนังทำจากไม้ไผ่ทั้งลำไร้หลังคาประหนึ่งต้องการให้ได้รับการชมดาวที่กระจายเต็มท้องฟ้า ข้างในมีเพียงโอ่งน้ำที่มีน้ำแค่ครึ่งหนึ่งและโถส้วมแบบเหยียบ

เสียงถอนหายใจดังเฮือกในเมื่อจะทำเพื่อลูกบุญธรรมจ้าจันทร์ก็ต้องอดทน ถึงอย่างไงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนักหรอก ว่างๆ ก็ค่อยขอให้คนงานหนวดเฟิ้มช่วยเรื่องห้องน้ำนี้แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าตอนทำธุระส่วนตัวบนโถส้วมนั้นคงจะเย็นตูดไม่น้อย ไม่ต้องถึงขั้นทำหลังคาขอแค่ผนังที่มิดชิดไม่มีรูก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่จะต้องอยู่ที่นี่

อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาวเพราะอยู่บนเกาะกลางทะเล เจ้าจันทร์รีบใช้ขันตักน้ำราดใส่หัวล้างคราบไคลและคราบสกปรกตั้งแต่เมื่อวาน บีบยาสระผมในขวดใส่ฝ่ามือขยี้ลงบนศีรษะปล่อยทิ้งไว้แล้วหันไปหยิบสบู่ก้อนที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ใช้ในตะกร้าที่ถูกเตรียมเอาไว้ถูขัดตามตัว ก่อนจะราดน้ำล้างฟองกระจายทั่วตัวออก

ใช้เวลาไม่มากนักสำหรับการอาบน้ำเจ้าจันทร์ก็ออกมาพร้อมกลิ่นหอมสะอาดของสบู่ที่ติดตามผิวกาย เขาแต่งกายด้วยเสื้อยืดคอย้วยที่ดูเหมือนจะหลวมโพลกกับกางเกงขาก๊วยสีกรม พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับร่างท้วมของสตรีวัยกลางคนยืนส่งยิ้มมาให้ ในตอนแรกกำลังจะแหกปากร้องด้วยความตกใจเพราะคิดว่าคงโดดดีเข้าให้ ก่อนจะนึกคิดได้ว่าคนงานหนวดเฟิ้มคนนั้นบอกเอาไว้แล้วว่าจะมีคนเอาข้าวมาให้ ถึงได้ยอมหุบปากที่กำลังอ้าออกร้องตะโกน

“ฉันมาส่งข้าวค่ะ” เธอบอกทั้งยังแอบขบขันส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับท่าทีตกใจของอีกฝ่ายที่ปากเล็กสีระรเอเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ

“ขอบคุณครับป้า...” เมื่อเห็นท่าทีใจดีของอีกฝ่ายเขาก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มขัดเขิน ก่อนจะลากเสียงยาวราวกับต้องการให้อีกฝ่ายบอกชื่อ

“สุดาค่ะ”

“ครับป้าสุดา ผมเจ้าจันทร์ครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชื่อตอบกลับมาด้วยคำสุภาพคล้ายให้ความเคารพต่อตัวเจ้าจันทร์ไม่น้อยทำให้ต้องรีบแนะนำตัวกับสตรีตรงหน้าพร้อมกับบอกอย่างเกรงใจ “ไม่ต้องพูดเพราะๆ กับผมหรอกครับ เพราะดูเหมือนเจ้านายป้าจะไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่” ทิ้งท้ายไว้ด้วยท่าทีขี้เล่นให้ป้าสุดาได้อมยิ้มกับท่าทางของตน

“ถึงเจ้านายจะไม่ชอบขี้หน้า ใช่ว่าป้าจะต้องไม่ชอบด้วยนี่คะ” คำตอบของเธอช่วยให้ใจดวงน้อยของเจ้าจันทร์รู้สึกอบอุ่นขึ้น อย่างน้อยๆ ตนก็ไม่ได้อยู่บนเกาะนี้อย่างโดดเดี่ยว “มาค่ะไปทานข้าว วันนี้ป้าทำไข่ทอดชะอมกับเห็ดฟางพัดใบโหรพาไม่รู้ว่าคุณเจ้าจันทร์จะกินได้หรือเปล่า”

“ผมกินได้ครับ อันที่จริงทำมาอย่างเดียวก็ได้ป้าสุดาจะได้ไม่ต้องลำบากทำหลายอย่าง” เจ้าจันทร์ถูกจูงมานั่งลงบนโต๊ะชุดไม้ไผ่ที่พอจะนั่งได้สี่คนหน้ากระท่อม บนโต๊ะมีจานอาหารสองอย่างพร้อมข้าวเปล่ามีปิ่นโตที่คาดว่าคงจะบรรจุเจ้าพวกนี้มาวางอยู่ข้างๆ

“ไม่รู้ว่าเจ้าภาสมันเอากระติกน้ำมาให้หรือยัง” คล้ายๆ ว่าเธอกำลังบ่นกับตัวเองดวงตาพลางสำรวจหากระติกน้ำในกระท่อม

“คุณภาสใช่คนที่ไว้หนวดผิวคล้ำๆ หน่อยใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ นั่นน่ะเจ้าโอภาสหลานป้าเอง”

“อ้อ เขาเอามาให้แล้วครับ” ตอบจบก็จ้วงข้าวพร้อมกับผัดเห็ดฟางใส่ปาก เจ้าจันทร์รู้สึกว่าวันนี้ตนกินข้าวตะกละตะกลามกว่าทุกที อาจคงเพราะหิวมากใช้เวลาเพียงไม่นานทุกอย่างที่ขวางหน้าอยู่ก็เกลี้ยงในพริบตา “ผมล้างเองครับ” เมื่อเห็นว่าป้าสุดาตั้งท่าจะเก็บถ้วยจานไปล้างเจ้าจันทร์ก็รีบร้องห้ามทันที เพราะแค่ให้อีกฝ่ายเอาข้าวมาส่งกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ก็ถือว่ารบกวนพอแล้ว

“งั้นป้าไปก่อนนะคะ” เจ้าจันทร์ส่งยิ้มล่ำลาในขณะที่กำลังล้างจานอยู่ข้างโอ่งน้ำใกล้ๆ ตัวกระท่อมท่ามกลางแสงสว่างนวลตาของตะเกียงเจ้าพายุซึ่งห้อยอยู่ข้างฝาผนังติดกับประตู มองส่งป้าสุดาที่ถือกระบอกไฟฉายส่องทางจนหายลับตาไปทางบ้านพักของชายหนุ่มเจ้าจันทร์ค่อยกลับมาสนใจล้างจานในมือต่อ

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเจ้าจันทร์ก็ถือตะเกียงเจ้าพายุเข้าไปในกระท่อมนำไปวางไว้บนตู้ขนาดเล็กที่ตนใช้เก็บเสื้อผ้า ก่อนจะกลับไปคล้องประตูที่ทำจากเชือกพร้อมจะขาดทุกเมื่อ กลับมาใช้เสื่อที่ม้วนไว้ปูบนเตียง ใช้ฝ่ามือตบหมอนปุๆ แล้ววางลงบนหัวเตียง เครื่องนอนแสนเรียบง่ายที่มีเพียงเสื่อทอกับหมอนใบเล็กหนึ่งใบและผ้าห่มผ้าฝ้ายผืนบาง ยื่นมือไปหรี่ตะเกียงแล้วเจ้าจันทร์ทิ้งกายลงนอนไม่นานก็หลับสนิทอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ยากเลยที่คนเมื่อยล้าจะนอนหลับอย่างง่ายดายแบบนี้

เช้าตรู่ของวันใหม่ท้องฟ้าสีครามบรรยากาศสลัวช่วงขายาวของชายหนุ่มเจ้าของเกาะก้าวฉับๆ ทิศทางตรงไปยังกระท่อมในป่าข้างๆ ประตูที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงถูกกระชากออกแทบจะลอยติดมือคนดึง ร่างเล็กที่นอนคุดคู้กับบรรยากาศหนาวยามค่ำคืนที่ผ้าห่มผืนบางไม่อาจช่วยได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมทั้งอาการเหน็บชา ไม่ต้องหันไปมองเจ้าจันทร์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าคนไร้มารยาทที่ไม่มีแม้กระทั่งการเคาะประตูยืนจังก้ากลางห้องนี่คงหนีไม่พ้นพี่ชายของชลธาร

“ตามกูมา” น้ำเสียงเคร่งครัดติดจะหงุดหงิดออกคำสั่งทันที ก่อนจะสะบัดกายเดินนำออกไปโดยไม่หันกลับมามองว่าคนฟังจะทำตามหรือไม่ด้วยซ้ำ

เจ้าจันทร์เดินก้มหน้าตามหลังอีกฝ่ายมาอย่างว่าง่ายก่อนจะหยุดตามร่างสูงเมื่ออีกฝ่ายดินมาถึงเป้าหมาย คอกม้าเมื่อวานที่วันนี้ยังคงมีม้าอยู่ข้างใน

“ต่อไปเวลานี้กูต้องเห็นมึงอยู่ตรงนี้พร้อมทั้งพลั่วกับงานเก็บขี้ม้า” ดวงตาคมกริบตวัดกลับมามองแวบหนึ่งราวกับไม่ต้องการจะมองร่างเจ้าจันทร์สักนิด “และพอกินข้าวเสร็จกูจะให้ไอ้ภาสพามึงไปทำงานในไร่ปาล์ม และขอเตือนว่าอย่าคิดหนี” ยังไม่วายขมขู่ทิ้งท้ายหลังจากสั่งงานเสร็จเรียบร้อย

“ผมไม่โง่พอจะคิดหนี” ประโยคแรกของวันที่เอ่ยตอบรับง่ายๆ น้ำเสียงราวกับการลงทัณฑ์ของเขาเป็นเรื่องเด็กขายของเล่น

“ดีที่ไม่โง่” สบถใส่อีกฝ่ายจบก็เดินหันหลังกลับบ้านพักทันที

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินหงุดหงิดจากไปแล้วเจ้าจันทร์ก็ถอนหายใจเบื่อหน่ายเดินไปหยิบพลั่วเมื่อวานเข้าไปในคอกม้าเริ่มต้นทำงาน ความจริงแล้วคอกม้าพวกนี้ยังคงสะอาดเอี่ยมอ่องเพราะเจ้าจันทร์เพิ่งทำไปเมื่อวานหยกๆ แต่คงเพราะอีกฝ่ายคงต้องการกลั่นแกล้งถึงได้สั่งให้ตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าทุกวันทั้งที่มันไม่จำเป็นสักนิด

เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามสายหน่อยเจ้าจันทร์ก็แย้มยิ้มให้กับร่างท้วมของป้าสุดาที่ถือปิ่นโตบรรจุอาหารมาให้ พอทานเสร็จได้ไม่นานโอภาสคนงานหนุ่มหนวดเฟิ้มที่ป้าสุดาบอกว่าเป็นหลานก็มาตามไปสวนปาล์ม ทำงานแทบทุกอย่างไม่ต่างจากคนงานคนอื่นๆ พอเที่ยงก็กินข้าวเที่ยวพร้อมกับพวกเขา ก่อนจะลุยงานต่อในตอนบ่ายซึ่งมีสายตาคมกริบของชายหนุ่มโผล่มาจ้องมองทุกฝีก้าว

“ตามกูมา” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่เจ้าจันทร์ไม่สามารถขัดได้ทำให้ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายต้อยๆ

เป็นครั้งแรกที่เจ้าจันทร์ได้ขึ้นมาเหยียบบนบ้านพักของอีกฝ่าย บ้านทั้งหลังทำจากไม้ติดกระจกตั้งอยู่บนเนินหินที่คล้ายว่าถูกสรรสร้างขึ้นเพื่อความสวยงาม มีต้นไม้ให้ร่มเงารอบๆ ตัวบ้าน ดูสวยงามต่างกับจิตใจเจ้าของลิบลับ

“หลังจากที่มึงทำงานในสวนเสร็จจะต้องมาซักผ้าที่นี่ต่อ” จบประโยคก็ชี้ไปยังตะกร้าผ้าที่กองจนล้นสามสี่ตะกร้าข้างๆ มีกะละมังขนาดกลางอีกสองใบ เจ้าจันทร์เดินไปนั่งลงบนโต๊ะพลาสติกขนาดเล็กข้างกะละมัง หยิบผงซักฟอกออกมาเทแล้วหันไปใช้ขันตักออกจากโอ่งที่อยู่ไม่ไกลใส่กะละมัง

เจ้าจันทร์เริ่มทำงานโดยไม่แม้แต่จะปริปากบ่น คนสั่งกลับไม่พอใจที่อีกฝ่ายยอมทำตามง่ายๆ เสียอย่างนั้น เขาเดินกลับไปด้วยท่าทีตึงตังก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าม่านผ้าห่มอีกหอบหนึ่ง เพราะความอยากจะเอาชนะของอีกฝ่ายทำให้ดูเหมือนคนโง่เพิ่มขึ้นอีกประการ

“คุณคงอยากจะให้ผมซักผ้าตากแสงดาวแสงดวงจันทร์สินะ หึ แบบนั้นคงแห้งเร็วดี” อดที่จะเหน็บอีกฝ่ายไม่ได้จนผ้ากองนั้นจะถูกโยนลงมาคลุ่มบนศีรษะ

“เรื่องของกู มึงมีหน้าที่แค่ทำตามที่กูสั่งก็ทำไป” สบถเสร็จก็เดินกลับเข้าในบ้านเดินไปนั่งบนโซฟาใช้ดวงตาคมกริบจับจ้องเฝ้ามองเจ้าจันทร์ประหนึ่งว่ายามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำงานด้วยใบหน้าแดงก่ำอ่อนแรงนั้นสร้างความสุขให้กับเขาเมื่ออีกฝ่ายได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ยังเท่านี้มันยังไม่สาแก่ใจนเรศหรอก

กว่าเจ้าจันทร์จะได้นอนก็ปวดเมื่อยตามตามตัวอ่อนแรงไปหมด วันนี้หลังจากซักผ้าเสร็จป้าสุดาก็หาข้าวให้กินที่นั้นเลย พอกินอิ่มก็ช่วยป้าสุดาเก็บกวาดก่อนเจ้าจันทร์ก็รีบตรงดิ่งกลับมาอาบน้ำพาร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเองแทบคลานขึ้นเตียงนอนหลับทันที


*******************************************
เมื่อวานลืมลงให้เจี๊ยะบ่จ่ายต้องขอโทษด้วยนะคะ คนแก่ก็งี้แหละขี้หลงขี้ลืม ฮาๆ  :katai3:
ความจริงก็ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จจะมาลงนิยาย แต่พอเสร็จแล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนหลับปุ๋ยยาวเลย  :katai5:
ยังไงก็ถ้าชอบอย่าลืมเม้นติเม้นชมกันด้วยนะออเจ้า และขอบคุณทุกคอมเม้นเลยนะจ๊ะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2018 20:04:55
อยากใช้ให้ทำอะไร รีบๆสั่งมา เด๋วรอสะสมไว้ระเบิดทีเดียว  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2018 20:33:43
แก้คำผิดด้วยนะคะ
สักผ้า>>>ซักผ้า
หัวข้อ: Re: มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 20-03-2018 23:07:31
เข้ามาให้กำลังใจจ้า แง้ คุณนเรศผู้น่าตบกับเจ้าจันทร์ผู้น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 20-03-2018 23:39:20
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 3 ยอมเพื่ออีกหนึ่งครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-03-2018 01:26:11
แล้วเพราะอะไรทำไมถึงทำให้นเรศเข้าใจผิดว่าเจ้าจันทร์เป็นพ่อของเด็กจริงๆ แล้วโดนจับมาทรมานแบบนี้ได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 4 เลือดตกยางออก
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 21-03-2018 19:34:39
บทที่ 4 เลือดตกยางออก

เสียงล้อรถเข็นดังคึกๆ ถูกลากไปตามพื้นดินไม่สม่ำเสมอนักตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อจัดการเทขี้ม้าออกไปรวมกันเป็นกองเสร็จก็ลากรถเข็นกลับไปไว้ในโรงเก็บของ วันนี้เจ้าจันทร์ทำงานเสร็จเร็วกว่าเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่ถูกจับมาใช้งานราวกับทาสบนเกาะแห่งนี้ เจ้าจันทร์ยกท่อนแขนขึ้นเช็ดเหงื่อที่หลั่งรินตั้งแต่ยามเช้ายกฝ่ามือขึ้นโบกปัดไล่ความร้อนออกจากใบหน้าที่กำลังแดงก่ำก่อนจะยกยิ้มกว้างเมื่อสายตาทอดไปเห็นบางสิ่ง

“เจ้าพายุดำ” เสียงนุ่มหูตะโกนลั่นดีใจพร้อมกับวิ่งเข้าไปลูบตัวเจ้าลูกม้าสีดำปรอทที่เริ่มจะเชื่องกับตนเมื่อไม่นาน “ฮิฮิ” เจ้าจันทร์หัวเราะอย่างสดใสดูมีชีวิตชีวายังคงเล่นกับลูกม้า โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังสร้างความสับสนให้กับคนที่เดินมาหวังเข้ามาถากถางอีกฝ่ายด้วยคำพูด

หัวใจที่เคยกระด้างของนเรศจู่ๆ ก็กระหน่ำรัวเต้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลังจากได้เห็นรอยยิ้มสดใสเปล่งประกายบนใบหน้าติดจะหวานของเด็กหนุ่ม อาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสไร้ความทุกข์ยากลำบากที่เขาคอยมอบให้นั่นทำให้ความแค้นของเขายิ่งปะทุ หัวใจจึงสูบฉีดเลือดรุนแรงด้วยโทสะ

ใช่!...เพราะมันยังไม่ทุกข์ทรมานมากพอ มันถึงยังยิ้มได้ เขาต้องทำลายมันให้ย่อยยับกว่านี้ให้สาสมกับที่มันได้กระทำสิ่งอันเลวร้ายไว้กับน้องสาวผู้เป็นที่รักของเขา

“โอ๊ย!!!” เจ้าจันทร์หลุดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อจู่ๆ เส้นผมก็ถูกฝ่ามือหยาบกร้านดึงทึ้งฉุดขึ้นจากพื้นจนต้องรีบยืนตามแรงอีกฝ่าย เจ้าพายุดำเองก็พลอยตกใจวิ่งหนีไปหาแม่มันที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว

“เอามือสกปรกๆ ออกไปจากม้าของกู” ชายหนุ่มตวาดเสียงกร้าวใบหน้าถมึงทึงด้วยโทสะก่อนจะเหวี่ยงร่างเล็กในมือจนล้มลุกคลุกคลาน “มึงมันสกปรกเกินอย่าได้เอาสิ่งชั่วๆ มาแปดเปื้อนของๆ กู” ไม่ว่าเปล่ายังยกฝ่าเท้าขึ้นกระทืบลงบนใบหน้าอีกฝ่ายพร้อมทั้งขยี้ปลายเท้าลงใบหน้าสวยๆ เกินผู้ชายควรจะมีนั่น

เจ้าจันทร์รู้สึกเจ็บจนได้แต่ร้องครวญครางพยายามที่จะยกฝ่าเท้าที่บดขยี้ใบหน้าตนให้พ้นใบหน้า แต่ยิ่งดิ้นรนขัดขืนอีกฝ่ายยิ่งกระทืบอย่างหนักหน่วงจนใบหน้าซีกหนึ่งกระแทกลงบนพื้นดังตึงๆ พอเห็นใบหน้าหวานนั้นชโลมอาบไปด้วยเลือดก็เปลี่ยนไปเตะตามลำตัวอีกฝ่ายจนลอยกระเด็น

“นายครับ พอครับนาย” โอภาสรีบเข้าไปห้ามเจ้านายหนุ่มที่กำลังเลือดขึ้นหน้า โดยมีคนอื่นๆ ยืนมองไม่กล้าเข้าห้ามปราม

“หึ” นเรศส่งเสียงขึ้นจมูกสะบัดกายออกจากการเกาะกุมของลูกน้องคนสนิท กระทืบอีกฝ่ายซ้ำลงไปอีกทีก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยอารมณ์คุกรุน แต่ไม่วายหันไปสั่งลูกน้องด้วยเสียงอันดัง “ให้ลิสาไปหากูด้วย” ลิสาคือลูกคนงานสาวในไร่ที่คอยมาวนเวียนยั่วยวนเขา นเรศเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนเขาเลยสนองตอบอีกฝ่ายไม่ต่างจากนางบำเรอ ยิ่งอารมณ์เดือดหากได้ปลดปล่อยคงดีขึ้น

โอภาสเมื่อเห็นเจ้านายเดินไปไกลแล้วก็หันไปส่งสายตาให้คนไปตามลิสามา ส่วนตัวเขาเข้าไปช่วยพยุงร่างเล็กสะบักสะบอมน่าเวทนานั้นขึ้นมา เมื่อหลายวันก่อนป้าสุดาได้เข้ามาพูดกับโอภาสบอกว่าคนที่เขากำลังช่วยพยุงอยู่นี่น่าสงสาร เจ้านายไปลักพาตัวอีกฝ่ายมาใช้งานอย่างกับทาส ทั้งที่ดูท่าทางของอีกฝ่ายแล้วไม่น่าจะใช่คนที่สามารถทำร้ายคนอื่นได้ลงคอ โอภาสเองใช้ว่าจะเห็นใจอีกฝ่ายทันทีแต่เพียงแค่คอยเฝ้ามองสังเกตมากขึ้นจึงได้เริ่มเปิดใจมองคนๆ นี้เสียใหม่

“เป็นยังไงบ้าง” โอภาสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วงหลังจากหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลเลือดอาบให้เจ้าจันทร์

“ผมไม่เป็นไร ก็แค่เจ็บตัวไม่กี่วันคงหาย” ใบหน้าหวานเศร้าหมองตอบกลับ ปลายนิ้วถูกยกขึ้นสัมผัสก้อนผ้าก๊อซตรงหางคิ้วไล่ลงตามพวงแก้มมาหยุดอยู่มุมปากก่อนจะร้องซี๊ดด้วยความเจ็บ  ในตอนนั้นใช่ว่าเจ้าจันทร์จะไม่อยากสู้ แต่ผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้นทั้งแรงเยอะทั้งมือเท้าหนัก ตัวเล็กอย่างเจ้าจันทร์มีหรือจะสู้เขาได้ คงได้แต่นอนให้อีกฝ่ายประเคนฝ่าเท้ากระหน่ำใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างที่เห็น

“วันนี้คุณพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ผมไม่อยากให้คนงานแตกตื่นเพราะเห็นหน้าเยินๆ ของคุณ” แม้คำกล่าวจะค่อนข้างรุนแรงแต่เจ้าจันทร์ก็ยังสัมผัสถึงน้ำเสียงเจือแววความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายส่งมาให้

“แล้วเจ้านายคุณจะไม่ตามาฆ่าผมหรอ” เจ้าจันทร์เองรู้ว่าวันนี้ร่างกายคงไม่ไหวที่จะลากออกไปทำงานต่อแน่จึงได้เอ่ยถามอย่างทำใจ

“คงไม่หรอก...มั้งครับ”

อืม ช่างเป็นคำตอบที่มั่นใจมาก

“เอาเถอะผมจะยอมทำตามที่คุณว่า เพราะดูเหมือนร่างกายผมจะไม่ไหวแล้ว ถ้าเจ้านายคุณจะฆ่าผม ผมก็จะเอาชื่อคุณมาอ้างแล้วกัน” บอกอีกฝ่ายเสร็จก็ทิ้งร่างกายร้าวระบมของตัวเองลงบนเสื่อแล้วหลับตาลง

โอภาสมองใบหน้าหวานเกินชายที่มีร่องรอยแตกฟกช้ำกระจายไปทั่ว ร่างเล็กขาวเนียนมีรอยสีคล้ำม่วงเป็นจ้ำๆ มองดูแล้วน่าสงสารแต่เขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้จึงได้แต่เดินจากไปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน

ตกเย็นคนที่นอนหลับอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาซ้ำยังไม่ออกมากินข้าวทั้งเที่ยงทั้งเย็นสร้างความเป็นห่วงให้กับสองป้าหลานนัก พอทำงานทุกอย่างเสร็จป้าสุดาก็หวังจะมาดูเจ้าจันทร์แต่ก็พบกับหลานชายที่ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่เช่นเดียวกัน

“คุณเจ้า คุณเจ้าจันทร์คะ” คำเรียกขานฟังดูสนิทมากยิ่งขึ้นหลังจากป้าสุดาเทียวไปเทียวมาช่วยเหลือส่งข้าวให้กับเจ้าจันทร์ ไม่มีทีท่าว่าประตูจะถูกเปิดออกมายิ่งสร้างความกังวลให้กับสองป้าหลาน

โอภาสตัดสินใจก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวอันน้อยนิดของอีกฝ่ายด้วยการกระชากประตูที่ล็อกด้วยเชือกฟางเส้นบางๆ ที่เปลี่ยนทุกครั้งที่เจ้านายเขามาปลุกเองเปิดผ่างออก ความมืดมิดที่เริ่มเข้ามากร่ำกรายทำให้มองเห็นเงาดำคุดคู้กายอยู่บนเตียงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมามองผู้บุกรุก

“คุณเจ้า! ตายแล้วตัวร้อนจี๋เลย” ป้าสุดาร้องด้วยความตระหนกหลังจากใช้หลังมือแตะตามร่างกายขาวซีด โอภาสรีบไปจุดตะเกียงเจ้าพายุที่ตั้งเอาไว้สับเท้าออกด้านนอกด้วยความเร่งรีบก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมขันที่ใส่น้ำไว้จนเต็มมาวางลงข้างๆ คนเป็นป้า “ไอ้ภาสเอ็งกลับไปเอายาในตู้มาให้คุณเจ้าเร็วเข้า”

โอภาสพยักหน้ารับแล้วรีบร้อนกลับเข้าไปในบ้านพักของเจ้านาย ปล่อยให้ป้าสุดาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเจ้าจันทร์ ที่สั่นระริกเมื่อเห็นร่องรอบฟกช้ำป้าสุดาก็อดที่จำกล่าวตำหนิเจ้านายหนุ่มไม่ได้

“เขาก็คนเราก็คนทำไมนายถึงได้ใจร้ายใจดำกับคุณเจ้าแบบนี้ ดูสิตัวก็เล็กแค่นี้ไม่รู้จะทนมือทนเท้านายได้อีกนานเท่าไหร่” เช็ดไปพร้อมกับพึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ คราบเลือดสดใหม่ที่ติดตามผืนเสื่อใกล้กับบริเวณก้นที่เจ้าจันทร์นอนทับทำให้ป้าสุดางงงวย

กางเกงทำงานถูกถอดออกทันที ป้าสุดาคิดว่าเจ้าจันทร์เปรียบเสมือนลูกหลานคนหนึ่งจึงไม่ลังเลเลยที่จะดึงกางเกงอีกฝ่ายลงเพื่อตรวจหาสาเหตุคราบเลือดสีคล้ำ พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อมันออกมาจากรูทวารของอีกฝ่าย

“ป้าทำอะไรน่ะ” โอภาสที่กลับมากจากไปเอายาเข้ามาเห็นเบิกตากว้างเอ่ยถามด้วยความตกใจ ก่อนจะหรี่นัยน์ตาจับจ้องมองคราบเลือดบริเวณร่องก้นขาวเนียนของคนป่วยแล้วรีบเสสายตาหลบ เมื่อใบหน้าจู่ๆ ก็เห่อร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ตายแล้ว คุณเจ้าของป้าต้องโดนนายกระทืบช้ำใน จนเลือดออกมาทางลำไส้แน่ๆ ไอ้ภาสไปตามหมอเพลิงมาเร็วเข้า” พอได้ยินป้าของตัวเองเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นระริกโอภาสที่ยังไม่ทันหายเหนื่อยดีก็ต้องรีบวิ่งกลับไปที่พักคนงานเพื่อไปตามหมอเพลิง

ไม่นานหลังจากนั้นเสียงฝีเท้าวิ่งเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบก็ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับแสงจากกระบอกไฟฉายที่สาดส่องนำทาง หมอเพลิงผู้ที่เรียนจบสัตวแพทย์แต่พอมาอยู่บนเกาะนี้เขาก็ต้องรักษาทั้งสัตว์ทั้งคน ถูกโอภาสลูกน้องคนสนิทของเจ้านายลากออกมาพร้อมกับคำบอกกล่าวที่ฟังไม่ค่อยจะจับใจความได้ของเจ้าตัว หมอเพลิงจับใจความของโอภาสได้เพียงว่ามีคนป่วยและดูเหมือนอาการจะหนัก

“ไหนครับคนป่วย” หมอเพลิงวิ่งพรวดพราดเข้ามาทั้งเหนื่อยหอบ เมื่อเหลือบสายตามองเห็นร่างเล็กขาวซีดของเด็กหนุ่มที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงก็รีบเข้าไปตรวจร่างกายพลางซักถามป้าสุดาที่อยู่ข้างๆ ทันที “เขาเป็นอะไรครับ”

“ถูกนายซ้อมมาคะหมอเพลิง” ป้าสุดาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“คุณนเรศน่ะหรือครับซ้อม” หมอเพลิงหันกลับมาถามด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินข่าวเจ้าของเกาะแห่งนี้ซ้อมลูกน้องตัวเองที่ทำผิดอยู่บ้าง ก็ไม่เคยเห็นใครถูกซ้อมอาการหนักขนาดนี้มาก่อน แต่พอเห็นป้าสุดาคนงานเก่าแก่ที่คอยดูแลเรื่องงานบ้านให้นเรศพยักหน้ายืนยันหมอเพลิงก็ได้แต่อับจนคำพูด “ทำงานหนัก ร่างกายพักผ่อนน้อย และยังสูญเสียเลือดมาก...ว่าแต่เขาเสียเลือดมากเลยหรอครับ” หลังจากเอ่ยสรุปอาการคร่าวๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความประหลาดใจ ดูจากบาดแผลที่มองเห็นภายนอกแล้วมีแต่แผลฟกช้ำไม่น่าจะสูญเสียเลือดมากขนาดนั้นนี่ ข้อนี้ทำให้หมอเพลิงงุนงงนัก

“ป้าเห็นมีเลือดออกมาจากก้นของคุณเจ้าค่ะ” พอได้ฟังคำตอบจากป้าสุดาหมอเพลิงก็พลิกให้อีกฝ่ายนอนคว่ำแยกแก้มก้นของคนป่วยออกจากกันใช้สายตาสำรวจ ก่อนใช้นิ้วมือที่สวมถุงมือสีขาวสะอาดปาดคราบเลือดที่ไหลออกมาขึ้นมาพิจารณาดู สีออกคล้ำๆ ไม่คล้ายพวกที่เป็นโรคเกี่ยวกับล้ำไส้แต่เหมือนกับเลือดเสียที่ถูกขับออกมาทุกเดือนของผู้หญิง

“มันร้ายแรงมากหรือครับหมอ” โอภาสอดที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลกับใบหน้าเคร่งเครียดที่หมอเพลิงแสดงออกมาไม่ได้

“ผมไม่แน่ใจ ป้าสุดาครับผมแนะนำให้พาไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ” พอเอ่ยแนะนำสองป้าหลานก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที “มีอะไรหรือเปล่าครับ” หมอเพลิงเอ่ยถามต่อด้วยความข้องใจ เด็กหนุ่มป่วยซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าป่วยหนักป่วยน้อยหรือป่วยเป็นโรคอะไร พอแนะนำให้ไปโรงพยาบาลทำไมสองป้าหลานถึงทำสีหน้าลำบากใจราวกับกลืนยาขมเสียอย่างนั้น

“นายคงไม่ให้พาไปหรอกคะ” ป้าสุดาส่ายหน้าซึ่งพอหมอเพลิงหันไปขอความเห็นจากผู้เป็นหลานก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบยืนยัน

“ทำไมละครับ ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นโรคอะไรร้ายแรงแค่ไหน แต่ถ้าพาไปโรงพยาบาลหากเป็นโรคร้ายแรงก็อาจแก้ไขได้ทันนะครับ”

“หมอเพลิงช่วยคุณเจ้าหน่อยเถอะคะ แค่ป้าไปตามหมอเพลิงมานายเองก็ไม่รู้” พอได้ฟังหมอเพลิงยิ่งขมวดคิ้ว

“ผมขอร้องอีกคนหมอเพลิงช่วยเจ้าจันทร์ทีนะครับ” โอภาสช่วยพูดอีกแรง

“ผมจบสัตวแพทย์มานะครับ ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องรักษาคน...เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ผมจะขึ้นฝั่งไปพาเพื่อนที่เป็นหมอรักษาคนโดยเฉพาะมา แต่คุณนเรศคงรู้...”

“ไม่เป็นไรคะ พรุ่งนี้นายขึ้นฝั่งไปกรุงเทพค่ะ” ป้าสุดารีบบอกทำให้หมอเพลิงพยักหน้าคลายกังวล

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมจะให้ยาลดไข้ไปก่อน และอยากจะให้มีคนเฝ้าอยู่ตลอดด้วยเผื่อฉุกเฉินจะได้รีบไปตามทัน” หมอเพลิงหยิบยาลดไข้สามัญที่เขาพอจะจ่ายให้คนได้ออกมาส่งให้ป้าสุดาก่อนจะกำชับทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินทางกลับไปยังบ้านพักโดยมีโอภาสกลับไปส่ง

หลังจากให้กินยาอาการสั่นเทาพร้อมเสียงละเมอก็ดีขึ้น โอภาสที่กลับเข้ามาก็อาสาที่จะอยู่เฝ้าเองปล่อยให้ป้าสุดาที่เหนื่อยมาทั้งวันกลับไปพักผ่อนเสียบ้าง ดังนั้นตลอดคืนเขาจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้เจ้าจันทร์บ่อยๆ ทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกันแท้ๆ แต่พอสัมผัสผิวขาวเนียนกลับรู้สึกนุ่มมือจนใจสั่น โอภาสพยายามสะบัดไล่ภาพร่างกายขาวผ่องนั้นออกจาความคิดก่อนจะออกมานั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ด้านนอก หันไปก่อกองไฟไล่ยุงและบรรเทาความหนาวหลังจากตัดสินใจที่จะหลับนอนเฝ้าคนป่วยอยู่ด้านนอกแทน


**********************************
ขอบคุณออเจ้าหลายเด้อ Leenboy ซักผ้ากลายเป็นสักผ้าไปได้ โอ๊ยๆ คนแก่ตาไม่ค่อยดี ฮาๆ
ส่วนคำถามจาก PrimYJ มีสาเหตุแน่นอนค่ะ เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ยอดนักสืบโคนัน เอี๊ยด!!! ผิดเรื่องละ
ขอบคุณทุกคอมเม้นททุกกำลังใจเจอกันพรุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 4 เลือดตกยางออก
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 03:22:16
กระทืบจนเลือดทะลัก โหดไปไหม  :ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 4 เลือดตกยางออก
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-03-2018 06:23:24
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 4 เลือดตกยางออก
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-03-2018 11:13:56
สงสารน้องเจ้า :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 22-03-2018 19:50:18
บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...

ในช่วงเช้าของวัน นเรศก็ออกเรือไปขึ้นฝั่งมุงหน้ากลับเข้ากรุงเทพเพื่อติดต่อธุรกิจ และถือโอกาสไปเยี่ยมครอบครัว เจ้านายไปแล้วในช่วงบ่าย หมอเพลิงก็พาเพื่อนที่บอกว่าเป็นหมอรักษาคนกลับเข้ามา พร้อมกับเครื่องมือหลายชนิด ป้าสุดากับโอภาสเข้าไปรับ ก่อนพามากระท่อมด้วยอาการร้อนใจ

อาการพิษไข้ของเจ้าจันทร์อ่อนลงแล้ว แต่เจ้าเลือดที่ไหลออกมาจากก้นของเด็กหนุ่มกลับไม่ยอมหยุดไหลสักทีสร้างความวิตกกังวลให้พวกเขานัก

อึดใจต่อมาหมอบูมเพื่อนของหมอเพลิงใช้เครื่องมือที่ค่อนข้างมากมายตรวจดูเจ้าจันทร์ แล้วก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคอะไรอยู่ดี หมอเพลิงและหมอบูมได้แต่มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า ไม่รู้จะตอบสองป้าหลานว่าอย่างไร

“ป้าสุดาครับ” หมอเพลิงเป็นคนเกริ่นนำขึ้น

“คะหมอเพลิง”

“ผมแนะนำให้พาส่งโรงพยาบาลเท่านั้นครับ ผมในตอนนี้ไม่มีเครื่องมือที่ครบครันถ้าไปโรงพยาบาลต้องสามารถวินิจฉัยโรคได้แน่นอนครับ” หมอบูมเป็นคนตัดสินใจบอก

“แต่...”

“เชื่อหมอบูมเถอะครับ” เมื่อเห็นท่าทีที่พร้อมจะปฏิเสธของป้าสุดา หมอเพลิงก็รีบกล่าวสนับสนุนเพื่อนทันที “อย่างน้อยตอนนี้คุณนเรศไปกรุงเทพไม่ใช่หรอครับ พวกเราก็ใช้โอกาสนี้...พาเด็กคนนี้ไปโรงพยาบาลตรวจให้ละเอียดแล้วรีบพากลับมา ก่อนคุณนเรศจะกลับมาดีกว่าไหมครับ” คำพูดของหมอเพลิงทำให้ป้าน้อยคล้อยตามอยู่พอสมควร ก่อนจะดึงหลานชายเข้าไปปรึกษากันอยู่ด้านนอก ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับอนุญาตให้พาเจ้าจันทร์ขึ้นฝั่งไปโรงพยาบาล โดยมีป้าสุดาตามไปด้วย

หมอบูมขอใช้เวลาในการเข้ารับการตรวจเป็นเวลาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน เพื่อรักษาอาการพิษไข้ด้วยก่อนจะให้พาเจ้าจันทร์กลับเกาะ รอเพียงผลตรวจที่จะส่งตามมาอีกสองเดือน แต่ในขณะที่เลือดของเจ้าจันทร์ที่ยังไม่ยอมหยุดไหลก็ให้ซื้อผ้าอนามัยมารองไว้ก่อน เลือดที่ผลตรวจแน่ชัดแล้วว่าเป็นเลือดเสีย ทำให้หมอบูมกำชับให้ป้าสุดาต้มน้ำร้อนให้อีกฝ่ายดื่ม
เจ้าจันทร์เองในตอนนี้ก็ยังคงหลับตื่นๆ อยู่ตลอด จนล่วงเลยเข้าสู่วันที่สามของการเป็นไข้ คนป่วยจึงเริ่มได้สติกลับมาสามรถลุกขึ้นมานั่งทานข้าวได้

“คุณเจ้าคะป้าขอถามหน่อยค่ะ” สุดามองดูดวงหน้าซีดเซียวที่กำลังอ้าปากรับข้าวต้มโรยขิงอ่อน ที่เธอกำลังป้อนให้พลางเอ่ยถาม

“ครับ”

“เลือดที่ออกมาจากก้นของคุณเจ้ามันเป็นโรคอะไร ร้ายแรงหรือเปล่าคะ” คำถามตรงไปตรงมาทำเอาเจ้าจันทร์แทบสำลักข้าวต้มในปาก

“ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากครับ แต่คุณพ่อกับคุณแม่บอกไม่ต้องกังวล อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ มันจะมาทุกเดือนคล้ายๆ ว่ากำลังขับเลือดเสียออกจากร่างกาย สักสามสี่วันก็หายครับ” เจ้าจันทร์ตอบตามที่มารดาเคยบอกเอาไว้ ในครั้งแรกที่ตัวเองเป็นตอนนั้นเองก็ร้องไห้โวยวายกลัวว่ากำลังจะตาย แต่นี่ก็เป็นมาจนอายุยี่สิบเอ็ดเจ้าจันทร์ยังไม่ตายแสดงว่ามันคงเป็นแค่การขับเลือดเสียออกจากร่างกายจริงๆ นั้นแหละ

“คล้ายๆ การมีประจำเดือนของผู้หญิงน่ะหรือคะ?”

“ราวๆ นั้นครับ บางครั้งก็ยังมีปวดท้องเหมือนกันอีก ตอนนี้ก็เริ่มไม่มีเลือดไหลแล้วครับสงสัยใกล้จะหายแล้ว” ตอบคำถามไปก็อ้าปากรับข้าวต้มที่ป้าสุดาคอยป้อนให้ จนรู้สึกว่าวันนี้กินได้เยอะกว่าทุกที

“เป็นโรคที่แปลกดีนะคะ ตอนแรกคิดว่าคุณเจ้าโดนนายซ้อมจนเลือดช้ำใน แล้วเลือดไหลออกมาทางก้นซะอีก” พอได้ฟังป้าสุดาพูดเจ้าจันทร์ก็อมยิ้มจนป้าสุดาขัดเขิน “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วค่ะ” ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วเอาถ้วยไปล้างหลังจากเจ้าจันทร์ทานจนหมด “วันนี้นายกลับมาแล้วคุณเจ้าก็พยายามหลบๆ นายไว้นะคะ ร่างกายยังไม่หายดี” ก่อนกลับป้าสุดาไม่วายเอ่ยเตือน

เจ้าจันทร์เองก็ยิ้มรับความเป็นห่วงของป้าสุดา รับปากจะพยายามหลบเจ้าคนป่าเถื่อนนั้นให้มากที่สุด แต่ดูเหมือนฟ้าดินไม่เป็นใจ เมื่อเข้าสู่ช่วงหัวค่ำโอภาสก็มาตามเจ้าจันทร์ให้ไปพบนเรศ ในขณะที่เจ้าจันทร์กำลังจะเดินเข้าไปในบ้านของอีกฝ่ายโอภาสก็ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้จนต้องยกยิ้มเข้มแข็งให้อีกฝ่ายเลิกกังวล ช่วงหลังๆ มานี้โอภาสเริ่มพูดคุยกับเจ้าจันทร์ดีขึ้นไม่ต่างจากคนเป็นป้า ซึ่งนั่นทำให้เจ้าจันทร์ดีใจมากที่มีเพื่อนบนสถานที่อันโหดร้ายนี้เพิ่มขึ้นมา

เพียงก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่ห้องนั่งเล่น กลิ่นสุรารสแรงก็ลอยเข้ากระแทกจนต้องย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจ ในใจเริ่มจะหวาดกลัวอีกฝ่ายแทบอยากจะหันหลังวิ่งกลับออกไป ขนาดไม่เมายังป่าเถื่อนได้ขนาดนั้น เวลาเขาเมาอย่างเช่นในตอนนี้จะร้ายกาจมากสักเพียงไร เจ้าจันทร์ได้แต่คิดอย่างหวาดหวั่น

ร่างสูงแกร่งลุกขึ้นซวนเซเล็กน้อยพร้อมกับหันกลับมา ใช้ดวงตาแดงก่ำของคนเมามายจ้องเขม็ง สร้างความประหวั่นให้กับคนมอง ดวงตาประหนึ่งสัตว์ร้ายนั้นทำให้เจ้าจันทร์เผลอผงะก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว

“หึ มาแล้วหรอ” รอยยิ้มแสยะถูกยกยิ้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเข้ม

“...” เจ้าจันทร์ทำแค่เพียงยืนนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดตอบรับ ใช้ดวงตาโศกที่สะกดความหวาดกลัวให้หลบซ่อนเข้าไปข้างในจับจ้องมองนเรศ สงครามศึกสายตาเริ่มต้นขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างจ้องกันนิ่ง รอดูว่าความอดทนของใครจะหมดก่อน จนในที่สุดนเรศก็ก้มลงหยิบขวดเหล้าราคาแพงว่างเปล่า ง้างขึ้นแล้วขว้างลงตรงปลายเท้าของเจ้าจันทร์สุดแรง

เพล้ง!

เจ้าจันทร์สะดุ้งตกใจผงะถอยหลบเศษขวดแก้วแตกกระจาย ที่กระเด็นเฉียดหลังเท้าเปลือยเปล่าให้มีเลือดซึม ใบหน้าหวานนั้นแสดงความตื่นตระหนก มองดูอารมณ์ร้ายของชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัว

“เก็บสิ” จบประโยคก็ลงไปนั่งบนโซฟา ยกแก้วเหล้ากระดกไม่สนใจว่าอีกคนจะทำตามหรือไม่ แต่ถ้าไม่คงจะได้เห็นดีกัน
ทำเองก็เก็บเองสิ เจ้าจันทร์อยากจะย้อนอีกฝ่ายไปแบบนั้น แต่กลับไม่สามารถเอ่ยประโยคใดๆ ได้นอกจากหันซ้ายหันขวามองหาไม้กวาดและที่ตักขยะ ขณะกำลังจะเดินไปหยิบเสียงทุ้มก็ดังแทรกขึ้น

“มือเปล่า”

“หะ?” เจ้าจันทร์เผลอย้อนถามอีกฝ่ายเสียงสูงด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

“มึงนี่โง่จริง” อีกฝ่ายเหน็บ “คำสั่งแค่นี้มึงไม่เข้าใจหรอ” นัยน์ตาสีอำพันประหนึ่งหมาป่าหันกลับมามองด้วยความดูถูก “กูบอกให้มึงใช้มือเปล่าเก็บพวกมัน” หางตาเหลือบสะบัดไปยังเศษแก้วพร้อมกับมุมปากกระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ ที่ได้เห็นคนที่พยายามหลบหน้ามาตลอดทั้งวันหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ครับ” เจ้าจันทร์ถอนหายใจอย่างสะกดกั้นอารมณ์ พยายามปลุกปลอบตัวเองในใจ เดินเข้าไปนั่งยองๆ ยื่นฝ่ามือที่มีแผลพุพอง จากการตรากตรำทำงานหนักตลอดเวลาช่วงเวลาที่ต้องอยู่บนเกาะแห่งนี้ออกไปรับเศษแก้วที่ค่อยๆ วางลงทีละชิ้น

เพล้ง!

ยังเก็บไม่ทันเสร็จ อีกขวดก็ลอยมาตกตรงหน้าแตกกระจายจนเจ้าจันทร์แทบยกมือขึ้นบังหน้าเอาไว้ไม่ทัน ไม่ใช่กลัวว่าจะโดนหน้า แต่กลัวมันกระเด็นเข้าตาแบบนั้นมันคงแย่มากสำหรับเจ้าจันทร์ อยากจะโวยวายด้วยอารมณ์ที่เริ่มไม่คงที่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ทำได้เพียงหายใจเข้าออกรุนแรงระบายความเครียดขมึงในสมองเท่านั้น

ขณะพยายามระงับอารมณ์ไปพลางเก็บเศษขวดไป ก็ต้องชะงักกึกกับช่วงขายาวที่ก้าวฉับๆ มาหยุดตรงหน้า เจ้าจันทร์ชะงักนิ่งก่อนจะก้มหน้าเก็บต่อ ไม่สนใจอีกฝ่ายที่คงจะมาเรื่องตนอีกแน่

“ชักช้า” เสียงตวาดลั่น ยิ่งนเรศเห็นว่าอีกคนไม่สะดุ้งสะเทือน เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บไม่สนใจเขา อารมณ์ยิ่งคุกรุ่น “กูบอกว่าชักช้า” จบประโยคก็ใช้เท้าเตะฝ่ามือซึ่งมีเศษขวดที่เก็บขึ้นมาในอุ้งมือเต็มแรง จนเจ้าจันทร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องทรมานของอีกฝ่ายประหนึ่งน้ำที่ชโลมความแค้นในอกให้จางหาย จึงต้องยกเท้าเหยียบฝ่ามือเล็กมีบาดแผลเลือดไหลจากการโดนเศษขวดบาดนั้นซ้ำเติมแล้วบดขยี้

“โอ๊ย! คุณผมเจ็บ” เสียงเล็กร้องดั่งลั่นทรมานเจ็บปวดเหลือแสน พยายามใช้มืออีกข้างดันฝ่าเท้าอีกฝ่ายออกไป น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตาโศก ก่อนจะหยดแหมะแล้วทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก

“เจ็บแค่นี้มันยังไม่เท่าน้องสาวกูเจ็บหรอก อย่ามาทำสำออย” ยกเท้าออกจากฝ่ามือเล็กแล้วก็กระชากอีกฝ่ายขึ้นมาแทน ยิ่งคิดถึงความผิดคนตรงหน้าไฟแค้นในใจนเรศก็ยิ่งโหมกระพือขึ้น

เสียงกัดฟันกรอดพร้อมกับแรงบีบต้นแขนจนแทบแหลกคามือ เจ้าจันทร์ก้มหน้าหลบดวงตาวาวโรจน์คลั่งแค้นอีกฝ่ายอย่างขาดเขลา แม้ว่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ดูเหมือนว่าทั้งสรีระและพละกำลัง เจ้าจันทร์ไม่อาจจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน หยดเลือดจากฝ่ามือเล็กเริ่มหยดลงบนพื้นเป็นดวงๆ แต่มีหรือที่เขาจะเหลือบมอง

“ร้องไห้ เฮอะ” นเรศขึ้นเสียงสูงใช้ดวงตาคมกริบจ้องมองใบหน้าหวาน “กูจะทำให้มึงร้องไห้ทรมานกว่านี้อีก” จบประโยคก็ใช้แรงทั้งหมดผลักคนตัวเล็กกว่าล้มลงก้นกระแทก “อ้อ กูว่านะบนลงโทษของมึงคงสบายไปหน่อย วันนี้กูเลยคิดได้ว่าจะลงโทษมึงยังไง แต่ว่าถ้าไม่กินเหล้ากูก็คงทำใจทำกับมึงไม่ได้...”

พอได้ฟังและเห็นท่าทีราวกับมัจจุราชของอีกฝ่าย ร่างกายเจ้าจันทร์ก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้ามได้ ดวงตาโศกเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ ใช้ฝ่ามือที่มีเลือดแดงเถือกยันกายลุกขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่าภาพที่เห็นคล้ายภาพในภาพยนตร์โรคจิตชายหนุ่มพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วยื่นมือจับข้อเท้าทั้งสองข้างแล้วลากเจ้าจันทร์ไปเผชิญหน้า

“มึงทำน้องกูให้ท้องยังไงกูน่าจะทำกับมึงบ้าง...เพราะกูจะทำลายมึงให้ย่อยยับจะได้ไม่กล้าใช้ความชั่วช้าของมึง ไปทำกับผู้หญิงคนอื่นอีก” ริมฝากหยักได้รูปยื่นเข้ามากระซิบข้างหูก่อนดวงตาโศกจะเบิกโพลง ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไม่นะคุณจะไม่ทำกับผมแบบนี้” เจ้าจันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อร่างกายใหญ่โตกำยำของอีกฝ่ายคร่อมทับลงมา “ผมไม่เคยมีอะไรกับพี่ชล  ผมไม่เคย!” เสียงร้องโหยหวนดังลั่นเมื่อเสื้อถูกฉีกออกเผยผิวกายขาวเนียน ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยฟกช้ำกระจายตามร่าง

“ไม่เคยแล้วน้องกูท้องกับหมาที่ไหน ไอ้ตอแหล” ผรุสวาทด้วยโทสะจนต้องฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอีกฝ่าย ก่อนก้มลงกัดตามซอกคอขาวและไหล่เล็กที่ห่อเข้าหากัน

“ไม่! ปล่อยนะ” เจ้าจันทร์ใช้กำปั้นทุบตีนเรศพร้อมทั้งดิ้นรนขัดขืน สะบัดฝ่าเท้าพยายามถีบยันเขาออกจากกายแต่ไม่สำเร็จ “อั๊ก” หมัดหลุนๆ ชกเข้าเต็มท้องจุกจนตัวงอ เจ้าจันทร์มีสีหน้าบิดเบี้ยวกับความจุกร้องไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ ได้แต่ปล่อยให้นเรศล่วงเกินร่างกายอันชอกช้ำของตน

ริมฝีปากเล็กถูกกัดแน่นข่มความเจ็บปวดแทบจะทำให้ร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ ยามเมื่อความแข็งแกร่งขนาดใหญ่รุกล้ำเข้ามาในร่างอย่างไร้ซึ่งความปราณี

กายแกร่งเริ่มขยับโดยไม่สนเสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนก้องทั้งบ้าน นเรศกระแทกแก่นกายเข้าไปจนสุดแล้วถอยออกมาดันเข้าไปใหม่ ช่องทางคับแน่นคล้ายฉีกขาดมีเลือดไหลซึมออกมา แต่มีหรือที่เขาจะเห็นใจ ไม่มีทาง! ในเมื่อการกระทำของอีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากข่มขืนน้องสาวของเขา ยิ่งภาพใบหน้าหม่นหมองของน้องสาวลอยเข้ามาในหัว นเรศยิ่งใช้เอวสอบกระแทกไม่ยั้งแรง

เป็นเจ้าจันทร์เสียเองที่ต้องผ่อนคลายร่างกาย เพื่อให้เขาสามารถเสพสมได้อย่างต้องการ โดยที่ตัวเองจะไม่เจ็บไปมากกว่านี้
“อ้า” ปากเล็กอ้ากว้างร้องทรมานน้ำตาไหลออกจากหางตาราวกับทำนบแตก

ความแน่นรัดตรึงแก่นกายทำให้รู้สึกหฤหรรษ์ ยิ่งทำให้ร่างกายล่ำสันสูงใหญ่ยัดลงมาอย่างหนักหน่วง ด้วยความหิวกระหาย เสียงครางกระเส่าดังอยู่ข้างหู ริมฝีปากหยักได้รูปขบเม้มตามซอกคอแนบร่างกดแก่นกายจนมิด นาทีต่อมายิ่งรุนแรงเมื่อใกล้ถึงฝั่งฝัน หน้าท้องแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเกร็งแน่นจนเห็นกล้ามท้องเรียงกัน ก่อนจะกระตุกปลดปล่อยให้น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมาปะปนกับคราบเลือด

“ไม่ต่างจากโสเภณี” นเรศหัวเราะอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจกับภาพตรงหน้า ใบหน้าหวานเอียงไปข้างหนึ่งแสดงความเจ็บปวด ร่างกายชอกช้ำมีรอยกัดกระจายไปทั่ว นอนหอบหายใจฟังดูอ่อนล้าอย่างคนหมดแรง “แต่แค่รอบเดียวคงไม่พอหรอก เพราะกูชักจะติดใจมึงแล้วสิ” จบประโยคก็แบกอีกฝ่ายขึ้นบนไหล่แกร่งก้าวฉับๆ ตรงไปยังห้องนอน

ร่างเล็กถูกโยนคว่ำลงบนที่นอนหนานุ่มก่อนจะตามด้วยนเรศขึ้นมาคร่อมทับ จับบั้นท้ายเล็กให้ลอยเด่นขึ้นแล้วกดแก่นกายเข้าจนมิด เสียงเล็กร้องครวญครางดังลั่นเจ็บปวด แต่เขาไม่สนใจขยับเข้าออกรุนแรงอย่างไร้ความปราณี เจ้าจันทร์คล้ายว่าตนกำลังฝันร้าย มีพญามัจจุราชกำลังลงทัณฑ์เจ็บปวดทรมานแทบกระอักเลือด


****************************************
อ่านแล้วชอบอย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เจี๊ยะบ่จ่ายด้วยนะคะ เจอกันพรุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 4 เลือดตกยางออก
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 22-03-2018 19:50:36
สายโหด
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-03-2018 23:19:00
โหดจัง แต่เดี๋ยวก้แพ้ทางเจ้าจันทร์
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-03-2018 00:14:45
เลวเกิน ถ้าจันทร์หนีออกไปได้จะให้จันทร์หนีไปไกลๆเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2018 01:31:19
เก็บความแค้นไว้ทุกเม็ด ถึงทีจันทร์เมื่อไหร่ ทุกอย่างคูณ 10 จำไว้  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 5 ที่นี่คือนรก...
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2018 02:16:15
ทำเลวขนาดนี้ไว้ แล้วจะให้เจ้าจันทร์ใจอ่อนมารักง่ายๆ บอกตรงๆว่าเราคง?ำำำำำใจอ่านต่อไม่ได้ คนโดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจคงไม่หลงรักอาชญากรง่ายๆหรอกนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง ไม่มีทางหนีพ้น
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 23-03-2018 21:09:06
บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง...ไม่มีทางหนีพ้น

เสียงคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งยามกลางดึก พัดมาพร้อมกับสายลมผ่านหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้จนผ้าม่านโบกสะบัดพลิ้วไหว ดวงตาโศกเปิดปรือขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวรุนแรง ความรู้สึกหนักอึ้งมาพร้อมกับร่างกายรุ่มร้อนราวกับกำลังโดนไฟแผดเผา ภาพทุกอย่างเมื่อตอนหัวค่ำแล่นเข้ามาในห้วงความทรงจำ มือเล็กกำหมัดแน่นน้ำตากลิ้งหล่นจากดวงตาไร้ซึ่งสุ่มเสียงใดๆ หลุดออกมา

เนิ่นนานกว่าจะสามารถเรียกสติกลับมาได้ เจ้าจันทร์รู้แล้วว่าตนเองไม่อาจทนให้เขากดขี่ข่มเหงได้อีกต่อไป มีแต่จะต้องหนีเท่านั้นเจ้าจันทร์จึงจะยังรู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่...ยังคงเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิ์เสรี คิดได้ดังนั้นก็ค่อยๆ หยันกายที่เจ็บปวดรวดร้าวขึ้น ยกท่อนแขนหนาที่พาดบนเอวออกไป คลานลงจากเตียงยืนขึ้นด้วยขาสั่นระริก รู้สึกถึงของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากช่องทางที่เจ็บแสบ

เจ้าจันทร์เบ้หน้ารู้แล้วว่าสิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้ปวดท้องก่อนจะเดินกะเพลกๆ เข้าไปเปิดตู้รื้อค้นหาเสื้อผ้าที่พอจะหยิบใส่ลวกๆ ได้ มือเรียวจับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวมาใส่อย่างเร่งรีบ

“อือ” เจ้าจันทร์สะดุ้งสุดตัวค่อยๆ เหลือบหางตาไปมองบนเตียงก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขายังหลับอยู่ รีบติดกระดุมเม็ดสุดท้ายก่อนตัดสินใจวิ่งกะเพลกๆ ออกจากห้องไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีก หากมัวแต่ชักช้าคงไม่ทันได้หนีเขาต้องตามมาทันแน่ๆ แค่เสื้อเชิ้ตที่ยาวจนมาถึงต้นขาแค่นี้ก็เพียงพอให้กันอับอายได้

เมื่อหนีออกมาจากบ้านที่เปรียบเสมือนนรกสำหรับตนได้แล้ว เจ้าจันทร์ก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือ แต่ดูเหมือนจะไม่มีเรือสักลำจึงเบี่ยงหน้ากลับเข้าไปในป่าแทน อย่างน้อยก็ขอให้พอมีที่ซ่อนตัวก่อนจะหาทางหนีออกจากที่นี่ได้ เสียงวิ่งกระหืดกระหอบดังสนั่นไปทั่วทั้งป่าที่เงียบสงบก่อนจะมีเสียงร้องครวญด้วยความเจ็บเมื่อสะดุดเข้ากับบางสิ่งจนลื่นไถลศีรษะกระแทกเข้ากับโคนต้นไม้เต็มแรง ร่างเล็กพลันแน่นิ่งในบันดล

“ไอ้ภาส...ไอ้ภาส!” เสียงร้องของนเรศดังลั่นมาจากบนบ้าน วิ่งออกมาด้วยสีหน้าโกรธกริ้วหน้าระเบียงพลางตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิท

“ครับนาย” โอภาสที่ได้เวลาเริ่มงานกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่รีบวางสายยางวิ่งไปเงยหน้ารอรับคำสั่งเจ้านาย

“ไอ้เด็กนั่นมันไปไหน” เขาตวาดเสียงดังลั่นคล้ายมีไฟสุมในอก หลังจากตื่นขึ้นมาก็ไม่พบอีกคนที่เขาย่ำยีจนมีแต่คราบเลือดเป็นด่างดวงบนที่นอน

“เจ้าจันทร์หรือครับ”

“เออ” เขากระแทกเสียงจู่ๆ ก็หงุดหงิดแทนที่เจ้าลูกน้องคนสนิทเรียกขานอีกฝ่ายอย่างสนิทชิดเชื้อ

“ไม่ใช่อยู่กับนายหรือครับ?” โอภาสงุนงงเมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าจันทร์ถูกนเรศเรียกตัวไปพบแล้วไม่กลับมาอีกเลย พอเช้ามาเจ้านายหนุ่มกลับมาเรียกตะโกนถามหาเจ้าจันทร์เสียอย่างนั้น มันน่างุนงงแท้

“ให้คนออกตามหามัน ถ้าเจอให้ลากมันกลับมา” นเรศตวาดกร้าวออกคำสั่งก่อนจะรีบเดินกลับเข้าห้องคว้าเสื้อมาใส่อย่างลวกๆ แล้วเร่งออกตามหาอีกฝ่าย ในเวลาต่อมาลูกน้องหลายคนวิ่งเข้ามารายงานต่างมีคำตอบที่ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง “พวกมึงมันไม่ได้เรื่อง” ลูกน้องต่างสะดุ้งเมื่อรู้ดีว่ายามเขาโกรธน่าเกรงกลัวแค่ไหน

“นายครับ”

“อะไร!”

“เหมือนจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่าครับ” จบประโยคเขาก็สั่งคนกระจายเข้าไปตามหาในป่าทันที

เสียงหวีดหวิวใบไม้เสียดสีกันพร้อมกับลมพัดกรรโชกท้องฟ้าตั้งเค้ามืดครึ้มราวกับกำลังมีพายุเข้า เจ้าจันทร์ร้องครางฮือรู้สึกร้าวระบมทั้งตัวก่อนจะค่อยลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นจับศีรษะบนรอยปูดบวมที่เพิ่มความปวดแปลบให้กับอาการร้อนรุ่มทั่วร่าง คงจะจับไข้อีกแล้ว...

ดวงตาโศกช้อนมองท้องฟ้าที่เริ่มแสดงความวิปริต สายฟ้าแลบแปลบปลาบมาพร้อมกับลมพายุบ้าคลั่ง ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เจ้าจันทร์ได้แต่ขดกายแทบฝั่งเข้ากับต้นไม้สายตาหันมองซ้ายขวาไม่รู้จะเริ่มต้นไปทางไหนดี ในเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้

“พ่อ แม่ ฮือๆ ช่วยเจ้าด้วย...ฮือๆ” เมื่อยามอ่อนแอที่สุดจึงได้แต่ร่ำเรียกหาบิดามารดาที่เฝ้าคิดถึงไม่ต่างจากเด็กทารก น้ำตาเม็ดใสกลิ้งหล่นจากดวงตาโศกพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง...ไม่มีทางเลยที่เจ้าจันทร์จะสามารถหนีได้เพราะที่นี้คือนรกสถานที่ของพญามารตนนั้น

“คุณเจ้าจันทร์” เสียงเรียกชื่อทำให้ร่างที่กำลังร้องไห้สะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองสำรวจไปรอบกาย เมื่อมั่นใจแล้วว่าตนไม่ได้หูฟาดกับเสียงเรียกอีกเสียงทำให้รีบหยันกายลุกขึ้น ไม่คิดสิ่งใดอีกออกก้าววิ่งทันทีด้วยความเร็วเท่าที่ร่างกายอันชอกช้ำสามารถทำได้

“ไม่! จะยอมให้เจอตัวไม่ได้ แฮกๆ” เจ้าจันทร์พึมพำกับตัวเองขณะออกตัววิ่ง “โอ๊ย!” ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตระหนกร่างกายสะดุดด้วยความซวยกลิ้งหลุนๆ ลงจากเนิน แต่คราวนี้ไม่รีรอสำรวจความบาดแผลที่เพิ่มขึ้นรีบลุกวิ่งหนีทันที

“เจ้าจันทร์ครับ”

นั่นมันเสียงโอภาส! เจ้าจันทร์ชะงักกายครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็เป็นลูกน้องของเขาต่อให้ใจดีด้วยถึงเวลาก็ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายอยู่ดี กายที่ชะงักหยุดจึงเริ่มสืบเท้าไปต่อข้างหน้า

ตุ้บ

กายเล็กซวนเซถอยหลังกลับมาก่อนจะล้มลงความรู้สึกคล้ายว่าวิ่งชนต้นไม้แน่แล้ว ในใจได้แต่ก่นด่าตัวเองมัวแต่วิ่งไม่มองทางถึงได้ชนต้นไม้เข้าให้ ซวยบัดซบแค่จะหนีจากเขาคนนั้นทำไมถึงได้ยากเย็นนัก

“หึ” เสียงทุ้มหัวเราะน่าขนลุกทำให้เจ้าจันทร์หน้าซีดเผือดค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยความหวาดหวั่น ในใจร่ำร้องตะโกนบอกปลอบใจตนเองว่าไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่เขาแน่ “เล่นวิ่งไล่จับพอหรือยัง แต่ยังไงก็ต้องพอเพราะกูเหนื่อยแล้ว” น้ำเสียงเย้ยยันคุ้นหูเหน็บ ก่อนฝ่ามือแกร่งจะยื่นเข้ามากำรอบต้นแขนกระชากขึ้นไปเผชิญหน้าให้ขวัญหนีดีฝ่อ

“คะ..คุณ” เจ้าจันทร์รู้สึกมีก้อนบางอย่างมาจุกไว้ที่ลำคอเสียงที่เปล่งออกมาจึงดูดฝืดเคืองนัก ยิ่งเมื่อสบนัยน์ตาวาวโรจน์ของอีกฝ่ายยิ่งตระหนกหวาดกลัว

“ไม่คิดว่าจะยังมีแรงมาวิ่งเล่นได้...หรือว่ากูกระแทกไม่แรงพอ”

เพียะ!

คำถามหยาบคายเรียกฝ่ามือเล็กฟาดลงบนใบหน้า แต่นเรศกลับไม่สะทกสะท้านต่อแรงตบอ่อนแรงนั้น กลับยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนโกรธหน้าแดงก่ำ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้มากกว่านี้

“กูว่ากูต้องกระแทกมึงอีกถึงจะไม่กล้าหนีมาแบบนี้ เอาให้นอนหมดแรงเลยแล้วกันคราวนี้” ท้ายประโยคก้มลงกระซิบข้างหูเจ้าจันทร์แล้วดันร่างเล็กชิดกับต้นไม้บดขยี้รีมฝีปากช้ำดูดกลืนเสียงที่กำลังเปล่งออกมา รสจูบรุนแรงเต็มไปด้วยโทสะสร้างความหวาดกลัวจนได้แต่พยายามผลักอีกฝ่ายอย่างขลาดเขลา

“ปล่อยนะ! ไม่!” เจ้าจันทร์หันหน้าหนีดันอีกฝ่ายออกก่อนจะร้องลั่นด้วยความเจ็บกับฟันคมกัดลงเต็มแรงเหนือบ่า เขาแทบไม่เสียเวลาปลดกระดุมใช้แรงกระชากเสื้อขาดออกอย่างไม่ปราณี ใช้ฝ่ามือหนาหยาบกร้านลูบไล้ร่างกายขาวเนียนลื่นนุ่มมือที่ชักเริ่มจะติดใจ “ปล่อยผมไปเถอะนะ...ขอร้อง” เงยหน้าขึ้นสบมองอีกฝ่ายที่จับจ้องมองมาด้วยสายตาอ้อนวอนร้องขออย่างอับจนหนทาง

“กูปล่อยมึงแน่...” เจ้าจันทร์แย้มรอยยิ้มยินดีเมื่อได้ฟังคำตอบอีกฝ่าย ก่อนดวงหน้าจะซีดเผือดกับประโยคถัดมา “หลังจากที่กูย่ำยีทำลายมึงจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ!”

“ปล่อยนะ!” เจ้าจันทร์ตะโกนลั่นจนเสียงแหบแห้งพร้อมอาการเจ็บลำคอเหลือประมาณ แต่ไม่อาจทำให้หลุดพ้นการลงทัณฑ์จากมัจจุราชตนนี้ได้เลย

ร่างเล็กพยายามดิ้นรนขัดขืนกระเสือกกระสนหนีจากอุ้งมือที่สัมผัสกายเนียนอย่างโหดร้ายทารุณ นเรศกดอีกฝ่ายควบคุมให้อยู่เพียงใต้อาณัติของเขา ใบหน้าซุกไซร้สูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ตามซอกคอขาวเนียน ใช้ฟันคมขบเม้มสร้างรอยกระจายตามแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นให้ลุกโหมกระพือ ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้ผิวเนียนลื่นมือจุดฉนวนอารมณ์ของอีกฝ่ายอย่างชำนาญ

แรงขัดขืนอ่อนแรงลงทุกทีพร้อมแผ่นอกเล็กของเจ้าจันทร์กระเพื่อมขึ้นลงตามอาการหอบหายใจ กายเล็กสะดุ้งทันใดเมื่อความสากจากฝ่ามือใหญ่บีบเค้นบั้นท้ายเปลือยเปล่า

“ช่วยด้วย!” เจ้าจันทร์ร้องตะโกนด้วยความหวาดผวาดวงหน้าพลันซีดเผือดแทบกลายเป็นสีกระดาษขาว ภาพความทรงจำที่ถูกกระทำรุนแรงก่อนหน้าวิ่งเข้ามาในหัวทำให้ร่างกายยิ่งสั่นเทาหวาดกลัว “อย่าทำแบบนี้...ฮือๆ” น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นจากดวงตาโศกเมื่อฝ่ามือหนากอบกุมส่วนอ่อนไหวแล้วรูดรั้งชักนำอารมณ์ความปรารถนา “....อ้า” เพียงไม่นานใบหน้าเล็กก็แหงนขึ้นท้องฟ้าเปล่งเสียงร้องพร้อมทั้งปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกจากแก่นกายเล็กสีสวย

“ปากร้องปฏิเสธแต่ร่างกายกลับ...ร่าน” ยิ่งนเรศพ่นคำด่าหยาบคายใบหน้าหวานของเจ้าจันทร์ยิ่งบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ทั้งต้องการและเกลียดชังต่อร่างกายที่ทรยศของตัวเอง

“ไม่ใช่...ทุกอย่างเป็นเพราะคุณ...ฮือๆ เพราะคุณมันเลว!” เจ้าจันทร์ตะโกนร้องสุดเสียง ส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาของเขาอย่างบ้าคลั่ง สองกำปั้นรัวทุบลงบนอกหนาราวกับกำลังพยายามระบายความเจ็บปวดที่ได้รับกับแรงทุบตีชายหนุ่มที่น้อยนิด

“เออ กูมันเลว” เสียงเขากัดฟันกรอดยอมรับทั้งอารมณ์เต็มไปด้วยโทสะ “แต่กูยังเลวน้อยกว่ามึง” จบคำก็ใช้นิ้วรุกล้ำเข้าไปในช่องทางที่จับจีบเรียงตัวกันด้วยสีหวาน หากแต่ยามนี้มันกลายเป็นสีช้ำมีคราบเลือดติดด้วยการกระทำอันรุนแรงก่อนหน้าของเขา แต่นเรศยังคงดื้อดึงเบิกช่องทางอย่างลวกๆ ไม่สนใจเสียงร้องไห้เจ็บปวดเพียงเพื่อให้สามารถยัดเยียดความอลังการของบุรุษเพศของเขาให้อีกฝ่าย

“อ้า!!!...”

“อืม ดีกว่าผู้หญิงเพราะมึงยังฟิต” นเรศครางกระหึ่มอย่างพึงพอใจหลังจากนำแก่นกายขนาดยักษ์ของเขาแทรกเข้าช่องทางบอบช้ำจนมิด ไม่สนใจเสียงกรีดร้องเจ็บปวดที่ร่ำร้องนเรศขยับกายเข้าออกอย่างบ้าคลั่งตามแรงอารมณ์ความปรารถนาราวพายุอันเกรี้ยวกราด

ร่างกายเล็กสั่นคลอนไถลขึ้นลงตามแรงโถมกายเต็มแรงของอีกฝ่าย แขนเรียวราวหญิงสาวตวัดโอบรอบลำคอหนานิ้วทั้งสิบกางออกจิกลงบนแผ่นหลังเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ได้รับ ราวกับไม่อยากยอมพ่ายแพ้หมดรูปแต่เพียงผู้เดียว เจ้าจันทร์เจ็บคนผู้นี้เองก็ต้องเจ็บ

“อ่ะ...” เสียงครางหวานหูหลุดรอดออกมาอย่างไร้เดียงสา พลันมือทั้งสองข้างถูกปล่อยออกจากแผ่นหลังแกร่งยกขึ้นปิดปากหยุดเสียงร้องอันน่าอาย

แต่มีหรือนเรศจะยอมในเมื่อเขาค่อนข้างพึงพอใจกับเสียงครางเร้าอารมณ์ที่อีกฝ่ายเปล่งให้ได้ยิน มันฟังดูไร้เดียงสากระตุ้นสัญชาติญาณพยัคฆ์ร้ายในตัวให้ตื่นขึ้นมาลิ้มรสแสนอร่อยของเหยื่อตัวน้อย ร้อยยิ้มถูกยกขึ้นเมื่อคิดว่าเขาได้ครอบครองร่างกายอันหอมหวานนี้จึงยิ่งส่งแรงถาโถมอย่างบ้าคลั่งให้ร่างใต้อาณัติเปล่งเสียงร้องครวญคราง

แรงส่งรุกล้ำถี่กระชันขึ้นเรื่อยๆ เพื่อบ่งบอกสัญญาณบางอย่างก่อนร่างกายใหญ่โตของนเรศจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยสายธารสีขาวขุ่นฉีดเข้าใส่ช่องทางบอบช้ำ นเรศสูดหายใจลากยาวเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจ สายตาที่ไม่อาจบ่งบอกสิ่งใดมองดูใบหน้าหวานแดงก่ำมีเหงื่อพุดพรายที่หอบหายใจไม่แพ้กัน

พลันนเรศต้องชะงักกับความงามอันเย้ายวนจนต้องเผลอเสสายตาหลบ ทำไมเขาต้องเห็นว่าคนตรงหน้านั้นงดงาม ไม่...เขาไม่มีวันมอบความอ่อนโยนให้คนที่ทำร้ายน้องสาวของเขาแน่นอน นเรศกัดฟันกรอดก้มลงบดจูบพร้อมทั้งโถมกายขยับเข้าออกอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ว่าร่างกายตอนนี้จะชุ่มโชกด้วยเหงื่อกาฬจากการขยับเข้าออกเต็มแรง

“ไม่ไหวแล้ว อ่ะ...พะ..พอเถอะ” เจ้าจันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมทั้งใช้ปลายฝ่ามือดันหน้าท้องแกร่งเมื่อไม่สามารถรับแรงอารมณ์อันโหดร้ายของเขาได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดที่ได้รับราวกับต้องการฉีกร่างกายนี้ให้เป็นเสี่ยงๆ จู่ๆ ร่างกายก็เกิดอาการชาดิกแลนกระจายทั่วร่าง ภาพใบหน้าของเจ้าคนป่าเถื่อนที่ขยับเข้าออกด้านบนพร่าเลือน

วิ้ง....

เสียงบางอย่างวิ่งเข้ามาในโสตประสาทก่อนภาพทุกอย่างจะดับวูบพร้อมกับสติถูกกระชากให้หลุดลอยไป

“เฮ้ย!...” นเรศยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ เมื่อเห็นว่าร่างเล็กนั้นจู่ๆ ก็แน่นิ่งไป “เฮ้ย มึงยังไม่ตายใช่ไหม” หัวใจที่เคยนิ่งสงบพลันเกิดคลื่นกระเพื่อมไหว เขาเขย่าร่างเล็กนั้นเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายอีกหลายครั้งแต่ยังคงไร้วี่แววปฏิกิริยาตอบรับ

ครืดดดด...

พายุที่บ้าคลั่งวิปริตราวกับต้องการกลั่นแกล้งผู้คนเทกระหน่ำลงสู่พื้นราวกับฟ้ารั่ว สาดเทลงให้ทุกที่ชุ่มช่ำเจิ่งนองด้วยแอ่งน้ำ นเรศหันมองซ้ายขวาด้วยอาการลังเลก่อนจะช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นพาดบ่ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซุกซ่อนภายในป่า เพียงเร่งฝีเท้าไม่นานปากทางเข้าที่ถูกสร้างจากธรรมชาติก็ปรากฏให้เห็น มันคือถ้ำขนาดเล็กที่พอมีพื้นที่ให้หลบฝนฟ้าได้

นเรศยกร่างเล็กออกจากบ่าวางลงบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน ในตอนแรกเขาก็จะทำแค่เพียงทิ้งอีกฝ่ายไว้อย่างไม่ใส่ใจก็ได้ แต่แล้วเขากลับถอดเสื้อของตัวเองอวดผิวสีแทนที่เต็มไปด้วยมันกล้ามปูรองบนพื้นก่อนหันไปช้อนร่างกายเล็กมาวางไว้พร้อมทั้งจัดท่านอนให้อีกฝ่ายสบายตัวขึ้น ในใจเฝ้าบอกตัวเอง มันทำให้เขาพอใจเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะถนอมนักโทษเอาไว้ทรมานเล่น

ร่างเล็กเปล่าเปลือยไร้สิ่งใดปกปิดเผยผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยร่องรอยทารุณจากเขา เมื่อได้สังเกตอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ครั้งแรกพลันหัวใจเขาคล้ายมีมือปริศนายื่นเข้ามาบีบ แต่ยังคงมีสียงเล็กๆ ในใจที่ตะโกนค้านว่าสิ่งเหล่านี้สมควรแล้วที่อีกฝ่ายจะต้องได้รับ ดังนั้นเขาจึงรีบเบนสายตาออกไปมองด้านนอกแทน

สายฝนด้านนอกยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ นเรศทำได้เพียงยกเข่าชันขึ้นข้างหนึ่งนั่งเหม่อมองสายฝนแล้วจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดมากมายที่เริ่มตีกันยุ่งเหยิง



******************************
เกือบลืมมาอัพนิยายแน่ะ อ่านมังงะเพลินไปนิด เงยหน้าขึ้นมาอีกที อะอ้าวสามทุ่มแล้วหรอ รีบแวบมาแบบด่วนๆ เลย :katai4:
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้น ออเจ้าทั้งหลายอย่าลืมเม้มเป็นกำลังใจให้เจี๊ยะเยอะๆ กันด้วยนะจ๊ะ เจอกันพรุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง ไม่มีทางหนีพ้น
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-03-2018 21:39:45
อยากจะด่าความเลวและความสะเพร่าของนเรศว่าทำไมไม่ตรวจเช็คให้ดีก่อนว่าใครเป็นพ่อของเด็ก สงสารก็แต่เจ้าจันทร์ที่ต้องมาทนรับความแค้น ความสะใจของคนเลวๆ อยากให้คนพาเจ้าจันทร์หนีไปไกลๆจากนเรศซะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง ไม่มีทางหนีพ้น
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-03-2018 04:42:07
ถ้าจันทร์เป็นอะไรไป นายตายยยยยยยยยยยยยย  :o211:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง ไม่มีทางหนีพ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2018 08:53:02
 หึๆ เดี๋ยวก็ต้องมาตามง้อเจ้าจันทร์เชื่อสิ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 6 มือมัจจุราชคู่นั้นไม่มีทาง ไม่มีทางหนีพ้น
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 25-03-2018 18:23:58
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 25-03-2018 20:27:39
บทที่ 7 เผชิญหน้า

รถยนต์สีดำเงาวับวิ่งเข้ามาภายในบ้านโมเดิร์นขนาดใหญ่สองชั้นก่อนค่อยๆ จอดสนิทในโรงจอดรถด้านข้าง นเรศเดินเข้าสู่ตัวบ้านไปยังห้องนั่งเล่นด้านหน้ามีสระน้ำสีใสทอแสงระยิบ เขามองดูมารดาและน้องสาวที่กำลังนั่งทำงานอดิเรกกันอยู่เงียบๆ โดยที่มารดาของเขามักจะชำเลืองหางตามองดูลูกสาวสุดรักสุดหวงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังวล

“พี่นเรศ” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ได้มาจากมารดาเงยขึ้นมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพัน ดวงตาของชลธารดูหม่นหมองบีบรัดหัวใจผู้เป็นพี่ชายนักก่อนเธอจะยกรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับเขา

นเรศมองดูรอยยิ้มไม่สดใสร่าเริงนั้นแล้วรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เขายกยิ้มอบอุ่นส่งกลับไปให้ก่อนจะหันไปยกมือไหว้มารดาแล้วตรงดิ่งเข้าสวมกอดหอมแก้มที่เริ่มมีริ้วรอยของวัยเสียฟอดใหญ่

“โผล่มาสักทีนะตานเรศ” ผู้เป็นมารดาฟาดฝ่ามือตีลงบนท่อนแขนแกร่งของลูกชายที่สวมกอดอยู่ข้างเอวอย่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้เจ้าลูกชายตัวดีที่คราวนี้หายหน้าหายตาไปเสียนาน

“โอ๋ คุณแม่อย่างอนไปเลยครับ...พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย” นเรศออดอ้อนมารดาด้วยท่าทางที่ไม่มีใครคาดคิด จนคุณหญิงดาหลายกยิ้มกว้างกับท่าทางของเขา

“ทานอะไรมาบ้างหรือยัง” พอผละจากตัวลูกชายคุณหญิงดาหลาก็ใช้สายตาสำรวจร่างแกร่ง

“รอมาทานฝีมือคุณหญิงดาหลาครับ” นเรศตอบเอาใจมารดาก่อนจะโดนฝ่ามือมีริ้วรอยตามวัยตีดังเพี๊ยะอีกรอบจนต้องแกล้งแสดงสีหน้าบิดเบ้ คุณหญิงดาหลามองดูลูกชายแสดงท่าทางแล้วชวนให้ลงมืออีกสักรอบนักเชียว นเรศมองเห็นวงตาวิบวับของมารดาแล้วก็รีบกระโจนหลบให้ห่างทันที

คุณหญิงดาหลาหรี่นัยน์ตาจ้องลูกชายอย่างจับผิด พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “ปากหวานแบบนี้ไปทำความผิดอะไรมา”

นเรศสะดุ้งแอบขนลุกซู่อย่างคนมีชนักติดหลัง แต่เมื่อมีเสียงฝ่ายอธรรมคอยกระซิบว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิด ริมฝีปากหยักได้รูปก็เผยรอยยิ้มกว้าง ขยับเข้าใกล้มารดาอีกนิด ยื่นฝ่ามือเข้าไปบีบนวดให้คุณหญิงดาหลาอย่างเอาใจซะหน่อย ปากก็เอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน

“ช่วงนี้เป็นไงบ้างชล อาการแพ้ท้องลดน้อยลงหรือยัง” เอ่ยจบก็ผละจากคุณหญิงขยับเข้าใกล้ชลธาร ฝ่ามือหยาบกร้านแตะลงบนท้องนูนเล็กน้อย ใบหน้าคมเข้มแสดงออกถึงความตื่นเต้นแกมประหม่า ประหนึ่งว่าสายใยในท้องที่กำลังถักทอราวกับลูกตัวเอง

ชลธารมองดูใบหน้าอมยิ้มของพี่ชายแล้วได้แต่เสสายตาหลบ ความผิดสายหนึ่งตีตื้นเข้าใส่ ในใจเฝ้าตะโกนร้องอยากขอความเป็นธรรมกับพี่ชาย แต่ชลธารกลับทำได้เพียงเม้มปากเก็บความข่มขื่นไว้ในใจ ก่อนเอ่ยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูสดใส “ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กใจดีลดอาการแพ้ท้องให้ชลค่ะ” รอยยิ้มกว้างถูกยกขึ้นมา

คุณหญิงดาหลาที่เฝ้ามองดูอยู่ เห็นสีหน้าบุตรสาวครุ่นคิดเม้มริมฝีปากคล้ายต้องการบอกบางอย่าง แต่สุดท้ายก้มหน้างุดด้วยความซึมเศร้า หัวใจของคุณหญิงพลันรู้สึกเจ็บหนึบ ปวดร้าวแทบสลายลงตรงนี้ หากว่าลูกเจ็บแล้วคนเป็นแม่กลับเจ็บยิ่งกว่า ถึงแม้เจ็บเจียนตายคุณหญิงดาหลาก็ไม่แสดงความอ่อนแอ ยืนยัดตั้งมั่นแสดงความเข้มแข็งให้ลูกได้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

ดวงตาคลอน้ำสีใสจนต้องแอบหันหน้าหลบซับน้ำตา คุณหญิงดาหลาสูดหายใจก่อนหันกลับมาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนี้เห็นเจ้าลูกชายตัวยักษ์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ว่าอยากทานฝีมือคุณหญิงดาหลา แบบนี้แล้วคุณหญิงดาหลาคงปฏิเสธไม่ได้” ประโยคต่อมาเรียกเสียงหัวเราะคิกจากลูกสาว แต่ลูกชายกับเบ้หน้าเมื่อถูกเรียกเป็นหมียักษ์ “ดูแลน้องล่ะตานเรศ เดี๋ยวแม่ไปเข้าครัวทำอาหารให้ลูกหมียักษ์กับนางฟ้าสุดสวยก่อน” จบประโยคคุณหญิงดาหลาก็ได้ยินเสียงโวยวายจากเจ้าลูกชายตัวดีที่คราวนี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งจริงๆ

อาหารตั้งเรียงรายเต็มโต๊ะโดยเฉพาะอาหารที่คนท้องเห็นแล้วน้ำลายสอ ชลธารลืมความซึมเศร้าหยิบช้อนทานอาหารด้วยความหิว ใบหน้าที่เคยหมองเศร้าเริ่มสดใสขึ้นมาบ้าง นเรศมองดูน้องสาวแล้วยกยิ้ม ตักปลากะพงทอดราดกะทิทรงเครื่องที่ชลธารชอบใส่จานให้ แต่ยังไม่ทันเนื้อปลากะพงได้แตะจานทั้งชลธารและคุณหญิงดาหลาต่างพากันตาเหลือก

ชลธารที่พึ่งยัดข้าวใส่ปากคำโตยกมือห้ามแทบไม่ทัน “อื้อๆ” ชลธารส่งเสียงขณะพยายามเคี้ยวข้าวก่อนรีบกลืน “กินไม่ได้ค่ะ กินไม่ได้” เธอโบกมือเป็นพัลวันอีกมือก็บีบจมูกแน่นส่งสายตาเข็ดขยาดจนนเรศหัวคิ้วหมุน

“น้องทานไม่ได้ แพ้น่ะ”

พอได้ฟังมารดาชี้แจงนเรศก็พยักหน้าหงึกๆ หยิบจานปลากะพงทอดราดกะทิทรงเครื่องออกไปอีกฝั่ง ให้ห่างจากชลธาร “แล้วบนนี้กินอะไรไม่ได้บ้าง” ใบหน้าของนเรศเคร่งเครียดพาให้ดูมีอายุเพิ่มอีกมากโข เขากำลังใช้สายตากวาดมองบนโต๊ะสลับกับมองใบหน้าของน้องสาว

“มีแค่อย่างเดี๋ยวเท่านั้นแหละค่ะ” ชลธารบอกขณะเริ่มกลับไปลงมือทานข้าวอีกครั้ง

“แล้วไม่บอกคุณแม่” น้ำเสียงต่อมาฟังดูคล้ายตำหนิกลายๆ

“แม่ก็ห้ามแล้ว แต่เจ้าตัวบอกของโปรดกินไม่ได้ก็ขอแค่ได้ดู” คุณหญิงดาหลาว่าจบก็หัวเราะสายหนึ่งอย่างขบขันแกมเห็นใจลูกสาว

“เรานี่นะเอาแต่ใจนักเชียว” นเรศตำหนิไม่จริงจังนัก มือก็ใช้ช้อนตักจานที่เห็นว่าชลธารตักบ่อยที่สุดไปวางไว้บนจาน ชลธารเงยหน้าจากจานข้าวฉีกยิ้มรับคำตำหนิก่อนจะทานต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“คุณชลคะ มีคนมาขอพบครับ” ลุงแก่นคนงานในบ้านเดินเข้ามาบอกอย่างลังเล

“ใครคะ?”

“เขาบอกว่าชื่อคุณธัญ...”

เคร้ง!

เสียงช้อนหล่นกระแทกจาน ชลธารก้มหน้างุดรีบใช้มือที่กำลังสั่นระริกรวบช้อน

“เพื่อนเราหรือ พี่ไม่เคยรู้จัก” นเรศเอ่ยถามพลางเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของน้องสาว

“ไม่ค่ะ! ชลไม่รู้จัก ลุงแก่นคะไปบอกเขาว่ามาหาผิดคนแล้วค่ะ” น้ำเสียงสั่นพร่าทั้งยังตะโกนอย่างตื่นตระหนก

คิ้วเข้มขมวดมุ่นก่อนลุกจากเก้าอี้ “ลุงแก่นเขาอยู่ตรงไหน” สายตาดุดันของนเรศคาดคั้นจากลุงแก่นทั้งยังก้าวฉับๆ ออกนำไปก่อนปล่อยให้ลุงแก่นวิ่งตาม

ชลธารตื่นตระหนกหันมามองหน้ามารดาที่หรี่นัยน์ตามามอง แม้ไม่ได้ตามไปแต่ชลธารรู้ว่ามารดาสงสัยแต่ก็เลือกที่จะนั่งนิ่ง เมื่อเธอไม่อยากจะบอกคุณหญิงดาหลาจะไม่คาดคั้นแต่จะรอ รอจนกว่าเธอจะพร้อมแล้วยอมเล่าทุกอย่างเอง ชลธารอยากจะร้องไห้ลนลานลุกขึ้นหวังจะวิ่งตามพี่ชายจนคุณหญิงดาหลาเอ็ด

“ชลท้องแล้วระวังให้มาก” คุณหญิงดาหลาเข้าประชิดลูกสาวด้วยความเร็วเกินวัย ก่อนแตะฝ่ามือลงบนไหล่เป็นเชิงห้ามปราม “ไปกันเถอะ” เอ่ยชวนแล้วก็เดินนำหน้าลูกสาวไป

นเรศกำลังยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่มีความสูงต่ำกว่าเล็กน้อย ใบหน้าของอีกฝ่ายอิดโรยแต่ยังคงหลงเหลือเค้าโครงความหล่อเหลา นัยน์ตาคมกริบจับจ้องมองอีกฝ่าย มีหรือที่เขาจะจำไม่ได้ว่าชายตรงหน้านี้เป็นใคร คนที่เป็นทั้งคู่แข่งและศัตรูของพ่อ ธัญ... หึ

“ไม่ทราบว่าคุณณัฐธัญ ปัทมากรพิมุกข์ มาทำอะไรที่บ้านของผมครับ” น้ำเสียงของเขากดต่ำลงเพื่อควบคุมโทสะ ใบหน้าสวมหน้ากากของนักธุรกิจยกมุมปากเป็นรอยยิ้มแสยะให้อีกฝ่าย

“ผมมาหาชลครับ” ณัฐธัญไม่ใส่ใจกับทาทางหาเรื่องจากชายตรงหน้า ในใจตอนนี้ของเขาต้องการเห็นแค่หน้าชล ผู้หญิงที่เขาหลงรักโดยไม่รู้ตัวและโซ่คล้องใจในตัวของชลธาร

ใบหน้าของนเรศเกร็งขึ้นฉับพลันก่อนตวาดไล่ณัฐธัญอย่างไม่ไว้หน้า “ชลไม่อยู่ กลับไปซะ!”

ใบหน้าที่อิดโรยอยู่แล้วพลันห่อเหี่ยวอย่างสิ้นหวังจนลุงแก่นที่มองดูอยู่รู้สึกเวทนา ณัฐธัญคอตกเตรียมหันหลังจากไป แต่แล้วสายที่เหลือบไปมองภายในบ้านด้วยความหวังครั้งสุดท้ายก็สะดุดเข้ากับร่างหนึ่ง หัวใจที่เหี่ยวแฟบอ่อนแรงก่อนหน้า พลันกระหน่ำรัวเต้นขึ้นมาจนแทบทะลุอก ท่าทีอมทุกข์ก่อนหน้าถูกสลัดทิ้งแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างส่งไปให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในใจ

“ชล” เสียงเบาหวิวหลุดครางชื่อด้วยความยินดีเต็มเปี่ยม แม้ในขณะที่ถูกพี่ชายของชลธารตะโกนขับไล่ไสส่ง

“แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือยังไงว่าให้กลับไป หรือว่าคนจากปัทมากรพิมุกข์มันหน้าด้านหน้าทน คนอื่นไล่เหมือนหมูเหมือนหมาก็ยังไม่ยอมไป หรือต้องให้เอาน้ำมาสาด!” นเรศตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ยิ่งมองเห็นอีกฝ่ายยกยิ้มราวกับยินดีนักหนาที่ได้เห็นหน้าน้องสาวของเขาอารมณ์ยิ่งโหมกระพือยิ่งขึ้น

“นเรศ!” ก่อนที่นเรศจะได้กระชากอีกฝ่ายมากระทืบเสียงคุณหญิงดาหลาก็ปรามขึ้นมาซะก่อน เขาจึงทำได้เพียงแสดงท่าทางไม่พอใจ “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็คุยกันแบบผู้ใหญ่ไม่ใช่เอะอะก็ต่อยตี” แม้ใจความจะบอกลูกชายแต่กลับกระทบไปถึงคนฟังอีกคน

“สวัสดีครับคุณหญิง” ณัฐธัญกระพุ่มมือไหว้

“เข้ามาด้านในก่อนสิ ตาแก่นไปบอกยายช้อยหาของว่างมารับแขก...”

“ไม่ค่ะ เขาจะกลับแล้ว” ชลธารแทรกขึ้นดวงตาฉายชัดถึงความโกรธส่งตรงไปให้ณัฐธัญ

“ชล” ณัฐธัญได้แต่ครางชื่ออีกฝ่ายด้วยดวงตาละห้อย “ผมยอมรับว่าผมผิด...ผมขอโทษ ชลให้โอกาสผมสักครั้ง ผมอยากรับผิดชอบ ผมอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” ณัฐธัญถลาเข้าเกาะกุมมือเล็กของชลธาร ซึ่งทำให้เธอต้องผงะถอยด้วยความตกใจ

“ปล่อยนะ” ชลธารแหวลั่นสะบัดมือออกด้วยความเกลียดชัง

ผลัวะ! ตุบ! ผลัวะ!

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้ากับโหนกแก้มเต็มแรง ใบหน้าของณัฐธัญสะบัดเซถลาลงไปกองกับพื้น เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของนเรศ เขาตามกระหน่ำทั้งหมัดทั้งเท้าใส่จนณัฐธัญรู้สึกร้าวระบมไปทั่วร่าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ตอบโต้พี่ชายของชลธาร เขาทำแค่เพียงปัดป้องเท่านั้น ใบหน้าของณัฐธัญสะบัดตามแรงหมัดอีกครั้งพร้อมเลือดพุ่งออกจากปาก ย้อมใบหน้าหล่อเหลานั้นให้แดงเถือกไปเกือบครึ่ง

ชลธารมองดูชายหนุ่มโดนผู้เป็นพี่ชายของเธอต่อยตีไม่ไหว แม้ว่าจะเกลียดอีกฝ่ายแค่ไหนเธอก็ไม่ต้องการลงโทษเขาแบบนี้ เพราะแบบนั้นเธอก็ใจร้ายไม่ต่างจากที่เคยประณามเขา

“หยุดค่ะพี่นเรศ” เสียงเล็กร้องตะโกนลั่นฝ่าความวุ่นวาย แต่ดูเหมือนพี่ชายที่เลือดขึ้นหน้าไปแล้วจะไม่ได้ยิน ชลธารเหลือบไปมองคุณหญิงดาหลาที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้ลางๆ แต่ผู้เป็นมารดากลับยืนนิ่งไม่สนใจสายตาแกมขอร้องจากเธอ “พี่นเรศคะ หยุดเถอะค่ะ” ชลธารวิ่งเข้าไปยื้อฉุดกระชากท่อนแขนล่ำสันของพี่ชาย

คุณหญิงดาหลาแทบหัวใจวายเมื่อลูกสาววิ่งเข้าไปแล้วถูกลูกหลงเหวี่ยงออกมา “ว้ายชล!” ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นแนบอกพลางร้องด้วยความตกใจ

ความวุ่นวายพลันหยุดชะงัก ณัฐธัญดึงสติได้เป็นคนแรกรีบถลาเข้าไปหาชลธาร เขายื่นมือสั่นระริกลูบไล้ตามร่างเล็กสายตาสำรวจหาบาดแผล ปากเฝ้าเอ่ยถามประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ชลธารเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนบอกธัญสิ” น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ ใบหน้าขมวดมุ่นราวกับอยากจะร้องไห้เสียตรงนั้น

จู่ๆ น้ำตาของชลธารก็ไหลทะลักร่วงผล็อยๆ ยิ่งทำให้ณัฐธัญทำอะไรไม่ถูก เขาดึงร่างเล็กนั้นเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไม่สนใจใคร นิ้วแกร่งยื่นเช็ดน้ำตาออกจากดวงหน้าหวานอย่างอ่อนโยน “ธัญขอโทษ เป็นความผิดของธัญเอง” เขาเอ่ยพลางลูบศีรษะเล็กอย่างปลอบประโลม

“ชล...พี่ขอโทษ” นเรศมองดูภาพตรงหน้าแล้วได้แต่รู้สึกผิด ความผิดนี้เขาโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนผิด ผิดที่ดูแลน้องไม่ดี ผิดที่ทำให้น้องเจ็บ

“หัวใจคนแก่จะวาย” คุณหญิงดาหลายกมือตบอกระรัว “ชลร้องไห้เจ็บตรงไหนบอกแม่สิลูก...ตาแก่นๆ ไปเอารถออกพาชลไปหาลุงหมอ” แล้วทุกคนก็ได้ยินแต่เสียงคุณหญิงดาหลาเรียกใช้ลุงแก่นดังลั่น

“ชลไม่เป็นอะไรค่ะคุณแม่” ชลธารรีบร้องห้ามเสียงหลง

“ไปตรวจดูให้แน่ใจก่อนเถอะชล” เสียงต่อมาดังมาจากณัฐธัญใบหน้าของเขาส่งแววอ้อนวอนแกมขอร้อง

ใบหน้าของชลธารเห่อร้อนจนขึ้นสีเรื่อ หลังจากมัวตกตะลึงก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นอันคุ้นเคย พลันฝ่ามือเรียวเล็กก็ยกขึ้นผลักอีกคนจนแทบหงายหลัง

ณัฐธัญร้องโอ๊ยแทบจะทันที ด้วยร่างกายที่เดิมทีร้าวระบมอยู่แล้วถูกผลักให้ล้มหงายเก๋ง จึงเผลอหลุดร้องอุทานด้วยความเจ็บ ชลธารรีบเข้าไปดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ก่อนชะงักกึกแล้วถอยออกมา

“เอาล่ะมีเรื่องอะไรก็เอาไว้ไปคุยกันข้างใน” จบประโยคคุณหญิงดาหลาก็เดินนำกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้นเรศพยุงน้องสาวตามไป



**********************************
ต้องขอโทษจริงๆ จ้า บอกว่าจะมาลงให้พรุ่งนี้ แต่พอดีดันดูอนิเมะเพลินเงยหน้ามองดูนาฬิกาอีกที อ้าวค่อนคืนซะแล้ว ถถถถ ขอบคุณทุกคอมเม้นททุกกำลังใจเจอกันพรุ่งนี้จ้า อย่าลืมเม้นติเม้นชมกันด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: lisutana ที่ 25-03-2018 21:22:30
เมื่อวานข้ารอเจ้านานแสนนานT-T
ขอบคุณที่มาอัพนะเจ้าคะ
มาต่อเร็วนะจ๊ะ❤️
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-03-2018 21:45:25
พ่อเด็กตัวจริงมาแล้ว นเรศจะจัดการเรื่องนี้ยังไง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 25-03-2018 21:55:48
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-03-2018 22:02:49
พ่อเด็กมาแล้ววว คราวนี้จะทำไงล่ะนเรศ?
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 7 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-03-2018 02:43:16
คุณธัญเจ้าคะ รบกวนคุณช่วยบอกความจริงให้นายหัวเขาทราบด้วยเจ้าคะ อีน้องจันทร์ของฉันจะได้รอดปลอดภัยเสียที  :m5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 26-03-2018 19:21:01
บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า

บรรยากาศภายในบ้านอึดอัดโดยเฉพาะความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่มใบหน้าถมึงทึง นเรศใช้ดวงตาคมกริบจ้องมองณัฐธัญนั่งคุกเข่าให้คุณหญิงดาหลา ใบหน้าอีกฝ่ายมองดูสลดและสำนึกผิดอยู่ในที แม้ท่าทางหลังงองุ้มจะยังคงด้วยความสง่า ฝ่ามือหนาเดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคลายทั้งอาการหายใจรุนแรง เพื่อระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นจนอยากจะลุกไปกระทืบฝ่ายตรงข้าม

ชลธารนั่งร้องไห้ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นของคุณหญิงดาหลา เสียงสะอึกสะอื้นจนตัวโยนพาคนใจคนฟังเจ็บหน่วงยิ่งกว่าถูกเข็มทิ่มแทงเป็นพันเล่ม ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นลูบศีรษะของลูกสาว หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพทุกอย่างจากณัฐธัญ คุณหญิงดาหลาก็ยังคงเงียบ เงียบจนน่าอึดอัดสำหรับคนกระทำผิด เพราะคุณหญิงไม่โกรธ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ราวกับท้องฟ้าสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะกระหน่ำ

แต่ถึงอย่างนั้นณัฐธัญก็ยังเฝ้ารอคอย รอคำตำหนิ รอการลงโทษด้วยใจที่รู้สึกผิดทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียว...อย่าให้เขาต้องพลัดพรากจากคนที่เขารักก็เพียงพอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะลากเขาไปกระทืบหรือต้มยำทำแกงอะไร ในเวลานี้ขายอมทั้งนั้น

ในที่สุดณัฐธัญก็ตัดสินใจทำลายความเงียบนี้ลง “ผมขอโอกาส...” เขาเงยหน้าขึ้นมาใช้ดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตาลูกผู้ชายกวาดมองดูครอบครัวทวีภัทรบวร “ผมอยากขอโอกาสแก้ตัว ผมรู้ว่าผมทำผิดจนไม่น่าให้อภัย แต่ผมสัญญาว่าจากนี้ไปผมจะดูแลชลและลูกให้ดีที่สุด” จบประโยคชลธารก็ปล่อยโฮยิ่งกว่าเดิมจนณัฐธัญหน้าม้าม

“ขอโอกาสหรือ? เธอคิดว่าจะได้โอกาสนั้นจากฉันหรือ”

คราวนี้ร่างกำยำของณัฐธัญห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม

“ฉันไม่มีโอกาสนั้นสำหรับเธอหรอกนะ” ยิ่งฟังเขายิ่งเจ็บจนคิดว่าใจที่เตรียมมาแล้วอย่างดีกำลังแหลกละเอียด ตามด้วยฝ่าเท้าบดขยี้ลงมาจนเจ็บหน่วง เขาอยากจะร้องไห้แต่เสียงเล็กๆ ในใจตะโกนก้องให้เขาเกิดความหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าสิ่งใด ขณะกำลังเอ่ยอีกครั้งก็ถูกขัดจากคุณหญิงดาหลา “โอกาสไม่มีใครให้เธอได้นอกจากตัวเธอเองหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะโกรธเธอที่ทำกับลูกสาวของฉันแบบนี้ แล้วมันได้อะไรล่ะ โกรธกันไปโกรธกันมาแล้วคิดแค้นฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ ตามล้างแค้นกันไปกันมาไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วได้อะไรมีแต่จะสูญเสีย เฮ้อ...เด็กสมัยนี้ดีแต่ใจร้อนใช้แต่ความรุนแรงตัดสินปัญหา ไม่คิดหน้าคิดหลัง คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดถึงผลที่ตามมาแบบนี้เขาเรียกว่าไม่รู้จักโต ฉันก็แก่จนไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของเด็กๆ เขา ได้แค่บอกให้คุยกันด้วยเหตุผลอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ อย่าดึงดันที่จะเอาชนะยอมถอยกันคนละก้าวแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”

ไม่เพียงแต่ณัฐธัญเท่านั้นที่นิ่งฟังคุณหญิงดาหลา ทุกคำกล่าวของคุณหญิงล้วนแล้วแต่มีเหตุผล แม้จะแฝงคำเหน็บแหนมให้ณัฐธัญสะดุ้งตัวบ้าง ทุกคำพูดล้วนทำให้พวกเขาตกอยู่ในห้วงความคิด กระทั่งชลธารเองยังหยุดร้องนั่งฟังเงียบๆ กับอกมารดา

“แล้วคุณหญิงไม่เกลียดผมที่เป็นคนจากปัทมากรพิมุกข์หรือครับ” จบประโยคคำถามณัฐธัญก็ได้รับค้อนวงโตจากคุณหญิงดาหลา

“พูดไปตั้งเยอะตั้งแยะคิดไม่ได้เลยหรือ ตาแก่สองคนนั่นจะเกลียดกันแล้วยังไง ฉันไม่ได้เกลียดตามหรอกนะ ตอนนี้พ่อของตานเรศกับยายชลก็จากไปแล้ว จะมีแต่พ่อของเธอนั้นแหละที่ไม่ยอมปล่อยวางโกรธแม้กระทั่งคนตาย แบบนี้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต” คราวนี้คนเป็นลูกผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตถึงกับสะดุ้งแทนพ่อ “เฮ้อ วันนี้มีเรื่องวุ่นวายให้คนแก่อย่างฉันต้องปวดหัวจริงๆ สายหยุดมานี่หน่อยสิ” ท้ายประโยคเรียกหาแม่บ้านคนสนิท

“ค่ะคุณหญิง” คุณป้าสายหยุดวัยไล่เลี่ยกับคุณหญิงก็เดินแกมวิ่งเข้ามาช่วยพยุงคุณหญิงดาหลาอย่างรู้ใจ

“ฉันจะไปนอนพักหน่อย วันนี้ปวดหัวนัก” เดินบ่นไปกับสาวใช้ทิ้งหนุ่มสาวให้นั่งเผชิญหน้ากัน

“...” นเรศลุกขึ้นเดินตรงไปวางฝ่ามือบนศีรษะน้องสาว ก่อนเดินจากไปอีกคนด้วยท่าทางเงียบขรึมราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิดอย่างหนัก

ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงสองหนุ่มสาว ชลธารตัดสินใจเผชิญหน้ากับปัญหา เธอจะไม่วิ่งหนีอย่างที่ผ่านมาราวกับคนขี้ขลาดอีกต่อไป ส่วนณัฐธัญเขาตั้งใจที่จะใช้โอกาสที่มอบให้กับตัวเองในครั้งนี้จบทุกปัญหา เพราะเขาจะต้องได้ลูกเมียกลับคืน แม้อีกฝ่ายจะสั่งให้เขาทำอะไรก็จะทำ ปัญหาในครั้งนี้เขาต้องผ่านไปให้ได้เพื่ออนาคตของครอบครัวที่รอเขาอยู่ข้างหน้า

“ชล...”

“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันบนนี้เถอะค่ะ คุณเป็นแผลใช่ไหมฉันจะไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้” จบประโยคก็ทำท่าจะลุกไปเอากล่องปฐมพยาบาลแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ธัญไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มยกยิ้มด้วยความรู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายเป็นห่วง ลุกขึ้นมานุ่งขุกเข่าตรงหน้าหญิงสาว เอื้อมมือไปกอบกุมมือเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสบดวงตาแดงช้ำเล็กน้อยของคนรัก ปัญหาทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้

ร่างกำยำรู้สึกซวนเซเล็กน้อยด้วยความไม่คาดคิด หัวสมองมึนเบลอไม่ต่างจากถูกใครสักคนเอาค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า พอล้มลงก็มีฝ่าเท้าตามเข้ามากระทืบครั้งแล้วครั้งเล่า หากจะบอกตรงๆ ว่าตอนนี้นเรศรู้สึกผิด...ใช่เขารู้สึกผิดหลังจากที่ได้รับรู้ความจริงทุกอย่าง ความจริงที่ว่าเขามันไม่ต่างจากณัฐธัญหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า

จู่ๆ ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ จนต้องคว้าเก้าอี้ในสวนแล้วทรุดตัวนั่งลง ดวงตาคมกริบเหม่อลอยจนน่าเป็นห่วง ฝ่ามือถูกยกขึ้นลูบใบหน้าคล้ายต้องการเช็ดเหงื่อกาฬออกทั้งที่ไม่มีแม้เหงื่อสักหยดบนใบหน้า นเรศรู้สึกหนักอึ้งในใจมีคำถามมากมายในใจแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้

แล้วเจ้าจันทร์เป็นใคร?

หลักฐานในรูปนั้นเจ้าจันทร์อยู่กับน้องสาวของเขา...ในฐานะอะไร

ทำไมเจ้าจันทร์ถึงไม่หนี ทั้งที่เขามั่นใจว่าเจ้าจันทร์รู้ความผิดที่ถูกจับตัวมา

และที่ทำให้กลุ้มใจที่สุด เขาทำอย่างนั้นกับเจ้าจันทร์ เด็กคนนั้นบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอะไร ใบหน้าติดจะหวานมีหยดน้ำตา เฝ้าร้องขอความเมตตาจากเขาแทรกเข้ามาให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม นเรศหลับตาแน่นเอนแผ่นหลังอ่อนแรงอิงกับพนักเก้าอี้ สองแขนตกลงแทบไร้เรี่ยวแรง

เขาจะทำยังไงต่อไปดี ดูเหมือนปัญหามันจะยุ่งเยิงจนน่าปวดหัวเสียแล้ว

เสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเบาๆ เป็นระยะภายในบ้านทวีภัทรบวร ที่วันนี้มีแขกหน้าด้านหน้าทนเพิ่มเข้ามาอีกคน และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกชายจากปัทมากรพิมุกข์ที่กำลังเอาใจภรรยาทางพฤตินัยอย่างออกนอกหน้า ณัฐธัญรู้สึกถึงแรงเขม่นจากนเรศที่จ้องเขม็ง แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามด้วยไม่อยากมีเรื่องกับพี่เขยหัวร้อน

“ทานนี่ด้วยสิคะ” เนื้อปลากะพงทอดราดกะทิถูกตักลงบนจานของชลธาร แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้เธอด้วยซ้ำชลธารก็ยกมือปิดปากปิดจมูกโบกมือปฏิเสธระรัว ณัฐธัญหน้าเสียเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากนเรศดังตามมา ช้อนตักเนื้อปลากะพงเลยต้องวางลงบนจานตัวเอง

ชลธารมองดูหน้าอีกฝ่ายแล้วต้องกลั้นหัวเราะ “เจ้าตัวเล็กไม่ชอบค่ะ” เธอเอ่ยปลอบทั้งรอยยิ้มเรียกกำลังใจให้ชายหนุ่มมากโข พอๆ กับเรียกเสียงหึอย่างไม่ชอบใจจากพี่ชายที่นั่งทำหน้ายักษ์อยู่

“งั้นเดี๋ยวธัญเอาออกไป...”

“น้องสาวฉันชอบจะเอาออกไปทำไม” น้ำเสียงเข้มติดจะหาเรื่องแทรกขึ้นทันที

“ถึงจะชอบแต่ถ้าทำให้แพ้ท้องก็ไม่ควรเอามาใกล้ชล เดี๋ยวเอาไปเก็บนะครับ ธัญเป็นห่วงลูกกับชลนะ” จานปลากะพงทอดราดกะทิถูกหยิบออกไปเก็บ แม้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอแต่ก็อดที่จะทำตาละห้อยไม่ได้

“เมื่อก่อนจะเอาไปเก็บไม่ยอมท่าเดียวบอกขอแค่ให้ได้มอง ดูสิตอนนี้แค่สามีพูดนิดเดียวก็เชื่อฟังไปซะหมด” คุณหญิงดาหลาเปรยขึ้นอย่างต้องการล้อลูกสาว ซึ่งดูเหมือนจะอายจนแก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งบิดไปมาจนแทบจะมุดโต๊ะหนีซะแล้ว

“คุณแม่” ชลธารพูดเสียงเบาหวิวเขินอาย ก่อนจะรีบหันไปตักข้าวกินอย่างตั้งใจเมื่อณัฐธัญเดินกลับมา

คุณหญิงดาหลาชมดูภาพการดูแลเอาใจใส่ของทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข เมื่อทั้งชลธารและณัฐธัญปรับความเข้าใจกันได้แล้วคุณหญิงก็ดีใจด้วย ต่อไปทั้งคู่จะได้มีความสุขเสียที หลานตัวน้อยของคุณหญิงเองก็จะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเสียที มองดูแล้วก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่ได้ แต่ในขณะที่ลูกสาวมีความสุข ลูกชายของคุณหญิงดาหลากลับเคร่งขรึมราวกับมีเรื่องในใจอย่างหนัก บางครั้งคุณหญิงยังได้ยินเสียงถอนหายใจบ่อยๆ จนผิดปกติ จนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“ตานเรศมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

คนถูกถามสะดุ้งหลุดออกจากห้วงความคิดก่อนรีบกระชับส้อมในมือที่กำลังหลุดออกไป

“เปล่าครับ” เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาแม่ได้เสมอ บางครั้งปัญหามันก็คิดคนเดี๋ยวไม่ได้หรอก” จบประโยคของมารดานเรศก็ต้องคิดตาม

“จริงสิ ช่วงหนึ่งธัญไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าจันทร์ แต่ว่าช่วงหลังๆ มานี่ธัญไม่เจอเด็กคนนั้นเลย ธัญเลยอยากจะถามว่าชลได้ติดต่อเจ้าจันทร์ไหม” ณัฐธัญพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเดือนกว่าแล้วที่เขาไปตามหาเจ้าจันทร์ในร้านที่พบกันครั้งนั้น แต่เขากลับไม่พบเจ้าจันทร์เลยจนอดรู้สึกห่วงไม่ได้

“อะแฮ่ม ยังกล้าถามถึงผู้หญิงอื่นกับลูกสาวฉันอีกหรือ” เสียงขุ่นเคืองของคุณหญิงดาหลาเรียกขนในกายลุกซู่

“เจ้าจันทร์เป็นเด็กผู้ชายครับ” ณัฐธัญรีบแก้

“ใช่ค่ะ เจ้าจันทร์เป็นรุ่นน้องของชลเอง” ชลธารรีบยืนยัน “ช่วงนี้ชลก็ติดต่อเจ้าจันทร์ไม่ได้เหมือนกันค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราหาเวลาไปเยี่ยมที่บ้านเจ้าจันทร์กันดีไหมคะ” ชลธารรีบชวนชายหนุ่มทันทีเพราะเธอเริ่มรู้สึกห่วงเด็กหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว “ติดต่อไม่ได้แบบนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” ไม่วายบ่นพึมพำตามมา

“รู้จักหรือตานเรศ” คุณหญิงดาหลาถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหลังจากเห็นเจ้าหมียักษ์ชะงักไป

“เปล่าครับ” ตอบแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ

“ไปเยี่ยมหน่อยก็ดีเหมือนกันครับ ธัญยังติดค้างคำขอบคุณต่อเจ้าจันทร์อยู่”



******************************
เชิญเม้นด่านเรศได้  :katai2-1:
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะจ๊ะ เจอกันบทหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-03-2018 20:59:15
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 26-03-2018 21:42:48
นเรศนะนเรศ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-03-2018 21:49:12
นเรศต้องโดนซะบ้าง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 26-03-2018 22:15:44
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 8 คล้ายโดนค้อนตีเข้ากลางแสกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-03-2018 01:32:09
ด่าไปก็เท่านั้น ไม่สะเทือนหรอก มันต้อง   :beat: :z6: :โป้ก1: :13223: :fcuk:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 27-03-2018 19:39:17
บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร

เสียงคลื่นสาดสัดเข้าหาฝั่งสลับกับเสียงสรรพสัตว์คล้ายเสียงดนตรีอันไพเราะ น้ำทะเลสีฟ้าใสสาดซัดชายหาดจนเกิดฟองขาวก่อนกลิ้งตัวกลับลงสู่ทะเล บริเวณชายป่าภายในกระท่อมโกโรโกโสเกือบจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ปรากฏร่างเล็กนอนขดกายหนาวสั่นอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานมีเหงื่อผุดพราย คิ้วเรียวกดลึกราวกับกำลังฝันร้าย ริมฝีปากสีซีดออกอาการสั่นระริกจนน่าเป็นห่วง

กะละมังขนาดเล็กบรรจุน้ำไปครึ่งหนึ่งถูกวางลงข้างเตียง มืออวบเล็กน้อยหยิบผ้าขนหนูจุ่มน้ำแล้วบิดจนมาด ก่อนบรรจงเช็ดตามร่างที่ขนตัวหนาวสั่นอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ป้าสุดามีสีหน้าสลดและสงสารเด็กหนุ่ม ในใจก็อดที่จะบ่นเจ้านายของตัวเองไม่ได้ ดูสิคุณเจ้าเธอน่าสงสาร โดนคุณนเรศรังแกจนป่วยไข้แบบนี้ จะมาดูดำดูแดงสักหน่อยก็ไม่มี พอหอบคุณเจ้าที่สะบักสบอมกลับมาแล้วก็หนีหายไปกรุงเทพ จะให้พาไปหาหมอก็ไม่เอา แล้วถ้าเกิดคุณเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา พ่อแม่ของคุณเจ้าคงใจสลาย

“ไม่...อย่า...อย่าทะ...ผม” เสียงละเมอแผ่วเบาเล็ดรอดจากริมฝีปากซีด

“โธ่คุณเจ้า” มืออวบใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามหน้าผากเลยไปยังศีรษะร้อนด้วยความสงสาร เป็นไข้มาเกือบสามวันแล้วยังไม่ได้สติ หมอก็ไปหาไม่ได้ป้าสุดาจึงได้แต่เรียกหมอเพลิงมาดูอาการให้ จะแอบพาข้ามฝั่งเหมือนคราวที่แล้วก็ไม่กล้า

“ป้าไปพักบ้างเถอะเดี๋ยวผมดูต่อเอง” โอภาสเข้ามารับช่วงต่อจากป้าสุดา

“อีกสักหน่อยให้เช็ดตัวคุณเจ้าอีก” ป้าสุดาบอกหลานชายพลางวางผ้าขนหนูบนหน้าผากเล็ก ก่อนออกไปไม่วายส่งสายตามองดูร่างเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง

ป้าสุดากลับเข้ามาในบ้านทำหน้าที่ของตน ล้างจานฝั่งโน้น หยิบผ้าในตะกร้าฝั่งนี้ไปซัก ขณะป้าสุดากำลังทำความสะอาดบ้านเสียงโทรศัพท์บ้านก็แผดเสียงลั่น จนต้องพาร่างอวบเล็กน้อยวิ่งเข้าไปรับ

“สวัสดีค่ะ”

“สุดา” เสียงปลายสายตอบกลับมาเป็นเสียงคุ้นเคย “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูลังเลกว่าทุกครา

“ก็เรียบร้อยดีค่ะ”

“...ฉันหมายถึง” น้ำเสียงของปลายสายลากยาวอย่างชั่งคิดว่าจะเอ่ยดีหรือไม่ “เด็กนั่นตายหรือยัง”

จบประโยคป้าสุดาก็อยากจะกรีดร้องใส่ปลายสายสักครั้ง คุณนเรศนะคุณนเรศไม่ชอบคุณเจ้าก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนั้น “ไข้ขึ้นมาสามวันแล้วยังไม่หายค่ะ” คำตอบคราวนี้จึงเจือกระแสความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

“ฝากดูด้วย พรุ่งนี้ฉันก็จะกลับแล้ว” คราวนี้น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูอ่อนลง

“ค่ะ ป้าจะดูแลอย่างดี คุณนเรศกลับมาจะได้รังแกคุณเจ้าเต็มที่” ป้าสุดาอดที่จะประชดอีกฝ่ายไม่ได้ จึงไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายก่อนจะวางสายไปเหลือทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับป้าสุดา “รู้สึกคุณนเรศพูดจาแปลกๆ” มืออวบยกขึ้นเกาหัวตัวเองดังแกรกๆ เป็นท่าประจำยามตกอยู่ในห่วงความคิด





ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ เรือยอร์ชสีขาวสว่างท่ามกลางทะเลสีน้ำเงินทะแสงประกายระยิบแล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ป้าสุดามองเห็นเจ้านายหนุ่มขึ้นเรือมาพร้อมกับเป๋าทำงานใบเล็กก็รีบเข้าไปรับ นเรศทักทายป้าสุดาเล็กน้อยก็ตรงไปยังทิศทางที่ทำให้ป้าสุดาหน้าซีด

“คุณนเรศคะ ป้าขอล่ะค่ะคุณเจ้าตอนนี้ไม่สบายอย่าเพิ่งทำอะไรคุณเจ้าเลย” น้ำเสียงของป้าสุดาเต็มไปด้วยการขอร้อง แววตาเว้าวอนขอความเห็นใจแทนคนที่ไม่สบายอยู่ในกระท่อม แต่นเรศกลับไม่สนใจมุ่งหน้าไปยังกระท่อมด้วยช่วงขายาวที่ทำให้ป้าสุดาต้องวิ่งตาม “คุณนเรศคะ” ป้าสุดาเรียกเจ้านายเสียงเบาหวิว หลังจากที่มองดูสีหน้านิ่งเรียบนั้นแล้วเดาไม่ถูกว่าเจ้านายจะทำอะไร

เมื่อเข้ามาในกระท่อมนเรศจึงได้มองเห็นร่างเพรียมบางนอนสะลึมสะลืออยู่ ข้างๆ มีโอภาสที่กำลังบรรจงเช็ดตัวให้ ก่อนจะลุกขึ้นขยับถอยห่างเมื่อหางตาเหลือบเห็นร่างเจ้านายมายืนอยู่ด้านหลังตน นเรศยกมือขึ้นวางลงบนหน้าผากมน ไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ต้องขมวดคิ้ว

“เป็นมากี่วันแล้ว” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถาม

ป้าสุดามีสีหน้าแปลกใจกับท่าทางเจ้านาย จนต้องหรี่นัยน์ตามองดูอย่างสังเกตก่อนตอบคำถาม “ตั้งแต่วันนั้นค่ะ”

“อืม สุดาไปเตรียมห้อง...เอาข้างๆ ห้องฉันนั้นแหละ” นเรศรับคำในลำคอก่อนออกคำสั่ง

“ค่ะ” ป้าสุดาเป็นคนไม่ถามซักไซ้อยู่แล้วจึงรีบจากทำตามคำสั่งเจ้านายทันที ภายในกระท่อมหลังเก่าจึงเหลือแค่เพียงโอภาสและเจ้านายหนุ่มหน้าเคร่ง

“นายทำอะไรครับ” ดวงตาของโอภาสเบิกตะลึงกับการกระทำของเจ้านาย เขารีบเข้าไปยืนประชิดด้วยความกังวล

แขนเล็กถูกดึงตวัดเกี่ยวลำคอหนาจนคนที่นอนสะลึมสะลืออยู่สะดุ้งตื่น ดวงตาโศกลืมขึ้นมองเห็นเพียงใบหน้าพร่าเบลอก่อนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แต่ก่อนที่จะได้ร้องโวยวายร่างกายก็ถูกช้อนอุ้มด้วยท่อนแขนแกร่ง ร่างทั้งร่างจึงตกอยู่ในอ้อมกอด...อุ่น

“ทำอะไรของคุณ” เสียงแหบแห้งร้องประท้วงพร้อมแรงดิ้นอ่อนแรงจนดูน่าขัน

“อยู่เฉยๆ ไปเถอะน่า” เสียงห้าวทุ้มตอบกลับมาสร้างความแปลกใจให้ทั้งคนฟังและอีกคนที่มองดู ด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาครั้งนี้มันไม่ดุดันเหมือนทุกที เจ้าจันทร์จึงได้แต่เกร็งร่างด้วยความกลัว ทั้งต้องตกอยู่ในท่าอุ้มอันน่าอาย แต่ในใจกำลังก่นด่าอีกฝ่ายจนสมองแทบไหม้

นเรศวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงโดยมีป้าสุดาจัดหมอนรองรับศีรษะเล็กให้พอดี เมื่อร่างถึงเตียงนอนนุ่มเจ้าจันทร์ก็ขยับกายออกห่างชายหนุ่มทันทีอย่างนึกเกลียดชังน้ำหน้าอีกฝ่ายไม่น้อย นเรศยืนมองอีกฝ่ายก่อนนั่งลงข้างเตียงราวกับกำลังกลั่นแกล้งคนที่ไม่อยากเห็นหน้าตัวเอง

“กินข้าวหรือยัง” คำถามต่อมาทำให้ดวงตาสองคู่เบิกกว้าง ก่อนคู่ที่สามจะตามมาติดๆ เมื่อโอภาสเดินเข้ามา เจ้าจันทร์รีบส่ายหน้าหวือ ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวก่อนที่เขาจะเข้ามาเล็กน้อยจะมีเวลาได้กินที่ไหน “สุดาไปทำโจ๊กมาให้หน่อย” คำสั่งต่อมายิ่งทำให้คนฟังได้แต่กะพริบตาปริบๆ

นี่คือความฝันใช่ไหม ตั้งแต่รู้สึกตัวก็เหมือนฟ้าดินกลับตาลปัตร จู่ๆ เจ้าคนป่าเถื่อนก็มาทำดีด้วย เจ้าจันทร์ได้แต่ครุ่นคิดในใจ ดวงตาโศกจับจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“คะ?...ค่ะๆ” ป้าสุดารีบรับคำแม้ในใจจะยังสับสนกับความเปลี่ยนแปลงของเจ้านายในเวลานี้ ร่างอวบของป้าสุดาผลุบหายไปทั้งยังลากเจ้าหลานชายที่ยืนทำหน้างงออกไปด้วย

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองคนเจ้าจันทร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก พลันต้องสะดุ้งกายเมื่อฝ่ามือหนาให้ความรู้สึกเย็นสัมผัสใบหน้าราวกับต้องการวัดอุณหภูมิ เจ้าจันทร์ถอยใบหน้าออกจากฝ่ามือของเขาก่อนใช้ดวงตาโศกจ้องกลับไป หลังจากพยายามเรียกความกล้าให้ตัวเอง

“เช็ดตัวก่อนค่อยกินข้าว” ขณะพูดไปนเรศก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ อึดใจต่อมาก็ออกมาพร้อมกับกะละมังบรรจุน้ำและผ้าขนหนู กะละมังใบเล็กถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียง นเรศหยิบผ้าขนหนูจุ่มลงแล้วยกขึ้นมาบิดจนมาด เขาทำท่าราวกับว่าจะกระทำบางสิ่งที่ทำให้เจ้าจันทร์ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ชายเสื้อสีซีดถูกมือหนาเตรียมถลกขึ้นเท่านั้นแหละจึงได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยความตระหนกและ...

เพียะ!

เจ้าจันทร์สะดุ้งถอยกายห่างพลางปัดมืออีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังลั่น ใบหน้าของเจ้าจันทร์ซีดเผือด หัวใจรัวกระหน่ำเต้นแทบทะลุอก เมื่อเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนฝันร้านแวบเข้ามาในหัว เจ้าจันทร์กลัวนเรศ... แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำแค่เพียงนั่งนิ่งๆ เจ้าจันทร์ก็ยังกลัว

นัยน์ตาสีอำพันดุดันขึ้นทันที ใบหน้าถมึงทึง คิ้วขมวดอย่างไม่พอใจฉายชัด เจ้าจันทร์ไม่รอช้ารีบตะเกียกตะกายหนีจากอุ้งมือมัจจุราชของเขาที่คว้าตามมา จนสามารถรวบเอวเล็กลากเข้าไปใต้อาณัติของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าจันทร์ดิ้นรนจนเหนื่อยหอบ นเรศทำแค่เพียงตรึงร่างเพรียวที่สั่นระริกจนยอมนิ่งสงบด้วยความเหนื่อยเสียเอง

“ถ้ารู้ว่าเหนื่อยก็หยุดดิ้น” เสียงทุ้มรอดไรฟันอย่างพยายามอดทนต่อความดื้อด้านของเจ้าจันทร์

ดวงตาโศกจ้องมองนัยน์ตาสีอำพันที่บ่งบอกว่าอยู่เหนือกว่าด้วยความแค้นใจ ประโยคต่อมาจึงได้แต่กัดฟันกรอด “คุณก็ปล่อยผมก่อนสิ”

จบประโยคนเรศหรี่นัยน์ตาจ้องมองอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจถอยกายออกไป เมื่อได้รับอิสระเจ้าจันทร์ก็รีบขยับกายชิดเตียงอีกฝั่งทันที เกิดความเงียบเมื่อนเรศไม่กล่าวอะไรอีก เขาหันไปหยิบผ้าขนหนูที่ถูกทิ้งไว้ในกะละมัง บิดจนหมาดแล้วก็หันมากระชากแขนเล็กจนอีกฝ่ายแทบหัวทิ่ม อุณหภูมิเย็นเยียบจากผ้าขนหนูแตะลงบนผิวทำให้คนป่วยสะดุ้ง เจ้าจันทร์มีสีหน้าเหยเกเมื่อแรงเช็ดนั้นไม่มีการยั้งแรงเลย

“...” นเรศเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายจึงผ่อนแรงเช็ดให้อ่อนโยนขึ้น

ขณะกำลังจะเลิกเสื้อสีซีดบนกายเล็กขึ้นเพื่อเช็ดลำตัว คนป่วยก็รีบถอยกายออกห่าง นเรศขมวดคิ้วฉับเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความดุดัน ปากก็ดันพล่อยเหมือนจะหาเรื่องเสียอย่างนั้น

“จะอายทำไม เห็นก็เห็นมาหมดแล้ว” เท่านั้นแหละค้อนวงโตจึงถูกตวัดส่งมาให้ นเรศไม่สะทกสะท้านกับใบหน้าที่ฉายชัดความไม่พอใจ เขากลับส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างถูกใจ อีกฝ่ายเผลอชั่วครู่เขาก็จัดการลอกคราบให้เปลือยเปล่าทั้งร่าง

เจ้าจันทร์หอบแฮกขัดขืนจนเหนื่อยแต่กลับสู้แรงของนเรศไม่ได้ เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าจึงรีบซุกตัวลงในผ้าห่มด้วยความอับอาย ใบหน้าหวานยับยู่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำตามมา

ร่างเพรียวถูกกระตุกเล็กน้อยก็เซถลาเข้ามาซบอก นเรศไม่สนใจคนป่วยที่ขยับยุกยิกไม่หยุด เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่ยังมีร่องรอยสีกุหลาบจางกระจายหลายจุด นเรศมองชมดูแล้วพลันมือชะงักก่อนจะต้องเรียกสติให้กลับคืนมา ไม่ให้สนใจผิวขาวผมชมพูดระเรื่อด้วยพิษไข้ที่กำลังสะท้อนแสงระยิบราวกับไข่มุกเม็ดงาม ริมฝีปากรู้สึกแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลีย น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงด้วยความยากลำบาก ราวกับมีพลังลึกลับตรึงสายตานเรศให้สำรวจกายขาวเนียนตรงหน้า ใบหน้าขยับเข้าใกล้จนได้กลิ่นกายหอมกรุ่น

กายที่สั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่สามารถฉุดนเรศที่กำลังจมลงสู่ห้วงอารมณ์ได้ ริมฝีปากจึงจรดลงบนผิวกายเนียน ผ้าขนหนูในฝ่ามือยังคงทำหน้าที่เช็ดตามร่างเล็ก แต่ช่างเป็นจุดที่ทำให้คนป่วยแทบร้องครางฮือ เมื่อความเย็นเยียบจากน้ำถูกลูบไล้บนต้นขา

นเรศละสายตาขึ้นมาสบดวงตาโศกที่สั่นระริกหวาดกลัว ใบหน้าหวานแดงเรื่อจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไรกันแน่ นเรศรู้ดีว่าเขาควรหักห้ามตัวเองไม่ให้ข่มเหงอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ แต่ร่างกายนี้ที่เคยริมรสอันหอมหวานไม่ยอมเชื่อฟัง แนบริมฝีปากบดจูบเร่าร้อนแสดงความต้องการเต็มเปี่ยม

เจ้าจันทร์หวาดกลัวแต่ไม่สามารถปฏิเสธจูบอันแสนอ่อนโยนแฝงความต้องการเต็มเปี่ยม ที่กำลังหลอกล่อให้ลุ่มหลงนี้ได้ มันแตกต่างจากทุกครั้งที่อีกฝ่ายเคยสัมผัสมา ไม่หยาบโลน รุนแรงเอาแต่ใจ แต่กลับหยอกเย้าค่อยๆ ตะล่อมให้คนอ่อนประสบการณ์เปิดรับด้วยความต้องการของตัวเอง

นิ้วแกร่งกรีดไล่ตามแนวสันหลังจนขนกายลุกชันตามด้วยเสียงครางสั่นเครือ ร่างกายถูกบีบเค้นปลุกเร้าให้ก่อเกิดอารมณ์ซาบซ่าน ร่างกายค่อยๆ ถูกเอนลงนอนราบกับเตียงนอนจนแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนุ่ม ริมฝากของทั้งคู่ยังคงตวัดพันเกี่ยวไม่ยอมห่างจนร่างใต้อาณัติแทบหมดอากาศ นเรศจึงผละออกไล่จุมพิตตามดวงหน้าไล่ตามลำคอ ก่อนหยุดลงที่เม็ดไข่มุกสีสวย ไม่รอช้าเขาแลบลิ้นเลียชิมจมเปียกชุ่ม

“อา” เจ้าจันทร์ไม่สามารถคุมสติได้อีกต่อไป ส่งเสียงครางฮือด้วยความซ่านเสียวจากสัมผัส หน้าอกแอ่นโค้งตามริมฝีปากหยักที่ดูดชิม มือเล็กขยุ้มเส้นผมเงางามเพื่อระบาย ดวงตาหลับพริ้มอย่างคนตกอยู่ในห้วงความต้องการ

นเรศวกกลับดูดกลืนเสียงร้องครวญครางอีกครั้ง ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาและสะโพกเล็กแล้วค่อยๆ แหวกออก อุณหภูมิในห้องไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของคนทั้งคู่ และก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ประตูที่ปิดสนิทก็เปิดผ่างออกพร้อมกับร่างอวบของป้าสุดาเดินเข้ามา ดวงตาของป้าสุดาเบิกกว้างถาดในมือที่มีถ้วยโจ๊กและแก้วน้ำสั่นระริก อยากจะถอยกลับก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อคนทั้งคู่หันมาเห็นเข้า



**********************************************
ต่อมหื่นทำงานเต็มพิกัด จู่ๆ ก็ดึงมาฉากหวิวหน้าตาเฉย ฮ่าๆ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตาม และอย่าลืมเม้นติเม้นชมบอกเล่าความรู้สึกผ่านคอมเม้นกันด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 27-03-2018 20:07:10
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-03-2018 21:17:24
ทำเราค้างอีกแล้ว~ :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-03-2018 01:40:40
รู้ตัวว่าทำผิดแต่ก็ยังจะเอาเปรียบจันทร์อยู่อีกนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 9 ฟ้าดินกลับตาลปัตร
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2018 03:09:15
นี่รู้ความจริงแล้ว ความหื่นไม่ลดเลยนะ พุ่งพรวด ๆ เลยเชี่ยว  :m16:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 28-03-2018 20:18:16
บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ

นเรศรีบตวัดผ้าห่มขึ้นปิดกายเล็กสีระเรื่อ เจ้าจันทร์เองก็รีบดึงผ้าห่มปิดหน้าหนีความอับอาย ในใจก็เที่ยวก่นด่าตัวเองที่เผลอตัวไปกับการเล้าโลมของอีกฝ่าย

“ปะ...ป้า ป้า....” ป้าสุดาได้แต่เลิ่กลักอยู่ทางเข้า

“ฉันแค่เช็ดตัว” นเรศรีบแก้สถานการณ์ด้วยการหยิบผ้าขนหนูชุ่มน้ำ เช็ดตามลำตัวคนป่วยอย่างรวดเร็ว จนมือไม้แทบพันกัน

ท่าทางเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัวของป้าสุดา บอกชัดว่าไม่ยอมเชื่อคำแก้ตัวของเจ้านายหนุ่มแน่ แต่หญิงวัยกลางคนกลับพยักหน้าหงึกๆ ราวกับไม่มีข้อสงสัยในใจ แม้ความจริงแล้วจะมีเสียงร้องถามในใจ ว่าคุณนเรศกับคุณเจ้ากำลังเช็ดตัวกันอีท่าไหน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ทำไมทั้งคู่ถึง...ดูเหมือน... อา ป้าสุดารีบส่ายหน้าหยุดความคิดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

ป้าสุดาวางถาดโจ๊กก่อนรีบไปหยิบเสื้อยืดส่งให้เจ้านายหนุ่ม นเรศส่งเสื้อให้อีกฝ่ายไปสวม เมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวดสงสัยเขาก็รีบชี้แจง “นายตัวเล็กกว่าฉัน ใส่แค่เสื้อก็พอ ใส่กางเกงไปด้วยมันตลก” ท้ายประโยคไม่วายปากเสียอย่างคนเคยตัว คนเกือบเป็นตัวตลกเลยตวัดตาค้อนขวับจนบรรยากาศเริ่มมาคุ

ป้าสุดาเห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยขัด “ทานโจ๊กค่ะคุณเจ้า” ป้าสุดาฉีกยิ้มพร้อมประคองถาดวางลงบนตัก แต่แล้วถาดในมือกลับถูกแย่งไป “...” ป้าสุดาไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด

“อ้าปาก” มือหนาหยิบช้อนตักโจ๊กพอดีคำก่อนยื่นมาจอที่ริมฝีปากบวมเจ่อ คนป่วยจึงได้แต่เงยหน้ามองป้าสุดาที่อาการงุนงงไม่แพ้กัน “กินสิ” เสียงทุ้มเร่งเหย็งๆ

“...” เจ้าจันทร์ที่กำลังสบสนไม่กล้าขัดใจน้ำเสียงที่เริ่มจะดุขึ้นมา จำใจหลับหูหลับตาอ้าปากรับโจ๊กเต็มคำก่อนจะสำลัก ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบระบายความร้อนที่ลวกลิ้นไปหมดแล้ว จะคายทิ้งก็ไม่กล้าเมื่อดวงตาคมกริบจับจ้องมองตาแทบไม่กะพริบ

“ตายแล้วคุณเจ้า!” เป็นป้าสุดาอุทานตาแทบเหลือกก่อนจะหันไปดุเจ้านายหนุ่ม “โจ๊กร้อนขนาดนั้นลวกปากคุณเจ้าพองหมดแล้วค่ะ เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ”

“ผมกินเองได้” เจ้าจันทร์เตรียมจะแย่งถ้วยโจ๊กมาถือเอง ขืนให้เขาป้อนมีหวังพรุ่งนี้คงกินอะไรไม่ได้อีก แต่แล้วก็ต้องหดมือกลับเมื่ออีกฝ่ายโยกถ้วยโจ๊กหลบเป็นการปฏิเสธอย่างดื้อดึง “ผมแค่ไม่สบายไม่ได้เป็นง่อย กินเองได้” เจ้าจันทร์อดที่จะโวยวายใส่ชายหนุ่มไม่ได้

คิ้วเข้มขมวดกดลึกฉับบ่งบอกว่าไม่ยินยอมอย่างดื้อด้าน ก่อนจะยอมทำตามคำแนะนำของป้าสุดา ด้วยการตักโจ๊กขึ้นมาเป่าก่อนแล้วยื่นไปจ่อริมฝีปากที่กำลังอ้าค้าง เจ้าจันทร์จำใจทานโจ๊กในช้อนอีกครั้ง แม้ว่าโจ๊กจะถูกเป่าจนอุณหภูมิอุ่นพอดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเขาอยู่ดี

มันน่านัก คนบ้าอะไรทั้งเอาแต่ใจ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหนึ่ง แล้วนี่ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้มาทำท่าดูแลเอาใจใส่ หรือว่าจะหลอกให้ตายใจแล้วยัดเยียดบทลงโทษอันโหดร้ายให้

“อิ่มแล้ว” กินไปได้ไม่กี่คำเจ้าจันทร์ก็เบี่ยงหน้าหลบเอ่ยปฏิเสธ

“ทานอีกหน่อยนะคะคุณเจ้า ทานไปได้ไม่กี่คำเอง” ป้าสุดาส่งสายตาขอร้องจนแทบปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องจำใจกินอีกสองสามคำ

“พอแล้วครับ” คราวนี้เจ้าจันทร์ไม่อาจทานต่อได้อีกจึงยื่นมือดันถ้วยโจ๊กเป็นเชิงห้าม

นเรศส่งถ้วยโจ๊กให้ป้าสุดาปากก็อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ “กินอย่างกับแมวดมแบบนี้สิถึงได้ผอมบางขนาดนี้”

คนที่ถูกว่าผอมบางขมวดคิ้วฉับ ตั้งท่าเตรียมจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายนอนพัก แต่ก็ถูกเสียงทุ้มติดจะดุนั้นเอ่ยขัดซะก่อน

“กินยาก่อน สุดายาอะไรบ้างที่เขาต้องกิน”

“ยาลดไข้แล้วก็ยาแก้อักเสบค่ะ” ตอบไปพลางเดินไปหยิบเม็ดยาส่งให้เจ้านาย

“อ้าปาก” คำสั่งเรียบๆ พร้อมกับยัดเม็ดยาเข้าปากคนป่วยแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เจ้าจันทร์เบ้หน้าก่อนยื่นมือไปรับแก้วน้ำมาดื่มตาม เมื่อทุกอย่างรีบร้อยแล้วก็ล้มกายลงนอนหันหลังให้ชายหนุ่มทันที “พรุ่งนี้ให้หมอเพลิงมาตรวจดูอีกรอบ” แม้ดวงตาจะหลับไปแล้วหูก็ยังไม่วายได้ยินเสียงเข้มๆ สั่งป้าสุดา

“หมอเพลิงเป็นสัตวแพทย์นะคะ พาคุณเจ้าไปหาหมอบนเกาะไม่ดีกว่าหรือคะ” ป้าสุดาอดที่จะเอ่ยประชดเจ้านายไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงข้อร้องแกมอ้อนวอน

“ไว้คิดดูอีกที” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปจึงไม่ได้ยินเสียงป้าสุดากระซิบบอกคนนอนป่วย

“คุณนเรศแปลกๆ ระวังตัวนะคะ”

เจ้าจันทร์หันกลับมาแล้วพยักหน้าหงึกๆ ป้าสุดาลูบหน้าผากร้อนทิ้งท้ายก่อนจะออกไปอีกคน ปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อน




เสียงฝีเท้าเดินไม่มั่นคงก่อนที่ช่วงขายาวจะเซเล็กน้อย ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบหน้าอกตึงแน่นด้วยมันกล้าม ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เกือบไปแล้วสิเรา” นเรศพึมพำขณะหัวใจใต้ฝ่ามือเต้นกระหน่ำรัวแทบทะลุกอก จู่ๆ ก็ไปใจเต้นกับอีกฝ่าย ทั้งยังมองว่าร่างกายนั้นดูเย้ายวน แล้วยัง...เรื่องเกือบเลยเถิด ทั้งที่ตั้งใจจะไปขอโทษเจ้าจันทร์แต่กลับปากหนักไม่ยอมพูด แล้วยังจะไปกินเด็กนั่นเข้าให้อีก

เขารับรู้สึกถึงลางร้ายฉะนั้นควรอยู่ห่างๆ เด็กนั่นเป็นดีที่สุด แต่ตอนนี้...คงต้องเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองก่อน ขืนเรียกลิสามาช่วยคงหมดอารมณ์ก่อนแน่ๆ

กว่านเรศจะสงบสติอารมณ์ได้ก็ต้องกลับมาหัวเสียอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจตัวเองทำไมในตอนนั้นภาพในหัวเขาถึงได้มีแต่ภาพเด็กคนนั้นเต็มไปหมด แล้วยังทำให้มีอารมณ์เพิ่มอีก... ฝ่ามือหนาถูกยกขึ้นกุมศีรษะขณะที่กำลังครุ่นคิดบนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น

“คุณนเรศเป็นอะไรปวดหัวหรือค่ะ เอ...หรือว่าจะติดไข้จากคุณเจ้า” ป้าสุดาเดินผ่านมาเห็นเจ้านายหนุ่มนั่งกุมขมับท่าทางไม่สู้ดี ก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“ฉันไม่เป็นอะไร ว่าแต่เขาหลับแล้วหรือ” นเรศเงยหน้าขึ้นตอบคำถามป้าสุดาก่อนส่งคำถามกลับไป

“หลับแล้วค่ะ” ขณะตอบคำถามป้าสุดาก็ไม่วายเฝ้าจับสังเกตเจ้านายที่ดูแปลกไปมาก โดยเฉพาะกับคุณเจ้าของเธอ คุณนเรศไม่ซ้อมคุณเจ้าหรือไม่ก็ด่าทอเหมือนทุกที แปลก...แปลกมาก

“สุดาไม่มีอะไรทำแล้วหรือถึงได้มายืนจ้องฉันซะขนาดนี้” นเรศว่าไม่จริงจังนักแต่ก็ทำให้ป้าสุดารีบเข้าครัวไปทำงานที่ค้างไว้ทันที เมื่อทั้งห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้งในหัวนเรศก็มีภาพร่างกายขาวอมชมพูดุจไข่มุกแวบเข้ามา น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก นเรศสะบัดหน้าเพื่อไล่ภาพเจ้าจันทร์ออกจากหัว “อา ทำไมต้องคิดถึงแต่ภาพเด็กนั่นด้วย” เขาคำรามก่อนรีบลุกขึ้นเดินลงบันไดตรงดิ่งไปยังคอกม้าทันที




เสียงคลื่นทะเลคละเคล้าไปกับเสียงนกร้อง สายลมพัดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างที่ถูกเปิดรับลม ป้าสุดาเปิดหน้าต่างแล้วก็เดินไปปลุกคนป่วย เสียงอืออางัวเงียตอบรับไม่ยอมตื่น ป้าสุดาเขย่าตัวปลุกอีกหลายทีก็ไม่มีทีท่าว่าคนป่วยจะรู้สึกตัว จนป้าสุดาชักเริ่มเป็นห่วงยกมือขึ้นแตะหน้าผากมน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออุณหภูมิไม่ได้เพิ่มขึ้น

“คุณเจ้าคะ คุณเจ้า” เรียกชื่อก็แล้วเขย่าตัวก็แล้วจนป้าสุดาไม่รู้จะทำยังไง “คุณเจ้าคะวันนี้คุณนเรศจะพาไปโรงพยาบาลตื่นเถอะคะ”

“อือ” เสียงครางยานตอบรับ

“โธ่คุณเจ้าคะเดี๋ยวคุณนเรศดุนะคะ” ป้าสุดาไม่รู้จะทำยังไงต่อก่อนจะสะดุ้งกับเสียงเข้มของเจ้านาย

“เขาตื่นยังสุดา”

“ยังเลยค่ะคุณนเรศ”

“อืม ไม่ต้องปลุกหรอก สุดาไปหาชุดมาฉันจะเปลี่ยนให้เขาจะได้พาไปหาหมอ” ร่างสูงกำยำก้าวเข้ามาในห้องพลางเดินไปนั่งขอบเตียงคนป่วย “ต้องเช็ดตัวก่อนด้วยไหม” ก่อนที่ป้าสุดาจะได้เดินออกไปหาเสื้อผ้าตามคำสั่งก็ต้องเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าเข้าไปในห้องน้ำ อึดใจต่อมาก็กลับออกมาพร้อมกะละมังและผ้าขนหนู ขณะกำลังเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มก็ถูกเสียงทุ้มเอ่ยขัดเสียก่อน “เดี๋ยวฉันจัดการเอง สุดาไปหาชุดเถอะ”

“ค่ะ” สุดาขานรับก่อนรีบย้ายร่างอวบไปห้องของเจ้านายเพื่อหาชุดที่เจ้าจันทร์พอใส่ได้มาเปลี่ยนให้ แต่ก่อนไปก็ไม่วายหันมาบอกเจ้านายที่ทำตาดุขึ้นทันควัน “เช็ดแค่ตัวนะคะอย่าให้เลยเถิด คุณเจ้าไม่สบาย” คำว่าไม่สบายถูกเน้นหนักจนคนฟังขมวดคิ้ว

“รู้แล้วน่าไม่ทำอะไรหรอก” นเรศตอบกลับก่อนจะหันมาสนใจเช็ดตัวคนป่วยอย่างตั้งใจ

“อื้อ หนาว” เสียงแหบครางฮือพลางถอยกายหนี

“เช็ดตัวแปบเดี๋ยวก็เสร็จ” นเรศเอ่ยปลอบโดยไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเพียงใด

ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวขัดใจแต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้ เมื่อร่างกายรับรู้ถึงความเปียกชื้นดวงตาโศกจึงค่อยๆ ปรือขึ้นมา ภาพพล่าเบลอตรงหน้าทำให้ต้องหลับตาแล้วเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนคิ้วเรียวก็ขมวดจนแทบผูกเป็นปม

“ป้าสุดาไปไหน”

“ไปหาเสื้อผ้าให้นาย”

“ไม่เป็นไรผมทำเองได้” เจ้าจันทร์ลุกขึ้นนั่งยื่นมือเตรียมจะแย่งผ้าขนหนูมาเช็ดให้ตัวเอง แต่ฝ่ามือใหญ่กลับเบี่ยงหลบ

“จะอวดเก่งทำไม นอนนิ่งๆ ให้ฉันเช็ดตัวเถอะ” เขาตำหนิ

เจ้าจันทร์อ้าปากเตรียมจะปฏิเสธอีกครั้งก็ต้องหุบปากฉับกับตาดุๆ ที่ตวัดใส่ คิ้วเรียวจึงกดลึกแล้วยอมเงียบปากไป ปล่อยให้นเรศทำตามใจ เขาอยากจะทำอะไรก็เชิญ เจ้าจันทร์ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ ขยับตามคำสั่งของเขา เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดี เจ้าจันทร์ก็อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์ตัวใหญ่พับขาไปเกือบครึ่ง นเรศมองดูแล้วถึงกลับทนไม่ไหวอีกต่อไปปล่อยเสียงหัวเราะฮาๆ อย่างไม่ไว้หน้า ดวงตาโศกจึงค้อนขวับส่งให้จนตาแทบทะลุออกนอกเบ้า ริมฝีปากสีซีดจึงปิดแน่นเป็นเส้นตรง

“ใส่แบบนี้ไปก่อน ขึ้นฝั่งเดี๋ยวหาซื้อให้ใหม่” เขาเปรยก่อนเดินนำคนป่วยออกไป

“ป้าอยากตามไปด้วยนะคะแต่คุณนเรศไม่ให้ป้าไปด้วย” ป้าสุดากระซิบขณะช่วยพยุงเจ้าจันทร์ที่ยังคงมึนเบลอออกจากห้อง “ตอนนี้คุณนเรศเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นอย่าคิดหนีนะคะป้าไม่อยากให้คุณนเรศกลับมาดุอีกครั้ง” เสียงกระซิบเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงทำให้เจ้าจันทร์พยักหน้ารับคำ ต่อให้อยากจะหนีแค่ไหนดูสภาพตอนนี้คงไปไหนไม่พ้น

เมื่อมาถึงท่าเรือก็เจอนเรศยืนหน้านิ่งรออยู่ก่อนแล้ว ป้าสุดาสวมเสื้อแขนยาวตัวใหญ่ให้เจ้าจันทร์ขณะปากพร่ำบอกห้ามโดนละอองน้ำ ทั้งยังยื่นผ้าคลุมศีรษะให้อีกชั้น เจ้าจันทร์ถึงได้ถูกปล่อยตัวเดินตานเรศที่ลงเรือไปก่อนแล้ว เจ้าจันทร์แสดงสีหน้ากังวลยืนบนท่า ไม่รู้จะลงเรือด้วยสภาพทุลักทุเลนี้ยังไง

เมื่อเห็นท่าทางเก้กังของเจ้าจันทร์ลูกน้องของนเรศที่ทำหน้าที่ขับเรือก็กระโดนขึ้นท่าเรือ เขาทำท่าจะอุ้มเจ้าจันทร์ที่ยืนหน้าแดงก่ำ แต่ต้องชะงักกับเสียงทุ้มของผู้เป็นนาย

“สิงห์มึงลงมา!”

นายสิงห์เมื่อได้ยินคำสั่งก็ถอยห่างกระโดดลงเรือทันที ต่อมาจึงได้ยินเจ้าจันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อถูกอุ้มลงเรือ แขนเรียวเกาะลำคอแน่นเพราะกลัวตก แม้จะรู้สึกเจ็บที่อีกฝ่ายกอดรัดแน่นราวกับกำลังโกรธใครมาก็ไม่กล้าปริปากด่าเขาเหมือนทุกที นเรศวางเจ้าจันทร์ไว้บนเบาะนั่งก่อนถอยออกห่างจากเจ้าจันทร์เล็กน้อยแล้วนั่งลง

ตัวเรือออกตัวแล่นบนทะเลเกิดเป็นกระแสคลื่นสีขาวกระจายตามหลัง ที่นั่งโยกไหวเอนขึ้นลงตามคลื่นทะเลพาให้คนป่วยเริ่มรู้สึกเวียนหัว เจ้าจันทร์หลับตาแน่นรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนจนต้องเอนกายไปกับเบาะนั่ง ใบหน้าหวานที่เดิมซีดเซียวด้วยพิษไข้อยู่แล้วตอนนี้ยิ่งซีดเหลืองเข้าไปใหญ่ ก้อนมวลบางอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่คอ เจ้าจันทร์ลืมตาพรึบทิ้งผ้าที่คลุมกายแล้วถลาวิ่งไปท้ายเรือ โก่งคออาเจียนจนหมดแรง เจ้าจันทร์รูสึกเวียนหัวหนักขึ้นกว่าเดิมจนไม่สามารถเดินกลับมานั่งที่ได้

ร่างสูงใหญ่ของนเรศตามมาติดยืนซ้อนหลังเจ้าจันทร์ ท่อนแขนกำยำตวัดรอบเอวเล็กดึงเข้าหาตัว เจ้าจันทร์ทำท่าผงะตกใจตั้งท่าจะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา “แค่จะประคองกลับไป” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งยังทำตามอย่างที่พูดด้วยการประคองเจ้าจันทร์กลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม ฝ่ามือหนาหยาบเล็กน้อยยกขึ้นแตะหน้าผากมนก่อนคิ้วเข้มจะขมวด “ไข้ขึ้น ไม่น่าพาขึ้นฝั่งน่าจะเรียกหมอมาแทน” เขาบ่นพึมพำ ดวงตาคมกริบสีอำพันจ้องมองร่างที่อ่อนแรงปวกเปียก เขาหยิบผ้าขึ้นคลี่คลุมแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาซบอก พลางกล่าวสำทับเมื่อเจ้าจันทร์ทำท่าจะดิ้น “นอนไปจะได้ไม่ต้องลุกมาอ้วกให้เหนื่อย”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกล่าวติดจะดุหน่อยๆ แบบนั้นเจ้าจันทร์จึงยอมนั่งนิ่งอิงซบแผ่นอกแกร่งของชายหนุ่ม หูแว่วได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะหนักแน่นมั่นคง ราวกับมีเพลงกล่อมและให้ความรู้สึกปลอดภัย ดวงตาโศกจึงค่อยๆ ปรือปิดหลับใหลไปในที่สุด




*************************************
เกือบลืมลงนิยายแน่ะ  ดีนะที่นึกได้ตอนกำลังสระผม ฮ่าๆ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นด้วยนะจ้ะ อย่าลืมเม้นติเม้นชมนะออเจ้าทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 28-03-2018 23:42:50
ติดตามน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-03-2018 00:59:41
แหมๆๆมาหยอดแบบนี้น้องเจ้าก็ใจอ่อนนะสิ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 10 เป่าก่อนสิคะคุณนเรศ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-03-2018 02:48:23
แทนที่จะถามความจริงทางจันทร์ ก็ไม่ถาม เล่นทำตัวแบบนี้จันทร์ประสาทเสียก่อนชัวส์   :sad5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 29-03-2018 19:26:41
บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์

เจ้าจันทร์รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีบางอย่างเย็นเฉียบแนบสัมผัสบริเวณหน้าอก นิ้วแกร่งแตะลงเป็นเชิงปลอบพลางระบายรอยยิ้มให้ หมอบูมดึงสเตโทสโคป(หูฟังแพทย์)ออกจากหูแล้วช่วยประคองให้เจ้าจันทร์ลุกขึ้นนั่ง เจ้าจันทร์ขยับตามด้วยท่าทีมึนงง ไม่เข้าใจว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงทั้งที่ก่อนหน้าหลับอยู่บนเรือ และยังพิง....ช่างมันเถอะ

“เป็นไข้หวัดธรรมดาไม่น่าเป็นห่วงครับ แต่ว่าที่น่าห่วงคือ...” หมอบูมลากเสียงยาวขณะเหลือบสายตามองต่ำบริเวณกลางลำตัวของเจ้าจันทร์ “เอาเป็นว่าช่องทางพิเศษนี้ หมออยากจะให้หยุดใช้งานไปก่อนชั่วคราวก่อนจนกว่าจะหายดี”

เจ้าของช่องทางพิเศษสะดุ้งหน้ามืดครึ้มทันควันที่หมอบูมพูดจบ แต่คนฟังอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องกลับมีสีหน้าเรียบเฉยจนหมอบูมไม่รู้ว่าจะทำตามหรือเปล่า

“ตรวจเสร็จแล้วรอรับยาได้ที่ช่องรับยาเลยนะครับ”

เจ้าจันทร์ยกมือไหว้ลาชายหนุ่มก่อนถูกคนตัวใหญ่ประคองไปรอรับยา อึดใจต่อมาเจ้าจันทร์ก็ได้รับห่อยาที่ข้างในบรรจุซองยาอีกหลายชนิด นเรศเดินนำไปโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง วันนี้เจ้าจันทร์ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนนเรศจะเดินช้ากว่าทุกทีราวกับว่ารอเจ้าจันทร์ที่เดินตามต้อยๆ พอถึงรถก็พาขึ้นรถแล่นไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับ เจ้าจันทร์หันไปถามนเรศที่กำลังตั้งใจขับรถ

“จะไปไหน”

“ถึงก็รู้เอง” คำตอบที่ได้ไม่ช่วยให้ความกระจ่างทั้งยังติดจะกวนอยู่หน่อยๆ จนเจ้าจันทร์ไม่สนใจที่จะถามอีก

รถยนต์คันหรูสีดำขลับของนเรศแล่นเข้ามาจอดในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เขาพยักพเยิดหน้าให้เจ้าจันทร์ตามไป ใจจริงอยากจะปฏิเสธเพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวอีกแล้ว แต่เจ้าจันทร์ก็ต้องจำใจเดินตามเขาต้อยๆ

นเรศเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ พนักงานเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพูดคุยเป็นกันเองก่อนผายมือเชิญไปยังโต๊ะว่างติดมุมที่ดูให้ความส่วนตัว เจ้าจันทร์ที่กำลังเดินตามจู่ๆ ก็รู้สึกพื้นเอียงกะเท่เร่จนต้องยกมือไขว่คว้าหาที่ยึด

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” เสียงนุ่มหูเอ่ยถามอยู่ข้างแก้มพร้อมทั้งใช้ท่อนแขนโอบกระชับตัวเจ้าจันทร์

ความรู้สึกมึนเบลอยังไม่จางหายจึงได้แต่หันไปกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “ขอบคุณครับ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ติดตรงผมสีทองสว่างเตะตาที่ชวนให้อีกฝ่ายแทบจะดูเด็กลงอีกเท่าตัว เจ้าจันทร์ตั้งท่าจะผละตัวออกแต่อีกฝ่ายกลับยึดกระชับเอวไว้ไม่ยอมปล่อย ลอยหน้าลอยตาอมยิ้มจนเจ้าจันทร์ต้องขมวดคิ้ว

“ให้ผมไปส่งนะครับ” อีกฝ่ายอาสาเปลี่ยนจากกระชับเอวเป็นโอบประครองแทน

“ปล่อยครับ” เจ้าจันทร์กล่าวด้วยความสุภาพพยายามขืนตัวออก

เสียงจุ๊ปากดังคลอเคลียข้างแก้มคล้ายตั้งใจไม่ตั้งใจ ลมหายใจอุ่นร้อนรดแก้มจนน่ากลัวว่าหากขยับมากเกินจมูกโด่งนั้นคงเฉียดแก้ม เจ้าจันทร์จึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้กระทั่งก้าวเดิน จนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายประคองร่างเพรียวเสียเอง

“นั่งโต๊ะไหนครับ” เขาถามเสียงนุ่มชิดใบหูจนขนลุกตั้งชัน

เจ้าจันทร์ตั้งท่าเตรียมวิ่งแต่ก็ไม่ทันแรงกระชากจากฝ่ามือแกร่ง ที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยร่างเพรียวบางก็เซถลาปะทะกับอกกว้าง เจ้าจันทร์หลับตาปี๋เตรียมรอรับคำด่าทอจากนเรศ แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบผิดคาด อึดใจต่อมาจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ตวัดท่อนรัดเอวเล็กจนแทบไม่เหลือที่ว่าง

เจ้าหนุ่มผมทองแอบตกตะลึงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ พึมพำกับตัวเอง “น่าเสียดายมากับแฟน...หึงแรงซะด้วย” ประโยคท่อนท้ายแอบสั่นสะพรึงกับนัยน์ตาคมดุดันจ้องมองมาอย่างเงียบๆ เจ้าหนุ่มหัวทองฉีกยิ้มให้ร่างสูงตรงหน้าก่อนโบกมือลาเจ้าจันทร์แล้วรีบถอยห่าง เมื่อลางสังหรณ์ส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าไม่รีบมีหวังเละแน่งานนี้

“เป็นอะไรถึงไปออเซาะมัน อยากได้ผัวเพิ่ม?” เสียงกัดฟันกรอดจนเห็นกรามเด่นชัด แรงบีบบนสะโพกแรงขึ้นจนต้องเบ้หน้า

“ใครมันอยากจะได้ผัว คุณนั้นแหละเป็นอะไรมากหรือเปล่าอยากจะทำร้ายผมก็เอาไว้วันหลัง วันนี้ผมไม่มีแรงมาให้คุณทำร้ายหรอก เหนื่อย เวียนหัวจะแย่แล้ว หรือถ้าอยากทำร้ายก็รีบทำ จะต่อยผมจนสลบก็ได้...จะได้พักสักที” เจ้าจันทร์หมดแรงที่จะต่อกรกับเขาแล้ว ที่ยืนอยู่ได้ตอนนี้ก็เพราะได้ร่างสูงใหญ่ของเขาเป็นหลักยึด ไม่อย่างนั้นคงล้มลงกองกับพื้นให้นเรศได้หัวเราะ

ไม่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มต่อประโยค นเรศยืนนิ่งเหมือนคนที่กำลังพยายามระงับอารมณ์ “อย่าทำแบบนั้นอีกฉันไม่ไม่ชอบ” คิ้วเรียวขมวดฉับ ชอบไม่ชอบทำไมเจ้าจันทร์จะต้องฟังคำสั่งเขาด้วย

ขณะกำลังถกเถียงอีกฝ่ายในใจร่างก็ลอยขึ้นเหนือพื้นจนต้องกอดลำคอหนาแน่น ดวงตาโศกเบิกค้าง ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ ก่อนจะร้องบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “คุณปล่อยผมลงนะ” เจ้าจันทร์แทบจะมุดดินหนีความอับอาย เมื่อสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมาทั้งยังหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ ตั้งท่าเตรียมจะดิ้นก็ถูกอีกฝ่ายดุเข้าให้

“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวโยนลงตรงนี้ซะนี่” ได้ผลทันทีเมื่อเจ้าจันทร์หยุดดิ้น ทั้งยังเริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่รู้ว่าโกรธจนเลือดลมขึ้นหน้าหรือว่าไข้ขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เจ้าจันทร์อยากจะกระทืบร่างสูงนี้ให้จมดินสักครั้ง เมื่อนเรศวางลงบนเก้าอี้ในมุมส่วนตัวเจ้าจันทร์ก็ตั้งท่าเตรียมต่อว่าเขาทันที แต่น้ำเสียงห้าวติดดุก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ไหวทำไมไม่บอก แล้วไปยืนออเซาะไอ้หัวทองนั้นทำไม”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ตัวผม ความคิดก็ของผม ผมจะไปยืนออเซาะเกาะใครที่ไหนก็เรื่องของผม คุณไม่...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคนเรศก็แทรกขึ้น

“ไม่เกี่ยว หึ ฉันเป็นผัวมีสิทธิ์ในตัวนายทุกอย่าง” ฝ่ามือเล็กกำแน่นเข้าหากัน ใบหน้าหวานแดงก่ำทั้งด้วยพิษไข้และความโกรธที่กำลังเดือดจัด “หรือจะเถียงว่าไม่ใช่ ให้ฉันช่วยตอกย้ำให้ตรงนี้ไหม” ไม่ว่าเปล่าแต่นเรศยังยื่นหน้าข้ามโต๊ะประชิดอีกฝ่ายทันที

เจ้าจันทร์ผงะกับใบหน้าชายหนุ่มที่ยื่นเข้าหาอย่างกะทันหัน ริมฝีปากเม้มแน่นบ่งบอกว่าโกรธจัด และก่อนที่ทั้งคู่จะได้โต้เถียงกันไปมากกว่านี้ พนักงานในร้านก็เข้ามาพร้อมกับรายการอาหาร

หญิงสาวที่รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุได้แต่ยืนอึดอัดระหว่างลูกค้าชายทั้งสอง รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าทั้งที่ในใจอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ซะ แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยถามชายหนุ่มร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสุภาพ “รับอะไรดีคะ”

“โจ๊ก น้ำอุ่นหนึ่งแก้ว...” แล้วนเรศก็สั่งอาหารอีกสองสามอย่าง

“แล้วคุณลูกค้าท่านนี้ต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหมคะ”

เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทันทีพร้อมบอกปฏิเสธ “ไม่ครับ”

“กรุณารอสักครู่นะคะ” พอจบประโยคพนักงานสาวก็ผละจากไป

เมื่อพนักงานสาวจากไปแล้วรอบบริเวณจึงได้ยินแต่เสียงเพลงคลอเบาๆ ฟังสบายหูจากร้าน อารมณ์เดือดปุดทะลุร้อยองศาก่อนหน้าจึงทุเลาเบาลง เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยพึมพำขอบคุณร่างสูงที่อุตส่าห์สั่งอาหารให้

“ขอบคุณครับ”

“อืม” เขาขานรับอย่างไม่ใส่ใจขณะยกแก้วน้ำที่พนักงานสาวนำมาเสิร์ฟขึ้นจิบ

เมื่ออาหารที่สั่งถูกยกมาเสิร์ฟจนครบทั้งคู่ก็ลงมือทานอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างไม่ถกเถียงอะไรกันอีก จนเจ้าจันทร์ที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำวางช้อนลง นเรศจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งขมวดคิ้ว

“ผมอิ่มแล้ว” เจ้าจันทร์บอกด้วยน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยๆ

นเรศมองดูแล้วก็รวบช้อนตามก่อนหันไปเรียกพนักงานสาวมาคิดค่าอาหาร เมื่อจัดแจงจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปคว้ามือเจ้าจันทร์ฉุดขึ้นจากเก้าอี้เบาๆ เจ้าจันทร์คร้านที่จะพูดกับนเรศจึงลุกเดินตามเขาเงียบๆ เมื่อมาถึงลานจอดรถเจ้าจันทร์ก็ทิ้งร่างอ่อนแรงขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ ตั้งท่าจะหลับด้วยความอ่อนเพลียกลับต้องลืมตาตื่นเมื่อเบาะถูกปรับระดับ ฝ่ามือรีบดันหน้าอกที่อยู่ไม่ไกลอัตโนมัติ อุณหภูมิร้อนจากกายอีกฝ่ายแผ่เข้าครอบคลุมจนเกิดความอบอุ่น ดวงตาโศกจ้องมองใบหน้าคมเข้มลอยอยู่ไม่ห่างจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนรีบหลบสายตาเมื่อเขาละสายตาจากการปรับระดับเบาะลงมาสบ

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นวางบนหน้าผากเล็ก “รออยู่ที่นี่ฉันจะไปซื้อของให้” เขาขยับถอยหางเล็กน้อยในขณะที่มือยังค้ำยันเบาะเหนือศีรษะเจ้าจันทร์ “ไข้ขึ้นขนาดนี้หวังว่านายคงไม่คิดหนี ถ้าหนีละก็เราได้เห็นดีกัน” นิ้วชี้ตวัดใส่หน้าประกอบน้ำเสียงดุดัน

“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจใส่อีกฝ่ายก่อนเสหน้าหลบ ทั้งเหนื่อยทั้งเวียนหัวขนาดนี้คงหนีไปได้หรอก ถ้าหนีเชื่อสิว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีก็โดนลากกลับมา ดวงตาโศกปิดลงบ่งบอกว่าไม่อยากจะเสวนากับเขาต่อ

นเรศปิดประตูรถก่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นต่อสาย ถึงแม้ว่าเจ้าจันทร์ในตอนนี้ดูจะหมดฤทธิ์แต่เขาก็ไม่วางใจ รีบไปรีบกลับน่าจะดีกว่า

สิบนาทีต่อมานเรศก็กลับมาพร้อมข้าวของเต็มไม้เต็มมือ โยนทุกอย่างไปเบาะท้ายรถ เมื่อหันกลับมาก็ต้องหยุดสายตากับใบหน้าหวานเกินชายนอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ นเรศชะโงกตัวกลับไปหลังเบาะค้นหาบางสิ่ง เขายกยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ของที่ต้องการ รีบติดแผ่นเจลลดไข้ให้กับคนป่วย เจ้าจันทร์ขยับกายร้องอืออาเล็กน้อยก็นิ่งไป นเรศยังหันกลับมาควานหาผ้าคลี่ห่มให้อีกทีก่อนออกรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมหนึ่งในกิจการของเขา




ความอบอุ่นที่คลุมกายถูกยื้อแย่งไปเจ้าจันทร์จึงอดไม่ได้ที่จะร้องครางฮือยื่นมือออกไขว่คว้าตาม นเรศยืนมองคนป่วยที่เขาเพียรพยายามปลุกด้วยสีหน้าระอา เมื่อไม่มีทีท่าว่าคนป่วยจะรู้สึกตัว เขาก้มลงเอ่ยเรียกอีกครั้ง...แต่ก็ได้รับเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอตอบกลับมา มันน่านัก...

“เจ้าจันทร์ลุกขึ้นมาทานข้าวกินยาก่อน” ฝ่ามือหนาแตะแขนเล็กเขย่าเบาๆ

ดวงตาโศกค่อยๆ เปิดขึ้นมาก่อนหลับตาลงพลิกหันหลังให้ร่างสูง คิ้วเข้มของนเรศตวัดฉับอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมไม่หิว” เสียงงัวเงียเอ่ยบอกก่อนเงียบไป

“ไม่หิวก็ต้องกิน...เจ้าเด็กนี่” ท้ายประโยคเสียงดุดันขึ้นเมื่อคนป่วยยกผ้าห่มปิดหูเสียอย่างนั้น “โอเค ถ้านายไม่ลุกฉันจะกินนายละนะ” จบประโยคก็ขึ้นคร่อมร่างเพรียว ยื่นใบหน้าหล่อเข้มคลอเคลียจนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดศีรษะเล็ก

“หยุดนะ!” ฝ่ามือเล็กยื่นออกผลักหน้าอกกว้างพลางร้องเสียงหลง จนใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ เจ้าจันทร์ถลึงตาใส่เจ้าคนที่คร่อมทับอยู่ด้วยความรู้สึกโกรธเคือง ยิ่งทำให้อาการปวดหัวแล่นจี๊ดขึ้นจนต้องนิ่วหน้า “คุณไม่มีอะไรทำแล้วหรือยังไงถึงได้มารังแกคนป่วยอย่างผม” ดวงตาโศกค้อนขวับ ริมฝีปากเม้มแน่นไม่พอใจ

เขากลับว่าง่ายๆ “ก็ลุกซะสิ”

“...” เจ้าจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขี้คร้านจะเถียงกับเขาให้เหนื่อยเปล่าๆ “คุณก็ออกไปสิ...ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน?” ฝ่ามือเล็กดันแผ่นอกหนาเบาๆ ก่อนลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาโศกเพิ่งสังเกตรอบตัว ห้องนอนโทนสีน้ำตาลอ่อนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูร่วมสมัยซึ่งดูแล้วล้วนเป็นงานฝีมือ ยามเมื่อมองออกไปนอกกระจกใส เกลียวคลื่นทะเลหยอกล้อแสงอาทิตย์ระยิบตา ท้องทะเลอันดามันที่สวยไม่แพ้ที่ใดในโลกทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงตาโศกเบิกค้างด้วยความตะลึง สถานที่แห่งนี้ช่างงดงามราวกับภาพมายาในความฝัน

กลิ่นไอเค็มทะเลลอยเข้าปะทะใบหน้าเมื่อประตูเลื่อนเปิดออกด้วยฝีมือคนตัวสูง เขาเปิดออกเล็กน้อยเพียงเพื่อให้คนป่วยได้สัมผัสอากาศภายนอก ก่อนเดินกลับมาแตะปลายคางที่ปากเล็กอ้าค้างนั้นให้หุบลง

“สวยใช่ไหมล่ะ” นเรศอดที่จะยืดอกอวดด้วยความถูมิใจไม่ได้

“ที่นี่ที่ไหน?” เจ้าจันทร์วกกลับมาถามคำถามเดิมที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง

ร่างสูงกลับเดินไปอีกแล้วทางก้มลงถือถาดอาหารกลับมาพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “โรงแรมของฉัน” ช่างเป็นคำถามที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเจ้าจันทร์เลยสักนิด นเรศทิ้งกายลงนั่งขอบเตียงข้างๆ คนป่วย ฝ่ามือหนาประคองถาดวางลงบนหน้าขาแล้วทำท่าจะตักโจ๊กกลิ่นหอมกรุ่นมีไอสีขาวลอยล่องขึ้นมาเป่า

เจ้าจันทร์รีบยกมือห้ามพลางร้องเสียงหลง “ผมกินเองได้ ผมแค่เป็นไข้ไม่ได้เป็นง่อย” ก่อนที่จะต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนป่วยแสดงสีหน้าไม่พอใจกลับมา “ชุดผมหายไปไหน!” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร เจ้าจันทร์ก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่นขัดขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าหวานก้มลงมองสำรวจชุดที่เคยสวมใส่อยู่ มันไม่ใช่ชุดตัวเดิม มันกลายเป็นชุดนอนสีน้ำเงินเรียบ ปกเสื้อสีไข่ ขนาดใหญ่เกินร่างเจ้าจันทร์จนต้องพับแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ให้เดามันคงจะเป็นชุดของชายตรงหน้า

“ฉันลืมซื้อชุดนอนมาให้ นายก็ใส่ของฉันไปก่อน” เขาตอบขณะตักโจ๊กขึ้นเป่าแล้วยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากซีดขาว

“ผมทานเองได้” เจ้าจันทร์ยังยื่นกราน

“...” นเรศถอนหายใจไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก จึงยกถาดไปวางไว้บนตักคนป่วย เจ้าจันทร์รีบคว้าช้อนไปครองราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจทำท่าทีประหลาดใส่อีก เมื่ออีกฝ่ายยอมทานโจ๊กแต่โดยดีนเรศจึงทำเพียงนั่งมองเงียบๆ

ขณะที่เจ้าจันทร์พยายามตั้งหน้าตั้งตากินเพื่อละความสนใจจากชายหนุ่มที่นั่งจ้องอยู่ ฝ่ามือหนาก็วางบนหน้าผากเล็ก คิ้วหนาขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอก

“ไข้ลดแล้ว พักอยู่ที่นี่อีกสักวันค่อยกลับเกาะ” เขาว่าซึ่งเจ้าจันทร์ไม่มีทางที่จะสามารถออกความเห็นได้ นเรศเฝ้าสังเกตเสี้ยวใบหน้าหวานที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานโจ๊กอยู่ แพขนตางอนยาวเรียงกันเป็นแพกระพือขึ้นลง จมูกโด่งสวยได้รูป เข้ากับริมฝีปากบางมีมุมโค้งขึ้นคล้ายยิ้มอยู่ตลอด ทุกอย่างดูลงตัวไปกับโครงหน้าเรียว เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ไม่อาจละสายตาได้ แม้จะมองเจ้าจันทร์ตาไม่กะพริบแต่มือยังทำหน้าที่แกะยาส่งให้อีกฝ่ายพร้อมแก้วน้ำอุ่น

“ขอบคุณ” เจ้าจันทร์พึมพำเสียงเบาหวิวแทบกลายเป็นกระซิบขณะส่งแก้วเปล่าคืนให้ชายหนุ่ม

“นั่งเล่นอยู่ในนี้แหละ ถ้าง่วงก็นอนไป ฉันจะไปทำงานก่อนเดี๋ยวจะส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อน” มือใหญ่แกะเจลลดไข้ติดบนหน้าผากเล็ก ที่คนป่วยเสหน้าหลบเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้เขาทำให้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอย่างจำใจ เมื่อทุกอย่างดูเรียบร้อยแล้วนเรศก็เดินออกไปพร้อมกับถาดอาหาร

“จู่ๆ ก็มาดูแลพิลึกคน เดี๋ยวผีเข้าเดี๋ยวผีออก” เจ้าจันทร์อดที่จะบ่นพึมพำกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ได้ เมื่อความเงียบสงบกลับคืนมา เจ้าจันทร์ทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหน้ามองออกไปยังทะเล ฟังเสียงคลื่นสบายหูคละเคล้าไปกับเสียงนกร้องที่ช่วยให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพียงไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้ผล็อยหลับไป
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-03-2018 20:18:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 29-03-2018 20:35:09
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-03-2018 20:46:16
ใจอ่อนยังเจ้าจันทร์
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 11 ว่าด้วยเรื่องสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-03-2018 00:43:13
นี่เขาเรียกว่าดูแลแล้วหรอ แบบนี้ที่บ้านเรียกบังคับอ่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 30-03-2018 19:09:48
บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน

เจ้าจันทร์รู้สึกคล้ายพบเจอเรื่องสุดแปลกประหลาด เมื่อนเรศปฏิบัติกับตัวเองดีขึ้นราวกับพลิกฝ่าเท้าเป็นหน้ามือ เขาดูแล พูดจา...ดีขึ้น แม้จะดุและมีถกเถียงกันอยู่ตลอด แต่นเรศไม่ได้เอะอะก็ต่อย เอะอะก็ซ้อม หรือไม่ก็พ่นคำด่าเจ็บแสบแล้วทำร้ายเจ้าจันทร์เช่นก่อนหน้า เขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นในสายตาเจ้าจันทร์ทันที

เรือโคลงเคลงเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตามคลื่นที่ปะทะ ร่างเล็กลุกพรวดเซถลาเข้าเกาะท้ายเรือ “อ๊อก...อ้วก” เศษอาหารเมื่อเช้าที่ยังไม่ย่อยดีถูกขย้อนออกมาจนหมด เจ้าจันทร์อาเจียนจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ใบหน้าหวานแดงก่ำแต่ปากกับซีดขาว

นเรศตามออกมาช่วยประคองไม่ให้เจ้าจันทร์ตกจากเรือขณะมือก็ยกขึ้นแตะตามตัวเจ้าจันทร์ คิ้วหนาขมวดเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มๆ ราวกับไข้จะกลับมา “ตอนนั้นนายไม่เป็นแบบนี้”

จบประโยคดวงตาโศกก็ตวัดค้อนขวับ “ก็ตอนนั้นผมสลบนี่ ผมจะไปรู้สึกเมาเรือได้ยังไง” เจ้าจันทร์ผละตัวออกมาจากร่างสูงเดินซวนเซกลับไปนั่งหมดแรงบนเบาะ นเรศตามกลับเข้ามาคลี่ผ้าห่มคลุมกายให้ขณะกล่าวด้วยเสียงทุ้มก่อนดึงศีรษะเล็กซบลงบนไหล่

“นอนซะ จะได้ไม่ต้องวิ่งออกไปอ้วก”

“ผมไม่ได้อยากจะอ้วกสักหน่อย” แม้จะหมดแรงจนต้องปล่อยให้อีกฝ่ายดึงไปซบไหล่หนา แต่เจ้าจันทร์ก็อดที่จะเถียงชายหนุ่มไม่ได้ ถึงไหล่หนาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจะทำให้ซบแล้วสบายไม่น้อยก็ตาม

เจ้าจันทร์เอนซบชายหนุ่มอยู่อย่างนั้นจนถูกปลุกอีกครั้งเมื่อเรือจอดเทียบท่าเกาะ เกาะนรกที่เจ้าจันทร์เคยเปรียบเทียบให้นเรศที่เป็นเจ้าของเกาะเป็นพญามัจจุราช สิงห์คนขับเรือดับเครื่องยนต์ยังไม่ทันเสร็จดีนเรศก็กระโดดขึ้นไปยืนสง่าบนท่าเรือแล้ว เจ้าจันทร์ยืนมองชายหนุ่มด้วยสายตาอิจฉาเมื่อไม่สามารถทำแบบเขาได้ เพราะความสูงที่ต่างกันลิบ เจ้าตัวจึงต้องพยายามปีนด้วยความยากลำบาก แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อร่างลอยวูบหนึ่งปลายเท้าก็เหยียบบนพื้นท่าเรือเสียแล้ว เจ้าจันทร์ส่งเสียงเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มแผ่วเบาขณะรีบถอยออกมาจากวงแขนของเขา

ตึก...ตัก ตึก ตัก ตึกตักๆ ๆ ๆ

หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอพลันรัวกระหน่ำสูบฉีดจนแทบทะลุอก ใบหน้าหวานจึงรีบเสหลบสายตาคมที่คอยจ้องมองอยู่

“คุณนเรศ คุณเจ้ากลับมาแล้ว” เสียงร้องด้วยความดีใจจากป้าสุดาพร้อมร่างอวบวิ่งตึงๆ มายืนหอบแฮกๆ อยู่ไม่ห่าง เจ้าจันทร์ฉีกยิ้มรีบโผล่ตัวเข้าสู่อ้อมแขนที่อ้ารับด้วยความเต็มใจ มืออวบลูบศีรษะในขณะที่ปากก็เอ่ยรับขวัญ “ขวัญเอ๊ยขวัญมา อย่าได้ป่วยอย่าได้ไข้อีกเลยนะคะ คุณนเรศบอกป้าก่อนจะกลับว่าดีขึ้นแล้ว ไหนดูสินั่งเรือตากลมมาแบบนี้ไข้จะกลับมาหรือเปล่า”

เจ้าจันทร์ยืนนิ่งขณะปล่อยให้ป้าสุดายื่นมือทาบหน้าผาก

“คุณนเรศขา...” เสียงร้องแหลมบาดแก้วหูดังมาก่อนร่างเล็กของหญิงสาวในชุดแม็กซี่เดรสลายดอกสีฟ้าสดใส สวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลอ่อน มาพร้อมกับแว่นกันแดดสีชาบังหน้าไปเสียครึ่งหน้า เธอวิ่งแทรกเจ้าจันทร์กับป้าสุดถลาใส่นเรศบดเบียดหน้าอกเกินมาตรฐานกับอกกว้าง พลางเงยหน้ายกยิ้มสดใสด้วยริมฝีปากสีแดงสด “ลิสาคิดถึงคุณนเรศมากเลยค่ะ” เธอออดอ้อนเสียงหวานดูราวกับลูกแมวกับลังเรียกความสนใจจากเจ้าของ

“ผมก็คิดถึงลิสาเหมือนกัน” เขาว่าพลางก้มลงจุมพิตบนหน้าผากมน

รอยยิ้มหวานยิ่งกว้างกับคำกล่าวของชายหนุ่ม ลิสาดึงแขนล่ำสันมากอดพลางแนบใบหน้ากับมัดกล้ามด้วยความเขินอาย “ลิสาเตรียมของว่างไว้ให้คุณแล้วค่ะ” เธอทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยนคล้ายเขินอายเกินกว่าจะพูด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถออกแรงจูงเข้าตรงดิ่งเข้าบ้านพักหรูของนเรศทันที

ขณะร่างสูงเดินผ่านเจ้าจันทร์รีบเบี่ยงกายหลบให้คนทั้งคู่ผ่านไป นเรศหันกลับมามองเจ้าจันทร์ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะโอบไหล่เล็กบางของลิสาพากันมุ่งหน้าไปกินของว่าง

ป้าสุดายกมือเท้าสะเอวในขณะที่ปากก็บ่นตามร่างคนทั้งสอง “นางลิสานี่มันชักจะเอาใหญ่ มันคงคิดว่าได้นอนกับคุณนเรศแล้วจะได้เป็นเมีย เฮอะ ฝันอีกสักสิบชาติก็คงไม่ได้เป็น ใจหนึ่งป้าก็นึกสงสารมันนะคะ” ท้ายประโยคหันมาบอกกับเจ้าจันทร์ด้วยแววตาส่งสารอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าป้าสุดาจะไม่ชอบนิสัยของลิสานัก แต่ยังไงก็เป็นลูกสาวของเพื่อนที่ทำงานมาด้วยกัน จึงอดที่จะสงสารเธอไม่ได้ “คุณนเรศก็อีกคน อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ไม่ยอมลงหลักปักฐานทำตัวลอยไปลอยมา ไม่รู้ตัวหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าผู้หญิงจ้องจะจับตาเป็นมัน สงสารก็แต่คุณหญิงดาหลาถ้ารู้ว่าลูกชายทำตัวแบบนี้คงได้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก” ป้าสุดายังคงบ่นไม่ยอมหยุด

“คุณหญิงดาหลา? แม่เขาหรือครับ”

“ค่ะ ท่านอยู่กรุงเทพนู้นค่ะ อยู่กับน้องสาวคุณนเรศ คุณชลน่ะค่ะ”

“...” เจ้าจันทร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

ป้าสุดาบ่นให้ฟังอีกหลายประโยคแล้วหันมาชวนเจ้าจันทร์เข้าบ้านก่อนที่ไข้จะกลับมาเสียก่อน เจ้าจันทร์เดินไปพร้อมกับป้าสุดาก่อนจะชะงักกับเส้นทางที่ไม่ใช่กระท่อมโกโรโกโส

“เราจะไปไหนครับ”

“คุณนเรศเขาให้ป้าจัดที่นอนคุณเจ้าไว้ในบ้านน่ะค่ะ” ป้าสุดาตอบพลางเหลือบหางตาไปในบ้านที่ไร้ร่างคู่หนุ่มสาวที่พากันมากินของว่าง สงสัยคงจะย้ายไปกินกันบนห้องแทนแล้วกระมัง

“ผมอยู่ที่กระท่อมสบายใจกว่า” ว่าจบก็เปลี่ยนเส้นทางเบี่ยงหน้าไปยังกระท่อมหลังเก่าในป่า

“โธ่ คุณเจ้าค่ะอย่าเพิ่งหาเรื่องเลยค่ะ” ป้าสุดารีบพาร่างอวบวิ่งตามหลังเด็กหนุ่มจนหอบแฮก ปากก็พร่ำบ่นไม่ยอมหยุด

“ไปอยู่นั่นเดี๋ยวเขาก็ว่าเกะกะลูกตา ผมก็ขี้เกียจมีเรื่อง” เจ้าจันทร์ยังคงสืบเท้าไปยังกระท่อม

ป้าสุดาได้แต่มองสีหน้าจริงจังของเจ้าจันทร์พลางร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างอับจนหนทางที่จะหว่านล้อมให้เจ้าจันทร์ “คุณเจ้าคะ” จึงได้แต่ร้องเรียกเด็กหนุ่มเสียงเบาหวิวแล้ววิ่งตามไป

เจ้าจันทร์ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อให้ป้าสุดาเดินตามได้สะดวก แม้ใจจริงอยากจะเดินหนีเสียงบ่นของป้าสุดาที่พร่ำบอกให้กลับไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็ตาม

อาการเมาเรือทำให้เจ้าจันทร์อ่อนเพลียยิ่งกว่าเดิม เมื่อเข้ามาในกระท่อมก็เตรียมตัวนอนทันที ป้าสุดาเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่างสร้างความอุ่นใจให้กับเจ้าจันทร์นัก จนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงแม่ ไม่รู้ทางนั้นเป็นยังไงบ้างที่จู่ๆ ลูกชายคนเดียวก็หายมาแบบนี้ คิดแล้วพาลน้ำตาจะไหล เจ้าจันทร์คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่

คงเพราะเมื่อยล้าเกินจึงทำให้อ่อนแอง่ายแบบนี้ เจ้าจันทร์พลิกร่างหันหลังให้กับป้าสุดาด้วยไม่อยากให้ป้าสุดากังวล ร้องไห้เงียบๆ จนปวดตาจึงรู้สึกเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น ในขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นพลันหูแว่วได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา

“มีอะไรหรือเจ้าสิงห์” ป้าสุดาร้องทักนายสิงห์เจ้าของร่างสูงใหญ่พอๆ กับนเรศ ผิวคล้ำแดดจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่ใบหน้ากลับดูเป็นมิตรไม่เข้ากับรูปร่าง

“ของคุณเจ้าจันทร์น่ะป้า” นายสิงห์ยื่นถุงเสื้อผ้าหลายใบให้กับป้าสุดา

“ขอบใจเอ็งมากที่เอามาให้ มีอะไรก็ไปทำเถอะคุณเจ้าแค่เหนื่อย” ประโยคท้ายบอกให้นายสิงห์หายห่วง เพราะดูแววตาทอดมองมานั้นก็พอรู้ว่าคงเป็นความห่วงใยตามประสาคนรู้จักกัน นายสิงห์พยักหน้ารับรู้ก่อนเดินออกไป ปล่อยให้ป้าสุดาคอยดูแลเจ้าจันทร์ที่ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว




อากาศเย็นฉ่ำจากแอร์ตกกระทบผิวคลายความร้อนให้สบายตัว แผ่นอกหนาสีแทนเปลือยเปล่าขยับขึ้นลงตามลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ดวงตาคมดุสีอำพันค่อยๆ เปิดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดในห้อง นเรศค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พร้อมเปิดไฟ พลันร่างนุ่มนิ่มไร้อาภรณ์ปกปิดของลิสารีบผวาตามเข้ามากอดก่ายบนแผงอกแกร่ง นเรศหลุบสายตาก้มมองอกอวบอิ่มนุ่มมือยามบีบเค้นที่กำลังเบียดหน้าท้อง แม้ชวนมองไม่น้อยแต่กลับไม่สามารถลบเลือนภาพแผ่นอกราบเรียบนวลเนียนประดับด้วยไข่มุกเม็ดงามไปจากหัวได้ ยิ่งเสียงร้องครวญกระเส่าตามอารมณ์ ลิสาไม่สามารถทำให้เขาหิวกระหายจนบ้าคลั่งได้เหมือนกับอีกคน

มือหนายกขึ้นเสยเส้นผมด้วยความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเยิง ความคิดของนเรศกำลังบอกว่าติดใจรสชาติจากร่างกายของเจ้าจันทร์ ราวกับกำลังติดยาเสพติด จนแม้แต่ร่างกายหญิงสาวเต็มไปด้วยส่วนเว้าโค้งที่เขาเคยหลงใหล ยังไม่สามารถทำให้พึงพอใจอย่างที่พึงพอใจต่อร่างเล็กนั้น นเรศรู้สึกว่าเขากำลังจะบ้า

ยิ่งคิดถึงร่างเปลือยเปล่าที่กำลังบิดเร้าใต้อาณัติของเขายิ่งบ้าคลั่ง นี่เขากำลังเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม ที่แค่คิดถึงเจ้าเด็กนั่นก็มีอารมณ์เสียขนาดนี้ เสียงกัดฟันกรอดขณะพยายามข่มความปวดหนึบบริเวณกลางกาย นเรศหันไปปลุกลิสาขึ้นมารับอารมณ์ที่กำลังบ้าคลั่งของเขา

ลิสาที่แม้ดูงัวเงียและงุนงงกับอารมณ์ราวกับภูเขาไฟปะทุของชายหนุ่ม แต่เธอก็ยังตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน เสียงหวานร้องครางกระเส่ากระตุ้นอารมณ์ ท่าทางยั่วยวน เรียกร้องจากเขาทุกทาง แต่ภาพของลิสากลับพร่าเลือนไปทุกที ในหัวนเรศมีเพียงใบหน้าของเจ้าจันทร์ ใบหน้าบิดเบี้ยวและท่าทางไร้เดียงสาที่เขาอยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า

“วันนี้...อ้า...คุณนเรศดูร้อนแรงจังเลยนะคะ...อื้อ” ลิสาแทบพูดไม่เป็นประโยคเมื่อต้องรองรับอารมณ์จากชายหนุ่ม แม้รุนแรงแต่เธอกลับชอบใจ ทั้งยังรู้สึกเป็นสุขเสียจนอยากจะครอบครองเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว ลิสารู้ตัวว่าเจ้านายไม่ได้จริงจังกับเธอ แต่เธอก็อดที่จะคิดไขว่คว้าที่ว่างขางกายของเขามาเป็นของตัวเองไม่ได้ มันผิดหรือที่เธอรักชายคนนี้หัวปักหัวปำ ผู้คนรอบกายจึงได้เที่ยวขัดขวางเธอกับคุณนเรศ เธอแค่ต้องการทุ่มเทให้เขาทุกอย่างเผื่อสักวันเขาจะหันกลับมามองเธอ และให้เธอเป็นคนสำคัญในตำแหน่งเมียแต่เพียงผู้เดียว “อ้า ลิสามีความสุขจังเลยค่ะ” เธอกรีดร้องดังลั่นปลดปล่อยด้วยความสุขสม ท่อนแขนเรียวกลมกลึงตวัดขึ้นโอบลำคอหนาและลูบไล้หน้าอกแกร่ง หวังปลุกเร้าอารมณ์ดิบของเจ้านายให้ลุกฮือ แต่นเรศกลับลุกพรวดขึ้น เขาเดินตรงดิ่งด้วยร่างกายเปลือยเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจเธออีก

ลิสาได้แต่มองตามแผ่นหลังแกร่งนั้นด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เสียงในใจเฝ้าพร่ำปลอบตัวเอง แม้ว่าวันนี้คุณนเรศจะยังไม่รักเธอ แต่สักวันเธอจะทำให้คุณนเรศรักเธอให้จนได้ วันนี้ได้เพียงแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

เสียงฝักบัวดังซู่ซ่าในห้องน้ำ เพียงอึดใจประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมร่างกายสมส่วน นุ่มผ้าขนหนูผืนเดียวหมิ่นเหม่ นเรศใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากเส้นผม “เธอกลับไปได้แล้ว มืดค่ำป่านนี้ทุกคนอาจเป็นห่วง” ขณะที่เขากำลังเดินไปตู้เสื้อผ้า เลือกชุดนอนใส่สบายสวมใส่อย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยไล่หญิงสาวภายในห้อง

“คุณพ่อรู้ดีว่าลิสาอยู่ที่นี่คะ” เธอฉีกยิ้มกอดผ้าห่มปิดร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาด้วยความรู้สึกเขินอาย เมื่อได้กลิ่นครีมอาบน้ำหอมกรุ่นกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาวไม่น้อย

“เธอควรกลับไป” เขาเอ่ยเพียงสั้นๆ ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ก่อนเดินออไปจากห้องโดยไม่สนใจเสียงที่ร้องตะโกนถามตามหลังมา

“ค่ำแล้วคุณนเรศจะไปไหนคะ” แผ่นหลังแกร่งจากไปโดยไม่เหลียวหลังมามองอีก ลิสาพลันรู้สึกน้อยใจ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องระบายแต่เธอทำไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าหอบเอาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม ลิสามองดูทิศทางที่นเรศเพิ่งเดินไป เธอลังเลว่าจะตามไปหรือไม่ แต่ถ้าตามไปแล้วคุณนเรศไม่พอใจขึ้นมาเธอคงโดนดุ

หญิงสาวไม่อยากโดนดุ ไม่ต้องการให้นเรศรู้สึกไม่พอใจในตัวเธอ ลิสาอยากจะเอาใจเจ้านายทุกอย่าง จึงตัดสินใจเดินกลับบ้านของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเจ้านเรศนัก




********************************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้น
อย่าลืมเม้นติเม้นชมกันด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 30-03-2018 19:46:42
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 30-03-2018 19:54:56
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-03-2018 20:23:51
หวังว่าชะนีคงไม่ไประราน เจ้าจันทร์นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-03-2018 00:30:37
นเรศนะนเรศ ลอยชายไปมาน่าโดนเจ้าจันทร์เทจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 31-03-2018 07:20:45
พายุจะลงเจ้าจันทร์หรือเปล่าเนี่ยถ้ารู้ว่าอยู่ที่กระท่อมึ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 31-03-2018 09:55:04
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 12 ของว่างที่พวกเขาต้องกินบนห้องนอน
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 31-03-2018 18:17:04
เฮ้ออออ เข้าใจเขาผิด ทำร้ายเขา แล้วคิดจะแก้ไขหรือยังคะ? จะเก็บน้องไว้แบบนี้หรอ? ไม่เอาสิ สงสารน้อง

ทำตัวไม่น่ารักแบบนี้เราไม่ยกให้หรอกนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้าย ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 31-03-2018 20:59:45
บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ

นเรศสืบเท้าไปยังห้องข้างๆ ที่เคยสั่งป้าสุดาเตรียมไว้ให้ใครบางคน มือหนายกขึ้นเคาะสองสามทีแต่กลับไร้เสียงตอบรับ คิ้วเข้มจึงขมวดมุ่นไม่น้อย ในใจรู้สึกเป็นห่วงว่าคนที่เพิ่งหายป่วยอาจไข้กลับเพราะตากละอองน้ำ ตากลมทะเลขากลับก็ได้ เวลานี้ยังไม่ดึกมากสุดาน่าจะยังไม่นอน นเรศจึงตะโกนเรียกหาแม่บ้านร่างอวบที่มีห้องพักอยู่ชั้นล่าง

“สุดา” บ้านทั้งบ้านเงียบกริบไร้เสียงตอบรับ หรือว่าสุดาจะหลับแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นก็สืบเท้าไปหยิบกุญแจห้องสำรอง นเรศขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อภายในห้องมืดสนิท บนเตียงไม่มีร่างที่สมควรนอนอยู่ “สุดา! สุดา เจ้าจันทร์หายไปไหน” เขาก็ตะโกนลั่นบ้านด้วยความรู้สึกร้อนรนความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชากออกไปจนโหวงเหวงไปทั้งอก

“ป้าสุดาอยู่กับคุณเจ้าในกระท่อมครับ” โอภาสวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตอบคำถาม เจ้านายที่ได้ฟังคำตอบแล้วดวงตาคมกริบดุดันขึ้นทันควัน

นเรศรู้สึกโกรธจนหัวแทบระเบิดฝีเท้าที่เดินไปยังกระท่อมจึงเร่งเร็วยิ่งขึ้นแทบจะกลายเป็นวิ่ง เมื่อมาถึงกระท่อมมือหนาก็กระชากประตูเปิดผ่างออกทันที

ป้าสุดาที่นั่งสัปหงกอยู่สะดุ้งตื่นก่อนใบหน้าอวบจะซีดเผือดกับใบหน้าถมึงทึงของเจ้านาย ดูท่าแล้วคุณนเรศของเธอคงจะโกรธมากทีเดียว ป้าสุดาพลันรีบแก้ตัวให้เด็กหนุ่มที่นอนหลับอยู่

“คุณเจ้าเธอเหนื่อยเลยเผลอหลับไปค่ะ”

“แล้วทำไมเขามาที่นี่” น้ำเสียงฟังดูดุดันจนป้าสุดาแอบสั่นสะท้าน โอภาสที่ตามหลังเจ้านายหนุ่มมาแอบส่งสายตาเป็นห่วงให้ผู้เป็นป้า

“คะ...คือว่า...”

นเรศไม่รอฟังคำกล่าวใด เขาตรงดิ่งเข้าไปช้อนคนตัวเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่น

“เอ๊ะ! ทำอะไรของคุณ” เจ้าจันทร์หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อจู่ๆ ร่างกายก็ลอยหวือขึ้นจนต้องผวาตวัดท่อนแขนโอบรอบลำคอแกร่งเกาะเกี่ยวเอาไว้

“ชอบนักหรือไงไอ้กระท่อมเก่าๆ นี่” เขากลับเอ่ยประชดแทนเสียอย่างนั้น

เจ้าจันทร์กัดฟันกรอดไม่เข้าใจอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของนเรศ “ก็ที่นี่มันไม่มีความทรงจำร้ายๆ เหมือนในบ้านคุณ” ใบหน้าเจ้าจันทร์ดุดันไม่แพ้กัน จนป้าสุดาและโอภาสที่อยู่ในเหตุการณ์อดที่จะหวาดเสียวไม่ได้

โธ่ คุณเจ้าไม่น่าหาเรื่อง ป้าสุดาได้แต่โอดครวญในใจเมื่อเห็นโทสะลุกโชนขึ้นในดวงตาเจ้านายหนุ่ม

“งั้นฉันทำให้ที่นี่เป็นฝันร้ายของนายอีกเป็นไง”

“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ” ป้าสุดารีบห้ามก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายลงกว่านี้ และก่อนที่คุณนเรศจะทำตามที่พูดให้เจ้าจันทร์ได้เจ็บได้ป่วยหนักอีก

“ปล่อย” เจ้าจันทร์ตวาดเสียงดังขณะพยายามดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่งที่โอบอุ้มอยู่

เสียงกัดฟันกรอดพร้อมกับใบหน้าที่มืดครึ้มลงทุกขณะ นเรศเลือกที่จะเงียบพยายามอุ้มร่างเล็กที่ดิ้นรนขัดขืนกลับเข้าไปในบ้าน เขาเดินผ่านหน้าห้องมืดสนิทที่จัดเตรียมไว้ให้อีกฝ่าย เสียงโวยวายดังขึ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาเดินผ่านแล้วเลี้ยวเข้าห้องถัดไป นเรศทิ้งร่างเล็กลงบนเตียงอย่างไม่ปราณีจนอีกฝ่ายได้แต่ร้องโอดครวญ

“กินข้าวกินยาหรือยัง” เขากระชากเสียงถาม

เจ้าจันทร์เงยใบหน้างอง้ำขึ้นมามอง “ไม่หิวไม่กิน” ก่อนร้องตะโกนใส่หน้าของชายหนุ่มที่พยายามระงับอารมณ์อยู่

“สุดา” ป้าสุดาที่ยืนอยู่หน้าห้องสะดุ้งโหยงพลางรีบขานรับ “ไปหาข้าวมาฉันจะจับกรอกปากคนดื้อด้าน” ป้าสุดาเบิกตาโตด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบกุลีกุจอไปเตรียมอาหารมาให้เจ้านายหนุ่ม

“....” คนดื้อด้านมองหน้าชายหนุ่มแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง รู้สึกโกรธอีกฝ่ายจนแทบกระอัก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรเขาได้ มันน่าเจ็บใจนัก

เวลานี้ยังไม่ดึกมากนักป้าสุดาอุ่นอาหารที่ทำไว้ช่วงหัวค่ำด้วยความเร่งรีบ ก่อนรีบยกขึ้นมาบนห้องเจ้านายหนุ่ม มันเป็นเมนูง่ายๆ ที่ป้าสุดาได้ทำเอาไว้ ถาดข้าวต้มปลาส่งกลิ่นหอมกรุ่นถูกส่งให้นเรศ ชายหนุ่มมองดูใบหน้าที่ไม่ยอมหันมามอง ก่อนจะตั้งท่าจับใบหน้าอีกฝ่ายมาจนป้าสุดาที่มองดูอยู่ร้องเสียงหลง

“จะกินดี ๆ หรือจะให้จับกรอกปากจริงๆ” มือหนาบีบคางเล็กแน่นจนอีกฝ่ายเบ้หน้า แต่แววตายังคงดื้อดึงชวนปวดหัวอยู่ไม่น้อย นเรศปล่อยถาดให้มือเล็กที่ยื่นออกมาแย่ง ใบหน้าหวานนั้นงอง้ำขณะตักโจ๊กปลาคำแล้วคำเล่าอย่างจำใจ “ไปเอายาเขามา” นเรศหันไปสั่งป้าสุดาที่กำลังยกมือลูบออกอย่างคนโล่งใจอยู่

“ค่ะ” ป้าสุดาขานรับขณะหายออกไปตามคำสั่งเจ้านายหนุ่ม

โจ๊กในถ้วยพร่องไปเกือบครึ่งก่อนช้อนจะถูกวางลงบ่งบอกว่าอิ่มแล้ว นเรศตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายทานเพิ่มอีกสักหน่อยถาดโจ๊กก็ถูกยื่นให้ป้าสุดาเสียก่อน เขาส่ายหน้าช้าๆ ขณะยื่นมืออกไปรับยาจากมืออวบของป้าสุดาส่งให้เจ้าจันทร์ เด็กหนุ่มหยิบเม็ดยาจากมือเขาส่งเข้าปากแล้วคว้าแก้วน้ำจากป้าสุดาก่อนที่เขาจะหยิบยื่นให้

“ผมกินเสร็จแล้ว กลับไปได้หรือยัง” เจ้าจันทร์เงยหน้าขึ้นกระแทกเสียงถามคนตัวสูงที่ยืนตระง่านเหนือศีรษะ

“จะกลับไปไหน” นเรศย้อนถาม

“กลับกระท่อม”

“นอนอยู่นี่แหละ สุดาฉันจะเช็ดตัวให้เขา” ตะคอกใส่เจ้าจันทร์เสร็จก็หันไปออกคำสั่งกับป้าสุดา ป้าสุดารีบขานรับพลางพาร่างอวบหายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนกลับออกมาพร้อมกะละมังใบเล็ก

เจ้าจันทร์ร้องลั่นเมื่อเห็นชายหนุ่มทำท่าจะถอดเสื้อตัวเอง “ผมจะอาบน้ำ” ก่อนตะโกนบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าจริงจัง แต่กลับได้รับเสียงเอ็ดสองเสียงแทบผสานกันตอบกลับมา

“ไม่ได้/ไม่ได้ค่ะ” ทั้งป้าสุดาและนเรศตะโกนลั่น

“คุณเจ้ายังไม่หายดีอย่าเพิ่งอาบเลยนะคะ เช็ดตัวไปก่อนเดี๋ยวป้าเช็ดให้ค่ะ” ป้าสุดารีบอาสาก่อนจะเกิดการโต้เถียงไปมาระหว่างคนทั้งคู่ ซึ่งทำให้เจ้าจันทร์พยักหน้ารับอย่างรวดเร็วเพราะดีกว่าที่จะให้นเรศมาเช็ดตัว “คุณนเรศเถอะค่ะทานอะไรหรือยัง สุดาจะได้ให้เจ้าโอภาสไปตั้งโต๊ะให้” ขณะกำลังเลิกเสื้อเผยผิวขาวนวลของเจ้าจันทร์ ป้าสุดาก็หันไปถามเจ้านายหนุ่ม

“อืม” เขาขานรับพลางสืบเท้าออกไป

ป้าสุดาตามออกไปเรียกหลานชายมาดูแลเจ้านายหนุ่มก่อนจะกลับเข้ามาดูแลคนเพิ่งหายป่วย เพียงเวลาไม่นานป้าสุดาก็เช็ดตัวให้เจ้าจันทร์เสร็จ ขณะกำลังเก็บผ้าขนหนูปากก็เอ่ยบอกเด็กหนุ่ม

“คืนนี้คุณเจ้านอนในห้องนี้ไปก่อนนะคะ อย่าเถียงคุณนเรศเลยรายนั้นว่าอย่างไรต้องได้อย่างนั้น ดื้อดึงเป็นที่หนึ่ง” ป้าสุดาทำท่ากระซิบลดเสียงให้เบาลงในประโยคท้าย “พรุ่งนี้ค่อยลองขอย้ายห้องกับคุณนเรศนะคะ”

“แต่ว่า...ผมไม่อยากอยู่ในห้องนี้” เจ้าจันทร์ขมวดคิ้ว ภาพก่อนเข้าห้องสภาพเตียงอันยุ่งเยิง แม้ไม่มีคราบอะไรต่อมิอะไรอย่างที่กลัว แต่เจ้าจันทร์ไม่ชอบอยู่ในห้องนี้ ห้องที่อีกฝ่ายเข้ามากินของว่างกับลิสา ห้องที่พวกเขาเคยมีอะไรกัน เจ้าจันทร์ไม่อยากอยู่ในห้องที่สกปรกแบบนี้

“เดี๋ยวป้ามาเปลี่ยนผ้าปูแล้วก็ผ้าห่มให้ใหม่นะคะ” ป้าสุดาบอกอย่างเห็นใจ ขณะรีบรุดทำตามอย่างที่เอ่ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ผ้าปูที่ถูกเปลี่ยนใหม่มีกลิ่นหอมกรุ่นไอแดดอยู่ไม่น้อยทำให้เจ้าจันทร์รู้สึกสบายใจขึ้น แม้จะนอนมาแทบทั้งวันแต่ยาที่กินเข้าไปก็ยังออกฤทธิ์ได้ดี นั่งคุยเล่นกับป้าสุดาเพียงไม่นานหนังตาก็หนักอึ้งจนแทบยกไม่ขึ้น ป้าสุดาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับหน้าอกพลางระบายรอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่ง เจ้าจันทร์ฝืนยกยิ้มตอบรับก่อนทิ้งสติปล่อยให้ตัวเองจ่มลงสู่ห้วงนิทราอันสงบสุข

เมื่อเจ้าจันทร์หลับไปแล้วป้าสุดาก็เก็บข้าวของก่อนจะออกไป เมื่อออกมาก็เจอเจ้านายของเธอยืนรออยู่หน้าห้อง จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “คุณนเรศไม่เข้าไปหรือคะ”

“ผมขี้เกียจเถียงกับเขา” นเรศถอนหายใจ “เขาหลับแล้วใช่ไหม?”

“เพิ่งหลับไปค่ะ” ป้าสุดาพยักหน้ายืนยันคำตอบ

“ไปพักผ่อนเถอะวันนี้รบกวนมามากแล้ว” นเรศว่าทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าในห้อง ดวงตาคมกริบกวาดมองร่างเพรียวบางที่นอนหลับใหล เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอด้วยใบหน้าสงบ นเรศเดินผ่านเตียงนอนเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนกลับเข้ามาในห้อง ร่างสูงทิ้งกายลงข้างเจ้าจันทร์พลิกกายพยายามนอนหันหลังให้อีกคน นเรศรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ให้อีกฝ่ายมานอนในห้อง คล้ายว่าเขากำลังทรมานตัวเอง กว่าจะข่มตานอนหลับไปได้ก็เกือบรุ่งเช้าเสียแล้ว





เสียงคลื่นทะเลที่ได้ยินจนชิ้นหูในช่วงนี้ยังคงฟังดูไพเราะคลอไปกับเสียงนกร้องเช่นเคย เจ้าจันทร์รู้สึกนอนเต็มอิ่มจนสมองปลอดโปร่ง ดวงตาโศกค่อยๆ ขยับแพขนตาหนากระพือขึ้นรับแสงอรุณ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องกดลึกเมื่อรู้สึกร่างกายคล้ายมีบางอย่างกอดรัดจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งยังใบหน้าซีกขวารู้สึกชาหนึบเพราะแนบสัมผัสอยู่บางสิ่ง บางสิ่งที่มีเสียงเต้นด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ฟังแล้วคล้ายเสียงดนตรีขับกล่อม เจ้าจันทร์สะดุ้งเมื่อสายตาปะทะเข้ากับแผ่นอกแกร่งที่กลายมาเป็นหมอนให้กับตัวเอง และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อร่างกายนอนอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเจ้าของห้อง ท่อนแขนหนาตวัดกอดเอวเล็กกระชับแน่นขึ้นเมื่อเจ้าจันทร์ขยับเป็นสาเหตุให้รู้สึกอึดอัดเมื่อตอนรู้สึกตัว

ไล่สายตาขึ้นไปก็พบกับใบหน้าหล่อเข้มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ ท่าทางดูสงบชวนให้ดูดีขึ้นกว่าตอนตะโกนต่อว่าเจ้าจันทร์เป็นไหนๆ คิ้วหนากดลึกแม้ยามหลับ รอบดวงตาดูคล้ำเล็กน้อยคล้ายคนนอนไม่พอ จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักได้รูป พลันรีบเสสายตาหลบเมื่อจู่ๆ หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นกระหน่ำด้วยความเร็ว เจ้าจันทร์รีบผละกายออกจากอ้อมกอดที่กอดแน่นอยู่ ลุกพรวดขึ้นวิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าที่ป้าสุดาบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเอาของใช้ส่วนตัวของเจ้าตัวมาจัดไว้ให้แล้ว มือเล็กเลือกชุดใส่สบายแล้วรีบจ้ำอ้าวไปสงบสติในห้องน้ำ

เมื่อร่างเพรียวบางลับหายไปในห้องน้ำแล้ว ดวงตาคมกริบก็ลืมขึ้นเปล่งประกายวาววับ มุมปากยกยิ้มขึ้นจนดูมีเสน่ห์เหลือล้น นเรศส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจอยู่กับตัวเอง ขณะที่หูก็คอยฟังเสียงฝักบัวที่ดังเล็ดลอดมาจากห้องน้ำ มือหนากระชับผ้าห่มที่ยังมีกลิ่นไออุ่นจากคนที่เพิ่งวิ่งหายเข้าห้องน้ำไปด้วยความรู้สึกยากที่จะบอก

สาเหตุที่นอนไม่หลับมาค่อนคืนเพราะความคิดที่ตีรวนกันยุ่งเหยิง จากที่ต้องการจับอีกฝ่ายมาลงโทษให้สาสมกับความเจ็บปวดที่น้องสาวของเขาได้รับ แต่เมื่อทุกอย่างเปิดเผย เจ้าจันทร์ไร้ความผิด ความโกรธแค้นชิงชังกลับแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แม้ในตอนแรกนเรศจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายกลับต้องทรมานกับความรู้สึกของตัวเอง...

ความคิดเป็นอันต้องสะดุดเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมา ดวงตาคมกริบหลับลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพยายามผ่อนลมหายใจให้เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่มันช่างยากเย็นเมื่อกลิ่นครีมอาบน้ำหอมกรุ่นลอยปะทะจมูก ทั้งที่เป็นกลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่าง คิ้วเข้มขมวดแน่นจนกระทั้งเจ้าของกลิ่นกายหอมกรุ่นนั้นเดินหายไปจากห้อง ดวงตาคมกริบจึงค่อยๆ ลืมขึ้นมาอีกคราพร้อมทั้งเสียงถอนหายใจอย่างอัดอั้น นเรศไม่สามารถข่มตาหลับได้อีก เขาลุกพรวดขึ้นหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำทันที


***********************************
วันนี้มาช้าหน่อยๆ เพื่อนชวนไปร้านนม กินซะเพลินเลย ฮ่าๆ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้น อย่าลืมเม้นติ เม้นชม เม้นให้กำลังใจเจี๊ยะบ่จ่ายกันด้วยนะออเจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-03-2018 21:58:28
นี่คือบทลงโทษของนเรศ 5555
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-04-2018 00:43:33
ถ้ายอมรับความรู้สึกตัวเองได้แล้วก็ควรจะชัดเจนกับน้องได้แล้วนะคุณนเรศ!
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-04-2018 01:37:41
เมื่อไหร่จะบอกความจริงเสียทีนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 01-04-2018 10:21:17
อัดอั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 01-04-2018 13:19:06
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 13 ที่ไม่มีความทรงจำร้ายๆ
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 01-04-2018 13:44:09
แหมๆๆๆรู้ความจริงแล้วยังจะพาน้องมาอีก จะทำไงต่อละค้าบแบบนี้
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 02-04-2018 19:16:19
บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ

เช้านี้เจ้าจันทร์รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอจนกระปรี่กระเป่าขึ้นมา พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยดีก็ลงมาโผล่หน้าที่ครัว เจ้าจันทร์อาสาเป็นลูกมือช่วยป้าสุดา เพราะนเรศไม่ได้สั่งให้ทำอะไรเช่นทุกทีแต่จะให้อยู่นิ่งรอแต่คำสั่งของเขาอย่างเดียว เจ้าจันทร์ก็คร้านที่จะต้องรอฟังคำด่าทอจากอีกฝ่าย

ร่างสูงเดินเข้ามาในครัวเงียบๆ ก่อนหยุดฝีเท้าลงด้านหลังเด็กหนุ่ม แผ่นอกหนาอยู่ใกล้จนเกือบจะชิดแผ่นหลังเล็ก นเรศยืนล่วงกระเป๋ากางเกงชมดูเจ้าจันทร์ที่กำลังขะมักเขม้นช่วยป้าสุดา ลำคอเรียวขาวนวนล่อตาล่อใจอยู่ใกล้สายตาจนเผลอกลืนน้ำลาย ก่อนที่จะต้องตัดสินใจละสายตาออกไปมองยังทิศทางอื่น

“สุดาจัดโต๊ะข้างนอกให้ฉันกับเขา”

เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ด้านหลังทำให้เจ้าจันทร์สะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่กล้าจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับระยะประชันชิดจนรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดต้นคออยู่

“ผมจะทานกับป้าสุ...”

“ฉันจะไปรอข้างนอก” ยังไม่ทันจบประโยคนเรศก็แทรกขึ้นมาหน้าตาเฉย ก่อนเดินออกไปยืนชมวิวอยู่นอกระเบียงบ้าน เจ้าจันทร์ได้แต่มองตาแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยใบหน้างอง้ำจนป้าสุดาที่ยืนชมดูส่ายหน้าระอา

เฮ้อ...พูดคุยกันดีๆ ไม่เกินสามคำก็ตั้งท่าหาเรื่องทะเลาะกันตลอด ไม่ฝ่ายนั้นก็ฝ่ายนู้น

เมื่ออาหารทุกอย่างถูกจัดใส่จาน เจ้าจันทร์ก็ยังคงอาสายกออกไปตั้งบนโต๊ะ แต่ไปได้เพียงครึ่งทางโอภาสก็ถลาเข้ามาช่วยซะก่อน

“คุณเจ้าเพิ่งหายป่วยผมช่วยนะครับ” โอภาสเข้าประชิดพลางหยิบถ้วยจากมือเล็กไป ในขณะนั้นนิ้วหยาบกร้านของคนทำงานก็แตะลงบนนิ้วเรียวสวยของเจ้าจันทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ชายหนุ่มที่มองมาจากริมระเบียงสายตากลับสะดุดกึก ใบหน้าหล่อมืดครึ้มลงทันควัน เปลี่ยนอารมณ์ดีกลายเป็นร้ายแทบจะทันที

“ไอ้ภาส!” เสียงนเรศคำรามลั่นจนทุกคนต้องหันไปมอง ใบหน้าของเขาดุดันจนน่ากลัวขณะย่างสามขุมเข้าประชิดเจ้าจันทร์ ร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกับโอภาสยืนตระหง่านง้ำคล้ายต้องการข่มขวัญลูกน้อง มือหนาตวัดโอบรอบไหล่เล็กแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว

เจ้าจันทร์มัวแต่ตกตะลึงได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน จู่ๆ เขาก็เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ถึงได้ลุกขึ้นมาคำรามซะดังลั่น

“...” โอภาสได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาเจ้านายหนุ่ม กว่าจะเข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไรก็เมื่อตอนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวบางของเจ้าจันทร์ก็ไปอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นเจ้านายเรียบร้อยแล้ว

“คุณเป็นบ้าอะไร” เจ้าจันทร์ตวาดใส่ชายหนุ่ม แต่ดูเขากลับทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น

“อย่าเข้าใกล้ใคร และอย่าให้ใครเข้าใกล้” คำสั่งฟังดูแล้วช่างเอาแต่ใจ ไม่เข้ากับใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังของคนที่กำลังพูดอยู่เลยสักนิด

คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่ตะโกนถามกลับไป “คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามผม” จู่ๆ เขาก็มาออกคำสั่งห้ามนู่นห้ามนี่ นเรศไม่ใช่เจ้าชีวิตของเจ้าจันทร์ที่จะสั่งอะไรก็ต้องทำตามไปเสียหมด ดวงตาโศกเริ่มขุ่นเขียวจ้องกลับอย่างไม่หวาดกลัว เอาสิ! เขาหาเรื่องก่อน แล้วมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี เจ้าจันทร์เองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ความอดทนมันจะมีมากแค่ไหนกันเชียว

“สิทธิ์?” นเรศทวนคำด้วยดวงตาวาววับ ก่อนประโยคต่อมาต้องทำให้เจ้าจันทร์ถึงกับอ้าปากค้าง “สิทธิ์ของผัวไงล่ะ ฉันเป็นผัวนายมีสิทธิ์ในตัวนายทุกอย่าง แม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้ใครถูกตัวนาย”

เจ้าจันทร์มองอีกฝ่ายตาเขียวปั๊ด อีกแล้วที่เขาต้องการใช้สิทธิ์ความเป็นสามี “คุณมันบ้าไปแล้ว อย่าคิดว่านอนกับผมแล้วผมจะยอมรับคุณเป็นสามี เพราะผมไม่ได้เต็มใจ คุณบังคับผมทั้งนั้น” ราวกับมีใครสักคนตอกตะปูลงกลางแสกหน้าซ้ำๆ จนนเรศหน้าม้าม ด้วยประโยคที่เจ้าจันทร์พูดมานั้นถูกทุกอย่าง แต่คนอย่างนเรศไม่มีทางยอมแพ้ ถ้าเขาบอกว่าเป็นของเขามันก็ต้องเป็นของเขา

“ถึงนายจะไม่ยอมรับ แต่ยังไงนายก็เป็นเมียฉัน หรือจะให้ฉันป่าวประกาศว่าจุดไหนในร่างกายของนาย ทำให้นายรู้สึกดีที่สุด” นเรศกระชากอีกฝ่ายเข้ามาประชันหน้า ดวงตาโศกมีแววคุกรุ่นเองก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“ทุเรศที่สุด!” เจ้าจันทร์ผรุสวาทพลางยกฝ่าเท้าขึ้นกระทืบเท้าอีกฝ่ายเต็มแรง ก่อนจะออกแรงบดขยี้ปลายเท้าจนนเรศร้องลั่น

“โอ๊ย!” ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวทันที ก่อนรีบก้าวถอยหลังออกไปกระโดนเหยงๆ ด้วยขาข้างเดียว นเรศชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษขณะก้มลงจับเท้าของตัวเอง “ฉันน่าจะจับนายปล้ำตรงนี้ซะ”

ป้าสุดาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก ดวงตาเบิกตะลึงจนแทบถลนออกมานอกเบ้า เจ้าจันทร์รู้สึกอับอายต่อคำพูดของเขาจนใบหน้าเห่อแดง ทั้งโกรธทั้งอายผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ยืนส่งสายตาเขียวปั๊ดอย่างคนทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกไป

“เฮ้ย จะไปไหน” นเรศอุทานดังลั่นขณะยื่นมือคว้าข้อมือเล็กแล้วกระชากเข้าหาตัว

ร่างเพรียวบางปลิวหวือเข้าปะทะอกแกร่ง เจ้าจันทร์ยกมือขึ้นพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่เขากลับกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม ยิ่งเจ้าจันทร์ดิ้นนเรศก็จะยิ่งเพิ่มแรงกอดรัด

“เป็นเมียฉันจะอายอะไรนักหนา” เสียงพึมพำดังจากริมฝีปากเหนือศีรษะ ยิ่งทำให้อารมณ์เดือนปุดๆ ของเจ้าจันทร์พุ่งทะลุร้อยองศา ฝ่าเท้าเล็กยกขึ้นเตรียมจะซ้ำลงไปที่เดิมแต่ชายหนุ่มกลับหลบได้ทันอย่างนกรู้ เจ้าจันทร์หายใจเข้าออกฟึดฟัดอย่างขัดใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

“ปล่อยนะ”

“แค่ผัวกอดทำไมถึงเล่นตัวนัก” น้ำเสียงฟังดูกระเง้ากระงอดจนคนฟังแทบอ้าปากค้าง

“คุณมัน....” เจ้าจันทร์ไม่รู้จะสรรหาคำมาต่อว่าเขาอย่างไรดีแล้ว “คุณลืมไปแล้วหรือว่าผมทำพี่ชลท้อง” หัวสมองเล่นเร็วจี๋พลางต่อประโยคที่คิดว่าจี้เข้าตรงจุดแน่นอน

“อืม ฉันลืมไปแล้ว” แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจสักนิด

คิ้วเรียวขมวดชนกันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ “หรือว่าคุณจะรู้แล้วว่าผมไม่ได้ทำให้พี่ชลท้อง” คราวนี้เจ้าจันทร์พยายามระงับอารมณ์ให้เย็นลง ขณะเงยหน้าขึ้นสังเกตสีหน้าชายหนุ่ม ใบหน้าแม้จะราบเรียบเช่นเคย แต่ดวงตากลับวูบไหว เพียงเท่านี้ก็ช่วยตอบคำถามให้เจ้าจันทร์ได้เป็นอย่างดี “ถ้ารู้ความจริงแล้วคุณก็ควรปล่อยผมไปสักที”

ปล่อยหรือ?

ใบหน้าเริ่มจะดูอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยกลับไปถมึงทึงอีกครั้ง ทั้งน้ำเสียงยังฟังดูกระชากห้วนยิ่งกว่าเดิม “เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้”

“ไม่ เรื่องนี้คุณกับผมต้องมาคุยกันให้เข้าใจ” เจ้าจันทร์ปฏิเสธแทบจะทันทีพลางเดินตามร่างสูงที่เดินหนีไปอีกทาง

ป้าสุดาได้แต่มองคนทั้งคู่ที่เดินมุ่งหน้าไปยังอีกทิศ แล้วข้าวเช้าและโต๊ะที่อุตส่าห์จัดไว้เสียดิบดีพวกนี้ล่ะ พวกคุณเขาทะเลาะกันจนลืมทานข้าวอีกแล้ว ป้าสุดาได้แต่ถอนหายใจขณะเรียกหลานชายเข้ามายกอาหารกลับไปเก็บ เพราะดูเหมือนว่าคนทั้งคู่ที่เดินทะเลาะกันเสียงดังลั่นคงจะลืมหิวกันไปแล้วแน่นอน

ในที่สุดเจ้าจันทร์ก็เดินทันเจ้าคนช่วงขายาวเสียที มือเล็กจึงยื่นออกไปคว้าท่อนแขนล่ำสันนั้นให้หันกลับมาเผชิญหน้า นเรศยังไม่ยอมพูดอะไรทั้งยังพยายามหลบหน้าและเดินหนี เขาเป็นคนแบบนี้เองหรอ ทำผิดแล้วเดินหนีปัญหา  ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง งี่เง่า

“...” เจ้าจันทร์ชะงักเท้าหยุดที่จะเดินตามเขาต่อ “เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ผมจะกลับบ้าน” ตะโกนตามแผ่นหลังแกร่งจบก็ชักเท้าเตรียมวิ่งไปยังท่าเรือ จนไม่ทันเห็นว่าอีกคนชะงักเท้าเช่นเดียวกัน ทั้งยังรีบหันกลับมาออกเท้าวิ่ง เจ้าจันทร์ยังไปไม่ถึงไหนด้วยซ้ำ เอวเล็กก็ถูกมือใหญ่คว้ากลับไปได้ “เอ๊ะ คุณนี่ยังไง ปล่อยผมนะ ผมจะกลับบ้าน” เจ้าจันทร์ตวาดใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องกันแล้วเขาก็สมควรที่จะปล่อยเจ้าจันทร์กลับ ไม่ใช่มารั้งตัวไว้แบบนี้

“ไม่! ฉันไม่ให้นายกลับ” แขนแกร่งตวัดร่างเจ้าจันทร์เข้าสู่อ้อมกอด ทั้งยังออกแรงกระชับจนร่างเจ้าจันทร์แทบจะฝังเข้าไปกับอกอุ่น “นายต้องอยู่กับฉัน” นเรศคำรามลั่นอย่างเอาแต่ใจ พลางกระชับอ้อมกอดราวกับว่าเขากำลังสูญเสียร่างที่กอดอยู่ตรงนี้ไป ทั้งที่ความจริงทั้งหมดเปิดเผย เขาสำนึกผิด และทั้งที่เพิ่งรู้ใจตัวเอง ร่างในอ้อมกอดนี้กลับพยายามที่จะจากไป

“ปล่อยนะ” เจ้าจันทร์ยังคงพยายามดิ้นรนขืนกายออกมาอย่างสุดกำลังจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาได้ “ฟังนะ” เจ้าจันทร์หยุดดิ้นในที่สุด เมื่อรู้ว่าต่อให้ดิ้นจนหมดแรงนเรศก็ไม่มีทางปล่อยแน่ จึงพยายามรวบรวมสติเจรจากับอีกฝ่าย “ที่คุณทำอยู่ในตอนนี้มันผิด คุณกักขังหน่วงเหนี่ยวผมมันผิดกฎหมาย ตั้งแต่คุณจับผมมาผมยังไม่เคยติดต่อครอบครัวสักครั้ง ป่านนี้พวกเขาคงแจ้งตำรวจแล้ว” ขณะพูดเจ้าจันทร์ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่มได้ “เอาล่ะแค่คุณปล่อยผมกลับ ผมจะบอกทุกคนว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบ” เจ้าจันทร์พยายามพูดอย่างใจเย็น แม้ใบหน้าตอนนี้จะบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกอึดอัดกับอ้อมกอดของชายหนุ่มก็ตาม

“ไม่”

นเรศดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่แต่ตัว และไม่เคยมีท่าทีดื้อด้านมาก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังดื้อด้านและงี่เง่า

“ที่ผมพูดคุณเข้าใจไหม” เจ้าจันทร์ยังพยายามเจรจากับเขาอย่างใจเย็น พลันคิ้วเรียวขมวดฉับกับแรงส่ายหน้าปฏิเสธจนปลายคายสะบัดไปมาเหนือศีรษะ “คุณมันพูดไม่รู้เรื่อง ผมเกลียดคุณ!” อารมณ์ที่ควบคุมไว้แตกกระเจิง เจ้าจันทร์ตะคอกใส่เขาอย่างเหลืออด ดวงตาโศกคุกรุ่นโกรธอีกฝ่ายที่ไม่ยอมฟัง ทั้งที่เจ้าจันทร์พยายามพูดด้วยเหตุผล

ผมเกลียดคุณ... เพียงแค่ประโยคเดียวที่กำลังดังสะท้อนก้องไปมาในหัว จนนเรศไม่สามารถคิดสิ่งใดได้ เจ้าจันทร์เกลียดเขา

ร่างสูงเงียบขรึมจนน่าตกใจ นเรศไม่พูดสิ่งใดเขาเอาแต่ยืนนิ่ง ใบหน้าหล่อเข้มก้มลงจนคางแทบจรดอก เจ้าจันทร์เองก็คร้านที่จะพูดกับคนที่ต่อให้พูดจนตายก็ดูเหมือนจะพูดไม่รู้เรื่องอย่างนเรศ ตัดสินใจแยกตัวออกไปหวังสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วค่อยกลับมาเจรจากันใหม่ แต่ยังไม่ทันก้าวจากไปฝ่ามือหนาก็คว้าร่างเข้าไปกอดอีกครั้ง “ไม่ อย่าไปนะ” น้ำเสียงฟังดูเบาหวิวคล้ายเด็กน้อยที่กำลังหวาดผวา เขาดึงรั้งเจ้าจันทร์ด้วยอ้อมกอดที่รัดแน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก แผ่นอกที่ทาบทับอยู่เบื้องหลังแนบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวของเขา เจ้าจันทร์พยายามดิ้นรนขัดขืนหวังให้หลุดจากอ้อมกอด แต่ยิ่งดิ้นเขากลับยิ่งเพิ่มแรงกระชับอ้อมแขนจนแทบจะรวมร่างกับเขา



********************************************
แทบคลานมาลงนิยายกันเลยทีเดียวค่ะ เพราะว่าวันนี้มีงานยืนถ่ายวีดีโอครึ่งวันล้อเอาซะปวดเอว ปวดขา ฮือๆ คนแก่โดนรังแก ดีนะในงานมีการประกวดด้วยเลยมีทั้งหนุ่มหล่อสาวสวยให้ดู
อย่าลืมเม้นติ เม้นชม เม้นเป็นกำลังใจให้เจี๊ยะกันด้วยนะคะ และสุดท้ายขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้น เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-04-2018 19:52:11
หึๆๆ ขาดเจ้าจันทร์ไม่ได้แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 02-04-2018 20:16:03
น่าทิ้งซะให้เข็ด
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-04-2018 02:37:40
นี่คือง้อแล้วชิมิ  :jul3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 14 แล้วข้าวเช้าของป้าสุดาล่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-04-2018 02:38:05
เจ้าจันทร์อย่าใจอ่อนง่ายๆนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 03-04-2018 19:49:42
บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

กว่าเจ้าจันทร์จะสามารถพูดคุยกับนเรศจนตกลงกันได้ เจ้าจันทร์ถึงกับต้องปาดเหงื่อแล้วปาดเหงื่ออีก เจรจากันนับร่วมชั่วโมงก็จบลงด้วยการวกกลับมาที่เดิมทุกที นั้นคือเขาไม่ยอม สุดท้ายต้องอาศัยคนกลางอย่างป้าสุดาที่ต้องมาคอยไกล่เกลี่ยให้ นเรศถึงยอมตกลงให้เจ้าจันทร์ติดต่อทางบ้านได้

เจ้าจันทร์ให้คำนิยามกับนเรศ นิสัยที่นเรศแสดงออกมันทั้งดื้อด้านและงี่เง่า ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล หางตาพลอยเหลือบหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของนเรศที่ยืนขนาบข้างอยู่ เจ้าจันทร์ไม่เข้าใจเขากับแค่การมาขอใช้โทรศัพท์เขาถึงกลับต้องมายืนเฝ้าขนาดนี้เลยหรือ เขาไม่ต้องทำงานการแล้วใช่ไหม

“สวัสดีครับ ชญตว์พูดครับ” ปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงเจือกระแสความอ่อนแรง

จู่ๆ น้ำตาก็ไหล ความคิดถึงมากมายถาโถมเข้าใส่ เจ้าจันทร์คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงทุกคน ฝ่ามือถูกยกขึ้นปิดริมฝากเพื่อกลั่นเสียงสะอื้น

“สวัสดีครับ” ชญตว์แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบสิ่งใด จนเกือบจะวางสายไปแล้วจึงได้ยินเสียงสั่นๆ อันคุ้นหู

“พ่อ...” ร่างเจ้าจันทร์ถูกดึงเข้าไปกอดเสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบคำปลอบประโลมให้เจ้าจันทร์รู้สึกสงบ “พ่อเจ้าเองนะ” จบประโยคคล้ายได้ยินเสียงโครมครามสลับกับเสียงร้องเรียกหาภรรยา เสียงวิ่งทัก ๆ เงียบหายไปแทนที่ด้วยเสียงหวานของสตรี

“นั่นเจ้าใช่ไหมลูก” น้ำเสียงที่เอ่ยถามสั่นพร่า ไม่รอให้เจ้าจันทร์ได้ตอบกลับปลายสายก็รัวคำถามใส่ “เจ้าตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้นทำไมไม่ติดต่อมา? ปลอดภัยดีใช่ไหม?” ประโยคสุดท้ายเสียงเบาหวิวแทบกลายเป็นกระซิบ แม่กำลังร้องไห้

“แม่...เจ้าขอโทษ” เจ้าจันทร์พูดได้แค่นั้นก็เอนร่างที่อ่อนแรงซบกับแผ่นอกอีกคนให้ช่วยพยุง

“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร แค่ลูกปลอดภัยแม่ก็ดีใจแล้ว” พูดไปก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูก คาดว่าคงเป็นคุณชญตว์ที่กำลังร้องไห้ “ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นหรือลูก” น้ำเสียงเจือกระแสความอบอุ่นช่วยปลอบประโลมหัวใจของเจ้าจันทร์ให้มีแรงกำลังขึ้นมา

“...” เจ้าจันทร์เงียบกริบไม่รู้จะบอกมารดาและอธิบายให้ฟังยังไง จะให้บอกความจริงหรือ... เจ้าจันทร์หันใบหน้าไปมองคนที่ยืนประคองด้านหลัง เจ้าจันทร์ก็ไม่ต้องการให้พ่อแม่เป็นห่วง “ขอโทษครับแม่ เจ้ามาทำงานช่วยเพื่อนอยู่บนเกาะ ไม่มีคลื่นเลยติดต่อใครไม่ได้ เจ้าขอโทษจริงๆ ครับ” ในใจรู้สึกผิดกับคำโกหกที่เจ้าจันทร์ทำเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางบอกความจริง ได้ยินปลายสายตอบกลับมาเพียงไม่เป็นไรๆ แล้วน้ำตาซึมยิ่งกว่าเดิม

“ตอนนี้เจ้าสุขสบายดีไหม เล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าเรื่องไปยังไงมายังไง แล้วเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ลูก” เสียงสูดน้ำมูกสลับกับคำถามช่วยให้เจ้าจันทร์ยิ้มทั้งน้ำตา

“เจ้าสบายดีอีกสองสามวันก็กลับแล้วครับ” อีกคนที่ได้ยินคำตอบยื่นมือออกมากำข้อมือเล็กแน่น แต่เจ้าจันทร์ไม่ต้องการใส่ใจ จึงทำเพียงแค่ขยับให้หลุดจากอุ้งมือแกร่งเท่านั้น “พอดีวันที่เจ้าจันทร์กำลังเลิกงาน มีเพื่อนมาหาบอกขาดคนมาช่วยงาน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เจ้าจันทร์เลยอาสาเพราะเห็นว่าทำไม่นาน...”

“ดีลูกถือว่าช่วยๆ กันไป แต่น่าจะติดต่อกลับมาบ้างรู้ไหมเราทำให้ทุกคนเป็นห่วง” ผู้เป็นว่าเอ่ยอย่างเข้าใจแต่ก็ไม่วายตำหนิ

เจ้าจันทร์ได้แต่ร้องบอกขอโทษเสียงอ่อน “ขอโทษครับ เจ้าไม่คิดว่าที่เกาะจะไม่มีสัญญาณ นี่ก็เข้าเมืองมาถึงโทรกลับบ้านได้” เจ้าจันทร์ได้แต่ขอขมาพ่อแม่ในใจที่โกหกคำโต

หลังจากนั้นก็พูดคุยถามไถ่กันอีกหลายเรื่องก่อนจะวางสายไปด้วยความโหยหาย

“พี่ไม่ให้เจ้ากลับ” โทรศัพท์วางลงได้เพียงครึ่งลมหายใจคนด้านหลังก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดื้อดึง

พี่? เจ้าจันทร์เงยหน้าขึ้นมองนเรศแล้วถอนหายใจ “คุณไม่สามารถกักขังผมได้” ว่าจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ต้นแขนก็ถูกนเรศคว้าเอาไว้

“พี่ทำได้ เจ้าจันทร์ก็รู้” พอได้ฟังเจ้าจันทร์ถึงกับขมวดคิ้วแล้วสะบัดแขนให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่ก่อนจะเดินจากไป




ป้าสุดาถอดหายใจเฮือกใหญ่กับบรรยากาศอันน่าอึดอัดในบ้าน สายตาของเธอจับจ้องมองเจ้านายหนุ่มที่ไม่ยอมละสายตาจากเจ้าจันทร์เลยสักเสี้ยว เห็นคุณเจ้าอยู่ที่ไหนเป็นอันต้องพบเจ้านายที่นั้น ดูใบหน้าคุณเจ้าเธอตอนนี้สิ แทบจะจับเจ้านายของเธอกินได้แล้วกระมัง

“คุณจะเลิกจ้องผมได้หรือยัง” เจ้าจันทร์ตัดสินใจวางหนังสือที่นั่งอ่านอยู่ เงยหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมามองคนที่เสสายตาหลบ

“...” นเรศไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน

ดี! มาแกล้งหูทวนลม

“เอ๊ะ! มีเรือมาเทียบท่าใครมากัน” และก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทะเลาะกันอีก ป้าสุดาก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับวางงานในมือเพื่อออกไปดูว่าใครมา “คุณนเรศคะ...” ป้าสุดาที่เดินออกไปข้างนอกรีบพาร่างอวบของเธอวิ่งกลับเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตูม เธอเกือบจะพลั้งปากรายงานแต่แล้วเหมือนนึกขึ้นได้จึงเงียบลง

“ใครมาสุดา” นเรศหันกลับมาสนใจเมื่อจู่ๆ ป้าสุดาก็เงียบไป

คุณชลค่ะ ป้าสุดาไม่กล้าออกเสียงทำปากพะงาบๆ บอกเจ้านายหนุ่มที่รีบลุกพรวดทันที

นเรศลุกขึ้นรีบออกคำสั่งแล้วสืบเท้าเข้าไปหาเจ้าจันทร์ที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟา “สุดาออกไปรับแขกได้เลย เจ้าจันทร์มานี่สิ” เจ้าจันทร์ที่เงยหน้ามองดูด้วยความงุนงงช่างไม่ทันใจนเรศ เขาไม่รอช้าช้อนคนตัวเล็กขึ้นอุ้มแล้วพาไปยังห้องนอนทันที

“อะไรของคุณ ปล่อยนะ” เจ้าจันทร์โวยวายไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

นเรศค่อยๆ วางร่างเจ้าจันทร์ลงบนเตียง เมื่ออีกฝ่ายเป็นอิสระก็รีบถอยห่างจากเขาทันที “รอพี่อยู่บนนี้นะ” ไม่ว่าเปล่าแต่นเรศยังโน้มตัวเข้าใกล้ใบหน้าเนียน แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเล็กทิ้งท้ายก่อนจะรีบเดินหายไป และยังไม่วายล็อคประตูจากข้างนอก

แกร็ก!

เจ้าจันทร์รีบถลาลงทันทีแล้วรัวมือทุบประตูดังลั่น พร้อมตะโกนอย่างหัวเสีย “นี่คุณจะมาขังผมแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณนเรศ” เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว แขกที่มาเป็นใครกัน...แฟนหรือ? ถึงต้องพาเจ้าจันทร์มาขังไว้แบบนี้

“พี่นเรศ!” ชลธารตะโกนลั่นบ้านด้วยอารมณ์ค่อนข้างเดือด และยิ่งบ้านไร้เงาของพี่ชายเธอยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงจนคนที่กำลังวิ่งตามอย่างณัฐธัญรู้สึกกลัวแทนนเรศ สองพี่น้องคู่นี้อารมณ์ร้อนพอกัน ถึงชลธารมองดูแล้วจะดูใจเย็นกว่าผู้เป็นพี่ชาย แต่ความจริงเธอคือคนที่อารมณ์ร้อนเสียยิ่งกว่านเรศซะอีก แล้วเมื่อรวมอารมณ์แปรปรวนของคนท้องเข้าไปด้วย บอกได้เลยว่างานนี้นเรศมีเละ

“ชลเดินช้าๆ สิคะ” ณัฐธัญรีบห้ามภรรยาที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไร ตั้งแต่เข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดร้านที่เจ้าจันทร์เป็นพนักงานวันนั้น เธอก็รีบลากเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาพี่ชายทันที

“คุณชลคะเดี๋ยวคุณนเรศลงมาค่ะ” ป้าสุดาเองก็รีบห้ามปรามคนที่ตั้งท่าจะเดินขึ้นบันได

และก่อนที่ชลธารจะได้ขึ้นไปตามพี่ชายถึงห้อง พี่ชายที่กำลังตามหาตัวก็โผล่หน้าออกมาพอดี “มีอะไรหรือชล” นเรศเอ่ยถามน้องสาวที่กำลังตั้งท่าก้าวขึ้นบันได มองดูท่าทางอารมณ์ไม่สู้ดีของคนรอบข้างแล้วเขาพอจะเดาได้ลางๆ ชลธารคงรู้แล้วว่าเจ้าจันทร์อยู่ที่นี่ แต่ถ้าเขายืนกรานใครจะพาเจ้าจันทร์หนีไปจากเขาได้

“เจ้าจันทร์อยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ” ชลธารตรงเข้าประเด็นทันที

“ใช่” นเรศเองก็ตอบอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ในเมื่อรู้แล้วเขาก็ไม่อยากปิดบัง

“พี่นเรศ!” คราวนี้เธอตวาดเสียงดังลั่นบ้านถ้ากระทืบเท้าได้คงทำไปแล้ว “พี่จับตัวเจ้าจันทร์มาขังไว้ที่นี่ใช่ไหม” คราวนี้เธอร้องถามเสียงแหลมด้วยความโมโห และเมื่อผู้เป็นพี่ชายพยักหน้ายอมรับฝ่ามือบางก็ยกขึ้นสะบัดใส่หน้านเรศทันที

เพียะ!

“...” ป้าสุดาอุทานไม่มีเสียงพร้อมยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก ปกติทั้งสองพี่น้องรักกันมาจนแทบไม่เคยทะเลาะให้เห็น แต่วันนี้คุณชลเธอถึงกับตบหน้าพี่ชาย เห็นทีว่าเธอจะต้องโกรธมาก

ณัฐธัญอยากจะหัวเราะคู่อริอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เมียกำลังเลือดขึ้นหน้า เดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้ง “ใจเย็นๆ นะคะชล มาไปนั่งพักที่โซฟาก่อนนะคะธัญเป็นห่วง” เขารีบเข้าห้ามพยายามดึงตัวชลธารออกมาสงบสติอารมณ์ที่โซฟา ซึ่งชลธารก็ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียว

“เจ้าจันทร์อยู่ไหน ชลอยากเจอเจ้าจันทร์” เมื่อพี่ชายตามมานั่งตรงข้ามเธอก็รีบถามทันที

“อยู่บนห้อง”

“พี่นเรศขังเจ้าจันทร์ไว้?”

“...”

ความเงียบของพี่ชายเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี ชลธารอยากจะลุกขึ้นตบหน้าพี่ชายอีกครั้ง แต่พอเห็นใบหน้าคมคายนั้นขึ้นรอยนิ้วแดงเป็นแถบก็ต้องสงบอารมณ์ แต่อารมณ์ดุเดือนของคนท้องอย่างเธอต้องหาที่ระบาย สุดท้ายคนที่เดือนร้อนไม่พ้นสามีที่นั่งอยู่ข้างกาย

“โอ๊ย! ชลมาข่วนธัญทำไมคะ” ณัฐธัญร้องลั่นเจ็บจี๊ดไปทั้งแขนเมื่อภรรยาหันมาข่วนเสียเต็มเล็บ

“อยากตีพี่นเรศ” ชลธารว่างั้น ทำให้คนฟังอย่างณัฐธัญแสดงสีหน้าไม่ถูก ส่วนเจ้าคนที่ถูกน้องสาวคาดโทษกลับเลิกคิ้วแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องมายิ้มเยาะคนอื่น” ว่าจบก็ตีท่อนแขนล่ำสันของพี่ชายอีกเพียะ “บอกมาทำไมถึงไปจับเจ้าจันทร์มาแบบนั้น” แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นกอดอก ชลธารมอดูพี่ชายเหมือนมองดูนักโทษที่รอสอบสวน

“พี่เข้าใจผิด” คำตอบเรียกเสียงกรี๊ดดังลั่นจากชลธารจนยกมือขึ้นอุดหูแทบไม่ทัน

“พี่เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจันทร์ทำชลท้องหรือไง” คราวนี้ทั้งสองหนุ่มต่างสะดุ้งทั้งคู่ “แล้วอย่าบอกนะว่าพี่นเรศทำแบบนั้นกับเจ้าจันทร์” ยิ่งได้ฟังน้องสาวคาดเดานเรศยิ่งหน้าหมองลง เพราะชลธารเดาได้ถูกทุกข้อ “ชลจะเป็นลม” จบประโยครอบด้านพลันวุ่นวาย ณัฐธัญรีบคว้าเอายาดมมาให้ภรรยาทั้งยังทำหน้าที่บีบนวดให้อย่างไร้ที่ติ

ชลธารหยุดสอบสวนพี่ชายแต่เรียกป้าสุดาและโอภาสมาสอบถามแทน เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคราวนี้ชลธารอยากจะเป็นลมจริงๆ พี่นเรศทำอะไรลงไป! พี่ชายของเธอทำลายชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรเลย แต่พอลองหันกลับมามองท่าทางหงอๆ ของพี่ชายตัวเอง ชลธารก็พอคาดเดาบางอย่างได้ ให้ตายเถอะพี่ชายของเธองี่เง่า คิดว่ากำลังเล่นละครจำเลยรักอยู่หรือไง

“ไม่ว่ายังไงพี่นเรศก็ต้องปล่อยเจ้าจันทร์กลับบ้าน...ห้ามเถียง” เธอชี้หน้าพี่ชายที่ตั้งท่าจะค้านทันที “ชลจะขึ้นไปหาเจ้าจันทร์ ป้าสุดาพาไปทีคะ” ชลธารหันไปหาป้าสุดาให้ช่วยพยุงขึ้นไปพบเจ้าจันทร์บนนห้อง ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงสองหนุ่มเท่านั้น

“ฉันเข้าใจแกวะ” ณัฐธัญเอ่ยขึ้นมาในที่สุด

“...” นเรศยังคงนั่งนิ่งคล้ายคนที่ไม่มีสติอยู่กับตัว

“เฮ้อ...” เสียถอนหายใจครั้งนี้เรียกคนที่ไม่มีสติให้เงยหน้าขึ้นมามอง ณัฐธัญจึงตัดสินใจเดินอ้อมโซฟาไปนั่งลงที่พนักพิงข้างๆ นเรศ “นเรศ ฉันทำให้แกเห็นเป็นตัวอย่างแล้วทำไมแกถึงเลือกทำตามฉันวะ” ณัฐธัญยังจำวันที่ชลธารหายไปได้ วันนั้นเขาเหมือนถูกควักหัวใจ ถอดวิญญาณออกจากร่าง แทบจะคลั่งตายเพียงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอเธออีก เขากลัวที่จะไม่ได้เธอคืน คิดแล้วยังหลงเหลือความรู้สึกที่แสนน่ากลัวนั้นอยู่ภายในจิตใจ

“...” นเรศยังคงนั่งนิ่งเพราะในหัวตอนนี้มีความคิดตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

“แกน่าจะรู้จักน้องสาวแกดี เธอจะต้องพาเจ้าจันทร์กลับบ้าน...”

“ไม่” นเรศแทรกขึ้นมาพร้อมลุกพรวดเตรียมจะพุ่งถลาไปข้างบน แต่มีมือหนาของณัฐธัญคว้าเอาไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม

“ถ้าไปตอนนี้ฉันเชื่อว่าแกจะต้องโดนชลกระทืบแน่...ฉันเป็นห่วงลูกฉันว่ะ”

นเรศเดินกลับมานั่งบนโซฟาตัวเดิมพร้อมทั้งยกมือขึ้นกุมขมับ “ฉันจะทำยังไงดีวะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคู่อริที่เคยประสบปัญหามาก่อน อย่างน้อยมันก็คงรู้วิธีจัดการมากกว่าเขาที่ตอนนี้สมองขาวโพลนไปหมด

“ถามจริงเจ้าจันทร์โกรธแกมากไหม”

“ไม่รู้ เจ้าจันทร์บอกแค่อยากกลับบ้าน ฉันไม่รู้ว่าเขาโกรธฉันไหม เพราะเรามักเถียงกันแค่เรื่องกลับบ้าน”

“จากที่ฟังที่แกว่ามา...ฉันว่าเจ้าจันทร์ดูเหมือนไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดแกเลยวะ” จบประโยคนเรศที่นั่งก้มหน้ามาตลอดจึงเงยขึ้นมาสบตากับณัฐธัญ คิ้วเข้มขมวดจนแทบผูกเป็นปม “เอ๊ามองหน้า ฉันพูดตามเนื้อผ้าโว้ย” พูดไปณัฐธัญก็จิ๊ปากทำท่าเป็นผู้รู้ขึ้นมา “ลองคิดดูนะโว้ย ขนาดชลเป็นผู้หญิงยังโกรธฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงโดนตบโดนเอาคืนมาขนาดไหน ที่แกเคยเห็นน่ะจิ๊บๆ โฮย...อย่าให้นึกถึงกรงเล็บแม่เจ้าประคูณข่วนแต่ละที หน้าฉันนี่ลายเป็นแถบ ๆ แล้วนี่เจ้าจันทร์เป็นผู้ชายเท่าที่สังเกตแกดูก็ไม่มีช้ำเสียหายตรงไหน ถ้าลองเป็นฉันโดนทำแบบนี้บ้างรับรองได้เลยไม่ฉันก็แกที่เป็นศพกันไปข้าง ดังนั้นสรุปเลยว่าทางสายกลาง เจ้าจันทร์เป็นทางสายกลางแน่นอน” จบประโยคก็ตบพนักพิงโซฟาดังป๊าบ

“ยังไงวะ” นเรศขมวดคิ้วงุนงงยิ่งกว่าเดิม

ณัฐธัญทำวางท่าเป็นผู้รู้ขึ้นมาอีกรอบ “แกจำเอาไว้ว่าคนที่ไม่โกรธ ไม่เกลียด แบบนี้เป็นพวกเดินทางสายกลาง เมื่อไม่โกรธ ไม่เกลียด ก็ไม่รักเช่นเดียวกัน อย่างเดียวที่ฉันบอกแกได้ในตอนนี้ ทำใจเถอะวะ เจ้าจันทร์เป็นคนประเภทนั้น” ท่าทางยักไหล่ราวกับบอกให้นเรศตัดใจทำเอาคนฟังกำหมัดแน่น ถ้าไม่ติกว่ากำลังขอคำปรึกษาเขาก็อยากจะลุกขึ้นซัดปากเจ้าคนพูดสักทีสองที “แกน่าสงสารกว่าฉันเยอะ” ว่าจบก็หัวเราะหึหึน่าถีบเข้าไปอีก “กว่าจะตามง้อชลได้ฉันต้องผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งโดนตีนแกยำโดนชลโขกสับ...อะแฮ่ม แต่ฉันก็เต็มใจ ฉันรู้ว่าที่ฉันโดนน่ะน้อยกว่าที่ชลเคยได้รับด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันเลยไม่ย่อท้อ และฉันคิดเสมอว่าเพื่อครอบครัวฉันเลยผ่านมันมาได้ แต่แกนี่สิน่าสงสารกว่าฉันเยอะ เพราะแกน่ะเจองานช้าง ไม่ใช่ช้างธรรมดานะช้างแมมมอธเลยโว้ย เห็นทีต้องเอาสารพัดวิธีง้อออกมาใช้ ไม่งั้นแกก็อย่าหวังว่าจะง้อเมียสำเร็จ” ผู้เชี่ยวชาญด้านประสบการณ์พูดไปพร้อมทำท่าทางประกอบ จากที่ดูเหมือนจะซีเรียสกลับทำให้น่าขันขึ้นมาแทน

“แล้วต้องทำยังไง” นเรศตัดสินใจพึ่งอดีตคู่อริอย่างเสียไม่ได้ ก็นะมันมีประสบการณ์เขาก็ขอคำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ ไว้ใช้บ้างจะเป็นไร แต่นเรศรู้ดีว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความพยายามของเขาเองทั้งหมด

“สำหรับเจ้าจันทร์ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก…ใช้ไม่ได้ พาลจะทำให้เจ้าตัวรำคาญแกมากกว่าเดิมซะอีก แต่ให้ใช้หลักจิตวิทยา และขั้นแรกที่ต้องทำคือปล่อยเจ้าจันทร์กลับบ้าน”
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-04-2018 20:34:49
ธัญแนะนำได้สุดยอดมากๆ  o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 03-04-2018 20:57:49
ติดตามตอนต่อไปๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-04-2018 22:17:21
คู่หูคู่นี้ศีลเสมอกันเนอะ5555 :z2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-04-2018 01:07:22
ทีมพ่อบ้านง้อเมีย 55555
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 04-04-2018 12:39:11
ทำผิดก็ขอโทษสิ ทำหรือยังละ เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 04-04-2018 19:50:26
บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?

ในที่สุดนเรศก็เลิกทำตัวดื้อด้าน เขายอมปล่อยเจ้าจันทร์กลับบ้านตามคำแนะนำของณัฐธัญ ชลธารมองดูหน้าตาเศร้าซึมของผู้เป็นพี่ชายที่กำลังหิ้วกระเป๋าลงเรือมาส่งเจ้าจันทร์ด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าจันทร์ก็ตัวติดชลธารแจเพราะเธอคือที่พึงหนึ่งเดียวของเจ้าจันทร์ในตอนนี้ หากปล่อยมือจากชลธารเจ้าจันทร์ก็นึกกลัวราวกับเด็กๆ ว่านเรศอาจไม่ปล่อยตัวเองไป

“พี่ฝากส่งเจ้าจันทร์ให้ถึงบ้านด้วยนะ” นเรศสั่งความน้องสาวทั้งที่ใจจริงเขาอยากจะไปส่งเจ้าจันทร์ให้ถึงบ้าน แต่เขากลัวตัดใจปล่อยเจ้าจันทร์ไม่ได้ จึงยอมตัดใจส่งเจ้าจันทร์ที่ตรงนี้เสีย

“ปะเจ้าจันทร์” ชลธารพยักหน้ารับคำพี่ชายแล้วหันไปชวนเจ้าจันทร์ลงเรือ

ณัฐธัญทำหน้าที่ประคองชลธารลงเรือด้วยความระมัดระวังที่สุด เจ้าจันทร์จึงหันไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ขอบคุณป้าสุดาที่ดูและมาตลอดครับ” เจ้าจันทร์หันไปยกมือไหว้ป้าสุดก่อนจะหันมาทางคนตัวโต “ขอบคุณที่ยอมปล่อย” อดไม่ได้ที่จะกล่าวขอบคุณนเรศแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตนก็ตาม เจ้าจันทร์คิดเพียงว่าตนนั้นได้ชดใช้บาปกรรมที่อาจเคยทำกับนเรศมาก่อนเลยไม่คิดแค้นเคือง จึงอยากให้จบลงตรงนี้ไปเสียจะได้ไม่ต้องมีเวรกรรมต่อกันอีก

เมื่อกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายจบแล้วก็หันหลังเตรียมจะก้าวลงเรือ แต่แล้วแขนกลับถูกมือหนาคว้าเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ริมฝีปากร้อนแนบสัมผัสลงมาแผ่วเบาอ่อนโยนราวกับต้องการอ้อนวอน เจ้าจันทร์คราแรกตกใจยืนตัวแข็งทื่อก่อนจะค่อยผ่อนแรงตอบรับจุมพิตที่ค่อยๆ ทวีความหวานละมุนขึ้นจนแทบละลาย จูบนี้ของนเรศทำให้หัวใจของเจ้าจันทร์สั่นไหวนัก เนิ่นนานกว่าริมฝีปากหยักจะค่อย ๆ ถอยห่างอย่างอ้อยอิ่ง เจ้าจันทร์เม้มริมฝากที่แดงก่ำแล้วรีบหันหลังให้นเรศด้วยหัวใจเต้นตึกตัก

นเรศยังไม่ยอมตัดใจเดินเข้าประชิดแผ่นหลังเล็กสอดแขนเข้ากอดเอวบาง “ไม่ไปได้ไหม อยู่กับพี่นะเจ้าจันทร์ ทุกอย่างที่พี่ทำไปพี่ขอโทษ เจ้าจันทร์อภัยให้พี่…อย่าไปเลยนะ” เขาเอ่ยข้างแก้มขาวแรงกอดรัดยิ่งเพิ่มขึ้นราวกับว่านี้คือวันสุดท้ายของพวกเขา นเรศกลัว กลัวว่าเจ้าจันทร์จะลืมเขา กลัวว่าเจ้าจันทร์จะเกลียดเขา กลัวไปสารพัดจนต้องส่งความรู้สึกทั้งมวลผ่านอ้อมกอดที่พยายามรั้งอีกฝ่ายไว้

“ผมไม่เคยโกรธคุณและขอโทษ...” เจ้าจันทร์เอ่ยด้วยนำเสียงแผ่วเบา แล้วจึงค่อยๆ แกะท่อนแขนแกร่งออกจากเอว ตัดสินใจก้าวลงเรือที่จอดรออยู่ จากนั้นก็ไม่หันกลับไปมองอีกจนกระทั้งเรือแล่นหายลับตาไป

นเรศยืนนิ่งมองคลื่นน้ำอันว่างเปล่าเช่นเดียวกับหัวใจที่โบยบินตามใครอีกคนไปแล้ว โอภาสที่มองดูอยู่สงสารเจ้านายหนุ่มนัก แต่เรื่องของหัวใจควรปล่อยเวลาให้เยียวยารักษาพวกเขาเอาไว้

“เอ๊ะ...เรือ” ป้าสุดาอุทานเมื่อมองเห็นเรือแล่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

นเรศที่ยืนวิญญาณหลุดออกจากร่างเงยหน้าขึ้นฉับพลัน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเรือที่คิดว่าแล่นจากไปแล้วจะกลับมา เพราะเรือที่แล่นเข้ามานั้นหาใช่เรือที่เจ้าจันทร์นั่ง แต่เป็นเรือของคนงานของเขาเอง

“นายหัว” สำเนียงเรียกขานดังชาวใต้ไม่อาจทำให้เจ้านายหนุ่มหันกลับมาสนใจ “มีเอกสารมาจากโรงพยาบาลครับ” ว่าจบชายผิวคล้ำก็ยื่นสองเอกสารให้กับนเรศ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหูหนวกไปซะแล้ว “นายหัว” ชายหนุ่มลองเรียกอีกครั้งทั้งเพิ่มน้ำเสียงขึ้นอีกเล็กน้อย คราวนี้นเรศจึงได้หันกลับมาสนใจ เขายื่นมือออกมารับเอกสารด้วยใบหน้าคิ้วขมวด “ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคนของเราไหมเพราะชื่อไม่เคยเห็น แต่หมอบูมบอกส่งให้ป้าสุดาครับ ป้าๆ รู้จักคนชื่อปักษาธร ศศิพัฒนาเมธี ด้วยหรือป้า” พอส่งเอกสารให้เจ้านายหนุ่มแล้วชายผิวคล้ำก็ชะโงกหน้าไปถามป้าสุดา

“เจ้าจันทร์” นเรศจดจำชื่อนี้ได้ขึ้นใจ แล้วจึงรีบแกะซองเอกสารออกก่อนจะยืนตะลึงกับรายละเอียดบนเอกสารในมือ “สุดา! เจ้าจันทร์ท้องได้” นเรศตะโกนลั่นแสดงสีหน้าไม่ถูกทั้งดีใจทั้งตกใจไปในคราวเดียวกัน ข่าวที่ผู้ชายท้องได้ก็มีให้เห็นอยู่แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเจ้าจันทร์ “ผมจะไปตามเมียผมกลับ” พูดได้แค่นั้นเขาก็รีบจำอ้าวเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะสะสางงานทั้งหมดและมอบหมายให้หัวหน้าคนงานแต่ละส่วนเอาไว้ ในอกมีเสียงเต้นตึกตักอย่างคนที่ได้หัวใจคืนกลับมา นเรศหุบยิ้มไม่ลงยิ่งคิดว่าเจ้าจันทร์อาจกำลังตั้งท้องลูกของเขาก็ได้ เพราะเขาปล่อยในเกือบทุกครั้งที่มีอะไรกัน ไม่ท้องก็เรียกเขาว่าผู้ชายไร้น้ำยาไปได้เลย



“อุก...อ้วก” ใบหน้าหวานซีดเผือดก่อนจะวิ่งออกไปยังท้ายเรือเพื่อโก่งคออาเจียน ชลธารสะกิดเรียกให้ณัฐธัญรีบเข้าไปดูเจ้าจันทร์ด้วยความเป็นห่วง หากเธอสามารถเดินเหินได้อย่างปกติคงจะวิ่งไปดูแล้ว

“เจ้าเป็นอะไรเมาเรือหรอ” ชลธารถามเจ้าจันทร์ด้วยความเป็นห่วง

“คงจะใช่ครับ ครั้งที่แล้วก็เป็นแบบครั้งนี้” ความคิดของเจ้าจันทร์นึกไปถึงครั้งที่ตัวเองนั่งเรือไปกับนเรศแล้วพาให้เห็นภาพตัวเองนั่งซบอกอุ่นของเขาในยามไม่สบาย อา...ทำไมหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว

“ไหวไหม” ณัฐธัญเข้ามาพยุงเด็กหนุ่มตัวเล็กเพราะกลัวว่าจะเซตกเรือไปซะก่อน

“วะ...” ยังตอบไม่ทันจบก็เหมือนมีคนมาสับสวิตช์ไฟลง ร่างทั้งร่างทรุดลงเป็นโชคดีที่ณัฐธัญคว้าเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจันทร์คงได้ตกเรือเป็นแน่

“ว้ายตายแล้ว” ชลธารอุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบค้นหายาดมมาปฐมพยาบาลคนที่จู่ๆ ก็หมดสติไป

พอเกือบจะขึ้นฝั่งเจ้าจันทร์ก็ได้สติกลับมา ชลธารพยายามที่จะพาเจ้าจันทร์ไปหาหมอก่อนแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ จู่ๆ เจ้าจันทร์ก็อยากเจอพ่อกับแม่ อยากเจอจนเผลอน้ำตาซึมต่อหน้าชลธาร หลังจากนั้นชลธารก็หันไปเร่งณัฐธัญให้รีบไปส่งเจ้าจันทร์ให้ไวที่สุด

รถยนต์สีดับขลับยี่ห้อหรูค่อยๆ จอดตรงหน้าบ้านศศิพัฒนเมธี เพียงเปิดประตูก้าวลงจากรถเจ้าจันทร์ก็พบกับทุกคนที่มายืนรออยู่หน้าบ้าน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหวาน เจ้าจันทร์วิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง เด็กหนุ่มต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้จนจมูกแดงก่ำ

“แม่เจ้าจันทร์คิดถึงแม่” เสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเทาเล็กน้อย

“แม่ก็คิดถึงเจ้า รู้ตัวไหมว่าทำเอาทุกคนเป็นห่วงแค่ไหน” พิมลรัตน์ผู้เป็นแม่กอดลูกชายตัวโตด้วยความคิดถึง ขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาเช่นเดียวกัน เมื่อทักทายกันพอสมควรคุณพิมลรัตน์ก็ชวนลูกชายและแขกเข้าบ้าน “ปะเข้าไปข้างในกัน ชลกับธัญก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะลูก แม่ทำเผื่อเอาไว้เยอะเลยของโปรดเจ้าจันทร์ทั้งนั้น” ชักชวนเพื่อนรุ่นพี่ของลูกชายแล้วก็หันมาร่ายรายการอาหารโปรดของเจ้าจันทร์

คุณพิมลรัตน์เดินนำหน้าไปพร้อมกับชลธารและณัฐธัญ เจ้าจันทร์เดินรั้งท้ายไปกับคนเป็นพ่อ เจ้าตัวสวมกอดบิดาด้วยความคิดถึง แล้วสองพ่อลูกจึงเดินตามเข้าบ้านไป

บนโต๊ะทานข้าวมีอาหารทั้งคาวทั้งหวานวางเรียงแทบเต็มโต๊ะ คุณพิมลรัตน์แนะนำเมนูแต่ละอย่างด้วยรอยยิ้ม จนกระทั่งถึงหมูทอดกระเทียมชลธารส่ายหน้าหวือ เป็นอันเข้าใจว่าเธอคงทนกลิ่นกระเทียมทอดไม่ไหว ณัฐธัญรีบหยิบหมูทอดกระเทียมออกให้ห่างภรรยามากที่สุด ซึ่งคุณพิมลรัตน์เข้าใจเป็นอย่างดีจึงยกต้มยำกุ้งเข้ามาแทน

“หมูทอดกระเทียมนี่ของโปรดของเจ้า” คุณพิมลรัตน์รับหมูทอดกระเทียมจากณัฐธัญมาวางตรงหน้าลูกชาย ทั้งที่เคยเป็นของโปรด ทุกครั้งที่คุณพิมลรัตน์ทำหมูทอดกระเทียมเจ้าจันทร์มักชอบกลิ่นหอมๆ ของมัน แต่มาวันนี้กลับแปลกกลิ่นที่ชอบมันไม่เหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าจันทร์ก็พยามยามฝืนทนตักหมูทอดกระเทียมเข้าปาก สัมผัสที่ได้รับคล้ายกับกินเนื้อเน่า เจ้าจันทร์ลุกพรวดวิ่งออกจากโต๊ะอาหารเข้าไปในห้องครัวเพื่อนโก่งคออาเจียนอยู่อ่างน้ำ “ตายแล้วเจ้า” เสียงคุณพิมลรัตน์อุทานด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นเดินแกมวิ่งเข้าไปดูลูกชาย

“เจ้าเป็นอะไรลูก” คุณชญตว์วางช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากเงยหน้าขึ้นถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง

สักพักเมื่อเสียงอาเจียนเงียบหายไปจึงได้ยินเสียงลูกชายตอบกลับมา “ไม่เป็นไรครับพ่อ”

“เจ้าจันทร์ยังคงเมาเรือค้างอยู่หรือเปล่าคะ” ชลธารเปรยขึ้น

ณัฐธัญพยักหน้าสนับสนุนความคิดของภรรยา “เดินทางไม่ได้หยุดพักเจ้าจันทร์คงเหนื่อย”

เสียงโอกอากดังอีกรอบก่อนที่สองแม่ลูกจะเดินประคองกันออกมา คุณชญตว์มองสีหน้าลูกชายด้วยความเป็นห่วง “ไหวไหมเจ้า พ่อว่าไปหาหมอดีไหม”

เจ้าจันทร์ส่ายหน้าหวือ “สงสัยจะยังเมาเรือไม่หายครับพ่อ” ว่าจบก็นั่งลงที่เดิม ซึ่งคราวนี้คุณพิมลรัตน์หยิบหมูทอดกระเทียมออกห่างมือลูกชายทันที

“หมูทอดกระเทียมเป็นมันเลยทำให้ไม่สบายท้อง งั้นก็กินอะไรที่ไม่ค่อยมันก็แล้วกัน” ว่าจบก็หยิบแกงจืดหมูสับมาวางแทนจานหมูทอดกระเทียม

“ขอบคุณครับแม่” เจ้าจันทร์ยิ้มแห้งอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่พอแกงจืดหมูสับกลับได้กลิ่นโชยเหมือนมีเนื้อเน่า หน้าหวานซีดเผือดทำท่าผะอืดผะอมอีกรอบ คราวนี้คุณพิมลรัตน์สังเกตลูกชายตาไม่กะพริบรีบยกแกงจืดหมูสับเปลี่ยนเป็นต้มยำกุ้งทันที

“ลองกินต้มยำดูลูก เปรี้ยวๆ คราวนี้คงไม่เป็นไร”

เจ้าจันทร์ลองตักต้มยำกุ้งคราวนี้ได้กลิ่นหอมของมะนาวทำเอาน้ำลายสอ ยิ่งเมื่อได้ลิ้มรสเผ็ดเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดยิ่งถูกใจ ตักกินไม่ยอมหยุดมือจนคุณพิมลรัตน์ต้องเอ็ดให้ทานข้าวเสียบ้างเจ้าตัวถึงยอมตักข้าวสลับกับต้มยำกุ้ง

“เมื่อก่อนก็ทำให้กินออกบ่อยไม่ยักทำท่าทางชอบแบบนี้” คุณพิมลรัตน์เอ่ยด้วยความแปลกใจ “นี่ถ้าได้ลูกผู้หญิงก็คงคิดว่าท้อง...”

เครง!

ซ้อมหลุดจากมือคุณพิมลรัตน์หลังจากที่พูดจบ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องลูกชายที่กำลังเอร็ดอร่อยกับต้มยำกุ้งด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะหันไปทางสามีที่มองมาเช่นเดียวกัน “เจ้าทานข้าวเสร็จแล้วแม่มีเรื่องจะคุยด้วยนะ” น้ำเสียงของคุณพิมลรัตน์จริงจังจนเจ้าจันทร์แปลกใจ

“ครับแม่”

ท่าทางเคร่งเครียดของผู้ใหญ่ทั้งสองทำเอาชลธารรู้สึกเสียวสันหลังแทนพี่ชายของเธอจริงๆ หรือว่าท่านทั้งสองจะสงสัย แต่ถ้าให้ท่านรู้เลยก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เป็นหารวิ่งหนีปัญหา ให้คุณแม่ของเจ้าจันทร์จับพี่ชายเธอมานั่งคุยเลยยิ่งดี คิดแล้วเห็นทีกลับไปต้องไปลองเลียบๆ เคียงๆ ถามมารดาดูเสียแล้ว



ชลธารและณัฐธัญกลับไปแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จและพูดคุยกันอีกเล็กน้อย เมื่อเหลือเพียงครอบครัวศศิพัฒนเมธีคุณพิมลรัตน์ก็ไล่ลูกชายไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะมานั่งคุยกันในห้องนอนของเจ้าจันทร์เอง

หลังจากอาบน้ำเสร็จเจ้าจันทร์จึงอยู่ในชุดนอนเสื้อสีขาวลายหมีแพนด้าแขนสั้นสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำใส่สบาย เจ้าตัวเดินเช็ดผมออกมาก็เจอะเจอกับพ่อและแม่ที่นั่งรออยู่บนเตียง

“พ่อ แม่ ยังไม่นอนอีกหรือครับ” เจ้าจันทร์อดที่จะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ เพราะนี่ก็ถึงเวลานอนของท่านทั้งสองแล้ว
เป็นคุณพิมลรัตน์ที่ขยับเล็กน้อย “พ่อกับแม่มีเรื่องต้องคุยกับเจ้าก่อน สำคัญมาก” ท้ายประโยคเน้นหนักบ่งบอกว่าสำคัญมากจริงๆ อีกทั้งผู้มากวัยยังแสดงสีหน้าวิตกกังวลจนน่าเป็นห่วง

“มีอะไรหรือครับ ท่าทางคุณพ่อกับคุณแม่กังวลมาก” เจ้าจันทร์ตัดสินใจหยุดเช็ดผมคล้องผ้าขนหนูบนคอแล้วเดินมานั่งปลายเตียงตรงข้ามกับมารดา

คุณพิมลรัตน์หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมที่ยังไม่แห้งดีของลูกชายต่อขณะที่ปากก็เอ่ยเรื่องสำคัญไปด้วย “เจ้าเดือนนี้ลูกมีเลือดออกมาหรือยัง” เป็นคำถามที่คนในครอบครัวศศิพัฒนเมธีเท่านั้นที่เข้าใจกันดี

เจ้าจันทร์ทำท่าครุ่นคิดเพราะไม่ได้สังเกตตัวเองเท่าไหร่ เวลาส่วนมากก็ยุ่งอยู่กับปัญหาระหว่างนเรศตลอด “เดือนที่แล้วเจ้ามีนะครับ แต่...เดือนนี้ยังไม่มีครับ” เจ้าจันทร์ตอบ “คุณพ่อคุณแม่ครับ เจ้าสงสัยมานานแล้วว่าตกลงเจ้า เป็นโรคอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าต้องมีเลือดไหลเหมือน...ประจำเดือนของผู้หญิง หรือว่าเจ้าเป็นโรคร้ายแรงจนพ่อกับแม่ไม่กล้าบอกกันครับ” คำถามของลูกชายครั้งนี้ทำเอาคุณพิมลรัตน์และคุณชญตว์คิดหนัก แต่ถ้าไม่บอกความจริง ลูกชายก็จะกังวลพลอยจะทำให้เจ้าจันทร์เครียดไปอีก และทั้งคู่คิดว่าเจ้าจันทร์โตพอที่จะรับรู้ถึงความผิดปกติในร่างกายของตัวเองได้แล้ว วันนี้จึงตัดสินใจบอกเล่าความจริงเสีย

“เจ้าลูกตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ”
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-04-2018 20:25:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-04-2018 20:38:47
ฟังด้วยคนจิ   :m12:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 04-04-2018 21:32:07
เจ้าท้องแล้วนะคุณพี่
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-04-2018 00:16:34
นเรศมีน้ำยา 5555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-04-2018 00:18:41
ถ้าเจ้าจันทร์รู้ว่าตัวเองท้องได้จะรู้สึกยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-04-2018 01:40:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 05-04-2018 09:45:15
โอ้ยยยยยอยากอ่านตอนต่อไปปปป
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 16 ตกลงเจ้าเป็นโรคอะไรกันแน่?
เริ่มหัวข้อโดย: m_ilk_y ที่ 05-04-2018 15:37:02
 :serius2:กรี๊ดดด น้ำยาพี่เค้าออกฤทธิ์แล้วววว
ขอบคุณมากค่ะ อยากอ่านต่อแล้วค่าาาา
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 05-04-2018 20:55:53
​บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

“เจ้าลูกตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ” น้ำเสียงของมารดาที่ไม่ค่อยมั่นใจเรียกคิ้วสวยให้ขมวดแทบชนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าจันทร์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี “เจ้าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกรู้ไหม?” เจ้าจันทร์ส่ายศีรษะ “ที่เจ้ามีเลือดไหลทุกเดือนนั้นก็เพราะเจ้ามีประจำเดือน...”

“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นผู้ชายนะครับแม่” คราวนี้เจ้าจันทร์อดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้ เจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธแม้รู้อยู่เต็มอกเรื่องสำคัญแบบนี้มารดาไม่มีทางเอามาล้อเล่นแน่

คุณชญตว์ถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชาย “แม่ถึงได้บอกว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกยังไงล่ะ”

ริมฝีปากสวยเม้มแน่นรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ดังนั้นคำตอบจึงดื้อดึงราวกับไม่ต้องการรับรู้ถึงความเป็นจริง “พ่อกับแม่อย่าล้อเล่นแบบนี้สิครับ เจ้าไม่เชื่อหรอกนะมันพิสดารเกินไปแล้ว”

“เจ้าแม่รู้ว่าลูกตกใจ แต่เจ้าต้องเชื่อพ่อกับแม่” คุณพิมลรัตน์กุมมือที่สั่นเทาของลูกชายอย่างให้กำลังใจ ทั่วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบเมื่อทั้งพ่อและแม่ต้องการให้ลูกชายเรียบเรียงความคิด จนกระทั่งเจ้าจันทร์เงยหน้าด้วยดวงตาเอ่อคลอน้ำตาขึ้นมา

“เจ้าท้องได้จริงๆ ใช่ไหมครับแม่” เจ้าจันทร์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความชัดเจน แต่ในใจตอนนี้กลับคิดไปถึงตอนที่อยู่บนเกาะ คิดถึงความสัมพันธ์ของตัวเองและนเรศ เจ้าจันทร์หวังว่ามันคงไม่เป็นอย่างที่กลัว เพราะระหว่างนเรศทั้งคู่ไม่ได้มีความรักต่อกัน ยิ่งคิดมือยิ่งสั่นจนมารดาต้องกระชับอุ้งมือให้แน่นขึ้น

“...” เพียงมารดาพยักหน้ายืนยันหน้าของเจ้าจันทร์ยิ่งซีดเผือด “เจ้าแม่มีอีกเรื่อง” คราวนี้เจ้าจันทร์ก้มหน้างุด “อาการของลูกวันนี้...เจ้าเคยมีอะไรกับผู้ชายไหม” เหมือนมีคนยิ่งลูกศรปักลึกเข้ากลางอก น้ำตาที่อดกลั้นมานานหยดแหมะลง เจ้าจันทร์ถลาเข้ากอดมารดาแล้วร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย แค่นี้ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วสำหรับคนเป็นแม่

คุณชญตว์กัดฟันกรอดตัดสินใจถามลูกชายที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดภรรยา “ระหว่างที่เจ้าหายไปเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกพ่อมา” เสียงนั้นหนักแน่นบีบบังคับจนภรรยาต้องบีบมือคุณชญตว์เบาๆ พลางส่ายหน้าห้ามปราม แต่เรื่องนี้คนเป็นพ่อไม่ยอมแน่นอน ถ้าลูกชายยินยอมจะต้องไม่ร้องไห้แบบนี้ ดังนั้นสรุปได้เพียงอย่างเดียวลูกชายของเขาต้องไม่ได้ยินยอม ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกโกรธอยากจะคว้าเอาปืนไปยิงไอ้คนใจทรามนั่นให้ตายทันที แต่ขั้นแรกคุณชญตว์ต้องเค้นถามความจริงจากลูกชายให้ได้เสียก่อน

“เข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเจ้า เขาแค่เข้าใจผิด...”

“เข้าใจผิด? ได้ยังไงพ่อไม่ยอมให้มันมาตั้งศาลเตี้ยกับลูกหรอกนะ มันเข้าใจผิดเรื่องอะไร แล้วมันเป็นใครบอกพ่อมา พ่อจะไปเอาเลือดหัวมันมาล้างเท้า!” เจ้าจันทร์สะดุ้งโหยงทั้งที่ตั้งใจว่าให้เรื่องมันจบๆ ไป แต่ดูเหมือนบิดาจะโกรธมากคนที่สุขุมและใจเย็นอยู่เสมอถึงได้ออกปากจะเอาเลือดนเรศมาล้างเท้าแบบนี้

“...” เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทั้งน้ำตาพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากมารดา “เจ้ากับเขาจบไปแล้ว เจ้าไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้น”

“ไม่...”

“ใจเย็นๆ ค่ะคุณ” คุณพิมลรัตน์แตะท่อนแขนของสามีเบา ๆ แล้วหันมาถามลูกชาย “แล้วเขาเข้าใจผิดเรื่องอะไรลูก ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้น” คุณชญตว์เองก็เงียบรอฟังแม้ว่าจะรู้สึกโกรธมากแค่ไหน

“เขาเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าทำน้องสาวเขาท้อง”

“เขาเลยทำแบบนั้นกับเจ้า บัดซบ! บอกมามันชื่ออะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ถ้าเจอพ่อจะเอาลูกปืนกรอกปากมัน” จากที่ร้องไห้อยู่เจ้าจันทร์ก็สะดุ้งหน้าซีดเผือดชักหวั่นๆ ใจขึ้นมา กลัวว่าถ้าผู้เป็นพ่อรู้ว่าใครทำ นเรศคงจะได้กินลูกปืนของคุณชญตว์เข้าจริงๆ สักวัน ดีไม่ดีพ่อเจ้าจันทร์อาจตามไปหาเรื่องถึงเกาะ

“แม่” เจ้าจันทร์ร้องเรียกมารดาเสียงอ่อนกลัวว่าบิดาจะทำจริง ๆ เพราะแบบนั้นรั้งแต่จะทำให้บิดาเสียมากกว่าดี ความแค้นไม่ได้ทำให้คนเราดีขึ้นรั้งแต่จะทำให้เลวร้ายลง ดังนั้นเจ้าจันทร์ถึงไม่เคยโกรธนเรศ

“คุณกลับห้องไปสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ คุณทำให้ลูกกังวล” คุณพิมลรัตน์ไล่สามีทำให้อีกฝ่ายเดินหน้างอง้ำจากไป “เฮ้อ...ทำตัวอย่างกับเด็กวัยรุ่นใจร้อนไปได้” เธอถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาคุยกับลูกชาย “เจ้าพรุ่งนี้ไปหาอาหมอกันนะ ไปตรวจร่างกายหน่อย” เจ้าจันทร์พยักหน้าพร้อมพยายามเช็ดน้ำตา

“เจ้าจันทร์จะท้องไหมครับแม่” อดที่จะถามด้วยความกลัวไม่ได้

“แม่เองก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นเพราะเจ้าเครียดก็ได้ลูก รอตรวจกับอาหมอให้แน่ใจก่อน” ฟังคำที่มารดาพูดแล้วเจ้าจันทร์ก็พยักหน้าเข้าใจ “แล้วเรื่องของเขาล่ะเจ้าจะทำยังไง ถ้าเกิดว่าท้องจริงๆ”

“เจ้ากับเขาไม่เกี่ยวอะไรกันแล้ว” เจ้าจันทร์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบมารดา

“ลูกตัดสินใจยังไงพ่อกับแม่พร้อมจะเข้าใจเสมอ ถ้าท้องจริง ๆ หลานคนเดียวพ่อกับแม่ก็เลี้ยงได้” จากนั้นคุณพิมลรัตน์ก็คุยกับลูกชายหลายเรื่องทีเดียว เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ กว่าจะกลับห้องก็ดึกพอสมควร



“โอก...อ้วก” เช้านี้เจ้าจันทร์ต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการพะอืดพะอมจนต้องวิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ กว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็อาเจียนจนหมดแรง ร่างโปร่งเดินซวนเซออกจากห้องน้ำแล้วล้มตัวลงนอนด้วยอาการเมื่อยล้า กว่าจะตื่นอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงของมารดาปลุกเบาๆ ที่ข้างหู

“เจ้า...เจ้าตื่นได้แล้วลูก” น้ำเสียงนุ่มหูและแรงเขย่าๆ เบาทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา “หน้าเจ้าซีดมากเลยไหวไหม” ผู้เป็นมารดายังคงถามไถ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เรียกเจ้าพจน์มาตรวจที่บ้านดีไหมแม่” คุณชญตว์ถามความเห็นภรรยาเมื่อมองดูสีหน้าไม่ใคร่สู้ดีนักของลูกชาย

คุณพิมลรัตน์ส่ายศีรษะ “ที่โรงพยาบาลเครื่องไม้เครื่องมือครบครันกว่า และจะได้ไม่ต้องรบกวนพจน์ อีกสักหน่อยค่อยขึ้นมาปลุกลูกแล้วกัน เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะลูกดีขึ้นแล้วค่อยไปหาอาหมอก็ได้” บอกผู้เป็นสามีแล้วคุณพิมลรัตน์ก็หันมาเอ่ยกับลูกชายที่ดูท่าแล้วคงจะลุกไม่ไหว “คุณก็ไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะสาย” เธอไล่สามีไปทำงานซึ่งเป็นคลินิกขายยาไม่ไกลจากบ้านนัก

“พ่อสั่งงานลูกน้องไว้แล้ว วันนี้จะพาเจ้าไปโรงพยาบาล พ่อเองก็อยากจะลุ้นว่าเราจะมีหลานกันไหม ป้าราตรีบ้านข้าง ๆ อุ้มหลานมาอวดทุกวัน พ่อเองก็อยากจะอวดป้าแกบ้าง” คุณชญตว์พูดถึงป้าราตรีที่มีหลานสาวเพิ่งคลอด ป้าท่านก็อุ้มมาอวดอยู่ทุกวันพาลให้ชญตว์อิจฉาจนตาแทบร้อน งานนี้ถ้าลูกชายท้องจะได้เอาไปอวดคืนบ้าง

“คุณนี่ทำเหมือนเด็ก” พิมลรัตน์ตีแขนสามีเบาๆ ก่อนจะพากันลงไปข้างล่าง

สายหน่อยเจ้าจันทร์ถึงได้งัวเงียตื่นขึ้นมา อาการเบลอๆ อยากจะอ้วกอยู่ตลอดเวลายังคงเป็นอยู่ แต่ดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากทีเดียว เมื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเจ้าจันทร์จึงอยู่ในเสื้อคอกลมแขนยาวลายทางสีขาวดำ สวมด้วยกางเกงสีดำ เมื่อลงมาข้างล่างก็เจอมารดาที่กำลังจัดโต๊ะรออยู่ เจ้าจันทร์ปรี่เข้าไปแต่ถูกห้ามเสียก่อน

“ไม่ต้องเข้ามาลูกเดี๋ยวเวียนหัว” แม้จะไม่แน่ใจว่าเจ้าจันทร์ท้องหรือเปล่าแต่อาการที่เห็นก็ทำให้พิมลรัตน์และชญตว์เชื่อไปมากกว่าครึ่งเสียแล้ว “นั่งรอแม่อยู่ตรงนั้นเลย ข้างในมีแต่กลิ่นกระเทียม” เมื่อดูท่าลูกชายจะเดินเข้ามาก็สำทับไปอีกรอบ ครั้งนี้เจ้าจันทร์ถึงยอมนั่งรออยู่โต๊ะทานอาหารกับบิดา “มาแล้วๆ นี่ผัดผักสี่สหาย อันนี้ไข่ตุ๋นนมสดผักโขม แล้วนี่แกงจืดตำลึง เมื่อวานแม่เห็นเจ้าทานหมูไม่ได้วันนี้เลยใส่แค่เต้าหู้ไข่ และอย่างสุดท้ายก็เป็นน้ำส้มคั้น” คุณพิมลรัตน์วางอาหารด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“แม่เขาตั้งใจทำให้เจ้าเลยเห็นเปิดดูสูตรทำอาหารด้วยนะ” ชญตว์รีบชมภรรยาให้ลูกชายฟัง “เห็นบอกอาหารเพื่อคนท้องโดยเฉพาะ” คราวนี้เจ้าจันทร์ที่นั่งฟังหน้าซับสีเลือด

“พ่อ แม่ ยังไม่ได้ตรวจให้แน่ชัดสักหน่อยว่าเจ้าจะท้องได้จริง ๆ” เจ้าจันทร์ตอบเสียงแทบกระซิบจนว่าที่ยายและตาหัวเราะเบาๆ

“แม่ท้องเจ้ามาก่อนนะทำไมจะไม่รู้ว่าคนท้องมีอาการแบบไหน พ่ออยากได้หลานผู้ชายหรือผู้หญิง” ตอบกลับลูกชายด้วยรอยยิ้มแล้วก็หันไปถามสามี

“จะผู้ชายผู้หญิงพ่อเลี้ยงได้หมดแหละ ถ้าเป็นผู้ชายพ่อจะสอนแบบทหารเลยคอยดูสิ” ว่าที่ตาหมายมั่นปั้นมือ เขาจะต้องเลี้ยงหลานออกมาให้มาดแมนจนผู้ชายด้วยกันยังต้องอายเลยคอยดูเถอะ

“แล้วถ้าเป็นผู้หญิงละพ่อ”

“พ่อก็จะเลี้ยงแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยนะสิ จะว่าไปถ้าได้หลานผู้หญิงต้องเลี้ยงหมาซะแล้ว อืมๆ ให้ไอ้สารวัตรหาปืนมาให้อีกสักกระบอกก็ดี”ท้ายประโยคเจ้าจันทร์ได้แต่ยิ้มแหย่ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

“ถามแม่เขาหรือยังคะคุณตา” คุณพิมลรัตน์แซวสามีเสร็จก็หัวเราะร่าอารมณ์ดี

“คุณแม่...” เจ้าจันทร์รู้สึกเขินไม่น้อยที่ถูกเปลี่ยนสรรพนามใหม่



ครอบครัวศศิพัฒนาเมธีกำลังรอลุ้นผลตรวจของลูกชายเพียงคนเดียว หมอรามน้องชายของคุณชญตว์เปิดประตูออกมาแล้วต้องผงะด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ พี่ชายก็พุ่งเข้ามาเขย่าแขนจนหัวคลอนมึนไปทั้งศีรษะ

“รามว่าไงท้องไหม?” หมอรามที่เพิ่งหลุดออกมาจากการเขย่าของพี่ชายได้ต้องรีบยกมือห้าม

หมอรามยกยิ้มทำให้ชญตว์เบิกตารอฟังอย่างตั้งใจ “ยินดีด้วยนะครับพี่ยศ พี่พิมล หลานท้องได้หนึ่งเดือนแล้วครับ” จบประโยคเสียงร้องดีใจดังลั่นพร้อมท่าราวกับนักฟุตบอลยิงเข้าประตูของชญตว์ ส่วนพิมลรัตน์ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากด้วยความยินดียิ่ง

“แม่ดูผิดที่ไหน” คุณพิมลรัตน์หันไปพูดกับลูกชายก่อนจะดึงเจ้าจันทร์เข้าไปกอด

เจ้าจันทร์แม้จะรู้สึกดีใจแต่อีกใจก็ยังกังวลจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ ส่งให้บิดาและมารดา ในใจเฝ้าพร่ำบอกตัวเองต่อไปนี้เจ้าจันทร์ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ

หลังจากออกจากโรงพยาบาลกว่าจะวกรถกลับเข้าบ้านได้ของกินบำรุงครรภ์ก็เต็มไม้เต็มมือคุณชญตว์และคุณพิมลรัตน์ ขนาดเจ้าจันทร์พยายามขอแบ่งมาช่วยถือทั้งคุณปู่คุณย่ามือใหม่ต่างช่วยกันรีบปฏิเสธ เห็นแบบนี้แล้วเจ้าจันทร์ก็ต้องแอบหัวเราะเบา ๆ ท่าทางบิดาและมารดาคงจะเห่อหลานคนแรกมาก และช่างเป็นโชคดีที่พวกท่านไม่ใส่ใจว่าใครจะเป็นพ่อขอแค่เป็นหลานพวกท่านก็จะเลี้ยงดูอย่างดีที่สุด เจ้าจันทร์นึกถึงคำพูดพวกท่านทีไรน้ำตาต้องไหลด้วยความปลื้มใจทุกที

ช่วงหลายวันมานี้เพื่อนบ้านหลายคนต้องแปลกใจเมื่อบ้านศศิพัฒนเมธีดูไม่เงียบเหงาเช่นทุกที บางวันได้ยินเสียงเอ็ดตะโรตื่นตกใจ บางวันได้ยินเสียงกระทะกับตะหลิวที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ ผู้คนเดินผ่านก็พลอยแย้มยิ้มไปด้วย บ่ายวันนี้อากาศดีใต้ต้นมะม่วงข้างกำแพงบ้านมีโต๊ะม้าหินอ่อนตั้งอยู่ จึงปรากฏร่างของคนสองวัยนั่งหัวเราะพูดคุยกัน จนกระทั่งได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้าน

เจ้าจันทร์วางมือจากมะม่วงน้ำปลาหวานที่อร่อยถูกปากตั้งท่าเตรียมจะเดินไปเปิดประตู แต่ก็ต้องชะงักกับเสียงห้ามปรามของมารดา

“เจ้าเดี๋ยวแม่ไปเองลูก” ไม่ว่าเปล่าแต่ยังลุกขึ้นด้วยท่าทางกระชับกระเฉง

“ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวเจ้าไปเอง...แค่นี้เองครับ” เจ้าจันทร์รีบแทรกก่อนที่มารดาจะทันได้ปฏิเสธ คุณพิมลรัตน์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนยอมพยักหน้าอนุญาต เจ้าจันทร์เผยยิ้มกว้างลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู “รอสักครู่นะครับ” เสียงนุ่มตะโกนบอกอีกฝั่งก่อนพยายามเร่งความเร็ว

“เป็นไงบ้างเจ้า ชลคิดถึงเจ้าจังเลย” เมื่อประตูเปิดออกร่างอวบเล็กน้อยของหญิงตั้งครรภ์ก็โผเข้ามากอดเจ้าจันทร์แน่น

“สวัสดีครับพี่ชล พี่ธัญ เจ้าสบายดีครับ...” เจ้าจันทร์ยิ้มกว้างยกมือไหว้คนทั้งคู่ก่อนจะหุบยิ้มฉับทันทีเมื่อมองเห็นใครอีกคนเดินลงจากรถมาสมทบ


********************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 05-04-2018 21:37:17
อยากอ่านตอนต่อไปแล้งวววว
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 05-04-2018 21:46:24
คุณพ่อมาแล้ว เจ้าอย่าใจแข็งนักนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-04-2018 22:21:21
รอดูศึกช้างชนช้าง เขยกับพ่อตา  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-04-2018 22:36:40
ว้ากกกกกก  ตัดฉับเบย :ling1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-04-2018 01:11:52
จะรอดูว่านเรศจะมาง้อยังไง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 06-04-2018 03:06:46
ก็ว่าพล็อตเรื่องคุ้นๆ เคยอ่านตอนก่อนลบมา
มาตามต่อน้าาา
ขอลูกชายเถอะ พลีสสสส
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 17 เจ้าคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 06-04-2018 11:58:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 06-04-2018 20:02:41
​บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง

หลายวันแล้วนับตั้งแต่นเรศยอมให้เจ้าจันทร์จากไป เขาทุ่มเทสะสางงานและมอบหมายงานต่างๆ ให้คนงานบนเกาะ นเรศใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะขึ้นกรุงเทพ เมื่อมาถึงกระเป๋าในมือยังไม่ทันได้เก็บเรียบร้อยดีก็มองเห็นน้องสาวและณัฐธัญที่เหมือนจะออกไปที่ไหนสักที่

“อ้าว พี่นเรศมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำไมไม่โทรบอกก่อนนี่ถ้าชลไม่ออกมาคงไม่รู้” ชลธารเอ่ยถามพี่ชายด้วยความแปลกใจ
“เพิ่งมาถึง แล้วชลกับไอ้ธัญ...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวในท้ายประโยค

“จะไปบ้านเจ้าจันทร์ค่ะ” ดวงตาคมกริบมีประกายพาดผ่านเมื่อได้ฟังคำตอบของน้องสาว

นเรศรีบส่งกระเป๋าให้แม่บ้านแทบกลายเป็นโยน “พี่ไปด้วย” เขารีบเสนอ

ชลธารได้ฟังคำขอของพี่ชายแล้วถอนหายใจ เธอรู้ว่าพี่ชายของเธอทำผิดกับเจ้าจันทร์เอาไว้มาก แต่ว่าตอนนี้พี่ชายของเธอรักรุ่นน้องคนนี้จนเรียกได้ว่าหลงหัวปักหัวปำ จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แม้ว่าจะเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้าจันทร์ แต่เธอที่เป็นน้องสาวได้สัมผัสพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ย่อมรู้ว่าพี่ชายของเธอเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ดังนั้นเธอก็อยากให้เจ้าจันทร์เจอผู้ชายที่ดี และให้ลองเปิดใจสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของพี่ชายของเธอสักครั้ง

“แหม มาถึงก็รีบร้อนจะไปหาแต่เจ้าจันทร์ไม่คิดจะไปไหว้คุณแม่ก่อนหรอคะ เดี๋ยวท่านได้มาบ่นน้อยใจลูกชายคนเดียวไม่สนใจ และอีกอย่าง...” เธอใช้สายตากวาดมองพี่ชายขึ้นลงหัวจรดเท้า “ไม่คิดจะอาบน้ำอาบท่าแต่ตัวให้ดูดีกว่านี้หน่อยหรอคะ” ชลธารรู้ว่าพี่ชายของเธอแม้ใส่เสื้อยืดกับกางเกงเลก็ยังดูดี แต่นี่คิดจะพาสภาพหัวฟูไม่เป็นทรง หน้าโทรมๆ มีหนวดเคราอย่างกับโจรไปง้อเจ้าจันทร์หรอ “นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนชลนึกว่าพี่นเรศจะไปปล้นซะอีกนะ”

“อุ๊บ...ฮาๆ” ณัฐธัญที่ยืนข้างภรรยาในที่สุดก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขาปล่อยเสียงหัวเราะฮาๆ พร้อมทำท่ากุมท้อง

“อยากโดนเตะหรือไง” ไม่ว่าเปล่าแต่ยังยกเท้าขู่เจ้าน้องเขยตัวแสบอีกด้วย ณัฐธัญที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็รีบหุบปากแล้วเสหน้าหลบไปทางอื่นแต่ตัวก็ยังสั่นเทิ้มเมื่อต้องพยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก “งั้นรอพี่ก่อนนะ” จบประโยคนเรศก็รีบวิ่งผลุนผลันหายเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงแว่วๆ ร้องทักทายมารดา เพียงไม่นานก็วิ่งออกมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่และกลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ แม้กระทั่งเส้นผมก็ยังคงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเช่นเคย

“เฮ้ย พี่เขยที่นี่ไม่ใช่ค่าย รด. ไม่ต้อบอาบน้ำทำเวลาขนาดนั้นก็ได้” ณัฐธัญที่นั่งนวดให้ภรรยาอยู่โต๊ะหน้าบ้านเงยหน้าขึ้นมาทัก
นเรศไม่ใส่ใจณัฐธัญปรี่เข้าไปพยุงน้องสาวขึ้น “พี่พร้อมแล้วไปกันเถอะ” ว่าจบก็รีบจับจูงชลธารไปขึ้นรถ

ช่วงเวลาที่รถแล่นอยู่บนถนนช่างยาวนานสำหรับนเรศ ชายหนุ่มมักแสดงท่าทางร้อนรนจนคนมองได้แต่ส่ายหน้า “ใกล้ถึงหรือยัง” นี่ก็คือคำถามครั้งที่ร้อยแปดที่นเรศมักถามขึ้นทุกๆ สิบนาที

“เมื่อสิบนาทีก่อนชลได้บอกไปแล้ว แกก็ลองลบอีกสิบนาทีสิวะ” ณัฐธัญอดไม่ได้ที่จะแหย่

นเรศพอได้ฟังก็ตวัดนัยน์ตาคมกริบจ้องน้องเขยอย่างดุดัน และก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสองจะได้ก่อสงครามกันชลธารก็แทรกขึ้นมา “ถึงแล้วค่ะ” จบประโยคพร้อมกับที่ณัฐธัญค่อยๆ ชะลอรถอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

แต่พอถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้าจริงๆ นเรศกลับรู้สึกกลัว จนได้แต่นั่งหน้าซีดมองดูชลธารและณัฐธัญลงไปกดกริ่งหน้าบนรถ ดวงตาคมฉายแววยินดีเมื่อมองเห็นร่างโปร่งค่อยๆ เปิดประตูออกมา เขากวาดสายตาสำรวจเจ้าจันทร์ว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า เจ้าจันทร์จะท้องแล้วหรือยัง อีกทั้งยังรู้สึกอิจฉาน้องสาวตัวเองที่ได้โผเข้ากอดร่างเล็กนั่น เขาเองก็ต้องการที่จะได้ทำกับเจ้าจันทร์แบบนั้น

“สวัสดีครับพี่ชล พี่ธัญ เจ้าสบายดีครับ...” เจ้าจันทร์ยิ้มกว้างยกมือไหว้คนทั้งคู่ก่อนจะหุบยิ้มฉับทันทีเมื่อมองเห็นใครอีกคนเดินลงจากรถเข้ามาสมทบ เพียงแค่เห็นท่าทางไม่ต้อนรับนเรศก็มีสีหน้าสลดลง ท่าทางมองดูแล้วคล้ายเจ้าตูบถูกเจ้านายทอดทิ้ง แต่เมื่อนึกถึงเป้าหมายนเรศจำต้องสลัดท่าทางหงอยเหงาทิ้งไป เงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้างเปล่งแสงอบอุ่นส่งตรงไปให้เจ้าจันทร์

“เจ้า...”

“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” ประโยคเชิญเข้าบ้านแทรกขึ้นก่อนที่นเรศจะกล่าวทักทาย เจ้าจันทร์ไม่เหลือบแลอีกฝ่ายแม้กระทั่งหางตาเดินนำชลธารและณัฐธัญกลับเข้าไปในบ้าน

ณัฐธัญที่เดินนำไปก่อนเอี้ยวตัวกลับมาป้องปากทำท่ากระซิบ “แค่นี้ยังน้อยไปโว้ย” ว่าจบก็หัวเราะคิกคักก่อนจะหันไปประจบภรรยา

นเรศยืนมองเบื้องหลังคนทั้งสามแล้วได้แต่ถอนหายใจ เอาล่ะคนอย่างนเรศกล้าทำกล้ารับ แค่ง้อเมียนั้นไม่ยากณัฐธัญก็บอกแล้วว่าแค่ต้องทนมือทนเท้าสักหน่อย แต่นเรศยังไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับเจ้าจันทร์และครอบครัวอีกฝ่ายยังไง คิดมาถึงตรงนี้ก็ขอถอนหายใจอีกสักเฮือก ดูท่าต้องสั่งงานลูกน้องผ่านโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตอีกนาน

คนทั้งหมดเดินหลบเข้าไปใต้ต้นมะม่วงซึ่งมีคุณพิมลรัตน์นั่งยิ้มรับอยู่

“สวัสดีค่ะคุณน้า” เธอยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อมตามด้วยณัฐธัญ

คุณพิมลรัตน์รับไหว้ผู้อ่อนวัยทั้งสองก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วพ่อหนุ่มด้านหลังนั่นใครกัน” เธอมองไปยังพ่อหนุ่มร่างโตเต็มไปด้วยหมัดกล้าม รูปร่างหน้าตาคมคายเข้ากับผิวสีเข้มชมดูแล้วน่ามองทีเดียว

“นี่พี่ชายชลเองค่ะ พี่นเรศ...และสาวสวยท่านนี้คือแม่ของเจ้าจันทร์” ชลธารแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน

นเรศพยามสบตาเจ้าจันทร์แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าจะสนใจ แต่เมื่อได้รับคำถามจากคุณพิมลรัตน์จึงแน่ใจแล้วว่าท่านคงไม่รู้ว่าตนเคยทำสิ่งใดกับเจ้าจันทร์บ้าง คงเป็นเจ้าตัวที่ปิดปากเงียบไม่บอก จากตอนแรกที่รอรับชะตากรรมในเวลานี้กลับไปไม่ถูก จะเดินหน้าหรือถอยหลังเลือกไม่ได้สักทาง จนสายตาสะดุดเข้ากับมะม่วงน้ำปลาหวานบนโต๊ะ บัดนั้นนเรศจ้องเขม็งไปยังร่างโปร่งจนเจ้าจันทร์ต้องหันมา ดวงตาโศกเกิดประกายไหวระริกเมื่อโดนร่วงรู้ก่อนจะรีบเสหน้าหลบ ท่าทางนั่งสบายก่อนหน้าพลันเกร็งขึ้นมา หัวใจภายในอกของนเรศเต้นกระหน่ำขึ้นมาพร้อมๆ กับมุมปากที่ค่อยๆ ยกขึ้น ดวงตาทอแววประกายยินดีสายหนึ่ง นเรศตัดสินใจได้ทันทีเข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้นดังตึงพร้อมกับมือพนมไหว้กราบลงตรงเท้าคุณพิมลรัตน์

“ว้าย! ตายแล้วพ่อนเรศทำอะไรลูก” คุณพิมลรัตน์รู้สึกตกใจไม่น้อยกับการกระทำของชายหนุ่มจนต้องเบี่ยงเท้าหลบพลางก้มลงประคองร่างแกร่งขึ้นจากพื้น

สองสามีภรรยาที่มองเหตุการณ์เลือกที่จะเงียบ เมื่อนเรศเป็นคนสร้างปมบนเชือกขึ้นมาดังนั้นเขาจะต้องเป็นคนแก้

สองมือน้อยที่กอบกุมกันอยู่ของเจ้าจันทร์บีบแน่นขณะที่ดวงตาโศกจับจ้องมองการกระทำของนเรศ

“ผมเป็นพ่อของเด็กในท้องเจ้าจันทร์ครับ” จบระโยคก็มีเสียงสำลักแค่กๆ มาจากฝั่งณัฐธัญ ส่วนพิมลรัตน์ยกมือทาบอก ปากอ้ากว้างพะงาบๆ อยู่เช่นนั้นก่อนจะร้องหายาดม ณัฐธัญรีบควานหายาดมส่งให้ท่านแล้วหากระดาษมาพัดให้

“เจ้า...บอกแม่สิเขาคือพ่อของน้อง” ขณะพูดไปก็คว้าเอามือลูกชายมาบีบแน่น

เจ้าจันทร์รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อตั้งใจว่าจะให้เรื่องนี้จบๆ ไปแล้วต่างคนต่างอยู่ไปซะ แบบนั้นมันคงดีกับทั้งสองฝ่าย แต่นเรศนี่อย่างไรกลับมาบอกคุณแม่ว่าเขาเป็นพ่อของเด็กในท้อง “ไม่ใช่” แม้จะปฏิเสธแต่กลับไม่เต็มเสียงนัก นเรศที่ได้ฟังคำตอบของเจ้าจันทร์เงยหน้ามาส่งสายตาตัดพ้อเสียใจ “ผมไม่รู้จักคุณ” ดวงตากลมโตนั้นหันกลับมามองช่างว่างเปล่าจนร่างตั้งตรงเมื่อครู่อ่อนยวบแทบทรงตัวไม่อยู่ นเรศรู้สึกหมดแรงเสียดื้อๆ

แม้ลูกชายของท่านจะปฏิเสธชายหนุ่มตรงหน้า แต่ผู้มากวัยที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานกลับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คุณพิมลรัตน์ค่อยๆ ปรับลมหายใจจนกลับมาสม่ำเสมอได้ในที่สุด ท่านหันกลับไปมองลูกชายที่เอาแต่เสหน้าหลบ พอหันกลับมามองชายหนุ่มอีกคนดวงตาคมกริบนั้นก็เอาแต่มองตามลูกชายท่าน

“ลูกชายของฉันไปทำอะไรให้คุณ...คุณถึงได้รังแกกันขนาดนี้” น้ำตาของคนเป็นแม่ร่วงหล่นพร้อมกับตัดพ้อต่อว่าและสรรพนามที่ห่างเหินไม่เป็นกันเองเช่นก่อนหน้า คนเป็นแม่เมื่อเห็นลูกเจ็บท่านย่อมรู้สึกเจ็บมากยิ่งกว่า

เมื่อเห็นมารดาหลังน้ำตาเจ้าจันทร์ก็โผเข้ากอดเอวมารดาเอาไว้แน่น ซุกใบหน้าหลบหลีกสายตาผู้คนที่จ้องมาหวังหลบซ่อนหยดน้ำตาที่กำลังร่วงหล่น

นเรศก้มกราบคุณพิมลรัตน์อีกครั้ง “ขอโทษครับ” เขาคงมีเพียงคำกล่าวเท่านี้ที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “ผมขอโทษและผมอยากจะแก้ไขทุกสิ่ง” คำกล่าวครั้งนี้น้ำเสียงของนเรศเต็มไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง ราวกับต้องการสลักลึกลงไปในใจคนฟังให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

“แน่ใจหรือว่าคุณต้องการแบบนั้น คุณเคยทำร้ายลูกของฉันแล้วกลับจะมาขอแก้ตัวง่ายๆ แค่นี้หรือ” คราวนี้คุณพิมลรัตน์ลุกขึ้นตวาดก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาด้วยความโกรธเกรี้ยว

เพียะ!

“แม่” เจ้าจันทร์รีบวิ่งเข้าไปหามารดาด้วยเกรงว่าท่านอาจโกรธจนหน้ามืด

“พี่นเรศ” ชลธารลุกขึ้นหน้าตื่นหวังเข้าหาพี่ชายแต่มือหนาของณัฐธัญแตะที่ข้อศอกของเธอเบาๆ เมื่อหันกลับมามองหน้าเขาก็เพียงส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ชลธารจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของณัฐธัญแล้วจึงเลือกที่จะยืนมองดูอยู่ห่างๆ เช่นเคย

“คุณเคยเห็นแก้วน้ำที่แตกไหม? เมื่อมันแตกไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะระกอบขึ้นมาเป็นแก้วใบเดิมได้ แล้วนี่ลูกของฉันคือคน คุณคิดว่าหัวใจที่เจ็บจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้วจะสามารถเรียกคืนกลับมาได้หรือ” ใบหน้าของท่านแดงก่ำจนเจ้าจันทร์กลัวว่าท่านจะเป็นลม

“ผมรู้ครับ” นเรศตอบรับเสียงอ่อน

“รู้แล้วยังมาที่นี่ทำไม หรือที่แล้วมาเยียบย่ำหัวใจลูกของฉันไม่พอ!”

ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ก้มสำนึกผิดเงยขึ้นมา ดวงตาทอประกายความมุ่งมั่นพร้อมกับน้ำเสียงมั่นคนเอ่ยออกมา “เพราะผมรู้ว่าแก้วที่แตกไปแล้วไม่มีทางเหมือนเดิม แต่ผมจะหลอมแก้วใบนั้นขึ้นมาใหม่ให้แข็งแกร่งและงดงามยิ่งกว่าเดิม ในตอนนี้ผมขาดเพียงแค่โอกาส ดังนั้นผมอยากจะขอโอกาสแก้ไขทุกอย่าง ได้โปรดให้โอกาสผมด้วยครับ” จบประโยคความเงียบพลันบังเกิด

คุณพิมลรัตน์หรี่นัยน์ตามองดูชายตรงหน้าราวกับจะมองลึกลงไปในจิตใจของอีกฝ่าย ท่านเป็นแม่แม้โกรธจนไม่อยากให้อีกฝ่ายมายุ่งเกี่ยว แต่เมื่อมองกลับมาที่ลูกชายและหน้าท้องที่ยังคงแบนราบอยู่ แล้วกลับมาถามตัวท่านเอง หากตัดโอกาสตัดความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ทิ้งไป ตัดเส้นใยอันบอบบางระหว่างพวกเขา อนาคตของหลานชายท่านคงไม่มีทางได้พบหน้าพ่อ คงกลายเป็นลูกที่กำพร้าพ่อ ท่านไม่ต้องการแบบนั้น ไม่ต้องการให้หลานชายกำพร้าพ่อ ไม่ต้องการเห็นใครต่อใครนินทาว่าร้ายลูกชายของท่านว่าท้องไม่มีพ่อ คำว่าโอกาสเพียงคำเดียวที่จะกลายเป็นกาวประสานรอยร้าวทั้งหมด แม้สุดท้ายจะลงเอยเช่นไรแต่อย่างน้อยท่านก็ทำดีที่สุดแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว

“เอาล่ะๆ” ท่านถอนหายใจก่อนจะนั่งลงสงบใจในที่สุด “โกรธคุณไปก็ไม่ได้อะไรในเมื่อสุดท้ายแล้วฉันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้” ได้ยินท่านกล่าวเช่นนั้นนเรศก็แอบยิ้มยินดี “คำว่าโอกาสฉันให้คุณไม่ได้” แต่ประโยคต่อมากลับทำให้เขาห่อเหี่ยวยิ่งกว่าต้นไม้กำลังจะตาย “เว้นแต่....” ท่านลากเสียงยาวราวกับต้องการพรากลมหายใจคนฟังที่กำลังกลั้นหายใจรอฟังอยู่ “เว้นแต่คุณจะสร้างมันขึ้นมาเอง”



*********************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นจ้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-04-2018 20:16:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 06-04-2018 20:48:36
 :mew3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-04-2018 20:51:19
โดนตบไปฉาดก็คุ้มนะ นเรศ :beat:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 06-04-2018 22:56:31
ตามง้อสัก10ตอนไปเลยเป็นไง เอาลูกคลอดเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-04-2018 03:53:22
คุณพ่อตาเจ้าขา อยู่ไหนคะ อีตาลูกเขยมาเหยียบถึงบ้านท่านแล้วนะคะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-04-2018 04:55:38
อย่ายอมใจอ่อนง่ายๆนะ ให้นเรศง้อไปยาวๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 18 พ่อของเด็กในท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-04-2018 19:35:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 07-04-2018 22:00:47
บทที่ 19 พบหน้า

เสียงก้อนน้ำแข็งดังแกรกเมื่อถูกคีบใส่แก้วตามด้วยน้ำหวานสีแดงเทลงจนเกือบเต็ม สายตาคมกริบจ้องมองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา ความดุดันที่เคยปรากฏแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน เมื่อเห็นร่างเล็กตั้งท่าจะยกถาดน้ำหวานนเรศก็รีบถลาเข้าไปฉวยเอามาถือไว้อย่างหน้าด้านๆ แต่มือยังไม่ทันแตะก็ถูกตีเพียะเข้าให้

“โอ๊ย เจ้าตีพี่ทำไม” เสียงสูดปากพร้อมกับมือหนาลูบหลังมือที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายตีเข้าเต็มแรง

เจ้าจันทร์ถลึงดวงตาโศกใส่คนตัวโต “ไม่ต้องมายุ่ง” นึกแล้วยังรู้สึกเคืองไม่หายเมื่อผู้เป็นมารดายอมหลีกทางให้ชายหนุ่มง่ายๆ แม้ว่าท่านจะบอกว่าโอกาสไม่ได้มาจากท่าน แต่ก็ยังถือว่าท่านช่วยเหลือนเรศอยู่ส่วนหนึ่ง

นเรศอาศัยความหน้าด้านยกถาดขึ้นมาถือเองแล้วลอยหน้าลอยตาเดินนำออกมา ด้านหลังรับรู้ถึงสายตาพิฆาตที่จ้องมองมาให้เสียวสันหลังจนต้องรีบเร่งฝีเท้าไปให้ถึงโต๊ะหินอ่อนข้างกำแพงบ้าน เขายกแก้วน้ำหวานวางลงตรงหน้าคุณพิมลรัตน์พร้อมยิ้มประจบอย่างเอาใจพลางเหลือบหางตามองเจ้าจันทร์ที่เดินบ่นอุบอิบตามมา ใบหน้าหวานหงิกงอแต่ในสายตานเรศกลับมองดูแล้วต้องยอมรับว่าเจ้าจันทร์น่ารัก น่ารักกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก

เมียใครหว่าน่ารักจัง คิดแล้วก็ต้องหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง

“มันบ้าไปแล้ว” เสียงค่อนขอดดังมาจากชายหนุ่มอีกคน แต่นเรศไม่สนใจคิดเสียว่าเป็นเสียงนกเสียงกา

ชลธารหัวเราะสามีตัวเอง “ทำไม? อิจฉาหรือยังไง” เธอถามก่อนยกน้ำหวานขึ้นจิบ

“ชลอ่ะ” ณัฐธัญหันมาทำท่ากระเง้ากระงอดกับภรรยา จนคนที่มองดูอยู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับท่าทางปัญญาอ่อนของชายหนุ่ม
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงโต๊ะนั่งแต่เท้าเจ้ากรรมดันไปสะดุดเข้ากับรากต้นมะม่วงที่โผล่พ้นดินขึ้นมา “โอ๊ะ!” เจ้าจันทร์อุทานได้เพียงเท่านั้นก็รับตาปี๋รอรับความเจ็บ ภายในใจหวาดหวั่นกลัวว่าอุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้จะทำให้เจ้าจันทร์สูญเสีย

นเรศดึงขอมือเล็กที่กำลังหงายหลังเข้ามาซบอกแล้วกอดแน่นด้วยความใจหาย อายุครรภ์ที่ไม่แข็งแรงถ้าได้รับการกระทบกระเทือนไม่แคล้วเขาและเจ้าจันทร์อาจต้องสูญเสียลูกคนนี้ไป “เป็นอะไรไหมเจ้า” เสียงทุ้มอ่อนโยนกระซิบข้างหู ฝ่ามืออบอุ่นลูบใบหน้าซีดขาวที่ยังไม่ได้สติ

คุณพิมลรัตน์ ชลธารและณัฐธัญที่มองดูอยู่ถอนหายใจโล่งอกที่นเรศสามารถเข้าไปรับร่างเจ้าจันทร์ได้ทันที

“ไม่...เจ้าไม่เป็นไร” น้ำเสียงสั่นเทาจนนเรศต้องกระชับอ้อมกอด ศีรษะโน้มเข้าใกล้ใบหน้าหวานก่อนจรดริมฝีปากเข้ากับหน้าผากมนเป็นการปลอบประโลมเรียกขวัญ

“แกเป็นใคร!” เสียงตวาดอันน่ากลัวดังก้องเรียกสติคนทั้งหมดให้กลับมา คุณชญตว์มองดูไอ้หนุ่มหน้าหล่อด้วยสายตาพิฆาต ก่อนก้าวฉับไปประจันหน้าอีกฝ่ายแล้วใช้สายตาดุดันจับจ้องมองมือที่โอบประคองลูกชายตัวเองราวกับต้องการให้มือคู่นี้หายไปซะเดี๋ยวนี้

“สะ...สวัสดีค่ะคุณอา” ชลธารรีบยกมือไหว้พลางสะกิดสามี

แม้ว่าท่านจะรับไหว้แต่สายตาคมดุนั้นยังคงเอาแต่จับจ้องไอ้หนุ่มหน้าหล่ออย่างเอาเป็นเอาตาย

“สวัสดีครับคุณอา” นเรศจำใจผละออกจากร่างนุ่มนิ่มก่อนยกมือไหว้ทักทายผู้มาใหม่ ในใจคาดเดาว่านี่คงเป็นพ่อของเจ้าจันทร์ เขาเริ่มมองเห็นเค้าลางความวุ่นวายอยู่ไม่ไกลเมื่อท่านมองด้วยท่าทางเอาเรื่องแบบนี้

ภาพที่เห็นก่อนหน้ายังติดตา อีกทั้งคุณชญตว์รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้หนุ่มตรงหน้า ประโยคต่อมาจึงเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้าใคร “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าอา ฉันไม่ใช่ญาติฝ่ายไหนของแก” ชลธารและณัฐธัญที่ฟังแล้วไอคุกคักก่อนจะหหันไปส่งยิ้มแหยกับคุณพิมลรัตน์

“ดูท่านเรศจะเจอของจริง...อุ๊บ!” ณัฐธัญแอบกระซิบข้างหูภรรยาก่อนจะโดนศอกกระทุ้งกลับมาเป็นคำเตือนว่าควรอยู่นิ่งๆ

นเรศก้มหน้านิ่งอย่างรู้เวลา เมื่อเจอพ่อตาสายโหดว่าที่ลูกเขยอย่างเขาต้องเจี๋ยมเจี้ยมเอาใจพ่อตาเสียหน่อย และยิ่งคุณชญตว์เห็นท่าทางไม่ต่อความก็คิดว่าอีกฝ่ายหงอ ใบหน้าผู้อาวุโสจึงยิ่งดำถมึนข่มขวัญอย่างได้ใจ “สรุปว่ามันเป็นใครกันแม่” ก่อนท่านจะหันไปถามภรรยาแล้วเดินเข้าแทรกกลางระหว่างลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกันไอ้หน้าหล่อ

“นเรศพี่ชายชลและเป็น...ว่าที่ลูกเขย” ท้ายประโยคทำเอาทุกคนตกตะลึงไม่คิดว่าคุณพิมลรัตน์ที่ตบว่าที่ลูกเขยไม่ยั้งแรงก่อนหน้าจะเข้าข้างอีกฝ่าย ส่วนนเรศที่มีแม่ยายออกหน้าช่วยก็ยิ้มแก้มแทบปริ

“ว่าที่ลูกเขย?” คุณชญตว์ร้องเสียงหลงจ้องมองหน้านเรศเขม็ง ประโยคต่อมาของคนหวงลูกจึงเอ่ยอย่างเป็นต่อ “ถ้ามันไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องเจ้า ฉันไม่ยอมรับ” จบระโยคก็เกิดความเงียบ คุณชญตว์ต้องมองดูสายตาแต่ละคนที่ส่งมาให้ราวกับต้องการบอกบางอย่าง ก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะตัดสินใจบอกบางสิ่ง

“ก็เขาเป็นพ่อของเด็กในท้อง”

“...ว่าไงนะ!” ท่านต้องร้องเสียงหลงอีกครั้งด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ก่อนจะหันไปจับจ้องนเรศดวงตาดาดำดิ่งลงทุกขณะ ยิ่งได้รับการพยักหน้ายืนยันจากภรรยาท่านยิ่งโมโหจนทำอะไรไม่ถูก ดีมาก ที่ไม่ต้องไปตามหาตัวการก็มาให้จัดการถึงที่ “รออยู่ตรงนี้นะ” คุณชญตว์ชี้หน้าว่าที่ลูกเขยก่อนหายเข้าไปในบ้าน

“แม่ว่า...ไม่ดีแล้ว กลับก่อนเร็วเข้า” คุณพิมลรัตน์รีบไล่คนทั้งสามกลับเมื่อรู้ว่าสามีที่รีบวิ่งเข้าไปในบ้านจะต้องก่อเรื่องแน่

“ลาก่อนค่ะ/ครับ” ชลธารและณัฐธัญรีบประคองกันออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงพี่ชายที่กำลังทำสายตาละห้อย

นเรศตัดสินใจดึงร่างเล็กเข้ามาสวมกอด อีกฝ่ายดิ้นขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งไป “แล้วพี่จะมาใหม่” เขากระซิบข้างแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ ก่อนผละออกก็ไม่ลืมที่จะจรดริมฝีปากเข้ากับหน้าผากเนียน “ผมลาละครับคุณแม่” เขาเรียกมารดาของเจ้าจันทร์ว่าคุณแม่อย่างเต็มปากเต็มคำ ก่อนจะต้องวิ่งตาลีตาเลือกเมื่อมองเห็นคุณชญตว์วิ่งออกมาพร้อมกระบอกปืน

“แกจะหนีไปไหน” คุณชญตว์ร้องตามเมื่อเห็นหลังไวๆ ของไอ้หน้าหล่อ แล้วตามมาด้วยเสียงรถกระชากออกตัวด้วยความเร็ว ผู้มากวัยหอบแฮกหลังจากที่ต้องวิ่งด้วยความเร็ว “คราวหลังอย่าให้มันมาเหยียบบ้านเราอีก” ท่านหันมาบอกภรรยาและลูกชายด้วยใบหน้าถมึงทึง

“ได้ยังไงค่ะ เขาเป็นพ่อของหลานเราทำแบบนั้นได้ที่ไหน” คุณพิมลรัตน์ว่าจบก็หัวเราะคิกกับท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของสามี

“พ่อไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้ไอ้หน้าหล่อ...หน้าปลาดุกนั้นมาเป็นลูกเขยเด็ดขาด” ท่านค้านหัวชนฝาจนคุณพิมลรัตน์ต้องส่ายหน้าระอา

“ดูท่าทีแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเท่าไหร่” ทั้งคุณชญตว์และเจ้าจันทร์หันมามองหน้าคนพูดทันควัน “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะเขาเข้าใจผิด และอีกอย่างคุณอยากให้ลูกเราโดนนินทาว่าท้องไม่มีพ่อหรอ แค่ลูกเป็นผู้ชายท้องได้ก็ถูกมองว่าประหลาดมากพอแล้ว คุณอย่าทำให้ลูกลำบากใจสิ” ท่านกล่อมสามีด้วยน้ำเสียงนุ่มเย็นขณะที่มือเองก็คอยลูบแขนปลอบ

“...” ผู้เป็นสามีเงียบไปก่อนจะพูดอย่างดื้อดึง “ยังไงพ่อก็ไม่ยอม มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับลูกของเรา” ว่าจบท่านก็สะบัดหน้าออกอาการแง่งอนเดินหนีภรรยาเข้าไปในบ้าน

“แล้วเราล่ะเจ้า” ท่านหันมาทางลูกชายบ้าง

“อะไรครับแม่” เจ้าจันทร์เฉไฉตอบกลับเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่มารดาเอ่ย

“จะลองให้โอกาสเขาไหม?” แล้วคุณพิมลรัตน์ก็ต้องหัวเราะเบาๆ กับท่าทีเดินหนีของลูกชาย ท่านเลี้ยงมาเองกับมือทำไมจะไม่เข้าใจว่าลูกชายท่านไม่ได้โกรธอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้มีใจเช่นเดียวกัน คงต้องลุ้นว่านเรศจะสามารถเอาชนะใจลูกชายของท่านได้ไหม ถ้าทั้งสองรักกันแล้วต่อให้มีคุณชญตว์อีกสิบคนก็ขวางพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้

บนรถที่กำลังแล่นออกจากซอยสารถีจำเป็นอย่างณัฐธัญอยากจะเหยียบให้มิดไมล์ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่เป็นผู้โดยสาร สีหน้าชายหนุ่มดูตื่นๆ “พ่อตาแกสายโหดว่ะ” ณัฐธัญเอ่ยพลางรู้สึกขนลุกไม่หาย ก่อนจะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้คนที่ได้เห็นหน้าเมียก็หน้าบานเป็นกระด้ง “แหม ได้กอดได้หอมเมียนิดหน่อยจากหมายหงอยดูร่าเริงขึ้นมาทันทีเลยนะ” ณัฐธัญอดที่ค่อนขอดอีกฝ่ายไม่ได้ และดูเหมือนนเรศที่กำลังคิดถึงร่างนิ่มที่ได้กอดจะไม่สนใจคนพูด

ชลธารที่มองดูพี่ชายที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากว่าเดิมอดที่จะดีใจไม่ได้ นี่แหละความรักมักสามารถเปลี่ยนคนได้เสม

“ปล่อยให้พี่นเรศมีความสุขไปเถอะ เผื่อจะได้เป็นกำลังใจในการเอาชนะใจพ่อตา” จบประโยคณัฐธัญก็หัวเราะร่ากับคำกล่าวของภรรยา แต่นเรศที่ได้ยินแล้วถึงกับหุบยิ้มหน้าเคร่งทันที



*********************************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 07-04-2018 22:19:49
พ่อตาก็แทงค์ลูกเขยก็แทงค์ฮีลเลอร์ฮีลไหวกันไหมคะ?  :really2:
ไม่ไหวดิฉันว่ารอชุบสวยๆดีกว่าค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-04-2018 22:43:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-04-2018 23:49:44
ต้องอย่างนี้ซิเจ้าคะคุณพ่อตา กดขี่ข่มเห่งเยี่ยงทาสให้หนัก ๆ กระทืบให้จมดิน เตะให้กระเด็น ต่อยให้หน้าแหก ตอบแทนที่ทำกับเจ้าจันทร์ไว้ที่เกาะ  :z2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-04-2018 00:13:08
คุณพ่อจัดไปหนักๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2018 06:27:29
นเรศเจอของจริงเข้าให้แล้วสิ :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-04-2018 06:43:17
5555คุณพ่อตาขาโหด 
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 08-04-2018 07:41:28
เริ่มสนุกแล้วสิ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 08-04-2018 10:13:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 19 พบหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-04-2018 11:39:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 08-04-2018 19:25:22
บทที่ 20 ขอโอกาส

ช่วงนี้คุณหญิงดาหลารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหน้าตาสดชื่นดูอารมณ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาพร้อมน้องสาวที่ไปบ้านรุ่นน้อง ในที่สุดท่านก็เก็บความสงสัยไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารเช้า

“ช่วงนี้เราเป็นอะไรฮึ หน้าระรื่นเชียวหรือว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรกัน”

ชลธารและณัฐธัญต่างหัวเราะคิกคัก “ไอ้...แค่กๆ พี่นเรศกำลังจะได้เมียก็ต้องอารมณ์ดีเป็นธรรมดาครับ” ณัฐธัญไอคอกแค่กหลังจากที่โดนดวงตาดุดันของภรรยาจ้อง

คุณหญิงดาหลาอ้าปากค้างหันไปทางลูกชายที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อน “จริงหรือตานเรศ” ท่านถามย้ำ

“ครับแม่ ตอนนี้กำลังง้อเมียอยู่” นเรศตอบรับเต็มปากเต็มคำจนผู้เป็นมารดายกมือทาบอก

“ตายแล้วไปแอบมีตอนไหนกัน ละ...แล้วเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” ท่านรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อลูกชายที่เอาแต่ทำงาน ถึงแม้จะมีผู้หญิงมาติดบ้างแต่ก็ไม่เคยมีท่าทีจริงจังด้วย แล้วจู่ๆ ก็มีเมียโผล่มาแบบนี้จะไม่ได้คุณหญิงดาหลาตกใจได้ยังไง

“แล้วไม่ได้มีแค่เมียนะครับ” ประโยคต่อมาของณัฐธัญเรียกให้คุณหญิงดาหลาหันไปมองทันที “ตอนนี้คุณแม่ก็กำลังมีหลานเพิ่มอีกคน” จบประโยคท่านก็หันพรึบไปจ้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความตกตะลึง

“ลูกสาวบ้านไหน?”

“ไม่ใช่ลูกสาวค่ะคุณแม่” ชลธารแทรก

“ไม่ใช่ลูกสาว?”

“เป็นลูกชายบ้านศศิพัฒนาเมธีรุ่นน้องชลเองค่ะ เจ้าจันทร์คนที่ชลเคยพูดถึงบ่อยๆ” จบประโยคคุณหญิงดาหลาแทบเป็นลม ลูกชายมีทั้งเมียทั้งลูกโผล่มาในคราวเดียวกันว่าน่าตกใจพอแล้ว นี่ลูกชายของท่านฉุดลูกชายของเขามาทำเมียนี่สิน่าตกใจยิ่งกว่า พ่อแม่อีกฝ่ายไม่เอาปืนไล่ยิงก็ถือว่าบุญหัวแล้ว

“จริงหรือตานเรศ”

นเรศพยักหน้ายืนยัน “จริงครับแม่” ในใจเองเขาก็อดเป็นกังวลกลัวว่ามารดาจะรับไม่ได้กับการที่เจ้าจันทร์มาเป็นเมียเขา แล้วยังเป็นผู้ชายที่ท้องอีก

“ไป...รีบพาแม่ไปคุยกับทางฝ่ายนั้น ตายแล้วบ้านนั้นเขาจะว่ายังไงที่ลูกชายแม่ไปทำลูกชายเขาท้องแบบนั้น” ท่านบ่นงึมงำด้วยความกังวล

“จะว่ายังไงละครับว่าที่พ่อตาก็ไล่ยิงเอาน่ะสิครับ” ว่าจบณัฐธัญก็หัวเราะร่วนภาพนเรศวิ่งหนีกระสุนปืนแวบเข้ามาในความคิดยิ่งกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

“สมควรน่ะสิไปทำลูกชายเขาท้องซะขนาดนั้น แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง” ท่านถามเป็นจริงเป็นจัง

“ยังไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะก็ต้องเพ่นป่าราบกันออกมาก่อน”

“ตานเรศพรุ่งนี้พาแม่ไปคุยกับทางนั้นด้วย ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง” นเรศตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาฟัง โดยมีทั้งชลธารและณัฐธัญคอยแทรกพูดเกินจริงเป็นระยะจนโดนคุณหญิงดาหลาฟาดไปตั้งหลายหน “มันน่านักไปทำแบบนั้นกับน้องได้ยังไง ไม่โดนพ่อเขาสั่งตามล่าก็ดีเท่าไหร่ มันน่านัก...” ว่าจบก็ยกมือทำท่าจะตีลูกชายอีกครั้งจนลูกชายตัวโตต้องกระเถิบห่าง “เรานี่ยังไงเห็นน้องโดนมาแล้วทำไมไม่รู้จักจำ โตแต่ตัวจริงๆ” ว่าจบท่านก็เดินหนีไปรู้สึกไม่อยากอาหารตั้งแต่ที่รู้ว่าลูกชายท่านไปทำลูกชายคนอื่นท้องแล้ว ส่วนคนที่ถูกกระทบอย่างณัฐธัญก็ยิ้มแหะไม่กล้าล้อนเรศต่อ

“ไปทำว่าที่สะใภ้ท่านเสียใจสมน้ำหน้าที่โดนคุณแม่โกรธ” ครั้งนี้เป็นชลธารที่ค่อนขอดพี่ชายแล้วเดินรวบช้อนตามมารดาไปอีกคน ปล่อยให้สองหนุ่มที่ทำความผิดทั้งหลายนั่งหน้าซีดกันเพียงลำพัง

“เพราะแกฉันเลยพลอยโดนหางเลขไปด้วย คืนนี้ชลต้องไล่ตะเพิดฉันมานอนหน้าห้องแน่ๆ” ณัฐธัญว่าเสียงเศร้าก่อนจะจ้วงข้าวในจานกินตุนกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับภรรยาคืนนี้



เช้านี้เป็นอีกวันที่เจ้าจันทร์ต้องลุกขึ้นมาโก่งคออาเจียนตั้งแต่เช้าตรู่ แม้อาการจะไม่หนักเช่นหลายวันก่อนที่ยังไม่ได้รับยา แต่เจ้าจันทร์ก็ยังอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมื่อยล้า

“เด็กดีอย่าแกล้งม๊าสิลูก” แม้คำแทนตัวจะทำให้รู้กระดากอายไปบ้าง แต่ถ้านับจากการที่เจ้าจันทร์เป็นคนอุ้มท้องแล้ว เจ้าจันทร์ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเจ้าจันทร์ไม่ใช่แม่ เมื่ออ้วกจนหมดไส้หมดพุงเจ้าจันทร์ก็เดินโซซัดโซเซไปนอนต่อ โดยหวังว่าลูกตัวน้อยจะไม่ดื้ออีก หลับได้สักพักก็รู้สึกถึงมือนุ่มอบอุ่นทาบลงบนหน้าผาก กลิ่นหอมอ่อนๆ ประจำตัวทำให้เจ้าจันทร์รับรู้ได้ทันที “แม่” เสียงครางึมงำพลางดึงมือนุ่มเข้ามาซบ

คุณพิมลรัตน์หัวเราะเบาๆ กับท่าทางออดอ้อนของลูกชาย “แม่ได้ยินเสียงอ้วกเลยขึ้นมาดู ดีขึ้นแล้วหรือยัง” ท่านถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” เจ้าจันทร์ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

ดวงตาคนเป็นแม่ทอแววอ่อนแสงแล้วยกมืออีกข้างขึ้นลูบศีรษะเล็ก คุณพิมลรัตน์มองไปนอกหน้าต่างเวลานี้ยังเช้าอยู่มากท่านจึงไม่คิดปลุกลูกชายขึ้นมาทานอาหาร “นอนต่อเถอะลูก เดี๋ยวสายๆ แม่ขึ้นมาปลุก” ท่านกระซิบก่อนจะปล่อยให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนอนต่อ

ช่วงสายคุณชญตว์ออกทำงานแล้วในบ้านจึงเหลือเพียงคุณพิมลรัตน์และลูกชาย ทั้งคู่กำลังช่วยกันล้างจานพลางคุยกันไปตามประสาสองแม่ลูก

“เรื่องเรียนจะทำยังไงต่อลูก มหาวิทยาลัยนี่ก็เปิดแล้วหนึ่งอาทิตย์” ผู้เป็นแม่พูดด้วยสีหน้ากังวล คุณพิมลรัตน์ท่านห่วงลูกชายเมื่อเป็นแบบนี้แล้วคงต้องดรอปเรียนเอาไว้ก่อน “ป่านนี้เพื่อนๆ คงเป็นห่วงที่เราหายมาแบบนี้”

“เจ้าคุยกับเพื่อนไว้แล้วครับว่าจะดรอปเรียนไปก่อน รอคลอดแล้วเลี้ยงลูกอีกสักปีสองปีค่อยกลับไปเรียนต่อ”

“ดีแล้วลูก การเรียนมันไม่มีคำว่าสายเกินไป ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราก็กลับไปเรียนใหม่ได้” เจ้าจันทร์คิดตามคำแม่บอกเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้จึงอดที่น้ำตาจะซึมไม่ได้ ทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่ว่าคนที่รักเราที่สุดคือพ่อกับแม่ ถึงแม้ว่าเราจะทำผิดจะทำพลาดท่านก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเราเสมอ “อะไร ซึ้งคำที่แม่พูดจนน้ำตาไหลเลยหรือไง” ท่านอดที่จะแซวลูกชายที่ทำตาแดงๆ ก้มหน้างุดไม่ได้ ก็ดูทำเข้าน่ารักซะไม่มี

“เจ้ารักแม่นะครับ” เจ้าจันทร์คงมีคำพูดได้เพียงเท่านี้

“จ้า รู้แล้วๆ แต่ถ้าเจ้าคลอดเมื่อไหร่ระวังแม่จะรักหลานมากกว่านะ ฮาๆ อะไรแม่พูดแค่นั้นทำเป็นหน้างอซะแล้ว ดูซิจวักยังอาย”

“แม่...” ก่อนที่เจ้าจันทร์จะโดนผู้เป็นแม่ล้อไปมากกว่านี้หน้าบ้านก็มีเสียงกดกริ่งแทรกขึ้นมา “เดี๋ยวเจ้าไปดูเองครับ” เจ้าจันทร์รีบล้างมือก่อนจะเดินออกไปดูว่าใครมา มือเรียวดึงประตูบานเล็กให้เปิดออกก่อนจะผงะตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีมือใหญ่ยื่นถุงสารพัดมาให้ “...” เจ้าจันทร์มองถุงพลาสติกในมือใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

นเรศในชุดลำลองสบายแต่กลับดูดีได้ทุกเวลายกมือที่ว่างขึ้นเกาศีรษะตัวเองด้วยท่าทางกระดากอาย “แม่พี่บอกว่าคนท้องจะชอบทานอะไรเปรี้ยวๆ” เขาเกริ่น “พี่ไม่รู้ว่าเจ้าชอบทานอะไรบ้าง พี่ก็เลยซื้อมาหลายอย่าง”

“ขอบคุณครับ” เจ้าจันทร์กล่าวแค่นั้นก็ไม่สนใชชายหนุ่มอีก

“แหะๆ พ่อเจ้าอยู่ไหม” เขาทำท่าทางชะโงกหน้ามองหาคุณชญตว์ที่พร้อมจะแจกลูกปืนทุกเวลา

“ไม่อยู่ พ่อไปคลินิก หมดธุระคุณก็กลับไปได้แล้ว” เจ้าจันทร์ออกปากไล่ทันทีถ้าไม่กลัวว่าสิ่งที่กระทำอาจจะกระทบกระเทือนถึงลูก เจ้าจันทร์คงจะใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกแล้วปิดประตูใส่หน้าเขาซะ แต่พอตั้งท่าจะปิดประตูคนตัวโตก็รีบแทรกกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พี่ขอเข้าไปในบ้านด้วยสิ” เขาขออย่างหน้าด้านๆ จนคนฟังต้องขมวดคิ้ว การจะง้อเมียสกิลหน้าด้านต้องจัดมาให้เต็ม เจ้าจันทร์มองนเรศเมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านปล่อยให้อีกฝ่ายปิดประตูแล้วตามเข้ามา นเรศวิ่งตามร่างโปร่งคว้ามือนุ่มนิ่มไว้แล้วถือโอกาสแย่งถุงผลไม้ไปถืออีกครั้ง ไม่วายแอบแต๊ะอั๋งเมียด้วยการจับมือนิ่มไม่ปล่อย

“ปล่อย” เจ้าจันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใบหน้านิ่งๆ แค่นี้ก็เพียงพอให้คนหน้าด้านกลัวเมียจนต้องรีบปล่อยมือเล็กด้วยความเสียดาย และทันทีที่เป็นอิสระเจ้าจันทร์ก็เดินเข้าบ้านไม่สนใจแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีก

“ใครมาหรือลูก” คุณพิมลรัตน์โผล่หน้าออกจากครัวมาถาม “อ้าว ตานเรศเองหรอ” ท่านเลิกคิ้วมองก่อนจะเลิกสนใจปล่อยให้ลูกชายอยู่กับว่าที่ลูกเขย

“...” นเรศยืนกลางห้องรับแขกอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจ้าจันทร์เดินเข้าครัวไปอย่างไม่สนใจเขา สุดท้ายเขาต้องงัดเอาความหน้าหนามาใช้อีกครั้ง เอาวะเป็นไงเป็นกัน คิดได้ดังนั้นก็เดินตามเข้าไปในครัวเบียดร่างเล็กฉวยเอาถุงผลไม้มาจัดใส่จานให้
เจ้าจันทร์ชะงักมือถอนหายใจเฮือกใหญ่สองมือยกขึ้นกอดอกแล้วหันไปเผชิญหน้าชายหนุ่ม

“ตกลงคุณจะเอายังไงว่ามาสิ” ดวงตาโศกจ้องมองเสี้ยวหน้าคมที่พยายามหลบตา คุณพิมลรัตน์ฉวยโอกาสตอนที่ลูกชายของท่านหันไปสนใจว่าที่ลูกเขยหลบออกไปอย่างเงียบเฉียบ

นเรศพยายามทำเป็นสนใจจานผลไม้ที่จัดอยู่เพียงเพราะต้องการรวบรวมความกล้า ความจริงแล้วเขาเป็นคนไม่เคยกลัวใครแต่พอมีเมียเขาต้องยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า นเรศกลัวเมีย

“พี่แค่อยากขอโอกาส” เขาผละจากการจัดผลไม้หันมาเอื้อมมือจับมือเล็กด้วยอาการสั่นเทา “เจ้าจะทำอะไรกับพี่ก็ได้ แต่พี่ขอแค่โอกาสได้อยู่กับเจ้าจันทร์ โอกาสที่พี่จะได้แก้ไขตัวเองใหม่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ขณะที่ดวงตาฉายแววหม่นแสงสบดวงตาโศก

เจ้าจันทร์ไม่ได้สะบัดมือออกจากอุ้งมืออุ่น “ไหนลองบอกเหตุผลสักข้อ ว่าทำไมผมต้องให้โอกาสคนที่ทำร้ายผมอย่างคุณ” ประโยคต่อมาทำให้นเรศสะอึกเหมือนโดนลูกธนูปักกลางอก

“...” เขาเม้มปาก “เพื่อทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ” คำตอบกลับทำให้คนฟังเองที่ต้องชะงัก นเรศไม่ได้มีคำพูดสวยหรูเพียงเพื่อขอโอกาส เขามีเพียงประโยคสั้นๆ ที่เอ่ยมาจากใจที่แท้จริง เขาต้องการให้เจ้าจันทร์เปลี่ยนใจ นเรศสัญญากับตัวเองเขาจะไม่ปล่อยโอกาสครั้งนี้หลุดลอยไป เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกเพื่อเจ้าจันทร์

เจ้าจันทร์เสสายตาหลบเมื่อรู้สึกใจสั่นไหวกับคำกล่าวหนักแน่นของนเรศ “แล้วที่บอกจะยอมทำทุกอย่างทำได้ใช่ไหม” ก่อนจะหันกลับมาถามด้วยสายตาคมกริบ

“จะให้พี่ทำอะไรหรือเจ้าอยากจะทำอะไรกับพี่ก็ได้”

เจ้าจันทร์พยัก “งั้นกราบสิ...กราบผม” จู่ๆ เจ้าจันทร์ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นกว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถหยุดได้แล้ว ริมฝีปากบางจึงเม้มแน่นแม้ว่าเกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่เจ้าจันทร์เป็นคนหนึ่งที่มีนิสัยดื้อเงียบเมื่อกล่าวไปแล้วเจ้าตัวก็อยากจะรู้ว่านเรศจะทำเช่นไรต่อ คนอย่างนเรศจะกล้ากราบเจ้าจันทร์หรือ...เจ้าจันทร์คิดได้ทันทีว่าไม่มีทาง ไม่มีทางที่คนอย่างนเรศจะยอมก้มหัวให้ใคร

สายตาของนเรศที่ควรจะส่อแววความไม่พอใจกลับถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น นเรศไม่รีรอให้เสียเวลาเข่าลูกผู้ชายกระแทกตึงลงต่อหน้าเจ้าจันทร์ สองมือประนมค่อยๆ กราบลงแทบปลายเท้า เจ้าจันทร์ตื่นตะลึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามคำสั่งจนต้องผงะถอยไปหลายก้าว

นเรศค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทั้งที่ยังนั่งทับส้นเท้าตัวเองอยู่ตรงหน้าเจ้าจันทร์ “เจ้าให้โอกาสพี่ได้ไหม” นเรศไม่มีความรู้สึกอายสักนิดที่ต้องก้มกราบเจ้าจันทร์ เขายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างขอแค่เพียงเจ้าจันทร์ให้โอกาสเขาได้แก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไว้
“...” เจ้าจันทร์พูดไม่ออกได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น

ดวงตาทั้งสองคู่ต่างสบมองซึ่งกันและกันในระดับที่ต่างกัน คล้ายช่วงเวลาหยุดชะงักเหลือเพียงความคิดที่กำลังตีกันยุ่งเยิง
“คุณมันบ้า” จู่ๆ น้ำตากร่วงผล็อยจนต้องยกมือขึ้นมาเช็ดลวกๆ เจ้าจันทร์เอาแต่โทษอีกฝ่ายที่ทำตัวโง่งมยอมก้มกราบตัวเอง ยอมทิ้งแม้กระทั่งศักดิ์ศรีละทิ้งความหยิ่งยโสที่เคยมี

นเรศมองดูท่าทางเหมือนเด็กร้องไห้แล้วก็รีบลุกขึ้น เขาจับมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้หยุดการกระทำที่กำลังจะทำให้ดวงตาโศกคู่สวยแดงช้ำ นิ้วมือแกร่งค่อยๆ ปาดเอาน้ำสีใสออกจากใบหน้าหวานแทนด้วยความถนุถนอมที่สุดในชีวิตนี้ เขามองดูดวงตาโศกฉ่ำน้ำแล้วสุดท้ายตัดสินใจดึงร่างโปร่งเข้ามากอด

“ใช่พี่มันบ้าเอง แต่พี่เต็มใจทำเจ้าอย่าคิดว่าเจ้าผิด” เขาพึมพำข้างศีรษะเล็ก ฝ่ามือก็คอยลูบหลังปลอบประโลมอีกฝ่ายที่ยอมยืนนิ่งให้เขากอด แค่นี้หัวใจนเรศก็เหมือนได้รับการรดน้ำหล่อเลี้ยง ตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นกระดอนออกจากอกแล้ว
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่คนที่ร้องไห้ซบอกเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว รีบผละออกจนนเรศแทบปล่อยไม่ทัน สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะอย่างว่องไวเมื่อเจอสายตาดุ นเรศรู้สึกเสียดายไม่น้อยกับร่างนุ่มนิ่มที่ผละออกไป กว่าจะได้กอดแต่ละทีอยากเย็นจนแทบกระอักเลือด แต่เท่านี้ก็ชื่นใจสำหรับเขาแล้ว

“ถึงผมจะให้โอกาสคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะแตะต้องผมได้” คำประกาศต่อมาฟังแล้วนเรศเหมือนโดนค้อนทุบ หัวใจที่ฟองฟูเมื่อครู่เหี่ยวแฟบทันใด

ดวงตาคมกริบค่อยๆ ช้อนมองด้วยท่าทางน่าสงสาร “สักนิดก็ไม่ได้หรอ” น้ำเสียงเขาเจือแววเศร้าเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากเมียตัวเอง

“ไม่!” ว่าจบก็เดินสะบัดหน้าหนีออกไปปล่อยให้นเรศถือจานผลไม้ตามต้อยๆ

เจ้าจันทร์เดินมานั่งบนโซฟาหน้าทีวีหยิบรีโมทเปิดรายการที่ชอบ หูก็แว่วได้ยืนเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามมา นเรศวางจานผลไม้ตรงหน้าเจ้าจันทร์แล้วเดินมานั่งที่โซฟา แต่ยังไม่ทันหย่อนตูดนั่งข้างๆ ร่างโปร่งอย่างที่ใจหวัง ดวงตาโศกก็ทอแววดุดันจนต้องขยับออกห่างเปลี่ยนไปนั่งอีกฝั่งของโซฟาตัวเดียวกันแทน จากนั้นระหว่างคนทั้งคู่ก็มีเพียงเสียงจากรายการโทรทัศน์ หลังจากที่นเรศพยายามชวนเจ้าจันทร์คุยแล้วโดนดุจึงต้องยอมเงียบไป

วันทั้งวันนเรศเอาแต่เดินตามเจ้าจันทร์จนแทบเป็นเงา จะยกเว้นก็แต่เขตหวงห้ามอย่างห้องนอนที่นเรศไม่สามารถเดินตามเข้าไปได้ ดังนั้นในตอนบ่ายเขาจึงได้แต่นั่งเฝ้าหน้าห้องนอนหลังจากเจ้าจันทร์เข้าไปนอนกลางวัน คิดว่าอีกฝ่ายหลับดีแล้วก็ลงมาช่วยคุณพิมลรัตน์ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งขอตัวกลับก่อนที่คุณชญตว์จะกลับมาเอาปืนไล่ยิง



*********************************
นี่เปิดโอกาสให้พ่อพระเอกสุดๆ เลยนะ รีบๆ ทำคะแนนล่ะตานเรศ ไม่งั้นแม่จะกระทืบ :z6:ให้หลงลุมไม่ถูกเลยล่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-04-2018 19:38:26
เอาให้หนักหนูเจ้า อย่ายอม  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-04-2018 19:50:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 08-04-2018 20:13:46
ฮ่าๆๆๆๆ โดน
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 08-04-2018 20:38:01
สู้ๆๆๆๆนะน้รศ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2018 21:27:08
รีบๆทำคะแนนเข้าล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-04-2018 23:14:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2018 00:34:19
อย่ายอมใจอ่อนง่ายๆนะเจ้าจันทร์
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 09-04-2018 02:32:48
เอาให้หงอไปเลยเจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 09-04-2018 11:36:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 20 ขอโอกาส
เริ่มหัวข้อโดย: m_ilk_y ที่ 10-04-2018 11:38:12
 :hao3:
สงสารพ่อพระเอกนะ แต่ก็สะใจ
กลายเป็นไบโพล่าไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 10-04-2018 19:43:09
บทที่ 21 เพชรหึง

หลังจากเมื่อวานเขามาคลุกอยู่ที่บ้านศศิพัฒนเมธีทั้งวัน เพื่อเกริ่นเอาไว้ว่าคุณหญิงดาหลาจะมาคุยกับคุณหญิงพิมลรัตน์ ดังนั้นวันนี้ในห้องรับแขกจึงมีมารดาของทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ ท่านทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอจนไล่คนเป็นลูกออกนอกวง ท่านว่าผู้ใหญ่จะคุยกัน แล้วคุณหญิงพิมลรัตน์ก็เต็มใจเปิดทางให้ว่าที่ลูกเขยขอให้นเรศไปเป็นเพื่อนเจ้าจันทร์ทำเรื่องดรอปเรียน แม้ว่าลูกชายท่านจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ

ภายในรถนเรศยิ้มไม่ยอมหุบทั้งยังคอยชำเลืองมองคนนั่งข้างๆ เป็นระยะ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้าน่ารักหลับตาพริ้มเหมือนเด็ก ความจริงนเรศไม่อยากรบกวนแต่ว่าเขาขับรถเข้ามาจอดในมหาลัยแล้ว จึงจำใจยื่นมือออกไปเขย่าคนนอนหลับเบาๆ

“เจ้าครับ...เจ้าถึงแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะยอมตื่นนเรศก็ต้องขมวดคิ้ว เปลี่ยนจากเขย่าไปใช้มืออังหน้าผากแทน เมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิที่ยังปกติเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเจ้าจันทร์ก็ยังสบายดีอยู่ “เจ้า” เขาร้องเรียกอีกหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งดวงตาโศกค่อยๆ ปรือขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย “ถึงแล้วนะ ตึกคณะเจ้าอยู่ไหน” ท่าทางเอามือขยี้ตาเหมือนเด็กทำให้เขาต้องจับมือเล็กออกเป็นฝ่ายเช็ดให้แทน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้ที่แล้วก่อผละมือออกมาก็เกลี่ยเส้นผมที่ปกหน้าออกให้

ท่าทีอบอุ่นอ่อนโยนทำให้เจ้าจันทร์นั่งนิ่ง โดยเฉพาะดวงตาคมที่อ่อนแสงลงจนทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไป สองแก้มร้อนผ่าวเมื่อมือใหญ่เฉียดแก้มโดยไม่ตั้งใจ

เมื่อนเรศเห็นใบหน้าหวานละมุนค่อยๆ ซับสีเลือดหัวใจเขาแทบกระเด็นออกนอกอก ในใจอยากจะตะโกนร้องให้ดังๆ เมียเขาน่ารักจริงโว้ย อยากจับฟัดให้หนำใจจริงๆ แต่ก็ได้แค่คิด

“ไปที่ตึกกองทะเบียนก่อน” เสียงตอบอ้อมแอ้มก่อนจะเสหน้าหลบ

นเรศยิ้มกริ่มแล้วหันไปตั้งใจขับรถตามทางที่เจ้าจันทร์บอก หลังจากที่ติดต่อขอรับแบบคำร้องลาพักการเรียนได้ที่งานทะเบียนและประมวลผลแล้วก็ต้องกลับเข้าไปยังตึกคณะเภสัช เจ้าจันทร์ต้องไปพบกับที่ปรึกษาเพื่อส่งคำร้อง

“รอผมอยู่ที่นี่” เมื่อเจ้าจันทร์เห็นว่านเรศตั้งท่าจะตามไปก็หันมาบอก

“พี่เป็นห่วงเจ้า” เขาว่าเสียงอ้อน

“ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้ แล้วที่นี่มันก็มหา’ลัยของผม” เจ้าจันทร์ถลึงตาใส่คนที่ทำท่าจะค้านอีกครั้ง มันจะอะไรกันหนักกันหนาที่นี่เจ้าจันทร์อยู่มาจนปี 2 แล้ว ไม่ใช่พึ่งมาวันสองวันสักหน่อย

“ก็เจ้าท้อง พี่ก็ต้องเป็นห่วงลูกเมียพี่สิ”

เจ้าจันทร์ถอนหายใจรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่มักก่อตัวขึ้นง่ายกว่าปกติ “จะรออยู่ตรงนี้หรือจะกลับเลย” นิ้วเรียวชี้หน้าอีกฝ่ายพร้อมยื่นคำขาด

“รอ...” นเรศหน้าหดเหลือแค่สองนิ้วรับคำเสียงอ่อน ก็เมียใครจะกล้าขัด

เมื่อตกลงกันได้เจ้าจันทร์ก็ลงจากรถเดินเข้าตึกไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนจะดำเนินตามขั้นตอนต่อไป อาจารย์ที่ปรึกษาสอบถามเจ้าจันทร์ด้วยความเป็นห่วงที่จู่ๆ เจ้าจันทร์ก็ดรอปเรียนไป เมื่อถามถึงเหตุผลเจ้าจันทร์ก็ส่งใบรับรองแพทย์พร้อมบอกเล่าความเป็นจริง เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งใช้เวลาอยู่พอสมควรเจ้าจันทร์ก็เจอกับพวกเพื่อนๆ ที่มานั่งรอพอดีอยู่

“เจ้า!” เสียงเรียกทำให้ต้องหันไปสนใจ

เจ้าจันทร์ยิ้มกว้างโบกมือทักทายเพื่อนๆ เด็กหนุ่มความสูงที่ได้มาแบบพอเพียงวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสง แล้วกระโดดอ้าแขนพุ่งเป้าเข้ามาเต็มแรง ก่อนวืบล้มจูบพื้นเมื่อเจ้าจันทร์หลบได้ทันแบบฉิบเฉียด ถ้าหากหลบไม่ทันไม่รู้ว่าเมื่อครู่จะล้มลงไปด้วยหรือเปล่า เจ้าจันทร์ในตอนนี้ไม่ปกติต้องคอยดูแลตัวเองอยู่เสมอ

"เจ้า! มึงหลบทำไมแว๊” อีกฝ่ายว่าขณะรีบลุกขึ้นด้วยความเร็วเมื่อทุกสายตาบริเวณนั้นเริ่มจับตามองด้วยความขบขัน

“...” เจ้าจันทร์ไม่ได้ตอบเพียงแค่ยิ้มขำเพื่อนตัวเล็ก

“มานี่เลยมึงไอ้ปั้น ห้ามเข้าใกล้หนูเจ้าของอาเจ้” หญิงสาวอีกคนแทรกขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วเกี่ยวเอาคอเสื้อของอีกฝ่ายลากถอยออกมา

“ฟาย”

“กูชื่อฟ้า สลัดผักจะด่าก็หาให้มันคล้องๆ กันหน่อยเถอะ” หญิงสาวเจ้าของชื่อเล่นว่าฟ้าสวนกลับทันที

“มึงมันผู้หญิงใจร้าย โอปปาช่วยปั้นสิบด้วย” ปั้นสิบเด็กหนุ่มตัวเล็กแสดงท่าทางงอนก่อนจะถอยไปอ้อนชายหนุ่มอีกคนที่เดินมาสมทบ

“มาอ้อนให้กูช่วย?” เจ้าเพื่อนร่างยักษ์ยักคิ้วถามกลับ ปั้นสิบรีบพยักหน้าหงึกๆ จนกลัวว่าคอจะหักก่อนจะอ้าปากค้างด้วยแระโยคต่อมา “อ้อนตีนหรอไอ้เตี้ย”

คำสุดท้ายเหมือนโดนดาเมจกระแทกรัวๆ จนปั้นสิบต้องยกมือขึ้นกุมหัวใจแล้วทำท่าเดินเซถอยหลัง

“แรงมากไอ้ควาย”

“ดีนะกูไม่ได้ชื่อไอ้ควาย” ชายหนุ่มร่างใหญ่ลอยหน้าลอยตาตอบจนเจ้าจันทร์และฟ้าอดที่จะหัวเราะกับท่าทางของคนทั้งคู่ไม่ได้

“กูด่ามึงเถอะไอ้แทน” ปั้นสิบหน้างอแล้วสะบัดหน้าขยับไปยืนหับฟ้าแทน

“ฮาๆ เมียงมึงงอนแล้วว่ะ” ฟ้าพูดไปหัวเราะไปจนแทบไม่เป็นประโยค

“ไม่ใช่!” ปั้นสิบและแทนหันมาตอบพร้อมกันด้วยใบหน้าจริงจังจนฟ้าอดที่จะหัวเราะอีกครั้งไม่ได้

“แหมๆ กูแซวเล่นน่า ดูสิหน้าพวกมึงจริงจังจนกูคิดว่าพวกมึงสองคนแอบมีซำติงกันหรือเปล่าวะ” แล้วฟ้าก็ต้องยกมือขึ้นปิดหูเมื่อเพื่อนหนุ่มทั้งสองตะโกนใส่หูแทบแตก “โอ๊ยพอๆ ไม่แซวแล้วหูกูจะแตก” ฟ้ายกมือห้ามเมื่อเห็นว่าเจ้าเพื่อนตัวเล็กทำท่าอ้าปากเตรียมจะด่า “มาคุยเรื่องเจ้าดีกว่า” เท่านั้นแหละแรงเจือกแทบเปล่งประกายออกมาจากปั้นสิบ ฟ้าจูงมือเจ้าจันทร์มายังโต๊ะในลลานกลางตึก

เพื่อนทั้งสามคนของเจ้าจันทร์รู้เรื่องปัญหาของเจ้าจันทร์แทบทั้งหมด เพราะช่วงที่หายตัวไปทั้งสามคนก็คอยไปดูแลคุณพิมลรัตน์กับคุณชญตว์อยู่เสมอ จนกระทั่งเจ้าจันทร์กลับมาแม้จะพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้างแต่ไม่ได้ไปเจอที่บ้าน เพราะเจ้าจันทร์ยังไม่พร้อมที่จะบอกอีกเรื่องที่สำคัญมาก

“เจ้าจันทร์จะดรอปเรียนจริงๆ ใช่ไหม” แทนเอ่ยถามเป็นคนแรก

“...” เจ้าจันทร์ได้แต่พยักหน้ารับ

“ทำไมละ ปัญหากับผู้ชายคนนั้นเจ้าก็เคลียร์กันชัดเจนจนเขาปล่อยกลับมาแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าเขาไม่จบ” ฟ้าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เฮ้ย! ถ้ามันยังตามราวีอยู่อีกนะเดี๋ยวป๊าบอกพ่อจัดการให้” ป๊าร่างเล็กนั่งลงข้างเจ้าจันทร์พร้อมกับยกแขนโอบไหล่บางท่าทางมาดนักเลงไม่น้อย

“ไม่ใช่หรอก” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมจบจริงๆ ก็เถอะ ประโยคหลังเจ้าจันทร์ได้แต่พูดในใจ

“แล้วเกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้ายังจะดรอปเรียน” แทนถามอีกครั้ง

“พอดีเราไม่สบาย” ตอบไม่เต็มเสียงนักพร้อมทั้งหลุบตาหลบสายตาคาดคั้นจากเพื่อน ในใจเจ้าจันทร์ตอนนี้สั่นไหวไม่กล้าพอที่จะบอกเพื่อนว่าตอนนี้ร่างกายไม่ปกติ

“ไม่สบาย!”  ปั้นสิบร้องลั่นพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “เจ้าเป็นอะไร” เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มเป็นจุดสนใจอีกครั้งปั้นสิบก็ยอมนั่งลงถามเจ้าจันทร์เสียงเบา แต่สีหน้ายังไม่สู้ดีนักเมื่อจินตนาการอาการป่วยของเจ้าจันทร์ที่ถึงขั้นต้องดรอปเรียน

“นั่นสิ” ฟ้าเองก็เริ่มใจไม่ดี

“เรา...เรา” เจ้าจันทร์อ้ำอึงมือที่กุมกันอยู่บนตักเริ่มบีบแน่น “เราทะ...ท้อง” ท้ายประโยคเสียงเบาหวิวแทบปลิวหายไปกับสายลม ใจเจ้าจันทร์เบาหวิวหวาดกลัวว่าเพื่อนจะรับไม่ได้จนหน้าซีดเข้าไปทุกที ยิ่งเห็นทุกคนนิ่งเงียบยิ่งใจหาย ดวงตาโศกจึงเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา

“เฮ้ยเจ้า! อย่าร้องไห้” ปั้นสิบพูดได้แค่นั้นก็ดึงเจ้าเพื่อนสูงกว่าเล็กน้อยเข้ามากอด เจ้าจันทร์ซบหน้าลงกับไหล่เล็กแล้วร้องไห้ด้วยความดีใจ ฟ้าที่มองเห็นความกังวลในดวงตาโศกของเพื่อนไม่กล่าวสิ่งใด ลุกขึ้นมากอดเพื่อนทั้งสองเอาไว้ด้วยแขนเล็กๆ ของเธอเอง

“เจ้าไม่ต้องคิดว่าพวกกูจะรังเกียจมึงเพราะมึงคือเพื่อนของพวกกูจำไว้” ปั้นสิบว่าพร้อมทั้งยกมือลูบหัวเจ้าจันทร์

ยิ่งฟังเพื่อนปลอบที่ราวกับมานั่งกลางใจเจ้าจันทร์ยิ่งน้ำตาซึม

“เหี้ยเอ๊ย! ไอ้ชั่วนั้นมันเลวจริงๆ” แทนสบถอย่างหัวเสียก่อนทอดสายตามองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง “อย่าให้กูเจอนะมึง” เขาหมายมาดเอาไว้

“เจอแล้วจะทำไม”

“ยกมือไหว้มั้งไอ้ควายปั้น” แทนตอบพลางทำท่ายกเท้าใส่ไอ้เพื่อนตัวเตี้ย

“น่าๆ กูแซวเล่นหรอก ถ้าเจอมันจริงๆ กูจะช่วยกระทืบเต็มทีเลยเพื่อน” ปั้นสิบว่าอย่างไม่ดูรูร่างของตัวเอง

“จะช่วยกระทืบมันหรือจะให้มันกระทืบยะไอ้ปั้น ดูความสูงของตัวเองด้วยค่ะ” ฟ้าใสแทรกทำให้ต้องหัวเราะกันทุกคนเมื่อปั้นสิบหน้างอไปแล้ว “นี่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ดังนั้นทำอะไรก็ระวังด้วยนะพวกมึงด้วยทำอะไรก็ให้นึกถึงเสมอว่าเจ้าไม่สบาย จะเล่นกันแบบห่ามๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ”

“ทำไมวะ” ปั้นสิบทำหน้าเหรอหราเมื่อถูกห้าม

“ก็เพราะการเล่นบางอย่างของพวกมึงน่ะอาจทำให้เจ้า...แท้งได้” ท้ายประโยคเบาเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ

“...” เจ้าเพื่อนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดปากตาโตเมื่อได้ฟัง

“อย่างการกระโดดกอดมึงก็ทำไม่ได้ เข้าใจไหม” ประโยคต่อมาฟ้าหันมากำชับปั้นสิบ “และอีกอย่าง...” ฟ้าใสลากเสียงยาวหลอกให้คนฟังรอลุ้นจนใจแป้ว “พวกมึงเตรียมหาของขวัญให้หลานกูด้วย หลานกูต้องออกมาน่ารักแน่ๆ เลยก็แม่มันน่ารักซะขนาดนี้” ฟ้าทำตาเพ้อฝันก่อนจะหันมาหยิกแก้มจ้าจันทร์เบาๆ

“เออวะ กูต้องเตรียมของขวัญให้หลาน” จากนั้นปั้นสิบก็อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนแทบไม่สนใจรอบข้าง

หลังจากนั้นเจ้าจันทร์ก็นั่งคุยกับเพื่อนๆ อีกพักใหญ่ พอยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เห็นว่าเย็นแล้ว

“เย็นขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย เจ้าก็กลับบ้านได้แล้วจะได้พักผ่อนมากๆ ว่าแต่มากับใครหรือว่ามาคนเดียว งั้นเดี๋ยวกูไปส่งก็ได้” ฟ้าส่งคำถามพร้อมทั้งอาสาเองเสร็จสรรพ

“มีคนพามาน่ะ” เจ้าจันทร์ตอบแบบเลี่ยงที่จะบอกว่าใคร

“ถ้างั้นเขาไม่รอมึงแย่แล้วหรอก โม้นานขนาดนี้” ปั้นสิบว่าพลางทำท่าอ้าปากค้างตาโตจนดูน่าขัน

“งั้นเรากลับก่อนนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้น แต่จู่ๆ ร่างกายก็ชาหนึบไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนเย็นวาบไปทั้งศีรษะ ภาพตรงหน้าดับพรึบเหมือนไฟโดนสับสวิทซ์ สองมือของเจ้าจันทร์พยายามไขว่ขว้าหาที่ยึดด้วยอารามตกใจ

“เจ้า!” ทุกคนอุทานลั่นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อแทนสามารถดึงอีกฝ่ายไว้ได้ทัน

สายตาคมกริบที่มองเห็นเมียตัวเองไปอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายคนอื่นลุกโชนขึ้นมาด้วยลมเพรชหึง นเรศบดกรามแน่นจนได้ยินเสียงก่อนก้าวพรวดดึงแขนเล็กของเจ้าจันทร์ออกมาอยู่ข้างๆ แล้วยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกคนด้วยท่าทางนิ่งสงบราวกับภูผา

“คุณ!” เจ้าจันทร์อุทานเมื่อถูกอีกฝ่ายดึงมาด้วยความแรง อาการหน้ามืดยังไม่หายดีทำให้แข้งขาอ่อนแรงจนเกือบทรุด ดีที่นเรศหันกลับมาดังรั้งเข้าไปในอ้อมกอดได้ทัน

“เจ้า!” นเรศร้องด้วยความตกใจจนหน้าซีดเผือด “เจ้าเป็นอะไร...พี่จะเรียกรถพยาบาล” ถามแล้วไม่รอคำตอบมือหนึ่งประคองร่างโปร่งเอาไว้ อีกมือก็แตะหน้าผากเนียนด้วยความเป็นห่วง ท่าทางรนรานที่แสดงออกทำให้ดวงตาอีกสามคู่จับจ้องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ

เจ้าจันทร์รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างได้แต่อิงซบกับร่างสูงใหญ่ของนเรศ “ไม่เป็นอะไร เจ้าแค่หน้ามืด” เสียงตอบพึมพำกับตัวเอง
แต่นเรศได้ยินชัดเจนเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวลแล้วอุ้มเจ้าจันทร์ไปนั่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน เขาจัดท่าทางให้เจ้าจันทร์นั่งอิงไหล่แล้วนวดฝ่ามือให้ ฟ้าใส่ไม่ใส่ใจชายหนุ่มมาใหม่เธอนั่งลงแล้วถอดรองเท้าออกช่วยนวดให้อีกทาง

“เจ้ามึงโอเคไหมวะ” ปั้นสิบถามอีกคนแล้วหันหน้าหันหลังก่อนจะหยิบกระดาษมาพัดให้อีกคน “ไอ้แทน” เมื่อยังเห็นท่าทางอ่อนไปทั่งร่างของเพื่อนก็ยิ่งตกใจจนต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเพื่อนตัวโต

“คนจะเป็นลม...เป็นลมก็ต้องยาดม” แทนพึมพำกับตัวเองก่อนจะวิ่งไปหากลุ่มผู้หญิงโต๊ะถัดไปที่กำลังมองมาด้วยความสนใจ “ขอโทษครับพอมียาดมไหม เพื่อนผมเป็นลม” เขาถามทันที

“มีค่ะ รอแปบหนึ่งนะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มรีบตอบเมื่อเห็นท่าตื่นๆ ของแทน เธอหันไปค้นในกระเป๋าด้วยความเร็วก่อนจะส่งยาดมมาให้

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเอามาคืน” ได้ของแล้วแทนก็รับวิ่งกลับมา “นี่ยาดม” แทนส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังเรียกเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้ากังวล

นเรศรับหลอดยาดมมาใช้น้ำแตะที่ปลายจมูกรั้นและนวดตามขมับให้

“เจ้าดีขึ้นไหมให้พี่เรียกรถพยาบาลเถอะ” ยิ่งเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยของคนในอ้อมแขนนเรศยิ่งกังวล

“ไม่เป็นไรพักสักหน่อย” เสียงตอบเบาหวิวยิ่งสั่นคลอนหัวใจนเรศ “ถ้าไม่ดีขึ้นคุณค่อยพาผมไป” ท่ามกลางอาการมึนเบลอเจ้าจันทร์สัมผัสได้ถึงความกังวลผ่านน้ำเสียงของนเรศจึงอดไม่ได้ที่จะพูดให้เขาสบายใจ

ผ่านไปราวสองสสามนาทีอาการเจ้าจันทร์ก็ดีขึ้น

ยามประจำคณะมองดูนักศึกษาที่หยุดมองดูมากกว่าปกติจึงต้องเดินเข้ามาดู “เป็นอะไรครับ ใหเรียกรถพยาบาลไหม”

“เพื่อนหนูเป็นลมแต่ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฟ้าตอบแต่ยามไม่ได้เดินหนีไปไหนยังคงยืนรอดูสถานการณ์อยู่

เจ้าจันทร์ดีขึ้นจนลุกนั่งได้แล้ว “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ดีขึ้นแล้วล่ะ” น้ำเสียงและสีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากถึงแม้จะซีดไปหน่อย

“โอเคแน่นะ” ปั้นสิบถามย้ำอย่างไม่ไว้วางใจ

“...” เจ้าจันทร์พยักหน้าตอบ

“ถ้างั้นก็กลับบ้านไปพักเถอะ ช่วงนี้เจ้าอาจเป็นบ่อยๆ จะไปไหนมาไหนก็ให้มีคนไปด้วยจะยิ่งดี” ฟ้าเอ่ยเตือน

“คร้าบ” เจ้าจันทร์ลากเสียงล้อให้ทุกคนวางใจ

“งั้นผมขอตัวพาเจ้ากลับก่อนนะครับ” นเรศแทรกขึ้นกลางปล้องแล้วก็ช้อนร่างโปร่งขึ้นอุ้มโดยไม่สนสายตาใคร เขาก้าวฉับๆ ไปขึ้นรถไม่ฟังเสียงค้านของเจ้าจันทร์แล้วขับรถกลับบ้านทันที ในใจเริ่มกังวลต่างๆ นานา กลัวว่าเมียกำลูกจะเป็นอะไรไป สุดท้ายเขาก็พาเจ้าจันทร์มาหยุดอยู่หน้าโรงพยาบาลจนได




**************************************************
เมื่อวานไม่ได้มาอัพขอโทษด้วยนะคะ พอดีมีเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้หมดกำลังใจ
แต่วันนี้โอเคแล้วค่ะยัดของกินไปแบบเกินงบของวัน จนเมื่อได้สติกลับมาก็ถึงกลับต้องหน้าซีด เวรของกรรม!
เงินในกระเป๋าของฉันหายไปไหน...แล้วพรุ่งนี้ต้องกินมาม่าใช่ไหม เศร้าสลดแป๊บ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นด้วยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 10-04-2018 20:24:04
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-04-2018 20:25:14
เจ้าบอกนายหัวด้วย ว่าเพื่อนเจ้าห้ามแตะ  o18
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 10-04-2018 22:57:33
รักมากก็หึงมากอะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-04-2018 23:17:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 10-04-2018 23:51:29
หึงแล่วๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-04-2018 01:13:59
มีความเห่อเมียเห่อลูก555
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-04-2018 01:24:26
จะหึงก็เบาๆหน่อย คนกำลังท้องกำลังไส้
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 11-04-2018 15:40:06
 :3123: รอๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 21 เพชรหึง
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-04-2018 16:15:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก|บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 12-04-2018 21:14:40
บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย

หลังจากพบอารามหมอเจ้าของไข้ จนได้รับการยืนยันว่าอาการของเจ้าจันทร์เป็นเพียงอาการแพ้ท้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเข้ามาปรึกษาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากทีเดียว เพราะจะได้หาทางป้องกันหากจู่ๆ เจ้าจันทร์เกิดหน้ามืดแล้วไม่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ อาจเกิดอุบัติเหตุใด้

ถึงแม้ว่าวันนี้เจ้าจันทร์ทำเป็นลืมเรื่องที่นเรศแสดงออกกับเพื่อนไปก่อนหน้า แต่ทำไมนเรศต้องทำเรื่องให้เจ้าจันทร์หงุดหงิดใจด้วยการเดินขนาบข้างทำท่าประคองตามติดไม่ห่าง แบบนี้เจ้าจันทร์ชักเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วนะ

“คุณถอยไปห่างๆ ได้ไหม” เจ้าจันทร์ชะงักฝีเท้าแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยท่าทางเอาเรื่อง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมลดมือลงแล้วก้มหน้าเดินตามแต่เพียงไม่นานก็กลับมาทำอีกครั้ง “คุณ! ไปเดินห่างๆ เลยนะ” คราวนี้หันมาตวาดอย่างเหลือทนจนนเรศหน้าสลด

“ก็พี่เป็นห่วง” เขาได้แต่บ่นงึมงำเสียงเบา สุดท้ายก็ต้องถอยให้เมียยอมเดินตามแค่ใกล้ๆ

การเดินทางในเวลาช่วงเย็นทำให้รถราติดพอสมควร กว่าจะถึงบ้านศศิพัฒนเมธีเจ้าจันทร์ก็เผลอหลับด้วยความอ่อนเพลียไปแล้ว ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มราวกับเทวดาตัวน้อยด้วยดวงตาอ่อนแสง นิ้วแกร่งยื่นออกไปเกลี่ยปอมผมด้วยสัมผัสอ่อนโยน ระยะห่างระหว่างทั้งสองเริ่มน้อยลงๆ จนกระทั่ง...

ก๊อกๆ

นเรศสะดุ้งหันขวับไปยังเจ้าของเสียงเคาะกระจก แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงราวกับพญายักษ์เฝ้าทวารก็แทบผวา เขารีบลงจากรถเพื่อมายืนส่งยิ้มแหยให้ว่าที่พ่อตา

“แกพาลูกฉันไปไหนมา” คุณชญตว์คำรามลั่นจนคนในบ้านแตกตื่น

คุณพิมลรัตน์ที่ได้ยินเสียงสามีก็รีบวิ่งออกมาดูโดยมีครอบครัวของทวีภัทรหิรัญตามมาติดๆ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันจนน่าขำ

“ผม...”

“ที่แล้วมาแกยังรังแกลูกฉันไม่พออีกหรอหะ” ท่านชี้หน้านเรศ

“คุณคะ” คุณพิมลรัตน์รีบเข้าปรามสามี

“ก็ดูมันสิคุณ มันรังแกลูกเรานะยังมีหน้าโผล่หัวมาที่นี่อีก” คุณชญตว์หันมาฟ้องภรรยาก่อนจะหันไปต่อว่าชายหนุ่มในท้ายประโยค

“รู้ค่ะ แต่วันนี้เขาไม่ได้มารังแกลูกเราสักหน่อย” คุณพิมลรัตน์ว่า

“ใช่ค่ะ ฉันเป็นพยานได้” คุณหญิงดาหลามีโอกาสแทรกขึ้นมา ทำให้คนกำลังโมโหเพิ่งจะรู้ตัวว่าวันนี้ในบ้านไม่ได้มีเพียงครอบครัวตัวเอง

คุณชญตว์สำรวจสตรีทั้งสองและอีกหนึ่งหนุ่มด้วยแววตาสงสัย “ว่าแต่...คุณเป็นใครกัน”

แขกทั้งสามต่างยิ้มแหยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพิมลรัตน์แนะนำ “คนนี้คุณพี่ดาหลา ทวีภัทรหิรัญ” ท่านผายมือไปยังคุณหญิงดาหลาที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าทำให้คุณชญตว์รีบยกมือไหว้

ในขขณะที่ทั้งสองครอบครัวกำลังแนะนำกันนเรศก็ไปปลุกเจ้าจันทร์ที่กำลังหลับอยู่ ทั้งที่จริงเขาไม่อยากรบกวนเมียตัวเองด้วยซ้ำ

“เจ้าครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบเบาๆ ริมฝีปากอยู่ใกล้จนลมหายใจอุ่นกระทบแก้ม “ตื่นได้แล้วครับ ถึงบ้านแล้ว” อีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วคล้ายรำคาญ แม้ว่าจะเห็นใจแต่นเรศจะต้องจำใจปลุกเจ้าจันทร์ ครั้งนี้จึงส่งแรงเขย่าเบาๆ ให้คนหลับรู้สึกตัว

“อื้อ” เจ้าจันทร์ครางฮึ่มในลำคอ แต่เมื่อยังถูกรบกวนสุดท้ายจึงต้องพยายามลืมตาขึ้นมา ภาพที่ปรากฏพร่ามัวเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเป็นแนวกรามของคนที่กำลังปลดเบลท์ออกจากตัวให้

เมื่อรับรู้ได้ถึงดวงตากลมโตที่จ้องไม่กะพริบนเรศจึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มละมุนก่อนจะก้มลงปลดเบลท์จนเสร็จ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเจ้าจันทร์ยังคงนั่งนิ่งจับจ้องมองเขาไม่ละสายตา นเรศจึงคิดว่าเจ้าจันทร์อาจจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า

“เจ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหนครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วงขณะพยายามสำรวจอีกฝ่าย สายตาคมที่ห่างไม่ถึงคืบเต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้แก้มเนียนค่อยๆ ซับสีเลือด ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้แก้มก็ยิ่งร้อนจนต้องยกมือขึ้นกั้น กลับกันคนมองที่เห็นริ้วสีแดงบนแก้มเนียนกลับคิดเตลิดไปไกล “ตัวก็ไม่ร้อนนี่” นเรศยกฝ่ามือใหญ่กุมหน้าผากเนียนแล้วพึมพำ “ตัวไม่ร้อน เจ้าไม่สบายตรงไหนบอกพี่หน่อยครับ” แล้วถามต่อด้วยความเป็นห่วง

“มะ...ไม่เป็นไร เจ้าสบายดี” พูดไปก็หลบตาก่อนจะรีบเอนตัวหลบอีกฝ่ายเพื่อลงจากรถ แต่พอเท้าสัมผัสพื้นทุกอย่างก็เอียงกะเท่เร่ หูก็แว่วได้ยินเสียงร้องวี้ดว้ายตกใจจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร โชคดีที่มีอ้อมแขนแข็งแรงเข้ามารับไว้ได้ทัน คราวนี้ทุกคนต่างพร้อมใจกันถอนหายใจอย่างโล่งอก “สงสัยจะรีบลุกไป” เจ้าจันทร์พึมพำเสียงเบา

“...” นเรศไม่อยากดุจึงได้แต่ขมวดคิ้วมองคนในอ้อมกอด แต่ถึงอย่างนั้นสายตาก็ยังมีแววดุให้เห็น

“แม่ใจหายใจคว่ำหมดเลยลูก” คุณพิมลรัตน์ยกมือลูบอกปลอบขวัญตัวเอง

“พาน้องเข้าข้างในก่อนลูก”

“ครับแม่” ตอบรับเสร็จก็ช้อนเมียขึ้นอุ้ม เจ้าจันทร์ตกใจผวากอดคอหนาแน่นพยายามซุกหน้าเขาหาอกกว้างด้วยความอาย แต่นเรศยังไม่ทันเดินก็ถูกเสียงเข้มขัดขึ้นก่อน

“หยุดเลยๆ ฉันจะอุ้มเอง” คุณชญตว์แทรกขึ้นมาจนภรรยาต้องตีแขนเข้าให้ “โอ๊ย ตีผมทำไมเนี้ย” ท่านโอดครวญจนดูน่าหมั่นไส้ในสายตาภรรยา

“แก่แล้วยังไม่เจียมตัว พูดไปจะมีแรงอุ้มลูกได้หรอหะ ไม่ใช่หนุ่มๆ แล้วซะหน่อย แน่ะยังจะมาทำงอนใส่เดี๋ยวจะตีอีกรอบเลยนี่” พูดไปคุณพิมลรัตน์ก็ทำท่าจะตีสามีอีกรอบ จนคุณชญตว์ต้องหลบให้ชายหนุ่มอุ้มลูกชายเข้าไปในบ้าน

นเรศค่อยๆ วางร่างเล็กบนโซฟาแล้วก็นั่งลงข้างกันคอยนวดให้ พลางทำหน้าที่คอยตอบคำถามผู้ใหญ่ น้องสาวและเจ้าน้องเขยที่คอยถามเรื่องอาการของเจ้าจันทร์และผลที่ไปตรวจกับอาหมอ จนกระทั่งคุณพิมลรัตน์และคุณหญิงดาหลาอาสาเข้าครัวทำอาหารเย็นวันนี้

ชลธารตั้งท่าจะตามเข้าไป “คุณแม่คะเดี๋ยวชลไปช่วย...”

แต่ยังไม่ทันจบประโยคทั้งสองท่านก็ขัดขึ้นทันที “ไม่ได้”

“หนูชลท้องเดี๋ยวแพ้กลิ่นอาหารลูก” คุณพิมลรัตน์บอก

“เรานะนั่งเป็นเพื่อนพี่ชายเราไปเลย จะได้ไม่ดื้อ ไม่ซน...เข้าใจไหมตานเรศ” ท้ายประโยคคุณหญิงดาหลาหันมาแซวลูกชายจนหน้าเหวอ

“แม่ครับ” เขาว่าเสียงอ่อน

“คุก...อะแฮ่ม” ณัฐธัญพยายามกลั้นหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อเห็นท่าทางงอแงราวกับเด็กสามขวบของชายหนุ่ม

เมื่อลับร่างหญิงทั้งสองคุณชญตว์ก็กระแอมไอเสียงดัง พลางใช้หางตาจ้องมือใหญ่ที่กำลังบีบนวดมือลูกชายตัวเองไม่ยอมปล่อย นเรศแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่รู้ชี้จนสุดท้ายท่านต้องเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น

“แกปล่อยมือลูกชายฉันเดี๋ยวนี้นะ” แต่ก็ยังพยายามกดเสียงให้เบาลง

“ผมแค่นวดให้น้อง” นเรศพยายามทำใจกล้าตอบกลับไป

“ฉันนวดเอง” ว่าจบท่านก็ลุกมานั่งข้างลูกชายอีกฝั่ง “ฉันบอกให้ปล่อย” แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงถูกตัวลูกชายอยู่ท่านก็เอื้อมมือข้ามไปตีพลางถลึงตามองจนแทบหลุดออกจากเบ้า

เพราะเกรงใจว่าที่พ่อตานเรศจึงจำใจวางมือเล็กไว้ แต่ดูท่าว่าที่พ่อตาจะยังไม่พอใจจึงออกปากไล่ให้เขาถอยห่างจากลูกชายสุดหวง แวบหนึ่งนเรศแอบมองเห็นมุมปากเล็กยกยิ้มขึ้นน้อยๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะหลับตาทำเป็นไม่สนใจอยู่ก็ตาม เขาได้แต่คาดโทษเมียตัวเองในใจ ดูท่าเจ้าตัวจะให้ความร่วมมือกับพ่อเป็นอย่างดี เมื่อเดินมานั่งข้างสองสามีภรรยาตัวดีทั้งคู่ก็พร้อมใจส่งเสียงคิกคักที่เห็นเขาพ่ายแพ้พ่อตากลับมา นเรศถลึงตาใส่คนทั้งคู่ก่อนจะหันกลับไปมองเมียตัวเองด้วยตาละห้อย

“แม่” คุณชญตว์ตะโกนเรียกภรรยาเสียงดัง

“มีอะไรคะคุณ” ผู้เป็นภรรยาโผล่ศีรษะตรงกรอบประตูเพียงครึ่งตัวด้วยใบหน้าฉงนที่จู่ๆ สามีท่านก็ตะโกนเสียดังลั่น

“สนามหญ้าหน้าบ้านเรายังไม่ได้ตัดเลย” คุณชญตว์ตอบกลับ

“ไว้วันหลังค่อยหาคนมาตัดแล้วกันคะ” คุณพิมลรัตน์พูดจบก็เดินกลับไปทำกับข้าวต่อ

“เฮ้อ บ้านมีลูกชายคนเดียวก็แบบนี้แหละ อาจจะรกหน่อยเพราะจะให้ลูกชายที่ไม่สบายอยู่ไปตัดก็ใช่ที่” ท่านกล่าวเหมือนบ่นพึมพำเพียงคนเดียวแต่ทุกประโยคเสียงดังชัดเจน

เจ้าจันทร์ที่ได้ฟังคำของบิดาก็ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ สนามหญ้าหน้าบ้านพ่อเคยใช้เจ้าจันทร์ตัดเองเสียเมื่อไหร่ มีแต่ไปจ้างคนอื่นทุกครั้ง ยิ่งฟังผู้เป็นพ่อพูดเจ้าจันทร์ก็ยิ่งงงจนต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมามองดู

“เอาสิไปทำคะแนน” ณัฐธัญใช้ศอกกระทุ้งเอวสอบข้างกาย “ตัดหญ้าคงไม่อยากเกินไปหรอก ใช่ไหมวะนายหัว” ก่อนจะยิ้มล้อเลียนจนคนฟังต้องถลึงตาใส่

“เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” นเรศลุกขึ้นตั้งท่าจะไปจัดการตามรับปาก

“ไม่ต้องหรอก ฉันจ้างคนอื่นดีกว่าดูแล้ว...” ดวงตาคมกริบของผู้มากวัยกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับประเมินความสามารถของชายหนุ่ม “คงไม่ไหว”

ประโยคต่อมาทำให้คนโดนดูถูกชะงักกึก มุมปากหยักกระตุกเล็กน้อยเมื่อเจอฝีปากของว่าที่พ่อตา “เรื่องแค่นี้เองผมทำได้ครับ ที่เกาะผมก็เคยทำบ่อยๆ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ” เขายกยิ้มแอบตีเนียนเรียกว่าที่พ่อตาจนเห็นหนวดอีกฝ่ายกระตุกเช่นเดียวกัน

“ฉันจะคอยดู แต่ถ้าแกทำสนามหญ้าฉันเสียหายเมื่อไหร่ละก็...เจอดีแน่” นัยน์ตาของชายทั้งสองวัยประสานกันราวกับกำลังประกาศศึกสงคราม ก่อนที่ผู้อ่อนวัยกว่าจะเป็นคนละสายตาเดินออกไปในที่สุด “พ่อจะต้องไปดูแขกสักหน่อย ถ้าเกิดทำอะไรเสียหายละก็...” ท่านทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็รีบร้อนออกไปสนามหญ้าหน้าบ้านทันที

เจ้าจันทร์มองดูคนทั้งคู่ที่จากไปแล้วก็ต้องยกมือขึ้นกุมขมับที่เริ่มปวดตุบๆ

“เจ้าไหวหรือเปล่า” ชลธารรีบเข้ามาดูแลคนหน้าซีดที่ทำท่าจะซีดขึ้นไปอีก “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก พี่นเรศเองก็ใช่จะเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” เธอเห็นใบหน้าหวานเคร่งเครียดไม่คลายจึงหาทางพูดให้สบายใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่

“ผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้น” คำตอบทำให้ทั้งสองคนที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้ว “พี่ชลยังไม่เคยเห็นฤทธิ์พ่อผม”

“ฮาๆ อย่าห่วงไปเลย นเรศมันรู้ว่านั้นคือหลุมแต่ก็จงใจกระโดดลงไปเอง มันคงมีวิธีรับมือเองนั้นแหละ” ณัฐธัญหัวเราะร่าอย่างสบายใจ

“ผมไม่ได้ห่วงเขา” เสียงห้วนสั้นตอบกลับพร้อมใบหน้าหวานสะบัดหนี ทำให้สองสามีภรรยาแอบสบตากันด้วยใบหน้าอมยิ้ม

หลังจากนั้นนอกตัวบ้านก็มีเสียงเครื่องตัดหญ้าดังขึ้นโดยมีเสียงตะโกนสั่งแทรกเป็นระยะ คนที่นั่งรออยู่ภายในบ้านเริ่มนั่งไม่ติด ชลธารลุกขึ้นไปยืนดูผ่านกระจกก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ สักพักคนที่ลุกขึ้นอีกคราก็เปลี่ยนเป็นเจ้าจันทร์เองที่เดินไปชิดกระจกมองดูชายทั้งสองที่อีกคนกำลังเข็ญเครื่องตัดหญ้าไปรอบๆ สนาม ส่วนอีกคนก็กำลังชี้นิ้วสั่ง เมื่อไม่ได้ดังใจก็เดินไปตัดให้ดูเป็นตัวอย่างเสียเอง เห็นเพียงเท่านี้เจ้าจันทร์ก็รู้สึกหายห่วงเดินกลับมานั่งที่เดิม

“เจ้าแม่ได้ยินเสียงเครื่องตัดหญ้าพ่อเขาทำอะไร แม่บอกให้ตัดวันอื่นไม่ใช่หรอ วันนี้มีแขกไม่รู้หรือไงว่ามันเสียงดังรบกวนนะฮึ” คุณพิมลรัตน์ถือตะหลิวออกมาพร้อมเท้าสะเอวด้วยใบหน้าเอาเรื่อง

เจ้าจันทร์ไม่รู้จะตอบมารดายังไงจึงได้แต่ยิ้มแหย

“ทั้งสองคงกำลังทำความรู้จักกันในฉบับพวกเขาอยู่ เสียงดังหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” คุณหญิงดาหลาเดินออกมากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เฮ้อ” คุณพิมลรัตน์ถอนหายใจก่อนจะเลิกสนใจคนทั้งคู่กลับเข้าไปทำอาหารต่อ



*********************************
เมื่อวานไม่ได้อัพเพราะเตรียมตัวกลับบ้าน ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ
สำหรับสงกรานต์นี้ใครไปเที่ยวหรือเดินทางไปไหนก็ขอให้ปลอดภัย โชคดีกันทุกคนนะคะ
สวัสดีปีใหม่ไทยจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-04-2018 21:29:02
คุณพ่อตาอย่ายอม กระหน่ำเข้าไป  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 12-04-2018 22:25:24
 :z3: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-04-2018 23:16:21
ลูกเขยที่ดีต้องตัดหญ้าเป็น :hao7:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 13-04-2018 04:06:37
ลูกเขย+คนตัดหญ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 22 เมื่อว่าที่พ่อตาอยากทำความรู้จักกับลูกเขย
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-04-2018 04:42:51
 :hao5: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 13-04-2018 22:09:12
บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย

ดวงตาโศกตอนนี้กำลังจับจ้องมองใบหน้าคมที่กำลังส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ สองมือยกขึ้นกอดอกพลางมองดูข้าวของในมืออีกฝ่าย นเรศเผลอกำเสื้อผ้าในมือแน่นด้วยสายตาหวั่นๆ เขาหวั่นใจกับสายตาของเมียตัวเองจริงๆ

“พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย” เขาว่าเสียงอ่อนแกมขอร้องเหงื่อยังคงพราวเต็มใบหน้า เสื้อที่สวมอยู่ก็เปียกเหงื่อจนแนบติดกายที่มาจากอากาศร้อนๆ และการตัดหญ้าเมื่อครู่

“ใช้ห้องน้องเลยลูก แม่กับคนที่เหลือจะจัดโต๊ะรอเราอาบเสร็จก็ได้ทานพอดี” คุณพิมลรัตน์ผ่านมาได้ยินพอดีเลยรีบจัดการตอบรับเสียเองจนลูกชายท่านหันมาอ้าปากทำท่าพะงาบๆ

“ผมไม่รบกวนน้องหรอกครับแค่ขอใช้ห้องน้ำก็พอ” เขารีบปฏิเสธด้วยทั้งเป็นห่วงเมียและเกรงใจเมียที่ยืนทำหน้าดุๆ ใส่

“รบกวนที่ไหนกัน...”

“แต่เขาโตแล้วแค่บอกทางไปก็พอครับ” เจ้าจันทร์แทรกขึ้นมาด้วยคิ้วขมวด

“เอ๊ะ เรานี่ยังไงก็พี่เขาเป็นแขกเราต้องดูแลสิ” คุณพิมลรัตน์หันมาตีลูกชายเบาๆ ด้วยท่าทีหมั่นไส้ แหมพ่อทูนหัวเล่นตัวซะจริงนี่ถ้าเขาไม่มาง้อ ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วเรอะ ท่านคิดในใจขณะมองดูท่าทางหมาหงอยของว่าที่ลูกเขย

เจ้าจันทร์ยอมแพ้ในที่สุด “ตามมาสิ” จบประโยคก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องตัวเองซึ่งอยู่ชั้นล่าง จะพาไปห้องใหญ่ก็ของพ่อกับแม่ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องว่างที่ไม่ได้ใช้ซึ่งคิดว่าคงใช้การไม่ได้ ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายคือห้องของตัวเอง เข้ามาในห้องเจ้าจันทร์ก็เปิดตู้หยิบเอาผ้าขนหนูที่ยังไม่ใช้ยื่นให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปนั่งรอบนเตียงด้วยการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

เสียงฝักบัวเงียบหายไปสักพักเขาก็ได้ยินเสียงห้าวทุ้มสบถภายในห้องน้ำ จนต้องเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ สายตาจึงสบเข้ากับร่างสูงอวดกล้ามเนื้อเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะตามผิวสีแทน ท่อนล่างมีเพียงกางเกงขายาวสบายที่สวมใส่อยู่ จู่ๆ ในหัวพลันมีภาพยามได้สัมผัสร่างกายอีกฝ่ายเข้ามาในหัวจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ปะทุขึ้นมาตามแก้ม เจ้าจันทร์รีบเบี่ยงหน้าหลบเมื่อสบเข้านัยน์ตาพราวระยับที่มองมาเหมือนนกรู้

“เจ้ามีเสื้อให้พี่ยืมไหมพอดีพี่ทำตกเปียกจนใส่ไม่ได้” นเรศทำเสียงอ้อนจนคนฟังขมวดคิ้ว

“อืม” เจ้าจันทร์รับคำก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดตู้ค้นหาเสื้อตัวใหญ่ให้ชายหนุ่มใส่สักตัว เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็หันกลับมา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อปะทะเข้ากับแผงอกเปลือยเปล่าที่อยู่แทบชิดสายตา กลิ่นครีมอาบน้ำที่เคยใช้ประจำหอมสะอาดผิดกับที่ตัวเองใช้ทั้งที่เป็นขวดเดียวกัน เจ้าจันทร์หยุดชะงักทั้งการกระทำและความคิดปล่อยตัวเองไปกับกลิ่นที่ทำให้สมองปลอดโปร่งจนรู้สึกสบาย โดยไม่รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ฝ่ามืออบอุ่นประคองใบหน้าขึ้น

นเรศมองดูริมฝีปากสีระเรื่อชวนสัมผัสที่อยู่ใกล้ เขาไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไปโน้มศีรษะก้มลงสัมผัสความนุ่มชิมรสหวานละมุนในโพรงปากอุ่น เขามองดูปฏิกิริยาค่อยๆ หลับตาลงของเจ้าจันทร์ยิ่งทำให้เขาเพิ่มรสจูบให้ชวนสัมผัส เคลิบเคลิ้ม หลอกล่อให้อีกฝ่ายยินยอมรับสัมผัส

เสียงครางแผ่วหลุดรอดออกมาพร้อมกับมือเล็กบีบต้นแขนหนาแน่นเพื่อระบายความรู้สึก จนกระทั่งริมฝากหยักผละออกอย่างอ้อยอิ่งพร้อมเสียงอันน่าอาย คนเผลอไผลหน้าแดงก่ำก่อนจะส่งเสื้อยืดในมือให้ชายหนุ่มบนหน้าอกเปลือยเปล่าจนนเรศแทบรับไว้ไม่ทัน เจ้าจันทร์รีบเดินหนีออกมาทั้งใบหน้าแดงก่ำหูก็แว่วได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ ตามมา

แค่นี้เขาก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย นเรศคิดขณะสวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อนรีบตามเมียตัวเองออกมา

การรับประทานอาหารทั้งสองครอบครัวผ่านไปด้วยดี แม้ว่าจะมีบ้างที่ว่าที่พ่อตาจะพยายามหาเรื่องลูกเขย แต่ฝ่ายมารดาทั้งสองกลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนเรียกหากันว่าพี่ว่าน้อง

“เดินทางปลอดภัยนะคะคุณพี่” คุณพิมลรัตน์โบกมือลาคุณหญิงดาหลา ซึ่งฝ่ายนั้นเองก็หันมาฉีกยิ้มกว้างก่อนขึ้นรถไป

“ไว้ผมจะมาบ่อยๆ นะครับ” นเรศเอ่ย

“ได้สิลูก” คุณพิมลรัตน์รีบตอบรับทันที

“ไม่ต้องมาแหละดีแล้ว เห็นแล้วอยากเอาปืนไล่ยิง” เสียงบ่นพึมพำหวังให้ชายหนุ่มได้ยินเพียงคนเดียว แต่กลับผิดคาดเมื่อผู้เป็นภรรยาหันมาทำตาขวางใส่

“ผมลานะครับ สวัสดีครับ” นเรศไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันไปสบสายตาโศกที่ทำเหมือนไม่สนใจอยู่ “เจ้าเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาใหม่” เขาบอกแล้วจึงเดินไปขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย

“พรุ่งนี้หรอ เฮอะอย่าฝันว่าจะได้เข้าใกล้แม้กระทั่งรั้วบ้านฉัน” คุณชญตว์พึมพำแต่ไม่คิดว่าภรรยาจะได้ยินอีกครั้ง

“คุณคะ”





หลังจากนั้นวันต่อๆ มานเรศก็มาที่บ้านศศิพัฒนเมธีทุกวัน ซึ่งดูเหมือนหลังๆ มานี้จะถูกใจคุณชญตว์ไม่น้อย เมื่อนเรศมาก็เหมือนได้คนงานมาเพิ่ม ท่านใช้งานชายหนุ่มตั้งแต่เช้ายันเย็นจากงานจิปะถะไปจนถึงงานทุกงานที่สามารถโยนให้เขาได้ แม้กระทั่งตอนนี้ที่นเรศกำลังยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่แทบไหลเข้าตา ขณะที่มืออีกข้างก็ใช้ฟองน้ำล้างรถต่อไป

นเรศรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาลานหน้าบ้าน เขาเงยหน้าขึ้นไปฉีกยิ้มกว้างต้อนรับแต่อีกฝ่ายกลับมองมาด้วยดวงตาราบเรียบ

“คุณไม่มีงานการทำแล้วใช่ไหม ถึงได้มาให้คุณพ่อใช้งานเหมือนคนใช้แบบนี้” น้ำเสียงหวานกล่าวประชด

“งานพี่มีครับแล้วพี่ก็กำลังทำอยู่นี่ไง...” เขาตอบก่อนฉีกยิ้มกว้างต่อประโยคให้จบ “งานง้อเมีย” แต่ดูเหมือนเมียที่ตามง้อจะไม่เล่นด้วยคิ้วสวยถึงได้ขมวดจนแทบผูกเป็นปม จากร้อยยิ้มกว้างค่อยหุบลงพร้อมเสียงหัวเราะแห้งๆ

“ผมว่าคุณคงไม่ดื่มน้ำแล้วล่ะ” ว่าจบถาดน้ำที่วางไว้บนโต๊ะก็ถูกยกขึ้นมาแล้วตั้งท่าจะเอากลับเข้าไปในบ้าน

นเรศตาเหลือกรีบทิ้งทุกอย่างในมือวิ่งตามร่างบางไป แขนแกร่งเตรียมรั้งร่างที่กำลังเดินหนีไว้ แต่พอนึกได้ว่ามือสองมือยังคงเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยาล้างรถเขาก็รีบหยุดชะงักทันที

“เจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ หรอครับ” เขาส่งเสียงอ้อน

“ผมเห็นว่าคุณดูไม่ค่อยอยากดื่ม...”

“พี่อยากดื่มครับ”

ท่าทางกระตือรือร้นทำให้เจ้าจันทร์ถอนหายใจ ตัดสินใจวางถาดไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมก่อนจะรินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วส่งให้ชายหนุ่ม นเรศมองแก้วน้ำในมือเล็กไม่ยอมรับไปแต่เขากลับก้มหน้าลงงับหลอดดูดน้ำอย่างหน้าตาเฉย ดวงตาโศกที่มองเห็นการกระทำของเขาพลันเบิกขึ้นก่อนจะค่อยๆ ราบเรียบเหมือนเดิม แต่คนที่กำลังผละออกไปหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จก็กระทำบางสิ่งที่ทำให้เจ้าจันทร์ตกใจ

“อา ชื่นใจมากครับ” นเรศเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยสีหน้าเบิกบานหลังจากฉกฉวยหอมแก้มนิ่มไปฟอดใหญ่

“คุณ!” เจ้าจันทร์ร้องเรียกอีกฝ่ายที่ลอยหน้าลอยตาพูดเสียงดังลั่น

“ครับผม” เขายังไม่หยุดยิ่งทำให้เจ้าจันทร์โกรธ ในที่สุดมือเล็กก็หยิบได้ถาดพลาสติกบนโต๊ะฟาดเข้าใส่เต็มท่อนแขนแกร่งจนอีกฝ่ายร้องลั่น “โอ๊ย! พี่เจ็บนะครับ” ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการเจ็บจนน่าหมั่นไส้

“เจ็บสิดี คราวนี้จะตีให้เจ็บกว่าเดิมเลยคอยดู” เจ้าจันทร์คาดโทษร่างสูงพลางชูถาดในมือขึ้นเตรียมฟาดใส่เขาอีกครั้ง

“โอ๊ย! พี่ผิดไปแล้วพี่ขอโทษครับ” นเรศรีบวิ่งเหยาะๆ รอบโต๊ะเหมือนจะหลบถาดเจ้ากรรมนั่น แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้เมียตีจนพอใจ เมื่อเห็นร่างเล็กยืนหอบเขาก็ฉวยโอกาสเข้าประชิดกักอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมกอด นเรศกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเมื่อเห็นเจ้าจันทร์นิ่งไปก่อนจรดจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่ม “เมื่อไหร่เจ้าจะหายโกรธพี่สักทีนะ พี่อยากให้เราเป็นครอบครัวสักที” เขาพึมพำอยู่เหนือศีรษะใต้คาง

“ทำไม เหนื่อยแล้วหรอ...ถ้าเหนื่อยก็หยุดผมไม่ได้ขอร้องคุณ” เสียงอู้อี้ตอบกลับจนลมร้อนจากริมฝีกปากสวยกระทบบริเวณอกให้ขนลุกซู่

นเรศส่ายศีรษะ “ไม่เลยพี่ไม่เคยเหนื่อย แต่พี่อยากให้เราอยู่กันพร้อมหน้ามากกว่า พี่อยากดูแลเจ้าให้เต็มที่มากกว่านี้ เพราะฐานะของพี่ในตอนนี้ทำให้ดูแลเจ้าไม่ได้ตลอดเวลา พี่เสียใจ” เขาตอบแล้วยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่ไม่มี

หลังจากจบประโยคก็เกิดความเงียบขึ้น “แล้วถ้าผมบอกว่าเหนื่อยล่ะ” อ้อมแขนที่โอบรัดอยู่แน่นขึ้นจบแทบหายใจไม่ออกเหมือนกับกำลังหวาดกลัวที่จะฟังประโยคต่อไป “ผมเหนื่อยที่มีคุณคอยตาม...”

“ขอร้องอย่าบอกให้พี่หยุด” นเรศแทรกขึ้นด้วยความกลัวจับจิตขอบตาร้อนผ่าวจนต้องยกมือขึ้นเช็ด

เจ้าจันทร์ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเหนือศีรษะจึงตัดสินใจเอ่ยในที่สุด “ผมไม่ได้จะบอกให้คุณหยุดตาม” คนฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นเสมือนสามารถยกภูเขาอันหนักหน่วงออกจากอกได้ “แต่ถ้าผมบอกให้คุณทำทุกอย่างให้มันถูกต้องล่ะ” เจ้าจันทร์คิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนเรศมาหลายวันแล้ว เมื่อคิดว่านเรศคือพ่อของลูกในท้องและนเรศจะไม่ยอมปล่อยตัวเองแน่ๆ นั้นทำให้เจ้าจันทร์กลับมาคิดว่าที่พยายามตัดชายหนุ่มออกจากชีวิตนั้นดีแล้วหรอ คิดมาเสียหลายวันสุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าสมควรเลือกทางไหน

นเรศผละออกจากร่างเล็กเขาสบดวงตาโศกอย่างค้นหา ท่าทางตื่นๆ ของเขาทำให้เจ้าจันทร์ต้องเม้มปากกลั้นยิ้ม “เจ้าพูดจริงใช่ไหม” เจ้าจันทร์พยักหน้าตอบคำถามของนเรศ “พี่...พี่จะรีบทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” ด้วยความดีใจทำให้พูดตะกุกตะกักขึ้นมา ริมฝีปากหยักระบายรอยยิ้มกว้างพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้าไปกอดอีกครั้ง “ขอบคุณครับ” น้ำเสียงของเขาสั่นพร่าเหมือนคนจะร้องไห้

หลังจากวันนั้นนเรศทำทุกอย่างให้ถูกต้องเหมาะสม เขาพาญาติผู้ใหญ่มาพบและพูดคุยอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าคุณชญตว์จะไม่เห็นด้วยแต่ไม่สามารถขัดภรรยาได้ ทางผู้ใหญ่พูดคุยจนได้ข้อสรุปว่าจะจัดงานให้เร็วที่สุด ซึ่งฤกษ์งานพิธีต่างๆ ฝ่ายผู้ใหญ่ทางชายหนุ่มจัดหามาอย่างเรียบร้อย เหลือเพียงให้ฝ่ายผู้ใหญ่ของเจ้าจันทร์เลือกวันเวลาเท่านั้น และข้อสรุปทั้งหมดก็คืออีกเจ็ดวันจะจัดพิธีหมั้น แล้วงานแต่งจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า โดยที่เจ้าจันทร์ขอไว้เพียงไม่ต้องการงานใหญ่โตในงานมีแค่คนรู้จักก็พอแล้ว ถึงแม้คุณหญิงดาหลาจะค้านแต่สุดท้ายก็ต้องตามใจว่าที่ลูกสะใภ้อยู่ดี

อีกเจ็ดวันถัดมางานหมั้นถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าจันทร์ ในงานมีเพียงญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายและเพื่อนๆ ของเจ้าจันทร์ไม่กี่คน แต่สิ่งที่ทำให้เรียบง่ายไม่ได้เลยคือสินสอด

“คุณเจ้าน่ารักมากเลยค่ะ” สุดาเอ่ยชมเด็กหนุ่มในชุดหมั้นแบบไทยจักรพรรดิเสื้อแขนกระบอกสีครีมเข้ากับโจงกระเบนสีน้ำตาลทอง เธอยื่นมือจัดเทคไทสีทองอ่อนเข้ากลับชุดเล็กน้อยด้วยสีหน้าภูมิใจ ดวงตาผู้มากวัยกว่าเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา

“ป้าสุดาร้องไห้ทำไมครับ” เจ้าจันทร์ถามร่างอวบตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นๆ

“ป้าดีใจค่ะ” เธอตอบสั้นๆ ทำให้เจ้าจันทร์เดินเข้าไปกอดปลอบ

“พี่เขามาแล้วลูก” คุณพิมลรัตน์ในชุดไทยประยุกต์สีขาวและผ้าถุงสีน้ำตาลทองเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไหนดูสิลูกชายแม่น่ารักที่สุดเลย” ท่านจับลูกชายเพียงคนเดียวให้ยืนนิ่งๆ แล้วเดินสำรวจความเรียบร้อย “ไปกันเถอะ” ท่อนแขนอันอบอุ่นยื่นมาให้จับเพื่อนำพาลูกชายที่เปรียบเสมือนแก้มตาดวงใจลงไปสู่พิธีงานหมั้น

นเรศในชุดไทยจักรพรรดิเช่นเดียวกันแต่สีของเขาเข้มกว่ามาก ขับให้วันนี้เขาดูหล่อเหลาราวกับนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร ดวงตาคมหันไปมองยังห้องที่แง้มประตูเปิดออกมา ดวงหน้าหวานละมุนวันนี้โดดเด่นเป็นพิเศษในชุดไทยจักรพรรดิสีอ่อน เขาจ้องมองคนที่ค่อยๆ เดินมานั่งตรงข้ามตาไม่กะพริบ

“อะแฮ่ม เมื่อพร้อมแล้วก็เริ่มพิธีได้เลย” คุณอาของนเรศกระแอมเรียกสติหลานชายที่เอาแต่จ้องคู่หมั้น จนคนในงานหัวเราะขบขันเอ่ยแซวชายหนุ่มทันที

นเรศส่งยิ้มขออภัยก่อนประคองเจ้าจันทร์เข้าไปกราบผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็ส่งขันหมากหมั้นให้กับผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าจันทร์ เมื่อพวกท่านตรวจนับแล้วก็ถึงกับตะลึงก่อนจะพยักหน้าเข้าสู่พิธีต่อไป นเรศหยิบแหวนทองคำขาวมีเพชรเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ครึ่งวงขึ้นมาพร้อมกับมือเล็ก แหวนเรียบง่ายแต่ทรงคุณค่าค่อยๆ ถูกสวมไปยังนิ้วนางข้างซ้าย นเรศก้มลงจรดริมฝีปากบนหลังมือที่ประคองอยู่อย่างอ่อนโยนพลางช้อนดวงตาขึ้นสบกับนัยน์ตาโศกเพื่อส่งความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจของเขา

ดวงหน้าหวานแดงก่ำรีบเสหลบด้วยการประนมมือไหว้ขอบคุณชายหนุ่ม จากนั้นจึงหันไปหยิบแหวนคล้ายกันแต่เกลี้ยงเกลาขึ้นมา มือเล็กกว่าประคองมือใหญ่และค่อยๆ บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย แล้วก้มลงจรดริมฝีปากอุ่นเข้ากับหลังมือใหญ่ด้วยกริยาอ่อนโยนเช่นเดียวกัน นเรศยิ้มรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ

เมื่อเสร็จพิธีแลกแหวนหมั้นจากนั้นทุกคนก็สนุกกับการถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และเข้าสู่พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ต่อไปจนกระทั้งสิ้นสุดพิธีทั้งหมด จากนั้นในตอนเย็นก็จัดเป็นงานเลี้ยงเพื่อให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายทำความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น แต่ภายในงานเลี้ยงกลับไร้ซึ่งวี่แววของคู่หมั้นทั้งสอง เมื่อนเรศพาเจ้าจันทร์ที่เริ่มมีอาการแพ้ท้องเข้ามาพัก

นเรศง่วนอยู่กับการก้มๆ เงยๆ เพื่อถอดถุงเท้าให้ร่างเล็ก และถอดชุดเปลี่ยนให้เจ้าจันทร์ที่ดูอ่อนแรงจนน่าสงสาร เมื่อประคองร่างเล็กนอนบนเตียงเขาก็หายเข้าในห้องน้ำก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำบิดจนหมาด

“หิวไหมครับ” เขาถามเสียงนุ่มขณะที่เช็ดตามกรอบหน้าเรียว

“...” เจ้าจันทร์ที่นอนหลับตาพริ้มไม่ตอบเพียงแค่ส่ายหน้าน้อยๆ

นเรศเดินเข้าออกห้องน้ำจนแน่ใจว่าเช็ดตัวคนที่นอนหลับอยู่สบายตัวแล้วจึงได้ชำระร่างกายของตัวเอง เขากลับออกมาอีกครั้งโดยมีผ้าขนหนูพันรอบเอวหมิ่นเหม่ ในตู้มีเสื้อผ้าเขาอยู่หลายชุดนเรศเลือกหยิบเสื้อเชิตสบายๆ กับกางเกงขายาวออกมาใส่ เมื่อจัดการแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินเข้าไปนั่งพิงหัวเตียงข้างคนที่นอนหลับอยู่ เขาทอดสายตามองใบหน้าหลับพริ้มด้วยสายตาอ่อนแสง ภาพต่างๆ ในอดีตย้อนเข้ามาในหัว ทำให้รู้สึกดีจริงๆ ที่คนคนนี้ยอมให้อภัยกับการกระทำอันเลวร้ายของเขา

“ทุกๆ อย่างที่พี่เคยทำให้เจ้าเจ็บ พี่ขอโทษนะครับ” นเรศก้มลงกระซิบแล้วจรดริมฝีปากกับหน้าผากอุ่น เขาลูบกลุ่มผมนุ่มมืออยู่นานก่อนจะหันไปสำรวจห้องที่แม้เคยเข้ามาบ้างแต่ไม่เคยอยู่นานเท่าวันนี้มาก่อน นเรศยื่นมือหยิบหนังสือในตู้ข้างเตียงขึ้นมาอ่านแล้วก็ต้องอมยิ้ม เมื่อทุกเล่มมันเป็นหนังสือสำหรับคุณแม่มือใหม่ทั้งหมด เขาเปิดอ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจจนกระทั่งศีรษะเล็กซุกเข้ามาข้างๆ เอวสอบ “หืม...เป็นอะไรครับนอนแบบนี้ไม่สบายนะ” เข้าก้มดูคนหลับที่ขยับเข้ามากอดเอวเขาเอาไว้

“กลิ่นหอม...ไม่มึนหัว...ไม่อยากอ้วก” เสียงบ่นงึมงำออกมาจากริมฝีปากเล็ก

นเรศยกแขนขึ้นมาดม กลิ่นครีมอาบน้ำขวดเดียวกับที่เจ้าจันทร์ใช้แต่ทำไมดูเหมือนร่างบางจะชื่นชอบเป็นพิเศษ หรือเพราะเจ้าตัวเล็กชอบกลิ่นนี้

“ให้พี่นอนกอดนะครับ” เขาขออนุญาต

“อืม” เสียงตอบรับยังคงงัวเงียทำให้นเรศยิ้มกว้างค่อยๆ ขยับตัวลงนอนข้างๆ ร่างบางแล้วดึงเข้าสู่อ้อมกอด

ช่างเป็นเวลาที่มีความสุขจนอยากจะหยุดเอาไว้




********************************************
สวัสดีปีใหม่ไทยจ้า ขอให้เล่นน้ำสนุกกันทุกคนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-04-2018 22:27:56
มาแบบนี้ ต้องมีมาม่าแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-04-2018 23:42:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-04-2018 23:45:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-04-2018 00:32:58
ครีมอาบน้ำยี่ห้ออะไร นเรศไปเหมาทั้งโกดังมาเลย อีกหลายเดือนกว่าจะคลอด  o18
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2018 00:48:34
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 14-04-2018 07:11:16
เย่ๆๆๆเจ้าใจอ่อนแว้วววดีใจจัง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 14-04-2018 07:30:57
ตอนนี้น่ารักๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-04-2018 08:23:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 23 พี่ขอใช้ห้องน้ำหน่อย
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 14-04-2018 13:59:11
 :hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 14-04-2018 20:59:14
บทที่ 24 เกือบจะดี


“สวัสดีครับ” นเรศจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีสายเข้าเป็นเบอร์ไม่ได้บันทึกชื่อด้วยความฉงน โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเครื่องส่วนตัวที่น้อยคนนักจะรู้เบอร์ แต่วันนี้กลับมีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมา “นั่นใครพูดครับ” เขาขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบ

“นเรศคะ อยู่กับคนอื่นจนจำลิสาไม่ได้แล้วหรอคะ” เสียงจากปลายสายทำให้นเรศขมวดคิ้วมุ่น เขาจำได้ว่าหลังจากที่มีอะไรกันครั้งสุดท้ายเขาก็ตัดขาดจาดลิสา ไม่ยุ่งเกี่ยวไม่เรียกหาอีก ทั้งยังลบช่องทางการติดต่อทุกอย่าง แต่ทำไมเธอถึงรู้เบอร์ใหม่ของเขา

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะลิสา” เสียงทุ้มดุดันขึ้น

“แต่ลิสาไม่ยอมหรอกค่ะ คุณได้ลิสาแล้วคิดจะทิ้งลิสาไปเพราะมันท้องหรอคะ” เสียงปลายสายเริ่มมีโทสะ

“คุณรู้ได้ยังไง”

เสียงแกรกเหมือนของมีคมกรีดลงบางสิ่งก่อนที่ปลายสายจะตอบกลับมา “ลิสาไม่ได้โง่ค่ะ ถ้าคุณจะทิ้งลิสาไปเพื่อไปรับผิดชอบมัน...นเรศไม่ยุติธรรมเลย ลิสามาก่อน แล้วมันที่มาทีหลังทำไมถึงได้คุณไป นเรศ!” เธอตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเจือแววสะอื้นก่อนท้ายประโยคจะเต็มไปด้วยความโกรธ

“มันไม่เกี่ยวกับว่ามาก่อนหรือมาทีหลังลิสา...”

“แล้วถ้าลิสาบอกว่าในท้องของลิสามีลูกของคุณเหมือนกันล่ะ” อีกฝ่ายสวนกลับมาทั้งที่เขายังเอ่ยไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ

“คุณไม่ควรใช้วิธีนี้กับผมลิสา ทุกครั้งที่มีอะไรกันผมป้องกันตลอดคุณก็รู้” คำถามย้อนกลับของเขาทำให้อีกฝ่ายสะอึกจนเงียบไป

“แต่ทุกอย่างมันมีพลาดได้นี่คะ คุณแน่ใจหรอคะว่าการป้องกันมันป้องกันได้ทั้งหมด”

“แล้วคุณคิดว่าคุณนอนกับผมคนเดียวหรือไง!” คราวนี้นเรศสวนกลับไปคืนบ้าง เขารู้ดีว่าลิสาแม้ปากจะบอกว่ามีเขาเพียงคนเดียว แต่เมื่อเขาไม่อยู่ไม่เข้าหาเธอก็ไปกับผู้ชายไปมั่ว ถึงเธอจะปิดบังแต่เขาไม่ได้จาบอดหูหนวกที่จะไม่รู้อะไรเลย เสียงสะอื้นแผ่วๆ จากปลายสายทำให้เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธ

“แต่หลังจากที่เจอคุณลิสานอนแค่กับคุณ”

“อย่ามาโกหกผมลิสา”

“ลิสาไม่ได้โกหก” ปลายสายตะโกนกลับมา “ลูกในท้องของลิสาคือลูกคุณ สี่เดือนเท่ากับลูกที่อยู่ในท้องมันและมันคือช่วงที่ลิสานอนกับคุณ นเรศคุณปฏิเสธลิสาแต่คุณกลับยอมรับมัน! ฮือๆ” เธอร้องคร่ำครวญ

“งั้นไปตรวจ” เขาบอกไปเพียงสั้นๆ

“ฮาๆ” เสียงหัวเราะของเธอเหมือนเสียสติเข้าไปทุกที “ลิสาไม่ตรวจเพราะลิสามั่นใจว่าเป็นลูกคุณ” น้ำเสียงมั่นใจตอบกลับมาเริ่มทำให้นเรศเริ่มหวั่น

“แต่ผมไม่มั่นใจว่าใช่ลูกผม”

“นเรศ!”

“ถ้าคุณมั่นใจว่าเขาคือลูกของผมเราควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยกัน นัดผมมาได้เลยลิสา” นเรศรวบรัดด้วยต้องการจบปัญหานี้ก่อนจะถึงหูเจ้าจันทร์ เขาไม่ต้องการให้เจ้าจันทร์คิดมากและมาเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เพราะเขามั่นใจว่าในท้องลิสาไม่ใช่ลูกของเขา

“ได้ค่ะ แต่ต้องเป็นโรงพยาบาลที่ลิสาเลือก” อีกฝ่ายเงียบไปจนเขาคิดว่าจะตัดสายทิ้งเสียอีก แต่แล้วลิสาก็ตอบกลับมา

“ได้ เมื่อคุณพร้อมก็ส่งที่อยู่โรงพยาบาลมา” เมื่อตอบรับจบเขาก็กดตัดสายทิ้งทันที โทรศัพท์มือถือราคาแพงถูกโยนลงบนที่นอนอย่างไม่ไยดี นเรศยกมือขึ้นเสยผมด้วยความเครียด ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับลิสาจะนำปัญหามาให้แบบนี้ ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี

ภายในห้องเงียบกริบนเรศนั่งครุ่นคิดจมลงกับตัวเอง ชายหนุ่มนั่งหน้าเคร่งอยู่ปลายเตียงจนสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

ก๊อกๆ

“นเรศอยู่ข้างในหรือเปล่าลูก” เสียงมารดาเรียกทำให้นเรศหลุดจากภวังค์

“ครับแม่” เขาเดินไปเปิดประตู เพียงแค่เห็นใบหน้าผู้ให้กำเนิดนเรศก็สวมกอดทันที

“เป็นอะไรไป หืม” ท่าทางแปลกๆ ของลูกชายทำให้ท่านอดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น ปัญหามันหนักมากหรือลูกเล่าให้แม่ฟังหน่อย” น้อยครั้งที่คุณหญิงดาหลาจะได้เห็นท่าทางเคร่งเครียดแบบนี้ของลูกชาย ปัญหาของลูกชายท่านจะต้องหนักหนามากแน่ๆ

นเรศตัดสินใจประคองมารดาไปนั่งที่โซฟา “แม่จำลิสาได้ไหมครับ” ก่อนจะเกริ่นขึ้นมาเพื่อทบทวนความจำท่าน

“ลิสา...” ท่านลากเสียงยาวทวนชื่อตาม “แม่ลูกสาวคนงานที่แกมั่วอยู่พักหนึ่งใช่ไหม” ประโยคต่อมาท่านว่าอย่างไม่ชอบใจ ใบหน้าท่านเริ่มถมึงทึงจนนเรศยิ้มแหย

“คือว่า...”

“แม่ลิสาคนนั้นกำลังเป็นปัญหาสินะ” คุณหญิงดาหลาคาดเดาได้อย่างแม่นยำ

“ครับ” นเรศรับคำเสียงอ่อน

“ตานเรศ!” ผู้เป็นมารดาตะวาดลั่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ทำอะไรทำไมไม่รู้จักคิด ไม่เห็นใจน้องบ้างหะ” นิ้วเรียวจิ้มไปที่ศีรษะลูกชายด้วยความโมโหจนท่านอยากจะร้องหายาดม “เราน่ะมีคู่หมั้น...ไม่สิมีเมียแล้วต่างหาก กว่าจะตามง้อเมียเราได้ทำไมไม่นึกถึงความลำบากที่กว่าจะฝ่าฟันมา  ตานเรศนะตานเรศ โอ๊ย...แม่ปวดหัว” คราวนี้ท่านได้ร้องหายาดมจริงๆ เมื่อรู้สึกปวดขมับจนต้องยกมือขึ้นมากุม

“แม่ครับ แม่ฟังผมก่อน”

“แม่ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าน้องรู้เรื่องนี้ละก็...โถ่จะเป็นยังไงก็ไม่รู้”

“คุณแม่ครับคือจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นแบบนี้...” จากนั้นนเรศก็ดึงสติมารดาที่กำลังเป็นห่วงลูกสะใภ้ให้กลับมา แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่ที่เขาเริ่มไปไหนมาไหนกับลิสา และข้อตกลงระหว่างเขากับลิสาจะเป็นเพียงแค่คู่นอน ไม่มีพันธะใดๆ ผูกพันกัน ต่างฝ่ายต่างจะมีใครก็ได้ ซึ่งลิสารับข้อตกลงนี้ทั้งหมดและความสัมพันธ์ของเขากับลิสาก็เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งเขารู้ความจริงว่าเจ้าจันทร์ไม่ได้ทำชลธารท้อง และได้พิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าเขาชอบ ไม่สิ เขารักเจ้าจันทร์ จึงได้ทำทุกอย่างให้จบลงด้วยการไปพูดคุยตกลงกับลิสาเพื่อจบความสัมพันธ์แบบคู่นอนนี้ซะ ลิสาเองก็ได้เรียกร้องค่าเสียเวลาเป็นก้อนหนึ่งแล้วเขาก็ยอมจ่ายเพื่อจบปัญหานี้ แต่ไม่คิดว่าเธอจะกลับมาอีกครั้งพร้อมปัญหาที่หนักอกมากกว่าเดิม

“ลิสาบอกจะเลือกโรงพยาบาลเองใช่ไหม” ณัฐธัญที่เข้ามาร่วมฟังปัญหาด้วยเอ่ยถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“อืม”

“ฉันว่ามันแปลกๆ วะ” ใช่นเรศเองก็คิดว่ามันแปลกอย่างที่ณัฐธัญคิด “แกจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะบอกให้ส่งคนตามดูลิสา”

“แม่ว่า...แม่เห็นด้วยนะ” คุณหญิงดาหลาออกความเห็น

“มารยาของผู้หญิงมีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน ชลไม่ได้ว่าฟังความข้างเดียวนะคะ แต่จากที่นเรศบอกชลคิดว่ายัยลิสาคนนี้ เหมือนกำลังหาทางดึงพี่นเรศให้กลับไปอยู่กับเธอ” ชลธารขมวดคิ้วนึกว่าเธอเคยเจอแม่ลิสาคนนี้บ้างหรือเปล่า เห็นว่าเป็นลูกสาวคนงานในเกาะ แบบนี้เธอจะต้องโทรไปถามป้าสุดาเสียหน่อยแล้ว

“อย่างที่น้องพูด แล้วนเรศก็ควรบอกเจ้าจันทร์เล่าความจริงให้ฟังทุกอย่าง ดีกว่าปล่อยให้น้องมารู้เองทีหลัง แบบนั้นจะทำให้เกิดปัญหามากกว่า เอาล่ะปัญหาเรื่องแม่ลิสานั่นแม่จะจัดการเอง บอกหล่อนโทรมาหาแม่มาคุยกับผู้ใหญ่ หรือจะให้แม่ไปโรงพยาบาลพร้อมตานเรศก็ได้ บอกหล่อนเลือกมาได้เลยแม่พร้อม” คุณหญิงดาหลากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนพร้อมจะออกรบทุกเมื่อ

“ขอบคุณครับแม่ ผมจะรับจัดการปัญหานี้ให้เร็วที่สุด”





เครง!

นเรศสะดุ้งเมื่อช้อนที่กินข้าวอยู่ถูกวางลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าหวานก้มลงไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตา หมัดเล็กกำแน่นจนขึ้นข้อขาว นเรศแอบกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

ครืน...

เสียงเคลื่อนเก้าอี้พร้อมกับเจ้าจันทร์ลุกขึ้น จู่ๆ หัวใจก็บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ใช่เจ้าจันทร์โมโหหลังจากที่นเรศมาสารภาพ ทำให้ในหัวตอนนี้ของเจ้าจันทร์ขาวโพลนไปหมด แม้กระทั่งร่างกายยังรู้สึกชาราวกับร่างกายนี้ไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งที่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะปรับตัว หรือเพราะเจ้าจันทร์คิดไปเองว่านเรศรักถึงได้ยอมเปิดใจ เจ็บนี้เพราะตัวเองทั้งนั้นจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเอง

แหมะ

“เจ้า”

“ไม่...ไม่เป็นไร เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย ฮึก” มือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาแต่ยิ่งเช็ดก็เหมือนจะยิ่งไหลลงมามากกว่าเดิม

“เจ้าฟังพี่ก่อน” นเรศรีบเข้าประชิดร่างเล็กขณะพยายามใช้มือเช็ดน้ำตาให้คนในอ้อมแขน แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามหลบสักแค่ไหนก็ตาม

“เจ้าเป็นผู้ชายเจ้าเข้าใจ คุณจะไปหาเขาก็ได้...แค่ลูกคนเดียวเจ้าดูแลเอง” ทำไมถึงรู้สึกเจ็บขนาดนี้ เจ้าจันทร์พยายามดันอกแกร่งที่พยายามเข้ามาหาให้ออกห่าง “เรื่องถอนหมั้นเจ้าจะบอกกับแม่เอง ของหมั้นทุกอย่างก็ยังอยู่ครบเจ้าจะคืนให้ทั้ง...”

“ไม่! จะไม่มีการถอนหมั้นอะไรทั้งนั้น” นเรศสวนกลับแล้วยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ปัญหาทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะพี่ พี่จะจัดการเองเจ้าไม่ต้องห่วง” เพียงแค่ได้ยินว่าจะต้องถอนหมั้นหัวใจนเรศก็เหมือนจะหยุดเต้น เขาไม่ยอม ไม่มีทางที่จะให้ความสัมพันธ์กับเจ้าจันทร์จบลงเพียงเท่านี้

“แต่เจ้าไม่อยากกลายเป็นผู้ชายที่ทำลายครอบครัวคนอื่น ไม่อยากกลายเป็นผู้ชายที่แย่งสามีคนอื่นมา เจ้าไม่อยากโดนคนอื่นมองว่าเป็นผู้ชายแพศยา! ฮือๆ” เสียงตะโกนเหมือนจะขาดใจพร้อมแรงดิ้นทำให้นเรศกอดร่างบางแน่น

“เกิดอะไรขึ้น” คุณชญตว์ได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็วิ่งเข้ามาดู ใบหน้าท่านมืดครึ้มเหมือนพายุกำลังตั้งเค้า เมื่อเห็นลูกชายร้องปริ่มจะขาดใจ “แก...” ขณะที่กำลังจะวิ่งเข้าไปท่านก็ถูกภรรยาดึงตัวเอาไว้ซะก่อน คุณพิมลรัตน์ที่ได้ฟังเรื่องราวจากคุณหญิงดาหลามาก่อนส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม

“ให้ลูกๆ คุยกันเองดีกว่า แม่เชื่อว่าทั้งคู่จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปด้วยกันได้”

“แต่มันทำลูกเราร้องไห้” คุณชญตว์เองก็เอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ลูกชายเพียงคนเดียวท่านรักของท่านนักหนาๆ จู่ๆ ไอ้ผู้ชายเฮงซวยมันก็กลับมาทำร้ายแก้วตาดวงใจท่าน ครั้งนี้อย่าหวังเลยว่ามันจะรอด ถ้าจะต้องฆ่าท่านก็จะทำอย่างไม่ลังเลเลย

“ครอบครัวก็มีบ้างที่ต้องทะเลาะกัน แต่เราก็ควรที่จะปล่อยให้ลูกๆ พูดคุยกัน ถ้าเรื่องราวมันหนักหนาสาหัสจริงๆ เราค่อยไปช่วยก็ยังไม่สายนะคะคุณ” คุณพิมลรัตน์พยายามใช้มือลูบแขนสามีเพื่อให้อารมณ์เย็นลง

“คุณพูดเหมือนรู้ปัญหา”

“ใช่ค่ะฉันรู้”

“งั้นเล่าให้ผมฟังทั้งหมด”



ดวงตาโศกยังคงมีน้ำตาซึมจากหางตา จมูกโด่งรั้นแดงก่ำจากการร้องไห้ ใบหน้าหวานซีดเซียวหลังจากที่ต้องวิ่งเข้าไปอาเจียนมากว่าสามรอบ คงเพราะได้รับความเครียดอาการแพ้ท้องจึงหนักขึ้น นเรศทอดสายตามองดูคนที่เพิ่งหลับไปเพราะฤทธิ์ยาด้วยความปวดใจ เขานำปัญหามาให้เจ้าจันทร์จึงทำให้กลายเป็นแบบนี้

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูทำให้นเรศรีบเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนรีบเดินไปเปิด

“แม่ทำน้ำส้มคั้นมาให้...น้องหลับแล้วหรอลูก” คุณพิมลรัตน์ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่ม

“ครับ” เขาตอบรับเสียงแผ่วพร้อมจะหมดแรงทุกเมื่อ

“คนท้องมักอารมณ์อ่อนไหวง่ายกว่าตอนปกติ นเรศก็พยายามค่อยๆ อธิบายให้น้องฟัง แม่เชื่อว่าน้องไม่ไร้เหตุผลแน่นอน” ท่านแนะนำอย่างผู้มีประสบการณ์มามากกว่า

“ขอบคุณครับแม่” เขาไหว้ขอบคุณจากใจจริง

คุณพิมลรัตน์รับไหว้องลูกเขยด้วยรอยยิ้มก่อนจะวางฝ่ามือลงบนไหล่หนานั้นเบาๆ แล้วเดินออกมา

“อุ๊!” เสียงอึกอักทำให้นเรศรีบเข้าไปอุ้มเจ้าจันทร์ตรงเข้าไปยังห้องน้ำ “อ๊อก...อ้วกกกกก” คนตัวเล็กกว่าโก่งคออาเจียนจนตัวงอ นเรศทำได้เพียงคอยลูบหลังให้เท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเจ้าจันทร์อาเจียนจนหมดแรงแล้ว นเรศก็หยิบชุดใหม่มาเปลี่ยนให้เจ้าจันทร์แทนชุดเดิมที่เลอะเทอะไปหมด มือแกร่งหยิบผ้าเย็นเช็ดตามใบหน้าหวานจนอีกคนปรือตาขึ้นมา

“น้ำส้มหน่อยไหมเผื่อดีขึ้น แต่พี่ว่าเรียกอาหมอมาดีกว่าไหมอาการเจ้าไม่ดีเลย” เขารัวคำถามใส่ด้วยความร้อนรน

“อืม” น้ำเสียงแหบตอบรับสั้นๆ แค่นี้เขาก็ดีใจมากแล้ว

นเรศรีบประคองร่างเล็กขึ้นมาจิบน้ำส้มคั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพอแล้วก็ประคองนอนลงอย่างนุ่มนวล นเรศหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อหาอาหมอทันที เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็วางสายแล้วหันกลับมาสนใจดวงตาโศกที่กำลังจ้องเขาอยู่

“เจ้า...”

“ไม่...เจ้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ถ้าจะไปก็รีบไปแล้วอย่ามายุ่งกับเจ้าอีก” เจ้าจันทร์สะบัดหน้าตะแคงข้างให้อีกฝ่ายทันที น้ำตาที่เหือดแห้งไปกลับมาไหลอีกครั้ง

“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธพี่ได้ไหม ฟังพี่เล่าเรื่องให้จบก่อน” นเรศตัดสินใจคร่อมลงบนร่างเล็ก

“คุณจะบอกว่าเจ้าไม่ยอมฟังอะไร” ร่างที่นอนตะแคงข้างให้พลิกกลับมาเผชิญหน้าพร้อมใบหน้าถมึงทึง ดวงตาโศกออกแววดุเหมือนแม่เสือร้ายจนนเรศชักหวั่นใจ

“ไม่ใช่”

“ไม่ใช่” เจ้าจันทร์ทวนคำสียงสูง “หรือว่าเจ้าเข้าใจผิด...เอ๊ะ!” จบประโยคก็ต้องหลุดอุทานเมื่อริมฝีปากหยักฉกลงมาบนริมฝีปากนุ่มก่อนผละออกไปอย่างรวดเร็ว

“ทีอย่างนี้แล้วไล่ต้อนพี่ ก่อนหน้าทำไมไม่เห็นทำแบบนั้นบ้างฮึ” นเรศยื่นใบหน้าแทบชิดดวงหน้าหวานพลางทำน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ “โอ๊ย! ตีพี่ทำไมเนี้ย” นเรศร้องลั่นเมื่อฝ่ามือเล็กฟาดลงที่ปาก

“ยังคุยกันไม่จบใครใช้ให้มาลวนลาม” เจ้าจันทร์หน้าหง่ำจนดูน่ารักไปอีกแบบในสายตาคนมอง

“พี่ลวนลามที่ไหน นี่เมียพี่แก้มนี้ก็ของพี่ ปากนี่ก็ของพี่” พูดไปเขาก็ก้มลงประทับริมฝีปากตามจุดที่บอก

เพียะ!

“โอ๊ย! ตีพี่อีกแล้ว” นเรศโอดครวญได้ดูน่าถีบสำหรับเจ้าจันทร์นัก

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ถ้าจะคุยก็รีบคุยมา” สองแขนเรียวยกขึ้นกอดอก ดวงตากลมโตมีแววดุของคนใต้ร่างจ้องเขม็งมา

นเรศพลิกตัวลงมานอนข้างๆ แล้วดึงร่างเล็กเข้ามากอด เจ้าจันทร์ดิ้นขัดขืนแต่สุดท้ายก็นิ่งไปปล่อยให้เขาลูบผมอย่างเพลินมือ

“ลิสาเจ้าเคยเห็นมาแล้วที่เกาะ...”

“อ้อ...ผู้หญิงคนนั้น” ภาพของผู้หญิงในชุดแม็กซี่เดรสลายดอกสีฟ้าสดใส สวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลอ่อนแวบเข้ามาในหัว “เจ้าจำได้ว่าเธอนอนกับคุณ”

“...อะแฮ่ม” คำตอบทำให้รู้สึกสะอึกจนต้องกระแอมแก้ขัด “พี่เคยนอนกับเธอช่วงหนึ่ง แต่พี่กับลิสาไม่ได้คบกันพวกเราก็เหมือนคู่นอนเท่านั้น...” จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวทุกอย่างจนมาถึงปัจจุบันที่มันกำลังสร้างปัญหาให้เขากับเจ้าจันทร์ในขณะนี้

“สมน้ำหน้า กรรมคงตามสนองแล้ว” เมื่อฟังเรื่องราวจบเจ้าจันทร์ก็ตอกย้ำทันที

“โอ๊ย! เจ็บยิ่งกว่าโดนตีนะเนี้ย” นเรศทำท่าโอดครวญ “จะไม่ให้กำลังใจพี่หน่อยหรอ” เมื่อเห็นว่าท่าโอดครวญไม่ได้ช่วยเรียกร้องความเห็นใจ แต่คงใช้เรียกฝ่ามือให้ฟาดลงมาอีกทีจึงรีบหยุด แล้วหันไปออดอ้อนขอคะแนนความสงสารแทน

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง “คุณ” น้ำเสียงเรียกชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเครียด “ถ้าเกิดว่าลูกในท้องคุณลิสาเป็นลูกของคุณจริงๆ ละ” ดวงตาลมโตช้อนขึ้นมามองอย่างรอคอย

นเรศจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนแล้วผละออก “พี่เชื่อว่าเด็กในท้องลิสาไม่ใช่ลูกพี่”

“แล้วถ้าเป็นล่ะ”

“ถ้าเขาเป็นลูกพี่จริงๆ พี่ก็แค่อยากถามว่าเจ้าจะยอมรับเขาเป็นลูกของเราอีกคนไหม” คำถามนี้สร้างความเงียบขึ้นทั่วทั้งห้อง

“แล้วคุณลิสาจะยอมยกลูกให้คุณหรอ”

“พี่ก็จะไม่ยอมยกลูกให้ลิสาเหมือนกัน ถึงเวลานั้นคงต้องไปต่อสู้กันที่ศาล และพี่คิดว่าพี่ชนะเพราะพี่พร้อมมากกว่าลิสา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ราวกับต้องการให้ความเชื่อมั่นกับร่างในอ้อมแขนว่าไม่มีปัญหาไหนจะมาแยกเขากับคนคนนี้ออกจากกันได้

“เจ้ารู้สึกสงสารลิสา” เจ้าจันทร์พึมพำเสียงแผ่วทำให้นเรศเชยใบหน้าหวานขึ้นมา

  ดวงตาคมสบลงมองราวกับจะค้นหา “ถึงแม้ว่าคนอื่นจะมองว่าพี่เป็นผู้ชายใจร้าย แต่ขอให้เจ้ารู้เอาไว้ว่าพี่จะทำทุกอย่างขอเพียงให้เจ้าและลูกอยู่กับพี่ แม้ว่าพี่จะต้องกลายเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวก็ตาม” จบประโยคก็ประทับริมฝีปากหนักหน่วงลงบนริมฝีปากนุ่ม



************************
คุคุ มีคนแอบเดาถูกด้วย
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 14-04-2018 22:22:22
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 14-04-2018 22:31:00
 :hao4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-04-2018 23:42:42
ลิสา ต้องติดสินบนคนในโรงบาลนั้นแน่นอน ฟันธง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2018 23:55:04
ลิสาต้องยัดเงินใต้โต๊ะปลอมผลตรวจแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-04-2018 01:34:38
ถ้าท้องหลอก ๆ หรือเป็นลูกของคนอื่นมาสวมรอย เตรียมตัวไว้ให้ดี ๆ นะ  :z6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-04-2018 02:09:05
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 15-04-2018 13:22:01
ตามอ่านจนทันแล้วว เหมือนเคยอ่านเรื่องนี้ก่อนที่จะลงใหม่
ขอให้ไม่ใช่ลูกนเรศ เพี้ยง!
รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 15-04-2018 14:27:10
เชื่อว่าไม่ใช่ลูกนเรศแน่นอน น้าา
ยังหวังว่ลูกเจ้าจะเป็นผช. งื้ออออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-04-2018 23:39:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 24 เกือบจะดี
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 16-04-2018 18:22:21
 :mew2: มานั่งรอลุ้นผลตรวจเป็นเพื่อนเจ้าจันทร์  ลุ้นๆๆๆ :katai1: :katai1: :call:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 16-04-2018 21:48:50
บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ

นเรศยืนรอปลายสายตอบรับอยู่เกือบนาทีถึงได้ยินเสียงทักทายกลับมา “ลิสาเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วทำไมคุณไม่มา” เขาไม่รอช้าตรงเข้าประเด็นทันที

“เราตกลงกันว่าจะไปแค่สองคน แต่คุณทำผิดนเรศ คุณพาคุณหญิงท่านและคนอื่นๆ มาด้วยทำไม” เธอตวาดกลับมาด้วยความเกรี้ยวกราด

“ผมจำไม่เห็นได้ว่าเราตกลงที่จะไปแค่สองคน แล้วการที่จะไปตรวจว่าเด็กในท้องคุณเป็นลูกผมหรือเปล่า ทำไมผมจะพาแม่ไปด้วยไม่ได้” นเรศชักเริ่มทนไม่ไหวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดันไม่แพ้กัน

“ขอโทษค่ะนเรศ” อีกฝ่ายว่าเสียงสะอื้น “แต่เด็กในท้องเป็นลูกของคุณจริงๆ”

“ผมจะยอมรับเขาก็ต่อเมื่อผลตรวจออกมาว่าเขาเป็นลูกของผมเท่านั้น และที่วันนี้คุณเลี่ยงไม่ไปโรงพยาบาลหรือว่าแท้จริงแล้วคุณกลัว...กลัวว่าผลตรวจออกมาว่าเขาไม่ใช่ลูกผม”

“เขาเป็นลูกคุณค่ะนเรศ แต่ที่วันนี้ลิสาไม่ไปตามนัดก็เพราะ...เพราะว่าแพ้ท้องจนลุกไม่ไหวค่ะ”

ชลธารที่นั่งฟังอยู่พูดออกมาโดยไม่มีเสียง ‘ตอแหล’

“ลิสาผมไม่มีเวลามาเล่นเกมบ้าๆ นี้กับคุณ”

“นี่ไม่ใช่เกมค่ะนเรศ”

“ถ้างั้นครั้งนี้ผมจะเป็นฝ่ายนัดคุณเอง ผมจะส่งลูกน้องไปรับคุณ”

“แล้วถ้าลิสาแพ้ท้องจนลุกไม่ไหวล่ะคะ”

“พอดีเลย ผมคิดว่าคุณควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพและเด็กในท้อง” เขารีบตัดสายก่อนที่จะมีเสียงกรีดร้องแสบหูหลุดออกมาให้ทุกคนได้ยิน นเรศเงยหน้ามองทุกคนที่นั่งฟังการพูดคุยของเขาผ่านการเปิดลำโพง โดยเฉพาะเจ้าจันทร์ที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด

“แม่นี่ดูท่าจะดื้อด้านน่าดู” คุณหญิงดาหลาขมวดคิ้วแน่น

“ต้องบอกว่าหน้าด้านน่าจะเหมาะกว่าค่ะคุณแม่” ชลธารแก้

“แล้วจะเอายังไงต่อไป” คุณชญตว์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ผมจะส่งคนไปรับลิสาพรุ่งนี้ แล้วเราจะไปพบเธอที่โรงพยาบาลครับ” นเรศบอก

“ดี ฉันหวังว่าทุกอย่ามันจะจบลงด้วยดี และผลตรวจจะออกมาตามที่แกหวัง” คุณชญตว์กล่าวจบก็เดินออกไป ทิ้งสีหน้าครุ่นคิดของทุกคนไว้เบื้องหลัง

“...” ณัฐธัญตบไหล่ให้กำลังใจนเรศ “ตอนนี้เมียฉันกำลังวางแผนอะไรสักอย่างอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่จะก้มลงกระซิบบอก ก่อนจะเดินจากไปพร้อมชลธาร

“เจ้าไปกินไอติมมะพร้าวอ่อนกันไหม” เมื่อทุกคนทยอยเดินออกไปหมดแล้วนเรศก็เดินเข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเมียตัวเอง

“เจ้าไม่ใช่เด็กนะที่จะได้เอาไอติมมาล่อ” ใบหน้าหวานมู่ทู่ทันควัน ทำให้คนมองดูอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปดึงแก้มนุ่มเบาๆ “คุณ...ไหวหรือเปล่า” คำถามที่เหมือนกับพึมพำอยู่กับตัวเองแต่ชัดเจนสำหรับคนฟัง

นเรศประคองมือนุ่มขึ้นมาแล้วจรดริมฝีปากสัมผัสฝ่ามือเล็ก เจ้าจันทร์รู้สึกอุ่นวาบทั่วทั้งร่าง “ขอแค่มีเจ้าจันทร์และลูก...” มือหนายืนออกไปสัมผัสหน้าท้องนูนเล็กน้อยด้วยความอ่อนโยน “ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟอุปสรรคมากมายเท่าไหร่พี่ก็ทนได้” นเรศเงยหน้าขึ้นดวงตาแสดงถึงความหนักแน่นเต็มเปี่ยมเพื่อสื่อให้ถึงอีกคน

“พี่นเรศ”

“...” ดวงตาขอนเรศฉายแววตกตะลึง ก่อนจะค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มกว้างในที่สุด “เรียกอีกทีได้ไหมครับ” เขาร้องขอด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

เจ้าจันทร์เม้มปากสะกดกั้นความเขินอายก่อนจะเรียกความกล้าเปล่งเสียงออกไป “พี่นเรศ”

“เรียกอีกสิครับ” นเรศขยับใกล้เข้ามาอีก

“พี่นเรศ”

“เรียกอีกทีได้ไหมครับ”

“พี่นเรศๆ ๆ ๆ ๆ พอใจหรือยังคะ...อื้อ” เจ้าจันทร์เรียกอีกฝ่ายย้ำๆ ตามความต้องการ ก่อนจะถูกริมฝีปากหยักทาบทับสัมผัสลงมา ทั้งอ่อนโยน เรียกร้อง จนหวานละมุนไปหมด

นเรศตระกองกอดร่างที่อ่อนปวกเปียกบนโซฟาก่อนละริมฝีปากออกมาคลอเคลียไม่ห่าง “พอใจที่สุดครับ เจ้าเรียกพี่แบบนี้ตลอดไปนะ”

“ครับ” คำตอบรับสั้นส่งผลให้อีกคนยิ้มกว้างก่อนจะมอบสัมผัสหวานละมุนให้แก่กันและกัน

“แบบนี้พี่จะให้รางวัล ไปกินไอติมกันเถอะ” จบประโยคนเรศก็หัวเราะร่ากับใบหน้าหวานที่กลับมามู่ทู่อีกครั้ง “ไม่อยากกินหรอครับ” เขาแกล้งแหย่ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเมียตัวเองชอบแค่ไหนตั้งแต่ตั้งท้อง หรือจะบอกว่าเป็นเจ้าตัวเล็กในท้องดีที่ชอบ

“อยากกินสิ” เจ้าจันทร์รีบสวนกลับก่อนจะยกมือขึ้นยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย

นเรศยิ้มกว้างจับมือเล็กที่ส่งมาให้แล้วค่อยๆ ประคองร่างอวบลุกขึ้น





ภายในห้องคับแคบมืดสลัวด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีทึบ บนโซฟาสีน้ำตาลปรากฏร่างสูงของชายผิวแทน บนใบหน้าคมสันนั้นมีแผลเป็นที่หางคิ้วซ้าย ยิ่งช่วยเสริมให้เขาดูน่าเกรงกลัวขึ้นไปอีก ท่านั่งโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมกับมือที่ประสานกันอยู่ใต้คาง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งไปยังร่างตรงหน้า เพียงเท่านี้อีกฝ่ายก็ขาอ่อนยวบทรุดลงกองกับพื้นด้วยความกลัว

“ลิสา...” เสียงทุ้มเอ่ยเนิบนาบแต่สะกดคนฟังอย่างลิสาให้ขนลุกซู่ “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะให้โอกาสคุณ” ชายหนุ่มยังคงกล่าวด้วยความใจเย็น

“แต่...แต่นเรศเขาไม่โง่ค่ะ” ลิสาตอบเสียงสั่นเครือก้มหน้างุดไม่กล้าสบดวงตาคมกริบ

“ถ้าอย่างนั้นคนในบ้านของคุณ...ผมคงต้องขอ” น้ำเสียงราบเรียบของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมีดค่อยๆ กรีดลงบนหัวใจคนฟังจนอยากจะกรีดร้อง ชายหนุ่มลุกขึ้นสืบเท้าไปยังหญิงสาวก่อนจะเชยคางมนให้ขึ้นมาสบตา “ลิสาผมให้คุณเลือกระหว่างผมกับมัน” เขามอบทางเลือกให้

“ลิ...ลิสาเลือกคุณค่ะ” เธอตอบแล้วก็ปล่อยโฮลั่น ทางหนึ่งก็คือชายหนุ่มที่เธอรัก อีกทางเขาก็มีชีวิตคนในครอบครัวของเธอเป็นประกัน มันเป็นทางเลือกที่ไม่ว่าเลือกทางไหนเธอก็ต้องสูญเสีย เขาช่างเป็นคนที่โหดร้าย

“ดีมากแล้วผมจะให้รางวัลคุณ” เมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจมุมปากก็ยกยิ้ม ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว

เมื่อรับปากแล้วลิสาก็ต้องทำตาม กุเรื่องตั้งท้องขึ้นมาเพื่อที่จะให้นเรศมาพบกับเธอให้ได้ แต่เธอกลับได้รับข่าวจากชายคนนั้น มันคือข่าวที่ทำให้เธอยื่นข้อตกลงเพื่อให้พวกเขาฆ่าใครอีกคนแทน เจ้าจันทร์! ไอ้เด็กคนนั้นที่ครั้งหนึ่งนเรศเคยพามาที่เกาะ ก่อนที่นเรศจะตัดความสัมพันธ์กับเธอและตอนนี้มันกำลังท้อง ไอ้ผู้ชายวิปริตผิดเพศ

“สวัสดีครับ...นั่นใครพูดครับ” ทันทีที่เธอกดโทรออกรอเพียงไม่นานปลายสายก็กรอกเสียงตอบกลับมา

ลิสาเม้มปากแน่นที่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่รู้จักกัน “นเรศคะ อยู่กับคนอื่นจนจำลิสาไม่ได้แล้วหรอคะ” เธอส่งรอยยิ้มหยันกับตัวเอง

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะลิสา” เสียงทุ้มดุดันขึ้น

“แต่ลิสาไม่ยอมหรอกค่ะ คุณได้ลิสาแล้วคิดจะทิ้งลิสาไปเพราะมันท้องหรอคะ” ลิสาอยากจะอาละวาดทันทีที่อีกฝ่ายตอบปฏิเสธทันควัน ทั้งที่เธออาจจะโทรมาถามข่าวคราวก็ได้ แต่นเรศคงคิดที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาให้หมดสิ้นเยื่อใย...เพื่อใครอีกคน แล้วทำไมเธอจะต้องยอมในเมื่อเธอมาก่อน เธอได้ครอบครองเขาก่อน เป็นมัน...เป็นมันที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย มันก็แค่ผู้ชายที่ยอมพลีกายให้นเรศเชยชมก็เท่านั้น

“คุณรู้ได้ยังไง” น้ำเสียงฝ่ายตรงข้ามฟังดูก็รู้ได้ทันทีว่าคงตกใจไม่น้อยที่เธอรู้ความลับของไอ้เด็กนั่น

ดวงตาหวานวาวโรจน์ขึ้นมาเมื่อเธอมองเห็นรูปไอ้เด็กนั่นบนโต๊ะข้างซองเอกสาร ลิสาหยิบคัตเตอร์แล้วกรีดบนใบหน้าด้วยความโกรธ ก่อนจะค่อยๆ เค้นน้ำเสียงตอบกลับไป “ลิสาไม่ได้โง่ค่ะ ถ้าคุณจะทิ้งลิสาไปเพื่อไปปรับผิดชอบมัน...นเรศไม่ยุติธรรมเลย ลิสามาก่อน แล้วมันที่มาทีหลังทำไมถึงได้คุณไป นเรศ!” เธอตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเจือแววสะอื้นก่อนท้ายประโยคจะเจือด้วยความโกรธ พร้อมๆ กับใบหน้าหวานเกินชายในรูปถ่ายถูกกรีดจนไม่เหลือเค้าเดิม

ลิสาพยายามต่อรองอ้อนวอนเขาเพียงเพื่อเป็นความหวังครั้งสุดท้าย ถ้าหากเขายอมรับเรื่องที่เธอตั้งท้องนเรศต้องไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นทำร้ายเธอและครอบครัวเธออย่างแน่นอน แต่คำตอบของนเรศช่วยทำให้ทุกอย่างกระจ่างในใจเธอ นเรศเลือกมัน ไม่ว่าเธอจะขอร้องเขามากแค่ไหนก็เป็นมันที่ถูกเลือก

ปลายสายกดตัดไปแล้วเมื่อเธอต้องการกรีดร้องใส่เขา ลิสาน้ำตาร่วงก่อนจะร้องไห้โดยที่มือของเธอยังคงถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น

“อย่ามาโทษลิสาทีหลังแล้วกันนเรศ คุณต้องโทษที่คุณเลือกมันไม่ใช่ลิสา” เธอพึมพำก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเพียงลำพัง

หลังจากที่นัดกับนเรศเรียบร้อยลิสาก็โทรไปรายงานผู้ชายคนนั้น แต่อีกวันถัดมาเขาก็โทรมาต่อว่าเธอที่นเรศไม่ได้ไปเพียงลำพัง แล้วมันใช่ความผิดของเธอรึยังไงที่ไม่สามารถนัดเขามาแค่เพียงคนเดียวได้ แต่เธอก็ไม่สามารถมีปากเสียงได้เมื่อในกำมือของเขามีชีวิตของคนในครอบครัวเธออยู่ ดังนั้นเธอคงทำได้เพียงโทรไปโวยวายกับนเรศที่เขาไม่ยอมไปเพียงลำพัง แล้วสุดท้ายก็โดนเขาสวนกลับมาด้วยคำพูดที่ทำให้เธอเจ็บลึกไปทั้งใจ

“ว่าไง งานที่ให้ทำเรียบร้อยดีใช่ไหม” ปลายสายเอ่ยถามทันทีที่รับสาย

“ฉันบอกคุณแล้วว่านเรศไม่โง่ เขาจะส่งคนมารับฉันไปตรวจถ้าครั้งนี้ฉันไม่ไป” เธอพยายามระงับน้ำเสียงที่พร้อมจะตะคอกใส่เขาทุกเมื่อ

“โง่! งานแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ” เสียงห้ามทุ้มตะคอกกลับมาจนลิสาสะดุ้ง เธอไม่อยากคาดเดาว่าถ้าเธออยู่ตรงนั้นผู้ชายคนนั้นอาจจะลุกขึ้นมาบีบคอเธอก็ได้

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปจัดการเมียเขาล่ะ มันจะไม่ง่ายกว่าหรอ” เธอเสนอแน่นอนว่าถ้าเขาทำจริงเธอจะสนับสนุนทุกอย่าง ขอเพียงเขาฆ่าเจ้าจันทร์ได้

“ผมไม่ทำร้ายคนท้อง”

“อย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย ในเมื่อคุณมันชั่วอยู่แล้วแค่ไม่ฆ่าคนท้องความชั่วของคุณก็ไม่ลดลงหรอก” เธอประชดกลับทำให้ปลายสายเงียบไป

“มันก็จริงของเธอ ผมควรโยนคุณธรรมทั้งหมดทิ้งไปซะ” มันก็สมควรเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรอ “ถ้าผมไม่กำจัดครอบครัวนเรศผมก็ไม่มีทางได้เกาะนั้น หึหึ ขอบใจเธอมากจริงๆ ที่เสนอให้ผมฆ่าคนที่คุณรัก นี่สินะที่เขาเรียกว่า รักมากโกรธมาก” พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทันที

“คงจะจริงอย่างที่คุณว่า” ลิสาพึมพำกับโทรศัพท์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวเหมือนใจของเธอในตอนนี้





พงศ์ปณตเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง เขามักจะได้รับคำชมเสมอเมื่อทำอะไรก็ตามได้สำเร็จและนั่นเป็นแรงผลักดันให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงเพียงเพราะเขาเจรจาซื้อขายเกาะกับนเรศไม่สำเร็จ และเขาจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อพ่อของเขาหวังว่าการเจรจาในครั้งนี้จะเป็นผลงานที่สามารถผลักดันให้เขาสามารถขึ้นเป็นผู้บริหารคนต่อไปได้อย่างสวยงาม ดังนั้นนเรศที่เป็นขวางหนามของเขาจะต้องถูกกำจัด โดยการเริ่มต้นที่คนที่มันรักที่สุด

“ว่ายังไง” ท่ามกลางความคิดจู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็แผดร้องขึ้น พงศ์ปณตเจ้าของร่างสูงใหญ่กรอกเสียงถามปลายสายทันทีที่เห็นรายชื่อปรากฏบนหน้าจอ

“นายครับพวกมันอยู่ร้านไอติมคนในร้านไม่เยอะเท่าไหร่ เอ๊ะ*! นายครับไอ้นเรศมันลุกออกไปแล้วเหลือแต่เมียมัน ให้ผมจัดการเลยไหมครับ”* ลูกน้องที่ถูกส่งให้ไปจับตาดูนเรศรายงานก่อนจะอุทานเมื่อเห็นโอกาสเหมาะที่จะพาตัวอีกฝ่ายมา

“พาเมียมันมา” เขาสั่งออกไปก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้     

พงศ์ปณตใช้มือซ้ายคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาจิบขณะมือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มยืนมองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่เป็นทะเลสีน้ำเงินสะท้อนแสงประกายระยิบระยับ อีกไม่นานแล้วสินะทุกอย่างจะสำเร็จ การเฝ้ารอคอยเพื่อจัดการปัญหาอยู่ที่นี่ช่างน่าเบื่อ เขาจะได้กลับบ้านสักที
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-04-2018 01:43:08
ชะนีรอดตัวไป เหตุผลที่จะให้อภัยพอรับได้ ส่วนผู้อีกตัว ไม่เก่งจริงนิ ใช้วิธีลอบกัดนิ  o12
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-04-2018 02:09:07
อ้าว!!! แบบนี้ก็หมาลอบกัดนี่
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-04-2018 02:33:28
เลวมาก ขอให้เจ้าปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 17-04-2018 03:13:56
เจ้าและลูกต้องปลอดภัยนะ นักเขียนอย่าให้บู้เยอะมากนะ สงสารเจ้าา :mew4
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-04-2018 05:12:13
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-04-2018 06:25:13
เลวมาก
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 25 เรียกอีกสิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 17-04-2018 13:51:20
เวรกรรม มีคนอยู่เบื้องหลังอีกคนหนึ่งนี่เอง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 17-04-2018 21:19:17
บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊ เดี๋ยวพ่อจะจัดให้ได้บู๊สมใจ


ไอติมกะทิในกะลามะพร้าวโรยด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนและถัวลิสง เพียงคำแรกที่ตักเข้าชิมเจ้าจันทร์ก็หลับตาพริ้มถูกอกถูกใจ ท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้เจ้าตัวไม่รู้ว่าบนใบหน้าหวานได้มีเศษไอติมติดอยู่ นเรศหัวเราะเบาๆ กับท่าทางเหมือนเด็กของเมียตัวเอง ก่อนจะยื่นนิ้วโป้งปาดเอาเศษไอติมออกจากดวงหน้าหวานแล้วเอากลับมาใส่ปากตัวเอง

“หวาน” นเรศบอกหลังจากชิมรสไอติม

“...” เจ้าจันทร์ชะงักกับการถูกกระทำเช่นนั้นก่อนจะก้มหน้างุดซ่อนความขัดเขิน “ไอติมก็ตะ...ต้องหวานสิ” เสียงตะกุกตะกักตอบกลับมาแก้อาการเขินอาย

“แต่ปากเจ้าหวานกว่านะครับ” อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่สักหน่อยซึ่งทำให้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีก

“พี่นเรศ” เจ้าจันทร์เรียกอีกฝ่ายเสียงดังก่อนจะทำเป็นก้มลงสนใจเพียงไอติมมะพร้าวอ่อนตรงหน้า

“หึหึ” นเรศหัวเราะด้วยความสุข หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้เจ้าจันทร์สั่งไอติมมาอีกถ้วย ในระหว่างที่รอเขาก็รู้สึกได้ว่าการกินน้ำเยอะๆ เพราะต้องการล้างความหวานบนปลายลิ้นออกจะทำพิษ “เจ้าเดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” เขายกมือขึ้นลูบหัวนิ่มมือแล้วขยี้เบา

“อื้อ” เจ้าจันทร์ส่งเสียงอืออาพยายามดันมือเขาออกจากหัว

“พี่ไปแป๊บเดียวอย่าสั่งเพิ่มนะครับ” ก่อนไปไม่วายออกคำสั่ง แค่สองถ้วยก็ถือว่ามากเกินแล้วสำหรับคนท้อง ถึงเขาจะตามใจเมียแค่ไหนแต่เรื่องสุขภาพของเมียต้องมาก่อน

“รู้แล้วงับ” พูดยังไม่ทันจบก็รีบจ้วงไอติมเข้าปาก นเรศหัวเราะเบาๆ กับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าจันทร์ก่อนจะรีบไปเข้าห้องน้ำ

ในขณะที่เจ้าจันทร์กำลังลิ้มรสความหวานเย็นของไอติมอยู่นั้น จู่ๆ ก็ปรากฏเงาดำกลุ่มหนึ่งทาบทับลงมา เมื่อเงยหน้าขึ้นคิ้วสวยก็ขมวดเป็นปม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าจันทร์ถามกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกเขาคงมีธุระอะไรสักอย่างกับตัวเองแน่

“ช่วยไปกับพวกผมด้วยครับ” อีกฝ่ายบอกความต้องการง่ายๆ ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

บรรยากาศรอบตัวพวกเขาทำให้เจ้าจันทร์เริ่มกลัว ขณะที่กำลังจะอ้าปากตอบปฏิเสธไปพลันแผ่นหลังก็รู้สึกเย็นเยียบจากเหล็ก ใบหน้าหวานซีดเผือดไม่กล้าขยับในใจเฝ้าแต่ภาวะนาขอให้นเรศกลับมาไวๆ

“ผมขอให้คุณตามพวกผมไปดีๆ ครับ” ลูกค้าในร้านไอติมหลายคนเริ่มหันมามอง แต่ก็พบแค่เพียงว่ากลุ่มชายชุดดำเหล่านี้กำลังพูดคุยกับเจ้าจันทร์ หรืออาจจะคิดไปว่าพวกเขาคือลูกน้องของเจ้าจันทร์เสียมากกว่า

ปลายกระบอกปืนที่ซุกซ่อนเบื้องหลังกดจี้ลง เจ้าจันทร์จำใจลุกขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทา ดวงตาโศกเริ่มน้ำตาคลอ เมื่อเจ้าจันทร์ลุกขึ้นพวกเขาทั้งสามคนก็เข้าประกบซ้ายขวาและหลัง เพื่อใช้ร่างบังปลายกระบอกปืนที่จี้ตรงแผ่นหลังเล็ก

“คุณลูกค้าคะ คุณลูกค้าลืมจ่ายเงินค่ะ” พนักงานในร้านไอติมวิ่งเข้ามาถามก่อนคิ้วจะขมวดด้วยความสงสัยกับดวงตาโศกที่ทอแววเว้าวอน

“เดี๋ยวเก็บกับผู้ชายที่มาด้วยอีกคน แล้วฝากนี่ไปให้มันด้วย” พวกชายชุดดำตอบพร้อมกับส่งกระดาษให้กับพนักงานร้าน

“คะ...ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยอาการงงงวยก่อนจะรับกระดาษไป

เมื่อนเรศกลับออกมาบนโต๊ะก็เหลือเพียงความว่างเปล่า คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อพนักงานสาวเห็นนเรศซึ่งเป็นเจ้าของโต๊ะเดินมาถึงด้วยใบหน้าคิ้วขมวด เธอรีบเดินเข้าไปพร้อมกับบอกเล่าเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มหน้าวหวานอีกคนที่มาด้วยถูกกลุ่มชายชุดดำพาตัวไป พร้อมกับทิ้งโน้ตเอาไว้ให้

พอได้ฟังนเรศไม่สนใจมารยาท เขาคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาด้วยความเร็วท่ามกลางความสงสัยของพนักงานในร้าน บรรทัดสุดท้ายจบลงพร้อมกับเศษกระดาษที่ถูกขย้ำจนไม่เหลือชิ้นดี นเรศควักเงินออกมาจ่ายด้วยจำนวนที่มากกว่าที่สั่งไว้ ก่อนจะหุนหันออกจากร้านด้วยใบหน้าที่โกรธจัด มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาณัฐธัญเจ้าน้องเขยตัวดีที่พอจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้

“ฮัลโหล ว่าไงไอ้พี่ชาย” ปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงยียวนเช่นเคย

“เจ้าถูกพาตัวไปแล้ว” เสียงของนเรศสั่นเครือจนฟังได้ชัด

“หะ...อะไรนะ! ใครพาตัวเจ้าไป” ณัฐธัญตะโกนกลับมาด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงอุทานที่คาดว่าจะเป็นชลธารและคุณหญิงดาหลา

“ไอ้ปณต...ไอ้เวรตะไลนั้นมันลักพาตัวเจ้าไป” นเรศกัดฟันกรอดรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ในใจตอนนี้เขาเป็นห่วงเจ้าจันทร์มากที่สุด

“อะไรเรื่องมันเป็นไงมาไงวะ แล้วไอ้ปณตนี่มันใคร...”

“แล้วเจ้าเป็นยังไงบ้าง ฝ่ายนู้นเขาติดต่อมาว่ายังไงบ้าง ต้องการอะไรถึงทำแบบนี้” ณัฐธัญยังถามไม่จบประโยคดี เสียงหวานใสของน้องสาวก็แทรกขึ้นมาด้วยอาการร้อนรนไม่แพ้กัน

“มันต้องการซื้อเกาะพี่ มันเคยมาเจรจาแล้วแต่พี่ไม่ขาย มันเลยหันมาเล่นงานคนรอบข้างแทน แล้วพวกมันก็เลือกเจ้าจันทร์...โว้ย” นเรศทุบพวกมาลัยระบายอารมณ์โกรธขณะติดไฟแดง เขารีบ เขาเป็นห่วงเจ้าจันทร์ แต่ทำไมทุกอย่างถึงไม่เป็นใจ

“ใจเย็นพี่ชาย ตอนนี้แกคงกำลังไปตามที่มันนัดเพื่อแลกตัวเจ้าจันทร์ใช่ไหม” ณัฐธัญคาดเดาได้อย่างแม่นยำ

“มันบอกห้ามแจ้งตำรวจห้ามพาใครมานอกจากฉันคนเดียว แต่ฉันไม่ไว้ใจมัน”

“งั้นเอางี้แกถ่วงเวลาและดูแลเจ้าจันทร์ให้ดีฉันจะหาทางเอง แล้วมันนัดที่ไหน” แล้วไอ้เจ้าน้องเขยตัวดีก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เวลาคับขันแบบนี้ใจนเรศห่วงแต่เจ้าจันทร์จนสมองตื้อไปหมด ใจเขาพะวงจนตอนนี้คงไม่สามารถคิดได้อย่างรอบคอบนอกจากพึ่งพาณัฐธัญหรือไม่ก็ลูกน้อง ซึ่งชลธารคงติดต่อพวกมันให้แล้ว

“ท่าเรือ”

“มันเลือกโลเคชั่นอย่างกับจะไปถ่ายหนังบู๊เลยวุ้ย” ณัฐธัญว่าอย่างขำๆ แต่คนในสายกลับไม่ขำด้วย จนชายหนุ่มต้องรีบหุบปาก “แกไม่ต้องห่วงน่า ถ่วงเวลาและดูแลเจ้าจันทร์ให้ดีก็พอ หึหึ ในเมื่อพวกมันอย่างถ่ายหนังบู๊เดี๋ยวพ่อจะจัดให้ได้บู๊สมใจแน่” ณัฐธัญหัวเราะทิ้งท้ายด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แค่นี้ก่อนแล้วแกคอยติดต่อฉันมาเรื่อยๆ ฉันเองก็จะไปเตรียมการแล้วเหมือนกัน”

“อืม” นเรศกดตัดสายและมุ่งหน้าไปท่าเรือตามที่อีกฝ่ายบอก ปณตเราจะได้เห็นดีกันแน่



ตู้คอนเทนเนอร์เรียงกันราวกับตึกกระจายกันอย่างเป็นระเบียบบนท่าเรือ ดวงไฟส่องสว่างเรื่อๆ เป็นบางจุด ข้างตู้คอนเทนเนอร์เก่าเวลานี้ปรากกฎกลุ่มมคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเหล่านั้นประกอบด้วยชายในชุดสูทสีดำยืนหน้าเคร่งกระจายล้อมรอบอยู่ราวๆ สิบกว่าคน โดยตรงกลางกลุ่มคนเหล่านั้นมีร่างสูงของพงศ์ปณตยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยใบหน้าราบเรียบ ข้างๆ เป็นร่างเล็กของเจ้าจันทร์ที่ถูกมัดแขนขาติดกับเก้าอี้ ริมฝีปากเล็กถูกผ้ามัดไว้อย่างแน่นหนา

“นายครับ” ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งทักๆ เข้ามา พงศ์ปณตเพียงแค่ชายตามองรอคำตอบ “มาแล้วครับ” จบประโยคเบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏร่างสูงแกร่งของนเรศที่ถูกควบคุมตัวเข้ามา

ดวงตาโศกเบิกตากว้างแล้วทำได้แค่เพียงร้องอืออาในลำคอ มือเล็กกำแน่นจนขึ้นข้อขาวก่อนจะอุทานเป็นเสียงอึกอักเมื่อร่างสูงของนเรศถูกชกเข้าเต็มท้อง แล้วตามด้วยหมัดที่กระหน่ำใส่ร่างแกร่งไม่ยั้ง

“อือ...อื้อ”

“แค่ก พี่ไม่เป็นอะไร” นเรศเงยหน้าขึ้นมายิ้มปลอบ ก่อนจะฟุบลงกับพื้นเมื่อโดนอีกหมัดเข้าที่โหนกแก้ม

“ทำตัวอย่างกับเป็นพระเอกเลยนะครับ” พงศ์ปณตยิ้มเยาะอย่างคนมีชัยเหนือกว่า

“ถ้าฉันเป็นพระเอกแกก็คงเป็นตัวร้าย และแกคงรู้ว่าตัวร้ายมันมักจะจบไม่สวย” นเรศหัวเราะเบาๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยท่าทางอวดดีในสายตาคนมองอย่างพงศ์ปณต

“แต่หนังที่ผมกำกับเองกับมือ ถ้าผมอยากให้ตัวร้ายชนะมันก็ต้องเป็นแบบนั้น” พงศ์ปณตนั่งยองๆ ลงตรงหน้านเรศ ก่อนจะใช้หลังมือเคาะเบาๆ ไปที่หน้าผากของชายหนุ่มเหมือนต้องการจะหยอกเย้า “เอาละผมเองก็ไม่ต้องการเสียเวลา และทำให้การเจรจาธุรกิจของเราเกิดข้อบาดหมางกัน คุณควรลงชื่อตรงนี้...” นิ้วเรียวชี้ลงบนกระดาษที่รับมาจากลูกน้อง “เรื่องมันจะได้จบๆ สักที แล้วเมียและลูกของคุณจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” จบประโยคก็วางกระดาษลงหน้าตรงหน้านเรศ

“หึ...ฮาๆ” นเรศหัวเราะลั่นจนอีกฝ่ายมึนงง “แค่การเจรจาซื้อขายเกาะกับฉันแกยังทำไม่สำเร็จจนต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้...” ศีรษะถูกส่ายไปมาเหมือนระอา “ฉันเป็นห่วงอนาคตแกจริงๆ วะ อ้อ คงต้องเผื่อแผ่ไปถึงพ่อกับแม่แล้วก็บริษัทของแกด้วย ฉันว่าไม่นานคงเจ้งวะ ฮะ...อึก”

ประโยคถากถางสะกิดโดนจุดเข้าอย่างจังทำให้พงศ์ปณตสติขาดผึง เขาคว้าเอาคอเสื้อของนเรศขึ้นมาก่อนจะประเคนหมัดเข้าใส่เต็มหน้า แล้วตามเข้าไปกระทืบซ้ำเมื่อได้ยินประโยคดูถูกให้เจ็บใจอีก

“หมัดเบาอย่างกับมดแบบนี้ได้กินข้าวมาหรือเปล่าวะ...”

พี่นเรศ!

เจ้าจันทร์ที่มองเห็นนเรศถูกซ้อมอยู่ดิ้นขลุกขลัก พยายามตะโกนร้องให้คนเหล่านั้นพอ เมื่อตามใบหน้าหล่อเหลามีเลือดอาบแดงเถือกแทบไม่เห็นสีผิว

“ถ้าขืนมึงยังปากดีอีกอย่าหาว่ากูไม่เตือน เพราะต่อไปจะเป็นเมียมึงที่ถูกซ้อม” คำพูดสุภาพถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับอารมณ์ที่ปะทุเดือดขึ้นมา

“แกมันลูกหมา แม้กระทั่งคนท้องยังจะทำร้ายได้ลงคอ” นเรศกัดฟันกรอดอย่างไม่สามารถทำอะไรได้

“หยุดเห่าหอนแล้วเซ็นเอกสารซะ” กระดาษใบเดิมถูกวางลงตรงหน้าอีกครั้ง

นเรศขยับร่างกายทั้งหนักอึ้งทั้งปวดร้าวค่อยๆ จรดปลายปากกาลงลงชื่อตัวเองด้วยการตวัดสองสามที พงศ์ปณตยกยิ้มพอใจหยิบกระดาษขึ้นมาใช้เคาะที่ศีรษะนเรศเป็นการตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ ก่อนจะส่งเอกสารให้ลูกน้อง

“แบบนี้สิค่อยน่าทำธุรกิจร่วมกันหน่อย ถ้าคุณว่าง่ายตั้งแต่แรกแบบนี้เมียคุณคงไม่ต้องมาลำบากด้วย” พงศ์ปณตยิ้มอารมณ์ดีค่อยๆ ใช้หลังมือวาดตามโครงหน้าหวานของเจ้าจันทร์

“แกได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็เอามือชั่วๆ ของแกออกจากเมียฉัน” นเรศคำรามลั่นเมื่อเห็นฝ่ามือของอีกฝ่ายแตะต้องเจ้าจันทร์

“ครับๆ” พงศ์ปณตรับคำแบบขอไปที เดิมทีเขาก็ต้องการแค่เกาะแห่งนั้นไม่ได้มีเจตนาลากคนท้องเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เมื่อนเรศว่าง่ายยอมเซ็นเอกสารดีๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือทำร้ายใคร “ปล่อยตัว” จบคำสั่งลูกน้องของเขาก็เข้ามาปลดพันธนาการให้อิสระแก่เจ้าจันทร์

“พี่นเรศ” เมื่อเจ้าจันทร์เป็นอิสระก็โถมกายเข้าหานเรศทันทีก่อนจะปล่อยโฮเสียงดังลั่น

“ไม่เป็นไรนะครับ พี่มาช่วยแล้วไม่ต้องร้อง เจ้าปลอดภัยแล้ว” นเรศกอดปลอบร่างที่สั่นเทา เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่โตโอบกอดร่างเล็กกว่าจนมิดราวกับว่าตอนนี้เขาคือเกราะที่คอยปกป้องเจ้าจันทร์ “มันทำอะไรเจ้าไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เมื่อร่างอวบผละออกเขาก็ส่งคำถามรัวพร้อมกับสำรวจคนตัวเล็ก

เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทั้งสะอื้น “เจ้าไม่เป็นอะไรพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเจ้า” ตอบแล้วก็ประคองใบหน้าของนเรศ “เจ็บมากไหมครับ เลือดออกเยอะมากเลย...ฮึก” ทั้งที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วสุดท้ายน้ำตาก็ร่วงผล็อยจนอาบไปทั้งหน้า แม้ว่าร่างกายของเจ้าจันทร์จะไร้บาดแผลใดๆ แต่ตอนนี้เจ้าจันทร์กลับรู้สึกเจ็บ เจ็บตรงที่อกข้างซ้ายเหมือนมีใครเอามีดมากรีด เพียงเพราะเห็นนเรศที่กำลังโดนทำร้าย

“หึ เหมือนละครหลังข่าวมากเลยครับ แต่คงต้องบอกว่าจบเพียงเท่านี้ หวังว่าเราจะได้ทำธุรกิจร่วมกันอีกนะครับ” พงศ์ปณตแทรกขึ้นแล้วจึงหันไปสั่งให้ลูกน้องถอนตัว

“จบแน่หรือคะ” เสียงของหญิงสาวแทรกขึ้นมาพร้อมกับร่างอรชอนก้าวเดินออกมา

“ลิสา” พงศ์ปณตขมวดคิ้วเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะทำเป็นมองไม่เห็นเธอ ประหนึ่งเธอไร้ตัวตนในสถานที่แห่งนี้ด้วยการเดินผ่านไปราวกับคนไม่รู้จักกัน

“จะไปแล้วหรือคะปณต” ลิสาเอ่ยถามด้วยใบหน้าราบเรียบพร้อมคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้

“ผมได้สิ่งที่ผมต้องการแล้ว ดังนั้นผมไม่มีธุระอะไรที่นี่อีกแต่ถ้าคุณมีคุณก็จัดการเอาเอง” พงศ์ปณตดักทางลิสา เพียงแค่มองตาเธอเขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร พงศ์ปณตไม่ยอมให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืมมือของเขาให้แปดเปื้อนหรอก

“แล้วที่คุณตกลงกับลิสาไว้ละคะ” ลิสาถามเสียงสูง

“ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าต้องฆ่า” คำตอบของพงศ์ปณตกลับทำให้ลิสาหน้าถอดสี เธอเหมือนคนโง่ที่โดนเขาหลอกใช้เต็มๆ

“คุณจะคืนคำหรอคะ” เธอถามย้ำสียงสูงอีกครั้งพร้อมกับจ้องตาพงศ์ปณตด้วยดวงตาวาวโรจน์ ไม่หลงเหลือแววตาสั่นกลัวเช่นก่อนหน้าที่เคยเจอ เมื่อในตอนนี้ในอกของเธอเต็มไปด้วยไฟแค้นจนไม่กลัวสิ่งใด

“ผมไม่เคยรับปากคุณลิสา” พงศ์ปณตยังคงปฏิเสธได้อย่างน่าตาย

“หึหึ” ลิสาหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเองก่อนจะเปิดกระเป๋าล้วงเอากระบอกปืนออกมา พงศ์ปณตเบิกตาตกใจเล็กน้อยที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอมีของเล่นอันตรายอย่างนี้ไว้ในกระเป๋า “งั้นฉันคงมีต้องจัดการเองแล้วสินะ” จบประโยคก็เดินย่างสามขุมเข้าไปหาร่างสองร่างที่กำลังกอดกันกลม โดยไม่รู้ชะตาตัวเองที่กำลังถูกคนอย่างเธอตัดสินให้

“ลิสาคุณไม่ได้ท้องแล้วยังร่วมมือกับมัน” นเรศถามเมื่อพอเดาเรื่องราวได้

“แล้วทำไมคะ” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยี่ระ “คุณปฏิเสธลิสาเองดังนั้นอย่ามาโทษกันเลยค่ะ” จบประโยคก็เล็งปลายกระปืนไปยังร่างในอ้อมแขนแกร่ง มือของเธอสั่นเล็กน้อยอย่างคนที่ไม่เคยจับ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วเธอไม่มีทางย้อนกลับไปทางเดิมได้แล้ว

“...” นเรศไม่เอ่ยสิ่งใดเขาทำแค่เพียงกอดกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ใช้ร่างกายตัวเองบดบังวิถีกระสุนที่ชี้ตรงมายังร่างเจ้าจันทร์ ดวงตาคมกริบจ้องมองลิสาตอบจนทำให้เธอขนลุกซู่ จู่ๆ ก็เกิดอาการกลัวขึ้นมา “ผมขอบอกคุณไว้ตรงนี้ลิสา ถ้าจะฆ่าผมก็ฆ่าให้ตายในนัดเดียว เพราะถ้าผมไม่ตายจะเป็นคุณเองที่ต้องตาย” เสียงทุ้มกล่าวขมขวัญได้เป็นอย่างดี

“คุณอย่ามาขู่ ลิสาไม่กลัวหรอกคะนเรศ” ว่าจบก็กระชับปืนให้แน่นขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว บ่งบอกว่าเธอเอาจริง

ปัง! ปัง!




หลานคนแต่ง นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายของนะ มันผิดกฏข้อ 17 
ระวังโดนล็อคกระทู้นะ  :ling3:

ขอบคุณมากนะคะที่เตือน พอดีจำกฎยังไม่ได้ ขอบพระคุณมากค่ะ พุ่งไปกราบตั้งแต่ห้าร้อยเมตร :m5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-04-2018 21:33:44
หลานคนแต่ง นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายของนะ มันผิดกฏข้อ 17 
ระวังโดนล็อคกระทู้นะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-04-2018 21:59:54
ค้างงงง
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-04-2018 22:56:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 17-04-2018 23:04:13
 :mew5:ค้างหนักมากอ่ะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-04-2018 23:14:37
ลิสา ตายสินะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 26 ถ้าอยากถ่ายหนังบู๊...
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 18-04-2018 00:22:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 18-04-2018 21:06:54
บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน

ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวสองนัดติด ปืนในมือลิสาร่วงหล่นสู่พื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บ ร่างของเธอค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้นพลางกุมมือที่ถูกยิงเอาไว้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ฝั่งพงศ์ปณตก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อศีรษะพวกเขาแต่ละคนในตอนนี้ปรากฏเลเซอร์ชี้เป้าพร้อมยิงทุกเมื่อ

“พี่นเรศ!” เจ้าจันทร์อุทานลั่นก่อนจะประคองร่างที่อ่อนยวบ “ช่วยด้วย...ฮึอ ฮือ ช่วยพี่นเรศด้วย” เจ้าจันทร์ร้องไห้โฮอย่างขวัญเสียเอาแต่กอดร่างสูงเอาไว้ กลายเป็นภาพที่ดูแล้วปวดใจสำหรับใครหลายๆ คน

“ทิ้งปืนซะนี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ” เสียงประกาศตัวดังขึ้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพิเศษกระจายกำลังล้อมรอบ “มีคนบาดเจ็บรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล” เสียงเข้มสั่งอย่างเร่งรีบ เมื่อหน่วยแพทย์เข้ามารับช่วงต่อชายหนุ่มก็เข้าไปทำหน้าทีจับกุมพงศ์ปณตกับลูกน้อง

แต่ในขณะที่กำลังจะเข้าจับกลุ่มลูกน้องคนหนึ่งของพงศ์ปณตก็รัวกระสุนใส่หวังเปิดทางให้ผู้เป็นนาย แต่สุดท้ายก็ถูกยิงสวนจนร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยรูกระสุน พงศ์ปณตอาศัยจังหวะชลมุนรีบหลบออกไป ท่ามกลางความเงียบสงัดบนท่าเรือตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงปืนปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและคนของพงศ์ปณต

พงศ์ปณตกับลูกน้องสองคนกำลังจะหลบหนีได้อยู่แล้วเชียว แต่เบื้องหน้าของพวกเขากลับปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมายืนขวางเอาไว้เสียก่อน

“ไง” ณัฐธัญกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

พงศ์ปณตไม่กล่าวสิ่งใดยกปืนขึ้นรัวใส่ทันที เมื่อเห็นว่าณัฐธัญกับลูกน้องกระโดดหลบไปแล้วเขากอาศัยจังหวะนี้เลี้ยวไปอีกทาง

ปัง!

พลันต้นขาด้านซ้ายก็ถูกยิงจนทรุดลง ลูกน้องรีบเข้ามาประคองทันควัน พงศ์ปณตกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจขณะที่พยายามกระเลือกกระสนหลบหนี

ปัง!

เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงปืนและมันก็มาพร้อมขาด้านขวาที่โดนยิง พงศ์ปณตพยายามหลบไปอีกทาง แต่เหมือนเขาจะเลือกผิดอย่างร้ายแรง เมื่อในตอนนี้ร่างที่สมควรถูกยิงไปแล้วกำลังยืนแสยะยิ้มรอต้อนรับเขาอยู่ ท่ามกลางความืดและแสงไฟที่สาดส่องเล็ดรอดออกมาตามช่องว่าง ทำให้อีกฝ่ายเหมือนพญามัจจุราช

นเรศเดินไร้อาการบาดเจ็บเข้ามาเผชิญหน้ากับพงศ์ปณตพร้อมๆ กับเลเซอร์นับสิบเล็งไปทั่วร่างของอีกฝ่าย

“ได้เวลาละครจบแล้วปณต และตัวร้ายก็ต้องยอมรับชะตากรรม” น้ำเสียงฟังดูราบเรียบจนคนฟังรู้สึกเจ็บใจ ที่สุดท้ายก็ตกหลุมพรางจนได้

“หึหึ” พงศ์ปณตหัวเราะเขาค่อยๆ ทิ้งปืนลงบนพื้นก่อนจะยกมือขึ้น “บอกผมหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่ตาย ทั้งที่ผมแน่ใจว่ากระสุนมันถูกยิงใส่คุณ...ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” ไม่ต้องรอคำตอบพงศ์ปณตก็รู้คำตอบเมื่อมองเห็นเกราะอ่อนสีดำภายใต้เสื้อเชิ้ตของนเรศ

เรื่องราวสับสนวุ่นวายจบลงในที่สุด นเรศที่ถูกยิกยังมีโชคเข้าข้างเมื่อณัฐธัญได้วางแผนให้เขาใส่เกราะกันกระสุนเอาไว้ ในตอนนี้ตามร่างกายจึงมีเพียงบาดแผลจากการถูกซ้อม ส่วนพงศ์ปณตและลิสาถูกจับและรับรองว่างานนี้คงถูกจับอีกยาวเลยทีเดียว

เจ้าจันทร์นั่งตาซึมตลอดเวลาขณะมองดูนเรศบนรถพยาบาลที่กำลังทำแผล ใบหน้าหวานที่คลอไปด้วยน้ำตาพร้อมแรงสะอื้นน้อยๆ ทำให้นเรศบอกทีมพยาบาลหยุดทำแผลให้เขา ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงดึงคนร่างบางเข้ามาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคมกริบอ่อนแสงลงพร้อมคำพูดปลอบประโลม

“ร้องไห้ทำไมครับ หืม พี่ไม่เป็นอะไรมากสักหน่อย” เขากอดปลอบขวัญคนตัวอวบท่ามกลางสายตาขวยเขินของทีมพยาบาล

“เพราะเจ้า...ฮึก...พี่นเรศถึงต้องเจ็บตัว” เสียงอู้อี้กับอกตอบกลับมาพร้อมท่อนแขนเรียวที่ตวัดโอบกอดคนตัวโต ราวกับเด็กน้อยที่ต้องการที่พึ่ง

“ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกนะ แต่เรื่องทั้งหมดมันเกิดเพราะพี่ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้าที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความอ่อนโยนพร้อมก้มลงจูบศีรษะคนในอ้อมแขนเบาๆ “สบายใจได้หรือยังครับ” แรงพยักหน้าขยับขึ้นลงอยู่กับอกทำให้นเรศยกยิ้ม “เอาละคนขี้แยหยุดร้องไห้ได้แล้ว ทีนี้พี่ก็จะได้ทำแผลสักที” จบประโยคคนตัวอวบในอ้อมแขนก็พลันสะดุ้งรีบผละกายออกเหมือนคนพึ่งนึกได้ว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง และพอเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าหวานก็แดงก่ำหลบสายตายิ้มเขินๆ ของทีมพยาบาลเป็นพัลวัน

ถึงแม้เจ้าจันทร์จะรู้สึกเขินอายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ยอมออกไปจากรถพยาบาล มือเล็กคอยกุมมือใหญ่ที่กำลังถูกทำแผลหวังส่งกำลังใจให้คนตัวโตหายเจ็บ

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็เคลียร์พื้นที่เรียบร้อย ลิสาและพงศ์ปณตถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้วก็ถึงคราวที่ทุกคนต้องกลับบ้าน

“เจ้า” คุณพิมลรัตน์ร้องไห้ถลาเข้าหาลูกชายด้วยความเป็นห่วง

สองครอบครัวที่รออยู่ในบ้านทวีภัทรหิรัญต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นทุกคนกลับมาอย่างลอดภัย โดยเฉพาะเจ้าจันทร์ที่ทุกคนห่วงมากพิเศษ

“เจ้า...แม่พาอาหมอมาด้วย มาตรวจดูอีกทีว่าน้องเป็นอะไรไหม” คุณพิมลรัตน์รีบประคองเจ้าจันทร์ไปให้หมอรามตรวจอีกครั้ง

ในขณะที่หมอรามกำลังตรวจครรภ์ของเจ้าจันทร์อยู่นั้นทุกคนก็หันมาสนใจนเรศ ส่งคำถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงไม่เว้นแม้กระทั่งคุณชญตว์ ถึงคำถามจะฟังไม่เหมือนคำถามที่ดูเป็นห่วงสักเท่าไหร่

“ยังไม่ตายใช่ไหม”

นเรศได้ฟังแล้วก็ฉีกยิ้มแต้ “ครับ ยังอยู่ครบสามสิบสองรอแต่งานกับเจ้าสิ้นเดือนได้ครับ” คำตอบกลับเองก็กวนไม่น้อยอยู่เหมือนกันจนได้รับนัยน์ตาทมึงกลับมา

“ดีจริงๆ ที่ทุกคนปลอดภัยกลับมา” คุณหญิงดาหลาน้ำตาซึมจนต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา

“ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องเป็นห่วง” นเรศยกมือไหว้ขอขมามารดาและทุกคน

“ไม่เป็นไรลูกๆ ถือซะว่าได้พ้นเคราะห์กรรมนะ” คุณพิมลรัตน์ลูบหัวชายหนุ่มอย่างปลอบประโลม “จริงสิ” อุทานเหมือนพึ่งนึกอะไรได้ “พรุ่งนี้เราไปทำบุญกันดีไหมคะคุณพี่” ท้ายประโยคหันไปขอความเห็นจากคุณหญิงดาหลา

“ดีเหมือนกัน” คุณหญิงดาหลาเห็นด้วยทันที

“โอ๊ะ!”

จู่ๆ ก็เกิดเสียงร้องด้วยความตกใจทำให้ทุกสายตามองไปยังต้นเสียง

“เป็นอะไรไปเจ้า” หมอรามถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เหมือนเจ้าตัวเล็กจะดิ้น” จบประโยคก็เกิดการเข้าไปรุมสัมผัสหน้าท้องของเจ้าจันทร์กันยกใหญ่ เหล่าคนเห่อลูกเห่อหลานต่างแย่งกันเบ่งว่าเจ้าตัวเล็กกำลังทักทายตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวเล็กเองก็เหมือนจะชอบใจที่มีคนมาสัมผัสทักทาย แรงดิ้นเล็กๆ จึงไม่ยอมหยุดราวกับต้องการทักทายกลับ โดยเฉพาะคนเป็นพ่ออย่างนเรศที่เจ้าตัวเล็กดูมีปฏิกิริยาด้วยมากที่สุด “อ๊ะ...เบาๆ หน่อยสิครับ ดูเหมือนจะรู้ว่าเป็นคุณพ่อ” ว่าจบเจ้าจันทร์ก็หัวเราะคิกกับมืออุ่นที่วางสัมผัสบนหน้าท้องนูน

“โอ้ะ จะบอกรักพ่อหรอครับ” นเรศดูเหมือนจะหลุดจากโลกภายนอก เมื่อตอนนี้เขากำลังพูดคุยกับเจ้าตัวเล็กโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยช้ำยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างอารมณ์ดีโดยไม่กลัวว่าจะเจ็บแผล

“แค่เจ้าตัวเล็กดิ้นทักทายแบบนี้ก็เบาใจแล้วครับ” หมอรามบอกทุกคนด้วยใบหน้าโล่งอก

“เจ้าหลานคนนี้คงกลัวว่าทุกคนจะเป็นห่วงเลยออกมาทักทาย เป็นเด็กดีจังเลยนะ” ชลธารว่าขำๆ ก่อนจะทำหน้าตกใจ

“ชลเป็นอะไรไปคะ” ณัฐธัญรีบเข้ามาหาภรรยาตัวเองด้วยความเป็นห่วงทันที

“ดูเหมือนลูกอยากจะทักทายน้อง” ชลธารว่าพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เจ้าจันทร์ เท่านั้นแหละเด็กๆ ในท้องต่างดิ้นกันยกใหญ่เหมือนต้องการจะทักทายกัน

“หยุดเล่นกันได้แล้วครับเดี๋ยวคุณแม่เจ็บ” นเรศทำเสียงขรึมดุเจ้าตัวเล็กเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเจ้าจันทร์ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะรับรู้รีบหยุดการเคลื่อนไหวทันที เมื่อเห็นสีหน้าคลายเจ็บของเมียตัวเองแล้วนเรศสก็ยกยิ้มรีบชมเจ้าตัวเล็กทันที “เก่งมากครับ” เขาชมเปราะจนผู้ใหญ่ที่มองดูอยู่หัวเราะ “ถ้าเชื่อฟังพ่อไว้วันหลังจะพามาเล่นกับพี่ๆ อีก” ปฏิกิริยาดิ้นทิ้งท้ายเหมือนกับการรับคำก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหวจริงๆ

“เด็กๆ น่ารักกันตั้งแต่อยู่ในท้องแบบนี้ชักกลัวว่าจะตกกระป๋องซะแล้วสิครับ คุณพ่อคุณแม่คงจะลืมผมก็คราวนี้” ณัฐธัญว่าพาให้ทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่




เดือน 6 เริ่มเข้าสู่หน้าฝนเป็นต้นฤดูของทำการเพราะปลูกของไทย ถือเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ สร้างฐานะครอบครัวใหม่ร่วมกัน เช้านี้ถือเป็นวันที่บรรยากาศดีท้องฟ้าปรอดโปร่งมองเห็นเป็นสีน้ำเงิน ลมพัดเอื่อยๆ เป็นระยะ บ้านศศิพัฒนเมธีวันนี้ครึกครื้นด้วยมีพิธีสำคัญ ลูกชายคนเดียวของบ้านในชุดแต่งงานแบบไทยสีน้ำตาอ่อน หน้าตาอิ่มเอมมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า ด้านหลังมีร่างใหญ่โตกว่าของชายหนุ่มในชุดแต่งงานแบบไทยสีน้ำตาลเข้มยืนซ้อนอยู่ นเรศเอี้ยวตัวกลับไปรับโถใส่ข้าวมาถือไว้ด้วยมือซ้าย เจ้าจันทร์เม้มปากรู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อท่าในตอนนี้คล้ายๆ ตนกำลังถูกนเรศโอบกอดจากด้านหลัง จะไม่ให้รู้สึกอายก็กระไรอยู่เมื่อมีสายตานับสิบคู่จ้องมองมาแล้วหัวเราะบ้างแซ็วบ้าง

“ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน ต่อไปจะได้เกิดมาคู่กันทุกชาติภพ” คุณหญิงดาหลาเอ่ย ใบหน้าท่านเต็มไปด้วยร้อยยิ้มแห่งความสุขขณะทอดสายตามองดูลูกชายและลูกสะใภ้หนุ่ม

เจ้าจันทร์ข่มความอายยกมือขึ้นจับทัพพีพาให้ทั่วทั้งงานเงียบกริบเพื่อลุ้นว่าเจ้าบ่าวอย่างนเรศจะจับเช่นไร เมื่อมือใหญ่วางมือบนทัพพีแล้วจับไว้มั่นเพื่อนๆ ของนเรศก็ส่งเสียงแซ็วกันให้ทั่วงาน

“อนาคตพ่อบ้านใจกล้ามองเห็นรำไรวะเพื่อน” จบประโยคก็เกิดเสียงหัวเราะทั้งงาน

นเรศยิ้มกว้างรับคำชมเมื่อเขาเต็มใจจับส่วนปลายของทัพพีเพื่อให้เจ้าจันทร์จับคอทัพพี ชายหนุ่มประคองร่างอวบขยับเคลื่อนที่ช้าๆ อย่างระมัดระวัง พิธีสงฆ์จึงใช้เวลาไปพอสมควรเพราะต้องระวังเจ้าสาวที่ท้องได้ 5 เดือนแล้ว

หลังเสร็จพิธีสงฆ์แล้วฝ่ายเจ้าบ่าวจึงไปตั้งขบวนขันหมาก เพียงไม่นานเสียงกลองยาวก็ยิ่งทำให้สนุกสนาน ใบหน้านเรศยิ้มไม่ยอมหุบยิ่งใกล้ถึงบ้านเจ้าสาวรอยยิ้มยิ่งกว้าง แม้แต่คุณหญิงดาหลาเองก็ขยับแข้งขยับขารำเข้ากับจังหวะเสียงกลองยาว

“โห่...โห...ฮิ้ว... โห่...โห...ฮิ้ว... โห่...โห...ฮิ้ว...” เมื่อมาถึงหน้าบ้านเสียงกลองยาวก็หยุดไปแทนที่ด้วยเสียงตะโกนร้องที่รับกันไปเป็นทอด

ขันหมากเอกและขันหมากโทถูกส่งให้ฝ่ายเจ้าสาวแล้วก็ถึงคราวเพื่อนๆ ของเจ้าจันทร์ที่ต้องมาทำหน้าที่ขูดขนหน้าแข้งเจ้าบ่าว ฟ้าอยู่กับเพื่อนสาวอีกคนยืนคู่จับประตูชัยก่อนทั้งสองสาวจะยิ้มกว้างกับซองสีชมพูที่ถูกยื่นมาจากนเรศ

“ฮิๆ” คุณเธอหัวเราะด้วยท่าทางมีความสุขพร้อมกับจูบซองสีชมพูเสียงดัง “ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่ให้เข้านะนี่” เธอว่าก่อนจะปล่อยสายกั้นประตูที่ร้อยจากดอกรักให้นเรศผ่านไป

“ของผมประตูเงินต้องหนักๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นเพื่อนผมคงรอแย่” ปั้นสิบบอกเมื่อนเรศเข้ามาถึงประตูที่สอง ซึ่งมีปั้นสิบและแทนจับคู่กัน “ขอบคุณครับ” ปั้นสิบและแทนกล่าวขอบคุณเสียงดังหลังจากได้รับซองสีชมพูก่อนจะเปิดทางให้นเรศ

“เฮ้ย!” เมื่อมาถึงประตูที่สามเจ้าบ่าวถึงกับร้องลั่น “สุดาต้องมาอยู่ฝ่ายผมสิครับ” ชายหนุ่มว่าทั้งหัวเราะเมื่อคนจับประตูสุดท้ายคือแม่บ้านของเขาเอง

“แหม...สุดาต้องอยู่ข้างคุณเจ้ามากกว่าอยู่แล้วค่ะ” ป้าสุดาเอ่ยด้วยอาการอมยิ้ม “และอีกอย่างสุดาต้องเป็นด่านสุดท้ายที่จะไม่ยอมให้คุณนเรศเจอคุณเจ้าง่ายๆ หรอกคะ” สายตาป้าสุดาดุขึ้นจนนเรศต้องยิ้มแหย เมื่อแม่บ้านของเขาคงจะแค้นฝังลึกแทนว่าที่เจ้านายคนใหม่เสียแล้ว

นเรศหันไปหาคุณหญิงดาหลาที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ “นี่ครับ” ก่อนจะควักธนาบัตรทุกใบในกระเป๋าส่งให้ป้าสุดา

“ขอบคุณค่ะ ป้าจะเก็บไว้ซื้อของขวัญให้คุณหนู” ป้าสุดายิ้มร่าปล่อยประตูทองสายกั้นสุดท้าย ทำให้ณัฐธัญที่อยู่ท้ายขบวนหัวเราะเสียงดังกับกระเป๋าแบนๆ ของนเรศ

เมื่อสิ้นสุดพิธีรับขบวนขันหมากก็เข้าสู่พิธีสู่ขอและตรวจนับสินสอด คุณชญตว์และคุณพิมลรัตน์ทำทีตรวจนับสินสอดตามธรรมเนียม และมีการใส่สินสอดเกินจำนวน เพื่อเป็นเคล็ดว่าคู่บ่าวสาวใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไปจะได้มีเงินทองงอกเงยขึ้นมา เมื่อตรวจนับเสร็จเรียบร้อยแล้วฝ่ายผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ช่วยกันโปรยถั่ว งา ข้าวเปลือก ข้าวตอก ดอกไม้ ใบเงิน ใบทอง จากนั้นคุณพิมลรัตน์จึงห่อสินสอดด้วยผ้าแล้วแบกขึ้นไว้ตามประเพณี

พิธีการดำเนินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พิธีสวมแหวนแต่งงาน แล้วตามด้วยพิธีไหว้ผู้ใหญ่ ทั่วทั้งงานผู้คนต่างมีใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะต่อด้วยพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์และประสาทพร ประธานในพิธีซึ่งก็คือคุณลุงและคุณป้าของนเรศที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่คนรู้จักมากทีเดียว เป็นผู้คล้องพวงมาลัยสวมมงคลแฝดบนศีรษะของบ่าวสาว พร้อมกับเจิมที่หน้าผาก จากนั้นประธานหลั่งน้ำอวยพรให้บ่าวสาว ตามด้วยพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้ร่วมงานที่เป็นผู้ใหญ่ และเชิญแขกอื่นๆ เข้ารดน้ำตามลำดับความอาวุโส

“ขอให้รักกันนานๆ รักกันจนแก่เฒ่า คิดถึงและจดจำวันเก่าๆ สิ่งดีๆ ที่มีให้กันให้อภัยกันและกัน สุดท้ายขอให้ความสุขอยู่คู่กับลูกๆ ทั้งคู่ตลอดไป แม่ฝากเจ้าดูแลพี่นเรศเขาด้วยนะลูก” คุณหญิงดาหลาอวยพร

“นี่คือบททดสอบแรกของชีวิตคู่ ขอให้ทั้งคู่รักกันนานๆ ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร หากวันไหนที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน โกรธกัน ให้นึกถึงวันนี้กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่มีได้ทุกวันนะ รักกัน หมั่นปลูกต้นรักซึ่งกันและกัน ไม่เฉพาะแค่ก่อนแต่งงาน อุปสรรคที่จะเข้ามาในชีวิตในวันข้างหน้าคือบททดสอบความรักของเรา ต้องจับมือกันฝ่าฟันและผ่านพ้นมันให้ได้ อุปสรรคที่เข้ามาจะเติมให้ความผูกพันแข็งแกร่งขึ้น มาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ฝากลูกชายฉันด้วย” คุณชญตว์อวยพรขณะที่สบนัยน์ตาลูกเขยก็เผยแววดุดันข่มขู่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเมื่อสบกับดวงตาโศกของลูกชาย

“การใช้ชีวิตคู่ก็เหมือนช้อนกับส้อมต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ช้อนมีหน้าที่ตัก ส้อมมีหน้าที่จิ้มหรือประคับประคองอาหารใส่ช้อน หมายถึงการช่วยกันดูแลประคับประคองทะนุถนอมซึ่งกันและกัน แต่ช้อนกับส้อมความสูงก็จะเท่ากัน นั่นหมายถึงการที่คู่สมรสมีความทัดเทียมกันจึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ขอให้เดินเคียงกันบนเส้นทางต่อจากนี้ไปด้วยความรัก ความเข้าใจ แม่ฝากน้องด้วยนะลูก” คุณพิมลรัตน์อวยพรต่อ

เมื่อพิธีรดหลั่งน้ำพระพุทธมนต์และประสาทพรเสร็จสิ้นก็มาถึงพิธีสุดท้ายนั้นก็คือพิธีส่งตัวเข้าหอ

“เหนื่อยไหมครับ รู้สึกเวียนหัวบ้างหรือเปล่า” นเรศเอ่ยถามเจ้าจันทร์ที่นั่งอยู่บนขอบเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งคู่กัน นิ้วแกร่งยกขึ้นเกลี่ยกลุ่มผมนุ่มออกจากดวงหน้าหวานที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อย

“นิดหน่อยครับ” เจ้าจันทร์ตอบเสียงแผ่วขณะที่ดวงตาเริ่มปรอยปรือ

“แล้วเจ้าตัวเล็กละครับ ดูท่าวันนี้จะรู้ว่าเป็นวันสำคัญเลยงีบทั้งวันไม่ดื้อไม่ซน” ก้มลงลูบหน้าท้องนูนเบาๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อฝ่ามือรับรู้ถึงแรงถีบน้อยๆ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวเล็กในท้องกำลังรอคำชม “เก่งมากเลยครับเด็กดี แบบนี้ต้องให้รางวัล” ว่าจบก็ก้มจุมพิตรอบๆ ท้องนูน

“อูย...ดูท่าลูกจะดีใจมากนะครับ” ดวงตาที่ปรืออยู่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเจ้าตัวเล็กดิ้นเป็นการใหญ่ตอบรับคำชมของพ่อ

“ฮาๆ ถ้างั้นคืนนี้ก็ยอมเป็นเด็กดีอยู่นิ่งๆ ให้พ่อเข้าไปทักทายนะครับ” นเรศกระซิบเสียงเบาพร้อมกับใช้ดวงตาแพรวพราวสบเข้ากับดวงตาโศก แก้มเนียนร้อนจนขึ้นสีทำให้เจ้าจันทร์รีบเสหลบดวงตาที่สื่อความนัยน์มาแทบหมดเปลือก

“พี่เนรศ...เจ้าท้องอยู่นะ” ตอบกลับเสียงอุบอิบด้วยความขัดเขินเต็มกำลัง     

“พี่จะทำเบาๆ นะครับ” ว่าจบก็จับจูงคนร่างอวบเข้าห้องน้ำ เพียงไม่นานภายในห้องน้ำก็มีเสียงครางหวานและทุ้มคละเคล้ากัน เปลี่ยนอุณหภูมิที่เย็นฉ่ำจากสายน้ำเป็นร้อนแรงในชั่วพริบตา



*********************************************
อะแฮ่ม...แค่กๆ...สำลักความหวาน ฮาๆ สำหรับนิยายเรื่องมัจจุราชลงทัณฑ์รักก็เดินทางมาเกือบถึงจุดหมายปลายทางแล้วนะคะ ยะฮู้ ในที่สุดครกก็ถึงยอดภูเขาสักที เจี๊ยะก็ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ และขอให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ เลยนะคะ เจอกันพรุ่งนี้สำหรับบทส่งท้ายจ้า
 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-04-2018 21:36:47
ในที่สุดก็จะลงเอยด้วยดี :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 18-04-2018 22:20:08
หวานนนนนน
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 18-04-2018 23:09:26
happy end. เย้!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-04-2018 23:16:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-04-2018 02:36:31
ฉลองงงงงงงงงงงงงงงงงงง  :mc4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 19-04-2018 18:24:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||บทที่ 27 ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-04-2018 19:19:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 19-04-2018 21:03:12
​บทส่งท้าย

หลังจากคลอดลูกด้วยการผ่าตัดครอบครัวเล็กๆ จึงถือกำเนิดขึ้น เจ้าจันทร์คลอดลูกแฝดเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง โดยให้ชื่อลูกชายคนโตว่าศศินและลูกสาวคนเล็กให้ชื่อสลิล เจ้าลูกชายคนพี่อวบอ้วนกว่าคนน้อง หน้าตาหรือใครๆ ก็บอกว่าน่าชังทั้งคู่ พาให้คุณพ่อมือใหม่เห่อลูกแทบไม่ปล่อยให้ห่างมือ

ร่างกายเจ้าจันทร์ถึงแม้จะมีสิ่งพิเศษมากกว่าใคร ถึงจะสามารถตั้งท้องได้อย่างผู้หญิง แต่ร่างกายก็ไม่มีการผลิตน้ำนมออกมา จึงต้องหาคนมาเป็นแม่นมให้ลูกๆ และอาหมอก็แนะนำหญิงสาวข้างบ้านที่มีจิตใจดี เธอเป็นแม่ลูกอ่อนเหมือนกันแต่เพราะร่างกายของเธอผลิตน้ำนมออกมามาก จึงมาปรึกษาหมอรามถึงเรื่องการบริจาคนมให้กับมูลนิธิ อาหมอเห็นว่าเป็นเรื่องดีและหลานๆ ก็ต้องการนมแม่ และเธอก็ตรวจร่างกายก่อนที่จะได้กลายเป็นแม่นมของเจ้าสองแฝด จิตใจของเธอช่างดีงามเหมือนกับชื่ออัณณิกาที่แปลว่าความดีงาม

อัณณิกาเป็นหญิงสาวที่มีอายุมากกว่าเจ้าจันทร์เพียงสามปี เธอมีลูกชายที่อายุมากกว่าเจ้าสองแฝดราวหกเดือน สามีของเธอเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ เจ้าจันทร์บอกได้เลยว่าครอบครัวของเธอคือครอบครัวในฝันของหลายๆ คน ครอบครัวที่เกิดจากความรักและมีความพร้อม

เจ้าจันทร์ยังคงอยู่ที่บ้านศศิพัฒนเมธีสลับกับบ้านทวีภัทรหิรัญ โดยมีนเรศไปๆ มาๆ ระหว่างเกาะกับบ้านทั้งสองหลัง เจ้าจันทร์เห็นใจนเรศที่ต้องไปกลับและคิดว่าการเดินทางบ่อยๆ มันคงทำให้เหนื่อยมากพอดู วันนี้คุณพ่อลูกอ่อนจึงยังคงนอนหลับตาพริ้มไม่ต่างจากลูกน้อยในเปลข้างเตียง

นิ้วมือเรียวสวยยกขึ้นเกลี่ยกลุ่มผมนุ่มมือของสามี ปากจิ้มลิ้มค่อยๆ คลี่ยิ้มออกเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เจ้าจันทร์โน้มหน้าเข้าใกล้ใบหน้าหล่อเหลาก่อนจรดริมฝีปากไปบนหน้าผากคนนอน

“อือ...ลักหลับพี่หรือครับ” คนที่นอนหลับพูดเสียงงัวเงียก่อนจะวาดวงแขนดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด นเรศจ้องมองใบหน้าหวานที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับก่อนจะหอมแก้มสีระเรื่อฟอดใหญ่ทั้งสองข้าง

“เจ้าทำให้พี่นเรศตื่นหรือเปล่าครับ” เจ้าจันทร์ถามเสียงนุ่มขณะใบหน้าแนบสัมผัสกับอกกว้าง “พี่นเรศน่าจะนอนต่อ เมื่อคืนก็ดึกกว่าจะถึงบ้านเจ้าเป็นห่วง” ประโยคที่เจือไปด้วยความห่วงใยทำให้ใจคนฟังมีพลังเพิ่มขึ้นมา

“แค่เห็นหน้าเจ้ากับลูกๆ พี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ” พูดจบก็หอมกลุ่มผมนุ่มที่ซบอยู่กับอก

คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่นเจ้าจันทร์รู้สึกเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ความรู้สึกเก่าเริ่มกลับมาพร้อมกับรู้สึกถึงความอุ่นบริเวณร่องก้น ความรู้สึกนี้แน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันค่อยๆ ไหลลงตามต้นขา

นเรศที่เห็นเมียตัวเองเงียบไปก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไปเจ้า”

เจ้าจันทร์ไม่ตอบเพียงแค่พลิกตัวลงจากร่างสูงแล้วตวัดผ้าห่มออกจากตัว

“เจ้า!” นเรศมองเห็นแล้วใบหน้าคมเข้มจึงเต็มไปด้วยความตระหนก ปากก็ร้องเรียกชื่อเมียตัวเองด้วยความกลัว กลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น “เป็นอะไรเจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงมีเลือดออกมา หมอ...ต้องตามอาหมอ” คนตัวโตลนลานไปหมดจนรับรู้ได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา

“พี่นเรศเจ้าไม่เป็นอะไร” เสียงหวานเหมือนน้ำเย็นที่ค่อยชโลมหัวใจแต่ก็ยังไม่คลายความกังวล

“เจ้าบอกพี่มาเถอะ ตามอาหมอก็ได้ แล้วทำไมถึงมีเลือดออกมาเยอะแยะแบบนี้ เจ็บมากไหม” คำพูดมากมายจนแทบฟังไม่ทันก่อนจะจบด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนสัมผัสได้

“...” เจ้าจันทร์ส่ายหน้าทั้งอมยิ้มด้วยความสุขเมื่อเห็นท่าทีห่วงใยมากล้นจากคนตัวโต ก่อนประกบมือประคองใบหน้าซีดให้สบตา “มันก็เหมือนประจำเดือนของผู้หญิง อาหมอบอกว่ามันจะมาหลังคลอดราวเดือนกว่าๆ” พอได้ฟังหัวใจของนเรศก็รู้สึกสงบขึ้นแต่ก็ยังไม่คลายความกังวล

“เหมือนประจำเดือนของผู้หญิง” นเรศทวนคำด้วยความไม่เข้าใจ “แต่เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าจะมีได้ยังไง” นเรศยังไม่หายข้องใจ

“แล้วเจ้าท้องได้เพราะอะไรล่ะ”

“เพราะพี่ไง...โอ๊ย” จบประโยคก็โดนฟาดเข้าเต็มฝ่ามือจนได้แต่ร้องขอความเห็นใจ “พี่พูดจริงมาตีทำไมเนี้ย เพราะถ้าพี่ไม่ทำเจ้าก็ไม่ท้องหรอก” ว่าด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

“เจ้ามีประจำเดือนเหมือนผู้หญิงเพราะมีมดลูกอยู่ในนี้” ว่าจบก็ชี้ไปที่ท้องตัวเอง

“พี่ไม่เห็นรู้ว่าเจ้าจะมีประจำเดือนเหมือนผู้หญิง”

“ตอนที่เป็นพี่ไม่อยู่และหลังจากนั้นก็...อื้อ...จนท้องนั้นแหละ จะรู้ได้ยังไงเล่า” ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อหลีกเลี่ยงที่จะพูดคำแสนน่าอาย

“งั้นแปลว่าตอนนี้พี่ก็ปั๊มน้องให้เจ้าสองแฝดได้แล้วน่ะสิ” พอโล่งใจก็ทำหน้าพราวระยับ แล้วไม่วายกระโจนเข้าหาร่างเล็กเหมือนเสือกระโจนใส่กวางน้อยไม่มีผิด

และพอเช้าในสามวันถัดมาเลือดที่เหมือนประจำเดือนก็หยุดไปเปรียบเสมือนไฟเขียวที่เป็นใจเปิดทางให้อีกคนได้สมใจ เช้านี้ตื่นขึ้นมาเจ้าจันทร์จึงมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาไม่ห่าง

“พี่นเรศจะทำอะไรน่ะ” เอ็ดพร้อมกับตีเบาๆ ที่ต้นแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่คร่อมทับอยู่

“ทำรักกับเมียไงครับไง” ก้มกระซิบข้างหูพร้อมกับขบกันเบาๆ มือไม้เองก็เริ่มกลายเป็นปลายหมึกลูบไล้สำรวจอย่างคุ้นเคย

“พี่นเรศเดี๋ยวลูกตื่น” เอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเมื่อถูกปลุกเร้าหนักหน่วงจนร่างกายสั่นระริก

จมูกโด่งซุกไซร้ตามซอกคอขาวไม่ห่างขณะทำเสียงอู้อี้ตอบกลับมา “ยังไม่ถึงเวลาลูกตื่น” จบประโยคก็มอบจุมพิตอันหวานล้ำให้คนตัวเล็กอ่อนระทวยใต้วงแขน

“แต่...อื้อ...เดี๋ยวพี่อัณก็มาแล้ว” เสียงครางฮือหลุดออกมาด้วยความเสียวซ่าน

“แป๊บเดียวนะครับ” กระซิบเสียงแหบพร่าขณะส่งนิ้วเข้าสำรวจช่องทางพิเศษ เพียงไม่นานความคับแน่นก็คลายตัวให้นเรศได้ดุนดันความอลังการของตัวเองเข้าไปทักทายยังข้างใน “อืม อีกนิดนะครับ” เข้ากระซิบกับคนตัวเล็กที่กำลังบิดเร้าด้วยความเสียว ยิ่งใกล้ถึงฝั่งฝันมากเท่าไหร่สะโพกแกร่งยิ่งขยับหนักหน่วง มือหนาประคองสะโพกอวบเบียดแนบชิดก่อนจะกดเน้นๆ อีกสองสามทีก็ปลดปล่อย เหงื่อกาฬพราวทังร่างที่ยังคงเชื่อมประสานกันอยู่

“พี่นเรศ...” เสียงหวานครางอือเมื่ออีกคนจับท่อนขาขึ้นพาดบ่าพาให้แนบชิดยิ่งขึ้นจะรู้สึกสยิว “พี่นเรศบอกว่ารอบเดียวนี่” ต่อว่าทันทีเมื่อเอวสอบเริ่มขยับเข้าออกอีกครั้ง

“อื้อ รอบเดียวแต่พี่ยังไม่ได้เอาออก ดังนั้นยังถือว่าหนึ่งรอบ” คำตอบช่างฟังเจ้าเล่ห์แต่การกระทำกับเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า เมื่อการสอดประสานนั้นไม่ลึกดังเก่า ความอลังการที่กำลังขยับเข้าออกเป็นเพียงระยะสั้นๆ เนิบๆ คลายกำลังกลั่นแกล้งขัดใจคนตัวเล็กที่อารมณ์กำลังพุ่งสูง

“พี่นเรศ” เสียงหวานครางฮือราวกับกำลังจะต่อว่า

“ครับ” คนเป็นพี่ขานรับพร้อมกับก้มลงรอฟังความต้องการ”

“...อย่าแกล้งเจ้านะ” ว่าอย่างกระเง้ากระงอดกำปั้นเล็กก็ทุบไหล่หนาเบาๆ

นเรศหัวเราะในลำคอที่แกล้งเมียได้สำเร็จ “เจ้าบอกพี่ว่ารอบเดียวนี่” แกล้งทำเสียงเศร้าแต่ดวงตายังพราวระยับ “อยากได้อะไรก็บอกพี่สิครับ” เปิดโอกาสให้คนที่นอนตัวแดงก่ำร้องขอ ซึ่งคงต้องบอกว่าเข้าทางนเรศนัก

“ขยับสิ” บอกเสียงอ้อมแอ้มพลางเสหน้าหลบ

“อะไรนะครับ”

“...” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มแน่นราวกับกำลังติดสินใจ ในเมื่อแต่งงานถูกต้องกันตามประเพณีชื่อนามสกุลเองก็เปลี่ยน จากศศิพัฒนเมธีตอนนี้ก็เป็น ปักษาธร ทวีภัทรหิรัญ ลูกก็คลอดออกมาแล้วจะมีอะไรให้อายอีกเล่า คิดได้ดังนั้นก็ตวัดแขนโอบลำคอหนา ดันตัวเข้าแนบชิดพลางกระซิบข้างหู “...พี่นเรศเจ้าอยากได้พี่ ช่วยขยับอ๊ะ...” ยังไม่ทันจบประโยคคนขี้แกล้งก็ขยับอย่างรวดเร็วหนักหน่วงกว่าครั้งแรกจนสั่นคลอนไปทั้งตัว

เสียงหวานที่กระซิบข้างหูเมื่อครู่ทำให้นเรศแทบบ้าคลั่ง ความอลังการกลางลำตัวยิ่งสำแดงฤทธิ์กว่าครั้งไหน มันขยายตัวจนปวดหนึบ มีเพียงความอุ่นร้อนที่โอบล้อมอยู่เท่านั้นที่จะช่วยปลอบประโลมให้สงบลงได้

“น่ารักเกินไปแล้ว” นเรศคำรามลั่นขยับเข้าออกสุดแรงจนเตียงเริ่มส่งเสียงประท้วง

“อ๊ะ” เจ้าจันทร์ครางฮือกระสันไปทั้งร่าง ความรู้สึกดี พาให้สมองโล่งโปร่งจนหลงลืมทุกสิ่ง สะโพกอวบเด้งรับอย่างรู้งานอย่างที่เคยถูกสอน ยิ่งทำให้ขอบสวรรค์ที่ใกล้เห็นรำไรครั้งนี้ทำให้คนทั้งคู่แทบสำลักไปก่อน “พี่นเรศๆ” เสียงหวานครางเรียกชื่อคนตัวโตซ้ำๆ เมื่อความอัดแน่นกำลังจะพุ่งออกมา

“เจ้า...พี่รักเจ้า อืม...ซี๊ด พร้อมกันนะครับ” เอ่ยบอกพร้อมกับกล้ามท้องที่เกร็งแน่นจนเรียงขึ้นมาสวยงาม ก่อนจะปลดปล่อยความอุ่นร้อนเข้าไปมากล้นจนมันไหลทะลักออกมา ทั้งคู่หอบหายใจรุนแรงร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ในหัวสมองมีเพียงดาวระยิบระยับ นเรศก้มลงส่งจูบหวานล้ำเป็นคำชมให้ร่างเล็ก “ถูกใจไหมครับ” เขาถามอย่างคนต้องการคำชมบ้างขณะคลอเคลียกับลำคอระหงไม่ห่าง

“...อื้อ” เสียงตอบรับในลำคอพร้อมดวงตาโศกที่ปรือน้อยๆ แสดงความเหนื่อยอ่อน เมื่อครู่ใช้แรงไปมากทีเดียวเพื่อตอบรับแรงมหาศาลของเจ้าคนพี่

“งั้นอีกรอบไหมครับ” อดที่จะเอ่ยเย้าไม่ได้

“ไหวที่ไหนเล่า” เจ้าจันทร์ตอบกลับทันควันพร้อมกับส่งค้อนให้วงโต

“อะไรกันแค่รอบเดียวเองเหนื่อยแล้วหรอครับ”

“พี่นเรศ” เสียงหวานเอ็ดกลับมาแทนคำตอบพาให้คนแกล้งหัวเราะลั่น

“ไม่แกล้งแล้วครับ” เอ่ยพลางก้มหอมหน้าผากชื้นเหงื่อ “นอนพักเถอะเดี๋ยวพี่ดูลูกเอง” จบประโยคก็ดึงส่วนที่เชื่อมประสานกันอยู่ออกมาจนได้ยินเสียงน่าอาย

“อา...” เสียงหวานคราวหวิวรู้สึกโล่งจนรับรู้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่าน เผลอเม้มปากน้อยๆ เมื่อความอบอุ่นถูกถอนออกไป

“หึหึ ไว้คืนนี้ค่อยมาต่อนะครับ” เสียงหัวเราะถูกใจเมื่อได้ยินเสียงครางหวาน นเรศผละออกจากร่างนุ่มนิ่มหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดทำความสะอาดให้ช่องทางที่เต็มไปด้วยน้ำรักของเขา คนตัวเล็กหลับไปแล้วจึงได้แต่หยิบเสื้อนอนของเขามาสวมให้พลางห่มผ้าให้เสร็จสรรพ นเรศจูบกระหม่อมเมียอีกครั้งก่อนจะผละออกไปอาบน้ำเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาเจ้าสองแฝดตื่นแล้ว

“สวัสดีค่ะคุณนเรศ วันนี้อารมณ์ดีจังเลยนะคะ” อัณณิกาส่งเสียงทักในอ้อมแขนมีทารกวัยเจ็ดเดือนกำลังหัวเราะเอี้กอ๊ากอยู่ นเรศเพียงยิ้มรับก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เจ้าตัวเล็ก “แล้วนี่น้องเจ้าไปไหนคะไม่เห็นเลย” อัณณิกาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะทุกทีที่เธอมาถึงบ้านก็จะเห็นเจ้าจันทร์อยู่กับลูกเสมอ แต่วันนี้กลับไม่เห็น

“เจ้าคงเหนื่อยครับผมเลยไม่อยากปลุก”

“อ้อค่ะ” อัณณิกาครางรับ “หืมอยากเห็นน้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือคะ” เธอเห็นท่าทางสนใจทารกแฝดของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม ก่อนจะพาไปนั่งดูน้องใกล้ๆ

“แอ้ๆ” เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นพร้อมกับริมฝีปากเล็กยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ดูท่าจะหลงรักน้องแล้วนะคะเนี่ย” เธอว่าพลางหัวเราะกับท่าทางของลูกชาย

จากนั้นทั้งงคุณชญตว์และคุณพิมลรัตน์ต่างก็เข้ามาเล่นกับหลานที่อัณณิกากำลังให้นม เธอจะมาให้นมเด็กๆ จากเต้าในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายและกลางคืนเธอก็จะปั๊มนมใส่ขวดไว้แทนเพราะต้องกลับไปอยู่กับสามี

“อ้าวตื่นแล้วหรอลูก” คุณพิมลรัตน์ทักลูกชายที่เดินหน้ามุ้ยลงมาในเวลาเกือบจะเที่ยงหลังจากที่อัณณิกากลับไปได้ไม่นาน

“ทำไมไม่มีใครปลุกเจ้า” เจ้าจันทร์ว่า

“ตานเรศบอกว่าลูกเหนื่อยเลยอยากให้พัก เอ๋...แต่แม่ว่าคงได้รับกำลังใจเต็มที่แล้วมั้ง” อดที่จะแซวลูกชายจนหน้าแดงก่ำไม่ได้ ทำไมท่านจะไม่รู้สาเหตุที่ลูกชายตื่นสายหลังจากสามีกลับมาจากเกาะในช่วงดึก

“คุณแม่” เจ้าจันทร์ร้องเรียกแม่เสียงอ่อนขณะก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

“แบบนี้อีกไม่นานเจ้าสองแฝดคงจะมีน้องๆ ตามมาวิ่งเล่นเต็มบ้านแน่” คุณชญตว์ได้ทีแซวบ้าง ถ้าได้เด็กๆ มาวิ่งเล่นที่บ้านหลายๆ คนบ้านนี้คงจะมีชีวิตชีวาขึ้น ยิ่งหลายๆ คนยิ่งดี อืม...ต้องเปิดไฟเขียวให้ไอ้ลูกเขยปั๊มหลานเยอะๆ ซะแล้ว คิดแล้วก็ส่งกระแสจิตไปให้นเรศที่นั่งเล่นกับลูก ซึ่งพอรับรู้ถึงสายตาที่มองมาเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มพยักหน้ารับน้อยๆ คล้ายรับรู้ถึงความต้องการของพ่อตา

“ตานเรศพาน้องไปทานข้าวเถอะเดี๋ยวแม่กับพ่อดูแลเจ้าแฝดให้เอง” คุณพิมลรัตน์เอ่ย

“ฝากด้วยนะครับแม่” นเรศยิ้มรับผละออกจากลูกๆ เดินไปโอบประคองเอวเล็กเข้าห้องครัว เมื่อมาถึงนเรศก็บังคับคนตัวเล็กให้นั่งรอบนเก้าอี้ จัดการบริการอาหารมาวางให้อย่างเรียบร้อย

“ขอบคุณครับ” เจ้าจันทร์ขอบคุณคนพี่ด้วยใจจริง

“ทานเยอะๆ เก็บแรงไว้ใช้ในคืนนี้นะครับ” แกล้งกระซิบข้างหูจนอีกฝ่ายหน้าแดงก่ำไม่ต่างจากลูกตำลึงสุก

“พี่นเรศ” เจ้าจันทร์ร้องเรียกชื่อคนขี้แกล้งเสียงหลงจนนเรศหัวเราะลั่น แววตาพราวระยับเต็มไปด้วยความสุข เขาหยุดแกล้งเมียตัวเอง หยุดมองคนตัวเล็กทานข้าวด้วยความสุข “พี่นเรศไม่กินด้วยกันหรือครับ” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาถามคนที่เอาแต่นั่งมอง

“...” นเรศส่ายศีรษะแทนคำตอบเอาแต่นั่งมองต่อเท่านั้น ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสุข เพราะอีกครึ่งชีวิตของพวกเขาถูกเติมเต็มแล้ว “พี่รักเจ้านะครับ” เขาบอกพร้อมกับดึงคนที่กำลังทานข้าวเข้ามาจูบแสดงความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวนที่พูดออกไป

“ครับๆ รู้แล้ว เจ้าก็รักพี่นเรศนะครับ...แต่เจ้ากำลังทานข้าวอยู่นะ” เจ้าจันทร์ยิ้มกว้างก่อนจะเอ็ดทั้งที่ยิ้มเต็มแก้ม

“ฮ่าๆ” นเรศหัวเราะลั่นด้วยความสุขจนภายในทั้งบ้านอบอวนไปด้วยความอบอุ่นของความรัก


---จบ---


ในที่สุด! พี่นเรศและน้องเจ้าของเราก็มาถึงบทสรุปสุดท้ายแล้วค่า ตบมือ  :katai2-1:
ตอนนี้บอกเลยขอรีดเลือดนักอ่านทุกท่านเลยค่ะ รีดเข้าไปๆ  :jul1: ใครอาการหนักสนใจทิชชูแผงข้างๆ เลยนะคะ ฮา
และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ นักเขียนนิยายลงเว็บอย่างเราๆ จะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นที่คอยติดตามกันมาตลอด หยิบสไบมาห่มหยิบผ้าถุงมาใส่ ทัดดอกไม้แดงข้างหู พับเพียบเรียบร้อยแล้วกราบงามๆ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ปล. ยังเหลือตอนพิเศษเล็กๆ ที่จะตามมาอีกไม่นานนี้นะคะ อย่าลืมติดตามความหวานละมุนของเจ้าจันทร์และพี่นเรศกันน้า


สำหรับนิยายเรื่องมัจจุราชลงทัณฑ์รักก็มี E-Book แล้วนะคะ
วางจำหน่ายกับทาง Meb ในราคา 139 บาทค่ะ
จำนวน : 314 หน้า (≈ 84,846 คำ) รวมตอนพิเศษ 4 ตอน
- วันเพ็ญเดือนสิบสอง จำนวน 8 หน้า (ลงในเว็บ)
- ความทรงจำดีๆ จำนวน 5 หน้า (ลงในว็บ)
- ได้เวลาปั๊มน้อง จำนวน 6 หน้า (ไม่ได้ลงในเว็บ)
- เมื่อเด็กๆ ไปโรงเรียนวันแรก จำนวน 12 หน้า (ไม่ได้ลงในเว็บ)
Buy :มัจจุราชลงทัณฑ์รัก (https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTc1Mzk1MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6IjcwNzIxIjt9)

หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 19-04-2018 21:47:12
จบเเล้วววววววววววว :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-04-2018 23:20:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-04-2018 23:30:58
 :pig4: :กอด1: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 20-04-2018 00:23:48
หวานนนนกันเชียว
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 20-04-2018 01:49:33
 :heaven
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-04-2018 02:03:35
กรีดร้อง จบได้ฟินมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 20-04-2018 05:59:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-04-2018 03:34:01
ความหื่นของเฮีย ทำให้เจ้าไม่ได้พักอู่เลยหรอ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 21-04-2018 09:36:56
ตอนแรกๆสงสารน้องเจ้ามากเลยค่ะ
หนูโดนซ้อมหนักมากจริงๆ TT
ผู้ใหญ่เรื่องนี้น่ารักทุกคนเลยค่ะ มีความรักและเข้าใจ
ขอบคุณคุณพ่อเจ้าที่ช่วยเอาคืนให้ ยังไม่สาแก่ใจคนอ่านเลยค่า 555
พี่นเรศอยากมีลูกสาวหรอ บ่อยเชียว ><
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-04-2018 08:06:26
สนุกดีค่ะ
ชอบแนวนี้ นายเองท้องได้
ตอนแรกสงสารเจ้าจันทร์มาก
โดนซ้อมสารพัด
แต่ตอนหลังก็งลงเอยได้ดี
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 23-04-2018 17:39:23
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 25-04-2018 15:48:24
 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​บทส่งท้าย [END]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 26-04-2018 05:50:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||ตอนพิเศษสั้นๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เจี๊ยะบ่จ่าย ที่ 05-05-2018 20:27:11
ตอนพิเศษสั้นๆ


สองปีผ่านไป

เสียงกระแสคลื่นสาดซัดแข่งกับเสียงเสียมพรวดดิน หยาดเหงื่อหยดลงสู่ผืนดินตามอุณหภูมิที่ดวงอาทิตย์กำลังแผ่ร้อนระอุ หลังมือเปื้อนดินถูกยกขึ้นซับหยดเหงื่อพลอยทำให้หน้าผากมีคราบดินติดตามไปด้วย ตัดสินใจนั่งพักสักหน่อยพลางหันไปมองยังม้านั่งไม้ระแนงใต้ร่มต้นหูกวางต้นใหญ่ ร่างเพรียวกำลังนั่งจิบน้ำผลไม้ยามบ่ายแก่ บนตักมีเจ้าแมวสีส้มนอนอย่างสบายใจพาลให้คนมองรู้สึกอิจฉาเจ้าสี่ขาตงิดๆ

เมื่อเสียงพรวนดินเงียบหูไปเจ้าของมือที่กำลังลูบขนเจ้าเหมียวจึงเงยหน้าขึ้น “หืม...” พลางมองคนงานจำเป็นนั่งหน้าถมึงจ้องเจ้าเหมียวเขม็ง “ไม่พรวดดินต่อหรือครับ หรือว่าพี่นเรศลืมไปแล้วว่าถ้าทำไม่เสร็จไม่ต้องกินข้าว?” คำถามที่แสนคุ้นหูส่งมาสะกิดเรียกสติคนขี้อิจฉา

“เจ้าลำเอียง” เสียงทุ้มกระเง้ากระงอดตอลกลับมา

“ครับ?” คิ้วสวยเลิกขึ้นด้วยความสงสัย

“ก็พี่เป็นผัวกลับต้องมานั่งพรวดดินหน้าดำหน้าแดงอยู่นี่ แต่ดูไอ้แมวหน้าปลาหมอนั่นสิกลับได้นั่งสบายบนตักเจ้า พี่อิจฉา” ใบหน้าหล่อเหลาหงิกงอจนอดที่จะขบขันไม่ได้ โดยเฉพาะน้ำเสียงในท้ายประโยคที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“หรือว่าพี่จะไม่ทำ?” เสียงนุ่มถามกลับพร้อมเผยรอยยิ้มนิดๆ แต่กลับกดดันจนน่าขนลุก

“ทำสิจ๊ะ” ตอบกลับเสียงหวานแทบจะทันที แต่ไม่วายขอต่อรองสักหน่อย “แต่พี่ขอนอนตักเจ้าสักชั่วโมงให้ชื่นใจหน่อยได้ไหมครับ นะ...” มีความสามารถเท่าไหร่นเรศงัดออกมาอ้อนเมียจนหมด งานนี้ยอมทุ่มสุดตัว

“...” เจ้าจันทร์ไม่ตอบทำแค่เพียงหันหน้ากลับไปยกน้ำผลไม้ขึ้นจิบเงียบๆ

นเรศถือโอกาสวางจอบที่กำลังพรวนดินเตรียมแปลงปลูกผัก ย่องไปดึงคนร่างเล็กเข้ามากอดเต็มรัก จมูกโด่งฉกฉวยลงบนแก้มนุ่มพร้อมเสียงหอมฟอดใหญ่

“เอ๊ะ! พี่นเรศ” เจ้าจันทร์อุทานก่อนจะตีเพียงบนต้นแขนล่ำสัน ขณะที่เจ้าเหมียวในอ้อมแขนก็กระโดดหน้าตั้งหนีหายเหมือนรู้แกว “ทำอะไร ดูสิตัวมีแต่เหงื่อมากอดเจ้า” เอ็ดสักหน่อยแต่มีหรือคนฉวยโอกาสจะหยุด

“เมื่อไหร่จะหยุดงอนพี่สักที แค่นี้พี่ก็ใจจะขาดอยู่แล้ว” นเรศซุกใบหน้ากับซอกคอหอมกรุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่สูดดมเข้าเต็มปอดพาให้นเรศน้อยชักจะคึกคักขึ้นมา ท่อนแขนแข็งแรงวาดลงใต้ร่างเล็กแล้วช้อนขึ้นแนบอก

“คนลามกทำอะไรน่ะ” เจ้าจันทร์ทักท้วงสีหน้าตื่น เมื่อครู่สัมผัสได้ถึงความร้อนและความคับแน่นตรงกลางลำตัวของอีกฝ่าย

“กอดเมียไงครับ” คนตอบรับหน้านิ่งราวกับพูดคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ แต่คำว่ากอดคงไม่ใช่ความหมายตื้นๆ อย่างแน่นอน ว่าจบแล้วก็ยังตั้งท่าจะพาเข้าห้องจนต้องร้องเสียงหลง

“พี่นเรศจะบ้าหรือยังไงนี่มันกลางวันนะ” ตบอกหนาเข้าให้อีกหนึ่งที

“ลูกหลับแล้ว อีกอย่างไม่ต้องกลัวลูกจะตื่นเพราะสุดาดูแลอยู่แล้วนี่นา” คนพี่อ้อนเสียงละมุนสีหน้าที่แสดงออกก็ราวกับเจ้าตูบร้องขอความรักจากเจ้าของ

“แต่ป้าสุดาไม่ได้หลับ” เหวเสียงหลงอีกทีพลางทุบอกแกร่งไปอีกครั้ง คนอะไรหน้าหนาจริงเชียว ร้องขอจะกอดตั้งแต่ฟ้าไม่ทันมืด เจ้าจันทร์ได้แต่ค่อนขอดคนตัวโตในใจ

“แต่นเรศน้อยไม่ไหวแล้วนี่นา เถิดนะคนดีพี่ปวดไปหมดแล้ว” ใส่ลูกอ้อนเต็มที่จนคนฟังใจอ่อนยวบตอบกลับมาเสียงเบาหวิวไม่หนักแน่น

“แต่ป้าสุดา...”

“งั้นไม่ทำที่บ้าน” ตัดสินใจเองเสร็จสรรพก็เบี่ยงหน้าไปอีกทิศ ก้าวฉับๆ อย่างเร่งรีบไม่นานหลังคามุงจากก็ปรากฏสู่สายตา ร่างนุ่มถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลตามด้วยริมฝีปากคลอเคลียไม่ห่าง “ที่นี่ก็ไม่เลว” เสียงทุ้มพึมพำขณะซุกไซร้ซอกคอขาว “ทำให้คิดถึงครั้งแรกขอองเจ้าที่นี่ ต่อให้ขอโทษอีกสักร้อยสักพันครั้งก็คงไม่สาสมกับสิ่งที่พี่ทำ แต่เจ้ารู้ไหม” เงยหน้าขึ้นจากลำคอหอมกรุ่นมาสบดวงตาโศกทอประกายฉ่ำหวานและกำลังส่ายหน้าน้อยๆ “ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้พี่ก็ยังจะทำแบบนั้น ครอบครองเจ้าให้เป็นของพี่แค่เพียงคนเดียว” จบประโยคก็แนบริมฝีปากลงสัมผัสกับหน้าผากมน นเรศจ้องมองใบหน้าหวานพลางยกมือเล็กขึ้นมาจุมพิต “ที่นี่คงไม่มีความทรงจำดีๆ สำหรับเจ้า ดังนั้นให้พี่ได้สร้างความทรงจำดีๆ กับเจ้าทุกที่บนเกาะแห่งนี้ ให้มีแต่ความทรงจำดีๆ สำหรับเรา ลูกๆ ของเรา ครอบครัวของเรา”

ริมฝีปากจิ้มลิ้มค่อยๆ เผยรอยยิ้ม เจ้าจันทร์ตัดสินใจดึงความกล้าวผงกศีรษะขึ้นจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากหยัก “ที่นี่มีแต่ความทรงจำดีๆ สำหรับเจ้า เพราะมันทำให้เจ้าได้เจอและได้อยู่เป็นครอบครัวกับพี่นเรศ แค่นี้เจ้าก็มีความสุขมากแล้ว”

สมองนเรศโล่งโปร่งไปหมดจนคิดคำพูดไม่ออก เขาดีใจ...ดีใจจนกระบอกตาร้อนผ่าว “ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความรู้สึกกระซิบกล่าวขอบคุณข้างหู “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ก่อนที่จะยอมปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นอาบแก้ม

ฝ่ามือเล็กประคองใบหน้าหล่อเหลาพลางใช้นิ้วไล้น้ำตาออก “เจ้าก็ขอบคุณเหมือนกันครับ ขอบคุณที่รักเจ้า รักลูกๆ” จบประโยคก็จรดริมฝีปากจูบซับหยดน้ำอุ่นตามใบหน้าและคางคนพี่อย่างอ่อนโยนที่สุด นเรศยิ้มทั้งน้ำตาแตะหน้าผากสัมผัสกันเบาๆ ก่อนจะบรรจงจุมพิตหวานล้ำพาให้คนในอ้อมแขนอ่อนระทวยเหมือนเทียนไขถูกไฟละลาย และไฟนั้นคือไฟสวาทที่ค่อยๆ แผดเผาให้คนทั้งคู่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน



******************************
มาแล้วค่าเจี๊ยะยกตอนพิเศษสั้นๆ มาเสิร์ฟให้ถึงที่แล้วค่า โปรดอย่าบ่นว่ามันสั้นสมชื่อตอนเพราะมันสั้นจริงๆ ตุ้ยปู้ฉี่ๆ  :m5:
เจอกันใหม่โอกาสหน้านะคะ :dont2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-05-2018 20:43:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 19-12-2018 08:34:33
 :hao5: สนุกดี ชอบบบ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 19-12-2018 16:53:27
อยากอ่านตอนของเด็กแฝดดดโอ๊ยยยยยยยตาพ่อขี้หวงหวงแม่ขนาดนี้อยากรู้จะหวงลูกสาวขนาดไหนนนนคงสนุกน่าดู
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 19-12-2018 17:14:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 16-01-2019 02:04:23
น่ารักทั้งคู่เลย
ชอบๆๆๆๆ :mew6: :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 23-01-2019 13:42:12
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 25-01-2019 22:38:53
น่ารัก   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 26-01-2019 23:37:53
หื้มมมม รักกันดีเชียว  :oo1:
สงสารน้องเจ้าช่วงที่โดนนเรศซ้อมอ่ะ ลองคิดสภาพดูคนตัวเล็กๆโดนคนตัวใหญ่ซ้อม เด่วจะโดนนะนเรศ!!!!  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: poyhoney ที่ 27-01-2019 15:31:26
อ่านชื่อว่า จันทร์เจ้า ตลอดเลย 5555
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 24-02-2019 23:44:02
น้องเจ้าต่อไปนี้ก็จะเจอแต่ความสุขแล้วนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mu_mam555 ที่ 11-06-2019 20:33:28
สนุกมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 22-06-2019 14:26:22
 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 22-06-2019 22:38:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 31-07-2019 15:57:00
จำเลยรักสุด  :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 31-07-2019 20:06:51
เย่จบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 03-08-2019 21:17:11
อ่านจลแล้ว สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ASAMENG ที่ 07-08-2019 11:47:01
 o13  :กอด1:  :bye2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 08-08-2019 15:02:40
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 12-08-2019 01:49:54
น่ารักจังเลยน้องเจ้า สมน้ำหน้านเรศอยู่หน่อยๆสุดท้ายก็เป็นพ่อบ้านกลัวเมียไปค่ะสมควร
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-08-2019 20:11:19
ความสุข เต็มพื้นที่เกาะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 19-08-2019 21:06:50
 :z13:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:04:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 13-07-2020 16:12:26
คือแบบโดนกระทืบหน้า โดนข่มขืนเลยนะ จันทร์ไม่โกรธหรือรู้สึกอะไรเลยเหรอ หนำซ้ำยังดูชอบ ๆ เค้าอีก
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 13-07-2020 17:06:11
งงนิด ๆ ตอนเจอน้องเขยตัวจริง ๆ ไม่เห็นทำอะไรเท่าไหร่ กับจันทร์นี่เหมือนไปฆ่าพ่อแม่เลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 13-07-2020 23:13:18

 :pig4: :pig4: :pig4:

 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 14-07-2020 16:11:36
 :z1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 30-09-2020 03:16:55
เจ้า น่ารัก   และใจดีโคตรร
หัวข้อ: Re: [Mpreg]มัจจุราชลงทัณฑ์รัก||​ตอนพิเศษสั้นๆ [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 24-12-2021 17:51:20
อ่านกี่ที ก็ยังชอบครับ