พิมพ์หน้านี้ - เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: thanatcha ที่ 07-01-2019 19:42:52

หัวข้อ: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 07-01-2019 19:42:52
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━






เหมือนเราจะเคยรักกัน

Intro


 
                   สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่นอกหน้าต่างสว่างวาบราวดวงไฟที่หลอดกำลังจะขาด  ลมฝนที่กรรโชกแรงอยู่ภายนอกทำให้หน้าต่างห้องกระแทกเปิดปิดจนเกิดเสียงดังแต่ไม่ได้ทำให้ร่างบางที่นอนกระสับกระส่ายบนเตียงเปิดเปลือกตาขึ้นมาแต่อย่างใด  กรกันต์นอนหอบสะท้านลมหายใจติดขัด  เหงื่อผุดพรายตามไรผม  ริมฝีปากบางเม้มแล้วคลาย  มือเรียวกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น
 
                   “ อึก ...”  ร่างบางกลืนน้ำลายราวกับคนที่กำลังขาดอากาศหายใจ  ปลายเท้าเหยียดตรง  น้ำตาไหลลงหางตา  ริมฝีปากที่เม้มแน่นอ้าออกราวกับจะกอบโกยอากาศให้มากที่สุด
 
                   กรกันต์กำลังฝันร้าย.....
 
                   ในฝันของคนตัวเล็ก  ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังซุบซิบกัน  เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำรอบๆ
 
                   รับรู้ได้ถึงความโคลงเครง
 
                   มืด... มีเพียงแสงสลัวที่พอจะทำให้มองเห็นร่างของคนสองคนที่ถูกขังอยู่ในหีบโบราณใบใหญ่
 
                   หนึ่งในนั้น...
 
                   ใบหน้าที่คุ้นชิน...
 
                   คนที่กันต์เห็นใบหน้าชัดเจนในฝันก็คือ...ตัวเขาเอง
 
                   “ ปล่อย !! ” กรกันต์มองเห็นตัวเองพยายามใช้สองมือที่ถูกมัดดันฝาหีบ  แต่มันไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
 
                   “ ปล่อยเหรอ?... มึงคิดว่ากูจะใจดีขนาดปล่อยให้มึงกับผัวของกูได้ไปเสวยสุขกันสองคน  แล้วทำให้กูกลายเป็นหม้ายที่ถูกผัวทิ้งให้อับอายอย่างนั้นเหรอ?...กูไม่เคยยอมให้ใครมาหยามเกียรติ  ในเมื่อพวกมึงรักกันมากนักกูก็จักสงเคราะห์ส่งไปครองคู่ด้วยกันในนรกไม่ดีหรือ? ” เสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดเข้าไปในจิตใจคนฟัง  กรกันต์เริ่มเสียขวัญ  ร่างบางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
 
                    กลัว...
 
                   “ ฮึก...แม่หญิง ท่านมันจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์  รูปโฉมของท่านงดงามแต่จิตใจกลับสกปรกอย่างไม่น่าเชื่อ ”
 
                   “ ก็ใครกันล่ะที่มันทำให้กูต้องกลายเป็นคนเลวแบบนี้  ไม่ใช่เพราะมึงสองคนเหรอ? ”  น้ำเสียงดุดันแต่ทว่ากลับปกปิดความเศร้าไว้ไม่มิด
 
                   กรกันต์ส่งเสียงร้องไห้อย่างหมดสิ้นหนทาง  ร่างบางถูกดึงเข้าไปกอดจากคนที่ที่ฟื้นจากการสลบไปนาน
 
                   “ นายน้อย...ฮึก... นายน้อยกระผมกลัว ” ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างอย่างหาคนปลอบใจ  ฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังที่ไหวสะท้อนอย่างปลอบประโลม
 
                   “ ไม่ต้องกลัวนะพ่อกรรณ  ไม่ว่าเจ้าจะไปแห่งหนใดข้าจักตามเจ้าไปด้วย  เราสองคนจะครองคู่กับทุกภพทุกชาติไป ” เสียงทุ้มที่กันต์ได้ยินหากแต่มองไม่เห็นใบหน้า  เอ่ยออกมาจนกันต์ในหีบเหล็กกระชับอ้อมกอดกับร่างสูงใหญ่นั้นไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง
 
                   “ ข้าก็จะรักท่านทุกภพทุกชาติ  ไม่ว่าจะอยู่ไกลสุดหล้าซักเพียงไหนก็ขอให้ได้เดินทางมาพบกัน  นายน้อย...ฮึก...ข้ารักนายน้อยนะขอรับ”
 
                   “ หึ...ฮ่าๆๆๆ... รักกันนักเหรอ  รักกันมากใช่หรือไม่?  คุณพี่ทำไม?  เพราะเหตุใดใจของคุณพี่ไม่ปันไม่เหลือแบ่งมาให้ข้าบ้าง  ทั้งๆที่ข้าทุ่มเททำเพื่อคุณพี่ทุกอย่าง  แต่คุณพี่กลับเลือกที่จะมีชีวิตวิปริต  หากแม้นว่าคุณพี่รักมันมากนักล่ะก็งั้นเชิญคุณพี่ไปรักกับมันในนรกเถิด  ข้า ขอสาบานต่อฟ้าว่าข้าจะตามจองล้างจองผลาญคุณพี่กับมันทุกชาติไปเช่นกัน...  ”
 
                   “ โยนมันทั้งคู่ลงไป  ให้มันไปครองรักกันที่แม่น้ำนั่นแหละ  อย่าได้โผล่ขึ้นมาอีกเลย ” สิ้นเสียงประกาศก้องของสบันงาหีบเหล็กก็ถูกยกขึ้น  เพียงไม่นานกรกันต์ก็รับรู้ได้ถึงความจมดิ่งและหนาวเหน็บจากน้ำเย็นที่ค่อยๆซึมเข้ามาภายใน
 
                   “ ข้ารักท่านนะครับนายน้อย... ข้ารักท่าน ฮือ... นายน้อยข้ากลัว ” เมื่อถึงที่สุดของความอดกลั้นก็ทำให้กรกันต์กอดรัดร่างสูงที่กระชับอ้อมกอดเขาไว้แน่น ริมฝีปากบางบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากของกันต์อย่างแสนรัก
 
                   “ จะไม่พูดคำว่าลาก่อนหรอกนะยอดรัก  เพราะเราจะไปเจอกันชาติหน้าจะได้พบกันทุกภพทุกชาติไป ข้าก็รักเจ้านะ ”  ทั้งสองร่างกระชับอ้อมกอดแน่นจนกระทั่งน้ำเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ว่าง  ร่างทั้งสองเริ่มขาดอากาศหายใจ  จนในที่สุดกรกันต์ก็ไม่ได้ยินเสียงหัวใจจากคนที่ตนซุกหน้าอยู่ในอ้อมอก
 
                   นายน้อยของเขาจากไปแล้ว กร กันต์เองก็กำลังจะตามไป  เขากลัวว่าหากเขาตายช้ากว่านี้จะตามหานายน้อยไม่เจอ
 
                   “ ข้าไอ้กรรณเกิดมาชาตินี้อาภัพยิ่งนัก  เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกขายมา  ซ้ำยังโดนคนเลวทำร้ายถึงชีวิตหากชาติหน้ามีจริง  ขอให้ข้าได้รัก ได้ครองคู่กับนายน้อย ไม่ว่าเกิดเป็นเพศใดก็ขอให้ได้รักกัน  ขอให้ข้าเข้มแข็งและไม่กลัวหญิงชั่วนางนั้น  ขอให้ข้าเข้มแข็งต่อกรกับนางได้  อย่าได้อ่อนแอด้อยกำลังเช่นชาตินี้เลย ”  สิ้นคำอธิฐาน ท้องฟ้าด้านบนก็สั่นสะเทือนด้วยอสุนีบาตที่ฟาดลงมาบนยอดไม้  สบันงาที่กำลังเดินกลับเรือนถึงกลับสะดุ้ง  นางเงยหน้ามองไปบนยอดไม้พลางคลี่ยิ้มเย้ยหยัน
 
                   “ หึ... ”
 
                   ภายในหีบเหล็ก ฟองอากาศและเลือดพรั่งพรูออกมาจากปากและจมูกของกรกันต์และนายน้อยเป็นสายสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะนิ่งสงบ  ร่างสองร่างที่กอดกันแน่นค่อยๆจมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำครองคูกันจนชั่วนิรันดร์
 
 
 
                   พรวด!!!
 
 
                   “ แฮ่ก...แฮ่ก... ” ร่างบางบนเตียงนอนสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง  กันต์ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง  นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง  ชายหนุ่มสะดุ้งเมือได้ยินเสียงบางอย่างตรงกระจกหน้าต่าง  เมื่อหันไปมองก็พบว่ากิ่งไม้เล็กๆถูกลมพัดจนไหวมาตีกับกระจกห้อง  ลมแรงพัดเข้ามาจนรู้สึกหนาว  กันต์ลงจากเตียงเดินไปปิดหน้าต่าง  ยกมือขึ้นกดหน้าอกตัวเองอย่างพยายามสะกดกลั้นความกลัวบางอย่างในใจ
 
                   “ ฝันแบบนี้อีกแล้ว... ทำไมช่วงนี้ฝันบ่อยจัง ”
 
 
 ...................






หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-01-2019 19:59:43
ชอบแนวนี้ค่ะ ติดตามเลยย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-01-2019 23:36:40
รอติดตามจ๊ะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-01-2019 02:20:06
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 08-01-2019 10:09:25
ชาตินี้จะได้รักกันอีกใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-01-2019 12:27:53
 :L2: :pig4:

เธอคนนั้นช่างใจร้าย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 09-01-2019 01:11:34




Time of tears
Chapter 1

                        “ นี่ฝันร้ายมาอีกหรือไง ? ” อาชวินท์วางแก้วกาแฟที่ส่งควันหอมกรุ่นลงตรงหน้ากรกันต์
 
                        “ อือ... พักนี้ฝันบ่อยจนปวดหัว ” กันต์ที่นั่งหลับตาเอนกายพิงเก้าอี้เอ่ยตอบพลางนวดขมับของตัวเองไปด้วย เพื่อคลายความปวดที่เต้นตุบๆ ก่อนจะเหยียดหลังตรง  ร่างบางส่งยิ้มแทนคำขอบคุณให้กับเพื่อนสนิทก่อนยกกาแฟขึ้นมาจิบ  รสขมฝาดของกาแฟดำที่ไม่ปรุงอะไรเลยทำให้ประสาทตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย  กรกันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนใช้ปลายนิ้วหมุนคลึงแก้วกาแฟไปมาอย่างใช้ความคิด
 
                        “ ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องฝันเห็นเหตุการณ์เดิมๆคำพูดเดิมๆ  ที่สำคัญคนที่ฉันฝันเห็นหน้าตาเหมือนฉันทุกอย่างราวกับเป็นคนๆเดียวกันแม้แต่ชื่อก็ยังเหมือน  ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องรู้สึกทรมานทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจตามคนในฝันด้วย บอกตรงๆ  ฉันเหนื่อย! ” กรกันต์ระบายคำพูดออกมาให้เพื่อนรักฟังอย่างอัดอั้น
 
                        ทุกครั้งที่เขาฝันแบบนั้น  คนตัวเล็กรู้สึกราวถูกสูบพลังไปด้วยทุกครั้ง  และเขามักจะฝันในช่วงเวลาเดิมๆเมื่อตื่นมามองนาฬิกา  มักจะเป็นเวลาตีสี่ครึ่งเป็นประจำ หลังจากนั้นเขาก็จะตาค้างนอนไม่หลับ  จนต้องลุกขึ้นมานั่งเงียบๆหรือหยิบงานขึ้นมาทำฆ่าเวลาอยู่เสมอ
 
                        อาชวินท์ตบไหล่คนตัวเล็กราวกับให้กำลังใจ  เขารับรู้ถึงความทรมานที่กันต์ได้รับอย่างดี  เพราะตัวเขาเองเคยเห็นอาการดิ้นรนร้องไห้ทุรนทุรายของเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน  ไม่ว่าจะพยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาจนกระทั่งร่างของกันต์แน่นิ่งไปเอง
 
                        คนตัวเล็กฝันว่าจมน้ำและจะตื่นขึ้นมาเองแบบนี้ทุกครั้ง
 
                        เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ  เขาจึงเอ่ยปากถาม  ซึ่งกันต์ก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมา
 
                        “ เข้าหน้าฝนแล้วสินะ ” อาชวินท์มองออกไปนอกหน้าต่าง  ท้องฟ้ามืดครึ้ม  ก้อนเมฆกระจายหนาตัว
 
                        “ อืม... ” คนตัวเล็กตอบรับเบาๆในลำคอ
 
                        “ แปลกนะที่นายจะฝันเห็นเหตุการณ์นั้นบ่อยๆช่วงหน้าฝน ”
 
                        “ ในฝันฉันได้ยินเหมือนเสียงฟ้าผ่า ”
 
                        “ เป็นไปได้มั้ย ? ที่นายอาจจะเป็นกรกันต์ที่ถูกขังในหีบเหล็กนั่นกลับชาติมาเกิด ” อาชวินท์ทำหน้าตาจริงจังจนดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วยิ่งโตมากขึ้น  จนกันต์ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะท่าทางของเพื่อนตัวโตตอนนี้ช่างแสนตลก
 
                        “ วิน  นายดูละครมากเกินไปหรือเปล่า? ” คนตัวเล็กแกล้งใช้หลังมือแตะหน้าผากของอาชวินท์ราวกับวัดไข้  ร่างสูงจับมือเรียวนั้นไว้พลางทำหน้าตาจริงจัง
 
                        “ นี่... ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่เหรอ ? อย่าทำเป็นเล่นไปนะเว้ย  เรื่องกลับชาติมาเกิดเขาพิสูจน์กันมาหลายคนแล้ว  ไม่แน่ที่นายไม่ยอมคบใครซักทีอาจเป็นเพราะคำมั่นสัญญาข้ามภพข้ามชาตินั้นของนายก็ได้  สัญญาที่ว่าจะรักกันทุกชาติไป มันเลยทำให้นายไม่เปิดใจยอมรับใครเข้ามาในชีวิตซักที  ขนาดฉันหล่อจนสาวๆมดลูกละลายนายยังไม่สนใจฉันเลยคิดดูดิ่ ”
 
                        “ นายนี่นะหล่อ ” กันต์เอามือยีหัวเพื่อนจนผมยุ่ง  อย่างน้อยในวันที่รู้สึกเหนื่อย  กันต์ก็ยังมีอาชวินท์คอยอยู่เป็นเพื่อนชวนคุยจนลืมเรื่องที่ไม่สบายใจไปได้
 
                        “ เออนี่ พรุ่งนี้ไปพิพิธภัณฑ์กันมั้ย? ” อาชวินท์เอ่ยถามกันต์ในขณะที่นั่งทำงานส่วนของตน  คนตัวเล็กเงยหน้าจากแปลนบ้านที่กำลังลงรายละเอียดปลีกย่อยอยู่หันไปมองอย่างสนใจ
 
                        “ มีอะไรใหม่ๆเหรอ? ” เป็นที่รู้กันดีว่าถ้ามีโบราณวัตถุมาจัดแสดงอาชวินท์จะมาชวนกันต์เสมอ เพราะเขารู้ว่าเพื่อนรักชอบดูของพวกนี้  จริงๆแล้วต้องเรียกว่ากันต์เกือบจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุเลยก็ว่าได้       
 
                        “ เห็นว่าเป็นพวกข้าวของเครื่องใช้โบราณที่งมได้มาจากก้นแม่น้ำน่ะ  น่าจะมีอายุหลายร้อยปี  แต่เห็นว่าสภาพยังสมบูรณ์อยู่มาก ”
 
                        “ อือ... ไปๆ น่าสน  งั้นพรุ่งนี้ซัก 10 โมงเช้าฉันขับรถไปรับนายที่คอนโดแล้วกัน ” กันต์เสนอทางเลือกให้อาชวินท์  คนตัวเล็กเลือกที่จะเสนอว่าตนเองจะไปรับดีกว่าเพราะอย่างไรเส้นทางที่จะไปพิพิธภัณฑ์ก็ต้องผ่านคอนโดของอาชวินท์อยู่แล้ว
 
                        และที่สำคัญถ้าไม่ไปรับ  อาชวินท์อาจจะนอนยาวจนลืมที่นัดกันไว้แน่ๆ
 
 
                        ก๊อกๆๆ
 
 
                   เสียงเคาะกระจกดังแว่วมาให้ได้ยิน  ทั้งสองคนหันไปมองตามเสียงก็พบกับพี่หนึ่งที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่พลางเบี่ยงหน้าเป็นเชิงบอกว่าให้ตามเข้ามาในห้อง
 
                        “ วิน  กันต์ เชิญ! ” กันต์คว้าสมุดจดงานเล่มเล็กที่คนตัวเล็กมักพกติดตัวติดมือไปด้วยเสมอ  ต่างกับอาชวินท์ที่เดินอาดๆเข้าไปทันที
 
                        “ เชิญนั่ง ”
 
                        “ บอสมีอะไรให้พวกกระผมรับใช้ขอรับ ? ” อาชวินท์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปหาเจ้านายด้วยสีหน้าทะเล้น
 
                        เพี๊ยะ!!
 
                   “ ไอ้โย่ง  อย่ามาทะลึ่ง ” พี่หนึ่งใช้ปลายนิ้วดีดลงหว่างคิ้วของอาชวินท์  ไม่หนักแต่ก็ไม่เบาจนเจ้าตัวต้องใช้มือขยี้ป้อยๆ
 
                        “ โอ๊ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย  เจ็บนะ ”
 
                        “ หนังหนาเหมือนหนังควายอย่างนายนี่เจ็บเป็นด้วยเหรอ?”พี่หนึ่งค่อนขอดอาชวินท์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก
 
                        อันที่จริงแล้วทั้งสามคนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว  เพราะพี่หนึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คณะ  และที่สำคัญยังพ่วงตำแหน่งพี่รหัสของอาชวินท์อีกด้วย  ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมาก  และเมื่อกันต์ได้รู้จักอาชวินท์ก็ทำให้สนิทกับพี่หนึ่งไปด้วย
 
                        แต่เมื่อต้องมาทำงานภายใต้หลังคาเดียวกัน  ทั้งสามจึงตกลงกันว่าเวลางานไม่มีคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง  มีแต่เจ้านายกับพนักงานธรรมดาๆคนหนึ่ง  เพื่อป้องกันเสียงนินทาจากคนอื่นๆว่าพวกเขาใช้เส้น  แต่ทั้งสองสร้างผลงานเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าตนเข้ามาทำงานที่นี่ได้เพราะฝีมือล้วนๆ
 
                        “ มีงานใหญ่เข้ามาคิดว่านายสองคนอาจจะชอบ ” พี่หนึ่งโยนแฟ้มปึกใหญ่ให้รุ่นน้องทั้งสอง  กันต์หยิบไปเปิดดู
 
                        พลันความรู้สึกเหมือนมีความร้อนแล่นวาบเข้าสู่ปลายนิ้วเมื่อหน้าแรกปรากฏขึ้น
 
                        ภาพเรือนโบราณหลังใหญ่ถ่ายจากมุมสูงเผยให้เห็นเรือนต่างๆเป็นกระจุกในบริเวณเดียวกัน  แต่ทว่ากลับทรุดโทรมตามกาลเวลา
 
                        หากแต่สิ่งที่สายตากลับแจ่มชัดในมโนสำนึก  กันต์รู้สึกราวกับนั่งรถถอยหลังไปอย่างรวดเร็วภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวได้  เรือนทรุดโทรมในรูปกลับกลายเป็นเรือนไทยหลังใหญ่โอ่อ่าแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่บ้างก็ปัดกวาดเช็ดถู  บ้างก็เดินถือสิ่งของวิ่งวุ่นราวกับจะมีงานสำคัญอะไรบางอย่าง
 
                        “ กรรณ... กรรณ ” เสียงเรียกแว่วดังมาจากที่ใดซักแห่ง  คนตัวเล็กพยายามตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นดังมาจากไหนหากแต่ไม่พบ
 
                        “ กรรณ... เจ้าอยู่ไหน? ” คราวนี้คนตัวเล็กรับรู้ได้ว่าเสียงลึกลับนั้นดังออกมาจากเรือนไทยโบราณหลังนั้น
 
                        กรกันต์ปล่อยแฟ้มในมือราวกับนั่นคือของร้อน  ก่อนจะถีบปลายเท้าไสเก้าอี้นั่งให้ถอยออกห่างอย่างตกใจ  ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อรู้สึกเลือดในร่างกายจับตัวเป็นก้อน
 
                        “ กันต์เป็นอะไร? ” พี่หนึ่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจในท่าทางของรุ่นน้อง  คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆไล่ความมึนงงก็เห็นอาชวินท์กับพี่หนึ่งที่ยืนเท้าโต๊ะมองมาที่ตนด้วยสีหน้าแปลกใจ
 
                        “ เอ่อ...ม่ะ...ไม่มีอะไรครับ ” กลั้นหายใจปฏิเสธไป  ก่อนจะกวาดตามองรอบๆ
 
                   ตาฝาด...บอกตัวเองว่าสิ่งที่เห็นแค่ตาฝาด
 
                   เขาคงนอนน้อยถึงได้ตาฝาดมองเห็นอะไรแปลกๆแบบนั้น
 
                        “ ไม่มีอะไรก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆสิ  รังเกียจพี่จนนายต้องถอยไปนั่งซะตรงนั้นเลยเหรอ? ” พี่หนึ่งกวักมือเรียกกันต์พลางแกล้งว่าด้วยเสียงขำๆ  กันต์เหลือบมองแฟ้มบนโต๊ะก่อนเลื่อนเก้าอี้กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
 
                   ในนั้นก็แค่ภาพถ่ายและภาพสเก็ตแบบคร่าวๆ
 
                   ไม่ได้มีอะไรแปลกไปอย่างที่เห็น
 
                        กันต์ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างโล่งอก  ก่อนจะตั้งใจฟังรายละเอียดจากเจ้านาย...
 
 
                        รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่วิ่งปุเลงขึ้นมาจนถึงลานจอดรถชั้น 7 กรกันต์ดับเครื่องก่อนจะเอื้อมมือไปเบาหลัง  คว้าถุงใส่อาหารมาถือไว้แล้วลงจากรถ
 
                        9 โมงเช้า ถือว่ามาเร็วกว่าเวลาที่นัดกับอาชวินท์ไว้  กันต์เดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างคุ้นเคย  ห้องพักของอาชวินท์อยู่เกือบจะสุดทาง  คนตัวเล็กเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง
 
 
เงียบ...
 
                        ไร้เสียงตอบรับ  ไม่มีเสียงหืออือใดๆลอดออกมาให้ได้ยิน  กรกันต์ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
 
                        เป็นแบบนี้ประจำ  ถ้าไม่ใช่วันทำงาน  อย่าหวังว่าเจ้าเด็กเด๋อร่างโย่งจะลุกจากที่นอนได้เร็วเป็นอันขาด
 
                        “ เมื่อคืนเล่นเกมจนดึกล่ะสิ ไอ้วิน! ” กันต์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย ก่อนจะล้วงเอาคีย์การ์ดที่วินเคยให้ไว้
 
 
                   “ สำหรับนายเข้าออกได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องขออนุญาต ”
                       
                        แอ๊ดดดด...
 
 
                   ภายในห้องยังสลัวเพราะเจ้าของห้องเล่นปิดม่านจนแสงแทบจะเข้าไม่ถึง  เสื้อผ้าใส่แล้วกองระเกะระกะ  ขวดเบียร์  ซองขนม  จานกับแกล้ม  เศษกระดาษ  ปากกา ดินสอกระจัดกระจายทั่วห้อง
 
                        บนโต๊ะอาหารตัวเล็กยังมีถ้วยบะหมี่ที่กินจนหมดเกลี้ยงวางทิ้งไว้
 
                        “ เหมือนหลงเข้ามาในกองขยะ ” กันต์จัดการวางของที่หิ้วมา ก่อนจะใช้มือบ้าง เท้าบ้าง คีบเอาเสื้อผ้าใช้แล้วเหวี่ยงลงในตะกร้าใบใหญ่  ถุงดำถูกนำมาใส่เศษขยะ  เพียงไม่นานทุกอย่างก็ดูดีขึ้นมานิดหนึ่ง  กันต์จัดการอุ่นอาหารเพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าของห้องกินจะได้ไม่เสียเวลาไปหากินเอาตามร้าน เขาจะได้มีเวลาเดินดูพวกโบราณวัตถุนานๆ
 
                        เพียงแค่อาหารเริ่มร้อนกลิ่นหอมเริ่มโชย  ร่างสูงที่นอนอุตุอยู่บนเตียงก็เริ่มขยับตัวก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดแล้วหลับหูหลับตางัวเงียลุกขึ้น
 
                        “ หอม... หอมอ่ะ ” อาชวินท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆก่อนจะวางคางลงบนไหล่มนของกันต์จนคนตัวเล็กต้องวางมือ  ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากอาชวินท์จนหน้าหงาย
 
                        “ ทำบ้าอะไรของนาย  ฉันไม่ใช่พวกสาวๆหน้าตาจิ้มลิ้ม อกฟูๆที่นายชอบไปอ่อยหรอกนะ ” กันต์จัดแจงตักอาหารใส่จานก่อนจะยื่นให้อาชวินท์เอาไปวางบนโต๊ะ  คนตัวสูงย่นจมูกกับคำประชดนั้น  ก่อนจะรับจานจากมือไปวางไว้บนโต๊ะโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
 
                        “ นายนัดฉัน 10 โมง ตอนนี้ 10 โมงครึ่งนายเพิ่งตื่น  อาชวินท์...  เมื่อไหร่จะเป็นคนรักษาเวลาซักทีฮะ! ” กันต์ใช้มือตัวเองยีหัวของอาชวินท์ที่ตักอาหารเข้าปากด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน
 
                        “ นี่ไง จะเสร็จแล้ว  บ่นเป็นผู้หญิงไปได้ ” อาชวินท์แกล้งว่าพลางทำท่าค้อนปะหลับปะเหลือก
 
 
                        เพียงไม่นานคนทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าตู้โชว์พวกเครื่องปั้นลายครามต่างๆ  อาชวินท์มองคนตัวเล็กที่ยืนอ่านประวัติของเครื่องลายคราม  หัวคิ้วขมวดม่นราวกับกำลังใช้ความคิด
 
                        “ นี่ ฉันแยกไปดูห้องอื่นนะ ” อาชวินท์สะกิดสีข้างคนที่ทำเหมือนตกอยู่ในภวังค์จนสะดุ้ง  กันต์พยักหน้ารับอาชวินท์จึงได้แยกออกไป
 
                        ขาเรียวเดินดูห้องนู้นเดินออกห้องนี้จนทั่ว  จนกระทั่งถึงโถงกลางที่จัดไฟให้สลัวเพื่อหนุนให้ของที่โชว์อยู่กลางห้องเด่นขึ้น
 
                        หีบโบราณใบใหญ่ตั้งอยู่บนแท่นทำมุมลาดเอียงเพื่อให้คนดูได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
 
                        กันต์เดินเข้าไปใกล้ๆราวกับพี่พลังบางอย่างดึงดูดตนเองให้เดินเข้าไปใกล้ๆ  จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าตัวเมียบใบใหญ่
 
                       
                        เฮือก!!!
 
 
                        ร่างบางสะดุ้งกับสิ่งที่เห็น  พลันความรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ  ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำก็แล่นเข้ามาจู่โจมอย่างรุนแรง
 
                        สิ่งที่อยู่ในหีบโบราณคือโครงกระดูกที่นอนคุดคู้กันสองโครง
 
                        อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่กันต์ไม่รู้ตัว  หัวใจเต้นตุบปวดหนึบราวกับคนที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมาน
 
                        เจ็บปวด...
 
ทรมาน...
 
ร่ำไห้....
 
และ  อาดูร ...
 
                       
                        เสียงสะอื้นเบาๆทำให้ใครบางคนที่กำลังก้าวเข้ามาให้ห้องโถงหยุดชะงัก  แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆนั้นจะต้องมาร้องไห้หน้าตัวเมียบใบใหญ่ แต่เขาเลือกที่จะหยุดรอ
 
                        เกรงว่าถ้าเดินเข้าไปดูจะเป็นการเสียมารยาท  จนกระทั่งกันต์หันหลังเดินสวนออกมา
 
                                    ราวกับเวลาเดินย้อนกลับหลัง  ภาพต่างๆราวกับถูกดูดย้อนวันเวลาจากกันต์ในปัจจุบันกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดโบราณกำลังเดินสวนกับผู้ชายร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าด้วยผ้าไหมราคาแพง
 
                        คนทั้งคู่เดินสวนกันผ่านกาลเวลา  คนหนึ่งเดินออก  ส่วนอีกคนเดินเข้า
 
                                    “ อ่าว ดูเสร็จแล้วเหรอ? ” อาชวินท์เอ่ยทักคนตัวเล็กที่ตามมาหาเขาในห้องที่จัดแสดงภาพวาด
 
                                    “ อื้อ เสร็จแล้ว ”
 
                                    “ เป็นอะไรตาแดงๆ ” อาชวินท์จับหน้าเพื่อนให้เงยขึ้นเพื่อที่ตนเองจะได้มองได้ถนัดๆ  กันต์เบี่ยงหน้าหลบพลางตีหน้ามุ่ยใส่
 
                                    “ ตาเดิงตาแดงอะไรล่ะ สงสัยฉันเพิ่งหาวไปมั้ง  ไปเถอะไม่มีอะไรจะดูแล้ว  กลับไปคิดงานที่จะต้องทำพรุ่งนี้ดีกว่า ” กันต์ไม่พูดอะไรต่อชายหนุ่มทำเพียงเดินนำอาชวินท์ออกไป
 
 
                                    “ กรรณ...”
 
 
                                    กึก...
 
                                    ร่างบางชะงักเมื่อได้ยินเสียงแหบทุ้มของใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อตน  คนตัวเล็กหยุดเดินพลางหันไปมองหาต้นเสียง  อาชวินท์ที่เดินตามหลังมาพลอยหยุดเดินทำหน้างงๆ
 
                                    “ มีอะไร ” ถามออกไปอย่างสงสัยในท่าทางแปลกๆของเพื่อน  กันต์เพ่งสายตามองหากแต่กลับไม่พบใครที่พอจะรู้จัก  ภายในโถงกลางที่แสดงหีบโบราณมีเพียงผู้ชายร่างสูงยืนหันหลังอยู่  กันต์ส่ายหน้าพลางปฏิเสธว่าไม่มีอะไร
 
                                    “ สงสัยหูแว่ว  เหมือนได้ยินคนเรียก ”
 
                                    “ ผีป่าววะ? ” อาชวินท์แกล้งทำหน้าตาตื่นกลัว  จนกันต์ต้องกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเอือมๆ
 
                                    “ ผีบ้าอะสิ ”
 
                                    “ เพชรคะ ” ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนมองโครงกระดูกสองร่างในหีบโบราณหันตามเสียงเรียกของหญิงสาวร่างบอบบางที่เดินส่งยิ้มเย็นๆมาให้
 
                                    “ บ่ายสามแล้วนะคะ จัสหิวแล้ว ” หญิงสาวเดินเข้ามาก่อนจะสอดมือเข้าไปคล้องแขนของชายหนุ่มที่ใช้มือตนเองล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางนิ่งๆอยู่
    
              พชรแกะมือหญิงสาวออกอย่างอ่อนโยน พยายามไม่ทำให้มัลลิการู้สึกเสียหน้า
 
    “ ขอโทษนะ พอดีผมดูอะไรเพลินๆไปหน่อย ”
 
            “ จะต้องดูอะไรอีกคะ  ของพวกนี้พิพิธภัณฑ์ก็ขอยืมจากคุณมาแสดงโชว์ทั้งนั้น ”
      
        “ ของบางอย่างมันมีเรื่องราวที่น่าค้นหาน่ะสิ  เช่นโครงกระดูกในหีบนั้น  อาจเป็นบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งของผม ”
 
       “ ตลกน่ะ ก็ต้องเป็นบรรพบุรุษของคุณอยู่แล้ว  ของมันอยู่ในบ้านคุณนี่คะ ”  จัสมินเอ่ยแซวอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ  หล่อนไม่ได้รู้สึกว่าของพวกนั้นมันมีคุณค่า
 
       “ ถ้าขายให้พวกนักสะสมของโบราณ... ”
 
     “ จะไม่มีการขายของพวกนี้เด็ดขาด! ” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ  ร่างสูงก็เอ่ยขัดออกมาแทบจะทันที
 
      “ ผมจะเก็บทุกอย่างไว้  เรือนโบราณกำลังจะบูรณะ  ผมจะเปิดให้คนภายนอกได้เข้าไปใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ” พชรเดินผละออกไปจากหญิงสาวแทบจะทันทีที่พูดจบ  จัสมินได้แต่เบะปากอย่างไม่ชอบใจ
 
                    “ รอแต่งงานกันเมื่อไหร่ก่อนเถอะ ฉันจะขายให้หมดเลย  รวมทั้งไอ้โครงกระดูกสองโครงนี้ด้วย ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ” หญิงสาวตวัดสายตาขุ่นมองโครงกระดูกในหีบโบราณอย่างไม่ชอบใจ
 
              ไม่รู้ทำไมแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตคนที่มีชีวิต  แต่หล่อนกลับไม่ชอบเอาซะเลย  รู้สึกเกลียดอย่างไม่มีเหตุผล หากแต่เมื่อหันไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง พชรก็เดินลับมุมห้องไปแล้ว มัลลิกาทำได้เพียงวิ่งตามแล้วร้องเรียก
 
                                    “ เพชรค่ะ รอจัสด้วย ”
 
 
                 TBC.…
                       
 ...................



หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-01-2019 04:45:16
รออีกค่ะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-01-2019 14:56:19
 :katai2-1:

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-01-2019 15:07:56
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 15-01-2019 21:08:36
Time of tears
Chapter 2
 
 
 
                    ครืน....
 
 
                 
                   เสียงฟ้าร้องแว่วมาจากที่ไกลลิบหลังภูเขาลูกใหญ่ปรากฏแสงจากสายฟ้ากรกันต์หักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางพลางเปิดแผนที่ดู  ความมืดเริ่มโรยตัว
 
 
                   คิ้วเรียวขมวดมุ่นพลางตวัดสายตาสอดส่ายหาอะไรที่พอจับอกทางตนเองได้ว่าเขาขับรถมาถูกทางแล้ว  กันต์พับแผนที่เก็บก่อนจะออกรถอีกครั้ง  หักเลี้ยวเข้าแนวป่าทึบที่มีถนนเล็กๆทอดยาวเข้าไป  ในที่สุดเพียงไม่นานรถยนต์คันเก่งของกันต์ก็แล่นมาจอดหน้าเรือนโบราณหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังแนวป่า
 
 
                   สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ  ลมแรงกรรโชกจะพัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศ
 
                 
          “ พายุเข้าหรือไงเนี่ย ? ” กันต์เอี้ยวตัวไปควานหาอะไรบางอย่างชั่วครู่ ก่อนจะคว้าร่มคันเล็กที่พกติดท้ายรถไว้เป็นประจำ
 
 
 
 
          ปัง! ปัง! ปัง!
 
 
         
          โลหะคล้องหน้าประตูไม้บานใหญ่ถูกคนตัวเล็กจับเคาะกับบานประตูจนเกิดเสียง  กันต์ยืนรอแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีสิ่งมีชีวิตออกมาต้อนรับเขา  คนตัวเล็กใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเล่นอย่างไม่สบอารมณ์
 
          คนที่นี่น่าจะรู้แล้วว่าเขาจะมา  แล้วทำไมทุกอย่างยังนิ่งสนิท  ร่างเล็กเคาะประตูอีกครั้งคราวนี้เพิ่มความแรงมากขึ้นจนเกิดเสียงดังลั่น  หากแต่ยังคงเหมือนเดิม ทุกอย่างภายหลังบานประตูยังคงเงียบ  กันต์ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกโบว์ได้อย่างไม่ชอบใจ  ร่างเล็กหมุนตัวเตรียมจะกลับขึ้นรถแต่ทว่า
 
          แอ๊ด ....
 
 
          เสียงประตูกถูกเปิดออก  คนตัวเล็กหันไปมองหญิงร่างท้วมคนหนึ่ง  ใบหน้าเรียบนิ่งเปิดประตูออกมามองเขา
 
          “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ จาก บริษัท L.H. Home Decor  ครับ ” ชายหนุ่มโค้งให้กับหญิงชราแล้วแนะนำตัว
 

          “ เชิญ  นายน้อยรอนานแล้ว ”
 

          กึก...!
 
          กันต์ชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำที่หญิงชราใช้เรียกเจ้าของบ้าน
 
          เพียงแค่ก้าวเข้าไปในเขตบ้าน  กาลเวลาก็หมุนย้อนกลับไปในวันวาน  กันต์ในปัจจุบันเป็นเด็กชายสวมใส่เสื้อผ้ามอซอหน้าตามอมแมมเดินตามหญิงชราร่างท้วมในชุดไทยแบบโบราณคือผ้าแถบสี่ทึมๆและโจงกระเบนเข้ามาในบ้าน  ในอ้อมแขนมีห่อผ้าเก่าๆที่ใส่เสื้อผ้าเพียงสองชุดไว้แน่น  ดวงตากลมโตมีแววหวาดหวั่นแต่ทว่ายังแฝงความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก
 

          “ นี่จะเดินโอ้เอ้อีกนานมั้ยห๊ะ? ข้าไม่ได้มีเวลายืนรอเจ้าทั้งวันนะ ไอ้เด็กเหลือขอ! ” หญิงชราที่หยุดรอเปล่งเสียงแหวมาให้เด็กน้อย จนกันต์ที่กำลังสนใจปลาสีสวยในสระน้ำถึงกับสะดุ้ง
 
         
“ ขอรับๆ ข้ากำลังจะรีบ ”
 
 
          “ เออ  แหม...ดีนะ  กำลังจะรีบ  ข้าจะบอกอะไรให้นะ  อยู่บ้านนี้เรือนนี้เอ็งาจะใช้คำว่ากำลังจะไม่ได้หรอกนะ  ทำอะไรต้องรวดเร็วตลอดเวลาท่านเจ้าคุณไม่ชอบคนยืดยาด” นางว่าพลางฟาดฝ่ามืออูมลงตรงไหล่เล็กเสียทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้  หยิกเนื้อนิ่มจนเด็กน้อยสูดปากร้องด้วยความเจ็บ
 
          “ โอ๊ย... ข้าเจ็บนะ ”
 
          “ ก็ตีให้เจ็บไง  ถ้าความหลังเอ็งายังชักช้าเจ้าจะโดนหนักกว่านี้ เดินมา ” กรรณใช้มือเล็กๆของตนขยี้หัวไหล่ที่ถูกหยิก  ปากเล็กขมุบขมิบก่นแข่งหญิงชราอยู่ในใจ  เด็กน้องเดินตามจากหน้าประตูลัดเลาะเรือนต่างๆ สวนสวยที่ติดสระน้ำ  จนในที่สุดก็ถูกพามาหยุดที่เรือนไม้เป็นแถวยาว ไม่ไกลจากที่ยืนอยู่มีควันไฟพร้อมกับกลิ่นหอมฉุยของอาหาร  จนเด็กน้อยเผลอกลืนน้ำลายด้วยความหิวตามประสาเด็ก
 

          “ เดี๋ยวเอ็งาไปอาบน้ำอาบท่า ขัดขี้ไคลให้เรียบร้อยนะ เสร็จแล้วไปหาข้าที่ครัว เดี๋ยวข้าจะพาไปหาคุณหญิง ”
         

          “ นี่คุณคะ เข้าใจที่บอกมั้ยคะ ? ” เสียงคำถามที่เหมือนจะดังแว่วมาจากที่ไกลๆทำให้กันต์สะดุ้งเฮือกราวกับหลุดจากภวังค์  คนตัวเล็กกระพริบตาไล่ความมึนงง
 
 
          “ ฮะ... อะไรนะครับ ? ” กันต์ไล่ความมึนงงกับสิ่งที่เห็นออกไป ก่อนหันมาสนใจหญิงชราที่มีหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนจากที่เห็นในอดีต  นางทำหน้าไม่พอใจก่อนจะกระแทกเสียงใส่
 
 
          “ ดิฉันบอกคุณให้ยืนรอตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปเรียนนายน้อยให้ว่าคุณมาแล้ว ส่วนเสื้อผ้าข้าวของของคุณดิฉันจะให้คนไปเอามาเก็บไว้ที่ห้องให้นะคะ ”
 
          “ ครับ ขอบคุณครับ ” ได้แต่รับคำไปอย่างแกนๆ
 
 
          เขาต้องมาพักที่บ้านหลังนี้เพราะสถานที่อยู่ไกลจากกรุงเทพร้อยกว่ากิโลเมตร เป็นเมืองที่แวดล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำอีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนจำนวนมากหากแต่เรือนหลังนี้อยู่ออกมานอกอำเภอเมืองอีกเล็กน้อยผู้คนจึงไม่พลุกพล่าน  ร่างเล็กหุบร่มวางพิงไว้กับเสาบ้านก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ความมืดที่โรยตัวบวกกับความอึมครึมของบรรยากาศยามฝนตก  ทำให้บ้านดูวังเวง ลมเย็นที่พัดกรูเข้ามาพาให้ขนลุกเกรียวจนต้องยกแขนกอดอกไว้
 
 
          น่าแปลก... ที่ทุกอย่างดูคุ้นตา
 
          บางสิ่งบางอย่างบอกว่าเขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้
 
          ราวกับเคยอาศัยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานแสนนาน
 
 
          “ คุณคะ นายน้อยเชิญที่ห้องอาหารค่ะ ”
 
          กันต์เดินตามหญิงชราเข้าไปในบริเวณเรือนหลังใหญ่ ภายในยังคงตกแต่งแบบโบราณแท้  เครื่องเรือนต่างๆเป็นไม้เนื้อดีที่มีอายุนับร้อยปี  เป็นของโบราณแท้ๆ ตามฝาผนังมีภาพวาดและตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันจีนตามแบบนิยมของคนสมัยก่อนที่ชอบสะสมพวกคติธรรมดีๆ หรือภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื้อก้องในสมัยนั้น  พื้นไม้กระดานแผ่นใหญ่ถูกถูจนขึ้นเงา
 
 
          “ บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าเหรอครับ ? ” อดแปลกใจไม่ได้เมื่อแม่บ้านชราใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่าง รวมทั้งบริเวณบ้านไม่มีหลอดไฟหรือปลั๊กไฟซักตัว
         
 
          “ มีค่ะ แต่นายน้อยชอบบรรยากาศแบบนี้เราเลยใช้ตะเกียงแทนหลอดไฟฟ้า ”
 
 
          พิลึก... อดค่อนขอดในใจไม่ได้  ถ้าเป็นการออกแบบฝังพวกสายไฟกับเต้าเสียบต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่าทำได้อย่างแนบเนียนมากเพราะเขาหาไม่เจอเลยซักเส้น
 
          “ สายไฟที่เรือนต่างๆถูกสั่งให้ฝังลงดินค่ะส่วนที่อยู่ในตัวบ้านใช้การตกแต่งพรางตาเอาทำให้ไม่เห็นพวกปลั๊กหรือเต้าเสียบ นายน้อยอยากให้สภาพบ้านคงอยู่เหมือนโบราณมากที่สุด ” กันต์อดแปลกใจไม่ได้ที่แม่บ้านชราราวกับอ่านความในใจของเขาออก  ชายหนุ่มได้แต่ทำตาโตวูบหนึ่งก่อนกลบเกลื่อนไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นที่สาดซัดเข้าฝั่ง  ฟองสีขาวกระทบพื้นทรายแล้วกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว
 
          “ เชิญค่ะ ” หญิงชราเปิดประตูไม้สีทึบให้ร่างบางเดินเข้าไป  ภายในมีกลิ่นหอมจากไม้หอมบางชนิดซึ่งอาจจะเป็นกำยานหรืออาจจะเป็นสเปรย์ปรับอากาศแต่ช่วยทำให้บรรยากาศภายในดูละมุนขึ้นทันตา
 
          “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ จาก... ”
 

          “ เชิญนั่ง... อาหารเย็นจะเริ่มเวลา 19.00 น. อาหารเช้าจะเริ่ม 8 โมงตรง ส่วนอาหารกลางวันแล้วแต่สะดวก เช้ากับเย็นเราจะมาร่วมโต๊ะกันทุกวัน ” ยังไม่ทันที่กันต์จะได้เอ่ยแนะนำตัวได้จบประโยค เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านที่ยืนหันหลังคนน้ำอะไรบางอย่างในแก้วก็พูดแทรกขึ้น  แสงไฟจากตะเกียงที่แขวนตามจุดต่างๆและเชิงเทียนบนโต๊ะเผยเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่ถือได้ว่า  ‘ หล่อจัด ’ คนหนึ่ง
 
          แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้กันต์รู้สึกดีกับการเสียมารยาทของเจ้าของบ้านเลยซักนิด
 
          “ เกรงว่าจะเป็นการรบกวน  ผมเป็นคนทานอาหารไม่ตรงเวลา... ”
 
          “ แต่อยู่ที่นี่คุณจำเป็นต้องตรงต่อเวลาที่ผมกำหนด ” กันต์กัดปกอย่างไม่ชอบใจ พอดีกับที่เจ้าของบ้านหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาพอดี  แสงแปลบปลาบจากสายฟ้าสาดเข้ามาในขณะที่ชายหนุ่มหันกลับมา  กันต์สะดุ้งกับเสียงฟ้าผ่า  เทียนบางเล่มดับไปห้องมืดลงกว่าเดิมนิดหน่อย  เพชรหยิบกล่องไม้ขีดบนโต๊ะมาจุดเทียนเล่มที่ดับจนครบ
 
          “ อย่าหาว่าผมไร้มารยาทเลย  ผมเป็นเจ้าของบ้านก็ต้องดูแลแขกไม่ให้ขาดตกบกพร่อง  ถ้าคุณไม่มาร่วมโต๊ะกับผม ผมจะทราบได้อย่างไรว่าคุณทานข้าวหรือยัง ? ผมทราบคุณมักจะทำงานจนลืมเวลาอยู่เสมอ  และถ้าคุณมาทานข้าวโดยไม่มีผม มาทานก่อน หรือมาทานหลังผม ผมทราบว่าคุณคงจะรู้สึกไม่ดี คงรู้สึกว่าตัวเองเป็นแขกที่ไร้มารยาทที่กินโดยไม่รอเจ้าของบ้าน หรือปล่อยให้เจ้าของบ้านหิวจนต้องกินไปก่อนใช่มั้ยครับ ? ” กันต์ได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดที่เหมือนจะอธิบายแต่ประโยคท้ายคือ
 
          หลอกด่ากูนี่หว่า...
 
          คนตัวเล็กใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่ชอบใจ  เป็นกริยาที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่หงุดหงิด
 
          “ ใช่ครับ แหม นี่ถ้าคุณลูกค้า อ่อ...คุณชื่ออะไรนะครับ ? ”
 
          เพชรตวัดตามองกันต์ที่ยืนกอดอกเต๊าะลิ้นเล่นราวกับรอคำตอบจากเขาอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่
 
          มาทำงานบ้านเค้า   เป็นไปได้เหรอที่จะไม่รู้จักชื่อผู้ว่าจ้าง
 
 
          “ เพชร... พชร ” ชายหนุ่มก้าวยาวๆเพียงสองสามก้าวก็เข้ามาประชิดตัวคนตัวเล็กจนกันต์ถอยไปข้างหลังอย่างตกใจ  หลังของร่างบางเกือบชนกับพนักเก้าอี้โชคดีที่เพชรรวบเอวไว้  พลางรั้งให้คนตัวเล็กเข้าหาตัวได้ทัน
 
          “ ระวังหน่อยนะครับ พลาดพลั้งไปคุณจะเจ็บ ”
 
          “ ขอบคุณ ” กันต์เอ่ยขอบคุณพลางผละตัวออกจากร่างสูง  ในขณะเดียวกันประตูไม้ก็ถูกเลื่อนออกอีกครั้งพร้อมแม่บ้านสองสามคนที่ทยอยยกถาดอาหารเข้ามา
 
          “ เอ่อ...ไม่ทราบว่าจะจัดงานเลี้ยงเหรอครับ ? ” อดที่จะแขวะไม่ได้เมื่อเห็นอาหารมากมายถูกนำมาวงบนโต๊ะ  เพชรมองคนตัวเล็กพลางเลิกคิ้วราวกับไม่เข้าใจคำถามของคนตัวเล็ก
 
          “ ผมหมายถึง นอกจากผมแล้วคุณยังมีแขกคนอื่นอีกเหรอครับ ”
 
          “ ไม่นี่...มีแค่เรา ”
 
          “ กินกันแค่สองคนเนี่ยนะ ” คนตัวเล็กเพิ่มเลเวลของเสียงขึ้นมาอีกสามสเต็ปครึ่ง
 
          “ กินกันสองคนอาหารเป็นสิบอย่าง... ผมว่าคราวหลังแค่ข้าวไข่เจียวราดซอสก็พอครับ ผมกินง่าย ”

          “ บ้านนี้มีคนอีกเป็นสิบคนครับ  ไม่ต้องกลัวว่าอาหารจะเหลือ เชิญทานเถอะครับ ผมคิดว่าคุณคงจะหิวแล้ว ”
 
          “ ผมขอล้างมือก่อนได้มั้ยครับ ? ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหน ”
 
          “ เข้าไปใช้ในห้องทำงานผมก็ได้ครับ ” เพชรผายมือไปยังห้องติดกันที่ถูกปิดประตูไว้  กันต์เอ่ยขอบคุณก่อนจะหายตัวไปชั่วครู่ แล้วกลับมาด้วยหน้าตาที่สดชื่นขึ้น  จากนั้นมืออาหารที่ชวนอึดอัดก็เกิดขึ้น เพชรไม่ได้เอ่ยคุยเรื่องอะไรอีก  ในขณะที่กันต์ก็หิวจนเกิดกว่าจะสนใจเจ้าของบ้านจนในที่สุด
 
          เอิ่กกกกกก....
 

          “ อุ่ย... ขอโทษครับ  มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ ” กันต์ที่แกล้งเรอออกมาแสร้งทำสีหน้าตกใจก่อนจะเอ่ยขอโทษอย่างเสแสร้งแล้วต่อท้ายประโยคด้วยสีหน้าที่สะใจสุดๆว่า
 
          “ พอดีที่บ้านไม่ได้เคร่งเรื่องมารยาทน่ะครับ ”
 
 
 
          “ นี่พี่หนึ่ง พี่ส่งผมมาเข้าค่ายดัดสันดานหรือไง  พี่รู้มั้ย ตาขี้เก๊กนั่นตั้งกฎอะไรกับผมบ้าง ” เสียงที่ลอดออกจากห้องนอนของคนตัวเล็ก  มัณฑนากรที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุงบ้านของเพชรลอดออกมาโดยที่เจ้าตัวคงลืมไปว่า ไม่ได้อยู่คอนโดของตัวเอง ทำให้คนที่เพิ่งละมือจากงานเอกสารสำคัญต่างๆกำลังจะเดินทางกลับห้องถึงกับชะงัก
 
          ไม่ได้อยากเสียมารยามแอบฟัง  เพชรตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร  และไม่สนใจใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจว่าตนจะเดินผ่านห้องของแขกไปอย่างเงียบๆ
 

          “ โอ๊ยพี่  ผมมาถึงยังแนะนำตัวไม่จบเลยตานั่นก็พูดแทรกแจงเวลาอาหารมาว่าต้องกินเวลานั้นเวลานี้  คิดว่าตัวเองเป็นใครก็แค่ผู้ว่าจ้างจะมาบงการชีวิตคนอื่นได้ไง  คอยดูนะพรุ่งนี้ผมจะลงไปกินข้าวเช้าตอนเที่ยง ทนหิวท้องรอได้ก็ทนไป คิดดูนะพี่ผมมาเพิ่งมาถึงเนื้อตัวเปียก แทนที่จะให้ผมเข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่าก่อนไม่มี  ให้ผมนั่งกินข้าวทั้งทีหัวเหอเปียกเป็นลูกหมาเลย.... เออๆๆ... นี่ไม่อยากจะบ่นนะ  เดี๋ยวจะหาว่าผมนินทาเจ้าของบ้านตั้งแต่วันแรกที่มาถึง  ดีนะที่บ้านสอนมารยาทมาดี ” เพชรแทบจะหลุดหัวเราะออกมากับประโยคหลัง
 
          “ พอดีที่บ้านไม่ได้เคร่งเรื่องมารยาทน่ะครับ ”
 

          คำพูดในห้องอาหารยังคงดังก้องอยู่ในหัว ท่าทางจะร้ายไม่เบา
 
 
  “ เออแค่นี้นะ  เดี๋ยวจะนอนแล้วพรุ่งนี้จะลุยงานแต่เช้าจะได้เสร็จไวๆ อยู่กับคนมารยาทจัดแล้วคันตัวเหมือนผื่นจะขึ้น ” เสียงคนในห้องเงียบไปพร้อมกับเสียงกุกกัก เพชรเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยซักนิด  ชายหนุ่มย่องผ่านห้องของกันต์กลับไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ถัดไปโดยมีทางเดินกั้นกลาง
 
 
 
          เพชรจำกันต์ได้ตั้งแต่แรกเห็น  ผู้ชายที่ยืนร้องไห้ราวกับคนที่กำลังสูญเสียสิ่งสำคัญไปที่หน้าตัวเมียบโบราณวันนั้น
 
          ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่มานั่งเรอให้เขาฟังในห้องอาหาร
 

          “ แบบไหนนะคือตัวตนที่แท้จริงของคุณ เศร้าสร้อยหรือกวนประสาท ”
 
 
          “ กรรณ... กรรณ... เจ้าอยู่ไหน ? ” ร่างบางบนเตียงกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดเล็ดผุดเต็มใบหน้า  ร่างเล็กส่ายหน้าไปมา  น้ำตาไหลลงสองข้างแก้ม
 
 
          ในฝัน
 
 

          กรรณพยายามวิ่งฝ่าหญ้าคาต้นสูงโดยไม่คำนึงเลยซักนิดว่าใบหญ้าที่คมราวกับใบมีดจะบาดผิวอ่อนๆของตนเองจนเป็นแผลเต็มไปหมด
 
 
          “ นายน้อย...ฮึก... นายน้อยท่านอยู่ไหน ” สองเท้าวิ่งไม่ได้หยุด  ห่อผ้าที่สะพายมาบนไหล่หล่นลงพื้นโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะเก็บ สองมือแหวกพงหญ้า  สายฟ้าที่แลบปลาบทำให้ร่างบางสะดุ้งพลางหลบเพราะความกลัวโดยอัตโนมัติ
 
 
          “ อย่ามา   หนีไป ” เสียงทุ้มแหบพยายามร้องบอก  ร่างบางส่ายหน้าไปมา น้ำตาไหลลงสองข้ามแก้ม

 
          “ นายน้อย...ไม่  พวกเจ้าจะทำอะไร นั่นคุณเพชรของท่านเจ้าพระยานะ ” กันต์กระเสือกกระสนวิ่งลงไปในน้ำ เพื่อจะตามเรือลำใหญ่ที่แล่นเอื่อยราวหลอกล่อ
 
 
          “ อยากได้คุณพี่คืนมากนักเหรอ ไอ้ขี้ข้า! ”
 

          กึก!...
 
                   ร่างบางหยุดกับที่ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น  เมื่อหันกลับไปก็ถูกไม้ยาวฟาดลงบนต้นคอจนล้มทั้งยืน
 

                   ใคร....?
 
                   กันต์ที่ยืนมองเหตุการณ์ในฝันพยายามเพ่งมองฝ่าความมืด สตรีท่าทางสง่างามยืนมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยท่าทางนิ่งสนิท  ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนที่ลุยน้ำลงไปตีกรรณ  ออกแรงลากร่างเล็กที่นอนหมดแรงเข้าฝั่ง
 
                   “ คุณสบันงาเจ้าคะ ” นางเอ่ยเรียกผู้หญิงคนนั้น  ความมืดทำให้มองใบหน้านั้นไม่ชัดจนกระทั่ง

 
                   “ เอาเรือเข้าฝั่ง  กูจะถ่วงพวกมันสองคนให้ไปครองรักกันที่ก้นแม่น้ำ ”

 
                   เปรี้ยง!!!!

 
                   เสียงฟ้าผ่าลงบนยอดไม้ใหญ่  แสงสว่างวาบจนทำให้เห็นดวงหน้าของหญิงคนนั้น  พร้อมๆกับที่กันต์สะดุ้งตื่นขึ้นมา  เมื่อหน้าต่างห้องที่ตนเองเปิดรับลมช่วงหัวค่ำถูกลมตีจนพัดมาปะทะขอบหน้าต่างส่งเสียงดังลั่น
 
 
                   เฮือก!!!
 
                   ร่างบางเด้งตัวขึ้นนั่งสายตามองไปยังต้นเหตุของเสียง  กันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตี 4 ฝนข้างนอกตกหนักละอองฝนสาดเข้ามาในห้องจนพื้นเปียก  กันต์ลงจากเตียงเดินไปจะดึงหน้าต่าง  แต่สายตาพลันเห็นบางอย่างตรงศาลากลางน้ำ
 

                   เสียงซอแว่วหวานแทรกมากับเสียงฝน  ภาพผู้ชายสองคนนั่งซ้อนในชุดโบราณที่เห็นบ่อยๆในละครพีเรียด  ราวกับว่าคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าบอกฐานะว่าเข้าขั้นดีมากขนาดไหน เพราะเนื้อผ้ามันเงาด้วยไหมเนื้อแท้กำลังสอนคนตัวเล็กกว่าที่ใส่เสื้อผ้าซอมซ่อให้เล่นซอ
 
                   ลมเย็นปะทะผิวจนขนลุกเกรียว  ภาพที่เห็นมลายหายไปราวกับละอองสีรุ้งแทนที่ด้วยภาพหญิงสาวนางหนึ่ง  เหมือนในความฝันเดินมากับคนรับใช้ผู้หญิงอีกคน  คนที่ฟาดท่อนไม้ใส่กันต์ในฝัน  ร่างเล็กยกมือขึ้นลูบต้นคออย่างลืมตัว
 
                   สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘ คุณสบันงา ’ หันรีหันขวางในขณะที่ผู้เป็นบ่าวยืนประสานมือก้มหัวอย่างเกรงกลัว
 
                   พลัน!
 
                   เฮือก!!
 
                   ปัง!!!
 
                   ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นหันขวับมามองกันต์ดวงสายตาอาฆาต  ร่างเล็กก็กระชากหน้าต่างปิดอย่างแรงแล้วกระโดดแผล่วขึ้นเตียง  เท้าเกี่ยวผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอง
 
                   “ คนหรือผีวะ? ” ร่างเล็กนอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เห็นจนผล็อยหลับไปอีกรอบ
 
                   เสียงซอหวานแว่วที่ได้ยินยังคงตราตรึงในหัวใจจนมุมปากยกยิ้มน้อยๆ
 
                   “ นายน้อย... ”

 
จวนรุ่งเช้าชุ่มฉ่ำพยับฝน
ฟ้าคำรณเลื่อนลั่นทั่วเวหา
ฝนกระหน่ำดุจดั่งหยาดน้ำตา
เศร้าโศกาชีวาต้องวายปราณ
ทัณฑ์แห่งรักใครเห็นมิควรคู่
ตรวนร้อยรัดมุ่งสู่อวสาน
ใต้ผืนน้ำฝังร่างอนธกาล
ใจสั่งสาส์นก่อนวิญญาณจะปลดปลง
จากวันแรกพบพานขานสนิท
จากเพียงพิศเป็นชิดใกล้ตามประสงค์
ในสวนขวัญมองพุดจีบปีบประยงค์
เคยนั่งลงพร่ำพรอดกกกอดเกย
ซอแว่วหวานจากศาลา ณ กลางน้ำ
ที่ใจหวามด้วยสนิทแนบเขนย
มือเคยแตะหัดซอต่อทรามเชย
ซ่านสีแก้มเอื้อนเอ่ยมีวาจา
แสนเสียดายต่อจากนี้ไม่มีแล้ว
เจ้าดวงแก้วในถวิลผินแลหา
อันชีวิตหลังจากไกลใครนำพา
ใครรู้ว่าจะได้กลับมาพบกัน
ทำได้เพียงให้สัตย์อธิษฐาน
ใจสองขอยืนกรานเป็นคำมั่น
เกิดชาติใดให้ได้มาผูกพัน
สิ่งใดมิอาจกั้นแม้ความตาย
สัตยาชาตินี้ชีวีคู่
ความตายอยู่ตรงหน้าดังคาดหมาย
เกิดไม่พร้อมแต่ตายพร้อมไม่เสียดาย
ขอให้สายธารเย็นเป็นพยาน
มือที่แตะหัดซอเคยชิดแนบ
ครานี้มืออิงแอบรอประหาร
ชีวิตดับล่วงลับเหลือวิญญาณ
ขอคิดอ่านพิศวาสทุกชาติไป
ซอเสียงแผ่วแว่วมากลางเสียงฝน
เสียงซอโศกระคนปนพลิ้วไหว
ตรวนตอกตรึงร่างจนชลาลัย
หากสองใจไร้ตรวนล้วนผูกผัน
สัตยาอธิษฐานว่าชาติหน้า
จะพบพานตามสัญญาเป็นคู่ขวัญ
รักที่เกิดสถิตแล้วเป็นนิรันดร์
ไม่มีวันเปลี่ยนผันเป็นอื่นเอย
 
[/i]

                   “ อาการเป็นยังไงบ้างครับหมอ? ” เพชรที่นั่งอยู่ข้างเตียงของคนตัวเล็กที่หลับสนิทปากซีดอยู่บนเตียงเอ่ยถามคุณหมอชราที่ตนรีบบึ่งรถไปรับทันทีหลังรู่ว่าคุณช่างตัวแสบไม่สบาย
 
 
                   “ ไข้หวัดธรรมดา น่าจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางแล้วมาโดนฝนอีกเลยป่วย  ให้พักแล้วกินยาตามที่หมอสั่ง สองสามวันก็หาย ”
 
                   “ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ  เดี๋ยวผมให้เมฆขับรถขับรถไปส่งนะครับ  มะลิไปหยิบซองบนโต๊ะทำงานมาแล้วเรียกเมฆมาด้วย ” เพชรสั่งงานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าอกของกันต์ ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกจุ่มลงไปในน้ำแล้วบิดหมาดก่อนจะนำมาเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้  หลังมืออังบนหน้าผากที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้
 
                   “ นึกยังไงเปิดหน้าต่างนอน ” อดบ่นคนตัวเล็กไม่ได้  เช้านี้เขาไปนั่งรอกันต์ที่ห้องอาหารตั้งแต่ก่อน 8 โมง จนกระทั่ง 9 โมงกว่าก็ยังไม่เห็นคนที่บอกว่าจะลงมากินข้าวตอนเที่ยง  จึงสั่งให้มะลิไปตามกันต์  เพียงครู่เดียวแม่บ้านชราก็ไปรายงานว่า
 
                   “ คุณช่างไม่สบาย  นอนเพ้ออยู่บนเตียงค่ะ ” เพียงเท่านั้นเพชรก็ก้าวพรวดๆมาดูอาการคนป่วยที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง  ผู้ชายเจ้าระเบียบกวาดตามองจนทั่วห้องก็พบว่าบริเวณพื้นใกล้หน้าต่างเปียกชื้นจากละอองฝน  หน้าต่างปิดไม่สนิท  ร่างบางนอนเพ้อพูดจาไม่เป็นคำ
 

                   “ นายน้อย... อึก ... ระวัง  อย่าไป ”
 

                   “ หืม ? ”
 

                   “ นางจะฆ่าท่าน...ใจร้าย  อย่าเชื่อ ”
 
                   “ กันต์  คุณ... ” เพชรพยายามเรียกคนป่วย  แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาซ้ำยังร้องไห้จนชายหนุ่มใจเสีย  เพชรตัดสินใจขับรถเข้าตัวเมืองเพื่อไปรับคุณหมอ แพทย์ประจำตัวมาดูอาการของกันต์
 

                   ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วงคนๆนี้ทั้งๆที่เพิ่งได้พบกัน

 
                   แค่ก...แค่ก...
 

                   เสียงไอจากคนบนเตียงดึงสติของเพชรให้กลับมา  ชายหนุ่มหยิบผ้าที่โปะบนหัวของกันต์ออกมาชุบน้ำแล้วนำไปวางอีกรอบ
 
                   แพขนตาหนากระพริบปริบๆ ลิ้นสีสดส่งออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
 
                   “ หิวน้ำหรือเปล่า ? ” เพชรถามเสียงเรียบ  คนป่วยพยักหน้าพลางยกมือขึ้นหยิบผ้าบนหัวตัวเองโยนทิ้งอย่างไม่ชอบใจ
 
 
                   เผี๊ยะ!!
 
                   ทันทีที่เพชรเห็นชายหนุ่มก็ฟาดมือลงบนมือนุ่มของกันต์ทันที  ก่อนจะก้มลงไปหยิบผ้าขึ้นมาชุบน้ำแล้วโปะลงไปใหม่
 
                   “ อย่าคิดจะหยิบออกอีก ไม่งั้นผมจะเอาที่ช๊อตยุงมาช๊อตมือคุณ ” ชายหนุ่มขู่คนป่วยที่นอนอ้าปากค้างบนเตียงก่อนจะประคองให้นั่งพิงหมอน  แก้วน้ำที่มีหลอดพร้อมถูกจ่อตรงปาก  กันต์ยื่นมือจะคว้าหากแต่เพชรกลับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
 
                   “ ผมแค่ไม่สบายไม่ได้เป็นง่อย ”
 
    “ กินของที่ผมป้อนไม่ทำให้ศักดิ์ศรีคุณลดลงหรอก ” คนป่วยได้แต่หันหน้าไปทำปากขมุบขมิบอีกทางก่อนจะหันมางับหลอดน้ำอย่างไม่พอใจ เพราะดูดเร็วไปทำให้น้ำที่กินขึ้นจมูกจนสำลักน้ำจากในปากไหลออกมาเปื้อนมือคนป้อน  เพชรรีบลูบหลังคนป่วยที่สำลัก ไอจนตัวโยนก่อนจะเอาทิชชู่มาซับปากให้

                   “ เป็นยังไงบ้างคุณ  ค่อยๆกินสิ ” เหมือนจะเป็นคำดุ  แม้ใบหน้าจะนิ่ง  แต่สายตาที่มองมาที่กันต์ทำให้คนตัวเล็กเถียงไม่ออก  ได้แต่เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนที่เพชรประคองตัวเองไว้
 
                   “ ขอบคุณ ”
 
                   “ ทานข้าวต้มเถอะจะได้ทานยา ” เพชรยกชามข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมจนคนป่วยกลืนน้ำลายลงคอดังดังเอื๊อกใหญ่ ชายหนุ่มคนข้าวต้มพลางเป่าควันอย่างอ้อยอิ่งราวกับจะแกล้งคนป่วยที่เมื่อวานบอกว่าจะลงมากิน
                   “ นี่คุณ!  จะเป่าจะข้าวมันงอกต้นหรือไง ” ในที่สุดคนที่นั่งท้องร้องจ๊อกๆก็อดทนไม่ไหวแขวะเจ้าของบ้านไปหนึ่งดอก  เพชรยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันมาตีหน้าใสซื่อ
 
                   “ อ่าว.. คุณหิวหรอ  เมื่อคืนผมเดินผ่านห้องได้ยินคุณบอกว่าจะกินข้าวเช้าตอนเที่ยง  นี่เพิ่ง 10 โมงกว่าเองนะ เดี๋ยวผมเป่ายันเที่ยงเลยก็ได้ ” กันต์ได้แต่ทำตาโตอ้าปากค้าง
 
                   ไอ้บ้าเอ๊ย… แอบมาฟังเราคุยโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่
 
                   “ นี่คุณ... ”
 
                   “ หยุดเลย!  ห้ามกล่าวหาว่าผมแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์เด็ดขาด  ผมแค่เดินผ่านจะกลับห้องแต่บังเอิญได้ยินคนบางคนกำลังนินทา  ผมเลยต้องฟังซักหน่อยเพื่อรักษาสิทธิ์ ”
 
                   “ เขาไม่ได้เรียกว่านินทา  เขาเรียกว่าเล่าสู่กันฟัง  แล้ววันนี้ผมจะได้กินข้าวมั้ยเนี่ย ? ” คนป่วยแก้เก้อด้วยการแหวใส่เจ้าของบ้ายที่ถือชามข้าวเดินร่อนไปร่อนมาราวกับจะกระจายกลิ่นอันหอมฟุ้งให้ทั่วห้อง
 
                   “ อ่ะ ” ชายหนุ่มยอมยื่นชามข้าวให้เพราะสงสารคนป่วยที่ทำปากเชิดใส่เขาอย่างหงุดหงิด
 
 
                   “ วันนี้ยอมให้ก่อน  ไม่อยากแกล้งคนป่วย ” ชายหนุ่มปิดประตูก่อนจะยกยิ้มอย่างชอบใจ

 
                   ไม่รู้เพราะถูกชะตาหรือถูกใจกันแน่  ทำให้ผู้ชายเงียบๆอย่างเขาอยากจะหาเรื่องแกล้ง หาเรื่องพูดคุยกับมนุษย์จอมดื้อที่นั่งซดข้าวต้มอย่างสบายอารมณ์คนนั้นเสียเหลือเกิน
 
 
 
 
                   TBC...
 
 
 
 ..............................

นายน้อยแห่งเรือนโบราณเจอกับคุณช่างจอมกวนอารมณ์แล้วนะคะ

ขอโทษสำหรับเสียงเรอ

พอดีที่บ้านไม่เคร่งเรื่องมารยาทน่ะค่ะ ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-01-2019 22:10:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-01-2019 22:31:53
ทั้งหลอน ทั้งมุ้งมิ้ง น่ากลั่นแกล้ง โอ๊ย... กันต์น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-01-2019 18:52:54
Time of tears
Chapter 3

 
                        ร่างบางที่นั่งคลุมตัวด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปยังศาลากลางสระกว้าง  ดวงตาเรียวมองเพ่งไปยังจุดที่เห็นร่างคนสองคนนั่งสีซอกันเมื่อคืน  มือเรียวยกขึ้นนำบุหรี่ที่หมดไปกว่าครึ่งมวนขึ้นมาอัดควันราวกับใช้ความคิด
 
 
                        ทำไม...?
 
 
                        ทำไมตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วเขารู้สึกเหมือนความฝันมันจะดำเนินเรื่องราวมากขึ้น  ภาพเหตุการณ์ต่างๆแจ่มชัดขึ้นจนเหมือนเป็นเรื่องจริง
 
 
                        หรือจะเป็นแบบที่วินท์พูดบ่อยๆว่าเขาระลึกชาติได้
 
 
                        แล้วทำไม  ในฝันของเขากลับไม่เคยได้เห็นหน้าของ  ‘ นายน้อย ’ คนนั้นเลย  ทำไมเขากลับได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้า  หรืออย่างเช่นเมื่อคืน เขาได้เห็นมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
 
 
                        “ ก่อนตายเขาโดยทำร้ายเหรอ ? ”
 
 
                        “ ผมคิดว่าคนป่วยควรจะนอนพักอยู่บนเตียงมากกว่ามานั่งสูบบุหรี่ตากลมอยู่ที่ข้างหน้าต่างนี่นะครับ ”
 
 
                        เฮือก!!
 
 
                        อยู่ๆเสียงที่ดังข้างๆหูก็ทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันได้ระวังตัวและไม่ได้สังเกตว่าจะมีใครมาประชิดตัวขนาดนี้ ทำให้บุหรี่ในมือหลุดร่วงลงพื้น
 
 
                        พชรส่ายหน้าเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อยก่อนจะรีบก้มลงเก็บแล้วปล่อยลงในแอ่งน้ำที่ขังจากฝนจนไฟมอดดับ
 
 
                        “ ถ้าคุณไม่ระวัง  สูบบุหรี่ในสถานที่ที่เป็นไม้ 100% แบบนี้ ผมคิดว่าบางทีงานของคุณอาจจะจบโดยที่ยังไม่ทันเริ่ม  แล้วก็จะมีข่าวใหญ่โชว์หราที่หน้าหนังสือพิมพ์ว่า  เรือนโบราณที่กำลังจะถูกทำเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วอดเพราะคุณช่างที่รับผิดชอบงานนี้สูบบุหรี่มวนเดียว ”
 
 
                        “ ผมไม่ได้ตั้งใจทำก้นบุหรี่หล่น  ถ้าคุณไม่เข้ามาแบบนี้มันก็ยังอยู่ในมือผม ” กันต์กกระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้นเมื่อลมเย็นพัดวูบเข้ามา
 
 
                        “ ให้ตายสิ คุณเป็นลูกหลานพระพายหรือไง มาแต่ละทีต้องหอบเอาลมเอาฝนมาด้วยตลอด ” อดค่อนขอดคนที่ยืนหลังตรงแหน่วยืนเอาสองมือล้วงๆเข้าไปในกระเป๋ากางเกงไม่ได้  กันต์เบะปากให้กับท่าทางราวพระเอกซีรี่ส์ของพชร
 
 
                        “ ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อกับคุณก็คือ คนป่วยควรนอนพักผ่อน ” พชรเชิดหน้าขึ้นสูงกว่าเดิมอีกนิดเมื่อรู้ตัวว่าโดนคนตัวเล็กกว่าค่อนขอด
 
 
                        “ ผมเป็นผู้ชายอดทนเข้มแข็งกว่าที่คุณคิดเยอะ ”
 
 
                        “ ผู้ชาย...อืม  เข้มแข็งมาก  ใครกันล่ะที่นอนเพ้อแทบไม่รู้สึกตัว ”
 
 
                        “ คนเราก็ป่วยกันบ้างอะไรบ้าง  ผมคงไม่อ่อนแอให้คุณเห็นบ่อยๆหรอก แล้วนี่ว่างเหรอครับ? เที่ยวมาวุ่นวายในห้องส่วนตัวคนอื่น  ผมว่านี่เวลาส่วนตัวนะครับ ” กันต์ขยับตัวเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแทนที่จะนั่งแล้วเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างให้กับคนที่ยืนวางมาดสง่าอยู่ริมหน้าต่าง
 
 
                        ความรู้สึกเหมือนตัวเองต่ำต้อยกว่าคนๆนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
 
 
                        รู้สึกอึดอัดที่ต้องทำตัวตีเสมอ
 
 
                        “ ผมแค่มาเตือนคุณว่าอย่าลืมออกไปทานข้าวตอนทุ่มนึงนะครับ ไม่ทราบว่าไหวมั้ย ? ”
 
 
                        “ ไหวสิ... พรุ่งนี้ผมเดินปรื๋อไปสำรวจบ้านคุณได้แล้วล่ะไม่ต้องห่วงครับ ขอบคุณ ” คนป่วยทำท่าอวดเก่ง จนเจ้าของบ้านยกยิ้มอย่างเอ็นดู
 
 
                        เขาเชื่อว่ากันต์ทำได้ตามที่พูดจริงๆ  ชายหนุ่มขยับตัวก่อนเอามือไพล่หลังทอดสายตาคมกดต่ำลงมามองคนที่นั่งปากซีด
 
 
                        มันแฝงทั้งอำนาจแต่เจือด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
 
 
                        “ งั้น 1 ทุ่มตรงเจอกันที่ห้องอาหารนะครับ ” กันต์ได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ  ร่างสูงก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้อง  ทิ้งให้ร่างบางนั่งเซ็งกับบรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝน
 
 
                        ในที่สุดเมื่อไม่มีอะไรทำหลังจากพยายามโทรหาวินท์หลายรอบแต่กลับไม่มีสัญญาณ กันต์ก็วางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนหกโมงเย็น  เพียงไม่นานหลังจากนอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคา เพราะฤทธิ์ยาทำให้หลับไปในที่สุด
 
 
 
เมื่อตะวันลับลา  ฟ้าก็หมองมืดหม่น
ทนเงียบเหงาอ้างว้าง
เมื่อเธอลาลับไกล  กลับอุ่นไอกับไม่สร่าง
ใจฉันค้าง.....เคียงเธอ
รู้หรือไม่ว่าภายในดวงตาสองนั่น
ฉันได้พบความอบอุ่นใจ
รู้หรือเปล่าว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ
ฉันแอบเพ้อละเมอคร่ำครวญ
อิ่มอบอวลไอ
 
อยากจะบอกซักคำ  ฉันได้ถลำหัวใจ
ตกอยู่ในความรัก
เมื่อตะวันนิทรา  ฟ้าจะรอพบจันทร์
ฉันจะฝันถึงเธอ…
 

 
                        “ นี่จะนอนสันหลังยาวแบบนี้อีกนานมั้ยเจ้าเด็กเลว ? ”
 
 
                        ความเจ็บตามหลังและขา ทำให้เด็กน้อยที่นอนคุดคู้อยู่มุมห้องเก็บฟืนที่ถูกแบ่งให้เป็นห้องนอนต้องเด้งตัวขึ้นพลางใช้มือปัดไม้เรียวที่แม่บ้านชราฟาดลงมาอย่างไม่ออมแรง
 
 
                        “ โอ๊ย... ข้าเจ็บนะ ” เด็กน้อยคว้าปลายไม้เรียวได้ก็จัดการดึงยึดมาไว้ในมือก่อนจะยกเข้าตั้งฉาก  แล้วหักมันทิ้งเป็นสองท่อน  มือเล็กลูบไปตามแนวที่นูนขึ้นจากการถูกตี  ริมฝีปากสีสดก็สูดเข้าหากันราวกับมันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการถูกตีได้
 
 
                        ถึงจะเป็นทาสที่ถูกซื้อมาจากตลาดค้าทาส
 
 
                        แต่กรรณก็มีชีวิตจิตใจนะ
 
 
                        ถึงจะเป็นเด็กก็มีความรู้สึกนะ
 
 
                        ดวงตากลมจ้องหญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นน่ากลัวราวกับแม่มดนั้นด้วยความขุ่นเคือง
 
 
                        ฟ้าด้านนอกยังคงมืดอยู่  จะรีบเรียกทำไมกัน  กรรณรู้เพียงแต่ตัวเองยังง่วง  ร่างกายเหมือนยังนอนไม่เพียงพอ
 
 
                        ตอนที่นั่งขอทานอยู่กับพวกที่ตลาด  เขายังได้นอนมากกว่านี้เลย
 
 
                        “ หนอย... ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เป็นทาสเขา เป็นบ่าวเขา จะมานอนกินบ้านกินเมืองเป็นนายน้อยของบ้านอีกคนน่ะไม่ได้หรอกนะ โน่น... ออกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วขึ้นไปรับใช้นายน้อยได้แล้ว ” หญิงชราจัดการดึงหูของเด็กน้อย  ออกแรงดึงจนหูของร่างเล็กแทบจะหลุดติดมือมา ก่อนจะเหวี่ยงจนเด็กตัวผอมปลิวลงไปนั่งแหมะอยู่ข้างบ่อน้ำ
 
 
                        “ รีบๆอาบเข้า  เสื้อผ้าข้าเตรียมไว้ให้แล้ว  เดี๋ยววันนี้จะให้เจ้าไปนอนกับไอ้พลับมัน  อาบเสร็จแล้วตามมาที่เรือนริมสุดซ้ายมือนะ  ถ้าเจ้ามัวโอ้เอ้ข้าจะหยิกให้เนื้อหลุดเลย ” เด็กน้อยได้แต่เอี้ยวตัวหลบมืออูมที่ทำท่าจะฟาดลงมาเพื่อแสดงศักยภาพว่าตนสามารถฉีกเนื้อเด็กน้อยได้ตามที่ปากพูดจริงๆ  กรรณได้แต่พยักหน้าเออออไปเพื่อให้รอดจากกรงเล็บเพชฌฆาต  เด็กน้อยนั่งลงบนขั้นบันไดขั้นสุดท้ายใช้ขันตักน้ำขึ้นมาอาบ
 
 
                        กายเล็กสั่นริกยามน้ำที่เย็นจัดราวกับตักมาจากธารน้ำแข็งกระทบผิวกาย
 
 
                        ฟันขาวกระทบกันดังกึก  เด็กน้อยพยายามขัดตัวให้สะอาดที่สุดเพราะไม่อยากโดนตีโดนดุอีก  สองวันมานี้ที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เขาต้องเรียนรู้มารยาทมากมาย  รวมทั้งเรียนรู้ที่จะรักษาความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ
 
 
                        เมื่อวันก่อนยายแม่มดเอาไม้ตีมือเขาจนมือแทบหัก
 
 
                        “ ต๊ายนี้เล็บคนหรือเล็บหมา! ทำไมมันสกปรกอย่างนี้ จัดการตัดซะให้เรียบร้อยนะ ”
 
 
                        “ เสื้อผ้าของเอ็งที่ติดตัวมาน่ะเผาทิ้งได้เลย  แม้แต่เอาไปทำผ้าขี้ริ้วยังไม่คู่ควร เหม็นอย่างกับซากหมาเน่าแบบนี้ ใส่ไปได้ยังไง ”
 
 
                        “ ผมเผ้าเนี่ยทำไมมันกระเซอะกระเซิงแบบนี้  เจ้ารู้จักหวีมั้ย? เคยหยิบมาหวีผมบ้างมั้ย? ”
 
 
                        และอื่นๆอีกมากมายที่นางจะสรรหามาว่า  มากมายจนกรรณไม่รู้ว่าสมองเล็กๆของเด็กชายวัย 7 ขวบอย่างเขาจะจำมันได้หมดได้อย่างไร
 
 
                        อยู่ที่นี่ดีอย่างก็คือเขาไม่ต้องเร่ร่อน ไม่ต้องถูกใครต่อใครเอาไม้ไล่ตีหรือดุด่า  ไม่ต้องคอยวิ่งหนี ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
 
 
                        แต่....เขาจะต้องไร้อิสรภาพตลอดชีวิต
 
 
                        ในที่สุดหลังจากอาบน้ำแต่งตัวและโดนดุเรื่องความโอ้เอ้อีกพักใหญ่  กรรณก็เดินตามหญิงชราไปทางเรือนหลังใหญ่ที่ไม่ไกลที่มีสระกว้างมีศาลากลางน้ำตั้งตระหง่าน เด็กน้อยถือถาดใส่เสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมโชยให้ได้ดมอย่างชื่นอกชื่นใจ
 
 
                        เสื้อผ้าที่ผ่านการซักรีดอบร่ำอย่างดี
 
 
                        “ เสื้อผ้านายน้อย ทุกวันเจ้าจะต้องเอามาให้นายน้อยเปลี่ยนตอนเช้ากับตอนเย็น ” นางสั่งสอนงานที่เด็กน้อยจะต้องทำมาตลอดทาง  กรรณพยายามจดจำรายละเอียดต่างๆให้มากที่สุด
 
 
                        ประตูที่ปิดสนิทถูกเคาะเบาๆ
 
 
                        “ เข้ามา ” เสียงเด็กผู้ชายที่เริ่มแตกหนุ่มเอ่ยอนุญาตเบาๆ  เมื่อกรรณเดินตามหญิงชราที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่า บนเตียงนอนมีร่างของเด็กผู้ชายที่ดูจะอายุมากกว่าตนราวๆ 3-4 ปีนั่งห้อยขาอยู่  ดูจากสีหน้าท่าทางจะตื่นมานานแล้ว มุ้งหลังบางถูกรวบชายมัดกับเสาทั้งสี่เป็นระเบียบเรียบร้อยแต่มะลิก็มิวายจะเดินไปตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้งตามนิสัยคนละเอียดลออ
 
 
                        “ วันนี้ช้านะ  ข้านึกว่าจะต้องอยู่ใส่ชุดนอนไปเรียนซะแล้ว ”
 
 
                        “ ขอประทานโทษเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งได้สอนงานบ่าวที่เพิ่งได้มาใหม่  ท่านเจ้าคุณให้ส่งมารับใช้นายน้อยเจ้าค่ะ ”
 
 
                        “ อืม  รีบเข้าเถอะ ถ้าข้าไปเรียนสายขรัวตาจะตำหนิเอาได้ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ ? ” นายน้อยเอ่ยถามเด็กน้อยที่ยื่นถาดเสื้อผ้าให้หญิงชรา  เด็กน้อยก้มหน้างุด ในใจเกิดความรู้สึกเกรงใจคนที่ส่งน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตรมาให้ซะเฉยๆ  ทั้งๆที่อยู่ในตลาดกรรณคนนี้ไม่เคยเกรงกลัวใครซักคนแท้ๆ
 
                       
“ กะ...กรรณ  ข้าชื่อกรรณขอรับ ”
 
 
“ อืม... กรรณ....ข้าชื่อ...เพ....”
 
 
 
ติ๊ด....ติ๊ด...ติ๊ด...
 
 
“ อื้อ... ” เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ เรียกให้คนที่หลับยาวตื่นขึ้นมา  กันต์จิ๊ปากอย่างขัดใจ
 
 
“ เพ...เพอะไรวะ ? ” กันต์ตวัดขาลงจากเตียงจัดการธุระส่วนตัวแล้วจึงเดินไปห้องอาหาร
 
 
“ เมื่อไหร่คุณจะไปกรุงเทพล่ะคะ  คุณพ่ออยากพบคุณค่ะ ”
 
 
กึก…!
 
 
                        ร่างบางหยุดเท้าไว้ที่หน้าประตู  ภายในห้องอาหารที่มีแสงสว่างเพียงแค่ตะเกียงและเทียนไม่กี่ดวง  กับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินไปกอดเอวสอบจากทางด้านหลัง  ทำให้ขาของกันต์หยุดนิ่งราวกับถูกตรึงด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่มองไม่เห็น
 
 
                                    ความรู้สึกเกรงใจเกิดขึ้น
 
 
                                    ท่าทางที่ดูก็รู้ว่าคงเป็นคนรักกัน
 
 
                                    กันต์ทำท่าจะถอยกลับ  ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า  หากแต่เจ้าของบ้านกลับหันตัวเองแกะแขนของหญิงสาวออก  พชรเลิกคิ้วสูงทันทีที่เห็นร่างของคนป่วยทำท่าเงอะๆงะๆ
 
 
                        “ มาแล้วเหรอครับ ? ” ชายหนุ่มส่งเสียงถามแววตาพราวระยับราวกับเก็บดวงดาวนับล้านอยู่ในนั้น  กันต์ได้แต่ส่งยิ้มรับ  ขณะเดียวกันกับหญิงสาวที่ถูกปฏิเสธด้วยท่าทีนุ่มนวลหันกลับมามองบุคคลที่สาม
 
 
                                    ควับ
 
 
                                    เฮือก!!!
 
 
            กันต์สะดุ้งตัวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยดวงตากลมดุดันคนนั้น หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงในสวนเมื่อคืน
 
 
                        เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่จากชุดแซกสีดำเว้าลึกเห็นร่องออกถูกภาพในอดีตซ้อนทับเป็นหญิงสาวในชุดไทยโบราณ  ชายหนุ่มถอยไปข้างหลังด้วยความตกใจจนชนกับโต๊ะที่วางแจกันดอกไม้ใบใหญ่ด้านนอก  แรงชนทำให้แจกันโอนเอนไปมาก่อนจะตกลงมากระทบพื้นแตกกระจาย  เศษกระเบื้องกระเด็นมาบาดข้อเท้าจนเลือดไหล
 
 
                        “ โอ้ย ”
 
 
                        “ ตายแล้ว ”  มัลลิกาปิดปากร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายแปลกหน้าทรุดตัวลงไปใช้มือกุมข้อเท้า  พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวพรวดๆเพียงไม่กี่ก้าวก็ประชิดตัวกันต์  ผ้าเช็ดหน้าถูกดึงออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วซับเลือดที่ข้อเท้าทันที
 
 
                        “ ไม่... ไม่เป็นไรครับ ” กันต์หดขาหนีอย่างเกรงใจ  มือแกร่งที่ประคองข้อเท้าของตัวเองกระชับแน่นเป็นเชิงบังคับให้เขานั่งนิ่งๆพลางขมวดปมผ้าให้แน่น
 
 
                        “ ลุกไหวมั้ยครับ ? ดีที่แผลไม่ลึก  เดี๋ยวใส่ยาทำแผลก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ” พชรประคองกันต์ให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเรียกแม่บ้านให้มาเก็บกวาดเศษแจกัน
 
 
                        “ ต้องขอโทษคุณด้วยที่ซุ่มซ่ามทำข้าวของคุณเสียหาย  ผมจะชดใช้ให้นะครับ ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไรครับ  พอดีผมว่าจะเปลี่ยนใบใหม่พอดี ”
 
 
                        “ อ่ะอื้ม... ” เสียงกระแอมไอของมัลลิกาทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันกลับไปมอง  กันต์ขยับเข้าไปใกล้พชรทันทีราวกับจะให้ร่างสูงของชายหนุ่มช่วยบดบังความกลัวของตนเอง
 
 
                        ไม่รู้ทำไมเขาถึงกลัวผู้หญิงคนนี้  คนที่มีดวงตาแสนดุ
 
                        “ อ่อ จัส นี่คุณกันต์เป็นมัณฑนากรที่รับชอบโครงการ  กันต์ครับนี่จัสมิน ‘ เพื่อน ’ของผม ” พชรพากันต์มายืนเผชิญหน้ากับหญิงสาว  ชายหนุ่มรับรู้ถึงการเบียดกายเข้าหาแผ่นหลัง  มือที่จิกท่อนแขนเขาอย่างลืมตัว  เนื้อตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนกตัวน้อยที่กำลังเผชิญกับลมฝน  ในขณะที่มัลลิกากลับส่งยิ้มที่ดูเหมือนนางพญามาให้พร้อมกับยื่นมือตรงหน้า
 
 
 
                        “ สวัสดีค่ะ  ฉันมัลลิกา  เรียกว่าจัสก็ได้นะคะ ” กันต์กระพริบตาปริบๆขับไล่ความรู้สึกกลัวที่เกาะจิตใจออก
 
                        เขาไม่เคยกลัวใคร
 
                        แล้วเป็นบ้าอะไรถึงมากลัวผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวด้วย
 
 
                        ร่างบางขยับออกจากด้านหลังของเจ้าของบ้านมายืนเผชิญหน้ากับมัลลิกาก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสกับหญิงสาว
 
 
                        ราวกับมีประจุไฟฟ้าแล่นจากปลายนิ้วของกันและกัน
 
 
                        “ ผมกรกันต์ครับ ”
 
 
                        “ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ  ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า ? ” มัลลิกาจ้องหน้าของกันต์ไม่วางตา  ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเคยเห็นชายหนุ่มจากไหนซักแห่ง ทำให้เอ่ยปากออกไปอย่างสงสัย  กันต์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
 
 
                        “ ไม่เคยหรอกครับ อาจจะเป็นพวกหน้าโหลน่ะครับ ” กันต์ดึงมือออกจากหญิงสาวเมื่อแม่บ้านเริ่มทยอยเอาอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ  กลิ่นหอมที่โชยมาทำให้คนป่วยที่เพิ่งได้แผลเดินกระเผลกๆนำไปที่โต๊ะโดยไม่รอเจ้าของบ้าน
 
 
                        “ ผมหิวจนแทบกินช้างได้ทั้งโขลง ” กันต์หยิบช้อนส้อมเตรียมพร้อมในขณะที่พชรเดินตามไปนั่งใกล้ๆโดยลืมหญิงสาวไว้ด้านหลัง  สบันงาเบะปากอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับกันต์
 
 
                        หล่อนไม่ชอบที่จะเป็นคนถูกลืม...
 
 
                        ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  มีผู้คนมากมายเท่าไหร่  หล่อนจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ
 
 
                        แต่ทำไมตอนนี้ ขณะนี้หล่อนกลับรู้สึกไร้ตัวตนต้องแสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ



 
 
 ((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-01-2019 18:53:23

 
 
                        “ คุณช่างคะ ” แม่บ้านชราวางแก้วนมอุ่นให้กับร่างเล็กที่นั่งพาดเท้ากับเก้าอี้อีกตัวตรงข้อเท้าแปะพลาสเตอร์สีสันแสบทรวงที่เจ้าตัวมักพกติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยประจำเพราะนิสัยเดิมเป็นคนซุ่มซ่ามอยู่แล้ว  ในมือมีดินสอที่เจ้าตัวขีดๆเขียนๆลงบนกระดาษ  กันต์หดเท้าลงกับพื้นก่อนจะนั่งให้เรียบร้อยมากขึ้น
 
 
                        “ มีอะไรครับ ? ”
 
 
                        “ นายน้อยให้มาเรียนว่า อย่าลืมทานยาให้ครบด้วยนะคะ ” กันต์กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ
 
 
                        “ นี่ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่บ้านยังโทรมาสั่งเหรอครับ ? ” อดที่จะไม่เอ่ยแซวไม่ได้หลังจากเย็นวันนั้น  พอรุ่งขึ้นผู้หญิงที่ชื่อมัลลืกาก็คาบคุณพชรเจ้านายจำเป็นของเขาขึ้นรถไปด้วยจนได้
 
 
                        “ โธ่ เพชรคะ จีสเป็นผู้หญิงนะคะใจคอคุณจะให้จีสขับรถกลับกรุงเทพคนเดียวตั้งสองสามร้อยกิโลเลยหรอคะ ? ”
 
 
                        เออนะ... ตอนถ่อมาล่ะมาคนเดียวได้ พอจะกลับดันกลับคนเดียวไม่ได้ซะอย่างนั้น
 
 
                        แล้วนี่จะไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะเนี่ย
 
 
                        เอ้อ...ทำงานไปสิ  บ้าไปแล้วรึไง ” กันต์ได้แต่ใช้ฝ่ามือทุบหัวตัวเองเบาๆ มือเรียวเริ่มทำงานอีกครั้งท่ามกลางฝนที่ลงเม็ดไม่ขาดสาย  ลมเย็นพัดเข้ามาเรื่อยๆ  เปลือกตาก็รู้สึกหนักอึ้งจนในที่สุดร่างเล็กก็แนบแก้มไปกับต้นแขนที่วางพาดยาวกับโต๊ะ  ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวตามกระแสลมกังสดาลส่งเสียงแหลมใสยามที่กระทบกับลมราวเสียงดนตรีที่ขับกล่อม
 
 
                        “ นี่... กรรณ... ”
 
 
                   “ ขอรับ นายน้อย ”
 
 
                   “ ตื่นได้แล้วไม่กลับเรือนหรือไง ? ”
 
 
                        กรรณกระพริบขับไล่ความง่วงงัน  เขามานั่งรอนายน้อยเรียนหนังสือ ที่นี่มีแต่ลูกผู้ดี  ลูกขุนนางจากตระกูลสูงๆ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์  เด็กน้อยมักอาศัยตีนบันไดเป็นที่อยู่รอในขณะที่บ่าวของคนอื่นๆจะใช้เวลาช่วงนี้นอนพักหรือเที่ยวเล่นใกล้ๆกัน
 
 
                        กรรณปัดฝุ่นตามโจงกระเบนก่อนจะยื่นมือไปรับห่อตำราของนายน้อย
 
 
                        “ ไม่ต้องหรอก ให้เมฆถือเถอะ เจ้าตัวเล็กนิดเดียวเดินตามข้ามาก็พอ ” นายน้อยหันไปยื่นห่อผ้าให้กับผู้ดูแลอีกคน  เมฆรับห่อผ้าไปถือไว้พลางรอให้ผู้เป็นนายเดินนำไปก่อน  นายน้อยเดินนำทั้งคู่เข้ามาในตลาด บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างส่งเสียงร้องเรียกลูกค้ากันเป็นที่สนุกสนาน  กันต์มองสถานที่ๆตนเคยวิ่งเล่นเคยใช้ชีวิตด้วยความคิดถึง
 
 
                        “ นายน้อยๆ ” มือเล็กดึงชายเสื้อผู้เป็นนายไว้จนนายน้อยต้องหยุดเดินหันไปถามด้วยความแปลกใจ
 
 
                        “ กระไรกันรึเจ้า ? ”
 
 
                        “ ถ้าอยากได้เงินต้องทำงานใช่มั้ยขอรับ ? ” ดวงตากลมจ้องผู้เป็นนายด้วยสายตามีความหมาย  นายน้อยส่งยิ้มเอ็นดูเด็กที่เล็กกว่าตนเอง
 
 
                        “ ใช่สิ ถ้าอยากมีเงินก็ต้องทำงาน ”
 
 
                        “ แต่ข้าทำงานให้พวกท่านแล้วข้าก็ยังไม่มีเงินอยู่ดี ... โอ้ย!  พี่เมฆตีข้าทำไม ” เด็กน้อยหันไปแหวใส่ผู้ดูแลนายน้อยที่ใช้ห่อตำราตีลงมาที่ตัวตนจนเซ
 
 
                        “ เจ้าจะได้เงินได้อย่างไรเล่าเด็กโง่  เจ้าถูกขายมา ”
 
 
                        “ ก็นั่นแหละ  ต่อให้ข้าทำงานจนหัวหงอกก็ไม่ได้เงินอยู่ดี  แล้วอะไรคือการที่นายน้อยบอกว่าทำงานแล้วถึงจะได้เงินล่ะ ”
 
 
                        “ เจ้าจะเอาเงินไปซื้ออะไรบอกข้าซิ ” นายน้อยวางมือลงบนศีรษะของกรรณก่อนจะย่อตัวลงนั่งจนความสูงอยู่ในระดับเดียวกัน
 
 
                        “ ข้า... ข้า... ”
 
 
                        “ หืม? ว่ายังไง ”
 
 
                        “ ข้าอยากซื้อขนมไปฝากพวกเพื่อนๆของข้า ” เด็กน้อยก้มหน้าพูดอย่างเบาๆจนไม่ได้ยิน  แต่นายน้อยกลับส่งเสียงหัวเราะ
 
 
                        “ อยากซื้ออะไรล่ะ ”  เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างใจดีเป็นผลให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบอย่างดีใจทันที
 
 
                        “ นายน้อยว่ายังไงนะขอรับ ? ”
 
 
                        “ ข้าถามว่าเจ้าอยากซื้ออะไรล่ะ ข้าจะซื้อให้ ”
 
 
                        “ นายน้อยขอรับ ข้าว่า... ” เมฆขยับจะทักท้วงแต่นายน้อยกลับฉวยมือเล็กพาจูงเดินนำไปโดยไม่รออีกคนที่ส่ายหน้าอย่างระอา
 
 
                        ตามใจกันเกินไปหรือเปล่า ?
 
 
 
                       
                        เสียงร้องไห้กระจองอแงของเหล่าเด็กๆที่สวมใส่เสื้อผ้าสกปรก  ไม่ต่างจากกรรณตอนที่ก้าวเข้าไปในเรือนของท่านเจ้าพระยาในวันแรก  ในมือของเด็กแต่ละคนมีขนมถืออยู่  อาหารหลายชนิดถูกแบ่งกันไปโดยที่เด็กวัย 7 ขวบที่เป็นคนขนมาให้ใช้หลังมือปาดน้ำตาป้อยๆ
 
 
                        “ลำเจียกเจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะ  ฮึก... อย่าให้นังอ้วนใจยักษ์จับเจ้าไปขายได้ ไอ้จ้อย ขาเจ้าเป็นยังไงบ้าง  นายน้อยของข้าออกเงินซื้อยามาให้เจ้าอย่าลืมต้มกินนะ ” เด็กชายเอาห่อยามอบให้เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับขาที่ใช้ผ้าพันเท้าไว้
 
 
                        มันสกปรกจนนายน้อยนึกเวทนา
 
 
                        “ ขาเจ้าไปโดนอะไรมา ”
 
 
                        “ ข้า... ข้าวิ่งหนียัยหวังใจร้ายวันที่มันส่งคนมาไล่จับพวกเราไปขาย  แล้วเตะกันไม้ที่หักเข้าขอรับ ”
 
 
                        “ ถ้าเจ้าไม่รักษาความสะอาดแผลสกปรกเจ้าอาจจะเป็นบาดทะยัก อาจจะต้องตัดขาทิ้งหรืออาจจะตายได้นะ ” ไอ้จ้อยองหน้านายน้อยตาโตด้วยความตกใจ
 
 
                        “ ต่ะ... ตายเหรอ  นายน้อยข้ายังไม่อยากตาย ฮือ... ”
 
 
                        “ นายน้อยท่านจะหลอกให้เพื่อนข้ากลัวทำไม ” กรรณลุกขึ้นยืนต่อว่าผู้เป็นนายอย่างลืมตัว  เมฆถลึงตาใส่จนเด็กน้อยย่นคอด้วยความกลัว
 
 
                        “ ข่ะ.. ข้า ... ข้าขอโทษ ก็ท่านทำเพื่อนข้ากลัว ”
 
 
                        “ กรรณฟังข้า  ข้าไม่ได้แกล้งพูดให้เพื่อนของเจ้ากลัว  ข้าพูดเพื่อให้เขาดูแลรักษาแผลของตัวเองให้สะอาดเพราะไม่อย่างนั้น เขาอาจจะต้องตัดขาทิ้งหรือแผลติดเชื้ออาจจะตายได้  นี่ก็เย็นมากแล้วลาเพื่อนๆของเจ้าซะ ” กรรณเช็ดน้ำตาพลางหันไปล่ำลากับเพื่อนๆ
 
 
                        “ ข้าไปแล้วนะ  ของกินดีๆแอบเก็บไว้อย่าให้ไอ้เบิ้มเห็นเชียวนะ  เดี๋ยวมันแย่งกินหมด ” เด็กน้อยโบกมือลาเพื่อนๆ ก่อนจะเดินตามนายน้อยของตนไป
 
 
                        “ เจ้าตัวเล็ก... ข้าจะบอกอะไรให้นะ  อย่าอ้อนเอานู่นเอานี่จากนายน้อยให้มันมากนัก  ถ้าคุณหญิงท่านทราบเจ้าจะโดนทำโทษ  นางไม่ชอบให้ขี้ข้าทำตัวตีเสมอนาย ”  เมฆที่จับไหล่เล็กของกรรณกระซิบบอกกับเด็กน้อยเสียงเบา
 
 
                        “ ข้าไม่ได้อ้อน ... ”
 
 
                        “ กรรณ... ”
 
 
 
                        Rrrrrr…
 
 
                        “ อืม .... ” ร่างบางสะดุ้งตื่นเมื่อโทรศัพท์มือถือของจนแผดเสียงปลุกให้คนตัวเล็กตื่นขึ้น  มองดูเบอร์ที่ไม่คุ้นชินก่อนจะกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป
 
 
                        “ ครับ... ”
 
 
                        “ หลับอยู่หรอครับ ? ” เสียงทุ้มปลายสายกลั้วหัวเราะถามกลับมา  กันต์แยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ทันที่ที่ได้ยินเสียง
 
 
                        “ เอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย ? ” เลี่ยงที่จะไม่ตอบที่แลดูเหมือนตัวเองเป็นคนขี้เกียจจึงแสร้งไปถามเรื่องอื่นแทน
 
 
                        “ ตอนคุณไม่สบาย  ผมเอาเบอร์คุณโทรเข้าเครื่องผมน่ะ ”
 
 
                        “ ไม่มีมารยาทนะครับ ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไรครับ  พอดีช่วงนี้ที่บ้านผมเริ่มหย่อนๆเรื่องมารยาทลงนิดหน่อยแล้ว ”
 
 
                        “ นี่คุณกวนผมเหรอครับ ? ” กันต์สวนกลับไปทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนตัวสูงที่มักทำหน้าเรียบ ขรึมตลอดเวลากำลังตีรวนตน  เสียงทางนู้นหัวเราะกลับมาเบาๆ
 
 
                        “ ใครจะกล้ากวนคุณช่างล่ะครับ ไม่กล้าหรอกครับ ”
 
 
                        “ แล้วนี่คุณโทรมาทำไม ? ” กันต์เตาะลิ้นเล่นพลางยกเท้าพาดเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
 
 
                        “ คุณทานข้าวหรือยัง ? ”
 
 
                        “ อะไรของคุณ ?? ... โทรมาผมนึกว่าจะถามเรื่องงาน คุณถามแค่เนี๊ยะ ?? ”
 
 
                        มันดูเหมือนเขาถูกเอาใจใส่...
 
 
                        “ แล้วนี่คุณทานข้าวหรือยัง ? ” กันต์เหน็บโทรศัพท์ไว้กับไหล่  สองมือเก็บกวาดแผ่นกระดาษ  ดินสอ  ยางลบลงกระเป๋าก่อนจะเดินกลับห้อง  เสียงทุ้มปลายสายถามตอบกลับไปกลับมา  จากที่ว่าคุยแป๊บเดียวก็จะวาง  ก็กลายเป็นว่าคนตัวเล็กเปลี่ยนจากถือโทรศัพท์คุยเป็นเสียบสมอลทอล์คพลางชาร์จแบตเสร็จสรรพ    บางครั้งก็คุยกันด้วยเรื่องงาน  บางครั้งก็คุยกันเรื่องทั่วไป  บางครั้งคนตัวโตกว่าก็กวนประสาทกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม  บางครั้งก็พอใจที่โดนดักทาง  กันต์ก็ขู่ว่าจะวางสายสุดท้ายก็ไม่ได้วางซักทีจนกระทั่ง...
 
 
                        “ ผมถึงหน้าเรือนแล้วนะครับ  หิวจังคุณช่วยไปบอกมะลิให้เตรียมอาหารให้ผมทีได้มั้ยครับ ? ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆเป็นเชิงขอร้อง  กันต์เหลือบมองนาฬิกามันห้าทุ่มกว่าแล้ว
 
 
                        “ คุณ นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะ  ผมเกรงใจคุณแม่บ้าน  ป่านนี้คงหลับไปแล้ว ”
 
 
                        “ แต่ผมหิวมากเลยนะ  ตั้งแต่เที่ยงผมยังไม่ได้กินอะไรเลยคุยงานทั้งวัน ”
 
 
                        “ อือ... งั้นไปรอที่ห้องอาหารแล้วกัน ”
 
 
                        “ ผมขอไปรอที่ศาลากลางน้ำได้มั้ย ? ” เจ้าของบ้านต่อรอง  เสียงกุกกักที่ได้ยินคงเป็นเพราะเจ้าตัวหิ้วถุงของหรืออะไรซักอย่างแน่ๆ
 
 
                        “ อือ ตามใจ คืออาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนก็ได้นะ ”
 
 
                        “ โอเคครับ ”
 
 
                        “ งั้นผมวางนะ  เมื่อยจะตายแล้วเนี่ย  โหย.. คุยไรตั้งสามสี่ชั่วโมง ” กันต์ทำเสียงเหมือนชายหนุ่มสร้างภาระให้กับตัวเอง ทำเป็นบ่นแก้เขินนิดหนึ่งที่ตัวเองก็บ้าจี้คุยกับเขาได้ตั้งแต่กรุงเทพจนถึงเรือนนี้
 
 
                        “ เอาไงดีล่ะ ป่านนี้ป้ามะลิหลับไปแล้วแหละใครจะกล้าเรียก  ตัวเองเป็นเจ้าของบ้านแทนที่จะเรียกเองเนอะ ” กันต์เดินบ่นไปตามทางก่อนจะเลี้ยวเข้าครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
 
 
                        “ เอาเหอะ กินกันตายนะคุณ ” กันต์เปิดตู้เย็น  มันมีอาหารสดมากมายแต่ยังไม่มีอาหารสำเร็จรูปเลย  คนตัวเล็กเขย่งดูตู้ชั้นบนเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่สองสามห่อ
 
 
                        “ บราโว่... รอดตายแล้วแหล่ะคุณ ” กันต์ติดแก๊สเอาหม้อน้ำขึ้นตั้งก่อนจะแกะซองบะหมี่แล้วเทลงในน้ำที่กำลังเดือด
 
 
                        “ ผักเยอะนะ  ใส่หน่อยแล้วกันเพื่อเสริมเกลือแร่ ” กันต์เด็ดผักสารพัดชนิดใส่ลงไป
 
 
                        “ ทำไมหน้าซองสีมันสวยแบบนี้ล่ะ  ในหม้อนี่สีอย่างจืด  ปรุงรสหน่อยแล้วกัน ” กันต์หยิบสารพัดเครื่องปรุงมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเทพริกป่น  น้ำตาล น้ำส้มสายชู แล้วปรบมือให้กับผลงานตัวเอง
 
 
                        “ เพิ่มโปรตีนหน่อยล่ะกัน  ขับรถกลับมาดึกๆ ” กันต์เปิดตู้เย็นหยิบไข่ไก่มาก่อนจะตอกโปะลงไปในชามบะหมี่แล้วยืนดูผลงานของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม
 
 
                        “ อยากเข้าครัวมานานแล้ว  แต่ไอ้วินมันชอบสกัดดาวรุ่ง  คุณนี่มีบุญนะได้กินฝีมือผมเป็นคนที่สอง ” กันต์จัดการหยิบตะเกียบกับช้อนเตรียมจะยกไปเสิร์ฟ แต่ก็หยุดฉุกคิด
 
 
                        “ เอ... รสชาติจะเป็นยังไงหว่า ต้องชิมมั้ย ? ” ร่างเล็กหยิบช้อนทำท่าจะชิมหากแต่เสี้ยววินาทีก็วางลงแล้วยักไหล่
 
 
                        “เชฟที่มั่นใจในฝีมือตัวเองไม่จำเป็นต้องชิมให้เสียเครดิต ”
 
 
                       
 
“ อ้าว ... ทำไมยกมาเองล่ะครับ แม่บ้านไปไหนหมด ” พชรลุกขึ้นรับถาดอาหารที่มีพร้อมทั้งชามที่ปิดฝามาอย่างดีและน้ำเย็นที่รินใส่แล้วมาอย่างเตรียมพร้อม
 
 
                        “ มันดึกแล้วนะคุณ  ป้ามะลิแกหลับแล้ว คนอื่นๆผมก็ไม่กล้ารบกวนหรอก กินบะหมี่ไปก่อนแล้วกันนะ ” กันต์เปิดฝาชามตรงหน้าชายหนุ่ม เขามองไข่ดิบที่โปะหน้าพลางกลืนน้ำลายเอื๊อก
 
 
                        “ ไข่ ? ”
 
 
                        “ อ่อ  เพิ่มโปรตีน ผมทำเองเลยนะ  บุญของคุณนะเนี่ยที่ได้กินอาหารฝีมือผม ” กันต์ยัดตะเกียบใส่มือชายหนุ่มพลางนั่งจ้องหน้าพชรเป็นการกดดัน
 
 
                        จงกิน...
 
 
                        จงกิน......
 
                       
                        จงกิน............
 
 
                        “ กินดิ่... มานี่ผมคนให้  ถ้าคุณกลัวไข่มันไม่สุกก็คนให้มันแตกผสมกับน้ำแบบนี้ ” กันต์จัดการคลุกไข่ลงไปในน้ำซุปที่ร้อนจัดพลางเลื่อนถ้วยบะหมี่ให้เจ้าของบ้านที่นั่งทำหน้าเหวออีกครั้ง
 
 
                        ตีไข่ให้แตกขนาดนั้นมันไม่คาวเหรอ ?
 
 
                        เอาวะ...ไหนๆก็ตั้งใจทำให้ทั้งที
 
 
                        ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปเข้าปากก่อนในขณะที่คนทำได้แต่นั่งมองอย่างลุ้นๆ
 
 
                        “ ................ ” เพียงรสชาติของน้ำซุปแตะปลายลิ้นชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความรู้สึกขนพองสยองเกล้าทันที  เพราะมันทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด ทั้งเค็มตีกันตั้งแต่ปลายลิ้นจนถึงโคน
 
 
                        “ ไงคุณ.... อร่อยมั้ย ? ”
 
 
                        “ ไม่เคยกินบะหมี่อร่อยแบบนี้ที่ไหนในโลกเลย  อร่อยจนลืมไม่ลง ” ชายหนุ่มกลั้นใจชมเพราะถ้าบอกไม่อร่อย ด้วยนิสัยของคนตรงหน้าที่สัมผัสมาหลายวันก็พอจะเดาออกว่า ชามบะหมี่ที่เจ้าตัวตั้งใจครีเอทมาอย่างดีอาจได้ลอยตุ๊บป่องในสระน้ำเป็นแน่  กันต์ปรบมืออย่างดีใจ  เสียงหัวเราะใสดังกังวานราวกับกังสดาลต้องลม
 
 
                        “ โห่ .... นึกแล้วว่าต้องอร่อย  คุณกินให้หมดนะ ไม่อิ่มก็บอกเดี๋ยวไปทำให้ใหม่  เนี่ยถ้าไม่โดนเพื่อนห้ามเข้าครัวนะ  ผมคงทำอาหารได้มากกว่านี้ อ๊อออ ผมทอดไข่เป็นด้วยนะ แต่มันไหม้ผมเลยทำบะหมี่ดีกว่า ชัวร์กว่า ” พชรได้แต่ยิ้มตามกับท่าทางลืมตัวพูดเจื้อยแจ้วของกันต์  พอคนตัวเล็กหันมามองก็คีบเส้นบะหมี่เข้าปากซักครั้ง  พอคนตัวเล็กหันหลังพูดถึงเรื่องของตัวเองพชรก็ขอโทษปลาในสระ  แอบเทเส้นบะหมี่ทิ้งลงในบ่อจนหมดชาม
 
 
                        “ โห..... กินหมดเกลี้ยงเลย  อิ่มมั้ยคุณ? ผมทำเพิ่มให้มั้ย ? ” กันต์เห็นชามเปล่าก็เอ่ยถามอย่างดีใจระคนปลาบปลื้ม
 
 
                        “ พอแล้วครับ  อิ่มแล้ว  ผมว่าดึกแล้วคุณกลับไปพักเถอะครับ  แล้วก็ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ อร่อยจนลืมไม่ลงเลย ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไร งั้นผมไปนอนก่อนนะครับ ” กันต์ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยลาไปนอน
 
 
                        “ กันต์ครับ ...... ” แต่ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะก้าวจากไป  ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเรียกเขาไว้ก่อน
 
 
                        “ ฮะ ?? .... ” กันต์หันมาทำตาแป๋วใส่
 
 
                        “ ฝันดีนะครับ ... ” ชายหนุ่มส่งยิ้มพร้อมสายตาพราวระยับให้จนคนตัวเล็กยกมือลูบต้นแขนแก้เก้อกับความรู้สึกแปลกๆจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้รอบสะดือ
 
 
                        “ เอ่อ .... ฝันดีครับ... ฮ๊าวววว ..... ง่วงแล้ว  ผมไปนอนจริงๆล่ะ  คุณก็รีบกลับห้องนะ  นั่งนานยุงหามไปกินอย่าหาว่าผมไม่เตือน ”
 
 
 
 
TBC………
 
 
 
 
…………………………
 
ไว้อาลัยให้กับปลาในบ่อด้วยการสงบนิ่ง 3 นาที
 
#เหมือนเราจะเคยรักกัน
 
                       
 
 
 
 
 
                       
 
 
     
 
 
 
 
                       
 

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-01-2019 20:10:46
 :m20:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-01-2019 21:20:53
อะไรเนี่ย มีแอบอ้อนกันด้วย กรรณรู้ตัวหรือเปล่านะ
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 26-01-2019 22:30:39
เล็งที่อินังชะนีแล้วเผามานกันค่ะทุกคนน  :angry2:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-01-2019 11:49:11
Time to tears
Chapter 4



                   “ พรุ่งนี้ผมจะเริ่มสำรวจรอบบ้านแบบจริงๆจังๆซักทีนะครับ  สองวันมานี่ฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว  น่าจะได้งานคืบหน้าขึ้นมาบ้าง  นั่งๆนอนๆหลายวันตัวขี้เกียจจะเกาะเอา ” กันต์บอกกับเจ้าของบ้านในขณะที่นั่งกินน้ำชาตอนบ่ายที่เจ้าตัวแอบค่อนขอดในใจหลายครั้งว่าทำตัวเหมือนพวกผู้ดีอังกฤษ  แต่พอกินบ่อยๆเข้าก็ชักจะติดเพราะมีทั้งชาหอมๆที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นกับขนมสารพัดอย่างที่มะลิจะนำมาเสิร์ฟ  แต่ส่วนมากจะเป็นเขาที่กินอยู่คนเดียวในขณะที่เพชรมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ  เช่นเดียวกับในตอนนี้ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือแล้วมองมาที่ใบหน้าของกันต์แทน

 
                        “ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องรีบ ”

 
                        “ ผมมาทำงานนะคุ๊ณ... ไม่ได้มาพักร้อน  มาแล้วไม่ได้งานถ้าเจ้านายผมโทรมาเช็คแล้วจะให้ผมตอบว่าไง อ่อ พอดีผมมัวแต่นั่งจิบชายามบ่ายอยู่ครับเลยยังไม่ได้เริ่มอะไรเลยนอกจากสเกตแบบคร่าวๆไว้  แบบนี้หรอครับ ? ” คนตัวเล็กอดแขวะเจ้าของบ้านที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ใกล้ๆไม่ได้  ในขณะที่เจ้าของบ้านหนุ่มได้แต่หัวเราะเบาๆในลำคอ  หนังสือเล่มหนาถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่มือเรียวจะหยิบที่คีบๆน้ำตาลก้อนลงในแก้วของกันต์แล้วเทชาราคาแพงที่ชายหนุ่มหอบหิ้วมาจากเมืองนอกลงไป


                        “ นี่คุณ ... ” กันต์เอ่ยเรียกชายหนุ่มเบาๆ


                        “ หืม ? ”


                        “ จะมอมชาจนผมท้องผูกเลยหรือไง ? ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่อโดนคนตัวเล็กแขวะอีกรอบ



                        “ ผมเห็นคุณก็ซดเอา ซดเอา ไม่เห็นคุณปฏิเสธ ”


                        “ ผมแค่เกรงใจคุณเห็นเทจัง  ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นผมคงท้องผูกตายล่ะ ” กันต์ใช้ช้อนคันเล็กคนน้ำตาลในแก้วให้ละลายก่อนจะยกชาขึ้นจิบ  พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ  เขาชอบบรรยากาศของบ้านหลังนี้

 
                        ความโบราณที่ทรงคุณค่า  ไม้ทุกแผ่น  เสาทุกต้นดูมีประวัติที่น่าค้นหา  ฉลุไม้ที่ทำเป็นกรอบประตูดูอ่อนช้อย
 
                        “ ผมว่าบ้านหลังนี้มันดูผสมผสานยังไงไม่รู้เหมือนมีกลิ่นอายของจีนปนๆมาด้วย ”
 

                        “ จริงๆบรรพบุรษของผมเป็นคนจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่เมื่อสองสามร้อยกว่าปีก่อน  เหมือนที่ทราบๆกันมาว่าเมื่อก่อนคนจีนเข้ามาทำมาค้าขายในสยามกันเยอะมีทั้งทีเป็นใหญ่เป็นโตอย่างบรรพบุรุษของผมกับที่เป็นพ่อค้า  บ้านหลังนี้ก็เลยถูกออกแบบให้ก่ำกึ่งระหว่างบ้านแบบไทยและบ้านแบบจีน ”

 

                        “ ไม่ทราบว่าสร้างมากี่ร้อยปีแล้วครับ ? ” กันต์ซักประวัติบ้านด้วยความสนใจ  เพชรขยับนั่งในท่าทางที่สบายขึ้นก่อนจะเริ่มเล่าประวัติบ้านหลังนี้ในกันต์ฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

 
                        “ บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสามร้อยปีก่อน  ลูกหลานที่เป็นรุ่นต่อๆมาดูแลรักษาให้คงสภาพเดิมอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งร้อยกว่าปีก่อน  การดูแลสะดุดลงในรุ่นของคุณทวดของผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่คงสภาพบ้านหลังนี้ไว้ ”

 
                        “ ทำไมล่ะครับ ? ”

 
                        “ เพราะเกิดเหตุร้ายกับลูกชายของบ้านหลังนี้น่ะครับ  ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเศร้า ” เพชรส่งยิ้มขื่นๆให้กับอดีตของบรรพบุรุษของตนเองที่ได้ยินมา

 
                        “ คุณพอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ ? ” กันต์ขยับเก้าอี้ไปนั่งใกล้ชายหนุ่มอย่างลืมตัวจนเพชรจ้องมองอยากแปลกใจในท่าทีกระตือรือร้นของอีกคน  กันต์เริ่มรู้สึกตัวก็หัวเราะออกมาแห้งๆ

 
                        “ คือผมเป็นพวกชอบดู ชอบฟังเรื่องสมัยก่อนน่ะครับ ได้ยินแล้วอะดรีนาลีนวิ่งพล่าน ”


                        “ ผมเป็นคนเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง  ยังไงถ้าทำให้สะดุดจนหงุดหงิดก็ขอโทษด้วยนะครับ ” ชายหนุ่มออกตัวอย่างเขินๆ กันต์รีบโบกมือไปมา


                        “ โอ้ย... ไม่เป็นไรครับ  ผมมันพวกจินตนาการสูง  คุณเล่ามาเหอะเดี๋ยวผมนึกภาพตามเองได้ ”


                        “ บรรพบุรุษของผมเป็นข้าราชการขั้นสูงจากเมืองจีน... ” ชายหนุ่มเริ่มเล่าเรื่องของบรรพบุรุษของตนเองให้กับกันต์ฟัง  เริ่มจากต้นตระกูลที่เดินทางไกลจากแผ่นดินใหญ่เพื่อรับราชการกับทางสยามเพื่อสอดแนมและรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองจากทางนี้กลับบ้านเกิดแม้กระทั่งสมรสกับลูกสาวของขุนนางฝ่ายไทยเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่นนับร้อยๆปี  จนกระทั่งถึงรุ่นของแม่เจ้าพระยาวาณิชย์พิพัฒน์
 


                        “ พวกเค้าใช้ชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองทางหน้าที่การงาน  มีพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจ    คุณเทียดของผมมีลูกชายเพียงคนเดียว  สมัยนั้นการค้าทาสเฟื่องฟูบ้านหลังนี้ซื้อทาสเด็กมาฝึกให้ทำงานหลายสิบคน  มีคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเป็นทาสรับใช้ของคุณทวดผม  คุณทวดของผมท่านมีหัวด้านดนตรีแต่คุณเทียดอยากให้ท่านรับราชการเหมือนบรรพบุรุษท่านอื่นๆ ”


 
                        “ กรรณ ... ”


 
                   “ ขอรับนายน้อย ? ”


 
                   “ เจ้าอยากหัดซอหรือไม่ ? ”


 
                        กรรณที่บัดนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ตวัดตามองแผ่นหลังของนายน้อย


 
                        แผ่นหลังกว้างสมชายชาตรี  เด็กหนุ่มหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม
 


                        “ บ่าวไม่กล้าหรอกขอรับ ? ”


 
                        “ ทำไมล่ะข้าจะหัดให้เจ้าเอง  ข้ารู้นะว่าเจ้าอยากเล่น  เอามั้ย? ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างปราณีจนหัวใจคนฟังรู้สึกอุ่นวาบ
 


                        นายน้อยใจดีกับเขาเสมอตั้งแต่เล็กจนโต  สำหรับทาสที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่นเสมอๆนั้น  การที่เจ้าชีวิตอีกคนหนึ่งให้ความเมตตาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจของทาสที่ซื่อสัตย์อย่างเขา


 
                        “ นายน้อยจะหัดให้ข้าจริงๆเหรอขอรับ ? ” ดวงตากลมจ้องผู้เป็นนายเขม็ง


 
                        “ จริงสิมานั่งนี่สิ  ข้าจะสอนเจ้าเอง ” ร่างบางค่อยๆคลานเข้าไปหาผู้เป็นนายแต่ทว่านายน้อยกลับมานั่งซ้อนข้างหลังตัวของกันต์  พลางจับมือเล็กให้ประทับที่สายซอ  เสียงทุ้มเอ่ยบอกว่านิ้วไหนคือโน้ตตัวใด  อีกมือก็จับมือเล็กให้จับคันชักถูกวิธีแล้วสอนการสีที่ถูกวิธี


 
                        “ ขั้นแรกเจ้าต้องหัดสายเปล่าก่อนจะไล่เสียงไปก่อนแล้วค่อยขึ้นเพลง เข้าใจหรือไม่ ? ” เสียงทุ้มที่เอ่ยชิดใบหู  สัมผัสอุ่นที่มือทั้งสองข้างทำให้แก้มขาวขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้  ใจดวงน้อยเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ  มุมปากสวยปรากฏรอยยิ้มโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ซักนิด
 
 
                        “ กันต์ ... กันต์... ” เสียงทุ้มเสียงเดิมเอ่ยเรียกชื่อ  กันต์รู้สึกตัวก่อนจะขานรับ


 
                        “ ครับ  นายน้อย ”


 
                        “ ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนในห้องสิครับ เห็นมั้ยผมบอกแล้วว่าผมเล่าเรื่องไม่เก่ง  คุณฟังแล้วยังหลับเลย ”
 
 

                        หลับ...หลับหรอ... ใครหลับ ?



 
                        เฮือก!!!
 



                        ร่างบางเด้งตัวขึ้นจากการนอนซบลงกับท่อนแขนของตัวเองเป็นเวลานาน


 
                        เขาหลับไปตอนไหนกัน  คนตัวเล็กยกมือขึ้นสำรวจมุมปากตัวเองก็พบกับสายตาที่มองมาอย่างขบขัน



                        “ เรียบร้อยดีครับ  น้ำลายไม่ยืด  ขี้ตาไม่มี  เข้าบ้านเถอะครับฝนตั้งเค้ามาแล้ว  เอาเป็นว่าคุณเริ่มต้นทำงานวันไหนก็บอกนะครับ  อีกสองวันเลขาผมจะตามมา  เขาจะพาคุณเดินดูรอบๆบริเวณบ้าน  ทุ่มหนึ่งเจอกันที่ห้องอาหารนะครับ ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง  กันต์ยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดู  น่าแปลกที่ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับ


 

                        “ ทำไมครั้งนี้รู้สึกเหมือนจริงมากๆเลยล่ะ  แล้วทำไมตั้งแต่กันต์คนนั้นโตเราไม่เห็นหน้านายน้อยเลยนะ ”
 
 
 
                        “ คุณช่างจะไปไหนคะ ? ” แม่บ้านร่างท้วมที่เริ่มคุ้นชินกับคนตัวเล็กที่เดินไปทางนู้นทีทางนี้ที  เอ่ยถามเมื่อร่างบางกำลังก้าวยาวๆผ่านบริเวณครัวไป  กันต์ชะงักเท้าก่อนหันมายิ้มให้จนคนมองอดที่จะเอ็นดูไม่ได้


 
                        “ วันนี้จะเดินสำรวจบ้านในทั่วน่ะครับ  ต้องรีบทำก่อนฝนจะตกลงมาอีก  นั่งๆนอนๆนานนานแล้วตัวขี้เกียจชักจะเกาะ ต้องสะบัดออกซะบ้างน่ะครับ ”
 


                        “ งั้นมารับของว่างก่อนมั้ยคะแล้วค่อยไปทำงาน ? ” แม่บ้านชราไม่รอคำตอบ  นางจัดแจงหยิบจานอาหารว่างที่เด็กรับใช้เดินตามมาให้อย่างคล่องแคล่วเป็นการปิดประตูไม่ได้กันต์เอ่ยปากกฏิเสธ


 
                        “ ทำแบบนี้ผมก็แย่สิครับ ” กันต์ยื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่มพลางย่นจมูก


 
                        “ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเลย วันๆเอาแต่กินกับนอนจนตอนนี้ผู้สึกมีห่วงยางที่ท้องนิดๆแล้วครับ ” กันต์พลางตักขนมเข้าปาก
 

                        “ ไม่อ้วนหรอกค่ะ  คุณเป็นคนโครงร่างเล็กรับรองทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน  ทานเยอะๆนั่นแหละค่ะดี  คุณช่างต้องทำงานใช้สมองใช้แรง  ถ้ากินไม่อิ่มจะเป็นลมเอาได้นะคะ ”  มะลิตรวจดูความเรียบร้อยพลางพยักหน้าอย่างพอใจ


 
                        “ ไม่ทราบว่าวันนี้จะเดินดูตรงจุดไหนบ้างคะ  มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ? ”  หญิงชราที่มองคนตัวเล็กนั่งเอนกายบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในมือมีแปลนบ้านแผ่นใหญ่ที่คลี่ดูด้วยความสนใจเอ่ยถามขึ้น


 
 
                        “ ตรงปีกซ้ายน่ะครับ  คิดว่าวันนี้จะเริ่มจากตรงนี้ก่อน ”
 


                        “ อ่อ... เรือนกล้วยไม้น่ะเหรอคะ ”  กันต์ทำตาโตอย่างสนใจ
 


                        “ เรือนกล้วยไม้  ชื่อเพราะจังเลยครับ ”
 


                        “ เรือนหลังนั้นสวยมากๆด้วยนะคะ ”  มะลิเลื่อนขนมอีกจานไปตรงหน้าคุณช่างของเธอ  กันต์รีบกลืนขนมลงคอก่อนจะถามด้วยความสนใจ


 
                        “ ถ้าให้เดา  เจ้าของเรือนหลังนั้นต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆเลยใช่มั้ยครับ ? ” มะลิมองหน้าคุณช่างก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆ  ช่วยให้ใบหน้าของหญิงชราดูมีชีวิตชีวามากกว่าวันแรกที่ได้เจอกัน


 
                        “ ว่ากันว่าเรือนกล้วยไม้เป็นเรือนหอของนายน้อยกับคุณสบันงามาก่อนค่ะ ”


 
                        “ เอ๋...เรือนหอเหรอครับ ? ” กันต์วางส้อมในมือก่อนทำหน้าสงสัย  เท่าที่เขาทราบประวัติคร่าวๆของเรือนโบราณแห่งนี้  เจ้าของรุ่นสุดท้ายถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุรุ่นหนุ่ม  ทายาทที่สืบเชื้อสายรุ่นถัดมาเป็นลูกจากบรรดาเมียรองลงมาของท่านเจ้าพระยาวาณิชย์พิพัฒน์
 


                        “ ใช่ค่ะ  เรือนหอของนายน้อยรุ่นก่อน  คุณสบันงาเธอเป็นธิดาของอำมาตย์ท่านหนึ่ง ว่ากันว่ารูปโฉมของนางงดงามกว่าสตรีใดๆในยุคนั้นเลยนะคะ ”
 


                        “ อยากเห็นจัง  สมัยนั้นน่าจะนิยมจ้างช่างมาถ่ายรูปแล้วใช่มั้ยครับ ? น่าจะยังมีรูปหลงเหลืออยู่บ้าง ”


 
                        “ รูปก็เหมือนจะเคยมีนะคะ  คงอยู่ในห้องเก็บของ  แต่ของมันเยอะดิฉันว่าคุณช่างอย่าเสียเวลาไปเสาะหาเลยค่ะ เรือนหลังนี้กว้างจะตายกี่เดือนจะปรับปรุงเสร็จก็ไม่รู้ ”
 


                        “ ถ้าเร่งทำจริงๆไม่เกิน 3 เดือนหรอกครับ  ผมไม่ชอบดองงานเดี๋ยวเจ้าของเขาจะหาว่าผมโอ้เอ้เพื่อชาร์จเงิน ” กันต์ขยับตัวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเป้ที่ใส่สิ่งของจำเป็นในการทำงานไว้ขึ้นสะพายบ่า


 
                        “ แล้วอย่าทำงานเพลินจนลืมเวลาอาหารเย็นนะคะ ” มะลิเอ่ยเตือนคุณช่างของหล่อนก่อนจะบอกให้เด็กรับใช้เก็บจานของว่างที่คนตัวเล็กทานทิ้งไว้  กันต์หันมาโบกมือให้หญิงชราก่อนเดินลับหายไป
 
 

                        “ น่าเสียดายจัง  ถ้าดูแลอย่างดีกล้วยไม้พวกนี้คงสวยมากแน่ๆ ” มือเรียวแตะลงบนเถาและใบของกล้วยไม้ที่อดีตคงเป็นกล้วยไม้หลายพันธุ์ที่สวยงาม  แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่สภาพร่วงโรยเพราะขาดการดูแลบำรุง  คนตัวเล็กสเกตภาพเรือนตรงส่วนต่างๆ  บางจุดเขียนกำกับลงรายละเอียด  กันต์ขยับระเบียง  บานประตูหน้าต่างตรวจเช็คความแข็งแรง
 



                        แอ๊ด....บานประตูไม้หนาถูกเลื่อนเปิดลำแสงที่ทอดผ่านช่องลมทำให้เห็นละอองฝุ่นทอดตัวอยู่ในนั้น  กันต์ยกมือปัดไล่ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ


 
                        ห้องนอนของเรือนนี้กว้างจนแทบจะเป็นบ้านหลังหนึ่งได้เลย


 

                        “ ลายไม้ที่ฉลุตรงขอบเตียงและหัวเตียงบ่งบอกถึงความล้ำค่า  ความโบราณ  โทนสีในห้อง สีแบบนี้นอนไปไม่ร้อนไม่แสบตาหรือไง  แสดงว่าเจ้าของห้องนี่คงร้อนแรงซู่ซ่าน่าดู ”
 


 
                        “ บังอาจ !!! ”
 


                        เฮือก !!!


 
                        กันต์สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงตวาดก้อง  คนตัวเล็กหันขวับกลับไปมองด้านหลังที่ได้ยินเสียงทันที  แต่ก็พบกับความว่างเปล่า  ห้องนอนเงียบกำลังอับแสงเพราะความสว่างจากดวงตะวันกำลังจะลาลับ


 

                        ขนอ่อนตามแขนลุกซู่จนกันต์ต้องใช้มือของตัวเองลูบไปมา


 
                        “ ผีไม่มีในโลก  กันต์แกแค่หูฝาดน่ะ ” คนตัวเล็กมองบริเวณรอบเพื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตพอที่จะตวาดก้องแบบเมื่อครู่  สองเท้าก็ค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างหวาดๆ
 


                        ตุ่บ!!!
 


                        “ อะ!!!... อื้อ.... อ่อยอ๊ะ  อ่วยอ้อวยยยยยยยย ” ร่างบางที่ถอยหลังไปชนกับใครคนหนึ่งกำลังจะแหกปากร้องด้วยความตกใจ  แต่มือหนาของเจ้าของร่างนั้นก็ตะครุบเข้าที่ปากของตนเองซะก่อน  แขนแกร่งอีกข้างรัดเอวบางรั้งเข้าหาตัว  กันต์ตาลีตาเหลือกพยายามใช้แรงที่มีต่อสู้กับแรงของคนที่กักตนไว้ด้วยแขนพียงข้างเดียว


 
                        “ ชู่วววววว...คุณ... ผมเอง ” เพชรกระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่ทำท่าจะสู้สุดฤทธิ์  กันต์ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหู  ดวงตากลมเบิกกว้างก่อนจะกระทุ้งศอกกใส่หน้าท้องเจ้าของเรือนโบราณที่บังอาจทำให้ตกใจทันที


 
                        “ โอ้ย...คุณ มันเจ็บนะ ” ชายหนุ่มตัวงอกุมท้องทันทีเมื่อโดนศอกแหลมๆของคนที่ดีดตัวออกไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อีกด้าน
 


                        “ เจ็บสิดี  มันน่าถองให้ใส่ทะลักนัก  เป็นบ้าอะไรของคุณมาไม่ให้สุ่มให้เสียง  ถ้าผมลืมตัวเตะก้านคอคุณสลบขึ้นมาจะทำไงเนี่ย ”
 


                        “ ขอโทษ... พอดีผมเพิ่งกลับจากไปธุระ กลับมาไม่เห็นคุณที่ห้อง ถามมะลิรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่เลยมาตามคุณไปทานข้าวเย็น  ไม่คิดว่าคุณจะตกใจ ” เพชรถอยห่างออกจากกันต์เล็กน้อยอย่างสุภาพ  ดวงตาคมฉายแววขบขันอย่างเห็นได้ชัด
 
                 

                       “ หัวเราะอะไรของคุณ ? ” กันต์เอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจ
 


                        ก็ในสายตาน่ะมันเหมือนกับมีคนนับร้อยกำลังตะโกนล้อเลียนเขาว่า  กันต์กลัวผี กันต์กลัวผี   กันต์กลัวผี... ซ้ำๆอยู่ในนั้นน่ะสิ
 


                        ฮึ่ย...เห็นแล้วอยากเอาเสียมแซะลูกกะตา


 
                        “ ผมเปล่า ” ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธทันที


 
                        “ คุณหัวเราะเยาะผม ” คนตัวเล็กเถียงอย่างไม่ลดละ


 
                        “ ผมไม่ได้หัวเราะเยาะคุณ ”
 


                        “ คุณไม่ได้หัวเราะ  แต่ตาคุณมันกำลังไหวระริกๆๆๆเชียว  คุณหัวเราะเยาะผมผ่านสายตา ”



                        “ โห... คุณ... หาเรื่องน่า ” ชายหนุ่มหันหลังเดินออกมาจากเรือนกล้วยไม้ทันที  มีหรือคนตัวเล็กจะไม่รีบแจ้นตามออกมาอย่างเอาเรื่อง
 


                        “ ผมไม่ได้หาเรื่องนะ  ก็คุณน่ะหัวเราะเยาะผมผ่านสายตาจริงๆ ”


 
                        “ ตาผมมันสื่อขนาดนั้นเชียวเหรอ ? ”


 
                        “ นั่นไง  คุณยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคุณหัวเราะเยาะผม ” คนตัวเล็กชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง  เพชรมองนิ้วเรียวที่แทบจะจ่อจมูกของเขาก่อนจะ


 
                        งับ....
 


                        “ เฮ้ย...คุณ  ทำไรเนี่ย ปล่อยนะ ” กันต์พยายามดึงนิ้วของตัวเองออกจากปากของเพชรที่งับหมับเข้าให้อย่างหมั่นเขี้ยว  ร่างสูงนอกจากจะไม่ทำตามที่คนตัวเล็กขู่ฟ่อๆราวกับลูกแมวตัวน้อยแล้วยังรั้งเอวบางเข้าหาตัวอีกต่างหาก


 
                        “ ย๊าห์!!! บอกให้ปล่อยไง  คุณเป็นหมาหรือไงเนี่ยมาเที่ยวไล่กัดชาวบ้านเขาเนี้ย   ปล๊อยยยย ”


 
                        “ ทำอะไรกันน่ะ !!! ? ”
 


                        เสียงแหลมเล็กที่ดังจากด้านหลังทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันอย่างตกใจ  เมื่อหันไปมองก็พบกับมัลลิกาที่ยืนจ้องคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ  ใบหน้าสวยเครียดขึงอย่างเห็นได้ชัด


 
                        มันอะไรกันกับสิ่งที่เห็น  ภาพที่เพชรใช้ปากงับเข้าที่นิ้วของกันต์มันอะไรกัน


 
                        “ จัส... มาได้ยังไงครับ ” เป็นชายหนุ่มที่เรียกสติของตัวเองกลับมาได้ก่อนในขณะที่กันต์ยืนทำตาแป๋วอย่างไม่รู้จะอธิบายภาพเมื่อครู่ว่าอย่างไร
 


 
                        มัลลิกาพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจ  หล่อนไม่อยากแสดงกริยาไม่ดีให้เพชรเห็น


 
                        ภาพลักษณ์ของหล่อนคือดารานางแบบสาวที่แสนน่ารัก  หญิงสาวถอนหายใจก่อนปั้นยิ้มหวานหยดให้กับชายหนุ่มและ....คุณช่างที่แม่บ้านเรียกกันก่อนจะเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่มือเรียวก็คล้องแขนชายหนุ่มไว้ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่  กันต์ถอยห่างออกมาอย่างเก้อๆ บรรยากาศที่รู้สึกมันวิ๊งค์ๆเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น  ยังไม่ทันทีมัลลิกาจะพูดอะไรก็มีบุคคลที่ 4 ก้าวพรวดเข้ามา
 


                        “ อยู่นี่เองนะครับนายน้อย  ผมตามหาแทบแย่ ” ร่างบางของผู้ชายที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มกล่าวจบก็คำนับผู้เป็นเจ้านายก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้


 
                        “ งานที่จีนเรียบร้อยแล้วหรอจิ” เพชรแกะตัวออกจากการเกาะกุมของมัลลิกาอย่างเนียนๆ ด้วยการก้าวเข้าไปตบไหล่ของจิรายุเบาๆ
 


                        ทำไมจะไม่รู้ว่าเพชรหลีกเลี่ยงที่จะให้หญิงสาวสัมผัส  จิรายุลอบยิ้มอย่างขำๆกับการทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ว่าผู้หญิงข้างหลังจะไม่พอใจขนาดไหน


 
                        เจ้านายของเขาไม่ได้โง่  เพียงแต่ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวว่าเป็นการทำให้ผู้หญิงเสียหน้า


 
                        “ เรียบร้อยดีครับนายน้อย  มิสเตอร์หว่องให้มาเรียนนายน้อยว่าให้นัดเซ็นสัญญาร่วมทุนสร้างท่าเรือขนส่งสินค้าได้เลย  แล้วท่านก็ฝากมาบอกว่าโครงการที่จะสร้างห้างสรรพสินค้า ท่านอนุมัติแล้วนะครับให้เตรียมนำเสนอแผนงานเข้าที่ประชุมได้เลยครับ ” จิรายุรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่เพชรมอบหมายให้ไปทำโดยละเอียดและครบถ้วน  มัลลิการู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความสำคัญในที่นี่จึงแสร้งกระแอมไอจนจิรายุที่แกล้งทำเป็นไม่เห็นเลิกคิ้วอย่างเสแสร้ง


 
                        “ โอ๊ะ... คุณจัสมินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ? ดาราดังคิวดกขนาดคุณมีเวลาว่างนั่งรถมาไกลขนาดนี้เชียวหรือครับ ”
 


                        “ ทำไมคะ  ฉันมาไม่ได้เหรอคะ  ในเมื่อพ่อของฉันก็เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งในโครงการพัฒนาเรือนนี้เหมือนกัน ” จัสมินรู้ว่าจิรายุไม่ชอบหล่อน  เช่นเดียวกับที่หล่อนก็ไม่ชอบเลขาของเพชรที่ทำหน้าเหมือนรู้อะไรไปซะทุกเรื่อง


 
                        จิรายุไม่เคยแสดงว่าจะยอม ‘ ลง ’ให้แก่หล่อนเพราะฉะนั้นมัลลิกาก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับจิรายุ


 
                        “ ผมไม่ได้พูดว่าคุณมาที่นี่ไม่ได้นี่ครับ  ผมแค่ถามคุณมายังไงแค่นั้นเองทำไมต้องอ้างถึงเรื่องการเป็นหุ้นส่วนด้วยล่ะครับ  ไม่เอาแล้วคุยกับคุณไม่สนุก เอาเป็นว่าคุณจะนั่งรถมาหรือเหาะมาผมก็ไม่สนใจคุณแล้วก็ได้ ” จิรายุลอยหน้าลอยตาพูดกับมัลลิกา  หญิงสาวสั่นเหมือนโดนเจ้าเข้าทรง


 
                        เกลียด...
 


                        เกลียดเลขาของเพชรคนนี้ที่สุด  มันทำตัวเหมือนรู้อะไรต่อมิอะไรของหล่อนจนตั้งตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างออกนอกหน้า
 


                        “ จิ... ” เพชรเรียกชื่อลูกน้องคนสนิทด้วยเสียงกดต่ำอย่างปรามๆ  จิรายุทำหัวหดราวกับเกรงกลัวเสียเต็มประดาแต่ความจริงเพชรรู้ว่าจิรายุแกล้งทำ
 



                        “ โอ๊ะ !... นั่น คุณช่างของคุณนมใช่มั้ยครับ ? ผมจิรายุเป็นเลขาคนสนิทของนายน้อยครับเรียกจิเฉยๆก็ได้นะครับ ” จิรายุยื่นมือออกไปตรงหน้าของกันต์ที่ทำหน้านิ่งยืนดูเหตุการณ์ต่างๆเงียบๆ  กันต์มองหน้าจิรายุที่ระบายยิ้มอ่อนโยนให้ไม่มีท่าทีจิกกัดเหมือนที่พูดกับจัสมิน  สายตาดูเป็นคนจริงใจก็ยื่นมือไปสัมผัสกับมือของจิรายุ   

     
     
                      “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ”


 
                        “ ฝากเนื้อฝากตัวก็พอฝากได้นะครับแต่ถ้าฝากหัวใจอันนี้คงต้องรบกวนให้ฝากกับนายน้อยแทนนะครับ ” จิรายุจงใจยั่วมัลลิกาโดยเฉพาะ  คนปากร้ายแอบขำกับปฏิกิริยาของอีกคน


 
                        ถ้ามีซาวด์เอฟเฟ็คเหมือนในหนังคงจะได้ยินเสียง ฉ่า... เพราะตอนนี้ใบหน้าของกันต์กับนายน้อยของเขาแดงเห่อถึงใบหู  ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้ก็เหมือนกัน  แต่ไม่ได้แดงเพราะเขินอายเหมือนผู้ชายที่ยืนทำหน้ามึนตรงหน้าเขาทั้งสองคน


 
                        หล่อนกำลังโกรธพร้อมกับส่งสายตาราวกับจะควักตับของเขาออกมากระทืบเล่น


 
                        “ นี่จะยืนคุยกันตรงนี้อีกนานมั้ยคะ ? จัสเมื่อยแล้ว ยุงก็เยอะ เข้าบ้านกันไม่ได้เหรอคะ ? ” น้ำเสียงแหลมห้วนเจือกระแสไม่พอใจพร้อมกับสีหน้าบึ้งตึงทำให้เพชรรู้สึกตัว
 


                     
                        แสงสีส้มของยามเย็นนำความมืดมาเยือนชายหนุ่มขยับตัวก่อนเอ่ยปากชวนทุกคนเข้าบ้านโดยมีจัสมินกลับมาทำตัวเป็นปลิงเกาะแขนชายหนุ่มแจ
 


                        “ ผมว่าคราวหลังคุณจัสต้องพกเข็มทิศกับแผนที่ของเรือนมานะครับ จะได้ไม่กลัวหลง ” อดที่แขวะหญิงสาวอีกไม่ได้  ในขณะที่กันต์เดินตามรั้งท้ายยังแอบขำ


 
                        ไม่รู้ว่าไปโกรธแค้นอะไรกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน


 
                        ตั้งแต่เจอกันจิรายุกัดมัลลิกาจนเลือดซิบหลายต่อหลายครั้งโดยที่มีเพชรคอยเรียกชื่อปรามๆ


 
                        หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดจิรายุได้ซักที


 
                        “ จัสไม่ได้กลัวหลงหรอกค่ะ จัสกลัวพวกแมวขโมยที่ชอบมาขโมยปลาย่างเวลาที่เจ้าของเค้าไม่อยู่มากกว่าค่ะ ” จัสมินจงใจตวัดสายตาไปให้คนที่เดินตามท้ายแถวจนกันต์รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ


 
                        เขาไปทำอะไรให้ทำไมมาคราวนี้จัสมินถึงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบเขา
 


                        “ แต่ที่นี่ไม่มีแมวนะครับ  แล้วเราก็ไม่ชอบกินปลาย่างด้วย จริงมั้ยครับนายน้อย ? ”


 
                        “ ครับ ” เพชรที่ถูกโยนขี้มาให้ตอบรับแบบไม่ทันตั้งตัวเป็นผลให้จิรายุหัวเราะหึหึ  ในขณะที่จัสมินปล่อยแขนชายหนุ่มพลางสะบัดหน้าเดินฉับๆนำเข้าบ้านไปอย่างไม่พอใจ


 
                        “ ทำไมชอบยั่วโมโหเขานักจิ ” เพชรหันมาทำเสียงนิ่งใส่เลขาที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทไปในตัวอย่างไม่จริงจังนัก
 


                        “ หมั่นไส้ล้วนๆครับ ไม่มีเหตุผลอื่น ”



..................................................................................




หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-01-2019 22:08:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 29-01-2019 02:37:59
มาต่อแล้ว เดินเรื่องได้ดีมาก ค่อยๆลุ้น
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 29-01-2019 11:47:37


Time of tears
Chapter 5

#เหมือนเราจะเคยรักกัน

                        บรรยากาศยามเช้าหลังฝนกระหน่ำตกลงมาทั้งคืนทำให้โดยรอบชุ่มฉ่ำหยดน้ำเกาะพราวตามใบไม้ก่อนจะกลิ้งหล่นเมื่อมือเรียวแตะลงเพียงแผ่วเบา  ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติคลี่ยิ้มอย่างชอบใจ  อากาศที่เย็นกำลังดีทำให้กรกันต์สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด
 
                        “ ตื่นเช้าจังเลยนะครับคุณกันต์ ” เสียงใสๆจากด้านหลังทำให้กรกันต์หันไปส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จิรายุขยับเดินมาหยุดใกล้ๆก่อนจะยื่นกาแฟที่ส่งควันหอมฉุยให้
 
                        “ ขอบคุณครับ ” กรกันต์รับมายกขึ้นจิบ
 
                        “ อากาศที่นี่ดีจังเลยครับ  อย่างกับบ้านในฝันของผมเลย ” กรกันต์เท้าแขนกับขอบระเบียบเสียงนกเล็กๆร้องดังกังวาน
 
                        “ คุณกันต์ชอบบ้านโบราณเหรอครับ ? ” จิรายุยืนพิงระเบียงด้วยท่าทางสบายๆ ในขณะที่คนตัวเล็กกดหน้าหงึกหงัก
 
                        “ ใช่ครับ ผมชอบบ้านแบบนี้  คงเป็นเพราะผูกพันมั้งครับ  ผมฝันเห็นบ้านโบราณ คนโบราณอยู่บ่อยๆ จนบางครั้งก็แอบงงๆว่าตกลงผมเกิดในยุคไหนกันแน่ ”
 
                        “ ฝันถึงบ้านโบราณกับคนโบราณบ่อยๆเหรอครับ ? ” จิรายุหันมาถามอย่างสนใจ  กรกันต์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
 
                        หลายคนที่ได้ฟังก็ถามเขาแบบนี้แหละ
 
                        สุดท้ายก็บอกว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
 
                 
                        “ มันดูเพ้อเจ้อใช่มั้ยล่ะครับ  แต่ผมฝันแบบนั้นจริงๆนะ  ฝันเห็นตัวเองในชุดโบราณ  ฝันเห็นแผ่นหลังของใครบางคน  ฝันเห็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันราวกับว่าผมเป็นคนๆนั้นที่ใช้สายตาของผมมองเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ตอนไหนมีความสุขผมก็จะมีความสุขไปด้วยแต่วันไหนเจ็บปวดมีความทุกข์ผมก็เจ็บปวดเหมือนเขาคนนั้น ”
 
                        “ คุณฝันแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ? ขอโทษที่ละลาบละล้วงแต่ผมว่าเรื่องของคุณมันน่าสนใจน่ะครับ ” จิรายุรับออกตัวเมื่อเห็นดวงตาเรียวตวัดมองเขาราวกับแปลกใจที่เขาให้ความสนใจเรื่องของกรกันต์ขนาดนี้
 
                        “ ฝันตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะครับ  ช่วงแรกๆน่ะผมเกือบตายตามคนในฝันไปแล้ว ”
 
                        “ หืม ?... มีคนตายด้วยเหรอครับในฝันของคุณ ”
 
                        “  คุณช่างคุณเลขาคะ  นายน้อยให้มาเชิญไปทานข้าวค่ะ ” ยังไม่ทันที่กรกันต์จะอธิบายรายละเอียดในฝันคุณแม่บ้านก็ออกมาเรียกทั้งสองคนให้เข้าไปข้างใน  กรกันต์กับจิรายุจำต้องเดินกลับเข้าไปในเรือน  ภายในห้องอาหารมัลลิกากำลังคุยบางอย่างกับชายหนุ่มเจ้าของบ้าน  เพชรได้แต่ทำหน้านิ่ง  จิรายุเมื่อเห็นสีหน้าเจ้านายก็รู้ได้ทันทีว่ามัลลิกากำลังทวงถามอะไรอยู่
 
                        “ สงสัยจะทวงสัญญาตั้งแต่ชาติปางก่อนที่บรรพบุรุษทำไว้ด้วยกันมั้งครับ ” จิรายุหันไปกระซิบกระซาบกับกรกันต์ที่เดินเคียงกันมาอย่างหมั่นไส้
 
                        “ สัญญาอะไรเหรอครับ ? ” กรกันต์อดที่อยากรู้ไม่ได้  แต่เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเพชรแล้วก็คงไม่ใช่สัญญาที่ชายหนุ่มชอบใจแน่ๆ
 
                        “ สัญญาว่ารุ่นลูกรุ่นหลานต้องแต่งงานกันรุ่นละคนไงครับ  รุ่นไหนเป็นเพศเดียวกันก็รอดไป  แต่นายน้อยของผมซวยครับ ดันเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วดันหล่อซะด้วย คุณจัสเธอเลยจับหนับไม่ยอมไปไหนเลย ”
 
                        “ ยุคสมัยนี้นี่นะครับ  ยังจะสัญญาคร่ำครึแบบนี้อีก ”
 
                        “ ไม่ทราบว่าคุณสองคนจะยืนคุยกันอีกนานมั้ยคะ ? จัสว่าควรรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารกันซักนิดก็น่าจะดี ”
                        “ ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่ได้ไปนั่งคุยกันบนโต๊ะกินข้าวเรื่องมารยาทผมเลยไม่ต้องเคร่งมากก็ได้ ” จิรายุตอกกลับนิ่งๆ ก่อนจะเดินนำกรกันต์เข้ามานั่งประจำที่
 
                        “ จิรายุบางทีคุณควรมีมารยาทบ้างก็ดีนะคะ  ปรับนิสัยนิดนึงในอนาคตจะได้ไม่ลำบาก ”
 
                        “ ผมไม่สนเรื่องอนาคตครับเพราะมันเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ผมสนแค่ปัจจุบันมากกว่า ” จิรายุตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ถือเป็นอารมณ์โดยที่เพชรได้แต่ส่งสายตาปราม  แต่คนอย่างจิรายุหาสนใจไม่ชายหนุ่มปรายตามองหญิงที่จ้องหน้าตนอย่างท้าทาย
 
                        “ แต่คุณควรคิดไว้ซักนิดก็ดีนะคะ  เพราะยังไงในอนาคตจัสก็ต้องเป็นคนมาดูแลเรือนนี้อยู่แล้ว ”
 
                        “ เจ้านายผมเขาตกปากรับคำคุณแล้วเหรอครับ ? ผมไม่ทำตามใครจนกว่าจะมีทะเบียนสมรสหรือเจ้านายผมพูดออกมาเองว่าให้รับคำสั่งใคร ”
 
                        “ เพชรคะ ” มัลลิกาเมื่อเห็นว่าเถียงเลขาปากคมไม่ได้ก็หันไปเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างเอาแต่ใจ  เพชรได้แต่ตบหลังมือหญิงสาวเบาๆ
 
                        “ ผมว่าทานข้าวกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว ” มัลลิกาได้แต่กระแทกตัวนั่งอย่างขัดใจ
 
                        ทำไมจะไม่รู้ว่าเพชรพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะแต่งงานกับตน  ชายหนุ่มเพียงบอกปัดอยู่ตลอดเวลา
 
                        “ กันต์ครับ ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนตัวเล็กที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลาข้างตน  กรกันต์ช้อนตาขึ้นมามอง  ดวงตาใสแจ๋วที่ทำให้คนมองใจสั่น
 
                        “ ทานนี่ดูนะครับ  เนื้อหมักของป้ามะลิอร่อยมาก ” เพชรตักเนื้อหมักน้ำมันงาที่มะลิทำขึ้นโต๊ะมาให้กับกรกันต์  คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้าเอ่ยขอบคุณ
 
                   
                        “ กินเยอะๆนะกรรณ เจ้าผอมเกินไปแล้ว ”
 
                   “ ขอบพระคุณขอรับนายน้อยแต่แบบนี้มันจะสมควรเหรอขอรับ  ถ้ามีใครมาเห็นเข้าบ่าวอาจจะโดนคุณหญิงทำโทษ ”  กรรณที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงโต๊ะตัวเตี้ยที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดตรงหน้ามีชามข้าวที่มีกับข้าวตักใส่จนแทบจะล้น
 
                   “  ถ้าข้าบอกให้เจ้ากินก็กินไปเถอะ  หากใครมีปัญหาให้มันมาพูดกับข้า ”
 
                       
 
                        “ กรกันต์ครับ กรกันต์ ” เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกดึงภวังค์  คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆมองบริเวณรอบ  จานข้าวเต็มไปด้วยกับข้าวที่เพชรตักให้เหมือนภาพนิมิตที่เห็นเมื่อครู่
 
                        “ พ่... พอเถอะครับมันล้นจานแล้ว ”
 
                        “ กินเยอะๆนะครับ  คุณน่ะผอมเกินไปแล้ว ”
 
                        “ แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้เริ่มงานคะ ? ฉันเห็นคุณนั่งๆ นอนๆ ที่นี่มาเป็นจะเป็นเดือนแล้วยังไม่เห็นได้งานอะไรเลย ” อยู่ๆหญิงสาวก็พูดทะลุกลางวงสนทนาออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
 
                        ไม่รู้ทำไมแค่เห็นเพชรเอาใจใส่ผู้ชายคนนี้ความรู้สึกไม่พอใจก็ตีวูบราวกับพายุฤดูร้อนที่พร้อมจะพัดผ่านและทำลายทุกอย่างที่ขาวงหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง
 
                        แม้กรกันต์จะไม่ได้มีท่าทีอะไรกับเพชรแต่อยู่ๆความรู้สึกไม่ชอบใจก็เกิดขึ้นในใจหญิงสาว
 
                        “ กันต์เขาเริ่มงานออกแบบไปบ้างแล้ว  ผมเพิ่งดูแปลนที่เขาวาดเมื่อวันก่อน  ผมว่าเราไม่ควรคุยเรื่องงานกันบนโต๊ะอาหารนะครับ ”  เพชรหันมาติงหญิงสาวด้วยสายตาเรียบเฉยจนมัลลิกาต้องหลบตา  บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับสู่ปกติจิรายุยังคงพูดคุยกับเจ้านายของตนและกรกันต์ตามปกติ  โดยเว้นหญิงสาวให้กลายเป็นแกะดำพียงคนเดียวเรียกได้ว่าคุยข้ามหัวมัลลิกาไปเลย  กรกันต์เองก็พูดคุยกับจิรายุด้วยท่าทางสดใสขึ้นไม่มีท่าทีว่าจะเกรงหญิงสาวเหมือนตอนแรกที่เจอ  เพชรก็ร่วมพูดคุยในบางเรื่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  สายตาคมคอยเหลือบมองคนข้างๆอยู่ตลอดเวลา
 
                        สายตาที่มัลลิกาไม่เคยได้รับแม้เพียงสักครั้ง
 
                        หลายวันมานี้งานของกรกันต์เดินไปได้มากจนคุณช่างเข้าไปคุยรายละเอียดกับนายน้อยผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า
 
                        “ ผมคิดว่าอาทิตย์หน้าก็เรียกช่างเข้ามาทำงานได้เลยนะครับถ้าแบบผ่าน ”
 
                        “ แล้วถ้าแบบเสร็จคุณจะอยู่คุมงานต่อหรือกลับบริษัทครับ ? ” ชายหนุ่มอดใจถามไม่ได้ถ้าคนตัวเล็กนี้ต้องกลับแล้วให้ช่างคนอื่นมาคุมงานแทน
 
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเสียงเจื้อยแจ้วยามที่คนตัวเล็กเอ่ยทักทายบรรดาแม่บ้านและสาวใช้
           
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเสียงโต้เถียงของคุณช่างที่ไม่เคยยอมให้กับเขาเลย
 
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเชฟที่มีฝีมือน่าสะพรึงกลัว
 
                        เขาคงจะเหงา....น่าดู
 
                        “ ผมจะเป็นคนคุมงานเองครับ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ชิ่งหรอกน่า  แต่ด้านงาน Landscape เกี่ยวกับสวนเกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆจะมีช่างอีกคนมาสมทบนะครับ  รับรองได้คนนี้เด็ดถึงท่าทางจะไม่ได้เรื่องก็เถอะ ”  คนตัวเล็กดีดนิ้วประกอบคำพูด เมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมงานอีกคน
 
                        “ ถ้าแบบนั้นผมก็วางใจ  เพราะถ้าคุณบอกว่าต้องเปลี่ยนช่างที่มาคุมงาน  ผมคงต้องแกล้งขอแก้แบบตรงนั้นทีตรงนี้ที เพื่อรั้งให้คุณอยู่กับผมนานๆ แน่ๆ ”
 
                        ตาบ้าเอ้ย...พูดอะไรออกมาน่ะรู้ตัวมั้ย
 
                        กรกันต์ยกมือขึ้นเกาหลังคอแล้วผินหน้าไปนอกหน้าต่าง  คนตัวเล็กกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
 
                        รั้งให้คุณอยู่กับผมนานๆ
 
                        พูดออกมาได้ยังไงไม่อายปากเหรอ
 
                        แก้มจะแตกอยู่แล้วเนี่ย
 
                        “ เอาเป็นว่า...เอ่อ... เดี๋ยวผมกลับไปทำงานต่อแล้วกัน ” กรกันต์แก้เขินด้วยการยกงานขึ้นมาอ้าง  คนตัวเล็กยื่นมือจะหยิบแบบแปลนบนโต๊ะไม้สลักตัวใหญ่ทว่าคนตัวสูงกว่าก็มือไวเช่นกัน
 
                        หมับ!!!
 
                   “ เดี๋ยวสิครับ ”
 
                        “ อ่ะ...อะไร ? ”  อยู่ๆคนปากกล้าก็รู้สึกประหม่าหน้าร้อนผ่าว  ก้มมองมือตัวเองที่ถูกถือวิสาสะกุมไว้  พร้อมกับใช้มืออีกข้างประกบด้านบนหลังมือของกรกันต์อย่างทะนุถนอม
 
                        “ ผมต้องไปคุยงานที่กรุงเทพ 3 วัน  อยู่ที่นู่นผมคงคิดถึงคุณ ... ” อยู่ๆเพชรก็หยุดพูด  แล้วกลับเป็นฝ่ายเขินซะเอง
 
                        ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องกว้าง  ทำให้คนทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักโครมคราม  กรกันต์เองก็เม้มปาก
 
                        เกิดมา 20 กว่าปี  ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอย
 
                        ความรู้สึกหน้าร้อนวูบใช่ว่าจะไม่เคย
 
                        แต่...มันไม่เคยรุนแรงขนาดนี้
 
                        ความรู้สึกเขินอายแบบนี้  ทำให้หัวใจสั่นไหว
 
                        “ ผม... เอ่อ... ผมไม่อยู่คุณดูแลตัวเองด้วยนะ ” คนตัวสูงสบตากับคุณช่างที่เงยหน้าขึ้นพอดี  กรกันต์ดึงมือตัวเองออกก่อนจะลนลานเก็บแบบขึ้นมาถือไว้แนบอก
 
                        ไม่ได้หวงกระดาษแผ่นใหญ่  แต่ถือโอกาสใช้มือตัวเองกดหัวใจที่เต้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอกต่างหาก
 
                        “ ผมยี่สิบกว่าแล้วนะคุณ ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ ไม่ต้องมาบอกให้ดูแลตัวเองหรอก จะไปไหนก็ไปเถอะ ” กรกันต์หมุนตัวกลับออกไปทิ้งให้ร่างสูงได้แต่อมยิ้มก่อนจะหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคุณช่างเพียงลำพัง
 
                        “ อ่ะแฮ่ม... แก้มจะแตกแล้วครับนายน้อย ”  เพชรสะดุ้งจากเสียงกระแอมของเลขาตัวแสบที่รู้ทันเค้าไปซะทุกเรื่อง  ยืนพิงกรอบประตูส่งยิ้มล้อเลียนมายังผู้เป็นนาย  ดวงตากลมๆของจิรายุมองหน้านายน้อยที่เป็นทั้งนายและเพื่อนก่อนจะหันไปมองตามทางเดินที่คุณช่างเพิ่งจะเดินเร็วๆผ่านเขาไป
 
                        ถ้าตาไม่ฝาดกรกันต์เองก็มีสภาพไม่ได้ต่างกับนายของเขา  คุณช่างเดินไป บ่นพึมพำไปแต่ใบหน้าแดงจัดกลับระบายยิ้ม
 
                        ชวนมอง....
 
                        “ พูดอะไร  แล้วนี่เตรียมเอกสารพร้อมหรือยังจะได้ออกเดินทางได้เลย ”
 
                        “ เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วคร๊าบ... ก็ว่าจะเข้ามาบอกแต่พอดีเจอฉากแอบสารภาพรักแต่สาวเจ้าทำซึนเลยแอบดูซักหน่อย ”
 
                        “ ทะลึ่ง ”
 
                        “ แหมๆ... เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติ  นายน้อยไม่ต้องอายหรอกครับ ” คนเป็นเลขายังไม่วายเย้าผู้เป็นนายที่ปั้นหน้าขรึมข่มความเขินอาย  เพชรจัดการหยิบเสื้อนอกมาใส่แล้วหยิบกุญแจรถออกมาเตรียม
 
                        “ เดี๋ยวครับ นายน้อยลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ? ” จิรายุเดินมาดักผู้เป็นนายไว้
 
                        แม้ไม่อยากนึกถึงสักเท่าไหร่ ... แต่ก็ยังอดจะนึกถึงไม่ได้
 
                        “ อะไร ? ”
 
                        “ นายน้อยลืมไปหรือเปล่าครับว่าบ้านเราไม่ได้มีแค่คุณช่างแต่ยังมีแขกอีกคน ไม่ไปบอกเธอหน่อยเหรอครับว่าเราจะไปกรุงเทพเผื่อเธอจะติดรถกลับไปด้วย ”
 
                        “ อ่า... ”
 
                        คนเป็นนายถึงกับพูดไม่ถูก
 
                        เขาลืมไปจริงๆว่าที่บ้านหลังนี้ยังมีแขกอยู่อีกคน
 
                       มัลลิกายังอาศัยอยู่ในเรือนโบราณด้วยอีกคน  เพชรได้แต่ถอนหายใจหนักๆอย่างหนักใจเพราะเขาไม่ได้สนในหญิงสาวเหมือนที่เธอรู้สึกกับเขา  ตลอดเวลาที่มัลลิกามาพักเขาจึงดูแลเหมือนเธอเป็นแขกคนหนึ่งและวางฐานะเธอไว้เสมอเพื่อน  เพราะฉะนั้นเพชรจึงลืมไปว่าเขาต้องบอกมัลลิกาว่าเขาจะต้องไปทำธุระ
 
                        “ ถ้างั้นนายไปรอที่รถนะ  ฉันขอไปบอกจัสที่ห้องก่อน ” จิรายุพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหิ้วกระเป๋าเอกสารออกไป  เพชรยกมือลูบใบหน้าก่อนจะชะงักไว้  แล้วแบมันออกมองมือของตัวเองที่ยังคงกรุ่นกลิ่นหอมจางๆของโลชันที่กรกันต์ใช้
 
                        ความหนักใจในบางเรื่องดูเหมือนจะเจือจางลง  ชายหนุ่มกำมือของตัวเองแน่นก่อนจะก้าวตรงไปยังห้องพักของมัลลิกา
 
                        “ จัส... จัสครับ ”
 
                        ก๊อกๆๆๆ
                       
                        ชายหนุ่มเคาะประตูห้องนอนของหญิงสาวพลางส่งเสียงเรียก
 
                        แต่ทว่าภายในยังคงเงียบกริบ  ชายหนุ่มเคาะเรียกอีกหลายครั้ง  เมื่อมองดูนาฬิกาเพชรตัดสินใจว่าอีกซักพักค่อยโทรกลับมาบอกหญิงสาว  เพราะถ้าขืนชักช้าอาจจะไปถึงกรุงเทพช้าเกินเวลานัด
 
                        “ ตกลงว่าไงครับนายน้อย ? ” จิรายุขยับตัวจากการพิงรถ  เพชรส่ายหน้า
 
                        “ คงยังไม่ตื่น ”
 
                        “ สายจนตะวันแยงก้นแล้วเนี่ยนะครับ  โห....ใครได้ไปทำเมียนี่คงเพลียทั้งชาติ... อุ่ย.... ”  ท้ายประโยคจิรายุแกล้งทำสะดุ้ง  เมื่อเจอสายตาปรามๆจากผู้เป็นนาย  ในที่สุดทั้งสองก็ขึ้นรถเคลื่อนออกไปท่ามกลางสายตาของหญิงสาวที่แอบมองคนทั้งคู่มาซักระยะ
 
                        “ หึ... ไม่เคยได้ยินคำว่าอย่าฝากปลาย่างไว้กับแมวใช่มั้ยคะเพชร ? ฉันจะทำให้คุณรู้ว่าการที่คุณกล้าชอบคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันน่ะมันเป็นความผิดถนัด ”
 
 
 
                        กรกันต์เดินย่ำดินโคลนที่ถูกฝนกระหน่ำมาหลายวันไปตามทางดินแคบๆที่ตัดจากตัวเรือนใหญ่ไปทางด้านหลังจนสุดแนวรั้วเรือนไม้เก่าๆขาดการดูแล  เห็นเรือนลักษณะที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆไม่มีความสวยงาม ตรงจุดนี้ในแปลนบอกไว้ว่าเป็นโรงครัวและเรือนนอนของพวกทาส  ด้านนอกมีบ่อตั้งอยู่ตรงกลาง  ถัดไปเป็นเรือนเปิดโล่งมีแค่หลังคา  มีเศษฟืนกองระเกะระกะ  เครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆบางอย่าง เช่น  มีด พร้า จอบ เสียมยังถูกเรียงทิ้งไว้  ไม่ไกลออกไปเป็นประตูไม้เล็กๆที่กรกันต์คาดว่ามีไว้ให้ทาสออกไปทำธุระข้างนอก
 
                        หยากไย่โรยตัวระเกะระกะตามเพดานและฝาผนังจนน่าขนลุก
 
                        กรกันต์เคาะมวนบุหรี่ออกจากซองก่อนจะจุดไฟอัดเข้าไปเต็มปอด
 
                        แม้ใครบางคนจะชอบค่อนขอดว่าเขาสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง  แต่การได้อัดสารก่อมะเร็งเข้าปอดเวลาที่ต้องการใช้ความคิดมันก็ช่วยได้เยอะอดไม่ได้ที่จะค้อนลมค้อนแล้งกับคนที่ชอบโปรยคำหวานให้อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขากำลังถูกผู้ชายตัวโตๆทอดสะพานเลี่ยมทองฝังเพชรให้ข้าม  แต่ก็กลัวว่าถ้าคิดแบบนั้นแล้วพอเอาเข้าจริงเขาแค่หยอกเล่นแล้วจะหน้าแตก  เลยต้องข่มใจตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกหวั่นไหวว่าเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นก็พอจะช่วยให้หายฟุ้งซ่านขึ้นมาได้บ้าง
 
                        คนตัวเล็กหน้าหวานที่เพื่อนร่วมงานรู้ดีว่านิสัยการทำงานไม่หวานเหมือนหน้าเดินไปหยุดหน้าเรือนๆหนึ่งก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งชันขาข้างหนึ่งขึ้นรองกระดานเขียนแบบพิงเสาต้นใหญ่  หยิบแปลนและสมุดออกมาจดรายละเอียดต่างๆ  รวมทั้งสเกตภาพโดยรวมแนบไว้ด้านในบุหรี่หมดไปสองมวน  เมื่อคนตัวเล็กจัดการงานด้านนี้เสร็จก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กางเกงออกลวกๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจตามห้องต่างๆโดยเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดก่อน
 
                        “ อ่อ ครัว ” เมื่อเข้ามาเจอกับหม้อ ชาม กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ กรกันต์ก็ใช้มือถือของตัวเองถ่ายรูปไว้ก่อนจะเดินไปสำรวจบริเวณรอบๆ
 
                        กระด้งที่ใช้ตากเครื่องยาและสมุนไพรต่างๆ ยังวางเรียงอยู่บนชั้นแม้ฝุ่นจะเกาะเต็มแต่คนตัวเล็กกลับเห็นภาพซ้อนทับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ยังสะอาดเอี่ยมราวกับมันไม่เคยเดินทางผ่านกาลเวลานับร้อยๆ ปีมาก่อนคนตัวเล็กใช้ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสสิ่งของต่างๆ
 
                        อยู่ๆความรู้สึกบางอย่างมันก็ตีตื้นขึ้นมาจนไม่รู้ตัวว่าทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาง่ายๆ
 
                        ความรู้สึกของคำว่าคิดถึง
 
                        เหมือนคนที่พลัดบ้านไปนานแล้วได้กลับมาอีกครั้ง
 
                        “ ตลก... แกเคยมีบ้านมีครอบครัวกับเค้าด้วยเหรอกรกันต์  เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย ” คนตัวเล็กที่ดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาในที่สุดพูดกับตัวเองอย่างเห็นขำและความรู้สึกที่มีเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
 
                        เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่เคยมีบ้านให้กลับในช่วงวันหยุดไม่มีอารมณ์ความรู้สึกคิดถึงครอบครัวเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้
 
                        “ แค่เจ้าของบ้านเค้าทำดีด้วยจะมายึดว่าที่นี่เป็นบ้านของแกไม่ได้หรอกนะกรกันต์ จบงานทุกอย่างก็จบ ”  คนตัวเล็กใช้กระดาษแปลนตบฝุ่นที่ก้นตัวเองอีกครั้ง  ก่อนใช้ปากกาเหน็บที่ใบหูตัวเองเดินไปสำรวจห้องอื่นๆต่อ  ส่วนมากที่เข้าไปก็จะเป็นเรือนพักที่กั้นเป็นห้องแคบๆ
 
                        และทุกห้องมีเพียงหีบใบเขื่องที่ใช้สำหรับเก็บของกับหมอนโบราณห้องละใบสองใบเท่านั้น  เศษผ้าผุๆที่คาดว่าจะเป็นผ้าห่มก็วางอยู่ไม่ไกลกัน  ของใช้ในห้องมีเพียงโต๊ะตัวเตี้ยๆกับตะเกียงเล็กๆเท่านั้น  แต่ถึงแม้จะสร้างอย่างหยาบๆ ขนาดไหนก็ตามแต่ไม้ทุกแผ่น เสาทุกต้นล้วนยังคงแข็งแรงด้วยความที่สร้างจากไม้เนื้อดี  ทำให้สภาพเรือนนี้ถ้าฟื้นฟูซ่อมแซมอีกหน่อยก็สามารถกลับมาคงสภาพเดิมได้ไม่ยาก
 
                        กรกันต์จดรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะออกมาและมุ่งตรงไปยังห้องสุดท้ายที่อยู่ไกลออกไปแยกจากเรือนไม้ราวๆ 50 เมตร  ข้างนอกมีสลักที่ทำจากไม้ไว้สำหรับการล็อกจากด้านนอก  มือเรียวไวเท่าความคิดจัดการปลดแล้วปิดบานประตูไม้บานใหญ่ที่แสนจะฝืดเฝือออก
 
                        แอ๊ดดดดดดดดด......
 
                        ทันทีที่เปิดประตูแสงสว่างจากภายนอกก็สาดส่องเข้าไปให้เห็นสภาพด้านใน  มันเป็นห้องเก็บของที่มีสิ่งของวางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ มีทั้งกระสอบข้าว  โต๊ะไม้  ละสารพัดสิ่งอย่างแต่ที่มีเหมือนห้องอื่นๆก็คือฝุ่นที่หนาเตอะ  ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างและมีทางเข้าเพียงทางเดียวคือประตูนี้  กรกันต์จดๆจ้องๆตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี เพราะสิ่งหนึ่งที่คนตัวเล็กกลัวก็คือความมืดและที่แคบ
 
                        มือที่จับขอบประตูชื้นไปด้วยเหงื่อ  กรกันต์ถอนหายใจหนักก่อนจะตัดสินใจว่า
 
                        “ เดี๋ยวค่อยมาดูกับนายน้อยดีกว่า ” เมื่อคิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กก็คิดจะหันหลังกลับเรือนใหญ่ซักที
 
                        แต่ทันทีที่คนตัวเล็กหันมา
 
                        ผลั๊วะ!!!!
 
                        โลกทั้งใบดับวูบลงพร้อมๆกับความรู้สึกเจ็บและชาที่ต้อคอและกกหู
 
                        “ อ่า... ”  คุณช่างส่งเสียงร้องได้เพียงเท่านั้นสติก็ดับวูบลงพร้อมกับเสียงท่อนไม้ที่กระทบพื้น  รอยยิ้มเยาะปรากฏที่ริมฝีปากฉาบลิปสติกสีแดงสด
 
                        “ หลับให้สบายนะจ๊ะ  กว่าจะมีคนมาเจอแกก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้  ขอโทษทีนะ  ฉันพลั้งมือตีนายแรงไปหน่อย  นี่แค่สั่งสอนนะว่าคราวหลังอย่ามาให้ท่าผู้ชายของฉันอีก ” มัลลิกาใช้เท้าเขี่ยกรกันต์ที่นอนเลือดอาบกกหูและลำคอ  แปลนงานปลิวกระจาย หญิงสาวไม่ได้สนใจก้มลงดึงข้อมือของกรกันต์ก่อนจะออกแรงลากร่างเล็กเข้าไปในห้องเก็บของที่ทั้งมืด ชื้น และอับนั้น  แม้จะตัวไม่ใหญ่มากแต่ก็ใช้เวลาพอสมควรและแรงค่อนข้างมาจนหญิงสาวเหงื่อออกเต็มไรผม  มัลลิกาปัดมือไปมาเมื่อลากร่างของกรกันต์เข้ามาสำเร็จ
 
                        “ นอนในนี้แล้วกันนะ ต่อให้ร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยินหรอก  สะเออะออกมาซะไกล  ฝันดีนะจ๊ะ บายยยยย ” หญิงสาวทำท่าโบกมือให้กับร่างที่นอนสลบไม่รู้เรื่องรู้ราว  ก่อนจะเดินออกไปแล้วลงสลักกลอนข้างหน้าประตูอย่างเลือดเย็น
 
                       มัลลิกาเดินกลับเรือนด้วยความพอใจในผลงานของตังเอง
 
                        “ อ้าว คุณจัสไปไหนมาคะ ? ดูซิโคลนเปรอะขาไปหมดเลย ” มะลิที่ออกมาจากในครัวเอ่ยทักหญิงสาว  มัลลิกาตวัดตามองมะลิอย่างไม่ชอบใจ  แต่ก็เพียงครู่ก่อนจะปรับสีหน้าให้อ่อนหวานหันไปจีบปากจีบคอตอบด้วยน้ำสียงใส
 
                        “ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์มาน่ะค่ะ  แล้วคุณแม่บ้านจะไปไหนคะ ? ”
 
                        “ อ๋อ  จะไปตามคุณช่างเธอน่ะค่ะ  ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาสงสัยทำงานเพลินอีกแน่ๆ  คุณมัลลิกาเห็นคุณช่างบ้างมั้ยคะ ? ” ท้ายประโยคหันมาถามหญิงสาวที่ตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียบ
 
                        “ ไม่หนิคะ  ตั้งแต่เช้าจัสยังไม่เคยใครเลยจนคุณแม่บ้านมาบอกว่าเพชรกับคุณเลขาเข้ากรุงเทพนั่นแหละค่ะ  แต่คุณกันต์วันนี้มัลลิกายังไม่เห็น ถ้าไม่มีอะไรแล้วมัลลิกาขอตัวไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนนะคะ ”
 
                        “ อ่อค่ะๆ ขอบคุณมากนะคะ  อาหารพร้อมแล้วคุณจัสทานได้เลยนะคะ ” คุณแม่บ้านบอกส่งท้ายเพียงแค่นั้นก่อนจะขอแยกตัวไปตามหาคุณช่างของเธอ
 
                       มัลลิกาเบะปากใส่อย่างดูแคลน  สายตาที่ดูใสซื่ออ่อนโยนแปรเปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่แม่บ้านชราหมุนตัวกลับ
 
                        “ หาไปเถอะ... จ้างให้ก็หาไม่เจอหรอก ”
 
                        ว่ากันว่าแรงริษยาของผู้หญิงช่างร้ายนัก... มัลลิกาเพิ่งรู้ว่ามันจริงก็ต่อเมื่อตนเองได้ใช้มันเป็นพลังเพื่อทำร้ายคนคนหนึ่งไปแล้ว
 
 
                        “ ไม่จำเป็นที่ฉันต้องรู้สึกเสียใจใช่มั้ยคะเพชร ? ในเมื่อคุณเป็นของๆฉันตั้งแต่แรกแล้ว  ฉันที่เป็นเจ้าของก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องของๆฉันไม่ว่าจะแลกมาด้วยวิธีใดก็ตาม  คุณจะโทษกันไม่ได้ว่าฉันร้าย  ในเมื่อปลอกคอที่คุณสวมมันเป็นของฉัน  สายจูงที่ติดไว้ฉันก็ถืออยู่ แล้วคุณไปเคล้าคลอกับคนอื่นทำไม ? ”
 
 

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-01-2019 16:44:46
จัส   เทอมันร้าาาาาายยยยยยยยย  o18
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-01-2019 21:24:16
 :L2: :pig4:

คิดไปได้ น่ารังเกียจจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 29-01-2019 21:43:44
เก่งเหลือเกินนะกับคนที่ไม่สู้เนี่ยถ้ามีสู้หล่อนจะริอไหมนะ  :beat:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 29-01-2019 22:23:09
อ่านความคิดของจัสมินแล้วอดเบ้ปากไม่ได้จริงๆ
จิคือตัวแทนของเรา ทั้งชงนายน้อยกับนายช่าง และแซะจัสมินได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-01-2019 00:57:30
เหล่าอสัตย์เดนคนกูขออาฆาต
จงวิปลาสวอดวายด้วยอาถรรพ์
สมความชั่วโฉดช้าความระยำ
ที่กระทำข้าไว้เยี่ยงจัณฑาล

ขอให้เทพยดาจงสาปส่ง
ท้าวนรกสาปให้สิ้นวาสนา
แลภูติผีสาปให้ตายวายชีวา
สู่หุบเหวนคราแห่งกงกรรม
 

อ้างอิง เพลงแช่ง ปรางค์

อ่านไปแล้วเพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว

 o13

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 30-01-2019 01:10:00
เดี๋ยวจะลองไปหาฟังค่ะ ปกติไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่ คนเขียนเป็นติ่งเกาหลี 555555 เพลงไหนที่เริ่มฟังคือเขาเลิกฮิตกันแล้ว
เหล่าอสัตย์เดนคนกูขออาฆาต
จงวิปลาสวอดวายด้วยอาถรรพ์
สมความชั่วโฉดช้าความระยำ
ที่กระทำข้าไว้เยี่ยงจัณฑาล

ขอให้เทพยดาจงสาปส่ง
ท้าวนรกสาปให้สิ้นวาสนา
แลภูติผีสาปให้ตายวายชีวา
สู่หุบเหวนคราแห่งกงกรรม
 

อ้างอิง เพลงแช่ง ปรางค์

อ่านไปแล้วเพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว

 o13
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 30-01-2019 01:18:52
ร้ายมากนางมาร  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 30-01-2019 10:15:51



Time of tears
Chapter 6
 
                       
                        “ นายน้อยครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ ”จิรายุออกมาตามผู้เป็นนายที่ยืนกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบตึง
 
 
                        “ เข้าไปก่อน ขอเวลา 5 นาทีเดี๋ยวตามไป ” เพชรหันไปสั่งความกับจิ  ซึ่งเลขาตัวเล็กก็ผงกศีรษะรับฟัง  จิรายุหมุนตัวเตรียมเข้าไปจัดการเอกสารการประชุมอีกรอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรพลาด  แต่ก็หันหน้ากลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นนาย
 
 
                        “ นายน้อยครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ ? ทำไมสีหน้ายุ่งๆ ”
 
 
                        “ ผมโทรหากันต์ไม่ติด ” คนเป็นนายตอบแบบหงุดหงิดเรียกเสียงหัวเราะให้กับจิได้ในทันที
 
 
                        “ โธ่... นายน้อยครับ  ป่านนี้คุณช่างคงกำลังปีนเรือนนู้นไต่เรือนนี้อยู่มั้งครับ  เอาจริงเอาจังกับงานขนาดนั้น  ผมว่าบางทีคุณช่างอาจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง  เดี๋ยวค่ำๆค่อยโทรไปใหม่ก็ได้นี่ครับ ” จิเอ่ยเย้าๆจนเพชรมองจอมือถือตัวเองแล้วจึงเก็บเข้ากระเป๋าเดินแล้วตามจิไปในที่สุด 
 
 
 
                        “ อื้อ.... ” เสียงครางเบาๆหลุดออกจากปากร่างเล็กที่นอนตะแคงกายกับพื้นดินสกปรกที่เริ่มชื้นแฉะเพราะน้ำฝนด้านนอกเริ่มซึมเข้ามา
 
 
                        อาการเจ็บราวที่ต้นคอทำให้คนที่พยายามลืมตา  ต้องปิดเปลือกตาของตัวเองอีกครั้ง
 
 
                        สมองหนักอึ้งมึนงงไปหมด  ครั้นพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกรกันต์ถึงกับสะดุ้ง
 
 
หัวใจเย็นเฉียบราวกับยืนเหยียบก้อนน้ำแข็งยักษ์
 
 
                        ภาพที่เห็นมีเพียงความมืด...
 
 
                        ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งกอดเข่าทันที
 
 
                        กลัว... กลัวความมืด  แสงสว่างวาบลอดเข้ามาจากรอบแตกของหลังคาสูงส่องให้เห็นเงารางๆภายในห้อง
 
 
                        ความรู้สึกอับชื้นและความมืดที่เกลียดกลัว ทำให้คนตัวเล็กใช้เท้าดันตัวเองให้หลังพิงกับบางสิ่งราวหาที่พึ่ง
 
 
                        “ ช่วย... ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ” ความกลัวทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายกลายเป็นอัมพาตชั่วขณะ
 
 
                        ความกลัวที่ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมตัวเองต้องกลัวความมือและที่แคบ  กรกันต์มองรอยแตกของประตูเพื่อพึ่งพิงแสงสว่างจากสายฟ้าเป็นเพื่อน  ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อควบคุมความกลัวของตัวเองไม่ได้ ปกติเวลานอนไม่เคยเลยซักครั้งที่จะปิดไฟ  กรกันต์ทนอยู่ในความมืดได้ไม่เกิน 5 นาที  แม้แต่ขึ้นลิฟต์ ถ้าไม่มีคนขึ้นเป็นเพื่อน บ่อยครั้งยอมที่จะวิ่งขึ้นตึกมากกว่าต้องอยู่เพียงลำพังในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ
 
 
                        “ ฮึก... ”           
 

                        เสียงสะอื้นหลุดออกจากลำคอยามที่ความกลัวแล่นวาบสู่หัวใจ
 

                   ใครเป็นคนทำร้ายเขา ? แล้วคนๆนั้นต้องการอะไร ? เขาไม่เคยสร้างศัตรูที่ไหนแล้วใครที่ปองร้ายกันถึงขนาดนี้
 
 
                        “ คอยดูนะ...ระ...รอ...รอให้เช้าก่อน  ฉันจะพังออกไป  ย่ะ...ฮึก...อย่าให้รู้นะว่าเป็นใครจะเล่นงานให้... ฮึก ... ” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาหวังใช้เสียงตัวเองเป็นเพื่อนในความเงียบ
                 
 
                        ตอนนี้แม้แต่จะขยับ คุณช่างคนเก่งยังไม่กล้าได้แต่ซุกหน้ากับเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง
 
 
                        “ ไอ้น้ำตาบ้า  ฉันไม่ได้ร้องไห้นะ  ไม่ได้ร้องเลยซักหน่อยแล้วแกจะไหลทำไม... หยุดไหลสิ... นายน้อย... คุณอยู่ไหน... รีบกลับมานะ มาช่วยผม  ฮึก...รีบกลับมาเร็วๆนะครับ ”
 
 
                        กรกันต์ส่งเสียงเบาหวิวร้องขอให้คนช่วย  ร่างเล็กๆสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อแสงแปลบปลาบลอดเข้ามาเรื่อยๆ  ทำให้เงาภาพเงาต่างๆในห้องดูน่ากลัวเสียเหลือเกินสำหรับคนเสียขวัญ  จวบจนรุ่งสางร่างเล็กก็สลบไปอีกคราด้วยความอ่อนเพลีย
 
                   
                        “ กรรณเจ้านี่ทำไมขี้เซาแท้นะ  ตื่นได้แล้วเจ้าเด็กขี้เกียจ ” เสียงเรียกด้วยความเอ็นดูปลุกเด็กหนุ่มหน้าหวานให้เปิดเปลือกตามอง  เมื่อเห็นดวงหน้าคมสันเผยแววอารีย์ในดวงตาได้ถนัด  รวมทั้งแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องลมเข้ามาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวพรวดขึ้นนั่งหายง่วงแทบจะทันที
 

                        “ นายน้อย บ่าวขอโทษขอรับ รอซักครู่เดี๋ยวบ่าวเตรียมน้ำกับเสื้อผ้าให้นะขอรับ ” กรรณกุลีกุจอลุกขึ้นก่อนจะตลบที่นอนบนพื้นของตนลวกๆแล้วผลุบหายออกไปชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมกาน้ำร้อนกาใหญ่แล้วหายเข้าไปในห้องอาบน้ำของนายน้อย
 
                        “ นายน้อยครับ  บ่าวรัดแบบนี้ให้ท่านแน่นไปมั้ยขอรับ ? ” ที่สุดเมื่อสายคาดเอวถูกผูกปมอย่างปราณีตทาสตัวน้อยก็ถามผู้เป็นนายน้อยด้วยดวงตากลมซื่อ
 
                        เหมือนลูกแก้วที่กลิ้งไปมาจนผู้เป็นนายอดจะยิ้มให้อย่างเอ็นดูไม่ได้
 
                        “ ไม่หรอก  แบบนี้พอดีแล้ว ”
 
                        แอ๊ด......
 
                   เสียงประตูที่เปิดทำให้สองนายบ่าวรีบหันไปมอง
 
                        “คุณหญิง ”
 
                        “คุณแม่ ”
 
                        “ ทำไมชักช้านักล่ะพ่อเพชร  แม่รอกินข้าวพร้อมลูกอยู่  เห็นไม่ไปหาแม่ซักทีเลยเดินมาดูเผื่อป่วยไข้ ” ผู้เป็นนายหญิงของเรือนเคลื่อนกายเข้าใกล้ลูกชายคนเดียวพลางใช้หลังมืออังกับหน้าผากของชายหนุ่ม
 
                        “ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา  หรือเพราะเอ็งไม่ปลุกนายน้อย ” นางตวัดตาไปหากรกันต์ที่ยืนประสานมือกดหน้ามองพื้น
 

                        กรรณกลัวคุณหญิงมากกว่าป้ามะลิซะอีก
 

                        เพราะนางขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่ดุและเจ้าระเบียบมาก
 
                        แม้แต่มดหากเดินผ่านนางก็คงต้องทำความเคารพก่อนจาก  พลับเคยบอกกับกรรณ
 
                        ซึ่งทาสตัวเล็กก็เห็นจริงด้วยทุกประการ
 
                        “ ไม่ใช่หรอกขอรับคุณแม่เป็นลูกที่ตื่นสายเอง  เมื่อคืนลูกท่องตำราเสียดึกดื่นกรรณมันเตือนให้ลูกเข้านอนแล้วเข้านอนอีกจนอ่อนใจ  หากลูกทำให้คุณแม่ต้องรอลูกต้องขอประทานโทษคุณแม่ด้วยนะขอรับ ”
 
                        “ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป  อย่าให้ข้ารู้จะว่าเป็นบ่าวแต่นอนตะวันแยงตาให้นายตื่นก่อน  ข้าจะสั่งโบยเจ้าสิบหวาย  ทำอะไรต้องรู้ฐานะตัวเองด้วย  อย่าตีตนเสมอนาย ” มิวายที่จะหันไปข่มผู้เป็นบ่าว
 
                        จริงๆแล้วที่ต้องลากสังขารมาถึงเรือนของลูกชายก็เพราะมีบ่าวไปรายงานว่าเห็นนายน้อยหัดซอให้กับกรรณที่สวนเมื่อคืนวันก่อน  ยิ่งเห็นภาพตาสบตากับรอยยิ้มละมุนของคนทั้งคู่ผู้เป็นแม่ไม่อยากจะคิดไปในทางเสื่อมเสีย  หากแต่ลางสังหรณ์ของผู้เป็นแม่นั้นจับสัญญาณบางอย่างได้
 
                        หากเกิดควันต่อมาจะกลายเป็นประกายไฟ
 
                        นางจะใช้ฝ่าเท้าของนางดับมันซะ
 
 
                        กลางศาลาริมน้ำภายในสระที่ผิวน้ำไหวระริกด้วยแรงลมพลิ้ว  ปลาหลายสีแหวกว่ายไปมา  บนศาลาภาพของสตรีแต่งกายตัวอาภรณ์ที่ถักทอจากผ้าไหมเนื้อดีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับชายหนุ่มบุตรชายคนเดียวของท่านเจ้าพระยา
 
                        แม้บรรยากาศโดยรอบจะสงบร่มเย็นแต่ทว่าตัวนายน้อยเองกลับร้อนไปทั้งตัว
 
                        “ ข้ายังไม่พร้อมนะขอรับคุณแม่ ” นายน้อยเอ่ยกับผู้เป็นมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  บรรยากาศที่บ่าวไพร่ที่คอยอยู่เฝ้ารับใช้ไม่กล้าเงยหน้ามองยามนายหญิงของบ้านเทชาในกาลงแก้วจนเกิดเสียงเมื่อของเหลวตกกระทบถ้วยกระเบื้องเนื้อดี
 
                        เสียงถอยหายใจที่บ่งบอกว่ายามนี้นายหญิงของบ้านกำลังมิพึงใจ...
 
                        “ อายุเจ้าก็ยี่สิบปีแล้ว  ถ้าเป็นลูกชายบ้านอื่นป่านนี้คงมีลูกเล็กๆให้พ่อแม่ได้ชื่นชูกันซักคนสองคนแล้ว  เจ้าจะรั้งรออะไรแม่สบันงาก็งดงามกิริยามารยาทเรียบร้อย  ชาติตระกูลไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา ”
นายหญิงแห่งเรือนเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ  ชารสฝาดถูกส่งเข้าลำคอก่อนที่นางจะผินหน้าแสร้งมองปลาในน้ำ
 
                        “ มัจฉายังมีคู่  สกุณาเมื่อถึงเวลายังตั้งสร้างรังตัวเจ้าเป็นถึงบุตรชายท่านเจ้าพระยาหากแม้นไม่ออกเรือนมีคู่มีทายาทสืบสกุลถือว่าเสียชาติเกิดและเนรคุณต่อบรรพบุรุษ  พรุ่งนี้เตรียมตัวให้ดีแม่จะพาเจ้าไปเยี่ยมเจ้าคุณโยธาเทพ”
 
                        “ คุณแม่  โบราณว่าไว้ว่าปลูกเรือนให้ตามใจผู้อยู่ปลูกอู่ให้ตามใจผู้นอนมิใช่หรือขอรับ ? ยามนี้ลูกมิพึงใจที่จะสร้างเรือนกับผู้ใดใยคุณแม่ไม่เข้าใจข้าบ้าง ”

                        “ แต่การเชื่อฟังพ่อแม่ถือเป็นหน้าที่ที่ลูกพึงมี  พ่อแม่เห็นดีเห็นเหมาะแล้วว่าเรือนนี้สมควรร่วมลงหลักปักฐานมันจะทำให้ครอบครัวเรามั่นคงมากขึ้น แม่เหนื่อยแล้วไม่อยากจะพิรี้พิไรมากมาย  เอาเป็นว่าทำตามที่แม่บอกเถอะ  มะลิพาข้ากลับห้องเถอะลมชักจะแรงเผลอไผลไปจะไม่สบาย ” บรรดาบ่าวไพร่ที่ยืนรอต่างก้มหน้าค้อมตัวต่ำยามนายหญิงของบ้านเดินผ่าน
 
                        บรรยากาศยามเย็นที่นายน้อยชอบกลับดูหม่นเทา
 
                        “ ออกไปให้หมดทุกคน ” เสียงทุ้มเอ่ยไล่บริวารที่ยังคงเหลืออยู่  ทุกคนทำความเคารพก่อนย่อกายเดินจากไปทีละคน
 
                        คนตัวเล็กที่นั่งตรงตีนบันไดมองนายน้อยด้วยสายตาลังเล
 
                        ทำไมเพียงแค่ได้ยินว่านายน้อยจะต้องหมั้นและแต่งงานกับคนอื่นใจของกรรณก็กระตุก
 
                        มันเต้นเร็วจนน่าแปลกใจ
 
                        ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเลยซักนิดเพราะถ้าดีใจที่เจ้านายจะได้ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาที่หางตาคงไม่ร้อนผ่าวขนาดนี้
 

                        ที่มือทั้งสองข้างคงไม่ชื้นเหงื่อและสั่นเทาขนาดนี้
 
                        ร่างกายคงไม่รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้
 
                        และที่หัวใจคงไม่รู้สึกเหมือนมันกำลังจะหยุดเต้นขนาดนี้  ทาสตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นยามรู้สึกเหมือนมันจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา  ยิ่งมองแผ่นหลังกว้างหัวใจยิ่งสะท้าน
 
                        นายน้อยกำลังจะไปเป็นของหญิงอื่นที่เหมาะสมกันทุกอย่างตามที่คุณหญิงบอก
 
                        ควรยินดีกับเขาสิ  ทำไมรู้สึกใจหายขนาดนี้
 
                        กรรณขยับตัวลุกขึ้นหวังจะไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ตามที่นายน้อยเอ่ยไล่
 
                        “ กรรณเจ้าไม่ต้องไป ” แต่ทว่าเสียงทุ้มที่เบาโหวงกลับร้องรั้งเอาไว้  ขาเรียวที่เหมือนถูกถ่วงด้วยหินหนักกลับหนักมากขึ้นยามที่หันกลับไปรับคำ  ร่างเล็กค่อยๆนั่งลงที่ขั้นบันไดมองผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
 
                        “ บางที... ข้าก็อยากจะเกิดเป็นทาสอย่างเจ้านะ  ไม่ต้องแบกภาระอะไรไว้บนบ่ามากมาย  มีข้าวกินมีที่นอนก็พอ เกิดเป็นลูกขุนนางแบบที่เจ้าเคยฝันน่ะมันไม่สนุกเลยซักนิดเลยนะเจ้ารู้หรือไม่  เหมือนตอนนี้ที่ข้ากำลังถูกคลุมถุงชนล่ะไอ้กรรณเอ๋ย  เจ้ารู้หรือไม่ในใจข้าตอนนี้มันเอาแต่ตะโกนว่าข้าไม่อยากออกเรือน”
 
                        “ นายน้อย... ”
 
                        “ ข้าก็มีคนที่ข้าพึงใจเหมือนกัน... ” เสียงพูดเบาๆที่ทำให้จิตใจที่แกว่งราวกับนอนอยู่บนเรือยิ่งไหววูบมากขึ้น
 
                        น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ร่วงลงมาโดยไม่รู้ตัว
 
                        นายน้อยมีคนที่พึงใจอยู่แล้ว  ทำไมข้าไม่เคยเห็นเลย  แล้วใจเอยทำไมรู้สึกราวจะขาดรอนๆเช่นนี้กันเล่า
 
                        “ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ข้ารักชอบน่ะเป็นผู้ใด? ” เสียงนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
 
                        น้ำเสียงอบอุ่นนั้นบ่งบอกว่ามีความสุขยามที่เอ่ยถึงคนๆนั้น  กรกันต์กลืนน้ำลายกลั้นก้อนสะอื้น
 
                        น้อยใจ...
 
                        “ บ่าวไม่ทราบหรอกขอรับว่านายน้อยรักใครชอบใคร  หน้าที่บ่าวอย่างข้ามีเพียงติดตามรับใช้นายน้อยแต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปสอดส่ายหัวใจหรือความรู้สึกผู้ใด ”
 
                        “ หึ... เจ้ากำลังประชดข้าหรือ  มานี่สิข้าจะบอกความลับให้ว่าแท้จริงแล้วข้ามีจิตปฏิพัทธ์กับผู้ใด ”
 
                        “ ข้ามิได้อยากรู้เลยนายน้อย ” คนตัวเล็กแทนที่จะขยับเข้าหาผู้เป็นนายตามคำสั่ง  กลับทำท่าจะหันหลังไป  น้ำตาแห่งความน้อยใจจวนเจียนจะไหลเต็มที่
 
                        ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนกายไปไหนเอวเล็กกลับถูกดึงรั้งจนแผ่นหลังสัมผัสกับอกแกร่งของผู้เป็นนาย
 
                        “ คนที่ข้าชอบคือเจ้านะกรรณ ถ้าไม่รู้ก็รู้ไว้ซะ ” ก่อนที่สมองจะประมวลผลกับสิ่งที่นายน้อยบอก  ร่างของชายหนุ่มก็เดินหายไปแล้วทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจนสองปรางแดงซ่าน  กรรณยกมือขึ้นลูบแก้มที่ผู้เป็นนายเพิ่งประทับริมฝีปากลงไปก่อนเดินหายไปเบาๆราวกับจิตใจกำลังล่องลอยออกจากร่าง
 
                        และน้ำตาก็กลิ้งหล่นจากหางตา
 
                        ไม่ใช่น้ำตาแห่งความน้อยใจเช่นคราแรก  แต่กลับเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
 
                        “ บ่าวเองก็คง... ก็คง... ชอบท่านเหมือนกันนะนายน้อย... ”
 
 
 

                       
 
                        เปลือกตาบวมช้ำค่อยๆขยับเมื่อคุณช่างตัวเล็กเริ่มได้สติในช่วงสายของอีกวัน  น้ำที่เจิ่งนองจนพื้นดินเฉอะแฉะบ่งบอกได้ดีว่าฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง  บางช่วงมีน้ำขังถึงจะเป็นตอนสายจัดแต่เพราะพายุที่เข้าทำให้ท้องฟ้ามืดครื้มแสงแทบจะไม่ส่องผ่านเข้ามาตามรอยแตกของเพดานสูงด้วยซ้ำ  ดังนั้นทั่วทั้งห้องเก็บของขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จึงยังคงมืดแต่ยังพอเห็นด้านในได้ลางๆ
 
                        กรกันต์ค่อยๆยันกายลุกขึ้นนั่งร่างเล็กกุมท้องตัวเองที่เริ่มร้องประท้วงเพราะไม่ได้รับอาหารมาตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวาน  กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น
 
                        “ หิวข้าวอะ  ปวดท้องด้วย ” บ่นเบาๆก่อนจะกวาดตาสำรวจรอบๆ
 
                        “ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้  ถ้ามัวแต่นอนเป็นผักอยู่แบบนี้นายซวยแน่ ” บอกกับตัวเองเสียงเข้มทั้งที่ในใจหวาดหวั่น
 
                        ไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งอะไรหรอกนะยามต้องอยู่คนเดียว
 
                        คุณช่างค่อยๆใช้มือคลำสะเปะสะปะมองรอยแตกของกระเบื้องบนหลังคาที่อยู่เสียสูงด้วยความอ่อนใจ
 
                        “ ทำไมจะต้องทำหลังคาซะสูงเสียดฟ้าอย่างนี้  รอให้ออกไปได้ก่อนฉันจะสั่งโละแกทิ้ง ”  คุณช่างยกมือชกลมอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน  ก่อนจะสอดส่ายสายตาหาทางออกอื่น
 
                        “ แล้วนี่คนในบ้านไม่คิดจะออกตามหาฉันบ้างเลยเหรอเนี่ย  คนหายไปทั้งคนนะอย่างน้อยคุณแม่บ้านก็น่าจะผิดสังเกตว่าคุณช่างผู้น่ารักคนนี้หายไปไหน ”  กรกันต์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเดินกุมท้องแล้วใช้มือดันผนังห้องไปเรื่อยๆ
 
                        “ ไม้อย่างแน่นอะ ” คุณช่างใช้สีข้างตัวเองกระแทกลงบนบานประตูที่ถูกหับจากด้านนอก
 
                        ไม่มีปฏิกิริยาใดใดเกิดขึ้นมีเพียงร่างของตนเองที่กระเด้งกลับราวลูกบอลที่ถูกเตะอัดกับกำแพงหิน  จนรู้สึกร้าวไปทั้งแถบ  คุณช่างตัวเล็กที่กระเด้งล้มลงกับพื้นบีบไหล่ตัวเองน้ำตาเล็ด
 
                        “ อย่างนี้ต้องสั่งเผา ” เสียงเบาเอ่ยด้วยความแค้นใจพลางส่งค้อนให้กับเจ้าประตูบ้าที่ทั้งหนาและแข็งแรง
 
                        “ ไม่มีทางยอมหรอก นี่ใคร! กรกันต์ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคนะ  แต่ตอนนี้หิวจังเลย  นายน้อยคุณอยู่ไหน ? ”
 
                        กรกันต์กวาดสายตามองหาช่องทางที่จะออกไปจากห้องเก็บของนี้
 
                        “ .. ขุดออกไปได้มั้ยนะ? ดินมันโดนน้ำน่าจะนิ่ม ” ไวเท่าความคิดคุณช่างเดินโขยกเขยกไปที่กองไม้หยิบขาโต๊ะหักๆแหลมๆขึ้นมามองด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
 
                        “ หึ... อย่าคิดว่าประตูแค่นี้จะทำอะไรฉันได้ ” กรกันต์แสยะยิ้มให้กับบานประตูที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำก่อนจะปักไม้แหลมลงบนพื้นดินนิ่ม
 
                        คุณช่างตัวเล็กคงลืมไปว่า...
 
                        “ โอ๊ย ! ” คุณช่างทิ้งไม้พลางยกมือตัวเองขึ้นดูตุ่มใสพองจนเกือบแตกในขณะที่บนพื้นปรากฏรอยขุดที่ลึกราวครึ่งฝ่ามือ
 
                        ดินนุ่มแฉะกองอยู่ปากหลุมลึกลงไปคือดินแข็งจับตัวแน่นราวชั้นหิน
 
                        น้ำที่เปียกแฉะเจิ่งนองมาจากหลังคาที่รั่วและที่ถูกฝนสาดเข้ามาตามรอยแตกของประตูไม่ได้ซึมมาจากชั้นหน้าดินแต่อย่างใด
 
                        ความพยายามนานนับสองชั่วโมงสิ้นสุดพร้อมกับร่างเล็กชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาซบหน้าลงตรงกลางเข่าของตัวเอง
 
                        ไหล่มนสั่นเบาๆพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เจ้าตัวพยายามกลั้น
 
                        “ ...วิน... ช่วยด้วย ”
 
 
 
                        “ สวัสดีครับขอสายกรกันต์หน่อยครับ ” ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น
 
                        วินกำลังร้อนใจเขาโทรหากรกันต์ตั้งแต่เมื่อวาน  แต่เจ้าเพื่อนตัวเล็กกลับไม่ยอมรับสาย
 
                        เป็นเรื่องผิดปกติของกรกันต์เพราะเจ้าตัวแทบจะไปปล่อยโทรศัพท์ให้อยู่ห่างกาย
 
                        เพราะฉะนั้นวินจึงไปขอเบอร์โทรศัพท์บ้านจากพี่หนึ่ง  วินรีบต่อสายเข้าเรือนโบราณทันทีที่ได้เบอร์จากรุ่นพี่ควบตำแหน่งเจ้านาย
 
                        “ เอ่อ... ขอประทานโทษค่ะ คุณกรกันต์ไม่อยู่ค่ะ ” มะลิกรอกเสียงไปตามน้ำเสียงของหญิงชราเบาโหวง
 
                        คุณช่างหายไป...หล่อนตามหาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่พบ
 
                        “ .. ไม่อยู่เหรอครับ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้วเค้าลืมเอาโทรศัพท์ไปหรือเปล่าครับ ? ”
 
                        “ ขอโทษนะคะ  ดิฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ ” หญิงชราทำท่าจะตัดสาย  วินขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
 
                        “ เดี๋ยวนะครับ  ไม่ทราบนี่หมายความว่ายังไงครับ  เค้าออกไปสำรวจ  เค้าออกไปข้างนอก  หรือยังไงครับ ? ”
 
                        “ ดิฉันไม่ทราบคะ  เมื่อวานที่เจอคุณช่างเธอบอกว่าจะไปดูรอบบ้าน  แต่เวลาอาหารว่างเลยไปแล้วเธอก็ยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ ”
 
                        “ อะไรนะ! แล้วคนหายไปทั้งคนเจ้าของบ้านเค้าไม่ออกตามหาเลยเหรอ ”
 
                        “ นายน้อยกับคุณเลขาไม่อยู่ค่ะ  ส่วยคุณจัสเธอเพิ่งกลับกรุงไปเมื่อเช้า  พวกเราตาหาแล้วแต่ไม่เจอก็เลยคิดว่าคุณช่างอาจจะกลับกรุงเทพเพราะเธอเคยบอกไว้ว่าต้องเข้าบริษัทซัก 2-3 วันค่ะ ”
 
                        “ บ้าชิบ ! ” วินสบถใส่สายโทรศัพท์ก่อนจะกดตัดสาย
 
                        กรกันต์หายไป....
 
                        ไม่มีใครสนใจตามหา
 
                        แม้แต่ตัวเจ้าของเรือนโบราณ
 
                        “ พี่หนึ่งผมลางานอาทิตย์นึงนะ ” วินเดินไปเคาะประตูกระจกของเจ้านายก่อนจะเอ่ยบอกเรียบๆ  แล้วหมุนตัวออกมาจนหนึ่งต้องวางงานในมือวิ่งตามมา
 
                        “ เฮ๊ย... วินแกรีบร้อนจะไปไหนวะ ? ” วินที่กำลังกวาดๆของบนโต๊ะใส่กระเป๋าใบใหญ่ถอนหายใจ
 
                        ถ้าหนึ่งตาไม่ฝาดเขาเห็นไอ้รุ่นน้องอารมณ์ดีกัดฟันกรอดจนเส้นเอ็นขึ้นที่คอ
 
                        “ พี่วินครับ สายจากทางบ้านครับ ” รุ่นน้องในบริษัทตะโกนมาจากโต๊ะร้องบอกวิน  ชายหนุ่มถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างหัวเสียก่อนนะเดินไปที่โต๊ะเพื่อรับโทรศัพท์
 
                        “ ฮัลโหล ”
 
                        “ วินกลับบ้านด่วนพี่วุ้นเข้าโรงพยาบาล ”
 
 
 
                        “ ผมหวังว่าการร่วมทุนโครงการของเราทั้งสองฝ่ายจะเป็นไปได้ด้วยดีนะครับ ” ชายวัยกลางคนยื่นมือมาให้กับพชรเมื่อการตกลงเซ็นสัญญาเสร็จสิ้นลง  พชรพ่นลมอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจด่วนของตนเสร็จสิ้นลง
 
                        จะได้กลับกลับเมืองไทยซักที
 
                        ที่จริงเขาควรจะได้กลับเรือนโบราณตั้งแต่ 5 วันที่แล้ว แต่เพราะพ่อของเค้าโทรมาบอกให้บินตรงมาปักกิ่งเพื่อเซ็นสัญญาโครงการสร้างห้างสรรพสินค้าการประชุมและการตกลงกินเวลาถึงสามวัน
 
                        งานยุ่งมากจนเพชรไม่มีเวลาโทรหากรกันต์หรือแม้แต่ใครที่ไทยซักคน
 
                        คิดถึงคุณช่างจนจวนจะแย่อยู่แล้ว
 
                        “ นายน้อยครับ ผมจัดการเตรียมตั๋วเครื่องบินได้แล้วนะครับ  รับรองถึงไทยไม่เกินเที่ยงคืน  คืนนี้แน่ๆ ”
 
                        “ นี่เร็วที่สุดแล้วใช่มั้ย ? ”
 
                        “ ครับเร็วที่สุดแล้วครับ แหม... ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ยังไงไม่เกินพรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วครับ ”
 
                        “ รู้ดีตลอดเลยนะ  แต่จริงๆอยากเจอตอนนี้เลยด้วยซ้ำไม่รู้ทำไมใจมัยห่วงแปลกๆ ”
 
                        “ รับรองให้เลยนะครับว่าถึงไทยผมจะเหยียบสองร้อยให้ถึงเรือนภายในสองชั่งโมง ” จิเอ่ยกระเซ้าผู้เป็นนายที่ทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจก่อนจะขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทใหญ่ก่อนจะขึ้นเครื่องตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ
 
                        “ รอผมหน่อยนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะได้เจอกันแล้ว ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับลมฟ้าเหมือนหวังจะให้คนที่อยู่ทางนู้นได้ยินโดยไม่รู้เลยว่า 5 วันที่ตนไม่อยู่นั้น คุณช่างต้องประทังชีวิตด้วยการทนกินน้ำสกปรกที่ขังบนพื้นดินและสลบสไลไปเมื่อตอนพลบค่ำต่อมา
 

                        ร่างเล็กหายใรรวยริน

                        ริมฝีปากแห้งผากแตกระแหงจนตกสะเก็ดคราบเลือดยังคงซึมผ่านรอยแผล

                        ขอบตาบวมแดงช้ำด้วยผ่านการร้องไห้ไม่เว้นแต่ละวัน
 
                        การมีชีวิตอยู่ในยามนี้เหมือนจะเป็นสิ่งยากลำบากเสียแล้วสำหรับกรกันต์
 
                        เล็บมือเกรอะกรังไปด้วยเลือดเพราะคนตัวเล็กใช้มือในการพยายามขุดดินและแกะไม้ที่ทำผนัง
 
                        ลมหายใจคล้ายจะขาดช่วงยามออกแรงขยับริมฝีปาก
 
                        “ ช่ะ...ช่วย...ด้วย...น่ะ...นาย...น้อย...ช่วย...ด้..ว...ย... ”
 
 
                        ปัง!!!
 
 
                        “ ในที่สุดก็เจอจนได้นะกรกันต์ ”
 
 

                        TBC………….
 
 
 
 ...............................

ตายมั้ย ตายมั้ยคุณช่างงงงงง

นายน้อยก็กำลังจะโดนจับแต่งงานแล้วด้วย

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 30-01-2019 18:56:27
ไม่คิดว่ากันต์จะโดนขังโหดนานขนาดนี้
รอบบ้านกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน ห้าหกวันแล้วยังหาคนไม่เจอ
จัสมินเธอจิตใจอำมหิตมาก!
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-01-2019 19:50:14
กันต์น่าสงสารมาก  :mew4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-01-2019 20:41:08
 :ling3:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-01-2019 23:03:06
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 31-01-2019 00:06:20
ชะนีแพ้ชาติที่แล้วฆ่าเขา ชาตินี้ยังตามมาจองเวรอีก สงสารกันต์
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 31-01-2019 01:24:16
Time of tears
Chapter 7


                   ครืด....ครืด..... ดวงตาบวมช้ำปรือขึ้นเมื่อรู้สึงถึงแรงบีบที่แขน
 
                        เสียงอะไร ? . . . .
 
                        “ กันต์...กันต์ได้ยินที่ฉันเรียกมั้ย ? ” คุณช่างคนเก่งพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง  เมื่อแรงเขย่าที่แขนเพิ่มมากขึ้น
 
                        น้ำเสียงที่ได้ยินต้นชนปลายได้ไม่มากนัก
 
                        น้ำเสียงคุ้นๆ คนตัวเล็กพยายามนึกว่าเป็นเสียงใครแต่เพราะสติสัมปชัญญะที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้นึกไม่ออก  ร่างซูบโทรมเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนลืมตาขึ้นมองอีกครั้งก็เห็นเพียงหลอดไฟที่ไหลไปหลังจากเตียงที่บุรุษพยาบาลเข็นเคลื่อนผ่านจนเวียนหัว  คุณช่างหลับตาลงแล้วพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อเห็นเค้าลางรูปร่างของใครบางคนที่วิ่งตามเตียงเข็นของเขามา
 
                        คุณช่างคนเก่งคลี่ยิ้มบางๆ ให้
 
                        “... วิน...ช่ว...ย...ด้วย..ในนั้น..มื.....ด ” กรกันต์พูดได้แค่นั้นมือเรียวซูบที่มีแต่บาดแผลพยายามยกมือขึ้นจับมือเพื่อนรัก  วินกลั้นน้ำตาก่อนจะฝืนส่งยิ้มให้
 
                        “ ไม่เป็นไรนะ... ไม่เป็นไร  ฉันมาช่วยนายแล้ว ”  วินกลั้นก้อนบางอย่างที่แล่นขึ้นมาจุกในลำคอ  ภาพสุดท้ายที่กรกันต์เห็นก่อนจะถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปคือภาพของวินที่ยิ้มแล้วโบกมือให้กับตนอยู่ข้างนอกก่อนที่โลกทั้งใบจะเป็นสีขาวโพลนราวหิมะ
 
 
 
 
                        แรงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าอีกทั้งเสียงนกร้องขับขานทอดรับต่อกันทำให้กรรณชะเง้อมองอย่างชอบใจ
 
                        เพราะจวนของท่านเจ้าพระยาโยธาเทพอยู่ไกลเกินกว่านายน้อยจะเดินไปได้  คุณหญิงแพจึงสั่งบ่าวไพร่ให้ช่วยกันเอาของฝากจากเมืองจีนขึ้นเรือแล้วให้นายน้อยนำไปส่ง
 
                        ทิวทัศน์โดยรอบเริ่มเข้าสู่แนวป่านานๆจะมีบ้านเรือนปรากฏให้เห็นสักหลัง บางบ้านก็เลี้ยงช้างเพื่อไว้ใช้งานสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเจ้าทาสตัวเล็กยิ่งนัก
 
                        “ ตื่นเต้นอะไรนักหนาเจ้า ” เมฆที่นั่งกอดอกวางมาดขรึมตามแบบฉบับเอ่ยเอ็ดเจ้าทาสตัวน้อยที่ดูตื่นตาตื่นใจไปเสียทุกอย่าง  กรรณปิดม่านแล้วแกล้งทำคอหดราวกับกลัวเสียเต็มประดา
 
                        “ พี่เมฆ... ” หลังจากทนนั่งเงียบมาซักระยะกรณที่นั่งทำสีหน้าครุ่นคิดมาแทบจะตลอดทางก็เอ่ยเรียกคนที่หลุบผ้าขาวม้าผืนใหญ่ที่มักจะคลุมหัวประจำต่ำลงมาปิดจนถึงปลายจมูกเช่นคนที่พักสายตาทั่วๆไป
 
                        แต่กรรณรู้ว่าคนดูแลของนายน้อยคนนี้ไม่เคยงีบหลับซักครั้งหากเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นเขาสามารถไปอยู่ปกป้องนายน้อยได้ทันท่วงทีแน่ๆ
 
                        “ อะไร ? ” ร่างสูงไม่ได้ขยับกายจากการเอนหลังพิงกับผนังเรือสองแขนยังคงกอดอกนิ่งอยู่ท่าเดิม กรกันต์ช้อนตาขึ้นมองราวกับกำลังชั่งใจว่าควรพูดควรถามสิ่งที่ค้างคาจิตใจของตนทุกวันตั้งแต่ทราบข่าวดีหรือไม่
 
                        “ นายน้อยจะต้องออกเรือนจริงๆเหรอพี่ ? ”
 
                        เหตุใดหนอพอเอื้อยเอ่ยคำๆนั้นออกไปแล้วหัวใจดวงน้อยก็เหมือนถูกลิ่มน้ำแข็งตอกลงที่กลางดวงใจ
 
                        มันรู้สึกหนาวเหน็บจนชา
 
                        เป็นความรู้สึกที่ทรมาน... ทั้งๆที่บอกกับตัวเองทุกเมื่อเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของเจ้านายไม่ใช่เรื่องของบ่าวที่จะสอดรู้สอดเห็น
 
                        แต่บางครั้งหัวใจที่อยู่เหนือเหตุผล
 
                        “ ไม่ใช่เรื่องของขี้ข้า ” คำตอบที่ได้รับกลับมาแม้จะฟังไม่เข้าหูนัก แต่มันก็คือความจริงที่กรรณต้องยอมรับ
 
                        แม้นายน้อยจะกระซิบชิดริมหูพร่ำคำหวานให้ได้ยินบ่อยๆหลังจากที่บอกว่าชอบกรรณในวันนั้น
 
                        แต่สถานะของคนทั้งคู่ก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว
 
                        คนหนึ่งคือนายน้อยที่สูงทั้งศักดิ์และฐานะ
 
                        คนหนึ่งคือทาสในเรือนเบี้ยต้องใช้แรงงานแลกข้าวแลกที่ซุกหัวนอน
 
                        ที่สำคัญต่างคนต่างเป็นผู้ชาย  กรรณไม่เห็นหนทางไหนเลยที่ตนและนายน้อยจะก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆได้
 
                        มองไปทางไหนก็มีเพียงมืดมิด  หนทางที่จะได้ครองรักกัน...ไม่มี
 
                        “ นี่แหนะ... ข้าจะบอกอะไรให้อย่างนะไอ้เปี๊ยก  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมันถูกกำหนดมาแล้ว  เทพยาดาฟ้าดินท่านประทานมาให้ผู้หญิงคู่กับผู้ชาย  ให้ดวงจันทร์คู่กับดวงอาทิตย์  เพราะฉะนั้นลำพังมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเช่นเจ้าน่ะ  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก  อย่าใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ตกลงมาจะเจ็บจนลุกไม่ขึ้น ”
 
                        “ ข้าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซักหน่อย ” กรรณหลุบตาเสมองพื้นไม้ที่สั่นตามแรงเคลื่อน
 
                        “ หึ... ปากเจ้าพูดว่าไม่คิดแต่ดวงตาของเจ้ามันฟ้องหมดแล้วไอ้กรรณเอ๋ย   ถ้าคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ให้ตัดทิ้งไปซะ  มันไม่มีทางเป็นไปได้ยิ่งคิดจะทำตามหัวใจตัวเองเจ้าจะยิ่งเจ็บ  อย่าดึงฟ้าลงมาต่ำ  อย่าดึงหงส์ให้มาเกลือกกลั้วกับฝูงอีกาเช่นเรา  หงส์ก็ควรคู่กับหงส์ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน... ” เมฆขยับนั่งโน้มตัวมาใกล้เด็กน้อยที่ไหล่ตกลงเรื่อยๆ
 
                        “ นี่ข้าจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้เจ้าก็รู้สึกไม่คู่ควรอยู่แล้วใช่หรือไม่ ? เดี๋ยวพอถึงเรือนท่านเจ้าคุณโยธา เจ้าจะยิ่งรู้สึกเป็นธาตุอากาศเลยล่ะ  คุณหนูสบันงานั้นงามนัก ” เมฆหัวเราะในลำคอยามที่ดวงตากลมใสตวัดขึ้นมาสบกับดวงตาที่มีแววสมเพชของตนใจดวงน้อยก็ห่อเหี่ยวลงราวกับกระดาษที่โดนขยำทิ้ง
 
                        กาก็ควรอยู่ส่วนกา  ปล่อยให้หงส์ฟ้าเขาไปเคียงคู่กันสินะ
 
                        แต่กรรณรักนายน้อยไปเสียแล้ว
 
                        จะมีทางไหนที่จะย้อมขนอีกาให้ขาวราวขนหงส์แล้วไปเคียงคู่กับนายน้อยกัน
 
                        แค่เพียงครึ่งวันก็ยังดี
 
 

((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 31-01-2019 01:25:35

                        “ ไม่ทราบว่าคุณพี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ? ” สบันงารินชาใส่ถ้วยให้เพชร  คุณหนูคนงามแห่งเรือนเจ้าพระยาโยธาเทพหันไปสบตากับอีเฟืองบ่าวสาวคนสนิท  รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนในหน้า
 
                        เพียงแค่แรกเจอนางก็รู้สึกสึกถูกใจบุตรชายของเจ้าคุณพิพัฒน์วานิชเสียแล้ว
 
                        ทั้งใบหน้าคมสันจัดได้ว่ารูปงามดังตุ๊กตาหยก  ท่วงท่าสง่าผ่าเผย  และฐานะชาติตระกูล  อีเฟืองบ่าวสาวคลานถอยหลังออกไป  เพื่อเปิดโอกาสให้นายของตนได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคุณเพชร  กรรณที่นั่งก้มหน้าอยู่ด้านหลังนายน้อยเมื่อเห็นดังนั้นคนที่ไม่อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาก็ทำท่าจะคลานออกไปด้วยเช่นกัน
 
                        “ กรรณเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ ” ทว่าเสียงนุ่มทุ้มกลับดึงคนตัวเล็กให้ขยับเขยื้อนไปไหนราวกับโดนตะปูตรึงเข่า  เพชรหันไปหาคุณหนูสบันงาที่ปรับสีหน้าไม่พอใจเมื่อครู่ให้เป็นดวงหน้าของดรุณีแรกรุ่นผู้มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลาแทนแทบจะในทันที
 

                        “ ต้องขออภัยแม่สบันงาด้วยที่พี่ขอให้คนสนิทของพี่อยู่ตรงนี้  ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสองแม้ในที่นี้จะเป็นที่เปิดโล่งก็ตาม พี่ไม่อยากให้บ่าวไพร่เอาไปพูดให้เป็นที่ครหาว่าเราทำตัวไม่เหมาะสม  หวังว่าแม่สบันงาจะเข้าใจ ”
 
                        “ เหตุผลของคุณพี่ดีแล้วเจ้าค่ะ  น้องเองก็เห็นด้วยแต่ที่บ่าวของน้องออกไปเพียงเพราะมันจะไปจัดเตรียมสำรับคับค้อนไว้ให้คุณพี่รับประทาน  ซักประเดี๋ยวคุณพ่อท่านคงกลับมาอิฉันให้บ่าวไปตามแล้วเจ้าค่ะ ”
 
                        “ เห็นทีพี่คงไม่รบกวนเจ้าแล้วเพราะเย็นพี่ต้องไปเรียนซอกับจางวางสม ”
 
                        “ คุณพี่เล่นดนตรีด้วยหรือเจ้าคะ  ดีจริง อิฉันเองก็สนใจในเรื่องดนตรีเช่นกัน ”
 
                        “ พี่เล่นเล่นซอ”
 
                        “ ดีจริง  อิฉันเองก็สนใจ ” สบันงาทำเอียงคอน่ารักยามพูดตอบโต้กับนายน้อย  กรรณที่ลอบมองดวงพักตร์ของคุณหนูสบันงาอยู่บ่อยๆ ถึงกับหัวใจฝ่อลงไปเท่าเม็ดงา
 
                        กิ่งทองกับใบหยกสมกันยังไงกรรณไม่รู้หรอก
 
                        แต่ภาพบุรุษและสตรีที่นั่งสนทนากันตรงนี้ช่างสมกันยิ่งนัก
 
                        สมกันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
 
                        “ ไม่ทราบว่าแม่สบันงาเล่นเครื่องดนตรีชนิดใดหรือ? ” เพชรเมื่อเห็นว่าสบันงาคุยเรื่องดนตรีกับตนจึงเกิดความสนใจขึ้นมา
 
                        “ เอ่อ...อิฉัน...อิฉันเล่นไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ  ได้แต่สนใจกับชอบที่จะฟังเสียมากกว่า  นอกจากเรื่องเครื่องประดับเสื้อผ้าแพรพรรณแล้วอิฉันก็ไม่มีความรู้ด้านใดอีกเลย ”
 
                        “ อ่อ... เช่นนั้นดอกรึ” บทสนทนาของชายหญิงทั้งคู่ถึงแม้จะไม่ดังแต่ก็ไม่เบา  กรรณปล่อยให้มันผ่านหูไปดุจสายลมที่เพียงพัดผ่านให้ผิวกายสะท้านเท่านั้น  นานเท่าใดไม่ได้สนใจเมื่อทาสตัวเล็กมองนั่นมองนี่เพื่อจะไม่ให้ตนหันกลับไปมองคุณหนูสบันงาคนงามแล้วเอามาเปรียบเทียบกับตน
 
                     
 
                        “กันต์... กรกันต์ ” เสียงเรียกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กรกันต์สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง  ใบหน้าของนายน้อยที่อยู่ห่างออกไปทำให้คนตัวเล็กเบิกตากว้าง
 
                        “ นายน้อย !! ”
 
                        “ ฟื้นแล้ว  คุณช่างฟื้นแล้วครับนายน้อย ” เสียงจิรายุร้องบอกผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ติดหน้าต่าง  ในขณะที่วินที่นั่งเขม่นเพชรอยู่บนโซฟาก็ดีดตัวลุกขึ้นราวติดสปริง
 
                        “ นายน้อย... คุณ....” คนป่วยสะดุ้งตื่นจากความฝัน เมื่อลืมตาภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของนายน้อย  ใบหน้าของคนสองคนซ้อนทับกันจากยุคก่อนและตอนนี้
 
                        คนๆ เดียวกัน
 
                   ใช่คนๆเดียวกันจริงๆน่ะเหรอ ?
 
                   หัวใจที่คิดว่ามันจะไม่มีวันเต้นแรงกับใคร  ตอนนี้มันสั่นไหวราวกับจะหลุดออกมานอกอก
 
                   เจอแล้วสินะ... คนที่หัวใจโหยหามาตลอด
 
                   เจอแล้วสินะ... คนในฝันที่ตนเองเห็นเพียงแผ่นหลัง
 
                   เจอแล้วสินะ... เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มที่เรียกร้องตนอยู่ทุกคืนให้ตื่นจากฝันร้าย
 
                   เจอแล้วจริงๆน่ะเหรอ ?
 
                   อยู่ใกล้เอื้อมเพียงเท่านี้จริงๆสินะ
 
                   จะใช่คนที่หัวใจร่ำร้องหาหรือเปล่า ?
 
                   จะใช่คุณมั้ย ? นายน้อยเพชร
 
                        “ ฟื้นแล้วเหรอครับกันต์  คุณหลับไปนานจังเลยนะ ”
 
                        “ นายน้อย... ” กรกันต์ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา  ทำได้เพียงเรียกคนตรงหน้าซ้ำๆราวกับกลัวว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงภาพมายา หากหลับตาก็จะสลายหายไป
 
                        “กันต์ นายเป็นไงบ้าง ? ” วินที่เห็นปฏิกิริยาของกรกันต์ก็ปรี่เข้ามาจับมือของกรกันต์อีกข้าง  เรียกชื่อเสียงดังดึงความสนใจออกไปจากเพชร
 
                        “ ไงวิน... ทำไมมาช้า  ไหนเคยบอกกับฉันไงว่าถ้าฉันอยู่ในอันตรายนายจะรีบมา ฉันเกือบตายแล้วรู้มั้ย ? ”
 
                        “ ก็ไม่ตายนี่นา ... มาช้ายังดีกว่าไม่มานะ ”
 
                        “ ขอบใจ... “ คำพูดขอบใจแผ่วเบาราวกับสายลมพัดถูกเอ่ยขานกับเพื่อนสนิทริมฝีปากซีดแตกแห้งส่งยิ้มบางเบามาให้
 
 
                        วินจ้องมองภาพของผู้ชายตัวสูงท่าทางละมุนกำลังจับหลอดดูดน้ำสีขาวให้กับกรกันต์ดื่มบนเตียงคนไข้อย่างไม่วางตา
 
                        ทำไมจะไม่ได้ยินว่าตอนที่กรกันต์หมดสติเอาแต่พร่ำเพ้อถึงแต่ใคร
 
                        ‘ นายน้อย ’
 
                        คำๆนี้หลุดออกจากปากที่แตกเป็นแผลแทบจะไม่ขาดปาก
 
                        ตอนแรกวินก็แปลกใจว่านายน้อยที่ว่าคือใครมีความสำคัญกับกรกันต์อย่างไร
 
                        จนกระทั่งเมื่อร่างสูงสง่าปรากฏภายในห้องพัก หลังจากกรกันต์ถูกส่งมานอนยังห้องพักผู้ป่วย  แล้ววินจังรับรู้ถึงคำว่าต่ำกว่าด้อยกว่านั้นเป็นอย่างไร
 
                        พชรหรือที่ใครๆต่างขนานนามว่า นายน้อย สมบูรณ์แบบราวรูปสลัก
 
                        ดวงตาเรียบนิ่งดูน่าเกรงขาม  แต่ทว่ายามมองสบกับดวงตาใสแป๋วของกรกันต์แล้วกลับอ่อนแสงลง  คงเหลือเพียงแววตาที่ดูแล้วอบอุ่น
 
 
                        เกือบสองทุ่มจิรายุก็เริ่มขยับตัวลุกขึ้นพลางหยิบกระเป๋าของตนถือไว้โดยที่เพชรและวินต่างยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
 
                        “ อ้าว... คุณไปดิ่ ” แรงสะกิดที่ต้นแขนทำให้วินหันไปหาจิรายุอย่าง งงๆ
 
                        “ อะไร ? ”
 
                        “ กลับเรือน ” คำตอบสั้นๆง่ายๆแต่ทำให้คิ้วของวินแทบจะผูกกันเป็นปม
 
                        “ ผมจะอยู่เฝ้ากันต์ ”
 
                        “ ผมจะเฝ้าเอง ” เสียงทุ้มของคนที่แทบจะไม่ได้เอ่ยพูดอะไรนานนับชั่วโมงตั้งแต่คนป่วยหลับเอ่ยขึ้น  วินหันไปมองอย่างไม่พอใจนัก
 
                        “ กันต์เป็นเพื่อนผม  ผมจะเป็นคนเฝ้าเค้าเอง ” น้ำเสียงตอกกลับอย่างดื้อดึง  ทำให้ดวงตาคมตวัดมองเพียงแวบก่อนจะละไปมองคนที่นอนหลับเพราะฤทธิ์ยาไปเมื่อชั่วโมงก่อน  น้ำเสียงที่ติดจะตึงในคราวแรกกลับอ่อนลง ร่างบางที่นอนหลับบนเตียงด้วยความอ่อนเพลียนั้นช่างน่าเป็นห่วงจนไม่อยากจะละกายให้ห่างไปเป็นครั้งที่สอง
 
                        “ คุณเดินทางมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว  น่าจะพักซักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอครับ ? ” เจ้าของใบหน้าคมคายส่งยิ้มจริงใจมาให้  วินจ้องตาตอบ
 
                        แม้น้ำเสียงจะทุ้มอ่อนแต่ดวงตาที่มองมานั้นกลับแข็งกร้าว
 
                        อาชวินท์ยืดตัวอย่างคนถือดี
 
                        เขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของกรกันต์
 
                        แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใคร
 
                        “ ผมคิดว่าคุณเดินทางไกลและเหนื่อยกว่าผมนะ  ผมแค่ขับรถจากกรุงเทพมานี่แต่คุณมาจากจีนเชียวนะ ”เขาคิดว่าถ้าเพชรกล้าใช้เหตุผลเกี่ยวกับความเหนื่อยล้าทางร่างกาย  เขาก็จะใช้เรื่องนี้ตอกกลับไป
 
                        แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาช้าๆ
 
                        “ ไม่เลยครับ  ระหว่างอยู่บนเครื่องผมกับจิรายุเรานอนหลับกันมาแล้ว  อีกอย่างตอนนั่งรถมาที่นี่ผมก็มีคนขับรถให้  เพราะฉะนั้นเวลาเกือบสิบชั่วโมงที่ผ่านมาผมหลับมาเพียงพอแล้ว ”
 
                        เพชรยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า  วินอ้าปากจะเถียงแต่จิรายุที่ยืนใกล้ๆก็ฉวยมือ  แล้วลากร่างสูงออกไปทันทีโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว               
 
 
 
                        “ อะไรเนี่ยคุณ  ผมจะนอนเฝ้ากันต์ ”
 
                        “ นี่คุณ... แอบชอบคุณช่างใช่มั้ย ? ไม่เห็นเหรอว่าหัวใจเค้าไม่ว่างแล้ว  ไม่ได้ยินที่เค้าเพ้อหาเจ้านายผมเหรอ ? ปล่อยให้ ‘ คนรักกัน ’ เค้าดูแลกันไปเหอะ ”
 
                        คำพูดตรงไปตรงมาของจิรายุทำให้วินรู้สึกโกรธ
 
                        ใช่! เขาแอบชอบกรกันต์
 
                        แล้วทำไมล่ะ  ก็ในเมื่อเขาชอบของเขามาตั้งแต่เรียนปี 1จนถึงทุกวันนี้  เขาจะไม่มีสิทธิ์หวงเลยเหรอ ?
 
                        “ เอาอะไรมาวัดว่ากันต์ชอบเจ้านายคุณไม่ทราบ ? ” ถึงแม้ใจจะกระตุกกับคำพูดตรงไปตรงมาของจิรายุ  แต่วินก็ยังไม่อยากจะยอมรับว่าสิ่งที่จิรายุพูดมันเป็นความจริง
 
                        “ คนที่เค้าเรียกหาไม่ใช่คุณ  นั่นก็น่าจะบอกได้แล้วนะว่าเขารักใคร ”
 
                        ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง  วินได้แต่จ้องหน้าเชิดรั้นอย่างอวดดีของจิรายุด้วยสายตาเรียบนิ่ง  ริมฝีปากอิ่มเต็มค่อยๆเม้มหากันจนเป็นเส้นตรง  แล้วชายหนุ่มก็หันหลังสะบัดหน้าก้าวยาวๆหนีคนตัวเล็กออกมาทันที
 
                        “ อ่าว  เฮ้... นี่คุณ  ไปไหน  ไปด้วย ” คนขาสั้นกว่ารีบวิ่งตามคนขายาวที่ก้าวดุ่มๆโดยไม่หันกลับมามองอีกเลยไปติดๆ
 
                        “ จะตามมาทำไมเนี่ย ? ” วินที่น้ำเสียงฉุนเฉียวสุดๆ หันมาตวาดใส่อย่างไม่รักษามารยาทใส่จิรายุที่เหยียบเบรกตัวเองแทบไม่ทัน เมื่ออยู่ๆวินก็หันกลับมา
 
                        “ ก็กลับกับคุณไง  ถามอะไรแปลกๆ ” จิรายุส่งค้อนวงใหญ่ให้กับคนที่ยืนทำหน้าเหวอหลังจากได้คำตอบจากเขาก่อนที่จะปรับสีหน้าให้กลายเป็นขรึมแบบเดิม
 
                        “ ใครจะให้คุณกลับไปกับผมด้วยมิทราบคุณเลขา ”
 
                        “ อ้าว... ถ้าไม่กลับกับคุณแล้วผมจะกลับเรือนยังไง ”

                        “ นั่นไม่ใช่ประเด็นของผม  และผมจะไม่กลับเรือนโบราณแน่ๆ ” วินถือว่าธุระไม่ใช่ตอบอย่างไม่ยี่หระกับความเดือดร้อนของจิรายุ
 
                        “ ไม่กลับเรือนโบราณกับผม  แล้วคุณจะไปนอนที่ไหน ? ”
 
                        “ เดี๋ยวผมก็ขับรถหาโรงแรมแถวนี้นอนเอาก็ได้ ”
 
                        “ หึ... ก่อนมาที่นี่ศึกษารายละเอียดมาหรือยังคู๊ณณณณณณ ” จิรายุแกล้งลากเสียงยาวอย่างคนจงใจกวนอารมณ์  เมื่อเห็นอีกคนยังคงทำหน้านิ่งจึงยกมือขึ้นกอดอกฉับ
 
                        “ นี่... จะบอกอะไรให้นะ  ภายใน 20 กิโลเมตรนี้ผมยังไม่เคยเห็นโรงแรมหรือโฮมสเตย์เลยซักหลังนะ  อย่าลืมสิแถวนี้มันบ้านนอกคอกนาหรือคุณจะไปอาศัยโรงนาคอกวัวคอกควายของชาวบ้านแถวนี้นอนล่ะ ? ”
 
                        “ ถ้าอย่างนั้นผมนอนในรถตรงนี้ก็ได้ ” ร่างสูงยังคงถือดีแม้คำบอกเล่าของจิรายุเกี่ยวกับเรื่องโรงแรมจะทำเสียความมั่นใจไปนิดหนึ่งแล้วก็ตาม
 
                        “ นี่... ขาคุณก็ยาว  อากาศก็เย็น  ฝนตก  ยุงชุม  นอนในรถไม่สบายหรอก  อีกอย่างถ้าคุณไม่กลับไปกับผม แล้วผมจะกลับยังไงคนรถป่านนี้กลับถึงเรือนนอนโก่งตูดสบายไปแล้ว  ผมต้องกลับเรือนโบราณเพื่อที่จะขับรถมาโรงพยาบาลด้วยตัวเองพรุ่งนี้ ”
 
                        “ น่าเบื่อ ” เสียงทุ้มสบถเบาๆ แน่นอนเขาจงใจจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จิรายุพอจะได้ยิน
 
                        แต่ใครจะสนล่ะ  คุณเลขาวิ่งแจ้นปีนขึ้นรถทันทีที่วินกดปลดล็อกรถ  ขึ้นไปนั่งหน้าแป้นบนรถก่อนเจ้าของรถซะอีก
 
                        “ เร็วๆคุณนี่หิวอีกแล้วนะเนี่ย  กินของบนเครื่องไม่อิ่มเลย  ป่านนี้ป้ามะลิเตรียมกับข้าวร้อนๆรอแล้วแหละ รับรองคุณอยู่ที่นี่ซักเดือนนะ น้ำหนักคุณขึ้นแน่ ”  จิรายุเอ่ยเร่งวินยิกๆ  ท่าทางเหมือนเด็กที่รีบกลับไปดูการ์ตูนหลังเลิกเรียน  ทำให้วินอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย
 
                        แต่ก็อดแขวะคนข้างๆไม่ได้
 
                        “ เหมือนคุณน่ะเหรอ ? ”
 
                        “ พูดแบบนี้มาต่อยปากกันมั้ย ? ” จิรายุเงื้อหมัดเล็กๆราวกับจะต่อยปากคนที่พูดจาระคายหูจริงๆ จนวินยกมือยอมแพ้
 
                        “ ยอมๆ... อย่าเอากีบเท้ามาสะกิดหน้าหล่อๆของผมนะ ”
 
                        “ แหวะ...หล่อตายล่ะ  ขับไปเลยเร็วๆ หิวแล้ว ”
 
 
 
((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 31-01-2019 01:27:35
                        “ ลูกยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานตอนนี้ขอรับเจ้าคุณพ่อ ” ดวงตากลมแอบมองลอดซี่ไม้เล็กๆเข้าไปที่ห้องโถงของเรือนใหญ่
 
                        กรรณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านในซึ่งมีเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชประมุขของบ้านนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ  คุณหญิงแพที่มีท่าทางสุขุมดวงตาเรียวคมดุจ้องหน้าบุตรชายเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ด้ายซ้ายของบิดา  น้ำเสียงเฉียบขาดติดดุเอ่ยถามลูกชายเหมือนทุกครั้งที่นางพูด
 
                        “ เหตุใดเล่าพ่อเพชร ? อายุเจ้าก็ขนาดนี้ควรออกเหย้าออกเรือนมีทายาทสืบสกุลให้พ่อแม่ได้ชื่นใจได้แล้ว ”
 
                        “ คุณแม่ขอรับ  ลูกเพิ่งได้เข้ารับราชการกับเสด็จในกรมลูกอยากก้าวหน้าทางหน้าที่การงานก่อนขอรับ ”
 
                        “ เหตุผลแค่นี้เองเหรอ แต่งงานมีครอบครัวแล้วทำงานไปด้วยก็ได้นะเพชร เสด็จท่านคงไม่ไล่เจ้าออกจากกรมดอก  ที่เจ้าประวิงเวลาอยู่อย่างนี้เพราะอะไร  หรือเจ้ามีสตรีที่พึงใจอยู่แล้ว  เป็นธิดาบ้านไหนบอกพ่อกับแม่มาซิ  ถ้าฐานะหน้าตาทางสังคมคู่ควรพ่อกับแม่จะไม่บังคับเจ้าเลย ”
                       
                        “ ไม่มีขอรับ  ลูกมิได้มีใคร  เพียงแต่ลูกไม่ได้รักชอบกับแม่สบันงาเลยแม้แต่น้อย ” ชายหนุ่มปฏิเสธข้อสันนิษฐานของผู้เป็นพ่อ
 
                        เสียงถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่ายเรื่องนี้เต็มที
 
                        “ ไม่รัก... ไม่รักก็ไม่รักสิ  อยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง  ไม่รู้ล่ะพ่อกับแม่พอใจแม่สบัยงาอีกสามวันส่งแม่สื่อไปทาบทามได้เลย ” คำประกาศกร้าวของผู้เป็นพ่อ  ทำให้หัวใจของเพชรหล่นร่วงราวกับตกจากผาสูงสู่ก้นหุบเหว


                        ไม่ต่างจากหัวใจของคนที่แอบดูอยู่ด้านนอก
 
                        หยาดน้ำใสไหลจากหางตะกระทบพื้นทันทีที่ได้ยินคำบัญชานั้น
 
                        มือเรียวสั่นระริกอย่างห้ามไม่ได้
 
                        หงส์ก็คู่กับหงส์สิถึงจะถูก
 
                        แบบนั้นสินะถูกต้องแล้ว
 
                        อีกาดำอย่างกรรณควรจะล้างสีที่พยายามทาขนให้ขาวดั่งขนหงส์แล้วกลับไปอยู่กับฝูงของตนน่ะถูกแล้ว
 
                        ร่างเล็กหันหลังวิ่งกลับไปที่เรือนนอนของตนผ่านเมฆที่มองตามร่างเด็กหนุ่มตัวเล็กไปอย่างเวทนา
 
                        “ ไอ้เปี๊ยกเอ้ย... ข้าเตือนเจ้าแล้วให้ตัดใจ  จะช้าหรือเร็วก็ต้องเจ็บอยู่ดี ”
 
 
                        “ เป็นอะไร ? ” เสียงทุ้มของพลับที่เพิ่งกลับจากทำงานข้างนอกเอ่ยถามเพื่อนร่วมห้องที่นอนตะแคงข้างให้  มือหยาบกร้านเพราะทำงานหนักตั้งแต่จำความได้จับต้นแขนเล็ก
 
                        คิดว่าไอ้ตัวเล็กของตนป่วยจึงใช้หลังมืออังหน้าผากหากแต่อุณหภูมิในร่างกายของกรรณก็ไม่ได้สูงขึ้น
 
                        พลับขมวดคิ้วแล้วพลิกร่างเล็กของกรรณให้หันมาทางตน
 
                        ดวงตากลมปรือแดงบวมช้ำ  จมูกโด่งได้รูปสวยก็แดงก่ำไม่ต่างกัน  ริมฝีปากบวมเจ่อเพราะเจ้าตัวพยายามกัดมันเพื่อกลั้นสะอื้น
 
                        “ เป็นอะไร... ร้องไห้ทำไม ? ห้ามบอกว่าเปล่าไม่ได้ร้องไห้  เพราะตอนนี้เอ็งกำลังร้องไห้อยู่” พลับใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าคนตัวเล็กก่อนจะงอนิ้วแล้วใช้มันเกลี่ยน้ำตาให้กับคนที่ยังปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ
 
                        “ โดนนายน้อยดุมาหรือไรเจ้า ? ”
 
                        “ เปล่า ”
                       
                        “ แล้วใครถ้าไม่ใช่นายน้อย  คุณหญิงรึ ? ” พลับเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง  ไม่บ่อยหรอกที่กรรณจะมานอนร้องไห้เสียน้ำตาให้เขาเห็น  คนตัวเล็กแกร่งกว่าที่ใครๆคิด แม้ร่างกายจะบอบบางแต่จิตใจของกรรณแข็งแกร่งกว่าภาพลักษณ์ที่เห็นมากนัก
 
                        “ ไม่มีอะไรหรอก  ข้าแค่คิดถึงเพื่อนๆสมัยเด็กๆน่ะ ” พูดปดไปเพื่อให้พลับที่กำลังมีสีหน้าทุกข์ร้อนแทนตนเองสบายใจขึ้น  มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆพลางส่งยิ้มให้กับพลับ
 
                        ทาสตัวสูงเห็นเพื่อนร่วมห้องยิ้มได้ก็ใจชื้น
 
                        “ ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นข้าไปอาบน้ำก่อนนะ  วันนี้โดนพี่เมฆจัดเวรไปทำนา  เหนื่อยมากเลย ”
 
                        “ อื้อ... ไปเถอะ ” กรรณพยักหน้าในพลับ  ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามอซอของตนออกไป
 
                        ทุกเย็นพวกบ่าวไพร่มักจะไปอาบน้ำและซักผ้าที่ริมแม่น้ำ  เพียงเดินออกทางประตูเล็กเดินผ่านพงหญ้าสูงก็จะพบกับแม่น้ำที่มีชายหาดเต็มไปด้วยทรายละเอียดและกรวดสีสวย เรือนทาสที่กรรณและพลับอาศับร่วมกับบ่าวอีกนับสิบคนนั้นอยู่แยกห่างออกมาจากเรือนใหญ่ของท่านเจ้าคุณและคุณหญิงค่อนข้างมากด้านหลังถูกกั้นด้วยสวนที่ใช้ปลูกพืชผักบึงบัวทำให้ไม่ต้องรกหูรกตาคุณๆบนเรือนยามพักผ่อนอิริยาบทหลังเหนื่อยล้าจากงานบนเรือนและจากนาที่ต้องผลัดกันไปทำ อีกทั้งเพราะทิ้งระยะจากเรือนใหญ่พอสมควรทำให้สามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเกรงว่าเสียงจะดังขึ้นไปรบกวนคุณบนเรือนให้ระคายหู บ่อยครั้งกรรณก็เห็นบ่าวผู้หญิงทะเลาะตบตีกันด้วยเรื่องแย่งกันเป็นคนโปรดของท่านเจ้าคุณ หากเรื่องรู้ถึงหูคุณหญิงบ่าวบางคนก็หายไปบางคนก็ไม่ได้เสนอหน้าขึ้นไปรับใช้บนเรือนใหญ่อีกเลย แต่หากเมียบ่าวคนใดทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยและท่านเจ้าคุณโปรดปรานก็จะมีบุญมีวาสนาได้เรือนไว้อยู่เป็นส่วนตัวไม่ไกลเรือนใหญ่นักเพื่อที่ท่านเจ้าคุณจะได้แวะหาได้อย่างสะดวกแถมยังมีบ่าวคนสนิทไว้ใช้สอย กรรณเติบโตมาท่ามกลางสังคมเล็กๆแบบนี้จนกลายเป็นภาพคุ้นชินเสียแล้ว
 
                       
 
                        ดึกแล้วคบเพลิงตามลานเดินถูกจุดสว่างหากแต่ตะเกียงตามห้องพักทยอยดับที่ละดวง  พลับกรนเสียงดังอยู่ในห้องในขณะที่กรรณนั่งกอดเข่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวทอแสงสกาว
 
                        ก๊อกๆๆๆ
           
                        คนตัวเล็กสะดุ้งกับเสียงเคาะข้างๆ เมื่อหันไปตามเสียงก็พบกับเมฆที่ยืนอยู่ข้างๆ
 
                        “ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ยพี่เมฆข้าตกใจหมด ”
 
                        “ นั่งแบบเอ็งนี่ถ้าโจรลอบเข้ามา  เอ็งคงตายในดาบเดียว ”
 
                        “ บางทีตายๆไปก็ดีเหมือนกันนะ ”
 
                        “ อายยุยังน้อยจะรีบตายไปไหนเล่า  อ่ะ... นี่นายน้อยฝากของมาให้เอ็ง  เห็นถามถึงเมื่อเย็นเอ็งเบี้ยวงานไม่ยอมไปปรนนิบัติ ” เมฆยัดกระดาษที่ถูกม้วนเป็นแท่งเล็กๆให้กรรณ คนตัวเล็กหันหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะค่อยๆคลี่มันออกมาอ่านทีละบรรทัด
 
"ในดวงจิตคิดถึงคะนึงหา
ยามหลับตานิทราหรือว่าฝัน
ใต้เงาไม้แดดอ่อนซอนตะวัน
ทั้งกลางจันทร์แสงส่องผ่องนภา
เพียงภาพหนึ่งติดตรึงในสายเนตร
ยุวเรศเลอลักษณ์หวันยิหวา
ได้จารจดทุกจริตกิริยา
แล้วตอกตราลงในห้วงคำนึง
เกิดขึ้นแล้วสายรักสมัครมาด
สายสวาทนำพาใครคิดถึง
จะยามใดทำได้เพียงคำนึง
แล้วซาบซึ้งถึงรักเพียงผู้เดียว
จะวอนขอความรักมิพักผ่อน
แค่ขอเพียงบังอรเจ้าแลเหลียว
ใจของพี่มีเพียงแต่ดวงเดียว
ทุกส่วนเสี้ยวทุ่มไปทั้งวิญญา
เอ่ยเถิดนะคำรักสมัครมั่น
อย่าให้พรั่นไร้สิ้นเสน่หา
หากฤทัยตรงกันเอ่ยวาจา
รักสูงค่ามอบไว้ไม่ทวงคืน"

                        มือเรียวสั่นเทาด้วยความปิติ  เพลงยาวที่นายน้อยฝากมากับเมฆทำให้หัวใจที่สงบลงแล้วไหวระรัวอีกครั้ง  น้ำตาหยดลงบนแผ่นกระดาษจนคนตัวเล็กต้องรีบใช้แขนเสื้อเช็ดด้วยกลัวหมึกจะเปรอะ  ร่างบางผลุบหายเข้าไปในห้องเป็นเวลานานก่อนจะออกมาพร้อมยื่นกระดาษแบบเดียวกันให้เมฆ  ผู้ดูแลหนุ่มที่นอนแทะต้นหญ้าชมดาวอยู่อย่างรู้หน้าที่ถอนหายใจราวเหนื่อยหน่ายแต่ก็รับเก็บไว้ที่ชายพกแล้วขยับตัวลุกขึ้นเร้นกายหายไป
 
                        ไม่นานชายหนุ่มก็ปรากฏตัวที่ศาลากลางน้ำ  นายน้อยนั่งเล่นซออยู่ด้วยทำนองหวานเศร้า  ม้วนกระดาษถูกส่งให้ผู้เป็นนายก่อนที่จะถอยออกไปห่าง
 
                        เพชรคลี่แผ่นกระดาษออก  อ่านเช่นเดียวกับที่กรรณทำ
 
"อันกิ่งทองหรือจะคู่ใบระกา
สกุณาใต้หล้าฤาแซมหงส์
กนกลายโบตั๋นแม้บรรจง
ขีดเขียนลงก็รู้ไม่คู่กัน
รักสูงค่าเอ่ยมาไม่กล้ารับ
จะกลายกลับถอนสะอื้นฝืนความฝัน
เสน่หาใกล้ชิดหวนติดพัน
คนละชั้นสุดหล้าฟ้าแดนดิน
มีแต่ทุกข์แต่โศกวิโยคนัก
อาญารักเปรียบเปรยดังกรวดหิน
คู่ไม่ควรพับกันก็พังภิณท์
คงด่าวดิ้นเนืองหน้าน้ำตานอง
ความเจ็บปวดรออยู่ภายภาคหน้า
ในชาตินี้ขอเป็นข้าเพียงสนอง
ไม่หวังสูงรับรักเป็นคู่ครอง
ไม่ใฝ่ปองคะนองสะแดงตน
เพียงเศษเสี้ยวนำใจแก้ข้าทาส
ไม่บังอาจใฝ่รักเป็นมรรคผล
สองตานี้เหลือบแลแค่ยุคล
ดวงกมลมอบถ้วนล้วนภักดี
แม้ไม่อาจตอบรักยังภักดิ์ได้
ทั้งใจกายต่อไปนับแต่นี้
เพียงผู้เดียวที่เป็นเจ้าชีวี
ไม่มีวันหลีกหนีเป็นอื่นเอย"

บทกลอนที่คล้ายจะตัดพ้อต่อโชคชะตาและฐานันดรที่เป็น
 
                        ความรู้สึกด้อยค่าในตัวคนตอบและคล้ายจะตัดรอนความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่  ทำให้เพชรฝนหมึกแล้วบรรจงเขียนกลอนอีกบทก่อนจะไปเรียกเมฆเข้ามาหาอีกครั้ง  ผู้ดูแลหนุ่มรับม้วนกระดาษมาไว้ในมือก่อนจะหันหลังเตรียมมุ่งหน้าสู่เรือนทาส แต่นายน้อยหนุ่มก็เรียกไว้
 
                        “ เดี๋ยวเมฆ... บอกกรรณว่าหลังจากอ่านจบแล้วให้มาตอบข้าด้วยตัวเองเข้าใจมั้ย ? ข้าจะรออยู่ที่นี่ ”
 
                        “ขอรับ ” เมฆรับคำแล้วเดินมุ่งมายังเรือนทาสที่กรรณยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
 
                        ชายหนุ่มยื่นม้วนกระดาษให้กรกันต์ที่ยืนปาดน้ำตายื่นมือมารับ
 
                        “ เดี๋ยว... ” หากแต่ก่อนที่ม้วนกระดาษถูกดึงไปเมฆก็ยื้อมันไว้
 
                        “ นายน้อยบอกว่าอ่านจบแล้วให้เจ้าไปตอบท่านด้วยตัวเจ้าเอง  ท่านรออยู่ที่ศาลากลางน้ำ  หมดหน้าที่ของข้าแล้ว ข้าไปนอนล่ะ ง่วงเต็มทีเดินก็ไกลเหนื่อยก็เหนื่อย ” เมฆปล่อยม้วนกระดาษให้กรกันต์แล้วเดินจากไป  มือเรียวรีบคลีแผ่นกระดาษออกอ่าน  น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วกลับยิ่งไหลมากขึ้นไปอีกเมื่ออ่านเนื้อความในจดหมาย
 
                        หัวใจที่แห้งเหี่ยวลงไปหลังจากตนเขียนตัดรอนสายสวาทที่ผู้เป็นนายมอบให้กลับฟื้นฟูมาใหม่อีกครั้ง
 
“อันบุพเพท่านว่าประหลาดนัก
ในความรักปักตรึงคะนึงหา
หาขึ้นกับวรรณะและเงินตรา
จะชนชั้นศาสนาสิ้นความหมาย
รักคือรักคำนี้มีอำนาจ
ก้องประกาศฤทธาไม่หนีหาย
กำแพงหนาเท่าหนายังทลาย
รักฟันฝ่าไปได้ทุกเหตุการณ์
ขอเพียงใจซื่อตรงคงสมัคร
ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคคอยประสาน
จะปกป้องผองภัยที่แผ้วพาน
เป็นแก้วกานต์กั้นเกศเหตุใดใด
จะกิ่งทองใบระกามาดูแล้ว
ก็มิแคล้วเป็นพรรณไม้ใช่หรือไม่
สกุณากับหงส์แล้วอย่างไร
ผิดเพศพันธุ์ก็มิใช่เช่นเดียวกัน
ใจต่อใจต่างหากคือของแน่
มีรักแท้แนบสนิทไม่ผิดผัน
เมื่อหัวใจสองดวงเรียกหากัน
มีสิ่งใดเขย่าขวัญให้พรั่นพรึง"
 
                        เพียงสิ้นบรรทัดสุดท้ายที่ได้อ่าน  ร่างบางก็ผุดลุกก่อนจะออกวิ่งมุ่งตรงไปยังศาลากลางน้ำด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
 
                        รักคือรักสินะ
 
                        รักก็คือรักไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน  ถ้าใจตรงกันแล้วมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
 
                        สองเท้าวิ่งตรงอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย  จนกระทั่งมาถึงกลางสะพาน ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
 
                        “ นายน้อย ”
 
                        “ ให้คำตอบข้าได้หรือยัง ? ”
 
                        “ บ่าว... ”
 
                        “ ..... ”
 
                        “ ..... ”
                       
“ บ่าว... รักท่านครับนายน้อย  บ่าวรักนายน้อยขอรับ”
 
                        ร่างบางถูกดึงเข้ามากอดจนแทบจะจมหายไปกับอกแกร่งทันทีที่เปล่งคำตอบออกไป
                        หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวราวกลองรบ
 
                        กรรณฝังใบหน้าตัวเองลงไปตามแรงกอดของท่อนแขนอุ่น
 
                        นั่นเสียงอะไร ?
 
                        เสียงหัวใจนายน้อยก็เต้นแรงเหมือนของข้าเช่นกันใช่หรือไม่?
 
                        ร่างเล็กสวมกอดเอวสอบไว้หลวมๆ
 
                        ยอมแล้ว... หัวใจนี้ยอมแล้ว
 
                        ยอมเป็นทาสรักของนายน้อยเพียงผู้เดียว
 
                        ต่อไปนี้จะไม่สนใจคำพูดใครหรืออะไรอีกแล้ว
 
                        ไอ้กรรณคนนี้จะฟังเพียงนายน้อยผู้เดียวเท่านั้น
 
                        แค่นายน้อยเพียงผู้เดียว....
 
 
 
                        TBC…………


................................

ชอบกลอนแหละ อยากเขียนแบบเกี้ยวกันด้วยเพลงยาวมานานแล้วแต่โง่เรื่องกลอนมากเลยให้แตมมี่น้องรักเขียนให้

เป็นเรื่องที่เขียนแล้วมีความสุขสุดๆเลยมันได้ดั่งใจไปซะทุกอย่าง

เช่นเดิมค่ะ คอมเม้นท์ติชมให้กำลังใจได้ ติดแท็กในทวิตเตอร์ได้ ชอบอะไรไม่ชอบอะไรบอกกันได้นะคะ เจอกันอีกทีพรุ่งนี้

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-01-2019 10:48:08
ชอบบทกลอนมากมาย ว่าแต่วินนี่คือพี่เมฆ ชาติก่อนใช่ไหมจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 31-01-2019 17:03:54
พี่เมฆคงอยากบอกทั้งสองคนว่ามาคุยดีๆกันสักทีเถอะ ฮา
แล้วจะมีใครรู้ไหมละเนี่ยว่าจัสมินเป็นคนทำ ข้อหาพยายามฆ่าเลยนะนั่น สมควรโดนติดคุกหัวโต
จิน่ารัก เถียงๆกับวิน ระวังจะโดนผีผลัก รักกันไม่รู้ตัวนะ  :hao3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 31-01-2019 18:38:09
ไม่ใช่ค่ะเมฆคือบอดี้การ์ดของนายน้อย ส่วนพลับคือวินในชาตินี้ค่ะ

ชอบบทกลอนมากมาย ว่าแต่วินนี่คือพี่เมฆ ชาติก่อนใช่ไหมจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-01-2019 22:03:00
 o13

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 01-02-2019 01:17:45
อ่านเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาได้ ผมว่าได้อารมณ์มาก “ รักนิรันดร์ “ ศิรศักดิ์
ท่อนฮุกสำคัญ ฟากอาจจะพรากให้เราจากกัน แต่ไม่มีวันพรากใจฉันจากเธอไปได้
ฉันจะอยู่เพื่อรักเธอตลอดไป แม้สิ้นลมหายใจ รักเธอนิรันดร์ ลองฟังดูครับเพิ่มอรรถรสให้นิยาย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๑๔ู๑
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-02-2019 02:15:45
Time of tears
Chapter 8

                        สีแดง...สีของความมงคลตามความเชื่อถูกประดับประดาตามธรรมเนียมจีนที่อยู่ในสายเลือดของท่านเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิช พิธีแต่งงานถูกกำหนดให้เป็นแบบจีนทั้งหมดเพิ่มเติมคือการนิมนต์พระมาทำพิธีแบบไทยในช่วงเช้าและพิธีซัดน้ำ  พรรณไม้ที่ปลูกในกระถางจนออกดอกสะพรั่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบไล่สีจนดูดารดาษ แจกันจีนใบใหญ่ประดับด้วยดอกไม้สดที่เสียบไม่ดูเป็นพวงระย้าย้อยงามตา  บรรดาบ่าวไพร่วิ่งกันให้วุ่น  แม่มะลิเดินไปทางนู้นทีทางนี้ทีสั่งงานจนต้องนั่งพักเหนื่อยเป็นระยะ  พลับผูกโคมกระดาษหลากสีอยู่บนขื่อบ้าน  แม้อากาศจะเย็นสบายแต่ทุกคนกลับรู้สึกร้อนเพราะต้องออกแรงกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งเช้า
 
                        งานแต่งงานของบุตรชายคนเดียวของเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชและบุตตรีของเจ้าพระยาโยธาเทพถูกบอกต่อกันจนรู้ไปทั่วคุ้งน้ำ  เทียบเชิญเหล่าขุนนางและพ่อค้าวานิชอีกทั้งเพื่อนฝูงที่มั่งคั่งร่ำตรวยถูกส่งไปยังเรือนต่างๆเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือนก่อน  ห้องหอถูกจัดอย่างสวยงามสมฐานะ
 
                        คู่หมั้นที่ใครๆต่างก็เลื่องลือว่าสมกันราวกิ่งทองใบหยก  ท่านเจ้าคุณอารมณ์ดีที่จะได้ลูกสะใภ้สมฐานะถึงกับแจกเงินให้กับบ่าวไพร่ในบ้านทุกคน
 
                        งานที่กรรณไม่รู้สึกยินดีที่ได้รับเลยซักนิด  ยิ่งเห็นผ้าแพรสีแดงที่ถูกผูกมัดเป็นรูปร่างต่างๆ ใจดวงน้อยยิ่งสั่นไหว
 
                        ความรู้สึกเหมือนใจจะขาดเป็นอย่างไรกรรณก็เพิ่งรู้สึกเอาตอนนี้เอง
 
                        อีกสามวันนายน้อยจะต้องแต่งงาน
 
                        คุณหนูสบันงากำลังจะก้าวเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้าน  และกรรณอาจถูกลดหน้าที่ให้กลายไปเป็นบ่าวก้นครัวเหมือนคนอื่นๆ
 
                        ทุกคนต่างวิ่งวุ่นด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งบ่าวเรือนนี้และบ่าวจากเรือนนู้นที่ทยอยหอบเครื่องเรือนข้าวของเสื้อผ้าจิปาถะตามธรรมเนียมการสู่ขอ คือ ฝ่ายชายจะเตรียมบ้าน แหวนแต่งงาน ส่วนฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นผู้จัดเตรียมเครื่องเรือน เครื่องใช้ในบ้าน
 
                        ซึ่งคุณหนูสบันงาคงไม่อยากน้อยหน้าใคร  ข้าวของทุกอย่างถูกลำเลียงมาเป็นขบวนยาว  บ่าวไพร่ช่วยกันจัดจนป่านนี้ยังไม่เสร็จ
 
                        มันมีมากเกินไป...
 
                        เรื่องงานหนักกรรณไม่เคยคิดกลัวเลยซักนิด  เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสุขสบายอยู่แล้ว  เพิ่งมาลำบากน้อยลงเหนื่อยน้อยลงก็ตอนได้มารับใช้นายน้อยนี่เอง
 
                        แต่... สิ่งที่กรรณกลัวคือการพลัดพรากจากนายน้อย
 
                        กรรณไม่รู้ว่าคุณหนูสบันงาจะเป็นคนแบบไหน  กรรณกลัวที่จะต้องรับรู้ว่าตนเองกำลังจะมีนายเพิ่มมาใหม่อีกคน
 
                        กรรณกลัวจะทำตัวให้ไปเป็นที่สบอารมณ์ของคุณสบันงา
 
                        เหนืออื่นใดกรรณกลัวตัวเองจะทนเห็นคนทั้งคู่ครองคู่กันไม่ได้
 
                        ทั้งๆที่เป็นคนบอกนายน้อยเองแท้ๆว่าให้แต่งเถอะ  แต่งเพื่อความสบายใจของท่านเจ้าคุณกับคุณหญิง  แต่งเพื่อที่จะได้มีทายาทสืบสกุล ตัวกรรณเองจะได้รู้สึกผิดบาปน้อยลงแต่สุดท้ายแล้วคนที่เศร้าที่สุดก็คือตัวกรรณเอง
 
                        วันที่คุณหญิงส่งวันเดือนปีเกิดไปให้ทางนู้น  ใจของกรรณก็ร้าวราวกับแก้วที่ตกจากที่สูงลงพื้น
 
                        มันแหลกละเอียด  การส่งวันเดือนปีเกิดเพื่อยืนยันว่าสู่ขอคุณหนูสบันงาอย่างเป็นทางการ  กรรณรู้สึกว่าตัวเองเลวก็ตอนที่ยกมือขึ้นกราบกรานฟ้าดินให้ฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งไม่มี
 
                        แต่....
 
                        กำหนดแต่งงานมาถึงในเช้าวันหนึ่ง  ฤกษ์ที่เร็วที่สุดคือเดือนต่อมาแม้จะอยากให้แต่ละวันมีเวลายาวนานกว่านี้  แต่กรรณก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
 
                        “ อ่าว... อยู่นี่เองเหรอเจ้า  เห็นไอ้พลับมันตามหาอยู่ ” กรรณสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงร้องทักจากทางด้านหลัง  มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะหันมาแสร้งทำเป็นยิ้มให้เมฆ
 
                        “ พี่เมฆมาเงียบๆข้าตกใจหมดเลย ”
 
                       
                        “ ใครว่าข้ามาเงียบกันล่ะ  ข้าก็มาปกติแต่ใจเอ็งต่างหากที่ปิดกั้นทุกอย่างเอง  ตัดโลกภายนอกน่ะมันตัดง่ายนะไอ้กรรณ  แต่ตัดใจน่ะมันตัดยากเพราะอะไรรู้มั้ย ? ” เมฆวางอ่างลอยกลีบดอกไม้ใบขนาดย่อมลงบนโต๊ะแล้วเดินมาหยุดข้างหน้าร่างเล็กที่กำลังหลบตาเขา
 
                        “ ข่ะ... ข้าไม่รู้ ”
 
                        “ เอ็งรู้ดี  คำตอบข้อนี้ไม่ยากเลย  ตัดยากเพราะเราใช้ความรู้สึกสานสัมพันธ์กัน  มันเป็นเส้นใยที่ถักทอมาจากหัวใจ  เพราะฉะนั้นเวลาเราจะตัดใจมันจึงรู้สึกเจ็บ  รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายไรล่ะ  ข้าเคยเตือนเอ็งแล้วว่าถ้าฝืนรักกันไปใจเอ็งนั่นแหละที่ต้องเจ็บ ”
 
                        “ ข้า... ”
 
                        “ ตอนนี้เอ็งสับสนสินะว่าควรทำอย่างไรต่อไป ” เมฆยกยิ้มอ่อนๆให้กันคนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งราวกับทำความผิดอะไรไว้
 
                        “ ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตา  ถ้าเอ็งกับนายน้อยมีบุพเพต่อกันจริง  ไม่ว่าอะไรก็ขวางเอ็งไม่ได้หรอก  เนื้อคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันไปได้หรอก ”
 
                        “ แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ ? ”
 
                        “ ถ้าเอ็งเชื่อมั่นว่ามันใช่  เชื่อมั่นในความรักหน่อยสิ  เป็นเอ็งกับนายน้อยไม่ใช่รึที่ดึงดันจะรักกัน  ข้าเชื่อว่าถ้าเอ็งกับนายน้อยรักกันจริงอุปสรรคแค่นี้ก็ขวางเอ็งไม่ได้ ”
 
                        “ ข้ารัก... ”
 
                        “ ถ้ารักกันก็ต้องมั่นคงอย่างให้อะไรมาสั่นคลอนความรู้สึกของเอ็งได้  เลือกที่จะเจ็บแล้วก็ต้องอดทนถึงที่สุดนะ  เรื่องนี้ถ้าจะพูดไปข้าว่าคุณหนูสบันงาน่าเห็นใจที่สุด  ได้ตัวแต่ไม่ได้หัวใจแล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า ”
 
 
                        คืนก่อนที่นายน้อยจะเข้าพิธี  นายน้อยเรียกกรรณไปพบที่ห้องหนังสือ
 
                       
                        แสงตะเกียงสลัวทำให้เห็นเสี้ยวหน้าที่หมองเศร้า  กรรณทำใจกล้ายกมือของตนไปแนบแก้มของนายน้อย
 
                        แกล้งทำเป็นยิ้ม ทั้งๆที่ภายในใจมีน้ำตาเอ่อท่วม
 
                        นายน้อยจับมือกรรณมากุมไว้ก่อนแทรกบางสิ่งมาให้  ดวงตากลมหลุบมองของในมือ  มันเป็นห่านป่าแกะสลักเป็นจี้อันเล็กๆ ร้อยไว้กับสายสร้อยที่เป็นเชือกถัก
 
                        “ ข้าทำมาให้เจ้า  พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าพิธีเอาห่านป่าแกะสลักไปมอบให้ทางนู้น  เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่ายังไง ? ” ใบหน้าหวานส่ายไปมา แต่ทว่าไม่ยอมละสายตาไปจากสิ่งของในมือเลยสักนิด  เพชรถอนหายใจพลางเชยคางทาสตัวน้อยให้สบตากับตน
 
                        “ ห่านป่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีลูกมากและรักเดียวใจเดียว ข้ามอบให้ทางนู้นตามพิธี  ข้าไม่ได้อยากมีลูกกับใครทั้งนั้นเจ้าย่อมรู้ดี  ใจของข้าผูกสมัครรักเจ้าไม่มีทางแปรเปลี่ยน  ส่วนห่านป่าในมือเจ้าเป็นเครื่องแทนใจข้า  หมายความว่าข้าจะรักมั่นแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเหมือนห่านป่าที่มันจงรักกับคู่ของมันแม้นคู่จะหายไปหรือตายจาก มันก็จะไม่ยอมมีคู่ใหม่ ”
 
                        “ นายน้อย... ” กรรณรู้ว่าเสียงเรียกนั้นเบา เบาเพราะก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาบนอก
 
                        รัก... กรรณรักนายน้อยเหลือเกิน  พรุ่งนี้นายน้อยก็ต้องไปเข้าพิธีที่บ้านนู้นแล้ว
 
                        นายน้อยกำลังจะเป็นของคนอื่น  เพิ่งได้คำตอบตอนนี้เองว่าเค้าไปอยากให้นายน้อยไปเลย
 
                        อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ฉุดรั้งนายน้อยไว้  แต่ก็รู้ดีว่ามิอาจทำเช่นนั้นได้
 
                        สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือจ้องมองหน้านายน้อยที่หมองเศร้าไม่ต่างกัน  ใครหนอช่างพูดว่าความรักคือความหอมหวาน คือความสุข
 
                        แล้วใยตอนนี้หัวใจของกรรณกลับปวดร้าว  ราวกับจะแตกเสียให้ได้
 
                        “ มานี่สิ... ” ปล่อยให้นายน้อยจูงมือมานั่งที่โต๊ะตัวเตี้ย  นายน้อยหงายจอกน้ำขึ้นสองใบแล้วเทน้ำสีใสในเหยือกเล็กจนเต็มก่อนจะยื่นมาให้กรรณหนึ่งจอก
 
                        “ อะไรเหรอขอรับนายน้อย ? ” กรรณมองจอกเหล้าอย่างไม่เข้าใจว่านายน้อยต้องการอะไร  เพชรยิ้มที่มุมปากก่อนจะกระซิบชิดริมหูว่า….
 
                        “ เหล้ามงคลดื่มในวันแต่งงานตามธรรมเนียมของชาวจีน ” เพียงแค่จบคำของนายน้อยแก้มขาวก็แดงก่ำจนน่ากลัว  มือไม้สั่นคล้ายจะอ่อนแรงจนต้องใช้สองมือประคองจอกเหล้าไว้
 
                        “ ดื่มสิ ” ริมฝีปากจรดรับความร้อนฉุนของเหล้าเลิศรสเข้าปาก  ดื่มไปด้วยความปลื้มปิติ
 
                        เหล้ามงคลที่ใช้ในงานแต่งงาน  แม้จะไม่ได้มีพิธีสวยหรูแต่การที่นายน้อยแสดงออกมานั้นหมายความว่านายน้อยเลือกกรกันต์
 
                        แขนเล็กคล้องกับลำแขนแกร่ง ข้อมือตวัดถ้วยเหล้าเข้าหาปากเป็นเสมือนเครื่องแสดงว่าต่อไปนี้คนทั้งคู่กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
 
                        ริมฝีปากอุ่นพรมจูบแผ่วเบาลงบนเปลือกตาที่ปิดลงก่อนจะระเรื่อยมายังสองปรางหอมแล้วเติมเต็มความรู้สึกทั้งหมดลงบนกลีบปากนุ่มบดคลึงเบาๆ ราวขอร้องให้คนที่เปิดใจยอมเปิดทางให้เข้าไปสำรวจด้านใน
 
                                    จูบที่เปลือกตาเพื่อที่จะบอกกรรณว่า..... “ ข้ากำลังหลงรักเจ้า ”
 
                                    จูบที่สองแก้มผ่องเพื่อที่จะบอกกรรณว่า..... “ ข้าต้องการเจ้า ”
 
                                    จูบละมุนที่ปากอิ่มสีสดเพื่อที่จะบอกกรรณว่า..... “ ข้ารักเจ้านะกรรณ ”
 
                        เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูก่อนจะประกบบดคลึงจนใจดวงน้อยปั่นป่วนไปหมด
 
                        มันไม่ได้หวานละมุนราวนิยายประโลมโลกที่พวกคณะละครรำบรรยายไว้เหมือนที่เคยดูในตลาด
 
                        มันทั้งร้อน
 
                        ทั้งทำให้ใจสั่นหวิวคล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้
 
                        มันตักตวงช่วงชิงลมหายใจไปชั่วขณะ
 
                        แต่กรรณกลับรู้สึกดี...
 
                        ริมฝีปากอุ่นพรมจูบไปที่คางก่อนกดจูบหนักๆที่ลำคอ
 
                        “ เจ้าเป็นของข้านะกรรณ... เป็นของข้าเถอะนะ... ข้ารักเจ้า  รักเจ้าคนเดียว ”
 
                        สาบเสื้อถูกแหวกออกจากกันจนมันเลื่อนหล่นมาที่ข้อพับแขน
 
                        เมฆมองเงาที่สะท้อนในห้อง เงาดำที่ค่อยๆทอดกายตามกันลงบนพื้นห้อง  ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามดึก
 
                        พระจันทร์ช่างหม่นแสงนัก...
 
                        หม่นเหมือนความรักต้องห้ามของคนที่กำลังบรรเลงเพลงรักกันในห้องหนังสือนั้น
 
                        จะมีสักกี่คนกันที่รู้ชะตาภายภาคหน้าแล้วยังดันทุรัง  ความรักของทั้งคู่หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไม่  ยิ่งเดินไปยิ่งเจ็บด้วยพื้นทางที่พากันเดินย้ำไปมีทั้งเศษกรวดเศษหิน คมมีด และหนามแหลม
 
                        จะมีสักกี่คนที่ยอมฝืนพรหมลิขิต
 
                        จะมีสักกี่คนที่ยอมแหวกม่านประเพณี
 
                        และทั้งคู่จะปกปิดความรักซ่อนเร้นนี้ไปได้นานสักแค่ไหน
 
                        ตะเกียงในห้องถูกเป่าดับไปแล้ว  เมฆก็ได้แต่ยืนตัวแข็งคอยดูลาดเลาให้เจ้านายหนุ่ม
 
                        คนที่พรุ่งนี้จะเข้าสู่ประตูวิวาห์อยู่ริมร่อ
 
                        “ เฮ้อ... ทำยังไงได้ล่ะเนอะ  วิวาห์เหาะก็สนุกดีนะ ”
 
 


((ต่อด้านล่าง)))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๑๔ู๑
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-02-2019 02:16:25


                        พิธีการถูกดำเนินตั้งแต่รุ่งสางที่บ้านของฝ่ายชายเพราะอยากให้สะดวกต่อการเชิญแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน  เพชรในชุดราชประแตนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาคุณหนูสบันงาที่นั่งสงบกริยา  ริมฝีปากแดงแย้มยิ้มน้อยๆอย่างพึงใจ
 
                        เจ้าบ่าวของนางรูปงามราวรูปสลัก  ใบหน้าเรียวแม้จะติดเรียบขรึมราวผิวน้ำที่ราบเรียบไร้คลื่นลมแต่ก็ละสายตาไม่ได้  ริมฝีปากหยักอิ่มเต็มของเพชรก็ทำให้ใจดวงน้อยของคุณหนูสูงศักดิ์แกว่งจนมือสั่น
 
                        สองหนุ่มสาวประคองขันเพื่อตักบาตรพระเก้ารูปตามธรรมเนียม สบันงานเลื่อนมามากุมมือของเพชรไว้ตามที่คุณหญิงจำปาสอนเพื่อเป็นเคล็ดว่าหลังจากนี้ไปหล่อนจะเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านและจะสามารถควบคุมผู้เป็นสามีได้เฉกเช่นเดียวกับที่แม่ของหล่อนเคยทำ

                        นายน้อยรับมาก่อนจะระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงใครอีกคนที่เขาขอให้รออยู่ที่เรือนทาสไม่ต้องตามมาทำงานที่เรือนใหญ่  เพราะอยากให้เจ้าตัวน้อยได้นอนพัก อีกอย่างเขาไม่อยากให้กรรณต้องมาทนเห็นพิธีแต่งงานของเขากับหญิงอื่น
 
                        คนที่ส่งเสียงหวานรัญจวนเสนาะหู  ความฉุนร้อนของเหล้าไม่ได้ทำให้นายน้อยรู้สึกอะไรนอกจากความหวานติดปลายลิ้นจากรอยจุมพิตซ้ำๆ กับเกลียวลิ้นนุ่มละมุน
 
                        แค่คิดถึงความหวานละมุน  ผิวเนื้อเรียบเนียน  ร่างกายขาวผ่อง  สีหน้าเปี่ยมสุขของกรรณก็ทำให้นายน้อยรู้สึกดีขึ้นมาได้
 
                        พิธีการยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งพิธีซัดน้ำ บรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวต่างเข้ามาเบียดแนบชิดกับบ่าวสาวเพื่อให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันมากขึ้น เพชรเบี่ยงตัวหลบทุกครั้งที่ต้นแขนของสบันงาเบียดมาชนกับต้นแขนของตน ที่สุดช่ายหนุ่มก็แสร้งทำทีเป็นหน้ามืดเป็นอันว่าพิธีต้องจบลงเพียงเท่านี้ คุณหญิงแพสั่งบ่าวไพร่ให้หามนายน้อยเข้าไปพักเป็นอันโกลาหล สบันงานซ่อนเก็บความไม่พอใจไว้ในใจลึกๆ บรรดาแขกผู้ใหญ่พากันเอ่ยสรรพยอกกับท่านเจ้าพระยาทั้งสองว่า

   “เห็นทีพ่อเพชรจะไม่มีแรงทำหลานให้ท่านเจ้าคุณอุ้มเสียแล้ว มาเป็นลมเป็นแล้งกระไรเอาวันแต่งงาน ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ แม่สบันงาก็ไม่ต้องเสียใจไปนะ รอผัวเจ้าหายป่วยค่อยทำหน้าที่เมียก็ยังมิสายดอก”

สบันงากำชายผ้านุ่งลวดลายวิจิตของตนเองเพื่อข่มโทสะ

หล่อนอยากทำหน้าที่เมียที่สมบูรณ์ อยากเป็นสะใภ้ที่ดีมีทายาทสืบสกุลให้กับเพชร หากแต่สิ่งที่หล่อนได้รับวันนี้กลับทำให้หล่อนอับอายมิใช่น้อย ฝ่ายนายน้อยของเรือนถูกเมฆกับพลับพยุงเข้ามานอนในเรือนหอ พลับจัดแจงผ่อนคลายคอเสื้อให้กับผู้เป็นนาย

   “เอ็งไปเอาพิมเสนมา ขอยาลมจากอีแช่มมาด้วยบอกว่าข้าจะเอามาละลายให้นายน้อยกินแล้วห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวน”พลับรับคำสั่งของเมฆก่อนจะผลุบหายออกไป นายน้อยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานห้องด้วยความว่างเปล่า

เขาจะหลบเลี่ยงการเข้าหอได้ซักกี่ครั้ง

แม้ในใจนึกอยากขอโทษหญิงสาวที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอกโดยที่ยังเข้าพิธีไม่เสร็จแต่เขาจำต้องทำ

เขาคงไม่สามารถเข้าพิธีกับหญิงใดได้จนจบขั้นตอนเพราะในใจเอาแต่นึกถึงเจ้าทาสตัวน้อยที่เฝ้าพะเน้อพะนอไม่ห่าง
                        ดวงใจของเขาวางลงแทบเท้าเจ้าทาสตัวน้อยนามว่า กรรณ เสียตั้งแต่ที่ร่างกายและหัวใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
 
                        ยอมแล้วชีวิตนี้  ยอมจงรักภักดีเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว
 
                        หากแม้นไม่มีจิตพิศวาสต่อนางคนใด  เขาจะไม่มีทางแตะต้องแม้นปลายเล็บของสตรีผู้นั้น
 
                        เพื่อเป็นการรักษาหัวใจอันเปราะบางและแสนบริสุทธิ์ของกรรณ
 

หลังจากส่งแขกเหรื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว สบันงาก็ถูกนำมาส่งตัวที่ห้องหอ พิธีปูเตียงอะไรต่อมิอะไรถูกปัดตกไปเมื่อเมฆไปแจ้งแก่ท่านเจ้าคุณว่านายน้อยตัวร้อนดังไฟ หามีใครรู้ไม่ว่าเมฆนำเอาใบแก้วมาให้นายน้อยเคี้ยวเพื่อให้ตัวร้อนดังไข้ขึ้น

สบันงานนั่งลงบนเตียงมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่นอนหลับบนเตียงด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ทั้งดีใจที่ได้ครอบครองบุตรชายของท่านเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิช แต่ก็เสียใจท่พิธีของหล่อนต้องล่มไม่เป็นท่า

มือเรียวค่อยๆยื่นไปแตะผิวหน้าที่มีไอร้อนผะผ่าวอย่างแผ่วเบาหากแต่เพชรที่แกล้งหลับกลับลืมตาขึ้นมองจนหญิงสาวส่งยิ้มแก้เก้อไปให้

                        “ เจ้าพักซะก่อนนะ  เหนื่อยมาตั้งแต่เช้า ” นายน้อยบอกกับสบันงาที่นั่งมองร่างสูงไม่วางตาก่อนจะทำท่าเหมือนจะผละไป
 
                        “ เดี๋ยวเจ้าค่ะ คุณพี่พี่... นั่นคุณพี่จะไปไหนรึเจ้าคะ ? ” มือเรียวคว้าจับมือใหญ่อย่างถือวิสาสะ  นายน้อยมองกริยานั้นด้วยสายตาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา  ก่อนจะค่อยๆปลดมือนางออกอย่างสุภาพ
 
                        “ ข้ามีได้ไข้หากนอนด้วยกันไข้จะติดเจ้าเสียเปล่าๆ  เจ้าพักผ่อนตามสบายนะข้าจะไปนอนห้องหนังสือ ”
 
                        ประตูห้องหอถูกเปิดออก เมฆที่ยืนอยู่หน้าห้องขยับตัวทันที
 
                        “ นายน้อย ”
 
                        “ ข้าจะไปห้องหนังสือ ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบและผละไปทันที
 
                        เมฆได้แต่มองบานประตูด้วยความหนักใจ
 
                        ทำไมจะไม่รู้ว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องหอที่แท้จริง  ห้องหนังสือต่างหากที่เป็นห้องหอของนายน้อย
 
                        หัวใจถูกทิ้งไว้ตรงไหน  ร่างกายก็ตามไปที่นั่น
 
                        แม้จะเห็นใจคุณหนูสบันงา  แต่ที่สุดเมฆก็ก้าวเท้าตามผู้เป็นนายไป ทิ้งไว้เพียงบานประตูที่ด้านในมีร่างสั่นเทิ้มของหญิงสาวที่จิกเล็บลงบนผ้าปูที่นอนจนยับย่น  ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไว้สวยงามบึ้งจัดอย่างน่ากลัว
 
                        หยามกันเกินไปแล้ว...
 
                        สบันงากัดฟันจนกรามขึ้นสัน
 
                        เพชรคิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนถึงกล้าหันหน้าให้กับนาง
 
                        วิวาห์วันแรก
                       
                        เข้าหอคืนแรก
 
                        ตอนนี้ ณ ขณะนี้นางควรถูกตะกองกอดจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
 
                        แล้วนี่คืออะไร
 
                        ความโดดเดี่ยวในห้องหอกว้างน่ะหรือ
 
                        คอยดูเถอะสักวันนางจะทำให้เพชรสยบลงแทบเท้านางให้ได้ หล่อนไม่ใช่หญิงโง่เขลา มองแววตาของเพชรก็นึกรู้ว่าชายหนุ่มมีใครอื่นอยู่ภายใน
 
                        “ คิดว่าดีก็ทำไปนะเจ้าคะคุณพี่  อย่าคิดว่าจะหนีข้าไปได้ตลอด ถึงไม่เต็มใจท่านก็แต่งกับข้าแล้ว  เป็นผัวข้าแล้วถึงมีหญิงอื่นอยู่ในใจก็อย่าหมายจะไปเสวยสุขกับใครได้เลย  ข้าสบันงาขอสาบานว่ามันหน้าไหนกล้าแย่งผัวข้ามันผู้นั้นไม่มีทางได้ตายดีแน่ ! ”
 
 
 
 
                        ราตรีล่วงลับ  ดวงดาวอับแสงใสยามแสงสีทองของอรุโณทัยฉายแสงที่เส้นขอบฟ้า  ลำแสงทอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง  คุณช่างค่อยๆเปิดเปลือกตาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน  บางคนที่แม้นหลับก็ยังกอดเขาแน่น  ปลายนิ้วที่ประคองไหล่เล็กดูอบอุ่นมั่นคง  มั่นคงจนรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว  ลมหายใจรินรดที่ซอกคอของคนขี้เซาจนกันต์แกล้งขยับตัวยุกยิก  ซึ่งก็ได้ผลเมื่อคนที่ถือวิสาสะขึ้นมานอนบนเตียงคนป่วยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
 
                        “ ตื่นแล้วเหรอครับ? ”
 
                        “ ยังมั้งครับผมละเมออยู่  แล้วนี่อะไรของคุณขึ้นมานอนกอดผมทำไมเนี่ย ? ” ขยับตัวในอ้อมแขนที่คล้ายจะกระชับให้แน่นขึ้นจนต้องหยุดการกระทำก่อนจะโดนชายกหนุ่มสวมวิญญาณงูเหลือมรัดแน่นจนขาดอากาศหายใจ
 
                        “ เมื่อคืนคุณละเมอร้องว่าหนาว  ผมเลยเสียสละไออุ่นจากร่างกายของผมให้คุณ  ไม่ขอบคุณซักคำยังมาทำเหมือนผมเป็นโจรปล้นสวาท ”
 
                        “ ตอนนี้ผมตื่นแล้วคุณก็ปล่อยสิ  หรือจริงๆตั้งใจจะแต๊ะอั๋ง ? ”
 
                        “ ดูสภาพคุณตอนนี้มันน่ามีอารมณ์ตรงไหน จะจูบปากยังไม่กล้าเลยเนี่ยแตกไปหมด  พูดจ้อยๆแบบคุณไม่เจ็บบ้างหรือไง ? ” พชรใช้ปลายนิ้วแตะเพียงแผ่วเบาที่ปากแห้งแตกนั้น  กันต์ผละหน้าหนีไปนิดแต่ก็หยุดให้ปลายนิ้วนั้นสัมผัสและลูบไล้เบาๆ
 
                        ความรู้สึกหวาดกลัวที่มีมาหลายวันมันมลายหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ
 
                        “ เจ็บสิ... แต่ผมกลัวมากกว่า  ผมเรียกร้องหาคุณทุกวันแต่คุณก็ไม่มา... ” กันต์เบือนหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าท้ายประโยคของตนเองแผ่วเบาจนน่าใจหาย ก่อนจะประคองตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
 
                        ใช่... เขาเรียกร้องหาพชร  ร้องเรียกหานายน้อยทุกวัน  ยามแสงสว่างดับลงความมืดมาเยือนมันทำให้เขากลัวจับขั้วหัวใจ
 
                        แอบหวังว่าชีวิตคงเป็นเหมือนในละครที่สุดท้ายพระเอกก็ตามมาช่วยทันแต่ไม่เลย  กันต์คิดผิด  เขาทำได้เพียงใช้มือตะกุยพื้นดิน  ปีนป่านหาทางออก  ความคิดที่ว่าตัวเองเข้มแข็งมาตลอดถูกพังทลายลงด้วยสถานที่แห่งนั้น  มองลอดช่องไม้เล็กๆเห็นแสงสว่างเลือนลางไกลลิบจากเรือนโบราณ  ตะโกนร้องให้คนมาช่วยจนเจ็บคอแต่กลับไม่มีใครมาเลย
 
                        มันน่ากลัวจนเขาเองคิดว่าคงเอาชีวิตมาทิ้งที่เรือนร้างแห่งนั้นซะแล้ว  แต่คนตัวเล็กก็ต้องสะดุ้งพลางใช้มือตัวเองจับมือคนที่ลุกขึ้นมาสวมกอดเอวของตนไว้  คางแหลมของเจ้าของเรือนโบราณวางลงบนลาดไหล่เสียงกระซิบทุ้มข้างหูทำให้กันต์รู้สึกขนลุกซู่อย่างน่าประหลาด
 
                        “ ผมขอโทษ  ยกโทษให้ผมได้มั้ย ? ” กันต์เอียงคอหนีปลายจมูกที่อยู่ใกล้ต้นคอตัวเองเสียเหลือเกิน
 
                        ภาพความฝันที่ตามรบกวนตนเองตั้งแต่จำความได้ทำให้เกิดความสงสัยบางอย่าง
 
                        ในเมื่อพชรกับนายน้อยหน้าตาเหมือนกัน แล้ว... จะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ?
 
                        แล้วถ้าใช้เพชรสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับชาติที่แล้วของตนเองบ้างไหม ? ทำไมกันต์ลืมที่จะเอาแขนของคนที่เกี่ยวรัดเอวของตัวเองออก
 
                        “ คุณเพชร... ”
 
                        “ ครับ ”
 
                        “ คุณเชื่อเรื่องการระลึกชาติหรือกลับชาติมาเกิดบ้างมั้ย ? ”
 
                        “ ทำไมเหรอครับ ? ”
 
                        “ ผมเชื่อ... ถ้าผมเล่าอะไรไปคุณจะหาว่าผมบ้ามั้ย ? ”
 
                        “ ก็ลองเล่ามาสิครับ ”
 
                        “ ผมคิดว่าเราสองคนอาจจะเป็นคุณทวดของคุณกับทาสในบ้านที่หายตัวไปเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ”
 
                        เกิดความเงียบขึ้นทันทีที่ประโยคนั้นออกจากปากกรรณ  เพชรเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งหลังตรงแล้วจับร่างของกันต์ให้หันมาทางตน  ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าราวค้นหาอะไรบางอย่างจนกันต์รู้สึกกลัว
 
                        “ ถ้าคุณคิดว่าเรื่องที่ผมพูดมันเหลวไหลผมไม่พูดก็ได้นะ  ผมอาจจะเพ้อเจ้อไปเอง ” ที่สุดเมื่อทนความเงียบและความอึดอัดไม่ได้  กันต์ก็เอ่ยตัดบทพลางปัดมือที่จับไหล่ตนออก
 
                        นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่เหรอ ? เล่านิทานหลอกเด็กอยู่หรือไง ? เรื่องแบบนี้ใครจะมาเชื่อกัน
 
                        “ เล่ามาเถอะผมอยากฟัง  บางทีเราสองคนอาจรู้สึกเหมือนกันก็ได้... ” ประโยคทุ้มนุ่มชวนฟังทำให้กรรณหันมามองคนพูดอย่างรวดเร็ว  รอยยิ้มละมุนถูกส่งมาให้อีกครั้ง
 
                        “ เคยมีใครบอกหรือเปล่าว่ารอยยิ้มของคุณเหมือนแสงแดดตอน 7 โมงเช้า ”
 
                        “ ถ้าจะมี... ก็เป็นคุณคนแรก ”
 
                        “ เอาล่ะผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า กันต์ที่รู้สึกประหม่าขึ้นมาเฉยๆยามที่สบตาอ่อนโยนและรอยยิ้มละมุนของเพชรเลยตัดบทเพื่อเล่าเหตุการณ์ต่างๆของตน
 
                        “ ตั้งแต่จำความได้  ตอนที่ผมอยู่สถานสงเคราะห์ผมก็กลัวที่แคบและความมืดโดยไม่ทราบสาเหตุ  ที่สำคัญผมมักจะฝันเห็นเหตุการณ์เดิมๆ  สถานที่เดิมๆแทบทุกคืน  จะเป็นหนักเห็นชัดก็ในคืนที่มีฝนตกและแปลกที่เวลาตอนฝันจะอยู่ในช่วงย่ำรุ่ง  ภาพทุกอย่างที่ผมเห็นตนแรกมันก็เลือนลางเหมือนคนสายตาสั้นที่มองออกมาแต่ว่าทุกอย่างมันชัดขึ้นเมื่อผมมาที่เรือนโบราณ  ทุกอย่างมันชัดขึ้นเมื่อผมได้พบคุณ  ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเราในชาติที่แล้ว  แต่เรื่องราวมันปะติดปะต่อกันตอนแรกผมไม่รู้ว่าผู้ชายในความฝันที่ผมเรียกว่านายน้อยคือใครจนกระทั่งเมื่อวานนี้  เค้าหันมาหาผม... นั่นทำให้รู้ว่านายน้อยในความฝันของผมก็คือคุณ ” กันต์ดูท่าทีของผู้ฟังก็เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบ คิ้วขมวดเข้าหากันราวกับกำลังใช้ความคิดอะไรสักอย่าง  กันต์คิดว่าไหนๆตนก็เล่าไปแล้วก็ขอเล่าเสียให้หมดทั้งสถานะของคนทั้งคู่ในภพชาติที่แล้วและการแต่งงานที่เกิดขึ้น  ความสัมพันธ์ซ่อนเร้นที่คนทั้งคู่มีให้ต่อกัน  ความฝันทุกฉากทุกตอนที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อคืนถูกถ่ายทอดออกมาจนจบ  เพชรถอนหายใจหนักๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วอุ่นแตะคางเรียวให้แหงนหน้าขึ้นมามองเขา
 
                        “ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าผมพูดออกไปแล้วคุณจะเชื่อหรือรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า  แต่ครั้งแรกที่ผมพบคุณ ไม่ใช่ที่เรือนโบราณ  ผมเห็นคุณอยู่หน้าตัวเมียบที่แสดงกระดูกที่พิพิธภัณฑ์  ผมเห็นคุณยืนร้องไห้อยู่ความรู้สึกเศร้าและโหยหาของคุณมันส่งตรงมาถึงผมได้  ยิ่งได้มารู้จักคุณได้คลุกคลีพูดคุยกันมากขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า  เหมือนเราจะเคยรักกัน ”
 
                       กันต์เงยหน้าขึ้นจ้องตาคนพูดอีกครั้งราวกับจะถามให้แน่ใจว่าที่พูดออกมานั้นพูดจริงหรือโกหก  แต่สิ่งที่มองเห็นมีเพียงความจริงใจในดวงตาเท่านั้น
 
                        ผู้ชายคนนี้ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองขนาดไหนเค้ารู้ดีที่สุด
 
                        นายน้อยก็ยังคงเป็นนายน้อยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสิบปี ร้อยปี หรือสองร้อยปี  เพชรคนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
 
                        ยังคงรู้สึกเป็นเพชรที่รักกรรณผู้ต่ำต้อยเพียงคนเดียว  มือเรียวกำชายเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
 
                        อยากด่าตัวเองเสียเหลือเกินว่าทำไมกลายเป็นคนอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ เพียงแค่เค้าพูดว่าเหมือนเราจะเคยรักกัน  น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลราวเขื่อนแตกเสียแล้ว
 
                        “ ตลอดเวลาที่ผ่านมามีคนผ่านเข้ามาในชีวิตผมตั้งมากมาย  น่าแปลกที่ผมไม่เคยสนใจใคร  ไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษหรือมีความรู้สึกดีๆกับใครเลย จนกระทั่งคุณเข้ามา  โลกที่ทึมเทาของผมมันก็สว่างขึ้น  ไม่รู้ทำไมครั้งแรกที่พบกับคุณ ผมรู้สึกเหมือนเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อน และยิ่งได้ใกล้ชิดกัน ผมก็รู้สึกว่าเราคงต้องเคยเป็นเนื้อคู่  อย่างเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ” เพชรรีบร้องห้ามเมื่อกันต์ทำหน้าเหมือนจะค้านคำพูดของเขา
 
                        “ ผมไม่รู้หรอกนะว่าชาติที่แล้วคุณกับผมจะใช่เพชรหรือกรรณคนนั้นหรือไม่  ที่ผมรู้ตอนนี้  ผมรู้แค่ว่า คุณคืออีกครึ่งของฝันที่ผมตามหา  และถ้าหัวใจของคุณมันตรงกับผม  จะเป็นอะไรมั้ยถ้าเราสองคนจะลองมาศึกษาและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน... ” เพชรรวมมือเรียวที่กำชายเสื้อของเขาแน่นขึ้นมากุมไว้  ดวงตาคมที่หลายคนว่ามันช่างแสนเย็นชาตอนนี้ทอแสงอ่อนอบอุ่นหัวใจให้กับคนตรงหน้า
 
                        “ ถ้าคุณไม่รังเกียจ  ไม่สนใจกระแสสังคมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรก็แล้วแต่บนโลกนี้  ได้โปรด... คบกับผมได้มั้ยครับ ? ”
 
 
 
 
                                    TBC……
 
 
..........................................
จะให้กรรณนอนฟังเครื่องไฟสมัยนั้นก็ไม่มีซะด้วย เอาเป็นว่า คุณสบันงาคะ คุณไม่ได้ไปต่อค่ะ เอาจริงๆตามพฤตินัยกรรณเป็นเมียหลวงนะเธอ 5555555555555
 

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-02-2019 08:13:38
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-02-2019 10:25:26
ขอบคุณที่บอกว่า วิน ชาติที่แล้วคือพลับ ไม่ใช่พี่เมฆ
แต่พลับไม่ค่อยมีบทบาทก็เลยไม่ได้นึกถึงจ๊ะ
 :m5: :m5:

และแล้วก็เข้าใจกัน ส่วนคุณเมียหลวงคุณไม่ได้ผิด แต่ที่ผิดคือพ่อแม่คุณในชาติก่อนที่ยัดเยียดให้คุณเป็นคนแบบนั้น นี่เราเข้าข้างสุดๆ แล้วนะ คุณจัส
 o18 o18
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-02-2019 19:34:08
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 01-02-2019 20:46:15
สุดยอดมาก อ่านถึงตอนล่าสุดแล้ว เค้าใจตรงกันแล้ว แต่ต่อจากนี้คงเจอคุณจัสอีกแน่ๆ เอาใจช่วยให้สองคนสมหวังในขาตินี้นะ
ไม่มีใครสงสัยเลยหรอทำไมกันต์ถึงไปอยู่ในนั้นได้

แต่งกลอนไพเราะมากค่ะ ฝากชมด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-02-2019 21:11:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๘ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 02-02-2019 18:12:21
ค้างอะ มาต่อ ๆ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๙ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 03-02-2019 19:59:34

Time of tears
Chapter 9



                        วินนั่งมองคนป่วยที่นั่งตักข้าวต้มที่มะลิทำมาฝากเข้าปากเงียบๆ  เจ้าของเรือนโบราณก็นั่งกินข้าวของตัวเองเงียบๆเช่นกัน
 
                        แต่ในความเงียบมันมีบางอย่างปรากฏอยู่
 
                        “ ร้อนเหรอกันต์ ทำไมแก้มแดงๆ ”
 
                        “ แค่กๆๆๆๆ ” คนป่วยถึงกับสำลักน้ำข้าวต้ม แล้วยกมือขึ้นลูบหน้า
 
                        “ อ่ะ... เอ่อ... ขอบคุณครับ ” กันต์รับกระดาษทิชชู่จากเพชรมาซับปากก่อนจะตวัดสายตามองวินที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด
 
                        “ ป่าวซักหน่อย ”
 
                        “ แล้วนี่ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไปติดอยู่ในนั้นได้ ? ปกตินายไม่ใช่คนที่ชอบไปอยู่ในห้องแคบๆมืดๆแบบนั้น ” วินเก็บชามและโต๊ะออกจากคนป่วย  ปรับหมอนและเตียงนอนให้กันต์ได้นั่งอย่างสบายๆได้  เพชรเองก็หันมามองอย่างสนใจเหมือนกัน
 
                        “ ก็หลังจากที่คุณเพชรกับคุณจิออกจากเรือนไป  ผมก็เดินสำรวจพื้นที่ด้านหลัง  กำลังดูอยู่ดีๆก็รู้สึกว่ามีคนมาตีหัวแล้วก็ร่วงไปเลย  ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในนั้นแล้ว ”
 
                        “ แสดงว่ามีคนลอบทำร้ายคุณ ” เพชรที่ยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆเอ่ยข้อสันนิษฐานออกมา  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วินเห็นด้วย
 
                        “ แล้วใครทำ ? ”
 
                        “ นั้นสิ... ปกติผมไม่เห็นคุณจะมีปัญหาอะไรกับใครในเรือนเลย ”
 
                        “ เป็นไปได้มั้ยว่าจะเป็นโจรมาจากด้านหลังเรือนที่เป็นประตูออกด้านนอกเข้ามาเพื่อจะขโมยของในเรือน  แต่เจอผมซะก่อนเลยทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์ เพราะข้าวของผมหายไปหมดเลย ? ”
                        “ ไม่น่าเป็นไปได้นะครับ  เพราะถึงประตูที่มีไว้ให้บ่าวออกไปด้านนอก  แต่ประตูด้านนั้นโดนปิดตายตั้งแต่เรางมเจอหีบโบราณ  เพราะไม่อยากให้มีใครเข้ามาวุ่นวายพื้นที่ตรงนั้น ”
 
                        “ ถ้าอย่างนั้นคนที่จะลอบทำร้ายกันต์ได้ต้องเป็นคนภายใน ”
 
                        “ ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะ  ฉันไม่เคยมีปัญหากับใครเลยนะ ” กันต์ทำหน้านิ่วครุ่นคิด  เขาไม่เคยมีปัญหากับใครในเรือนเลยซักคน  ออกจะสนิทสนมกันดีด้วยซ้ำ  ทั้งมะลิหัวหน้าแม่บ้านที่ถึงแรกๆจะดูไม่ค่อยชอบเขานัก  แต่สุดท้ายก็ขุนเขาจนแทบจะเป็นหมูอยู่แล้ว
 
                        ส่วนคนงานอื่นๆก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยซักนิด  ทักทายยิ้มแย้มแจ่มใสและเขาไม่เคยเอ่ยปากเรียกใช้อะไรใครเลยด้วยซ้ำ
 
                        “ ถ้าอย่างนั้น  วันนั้นมีใครอยู่ที่เรือนบ้างครับ ? ”
 
 
 
 
                        “ เมื่อไหร่แกกับมันจะแต่งงานกันซักทียัยจัส  บริษัทเราจะโดนฟ้องล้มละลายอยู่แล้วนะ ” จัสทำหน้าเบื่อเมื่อพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หัวโต๊ะเอ่ยคำถามที่จัสเองก็หาคำตอบให้ไม่ได้เหมือนกัน
 
                        “ ถ้าหนูรู้หนูคงเตรียมชุดไปแล้วค่ะพ่อ ” หญิงสาวใช้ช้อนคนกาแฟไปเรื่อยๆ  คนรับใช้ต่างถูกโบกมือไล่ให้ออกไป
 
                        “ แกก็น่าจะรวบหัวรวบหางมันไปเลย  นี่อะไรไปค้างอ้างแรมด้วยกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  ทำไมมันไม่มีอะไรคืบหน้าเลย  ฐานะการเงินบ้านเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นแกก็รู้นี่พ่อก็เอาเงินก้อนสุดท้ายไปร่วมทุนบุรณะอีเรือนสัปปะรังเคนั้นจนหมดแล้วนะ ถ้าช้ากว่านี้บ้านเราอาจจะต้องแย่งข้าวหมากินแล้ว ”
 
                        “ โอ๊ย... พ่อคะ  เพชรซื่อบื้อยังกับอะไรดี  จัสน่ะยั่วทุกอย่าง พ่อเจ้าประคุณก็ยังนิ่งเป็นน้ำแข็งเลย ”         
     
                        “ แล้วทำไมแกไม่ใช้มารยาหญิง ทำให้มันมีอะไรกับแกล่ะ ”
 
                        “ ถ้าง่ายขนาดนั้นจัสอุ้มท้องหลานคนแรกให้พ่อไปแล้วค่ะ  รายนั้นอยู่ในห้องทำงานตลอด  ถ้าไม่งั้นก็มีไอ้จิอยู่ด้วยทุกที่  จัสจะเอาเวลาที่ไหนไปทำเรื่องอย่างว่าล่ะคะ ” หญิงสาวบ่นออกมาดังๆอย่างเหนื่อยใจ  เมื่อก่อนถึงเนื้อถึงตัวเพชรว่ายากแล้ว ตอนนี้พอมีจิมาอยู่ด้วย เธอจึงแทบจะหมดสิทธิ์ที่จะได้อยู่ตามลำพังกับเพชร
 
                        “ อีกอย่าง  หนูคิดว่าหนูเจอคู่แข่งที่น่ากลัวแล้วล่ะค่ะพ่อ ” หญิงสาวกดเสียงเสียงเข้มอย่างหงุดหงิด
 
                        เสี้ยนหนามสำคัญเลยล่ะ
 
                        เพราะในขณะที่จัสวิ่งตามเพชร
 
                        เพชรกลับทำท่าเหมือนจะวิ่งตามไอ้คุณช่างนั่น
 
                        “ คู่แข่ง ? ผู้หญิงที่ไหน ? ”
 
                        “ ถ้าเป็นผู้หญิงจัสจะไม่กลัวเลยค่ะพ่อ แต่นี่มันเป็นผู้ชาย  หน้าตาดีเลยทีเดียว ”
 
                        “ ผู้ชาย ? อย่าบอกนะว่าไอ้เพชรมันเป็นพวกเกย์ พวกกะเทย ” คนเป็นพ่อถึงกับทำหน้าขยะแขยงขึ้นมาทันที
 
                        “ หนูก็ไม่แน่ใจหรอกค่ะพ่อ  แต่เวลาที่เขามองไอ้คุณช่างนั่นน่ะ สายตาเขามันแปลกๆ ”
 
                        “ ถ้ามันเป็นปัญหามากนัก  ก็ส่งคนไปเก็บมันซะก็สิ้นเรื่อง ”
 
                        “ หึ... ไม่ต้องส่งคนไปเก็บหรอกค่ะ  ก่อนมาจัสจัดการมันไปแล้ว  ป่านนี้คงขาดอาหารตายไปแล้วมั้ง  ส่วนเพชรพ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ  ถ้ามันยุ่งยากนักก็ทำเหมือนละครหลังข่าวไปก็สิ้นเรื่อง ”
 
                        “ อย่ามั่นใจตัวเองมาก  จะทำอะไรก็รีบๆทำก่อนจะได้ระเห็จไปนอนใต้สะพานลอย ” คนเป็นพ่อว่าพลางซับปากทำท่าทางจะลุกออกไป
 
                        “ แล้วนั่นพ่อจะไปไหนคะ ? ” อดร้องถามไม่ได้ทั้งที่พอจะรู้คำตอบ
 
                        “ ช่วงนี้พ่อเครียด  ต้องหาอะไรทำแก้เครียด ”
 
                        “ แต่หนูว่าที่ที่พ่อจะไปมันยิ่งจะทำให้เครียดมากขึ้นนะคะ  พ่อเพลาๆลงบ้างเถอะ  ถ้าพ่อเล่นเสีย หนี้มันยิ่งจะเพิ่มขึ้นนะคะ ”
 
                        “ แกนี่ปากขัดลาภจริงๆ ไม่ต้องมาทำตัวเหมือนแม่แกที่นอนในหลุมเลยนะ  พูดมาก เพ้อเจ้อ ” คนเป็นพ่อว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปทิ้งจัสให้นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องอาหารที่แสนใหญ่โต
 
                        หญิงสาวปล่อยช้อนที่คนกาแฟให้พิงขอบแก้วโดยไม่สนใจจะแตะมันซักนิด
 
                        บ้านหลังใหญ่ที่มีแต่เปลือกทางสังคม  ไม่มีความสุขและความอบอุ่นเลยสักนิด  หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ  มองไปรอบๆก็รู้สึกเครียด  ถ้าพ่อถูกฟ้องล้มละลายแล้วเธอจะเป็นอย่างไร  อาชีพดารานางแบบของเธอถึงแม้จะพอทำเงินได้ แต่พอเลี้ยงตังเองให้ทำตัวดุจเจ้าหญิงไปวันๆ
 
                        ถ้ามีวันนั้นขึ้นมาจริงๆ หญิงสาวคงทนกระแสสังคมไม่ได้แน่
 
                        ดาราดังตกอบเป็นเรื่องเจ็บปวดเหลือเกิน
 
                        “ ที่ทุกอย่างมันยุ่งยากก็เพราะแกเลยไอ้กันต์ ” ที่สุดเมื่อหาแพะมารับบาปไม่ได้  หญิงสาวก็โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนที่ตัวเองเป็นคนทำร้ายแล้วจับขัง
 
                        เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนเจ้าตัวสะดุ้งหน่อยๆ  จัสมินยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ก็รีบปรับอารมณ์ของตัวเองทันที
 
                        “ ฮัลโหลค่ะเพชร ”
 
                        “ สวัสดีครับจัส... ” เสียงจากปลายสายยังคงเรียบทุ้มเช่นเคย
 
                        “ กลับมาแล้วเหรอคะ ? ทำไมเพิ่งโทรมาหาจัสคะเนี่ย ? ”
 
                        “ กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ”
 
                        “ หืม... แล้วเพิ่งโทรหาจัสตอนนี้น่ะเหรอคะ  งอนแล้วนะเนี่ย ”
 
                        “ พอดีที่เรือนมีเรื่องนิดหน่อยครับเลยไม่ได้โทรหา ” หญิงสาวลอบยิ้มกับคำว่ามีเรื่องนิดหน่อย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
 
                        “ มีเรื่องอะไรเหรอคะ? พอดีจัสกลับมาได้หลายวันแล้ว  จริงๆจัสจะขอติดรถเข้ากรุงเทพกับคุณ แต่ไม่ทัน เลยขับรถไล่หลังตามมาแล้วก็พอดีติดงานเลยไม่ได้โทรไปถามไถ่เรื่องต่างๆเลย... ”
 
                        “ ผม.... อยากเจอคุณออกมาทานข้าวด้วยกันได้มั้ยครับ”
 
 
 
 
 
 
                        มัลลิกากระชับแว่นดำกรอบใหญ่  ก่อนจะก้าวเข้าไปในร้านอาหารหรู
 
                        ยิ่งพลางตัวยิ่งเป็นที่จับตามอง  หญิงสาวรู้ถึงความจริงในข้อนี้ดี  กดยิ้มอย่างพอใจเมื่อลูกค้าหลายคนในร้านหันมามองแล้วซุบซิบ  ช่างภาพจากสำนักข่าวบันเทิงถูกจ้างให้มาดักรออยู่ด้านนอกของร้าน  ไม่เกินสามวันข่าวเดทของเธอจะต้องกระจายไปทั่วประเทศ
 
                        หญิงสาวเดินตามพนักงานเข้าไปในโซนวีไอพีที่เพชรจองไว้  เมื่อเข้าไปด้านในกับพบว่าชายหนุ่มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
 
                        “ เพชร  รอจัสนานมั้ยคะ ? ” เอ่ยทักเสียงใสอย่างจริต  ชายหนุ่มลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างสุภาพ  ทุกทวงท่าการกระทำเป็นสิ่งที่หญิงสาวชื่นชอบที่สุด  พชรเป็นผู้ชายที่ให้เกียรติกับทุกคน อบอุ่น สุภาพ ทว่าบางครั้งคล้ายจะเย็นชา  แต่นั่นกลับทำให้เขายิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น
 
                        “ สั่งอาหารมาทานเลยมั้ยครับ ? ” ชายหนุ่มยื่นเมนูให้หญิงสาว  ไวน์รสเลิศราคาแพงถูกรินใส่แก้วเสิร์ฟ  หญิงสาวรู้สึกว่าวันนี้เพชรแปลกไป  ชายหนุ่มพูดคุยมากกว่าที่เคย  บรรยากาศดีซะจนหล่อนคิดว่าจะพูดเรื่องการแต่งงาน
 
                        “ เพชรคะ ” ทันทีที่จบมื้ออาหารหญิงสาวตัดสินใจที่จะพูด
 
                        “ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ ” ชายหนุ่มเอ่ยขัด  น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ  สีหน้าเรียบนิ่งของเขาทำให้หล่อนรู้สึกประหม่า  จนต้องลูบแขนตัวเองเบาๆ
 
                        “ ทำไมทำเสียงซีเรียสจังคะ  จัสกลัวนะเนี่ย ”
 
                        พชรจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง  แววตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยน บัดนี้กลับค้นหาอะไรไม่ได้เลย  เนิ่นนานหลายนาทีที่เขาปล่อยให้ความเงียบครอบงำ
 
                        “ คุณมีอะไรจะสารภาพกับผมมั้ย ? ”  น้ำเสียงที่เอ่ยถามเรียบนิ่ง  แต่ทว่ายังแฝงความอ่อนโยน
 
                        เขาจะให้โอกาสจัสซักครั้ง  ชายหนุ่มไม่ได้อยากจะตัดความสัมพันธ์จนมันต่อกันไม่ติด  ถึงยังไงซะจัสมินก็เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง  แม้ที่ผ่านมาเขาจะรู้ดีว่าหญิงสาวคิดอย่างไรกับเขาก็ตาม
 
                        “ อะไรคะ  ทำไมจัสต้องสารภาพ  จัสไปทำอะไรผิดคะ ? ” หล่อนทำท่าทางฉุนเฉียวแสนงอน  ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
 
                        “ เรื่องของกันต์... เป็นคุณใช่มั้ย ? ” ทันทีที่ชายหนุ่มเอ่ยคำถามจบ  จัสมินก็โยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจทันที
 
                        “จัสไม่ได้ทำไม่ได้ขังคุณช่างอะไรของคุณซักหน่อยนะคะ”
 
                        “ แล้วคุณทราบได้ยังไงว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร... อีกอย่างที่กันต์โดนทำร้าย เรื่องที่เขาบาดเจ็บ  ผมยังไม่เคยพูดให้คุณฟังเลยด้วยซ้ำ ”
 
                        “ นี่คุณหาว่าจัสเป็นคนทำเหรอคะ ? จัสเป็นผู้หญิงจะไปทำร้ายนายคนนั้นได้ยังไง  ส่วนเรื่องที่จัสรู้ได้ยังไง จัส... จัส... ” หญิงสาวพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง  ริมฝีปากแห้งผาก  อยู่ๆคำพูดก็หยุดไปซะดื้อๆ
 
                        “ พอเถอะครับ  จัส... ผมไม่รู้ว่ากันต์ไปทำอะไรให้คุณโกรธเกลียดทั้งๆที่คุณกับเขาเพิ่งเจอกัน  สิ่งที่คุณทำลงไปมันร้ายแรงมาก  ถ้ามีคนไปช่วยเค้าไม่ทัน เขาอาจตาย  คุณต้องกลายเป็นฆาตกรรู้ตัวหรือเปล่า ? ”  จัสมินแค่นเสียงหัวเราะทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ
 
                        “ เพชรคะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณให้ความสำคัญกับมันมากเกินไปแล้ว  มากจนเกินกว่านายจ้างกับลูกจ้าง  มากจนคุณละเลยจัส  ทำไมคะ ? คุณตอบจัสมาได้มั้ยว่าทำไมคุณเอาแต่มองหามัน พูดถึงมัน  คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าคุณกับจัสกำลังจะแต่งงานกันนะคะ คนที่คุณต้องดูแลเอาใจใส่คือจัส  คนที่คุณต้องคอยมองหาก็คือจัส  คนที่คุณต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือจัส ไม่ใช่มัน ! ”
 
                        “ ถ้าที่ผ่านมาผมทำให้คุณเข้าใจผิดมาโดยตลอด  ผมต้องขอโทษนะครับ แต่... ผมไม่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับคุณ  ผมเห็นคุณเป็นน้องสาว  เป็นเพื่อนมาโดยตลอด  ต่อให้ไม่เจอเขาผมก็ไม่มีทางแต่งงานกับคุณ  เพราะผมไม่เคยรักคุณแบบนั้น ” แม้จะรู้สึกผิดที่พูดรุนแรงแบบนั้นไป  แต่ชายหนุ่มต้องทำใจแข็ง  จัสมินกำมือแน่นปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย
 
                        พชรกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร
 
                        เรื่องแต่งงานไม่เรื่องล้อเล่นที่จะมายกเลิกเอาดื้อๆแบบนี้
 
                        “ คุณจะไม่แต่งงานกับจัสไม่ได้  สัญญาที่พวกเราทำไว้ ”
 
                        “ สัญญาพวกนั้นโบราณคร่ำครึ  เราคนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องฝืนใจ  คุณเองก็มีโอกาสเจอคนที่ดีกว่าผม  เดี๋ยวผมจะให้จิเอาเช็คที่ทางคุณลงทุนร่วมบูรณะเรือนโบราณไปให้นะครับ  ต่อจากนี้ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่าเข้าใกล้กันต์อีก  ครั้งนี้ผมปกป้องเขาไม่ได้  แต่ครั้งหน้าผมสาบานว่าจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ” ชายหนุ่มพูดจบก็วางเงินปึกใหญ่ลงบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องไปทันที  เร็วจนจัสมินไม่ทันตั้งตัว  พอรู้ตัวว่าตัวเองถูกทิ้ง   เพียงไล่หลังไม่นานเสียงกรี๊ดแหลมก็ดังขึ้น  พชรชะงักฝีเท้า  ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงก่อนตัดสินใจเดินต่อ
 
                        ถ้าไม่รักเขาก็ไม่ควรกลับไปให้ความหวังกับหล่อน  พชรไม่เคยใจร้ายกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน  ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำร้ายจิตใจจัสมิน  ตลอดทางที่ขับรถกลับเรือนโบราณ  ภาพหญิงสาวที่ร้องไห้น้ำตาไหลรินรบกวนจิตใจของเขา  หลายครั้งที่เขาเผลอเหม่อลอยแทบจะเกิดอุบัติเหตุ  ชายหนุ่มจอดรถข้างทางบรรยากาศโดยรอบมืดสนิทฝนเริ่มลงเม็ด  เขาถอนหายใจก่อนจะฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย  ในหัวมีความคิดมากมายวิ่งเต็มไปหมด
 
                        หลังจากนี้จะมีอะไรตามมา
 
                        แน่นอนความสัมพันธ์ของสองตระกูลมีปัญหาแน่นอนรวมทั้งธุรกิจที่ทำร่วมกันอาจสะดุด
 
                        ที่สำคัญคือเขาเลือกตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง
 
                        ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน
 
                        มันคุ้มแล้วหรือ...
 
                        ไม่... ไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม
 
                        ที่ทำลงไปทั้งหมดนี่เพราะอะไร?
 
                        แทบจะไม่ต้องรอให้สมองประมวลคำตอบชายหนุ่มยืดกายตรงออกรถทันที
 
                        รอผม...
 
                        รอผมก่อน...
 
                        อย่าเพิ่งนอนนะกันต์
 
                        เกือบตี 1 แล้วกรกันต์ยังคงนอนไม่หลับหลังจากกลับจากโรงพยาบาล  นายน้อยของบ้านก็สั่งให้เขาพักงานยาวโชคดีที่แปลนตรงส่วนเรือนใหญ่เขาทำให้เกือบเสร็จแล้วตอนนี้วินจึงรับช่วงพวกงานออกแบบสวนด้านนอกประสานงานร่วมกันกับไลท์ติ้งดีไซเนอร์ที่ออกแบบระบบไฟทั้งหมด
 
                        กรกันต์จึงกลายเป็นคนว่างงานเต็มรูปแบบด้านนอก  ฝนกำลังตกเสียงฟ้าร้องมาไกลๆ  หยิบโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องขึ้นมาอย่างชั่งใจ
 
                        อยากโทรไปหา... แต่ป่านนี้เพชรคงนอนแล้ว
 
                        เมื่อเช้าเค้าบอกว่าต้องไปทำธุระสำคัญที่กรุงเทพ  คนป่วยก็แกล้งตีมึนทำไมสนใจ
 
                        แล้วเป็นไงล่ะ  ตอนนี้กลับมานอนคิดถึงเค้าซะเอง
 
                        ตัดสินใจวางโทรศัพท์ขยับกายลุกออกจากเตียง  เหยือกน้ำว่างเปล่า  กันต์หยิบขึ้นมา  ออกจากห้องเข้าไปในครัว  เดี๋ยวนี้เขาไม่ต้องจุดตะเกียงเดินกลางดึกแล้วเพราะเพชรรู้ว่าเขากลัวความมืดและที่แคบชายหนุ่มก็สั่งคนในบ้านว่าให้เปิดไฟทางเดินทิ้งไว้ให้คุณช่าง  เสียงฝนด้านนอกแรงมากจนกันต์ไม่ได้ยินเสียงกุกกักใกล้ๆเปิดตู้เย็นเทน้ำใส่เหยือก เสร็จแล้วก็เดินกลับห้อง  แต่กลับพบว่าไฟในห้องทำงานของเพชรเปิดอยู่  ร่างบางวางเหยือกน้ำลงบนโต๊ะตัวยาวในห้องอาหารก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในห้องทำงานด้านใน ร่างใครบางคนกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่มุมห้องทำให้อดเผยยิ้มอย่างดีใจไม่ได้  ร่างสูงชะงักมือเมื่อรับรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ในห้อง  ชายหนุ่มกลับไปมองก็พบกับรอยยิ้มสวยที่ส่งมาให้อยู่ก่อนแล้ว
 
                        ทันทีที่นายน้อยแห่งเรือนโบราณพบหน้าคุณช่างคนเก่ง   พชรก็ก้าวยาวๆข้าไปหาคนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ตน  กว่าจะรู้ตัวกันต์ก็ถูกรวบตัวเข้าไปกอด  แม้ในใจอยากจะผลักนายน้อยออกด้วยความกระดากอาย  แต่มือทั้งสองกลับค่อยๆสวมกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้
 
                        “ ขอผมอยู่แบบนี้ซักพักนะครับ ” น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบข้างหู  ก่อนนายน้อยจะกดคางลงกับไหล่เล็กปลายจมูกโด่งฝังอยู่ห่างจากต้นคอขาวเพียงน้อย  รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรด
 
                        กันต์ไม่รู้ว่าผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ไปเจออะไรมา  แต่ท่าทีเหนื่อยล้าแบบนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นในดวงตาของเขาคล้ายมีแววของความรู้สึกผิดซ่อนอยู่  จากชายหนุ่มผึ่งผายกลายเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารได้อย่างไร  กันต์ลูบลงเบาๆที่แผ่นหลังกว้าง
 
                        “ ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาบ้าง  แต่ผมอยู่ตรงนี้นะครับ ” น้ำเสียงติดจะเก้อเขิน  แต่ทว่าความหมายที่พูดกลับยิ่งใหญ่และงดงามซึมเข้าไปในจิตใจคนฟัง  พชรกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะพูดเสียงเบาแต่หนักแน่นข้างหูคุณช่างว่า...
 
                        “ ผมรักคุณ ”
 
 
 
                       
TBC .....


หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๙ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-02-2019 20:14:32
 :a5: อะไร บอกรักกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ แต่ว่าดีนะ เราชอบ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๙ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-02-2019 00:53:13
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๙ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 04-02-2019 03:16:51
ความรัก ความอัดอั้นที่ส่วผ่านมาจากชาติที่แล้ว
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๙ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-02-2019 11:40:07
บอกรักกันแล้ว
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 05-02-2019 20:47:28


 
Time of tears
Chapter 10


 
            กรกันต์นอนมองเพดานห้องด้วยใจพองโตราวลูกโป่งที่ถูกอัดก๊าซจนแทบจะแตก
 
            คำหวานซึ้งยังติดตรึงก้องอยู่ในสมอง
 
   เพียงจบประโยคว่าผมรักคุณเขาทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องทำงานกว้าง
 
            แม้ไร้เสียงพูดแต่กลับได้ยินเสียงหัวใจสองดวงที่ดังประสานกันอย่างชัดเจน
 
 
 
            ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก
 
 
            กันต์เด้งตัวขึ้นจากที่นอน  นาฬิกาบอกเวลาเกือบสองนาฬิกาแล้ว
 
            “นอนหรือยังครับ” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยดังเบาๆ หน้าห้อง พชรหยุดฟังความเคลื่อนไหวด้านใน  เมื่อเห็นว่าเงียบจึงหมุนกายจะกลับห้องของตนเองแต่บานประตูห้องกลับเปิดออกในเวลาต่อมา  ภาพคุณช่างที่สวมแว่นสายตามองมาที่เขามันน่ารักเสียจนอยากจะดึงมากอดแรงๆ อีกซักครั้ง
 
            “มีอะไรหรือครับ” กันต์เอ่ยถามเจ้าของเรือนเสียงใส
 
            “ผม...” อยู่ๆ เพชรก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาอุดปากเสียอย่างนั้นใบหน้าหล่อที่ปกติมักเรียบนิ่ง  บัดนี้มีรอยยิ้มเขินปรากฏอยู่
 
   “ผม?? ” คุณช่างทวนคำถามย้ำ
 
   “ผมนอนไม่หลับ จิตใจของผมวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ไม่ว่าจะข่มตานอนยังไงมันก็ไม่ได้เรื่องเลย ผม..”
 
   “เข้ามาสิครับ” ยังไม่ทันที่เพชรจะพูดจบประโยค กันต์ก็เปิดประตูกว้างแล้วขยับตัวหลบให้คนตัวใหญ่กว่าได้เดินเข้ามาในห้องส่วนตัว
 
            พชรประหลาดใจไม่น้อยที่กันต์ยอมเปิดทางให้เข้ามา  ตอนแรกเขาแค่คิดจะมาบอกราตรีสวัสดิ์เฉยๆ กันต์เดินไปขยับผ้าห่มให้พ้นทาง  ลงนั่งบนเตียงขยับตัวไปจนติดมุมเตียงด้านใน
 
            “มานอนเถอะครับดึกมากแล้ว คุณควรจะพักผ่อน” เอ่ยเรียกคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ  นายน้อยอดที่จะยิ้มกว้างไม่ได้ ร่างสูงล้มตัวนอนเคียงข้างคุณช่างคนเก่ง
 
            “ถ้าแสงไฟแยงตาจะปิดก็ได้นะครับ”
 
            “คุณกลัวความมืดไม่ใช่เหรอครับ”
 
            “ถ้ามีคุณอยู่....คงไม่เป็นไร...”ท้ายประโยคแผ่วเบาตัวคนพูดเองก็ซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อเข้ากับผนังห้อง เพชรอยากจะบังคับให้คนตัวเล็กหันมาหาตนเพื่อมองเวลากันต์กำลังเขินอายคงจะน่ารักมากๆชายหนุ่มเอื้อมมือไปดึงสวิทซ์ไฟหัวเตียงให้ดับลง เหลือเพียงแสงลางเลือนจากแสงไฟด้านนอกพอให้มองเห็นข้างใน ไม่ได้มืดมาก
 
            “วันนี้ผมไปหาสบันงามา...” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด  กันต์ที่ยังมิอาจข่มตาให้หลับได้รู้สึกลมหายใจติดขัดแทบจะทันทีแต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดใดออกไป  แสร้งนอนนิ่งคล้ายไม่สนใจแต่ประสาทหูของกันต์ตื่นตัวเต็มที่
 
   เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยท่ามกลางความมืดอีกครั้ง
 
            “ผมไปพูดกับเขาเรื่องที่คุณถูกทำร้าย ถามเขาไปตรงๆ ว่าได้เป็นคนทำหรือเปล่า...แน่นอนเธอปฏิเสธ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมรับ ผมขอถอนหมั้นเธอและขอให้เธอไม่กลับมาที่นี่  ไม่ให้เธอเข้าใกล้คุณอีก เธอร้องไห้  ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มากแม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกไม่ดี” ปลายเสียงทุ้มแผ่วลงพร้อมเสียงถอนหายใจ  กันต์ไม่รู้ว่าเขาต้องปลอบโยนหัวใจของพชรยังไง คนตัวเล็กกว่าจึงประสานนิ้วมือของตัวเองกับมือแกร่ง บีบเบาๆ เพื่อให้เพชรมั่นใจว่า  เขาอยู่ตรงนี้  อยู่ข้างๆ และจะเป็นกำลังใจให้ เพชรกระชับมือเรียวนั้นตอบราวกับจะขอความอบอุ่นจากมือของกันต์มาช่วยทำให้จิตใจอันเหน็บหนาวของตัวเองให้รู้สึกทุเลาความทรมาน
 
            “ขอบคุณนะครับ”  ร่างสูงหันไปเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ  กันต์ส่งยิ้มบางๆ ให้แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจของเพชรสงบลงอย่างประหลาด
 
   “ผมก็ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้ผมเหมือนกัน  นอนเถอะครับคุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
 
            “ราตรีสวัสดิ์” อยู่ๆ ร่างสูงก็เอี้ยวตัวมาประทับรอยจูบลงบนหน้าผากของกันต์คำอำลายามค่ำคืนหวานหูแล้วเจ้าตัวก็กลับมานอนหลับตานิ่งทิ้งให้กันต์หน้าแดงซ่านราวคนเป็นไข้
 
อีตาบ้า...คนตัวเล็กค่อนแคะในใจเมื่อคนข้างๆที่นอนกุมมือเขาไว้กับอกปล่อยลมหายใจอย่างสม่ำเสมอเข้าสู่นิทราไปเป็นที่เรียบร้อยปล่อยให้เขาใจเต้นระรัวท่ามกลางความมืด  กันต์นอนฟังเสียงลมหายใจของเพชรจนหลับตามไปในที่สุด
 
            เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาในยามเช้ามืดปลุกให้กันต์รู้สึกตัวตื่น ความเย็นเยียบจากอากาศด้านนอกถูกแทนที่ด้วยอ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดเอวเขาไว้  เจ้าของวงแขนแกร่งยังคงหลับสนิท  กรกันต์อาศัยแสงอันน้อยนิดจากคบไฟด้านนอกสำรวจใบหน้าที่หลับสนิท  พชรคนนี้ร้ายนักแม้ในยามหลับก็ยังสามารถสะกดสายตาเขาไว้ได้  เพียงแค่ไร้ร่องรอยของคนที่ชอบกวนประสาท  ดวงตาที่หลับสนิท  จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากบางที่รับกับเครื่องหน้าทุกส่วนผิวขาวจัดนี้อีกเล่า ยิ่งมองยิ่งหลงใหล  ยิ่งมองยิ่งถูกดึงดูด  คนๆ นี้เป็นของเขามาตั้งแต่ชาติที่แล้ว
 
            “นายน้อย....”  ริมฝีปากอิ่มเอ่ยเรียกชื่อที่คุ้นชินอย่างลืมตัว  ร่างบางขยับตัวแผ่วเบาคร่อมร่างสูงไว้ลูบผิวหน้าแผ่วเบาสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมหนาก่อนจะแตะริมฝีปากอิ่มของตนเองลงบนริมฝีปากบางของใครอีกคน
 
กดจูบประทับย้ำๆ ว่า
 
คุณเป็นของผม...
 
นายน้อยเป็นของกันต์....ของกันต์คนเดียว...
 
ไม่นานริมฝีปากอุ่นของคนที่หลับสนิทก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ นายน้อยแห่งเรือนโบราณสอดมือขึ้นมากุมหน้าของคนบนร่างส่งจูบนุ่มนวลตอบกลับปลายลิ้นเลาะเล็มชิมความหอมหวานจากริมฝีปากสีสดเม้มเบาๆขอให้อีกฝ่ายเปิดทางให้ได้ชิมความหวานที่มากขึ้น กรกันต์ชะงักเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากให้ปลายลิ้นอุ่นชื้นได้เข้ามาทักทาย
 
หวานปานน้ำผึ้ง

ชุ่มฉ่ำราวฤดูฝน

ต่างฝ่ายต่างตักตวงความหวานล้ำวาบหวามราวกับหิวกระหาย ร่างบางถูกพลิกให้ลงมานอนใต้ร่าง  เนิ่นนานหลายนาทีนายน้อยจึงถอนจุมพิตออกเหลือเพียงสายใยสีใสที่เชื่อมต่อตามมา  ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ เช็ดริมฝีปากเจ่อแดงให้อย่างทะนุถนอม  สายตาที่กันต์เคยเห็นว่ามีแววดุกลับแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น คนตัวเล็กยังคงคล้องคอของนายน้อยไว้ไม่ได้ปล่อย
 
            “ถ้าเราไม่หยุดตอนนี้...ผมคงห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้วนะครับ” ปลายเสียงแหบพร่าอย่างคนที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ด้านมืดของตัวเอง  กันต์หลุบตาลงต่ำก่อนจะช้อนสายตาขึ้นสบกันอีกครั้ง แก้มขาวบัดนี้ขึ้นสีซ่าน
 
 
            “อะไรที่ผมเป็นคนเริ่ม....ผมจะไม่หยุด  นั่นเพราะว่าผมคิดดีแล้ว”
 
 
            เพียงสิ้นคำของคนใต้ร่างพชรก็ประกบจูบลงไปอีกครั้งกรกันต์เชิดหน้ารับอย่างเต็มใจ แม้อุณหภูมิภายนอกจะเย็นฉ่ำแต่ร่างกายของคนทั้งคู่กลับร้อนเห่อราววิ่งผ่านเปลวไฟ ทุกการกระทำทุกสัมผัสพาให้ใจวาบหวาม
 
            กรกันต์ดำดิ่งไปกับความนุ่มนวลที่พชรมอบให้ รสจูบแสนหวานที่ตักตวงเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม คล้ายต้องการเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด กลีบกุหลาบสีระเรื่อเบ่งบานประปรายบนผิวเนื้อขาวละเอียดในทุกที่ ที่พชรลากริมฝีปากผ่าน ประทับตราว่าคนๆ นี้เป็นของเขา
 
            แม้สัมผัสของพชรจะแสนนุ่มนวลแต่ทว่าคล้ายมีเปลวไฟที่ฝ่ามือหนา เพราะเมื่อลูบไล้ไปส่วนใดก็ทำให้กรกันต์รู้สึกร้อนผ่าวไปกับสัมผัสหวามนั้น ลมหายใจหอบกระชั้นราวกับมีพายุก่อตัวในช่องท้องเมื่อผ่านมือหนาลากไล้ต่ำลงมาเรื่อย กรกันต์จับข้อมือหนาไว้เพียงครู่ด้วยความกระดากอายจนคนบนร่างส่งสายตาหยอกเย้ามาให้ แต่ทว่าคำที่กระซิบแผ่วก็ทำให้เขาคลายความกังวล
 
            "ผมรักคุณ" สามคำง่ายๆ ที่ค่อยๆ ทลายกำแพงหนาในจิตใจของกันต์
 
            ก็แค่ปล่อยใจให้เดินตามครรลองของมัน
 
            ธรรมชาติจะบอกเองว่าควรเดินทางไปทางไหน เมื่อสองกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกรกันต์จึงได้รับรู้รสสัมผัสของความเจ็บปวดที่แสนสุข
 
            เมื่อแรกที่ตัวตนของนายน้อยสอดแทรก มันแสนเจ็บปวด มีเพียงคำรักที่คอยปลอบประโลมให้ช่วยคลายหายเจ็บ…
 
          พอผ่านไปรสรักที่แทรกผ่านกลับทำให้สติกระเจิดกระเจิง บางครั้งก็นุ่มนวลจนร่างกายโหยหาสัมผัสที่มากกว่านี้ บางครั้งก็เหมือนลูกแมวตัวน้อยที่กำลังถูกพญาเสือบดขยี้จนแทบขาดใจ
 
          ร่างบางสั่นสะท้าน เชิดหน้ารับจูบที่บดเบียด มือสอดประสานกันแนบแน่นจนกระทั่งคนทั้งคู่พากันแหวกว่ายในสายธารแห่งรัก
 
 
 
   สบันงาจ้องมองภาพบัดสีในห้องนั้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตากลมสวยที่เคยพราวระยิบบัดนี้คล้ายมีเปลวไฟลุกโชน  สองมือกำแน่นริมฝีปากสั่นระริก
 
 
            นี่สินะเหตุผลที่เพชรไม่เคยร่วมหลับนอนกับนางเลยแม้เพียงครั้ง  ไม่ว่าจะทำวิธีไหนผู้เป็นสามีก็เอาแต่อ้างว่ามีงานบ้างล่ะ  เหนื่อยบ้างล่ะ  ทำไม...มีแต่คำถามนี้ผุดอยู่นับหมื่นนับแสนคำ  นางไม่เพียบพร้อมตรงไหน  นางมีอะไรขาดตกบกพร่องตรงไหน ทั้งชาติตระกูล รูปโฉม  และความรู้  นางด้อยกว่าไอ้ทาสชั้นเลวนั่นตรงไหน  หญิงสาวล่าถอยออกจากห้องหนังสือไปเงียบๆ
 
            “อ่าวแม่สบันงา แล้วพ่อเพชรล่ะ ทำไมไม่มาเสียด้วยกัน”  คุณหญิงแพวางป้านชาลงบนโต๊ะเอ่ยถามลูกสะใภ้ด้วยความแคลงใจ
 
            “ข้าให้เจ้าไปตามพ่อเพชรแล้วทำไมถึงได้กลับมาคนเดียว”
 
            “ค...คือ..คุณพี่ยังทำงานไม่เสร็จเจ้าค่ะ  อิฉันเลยกลับมายกสำรับไปให้คุณพี่ที่ห้องหนังสือเอง” สบันงาเอ่ยเอาตัวรอดแต่แสร้งตีหน้าเศร้า นางลอบยิ้มน้อยๆ ยามนึกถึงหมากที่นางจะใช้กำจัดกรรณ เรื่องอะไรข้าจะโง่ลงไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำเอง  แค่ใช้นังแก่นี่จัดการทุกอย่างก็จะง่าย
 
            “แล้วทำไมไม่เรียกห้ไอ้กรรณมันมายกล่ะเจ้าจะมายกเองทำไมบ่าวไพร่เราก็มีให้ใช้สอย”
 
            “อิฉันไม่กล้าใช้คนสนิทของคุณพี่หรอกค่ะ” สบันงารีบเข้าประคับประคองสตรีร่างท้วมให้ลุกขึ้นอย่างเอาใจ  นางโบกมือให้บ่าวไพร่ไปทำหน้าที่ของตัวเองไม่วายสำทับให้จัดเตรียมสำรับให้กับคุณชายของบ้าน
 
            “หลายเดือนมานี้เจ้าอยู่ที่เรือนนี้สุขสบายดีหรือไม่” เอ่ยถามลูกสะใภ้อย่างอารีย์ นางพอจะรู้มาบ้างจากเสียงซุบซิบของคนในบ้านว่าลูกชายคนดีของนางค่อนข้างจะละเลยภรรยา  แต่นางอยากจะได้ยินจากปากลูกสะใภ้เองมากกว่า
 
            “อิฉันสบายดีเจ้าค่ะคุณแม่ด้วยความเมตตาจากคุณแม่และเจ้าคุณพ่ออิฉันสุขสบายกายดีค่ะ”
 
            “ถ้าอย่างนั้นทำไมยังไม่มีทีท่าว่าพวกเจ้าจะมีหลานให้แม่อุ้มเลยล่ะ หน้าที่ของเมียที่ดีคือมีทายาทไว้ให้สืบสกุลนะ ทรัพย์สมบัติของเรามีมากมายถ้าเจ้ากับพ่อเพชรรีบมีลูกซักสองสามคนเรือนเราคงสดชื่นมากกว่านี้” หญิงสูงวัยรับป้านน้ำชาที่สบันงายื่นให้ยกจิบแล้ววางข้างตัว นางยังคงเป็นคุณหญิงแพที่เข้มงวดและเผด็จการเช่นเคย
 
            “อิฉันจะมีหลานให้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะคุณแม่..” นางแสร้งทำเสียงเศร้า หลบตาหญิงสูงวัยกว่าอย่างมีจริต
 
            “ทำไม  เหตุใดเจ้าจะมีหลานให้ข้าไม่ได้ หรือเจ้าเป็นหมัน?”
 
            “ไม่นะเจ้าคะคุณแม่ อิฉันปกติดี แต่ว่า...”
 
            “แต่อะไร? ”
 
            “เรื่องนี้มันน่าอาย...แต่คุณแม่เจ้าคะ  ตั้งแต่อิฉันแต่งเข้าบ้านท่านมาแม้แต่คืนวันเข้าหอคุณพี่ก็ทิ้งให้อิฉันนอนคนเดียวมาตลอด....หลายเดือนที่ผ่านมาคุณพี่ไม่เคยมานอนกับอิฉันเลยซักครั้ง ถ้าไม่อยู่ที่ศาลากลางน้ำหัดซอให้กรรณก็ขลุกอยู่แต่ในห้องหนังสือกินนอนอยู่ในนั้นเลย”
 
            “เหลวไหล!!! พ่อเพชรทำอย่างนั้นกับเจ้าได้ยังไง แล้วใยเจ้าไม่มาบอกข้าตั้งแต่แรกไม่เช่นนั้นข้าก็จัดการให้เจ้าได้แล้ว” คุณหญิงแพส่งสายตาตำหนิให้กับลูกสะใภ้ ดวงตาคมดุมีแววของความไม่พอใจฉายชัดเดิมทีนางก็ไม่ค่อยจะชอบใจกรรณเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเพราะลูกชายให้ความสนิทกับมันจนเกินนายกับบ่าว แต่นางพูดอะไรมากไม่ได้เพราะยังเกรงใจลูกชาย แต่ถ้ากรรณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานะครอบครัวของเพชรสั่นคลอนนางก็อาจจะต้องจัดการอะไรๆ ให้เด็ดขาด
 
 
 
            ก๊อกๆๆๆ...
 
 
            พชรรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ  มองคนในอ้อมกอดที่หลับสนิทริมฝีปากอิ่มแดงบวมช้ำเล็กน้อยก็ให้รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ ก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นที่มีรสละมุนอีกครั้งก่อนจะลุกลงจากเตียงไปเปิดประตู
 
            ทันทีที่ประตูเปิดอาชวินท์กะจะแซวเพื่อนสนิทที่ตื่นซะสายโด่งแต่กลับพบใบหน้าทรงเสน่ห์ของเจ้าของบ้านโผล่มาอยู่ในจอประสาทตาซะอย่างนั้น
 
            ร้อยคำถามถาโถมผ่านดวงตา
 
            เขามาอยู่ที่ห้องกันต์ได้ยังไง เขามาทำอะไร ทำไมสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอน ทำไม ทำไม ทำไม และทำไมเต็มไปหมด วินพยายามจะชะเง้อมองเจ้าของห้องแต่เพชรใช้ร่างกายที่สูงใหญ่บังไว้ อาชวินท์พอจะประมวลอะไรๆได้อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่เพชรกดเสียงต่ำเตือนออกมาเสียก่อน
 
            “กันต์หลับอยู่...”  อาชวินท์กำหมัดกัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน  เขาโกรธ เขาไม่พอใจ  ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกหวง...ใช่เขาชอบกันต์...แต่เพราะสถานะที่กันต์วางไว้ให้เขาคือเพื่อนสนิทเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าก้าวข้ามเส้นที่กันต์ขีดไว้ให้เพราะกลัวว่าถ้าเสี่ยงลองข้ามไปเป็นเขาที่ต้องเสียใจ ถ้ากันต์ไม่ตอบรับความรู้สึกที่เขามีให้  แต่คนๆ นี้เป็นใคร แค่เจอกันไม่นานก็ได้สิ่งเหล่านั้นไปทั้งหมด  ทั้งหัวใจและ...จากสิ่งที่เห็นคงจะรวมถึงร่างกายด้วย  ความโกรธแล่นริ้วจนกระทั่งเขาเดินตามพชรออกมาห่างจากห้องนอนของกันต์พอสมควรร่างสูงก็คว้ากระชากคอเสื้อของเพชรจากทางด้านหลังเหวี่ยงเจ้าของบ้านอัดเข้ากับกำแพงห้องเต็มแรง  จิรายุที่เดินผ่านมาเห็นดังนั้นก็กระโดดข้ามระเบียงไม้เตี้ยๆเข้าไปขวางผู้เป็นนายไว้พร้อมๆ กับหมัดลุ่นๆ ของวินที่เหวี่ยงเข้ามาพอดี
 
 
            ผลั่วะ!!
 
 
            จิหน้าสะบัดตามแรงปะทะ ความรู้สึกชาและมึนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน  น้ำลายในปากเค็มปร่า  เสียงพชรเรียกเขาข้างๆ หูด้วยความตกใจ เขารีบหันหน้ากลับมาสะบัดหัวไล่ความมึนก่อนจะใช้ท่อนแขนกันหมัดของหมาบ้าขาดสติจับข้อมือของวินไว้แน่นแล้วบิดไปไขว้ด้านหลัง เท้าซ้ายเตะตัดข้อเท้าเข่าขวากดปลีน่องอีกข้างจนคนสูงกว่าทรุดนั่งลงกับพื้น  อาชวินท์อาละวาดให้ปล่อยแต่จิรายุก็ยิ่งออกแรงกดเขาไว้จนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นชายหนุ่มเอาแต่สบถด่าเจ้าของบ้านจนจิรายุปะติดปะต่อเรื่องได้
 
            “หยุดแหกปากซักทีคุณไม่อายแต่ก็ควรคิดบ้างว่าถ้าคนในบ้านมาได้ยินคนที่เสียหายคือคุณกันต์ไม่ใช่นายน้อย ไม่ห่วงหน้าตัวเองก็ห่วงหน้าเพื่อนคุณบ้าง อีกอย่างผมจะบอกให้นะ นายของผมถ้าไม่ยินยอมเขาจะไม่มีทางแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ”แรงดิ้นขัดขืนหยุดลงทันทีที่จิพูดจบประโยคคนตัวเล็กเมื่อเห็นว่าวัวบ้าเลิกพยศก็ค่อยๆผ่อนแรงลงในขณะที่เพชรก็ไม่ได้เดินหนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก อาชวินท์มองหน้าคนทั้งคู่สลับกันก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป
 
            “นายน้อยเป็นอะไรบ้างมั้ยครับ”จิหันไปสำรวจผู้เป็นนายพลางพลิกตัวดูทางนั้นทางนี้ด้วยความเป็นห่วง
 
            “ฉันไม่เป็นอะไร นายห่วงตัวเองเถอะโดนหมัดเต็มๆเลยนี่” กลายเป็นผู้เป็นนายห่วงลูกน้องไปซะอย่างนั้นอาชวินท์คงไม่รู้ว่าจินั้นนอกจากเป็นเลขาของเค้ายังพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดให้ด้วยอีกต่างหาก เห็นตัวเล็กๆแบบนี้แต่เทควันโด้สายดำระดับตัวแทนมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อนก็คงจะติดทีมชาติ
 
            “ว่าแต่นายน้อยมีอะไรจะเล่าให้ผมฟังมั้ยครับ”อดจะทำเสียงล้อๆ ผู้เป็นนายไม่ได้ พชรปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งที่สุดทั้งๆที่ใบหูแดงก่ำ
 
            “ไม่มี” ว่าจบก็หมุนตัวจะเดินกลับห้องของตัวเอง
 
            “เดินดีๆ นะครับระวังจะแวะเข้าห้องผิดไปเข้าห้องคุณช่างได้” ร่างสูงแทบจะเดินสะดุดขาตัวเอง
 
สาบานได้ว่าเขาจะหักโบนัสจิไม่ให้เหลือเลยซักบาทเดียว...




.....................


อีกสามตอนจบค่ะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-02-2019 21:19:01
เขาได้กันแล้ว
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-02-2019 00:52:16
 :mc4: :man1: :mc4:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2019 03:36:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-02-2019 12:35:53
และแล้ววววววววววว ทั้งคู่ก็...
 :hao6:
ส่วนจินี่ตัวเล็ก แต่มีความร้ายกาจ อย่างนี้สินะถึงปราบวินได้
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 06-02-2019 16:36:10
เกลียดนังชะนี

 :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2019 22:54:58
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๑ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 07-02-2019 22:49:35



 
Time of tears
Chapter 11


 
            เช้านี้กรรณวิ่งวุ่นกับการช่วยสาวใช้ที่เรือนใหญ่ขนของจากโถงกลางเข้าไปไว้ในเรือนกล้วยไม้ของคุณสบันงา  อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูฝนทำให้เหงื่อไหลราวสายน้ำ อีเฟืองคนสนิทของสบันงาคอยกำกับว่าอะไรวางตรงไหน นางค่อนข้างจ้ำจี้จ้ำไชกับกรรณเป็นพิเศษ  ในขณะที่สบันงานั่งนิ่งมองพฤติกรรมของทาสหนุ่มเงียบๆ  ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจของนางกลับร้อนรุ่ม  ความเกลียดชังค่อยๆ ซึมลึกราวกับรากไม้ยืนต้นที่ค่อยๆ ชอนไชเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
 
 
            ถ้าทำได้นางก็อยากจะฆ่ากรรณให้ตายคามือเสียตอนนี้  แต่เพราะฐานะและศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ทำให้นางต้องนิ่ง  ราวกับแม่น้ำที่เจ้าคะเนความลึกไม่ได้  สิ่งเดียวที่พอจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างก็คือเรียกกรรณมาใช้งานในช่วงที่เพชรไปทำงานและกรรณไม่ได้ตามไปด้วย
 
            “คุณสบันงาขอรับ  ข้าจัดของให้ท่านเสร็จแล้วขอรับ”  เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อลังไม้ใบสุดท้ายถูกวางให้เข้าที่เข้าทาง  ทาสตัวน้อยยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ
 
            “เสร็จแล้วก็ไสหัวไปไกลๆ ”  เป็นอีเฟืองที่เอ่ยปากไล่แทนผู้เป็นนาย  กรรณก้มหัวให้ผู้เป็นนายก่อนจะถอยออกไป เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก ช่วงนี้คุณหญิงสั่งไม่ให้เขาตามนายน้อยออกไปที่กรมเด็กหนุ่มถูกเรียกใช้งานจนดึกดื่นแทบทุกวัน  กำมือทุบแขนขาเพื่อคลายความเมื่อยล้าลากเท้ากลับมายังเรือนทาส  พลับนั่งลับมีดอยู่ชานเรือนหันมามองอย่างขำๆ
 
            “ไง  หมดสภาพกลับมาทุกวันเลยนะ”
 
            “พลับ  ข้าไม่มีแรงจะเถียงกับเอ็าหรอกนะ” กรรณตอบกลับเนือยๆ ทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่ชานเรือนมันซะอย่างนั้น
 
            “ไปอาบน้ำอาบท่าซะก่อนไม่ดีกว่าเหรอ จะได้สดชื่นขึ้น”
 
            “ไม่เอา  ขอข้านอนนิ่งๆแบบนี้ซักเดี๋ยวเถอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน” กรรณหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า กะว่าจะพักสายตาซักหน่อยหายเหนื่อยก็จะลุกไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาแล้วจะรีบไปห้องหนังสือรอรับนายน้อย แต่ร่างบางทำได้แค่กินข้าวได้ไม่กี่คำมะลิก็มาเรียกไปพบคุณหญิงของบ้าน  กรรณรีบกลืนข้าวยกน้ำขึ้นดื่มวางชามข้าวแล้ววิ่งตามลิอินไปหาคุณหญิงแพ
 
            “คุณหญิงเจ้าเจ้าคะ ไอ้กรรณมาแล้วเจ้าเจ้าค่ะ” แม่บ้านชราเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย กรรณเข้ามาทำความเคารพพลางก้มหน้าหมอบต่ำ
 
            “มาแล้วเหรอ”นางปรายตามองทาสหนุ่ม สำรวจใบหน้าและรูปร่างของกรรณอย่างพินิจพิเคราะห์ เหมือนเพิ่งไม่นานมานี้คนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กน้อยผอมแห้งบัดนี้โตเป็นหนุ่มแต่รูปร่างกลับอ้อนแอ้น ใบหน้าก็ดูดีเกินทาสในเรือนคนอื่นๆ
 
            ดั่งโบราณจีนเคยกล่าวไว้เด็กหนุ่มน่ารักมักทำฮ่องเต้เสียศูนย์
 
            แล้วแบบนี้ลูกชายของนางคลุกคลีตีโมงอยู่กับกรรณทุกวันจะไม่ไขว้เขวบ้างหรือ
 
           ยิ่งคำพูดของลูกสะใภ้ที่บอกเล่ากับนางเมื่อหลายวันก่อนยิ่งทำให้ใจของหญิงชราหวาดระแวง  เพชรเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจและเชื่อฟังนางมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าคราวใดที่กรรณถูกดุลูกชายของนางมักออกหน้าปกป้องอยู่เสมอ  เมื่อก่อนนางคิดว่าเพราะความเป็นบ่าวคนสนิทลูกชายถึงปกป้องคนๆนี้  แต่ตอนนี้มีความคิดบางอย่างบอกกับนางว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
 
            เพราะฉะนั้น นางจะถือคติ นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้งไปเสียก่อนที่แผลจะลุกลามจนเหม็นเน่า
 
            “คุณหญิงเรียกบ่าวมาพบไม่ทราบว่ามีงานอะไรจะมอบหมายหรือไม่ขอรับ”
 
            “ไอ้มั่นบอกกับข้าว่าลูกจ้างที่เคยจ้างมาช่วยทำนาปีนี้ไม่มากันหลายคน บ่าวไพร่ที่ข้าส่งไปก็ไม่พอข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้าไปช่วยทางนู้นทำนาซักระยะ”กรรณเงยหน้ามองคุณหญิงของบ้านทันทีหากเขาต้องไปทำนาก็เท่ากับว่ากรรณจะไม่ได้ดูแลรับใช้นายน้อย
 
            “คุณหญิงขอรับแล้วใครจะคอยรับใช้นายน่...”
 
            “เรื่องของนายน้อยเอ็งไม่ต้องยุ่ง ไม่มีเอ็งบ่าวไพร่ก็เต็มบ้าน  ลูกข้ามีไอ้เมฆเป็นพี่เลี้ยงตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขารู้ใจลูกข้าทุกอย่างมีอะไรน่าห่วงหรือ?”กรรณจำต้องหุบปาก จริงอย่างที่คุณหญิงว่าข้างกายของนายน้อยมีพี่เมฆคอยอยู่ใกล้ไม่เคยห่าง เพราะใกล้ชิดกับนายน้อยมาตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินนายกับบ่าวทำให้ทั้งชีวิตนี้ของกรรณวางไว้แทบเท้านายน้อย  การถูกจับแยกให้ห่างกันครั้งนี้จึงทำให้ใจดวงน้อยโหยไห้  แต่กรรณไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากน้อมรับคำสั่งของผู้เป็นคุณหญิง
 
            “เมฆ...กรรณหายไปไหน”เพชรเอ่ยถามพี่เลี้ยงคนสนิทเมื่อหลายวันมานี้ไร้เงาของทาสตัวน้อยที่มักจะนั่งรอเขากลับจากทำงานในทุกวัน แม้ว่าพอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้ทั้งภรรยาและแม่ของเขาจะเรียกกรรณไปใช้สอย แต่ถึงกระนั้นต่อให้เสร็จงานดึกดื่นขนาดไหนกรรณก็มักจะกลับมาหาเขาทุกคืน
 
            “คุณหญิงสั่งให้ไปช่วยพ่อบ้านทำนาขอรับ”
 
            “อะไรนะ!! ทำนา ทำไมต้องให้กรรณไปทำบ่าวไพร่มีตั้งมากมายทำไมต้องให้กรรณไปทำงานหนักขนาดนั้น” ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความโมโห
 
            “นายน้อยจะไปไหนขอรับ”
 
            “ข้าจะไปถามคุณแม่ว่าทำไมถึงส่งกรรณไปทำนา”
 
            “นายน้อยคิดดีแล้วเหรอขอรับ”เมฆเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยเสียงเรียบๆ น่าแปลกที่ประโยคสั้นๆ กลายเป็นน้ำฝนที่รดไฟในใจของเพชรให้มอดลงได้ เมฆไม่ใช่คนพูดมาก แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ถูกที่ควร
 
            “ถ้านายน้อยไปถามกับคุณหญิงไม่แน่จากที่กรรณจะได้ทำนาใกล้ๆคุณหญิงอาจส่งมันไปทำนานอกเมือง การที่คุณหญิงทำอย่างนี้บ่าวคิดว่านางอาจจะระแเจ้าคะระคายเรื่องของท่านกับกรรณถ้าท่านไปซักถามจะไม่ยิ่งเหมือนว่าท่านกำลังเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟกองใหญ่หรอกหรือขอรับ ท่านน่าจะทราบนิสัยคุณหญิงดีว่านางเป็นคนอย่างไร  บางทีความรักที่ท่านมีให้กรรณอาจเป็นสิ่งที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ก็ได้  ข้าอยากขอให้ท่านใจเย็นๆ ”
 
            เพชรนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดหลายวันมานี่แม่ของเขาสั่งให้คนมาตามไปพูดคุยด้วยจนดึกดื่นพร้อมสบันงาและไล่ให้กลับไปนอนที่เรือนกล้วยไม้  พยายามพูดถึงเรื่องการมีทายาท  เขาได้แต่นอนลืมตาในความมืดทุกค่ำคืน  แม้สบันงาจะมีท่าทีเข้าหาเขามากเพียงใดเขาก็แค่แกล้งหลับให้นางตายใจ
 
            เขาเป็นสามีที่บกพร่องเป็นลูกที่อกตัญญูแต่เขามิอาจฝืนใจมีสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ได้รักได้จริงๆ
 
            ราวกับว่าร่างกายของเขาตอบสนองกับกรรณเพียงแค่คนเดียว  ร่างกายของเขาตอบสนองตามที่หัวใจสั่งการ
 
            “เมฆ ข้าอยากเจอกรรณ” ที่สุดหลังจากนิ่งคิดไปนานนายน้อยก็เอ่ยด้วยเสียงที่สิ้นหวัง เขาจะไม่ทำให้กรรณเดือดร้อนไปมากกว่านี้ แต่ความคิดถึงก็ทรงพลังเหลือเกิน  อยากเห็นหน้าเจ้าตัวเล็กที่เคยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง  คิดถึงรอยยิ้ม  คิดถึงน้ำเสียง  คิดถึงกลิ่นกาย  คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรณ  ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวเล็กนั่นเขาต้องคลั่งตายแน่ๆ
 
            “มันจะมีปัญหานะขอรับนายน้อย ถ้านายน้อยไปเรือนทาสเรื่องอาจถึงหูคุณหญิง”
 
   “แต่ข้าเป็นห่วงกรรณ นะ เมฆเจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่? เจ้ารู้ใจข้าที่สุดแค่นี้เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าทรมานเหมือนกำลังจะตาย”
 
   เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทุกขณะที่พลับที่กำลังล้างหน้าล้างตาต้องหันไปมองตามเสียง ร่างสูงใหญ่ของคนที่เดินตามเมฆมาช่างคุ้นตาแม้จะสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างยับแต่ความงามสง่ายังคงแผ่กระจาย
 
            “น่ะ...นายน้อย...” พลับรีบหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม แสงจากคบไฟส่องกระทบเพียงเสี้ยวหน้า  เพชรเพียงแต่กดสายตามองไร้แววใดใดแต่ก็พอจะทำให้พลับรู้ว่าตนเองควรทำตัวเช่นไร
 
            “กรรณหลับอยู่ในห้องขอรับ” นายน้อยเดินขึ้นบันไดเรือนเตี้ยๆ แล้วหายเข้าไปในห้อง พลับหันมามองเมฆด้วยสีหน้าลำบากใจ
 
            “แบบนี้มันจะดีเหรอพี่เมฆ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
 
            “ก็ช่วยกันดูสิ นายน้อยคงอยู่ไม่นาน” เมฆตอบก่อนจะทิ้งสายตาไปที่ประตูไม้บานเก่าที่ปิดสนิท
 
            เพชรหยุดยืนดูร่างซูบผอมและคร้ามแดดที่นอนหลับสนิทไม่รับรู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ปกติกรรณเป็นคนหูไวเพียงแค่เขาขยับตัวตื่นในยามเช้าตรู่เจ้าตัวเล็กก็จะรีบกุลีกุจอลุกขึ้นมารับใช้ปรนนิบัติเขา ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
 
            ไม่เจอแค่ไม่กี่วันกรรณของเขาซูบผอมไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ           
 
            ได้กินข้าวอิ่มหรือเปล่า?
 
            ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา
 
            ต้องตากแดดร้อนขนาดไหนผิวขาวๆของเจ้าถึงได้ไหม้ขนาดนี้?
 
            มองมือสองข้างที่วางบนหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอด้วยความปวดใจ  นายน้อยดึงมือเรียวขึ้นมาดู  พลันน้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว  มือของกรรณบัดนี้มีแต่รอยแผลพุพองหยาบกระด้าง
 
เจ้าตัวเล็กของเขาต้องจับจอบจับเสียมกำเคียวเกี่ยวข้าวนานเท่าไหร่มือถึงได้ยับเยินขนาดนี้  ค่อยๆจรดริมฝีปากจูบปลายนิ้วเรียวอย่างแผ่วเบาราวกับจะถ่ายทอดความรักความห่วงใยและความรู้สึกทั้งหมดในก้นบึ้งของหัวใจให้กับกรรณ  พลันเปลือกตาแสนหนักอึ้งของกรรณก็เปิดขึ้น รอยยิ้มซูบซีดถูกส่งมาให้
 
            “นายน้อย...วันนี้บ่าวฝันดีจังฝันเห็นนายน้อยของบ่าว” มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของชายอันเป็นที่รักก่อนจะเกลี่ยหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ เพียงแค่สัมผัสผิวเนื้อของนายน้อยกรรณก็ตื่นเต็มตา  คนตรงหน้าหาใช่ภาพนิมิตหากแต่เป็นเจ้าของดวงใจที่มีเลือดเนื้อมีชีวิต  ส่งยิ้มปลอบประโลมไปให้  เอ่ยถามอย่างห่วงใยแสนรัก
 
            “ร้องไห้ทำไมขอรับนายน้อย...อย่าร้องไห้สิขอรับข้าใจคอไม่ดี”
 
            “กรรณ...เหนื่อยมากไหม? ”
 
            “เหนื่อยขอรับ...เหนื่อยมาก”ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องโกหก เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด  กรรณลุกขึ้นนั่งนายน้อยรีบเข้าไปประคองก่อนจะดึงร่างน้อยให้นั่งอิงแอบแนบอกตน
 
            “กรรณ...”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกแนบใบหู
 
            “ขอรับ...”กรรณเงยหน้าขึ้นมอง  ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเนียน  สายตาคมจ้องนิ่งอยู่กับดวงหน้าซูบนั้น
 
            “กรรณเราหนีไปด้วยกันเถอะนะ หนีไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครตามหาเราเจอ ไปสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นของเราเอง”
 
            “ไม่ได้!! ” กรรณดันกายหนีห่างจากอ้อมอกอบอุ่นราวกับว่าตนเผลอไปพิงแผ่นเหล็กติดไฟ  สีหน้าตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน
 
            “ทำไมล่ะกรรณ เจ้าไม่รักข้าเหรอ เจ้าไม่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับข้าหรอกหรือ” น้ำเสียงตัดพ้อพร้อมกับสายตามีแววเสียใจถูกส่งผ่านมาให้
 
            “ไม่ใช่นะขอรับ ข้ารักท่านรักยิ่งกว่าชีวิตท่านก็รู้ แต่ถ้าเราหนีไปด้วยกันอนาคตของท่านล่ะขอรับ เจ้าคุณพ่อคุณแม่ของท่านอีกใครจะดูแล ชีวิตของเรามันไม่ได้มีแค่เรานะขอรับนายน้อย เรายังมีครอบครัวมีคนที่รักต้องดูแล ท่านเป็นลูกชายเพียงคนเดียว พ่อแม่ท่านมีท่านแค่คนเดียว”
 
            “เจ้าก็มีข้าแค่คนเดียวเหมือนกัน...”
 
            “แต่ความรักของเราต้องไม่ทำร้ายใครนะขอรับนายน้อย เท่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้ข้าเพียงพอแล้ว แค่ได้รู้ว่าท่านรักข้า ข้าก็ไม่หวังอะไรแล้วต่อให้เหนื่อยกว่านี้ซักร้อยเท่าข้าก็ทนได้ ขอแค่นายน้อยมีชีวิตที่ดีนะขอรับ นายน้อยได้โปรดอย่าคิดอะไรแบบนี้อีกนะขอรับ  นี่ก็นานแล้วนายน้อยรีบกลับเรือนไปเถอะขอรับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้าเรื่องจะถึงหูคุณหญิง” กรรณยันอกแกร่งของนายน้อยออกห่างจากตัว
 
            “ไม่อยากจากเจ้าไปเลย...”น้ำเสียงออดอ้อนทิ้งท้ายตามด้วยสายตาละห้อยหา  นายน้อยกำลังอ้อนเขารู้ดี  ถ้าเป็นเวลาอื่นกรรณคงใจอ่อน  แต่ไม่ใช่เวลาและสถานที่แห่งนี้  นี่เป็นเรือนทาสถ้ามีใครได้ยินบทสนทนาหรือมีใครเห็นนายน้อยในที่นี้  เรื่องเดือดร้อนยุ่งยากใจอีกมากมายจะตามมา
 
            “กลับเถอะขอรับ วันไหนที่ข้าเลิกงานไวจะรีบไปหานายน้อยนะขอรับ”เพชรทำท่าเหมือนจะคัดค้านอีกครั้งแต่คำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยก็ถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากอิ่มหวานที่เขาชอบคลอเคลียประกบจูบแผ่วเบาแต่ทว่ารสหวานล้ำกลับค่อยๆ ซึมลึกและตราตรึงเข้าในจนถึงก้นบึ้งหัวใจก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
 
            ครืด...ทั้งคู่สะดุ้งหันไปตามเสียงบานประตูที่เปิดออก
 
            “น่ะ...นายน้อยขอรับ  พี่เมฆให้มาบอกว่ากลับได้แล้วขอรับ”  เพชรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น ขายาวก้าวออกมาได้เพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ กลับไปหากรรณก่อนจะโน้มตัวลงกดจูบลงบนหน้าผากอุ่นแล้วผละมาอย่างรวดเร็ว  เขาเกรงว่าจะยังอยู่ต่ออีกเพียงชั่วกระพริบตาเขาคงมิอาจหักใจหันหลังเดินออกมาได้อีกในคืนนี้
 
            เมื่อร่างสูงก้าวออกมาจากด้านในเมฆที่รอท่าอยู่แล้วก็รีบพาผู้เป็นนายเดินลัดเลาะกลับเรือนทันที  เมื่อร่างของบุรุษสองคนเดินลับหายไปอีเฟืองก็ออกจากที่ซ่อนทันที  อีเฟืองเคาะประตูห้องของนายสาวก่อนจะเข้าไปกระซิบเหตุการณ์ที่ได้เจอมา  ดวงตาของสบันงาวาวโรจน์สองมือกำเข้าหากันแน่น
 
            “ดี...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
 
 
อนิจจาตัวเราเหมือนเขาอื่น
ฤาทนฝืนตากหน้าหาเหตุผล
ที่ต้นเหตุคือใครให้ทุกข์ทน
ย่ำยีหัวใจจนแหลกลงไป
ที่กอดไว้เพียงตำแหน่งพอเชิดหน้า
แต่ที่ชื่นชูหาได้มีไม่
ไฟค่อยสุมค่อยเผาที่กลางใจ
อ้อนวอนไปก็ไร้ความเมตตา
หากของรักแตกหักย่อยยับแล้ว
คงไม่แคล้วต้องเจ็บปวดหนักหนา
ขอสาปส่งให้ตายตกด้วยศาสตรา
ให้แสบสันถ้วนหน้าชีวาวาย
ได้รู้รสโลหิตหลั่งพลั้งอาฆาต
พิศวาสดับดิ้นสิ้นสลาย
ได้รู้ซึ้งใจรักที่เดียวดาย
เคยมอบหมายทิ้งขว้างไม่ลังเล
เจ็บเพียงหนึ่งคืนสนองเป็นร้อยเท่า
ตีให้แตกแยกเข้าให้หันเห
จะชาติใดตามติดไม่รวนเร
จะทุ่มเทจงชังไม่ร้างรา
ให้เจ็บจำแม้นกี่อสงไขย
รังควาญไปไม่มีทางได้พบหน้า
คำสัตย์นี้เป็นความแค้นในวิญญา
ไฟแล่นล้างสี่หล้าไม่ลบเลือน
 

            “ค้นให้ทั่ว หาทุกซอกทุกมุม” อีเฟืองสั่งบรรดาทาสราวยี่สิบคนด้วยเสียงอันดัง ทาสทั้งหลายต่างพากันวิ่งเข้าห้องนู้นออกห้องนี้กันให้วุ่น ข้าวของในหีบห่อถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย  กรรณและพลับมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความงุนงง  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมห้องของพวกเขาโดนรื้อค้น
 
            “เดี๋ยวๆ พี่เฟือง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องค้นห้องกันด้วย”พลับถามเฟืองด้วยความไม่เข้าใจ คนสนิทของสบันงากดยิ้มที่มุมปาก
 
            “หยกประจำตัวคุณหนูหายไป ต้องมีใครซักคนขโมยมาแน่ๆ หยกชิ้นนั้นสำคัญมากเพราะมันเป็นหยกสีเลือดที่ส่งมาจากพม่าท่านเจ้าคุณมอบให้คุณหญิงของข้าตอนแต่งงาน ถ้าอยู่ที่ใครบอกได้คำเดียวว่าตายแน่ เรื่องนี้ถึงหูคุณหญิงแล้วท่านจึงสั่งให้ข้ามาค้นหาห้องพวกเจ้าทุกห้อง”
 
            “เจอแล้ว”เสียงตะโกนดังออกมาจากห้องของพลับและกรรณ ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ อีเฟืองรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย
 
            “เจอที่ไหน”
 
            “ในหีบเก็บของใบนี้ขอรับ”
 
            อีเฟืองรับหยกสีแดงสดมาไว้ในมือ ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์กดยิ้มร้ายอย่างหมายมาดก่อนจะหันกลับมาหาคนทั้งสองช้าๆ
 
            “หีบใบนี้ของผู้ใด??”
 
            “ข่ะ...ของข้าเอง แต่พี่เฟือง ข้าไม่เคยเห็นหยกชิ้นนี้เลยนะและไม่ได้เป็นคนเอามาด้วย”
 
            “จับมันไปหาคุณหญิง” อีเฟืองไม่เสียเวลาฟังคำอุทธรณ์ใดใดทั้งสิ้น  นางออกคำสั่งให้บ่าวร่างสูงใหญ่สองคนหิ้วปีกกรรณมาที่ลานกลางบ้านซึ่งบัดนี้คุณหญิงของบ้านรวมทั้งสบันงานั่งรออยู่ก่อนแล้ว  บ่าวไพร่ถูกตามมาดูการพิจารณาคดีด้วยศาลเตี้ยครบทุกคน ใจดวงน้อยแทบกระดอนออกมายามที่ร่างถูกเหวี่ยงลงพื้น เงยหน้าขึ้นมองตอนเฟืองเดินไม่มอบหยกในมือให้ผู้เป็นนาย
 
            “สบันงา ใช่หยกของเจ้าหรือไม่?” คุณหญิงของบ้านหันไปถามลูกสะใภ้ที่ส่งยิ้มดีใจมาให้
 
            “ใช่เจ้าเจ้าค่ะคุณแม่  นี่เป็นหยกของข้าเจ้าค่ะ”
 
            “กรรณ....เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าให้อดอยากใช่หรือไม่ เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าไม่สุขสบายใช่หรือไม่ หรือว่าข้าเลี้ยงเจ้าอดมื้อกินมื้อกินไม่อิ่มนอนไม่หลับหรือ?”น้ำเสียงคล้ายจะปราณีแต่สายตาของคุณหญิงราวกับมีกองเพลิงแดงฉานอยู่ข้างในก็มิปาน กรรณที่ปกติตัวเล็กอยู่แล้วยามนี้กลับยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ร่างบางสั่นด้วยความหวาดกลัว
 
            “ไม่ขอรับ ท่านเลี้ยงข้าดีมากขอรับ”
 
            ปัง !!! เสียงตบโต๊ะดังลั่นป้านชากระเด้งขึ้นจนหล่นลงพื้น ทุกคนสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุด กรรณรีบหมอบลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว
 
            “แล้วอย่างนี้เจ้าขโมยของๆ สบันงาทำไม ทำทำไม”
 
            “ไม่ขอรับคุณหญิง บ่าวไม่ได้เป็นคนเอาไป” กรรณละล่ำละลักปฎิเสธ
 
            “คุณหญิงเจ้าคะ...หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ของอยู่ในหีบส่วนตัวของไอ้กรรณเจ้าค่ะทุกคนเป็นพยานได้” อีเฟืองรีบใส่ไฟทันที คุณหญิงตวัดสายตามองนางเพียงครู่เดียวอีเฟืองก็หุบปาก
 
            “ผู้ร้ายปากแข็ง  ถ้าเจ้ายอมรับมาดีๆ โทษหนักก็จะกลายเป็นเบา แต่ดูท่าทางแล้วเจ้าคงจะยืนกรานกระต่ายขาเดียวสินะ  เจ้าคิดว่าเป็นคนโปรดของลูกชายข้าก็จะพ้นผิดสินะ  ถ้าเรื่องในบ้านข้าจัดการไม่ได้ก็อย่ามาเรียกข้าว่าคุณหญิงแพ ไอ้มิ่งโบยมันจนกว่ามันจะยอมรับ”นางหันไปสั่งเสียงเฉียบขาดให้กับบ่าวชายร่างใหญ่ในเรือน เพียงไม่นานร่างบางก็ถูกผูกตรึงกับขื่อรอการลงทัณฑ์ด้วยหัวใจที่สั่นระรัว  พลับพยายามเข้าไปช่วยกลับถูกบ่าวผู้ชายคนอื่นตีจนสลบ
 
            เสียงแหวกอากาศของไม้หวายก่อนจะฟาดลงกลางหลังทำให้ผิวเนื้อแสบร้อนเจ็บปวด เด็กหนุ่มกัดฟันไม่ปริปากร้องออกมาซักคำ  น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม กัดฟันกลั้นความเจ็บปวดจนเลือดซึม ไม้แล้วไม้เล่าฟาดลงมาทั่วทั้งแผ่นหลัง
 
นายน้อย...นายน้อยขอรับ...ท่านอยู่ไหน...กลับมา  กลับมาช่วยข้าด้วย...นายน้อย...ช่วยกรรณด้วย...เจ็บเหลือเกิน...
 
            เพชรก้าวเข้ามาในห้องด้วยความรุ่มร้อนเขาทราบข่าวของกรรณจากพลับที่มาดักรอที่ห้องหนังสือ  ชายหนุ่มแทบกระโจนไปหากรรณที่ยังคงถูกมัดที่ลานบ้าน
 
            “กรรณสลบไปแล้วขอรับนายน้อยแต่เขายังไม่เลิกโบยเลย”นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เข้าหู  เขาไปอ้อนวอนขอให้ผู้เป็นแม่ยกเลิกคำสั่งแสนป่าเถื่อนนั้น
 
            “ทำไมเจ้าถึงเชื่อว่ามันจะไม่ขโมยของล่ะพ่อเพชร  อย่าลืมสิกำพืดของมันก็แค่ขอทานต่ำต้อย เป็นเด็กที่เคยขโมยของฉกชิงวิ่งราวมาก่อน”
 
            “ลูกมั่นใจว่าคนอย่างกรรณไม่มีทางหยิบฉวยของๆ ผู้ใดมาเป็นของตัวเอง”
 
            “เจ้าเป็นอะไรกับมันถึงกล้ามารับรอง  ขนาดข้าเป็นแม่เจ้าข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนเยี่ยงไร...เรื่องนี้ข้าจะให้สบันงาเป็นคนตัดสินใจถ้าเจ้าอยากให้มันรอดพ้นจากการโบยก็ไปอ้อนวอนนางเถอะ” นางบอกปัดก่อนจะหันหลังหนีผู้เป็นลูกชาย  เพชรมองหลังผู้เป็นแม่ด้วยความร้อนรนใจ เขาต้องไปขอร้องสบันงา เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าต้องทำมาก่อน แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีทุกอย่างถูกกองทิ้งไว้เมื่อคิดได้ว่าถ้าช้ากว่านี้กรรณจะทนได้หรือไม่
 
            “มันขโมยของก็สมควรจะโดนทำโทษแล้วนี่เจ้าคะ” สบันงาเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาขอร้องหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆ ที่ในใจของนางอยากกรีดร้องใส่หน้าผู้เป็นสามีใจแทบขาด
 
            “หล่อนรู้ดีว่ากรรณไม่ได้เป็นคนเอาไป” เพชรกดเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจใส่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา  สบันงาหัวเราะขื่นๆ ผินหน้ามองตะเกียงด้วยความน้อยใจ
 
            “ก็ของอยู่กับมัน”
 
            “หายไปตั้งแต่เมื่อใด  หยกของเจ้าน่ะ...”
 
            “ตั้งแต่วันที่มันมาช่วยขนของข้าก็ไม่เห็นอีกเลย”
 
            “จะเป็นไปไดอย่างไรก็เมื่อคืนก่อนนอนเจ้ายังวางบนโต๊ะอยู่เลย  สบันงา อย่าให้ข้าต้องเกลียดเจ้าไปมากกว่านี้เลยนะ”ที่สุดเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลนายน้อยก็พูดประโยคแสนเย็นชานั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว สบันงาหันมามองราวกับคนตรงหน้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดบัดนี้ใบหน้าหล่อเหลากลับดูไร้ชีวิตชีวา  สายตาที่เคยมีแววปราณีนางแม้จะเพียงน้อยนิดบัดนี้ราวกลับมาพายุค่อยก่อตัวขึ้น
 
            “คุณพี่...” นางแทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอ  เหมือนคนโกหกที่ถูกจับได้  นางสั่นไปหมดทั้งตัวและหัวใจ  ลืมไปได้อย่างไรว่าเพชรเป็นคนช่างสังเกต เพราะถูกผู้เป็นมารดาบังคับให้กลับมานอนที่ห้องทุกคืนทำให้เขาจดจำรายละเอียดต่างๆ ไปโดยอัตโนมัติ และเขาเห็นว่านางพกหยกชิ้นนี้ตลอดเวลา  ยามจะนอนยังเอาออกมานั่งเช็ดถูกทำความสะอาด  ถ้าบอกว่าหายไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้วชิ้นเมื่อคืนนางเอามาจากไหน
 
            “สั่งให้หยุดโบยกรรณเดี๋ยวนี้ข้าจะไม่บอกใครเรื่องที่เจ้าโกหก” เพชรผุดลุกแล้วเดินออกจากห้องไปทันที  สบันงาอยากจะกรีดร้องอยากจะอาละวาด  แต่ที่สุดนางก็ทำได้แค่เพียงสูดหายใจสะกดอารมณ์ของตัวเอง  นางจำเป็นต้องสร้างภาพ  วันพระไม่ได้มีหนเดียว  สาบานได้ว่าครั้งต่อไปกรรณเจ้าทาสโสโครกนั่นต้องตายคามือนางแน่
 
            ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกอย่างแรงโดยพลับตามมาติดๆ ด้วยเมฆที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของกรรณที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน
 
            “พลับเจ้าไปตามหมอมาเร็วๆ พี่เมฆไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาข้าจะเช็ดตัวให้กรรณ” นายน้อยรีบออกคำสั่งพลับไม่รอให้สั่งซ้ำเด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปตามหมอทันทีที่จบคำสั่งผู้เป็นนาย  เมฆก็ไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาเขาทำท่าจะเปิดเสื้อของกรรณแต่มือแกร่งของเพชรรีบจับไว้
 
            “ข้าทำเอง”ชายหนุ่มคว้าผ้าสะอาดมาเองก่อนจะตัดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก  สภาพแผ่นหลังบวมช้ำแตกเป็นริ้วเหมือนคมมีดที่กรีดหัวใจผู้เป็นนายให้แตกสลายตาม เลือดซึมตามปากแผลหาพื้นที่ๆ เคยเป็นผิวขาวเนียนของคนที่สลบอยู่ตรงนี้ไม่เจอเลย  ค่อยๆ ซับผ้าลงบนผิวเพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้คนที่สลบอยู่ร้องครางออกมา ร่างบางสะดุ้งเป็นพักๆน้ำตาไหลไม่ขาดสาย กว่าเขาจะเช็ดตัวให้เสร็จหมอก็ถูกพามาถึงพอดี
 
            “โชคดีที่เด็กนี่ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วไม่เกินสองอาทิตย์ก็ฟื้นตัวขอรับคุณเพชรมิต้องกังวลไป ข้าเขียนใบสั่งยาสมานแผล ยาแก้ช้ำใน กับยาบำรุงไว้ให้  ให้คนไปซื้อตามนี้ต้มให้กินเช้าเย็นอย่าให้ขาด ช่วงนี้ก็เช็ดตัวไปก่อนอย่าให้โดนน้ำแค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ระหว่างนี้จะมีไข้ก็ให้คนคอยเช็ดตัวอยู่เรื่อยๆนะขอรับ” หมอส่งใบสั่งยาให้ อธิบายสิ่งที่ต้องทำให้คนป่วยก่อนจะลุกขึ้นยืน เพชรเอ่ยขอบคุณก่อนจะยื่นถุงใส่เงินถุงใหญ่มอบให้เป็นค่ารักษาและสั่งให้พลับไปส่งท่านหมอ
 
            “หมดเรื่องแล้วพี่ไปนอนเถอะข้าจะดูแลกรรณเอง”
 
            “แต่นานน้อยขอรับ มันจะเหมาะเหรอขอรับ เอากรรณกลับไปพักรักษาที่เรือนทาสจะดีกว่าไหมขอรับ”
 
            “เมียข้าคนเดียว  ข้าดูแลเองได้” เพชรเอ่ยเสียงเรียบพลางลูบมือลงบนกลุ่มผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อของกรรณ  เมฆลอบถอนหายใจให้กับความดื้อดึงของผู้เป็นนาย ก่อนจะค่อยๆถอยแล้วเดินออกไปจากห้อง
 
            เขารู้ดีว่าการตัดสินใจนี้ของนายน้อยกำลังจะสร้างเรื่องยุ่งยากมากมายในอนาคต  แต่ถึงอย่างไร  เขาจะไม่มีวันทิ้งนายน้อยให้ต้องเผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง
 
   ไหนๆ ก็ช่วยมาตั้งแต่ต้นแล้วเขาก็คงต้องช่วยให้ตลอดลอดฝั่ง


.....................................

เหตุการณ์ครั้งนี้นายน้อยทนไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ กรรณบาดเจ็บบอบช้ำมาก

ในเมื่อบ้านที่อยู่มันอยู่ไม่ได้ การตัดสินใจของนายน้อยถือเป็นที่สิ้นสุด สบันงาร้ายเกินเบอร์ไปแล้ว


หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๑ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-02-2019 23:07:51
น่าสงสาร
 :mew6:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๒ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 09-02-2019 23:06:52

Time of tears
Chapter 12

 
                เมฆและพลับค่อยๆ ประคองร่างของกรรณเข้ามาไว้ในเรือนทาสเช่นเดิม  หน้าที่ดูแลคนเจ็บตกเป็นพลับเมื่อนายน้อยมอบหมายให้
 
                เพราะเมฆคัดค้านการที่ผู้เป็นนายจะดูแลกรรณเอง มันอาจจะนำความเดือดร้อนมาให้กับคนทั้งคู่  ยิ่งเป็นนายกับบ่าวด้วยแล้วยิ่งไม่สมควรที่ผู้เป็นนายจะมาดูแลคนรับใช้จากวันเป็นสัปดาห์ที่นายน้อยต้องข่มใจไม่ให้ไปหากรรณที่เรือนทาส ทุกคืนก่อนนอนเฝ้าแต่คิดถึง  บ่อยครั้งที่เผลอเงยหน้ามองดวงจันทร์ครั้งละนานๆ  สบันงารับรู้ว่าผู้เป็นสามีกำลังคิดถึงใคร  แต่นางทนเงียบซะ  ถึงอย่างไรตอนนี้เพชรก็อยู่กับนาง  ถึงแม้ว่าหางตาเพชรยังไม่แลนางเลยซักครั้ง แต่นางยังคงเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งด้วยเสน่ห์และมารยาของนางเพชรต้องหวั่นไหวบ้าง  ขอเพียงนางอดทนและอดกลั้น
 

                แต่เมื่อเวลาล่วงไปสบันงาก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นคิดผิด...เพชรที่เคยเงียบขรึม  ความเรียบขรึมอันทรงเสน่ห์ที่นางคิดว่าน่าค้นหานั้นบัดนี้กลายกลับเป็นความเฉยชา  คล้ายธารน้ำแข็งที่จับตัวหนาจนเปลวไฟเช่นนางไม่อาจละลายได้  ความปวดร้าวครั้งนี้ใครเลยจะมาเข้าใจนางได้ ทุกวันหลังจากสามีออกไปทำงานตอนเช้านางได้แต่ระบายอารมณ์กับอีเฟืองพี่เลี้ยงคนสนิท
 

                “คุณหนูเจ้าคะคุณหนูต้องใจเย็นๆก่อนนะเจ้าเจ้าคะ” อีเฟืองรีบวิ่งไปคว้ากาน้ำชาที่ผู้เป็นนายเตรียมทุ่มลงพื้นระบายอารมณ์เอาไปวางไว้ไกลๆมือ นางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่นายสาวไม่ได้คว้าอะไรมาเขวี้ยงต่อ
 
 
                “ข้าแทบจะกระอักเลือดตายอยู่แล้วอีเฟืองคุณพี่นอกจากไม่พูดไม่คุยกับข้ายังทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนไม่แม้แต่จะชายตามองข้า ข้าอยากเอามีดกรีดหัวใจออกมาดูนักว่าทำไมถึงได้ใจร้ายกับข้าถึงเพียงนี้” หญิงสาวระบายคำพูดพรั่งพรูราวสายน้ำเชี่ยวกราก ความร้าวระทมใจถูกถ่ายทอดผ่านสายตาที่สิ้นหวัง ความคั่งแค้นก็เช่นกัน ถามว่ารักเพชรมั้ย สบันงาบอกได้เลยว่ารัก แต่ยังไม่ถึงขั้นยอมถวายชีวิตให้แน่นอน  นางรักตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ตั้งแต่นางลืมตาดูโลกนอกจากเดือนและดาวแล้วไม่มีสิ่งไหนที่นางอยากได้แล้วไม่ได้ ยกเว้นเพชร
 

                ครั้งแรกที่ทราบข่าวการสู่ขอทาบทามให้นางแต่งเข้าเรือนของเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชความปิติยินดีท่วมท้น นางสามารถเชิดหน้าอวดกับใครต่อใครได้ทั้งเมืองว่านางได้ครอบครองผู้ชายที่ดีที่สุดร่ำรวยที่สุด แล้วนี่อะไร...สิ่งที่นางได้รับนั้นคืออะไร เป็นเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่เพชรจะโยนทิ้งไว้ตรงมุมไหนในห้องก็ได้อย่างนั้นหรือ
 

                “คุณหนูเจ้าคะ....บ่าวทราบดีว่าคุณหนูเจ็บแค้นเพียงใด” อีเฟืองนั่งลงคุกเข่าแทบเท้าผู้เป็นนายอย่างจงรักภักดี
 

                “คุณหนูไม่ต้องกังวงไป เรื่องนี้มันจบง่ายนิดเดียว...”บ่าวสาวตวัดสายตามองผู้เป็นนายก่อนกดยิ้มร้ายที่มุมปาก
 
 
                “นิ้วไหนร้ายคุณหนูก็แค่ตัดมันทิ้งซะ ฆ่าไอ้กรรณซเจ้าค่ะ”
 
 
 
                ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกโดยไม่ได้ขออนุญาตทันทีที่เพชรกลับจากทำงาน ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองพลับอย่างแปลกใจ ปกติเจ้าทาสหนุ่มถ้าไม่เรียกก็แทบไม่อยากจะเหยียบมาที่นี่ซะด้วยซ้ำ สีหน้าร้อนใจทำให้เพชรลุกขึ้นยืนแทบจะทันที พลับมองซ้ายมองขวาก่อนจะปิดประตูจนมิดชิด
 
                “น่ะ..นายน้อย นายน้อยขอรับ” พลับทรุดตัวลงเอาศีรษะโขกพื้นรัวๆหลายต่อหลายครั้งปากก็ละล่ำละลักเอ่ยเรียกนายน้องไม่ขาด
 

                “พลับเจ้าเป็นอะไร” เพชรและเมฆดูท่าทางลนลานของพลับแล้วให้นึกห่วงกรรณ
 

                “กรรณ...หรือว่ากรรณเป็นอะไรใครทำอะไรเค้าหรือเปล่า” เพชรจับไหล่ของพลับเขย่าด้วยความร้อนใจ
 

                “คุณสบันงาวางแผนจะฆ่ากรรณขอรับนายน้อย ท่านต้องพากรรณหนีไป”

                “อะไรนะ” เป็นเมฆที่เอ่ยถามด้วยความตกใจแทน คุณสบันงาดูเอาแต่ใจแต่ไม่น่าจะคิดฆ่าใครได้
 

                “เรื่องนี้เจ้าจะมาพูดพล่อยๆ ไม่ได้นะ หลังขาดได้เชียวนะ”
 

                “โธ่ พี่ ข้าจะโกหกทำไมล่ะ นายน้อยท่านต้องเชื่อบ่าวนะขอรับ วันนี้กระผมไปทำสวนที่เรือนกล้วยไม้กระผมได้ยินเสียงนางอีเฟืองบอกคุณสบะนงาว่าให้ฆ่ากรรณซะท่านต้องช่วยกรรณนะขอรับนายน้อย” พลับเขย่าขาผู้เป็นนายอย่างอ้อนวอน แม้ตามจริงแล้วเขาจะไม่ชอบเพชรเท่าไหร่ แต่เรื่องคอขาดบาดตายของกรรณครั้งนี้มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะช่วยได้
 
                “เอ็งกลับไปก่อนถ้าใครมาเห็นเข้าจะสงสัย อาการกรรณยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงข้าจะหาวิธีช่วยเขาเองระหว่างนี้ต้องให้เจ้าช่วยดูแลอย่าให้คลาดสายตาก็พอไม่ต้องบอกอะไรกรรณทั้งนั้นเข้าใจหรือไม่? ระหว่างนี้อย่าให้กรรณกินอะไรที่คนอื่นเอามาให้ อาหารของเขาเจ้าต้องเป็นคนเตรียมเอง อย่าวางทิ้งไว้ให้กรรณกินให้หมดในทีเดียวบอกว่าข้าสั่ง อย่าทิ้งกรรณไว้คนเดียว ช่วยข้าดูแลมันด้วย แม้ว่าเอ็งจะไม่ค่อยชอบข้า แต่ถือว่าทำเพื่อปกป้องกรรณ” เพชรสั่งงานพลางสำทับพลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลับถอนหายใจแรงๆ อย่างหนักใจ เรื่องอาหารมันอาจจะคอยดูแลได้แต่เรื่องเฝ้ากรรณทั้งวันมันทำไม่ได้เพราะตัวของมันเองก็ต้องไปทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย พลับพยายามไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนจะรับคำนายน้อย
 
                “ขอรับนายน้อย กระผมจะดูแลมันให้ดีที่สุด”
 
 
 
   สบันงาอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้เมื่อเมฆมาแจ้งว่าวันนี้นายน้อยจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย  หญิงสาวรีบสั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมอาหารรสเลิศเพื่อรอสามี  เมื่อทุกอย่างวางเรียงกันพร้อมสรรพเพชรก็มาถึงพอดี  ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้ หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝืนมองแสงอาทิตย์อันร้อนแรง  ใจของนางแทบละลายเมื่อได้สติก็รีบเดินไปหาผู้เป็นสามีจับต้นแขนแกร่งอย่างถือสิทธิ์ เพชรเผลอขืนตัวไว้แต่เพียงชั่วครู่ก็โอนอ่อนยอมให้นางดึงไปนั่ง  ตั้งแต่แต่งเข้าเรือนมาวันนี้เป็นวันแรกที่สบันงารู้สึกมีความสุข เพชรคุยกับนางมากขึ้น ปฏิบัติกับนางเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่นที่นางเคยเห็น
 
                “คุณพี่เจ้าคะ” สบันงาขยับเข้ามาใกล้ผู้เป็นสามีเมื่อบ่าวไพร่เก็บสำรับไปจนหมดแล้ว นางผสมน้ำให้ผู้เป็นสามีด้วยตนเอง หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้เพชร
 
                “วันนี้น้องมีความสุขเหลือเกิน คุณพี่ดีกับน้องแบบนี้ตลอดไปได้มั้ยเจ้าคะ” ร่างบางอิงศีรษะลงบนบ่ากว้าง รอยยิ้มจุดแต้มดวงหน้าตลอดเวลา สูดกลิ่นกายของชายข้างกายให้สมกับที่ต้องไกลห่างกันมาตลอด
 
                “ได้สิ...” เสียงทุ้มเอ่ยตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยจนสบันงาที่เตรียมใจรับฟังคำปฏิเสธถึงกับตะลึง นางแทบไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำผ่ายสายตา
 
                “ข้าสัญญาว่าข้าจะดีต่อเจ้าแต่มีข้อแม้...”
 
                “ข้อแม้อะไรเจ้าคะ? ”
 
                “อย่ายุ่งกับกรรณอีก” เหมือนถูกสายอสุนีบาตฟาดลงมากลางใจ สบันงาผลักแขนผู้เป็นสามีออก ดวงตาแดงก่ำด้วยแรงโทสะ
 
                “มันจะเกินไปหรือเปล่าเจ้าคะคุณพี่ คุณพี่จะหยามใจข้าเกินไปไหม? อย่าคิดนะว่าท่านกับมันทำเรื่องอัปปรีย์อะไรกัน ที่ข้าสู้ทนไม่ใช่ว่าข้ารักท่านสุดหัวใจหรอกนะ ข้าอาย อายคำครหาของคน คุณพี่รู้หรือเปล่าว่าทุกลมหายใจของข้าอยากจะทำลายมันให้สิ้นซากอยากจะฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆแต่ข้าก็ต้องสู้ทน  คุณพี่นอกจากจะไม่สำนึก  ยังมาอ้อนวอนร้องขอไม่ให้ข้ายุ่งกับมัน” ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งดัง ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล ความคั่งแค้นพรั่งพรูในครั้งเดียว  เพชรถอนหายใจกับปัญหาหนักหน่วงนี้  ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้ยิน  สมองของเขากำลังคิดไตร่ตรอง
 
                ตอนนี้เหมือนเขาเป็นคนเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟที่คิดว่ามอดดับแล้วจนไฟมันลุกลามมากกว่าเดิม  ลำพังตัวเขาเองนั้นไม่มีอะไรน่าห่วงเลย  ห่วงแต่เจ้าตัวน้อยที่ยังไม่คลายหายเจ็บ ความเครียดฉายชัดในแววตา เพชรหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป เค้าไม่อาจทนมองหน้าผู้หญิงใจร้ายคนนี้ได้อีกแม้วินาทีเดียว ทันทีที่ก้าวพ้นห้องเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแล้วข้าวของที่ถูกกวาดลงจากโต๊ะ ชายหนุ่มก้าวยาวๆ เพียงไม่นานก็ถึงห้องหนังสือ เขาเรียกเมฆเข้าไปภายในพี่เลี้ยงหนุ่มมองซ้ายขวาก่อนจะปิดประตูแน่นหนา
 
 

 
   รถม้าบรรทุกของเต็มท้ายค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ไอ้มิ่งมองพลับที่เป็นคนบังคับม้าก่อนจะทำหน้างุนงง
 
 
                “พลับเจ้าจะไปไหน”
 
 
                “พี่มั่นปวดหลังเลยให้ข้าเอาข้าวไปส่งนอกเมืองแทนน่ะลุง”

   “ทำไมมันดูเยอะจังไหนข้าขอดูหน่อยซิ๊” พ่อบ้านร่างท้วมกระโดดลงจากเก้าอี้เดินมาดูท้ายรถที่มีกระสอบข้าวสุมเรียงกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ทำท่าคล้ายจะจับเรียงกันใหม่จนพลับต้องรีบทัก
 
 
                “เอ้อลุงมิ่งข้าเห็นคุณหญิงถามหาลุงอยู่น่ะ ลุงรีบไปพบคุณหญิงก่อนเถอะ ช้านานเดี๋ยวคุณหญิงโมโหได้ซวยกันทั้งบ้านพอดี” ไอ้มิ่งชะงักมือที่กำลังจับปลายกระสอบข้าว
 
                “งั้นเอ็งไปเถอะข้าไปพบคุณหญิงก่อน รีบไปรีบกลับล่ะ”
 
                “จ้าๆ ” พลับรีบรับคำก่อนจะค่อยๆ บังคับม้าออกไป เหยื่อกาฬผุดซึมเต็มใบหน้า ชายหนุ่มขี่รถม้าออกจากตัวบ้านจนห่างมาไกลพอสมควรก็จอดแล้วรีบวิ่งไปท้ายรถมันแหวกๆกระสอบด้านบนออกก็พบว่ากรรณนอนอยู่ในนั้น
 
                “กรรณเอ็งไหวมั้ย?” เอ่ยถามอย่างห่วงใยเจ้าเพื่อนตัวเล็กที่สภาพดีขึ้นกว่าตอนที่โดนโบยใหม่ๆ กรรณพยักหน้ารับ ดวงตากลมฉายแววกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
 

                “กรรณ เอ็งกลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะอีกเดี๋ยวเอ็งจะได้เป็นอิสระแล้ว”

 
                “ข้าเป็นห่วงเอ็งนะไอ้พลับ” เสียงแหบเอื้อนเอ่ยอย่างจริงใจ หลังจากนี้พลับจะพบเจอกับอะไรบ้างเขาไม่อาจจะคาดเดาได้ แต่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้ากลับยิ้มให้เค้าอย่างอ่อนโยน ดวงตาทอแสงอ่อนฉายชัดความรู้สึกที่เพาะบ่มในใจมาเนิ่นนาน
 
                “แค่เอ็าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากนี้ ต่อให้ต้องไปลงนรกพบยมบาลข้าก็ไม่เกรงอันใดแล้ว เอ็งอดทนอีกนิดนะ” ฝ่ามือหยาบลูบกลุ่มผมคนเป็นเพื่อนเบาๆอย่างปลอบประโลมกรรณส่งยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ พลับหมุนกายกลับไปนั่งบังคับม้าให้วิ่งไปข้างหน้า เมื่อตะวันเริ่มโพล้เพล้บนเนินกว้างไม่ไกลออกไป ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านกินรัศมีเป็นวงกว้าง ร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งยืนรออยู่ข้างม้าตัวใหญ่  ข้างๆ กันเมฆขยับกายทันทีที่ได้ยินเสียงรถม้าเขารับบังเหียนจากผู้เป็นนาย สายตาคอยสอดส่องด้านหลังอย่างระแวดระวังภัย ในที่สุดรถม้าก็มาจอดตรงหน้า  นายน้อยรีบวิ่งไปยกกระสอบออกแล้วโยนลงพื้นทันทีโดยมีพลับช่วยอีกแรง ร่างของกรรณนอนราบอยู่ใต้กระสอบที่ถูกวางบนแผ่นไม้เว้นช่องว่างให้ร่างบางไม่ถูกทับโดยตรง ชายหนุ่มรวบแผ่นไม้ทั้งหมดออกแล้วโยนดังโครมก่อนจะรวบร่างของกรรณ มากอดอย่างแสนรัก ร่างบางสวมกอดชายอันเป็นที่รักไว้ น้ำตาที่ทนเก็บกักมานานไหลรินอย่างเงียบๆ ความคิดถึงความโหยหาที่ต้องห่างกันเกือบเดือนถูกทดแทนด้วยอ้อมกอดแข็งแกร่งจากผู้ชายที่คิดจะฝากชีวิตหลังจากนี้ไปชั่วชีวิต
 

                “ไม่ต้องกลัวนะกรรณ ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาทำอันตรายเจ้าได้ ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
 
                “นายน้อย....บ่าวคิดถึงท่าน” เป็นประโยคแรกที่กรรณเอ่ยกับเขาหลังปล่อยให้ความเงียบถ่ายทอดความรู้สึกของตน
 
                “นายน้อยขอรับท่านรีบไปเถอะขอรับ” เสียงเมฆเอ่ยเตือนใกล้ๆ ทำให้เพชรได้สติ เขารีบประคองกรรณด้วยความระมัดระวัง

 
                “เจ้ายังเจ็บอยู่รึไม่กรรณ?” น้ำเสียงห่วงใยอาทรเอ่ยถาม กรรณคลี่ยิ้มให้ก่อนส่ายหน้า
 

                “บ่าวได้ยาที่ท่านฝากพลับมาให้ แผลสมานกันเร็วมากขอรับ อาการช้ำในก็เกือบเป็นปกติแล้ว ไม่ค่อยเจ็บแล้วขอรับแค่ตึงๆหลัง”
 
                “ดี งั้นเรารีบไปเถอะ” นายน้อยประคองกรรณลงจากรถม้าพามาหยุดข้างอาชาตัวใหญ่ฝีเท้าเยี่ยมที่เมฆคัดเลือกมาให้
 
                “พี่เมฆ...” ผู้เป็นนายหันไปทางพี่เลี้ยงหนุ่มใหญ่ที่ยืนรออยู่เงียบๆ เมฆส่งยิ้มให้เด็กที่เขาดูแลมาตั้งแต่เล็ก
 
                “ไม่ต้องห่วงกระผม ยังไงกระผมก็ไม่ใช่ทาสในเรือนท่าน ไม่ใช่คนของเรือนท่านที่จะมากดขี่หรือทำโทษได้ตามอำเภอใจข้าแค่ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอย่างมากเรื่องก็ถึงไม่ถึงตายแน่นอนท่านไปเถอะ”
 
                “พลับแล้วเจ้าล่ะ”
 
                “นายน้อยท่านไม่ต้องห่วงกระผมเช่นกันกระผมจะหนีไปอยู่กับญาติที่ทางใต้ไปอยู่ที่ๆห่างไกลจากเมืองหลวง กระผมเป็นแค่ทาสตัวเล็กๆ ไม่ได้สำคัญอะไรท่านเจ้าคุณคงไม่ตามกระผมหรอกขอรับ กระผมจะเอาเงินที่ท่านให้มาไปซื้อที่ดินทำไรไถนาจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หลังจากนี้ ท่านกับไอ้กรรณดูแลตัวเองให้ดีนะขอรับ”
 
                “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าทั้งสอง ไม่ใช่พี่น้องก็เหมือนพี่น้อง หากไม่สิ้นไร้วาสนาวันหนึ่งคงได้กลับมาพบกันลาก่อน” ชายหนุ่มช้อนตัวของกรรณส่งขึ้นบนหลังม้าก่อนจะตามขึ้นไป มองบุคคลต่ำศักดิ์กว่าทั้งสองอย่างซาบซึ้งกรรณเองก็เอาแต่พูดคำว่าขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนภาพคนทั้งสองด้านหลังลับหายไป
 
                “กรรณ ต่อไปนี้มีแค่เราสองคนแล้วนะ เหลือแค่เพียงเราสองคน เราไปตั้งต้นสร้างชีวิตใหม่ด้วยกันเถอะ”
 
                “ขอรับ นายน้อย เราไปสร้างชีวิตใหม่ที่มีแค่เรากันนะขอรับ”
 

 ((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๒ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 09-02-2019 23:07:21



                ชายหนุ่มแต่งกายซอมซ่อวางอุปกรณ์ทำนาลงกับพื้นข้างชานเรือนที่ทำจาหไม้ไผ่ขัดแตะเป็นฝาเรือนหลังคามุงจากง่ายๆแต่ทว่าแน่นหนามั่นคง ปลดผ้าคาดเอวออกมาซับเหงื่อไคลที่ไหลจนชุ่มไปทั้งตัว เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างของคนที่ตัวเล็กกว่า กรรณนั่งลงข้างๆเพชรมองซ้ายขวาแล้วฉวยเอาผ้ามาถือไว้ซะเองก่อนจะลงมือซับหน้าให้อย่างนุ่มนวล
 
                “เหนื่อยไหมขอรับ” กรรณเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เพชรส่ายหน้าเป็นคำตอบ กรรณคว้ามือของชายอันเป็นที่รักมากุมไว้ก่อนใช้ปลายนิ้วลูบไล้แผ่วเบาลงบนมือนายน้อย  มือที่เคยจับแต่ตำราและพู่กัน มือที่เคยอ่อนนุ่มตามแบบฉบับบัณฑิตและลูกผู้ดีที่ไม่จำเป็นต้องแตะต้องทำงานหนักบัดนี้มีทั้งรอยแผลจากการพุพอง  บางจุดพองจนเห็นน้ำใสที่ขังค้างด้านใน ไม่มีวันไหนเลยที่นายน้อยจะไม่มีแผลกลับบ้าน เช่นเดียวกับที่ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่แอบร้องไห้ด้วยความสงสาร

 
                ที่นายน้อยต้องทนตกระกำลำบากทุกวันนี้เพราะเขาคนเดียว หลังจากที่ตัดสินใจหนีมาตายเอาดาบหน้า นายน้อยพาเค้าขี่ม้าขึ้นมาเรื่อยๆ เดินบ้างขี่ม้าบ้างรอนแรมนานหลายวันสาเหตุหนึ่งที่ช้าเพราะเกรรณยังเจ็บอยู่ บางวันต้องเดินเพื่อให้ม้าได้พักจนมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นเมืองเล็กๆ ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นายน้อยตัดสินใจขายม้าให้พ่อค้าที่มารับผลิตผลทางการเกษตรไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ความจริงแล้วในตัวนายน้อยพกทรัพย์สินมามากพอสมควรจึงซื้อที่นาเล็กๆ ผืนหนึ่งติดลำธารด้านหลังเป็นภูเขาสูงห่างจากบ้านคนและเขตชุมชน เปลี่ยนชื่อกันใหม่จากเพชรเป็นพันจากกรรณเป็นแก้ว  เพชรบังคับไม่ให้กรรณเรียกเขาว่านายน้อยแต่ให้เรียกชื่อหรือไม่ก็เรียกพี่ ห้ามทำกริยานอบน้อมเพื่อไม่ให้ชาวบ้านสงสัย ทั้งสองคนช่วยกันพลิกฟื้นผืนนาที่แห้งแล้งด้วยการผันน้ำเข้านา ปรับปรุงดิน รวมทั้งสร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่เชิงเขา กรรณไปขอซื้อพ่อไก่แม่ไก่มาเลี้ยงสองคู่  ช่วงที่พักรักษาตัวให้แผลหายเพชรขอให้กรรณสอนเรื่องการทำนา ชายหนุ่มนำเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อควายมาคู่หนุ่งเอาไว้ไถนา เพชรตื่นตั้งแต่ย้ำรุ่งหุงหาอาหารไว้ให้กรรณแล้วตัวเองแบกจอบแบกเสียมไปขุดดินด้วยตัวเองเจนมือไม้แตก
 
                แม้จะลำบากกายแต่พอหันกลับมาที่บ้านจะเห็นกรรณนั่งมองและคลี่ยิ้มหวานเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้กับเขาเสมอ เขาทนยอมลำบากเพื่อให้ทุกราตรีมีกรรณอิงแอบซุกกับอกของเขา มากกว่าอยู่ในบ้านกว้างใหญ่แต่หาคนรู้ใจข้างกายไม่ได้ซักคน กว่าเดือนที่กรรณพักฟื้นเด็กหนุ่มถึงหายสนิทจากบาดแผลและอาการช้ำใน แต่สุขภาพกลับไม่ดีเหมือนเดิม เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เพชรกังวล ตอนนี้เขาไม่สามารถแสดงตนว่าเป็นบุตรของท่านเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชได้อีกแล้ว   เขาเป็นแค่ไอ้พันที่อพยพจากเหนือที่ที่ห่างไกลมาทำมาหาเลี้ยงชีพที่นี่เท่านั้น
 
                “ต่อให้เหนื่อยกว่านี้ข้าก็ทนได้ ดีกว่าอยู่สุขสบายแต่นอนไม่หลับซักคืนเพราะไม่มีเจ้า”
 
                “ไปอาบน้ำเถอะขอรับข้าเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว เมื่อเย็นข้าเอาผักท้ายแปลงไปขายที่ตลาดมาได้แตงโมลูกใหญ่มาเดี๋ยวข้าผ่าเตรียมไว้รอนะขอรับ” กรรณพยุงให้คนตัวใหญ่กว่าลุงขึ้นตามตนแต่คนเจ้าเล่ห์ก็แกล้งเซจนกรรณต้องรับไว้ในอ้อมกอดก่อนริมฝีปากอุ่นจะประทับบนแก้มขาวเรียกเลือดฝาดให้ทำงานอย่างทันท่วงที
 
                “หอมจัง”
 
   “พี่พัน...ทำอะไรเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”คนตัวเล็กตีเผียะลงบนอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างขวยเขิน
 

   “ทำอะไร พี่แค่ล้ม” น้ำเสียงหยอกเอินกับดวงตาพราวระยิบทำให้อดขำไม่ได้ ร่างบางดันหลังคนรักให้เดินลงจากเรือนไปก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน ยิ่งได้อยู่กันตามลำพังนายน้อยที่เคยเงียบขรึมก็ขี้เล่นมากขึ้นทุกวัน บางวันก็ทำท่าทางตลกๆ ให้ดูบางวันก็เล่านิทานที่ไม่ขำเลยซักนิดแต่กรรณก็ตั้งใจฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่นายน้อยเล่า
 

   ไม่ใช่การเอาอกเอาใจแต่คือความรัก เพราะกรรณคิดว่าคนรักกันก็ต้องมอบความสุขให้แก่กัน นายน้อยมอบความสุขให้กรรณ กรรณก็มอบความสุขให้นายน้อย
 
                สายลมเย็นพัดจนทุ่งหญ้าไหวลู่ไปตามแรง ลมหนาวของเดือนพฤศจิกาพัดมาให้ตึงผิว ดวงจันทร์กระจ่างอวดแสงเต็มดวง ชายหนุ่มสองคนเดินกุมมือตามกันมาก่อนจะนั่งลงบนเนินหญ้าสูง เพชรเงยหน้ามองฟ้าที่สกาวไปด้วยแสงดาวดวงเล็กๆ ต่างฝ่ายต่างสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด คือความสุขเล็กๆ ช่วยให้คลายหายเหนื่อยจากงานหนักที่กรำมาตลอดทั้งวันเพชรนอนราบลงบนพื้นหญ้านุ่มคว้าร่างของคนข้างๆ ให้ล้มมานอนหนุนบนอกของตน เสียงหัวใจของนายน้อยที่เต้นอยู่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มือหนาคว้ามือของกรรณมาจับเล่นอย่างคุ้นชิน
 
                “อยู่ที่นี่เจ้ามีความสุขดีมั้ยกรรณ”
                “มีขอรับ” คนตัวเล็กตอบรับ
 
                “ข้ามีความสุขมาก ไม่ว่าที่ไหนถ้ามีนายน้อยจะตกระกำลำบากมากกว่านี้ข้าก็รักมีความสุขเสมอ” ร่างบางเบียดกายเข้าหาอกอุ่นมือ
 
                “คืนพรุ่งนี้ที่วัดมีงานลอยกระทงเจ้าอยากไปเดินเล่นไหม?” เมื่อได้ยินคำว่ามีงานเทศกาลกรรณก็เด้งตัวขึ้นมามองหน้านายน้อยทันที เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น หัวกลมหยักขึ้นลงเร็วๆ รอยยิ้มดีใจฉายชัด ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะจับต้นคอของคนตัวเล็กดึงเข้ามาใกล้จนลมหายใจรินรดซึ่งกันและกันระยะห่างค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนท่ามกลางสายลมเย็นและดวงดาวเต็มท้องฟ้าคนสองคนต่างถ่ายทอดความอบอวลหอมหวานจนพระจันทร์ยังต้องเร้นกายหลังเมฆดำด้วยความเอียงอาย
 
 
                โคมไฟหลากสีแขวนห้อยระย้าตามเชือกที่ขึงบนเสาสูง บ้างเป็นรูปสัตว์สลักลวดลายงดงาม บ้างเป็นรูปดอกไม้กลีบดอกบรรจงวิจิตร รวมไปถึงแบบธรรมดา ผู้คนพลุกพล่านต่างพากันมาดูโคมไฟสวยงามรวมทั้งกราบไหว้พระพุทธรูปในวิหารใหญ่ที่สว่างไสวกว่าวันธรรมดาในมือของแต่ละคนถือกระทงที่บรรจงประดิษฐ์อย่างปราณีตคนละใบ หาบเร่แผงลอยพ่อค้าแม่ค้าต่างเสนอขายสินค้าของตนเอง มีทั้งของกินของใช้อีกทั้งเครื่องประดับแพรพรรณละลานตา กรรณมองบรรยากาศตรงหน้าอย่างตื่นเต้น นานหลายเดือนเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นเทศกาลรื่นเริงเช่นนี้ ตั้งแต่หนีตามกันมาเขากับนายน้อยต่างเร้นกายหายจากสังคม ใช้ชีวิตเรียบง่าย
 
                “อยากได้อะไรมั้ย” นายน้อยที่เดินตามเด็กซุกซนอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
 
   “ข้าอยากได้น้ำตาลปั้น” เจ้าตัวน้อยชี้มือไปทางพ่อค้าขายน้ำตาลปั้นที่ทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เพชรเดินนำกรรณก่อนสั่งมา 2 ไม้ทั้งสองถือกินคนละไม้ รสหวานหอมติดตรึงที่ปลายลิ้นจนเจ้าทาสตัวน้อยแย้มยิ้มอย่างชอบใจ ทั้งคู่เดินชื่นชมโคมไฟไปเรื่อยๆ ก่อนที่เพชรจะซื้อโคมไฟอันเล็กๆ ให้กรรณอีกอันแล้วพากันเข้าไปไหว้พระในวิหาร กลิ่นธูปหอมคละคลุ้งผู้คนมากหน้าหลายตาสลับสับเปลี่ยนกันเข้าออกไม่ขาดสาย คนสองคนมุ่งมั่นกับการขอพรไหว้พระจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ตลอดไม่ได้ละสายตาแม้แต่น้อย
 
                “คุณหนูเจ้าคะ มีข่าวจากปากน้ำโพธิ์เจ้าค่ะ” อีเฟืองหยิบเอาจดหมายที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อให้นายสาว สบันงาเปิดมันออกอ่านด้วยสายตาแข็งกร้าว เพราะพ่อของนางเป็นขุนนางใหญ่ การจะตามหาใครซักคนไม่ใช่เรื่องยาก บรรดาขุนนางที่เป็นลูกน้องของพ่อนางสามารถพลิกแผ่นดินหาได้ไม่ยาก รอยยิ้มเย็นผุดขึ้นอย่างยากจะเดาจุดหมาย  ดวงตาสวยวาวโรจน์อย่างน่ากลัว
 

                “เจอจนได้สินะคุณพี่ หึ...เวลาความสุขของท่านมันจบลงแล้ว ต่อไปนี้ก็เตรียมรับชะตากรรมจากข้าได้เลย”
 

                เสียงฝีเท้าด้านนอกเรือนกลางดึกทำให้เพชรลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด กรรณนอนหลับสนิท เขาเงี่ยหูฟังความผิดปกตินั้นมันมากกว่า หนึ่งหรือสองคนแน่ๆ เสียงแม้จะแผ่วเบาแต่เขากลับได้ยินชัดเจน สัญชาติญาณบอกว่าภัยร้ายบางอย่างกำลังคืบคลานมาหาเขาทั้งคู่ เพชรค่อยๆ เขย่าแขนเล็กที่พาดบนเอวเขาจนกรรณงัวเงียลืมตาตื่น ร่างบางกำลังจะเอ่ยถามถึงสาเหตุการถูกปลุกกลางดึกแต่นายน้อยกลับเอานิ้วชี้แตะปากบอกให้เงียบไว้ แล้วนำกรรณค่อยๆ ย่องไปแอบมองตรงรอยแยกเล็กๆ ตรงไม้กระดาน เงาดำๆ ของคนนับสิบค่อยๆ ย่องใกล้มาถึงตัวบ้าน เพชรรีบคว้ามือคนรักย่องลงจากทางด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
 
                เขามั่นใจแล้วว่าคนเหล่านั้นถ้าไม่ใช่บิดาของตนเองส่งมาก็ต้องเป็นคนของสบันงา ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นคนส่งมากรรณก็จะมีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
 
                แกร่ก...เสียงกิ่งไม้หักดังลั่นกรรณหน้าซีดมองเท้าตัวเองที่เหยียบลงไปเต็มๆ แน่นอน คนเหล่านั้นก็ได้ยินเช่นกัน จากการคืบคลานอย่างเงียบๆ ก็ถูกสั่งให้บุกทันที
 
                “กรรณ วิ่ง” เพชรดึงมือคนรักให้ออกวิ่งทันที ชายแปลกหน้านับสิบคนต่างวิ่งกรูตามมาอย่างไม่ลดละ สองขาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถไม่สนใจแม้กิ่งไม้ที่ละฟาดผิวหน้าจนรู้สึกแสบ ทั้งสองพากันลัดเลาะจนถึงทุ่งหญ้ากว้างที่ชอบมานั่งดูดาวด้วยกันถ้าวิ่งข้ามเนินสูงลงไปก็จะถึงเขตชุมชน เชื่อว่าคนเหล่านี้คงไม่กล้าทำการอุกอาจ แต่ทว่า
 
                “โอ้ย!!!” เสียงกรรณร้องด้วยความเจ็บธนูดอกหนึ่งถากไหล่เล็กไปร่างบางสะดุดขาตัวเองชายชุดดำที่วิ่งมาถึงก่อนฟาดปลอกดาบใส่ต้นคอจนกรรณถึงกับมึนงง ภาพนายน้อยที่พยายามจะกระเสือกกระสนกลับมาหาเขาแต่ถูกคนสองคนจับตัวไว้ทำให้ใจดวงน้อยปวดร้าว
 
                จบสิ้นแล้ว ความสุขและอิสรภาพของนกน้อยที่หนีกรงทองมา กรรณถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
 
 
 
                “จัสตกลงเรื่องของแกกับไอ้เพชรมันยังไงทำไมมีข่าวว่าแกถอนหมั้นมัน” หนังสือพิมพ์ถูกปาลงตรงหน้ามัลลิกาที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโต๊ะอาหาร แม่บ้านต่างพากันถอยออกไปอย่างรู้งาน
 

                “มันพังหมดแล้วค่ะพ่อ มันพังหมดแล้วพ่อจะให้จัสทำยังไง”มัลลิกาตะเบ็งเสียงใส่ผู้เป็นพ่อ หลายวันมานี้หล่อนก็เครียดมากพออยู่แล้ว นักข่าวต่างพากันรุมล้อมเธอทุกที่เฝ้าถามแต่คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ละครและผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่เคยติดต่อเข้ามาก็ขอยกเลิก
 
                หล่อนอับอาย คนใกล้ตัวต่างรู้ดีว่ามัลลิกาไม่มีทางขอถอนหมั้นพชร บางคนที่รอซ้ำก็เอาเรื่องนี้ไปพูดต่อๆ กัน

   “แล้วทีนี้จะทำยังไง  เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลายเราอยู่แล้วนะ ไหนที่มันถอนหุ้นจากบริษัทของเราทุกหุ้นแกกับฉันคงได้ถือกะลาขอทานกันเร็วๆ นี้แหละ”
 
                “โอ้ย แทนที่พ่อจะมายืนด่าจัสปาวๆ แบบนี้มาช่วยจัสหาวิธีก่อนเถอะค่ะว่าเราจะทำยังไง เรื่องทั้งหมดมันจะไม่ยากเลยถ้าไม่มีไอ้คุณช่างนั่น”
 

                “แล้วแกจะเก็บมันไว้ทำไม ทำไมไม่ฆ่ามันให้ตายๆ ไปเลยจะได้สิ้นเรื่อง หลังจากนี้ค่อยรวบหัวรวบหางไอ้เพชรให้เป็นผัวแกแค่นี้ก็จบ”
 

                “แล้วจัสจะไปทำแบบนั้นได้ยังไงจัสผู้หญิงตัวคนเดียวนะ”
 

                “แต่ฉันมีลูกน้องหลายคน....” สองพ่อลูกจ้องตากันก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมา เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้องทั่วห้องอาหาร
 
 
 
   นายน้อยแห่งเรือนโบราณหันไปมองร่างขาวๆ ที่ยังคงซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่ม กันต์เริ่มขยับตัวก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อย ร่างบางเหยียดแขนสองข้างขึ้นบิดขี้เกียจขับไล่ความปวดเมื่อย
 

                “อูย...”เสียงร้องครางเบาๆ ทำให้เพชรวางเอกสารที่อ่านอยู่ลงบนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งหมิ่นๆ บนเตียง มืออุ่นแตะลงบนหน้าผากก่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยน
 

                “ตื่นแล้วใช่มั้ยครับ? ” ทันทีที่ได้ยินเสียงของนายน้อย ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดก็วนเวียนเข้ามาในสมอง แก้มขาวขึ้นสีจัดถึงใบหูและต้นคอก่อนคุณช่างคนเก่งจะตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมตัวด้วยความอาย
 

                เขาทำเรื่องน่าอายด้วยความกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้นไปได้ยังไง
 

                แล้วอย่างนี้จะมีหน้าโผล่ไปมองคนข้างๆ ได้ยังไง เพชรหัวเราะอย่างเอ็นดูคนที่พยายามเก็บมุมผ้าห่มทุกมุม
 
                “อายเหรอครับ ไม่เห็นต้องอายเลย เหมือนว่าผมจะทำคุณเป็นไข้อีกแล้ว ลุกขึ้นมาอาบน้ำกินข้าวกินยาเถอะครับผมให้มะลิเตรียมไว้แล้ว”
 

                “คุณ...คือ คุณออกไปก่อนสิ” ที่สุดคุณช่างก็ส่งมือขาวๆ มาผลักๆ คนที่นั่งข้างๆ  เพชรเห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากจะจับคนดื้อมาฟัดแต่ก็กลัวว่าจะโดนโกรธ ชายหนุ่มยอมลุกขึ้นแต่โดยดี
 

                “งั้นผมไปรอที่ห้องอาหารนะครับ”
 
                “อื้อ...” เสียงตอบรับเบาๆ ดังลอดออกมา เพชรก้มตัวลงจุ๊บบนผ้าห่มตรงที่คิดว่าคงเป็นแก้มของกันต์เบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อเสียงประตูปิดลงกันต์จึงเปิดผ้าห่มออก รอยยิ้มจุดพราวเต็มดวงหน้า แต่เพียงครู่ความฝันที่เพิ่งได้เห็นกลับทำให้รอยยิ้มค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความเศร้าสร้อยโหยไห้
 
                ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้หลังจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น โศกนาฏกรรมความรักต้องห้ามกำลังจะถูกปิดตัวลงด้วยความตาย
 

                “ประวัติศาสตร์จะไม่มีทางซ้ำรอย ชาตินี้ผมก็จะรักคุณให้มากๆ จะรักให้สมกับที่ต้องพลัดพรากกันมานับร้อยปี นับจากชาตินี้ไปเราจะไม่มีวันพรากจากกันผมสัญญา”
 
 
 
 
 
....................................

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๒ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-02-2019 23:59:18
ขอให้ทุกคนมีทางออกที่ดี ไม่ต้องถึงกับฆ่าแกงกันเลย
ขอให้จบกันในชาตินี้นะ เป็นห่วงจัง
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 11-02-2019 01:19:04

Time of tears
ตอนจบ

 
                บรรยากาศภายในเรือนโบราณอบอวลไปด้วยความรู้สึกหอมหวานจนบรรดาคนรับใช้ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับท่าทีของผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคนที่คนหนึ่งก็เอาแต่จ้องหน้าอีกคนหนึ่ง แม้ใบหน้าจะเรียบขรึมแต่ทว่าดวงตากลับหวานหยดย้อยจนผึ้งในสวนยังยอมแพ้ ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งหน้าแดงจนถึงใบหูและลำคอ
 
 
   ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับความรักที่ผิดธรรมชาติ แต่เมื่อคิดดูแล้วนายน้อยก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะคบหากับใครจนอายุใกล้จะ 30 ปีอยู่รอมร่อ มะลิก็มองข้ามเรื่องเพศสภาพไปเสีย เพราะอย่างน้อยตั้งแต่กรกันต์ก้าวเข้ามาในเรือนโบราณก็เหมือนคุณช่างตัวน้อยได้โปรยละอองแห่งความสุขไปทั่วทุกมุมบ้าน จากชายหนุ่มที่มักทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับนางแล้ว จะเป็นใครก็ได้ ขอแค่คนๆ นั้นทำให้นายน้อยของนางมีความสุขก็พอ

   หลังมื้ออาหารเช้าที่มานั่งกินกันตอนบ่ายจบลงพชรก็สั่งให้คนงานยกโต๊ะเขียนแบบของกันต์เข้ามาวางไว้ในห้องทำงานของเขา แม้คุณช่างจะเอ่ยประท้วงหากแต่เจ้าของเรือนกลับให้เหตุผลที่ต้องยอมจำนนว่า
 
                “ผมอยากเห็นหน้าคุณทั้งวัน ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่กรุงเทพวันมะรืนนะครับไม่งั้นผมคงจับคุณปล้ำอยู่ในห้องทั้งวันไม่ต้องทำมันแล้วงานน่ะ”
 
                “หัดเป็นคนลามกตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
   “ก็ตั้งแต่มีคนขึ้นมานั่งคร่อมตัวผมเมื่อเช้ามืดแหล่ะครับ ปกติผมเป็นคนสุภาพ” พชรยักคิ้วพลางฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไปจนน่าเอานิ้วเข้าไปแหย่แต่คนฟังแทบจะแงะทีสไลด์ฟาดปากซักสองสามที
 
                “พูดจาหน้าไม่อาย” บ่นมุบมิบกันแปลนบ้านก่อนจะพุ่งความสนใจกับงานตรงหน้าแก้เขิน
 
   น่าแปลก สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือความตั้งอกตั้งใจในการทำงานที่ตนเองต้องรับผิดชอบ มีเสียงพูดคุยกันเป็นครั้งคราวยามคุณช่างเอ่ยถามรายละเอียดปลีกย่อยที่นายน้อยอยากให้ใส่เข้าไปในรายละเอียด แม่บ้านชราเอาขนมและของว่างมาเสิร์ฟตอนสี่โมงเย็น คุณช่างวางปากกาเขียนแบบลงทันทีก่อนจะพุ่งออกมานั่งประจำที่บนโต๊ะอาหาร
 
                “หิวเหรอคะคุณช่าง ป้าเห็นทำงานกันง่วนเลยเอาเข้ามาให้ อันนี้น้ำมะตูมนะคะหวานๆ เย็นๆ ชื่นใจแก้เหนื่อย” นางว่าพลางวางจานข้าวตังหน้าตั้งลงบนโต๊ะตามด้วยน้ำมะตูมที่ส่งกลิ่นหอมลอยน้ำแข็งเย็นเฉียบมาวางให้ พชรตามมานั่งลงข้างๆกันต์รับจานแบ่งกับส้อมอันเล็กที่คนตัวเล็กกว่ายื่นมาให้ กันต์จิ้มเอาขนมใส่จานให้แล้วรับแก้วน้ำมาวางไว้ข้างๆ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากด้วยความปลื้มใจ
 
                ไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้เค้าจะมีบุญได้รับการปรนนิบัติความเอาใจใส่จากคนที่ดูหัวแข็งหัวรั้นแบบนี้
               
                ถ้าต้องตายวันนี้พรุ่งนี้เค้าก็ไม่เสียใจเลยซักนิด เพราะชีวิตของเค้าผ่านความสุขจนล้นปรี่มาแล้ว
 
   อีกด้านหนึ่ง....ถ้าโลกนี้มีพรวิเศษสามประการ เขาขอแค่ประการเดียว คือใครก็ได้ช่วยดีดจิรายุออกจากรถของเขาไปซักทีเถอะ ตั้งแต่ที่เลขาตัวเล็กของศัตรูหัวใจของเขากระโดดขึ้นรถตามมา หูของเขาก็แทบไม่ได้พักเลย จิเอาแต่บ่นการขับรถของเขามาตลอดทาง รวมทั้งบรรยายสรรพคุณความเพอร์เฟ็คของเจ้านายตัวเองจนเขาเอียนเต็มทน
 
                ครั้นพอจะไล่ลงคุณเลขาก็ทำเป็นชี้มุมปากสีม่วงคล้ำผลงานชั้นยอดของตัวเขาเมื่อเช้านี้
 
                อาชวินท์ไม่ใช่คนไม่รู้จักแยกแยะ เมื่อเขาผิดเขาก็ยินดีจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
 
   “จริงๆ รถที่เรือนก็มีตั้งหลายคันทำไมคุณไม่ขับมาเอง”
 
   “ขี้เกียจ”
 
   “คนขับรถก็มี”
 
                “นั่นน่ะเอาไว้บริการนายน้อย อีกอย่างไหนๆ คุณก็เข้ากรุงเทพอยู่แล้ว แค่มีผมติดรถมาด้วยอีกคนมันไม่ได้เปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นหรอกนะ อย่าเป็นคนใจแคบนักเลย มีผมมาด้วยจะได้มีเพื่อนคุยไงไม่ดีเหรอ”
 
                “ผมจำได้ว่าตั้งแต่ออกจากเรือนมาผมพูดแทบจะนับคำได้ไม่รวมตอนนี้ ผีเจาะปากคุณมาพูดหรือไง ฉอดๆๆๆไม่ได้หยุดเลย นี่ขนาดปากเจ็บนะ” วินหันมาค้อนใส่คนที่นั่งข้างๆ จิหุบปากฉับส่งค้อนวงเบ้อเริ่มมากให้เขาก่อนจะบึนปากใส่แล้วหันหน้ามองข้างทางแทนที่จะมองหน้าเขา
 
   อ่าว...งอน?
 
   งอนจริงดิ่?
 
   งอนจริงเหรอวะ?
 
   งอนแน่ๆ ใช่มั้ยอาการแบบนี้?
 
 
   ความเงียบชวนอึดอัดก่อตัวราวสงครามเย็นบนรถในอีกหลายนาทีต่อมา เมื่อวินแอบเหล่มองคนข้างๆ เจ้าตัวไม่มีท่าทีสนใจเขายังคงนั่งคอแข็งหน้าเชิด
 
   อารมณ์งอนมาเต็ม
 
   “เอ่อ...อ่ะแฮ่ม”คนหน้าหล่อแกล้งกระแอมไอเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม แต่จิยังคงนิ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาซักนิด
 
                “นี่คุณ ที่ผมพูดไปเมื่อกี๊อ่ะ...” เหล่มองอีกรอบ....
 
                ยังคงเชิดอยู่แต่ดวงตากลมนั่นเริ่มไหวไปมา วินกระแอมอีกรอบอย่างประหม่า
 
                “ผม...ข่ะ..ข่ะ...” โว้ย!!! ทำไมมันพูดยากแท้วะ นี่สินะที่เค้าว่าตอนทำผิดทำโดยไม่ต้องคิดหรือพูดอะไรให้มันมากความ แต่พอจะขอโทษกลับรู้สึกเหมือนมีหินหนักซักร้อยตันมาถ่วงปาก
 
   “ถ้าการจะพูดคำว่าขอโทษซักคำมันยากนักก็ไม่ต้องลำบากหรอกคู๊ณ” จิค่อนแคะเข้าให้หนึ่งดอก นั่นทำให้คนขี้เก๊กถึงกับสวนกลับ
 
                “ปั่ดโธ่เอ๊ย ผมกำลังจะพูดอยู่นี่ไง ผมขอโทษที่ต่อยปากคุณแม้ว่าจริงๆ ผมอยากจะต่อยเจ้านายคุณมากกว่า ผมขอโทษที่ว่าคุณเรื่องที่คุณพูดมาก พอใจยัง”
 
                “พอใจก็ได้” จิเปลี่ยนท่าทางแทบจะทันที รอยยิ้มสดใสถูกแต่งแต้มประดับบนใบหน้าบรรยากาศในรถเหมือนเจอพายุฝนที่กำลังตั้งเค้าอยู่ๆ ฟ้าก็เปิดจนสว่างไสวอีกแป๊บเทเลทับบี้คงวิ่งออกมาทักทาย
 
                “นี่คุณ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” จิหันมาเลิกคิ้ว
 
                “เจ้านายของคุณน่ะรวยมากมั้ย เท่าที่ดูก็น่าจะรวยอยู่แต่รวยขนาดไหน พันล้านได้ป่าว”
 
                “โอ๊ยคุณ” จิส่งเสียงหัวเราะดังลั่นรถเมื่อคำถามที่ได้ยินคุณเลขาคิดว่ามันโคตรจะติงต๊อง
                “เจ้านายของผมน่ะรวยมากรวยแบบสะสมไปกินไปใช้ชาติหน้าได้เลย เฉพาะธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ใช่ของครอบครัวก็หลักพันล้านแหล่ะแต่ถ้ารวมอสังหากับหุ้นที่ถืออยู่ในทุกธุรกิจผมไม่รู้ว่ากี่หมื่นล้าน ยังไงถ้านายท่านวางมือทุกอย่างก็ตกเป็นของนายน้อยทั้งหมด”
 
                “แล้วเค้านิสัยยังไง เจ้าชู้มั้ย เพลย์บอย รักใครรักจริงหรือรักหวังฟัน”
 
   “นี่คุณ...ผมจะบอกอะไรให้นะ คนอย่างนายน้อยของผมน่ะไม่เคยชายตาแลใครมาก่อนเลย ขนาดยัยจัสที่เอานมถูแขนแล้วถูแขนอีกนายน้อยยังไม่หวั่นไหวเลย นายของผมรักใครรักจริง เมื่อรักแล้วเค้าก็จะหลงใหลคนๆ นั้นเพียงคนเดียว คุณวางใจได้ว่านายน้อยจะรักและให้เกียรติเพื่อนของคุณ เค้าจะวางคุณช่างไว้บนที่ๆสูงที่สุดทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่ปกป้องเหมือนเพื่อนของคุณคือของล้ำค่า เพราะฉะนั้นคุณก็ช่วยเปิดใจยอมรับนายของผมหน่อยเถอะนะ”
 
                “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แต่ถ้าเค้าทำให้กันต์มีความสุขได้ผมก็ยินดี ว่าแต่นี่คุณจะเข้ากรุงเทพทำไม”
 
                “ผมเข้ามาตรวจเอกสารการประชุม เอกสารผู้ถือหุ้นให้แน่ใจว่ามันจะเรียบร้อยน่ะ พรุ่งนี้นายน้อยจะถอนชื่อพ่อของคุณจัสออกจากผู้ร่วมโครงการ แล้วก็จะขอซื้อหุ้นทั้งหมดไว้เอง”
 
   “กะจะตัดบัวไม่เหลือใยเลยสินะ”
 
   “ก็ถ้าบัวมันเน่าผมว่านายน้อยคงไม่แค่ตัด นายน้อยจะถอนรากถอนโคนเลยต่างหาก”จิตอบอย่างรู้ใจเจ้านายตัวเอง
 
   พชรได้แต่นอนมองขนตาที่กระพริบปริบๆ ของคนที่เอาแต่นอนเงียบอยู่ในอ้อมกอดของตน ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจุมพิตลงบนหน้าผากเนียนอย่างแสนรัก
 
                “พรุ่งนี้ผมต้องเข้ากรุง อาจจะไปซัก 2-3 วัน คุณอยากได้อะไรมั้ยครับ”
 
                “เห็นผมเป็นคนเห็นแก่ได้หรือไง ไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกครับ ทุกวันนี้ขาดเหลืออะไรมะลิดูแลจัดหาให้ตลอด” กันต์หันหลังให้พชรใช้มือรองหัวแทนหมอน
 
                “หันมาทางนี้สิครับ นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็เหน็บกินกันพอดี” gพชรดึงตัวเด็กดื้อให้หันมานอนหงายตามเดิม รั้งกายบางให้แนบตัวมากขึ้น
 
                “อยากกอดคุณไว้แบบนี้ตลอดไม่อยากไปไหนเลย ”กระซิบเสียงแผ่วพลางใช้ปลายจมูกคลอเคลียใบหูนิ่ม
 
   “ก็ตอนนี้มีเวลากอดแล้วไงครับก็กอดให้พอใจเลย”
 
   “กันต์คุณเคยวางอนาคตไว้บ้างมั้ยครับว่าต่อไปจะทำอะไร”
 
   “ผมเหรอ เคยสิ ผมจะทำงานหาเงินเยอะๆ แล้วเปิดบริษัทของตัวเอง”
 
   “แล้วไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวบ้างเหรอครับ” พชรแกล้งถามหยั่งเชิง
 
   “ไม่นะ เรื่องการแต่งงานมีครอบครัวไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย เพราะผมโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยมั้งเลยไม่ให้ค่ากับสถาบันครอบครัว ผมโตมาแบบคนไม่มีใคร เมื่อก่อนผมลำบากมาก เวลาที่ผมมีปัญหาหรือผมท้อแท้หันไปทางไหนก็มีแค่ความว่างเปล่า ความจริงอันโหดร้ายคือผมไม่มีใคร ไม่มีใครเลย ” ปลายเสียงของกันต์แกว่งไปเล็กน้อย เขาเป็นคนเปราะบางเรื่องสถาบันครอบครัว ในใจของเขาคิดมาเสมอว่าเขาทำผิดอะไรพ่อและแม่ถึงไม่ต้องการเขา ทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาลหลังจากคลอดเขาออกมาดูโลกได้เพียงวันเดียว ความเจ็บช้ำ ความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่ต้องทนรับมาตลอดชีวิต
 
                “แต่ตอนนี้คุณมีผมนะ กันต์ ผมจะเป็นครอบครัวให้คุณเอง” พชรกอดร่างน้อยแน่นถ่ายทอดความรักทั้งหมดที่เค้ามีให้กันต์ คนตัวเล็กส่งเสียงร้องไห้แผ่วเบาอย่างคนที่พยายามสะกดกลั้นความอ่อนแอของตัวเอง
 
   “อยู่กับผม คุณรู้สึกยังไงคุณแสดงมันออกมาได้เลยนะครับ ถ้าอยากร้องก็ร้องได้เลยไม่ต้องเก็บไว้”
 
   “อย่าทิ้งผม...อย่าทิ้งผมไปไหนอีก สัญญาได้มั้ย” มือเรียวขยุ้มอกเสื้อของเพชรจนยับย่น
 
   นี่คือสิ่งที่กรกันต์กลัวที่สุด กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวการต้องอยู่เพียงลำพัง
 
   เขาไม่เคยเปิดใจรักใครเพราะความกลัว กลัวว่าวันหนึ่งคนๆ นั้นจะทิ้งเค้าไปเหมือนที่พ่อแม่ทำ
 
                “ผมสัญญา ว่าชีวิตนี้จะไม่ทิ้งคุณไปไหน จะรักและเคียงข้างคุณตลอดไป”
 
 
 
                อาหารเช้าถูกตั้งก่อนเวลาปกติราวครึ่งชั่วโมงเพราะนายน้อยต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ สองชีวิตบนโต๊ะอาหารต่างดูแลเอาใจใส่กันอย่างเงียบๆ บ้างก็ยื่นพริกไทย บ้างก็ยื่นซอสปรุงรส บ้างก็ยื่นเกลือให้กัน มะลิมองภาพคนทั้งสองอย่างสุขใจ จริงอยู่แม้ว่านางจะอยากเห็นนายน้อยลงหลักปักฐานกับผู้หญิงดีๆ ซักคน แต่เมื่อคนที่นายน้อยเลือกกลับเป็นคุณช่างที่ตอนแรกนางไม่ใคร่จะชอบซักเท่าไหร่ แต่เวลาที่ผ่านมากรกันต์พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนดีคู่ควรกับนายน้อย เด็กคนนี้ไม่เคยละโมบหรือต้องการอะไรไปมากกว่าสิ่งที่จัดหาให้ มีน้ำใจและมีสัมมาคาราวะกับคนที่อาวุโสกว่า เมตตาต่อคนรับใช้ที่อายุน้อยกว่าเสมอ นั่นทำให้กันต์กลายเป็นขวัญใจของคนทั้งเรือน  หล่อนรู้ว่าเส้นทางความรักของคนทั้งคู่อาจจะไม่ราบรื่น ยังมีนายหญิงและนายใหญ่ที่แผ่นดินใหญ่ที่นายน้อยต้องแจ้งให้ท่านทราบ แต่มะลิเชื่อว่า ความรักจะดำเนินไปตามเส้นทางของมัน ความดีจะทลายกำแพงหนานั้นได้
 
                “นายน้อยครับ รถพร้อมแล้วครับ” คนขับรถวัยกลางคนเข้ามาแจ้งเพชร ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้น กันต์ขยับตามแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารมาส่งให้
 
                “เดินทางปลอดภัยนะครับ” มือเล็กยื่นกระเป๋าให้ด้วยท่าทีเคอะเขิน แต่นั่นกลับทำให้พชรยิ้มกว้าง
 
                “ครับ แล้วจะรีบกลับมานะครับคุณภรรยา” ชายหนุ่มหอมแก้มคุณช่างฟอดใหญ่ก่อนจะหมุนตัวจากไปอย่างมีความสุข
 
                เย็นนั้นแม่บ้านเสิร์ฟอาหารให้กับกันต์คนเดียว ห้องอาหารเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น คุณช่างยกน้ำขึ้นดื่มหลังจากรับประทานไปได้นิดเดียว
 
   คิดถึง....น่าขันที่เขาคิดถึงเพชรทั้งๆ ที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมง
 
                “อิ่มแล้วเหรอคะทำไมวันนี้รับน้อยจังเลย”  มะลิถามอย่างห่วงใยก่อนพยักหน้าเรียกให้แก้วตาสาวใช้คนใหม่ที่เพิ่งมาสมัครงานเมื่อไม่กี่วันมายกสำรับไปเก็บ
 
   “อิ่มแล้วครับ วันนี้กินไม่ค่อยลง”
 
   “คิดถึงนายน้อยเหรอคะถ้างานเสร็จไวพรุ่งนี้ค่ำๆ ก็คงจะกลับ”
 
   “ป้ามะลิ...พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างเขินๆ
 
   “ไม่ต้องอายหรอกค่ะความสัมพันธ์ของคุณช่างกับนายน้อยเป็นยังไงดิฉันดูออกนะคะ อย่าลืมคนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อน “
 
   “ไม่เอาแล้วผมไม่คุยด้วยแล้ว ยังไงผมกลับห้องไปทำงานก่อนนะครับ”
 
   “ค่ะ อย่าลืมปิดหน้าต่างด้วยนะคะ สงสัยพายุจะเข้าฝนตกไม่หยุดเลยเดี๋ยวไม่สบายอีก” หญิงชราเอ่ยสำทับ กันต์รับคำก่อนจะเดินกลับห้องไปเงียบๆ ป้ามะลิตรวจตราประตูหน้าต่าง ตรวจความเรียบร้อยของตัวบ้านจนพอใจแล้วก็ค่อยๆ เดินไปหรี่ตะเกียงให้เบาไฟลง กลับไปเรือนคนรับใช้ภายในครัวปรากฏว่าบรรดาสาวใช้และคนสวนต่างนอนหลับกันระเนระนาด หญิงชราส่ายหน้าอย่างระอาใจ
 
   “อะไรกันพวกแกนี่มานอนอะไรตรงนี้ทำไมไม่เข้าไปนอนกันในห้อง ตื่นๆ แล้วนี่แก้วตาไปไหนเนี่ย” หญิงชราตบลงบนโต๊ะแต่ไม่มีใครขยับ
 
   “ตามใจ อยากนอนตากฝนหนาวตายกันตรงนี้ก็เชิญ” มะลิส่ายหน้าอย่างระอาใจ หญิงชราหันหลังจะเดินกลับห้อง พลันก็มีของแข็งบางอย่างกระทบศีรษะอย่างแรงจนหญิงชราล้มคว่ำ โลหิตแดงฉานไหนออกจากปากแผลเข้าดวงตาอันฝ้าฟาง ป้ามะลิส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด นางเงยหน้ามองรองเท้าบูทสีดำที่ก้าวเข้ามาประชิดร่าง
 
   “สวัสดีค่ะคุณแม่บ้าน ไม่เจอกันหลายวัน สบายดีมั้ยคะ” น้ำเสียงเล็กแหลมของใครบางคนที่คุ้นหูทำให้จางมะลิต้องตั้งสติแล้วเพ่งมองใบหน้านั้น
 
   “ค่ะ...คุณจัส”
 
   “ดีใจจังยังจำได้ นี่ขนาดจัสไม่ใช่คนโปรดนะคะเนี่ย โถๆๆ เจ็บมากมั้ยคะ ตอนแรกจัสก็กะว่าจะฟาดให้ตายในทีเดียว แต่สงสัยจัสมือเบาไปสินะคะ” หญิงสาวเดินวนไปรอบๆ ห้องครัวเลือกหยิบมีดปลายแหลมมาถือไว้ มะลิรวบรวมแรงที่มีค่อยๆ คลานหนีหญิงสาวที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหานางเรื่อยๆ
 
   “ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย....” นางร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา หลายครั้งที่นางเคยคิดว่า อายุปูนนี้ถ้าจะต้องตายคงไม่เสียดายชีวิต...แต่เมื่อความตายคืบคลานมาตรงหน้า ความกลัวจับขั้วหัวใจก็บังเกิด ป้ามะลิเพิ่งรับรู้ว่า ไม่มีใครอยากตายทั้งนั้นไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก อยากมีชีวิตไปจนถึงบั้นปลายที่ได้นอนหลับสบายตามที่ควรจะเป็น
 
   “คุณแม่บ้าน..จัส...คุณทำอะไรของคุณ.” กันต์ที่เดินเข้ามาในครัวชะงักกับภาพที่เห็น มะลิมองคุณช่างสลับกับจัส เลยออกไปด้านนอกชายชุดดำหลายคนปรากฏตัวขึ้นราวภูติผี
 
   “หนี....หนีไป หนีไปค่ะ”
 
   “รักกันจริงนะคะ ห่วงชีวิตตัวเองก่อนที่จะห่วงมันเถอะค่ะ เพราะยังไงคืนนี้ก็ต้องตายด้วยกันทั้งคู่” จัสเดินข้ามร่างของหญิงชราไปหากันต์ ชายหนุ่มประมวลสถานการณ์แล้ว เขาควรหนี เพราะท่าทางของจัสยามนี้คล้ายคนป่วยทางจิตไปแล้ว เมื่อหมุนตัวกลับก็พบก็ผู้ชายหลายคนที่ยืนรอท่าอยู่ด้านนอก
 
   เขาต้องคิด...จะไปทางไหนดี ด้วยขนาดตัวและจำนวนคนถ้าพุ่งปะทะเขามีแต่เสียเปรียบ ด้านหลังจัสก็พุ่งตัวเข้าใส่ คุณช่างกระโจนลงสวนด้านข้างแต่มิวายถูกปลายมีดแหลมแหวกอากาศมากระทบกับต้นแขน แม้จะแค่ถากๆ แต่ก็สร้างความเจ็บแสบได้พอควร ชายหนุ่มกุมแขนตัวเองก่อนจะวิ่งหนีไปทางเรือนทาสเก่า วินได้สั่งให้คนงานเอากุญแจประตูทางออกเล็กออกไปเมื่อวันก่อนเพราะแถวนั้นไม่มีคนสัญจรผ่านไปมาอยู่แล้ว ร่างบางวิ่งฝ่าสายฝนย่ำลงบนโคลนชื้นแฉะ ทั้งลื่น ทั้งหนาว เท้าที่ใส่เพียงสลิปเปอร์วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
   “ตามมันไป” จัสสั่งบรรดาชายชุดดำด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม หญิงสาวก้าวเท้าจะวิ่งตามไปแต่ก็พบว่ามะลิใช้แรงทั้งหมดที่นางมีรั้งขาเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
 
   “อย่า อย่าทำคุณช่าง”
 
   “รักและห่วงมันเหลือเกินนะ ห่วงตัวเองก่อนเถอะอีแก่” หญิงสาวสลัดปลายเท้าจนมะลิกระเด็นก่อนที่จะทันตั้งตัวจัสก็นั่งคร่อมงื้อมีดขึ้นสูงแล้วจ้วงแทงร่างของหญิงชราสุดแรง มีดปลายแหลมเล่มใหญ่ปักลงบนอกซ้ายนางอย่างแม่นยำมะลิสะดุ้งเฮือกก่อนจะสำลักเลือดข้นคลั่กออกมาลมหายใจสุดท้ายพรั่งพรูออกมาก่อนจะสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น หญิงสาวแค่นยิ้มใส่ศพของหญิงชราก่อนจะดึงมีดปลายแหลมออกมาจากอกของมะลิเช็ดคมมีดกับเสื้อผ้าที่หญิงชราสวมใส่อย่างเลือดเย็น เสร็จแล้วก็เดินตามกันต์และลูกน้องของพ่อเธอตามไปอย่างใจเย็น หล่อนดึงตะเกียงที่ใช้ส่องสว่างตามทางเดินออกทีละดวงแล้วปามันลงพื้น น้ำมันก๊าดกระเด็นลงบนพื้นไม้และผนัง เปลวไฟโลมเลียอย่างรวดเร็ว
 
   กันต์ผลักประตูรั้วก่อนจะมองผ่านความมืดมิด กอหญ้าสูงใหญ่กินอาณาเขตยาวทั้งสองด้าน ความมืดทำให้ขาเรียวแทบจะขยับไม่ออก
 
   เขาวิ่งพุ่งเข้าไปท่ามกลางหญ้าสูงเลยหัว ภาพในอดีตซ้อนทับกับปัจจุบันราวกับเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ทาสตัวน้อยล้มลุกคลุกคลาน ใบหญ้าคมบาดตามเนื้อตัวและใบหน้า แต่กันต์ยังคงหนี ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปที่ดงหญ้าพงใหญ่ขดตัวให้เล็กที่สุดหัวใจของกันต์เต้นไม่เป็นจังหวะ ลำพังแค่จัสคนเดียวเขาไม่มีปัญหาถ้าจะต้องสู้กัน แต่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ อีกหลายคนนั้นต่อให้สู้ยังไงเขามีแต่เสียเปรียบ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือหาทางหนี
 
                “เจอมันหรือยัง”เสียงแหลมเล็กตะโกนถามฝ่าสายฝนหลังจากที่เดินตามมาจนถึงริมน้ำ
 
                “เรากำลังหาอยู่ครับคุณจัส” ชายคนหนึ่งตะโกนรายงาน จัสแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวทันทีที่ได้รับคำตอบ
 
                “มัวแต่งมอะไรกันอยู่หามันเร็วๆ สิ ที่แค่นี้ นอกจากมันมุดดินหรือดำน้ำหนีนั่นแหละที่พวกแกจะหาไม่เจอ” จัสเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ
 
                กรกันต์หดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่ร่างกายขนาด 180 เซนติเมตร ของเขาจะทำได้
 
   แต่ในที่สุดเกมแมวล่าหนูครั้งนี้ก็สิ้นสุดเมื่อปลายกระบอกปืนลำหนึ่งจ่อที่ขมับของเขา
 
   

((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 11-02-2019 01:19:33



“เจอจนได้นะ” กันต์ถูกกระชากแขนให้ลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง ชายหนุ่มกัดฟันไม่ส่งเสียงร้องจากความร้าวเจ็บของบาดแผลที่จัสฝากไว้ กุญแจมือถูกสับลงบนข้อมือขาวทันทีชายหนุ่มถูกเหวี่ยงลงไปนั่งตรงเท้าของจัส หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็นมาให้ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าของกันต์
 
                “ไง....กลัวเหรอ” จัสใช้ปลายมีดลูบไล้บนใบหน้าของกันต์ ชายหนุ่มกัดฟันข่มความหวาดกลัว
 
                “ใบหน้าแบบไหนกันนะที่เพชรหลงใหล แบบแกนี่น่ะเหรอ ทำไมคนที่เค้าเลือกไม่ใช่ฉันกลับเป็นแก ห๊ะ ตอบฉันมาซิ๊ แกเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตของฉันทำไม” จัสวาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของกันต์อย่างระบายอารมณ์ ชายหนุ่มหน้าชาสะบัดไปตามแรงตบ เลือดไหลซึมที่มุมปากตวัดสายตามองหญิงสาวอย่างไม่พอใจ
 
                “คุณทำแบบนี้ทำไมจัส มันมีผลดีอะไร ผมจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้คุณฆ่าผมพชรก็ไม่มีทางรักคุณ ไม่มีวันรักคุณ”
 
                “ฉันไม่แคร์ ฉันไม่สนอะไรแล้ว ต่อให้เค้าไม่รักฉัน ขอแค่แกตายให้เค้าได้อยู่อย่างทรมานสาสมกับสิ่งที่เค้าทำกับฉันแค่นั้นฉันก็มีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว” จัสเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กันต์ใช้จังหวะนี้ยันเท้าถีบจนหญิงสาวหงายไปด้านหลังก่อนที่เขาจะลุกขึ้นพุ่งตัวจะหนี แต่ชายชุดดำที่ยืนรอท่าอยู่ก่อนหน้าไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามใจง่ายนักทั้งหมดกรูกันเข้ามารุมทำร้ายกันต์ ชายหนุ่มได้แต่ยกแขนปัดป้อง เจ็บไปถึงกระดูก มึนงงราวกับโดนฆ้อนทุบ ร่างบางร่วงลงไปกองกับพื้นราวลูกนกปีกหักสายตาพร่ามัวมองเห็นเท้าคู่ใหญ่ที่กำลังจะกระทืบลงมาบนร่างกายของตน กันต์กลั้นหายใจหลับตารอรอบความเจ็บปวดที่กำลังจะได้รับ กรกันต์ได้แต่ตั้งคำถามในใจซ้ำๆ ที่ชะตากรรมที่ต้องได้รับ
 
                ทำไม...ทำไมเราต้องมาพบกันมารักกันแบบนี้ด้วย  แล้ววงจรชีวิตเราสามคนก็กลับสู่วังวนเดิมๆ  ถ้าเลือกได้ผมจะไม่รักคุณเลย เพชร...ผมกลัว...กลัวการพลัดพรากจากลาของเรา ผมกลัว...กลัวที่จะไม่ได้อยู่กับคุณอีกต่อไป...ผมกลัว
 
                กันต์ลืมตาเมื่อเท้าที่จะกระทืบเค้าไม่สัมผัสกับร่างกายของเขาซักที ภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนขับรถของพชรรวมทั้งจิกับวินกำลังแลกหมัดต่อสู้กับกลุ่มชายชุดดำ จินั้นไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวเรียนศิลปะป้องกันตัวมาแต่วินนั้นแสนจะเงอะงะชายหนุ่มใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดใส่ข้อมือของชายชุดดำที่เล็งปืนใส่จิได้ทัน   ในขณะที่จิเองก็ล็อกข้อมือหมุนตัวกระทุ้งศอกใส่สีข้างของชายชุดดำอีกคนวาดขาเตะข้อพับของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  เลยไปร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากับจัส
 
   “น่ะ...นายน้อย”
 
                “หยุดเถอะครับจัส อย่าทำแบบนี้อีกเลย คุณกำลังทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์นะ”
 
                “แล้วที่มันทำลายชีวิตจัสล่ะใครจะรับผิดชอบ ทำไมจัสต้องเชื่อคุณคะ ทำไมจัสต้องไว้ชีวิตคนที่ทำลายชีวิตคู่ของเราทำไมจัสต้องปล่อยให้คุณกับมันไปเสวยสุขกันในขณะที่บ้านจัสกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย ถ้าไม่มีมันป่านนี้เราคงกำลังเตรียมงานแต่งงาน  อีกปีสองปีเราก็จะมีลูก คุณกล้าเนรคุณต่อบรรพบุรุษทำเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้ได้ยังไง”
 
                “ความรักไม่ใช่เรื่องอุบาทว์ ไม่ใช่เรื่องเนรคุณ รักก็คือรักไม่ว่ากันต์จะเป็นหญิงหรือเป็นชายไม่ว่าจะเป็นเพศไหนขอแค่เป็นเขาผมก็รัก ได้โปรดเถอะจัส สั่งคนของคุณให้หยุดเรื่องของพวกเรามันลุกลามใหญ่เกินจะแก้ไขได้แล้ว ถ้าคุณลำบากผมจะช่วยเหลือคุณ ภายในพรุ่งนี้ผมจะให้จิจัดการโอนเงินเข้าบัญชีให้คุณ มันจะทำให้คุณอยู่ได้อย่างสบายตลอดชีวิต ปล่อยพวกเราไปเถอะ นะครับผมขอร้อง”
 
                “คุกเข่าสิ...”เพชรมองหน้าจัสที่เอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มเยาะปรากฏตรงมุมปาก
 
                “คุณรักศักดิ์ศรีตัวเองแค่ไหนจัสรู้ดี จัสบอกให้คุณคุกเข่าขอร้องจัสกราบเท้าจัสให้ปล่อยคุณไปสิคะ คุณยอมหรือเปล่า ยอมก้มหัวคุกเข่าขอร้องจัสเพื่อมันมั้ยคะ” พชรจ้องหน้าจัสด้วยสายตาเรียบนิ่งหันไปมองกันต์ด้วยสายตาหวงแหน พลันร่างสูงก็คุกเข่าลงแทบเท้ามัลลิกาก้มศีรษะกราบลงแทบเท้าหล่อนอย่างขอร้อง
 
                “ได้โปรด ปล่อยพวกเราไปเถอะ ปล่อยกันต์ไปได้มั้ยครับ”

                “รักกันมากเลยเหรอคะ รักกันมากจนคุณยอมทิ้งศักดิ์ศรีที่หวงนักหวงหนาเลยใช่มั้ยคะ โอเค...ก็ได้ จัสปล่อยคุณกับมันไปก็ได้ค่ะ จัสคงสู้ความรักที่คุณมีให้กันไม่ได้ไปสิคะ ไปหาเค้า” จัสปล่อยมีดปลายแหลมให้ตกลงพื้นอย่างยอมจำนน พชรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะสวมกอดหญิงสาว
 
   “ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ” ชายหนุ่มผละกายออกก่อนจะวิ่งไปหากันต์
 
                “กันต์ ระวัง!!” อาชวินท์ตะโกนสุดเสียงเมื่อจัดการชายชุดดำคนสุดท้ายให้ลงไปนอนสลบเหมือดกับพื้น หัวใจของเขาเย็นยะเยือกเมื่อเห็นจัสล้วงปืนตรงเอวมาเล็งใส่กันต์ พชรเมื่อได้ยินเสียงของวินชายหนุ่มหันไปมองจัส เร็วกว่าความคิดเขาพุ่งเข้าบังร่างของกรกันต์ทันที
 
 
   ปัง!!
   ปัง!!
   ปัง!!
 
 
   “ไม่!!!”
 
   “นายน้อย!!!”
 
   กันต์ร้องสุดเสียงเมื่อร่างของพชรกระตุกเฮือกแล้วร่วงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเองพอดี จิรายุตะโกนเรียกผู้เป็นนายด้วยความตกตะลึง เขาทิ้งปืนในมือที่เพิ่งจะยิงเจาะร่างของจัสมินลงแล้ววิ่งไปหาผู้เป็นนาย ในขณะที่เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังอยู่ด้านนอก
 
                “กันต์ เป็นอะไรหรือเปล่า” พชรยกมือลูบหน้ากันต์ที่บัดนี้ส่งเสียงร้องไห้อย่างไม่อายใคร
 
   เขากลัว กลัวนายน้อยจะจากไป เลือดที่แผ่นหลังของนายน้อยเปรอะเปื้อนเต็มฝ่ามือ
 
                “ห่วงตัวเองก่อนเถอะคนโง่ เอาตัวมาบังผมไว้ทำไม  ทำไมต้องคอยปกป้องผมมาตลอดด้วย”
 
                “ไม่ปกป้องคุณจะให้ผมปกป้องใคร ก็คุณเป็นครอบครัวของผม อีกอย่างผมไม่ตายง่ายๆ หรอกถ้าผมตายเดี๋ยวคุณหาสามีใหม่วิญญาณผมคงอยู่ไม่เป็นสุข” กันต์หลุดขำกับคำกระเซ้านั้นหัวเราะทั้งน้ำตา
 
                “อย่าไปไหนนะ อยู่กับผม...” ร้องของคนในอ้อมกอดก่อนจะหันไปมองร่างของจัสที่ค่อยๆ คลานมาทางเขา กันต์ฝากพชรไว้กับจิก่อนจะเดินไปหาจัสที่กำลังจะหมดลมหายใจ
 
                “แกมาทำไม ไป หลบไป...” หล่อนเอ่ยปากไล่เมื่อกันต์มายืนตรงหน้า ตอนนี้หญิงสาวแค่อยากไปอยู่ใกล้พชรมากที่สุด ลมหายใจของหล่อนใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
 
                “ผมมาอโหสิกรรมให้คุณ และมาขออโหสิกรรมจากคุณจะได้มั้ยครับ เราสามคนทนทุกข์มานานเกินไปแล้ว ปล่อยวางซะเถอะนะครับ อะไรที่ผมทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจได้โปรดให้อภัยกับเราทั้งสองคนด้วย อะไรที่คุณทำกับผม ผมก็จะไม่ถือโทษโกรธเช่นกันอย่าต่อเวรผูกกรรมต่อกันอีกเลยนะครับ”
 
                “ฉัน...ฉ่ะ..ฉันอยากไปหาเค้า...” หญิงสาวไม่ตอบรับหากแต่ร้องขอที่จะได้เข้าไปอยู่ใกล้ร่างของพชร
 
                “วิน ช่วยหน่อย” กันต์เอ่ยเรียกอาชวินท์ที่นั่งใกล้จิ ในขณะที่ตำรวจเริ่มเข้ามาเคลียร์พื้นที่และจับกุมคนร้ายที่เหลือ กลุ่มบุรุษพยาบาลนำอุปกรณ์ลำเลียงผู้ป่วยมาเตรียมพร้อม วินเดินมารวบตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มแล้วนำไปวางใกล้กับนายน้อยแห่งเรือนโบราณ
 
                “เพชร...จัสขอโทษ จัสไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ” หญิงสาวใช้มือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดลูบผิวหน้าของพชร ชายหนุ่มกุมมือเธอไว้บีบเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมหญิงสาวที่กำลังอ่อนแรง
 
                “ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธคุณเลย”
 
   “จัสรักคุณนะคะ...ยกโทษให้จัสด้วย...”
 
   “ผมยกโทษให้คุณ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยความจริงใจ เขารู้ว่าสิ่งที่จัสทำเป็นเพราะหญิงสาวไม่มีทางออก
 
   “คุณเคยรักจัสบ้างมั้ยคะ...ตอบจัสหน่อย”
 
   “รักครับ...” พชรเอ่ยคำว่ารักอย่างไม่ลังเล  คำว่ารักของเขาไม่ใช่คำพูดเสแสร้ง เขารักจัสเช่นพี่ชายจะพึงรักน้องสาวคนหนึ่งได้ เขารักจัสเช่นเพื่อนจะรักเพื่อนได้ แต่คำว่ารักที่เขาเอ่ยออกมาเป็นเหมือนน้ำสะอาดที่รินรดพื้นดินอันโสโครกในใจของจัสมิน หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขา
 
                “ขอบคุณนะคะ จัสมีความสุขที่สุดเลย” หญิงสาวหันมามองกันต์
 
   “ขอโทษ...ฉันอโหสิกรรมให้พวกคุณ” เพียงสิ้นประโยคสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงบนยอดไม้ใหญ่ไกลออกไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของหญิงสาว
 
   บัดนี้คำสาปนับร้อยปีสิ้นสุดลงแล้ว กรกันต์หลับตาลงอย่างโล่งใจ
 
   เพียงแค่รู้จักที่จะให้อภัยกัน...
 
   เพียงแค่รักให้เป็น...ก็จะไม่มีใครทรมาน
 
 
 
                บริเวณโดยรอบเรือนโบราณถูกประดับประดากระดาษ ริบบิ้น รวมทั้งช่อดอกไม้ตกแต่งอย่างสวยงาน ผู้คนมากมายพากันเดินชมตามมุมต่างๆ ที่จัดแสดงของใช้โบราณที่เจ้าของเรือนรวบรวมมา โถงกลางถูกจัดวางด้วยแท่นขนาดใหญ่มีตู้กระจกที่บรรจุโครงกระดูกสองร่างที่นอนขดกอดกัน พชรและกรกันต์ยืนมองอดีตร่างของตัวเองอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรหากแต่ว่ามือของทั้งคู่กลับค่อยๆ เลื่อนมากอบกุมกันไว้
 
   ความทุกข์ทรมานที่ได้รับมาทุกพบทุกชาติจบสิ้นกันไปแล้ว
 
   หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเรือนโบราณถูกไฟไหม้ไปส่วนหนึ่งโชคดีที่ไฟไม่ได้ลุกลามไปเยอะอย่างที่ควรเป็นเพราะฝนตกหนัก โชคดีที่สุดตรงที่พชรต้องยกเลิกการประชุมเพราะผู้ถือหุ้นรายหนึ่งป่วยกะทันหัน เขาจึงตัดสินใจตีรถกลับเรือนโบราณเลย จิจึงตามกลับมาพร้อมลากอาชวินท์กลับมาด้วย ศพของมะลิถูกทำพิธีและเผาราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของพชร เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหาตัวสาวใช้ที่วางยานอนหลับในน้ำดื่มที่หนีหายไปได้และหล่อนซัดทอดว่าจัสเป็นคนว่าจ้าง ตำรวจสอบปากคำชายชุดดำซึ่งคนเหล่านั้นซัดทอดไปยังพ่อของจัส ในที่สุดเขาก็ถูกจับกุมได้ในขณะที่กำลังจะหนีออกนอกประเทศ
 
                ทีมงานต่างบูรณะเรือนโบราณขึ้นมาใหม่อีกครั้งในเวลาอันรวดเร็วโดยมีพชรคอยดูแลระหว่างพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ โชคดีที่กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ เขาเข้ารับการผ่าตัดและได้ใช้ห้องพิเศษร่วมกับกันต์ แน่นอนคนที่มาเฝ้าไม่ใช่ใครเลย คืออาชวินท์กันจิ สองคนนี้ทะเลาะกันทุกวันแต่กลับมีละอองสีชมพูฟุ้งในอากาศแปลกๆ สัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน กันต์คอยดูแลปรนนิบัติพชรไม่ได้ห่างจากตัว นอกจากเจ้าตัวจะไปคุมคนงานที่เข้ามาตกแต่งภายใน
 
   จนในที่สุดงานทุกอย่างก็ลุล่วงไปด้วยดี
 
   “จบสิ้นกันซักทีนะครับ” พชรหันมาพูดกับคนข้างๆ
 
   “นั่นสิครับ จบสิ้นกันซักที ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเวลาแค่ไม่กี่เดือนแต่เหมือนเราผ่านอะไรกันมามากมาย” กันต์กวาดตามองรอบๆ
 
   “คิดถึงมะลินะครับ ถ้าแกยังอยู่ป่านนี้คงวิ่งวุ่นทั่วเรือน” ชายหนุ่มเอ่ยถึงแม่บ้านชราที่พยายามปกป้องเขาไว้ในคืนนั้น
 
   “มะลิเสียสละเพื่อเรา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เรามาใช้ชีวิตให้มีความสุขกันเถอะนะครับ อดีตที่ผ่านมาเราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตเราสามารถกำหนดมันได้ด้วยตัวของเราเอง” พชรกระชับมือของกันต์ให้แน่นขึ้นหันมายืนเผชิญหน้ากัน
 
   “กันต์ครับ...คุณจะใช้ชีวิตคู่กับผมนับจากนี้ไปได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มหยิบตลับแหวนขึ้นมา ในนั้นมีแหวนสองวงคู่กันเขาหยิบวงหนึ่งออกมาถือไว้สายตาจ้องหน้ากันต์ที่ระบายยิ้มเต็มดวงหน้า กันต์ไม่ได้ตอบอะไรทำแค่เพียงยื่นมือไปตรงหน้าไม่นานแหวนวงนั้นก็ถูกสวมลงบนนิ้วเรียวก่อนที่กันต์จะหยิบแหวนอีกวงในมือพชรมาถือไว้แล้วสวมมันลงบนนิ้วของเขา
 
   “ห้ามทิ้งผมไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า เข้าใจมั้ยครับ”
 
   “คร๊าบผมนายหญิง” พชรแกล้งลากเสียงกระเซ้าเป็นผลให้คนตัวเล็กกว่าเอาศอกกระทุ้งสีข้างเข้าให้จนชายหนุ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ
 
   “ผมไม่ใช่นายหญิงซักหน่อย ผมคือกันต์ กันต์ของนายน้อย”
 
   “เข้าใจแล้วครับต่อไปนี้คุณเป็นของผมและผมเป็นของคุณคนเดียวแค่กันต์คนเดียวเท่านั้น”
 
   ไม่อยากจะยอมรับว่าเขินแต่ตอนนี้หัวใจของคุณช่างพองจนคล้ายจะปริแตก ไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมมีเพียงความรู้สึกรักที่ถ่ายทอดให้กันผ่านดวงตา เรื่องราวความรักอันทรมานนับร้อยปีจบลงพร้อมกับชีวิตรักบทใหม่ที่คนทั้งคู่จะช่วยกันแต่งแต้มได้เริ่มต้นขึ้นภายในสถานที่แห่งเดิม
 
จบลงแล้วสำหรับคราบน้ำตาและความสูญเสีย ต่อไปทั้งเขาและพชรจะประคับประคองความรักครั้งนี้ให้เติบโตอย่างแข็งแรง แม้ความรู้สึกครั้งแรกมันเหมือนเราจะเคยรักกันแต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าไม่ว่าชาติไหนๆ เขาก็จะรักกันด้วยความมั่นคงอย่างนี้....ตลอดไป
 
 
 
                                                                                                                                                   
  จบบริบูรณ์

......................................................

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 11-02-2019 05:19:55
ชาตินี้ได้คู่กันซะที

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-02-2019 08:29:28
 :เฮ้อ:
ขอให้เวลาที่เหลืออยู่ ของนายน้อยและกรรณ มีแต่ความสุขตลอดไปนะจ๊ะ
ว่าแต่จิ กับวินนี่ สงสัยตบจูบๆ กันต่อไปนะ อิอิอิ
จบเสียที ลุ้นซะ
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 11-02-2019 20:42:58
ชะนีถือว่าตายแบบดีๆอยู่นะ
ถ้าเป็นตัวดาวเองอินี่จะรอดไหมเนี่ย!  :beat:
แต่ก็ยินดีกับคุณพชรและคุณกันต์ด้วยนะคะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-02-2019 09:22:49
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-02-2019 13:28:49
ปาดน้ำตา

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 15-02-2019 08:59:17
 :katai2-1:ชอบมากๆกับเรื่องหลายภพหลายชาติแบบนี้อ่ะ... เรื่องราวน่่างสารมากอ่ะ.. เขียนได้ใจมากเลยจ๊ะ... เนื้อเรื่องกระชับดี.. เข้าใจจิตใจชะนีน้อยอยู่นะ.. แต่นางทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยทุกชาติเลยมั้ยเนี่ย... กรรมที่เคยจับเค้าถ่วงน้ำ.น่าจะได้รับกว่านี้เลยนะ..เธอโกรธน่ะใช่..แต่เธอโหดมากเลย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-02-2019 21:29:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 22-02-2019 11:33:39
 :-[
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 14-04-2019 12:18:16
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วนึกถึงเรื่องรอยรัก รอยอดีตเลย
ขอให้มีคนมาพบกันต์เร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 30-05-2019 18:45:59
ชอบนิยายแนวพรีเรียตค่ะ อ่านแบบย้อนยุค ได้อารมณ์ในการคิดภาพตามดี  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 31-05-2019 14:06:55
สนุกมากค่ะ
ชอบแนวนี้มากๆเลย
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 31-05-2019 22:24:38
สนุกค่ะ ปมไม่ซับซ้อนแต่เขียนออกมาได้ลื่นไหล แต่เวลาแยกพาร์ทอดีตกับปัจจุบันอยากให้เปลี่ยนตัวหนังสือเป็นตัวเอียง หรือจะเว้นบรรทัดซักหน่อยก็จะอ่านง่ายขึ้นค่ะ นี่แอบงงๆหน่อย
อยากอ่านคู่รองจังเลย คู่นี้น่าจะซัดกันมันดี 555555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-06-2019 10:12:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: สนุกมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 06-06-2019 15:11:41
มีตอนพิเศษไหมคะ อยากอ่านตอนหวานๆจังค่ะ


ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Pondering88 ที่ 06-06-2019 19:21:34
สนุกมาก อ่านไปขนลุกไป
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 29-07-2019 11:01:38
 o1 o1 o1 ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 21-09-2019 20:55:45
เรื่องน่าจะยาวกว่านี้สักหน่อยเนาะ มันรวบ ๆ ไปหน่อย
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 25-01-2020 17:44:36
ละมุนละไม


หัวใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:31:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนที่ ๑๐ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 12-11-2020 15:01:14
            “วันนี้ผมไปหาสบันงามา...” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด  กันต์ที่ยังมิอาจข่มตาให้หลับได้รู้สึกลมหายใจติดขัดแทบจะทันทีแต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดใดออกไป  แสร้งนอนนิ่งคล้ายไม่สนใจแต่ประสาทหูของกันต์ตื่นตัวเต็มที่
ไม่น่าจะใช่สบันงา ผิดยุคแล้วผิดคนแล้ว
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-11-2020 17:34:16
ก่อนอื่นขอขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ
ชอบแนวนี้มากๆ เข้ามาอ่านเพราะเห็นหัวข้อเลย
แล้วก็ไม่ผิดหวังสนุกมาก
เนื้อเรื่องกระชับไม่ยืดเยื้อ
หัวข้อ: Re: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 23-11-2020 12:57:41
ขอบคุนะคะที่เขียนแนวนี้
เราชอบมากๆเข้ามาอ่านเพราะหัวข้อด้วย
พอเริ่มอ่านก็หยุดไม่ได้เลยค่ะ :pig4: :pig4: :pig4: