(http://image.ohozaa.com/i/579/539sj.jpg)
เจสัน - แบรต
ตอนที่ 1
เจสัน ▂ ▄ █
ผมเกิดและโตในดีซี ญาติๆและคนรอบตัวของผมล้วนรักและสนใจในการเมือง ทุกคนอ่านไคร์ม แอนด์ พันนิชเม้นท์(Crime And Punishment) ซึ่งผมก็ชอบมันนะ แต่ผมชอบโรเจอร์ คอร์แมนติมากกว่า ถึงแม้ว่าหนังของเขาจะจัดเป็นหนังสยองขวัญเกรดบีก็เถอะนะ แต่เขามีความสามารถ และมีสายตาที่เฉียบคม ผู้กำกับอย่างฟรานซิส ฟอร์ด คอร์ปโปลา มาร์ติน เจมส์ คาเมรอน และอีกมากมายล้วนแต่เคยร่วมงานกับเขามาแล้วทั้งนั้น
แต่คนที่ทำให้ผมสนใจในภาพยนตร์จริงๆก็คือเดวิด ฟิชเชอร์ เพราะหลังจากที่ผมได้ดูหนังของเขาผมก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าผมจะไปแอลเอ ผมอยากเป็นนักเขียน ผมจะเขียนบทภาพยนตร์และผมจะเป็นนักเขียนบทที่ดังมากๆให้ได้ ผมจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังจากเรียนด้านการเมืองมาได้หนึ่งปี และมุ่งสู่แอลเอ ผมทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านคอฟฟี่บีนและร้านบิ้กบอยมาได้สองปีแล้ว
แต่ความตั้งใจในการเป็นนักเขียนของผมมันไม่ได้หายไปหรอกนะ เพราะหลังจากทำงานผมก็จะเริ่มงานเขียนของผมไปด้วย เพเนโลเปเพื่อนของผมที่ทำงานในดิเอเจนซี่บอกกับผมว่าบทหนังที่ผมเขียนนั้นสนุกเอามากๆ เธอแนะนำให้ผมลองไปฝึกที่โรงเรียนการเขียนเพิ่มเพราะมันอาจจะออกมาดีกว่านี้ เพราะผมยังมีช่องโหว่เรื่องภาษา ผมก็เห็นด้วยกับเธอนะ ดังนั้นผมจึงตั้งใจทำงานและส่งตัวเองเรียนไปด้วย
“เจสัน ฉันเอารายละเอียดโรงเรียนนี่มาให้นาย นายต้องส่งโปรไฟล์และงานของนายก่อนสามเดือนนะ”
“ว้าว ขอบคุณมากเพนนี คุณใจดีจริงๆ”
“ฉันว่าสิ่งที่นายทำอยู่น่ะมันทำให้ฉันประทับใจจริงๆ อ้อ ฉันอยากแนะนำให้นายรู้จักกับใครสักคน หลังเลิกงานเจอกันที่เอิร์ธคาเฟ่นะ ฉันต้องไปทำงานต่อล่ะ”
“โอเค ผมจะตั้งตารอเลยเพนนี บ๊าย” เพเนโลเปหันมายิ้มให้ผมก่อนจะยกถาดกาแฟแล้วเดินออกจากร้านไป
เอิร์ธคาเฟ่เป็นที่ที่ผมโปรดปรานมันมากที่สุดเลยล่ะ เพราะนอกจากมันจะมีของอร่อยๆ มันยังมีบรรยากาศที่เหมาะแก่การนั่งเล่นไปเรื่อยๆ มองดูผู้คนมากมายที่นี่
“ไงเจสัน” เพเนโลเปเดินมากับใครอีกคนที่ดูดีเอามากๆ เขายิ้มให้ผมจนเห็นลักยิ้มตรงแก้ม ผมมองหน้าเขาอยู่แปบนึงแล้วผมก็นึกออกว่าเขาคือลูกค้าที่แวะมาที่คอฟฟี่บีนบ่อยๆ
“ไงเพนนี” ผมลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือให้พวกเขา
“เจสันนี่แกส แกสนี่เจสัน พวกคุณคงคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วที่คอฟฟี่บีน” ผมและแกสพยักหน้าพร้อมๆกัน เพเนโลปีบอกกับผมและแกสว่าเธอจะไปต่อแถวสั่งอาหาร และให้ผมกับแกสนั่งรออยู่ที่นี่
“เพนนีบอกผมเรื่องบทหนังของคุณ เธอให้ผมอ่านก็อปปี้ที่คุณให้เธอไว้...คุณคงไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหมที่ผมจะอ่านมัน” เขายิ้มให้ผม ทำเอาผมแทบละลาย
“ไม่เลย เธอบอกผมเรื่องนี้แล้ว แต่นั่นน่ะผมยังไม่ได้แก้อะไรเลยนะ....มันแบบว่า มีช่องโหว่เยอะ คุณเข้าใจนะ” ผมบอกเขาเขินๆเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่ได้ดีอะไรมากมาย
“อืม แต่บทมันเยี่ยมจริงๆ ผมมีคนรู้จักไม่สิเรียกว่าเป็นแฟนของเพื่อนผมดีกว่าที่ทำงานด้านนี้ ไว้ผมจะแนะนำยื่นบทเรื่องนี้ให้เขาอ่านนะ...ผมหมายถึงหลังจากที่คุณแก้มันเรียบร้อยแล้ว”
“โอวพระเจ้า คุณพูดจริงงั้นเหรอ” ผมเผลอดีใจจนออกนอกหน้าไปหน่อย ทำเอาแกสหัวเราะคิกคัก เราคุยเรื่องไร้สาระกันไปซักพักเพเนโลเปก็เดินมาที่โต๊ะ
“แกส คุณหว่านเสน่ห์ใส่เจสันหรือเปล่าเนี่ย” เพเนโลเปหันไปหยอกล้อแกส หลังจากที่เธอสังเกตว่าผมและแกสพูดคุยและหัวเราะคิกคักกันจนหน้าแดงก่ำ
“เปล่าซักหน่อย เพนนี คุณนี่ชอบมองว่าผมเป็นพวกหว่านเสน่ห์อยู่เรื่อย ผมไม่ได้ทำแบบนั้นซักหน่อยน่า” แกสตอบเรียบๆราวกับว่าเขาเจอคำพูดพวกนี้จากเพเนโลเปบ่อยๆ
“โอเคที่รัก คุณไม่ได้ทำหรอกย่ะ แต่รอบๆข้างคุณแทบจะเปลือยกายถวายให้คุณอยู่แล้ว” ผมหันไปมองรอบๆก็เห็นว่าที่เพเนโลเปพูดน่ะเป็นแบบนั้นจริงๆ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย อืม..อันที่จริงอาจจะรวมผมไปด้วยนะ
“เฮ้” มีผู้ชายตัวใหญ่ๆหน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรเดินมาที่โต๊ะเรา เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆแกสแล้วหันมามองผมด้วยสายตาบอกไม่ถูก แล้วก็ต้องหันกลับไปหาแกสอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแกส
“เฮ้” แกสดึงมือเขาไปจับไว้ และดึงสายตาเขาให้มองมาที่เขา ผมว่าหมอนั่นมันดูแบดๆ และเพลย์บอยไม่เหมาะเลยจริงๆที่จะรู้จักกับแกส แต่ดูแกสอยากจะเปิดเผยเอามากๆว่าเขากับผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกัน
“คาแบลท์นี่เจสัน เจสันนี่คาแบลท์แฟนฉันเอง” ผมยิ้มทักทายให้เขา เขายิ้มให้ผม...นั่นแหละ ทำให้ผมรู้ว่าทำไมหมอนี่ถึงเป็นแฟนแกสได้ หมอนี่มันมีเสน่ห์ชวนฝันสุดๆตอนที่ยิ้มนี่เอง คุณลองคิดดูสิคนนึงหน้าตาเป็นมิตรยิ้มให้คุณ กับอีกคนนึงหน้าตาไม่ได้ดูเป็นมิตรแต่ยิ้มให้คุณ
มันให้ความรู้สึกดีนะ แต่คนที่ดูไม่เป็นมิตรยิ้มให้น่ะมันมีแนวโน้มที่ดีกว่ามาก เพราะคุณจะภูมิใจมากๆที่ทำให้คนลักษณะแบดๆไม่เป็นมิตรยิ้มให้คุณได้ ที่สำคัญเมื่อเขายิ้มออกมาแล้วมันดูเป็นยิ้มที่อบอุ่นสุดๆที่คุณจะได้จากแบดบอยคนนึง ผมไม่แปลกใจเลยล่ะว่าทำไมแกสถึงดูหลงเขาซะขนาดนั้น
เราสี่คนนั่งคุยเล่นไร้สาระกันขณะทานอาหารไปด้วย ผมพบว่าจริงๆแล้วคาแบลท์เป็นคนที่ตลกพอสมควรเลยล่ะ แล้วที่สำคัญคือเขาเป็นคนที่ฉลาดเอามากๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นนักกฎหมายหรอกนะ แต่เขาดูเป็นพวกที่มีความคิดแปลกๆดีน่ะ หลังจากที่เราทานกันเสร็จแกสก็บอกกับคาแบลท์ว่าเขาอยากได้เสื้อผ้าฝ้ายไว้ใส่ตอนไม่สบาย
“โถ่ คุณมีเสื้อผ้าฝ้ายสองตัวแล้ว คุณจำไม่ได้หรือไง”
“ช่าย แต่ตอนผมไม่สบาย คุณออกไปทำงาน ไม่มีใครดูแลผม เหงื่อผมก็ออกมากมาย ผมต้องเปลื่ยนเสื้อบ่อยๆนะฮูแซก” พวกเขาเริ่มเถียงกัน ผมและเพเนโลเปมองหน้ากัน แล้วลงความเห็นกันว่าเราควรจะลุกออกจากโต๊ะปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังจะดีกว่าไหม? แต่เราก็ตัดสินใจนั่งอยู่ที่เดิมนั่นเพราะไม่มีโต๊ะให้เราย้ายที่ออกไป
“ผมยอมให้คุณซื้อมันก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ผมมีนัดต่อนะคุณ เอาล่ะดูเพื่อนๆคุณสิ พวกเขากระอักกระอ่วนแค่ไหนที่มานั่งดูเราเถียงกันเรื่องปัญญาอ่อนเนี่ย” คาแบลท์หันไปยิ้มขำๆกับแกส ผมว่าหมอนี่มันอบอุ่นนะ อบอุ่นแบบแปลกๆ
“เจสัน พรุ่งนี้เราเจอกันอีกได้ไหม แฟนฉันไม่มีเวลาให้ฉันเลย” ผมพยักหน้าให้แกส แม้จะรู้ว่าที่เขาพูดน่ะกำลังแขวะคาแบลท์อยู่ก็เถอะ แต่ผมว่าแกสน่าจะเป็นเพื่อนที่ดี ผมน่าจะลองเป็นเพื่อนกับเขาดู
“อูวววว เพนนีดูสิ หมอนี่ได้เพื่อนเที่ยวเพิ่มอีกคนแล้ว ดูแฟนฉันสิๆ...”
“เงียบไปเหอะน้าคาแบลท์” แกสหันไปบอกคาแบลท์แบบรำคาญก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา ผมว่าพวกเขาติงต๊องพอๆกันนั่นแหละ หรืออาจจะเป็นเพราะแกสมั้ง คาแบลท์เลยดูเป็นพวกติงต๊อง
เพราะผมคุยกับคาแบลท์เขาไม่ได้ดูติงต๊อง และเป็นมิตรเหมือนตอนที่มีแกสมาร่วมวงด้วยหรอกนะ หรืออย่างที่ผมคุยกับแกส แกสดูเป็นพวกที่เป็นมิตรและดูเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์มากกว่า แต่เมื่อมีคาแบลท์มาร่วมด้วยแกสก็เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง
“อ้อเจสัน ฉันมีเพื่อนที่อยากแนะนำให้นายรู้จักด้วย นายต้องคุ้นหน้าเขาแน่ๆ เขาไปที่คอฟฟี่บีนกับฉันบ่อยมากๆ” แกสพูดไปยิ้มไป
“ผู้ชายหัวยุ่งๆหรือเปล่า” ผมหันไปถามแกส เพราะผมจำหนุ่มคนนั้นได้แม่นทีเดียวเลยล่ะ เขายืนจ้อไม่หยุดเรื่องหนังกับผมหน้าเค้าน์เตอร์ตอนไม่มีคน เขาวิจารณ์หนังได้ถูกใจผมมากๆผมเลยเลี้ยงบิสคอตติเขาชิ้นนึง
“ช่าย แล้วเขาก็ไม่สูงมาก” แกสเลี่ยงคำว่าตัวเล็กได้น่ารักมากๆ ทำเอาผมและคาแบลท์หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เขาพูดมากแบบนายด้วยใช่ไหมแกส” คาแบลท์หันไปยิ้มล้อๆให้แกส
“ช่ายเลยล่ะฮูแซก” เพเนโลเปตอบแทนโดยล้อเลียนสำเนียงแกส ทำเอาผมขำจนท้องแข็ง แกสและคาแบลท์ก็ขำไปกับเราด้วย
หลังจากวันนั้นผมก็เจอแกสทุกวัน เขามักจะมารับผมหลังจากที่ผมเลิกงาน แต่ผมไม่ค่อยเจอคาแบลท์หรอก แกสบอกกับผมว่าคาแบลท์ไม่ชอบออกไปเดินช้อปปิ้งแบบที่แกสชอบเท่าไหร่นัก อีกอย่างคือคาแบลท์กลายเป็นพวกติดงานไปแล้ว
ผมถามแกสว่ามันไม่แย่เหรอที่เขาติดงาน แกสยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ให้หมอนั่นติดงานน่ะดีที่สุดแล้ว นายเห็นเขาในแบบนี้น่ะถือว่านายโชคดีมากๆ” ผมไม่ได้ถามอะไรกับเขาต่อหรอก เพราะเขาเริ่มจมไปกับความคิดตัวเองไปแล้ว สังเกตได้จากเขาขับรถไปแล้วก็ยิ้มไปด้วย ถ้าให้เดาเขาคงกำลังนึกถึงเรื่องเก่าที่เขาเจอกับคาแบลท์มั้ง
เราไปที่เอิร์ทคาเฟ่กันแล้วตกลงกันว่าจะไปที่โอลด์เนวีต่อเพราะแกสยังไม่เลิกล้มความคิดตามหาชุดผ้าฝ้ายไว้สำหรับตอนป่วยของเขา ขณะที่กำลังมองหาโต๊ะผมก็พบกับหนุ่มน่ารักหัวยุ่งขาประจำร้านคอฟฟี่บีนที่ผมทำงานอยู่
เขากำลังยื่นขาผิวสีซีดๆของเขาโผล่ออกไปรับแสงแดด ข้างๆ มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักและออกไปทางสวยกำลังทำแบบเดียวกัน แกสหันมาบอกผมแล้วชี้ไปที่โต๊ะของพวกเขา “ดูเหมือนจะไม่มีโต๊ะ เราไปแจมกับเพื่อนฉันกันไหม” ผมพยักหน้าให้เขา
แกสเดินไปแตะไหล่เพื่อนของเขา แล้วทักเขา หลังจากที่เราแนะนำตัวกันเสร็จ เขาก็ชวนเรานั่งลงที่โต๊ะแล้วเริ่มบทสนทนากัน ซักพักก็มีผู้ชายหน้าตาดีอีกสองคนเดินมาที่โต๊ะ เนทแนะนำให้เรารู้จักกับพวกเขา คนที่ตัวใหญ่ๆหน้าตาไม่เป็นมิตรซักเท่าไหร่เป็นพี่ชายของเนท
ส่วนอีกคนที่เป็นมิตรกว่าเป็นเพื่อนของแบรตชื่อแซค แซคเป็นพวกหนุ่มขี้เล่นอัธยาศัยดี แกสหันมากระซิบกับผมว่าเขาจะไปสั่งอาหารให้ผมรออยู่ที่โต๊ะ ผมว่าแกสเป็นคนที่น่ารักมากๆเลยล่ะ เขาเป็นพวกเศรษฐีก็จริงนะแต่เขาให้เกียรติกับทุกคน ผมก็เลยนั่งคุยกับเนทและแซคระหว่างรอแกสกลับมา เพราะแบรตเอาแต่เงียบ
ซักพักพนักงานก็เสริฟอาหารของพวกเขาหลังจากที่แกสกลับมานั่งไปพักนึง แล้วอาหารของแกสและผมจึงจะตามมา หลังจากที่เรากินกันเสร็จผมกับแกสก็ขอตัวกลับก่อนเพราะเรามีแพลนที่ต้องไปต่อ
“เจสัน นายยังไม่ลืมนัดพรุ่งนี้ใช่ไหม” แกสหันมาถามผมขณะที่เรากำลังไปที่ร้านสตาร์บุ๊ค
“โอววว ฉันเกือบลืมไปเลย มื้อเที่ยงบ้านเนทใช่ไหม”
“ช่าย เนทคงจะไปรับนายเอง” ผมพยักหน้าให้เขา แล้วแยกกันไปหาหนังสือ
ช่วงบ่ายเนทมารับผมแล้วแวะร้านเบอร์เกอร์ เราลงไปสั่งเบอร์เกอร์ด้วยกันแต่เขาบอกให้ผมสั่งก่อนจากนั้นเขาก็สั่งเมนูเบอร์เกอร์ยาวเหยียดของเขาต่อ แต่ผมก็ไม่ได้ฟังหรอกนะว่ามันมีอะไรบ้าง ผมแค่รู้ว่ามันยาวเพราะเขายืนพูดกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์นานพอควรเลยล่ะ
จากนั้นเราก็ขึ้นรถ ขณะอยู่ในรถเราพูดคุยกันไปตลอดทางโดยไม่ต้องเปิดเพลงมาทำลายความเงียบ ผมว่าผมกับเนทเข้ากันได้ดีเลยทีเดียวล่ะ เนทเป็นมิตรและน่ารักแบบแปลกๆซึ่งผมว่ามันเป็นเสน่ห์ของเขาเลยล่ะ
“เจสัน นายอาจจะเจอเรื่องปวดหัวนิดหน่อยนะ” เนทหันมาบอกผมตอนที่เขากำลังจะเดินเข้าบ้านของเขา
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวนายก็จะรู้” เนทหันมาขยิบตาให้ผม
“นี่บาร์บีคิวเบอร์เกอร์ของบีเจ โอลิเวอร์และเจสัน” เนทส่งกล่องต่างๆให้เรา ขณะนั้นแบรตก็เดินมาที่เรา
“นี่บาร์บีคิวเบอร์เกอร์ของนาย” เนทยื่นกล่องเบอร์เกอร์ให้แบรตแต่เขาไม่ได้รับมันทันที
“แฮมเบอร์เกอร์ของฉันสุกกลางๆหรือเปล่า”
“ใช่”
“หั่นชิ้นและไม่หวาน”
“ใช่”
“เพิ่มซอสแยกต่างหาก”
“ใช่”
“หอมทอดด้วย”
“ใช่”
“เพิ่มขนมปังด้วย”
“พวกเขาไม่เพิ่มให้ เสียใจด้วยแบรต” เนทบอกเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ส่วนผมทำได้แค่มองพวกเขา
“นายประท้วงอย่างขึงขังหรือเปล่า”
“เปล่า”
“งั้นทำไมนายไปนานนัก”
“กินไปเหอะน่า!” คราวนี้เนทเริ่มขึ้นเสียงนิดหน่อย แบรตจึงรับกล่องเบอร์เกอร์นั่นไว้แล้วเดินมานั่งลงข้างๆผม ผมว่าผมได้กลิ่นเหล้าอ่อนๆจากตัวเขานะ นั่นทำให้ผมคิดไปว่าไอ้การเถียงกันเมื่อกี้อาจจะเกิดจากการเมาของแบรต
เขาเปิดกล่องเบอร์เกอร์และอีกกล่อง ซักพักเขาก็ลุกออกไป ขณะเดียวกันคาแบลท์และแกสกับผู้ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาทำให้ผมหันไปสนใจพวกเขาก่อนจะเบนสายตากลับมาสนใจกล่องเบอร์เกอร์ของผม
“ว้าวหอมทอด” ผมเห็นอีกกล่องที่แบรตเปิดมันวางไว้ข้างๆกล่องเบอร์เกอร์ของผมและของเขาก่อนที่เขาจะลุกออกไป ผมจึงหยิบหอมทอดขึ้นมาชิ้นนึง ทุกสายตาหันมามองผมราวกับว่าผมเป็นฆาตกร
“โอ้ว ไม่” เนทและบีเจพูดออกมาพร้อมกัน
“ทำไมเหรอ” ผมหันไปถามพวกเขา
“นั่นของแบรต เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องอาหารของเขา”
คาแบลท์ แกสและเพื่อนๆของพวกเขาพูดออกมาพร้อมกันว่า “ฉันไม่ได้ทำนะ” แล้วหันไปมองอีกทาง
ผมหันไปมองบ้างก็เห็นว่าแบรตเดินมาพร้อมกับไดเอทโค้กและแก้วน้ำแข็งของเขา เขามองมาที่ผมแล้วจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมจึงวางหอมทอดชิ้นนั้นลงไปที่เดิมแต่เขาหยิบกล่องหอมทอดนั่นขึ้นมาแล้วเอาไปทิ้งลงที่ถังขยะ ผมเดินตามเขาไปแล้วกล่าวขอโทษเขา
“ฉันขอโทษ”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะอาหารของฉัน นายทำอย่างนั้นทำไม” หมอนี่จ้องผมไม่วางตา
“ฉันไม่รู้นี่ แล้วฉันก็หิว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ซักหน่อย นายไม่เห็นต้องเทมันลงถังขยะทั้งหมดเลยนี่ พ่อจอมเรื่องมาก”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นเหรอ นายแตะมันแล้ววางมันลงไป นั่นทำให้ชิ้นอื่นเสียหายไปด้วย นายโดนสองสไตรค์”
“ห๊านายว่าไงนะ”
“หนึ่งนายแตะอาหารฉัน สองนายเรียกว่าพ่อจอมเรื่องมาก”
“โอ้ที่รัก นี่บ้านนายไม่มีรถเมล์ผ่านเลยใช่ไหม” หมอนี่มันทึ่มจริงๆ หน้าตาดีๆและหุ่นล่ำๆชวนมองของหมอนี่ไม่ได้ทำให้มันดูดีขึ้นมาเพราะความทึ่มนี่แหละ ผมจึงเดินกลับมานั่งที่ของผม
“เจสัน ฉันคิดว่าฉันอาจจะผ่อนปรนกับนาย แต่ดูเหมือนตอนนี้นายกำลังจะเป็นสมาชิกถาวรกับครอบครัวของฉัน ฉันจึงคิดว่านายควรได้รับมาตรฐานเหมือนคนอื่นๆ” ห๊ะ!ครอบครัวอะไรกัน ผมเป็นแค่เพื่อนกับเนทเองนะ หมอนี่สับสนอะไรหรือปล่าวเนี่ย
“ยินดีด้วย นายได้เป็นสมาชิกอย่างถาวรกับพวกเราแล้ว” คาแบลท์พูดล้อผม
“พวกเรา พวกเรา พวกเรา” เพื่อนของคาแบลท์พูดออกมาพร้อมกัน
“แหม ตื่นเต้นตายล่ะ” ผมถอนหายใจแล้วนั่งลงบนโซฟา
“นั่นที่ของฉัน” แบรตเดินเข้ามาบอกกับผม ผมยักไหล่ให้เขาแล้วนั่งอยู่ที่เดิม
“นี่นายล้อเล่นใช่ไหม” ผมหันไปถามแบรต มันจะอะไรนักหนากะอีแค่ที่นั่ง
“เนท เขานั่งที่ของฉัน” แบรตหันไปฟ้องเนท
“รู้แล้วๆ เจสันนายช่วยลุกไปนั่งที่นั่งของนายได้ไหม คืองี้นะ ไม่ว่ายังไงฉันคงต้องเป็นน้องของหมอนี่ไปตลอดชีวิตน่ะ” เนทหันมาบอกผมอย่างลำบากใจ
“ฉันไม่สน ฉันจะลุกขึ้นโต้แย้ง”
“ก็ได้ พอกันที นายโดนสามสไตรค์ นั่นหมายถึงนายถูกไล่ออก”
“อูวววววว สไตรค์สามแล้วไงห๊ะ” ผมหันไปถามแบรตล้อๆ
“ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”
“ไม่” ผมหันไปบอกเขา แล้วเขาก็เข้ามาอุ้มผมพาดบ่า
“ไม่ ไม่ ไม่ นี่ฉันถูกเนรเทศจริงๆเหรอเนี่ย” ผมดิ้นแล้วก็ร้องไปตลอดทาง ทุกๆคนที่อยู่ในห้องนั่นเดินตามออกมาด้วย
“ฉันขอโทษด้วยเจสัน แต่แบรตน่ะ ถ้าเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นในห้องทดลองอีกครั้งหมอนี่ก็จะกลายเป็นจอมวายร้ายที่สุดในโลกแล้วล่ะ” เนทบอกกับผม ยังกับว่าแบรตเป็นจอมวายร้ายจากพวกการ์ตูนดีซี ผมพยักหน้าเขาอย่างเข้าใจ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธเขาด้วย
คนที่ผมโกรธเพราะไร้มารยาทกับผมคือแบรต ผมจึงเดินไปประชิดตัวเขา แม้ว่าหน้าผมจะไม่ถึงหัวไหล่เขาด้วยซ้ำ แต่ผมไม่กลัวเขาหรอกนะ...อันที่จริงผมก็กลัวแหละ แต่เขาทำให้ผมอายขนาดนั้นผมจึงลืมความกลัวไปชั่วขณะหนึ่ง
“ไม่เคยมีใครเคยทำกับฉันอย่างนี้ ฉันเจสัน เมลโลวิซขอเปิดศึกกันนาย” แบรตกอดอกแล้วยิ้มเยาะให้ผมหน้าหมอนี่มันวอนส้นจริงๆให้ตายเหอะ
“ก็เอาสิ แล้วจะได้รู้กันว่าสมองระดับไอคิวมากกว่าคนปกติเกือบสามเท่าอย่างฉัน กับบาร์บี้อย่างนายใครจะชนะ”
เขาส่งเสียงฮึมมมมมน่ารังเกียจในลำคอแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับเพื่อนๆของเขา เหลือก็แต่เนท โอลิเวอร์(แฟนของเนท) แกสแล้วก็คาแบลท์ ผมจึงบอกกับเนทว่าผมคงต้องกลับแล้วจริงๆ และย้ำกับเขาว่าผมไม่โกรธเขา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกคนแรกที่ถูกเรียกว่าบาร์บี้คือน้องสาวต่างแม่ของฉัน แน่นอนเธอคือแม่ของบีเจ คนที่สองก็คือนาย ยินดีด้วยเจสัน เอาล่ะตามฉันมา ฉันจะไปส่งนายอย่างปลอดภัยเอง”คาแบลท์บอกกับผม หน้าผมตึงไปช่วยขณะ คนอื่นๆก็คงเป็นเหมือนกันกับผม
เรื่องโดย SweetSacrifice
............................................................................
นุ่น กับ เกริด้า(๐-*-๐)v ไวมากกกกกกกกกกกกกก o13
กร๊ากกกกกกกกกกกกก ชอบ!!!! o18
+ ไปเร้ยยยย
ขอขอบคุณคำผิดจากนุ่น :3123: :จุ๊บๆ: