พิมพ์หน้านี้ - ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: nicedog ที่ 18-11-2018 22:01:18

หัวข้อ: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 18-11-2018 22:01:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



สวัสดีนะคะนักอ่านทุกท่าน

วันนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

หลายคนคงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับเรากันมาบ้างแล้ว

ดีใจที่ทุกคนเปิดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กัน

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog (https://www.facebook.com/novelistnicedog/)<<


สำหรับเรื่อง ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ เป็นนิยายแนวแฟนตาซีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากลองแต่งแต่ไม่มีโอกาสได้แต่งสักที ในที่สุดวันนี้ก็ได้แต่งตามที่ตั้งใจแล้ว นายเอกของเรื่องจะมีความซุ่มซ่ามเป็นเพื่อนสนิทที่แยกกันไม่ขากส่วนพระเอกนั้นคือราชาของโลกปิศาจที่มีนิสัยเป็นราชาอย่างแท้จริง ความสัมพันธุ์ของทั้งคู่จะเริ่มต้นและสิ้นสุดในทิศทางใดต้องตามลุ้นกันค่ะ

หวังว่าทุกคนจะหลงรักความซุ่มซ่ามและความเป๋อของวิณณ์กันนะคะ

ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกด้วยค่าาา


สารบัญ

⊰:ปฐมบท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3913188#msg3913188):⊱⊰:บงการ:วันที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3915924#msg3915924):⊱
⊰:บงการ:วันที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3918570#msg3918570):⊱⊰:บงการ:วันที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3921332#msg3921332):⊱
⊰:บงการ:วันที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3924010#msg3924010):⊱⊰:บงการ:วันที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3926346#msg3926346):⊱
⊰:บงการ:วันที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3928728#msg3928728):⊱⊰:บงการ:วันที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3931237#msg3931237):⊱
⊰:บงการ:วันที่8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3933646#msg3933646):⊱⊰:บงการ:วันที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3936252#msg3936252):⊱
⊰:บงการ:วันที่10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3938866#msg3938866):⊱⊰:บงการ:วันที่11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3941091#msg3941091):⊱
⊰:บงการ:วันที่12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3943668#msg3943668):⊱⊰:บงการ:วันที่13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3945939#msg3945939):⊱
⊰:บงการ:วันที่14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3948477#msg3948477):⊱⊰:บงการ:วันที่15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3950828#msg3950828):⊱
⊰:บงการ:วันที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3953317#msg3953317):⊱⊰:บงการ:วันที่17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3956001#msg3956001):⊱
⊰:บงการ:วันที่18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3958445#msg3958445):⊱⊰:บงการ:วันที่19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3960547#msg3960547):⊱
⊰:บงการ:วันที่20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3962212#msg3962212):⊱⊰:บงการ:วันที่21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3964299#msg3964299):⊱
⊰:⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68967.msg3966660#msg3966660):⊱



นิยายที่แต่ง

  ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45471.0)

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47133.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47401.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51956.msg3307933#msg3307933)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50864.msg3262162#msg3262162)

    Find Love  ▪พบรัก▪
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55504.msg3462361#msg3462361)

.。.:*・ ۩ Creative สรรค์สร้างรัก۩・*:.。. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57551.0)

♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59707.msg3626975#msg3626975)

◈Jurassic Foster◈ กลายพันธุ์รัก ใต้ธารา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64185.0)

My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3789747#msg3789747)

«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3886574#msg3886574)


หากสนใจสามารถเข้าไปอ่านกันได้น้าาา

จะพัฒนาฝีมือในการแต่งต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

ขอฝากผลงานกับทุกคนด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ


**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่จริงใดๆ ทั้งสิ้น***

(https://www.img.in.th/image/5JQkWJ)(https://www.img.in.th/image/5JQkWJ)

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 18-11-2018 22:04:01
⊰:ปฐมบท:⊱



การเริ่มวันใหม่มักมาพร้อมกับแสงอาทิตย์แรกของวันเสมอแต่ดูเหมือนวันนี้จะเริ่มเร็วกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องจากเสียงแปลกๆ คล้ายอะไรบางอย่างล่วงลงมากระทบพื้นดังขึ้นส่งผลให้ดวงตาสีน้ำตาลของผมค่อยๆ ลืมขึ้นทว่าภาพตรงหน้ากลับเบลอจนแทบมองไม่เห็น


จะให้มองเห็นก็คงแปลกเพราะผมเป็นคนสายตาสั้น และสั้นมากขนาดที่ถ้าไม่ใส่แว่นก็สามารถเดินขนของตรงหน้าได้ง่ายๆ แว่นทรงรีกรอบสีเงินถูกควานหาตั้งแต่บนเตียงยันหัวเตียงอย่างเร่งรีบถึงอย่างนั้นก็ยังหาไม่เจอ


“อยู่ไหนกัน” จำได้ว่าก่อนนอนวางไว้ไม่บนเตียงก็หัวเตียงนี่นา


แสงสว่างจากภายนอกมีส่องเข้ามารำไร ถ้าให้เดาเวลาในตอนนี้น่าจะอยู่ประมาณตี 5 หรือ 6 โมงเช้าเป็นแน่ ผมพยายามใช้มือคลำหาแว่นไปตามขอบเตียงจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ตามหา


“เจอแล้ว โอ๊ย!...” ยังไม่ทันได้ดีใจส่วนหัวก็กระทบกับผนังห้องอย่างแรงด้วยสาเหตุง่ายๆ คือสะดุดผ้าห่มตัวเอง เป็นโชคดีที่ไม่หงายหลังตกพื้นแต่เป็นบนเตียงนิ่มๆ ทำให้นอกจากหัวที่เจ็บแล้วส่วนอื่นก็ยังคงปลอดภัยดี


นี่เป็นกิจวัตรประจำวันปกติก่อนจะได้สวมแว่นในแต่ละวันของผม จะบอกว่าขี้ลืมก็ไม่ผิด ซุ่มซ่ามก็คงใช่และอาจบวกความเซ่อซ่าไปอีกหน่อยนี่แหละจึงเป็นตัวผม


เมื่อสวมแว่นเรียบร้อยผมไม่รอช้ารีบเดินไปเปิดประตูกระจกยังห้องรับแขกซึ่งเป็นประตูเชื่อมไปยังสวนขนาดเล็กของบ้าน เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมฟูฟ่องเพราะเพิ่งตื่นและฟูมากขึ้นไปอีกจากการลูบบริเวณที่เพิ่งโขกกำแพงไป ภาพตรงหน้าคือสวนขนาดเล็กที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่ประมาณ 3 ต้นส่วนที่เหลือเป็นต้นไม้เตี้ยๆ เกาะกลุ่มสลับกันไป


ควันสีเทาที่คละคลุ้งจนถึงเมื่อครู่ปลิวหายไปตามแรงลมพร้อมกับร่างสีดำของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุประเภทได้นอนจมกองเลือดอยู่ สนามหญ้าสีเขียวที่ผมเพิ่งลงทุนปลูกเมื่อวันก่อนบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดซะแล้ว แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี่หรอก เส้นขนสีดำยาวปกคลุมทั้งตัวอาจคล้ายคลึงกับสุนัขทว่าสุนัขปกติไม่มีตัวใหญ่ได้ขนาดนี้แถมเขาสองข้างที่งอกออกมานั่นดูยังไงก็ไม่ใช่สัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในสวนสัตว์


เสียงฝีเท้าของผมที่เดินเข้าไปใกล้เรียกดวงตาเรียวคมสีทองให้หันมาสบพร้อมเขี้ยวแหลมคมค่อยๆ เผยออกมาเช่นเดียวกับเสียงขู่รอดไรฟันนั่น ส่วนเท้าขนาดใหญ่จิกลงบนพื้นหญ้าคล้ายเป็นที่ยึดเกาะและพยายามยันตัวขึ้นในสภาพเลือดไหลอาบร่าง


“เดี๋ยว อย่าเพิ่งขยับนะ ใจเย็นๆ ก่อน” สถานการณ์ตรงหน้าทำเอาสมองที่คิดอะไรไม่ค่อยจะออกขาวโพลนจนแทบทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะตกใจกับอะไรก่อนดีด้วยซ้ำ


สติ ใช่ ตอนนี้ผมต้องมีสติ


อย่าเพิ่งรนราน ถ้าค่อยๆ คิดละก็ต้องมีทางออกอย่างแน่นอน...


“จะทำหน้าเอ๋ออีกนานไหม ไปตามชารอนมาหาข้า!” เสียงตะโกนคล้ายตหวาดดังขึ้นจากปากที่ขยับอ้าออกของสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ตรงหน้า


“...” คนฟังอย่างผมถึงกับเบิกตากว้างระหว่างก้าวถอยหลังทีละก้าว


ไม่จริง!


หูฟาดแน่ๆ มันไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะพูดภาษามนุษย์ออกมาและไม่มีทางที่ผมจะฟังภาษาสัตว์ออกด้วย ข้อสรุปเดียวที่คิดได้คือผมหูฝาด เมื่อครู่ต้องเป็นเสียงลมที่พัดผ่านประตูที่เปิดอ้าไว้จนเกิดเป็นเสียงแปลกๆ แน่นอน!


“เฮ้ย! หูหนวกรึไง บอกให้ไปตามชารอนมาหาข้า แค่ก!” พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็กระอักเลือดออกมา


“...พูดได้?” นี่มันความฝันเหรอ


ที่จริงคือผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่และเหตุการณ์ทั้งหมดนี่คือความฝันที่พอตื่นทุกอย่างก็จะกลับมาสู่สภาพปกติสินะ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?!


“ตกใจอะไรของเจ้า ชารอนอยู่ไหน”


“...คนรู้จักของคุณแม่เหรอ” ผมถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก ชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยหลายต่อหลายครั้งนั่นเป็นชื่อเดียวกับแม่ของผมที่เสียไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ไม่ได้มีมากนักจำได้ว่าท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมากแถมยังมีเส้นผมสีแดงดูโดดเด่นกว่าใครๆ ซึ่งทั้งผมและพ่อไม่รู้จักญาติทางฝ่ายแม่เลยสักคนเดียว จนมาถึงตอนนี้ผมก็ไม่เคยเจอคนรู้จักหรือแม้แต่ญาติของคุณแม่มาก่อน


ไม่สิ ตอนนี้ได้เจอแล้วคนนึง...แต่จะเรียกสรรพนามเป็นคนได้รึเปล่าล่ะ


“แม่? ยัยนั่นมีลูก? จะยังไงก็ช่างเรียกมาเร็วๆ” อีกฝ่ายเร่ง


“จะให้เรียกยังไง ก็แบบ...คุณแม่เสียไปตั้งนานแล้วครับ” ผมตัดสินใจบอกความจริงไป


“หา อย่าพูดเป็นเล่นข้าได้กลิ่นชารอน...ขยับเข้ามาใกล้ๆ นี่” อีกฝ่ายนิ่งพลางใช้ดวงตาสีทองมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า


“ฮะ?”


“ข้าสั่งให้เดินมาหาข้าไง”


“ครับ” ผมรีบก้าวยาวๆ เข้าไปใกล้สิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ทันที น้ำเสียงอันทรงอำนาจคล้ายจะฆ่าคนได้ของอีกฝ่ายทำเอาผมไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธ พอเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่มากขึ้นจมูกสีดำสนิทก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วทำท่าเหมือนกำลังดมกลิ่นผมอยู่


“...เป็นกลิ่นเจ้างั้นสิ”


“...” ผมได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงดี


“เจ้าน่ะเป็นลูกของชารอนสินะ”


“อืม ก็ใช่”


“ในเมื่อยัยนั่นไม่อยู่แล้วเจ้าก็มาทำหน้าที่แทนชารอนซะ” คำพูดแกมบังคับนั่นมาพร้อมกับดวงตาสีทองที่หรี่ลงคล้ายจะไม่ยอมรับคำปฎิเสธ


“เอ่อ...แล้ว คุณเป็นใครกัน” ผมกลั้นใจเอ่ยถามคำถามที่คาใจที่สุดออกไป


“เจ้าดูไม่ออกรึไงว่าข้าเป็นใคร”


“...” สุนัขตัวใหญ่มีเขาที่พูดภาษามนุษย์ได้


ถ้าผมตอบไปแบบนั้นเชื่อเถอะว่าต่อให้บาดเจ็บอยู่ผมก็อาจถูกขย้ำจมเขี้ยวได้ ในเมื่อพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้ผมจึงส่ายหน้าเบาๆ กลับไปแทน


“ชิ ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่รู้ข้าจะยอมบอกสักครั้ง”


“...ครับ” ผมพยักหน้ารัวๆ


“ข้าคือราชาปิศาจ”


“ฮะ?!”


สรุปแล้วนี่ผมกำลังติดอยู่ในความฝันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?!

..........................................

มาประเดิมกับบทนำค่ะ

เรื่องนี้จะอัพอาทิตย์ละตอนเช่นเคยนะคะ

หวังว่าทุกคนจะหลงรักในความน่ารักและความซุ่มซ่ามของวิณณ์กัน

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-11-2018 22:32:32
 :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-11-2018 23:35:02
“ฮะ?!”  ด้วยคน  :a5:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-11-2018 20:23:16
ราชาปีศาจก็มาาา
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 21-11-2018 06:56:22
ตกใจด้วยคน
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:ปฐมบท:⊱ 18/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 23-11-2018 16:28:17
 :L2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่1:⊱ 25/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 25-11-2018 13:08:47
⊰บงการ:วันที่1:⊱



ราชาปิศาจคือผู้มีอำนาจอยู่เหนือสุดของเหล่าปิศาจและคอยปกครองปิศาจทุกตัวให้อยู่ในกฎ ซึ่งจากที่ได้อ่านในหนังสือส่วนมากจะเป็นปิศาจที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดจึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นราชา ในนิยายหรือละครหลายๆ เรื่องมีการพูดถึงราชาปิศาจเป็นเหมือนเรื่องปกติที่สามารถเจอได้ ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นเพียงจินตนาการที่ได้รับการเติมแต่งไม่ใช่ความจริงที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้


ไม่ใช่แค่ราชาธรรมดาแต่เป็นถึงราชาปิศาจ?!


เอาเข้าไปสิ ถ้าเป็นมุกตลกก็คงพอจะขำได้แต่ดูยังไงในสถานการณ์นี้ผมไม่สามารถมองเป็นมุกหรือเรื่องตลกได้ สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ ขนดำและมีเขานี่ผมไม่สามารถมองเป็นสัตว์บนโลกได้จริงๆ


“เอ่อ...ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้รึเปล่า” ข้อมูลเดียวตอนนี้ที่มีคืออีกฝ่ายเป็นราชาปิศาจซึ่งมันน้อยเกินกว่าผมจะทำความเข้าใจได้


“สมองเจ้าไม่ดีรึไง”


“...ครับ” ผมคิดไม่นานก็พยักหน้ากลับไป สมองผมไม่ค่อยดีจริงๆ นั่นแหละ ตอนเรียนอยู่คะแนนก็ได้กลางๆ ไม่มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษนอกจากเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่มักจะถูกอาจารย์บ่นว่าให้ไปย้อมเป็นสีดำกลับซะ แม้ผมจะบอกไปแทบทุกรอบแล้วว่านี่มันคือสีผมจริงๆ ของผมก็แทบจะไม่มีใครเชื่อ


“เป็นมนุษย์ที่แปลก ไม่สิ เจ้าไม่ใช่มนุษย์เต็มตัวนี่นะ” ยามถูกดวงตาสีทองนั่นประสานมาผมรู้สึกราวกับถูกล้วงความลับอยู่เลย


“ผมเป็นมนุษย์” ต่อให้ผมอาจไม่ฉลาดเท่าไหร่แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์แน่นอน


“หึ ถ้าแม่เจ้าคือชารอนก็ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นมนุษย์ได้”


“...หมายถึงอะไร” ไม่นะ...ทำไมผมถึงรู้สึกว่ารู้คำตอบรางๆ แล้วล่ะ


“ชารอนเป็นปิศาจคนสนิทของข้า” คำว่าปิศาจถูกเน้นคล้ายกำลังบอกให้ผมเข้าใจได้สักที


“หมายความว่าผม...”


“เจ้าเป็นลูกครึ่งปิศาจ ดมจากกลิ่นก็รู้แล้ว” คำเฉลยที่ไม่ได้ผิดจากที่คิดไว้นั่นทำเอาผมถึงกับกุมขมับ


ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 30 ผมมีชีวิตธรรมดา มีเพื่อนธรรมดา จบจากมหาวิทยาลัยและทำงานธรรมดา เรียกว่าไม่ได้โดนเด่นตรงกันข้ามออกจะจืดชืดด้วยซ้ำ แล้วจะบอกเอาตอนนี้ว่าผมเป็นลูกครึ่งปิศาจงั้นเหรอ


“...คุณอาจเข้าใจผิด”


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ข้าอาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา ราชาปิศาจลำดับที่ 97 ของอาณาจักรปิศาจ เจ้าคิดว่าข้าจะแยกมนุษย์กับปิศาจไม่ออกงั้นสิ” ประโยคแนะนำตัวแสนยาวเหยียดทำเอาผมได้แต่ยืนเงียบปล่อยให้เสียงดังหูซ้ายทะลุหูขวา


ชื่อที่เพิ่งได้ยินไม่มีเคร้าโครงเหลืออยู่ในสมองเลยสักนิด


อะไรน่ะชื่อยาวๆ นั่น


“ขออีกรอบได้ไหมครับ” ผมคิดว่าจากนี้พวกเราต้องคุยกันอีกค่อนข้างยาวเพราะงั้นการจำชื่ออีกฝ่ายให้ได้เป็นสิ่งจำเป็น


“อาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา”


“อาร์ก้าโรณา” ผมเอ่ยตามหลังอีกฝ่ายพูดจบ


“ไม่ใช่ อาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกว่าท่านเบียทรีซละกัน”


“เบียทรีซ” ผมทวนชื่อซ้ำ เป็นชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนควรจะบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นชื่อของราชาปิศาจสินะ


“เติมท่านด้วย แล้วเจ้าล่ะ บอกนามของเจ้ามา”


“ผมชื่อวิณณ์ กวินทร์ ปริณญาณนันท์” ผมแนะนำตัวออกไปเช่นกัน


“วิณณ์...จากนี้เจ้าต้องมาเป็นทาสข้าแทนชารอน” เบียทรีซพูดเสียงเหี้ยม


“ทาส? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตามที่คุณพูดด้วย”


“เข้าใจอะไรยากจริง ในเมื่อชารอนเป็นทาสข้า เจ้าที่เป็นลูกก็ต้องเป็นทาสข้าเหมือนกัน” ราชาปิศาจคนนี้ดูเหมือนจะเอาแต่ใจกว่าที่คาด


นี่มันยุคไหนแล้ว


เลิกทาสไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แล้วนะ


“ผมไม่ใช่ทาสคุณ ไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับปิศาจด้วย” พูดจบผมจึงก้าวถอยหลังเตรียมกลับเข้าไปในบ้าน


“นี่เจ้ากล้าเดินหนีข้า? แค่ก! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าบอกให้หยุดไง!” เสียงตะโกนไล่หลังของราชาปิศาจนามว่าเบียทรีซไม่สามารถหยุดผมที่กลับเข้ามาในบ้านได้


เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีทว่าเรื่องราวหลายๆ อย่างดันโถมเข้าใส่มากกว่าตอนทำงานมาทั้งปีซะอีก ร่างกายของอีกฝ่ายไม่น่าจะขยับได้ดูจากบาดแผลแล้วค่อนข้างสาหัส ดีไม่ดีอาจถึงแก่ชีวิตได้


“เฮ้อ” คิดไปคิดมาสุดท้ายก็จบลงด้วยการถอนหายใจยาวก่อนจะเดินกลับออกไปหาเบียทรีซที่ใช้ดวงตาคมๆ จับจ้องมา


“เจ้ากล้ามากนะที่หนีข้า”


“ผมจะพาคุณเข้าไปในบ้านเพื่อทำแผล อย่าเพิ่งดิ้นนะ” ด้วยขนาดตัวของผมแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอุ้มสัตว์ตัวยักษ์นี่เข้าบ้านผมจึงต้องจับสองขาหน้าแล้วออกแรงลากไปตามพื้นหน้า


“อย่ามาสั่งข้า โอ๊ย! หินมันโดนข้าเห็นไหม” เสียงบ่นของเบียทรีซดังขึ้นตลอดทาง ยังดีที่ดูเหมือนเขาจะขยับตัวไม่ได้เลยทำได้แค่บ่นขืนขยับตัวได้ผมจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้


ร่างของเบียทรีซนอนแผ่อยู่บนเสื่อน้ำมันที่ผมปูวางรองไว้ล่วงหน้าระหว่างนั้นผมเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลซึ่งภายในมีทั้งขวดยาและอุปกรณ์ต่างๆ ครบครันเนื่องจากทุกๆ วันผมมักจะมีอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดอย่างเมื่อเช้าก็เพิ่งหัวโขกผนังห้องไป


ผมเริ่มจากการใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลบริเวณหน้าท้อง สีขาวของสำลีดูดซึมเลือดสีแดงซึ่งยังไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุดแม้จะใช้สำลีไปหลายสิบก้อนแล้วก็ตาม บาดแผลดูเหมือนจะลึกพอดูแถมยังกินวงกว้างลึกถึงเส้นเลือดพอดี


“ให้ผมพาไปหาหมอดีกว่าไหม” ผมไม่แน่ใจว่าแค่การล้างแผลและทายาแบบปกติจะเพียงพอรึเปล่า


“ข้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากมนุษย์” อีกฝ่ายบอกเสียงแข็ง


“เอ่อ...แต่ผมก็เป็นมนุษย์นะ”


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นลูกครึ่งปิศาจ”


“ผมเป็นมนุษย์”


“ไม่ใช่”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพราะดูแล้วว่าถึงจะเถียงยังไงก็คงไม่มีทางชนะ


หลังจากล้างแผลไปประมาณรอบที่สิบในที่สุดเลือดที่ไหลโชกก็ค่อยๆ หยุดไหลผมจึงเปลี่ยนมาใส่ยาเบตาบีนเพื่อสมานแผลตามด้วยการปิดผ้าก๊อตและพันผ้าพันแผลซ้ำอีกรอบ โชคดีที่ตลอดการพันแผลไม่ได้มีเลือดซึมออกมาเพราะถ้ามีผมคงต้องแกะออกมาใส่ยาทำแผลใหม่


“...เจ้า ดูชำนาญจังนะ”


“ฮะ? หมายถึงการทำแผลเหรอ” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจนัก บริเวณหัวที่โขกพนักห้องไปเมื่อเช้าถูกนวดเบาๆ ด้วยยาในตลับที่ใกล้หมดเนื่องจากมีเรื่องให้ต้องได้ทาทุกวัน


“อื้อ” เบียทรีซทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาคล้ายไม่ได้สนใจนัก


“ผมซุ่มซ่ามน่ะ เดินๆ อยู่บางทีก็สะดุดได้เลยค่อนข้างเก่งเรื่องการทำแผล”


“ก็เดาได้อยู่” ดวงตาคมๆ จับจ้องมาระหว่างเกยคางนอนบนขาหน้าทั้งสองข้างของตัวเอง


“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”


“ให้แค่คำถามเดียว”


“ทำไมราชาปิศาจอย่างคุณถึงได้บาดเจ็บและมาหาคุณแม่ที่นี่ล่ะครับ” ต้องใช้สมองไม่น้อยเลยที่จะรวบคำถามที่คาใจให้อยู่ในประโยคเดียว


“มันเกินหนึ่งคำถาม” เบียทรีซบอกเสียงนิ่งราวกับจะบอกว่ารู้ทันผมที่พยายามรวบคำถาม


“ผมต้องถามใหม่?”


“น่ารำคาญชะมัด ถ้าอยากรู้ก็จะบอกให้ มีใครสักคนมันกล้าวางยาข้าทำให้พลังปิศาจที่มีหายไปหมดจนต้องมาอยู่ในร่างแสนอ่อนแอแบบนี้แถมยังฉวยโอกาสตอนที่ข้าไร้พลังรอบทำร้ายข้าอีก หากไร้พลังก็มีทางเลือกแค่หนีหรือตายตรงนั้น”


“คุณเลยหนีสินะ”


“ไม่ได้หนีแค่ถอยมาตั้งหลักรอขย้ำมัน!” เบียทรีซเงยดวงตาสีทองขึ้นมาสบทันควัน


“...” ก็เป็นคนบอกเองนี่นาว่ามีแค่หนีหรือตาย การที่มาอยู่นี่ไม่ได้แปลว่าหนีมารึไง


อยากจะสวนกลับไปแต่ผมก็ตัดสินใจที่จะเงียบไว้ดีกว่า


“ชารอน แม่เจ้าเป็นคนสนิทข้าที่มาโลกมนุษย์เพื่อดูการเคลื่อนไหวพวกปิศาจในโลกมนุษย์” อาจเพราะห้องมันเงียบๆ มั้งอีกฝ่ายถึงได้พูดต่อโดยไม่มีใครถาม


“ในโลกมนุษย์มีปิศาจอยู่ด้วย?” ผมค่อนข้างตกใจเมื่อรู้ว่ามีโอกาสที่เราจะเดินสวนกับปิศาจได้ง่ายๆ


“มีสิ เยอะจะตายไป คิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีประชากรล้นโลกรึไง”


“...ผมไม่ได้คิดสักหน่อย”


“โลกมนุษย์ก็เหมือนสวนสนุกของปิศาจแหละ ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มาแกล้งทำตัวกลมกลืนเป็นมนุษย์เข้าทำงานบริษัทจนได้ตำแหน่งใหญ่โตแล้วค่อยลาออกไปสมัครที่ใหม่ ยังไงชีวิตพวกข้าก็ยืนยาวกว่าไม่รู้กี่เท่า”


“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” ในเมื่อพูดเรื่องอายุแล้วผมคงปล่อยผ่านไปไม่ได้


“จะถามอายุใครต้องบอกอายุตัวเองก่อน ไม่มีคนบอกรึไง”


“ผมอายุ 30” ว่ากันตรงๆ ก็เข้าสู่รุ่นลุงแล้วทว่าหน้าตาของผมไม่ได้แก่ตามอายุเลย มีแต่คนบอกว่าผมหน้าเหมือนเดิมตั้งแต่เรียนมัธยมปลายยันปัจจุบัน


“หึ เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานสินะ” แม้จะไม่ให้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เนื่องจากเส้นขนสีดำที่ปกคลุมอยู่แต่ฟังจากน้ำเสียงรู้ได้เลยว่าผมกำลังถูกแสยะยิ้มใส่อยู่


“เด็กที่ไหน ผมแก่แล้วนะ” ไม่มีใครเรียกคนอายุ 30 ว่าเด็กหรอก แถมยังเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลานอีก


อายุ 30 นะไม่ใช่ 3 ขวบ


“สำหรับปิศาจถือว่าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน”


“แล้วคุณล่ะอายุเท่าไหร่” ผมรีบถามกลับด้วยความอยากรู้ ฟังจากเสียงแถมยังเป็นเพื่อนของแม่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมากกว่า 60 ปี แต่ถ้าเป็นถึงราชาปิศาจอายุน่าจะมากหน่อยสัก 150 ปีละมั้ง


“230” คำตอบนั่นเท่าเอาผมดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ให้ 150 ก็นับว่ามากแล้วแต่นี่...230 ปี อายุเทียบเท่ากับวัฎจักรของมนุษย์เกือบถึง 3 คนเลย


ถ้าเป็นมนุษย์คงแก่ง่อมจนคุยไม่รู้เรื่องแล้วละมั้ง


“...ผมต้องเรียกว่าทวดไหม” ดูจากอายุที่ต่างกันเกือบ 10 รอบแล้วก็รู้สึกถึงมารยาทขึ้นมาทันที


“ข้ายังหนุ่มยังแน่น ขืนเรียกข้าจะขย้ำคอเจ้าซะ”


“ถ้างั้นสำหรับปิศาจอายุมากนี่ประมาณเท่าไหร่กัน” ถ้า 230 ยังถือว่าหนุ่มต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าแก่ล่ะ


“ถามแปลกๆ เกิน 800 ปีนั่นแหละถึงเรียกว่าแก่”


หมายความว่าอายุของปิศาจก็เหมือนกับมนุษย์เพียงแต่ตัดเลข 0 ต่อท้ายไปอีกตัวเท่านั้นเอง อย่างผมที่อายุ 30 พอตัดเลข 0 ออกก็...3 ขวบ เข้าใจเลยว่าทำไมเบียทรีซถึงบอกว่าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน


“แต่ผมเป็นมนุษย์ อายุก็น่าจะนับแบบมนุษย์สิ” จะให้ยอมรับว่าตัวเองอายุ3ขวบเมื่อเทียบกับปิศาจรึไงในเมื่อผมมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมาร่วม 30 ปีเลยนะ


“จะให้ข้าบอกอีกกี่ครั้งว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ ต่อให้มีเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งแต่ด้วยเลือดของเผ่าปิศาจอีกครึ่งก็มาพอแล้วที่มอบอายุไขอันยาวนานของปิศาจให้ เพราะงั้นทำใจซะเจ้าต้องมาเป็นทาสข้า” ประโยคแรกๆ ก็ฟังดูมีสาระดีแต่ประโยคสุดท้ายนั่นเป็นความเอาแต่ใจของเจ้าตัวชัดๆ


“ผมไม่ใช่ทาสคุณ”


“คิดจะหือกับราชาอย่างข้ารึไงเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน”


“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว” ลองออกไปถามคนอื่นดูสิว่าคนอายุ 30 มันเรียกเด็กได้รึเปล่า


“ข้าไม่สนใจคิดตามวิธีของมนุษย์หรอกนะ เอาเป็นว่าเจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง” ไม่รู้ทำไมประโยคถึงวกกลับมาเรื่องนี้ได้


“นี่เป็นคำขอร้องที่คุณจะให้คนอื่นช่วยเหรอ”


“ขอร้อง? อย่าเข้าใจผิดไปนี่ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่งและเจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดข้าวิณณ์” น้ำเสียงสุดแสนเอาแต่ใจของเบียทรีซทำเอาผมรู้สึกว่าหัวตัวเองมันเริ่มจะร้อนขึ้นๆ แล้วสิ


“คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมเหมือนกันเบียทรีซ”


ถ้าคิดว่าผมจะกลัวละก็...ก็คิดถูกแล้ว ใครจะไม่กลัวสัตว์หน้าขนตัวใหญ่ ขนดำมีเขาบ้างเล่า แต่ถึงจะกลัวแต่ผมก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงเสรีภาพของผมนับจากนี้ด้วย


“ข้าเป็นราชาปิศาจ...”


“ตอนนี้คุณเป็นแค่คนบาดเจ็บและไม่มีที่ไป!!” ผมใช้พลังทั้งหมดไปกับการสวนกลับอีกฝ่าย ไม่บ่อยนักที่ผมจะสวนกลับใครแบบนี้


“...เจ้าขึ้นเสียงใส่ข้า”


“ผมก็แค่...แบบว่า เอ่อ ขอโทษ” ไม่รู้ว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ถึงจบลงด้วยการขอโทษแบบนี้


“...เจ้ามันแปลก” อีกฝ่ายมองผมที่เพิ่งขึ้นเสียงใส่แต่ดันปิดท้ายด้วยคำขอโทษซะอย่างนั้น


“เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม” ผมลองเสนอ


“ข้อตกลง?”


“ผมไม่ใช่แม่ที่รู้จักคุณมาก่อน เพราะงั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องเป็นทั้งทาสหรือทำตามคำสั่งคุณ แต่ยังไงคุณก็เป็นเพื่อนของแม่จะให้ปล่อยไว้คงไม่ได้อีก ที่บอกว่าพลังหายไปจะสามารถกลับคืนมาได้ไหม”


“ได้สิ แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะ ถ้าข้าได้พลังกลับมาเจ้าพวกนั้นเตรียมโดนขย้ำได้เลย” น้ำเสียงอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธจนผมยังขนลุกตาม


“ถ้าอย่างนั้นจนกว่าพลังของคุณจะฟื้นก็พักอยู่ที่นี่ก่อน แต่ผมไม่ใช่ทาสหรือคนใช้คุณ”


“ข้าบาดเจ็บอยู่ เจ้าจะให้ข้าที่เจ็บดูแลตัวเอง?” เบียทรีซถามกลับ


“เอ่อ...งั้นผมจะช่วยดูแลจนกว่าแผลจะหายละกัน”


“แล้วมันต่างกับทาสหรือคนใช้ยังไงกัน”


“ต่างกันตรงความรู้สึก” ระหว่าคำว่าทาส คนรับใช้กับคนดูแลนี่ให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง


“จะยังไงก็ช่าง ข้าหิวแล้ว” ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจที่ผมพูดจริงไหมเพราะน้ำเสียงนั่นดูยังไงก็เหมือนสั่งคนใช้ให้ทำตามชัดๆ
เอาเถอะ ถือว่าดูแลคนป่วย อีกอย่างผมยังไม่ได้กินมื้อเช้าด้วย


“ในตู้มีคะน้ากับแครอทอยู่ ทำผัดคะน้าละกัน” ผมพูดพลางลุกขึ้นเตรียมเดินไปห้องครัว


“ผัก? เจ้าคิดจะใช้ราชาปิศาจกินผัก?!”


“...แล้วไม่ได้?” มันมีกฎบอกเหรอว่าห้ามให้ราชาปิศาจกินผักน่ะ


“ข้าจะกินเนื้อ และต้องเป็นเนื้อของเทอร์โรซอไมเนสสัตว์ปิศาจที่มีเนื้อรสเลิศที่สุด”


“ผมมีให้ 3 ทางเลือก ผัดคะน้า อาหารเม็ดหมาหรือจะไม่กิน” ระหว่างพูดแต่ละข้อผมชูนิ้วตามลำดับ


“เจ้าขู่ข้า”


“เปล่า” ผมส่ายหัวดิ๊กๆ ตอบ ผมไม่กล้าทำอะไรอย่างการขู่หรอกนะ


“ไม่มีเนื้อเลยรึไง” เบียทรีซถามต่ออีก


“เนื้อ...ไม่มีเลย มีเป็นไข่พอจะแทนได้รึเปล่า”


“ก็ยังดีกว่าผัก” ความหมายคือจะกินไข่สินะ


หลังจากรู้รายการอาหารที่ต้องทำผมก็ไม่รอช้าเดินไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องรับแขกนี่เอง บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังนี้เป็นมรดกเพียงอย่างเดียวที่พ่อและแม่หลงเหลือไว้ให้ ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อ 20 ปีก่อนพ่อก็เลี้ยงดูผมมาตามลำพังจนกระทั่งผมได้ทำงานในบริษัทถึงได้รู้ว่าตลอดมาพ่อปิดบังอาการป่วยของตัวมาตลอด กว่าจะได้รับการรักษาก็ช้าไปซะแล้ว ผมอาศัยอยู่คนเดียวมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว จะว่ายาวนานก็คงไม่ผิดแต่คิดอีกแง่ก็ถือว่าเร็ว


อาหารเมนูไข่ที่ผมทำเป็นเมนูแสนธรรมดาอย่างไข่ต้ม ดูจากโครงสร้างของร่างกายอีกฝ่ายคงไม่ได้กินน้อยเหมือนมนุษย์ดังนั้นผมจึงต้มไปให้ถึง 10 ฟอง ส่วนมื้อเช้าของตัวเองก็เป็นผัดคะน้าราดข้าวกินคู่กับไข่ต้มง่ายๆ ตามปะสาคนใช้ชีวิตคนเดียว ผมถือจานใส่ไข่ต้ม 10 ฟองวางตรงหน้าของเบียทรีซที่หลับตานอนนิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาสีทองสว่างนั่นลืมขึ้นพร้อมจับจ้องมายังจานที่มีไข่ต้มอยู่จนเกือบล้นจานใบน้อยๆ นี่


“น้อยไป”


“...ในตู้ผมมีแค่นี้ มีของผมอีกฟองจะเอารึเปล่า” ผมมองไข่ต้มในจานตัวเองก่อนจะเอ่ยออกไป


“ข้าไม่คิดจะแย่งอาหารเจ้าหรอกนะ ผอมขนาดนั้นกินแต่ผักรึไง” อีกฝ่ายถามกลับพลางจัดการไข่ต้มใจจานทีละฟอง


“อืม ผมชอบกินผัก” ถ้าให้เทียบระหว่างเนื้อกับผักผมคงเลือกผักเพราะกินแล้วไม่หนักหรืออืดท้องเท่าเนื้อ


“เลยขาดสารอาหารสินะ”


“ผมไม่ได้ขาดสารอาหารสักหน่อย” รูปร่างของผมไม่ได้ผอมกร่องแต่ก็ไม่ได้อ้วนหรือกำยำ เรียกว่าเป็นรูปร่างมาตรฐานของผู้ชายทั่วๆ ไป


“เถียงข้า?”


“...” ผมใช้ความเงียบเป็นคำตอบ


ไม่ได้เถียงแต่พูดความจริงต่างหาก


เบียทรีซจัดการไข่ต้ม 10 ฟองหมดในพริบตาในขณะที่ผมใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีในการกินอาหารบนจานตัวเองก่อนจะเก็บทุกอย่างไปล้างในห้องครัวตามเดิม เนื่องจากเป็นวันหยุดผมจึงไม่ต้องออกไปทำงานแถมไม่มีธุระต้องออกไปไหนเลยเดินมาเปิดโทรทัศน์ยังห้องรับแขกซึ่งร่างสีดำสนิทของเบียทรีซเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสนใจ


“ไม่ดูข่าว” เบียทรีซเอ่ยทั้งที่ควรจะเป็นผมที่เลือกช่องไม่ใช่อีกฝ่าย


“ผมอยากดูข่าว” ตอนเช้าๆ แบบนี้ต้องรับข้อมูลข่าวสารเข้าสมองถึงจะดี


“ข้าไม่ดู”


“คุณก็นอนพักไปสิ” ผมไม่ได้บอกให้ดูสักหน่อย


“ร้อนขนาดนี้จะให้ข้าหลับได้ยังไง เหนอะหนะไปทั้งตัวแล้ว” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังทำท่าแสดงอาการร้อนอบอ้าวออกมา


“ผมหันพัดลมไปทางคุณแล้วไม่น่าจะร้อนนะ” พัดลมเพียงตัวเดียวของห้องรับแขกนี้ถูกเปิดเบอร์สองและหันเข้าใส่ร่างของเบียทรีซเต็มๆ ตัวผมโดนแค่ครึ่งตัวเองมั้ง


เปิดให้ขนาดนี้ยังจะร้อนอีก?


“ร้อน ร้อนมาก...นี่ข้าอยู่ในประเทศทะเลทรายรึไงกัน”


“ประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อนชื้น คุณแค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง” ถ้าเป็นทะเลทรายต่อให้เปิดพัดลมเบอร์แรงสุดก็คงได้แต่ลมร้อนๆ อยู่ดี



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่1:⊱ 25/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 25-11-2018 13:09:15
(ต่อนะคะ)


“ร้อน...แอร์ล่ะ ที่โลกมนุษย์มีแอร์ใช่ไหม รีบเปิดสิ” ร่างสีดำสนิทขยับยืดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความร้อน เสียงหอบหายใจหนักๆ เป็นตัวบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายพูดจริง


“ห้องนี้ไม่มีหรอก”


“แล้วมีห้องไหน”


“ห้องผม...”


“พาข้าไปเดี๋ยวนี้”


“...ผมไม่ใช้คนใช้คุณนะ” รูปประโยคขอร้องมันจะแปลกเกินไปหน่อยแล้ว


“ข้าร้อน ข้าร้อน ข้าร้อนมาก” อีกฝ่ายพูดย้ำคำพูดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับจะบอกว่าถ้าไม่พาไปก็จะไม่หยุดพูด


“เฮ้อ...ก็ได้ๆ”


สุดท้ายผมเลยจำต้องออกแรงลากเสื่อน้ำมันที่มีร่างของปิศาจขนาดใหญ่นอนบาดเจ็บอยู่เข้าไปในห้องนอนตัวเองด้วยความยากลำบาก ความจริงตอนนี้ยังลำบากน้อยกว่าตอนลากมาจากสวนเยอะ อย่างน้องเสื่อน้ำมันก็ช่วยทุ่นแรงได้ไม่น้อยทีเดียว


ห้องนอนของผมมีขนาดปานกลาง เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาจะเห็นเตียงตั้งอยู่กลางห้องโดยสองข้างของเตียงมีโต๊ะตัวเล็กสำหรับตั้งขนาบข้างอยู่ถัดไปอีกนิดเป็นตู้เสื้อผ้า  ด้านในสุดของห้องเป็นห้องน้ำ นี่แหละคือทั้งหมดของห้องนอนผม เฟอร์นิเจอร์อะไรก็ไม่มีเพราะถ้าจะดูโทรทัศน์ก็จะออกไปดูห้องรับแขก โต๊ะคอมก็ไม่จำเป็นในเมื่อผมใช้โน๊ตบุ๊คที่สามารถเปิดวางบนเตียงได้


“นี่เจ้าเพิ่งย้ายบ้าน?” นี่เป็นคำถามแรกที่เบียทรีซถามยามถูกผมลากมาอยู่บริเวณพื้นว่างข้างเตียง


“เปล่า ผมอยู่บ้านนี้มาทั้งชีวิต” รีโมทแอร์ถูกหยิบเปิดก่อนจะนั่งลงบนพื้นด้านข้างเบียทรีซ บาดแผลที่เพิ่งพันผ้าไปไม่กี่ชั่วโมงบัดนี้เริ่มมีสีแดงจางๆ ซึมออกมา


“ของน้อยไป”


“ผมชอบให้ห้องโล่งๆ” พูดจบผมก็เอื้อมมือไปยังลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง อุปกรณ์ปฐมพยาบาลแบบพกพามีอยู่แทบทุกที่ของบ้านโดยเฉพาะในห้องนอนหรือห้องน้ำที่ผมมักจะเกิดอุบัติเหตุนิดๆ หน่อยๆ เสมอ


“โล่งไป...ทำอะไรน่ะ” สายตาของเบียทรีซเปลี่ยนจากสำรวจรอบห้องมาเป็นผมที่กำลังเปิดกล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาด้วยสายตาสงสัย


“ผมจะใส่ยากับเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้” ระหว่างบอกผมค่อยๆ คลายผ้าพัดแผลเปื้อนเลือดออกอย่างเบามือ


“เจ้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ทาสข้าแต่รู้ไหมว่าทาสข้ายังไม่ทำขนาดเจ้าเลย”


“ผมไม่เคยเจอทาสคุณนี่ไม่รู้หรอก ผมแค่ไม่อยากให้ผ้าพัดแผลชุ่มเลือดไปมากกว่านี้ก็แค่นั้นเอง ตอนนี้คุณยังร้อนอยู่อีกไหม” ผมถามต่อ เปิดแอร์มาได้สักระยะภายในห้องจึงเริ่มเย็นขึ้น อาจเพราะเป็นห้องโล่งๆ แอร์เลยเย็นค่อนข้างเร็ว


“ก็เย็นอยู่แต่มันเหนอะหนะตัว” เบียทรีซตอบพลางขยับตัวให้นอบราบไปกับพื้นโดยไม่สนใจว่าแผลตัวเองครูดไปกับเสื่อน้ำมันจนเป็นคราบเลือดทางยาว


“งั้นให้ผมเช็ดตัวให้ไหม น่าจะสบายตัว” สาเหตุที่รู้สึกเหนอะหนะคงเป็นเพราะไปคลุกกับหญ้าตรงสวนมาแถมยังตากแดดอีก เหงื่อคงออกภายในเส้นขนหนาๆ อยู่เป็นแน่


คำตอบที่ผมได้รับมีเพียงสายตาที่บอกว่าจะทำอะไรก็เชิญ ผมเลยไม่รอช้าลุกขึ้นเดินเข้าไปเอากะละมังใส่น้ำใบเล็กกับผ้าสะอาดอีกสองสามผืนเดินกลับมาหาเบียทรีซที่ยังคงหลับตาอยู่นิ่งๆ เสียงของลมหายใจไม่ได้หอบหนักเหมือนก่อนหน้านี้แล้วแปลว่าเขาอาจไม่ถูกกับที่ร้อนก็เป็นได้


ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ ขาผมก็พลันสะดุดบนพื้นโล่ง กะละมังใส่น้ำกระเด็นออกจากมือและร่วงลงใส่ร่างขนสีดำของเบียทรีซจนเปียกโชกราวกับกำลังอาบน้ำอยู่ก็ไม่ปาน ดวงตาสีทองสว่างลืมขึ้นพร้อมจับจ้องมายังผมที่กองราบอยู่บนพื้นในสภาพไถลหน้าไปกับกระเบื้อง


“...ข้าควรจะโกรธที่เจ้าสาดน้ำใส่ข้าหรือควรจะสงสารที่เจ้าสะดุดล้มบนพื้นราบแถมยังไถลมาซะไกลดีล่ะ”


“ขะ...ขอโทษครับ” ผมรีบพาตัวเองลุกขึ้นมาคลานเข่าเข้าไปก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายรัวๆ บาดแผลไม่ควรที่จะโดนน้ำเพราะอาจทำให้ชื้นและเป็นหนองได้ง่ายแต่ผมกลับทำน้ำหกใส่จนชุ่มโชก ไม่เพียงแค่บนเสื่อน้ำมันแต่บนพื้นห้องเองก็เจ่อนองไปด้วยน้ำทว่าพื้นห้องจะเปียกหรืออะไรก็ช่างในตอนนี้ต้องรีบเช็ดน้ำออกจากแผลโดยเร็วที่สุด


ผ้าหลายผืนที่กระจายไปตามพื้นถูกเก็บมาใช้ซับน้ำออกจากปากแผลซึ่งผมพยายามทำอย่างเบามือแต่ด้วยความรีบร้อนหรือรนเลยเผลอออกแรงกดมากเกินไปจนได้ยินเสียงซี๊ดปากเบาๆ ดังมาจากเจ้าของแผล ความสำนึกผิดเข้าจู่โจ่มฉับพลัน


“ขอโทษนะเบียทรีซ...ขอโทษ...” ระหว่างเอ่ยขอโทษมือผมก็ใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดแผลก่อนจะใส่ยาตามไปอีกรอบ แม้กระทั่งพันผ้าพันแผลเสร็จผมก็ยังคงพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนซุ่มซ่ามแต่ก็ยังไม่ระวังถือทั้งกะละมังทั้งผ้า ถ้าผมเลือกที่จะหยิบมาทีละอย่างอาจไม่จบลงแบบนี้ก็เป็นได้


“หยุดขอโทษได้แล้ว แค่โดนน้ำข้าไม่เป็นไรหรอกน่า เอาเวลาขอโทษไปจัดการตัวเองไป” คำพูดของเบียทรีซทำเอาคิ้วสองข้างของผมขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความไม่เข้าใจ


“จัดการอะไร”


“เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย?” อีกฝ่ายถามกลับ


“ไม่...โอ๊ย!” ผมถึงกับส่งเสียงร้องออกมาเมื่อปลายจมูกเย็นๆ เงยขึ้นมาสัมผัสยังแก้มข้างซ้าย ความเจ็บแปล๊บแล่นทั่วร่าง พอลองใช้สันมือแตะดูก็พบว่าแก้มซ้ายผมมีรอยเลือดจางๆ อยู่ คงมาจากเหตุการณ์เมื่อครู่แน่


“ความรู้สึกช้าเหรอวิณณ์”


“...ทำไมเพิ่งมาเจ็บเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนหน้านี้ตั้งนานไม่เห็นรู้สึกว่าเจ็บเลยสักนิดแต่พอรู้ตัวกลับเจ็บไม่หายขนาดจะล้างแผลด้วยน้ำเกลือยังเผลอสะดุ้งไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว


“ยังทายาไม่ทั่วเลย ด้านบนน่ะทาให้โดนสิ” เบียทรีซบอกโดยใช้ดวงตาคู่สวยนั่นจับจ้องมายังบริเวณแก้มซ้ายองผมอยู่ไม่ห่าง


“ตรงนี้?” ผมทำตามโดยการขยับสำลีชุบยาเลื่อนขึ้นไปอีกนิด


“ไม่ใช่ ทางขวาอีก”


“นี่ใช่ไหม”


“นั่นมันทางซ้าย ทางขวาของข้าสิ” อีกฝ่ายบ่นเมื่อผมไม่สามารถทายาได้ตรงจุดสักที


“ก็คุณไม่ได้บอกนี่ว่าขวาของใคร”


“บอกแล้วไงเมื่อกี๊”


“บอกช้าไป”


“อย่าเรื่องมาก แค่ข้ายอมบอกก็ดีเท่าไหร่แล้ว” เป็นอย่างที่ว่าแหละ เบียทรีซสามารถนอนมองผมเฉยๆ ได้แต่เขากลับเลือกที่จะช่วยบอกทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด


“ขอบคุณเบียทรีซ”


“ข้าบอกให้เจ้าเรียกว่าท่านเบียทรีซไง”


“...มันไม่ชินนี่” ถ้าให้เรียกคุณเบียทรีซก็ยังพอได้แต่ถ้าเป็นท่านให้ความรู้สึกแปลกๆ ในยุคนี้ มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่เราจะใช้คำนามเรียกว่าท่าน นอกจากจะมีตำแหน่งสูงแล้วยังต้องมีหน้าตาทางสังคมด้วย แต่พูดถึงตำแหน่งคงไม่มีตำแหน่งไหนใหญ่ไปกว่าราชาปิศาจแล้วมั้งเนี่ย


กล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาถูกเก็บเข้าที่เช่นเดียวกับกะละมังและผ้าสามสี่ผืนที่เปียกซกไปด้วยน้ำ ในจังหวะที่เปิดประตูแล้วเตรียมจะเดินเข้าห้องน้ำผมสะดุดเข้ากับมีพื้นต่างระดับจนหน้าทิ่มเข้าไปในห้องน้ำ โชคดีที่น้ำจากกะละมังหกลงในห้องน้ำไม่งั้นผมคงต้องเช็ดทำความสะอาดพื้นอีกรอบ แต่ในความโชคดีก็มีความโชคร้ายอยู่หน่อยๆ รอยถากบนแก้มซ้ายยังไม่ทันแห้งแผลใหม่บนหน้าผากก็ตามมาติดๆ แถมยังซ้ำรอยเดิมกับที่โขกผนังห้องเมื่อเช้าเลย


“ยาแก้ปวม...” ผมเปิดลิ้นชักหยิบกล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาออกมาอีกรอบนึง


“ข้าว่าไม่ต้องเก็บก็ได้มั้งไอ้กล่องนี่น่ะ เดี๋ยวก็ได้ใช้อีก” เบียทรีซลืมตาข้างนึงมองผมที่กำลังนวดยาแก้บวมบริเวณหน้าผากไปมา


“คุณรู้ได้ยังไง”


“...แล้วเจ้าจะไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาตัวเองเจ็บตัวไปกี่ครั้งแล้ว”


“รู้สิ ผมเลยซื้อกล่องปฐมพยายาบาลมาวางไว้หลายๆ ที่เผื่อใช้ยามฉุกเฉินแบบนี้” อีกฝ่ายคงพูดถึงนิสัยซุ่มซ่ามปนเป๋อๆ ของผมที่ทำตัวเองเจ็บตัวถึงสองครั้งในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


“ข้าชักสงสัยแล้วว่าเจ้าใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง”


“ฮะ?”


ที่พูดหมายถึงอะไรน่ะ

............................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกันตอนแรก

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูวิณณ์กัน

วิณณ์เป็นตัวละครที่เราวางคาแรกเตอร์ไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มคิดชื่อเรื่องหรือแม้แต่เนื้อหาหลักๆ

เราค่อนข้างชอบความน่ารักและความซุ่มซ่ามของวิณณ์มาก

ส่วนพระเอก...ก็เอาแต่ใจสมเป็นราชาล่ะน ถึงเราจะชอบความเอาแต่ใจนี้ก็ตาม 555

ขอฝากทั้งวิณณ์และเบียทรีซด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่1:⊱ 25/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-11-2018 23:07:46
ท่านปิศาจอยู่ในร่างนี้เป็นเรื่อย ๆ นะ จะย้ายไปไหน ลากไป ลากมา ดูแลง่ายดี  :katai3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่1:⊱ 25/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-11-2018 01:41:33
อ๊องทั้งคู่เลยอ่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่1:⊱ 25/11/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-11-2018 08:44:49
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่2:⊱ 2/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-12-2018 14:09:37
⊰บงการ:วันที่2:⊱



กริ๋งงง~ กริ๋งงง~


เสียงแรกของวันดังขึ้นพร้อมผมที่ปรือตาด้วยความงัวเงียอย่างถึงขีดสุด แม้จะอยากหลับตาและจมอยู่ในความฝันต่ออีกสักชั่วโมงทว่าเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้กลับไม่ยอมหยุดผมจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากใช้มือควานหานาฬิปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง ด้วยสายตาที่ไม่ดีเป็นทุนเดิมทำให้นอกจากจะมองไม่ชัดแล้วยังกะระยะไม่ค่อยถูกด้วย นั่นส่งผลให้ร่างผมร่วงลงจากเตียงเนื่องจากการกะระยะในการคว้านาฬิกาปลุกพลาด


“โอ๊ย!...” ความงัวเงียที่มีสลายไปในพริบตา ความเจ็บบริเวณคางแล่นไปทั่วร่าง


“วิณณ์ เจ้าคิดจะเจ็บตัวทุกเช้าเลยรึไง” เสียงจากคน ไม่สิ ต้องบอกว่าเสียงจากสัตว์สีดำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นถึงราชาปิศาจหรือเบียทรีซเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ สาเหตุของท่าทางแบบนั้นเป็นเพราะได้เห็นเหตุการคล้ายเดิมซ้ำๆ อยู่แทบทุกเช้า


อย่างตอนเช้าของเมื่อวานผมไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเนื่องจากเป็นวันหยุดทว่าผมดันอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาเลยเดินไปยังห้องน้ำตามปกติแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะลื่นล้มลงใส่เบียทรีซที่หลับสนิทอยู่ บริเวณที่โดนนั้นคือท้องซึ่งได้รับบาดเจ็บอยู่ การกระทำของผมส่งผลให้มีเลือดซึมออกจากปากแผลแทบจะทันที อาจเพราะเดาทางได้วันนี้เบียทรีซเลยขยับนอนห่างออกจากเตียงกว่าเดิมมาก


“...ผมก็ไม่ได้อยากเจ็บตัวสักหน่อย” ใครจะอยากตื่นเต็มตาด้วยความเจ็บปวดทุกวันกันล่ะ


“ทำไมวันนี้ต้องตั้งปลุก” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องถาม


“วันนี้ผมต้องออกไปทำงาน” เช้าวันจันทร์เป็นการทำงานวันแรกของสัปดาห์


“ทำงาน? เจ้าจะให้ข้าอยู่บ้านโดยไม่ใครดูแล?”


“คนเจ็บต้องพักผ่อนเยอะๆ คงไม่ต้องดูแลอะไรมากนอกจากทำแผลกับทำอาหารหรอกมั้ง เรื่องแผลอาบน้ำเสร็จผมจะเปลี่ยนผาพันแผลให้ส่วนอาหารเองก็จะทำเตรียมไว้ให้ด้วย” ผมบอกเบียทรีซระหว่างหยิบแว่นมาสวมพร้อมกับปิดนาฬิกาปลุกที่ยังดังไม่หยุด


“หยุดซะ” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างเงยขึ้นมาสบ สายตานั้นราวกับจะสื่อให้ทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ


“ไม่ได้ ผมมีงานค้างอยู่” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธทว่าผมไม่สามารถหยุดได้ในช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ งานในบริษัทหนักมาในช่วงนี้และผมเองก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จในวันสองวันด้วย


“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า?”


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ” ไม่รู้ว่าผมบอกประโยคนี้ไปกี่ร้อยรอบแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันผมให้เขาอยู่นี่ได้จนกว่าจะหายดีแต่ผมไม่ใช่ทาสหรือคนใช้เขา พูดแบบนั้นแต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม


“เปลี่ยนผ้าพันแผลด้วย”


“รอผมอาบน้ำเสร็จก่อนนะ”


“มื้อเช้าด้วย” อีกฝ่ายบอกต่อ


“อื้มๆ จะต้มไข่ไว้ระหว่างเปลี่ยนผ้าพันแผลนะ”


“...เจ้าลองพูดประโยคก่อนหน้านี้อีกทีซิ”


“...จะต้มไข่ไว้ระหว่างเปลี่ยนผ้าพันแผลนะ” ผมนึกก่อนเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ


“ไม่ใช่ ประโยคที่เจ้าตอบตอนข้าถามว่า เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า” เบียทรีซถอนหายใจยาวใส่ผมพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ คล้ายเอือมละอาเต็มทน


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ”


“และที่เจ้าทั้งเปลี่ยนผ้าพันแผลทั้งทำอาหารให้นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของคนใช้รึไง” คำพูดของเบียทรีซทำเอาดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความคาดไม่ถึง


“...จริงด้วย” การกระทำของผมที่ผ่านๆ มาพอลองมาย้อนนึกดูนี่มันหน้าที่ของคนใช้ชัดๆ


“เจ้านี่นะ...ไม่รีบอาบน้ำไปเดี๋ยวก็สายหรอก” อีกฝ่ายถอนหายใจอีกรอบก่อนจะไล่ผมให้ไปอาบน้ำ


“ปิศาจอย่างพวกคุณก็ทำงานด้วยเหรอ” ผมถามเพราะเบียทรีซดูเหมือนจะรู้เวลาเข้างานของมนุษย์เลยเร่งให้ผมรีบก่อนที่จะสาย


“ทำสิ ระบบหลักๆ ก็เหมือนพวกมนุษย์แต่พวกข้ามีดีกว่าเยอะ”


“ดีกว่า?”


“รีบไปอาบน้ำซะแล้วมาเปลี่ยนผ้าพันแผลกับทำมื้อเช้าให้ข้า” เบียทรีซตัดบทการสนทนาด้วยสายตาคมๆ ทำเอาผมต้องเด้งตัวลุกขึ้นคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำทันควัน


เมื่ออาบน้ำเสร็จผมจัดการต้มไข่ระหว่างรอไข่สุกก็มาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เบียทรีซ บาดแผลของเขาดีขึ้นเร็วมาก ความจริงควรจะใช้คำว่าเร็วสุดๆ จะถูกกว่า เลือดที่ไหลไม่หยุดพอผ่านไปสองวันปากแผลกลับสมานตัวแล้วมีเหลือเพียงลอยจ้ำสีแดงคล้ายอาการช้ำเท่านั้น


“ไข่ต้มผมวางไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกนะ...แล้วถ้าหิวน้ำก็เหมือนกันผมเทใส่ชามวางไว้ข้างโต๊ะ อย่าทำหกจนพื้นเปียกหรือนอนทับน้ำพวกนั้น...”


“รู้แล้วน่า อย่ามาสั่งข้า จะไปก็รีบๆ ไป” น้ำเสียงกึ่งรำคาญดังขัดประโยคที่ผมยังพูดไม่จบดี


“ก็ผม...เป็นห่วงนี่” ถึงจะต้องไปทำงานแต่ใช่ว่าผมจะไม่ห่วงอีกฝ่าย ต่อให้มีอายุกี่ร้อยปีแต่การให้อยู่บ้านตามลำพังในช่วงบาดเจ็บนี่ทำให้ผมกังวลพอสมควร


“...ข้าอยู่ได้ รีบไปซะก่อนจะสาย” ผมไม่รู้ว่าความเงียบในชั่วขณะหนึ่งคืออะไรแต่น้ำเสียงต่อมาดูอ่อนลงอย่างบอกไม่ถูก


“อืม ผมจะกลับมาตอน 5 โมงเย็นนะ” พูดจบผมจึงเดินออกไปขึ้นรถยนต์คันสีขาวซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านแล่นออกไปยังถนนใหญ่
บ้านของผมเป็นหมู่บ้านแบบเปิดใจกลางตัวเมือง การจราจรเลยค่อนข้างสะดวกเพียงแค่ขับตรงไปสุดซอยก็สามารถออกมายังถนนเส้นหลักได้ในเวลาไม่นาน สำหรับบริษัทหรือที่ทำงานของผมนั้นตั้งอยู่ติดถนนเส้นหลักนี่เลยจากบ้านผมไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น หากรถไม่ติดต่อให้ผมออกจากบ้าน 7.50 ก็ยังไปถึงที่ทำงานทันก่อน 8 โมงได้สบายๆ


ตึก 6 ชั้นขนาดกลางถูกรายล้อมไปด้วยรถขนส่งจำนวนหลายสิบคันที่เตรียมมารอรับสิ้นค้าไปกระจายต่อ บริษัทที่ผมอยู่นี้เป็นบริษัทเกี่ยวกับการแพ็คเกจตัวสินค้าตามความต้องการของลูกค้าหรือบริษัทที่มาติดต่อนั่นเอง ผมทำงานอยู่ในส่วนบัญชี เห็นแบบนี้แต่ผมจบบัญชีมาด้วยเกรดค่อนข้างดีทีเดียวแม้จะมีปัญหาหลักอยู่ที่ความซุ่มซ่ามหรือเป๋อๆ ทว่าพอเป็นตัวเลขแทบจะนับครั้งได้เลยที่ผมจะทำพลาด


ห้องทำงานบนชั้น 4 นอกจากฝ่ายบัญชีแล้วยังมีฝ่ายการตลาดอยู่ในห้องติดๆ กัน โต๊ะนั่งของผมอยู่ตรงกลางห้องที่มีพนักงานในฝ่ายอยู่ประมาณ 20 คน ตั้งแต่ผมเรียนจบมาใหม่ๆ ได้ไปสมัครเข้าทำงานในหลายๆ บริษัทแต่ด้วยเศรษฐกิจในตอนนั้นทำให้ไม่ค่อยมีบริษัทไหนเปิดรับพนักงานเพิ่มมากนักบวกกับเป็นช่วงที่รู้ว่าพ่อป่วยผมจึงไม่มีสมาธิกับการสัมภาษณ์เท่าที่ควร โชคยังดีที่บริษัทนี้ตอบรับให้ผมเข้ามาทำงานเนื่องจากตำแหน่งขาดกะทันหัน ผมในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรแถมยังดีใจด้วยซ้ำที่มีงานทำสักที แต่ความดีใจกลับสลายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ...


“วิณณ์! รายการบัญชีนี่มันอะไรทำไมยังไม่เสร็จอีกผ่านมาตั้งสองวันแล้ว ทำงานช้าขนาดนี้คิดจะให้ฉันถูกบ่นรึไง!” เสียงตวาดดังขึ้นคล้ายคำทักทายจากหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัท เธอชื่อคุณเตยเป็นผู้หญิงอายุ 40 กว่าที่มีใบหน้าและน้ำเสียงอันแข็งกร้าวเป็นเอกลักษณ์ ทุกคนในบริษัทต่างไม่กล้าฮือกับเธอเนื่องจากเป็นน้องสาวของรองประธานบริษัท


“สองวัน? ไหนหัวหน้าบอกว่าไว้ค่อยมาต่อวันจันทร์ไงครับ” เมื่อศุกร์ที่แล้วผมได้ข้อมูลมาจัดทำบัญชีแต่ตอนที่ได้มานั้นก็ปาเข้าไปตอนบ่าย 3 แล้ว ผมจึงทำไปได้แค่นิดเดียว ตอนแรกผมกะจะเอากลับไปทำที่บ้านแต่หัวหน้าบอกว่าไม่ได้รีบให้มาทำต่อวันจันทร์ยังทัน แต่พอมาวันนี้กลับพูดไปอีกอย่าง


“ฉันไปบอกแบบนั้นตอนไหนกัน คนทำบัญชีน่ะถ้าแค่เวลายังบริหารให้เรียบร้อยไม่ได้ก็อย่ามาทำ ฉันให้เวลาอีกแค่ 2 วันถ้ายังไม่เสร็จก็ไปยื่นใบลาออกซะ!” พูดเสร็จคุณเตยก็สะบัดหน้าเดินออกไปนอกห้องทันที


“ไม่รู้ไปอารมณ์เสียอะไรมา ไม่เป็นไรนะวิณณ์” พี่เจที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงๆ เนื่องจากเลยเวลาเข้างานมาแล้วในห้องจึงมีพนักงานของฝ่ายบัญชีอยู่กับพร้อมหน้า


“ครับ” ผมตอบ


“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเล็งแต่วิณณ์ด้วย” พี่โยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง


“...ความผิดผมเองแหละที่ยังทำไม่เสร็จ”


“ใช่ความผิดวิณณ์ที่ไหนล่ะ ไม่มีใครเอางานบริษัทกลับไปทำบ้านทั้งที่ยังมีเวลาเหลือขนาดนี้หรอก ตั้งแต่วิณณ์เข้ามาก็เอาแต่ชักสีหน้า ขึ้นเสียงแถมยังหาเรื่องด่าได้ตลอด” พี่โยพูดต่อ


“คนก่อนหน้านี้ก็โดนนี่ครับ” เรื่องนี้ผมได้ยินหลังจากเข้ามาทำงานได้ประมาณ 3 วันว่าคนก่อนที่ลาออกไปก็เพราะโดนคุณเตยไม่ชอบหน้าเลยทั้งหาเรื่องแกล้งให้ทำงานยาก และพอไม่ดั่งใจก็ด่าต่อหน้าทุกคนจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวและลาออกไปในที่สุด


“อาจหาที่ละบายก็ได้นะ” พี่เจออกความเห็น


“นั่นสิ ถ้าเป็นเด็กใหม่คงไม่กล้าฮืออะไรอยู่แล้ว” พี่โยพยักหน้าเห็นด้วย


“คนก่อนทนได้แค่ 3 เดือนแต่วิณณ์ทนมาตั้งหลายปีแล้วสุดยอดไปเลยนะ”


“ผมไม่อยากเปลี่ยนงานครับ” ผมบอกไปตามตรง ตัวผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงนักเพราะการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ต่างกับการเริ่มต้นใหม่ซึ่งผมค่อนข้างกังวลว่าจะทำสิ่งใหม่นั่นออกมาไม่ดี เคยคิดจะลาออกแล้วหางานใหม่แต่สุดท้ายก็ยังทำงานที่นี่มากว่า 5 ปีแล้ว


“ถ้าไม่ทันเอามาให้พี่ช่วยได้นะ” พี่เจบอกผมด้วยรอยยิ้ม


พี่คนอื่นๆ ในฝ่ายเป็นคนดีมากทั้งคอยดูแลทั้งคอยปลอบเวลาผมโดนตวาดหรือบ่น การที่พวกเขาไม่เข้ามาช่วยไม่ได้แปลว่าจะไม่ห่วง ก่อนหน้านี้เคยมีพวกพี่ๆ เข้ามาช่วยผมที่กำลังโดนบ่นเชื่อไหมว่าหัวหน้าถึงกับตบหน้าอีกฝ่ายจนแดงเถือกปิดท้ายด้วยการตบผมอีกคนข้อหาทำตัวให้คนอื่นมาสงสาร ตั้งแต่วันนั้นผมเลยบอกให้พี่ๆ ทุกคนไม่ต้องการเข้ามาช่วยผม ถ้าแค่โดนบ่นผมยังทำเป็นไม่ได้ยินได้แต่หากมีคนต้องมาโดนไปด้วยคงทำให้ผมรู้สึกแย่เอามากๆ


“ไหวครับ ของพี่เจเถอะข้อมูลจากประเทศเนปานจัดการยากกว่าของผมอีก” บริษัทนี้ไม่ได้มีแค่ลูกค้าในประเทศแต่ยังมีต่างประเทศเข้ามาใช้บริการด้วย ข้อมูลหลายๆ ตัวจึงไม่ใช่ภาษาไทย


“พี่ต้องถูกปาดคอคอแน่ถ้าทำเสร็จไม่ทันกำหนด”


“แฮะๆ” ใจจริงผมก็อยากบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มาคิดอีกทีถ้าเป็นคุณเตยก็มีสิทธิ์ที่จะทำจริง


คุยกันไม่นานพวกเราต่างก็แยกกลับไปจัดการงานของตัวเอง บนโต๊ะผมมีคอมพิวเตอร์ประจำอยู่ซึ่งทั้งวันผมนั่งพิมพ์ของมูลลงบัญชีโดยไม่แม้จะไปพักกินข้าวกลางวัน การฝืนทำงานไม่ใช่เรื่องดีผมรู้แต่มันเป็นเหมือนนิสัยที่หากมีสมาธิกับอะไรมากๆ ก็อยากจะทำต่อจนกว่าจะเสร็จ แน่นอนว่าการทำบัญชี 1 ฉบับไม่สามารถสำเร็จได้ในวันเดียว


ความคืบหน้าของงานที่มากกว่าครึ่งทำให้ผมรู้สึกภูมิใจอยู่นิดๆ ที่สามารถทำได้ขนาดนี้ในเวลา 1 วัน พอเลิกงานผมไม่รอช้าขับรถยนต์คันสีขาวของตัวเองกลับบ้านทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมไม่ว่าจะเป็นจานใส่อาหาร ชามใส่น้ำหรือแม้แต่ร่างของเบียทรีซที่นอนหมอบอยู่บนพื้นข้างโซฟาตัวยาวในท่าเดิมตั้งแต่เมื่อเช้า


ที่แตกต่างไปจากเดิมมีเพียงไข่ต้มกว่า 10 ฟองบนจานหายไปเช่นเดียวกับน้ำที่พร่องไปกว่าครึ่ง บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายได้ลุกขึ้นมาขยับร่างกายบ้างในช่วงที่ผมออกไปทำงาน


เสียงฝีเท้าของผมเรียกวงตาสีทองสว่างที่ปิดอยู่ให้ลืมขึ้นทีละนิดพร้อมส่วนหัวซึ่งถูกปกคลุมด้วยขนสีดำสนิทจะเงยขึ้นมามอง เป้าหมายของสายตานั่นไม่ใช่ตัวผมแต่เป็นบริเวณจมูกที่แดงกว่าปกติด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมเดินชนเสาตรงหน้าบ้าน


“เดินชนหรือสะดุดล้มอีกล่ะ” อีกฝ่ายถามพลางขยับตัวลุกขึ้น


“ชนเสาหน้าบ้านน่ะ”


“ความซุ่มซ่ามนั่นโยนไปให้คนอื่นบ้างเถอะจะเก็บไว้คนเดียวเลยรึไง”


“ถ้าโยนได้ผมคงโยนไปนานแล้ว” พูดเหมือนความซุ่มซ่ามมันสามารถหยิบจับและโยนมันทิ้งได้ทุกเมื่องั้นแหละ


“หัดใช้ประสาทสัมผัสซะบ้างสิ! ปิศาจอย่างพวกเราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้จากสัญชาตญาณอยู่แล้ว แค่เสายังเดินชนมันเสียชื่อปิศาจหมด!” เบียทรีซไม่บ่นเปล่ายังยกเท้าหน้าขึ้นแล้วกวักเล็กน้อยคล้ายกำลังชี้หน้าผม


“ให้มือผมเหรอ” ผมก้มลงไปนั่งบนพื้นจับมือข้างที่ยกขึ้นพร้อมเขย่าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม


“ใครให้มือเจ้ากัน! ข้าไม่ใส่หมานะ รู้ไหมว่ากำลังลามปามกับราชาปิศาจลำดับที่ 97 อย่างอาร์ชีมาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณาอยู่น่ะ...”


“ขนนุ่มจังเลย” ผมเพิ่งสังเกตอย่างจริงจังก็ตอนนี้เองว่าเส้นขนสีดำนี่นุ่มสลวยเหมือนขนแมวราคาแพงเลย ความรู้สึกยามสัมผัสนั้นช่วยทำให้ผ่อนคลายได้ ขนาดแค่จับมือยังรู้สึกดีขนาดนี้ถ้ามากกว่านี้จะฟินน่าดู


“เจ้าอยากถูกขย้ำนักสินะ เฮ้ย!” เบียทรีซถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อถูกโผลเข้ากอดซุกใบหน้าลงยังแผงขนบริเวณลำคอที่ฟูฟ่องอย่างอดใจไม่อยู่


“นุ่มจัง รู้สึกดีสุดๆ” เวลาเส้นขนนุ่มๆ นี่ขยับไปมาตามแรงขยับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหนุนก้อนเมฆอยู่เลย


“ทำอะไรของเจ้าเนี่ย”


“เพิ่งรู้ว่าขนคุณนุ่มขนาดนี้” ตอนทำแผลมัวแต่สนใจเลือดกับบาดแผลเลยไม่ได้สนใจส่วนนี้นัก


“แน่นอนสิ ข้าเป็นถึงราชาปิศาจจะให้มีขนหยาบกระด้างเหมือนพวกสามัญชนได้ที่ไหนกันล่ะ” น้ำเสียงของเบียทรีซดูจะภูมิใจกับความนุ่มของขนตัวเองอยู่ไม่น้อย


“อ่า...ขอบคุณนะ” ผมซุกแผงคอนนั่นสักพักจึงผละออกมาพร้อมเอ่ยขอบคุณ อะไรหนักๆ ในหัวปลิวหายไปหมดเลย


“ขอบคุณเพื่อ?”


“...ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมล่ะ?” ผมเอียงคอถามกลับ จะบอกว่าขอบคุณที่ให้ซุกขนนุ่มๆ มันก็ออกจะแปลกเกินไปหน่อยละมั้ง


“แล้วข้าจะไปรู้กับเจ้าไหม”


“ไม่รู้เหรอ”


“ก็ไม่รู้น่ะสิ เลิกทำหน้าเอ๋อแล้วทำมื้อเย็นได้แล้ว ข้าหิว”


“ได้ๆ โอ๊ะ...ผมลืมซื้อของนี่นา” ขาที่กำลังก้าวไปยังห้องครัวถึงกับชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมอะไรไป ตอนเช้าผมใช้วัตถุดิบทั้งหมดในตู้เย็นทำมื้อกลางวันของเบียทรีซไปแล้วตอนนี้ในตู้เลยไม่เหลือแม้แต่ไข่สักใบ


ผมตั้งใจไว้แล้วว่าขากลับจะแวะห้างไม่ก็ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาตุนไว้แต่พอถึงเวลาจริงกลับลืมเรื่องนี้สนิทเรียกว่าไม่มีอยู่ในหัวเลยก็ไม่ผิด


“ลืมซื้อก็ไปซื้อสิ”


“จริงด้วย ออกไปซื้อ...ห้างก็ไกลไป งั้นไปตลาดแถวนี้แก้ขัดไปก่อนละกัน” ผมพยายามนึกว่าแถวนี้มีห้างหรือที่ซื้อของแถวไหนบ้างซึ่งที่ที่ใกล้ที่สุดเป็นตลาดสดขนาดใหญ่อยู่ถัดจากบ้านผมไปประมาณ 5 ซอย เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว


“เนื้อ ข้าจะกินเนื้อ” เบียทรีซพูดทันที


“ได้ๆ ผมจะซื้อเนื้อมาทำอาหารให้...หว๋า~!” ด้วยความที่รีบร้อนยืนเท้าจึงพันกันจนร่างเซล้มลงไปบนพื้นกระเบื้อง โชคดีที่เบียทรีซใช้ตัวเป็นเบาะรองรับผมไม่ให้ร่างผมกระแทกกับพื้นแข็งโดยตรง


“เจ้า! จะล้มบนพื้นราบอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจฮะ” น้ำเสียงบ่นๆ นั่นแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย


“แฮะๆ”


“ไม่ต้องมายิ้ม”


“ขอบคุณที่ช่วยนะเบียทรีซ”


“ขืนหัวเจ้ากระแทกได้เป๋อกว่าเดิมแน่ แค่นี้ก็มากพอแล้ว”


“...ก็จริง” ผมคิดสักพักก่อนพยักหน้ายอมรับตรงๆ


“ข้าจะไปด้วย”


“ฮะ?” ไปไหน?


“ไปตลาดไง ข้าจะไปด้วย” เบียทรีซขยายความ


“ไม่ได้ ไม่มีทางแน่นอน ห้าม!” ผมใช้มือสองข้างทำรูปกากบาทรัวๆ ด้วยรูปลักษณ์ของเบียทรีซไม่สามารถทำเนียนกลมกลืนเป็นสุนัขตามท้องถนนได้แน่นอน แค่ขนาดตัวก็เรียกทุกสายตาให้มาจับจ้องแล้ว นี่ยังไม่รวมเขาสีดำสองข้างกับดวงตาสีทองสว่างอีก ประเด็นสำคัญคือไม่มีสุนัขที่ไหนพูดได้


ลองพาไปตลาดสิได้มีคนโทรแจ้งตำรวจชัวร์!


“ทำหน้าประหลาด”


“หน้าผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ตลาดผมจะไปคนเดียวเองไม่ต้องห่วงจะรีบกลับมา”


“ใครห่วงเจ้ากัน ให้ไปคนเดียวเกิดสะดุดทำเนื้อข้าตกถังขยะจะทำยังไง”


“ผมไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น...”


“ซุ่มซ่ามมากกว่านั้นน่ะสิ!” อีกฝ่ายสวนขณะผมยังเอ่ยไม่จบประโยค


“ยังไงคุณก็ไปไม่ได้ รูปลักษณ์เตะตามากเกินไป” ผมยืนกราน


“งั้นต้องแบบไหนถึงจะไม่แตะตา”


“ก็...ตัวเล็กกว่านี้ ไม่มีเขาแล้วก็ไม่พูด ประมาณนั้น” ถ้าทำได้ก็คงเหมือนเป็นสุนัขปกติ


“น่ารำคาญชะมัด แบบนี้พอใจรึยัง” ระหว่างพูดร่างกายของเบียทรีซก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เขาสองข้างบนหัวอยู่ๆ ก็หายไปแถมขนาดของร่างยังเล็กลงจนเหมือนสุนัขปกติที่ขนออกจะยาวรุงรังไปสักหน่อย


“...คุณแปลงร่างได้?”


“แค่ปรับให้อยู่ในรูปร่างที่อ่อนแอลงก็เท่านั้น”


“ไหนคุณบอกว่าพลังไม่มีไม่ใช่เหรอ” ผมถามต่อเพราะจำได้ว่าวันแรกที่เจอกันอีกฝ่ายบอกว่าพลังปิศาจหายไปหมดแล้วเลยจำต้องอยู่ในร่างนี้


“ยิ่งร่างเล็กท่าไหร่ก็ยิ่งใช้พลังน้อยลงเท่านั้น เจ้าคิดว่าราชาอย่างข้าอยากมาอยู่ในรูปลักษณ์อ่อนแอที่แค่โดนลมก็แทบปลิวนี่รึไง” อีกฝ่ายบ่นสลับกับเดินไปรอบๆ ผ้าพันแผลที่พันไว้ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นเนื่องจากขนาดของร่างที่เล็กลงกว่าเดิมมาก


“โดนลมไม่ปลิวหรอก” ต่อให้มีขนาดเท่าสุนัขแต่ก็เป็นสุนัขพันธ์ใหญ่โดนลมยังไงไม่มีทางปลิวแน่นอน


“ข้าแค่เปรียบเทียบ!” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยน้ำเสียงปลงๆ คงไม่คิดละมั้งว่าผมจะตอบกลับไปด้วยประโยคจริงจังแบบนั้น


“อืม ผมจะพันแผลให้ใหม่ละกัน” ผมเดินไปหยิบผ้าพันแผลใหม่ใรกล่องปฐมพยาบาลมา


“เอาอันเดิมก็ได้นี่”


“มันตกพื้นแล้ว ไม่สะอาด”


“พันๆ ไปก็จบแล้วอย่าเรื่องมาก” ถึงเบียทรีซจะบ่นแต่ก็ยอมยืนอยู่นิ่งๆ ให้ผมพันผ้าพันแผลใหม่จนเสร็จ


หลังจากนั้นผมเดินไปหยิบกระเป๋าเงินพร้อมดูหลายๆ อย่างในตู้เย็นว่ามีอะไรที่ต้องซื้อไว้อีกนอกจากพวกของสด เมื่อทุกอย่างพร้อมจึงเดินจากบ้านโดยมีเบียทรีซเดินนำหน้าไป


“คุณจะไปด้วยจริงๆ น่ะเหรอ” ผมถามย้ำระหว่างล๊อคกุญแจบ้าน


“อื้อ” น้ำเสียงกึ่งรำคาญนั่นคงเพราะผมถามคำถามเดิมมาเป็นรอบที่ 10 ได้ตั้งแต่พันผ้าพันแผลเสร็จ


“คุณห้ามเดินห่างจากผมหรือไปกัดใครนะ เป็นไปได้ก็อยู่นิ่งๆ ด้วย”


“ข้าไม่ใช่หมาที่จะต้องฟังคำสั่งเจ้า อีกอย่างข้าไม่กัดหรอกแต่จะขย้ำให้หมดลมในครั้งเดียวเลย” สายตาเอาจริงของเบียทรีซทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา


“คุณอยู่บ้านเถอะ” ผมไม่อยากเสี่ยงให้เขาไปด้วยเลย


มันอันตรายเกินไป


“รีบๆ ไปสักที” นอกจากไม่ฟังแล้วยังเดินนำผมออกไปอีกต่างหาก


“เดี๋ยว...”


“อะไรอีกเล่า!”


“...คุณไปผิดทาง” ผมบอกเสียงอ่อย


“ก็บอกแต่แรกสิ!” ทันทีที่ได้ยินเบียทรีซรีบหันหลังกลับไปอีกฝั่ง


สงสัยคงจะอายที่ไปผิดทางละมั้ง แต่มันไม่ใช่ความผิดผมนะ ก็ผมกำลังจะบอกทางอยู่หรอกแต่เจ้าตัวเล่นเดินนำด้วยใบหน้ามั่นใจแบบนั้นมันพูดลำบาก


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่2:⊱ 2/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-12-2018 14:10:03
(ต่อนะคะ)


พวกเราเดินผ่านซอยไปจนถึงสนามโล่งกว้างซึ่งบัดนี้มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่จนเกือบเต็มพื้นที่ ก่อนจะเดินเข้าตลาดผมย้ำกับเบียทรีซเป็นรอบที่ยี่สิบว่าห้ามหลุดปากพูดเด็ดขาด แค่มาเดินตลาดแล้วมีสุนัขที่ไม่ได้ใส่สายจูงตามก็เรียกว่าเป็นจุดเด่นมากพอแล้ว


เสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านในของตลาดดังขึ้นมาเป็นระลอก ได้ชื่อว่าเป็นตลาดนอกจากมีแม่ค้าและเหล่าแม่บ้านที่เดินซื้อของกันอย่างแออัดแล้วยังมีพวกสุนัขจรจัดเดินอยู่ด้วย แน่นอนว่าพวกมันไม่ปล่อยเบียทรีซที่เข้ามาในอาณาเขตของตัวเองพากันเดินเข้ามาใกล้พร้อมยกหางตั้งขึ้น เหล่าแม่ค้าและลูกค้าต่างหลีกทางไปอีกฝั่งเพราะกลัวจะโดนลูกหลง


“พ่อหนุ่ม! ไม่มีใครบอกเหรอว่าพาหมาเข้ามาเดินในนี้ เดี๋ยวก็ถูกรุมเอาหรอก” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนบอกผมที่ทำเพียงหันซ้ายหันขวาพยายามคิดหาทางออก


“ผมไม่...”


“กรรร~!” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงขู่จากเบียทรีซก็ทำเอาสุนัขที่กำลังวิ่งเข้ามาถึงกับหยุดชะงัก หางที่ตั้งขึ้นแสดงถึงอำนาจค่อยๆ ตกลงจนกระทั้งม้วนเข้าไปอยู่ใต้ท้องในเวลาไม่กี่วินาทีหลังได้ยินเสียงขู่ พอเบียทรีซก้าวเข้าไปใกล้กลุ่มของสุนัขกว่า 10 ตัวก็วิ่งหางจุกตูดกระจายกันไปคนละทาง


สงสัยพวกมันจะรับรู้ได้ว่าสุนัขตรงหน้าไม่ใช่สุนัขธรรมดาจึงรีบวิ่งหนีกันไปแบบนั้น


“ใจเย็นๆ นะ” ผมก้มลงไปลูบแผงขนสีดำสนิทเพื่อบรรเทาอารมณ์หงุดหงิดปนรำคาญที่แผ่ออกมรอบตัว


“กล้ามานะที่มาแสดงอำนาจต่อหน้าข้า...”


“ชู่!” ผมรีบตะครุบปากอีกฝ่ายไม่ให้พูดไปมากกว่า เหล่าแม่บ้านที่กลับมาเดินตามปกติหันมามองทางผมเล็กน้อย


ดวงตาสีทองของเบียทรีซหรี่ลงแทนคำพูดบอกให้ปล่อย ผมจึงปล่อยมือที่ตะครุบปากอีกฝ่ายออก ราชาปิศาจในร่างสุนัขตัวสีดำไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เดินนำไปยังร้านขายเนื้อวัวที่ดูหรูหรากว่าร้านอื่นที่เดินผ่านมา ร้านอื่นมีเนื้อวางให้เลือกอยู่ในถาดทว่าร้านนี้กลับเป็นกระจกอย่างดีแสดงถึงระดับราคาที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง


“รับอะไรดีครับ” เจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ผมส่งยิ้มบางๆ ให้พร้อมกับมองปลายจมูกของเบียทรีซที่ชี้ไปทางเนื้อสันในที่อยู่ตรงกลางของตู้กระตก


“เนื้อสันใน...” เสียงผมเบาลงเรื่อยๆ เนื่องจากสายตาหันไปเห็นป้ายราคาของเนื้อที่ตกกิโลกรัมละ 2,500 บาท


2,500 บาท?


บ้าไปแล้ว แพงขนาดนั้นผม...


“เนื้อสันในนำเข้าจากประเทศออสเตรเรียเลยนะครับ รับเท่าไหร่ดีครับ” เจ้าของร้านถามต่อ


“คะ...ครึ่งโลครับ” ในเมื่อเอ่ยสั่งไปแล้วคงทำอะไรไม่ได้ จะสั่งแค่ขีดเดียวเบียทรีซที่มองอยู่คงเอ่ยสั่งแทนผมแน่


“รอสักครู่ครับ” พูดจบเจ้าของร้านจึงเปิดตู้กระจกหยิบชิ้นเนื้อสันใจไปหั่นชั่งกิโลให้


“เอามาทั้งชิ้นเลยสิ” เบียทรีซบอกเมื่อผมก้มหน้าลงไปหาตามเท้าหน้าที่กวักเรียก


“ทั้งชิ้น? ผมไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น” เนื้อทั้งชิ้นนั่นดูยังไงคงไม่ต่ำกว่า 5 กิโล ผมพกเงินมาไม่ถึงหรอกนะ ในกระเป๋ามีแค่ 3,000 บาทเท่านั้นเอง แถมเงินนี่ผมต้องใช้ทั้งอาทิตย์ไม่ใช่หมดในวันเดียว เพิ่งเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ผมก็ประเดิมเนื้อไปเป็นพันแล้วอีกหกวันที่เหลือผมจะทำยังไงล่ะ


“ชิ แค่นี้ก็ได้” อีกฝ่ายบอกพลางเชิดจมูกขึ้นเพื่อดมกลิ่นสิ่งต่างๆ รอบตัว


ใช้เวลาไม่นานเนื้อสันในครึ่งกิโลก็ถูกยื่นมาพร้อมกับแบงค์พันที่จากกระเป๋าผมไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมเดินซื้อพวกผักและไข่โดยในหัวก็คิดเมนูอาหารที่จะทำในแต่ละวันไว้ มาตลาดทั้งทีก็อยากซื้อของไปให้ครบจะได้ไม่ต้องออกมาหลายรอบ เพราะคิดแบบนั้นละมั้งสองมือผมเลยเต็มไปด้วยถุงผัก เนื้อและไข่


เมื่อได้ของทุกอย่างมาครบแล้วผมจึงเดินออกจากตลาดตรงกลับบ้าน แต่แล้วก่อนจะหลุดออกจากเขตตลาดร่างของผมก็ถูกชายคนหนึ่งชนอย่างแรงจนเซเกือบล้ม


“โอ้ย! เดินไม่ดูทางเลยรึไง!” เสียงนี้ไม่ใช่ผมที่กำลังปวดบริเวณไหล่ซึ่งถูกกระแทกอย่างแรงแต่เป็นชายร่างใหญ่ตรงหน้าที่ยกมือขึ้นมากุมไหล่ขวาของตัวเองไหว


“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษแม้จะคิดว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองก็ตาม


“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บรึไง! ชนแรงขนาดนี้แขนต้องหักแน่ๆ รับผิดชอบมาซะ!” อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่พลางใช้ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมาคล้ายกำลังข่มขู่


“แต่คุณเป็นคนเดินชนผม”


“ฮะ! คนที่เดินชนมันแกต่างหาก รับผิดชอบค่ารักษามาเดี๋ยวนี้ สองหมื่น!” พูดจบก็แบมือขอเงินจากผมตรงๆ


“...ผมไม่มีขนาดนั้น” แล้วก็ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย


“เอามาให้หมด!” เสียงตวานนั่นทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง


“กรรร~!”


“อะไรไอ้หมาบ้า ไปไกลๆ เลย!” ไม่เพียงแค่ตะหวาดผมแต่ยังขึ้นเสียงใส่เบียทรีซที่คำรามออกมาด้วย


“กรรรร~!!” เสียงขู่ดังขึ้นพร้อมร่างของชายตัวใหญ่ที่ถูกเบียทรีซกัดบริเวณชายเสื้อแล้วลากออกจากตลาดท่ามกลางความตกตะลึงของผม


พอรู้ตัวผมเลยรีบวิ่งตามไป ขนาดชายตัวใหญ่พยายามขัดขืนพร้อมส่งเสียงด่ายังไม่สามารถหยุดแรงลากนั่นได้เลย แปลว่าต้องมีพละกำลังที่เหนือกว่ามากแม้จะอยู่ในร่างของสุนัขก็ตาม เบียทรีซลากตัวอีกฝ่ายมาจนถึงซอยตันอันไร้ซึ่งผู้คนแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนชายคนเดิมไถลไปกับพื้นปู


“ไอ้หมานี่มันบ้าอะไร!” อีกฝ่ายดูจะตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย ความจริงถ้าไม่ตกใจก็คงแปลกล่ะสุนัขธรรมดาไม่มีแรงพอที่จะลากมนุษย์ตัวใหญ่ที่ขัดขืนสุดแรงแบบนี้ได้หรอก


“ลองพูดว่าอีกประโยคเดียวลิ้นนั่นได้ขาดกระจุยแน่”


“บะ...เบียทรีซ” ผมหันควับไปมองสุนัขขนสีดำที่อ้าปากเอ่ยภาษามนุษย์คล่องปรื๋ออย่างร้อนรน


ย้ำไปตั้งขนาดแล้วแท้ๆ ว่าห้ามพูด


“มะ...หมาพูดได้?!”


“พูดได้แล้วทำไม เล่นมาหาเรื่องคนใช้ข้าแบบนี้คงอยู่เฉยไม่ได้” ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่จับจ้องไปดูทรงอำนาจจนร่างที่อยู่ตรงหน้าสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว


“แก...แกเป็นตัวอะไร”


“หึ...ไม่จำเป็นต้องบอก รู้แต่แกมาหาเรื่องผิดคนแล้ว อย่าอาจหาญมาหือกับข้าและคนของข้า” พูดจบเบียทรีซก็เดินเข้าไปร่างที่ตะกายหนีไปจนสุดของผนัง แววตาร้องขอที่ส่งมาให้ผมนั้นผมไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะเบียทรีซในตอนนี้น่ากลัวจนผมเองยังไม่กล้าเอ่ยคำใดๆ ออกไปเลย


ตัวผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไร รู้แค่เบียทรีซไม่ได้กัดหรือขย้ำด้วยเขี้ยวแต่อย่างใดกับร่างนั้นอยู่ๆ ก็ล้มลงกองอยู่บนพื้นคล้ายคนหมดสติ ทว่าเหงื่อที่ไหลซึมออกมาบริเวณขมับดูจะมากกว่าปกติอยู่พอสมควร


“คุณทำอะไรน่ะ” ผมถามอีกฝ่ายออกไปตามตรง


“ก็แค่ให้จมอยู่ในฝันร้ายสักระยะไม่ถึงตายหรอกน่า เจ้าเองเถอะจะเป๋อเหรอหรือเซ่อซ่าก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย แค่ดูก็รู้แล้วว่าไอ้มนุษย์นี่หลอกลวงเจ้า แต่ก็ดันไปคล้อยตามมันอีก น่าโมโห น่าหงุดหงิดด้วย!”


“ขอบคุณนะ” ผมนั่งคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้าง


“มาขอบคุณทำไม นี่ข้ากำลังบ่นเจ้าอยู่นะอย่ามาทำเป็นไม่ได้ยิน!”


“เพราะได้ยินผมเลยขอบคุณไง”


“เจ้านี่ท่าจะประสาท มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาขอบคุณ?” แม้จะอยู่ในร่างสุนัขแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงคิ้วสองข้างที่กำลังขมวดเข้ากันแน่นของอีกฝ่าย


“ก็คุณเป็นห่วงผมนี่ ขอบคุณที่เป็นห่วงและก็ขอบคุณที่ช่วยผมนะเบียทรีซ” ผมอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง หากฟังเผินๆ ก็คงเป็นคำบ่นแสนยาวเหยียดแต่หากลองฟังดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันแฝงไปด้วยความเป็นห่วง


“จะ...เจ้า มโนเอาเอง ข้าไม่ได้ห่วงเจ้าสักนิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เลิกยิ้มได้แล้วมันน่ารำคาญ!” คำบ่นมากมายดังขึ้นระหว่างการเดินกลับบ้านซึ่งผมก็ทำได้แค่รับฟังคำบ่นนั้นจนถึงบ้าน


ถือเป็นโชคดีที่ไม่มีคนเดินสวนเลยไม่มีคนเห็นสุนัขที่พูดไม่หยุดตลอดทางแบบนี้


มื้อเย็นของวันผมย่างเนื้อกับต้มไข่ให้เบียทรีซกิน แน่นอนว่าไม่ได้ให้หมดทั้งชิ้นแต่ตัดแบ่งออกเป็นสามส่วนไว้ทำในมื้อต่อๆ ไป ตอนที่อีกฝ่ายเห็นเนื้อที่ผมยกไปวางคำพูดแรกที่เอ่ยคือ...


“เจ้าแอบกินระหว่างทำรึไงมันถึงเหลือชิ้นแค่นี้”


“ผมแบ่งเอาไว้ทำมื้ออื่น” ผมบอกตามตรง ในมือผมนอกจากจานเนื้อของเบียทรีซแล้วยังมีข้าวราดผัดผักบุ้งของตัวเองด้วย บ้านผมแม้จะมีโต๊ะอาหารให้นั่งแต่ผมไม่ค่อยชอบนัก ทุกครั้งที่จะกินข้าวเลยนั่งพื้นแล้ววางจานบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยๆ ในห้องรับแขกหน้าทีวีแทน


มันง่ายที่จะกินตรงนี้ไปดูทีวีไป จานของเบียทรีซเองก็ไม่ได้อยู่บนพื้นแต่เป็นบนโต๊ะเดียวกับผม


“เจ้ากินแค่ผัก?” อีกฝ่ายมองจานผมด้วยสายตานิ่งๆ


“อืม ผมอยากกินผัดผักบุ้ง”


“เป็นสัตว์กินพืชรึไง แบ่งเนื้อข้าไป” เบียทรีซใช้เรียวปากของตัวเองดันจานเนื้อย่างและไข่ต้มที่ยังไม่ได้กินมาทางผม


“ไม่เป็นไรคุณกินเถอะ”


“นี่ไม่ใช่คำบอกแต่เป็นคำสั่ง”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพราะรู้ดีว่าต่อให้ส่ายหัวปฏิเสธไม่เอายังไงผลก็คงไม่เปลี่ยนอยู่ดี ในเมื่อเขาต้องการแบ่งเนื้อให้ผมก็ไม่ขัดแบ่งเนื้อนั้นมาเสี้ยวนึงแล้วเลื่อนจานกลับไปตรงหน้าเบียทรีซ


“กินแค่นั้น?” สายตาของเบียทรีซมองมายังเนื้อชิ้นบางที่ผมแบ่งมาใส่จานตัวเอง


“กินเนื้อเยอะๆ มันหนักท้องผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเนื้อปลาก็ได้อยู่” คนอื่นเป็นรึเปล่าไม่รู้แต่สำหรับผมเวลากินเนื้อมากๆ จะรู้สึกว่าหนักท้องเกินไป ไม่ใช่ไม่กินนะแค่กินน้อยเท่านั้นเอง


“เพิ่งเคยเจอปิศาจที่บอกว่าการกินเนื้อมันหนักท้องก็วันนี้”


“ผมไม่ใช่ปิศาจ”


“ได้ ครึ่งปิศาจ”


“นั่นมันก็...” อยากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่แต่ก็รู้ดีว่าคำพูดของเบียทรีซเป็นความจริง แม่ของผมเป็นปิศาจและมีพ่อเป็นมนุษย์ผมเลยมีเลือดของทั้งมนุษย์และปิศาจไหลเวียนอยู่ในร่าง จะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่จะเป็นปิศาจก็ไม่เชิง


เป็นแค่พวกครึ่งๆ กลางๆ


พอจบมื้อเย็นทั้งผมและเบียทรีซต่างก็พากันเข้ามาอยู่ในห้องนอน รีโมทแอร์ถูกกดเปิดเพิ่มลดอุณหภูมิภายในห้องให้ต่ำลง ระหว่างรอให้ห้องเย็นผมเข้าไปอาบน้ำและออกมาในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขาสามส่วน ปกติเบียทรีซจะนอนอยู่บนเสื่อน้ำมันข้างเตียงผมทว่าวันนี้ร่างนั้นกลับขึ้นไปอยู่บนเตียงแทน


“คุณจะนอนบนนี้?” ผมเอ่ยถาม


“เจ้าจะให้ราชาอย่างข้านอนพื้น?” อีกฝ่ายถามกลับ


“ก็เห็นก่อนหน้านี้ก็นอนพื้นนี่”


“นั่นเพราะข้าลุกไม่ไหวต่างหากเลยจำต้องนอนบนพื้นแข็งๆ”


“แล้วแผลเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นเยอะแล้วใช่ไหม ผมต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลให้อีกนี่” ตอนแรกกะจะเปลี่ยนให้หลังมื้อเย็นแต่ดันลืมไปซะสนิทเลย


“แกะออกเลยไม่ต้องพันแล้ว”


“แต่แผล...”


“หายแล้ว” คำพูดนั้นผมไม่เชื่อนักแต่เมื่อเอาผ้าที่พันแผลไว้ออก รอยถลอกแดงๆ เมื่อเช้ากลับหายวับไป จะว่าไปการรักษาตัวของแผลดูเหมือนจะเร็วกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่า ถ้าเป็นคนปกติคงไม่สามารถเดินได้ทั้งที่เลือดยังไหลไม่หยุดเมื่อสามวันก่อนหรอก


“หายเร็วจัง ปิศาจนี่หายเร็วแบบนี้หมดเลยรึเปล่า” ถึงบาดแผลจะหายแต่ขนยังคงไม่ขึ้น คิดว่าวันสองวันน่าจะกลับสู่สภาพสมบูรณ์


“เป็นปกติ พวกเรามีพลังในการฟื้นตัวสูงมาก นั่นทำให้เวลาอยากจะจัดการใครสักคนต้องใช้พลังในระดับที่ต่อให้มีพลังฟื้นตัวก็ไม่มีทางรอด”


“...” น่ากลัวเกินไปแล้ว สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นปิศาจ


“เจ้าเถอะ รอยแดงตรงมือนั่นโดนอะไรมาอีกล่ะ” สายตาของเบียทรีซมองมายังสันมือผมที่เห่อแดงขึ้น


“มือไปกระแทกกับผนังตอนสระผม”


“ซุ่มซ่าม”


“แฮะๆ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะก็เป็นความจริงนี่


“ยืนเฉยทำไม”


“ฮือ?”


“ไปทายาสิ!” พอได้ยินเสียงแข็งๆ นั่นผมก็นึกได้ว่าต้องใส่ยาก่อนรอยแดงจะกลายเป็นรอยช้ำ


“อืม” ผมพยักหน้าแล้วจัดการทายาบนมือตัวเอง


นาฬิกาข้างเตียงบอกเวลา 11 นาฬิกาหรือ 5 ทุ่มซึ่งเรียกว่าเป็นเวลาค่อนข้างดึกสำหรับคนที่ต้องตื่นไปทำงานในช่วงเช้าของวันต่อไป เมื่อดับไฟในห้องเหลือเพียงแต่โคมไฟข้างเตียงส่องสว่างไม่ให้ผมเดินชนหรือสะดุดอะไร ต่อให้ในห้องแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเดินในความมืดโดยไม่มีแสงสว่างมีความเป็นไปได้สูงที่ผมจะเจออุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ


“เอาผ้าห่มไหม” ผมถามเบียทรีซระหว่างถอดแว่นวางบนหัวเตียง


“ไม่ ข้าร้อน”


“นี่อุณหภูมิ 24 องค์ศาแล้วนะ”


“ก็ยังร้อนอยู่ดี”


“เพราะมีขนยาวๆ แบบนี้รึเปล่าเลยร้อน” ผมพลิกตัวไปหาพร้อมเอื้อมมือไปลูบเส้นขนสีดำยาวของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ภายในห้องตอนนี้มืดสนิทเพราะผมเพิ่งปิดโคมไฟไป หน้าต่างเพียงบานเดียวมีผ้าม่านปิดไว้ทำให้แสงจากด้านนอกส่องเข้ามาได้ไม่มาก


ขนของเบียทรีซนุ่มมากหากเทียบกับขนของสุนัข ความนุ่มระดับนี้เหมือนขนแมวมากกว่า แต่คงไม่มีแมวตัวไหนใหญ่ขนาดนี้ ความรู้สึกเวลาลูบเหมือนเส้นขนปุยนุ่มลากผ่านฝ่ามือของเราอย่างอ่อนโยน...รู้สึกดีจนไม่อยากหยุด


ในเมื่อยังไม่มีเสียงบ่นหรือบอกให้หยุดผมจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นจนกระทั่งซุกหน้าลงบนเส้นขนนุ่มๆ ได้สำเร็จ จากการสัมผัสน่าจะเป็นบริเวณต้นคอด้านหลังละมั้ง บอกตามตรงว่าผมชอบมากเลยความรู้สึกเหมือนนอนอยู่บนปุ่ยเมฆนี่ แต่การซุกหน้าลงไปย่อมมีขีดจำกัดอยู่นั่นคือการกลั้นหายใจ พอลมหายใจจะหยุดผมต้องเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าและซุกหน้าลงไปต่ออีกรอบ


“...สนุกมากไหม” ความอดทนของเบียทรีซคงหมดลงถึงได้เอ่ยถาม


“รู้สึกดีสุดๆ เลย ขนคุณนุ่มมาก...ขออยู่แบบนี้อีกสักพักได้รึเปล่า” ผมเอียงหน้าหนุนขนสีดำแทนหมอนระหว่างขอกับเจ้าตัว


“สักพักนี่นานแค่ไหน”


“เอ่อ...5 ไม่ ขอสัก 10 นาที” พูดจบผมก็หลับตาลงเพื่อซึบซับความนุ่ม ทุกครั้งที่ขยับหัวเล็กน้อยขนนุ่มๆ จะเกลี่ยใบหน้าคล้ายฟองเนื้อนุ่มของสบู่ล้างหน้า


การหลับตานอกจากจะช่วยให้สัมผัสถึงขนนุ่มๆ ได้ชัดเจนขึ้นแล้วยังทำให้ความง่วงที่มีเข้าจู่โจมทันควันอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่คิดว่าพอถึงเวลาต้องถูกอีกฝ่ายสะบัดหลุดให้ไปนอนที่หมอนแน่แต่ความจริงไม่ใช่เลย นอกจากจะไม่ปลุกผมแล้วยังปล่อยให้ผมนอนซุกขนนุ่มๆ ไปจนถึงเช้าของวันต่อไปด้วย

............................................

เนื้อเรื่องในตอนแรกค่อนข้างเรื่อยๆ

แต่เดี๋ยวอีกสักพักจะเริ่มเข้มข้นขึ้น

ความซุ่มซ่าม เอ๋อๆ และซื่อๆ ของวิณณ์จะค่อยๆ ทำลายกำแพงหัวใจของเบียทรีซทีละน้อย

โดยส่วนตัวเราชอบฉากที่วิณณ์ซุกขนเบียทรีซมาก อาจเพราะชอบซุกขนน้องหมาที่บ้านเป็นทุนเดิมพอแต่งให้เบียทรีซอยู่ในร่างนี้เลยขอให้มีฉากนี้สักหน่อย 555

ขอฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่2:⊱ 2/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-12-2018 18:33:52
กินเก่งแบบนี้ เงินเดือนพอค่ากินไหมเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่3:⊱ 9/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-12-2018 13:48:43
⊰บงการ:วันที่3:⊱



หลังจากผ่านการทำงานอย่างหนักมาตลอด 5 วันในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของผม หากเป็นวันหยุดผมมักจะตื่นสายกว่าปกติอยู่เล็กน้อย นาฬิกาปลุกเองก็ไม่มีตั้งปลุกไว้ทำให้สามารถนอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นอกจากจะนอนเต็มอิ่มแล้วยังรู้สึกฟินสุดๆ ยามลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วสัมผัสถึงเส้นขนแสนนุ่มแทนหมอนใบเดิม


จากวันแรกที่ผมขอซุกตัวกับขนนี่ก็ผ่านมาหลายวัน ผมมักจะเริ่มโดยการขอซุกสักพักก่อนจะหลับยาวไปจนเช้าวันต่อไปเป็นแบบเดิมมาตลอด เบียทรีซเองก็มักจะบ่นว่าผมหนักบ้างหรืออึดอัดบ้างซึ่งผมก็ทำใจว่าคืนต่อไปคงไม่ได้นอนซุกแล้ว ทว่าในความเป็นจริงนอกจากจะยอมให้หนุนแล้วอีกฝ่ายยังขยับตัวมานอนอยู่ติดหัวเตียง ด้วยขนาดตัวของเขาทำให้เหมือนมีหมอนขนาดใหญ่วางไว้ผมจึงหนุนบริเวณท้องแล้วนอนมาจนถึงทุกวันนี้


ภาพแรกของการลืมตาตื่นไม่เพียงแค่ความพล่ามัวแต่ยังเห็นเส้นขนสีดำสนิทอยู่ในระยะใกล้ ผมขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นซุกใบหน้าลงยังหน้าท้องที่ขยับขึ้นลงจากการหายใจ ผมอยู่คนเดียวมาหลายปีและด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่ได้ออกไปเข้าสังคมเท่าที่ควร การจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในระยะใกล้แบบนี้เพิ่งเคยมีเป็นครั้งแรก


“ตื่นแล้วก็เอาหัวออกไป” เสียงทุ้มจากเบียทรีซดังขึ้น เขาคงสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของผมละมั้ง


“ขออีกแป๊บ”


“เมื่อคืนก็บอกว่าแป๊บ แป๊บของเจ้านี่มันนาน 10 ชั่วโมงเลย?”


“...ก็รู้สึกดีนี่นา” ผมบอกไปตามตรง


“พูดบ้าๆ ก็แค่ขน”


“ขนนุ่มๆ แบบนี้หาไม่ได้หรอกนะ ถึงหาได้ก็ต้องเป็นขนของแมวระดับไฮโซผมไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรอก แถมต่อให้มีแมวตัวเล็กๆ ไม่ทำให้ฟินขนาดนี้ด้วย” ไม่พูดเปล่าผมถูไถใบหน้าไปกับเส้นขนของเบียทรีซ


“เจ้ามันโรคจิต”


“เปล่าสักหน่อย” แค่ชอบเวลาซุกหน้าลงบนขนเท่านั้นเอง


“รีบๆ ลุกออกไปเลย” อีกฝ่ายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้น


“เดี๋ยวสิ ของอีกแค่ 2 นาทีก็ได้...ฮืม นี่ตัวคุณเริ่มเหม็นๆ แล้วนะ” ผมบอกเมื่อสูดอากาศบริเวณใกล้ๆ ขน กลิ่นหอมๆ ในวันวานเริ่มหายไปแล้ว สงสัยเพราะไม่ได้อาบน้ำมาเป็นอาทิตย์แน่เลย


“เจ้า! กล้าบอกว่าข้าสกปรกเหรอ!”


“ผมไม่ได้บอกแบบนั้น” ใครบอกว่าสกปรกกันผมแค่บอกว่าเริ่มเหม็นเองนะ ยังไม่เหม็นสักหน่อย


“เงียบไปเลย!” ร่างสีดำสนิทกระโดดลงจากเตียงก่อนจะสะบัดขนแรงๆ สองสามครั้ง


“เอ่อ...”


“เปลี่ยนผ้าปูเตียงซะ ใช้มาเป็นอาทิตย์ยังไม่เปลี่ยนอีก” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็ถูกเบียทรีซพูดแทรก


“ปกติผมจะเปลี่ยนเดือนละครั้ง...”


“ซกมก!” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำว่าซกมก ความจริงการเปลี่ยนผ้าปูเดือนละครั้งไม่เรียกว่าซกมกหรอกนะ ถ้าไม่เปลี่ยนสักครึ่งปีสิถึงเรียกว่าซกมก


ผมอยากจะเถียงแต่สุดท้ายก็ได้แต่เงียบแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเปิดเอาผ้าปูที่นอนออกมา ในห้องนี้มีตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่มากวางอยู่ใกล้กับประตูห้องน้ำเพื่อให้ง่ายต่อการหยิบใส่


“เอาสีทอง” เบียทรีซพูดหลังจากเห็นผมถือผ้าปูสีฟ้าเดินกลับมายังเตียง


“ผมไม่มีสีนั้นหรอก ถ้าสีเหลืองก็เหมือนจะมีอยู่”


“งั้นก็เอาสีเหลือง” ผมไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายสั่งการณ์ทุกอย่าง ที่แปลกใจคือตัวผมที่เดินไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนตามคำสั่งนั่นต่างหาก ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาผมเผลอทำตามคำสั่งนั่นทั้งที่ปากบอกว่าไม่ใช่ทาสหรือคนใช้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำตามด้วย


ผ้าปูที่นอนสีเหลืองเข้มลายสุนัขตัวเล็กถูกปูท่ามกลางดวงตาสีทองที่จับจ้องมาจนกระทั่งปูเสร็จ ห้องผมเป็นเตียงใหญ่ขนาด 6 ฟุตซึ่งสาเหตุที่ต้องเป็นเตียงใหญ่ก็เพราะเหตุผลง่ายๆ คือถ้าเตียงเล็กผมมีโอกาสจะกลิ้งตกเตียง ฟังดูน่าขำแต่มันก็เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้


“เสร็จแล้วก็มาอาบน้ำให้ข้า” คำพูดต่อมาทำเอาผมหันไปมองด้วยสายตางงๆ


“อาบน้ำ?”


“ข้าจะอาบในอ่างน้ำอุ่น”


“น้ำอุ่นน่ะมี แต่บ้านผมแค่กะละมัง อาบฝักบัวธรรมดาไม่ได้เหรอ” ผมถามต่อ ที่บ้านไม่มีหรอกนะอ่างอาบน้ำเหมือนในหนังน่ะ


“อย่างกับข้ามีทางเลือกอื่นงั้นแหละ”


“ผมเอากะละมังมาให้แช่ได้นะ”


“เจ้าคิดจะให้ราชาปิศาจอย่างข้าอาบน้ำในกะละมัง?!” อีกฝ่ายถามเสียงแข็ง


“ไม่ได้เหรอ” มันไม่มีบัญญัติไว้สักหน่อยนี่


“เฮ้อ...รีบมาอาบให้ข้า” ถอนหายใจเสร็จเบียทรีซก็เดินนำเข้าไปในห้องน้ำ


ด้วยความที่ร่างของอีกฝ่ายค่อนข้างใหญ่ทำให้เนื้อที่ภายในห้องน้ำดูแคบลงทันตา ยิ่งมีผมเดินตามเข้ามาอีกคนความอึดอัดก็ปรากฏขึ้น


“อยู่ในร่างเหมือนตอนไปตลาดได้ไหม” ถ้าเป็นร่างนั้นกินพื้นที่ห้องน้ำน้อยกว่าครึ่งนึงได้


เบียทรีซไม่ตอบแต่ไม่นานร่างขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าสุนัขปกติ เมื่อพื้นที่ในห้องน้ำมีมากพอผมไม่รอช้าเตรียมสบู่และปรับสายของฝักบัวอยู่อยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่การอาบน้ำ


“ใช้สบู่คนได้รึเปล่า” เพิ่งนึกได้ว่าบ้านผมไม่ได้เลี้ยงสัตว์ดังนั้นแชมพูของสุนัขหรือสัตว์อื่นๆ เลยไม่มีติดบ้านไว้สักขวดเดียว


“อะไรก็ได้ ข้าไม่เรื่องมาก”


“...” ผมเงียบเมื่อได้ยิน มือข้างนึงเอื้อมไปหยิบสบู่เหลวขวดสีน้ำเงินด้านข้างมาเปิดฝา


“ไม่เอากลิ่นนั้น เอาขวดสีเหลือง”


“ได้” ผมพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนขวดสบู่เป็นสีเหลืองโดยในหัวกำลังคิดถึงคำพูด ‘ข้าไม่เรื่องมาก’ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน


นี่คือไม่เรื่องมาก?


น้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงผ่านชั้นขนสีดำสนิทตั้งแต่ส่วนหัวมาจนถึงหาง เรียวปากสีดำนั่นเชิดขึ้นยามผมเลื่อนฝั่งบัวไปยังส่วนหัว เมื่อขนทั่วร่างเปียกน้ำแล้วจึงกดสบู่ขวดสีเหลืองละลายในขัดน้ำแล้วค่อยๆ เทใส่ขนพร้อมใช้มือเกาเบาๆ ให้เกิดฟอง ภาพของสุนัขขนสีดำก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยฟองสีขาวขุ่นตั้งแต่บนหัวไปจนถึงหาง ราวกับเป็นหมาป่าในคราบของแกะ


“คิก...” ผมถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อได้สภาพของเบียทรีซในตอนนี้ ปากเรียวยาวสีดำกับดวงตาสีทองดูตลกเมื่อมีฟองสีขาวกระจายอยู่ทั่วตัว


“ตลกมากไหม”


“อื้อ ตลกมาก เฮ้ย!” ผมถึงกับยกแขนขึ้นตั้งการ์ดเพราะเบียทรีซสะบัดขนอันเต็มไปด้วยฟองแรงๆ จนกระจายไปทั่วห้อง ตัวผมที่อยู่ในชุดลำลองเองก็เปรอะฟองแทบทั้งตัว


“หึ ตลกมากจริงด้วย” ดวงตาสีทองเงยขึ้นมามองสภาพผมซึ่งเต็มไปด้วยฟองโดยเฉพาะใบหน้าที่เลอะบริเวณจมูกและหน้าผาก เรียกว่ายกแขนขึ้นมากันไม่ทันเลยเป็นแบบนี้


“แกล้งผมนี่” ระหว่างพูดก็ใช้แขนที่ไม่เปื้อนเช็ดฟองบนใบหน้าออก


“แล้วยังไง จะสะบัดคืน?”


“รอตัวแห้งก่อนเถอะ”


“ทำไม จะทำอะไรข้าล่ะเจ้าลูกครึ่ง” สายตาที่มองมาคล้ายกำลังสนใจว่าผมจะเอาคืนด้วยวิธีไหน


“ผมจะซุกขนคุณจนร่วงหมดตัวเลย”


“ท่าจะบ้าจริงแฮะ”


“ว่าผม?”


“ว่าจิ้งจกแถวนี้มั้ง” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขัน


จากนั้นการอาบน้ำก็ดำเนินต่อ ผมไม่ได้อาบให้เบียทรีซแค่ครั้งเดียวแต่เป็นสองครั้งตามความต้องการของฝ่ายนั้น เมื่อเสร็จผมใช้ผ้าขนหนูถึงสามผืนในการเช็ดขนอีกฝ่ายจนเริ่มหมาด จะให้ออกไปทั้งตัวเปียกก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะเลอะพื้น ผมไม่อยากถูบ้านต่อจากนี้หรอกนะ


แค่อาบน้ำก็ถือว่าสูบพลังงานไปเกือบหมดตัวแล้ว


“นั่งอยู่บนเสื่อนี่ก่อนนะ ผมจะเป่าขนให้” ระหว่างบอกผมเดินไปเปิดตู้ควานหาไดร์เป่าผมที่คาดว่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในตู้ ผมไม่ค่อยชอบใช้ไดร์เลยไม่มีวางไว้ให้หยิบสะดวก


“เร็วๆ ข้าหิวแล้ว” เบียทรีซเร่งผมที่เปิดไดร์เป่าขนสลับกับใช้ผ้าขนหนูช่วยซับน้ำตามเส้นขนสีดำนั่น


“ผมก็พยายามเร็วอยู่ แต่ขนคุณมันหนานี่ ตัดให้สั้นน่าจะแห้งเร็ว...”


“ถ้ากล้ามาตัดสิ่งต่อไปที่จะขาดคือหัวเจ้า”


“...ผมแค่พูดเล่น” ทำน้ำเสียงจริงจังซะผมกลัวเลย


“แต่ข้าเอาจริง”


“คุณไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมตัวเองสินะ”


“ใช่ ส่วนหัวข้าไม่ยอมให้ใครแตะง่ายๆ หรอก” เบียทรีซบอก


“แต่ตอนที่อาบน้ำเมื่อกี๊ผมแตะหัวคุณแล้วนะ” ตอนฟอกสบู่บนส่วนหัวอีกฝ่ายก็ไม่ได้หลีกหนีหรือสะบัดอะไรนี่


“นั่นถือเป็นข้อยกเว้น”


“ยกเว้นยังไง” ผมถามต่ออีก


“เจ้าคิดว่าข้าในร่างนี้สามารถสระผมเองได้?”


“ไม่ได้” ผมส่ายหัวไปมา จะว่าไปก็ใช่อยู่ในร่างนี้ไม่ว่าจะอาบน้ำหรือสระผมก็ทำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ


“เพราะงั้นข้าเลยบอกว่ายกเว้นไง”


“อืม วันนี้กินข้าวผัดไข่ดาวไหม” เสนอไปมือสองข้างก็กำลังทำหน้าที่อยู่ไม่ขาด ขนของเบียทรีซแห้งยากมากดูแล้วไม่ได้มีแค่สองหรือสามชั้นแต่มากกว่านั้นอีก เพราะแบบนั้นเลยทำให้ขนนุ่มละมั้ง


“เนื้อไม่มีรึไง” น้ำเสียงของเบียทรีซคล้ายจะเอือมไข่เต็มทีแล้ว


“เพิ่งหมดไปเมื่อวันก่อน”


“ก็ออกไปซื้อสิ”


“มันแพง ผมไม่มีเงินขนาดนั้น”


“เจ้าก็ทำงานนี่เอาเงินไปทำอะไรหมด” อีกฝ่ายก่อนจะสะบัดขน เมื่อเห็นว่าแทบไม่มีน้ำกระเซนออกมาผมจึงเก็บทั้งไดร์และผ้าเข้าที่


“เอาไปใช้หนี้น่ะ” ผมบอกโดยไม่ปิดบัง


“เจ้าเป็นหนี้?”


“ประมาณนั้น จะพูดให้ถูกคือถูกขอให้ช่วยเซ็นต์ค้ำแล้วสุดท้ายก็ต้องมาตามใช้” เรื่องนี้ผมไม่ได้โทษใครนอกจากตัวเองที่รู้ไม่เท่าทันจนต้องมาใช้หนี้จนกว่าจะหมด


“เจ้าถูกหลอกง่ายไปแล้ว” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก


“ก็คงงั้น” ตัวผมเองยังคิดเลยว่าทำไมถึงถูกหลอกง่ายขนาดนี้นะ


“น่ารำคาญ รีบไปอาบน้ำแล้วมาทำอาหารให้ข้า”


“ผมจะไปทำอาหารให้ก่อนค่อยไปอาบน้ำ”


“ข้าไม่ได้บอกแต่สั่ง เข้าใจนะ” ความหมายของประโยคนั้นคือผมต้องรีบไปอาบน้ำแล้วค่อยออกไปทำอาหาให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้นั่นเอง


หลังจบมื้อเช้าในช่วงสายผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขก ด้างข้างมีร่างของเบียทรีซนอนหลับอยู่ พัดลมเพียงหนึ่งเดียวของห้องเปิดจ่อมาให้โดนพวกเราทั้งคู่ ผมนอนราบหัวไปกับโต๊ะญี่ปุ่นด้วยความงัวเงีย การออกกำลังกายตั้งแต่เช้าส่งผลให้ความง่วงเข้าจู่โจมทั้งที่เพิ่งตื่นได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น


“เบียทรีซ”


“อะไร” เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงเบาขณะดวงตาสองข้างยังปิดสนิท


“ขอนอนซุกหน่อยได้รึเปล่า” ผมเอียงหน้าที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะไปหาอีกฝ่าย


“ไม่ได้”


“ทำไมล่ะ”


“มันร้อน” เหตุผลง่ายๆ ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ต่อให้เพิ่งอาบน้ำเสร็จแต่พอมาเจอเข้ากับความร้อนของประเทศประเทศก็ต้องมีเหงื่อออกกันบ้างแหละ


“ขอนิดนึงนะ” ผมลองขออีกรอบ


“นิดนึงที่ว่านานแค่ไหน” ดวงตาสีทองลืมขึ้นข้างนึงระหว่างถาม


“5 นาที”


“หึ...5 นาทีหรือ 5 ชั่วโมง”


“แฮะๆ”


“ให้แค่ 5 วิ” อีกฝ่ายยื่นคำขาด


“ได้” ผมไม่พยักหน้าตกลงก่อนจะพุ่งตัวไปซุกบริเวณท้องอันแสนคุ้นเคย


จะ 5 วิ 5 นาทีหรือ 5 ชั่วโมงผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าไม่ไล่ผมคงไม่ยอมลุกออกจากสัมผัสแสนนุ่มนี่แน่



หลายวันผ่านไปผมยังคงมีกิจวัตรประจำวันเดิมๆ คือการออกไปทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุร์ เวลาในการทำงานของผมคือ 8 โมงจนถึง 5 โมงเย็นของทุกวัน การทำบัญชีเป็นสิ่งละเอียดอ่อนซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการทำมากเป็นเศษต่างจากหลายๆ งานเพราะหากตัวเลยผิดไปแม้แต่ตัวเดียวได้มีเรื่องใหญ่เกิดตามมาอีก ดังนั้นจึงควรมีระยะเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่มาเร่งแบบตอนนี้...


“พรุ่งนี้! ฉันให้เวลาไม่เกินพรุ่งนี้งบบัญชีนี่ต้องเสร็จพร้อมส่ง!” เสียงคำสั่งจากหัวหน้าหรือคุณเตยดังขึ้นพร้อมชี้นิ้วใส่หน้าผมเป็นรอบที่สิบ


“ผมเพิ่งเริ่มทำไปได้แค่ 2 วันเองนะครับ อย่างน้อยต้องให้เวลาผมอีกสัก 3 วัน”


“ฉันบอกว่าให้แค่พรุ่งนี้ก็ต้องพรุ่งนี้ ถ้าไม่เสร็จเตรียมยื่นใบลาออกได้เลย!” พูดจบอีกฝ่ายก็จ้ำอ้าวเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด


“มาลงที่วิณณ์อีกแล้ว” พี่โยเลื่อนเก้าอี้มาหาผมระหว่างพูด


“เห็นว่าตัวเองไปตบปากรับคำว่าจะทำบัญชีนี้ให้เสร็จในเวลา 3 วันทั้งที่คนอื่นไม่ได้บังคับแท้ๆ” พี่เจพูดต่อ


“คงอยากแสดงว่าตัวเองมีความสามารถละมั้ง”


“แสดงความสามารถโดยการให้วิณณ์ทำเนี่ยนะ วิณณ์ถ้าทนไม่ไหวพวกเรารวมตัวกันไปฟ้องท่านประธานดีไหม เด้งเธอออกจากตำแหน่งไปเลย” พี่เจหันมาถามความเห็นผมที่นั่งฟังเงียบๆ คนอื่นในแผนกเมื่อได้ยินก็เบนสายตามาหาคล้ายจะบอกว่าพร้อมให้ความร่วมมือเสมอ


ทุกคนในฝ่ายบัญชีไม่ได้ชอบคุณเตยนัก ไม่ใช่แค่ผมที่โดยบ่นหรือโยนงานใกล้เส้นตายมาให้แต่มีอีกหลายคนที่ถูกตวาดใส่หรือออกคำสั่งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นทำให้แทบทุกคนในฝ่ายอยากเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่แต่เพราะผมที่โดนหนักสุดยังทนได้พวกเขาเลยยังไม่ลุกขึ้นทำอะไร


“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่เป็นไร”


“วิณณ์นี่จะว่าเป็นคนใจดีหรือใจเย็นดีล่ะ” พี่โตหยุดอยู่ข้างโต๊ะผมพร้อมเอ่ยถาม


“น่าจะทั้งสองอย่างเลยนะ” พี่โยตอบแทน


“นั่นสิ ข้อนี้เห็นด้วย” พี่เจพยักหน้าตาม


“ผมไม่ได้ขนาดนั้น...”


“แล้วจะทำยังไงกับงานล่ะ ต่อให้เร่งยังไงไม่มีทางเสร็จทันภายในพรุ่งนี้หรอกนะ” พี่โตถามต่อ


“ผมคิดว่าจะอยู่โอน่ะครับ” เป็นทางออกง่ายๆ ถ้าไม่สามารถทำเสร็จทันในเวลาทำงานก็มีทางเลือกแค่ต้องทำงานนอกเวลา ทางบริษัทไม่ได้มีกฎห้ามทำโอ จะทำก็ได้แต่ถ้าไม่ใช่เคสใหญ่จริงๆ ก็จะไม่มีค่าแรงเพิ่มให้


“วันนี้?”


“ครับ คิดว่าจะอยู่วันนี้กับพรุ่งนี้” ถ้ามีเวลาทำขนาดนี้ผมคิดว่าสามารถทำทันได้แค่ผมต้องมีสมาธิอย่างมากในระหว่างทำ


“ให้พวกพี่ช่วยได้นะ”


“ไม่เป็นไรครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมน้อมรับความหวังดีเพียงแต่การทำบัญชียิ่งมีหลายคนจะยิ่งทำงานยากซะเปล่าๆ


“กลับดึกแบบนั้นคนที่บ้านไม่เป็นห่วงเอาเหรอ” พี่เจถามด้วยรอยยิ้มหวาน


“...เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกครับ” ดีที่พี่เจพูดเพราะสมองผมเบลอจนลืมไปเลยว่าในบ้านตัวเองมีเบียทรีซรออยู่ ถ้าผมรู้ว่าวันนี้ต้องทำโอคงทำอาหารมื้อเย็นเตรียมไว้ให้ด้วยแล้ว


“คนรักสินะ” พี่โยมองผมด้วยสายตาแพรวพราว


“เปล่าครับ”


“อย่ามาโกหกเลย แหม...การที่มีคนรักรออยู่ที่บ้านนี่สุดยอดไปเลยเนอะ”


“นั่นสิ เวลาเหนื่อยก็ช่วยให้เราหายเหนื่อยได้ ใช่ไหมวิณณ์” พี่โตยังไม่เดินไปยังโต๊ะตัวเองแต่ปักหลักคุยอยู่โต๊ะผมมากว่า 10 นาทีได้


“ครับ ผมรู้ดีสุดๆ” ถ้าพูดถึงเรื่องหายเหนื่อยนี่ผมไม่เถียง ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแค่ได้ซุกหน้าลงบนขนนุ่มๆ นั่นความเหนื่อยล้าที่มีก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว


“แล้วก็มาบอกว่ายังไม่มีคนรัก”


“ผมยังไม่มีจริงๆ”


“ยังจะปิดอีก พวกเรารีบแยกไปทำงานต่อเถอะวิณณ์จะได้มีสมาธิในการทำงาน” พี่โตเป็นคนแยกให้พวกเรากลับไปทำงานตามเดิม


ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนมาถึงช่วงเวลาเลิกงาน โดยปกติผมคงจะรีบตรงกลับบ้านทว่าวันนี้ยังไม่ได้ งานที่มีต้องใช้เวลาทำอีกนาน อย่างน้อยวันนี้ผมก็อยากให้ทำให้ได้มากที่สุดเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเร่งมาก แต่ก่อนจะลงมือทำต่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรเข้าเบอร์บ้านของตัวเอง


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโทรไปเลยไม่แน่ใจว่าเบียทรีซจะรับไหม ไม่สิ จะรับเป็นรึเปล่านี่ผมก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ จะให้ขับรถกลับไปบอกแล้วขับวนมาใหม่ก็ดูจะเสียเวลา แล้วจะให้หอบงานไปทำที่บ้านก็ไม่เหมาะอีก


“...เบียทรีซ?” ผมลองเรียกดูเมื่อปลายสายมีคนรับ


(ข้าหิวแล้ว มาถึงรึยัง)


“เอ่อ คือว่ามื้อเย็นคงต้องให้คุณหากินเอง บนโต๊ะมีขนมปังอยู่จะกินให้หมดเลยก็ได้นะ” อย่างน้อยก็ยังสามารถติดต่อกันได้ถือว่าดีทีเดียว


(ทำไม) ปลายสายถามเสียงแข็ง


“งานผมเร่งเลยต้องอยู่โออีกสักพักใหญ่ ถ้าคุณร้อนก็เปิดแอร์ได้เลยนะ”  รีโมทแอร์ผมวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนซึ่งเบียทรีซสามารถกดปุ่มเปิดได้อยู่แล้ว


(อื้อ)


และแล้วบทสนทนาครั้งแรกก็จบลงทั้งๆ แบบนี้ เมื่อวางสายจากเบียทรีซผมกลับมานั่งโต๊ะพร้อมหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสมาธิ และทันทีที่ลืมตาขึ้นผมเปิดแฟ้มข้อมูลสลับกับคีย์ข้อมูลลงคอมด้วยความรอบคอบจนกระทั่งบัญชีเสร็จไปถึ 3 ใน 4 ของทั้งหมด



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่3:⊱ 9/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-12-2018 13:49:07
(ต่อนะคะ)


ผมแทบจะทิ้งตัวลงกับพื้น การทำงานติดต่อกันแถมยังเป็นบัญชีทำเอาพลังงานลดฮวบจนติดลบ ภายในหัวก็เริ่มปวดบวกกับมื้อเย็นที่กินเพียงขนมปังจากร้านสะดวกซื้อเลยส่งผลให้เสียงท้องร้องดังตลอดทาง ผมไขกุญแจเปิดเข้าไปในตัวบ้านในเวลา 5 ทุ่มกว่า ด้วยความที่ไฟในบ้านปิดสนิทผมเลยค่อยๆ ย่องให้เกิดเสียงเบาที่สุดแต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไกลก็ดันสะดุดกับขอบทางขึ้นจนหน้าทิ่มลงพื้นด้านล่างอย่างหมดทางป้องกัน


ความแข็งของพื้นปูกระเบื่องผมรู้จักดีเนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เพราะงั้นผมจึงหลับตาแน่นเตรียมตัวรับความเจ็บปวดทว่าสัมผัสยามกระทบพื้นไม่ได้แข็งอย่างที่คาด นอกจากความเจ็บนิดๆ ของลำตัวที่กระแทกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก


ความนุ่มแบบนี้ผมรู้จักดี


จะไม่ให้รู้จักคงไม่ได้ล่ะก็ผมหนุนอยู่ทุกคืนนี่นา


“นี่เจ้าคิดว่าการสะดุดล้มมันถือเป็นกิจวัตรที่ต้องทำทุกวันรึไง” น้ำเสียงกึ่งปลงกึ่งรำคาญดังขึ้นพร้อมขยับตัวเล็กน้อยให้ผมลุกขึ้นมานั่งบนพื้นดีๆ


“เบียทรีซ?”


“ทำเสียงงงอะไรของเจ้า”


“ยังไม่นอนเหรอ นี่มันดึกแล้วนะ” ผมนึกว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับสนิทเปิดแอร์อยู่ในห้องแล้วซะอีก


“หิวเลยเดินมาดักเผื่อจะมีมนุษย์หลงเข้ามา”


“แฮะๆ ขอโทษที่คงไม่อร่อย...” พอรู้ว่าถึงบ้านแถมยังได้สัมผัสนุ่มๆ เมื่อครู่ด้วย ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นก็ปิดลงพร้อมทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพโดยมือข้างนึงเอื้อมไปเกาะเส้นขนสีดำแสนนุ่มนั่น ความจริงอยากจะหนุนแต่ไม่มีแรงจะขยับตัวแล้ว


สงสัยคืนนี้ผมคงต้องนอนหน้าประตูบ้านแล้วละมั้ง


“อย่ามานอนตากแห้งตรงนี้แดดมันมาไม่ถึงหรอก”


“...อื้อ” ผมทำได้เพียงครางตอบโดยเปลือกตาทั้งสองข้างช่างหนักเหลือเกิน...ลืมไม่ขึ้น


ด้วยสติอันแสนเลือนรางทำให้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนัก รู้แค่ร่างผมถูกลากไปกับพื้นผ่านปกเสื้อที่ถูกดึง ห้องที่มาน่าจะเป็นห้องนอนเพราะสัมผัสได้ถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่าเบียทรีซคงจะลากผมมา จังหวะนั้นเองร่างกายผมรู้สึกคล้ายถูกเหวี่ยงรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาอยู่บนเตียงแล้ว


ความนุ่มของหมอนแม้จะไม่ดีเท่าเบียทรีซแต่ผมในตอนนี้ไม่มีเวลามาเรื่องมาก เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมหลับฝันดีได้แล้ว


“เฮ้ เอาหัวขึ้น” เสียงเรียกแกมสั่งนั่นทำเอาผมค่อยๆ ผงกหัวขึ้นอย่างยากลำบาก ดูเหมือนคนเรียกจะรอจังหวะนี้อยู่ พอระยะห่างมากพอขนนุ่มๆ ก็ลอดผ่านหัวผมทำให้เมื่อทิ้งหัวลงตามเดิมสัมผัสนุ่มๆ แสนคุ้นเคยก็กลับมา


“...เบียทรีซ...”


“เงียบแล้วนอนไป”  แม้น้ำเสียงจะติดหงุดหงิดแต่มันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก


“...ขอบคุณนะ”


อาจเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับอาการปวดหัวจากการทำงานในคืนนั้นผมจึงหลับสนิทมากกว่าที่เคย ซึ่งผมฝัน...ฝันว่าตัวเองที่นอนอยู่บนปุยเมฆถูกอะไรบางอย่างขยับเข้ามาใกล้ เกลี่ยเส้นผมและใบหน้าผมคล้ายจะช่วยให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดหายไปซึ่งผมคิดว่ามันได้ผลทีเดียว


ช่วงเช้าของวันต่อมาผมตื่นขึ้นด้วยอารมณ์แจ่มใสราวกับความล้าเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ที่แปลกไปกว่านั้นคือผมสวมแว่นนอน โดยปกติก่อนนอนผมจะถอนแว่นวางไว้ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ไม่เคยใส่หลับไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ลืมตามาโดยมีแว่นอยู่


“เบียทรีซ” ผมงึมงำเรียกหมอนหนุนมีชีวิตระหว่างถอดแว่นออกมาเช็ดเนื่องจากแว่นมัวเกินกว่าจะมองเห็นได้


“อะไร ตื่นแล้วก็ไปทำมื้อเช้าสักที” เสียงแรกของวันดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเหมือนอย่างเคยซึ่งผมชินแล้ว


“ทำไมไม่ถอดแว่นผมให้ด้วยล่ะ” ไหนๆ ก็ลากผมมานอนแล้วน่าจะถอดแว่นไปวางให้หน่อย ถ้าผมพลิกตัวทับแว่นหักขึ้นมาวันนี้งานไม่เสร็จแน่


“ข้าไม่มีเหตุผลต้องทำนี่”


“ก็ใช่แหละ...เจ็ดโมงแล้ว? ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมค่อนข้างตกใจที่นาฬิกาบอกเวลา 7 โมงตรง


เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสร็จผมใช้เวลาที่เหลือไม่มากทำมื้อเช้าของตัวเองกับเบียทรีซรวมไปถึงมื้อกลางวันและมื้อเย็นรวดเดียวเลย ถุงขนมปังบนโต๊ะไม่อยู่แล้วแสดงว่าอีกฝ่ายคงกินเป็นมื้อเย็น ถ้าวันนี้ผมไม่ทำอะไรไว้ให้เบียทรีซอาจต้องกินไข่ดิบก็เป็นได้


“ทำไมทำเยอะ” เบียทรีซมองมายังอาหารหลายอย่างที่ผมยกมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น


“คืนนี้ผมต้องอยู่ดึกอีกเพราะงั้นคุณก็กินข้าวแล้วนอนก่อนได้เลย” ผมบอกไปตามตรง


“งานยังไม่เสร็จอีก?”


“อืม เหลืออีกพอสมควรเลย ผมถูกสั่งให้ต้องส่งภายในวันนี้ด้วย”


“ไม่เห็นต้องทำ ถ้าอยากให้เสร็จเร็วก็ให้มาทำเองสิ” เบียทรีซบอกพลางหันมามองหน้าผม


“หน้าผมมีอะไรเหรอ” ผมยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองเผื่อมีเศษอาหารอะไรติดอยู่


“ดำ”


“ฮะ? อะไรดำ?”


“ขอบตาดำ” อีกฝ่ายเฉลย


“อ่า...เป็นปกติน่ะ” ร่างกายผมค่อนข้างแสดงอาการออกมาง่าย คงเพราะผิวที่ค่อนข้างขาวนี่ทำให้เวลานอนน้อยแล้วขอบตาดำก็จะเป็นที่สังเกตได้ง่าย


หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จผมเตรียมจะออกไปทำงานเหมือนอย่างปกติทว่ารถที่ขับประจำกลับสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาซะอย่างงั้น ด้วยความที่ผมไม่มีเวลาเช็คเลยจำต้องใช้การเดินเท้าไปทำงานแทน ถือเป็นโชคดีที่บริษัทอยู่ไม่ไกลถ้าเดินไปประมาณ 15 นาทีน่าจะถึง


“วิณณ์” ตอนกำลังจะเดินออกนอกรั้วเสียงของคนในบ้านก็ดังขึ้น


“มีอะไรรึเปล่า ผมเตรียมน้ำวางไว้ให้แล้วเผื่อคุณจะดื่ม”


“ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นสักหน่อย บอกว่ากลับดึกสินะ”


“อื้อ” ผมพยักหน้าตอบ


“กี่โมง” อีกฝ่ายต่อ


“ไม่แน่ใจ น่าจะสี่ห้าทุ่มมั้ง” ผมไม่รู้เวลาชัดเจนเนื่องจากมันขึ้นอยู่กับความเร็วในการทำงานของแต่ละวันด้วย วันไหนผมมีสมาธิหรือสติดีก็จะพลอยให้ทำงานเร็วขึ้น


“ไปได้แล้ว” เบียทรีซนิ่งไปสักพักก่อนจะเร่งให้ผมรีบไป


การเดินทางด้วยเท้าใช้เวลาไปตามคาดคือประมาณ 15 นาที โชคดีที่ผมออกมาก่อนเวลาพอสมควรทำให้มาทันเวลารูดบัตรตอน 8 โมง พอขึ้นไปถึงห้องผมทักทายคนอื่นพอเป็นพิธีแล้วเริ่มลงมือทำงานของตัวเองที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนอีกครั้งนึง ด้วยความที่นอนเต็มอิ่มเลยส่งผลต่อสมองช่วยให้ประมวลอะไรได้เร็ว


ถ้าเป็นแบบนี้ผมคงทำเสร็จได้เร็วกว่าที่คาด


“วิณณ์!” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนเรียกชื่อผมมาตั้งแต่ปากประตู


“หัวหน้า” ทำไมหัวหน้าถึงมาหาอีกล่ะ


“วันนี้หวังว่างานที่ให้ไปจะเสร็จนะ”


“ครับ ผมจะส่งให้ภายในวันนี้” ดูจากตอนนี้ยังไงก็สามารถส่งทันแน่นอน


“หวังว่าคงไม่ได้เอาข้อมูลมาลงผิดฉบับหรอกนะ”


“ก็เป็นฉบับที่หัวหน้าเอามาให้...” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมเริ่มกังวล


“ฉบับนั้นไม่ใช่ฉบับอัพเดทล่าสุด ทำงานนี่ไม่รอบคอบตรวจสอบข้อมูลก่อนทำรึไง”


“...ขอโทษครับ” ข้อมูลของการทำบัญชีนอกจากที่หัวหน้าเอามาให้แล้วยังมีส่งเป็นไฟล์มาทางเมลล์ด้วยแต่ผมไม่ได้เปิดตรวจสอบดูเพราะไม่คิดว่าสองฉบับจะไม่เหมือนกัน


“ฉันต้องการภายในวันนี้ หวังว่าคงเข้าในนะ”


“...ครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพยักหน้ารับคำ


ถ้าให้คิดในแง่ว่าถูกแกล้งก็คงได้แต่ผมคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพราะผมไม่ละเอียดรอบคอบพอเลยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนลงมือทำบัญชี แต่ในเมื่อมันเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วผมก็ต้องแก้ไขมันให้ได้โดยเร็วที่สุด


ผมเริ่มโดยการเปิดไฟล์ของมูลในเมลล์แล้วปริ้นออกมานั่งอ่านเปรียบเทียบดูว่าตรงไหนที่มีการปรับเปลี่ยนซึ่งกว่าจะเสร็จเวลาได้ล่วงเลยไปถึงช่วยบ่ายแล้ว ตัวเลขที่ต้องปรับแก้มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกับข้อมูลบางตัวที่เพิ่มขึ้นมา เวลาที่คาดว่าจะทันเริ่มมีแววว่าจะไม่ทัน


หลังเวลาเลิกงานภายในห้องของฝ่ายมีอีกหลายคนนั่งทำงานอยู่ต่อแต่เมื่อเลยสามทุ่มไปก็เหลือเพียงผมคนเดียว ดวงตาสีน้ำตายภายใต้เลนส์แว่นมองข้อมูลในเอกสารสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยมือทั้งสองข้างนั้นกรอกข้อมูลลงไปไม่หยุดมาตั้งแต่ช่วงเลิกงาน


โปรแกรมที่ช่วยในการสร้างบัญชีช่วยประหยัดเวลาในการทำตารางและคำนวณ เพียงแค่ใส่ข้อมูลให้ถูกช่องก็สามารถทำงบต่างๆ ออกมาได้ไม่ยากซึ่งความยากอยู่ที่การแยกแต่ละรายการว่าจะอยู่ในหมวดอะไรซึ่งทุกอย่างต้องออกมาดุลจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ เมื่อปุ่มเอ็นเทอร์ถูกกดลงแล้วผลปรากฎว่าตัวเลขสุดท้ายเป็นเลยเดียวกันผมก็แทบทรุดลงไปกองหน้าคอมพิวเตอร์ให้รู้แล้วรูรอด


“...เสร็จแล้ว!” ในที่สุดก็เสร็จ


ผมใช้เวลาพักเหนื่อยไม่กี่วินาทีก็รีบจัดการส่งไฟล์ที่เสร็จเรียบร้อยไปให้กับหัวหน้าในระหว่างนั้นก็ปริ้นแบบเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะในห้องส่วนตัวที่ไม่ได้ล๊อคกลอนไว้


แม้จะอยากรีบกลับไปนอนแทบขาดใจแต่รถเพียงคันเดียวที่มีดันมาเสียผมจึงจำต้องเดินเท้ากลับบ้านท่ามกลางความงัวเงีย ตอนนี้ขาผมแทบจะก้าวไม่ไปด้วยซ้ำ ถ้ามีรถป่านนี้คงถึงบ้านแล้วไม่ต้องมาเดินดึกๆ คนเดียวแบบนี้ ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าบนท้องถนนมีรถประปรายแต่ไม่มากเช่นเดียวกับทางเดินในนี้ เรียกว่าแทบไม่มีคนเลยก็ว่าได้


อยากรีบก้าวยาวๆ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง


“นี่ มาทำอะไรดึกๆ แถวนี้คนเดียวเหรอ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมวางผ่ามือลงบนไหล่จนผมสะดุ้งแล้วเบี่ยงตัวหนีทันควัน


“...” ผมไม่ตอบแต่ก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทว่าชายคนนั้นกลับก้าวยาวๆ ตามมา เพียงพริบตาเดียวก็มาดักหน้าจนผมไปต่อไม่ได้


“กลิ่นเด็กแบเบาะนี่สุดยอดเลยแฮะ ไม่คิดว่าจะเจอของดีในเวลาแบบนี้” ดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายจับจ้องมายังผมพร้อมรอยยิ้มดูไม่น่าไว้ใจ


 “คุณต้องการอะไร” แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่มีอะไรผิดแปลกแต่บางอย่างมันแปลกจากคนปกติ


อันตราย


คนตรงหน้าอันตราย


“ความหวาดกลัวช่างน่ารื่นรมย์นัก อยากจะลิ้มลองจนไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยอด” บรรยากาศอันตรายแผ่ซ่านออกมาจนผมต้องก้าวถอยหลังทว่าก้าวได้ไม่กี่ก้าวกลับติดกำแพงซะแล้ว


“...คุณไม่ใช่มนุษย์” ผมบอกไปตามความรู้สึก มีบรรยากาศคล้ายกับเบียทรีซตอนเจอกันวันแรก แถมประโยคพวกนั้นมนุษย์ปกติคงไม่พูด


“รู้แล้วเหรอ แกเองก็ไม่ใช่นี่”


“ผมเป็นมนุษย์”


“มนุษย์ไม่ส่งกลิ่นแบบนี้ออกมาหรอกนะ”


“...” ผมไม่ตอบแต่หันซ้ายขวาพยายามหาทางออก ก่อนจะตัดสินใจเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้ววิ่งสุดแรงทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าแขนผมแล้วเหวี่ยงกลับจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรง ผมทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมความชาบริเวณแผ่นหลัง


“อยู่เฉยๆ ดีกว่านะถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้” น้ำเสียงเย็นๆ ของอีกฝ่ายทำเอาความกลัวเริ่มเข้ามาจู่โจม


เบียทรีซเองก็มักจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ หรือหงุดหงิดแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมฟังแล้วรู้สึกหวาดกลัวเหมือนชายคนนี้


“แกสิที่ต้องอยู่เฉยถ้าไม่อยากตาย!” คำพูดนั้นมาพร้อมกับร่างสีดำสนิทที่ก้าวออกมาท่ามกลางความมืดของซอยด้านข้างผม


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อย ความกลัวเมื่อครู่ปลิวหายไปเพียงแค่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น


“เจ้านี่จะกลับถึงบ้านโดยไม่มีแผลสักวันไม่ได้รึไงกัน” เบียทรีซก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผมเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ การกระทำของเขาคล้ายกำลังปกป้องผมที่ลุกไม่ขึ้น


“ขอโทษ...”


“อะไรกัน ปิศาจชั้นต่ำอยู่ด้วยเหรอ คิดว่ามันจะช่วยให้แกรอดได้รึไง” ชายตรงหน้าหัวเราะเสียงแหลมพลางจับจ้องไปยังเบียทรีซที่ทำเพียงยืนนิ่งๆ


ปิศาจชั้นต่ำ?


หมายถึงอะไร


“ที่ไม่รอดมันแกมากกว่า” เบียทรีซกดเสียงต่ำใส่ฝ่ายตรงข้าม


“พวกกระจอกแถมไม่เจียมตัวนี่มีเยอะเหมือนกันแฮะ”


“พูดถึงตัวเองอยู่รึไง”


“ว่าไงนะ!”


“แกมันก็แค่ปิศาจระดับกลางที่ไร้อำนาจและพลังเมื่ออยู่โลกปิศาจเลยมาโลกมนุษย์เพื่อแสดงพลังอันแสนกระจ้อยร่อยงั้นสิ” ผมพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเบียทรีซแต่ก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้


“แก! แกคิดงว่าตัวเองเก่งนักรึไง!” ความโกรธและโมโหแผ่ออกมาพร้อมมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่มีเล็บยาวงอกออกมา


“เก่งสิ ต่อให้อยู่ในร่างนี้ปิศาจระดับเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า!” การโจมตีด้วยกรงเล็บอันแหลมคมถูกเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย ร่างสีดำของเบียทรีซแผ่พลังบางอย่างออกมาในความมืด ผมยังเห็นถึงคลื่นพลังสีดำซึ่งปกคลุมตัวเบียทรีซและกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


ปิศาจที่เป็นคู่ต่อสู้ถึงกับเบิกตากว้าง ทั้งร่างเริ่มเกิดอาการสั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของพลังอย่างชัดเจน เบียทรีซก้าวตรงไปยังร่างอันสั่นเทิ้ม และเพียงการโจมตีเดียวร่างของปิศาจตนนั้นก็หายวับไปกับตา ผมได้แต่นั่งนิ่งมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ


“...เบียทรีซ”


“จะอึ้งอีกนานไหม รีบลุกขึ้นได้แล้ว” บรรยากาศน่ากลัวเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยเบียทรีซในยามปกติ


“เจ็บ...ลุกไม่ไหว” ผมบอกไปตามจริง อยากจะลุกแต่ขยับไม่ไหว


ดูเหมือนแรงกระแทกจะส่งผลหนักกว่าที่คิดไว้


“อ่อนแอ” แม้จะบ่นแต่อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาใกล้ให้ผมจับเขาพยุงตัวขึ้นทีละนิด


“ทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ” มีหลายคำถามที่ยังคาใจ...ซึ่งคำถามเหล่านั้นไว้ค่อยถามก็ได้ มีแค่คำถามนี้ที่ผมอยากฟังคำตอบเลย


“แค่ว่างเลยออกมาเดินเล่น”


“...คุณโกหก” ต่อให้เป็นผมก็รู้ว่าคำพูดนั้นคือคำโกหกแน่นอน เวลา 4 ทุ่มกว่าแบบนี้ต่อให้เป็นปิศาจก็คงไม่ออกมาเดินเล่นหรอก ถึงแม้จะออกมาเดินเล่นจริงการจะมาเจอผมในจังหวะพอดิบพอดีแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้


ถ้างั้นทำไมเบียทรีซถึงมาอยู่นี่ได้...คำตอบมีแค่อย่างเดียวคือเขาตั้งใจมาหาผม


“แล้วแต่เจ้าจะคิด ขึ้นหลังข้า” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซจัดการเอาร่างผมขึ้นไปอยู่บนหลังเรียบร้อยโดยผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น


เบียทรีซเดินเข้าไปในซอยตามเส้นทางกลับบ้านแบบไม่รีบร้อน สีขนของเขากลืนกับความมืดถ้าไม่สังเกตดีๆ ไม่มีทางเห็นหรอกว่ามีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่แบกมนุษย์ไว้บนหลังเดินอยู่ตามถนนแบบนี้


เมื่อรู้สึกปลอดภัยความง่วงก็เริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้งหนึ่ง ผมซุกใบหน้าลงกับขนของเบียทรีซบริเวณแผงคอที่มีขนฟูฟ่องมากกว่าบริเวณอื่น เป็นส่วนที่ผมชอบมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา


“ง่วงก็นอนไป” น้ำเสียงแข็งกร้าวปนรำคาญนั่นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมา ความห่วงใยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นแผ่ออกมาโดยไม่ต้องพูดคำว่าห่วงด้วยซ้ำ


“ขอบคุณที่มาหาผม...”


“บอกแล้วไงว่าไม่ได้มาหา”


“ขอบคุณที่มาช่วยผม...”


“ข้าก็แค่ผ่านมา”


“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะเบียทรีซ” ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมใช้มือสองข้างโอบกอดแผงคอนั่นแน่นขึ้นซึบซับไออุ่นที่ส่งผ่านมายามร่างกายแนบชิดกัน ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอบกอดเส้นขนนี่แต่ทำไมครั้งนี้หัวใจมันถึงเต้นรัวขึ้นกันนะ


เป็นเพราะกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่


หรือจะเป็นเพียงแค่ตัวตนของอีกฝ่ายที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กัน

..................................................

มาต่อกันค่ะ

บทเกริ่นนำจะจบลงในตอนนี้แล้ว

ในตอนหน้าจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาหลักกันแล้ว

แฟนตาซีเป็นแนวที่เราชอบแต่งมากเพราะมันไม่ต้องคำนึงถึงหลักความเป็นจริงอะไรมากมายนัก

หวังว่าทุกคนจะชอบน้าา

ขอฝากวิณณ์และเบียทรีซไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่3:⊱ 9/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-12-2018 18:57:00
เฮียหมา ว่างๆ ไปถอนกอใบเตยที่ทำงานให้ด้วยจะดีมากๆ  o18
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่3:⊱ 9/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-12-2018 21:37:00
หูยยยยยย มีออกมารอรับหน้าปากซอยนะท่านน
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่4:⊱ 16/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 16-12-2018 21:07:07
⊰บงการ:วันที่4:⊱



“นี่เบียทรีซ” ผมส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายระหว่างนั่งเปิดโทรทัศน์ดูรายการสารคดีเรื่อยเปื่อยมาตั้งแต่ช่วงเช้า วันนี้เป็นวันหยุดของบริษัทซึ่งติดกับวันเสาร์อาทิตย์ทำให้ผมมีวันหยุดถึง 3 วันติด ในวันแรกของการหยุดยาวผมทำความสะอาดบ้านตั้งแต่เช้ายันเย็นภายในบ้านเลยสะอาดเอี่ยม


วันนี้เป็นวันที่สองของวันหยุดซึ่งก็เป็นอย่างที่เห็นว่าพวกเราค่อนข้างว่าง ผมเลยนึกขึ้นเรื่องที่สงสัยขึ้นมาได้หลายๆ อย่าง เหตุการณ์ที่ผมถูกปิศาจเข้ามาเร่งงานในช่วงดึกและได้เบียทรีซมาช่วยก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว


“ว่ามา”


“มีเรื่องอยากถามได้ไหม”


“ลองว่ามาก่อน” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองผมเล็กน้อยระหว่างตอบ เบียทรีซนอนอยู่บนโซฟาโดยมีผมนั่งพิงโซฟาอยู่ด้านล่าง


“คุณรู้ไหมว่าทำไมปิศาจถึงได้เข้ามาทำร้ายผม”


“รู้สิ เพราะเจ้าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลานไง”


“ผมไม่ได้เด็กขนาดนั้น” ฟังกี่ทีก็รู้สึกเหมือนถูกว่าอยู่เลย


เด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน?


ผมที่อายุ 30 ปีแล้วเนี่ยนะ ฟังแล้วน่าอายจะตาย


“สำหรับมนุษย์คงไม่เด็กแต่สำหรับปิศาจอย่างพวกข้าถือว่าเป็นวัยเด็กซึ่งมีกลิ่นเย้ายวนและน่าลิ้มลองมากที่สุด” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมา


“...หมายถึงพวกคุณกินพวกเดียวกัน?” ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ความหมายของประโยคนั้นผมคงแปลไม่ผิดใช่ไหม


“เรื่องปกตินี่ บางทีแค่พวกสัตว์มันไม่พอหรอกนะ”


“...” นอกจากความเงียบที่มอบให้ผมยังค่อยๆ ขยับตัวออกห่างจากโซฟามากขึ้นทีละนิด


ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่ไม่ควรเข้าใกล้


“ทำหน้าตลก”


“คุณ...คงไม่กินผมหรอกนะ”


“...ไม่รู้สินะ”


“ต้องบอกว่าไม่กินผมสิ” พูดว่าไม่รู้มันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้


“หึ...ก็ดูน่าอร่อยไม่เลว”


“เบียทรีซ” ผมถอยหลังจนติดกับโต๊ะญี่ปุ่น


คงไม่ได้พูดจริงใช่ไหม


“ไม่ต้องกลัวไป ตอนนี้ข้าอิ่มอยู่”


“พูดแบบนั้นจะไม่ให้กลัวได้ยังไงล่ะ”


“สำหรับปิศาจในวัย 30-50 ปีจะเป็นช่วงวัยที่ส่งกลิ่นหอมออกมาเป็นพิเศษ ในโลกปิศาจเองมีการล่าพวกเดียวกันในวัยนี้อยู่มาก กลิ่นของเจ้าคงไปเตะตาพวกมันเข้า” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“แล้วคุณไม่เป็นอะไรเหรอ” ผมถามกลับ


“ไม่เป็นไรคือ?”


“ก็กลิ่นผมไง” ในเมื่อบอกว่าที่ผมถูกปิศาจโจมตีครั้งก่อนเป็นเพราะกลิ่นถ้างั้นกลิ่นของผมก็ต้องมีผลต่ออีกฝ่ายที่เป็นปิศาจด้วย


“ข้าไม่ใช่พวกปิศาจระดับกลางแบบนั้น”


“ปิศาจระดับกลาง?”


“ทำหน้างง”


“ก็ผมไม่รู้นี่” จะว่าไปเหมือนจะมีทั้งต่ำ กลางและสูงเลยนี่นา


หมายถึงอะไรกันนะ


“ปิศาจน่ะแบ่งง่ายๆ ออกเป็นปิศาจระดับต่ำหรือปิศาจระดับล่าง ปิศาจระดับกลางและปิศาจระดับสูง ทำหน้าแบบนั้นอยากให้อธิบายเพิ่มล่ะสิ” สมกับเป็นเบียทรีซแค่เห็นหน้าผมก็รู้ทันทีว่าผมต้องการอะไร


“อืม” ผมพยักหน้าขึ้นลงอย่างไม่เขินอาย


ก็คนมันไม่รู้จริงๆ นี่นา


“ปิศาจระดับต่ำคือปิศาจที่ไม่มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ส่วนมากจะมีรูปร่างคล้ายสัตว์และมีพลังปิศาจ ปิศาจรับดับกลางว่าง่ายๆ คือส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงมนุษย์หรืออาจเป็นที่ยืนสองขาได้ พูดได้รวมไปถึงมีพลังปิศาจมากกว่าพวกระดับต่ำ สุดท้ายคือปิศาจระดับสูงนั่นก็คือข้า!” พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนบนโซฟาโดยใช้ขาทั้งสี่ข้างจัดทำมุมพร้อมเชิดหน้าขึ้นคล้ายกับจะให้ผมดูรูปลักษณ์อันแสนงาดงามนั่น


“เอ่อ...คุณเป็นปิศาจระดับสูง?”


“แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าข้าควรอยู่ในระดับไหนถ้าไม่ใช่ระดับสูงล่ะ” เบียทรีซหันควับมาถามผมด้วยน้ำเสียจริงจัง


เป็นปิศาจในระดับไหนงั้นเหรอ


ถ้าดูจากรูปลักษณ์คล้ายสัตว์ป่าขนยาว ขนาดยักษ์ประกอบกับคำอธิบายจากอีกฝ่ายเมื่อครู่คำตอบก็มีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ...


“ระดับต่ำ...”


“เจ้านี่ใจกล้าดีนี่! อยากถูกกลืนลงท้องขนาดนั้นเลยสินะ บอกข้าดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องมายั่วโมโหกันเลย!” เบียทรีซกระโดดลงมาจากโซฟาพร้อมก้าวเข้ามาประชิดผมที่ถอยหลังไปจนสุดทาง สายตาที่จับจ้องมานั่นช่างน่ากลัวจนผมแทบขยับหนีไม่ได้


“...คุณโกรธอะไรน่ะ”


“บอกว่าข้าเป็นปิศาจระดับต่ำจะให้ข้าปรบมือดีใจแล้วขอบคุณเจ้ารึไงวิณณ์”


“ผมพูดผิด?” ผมถามกลับตามตรง


“ข้าเหมือนพวกปิศาจระดับต่ำตรงไหนกัน!” เสียงตะหวาดกร้าวดังขึ้นในระยะประชิด ผมถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง ดูเหมือนจะทำให้เบียทรีซมีน้ำโหซะแล้ว


“ก็คุณเป็นคนบอกเองว่าปิศาจระดับต่ำส่วนมากมีรูปร่างเหมือนสัตว์ คุณเองก็รูปร่างเหมือนสัตว์นี่” ผมอธิบายผิดตรงไหนกัน ทุกอย่างผมฟังและตอบตามเนื้อผ้าชัดๆ


“นี่มันเป็นร่างชั่วคราว ข้าไม่ได้อยากอยู่ในร่างแสนอ่อนแอแบบนี้หรอกนะ”


“ร่างชั่วคราว?”


“ปิศาจระดับสูงมีความสามารถในการควบคุมพลังปิศาจได้ มีไม่น้อยที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตัวเองในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่พัวพันต่อชีวิต อย่างข้าเองตอนพลังปิศาจไหลออกไปจากร่างเกือบหมดก็มาอยู่ในร่างนี้เพื่อถนอมพลังปิศาจของตัวเองไว้” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“คุณเป็นปิศาจระดับสูง” ผมสรุปเสียงเบา


“แน่นอน ข้าที่เป็นถึงราชาปิศาจอยู่เหนือสุดของเหล่าปิศาจทั้งปวง ปิศาจระดับสูงเพียงแค่มองด้วยตาก็สามารถแยกแยะได้ง่าย ตัวตนอันสูงส่งของข้ามาพร้อมกับพลังปิศาจอันมหาศาลอีกทั้งรูปลักษณ์ยังเหนือกว่ามนุษย์อย่างเทียบไม่ติด”


“หมายถึงหน้าตาดีมากสินะ” ผมสรุปให้เป็นภาษาของตัวเอง คำอธิบายของเบียทรีซบางครั้งก็ดูทำความเข้าใจยากเกินไป


“เข้าใจถูกแล้ว ยิ่งตัวข้ายิ่งหล่อเหลากว่าใคร”


“...” ระหว่างเงียบผมไล่มองยังโครงหน้าของเบียทรีซ เรียวปากยาวสีดำขลับตัดกับดวงตาสีทองสว่างอย่างลงตัว อีกทั้งเส้นขนอันอ่อนนุ่มคล้ากำมะหยี่แม้จะไม่ได้สัมผัสก็รรับรู้ได้ถึงความนุ่มที่แผ่ออกมา ถ้าทั้งหมดนั่นเรียกว่าหล่อก็คงใช่


“พยักหน้านั่นหมายถึงอะไร” เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัวเลยไม่ทนรู้ตัวว่าเผลอพยักหน้าออกไป


“อืม คุณหล่อ”


“...ไม่ได้โกหก” คำพึมพำเบาๆ ดังขึ้นหลังจากถูกอีกฝ่ายใช้ดวงตาคมๆ จับจ้องมาคล้ายกำลังเค้นหาคำตอบผ่านการสบตา


“ฮืม?” หมายถึงอะไร


“รูปลักษณ์ดำๆ นี่มันหล่อตรงไหน” เบียทรีซถามต่อ


“ขนนุ่มสุดๆ” ผมตอบพลางโผลร่างเข้ากอดแผงคอนุ่มนิ่มนั่น


“มันเกี่ยวกับหล่อตรงไหนวิณณ์”


“แค่มองหน้าคุณก็รู้แล้วว่าหล่อ อย่างเวลาเรามองสุนัขหรือแมวให้ดีๆ เราจะสามารถแยกเพศได้โดยใช้เพียงการมองเท่านั้นว่าสวยหรือหล่อ” ไม่เกี่ยวว่าเป็นเป็นสัตว์แล้วจะหล่อหรือสวยไม่ได้


“หึ ข้าจะบอกให้ว่าตัวจริงของข้าหล่อกว่านี้อีก 300 เท่า นึกไม่ถึงเลยใช่ไหมล่ะ”


“...อืม นึกภาพไม่ออกเลยว่าเป็นยังไง” ถึงจะบอกว่าหล่อกว่านี้อีก 300 เท่าผมก็นึกภาพไม่ออกหรอก ถ้าแค่เท่าหรือสองเท่าอาจพอนึกภาพได้อยู่


“เจ้ามันซื่อ เติมคำว่าบื้อให้อีกคำละกัน” ไม่พูเปล่าเบียทรีซใช้ปากยาวๆ ดันหัวผมเล็กน้อย


“อื้อ! เจ็บ” พอถูกดันแรงๆ ความรู้สึกเจ็บจึงแล่นเข้ามาถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปล่อยมือสองข้างที่กอดแผงคอนั่นไว้แน่น


“เจ็บก็ปล่อย ข้าร้อน”


“ไม่เอา ขออีกแป๊บ”


“แป๊บของเจ้ามันเชื่อไม่ได้”


“งั้นขออีกชั่วโมง”


“นานไป ข้าร้อน”


“ผมเปิดพัดลมจ่อให้อยู่นะ” พัดลมเพียงตัวเดียวในห้องรับแขกเปิดจ่อร่างของเบียทรีซด้วยแรงลมเบอร์สอง เรียกว่าแรงมาจนผมที่อยู่ใกล้ๆ ยังรู้สึกถึงแรงลม


“แค่ลมไม่ทำให้หายร้อนหรอก ประเทศนี้มันร้อนเกินไปแล้ว” อีกฝ่ายบ่น


“เป็นปกตินะ” ด้วยอากาศเหมือนในตอนนี้ไม่เรียกว่าร้อนหรอก ถ้าร้อนของจริงต้องรอช่วงเมษายน เชื่อเถอะว่าถ้าเบียทรีซได้สัมผัสถึงความร้อนในเดือนนั้นขนคงร่วงหมดตัวหมดหล่อกันเลยทีเดียว


“โลกข้าไม่ได้ร้อนแบบนี้”


“โลก? เอ่อ ที่ที่คุณมานี่คือที่ไหนเหรอ” แม้จะพอเดาๆ ได้แต่ผมไม่ค่อยอยากคิดว่าตัวเองเดาถูกเลยถามเอาตรงๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด


“ก็โลกปิศาจน่ะสิ เป็นเหมือนโลกคู่ขนาดกับโลกมนุษย์เรียกว่าเป็นมิติที่อยู่กันคงละฝั่งก็ไม่ผิด การจะไปโลกปิศาจหรือมาโลกมนุษย์จำเป็นต้องเปิดทางเชื่อมโลกทั้งสองก่อนจึงจะสามารถทำได้ แต่บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่เกิดการบิดตัวของมิติทำให้อยู่ๆ ทางเชื่อมปรากฏขึ้นมาเองก็มีอยู่ไม่น้อย”


“แล้วโลกปิศาจเป็นยังไงเหรอ” อยู่ๆ ผมก็เกิดความสนใจขึ้นมา สิ่งที่ได้ฟังอาจเข้าข่ายนิยายแฟนตาซีเข้าไปทุกทีแต่ผมรู้ว่ามันเป็นความจริงเพราะไม่งั้นจะอธิบายตัวตนของเบียทรีซว่ายังไงล่ะจริงไหม


“เกิดสนใจโลกปิศาจขึ้นมาแบบนี้อยากไปอยู่ทางนั้นเหรอเจ้าลูกครึ่ง” เบียทรีซถามกลับพลางลอบสังเกตมองปฏิกิริยาผม


“แค่อยากรู้เท่านั้นเอง” บอกตรงๆ ว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว ตัวผมนั้นทำความเข้าใจและตามสถานการณ์ยังไม่ค่อยทันนัก รู้ตัวแค่ผมนั้นไม่ใช่มนุษย์ปกติ


“ถ้าเจ้าไปอยู่นั่นได้โดนหลอกไปกินในสามวันแน่”


“หลอกไปกิน?”


“เด็กวัยหัดคลานแบบเจ้าเป็นที่ต้องตาอยู่แล้วยิ่งนิสัยเชื่อคนง่ายกับความซุ่มซ่ามนี่ข้าว่าลดเหลือสักสองวันก็พอ” เบียทรีซพูดต่อ


“ผมก็ไม่ได้เชื่อคนง่ายหรือซุ่มซ่ามขนาดนั้นสักหน่อย” ผมพยายามเอ่ยค้าน


“หน้าผากแดงๆ นั่นมาจากอะไร”


“...เดินชนประตู” ใจจริงผมไม่อยากพูดแต่พอถูกสายตานั่นประสานมาผมเลยจำใจต้องบอกความจริงไป หน้าผากผมแดงเนื่องจากเมื่อเช้าดันเหม่อเผลอเดินชนประตูกระจกเข้า


จะโทษว่าผมซุ่มซ่ามไม่ได้นะเพราะกระจกมันโปร่งใสผมก็นึกว่าเปิดอยู่น่ะสิ


“เฮ้อ จะมีวันไหนที่เจ้าไม่เจ็บตัวบ้างฮะวิณณ์” เสียงถอนหายใจมาพร้อมกับสายตาปลงๆ


“เท่าที่รู้...ไม่มีนะ” ผมพยายามนึกย้อนหาวันที่ไม่เจ็บตัวแต่เหมือนจะไม่มี การเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว


“ข้ารู้อยู่แล้วไม่ต้องทำหน้าพยายามนึกเลย”


“ก็เผื่อจะนึกได้”


“คงมีหรอก”


“จะว่าไปเบียทรีซบอกว่าต้องฟื้นฟูพลังปิศาจสินะ” มีเรื่องนี้อีกเรื่องที่อยากถาม


“อืม แล้ว?”


“ตอนนี้พอจะฟื้นฟูได้บ้างรึยัง”


“เพราะใครก็ไม่รู้ดันโดนปิศาจเร่งงานพลังที่ฟื้นขึ้นมานิดหน่อยเลยถูกใช้ไปจนเกลี้ยง” คำพูดของเบียทรีซทำเอาผมที่เป็นต้นเหตุถึงกับทำหน้าสลด


“...ขอโทษนะ” เพราะตอนนั้นผมไม่สามารถหนีได้เขาเลยต้องเข้ามาช่วย


“น่ารำคาญ มื้อเที่ยงข้าจะกินเนื้อ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพร้อมใช้ส่วนหัวดันตัวผมที่กอดเขาอยู่ในขยับออกไป พอเป็นอิสระก็กระโดดกลับขึ้นไปนอนบนโซฟาต่อตามเดิม


“ได้ ผมจะย่างเนื้อให้”


กริ๋งง~ กริ๋งง~


ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากพื้นเสียงกริ่งหน้าประตูบานก็ดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน ผมที่เป็นเจ้าของบ้านถึงกับขมวดคิ้วแน่นเพราะนึกไม่ออกว่าจะมีใครมาหาตัวเองได้ ผมไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทอะไรมากมาย ครอบครัวเองก็ไม่มีเหลืออีกแล้วด้วย


หรือว่าจะเป็นคนมาขายของ?


“กว่าจะมาได้นะ”


“อะไรมาเหรอ” ผมหันไปถามเมื่อได้ยินเบียทรีซเอ่ยบางอย่าง


“คนของข้าเอง” อีกฝ่ายบอกเสียงเรียบ


“...หมายถึงคนที่อยู่หน้าประตูเป็นปิศาจ?”


“ใช่”


“...” ดวงตาสีน้ำตาลของผมถึงกับเบิกกว้างเมื่อได้รับคำตอบ


มีปิศาจมากดกริ่งหน้าบ้านผม?!


“ไม่ใช่พวกใช้กำลัง บ้านเจ้าไม่พังหรอก”


“เขาน่ากลัวไหม” การเผชิญหน้ากับปิศาจครั้งล่าสุดไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไหร่สำหรับผม เรียกว่าทำให้กลัวก็ไม่ผิด


“ด้วยรูปลักษณ์ไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือสิ่งที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์นั่นต่างหาก” เบียทรีซบอก


“แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง” ผมถามต่อ อย่างน้อยถ้ารูปลักษณ์ไม่น่ากลัวก็ค่อยดีหน่อยขืนเปิดประตูออกไปแล้วเจอสัตว์ตัวใหญ่ยืนสองขาแถมยังพูดได้ผมอาจเป็นลมอยู่หน้าประตูก็เป็นได้


“แค่ให้เข้ามา”


“อืม” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน เสียงกริ่งดังขึ้นเพียงสองครั้งตามมารยาทราวกับเป็นการกดเรียกที่รู้ว่าอีกเดี๋ยวต้องมีคนมาเปิดประดูให้


เมื่อประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกภาพของชายหนุ่มในชุดสูทนั่นไม่ได้ทำให้ผมตกใจเท่าใบหน้าตรงๆ ของเขา ใบหน้าเรียวผิวขาวจมูกโด่งเป็นสันเข้ากับดวงตาเรียวสีฟ้าอ่อนกับเส้นผมสีทองเข้มได้อย่างลงตัว อีกทั้งรอยยิ้มที่เผยออกมาดูราวกับเทพบุตรที่หลอมละลายหัวใจของคนที่พบเห็น ทว่าที่ผมตกใจไม่ใช่เพราะรู้ลักษณ์อันหล่อเหล่าผิดมนุษย์แต่เป็นเพราะผมเคยเห็นใบหน้านี่มาก่อน


บริษัทที่ผมทำงานอยู่นั้นเป็นที่รู้กันว่าทำเกี่ยวกับการแพ็คสินค้าในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในบริษัทอีกหลายสิบแห่งที่ถูกบริหารโดยเจ้าของคนเดียวกันซึ่งก็คือ จาร์ม สก๊อต นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่สร้างบริษัทหลายสิบแห่งในหลายสิบประเทศ อธิบายง่ายๆ คือคนตรงหน้าผมคือเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง


อยากจะถอดแว่นออกมาเช็ดเผื่อว่าสิ่งที่สะท้อนจากเลนส์จะมาจากการหักเหของแสงที่ผิดเพี้ยนไป ใครจะเชื่อล่ะว่าคนดังระดับนั้นจะมากดกริ่งอยู่หน้าบ้านผมแบบนี้


เดี๋ยวนะ!


จากที่เบียทรีซบอกคนที่อยู่หน้าประตูเป็นคนของเขาแถมยังเป็นปิศาจด้วย จะบอกว่าจาร์ม สก๊อตคนนี้เป็นปิศาจงั้นเหรอ?!


ไม่สิ ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ทั้งสง่าและหล่อเหลากว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่าก็พอจะบอกได้ถึงความแตกต่างตามที่เบียทรีซเคยบอก ก็เคยสงสัยอยู่ว่ามีอะไรแปลกๆ ผมเคยได้ยินเรื่องของจาร์ม สก๊อตมาตั้งแต่อยู่มัธยมจนกระทั่งจบและเข้าทำงานรูปถ่ายของเขาที่ติดอยู่ตามบอร์ดภายในบริษัทไม่ได้ดูแก่ขึ้นเลยสักนิด


ถ้าอธิบายว่าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปิศาจที่มีอายุยืนนานข้อสงสัยทั้งหมดเป็นอันไขกระจ่าง


“เอ่อ...คุณ จาร์ม สก๊อต?” ใช้ความพยายามมากกว่าผมจะเอ่ยจนจบประโยคได้


“ฮืม? รู้จักฉันด้วย” อีกฝ่ายมีท่าทีตกใจไม่น้อยที่ผมเอ่ยชื่อของเขาออกไป


“...ครับ” ไม่ให้รู้จักคงแปลกชื่อเสียงของเขาดังมาก


“รู้จักฉันผ่านทางไหนล่ะ ทางสื่อหรือว่าทางท่านเบียทรีซ” คุณสก๊อตกดเสียงต่ำเน้นย้ำคำสุดท้ายนานเป็นพิเศษ


ท่านเบียทรีซ?


ขนาดคนดังระดับโลกยังใช้สรรพนามเรียกเบียทรีซว่าท่าน หมายความว่าเขาต้องเป็นคนที่มีอำนาจสูงกว่าไม่ก็แสดงถึงความเคารพคนคนนั้น


“...ทั้งสองทางครับ” ผมรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนหน้าที่เบียทรีซจะบอกแล้วเพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน อีกอย่างเบียทรีซบอกแค่ว่าเป็นปิศาจเท่านั้นเอง


“ท่านเบียทรีซอยู่ข้างในสินะ”


“ครับ เชิญเข้ามาก่อนครับ” พยักหน้าเสร็จผมหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านในได้สะดวก ก่อนจะปิดประตูบ้านผมสังเกตเห็นคนหลายคนที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านพ่วงด้วยรถอีกสองสามคันแต่นั่นไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกสำหรับคนระดับนี้ ที่น่าแปลกคือสัมผัสแปลกๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขาต่างหาก


แม้จะสงสัยแค่ไหนผมก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากปิดประตูแล้วเดินตามคุณสก๊อตเข้ามาถึงห้องรับแขกของบ้าน คุณสก๊อตเดินตรงเข้าไปยังห้องที่เบียทรีซอยู่โดยที่ผมไม่ได้บอกราวกับเขาสามารถสัมผัสได้ว่าเบียทรีซอยู่ที่ไหนจึงเข้าไปหาได้ถูก ร่างของเบียทรีซที่นอนอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย ทันใดนั้นคุณสก๊อตก็ก้าวยาวๆ เข้าไปใกล้พร้อมคุกเข่าลงตรงหน้า ศีรษะเองก็ก้มลงคล้ายจะสื่อถึงความเคารพที่มีต่อเบียทรีซ


“ขออภัยที่ข้ามาช้าองค์ราชา” น้ำเสียงของคุณสก๊อตดูนอบน้อมกว่าตอนที่ได้ยินปกติมาก ผมใช้นิ้วดันแว่นที่ไหลลงมาขึ้นเพื่อสังเกตสถานณ์ตรงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ


“ข้าก็คิดอยู่ว่าการที่เจ้าไม่มาสักทีแปลว่าเจ้าแปรพรรคไปแล้วรึเปล่า” ดวงตาสีทองสว่างหรี่ลงระหว่างสบดวงตาสีฟ้าอ่อนนิ่งๆ ราวกับกำลังพิสูจน์บางอย่าง


“นายเหนือหัวของข้าคือท่านเบียทรีซ” คุณสก๊อตบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแถมดวงตายังคงประสานกับเบียทรีซทั้งที่ร่างกายเริ่มสั่นหน่อยๆ


บรรยากาศแปลกๆ แผ่ออกมาจากตัวของเบียทรีซ มันคล้ายคลึงกับความหนาวเย็นที่กรีดผิวหนังจนรู้สึกเจ็บได้โดยไม่ต้องมีอาวุธ ขนาดผมที่ไม่ได้สบดวงตาสีทองนั่นตรงๆ นั่นเริ่มสั่นไปด้วยเลย ไม่เพียงแค่ความหนาวเย็นแต่มันแฝงไปด้วยความกดดันที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตัวเองนั้นไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้


สัมผัสถึงความหนังอึ้งนั่นได้ไม่นานร่างผมก็ทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น รู้สึกเหมือนร่างกายมันสั่น เรี่ยวแรงเองก็คล้ายจะถูกสูบออกไปจนหมด


ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน


ตอนเจอกับปิศาจครั้งก่อนมันคือความรู้สึกคล้ายๆ กันทว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่นั้น ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นพลังปิศาจของเบียทรีซ


 “...เบียทรีซ” ดวงตาสีทองสว่างหันมาทางผมตามเสียงเรียกและเสียงทรุดตัวลงเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเพราะเขาเห็นว่าผมนั่งกองอยู่บนพื้นด้วยร่างกายสั่นๆ หรือว่าอะไรแต่บรรยากาศแปลกๆ ที่แผ่ออกมาเริ่มจางหายไปจนกระทั่งกลับมาสู่สภาวะปกติ ร่างกายที่กำลังสั่นเองก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว


“เจ้า เจียมตัวหน่อย กล้าเรียกชื่อท่านเบียทรีซเฉยๆ ได้ยังไง” คุณสก๊อตก้าวยาวๆ เข้ามาหาผมพร้อมดวงตาคมๆ ที่จับจ้องมา ถ้าดวงตานั่นเป็นมีดผมคงเลือดสาดไปแล้ว


“เอ่อ...คือ...”


“พอแค่นั้นสก๊อต” เบียทรีซบอกเสียงนิ่ง


“แต่ลูกครึ่งนี่กำลังหยามเกรียติท่าน”


“หึ หยามเหรอ ถ้าทำเป็นจริงก็ดีสิ วิณณ์...ข้าหิว” พูดกับคุณสก๊อตเสร็จก็หันมาบอกผม


“อืม ผมจะไปย่างเนื้อให้” ผมกระพริบตาใต้เลนส์แว่นสองสามครั้งเพื่อตั้งสติก่อนจะพาร่างตัวเองเดินเข้าไปในห้องครัว จัดการเปิดเตาแล้วย่างเนื้อที่หมักไว้ตั้งแต่ช่วงเช้าลงบนกระทะแบน


ด้วยความที่ห้องครัวและห้องรับแขกอยู่ติดกันแถมยังไม่มีผนังหรือประตูกั้นทำให้เสียงพูดคุยดังมาเข้าหูผมเป็นระยะ ถึงจะได้ยินแต่บทสนทนาส่วนมากก็ถามถึงว่าเบียทรีซเป็นยังไงหรือบอกเหตุผลที่มาหาช้าประมาณนั้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีเนื้อย่างก็เสร็จเรียบร้อนผมจึงยกจานนั่นไปวางบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กแล้วนั่งลงข้างๆ โซฟาที่เบียทรีซยังคงนอนอยู่


“สถานการณ์ที่โลกปิศาจเป็นยังไง” เบียทรีซถามก่อนจะกระโดดลงมาโซฟาค่อยๆ กินเนื้อบนจานระหว่างรอฟังคำตอบ เนื้อที่ย่างเสร็จผมตัดให้เป็นชิ้นพอดีคำจะได้ไม่ร้อนหรือคำใหญ่เกินไปสำหรับอีกฝ่ายที่จับมีดตัดเองไม่ได้


“ตอนนี้สถานการณ์นับว่าวุ่นวายทีเดียว เจ้าบักเก็ตพยายามหาพรรคพวกและเสนอตัวขึ้นปกครองโลกปิศาจแทนท่านเบียทรีซที่หายตัวไป มีเพียงแค่ข้ากับคนของท่านอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าท่านมาพักฟื้นพลังที่โลกมนุษย์”


บักเก็ต?


เป็นชื่อของคนที่ทำร้ายเบียทรีซจนต้องหนีมาอยู่นี่สินะ จะว่าไปคุณสก๊อตนี่ถือว่าสุดยอดใช้คำว่า ‘พักฟื้น’ แทนคำว่า ‘หนี’ ได้อย่างเหมาะเจาะ ขืนใช้คำว่าหนีได้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นอีกแน่ ครั้งก่อนที่ผมพูดว่าหนีก็ถูกสายตาคมๆ นั่นจ้องมาซะน่ากลัว


“เจ้าคงไม่ได้บอกหรอกใช่ไหมว่าข้ายังมีชีวิต”


“แน่นอนครับ ท่านเบียทรีซอยากฟื้นพลังและกลับไปจัดการด้วยตนเอง อีกอย่างถ้าบอกทางเจ้านั่นอาจส่งปิศาจมาทำร้ายท่านได้” คุณสก๊อตตอบ


ผมฟังเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันโดยไม่พูดอะไร น้ำชาในครัวถูกยกมาเสิร์ฟคุณสก๊อตที่นั่งอยู่ถัดออกจากเบียทรีซไปหน่อยซึ่งทางคุณสก๊อตเหล่มองผมเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบพอเป็นพิธี


“ดี รอให้พลังข้ากลับมาก่อนเถอะ จะทำให้รู้เองว่ากล้ามาลองดีผิดคนแล้ว” น้ำเสียงเย็นๆ จากเบียทรีซทำเอาผมถึงกับขนลุก ไม่รู้ว่าทางฝ่ายนั้นเป็นใครหรอกนะแต่รู้สึกสงสารชอบกล


“ความจริงท่านพักรักษาตัวมาเป็นเดือนแล้วพลังน่าจะฟื้นกลับมา หรือว่า...” คุณสก๊อตพึมพำกับตัวเองไม่นานก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก


“หึ เจ้านั่นคงใช้ยาพิษที่ชะลอการฟื้นตัวของพลังปิศาจ คงคิดว่าพอข้าอยู่ในร่างนี้แล้วเดี๋ยวคงถูกปิศาจสักตนจัดการเองสินะ น่าขำ!” ปากบอกว่าน่าขำแต่เห็นหน้าเบียทรีซแล้วบอกตรงๆ ว่าคงขำไม่ออก


“ถ้าเป็นเรื่องพิษท่านปู่วาเกนต้องแก้พิษได้แน่”


“เห็นว่าหายตัวไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว ไม่ใช่ตายแล้ว?”


“ข้าไม่คิดว่าบุคคลระดับนั้นจะจากไปง่ายๆ มีข่าวลือว่าท่านปู่วาเกนเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์แต่ด้วยนิสัยชอบความสงบกับรักสันโดดมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง”


“เรื่องหาที่อยู่เจ้าเก่งนี่สก๊อต คงไม่ต้องให้ข้ารอนานหรอกนะ” เนื้อชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงคอไปก่อนจะพูดต่อ


“ครับ ข้าขอเวลา 20 นาทีจะมาให้คำตอบท่าน” อีกฝ่ายก้มหัวเล็กน้อยแล้วจึงลุกขึ้นก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก


“เอ่อ ให้ผมไปส่ง...”


“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นเบียทรีซก็ห้ามไปซะก่อน


“...อือ” ที่ว่าเดี๋ยวนี่คือ 20 นาทีที่บอกสินะ แต่นี่คิดจะใช้เวลาแค่ 20 นาทีในการหาปิศาจที่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในโลกมนุษย์รึเปล่าเนี่ยนะ


“มีอะไรจะถามก็ว่ามา”


“คุณรู้ได้ไงว่าผมมีอะไรจะถาม”


“คิ้วผูกกันเป็นเงื่อนตายขนาดนั้นจะไม่รู้ก็แปลกแล้ว” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซยกขาหน้าขึ้นมาวางฝ่าเท้าลงบนหน้าผากผม


“...อุ้งเท้าก็นุ่ม” ถึงจะจับขนบ่อยแต่ไม่เคยจับอุ้งเท้าเลยนี่นา นุ่มเหมือนเท้าแมวเลย ความจริงถ้าบอกว่าเป็นแมวตัวใหญ่น่าจะเข้าเคร้ากว่ามั้งเนี่ย


“...เจ้า ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับนิสัยแบบนี้ของเจ้าเลย”


“แฮะๆ งั้นผมถามได้เนอะ”


“ถามมา แต่จะตอบรึเปล่าอีกเรื่อง”


“คุณสก๊อตนี่เป็นใครเหรอ” คำถามแรกที่คาใจที่สุดถูกเอ่ยไป


“รู้สึกว่าจะหยามกันเป็นแล้วนี่วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


“หยามอะไร” ผมไม่ได้พูดหยามเลยนะ


“เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อเฉยๆ แต่กลับเติมคุณหน้าชื่อสก๊อตที่เป็นลูกน้องข้า แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าหยามจะให้ข้าเรียกว่าอะไร”


“นั่นมันเพราะ...”


“เพราะอะไร” อีกฝ่ายเร่ง


“ก็คุณสก๊อตเขาเป็นคนดังนี่นา แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย” ผมอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป


“งั้นข้าที่เป็นเจ้านายของสก๊อตอีกทีเจ้าก็ควรต้องเติมท่านตอนเรียก” คิดไปในทางไหนก็ไม่รู้ถึงได้คำตอบแบบนี้กลับมา


“ผมไม่ชิน” เรียกเบียทรีซมาตลอดจะให้มาเปลี่ยนมันก็...


“ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีเรียกข้าก็ไม่ต้องเติมคุณให้สก๊อตเหมือนกัน”


“จะให้ผมเรียกแค่ชื่อ?”


ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง


ใครได้ยินเข้าผมถูกประณามแน่!


“ตามนั้น จบเรื่องนี้”


“เดี๋ยว...”


“ถ้าว่าสก๊อตเป็นใครสินะ เจ้านั่นเป็นลูกน้องคนสนิทข้าเอง ข้าให้มาอยู่โลกมนุษย์คอยจัดการพวกปิศาจที่หนีมาและก่อความเดือดร้อนที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนของพวกเรา” เบียทรีซไม่ฟังคำค้านใดๆ อธิบายต่อหน้าตาเฉย


นี่สรุปว่าผมต้องเรียกคุณสก๊อตด้วยชื่อเฉยๆ สินะ?


“...ที่ว่าเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนคืออะไร” อยากจะวกกลับไปเรื่องเดิมอยู่หรอกแต่พอได้ยินคำอธิบายเมื่อครู่ก็เกิดสงสัยขึ้นมา


“แค่นี้ยังต้องให้ข้าบอกเหรอวิณณ์” สายตาเอือมๆ ที่ส่วมานั้นทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ไป


“แฮะๆ” ก็ผมมันหัวช้านี่นา


“ตัวตนของพวกเราจะให้มนุษย์รู้ไม่ได้ ขืนรู้เรื่องได้มีเรื่องวุ่นวายมากมายตามมา ข้าขี้เกียจมาลงมือกวาดล้างมนุษย์ทุกคนบนโลก”


“เอ่อ...เจรจาแบบสันติก็ได้มั้ง” ใช้คำว่ากวาดล้างแบบนั้นรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย


“ข้าไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญแบบนั้น ถ้ารู้เรื่องก็ต้องปิดปากเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”


“อึก...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


ราชาปิศาจช่างน่ากลัว


หวังว่าจะปิดเรื่องนี้ไม่ให้มนุษย์รู้ได้นะไม่ได้งั้นมนุษย์ได้สูญพันธ์ด้วยฝีมือเบียทรีซชัวร์


“กี่นาทีแล้ว” อีกฝ่ายถามต่อ


“ประมาณ 15 นาที” ผมคิดว่าคงถามเวลาที่คุณ...ไม่สิ เวลาที่สก๊อตออกไป


“อีก 5 นาทีสินะ”


“ผมขอถามอีกอย่างได้รึเปล่า” ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่อีก


“ว่ามา”


“คุณปู่วาเกนคือใครเหรอ”


“ไม่รู้สิ”


“ไม่รู้?” หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รู้น่ะ ก็เห็นคุยกันออกจะยืดยาว


“ที่โลกปิศาจมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษามาตั้งแต่ราชาองค์ก่อน เห็นว่าเป็นคนสนิทแต่เมื่อราชาองค์ก่อนตายไปและข้าขึ้นมาเป็นราชาแทนอีกฝ่ายก็หายไป มีข่าวลืออยู่มากมายทั้งตายไปแล้ว ทั้งมาโลกมนุษย์หรือแม้แต่กำลังออกเดินทางไปมาทั้งสองโลก”


“แปลว่าคุณเองก็ไม่เคยเจอ?”



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่4:⊱ 16/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 16-12-2018 21:07:38
(ต่อค่ะ)


“ใช่ ไม่เคยเลยสักครั้งแต่ถ้าผ่านๆ ก็เคยเห็นอยู่”


“แล้วแบบนี้จะหาเจอเหรอ” ถ้าเบียทรีซยังไม่เคยเจอคนหาอย่างสก๊อตคงเป็นเรื่องยากที่จะรู้รูปร่างหน้าตา


“เจอสิ ถ้ามีชีวิตอยู่น่ะนะ สก๊อตเป็นปิศาจที่มีความสามารถในการค้นหามากที่สุดต่อให้หลบอยู่ใต้ทะเลหรือใต้ดินก็ไม่อาจเล็ดลอดไปได้” เบียทรีซขยายความเพิ่ม


“เจอแล้วครับท่านเบียทรีซ” สก๊อตกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมนั่งลงตรงหน้าเบียทรีซ


“อยู่ไหน”


“อยู่ทางตอนเหนือของป่าอเมซอนครับ”


“ป่าอเมซอน?!” ผมถึงกับหลุดปากเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน ป่าดงดิบที่อยู่ในอเมริกาใต้ ว่ากันว่าเป็นป่าที่ทั้งกว้างใหญ่และมีสัตว์ดุร้ายนับพันสายพันธ์ คนปกติ ไม่สิ ต่อให้เป็นปิศาจแต่จะไปอยู่ในป่าอเมซอนเนี่ยนะ


มันจะอันตรายเกินไปแล้ว!


“เจ้าเคยไป?” เบียทรีซหันมาถาม


“ไม่เคย ให้ผมไปคงไม่รอดกลับมาหรอก” ถ้าให้ไปก็เท่ากับส่งผมไปตายชัดๆ แค่แว่นหายผมคงเดินตกแม่น้ำก่อนจะโดนงาบภายในพริบตาเดียว


“อันตรายสินะ”


“ใช่ครับ เป็นป่าดงดิบที่กว้างและอันตรายแต่ถ้าเป็นปิศาจอย่างพวกเราความอันตรายนั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ” สก๊อตบอกกับเบียทรีซ


“ฮืม ก็ดี...เปิดมิติให้พวกข้าไปที่นั่น” ผมสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบางๆ จากเบียทรีซได้ระหว่างพูด


“ให้ข้าตามไปสินะท่านเบียทรีซ”


“เจ้าไม่ต้องไป ข้าจะไปกับวิณณ์” คนถูกพาดพิงอย่างผมสะดุ้งตัวโยนก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ จนคอแทบหลุด


“ไม่ๆ ผมไม่ไปหรอกนะ” จะให้ไปที่อันตรายแบบนั้นผมไม่เอาด้วยหรอก


“อย่าให้เขาไปเลยท่านเบียทรีซ ดูแล้วไม่น่าจะปกป้องท่านได้ด้วยซ้ำ” ผมพยักหน้ารัวๆ อย่างไม่กลัวอายกับคำพูดของสก๊อต
อย่าว่าแต่ปกป้องเบียทรีซเลยแค่จะปกป้องตัวเองผมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ


“ปกป้อง? เจ้าคิดว่าข้าต้องใช้เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานมาปกป้องเหรอสก๊อต”


“หามิได้ ข้าแค่เกรงว่าเขาจะทำให้ท่านอยู่ในอันตราย”


“ไม่เป็นไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะได้มีตัวตายตัวแทน”


“เบียทรีซ!” นี่เห็นผมเป็นอะไรเนี่ย


“หึ ทำหน้าตลก” คนถูกเรียกหันมามองใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ผ่านน้ำเสียง


“ตลกที่ไหนกัน” ใบหน้าผมตอนนี้มันไม่ตลกแต่กำลังหวาดกลัวอยู่ต่างหาก


“เจ้า อย่าเสียมารยาท” ฝ่ายคนสนิททักผมเป็นรอบที่สอง


“...ขอโทษครับคะ...สก๊อต” ตอนผมจะเอ่ยคำว่าคุณก็ถูกดวงตาสีทองของเบียทรีซเบนมาสบจนต้องกลืนคำว่าคุณลงคอแล้วเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงเบา


หวังว่าจะไม่ถูกโกรธที่เรียกชื่อเฉยๆ หรอกนะ


“ให้ข้าไปช่วยคุ้มกันไม่ก็มีผู้ติดตามไปสัก 4-5 คนเถอะท่านเบียทรีซ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจที่ผมเรียกชื่อตรงๆ แฮะ


“ไม่จำเป็น ไว้ค่อยมาเปิดมิติพรุ่งนี้เช้าละกัน” เบียทรีซสรุปให้


“ถ้าท่านต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัด” สก๊อตพยักหน้าตกลง


อยู่คุยกันได้อีกสักพักใหญ่เขาก็ขอตัวกลับโดยมีผมเดินออกไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะจากไปสก๊อตหันมามองหน้าผมอีกครั้งแต่ไม่เอ่ยอะไรผมเลยได้แต่ก้มหัวลาเล็กน้อยและเดินกลับเข้าบ้านไป


ในวันต่อมาผมค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นตอน 7 โมง เรียกว่าผมพาร่างอันแสนงัวเงียของตัวเองออกมาพบหน้ากับสก๊อตที่แต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมยังแผ่รังสีหนุ่มหล่อออกมาอีกต่างหาก ตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะเป็นปิศาจ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าจาร์ม สก๊อตไม่ใช่มนุษย์หรือถ้าใช่คงไม่ใช่มนุษย์ปกติ


แค่รูปร่างหน้าตาที่ไม่เปลี่ยนเลยตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก็มาพอให้สงสัย ยิ่งบวกทักษะการบริหารงานซึ่งเป็นถึงประธานบริษัทกว่า 10 แห่งทั่วโลกยิ่งแล้วใหญ่


“เอ่อ...สวัสดีครับ คุณมาเช้าไปรึเปล่าครับ” ผมเปิดฉากเอ่ยทักทายด้วยภาพมัวๆ เนื่องจากไม่มีเวลาได้เช็ดแว่นก่อนจะสวมใส่


“ไม่ต้องพูดเพราะกับฉันหรอกนะ เพราะถ้าจะพูดเพราะก็เติมท่านนำหน้าชื่อท่านเบียทรีซด้วย” อีกฝ่ายบอก


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าตอบ


“ท่านเบียทรีซสั่งว่าให้มาตอนเช้า”


“...” ที่เงียบเป็นเพราะผมกำลังนึกย้อนกลับไปและดูจะเป็นอย่างที่สก๊อตบอก เบียทรีซพูดว่าให้มาพรุ่งนี้เช้าจริงๆ


แต่ 7 โมงนี่มันเช้าไปนะ เบียทรีซยังหลับอยู่เลย


ผมเชิญสก๊อตเข้ามารอในห้องรับแขกแล้วเตรียมจะไปปลุกเบียทรีซทว่าถูกห้ามไว้ เขาบอกว่ารอให้เบียทรีซตื่นขึ้นมาเองอย่าเพิ่งไปปลุกผมเลยได้แต่พยักหน้าตกลงไปตามนั้น ระหว่างรอผมเดินเข้าไปยังครัวเพื่อเตรียมอาหารง่ายๆ ให้เป็นมื้อเช้า


“เอาเนื้อนี่ไปย่าง” สก๊อตที่เดินตามผมเข้ามาในครัววางถุงเนื้อขนาดใหญ่ที่ดยังมีเลือดซิปๆ ไว้บนเขียง


“เนื้อวัวเหรอครับ” แค่ใช้ตามมองผ่านถุงยังรู้เลยว่าเป็นเนื้อชั้นดีราคาแพง


“ไม่ใช่วัวแต่เป็นเทอร์โรซอไมเนส สัตว์ที่มีเนื้ออร่อยที่สุดในโลกปิศาจ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมก้มมองเนื้อในมือด้วยความตกใจ


นี่น่ะเหรอเนื้อที่เบียทรีซบอกว่าอยากกิน


เหมือนเนื้อวัวเลย


นึกภาพไม่ออกว่าตอนมีชีวิตจะมีรูปร่างยังไงกันแน่


“กลิ่นแบบนี้เนื้อของไมเนสสินะ” เสียงจากเบียทรีซดังขึ้นก่อนร่างสีดำจะปรากฏตัวตามมาซะอีก


“ครับ ข้าไปล่าจากโลกปิศาจมาให้ท่าน” น้ำเสียงสบายๆ นั่นราวกับจะบอกว่าการล่าถือเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ทุกวันงั้นแหละ


“ดีมาก”


“ท่านเบียทรีซย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าเถอะ ที่นั่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นห้องหรืออาหารอีกทั้งยังมีปิศาจคอยรับใช้จนกว่าพลังของท่านจะฟื้นขึ้นมาเต็มที่ ตอนแรกที่ข้าไม่มานี่เพราะนึกว่าชารอน มาเจก้าจะคอยดูแลท่านแต่ไม่คิดว่าเธอจะตายแล้วเหลือเพียงลูกครึ่งอย่างเขาไว้” แม้ผมจะกำลังย่างเนื้อสัตว์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่หูผมก็ยังคงได้ยินบทสนทนาอยู่ไม่ขาด


จริงตามสก๊อตพูด ในตอนแรกที่เบียทรีซมานี่เพราะแม่ของผม แต่เมื่อแม่ไม่อยู่แล้วเลยเป็นผมที่ทำหน้าที่ดูแลชั่วคราว แค่ฟังก็รู้ว่าระหว่างบ้านหลังเล็กๆ ไม่มีแม้เงินที่จะย่างเนื้อให้ได้ทุกวันกับคฤหาสน์ที่มีพร้อมทั้งอาหารและปิศาจรับใช้ ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล


จะบอกว่าโล่งก็ไม่ใช่ซะทีเดียว การได้นอนซุกขนนุ่มๆ นั่นทุกคืนมันทำให้ไม่อยากกลับไปนอนบนหมอน อีกอย่างการมีคน ไม่สิ ต้องพูดว่าการมีเบียทรีซเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมันไม่ใช่เรื่องแย่ ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นนี่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข ผมไม่เคยได้ใกล้ชิดหรือสนิทกับใครมากเท่านี้มาก่อน


ใจจริงอยากจะบอกว่าผมจะคอยดูแลเบียทรีซจนกว่าพลังจะฟื้นเองแต่ก็รู้ตัวดีกว่าผมไม่มีทั้งเวลาหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายเหมือนสก๊อต


“ไม่ล่ะ ข้าอยู่นี่ดีอยู่แล้ว” เบียทรีซเอ่ยปฏิเสธแทบจะทันทีหลังสก๊อตพูดจบ ราวกับไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ความคิดนานอะไร


“ดีอยู่แล้ว? ขออภัยแต่ข้าไม่คิดว่าที่นี่จะมีทุกอย่างที่ท่านต้องการ”


“เจ้าพูดถูกผ้าปูสีทองก็ไม่มี เนื้อไมเนสก็ไม่มี อ่างแช่น้ำก็ไม่มี ห้องรับแขกนี่ก็ไม่มีแอร์ ข้าต้องทนร้อนทั้งวันจึงจะเปิดแอร์ตอนค่ำได้” ข้อเสียมากมายถูกเอ่ยออกไปข้อแล้วข้อเล่า


“ถ้าเป็นที่คฤหาสน์ข้าจะสั่งให้ลูกน้องไปล่าเนื้อไมเนสมาแล้วก็เปิดแอร์ทั้งวันด้วย”


“ข้าบอกแล้วไงว่าอยู่นี่ดีอยู่แล้ว เนื้อเจ้าก็เอามาให้ข้าที่นี่สิ”


“ไม่มีปัญหาครับเรื่องนั้นเพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านเบียทรีซถึงอยากอยู่ที่นี่นัก” สก๊อตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ และไม่ใช่แค่เขาที่อยากรู้ผมเองก็อยากรู้ไม่ต่างกัน


“หึ ข้าก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน”


ไม่มีข้อสักถามอะไรมากไปกว่านี้ ผมยกอาหารเช้าซึ่งเป็นเนื้อจานใหญ่มาตั้งไว้ก่อนจะยกข้าวเช้าง่ายๆ ของตัวเองออกมากินบ้าง หลังจากนั้นผมกลับไปอาบน้ำและออกมายังสวนหย่อมข้างตัวบ้านก็พบเข้ากับช่องว่างสีเทาหม่นทอประกายเป็นสีสันอันหลากหลายปรากฏขึ้นตรงหน้า


ผมยังไม่ทันได้อ้าปากถามถึงความสงสัยเบียทรีซที่รออยู่ก็ใช้ปากงับเบาๆ ยังชายเสื้อผมก่อนจะเหวี่ยงเข้าไปด้านในช่องว่างนั่นสุดแรง ดวงตาสีน้ำตาลของผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะตามมาด้วยความกลัว เพียงพริบตาหลังถูกเหวี่ยงเข้ามากลิ่นของป่าพ่วงด้วยกลิ่นคาวแปลกๆ ก็ลอยมาตามลมเช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมตรงหน้าซึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


ความเปียกชื้นบริเวณเท้าเป็นเพราะผมกำลังเหยียบอยู่ในโคลนข้างแม่น้ำอันเต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้อยู่ตลอดสองฝั่งของแม่น้ำ ป่ารกทึบเต็มไปด้วยต้นไม้หลายสายพันธ์เติบโตขึ้นซ้อนทับกันจนแทบมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในของป่า


บรรยากาศเย็นๆ ที่ปะทะร่างยังไม่ทำให้ผมสะดุ้งเท่ากับร่างของสัตว์เลื้อยคลายสีดำขนาดยักษ์ที่ชูคอขึ้นมา ดวงตาสีทองของมันทอประกายคล้ายกำลังดีใจที่เจอเหยื่อ ทั้งร่างของผมเกร็งและสั่นด้วยความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับงูอนาคอนด้าตัวใหญ่ยักษ์ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบป่าอเมซอนแห่งนี้ ปลายลิ้นสองแฉกของมันแล่บออกมาพร้อมเสียงซู่เบาๆ


ถ้าขยับผมถูกงาบลงคอในคำเดียวแน่


“ทำอะไรอยู่วิณณ์ เดินมาทางนี้” ร่างของเบียทรีซปรากฏออกมาจากช่องว่างของมิติก่อนจะใช้ความคล่องแคล่วกระโดดไปอยู่บนชายฝั่งอย่างรวดเร็ว


“...” ผมอ้าปากอยากจะพูดหลายๆ อย่างทว่ากลับไม่มีเสียงออกมาเลย งูอนาคอนด้าตัวยักษ์ละสายตาจากผมไปจ้องเบียทรีซแทน สัตว์สองสายพันธ์ใช้ดวงตาสีทองจับจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ด้านของเบียทรีซทำเพียงประสานดวงตาไปตรงๆ แต่งูอนาคอนด้ากลับอ้าปากขนาดยักษ์หมายจะกลืนสิ่งมีชีวิตสีดำตรงหน้าในคำเดียว


ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เบียทรีซแผ่บรรยากาศแปลกๆ เหมือนตอนเจอสก๊อตเมื่อวานออกมา แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่ากรามขนาดยักษ์นั่นหยุดชะงักกลางกลางอากาศและเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นร่างของสัตว์เลื้อยคลานตัวยักษ์ก็ร่วงลงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


“วิณณ์!” เสียงเรียกอีกรอบทำให้ผมได้สติแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปหาเบียทรีซที่เดินนำเข้าไปในป่า


“เมื่อกี๊ทำอะไรเหรอ”


“แค่แผ่พลังปิศาจออกไปแค่นั้น ปิศาจอย่างพวกเราน่ะมีทั้งพลังและอำนาจเพียงแค่เอามันออกมาก็สามารถล้มอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องสู้ด้วยซ้ำ แรงกดดันจากพลังปิศาจไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ต้านไม่อยู่หรอก เจ้าเองที่เป็นลูกครึ่งยังถึงกับทรุดเลยนี่” ที่เบียทรีซพูดถึงคงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน


“เพราะผมมีเลือดของมนุษย์เลยทนพลังปิศาจของคุณไม่ได้ใช่ไหม” ผมพูดตามที่ตัวเองเข้าใจ


“เจ้ายังไม่เคยสัมผัสถึงพลังปิศาจตรงๆ ไม่แปลกที่จะมีปฏิกิริยาแบบนั้นยิ่งกับพลังของข้าที่เป็นถึงราชายิ่งแล้วใหญ่ แค่ไม่สลบก็นับว่าเก่งแล้ว”


“ผมเก่ง?” ผมเอียงคอถาม


“ได้เลือดชารอนมาเยอะหรอก”


“เลือดของคุณแม่เหรอ”


“ชารอนเป็นปิศาจระดับสูง ความสามารถของเธอทำให้ปิศาจแทบทุกตนต้องยอมสวามิภักเจ้าที่สืบสายเลือดเองก็ย่อมได้พลังอันมหาศาลนั่นมาเลยทนแรงกดดันจากพลังข้าได้” เบียทรีซอธิบายระหว่างเดินนำเข้าไปในป่าลึกขึ้น


“...ผมไม่มีพลังแบบนั้น”


“เจ้ามีเพียงแค่มันยังไม่ตื่นขึ้นเท่านั้นเอง”


“ทำไม่ได้หรอก” จะให้แผ่พลังปิศาจออกมาเหมือนเบียทรีซผมทำไม่ได้


“ไม่ใช่ทำไม่ได้ ต้องพูดว่าทำไม่เป็นมากกว่ามั้ง”


“...ก็คงใช่ ว่าแต่พวกเราเดินกันมานานแล้วนะ ที่ที่จะไปอีกไกลไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องถามเพราะคิดว่าพวกเราเดินกันมานานพอสมควรแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้รกทึบ


“แถวนี้แหละ สก๊อตพาพวกเรามายังจุดที่ใกล้ที่สุดที่ทำได้ แต่ดูเหมือนทางนั้นจะไม่ยอมให้เจอตัวง่ายๆ”


“หมายถึงอะไร” ผมไม่เห็นเข้าใจเลย


“อธิบายง่ายๆ คือพวกเราตอนนี้อยู่ในพลังของวาเกน”


“คุณปู่วาเกน?”


“ชิ...ถ้าข้ามีพลังละก็กะไอ้แค่ภาพลวงตาง่ายๆ แบบนี้แค่วิเดียวก็ปลิวแล้ว” เบียทรีซดูจะเริ่มอารมณ์เสียเมื่อไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ได้


“ภาพลวงตา?” จะบอกว่าที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือภาพลวงตาเหรอ


“ต้องหาจุดที่จะออกไป ถ้าเดินมั่วๆ มีแต่จะหลงมากขึ้น”


“แล้วจุดที่จะออกไปเป็นยังไง” ถ้ารู้ผมจะได้ช่วยหา


“ถ้าข้ารู้ก็เดินออกไปแล้วสิ มันเป็นจุดที่แปลกกว่าบริเวณอื่นละมั้ง” อีกฝ่ายพยายามอธิบายให้ผมที่ทำหน้างงฟัง


“จุดที่แปลก...หมายถึงทางนั้นรึเปล่า” ผมชี้นิ้วไปทางซ้ายมือของตัวเองอย่างไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามหาจุดที่แปลกตั้งแต่เดินเข้าป่าไม่นานผมก็รู้สึกแปลกกับทางนั้นอยู่ตลอด จะว่าไงดีล่ะไม่รู้จะอธิบายยังไงรู้แค่มันแปลก


“...เจ้า มองออกตั้งแต่เมื่อไหร่” เบียทรีซหันไปมองทางทิศที่ผมชี้


“เดินเข้ามาได้สักระยะ...”


“สายเลือดเจ้านี่มันจะน่าโมโหเกินไปแล้ว พาข้าออกไปจากนี่สักที!” จากนั้นผมจึงทำหน้าที่เดินนำทางเบียทรีซมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวูบนึงผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่สลายหรือหายไป


ตรงหน้าของพวกเราที่เดินออกมามีบ้านไม้หลังเล็กถูกสร้างขึ้นอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ป่ารกทึบที่น่าจะไม่มีส่วนของทุ่งราบกลับมีบริเวณหน้าบ้านเป็นทางเรียบยาวปูด้วยหญ้าต้นเตี้ยๆ สำรวจยังไม่หมดประตูไม้ด้านหน้าก็เปิดอ้าออกก่อนร่างของชายแก่ไว้หนวดยาวเดินออกมาโดยใช้ไม้เท้าช่วยพยุง


“ไหวไหมครับ” ผมเข้าไปช่วยประคองไม่ให้อีกฝ่ายล้ม


“เจ้าเองรึที่มองภาพลวงตาของข้าออก” ชายชราเอ่ยเสียงแฮบพลางเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมาแตะใบหน้าผม ดวงตาสีขาวขุ่นที่ปรือขึ้นมานั่นทำให้ผมใจหายเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตาบอดสนิทไปแล้ว


“คุณปู่...”


“ช่างเป็นลูกครึ่งที่งดงามอะไรแบบนี้ ชื่ออะไรงั้นหรือเจ้าน่ะ”


“ผมชื่อวิณณ์”


“วิณณ์...”


“การแนะนำตัวเอาไว้ต่อจากนี้เถอะวาเกน ข้าต้องการยาถอนพิษที่ทำให้พลังปิศาจข้าไม่ฟื้นขึ้นมาสักที” เบียทรีซก้าวเข้ามาใกล้ระหว่างพูด


“ราชาปิศาจลำดับที่97 อาร์ชีมาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเซลโรณา เป็นเกรียติยิ่งนักที่มาเยือนยังป่าห่างไกลผู้คนแบบนี้ด้วยตนเอง” คุณปู่วาเกนพูดต่อโดยไม่สนใจว่าเบียทรีซมีทีท่าหงุดหงิดหน่อยๆ


“ทำยาให้ข้า”


“ข้าไม่ได้เป็นลูกน้องหรือบริวารของท่าน”


“เจ้าอยากจบชีวิตลงตรงนี้สินะ” น้ำเสียงของเบียทรีซกำลังเอาจริง


“เอาสิราชา ข้ามีชีวิตมานานพอแล้ว” ฝ่ายคุณปู่วาเกนเองก็ไม่มีทีท่าจะเกรงกลัวต่อคำพูดนั่นเลยสักนิด


“เบียทรีซอย่างขู่คุณปู่สิ” ผมบอกกับอีกฝ่ายที่ทำท่าหงุดหงิดอยู่


“เจ้าน่ะคิดยังไงกับราชาองค์ปัจจุบันงั้นเหรอวิณณ์”


“คิดยังไง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ได้เกิดหรือโตมาที่โลกปิศาจเพิ่งได้เจอเบียทรีซเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแค่นั้นเอง” ช่างเป็นคำถามที่ตอบยาก


“ไม่กี่เดือนก็มากพอให้รู้แล้ว เจ้าว่าเขาเหมาะที่จะเป็นราชารึเปล่าล่ะ” คุณปูวาเกนเปลี่ยนคำถาม


“เจ้า...” คำถามน้ำทำให้เบียทรีซที่ฟังมีน้ำโหอย่างเห็นได้ชัด


“อย่ามาขัดตอนข้ากำลังสนทนาราชาหน้าใหม่” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพตรงหน้าผมคือเบียทรีซที่หยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมสีหน้าเหมือนกำลังโกรธส่วนคุณปู่วาเกนทำเพียงเคาะไม้เท้าลงกับพื้นหญ้าเท่านั้น


“คุณปู่ทำอะไรกับเบียทรีซครับ” ผมถาม


“ก็แค่ให้หยุดอยู่เฉยๆ จนกว่าพวกเราจะคุยกับเสร็จ”


“แปลว่าคุณปู่เองก็เป็นปิศาจระดับสูงสินะ” ขนาดเบียทรีซยังขยับไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนที่มีพลังทัดเทียมกัน


“ก็ไม่ผิดหรอกนะวิณณ์ แต่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงแต่ก็มีสิ่งที่พวกเราไม่อาจเทียบได้นั่นคือพลังของราชาที่ปกครองดินแดนของเหล่าปิศาจ ต่อให้ปิศาจระดับสูงมีพลังมากสักแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานพลังของราชาได้โดยตรง ถ้าตอนนี้เขามีพลังคืนมาเพียงแค่ 1 ใน 4 ก็สามารถหลุดจากการจำกุมของข้าได้ง่ายๆ”


“คุณปู่...”


“เอาล่ะ ตอบข้าสิวิณณ์ เจ้าคิดว่าเขาเหมาะที่จะเป็นราชาปิศาจรึเปล่า”


“ทำไมคุณปู่ถึงถามแบบนั้นล่ะครับ คนที่บอกว่าต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงก็ไม่สามารถทานพลังของราชาได้คือคุณปู่เองนี่” ประโยคนั้นไม่ได้หมายถึงว่าเบียทรีซเหมาะที่จะเป็นราชาหรอกเหรอ


“ในรอบ 800 ปีจะมีราชาองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าจากที่ใดรู้แค่ว่าเมื่อถึงเวลาราชาคนต่อไปจะปรากฏขึ้นมาเอง ราวกับถูกตั้งกฎไว้ให้ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของราชาที่ถูกเลือกไม่ใช่เพราะพวกเราเอง เจ้าไม่คิดเหรอว่าเพราะได้พลังอำนาจของราชาเขาจึงไร้การนอบน้อม เอาตนเองเป็นใหญ่และวางตัวอยู่เหนือทุกคน ในเมื่อตอนนี้เขาโดนพิษทำให้หมดซึ่งพลังของราชาก็เป็นเวลาอันดีที่จะให้โลกปิศาจได้มีการปกครองในแบบใหม่รอจนกว่าเวลาจะเวียนมาบรรจบและถือกำเนิดราชาองค์ใหม่ขึ้นมาอีกครั้งนึง” คำพูดมากมายจากปู่วาเกนผมไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด


ไม่รู้ว่าเพราะสมองผมช้าหรือว่าเนื้อหาหนักและซับซ้อนเกินไปกันแน่


แต่ความหมายโดยรวมของคำถามคือเบียทรีซคู่ควรกับการเป็นราชาปิศาจรึเปล่า...สินะ


“อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้อยู่โลกปิศาจ ผมไม่รู้หรอกว่าเบียทรีซปกครองเหล่าปิศาจยังไงหรือด้วยวิธีไหนแต่ถ้าถามผมว่าอยากอยู่ในโลกที่มีเขาเป็นคนปกครองรึเปล่าผมคงไม่ลังเลเลยที่จะบอกว่าอยาก” คำตอบของผมสร้างความเงียบเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณไม่เว้นแม้แต่เบียทรีซที่เงียบลงเมื่อได้ยินคำตอบของผม


“ทำไมถึงอยาก” คุณปู่วาเกนถามต่อ


“เบียทรีซอาจมีอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย ชอบออกคำสั่งหรือกระทั่งเอาแต่ใจตัวเองทว่าเขามีความอ่อนโยนแฝงไปด้วยความใจดีที่อาจต้องใช้เวลาคลุกคลีจึงจะได้เห็น สำหรับผมคนที่จะปกครองคนได้ไม่ใช่แค่พลังหรือความคิดแต่เป็นความรู้สึกที่อยากจะช่วยคนที่อยู่ด้านล่าง ผมเคยถูกปิศาจเร่งงานแล้วก็ได้เขาช่วย...ทั้งที่จะบอกว่าตั้งใจมาช่วยก็ได้แต่กลับบอกว่าแค่เดินเล่นผ่านมา”


“นั่นคือคำตอบหรือวิณณ์” คุณปู่วาเกนถามอีกครั้ง


“ครับ เบื้องหลังอารมณ์และนิสัยเหล่านั้นมันมีหลายๆ มุมที่เขาไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น ผมเชื่อว่าเบียทรีซเป็นราชาที่ดี” ถ้าไม่ติดนิสัยหลายๆ อย่างละก็นะ สก๊อตเองก็ให้ความเคารพต่อเบียทรีซมาก มันไม่ใช่แค่เคารพในตำแหน่งแต่เป็นตัวของเบียทรีซ


“เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ” รอยยิ้มบางๆ จากผิวหนังอันเหยี่ยวย่นนั่นดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


“เบียทรีซเป็นไงบ้าง” ผมเข้าไปหาเบียทรีซที่กลับมาขยับได้อีกครั้ง


“...ปกติ นี่วิณณ์” อีกฝ่ายเรียกผมเสียงเบา


“ฮืม”


“เจ้ามันแปลก”


“ฮะ?” ผมถึงกับทำหน้างงเมื่อได้ยิน


แปลก?


ผมเนี่ยนะ?


นี่ผมควรดีใจที่ถูกราชาปิศาจชมว่าแปลกใช่ไหม


“ราชาเบียทรีซ” เสียงแหบพล่าของคุณปู่เรียก


“ครับคุณปู่” ผมที่เห็นเบียทรีซทำเพียงมองอีกฝ่ายเลยขานกลับให้


“เจ้าโชคที่พาเขามาด้วย ข้าจะทำยาถอนพิษให้...จะมาดูวิธีทำไหม” ประโยคสุดท้ายคุณปู่วาเกนหันมาถามผม


“ได้เหรอครับ”


“ได้สิ ตามมา”


“ขอบคุณครับ เบียทรีซจะมาด้วยไหม” ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่นอนหมอบลงกับพื้นคล้ายคนหมดแรง


“ไปเถอะ ข้าจะนอน”


“อืม”


“ราชาเบียทรีซ” เสียงเรียกเดิมดังขึ้นอีกครั้ง


“...อะไร” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซลืมขึ้นเมื่อถูกเรียก


“อย่าปล่อยไปเชียวล่ะ”


“หึ...ข้าไม่คิดจะปล่อยไปอยู่แล้ว” ตอบเสร็จเบียทรีซก็หลับตาลงแล้วนอนต่อส่วนผมเดินตามหลังคุณปู่วาเกนเข้าไปด้านในบ้านด้วยความสงสัยว่าความหมายของประโยคเมื่อครู่มันคืออะไรกัน


อย่าปล่อย?


ไม่คิดจะปล่อย?


สรุปมีผมแค่คนเดียวที่ไม่เข้าใจใช่ไหมว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ

..................................................

จบไปกับอีกตอน

ตอนนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มมาซึ่งเป็นเหมือนผู้ช่วยที่จะมีบทในตอนต่อๆ ไป

ฉากเองก็เปลี่ยนจากบ้านเป็นป่าบ้างถึงจะไม่นานก็ตาม

บทหน้าถือเป็นตอนที่เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเรื่องซึ่งบอกเลยว่าไม่ธรรมดา

หวังว่าทุกคนจะชอบทั้งวิณณ์และเบียทรีซกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่4:⊱ 16/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-12-2018 23:11:38
เอ็นดู พอเจอคุณปู่เบียทรีซกลายเป็นเด็กน้อยไปเลย 55555
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่4:⊱ 16/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-12-2018 01:04:36
ไม่อยากให้ท่านปีศาจกลายเป็นคนเลย เป็นโฮ่งโฮ่งเหมือนเดิมดีกว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 23-12-2018 20:22:43
⊰บงการ:วันที่5:⊱



คุณปู่วาเกนใช้เวลาในการทำยาถอนพิษอยู่นานหลายชั่วโมงโดยมีผมคอยมองการนำพืชแปลกๆ มาผสมกันรวมไปถึงขั้นตอนการผสมตั้งแต่ต้นยันเสร็จออกมาเป็นน้ำสีดำซึ่งถ้าเป็นผมคงไม่กล้าดื่มมันลงคอแน่ทว่าเบียทรีซกลับกินมันจนหมดในพริบตาเดียว


พวกเราไม่ได้อยู่คุยกับคุณปู่นานนัก ทางสก๊อตเหมือนจะรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูทางเชื่อมมิติให้พวกเรากลับไป ก่อนกลับผมหันไปมองคุณปู่วาเกนที่ยืนส่งพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตอนทำยาแก้พิษเขาบอกว่าถ้าผมต้องการจะมาหาอีกก็ได้ ดูเหมือนคุณปู่จะเหงาอยู่พอสมควรที่ต้องมาอยู่คนเดียวท่ามกลางป่ารกทึบแบบนี้ผมจึกพยักหน้าตกลงไป


ถ้าวันไหนว่างผมอาจรบกวนสก๊อตให้ช่วยเปิดทางเชื่อมพาผมมาหาคุณปู่หน่อย


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันเป็นสัปดาห์ ทุกๆ อย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่สิ...ความจริงมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ผมเพิ่งมารู้สึกเอาจะๆ ก็วันนี้เอง


“เบียทรีซ...คุณอ้วนขึ้นรึเปล่า” ผมถามอีกฝ่ายที่กระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงในระหว่างผมกำลังเช็ดเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เพิ่งสระของตนเองให้แห้ง


เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาสก๊อตให้คนเอ่อ...จะพูดให้ถูกคือเปิดมิติให้ปิศาจตัวเล็กๆ หอบเนื้อมาส่งให้เกือบทุกวัน ด้วยปริมาณของมันที่มากเกินกว่าจะเข้าตู้เย็นได้หมดผมเลยเอาไปทำอาหารจานใหญ่ให้เบียทรีซ


สงสัยจะอ้วนเพราะผมให้กินเยอะไปแน่เลย


“เจ้านี่หยาบคายขึ้นนะ” ดวงตาสีทองเบนมาสบพร้อมคมเขี้ยวภายในที่เผยออกมาให้เห็น


“...ผมเปล่าสักหน่อย ก็เดี๋ยวนี้ผมทำอาหารให้คุณกินเยอะนี่นาถ้าเริ่มอ้วนผมจะได้ทำน้อยลงไง”


“ถ้ากล้าพูดคำว่าอ้วนอีกครั้งข้าจะจับเจ้ากิน”


“...ไม่พูดแล้ว” มือสองข้างยกมือขึ้นมาปิดปากเผื่อตัวเองจะเผลอหลุดปากออกไป


“นี่ไม่ได้เรียกอ้วน...”


“อ้อ แค่ขนฟูใช่ไหม” ผมพูดแทรกเพราะนึกได้ว่าเคยเห็นคนขึ้นรูปแมวบนเฟสพร้อมเขียวว่าไม่ได้อ้วนแค่ขนฟู


น่ารักดีผมเลยแคปเก็บไว้ด้วย


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมารึไง!”


“เปล่า แมวต่างหาก”


“เฮ้อ ข้าเบื่อที่จะเถียงกับเจ้าแล้ว” พูดจบอีกฝ่ายก็เกยคางบนเท้าหน้าของตัวเองแล้วหลับตาลง


“อย่าเพิ่งนอนสิ ไม่ได้อ้วนแล้วคืออะไร” ผมขึ้นไปเตียงใช้มือข้างนึงสัมผัสบริเวณแผงคอแล้วเขย่าเบาๆ ให้ปิศาจที่หลับตื่นขึ้นมาไขข้อข้องใจกันก่อน ไฟบนเพดานถูกปิดจนเหลือเพียงโคมไฟเล็กๆ ข้างเตียงเท่านั้น เวลาในตอนนี้เป็นช่วงสี่ทุ่มของคืนวันอังคาร


“เลิกเขย่า”


“ตอบผมก่อนสิ”


“รีบนอนได้แล้ว กลับมาก็ดึกเดี๋ยวก็ตื่นสายหรอก” เบียทรีซบอกพลางงับมือผมเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เลิกดึงสักที เป็นอย่างที่เบียทรีซพูดเหละวันนี้ผมกลับดึกเนื่องจากงานที่ทำนั้นถูกเร่งให้ต้องทำเสร็จเร็วกว่าเดิมครึ่งนึง ถ้าไม่อยู่ทำโอคงทำเสร็จไม่ทันกำหนด


“ไม่สายหรอกผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว อีกอย่างเดี๋ยวคุณก็ช่วยปลุกผมนี่”


“หึ ข้าไม่ได้ปลุกแค่เขี่ยให้ตกเตียงเพราะรำคาญเสียงนาฬิกาดังแค่นั้นเอง”


“เป็นห่วงกลัวผมสายก็บอกมา” มีหลายวันที่ผมตั้งนาฬิกาปลุกแล้วไม่ตื่นก็จะถูกเบียทรีซเขี่ยจนกลิ้งตกเตียงแทนการทักทายต้อนรับเช้าวันใหม่ ต่อให้บอกว่าเพราะรำคาญแต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ถ้ารำคาญแค่จัดการนาฬิกาปลุกไม่ให้ส่งเสียงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย


“ไม่ได้ห่วงสักนิด”


“คิก...คนโกหก” ผมตอบพร้อมซุกหน้าลงกับเส้นขนสีดำสนิทโดยปราศจากแว่นตา การซุกขนนุ่มๆ นี่โดยไม่มีแว่นให้ความรู้สึกต่างจากตอนมีแว่นลิบลับ


“วิณณ์” น้ำเสียงแบบนั้นเหมือนเป็นการเตือนให้ผมเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว


“เปลี่ยนเรื่องก็ได้ บอกหน่อยว่าถ้าไม่ได้อ้วนขึ้นแล้วเป็นอะไรเหรอ” ร่างกายของเบียทรีซใหญ่ขึ้นมา เมื่อก่อนสามารถนอนแนวขวางให้ผมหนุนได้โดยไม่เลยขอบเตียงทว่าตอนนี้กลับเลยออกมาพอสมควร


“กลับมาเรื่องนี้จนได้นะ”


“ก็อยากรู้นี่”


“เป็นเด็กที่ต้องฟังนิทานกล่อมก่อนนอนรึไง”


“คงงั้นมั้ง...ขอสนุกๆ นะ”


“อ่านเองเถอะ”


“บอกหน่อย” ผมย้ำอีกรอบ


“ไม่ได้มีอะไรแค่พลังกลับมาแล้ว” เบียทรีซบอกเสียงนิ่ง


“พลังกลับมาแล้ว?!” ผมถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินคำตอบนั่น กินยาแก้พิษมาได้แค่อาทิตย์เดียวพลังก็ฟื้นกลับมาแล้วเหรอ


...เร็วจัง


“เสียงดัง นอนดีๆ” พูดจบเบียทรีซก็ใช้เรียวปากยาวๆ นั่นดันตัวผมให้ล้มลงนอนซุกเส้นขนสีดำสนิทนั่นอีกรอบ แถมยังใช้เท้าหน้าตะปบเข้าที่โคมไฟทำให้ทั้งห้องมืดสนิทลงทันตา


“เพราะพลังกลับมาเลยตัวใหญ่เหรอ”


“ยังกลับมาไม่เต็มร้อย แต่ร่างนี้มันรับพลังที่มากเกินไปไม่ไหวร่างกายเลยค่อยๆ ขยายขึ้น”


“...นี่เบียทรีซ โลกปิศาจน่ะเป็นยังไงเหรอเหมือนโลกมนุษย์ไหม” ระหว่างถามผมก็ขยับตัวเล็กน้อยเข้าหากลุ่มขนตรงหน้ามากขึ้น


“ใกล้เคียงแต่ไม่เหมือน”


“นึกภาพไม่ออกแฮะ”


“ไม่ต้องนึก นอนได้แล้ว”


“อีกแป๊บ...ผมยังมีเรื่องอยากถามอยู่” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็แทบยกหนังตาไม่ขึ้นแล้ว


“รีบๆ ว่ามา”


“...ถ้าพลังคุณกลับมาก็จะกลับไปโลกปิศาจใช่ไหม” ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแบบไหนแต่มันค่อนข้างสั่นอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าอีกไม่นานภายในบ้านจะไม่มีอีกฝ่ายอยู่อีกแล้ว ต้องกลับมาอยู่เพียงลำพังเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปเรื่อยๆ


“อืม” คำตอบเบาๆ นั่นเรียกผมให้ขยับตัวเข้าไปซุกอีกฝ่ายมากขึ้น มือข้างนึงขยุ้มเส้นขนของเบียทรีซไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว


“...จะกลับเมื่อไหร่เหรอ”


ผมยังมีเวลาที่จะได้อยู่แบบนี้อีกเท่าไหร่กัน


“ไม่รู้สิ อีกไม่กี่วันมั้ง”


“เร็วขนาดนั้นเลย”


“ยาถอนพิษได้ผลดีพลังที่หายไปฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว พลังของข้าไม่เหมาะจะอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลานานมันจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายได้”


“คุณเป็นห่วงโลกมนุษย์?” ผมแปลความหมายตามที่ได้ยิน


“ข้าแค่ขี้เกียจมานั่งจัดการปัญหา ยังมีอะไรสงสัยอีกข้าจะนอนแล้ว” เบียทรีซบ่นพลางใช้ปลายจมูกมาสัมผัสบริเวณลำคอผมคล้ายกำลังขดตัวเข้ามานอนใกล้ๆ


“...มีอีกอย่าง”


“รีบๆ ว่ามา”


“ถ้ากลับไปแล้ว...”


“อะไร” อีกฝ่ายเร่งเมื่อเห็นว่าอยู่ๆ ผมก็เงียบไปซะอย่างงั้น


“...ถ้ากลับไปโลกปิศาจแล้วจะมาหาผมที่นี่บ้างไหม” ความจริงอยากจะถามว่าเราจะได้เจอกันอีกรึเปล่า แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกันน่ะนะ


“ไม่มา...”


“...งั้นเหรอ” แบบนี้ผมก็จะไม่ได้เจอกับเบียทรีซอีกแล้วสินะ


รู้สึกเหงาจังทั้งที่อีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ขนาดนี้


มีคำถามอยากถามต่ออีกอีกแต่ดูเหมือนว่าร่างกายผมจะไม่ไหวแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลที่พยายามลืมค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกสม่ำเสมอ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงของเบียทรีซที่บอกอะไรสักอย่างซึ่งสติอันเรือนรางไม่สามารถจับใจความได้...


“ข้าจะไม่มาหาเจ้าหรอก เพราะข้าจะพาเจ้าไปด้วย...วิณณ์”




รุ่งเช้าของวันต่อมามาพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งแผดเสียงดังลั่นห้อง ผมได้ยินเสียงนั่นและรู้ดีว่าต้องเอื้อมมือไปปิดแต่ด้วยความที่ยังง่วงอยู่ผมเลยทำเพียงซุกหน้าลงกับหมอนอุ่นๆ ส่วนตัว หวังให้ช่วยกันเสียงนาฬิกาแสนน่ารำคาญนี้ได้บ้าง


“เฮ้...ตื่นได้แล้ว”


“...อื้อ” อีกแป๊บ


“รีบไปปิดเสียงมันดังน่ารำคาญ” เสียงเดิมยังคงดังขึ้นแถมครั้งนี้ความเย็นจากปลายจมูกยังมาสัมผัสโดนแก้มผมจนสะดุ้งเล็กน้อย


“อื้อ...” ผมครางตอบในลำคอพลางเอื้อมมือไปยังโต๊ะข้างเตียงโดยที่ตายังลืมไม่ขึ้น มือผมปัดป่ายแตะไปทั่วไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม เรียวปากยาวๆ หรือแม้แต่ขอบโต๊ะ ทันทีที่จับขอบโต๊ะได้ผมก็ใช้แรงทั้งหมดเอื้อมไปหานาฬิกาปลุกที่อยู่ถัดออกไปแต่แล้วความว่างเปล่าที่เจอนั่นทำเอาทั้งร่างผมลื่นตกลงไปยังพื้นด้านล่าง


ความงัวเงียที่มีสลายไปอย่างรวดเร็ว


เส้นผมสีน้ำตาลแดงพลิ้วไปมาตามแรงขยับตัว เมื่อลุกขึ้นมานั่งได้ผมจึงเงยหน้ามองเบียทรีซที่กำลังใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมาด้วยประกายขบขันแถมยังใช้ปลายจมูกเขี่ยนาฬิกาปลุกที่ยังคงแผดเสียงดังให้ตกลงมาบนตักผมด้วย


ก็ว่าอยู่ทำไมถึงเอื้อมไม่เจอ ที่แท้ก็ไปอยู่บนหัวเตียงนี่เอง


“เจ็บตัวได้ทุกเช้า เจ้าไม่เบื่อบ้างรึไง” เบียทรีซถามระหว่างลุกขึ้นสะบัดเส้นขนสีดำยาวๆ นั่นไปมาก่อนกระโดดลงมาบนพื้น


“ถ้าคุณรู้ว่านาฬิกาปลุกอยู่บนหัวเตียงก็บอกผมสิ” เขาตื่นก่อนผมแล้วแน่ๆ และคงเห็นการเคลื่อนไหวของผมแล้วชัวร์


ถ้าเห็นว่าผมไปผิดทางก็น่าจะบอกสิไม่ใช่ปล่อยให้กลิ้งตกเตียงแบบนี้


“เจ้าเป็นคนพูดเองนี่ว่าจะย้ายนาฬิกาไปไว้บนหัวเตียงจะได้เอื้อมไปปิดได้ง่ายๆ เพิ่งบอกเมื่อคืนตอนเช้ามาก็ลืมแล้ว?”


“...ก็ผมงัวเงียอยู่นี่” พออีกฝ่ายพูดผมก็นึกได้ว่าก่อนอาบน้ำผมเป็นคนเปลี่ยนที่วางนาฬิกาปลุกเองนั่นแหละ


“แล้วตอนนี้ตื่นเต็มตารึยัง”


“ตื่นเต็มตาเลย ถ้าผมกระดูกหักขึ้นมารับผิดชอบค่ารักษาด้วยล่ะ” ช่วงนี้ตกเตียงบ่อยเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่จากถูกเบียทรีซเขี่ยตกก็เป็นการตกลงมาเอง ถึงเตียงจะไม่ได้สูงมาแต่ตกบ่อยๆ มันก็อันตราย


“ไม่หักหรอก ตกบ่อยขนาดนี้กระดูกคงชินแล้ว”


“กระดูกจะชินได้ยังไง!”


“ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก” อีกฝ่ายบอกพลางทำท่าเป็นเชิงให้ผมหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลา 7 โมงครึ่ง


ผมไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเบียทรีซอีกรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกมาก็ต้องทำมื้อเช้าควบกลางวัน ไม่สิ...วันนี้ผมต้องทำงานอยู่ดึกอีกนี่นา


“เบียทรีซ” ผมชะโงกหน้าเรียกเจ้าของชื่อที่นอนราบอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก


“ข้าวเสร็จแล้ว?”


“เสร็จแล้ว ผมกำลังยกไปให้” เนื้อย่างชิ้นโตถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นๆ วางเรียงไว้บนจานยาวก่อนจะยกมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิม


“มีอะไร” เบียทรีซนั่งลงบนพื้นโดยเหล่มองมาทางผม


“ฮืม?” มีอะไรนี่คือ


“ก็เรียกข้าไม่ใช่ มีอะไร”


“อ้อ ใช่ๆ ผมลืมไปเลย” เพราะถูกอีกฝ่ายทักถึงนึกออกว่ามีเรื่องต้องบอกนี่นา


“เจ้านี่นะ เป็นแบบนี้ก็ยังอุตส่าทำงานได้อีกนะ” ดูเบียทรีซจะปลงกับนิสัยเอ๋อๆ ของผมอยู่ไม่น้อย


“ถ้าเป็นเรื่องงานผมรอบคอบนะ” ผมค่อนข้างมั่นใจในประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง ถึงจะทั้งขี้ลืมหรือเอ๋อไปบ้างแต่ถ้าเป็นการทำงานผมรอบคอบใช้ได้ทีเดียว


“ไม่ค่อยอยากเชื่อ”


“ผมพูดจริงนะ”


“ฮืม แล้วที่มีเรื่องจะบอกคืออะไร” เขาถามผมพลางจัดการชิ้นเนื้อตรงหน้า


“วันนี้ผมก็ต้องกลับดึกอีก มื้อกลางวันกับเย็นผมทำให้แล้วถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวมาจะทำเพิ่มให้”


“งาน?”


“อืม ต้องทำให้เสร็จทันกำหนดน่ะ” ผมพยักหน้าตอบ


“เอื่อยเฉื่อยอยู่นานรึไงถึงได้มาเร่งเอาตอนนี้”


“ถูกหัวหน้าเร่งมาต่างหากล่ะ” ถ้าเป็นกำหนดเดิมผมสามารถทำทันได้สบายๆ เลย


“ทั้งนิสัยและหน้าตาคงไปสะกิดต่อมอยากแกล้งของใครเข้าละมั้ง” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก


“ไม่รู้สิ แต่คงเป็นงั้นมั้ง”


“ไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก”


“โอ๊ะ! 7 โมงห้าสิบ” ผมถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าตอนนี้ใกล้สายแล้ว ต้องรีบเหยียบไปให้ทัน 8 โมง


มื้อเช้าของผมเป็นข้าวหน้าเนื้อย่างซึ่งแบ่งมาจากเบียทรีซนิดหน่อย เนื้อของสัตว์จากโลกปิศาจในตอนแรกผมไม่กล้ากินหรอกแต่พอถูกอีกฝ่ายบังคับให้ลองรสชาติของเนื้อเหมือนเนื้อวัวไม่มีผิดเพียงแค่หวานและอร่อยกว่า ถ้าเอามาขายที่โลกมนุษย์ต้องเป็นที่นิยมแน่


การทำงานในช่วงเช้าของผมเป็นไปตามปกติ เหล่าเอกสารและแฟ้มของมูลถูกเปิดอ้าใช้อ้างอิงซ้อนทับกันอยู่บนโต๊ะจนแทบไม่มีที่วางคีย์บอร์ด ข้อมูลในการทำบัญชีไม่ได้มาจากที่เดียวแต่เป็นหลายๆ ที่ประกอบเข้าด้วยกันซึ่งหากมีการลงข้อมูลที่ให้มาผิดงานก็จะล่าช้าไปด้วย อย่างช่วงก่อนพักเที่ยงมีการแจ้งมาว่าข้อมูลที่ให้มานั้นผิดและจะส่งข้อมูลที่ถูกต้องมาให้ในช่วงเย็นทำเอาการทำงานในช่วงบ่ายหยุดชะงักไปค่อนข้างมาก


ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามทำส่วนที่ทำได้ไปก่อน หวังแค่ว่าจะไม่มีส่วนอื่นผิดพลาดจนต้องแก้ไขอีกไม่งั้นคงไม่ทันกำหนดส่งแน่
ช่วงหลังเลิกงานวันนี้ไม่ได้มีผมเพียงแค่คนเดียวแต่คนแทบทั้งฝ่ายก็อยู่ล่วงเวลาด้วย สำหรับเหตุผลก็เหมือนๆ ผมที่ถูกเร่งให้จัดการงานให้เสร็จ ระหว่างทำงานไปผมได้ยินเสียงบ่นหัวหน้าหรือคุณเตยดังมาไม่ขาด ถึงจะบ่นยังไงแต่มือผมก็ยังคงขยับทำงาน


“กวินทร์ ปริณญาณนันท์!” เสียงเรียกจากทางประตูเข้าออกเรียกผมที่กำลังคร่ำเคร่งกับการพิมพ์ข้อมูลให้หันไปหาก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปหาชายร่างท้วมอายุประมาณ 50 ปี คนคนนี้คือคุณเชฏฤทธิ์ รองประธานบริษัทซึ่งคอยดูแลบริษัทในตอนนี้รับหน้าที่แทนสก๊อตผู้เป็นเจ้าของออกเดินทางไปต่างประเทศ แน่นอนว่าเขาเป็นพี่ชายของคุณเตย


เรียกผมแบบนี้มีเรื่องอะไรกันนะ


“ครับ” ผมขานรับระหว่างก้าวเข้าไปหา


“เธอยักยอกเงินบริษัทสินะ” ประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดทำเอาพนักงานทั้งฝ่ายหันมามองผมเป็นตาเดียว


“ยักยอก? ผมไม่ทำนะครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แค่งานในแต่ละวันก็ไม่รู้จะเสร็จทันกำหนดรึเปล่าแล้วจะมีเวลาไปยักยอกเงินได้ยังไงล่ะ


“บัญชีนี่เธอเป็นใส่ตัวเลขสินะ” บัญชีทางการเงินของบริษัทในไตรมาสแรกถูกยื่นมาตรงหน้าผม


“ใช่ครับ ผมเป็นคนทำเอง” ไม่ต้องเปิดดูข้างในผมก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนจัดการทำบัญชีนี้เอง ผมจำได้แม่นเพราะมีตัวเลขจำนวนหนึ่งที่ผิดแปลกไปซึ่งผมได้เข้าไปถามคุณเตยที่เป็นคนให้ข้อมูลแล้วเผื่อว่าจะใส่ตัวเลขผิดทว่าอีกฝ่ายบอกว่าถูกแล้วผมเลยทำบัญชีต่อทั้งแบบนั้น


“ตัวเลขนี่มันมากเกินปกติ หวังว่าเธอจะอธิบายได้นะ” ตัวเลขที่อีกฝ่ายหมายถึงเป็นจุดเดียวกับที่ผมสงสัยเมื่อตอนทำ


“ผมถามหัวหน้าแล้วครับ หัวหน้าบอกว่าตัวเลขถูกแล้ว...”


“นี่คิดจะโยนความผิดให้ฉันเหรอ!” คุณเตยถึงกับเท้าเอวทำหน้าเคืองเมื่อได้ยิน


“ผมแค่พูดความจริง” ไม่ได้จะโยนความผิดให้สักหน่อย


“ความจริงบ้าอะไร! แกคิดจะยักยอกบริษัทโดยการใส่ตัวเลขเพิ่มเข้าไปสินะ คงจะทำครั้งแรกล่ะสิเลยไม่รู้ว่ามันสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ พี่ชายฉันไม่ปล่อยให้รอดสายตาไปได้อยู่แล้ว” เธอบอกพร้อมกับผลักไหล่ผมแรงๆ


“ผมไม่ได้ทำ ตัวเลขนั่นผมได้มาจากคุณ...”


“เงียบไปเลยนะ คิดว่าจะใส่ร้ายฉันรึไงวิณณ์!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายพูดแทรกอีกรอบ


“ใส่ร้ายอะไร” รองประธานหันไปถามคุณเตยที่จ้องหน้าผมเขม็ง


“เขาไม่ชอบฉันน่ะสิ คงเพราะฉันให้งานไปพอทำเสร็จช้าก็เลยต้องบ่นกันหน่อย”


“เรื่องนั้นมัน...”


“ไม่ต้องพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้ว! แค่หลักฐานว่าเธอเป็นคนทำบัญชีนี้ขึ้นก็มาพอที่จะรับโทษแล้ว” แม้จะอยากแก้ตัวแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เวลาผมได้พูด


“รับโทษ?” ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแล้วทำไมต้องโดนรับโทษด้วย


“เอายังไงดีเตย น้องถูกใส่ร้ายแบบนี้อยากทำยังไง” ฝ่ายพี่ชายหันไปถามน้องสาว


“นั่นสิพี่ ฉันว่าไล่ๆ ออกไปเถอะ อยู่ไปก็แกะกะ โอ๊ะ! ทำงานไม่ได้เรื่องด้วย”


“...” ผมได้แต่เม้มปากแน่นแล้วเตรียมยอมรับชะตากรรม


ต่อให้พูดยังไงสถาการณ์ก็คงไม่เปลี่ยนกลับมาหาผมหรอก อีกอย่างมันเหมือนเป็นความผิดผมที่ปล่อยให้ตัวเลขแปลกๆ นั่นผ่านตาไปได้ถึงหัวหน้าจะบอกว่าถูกแต่ถ้าผมทำอะไรสักอย่างเรื่องอาจไม่จบลงแบบนี้


“กำลังคุยเรื่องอะไรกันดึกดื่นแบบนี้” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นก่อนประตูห้องทำงานจะถูกเปิดอ้าด้วยฝีมือของผู้ติดตาม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้าวเข้ามาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าอ่อนซึ่งไล่มองพวกเราแต่ละคนในห้องไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าฝ่ายบัญชีหรือรองประธานบริษัท ไม่ว่าใครที่เห็นใบหน้านั่นเป็นต้องชะงักไม่เว้นแม้แต่ผม



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 23-12-2018 20:23:09
(ต่อนะคะ)


“สะ...สก๊อต?” ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ในเวลาแบบนี้ได้ ที่ผมสงสัยคือเวลาดึกดื่นแบบนี้คงไม่มีประธานบริษัทไหนเข้าบริษัทหรอก


“หยาบคาย! กล้าเรียกท่านประธานด้วยชื่อเฉยๆ ได้ยังไง!” เสียงของผมดูเหมือนจะทำให้หลายคนที่ตกใจกลับมามีสติ คุณเตยที่ได้ยินผมเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเฉยๆ ก็รีบหันมาบ่น


“เอ่อ...” เผลอหลุดปากไปจนได้ ทั้งที่กะไว้แล้วว่าถ้าเจอสก๊อตข้างนอกผมจะเรียกเขานำหน้าว่าคุณ


“ลูกน้องฉันหยาบคายกับท่านประธานแบบนี้ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะจัดการสั่งสอนให้รู้จักมารายาทเองค่ะ” คุณเตยรีบหันไปส่งยิ้มหวานให้สก๊อตที่ใช้สายตานิ่งๆ จับจ้องมา


“หยาบคาย? เรียกชื่อฉันตรงๆ คงไม่หยาบคายเท่าคนที่ใช้วิธีตื้นๆ เพื่อยักยอกเงินบริษัทหรอกนะ” น้ำเสียงสบายๆ ประกอบกับรอยยิ้มดุจเทพบุตรทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“เรื่องยักยอกเงินพวกเรากำลังจัดการอยู่เลยครับ ชายคนนั้นเป็นคนยักยอกเงินของบริษัทโดยการปลอมแปลงตัวเลขในบัญชีแต่ผมตรวจเจอซะก่อนครับ” รองประธานอธิบายเรื่องราวด้วยเหงื่อที่เริ่มไหลบริเวณขมับ


“ฮืม...ฝีมือนายเหรอ” สก๊อตเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“เปล่าครับ ผมไม่ได้ทำ” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธ


“อย่าเชื่อเขาค่ะท่านสก๊อต วิณณ์น่ะมีหนี้สินอยู่เยอะเลยต้องการเงินไปใช้หนี้ การยักยอกเงินบริษัทคงเป็นทางเลือกในการหาเงินแน่ๆ ค่ะ” คุณเตยไม่ปล่อยให้สก๊อตได้คล้อยตาผมรีบพูดต่อทันที


“มีหนี้ด้วย?”


“ครับ...มีอยู่ค่อนข้างเยอะ” ไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหกหรือปิดบังในเมื่อมันเป็นความจริง


“ฮืม...เพราะแบบนี้สินะ” ใบหน้าของสก๊อตดูจะคลายความสงสัยในเรื่องอะไรสักอย่าง


“ใช่ค่ะ ตอนนี้พวกเราเลยกำลังจะไล่เขาออกจากบริษัทค่ะ”


“เขาเป็นคนยังไง” สก๊อตเมินคำพูดของคุณเตยหันไปหาพี่โยที่ยืนอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ทุกคนในฝ่ายต่างยืนขึ้นให้ความเคารพประธานบริษัทที่เพิ่งจะเคยเห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรก


“ถามถึงวิณณ์ใช่ไหมคะ” พี่โยถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ


“อืม”


“เป็นคนดี มีน้ำใจและเอาการเอางานมากค่ะ แม้จะมีนิสัยซุ่มซ่ามนิดหน่อยแต่เวลาทำงานจะรอบคอบมาก” ผมอยากจะเดินเข้าไปกอดขอบคุณพี่โยซะเดียวนี้เลยแม้จะพูดเกินจริงกับคำว่าซุ่มซ่ามนิดหน่อยก็ตาม


เมื่อเดือนก่อนผมเคยสะดุดสายทำเอาคอมพิวเตอร์ของพี่โยดับทั้งที่ยังไม่ได้เซฟงาน ผมแทบก้มกราบขออภัยแต่พี่โยกลับให้อภัยง่ายๆ แถมยังบอกว่าไม่เป็นไรเพิ่งทำไปนิดเดียวด้วย


“ถ้าบอกว่าเขายักยอกเงินมีความเห็นยังไง” สก๊อตถามต่อ


“ไม่จริงค่ะ วิณณ์บอกว่าไม่ให้พวกเราทำอะไรแต่ฉันก็ไม่อยากเห็เขาถูกใส่ร้ายไปมากกว่านี้แล้ว หัวหน้าเอ่อ...คุณเตยน่ะไม่ชอบวิณณ์เลยมักจะให้แต่งานยากๆ มาทำแล้วเร่งให้ทำเสร็จกว่ากำหนดเดิมจนต้องอยู่ทำโอเพิ่มมาหลายรอบแล้ว” พี่โยพูดต่อ


“นี่เธอ...”


“เงียบ! คนอื่นคิดเหมือนเธอคนนี้ไหม” เสียงตวาดสูงของคุณเตยถูกหยุดไว้ด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจของประธานบริษัทอย่างสก๊อตก่อนเขาจะหันไปมองพนักหน้าทุกคนที่ค่อยๆ พยักหน้าแทนคำตอบกลับมา


“พวกแก!” คุณเตยถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นลูกน้องลงความเห็นเข้าข้างผม


“มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม ฉันมีเวลาไม่มากหรอกนะ” น้ำเสียงของสก๊อตดุดันขึ้นระหว่างถาม


“ฉันถูกใส่ร้าย!”


“ท่านประธานอย่าฟังความข้างเดียวเลยครับ น้องสาวผมไม่ได้ทำ” รองประธานซึ่งเป็นพี่ชายออกตัวปกป้องน้องสาว


“ก็พูดถูก น้องสาวคุณไม่ได้ทำคนเดียวแต่มีคนหนุนใช่ไหมเชฏฤทธิ์ เก่งดีนี่พยายามแต่งตัวเลขให้ดูออกง่ายๆ เพื่อจะได้ให้คนทำบัญชีรับเคราะห์แทน ด้วยตำแหน่งที่มีแค่ไล่ออกแล้วหาคนใหม่มาแทนก่อนจะยักยอกเงินต่ออีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้เงินใช้แล้วยังโยนความผิดให้คนอื่นรับแทนด้วย ฉันต้องปรบมือให้สินะ” เสียงตบมือจากสก๊อตทำเอาคู่พี่น้องถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม


“...” เรื่องเป็นแบบนี้เองเหรอ นี่แปลว่าสก๊อตรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ


“พวกเราไม่ได้ทำ!” ฝ่ายถูกกล่าวหายังคงปฏิเสธ


“ฉันไม่มีเวลามาสนว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับหรอกนะ จะไม่แจ้งตำรวจด้วยแค่เงินไม่กี่ล้านนาทีเดียวก็หามาเพิ่มได้แล้ว”


หาเงินเป็นล้านโดยใช้หน่วยเวลาเป็นนาที?!


ถ้าจะให้สอนผมบ้างจะได้ไหมนะเผื่อจะใช้หนี้ให้หมดๆ ไปสักที


“เอาเป็นว่าทั้งสามคนโดนไล่ออก” น้ำเสียงสบายๆ นั่นไล่มองตั้งแต่รองประธาน หัวหน้าฝ่ายบัญชีคุณเตยมาจนถึงผม เดี๋ยวนะ...


“ผมด้วยเหรอ?” ที่ต้องโดนไล่ออกน่ะ


“ใช่”


“แต่วิณณ์แค่ถูกใส่ร้ายนะคะ” พี่เจพูดขึ้น


“ฉันรู้”


“ถ้ารู้แล้วทำไมถึง...”


“เป็นคำสั่งจากองค์ราชา” คำพูดของสก๊อตยังไม่ทันได้สร้างความฉงนเสียงแปลกๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้นตรงกลางห้องพร้อมช่องว่างมิติที่เปิดอ้าออก เพียงแค่ช่องว่านั้นก็สร้างความตกใจให้กับผู้คนโดยรอบได้แล้วทว่ากลับมีร่างของชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากช่องว่างมิตินั่น บรรยากาศรอบตัวเขาไม่ใช่คนธรรมาดาแต่เป็นมากกว่านั้น


ใบหน้าเรียวคมได้รูปดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้องไป เส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่ากับดวงตาสีทองสว่างนั่นราวกับเทพลงมาจุติ ณ โลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ความหล่อเหลานั่นทำเอาสก๊อตดูหน้าตาธรรมดาลงทันตา ทุกก้าวที่สัมผัสพื้นเสียงของมันจะสะท้อนและดังก้องให้คนที่มองและได้ยินตกอยู่ในมนต์สะกด กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกรวบไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวก่อนจะถูกดึงเข้าไปประชิด


ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเงยขึ้นเพื่อมองใบหน้าคมคายด้วยความสงสัย แต่เมื่อดวงตาสีทองสว่างก้มลงมาสบความคุ้นเคยบางอย่างก็ทำเอาผมถึงกับเบิกตากว้าง สีทองสว่างแบบนั้นผมจำได้...จะจำไม่ได้คงแปลกเพราะผมมองดวงตานั้นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา


แต่ว่า...ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี


“บะ...เบียทรีซ?” ผมเอ่ยเรียกทั้งที่ยังสับสนและไม่แน่ใจอยู่พอสมควร


“อะไร ทำหน้าตลกอีกแล้ว” เสียงทุ้มยังคงเป็นเสียงเดิมที่คุ้นเคย ที่ต่างไปคงเป็นรอยยิ้มมุมปากที่เผยออกนั่นเรียกปริมาณเลือดให้สูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง


“มะ...ไม่จริง”


“อะไรไม่จริง” คิ้วสีดำทั้งของข้างของคนตรงหน้าเริ่มขมวดเข้าหากันแน่น


“เบียทรีซจริงเหรอ”


“อะไรของเจ้าเนี่ย ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครได้”


“ก็...ก็คุณ...” แค่จะพูดยังติดขัดเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายนะเนี่ย ถ้าเป็นผู้หญิงคงได้ละลายกลายเป็นไอลอยขึ้นฟ้าไปแล้วถ้าถูกใบหน้านั่นขยับเข้ามาใกล้


“ข้าทำไม หล่อล่ะสิ” อีกฝ่ายพูดพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


“อืม หล่อมาก...ใจเต้นเลย” ผมบอกไปตามตรงพร้อมใช้มือข้างนึงยกขึ้นสัมผัสบริเวณหัวใจที่ยังเต้นรัวไม่มีทีท่าจะเบาลงแม้แต่น้อย ทางเบียทรีซที่ได้ยินก็นิ่งไปพักนึงคล้ายกำลังคิดอะไรหลายๆ อย่างแต่ถึงจะนิ่งไปเขาก็ยังคงมองมายังผมที่ทำตัวไม่ถูก


ไม่ชินเลยกับเบียทรีซแบบนี้


“เจ้านี่นะ ข้าควรทำยังไงกับเจ้าดีบอกหน่อยสิ” เบียทรีซพูดจบก็อาศัยจังหวะตอนผมเผลอจับผมอุ้มขึ้นแนบอก


“อ๊ะ!...ทำอะไรน่ะ” ผมดิ้นทันทีเมื่อรู้ว่าสภาพตัวเองเป็นยังไง


“มารับ”


“มารับ? หมายถึงกลับบ้าน?”


“จะว่าบ้านก็ไม่ผิด”


“หมายถึงอะไร”


“ข้าจะพาเจ้าไปปราสาทข้า” จบประโยคเขาก็หันหลังกลับก้าวขาตรงไปยังช่องว่างของมิติที่เปิดอ้าอยู่


“ปราสาท? เดี๋ยวนะ! ผมต้องกลับบ้านแล้วพรุ่งนี้ต้องมาทำงาน...” ถึงในหัวจะว่างเปล่าแต่ผมจำเป็นต้องพูดออกไปไม่งั้นคงได้ไปโลกปิศาจทั้งแบบนี้แน่


“เจ้าโดนไล่ออกแล้วนี่ยังต้องมาทำงานอะไรอีก” พอเบียทรีซพูดคำว่าลาออกจากสก๊อตก็ลอยขึ้นมาและคำพูดที่ว่าเป็นคำสั่งขององค์ราชาก็ผุดตามมาเช่นกัน


“คะ...คุณเป็นคนสั่งเหรอ” ดูจากรูปการคงคิดเป็นอื่นไม่ได้


“ฉลาดขึ้นมาหน่อยแล้วนี่”


“เบียทรีซ...”


“ไปกับข้า” น้ำเสียงของเบีทรีซทรีซไม่ใช่ประโยคคำถามหรือขอร้องแต่เป็นประโยคคำสั่งที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม


“...ผม...”


“ต่อให้ตอบว่าไม่ข้าก็จะพาเจ้าไปอยู่ดี”


“...” เผด็จการ


ผมขอมอบคำว่าเผด็จการให้กับเบียทรีซเลย


“สก๊อต” เบียทรีซหันไปหาสก๊อตที่เดินมาหา


“ครับ”


“ฝากจัดการที่เหลือที”


“รับทราบ จัดการทุกอย่างเสร็จข้าจะไปหาท่าน” สก๊อตก้มหัวลงเล็กน้อยน้อมรับคำสั่งด้วยความยินดี


เบียทรีซไม่ได้พูดอะไรอีกหันหลังเดินเข้าไปในประตูมิติที่เปิดอ้าไว้โดยมีผมถูกอุ้มอยู่ ยามแสงสว่างจากมิติจางหายไปความมืดของบรรยากาศโดยรอบนั้นมาพร้อมความเย็นที่กรีดผิวหนังจนต้องขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่น ความหนาวเย็นนี้มากกว่าหน้าหนาวของประเทศไทยอีก


ผมหันไปมองภาพด้านหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่ใครจะคิดล่ะว่าภาพแรกที่เห็นโลกปิศาจนั้นจะเป็นมุมสูงซึ่งพอมองลงไปจะเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่เป็นหย่อมๆ กระจายกันไป มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่แสงสว่างนั่นใหญ่เป็นพิเศษ ในความมืดการมองเห็นเป็นเรื่องลำบากถึงอย่างนั้นผมกลับรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าที่นี่มีหลายอย่างแตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง


“เบียทรีซ...” ผมเรียกคนอุ้มเสียงแผ่วเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่กางสยายอยู่ด้านหลังเบียทรีซ ดูจากรูปร่างคงเป็นปีก


“หนาวเหรอ” อีกฝ่ายมองผมที่ร่างกายสั่นๆ


“นิดหน่อยแต่...ปีกเหรอ” สายตาผมยังคงมองไปยังปีกคู่ใหญ่ด้านหลัง


“ใช่ เป็นพลังปิศาจที่ควบแน่นจนเป็นรูปร่าง ถ้าควบคุมได้ก็สามารลอยบนอากาศได้”


“ลอยบนอากาศ? นี่เราอยู่บนฟ้า?!” ผมสะดุ้งตัวโยนใช้แขนสองข้าโอบคอเบียทรีซด้วยความกลัวทันควัน ผมน่าจะนึกออกได้ตั้งแต่เห็นภาพวิวในมุมสูงแล้วว่าพวกเราไม่ได้อยู่บนพื้นดิน


“เพิ่งจะรู้ตัวรึไง”


“นี่มันเรื่องอะไร...พาผมมานี่ทำไม”


“เจ้าเคยถามว่าโลกปิศาจเป็นยังไงข้าเลยพามาให้เห็นกับตา” ระหว่างพูดร่างของเบียทรีซที่กำลังอุ้มผมอยู่ก็เคลื่อนที่ลงต่ำ ภาพแสงไฟเป็นหย่อมๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นและปรากฏเป็นรูปร่างของสิ่งก่อสร้างคล้ายตึกในโลกมนุษย์แต่มีความงดงามมากกว่า ดูแล้วคล้ายตึกแถบยุโรปเลย


แม้จะเป็นช่วงกลางคืนทว่าผมยังเห็นเงาของคน ไม่สิต้องบอกว่าเห็นเงาของปิศาจที่เดินกันขวักไขว่อยู่ตามถนนอย่างคึกคักไม่แพ้ตลาดมืดเลย


“ผมเห็นแล้ว...พาผมกลับเถอะ”


“นั่นคือปราสาทข้า” นอกจากจะไม่ฟังคำพูดผมแล้วยังแนะนำสิ่งก่อสร้างด้านหน้าให้รู้จักอีก


ถ้าถามว่าสนใจไหม ผมคงตอบว่าสนใจโดยไม่ลังเล ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมหันไปตามทางที่เบียทรีซบอกก่อนจะพบกับปราสาทหลังใหญ่ยักษ์ยิ่งกว่าในหนังหลายเรื่องๆ นอกจากใหญ่แล้วยังมีจำนวนชั้นที่นับคร่าวๆ ก็ร่วม 10 ชั้นได้ แต่เพราะความมืดเลยไม่เห็นรูปร่างจริงๆ ของปราสาท เบียทรีซพาผมเข้ามาด้านในตัวปราสาทที่ดูโล่งกว่าที่คิดไว้มาก


ตรงนี้น่าจะเป็นห้องโถง


“องค์ราชาเสด็จ!”


“องค์ราชาเสด็จ!”


เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นจากรอบทิศทาง เบียทรีซหยุดเคลื่อนไหวแล้วอยู่นิ่งๆ ตรงกลางห้องโถงท่ามกลางเสียงเรียกแสดงความนอบน้อมและเคารพ ผมค่อยๆ พยุงตัวเองให้ยืนตรงยามถูกอีกฝ่ายปล่อยตัวอย่างกะทันหัน แต่แล้วเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ที่เดินตีวงล้อมเข้ามาเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง


ทั้งที่คิดว่าต้องปิศาจที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับสก๊อตทว่าในความเป็นจริงปิศาจตรงหน้าผมกลับมีใบหน้าและลำตัวเป็นตะขาบยักษ์ ส่วนขานับร้อยที่ขยับไปมายามเรียกองค์ราชานั้นพาสติทั้งหมดของผมให้ดับลงทันควัน

.....................................................

ขอไว้อาลัยแด่วิณณ์ที่สลบไป

ถ้าเป็นเราก็คงสลบไม่ต่างกัน 555

ตอนหน้าจะเป็นตอนที่หลายคนอาจรอคอยนั่นคือพาทของเบียทรีซ

แถมด้วยฉากในในโลกปิศาจ

จะสนุกแค่ไหนต้องรอติดตามกันต่อในตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามเสมอน้าา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-12-2018 21:33:19
พาเค้ากลับวังเฉยยยยย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-12-2018 07:32:12
แล้วคนที่ออฟฟิศล่ะ อยากรู้ๆ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 24-12-2018 13:35:34
ชอบ สนุกดีฮะ รออ่านตอนต่อไปนะคร้าบบบ

Merry Christmas ^_^
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-12-2018 16:12:28
พามาแล้ว สลบเลย555

รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่5:⊱ 23/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 24-12-2018 17:33:05
สติคนอ่านก็จะดับค่ะ กลัวตะขาบขาเยอะ :katai3: :katai1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 30-12-2018 21:31:50
⊰บงการ:วันที่6:⊱



ยามเช้าของวันใหม่มาพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านสีทองอร่าม ด้วยความที่เตียงนอนขนาดใหญ่ยักษ์นี่อยู่ไม่ไกลจากหน้าต่างส่งผลให้แสงนั้นแยงตาจนดวงตาสีทองอร่ามของผมค่อยๆ ลืมขึ้นแม้จะยังง่วงอยู่ไม่น้อย เมื่อคืนกว่าจะได้เข้ามาหลับในห้องก็ปาไปเกือบตี 1


ไม่รู้จะเอะอะอะไรกันนักกับไอ้แค่ผมซึ่งเป็นราชาของโลกปิศกลับมา


หึ...อยากรู้จริงว่าบักเก็ตจะทำหน้ายังไงถ้าเห็นผมกลับมาแบบนี้


จะจัดการให้สาสม...


“อื้อ~...” เสียงครางจากข้างกายดังขึ้นพร้อมกับร่างนั้นพลิกตัวเข้ามาซุกผมตามความเคยชิน


วิณณ์ คือชื่อของลูกครึ่งปิศาจซึ่งสืบสายเลือดมาจากชารอนปิศาจคนสนิทของผม ไม่คิดว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่สิบปีอีกฝ่ายจะไม่อยู่ซะแล้วแถมยังมีลูกกับมนุษย์อีก สายเลือดของปิศาจที่ไหลเวียนอยู่แม้จะมีเพียงครึ่งเดียวก็มากพอให้มีชีวิตยืนยาวเหมือนปิศาจตนอื่นๆ แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าจะยอมรับชาติกำเนิดของตัวเองแถมนิสัยทั้งซุ่มซ่ามออกแนวเอ๋อๆ นั่นไม่เข้ากับสายเลือดปิศาจอันแข็งแกร่งสักนิด


น่าแปลกที่นิสัยแบบนั้นกลับดึงดูดให้ผมมองอยู่ตลอด


“เช้าแล้ววิณณ์” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางสำรวจตั้งแต่เส้นผมสีน้ำตาลแดงมาจนถึงใบหน้าขาว ริมฝีปากสีออกแดงนั่นส่งเสียงเคี้ยวน้ำลายออกมาไม่ขาด นอกจากนี้ยังขยับหน้ามาแนบกับเสื้อผมจะเปลอะน้ำลายไปเป็นแถบ


ไม่อยากคิดเลยว่าตอนผมอยู่ในร่างสัตว์สีดำจะถูกน้ำลายเปื้อนขนาดไหน


ตั้งแต่เป็นราชามาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ได้นอนร่วมเตียงกับคนอื่น ด้วยฐานะที่มีผมมีพร้อมทั้งห้องขนาดยักษ์และเตียงขนาดใหญ่พิเศษ การเบียดกันนอนบนเตียงเล็กๆ ในห้องแสนแคบไม่เคยมีอยู่ในหัวผมมาก่อน จะว่าไปตัวผมยังถูกใช้แทนหมอนหนุนด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนอื่นได้โดยขย้ำคาเขี้ยวไปแล้ว


ไม่รู้เพราะอะไรพอเป็นวิณณ์ผมกลับคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร


การขยับตัวเข้ามาซุกพร้อมทั้งถูไถใบหน้าตามแผงคอและหน้าของผมด้วยรอยยิ้มทำเอาผมที่จะหันไปบ่นถึงกับกลืนคำบ่นนั้นลงคอไปแทบจะทันที


“ฟรี้~...” นอกจากจะไม่ตื่นแล้วยังกรนเบาๆ กลับมาแทนคำตอบอีก


“...เจ้านี่นะ” ไม่บ่อยนักที่ผมจะยิ้ม อยากรู้ว่าทำไมตัวเองก็เผลอยิ้มออกกับไอ้แค่ได้ยินเสียงกรนของลูกครึ่งปิศาจที่นอนหลับสนิทอยู่นี่


“...อื้อ” คิ้วทั้งสองข้างของวิณณ์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อถูกผมใช้นิ้วชี้จิ้มแก้มนั่นเล่น


“วิณณ์ตื่น” ผมส่งเสียงปลุกอีกครั้ง และดูเหมือนครั้งนี้จะได้ผลเพราะดวงตาสีน้ำตาลที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นทีละนิด ดูจากสายตาก็รับรู้ได้ถึงความง่วงปนงัวเงีย


“เบีย...ทรีซ?”


“อะไร” น้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่แน่ใจนั่นคืออะไร


“แว่นผมล่ะ” พออีกฝ่ายพูดถึงได้นึกออกว่าวิณณ์เป็นคนสายตาสั้นมาก ต่อให้อยู่ในระยะไม่กี่สิบเซ็นก็ยังมองเห็นเป็นภาพเบลอ


“อยู่บนหัวเตียง” ผมไม่หยิบให้แต่บอก วิณณ์ทำท่าทางงงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปทางหัวเตียงแล้วแตะเบาๆ ไล่หาแว่นตาของตัวเองอยู่สักพักใหญ่แต่ก็ยังไม่เจอ


สาเหตุที่ไม่เจอก็เพราะหัวเตียงของผมไม่ได้เหมือนในห้องของมนุษย์ปกติที่คับแคบ ขนาดของหัวเตียงนี้กว้างพอที่จะวางเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ครบชุด ดังนั้นแค่แตะตรงขอบหัวเตียงแบบนั้นไม่ทำให้หาเจอหรอก


ผมมองอีกฝ่ายที่พยายามเอื้อมมือควานหาแว่นมาเรื่อยๆ ด้วยความขบขัน


จะให้บอกตำแหน่งก็ได้แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำด้วยเหตุผลง่ายแค่อยากมองท่าทางแบบนั้นอีกหน่อย


“เบียทรีซ ผมหาแว่นไม่เจอ” ใช้เวลาในการหาด้วยตัวเองสักพักใหญ่อีกฝ่ายจึงหันมาถามผม


“อยู่แถวนั้นแหละ”


“แถวนั้นที่ว่าคือแถวไหนล่ะ”


“เอื้อมมือออกไปอีกสิ” นี่ถือว่าผมบอกให้มากแล้วนะ


“เอื้อมอีก? โอ๊ะ! เจอแล้วๆ” วิณณ์ส่งเสียงดีใจเมื่อเจอสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ เจ้าตัวเช็ดแว่นด้วยปลายเสื้อพอเป็นพิธีก่อนสวมมันพร้อมเงยหน้าขึ้นมามองผม


“ตื่นแล้วก็...”


“เฮ้ย!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคคนฟังก็ถอยหลังกรูดไปจนถึงขอบเตียง ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นเบิกกว้างพลางใช้นิ้วชี้มาทางผมด้วยใบหน้าตกใจราวกับเจอคนแปลกหน้า


“ตกใจอะไร” ผมขมวดคิ้วแน่นมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่เริ่งหงุดหงิด


การถูกถอยห่างแบบนั้นทำให้ผมไม่สบอารมณ์เอาซะเลย


“...เบียทรีซเหรอ”


“นี่เจ้าความจำสั้นรึไง” คำถามนั้นคืออะไร เพิ่งเห็นร่างผมไม่เมื่อคืนแท้ๆ


จะบอกว่าจำไม่ได้?


“เอ่อ...เดี๋ยวนะ เมื่อคืนผมอยู่ทำงาน ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจากนั้นก็ถูกสก๊อตไล่ออกแล้วก็...โลกปิศาจ ใช่ ตอนนี้ผมอยู่โลกปิศาจ!”


“แล้วข้าเป็นใคร” เหตุการณ์ยังจำได้ถือว่าดีผมเลยขอดูหน่อยว่าอีกฝ่ายจะจำผมได้ไหม


“เบียทรีซไง...ไม่ใช่เหรอ” วิณณ์กระพริบตาปริบๆ ระหว่างตอบ


“ไม่ใช่มั้ง”


“...แต่เสียงเป็นเบียทรีซนี่ สีตาก็เหมือนกันด้วย...เอ่อ...” ผมอยากจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ ยามเห็นใบหน้าหนักใจปนคิดหนักนั่น


นี่คิดจริงจังกับคำพูดผมอีกแล้วสิเนี่ย


เพิ่งจะเคยเจอนิสัยแปลกๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก


จะเรียกว่าเป๋อเหรอหรือว่าซื่อตรงจนเซ่อดีล่ะ


“หึ เลิกเล่นแล้วไปอาบน้ำซะ” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนก้าวลงจากเตียง


“เดี๋ยวสิ สรุปคุณคือเบียทรีซจริงๆ ใช่ไหม”


“ข้า อาร์ชีมาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา ราชาปิศาจอันดับที่ 97 ของโลกปิศาจ ชัดพอไหม” ผมก้าวเข้าไปใกล้ยื่นหน้าไปจนหน้าผากเกือบจะแนบสนิทกันระหว่างเอ่ยแนะนำชื่อตัวเองพร้อมตำแหน่งอีกรอบ


“อ่า...ชัดพอแล้ว” อีกฝ่ายขยับตัวถอยหนีด้วยใบหน้าเห่อแดงขึ้นเป็นปฏิกิริยาปกติยามอยู่ใกล้ผม ตัวตนของราชาปิศาจไม่เพียงแค่เป็นปิศาจระดับสูงแต่รูปลักษณ์ภายนอกยังสูงส่งกว่าปิศาจในระดับเดียวกันมาก ไม่แปลกที่วิณณ์จะมีปฏิกิริยาแบบนั้น


การล่อลวงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของปิศาจ ผู้ที่ถูกหลอกก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาจากความอ่อนไหวหรือความอ่อนแอของตนเอง ในโลกปิศาจการถูกล่อลวงอาจหมายถึงความตายได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่ไร้เกราะป้องกันตัวอย่างวิณณ์ยิ่งน่าเป็นห่วงเข้าไปใหญ่


สงสัยผมคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อกันไว้แล้วสิ


“ไปอาบน้ำ” ผมย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง


“อืม จะไปอาบเดี๋ยวนี้แหละ ว่าแต่ห้องน้ำอยู่ไหน” อีกฝ่ายพยักหน้ารัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงแต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับมาถามหาตำแหน่งเพราะถัดออกไปนั้นมีประตูอยู่ถึง 4 บาน


“ทางนั้น” ผมชี้ไปยังบานประตูสีทองลายคาดน้ำตาล


“...แล้วเสื้อผ้า”


“ในห้องน้ำมีประตูเชื่อมกับห้องแต่งตัว เลือกใส่สักชุดละกัน” การพาวิณณ์มานี่อาจเป็นเรื่องที่คิดไว้เพียงแต่ยังไม่ได้เตรียมการบอกใครนอกจากสก๊อต


จะตะโกนเรียกคนใช้มาก็น่ารำคาญอีกเดี๋ยวค่อยไปสั่งอีกที


ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ประตูห้องน้ำสีทองคาดน้ำตาลก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของวิณณ์ ทว่าอีกฝ่ายที่ควรจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำกลับยืนนิ่งอยู่หน้าประตูโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน


“บะ...เบียทรีซ”


“อะไร” ผมก้าวตามอีกฝ่ายไปติดๆ


“นี่ห้องน้ำเหรอ” น้ำเสสียงไม่แน่ใจนั่นผมเข้าใจได้ทันที ขนาดพื้นที่ประมาณ 30 เมตรคูณ 30 เมตรนี่คือห้องน้ำของผมซึ่งภายในถูกแบ่งออกเป็นห้องน้ำกับห้องอาบน้ำอีกสี่ห้อง ห้องแรกเป็นฝักบัว ห้องที่สองเป็นอ่างน้ำ ห้องที่สามเป็นแบบมีน้ำตกไหลและห้องสุดท้ายเป็นแบบอ่างกลางแจ้งที่สามารถเงยหน้ามองดูดวงดาวจากกระจกใสด้านบนได้


“อืม เลือกอาบสักห้องไป” ผมผลักแผ่นหลังวิณณ์ให้เข้าไปแล้วหันหลังเดินกลับออกมา


วิณณ์ใช้เวลาในการอาบน้ำและแต่งตัวอยู่ประมาณ 15 นาทีได้ ชุดที่อีกฝ่ายเลือกใส่เป็นชุดของผมสมัยก่อนเลยไม่ดูใหญ่โคร่งเกินไปนัก ผมเองก็เข้าไปอาบน้ำต่อเช่นกัน ด้วยตำแหน่งราชาชุดที่ใส่จึงมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครสีพื้นของชุดเป็นสีทองตัดกับสีดำสนิทซึ่งเป็นสีที่ผมชอบ ไม่ว่าจะเป็นชุด ผ้าปูที่นอน พื้น กำแพงหรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องต่างมีสีทองเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น


“ว้าว...นี่เป็นชุดของราชาสินะ” วิณณ์ถึงกับทำตาโตเมื่อเห็นผมก้าวออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดเต็มยศ


“ข้าดูดีใช่ไหมล่ะ” มันไม่ใช่คำยกยอตัวเองแต่เป็นความจริงล้วนๆ บางทีคำว่าหล่ออาจน้อยไปด้วยซ้ำถ้าจะบรรยายถึงภาพลักษณ์ของผม


“อืม...หล่อสุดๆ เลย” คำพูดพร้อมใบหน้าที่ผงกขึ้นลงด้วยรอยยิ้มประทับใจนั่นช่างน่าดึงดูดกว่าใคร


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกชม รูปลักษณ์นี้ถูกชื่นชมและหลงใหลมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่พออีกฝ่ายเป็นวิณณ์ผมกลับรู้สึกว่าพิเศษขึ้นมาซะได้


“หิวแล้ว ตามข้ามา” ผมใช้มือข้างนึงวางบนหัวอีกฝ่ายแล้วขยี้ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปตามทางเดินโดยมีวิณณ์ก้าวตามมาติดๆ


บรรยากาศภายในปราสาทในชั้นบนสุดค่อนข้างเงียบเนื่องจากทั้งชั้นเป็นห้องส่วนตัวของราชาปิศาจ พูดง่ายๆ ก็ห้องส่วนตัวของผมนั่นเอง นอกจากจะมีห้องนอนแล้วยังมีห้องอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ห้องอาหารนั้นตั้งอยู่ในห้องโถงชั้น 5 ระหว่างทางเหล่าปิศาจระดับต่ำและระดับกลางพอเห็นผมต่างก็ก้มหัวแสดงความเคารพต่อผมไม่ขาดสายยกเว้น...


“องค์ราชา ได้ยินว่าท่านกลับมายังปราสาทแล้วข้ารู้สึกยินดีเหลือเกิน” น้ำเสียงเสแสร้งนั่นน่าโมโหจนอยากกระชากอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยวใส่ผนังปราสาทซะเดี๋ยวนี้เลย


ปิศาจระดับสูงตรงหน้าเป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่ดูแลโลกปิศาจแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าปิศาจระดับสูงหน้าตาไม่ต้องพูดถึงเส้นผมสีเขียวขี้ม้ากับดวงตาสีเขียวสดอีกทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นไม่รู้ว่ามีปิศาจกี่ร้อยตนที่ตกเป็นเหยื่อ


“หึ...เลิกเสแสร้งซะทีบักเก็ต” ดวงตาสีทองสว่างของผมจับจ้องไปยังดวงตาสีเขียวสดของบักเก็ต ปิศาจที่วางยาผมจนสูญเสียพลังปิศาจไปเกือบหมดแถมยังกล้าฉวยโอกาสนั้นลอบทำร้ายผมต้องถอยไปตั้งหลักที่โลกมนุษย์อีก


ไม่คิดว่าจะกล้ามาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ ราวกับไม่รู้ความผิดที่ก่อไว้


“ข้าไม่เสแสร้งอะไรนี่องค์ราชา แบบนี้สิถึงจะสนุก” สายตาของอีกฝ่ายแค่มองก็รู้ว่ากำลังคิดวางแผนบางอย่างไว้


“คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ รึไง”


“ปล่อยสิ ก็ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”


“เจ้า...”


“อีกอย่างท่านไม่มีหลักฐานอะไร”


“ด้วยฐานะข้าหลักฐานไม่มีความจำเป็น” คำตัดสินจากผมถือเป็นที่สุด หลักฐานอะไรนั่นไม่จำเป็นสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าผม ถ้าผมบอกว่าผิดต่อให้อีกฝ่ายมีหลักฐานแค่ไหนก็คือผิด


“ก็สุดแล้วแต่ท่าน โอ๊ะ! เจ้าสินะลูกครึ่งที่ลือกันอยู่ในปราสาทว่าราชาพาเข้ามาด้วยตนเอง” บักเก็ตหันไปสนใจวิณณ์ซึ่งเดินตามหลักมาด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่อออก


“...” วิณณ์ไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่ใช้มือข้างนึงกำชายเสื้อผมแน่นคล้ายไม่ไว้ใจ ตั้งแต่เหตุการณ์ในป่าอเมซอนผมก็คิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายมีเซ้นต์ด้านนี้ค่อนข้างดี มองภาพลวงตาออกได้แปลว่ามีประสาทสัมผัสถึงพลังปิศาจได้ดีกว่าปกติ ตรงจุดนี้เหมือนกับชารอนแม่ของเขาไม่มีผิด


คงจะรับรู้ได้ถึงความอันตรายบางอย่างที่แผ่ออกมา


“ไม่เปิดปากถ้าไม่ได้รับคำสั่งงั้นสินะ เป็นทาสที่ซื่อสัตย์ดีนี่” คำพูดนั่นเป็นคำเหยียดหยามมากกว่าคำชมในสายตาผม


“...” คนถูกหยามยังคงปิดปากเงียบพลางเงยหน้าขึ้นมาหาผมคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ


ไม่ต้องมองมาผมก็ไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าบักเก็ตพูดไปมากกว่านี้หรอก


“อย่ามายุ่งกับคนของข้าถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิต” ผมบอกพร้อมดันวิณณ์ให้ไปอีกฝั่งหนึ่ง


“ท่านดูสนใจเขาน่าดูนี่ ระวังของใกล้ตัวจะหันมาแว้งกัดจนหมดลมหายใจละกัน”


“หมายถึงตัวเจ้าเองรึไงบักเก็ต” ผมย้อนถาม ถ้าความหมายของประโยคนั่นหมายถึงวิณณ์อาจได้เห็นราชาปิศาจอย่างผมหัวเราะลั่นปราสาท


วิณณ์เนี่ยนะจะแว้งกัด แค่ให้วิ่งเข้ามาหาตรงๆ โดยไม่สะดุดก็ต้องปรบมือให้แล้ว


“แล้วแต่ท่านจะคิด ข้าขอตัว” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินจากไปโดยสายตาสุดท้ายหันไปมองวิณณ์ที่อยู่ข้างผม


“...เบียทรีซ” พอบักเก็ตไปวิณณ์จึงยอมเปล่งเสียงออกมา


“เป็นอะไรรึเปล่า”


“เปล่า ผมแค่รู้สึกแปลกๆ คนคนนั้นอันตราย”


“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่บื้อเรื่องนี้ล่ะนะ” สายตาที่บักเก็ตมองวิณณ์ทำเอาผมรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างที่อาจคืบคลานเข้ามาในเวลาไม่นาน


“เขาเป็นคนทำร้ายเบียทรีซสินะ”


“ใช่ เพราะงั้นห้ามเข้าใกล้เจ้านั่นเชียว” ผมเอ่ยเตือนวิณณ์


“อืม” อีกฝ่ายพนักหน้ารับคำ


ถึงวิณณ์จะพยักหน้าแต่ใช่ว่าผมจะสบายใจได้ทั้งหมด อยากรีบจัดการไล่ออกไปแต่การไล่ออกไปอาจส่งผลในแง่ลบมากกว่าให้อยู่ข้างตัวแบบนี้ ผมคิดหลายเรื่องในหัวขณะเดินเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งเป็นห้องอาหารส่วนตัวของผม โต๊ะยาวขนาดนั่งกินอาหารได้กว่า 10 คนตั้งอยู่ตรงกลางของห้อง แน่นอนว่าทั้งโต๊ะและเก้าอี้ล้วนตกแต่งด้วยสีทองตามความชอบของผู้เป็นราชา


ปิศาจระดับสูงซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเชฟเดินเข้ามาพร้อมโค้งตัวลงทำความเคารพด้วยความนอบน้อมผมจึงบอกให้นำอาหารมาเสิร์ฟได้ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าจัดมาสองที่เพราะกาเนอร์หรือหัวหน้าเชฟเพียงแค่เห็นผมพาวิณณ์เดินเข้ามาก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง


ผมชอบคนหัวไวแบบนี้


ไม่ต้องมานั่งอธิบายขยายความให้ยืดยาวน่ารำคาญ


“อาหารอย่างแรกเป็นซุปใสซึ่งผ่านการเคี่ยวมา 10 ชั่วโมง ส่วนจานหลักเป็นเนื้อยัดไส้เครื่องเทศทานคู่กับขนมปังปิ้งและสลัดทะเล ของหวานเป็นเลือดของกรีซมัลแช่แข่งครับ ขอให้พระองค์ทรงพอพระทรัยกับอาหารมื้อนี้” อาหารทุกอย่างถูกบรรยายระหว่างปิศาจรับใช้ 6 คนช่วยกันยกจานมาเสิร์ฟบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน


“อืม ออกไปได้” ผมสะบัดมือเบาๆ บอกให้ทุกคนออกไป โดยส่วนตัวผมไม่ชอบให้ใครมาจับจ้องเวลากินอาหารมันเหมือนการโดนละเมิดความเป็นส่วนตัว เมื่อทั้งกาเนอร์และเหล่าปิศาจรับใช้เดินออกไปจนหมดผมจึงเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้า


“เบียทรีซ” เสียงเรียกเบาๆ จากที่นั่งด้านข้างโดยมีผมนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะ


“อะไร อยากได้เพิ่ม?”


“เอ่อ...ผมต้องใช้ช้อนอันไหน” อาจฟังดูเป็นคำถามแปลกๆ แต่ถ้าได้เห็นเหล่าอุปกรณ์ในการกินบนโต๊ะที่มีเกือบ 10 ชนิดการจะถามคงไม่ใช่เรื่องแปลก ทั้งช้อน ส้อมหรือแม้แต่มีต่างก็มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่วางเตรียมไว้ในตำแหน่งให้หยิบจับได้ง่าย


“จะตักซุปก็ใช้อันนี้” ผมหยิบช้อนสำหรับตักซุปให้วิณณ์ดู


“อันนี้?” อีกฝ่ายพยายามมองแล้วหยิบช้อนอันเล็กขึ้นมา


“ไม่ใช่ นั่นช้อนสำหรับของหวาน”


“เยอะไปหมดเลย” วิณณ์ทำหน้างงระหว่างเปลี่ยนช้อนให้ถูกคันแล้วเริ่มตักซุปเข้าปาก จากนั้นเสียงอื้มยาวพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายใต้เลนส์แว่นออกมานั่นแสดงออกถึงความอร่อยจนผมต้องส่ายหัวเบาๆ เพื่อซ่อนรอยยิ้มุมปากที่เกิดขึ้น


อาหารในมื้อเช้าจะทำให้เบากว่ามื้ออื่นเพราะร่างกายยังไม่ตื่นเต็มที่ ยิ่งเป็นปิศาจการตื่นเช้าเลยค่อนข้างส่งผลต่อความอยากอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอาหารบนโต๊ะเลยน้อยกว่าอีกสองมื้อที่เหลือ บางครั้งที่ผมหิวมากๆ ก็จะสั่งให้มาเสิร์ฟเพิ่มแต่ดูเหมือนผู้มาใหม่จะไม่เป็นแบบนั้น


จานอาหารของวิณณ์มีสิ่งที่พร่องไปคือซุปกับสลัดและขนมปังอีกหนึ่งแผ่นแต่จานหลักอย่างเนื้อห่อเครื่องเทศกลับแหว่งไปแค่ส่วนเดียวจากทั้งหมด คงกินไปแค่คำเดียวถึงได้แหว่งแค่นั้น


“ข้าจะให้ทำอย่างอื่นมา” ผมบอกพลางเตรียมเรียกเหล่าปิศาจรับใช้ที่อยู่รอหน้าประตู


“ไม่ต้องๆ ผมไม่กินแล้ว” วิณณ์รีบห้าม


“ไม่อร่อย?” ผมถามกลับ จากที่ผมกินก็ว่ารสชาติมันดีนะ


“เปล่า ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยแต่มื้อเช้าผมไม่กินที่มันหนักๆ น่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับตามตรง


“ในจานนั่นหนักตรงไหน” แค่เนื้อชิ้นเล็กๆ ยาวไม่ถึงครึ่งไม้บรรทัด ผมกินมันหมดใน 3 คำด้วยซ้ำไป


“เพราะเป็นเนื้อกับเครื่องเทศมั้ง กินแล้วมันหนักไปสำหรับมื้อเช้า” จะว่าไปดูเหมือนก่อนหน้านี้เคยพูดคล้ายๆ กันไว้นี่นะว่าชอบกินผักมากกว่า


“เป็นพวกกินพืชรึไงกัน”


“ผมกินเนื้อได้นะ ชอบด้วยแต่แค่กินไม่เยอะ”


“...งั้นก็กินของหวานไป” การบังคับให้กินคงไม่ดีเท่าไหร่ ต้องสั่งกาเนอร์ให้ทำของวิณณ์คนละอย่างกับผม ขนาดเนื้อเบาๆ ในมื้อเช้ายังบอกว่าหนักเนื้อในมื้อถัดไปคงไม่ต้องพูดถึง


เป็นลูกครึ่งปิศาจที่ไม่เหมือนปิศาจสักนิด


“...ผมไม่กินเลือด” วิณณ์มองถ้วยใส่ของหวานที่ด้านในมีก้อนน้ำแข็งทรงกลมสีแดงใส่ไว้ ระหว่างกินอย่างอื่นน้ำแข็งสีแดงก็จะค่อยๆ ละลายทำให้ไม่ต้องเสียเวลายกของหวานมาเสิร์ฟอีกรอบ


“เลือด? อ้อ...เลือดของกรีซมัล ถึงจะบอกว่าเป็นเลือดแต่ก็เป็นเหมือนน้ำจากต้นกรีซมัลไม่ใช่สัตว์หรอก” ผมอธิบายให้อีกฟัง


“เป็นพืช?”


“ใช่ เป็นพืชขึ้นชื่อในการทำของหวาน น้ำของมันมีสีแดงเลยติดปากเรียกกันว่าเป็นเลือดของกรีซมัล”


“แบบนี้เอง...จะลองกินดู...” ผมมองอีกฝ่ายตักของเหลวสีแดงสดเข้าปากอย่างเชื่องช้าคล้ายกลั้นใจกลืนด้วยเอ็นดู คิ้วสองข้างซึ่งขมวดเข้าหากันเริ่มคลายออกและแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างเมื่อกลืนลงคอไป


“อร่อยใช่ไหมล่ะ”


“อืม อร่อยสุดๆ เลย หวานมาก” วิณณ์ตอบสลับตักของหวานขึ้นมากินต่อ


“เข้ามาสิแกรน” ผมเอ่ยเรียกคนหน้าประตูเมื่อสัมผัสถึงพลังปิศาจของคนสนิทได้


“ขออนุญาต ข้าเกรงว่าจะรบกวนเวลาอาหารเลยจะรอจนกว่าท่านจะทานเสร็จ” ประตูสีทองอร่ามถูกเปิดออกพร้อมชายหนุ่มผมสีฟ้าครามจะเดินตรงเข้ามาทำความเคารพผม แกรนเป็นเหมือนเลขาของผมคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ แน่นอนว่าเขาเป็นปิศาจระดับสูง


ผู้ที่ทำหน้าที่คอยดูแลโลกปิศาจส่วนใหญ่จะเป็นปิศาจระดับสูงทั้งนั้นเพราะไม่ว่าจะเป็นด้านพลัง อำนาจหรือแม้แต่ความนึกคิดก็ล้วนมีมากกว่าปิศาจระดับอื่น ซึ่งทั้งหมดนั้นจะอยู่อำนาจของราชาปิศาจอย่างผมอีกที อย่างแกรนผมก็เป็นคนเลือกให้มาเป็นเลขา ทางสก๊อตก็ไม่ต่างได้รับการแต่งตั้งให้คอยดูแลและจัดการพวกปิศาจในโลกมนุษย์


จะให้พูดตรงๆ ก็เป็นคนสนิทล่ะนะ


“ไม่เป็นไร มีอะไรว่ามา” ผมไม่คิดว่าแกรนจะมาหาโดยไม่มีเรื่องสำคัญหรอกนะ


“ให้ข้าจัดการบักเก็ตแถอะองค์ราชา” แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่มันแฝงไปด้วยอารมณ์ความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย


“หึ คิดจะแย่งเหยื่อข้ารึไง”


“ไม่บังอาจ เพียงแต่เรื่องแค่นี้ไม่ควรถึงมือท่าน”


“ข้าจะปล่อยให้บักเก็ตอยู่ที่นี่ต่อ” ผมบอก


“องค์ราชา ท่านไม่ควรเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว” แกรนมีสีหน้าร้อนรนทันทีที่ได้ยิน


“การกำจัดให้ไปอยู่ไกลตัวอาจสร้างความเดือดร้อนได้มากกว่าก็เป็นได้นี่ ถ้าอยู่ที่นี่เราสามารถดูการเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นได้ง่ายๆ” การจัดการให้ไปอยู่ไกลตัวอาจลดอันตรายในระยะเวลาอันสั้นลงไปได้แต่หากจะนำพาอันตรายในระยะยาวมาก็เป็นได้เช่นกัน


“งั้นให้ข้ากำจัดมันไหมองค์ราชา” แกรนถามเสียงเย็น ผมสังเกตเห็นวิณณ์ที่นั่งเงียบๆ ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน


“แค่จับตาดูก็พอ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นข้าจะเป็นคนลงมือเอง” จะให้กำจัดไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่ผมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะกล้าเคลื่อนไหวอีกไหมหลังจากถูกผมเฝ้าระวังอยู่แบบนี้ ด้วยความสามารถที่อีกฝ่ายมีหากไม่คิดจะทรยศผมอาจจะปล่อยไปก็เป็นได้


“รับทราบ ยินดีที่ได้รู้จักข้าชื่อแกรนเป็นเลขาขององค์ราชา” ก้มหัวให้ผมเสร็จแกรนจึงหันไปทักทายวิณณ์ที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม


“ครับ? ผมวิณณ์ กวินทร์ ปริณญาณนันท์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ...แกรน” เหมือนวิณณ์จะลังเลว่าจะเรียกแกรนด้วยสรรพนามแบบไหน ถ้าเติมคุณนำหน้าคงได้โดนผมบ่นอีกสักรอบ


“องค์ราชา จะให้ข้าและคนในปราสาทปฏิบัติเขาในฐานะอะไรดี” แกรนยิ้มตอบเล็กน้อยแล้วหันมาถามผมต่อ


ฐานะเหรอ


นั่นสิ ในเมื่อผมพาวิณณ์เข้ามาก็มีการกำหนดฐานะให้ซึ่งฐานะที่กำหนดก็เปรียบเหมือนจะให้คนอื่นปฏิบัติต่อวิณณ์ในระดับไหนนั่นเอง ดวงตาสีทองสว่างของผมหันไปประสานกับดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของวิณณ์ที่จับจ้องมาคล้ายกำลังลุ้นกับคำตอบที่ผมจะเอ่ย


สำหรับฐานะของวิณณ์ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้


“คนรับใช้...ของข้า” ผมเน้นคำสุดท้ายเพื่อสื่อให้แกรนรู้ว่าต่อให้อยู่ในสถานะคนใช้แต่คนอื่นนอกจากผมไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งให้เขาทำอะไร


คนเดียวที่มีสิทธิ์นั้นคือผม


“รับทราบองค์ราชาข้าจะปฏิบัติตามนั้น”


“มีงานด่วนอะไรไหม” ผมถามต่อ


“ช่วงนี้ยังไม่มีครับ ทุกคนกำลังดีใจที่พระองค์กลับมาหากมีเวลาควรออกไปให้พวกเขาเห็น...”


“ถ้าอยากเห็นก็ดูรูปเอา” ผมตัดบทด้วยกันลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากห้องอาหาร


“เอ่อ...เบียทรีซ” เสียงเรียกจากด้านหลักทำเอาขาที่กำลังก้าวชะงัก เมื่อหันไปมองก็เห็นวิณณ์ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก


“จะนั่งอีกนานไหม รีบตามมา”


“อืม” สิ้นคำพูดผมอีกฝ่ายลุกขึ้นก้าวยาวๆ เข้ามาหาผมโดยก้มหัวบอกลาแกรนเล็กน้อย


ผมเดินนำจากชั้น 5 ลงมาจนถึงชั้น 1 ผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ไปยังส่วนของสวนด้านข้างตัวปราสาทซึ่งเป็นพื้นที่ในการฝึกซ้อมของเหล่ากองกำลังเพื่อเตรียมออกไปจัดการความวุ่นวาย แม้จะมีราชาปกครองแต่ใช่ว่าจะไม่มีการก่อการร้ายหรือสงครามในแถบชายแดน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจก็ไม่ต่างกันมีพวกที่ต้องการจะแย่งชิงอำนาจด้วยกันทั้งนั้นจึงต้องมีการคัดเลือกเหล่าปิศาจมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ


หัวหน้าของกองทัพมีชื่อว่าเตโชคอยดูแลปิศาจกว่า 30,000 ตนให้อยู่ในอานัด ด้วยความแข็งแกร่งและน่าแกรงขามทำให้ไม่มีใครกล้าลองดีแย่งตำแหน่งหัวหน้า ถึงมีผลก็ออกมาไม่เปลี่ยนหรอก ในเมื่อถูกผมเลือกมาเองกับมือจะแพ้ได้ยังไงล่ะ


“องค์ราชาเสด็จ ทำความเคารพ” เสียงตะโกนสั่งปิศาจทั้ง 30,000 ตนดังขึ้นพร้อมกับเหล่าปิศาจที่ก้มหัวทำความเคารพด้วยความพร้อมเพรียง


“...พาผมมาที่ไหนน่ะ” วิณณ์ถึงกับก้าวมาหลบอยู่ด้านหลังผมด้วยความตกใจ ความจริงผมเห็นอีกฝ่ายทั้งเรียกทั้งพยายามถามอยู่หลายรอบแต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ


“ลานนี่เป็นสถานที่ฝึกของกอพทัพปิศาจของข้า” ผมอธิบายตามตรง


“องค์ราชา ทรงต้องการให้ข้ารับใช้เรื่องใดโปรดออกคำสั่ง” เตโชหัวหน้ากองทัพคุกเข่าลงข้านึงบนพื้นเพื่อรอรับคำสั่งจากผม


“ให้พวกนั้นกลับไปฝึกแล้วมาหาข้าที่สวนด้านนั้น” ผมบอกพลางมองไปยังสวนที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล


“น้อมรับคำสั่ง”



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 30-12-2018 21:32:19
(ต่อนะคะ)


ระหว่างรอเตโชจัดการทุกอย่างผมเดินมายังสวนขนาดกลางซึ่งคั่นกลางระหว่างลานฝึกสองลานไว้ ภายในสวนนี้ถูกปูด้วยพื้นหญ้าตกแต่งด้วยต้นไม้สูงเตี้ยสลับกันไป ดูเหมือนสวนนี้จะเรียกความสนใจจากผู้มาเยือนครั้งแรกได้มาก ต้นไม้ในโลกปิศาจคล้ายคลึงกับโลกมนุษย์แต่มีความพิเศษมากกว่าอย่างต้นไม้ที่วิณณ์เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในตอนนี้ดูเผินๆ ก็เป็นแค่ต้นไม้ที่ออกดอกเป็นสีชมพูธรรมดาแต่เมื่อวิณณ์ยื่นนิ้วเข้าไปใกล้ดอกไม้สีชมพูกลับขยายใหญ่ขึ้นแถมยังพุ่งเข้าโจมตีจนวิณณ์ถึงกับก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน


“เบียทรีซ...ต้นไม้นั่น...”


“นั่นคือต้นเมจิสก้าเป็นพืชกินปิศาจถ้าเข้าไปไกลอาจโดนจับกินได้” ผมอธิบาย


“งั้นก็บอกกันแต่แรกสิ! ผมเกือบโดนกินแล้วนะ”


“ไม่เป็นไร เมจิสก้ากินได้แค่ปิศาจตัวเล็กๆ ตัวเจ้าใหญ่ไปถึงจะถูกกินแล้วก็โดนคะย่อนออกมาอยู่ดี”


“น่ากลัวเกินไปแล้ว คุณพาผมมาดูสวนเหรอ” วิณณ์ถามบ้าง


“เปล่านี่” ทำไมผมต้องถ่อมาถึงนี่เพื่อจะให้ดูสวนด้วย


“งั้นมาทำไม...”


“องค์ราชา มีเรื่องอะไรให้ข้ารับใช้” เตโชก้าวเข้ามาผมที่ยืนรออยู่ด้วยความคล่องแคล่วพร้อมรับคำสั่ง


“ฝึกหมอนี่ที” คำพูดจากปากผมทำเอาวิณณ์ที่ฟังอยู่หันควับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ เช่นเดียวกับเตโชเองเมื่อฟังคำพูดผมแล้วก็เบนสายตาไปมองวิณณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า สำรวจร่างกายแต่ละส่วนผ่านทางสายตา


เตโชมีประสบการณ์ในการคุมทัพมาเป็นร้อยปีดังนั้นแค่มองก็สามารถประเมินทักษะของอีกฝ่ายคร่าวๆ ได้ไม่ยาก ใช้เวลาสังเกตสักพักเตโชเบนดวงตาสีเทามาสบผมนิ่งๆ คล้ายจะถามว่าเอาจริงเหรอกับประโยคที่พูดไป


“เบียทรีซ จะให้ผมฝึกสู้?”


“ใช่ การมาอยู่ที่นี่ทักษะในการต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็น” ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ต้องกันไว้ก่อนโดยการฝึกอีกฝ่ายนี่แหละ


“ไม่ไหวหรอก” วิณณ์ส่ายหารัวๆ พร้อมเอ่ยปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ


“ก็ลองดู เตโชให้เขายืมดาบแล้วลองปะทะกันดู”


“...ตามบัญชา” แม้จะมีความลังเลฉายบนแววตาแต่เตโชก็ยื่นดาบซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวส่งให้วิณณ์ที่ยืนตัวสั่นมองดาบสลับกับหน้าผม


“รับดาบแล้วสู้กับเตโชดู”


“...อืม” อีกฝ่ายคงรู้ว่าคำพูดผมไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นคำสั่งที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธจึงทำได้แค่ยื่นมือสั่นๆ ไปรับดาบสีดำมาถือไว้ในมือ ด้วยความหนักของดาบกับกำลังของผู้ใช้ไม่สมดุลกันส่งผลให้ปลายดาบปักลงบนพื้นหญ้า


“องค์ราชา...เอาจริงหรือ” เตโชที่เห็นท่าทางแบบนั้นหันมาสบตากับผมอีกครั้งว่าจะให้ฝีมือระดับหัวหน้านำทัพสู้กับเด็กน้อยที่ยังถือดาบไม่ขึ้นแบบนี้จริงเหรอ


“แค่ยืนเฉยๆ ก็พอ” ผมเอ่ยเสียงเบาระหว่างก้าวไปยืนมองอยู่ด้านข้าง


ผิวของวิณณ์ค่อนข้างขาวทำให้ใบหน้าแดงก่ำได้ง่ายยามออกแรงยกดาบขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ปลายดาบชูขึ้นเหนือฟ้าพร้อมกับเจ้าตัวออกแรงก้าวและเหวี่ยงดาบ ทว่าด้วยความหนักของตัวดาบเรี่ยวแรงที่ยกขึ้นไม่เพียงพอให้ฟาดฟัน ผลที่ตามมาเลยกลายเป็นดาบนั่นปักลงบนพื้นหญ้าตามแรงดึงดูดตามมาด้วยใบหน้าของวิณณ์ที่กระแทรกกับด้ามดาบจนเกิดเป็นรอยแดง


บรรยากาศโดยรอบเกิดความเงียบงันขึ้นทันที ตัวผมที่พอจะรู้ผลอยู่แล้วไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมามากนักแต่ทางด้านของเตโชนั้นมองวิณณ์ที่ทรุดตัวลูบหน้าผากแดงๆ ของตัวเองด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายจะมีความสงสารปนตกใจและไม่อยากเชื่อปะปนกันไป


“โอ้ย...เจ็บ เจ็บจัง” วิณณ์นั่งกุมหน้าผากตัวเองด้วยน้ำเสียงโอดครวญ


“พอจะฝึกเขาได้ไหม” ผมเดินเข้าไปถามเตโชตามตรง ถ้าพูดถึงฝีมือในการฝึกการต่อสู้คงไม่มีใครเก่งไปกว่าเขาเลยอยากให้ดูทักษะอันน้อยนิดที่วิณณ์มีก่อนค่อยถาม


“...องค์ราชาจะให้เขาเป็นองครักษ์ประจำพระองค์?”


“ให้ปกป้องตัวเองให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาปกป้องข้า” ผมพึมพำตอบกลับไป ไม่ได้หวังให้ฝึกมาแล้วฝีมือเก่งกาจขนาดปกป้องผมได้หรอกแค่ให้สามารถปกป้องตัวเองได้ก็พอแล้ว


“เขาไม่เหมาะกับการใช้ดาบ” เตโชบอกระหว่างมองวิณณ์ที่ลุกขึ้นแล้วพยายามออกแรงดึงดาบขึ้นจากพื้นอีกครั้ง


“อืม หนักไป ต้องเป็นอาวุธเบาๆ เจ้ามีความเห็นยังไง” ผมถามกลับ ตัวผมเองก็คิดว่าดาบไม่เหมาะกับวิณณ์เหมือนกันต่อให้ปรับขนาดดาบให้เล็กหรือบางลงแต่ด้วยอะไรอะไรหลายๆ เขาไม่เหมาะกับดาบ


“ถ้าเป็นอาวุธเบาๆ มีมีด กริชหรือพวกธนูแต่...” ดูเหมือนเตโชจะคิดเหมือนผม ไม่ว่าจะเป็นมีด กริชหรือแม้แต่ธนูก็ไม่เหมาะกับวิณณ์ทั้งนั้น ลองคิดภาพวิณณ์จับธนูสิต่อให้มีส่วนแหลมคมแค่ตรงปลายแต่ด้วยนิสัยและความสามารถพิเศษในการเจ็บตัวตลอดนั่นต้องหาทางทำตัวเองให้ได้เลือดแน่


“เอาแบบไม่มีคม” ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุดก็ต้องไม่มีคม ถึงจะโดนอย่างมากก็แค่เจ็บ


“...องค์ราชาอาวุธที่ไม่มีคมเกรงว่า...”


“ไม่มีใช่ไหมล่ะ” ผมเดาคำตอบได้ตั้งแต่ถามแล้ว ต่อให้เป็นค้อนก็ยังมีส่วนมุมที่คมอยู่ดี


“ถ้ายังไงให้เขาเรียนรู้การต่อสู้ด้วยมือเปล่าน่าจะดีกว่าอาวุธ” เตโชออกความเห็น


“นั่นสิ เอาตามนั้นละกัน” มือเปล่าถือว่าดีทีเดียว


“น้อมรับบัญชา”


“วิณณ์ พอแล้ว มานี่” ผมเรียกอีกฝ่ายที่พยายามดึงดาบขึ้นจากพื้น ให้คะแนนความพยายามเต็มละกัน


“...แฮ่ก ผมว่าไม่ไหวหรอก” คนถูกเรียกก้าวมาหาผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า


“อืม ดูก็รู้แล้ว” ส่งไปสู้คงไม่ตายเพราะถูกศัตรูจัดการแต่เป็นหมดแรงในการดึงอาวุธ


“...ผมไม่เก่งต่อสู้ แต่ถ้าเป็นกระบองผมพอได้นะ ตอนเด็กเคยเรียนวิชากระบี่กระบองจับจีบ ย่อ ยก ชิด จ้วง แทง” วิณณ์บอกพร้อมพยายามทำท่าให้ดู


“จะแทงก็แทงสิจะย่อยกอะไรอีก” ผมถามกลับเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีหลายขั้นตอนด้วย จะจัดการศัตรูก็แทงให้หมดลมไปเลยขืนมัวลีลาเราอาจเป็นฝ่ายโดนซะเอง


“มันเป็นหลักสูตร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” อีกฝ่ายทำหน้าคิดหนัก


“เอาเถอะ นี่เตโช จากนี้ข้าจะให้ฝึกการต่อสู้ให้เจ้า”


“ผมวิณณ์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ความนอบน้อมของวิณณ์ดูจะเป็นที่แปลกใจกับเตโชพอสมควร


“ข้าเตโช เจ้าเป็นลูกครึ่งสินะ”


“เบียทรีซบอกแบบนั้นแต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์”


นี่ยังไม่เลิกคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อีกเหรอเนี่ย!


ฝ่ายเตโชเหลือบมองมาทางผมเล็กน้อยเมื่อได้ยินวิณณ์เรียกชื่อผมห้วนๆ แต่เพราะผมไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเตโชเลยปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป


“ข้าจะฝึกการต่อสู้มือเปล่าให้เจ้า”


“...ครับ” วิณ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก


“ข้าจะให้เขามาฝึกด้วยช่วงเช้าทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมงก็พอมั้ง” ผมมองร่างกายของวิณณ์ระหว่างบอกเตโช 2 ชั่วโมงนี่อาจมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับวิณณ์


“ตามบัญชาองค์ราชา”


“วันนี้พอก่อน การฝึกจริงจะเริ่มพรุ่งนี้” บอกเสร็จผมก็ก้าวออกจากสวนทันที


“นี่เบียทรีซ” สัยงจากด้านหลังเรียกให้ขาที่ก้าวเร็วๆ ชลอลง


“อะไร”


“ทำไมต้องให้ผมฝึกต่อสู้ด้วยล่ะ”


“โลกปิศาจไม่ได้เงียบสงบเหมือนโลกมนุษย์หรอก ถ้าแค่ต่อสู้ยังทำไม่ได้เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย” ยิ่งกับพวกลูกครึ่งที่พลังปิศาจนอกจากยังไม่ตื่นแล้วก็ยังใช้ไม่เป็นยิ่งตกเป็นเหยื่อได้ง่ายเข้าไปใหญ่


“...ห่วงผม?” ไม่พูดเปล่ายังมีการเอียงคอถามอีก


“พูดเองเออเอง” ผมก้าวต่อโดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่วิ่งตามมา


“ห่วงผมก็พูดมาตรงๆ สิเบียทรีซ”


“ทำไมข้าต้องห่วงเจ้ากัน” ผมถามกลับเสียงเข้ม


“...นั่นสิ ไม่มีเหตุผลนี่นะ” วิณณ์ทำท่าคิดสักพักก่อนเอ่ยเสียงเบา


“เลิกไร้สาระได้แล้ว” ผมใช้มือขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงแรงๆ แล้วเดินต่อไปตามทางในปราสาท


ตลอดช่วงบ่ายผมพาวิณณ์เดินไปแทบทุกชั้นของปราสาท การมานี่ครั้งแรกคงยังไม่ชินกับสภาพแวดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยพื้นฐานโลกมนุษย์กับโลกปิศาจไม่ได้ต่างกันแต่ด้วยวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตนั้นแตกต่างกันสุดขั้ว จากการพาเดินไปเรื่อยๆ ผมได้รู้ว่าอีกฝ่ายค่อนข้างเกร็งเวลาเจอกับพวกปิศาจระดับล่างอยู่มากโดยเฉพาะที่มีรูปร่างคล้ายแมลง


ตกเย็นอาหารมื้อค่ำถูกนำมาเสิร์ฟถึง 6 อย่าง แต่ละอย่างล้วนเป็นเมนูเนื้อตามความชอบของผมและปิศาจปกติ แต่ดูเหมือนอาหารพวกนี้จะไม่ถูกใจวิณณ์ เขามองอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าอึดอัดแต่ก็ยังฝืนทนกินเนื้อพวกนั้นเข้าไปคำแล้วคำเล่า


ผมไม่ได้เอ่ยห้ามหรือขัดเพราะอยากรู้ถึงลิมิตของเจ้าตัวว่าสามารถกินได้ขนาดไหน


“พอ ไม่ต้องฝืนกินแล้ว” ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ขัดแล้วแท้ๆ เล่นทำใบหน้าเหมือนกล้ำกลืนฝืนทนขนาดนั้นคนมองก็หมดความอยากอาหารกันพอดี


“แต่...ยังเหลืออยู่เยอะเลย” วิณณ์หันไปมองอาหารบนโต๊ะที่ยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง


“คิดจะกินหมด?”


“...อืม”


“เจ้านี่...บ้ารึไง ไม่ได้บอกว่าต้องกินให้หมดสักหน่อย” เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายสำหรับวิณณ์...ตัวก็แค่นั้นยังจะกล้ากินให้หมดอีกนะ


“ก็ใช่ที่ไม่บอก แต่มันรู้สึกผิดต่อคนทำนี่ ทั้งที่อร่อยขนาดนี้แต่ผมกลับกินเหลือตั้งเยอะ ตอนเช้าก็เหลือตอนเย็นยังเหลืออีกมันดูไม่ดี” วิณณ์บอกตามที่คิด


“คิดมาก กาเนอร์!” ผมตะโกนเรียกหัวหน้าเชฟที่ยืนอยู่หน้าประตู


“ครับองค์ราชา” กาเนอร์เข้ามาตามคำสั่งผมทันที


“ได้ยินที่หมอนี่พูดแล้วสินะ ว่ายังไงล่ะ” ผมถาม ต่อให้มีประตูคั่นแต่ประสาทสัมผัสของปิศาจสามารถได้ยินเสียงในระยะแค่นี้ได้สบายมาก


“ท่านวิณณ์ไม่ต้องฝืนกินหรอกครับ ข้าดีใจที่ท่านชอบรสชาติอาหาร มื้อถัดไปข้าจะลดปริมาณเนื้อลงแล้วเพิ่มในส่วนของผักแบบนี้ดีไหมครับ” สมกับเป็นกาเนอร์เข้าใจถึงความต้องการของคนกินได้อย่างรวดเร็ว


“...ขอบคุณครับ เอ่อ...อาหารของผมไม่ต้องเยอะมากก็ได้ครับแค่จานเดียวก็พอแล้ว” วิณณ์บอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจ


“ได้ครับ” กาเนอร์ก้มหัวเล็กน้อยรับคำ


“ออกไปได้ แล้วบอกให้แกรนเข้ามา” ผมสัมผัสได้ถึงแกรนที่ยืนอยู่หน้าห้องอาหารมาเกือบ 20 นาทีแต่ไม่ยอมเข้ามาสักที สงสัยคงกลัวจะมาขัดเวลามื้ออาหารของผมมั้ง กาเนอร์เดินออกไปด้านนอกเรียกแกรนให้เข้ามาแทนตามคำสั่ง


“ขออภัยที่มารบกวนมื้ออาหาร”


“มีเรื่องอะไร” ผมเข้าเรื่อง


“ข้ามาแจ้งว่าจัดห้องให้กับท่านวิณณ์เรียบร้อยแล้วครับ อยู่ชั้น 8 ห้องตรงมุมติดผนัง องค์ราชาประสงค์ให้คนพาไปส่งหรือไม่”
ความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาภายในอกยามได้ยินประโยคนั้นเพียงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร


“ข้าพาไปเอง” ผมบอกแกรน


“ครับ วันพรุ่งนี้ขอทรงไปห้องทำงานด้วย”


“ได้” ระหว่างที่ผมหายไปแกรนกับคนอื่นๆ คงทำงานแทน พอผมกลับมาเลยมีหลายเรื่องต้องจัดการ


หลังจบมื้อเย็นผมพาวิณณ์ขึ้นไปยังชั้น 8 ภายในปราสาทนี้มีทั้งหมด 10 ชั้น ซึ่งชั้นบนสุดเป็นชั้นของราชา ส่วนชั้น 9 เป็นชั้นของเหล่าปิศาจระดับสูงที่ทำหน้าที่ช่วยปกครองโลกปิศาจอีกที ชั้น 8 จึงเป็นห้องของปิศาจระดับล่างลงมาอีกขั้นนึงแต่สูงกว่าทาสหรือคนใช้ในปราสาทมาก ถ้าเป็นคนใช้ในปราสาทจะมีตึกแยกให้พักไม่ใช่พักรวมในปราสาท


“โห ห้องกว้างจัง” ขนาดของห้องบนชั้น 8 นี่พอๆ กับห้องรับแขกสักห้อง ใหญ่กว่าห้องของอีกฝ่ายในโลกมนุษย์ซะอีก น่าจะถูกใจไม่น้อย


“พรุ่งนี้ข้าจะให้พวกปิศาจมายกเฟอร์นิเจอร์ออก” เฟอร์นิเจอร์ในห้องค่อนข้างเยอะไม่ว่าจะเป็นชุดโซฟา ชั้นวางของ โต๊ะตัวเล็กตลอดจนโทรทัศน์และเครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงชั้นวางประดับเครื่องแก้ว ขืนให้วิณณ์อยู่ในห้องนี้ได้มีเจ็บเพราะเดินชนไม่ก็สะดุดจนได้แผลแน่น


ขนาดห้องโล่งๆ ยังสะดุดได้ประสาอะไรกับห้องนี้กัน


“แฮะๆ ขอบคุณนะ ผมก็กำลังจะบอกเลย” เจ้าตัวดูจะรู้ดีว่าตัวเองนั้นมีความสามารถพิเศษอะไร


“อืม”


“เอ่อ...คุณไม่กลับห้องเหรอ” วิณณ์หันมาถามผมที่ยังยืนอยู่หน้าประตูโดยไม่ขยับไปไหน


“เจ้ากล้าไล่ข้า?”


“เปล่า ผมไม่ได้ไล่แค่ถามเฉยๆ” อีกฝ่ายส่ายหัวไปมายืนยันคำพูดตัวเอง


“หวังว่าจะไม่ชนข้าวของพังหรอกนะ” ผมรู้ตัวว่าควรจะกลับห้องตัวเองได้แล้วแต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ต่อบทสนายืดเวลาออกไปอีกนิด


“ผมก็ห่วงอยู่ พวกแจกันนั่นแพงไหม” ระหว่างถามวิณณ์ก็ชี้นิ้วไปทางแจกันสีฟ้าสดมุมตู้หนังสือ


“ถ้าเปรียบกับเงินของโลกมนุษย์คงสักสิบล้านมั้ง”


“สะ...สิบล้าน?!”


“เสียงดังไปแล้ว”


“ผมว่าให้คนของคุณมาเอาของออกไปวันนี้เลยเถอะ ผมมั่นใจว่าต้องทำแจกันพวกนั้นแตกแน่” วิณณ์บอกผมด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


“มีแค่เจ้ามั้งที่มั่นใจในเรื่องนี้น่ะ” ปกติมีแต่จะมั่นใจว่าไม่ทำแตกเพิ่งจะเคยได้ยินมั่นใจว่าต้องทำแตกก็ครั้งนี้


“ผมจริงจังนะ...แต่มันก็ดึกแล้วไม่ควรรบกวน งั้นผมจะพยายามอยู่ให้ห่างที่สุดละกัน”


“พูดเองตอบเอง”


“เบียทรีซวันนี้ขอบคุณที่พาเดินรอบปราสาทนะ”


“ข้าแค่อยากเดินเล่น ส่วนเจ้าแค่เป็นส่วนห้อยตามมาแค่นั้นเอง”


“คิก! คุณนี่โกหกไม่เนียนเลย ราตรีสวัสดิ์นะเบียทรีซ เจอกันพรุ่งนี้” วิณณ์โบกมือลาก่อนจะบานประตูจะปิดลง


ผมยืนนิ่งๆ หน้าประตูห้องนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร มันคล้ายกับความไม่อยากปนกับความไม่พอใจแปลกๆ ผมใช้เวลายืนอยู่ค่อนข้างนานและอาจนานกว่านี้ถ้าไม่สัมผัสถึงปิศาจรับใช้ที่ขึ้นบันไดมาซะก่อน


ห้องบนชั้น 10 เป็นห้องขนาดยักษ์ แค่ห้องนอนก็ใหญ่พอๆ กับบ้านของวิณณ์ทั้งหลัง ห้องอาบน้ำเองก็สามารถอาบได้หลายคนโดยไม่เบียดกันเหมือนห้องน้ำบ้านวิณณ์ ผมอาบน้ำโดยในหัวคิดเรื่องเปรียบเทียบห้องนี้กับบ้านวิณณ์อยู่ตลอด


ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการให้บทสรุปของความคิดออกมายังไงกันแน่


เตียงสีทองอร่ามยุบลงจากแรงทิ้งตัวลงไปกลางเตียง ผ้าปูและผ้านวมสีทองตัดกับสีดำให้ความรู้สึกหรูหราผิดกับผ้าปูสีเหลืองลายสุนัขตัวเล็กกันคนละขั้ว


“อีกแล้ว...นึกถึงอีกแล้ว” ผมพึมพำระหว่างนอนอยู่กลางเตียง ห่างกับวิณณ์มาประมาณ 2 ชั่วโมงทว่ากลับเป็น 2 ชั่วโมงที่ยาวนานอย่างไม่เชื่อ และที่ไม่น่าเชื่อกว่าคือตัวผมที่นึกถึงอีกฝ่ายตลอดตั้งแต่ห่างกันมา


ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่อยู่ด้วยกันมามันไม่ได้มีเรื่องให้น่าจดจำเลย ห้องก็เล็ก เตียงก็แคบ อาหารก็มีน้อยแถมยังถูกใช้เป็นหมอนหนุนอยู่ทุกคืนอีก เป็นการหยาบเกีรยติของราชาปิศาจขั้นสูงสุดเลยนะการมาหนุนตัวผมแทนหมอนเนี่ย


ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก


ข้อยกเว้นในกรณีที่เป็นวิณณ์มันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ


มาถึงวันผมยังหาเหตุผลที่พาวิณณ์มาโลกปิศาจด้วยไม่ได้เลย


สงสาร เอ็นดูหรือว่าอะไรก็ไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าจะให้ปล่อยเขาไว้ที่โลกมนุษย์ผมคงทำไม่ได้


ยามความมืดเริ่มกลืนกินเป็นสัญญาณของการหลับใหล ปิศาจจะมีพลังเพิ่มขึ้นในเวลากลางคืนแต่ใช่ว่าจะไม่ต้องการการพักผ่อน เหตุผลที่พวกมนุษย์มีความเข้าใจว่าปิศาจต้องออกล่ากลางคืนก็เป็นเพราะเหตุผลงง่ายๆ อย่างตอนกลางคืนมันจัดการกับสถานการณ์ได้ง่ายและมีคนพบเห็นน้อยกว่าแค่นั้นเอง


เจ้าตัวที่จ้องเล่งงานวิณณ์ให้คืนนั้นเองก็เหมือนกัน คงจะออกมาหาเหยื่อ


“เมื่อไหร่จะเลิกคิดสักที” เผลอทีไรเป็นต้องคิดตลอด


อาการกระวนกระวายคล้ายไม่สามารถสงบใจได้นี่เป็นเพราะลูกครึ่งปิศาจเป๋อเหล๋ออย่างวิณณ์ไม่ผิดแน่ แต่ผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี่คืออะไร


ต้องการให้อยู่ในสายตาหรือว่าอย่างอื่น


ทั้งที่เตียงก็ทั้งนุ่มและใหญ่ แถมยังพลิกไปไหนได้โดยไม่จำกัดแต่ผมก็ยังหลับไม่ลง เหมือนมีบางอย่างที่มันขาดหายไป ถ้าได้สิ่งนั้นมาผมอาจจะหลับสนิทได้ในไม่กี่วินาทีก็เป็นได้


แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไรเล่า!


“กลิ่นนี่” ผมถึงกับเด้งตัวขึ้นมานั่งเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของวิณณ์ที่ก้าวมาอยู่หน้าประตูห้อง ปิศาจแต่ละตนจะมีทั้งกลิ่นและสัมผัสแตกต่างกันไปหากฝึกฝนดีๆ สามารถแยกแยะได้โดยไม่ต้องใช้ตามองด้วยซ้ำ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เบียทรีซ...อ๊ะ!” แทบไม่ต้องรอให้เสียงเคาะประตูหรือเสียงเรียกดังขึ้นผมก็ก้าวไปถึงประตูพร้อมเปิดอ้าออกกว้างอย่างแรงจนคนที่เกาะถึงกับชะงักมือที่กำไว้


ในความมืดส่งผลต่อการมองเห็นซึ่งสำหรับปิศาจไม่ใช่ผลเสียแต่เป็นผลดี พวกเราสามารถมองเห็นในความมืดได้ดีเหมือนกับสัตว์ออกหากินกลางคืน ดังนั้นผมจึงมองเห็นวิณณ์ท่ามกลางความมืดได้ชัดเจนแม้จะไม่เปิดไฟ


“...มีอะไร” ผมบังคับตัวเองให้เอ่ยน้ำเสียงนิ่งๆ ออกไปได้สำเร็จ


“เอ่อ...คือผมมีเรื่องอยากรบกวนหน่อย”


“ว่ามา”


“ขอนอนด้วยได้ไหม เอ่อ...คือผมรู้ว่าไม่ควรมากวนคุณแต่ผมเป็นพวกไม่ชินเวลาเปลี่ยนที่เลยนอนไม่หลับ ผมคิดว่าถ้าอยู่กับเบียทรีซผมคงจะหลับได้เหมือนตอนอยู่บ้าน” วิณณ์พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก


“...เข้ามาสิ” ผมหลีกทางให้อีกฝ่ายได้ก้าวเข้ามา


“ได้เหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นเงยขึ้นมาสบดวงตาสีทองของผมด้วยประกายดีใจ


“ถ้าไม่ได้คงบอกให้เข้ามาหรอก” แค่นี้ยังต้องให้พูดซ้ำด้วยรึไง


“อืม ขอรบกวนด้วยนะ” วิณณ์เดินเข้าไปในห้องและก้าวตรงไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยมีผมก้าวตามไปติดๆ


ความมืดยังคงมืดอยู่เหมือนเดิม เตียงเองก็ยังคงนิ่มและกว้างไม่เปลี่ยน แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้ผมสามารถจมดิ่งไปอยู่ในห้วงนิทราได้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พยายามมาเป็นชั่วโมง ถ้าให้หาเหตุผลหรือความแตกต่างก็มีอยู่อย่างเดียวคือตอนนี้ข้างผมมีวิณณ์นอนอยู่


กลิ่นไอที่แสนคุ้นเคยกับไออุ่นที่แผ่ออกมายามร่างกายขยับเข้าใกล้ ทุกอย่างเป็นความเคยชินตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผมทำได้แค่หวังให้เป็นเป็นความเคยชินไม่ใช่ความต้องการ


เพราะหากมันเป็นความต้องการ...


วิณณ์คงไม่มีสิทธิ์ได้ไปนอนห้องอื่นอีก

............................................................

มาต่อแล้วค่าา

ได้แต่พาทของเบียทรีซครั้งแรกกับฉากของปิศาจค่อนข้างใช้หัวเยอะทีเดียว

จากที่แต่งมาจนจบตอนมีความรู้สึกว่าเบียทรีซนี่นะ...อะไรของนายเนี่ย! 555

แต่ก็เป็นการรู้ความรู้สึกของเบียทรีซที่มีต่อวิณณ์

คู่นี้ช่างน่ารัก เป็นคาแร็กเตอร์พระเอกในแบบที่เราไม่เคยแต่งมาก่อน

เนื้อเรื่องเองก็ไม่หนัก อ่านสบายๆ ตามแนวที่เรามักแต่ง

หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจเบียทรีซกันมากขึ้นนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ

Happy new yearsล่วงหน้าค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-12-2018 08:19:35
ติดกลิ่นกันและกันแล้วละซิเนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 31-12-2018 09:52:12
55555 วิณณ์เป็นคนเด๋อมาก ซื่อมากด้วย
แบบใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร
แต่พอมีเข้ามา ก็รู้สึกขาดไม่ได้ซะงั้น
น่ารักดี สมควรแล้วที่เบียทริซจะยอมให้

เบียทริซแพ้ทางวิณณ์มาก คือแต่พูดปกติ
ไม่ต้องทำไรมาก ด้วยท่าท่างซื่อๆ สยบจ้า
แล้วแน่ใจนะ ว่าจะไม่ต้องการ รอดูคืนต่อๆ ไป
 
เอ็นดูความเป็นวิณณ์หนักมากจ้า
ขนาดคุณปู่ที่ไม่กลัวราชาเลยยังชอบ
แล้วราชาจะไม่ชอบได้ยังไง


หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-01-2019 15:10:09
วิณณ์เอ๋ย เสร็จแน่
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 01-01-2019 17:26:17
น่ารักจัง hny ค่า
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่6:⊱ 30/12/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-01-2019 20:44:43
ชอบวิณณ์มากๆ เลย คือจะมีวันไหนที่ไม่ซุ่มซามบ้างนะ

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 06-01-2019 20:54:26
⊰บงการ:วันที่7:⊱




กิจวัตรประจำวันในช่วงเช้าของผมมักเริ่มต้นจากการอาบน้ำ ทำอาหารและทานมื้อเช้าก่อนจะออกไปทำงานด้วยรถยนต์ทว่าตอนนี้หลังจากอาบน้ำในห้องน้ำใหญ่ยักษ์เสร็จก็ลงมากินมื้อเช้าฝีมือเชฟกาเนอร์ซึ่งพูดได้คำเดียวว่าอร่อยมาก ในวันแรกอาหารค่อนข้างหนักไปสำหรับผมโดยเฉพาะมื้อเย็นแต่พอวันต่อมากลับทำให้ในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของผมได้อย่างน่าทึ่ง


เมื่อมื้อเช้าผ่านพ้นไปสิ่งต่อมาที่ผมต้องทำไม่ใช่การทำงานอันแสนคุ้นเคยแต่เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าในชีวิตจะต้องมาทำด้วย สิ่งนั้นก็คือ...


“ไม่ใช่การใช้ดวงตาแต่ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้การเคลื่อนไหว” คำสอนมาพร้อมกับหมัดหนักๆ เวี่ยงผ่านใบหน้าผมไปเพียงไม่กี่มิล ชายร่างกำยำคนนี้คือเตโชเป็นหัวหน้ากองทัพปิศาจกว่า 30,000 ตนที่ทำหน้าที่ฝึกการต่อสู้ให้ผมตามคำสั่งของเบียทรีซซึ่งเป็นราชา


“แฮ่ก...ครับ” ผมหอบเหนื่อยพร้อมพยักหน้าเข้าใจแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการใช้ประสาทสัมผัสแทนการใช้ตาก็ตาม


“บุกเข้ามาบ้างไม่ใช่เอาแต่หลบ” เตโชบอกในจังหวะเตะสูงใส่ผมที่เอาแต่ถอยหลังเบี่ยงตัวหลบอยู่ตลอด


“ครับ” ผมเบี่ยงตัวหลบหมัดก่อนจะสวนกลับด้วยหมัดขาวตรง แน่นอนว่าอีกฝ่ายสามารถหลบได้สบายๆ ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของผมอยู่แล้ว


การฝึกต่อสู้นี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 11 โมงของทุกวัน ในช่วงแรกของการฝึกแค่หลบหมัดหนักๆ นั่นก็พานให้ผมล้มก้นกระแทรกพื้นไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าพักหลังเป็นเพราะเริ่มชินหรือเตโชออมมือให้ผมเลยสามารถหลบการจู่โจมได้มากขึ้นทีละนิด


เมื่อถึงเวลา 11 โมงเสียงนาฬิกาจับเวลาจะดังขึ้นซึ่งสัญญาณนั่นเป็นเหมือนการช่วยชีวิต ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าอย่างหมดสภาพ ทั้งตัวต่างเต็มไปด้วยเหงื่อไหลชุ่มโชก ตัวผมไม่ใช่คนชอบออกกำลังกายนักถ้าไม่ใช่วิชาพละก็อย่าหวังว่าผมจะเคลื่อนไหวร่างกายเลย ครั้งนี้เป็นเพราะดวงตาสีทองสว่างที่จับจ้องมาของเบียทรีซทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้จึงต้องมาทนฝึกอยู่ทุกวันแบบนี้


“ใช้สายตามองมากไป การเคลื่อนไหวดูออกง่ายและการโจมตีไร้ซึ่งกำลัง” นี่คือคำแนะนำของเตโชหลังจากจบการฝึกต่อสู้มา 2 ชั่วโมงเต็ม


“...ผมไม่เหมาะกับการต่อสู้จริงๆ ด้วย” ขนาดฝึกมาหลายอาทิตย์แล้วยังไม่มีการพัฒนาเลย


จะว่าไปผมก็รู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มฝึกแล้วว่าตัวเองคงไม่ไหว


“ไม่ใช่ไม่เหมาะแต่ตัวเจ้าไม่คิดจะสู้มากกว่า” คำพูดนั่นราวกับล่วงรู้ถึงความรู้สึกภายในของผม


“...ก็ผมไม่ได้อยากทำให้คนอื่นต้องเจ็บนี่” ผมสารภาพไปตามตรง การฝึกต่อสู้มันเหมือนการฝึกเพื่อทำร้ายคนอื่นให้เจ็บตัวซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น


“การฝึกนี่ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทำร้ายคนอื่นแต่เพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกคนอื่นทำร้าย องค์ราชาบอกไว้เช่นนั้น” เตโชบอกพลางเงยขึ้นขึ้นมองท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่เกือบจะเหนือศีรษะพอดี ดวงอาทิตย์ของโลกปิศาจไม่ได้ต่างจากของโลกมนุษย์ ทั้งรูปร่างหรือขนาดก็ใกล้เคียงกัน...ความต่างเดียวที่สัมผัสได้คือแสงจากดวงอาทิตย์ไม่ได้ร้อนเหมือนตอนอยู่โลกมนุษย์


ควรจะใช้คำว่าให้ไออุ่นมากกว่าให้ความร้อนล่ะนะ


“...จะมีใครทำร้ายผม?”


“มีโอกาสเป็นไปได้เพราะเจ้าอยู่ข้างกายองค์ราชาตลอด”


“เบียทรีซยังถูกจ้องเล่นงานอยู่สินะ” นึกว่าพอพลังกลับมาจะไม่มีใครคิดทำร้ายเบียทรีซแล้วซะอีก


“เป็นเรื่องปกติของผู้ครองตำแหน่งราชา ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นจากที่ใด รู้แค่เมื่อถึงเวลาราชาองค์ต่อไปจะถือกำเนิดขึ้นเองจึงมีปิศาจไม่น้อยที่ไม่ยอมรับและพยายามหาวิธีขึ้นครองตำแหน่งแทน และช่วงที่เพิ่งขึ้นครองตำแหน่งได้ไม่นานนี่แหละเป็นโอกาสดี” เตโชเล่าค่อ


“หมายความว่ายังไง” โอกาสดีเหรอ


“พลังปิศาจในตัวขององค์ราชาตอนนี้ยังไม่ใช่พลังที่แท้จริง ยิ่งอายุมากขึ้นพลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ดังนั้นช่วงที่อายุแค่นี้จึงถูกจ้องเล่งงาน”


“อายุแค่นี้? เบียทรีซบอกว่าเขาอายุ 230 ปีแล้วนะ” จะเรียกอายุกว่า 200 ปีว่าอายุแค่นี้?


“230 ปีสำหรับปิศาจถือว่าเป็นวัยรุ่น”


“เอ่อ...งั้นเตโชอายุเท่าไหร่” ผมเอ่ยถามสิ่งที่คาใจออกไป ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกอายุคงราวๆ 30-40 ปีของมนุษย์แต่ถ้าเป็นปิศาจอาจจะอยู่ราวๆ 300-400 ปีได้


เอาล่ะ เมื่อคาดการได้ผมจะไม่ตกใจกับอายุที่ได้ยินแน่นอน


“ปีนี้ข้าอายุ 515 ปี”


“515 ปี?! ขอบโทษที่หยาบคายมาตลอดครับ” ผมเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นนอบน้อมทันที


ว่าจะไม่ตกใจแล้วนะ สุดท้ายก็อดไม่ได้อยู่ดี


พระเจ้า! ปิศาจอายุ 500 ปีอัพหน้าตายังดีขนาดนี้เลย?


“พูดตามปกติเถอะ แล้วเจ้าล่ะอายุเท่าไหร่” พอถูกถามกลับผมก็สะดุ้งเล็กน้อย


ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์หากเราอายุน้อยกว่าก็เป็นเรื่องน่าอวดแต่พอมาอยู่ในโลกปิศาจผมกลับไม่อยากบอกอายุตัวเองออกไปเลย แต่ในเมื่อผมเป็นฝ่ายเปิดถามเรื่องอายุก็ควรจะต้องบอก


“...30 ปีครับ” ผมตอบเสียงแผ่วแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย


“เข้าใจเลยว่าทำไมองค์ราชาถึงเป็นกังวลเรื่องเจ้านัก” เตโชเงียบไปไม่นานก็ส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้


“เบียทรีซกังวลเรื่องผม?”


“ใช่...ข้าก็เพิ่งเคยเห็นองค์ราชาทำสีหน้ากังวลเช่นนั้น ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็ไปหาองค์ราชาก่อนพระองค์จะกริ้วเถอะ”


“กริ้ว? หมายถึงโกรธผมผม?” ทำไมต้องโกรธด้วย


ระหว่างนึกหาคำตอบผมก็ลุกขึ้นยืนบอกขอบคุณและบอกลาเตโชก่อนจะเดินเข้าไปในตัวปราสาท ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทขนาดคงไม่เล็กอยู่แล้วแต่นี่ก็ใหญ่เกินกว่าที่ผมเห็นในหนังหลายเท่า ด้วยความสูง 10 ชั้นและขนาดของพื้นที่ทั้งหมดอาจเทียบเท่าอำเภอนึงของไทยเลยด้วยซ้ำ ในวันแรกที่เบียทรีซพาเดินชมยังไม่ใช่ทั้งหมดของปราสาทแต่เป็นการเดินชมคร่าวๆ ถ้าขืนพอเดินให้ครบผมคงสลบคาพื้นกระเบื้องนี่


“สวัสดีครับท่านวิณณ์”


“มีอะไรให้รับใช้บอกได้นะคะท่านวิณณ์”


เสียงทักทายดังขึ้นตลอดทางที่ผมเดินผ่าน บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้เหตุผลที่พวกเขาทักทายผมด้วยน้ำเสียงสุภาพนี้ ตอนเบียทรีซแนะนำฐานะของผมกับแกรนซึ่งเป็นเหมือนเลขาว่าเป็นคนรับใช้ผมเลยค่อนข้างแปลกใจที่ถูกเรียกว่าท่านนำหน้า


สถานที่ที่ผมกำลังเดินไปคือห้องทำงานของเบียทรีซบนชั้น 10 ของปราสาท แทบไม่อยากเชื่อว่าทั้งชั้นจะเป็นของเบียทรีซทั้งหมด ขนาดห้องน้ำยังใหญ่กว่าห้องนอนผมไม่รู้ตั้งกี่เท่า...ไม่แปลกใจเลยที่เขาบอกว่าห้องน้ำบ้านผมแคบ ความจริงห้องน้ำผมก็ขนาดปกติแค่ห้องน้ำของเบียทรีซมันใหญ่เกินกว่าปกติต่างหาก


ห้องทำงานของเบียทรีซอยู่ห้องแรกติดกับบันไดทางลงทำให้หาง่าย ก่อนเข้าไปในห้องผมเคาะประตูไปได้เพียงครั้งเดียวเสียงของคนด้านในก็ดังขึ้นซะแล้ว...


“เข้ามาวิณณ์” เสียงเรียกจากด้านในทำเอาผมแปลกใจได้ทุกครั้ง ทั้งที่ผมไม่ได้ส่งเสียงเรียกแล้วทำไมอีกฝ่ายถึงได้รู้ว่าเป็นผมที่ยืนอยู่กันนะ


“นี่...”


“ทำไมมาช้า” อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เอ่ยยิงคำถามมาทันที


“ช้า? พอเลิกผมก็รีบขึ้นมาเลยนะ” ไม่ได้ไปเดินเล่นหรือโอ้เอ้ที่ไหนเดินตรงมาห้องนี้อย่างเดียว


“ใช้เวลา 20 นาที นานไป ครั้งหน้าห้ามเกิน 10 นาที” เบียทรีซมองนาฬิกาบนโต๊ะก่อนเงยหน้าสบตากับผม


คำพูดนั่นไม่ใช่คำเตือนแต่เป็นคำสั่ง


“จะเร่งอะไรผมขนาดนั้น ให้ผมคุยกับเตโชอีกแป๊บไม่ได้เหรอ” ที่มาช้าวันนี้เป็นเพราะคุยกับเตโชนานไปหน่อย


“...สนิทกันแล้ว?” น้ำเสียงเบียทรีซฟังดูนิ่งกว่าปกติชอบกล


“อืม ก็สนิทอยู่ เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายเลย” พออยู่ด้วยแล้วรู้สึกพึ่งพาได้


“แล้วข้าล่ะ”


“ฮืม?”


“แล้วข้าให้ความรู้สึกเหมือนอะไร” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซจ้องประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเป็นเชิงคาดคั้นเอาคำตอบ


ความรู้สึก...เบียทรีซ?


“...คนเอาแต่ใจ...ละมั้ง” ผมพึมพำหลังจากใช้เวลาคิดสักพัก


“เจ้า!” เสียงตบโต๊ะนั่นทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง


“...ตบโต๊ะทำไม”


“ข้าควรปรบมือดีใจงั้นสิ”


“ก็คุณถามเอง...ผมแค่พูดความจริง”


“ไม่มีคำตอบอื่นที่ดีกว่านี้แล้วรึไง” คำพูดนั่นแปลได้ว่าเบียทรีซไม่พอใจกับคำตอบของผมสินะ


“ก็มี...” มั้ง


“รีบว่ามา” เบียทรีซไม่ปล่อยเวลาให้ผมคิดนานนัก


“...เหมือนสุนัขผสมแมว” ตัวใหญ่ ขนฟูนิ่ม อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ เอาใจไม่ถูกทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ใจดีและออดอ้อนในบางครั้ง เหมือนส่วนผสมอันลงตัวระหว่างสุนัขกับแมว


“วิณณ์ เจ้าจะเอาดีในด้านการกวนอารมณ์ข้ารึไง”


“ตอบแบบนี้ก็ยังไม่พอใจเหรอ”


“ข้าดูเหมือนพอใจไหมล่ะ”


“งั้นคุณอยากให้ผมตอบยังไงล่ะ” ผมถามออกไปตามตรง อยากรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคาดหวังคำตอบจากผมนั้นคืออะไรกันแน่


“...” ไม่เพียงไม่ได้คำตอบแต่เบียทรีซยังแผ่บรรยากาศแปลกๆ ออกมาอีก อีกฝ่ายทำหน้าคล้ายหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงานอีกครั้ง


ท่าทางแบบนั้นหรือว่าเบียทรีซเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกันรึเปล่านะ


ไม่รู้ว่าต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่


“นี่เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ถือกระดาษแผ่นยาวขึ้นมาอ่าน


“ไปนั่งเงียบๆ อย่ากวนข้า”


“ผมจะได้กลับไปโลกมนุษย์เมื่อไหร่เหรอ”


กึก!


แผ่นกระดาษในมือยับยู่ยี่ด้วยแรงของมือที่เกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคมของราชาปิศาจหันมามองผมพร้อมแผ่บรรยากาศหนักๆ ออกมากว่าเดิมหลายเท่า ความไม่พอใจปนหงุดหงิดสื่อผ่านสายตาออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งคำพูดใดๆ ด้วยซ้ำ


“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” น้ำเสียงเย็นๆ นั้นทำเอาผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง


“เอ่อ...ผมถามว่าจะได้กลับโลกมนุษย์เมื่อไหร่เหรอ” ตั้งแต่มายังโลกปิศาจนี่ก็ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้ว ผมมาที่นี่โดยไม่รู้เรื่องอะไรนักซึ่งผมคิดว่าเบียทรีซอยากให้ผมมาเห็นโลกปิศาจในฐานะที่มีเลือดของปิศาจอยู่ครึ่งนึง ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะได้เวลาที่ผมจะต้องกลับไปแล้ว


“จะกลับทำไม”


“...คุณไม่ได้แค่พาผมมาดูโลกปิศาจเหรอ”


“ข้าพูดแบบนั้น?” อีกฝ่ายถามกลับ


“ก็เปล่า” ผมส่ายหน้า เบียทรีซไม่ได้พูดจริงๆ นั่นแหละ


“ตราบใดที่ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไป เจ้าก็ต้องอยู่” คำสั่งจากเบียทรีซเป็นเรื่องปกติทว่าครั้งนี้น้ำเสียงกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายจะอ่อนลงก็ไม่เชิง


“แต่ผมต้องกลับไป...”


“ข้าถึงถามไงว่าจะกลับไปทำไม!” เบียทรีซตะหวาดลั่นคล้ายหมดความอดทน พลังปิศาจของเบียทรีซแผ่กระจายออกมาเต็มห้องสร้างความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก


“...คุณโกรธอะไร”


“ตอบคำถามข้า” อีกฝ่ายกดเสียงต่ำเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ


“ผมต้องกลับไปทำงาน...”


“สก๊อตไล่เจ้าออกแล้ว” เบียทรีซพูดแทรก


“เรื่องนั้นผมรู้ ผมเลยต้องกลับไปหางานอื่นทำ...คุณก็รู้ว่าผมมีหนี้อยู่ต้องทำงานเพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ให้หมด” ดังนั้นผมจึงต้องกลับไป ถ้าอยู่ที่นี่แล้วผมจะหางานและหาเงินไปใช้หนี้ได้ยังไงล่ะ


“เหตุผลที่จะกลับไปมีแค่หนี้ใช่ไหม”


“...ใช่” ผมคิดสักพักก่อนพยักหน้าตอบไปตามตรง เพราะต้องใช้หนี้เลยจำเป็นต้องกลับไปแต่ถ้าไม่มีหนี้ผมอาจจะขออยู่ที่โลกปิศาจนี่อีกสักพักไม่ก็จนกว่าเบียทรีซจะบอกให้กลับ


ผมไม่มีครอบครัวเหลืออยู่อีกแล้ว และไม่มีเพื่อนที่สนิทถึงขนาดให้มานั่งนึกถึง ถ้าจะนึกถึงคงเป็นพี่ๆ ในที่ทำงานซึ่งคอยดูแลผมมาตลอด สำหรับผมในตอนนี้คนที่สนิทด้วยที่สุดคงเป็นเบียทรีซ พวกเราอยู่ด้วยกับทุกวันเรียกว่าแทบจะ 24 ชั่วโมงก็ไม่ผิด


ความผูกพันแปลกๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีครอบครัวอีกครั้ง


ครอบครัว?


จริงด้วย


“ครับครัวไง!” ผมหลุดปากออกไปเมื่อคิดคำตอบได้


“ฮะ? อะไรของเจ้า” อีกฝ่ายทำหน้างงทันทีที่ได้ยิน


“เบียทรีซถามใช่ไหมว่าคุณให้ความรู้สึกเหมือนอะไร...ครอบครัว คุณเป็นเหมือนครอบครัวของผม” คำตอบของไม่รู้ว่าจะทำให้เบียทรีซพอใจได้ไหมแต่พลังปิศาจที่ทรงพลังหายไปหมดในพริบตาเดียว ทั้งห้องเลยรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาทันตา


“หึ...ก็ยังดีกว่าหมาแมวกับคนเอาแต่ใจละกัน” ใบหน้าอันหล่อเหลาเบนไปอีกฝั่งทำให้ผมไม่อาจเห็นสีหน้าของเบียทรีซได้


“อืม” ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่สงบลงของเบียทรีซ


“เจ้าบอกว่าจะกลับไปใช้หนี้สินะ”


“ใช่...ยังเหลือหนี้อยู่อีกเยอะเลย”


“ถ้าเหตุผลเป็นเรื่องหนี้ก็เลิกพูดซะ ข้าใช้หนี้ให้หมดแล้ว”


“ฮะ?!” ผมถึงกับทำหน้าเหว๋อยามได้ยินประโยคนั้น


ใช้หนี้ให้หมดแล้ว?


หมายถึงหนี้ของผมน่ะนะ


“ต้องให้ข้าอธิบายขยายความอีกเหรอวิณณ์” เบียทรีซถามกลับ


“คุณใช้หนี้แทนผม?”


“ใช่ ตามนั้น เพราะงั้นเลิกพูดเรื่องกลับโลกมนุษย์” พูดจบอีกฝ่ายก็หยิบกระดาษใบเดิมที่มีรอยยับอยู่ตรงขอบกระดาษขึ้นมาอ่าน


“เดี๋ยวก่อน คือ...ผมขอบคุณที่ใช้หนี้ให้นะ แต่แบบนี้มันไม่ได้นะ ไม่ถูกด้วย” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวแต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาแบบไม่ประติดประต่อซะงั้น


“อะไรที่ไม่ได้ และอะไรที่ไม่ถูก” เบียทรีซหมุนเก้าอีกมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ อีกครั้ง


“ก็ที่คุณมาใช้หนี้ให้ไง มันเป็นหนี้ที่ผมสร้างขึ้นเพาะงั้นผมควรจะเป็นคนรับผิดชอบใช้จนกว่าหนี้นั้นจะหมด อีกอย่างจำนวนมันได้น้อยๆ ด้วย”


“แค่เศษเงินสองล้าน ยังไงเรื่องนี้สก๊อตก็จัดการให้เรียบร้อยไปแล้ว” ผมถึงกับเบิกตากว้างภายใต้เลนส์แว่น เพิ่งจะเคยเจอคนที่บอกว่าเงินสองล้านเป็นแค่เศษเงินก็คราวนี้แหละ


“ถึงคุณจะบอกแบบนั้นแต่ผม...ผมจะใช้คืนคุณ” ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อคิดหาทางออก ทางเดียวที่คิดได้คือต้องใช้หนี้เบียทรีซนี่แหละ


“ใช้คืนข้า? ยังไง” อีกฝ่ายดูจะสนใจกับคำว่าใช้คืนมากทีเดียว


“...ผมจะหางานทำเพื่อใช้หนี้”


“ได้ จากนี้เจ้าเป็นคนรับใช้ข้าอย่างเป็นทางการ”


“ดะ...เดี๋ยว...”


“อะไรอีก ไม่ต้องห่วงถ้าเจ้าทำหน้าที่ได้ดีข้าจะให้ค่าแรงเพิ่ม”


“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นแต่ให้ผมทำงานที่นี่เหรอ”


“แล้วเจ้าอยากทำที่ไหน คนรับใช้ข้าถ้าไม่อยู่กับข้า เจ้าจะอยู่ในคอกม้ารึไง” เบียทรีซเท้าคางระหว่างพูด


“ก็เปล่า...ขอฝากตัวด้วยครับ” ผมบอกพร้อมก้มหัวลง ในเมื่อเป็นโอกาสที่จะได้ทำงานแถมยังได้เงินใช้หนี้ผมก็ไม่ควรเรื่องมาก


“ดี”


“เอ่อ...แล้วจะให้ผมทำอะไร” คนรับใช้นี่คือให้คอยรินน้ำชา ปัด กวาด เช็ด ถูแบบนี้ใช่ไหมนะ


“เจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ”


“ผมไม่ค่อยมั่นใจเรื่องการชงชาหรือทำความสะอาดสักเท่าไหร่...”


“หึ ข้ารู้อยู่แล้ว ขืนให้เจ้าชงชา ยกมาคงได้ตกแตกตั้งแต่ชั้นแรก ให้ทำความสะอาดเดี๋ยวก็ได้มีลื่นล้มหน้าคะมำไปถังน้ำหกนองเต็มพื้นเสียเวลาทำความอีกรอบเปล่าๆ”


ผมถึงกับสะอึกเพราะเบียทรีซพูดได้แทงใจมาก เขาคงสังเกตจากการอยู่ด้วยกันมาเป็นเดือน ช่วงทำความสะอาดจะเป็นช่วงที่เหนื่อยมากเนื่องจากผมเป็นคนที่ซุ่มซ่ามเป็นทุนเดิมพอต้องมาถูกบ้านที่ลื่นๆ ก็จะจบลงด้วยการลื่นล้มอยู่ทุกครั้งไป


“แต่ถ้าเป็นงานพวกตัวเลขผมทำได้นะ อย่างการลงบัญชีหรือเปรียบเทียบข้อมูลเชิงสถิติ” ผมรีบบอกงานที่ตัวเองสามารถทำได้ดีออกไป เบียทรีซอยู่ด้วยกันกับผมแค่ที่บ้านเลยไม่เห็นตอนที่ผมทำงานถ้าเป็นงานตัวเลขผมค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว


“ฮืม งั้นลองอธิบายนี่ได้ไหมล่ะ” เบียทรีซหยิบกระดาษสองใบบนโต๊ะยื่นมาให้ผม เมื่อก้มมองกระดาษในมือก็เป็นตารางตัวเลขเปรียบเทียบแต่ละรายการตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนอีกใบเป็นบัญชีเกี่ยวเนื่องกับใบแรก


“เป็นตารางการเปรียบเทียบผลผลิต...ดูจากชื่อน่าจะเป็นผลผลิตทางการเกษตร ในไตรมาสแรกมีการซื้อพวกเมล็ดและต้นอ่อนมาเพื่อทำการเพาะปลูกแต่ดูจากอัตราการเติบโตจนกระทั่งสามารถมาขายได้คิดเป็นอัตรา 1 ต่อ 3 นั่นหมายความว่าต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้มีเพียงพืชส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้” ผมอธิบายให้เบียทรีซฟังหลังมองกระดาษสองใบในมือได้ไม่นาน


“ใช้ได้นี่ ดีเลยข้ายิ่งเบื่อที่ต้องมานั่งพลิกไปพลิกมา จากนี้ข้าจะให้เจ้าจัดการสรุปเอกสารเกี่ยวกับตัวเลขทั้งหมดปะหน้ามาให้ข้า”


“ได้ ผมจะทำให้ โอ๊ะ...นั่นเป็นถนนเหรอเบียทรีซ” สายตาผมเหลือบไปเห็นหมู่บ้านด้านล่างปราสาทผ่านทางกระจกใส บนชั้น 10 ของปราสาทนี่สามารถมองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ถัดลงไปได้ครอบคลุมเกือบทั้งหมด มองจากตรงนี้เห็นเพียงเงาของปิศาจลางๆ


“นั่นเป็นตลาดที่ยาวที่สุดของโลกปิศาจ” เบียทรีซลุกขึ้นมามองยังจุดที่ผมสงสัยก่อนจะตอบ


“ตลาดเหรอ” คงคล้ายกับถนนคนเดินของโลกมนุษย์ละมั้ง


น่าไปจัง


“เสียงดัง วุ่นวาย ปิศาจเยอะ น่ารำคาญด้วย” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม


“งั้นผมขอออกไปเดินดูได้ไหม”


“...เจ้าจะไป?”


“อืม ผมชอบเดินพวกตลาด อีกอย่างหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาผมอยู่แต่ในปราสาทอยากลองออกไปข้างนอกดู อ๊ะ...ไม่ต้องห่วงนะผมจะทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยออกไปเดินเย็นๆ” ผมรีบอธิบายเพราะนึกได้ว่าตัวเองมีงานต้องจัดการอยู่


“เจ้าคิดจะไปคนเดียว?” เบียทรีซถามอีก


“อืม คุณดูไม่ชอบนี่หรือผมชวนคนอื่นไปด้วยดี...”


“ข้าจะไป” ไม่รอให้ผมพูดจบประโยคเบียทรีซพูดแทรกขึ้นมาทันที


“...แต่เมื่อกี๊” บ่นมาซะขนาดนั้น


“ให้เจ้าไปคนเดียวได้ถูกคาบไปกินแน่”


“ผมไม่ใช่กระดูกนะ”


“หึ กระดูกอ่อนน่ะสิ...เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานอย่างเจ้าน่ะ”


“ก็ถึงบอกว่าผมจะชวนคนอื่น...”


“ข้าบอกแล้วไงว่าจะไป” เป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายพูดขัดผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


หรือว่าความจริงเบียทรีซจะชอบเดินตลาด?


“เข้าใจแล้ว ไปด้วยกันเถอะ ต้องสนุกแน่เลย”


ได้เดินตลาดกับเบียทรีซด้วย


หลังจากนั้นผมตั้งหน้าตั้งตาสรุปเอกสารบนโต๊ะของเบียทรีซอยู่หลายชั่วโมงทว่าแกรนซึ่งเป็นเหมือนเลขาของเบียทรีซกลับให้ปิศาจรับใช้เอาเอกสารบึกใหม่มาวางเพิ่ม กะด้วยสายตาไม่มีทางที่ผมจะทำเสร็จได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ต่อให้ผมสามารถทำเสร็จแต่กว่าเบียทรีซจะอ่านและจัดการต่อคงจะใช้เวลานานพอดู


สงสัยคงต้องไปตลาดพรุ่งนี้แล้วสิ


“...วิณณ์ วิณณ์!”


“ครับ? ผมทำเอกสารนี้ใกล้เสร็จแล้วรอแป๊บนะ” ผมรีบรวมรวมสติให้กลับมามีสมาธิกับงาน เอาแต่คิดฟุ้งซ่านแบบนี้งานคงจะเสร็จให้กรอก


“หยุดทำแล้วลุกขึ้น” คำพูดนั้นทำให้ผมที่นั่งทำเอกสารอยู่ตรงชุดโซฟาด้านในของห้องหยุดมือแล้วลุกตามที่อีกฝ่ายสั่ง


“ผมทำช้าเหรอ”


“ข้าบอกแบบนั้นรึไง”


“ก็เปล่าแต่...”


“เลิกแต่ จะไปไม่ใช่รึไงตลาดน่ะ” เบียทรีซพูดตัดบท


“แต่งาน...”


“ข้าบอกว่าเลิกแต่ไงวิณณ์”


“...อืม” ผมเม้มปากตัวเองแน่นไม่ให้เผลอพูดคำว่าแต่ออกไปอีก


“จะไปก็รีบมา” เบียทรีซเดินไปเปิดประตูระหว่างเรียกผมที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่


“คุณจะไปทั้งแบบนี้เหรอ” ผมก้าวเข้าไปหาพร้อมเอ่ยถาม


“หมายถึงอะไร”


“เอ่อ...อยู่ในรูปร่างเหมือนก่อนหน้านี้ได้ไหม” พอจบคำพูดผมคิ้วทั้งสองข้างของเบียทรีซก็ขมวดเข้าหากันแน่น


“คิดจะให้ข้าอยู่ในร่างแสนอ่อนแอนั่น?”


“...ไม่ได้เหรอ” ผมถามเสียงเศร้าพลางประสานสายตากับเบียทรีซ


“...” ความเงียบจากอีกฝ่ายทำเอาผมไปต่อไม่ถูก


“เอ่อ...ถ้าคุณไปเดินในร่างนี้ทุกคนต้องรู้ว่าคุณเป็นราชาแน่ คือผมอยากเดินตลาดแบบปกติ แบบว่าอยากซึบซับวัฒนธรรมของโลกปิศาจ” เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบไปมากกว่านี้ผมจึงอธิบายเหตุผลทุกอย่างออกมาโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจคำพูดงงๆ ของผม


“หยุดพูดแล้วไปสักที” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนเบียทรีซจะเดินนำผมลงไปจนถึงชั้น 1


ชั้นแรกของปราสาทไม่ได้มีห้องย่อยมากมายเหมือนชั้นอื่นแต่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ยักษ์กับบันไดหรูหราเชื่อมขึ้นไปยังชั้น 2 ประตูของปราสาทเองถ้าเปิดเข้ามาก็จะเห็นบันไดอยู่ด้านใน ผมเดินตามเบียทรีซก้าวผ่านทางเดินอันขนาบข้างไปด้วยสวนสีเขียวขจีจนถึงประตู้รั้วของปราสาท


รั้วซี่เล็กๆ นี่มองเผินๆ อาจดูเหมือนสามารถบุกเข้ามาได้ง่ายๆ ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ใช่ หน้าหน้ารั้วปราสาทมีคน ไม่สิ...ต้องบอกว่ามีปิศาจยืนคอนตรวจตราอยู่ 24 ชั่วชั่วโมง พวกเขาเป็นปิศาจในทัพของเตโชที่ผลัดเวรกันเฝ้าปราสาทแห่งนี้ พวกเราสามารถเดินออกไปได้ง่ายๆ เพราะมีเบียทรีซ แถมเหล่าทหารยังจะของตามมาคอยอาลักขาอีก แน่นอนว่าถูกเบียทรีซปฏิเสธไป


ด้านล่างของปราสาทเป็นทางเดินทอดยาวลงไปถึงตัวเมือง ระหว่างเดินอยู่เบียทรีซในร่างหนุ่มสุดหล่อเหลาก็กลายร่างกลับเป็นสัตว์ขนยาวสีดำตัวยกษ์ที่มีเขาสองข้างงอกขึ้นมาจากหัวท่ามกลางความตกใจของผม


นึกว่าจะไม่ยอมอยู่ในร่างนี้ซะอีก


“คิดถึงจังเลย” ผมเอ่ยพร้อมโผลเข้ากอดขนสีดำยาวแสนนุ่มนิ่ม ซุกไซร้ใบหน้าลงบริเวณแผงคอแล้วถูไถจนแว่นเกือบตก


“เจ้านี่...รู้สึกจะชอบร่างนี้ของข้าเหลือเกินนะ” เรียวปากสีดำยาวบ่นผมเสียงเอือม


“อืม ชอบที่สุดเลย” ผมพยักหน้าขณะซุกหน้าอยู่


“...จะไปไหมตลาดน่ะ” นิ่งไปไม่นานอีกฝ่ายก็ถามเสียงนิ่ง


“ไปสิ แต่ขออีกแป๊บ...”


“แป๊บของเจ้ามันเชื่อไม่ได้”


“คิก...” ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน


“หัวเราะอะไร”


“ไม่ได้ยินมาตั้งนานแล้วประโยคนี้” เมื่อก่อนได้ยินเกือบทุกวันแต่พอมาอยู่ที่โลกปิศาจนี่ก็ไม่ได้ยินเลย


“ปล่อยข้า แล้วเดินสักที”


“ขี่หลังได้ไหม” ผมต่อรอง


“อยากถูกข้าขย้ำนักใช่ไหมวิณณ์”


“คิก ครับๆ เลิกแล้วก็ได้” ผมยอมผละออกมาจากขนสีดำฟูฟ่องด้วยความเสียดาย



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 06-01-2019 20:54:57
(ต่อนะคะ)


ถัดจากเส้นทางลาดลงจากปราสาทก็เข้าตัวเมือง ถนนเส้นเดิมที่ปราศจากผู้คนจนถึงก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยร้านค้าขนาบยาวเต็มสองข้างของถนนยาวจนสุดสายตา ขนาดในโลกมนุษย์ยังหาตลาดที่ยาวขนาดนี้ไม่ได้เลย เหล่าปิศาจพากันเดินจับจ่ายซื้อของไม่ต่างกับมนุษย์ถ้าไม่ติดที่รูปลักษณ์ภายนอกละก็นะ


ร่างของสัตว์ขนฟูสีดำไม่ได้ดูดโดนเด่นแต่กลืนไปกลับฝูงปิศาจที่มีรูปลักษณ์เป็นเอกลักษณ์ต่างกันไป อย่างร้านขายเมล็ดพรรณพืชที่ผ่านมาเจ้าของร้านเป็นกระรอกยักษ์ที่สามารถพูดตอบโต้กับปิศาจอีกตนได้อย่างคล่องแคล่ว


“จะว่าไปปิศาจนี่พูดและเขียนภาษามนุษย์เหรอ” อาจดูช้าไปที่เพิ่งมาเอะใจทั้งที่นั่งอ่านเอกสารสรุปให้เบียทรีซมาครึ่งค่อนวัน


“ก็ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูก...ทำหน้างงแบบนั้นข้าต้องอธิบายเพิ่มสินะ” เบียทรีซสังเกตสีหน้าผมเพียงชั่วครู่ก็รู้ได้ทันควัน


“อืม” ผมพยักหน้ารัวๆ


“พวกข้ามีภาษาเป็นของตัวเองแต่ตอนคุยกับมนุษย์สามารถปรับให้เข้าใจกันได้”


“ปรับอะไร ผมก็ทำไม่เป็นนะแต่สามารถเข้าใจที่คุณพูดรวมถึงอ่านได้ด้วย”


“พวกลูกครึ่งอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ด้วยสายเลือดของปิศาจสารสามารถสื่อสารกับพวกเดียวกันได้โดยไม่ต้องฝึกเขียนหรืออ่าน อักษรที่เจ้าเขียนสรุปให้ข้าก็เป็นอักษรของปิศาจ ไม่รู้ตัวเลยรึไง” เบียทรีซหันมามองผม


“แฮะๆ ไม่ทันสังเกตเลยแหละ”


“มันเป็นการทำด้วยสัญชาตญาณ”


“...อืม” สรุปคือทำไปโดยไม่รู้ตัวสินะ


“เจ้าห้ามเดินไปไกลจาก...วิณณ์!” เสียงเรียกชื่อดังก้องทางเดินเมื่อผมที่ควรจะอยู่ข้างเบียทรีซกลับเดินตรงไปยังร้านขายผลไม้...รึเปล่านะ


ที่ผมไม่แน่ใจเพราะรูปร่างแม้จะดูคล้ายผลไม้บ้านเราแต่มีความแปลก อย่างลูกสีน้ำเงินคล้ายบูลเบอร์นี่มีขนาดเท่าส้มแถมยังมีจุดสีขาวๆ อีก


“อันนี้ลูกอะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยถามแม่ค้าที่มีหัวเป็นมนุษย์แต่แขนสองข้างเป็นปีกคล้ายนก


“เป็นลูกเบอร์บลูน่า รสชาหวานอมเปรี้ยว ถ้าได้ลองชิมรับรองจะติดใจ” แม่ค้าตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร


“น่าอร่อยจัง เท่าไหร่ครับ”


“50 ปิซาจ้า”


“ปิซา? เอ่อ...เบียทรีซ” ผมหันกลับขอความช่วยจากเบียทรีซที่เดินทำหน้าตึงในร่างสัตว์สี่เท้าเข้ามาใกล้


“ถ้าไม่ฟังข้า ครั้งหน้าข้าจะล่ามโซ่เจ้า” เบียทรีซพูเสียงแข็ง


“ได้สิ ให้ผมจูงใช่ไหม”


“...” สายตาเอือมๆ ถูกส่งมาให้แทบจะทันหลังจากผมพูดจบประโยค


“ขอยืมเงินหน่อยได้รึเปล่า” ผมถามเสียงค่อย รู้ว่าไม่ดี...เป็นหนี้อยู่ตั้งเยอะแล้วยังจะมาขอเงินอีก


“หยิบในเสื้อข้า” อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ระหว่างพูด คงจะปลงกับผมละมั้ง


เบียทรีซอยู่ในร่างเหมือนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ก็จริงแต่นอกจากจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าแล้วบนตัวยังสวมเสื้อกั๊กสีดำขลิบทองอยู่ด้วย ผมเอื้อมมือไปล้วงตรงบริเวณกระเป๋าและหยิบแบ็งค์ออกมาหนึ่งใบ


“ขอบคุณนะ เดี๋ยวผมจะรีบใช้คืน ขอลูกนึงครับ” ผมบอกเบียทรีซเสร็จก็หันไปหยับผลไม้รูปร่างแปลกตาขึ้นมาหนึ่งลูกพร้อมยื่นแบ็งค์หนึ่งพันส่งไปให้ เมื่อได้รับเงินทอนผมเอาคืนไว้ในกระเป๋าเสื้อของเบียทรีซ ผลไม้ลูกสีน้ำเงินลายจุดสีขาวถูกงับเข้าไปคำใหญ่ ความหวานอมเปรี้ยวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก


ช่างเป็นรสชาติที่กลมกล่อมอะไรขนาดนี้


“ทำหน้าฟินเชียว”


“อร่อยมาเลย คุณลองสักคำไหม” ผมถามพลางยืนผลไม้ไปตรงหน้า


“ไม่”


“คุณไม่ชอบเหรอ”


“แค่ไม่อยากกิน”


“งั้นคุณชอบกินอะไร” ผมเปลี่ยนคำถาม


“เนื้อ” เป็นคำตอบที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว


“นอกจากเนื้อล่ะ ที่โลกปิศาจมีของขึ้นชื่อไหม” ผมถามต่ออีก ตอนนี้พวกเราเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนซึ่งทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา


“เนื้อมนุษย์ไหมล่ะ”


“ไม่เอาแบบนั้นสิ” นี่กะแกล้งผมชัดๆ


“มีอันนั้น” เบียทรีซหันหน้าไปยัง้านอาหารซึ่งพ่อครัวกำลังผัดของบางอย่างบนกระทะส่งกลิ่นหอมยั่วยวนลอยมาแต่ไกล ปริมาณลูกค้าที่รอคิวอยู่นั้นยาวจนหาปลายแถวไม่เจอ


“คนเยอะจัง แต่กลิ่นหอมน่ากินมากเลย” ผมรับรู้ได้โดยกลิ่นว่าอาหารนั้นต้องอร่อยมากแน่


“เป็นร้านขึ้นชื่อ”


“คุณเคยกิน?”


“แน่นอนสิ”


“เบียทรีซก็ต้องมาต่อแถวด้วยเหรอ” ลองนึกภาพราชาปิศาจมาต่อแถวรออาหารก็เป็นภาพที่น่าดูไม่เลวทีเดียว


“ระดับข้าไม่ต้องมารอต่อหรอก ถ้าข้าอยากกินข้าต้องได้กิน เดี๋ยวนั้นด้วย” ช่างเป็นความเอาแต่ใจ สมกับที่เป็นราชาเลยน่ะนะ


“แปลว่าอร่อยมากใช่ไหม” ผมถามอีก


“ประมาณนั้น”


“งั้นผมจะไปต่อคิวนะ” เดินไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็ต้องวกกลับมาหาเบียทรีซอีกรอบ


“ลืมเงินล่ะสิ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงรู้ทัน


“แฮะๆ อืม”


“ถ้าอยากกินเดี๋ยวข้าจัดการให้ ไม่ต้องเสียเวลารอด้วย”


“ไม่ต้องหรอก การรอน่ะจะทำให้อาหารอร่อยขึ้นนะ” ผมปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม จริงอยู่ถ้าเป็นเบียทรีซคงจะสามารถซื้อมาได้โดยไม่ต้องรอต่อคิวยาวเหยียดแต่ถ้าเราได้มาง่ายๆ คงไม่รู้สึกอิ่มเอมยามลิ้มรสหรอก


“จะแปลกไปถึงไหนวิณณ์”


“ถูกเบียทรีซชมด้วย”


“เจ้าฟังยังไงว่าเป็นชมเนี่ย”


“ไม่ใช่เหรอ”


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ จะไปต่อคิวก็ไปซะ ข้าจะรออยู่หัวคิวนี่ ขี้เกียจเดิน” เบียทรีซบอกพลางนั่งรอบนพื้น


“ได้เลย!”


ท้ายแถวอยู่ห่างจากร้านไปพอสมควรแต่ดูจากความเร็วในการขยับน่าจะใช้เวลาไม่นานนักกว่าจะถึงคิวผม เสียงเอะอะดังขึ้นจากทางด้านหลังซึ่งผมไม่ได้สนใจอะไรนักเนื่องจากที่นี่เป็นตลาด ถ้าเงียบกริบนี่สิค่อยหน้าหันไปมองหน่อย คิดแบบนั้นได้ไม่กี่วินาทีคอผมก็ถูกล็อคจากทางด้านหลังพร้อมมีดด้ามเงินที่จ่อเข้าบริเวณลำคอแล้วลากผมไปด้านหลัง


ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไงผมจึงได้แต่เงียบเผื่อจะรับรู้สถานการณ์ได้มากขึ้น ปิศาจที่จับผมน่าจะเป็นพวกครึ่งสัตว์รับรู้ได้จากขนสีน้ำตาลที่ปกคลุมท่อนแขนระหว่างล็อคคอผมไว้


“ถ้าไม่อยากให้เด็กนี่ตายก็ไปตามราชามาซะ!” คนด้านหลังตะโกนลั่นตลาดท่ามกลางความตกใจของปิศาจโดยรอบ


“เอ่อ...ถ้าจะหาราชาทำไมไม่ไปที่ปราสาทล่ะครับ” ผมพึมพำถามเสียงเบา


มาตะโกนตรงนี้คนในปราสาทก็ไม่รู้ด้วยหรอก


“คิดว่าข้าไปมากี่รอบแล้วล่ะ ไอ้พวกยามเฝ้าประตูนั่นไม่ยอมให้เข้าไปสักที”


“...คุณเลยจะใช้ตัวประกัน?” เพราะไม่ยอมให้พบเลยต้องหาวิธีเรียกราชาออกมาสินะ


“ไม่ได้จะทำให้บาดเจ็บหรอก อดทนจนกว่าราชาจะออกมาละกัน” อีกฝ่ายกระซิบบอกเสียงเบาคล้ายจะไม่ให้ปิศาจตนอื่นได้ยิน
หรือว่าปิศาจตนนี้ไม่ได้คิดจะทำร้ายแต่มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเบียทรีซจริงๆ


“นี่...คือว่า...”


“คิดจะทำอะไร” เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมร่างของเบียทรีซที่ก้าวออกมายืนเผชิญหน้ากันตรงๆ รูปลักษณ์ของสัตว์สี่ขาก่อนหน้านี้กลับมาเป็นร่างหล่อคมคายเหมือนเดิมแล้ว


“องค์ราชาเสด็จ!”


“องค์ราชามานี่?!”


เสียงปิศาจโดยรอบดังอื้ออึงก่อนปิศาจเหล่านั้นจะก้าวถอยหลังไปให้ห่างจากเบียทรีซมากขึ้นราวกับรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องไปยังปิศาจที่จับผมไว้เป็นตัวประกันนิ่งๆ ความนิ่งนั่นมาพร้อมกับพลังปิศาจค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างของเบียทรีซปกคลุมบริเวณโดยรอบจนรู้สึกอึดอัด


“ออกมาก็ดีแล้วราชา ข้ามีเรื่องจะพูด” แม้จะเอ่ยออกไปได้จบประโยคแต่ไม่สามารถซ่อนอาการสั่นของร่างกายได้ พลังของเบียทรีซทำให้ปิศาจทุกตนรู้ถึงความแตกต่างของพลังได้โดยไม่ต้องสู้


“ข้าไม่คิดจะฟังเจ้า ปล่อยหมอนั่น” เบียทรีซก้าวเข้ามาใกล้มาขึ้น


“ไม่ปล่อย ข้าจะปล่อยต่อเมื่อท่านฟังเรื่องที่ข้าจะพูด” ฝ่ายถูกกดดันก้าวถอยหลังพร้อมกระชับวงแขนที่ล็อคคอผมแน่นกว่าเดิม การกระทำนั่นส่งผลให้พลังปิศาจอัดแน่นเป็นทวีคูณ ปิศาจระดับต่ำล้มทรุดตัวลงกับพื้นคล้ายไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลได้


“ข้าจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว ปล่อยเดี๋ยวนี้” สิ้นประโยคสุดท้ายแขนสั่นๆ ของคนด้านหลังก็คลายออก เบียทรีซคว้าแขนผมแล้วดึงเข้าหาตัวทันที


“เบียทรีซ...”


“ข้าไม่ปล่อยมันแน่” น้ำเสียงแบบนั้นแปลว่าเอาจริง


“หยุดก่อนเบียทรีซ ฟังที่เขาพูดหน่อยเถอะ” ผมพยายามใช้ร่างตัวเองขืนไม่ให้เบียทรีซได้ก้าวต่อ ร่างของปิศาจที่จับผมเมื่อครู่ทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นด้วยร่างกายสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร


“ทำไมข้าต้องฟังคนที่กล้ามามาให้คนของข้าได้เลือดด้วย” เบียทรีซบอกพลางใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ บริเวณลำคอ หยาดเลือดสีแดงซึ่งติดปลายนิ้วคงมาจากมีดที่จ่อคอผมจนถึงเมื่อครู่ จะบอกว่าเป็นความผิดทางนั้นก็ไม่ถูกคงเพราะความกลัวร่างกายเลยสั่น พอสั่นจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนเผลอโดนผมเข้า


“เขาไม่ได้ตั้งใจ”


“เจ้าเอาอะไรมาวัดกัน”


“เขาเป็นคนบอกเองว่าแค่อยากพบคุณ ถ้าได้เจอคุณก็จะปล่อยผม เชื่อผมเถอะ...นะ” ผมใช้มือดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นแล้วเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีทองสว่างอย่างร้องขอ


“...เจ้าเชื่อคนง่ายไป” เบียทรีซเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ


“เบียทรีซ...”


“ก็ได้แค่ครั้งนี้ เจ้ามีอะไรรีบว่ามา” เบียทรีซหันไปพูดประโยคสุดกับปิศาจตรงหน้า รูปร่างกำยำกับขนสีน้ำตาลปกคลุมนั่นคล้ายกับมนุษย์หมาป่าในนิทานหลายๆ เรื่อง


“...ราชา หมู่บ้านของข้าอยู่บริเวณชายแดนซึ่งตอนนี้กำลังลำบากเนื่องจากไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลานานทำให้แม้แต่การเพาะปลูกก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าจะกรุณาช่วยส่งเสบียงให้หมู่บ้านของข้าสักนิดได้หรือไม่ราชา” ฝ่ายนั้นอธิบายพร้อมก้มหัวลงจนแทบจะติดกับพื้น


“เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา อยากรู้ว่าเบียทรีซจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง


“เรื่องร้องเรียนต้องเขียนเป็นลายลักอักษรเข้ามาอย่าบอกว่าไม่รู้ล่ะ”


“เรื่องนั้นข้าทราบ และข้าเขียนส่งไปแล้วแต่ท่านก็ทราบว่าหมู่บ้านของพวกข้าอยู่ไกลกว่าท่านจะรับเรื่องและดำเนินการหมู่บ้านของข้าก็อาจ...”


“ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ เพียงแต่โทษที่เจ้าทำข้าไม่คิดจะละเว้นให้หรอกนะ” อีกฝ่ายถอนหายได้แค่ประโยคแรกก็ต้องกลับมาเกร็งตัวอีกครั้งนึง แผลบริเวณต้นคือผมถูกเกลี่ยคล้ายจะบอกโทษของอีกฝ่ายมาจากเรื่องอะไร


“เบียทรีซผมไม่เป็นไรสักหน่อย อย่าทำโทษเขาเลย” ผมบอกเบียทรีซ


“คนที่จะตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็นคือข้าไม่ใช่เจ้าวิณณ์”


“...ขอโทษ” ผมก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตานั่น


เบียทรีซในตอนนี้น่ากลัว


ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาโกรธได้ขนาดนี้


“เสบียงเจ้าเข้าไปเอาในปราสาทได้ตามที่ต้องการ และโทษของเจ้าคือขนกลับไปด้วยตัวเองข้าจะไม่ให้คนไปช่วยเจ้า” พูดจบเบียทรีซก็หมุนตัวเดินกลับ แถมยังดึงแขนผมให้ตามไปติดๆ


“ขอบคุณท่านมาก ราชาที่ทรงเมตตา!” เสียงขอบคุณดังแว่วมาจากด้านหลัง


“คุณใจร้ายเกินไปรึเปล่า” ผมเอ่ยถามขณะเดินตามเบียทรีซกลับปราสาท


“ใจร้าย?”


“ให้เขาคนเดียวแบกเสบียงของคนทั้งหมู่บ้านจะไหวได้ยังไง” เป็นโทษที่หนักเกินไป


“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้านั่นเป็นปิศาจ”


“รู้สิ” แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็รู้แล้ว


“งั้นรู้รึเปล่าว่าปิศาจเผ่าจูการ่าเป็นเผ่าที่มีพละกำลังมาที่สุดในหมู่ปิศาจระดับกลาง”


“...” ผมเงียบลงเพราะเริ่มเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อทีละนิด


“ด้วยพละกำลังนั่นสามารถเอาเสบียงไปได้หลายสิบตันซึ่งเพียงพอที่จะอยู่ได้นับเดือน” เบียทรีซอธิบายต่อ


“เบียทรีซ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันทีที่ได้ยินความจริง


“ยิ้มอะไร”


“คุณใจดีที่สุดเลย”


“หึ ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าข้าใจร้ายอยู่เลย”


“ก็...ตอนนั้นผมยังไม่รู้ความจริงนี่”


“ความจริงโทษแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง


“เบียทรีซ”


“อะไรอีก”


“ขอบคุณนะ” ผมบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“เรื่องอะไร”


“หลายเรื่องเลยล่ะ” แค่วันเดียวมีเรื่องให้ต้องขอบคุณเบียทรีซอยู่ตั้งหลายอย่าง


“ขี้เกียจฟัง กินนี่ไปแล้วเดินเงียบๆ ซะ” พูดจบกล่องอาหารกล่องหนึ่งก็ถูกโยนมาให้


“โอ๊ะ! ร้อน...นี่มันหรือว่า...” กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ผัดกับเครื่องเทศและผักแบบนี้เหมือนร้านที่ผมกำลังยืนต่อคิวอยู่เลย


“เงียบแล้วกินไป” อีกฝ่ายเดินก้าวยาวนำขึ้นไปปล่อยให้ผมยืนยิ้มกว้างอยู่คนเดียว เมื่อได้สติผมวิ่งตามเบียทรีซพร้อมตะโกนคำพูดนึงออกไป


อยากให้ปิศาจทุกตนในโลกปิศาจได้ยินคำพูดนี้ของผม...


“เบียทรีซใจดีที่สุดเลย!”

...........................................

ใจดีแค่กับเจ้าแหละวิณณ์!!

ขอตะโกนต่อท้ายสักนิด

ตอนนี้เป็นเนื้อหาเบาๆ ความจริงก็เบาแทบทุกตอนอยู่แล้ว 555

ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกชอบเบียทรีซขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

นิสัยแบบนี้ทำให้ตอนต่อๆ ไปชักเริ่มยากแต่งยากขึ้นทุกที

ขอกำลังใจด้วยน้าาา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-01-2019 23:24:07
ลู๊กกกกกกกกกกก ทำไมน่ารักงี้ล่ะวิณณ์
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-01-2019 02:01:46
เปลี่ยนจากล่ามโซ่เป็นให้ขี่หลังตัวเองดีกว่าไหม
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 07-01-2019 17:28:34
หนูวิณณ์ จะน่ารักเกินไปแล้ว

แอบขำตอนเบียทรีซถามเรื่องตัวเองสำคัญกับวิณ์แบบไหน
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-01-2019 05:53:53
ตลกเบียทริซ คือหวงไง ห่วงด้วย
ห่างนานก็ไม่ได้ หายไปก็ไม่ได้ งานก็แทบไม่ให้ทำ
มีข้ออ้างให้หมดแล้ว ต้องอยู่ด้วยกันที่นี่นะวิณณ์

วิณณ์ก็เป็นคนซื่ออะเนาะ และเป็นคนจิตใจดีด้วยไง
ทำเบียทริซยอมได้ตลอดเลย สมควรแล้วที่ปู่บอกอย่าปล่อย

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่7:⊱ 6/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 12:26:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-01-2019 20:27:50
⊰บงการ:วันที่8:⊱



การใช้ชีวิตอยู่ในโลกปิศาจของผมนั้นผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ละเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนพอมานั่งนึกย้อนก็ต้องตกใจ วิถีชีวิตหรือกิจวัตรประจำวันค่อนข้างต่างกับตอนอยู่โลกมนุษย์ค่อนข้างมาก ในยามเช้าภาพแรกที่เห็นคือหนุ่มหล่อหน้าตาระดับเทพนอนอยู่ข้างๆ เป็นภาพที่ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยจะชินสักที มีหลายวันที่ผมถอยหลังจนเกือบตกเตียง


ถัดการนั้นคือการลงมากินมื้อเช้าและต่อด้วยการฝึกต่อสู้กับหัวหน้าผู้นำทัพปิศาจกว่า 30,000 ตนอย่างเตโช ไม่รู้ว่าเพราะมีอาจารย์สอนดีหรือว่าตัวผมมีความสามารถจึงได้หลบการหมัดของอีกฝ่ายได้เกือบหมดทุกหมัด แต่แค่หมัดนะถ้าเตโชใช้ลูกเตะร่างผมก็ปลิวไปติดต้นไม้ได้เลยล่ะ


ไม่ได้โม้หรือพูดเกินจริงแต่อย่างใด...มีครั้งนึงเตโชคิดว่าผมที่หลบหมัดได้น่าจะหลบลูกเตะได้จึงใช้ขาวาเตะสูงเข้าบริเวณลำตัวส่งผลให้ผมที่หลบไม่พ้นปลิวไปใส่ต้นไม้อย่างแรง จำได้ว่าวันนั้นเบียทรีซลงมาเห็นฉากนั้นเข้าพอดี นอกจากจะไม่เข้ามาช่วยผมแล้วยังส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจแรงใส่อีก เหมือนถูกด่าทั้งที่ไม่ได้ยินเสียงเลย


การฝึกต่อสู้ตลอด 2 ชั่วโมงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หน้าที่ต่อไปของผมคือการช่วยงานเบียทรีซ เอกสารที่มีตัวเลขไม่ว่าจะเป็นบัญชีหรือสถิติถูกแยกออกมาต่างให้ผมอ่านและเขียนสรุปก่อนจะส่งกลับไปให้เบียทรีซอ่านอีกรอบ เท่าที่สังเกตเบียทรีซไม่ค่อยเก่งเรื่องการมองตัวเลขซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ขืนหน้าตาดีแล้วยังทำได้ทุกอย่างคงจะเฟอร์เฟ็กเกินไปจนคนธรรมดาอย่างผมไม่มีที่ยืนกันพอที


งานวิเคราะห์สรุปตัวเลขไม่ได้มีเยอะ บางวันมีแค่ไม่กี่ฉบับก็หมดแล้วทำให้ทุกครั้งที่ผมมีเวลามักจะแอบลงมายังชั้น 5 สถานที่นั้นคือห้องครัวของปราสาทนั่นเอง


เสียงกระทะกระทบตะหลิวเป็นจังหวะผัดเนื้อสัตว์ด้านในให้ส่งกลิ่นหอมปิดท้ายด้วยการใส่ใบกระเพราลงไปแล้วปิดเตาในระหว่างนั้นเพื่อไม่ให้ผักที่ใส่นั้นสุกเกินไป จากนั้นก็เทใส่จานหลุมสีขาวสะอาดเป็นอันเสร็จการทำผัดกระเพราด้วยฝีมือผม


ช่วงเวลาก่อนมื้อเที่ยงนั้นในครัวไม่ได้ยุ่งเหมือนอย่างที่หลายคนคิดเพราะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว พอถึงเวลาก็นำไปเข้าเตาไม่ก็ลงกระทะพร้อมเสิร์ฟได้เลย ดังนั้นตอนนี้เหล่าปิศาจที่ประจำอยู่ในครัวจึงมายืนล้อมหน้าล้อมหลังผมไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าเชฟอย่างกาเนอร์


“นี่ก็เป็นอาหารของโลกมนุษย์สินะท่านวิณณ์” ปิศาจในชุดเชฟด้านหลังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตาตื่นใจ


“ใช่แล้ว เป็นอาหารขึ้นชื่อของประเทศที่ผมมาเลยนะผัดกระเพราเนี่ย” ผมหันไปบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่วันที่เดินผ่านห้องครัวแล้วเกิดสนใจก้าวเข้ามาก็เกิดการแลกเปลี่ยนวิธีทำอาหารของมนุษย์กับปิศาจขึ้น


“ท่านมีฝีมือในการทำอาหารไม่น้อยเลย” คำชมจากกาเนอร์ที่เป็นหัวหน้าเชฟทำให้ผมยิ้มกว้างเข้าไปอีก


“ผมแค่ทำกินเองเลยพอทำได้บ้าง”


“ข้าชื่นชมในการทำอาหารของท่าน ครั้งหน้าลองมาเป็นลูกมือข้าไหม”


“ฝีมือผมยังเทียบกับคนอื่นๆ ไม่ได้หรอกครับ จะทำให้ช้ากันเปล่าๆ” ผมอาจทำอาหารได้แต่นั่นเป็นเพียงเบสิคของอาหารไทยไม่ใช่อาหารขั้นแอดวานส์ของโลกปิศาจ แค่มองส่วนผสมหลายสิบอย่างที่เตรียมไว้ผมก็รู้สึกปวดขึ้นมาแล้ว ขืนให้ลงมือทำคงได้มีหยิบส่วนผสมผิด ดีไม่ดีอาจทำให้อาหารจานนั้นกินไม่ได้


“ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว”


“ผมพูดจริงนะ อีกอย่างอาหารของพวกคุณทำยากกว่าเยอะ” พวกเขายังไม่เคยเห็นความซุ่มซ่ามของผมแบบจะๆ ตา


“ฝึกอีกสักห้าสิบปีท่านจะชินไปเอง” ถ้ามนุษย์ปกติได้ยินคงจะคิดว่าดูถูกซึ่งในความจริงนั้นไม่ใช่ สำหรับปิศาจเวลาห้าสิบปีไม่ได้นานอะไรเลย


“ขอบคุณนะกาเนอร์ ว่าแต่ข้าวเย็นลงรึยัง” ผมเปลี่ยนคำถาม ก่อนหน้าสาธิตทำผัดกระเพรากาเนอร์สอนผมทำอาหารบางอย่างซึ่งต้องรอข้าวที่หุงเสร็จเย็นลงก่อน


“ได้ที่แล้ว ใส่ส่วนผสมเหล่านี้ลงไปในข้าวแล้วคน” ส่วนผสมประมาณห้าอย่างเทใส่ลงในถ้วยผสมกับข้าวโดยมีผมเป็นคนผสมแต่ละอย่างให้เข้ากัน


“คล้ายกับข้าวซูชิเลย” ทั้งเมล็ดข้าวที่กลมกว่าปกติกับน้ำปรุงรสที่มีกลิ่นเปรี้ยวแถมยังมีงาผสมด้วย วัตถุดิบที่ผมเห็นในคลังไม่ได้มีแค่วัตถุดิบในโลกปิศาจอย่างเดียวมีไม่น้อยเลยที่วัตถุดิบคุ้นตาในโลกมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นซิอิ๋วขาวหรือแม้แต่กิมจิ


“ซูชิ? ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มา เป็นการนำขาวคลุกกับน้ำส้มปั้นเป็นก้อนแล้ววางหน้าด้วยปลาดิบต่างๆ ใช่ไหม” กาเนอร์หันมาถาม


“ใช่เลย นั่นแหละซูชิ” อาหารของโลกมนุษย์นี่ดูจะมาไกลถึงแดนปิศาจเลยแฮะ


“ที่ท่านกำลังทำก็คล้ายอยู่ ข้าวที่ผสมแล้วให้พักไว้จากนั้นก็นำเนื้อไปผสมกับน้ำมันเล็กน้อยใส่พริกกับกระเทียมปิศาจ ในมือท่านคือหอมไม่ใช่กระเทียม” เสียงเตือนดังขึ้นทันทีที่ผมหยิบวัตถุดิบผิด


การทำอาหารดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน กาเนอร์ค่อยๆ สอนผมทำวัตถุดิบแต่ละอย่างช้าๆ รูปร่างของวัตถุดิบต่างจากเดิมที่เคยเห็นจนไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นอย่างเดียวกันจริงๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็กระเทียม กระเทียมในปกติเป็นหัวขนาดเล็กและมีขาวทว่าในโลกปิศาจกลับมีขนาดเท่าฟักทองแถมเป็นสีเหลือง


ใช้เวลาทำเกือบชั่วโมงในที่สุดก็เสร็จ ข้าวคลุกเนื้อเนียนถูกห่อด้วยเนื้อหมักแผ่นบางแบบพอดีคำคล้ายซูชิแต่มีรสชาติหลากหลายกว่า ได้ชิมคำแรกผมถึงกับตาลุกวาวด้วยอร่อยในรสชาติ


“ทำอะไรอยู่น่ะ” เพียงประโยคเดียวที่ดังขึ้นก็ทำเอาเหล่าปิศาจที่ยืนตีวงล้อมอยู่กระจายตัวกันกลับไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เตรียมอาหารตามเดิมยกเว้นกาเนอร์ที่ก้มหัวลงพร้อมเอ่ยทักมายผู้มาเยือนอันทรงอำนาจอย่างเบียทรีซ


“คุณมาได้จังหวะเหมาะเลย” ผมส่งเสียงบอก


“อะไร” คิ้วสีดำสองข้างของเบียทรีซขมวดแน่นคล้ายไม่เข้าใจว่าผมต้องการสื่ออะไร


“กาเนอร์เพิ่งสอนผมทำอาหารเสร็จพอดี ลองกินไปชิ้นนึงแล้วอร่อยมากก” ผมลากเสียงคำสุดท้ายนานเป็นพิเศษ


“แล้ว?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นข้างนึง


“คุณก็ลองชิมดูสิ” ผมยื่นจานแบนสีขาวสะอาดตาไปตรงหน้าเบียทรีซที่ก้มมองอาหารบนจานด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ


พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่สนใจนั่นเอง


“ไม่ เดี๋ยวก็จะได้เวลามื้อกลางวันแล้ว”


“กินแค่ชิ้นเดียวไม่ทำให้คุณกินข้าวเหลือหรอกน่า” ผมพยายามคะยั้นคะยอ


“ไม่”


“เบียทรีซ”


“ข้าบอกว่าไม่ไง”


“งั้นผมป้อนก็ได้ อ้าม~” ผมตัดสินยุติเรื่องนี้ด้วยการหยิบชิ้นนึงขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ยื่นอาหารหนึ่งชิ้นนั้นจ่อปากอีกฝ่ายที่ไม่ยอมอ้าตาม


ดวงตาสีทองสว่างประสานกับดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมนิ่งๆ ราวกับกำลังแข่งขันความอดทนซึ่งผมไม่ยอมแพ้ยืนนิ่งในท่ายื่นอาหารจ่อปากต่อไปจนกล้ามเนื้อบริเวณแขนเริ่มเมื่อยล้า ในจังหวะที่ผมกำลังจะทนไม่ไหวเบียทรีซค่อยๆ อ้าปากรับอาหารฝีมือผมเข้าไปเคี้ยวพอเป็นพิธีแล้วกลืนลงคอไป


“...” ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากเบียทรีซ มีเพียงสายตาที่สื่อความหมายมาว่าพอใจรึยัง


“อร่อยเนอะ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม


“คิดไปเอง”


“จะบอกว่าไม่อร่อยเหรอ”


“ข้าไม่ได้พูดนะ”


“งั้นสรุปว่าอร่อยหรือไม่อร่อยล่ะ” คำพูดกำกวมแบบนั้นผมไม่ยอมรับหรอกนะ


“ให้แค่พอใช้” พูดจบก็หยิบอาหารฝีมือผมเข้าปากอีกชิ้น


“คนโกหก” ถ้าแค่พอใช้เขาคงไม่หยิบกินอีกชิ้นหรอก


“ข้าไม่ใช่มนุษย์”


“ได้ ปิศาจโกหก”


“ข้าต้องขำไหม” อีกฝ่ายใช้สายตาเอือมๆ มองกลับมา


“ไม่ต้องก็ได้”


“เช็ดซอสออกจากแว่นแล้วไปห้องอาหารได้แล้ว” เบียทรีซบอกก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องครัวไป พอผมลองถอดแว่นมาดูใกล้ๆ ก็เจอตรงมุมที่มีซอสเลอะอยู่


“องค์ราชามาตามถึงที่แบบนี้รีบตามไปเถอะท่านวิณณ์” กาเนอร์บอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ


“ตาม? ผมว่าเขาน่าจะเพิ่งลงมาจากห้องทำงานมากกว่า”


“ห้องครัวนี่อยู่เกือบด้านในสุดของชั้นถ้าไม่ตั้งใจเดินมาไม่มีทางผ่านหรอก”


“...ก็จริง” อย่างที่กาเนอร์บอก ห้องครัวนี้อยู่ไกลจากบันไดขึ้นลงแต่ละชั้นมากถ้าไม่เจาะจงเดินมาห้องครัวไม่มีทางที่จะผ่านได้
แปลว่าเบียทรีซมาตามผมจริงน่ะสิ


ผมบอกลากาเนอร์และทุกคนในครัวจึงเดินเข้าไปในห้องอาหารที่มีเบียทรีซนั่งรออยู่ประจำหัวโต๊ะแล้ว ห้องอาหารนี่เหมือนจะเป็นห้องส่วนตัวของเบียทรีซเพราะผมไม่เคยเห็นใครที่เข้ามากินด้วยเลยสักครั้งยกเว้นตัวผม รอไม่กี่นาทีอาหารมื้อกลางวันก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยอาหารของผมนั้นมีปริมาณน้อยกว่าเบียทรีซกว่าครึ่งซึ่งผมต้องขอบคุณกาเนอร์ที่เข้าใจผมเป็นอย่างดี


ถึงจะเป็นมื้อกลางวันหรือแม้แต่มื้อเย็นปริมาณอาหารที่ผมสามารถกินได้นั้นแทบไม่ต่างกัน ว่ากันตรงๆ คือผมเป็นคนกินน้อย ถ้าพาไปกินบุฟเฟ่ผมกล้าพูดว่าตัวเองจะอิ่มก่อนใคร


“เบียทรีซมีงานของผมมาเพิ่มอีกรึเปล่า” ผมถามระหว่างใช้ส้อมจิ้มเนื้อปลาเข้าปาก


“ยังไม่มี”


“งั้นช่วงบ่ายผมไปเดินเล่นในสวนได้ไหม” ผมถามต่ออีก ในเมื่อไม่มีงานผมก็ไม่อยากจะเข้าไปนั่งอยู่เฉยๆ ในห้อง


“ในสวนมีอะไรน่าสนใจ ร้อนจะตาย” เบียทรีซบอกพลางตัดเนื้อเข้าปาก


“อากาศที่นี่นับว่าเย็นแล้วนะ ผมอยากเดินเล่นในสวนน่ะ มีต้นไม้แปลกๆ เยอะดี” เรื่องอากาศเป็นอย่างหนึ่งที่ผมค่อนข้างถูกใจเป็นพิเศษ ประเทศไทยในช่วงเวลาประมาณเที่ยงถึงประมาณบ่ายสามจะเป็นช่วงที่ร้อนระอุทว่าในโลกปิศาจไม่ใช่ อาจมีแสงแดดส่องอยู่เหนือหัวแต่ไม่ได้ทำให้ร้อนขนาดเหงื่อท่วม


ผมชอบอากาศแบบนี้นะ


“เดินไปมั่วๆ เดี๋ยวก็ถูกย่อยเป็นปุ๋ยหรอก”


“ไหนคุณบอกว่าต้นไม้ในสวนไม่อันตรายขนาดนั้นไง”


“มีบางชนิดที่ปลูกเพื่อจับผู้บุกรุกโดยเฉพาะ”


“...แปลว่าผมไปเดินเล่นไม่ได้เหรอ” ผมเอ่ยเสียงเศร้า


นึกว่าจะได้ดูพวกต้นไม้แล้วเชียว


“อยากไปก็ไป อย่าเข้าใกล้อะไรแปลกๆ ก็พอ”


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้ารับคำจนแว่นเกือบตก


“ให้เวลาชั่วโมงนึง”


“หมายถึงอะไร”


“ข้าให้เวลาเจ้าเดินเล่นในสวนหนึ่งชั่วโมง ชัดพอไหม” เบียทรีซพูดซ้ำอีกรอบ


“ขอสักสามชั่วโมง...”


“จะไปเดินเล่นหรือจะไปนอนฮะสามชั่วโมงน่ะ” เบียทรีซพูดแทรก


“ไม่เห็นจะนานตรงไหนเลย” ผมคิดว่าเวลาสามชั่วโมงสำหรับปิศาจไม่ได้มากมายอะไรเลยนะเพราะเวลาของปิศาจนั้นมีเยอะเป็นไม่รู้กี่เท่าของมนุษย์


“...นานสิ”


“พูดอะไรนะ” ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ มาจากอีกฝ่ายแต่ได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่


“เปล่านี่”


“สรุปสามชั่วโมงเนอะ” ผมถามสรุปอีกรอบ


“จะเอาสามชั่วโมงให้ได้ใช่ไหม” เบียทรีซถามเสียงหน่าย


“อืม”


“ตามใจ”


“ขอบคุณนะ แล้วจะรีบขึ้นไปหา”


“ให้มันจริงเถอะ เถลไถลไปเรื่อย เดี๋ยวอยู่ห้องครัว เดี๋ยวอยู่ลานฝึก อีกหน่อยอาจอยู่ห้องน้ำ”


“คิก!” ผมหลุดขำออกมาเพราะคำพูดของอีกฝ่าย


คิดได้ไงเนี่ยไปอยู่ในห้องน้ำ


“ข้าไม่ขำด้วยวิณณ์” สีหน้าของเบียทรีซทำเอาผมรีบตะครุบปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงออกไปมากกว่านี้


“...อารมณ์ไม่ดีเหรอเบียทรีซ” ผมถามออกไปตามตรง


“หึ...” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแต่ก้มหน้าจัดการอาหารบนโต๊ะต่อ


“ขอโทษนะ” ปล่อยให้บรรยากาศเงียบไปสักพักผมจึงพูดขึ้น


“...ขอโทษเรื่องอะไร”


“ไม่รู้”


“เจ้านี่นะ...ข้าไม่ได้โกรธ” เบียทรีซหันกลับมามองหน้าผมอีกรอบ


“หงุดหงิด?” ผมเปลี่ยนคำตอบ


“คงใช่มั้ง”


“มั้งเหรอ”


“ก็มั้งไง จะถามอะไรนัก”


“...ไม่ถามก็ได้” ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะผมแค่สงสัยเอง


 “ดี กินไปเงียบๆ ซะ”


“แล้วหงุดหงิดอะไร” ผมตักอาหารอีกคำเข้าปากแล้วถามต่อ


“เมื่อกี๊ใครบอกจะไม่ถามแล้ว?”


“ก็ไม่ถามเรื่องมั้งแล้วไง” นี่ผมทำอะไรผิดไปอีกรึเปล่านะ ยิ่งเป๋อๆ อยู่ด้วย


“นิสัยเจ้าก็เป็นซะแบบนี้”


“...?”


“ฐานะของเจ้าคืออะไร” อยู่ๆ เบียทรีซก็เปลี่ยนเรื่อง


“...คนรับใช้ของคุณ” ผมเงียบเพื่อใช้ความคิดสักพักก่อนจะตอบกลับไป


ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน นอกจากไม่เปลี่ยนแล้วผมยังยอมรับในฐานะนี้ด้วย เบียทรีซช่วยใช้หนี้ให้แถมยังหางานให้ทำเพื่อใช้หนี้ต่ออีกทีด้วย


“อืม ยังดีที่รู้ตัว แล้วคนรับใช้มีหน้าที่ยังไง” อีกฝ่ายถามต่อ


“ก็ต้องคอยช่วยงาน คอยดูแลอยู่ข้างๆ”


“แล้วที่เจ้าทำตอนนี้คือ?”


“ผมช่วยคุณทำงานนะ” ผมเถียงใจขาด


“เจ้าช่วยงานแต่ไม่ได้ทำอีกอย่างที่พูด”


“...คอยดูแลอยู่ข้างๆ ?”


“ใช่ ตอนเช้าฝึกต่อสู้ติดลมคุยจนมาทำงานช้า พอทำงานเสร็จก็ลงไปขลุกอยู่ในห้องครัว ใครเป็นนายเจ้าวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซดูจะใกล้หมดความอดทนเต็มที


แค่เพราะผมเผลอคุยกับเตโชนานไปนิดแล้วอยู่ในห้องครัวนานไปหน่อยทำให้ไม่ได้อยู่ข้างๆ เบียทรีซ สาเหตุที่หงุดหงิดเพราะเรื่องนี้เองเหรอ


“คุณบอกผมเป็นเด็กเพิ่งหัดคลานแต่ตอนนี้คุณเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เลย”


ทั้งเอาแต่ใจ ไม่พอใจในสิ่งที่ไม่ต้องการรวมทั้งเรียกร้องความสนใจ


“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า” อีกฝ่ายกดเสียงต่ำลงยามไม่ได้รับคำตอบ พลังปิศาจแผ่อัดแน่นอยู่รอบห้องอาหารส่งผลต่อความอยากอาหารทันที


“ครับๆ นายของผมคือเบียทรีซ” ผมตอบกลับไปตามจริง และคำตอบนั้นเรียกเอาความอยากอาหารคืนมา...พลังปิศาจกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว


“ถ้าเข้าใจก็ปรับปรุงตัวซะ ไม่งั้นข้าจะไล่เจ้าออก” ดูเหมือนคำขู่ของเบียทรีซจะได้ผลเพราะผมเกร็งตัวขึ้นหลังจากได้ยิน


“...เข้าใจแล้ว งั้นช่วงบ่ายผมจะไม่ไปสวน”


“ข้าไม่ได้บังคับเจ้านะ”


“ผมรู้” โดนพูดมาขนาดนั้นจะให้ไปเดินเล่นชมพืชได้ยังไงกัน


“ไปซะ ข้าให้ 2 ชั่วโมง” เบียทรีซยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบก่อนจะอนุญาตให้ผมไป


“...ไปได้จริงเหรอ”


“ข้าไม่พูดโกหก”


“อืม ถ้าแบบนั้นผมจะอยู่ช่วยงานคุณก่อนแล้วประมาณบ่ายสามกว่าค่อยลงไปเดินแล้วจะกลับมาตอนอาหารเย็น ประมาณนี้ได้ไหม” ผมแจกแจงสิ่งที่คิดจะทำให้อีกฝ่ายรับรู้


“อืม”


คำอนุญาตนั้นเรียกรอยยิ้มผมได้ตลอดช่วงบ่าย ในห้องทำงานของเบียทรีซมีชุดโต๊ะเก้าอี้ถูกยกมาวางไว้ไม่ไกลจากโต๊ะของเบียทรีซนักในวันที่สองของการทำงาน เขาคงเห็นใจที่เห็นผมนั่งพื้นใช้โต๊ะตรงโซฟานั่งสรุปงานเลยหาโต๊ะมาให้นั่งทำดีๆ ละมั้ง แกรนเองช่วงหลังมานี้จะให้ปิศาจคัดแยกเอกสารแบ่งมาวางไว้ทั้งโต๊ะผมและโต๊ะของเบียทรีซ


ในช่วงบ่ายมีงานสรุปอีกไม่แผ่นที่ต้องต้องอ่านและทำความเข้าใจก่อนจะสรุปออกมา การสรุปย่อจากบัญชีไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องอาศัยความเข้าใจอย่างมากจึงจะสามารถเขียนสรุปออกมาได้ตรงประเด็นมากที่สุด เมื่อถึงเวลาประมาณบ่ายสามครึ่งผมนำเอกสารที่วิเคราะห์เสร็จพอดีไปวางไว้บนโต๊ะของเบียทรีซพร้อมขอตัวออกไปเดินเล่นในสวนก่อน


“หวังว่าจะตรงต่อเวลานะวิณณ์” นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ดังไล่หลังมา


ผมไม่คิดว่าแค่เดินชมสวนจะมีอะไรให้โอ้เอ้ได้หรอกนะ ถ้าใกล้ถึงเวลานัดผมจะเดินกลับตัวปราสาทก่อนเผื่อเวลาไว้ดีกว่าไปช้า จะได้แสดงให้เบียทรีซเห็นด้วยว่าผมมาถึงก่อนเขาตั้งนาน


บริเวณสวนด้านหลังกินพื้นที่กว้างกว่าด้านข้างปราสาทหลายเท่า มองไปสุดสายตาก็ยังมองเห็นต้นไม้สีเขียวขจีอยู่ รู้สึกว่าด้านหลังจะเป็นป่าของจริงมากกว่าจะเป็นแค่สวน ผมเริ่มต้นจากการเดินเข้าไปตามแนวหินซึ่งวางเรียงต่อเป็นทางยาวเข้าไปด้านใน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ทางเดินเองแยกออกเป็นหลายเส้นให้เดินดูสวนได้อย่างทั่วถึงซึ่งผมเลือกที่จะเดินตรงเพียงอย่างเดียวด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ...


กลัวหลง


ผมเป็นพวกหลงทางได้ง่ายถ้าไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นชินเลยกันไว้ก่อนดีกว่า เดินตรงไปอย่างเดียวคงไม่ทำให้หลงได้ ต่อให้หลงก็เดินตรงกลับคงไปถึงตัวปราสาทได้เอง


โซนพุ่มไม้เตี้ยๆ ผ่านพ้นไปจนถึงต้นไม้ขนาดกลางและใหญ่ตามลำดับจนมาถึงสุดเขตรั้วของปราสาทที่ปราศจากคนยืนคุมดูแลเนื่องจากถัดจากรั้วไปนั้นเป็นป่าผืนใหญ่ คงไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาทางนี้เป็นแน่ถ้าไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองจริงๆ


รั้วนี้มองยังไงก็เป็นรั้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆ แล้วคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่รั้ว


“อะไร...มันคืออะไร” ผมพึมพำออกมาพร้อมกับขาที่ก้าวตรงไปยังรั้วบริเวณที่ให้สัมผัสแปลกๆ มือที่เอื้อมออกไปควรจะติดเพราะมีรั้วกั้นอยู่ทว่าในความเป็นจริงมือผมกลับทะลุผ่านรั้วนั้นไปได้ราวกับไม่มีสิ่งกีดขวาง


ด้วยความสงสัยปนอยากรู้อยากเห็นผมก้าวเข้าไปผ่านภาพรั้วซึ่งตามองเห็น ทันในนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภาพวิวทิวทัศย์ตรงหน้าคือป่าที่มีเพียงต้นสนเติบโตอยู่เต็มไปหมด พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เป็นภาพป่าสนเช่นเดียวกัน รอบตัวผมในตอนนี้มีเพียงต้นสนต้นใหญ่ขึ้นเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วนทั้งสี่ทิศ


แล้วปราสาทหายไปไหน?!


ผมพยายามใช้ดวงตาสีน้ำตาลของตัวเองมองผ่านเลนส์แว่นหาปราสาทหลังยักษ์ของเบียทรีซอยู่นานแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของสิ่งก่อสร้าง อาจเป็นเพราะความสูงของต้นสนมันบดบังทศนียภาพเลยมองไม่เห็นก็เป็นได้



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-01-2019 20:28:18
(ต่อค่ะ)


เดินไปอีกสักหน่อยไม่แน่ว่าจะพอเห็นอะไรมากขึ้น


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงออกเดินโดยไร้ทิศทาง วิชาลูกสื้อที่ร่ำเรียนมาแทบไม่มีประโยชน์ต่อผมในขณะนี้เลย จำได้ว่าเราสามารถรู้ทิศทางจากตำแหน่งของพระอาทิตย์ แต่ความสูงของต้นสนทำให้มองไม่เห็นพระอาทิตย์แต่อย่างใด ต่อให้ฟลุกมองเห็นแล้วหาทิศได้ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าปราสาทของเบียทรีซต้องเดินไปทางไหน


การเดินทางอันไร้จุดหมายได้เริ่มต้นขึ้น ผมทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าแม้จะรู้ตัวว่าเข้ามาลึกขึ้นทุกที แสงจากดวงอาทิตย์กำลังหายไปเช่นเดียวกับเงาขนาดใหญ่ที่ลากผ่านมา ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียผมเลยเดินเข้าไปใกล้จนพบเข้ากับหน้าผาหินยักษ์อยู่ตรงหน้า


“สูงกว่าต้นสนอีก” พอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนก็พบว่าต้นสนนั้นดูเตี้ยไปเลยเมื่อเทียบกับหน้าผานี่


ให้ความสนใจกับความสูงของผาหินไม่นานเสียงคล้ายการขุดเจาะบางอย่างที่แว่วมาเรียกความสนใจให้ผมก้าวตรงไปหาต้นเสียงทันที เมื่อเสียงนั้นเริ่มดังขึ้นภาพของสิ่งมีวิตกำลังยกเสียมเจาะลงบนผิวหน้าผาไม่น่าตกใจเท่าขนาดร่างกายที่ไม่ใช่ใหญ่โตกำยำแต่เป็นเล็กและเตี้ย ใบหน้าสีคล้ำเปื้อนฝุ่นและดินมีปลายจมูกยาวกว่าปกติบวกกับขนาดรูปร่างผมไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้นอกจาก...


“คนแคระ?” สิ้นเสียงผมคนแคระเกือบ 10 คนก็หันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียว


“เจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพวกข้าได้ยังไง!” เสียงทุ้มต่ำของคนแคระในชุดสีเขียวขี้ม้าดังขึ้น


“อาณาเขต? คือผมไม่รู้...ตอนแรกผมอยู่ที่ปราสาทดีพอเดินผ่านรั้วมาก็กลายมาเป็นป่าสนที่นี่ซะแล้ว...”


“รั้วปราสาท?...นี่เจ้ามองภาพลวงตาของพวกข้าออกงั้นรึ?!” คนแคระเครายาวอีกสองคนก้าวเข้ามาหาผมใกล้ๆ คล้ายจะทำการสำรวจ


“เจ้าไม่ใช่ปิศาจ...และก็ไม่ใช่มนุษย์”


“น่าจะเป็นพวกลูกครึ่ง” คนแคระอีกคนสรุป


“พวกครึ่งปกติมองภาพลวงตาพวกเราไม่ออกหลอก ขนาดปิศาจสายเลือดแท้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ” พวกเขาถกเถียงกันในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจนึกจึงทำเพียงยืนฟังอยู่เงียบๆ


“เจ้าบอกมาซิว่ามองภาพลวงตาของพวกข้าออกได้ยังไง” ถกเถียงกันสักพักใหญ่หนึ่งในคนแคระก็หันมาถามผม


“ผมไม่ได้มองออกแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมันแปลกแค่นั้นเอง” ผมอธิบายไปตามตรง


“ช่างเป็นความสามารถที่หากได้ยากนัก”


“ขอบคุณครับ...แล้วพวกคุณปู่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ” ดูจากรูปประโยคผมน่าจะถูกชมเลยขอบคุณกลับไป


“นี่เจ้าไม่รู้จักผายักษ์ของเหล่าคนแคระผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการขุดหาและเจียรไนอัญมณีรึเจ้าหนู” คนแคระหลายคนถึงกับทำหน้าตกใจที่ผมไม่รู้จัก


“เอ่อ...ผมเพิ่งมาโลกปิศาจได้ไม่กี่เดือนเลย...”


“อ้อ เพิ่งมาคงไม่แปลกที่จะไม่รู้ งั้นพวกเราจะบอกให้ อัญมณีที่มีชื่อเสียงและเปี่ยมไปด้วยพลังมากที่สุดในโลกปิศาจคืออัญมณีที่ถูกขุดและเจียระไนด้วยฝีมือพวกเรา”


“แปลว่าพวกคุณปู่เป็นสุดยอดฝีมือสินะครับ” เดินมามั่วๆ ได้มาเจอสุดยอดฝีมือนี่อาจเป็นโชคดีก็ได้


“อะแฮ่ม! จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่พวกเราน่ะไม่ได้จะขายอัญมณีให้ใครง่ายๆ หรอกนะ ส่วนใหญ่จะส่งให้ทางปราสาทส่งต่อให้ผู้เหมาะสมอีกที แต่จากที่นี่ไปปราสาทใช้เวลาเดินทางเป็นอาทิตย์พวกเราเลยแอบสร้างภาพลวงตาแล้วเปิดทางเชื่อมระหว่างที่นี่กับปราสาทไว้โดยไม่ให้ใครรู้” คำอธิบายต่อมาทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับตาโต


แอบเปิดทางเชื่อมโดยไม่ให้ใครรู้?


แปลว่าเบียทรีซเองก็ไม่รู้เรื่องนี้สินะ


“แต่ไม่คิดว่าจะมีใครมองออก เจ้านี่สายตาแหลมคมไม่เบา อายุเท่าไหร่ล่ะ”


“...30ครับ”


“โอ้! เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานรึนี่ น่าดีใจจริงๆ ที่มีความสามารถแต่เด็กแบบนี้”


“เอ่อ ผมขอเสียมารยาทถามอายุได้ไหมครับ” ไหนๆ ก็มีโอกาสเลยไม่อยากปล่อยไป


“ข้า 1,082 ปี”


“อะไร เจ้าอย่ามาโกงอายุ เท่าที่ข้านับ 1,130 ปีนี่”


“ข้า 1,000 ปีพอดี”


“1,500 น่ะสิเจ้า!” เหล่าคุณปู่คนแคระพากันบอกอายุพร้อมถกเถียงกันอย่างครื้นเครงผิดกับผมที่ยิ้มค้างไปแล้วเมื่อได้รู้อายุจริงๆ ของเหล่าคนแคระ


อายุห่างจากผมไม่รู้กี่สิบรอบ ดีไม่ดีอาจเป็นร้อยรอบด้วยซ้ำ


“พวกคุณปู่ยังแข็งแรงเหมือนอายุยังไม่ถึง 1,000 เลยนะครับ” ความสดใสร่าเริงนี่ดูเหมือนวัยรุ่นที่มารวมตัวในงานวันเลี้ยงรุ่น พอมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม


“เจ้านี่ตาแหลมจริงๆ ด้วย”


“ชักถูกใจแล้วสิ”


“ทำเจ้านั่นให้ดีไหม” หนึ่งในกลุ่มคนแคระพูดขึ้น


“เอาสิๆ เป็นเด็กที่ควรค่าแก่การทำให้”


“ทั้งบริสุทธิ์ ใสซื่อและเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ”


“เห็นด้วย เจ้าหนู บอกวันเกิดมาซิ” เมื่อความเห็นกันเสร็จก็หันมาถามผม


“ครับ...ผมเกิดวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคมครับ” ผมตอบไปตามตรง


“สิงหา...เดือน 8 รึ ใช้เจ้านั่นที่เพิ่งขุดได้ละกัน”


“เลข 2 กับ 4 ก็ต้องนี่”


“เอาล่ะ เจียระไนกันเถอะ” สิ้นคำพูดนั้นพลังปิศาจจากเหล่าคนแคระทั้งสิบก็แผ่ขยายออกมากินบริเวณไม่กี่เมตรราวกับสามารถควบคุมพลังของตนเองให้อยู่ในขอบเขตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ


วัตถุหลากสีถูกโยนขึ้นเหนือพลังปิศาจก่อนจะหลนลงมาท่ามกลางกระแสของพลังที่บีบอัดจนเกิดการผสมและแปรเปลี่ยนรูปร่างในชั่วพริบตา ภาพอันน่าตกตะลึงปรากฎขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีวัตถุสีขาวใสทอประกายสีน้ำตาลแดงก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผม


“...พวกท่านให้ผมเหรอครับ” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ


“ใช่ พวกเราให้สิ่งนี้กับเจ้า”


“แต่ผมไม่ได้ทำอะไร...” อยู่ๆ ก็มาให้แบบนี้มันแปลก


“ทำสิ กี่ร้อยปีแล้วนะที่ไม่มีใครมาเยือนที่แห่งนี้ แถมเจ้ายังสามารถภาพลวงตาของพวกเราได้อย่างง่ายดายอีก นี่ถือเป็นของขวัญตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ”


“แต่ผมแค่หลงเข้ามา”


“มีใครเคยบอกให้เจ้าเลิกแต่ไหม”


“...มีครับ” ผมนึงถึงเบียทรีซขึ้นมาทันที


จำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยถูกบอกว่าให้เลิกแต่


หรือผมจะพูดแต่เยอะไปจริงๆ


“เวลาผู้ใหญ่ให้ของรับ เข้าใจนะ” คุณปู่คนแคระสอน


“ครับ ขอบคุณคุณปู่ทุกท่านนะครับ ผมจะรักษาอย่างดีเลย” ผมรับอัญมณีสีน้ำตาลแดงโปร่งใสขนาดเล็กมากำไว้ในมือแน่น


“มันจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าแน่ เอาล่ะ คงถึงเวลาที่จะคลายภาพลวงตาที่ปกคลุมอาณาเขตนี้สักที”


“นั่นสิ ถ้ามากกว่านี้พวกเราก็ทนไม่ไหวแล้ว”


“หมายถึงอะไรเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้


ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรอยู่


“เหมือนจะมีคนมารับเจ้า” คำตอบนั่นเรียกคิ้วสองข้างของผมให้ขมวดเข้าหากันแน่นทันที


“มารับผม?”


“มาเยือนตัวตนเองแบบนี้พวกข้าเตรียมการต้อนรับไม่ทันนะองค์ราชา” สิ้นคำพูดของคุณปู่ท้องฟ้าสีส้มก็เกิดรอยร้าวขึ้น พริบตาต่อมาเสียงคล้ายกระจกแตกดังก้องพร้อมเศษเล็กๆ คล้ายแก้วที่ล่วงหล่นแล้วสลายไป


นั่นคงเป็นภาพลวงตาสินะ


ภาพลวงตาที่ว่าน่าตกใจแล้วยังไม่เท่ากับร่างสูงสง่าในสุดสีทองขลิบดำที่ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าด้วยปีกสีดำคู่ใหญ่ ดวงตาสีทองสว่างไม่ได้สนใจเหล่าคุณปู่คนแคระแต่จับจ้องมาทางผม เพียงแค่สบสายตาร่างกายก็ก้าวถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ


“...เบียทรีซ...”


“เจ้าจะทำให้ข้าหงุดหงิดขนาดไหนถึงจะพอฮะวิณณ์!” เบียทรีซลงมาบนพื้นพร้อมก้าวมาประชิดผมที่ไม่อาจขยับร่างกายได้


“ขอโทษ...”


“เจ้าขอโทษเรื่องอะไร” อีกฝ่ายชิงถามต่อทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ


“ขอโทษที่ทำให้คุณหงุดหงิด”


“ถ้ารู้ก็อย่าทำอีก เข้าใจไหม!” น้ำเสียงของเบียทรีซในเวลานี้ผมไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้นอกจากพยักหน้า


“เข้าใจแล้ว”


“ต่อให้สัมผัสเจ้าดีแต่ใช่ว่าต้องอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกที่ ถ้าทางเชื่อมไม่ได้เป็นที่นี่แต่เป็นสถานที่อันตรายขึ้นมาเจ้าจะทำยังไงวิณณ์”


“...เบียทรีซ”


“ถ้ามีครั้งหน้าอีกข้าจะล่ามโซ่เจ้า!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเบียทรีซ


อีกฝ่ายเอาจริงแน่...ไม่ใช่คำขู่


ผมสัมผัสได้


เบียทรีซในตอนนี้อาจดูทั้งหงุดหงิดและน่ากลัวจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้แม้แต่ผมเองในตอนแรกยังถอยหนีแต่พอผ่านไปสักพักผมกลับเป็นฝ่ายก้าวเข้าหาเบียทรีซแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้หน้าผากสัมผัสกับอกอีกฝ่าย เบียทรีซสะดุ้งกับการกระทำของผมเล็กน้อยแต่ไม่ผละออก


“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะ” ผมบอกเสียงเบาแต่ด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่เซนเบียทรีซต้องได้ยินแน่


“...ชอบคิดไปเองเรื่อยเลยนะ”


“อืม คิดไปเองก็ได้” แต่ไม่ว่าจะคิดอีกกี่รอบคำตอบก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี


คนที่ไม่เป็นห่วงจะมาหาผมที่นี่ได้ยังไง


คนที่ไม่เป็นห่วงจะบ่น เตือนด้วยน้ำเสียงแบบนั้นไปทำไม


มันไม่ใช่การคิดไปเอง เบียทรีซเป็นห่วงผมถึงได้มาอยู่ที่นี่เพื่อพาผมที่หายตัวไปกลับปราสาท


“พวกเจ้าแอบเปิดทางเชื่อม แถมยังสร้างภาพลวงตาปิดไว้ในปราสาทของข้าอีก” เบียทรีซพูดระหว่างหันไปมองเหล่าคุณปู่คนแคระทีละตน


“เรื่องนั้นเป็นเพราะพวกข้าอายุมากแล้วจะให้เดินทางหลายวันเพื่อเอาอัญมณีไปส่งให้ถึงมือมันก็ลำบากเกินไป” คุณปู่ให้เหตุผล


“พวกหนุ่มสาวก็มีเยอะนี่ ในหมู่บ้านน่ะ”


“ท่านก็รู้กฎของพวกเราดี คนแคระที่อายุไม่ถึง 800 ปีจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากอาณาเขตหมู่บ้านเพื่อป้องกันภัยจากปิศาจตนอื่นๆ”


“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะปล่อยไป”


“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะปิดทางเชื่อมและเปิดเฉพาะตอนที่จะเดินทาง แบบนี้ได้หรือไม่องค์ราชา” ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบเบียทรีซกลับไป


“พวกเจ้าควรทำแบบนั้นตั้งนานแล้ว ไม่รู้มีปิศาจเท่าไหร่ที่เผลอผ่านทางเชื่อมมาหลงอยู่นี่!” เบียทรีซเริ่มบ่นอีกรอบ


“เรื่องนั้นขออย่าได้เป็นกังวล ภาพลวงตาของเผ่าคนแคระมีพลังมากที่สุดในหมู่ปิศาจเผ่าอื่น ต่อให้เผลอสัมผัสภาพลวงตาก็จะให้ความรู้สึกเหมือนของจริงไม่สามารถผ่านทางเชื่อมมาได้”


“แต่หมอนี่ก็ผ่านมาได้แล้ว” เบียทรีซพูดถึงผม


“เขาเป็นข้อยกเว้นพิเศษ สัมผัสของเขาไม่เพียงแค่ดีมากแต่ยังสามารถมองทะลุผ่านภาพลวงตาได้อย่างง่ายดาย ปิศาจตนอื่นหรือแม้แต่ท่านซึ่งเป็นราชายังต้องใช้พลังปิศาจเพื่อทำลายไม่ใช่ทะลุผ่านเข้ามา” คุณปู่คนแคระให้คำอธิบาย


“ยังไงก็ต้องปิดไว้”


“ท่านกังวลว่าเขาจะมาหาพวกเราแล้วท่านต้องมาตามด้วยตัวเองใช่หรือไม่”


“หุบปาก! เปิดทางเชื่อมข้าจะกลับแล้ว” เบียทรีซรีบเปลี่ยนเรื่องท่ามกลางรอยยิ้มกรุ๋งกริ่มของบรรดาคุณปู่คนแคระ


ทางเชื่อมกลับไปยังปราสาทถูกเปิดขึ้นตรงหน้าของพวกเรา ผมบอกลาคุณปู่คนแคระทุกคนแล้วเดินตามหลังเบียทรีซเข้าไปด้านในทางเชื่อมจนทะลุออกมายังสวนบริเวณเดิมกับที่ผมเผลอก้าวเข้าไป


“เบียทรีซ ขอบคุณที่ไปรับผมนะ” ผมวิ่งไปขนาบข้างอีกฝ่ายระหว่างบอก


“ถ้าข้าไม่ไปเจ้าจะเดินกลับมาเองรึไง”


“แฮะๆ ไม่รู้เหมือนกัน” บอกตรงๆ ว่าถาเบียทรีซไม่มารับผมก็คงยืนงงๆ อยู่พักใหญ่กว่าจะหาทางกลับได้ วิธีง่ายๆ อย่างให้พวกคุณปู่เปิดทางเชื่อมกลับมายังปราสาทไม่ได้อยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว


“ข้าควรจะทำยังไงกับเจ้าดี”


“อย่าล่ามโซ่ผมเลย” ขอแค่นี้แหละ


“หึ งั้นใส่ปลอกคอแทนละกัน”


“แบบนั้นก็ไม่เอา”


“เขียนป้ายชื่อติดไว้เวลาหลงจะได้ให้คนพามาส่งถูก”


“...ก็ไม่เลวนะ” ผมชักเห็นด้วยกับข้อเสนอนนี้ของเบียทรีซซะแล้ว ที่โลกมนษย์เองก็มีเยอะที่มีนามบัตรติดตัวเด็กไว้เผื่อเกิดหลงทางจะได้พาไปส่งถูก


“บางทีข้าก็เริ่มกลัวความซื่อปนบื้อของเจ้า” เขาหยุดหันมามองหน้าผมสักพักจึงกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ฮะ? โอ๊ะ! ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณเบียทรีซ” ผมพูดพลางก้าวยาวๆ ให้ทันอีกฝ่าย


“ว่ามา เร็วๆ หน่อยข้าหิวจนจะกินเจ้าได้อยู่แล้ว”


“ผมว่าจะกลับไปนอนห้องที่แกรนเตรียมให้ที่ชั้น 8”


กึก!


พอผมพูดจบประโยคเบียทรีซที่กำลังก้าวหยุดเดินแทบจะทันทีแถมยังหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ อีก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรนหาที่ ทั้งที่บรรยากาศเริ่มดีขึ้นแต่ผมทำให้มันเย็นลงซะงั้น


“เจ้าเป็นคนมาเคาะประตูห้องข้าเพื่อขอนอนด้วย” เบียทรีซเอ่ยเสียงเย็น


“ก็ใช่...คือผมไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นเลยนอนต่างที่ไม่ไหว”


“แล้วตอนนี้นอนได้แล้ว?”


“อืม...คิดว่าได้แล้ว” อยู่มาตั้งหลายเดือน ผมชินกับชีวิตความเป็นอยู่ในโลกปิศาจแล้วเพราะงั้นก็น่าจะนอนคนเดียวได้


จะให้ไปกวนเบียทรีซทุกคืนแบบนี้คงไม่ดี


ดูจากนิสัยก็เดาได้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว


ชอบความสะดวกสบายและไม่แออัด


การมีผมเข้าไปอยู่ในห้องด้วยมันคงไม่เหมาะสมนัก นี่ยังไม่นับเรื่องฐานะราชาของเบียทรีซอีกนะ


ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองผ่านเลนส์แว่นเงยขึ้นไปสบดวงตาสีทองสว่างเพื่อรอคอยความตอบอย่างไม่เร่งรัดนัก ใบหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายทำเอาผมเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวกันกันแน่


“วิณณ์”


“ฮืม?” ผมขานรับเสียงเรียก


“เจ้าบอกว่านอนคนเดียวได้?” เบียทรีซถามย้ำอีกครั้ง


“อืม ผมนอนได้” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าถามซ้ำไปทำไมแต่ผมก็ยอมตอบ


“เจ้านอนได้แต่ข้าไม่ จบเรื่องนี้แล้วอย่าขุดมันขึ้นมาให้ข้าได้ยินอีก” พูดจบเบียทรีซก็เดินต่อโดยทิ้งผมไว้กับความงงงวยและสงสัยที่ตีกันวุ่นอยู่ภายในหัว


ผมไม่รู้ว่าคำพูดของเบียทรีซหมายถึงอะไรแต่ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้หรือวันถัดไปผมก็ไม่ได้กลับลงไปนอนที่ห้องชั้น 8 อีกเลย

....................................................

มาต่อกันค่ะ

จบไปแล้วอีกตอน

ความเอาแต่ใจของเบียทรีซยังคงระดับอย่างต่อเนื่อง

ค่อนข้างชอบนิสัยแบบนี้ของเบียทรีซโดยเฉพาะฉากจบที่คุยกันเรื่องห้องนอน

แต่งเองก็ชอบเอง 555

หวังว่าทุกคนก็็จะชอบนะคะ

ไว้้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 13-01-2019 21:31:27
แหมท่านเบียทริซ ไม่ค่อยจะเป็นห่วงเลยนะท่าน 555

หนูวิณณ์ น่ารักทุกตอนที่อ่านเลย ดูเป็นคนไม่มีผิดภัยอ่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-01-2019 22:28:58
เอ็นดูองค์ราชา วิณณ์หายไปแป๊บเดียว ก็รีบไปตามถึงที่เลยนะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 13-01-2019 23:39:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่8:⊱ 13/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-01-2019 05:59:56
ติดเด็กแล้วนะราชา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 20-01-2019 20:05:49
⊰บงการ:วันที่9:⊱



เสียงของคลื่นที่แว่วเข้ามาให้ได้ยินเรียกดวงตาสีน้ำตาลของผมให้ลืมขึ้นพร้อมความมึนหัวแล่นเข้ามา แว่นที่สวมอยู่นั้นมีอาการพล่ามัวทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด อาการโครงเครงนี่คงไม่ใช่ในหัวผมแต่เป็นสภาพแวดล้อมรอบกาย สัมผัสแบบนี้คงอยู่บนเรือไม่ผิดแน่


ประเด็ดสำคัญคือทำไมผมถึงมาอยู่บนเรือนี้ได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมกำลังจะเดินไปหาแกรนเพื่อถามถึงตัวเลขในบัญชีอยู่เลย


ระหว่างเดินอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกคนด้านหลังใช้ผ้าปิดปากและจมูก สูดดมกลิ่นแปลกๆ ได้เพียงไม่กี่วินาทีสติก็ดับวูบลง และพอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

สภาพผมในตอนนี้ถูกมัดข้อมือสองข้างไว้ติดกันแน่น ถือเป็นโชคดีอยู่ไม่น้อยที่ตรงเท้าและปากไม่ได้ถูกพันธนาการไปด้วย บริเวณที่ผมอยู่นี้เป็นเหมือนห้องใต้ท้องเรือซึ่งไม่มีแสงสว่างมากนัก แม้จะมีแสงสว่างน้อยทว่าผมกลับมองเห็นว่ามีอีกหลายคนที่นั่งกระจายกันอยู่ภายใน


ความเงียบแสนอึดอัดนี่ผมไม่ชอบมันซะเลย


นอกจากความเงียบผมยังได้ยินเสียงสะอื้นปนร้องไห้อยู่ไม่ไกล ผมพยายามที่จะใช้หัวเพื่อมองสถานการณ์ในตอนนี้ให้ออก แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว


ทำไมผมถึงมาอยู่นี่


ใครเป็นคนจับผม


พวกที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันเป็นใคร


เรือลำนี้เป็นอะไรกันแน่


ถ้าผมมีทักษะด้านการใช้สมองสักหน่อยก็ดีสิ


แกร็ก!


คิดอะไรเพลินๆ ได้ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมร่างของปิศาจประมาณสามตนก้าวเข้ามาภายใน ใบหน้าของพวกเขามีหูแหลมและผิวสีแทนเข้มนอกนั้นเป็นเหมือนมนุษย์ปกติ พอมีแสงสว่างรอดเข้ามาผมจึงสามารถมองเห็นเหล่าผู้ที่ถูกมัดรวมไว้ด้วยกันชัดเจนขึ้น ดูจากใบหน้าแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยกันกับผมอยู่ แถมยังไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปิศาจด้วย


นี่อาจเป็นผลจากการฝึกหนักและคลุกคลีอยู่กับปิศาจหลายๆ แบบทำให้สามารถแยกแยะสัมผัสได้ว่าเป็นมนุษย์หรือปิศาจ จะว่าไปที่โลกปิศาจคงไม่มีมนุษย์มาอาศัยอยู่หรอก


จากภาพรวมผมคงถูกจับมารวมกับปิศาจตนอื่นๆ แล้วพาขึ้นเรือมุ่งหาไปที่ไหนสักแห่ง


“ตื่นกันหมดแล้วนี่หว่า” เสียงของปิศาจตนแรกพูดระหว่างไล่มองพวกเราทีละคน


“สินค้าล๊อตนี้แจ่มๆ ทั้งนั้นเลย” ปิศาจอีกตนพูดก่อนคว้าแขนสาวคนนึงดึงขึ้นมา


“ว้าย!...” เธอพยายามขัดขืนยามถูกขยับเข้าใกล้จนเข้าข่ายลวนลาม


“พวกเศรษฐีต้องชอบแน่ปิศาจเอ๊าะๆ แบบนี้ ราคาน่าจะอัพขึ้นอีกหลายเท่า”


“แบบนี้พวกเราก็ต้องได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นด้วยสิ”


“เรื่องส่วนแบ่งลองไปถามนายเองละกัน”


“แกก็ไปถามให้หน่อยดิ”


“ข้ายังไม่อยากคอขาดนี่หว่า”


“ไหนๆ ก็มีสินค้าดีๆ มา ขอลองสักหน่อยคงไม่ผิดหรอกเนอะ” พวกนั้นเถียงกันได้ไม่นานก็วกกลับมาเรื่องสาวที่โดนดึงขึ้นไปหาเมื่อครู่ด้วยสายตาอันตราย เธอเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความอันตรายเลยพยายามดิ้นขัดขืนสุดแรงทว่าการกระทำเหล่านั้นมันเปล่าประโยชน์


“...ปล่อย ได้โปรดปล่อยข้า...” สาวผมลอนสีทองเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคู่งานหันมาสบเพื่อขอความช่วยเหลือโดยหวังว่าจะมีใครสักคนลุกขึ้นช่วย ซึ่งในความจริงนั้นปิศาจตนอื่นๆ ก้มหน้าหลบสายตาขอความช่วยเหลือกันเป็นแถบ


สงสัยคงไม่อยากมีปัญหาละมั้ง


ตัวผมเองก็ไม่ใช่พระเอกที่จะเข้าไปช่วยทำเท่จัดการปิศาจทั้งสามตนให้หมอบได้ในสภาพถูกมัดมือ ต่อให้มือไม่ถูกมัดแค่ล้มไปแค่ตนเดียวก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถึงจะไม่ใช่พระเอกแต่ก็ไม่ใช่ตัวร้ายที่จะปล่อยอีกฝ่ายถูกล่วงเกินต่อหน้าต่อตาได้


“...ผมว่าพวกคุณหยุดเถอะ” ผมกลั้นใจพูดประโยคนั้นออกไปท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่หันมาสบ


“ว่าไงนะไอ้หนู” ดวงตาสีดำของอีกฝ่ายหรี่ลงแสดงถึงความไม่พอใจอย่างมาก


“พวกคุณคิดว่าสินค้ามีตำหนิจะขายได้งั้นเหรอ ต่อให้ขายได้ราคาคงไม่สูงเท่าที่ต้องการหรอกนะ” คำพูดต่อมาของผมทำให้ปิศาจทั้งสามตนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากันคล้ายปรึกษาผ่านทางสายตาอยู่


“ถ้าผู้หญิงมามีตำหนิแล้วเสียราคา งั้นถ้าเป็นผู้ชายอย่างแกก็ไม่เป็นไรสินะ!” หญิงสาวถูกเหวี่ยงลงไปกองอยู่บนพื้นก่อนพวกเขาทั้งสามจะเดินเข้ามาล้อมผมไว้


“...” ดูเหมือนผมจะหาเรื่องให้ตัวเองซวยอีกแล้วสิ


“ดูเด็กขนาดนี้จะทำให้สนุกได้รึเปล่าเนี่ย แต่กลิ่นหอมเป็นบ้า” ไม่พูดเปล่าผมถูกหนึ่งในนั้นใช้มือจับคอผมพร้อมออกแรงบีบบังคับให้เงยหน้าขึ้นไป


ถ้าผมมีมืออย่างแรกที่ทำคือจะหยิบแว่นมาเช็ดให้หายมัว


มองไม่ชัดแบบนี้มันแย่นะ


“ของแบบนี้มันต้องลอง” ปิศาจอีกตนบอก


“หึ...อยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวนักก็ต้องเจอแบบนี้”


“ผิวขาวชะมัด!” เพราะถูกดึงเสื้อด้วยแรงมหาศาลกระดุมเสื้อจึงกระเด็นหลุดเผยให้เห็นผิวภายใต้ราวกับจงใจ


“ชักสนุกแล้วสิ”


“เริ่มกันเถอะ...”


“เฮ้ย! พวกแกน่ะอย่ามัวแต่มายุ่งกับสินค้า นายเรียกรวมตัว!” เสียงตะโกนจากหน้าประตูเป็นเหมือนสัญญาณช่วยชีวิตผมให้รอดพ้นจากอันตราย


“รอดตัวไปนะแก!” หนึ่งในนั้นหันมามองผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูลง


ความมืดเข้ามาเยือนภายในห้องอีกครา ไม่มีเสียงพูดคุยหรือร้องไห้สะอื้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว อาจทำใจได้แล้วไม่ก็คงเหนื่อย ผมเองเห็นนั่งเงียบทำตัวสบายๆ แบบนี้แต่ในหัวก็กำลังคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่อย่างหนัก จริงอยู่ผมอาจไม่ได้รู้เส้นทางในโลกปิศาจหรือรู้จักใครมากมายแต่ผมเชื่อว่าหากหนีออกจากนี่ได้ผมก็จะได้กลับไปหาเบียทรีซอีกครั้ง


ป่านนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงบ้าง อยู่กันมาตั้งหลายเดือนทำไมจะไม่รู้นิสัยของเบียทรีซ ปากก็บอกว่าไม่สน ไม่ห่วง สารพัดจะไม่แต่พอผมมีปัญหาคนที่เข้ามาหาก่อนใครก็คือเขานั่นแหละ


บอกตามตรงว่าผมแอบหวังให้เบียทรีซมาช่วย ต่อให้รู้ว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตามที เขาจะหาผมเจอได้ยังไงทั้งที่ออกนอกทะเลมาแล้วดังนั้นที่ผมต้องทำคือหาทางหนีและขึ้นฝั่งให้ได้ เพราะถ้าขึ้นฝั่งได้หนทางที่จะกลับปราสาทก็ไม่ใช่ 0 แค่อาจใช้เวลานานอยู่สักหน่อย


ผมไม่ใช่คนที่จะรอให้การช่วยเหลือมาหาอยู่เฉยๆ เพราะจากการใช้ชีวิตกว่า 30 ปีความช่วยที่เรารออาจไม่มีก็เป็นได้ อะไรที่ทำได้เลยต้องลองทำไปก่อน อีกอย่างผมอยากช่วยทุกคนที่ถูกจับมา แค่มองก็รู้ถึงความเศร้าโศกและเสียใจที่ถูกพลัดพรากมาจากคนสำคัญ


ให้เดาเรือลำนี้ต้องทำการค้ามนุษย์ ไม่สิ ต้องเรียกว่าการค้าปิศาจน่าจะตรงกว่า เพราะถ้ายินยอมมาเองคงไม่ร้องไห้ระงมกันขนาดนี้ คงจะหาโอกาศล่อลวงจับปิศาจมารวมกันและส่งออกไปขายในที่ต่างๆ เงินค่าตอบแทนน่าจะสูงพอดูด้วย


ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือผมจะออกไปสถานการณ์นี้ยังไงดี


ต่อให้หาทางแก้เชือกและหลุดไปจากห้องนี้ได้แต่การจะหนีจากเรือที่อยู่บนทะเลนั้นโอกาสเป็น 0


แกร็ก!


ผ่านไปอีกสักพักใหญ่ประตูห้องก็เปิดอ้าออกอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ปิศาจสามตนก่อนหน้านี้แต่เป็นปิศาจร่างท้วมหน้าตาคล้ายค้างคาวก้าวเข้ามาภายในโดยด้านหลังมีปิศาจกลุ่มเดิมยืนอยู่ ดวงตาสีเหลืองของเขาไล่มองตั้งแต่ฝั่งซ้ายมือของห้องไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้วจึงเลื่อนมามองยังผมนิ่งๆ


“...เจ้าสินะ”


“...” ผมใช้ความเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไปดี


ประโยคนั้นหมายถึงอะไรกันล่ะ


“หน้าตาเข้าขั้นคงขายได้ราคาดีแถมกลิ่นแบบนี้คงยังเยาว์วัยนัก ถึงสเป็กข้าเป็นหญิงสาวกะจะเลือกสักสองสามคนแต่ถ้าเป็นเจ้าอาจไม่เลวก็ได้” น้ำเสียงที่ใช้พูดนั่นทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเขยิบถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ แต่แล้วสายตาผมก็เหลือมไปมองทางประตูซึ่งเปิดอ้าออกพร้อมบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัว


ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถหนีออกจากเรือได้ก็หนีมันอยู่ในเรือซะสิ สร้างความปั่นป่วนจนกว่าเรือจะเทียบท่า ต่อให้ผมถูกจับในระหว่างนั้นก็ไม่เป็นไรเพราะเหมือนได้ช่วยซื้อเวลาให้ปิศาจตนอื่นๆ ปลอดภัย จากคำพูดเมื่อครู่เขาคิดจะเลือกผู้หญิงไปหลายคนแต่ถ้าผมยังป่วนอยู่เขาคงไม่มีเวลาไปเลือกสาวๆ หรอกจริงไหม


เมื่อตัดสินใจได้ผมไม่รอช้ายันตัวเองลุกขึ้นพร้อมใช้ส่วนหัวกระแทกไปยังปลายคาอีกฝ่ายอย่างแรงจนร่างอวบอ้วนนั้นเซล้ม ผมอาศัยโอกาสที่เหล่าปิศาจด้านนอกกำลังตกใจวิ่งหลบหนีออกจากประตูไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องวิ่งตามผมมาเพื่อจับกลับ


ผมวิ่งขึ้นบันไดสูงไปด้านบนของเรือ กลิ่นของไอเค็มจากน้ำทะเลลอยมาแตะจมูกซึ่งผมไม่มีเวลาให้ผ่อนคลายนานนัก ปิศาจที่เฝ้าอยู่ด้านบนตนหนึ่งวิ่งเข้าใส่ผมแต่ด้วยทักษะที่ฝึกมาเกือบปีทำให้ผมสามารถเบี่ยงตัวหลบได้ทัน การโจมตีจากปิศาจนับสิบพุ่งเป้ามายังผมเป็นจุดเดียวถึงจะหลบหลีกได้และใช้หัวกระแทรกกลับไปไม่น้อยแต่จำนวนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง


มีดสีเงินพุ่งเฉี่ยวแก้วผมไปปักอยู่บนผนัง ในเวลาคับขันผมไม่มีเวลาให้คิดนานเลยทำตามความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก่อน ผมใช้มีดที่ปักผนังอยู่ตัดเชือกในจังหวะเดียวกับเบี่ยงตัวหลบการโจมตีจากสามทาง การใช้อาวุธนั้นทักษะผมเป็น 0 เนื่องจากเตโชสอนผมแค่การหลบและต่อสู้ดด้วยมือเปล่าไม่ใช่การใช้อาวุธ แต่ในสถานการณ์แบบนี้การถืออาวุธไว้ก็ทำให้อุ่นใจกว่า


การถ่วงเวลาของผมสิ้นสุดเร็วกว่าที่คาดไปมากเนื่องจากคู่ต่อสู้มีมากเกินและผู้ที่เป็นหัวหน้าซึ่งหน้าคล้ายค้างคาวนั่นแอบหลบอยู่ในมุมบอดพอผมเผลอก็คว้าข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้แน่นพร้อมออกแรงบีบจนมีดในมือตกลงบนพื้น


“กล้ามานะที่หลบหนีออกมา!” น้ำเสียงเย็นๆ จากด้านหลังดังขึ้น


“อึก...ปล่อย” ทั้งที่รู้ว่าแทบไม่มีหวังในการหลุดแต่ผมก็ยังพยายามออกแรงขัดขืนอย่างถึงที่สุด


“ข้าปล่อยเจ้าแน่ ไม่ใช่ที่นี่แต่เป็นบนเตียง!” อีกฝ่ายดันผมไปติดกับผนัง แผ่นหลังผมกระทบกับความแข็งจนต้องส่งเสียงร้องออกมา


ตอนนี้ไม่ใช่แค่แผ่นหลังที่เจ็บ ส่วนอื่นๆเองต่างก็เจ็บและระบมไม่ต่างกัน


“...อึก” ผมข่มกลั้นความเจ็บปวดซึ่งแล่นเข้ามา ริมฝีปากสากๆ ก้มลงมาขบลำคอ...สัมผัสนั้นทำให้ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมความรู้สึกไม่ดียามลิ้นสากๆ ลากผ่านบริเวณลำคอ


ผมที่กำลังจะหมดความอดทนคิดจะใช้ฟันกัดอีกฝ่ายจนกว่าจะปล่อยทว่าพลังปิศาจอันทรงอำนาจกลับแผ่ขยายไปทั่วตัวเรือในชั่วพริบตาหลังทางเชื่อมมิติถูกเปิดออกเหนือตัวเรือ


ร่างของเบียทรีซก้าวออกมาจากทางเชื่อมมิติใช้ดวงตาสีทองสว่างมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงชั่วพริบตาพลังปิศาจที่ปล่อยออกมาอยู่แล้วกลับทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายเท่า เหล่าปิศาจโดยรอบเซล้มลงไปกองบนพื้นเมื่อไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจอันมหาศาลได้ ขนาดหัวหน้าที่จับผมไปยังแสดงอาการตัวสั่นออกมาเลย


“ปล่อย” เพียงคำเดียวแรงบีบบริเวณข้อมือทั้งสองข้างก็ถูกคลายออก ร่างอ้วนท้วนทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้นขณะเบียทรีซก้าวยาวๆ ตรงมาหาผม


“เบียทรีซ...”


“นี่เจ้าคิดจะทำให้ข้าว้าวุ่นไปถึงไหนถึงจะพอใจฮะวิณณ์!” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์มาพร้อมกับมือที่ดึงร่างผมเข้าไปหาก่อนจะถูกแขนทั้งสองข้างโอบกอดไว้แน่น ไออุ่นจากร่างของเบียทรีซสลายทั้งความกังวลและความกลัวที่แอบซ่อนอยู่ตลอดหลายชั่วโมงให้หายไปจนสิ้น


“เบียทรีซ” ผมไม่สนว่าจะน้ำเสียงตัวเองจะสั่นมากไหนกอดตอบอีกฝ่ายด้วยร่างกายสั่นๆ


“...กลับกันเถอะ” นิ่งไปสักพักเสียงของเบียทรีซก็อ่อนลงอย่างมาก


“อื้อ...เบียทรีซ” ผมรั้งอีกฝ่ายไม่ให้ก้าวต่อ


“อะไร”


“มีคนอื่นถูกจับมาอยู่ข้างใต้นี่ ช่วยพาพวกเขากลับด้วยนะ” พวกเขาเองต้องอยากกลับไปเหมือนกันแน่ จะให้ผมกลับไปคนเดียวโดยปล่อยพวกเขาไว้คงทำไม่ได้


“แกรน”


“ได้ครับองค์ราชา ข้าจะจัดการให้” สิ้นเสียงเรียกแกรนซึ่งเป็นเลขาและคนสนิทของเบียทรีซก็ก้าวออกมาจากทางมิติ การโค้งตัวเล็กน้อยสื่อความหมายว่าจะทำตามบัญชา


“อืม ไป...นี่อะไร” เบียทรีซกดเสียงต่ำยามมองมายังลำคอผม


“อะไรเหรอ อ๊ะ!” ผมยกมือถึงสัมผัสคอตัวเองซึ่งพอแตะก็นึกออกว่าตัวเองเพิ่งถูกทำอะไรมา เบียทรีซจับแขนผมพร้อมดึงเข้าไปและไม่กี่วินาทีต่อมาสัมผัสของริมฝีปากก็ประทับแนบลงมาบนลำคอ ความเจ็บจากการถูกขบเม้มนั้นทำให้ผมดิ้นขัดขืน อีกฝ่ายเหมือนจะรู้เลยผละออกด้วยใบหน้านิ่งๆ คล้ายเรื่องที่เกิดขึ้นนี่เป็นเรื่องปกธรรมดาผิดกับผมที่ยืนอึ้งทำตัวไม่ถูกแถมหัวใจก็เต้นแรงเอาๆ


“จับมันไปทรมานจนกว่าจะยอมบอกข้อมูลแกรน”


“ตามบัญชาองค์ราชา”


“...เบียทรีซ”


“เก็บเสียงเรียกชื่อข้าไว้อธิบายทุกอย่างเถอะ” อีกฝ่ายชายตามองมาก่อนจะจัดการอุ้มผมแล้วกลับขึ้นไปยังทางเชื่อมมิติที่เปิดรออยู่ อีกฝากของทางเชื่อมคือบริเวณลานกว้างด้านข้างตัวปราสาทที่บัดนี้มีเตโชกับเหล่ากองกำลังยืนรอคำสั่งอยู่


“ต้องการให้ข้าทำอย่างไรต่อองค์ราชา” เตโชก้าวเข้ามาหาพลางมองผมที่อยู่ในสถาพไม่สู้ดีนัก


“จัดการจับให้หมด ถ้าขัดขืนก็ไม่จำเป็นต้องปราณี”


“น้อมรับคำสั่ง”


“แล้วก็หลังจากนี้ให้ฝึกวิณณ์ใช้อาวุธ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเบียทรีซทันทีที่ได้ยิน


ให้ฝึกผมใช้อาวุธ?


“ตามประสงค์ของพระองค์” เตโชก้มหัวรับคำสั่งโดยไม่มีข้อสักถามอะไรผิดกับผมที่อยากอ้าปากถามแต่กลับถูกดวงตาคมๆ นั่นจับจ้องมาคล้ายจะสื่อว่าอย่าพูดอะไร


เบียทรีซอุ้มผมเดินเข้าไปในปราสาทตรงขึ้นไปยังชั้นบนสุด ประตูห้องนอนสีทองถูกเปิดด้วยการใช้เท้าถีบ ร่างผมถูกวางลงบนเตียงขนาดใหญ่ยักษ์ก่อนกล่องปฐมพยาบาลจะถูกหยิบออกมาจากลิ้นชักด้านข้าง ถ้าถามถึงสาเหตุที่ในห้องนอนมีกล่องปฐมพยายามก็ง่ายๆ เป็นเพราะผมเอง


ต่อให้มาอยู่โลกปิศาจก็ใช่ว่าความซุ่มซ่ามหรือความเป๋อเหรอจะหายไป ผมยังคงเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน


“บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” เบียทรีซเปิดประเด็นระหว่างนั่งลงข้างๆ เปิดกล่องปฐมพยาบาลอันเต็มไปด้วยยาและอุปกรณ์ทำแผล


“...ไม่รู้”


“ไม่รู้?” คนได้ยินหันควับมามองผมด้วยสายตาคมกริบ


“ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา” ไม่ได้โกหกนะ


“ต้องมีที่รู้บางสิน่า บอกมาเท่าที่รู้”


“ที่รู้เหรอ...เหมือนจะมีคนโปะยาสลบผมตอนอยู่ในปราสาท พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกจับมัดอยู่บนเรือนั้นแล้ว” ผมบอกสิ่งที่พอรู้ออกไปจนหมด


“แค่นี้?”


“อืม...ผมรู้แค่นี้แหละ”


“แล้วทำไมถึงโดนเจ้านั่นจับไว้แบบนั้น” แรงกดดันจากเสียงดูจะมากกว่าประโยคก่อนหน้านี้


“ผมเพราะหนีออกมา...”


“เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นทั้งที่อยู่กลางทะเลรึไง!” เบียทรีซบ่นพร้อมแตะยาลงบนบาดแผลบริเวณแขนอย่างแรง


“โอ๊ย! เจ็บนะ” ผมรีบชักแขนกลับทันที


“ก็ให้เจ็บน่ะสิจะได้รู้ว่าไม่ควรทำแบบนี้อีก ถูกจับอยู่บนเรือแบบนั้นมีใครคิดหนีบ้างล่ะ...มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว” อีกฝ่ายยังคงบ่นต่อโดยดึงแขนที่ผมชักกลับไปใส่ยาต่อ แม้จะพยายามยื้อแต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพละกำลังของผมกับเบียทรีซนั้นแตกต่างกันมาก


“ผมคิดว่าต่อให้หนีออกจากเรือไม่ได้ก็หนีอยู่ในเรือซะ พอถึงฝั่งผมจะได้หนีออกไปในจังหวะนั้นอีกอย่างผมไม่อยากถูกพวกนั้นปล้ำนี่” ผมเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเบาหวิว อายุก็ปาไป 30 แล้วทำไมผมจะแปลความหมายของพวกเขาไม่ได้ล่ะว่าต้องการอะไรจากตัวเอง


ที่น่าแปลกใจคือผมไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรดึงดูดให้ผู้ชายด้วยกันหันมาสนใจหรอกนะ


ระหว่างคิดหลายๆ อย่างในหัวเบียทรีซที่เปลี่ยนมาทายาตรงแก้มผมก็นิ่งไป ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปหาอีกฝ่ายแต่แล้วร่างผมกลับถูกผลักจนนอนหงายราบไปเตียงโดยมีเบียทรีซขึ้นคล่อมอยู่ ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมาด้วยประกายของความหงุดหงิดและพยายามข่มอารมณ์ที่ดูเหมือนจะใกล้ปะทุ


“ใคร!”


“...อะไร” เอ่ยมาแค่ประโยคเดียวผมไม่เข้าใจหรอกนะว่าต้องการอะไร


“ก็คนที่มันคิดจะปล้ำเจ้าไง!” เบียทรีซขยายคำถามให้เข้าใจง่ายขึ้น


“เอ่อ...ก็มีหัวหน้าของพวกนั้น...”


“ก็มีนี่หมายความว่าไม่ใช่แค่คนเดียว?!” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคอีกฝ่ายก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างน่ากลัว


“...อืม ยังมีอีก 3...”


“บอกหน้าตามาข้าจะจะได้เอ็นดูพวกมันเป็นพิเศษ” น้ำเสียงของเบียทรีซไม่ได้สื่อไปในทางเดียวกับคำว่าเอ็นดูเลย เหมือนจะไปทรมานพวกเขามากกว่าอีก


“...ผมไม่เป็นไร อย่าทำพวกเขาเลย” ถ้าผมบอกไปเบียทรีซต้องไม่ปรานีแน่ผมสัมผัสได้แบบนั้น


“เจ้าคิดจะปกป้องพวกมัน?”


“เปล่า ผมแค่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”


“เรื่องไม่ใหญ่หรอกแค่ลูกน้องของพ่อค้าปิศาจหายไปสักสิบยี่สิบคน”


“ผมไม่เป็นไรคุณก็เห็น” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง


“นี่คือสภาพของคนไม่เป็นไร?” เบียทรีซถามกลับพร้อมกับใช้ฝ่ามือทาบลงบนแก้มฝั่งที่เป็นแผลแรงๆ จนผมถึงกับหลุดร้องออกมา


“คุณก็อย่าโดนสิ” ไปกดมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว


“ข้าไม่เรียกสภาพนี้ว่าไม่เป็นไรวิณณ์” อยู่ๆ น้ำเสียงของเบียทรีซก็นิ่งลงแต่เป็นความนิ่งที่ไม่ใช่ความหงุดหงิดหรือโกรธ มันมีอะไรมากกว่านั้นเพียงแค่ผมไม่สามารถรู้ได้ด้วยกันฟังเสียงหรือการมอง


“...เบียทรีซ” ดวงตาที่สอดประสานมาจากด้านบนฉายแววห่วงใยออกมาอย่างชัดเจนพานให้หัวใจรู้สึกอุ่นวาบ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกแบบนี้...คงตั้งแต่พ่อจากไปละมั้ง


ความห่วงใยผมเคยได้รับจากพี่ๆ ร่วมงานมาเยอะแต่กับเบียทรีซมันไม่เหมือนกัน ลึกล้ำกว่า เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกกว่าคล้ายกับตอนที่อยู่กับครอบครัว ผมรู้สึกดียามถูกห่วงใยจากคน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นความห่วงใยจากราชาปิศาจที่แทบจะไม่แสดงความรู้สึกนี้ออกมาให้เห็นตรงๆ เท่าไหร่ ถ้าโดยทางอ้อมผมสัมผัสและรับรู้ได้มานานแล้ว


ใครจะมองว่าเขาเป็นคนแข็งๆ ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจหรือแม้แต่เจ้าอารมณ์ ผมคงไม่เถียงแต่จะบอกให้พวกเขารู้ว่าภายใต้นิสัยเหล่านั้นมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในทุกๆ การกระทำ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ยิ่งสัมผัสถึงสิ่งนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 20-01-2019 20:06:18
(ต่อนะคะ)


“ยิ้มอะไรของเจ้า ข้ากำลังโกรธอยู่วิณณ์” เบียทรีซขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าผมหลุดยิ้มออกมา


“คุณพูดผิดแล้วเบียทรีซ”


“ผิดอะไร”


“คุณไม่ได้โกรธแต่กำลังห่วงผมอยู่ต่างหาก” ผมแก้คำพูดอีกฝ่าย


จากการกระทำหลายๆ อย่างนี่ไม่ใช่โกรธผมแต่เป็นห่วงแถมยังห่วงมากด้วย


ถูกห่วงขนาดนี้ทำไมผมจะไม่ดีใจล่ะจริงไหม


“ข้าไม่ได้ห่วง”


“คุณโกหกคนอื่นได้แต่โกหกผมไม่ได้หรอกนะ” ถ้าเทียบเวลาที่อยู่ด้วยกันผมอาจไม่เท่ากับปิศาจตนอื่นๆ ทว่าผมคลุกคลีอยู่กับเบียทรีซมาตลอดแทบจะไม่ห่างกันเลยด้วยซ้ำ


เพราะงั้นผมถึงรู้ดี


“เจ้า...”


“เบียทรีซ...ขอบคุณที่มาช่วยผมนะ” ผมเอ่ยสิ่งที่อยากจะบอกที่สุดออกไป ความจริงอยากบอกตั้งแต่ตอนอีกฝ่ายมาช่วยแล้วแต่เหมือนจังหวะไม่เหมาะ


“...”


“ไม่พูดเหรอว่าไม่ได้มาช่วยผม” ได้โอกาสจากความเงียบของเบียทรีซผมเลยขอกวนกลับสักหน่อย


“ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า แค่ไปพาคนรับใช้ของข้ากลับมาแค่นั้น” ใช้เวลาสักพักใหญ่เลยกว่าอีกฝ่ายจะคิดหาคำพูดตอบกลับมาได้


“อืม” ผมพยักหน้ายิ้มรับกับคำตอบที่พยายามคิดมา


ยังดีที่ไม่บอกว่ามาเดินเล่นแล้วบังเอิญเจอผม


“ยิ้มอะไรอีก”


“ก็ผมมีความสุขนี่” คนมีความสุขจะให้ทำหน้าบึ้งคงไม่ใช่


“ชอบความเจ็บปวดรึไง”  เบียทรีซคงหมายถึงบาดแผลบนร่างกายนี่ละมั้ง


“ไม่ได้ชอบสักหน่อย แค่การมีคนคอยห่วงมันทำให้ผมทั้งดีใจและมีความสุขแค่นั้นเอง” ไม่ใช่เหตุผลสวยหรูแต่เป็นเพียงเหตุผลง่ายๆ


“คิดไปเอง ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า อีกอย่างข้าไม่ใช่มนุษย์” อีกฝ่ายบอกเสียงนิ่ง


“ผมอาจไม่ได้พูดถึงคุณก็ได้”


“วิณณ์!”


“คิก...ผมดีใจที่ได้เจอคุณนะเบียทรีซ” ความรู้สึกที่เอ่ยออกไปมันเป็นของจริงที่ไม่ได้ผ่านการคิดประโยคให้ดูน่าฟังด้วยซ้ำ


“...ข้าเองก็...”


“ก็?” ผมมองใบหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย ปากเองก็ขยับอยู่แต่ไม่มีเสียงออกมา


“นอนพักซะ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ระหว่างพูดเบียทรีซก้มหน้าลงมาจนหน้าผากของพวกเราสัมผัสกัน ระยะที่ใกล้จนแทบแนบชิดไปทั้งหน้านั้นพานให้ใบหน้าร้อนผ่าว


อยากจะผลักแต่ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืนด้วยซ้ำ


เบียทรีซอยู่นิ่งๆ ให้หน้าผากของพวกเราแนบชิดกันอีกสักพักจึงเปลี่ยนมาทิ้งตัวนอนลงข้างๆ แถมยังคว้าตัวผมาไปกอดไว้แนบอกอีก หัวใจเต้นรัวขึ้นเช่นเดียวกับความร้อนที่ปะทุโดยอัตโนมัติยามถูกสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวแถมยังกอดซะแน่นอีก


ตั้งแต่มาอยู่ที่โลกปิศาจและนอนห้องเดียวกับเบียทรีซพวกเราต่างแยกกันนอนคนละมุมไม่เหมือนตอนอยู่ห้องผมที่ได้หนุนหมอนส่วนตัวซึ่งผมก็เข้าใจน่ะนะว่าในร่างอันหล่อเหลานี่จะให้นอนหนุนคงไม่ใช่เรื่องดีต่อใจเท่าไหร่


ภาพลักษณ์ของปิศาจระดับสูงโดยเฉพาะราชาอย่างเบียทรีซต่อให้เป็นผู้ชายด้วยกันก็ยังส่งผล ผมเองก็ใจเต้นไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่เวลาลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นอีกฝ่ายนอนอยู่ข้างกาย เพราะงั้นผมเลยยิ่งไม่ชินเวลาถูกกอดแบบนี้


“...เบียทรีซ...”


“เงียบแล้วนอนไป”


“แต่ว่าแบบนี้มันแปลก...”


“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” ไม่พูดเปล่าอ้อมแขนนั่นกระชับให้ตัวผมขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น


แปลกสิ...แปลกทุกตรงแหละ


“...เบียทรีซ”


“อะไรอีก”


“เอ่อ...มื้อเย็น...”


“ตื่นมาค่อนลงไปกิน”


“แต่...”


“ถ้ายังไม่หยุดส่งเสียงข้าจะอยู่แบบนี้ไปถึงเช้า” เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกมาได้


ถึงจะรู้สึกแปลกและไม่ชินทว่าพอเวลาผ่านไปสักระยะความรู้สึกเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความง่วง คงเป็นเพราะผมใช้พลังงานไปกับการหลบหนีร่างกายเลยเหนื่อยล้า คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ไม่นานสติอันน้อยนิดก็เลือนรางและดับไปพร้อมไออุ่นที่ปกคลุมร่างไว้จนกะทั่งหลายชั่วโมงต่อมา


หลายวันต่อมาบาดแผลของผมหายเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ล่องลอยใดๆ บนผิว ในแต่ละวันผมยังทำงานตามปกติที่แตกต่างไปคือเวลาผมจะไปไหนเบียทรีซมักจะตามไปด้วยไม่ก็ให้ปิศาจสักตนตามผมมาด้วย อย่างวันนี้เองผมกำลังเดินผ่านห้องโถงในชั้นแรกเพื่อไปยังสวนด้านหลัง การเดินเล่นเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันซึ่งทุกคนต่างรู้ดี แต่วันนี้ปิศาจหลายๆ คนที่เห็นผมมีท่าทีต่างไปจากปกติแต่ผมก็เดาไว้อยู่แล้ว


ราชาปิศาจลงมาเดินตามหลังผมแบบนี้จะไม่สนใจคงไม่ใช่ล่ะ


“เบียทรีซ ผมไปคนเดียวได้นะ คุณไปพักอยู่บนห้องไม่ดีกว่าเหรอ” ผมตัดสินใจหันไปบอกคนด้านหลัง ตอนนี้พวกเรามาหยุดยืนอยู่หน้าสวนด้านหลังปราสาทเรียบร้อย


“ได้ถ้าเจ้าไปด้วย” คำตอบของราชาแห่งโลกปิศาจทำเอาคนฟังอย่างผมเอ๋อไปชั่วขณะ


“...ผมเพิ่งมาถึงกะว่าจะเดินอีกสักพัก”


“ก็เดินไปสิ”


“...อืม” ในเมื่อขัดอะไรไม่ได้อีกผมจึงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในสวน


อย่างที่เคยบอกไปว่าสวนด้านหลังนั้นใหญ่มากแถมถัดออกจากรั้วยังเป็นป่ากว้างไปสุดสายตา แน่นอนว่าบริเวณหนึ่งของรั้วยังมีมิติซึ่งเชื่อมกับหน้าผาของเหล่าคุณปู่คนแคระที่ปิดอยู่ บ้างครั้งพวกท่านเหมือนจะรู้ว่าผมมองทางเชื่อมนั่นอยู่เลยเปิดให้ผมเข้าไปคุยเล่นด้วยเป็นบางครั้ง


“เจ้านี่ท่าจะชอบพวกต้นไม้นะ” เบียทรีซพูดลอยๆ ระหว่างมองดูเหล่าต้นไม้


“อืม ผมชอบพวกธรรมชาติน่ะ ทั้งต้นไม้และสัตว์ผมชอบหมดแหละ จะว่าไปวันก่อนผมมองจากห้องทำงานคุณเห็นเตโชฝึกคนในกองทัพขี่ม้าอยู่ที่นี่มีม้าด้วย?” ผมหันไปถามด้วยความสนใจ


“มีอยู่ถัดจากสวนนี่ไป...จะไปดูรึเปล่าล่ะ” อีกฝ่ายนิ่งไปแป๊บหนึ่งก่อนจะถามต่อ


“ได้เหรอ”


“ถ้าข้าอนุญาตไม่ว่าอะไรก็ได้หมด”


“ผมอยากไปดู” เห็นจากด้านบนชั้น 10 ไกลลิบๆ แต่ลักษณะแปลกๆ ของม้าผมยังจำติดตาอยู่เลย


“งั้นก็ตามมา” เบียทรีซเดินนำผมออกไปจากสวน ถัดไปอีกไม่กี่เมตรมีทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มที่มีการทำรั้วล้อมรอบพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ ภายในพื้นที่นั้นมีม้านับร้อยตัวกำลังกินหญ้า สีของม้านั้นเหมือนของโลกมนุษย์รูปร่างเองก็เช่นกัน ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือม้าของโลกปิศาจนั้นมีเขางอกออกมากลางหน้าผาก ภาพลักษณ์นั้นทำให้ชื่อยูนิคอร์นผุดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว


สัตว์เทพในตำนาน หลายคนบอกว่ายูนิคอร์นมีอยู่จริงและเคยเห็นมากับตาแต่ส่วนมากนั้นจะรู้กันดีว่าเป็นสัตว์ในตำนานซึ่งมีอยู่ในจินตนาการเท่านั้น ทว่าวันนี้ได้เห็นสัตว์ในจิตนาการนั้นตัวเป็นๆ แบบมีชีวิตและหายใจ เป็นไปได้ว่าคนที่เคยเห็นนั้นอาจเจอม้าของโลกปิศาจซึ่งหลุดออกไปก็เป็นได้


“สุดยอดเลย” ไม่คิดว่าจะได้เห็นสัตว์ในตำนานกับตาตัวเองแบบนี้


“ก็แค่ม้า ไม่เห็นสุดยอดตรงไหน” เบียทรีซทำหน้าคล้ายไม่สนใจสักเท่าไหร่


“สุดยอดจะตายไป คุณรู้ไหมว่าที่โลกมนุษย์เรียกม้านี้ว่ายูนิคอร์นเป็นสัตว์ในตำนานเชียวนะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ตำนาน? พวกมนุษย์นี่เวอร์กันซะจริง”


“ก็ม้าปกติไม่มีเขานี่”


“ม้าที่นี่ถ้าไม่มีเขาก็เรียกว่าไม่ปกติเหมือนกัน”


“เป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่ต่างกันสินะ ขนเป็นแบบนี้เองเหรอ” ผมพึมพำสัมผัสยามลูบเส้นขนสีเทาของม้าที่อยู่ใกล้สุดด้วยความสนใจ นึกว่าขนม้าจะนุ่มกว่านี้ซะอีก


“เป็นไงเหมือนม้าที่โลกมนุษย์ไหม” เบียทรีซก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยถาม


“ผมว่าเหมือนนะ”


“ว่าเหรอ”


“ก็ผมไม่เคยจับม้านี่นา” เป็นครั้งแรกเลยวันนี้


“เจ้ายังเด็กอยู่ไม่เหมาะที่จะขี่หรอก”


“ผมโตแล้วเหอะ” ถูกบอกว่าเด็กทั้งที่อายุ 30 ทีไรรู้สึกโมโหแปลกๆ ทุกทีสิน่า


“โตแล้วแต่เพิ่งเคยจับม้า?”


“ผมไม่ได้สนใจขนาดนั้น ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอลองขี่ได้ไหม” ผมถามต่อ การขี่ม้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมรู้สึกสนใจทว่าไม่มีโอกาสได้ทำ


“อันตรายไป” อีกฝ่ายบอกทันทีที่ได้ยิน


“แค่นิดเดียวก็ได้ คุณอยู่ด้วยคงไม่อันตรายหรอก” ผมพยายามหาเหตุผลหลายๆ อย่างมาลองรับ


“ท่าจะสนใจมากนะ”


“อืม ขอแค่แป๊บเดียวนะ”


“ก็ได้ วิ๊ว!” เสียงผิวปากเบาๆ ของเบียทรีซเรียกม้าตัวสีดำสนิทตั้งแต่เส้นขนไปจนถึงดวงตาให้วิ่งเข้ามาหา เพียงแค่มองตาม้าตัวนั้นก็กระโดดออกมานอกรั้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี


“ม้าตัวนี้เป็นของคุณเหรอ” ผมถามพลางมองม้าตัวสีดำสนิทตรงหน้า เขาของมันเองก็เป็นสีดำซึ่งแตกต่างกับตัวอื่นอย่างชัดเจน


“ใช่ ชื่อโคว์”


“สวีสดีโคว์ เชื่องไหม” ผมถามต่ออีก


“เชื่อง...กับข้าน่ะนะ” เว้นวรรคสักพักจึงเอ่ยต่อ


“...ให้ผมลองขี่ตัวอื่นดีกว่ามั้ง” ทำไมฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้


“ตัวอื่นอาจขี่ยากกว่าก็ได้ ม้าแต่ละตัวจะฟังแค่นายของตัวเองเท่านั้น” เบียทรีซอธิบาย


“แปลว่าผมขี่ไม่ได้?”


“ก็คงใช่และไม่ใช่”


“ฮะ?” สรุปยังไง ผมเริ่มงงแล้วนะ


“เจ้าขี่ได้เพียงแต่ต้องมีข้าอยู่ด้วย” เบียทรีซพูดจบก็ขึ้นไปบนหลังม้าสีดำขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเว้นให้เหลือพื้นที่ด้านหน้ามากขึ้น


“อย่าบอกนะว่า...” คงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดใช่ไหม


“ถ้าอยากลองขี่ก็ขึ้นมานั่งนี่” เป็นไปตามคาดเบียทรีซเว้นพื้นที่ด้านหน้าให้ผมนั่งจริงๆ ด้วย


“เอ่อ...ผมว่ามันไม่ดีมั้ง”


“ไม่ดียังไง”


“ก็แบบ...ให้ขึ้นไปนั่งแบบนั้น” เคยเห็นอยู่ในละครช่วงค่ำนะ...ฉากขี่มาด้วยกันเนี่ย


“สรุปไม่อยากลองขี่ม้า?”


“เปล่า...ก็อยาก”


“งั้นก็รีบขึ้นมา”


“แต่...”


“ไม่มีแต่วิณณ์ ขึ้นมานี่”


“เดี๋ยว อ๊ะ!...” ผมถึงกับสะดุ้งยามถูกเบียทรีซดึงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าโดยมีอีกฝ่ายนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง


ความรู้สึกแปลกๆ แล่นเข้ามาไม่ว่าจะเป็นความประหม่าบนหลังม้า ความตื่นเต้นหรือแม้แต่ความเขินเนื่องจากถูกแขนทั้งสองนั้นขนาบข้างอยู่


“ทรงตัวดีๆ ข้าจะพาเดินรอบๆ” พอพูดเสร็จเจ้าโคว์ม้าสีดำสนิทก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปรอบรั้วไม้


“ว้าว....ความรู้สึกเป็นแบบนี้เองเหรอ” เพิ่งเคยขี่ม้าครั้งแรกรู้สึกดีไม่เลวเลย


“ข้าจะให้โคว์วิ่ง” เบียทรีซก้มลงมากระซิบข้างหูก่อนจะจับเชือกที่ใช้คุมมาแน่นขึ้น


“โอ๊ะ!...วิ่งแล้ว” ความรู้สึกตอนม้าวิ่งคล้ายเรากำลังกระดอนขึ้นลงไปเรื่อยๆ ความเร็วของม้าทำให้ใบหน้าผมปะทะเข้ากับแรงลมจังๆ จนแว่นเกือบหลุดไปหลายรอบ


“วิณณ์ข้าน่ะ...”


“ฮะ? อะไรนะเบียทรีซ” ผมพยายามเอนตัวไปด้านหลังเพื่อจะได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น กระแสลมในตอนนี้เป็นอุปสรรคในการสนทนาอย่างมาก


“ข้าบอกว่า...”


“อีกรอบ ผมขออีกรอบ” ครั้งนี้ผมพิงตัวไปยังแผ่อกของเบียทรีซซึ่งอยู่ด้านหลังพร้อมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกับดวงตาสีทองสว่างที่ก้มลงมามองพอดี ดวงตาสองคู่สอดประสานกันอยู่สักพักเบียทรีซขยับหน้าลงมาใกล้พร้อมกระซิบประโยคที่ทำเอาความร้อนมารวมตัวกันผมใบหน้าผมจนแทบจะระเบิดกลายเป็นไอ...


“ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอเจ้าวิณณ์”


ผมสนใจการขี่ม้าแต่ในตอนนี้ผมเริ่มไม่ชอบมันแล้ว เพราะตอนขี่ม้าแบบนี้ไม่มีที่ให้หลบหรือหนีจากความเขินอายนี่ได้เลย ผมต้องทนอยู่กับใบหน้าร้อนๆ ไปจนกว่าเบียทรีซจะยอมหยุดและปล่อยผมลงจากหลังมานั่นแหละ

.............................................

อร๊ายยยย

"ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอเจ้า..."

ช่างเป็นประโยคที่ทำเอาเราแทบจะกรีดร้องเมื่อแต่งจบ

ความหวานของคู่นี้กำลังเพิ่มขึ้นจนมดไต่เต็มตัวไปหมดแล้ว

คันไปหมด 555

ความจริงไม่คิดว่านิสัยของวิณณ์กับเบียทรีซจะสามารถเข้ากันได้ดีขนาดนี้ ยิ่งแต่งก็ยิ่งตกใจกับความน่ารักของทั้งคู่

หวังว่าทุกคนเองก็จะรักทั้งคู่เช่นเดียวกับเรานะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-01-2019 21:38:38
ทำไมคนมาจับวิณณ์ได้ถึงในปราสาทเลยเนี่ย
แต่ก็นะราชาปิศาจตามตัวได้อยู่แล้ว ว่าแต่เค้าหวานกันจังเลยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-01-2019 03:39:24
หวงและห่วง แถมพ่วงหึงมาอีกด้วย  o18
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 21-01-2019 09:08:01
ความโหดของพี่แกและความหวง เขินนน
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่9:⊱ 20/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 24-01-2019 00:59:13
น่าล๊าคคคคมีความห่วงแต่ปากแข็งนิสัยคือน้องที่สุด  :hao7:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่10:⊱ 27/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 27-01-2019 23:13:24
⊰บงการ:วันที่10:⊱



ราชาปิศาจอย่างผมได้พาลูกครึ่งปิศาจมาอยู่ด้วยเป็นระยะเวลากว่าหนึ่ปี เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปเร็วมาก เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่อยากจะปล่อยวิณณ์ให้ออกไปไหนตามลำพัง ขนาดมีผมตามไปด้วยยังถูกจับไปเป็นตัวประกัน ให้อยู่ในปราสาทก็ดันเดินเข้าทางเชื่อมมิติไปถึงหมู่บ้านของคนแคระซึ่งอยู่เกือบจะใต้สุดของโลกปิศาจ เท่านั้นยังไม่พอเดินอยู่ในปราสาทดีๆ ยังถูกโปะยาสลบพาไปลงเรือเตรียมขายอีก


กิตติศัพท์มากขนาดนั้นจะให้ผมปล่อยไว้ตามลำพังได้ที่ไหนกัน เพราะงั้นในช่วงหลังผมจึงให้อีกฝ่ายทำงานใกล้ตัวตลอด หากมีเรื่องจำเป็นต้องออกไปผมก็จะตามไปด้วยไม่ก็ให้ลูกน้องตามไปแทน เรื่องที่วิณณ์ถูกโปะยาสลบผมสังหรณ์ว่าต้องเป็นฝีมือของบักเก็ต


และถ้าใช่เจ้านั่นคงไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ


กลิ่นไอของปิศาจแต่ละตนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับผมสามารถแยกแยะปิศาจแต่ละตนได้ผ่านกลิ่นไอเหล่านั้น เช่นเดียวกับวิณณ์ที่เป็นลูกครึ่ง...ผมสัมผัสถึงกลิ่นไอของเขาตลอดเวลาที่ห่างไป ช่วงก่อนหน้านี้ผมมีบางเวลาคลายการสัมผัสนั้นลงพอรู้ว่ามีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นผมจึงปรับสัมผัสของตัวเองไปไว้ที่วิณณ์ตลอด


ลูกครึ่งปิศาจมีกลิ่นไออันเป็นเอกลักษณ์เนื่องจากมีกลิ่นของมนุษย์ปะปนเข้ามาทำให้เหล่าปิศาจแยกแยะพวกลูกครึ่งกับมนุษย์ได้ง่ายมาก แม้จะเป็นเวลานอนผมยังคงลับประสาทให้เฉียบคมอยู่เสมอเพียงการเคลื่อนไหวหรือขยับตัวเล็กน้อยผมก็สามารถจับได้ อย่างครั้งนี้ดวงตาสีทองสว่างของผมลืมขึ้นไม่เพียงเพราะสัมผัสถึงการขยับแต่ยังมีกลิ่นไอของวิณณ์ที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป


สัมผัสของความเป็นมนุษย์ที่เจือปนอยู่เสมอปลิวหายไปและถูกแทนที่ด้วยกลิ่นของปิศาจโตเต็มไว ไม่เพียงแค่นั้นสัมผัสแบบนี้ไม่ใช่ปิศาจระดับต่ำหรือกลางแต่เป็นระดับสูง...


“วิณณ์?” ผมพึมพำเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาขณะใช้ดวงตาจับจ้องไปยังลูกครึ่งซึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเดียวกันทว่ารูปลักษณ์ภายนอกเองก็แปรเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับกลิ่นไอ เส้นผมสีน้ำตาลแดงของวิณณ์นั้นมีสีแดงชัดเจนขึ้นแถมยังยาวประมาณบ่า อีกทั้งเคร้าของใบหน้ายังได้รูปกว่าแต่ก่อน


“...อื้อ...อะไรเบียทรีซ” เสียงเรียกของผมทำให้คนที่กำลังหลับปรือตามขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลบัดนี้สีอ่อนลงจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับสีของเส้นผมที่เข้มขึ้น เจ้าตัวใช้มือควานหาแว่นเหมือนปกติโดยไม่รู้เลยว่าสภาพตนเองในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน


“...” ผมมองอีกฝ่ายใช้มือเอื้อมหาแว่นอย่างไม่วางตา รูปลักษณ์ของวิณณ์เมื่อก่อนไม่ได้แย่ออกไปแนวดูดีด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับเพิ่มความสง่าเข้าไป ดึงดูดให้จับจ้องอยู่ตลอด


“หน้าผมมีอะไรติดเหรอ” อีกฝ่ายถามหลังจากใส่แว่นแล้ว


“...เจ้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปบ้างเหรอ” ผมถามกลับ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายขนาดนี้ในคืนเดียวเจ้าตัวต้องรู้สึกบ้างสิน่า


“แปลก? โอ๊ะ! ทำไมเส้นผมถึงยาวขนาดนี้” พอผมบอกอีกฝ่ายก็เริ่มรู้ตัวใช้มือจับเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ทั้งเข้มและยาวขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ


“ไม่ใช่แค่ผมหรอกนะ”


“มีอย่างอื่นอีก? กระจกๆ” วิณณ์ทำหน้าโตพลางลุกออกจากเตียงเดินไปหากระจกบานใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก เพียงไม่กี่วินาทีหลังมองตัวเองในกระจกร่างของอีกฝ่ายก็ยืนนิ่งไม่ขยับ


“วิณณ์...”


“นะ...นี่มันอะไรกัน?!” นอกจากจะใช้มือสองข้างจับเส้นผมของตัวเองแล้วยังลูบไปตามโครงหน้าและดวงตาเหมือนกำลังสำรวจใบหน้าของตัวเองอยู่


“ใจเย็นๆ”


“เกิดอะไรขึ้นเบียทรีซ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ มันจะแปลกเกินไปแล้ว!” วิณณ์ก้าวมาถามผมที่เตียงอีกรอบ


“มันไม่ใช่เรื่องแปลก”


“หมายถึงการที่เส้นผมสีเข้มแถมยาวเองรวมไปถึงสีตาที่อ่อนลงกับหน้าผมที่เปลี่ยนไปนี่เป็นเรื่องปกติเหรอ” อีกฝ่ายยิงคำถามต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“ใช่ มันเป็นเรื่องปกติ”


“คุณเองก็เคยเป็นแบบผมเหรอ”


“ข้าไม่เคย” ผมส่ายหน้าตอบไปตามจริง ช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืนเหมือนของวิณณ์ผมไม่เคยเป็นหรอก


“...แต่คุณบอกว่ามันเป็นเรื่องปกตินี่”


“อืม”


“สรุปยังไงกันแน่ ผมเริ่มงงแล้วนะ”


“เจ้างงตั้งแต่ตื่นมาแล้วมั้งวิณณ์”


“ผมซีเรียสนะเบียทรีซ” ใบหน้าจริงจังนั่นดูตลกในสายตาผมซะเหลือเกิน


“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้มีสายเลือดปิศาจอยู่ครึ่งนึง” ว่ากันตามตรงคือพวกครึ่งปิศาจจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ


“ผมไม่ค่อยเข้าใจ”


“สำหรับปิศาจสายเลือดแท้อย่างข้าเมื่อเกิดมาก็จะรู้ถึงระดับของตัวเองว่าอยู่ในระดับต่ำ กลางหรือสูงซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ในกรณีของลูกครึ่งอย่างเจ้าในช่วงแรกที่เกิดมาด้วยสายเลือดของมนุษย์ทำให้มีรูปลักษณ์เหมือนคนธรรมดาแต่เมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น” ผมอธิบาย


“หมายถึงทุกคนที่เป็นลูกครึ่งจะเปลี่ยนมาเป็นอย่างผมหมดเลย?”


“ไม่ใช่หรอก การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ 4 แบบสำหรับพวกลูกครึ่งอย่างแรกคือเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์เป็นเคสที่หาได้ยากมากในช่วงหลายร้อยปีจะมีสักคน แบบที่สองคือกลายเป็นปิศาจระดับต่ำมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เป็นพวกสัตว์หรือครึ่งสัตว์ แบบที่สามคือเป็นปิศาจระดับกลางรูปร่างคล้ายคลึงมนุษย์ซึ่งแบบที่สองและสามมีอยู่เยอะมาก ส่วนแบบสุดท้ายก็คือเจ้า” ผมบอกพลางมองไปยังคนตรงหน้าที่นั่งเอียงคอมองมาทางผมนิ่งๆ


“ผมเหรอ”


“แบบสุดท้ายคือกลายเป็นปิศาจระดับสูง รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปเพื่อดึงดูดทั้งมนุษย์และปิศาจโดยรอบ เช่นเดียวกันกับพลังปิศาจที่เข้มข้นขึ้น เป็นรูปแบบที่หายากยิ่งกว่าแบบแรกซะอีก อัตราความเป็นไปได้อยู่ที่ 800 ปีต่อคนละมั้ง” พูดตรงๆ คือผมค่อนข้างตกใจกับการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้


ผมรู้ตั้งแต่พาเขามาแล้วว่าต้องมีช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนั้นผมไม่ได้ตกใจในเรื่องนี้ ทว่าเรื่องที่น่าตกใจคือการเปลี่ยนจากลูกครึ่งมาเป็นปิศาจระดับสูง ผมนึกว่าวิณณ์จะเป็นปิศาจระดับกลางไม่ใช่ระดับสูงแบบนี้ ด้วยความเป็นไปได้อันแสรริบหรี่จนเข้าขั้นหายากนี่ผมตกใจพอสมควรเลย


สาเหตุที่ความเป็นไปได้แทบไม่มีก็เพราะปิศาจระดับสูงจะเป็นผู้สืบสายเลือดแท้ของปิศาจซึ่งไม่เพียงแค่พลังปิศาจแต่ยังมีความพร้อมด้านอื่นๆ อีกมากมาย ต่อให้แม่ของวิณณ์คือชารอนที่เป็บปิศาจระดับสูงแต่สายเลือดที่ผสมกับมนุษย์อยู่ครึ่งนึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นปิศาจระดับสูงได้


“ผม...เป็นปิศาจระดับสูง?” ดูสิ ขนาดเจ้าตัวเองยังทำหน้างงอยู่เลย


“ประมาณนั้น”


“เหมือนเบียทรีซ?”


“อย่ามาเปรียบกับข้า ตัวข้าน่ะยิ่งใหญ่กว่าปิศาจระดับสูงนัก” ตัวตนของราชาปิศาจนั้นอยู่สูงกว่าปิศาจตนอื่นมาก เป็นตัวตนที่แค่มองหรือสัมผัสถึงพลังก็สามารถรับรู้ถึงความแตกต่างได้ทันที


“...ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ คือผมจะเป็นแบบนี้ไปตลอดใช่ไหม” อีกฝ่ายถามอีก


“ตามที่เข้าใจแหละ” เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้


“ไม่ชินเลย...กับอะไรแบบนี้” วิณณ์บอกพร้อมช้อนตาขึ้นมามองผม


“...” อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่เจ้าตัวที่ไม่ชิน ผมเองก็ไม่ชินเหมือนกันแหละ


เสน่ห์ดึงดูดของปิศาจระดับสูงมีมากกว่าปิศาจปกติหลายเท่าแต่ไม่เคยมีปิศาจตนไหนดึงดูดให้ผมมองได้เลยสักคน ไม่สิ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนคำพูดแล้วเพราะว่าเด็กตรงหน้านี่แหละที่เป็นคนแรก ความจริงตอนยังไม่เปลี่ยนแปลงก็สามารถดึงดูดสายตาผมได้อยู่แล้วแต่พอวันนี้กลับรู้สึกเหมือนละสายตาออกมาไม่ได้


ถูกตรึงให้ต้องจับจ้องอยู่ตลอดเวลาราวกับต้องมนต์ เพิ่งจะเคยเป็นแบบนี้ครั้งแรก


วิณณ์ใช้เวลาอาบน้ำมากกว่าวันอื่นสงสัยจะไม่ชินกับรูปลักษณ์ใหม่นี่ละมั้ง มื้อเช้าของพวกเรามีผมเดินนำไปจนถึงห้องอาหารชั้น 5 ตลอดทางเดิงปิศาจแทบทุกตนหันมามองทางวิณณ์เป็นตาเดียว ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์แต่กลิ่นไอปิศาจของวิณณ์เหมือนจะดึงดูดพวกปิศาจเข้ามาหาได้ง่าย ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าเป็นข้อดีสักนิด


ความหงุดหงิดที่มีส่งผลต่อพลังปิศาจในกายโดยตรง พลังปิศาจแผ่ขยายไปรอบบริเวณระหว่างทางเดินส่งผลให้ปิศาจที่หันมามองวิณณ์รีบหันหน้าหนีและเดินผ่านไปเร็วๆ ที่ผมทำอยู่ไม่ต่างกับการแสดงความเป็นเจ้าของอีกฝ่าย ยิ่งนึกก็ยิ่งรู้ตัวว่าผมชักเริ่มผิดปกติเข้าไปทุกที


“หงุดหงิดอะไรเบียทรีซ” วิณณ์เอ่ยถามขณะเริ่มจัดการมื้อเช้า


“เปล่านี่” จะให้ผมตอบอะไรออกไปได้ล่ะ ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงต้องแสดงท่าทางเป็นเจ้าของขนาดนี้ จะบอกว่าเพราะผมเป็นราชาก็ไม่ใช่เพราะผมไม่ได้ทำแบบนี้กับปิศาจตนอื่น


มีแค่กับวิณณ์


“ตอนเดินมามีแต่สายตาจับจ้องมาตลอดเลย”


ไม่จ้องก็แปลกละ


ผมแอบตอบอีกฝ่ายในใจด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปขนาดนั้นไม่มีทางที่จะไม่เป็นที่สนใจ


“ช่างเรื่องนั้นเถอะ เจ้าน่ะเป็นอะไรรึเปล่า” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“...เป็นอะไรคือ?”


“กินน้อยกว่าปกติ แถมยังรู้สึกเหมือนฝืนๆ อยู่” อาหารของวิณณ์ได้กาเนอร์คอยจัดการให้เช่นเดียวกับผมแต่รูปแบบและปริมาณของอาหารจะต่างกัน จานผมจะเน้นเนื้อส่วนวิณณ์จะเน้นผัก


ปิศาจหรือเต่าเนี่ยกินแต่ผัก


“ผมไม่เป็นอะไร เบียทรีซกินต่อเถอะ” อีกฝ่ายหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม


“บอกตัวเองเถอะ” ผมน่ะกำลังกินแต่ฝ่ายคนพูดน่ะหยุดกินไปแล้ว อาหารเหลือเกินกว่าครึ่งอีก


มื้อเช้าได้ผ่านพ้นไปอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็กลับขึ้นไปบนห้องทำงานตามปกติ โต๊ะทำงานของวิณณ์ถูกผมสั่งให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าในตอนแรกที่ตั้งอยู่เกือบชิดโซฟาด้านในห้อง ตอนนี้โต๊ะของพวกเราห่างกันอยู่ประมาณสามเมตร แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปจึงถามมาว่าทำไมต้องขยับติดขนาดนี้ซึ่งผมก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่าเป็นคำสั่ง แค่นั้นอีกฝ่ายก็ไม่เอ่ยถามอะไรต่อแล้ว


เห็นวิณณ์เป็นคนเป๋อๆ ออกแนวซุ่มซ่ามแต่การทำงานนั้นไม่ได้เหมือนนิสัยเลย ทั้งละเอียดและรอบคอบจนน่าตกใจแถมยังสามารถทำความเข้าใจตัวเลขในเอกสารได้โดยที่ผมแทบไม่ต้องอธิบายเพิ่ม ช่วยให้การทำงานราบลื่นขึ้นเยอะ งานเอกสารส่วนมากจะเป็นพวกเอกสารคำร้องขอความช่วยเหลือผสมกับเรื่องเศรษฐกิจของโลกปิศาจ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เข้ามาแกรน” ผมบอกคนหน้าห้องโดยไม่ต้องถามว่าเป็นใคร


“ขออนุญาตองค์ราชา” แกรนก้าวเข้ามาภายในห้อง สิ่งแรกที่อีกฝ่ายมองวิณณ์ที่ก้มหัวทักทายเล็กน้อยตามปกติ แกรนมองวิณณ์ด้วยสายตาสงสัยไม่นานก็หันกลับมามองผมตามเดิม


คงจะรู้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงแล้วละมั้ง


“มีเรื่องอะไร”


“ทางตอนกลางมีกลุ่มโจรกำลังก่อความเดือดร้อนอยู่ไม่ทราบองค์ราชาต้องการให้ทำอย่างไรดี” แกรนเข้าเรื่องทันที


“ให้เตโชจัดกองกำลังไปจัดการ หากไม่ยอมสวามิภักก็จัดการอย่าให้เหลือ วิณณ์เป็นอะไรปวดหัวเหรอ” ผมหันไปถามวิณณ์ระหว่างพูดกับแกรนเนื่องจากสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ


“ฮะ? ไม่ ผมไม่เป็นไรสักหน่อย นี่งานส่วนที่เหลือจากเมื่อ...” ยังพูดไม่จบประโยคร่างกายที่กำลังก้าวตรงมาหาก็ทรุดตัวลงไปต่อหน้าต่อตาผม ยังดีที่หัวไม่กระแทรกเพราะผมเข้าไปรับร่างนั้นไว้ได้ซะก่อน


“วิณณ์!” ผมเรียกพลางมองใบหน้าขาวซึ่งบัดนี้มีเหงื่อไหลซึมออกมาจำนวนมาก ลมหายใจเองก็แรงกว่าปกติแถมความร้อนยามเอามือแตะหน้าผากยังเหมือนเป็นไข้สูง หลังรับรู้อาการไม่กี่วินาทีต่อมาผมรีบหันไปหาแกรน


“รับทราบ ข้าจะตามหมอมาเดี๋ยวนี้” ไม่จำเป็นต้องพูดหรือบอกอะไรแกรนรีบขอตัวออกไปตามหมอของปราสาทมาทันที


ในระหว่างรอผมอุ้มวิณณ์ไปนอนพักบนโซฟาตัวยาวด้านในของห้อง ผ่านไปไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้งโดยไม่มีการเคาะซึ่งผมไม่ได้โกรธตรงกันข้ามยังเร่งให้หมอมาตรวจดูวิณณ์เร็วๆ ในโลกปิศาจเองมีหมออยู่เหมือนโลกมนุษย์แม้พวกเราจะเป็นปิศาจที่มีอายุยืนแต่ใช่ว่าจะไม่เจ็บป่วย หน่วยแพทย์ประจำปราสาทเตรียมความพร้อมอยู่ที่ชั้น 2 ตลอด 24 ชั่วโมงเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น

หัวหน้าของหน่วยแพทย์คือกริซ เขามีทั้งความสามารถในการใช้ยารวมไปถึงการหาสาเหตุของอาการป่วยได้แม่นยำกว่าใคร


ร่างของวิณณ์กำลังนอนนิ่งพลางส่งเสียงหอบหายใจมาเป็นระยะนั้นนมีแสงสีน้ำตาลอ่อนๆ ปรากฏขึ้นจากสร้อยคอที่ได้มาจากเผ่าคนแคระ อัญมณีที่ได้ผ่านฝีมือของเผ่าคนแคระนั้นไม่ได้แค่มีมูลค่าสูงลิบแต่ยังมีพลังสูงตามไปด้วย ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นพลังด้านไหนแต่ก็เดาได้ว่าสิ่งนั้นกำลังพยายามปกป้องวิณณ์อยู่


“เขาเป็นอะไร” ผมรีบถามเมื่อเห็นว่ากริซใช้เวลาไปพอสมควรแล้วในการตรวจ


“อาการของท่านวิณณ์คือมีไข้สูงและดูเหมือนจะปวดไปตามร่างกาย” กริซหันมาอธิบาย


“ป่วย?”


“ข้าไม่แน่ใจแต่มีความเป็นไปได้มากที่จะป่วย ข้าจะจัดยาแก้ปวดและยาลดไข้ให้...”


“คิดว่าข้าจะให้คนที่แม้แต่ยังไม่แน่ใจในอาการมาจัดยาให้ยังเหรอ” ผมพูดเสียงนิ่ง


“ขออภัยองค์ราชา ข้าไม่เคยเห็นอาการแบบนี้มาก่อน” กริซก้มหัวลงน้อมรับความอ่อนหัดของตัวเอง


“เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นโรคของมนุษย์” ผมถามต่อ เห็นน้ำเสียงผมนิ่งๆ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล


“ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ปิศาจอย่างพวกเรามีภูมิต่อโรคขอมนุษย์ต่อให้เป็นเพียงลูกครึ่งก็ตาม”


“...ให้จัดยาตามที่เจ้าเห็นสมควร” ในเมื่อไม่มีทางเลือกคงต้องให้รักษาตามอาการที่เป็นไปก่อน


“ครับ...”


“ถ้าจัดยาตามนั้นเด็กนั่นได้ตายในสามวันแน่” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นก่อนทางเชื่อมมิติจะถูกเปิด ร่างของชายชราเดินออกมาจากทางเชื่อมมิติด้วยการใช้ไม้เท้าพยุง บุคคลที่ถือเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจของราชาองค์ก่อน


“ปู่วาเกน” ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาที่ว่ากันว่าในรอบพันปีจะมีมาสักคน แกรนก้มหัวเอ่ยทักทายพร้อมขยับตัวไปยืนอยู่ข้างห้องด้วยความนอบน้อม ส่วนกริซมีสีหน้าตกใจมากที่เห็นอาจารย์ของตัวเองมาหาถึงที่ เจ้าตัวรีบเข้าไปพยุงร่างนั้น


“อาจารย์” กริซช่วยพาร่างของปู่วาเกนไปหาวิณณ์ซึ่งนอนหอบอยู่


“วิเคราะห์ส่งเดชแบบนั้นเดี๋ยวข้าจะลงโทษเจ้า” ไม้เท้ายาวเขกเข้ายังหัวของกริซเต็มแรง


“...ข้าขออภัย แต่อาการของเขาไม่ตรงกับโรคใดมีทางเดียวคือรักษาตามอาการ” กริซให้เหตุผล


“ดูท่านจะแปลกใจนะที่เห็นข้ามาที่นี่” ปู่วาเกนหันมาถามผม


“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น รักษาวิณณ์ให้ข้า” ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกว่ามาทำไมที่ผมสนใจตอนนี้คือปิศาจที่เก่งเรื่องการรักษาที่สุดมาอยู่ตรงนี้แล้ว


“ร้อนรนน่าดูนะราชา”


“...” ผมไม่ปฏิเสธคำพูดนั่นเพราะมันเป็นความจริง


“ไปเตรียมห้องยา ข้าจะลงมือเอง” ปู่วาเกนหันไปบอกกริซ


“ได้ครับอาจารย์”


“เจ้าต้องรักษาวิณณ์ให้หาย” มันไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นคำสั่ง


“เรื่องนั้นข้าไม่รับปากราชา ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นอะไร”


“เจ้าจะบอกว่ารู้เหรอ” ผมถามกลับ


“ใช่ ข้ารู้และเคยรักษาอาการแบบนี้มาก่อนทว่าน่าเสียดายที่คนที่ข้าเคยรักษานั้นไม่อาจรอดชีวิตได้”


“เจ้าหมายความว่ายังไง” ที่ว่าไม่รอดหมายถึงตายงั้นเหรอ


แล้ววิณณ์ที่มีอาการเดียวกัน... หัวใจมันบีบตัวแน่นจนเจ็บแปล๊บไปทั่วทั้งร่าง


“เขาเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนถ่ายสินะ”


“ใช่ อธิบายให้ข้าเข้าใจ” ช่วงเปลี่ยนถ่ายที่พูดคือการเปลี่ยนแปลงจากลูกครึ่งปิศาจไปเป็นหนึ่งในสี่แบบตามที่เคยบอกไป มนุษย์ ปิศาจระดับต่ำ ปิศาจระดับกลาง และปิศาจระดับสูง


“การเปลี่ยนถ่ายโดยปกติจะไม่มีอาการอะไรมากหากเป็นรูปแบบที่ 1-3 แต่ในกรณีของเขาเป็นแบบที่ 4 นับว่าอันตรายที่สุด พลังปิศาจระดับสูงขนาดพวกเราที่สืบสายเลือดโดยตรงบางครั้งยังไม่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ แล้วประสาอะไรกับลูกครึ่งปิศาจที่ไม่เคยสัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ร่างกายเปรียบเหมือนภาชนะที่ใช้บรรจุพลังต่อให้เขาจะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดเพียงใดแต่ด้วยพลังมหาศาลของปิศาจระดับสูงจะถาโถมใส่ร่างจนทนไม่ไหวและทรุดลงอย่างรวดเร็ว” คำอธิบายจากปู่วาเกนทำเอาผมถึงกัดฟันแน่น


ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว สายเลือดของชารอนที่เป็นปิศาจระดับสูงส่งผลต่อลูกโดยตรง การรับพลังอันยิ่งใหญ่เกินไปร่างกายที่มีส่วนเป็นมนุษย์ไม่อาจทนต่อพลังนั้นได้ พลังเหล่านั้นจะโถมใส่ร่างกายซึ่งวิณณ์ที่ไม่เคยใช้พลังปิศาจจึงไม่สามารถควบคุมมันได้ ผลที่ตามมาคือร่างกายถูกกัดกินด้วยพลังที่มากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว


“เจ้าต้องรักษาได้” ผมบอกปู่วาเกน


“ข้าบอกแล้วนี่ราชา ข้ารักษาได้เพียงแต่เขาจะรอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวของเขาเองว่าจะทนรับพลังนั่นได้จนหมดหรือเปล่า ภายในหนึ่งอาทิตย์ถ้าเขาทนได้และไข้ลดลงก็จะรอดแต่หากทนไม่ไหวก็ต้องขอให้ทรงทำใจราชา” ประโยคเหล่านั้นสร้างความเจ็บปวดให้โดยไม่ต้องใช้อาวุธใดๆ


“โชคยังดี อัญมณีนี่จากเผ่าคนแคระสินะ มีฤทธิ์ช่วยในการควบคุมพลังได้” ปู่วาเกนพูดต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ส่องสว่างอยู่


“...พวกเจ้ารีบไปทำยา ข้าจะพาเขาไปที่ห้อง” ผมตัดสินใจปล่อยให้ปู่วาเกนและกริซออกไปทำยา หากรีบรักษาโอกาสอาจจะมากขึ้นก็เป็นได้


“ให้ข้าอุ้มเขา...”


“ไม่ต้อง ข้าอุ้มเอง” ผมปฏิเสธแกรนที่ทำท่าจะเข้ามาอุ้มวิณณ์แล้วจัดการอุ้มอีกฝ่ายพาไปยังห้องนอนด้วยตนเอง พอถึงห้องผมวางร่างนั้นลงบนเตียงโดยมีแกรนช่วยจัดผ้าห่มให้ แว่นตาที่สวมอยู่ถูกถอดเก็บไว้ข้างหัวเตียง


ใบหน้าของวิณณ์นอกจากมีเหงื่อไหลตลอดแล้วยังซีดลงเรื่อยๆ เสียงลมหายใจแรงๆ ดังมากกว่าเดิม ตอนนี้เขากำลังกอบโกยอากาศผ่านทางปาก อุณหภูมิภายในร่างสูงกว่าปกติหลายเท่าแค่ตอนอุ้มมาผมยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่านทางเสื้อผ้า


“แกรน เตรียมน้ำกับผ้าขนหนู เสื้อผ้าชุดใหม่ด้วย”


“รับทราบ ข้าจะเตรียมให้เดี๋ยวนี้” แกรนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะก้าวไปยังห้องน้ำ


“วิณณ์...เจ้าต้องไม่เป็นไร” ผมบอกพลางใช้มือข้างนึงแนบลงบนแก้มขวาของคนบนเตียง


จากนั้นไม่นานแกรนก็เดินออกมาพร้อมของทุกอย่างที่ผมต้องการ เสร็จสิ้นจากการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าปู่วาเกนและกริซก็ยกถ้วยยาเข้ามาประมาณ 3 ถ้วยตั้งไว้บนหัวเตียง ปู่วาเกนให้กริซและแกรนพยุงวิณณ์ขึ้นมานั่งแล้วพยายามให้ดื่มยาทว่าวิณณ์กลับปิดปากแน่นไม่ยอมท่าเดียว


“ท่านลองไปป้อนยาเขาดูไหม” ปู่วาเกนหันมาพูดกับผม


“ข้า?”


“ถ้าเป็นท่านเขาน่าจะยอมกิน”


“อะไรที่ทำให้ท่านคิดแบบนั้น” ผมถามกลับ


“ช่วงที่อ่อนแอแบบนี้การรับรู้จะมาจากความเคยชิน ทั้งกริซและแกรนต่างไม่ใช่คนที่วิณณ์เคยชินจึงไม่ยอมกินยาแต่ถ้าเป็นท่านซึ่งเป็นเหมือนครอบครัวแล้วละก็ น่าจะทำให้เขายอมดื่มยาได้”


ผมไม่ได้เชื่อคำพูดนั้นเต็มร้อยแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปพยุงร่างของวิณณ์แทนแกรนและกริซพร้อมรับถ้วยยามาไว้ในมือ ความร้อนของร่างกายแผ่ออกมาพร้อมเหงื่อบริเวณขมับที่ไหลจนเปียกชุ่ม พอเปลี่ยนมาเป็นผมที่พยุงวิณณ์เอียงหัวเข้ามาซบด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นจังหวะดีผมเลยค่อยๆ ให้อีกฝ่ายดื่มยาเข้าไปจนหมดแล้วพาร่างนั้นนอนลงบนเตียงอีกครั้ง


“ดูเหมือนวิณณ์จะผ่อนคลายเวลาอยู่กับท่านมากอย่างที่คิด” ปู่วาเกนหันมายังผมและวิณณ์ที่นอนหลับอยู่บนเตียง


“ต้องดูแลเขายังไง” ผมยิงคำถามต่อ


“ยาที่ข้าเตรียมไว้ให้จะช่วยในการควบคุมพลังปิศาจที่เอ่อล้นออกมาควรกินวันละ 2 ครั้ง การเช็ดตัวจะช่วยลดไข้ได้ ระหว่างนี้ท่านควรอยู่ใกล้ๆ เขา”


“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอก” เพราะผมไม่คิดจะห่างไปไหนอยู่แล้ว


“ข้าจะไปเตรียมยาไว้ให้ หวังว่าเจ้าจะทนต่อพลังปิศาจอันสูงส่งนี่ได้นะวิณณ์” ประโยคสุดท้ายปู่วาเกนเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือวางทาบบนหน้าผากของวิณณ์สักพักก่อนจะผละออก แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นแล้วแต่ประสาทสัมผัสกับพลังปิศาจที่มีนั่นสามารถใช้แทนสายตาได้


“ดูจะเอ็นดูวิณณ์มากพอดูเลยนะ” ผมพึมพำเสียงเบา ปู่วาเกนออกจากโลกปิศาจไปหลายร้อยปีและไม่กลับมาอีกตั้งแต่ตอนราชาองค์ก่อนเสียชีวิตไปทว่าครั้งนี้กลับยอมกลับมาเพียงเพราะวิณณ์


“เขาเป็นเด็กที่แปลกกว่าใครแม้จะได้พูดคุยกันไม่นานกลับรู้สึกเหมือนรู้จักกันมานับร้อยปี ท่านเองก็รู้สึกเช่นนั้นจึงได้พาเขามาอยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ” ปู่วาเกนถามกลับคล้ายรู้ทันในความคิดผม


ก็ไม่ปฏิเสธว่าไม่จริงหรอกนะ ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เกิดความเคยชินจนไม่อยากแยกจาก อะไรบางอย่างในตัววิณณ์ดึงดูดให้ผมไม่สามารถปล่อยเขาไว้ที่โลกมนุษย์ได้ถึงขนาดต้องให้สก๊อตไล่วิณณ์ออกและจัดการเรื่องหนี้ให้ ทำทุกอย่างไม่ให้เหลือเยื่อใยต่อโลกมนุษย์ ทั้งบีบบังคับและฝืนใจให้มาอยู่นี่ตามใจตัวเองโดยไม่สนว่าเจ้าตัวจะรู้สึกยังไง


จะอยากอยู่หรือไม่อยากผมไม่รู้ แต่ผมไม่คิดจะปล่อยให้เขาไปแน่


ในคืนแรกอาการของวิณณ์ยังคงทรงตัว วันต่อมาผมจึงเปลี่ยนสถานที่ทำงานมาเป็นในห้องนี้เพื่อจะได้คอยดูอีกฝ่ายอยู่ตลอดแม้จะมีปิศาจรับใช้คอยมาเปลี่ยนแผ่นลดไข้ให้ตลอดก็ตาม มาถึงประมาณวันที่ 5 อุณหภูมิภายในตัววิณณ์สูงขึ้นมาก ขนาดให้ดื่มยาลดไข้ยังไม่ช่วยอะไร เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวตลอดหลายวันที่ผ่านมาเอาแต่นอนหลับสนิทด้วยท่าทางทรมานจนต้องมีการต่อสายน้ำเกลือและให้ยาทางนั้นแทน


“อื้อ!...อื้อ!...” เสียงครางในยามราตรีเรียกผมที่นั่งสัปหงกอยู่ที่โต๊ะทำงานรีบลุกขึ้นเดินไปยังเตียงซึ่งอยู่ไม่ไกล วิณณ์ยังคงหลับตาสนิทแต่กลับส่งเสียงเหมือนกำลังทรมานออกมา


“ไม่เป็นไร” ผมบอกอีกฝ่ายพลางเปลี่ยนผ้าชุบน้ำใหม่อีกรอบ


“...อื้อ เบีย...เบียทรีซ” มือที่กำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดตามลำคอถึงกับชะงักเมื่อได้ยินชื่อตัวเองหลุดออกมาจากปากของคนที่หลับสนิทมากกว่า 5 วัน


“มีอะไรวิณณ์” แม้จะรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่อาจได้คำตอบแต่ผมก็ยังจะเอ่ยออกไป ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆ วิณณ์ระหว่างนั้นก็เช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกายทว่าดวงตาที่ปิดสนิทกลับค่อยๆ ปรือลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืด


“...เบียทรีซ” เสียงเรียกมาพร้อมกับดวงตาที่มองมา


“รู้สึกยังไงบ้าง”


“ปวดหัว...ปวดไปทั้งตัวเลย รู้สึกแย่มาก” อีกฝ่ายบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


“หิวไหม”


“ไม่หิว...นี่เบียทรีซ”


“อะไร”


“ขออะไรหน่อยได้ไหม” ท่าทางอ่อนแรงนั่นทำเอาใจคนมองอย่างผมรู้สึกไม่ดีเลย


“ว่ามา” อะไรที่ต้องการผมสามารถหามาให้ได้แน่ ไม่ว่าจะเป็นของที่มีมูลค่าหรือหายากแค่ไหนถ้าอีกฝ่ายต้องการผมจะเอามาให้ เพราะงั้นช่วยกลับมายิ้มด้วยใบหน้าเอ๋อๆ นั่นอีกครั้งเถอะ


“มือ...ขอมือคุณหน่อยได้รึเปล่า”


“...มือข้า?” แม้จะสงสัยและไม่เข้าใจแต่ผมก็ยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย วิณณ์ขยับใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับฝ่ามือผมก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา


“เย็นจัง”


“ตัวเจ้าร้อนไปต่างหาก” อุหภูมิในร่างขนาดนั้นไม่แปลกที่จะบอกว่าผมเย็น ผมไม่ให้อีกฝ่ายต้องขยับมากไปกว่านี้จึงเป็นฝ่ายขยับมือเข้าไปแนบและลูบแก้มของวิณณ์แทน คนลูบอย่างผมสัมผัสถึงความอ่อนโยนที่แผ่ออกไปได้ชัดเจน


ช่างน่าอายนักกับตำแหน่งราชาปิศาจแต่ดันมาแสดงความอ่อนโยนขนาดนี้



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่10:⊱ 27/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 27-01-2019 23:13:48
(ต่อนะคะ)


“...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะไม่ไหวเลย”


“วิณณ์ ฟังข้า” ทันทีที่ได้ยินคำพูดตัดเพ้อผมขยับตัวเข้าไปพร้อมก้มลงไปประสานกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนด้านล่าง


“อื้อ...ผมฟังอยู่”


“เจ้าเป็นรับใช้ของข้า”


“...อืม” อีกฝ่ายสบตานิ่งๆ คล้ายไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ


“เจ้าต้องหาย”


“คิก...เป็นคำสั่งสินะ” ดวงตาคู่สวยที่สอดประสานมาสั่นระริกยามเข้าใจความหมายของประโยคที่ผมเอ่ยออกไป


มันไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นประโยคคำสั่งที่ผมไม่ยอมให้ใครขัดหรือปฏิเสธโดยเฉพาะวิณณ์ ถ้าผมบอกว่าต้องหายเขาก็ต้องหาย


“ห้ามขัดคำสั่งข้า”


“...คุณนี่นะ เป็นห่วงผมและอยากให้หายเร็วๆ ก็บอกมาตรงๆ สิ”


“นอนพักไป” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง


“ผมมองไม่เห็น ขยับเข้ามาหาผมหน่อย” วิณณ์ใช้มือข้างที่ต่อสายน้ำเกลือจับแขนผมแล้วพยายามออกแรงดึง แน่นอนว่าด้วยเรี่ยวแรงของคนป่วยไม่มีทางเลยที่จะทำให้ผมขยับ


“พอไหม” ผมยอมจะขยับเข้าไปหาด้วยตัวเอง


“อื้อ...คิดถึงขนนุ่มๆ ของคุณจัง” คนนอนซมพยายามขยับหัวมาหนุนตักผมแทนหมอน การกระทำของวิณณ์ดูเหมือนกำลังออดอ้อน เสียงหอบหายใจยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับเหงื่อที่ไหลซึมออกมาแทบตลอดเวลา ช่วงเวลาที่อ่อนแอคงต้องการใครสักคนละมั้ง


ผมไม่ใช่พวกใจอ่อน และไม่ใช่พวกที่จะตามใจใครง่ายๆ ด้วย แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้นในกรณีนี้เองก็เช่นกัน ร่างของสัตว์ขนสีดำยาวมาแทนที่ร่างเดิมจัดการขยับตัวเพื่อไม่ให้ไปทับสายน้ำเกลือ วิณณ์เองก็ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยที่ผมกลับมาอยู่ในร่างนี้ มือทั้งสองข้างกำขนผมแน่นระหว่างซุกบหน้าลงบริเวณท้องด้วยความคุ้นเคย


“...นุ่มจัง คิดถึงสัมผัสแบบนี้จัง”


“เลิกพูดมากแล้วนอนซะ” หลับมาตั้งหลายวันพอตื่นมาก็เอาแต่พูดเดี๋ยวอาการก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิมพอดี


“อืม...ขอบคุณนะเบียทรีซ”


หลังจากนั้นวิณณ์ก็นอนหลับสนิทยาวอีกครั้ง ในช่วงเช้ามีปิศาจหลายตนที่ตกใจเมื่อเห็นร่างสัตว์ขนดำสี่เท่าของผมนอนอยู่บนเตียงแถมยังเป็นถูกใช้แทนหมอนอีก ปู่วาเกนมองไม่เห็นก็จริงแต่สัมผัสได้ว่าผมอยู่ในสภาพแบบไหน


เวลาที่ปู่วาเกนบอกคือเจ็ดวันหรือหนึ่งอาทิตย์นั่นเอง แต่แล้วในวันที่เจ็ดอาการของวิณณ์กลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นจนมาถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่สิบแล้ว นอกจากนี้พลังปิศาจยังทะลักออกมาจากร่างพานให้เหล่าปิศาจรับใช้ซึ่งมีทั้งปิศาจระดับล่างและปิศาจระดับกลางถึงกับทนไม่ไหวผมจึงให้ออกไปแล้วคอยดูแลวิณณ์เอง


พลังปิศาจของวิณณ์อยู่ในระดับสูงดังนั้นพวกปิศาจที่มีระดับต่ำกว่าย่อมมีความเกรงกลัวและยอมจำนนต่อพลังนั้น โดยปกติปิศาจอย่างพวกเราจะแสดงพลังปิศาจออกมาเพื่อแสดงอำนาจบอกว่าตัวเองเหนือกว่าทว่าในกรณีของวิณณ์นั้นเขาปล่อยพลังออกมาโดยไม่รู้ตัว ขนาดกริซซึ่งเป็นปิศาจระดับสูงเหมือนกันยังแสดงอาการประสาอะไรกับปิศาจระดับต่ำกว่า


“อธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมหันไปถามปู่วาเกนที่เอื้อมมือไปแตะตามร่างกายของวิณณ์ ในห้องตอนนี้นอกจากผมและปู่วาเกนยังมีกริซและแกรนยืนนอยู่ด้านข้างด้วย


“เรื่องนี้ข้าไม่ไม่สามารถตอบได้”


“หมายความยังไง”


“ในตำรามีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่ซึ่งระยะเวลาคือเจ็ดวัน และตัวข้าเองเคยเห็นลูกครึ่งที่แปรเปลี่ยนมาเป็นปิศาจระดับสูงและจากไปก่อนจะครบเจ็ดวัน”


“เจ้าจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีลูกครึ่งอยู่เกินเจ็ดวัน?”


“ตามที่ท่านเข้าใจ ข้าคงทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ยารักษาตามเดิม และหวังว่าเขาจะหายในเร็ววัน”


“เจ้าเป็นถึงตำนานที่ยังมีชีวิตในโลกปิศาจ จะบอกว่าทำอะไรไม่ได้เลยรึไง!” ผมพูดเสียงแข็ง ในตอนนี้เหมือนผมกำลังหาที่ระบายความอัดอั้นนี่ออกไป


“แฮ่ก...แฮ่ก...” เสียงหอบหายใจแรงๆ ที่ดังขึ้นเรียกทุกสายตาให้หันไปมองยังเตียง วิณณ์นอนหอบหายใจอย่างรุนแรงจนผมต้องรีบก้าวเข้าไปหาในจังหวะนั้นเองพลังปิศาจก็ทะลักออกมาจากร่างนั้นอย่างรุนแรง กระจกหน้าต่างด้านข้างร้าวและแตกในจังหวะเดียวกัน


พลังอันรุนแรงของวิณณ์ทำให้ปิศาจระดับสูงทั้งสามตนอย่างปู่วาเกน กริซและแกรนถึงกับถูกผลักออกไป สำหรับผมได้รับอิทธิพลจากพลังนั่นอยู่ไม่น้อยแต่ยังสามารถก้าวเข้าใกล้ได้ ใบหน้าของวิณณ์ดูทรมานกว่าทุกครั้งผมทำได้เพียงสัมผัสใบหน้านั่นแทนการให้กำลังใจ


“วิณณ์” ไม่รู้ว่าเพราะเสียงเรียกของผมหรืออะไรแต่พลังปิศาจที่ปลดปล่อยออกมากนั้นพุ่งกลับเข้าใส่ร่างของวิณณ์ที่นอนอยู่บนเตียง ความกดดันจากพลังปิศาจเมื่อครู่หายไปในพริบตาเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจอันรุนแรงที่ค่อยๆ เบาลงและกลับมาเป็นจังหวะการหายใจปกติ


ปู่วาเกนใช้ไม้เท้าพาตัวเองเข้ามาตรวจดูวิณณ์ซึ่งบัดนี้ใบหน้าซีดเซียวเริ่มกลับมามีสีชมพูจางๆ เหงื่อที่ไหลอยู่เกือบตลอดเวลาเองก็ลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือ วิณณ์ในตอนนี้เหมือนกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงตามปกติไม่ใช่เพราะป่วยเหมือนก่อนหน้านี้


“ปู่วาเกน” ผมเรียกอีกฝ่ายเพราะต้องการคำอธิบาย


“ไข้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว พลังปิศาจเองก็ไม่ได้กัดกินร่างนี้อีกแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเอาชนะพลังอันยิ่งใหญ่ได้แล้วล่ะ เก่งมากวิณณ์” ปู่วาเกนอธิบายพลางเอ่ยชมคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง


“หมายถึงเขาหายแล้ว?”


“ตอนนี้ยัง คาดว่าไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้น่าจะหายดี” คำพูดนั่นเหมือนยกเอาตะกั่วภายในจิตใจเหวี่ยวทิ้งไป ผมมองวิณณ์ซึ่งหลับตาพริ้มด้วยท่าทางสบายใจก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงแทนการลงโทษที่ทำให้ผมเป็นห่วงมาตลอดสิบวันที่ผ่านมา


“โทษที่ทำให้ข้าห่วงมันหนักนะวิณณ์”


และก็เป็นอย่างที่ปู่ว่าเกนบอกในวันต่อมาวิณณ์ลืมตาตื่นขึ้นในสภาพที่เหมือนตื่นนอนไม่ใช่ฟื้นจากอาการป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวหรืออะไรล้วนหายไปหมด คล้ายกับเป็นความฝันที่ยาวนานงั้นแหละ วิณณ์ยังคงเป็นวิณณ์แม้จะผ่านช่วยเปลี่ยนถ่ายมาจนกลายเป็นปิศาจระดับสูงนิสัยซุ่มซามและยังเป๋อเหรอนั่นยังคงมีอยู่และดูเหมือนจะมากกว่าแต่ก่อนอีก อย่างตอนนี้...


แกร๊บ!


เสียงแตกหักดังขึ้นข้างหู พอผมหันไปมองก็พบกับวิณณ์ที่กำลังยกเท้าขึ้นโดยใต้เท้านั้นมีแว่นที่เจ้าตัวใส่อยู่ในสภาพหักครึ่ง ไม่ต้องถามสถานการณ์ผมก็สามารถเดาได้ วิณณ์กำลังยกเอกสารปึกใหญ่มาให้ผมที่โต๊ะซึ่งไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนแว่นที่ใส่ถึงตกลงไปบนพื้นในจังหวะก้าวขาพอดี บทสรุปคือแว่นหักคาที่


ผมว่าแล้วต้องมีสักวันที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น


“ก้าวถอยหลังไปวิณณ์” ผมบอกอีกฝ่ายที่ทำท่าเงอะงะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ


“อ่า ได้ๆ โอ๊ะ โอ้ย!” เจ้าตัวก้าวถอยหลังตามที่ผมบอกแต่เพราะถอยมากไปเลยไปชนกับขอบโต๊ะนั่นทำให้เอกสารในมือกระจายพร้อมร่างของวิณณ์ที่หน้าคะมำลงบนพื้นพรหม


“...” ผมมองภาพนั่นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก แค่ไม่กี่วินาทีหลังไม่มีแว่นก็เป็นซะขนาดนี้แล้ว ไม่สิ ต่อให้มีแว่นก็มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอยู่ดี


“เบียทรีซ ผมอยู่ไหน” วิณณ์พยายามใช้มือเพื่อหาหลักยึดแถมยังหันมาเอ่ยถามผมราวกับมั่นใจว่าผมนั่งอยู่ทางที่หันไปแน่


“เจ้าคุยกับโซฟาอยู่รึไง” ทางที่อีกฝ่ายหันไปตรงกันข้ามกับที่ผมนั่งคนละโยดเลย


“คุณไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ข้าอยู่นี่มาตั้งแต่เช้าแล้ว” ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมไม่ได้ขยับไปเลยสักนิด มีแต่อีกฝ่ายนั่นแหละที่ใช้มือคลำทางจนตอนนี้กำลังหมุนรอบตัวเองอยู่


“เบียทรีซ”


“อยู่เฉยๆ ข้าตามปิศาจมาทำความสะอาดแล้ว ข้าบอกให้อยู่เฉยๆ ไงวิณณ์!” ผมขึ้นเสียงพร้อมก้าวยาวๆ ไปดึงมืออีกฝ่ายที่เกือบจะตะบบลงไปบนเศษแว่นตา


“ก็ผมมองไม่เห็น...”


“ถึงบอกให้อยู่เฉยๆ ไง มานี่” ผมจับมือวิณณ์พามานั่งบนเก้าอี้ทำงานผมระหว่างนั้นแกรนก็เข้ามาพร้อมปิศาจรับใช้ที่เข้ามาเก็บกวาด


“องค์ราชา” แกรนมองกองเอกสารที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นสลับกับวิณณ์ที่นั่งอยู่โดยปราศจากแว่นตา


“ไปตัดแว่นมาให้ด้วย” ผมสั่งแกรน


“ให้ข้าพาไปร้านแว่นหรือยังไงดีครับ” แกรนถามต่อ ถึงจะให้ไปตัดแว่นแต่แกรนคงไม่รู้ว่าวิณณ์สายตาสั้นเท่าไหร่


“พาร้านแว่นมา” ผมไม่เสี่ยงให้วิณณ์ออกนอกห้องไปตอนนี้หรอกนะ


“รับทราบ ข้าจะรีบไปพามา”


“เจ้าทำอะไรน่ะวิณณ์” ผมถามเสียงเอือมเมื่อหันไปเห็นวิณณ์ถือเอกสารขึ้นมาใบหนึ่งแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้ ไม่สิ ไม่ใช่ใกล้ต้องพูดว่าขยับหน้าเข้าไปติดกับแผ่นกระดาษเลยจะถูกกว่า


“ผมกำลังอ่านอยู่”


“อ่าน เจ้าสายตาสั้นขนาดไหนเนี่ย” ผมชักสงสัยแล้ว ดูจากสภาพตอนอ่านเอกสารก็เดาได้ว่าไม่น้อย


“เกือบพันอยู่”


“เกือบพันเลย?” สั้นเกินไปแล้ว


“อืม...ตอนเด็กๆ ไม่ได้สั้นนะเพิ่งมาเริ่มสั้นประมาณม.ต้นมั้งแล้วก็สั้นยาวจนถึงตอนนี้เลย”


“ไม่ลองใส่คอนแทคเลนส์ล่ะ” ถ้าเป็นคอนแท็คเลนส์น่าจะหมดปัญหาเรื่องเหยียบแตก


“ผมเคยลองแต่มันเจ็บเวลาใส่แถมผมไม่ชอบให้อะไรมาโดนตาด้วยเลยใส่แว่นมาตลอด ฟังจากเสียงคุณอยู่ตรงนั้นใช่ไหม” วิณณ์ชี้นิ้วมาทางที่ผมยืนอยู่ ความจริงผมยืนหาจากอีกฝ่ายยังไม่ถึงสองเมตรเลยนะ


“แค่รางๆ ก็มองไม่เห็น?” ถึงจะสายตาสั้นขนาดไหนอย่างน้อยก็น่าจะมองเห็นเงารางๆ ได้


“เห็นนะ แต่ต้องใกล้ๆ หน่อย”


“แปลว่ามองไม่เห็นข้าสินะ”


“อืม เห็นแต่ภาพเรือนราง มองไม่ออกเลยว่าเป็นอะไร” วิณณ์หรี่ตามองมาทางผมเหมือนกำลังพยายามมองมา


“ต้องใกล้ขนาดไหนถึงจะเห็น” ผมถามต่อ


“ใกล้ขนาดไหนเหรอ....ประมาณนี้มั้ง” อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินมาหาผมตามเสียง ใช้มือสองข้างจับชายแขนเสื้อผมไว้ขณะเงยหน้าขึ้นมาหา ใบหน้าขาวเนียนขยับเข้ามาประชิดจนเกือบแนบสนิท ในจังหวะเขย่งริมฝีปากของวิณณ์แตะโดนปากผมพอดิบพอดีเช่นเดียวกับดวงตาสีทองสว่างของผมประสานกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของวิณณ์นิ่งๆ


ความรู้สึกแปลกๆ ยามริมฝีปากสัมผัสกันอย่างแผ่วเบายังคงวนเวียนอยู่ในความคิด และคงเป็นเพราะเหตุนั้นที่ทำให้ผมคว้าเอววิณณ์ให้ขยับเข้ามาชิดพร้อมก้มลงกดริมฝีปากของตัวเองทาบทับลงไปอีกครั้ง ความนุ่มละมุลยามสัมผัสกันยังไม่รู้สึกดีเท่าความรู้สึกภายในอกนี่


ไม่อยากผละออก


นั่นคือสิ่งที่ผุดเข้ามาภายในหัวทว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นเบิกกว้างเหมือนกำลังตกใจแถมยังใช้มือทุบแผ่นอกผมให้ล่าถอยออกไปผมจึงต้องยอมผละออกมาด้วยความเสียดาย


“คุณ...ทำอะไรน่ะ” วิณณ์ยกมือสองข้างขึ้นปิดปากตัวเองระหว่างถาม ใบหน้าของอีกฝ่ายเห่อแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลายหลายปะปนกันอยู่


“...ปากแตะปาก”


“เขาเรียกว่าจูบ” อีกฝ่ายส่งเสียงพลางก้าวถอยหลังแต่ดันไปชนขอบโต๊ะจนเซล้มอีกรอบ ด้วยความหวังดีผมเลยเข้าไปรับร่างที่กำลังจะล้มกระแทกพื้น


“สำหรับข้ามันไม่ใช่จูบ”


“ฮะ?” ใบหน้างงๆ นั่นมองกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อสิน่า


“แค่ปากแตะกันมันไม่เรียกว่าจูบหรอกนะ อยากลองไหมล่ะว่าจูบจริงๆ มันเป็นยังไง” ถ้าอยากรู้ผมจะสาทิตให้ดูแบบตัวต่อตัวเลย


“มะ...ไม่อยาก ปล่อยผมนะ”


“ถ้าปล่อยเดี๋ยวเจ้าก็ชนนู้นนี่อีก”


“แต่แบบนี้มันไม่...”


“ไม่อะไร” ผมจับวิณณ์ให้นั่งลงบนตักผมพลางกอดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ


“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”


“ไม่นี่ ข้าไม่อยากต้องเรียกใครมาเก็บกวาดอีก เพราะงั้นอยู่นิ่งๆ อย่าดื้อ เข้าใจนะวิณณ์” ผมกระซิบบอก เสียงหัวใจของคนบนตักดังมากกว่าเดิมอีก ผมเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่กำลังใจเต้นอยู่แบบนี้


อาการผมในตอนนี้น่าจะหนักมากจนแทบจะหันหลังกลับไปไม่ทันแล้วละมั้ง


“ให้ผมนั่งพื้นก็ได้” วิณณ์พยายามจะไถลตัวเองลงไปนั่งกับพื้นถ้าไม่ติดว่าผมรั้งสะโพกไว้แน่นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้


“ถ้ายังไม่ฟังข้าจะจูบ”


“...” เพียงคำพูดเดียวอาการดิ้นหรือพยายามหนีกลายเป็นอาการเกร็งตัวแทบจะทันที ถ้าเป็นคนอื่นไม่มานั่งเกร็งเพราะจะถูกผมจูบหรอกคงจะหันมาคว้าคอผมไปจูบเองเลยมากกว่า


ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนอื่น ดังนั้นตัวผมที่เป็นราชาเลยตกเป็นเป้านั้นได้ง่าย แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้หลงไปกับกามอารมณ์ ยิ่งตอนนี้ต่อให้ถอดเสื้อผ้ามายั่วยวนตรงหน้าผมคงไม่เกิดอารมณ์ด้วยซ้ำไป


ภายในใจตอนนี้กำลังถูกรุกล้ำด้วยลูกครึ่งปิศาจนิสัยซุ่มซ่ามจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งยิ้มออกกับท่าทางเป๋อๆ ทั้งหัวเราะกับนิสัยแสนซุ่มซ่ามนั่น ต้องการให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายตลอดเวลาและจะไม่ยอมยกเขาให้ใคร อาการนี้ไม่จำเป็นต้องถามใครผมก็สามารถบอกได้


ราชาของโลกปิศาจอย่างผมกำลังตกหลุมรักลูกครึ่งมนุษย์ที่บัดนี้กลายเป็นปิศาจเต็มตัวอย่างวิณณ์เข้าให้แล้ว

.....................................................

มาแล้วค่ะ

ครั้งนี้มาช้าไปมากเลยยย

ขอโทษด้วยการอัพตอนยาวๆ ให้นะคะ

ตอนนี้เป็นบทที่สำคัญมากสำหรับวิณณ์หรือก็คือช่วงเปลี่ยนถ่ายสำหรับลูกครึ่ง

แต่งตอนนี้ให้ความรู้สึกแฟนตาซีที่สุดและเป็นตอนที่เราชอบมากในเรื่องนี้เลย

หวังว่าทุกคนเองก็จะชอบนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังที่มีให้

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่10:⊱ 27/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-01-2019 23:49:11
 :katai5: กลายร่างแล้ววว
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่10:⊱ 27/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-01-2019 04:34:17
มีการพัฒนาพลังปีศาจ แต่ไม่มีการพัฒนาสายตาปีศาจบ้างหรอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่10:⊱ 27/1/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-01-2019 00:58:53
โอ้ยยยยย สนุกมากเพิ่งได้อ่านรวดเดียวหมดเลย ชอบความซุ่มซ่าม ความน่ารักนี้ :กอด1: นึกว่าพอเป็นปีศาจเต็มตัวแถมระดับสูงด้วยนะ สายตาจะกลับมาปกติซะอีก แต่คุณปู่ก็ยังตาบอดเลยเนอะเข้าใจๆ รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 27/1/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-02-2019 14:16:49
⊰บงการ:วันที่11:⊱




การฝึกทักษะการต่อสู้เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ผมต้องทำทุกวันโดยมีอาจารย์มากฝีมืออย่างเตโชคอยฝึกให้ไม่ขาดแต่ด้วยความหวังดีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละของเบียทรีซถึงได้บอกให้เตโชฝึกอาวุธผมเพิ่มอีกอย่าง แม้การเคลื่อนไหวของผมจะค่อนข้างดีทว่าการมีอาวุธอยู่ในมือค่อนข้างยากเกินไปสำหรับผม


ดาบยาวในมือยกขึ้นปะทะกับดาบอีกเล่มที่ฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรงจนผมถึงกับทรุดเข่าลงไปกับพื้น แค่นั้นยังไม่พอเตโชเตะตรงเข้ายังกระบังลมแต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหลบได้อย่างเฉียดฉิว ความหนักของอาวุธในช่วงแรกอาจไม่รู้สึกเท่าไรแต่เมื่อผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่งกำลังแขนผมก็เริ่มหมดลง


แค่จะยกดาบขึ้นยังยากเลย


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมเงยหน้ามองการเคลื่อนไหวที่กำลังเข้ามาประชิด ในเมื่อไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยกผมจึงปักดาบลงพื้นหญ้าให้ผืนดินช่วยเพิ่มหลักในการป้องกัน แน่นอนว่าระดับผู้คุมทับปิศาจกว่า 30,000 ตนอย่างเตโชสามารถอ่านออกได้ในพริบตา เขาใช้สันดาบปะทะกับดาบของผมจนดาบนั่นปลิวไปตกอยู่บริเวณทางเดินข้างปราสาท


ทั้งที่ควรจะหยุดการต่อสู้เพราะอาวุธผมลอยไปแต่ในความจริงเตโชกลับง้างดาบขึ้นแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ผมที่นั่งทรุดอยู่บนพื้น ภายในสมองว่างเกิดว่างเปล่าเฉียบพลัน พลังปิศาจภายในร่างถูกปลดปล่อยออกมาคล้ายกำลังปกป้องตัวเองไม่ให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว พอสติกลับมาร่างของเตโชก็ลอยไปกระแทรกกับต้นไม้ด้านหลังเช่นเดียวกับกองทัพปิศาจที่กำลังฝึกอยู่ไม่ไกลนั้นต่างพากันล้มลงไปกองบนพื้น


“...อะไร...” นี่มันคืออะไร


ผมเป็นคนทำ?


“แค่ก...” เตโชไอเล็กน้อยระหว่างเดินเข้ามาหา


เลือดมุมปากที่ไหลออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย


“เตโช เป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เป็นไร แค่ไม่ทันตั้งตัวเลยป้องกันตัวไม่ทัน”


“นี่ผมทำอะไรลงไป แล้วพวกเขาจะเป็นอะไรไหม” ระหว่างถามผมหันไปมองเหล่าปิศาจที่ล้มอยู่บนพื้น มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยืนอยู่แต่ก็มีไม่น้อยที่สลบ


“แรงกดดันของพลังปิศาจที่เจ้าปล่อยออกมามันเข้มข้นจนปิศาจปกติรับไม่ไหว ผลเลยเป็นแบบนั้น ให้พักหน่อยก็ฟื้นเอง” เตโชอธิบายให้ฟัง


“ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ต่อให้อธิบายให้ฟังแต่ด้วยความที่ผมนั้นค่อนข้างเข้าใจช้าเลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก


“สรุปง่ายๆ คือพลังของเจ้ามีมากเกินกว่าปิศาจปกติจะทนไหว”


“...หมายถึงปิศาจระดับสูง?” ผมเคยได้ยินเบียทรีซบอกก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผมจะผ่านช่วงเปลี่ยนถ่ายเลยกลายเป็นปิศาจระดับสูง ประมาณนั้น


“ใช่ พลังของปิศาจระดับสูงนั้นปิศาจระดับกลางลงไปต้านไม่ได้หรอกขนาดปิศาจระดับสูงอย่างข้ายังรับตรงๆ ไม่ไหวเลย ยิ่งเจ้ายังไม่สามารถควบคุมมันได้ด้วย” เตโชบอกพลางใช้ดวงตาสีเทาจับจ้องมาที่ผม


“...ทำไมผมถึงมีพลังระดับนั้นได้กัน”


“เพราะสายเลือดของชารอนละมั้ง”


“คุณก็รู้จักแม่ผมด้วยเหรอ” ผมถามกลับด้วยความสงสัย


“ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชารอนหรอก ปิศาจที่อยู่เคียงข้างองค์ราชามาตั้งแต่ก่อนขึ้นปกครองโลกปิศาจ ด้วยพลังอันมหาศาลอันหาใครเปรียบทำให้เธออยู่สูงยิ่งกว่าใคร มีเพียงราชาที่ชารอนยอมฟังคำสั่งเท่านั้น”


“...ผมไม่ได้เป็นเหมือนคุณแม่” ผมบอกเสียงเบา ต่อให้สืบเชื้อสายแต่ผมคงไม่สามารถทำได้แบบนั้น


“ไม่มีใครบอกให้เจ้าต้องเป็นชารอน พลังนี้เป็นของเจ้า จะเลือกใช้ยังไงก็อยู่ที่ตัวเจ้าเอง” เตโชพูดต่อ


“คุณจงใจโจมตีเพื่อให้ผมแสดงพลังออกมาใช่ไหม” นี่เป็นคำตอบเดียวที่คิดได้หลังจากได้ฟังหลายๆ อย่าง


“ประมาณนั้น ต้องขอโทษด้วยอาจทำให้ท่านบาดเจ็บ พลังที่ปลดปล่อยออกมาตอนช่วงเปลี่ยนถ่ายพวกข้าทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง เพียงแค่ข้าอยากรู้ว่าท่านจะสามารถควบคุมพลังนั่นได้หรือไม่”


“ผมควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช้ยังไง” มันเหมือนผมแสดงออกมาเพราะต้องการเอาชีวิตรอด ถ้าให้ทำอีกรอบคงไม่ได้แล้ว


“การควบคุมพลังนั้นทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ไม่สามารถสอนให้กันได้”


“แบบนั้นผมก็แย่สิ” ถ้าสอนไม่ได้แล้วผมจะทำยังไงต่อไปได้ล่ะ


“ท่านยังอายุน้อยนัก ประสบการณ์จะช่วยให้ท่านควบคุมพลังของตนเองได้ในสักวัน”


“ในสักวันนี่นานแค่ไหนกัน”


“อาจจะร้อยหรือสองร้อยปี” คำพูดของเตโชทำเอาตาผมแทบจะถลนออกมานอกแว่นตา


“นานไปนะ”


“สำหรับปิศาจแล้วมันไม่นานหรอก ว่าแต่เลย 11 โมงมาแล้ว ท่านควรรีบกลับไปก่อนองค์ราชาจะมาตามด้วยตนเอง” ประโยคของเตโชทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมอยู่ฝึกซ้อมนานเกินกว่าเวลาที่กำหนดแล้วเบียทรีซลงมาตามด้วยตัวเอง แถมยังให้สายตาคมกริบมองมาราวกับผมทำผิดสถานหนัก


“ทำไมถึงชอบบังคับผมนักนะ” ได้ทีผมขอบ่นหน่อยเถอะ ต้องมาไม่เกินเท่านี้ ห้ามไปไหนโดยไม่บอกและอื่นๆ อีกมากมายจนผมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย


“เพราะท่านพิเศษ”


“พิเศษ?” หมายถึงน่าแกล้งเป็นพิเศษ?


“องค์ราชาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่มีท่านเข้ามาอยู่ที่นี่ ข้า...ไม่สิ...ต้องบอกว่าปิศาจทุกคนสัมผัสถึงบรรยากาศที่อ่อนลงกว่าแต่เดิมมาก ทั้งหมดเป็นเพราะมีท่านอยู่ข้างกายองค์ราชา” เตโชบอกระหว่างเดินไปหยิบดาบที่ปลิวไปไกล


“อาจไม่ใช่เพราะผมก็ได้”


“แค่มองก็รู้แล้ว ท่านวิณณ์...โปรดอย่าโกรธเคืองกับการกระทำขององค์ราชาเลย ด้วยฐานะและตำแหน่งที่แบกรับทำให้ทุกสิ่งที่ต้องการนั้นต้องมาอยู่ในมือ เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่นที่ชอบมาอยู่ในมือตลอด พอให้ออกห่างก็ห่วง พอมีใครเข้าใกล้ก็หวง เป็นกังวลว่าสักวันของที่ชอบนั่นจะหายไป” คำอธิบายของเตโชผมฟังจนจบและพยายามคิดตามแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี


สรุปคือผมเป็นของเล่นของเบียทรีซ?


ผมพาตัวเองขึ้นมาจนถึงห้องทำงานของเบียทรีซ การที่ภายในห้องว่างเปล่าทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะทุกครั้งที่ผมเปิดประตูเข้ามาจะเห็นเบียทรีซนั่งอยู่เสมอ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่รู้จะออกไปตามหรือหาที่ไหนจึงตัดสินใจนั่งคอยบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง


เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมนั้นไม่ใช่แค่เข้มขึ้นอย่างเดียวแต่ยังยาวประบ่าสร้างความรำคาญให้ผมมากตั้งแต่การกินข้าวที่พอก้มลงแล้วปลายผมก็มักจะจุ่มลงไปในจานทุกครั้งไป แถมตอนฝึกต่อสู้กับเตโชยังมีหลายครั้งปิดตาผมจนมองไม่เห็น


“ขอตัดคงได้มั้ง” ผมมองปลายผมตัวเองขณะพูด ในเมื่อมันเกะกะการจะตัดให้สั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับผมการไว้ผมซอยให้อยู่เหนือไหล่มันคล่องตัวกว่า ไม่ได้สั้นจนเกรียนแต่ยาวให้พอดีกับการใช้ชีวิต...ล่ะนะ


ระหว่างตัดสินใจผมมองหากรรไกรมาตัดผมแต่ไม่เจอเลยสักอัน ในตอนนั้นเองที่ในหัวผุดขึ้นมาว่ามีอุปกรณ์สำหรับตัดติดตัวอยู่นี่นา มีดสั้นความยาวประมาณสองคืบอยู่ในฟักอย่างดีซึ่งได้รับมาจากเบียทรีซและถูกย้ำอยู่หลายล้านครั้งว่าให้ใช้อย่างระวังและอย่าให้บาดเจ็บ


ในเมื่อไม่มีกรรไกรก็ขอใช้มีดสั้นแทนละกัน


ยังไงผมก็ไม่ได้แคร์เรื่องทรงเท่าไหร่แค่สั้นในระดับพอเหมาะก็โอเคแล้ว มีดสั้นสีเงินหันปลายมีคมเข้าหาเส้นผมที่ถูกกำเอาไว้ลวกๆ แต่ด้วยความที่จังหวะของการรวบผมทำให้มือไปอยู่ข้างหลังผมเลยต้องพยายามหันหน้าไปมองแล้วใช้เพียงสัมผัสของมือกะว่าจะสามารถตัดผมได้ถูกที่ตามที่ตั้งใจรึเปล่า


แกร็ก!


“วิณณ์!” เสียงเรียกจากเบียทรีซที่เปิดประตูเข้ามานั้นทำเอาปลายมีดที่กำลังจะโดนเส้นผมถึงกับชะงัก


“กลับมาแล้วเหรอ...อ๊ะ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายจบประโยคอีกฝ่ายก็ก้าวยาวๆ มาตรงหน้าผมพร้อมดึงมีดในมือผมไปแถมยังทำหน้าโกรธๆ ด้วย


“คิดจะทำอะไรน่ะ”


“...ก็กำลังตัดผมไง” ผมตอบกลับตามจริง ท่าทางของผมนอกจากตัดผมแล้วยังมองเป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอ


“ตัดผม? ใครสอนให้ใช้มีดตัดผมตัวเองฮะวิณณ์!” เบียทรีซทำหน้างงยามได้ยินคำตอบผมก่อนจะบ่นออกมาระลอกใหญ่


“ก็มันไม่มีกรรไกร...”


“ถ้าข้าไม่เข้ามาสิ่งแรกที่มีดจะโดนไม่ใช่ผมแต่เป็นมือเจ้า”


“...ผมมองไม่เห็นนี่นา ทำไมต้องดุด้วย” ผมถามเสียงแผ่ว


“จะให้ข้าชมที่เจ้าเกือบจะตัดมือตัวเองขาดรึไง”


“...แต่ว่า...”


“ไม่มีแต่วิณณ์ เงียบแล้วฟังข้า นิสัยซุ่มซามของเจ้าน่ะช่วยรับรู้ถึงมันหน่อยเถอะแค่ถือดินสอก็ยังทำตัวเองบาดเจ็บได้เลยแต่นี่เป็นมีดนะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้ระวังอย่าให้ตัวเองบากเจ็บ...นี่เจ้ายิ้มอะไรน่ะ” คำบ่นมากมายหยุดลงกลางครันเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมเผยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ


“คุณเป็นห่วงผมด้วย”


“...อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ข้ากำลังบ่นเจ้าอยู่”


“ผมไม่ได้เปลี่ยนสักหน่อย จริงอยู่คุณบ่นอยู่แต่ผมรู้ว่าคำบ่นนั้นเป็นเพราะคุณเป็นห่วงกลัวว่าผมจะบาดเจ็บ ใช่ไหมล่ะ” ผมถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“คิดเองเออเอง”


“ขอบคุณนะเบียทรีซที่เป็นห่วงผมขนาดนี้”


“ข้าบอกว่าเป็นห่วงเจ้าตอนไหนกัน” อีกฝ่ายยังคงปากแข็งทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างทุกครั้งซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ


“ไม่ต้องบอกผมก็รู้” ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นห่วงเพราะไม่ว่าจะเป็นการกระทำคือความหมายของประโยคมันสื่อออกมาอย่างชัดเจน ขนาดผมที่เข้าใจยากยังรับรู้ถึงความห่วงใยนั้นได้เลย


“...ชิ” เบียทรีซเลิกต่อการสนทนาเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานตัวเองตามเดิม


“จะว่าไป คุณไปไหนมาเหรอ”


“ประชุม”


“อ้อ...นี่เบียทรีซ”


“อะไร”


“ผมอยากตัดผม ได้รึเปล่า” ผมถามต่อ


“มาถามข้าทำไม ผมเจ้าเองนี่” อีกฝ่ายหันมามองผมระหว่างถาม


“ก็อยากขอความเห็นหน่อย ผมไม่ชอบเวลาที่เส้นผมมันยาวเลยบ่ามามันรู้สึกรำคาญน่ะ ปกติผมจะไว้สั้นประบ่าประมาณนี้” ผมใช้มือบอกระดับผมที่ไว้ประจำ


“แล้วแต่เจ้าสิ”


“แล้วเบียทรีซชอบแบบไหน ยาวแบบนี้หรือสั้นหน่อย” ผมถามพลางก้าวไปหาเบียทรีซที่เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อยหลังได้ยินผมพูดจบประโยค


“...ถ้าข้าบอกว่าชอบแบบนี้เจ้าจะไม่ตัดรึไง”


“อืม...ถ้าเบียทรีซชอบผมจะทำตาม” ปกติผมเป็นคนคิดเองว่าจะตัดทรงไหน ไม่มีใครคอยมาบอกว่าเหมาะหรือดีรึเปล่า แต่ตอนนี้มีเบียทรีซอยู่ถ้าเขาเห็นว่าผมไว้แบบนี้แล้วเหมาะกว่าผมก็ไม่ขัดอะไรแค่ต้องทำตัวให้ชินแค่นั้นเอง


“เจ้า...รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”


“ฮะ? ก็ถามว่าเบียทรีซชอบ อ๊ะ!” เป็นอีกครั้งที่ผมยังเอ่ยไม่จบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายคว้าแขนพร้อมออกแรงดึงจนขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเบียทรีซในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน


“ถ้าพูดโดยไม่รู้ความหมายแปลว่าเจ้า...นิสัยแย่นะวิณณ์”


“ฮะ?” ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่าฮะไปกี่รอบแต่ผมในตอนนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อสักนิดเดียว


“ถามว่าข้าชอบแบบไหนใช่ไหม” อีกฝ่ายกระซิบถาม


“...อืม” ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ


อยู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะอย่างงั้น


“ข้าชอบทุกแบบที่เป็นเจ้า” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซสอดประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมคล้ายกำลังสื่อความนัยบางอย่าง จังหวะของหัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นและเร็วมากเข้าไปอีกยามริมฝีปากนั้นแนบสนิทลงมาโดยไม่บอกกล่าว


ภายในหัวขาวโพลนทว่าหัวใจกลับเต้นถี่เร็วขึ้น ความร้อนจากทั่วทุกส่วนของร่างกายมาหลอมรวมอยู่บริเวณใบหน้า ต่อให้มองไม่เห็นหน้าตัวเองผมก็มั่นใจว่าหน้าผมตอนนี้กำลังเห่อแดงแบบสุดๆ ครั้งก่อนอยู่ๆ ก็ถูกจูบ...ครั้งนี้ก็ถูกจูบอีก


ถ้าถามว่าชินรึยังตอบได้เลยว่าไม่


ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดคล้ายกำลังจีบสาวอยู่นั่นคืออะไร แค่ใบหน้าหล่อเหลาก็เรียกว่ากินขาดแล้วแต่ตอนนี้ต้องเพิ่มเจ้าคารมเข้าไปอีก เชื่อเถอะว่าถ้าใครมาอยู่ในเหตุการณ์แบบเดียวกับผมต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องมีใจเต้นกันเป็นธรรมดา


ริมฝีปากที่แนบลงมานั้นบดเบียดเข้ามามากขึ้นในขณะที่ผมได้แต่เบิกตากว้างผ่านเลนส์แว่นด้วยความตกใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นทุบเข้าบริเวณแผ่นอกของอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี แน่นอนว่าผมในสภาพนี้นอกจากจะไม่มีกำลังมากพอที่จะหยุดแล้วยังถูกอีกฝ่ายจับปลายคางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบนั้นมากกว่าเดิม ปลายลิ้นของเบียทรีซพยายามจะล่วงล้ำเข้ามาทว่าผมเม้มปากแน่นพลางขยับตัวหนี


“อื้อ!...แฮ่ก ทำอะไรของคุณน่ะ” ผลจากความพยายามในที่สุดริมฝีปากผมก็สามารถเป็นอิสระได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมเงยขึ้นไปสบอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง โดนฉวยโอกาสเป็นครั้งที่สองผมคงจะยอมปล่อยไปได้หรอก


“นั่นเป็นข้าที่ต้องถามมากว่า”


“ทำไมถึงเป็นคุณที่ต้องถาม?” ผมสิที่ต้องถาม!


“เจ้านั่นแหละทำอะไร เม้มปากแน่นขนาดนั้นข้าก็จูบไม่ได้น่ะสิ”


“ที่เม้มปากแน่นก็เพราะไม่อยากให้จูบนั่นแหละ จูบผู้ชายด้วยกันรู้สึกดีรึไง”


“ก็ดีกว่าที่คิด อีกอย่างมันยังไม่เรียกว่าจูบ” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง


“ผมรู้น่า” แต่ยังไงสำหรับผมมันก็เรียกว่าจูบอยู่ดี


“เจ้ารู้? เคยจูบเหรอ”


“...ผมอยู่มาตั้ง 30 ปีมันก็มีบ้างสิ” ถึงจะอายที่ต้องมาบอกคนอื่นก็ตามที ความเงียบที่ตามมาหลังผมพูดจบเรียกให้ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่บัดนี้นอกจากจะขมวดคิ้วแน่นแล้วยังจ้องมาทางผมด้วยความไม่พอใจอีก


“เป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาดแท้ๆ มันยังเร็วไปสำหรับเจ้า ริอาจไปลองจูบแบบนี้น่าลงโทษนักวิณณ์” ขนทั้งร่างลุกตั้งชันเมื่อได้ยินคำพูดของเบียทรีซ


“...สำหรับมนุษย์มันไม่เรียกว่าเร็วหรอกนะ” อีกอย่างกว่าผมจะได้ลองจูบแรกก็อยู่ตั้งมหาลัยปี 3 เข้าไปแล้ว


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์”


“สุดท้ายก็วกมาเรื่องนี้?” ไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วที่พูดเรื่องนี้กัน ต่อให้ผมมีสายเลือดของปิศาจอยู่แต่ผมก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่ดี


“ฮึ้ย! เรื่องตอนเป็นทารกนั่นช่างมันก็ได้แต่จากนี้ห้ามเจ้าไปจูบใครอีก เข้าใจนะ”


“...ทำไมต้องห้ามผมเรื่องนี้ด้วย” เรื่องอื่นอย่างห้ามออกไปไหนคนเดียวหรือต้องมาตรงเวลายังพอเข้าใจแต่นี่มันเรื่องจูบ?


“ทำไม เจ้าอยากไปจูบใครรึไงวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซต่ำลงทันทีที่ได้ยิน


“เปล่า แค่ผมไม่เข้าใจเฉยๆ” เรื่องจูบมันเป็นเหมือนเรื่องส่วนตัวจะมาห้ามแบบนี้มันออกจะแปลก


“เจ้ายังไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”


“...ทีคุณเองยังจูบผมเลย” ถ้าห้ามไม่ให้ไปจูบใครคนแรกที่ควรห้ามก็ต้องเป็นเขานั่นแหละ


“ข้าเป็นข้อยกเว้น”


“ฮะ?” มีการยกเว้นตัวเองด้วย?


“ถ้าเข้าใจแล้วก็เลิกถาม”


“ผมยังไม่เข้าใจ...”


“งั้นก็ไม่ต้องเข้าใจต่อไปละกัน”


“...” ผมเงียบพลางขมวดคิ้วแน่นมองเบียทรีซที่จ้องผมกลับมาเช่นเดียวกัน


รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งเลย


“ถ้าเจ้ารำคาญก็ตัดให้สั้นหน่อย” มองกันอยู่สักพักใหญ่เบียทรีซจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน


“...หมายถึงผม?”


“แล้วยังหมายถึงอย่างอื่นได้อีกรึไง ประมาณนี้ก็พอ” เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกอีกฝ่ายสัมผัสเพื่อบอกความยาวที่เหมาะสม


“สั้นอีกนิดก็ได้นะ” ผมบอกเพราะจากบริเวณมือที่แตะโดนมันอยู่เกือบถึงไหล่ ทรงผมของเบียทรีซเองอยู่ในระดับที่ยาวกว่าผมหน่อย


“สไลด์ลงมาให้ยาวสุดอยู่ตรงนี้”  เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“แบบนั้นก็ได้” ผมพยักหน้าตกลง เรื่องทรงผมพวกนี้ผมไม่ค่อยรู้หรอก


“ดี งั้นไปนั่งที่เก้าอี้นิ่งๆ ”


“คุณจะตัดให้?” ผมเอ่ยถามระหว่างเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง


“ดีกว่าให้เจ้าใช้มีดปาดคอตัวเองละกัน” อีกฝ่ายบอกพลางหยิบกรรไกรในลิ้นชักเดินมาหา


เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกเบียทรีซหวีสักพักแล้วจึงเริ่มลงมือตัดโดยเริ่มจากด้านหน้าที่สไลด์สั้นๆ ต่างจากด้านหลังที่ซอยระไปกับต้นคอ ผมทำเพียงนั่งอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายตัดเล็มกินเวลาไปสักใหญ่ผมทรงใหม่ก็เสร็จสิ้น


“คุณเหมาะจะเป็นช่างตัดผมนะเนี่ย” ผมสะบัดเส้นผมสีน้ำตาลแดงไปมา พอตัดสั้นลงหน่อยแล้วรู้สึกเบาสบายกว่าเดิมเยอะเลย


“หึ เลิกหมุนตัวแล้วเริ่มทำงานสักที”


“อืม”


หลายวันผ่านไปการมีทรงผมใหม่นั้นช่วยให้การเคลื่อนไหวผมดีขึ้นเยอะแถมยังเพิ่มความมั่นใจให้อีก ทั้งแกรน ทั้งเตโชรวมไปถึงกาเนอร์ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทรงนี้เหมาะกับผมมาก พอผมบอกต่อว่าเบียทรีซเป็นคนตัดให้ก็ได้เห็นปิศาจระดับแนวหน้าทำตาโตกันเป็นแถว พวกเขาบอกว่าเบียทรีซไม่เคยตัดผมให้ใครมาก่อนซึ่งผมก็เชื่อแบบนั้น ระดับราชาของโลกปิศาจจะไปตัดผมให้ใครได้มีแต่จะให้คนอื่นมาตัดให้ซะมากกว่า


วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสเหมาะแก่การออกไปข้างนอกมาก ผมแอบมองท้องฟ้าผ่านทางกระจกหน้าต่างในห้องทำงานซึ่งตอนนี้ผมอยู่คนเดียวในห้องเนื่องจากเบียทรีซออกไปประชุม ท่าทางเร่งรีบแบบนั้นผมเลยไม่กล้ารั้งไว้แม้วันนี้ผมจะอยากกลับไปบ้านสักหน่อย


ระหว่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อยผมก็เหลือบไปเห็นชายผมสีทองเข้มซอยสั้นเดินอยู่ระเบียงด้านล่างสุดของปราสาท ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวพร้อมกับสองขาที่วิ่งออกจากห้องไปในทันที เดาจากทิศที่อีกฝ่ายเดินไปคงเป็นหน้าปราสาทผมเลยลงไปดักรออยู่หน้าประตูซึ่งก็เป็นไปตามคาดปิศาจระดับสูงในคราบของนักธุรกิจระดับโลกอย่างจาร์ม สก๊อตเดินออกมาจากประตู พอเห็นผมยืนมองอยู่ก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวทักทาย


“สวัสดีสก๊อต” ผมปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายที่เริ่มขมวดคิ้วมองมา


“สวัสดีท่านวิณณ์ ไม่ได้เจอกันนานเลย” อีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มเทพบุตร


“นั่นสิ ครึ่งปีได้มั้ง” เมื่อครึ่งปีก่อนผมมีโอกาสได้เจอกับสก๊อตในห้องทำงานของเบียทรีซ เห็นว่ามารายงานผลอะไรสักอย่างให้ฟังนี่แหละ


“มีเรื่องอะไรรึเปล่า” คุยกันแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าจะรู้เร็วขนาดนี้


“คือผม...มีเรื่องอยากขอร้องหน่อยน่ะครับ”


“ขอร้องข้า?” สก๊อตทำหน้าแปลกใจ


“ใช่ครับ ผมรู้ว่ามันค่อนข้างรบกวนและเอาแต่ใจไปสักหน่อยแต่นอกจากคุณผมก็ไม่รู้จะไปขอร้องใคร”


“...ลองบอกมาก่อน”


“ช่วยเปิดทางเชื่อมมิติไปบ้านผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ผมเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป


“ลืมของไว้?” สก๊อตถามต่อ


“เปล่าครับ คือวันนี้เป็นวันครอบรอบวันตายของคุณแม่ผมเลยอยากไปไหว้หลุมศพ ขอร้องล่ะครับ” ความจริงผมควรจะกลับไปวันตรุษจีนด้วยแต่ช่วงนั้นผมนอนซมเพราะช่วงเปลี่ยนถ่ายไปเป็นอาทิตย์


ไหนๆ วันนี้สภาพร่างกายผมก็พร้อมเลยอยากกลับไปไหว้


“เจ้าน่ะ...แปลกจริงๆ นะ” เงียบไปสักพักสก๊อตก็พึมพำออกมา สายตาที่ใช้มองผมดูอ่อนลงกว่าแต่ก่อน


“ครับ?” แปลกยังไง


“แค่สั่งว่าให้เปิดทางเชื่อมไปโลกมนุษย์ก็พอแล้วแท้ๆ”


“สั่ง? ไม่ๆ ๆ คือผมจะสั่งคุณได้ยังไงกัน” ผมส่ายหน้ารัวๆ แค่คิดยังไม่เคยเลย


“ด้วยฐานะของเจ้าไม่จำเป็นต้องมาขอร้องด้วยซ้ำ”


“ฐานะ...” ของผมเหรอ


“ท่านเบียทรีซยังไม่ได้บอกอะไรกับเจ้าเลย?”


“...บอกอะไรครับ” อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้างงๆ ของผม


“เอาเถอะ เรื่องเปิดทางเชื่อมข้าไม่มีปัญหา แต่เจ้าควรไปบอกท่านเบียทรีซก่อน ขืนอยู่ๆ เจ้าหายไปเดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี”


“เบียทรีซกำลังประชุมอยู่ผมไม่อยากเข้าไปขัด เห็นว่าจะประชุมประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะงั้นผมจะกลับมาให้ทันก่อนจะเลิกประชุม” ผมบอกสก๊อตไปตามตรง ถ้ากลับมาทันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


“เจ้าดูถูกองค์ราชาของพวกเราเกินไปแล้ว ถ้าสัมผัสถึงตัวตนเจ้าไม่ได้ต่อให้ประชุมหรือติดธุระสำคัญขนาดไหนก็ไม่เกี่ยว ตัวตนของเจ้าสำหรับท่านเบียทรีซน่ะยิ่งใหญ่มากนะรู้รึเปล่า”


“...ผมจะไปแค่แป๊บเดียว”


“นี่เจ้าไม่ได้ฟังข้าเลยสินะ”


“ผมฟังอยู่ แต่ผมรอจนเบียทรีซเลิกไม่ได้มันจะเย็นไป เพราะงั้นผมขอร้องล่ะครับ”


“จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านเบียทรีซหาเจ้าไม่เจอข้าไม่รู้ด้วยนะ” อีกฝ่ายพูดต่อ


“ครับ?” หมายถึงเบียทรีซจะบ่นผมน่ะเหรอ


“ข้าจะเปิดทางเชื่อมให้” พูดจบสก๊อตก็ผายมือออกไปด้านข้างพร้อมพลังปิศาจที่หลั่งไหลออกมาผ่านทางปลายนิ้วทั้งห้า มิติโดยรอบเกิดอาการมิดเบี้ยวและแยกออกกว้างเป็นรูปประตู


“ขอบคุณนะครับ แล้ว...”


“ให้เวลาสามชั่วโมงข้าจะเปิดทางเชื่อมให้เจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบประโยคสก๊อตก็สามารถเข้าใจคำถามผมได้ในทันที



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 3/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-02-2019 14:17:24
(ต่อนะคะ)


ผมผงกหัวขอบคุณอีกรอบก่อนจะก้าวขาเข้าไปในทางเชื่อมที่เปิดรอไว้ ด้านในยังคงเป็นบรรยากาศอันน่าพิศวงไม่เปลี่ยน ก้าวเดินไปไม่นานแสงสว่างจากทางออกก็เด่นชัดขึ้น สถานที่ที่ผมก้าวออกมาคือสวนในบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมากว่า 1 ปี ผมทำใจไว้แล้วว่าหญ้าต้องขึ้นสูงชนิดที่ต้องใช้มือแหวกทว่าภาพสวนตรงหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นความยาวของหญ้าในสนาม พุ่มไม้บริเวณรั้วหรือแม้แต่ตัวบ้านที่ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลยสักนิดเดียว


“...เกิดอะไรขึ้น?” หรือจะมีโจรเข้ามา


แต่ถ้าเป็นโจรจริงคงไม่มานั่งถางหญ้าตัดพุ่มไม้ให้หรอกนะ ยิ่งทำความสะอาดบ้านทั้งหลังยิ่งไม่มีทาง แสดงว่าต้องมีใครสักคนมาทำความสะอาดให้สม่ำเสมอ และหากนึกถึงคนที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้ก็คงไม่พ้น...เบียทรีซ


อยากจะละลึกความหลังในการกลับมาครั้งนี้อยู่หรอกแต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดอยู่แค่สามชั่วโมงเลยจำเป็นต้องรีบหน่อย ที่แขวนกุญแจรถหน้าประตูยังอยู่เหมือนเดิมแถมลมยางรถยังเหมือนเพิ่งเติมมาใหม่ๆ นั่นทำให้ผมทุ่นเวลาในการจัดการไปได้เยอะเลย


รถยนต์คันสีขาวอันแสนคิดถึงแล่นไปตามถนนสายหลักด้วยความไม่คุ้นชินนัก เหมือนผมไปอยู่ต่างเมืองมาซะนานพอกลับมาบ้านเกิดอีกครั้งเลยจำพวกถนนเส้นทางไม่ค่อยได้ บวกกับความเอ๋อที่มีมาแต่เดิมพอนึกจะออกว่าต้องเลี้ยวก็ดันขับผ่านสี่แยกไปซะแล้ว กว่าจะวนรถกลับมาเสียเวลาไปหลายสิบนาทีเลย


สถานที่แรกที่ผมไปยังไม่ใช่หลุมศพแต่เป็นห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของสำหรับไหว้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะขับตรงไปยังหลุมศพซึ่งอยู่เกือบนอกตัวเมือง บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสุสานของชาวจีนตั้งอยู่จำนวนมาก พ่อของผมมีเชื้อสายจีนจึงได้ฝังแม่พร้อมสั่งเสียไว้ว่าหากไม่อยู่แล้วก็ให้ฝังไว้ข้างๆ คุณแม่


อาหารง่ายๆ ที่ผมพอจะหาซื้อมาไหว้ได้ก็เป็นพวกอาหารปรุงสำเร็จกับกระถางธูปและน้ำสะอาดรวมไปถึงดอกไม้ การซื้อของครั้งนี้เรียกว่าแตกต่างกับครั้งก่อนมาก หากเลือกได้ผมอยากจะทำทำอาหารสำหรับไหว้เองมากกว่าซื้อ ที่สำคัญคือตั้งแต่ลงจากรถ เดินเลือกของไปจนถึงจ่ายเงินล้วนถูกสายตาจับจ้องมาจนเกร็งตัวไปหมด ไม่รู้ว่าผมเผลอทำอะไรเป๋อเหรอไปรึเปล่าถึงได้มองกันขนาดนั้น


ก่อนจะไหว้ผมจัดการปัดกวาดเช็ดถูโดยรอบให้สะอาดแล้วค่อยวางพวกอาหารไว้ด้านหน้าป้ายชื่อพร้อมจุดธูปเรียกตามความเคยชินในทุกๆ ครั้งที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้


“ผมขอโทษที่ปีนี้ไม่ได้มาไหว้วันตรุษจีนนะครับ คุณแม่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าตอนนี้ผมไปอยู่ที่โลกปิศาจกับเบียทรีซ ถ้าคุณแม่ยังอยู่คงจะอธิบายให้ผมฟังได้เข้าใจง่ายกว่าแน่ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ตอนนี้ถึงจะไม่มีคุณพ่อคุณแม่แต่ผมยังมีคนที่สามารถเรียกว่าเป็นครอบครัวได้ ถึงเขาจะเป็นถึงราชาก็ตาม...” ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ตอนได้พบเบียทรีซมาจนถึงการใช้ชีวิตในตอนนี้ระหว่างรอธูปดับ เหมือนเป็นการพูดคุยกันระหว่างกินมื้ออาหารคงไม่ผิดนักหรอก


กว่าธูปจะมอดและดับลงก็กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เล่าเรื่องทุกอย่างจบลงพอดี ระหว่างจัดเก็บของให้เรียบร้อยสัมผัสแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังและพอหันไปมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมก็ต้องเบิกกว้าเมื่อเห็นทางเชื่อมมิติปรากฎขึ้น


ถ้าแค่ทางเชื่อมมิติยังไม่เท่าไหร่แต่ร่างสูงอันคุ้นเคยที่ก้าวออกมาพร้อมกับใบหน้านิ่งๆ ดวงตาสีทองสว่างฉายแววหงุดหงิดปนโมโห ตรงหน้าผมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากราชาของโลกปิศาจเบียทรีซ


“เบียทรีซ...”


“เจ้าจะทำให้ข้ากังวลขนาดไหนถึงจะพอใจฮะวิณณ์!” เสียงตะโกนมาพร้อมกับวงแขนที่กอดรัดร่างผมจนแน่น มันไม่ใช่เพียงไออุ่นที่แผ่มาแต่ผมสัมผัสได้ถึงความว้าวุ่นและหงุดหงิดจากเบียทรีซผ่านทางอ้อมกอด


“...ประชุมเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามเสียงเบา


“ช่างเรื่องประชุมเถอะ ทำไมถึงแอบมานี่โดยไม่บอกข้ากัน” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น


“ก็วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณแม่...”


“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าแอบมาโดยไม่บอกข้า” เบียทรีซพูดแทรก


“เอ่อ...ผมจะขอมาตอนสายๆ แต่คุณต้องรีบไปประชุมผมเลยไม่กล้าขัด ระหว่างคิดก็เจอสก๊อตพอดีเลย...”


“ให้สก๊อตเปิดทางเชื่อมแล้วแอบมาโดยไม่บอกข้า” อีกฝ่ายต่อประโยคที่ผมยังพูดไม่จบ


“...ขอโทษนะ” พอได้ยินเสียงของอีกฝ่ายผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา ทำให้เบียทรีซกังวลและเป็นห่วงขนาดนี้


“รู้ไหมว่าตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่”


“...ไม่รู้”


“ข้ากำลังคิดว่าจะซื้อโซ่สีอะไรมาล่ามเจ้าไว้ดี”


“ผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ” ผมผลักให้ตัวเองออกมาจากอ้อมกอดนั้นแล้วมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ


“ถ้าเจ้ายังกล้าไปไหนโดยไม่บอกข้าอีก เตรียมบอกสีที่ชอบมาได้เลย” เบียทรีซกดเสียงต่ำแสดงถึงความเอาจริงผ่านทางน้ำเสียง


“แต่ถ้าคุณกำลังยุ่ง...”


“จะยุ่งขนาดไหนก็ช่าง เรื่องของเจ้าสำคัญที่สุดสำหรับข้าวิณณ์”


“...เบียทรีซ” หัวใจอยู่ๆ ก็เต้นเร็วขึ้นยามได้ประโยคนั้น นี่ผมใจเต้นไปกี่ครั้งแล้วนะตั้งแต่มาอยู่กับเบียทรีซ


สาเหตุของอาการใจเต้นมันคงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่มีอะไรที่มากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ต่างออกไปจากทุกคนในชีวิตที่ผมเคยเจอมา


“สัญญากับข้าว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย” แม้น้ำเสียงจะดูเหมือนเป็นคำสั่งทว่าสายตาที่จับจ้องมานั้นมันแฝงไปด้วยการร้องขอ


“อืม ผมสัญญา...ถ้าจะไปไหนจะบอกคุณก่อน” ผมเอ่ยคำสัญญาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ดี...รู้ใช่ไหมว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกจะเป็นยังไง”


“...จะซื้อโซ่มาล่าม” ผมตอบเสียงแผ่วเบา เป็นโทษที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย


“ตามนั้น ว่าแต่เสร็จแล้ว?” เบียทรีซถามพลางมองไปยังหลุมศพด้านหลังผม คงจะหมายถึงไหว้พอกับแม่เสร็จแล้วรึยังผมเข้าใจถูกไหมนะ


“อืม เหลือแค่เก็บกวาดอีกนิดหน่อย โอ๊ะ...ไหนๆ คุณก็มาแล้วจุดธูปไหว้ด้วยสิ” บอกเสร็จผมก็จัดการเตรียมธูปแล้วยื่นส่งให้เบียทรีซที่มองมายังธูปงงๆ


“...ข้าต้องทำอะไร” เขาคงพยายามคิดว่าจะต้องทำอะไรกับธูปแต่เพราะไม่เคยได้ทำมาก่อนเลยไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด


“ก็ไม่อยากแค่ถือธูปแล้วก็ไหว้ ระหว่างนั้นก็พูดคุยอะไรก็ได้”


“แล้วเจ้าพูดอะไร”


“ผมเล่าเรื่องตั้งแต่เจอเบียทรีซให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟังน่ะ” ผมตอบไปโดยไม่ปิดบัง


“ฮืม ในเมื่อเจ้าเกริ่นแล้วข้าก็มาสู่ขอเลยละกัน”


“ฮะ?” สู่ขอ?


หมายถึงอะไร


อยากจะถามแต่ผมก็เลือกที่จะเงียบมองดูแผ่นหลังของเบียทรีซที่ก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องไปยังป้ายชื่อทั้งสองนิ่งๆ โดยไม่มีคำพูดใดๆ คล้ายกำลังถ่ายถอดหลายๆ อย่างภายในใจออกมาทางสายตา ทั้งที่อีกฝ่ายทำเพียงยืนนิ่งๆ แถมยังไม่มีคำพูดอะไรแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเขินขึ้นมา เหมือนกำลังถูกพูดถึงงั้นแหละ


เบียทรีซใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงยืนนิ่งโดยไร้ซึ่งคำพูดจนกระทั่งธูปในมือมอดดับลงพร้อมกับดวงตาที่ปิดลงเช่นกัน ผมมองการกระทำของเบียทรีซอย่างไม่เข้าใจ และในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปเรียกขาทั้งสองข้างกลับชะงักเพราะได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากเบียทรีซเข้าพอดี...


“ข้าจะดูแลวิณณ์เอง” นั่นคือคำพูดที่ผมได้ยิน


ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาแต่มันกลับส่งผลกระทบต่อจิตใจของผมอย่างรุนแรง คนที่สูญเสียครอบครัวไปจนหมดต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครเข้ามาห่วงหรือดูแลเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะงั้นพอได้ยินคำพูดของเบียทรีซผมเลยรู้สึกเหมือนน้ำตามันเอ่อไหลออกมา


“...” ผมไม่ได้พูดหรือบอกอะไรแต่เลือกที่จะใช้แขนสองข้างของตัวเองสวมกอดเบียทรีซจากด้านหลังส่งผ่านความรู้สึกตื้นตันภายในอกนี่ผ่านวงแขนที่กระชับแน่นขึ้น


“วิณณ์?” เบียทรีซคงจะงงที่จู่ๆ ก็ถูกผมสวมกอด


“...ขอบคุณนะเบียทรีซ” มีหลายคำอยากบอกแต่ผมสามารถเอ่ยออกไปได้แค่ประโยคเดียวเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงสะอื้นนี่


“เจ้า...เป็นอะไร”


“...” ดูเหมือนเบียทรีซจะรู้ว่าผมผิดปกติเลยถามมาแบบนี้ แน่นอนว่าผมส่ายหัวตอบกลับไป


“วิณณ์ ปล่อยข้า” เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะหันมาหาผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น


“...ผมไม่เป็นไร”


“ไม่เป็นที่ไหน เจ้าร้องไห้”


“ผมไม่ได้ร้อง”


“โกหกยังทำไม่เป็นก็ไม่ต้องพยายาม ร้องไห้ทำไม” ด้วยพละกำลังที่แตกต่างกันมากทำให้เบียทรีซหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ โดยผมพยายามซ่อนใบหน้านี่ด้วยการก้มลงแต่กับถูกอีกฝ่ายเชิดปลายคางขึ้นจนเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังสั่นระริกผ่านเลส์แว่นของผม


“...ผม...”


“ร้องไห้ทำไมวิณณ์” เบียทรีซถามซ้ำซึ่งครั้งนี้น้ำเสียงนั่นกลับอ่อนลงเหมือนใจผมในตอนนี้


“...ผมแค่ดีใจ”


“ดีใจ?”


“คุณบอกว่าจะดูแลผม”


“แค่นั้น?” เขาเหมือนจะสงสัยว่าแค่คำพูดนั้นถึงขนาดที่ผมต้องร้องไห้เลยเหรอ


“อืม...ผมไม่ได้รับความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว เหมือนได้มีครอบครัวกลับมาอีกครั้งก็เลยดีใจมากไปหน่อย แฮะๆ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ” ผมบอกพลางใช้มือปาดน้ำตาลวกๆ


“อย่าปาดแรงแบบนั้น แดงหมดแล้ว” ระหว่างพูดเบียทรีซก็ใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้


“เบีย...ทรีซ” ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นสั่ม


“อยู่นิ่งๆ”


“แต่...”


“ไม่มีแต่วิณณ์” ผมจำต้องเงียบแล้วยืนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ปกคลุมหัวใจ


เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ ผมและเบียทรีซนั่งรถกลับมาบ้านด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมต้องเอารถมาจอดเก็บที่บ้าน ตอนแรกผมบอกให้เบียทรีซกลับไปก่อนซึ่งดวงตาสีทองที่จ้องเขม็งมาก็แทนคำปฏิเสธจนผมไม่กล้าพูดอะไรอีก บริเวณสวนข้างตัวบ้านมีทางเชื่อมมิติถูกเปิดรอไว้ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราล่วงหน้า


“กลับกัน”


“เอ่อ...เดี๋ยวเบียทรีซ” ผมคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายไม่ให้ก้าวเข้าไป


“ลืมอะไรอีก”


“เปล่า...คือผมอยากค้างที่บ้านสักคืน...ได้รึเปล่า” ไม่ได้กลับมาตั้งนานผมอยากอยู่อีกสักพัก


“ตามใจเจ้าสิ สก๊อตปิดทางเชื่อม” ทันทีที่เบียทรีซพูดจบประโยคทางเชื่อมที่เปิดรออยู่ปิดลงทันที


หรือสก๊อตจะแอบอยู่แถวนี้?


“...แล้วคุณไม่กลับเหรอ”


“ไล่ข้า?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วถาม


“เปล่านะ ผมแค่สงสัย”


“เจ้านอนคนเดียวได้รึไง”


“...คิดว่าได้นะ” ถึงจะไม่ค่อยชินแต่คิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาอย่างมากก็แค่ไม่ได้นอน


“ข้าเคยบอกว่ายังไงจำได้ไหม” เบียทรีซถามต่อ


“บอกเรื่องไหน” บอกหลายเรื่องจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนกันแน่ที่กำลังพูดถึงอยู่


“การนอน”


“...จำไม่ได้” ใช้เวลาคิดสักพักใหญ่เลยแต่สุดท้ายก็ต้องส่ายหน้ากลับไป


“เดี๋ยวข้าจะสั่งให้กาเนอร์ใช้ปลาเป็นวัตถุดิบหลักสัก 200 ปีเผื่อความจำเจ้าจะดีขึ้นมาบ้าง”


“ถ้ากินติดกันนานขนาดนั้นผมได้กลายเป็นปลาพอดี” ให้กินปลาตลอด 200 ปีเนี่ยนะ


“หึ ถ้าเป็นจริงคงเป็นปลาที่ว่ายชนกระจกจนสลบ”


“อย่ามาดูถูกผมนะ”


“แล้วข้าดูผิดตรงไหน”


“อึก...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเพราะมันคงเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด


“ทำมื้อเย็นด้วย ข้าหิวแล้ว”


“เดี๋ยวสิ แล้วสรุปคุณเคยบอกผมว่าอะไรเหรอ”


ถ้ายังคาใจอยู่แบบนี้ผมไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี


“เจ้านอนคนเดียวได้แต่ข้าไม่ จบนะวิณณ์” พูดจบเบียทรีซก็ปล่อยผมยืนนิ่งอยู่ในสวนทั้งๆ แบบนั้น


ผมบอกว่าถ้าไม่รู้คงคาใจจนไม่เป็นอันทำอะไรแต่พอรู้แล้วก็ไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนกันนั่นแหละ กล้าพูดประโยคหน้าอายแบบนั้นออกมาได้ยังเบียทรีซ


ขนาดผมแค่ฟังยังอายแทนเลย


มื้อค่ำผ่านไปด้วยอาหารจานเดียวง่ายๆ ตกดึกผมและเบียทรีซล้มตัวนอนบนเตียงขนาด 6 ฟุตซึ่งถือว่าแคบมากเมื่อเทียบกับเตียงในห้องของเบียทรีซ


“แคบไหม” ผมหันไปถามท่ามกลางความมืด ดวงตาของปิศาจสามารถมองเห็นในความมืดได้แต่ด้วยความที่สายตาสั้นทำให้ความสามารถนั่นไร้ประโยชน์สำหรับผม


“แคบ”


“ผมขยับจนชิดขอบเตียงแล้วนะ”


“เดี๋ยวก็ตกหรอก มานี่” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซดึงตัวผมเข้าไปปะทะแผ่นอกแล้วโอบกอดทั้งร่างของผมไว้แน่นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตั้งตัวก่อน


“บะ...เบียทรีซ”


“อะไร”


“...ปล่อยผมได้ไหม” หัวใจเหมือนจะหลุดออกมาเลย


“ยังไม่ชิน?” อีกฝ่ายกระซิบถาม


“ใครจะชินได้กัน” ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็ไม่มีทีท่าที่ผมจะชินเวลาโดนกอด


“อีกสัก 500 ปีน่าจะชินมั้ง”


“...คุณคิดจะนอนกอดผมไปอีก 500 ปีเลยเหรอ” ผมถามเสียงเบา ไม่รู้ว่าตัวผมคาดหวังคำตอบแบบไหนหัวใจถึงได้เต้นรัวแบบนี้


“ใครบอก”


“ก็คุณบอกเองว่าอีก 500 ปีผมคงชิน” ประโยคนั่นไม่ได้แปลว่าแบบนั้นเหรอ


“อืม ข้าบอก แต่เจ้าพูดผิดไป ข้าไม่คิดจะกอดเจ้า 500 ปีหรอกนะ”


“หมายความว่ายังไง”


“ทั้งชีวิตต่างหากที่ข้าจะกอดเจ้าแบบนี้” เสียงกระซิบแม้จะแผ่วเบาแต่กลับเปี่ยมด้วยความจริงจังจนผมเผลอตอบรับโดยการขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น


“...” ทั้งชีวิตเหรอ สำหรับปิศาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนจินตนาการไม่ออกเลย


“เหมือนเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นครอบครัวสินะ” ไม่รู้ว่าเพราะผมเงียบไปหรืออะไรอีกฝ่ายจึงพูดต่อ


“อืม”


“แต่อยากบอกเจ้าไว้อย่างนึง”


“บอกอะไร” ผมถามกลับด้วยความอยากรู้


“ข้าจะเป็นมากกว่าครอบครัวของเจ้าอีกวิณณ์” คำพูดของเบียทรีซเป็นเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำและหมุนวนเวียนอยู่ภายในอกและตามเข้าไปจนถึงในความฝัน


หัวใจผมในตอนนี้กำลังถูกโอบอุ้มด้วยเส้นใยบางๆ จากเบียทรีซที่ทั้งเหนียวและแข็งแรงซึ่งผมคงไม่มีวันที่จะดึงมันออกไปได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยให้เส้นใยนั่นเกี่ยวพันหัวใจทั้งดวงจนไม่เหลือพื้นที่ใดๆ อีก

......................................................

มาต่อแล้วค่าา

บอกตามจริงว่านิสัยเป๋อ+เอ๋อ+ซุ่มซ่าม+น่ารักของวิณณ์เป็นคาแร็กเตอร์ที่เราไม่เคยแต่งมาก่อนจึงรู้สึกพิเศษมาก นอกจากพิเศษแล้วยังรู้สึกตลกหน่อยๆ ด้วย

ในส่วนของเบียทรีซเองตอนแรกวางไว้ว่าเป็นคนเอาแต่ใจและเผด็จการอยู่แล้ว

แต่พอแต่งไปแต่งมากทำไมกลายเป็นคนซึนได้ขนาดนี้นะ น่ารักเหลือเกิน

หากใครติดตามนิยายที่เราแต่ก็จะรู้แนวดีว่าเราไม่ใช่สายดราม่าแต่เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่อ่านสบายๆ

ดังนั้นหมดกังวลเรื่องดราม่ากันได้ค่ะแต่จะมีพวกฉากบีบอารมณ์เล็กๆ ให้ตื่นเต้นหน่อยๆ

เอาเป็นว่าขอฝากวิณณ์และเบียทรีซด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 3/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 03-02-2019 17:39:04
เขินอะแงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 3/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-02-2019 23:21:16
ขอกับแม่แล้ว รู้ยังว่าขอไปทำอะไร  :hao6:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 3/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-02-2019 23:53:54
รีบตามมาอย่างรวดเร็วเลยนะเบียทรีซ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่11:⊱ 3/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 04-02-2019 06:43:09
มาแบบหวานๆ โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย เบียทรีซ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-02-2019 17:01:29
⊰บงการ:วันที่12:⊱



“คุณว่าอะไรนะ” ผมเอ่ยถามพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเบียทรีซที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานหลังจากไปเข้าร่วมการประชุมตั้งแต่ช่วงสายของวัน กว่าจะกลับมาก็ปาเข้าไปเกือบ 3 ชั่วโมง สงสัยคงมีเรื่องหรือไม่ก็ปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่เพราะช่วงนี้อีกฝ่ายเข้าประชุมแทบทุกวัน


“ข้าบอกว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปประมาณ 4 วันข้าจะไม่อยู่” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงคล้ายจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย


“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายออกไปไหนเลย


“มีพวกน่ารำคาญบุกโจมตีทางชายแดนของโลกปิศาจน่ะสิ ไม่รู้จักจำกันซะเลย”


“คุณต้องไปด้วยตัวเอง?” นึกว่าราชาจะอยู่ในปราสาทคอยสั่งการณ์จากที่นี่ซะอีก


“ประมาณนั้น ถ้าข้าไปมันจะจบเร็วกว่า” อีกฝ่ายพูดต่อ


“แล้ว...อันตรายไหม”


“หึ...ห่วงข้ารึไงวิณณ์” เบียทรีซยกยิ้มพร้อมมองมาทางผม


“อืม ผมห่วงคุณ” ผมพยักหน้าตอบกลับไป


ไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกของตัวเองนี่นะ แค่ฟังคำว่าบุกโจมตีก็คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับการต่อสู้และอันตราย แบบนั้นจะห่วงก็คงไม่แปลก


“...มานี่วิณณ์” นิ่งไปสักพักอีกฝ่ายก็กวักมือเรียกให้ผมไปหา ความจริงผมไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ทว่ารู้ตัวอีกทีก็ก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนเรียกซะแล้ว


“มาแล้ว มีอะไร อ๊ะ!” เสียงร้องด้วยความตกใจของผมไม่ได้มาจากถูกดึงให้ไปอยู่บนตักเหมือนหลายวันก่อนแต่เป็นเพราะฝ่ามืออุ่นๆ ของเบียทรีซที่เอื้อมมาแตะแก้มซ้ายผมโดยไม่ทันตั้งตัว ฝ่ายนั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางมือแนบสนิทแล้วเกลี่ยเบาๆ ไปมา...น่าแปลกที่ผมกลับใจเต้นขึ้นมาซะอย่างงั้น


“เจ้าน่ะจะซื่อเกินไปแล้ว”


“...ฮืม?”


“รู้ไหมว่าคำตอบนั่นทำให้ข้าคิด”


“คิดอะไร” ผมกระพริบตาปริบๆ ระหว่างถามกลับ


“ฮึ...ไม่รู้สินะ”


“ฮะ?” อะไรคือไม่รู้ แล้วรอยยิ้มแปลกๆ นั่นคืออะไร


“ข้าจะจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


“คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น การรีบทำอะไรไม่ทำให้เกิดผลดีหรอกนะ” จากประสบการณ์ในการทำงานมาเกือบ 10 ปีผมกล้าพูดเลยว่าหากเราทำอะไรด้วยความเร่งรีบจะทำให้ความรอบคอบของเราลดลง ผลที่ตามมาคือเกิดความผิดพลาดขึ้น


“ใครบอกว่าไม่จำเป็นกัน”


“...คุณมีเหตุผลที่ต้องรีบเหรอ” หรือมีงานอื่นที่รอให้กลับมาทำอยู่


“จะนอนคนเดียวได้รึเปล่า”


“ฮะ? นอนได้สิ แค่ไม่กี่คืนผมนอนได้หรอกน่า” แม้จะตกใจไปบ้างกับคำถามแต่ผมก็ตอบกลับ เรื่องการนอนผมนอนคนเดียวมาหลายปีแล้วกับแค่ไม่กี่วันทำไมผมจะนอนไม่ได้ล่ะ


“ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าสักหน่อย”


“งั้นพูดถึงใคร” อยู่กันตรงนี้แค่ 2 คนถ้าไม่ได้พูดกับผมก็พูดกับตัวเองรึไง


“ตัวเอง ข้าจะนอนโดยไม่เจ้าอยู่ข้างๆ ได้รึเปล่า” น้ำเสียงของเบียทรีซไม่ได้ต่างไปจากเดิม เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่เขอะเขินแถมยังทำหน้าคิดหนักอีก ผิดกับผมที่บัดนี้อยากจะวิ่งไปเอาหัวจุ่มน้ำเพื่อลดอุณหภูมิบนใบหน้ายามได้ยินประโยคนั้นจริงๆ


“...นอนได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนคุณก็นอนคนเดียวมาตลอดนี่” ผมพยายามหาเรื่องต่อบทสนทนาเพราะไม่งั้นอีกฝ่ายต้องได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วขึ้นแน่ แบบนั้นมันน่าอายเกินกว่าจะรับไหว


“นั่นไม่นับ”


“ทำไมถึงไม่นับล่ะ”


“เพราะตอนนั้นข้ายังไม่มีเจ้า”


เคยเห็นคนเขินจนแทบระเบิดไหม ถ้าไม่เคยผมแนะนำให้มาดูหน้าผมในตอนนี้จะได้รู้เองว่าเป็นยังไง ขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังอาการหนักขนาดนี้ถ้าผู้หญิงได้ยินเข้าคงต้องเรียกรถพยาบาลมารอกันพอดี


“...มาหยอดผมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ”


“ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ต่อไปก็ไม่แน่นี่” รอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจทำเอาผมรีบเบนสายตาหนีทันที และผมก็ปิดฉากการสนทนานี้ด้วยความเงียบขืนต่อประโยคไปมากว่านี้อาจเป็นตัวผมเองที่ละลายไปซะก่อน


วันรุ่งขึ้นเบียทรีซตื่นเช้ากว่าปกติลงไปเตรียมการเดินทาง ผมเองก็ตามลงมาส่งด้วย ทั้งที่คิดว่าพวกเราลงมาเช้าแล้วทว่าเตโชพ่วงด้วยกองทัพจำนวนหลายพันคนยืนคอยอยู่ด้านหลัง ทางเชื่อมมิติดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่สก๊อตที่สร้างได้...มีปิศาจสองคนร่วมกันเปิดทางเชื่อมขนาดใหญ่ขึ้นมา


ก็ว่าอยู่ทำไมถึงใช้หลายคน เพราะว่ามีขนาดใหญ่มากนี่เอง


เบียทรีซสั่งการหลายๆ อย่างพร้อมตรวจดูความเรียบร้อย ระหว่างนั้นแกรนเดินออกมาจากด้านข้างตัวปราสาทพร้อมกองกำลังอีกส่วนหนึ่ง มองด้วยสายตาของผมปัญหานี่ต้องใหญ่มากพอดูถึงได้เตรียมกำลังไปมากขนาดนี้


ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีสินะ...เรื่องความไม่สงบเนี่ย


ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนั้นเลยเพราะถ้าเป็นผมการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในแต่ละวันล้วนดีกว่าการก่อความไม่สงบให้คนอื่นมาเดือนร้อนและเสี่ยงอันตรายไปด้วย การสูญเสียย่อมต้องมีซึ่งคงเป็นการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย สำหรับผมการก่อความไม่สงบนั้นไม่ได้เกิดผลดีเลย


“...เบียทรีซ” ผมเรียกพลางเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่กำลังทำหน้าเครียดมองปิศาจในทัพโดยรอบ


“อะไร”


“...ระวังตัวด้วยนะ” ใจจริงลึกๆ ผมอยากจะบอกว่าไม่ได้ไหม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา


“หยุดทำหน้าแบบนั้นวิณณ์” เบียทรีซหรี่ตาลงเล็กน้อยยามหันมามองหน้าผม


“หน้า?” ผมทำหน้าแบบไหนออกไปเหรอ


“เจ้าทำหน้ากังวลอยู่น่ะรู้ตัวรึเปล่า”


“...ไม่เห็นรู้เลย”


“คิดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด แต่ข้าก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ” รอยยิ้มมุมปากมาพร้อมกับฝ่ามือที่ขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมจนฟูฟ่อง


“เบียทรีซ...”


“ไม่ต้องห่วงข้าจะรีบจัดการแล้วจะรีบกลับมา”


“ค่อยเป็นค่อยไปเถอะเบียทรีซ อย่าฝืนเกินไปล่ะ” เมื่อวานผมก็พูดแล้วเรื่องการเร่งรีบเพราะงั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าเบียทรีซจะไม่รีบร้อนเกินไปนัก


“อืม เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูด


“ผมอยู่ในปราสาทนะไม่ต้องระวังอะไรหรอก” ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหมือนเบียทรีซสักหน่อยที่ต้องระวังตัว


“สถานที่ที่ไม่อันตรายคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา


“...เข้าใจแล้ว ผมจะระวังละกัน” ในหัวผมตีความหมายว่าเบียทรีซกำลังพูดถึงความซุ่มซ่ามของผมที่ไม่ว่าอยู่ไหนก็หาเรื่องเจ็บตัวได้ ดูขนาดเมื่อเช้าอยู่ๆ ก็ก้าวบันไดผิดขั้นจนเกือบกลิ้งตกลงมา ยังดีได้เบียทรีซคว้าแขนไว้ไม่งั้นได้เห็นผมกลิ้งตกลงมาถึงชั้นหนึ่งแน่


“ดี แกรน เตโช” เมื่อพูดกับผมเสร็จก็เปลี่ยนไปเรียกคนสนิททั้งสองคนที่ยืนรอคำสั่งอยู่ไม่ไกล


“รับด้วยเกล้าองค์ราชา” ทั้งคู่ขานรับพร้อมกัน


“เคลื่อนพล!” เพียงคำพูดเดียวของเบียทรีซบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งที่ไม่มีใครปล่อยพลังปิศาจออกมาแต่บรรยากาศกลับหนักอึ้ง


เหล่ากองกำลังหลายพันชีวิตเดินนำหน้าเข้าไปในทางเชื่อมมิติซึ่งถูกเปิดเตรียมไปก่อนจะตามด้วยเตโช แกรนและเบียทรีซเป็นคนสุดท้าย ก่อนร่างนั้นจะหายไปเขาหันกลับมามองผมที่ยืนส่งอีกครั้ง พวกเราสบตากันนิ่งๆ สักพักคล้ายอีกฝ่ายยังไม่อยากละสายตาออกไป แต่ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายยกมือขึ้นบ๊ายบายแล้วหันหลังให้


ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องแย่แน่หากมองเบียทรีซหายไปต่อหน้าต่อหน้า


กิจกรรมของผมหลังจากส่งเบียทรีซเสร็จคือกินมื้อเช้าฝีมือกาเนอร์ตามลำพังในห้องอาหารสุดหรูก่อนขึ้นไปจัดการงานที่แกรนยกมาเพิ่มให้ผมทำในระหว่างเขาไม่อยู่ ช่วงแรกๆ ผมช่วยสรุปเอกสารที่มีตัวเลขแต่ในช่วงหลังมานี่แกรนให้ผมดูตัวเลขจริงที่จดบันทึกไว้แล้วจัดทำออกมาเป็นเอกสารเพื่อให้เบียทรีซอ่านในลำดับต่อไป เป็นงานที่ถือว่ายากมากเพราะจำเป็นต้องใช้ทั้งความเข้าใจ ความละเอียดและความรอบคอบอย่างมากผมจึงต้องค่อยๆ ทำไม่รีบร้อน


เมื่อมีสมาธิในการทำงานผมจะเข้าสู่โหมดปิดตัวเองออกจากโลกภายนอก สายตาจะมองข้อมูลโดยจะให้มือพิมพ์ข้อมูลเหล่านั้นลงไป ผมพยายามใช้ภาพเข้ามาช่วยให้ดูง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นกราฟหรือแผนภูมิต่างๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเสียงท้องร้องก็ดังประท้วงขออาหาร ท้องฟ้าเองได้เปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มของยามเย็นซะแล้ว


ในวันแรกทุกอย่างยังคงปกติดี แต่พอเข้าสู่วันที่สองอาการของผมก็เริ่มออก มื้อเช้าที่ผมกินน้อยอยู่แล้วกลับเหลือเกินครึ่งจาน กาเนอร์เข้ามาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนตัวแล้วมันไม่ใช่อาการผิดปกติอะไรในทางกลับกันควรเรียกว่าปกติซะมากกว่า
ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง...ทุกครั้งที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหัวผมมันจะคิดฟุ้งซ่านไปหมด เกิดความกังวลโดยไม่มีสาเหตุ วันแรกผมพยายามทำหัวให้ยุ่งเพื่อที่จะไม่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้


มันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อย่างเบียทรีซไม่อยู่ แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะส่งผลต่อตัวผมโดยตรงได้ ผมไม่ชอบเวลาภายในอกรู้สึกกังวลและคิดจินตนาการไปในทุกๆ อย่าง ทั้งที่ความจริงอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้


การจะห้ามความคิดเป็นเรื่องยาก กว่าสองวันที่ผ่านมาผมจมอยู่กับการทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่ใช่แค่เพื่อให้เลิกคิดแต่ยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ถ้าเหนื่อยมากเป็นธรรมดาที่จะกินข้าวได้หมด อีกอย่างคือความเหนื่อยล้าส่งผลให้การนอนหลับง่ายขึ้น


ผมเป็นฝ่ายบอกเบียทรีซเองว่านอนคนเดียวไม่กี่คืนไม่เป็นหรอก แต่ดูสภาพผมในตอนนี้สิ...ความเหนื่อยล้าที่พยายามสร้างแทบไม่ได้ผลเลยยามหัวถึงหมอน กลิ่นของเบียทรีซผมรับรู้ได้มากขึ้นผ่านประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้น ผมซุกหน้าลงบนหมอนแล้วนึกว่าเป็นเบียทรีซในร่างสัตว์แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกพยายามเพราะมันไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย ตอนหนุนเบียทรีซนอกจากความนุ่มของขนและกลิ่นจากอีกฝ่ายแล้วยังมีการขยับขึ้นลงยามหายใจเข้าออกต่างจากหมอนที่ไร้ชีวิต


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายระหว่างคว้ามหมอนข้างมากอดไว้แน่น ตอนนอนด้วยกันเบียทรีซไม่ได้กอดผมตลอดแต่สัมผัสของไออุ่นที่แผ่ออกมานั่นทำให้ผมรู้ว่ามีเขาอยู่ข้างๆ


อาการผมในตอนนี้เหมือนกำลังจะขาดเบียทรีซไม่ได้


น่าอายจริงๆ อายุก็ขนาดนี้แล้วยัง...


“ฮึ้ย! เลิกคิดๆ นอนได้แล้ว!” ตะโกนบอกกับตัวเองจบก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมร่าง กว่าจะหลับได้น่าจะปาไปเกือบค่อนคืน


วันที่สามผมหอบหนังสือข้อมูลด้านสถิติต่างๆ มาจากห้องของแกรน ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกให้ผมเข้าไปหยิบได้ตามใจแถมยังให้กุญแจห้องมาอีก ดีใจนิดๆ เหมือนกันที่ได้รับความเชื่อใจขนาดนี้ จำนวนหนังสือที่ต้องใช้ประกอบทำงานนั้นค่อนข้างเยอะความสูงรวมกันอยู่ประมาณคิ้วผมเลยมองทางไม่เห็นแต่อาศัยความคุ้นเคยของตัวเองมาจนถึงชั้น 8 แต่แล้วในจังหวะเลี้ยวมุมกลับปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนจนผมและหนังสือร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น


“โอ้ย...ขอโทษ...” คำพูดของผมขาดหายไปแทบจะทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่เพิ่งปะทะด้วย ความรู้สึกอันตรายและไม่น่าเข้าใกล้แบบนี้มีอยู่แค่หนึ่งเดียว...


บักเก็ต


“บังเอิญจังเลยนะ คนรับใช้ขององค์ราชา” น้ำเสียงเย็นๆ ทำเอาผมสะดุ้ง


“ขะ...ขอโทษที่ชนครับ ผมขอตัว” หนังสือบนพื้นถูกหยิบวางบนมืออย่างรวดเร็วเพื่อก้าวออกห่างชายคนนี้ สัญชาตญาณผมกำลังบอกว่ามีอันตราย


“จะรีบไปไหนล่ะ” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายคว้าแขนผมที่กำลังก้าวผ่านไปแล้วดึงกลับ ผลักร่างผมจนชิดกับกำแพงด้านหลัง หนังสือที่อุตส่าเก็บล่วงกระจายลงบนพื้นอีกครั้ง


“...ปล่อยผม”


“ไหนๆ ก็มีโอกาสได้มาเจอกันทั้งทีคุยกันก่อนสิ แถมตอนนี้เป็นโอกาสดีเพราะไม่มีใครมากวนใจได้” ระหว่างพูดอีกฝ่ายขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ แม้จะมีรูปลักษณ์อันหล่อเหลาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปิศาจระดับสูงทว่าบรรยากาศกลับแตกต่างกับคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา


“...ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยผมด้วย”


“เจ้าไม่มีแต่ข้ามีนี่ เหมือนราชาจะถูกใจเจ้ามาเลยนี่นะ...บอกข้าหน่อยสิว่าเจ้าทำอะไรถึงทำให้ราชาเปิดช่องว่างได้ขนาดนั้น” คำพูดออกแนวข่มขู่อยู่ชัดๆ


“ผมไม่ได้ทำอะไร”


“อย่ามาหวงน่า บอกมา” นอกจากน้ำเสียงที่ต่ำลงแล้วยังบีบข้อมือผมแน่นขึ้นอีก


“อึก...ปล่อยผม”


“อ้อ หรือว่าเจ้าจะให้ร่างกายกันล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็อยากจะขอลอลิ้มลองเจ้าหน่อยคงได้ใช่ไหม” บักเก็ตพูดพร้อมใช้มืออีกข้างเชิดปลายคางผมขึ้นเตรียมจะก้มลงมาหา หัวใจของผมเต้นรัวด้วยความรู้สึกหวาดกลัวแตกต่างกับเบียทรีซคนละขั้ว


“อย่านะ!!” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมบางอย่างภายในถูกกระตุ้นขึ้นฉับพลัน พลังปิศาจไหลทะลักออกมาจากภายในตัวผม ความรุนแรงของพลังนั้นผลักร่างของบักเก็ตให้ออกห่างไป บานกระจกตรงทางเดินส่งเสียงปริแตกดังเคร้งไล่ติดกันไปหลายบาน


“...อึก เจ้า...พลังของผู้หญิงนั่น น่ารำคาญชะมัด!” บักเก็ตยกแขนขึ้นตั้งการ์ดพยายามต้านพลังของผมที่แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง


“...ทำไมคุณถึงต้องทำร้ายเบียทรีซด้วย” ผมเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดออกไป


“ฮะ? คำถามโง่ๆ น่า ไม่ว่าใครก็อยากจะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดด้วยกันทั้งนั้นแต่อยู่ๆ ก็มีราชาปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าปกครองโลกปิศาจทั้งที่มันควรจะเป็นตำแหน่งของข้าแท้ๆ”


“คุณไม่เหมาะจะเป็นราชา” ผมข่มความกลัวต่อสายตาเย็นยะเยือกนั่นอยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้


“ว่าไงนะ! ไอ้ลูกครึ่ง!”


“เบียทรีซเหมาะจะเป็นราชามากกว่าคุณ” ผมย้ำสิ่งที่ตัวเองคิดอีกรอบ


“แก...” ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธ พลังปิศาจของบักเก็ตที่กำลังแผ่ออกมาปะทะกับพลังของผมอยู่ๆ ก็หายไปแถมยังหันไปมองทางด้านหน้าปราสาทคล้ายสัมผัสถึงบางอย่างได้


“...เบียทรีซ” ความรู้สึกแบบนี้...ไม่ผิดแน่คือเบียทรีซ


“ถือว่าโชคดีของเจ้าที่ราชากลับมาพอดี ไว้ครั้งหน้าข้าจะทำให้เจ้าร้องไม่ออกเลย” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไปอีกทาง พลังปิศาจของผมอ่อนแรงลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุดบักเก็ตเลยสามารถเดินหนีไปได้สบายๆ แบบนั้น


พลังปิศาจก็เปรียบเหมือนพลังของร่างกายซึ่งหากใช้มากจะส่งผลให้เหนื่อยล้าได้ พูดง่ายๆ คือหมดแรงนั่นเอง แต่ต่อให้หมดแรงจนก้าวไม่ออกผมก็ฝืนลงมาจนถึงหน้าประตูปราสาท กองทัพปิศาจหลายพันชีวิตกลับมายังปราสาทในสภาพบาดเจ็บกันพอสมควร


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมมองหาเบียทรีซท่ามกลางเหล่าปิศาจมากมาย และเมื่อเจอคนที่ตามหาความโล่งใจที่มีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างรวดเร็วยามเห็นสภาพของเบียทรีซเต็มไปด้วยบาดแผลโดยมีเตโชและแกรนพยุงคนละฝั่ง


“เบียทรีซ!!” ผมไม่รอช้าวิ่งตรงไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากังวล ไม่เพียงแค่มีบาดแผลบนใบหน้าเท่านั้นแต่เสื้อผ้าเองก็ขาดรุ่ยแถมที่น่าตกใจที่สุดคือแขนซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลอาบอยู่ หยาดเลือดสีแดงหยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่าหัวใจผมเองก็เหมือนจะล่วงลงไปพร้อมกับหยดเลือดเหล่านั้นด้วย


“เกิดอะไรขึ้น” คำแรกที่เบียทรีซพูดหลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายทำเอาความรู้สึกกังวลทุเลาลงชั่วคราว


“ผะ...ผมต่างหากที่ต้องถามน่ะ ทำไมถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้ได้” ผมถามกลับพลางเข้าไปหาใกล้ๆ มองบาดแผลบริเวณแขนอีกรอบ รอยนั่นลากยาวเกือบสิบเซ็นได้เหมือนถูกของมีคมกรีด


“ข้าสัมผัสถึงพลังของเจ้าได้ เกิดอะไรขึ้นถึงได้ใช้พลังออกมาแบบนั้น” เบียทรีซขยายความให้ผมเข้าใจคำถามมากขึ้นโดยทำเป็นเมินสิ่งที่ผมถาม


“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก คุณต่างหากที่กำลังแย่น่ะ ตามกริซรึยัง...ผมไปตามให้ไหม”


“พวกข้าตามกริซแล้ว” แกรนตอบแทน ทั้งแกรนและเตโชพยุงเบียทรีซไปนั่งยังเก้าอี้ใกล้ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีผมเดินตามมาด้วย ใจจริงอยากจะเข้าไปช่วยแต่ด้วยขนาดของร่างกายขืนเข้าไปช่วยคงทำเบียทรีซเจ็บกว่าเดิมเลยเลือกที่จะเดินตามไป


“วิณณ์ ตอบข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” นั่งพักได้ไม่นานอีกฝ่ายก็ยิ่งคำถามเดิมมาเป็นรอบที่สอง


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”


“ข้าจะตัดสินเองว่าจะเป็นหรือไม่เป็น” ดวงตาของเบียทรีซหรี่ลงระหว่างพูด


“...แค่เจอกับบักเก็ต...”


“ว่าไงนะ อึก!” คนรอฟังคำตอบเด้งตัวลุกขึ้นแต่เพราะบาดแผลเต็มร่างเลยจำต้องนั่งลงตามเดิม


“อย่าฝืนสิ คุณบาดเจ็บอยู่นะ” ผมเองก็รีบเข้าไปดันอีกฝ่ายไม่ให้ฝืนตัวเองมากไปกว่านี้


“มันทำอะไรเจ้า” เบียทรีซไม่สนอาการของตัวเองแถมยังใช้น้ำเสียงคาดคั้นเอาคำตอบอีก


“...ยังไม่ได้ทำ”


“ยัง? หมายถึงยังไง”


“เขาเข้ามาใกล้เกินไปผมเลยกลัวจนเผลอปล่อยพลังออกมาแค่นั้นเอง” ผมไม่ได้โกหกอะไรนะแค่อาจพูดไม่หมดไปบ้างแค่นั้นเอง


“...ถ้าแค่นั้นก็ดี ใช้พลังไปขนาดนั้นคงจะเหนื่อยสินะ” สายตาของเบียทรีซอ่อนลงยามได้ยินคำตอบ


“อืม แต่ผมไม่เป็นไร คุณเองเถอะที่เลือดไหลไม่หยุดเลย”


“แค่นี้เดี๋ยวก็หาย”


“องค์ราชาข้าว่ารอให้กริซมาดูก่อนดีกว่านะ ข้าคิดว่าแผลท่านน่าใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะหาย” แกรนพูดพลางมองสำรวจบาดแผล ระหว่างนั้นเองที่กริซกับทีมอีกสามสี่คนวิ่งเข้ามาหาพร้อมอุปกรณ์รักษา สีหน้าของกริซยามเห็นสภาพของราชาหรือเบียทรีซนั้นตกใจมากถึงขนาดทำกล่องที่ถือมาด้วยตกพื้นเลย


“องค์ราชา ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้ได้กัน?!” นี่คือคำพูดของกริซก่อนจะเริ่มตรวจสลับกับใช้พวกยารักษาแผลทั้งบริเวณใบหน้าและส่วนอื่นๆ จุดที่เป็นปัญหาใหญ่ไม่พ้นแขนขวาที่มีบาดแผลขนาดใหญ่ลากยาว น้ำเกลือทั้งขวดถูกเทลงบนแผลพร้อมเริ่มต้นการเย็บแผลสดๆ ที่พานให้คนมองอย่างผมรู้สึกเจ็บแทน


“ไม่ต้องมอง มานี่วิณณ์” แขนอีกข้างดึงผมให้เข้ามาใกล้ ด้วยระดับที่ต่างกันผมเลยตัดสินใจนั่งลงบนพื้นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว


“ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้ล่ะ” ไม่รู้ว่าผมถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าผมจะถามจนกว่าจะได้รับคำตอบนั่นแหละ


“...ไม่มีเหตุผลพิเศษหรอก” ความเงียบเพียงชั่วครู่ก็มากพอให้ผมรับรู้ถึงความผิดปกติ


เบียทรีซกำลังปิดบังบางอย่างอยู่


“คุณไม่ยอมบอกผมสินะ ก็ได้ แกรนเกิดอะไรขึ้นเหรอ” ในเมื่อเบียทรีซไม่บอกก็ต้องถามคนอื่นที่รู้ และคนแรกที่ผมนึกถึงคือเลขาของเขาอย่างแกรนนั่นเอง


“แกรน” เบียทรีซกดเสียงต่ำแถมยังเบนสายไปทางเลขาตนเป็นเชิงบอกให้ปิดปากห้ามบอกผมเด็ดขาด


“แกรน” ผมไม่ยอมแพ้เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขอร้อง แกรนถึงกับทำหน้าคิดหนักมองผมสลับกับราชาของตัวเองอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนไปขอความเห็นเตโชผ่านทางสายตาแทนซึ่งคนถูกมองอย่าเตโชทำเพียงยักไหล่กลับมาคล้ายจะบอกว่าตามใจเจ้าสิ


“ขออภัยองค์ราชา ครั้งนี้ข้าไม่อาจทำตามคำสั่งท่านได้” แกรนบอกหลังจากคิดอยู่นาน


“แกรน” ทั้งผมและเบียทรีซต่างเอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกมาพร้อมกันทว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เบียทรีซแสดงสีหน้าไม่พอใจและพยายามจะหยุดแกรนแต่แขนกลับถูกกริซและทีมจับไว้แน่น ส่วนผมนั้นกำลังยิ้มแป้นด้วยความดีใจสุดๆ


เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เห็นแกรนไม่ทำตามคำสั่งเบียทรีซ


“ข้าคิดว่าท่านวิณณ์ควรจะได้รู้ องค์ราชาทรงประมาทตอนกองทัพกำลังเข้าปะทะกัน อยู่ๆ องค์ราชาก็มีทีท่าเหม่อลอยและเปิดช่องจนฝ่ายศัตรูอาศัยเสี้ยววินาทีนั้นเข้ามาจู่โจม” แกรนบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง


“เหม่อ? เบียทรีซน่ะนะ” ผมไม่ค่อยอยากเชื่อนักเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเหม่อเลย มีแต่ทำหน้าจริงจัง บางครั้งผมแค่ขยับตัวยังหันมามองเลย ทั้งประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณของเบียทรีซดีมากต่อให้มีคนอยู่ข้างหลังก็ต้องรู้ตัวในทันทีแน่ ไม่น่าจะถูกโจมตีได้ง่ายๆ แบบนั้น


“ถ้าให้ข้าเดา คงคิดถึงท่านวิณณ์อยู่...”


“แกรน! อย่าพูดมากไปกว่านี้ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว” พลังปิศาจอันดำทมึนจากเบียทรีซแผ่ปกคลุมบริเวณที่พวกเราอยู่ในจังหวะที่แกรนกำลังเอ่ยข้อสันนิฐาน


“รับทราบองค์ราชา ข้าจะไม่พูดแล้ว” รอยยิ้มมุมปากจากแกรนค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับพอสมควร เหมือนเขากำลังสนุกแม้จะถูกขู่ก็ตามที


“เบียทรีซ...”


“เจ้าก็เลิกถามสักที นั่งเงียบๆ น่ะเป็นไหม” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซวางมือลงบนเส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมพร้อมขยี้แทนการลงโทษ


“โอ้ย...อย่ากดหัวผมสิ” ผมเจ็บนะ


“ชิ...” ขยี้แรงๆ อีกทีเบียทรีซจึงยอมละมือออกไป


“กริซ อาการของเบียทรีซเป็นยังไงบ้าง” ผมเปลี่ยนเรื่องหันไปถามกริซที่เพิ่งเย็บปากแผลเสร็จ


“พวกบาดแผลถลอกเพียงใส่ยาและนอนพักผ่อนไม่กี่วันก็หายสนิทแต่ปัญหาอยู่ที่แขนขวาข้างนี้ นอกจากจะเป็นแผลใหญ่ที่ต้องเย็บแล้วกระดูกยังหักอีกถึงจะเป็นองค์ราชาแต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะกลับมาใช้แขนได้ปกติ”


“หมายถึงแขนหัก?” ผมสรุปตามความเข้าใจ คนในทีมแพทย์กำลังช่วยกันพันแผลโดนใช้ผ้าพันรอบคอเบียทรีซเพื่อไม่ให้แขนขยับเคลื่อนไหว


“ใช่ครับ ระหว่างนี้จะใช้แขนข้างนี้ไม่ได้แล้วก็อย่าเพิ่งโดนน้ำด้วยครับ” กริซพยักหน้าก่อนอธิบายเพิ่ม


“...แบบนี้องค์ราชาก็กินข้าวกับอาบน้ำเองไม่ได้น่ะสิ” เสียงพึมพำจากแกรนดังขึ้นจากข้างหลังผม


“...” ก่อนหน้านี้ยังอยู่ข้างเบียทรีซอยู่เลยทำไมถึงมาอยู่ข้างหลังผมได้กัน


“ให้เจ้าหรือคนของเจ้าคอยอำนวยความสะดวกให้องค์ราชาเจ้าเห็นว่าไงเตโช”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เพียงแต่องค์ราชาไม่ชอบให้ใครตามติดต่อให้เป็นการดูแลก็ตาม ยิ่งป้อนอาหารกับเช็ดตัวไม่ต้องพูดถึง ถูกดีดออกจากห้องด้วยพลังปิศาจแน่” เตโชเอ่ยตอบแกรนด้วยใบหน้าครุ่นคิด


ที่ผมอยากรู้คือทำไมต้องมาครุ่นคิดอยู่ด้านหลังผมราวกับจงใจให้ได้ยินงั้นแหละ


จะให้หนึ่งในกองกำลังของเตโชมาดูแลเบียทรีซในช่วงนี้เหรอ ให้ถามผมก็คงตอบทันทีว่าไม่เหมาะ เบียทรีซเป็นราชาที่มีนิสัยเป็นราชาจริงๆ ความอ่อนโยนและเห็นใจน่ะมีแต่ใช่ว่าจะแสดงออกมาบ่อย อีกอย่างนิสัยแต่เดิมก็ทั้งเอาใจยากและไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกินไป ในตอนนี้คนที่อยู่กับเขาเกือบ 24 ชั่วโมงได้คงมีแต่ผมคนเดียว


โอ๊ะ...แบบนั้นก็ได้นี่



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-02-2019 17:01:51
(ต่อนะคะ)


“งั้นให้ผมดูแลเบียทรีซให้ก็ได้นะ” ผมเสนอตัวเองให้ทั้งคู่ฟัง เบียทรีซซึ่งกำลังถูกพันแผลมองมาทางพวกเราเงียบๆ รอดูสถานการณ์โดยไม่พูดอะไร


“ถ้าได้แบบนั้นพวกเราก็ต้องขอฝากองค์ราชาด้วย หากมีอะไรที่ต้องการแจ้งข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” แกรนบอกสรุปทุกอย่างในพริบตา


ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่ารู้สึกเหมือนถูกชักจูงให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการเลย


“...ครับ” เอาเถอะ ยังไงผมอยู่กับเบียทรีซตลอดอยู่แล้วหน้าที่ดูแลคงไม่มีใครเหมาะไปกว่าผม


“ทำอะไรเสียเวลา” เบียทรีซบอกกับแกรนและเตโชที่เดินกลับไปหา


“ข้าว่าใช้เวลาไปนิดเดียวเอง” เตโชพูด


“องค์ราชา ข้าไม่ได้อยากพูดแต่แบบนี้ต่อไปจะไม่แย่เอาหรือหากขืนถูกชักจูงง่ายเช่นนี้” แกรนพูดเสริม


“หึ ไม่เป็นไรเพราะมีข้าอยู่” ทั้งที่ยืนร่วมวงอยู่ด้วยตั้งแต่ก่อนกริซจะมาแต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เหมือนถูกกันออกไปอยู่วงนอกเลย พูดอะไรกันก็ไม่รู้เข้าใจกันอยู่แค่สามคน


“เอ่อ...คุยอะไรกันเหรอ” พอลองรวบรวมความกล้าถามออกไปแบบนั้นก็ได้คำตอบที่ทำเอาพูดไม่ออกกลับมา


“รอให้โตกว่านี้สักร้อยปีข้าจะบอก”


หลังจากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามเดิม เบียทรีซที่ก่อนหน้านี้แค่เดินยังจะไม่ไหวตอนนี้สามารถเดินได้เปร๋อจนผมต้องก้าวยาวๆ ถึงจะไล่ตามทัน ห้องอาหารบนชั้น 5 เงียบเหงามาหลายวันจากการนั่งกินข้าวคนเดียวแต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ทั้งกินคนเดียวและไม่ใช่สถานการณ์ปกติด้วย


เป็นที่รู้กันว่าแขนขวาเบียทรีซขยับไม่ได้ซึ่งคนที่คอยดูแลคือผมนั่นทำให้ต้องขยับเข้าอี้มานั่งหัวโต๊ะข้างๆ อีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับชุดเซ็ตอาหารจานใหญ่ถูกเรียงเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า เนื้อชิ้นยักษ์ส่งกลิ่นหอมอบอวนท่ามกลางบรรยากาศเกร็งๆ ที่ผมแผ่ออกมา


จะไม่ให้เกร็งคงไม่ได้หรอก การป้อนข้าวใครผมเคยทำที่ไหนล่ะ...กับพ่อยังพอจะเคยแต่นี่...


“วิณณ์”


“...ฮะ?” ผมหันหน้าเหว๋อๆ ไปตามเสียงเรียก


“ถ้าหายเกร็งก็รีบตัดเนื้อให้ข้า” คำพูดนั่นแปลว่าเขาสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งๆ ของผม


“โทษทีคือผม...ไม่ชินเวลาต้องป้อนใครแบบนี้” ระหว่างพูดผมใช้มีดและส้อมตัดเนื้อออกเป็นชิ้นพอดีคำแล้วยื่นส้อมไปตรงหน้าเบียทรีซ


“ข้าก็ไม่ชินเวลามีใครมาป้อนเหมือนกัน” อีกฝ่ายบอกเสียงเรียบอ้าปากรับเนื้อเข้าไป


“ผมนึกว่าคุณจะชินซะอีก” ได้ชื่อว่าราชาคงได้รับความสะดวกสบายและการปรนิบัตรอย่างดี แต่ก็คงใช่เพราะดูจากนิสัยเบียทรีซคงคิดว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ


“ชิน? ทำไมข้าต้องให้ใครมาป้อนด้วย น่ารำคาญจะตาย”


นั่นไง เป็นอย่างที่คิดเลยรำคาญจริงๆ ด้วย


“เอ่อ...งั้นผมแค่หั่นไว้ให้ดีกว่าไหม” ทำเสียงหงุดหงิดแบบนั้นพาลเอาผมไม่กล้ายื่นชิ้นต่อไปให้เลย


“รีบป้อนมา ข้าหิว”


“แต่คุณบอกว่าไม่ชอบ...”


“ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ รำคาญต่างหาก” อีกฝ่ายแก้


“ก็ความหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอ”


“คนละความหมาย เอาซุปด้วย” เบียทรีซสั่งต่อผมจึงใช้ช้อนตักซุปให้อีกฝ่ายโดยระวังไม่ให้หก


“ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”


“อืม มองหน้าก็รู้แล้ว”


“...จะไม่อธิบายหน่อยเหรอ” ผมก็อุตส่าเงียบลงเผื่อเบียทรีซจะอธิบายให้ฟัง


“ไม่ล่ะ อย่ามัวแต่ป้อนข้ากินของตัวเองด้วย”


“เดี๋ยวผมกินทีหลังก็ได้” ให้กินสลับกับป้อนมันค่อนข้างลำบาก


“ข้าไม่ได้บอกแต่กำลังสั่งเจ้า...วิณณ์” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงแต่สายตาของเบียทรีซยังจ้องมองมาไม่หยุด เป็นสายตาที่ไม่มีใครกล้าขัด


สุดท้ายผมเลยจำต้องกินอาหารของตัวเองสลับกับป้อนให้เบียทรีซ แค่ลำพังกินของตัวเองอย่างเดียวก็ใช้เวลามากอยู่แล้วแต่เมื่อต้องป้อนอีกฝ่ายด้วยเวลาเลยคูณสอง กว่าสองชั่วโมงที่ผมและเบียทรีซใช้เวลาในการกินมื้อเย็นก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องส่วนตัวบนชั้นสิบ


ทันทีที่ถึงห้องเบียทรีซก้าวยาวๆ ตรงไปยังเตียงพร้อมทิ้งตัวลงนั่นให้แผ่นหลังพิงกับขอบหัวเตียง ส่วนผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนเลยขอตัวไปอาบน้ำ วันนี้ผมอาบฝักบัวเพราะไม่อยากแช่น้ำนานเกินไป ต้องดูแลจนกว่าจะหาย จะว่าไปหลังมื้อเย็นมียาที่กริซจัดไว้ให้นี่นา


ลืมไปสนิทเลย


“เบียทรีซคุณกินยาหลังอาหารแล้วรึยัง” ผมเอ่ยถามกลังออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน ห้องเสื้อผ้าด้านข้างนี้มีที่แขวนอยู่นับไม่ถ้วนให้เดินเลือกชุดได้ตามใจ ตอนมาแรกๆ ก็ยืมชุดเบียทรีซอยู่หรอกแต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสื้อผ้าไซส์ผมเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็มีประมาณหนึ่งในสามของห้องได้


“ข้าไม่ใช่เด็กที่ต้องกินยา”


“มันไม่เกี่ยวสักหน่อยว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนป่วยก็ต้องกินยาสิจะได้หายเร็วๆ”


“ไม่กิน” คำพูดแสนสั้นอันเปี่ยมด้วยความเอาแต่ใจทำเอาผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา


“ขนาดเด็กยังยอมกินยาดีๆ เลยทำไมผู้ใหญ่อย่างคุณถึงเข้าใจยากนัก”


“เจ้าจะบอกว่าข้ายิ่งกว่าเด็กรึไง”


“ใช่”


“ถูกเด็กอย่างเจ้าพูดแล้วหงุดหงิดชะมัด แค่กินก็พอใช่ไหม”


“อืม” ผมพยักหน้ารัวๆ พร้อมยื่นยาและน้ำให้อีกฝ่ายทันที ต้องรีบกันไว้เดี๋ยวจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาซะก่อน ยาเม็ดสามเม็ดถูกกลืนลงคือตามด้วยน้ำด้วยท่าทางปกติ จากที่มองก็กินยาเม็ดได้ปกตินี่นา หรือไม่ชอบของขมถึงได้เอ่ยปัดแบบนั้น


ยังไงกันแน่นะเบียทรีซ


“ขมวดคิ้วอะไรของเจ้าอีก” เบียทรีซถามเมื่อหันมาเห็นผมทำหน้าสงสัย


“แค่สงสัยว่าทำไมถึงไม่ยอมกินยาแค่นั้นเอง”


“ข้ากินแล้ว เจ้าก็เห็นอยู่”


“ก็ใช่อยู่ แต่ก่อนหน้านั้นยังปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เลยผมเลยคิดว่าไม่ชอบยาขมๆ รึเปล่านะ...”


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กรึไงวิณณ์!” อีกฝ่ายพูดแทรกข้อสันนิฐานของผมทันควัน


“...” ผมใช้ความเงียบแทนคำตอบ


“ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ยาไม่จำเป็นสำหรับข้า”


“...หมายถึงอะไร” ยาไม่จำเป็น?


“ว่าแล้วต้องไม่เข้าใจ” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นพร้อมใบหน้าเอือมๆ


“ขอโทษที่เป็นคนเข้าใจยากละกัน”


“ไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย”


“ตรงไหนกัน” คำพูดนั่นฟังยังไงก็เหมือนว่าอยู่ชัดๆ


“ถ้าอยากให้อธิบายก็เปลี่ยนชุดให้ข้าก่อน” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ


“โอ๊ะ...จริงด้วย ต้องเปลี่ยนชุดให้คุณนี่นา เอ่อ...ร้อนหรือเหนียวตัวไหม” ความจริงผมควรจะเปลี่ยนชุดให้เบียทรีซก่อนค่อยไปอาบน้ำ


นี่เหมือนผมปล่อยให้เขานอนทั้งๆ ที่ไม่สบายตัว สอบตกในฐานะคนดูแลต้องถูกไล่ออกสถานเดียวมั้งเนี่ย


“นิดหน่อย”


“คุณยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นผมเช็ดตัวให้แทนนะ”


“อืม”


ผมเดินกลับไปในห้องน้ำเตรียมกะละมังกับผ้าสะอาดรวมไปถึงชุดสำหรับเปลี่ยนวางเตรียมพร้อมไว้ กระดุมเสื้อสีดำถูกผมปลดออกจนเผยแผ่นอกอกกว้างกำยำพอสมควรปรากฏต่อหน้าต่อตา กล้ามเนื้อของเบียทรีซไม่ได้มีมากแต่ก็ไม่น้อย เรียกว่ามีสมดุลดีมากขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังเผลอใจเต้นไปวูบนึงเลย


ผ้าเปียกบิดหมาดเช็ดไล่ตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ ไหล่มาถึงแผ่นอก ท้องและไล่ลงมาจนถึงขา แม้จะอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายในสภาพเกือบเปลือยมีเพียงแค่ส่วนกลางที่ถูกปกปิดไว้ ตลอดการเช็ดตัวผมไม่กล้าพูดคุยหรือแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เพราะถ้าเกิดส่งเสียงออกไปเขาต้องได้ยินเสียงสั่นๆ ของผมแน่


ต่อให้ไม่พูดแต่การมองเองก็มากพอที่จะแสดงความรู้สึกออกมาได้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือเงียบและมีสมาธิกับการเช็ดตัวจนกว่าจะเสร็จ


ความเงียบอาจมีข้อดีมากมายแต่มันก็มีข้อเสียข้อใหญ่เช่นกัน นั่นคือเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวนี่จะได้ยินชัดกว่าปกติ ผมพยายามทำทุกทางให้หัวใจสงบลงไม่ว่าจะเป็นการคิดเรื่องอื่นหรือหายใจเข้าออกกำหนดลมหายใจ แต่ก็ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว
ทำได้แค่หวังว่าเบียทรีซจะไม่ได้ยินมัน


“เสียงดังจังนะ”


“ฮะ?” หมายถึงอะไร


“เสียงหัวใจเจ้าน่ะ...เต้นดังจังนะ” ไม่ใช่แค่คำพูดแต่รอยยิ้มของเทพบุตรที่เผยออกมายามผมเงยหน้าขึ้นไปนั่นทำเอาหัวใจที่เต้นรัวหยุดเต้นไปวูบนึงก่อนจะกลับมาเต้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า


“อะ...เอ่อ...คือ ไม่...”


“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” เบียทรีซพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดติดขัดของผม


“ไม่...ไม่มีอะไร” ผมเบนหน้าหนีก่อนจะเริ่มใส่เสื้อผ้าให้เบียทรีซ


“หัวใจเต้นรัวขนาดนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง”


“ไม่ได้เต้นเร็วขนาดนั้นสักหน่อย” ผมยังพยายามแถจนถึงที่สุด


“จริงเหรอ”


“จริงสิ”


“ขอข้าพิสูจหน่อยละกัน”


“ฮะ? อ๊ะ! ทำอะไรน่ะ” ผมร้องเสียงหลงอย่างไม่อายใครเมื่อเบียทรีซใช้มือข้างเดียวที่ใช้ได้ดึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งทับบนตัก เป็นสภาพแสนน่าอายที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจอย่างรุนแรง ทั้งความเขินและความอายแสดงออกมาผ่านใบหน้าแดงๆ


“นอกจากหัวใจเต้นแรงแล้ว หน้ายังแดงอีกนะวิณณ์” เบียทรีซกระซิบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังสนุกที่ได้เห็นผมทำตัวไม่ถูก


“ปล่อยผม อ๊ะ...เบียทรีซ” ความพยายามหนีสูญเปล่าเพราะถูกแขนเพียงข้างเดียวนั้นโอบรัดจนขยับไปไหนไม่ได้ แม้จะใช้ได้แค่แขนข้างเดียวแต่พละกำลังของผมและเบียทรีซก็ยังแตกต่างกันมาอยู่ดี


“อย่าหนีสิ ข้าขอมองใบหน้าแดงๆ กับฟังเสียงหัวใจของเจ้าอีกหน่อย”


“มะ...ไม่ อย่าเบียทรีซ” นี่คิดจะทำให้ผมละลายหายกลายเป็นไอรึไงถึงได้เอ่ยประโยคน่าอายนั่นออกมาน่ะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุอีกฝ่ายซุกใบหน้าลงมายังคอผมก่อนจะขยับมายังบริเวณหัวใจใช้หูแนบลงเพื่อฟังเสียงหัวใจผมที่บัดนี้เต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมานอนอกอยู่แล้ว


ทำไมถึงเขินขนาดนี้...เพราะเพิ่งเคยถูกทำแบบนี้เหรอ


หรือเพียงแค่เหตุผลง่ายๆ เพราะเป็นเบียทรียกัน


เพราะเป็นเบียทรีซผมถึงได้ทั้งเขิน อายและหัวใจเต้นรัวทุกครั้งที่ถูกหยอด ความจริงไม่ใช่แค่ถูกหยอด...เพียงดวงตาสีทองสว่างนั่นสอดประสานมาหัวใจผมมันก็บีบตัวแน่นขึ้นแล้ว


“ตอนนี้ยังอยากให้อธิบายอยู่ไหม”


“...ไม่...” ผมในตอนนี้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ทั้งนั้นแหละ


“แต่ข้าจะอธิบาย ราชาอย่างข้าน่ะมีพลังฟื้นตัวที่แม้แต่การรักษายังตามไม่ทันจึงไม่จำเป็นต้องกินยา ถ้ายาใช้รักษาหายได้ในหนึ่งอาทิตย์ ข้าก็สามารถทำให้แผลหายเองได้ในสามวัน ข้าเลยไม่คิดจะกินเพราะถึงกินไปก็ไม่ได้ส่งผลให้แผลหายเร็วขึ้นอยู่ดี”


“...งั้นคุณก็บอกแต่แรกสิ แล้วกินเข้าไปทำไมกัน” ถ้ารู้ว่ากินไปก็ไม่มีผลผมคงไม่บังคับให้กินหรอก ตอนนี้ผมเริ่มหายใจสะดวกขึ้นเมื่อเบียทรีซเงยหน้าที่ซุกฟังเสียงหัวใจขึ้นมา


“เพราะเจ้า...”


“...”


“เพราะเจ้าข้าถึงยอมกินยา เพราะเจ้าข้าถึงยอมให้ป้อน เช็ดตัวและเปลี่ยนชุด เหตุผลของทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าข้าถึงได้ยอมแบบนี้ไงวิณณ์ ถ้าไม่ใช่เจ้าอย่าหวังว่าข้ายอมให้ขนาดนี้นะ เข้าใจรึเปล่า”


เบาใจไปได้ไม่ถึงวินาทีดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซที่สอดประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมพร้อมคำพูดแสนน่าอายนั่นทำเอาวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง

.............................................

เอ้าๆ หวานกันเข้าไป

หวานกันให้คนอ่านอิจฉากันไปเลย

เอาจริงๆ เลยคือเราไม่คิดว่าคู่นี้จะหวานกันได้ขนาดนี้

ไม่คิดว่าราชาจะมีนิสัยแบนี้ได้

บอกเลยว่าราชานั้นหลงวิณณ์หนักมากกก

หวานกว่านี้มีอีกไหม

ขอตอบเลยว่ามี!

และจะมาหวานแบบเป็นคอมโบ้ด้วย

นักอ่านเตรียมยาฆ่ามดกันให้ดีค่ะ 555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-02-2019 18:47:42
รถอ้อยคว่ำแล้วจย้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-02-2019 19:21:59
แผลหายช้าๆ นะ  :call:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-02-2019 21:09:44
แบบนี้เรียกว่าอ้อยได้หรือเปล่าคะ เบียทรีซ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 10-02-2019 21:59:55
ตอนนี้ตาลุกเป็นไฟเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่12:⊱ 10/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-02-2019 19:28:26
บางทีวิณณ์ก็ซื่อเกินไป ทั้งที่ใจเต้น ทั้งที่เขิน
แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าถูกรุกหนักมาก
และเจอเบียทริซเนียนหนักมากด้วย
เอ็นดูความซื่อของวิณณ์

เบียทริซปล่อยไก่ไปหลายเล้าแล้ว
ขุดหลุมไปลึกสุดแล้ว ก็ยังตกวิณณ์ไม่ได้
แต่ดีที่เข้าใจ แต่ขนาดเข้าใจ ยังหงุดหงิด 5555

ตอนนี้เพราะวิณณ์คุมพลังไม่ได้หรอ ถึงยังสายตาสั้น
หรือว่าไม่เกี่ยวกันกับพลัง แล้วไม่มีใครบอกด้วยนะ
ว่าต้องเรียนรู้ยังไง ควบคุมประมาณไหน
เตโชบอกแค่ว่าจะรู้เอง ช่วยวิณณ์ได้มาก และวิณณ์ใส่ใจมาก 5555

ลุ้นความคืบหน้าของวิณณ์นะ ว่าจะจีบติดตอนไหน

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-02-2019 15:21:43
⊰บงการ:วันที่13:⊱



วันเวลาได้ไหลผ่านไปนับเดือน นับปีตั้งแต่ได้พานพบกับราชาของโลกปิศาจอย่างเบียทรีซ ถูกทำให้ปั่นป่วนไปทั้งร่างกายและหัวใจไปครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีทีท่าว่าผมจะชินกับการกระทำเหล่านั้นสักที ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปผมได้รู้จักเบียทรีซมากขึ้นเช่นเดียวกับที่เขาได้รู้จักผมมากขึ้นเช่นกัน


ความรู้สึกที่มีต่อเบียทรีซกำลังเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปในแง่ไหน ตัวผมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเพราะพวกเรามีเวลาอีกมากที่จะอยู่ด้วยกัน อายุไขของปิศาจยาวนานกว่ามนุษย์มากผมเองที่ตอนนี้เลยช่วงเปลี่ยนผ่านไปก็กลายเป็นปิศาจไปโดยสมบูรณ์ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องราวแสนแฟนตาซีแบบนี้จะเกิดขึ้นได้จริง


สิ่งเดียวที่สามารถบอกได้ตอนนี้สำหรับผมเบียทรีซเป็นคนสำคัญและพิเศษที่สุด


“เหม่ออะไรวิณณ์” เสียงของเบียทรีซมาพร้อมกับมือที่โยกหัวผมไปมา


“...ผมง่วงนิดหน่อย” อาจเพราะโดนทำแบบนี้บ่อยเลยค่อนข้างชิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงบ่นไปแล้ว


“ไปนอนพักที่ห้องไป”


“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ผมยังทำงานได้” ให้ไปหลับทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะ 11 โมงเนี่ยนะ


ดูไม่ดีมั้ง


“เหม่อขนาดนั้นเดี๋ยวก็ใส่ตัวเลขผิดหรอก” เบียทรีซเอ่ยต่อ


“ผมจะระวัง แขนไม่ได้เจ็บอะไรใช่ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องถามพลางมองแขนข้างที่วางอยู่บนหัวผมในตอนนี้ แขนขวาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนได้รับบาดเจ็บแถมยังหักจนต้องเข้าเฝือกไปนานหลายอาทิตย์ เมื่อประมาณไม่กี่วันก่อนเองมั้งที่กริซตัดเฝือกออกให้


“ข้าหายนานแล้วแต่ไม่รู้จะแย้งอะไรนักกับแค่เอาเฝือกออก...”


“คุณอาจคิดไปเองว่าหายก็ได้ กริซกำหนดเวลาเอาเฝือกออกแล้วคุณจะฝืนเร่งไม่ได้นะ ถ้ากระดูกยังเชื่อมไม่ดีอาจส่งผลในระยะยาว” ผมรีบพูดแทรกคำบ่นนั่น คนที่แย้งเบียทรีซไม่ให้เอาเฝือกออกก่อนถึงกำหนดไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวผมเอง


มีอย่างที่ไหนคนกระดูกหักจะหายดีในไม่กี่อาทิตย์ จำได้เลยว่าพอผ่านไปอาทิตย์กว่าเบียทรีซเดินไปหากริซให้ตัดเฝือกออก แน่นอนว่านอกจากกริซที่ส่ายหน้ารัวๆ ทำให้ไม่ได้แล้วยังมีผมที่ยืนกรานไม่ให้อีกฝ่ายเอาเฝือกออก เป็นที่รู้กันว่าเบียทรีซไม่มีทางยอมง่ายๆ กว่าผมจะคุยรู้เรื่องก็เล่นเอาพลังงานเกือบหมดตัว


“ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าพลังของข้ามันช่วยให้ร่างกายรักษาตัวเองเร็วขึ้น”


“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ผมเป็นห่วงคุณนี่นา” ผมพึมพำประโยคสุดท้ายเสียงเบาหวิว


“...ข้าก็ไม่ได้ว่าเจ้านี่” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา


“ไม่ได้ว่าแต่บ่นไม่หยุดเลยนะ”


“มันรำคาญเวลาขยับแขนไม่ได้”


“ตอนนี้ขยับได้แล้วแต่ก็อย่าเพิ่งฝืนเกินไปล่ะ”


“ห่วงข้างอีกรึไง” เบียทรีซยิ้มมุมปากระหว่างถาม


“อืม...ห่วง ห่วงมากด้วย”


“วิณณ์...”


“ผมน่ะไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวเลย ทั้งที่ไม่กลัวพวกลือดแท้ๆ แต่พอเห็นแผลของคุณผมกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา มันไม่ใช่ความกลัวต่อเลือดแต่เป็นความกลัวว่าคุณเป็นอะไรไป” ความจริงภายในใจค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย


“เจ้านี่นะ เอาแต่พูดประโยคน่ารักๆ อยู่เรื่อย” คนตรงหน้าพูดเสียงแผ่วซึ่งแฝงไปด้วยความปลาบปลื้มจนผมต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ


ประโยคน่ารัก?


“ตรงไหนกัน” ไม่เห็นจะมีคำไหนสื่อไปทางน่ารักเลย


“ตรงนั้นแหละ”


“แล้วตรงนั้นมันตรงไหนเล่า”


“ก็ตรงที่ใกล้ๆ กับตรงนู้นไง”


“สนุกไหมที่ได้แหย่ผมเนี่ย” ผมถามเสียงนิ่ง


“สนุก”


“เบียทรีซ...” ในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากพูดเสียงแปลกๆ คล้ายเสียงร้องของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น โทนเสียงสูงเหมือนกำลังจะขาดใจนั่นลางไม่ดีเลย


“มีอะไรวิณณ์” เบียทรีซรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของผม


“ได้ยินเสียง”


“เสียง? เสียงอะไร” อีกฝ่ายถามต่อ


“ไม่รู้สิ...เป็นเสียงโทนสูงเหมือนกำลังกรีดร้องด้วยความทรมาน มาจากทางนั้น” ผมมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างซึ่งเต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะในฤดูเหมันต์ ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่โลกปิศาจจะมีหิมะตกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ขนาดสวนที่ผมมักไปเดินยังมีหิมะสูงจนเดินแทบไม่ได้เลย


“ข้างในหรือข้างนอก”


“ข้างนอก น่าจะเป็นในป่านั่น” ถัดจากรั้วของปราสาทไปจะเป็นส่วนของป่าลึกที่ผมไม่เคยเดินเข้าไปสักครั้งเดียว อย่างมากทำแค่ยืนมองจากด้านในรั้ว


“อาจเป็นพวกสัตว์ละมั้ง” เบียทรีซสันนิฐาน


“...ผมขอไปดูได้รึเปล่า” จะให้ปล่อยผ่านคงทำไม่ได้


“จะฝ่าหิมะไป?”


“...ถ้าค่อยๆ เดินก็น่าจะได้อยู่” ผมลืมนึกเรื่องหิมะไปเลย


“ปล่อยผ่านไปไม่ได้รึไง”


“...ก็มันคาใจ” จะให้ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้แต่ผมคงจะคิดถึงอยู่นานเลย


“เฮ้อ...ไม่ต้องทำหน้าเศร้า แค่พาไปก็พอใช่ไหม” เสียงถอนหายใจมาพร้อมน้ำเสียงปลงๆ


“พาไป? เบียทรีซก็จะไปด้วยเหรอ”


“ให้เจ้าไปคนเดียวมันน่าห่วงจะตาย”


“คิก...”


“ขำอะไร”


“คุณยอมรับว่าห่วงผมด้วย” ปกติมีแต่จะเลี่ยงคำว่าห่วง แต่อยู่ๆ กลับพูดคำว่าห่วงออกมาเองซะอย่างงั้น


“...หูฝาดแล้ว” คำแก้ตัวของอีกฝ่ายนอกจากจะฟังไม่ขึ้นแล้วยังทำให้ผมขำมากกว่าเดิมอีก เบียทรีซที่เห็นผมขำไม่หยุดใช้ดวงตาสีทองจับจ้องมาทันที สายตานั่นบอกให้ผมหยุดขำซึ่งใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะหยุดได้


“คุณได้ยินเสียงนั้นด้วยใช่ไหม”


“ไม่ได้ยิน” เบียทรีซตอบกลับแทบจะทันที


“...หรือเป็นผมที่หูฝาด” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงนั้นดังพอสมควรเลยนะแต่ถ้าเบียทรีซยังไม่ได้ยินแปลว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง


“คลื่นเกิดตรงกันพอดีมั้ง”


“คลื่น?”


“ทำหน้างง”


“ก็ผมงงจริงๆ นี่”


“เจ้ามีพลังสัมผัสที่ดีกว่าปิศาจปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่สัมผัสถึงพลังแต่อาจรวมไปถึงเสียงด้วยซึ่งปกติการจะได้ยินต้องมีการปรับคลื่นของพลังให้ตรงกัน แต่ก็ไม่มีน้อยที่มีคลื่นตรงกันเพียงชั่วคราว” เบียทรีซอธิบาย


“หมายถึงผมสามารถได้ยินเสียงคุณได้แม้จะอยู่ไกลงั้นเหรอ”


“ไม่ใช่ ต่อให้เป็นข้าแต่การจะส่งเสียงผ่านคลื่นที่ตรงกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกที่สามารถปรับจูนคลื่นได้ส่วนมากจะเป็นพวกสัตว์ปิศาจ”


“สะ...สัตว์ปิศาจ?!” ทำไมชื่อมันดูน่ากลัวขนาดนั้นล่ะ


“มนุษย์ยังมีสัตว์ได้ทำไมปิศาจจะมีไม่ได้ล่ะ”


“ก็ใจอยู่ แต่...คุณจะบอกว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นของสัตว์ปิศาจใช่รึเปล่า”


“มีความเป็นไปได้สูง” คำตอบจากเบียทรีซทำเอาผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“...สัตว์ปิศาจนี่น่ากลัวไหม” ผมถามต่อ


“หึ ลองไปเห็นเองละกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นไม่น่าไว้ใจสักนิด


“...เราจะเดินไปสินะ”


“เสียเวลา”


“งั้นจะไปยังไงล่ะ”


“บินไป” คำตอบของเบียทรีเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นให้เบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกกขึ้นมาได้ว่าวันแรกที่มาโลกปิศาจเบียทรีซใช้พลังปิศาจสร้างเป็นปีกและใช้บินไปไหนมาไหนได้


บรรยากาศด้านนอกปราสาทหนาวกว่าด้านในมาก ขนาดใส่เสื้อแขนยาวแถมยังมีเสื้อกันหนาวยังรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่เข้ามาได้เลย


ตอนอยู่โลกมนุษย์ผมไม่เคยไปเมืองนอก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหิมะเต็มๆ ตา สะเก็ดสีขาวยามล่วงลงมาเหมือนปุยเมฆนุ่มนิ่ม อยากจะนอนกลิ้งไปบนพื้นหิมะซะเหลือเกินถ้าไม่ติดว่าจะถูกสายตาคมๆ ของคนแถวนี้จ้องมาละก็นะ


เบียทรีซใช้พลังปิศาจสร้างปีกพาผมซึ่งถูกอุ้มอยู่ไปยังป่าด้านข้างปราสาท แน่นอนว่ากว่าผมจะยอมมาอยู่ในสภาพถูกอุ้มนี่ไม่ง่ายเลย แค่ครั้งเดียวก็อายมากพอแล้วกับการถูกอุ้มในท่าเจ้าหญิง


ผู้ชายที่ไหนจะดีใจเวลาถูกอุ้มล่ะจริงไหม


ผมพยายามพูดทุกสิ่งที่นึกออกแต่กลับถูกเมินแถมยังอาศัยช่วงที่เผลออุ้มผมขึ้นพาออกมาอีก เพราะแบบนั้นผมเลยต้องจำใจทนอยู่ในสภาพแสนน่าอายนี่


“ได้ยินเสียงแถวไหน” เบียทรีซถามเมื่อพวกเราเริ่มเข้ามาในเขตป่ากัน มองจากมุมสูงจะเห็นด้านล่างเป็นป่าทึบสีขาวโพลนจากการถูกหิมะตกทับ


“น่าจะไกลกว่านี้ ผมไม่แน่ใจ”


“แปลว่าไม่ได้ยินเสียงแล้วสินะ”


“อืม อ๊ะ!...ทางนั้น” เสียงเล็กๆ ที่ร้องขึ้นแล่นเข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีและหายไป ผมชี้ไปตามทิศที่สัมผัสได้แม้เสียงที่ได้ยินจะแตกต่างกับเสียงก่อนหน้านี้ก็ตามแต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเสียงใกล้ๆ กันนะ


“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้ามุ่งหน้าไปตามที่ผมชี้


ยิ่งสัมผัสถึงอะไรบางอย่างมือผมก็ยิ่งกระชับกำเสื้อของเบียทรีซไว้แน่น สัตว์ปิศาจแค่ชื่อก็บ่งบอกถึงเอกลักษณ์อย่างมีเขางอกหรือมีเขี้ยวแหลม ภาพสัปปะหลาดในหนัผุดขึ้นมาในหัวทีละตัว


นี่ผมคิดผิดที่อยากมาดูรึเปล่านะ


การปล่อยผ่านไปอาจเป็นทางเลือกที่ถูกแล้วก็ได้


“เบียทรีซ...”


“ดูเหมือนเจ้าจะดวงดีมากเลยนะ” อยู่ๆ เบียทรีซก็พูดแทรกขึ้นมา


“ดวงดี?”


“สัมผัสแบบนี้เป็นสัตว์ปิศาจไม่ผิดแน่ แถมยังเป็นสัตว์หายากด้วย”


“...เป็นสัตว์แบบไหนเหรอ” ผมถามกลับไป


“สัตว์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้ชื่อว่ามีพลังทัดเทียบกับปิศาจระดับสูง ราลามอส” ระหว่างบอกเบียทรีซค่อยๆ พาผมลงมาบนพื้นหิมะด้านล่าง


“น่ากลัวรึเปล่า อ๊ะ...ไม่” การทรงตัวบนพื้นอันเต็มไปด้วยหิมะสูงหลายนิ้วนี่ค่อนข้างลำบากทำให้เมื่อออกก้าวเพียงก้าวแรกก็ล้มหน้าทิ่มลงบนผืนหิมะอย่างแรง โชคดีที่มีหิมะรองรับเลยไม่เจ็บถ้าเป็นพื้นปกติคงได้มีเจ็บตัวแน่


“...” ผมรีบลุกขึ้นมาท่ามกลางสายตาปลงๆ ของเบียทรีซที่มองมาโดยไม่พูดอะไร


“ก็มันทรงตัวยากนี่” ผมรีบบอกเสียงสูง


“ข้าก็ไม่ว่าอะไรนี่ ขนาดพื้นราบยังสะดุดได้ประสาอะไรกับหิมะล่ะ”


“...ฟังดูเหมือนไม่ใช่คำชมนะ”


“ก็เข้าใจถูกแล้วนี่ ระวังหน่อยหิมะมันกัดผิวได้...หน้าเริ่มแดงแล้ว” เบียทรีซบอกก่อนจะใช้มือทั้งสองข้าแนบลงบนแก้มผม ความอุ่นของฝ่ามือแผ่ซ่านเข้ามาพานให้ใบหน้าที่เริ่มชาอุ่นขึ้นทันควัน


“คุณไม่หนาวเหรอ” ผมถามกลับบ้าง ถึงเบียทรีซจะใส่ชุดแขนยาวขายาวแต่ก็เป็นชุดปกติที่ผมเห็นเขาใส่ตั้งแต่ฤดูร้อนยันฤดูฝนแถมยังไม่ใส่ถุงมืออีก


“นิดหน่อย กลับเข้าปราสาทเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”


“เอาผ้าพันคอผมไหม” ก่อนออกจากห้องผมหยิบผ้ามาพันคอไว้เพราะเห็นหิมะแล้วรู้สึกหนาวขึ้นมา


“เจ้าใส่ไปเถอะ” อีกฝ่ายห้ามเมื่อเห็นผมกำลังถอดผ้าพันคอออก


“แต่คุณ...”


“เลิกแต่วิณณ์ อยากเห็นไม่เหรอหันไปดูให้เต็มตาสิ ราลามอสน่ะ” เบียทรีซหันไปมองทางซ้ายมองของผม สายตานั่นคล้ายจะชักจูงให้ผมหันไปมองตาม


ภาพของต้นไม้ถูกย้อมด้วยสีขาวของหิมะโค่นล้มลงมาหลายสิบต้นทำให้บริเวณนั้นเป็นเหมือนที่โล่ง แต่นั่นไม่ได้สร้างความตกใจเท่าสัตว์ตัวใหญ่มีปีกกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ ขนาดของมันใหญ่ประมาณช้างตัวเต็มไวแถมยังมีขนสีดำสนิทปกคลุมทั้งร่างจนมองไม่ออกเลยว่าส่วนไหนคือหัว


ความน่าตกใจยังไม่หมดแค่นั้นเพราะได้ชื่อว่าสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยการหายใจเอาอากาศเข้าไปทว่าร่างตรงหน้ากลับไม่มีการกระเพื่อมยามสูดอากาศเลย นอนนิ่งสนิทไม่แม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงร้อง ผมมองภาพนั่นโดยในหัวกำลังประมวลเหตุการณ์อย่างไม่รีบร้อน ไม่นานดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมหันกลับไปหาเบียทรีซสื่อความหมายผ่านสายตานั่นโดยไม่ใช้คำพูดใดๆ


“...คงงั้น” เบียทรีซเหมือนจะรู้สิ่งที่ผมสื่อไป


“ไม่จริงน่า” ตายแล้วงั้นเหรอ


“เลือดออกมากขนาดนี้ร่างกายคงทนไม่ไหว”


“ถ้าผมรีบมาเร็วกว่านี้ละก็...” อาจจะช่วยทันก็ได้


“มันไม่ใช่ความผิดเจ้า ทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติในวันนึง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นวันใดเท่านั้น” แม้จะเข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อแต่มันก็ห้ามความเศร้าหรือเสียใจไม่ได้


งี๊ดด~


เสียงร้องเล็กๆ ที่ดังขึ้นเรียกผมและเบียทรีซให้หันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน ฟังจากเสียงน่าจะอยู่อีกฝั่งนึงเบียทรีซเลยเดินนำผมไปก่อนจะพบกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กซึ่งมองจากสีน่าจะเป็นลูกของเจ้าตัวใหญ่นี่ ร่างเล็กสีดำสนิทมีขนฟูฟ่องใช้ป้องกันความหนาวเย็น ท่าทางตอนใช้ขาหน้าตะกายตัวขึ้นมาจากหิมะน่าเอ็นดูจนผมต้องก้าวเข้าไปมองร่างนั้นใกล้ขึ้น


งี๊ด!


ดวงตาสีทองของสัตว์ตรงหน้าจ้องมองมายังผมคล้ายกำลังบอกว่า ‘ช่วยผมที’


แค่เห็นดวงตากลมโตที่สั่นระริกผมไม่รอช้าเข้าไปอุ้มร่างนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอกเพื่อมอบความอบอุ่นให้ ขนาดในตอนนี้ประมาณแมวตัวเต็มวัยที่ออกจะอ้วนมากไปสักหน่อย ไออุ่นจากร่างผมน่าจะถูกใจเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่น้อยเพราะนอกจากจะซุกเข้าหาแล้วยังส่งเสียงครางยาวคล้ายพอใจสุดๆ อีก


“เบียทรีซ” ผมเงยหน้าสบดวงตาสีทองของอีกฝ่ายตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายอีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจความต้องการของผมได้อยู่แล้ว


“...ดูเหมือนเจ้าตัวใหญ่นี่จะเป็นแม่ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าราลามอสจะให้กำเนิดลูกโดยแลกกับชีวิต เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงครั้งแรก ตัวใหญ่กว่าที่เคยได้ยินอีก” อีกฝ่ายพูดพลางเดินเข้าไปใช้มือแตะร่างไร้วิญญาณของสัตว์ตรงหน้าก่อนพลังปิศาจจะค่อยๆ หลั่งไหลออกมา


“ทำอะไรน่ะเบียทรีซ”


“ทุกส่วนของราลามอสมีค่ามหาศาลหากมีใครมาเจอคงถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ เพราะงั้นเพื่อกันปัญหาก็จัดการไว้ก่อนดีกว่า” เบียทรีซพูดพร้อมกับพลังปิศาจห่อหุ้มทั้งร่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรแต่ในความคิดผมเหมือนร่างนั้นกำลังถูกเผาจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักชิ้น


“คุณนี่ใจดีจังนะ” น้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีผลอะไรกับผมหรอก


การกระทำของเบียทรีซเหมือนกำลังส่งวิญญาณของราลามอสตัวนั้น แถมยังช่วยไม่ให้ใครที่เผลอผ่านเข้ามาแล้วนำร่างของราลามอสไปขายต่อ ทำขนาดนี้ไม่เรียกว่าใจดีจะเรียกว่าอะไรล่ะจริงไหม


“หึ...ข้าแค่ไม่อยากต้องมานั่งจัดการกับปัญหาในอนาคตต่างหาก”


“ไม่เห็นต้องพยายามแก้ตัวเลยนี่” ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยตรงกันข้ามออกจะทำสิ่งที่ถูกด้วยซ้ำ


“...คิดจะทำยังไงกับเจ้านั่น” เบียทรีซเปลี่ยนคำถามเอาดื้อๆ


ว่าแล้วเชียว...พอไม่รู้จะไปทางไหนก็จะเปลี่ยนเรื่องแทน


เอาเถอะ...นี่แหละคือเบียทรีซ


“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่” สายตาที่ผมมองเขาหลังจากอุ้มเจ้าเล็กมาบอกกับเขาไปแล้วว่าอยากจะทำอะไร


“ราลามอสไม่ใช่สัตว์ที่จะเลี้ยงดูได้ง่ายๆ จากที่เคยอ่านเจอมันจะหาสถานที่ปลอดภัยอยู่จนกระทั่งโตขึ้นถึงวัยที่สามารถบินได้มันจะจากไป ถ้าเจ้าคิดจะเลี้ยงให้มันเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงก็หาตัวอื่นเถอะ” เบียทรีซอธิบายให้ผมฟัง


รู้ความคิดผมจริงๆ ด้วย แค่หันไปมองก็เดาออกแล้วว่าผมอยากเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่


“ผมอยากดูแลจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะกางบินแล้วบินจากไป”


“เจ้าจะไม่เสียใจรึไงตอนมันจากไปน่ะ” นี่อาจเป็นประเด็นหลักที่เบียทรีซไม่อยากให้ผมเลี้ยงละมั้ง


เขารู้ว่าผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงหากผมชินกับการมีอยู่ของราลามอสตอนมันจากไปผมอาจร้องไห้ก็ได้


“ผมไม่โกหกว่าไม่เสียใจหรอกนะ คงเสียใจแหละแต่ก็ดีใจด้วยที่สามารถเลี้ยงจนเจ้าตัวเล็กนี่ให้เติบใหญ่จนบินได้” ผมบอกตามจริง


“ตามใจ” คำอนุญาตจากเบียทรีซทำให้ผมเผยรอยยิ้มกว้างออกมา


จากนั้นเบียทรีซพาผมพ่วงด้วยสมาชิกใหม่กลับปราสาท ด้านในของตัวปราสาทไม่ได้มีการติดตั้งฮีทเตอร์หรือแอร์แต่กลับไม่หนาวเหมือนข้างนอก ตอนฤดูร้อนเองข้างในนี้ก็จะเย็นเหมือนกับเปิดแอร์อยู่ ผมเคยถามเรื่องนี้กับแกรน ดูเหมือนว่าวัสดุที่ใช้สร้างจะเป็นวัสดุพิเศษที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิได้เองซึ่งการปรับเปลี่ยนของมันจะตรงข้ามกับอุณหภูมิภายนอกโดยจะปรับให้เกิดสมดุลด้วยตัวเอง


น่าทึ่งจนผมถึงกับพูดไม่ออกเลย


ในช่วงบ่ายของวันผมง่วนอยู่กับการทำงานแต่ก็มีแอบหันไปมองลูกของราลามอสที่นอนหลับสนิทอยู่บนเบาะข้างโต๊ะทำงาน ตอนกินมื้อเที่ยงผมรวบกวนให้กาเนอร์หาของกินสำหรับสัตว์ปิศาจตัวน้อยนี่ซึ่งกาเนอร์แสดงท่าทางตกใจออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเห็นสัตว์ปิศาจที่ว่า ใช้เวลาหาอาหารมาอยู่นานก็ได้นมใส่ถ้วยมาลองให้กินดูผลที่ออกมาคือกินเรียบไม่มีเหลือสักหยด


“วิณณ์”


“ฮะ? กำลังทำอยู่รอแป๊บนะ” ผมรีบหันหน้ากลับมายังเอกสารบนมือทันที


เผลอทีไรเป็นต้องหันไปมองทุกทีสิน่า


“ดูจะถูกใจนะ เจ้านั่นน่ะ”


“อืม คุณไม่คิดว่าน่ารักเหรอ โอ๊ะ...ผมต้องตั้งชื่อด้วยนี่นา” จะให้เรียกมันหรือเจ้าตัวเล็กคงไม่เหมาะ


“น่ารักตรงไหน” เบียทรีซมองมายังร่างสีดำขนฟูซึ่งกำลังหลับสนิทนิ่งๆ


“ทุกตรงเลย ชื่ออะไรดีเบียทรีซ”


“แล้วแต่เจ้าสิ”


“งั้นผมตั้งให้ว่าราสนะ”


“คิดไว้ก่อนรึไง” อีกฝ่ายเลิกคิ้วคล้ายแปลกใจที่ผมสามารถตั้งชื่อได้เร็ว


“ก็มีคิดๆ ไว้บ้าง ราลามอสพูดเร็วๆ มันก็จะออกมาเป็นราส ง่ายดีใช่ไหมล่ะ” ผมค่อนข้างชอบชื่อนี้มากทีเดียว


“ตามใจสิ”


“จากนี้คุณห้ามเรียกมันนะเพราะผมตั้งชื่อว่าราสแล้ว”


“นี่เจ้าคงไม่ลืมใช่ไหมว่าพอมันโตขึ้นก็จะบินจากไปน่ะ” เบียทรีซพูดต่อ


“ไม่ลืมหรอก” เรื่องนั้นไม่มีทางที่ลืมได้เลย


“ก็ดี”


การทำงานผ่านพ้นไปจนถึงช่วงค่ำ ราลามอสนามราสถูกผมอุ้มเข้ามาอยู่ในห้องนอนด้วย ฟูกนอนผมปูไว้ข้างเตียงก่อนจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเบียทรีซทว่าพอกลับออกมาอีกทีฟูกนั่นกลับถูกขยับออกไปไกลจากเดิม ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือผมก็มีอยู่แค่คนเดียว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมหันไปสบกับดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซที่นอนอยู่บนเตียง


“จะวางไว้ให้เจ้าเผลอเหยียบตอนละเมอรึไง” ผมไม่ต้องถามคำถามอีกฝ่ายก็สามารถเดาได้แถมยังตอบกลับมาราวกับอ่านความคิดผมได้


“...ผมยังไม่ได้ถามสักหน่อย”


“แค่มองมาข้าก็รู้แล้ว จะถามว่าเลื่อนฟูกออกไปทำไม”


“คุณอ่านใจผมได้จริงๆ ใช่ไหมเบียทรีซ” ผมก้าวเข้าไปหาอีกบนเตียงระหว่างถามเสียจริงจัง


นี่ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งแต่มากจนนับไม่ถ้วนแล้วที่เบียทรีซเดาออกว่าผมจะพูดอะไร


“หึ...ใครก็อ่านเจ้าออกทั้งนั้นแหละ”


“จะบอกว่าผมอ่านง่าย?”


“ตามที่เข้าใจ คิดอะไรอยู่ก็แสดงออกทางสีหน้าหมด อย่างตอนนี้กำลังคิดในใจอยู่ว่าแสดงออกทางสีหน้ายังไง ถูกไหม” เบียทรีซบอกพร้อมรอยยิ้มมั่นใจมุมปาก


“อึก...” ตรงเผง


งี๊ดด~


เสียงร้องจากราสดังมาจากด้านล่างของเตียงพอก้มลงไปมองก็พบกับสัตว์ขนฟูสีดำบริเวณแผ่นหลังมีปีกคู่เล็กกำลังพยายามตะกายขึ้นมา สงสัยจะเห็นทั้งผมและเบียทรีซอยู่ข้างบนเลยอยากขึ้นมาบ้าง ผมยิ้มกับท่าทางนั่นก่อนจะอุ้มราสขึ้นมาบนเตียงด้วย


“เหงาเหรอราส” ผมถามสัตว์ขนฟูบนตักพลางลูบขนสีดำนั่นเล่น ความรู้สึกนุ่มนิ่มแบบนี้นึกถึงเบียทรีซในร่างสัตว์เลย


“วิณณ์” คำเรียกจากเบียทรีซไม่จำเป็นต้องมีคำขยายความไปมากกว่านี้ เพียงแค่ดวงตาคมๆ จับจ้องมาผมก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้


“ผมไม่ให้ราสนอนบนเตียงด้วยหรอกน่า ขอแค่ระหว่างนี้ เอ้าราส นี่คือเบียทรีซนะ จำได้เนอะ” ผมอุ้มราสไปตรงหน้าเบียทรีซที่ผงะหนีเพราะผมขยับเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว ดวงตาสีทองสองคู่จ้องประสานกับเงียบๆ โดยไม่มีทั้งเสียงพูดหรือเสียงร้อง


“เอามันออกไป” เบียทรีซเอ่ยเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมเอาราสออกจากหน้าเขา


“สนิทกันไว้สิ จะว่าไปราสเนี่ยเหมือนกับเบียทรีซเลยนะ” บอกเสร็จผมก็อุ้มราสมามองหน้ากันตรงๆ ลิ้นสีชมพูแล่บออกมาเลียปลายจมูกผมพร้อมเสียงร้องเบาๆ เหมือนกำลังมีความสุข


“เหมือนข้า? ตรงไหนกัน” เบียทรีซหันควับมามองผมด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆ


“ก็มีทั้งดวงตาสีทอง ขนสีดำแสนนุ่มนิ่มแถมยัง...”


“แถมยังอะไร” อีกฝ่ายถามต่อ


“...แถมยังเหมือนกันตรงที่อยู่ต่อหน้าผมแล้วจะมีท่าทางต่างจากคนอื่น” ความจริงผมไม่ได้อยากจะพูดถึงข้อนี้หรอกแต่ไหนๆ ก็หลุดปากไปแล้วคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง


“พูดอะไรของเจ้า”


“ก็ตอนคุณอยู่กับผมชอบแสดงด้านที่ปกติไม่ทำนี่นา ราสเองตอนอยู่กับกาเนอร์ก็ทำตัวนิ่งๆ แต่พอมาอยู่กับผมแล้วจะว่าไงดี...ทำตัวน่ารัก เนอะ” ผมส่งยิ้มหวานให้ราสแล้ววางร่างนั้นลงบนเตียง


“คิดไปเอง”


“ไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย มองราสแล้วคิดถึงเบียทรีซขึ้นมาเลย”


“จะไปมองมันแล้วนึกถึงข้าทำไม ถ้าคิดถึงข้าก็มองข้าสิวิณณ์” พูดจบเบียทรีซก็ใช้มือจับหน้าผมให้หันไปหา ดวงตาสีทองสว่างที่สอดประสานมานั้นส่งผลต่อการเต้นของหัวใจในทันที


“...เบียทรีซ”


“ถ้าบอกว่าเหมือนกันแปลว่าเจ้าก็ต้องทำกับข้าแบบเดียวกับที่ทำกับราส” เพราะผมเงียบไปเบียทรีซเลยเปิดบทสนาขึ้นมาเอง


“หมายถึงอะไร”


“ยิ้มให้มันก็ต้องยิ้มให้ข้าด้วย”


“...อุ๊บ! คิก”มือทั้งสองข้างรีบตระครุบปากตัวเองทันทีที่เผลอหลุดขำออกมา ท่าทางและการกระทำของเบียทรีซในตอนนี้เหมือนกำลังเรียกร้องความสนใจเลย


“วิณณ์” น้ำเสียงกดต่ำนั่นไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัวสักนิดตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังพยายามกลบเกลื่อนบางอย่างไว้


“เบียทรีซ แบบนี้พอไหม” ผมล้มตัวนอนบนเตียงโดยเกยคางบนขาเบียทรีซพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้เห็น ความสุขกำลังแผ่ออกมาปกคลุมหัวใจอย่างเชื่องช้าพานให้รู้สึกดีสุดๆ


“...วิณณ์” เสียงเรียกมาในจังหวะเดียวกับฝ่ามือที่สัมผัสใบหน้าผมแล้วเกลี่ยไปมาซึ่งผมยอมรับสัมผัสนั่นโดยดี เวลาถูกสัมผัสแบบนี้รู้สึกดี


“อันดับหนึ่งของผมคือเบียทรีซ” ไม่รู้อะไรที่ดลใจผมให้เอ่ยประโยคนั้นออกไป รู้แค่ว่าพอพูดออกไปแล้วรู้สึกเขินเอามากๆ เลย


“ใจกล้าดีนี่ที่พูดออกมา”


“ฮืม? อื้ออ~” ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรริมฝีปากของคนด้านบนก็ประกบลงมา ด้วยความที่กำลังตกใจเลยลดการป้องกันตัวส่งผลให้อีกฝ่ายสามารถรุกล้ำเข้ามาภายในได้ ความร้อนของปลายลิ้นยามสัมผัสโดนกันสร้างความรู้สึกแปลกๆ พุ่งเข้าจู่โจมและแล่นไปทั่วทั้งร่าง


ร่างกายอ่อนแรงราวกับถูกสูบเอาพลังไป เบียทรีซรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ กอบโกยด้วยความร้อนแรงปนดุดันจนผมแทบจะละลาย ยิ่งถูกดวงตาคู่งามสบมาร่างกายราวกับถูกดึงดูดให้เงยหน้าขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากอีกฝ่ายที่กดจูดลงมาไม่ยอมปล่อย


จูบอันดูดดื่มครั้งแรงในชีวิตเกือบจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเหตุผลแสนน่าอายคือขาดอากาศหายใจ เบียทรีซเอาแต่จูบโดยไม่ปล่อยให้ผมได้หยุดพักหายใจเลยสักนิด กว่าอีกฝ่ายจะยอมถอนจูบออกผมก็ใกล้หมดลมเต็มที


“แฮ่ก...” ไม่มีแรงกระทั่งจะบ่นด้วยซ้ำ


“อีกรอบ...”


“หยุดเลย!” ผมใช้แรงอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ยกมือขึ้นปิดปากไม่ยอมให้อีกฝ่ายก้มลงมาจูบได้อีก


“ทำไม”


“ไม่ต้องมาถามเลย ผมต่างหากที่อยากถาม”


“ถามอะไร”


“จะ...จูบผมทำไมกัน”


“เล่นพูดประโยคน่ารักๆ ออกมาจะไม่ให้จูบได้ยังไง” เบียทรีซตอบกลับอย่างรวดเร็วแถมยังดึงมือผมออกแล้วกดจูบลงมาอีกรอบนึง


“อื้ออ~...พอ เบียทรีซ” ผมหันหน้าหนีด้วยความยากลำบาก เพราะอยู่ในท่านอนหงายการจะขยับหรือเคลื่อนที่เลยไม่สะดวกเหมือนคนด้านบน แถมผมไม่ได้มีแรงขนาดนั้นด้วย


“วิณณ์” เสียงกระซิบข้างใบหูดังขึ้นหลังจากผมถูกดึงให้ไปอยู่ในอ้อมกอด


“...” สภาพผมในตอนนี้ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ขนาดแว่นยังพล่ามัวจากจูบเมื่อครู่อยู่เลย


“สำหรับข้า...เจ้าก็เป็นอันดับหนึ่ง” เพียงประโยคเดียวก็มีอิทธิพลมากพอต่อหัวใจ ความจริงไม่ใช่แค่หัวใจแต่รวมไปถึงความรู้สึกและทุกๆ อย่าง


โชคดีที่ถูกกอดอยู่เพราะถ้าสบตากันตรงๆ แล้วพูดคงต้องเรียกหน่วยแพทย์มาปั๊มหัวใจแล้วล่ะ


ตลอดหลายเดือนผมดูแลราสสัตว์ปิศาจแสนหายากอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตอนฝึกการต่อสู้กับเตโชหรือทำอาหารกับกาเนอร์ผมก็พาราสไปด้วยเสมอ พัฒนาการของราสรวดเร็วมากถึงขนาดผมที่เห็นอยู่ตลอดยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ร่างขนาดประมาณแมวตัวเต็มวัยแถมขนยังฟูๆ แปรเปลี่ยนเป็นร่างอันปราดเปรียวคล้ายหมาป่า...เอกลักษณ์พิเศษคือบริเวณหลังมีปีกคู่ใหญ่งอกออกมาซึ่งปีกนั้นยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ใหญ่สมส่วนกับขนาดตัวประมาณม้า


แม้จะมีความผูกพันกันมากแค่ไหนแต่ผมก็รู้ดีว่าสักวันหนึ่งราสต้องจากไป โลกของสัตว์ก็เหมือนกับมนุษย์การจากไปจะช่วยให้เติบโตขึ้นไม่ใช่เอาแต่อยู่ในที่ของตัวเองตลอด เพียงแค่ผมไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาเร็วขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาเดียวกันแค่ผมเห็นดวงตาสีทองเช่นเดียวกับของเบียทรีซผมก็สามารถเดาได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


ร่างอันปราดเปรียวก้าวเข้ามาหาผมใช้เรียวปากกับใบหน้าคลอเคลียแทนการบอกลาก่อนจะกางปีกออกพาร่างนั้นขึ้นสู่ท้องฟ้าไปท่ามกลางรอยยิ้มตื้นตัน ผมจะไม่ร้องไห้หรอกเพราะมันไม่ใช่ว่าจะเป็นการจากกันตลอดไปสักหน่อย สักวันหนึ่งราสอาจจะกลับมาเยี่ยมผมบ้างก็ได้ใครจะรู้ล่ะจริงไหม



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-02-2019 15:22:11
(ต่อนะคะ)


อาจเพราะคลุกคลีกับสัตว์ปิศาจมาหลายเดือนผมเลยมีประสาทสัมผัสต่อสัตว์ดีเป็นพิเศษ อย่างวันนี้เองผมได้ยินเสียงนกร้องอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนด้านหลังปราสาทเลยเดินออกไปดู และก็เป็นไปตามคาดตรงโคนของต้นไม้มีร่างของลูกนกขนสีฟ้าสดส่งเสียงร้องครวญครางอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปด้านบนก็เห็นรังนกขนาดใหญ่อยู่


คงจะตกลงมา


ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกนกแต่ก็เป็นนกของโลกปิศาจดังนั้นขนาดของมันเลยเทียบเท่าแตงโมทั้งลูก จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าโตเต็มวัยจะใหญ่ขนาดไหน ดีไม่ดีอาจใหญ่กว่าผมก็ได้


ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปก่อนวางลูกนกตัวยักษ์ลงในรังที่มีพี่น้องอยู่อีกสองตัวทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะลงแม่นกซึ่งเป็นเจ้าของรังบินกลับมาพอดีและดูเหมือนจะคิดว่าผมเป็นศัตรูที่คิดจะมาทำร้ายเลยบินโฉบใส่อย่างแรงจนร่างผมจะเด็นออกจากต้นไม้ ร่างกายกระแทรกพื้นสร้างความระบมในพริบตา


แม่นกเหมือนจะยังไม่หยุดแค่นั้น สายตาที่จับจ้องมาพร้อมกับเรียวปากแหลมอ้าออกกว้างหมายจะพุ่งโจมตีผมซึ่งไร้เกราะป้องกัน ทันใดนั้นพลังปิศาจจากด้านหลังอัดแน่นพุ่งปะทะกับร่างนก แรงปะทะทำให้นกตัวนั้นยอมล่าถอยไป ผมถอนหายใจที่เห็นแม่นกรอดแต่ดูเหมือนจะเป็นผมที่ไม่รอดซะเอง


“...มาเดินเล่นเหรอเบียทรีซ แฮะๆ” ผมส่งยิ้มให้เจ้าของพลังปิศาจอันมหาศาลเมื่อครู่ที่ก้าวยาวๆ ตรงมาหาผมด้วยใบหน้าตึงๆ


“ไม่ต้องมาแฮะๆ ทำอะไรของเจ้าถึงได้โดนแอมฟรีเบียซนั่นโจมตีมาฮะ” อีกฝ่ายมาถึงก็บ่นไม่หยุด


“...ก็ลูกนกตกลงมาผมเลยช่วยพามันกลับขึ้นไป...” น้ำเสียงที่ผมใช้พูดเริ่มหายไปทีละนิดเนื่องจากถูกดวงตาคมๆ จับจ้องมา


“แอมฟรีเบียซเป็นนกที่อันตรายที่สุดในช่วงเลี้ยงลูก ต่อให้ลูกมันตกลงไปเดี๋ยวพอมันกลับมาก็คาบลูกขึ้นไปเองได้อยู่แล้ว เข้าไปใกล้สุ่มสี่สุ่มห้าเดี๋ยวก็กลายเป็นอาหารลูกๆ มันหรอก”


“...ก็ผมไม่รู้นี่นา ขอโทษนะ โอ๊ย!” ผมถึงกับร้องลั่นเมื่อยันมือกับพื้นเพื่อใช้พยุงตัวให้ลุกขึ้น ความเจ็บแปล๊บจากมือที่ไม่ใช่หนึ่งแต่ถึงสองข้างทำเอาผมหงายหลังกองอยู่บนพื้นหญ้าอีกรอบ


“มือเป็นอะไร” เบียทรีซรีบเข้ามาพยุงพร้อมคว้ามือผมไปตรวจดูคร่าวๆ เขาค่อยๆ ออกแรงบีบตั้งแต่ปลายนิ้วและพอมาถึงบริเวณข้อมือ...


“โอ๊ย! เจ็บ!” เป็นอีกครั้งที่ผมร้องลั่น


“ไม่น่าหัก...เคร็ดสินะ”


“เจ็บ อย่าบีบ”


“เจ็บแล้วก็จำซะ อย่าทำอะไรเสี่ยงๆ อีก” อีกฝ่ายพูดก่อนจะช้อนตัวผมอุ้มขึ้นพาเดินไปยังห้องพยายามของกริซ อยากจะขัดขืนแต่ด้วยสภาพในตอนนี้ผมเลยทำได้แค่ซุกหน้าลงกับไหล่อีกฝ่ายหลบสายตาของปิศาจที่จับจ้องมาตลอดทาง


ห้องพยาบาลมีกริซกับทีมปิศาจอยู่อีกหลายสิบชีวิต เบียทรีซวางผมให้นั่งลงบนเตียงก่อนกริซจะเข้ามาดูอาการพร้อมสอบถามเรื่องราวคร่าวๆ ข้อมือทั้งสองข้างถูกนวดยาสักพักจึงพันผ้าทับไว้หลายชั้น


“อาการเป็นยังไง” เบียทรีซถามกริซ


“จากที่ตรวจกระดูยังไม่หัก แต่ข้อมือทั้งสองข้างมีการเคร็ดดังนั้นให้งดใช้การขยับข้อมือไปสักระยะจนกว่าจะหาย หากฝืนใช้อาการอาจแย่ลงได้” กริซอธิบายอาการ


“นานไหมครับ” ผมถามบ้าง เล่นมาเจ็บทั้งสองมือแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้กันพอดี


“อาการเคร็ดไม่หนักมากประมาณสองอาทิตย์น่าจะหายสนิท”


“สองอาทิตย์?” จะนานเกินไปแล้ว


“อย่ามาบ่น เจ้าทำตัวเองแท้ๆ วิณณ์” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง


“...ไม่ได้บ่นสักหน่อย แค่คิดว่านานจังเฉยๆ”


“หึ” ทั้งรอยยิ้มและสีหน้านั่นแสดงออกว่าไม่เชื่อคำพูดผมสักนิด


ก็ได้...ผมยอมรับว่าแอบบ่นอยู่ในใจ


อาการบาดแจ็บแค่ข้อมือเคร็ดมันไม่ได้หนักเท่าเบียทรีซก่อนหน้านี้เพราะงั้นถ้าไม่ได้ใช้แรงมากก็น่าจะใช้มือได้ ผมคิดไว้แบบนั้นกระทั่งมื้อเย็นมาเยือนสถานการณ์เหมือนตอนเบียทรีซขยับแขนไม่ได้ก็กลับมา ผมนั่งอยู่ข้างอีกฝ่ายตรงหัวโต๊ะเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ทว่าผมที่เคยเป็นฝ่ายป้อนกลับเปลี่ยนเป็นถูกป้อนด้วยฝีมือของราชาของโลกปิศาจแทนซะงั้น


“อ้าปากวิณณ์” เบียทรีซบอกผมที่เม้มปากแน่น


“...ผมกินเองได้ มือขยับได้อยู่” ผมบอกเหตุผลพลางเอื้อมมือไปแย่งช้อนจากเบียทรีซแต่ถูกยกหนี


“อ้าปาก” อีกฝ่ายไม่สนใจเหตุผลที่ผมเอ่ยใช้น้ำเสียงกึ่งบังคับให้ผมทำตาม


“...” ผมเม้มปากแน่น ระหว่างนั้นก็ส่ายหน้ารัวเป็นเชิงปฏิเสธ


ให้ป้อนแบบนั้นน่าอายจะตาย


“วิณณ์”


“...” ผมยังคงใช้ความเงียบแทนคำตอบ


“ถ้าไม่ยอมฟังข้าจะบีบปากเจ้าแล้วยัดอาหารลงไป...”


“ยอมแล้ว” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดโจบประโยคผมรีบอ้าปากรับชิ้นเนื้อเข้าไปทันที ด้วยขนาดชิ้นค่อนข้างใหญ่ผมเลยต้องใช้เวลาเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงไปได้


“ว่าง่ายๆ แต่แรกก็จบ” อีกฝ่ายพึมพำสลับกับตัดเนื้อชิ้นต่อไปมาจ่อตรงปากซึ่งผมก็ขัดขืนอะไรไม่ได้จำต้องอ้าปากกินตามที่ถูกป้อน


ผมพยายามยามฝืนกินอยู่พักใหญ่แต่แล้วความอดทนก็หมดลง...


“...เบียทรีซ”


“อะไร ถ้ากินไม่หมดอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าลุก” เบียทรีซพูดดัก


“เปล่า คือ...ช่วยตักคำเล็กลงหน่อยได้ไหม” คำใหญ่ขนาดนั้นเต็มปากจนแทบไม่เหลือที่เคี้ยวเลย


“...ก็บอกให้เร็วกว่านี้สิ ข้าเคยป้อนคนอื่นที่ไหน” นิ่งไปไม่นานอาหารคำต่อไปก็มาจ่อที่ปากแต่คำนี้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก


“ขอบคุณนะ ผมเป็นคนแรกที่คุณป้อนเหรอ” ผมกินไปถามไป


“...งั้นมั้ง”


“สรุปคือใช่หรือไม่ใช่น่ะ” ความหมายกำกวมชะมัด


“ไม่ต้องพูดมาก กินเข้าไป”


“อุก...ให้เวลาผมเคี้ยวก่อนสิ” ป้อนเอาๆ แบบนี้ผมจุกนะ


“รีบกินเดียวข้าจะได้พาเจ้าไปอาบน้ำต่อ”


“ฮะ? อาบน้ำเหรอ” ผมหันควับไปมองหน้าเบียทรีซทันทีที่ได้ยิน


“ใช่”


“ไม่เป็นไร ผมอาบเองได้”


“มือใช้ไม่ได้แล้วจะอาบน้ำยังไง” อีกฝ่ายถามต่อ


“เอ่อ ช่วงนี้อากาศยังเย็นอยู่แค่เช็ดตัวก็พอ” แต่ไม่ว่าจะเช็ดตัวหรืออาบน้ำก็น่าอายพอๆ กันนั่นแหละ ร่างกายผมไม่ได้น่าดูหรือสามารถเอาไปอวดใครได้อย่างเบียทรีซนี่


“...แค่เช็ดตัวก็ได้”


“...” ผมแอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายยอมตกลง


“แต่ยังไงตอนเจ้าเข้าห้องน้ำข้าก็ต้องช่วยอยู่ดี”


“มะ...ไม่ ไม่เอานะ ผมเข้าเองได้อย่ามาช่วยผมเลย”


“ข้อมือยังเจ็บอยู่จะเข้าเองได้รึไง”


“ได้ มันไม่ได้ใช้แรงอะไรนี่ ผมขอเถอะแค่เรื่องนี้” แค่เช็ดตัวว่าทำใจยากแล้วถ้าขืนต้องให้พาเข้าห้องน้ำด้วยผมคงทนไม่ไว้


“อายข้า?” เบียทรีซนิ่งไปสักพักก่อนจะหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


“...อืม”


“อะไรนะ” อีกฝ่ายขยับหน้าเข้ามาหมายจะแกล้งผมชัดๆ อยู่ใกล้กันแค่นี้จะไม่ได้ยินได้ยังไง


“อืม! ผมอาย” ตะโกนขนาดนี้ถ้ายังไม่ได้ยินอีกก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว


“หึ...หน้าแดงมากเลย”


“...” ผมรู้ตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้


“นี่วิณณ์”


“...อะไร”


“อย่าไปหน้าแดงกับใครนอกจากข้า เข้าใจนะ” ความจริงจังแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเบียทรีซ


“ทำไมล่ะ” ทั้งที่ไม่ได้อยากจะถามต่อแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เอ่ยออกไป


“เพราะเจ้าเป็นของข้า” คำพูดเพียงคำเดียวสามารถหลอมละลายหัวใจให้สลายกลายเป็นไอได้ทันที ความจริงไม่ใช่แค่หัวใจแต่เป็นทั้งร่างกาย ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซสอดประสาทมายังดวงตาของผมพร้อมกับริมฝีปากที่กดลงมาช่วงชิงอิสระภาพโดยไม่ให้ผมตั้งตัว


ตะกอนบางอย่างที่อยู่ภายในหัวใจเริ่มตกตะกอนและแสดงรูปร่างออกมาให้เห็นทีละนิด ความรู้สึกที่มีต่อเบียทรีซมันมากว่าคำว่าสำคัญ มันเหนือกว่าคำว่าพิเศษ ความรู้สึกนี้...ผมไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนแต่จากที่เคยดูพวกละครและอ่านนิยายมันคงเป็นอย่างไปไม่ได้นอกจากชอบ


ชอบเบียทรีซ


นี่ผมชอบเบียทรีซงั้นเหรอ?!

..........................................

วิณณ์เริ่มรู้ตัวแล้วว~

ตอนนี้ก็ยังคงความหวาน

หวานอะไรจะขนาดนี้นะ

เบียทรีซก็นิสัยแบบนั้นเวลาแสดงออกจึงกลายเป็นความหวานแนวกึ่งบังคับหน่อยๆ

หวังว่าทุกคนจะช่วยเอ็นดูเบียทรีซกับวิณณ์ด้วยนะคะ

สัตว์ปิศาจนามว่าราสนั้น ไม่ได้มาแค่ตอนนี้แล้วจากไป

บอกเลยว่าอนาคตจะมีบทอย่างแน่นอน

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-02-2019 15:30:34
รุ้ตัวทีเถอะ555 สงสารเบียทริช
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-02-2019 15:50:40
เอ็นดู กว่าจะรู้ตัวได้นะวิน
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2019 03:08:02
ต่อไปจะเกิดศึกแย่งวิณหรือป่าวหนอ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-02-2019 12:07:07
55555 ตลกวิณณ์ เอ็นดูด้วย
เห็นอะไรก็สงสาร เห็นอะไรก็เข้าหาหมด
คิดว่าอีกหน่อย ถ้าวิณณ์มีเหตุ ราสจะมาช่วย
แล้วตอนนี้ รู้ตัวบ้างละนะ เขินซะน่ารักเลย

เบียทริซก็สามารถมาก รุกหนักมาก
ชอบความห่วงใย ความดูแล และความปากแข็ง


หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่13:⊱ 17/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 22-02-2019 10:51:13
อ่านรวดเดียวสิบสามตอนเลย สนุกมาก :L2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-02-2019 17:13:35
⊰บงการ:วันที่14:⊱



“นี่เบียทรีซ การจะควบคุมพลังปิศาจได้ต้องทำยังไงเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาหลังขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง มือสองข้างกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เพิ่งสระของตัวเอง อาการบาดเจ็บบริเวณข้อมือทั้งสองข้างหายไปสักพักหนึ่งแล้วแต่เป็นช่วงเวลาที่ผมคงไม่มีทางจะลืมลงได้


ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของโลกปิศาจอย่างเบียทรีซดูแลผมตั้งแต่กินข้าวยาวไปจนถึงการเข้านอน เรียกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของผมเลยก็ว่าได้ อย่างตอนนอนผมมักถูกบ่นตลอดว่าอย่านอนตะแคงเดี๋ยวจะเผลอนอนทับมือตัวเอง ผมนึกภาพตัวเองตอนกำลังบ่นอีกฝ่ายตอนแขนหักออกเลย คงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันแน่ๆ


“ทำไมอยู่ๆ อยากรู้ขึ้นมา” เบียทรีซละสายตาจากวิวของท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งอยู่อีกฝากของกระจกมามองผม


“อยากรู้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ถามซะที ครั้งก่อนเตโชเคยบอกว่ามันต้องใช้เวลาสักร้อยปีกว่าผมจะสามารถควบคุมพลังได้”


“ก็ไม่ผิด”


“ร้อยปีมันนานไป พอจะมีทริกอะไรบอกได้ไหม” ผมถามพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น


“มีเหตุผลที่ต้องรีบร้อน?” เบียทรีซถามกลับ


“...แค่อยากควบคุมพลังตัวเองให้ได้เหมือนอย่างเบียทรีซ”


“ข้า? ยังไง”


“ก็ปีกที่ใช้พลังปิศาจน่ะ ผมอยากทำได้บ้าง” ถ้าสามารถเปลี่ยนรูปแบบของพลังให้กลายเป็นปีกได้คงจะสะดวกในหลายๆ ด้าน อย่างน้อยๆ ถ้าจะแอบออกไปไหนจะได้กลับมาทัน


“ถ้าเป็นปีกนี่ก็ง่ายๆ” ระหว่างพูดเบียทรีซใช้พลังปิศาจแสดงปีกสีดำสนิทให้กางออกมา


“ง่ายจริงเหรอ” ผมถึงกับตาลุกวาวด้วยความดีใจ


แบบนี้ผมก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จน่ะสิ


“อืม แค่ในโลกปิศาจนี้มีปิศาจที่ทำได้ไม่ถึง 5 ตนแค่นั้นเอง” คำตอบที่ได้รับทำเอาความดีใจลดฮวบอย่างรวดเร็ว


“...แบบนั้นมันเรียกว่าง่ายตรงไหน” แกล้งแหย่ผมเล่นอีกแล้ว


“มันก็ไม่ได้ยาก ข้าทำได้ตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ”


“แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้นี่” หากมันไม่อยากก็น่าจะทำได้กันมากกว่านี้


“เจ้าลองทำดูสิ”


“ทำยังไง แค่พลังผมยังควบคุมไม่ได้เลย” ไม่รู้กระทั่งจะปล่อยพลังออกมายังไงด้วยซ้ำ


“ใช้ความคิดกับความรู้สึกสิวิณณ์ ตอนเจ้าเผลอปล่อยพลังออกมาก็อาจเป็นเพราะความตกใจหรือกลัวซึ่งมันไม่จำเป็นที่ต้องเป็นความรู้สึกด้านลบเสมอไปลองคิดว่าอยากให้พลังปรากฎออกมาดู”


“...” ผมพยักหน้ารับก่อนจะทำตามคำแนะนำของเบียทรีซ ให้ในหัวคิดว่าต้องการให้พลังออกมา


“มากกว่านี้ ความรู้สึกยังไม่มากพอ สมาธิด้วย” เบียทรีซบอก


“อืม” พยักหน้าเสร็จผมจึงหลับตาลงเพราะการหลับตาช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น


“ลองลืมตาแล้วมองรอบๆ ตัวดูสิ” เสียงของเบียทรีซเรียกดวงตาที่ปิดสนิทของผมให้ลืมขึ้นก่อนจะมองเห็นไอดำๆ ปกคลุมอยู่รอบตัว


“นี่มัน...” หรือว่าจะเป็นพลังปิศาจ


ตอนนี้ผมรับรู้ได้ถึงพลังที่กำลังแผ่ออกมาจากร่างไม่หยุด มันต่างจากครั้งก่อนๆ ที่พลังจะพุ่งออกไปอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้กลับค่อยๆ แผ่ออกมาอย่างเชื่องช้า


“ลองทำให้พลังนั่นเป็นรูปร่างดูสิ เริ่มจากง่ายๆ อย่างวงกลมก็ได้”


“...ทำยังไงล่ะ”


“นึกภาพให้พลังที่อยู่รอบๆ มารวมกันอยู่ในที่เดียวจากนั้นก็ให้พลังนั่นหมุนเวียนเป็นวงกลม” เบียทรีซแสดงตัวอย่างโดยแบมือข้างนึงมาตรงหน้าผม พลังปิศาจที่แผ่ออกมาบิดเกลียวและอัดแน่นจนเกิดเป็นรูปวงกลมลอยอยู่เหนือฝ่ามือ


ผมที่เห็นอีกฝ่ายทำตัวอย่างให้ดูโดยไม่ยากเย็นนักผมเลยลองทำดูบ้าง ใช้สมาธิควบคุมพลังให้มารวมกัน...ผมทำทุกอย่างตามที่เบียทรีซพูดแต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นปตามที่คาดหวัง พลังปิศาจย้ายมารวมอยู่ที่เดียวก็จริงแต่ไม่ยอมเป็นรูปวงกลมเหมือนตัวอย่างที่เห็น


“ทำไม่ได้” ผมเงยหน้าบอกเบียทรีซเสียงแผ่ว


“ถ้าทำได้ข้าคงยกให้เจ้าเป็นราชาแทน”


“...หมายความว่ายังไง”


“เจ้าคิดว่าการจะควบคุมพลังได้มันสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาทีรึไงวิณณ์ แค่เจ้าสามารถแสดงพลังออกมาได้ก็นับว่าเก่งแล้ว กว่าข้าจะทำพลังให้อยู่ในรูปของวงกลมได้ก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ถึงได้บอกว่าถ้าเจ้าทำได้ตอนนี้ข้ายกตำแหน่งราชาให้เลย” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“ต้องฝึกฝนสินะ” ไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายและไม่พยายาม


“ใช่ พอฝึกจนสามารถเปลี่ยนรูปพลังได้ดั่งใจจากนั้นก็ง่ายแค่เปลี่ยนรูปพลังให้อยู่ในรูปของปีกเท่านั้น”


“...ฟังดูยากจัง” จะให้นึกภาพปีกแล้วสร้างภาพนั้นออกมาด้วยพลัง ถ้าเป็นผมปีกสองข้างได้ไม่เท่ากันพอดี


“เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนี่”


“ผมอยากบินได้แบบคุณบ้าง”


“อยากไปไหนก็บอกข้าจะให้สก๊อตเปิดทางเชื่อมไม่ก็ข้าจะพาเจ้าไปเอง” เบียทรีซพูดต่อ


“...คุณจะตามใจผมเหรอ” ผมถามต่อ


“หึ คิดเอาเองสิ”


“ผมคิดแล้ว คุณตามใจผม” คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกในสถานการณ์แบบนี้ ความใจดีและความอ่อนโยนแม้จะอยู่ภายใต้ความแข็งกระด้างคล้ายไม่สนใจสิ่งรอบข้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความชอบที่ผมมีต่อเขาลดน้อยลงเลย


“คิดไปเอง” เบียทรีซบอกพลางทิ้งตัวลงนอนบนหมอน


“ไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย”


“ปิดไฟ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องแล้วหลับตาลง


“อืม” ถึงจะอยากคุยอีกนิดทว่าเวลาล่วงเลยมาดึกเกินกว่าจะคุย


ไฟในห้องสามารถเปิดปิดได้จากหลายจุดซึ่งสวิทที่ใกล้ที่สุดอยู่ติดผนังข้างเตียงนี่เอง พอไฟทั้งห้องดับลงความมืดก็เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วดวงตาของผมสามารถมองในความมืดได้ค่อนข้างดีหากยังใส่แว่นอยู่แต่ถ้าถอดแว่นเมื่อไหร่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะงั้นผมถึงเดินกลับมายังเตียงก่อนแล้วค่อยถอดแว่นวางไว้บนหัวเตียง


“ขยับมานี่” เสียงจากด้านข้างเรียกผมที่เพิ่งทิ้งหัวลงหมอนพลิกตัวหันไปหา


“ฮืม?”


“นอนชิดขอบเตียงเดี๋ยวก็ได้กลิ้งตกหรอก”


“ผมไม่เคย...” ประโยคต่อมาถูกกลืนลงคอแทบจะทันที จะบอกว่าตัวเองไม่เคยตกเตียงก็คงเรียกว่าโกหกเพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ผมเพิ่งนอนกลิ้งตกเตียง


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ไหนเลย


“พูดได้ไม่เต็มปากล่ะสิ” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงรู้ทัน


“อึก...แค่ขยับเข้าไปใช่ไหม” ผมไม่เถียงแต่เลือกที่จะขยับตามที่อีกฝ่ายต้องการ


“ขยับมาอีก...อีกนิด”


“ขยับไม่ได้แล้ว ขืนใกล้กว่านี้ให้ผมกอดคุณเลยดีกว่า” ผมเอ่ยเสียวแผ่ว สภาพผมในตอนนี้คือกำลังนอนหันหน้าเข้าหาเบียทรีซด้วยระห่างแทบจะเป็นศูนย์


“เอาสิ กอดเลย” อีกฝ่ายกลับเห็นด้วยกับคำพูดลอยๆ ของผมซะงั้น


“ผมพูดเล่น...”


“แต่ข้าเอาจริง” พูดจบผมก็ถูกเบียทรีซใช้มือคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น


เสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นทันทียามตกอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ชอบ...การยอมรับว่าชอบยิ่งพาลให้หัวใจเต้นแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นซึ่งก็ใช้เวลานานเลยกว่าจะลดจังหวะหัวใจลงมาได้ น่าแปลกที่ผมกลับได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงดังขึ้นมาแทนที่หากนี่ไม่ใช่เสียงหัวใจของผมก็คงเหลือแค่...


“เบียทรีซหัวใจคุณเต้นแรง...”


“เลิกคิดไปเองแล้วอยู่นิ่งๆ” นอกจากจะไม่ตอบแล้วยังแก้ตัวด้วยคำพูดที่ไม่ว่าใครก็ต้องเดาได้ว่าโกหก


“แต่...”


“เงียบ นอนหลับซะทีวิณณ์” เบียทรีซใช้มือจับหัวผมกดลงยังแผงอกตัวเองเพื่อไม่ให้ผมเปิดปากพูดมากไปกว่านี้ แม้จะมีขัดขืนในตอนแรกอยู่บ้างแต่ผ่านไปสักพักก็ต้องยอมแพ้


เบียทรีซก็เป็นซะแบบนี้ เอาแต่ใจหากต้องการอะไรก็ต้องได้และให้เป็นไปตามที่ต้องการ ในทางกลับกันหากเขาไม่คิดจะบอกต่อให้พยายามถามแค่ไหนก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี


เมื่อผ่านพ้นค่ำคืนอันมีดวงจันทร์ส่องสว่างมาก็เป็นดวงอาทิตย์ที่รับหน้าที่ส่องแสงสว่างแทน ช่วงเช้ากิจวัตรประจำวันของผมยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนคือการฝึกกับเตโช ช่วงนี้เตโชให้ลูกน้องมาสลับเป็นคู่ต่อสู้กับผมบ้างเห็นว่าอยากให้ได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้หลายๆ รูปแบบ การต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นมือเปล่าหรืออาวุธผมล้วนแต่ไม่ชอบแต่ด้วยการฝึกทุกวันทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นตามลำดับ


นอกจากเรื่องการต่อสู้แล้วผมยังอยากฝึกการควบคุมพลังเลยปรึกษากับเตโชพร้อมลองควบคุมพลังให้แผ่ออกมาตามที่เบียทรีซสอนเมื่อคืนให้ดู เชื่อไหมว่าไม่ใช่แค่เตโชแต่ปิศาจตนอื่นๆ เองก็มีสีหน้าตกใจที่ผมสามารถทำได้ภายในเวลาแค่นั้นซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกเหตุผลได้เหมือนกัน อาจเพราะเห็นความสามารถลึกๆ ของผมเตโชเลยให้ต่อจากนี้ครึ่งชั่วโมงก่อนเลิกฝึกให้ผมฝึกการควบคุมพลังปิศาจด้วยตัวเองได้


จบการฝึกในช่วงสายของวันผมก็พาร่างอันอ่อนล้าของตัวเองไปยังห้องอาหาร มื้อเที่ยงร่วมโต๊ะกับเบียทรีซผ่านไปตามปกติไม่มีอะไรพิเศษมาจนถึงการทำงานในช่วงบ่ายเองก็เช่นกัน แฟ้มข้อมูลประมาณ 5 แฟ้มถูกหอบมาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยฝีมือของลูกน้องแกรนโดนมีแกรนถือเอกสารจำนวนหนึ่งไปวางให้เบียทรีซบนโต๊ะด้วยตัวเอง


“องค์ราชา ข้ามีเรื่องมาบอกท่าน” แกรนเปิดบทสนทนา


“ว่ามา” เบียทรีซที่ได้ยินแบบนั้นจึงละสายตาออกจากเอกสาร


“พวกผู้ใหญ่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมงานดูตัว”


กึก!


คำพวกจากแกรนไม่ได้ทำให้แค่เบียทรีซที่ชะงักแต่รวมไปถึงตัวผมด้วย ไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังทว่ากลับได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหูราวกับมาพูดอยู่ข้างๆ


ดูตัว?


หมายถึงการที่ชายหญิงได้มาพบปะพูดคุยกันและหากเป็นไปด้วยดีก็จะมีการสานสัมพันธ์กันไปถึงขั้นแต่งงานนั่นน่ะนะ นี่ยุค4.0นะ...ยังมีการดูตัวอยู่อีกเหรอ


จะว่าไปแกรนพูดว่าพวกผู้ใหญ่นี่นะเคยได้ยินเบียทรีซพูดถึงเหมือนกัน ถึงที่โลกปิศาจนั้นจะถูกปกครองด้วยราชาแต่ก็มีปิศาจซึ่งเป็นเหมือนรากฐานในการคอยดูแลตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงกฎหมายหรือการคมนาคมต่างๆ เปรียบง่ายๆ คงเหมือนขุนนางล่ะนะ ส่วนมากจะเป็นปิศาจที่มีอายุกว่า 800 ร้อยปีและมีลูกหลานคอยช่วยทำงาน เพราะงั้นคงไม่แปลกที่การดูตัวจะยังมีอยู่


หากเบียทรีซสนใจมีสิทธิ์ที่จะขยายอำนาจของตัวเองดีไม่ดีอาจเกิดการแย่งชิงอำนาจกันเกิดขึ้น เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองแต่ได้ยินแกรนพูดกับเบียทรีซอยู่ในตอนนี้...


“...ด้วยเหตุนั้นข้าไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ท่านไปดูตัว” แกรนอธิบายสถานการณ์บวกกับความเป็นไปได้ของการจัดงานดูตัวให้เบียทรีซฟัง


“ข้าจะไป” เบียทรีซใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ เพียงแต่การตัดสินใจนั่นส่งผลต่อคนฟังอย่างผมเต็มๆ ความรู้สึกหนักคล้ายมีตะกั่วถ่วงอยู่ภายในอกนี่...รู้สึกแย่มาก


จะว่าผิดหวังก็ไม่เชิง บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างแปลกใจด้วยซ้ำที่ตลอดหลายปีที่มาอยู่กับเบียทรีซผมยังไม่เคยเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงเลยสักครั้งเดียว ด้วยหน้าตาและฐานะราชาแทบไม่ต้องทำอะไรสาวๆ ก็แทบจะวิ่งกรูกันเข้ามาหาแล้ว หรือว่าเพราะมีผมอยู่เลยทำให้ไม่สะดวกรึเปล่านะ


“...คิดใหม่ยังทันนะท่านเบียทรีซ” แกรนพูดต่อดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนักที่เบียทรีซจะไปดูตัวแถมยังมีเหล่มองมาทางผมอีก ผมที่เผลอจ้องเลยรีบก้มหน้าลงมองเอกสารในมือตัวเองทันที


เสียมารยาทจริงเลยผม แอบฟังโต้งๆ แบบนี้


“ข้าตัดสินใจแล้ว จำนวนเท่าไหร่ที่ต้องดูตัวน่ะ” เบียทรีซถามกลับ


“ประมาณ 10 ครับ ท่านจะให้เวลาคนละชั่วโมง...”


“มาพร้อมกันเลยทั้งหมดเลย ข้าไม่อยากเสียเวลา” เบียทรีซเอ่ยแทรกประโยคที่แกรนยังพูดไม่จบ น้ำเสียงนั้นติดหงุดหงิดเล็กๆ


“รับด้วยเกล้า แล้วสำหรับวันนัดนี่จะเป็นวันไหนดีครับจากตารางงานมีช่วงวันศุกร์นี้ช่วงเย็นกับอังคารหน้าช่วงบ่าย” แกรนบอกตามรางว่างของเบียทรีซแม้จะไม่มีสมุดสำหรับจดบันทึกในมือ


เบียทรีซเคยบอกว่าแกรนมีความจำดีมากไม่จำเป็นต้องมีสมุดจดก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ไม่มีพลาด ต่างกับผมคนละขั้วบางทีขนาดจดเอาไว้ยังลืมเลยประสาอะไรกับไม่ได้จดอะไรเลยอย่างแกรน


“อังคารบ่ายโมง เรื่องที่จะคุยมีเท่านี้ใช่ไหม”


“ครับ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” แกรนกล่าวลาเบียทรีซก่อนจะหันมาก้มหัวเล็กๆ ให้ผมก่อนเดินออกจากห้องทำงานไป


“...” ในหัวมีคำถามหมุนวนอยู่นับพันแต่ผมไม่มีความกล้าพอที่จะถามออกไปได้เลยจำใจนั่งจัดการเอกสารบนโต๊ะของตัวเองต่อ


“วิณณ์”


“...ฮืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียก


“มานี่” แม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหมือนเวลาออกคำสั่งแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมให้มีการปฏิเสธเกิดขึ้นผมจึงวางงานทุกอย่างแล้วเดินไปทางโต๊ะเบียทรีซ


“มีอะไรเหรอ”


“เจ้าสิมีอะไร ทำหน้าเหนื่อยๆ” อีกฝ่ายถามพลางดึงตัวผมให้ไปนั่งอยู่บนตัก ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมาคล้ายจะสื่อความหมายว่าปิดไม่มิดหรอก


ผมอยากจะถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่าดูออกได้ยังไง ไม่ใช่แค่ครั้งนี้แต่มีอีกหลายครั้งแค่ผมมีเรื่องคิดหนักอยู่ในหัวอีกฝ่ายก็มักจะมองออกทันที สีหน้าผมเหรอ หรือจะเป็นการกระทำแปลกๆ กัน


“...ผมง่วงนิดหน่อย” ในเมื่อรู้ดีว่าไม่สามารถโกหกได้ผมเลยเลือกที่จะบอกความจริงไป แต่ไม่ได้บอกความจริงทุกอย่างแค่นั้นเอง มันไม่ถือเป็นหารโกหกหรอกมั้ง


จะให้บอกว่าคิดเรื่องที่เขาต้องไปดูด้วยก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ มันเหมือนผมไปละเมิดสิทธิ์ที่จะได้เจอคนอื่นของเบียทรีซ ต่อให้ผมจะชอบเขามากแค่ไหนแต่ผมไม่คิดที่จะบอกความรู้สึกนี้ออกไปหรอก...ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงมันมากจนผมไม่มีความกล้าที่จะแสดงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกไป


ตัวตนของเบียทรีซในตอนนี้สำคัญมากสำหรับผมที่ไม่เหลือใคร ดังนั้นถ้าผมบอกความรู้สึกนี้ไปแล้วทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมผมก็จะเลือกที่จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป


“ง่วง? จะว่าไปพักหลังมานี่เจ้านอนดึกกว่าปกติ”


“ผมกำลังสนใจประวัติของโลกปิศาจอยู่ พอได้อ่านเลยยาวจนไม่อยากวาง” ผมตอบไปตามจริง ตอนแรกผมไม่ได้ติดหรอกแต่พอได้อ่านไปสองสามหน้าแรกมันก็หยุดไม่ได้ ต้นกำเนิดของโลกปิศาจตั้งแต่ยุคเริ่มมาจนถึงปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10 เล่มหนาซึ่งผมเพิ่งอ่านเล่ม 3 จบไปเมื่อคืน


“ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน ให้ข้าเล่าให้ฟังก็ได้” เบียทรีซพูดต่อ


“คุณจำได้ทั้ง 10 เล่มเลย?”


“ใครจะจำได้ ข้าสามารถเล่าคร่าวๆ ได้แค่นั้น”


“ก็ผมอยากรู้แบบลึกๆ เลยนี่นา ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมอ่านเองดีกว่า” ให้คนเล่าก็ให้ความรู้สึกแบบหนึ่ง อ่านเองก็ให้ความรู้สึกอีกแบบแต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดการอ่านจากหนังสือถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


“คิดจะนอนดึกจนกว่าจะอ่านครบทุกเล่มรึไง”


“อืม” ผมพยักหน้าแรงๆ


ถ้าทำได้อยากอ่านติดต่อกันจนจบด้วยซ้ำ มันก็เป็นได้แค่ความคิดล่ะนะ ในความเป็นจริงผมไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านได้ตลอดเวลาหรอก ช่วงเช้าก็มีฝึก ช่วงบ่ายก็ทำงาน มีแค่ช่วงเย็นหลังมื้อค่ำที่พอจะมีเวลาให้อ่านอยู่บ้าง


“ข้าให้เจ้าอ่านได้แค่วันละ 2 ชั่วโมง” น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเบียทรีซ


“น้อยไป 2 ชั่วโมงอ่านได้ไม่เท่าไหร่เอง” ผมรีบเอ่ยค้าน เวลาช่วงเย็นจนถึงเข้านอนอย่างต่ำๆ ก็ 4 ชั่วโมงเข้าไปแล้วแต่นี่จำกัดให้ผมอ่านแค่ 2 ชั่วโมง ครึ่งเล่มจะถึงรึเปล่ายังไม่รู้เลย


“เรื่องของเจ้าไปบริหารเวลาเอาเอง ถ้าเกิน 2 ชั่วโมงข้าจะโยนหนังสือนั่นทิ้ง”


“เบียทรีซ...” น้ำเสียงนั่นไม่ได้พูดเล่น


“เพราะเอาแต่ฝืนร่างกายนอนดึกจนพลังงานไม่พอเลยต้องมานั่งหน้าเหนื่อยอ่อนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แค่เห็นข้าก็พลอยง่วงไปด้วยแล้วเนี่ย” ระหว่างพูดอีกฝ่ายก็ใช้นิ้วจิ้มแก้มผมเล่นหลายๆ ที


“เจ็บ...ผมจะพยายามไม่ทำหน้าง่วงแล้ว”


“ข้าคงเชื่อหรอก”


“ผมทำได้...”


“ไปนอนพักที่โซฟา” เบียทรีซพูดแทรก


“แต่นี่มันเวลางาน”


“ข้าเป็นใครวิณณ์” อีกฝ่ายถามเสียงนิ่ง


“...ราชาของโลกนี้” ผมตอบกลับ


“ใช่ ข้าเป็นราชา เพราะงั้นสิ่งที่ข้าพูดเจ้าต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้”


“ผมเปล่ามีข้อแม้แต่...”


“ไม่มีแต่ด้วยวิณณ์” เบียทรีซพูดดักผมไม่ให้พูดมากไปกว่านี้


“แล้วงาน...ก็ได้ ผมไปนอนพักโซฟาก็ได้” ผมรีบเปลี่ยนคำพูดยามถูกดวงตาสีทองสว่างนั่นสอดประสานมา ทั้งที่จะผมจะลุกขึ้นไปนอนตามคำสั่งแต่กลับถูกแขนของเบียทรีซกอดรัดไว้แน่นจนไม่สามารถขยับตัวได้ดั่งใจ ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเงยมองพร้อมเอ่ยคำถามผ่านทางสายตา


“ว่าง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย”


“ผมเป็นผู้ชายไม่เหมาะกับคำว่าน่ารักหรอกนะ” ถ้าชมว่าหล่อค่อยโอเคหน่อย


“จะเหมาะหรือไม่เหมาะข้าจะเป็นคนตัดสินเอง”


“...ปล่อยผมด้วย จะให้ผมไปนอนพักไม่ใช่เหรอ”


“ข้ายังไม่อยากปล่อย”


เอาเข้าไปสิความเอาแต่ใจนี้ บอกให้ผมไปนอนพักแต่ยังไม่อยากปล่อยให้ผมไปสรุปต้องการให้ผมทำยังไงกันแน่เนี่ยเบียทรีซ


“ไหนคุณบอกว่าจะให้ผมพักไง”


“อืม ก็พักไปสิ”


“งั้นก็ปล่อยผม”


“ไม่ปล่อย”


“...” ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีนะ


“ข้าเองก็ชักง่วงแล้ว ไปนอนกลางวันด้วยกันเลยดีกว่า”


“แล้วงาน...”


“ถ้าพูดอีกคำเดียวข้าจะจูบเจ้าวิณณ์” ผมเงียบปากทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น


ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ควรจะมาเขินอายกับแค่จูบแต่พออีกฝ่ายเป็นเบียทรีซมันทำให้ผมทั้งเขินและอายรวมทั้งทำตัวไม่ถูกยิ่งตอนนี้รู้ตัวแล้วว่ารู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายการจูบมันเลยเป็นเหมือนระเบิดที่อาจทำให้ผมสิ้นชีพได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหลังถูกจูบ


ในเมื่อไม่สามารถขัดอะไรได้เบียทรีซเลยพาผมกลับไปยังห้องนอนจากนั้นพวกเราก็หลับยาวไปจนถึงช่วงมื้อค่ำโดยมีปิศาจรับใช้ตนหนึ่งถูกกาเนอร์ใช้ให้มาปลุก การนอนกลางวันเต็มอิ่มทำให้รู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งมาก ถ้าอยู่ในสภาพนี้ผมอาจอ่านทั้งเล่มจบในคืนเดียวก็ได้...คิดไว้แบบนั้นทว่าความจริงผมกลับต้องวางหนังสือลงทั้งที่อ่านได้ยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของเล่มด้วยเหตุผลง่ายๆ คือถูกสายตาคมๆ ของเบียทรีซจ้องมาหลังผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-02-2019 17:14:01
(ต่อนะคะ)

วันเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงวันสำคัญอย่างวัดนัดดูตัวของเบียทรีซ ผมทำทุกอย่างตามปกติเหมือนอย่างทุกๆ วัน ไม่สิ ผมควรจะบอกว่าพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ภายในอกกำลังสั่นไหวไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกันทั้งกงวัล ทั้งอยากรู้


ในช่วงเช้าผมฝึกทักษะการต่อสู้และไปหาแกรนเพื่อคุยเกี่ยวกับตัวเลขที่ดูจะคลาดเคลื่อนกว่าปกติจนถึงช่วงมื้อกลางวันพอดีผมเลยไม่ได้กลับไปห้องทำงานของเบียทรีซแต่ตรงไปยังห้องอาหารบนชั้น 5 ใกล้เวลาดูตัวแบบนี้เบียทรีซคงไม่ลงมากินข้าวหรอกมั้ง


“มื้อนี้คงต้องกินคนเดียวสินะ” ผมพึมพำขณะเปิดประตูเข้าไปด้านใน ทว่าความเงียบที่ควรมีกลับกลายเป็นเสียงพูดคุยของบรรดาสาวๆ กว่าสิบคนนั่งเรียงอยู่ขนาบทั้งซ้ายขวาของโต๊ะอาหารโดยมีเบียทรีซนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ


ได้ชื่อว่าเป็นปิศาจรูปลักษณ์อาจดูน่ากลัวแต่มองผ่านเลนส์แว่นก็รู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเป็นปิศาจระดับกลางขึ้นไปแน่ๆ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างอะไรกับมนุษย์วัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่งดงามที่สุด บวกกับบรรยากาศรอบตัวและเสน่ห์ดึงดูดนั่นทำเอาผมถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นหลังจากสติกลับมาความรู้สึกหน่วงๆ ปนอึดอัดก็เข้ามาแทนที่


ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาห้องอาหารนี้ผมนั่งอยู่กับเบียทรีซ 2 คน ไม่เคยมีใครเข้ามาร่วมโต๊ะด้วยเปรียบเหมือนสถานที่ส่วนตัวระหว่างผมและเบียทรีซ พอมาวันนี้กลับมีสาวๆ มานั่งอยู่จนเต็มห้อง


...ไม่ชอบเลย


ที่ไม่ชอบนี่ไม่ใช่ไม่ชอบสาวๆ ที่นั่งอยู่แต่เป็นตัวเอง ผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองคิดแบบนี้ เพราะความรู้สึกชอบที่ดังก้องอยู่ในอกนี่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สมควรขึ้นมา ทั้งหงุดหงิด ทั้งไม่ชอบ ทั้งอิจฉาและทั้งรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน


นี่ผม...กลายเป็นคนนิสัยแย่ไปแล้วสินะ


อาจเพราะในตอนนี้ผมมีเบียทรีซเพียงคนเดียวความรู้สึกเหล่านั้นเลยยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


“เจ้าไม่รู้มารยาทเคาะประตูก่อนเข้ามารึไง” ปิศาจสาวสวยในชุดเดรสสีฟ้าตรงหน้าหันมามองหน้าผมพร้อมเอ่ยพูดเสียงตึง ความจริงนอกจากเธอแล้วผู้ที่เหลือต่างจับจ้องมายังผมที่เปิดประตูเข้ามา


“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้” ในเมื่อเบียทรีซพาคู่ดูตัวมายังห้องอาหารนี่ผมก็ควรจะออกไปรอที่อื่น มื้อนี้ไปกินห้องครัวกับพวกกาเนอร์คงได้มั้ง


“...วิณณ์ ข้าบอกให้เจ้าหยุดไงวิณณ์!” เสียงเรียกชื่ออันแสนคุ้นเคยดังก้องห้อง ผมถึงกับชะงักขาและมือที่กำลังจะปิดประตู ฟังจากน้ำเสียงคงไม่ได้เรียกผมแค่ครั้งเดียว...สงสัยเพราะกำลังคิดหลายๆ อย่างในหัวเลยเพิ่งได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่าย


“เบียทรีซ...”


“มานี่” คำสั่งทั้งสั้นและง่าย แต่ผมกลับต้องใช้เวลาสักพักในการประมวลผลก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องอาหารตรงไปหาเบียทรีซท่ามกลางสายตาของคู่ดูตัวนับ 10 ที่จับจ้องมา


“...มีอะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามเสียงเบา


“เข้ามาแล้วจะออกไปไหน”


“จะไปห้องครัว”


“ไปทำไม” อีกฝ่ายถามต่อ


“ก็จะไปกินมื้อกลางวันที่นั่น...”


“เปลี่ยนที่กินโดยไม่บอกข้า?” ดวงตาสีทองสว่างฉายแววไม่พอใจระหว่างเงยขึ้นมาสบ


“...คุณกำลังยุ่งอยู่ผมเลยคิดว่าไม่ควรกวน” จะให้ผมทำยังไงกับสถานการณ์นี้ล่ะ ในงานดูตัวผมที่เป็นคนนอกก็ควรไปอยู่ที่อื่นเป็นเรื่องสมควรแล้ว


“เมื่อไหร่จะเลิกสักที ไอ้นิสัยคิดเองเออเองเนี่ย” เบียทรีซถามกลับพลางดึงแขนผมให้ทรุดตัวลงนั่งเข้าอี้ข้างๆ ที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามีวางไว้อยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


หรือว่า...จะเตรียมให้ผมนั่ง?


“...ขอโทษ”


“เป็นอะไร”


“อะไร” ผมไม่เข้าใจคำถาม


“เป็นอะไรทำไมถึงทำหน้าเศร้าๆ แบบนี้” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซยังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ฝ่ามือข้างนึงเอื้อมมาลูบแก้มซ้ายผมสื่อถึงความห่วงใย


“...ผมทำหน้าเศร้าเหรอ” ผมถามกลับ


ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าทำหน้าเศร้าออกไป


“อืม ใครทำอะไรเจ้าบอกมา” เบียทรีซถามย้ำ


“ผมไม่เป็นไร”


“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าถ้าโกหกไม่เป็นก็ไม่ต้องพยายาม”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบ ลืมไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายอ่านสีหน้าผมเก่งขนาดไหน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดความรู้ด้านลบที่กำลังค่อยๆ ปะทุขึ้นนี่


“วิณณ์”


“...ขอโทษ ผมขอโทษ” จะให้บอกเหตุผลให้เบียทรีซฟังเหรอ


ไม่มีทาง


ผมไม่กล้าที่จะบอกหรอก


“ข้าไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ...น่ารำคาญเลิกมองสักที!” ประโยคสุดท้ายเบียทรีซหันไปตวาดให้บรรดาสาวสวยที่จับจ้องมายังผมพร้อมคำพูดซุบซิบมากมายซึ่งจับใจความแทบไม่ได้ คงจะสงสัยว่าผมเป็นใครถึงได้มานั่งหัวโต๊ะแถมยังพูดคุยเป็นกันเองกับเบียทรีซอีก


“ขะ...ขออภัยองค์ราชา”


“อย่าทรงกริ้วสิเพคะ วันนี้ถือเป็นวันที่ที่พวกเราได้มาพบกับพระองค์” หญิงสาวผมดำยาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมใช้มือแตะบ่าเบียทรีซเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ใจเย็น


“อย่ามาแตะตัวข้า” น้ำเสียงของเบียทรีซทำเอาสาวสวยคนนั้นรีบชักมือกลับทันควัน


“เบียทรีซ...” ผมเรียกอีกฝ่ายแต่ยังไม่ได้เริ่มพูดเจ้าตัวกลับพูดต่อ


“หมดเวลาสำหรับพวกเจ้าแล้ว ออกไปจากห้องนี้แล้วกลับไปบอกพ่อแม่พวกเจ้าซะว่าอย่าคิดจะใช้ลูกหลานมาเป็นใบเบิกทาง ข้าไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครทั้งนั้นนอกจากคนที่ข้าเลือกเอง!” พูดจบเบียทรีซใช้มือเพียงข้างเดียวโอบเอวผมรวบขึ้นนั่งอยู่บนตักพร้อมขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนแก้มของพวกเราแนบสนิทกัน


บรรยากาศทั้งหมดเงียบลงทันตาเห็นคล้ายทุกคนกำลังงุนงงและไม่เข้าใจคำพูดของเบียทรีซซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังงงอยู่ และเพราะความงงนั่นละมั้งเลยส่งผลให้ลืมขัดขืนตอนถูกรวบขึ้นมานั่งบนตักไปซะสนิท ถ้าผมมีสติอยู่ครบถ้วนผมไม่มีทางยอมนั่งบนตักเบียทรีซท่ามกลางสายตาของสาวสวยกว่า 10 คู่แน่นอน


ผ่านความเงียบไปได้สักพักใหญ่เสียงเลื่อนเก้าอี้ตัวแรกก็มาพร้อมกับร่างของสาวในชุดเดรสสีชมพูที่เดินออกจากห้องไป เมื่อมีคนแรกคนต่อๆ มาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปจนกระทั่งภายในห้องเหลือเพียงผมและเบียทรีซนั่งกันอยู่ 2 คน


“เบียทรีซ...แบบนี้จะดีเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาหลังจากเงียบมาสักระยะ


“อะไรดี”


“ก็...กำลังดูตัวกับพวกเธออยู่นี่”


“แล้ว?” เบียทรีซถามต่อคล้ายจะไม่เข้าถึงสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ


“การที่ให้พวกเธอออกไปแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ ถ้ายังไงผมไปตามพวกเธอกลับมาให้ไหม” พูดเองก็เจ็บเอง เหมือนวิ่งเข้าไปให้โดนมีดด้วยตัวเองเลย


“เจ้าอยากให้ข้าดูตัว?”


“...คุณเป็นคนบอกเองว่าจะดูตัว...”


“ตอบไม่ตรงคำถามวิณณ์” เบียทรีซพูดแทรก


“คำถามอะไร” ในหัวตอนนี้เริ่มตื้อไปหมดแล้ว


“ข้าถามว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าไปดูตัวเหรอ ไม่ได้ถามเจ้าว่าข้าพูดอะไร ตอบใหม่”


“...ผมไม่มีสิทธิ์” ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่อยาก ตัวผมก็เป็นเพียงคนคนนึงที่เผลอไปมีใจให้กับบุคคลที่ไม่สมควรอย่างเบียทรีซ


“วิณณ์”


“...ผมขอโทษ”


“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำหลายรอบว่าเจ้าตอบไม่ตรงคำถาม”


“เบียทรีซ...”


“ตอบข้า” ดูเหมือนสายตาร้องขอของผมที่พยายามจะสื่อออกไปมันจะไม่ได้ผลเอาซะเลย นอกจากจะไม่เห็นใจแล้วยังเร่งรัดเอาคำตอบอีก


“...ผมไม่อยากให้คุณไปดูตัว” ในเมื่อไม่สามารถเบี่ยงประเด็นหรือหลีกหนีได้ผมก็มีทางเลือกแค่พูดความจริงออกไปเท่านั้น


“ก็แค่นี้ แค่คำว่าไม่อยากทำไมมันพูดยากนักฮื้อ” เบียทรีซขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมแรงๆ หากไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูจะมีความสุขได้ทัน


“ไม่โกรธเหรอที่ผมคิดแบบนั้น” ผมถามไปตามตรง


“ทำไมข้าต้องโกรธเจ้าด้วย”


“ก็เบียทรีซอยากดูตัว...”


“คิดเอาเองอีกแล้ว ข้าพูดตอนไหนว่าอยากดูตัว” อีกฝ่ายรีบพูดแทรกด้วยน้ำเสียงแข็งๆ


“เห็นพูดกับแกรนว่าจะดูตัวนี่” ประโยคนั้นผมจำได้แม่นเลย


ไม่มีทางผิดแน่


“ข้าบอกว่าจะดูตัวแต่ไม่ได้บอกว่าอยากดูตัวสักหน่อย”


“ความหมายมันก็เหมือนๆ กันนี่”


“เหมือนที่ไหน สาเหตุที่ข้าบอกจะดูตัวก็เพื่อตัดความรำคาญ ถึงจะปฏิเสธไปแต่อีกไม่นานก็ต้องมีเรื่องดูตัวนี้มาอีกอยู่ดี” เบียทรีซพูด


“อาจไม่ใช่แบบที่คุณคิดก็ได้” ถ้าเกิดปฏิเสธไปทางนั้นคงไม่ตื้อให้มาดูตัวหรอก...มั้ง


“เจ้าไม่รู้อะไร ข้าปฏิเสธมาจวนจะคบร้อยครั้งแล้ว”


“...” พูดเป็นเล่น ร้อยครั้ง?


นี่มันยิ่งกว่าการตามตื้ออีกมั้งเนี่ย


“ดังนั้นเพื่อตัดความรำคาญข้าเลยเรียกมาให้ดูตัวพร้อมกันให้หมดจะได้ปฏิเสธไปเลยรวดเดียวทั้งประหยัดเวลาทั้งประหยัดความรำคาญ”


“แบบนี้นี่เอง” ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว เบียทรีซไม่ได้อยากจะดูตัวแต่แรกแต่วางแผนไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาพูดเรื่องดูตัวอีก พอรู้แบบนี้แล้วความรู้สึกด้านลบมากมายที่มีกลับหายวับไปราวกับความรู้สึกพวกนั้นไม่เคยมีอยู่แต่แรก


“จบเรื่องดูตัว มาเข้าเรื่องเจ้าดีกว่า” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมา ด้วยแรงดึงดูดของดวงตาคู่นั้นทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกมาได้


แบบนี้แย่แน่...ถูกดวงตาคู่นั้นจ้องทีไรเป็นต้องเปิดเผยความรู้สึกออกไปหมดทุกที


“...เรื่องของผมไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย หวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป


“ข้าจะเป็นคนตัดสินเองว่ามีหรือไม่มี”


“ผมไม่บอกได้ไหม”


“ไม่ได้” เบียทรีซตอบทันที


“...เอ่อ...คือ...คุณถามอะไรนะ” ไม่ได้จะกวนนะแต่พอมีเรื่องเข้ามาเยอะๆ มันก็มีลืมบ้างเป็นเรื่องธรรมดานี่นา


“เฮ้อ...เจ้านี่นะ”


“แฮะๆ”


“ไม่ต้องมาแฮะเลย สีหน้าค่อยดีขึ้นมาหน่อย”


“สีหน้าเหรอ...” จะว่าไปก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าผมทำหน้าเศร้าๆ สินะ ที่เศร้าเป็นเพราะเห็นเบียทรีซนั่งอยู่กับสาวๆ ด้วยความที่ผมชอบเขาเลยเกิดความรู้สึกแย่ๆ จนแสดงออกทางสายตาและถูกเบียทรีซจับได้


“ก่อนหน้านี้ทำไมถึงทำหน้าเศร้า”


“...เพราะผมหิว” คำตอบแสนจะสิ้นคิดทำเอาคิ้วข้างนึงของเบียทรีซเลิกขึ้น


“ได้ เดี๋ยวข้าจะให้กาเนอร์จัดมื้อใหญ่พิเศษสำหรับเจ้าชนิดที่ให้คนทั้งปราสาทกินได้เลย”


“อย่าทำแบบนั้นนะ” อยู่ด้วยกันมานานทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าเขาพูดจริง ถ้าผมไม่รีบห้ามมื้อต่อไปคงได้เห็นผมท้องแตกกันพอดี


“ถ้างั้นก็รีบตอบมา”


“...ทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน


ไม่กล้าที่จะบอกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมยังคงเงียบแต่ที่คาใจคือทำไมเบียทรีซถึงต้องการจะรู้มากขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยกับแค่ผมทำหน้าเศร้า เราทุกคนมีวันที่เศร้าได้ทั้งนั้นซึ่งเรื่องนั้นมันอาจเป็นเรื่องไร้สาระอย่างการยืนล้างมือก็ได้


“ข้าอยากรู้ทุกเรื่องของเจ้า...วิณณ์” คำตอบที่คาดไม่ถึงเรียกเสียงหัวใจให้เต้นรัวขึ้นทีละน้อย ทั้งคำพูด น้ำเสียงและสายตาของเบียทรีซเป็นเหมือนไฟที่กำลังหลอมละลายผมจนไม่เป็นอันทำอะไร


อยากจะปิดความรู้สึกนี่ไว้



ยังไม่อยากจะบอกออกไป


ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเพราะผมกลัวสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม


แต่ในตอนนี้ ตอนที่ดวงตาของผมสอดประสานอยู่กับของเบียทรีซอยู่ๆ ความกล้าที่ไม่เคยมีกลับปรากฏขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่สามารถปิดกั้นต่อไปได้อีก เบียทรีซกำลังบังคับผมผ่านทางสายตา


“...ผมขอโทษนะเบียทรีซ ทั้งที่คุณเป็นครอบครัวแต่ผมกลับ...รู้สึกชอบคุณขึ้นมาซะแล้ว” และผมก็ถูกอีกฝ่ายชักจูงให้เป็นไปตามที่ต้องการจนได้


“ทำไมต้องขอโทษ” ดวงตาสีทองสว่างทอประกายดีใจวูบนึงก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“เพราะผม...ชอบคุณ”


“คำว่าขอโทษมันเหมือนเจ้าเสียใจที่ชอบข้า”


“ไม่...ไม่ใช่นะ ผมไม่เสียใจที่ชอบคุณ” ผมส่ายหัวรัวๆ เพื่อปฏิเสธ ไม่คิดว่าจะมองไปในแง่นั้น


“ถ้าไม่ได้เสียใจก็อย่าพูดว่าขอโทษ”


“อืม”


“พูดอีกรอบสิวิณณ์”


“...พูดอะไร”


“พูดว่าชอบข้าอีกสิ” เบียทรีซบอกพร้อมขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม


“...ผมชอบคุณ” ความกล้าแทบจะทั้งชีวิตหมดไปกับประโยคสั้นๆ แบบนี้


“...” อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีกแต่สีหน้าของเบียทรีซกลับดูพึงพอใจเมื่อได้ยินคำพูดของผมไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่ทอประกายสุขสมหรือรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่มุมปากแต่เป็นการเผยรอยยิ้มกว้างซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายทำให้คนมองอย่างผมแสดงอาการเขินหน้าแดงออกมา


ท่าทางแบบนั้น...ไม่ได้ปฏิเสธหรือมองว่าแปลก ไม่มีท่าทีรังเกียจด้วย


หรือว่าเบียทรีซเองก็...


“คุณเองก็ชอบผมเหรอ” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่ายไปตามตรง รอยยิ้มบนใบหน้ายกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวเข้ามเอ่ยกระซิบคำตอบที่พานเอาความเขินเมื่อครู่สลายไปในพริบตา...


“ลองคิดเองสิวิณณ์”

...........................................

แหมมมม

ท่านราชา...คนอ่านเค้ารู้กันตั้งแต่ตอนแรกแล้วมั้งความรู้สึกของท่านน่ะ

ถ้าไม่ใช่วิณณ์ไม่มีทางที่จะดูไม่ออก

พิเศษขนาดนี้คงไม่ชอบวิณณ์มั้งง

ขอบ่นราชาสุดซึนกันสักหน่อย

หลงรักเขาก่อนแท้ๆ ดันมาปากหนัก ปากแข็ง

ดีใจจนยิ้มไม่หุบแล้วนั่นนน

ใครรู้สึกยังไงกับเบียทรีซหลลังอ่านจบมาคอมเม้นท์กันได้นะคะ 555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-02-2019 18:34:57
โอ๊ยยย วิณณ์ ทำไมซื่อแบบนี้นะ เป็นคนอื่นมีลูกไปแล้ว
คนอื่นบอกกัน แซวกันทางอ้อม ก็ยังงง ยังมึน
ตอนนี้รู้สึกเองแน่ชัดแล้ว บอกเบียทริซไปแล้วด้วย
แล้วจะไปไหนรอดอีก ขนาดไม่บอก เบียทริซยังยึดเลยน่ะ

วิณณ์น่ารัก ดูออกง่าย เศร้า ดีใจ ออกอาการหมด

เบียทริซทำปากแข็งนะ ในใจนี้คงเต้นระรัวยิ่งกว่ากลองศึกอีก
ยิ่งได้ฟังวิณณ์บอกชอบด้วยแล้ว แสดงออกกว่าเดิมชัวร์



หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-02-2019 20:14:28
อยากได้ยินกับหูตัวเองอ่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-02-2019 22:35:26
ซึนทั้งคู่อ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 25-02-2019 21:32:05
ยังจะไปแกล้งวิณณ์อีกนะเบียทรีซ 
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 27-02-2019 00:32:19
ปากแข็งไม่มีใครเกิน :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-02-2019 09:07:29
ปากกกกแข็ง รอให้น้องอ้อนรึเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 01-03-2019 13:59:09
พ่อคนปากแข็งงงง  :angry2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่14:⊱ 24/2/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 02-03-2019 23:03:20
ชอบเขาแล้วยังปากแข็งอีก
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-03-2019 14:22:02
⊰บงการ:วันที่15:⊱



การฝึกทักษะในการต่อสู้ให้กับวิณณ์ผ่านมานานนับปี เริ่มแรกแค่จะยกดาบขึ้นยังทำแทบไม่ได้แถมด้วยความซุ่มซ่ามนั่นผมเลยต้องบอกให้ฝึกเพียงการต่อสู้มือเปล่าเพราะขืนใช้อาวุธจริงคงได้มีเผลอเจ็บตัวในไม่กี่วัน ดีไม่ดีคงไม่กี่นาทีด้วยซ้ำไป ผู้ที่ผมให้ฝึกสอนวิณณ์เป็นถึงผู้นำทัพซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับแนวหน้า


ฝีมือของวิณณ์ค่อนข้างน่ากังวลและน่าเป็นห่วงในตอนแรกแต่พอผ่านไปสักระยะก็เริ่มเข้าที่มากขึ้น มาจนถึงตอนนี้นอกจากจะจับอาวุธสู้ได้แล้วยังมีการฝึกการใช้พลังปิศาจร่วมด้วย


ดวงตาสีทองสว่างของผมมองภาพของวิณณ์ยามเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของคู่ฝึกซ้อมการต่อสู้ที่ไม่ใช่เตโช เขาคงจะให้วิณณ์ได้ฝึกกับคู่ต่อสู้หลายๆ แบบก็เป็นได้


การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ค่อนข้างรวดเร็วทว่าวิณณ์กลับหลบทุกการจู่โจมนั้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ดวงตาสีอ่อนใต้เลนส์แว่นจับจ้องไปยังคู่ต่อสู้อย่างไม่ละสายตา เมื่อเพ่งสมาธิไปกับการมองส่งผลให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วได้ชัดเจนขึ้น


การเคลื่อนไหวของวิณณ์ไม่ใช่แค่หลบแต่กำลังรอคอยช่องว่างหรือโอกาสในการสวนกลับอย่างใจเย็น อาวุธสีเงินหรือก็คือดาบในมือตวัดจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนเพื่อให้อีกฝ่ายที่เข้ามาโจมตีชะงักและล่าถอยไปเล็กน้อยซึ่งวิณณ์ดูเหมือนจะรอจังหวะนั้นอยู่แผ่พลังปิศาจออกมาแต่ให้เพียงแค่รอบตัวก่อนพลังนั่นจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปปกคลุมดาบทั้งเล่ม


ทั้งจังหวะเวลาหรือแม้แต่คู่ต่อสู้ที่กำลังชะงักอยู่ล้วนเปิดโอกาสสู่หนทางแห่งชัยชนะทว่าในจังหวะที่กำลังก้าวเข้าประชิดคู่ต่อสู้กลับสะดุดบนพื้นโล่งจนหน้าคะมำลงบนพื้นปูนเต็มแรง บรรยากาศของการต่อสู้เมื่อครู่ปลิวหายไปอย่างรวดเร็วขนาดคู่ต่อสู้หรือปิศาจรอบๆ ที่กำลังฝึกเองยังทำหน้าเจ็บแทนเลย


วิณณ์ก็ยังคงเป็นวิณณ์  เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงนี่เป็นเรื่องปกติ


แต่ใครจะคิดล่ะว่าจะเป็นได้ขนาดนี้


“...” ผมยืนนิ่งเงียบมองภาพเจ้าตัวที่กำลังใช้มือลูบใบหน้าตัวเองไปมา จากการมองอาการคงไม่เป็นอะไรนอกจากรอยแดงบริเวณหน้าปากกับปลายจมูก


“ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นมากแต่อาจยังมีบ้างที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น” เตโชซึ่งยืนมองภาพการต่อสู้อยู่ข้างผมตั้งแต่เริ่มพยายามพูดช่วยวิณณ์


“เจ้าควรเปลี่ยนคำพูด นั่นไม่ใช่เหตุการณ์ไม่คาดฝันแต่เป็นเหตุการณ์ปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” อยู่ด้วยกันมาตั้งเท่าไหร่ทำไมจะไม่รู้นิสัยของอีกฝ่าย


“...ถึงจะแบบนั้นแต่การที่สามารถควบคุมพลังปิศาจได้ระดับนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย”


“ข้อนี้ข้าเห็นด้วย” การควบคุมพลังปิศาจของวิณณ์หลังจากมาถามทริกผมก็ผ่านไปเพียง 2 ปี เป็นระยะเวลาอันน้อยนิดสำหรับปิศาจอย่างพวกเรา หากเป็นปกติแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมพลังปิศาจให้ออกมาได้ตามความต้องการแต่นี่ยังเคลื่อนย้ายพลังไปไว้ที่อาวุธ


พลังปิศาจถือเป็นสิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างกายดังนั้นการจะใช้มันส่วนมากจะเป็นการปล่อยออกไปรวดเดียวเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างปีกหรือกรงเล็บที่ติดกับร่างกายเนื่องจากการคงพลังปิศาจไว้ห่างตัวจะต้องใช้ความชำนาญสูงมากและความผิดพลาดก็เยอะ ในกรณีที่จะโจมตีระยะไกลก็จะรวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วใช้แรงผลักออกไปอย่างรวดเร็วเพราะหากช้าพลังปิศาจจะสลายไปได้


ส่วนกรณีของวิณณ์คือการควบคุมพลังที่อยู่รอบกายคลอบคลุมอาวุธตามรูปร่างนั้นๆ เพื่อเพิ่มพลังการโจมตี ถ้าควบคุมการไหลเวียนของพลังผิดไปแม้แต่นิดเดียวพลังก็สามารถสลายไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องฝึกควบคุมให้ชำนาญสัก 50-100 ปีถึงจะกล้าลองทำแต่วิณณ์กลับทำได้ในเวลาแค่ 2 ปี


พรสวรค์เหรอ


หรือจะเป็นเพราะสายเลือดกันแน่


“สมกับเป็นลูกของชารอน” เตโชเอ่ยเสียงเบาระหว่างมองไปยังวิณณ์ที่ลุกขึ้นมาพร้อมขอฝึกใหม่อีกครั้ง


“ชารอนไม่ซุ่มซ่ามแบบนี้” ชารอนหรือแม่ของวิณณ์เป็นผู้หญิงที่นอกจากสวยแล้วยังมีความเป็นผู้นำสูงมากกว่าใคร ต่อให้คนที่ยืนตรงหน้าจะเป็นผู้ชายร่างยักษ์แต่เธอก็สามารถจัดการก้าวข้ามไปได้ด้วยการควบคุมพลังปิศาจที่เหนือกว่าปิศาจตนอื่น ภาพของชารอนจัดการปิศาจร่างยักษ์ได้ด้วยมือเปล่ายังติดตาอยู่เลย


“ก็จริง เพียงแต่การควบคุมพลังในระดับนั้นในเวลาแค่ 2 ปีบอกตามตรงข้าเพิ่งจะเคยเจอ”


“พรสวรรค์รวมกับสายเลือดละมั้ง” ผมเอ่ยลอยๆ


“อีกไม่กี่ปีจะไม่มีใครเป็นคู่ซ้อมต่อสู้กับเขาได้” คำพูดของเตโชไม่ได้ใช้น้ำเสียงล้อเล่นแต่เป็นเสียงที่เหมือนกำลังกังวลซึ่งผมเข้าใจสิ่งที่เตโชกำลังคิดอยู่ หากมองทักษะและความสามารถของวิณณ์ในตอนนี้และมองไปในอนาคตอีกสัก 100 ปีคงไม่ใช่ระดับธรรมดา


พลังที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของจิตใจได้ง่ายๆ ในตอนนี้วิณณ์อาจไม่ได้คิดอะไรแต่ในอีก 100 ปีอาจเกิดความคิดที่จะขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของโลกปิศาจก็ได้ ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้หมด


โคร่ม!


ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ รีบหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นซึ่งเสียงนั้นดังมาจากวิณณ์ที่ทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นปูนโดยมีคู่ฝึกซ้อมยืนยกดาบป้องกันค้างไว้กลางอากาศคล้ายมั่นใจว่าดาบของวิณณ์ต้องปะทะลงมาแน่ๆ แม้จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นแต่ผมสามารถอธิบายสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ต้องถามใครด้วยซ้ำ


วิณณ์กับคู่ต่อสู้เข้าปะทะกันเป็นรอบที่ 3 ตั้งแต่ผมมายืนดู และไม่รู้ว่าเข้าปะทะกันท่าไหนวิณณ์ที่ควรจะเหวี่ยงดาบลงมากลับหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ให้เดาคงเพราะยกดาบสูงเกินไปทำให้น้ำหนักถ่ายเทไปอยู่ด้านหลัง พูดง่ายๆ คือหงายหลังล้มเพราะดาบหนัก


“ข้าว่าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” ต่อให้มีฝีมือระดับสูงแค่ไหนแต่นิสัยซุ่มซ่ามซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี่ไม่มีทางหายแน่


ผมขอเอาตำแหน่งราชาของโลกปิศาจเป็นเดิมพันเลย



“...เห็นด้วยกับท่าน จะว่าไปอีกไม่นานจะถึงวันพิเศษขององค์ราชาแล้ว” เตโชเปลี่ยนเรื่องคุย


“ใกล้ถึงแล้วสินะ” วันพิเศษที่เตโชพูดถึงคืองานฉลองวันเกิดของผม เป็นงานยิ่งใหญ่ที่จะเปิดปราสาทให้เหล่าปิศาจเข้ามาร่วมงานเลี้ยงได้ ภายในงานจะมีทั้งอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ คอยต้อนรับอยู่ไม่ขาด


“ปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่าองค์ราชา”


“ข้าไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ” พูดถึงสิ่งที่อยากได้ไม่ใช่ไม่มีแต่คงไม่มีใครสามารถหามาให้ได้ ผมต้องเป็นคนช่วงชิงมาด้วยตัวเอง


“แปลว่าต้องปรึกษาเรื่องของขวัญกับแกรนอีกแล้วสิเนี่ย” เตโชพึมพำเสียงเบา


“อะไรก็ได้” การมอบของขวัญเหมือนเป็นธรรมเนียมที่เจ้าของงานอย่างผมจะได้รับ ยิ่งตำแหน่งราชาของที่จะให้ก็ควรจะเป็นสิ่งที่มูลค่าทัดเทียมกัน ไม่รู้ว่าใครที่สร้างความเชื่อแบบนั้นขึ้นมา


สำหรับผมของขวัญไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิด


“ครับ แกรนบอกว่าวันนี้จะมีร้านมาวัดตัวเตรียมตัดเสื้อผ้าสำหรับวันสำคัญ”


“เข้าเรื่องเถอะ” ผมเบยสายตาไปหาเตโช รู้จักกันมาไม่รู้กี่ร้อยปีทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าประโยคนั้นเป็นคำเกริ่นก่อนจะเปิดเข้าเรื่องอะไรสักอย่าง เตโชไม่ใช่พวกชอบพูดมากหากพูดนั่นแปลว่าต้องมีเรื่องอะไร


“ทรงมองออกจริงๆ ด้วย ข้าแค่อยากขอบังอาจเสนอบางอย่าง”


“ลองว่ามา”


“ข้าว่าพระองค์น่าจะออกไปวัดตัวที่ร้านจะดีกว่าให้คนของร้านมานี่” คำพูดของเตโชทำให้ผมนิ่งไป


“ทำไม” ให้ร้านมาวัดที่นี่สบายกว่าเดินไปร้านเป็นไหนๆ


“ข้าเพียงแค่เสนอ...”


“เตโช” ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงกดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้


“...ท่านวิณณ์เอ่ยช่วงพักว่าอยากออกไปข้างนอกปราสาทบ้าง” เมื่อทนสายตาและน้ำเสียงไม่ไหวเตโชจึงยอมบอกเรื่องทั้งหมดมา


“ฮืม” จะว่าไปก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้พาวิณณ์ออกไปข้างนอกตัวปราสาท อย่าว่าแต่นอกปราสาทเลยแค่นอกสายตายังแทบนับครั้งได้ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ผมจะไม่ปล่อยให้วิณณ์ไปไหนไกลสายตา


มันคงไม่ใช่แค่ความหวงหรือห่วงแต่พ่วงไปด้วยความกังวลและกลัวว่าถ้าอยู่ไกลสายตาจะเกิดอะไรขึ้นกับวิณณ์ สถานการณ์ของผมยังไม่ปลอดภัยเพราะตัวปัญหาอย่างบักเก็ตยังอยู่ การให้วิณณ์ถอยออกไปอยู่ไกลตัวอาจปลอดภัยกว่าแต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปได้


ความรู้สึกนี้ภายในอกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถหาคำพูดไหนมาบรรยายได้ แต่หากเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็นคำว่ารัก
ก่อนหน้านี้ไม่นานผมได้กดดันออกแนวบังคับให้วิณณ์บอกเหตุผลที่ทำหน้าเศร้าในวันดูตัว บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าชอบออกมาจากปากของอีกฝ่าย ภายในอกสั่นไหวราวกับกำลังดีใจและถูกเติมเต็มจนแทบปั้นหน้าไม่ถูก


ชอบ


คำสั้นๆ พยางค์เดียวที่ผมได้ยินมานับร้อยปีแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่หัวใจจะตอบรับเหมือนตอนที่ได้ยินคำพูดนั้นจากวิณณ์ ทั้งที่เป็นคำเดียวกันแต่มันช่างแตกต่าง


“วิณณ์วันนี้พอแล้ว มานี่!” ผมส่งเสียงเรียกคนที่เตรียมเดินเข้าไปขอฝึกอีกรอบ เสียงเรียกของผมส่งผลให้วิณณ์หันมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับคู่ฝึกต่อสู้แล้ววิ่งเหยาะๆ มาหา ให้เดาคงขอบคุณที่เป็นคู่ซ้อมให้วันนี้ชัวร์


บางครั้งผมก็คิดนะว่านอกจากนิสัยแล้วมารยาทนี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมค่อนข้างแปลกใจ ด้วยสรรพนามที่คนในปราสาทเรียกนำหน้าว่าท่านน่าจะบ่งบอกถึงระดับฐานะได้อย่างดีแต่เจ้าตัวยังติดที่จะพูดเพราะ ก้มหัวขอบคุณและอื่นๆ อีกมากมายไม่ได้สนใจฐานะนั้นเลยสักนิด


“วันนี้ให้ผมเลิกเร็วเหรอ ยังไม่ถึง 11 โมงเลยนะ” นี่คือคำทักทายแรกเมื่ออีกฝ่ายก้ามมาหยุดอยู่ตรงหน้า


“เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวแล้ว” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากไล่ลงมายังพวงแก้มสีแดงระเรื่อบ่งบอกถึงการผ่านการออกกำลังมา


“ผมเช็ดเองได้เดี๋ยวมือคุณก็เลอะหรอก” วิณณ์ก้าวถอยหลังหลบมือผมซึ่งไล่ไปยังแก้มอีกข้าง


“ช่างสิ” กับไอ้แค่เช็ดเหงื่อจะเลอะขนาดไหนกันเชียว


“อ๊ะ! พอแล้วเบียทรีซ สรุปมีเรื่องอะไรถึงได้ให้ผมเลิกเร็วล่ะ” อีกฝ่ายยอมยืนนิ่งให้เช็ดได้ไม่นานก็เปิดหัวข้อสนทนาใหม่


“จะพาไปข้างนอก...”


“ข้านอก? หมายถึงนอกปราสาทน่ะเหรอ” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงใสๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา หากเป็นคนอื่นคงได้โดนผมลงโทษไปแล้วแต่อย่างที่รู้กันวิณณ์ถือเป็นข้อยกเว้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ยิ่งได้เห็นประกายของความดีใจที่สื่อผ่านมาทางสายและรอยยิ้มยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะยิ้มตามไปแต่ก็ต้องรีบดึงตัวเองกลับมาเพราะรอบๆ มีพวกเตโชยืนมองสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล


แค่การการแสดงออกที่ผ่านมาก็มากพอที่แกรนและเตโชจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อวิณณ์แล้ว นอกจากจะไม่แปลกใจแล้วยังออกแนวเป็นห่วงเพราะเจ้าตัวที่ผมรู้สึกด้วยนั้นคล้อยตามคนอื่นไปได้ง่ายๆ แถมยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกผมทั้งที่แสดงออกมามากขนาดนี้อีก


‘เบียทรีซก็ชอบผมเหรอ’


คำถามนั้นผมอยากจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบหนักแล้วตอบกลับไปเหลือเกินว่า...


ไม่ได้ชอบแต่รัก!


แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดในสมองไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกอีกฝ่ายว่าความรู้สึกตรงกันเพราะต่อให้ไม่ตรงผมก็จะทำให้ตรงเอง จะทำให้วิณณ์ต้องการผมให้มากกว่านี้ ชอบให้มากกว่านี้ รักให้มากกว่านี้ โหยหาให้มากกว่านี้...ให้มากจนไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีผม


“อืม...จะไปไหมนอกปราสาทน่ะ” ผมถามต่อโดยสายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มของวิณณ์


“ไปสิ ไปแน่นอนเลย” คนถูกถามพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ


“งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ซะ” เพิ่งฝึกเสร็จให้ออกไปเดินเลยคงไม่สบายตัว


“อืม รอผมอยู่นี่นะ แป๊บเดียวผมขอแค่ 15 ไม่สิขอแค่ 10 นาทีเท่านั้น” บอกเสร็จเจ้าตัวก็วิ่งเข้าไปในปราสาทราวกับเด็กๆ ที่ดีใจยามได้ออกไปเที่ยว


“วิ่งแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ล้ม...”


“โอ๊ะๆ ไม่เป็นไรไม่ได้ล้ม” ยังพูดไม่ทันขาดคำวิณณ์ก็สะดุดขอบประตูจนเซเกือบล้มโชคดีที่ทรงตัวได้เลยไม่บาดเจ็บ แถมยังมีหันมาโบกมือให้ผมอีก


“นี่ข้ากำลังเลี้ยงเด็กอยู่รึไง” ผมพึมพำเสียงเบา


“ท่านวิณณ์ยังถือว่าเด็กมากถ้าเทียบกับพวกเรา” เตโชบอกพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูยามมองภาพวิณณ์เมื่อครู่


“ก็จริง” ต่อให้ผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่มาอยู่นี่แต่ด้วยอายุแค่เลขสองหลักยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ดี


“องค์ราชาได้บอกท่านวิณณ์หรือไม่ว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดของพระองค์”


“ไม่จำเป็นต้องบอกนี่” ผมยกยิ้มพลางก้าวตามหลังวิณณ์เข้าไปภายในตัวปราสาท


รออยู่ไม่ถึง 10 นาทีวิณณ์ในชุดใหม่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แววตาของเขาตอนเห็นผมนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องดูจะสงสัยว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงซึ่งผมปล่อยให้อีกฝ่ายทำหน้างงต่อไปโดยไม่พูดอะไรเดินนำวิณณ์ออกจากห้องไปจนถึงนอกปราสาทผ่านถนนสายหลักที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดที่ยาวที่สุดของโลกปิศาจ


ร้านค้าสองข้างทางของถนนคึกคักมากในช่วงดึกทว่าในช่วงสายๆ แบบนี้จะมีคนน้อยกว่ามาก การมาเยือนของผมสร้างความแตกตื่นให้แก่ปิศาจโดยรอบค่อนข้างมาก พวกเขาเปิดทางให้ผมเดินได้โดยไม่มีอะไรมาขวางแม้กระทั่งเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวเจ้าของร้านที่วางกล่องไว้ปิดทางยังต้องรีบมายกของออกด้วยความนอบน้อม


“นี่เบียทรีซ” เสียงเรียกจากด้านหลังมาพร้อมชายเสื้อผมที่ถูกกระตุกเล็กน้อย


“อะไร”


“เราจะไปไหนกันเหรอ” วิณณ์ก้าวเร็วขึ้นให้มาเดินขนาบข้างผมที่ไม่หยุดรอ


“ไม่รู้สิ”


“ไม่รู้? หรือคุณแค่อยากเดินตลาด ถ้าแบบนั้นไม่เห็นต้องเข้ามาในซอยลึกๆ แบบนี้เลย”


“ข้าอยากมา” ผมตอบเสียงเรียบ ในซอยนี้ไม่เหมือนด้านหน้าถนนอันเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งสองข้างมีเพียงผนังและกำแพงของบ้านเรียงรายกันอยู่


“อย่ามาโกหกนะ”


“นั่นคำพูดข้า” ผมหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนระหว่างพูด


“ก็ใช่ที่คุณชอบพูดแต่ไม่ใช่คำพูดของคุณคนเดียวสักหน่อย”


“เจ้าอยากออกมานอกปราสาทไม่ใช่”


“...ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ” อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน


“เตโชบอก” ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหรือโกหก


“คุณเลยพาผมออกมา? ขอบคุณนะเบียทรีซที่ตามใจผม” วิณณ์เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงมีความสุข


“ใครบอกว่าข้าตามใจเจ้าโดยการพาออกมากัน”


“ไม่ใช่เหรอ”


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ต่อให้ผมพาอีกฝ่ายออกมาเพราะคำพูดของเตโชจริงแต่ผมก็ไม่คิดจะบอกความจริงให้ได้รู้หรอก นิสัยอย่างผมเนี่ยนะจะตามใจใคร...มีแต่คนต้องมาตามใจผมสิถึงจะถูก


“คุณโกหก ทั้งที่ตามใจผมแท้ๆ ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ”


“ข้าไม่ได้ปฏิเสธ”


“ที่คุณทำนั่นแหละที่เรียกว่าปฏิเสธ”


“วิณณ์!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงแข็ง ความรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนคล้ายอีกฝ่ายจะรู้ความจริงแบบนี้ผมไม่ชอบเอาซะเลย


“ก็ได้ๆ งั้นคุณมีธุระสินะ”


“ประมาณนั้น” ถึงธุระนั่นจะรออยู่ที่ปราสาทได้ก็ตาม


“บอกได้ไหมว่าเป็นอะไร”


“ถึงร้านแล้ว เข้าไปดูละกัน” ระหว่างพูดคุยกันมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย ประตูไม้สีน้ำตาลเข้มดูหรูหราเช่นเดียวกับกำแพงรอบๆ ที่ถูกทาด้วยสีครีม เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับบรรยากาศสีทองอ่อนของกระเบื้องและผนังสีเข้าคู่กัน ชุดนับร้อยแขวนเรียงกันแยกชายหญิงอยู่คนละฝั่ง


ร้านเสื้อผ้านี้เป็นร้านที่ดังที่สุดในโลกปิศาจ ด้วยการตัดแสนประณีต คุณภาพของเนื้อผ้าและการบริการที่ใครได้มาลองเป็นต้องติดใจ ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นราชาผมไม่เคยตัดชุดร้านอื่นเลยนอกจากที่นี่


“ยินดีต้อนรับสู่ร้านฟีล์เกลองค์ราชา” พนักงานของร้านเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“เป็นเกรียติอย่างยิ่งที่ทรงมาเยือนด้วยตนเองเช่นนี้” เจ้าของร้านเป็นปิศาจระดับกลางที่มีความสามารถในการตัดเย็บชุดมากโดยพนักงานต้อนรับเป็นภรรยาของเขา ทั้งร้านมีกันอยู่แค่ 2 คนทำให้การตัดชุดแต่ละชุดใช้เวลานานพอสมควร


“อืม”


“ความจริงให้พวกเราไปหาพระองค์ที่ปราสาทตามนัดก็ได้นะครับ ทางมายังร้านค่อนข้างซับซ้อนข้าเองก็เกรงว่าจะทรงหลง” คำอธิบายจากเจ้าของร้านที่ผมห้ามไม่ทันนั้นเรียกรอยยิ้มกวนๆ จากวิณณ์ที่เดินตามมาได้เป็นอย่างดี เรื่องที่อยากให้รู้ต้องให้อธิบายซ้ำถึงจะเข้าใจแต่พอเป็นเรื่องที่ไม่อยากรู้ล่ะกลับเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย


“คุณยกเลิกนัดเพื่อจะได้พาผมมานอกปราสาท?”


“คิดไปเอง ข้าแค่อยากมาเดินออกกำลังกาย”


“คิก...ขอบคุณนะ” รอยยิ้มของวิณณ์ทำให้ผมรู้เลยว่าคำโกหกมันใช้ไม่ได้


“วัดตัวเขา” ในเมื่อโกหกไม่ได้ผมเลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องให้เร็วที่สุดโดยหันไปบอกเจ้าของร้านให้มาวัดตัววิณณ์


“รับทราบเชิญด้านในเลยครับ ฟี” เจ้าของร้านพาพวกเราเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวด้านในแล้วพยักหน้าให้ภรรยาเข้ามาทำหน้าที่วัดตัว


“ได้ค่ะ ขออนุญาตนะคะขอวัดช่วงไหล่ก่อนนะคะ” เธอกางสายวัดวัดแต่ละส่วนของร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป


“วัดตัวผมทำไม” คนถูกสายวัดขึงไปตามร่างกายเอ่ยคำถามสิ้นคิดออกมา ทีเรื่องง่ายๆ น่ะไม่เข้าใจ พอเรื่องที่ผมไม่อยากให้เข้าใจก็ดันเข้าใจซะอย่างงั้น


“ลองคิดเองสิวิณณ์”


“...จะตัดชุดให้ผม?”


“ก็รู้นี่”


“แต่ชุดในห้องก็มีอยู่ตั้งเยอะแล้วนะ” วิณณ์พูดต่อ


“นี่เป็นชุดออกงาน” ผมบอก


“ออกงานอะไร...จะมีงานอะไรเหรอ” ท่าทางแบบนั้นคงยังไม่มีใครบอกเจ้าตัวว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นวันเกิดผม


“มีงานแต่ข้าไม่บอกว่าเป็นงานอะไร”


“ฮะ...ทำไมล่ะ”


“ก็ไม่ทำไม” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากบอก


ไม่ใช่แค่ไม่อยากบอกแต่ยังไม่อยากให้รู้ด้วย


“งั้นผมจะถามคนอื่น”


“ข้าสั่งทุกคนไว้แล้วว่าห้ามบอกเจ้าเด็ดขาด”


“เบียทรีซ”


“อยู่นิ่งๆ แล้ววัดตัวไป” ผมเปลี่ยนประเด็น


“คุณใจร้าย”


“เข้าใจถูกแล้ว”


“...” ใบหน้าหงุดหงิดปนไม่พอใจนั่นดูตลกมากในสายตาผม


“พระองค์ให้ชุดเป็นโทนสีอะไรดีครับ” เจ้าของร้านถามพร้อมเตรียมจดข้อมูลใส่สมุด


“โทนสีสว่างทอง น้ำตาลแก่” ผมหันไปมองวิณณ์พร้อมจินตนาการสีชุดที่น่าจะเหมาะกับอีกฝ่าย สีผิวของวิณณ์ค่อนข้างขาวสามารถใส่สีอะไรก็ได้ทั้งสีผมและสีตาเองก็เป็นโทนน้ำตาลผมเลยคิดว่าพวกสีทองหรือตาลแก่น่าจะเข้ากับเขาได้ดี


“แล้วพวกกระประดับตกแต่ง”


“ไม่ต้องมี” วิณณ์ไม่เหมาะกับชุดที่ตกแต่งอะไรมากมาย ชุดเรียบๆ ไม่ต้องมีอะไรก็มากพอจะให้โดดเด่นได้


“รับทราบ ข้าจะทำให้ตามประสงค์”


“วัดตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ ขออนุญาตวัดของพระองค์” วัดวิณณ์เสร็จเธอจึงเปลี่ยนมาวัดขนาดตัวผมต่อถึงจะเป็นลูกค้าประจำและมีขนาดตัวอยู่แล้วแต่การวัดซ้ำจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดชุด


“อืม” ผมพยักหน้าอนุญาต


“ชุดของพระองค์อยากได้โทนได้ดีครับ” เจ้าของร้านถามต่อ


“ให้ผมเลือกได้ไหม” อยู่ๆ วิณณ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“จะแกล้งข้ารึไง”


“ผมไม่ใช่คุณนะ ในเมื่อคุณเลือกโทนสีชุดให้ผม ผมก็ควรจะเลือกให้คุณบ้างจะได้เท่าเทียมไง”


เท่าเทียม?


กับราชาปิศาจอย่างผมน่ะเหรอ


“หึ...เอาสิ” ที่โลกปิศาจถามหาความเท่าเทียมไม่ได้หรอกนะเพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎของพลังซึ่งใครแข็งแกร่งก็จะอยู่เหนือกว่า ดังนั้นผมเพิ่งจะเคยได้ยินคำว่าความเท่าเทียมกับตัวเองก็ครั้งนี้


อยากรู้เหมือนกันว่าวิณณ์จะเลือกโทนสีไหนให้ผม


“สีเงิน สีเทาเข้ม สีทอง” สามเฉดสีดังขึ้นทันทีที่ผมยอมให้อีกเลือกคล้ายกับมีคิดไว้ในหัวแล้ว


“สามสีเยอะไปมั้ง” ผมพูด


“สีเงินกับสีเทาเป็นเฉดเดียวกันถือเป็นสีเดียวก็ได้นี่ ให้สีเทาเป็นหลักแล้วค่อยใช้สีเงินกับทองมาเข้าคู่”


“ทำไมต้องเป็นสามสีนั้นด้วย” สีมีตั้งเยอะแยะผมเลยสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นสามสีนี้


“เส้นผมของเบียทรีซเป็นสีดำดังนั้นสีเทากับสีเงินจะช่วยทำให้คุณเด่นขึ้น ส่วนสีทองจะเข้ากับสีของดวงตาคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่คิดไว้แต่ความจริงผมแค่คิดว่าอยากเห็นคุณใส่ชุดสีพวกนี้จังนะ คงจะหล่อมากๆ เลย” ไม่จำเป็นต้องอธิบายยืดยาวแค่ประโยคสุดท้ายประโยคเดียวก็มากพอให้ผมเลือกโทนสีตามนั้นแล้ว


วิณณ์มีหลายๆ อย่างที่ชักจูงและดึงดูดให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เหมือนถูกหลอกล่อให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้เพราะแบบนั้นถึงได้หงุดหงิดที่มีเพียงผมคนเดียวที่หลงไปกับเสน่ห์ดึงดูดนั่นจนไม่อาจถอนตัวได้


แบบนี้ไม่ดี...ผมทำไรสักอย่างให้อีกฝ่ายถูกผมดึงดูดบ้าง


“วิณณ์” ผมเรียกขณะกำลังเดินกลับไปยังปราสาท


“ฮะ? อุ๊บ!...อื้ออ~” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ถามอะไรอะไรอาศัยจังหวะตอนหันหน้ามาดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วกดจูบหนักๆ ลงไป เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวผมจึงฉวยโอกาสนั้นรุกล้ำเข้าไปมากขึ้น


ความเปียกชื้นยามเรียวลิ้นสัมผัสและสอดประสานปลุกอารมณ์และความต้องการในส่วนลึกให้ตื่นขึ้นทีละนิด ความรู้สึกดีแล่นเข้าจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังบอกให้หยุดผ่านการทุบเข้าที่แผ่นอกแต่ผมกลับเลือกที่จะไม่สนใจแล้วริ้มรสสัมผัสนั้นอย่างมัวเมา


ผมเคยจูบมาหลายครั้งแต่ผมกล้าพูดเลยว่าจูบที่ดีที่สุดคือตอนที่ได้จูบกับวิณณ์


อยากจะจูบกับอีกฝ่ายให้นานกว่านี้แต่ผมก็รู้ดีว่าวิณณ์ใกล้ถึงขีดจำกัดเลยจำต้องค่อยๆ ผละจูบออกมาแม้จะยังรู้สึกไม่พอก็ตามที
“หายใจเสร็จข้าจะได้จูบต่อ”


“ฮะ...จะจูบอีก?”


“ใช่”


“มะ...ไม่เอาแล้ว คุณทำอะไรในที่สารธารณะกัน” วิณณ์ใช้สองมือยกขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่น


“จูบไง”


“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย!” ใบหน้าเห่อแดงนั่นมาจากการความโกรธหรือเขินอายกันนะ ไม่ว่าจะมาจากไหนก็น่าดูจริงๆ นั่นแหละ


“ไม่ชอบ?”


“ใช่...ผมไม่ชอบให้จูบในที่แบบนี้”


“แปลว่าที่อื่นได้” ผมสรุปออกมาตามที่เข้าใจ


“ไม่ใช่ ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ”


“ไม่ชอบให้แกล้งสินะ”


“ก็รู้นี่”


“แปลว่าไม่ชอบข้าแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามขณะขยับหน้าเข้าไปใกล้ วิณณ์ก้าวถอยหลังหนีได้ไม่นานแผ่นหลังก็ติดกับกำแพงด้านหลัง ใบหน้าของวิณณ์แดงก่ำกว่าเมื่อครู่อีกสาเหตุคงเป็นเพราะคำถามของผมล่ะนะ


“...ไม่ใช่แบบนั้น” อีกฝ่ายพึมพำตออบเสียงเบาขณะหลบสายตา


“สรุปยังไงชอบหรือไม่ชอบข้า”


“...ชอบ”


“ชอบอะไร” ขออีกนิดเถอะ ให้ผมได้มองใบหน้าเขินอายของเขาอีกนิดเถอะแล้วจะเลิกแหย่แล้ว


“ชอบคุณ”


“คุณที่ว่าคือใครล่ะ” คำถามนี้ทำเอาดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นมองค้อนขึ้นมาทันควัน


“...เบียทรีซ”


“พูดให้เต็มประโยควิณณ์”


“ชอบ...ชอบเบียทรีซ อื้ออ~” สิ้นคำสารภาพผมมอบจูบอันหนักหน่วงแทนของขวัญที่อีกฝ่ายพยายามได้ดีมาก เป็นของขวัญที่ผมมอบให้โดยไม่ถามความสมัครใจใดๆ ทั้งสิ้น



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-03-2019 14:22:32
(ต่อนะคะ)


อาทิตย์ต่อมาบรรยากาศภายในปราสาทที่เงียบสงบกลายมาเป็นเสียงอึกทึก เสียงขนย้ายและเสียงสั่งการณ์ดังขึ้นเป็นระรอกขนาดนั่งอยู่ในห้องอาหารบนชั้น 5 ยังได้ยินเสียงด้านดังขึ้นมาเลย วันนี้เป็นวันงานคงต้องมีการเตรียมพร้อมหลายๆ อย่างจึงเสียงดังกว่าวันอื่น


“เบียทรีซ นี่เบียทรีซ” วิณณ์เรียกผมเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่เริ่มต้นวันใหม่ได้แล้ว


“อะไร” ผมถามกลับทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร นอกจากจะเรียกชื่อผมมาเป็นร้อยรอบแล้วคำถามนั้นยังเป็นคำถามเดิมแทบทุกครั้ง


“สรุปวันนี้เป็นวันอะไรกันแน่น่ะ” เป็นไปตามคาดคำถามเดิมจริงๆ ด้วย ความจริงวิณณ์ถามเรื่องนี้มาหลายวันแล้วว่าสรุปงานที่กำลังจัดนี่คืองานอะไร และทุกครั้งคำตอบผมก็คงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน


“ไม่บอก”


“คุณชอบแกล้งผม นอกจากคุณจะไม่บอกแล้วยังบอกคนอื่นไม่ให้บอกเรื่องนี้กับผมอีก”


“เจ้าพูดผิดไปข้าไม่ได้บอกพวกเขาแต่สั่ง” เพียงคำพูดเดียวจากราชาอย่างผมก็มากพอที่ปิศาจทุกตนในปราสาทจะปิดปากเงียบไม่บอกอะไรกับวิณณ์


“ก็นั่นแหละ ทำไมต้องปิดผมด้วย”


“เลิกพูดแล้วกินอาหารให้หมด”


“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ”


“...” รู้ทันอีกนะวิณณ์


“มีเหตุผลที่จะให้ผมรู้ไม่ได้เหรอ” วิณณ์ถามเสี่ยงเบา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เล่นแว่นที่ช้อนขึ้นมาสบทำเอาหัวใจผมสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว


“ประมาณนั้น”


“แต่ผมอยากรู้นี่” อีกฝ่ายยังพูดไม่หยุด


“ไว้เย็นนี้ก็รู้แล้ว” หากถึงเวลาเริ่มงานต่อให้ไม่อยากให้รู้ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี


“...ก็ได้” น้ำเสียงปลงๆ นั่นน่าเอ็นดูชะมัด


“รีบกินให้หมด เดี๋ยวต้องขึ้นไปเตรียมแต่งตัวอีก” ผมบอกพลางตักเนื้อคำสุดท้ายเข้าปาก


“แต่นี่เพิ่งบ่ายโมงเองต้องใช้เวลาแต่งตัวขนาดนั้นเลย?”


“งานใหญ่ในรอบ 5 ปีก็แบบนี้” งานวันเกินของโลกปิศาจไม่ได้จัดขึ้นทุกๆ ปีเพราะอายุไขของพวกเรามีได้หลายร้อยปี ขืนจัดให้ผมทุกปีได้หงุดหงิดในงานตัวเองแน่ ถึงจะเป็นราชาแต่ไม่ได้ชอบออกงานสังคมหรือเที่ยวจัดงานเทศกาล มีบ้างนิดหน่อยก็พอรับได้แต่หากมาเยอะๆ ผมจะตัดทิ้งให้หมด


เรื่องระยะเวลาในการจัดการเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายสิบปีเพราะปิศาจหลายตนคิดว่าเป็นเหมือนการแสดงอำนาจของราชาแต่ผมรำคาญตอนแรกเลยบอกให้จัด 10 ปีครั้ง คนแรกที่ค้านไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นแม่ของวิณณ์ชารอนนั่นเองตามมาด้วยแกรนและอีกมากมาย ด้วยความรำคาญเลยตัดปัญหายอมลดลงมาที่ 5 ปีตามปัจจุบันนี่แหละ


“งานใหญ่ขนาดนี้แต่คุณไม่ยอมบอกว่าผมเป็นงานอะไรเนี่ยนะ”


“ตามนั้น กินเสร็จก็ไปกัน”


ต่อให้ผมไม่ชอบงานเลี้ยงหรือการพบปะอะไรแบบนี้แต่ในเมื่อมีจัดงานก็ต้องทำให้ออกมาให้ดี ชุดจากร้านฟีล์เกลที่ลงทุนไปวัดตัวถึงร้านถูกส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อเช้า


หลังจากอาบน้ำเสร็จผมเปลี่ยนมาใส่ชุดซึ่งวิณณ์เป็นคนเลือกโทนสีชุดให้ คิดอยู่เหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง สีออกมาตัดกับเส้นผมสีเข้มและเข้ากับดวงตาสีทองของผมเป็นอย่างดี ต้องชมว่าเลือกได้ดีสินะ


ผมแต่งตัวเสร็จจึงออกมานั่งรอวิณณ์ที่น่าจะกำลังอาบน้ำต่อจากผมยังโซฟาตัวยาวภายในห้อง ข้าวของในห้องมีน้อยชิ้นลงกว่าตอนแรกด้วยเหตุผลง่ายๆ คือเพื่อลดความซุ่มซ่ามของวิณณ์ เฟอร์นิเจอร์ตั้งอยู่ของมันดีๆ ไม่ได้มีขาขยับเองแต่วิณณ์กลับเดินสะดุดขอบโต๊ะได้น่าชื่นชมนัก


แกร็ก!


เสียงเปิดประตูเรียกดวงตาสีทองสว่างของผมให้หันไปตามเสียงก่อนจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยยามเห็นวิณณ์ในชุดทางการเต็มยศเป็นครั้งแรก ชุดของวิณณ์มีสีน้ำตาลแก่เป็นหลักและถูกตกแต่งด้วยสีทองประปราย ความเรียบง่ายของชุดส่งให้ใบหน้าของวิณณ์ดูเด่นขึ้นมา


“...แปลกเหรอ” วิณณ์ถามด้วยสีหน้ากังวล เป็นครั้งแรกที่ใส่ชุดแบบนี้คงจะรู้สึกไม่มั่นใจ


“ไม่นี่”


“แปลว่าเหมาะใช่รึเปล่า”


“มั่นใจในตัวเองหน่อย ปกเสื้อจัดให้ดีๆ” ผมลุกจากโซฟาเดินเข้าไปจัดปกเสื้อที่พับอยู่ให้


“ผมไม่ได้หล่อเหมือนคุณนี่จะได้มีความมั่นใจขนาดนั้น” วิณณ์บ่นอุบอิบ


“ข้าหล่อสินะ” ผมยกยิ้มระหว่างถาม


“...อืม ยิ่งใส่ชุดนี้ยิ่งหล่อ ผมนี่เลือกสีชุดได้เข้ากับคุณมากเลย”


“จะบอกว่าข้าหล่อเพราะเจ้าเลือกสีชุดให้?” ผมยิงคำถามต่อ


“ก็เปล่า...คุณหล่ออยู่แล้ว” วิณณ์ที่ก้มลงเล็กน้อยนั่นไม่สามารถซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อให้พ้นสายตาผมได้


“ข้าหล่อก็มองข้าสิจะมองพื้นทำไม” ระหว่างพูดผมใช้มือจับปลายคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมาเปิดเผยใบหน้าแดงก่ำอันน่าสัมผัสต่อหน้าต่อตา


“...” คนถูกแหย่เม้มปากแน่นด้วยใบหน้าเห่อแดงกว่าเดิม


“ลงไปกันเถอะ” ผมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแล้วเดินนำออกไปข้างนอก


ขืนอยู่มองนานมากกว่านี้ได้เผลอคว้าวิณณ์มาจูบก่อนเริ่มงานแน่


เรื่องความอดทนผมคิดว่าตัวเองมีมากนะ ไม่รู้ทำไมพออยู่ต่อหน้าวิณณ์ทีไรเหมือนความอดทนจะปลิวหายไปทุกที


บันไดสูงจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่งจะเปิดโล่งอยู่บริเวณห้องโถงหน้าประตูปราสาท สัมผัสของพลังปิศาจที่ผมปล่อยไปทำให้ทุกคนเงียบเสียงตั้งแต่ชั้นสาม  เมื่อเดินผ่านทางเชื่อมชั้นสองมาจนถึงบันไดไฟที่สว่างจ้าก็ดับลง แสงไฟด้านบนฉายลงมายังผมและวิณณ์ที่ก้าวจากชั้นสองค่อยๆ ลงมาด้านล่างท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับจากทุกคน


“บะ...เบียทรีซ เกิดอะไรขึ้น” วิณณ์ก้าวเข้ามาประชิดหลบด้านหลังผมพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา


“ไม่เป็นไรอยู่ข้างๆ ข้าไว้” ผมตอบกลับ


เมื่อก้าวลงมาถึงด้านล่างไฟก็ดับลงแล้วเปิดสว่างทั้งห้องโถงอีกรอบ บรรยากาศภายในห้องโถงมีของประดับตกแต่งทอประกายความหรูหราพร้อมป้ายทองบนผนังเขียนอักษรตัวยักษ์ไว้ว่า ‘ฉลองวันเกิดครบรอบ 235 ปี’


กำหนดการณ์เป็นเหมือนทุกๆ ปีคือผมจะพูดขอบคุณเหล่าผู้ที่มาร่วมงานพอเป็นพิธีก่อนจะให้เริ่มงานเลี้ยงได้ โต๊ะของผมและวิณณ์ถูกจัดไว้ในจุดที่สามารถมองเห็นการแสดงได้ชัดที่สุดแถมยังมีปิศาจรับใช้มาคอยอำนวยความสะดวกตั้งแต่วางเครื่องดื่มไปจนถึงตักอาหารให้


“สุขสันต์วันเกิดองค์ราชา พวกข้าร่วมกันหาของขวัญชิ้นนี้มาให้พระองค์” แกรนและเตโชก้าวเข้ามาอวยพรพร้อมยื่นกล่องของขวัญสีน้ำเงินมาให้ ต่อมาคือสก๊อตที่มอบของขวัญกล่องเล็กให้แต่มูลค่าของสิ่งที่อยู่ด้านในคงไม่น้อยตามขนาดแน่


“ขอบคุณ”


“ดะ...เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้วันเกิดคุณ?” วิณณ์ที่เหมือนจะเพิ่งประมวลผลเสร็จรีบหันควับมาขอคำตอบผมกับพวกแกรนที่มองท่าทีตกใจนั่น


“องค์ราชาไม่ยอมบอกเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยเหรอ” เตโชพึมพำให้แกรนกับสก๊อตได้ยินกันสามคน


“เหมือนจะเป็นแบบนั้น”


“ข้าก็เดาไว้อยู่”


“เบียทรีซ!” น้ำเสียงแบบนั้นคงจะปิดไม่อยู่แล้วล่ะ ความจริงอีกฝ่ายน่าจะเดาได้ตั้งแต่เห็นป้ายทองบนผนังแล้วด้วยซ้ำ


“ตามที่เข้าใจ วันนี้วันเกิดข้า”


“ทำไมเพิ่งมาบอกผมเล่า! อยู่กับมาตั้งหลายปีผมก็ลืมนึกถึงวันเกิดไป แบบนี้ก็มีผมคนเดียวที่ไม่ได้เตรียมของขวัญให้น่ะสิ” วิณณ์เริ่มแสดงอาการร้อนรน


“ไม่เห็นต้องเตรียม”


“ได้ที่ไหนกัน ผมขอตัวสักพักนะ” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกจากเก้าอี้วิ่งกลับเข้าไปในปราสาท


“อย่าวิ่งเร็วเดี๋ยวก็ได้ล้ม” อยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ


“ทำไมถึงไม่ทรงบอกทั้งที่พระองค์น่าจะอยากได้ของขวัญจากท่านวิณณ์มากกว่าใคร” แกรนเอ่ยพลางมองแผ่นหลังวิณณ์ที่วิ่งจากไป


“เพราะข้าอยากรู้ว่าถ้ารู้วันนี้เป็นวันเกิดข้า ในเวลาไม่นานเขาจะหาของขวัญอะไรมาให้” ผมบอกคนสนิทที่มีท่าทีสงสัยตามตรง
การจะบอกเป็นเรื่องง่ายๆ และด้วยนิสัยของวิณณ์แน่นอนว่าเขาต้องหาของขวัญมาให้แต่ผมไม่ได้อยากได้ของขวัญที่ต้องใช้เวลาคิดนานหลายวันแต่อยากได้ของที่คิดได้ในเวลาอันสั้น


อยากรู้ว่าของขวัญนั้นจะเป็นอะไร


ไม่เพียงแค่พวกแกรนที่เข้ามาให้ของขวัญแต่ยังมีปิศาจอีกมากมายเข้ามาแสดงความยินดีพร้อมให้ของขวัญซึ่งผมก็รับไว้ตามมารยาทโดยมีแกรน เตโชและสก๊อตคอยยืนอาลักขาอยู่ข้างๆ


“จะว่าไปท่านวิณณ์ดูจะเก่งเรื่องดึงดูดสายตาคนอื่นกว่าเมื่อตอนเป็นลูกครึ่งนะครับ” สก๊อตเปิดบทสนทนาหลังใช้สายตามองไปยังวิณณ์ที่เดินกลับเข้ามาภายในห้อง สายตานับสิบคู่จับจ้องไปยังวิณณ์คล้ายอยากทำความรู้จักและสานต่อความสัมพันธ์ ปกติวิณณ์ค่อนข้างเด่นอยู่แล้วพอมาอยู่ในชุดแบบนี้เลยยิ่งเด่นเข้าไปใหญ่


“น่ารำคาญ วิณณ์!” ผมลุกขึ้นส่งเรียกเรียกอีกฝ่ายดังก้องไปทั่วห้องโถง


“เสียงดังไปแล้วเบียทรีซ อ๊ะ!” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูโจบผมคว้าเอวอีกฝ่ายมากอดไว้หลวมๆ ก่อนจะกดจูบเบาๆ ลงบนเส้นผมสีน้ำตาลแดงแสดงความเป็นเจ้าของให้กับทุกสายตาที่กำลังสนใจวิณณ์


ประกาศให้รู้กันไปเลยว่าห้ามแตะต้อง เจ้าของดุมาก!


“หาอะไรมาเป็นของขวัญให้ข้าล่ะ” ผมถามเข้าประเด็นทันที ในระยะเวลาแค่นี้เหรอ...ดอกไม้ อาหารหรือจะเป็นพวกต้นไม้ นึกออกได้ไม่กี่อย่างหรอก


“แล้วคนอื่นให้หมดแล้วเหรอ” วิณณ์ถามกลับ


“ใช่ เหลือเจ้าคนเดียว” เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ผมอยากเห็นและอยากได้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม


“...ถ้าผมขอเวลาถึงพรุ่งนี้ได้รึเปล่า”


“ไม่ได้” ผมไม่คิดจะยืดเวลาออกไปมากกว่านี้หรอกนะ ไม่งั้นก็ไม่มีความหมายที่จะปิดตั้งแต่แรกสิ


“...เวลามีน้อยแถมผมก็ไม่รู้จะให้อะไร ที่คิดได้มีแค่สิ่งนี้ สุขสันต์วันเกิดนะเบียทรีซขอให้มีความสุขมากๆ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของวิณณ์ประสานมายังดวงตาสีทองของผมพร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า


เครื่องหมายคำถามที่ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มากนับสิบอันปรากฏขึ้นตามมาด้วยคิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะไม่เหลือช่องว่าง พวกแกรนที่ยืนแอบมองอย่างโจ่งแจ้งอยู่ด้านหลังยังหันไปสบตากันเพื่อหาคำตอบเลย


“นี่คืออะไร...” ประโยคที่กำลังจะเอ่ยถามหยุดลงยามยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านเนื้อหาภายใน ตัวอักษรภาษาปิศาจเขียนบนหัวว่าสุขสันต์วันเกิดซึ่งคำนั้นไม่ใช่ประเด็น ประโยคต่อมาต่างหากที่ทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


‘ตั๋วให้วิณณ์ทำอะไรก็ได้ 1 อย่าง’


นั่นคือประโยคที่เขียนอยู่ตรงกลางกระดาษ


“...ผมไม่ได้ถามว่าคุณอยากได้อะไร แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ทำให้คุณปวดหัวมาหลายๆ เรื่องเลยคิดว่าอย่างน้อยก็อยากทำอะไรให้คุณบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเพราะงั้นก็ให้เบียทรีซเป็นคนตัดสินใจละกันนะ” คำอธิบายผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาแทบจะทันที


“คิดจะทดสอบความอดทนกันใช่ไหมวิณณ์” ผมพยายามข่มใจควบคุมน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ


พริบตาแรกที่เห็นผมอยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายเหวี่ยงลงบนเตียงซะเดี๋ยวนั้นเลย


“ฮะ? ความอดทนอะไร” อีกฝ่ายทำหน้างง


“จัดการที่เหลือด้วย วิณณ์ขึ้นห้อง” ผมลุกขึ้นเตรียมกลับขึ้นห้อง


“อะ...อืม” ถึงจะทำหน้างงแต่ก็ยอมพยักหน้าตามมาโดยดี


“พรุ่งนี้หยุดฝึกก็ได้นะท่านวิณณ์” เตโชพูดกับวิณณ์แต่สายตาหันมามองทางผม เช่นเดียวกับแกรนและสก๊อตที่มองมาราวกับจะบอกว่าถนอมวิณณ์หน่อย


ทำตัวเองขนาดนี้คงจะถนอมได้หรอก


“ฮะ?...”


“วิณณ์!” ผมเอ่ยเร่ง


“รู้แล้ว”


ทันทีที่ขึ้นมาบนห้องผมไม่รอช้าก้าวไปเปิดประตูห้องน้ำโดยมีจุดหมายอยู่ที่อ่างน้ำวงกลมขนาดใหญ่ใจกลางห้องน้ำ กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ บวกกับไออุ่นจากน้ำดูจะเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การแช่ สิ่งแรกที่ผมทำคือก้าวลงไปแช่ในบ่อทั้งที่ใส่เสื้อผ้า


“เอ่อ...ให้ผมออกไปก่อนไหม” วิณณ์เอ่ยเสียงติดขัดเมื่อเห็นผมลงมานั่งแช่ คนที่ดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นแต่คือผมเองนี่แหละ ขืนไม่แช่น้ำเพื่อสงบอารมณ์ได้เหวี่ยงวิณณ์ลงเตียงจริงๆ แน่


“ลงมานี่”


“...ฮะ?” ดูเหมือนว่าคำพูดผมจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไป


“ลงมานี่วิณณ์” ผมพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง


“ไม่เป็นไรคุณแช่เถอะ ผมจะไปรอข้างนอก...”


“ข้าจะใช้ตั๋วนี่ ลงมานี่วิณณ์” กระดาษหลักฐานในมือถูกชูขึ้น วิณณ์มีท่าทีลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาลงมาในอ่างน้ำกล้วขยับพาตัวเองไปอยู่ชิดอีกฝั่งของอ่าง


เข้าใจของเสียของการมีอ่างใหญ่ก็วันนี้เอง


“...เราจะแช่กันทั้งเสื้อผ้าแบบนี้เหรอ”


“ก็ถอดสิ” ผมไม่ขัดอยู่แล้ว


“มะ...ไม่เป็นไร”


“ขยับมานี่” ผมสั่ง


“อยู่ตรงนี้ดีแล้ว”


“วิณณ์”


“อึก...ผมไม่ อ๊ะ!” วิณณ์ถึงกับหลุดร้องยามถูกผมคว้าแขนพร้อมกับดึงตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน อารมณ์ที่คิดว่าน่าจะดับลงเมื่อได้แช่น้ำกลับทยานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า


ภาพของวิณณ์ที่เปียกโชกไปด้วยน้ำตั้งแต่เส้นผมมาถึงชุดที่แนบไปกับผิวจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งกว่าปกติ แถมใบหน้าแดงๆ คล้ายกำลังเขินอายยิ่งกระตุ้นความต้องการให้มากขึ้นไปอีก


“วิณณ์” น้ำเสียงที่ใช้เรียกไม่ได้อ่อนลงแต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ใกล้ปะทุ


“...เบียทรีซ...อ๊ะ! ทำไมมันถึง...” วิณณ์เอ่ยประโยคติดขัดสลับกับก้มมองลงมายังบริเวณที่สะโพกตัวเองกำลังนั่งทับอยู่


“เพราะเจ้านั่นแหละ”


“เพราะผม? มะ...ไม่ใช่สักหน่อย” อีกฝ่ายส่ายหน้ารัวๆ ไม่ยอมรับ


“ใช่สิ เพราะเจ้านั่นแหละทำตัวน่ารักจนข้าทนไม่ไหว” ระหว่างพูดผมเงยหน้าขึ้นไปถอดแว่นที่เป็นฝ้าจากไอน้ำไปวางไว้ข้างๆ ใบหน้ายามปราศจากเลนส์แว่นบวกกับหยดน้ำประปรายนี่ผมไม่มีวันยอมให้ใครได้เห็นนอกจากตัวผมเองแน่


“ผมเปล่า...อื้ออ~” คำพูดของวิณณ์ถูกกลืนหายไปด้วยริมฝีปากของผมที่มอบจูบอันดูดดื่มพานให้หลงใหลไปกับห้วงของอารมณ์ที่ทะยานไม่หยุด


ในระหว่างริมฝีปากประสานกันแนบชิดฝ่ามือก็ไม่ได้เว้นว่างปลดกระดุมชุดของวิณณ์เผยให้เห็นผิวขาวที่กำลังเห่อแดงไปทั้งตัว แผ่นอกถูกผมลูบไล้และบดเบียดจนร่างกายเกร็งขึ้นอันโนมัติ มืออีกข้างเลื่อนลงไปสัมผัสกับส่วนร้อนที่กำลังตื่นตัวขึ้นตามอารมณ์


“อ๊ะ! ไม่ อย่าจับ อ๊า!” ผมไม่ฟังเสียงห้ามรูดรั้งกระตุ้นสร้างอารมณ์เปิดเปิงให้อีกฝ่ายรู้สึกดี


“วิณณ์...อึก” เสียงครางหวานหูส่งผลให้ส่วนล่างตื่นตัวเต็มที่ แต่เพราะมือข้างหนึ่งกับริมฝีปากกำลังไล้เลียแผ่นอก ส่วนมืออีกข้างก็กำลังยุ่งกับการสัมผัสส่วนอ่อนไหวจึงไม่สามารถช่วยให้อารมณ์ตัวเองปลดปล่อยออกมาได้


“อื้ออ~ หยุดเลีย ผมไม่ไหว อ๊ะ! อึก...เบียทรีซ” วิณณ์จิกเล็บลงกับบ่าผมตามอารมณ์ที่ทยานสูงขึ้น


“ไม่ไหวก็ปล่อยออกมา” ผมกระซิบข้างใบหูก่อนจะขบเบาๆ ทุกสัมผัสที่ผมมอบให้ทำเอาร่างของวิณณ์กระตุกแล้วปลดปล่อยออกมาแทบจะทันที


“...อ๊ะ!...ผมบอกให้หยุดไง” เสียงหอบมาพร้อมกับคำบ่น


“รู้สึกดีไหม”


“...” อีกฝ่ายไม่ตอบแถมยังซุกหน้าลงมาบนไหล่ผม


“วิณณ์”


“...ผมไม่ยอมอายคนเดียวหรอกนะ”


“ยังไง...อึก” ผมถึงกับสะดุ้งยามวิณณ์ปลดซิปกางเกงแล้วลูบไล้ความแข็งขืนที่หลบซ่อนอยู่ภายใน มือของวิณณ์ขยับขึ้นลงในจังหวะที่รู้เลยว่าไม่เป็น ทว่าแค่นั้นก็มากพอที่จะกระตุ้นอารมณ์ผมได้


“เร็วกว่านี้ไหม” วิณณ์ถามเสียงอู้อี้เพราะยังซุกหน้าอยู่ที่ไหบ่ผมอยู่


“เงยหน้าวิณณ์ มองข้า” ผมสั่งและไม่รอให้อีกฝ่ายขานรับใช้ลิ้นปลุกเล้ายังยอดอกที่กำลังชูชันอีกรอบ


“อ๊า! เบียทรีซ อ๊ะ...”


“อย่าหยุดมือสิ”


“ก็หยุดเลีย อื้ออ~” เล่นกับแผ่นอกเสร็จก็เปลี่ยนมาประกบจูบอีกฝ่ายโดยไม่ให้รู้ตัว ความร้อนของร่างกายในเวลานี้ทำเอาน้ำอุ่นภายในอ่างเหมือนกำลังเดือด ผมสัมผัสกับส่วนร้อนของวิณณ์อีกรอบ ต่างฝ่ายต่างปรนเปรอให้กันไม่นานก็ปลดปล่อยออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน


เสียงหอบหายใจดังก้องห้องน้ำส่วนตัว ร่างกายของวิณณ์ขยับหายใจขึ้นลงด้วยความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมเมื่อครู่ ต่างฝ่ายต่างเงียบทว่าภายใต้ความเงียบพวกเรากลับกอดกันแน่น


“วิณณ์...เจ้าชอบข้าสินะ” ผมพูดขณะขยับตัวเล็กน้อย


“...อืม ผมชอบเบียทรีซ”


“แต่ข้าไม่ได้ชอบเจ้า” ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความชอบ


“...เบียทรีซ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นระริกประสานกับดวงตาของผมนิ่งๆ


“ข้าไม่ได้ชอบแต่รัก ข้ารักเจ้าวิณณ์” ทั้งที่ยังไม่อยากเปิดเผยความรู้สึกนี้ให้อีกฝ่ายรู้แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้สุดท้ายผมต้องเอ่ยคำว่ารักออกไปจนได้


“...รักผม จริงเหรอ” วิณณ์ดูจะไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก


“จะจริงหรือไม่จริงเจ้าก็ลองหาคำตอบด้วยตัวเจ้าเองสิ” ผมไม่ปล่อยให้วิณณ์ได้สงสัยหรือถามอะไรมากไปกว่านี้จับปลายคางอีกฝ่ายกดลงพร้อมมอบจูบอันลึกล้ำให้อีกครั้ง

.........................................
จบกันไปอีกหนึ่งตอน

ตอนที่แล้วมีคนมองบนเบียทรีซเยอะมาก

พ่อคนปากแข็ง พ่อคนซิน พ่อคนขี้แกล้ง

มาตอนนี้เป็นฉากสารภาพของเบียทรีซแถมยังอยู่ในอ่างน้ำพร้อมกับวิณณ์ด้วย

แค่จินตนาการก็ฟินแล้ว

ดูท่าถ้าเบียทรีซได้ของขวัญแบบนี้คงอยากจะจัดงานวันเกิดทุกปีเป็นแน่ 555

อ่านจบแล้วรู้สึกยังไง คอมเม้นท์บอกกันได้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 03-03-2019 17:00:45
ขี้แกล้งจริงๆด้วยสินะ เบียทรีซ

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-03-2019 19:59:40
 :oo1: :hao6:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 03-03-2019 20:15:13
อันนี้คือใช้แล้วหรอ นึกว่าจะ :jul1: ซะอีก แต่หวังว่าปีต่อไปจะจัดทุกปีนะคะ55555

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 03-03-2019 20:23:49
โอ้ย  ละลายยยย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 04-03-2019 21:01:09
อื้อหือ แบบนี้ก็ได้เปรียบเลยสิ ให้วิณณ์ทำอะไรก็ได้ 1 อย่าง
แต่เบียทริซ ทำมากกว่า 1 ไปแล้วนะ วิณณ์ต้องทวงคืนสิ

วิณณ์ตามไปแบบงงๆ แล้วก็จะโดนกินแบบงงๆ ด้วยจ้า
เอ็นดูวิณณ์มาก เจอเบียทริซอยากลองใจ
แล้วดูวิณณ์ทำ น่ารักดีค่ะ มีต่อรองและยังไงก็ไม่รอดจ้า

วิณณ์ ความซุ่มซ่ามนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ดีที่ดาบไม่ทิ่มคนอื่น 5555
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่15:⊱ 3/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-03-2019 23:41:12
กริ้ววววววววว
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-03-2019 12:58:10
⊰บงการ:วันที่16:⊱




“เอกสารทั้งหมดของวันนี้ครับ” แกรนยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้กับเบียทรีซซึ่งนั่งทำหน้านิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เบียทรีซรับเอกสารเหล่านั้นมาเปิดอ่านด้วยใบหน้าเฉยเมยคล้ายไม่สนใจ


“ปฏิเสธซะ” ใช้เวลาอ่าน ไม่สิ ควรพูดว่าใช้เวลาเปิดผ่านไม่ถึงนาทีเอกสารปึกเดินก็ถูกยืนกลับไปให้แกรนที่ยืนรออยู่ตรงหน้า


“ท่านวิณณ์” แกรนยังไม่รับเอกสารคืนแต่หันมาเรียกผมที่แม้จะใช้หูฟังบทสนทนาอยู่ทว่ามือข้างนึงกำลังเปิดบันทึกส่วนมืออีกข้างก็กำลังจดตัวเลขลงไปในตาราง การช่วยงานเบียทรีซเป็นเรื่องปกติหลังจากฝึกกับเตโชเสร็จช่วงหลังมานี่การฝึกค่อนข้างจริงจังมากขึ้นเหมือนเตโชจะอยากขัดเกลาฝีมือผมให้สูงขึ้นไปอีก


“ครับ” ผมขานรับแล้ววางมือจากงานที่ทำอยู่ เรียกแบบนี้แปลว่าต้องมีเรื่องอะไร


“ที่โลกมนุษย์มีทะเลรึเปล่าครับ”


“มีครับ ที่อยู่ผมก่อนหน้านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลเวลาเหนื่อยจากงานมากๆ บางครั้งผมจะไปขับรถเล่นดูทะเลเพื่อคลายเครียด” นึกถึงตอนที่เริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ เลย ความเครียดและแรงกดดันที่ไม่เคยเจอการได้มองทะเลที่ไกลสุดสายตาช่วยผมได้มาก


“ข้าขอเดาว่าท่านชอบทะเล” แกรนถามต่อ


“ครับ ชอบมากเลย จะว่าไปก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้ไปเลย” ว่าแต่ทำไมถึงเกริ่นเรื่องทะเลขึ้นมากันนะ


“เคยเห็นทะเลที่โลกปิศาจรึยังครับ” คำถามใหม่มาพร้อมกับรอยยิ้ม ส่วนเบียทรีซที่นั่งอยู่ก็กำเอกสารในมือแน่นขึ้น


“ทะเล?” ผมถึงกับตาลุกวาวด้วยความดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของแกรน ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็เคยไปแค่ตลาดกับป่าเลยนึกว่าไม่มีทะเลซะอีก จะว่าไปตอนถูกจับตัวไปครั้งก่อนผมก็อยู่บนเรือนี่นะแต่เพราะสถานการณ์เลยไม่มีกระจิตกระใจไปสนใจทะเลนัก


“ครับ ทะเลของโลกปิศาจจะเปลี่ยนสีไปตามแสงอาทิตย์ที่สะท้อนลงมา อย่างเวลาเที่ยงแบบนี้จะเห็นเป็นสีส้ม ช่วงเย็นจะเป็นสีแดงและช่วงค่ำจะเป็นสีน้ำเงิน ในตอนเช้าจะเห็นเป็นเหลืองนวล ช่วงสายหน่อยจะเป็นสีฟ้า เป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามมากครับ”


“ที่โลกมนุษย์เองก็มีช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกที่น้ำทะเลจะถูกย้อมด้วยสีแดงเหมือนกัน แม้จะมองแล้วแสบตาแต่ภาพนั่นก็งดงามจนละสายตาไม่ได้”  เพิ่งรู้ว่าทะเลที่โลกปิศาจจะเปลี่ยนสีไปตามแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ได้หลายสีแบบนี้


“ความจริงแล้วองค์ราชาได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวเปิดงานเทศกาลซึ่งจัดขึ้นริมทะเล...”


“แกรน!” เบียทรีซกดเสียงต่ำเรียกคนสนิทของตัวเอง


“เทศกาลนั้นเป็นเทศกาลขึ้นชื่อของโลกปิศาจที่จะจัดขึ้นทุก 10 ปีจะมีปิศาจจากทั่วทุกพื้นที่มาเข้ามาร่วมงานเทศกาลนี้ด้วยครับ” แกรนไม่สนใจเสียงเรียกห้ามของเบียทรีซอธิบายต่อจนจบประโยค


“เทศกาลเหรอ...เบียทรีซผมขอไปด้วยได้ไหม” ผมหันควับไปหาเบียทรีซที่สะดุ้งเล็กน้อยยามถูกเรียก


“...เจ้าอยากไป?” เบียทรีซถามกลับ


“อืม ผมอยากลองไปเห็นทะเลที่เปลี่ยนสีได้ แล้วก็อยากลองเดินงานเทศกาลดูด้วย ผมสัญญาว่าจะเดินตามหลังคุณดีๆ ไม่หลงไปไหนแน่นอน” ครั้งล่าสุดที่เคยเข้าร่วมงานเทศกาลคงเป็นวัยเด็กที่อายุประมาณ 10 ขวบ...เหมือนตอนนั้นคุณพ่อจะพาผมเดินเที่ยวงานวัดที่จัดขึ้นใกล้บ้านละมั้ง


ยังไงเบียทรีซก็ต้องไปอยู่แล้วผมเลยอยากขอตามไปด้วยหวังว่าคงอนุญาตนะ


“เรื่องนั้นต้องน่าเดียดาย ดูเหมือนองค์ราชาจะปฏิเสธการเข้าร่วมงานเทศกาลนั้นแล้ว” แกรนอธิบายพร้อมหันไปมองเบียทรีซที่เริ่มแผ่รังสีหงุดหงิดออกมา


“คุณปฏิเสธเหรอเบียทรีซ ทำไมถึงปฏิเสธล่ะงานเทศกาลครั้งเดียวในรอบ 10 ปีเลยนะ”


“...เจ้าจงใจสินะแกรน” เบียทรีซใช้ดวงตาสีทองจ้องไปยังแกรนที่โค้งศีรษะลงเล็กน้อยราวกับน้อมรับคำพูดนั้น


“ขออภัยองค์ราชา”


“ชิ...งานเทศกาลเต็มไปด้วยปิศาจหลายพันชีวิต ทั้งเสียงดัง ทั้งแออัดแถมยังต้องอยู่ถึงดึกอีก รู้แบบนี้แล้วก็ยังจะไปอีกรึเปล่า” เบียทรีซเบนสายตามาทางผมแทน


“อืม ผมอยากไป” ได้ชื่อว่างานเทศกาลถ้าคนน้อยและเงียบคงไม่ใช่ ต้องคนเยอะและครึกครื้นสิถึงจะเรียกว่างานเทศกาล เรื่องอยู่ดึกเองก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ยิ่งอยู่ดึกยิ่งได้ซึมซับวัฒนธรรมของเทศกาลมากขึ้นไปอีก


“อยากไปก็ไป จัดการซะแกรน” เอกสารในมือถูกโยนให้แกรนโดยไม่ทันตั้งตัวจนเกือบรับไม่ทัน


“รับทราบ ข้าจะเตรียมการให้”  ก่อนออกจากห้องไปแกรนหันมาโค้งคล้ายจะขอบคุณผมด้วย


“ผมทำให้คุณหงุดหงิดเหรอ” ผมถามพลางลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเบียทรีซที่ทำหน้าหงุดหงิดอยู่


“เปล่า”


“แต่คุณทำหน้า...”


“ไม่ใช่หงุดหงิดเจ้าแต่กำลังหงุดหงิดตัวเองต่างหาก”


“หงุดหงิดอะไร อ๊ะ!...” เบียทรีซดึงแขนผมให้เซลงไปนั่งบนตักของอีกฝ่าย


สภาพหันหน้าเข้าหากันแบบนี้ทำเอาภาพความทรงจำเมื่อหลายเดือนก่อนหลังงานวันเกิดของเบียทรีซผุดขึ้นมา...รสจูบและสัมผัสที่ปลุกเล้าจนร่างกายไม่อาจทานทนได้แต่ปล่อยตัวไปกับความรู้สึกดีที่ถูกมอบให้นับครั้งไม่ถ้วน ภาพเหล่านั้นพานให้เลือดฉูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างฉับพลัน


ผมคิดผิดเองที่ให้ของขวัญเป็นตั๋วสั่งให้ทำอะไรก็ได้


ใครจะคิดล่ะว่าเบียทรีซจะใช้มันบังคับให้ผมลงไปแช่น้ำด้วยแถมยังเกินเลยกว่าคำว่าแช่น้ำไปไกลอีก ถ้อยคำหวานหูที่กระซิบบอกรักนั้นแม้จะไม่แน่ใจแต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นความจริง


“ทำไมข้าถึงได้อาการหนักขนาดนี้กัน”


“ฮะ? อาการอะไร คุณไม่สบายเหรอ” ผมรีบใช้ฝ่ามือวัดไข้บริเวณหน้าผากด้วยความร้อนรน


“หรือเป็นเพราะเจ้าข้าถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องจะไม่ไปแต่พอเจ้าบอกว่าอยากไปข้ากลับพลิกคำพูดตัวเองได้ในทันที นี่เจ้าอีกอิทธิพลกับข้าขนาดไหนกันวิณณ์” คำถามนั้นผมไม่รู้ว่าเบียทรีซต้องการให้ผมตอบรึเปล่า แต่ถ้าต้องการคำตอบเขาคงไม่ปิดปากผมด้วยปากตัวเองแบบนี้หรอก


“...คุณไม่อยากไปทะเลเหรอ” ผมถามต่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ไม่มีทางที่จะเอ่ยน้ำเสียงปกติได้หลังจากถูกจูบหรอก


“ใช่ ข้าไม่ชอบทั้งวุ่นวายและเสียงดัง”


“ผมขอโทษ ให้ผมไปบอกปฏิเสธแกรนให้ก็ได้นะ” เหมือนผมเป็นคนบังคับให้เบียทรีซต้องทำในสิ่งที่ไม่ต้องการเลย


“เจ้าอยากไปไม่ใช่”


“ก็ใช่แต่ถ้ามีแค่ผมคนเดียวที่อยากก็ไม่ดีหรอก ต้องอยากไปทั้งคู่สิถึงจะสนุก”


“แค่เจ้าอยากไปก็พอ”


“...ตามใจผมแบบนี้จะดีเหรอ”


“แล้วไม่ดี?”


“เปล่า มันเหมือนผมได้สิทธิพิเศษยังไงไม่รู้” เพราะบอกว่าอยากไปเบียทรีซก็ยอมพาไปทั้งที่เขาไม่ได้อยากไป


“ไม่ใช่เหมือนแต่เจ้ามีสิทธิพิเศษจริงๆ พิเศษมากว่าใคร”


“...เบียทรีซ”


“สิ่งที่แลกกับความพิเศษที่ข้ามอบให้มันมากนะวิณณ์ เตรียมใจไว้รึยัง” เบียทรีซพูดต่อ ดวงตาคู่งามจ้องประสานผ่านเลนส์แว่นมา ไม่ว่าจะกี่ครั้งผมก็ไม่เคยชินยามถูกดวงตาสีทองนี่จับจ้องมา


“...ผมไม่เข้าใจ” สิ่งที่แลกอะไร


“จะทำให้เจ้าหลงข้าชนิดที่ขาดข้าไม่ได้เลย” อีกฝ่ายตอบพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์


ไม่กี่วันต่อมาพวกเราเดินทางมาถึงยังพื้นที่จัดงานริมทะเล บริเวณชายหาดกว้างทอดยาวไปนับร้อยกิโลเต็มไปด้วยปิศาจที่เริ่มมาเดินเที่ยวงานแม้จะเป็นช่วงบ่ายของวันก็ตาม ร้านค้ามากมายเปิดเรียงรายอยู่ตามชายหาด จากที่แกรนอธิบายเหมือนงานเทศกาลที่แท้จริงจะเริ่มในช่วงค่ำ เพราะงั้นผมและเบียทรีซเลยสามารถเดินเที่ยวได้ในช่วงนี้


ทะเลสีฟ้าครามเปลี่ยนเป็นสีส้มสว่างราวกับบ่อของน้ำผลไม้ ตลอดการเดินสำรวจเห็นทั้งปิศาจที่นอนอาบแดดและลงไปเล่นน้ำเหมือนอย่างโลกมนุษย์ไม่มีผิด ที่แตกต่างคือรูปลักษณ์ภายนอกอันมีเอกลักษณ์ของแต่ละตน ถึงจะอยู่มานานหลายปีแต่ก็มีหลายครั้งที่เผลอตกใจเวลาเห็นปิศาจที่มีใบหน้าและรูปร่างเป็นสัตว์


“ร้อน” เสียงบ่นดังขึ้นเป็นรอบที่ล้านจากสัตว์ตัวยักษ์ขนสีดำสนิทแถมยังมีเขางอกออกมาสองข้างอีก เบียทรีซในร่างสัตว์ไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว เหมือนว่าถ้ามาเดินในร่างของราชาปิศาจอาจทำให้แตกตื่นได้เลยต้องจำใจมาอยู่ในร่างนี้


“ก็ขนคุณยาวนี่นา” ผมซึ่งอยู่ในร่างมนุษย์ยังมีเหงื่อไหลยามโดนแสงอาทิตย์อันร้อนแรงเลยประสาอะไรกับขนสีดำสนิทที่นอกจากจะดูดแสงแล้วยังกักเก็บความร้อนไว้


“จะกลับรึยัง”


“เราเดินมาได้ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยนะ” ที่พักในช่วงก่อนถึงเวลาเริ่มงานเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศติดกับทะเลและใกล้กับบริเวณจัดงานเทศกาล ตอนที่มาถึงเบียทรีซก็ตรงไปยังห้องนอนทันทีแต่พอผมขอออกมาเดินเท่านั้นแหละเจ้าตัวก็ยอมลุกตามมาจนถึงตอนนี้


“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ”


“คุณกลับไปพักที่ห้องก่อนก็ได้นี่”


“เจ้าจะเดินคนเดียว?”


“อืม ผมจำทางกลับได้นะ” บ้านพักไม่ได้จำยากอะไรเลยแค่ตรงไปหลังแรกที่เจอนั่นแหละ


“ข้าจะเดินด้วย”


“คุณไม่ต้องห่วงผมขนาดนั้นก็ได้ทักษะการต่อสู้ ใช้อาวุธหรือแม้แต่พลังปิศาจผมก็พอมี” แม้จะยังไม่เก่งแต่ถ้าแค่ปกป้องตัวเองผมว่าสามารถทำได้


“ทักษะในการสะดุดบนพื้นราบก่อนจะปิดฉากการโจมตีนั่นน่ะเหรอ ทักษะพิเศษที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้” เบียทรีซบอกพลางเงยหน้าขึ้นมามองผม


“...มันก็ต้องมีพลาดกันบ้าง”


“หึ...อยากเดินก็เดินไป”


“ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนนะ โอ๊ะ...นั่นพวกเขาทำอะไรกันน่ะ” ผมชี้นิ้วไปทางหาดทรายที่มีเหล่าปิศาจกำลังยืนมุงดูบางอย่างภายใน ผมก้าวเข้าไปมองภาพปิศาจสองตนกำลังยกอาวุธวิ่งเข้าปะทะกันด้วยความสงสัย จะบอกว่าเป็นการต่อสู้ก็คงใช่แต่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น


“นั่นเป็นหนึ่งในกิจกรรมขึ้นชื่อของงานเทศกาล ปิศาจ 2 ตนจะต่อสู้กันผู้ชนะคือฝ่ายที่ล้มลงก่อน” เบียทรีซเดินเข้ามาใกล้ระหว่างอธิบาย


“แปลว่าไม่บาดเจ็บมากใช่ไหม” ผมถามต่อ


“ประมาณนั้น หากล้มลงพื้นแล้วกรรมการจะบอกให้หยุดการต่อสู้...เจ้าจะทำอะไรน่ะวิณณ์?!” เบียทรีซส่งเสียงเรียกผมที่เดินเข้าไปหาปิศาจตนหนึ่งซึ่งกำลังส่งเชิญชวนให้มาเข้าร่วมการต่อสู้นี้


“ขอผมสมัครได้ไหมครับ” ผมเอ่ยถามโดยไม่สนเสียงห้ามของเบียทรีซที่ไล่หลังมา


“ได้สิ แต่เจ้าจะไหวเหรอตัวเล็กแค่นี้เดี๋ยวก็บาดเจ็บเอาหรอก ไม่สิ...พวกระดับสูงรึ” ใบหน้าของผู้รับสมัครฉายแววกังวลอยู่ไม่น้อยยามมองรูปร่างผม ก็นะ ถ้าเทียบกับปิศาจร่างใหญ่สองตนที่พึ่งปะทะกันเสร็จผมก็ทั้งเตี้ยกว่าและรูปร่างบางกว่ามาก ความกังวลที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้นหายไปยามรู้ถึงตัวตนของผม


“ไหวครับ”


“งั้นรอคิวที่ 48 ได้เลย ตอนนี้ถึงคิว39-40อยู่”


“ครับ” ผมรับบัตรคิวแล้วเดินกลับมายืนดูการแข่งท่ามกลางเสียงบ่นของเบียทรีซ


“วิณณ์” เบียทรีซเรียกเป็นรอบที่สิบ


“ผมไม่เป็นหรอก” ผมย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะได้คุยอยู่ในระดับเดียวกับเบียทรีซในร่างนี้


“จะไม่เป็นไรได้ยังไง คิดอะไรถึงลงต่อสู้แบบนี้”


“ผมอยากแสดงฝีมือที่ก้าวหน้าขึ้นนิดหน่อยให้คุณเห็น”


“ก็ไม่เห็นต้องตอนนี้นี่ กลับปราสาทไปค่อยให้ลูกน้องเตโชมาเป็นคู่ซ้อมก็ได้”


“ผมอยากรู้นี่ว่าตอนนี้ฝีมือผมพอจะปกป้องตัวเองได้รึยัง ตอนฝึกที่ปราสาทผมคิดอยู่หลายครั้งว่าพวกเขาออมมือให้ผมรึเปล่านะ อาจเพราะผมเป็นคนของเบียทรีซพวกเขาเลยไม่เอาจริง” ผมคิดมานานแล้วเรื่องนี้ ทุกคนดูจะแสดงออกว่าผมอยู่ในระดับที่เหนือกว่า ก็เลยเกิดความไม่แน่ใจว่าฝีมือที่คิดว่าน่าจะปกป้องตัวเองได้นั้นมันจริงรึเปล่า


นี่ถือเป็นโอกาสดี


“เจ้าคิดมากไป ตอนฝึกก็คือฝึกต่อให้เป็นข้าพวกเขาก็ต้องเอาจริง”


“ยังไงผมสมัครไปแล้วนี่”


“ไปยกเลิกซะ”


“ไม่เอา”


“ดื้อ”


“แฮะๆ”


“ไม่ต้องมาแฮะเลย”


“คิวที่47-48เตรียมตัวครับ” คุยกันได้ไม่นานเสียงประกาศหมายเลขของผมก็ดังขึ้น


“เอาล่ะ”


“ระวังตัวด้วย ถ้าใครกล้าทำเจ้าเจ็บข้าไม่ปล่อยไว้แน่”


“คิก...คุณห่วงผมเกินไปแล้ว นี่เบียทรีซ” ก่อนจะก้าวเข้าไปในเขตการต่อสู้ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายพลางใช้แขนสองข้างกอดเส้นขนสีดำสนิทแน่นๆ แทนการขอกำลังใจ


“อะไร”


“เชียร์ผมด้วยนะ” ส่งยิ้มให้เสร็จผมจึงก้าวเข้าไปยืนตรงกลางของพื้นที่การต่อสู้


คู่ต่อสู้ของผมเรียกเสียงฮือฮาจากรอบสนามได้จากขนาดของร่างกายที่ใหญ่กว่าผมประมาณ 3 เท่า รูปร่างของเขาเหมือนปูแต่ยืนด้วยสองขา ที่บอกว่าเหมือนปูคือส่วนของแขนสองข้างที่มีกล้ามปูงอกออกมาแทน ส่วนของมือนั้นเป็นอาวุธที่แค่มองก็รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว


“นี่ดาบของแต่ละท่านครับ” กรรมการยื่นดาบยาวสีเงินส่งมาให้ผม ด้วยน้ำหนักประมาณนี้ผมค่อนข้างคุ้นชินเพราะดาบที่ฝึกก็คล้ายๆ กัน


“ข้าไม่ต้องการอาวุธ แค่มือสองข้างนี้ก็มากพอแล้ว” คู่ต่อสู้ของผมบอกกรรมการที่ยื่นดาบไปให้สลับกับมองมาทางผม


“ถ้าเช่นนั้นก็ขอเริ่มการต่อสู้!” กรรมการถอยไปยืนวงนอกก่อนจะประกาศเริ่ม


ก้ามปูสีส้มแดงเหวี่ยงเข้าใส่ผมทันทีหลังสัญญาณเริ่ม โชคดีที่ประสาทสัมผัสการเคลื่อนไหวผมค่อนข้างดีเลยสามารถหลบการจู่โจมนั้นได้ ซึ่งอีกฝ่ายไม่หยุดแค่การโจมตีเดียวก้ามปูอีกข้ากางออกแล้วพุ่งเข้าใส่ผมอย่างรวดเร็วจนหลบไม่ทันผมเลยต้องยกดาบขึ้นป้องกัน


ด้วยขนาดของร่างกายก็เป็นตัวบ่งบอกถึงพละกำลังของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ร่างกายใหญ่กว่าย่อมมีพลังมากกว่าตามกฎของธรรมชาติ แต่นั่นหมายถึงต้องเป็นเผ่าเดียวกันเพราะมีไม่น้อยเลยที่รูปร่างเล็กแต่พละกำลังนั้นมีมากกว่า ในกรณีผมไม่ได้พละกำลังทัดเทียมคู่ต่อสู้ต่อให้ใช้สองขาพยายามยัน ร่างกายเองก็ค่อยๆ ถอยไปตามแรงผลัก


ผู้ที่ชนะนอกจากจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มแล้วการให้ออกนอกเขตก็เป็นอีกวิธีที่สามารถนำชัยชนะมาให้กับตัวเองได้ อีกฝ่ายคงคิดจะดันผมให้ออกนอกเขตไปทั้งแบบนี้เลยสินะ


ผมหายใจเข้าตั้งสมาธิรวบรวมพลังปิศาจไว้ที่ปลายเท้าก่อนจะฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายกำลังจะเพิ่มแรงผลักเบี่ยงตัวหลบออกมาส่งผลให้อีกฝ่ายเกือบล้มลงไป ด้วยความอับอายที่ถูกคนผอมบางอย่างผมทำให้เสียท่าบวกกับเสียงเชียร์รอบข้างหันมาเชียร์ผมมากขึ้น นั่นคงเป็นเหตุทำให้คู่ต่อสู้เริ่มโมโห ดวงตาสีแดงก่ำกับพลังปิศาจที่แผ่ออกมานั่นแปลว่าจะทุ่มทุกอย่างในการโจมตีนี้


“วิณณ์!” เสียงเรียกจากเบียทรีซเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมให้หันไปสบก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้ ไม่บ่อยนักที่น้ำเสียงของเบียทรีซจะดูเป็นกังวลแบบนี้


“ต้องทำได้สิน่า” ผมพึมพำพร้อมปลดปล่อยพลังปิศาจออกมา ปิศาจโดยรอบเริ่มส่งเสียงว่าปิศาจระดับสูงมาครู่ใหญ่แล้ว ดูเหมือนตัวตนของผมจะเป็นที่สนใจมากพอดู


“ปิศาจระดับสูงก็มีดีแค่พลังปิศาจแหละน่า รับพลังของข้าไปซะ!” คู่ต่อสู้รวบรวมพลังมาไว้ยังแขนขวา คงจะทุ่มทุกอย่างในการปะทะนี้


พลังปิศาจที่ผมปล่อยออกไปโดยรอบถูกดึงกลับมาพร้อมกับใช้พลังนั่นปกคลุมดาบทั้งเล่มไว้แล้วเหวี่ยงดาบเข้าปะทะกับก้ามปูที่พุ่งเข้าใส่ เสียงแตกหักพร้อมร่างยักษใหญ่ล้มลงดังก้องไปทั่วบริเวณสร้างความตกตะลึงแก่ผู้ชมจนเกิดความเงียบเข้าปกคลุม สิ่งที่แตกไม่ใช่ดาบของผมแต่เป็นเปลือกของก้ามปูสีส้มแดงที่ปะทะกับดาบที่เคลือบไปด้วยพลังปิศาจจนแตกออกเป็นเสี่ยง แม้ทางนั้นจะใช้พลังปิศาจเหมือนกันทว่าความแตกต่างยังเห็นได้ชัดอยู่ดี


“ชนะ?...ผมชนะแหละเบียทรีซ!” ผมหันไปหาเบียทรีซซึ่งก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้พร้อมใช้อุ้งเท้าสีดำตปบหัวผมเบาๆ


“จะทำให้ข้าห่วงไปถึงไหนฮะ”


“คุณยอมรับว่าห่วงผมด้วย โอ๊ย! ผมขอโทษ” ผมรีบเอ่ยขอโทษทันทีที่อุ้งเท้านั่นออกแรงกดลง


“ถือเป็นโชคดีที่ไม่สะดุดอะไรเข้า” เบียทรีซพูดต่อ


“นั่นสิ ผมก็กังวลอยู่” เวลาฝึก 10 ครั้งจะมีประมาณ 8 ครั้งที่ผมพลาดเลยค่อนข้างดีใจที่วันนี้สามารถทำได้โดยไม่พลาดเหมือนทุกที โชคดีจริงๆ


“แก...อย่าคิดว่าทำให้ข้าอับอายแล้วจะปล่อยให้กลับไปได้ง่ายๆ นะ!” คู่ต่อสู้ของผมดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผลักกรรมการที่เข้ามาห้ามกระเด็นไปไกลแล้วก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับผม


“การต่อสู้นี่คุณแพ้แล้วยอมรับผลเถอะ” ผมบอกอีกฝ่าย


“มาสู้กันอีกครั้ง ครั้งนี้แหละข้าจะขยี้เจ้าซะ!”


“ไม่ล่ะ ถ้าสู้อีกครั้งผมแพ้แน่ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณบาดเจ็บ” สถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่คิดจะเสี่ยงสู้อีกรอบหรอก ในสภาพที่อีกฝ่ายเปิดโหมดการต่อสู้คงได้มีการบาดเจ็บเกิดขึ้นแน่และผมไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีเหมือนก่อนหน้านี้ อาจเผลอไปสะดุดอะไรเข้าก็ได้


“คิดจะหนีรึไง” อีกฝ่ายพยายามยั่วอารมณ์


“อืม ผมขอหนีละกัน” โชคร้ายหน่อยที่ผมไม่หลงไปกับการยั่วอารมณ์นั่น


“ใครจะยอมให้หนีกัน อั๊ก!...” ร่างขนาดยักษ์วิ่งเข้าใส่พร้อมเหวี่ยงกล้ามปูอีกข้างใส่ผมทว่าพลังปิศาจเข้มข้นสูงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างขนสีดำสนิทด้านข้างเข้าโจมตีฝ่ายนั่นด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน กลุ่มก้อนของพลังสีดำทมึนล้อมรอบอีกฝ่ายสักพักจึงสลายไป


เมื่อหันไปมองรอบข้างเหล่าปิศาจพากันถอยหนีคงเพราะพลังของเบียทรีซทำให้ทุกคนสัมผัสถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณเลยขยับถอยหนีกันไปก่อนหน้านี้


“ไม่เห็นต้องทำรุนแรงขนาดนี้เลย” ผมบอกเบียทรีซ


“ข้าบอกเจ้าไว้ว่ายังไง”


“ฮืม? บอกอะไร”


“ขี้ลืม”


“แฮะๆ” ปฏิเสธไม่ออกเลย


“ข้าพูดไว้นี่ว่าถ้าใครกล้าทำเจ้าเจ็บข้าไม่ปล่อยไว้แน่” เบียทรีซพูดประโยคเดียวกันกับก่อนหน้าเริ่มการต่อสู้ให้ผมฟังอีกครั้ง


“เขาไม่ได้ทำผมเจ็บสักหน่อย” ตรงกันข้ามผมต่างหากที่ทำเขาเจ็บ


“มองแขนตัวเองหน่อยวิณณ์” คำพูดนั้นเรียกสายตาผมให้ก้มลงมองแขนตัวเองก่อนจะเห็นว่าแขนข้างขาวมีเลือดซึมออกมาเป็นแนวยาว แต่ขนาดของแผลให้เทียบก็เหมือนรอยแมวข่วน เล็กจนแทบมองไม่เห็น


ไม่รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ


“แผลแค่นี้เอง” ไม่ใช่แผลใหญ่ที่ถึงขนาดต้องทำขนาดนั้นเลย


“สำหรับข้ามันไม่ใช่แผลแค่นี้” เบียทรีซพูดพร้อมกับเลียเลือดบริเวณปากแผลให้


“สรกปก” ผมรีบชักมือกลับทันที


“เจ้ากล้าบอกว่าข้าสรกปก?”


“เปล่า...ที่บอกว่าสรกปกคือที่คุณเลียเลือดผมต่างหากทั้งฝุ่นทั้งทรายเดี๋ยวก็ท้องเสียหรอก” ผมอธิบายเพิ่ม


“หึ...ข้าชักอยากให้เจ้าบาดเจ็บทั้งตัว”


“ฮะ?...ทำไมล่ะ” เมื่อครู่ยังห่วงผมอยู่เลยทำไมถึงมากลับคำเอาตอนนี้


“ข้าจะได้เลียเจ้าทั้งตัวเลย”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-03-2019 12:58:35
(ต่อนะคะ)



จบจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่อสู้ด้วยอาวุธผมและเบียทรีซเดินเล่นกันอีกสักพักใหญ่ก่อนจะกลับไปที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้ บรรยากาศภายในราวกับกำลังพักอยู่ในบ้านพักตากอากาศหรูหราในหนังสักเรื่อง เครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาลเข้ากับผนังสีอ่อนมองแล้วให้ความรู้สึกเรียบหรู


“คุณจะนอนเลยเหรอ” ผมถามเบียทรีซที่บัดนี้ทิ้งตัวลงบนเตียง ร่างสัตว์ขนฟูเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ตามเดิมแล้ว


“เจ้าจะออกไปไหนอีก?” เบียทรีซพลิกตัวเลิกคิ้วขึ้นระหว่างถาม


“ก็...เปล่า”


“จะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าโกหกไม่ได้ก็อย่าพยายาม”


“...รู้ทันอีก” ผมแอบบ่นเสียงแผ่ว ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้แท้ๆ คิดผิดเหรอเนี่ย


“ว่ามาก่อนที่ข้าจะลากเจ้ามานอนด้วย”


“ผมอยากเล่นน้ำทะเล” ความต้องการที่แท้จริงถูกเอ่ยออกไปให้เบียทรีซฟัง


มาทะเลทั้งทีแถมยังเป็นทะเลเปลี่ยนสีจะแค่เดินตามชายหาดแล้วกลับมานอนแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยต้องขอเอาขาสัมผัสกับน้ำทะเลสักหน่อย ตอนแรกผมกะจะเดินลงไปเล่นน้ำหลังจากเดินเที่ยวเสร็จแต่พอหันไปมองสีหน้าเบียทรีซที่รำคาญกับบรรยากาศวุ่นวายผมก็จำต้องเดินกลับมาโดยยังไม่ได้เล่นน้ำ


“ตอนนี้?”


“อืม...ระเบียงนั่นเชื่อมกับทะเลขอไปเล่นได้ไหม” ตั้งแต่มาถึงผมเดินสำรวจที่พักนี่จนทั่วแล้ว ภายในที่พักหรูหราก็จริงแต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาได้คือประตูระเบียงขนาดใหญ่ที่พอเปิดออกไปจะเป็นระเบียงไม้ที่ยื่นไปในทะเล มองจากด้านบนน้ำไม่ลึกมากน่าจะเหมาะกับการลงไปเล่น


“พลังงานเหลือล้นเหมือนเด็กไม่มีผิด อ้อ...ก็เด็กอยู่นี่นะ” เบียทรีซพูดพร้อมเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง


“ขอไปเล่นนะ ที่นี่ไม่มีคนอื่นเพราะงั้นคงไม่มีอันตรายอะไรหรอก”


“เจ้าว่ายน้ำเป็น?”


“เป็นสิ ผมฝึกว่ายตั้งแต่ 7 ขวบค่อนข้างว่ายแข็งทีเดียว” ถึงจะไม่ได้ว่ายมาสักพักใหญ่แล้วก็ตามที การว่ายน้ำก็เหมือนขับรถถ้าเป็นแล้วก็ไม่มีวันลืม


“แล้วถ้าเกิดเป็นตะคริวตอนว่ายขึ้นมาล่ะ”


“คุณคิดมากไปแล้ว ผมจะยืดกล้ามเนื้อก่อนลงไปเล่นละกัน” ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดมากขนาดนี้


“ข้าจะไปด้วย”


“แต่คุณควรจะพัก...”


“ไม่มีแต่ มาได้แล้ว” เบียทรีซสรุปพร้อมก้าวไปเปิดประตูระเบียง ไอเค็มของทะเลถูกสายลมพัดพาเข้ามาด้านในตัวที่พัก เป็นไอเค็มที่แตกต่างกับโลกมนุษย์อยู่พอสมควร


“คุณจะลงไปว่ายด้วย?” ผมถามระหว่างเตรียมยืดกล้ามเนื้อ


“ไม่ ข้าจะนั่งดูอยู่นี่”


“หรือเบียทรีซว่ายน้ำไม่เป็น”


“ข้าว่ายเป็น” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน


“ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้นเลยนี่ ผมขอลงไปเล่นก่อนล่ะ” พูดจบผมก็นั่งลงบนระเบียงหย่อนขาลงไปสัมผัสกับผิวน้ำแล้วค่อยๆ พาร่างตัวเองลงสู่ผืนน้ำด้านล่าง


น้ำทะเลไม่ได้เย็นอย่างที่คิด ตรงกันข้ามน้ำค่อนข้างอุ่นมากทีเดียวหรือจะเป็นเพราะถูกแสงอาทิตย์ฉายลงมากันนะ สีของน้ำเป็นสีส้มเข้มกว่าช่วงบ่ายที่เห็นชัดมากขนาดใช้มือช้อนขึ้นมายังเห็นเป็นสีส้มเลย ความลึกของน้ำอยู่ในระดับมิดหัวผม น่าจะประมาณ 2 เมตรได้


“อย่าไปไกล เล่นอยู่แค่แถวนี้” เบียทรีซชี้นิ้วให้ผมว่ายเข้ามาใกล้บริเวณที่ตัวเองนั่งมองอยู่


การบังคับให้ทำตามผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกอึดอัดหรือรำคาญไหมแต่สำหรับผมรู้สึกดีทุกครั้งที่เบียทรีซแสดงออกแบบนั้น ถ้าเขาไม่ห่วงเขาคงไม่บอกหรือบังคับหลายๆ อย่าง เพราะตัวผมค่อนข้างซุ่มซ่ามทำอะไรบางทีก็ไม่ได้คิดให้ดีเลยทำให้เขาเป็นห่วงอยู่ตลอด ไม่แปลกที่จะอยากให้ผมอยู่ในสายตา


“อืม คุณไม่ลงมาว่ายด้วยเหรอ” ผมถามซ้ำอีกรอบ


“ไม่ อยากว่ายเล่นก็ว่ายไป”


“อืม” พยักหน้าเข้าใจเสร็จผมก็สูดอากาศเข้าจนเต็มปอดแล้วมุดตัวลงไปใต้น้ำทะเลสีส้ม แว่นสายตาที่แกรนเรียกช่างมาตัดให้สามารถใช้ได้แม้จะอยู่ในน้ำทะเล ดวงตาผมละคายเคืองเล็กน้อยยามลืมตาใต้ผิวน้ำทว่าภาพของวิวทิวทัศน์ด้านใต้นี่ทำเอาความรู้สึกละคายเคืองหายไป


ยามมองจากใต้น้ำสีของน้ำทะเลเป็นเหมือนสีส้มใสๆ ไม่ได้เข้มเหมือนตอนอยู่เหนือผิวน้ำ ใต้ทะเลอันสงบนิ่งชวนให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน น่าเสียดายที่ว่ายไปไกลไม่ได้ ถ้าว่ายไปได้อาจเห็นพวกสัตว์ทะเลของโลกปิศาจก็เป็นได้


เวลาที่ผมใช้กลั้นหายใจนั้นไม่ได้นานมากแต่ดูเหมือนด้วยระยะเวลาไม่กี่นาทีที่ผมพาตัวเองลงมาใต้ผืนน้ำก็มากพอให้ราชาของโลกปิศาจซึ่งนั่งรออยู่ด้านบนปรากฎตัวจากเหนือผิวน้ำว่ายลงมาดึงแขนผมขึ้นไปถึงด้านบน


“ไหนว่าว่ายน้ำเป็นทำไมจมเล่า!” เสียงบ่นแรกดังขึ้นทันทีที่โผล่พ้นน้ำ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงดูจะร้อนรนปนเป็นห่วงมาก


“จมอะไร” ผมขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน


“ก็จมน้ำไง”


“ผมไม่ได้จมสักหน่อย”


“ไอ้ที่อยู่ใต้น้ำนานเป็นนาทีเนี่ยไม่ได้เรียกว่าจมรึไง”


“ผมแค่กำลังเพลินกับการดำน้ำแค่นั้นเอง” อากาศเองก็ยังเหลืออยู่ ขาก็ไม่ได้เป็นตะคริวสามารถพาตัวเองขึ้นมาได้ก่อนอากาศหมดแน่นอน


“ดำน้ำ? วิณณ์เจ้านี่นะ ถ้าจะดำน้ำก็บอกข้าก่อนสิ เห็นหายไปตั้งนานก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้น” เบียทรีซหันมาบ่นพร้อมใช้มือเสยเส้นผมสีดำสนิทที่ปิดใบหน้าอยู่ไปข้างหลัง


“ขอโทษ ผมนึกว่าคุณรู้”


“ข้าไม่ได้อ่านความคิดเจ้าได้ทุกเรื่องนะ”


“ไหนๆ ก็ลงมาแล้ว ว่ายน้ำเล่นกันเถอะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย เวลาแบบนี้ไม่อยากมาฟังคำบ่นหรอกนะ


“ไม่ ข้าจะขึ้น” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซว่ายตรงไปยังระเบียง


“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งขึ้นเลย” ผมรีบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกันทำให้ผมถูกลากให้ลอยตามไปด้วย


รู้สึกสนุกไปอีกแบบแฮะ


“ทำหน้าสนุกนะที่ถูกข้าลากมาเนี่ย” แค่หันกลับมามองอีกฝ่ายก็สามารถอ่านความคิดในหัวผมออก


“อืม สนุกจัง ว่ายลากผมไปอีกสิ”


“ข้าจะขึ้น”


“ไม่ให้ขึ้น” ครั้งนี้ผมฉวยโอกาสตอนเบียทรีซจะกลับขึ้นไปบนระเบียงกระโดดกอดคออีกฝ่ายจากด้านหลังจนพวกเราหงายหลังร่วงลงน้ำ


หลังจากหงายหลังเบียทรีซสามารถพาตัวเองกลับขึ้นมาเหนือน้ำได้อีกครั้งโดยมีผมเกาะหลังไม่ยอมปล่อย เรียกว่าติดหนึบเป็นปลาหมึกเลยก็ไม่ผิด โอกาสดีๆ ที่จะได้ว่ายน้ำกับเบียทรีซแบบนี้ใครจะปล่อยไปง่ายๆ เล่า


ต้องทำให้ยอมมาว่ายด้วยกันให้ได้!


“วิณณ์ เดี๋ยวก็ได้สำลักหรอก” เบียทรีซตวาดเสียงดังในเรื่องที่ผมไม่คิดว่าจะถูกดุ


ไม่ได้โกรธที่ผมกระโดดใส่จนหงายหลังตกน้ำแต่กลัวผมจะสำลักน้ำงั้นเหรอ


“คุณสำลักน้ำรึเปล่า” ผมถามกลับ


“ข้าไม่เป็นไร เจ้าเถอะ”


“ผมก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่กระโดดใส่นะผมแค่อยากให้คุณมาเล่นน้ำด้วยกันเลยพยายามหาทางรั้งไว้แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะเบียทรีซ” แม้เสียงที่เอ่ยออกไปจะเบาหวิวสักแค่ไหนแต่ระยะห่างเพียงไม่กี่เซ็นแบบนี้เบียทรีซได้ยินมันแน่ ระหว่างพูดผมเผลอกอดอีกฝ่านแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวมารู้อีกทีร่างกายของผมก็แนบชิดอยู่กับแผ่นหลังนั่นแล้ว


“...ไม่เป็นไรก็ดี”


“ว่ายน้ำด้วยกันอีกแป๊บนะ” ผมลองขออีกครั้ง


“ถ้าแค่แป๊บเดียวละก็...”


“อืม แค่แป๊บเดียวเท่านั้น น้ำทะเลว่ายนานๆ ไม่ดีหรอก ว่ายเลยเบียทรีซ” เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงผมก็ยิ้มร่าทันที


“เจ้าสั่งข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่วิณณ์” เบียทรีซกดเสียงต่ำระหว่างถาม


“ไม่ได้สั่งสักหน่อย ผมอยากกอดคุณแบบนี้อีกหน่อยแค่นั้นเอง...อ๊ะ!” พูดยังไม่จบประโยคดีเบียทรีซก็เริ่มว่ายน้ำโดยมีผมกอดคออีกฝ่ายจากด้านหลัง


“ตอนนี้ข้าให้เจ้ากอด ถ้าขึ้นไปเมื่อไหร่เป็นฝ่ายเจ้าต้องยอมข้าบ้างล่ะ”


“ยอมอะไร”


“ก็ยอมให้ข้ากอดเจ้าไง”


“...ก็ยอมตลอดอยู่แล้วนี่” ผมบ่นอุบอิบ พูดเหมือนผมไม่ยอมให้กอดทั้งที่ทุกครั้งยามถูกสวมกอดผมแทบจะไม่เคยขัดขืนเลย ยิ่งรู้ถึงความรู้สึกที่มีต่อเบียทรีซยิ่งพานให้ร่างกายเกร็งขึ้นกว่าเดิมอีก


“พูดอะไรนะ เสียงอู้อี้ข้าฟังไม่ถนัด” เบียทรีซถามกลับ


“ไม่มีอะไร”


“ข้าต้องเชื่อคำโกหกเจ้าไหม”


“เชื่อหน่อยก็ดีนะ” ผมไม่อยากเอ่ยคำพูดน่าอายไปมากกว่านี้หรอก แต่การได้กอดอีกฝ่ายไว้แบบนี้แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นกลางทว่าความร้อนที่แผ่ออกมานั้นราวกับร่างกายกำลังสัมผัสกันโดยตรง


แค่คิดก็รู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาซะแล้ว


“เสียใจ ข้าไม่เชื่อ บอกมา”


“ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้เหรอ ว่ายน้ำเล่นกันเถอะ”


“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องวิณณ์”


“...ก็ได้” พอเดาได้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ


“บอกมา”


“ผมแค่พูดว่าก็ยอมให้กอดตลอดอยู่แล้วแค่นั้นเอง” สุดท้ายก็จำต้องเอ่ยประโยคหน้าอายออกไปอีกครั้งจนได้


“หึ...จะยอมหรือไม่ยอมก็มีค่าเท่ากัน”


“ค่าเท่ากัน?”


“ต่อให้เจ้าไม่ยอมคิดว่าข้าจะทำตามรึไง”


“...ไม่” ตอนนี้ผมเข้าใจความหมายของคำว่าค่าเท่ากันแล้ว


“เข้าใจก็ดี ต่อให้เจ้าไม่ยอมให้ข้ากอดแต่ข้าก็ยังจะกอดเข้าอยู่ดี”


“...กอดผมแล้วรู้สึกดีเหรอ” ว่าจะไม่แตะเรื่องนี้นะ ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เอ่ยปากออกไปแบบนั้น


“ถามอะไรแปลกๆ นะวิณณ์”


“แปลกตรงไหนกัน”


“แปลกสิ ใช้หัวคิดหน่อยวิณณ์”


“คิดไม่ออก” ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นแหละ


“จะให้ข้าเฉลย?”


“อืม เฉลยมาเถอะ” ถึงจะให้เวลามากกว่านี้คำตอบคงยังเหมือนเดิมคือคิดไม่ออก


“ถ้าไม่รู้สึกดีข้าคงจะกอดเจ้าหรอก”


“...หมายถึงรู้สึกดี?” คำตอบกำกวมเกินไปแล้วนะเบียทรีซ


“คงงั้นมั้ง”


“อย่ามั้งสิ” แบบนี้มันก็เหมือนผมคิดเอาเองน่ะสิ


“แล้วเจ้าล่ะ ที่กอดข้าแบบนี้รู้สึกดีไหม” คำถามเดิมแต่ถูกเปลี่ยนจากฝ่ายถามมาเป็นฝ่ายตอบแทน


“นั่นคำถามผม”


“ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามถามซ้ำนี่” เบียทรีซย้อน


“กวนผมชัดๆ”


“อย่ายื้อเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เลย ตอบมา”


“คุณบังคับผมไม่ได้”


“แปลว่าจะไม่ยอมตอบ”


“...ได้ไหมล่ะ” ผมลองขอ


“ไม่ได้” อีกฝ่ายตอบทันควัน


“ใจร้าย”


“พูดถูกแล้ว ข้าใจร้ายมากนะวิณณ์ถ้าไม่รีบตอบ...”


“ถ้าไม่รู้สึกดีผมคงไม่กอดคุณหรอก” ผมรีบตอบก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยจบประโยค ไม่รู้หรอกว่าจะโดนอะไรแต่ผมไม่อยากฟัง ถ้าตอบแล้วก็คงไม่โดนหรอกใช่ไหม


“...นั่นมันคำตอบข้า”


“ก็ไม่มีกฎบอกว่าห้ามใช้คำตอบซ้ำนี่” ในเมื่อเบียทรีซใช้ได้ผมก็ไม่ผิดที่จะใช้ด้วยนี่


“กล้าย้อนข้า?”


“เปล่าสักหน่อย ผมชอบเวลาที่ได้กอดคุณและถูกคุณกอด อ้อมกอดของคุณทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนผมรู้สึกดีมากๆ เลย” ถึงจะอายที่ต้องพูดประโยคพวกนี้แต่ผมก็อยากให้เขารู้ถึงความรู้สึกของผมไว้


สำหรับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์และความรู้สึกรักชอบมาก่อนอย่างผมค่อนข้างยากที่จะให้พูดทุกอย่างตามที่คิดออกมาได้หมด หลายสิ่งหลายอย่างผมทั้งไม่เคยและไม่ชิน ต่างจากเบียทรีซที่แทบไม่ต้องพูดอะไรทว่าการกระทำของเขาหลายๆ อย่างกลับบ่งบอกถึงความพิเศษที่มอบให้ผม...ให้ผมเพียงคนเดียว


การเป็นคนพิเศษของใครสักคนช่างรู้สึกดีอย่างที่ไม่เป็นรู้สึกมาก่อน


“วิณณ์ปล่อยข้า” หลังจากหยุดว่ายน้ำแล้วนิ่งไปสักพักเบียทรีซจึงพูดออกมา


“มีอะไรเหรอ” อยู่ๆ ก็มาบอกให้ปล่อย


“ข้าบอกให้ปล่อยก็ปล่อยสิ”


“...อืม” ผมทำตามโดยไม่คิดอะไรคลายแขนสองข้างที่กอดรอบคออีกฝ่ายออกแล้วทรงตัวให้ลอยอยู่เหนือน้ำ ทันทีที่คล้ายวงแขนออกเบียทรีซหันกลับมาหาผมพร้อมกระชากตัวผมเข้าไปในอ้อมกอด แขนทั้งสองข้างกระชับตัวผมให้เข้าไปแนบชิด ลมหายใจของเบียทรีซรดต้นคอสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้ผมที่กำลังประมวลผลของเหตุการณ์ตรงหน้านี้อยู่


“ชอบให้กอดแบบไหน แน่นๆ แบบนี้หรือว่ากอดหลวมๆ ด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้อีกมือทำแบบนี้” เบียทรีซคลายอ้อมกอดจนเหลือเพียงมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างเอื้อมขึ้นมาสัมผัสแก้มผมที่บัดนี้กำลังขึ้นสีแดงก่ำ


ผมไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นรัวนี้ได้เลยสักนิดราวกับร่างกายไม่ใช่ของตัวเองแต่กำลังถูกชักจูงและดึงดูดให้หลงไปกับเสน่ห์ของเบียทรีซจนไม่อาจถอดตัวได้


“...เบียทรีซ”


“ฮืม ชอบแบบไหน”


“...ชอบทุกแบบ” จะกอดแน่นหรือกอดหลวมขอแค่คนที่กอดผเป็นเบียทรีซผมก็ชอบ


ความรู้สึกของผมในตอนนี้แค่คำว่าชอบมันอาจไม่เพียงพอแล้วก็เป็นได้


“หึ...ตอบได้ดี หลงข้าขึ้นมาบ้างรึยังวิณณ์” เบียทรีซถามต่อ


“...อืม”


“ข้าจะทำให้หลงมากกว่านี้อีก จะทำให้รู้ว่าโทษของการมาทำให้ข้ารักมันเป็นยังไง” พูดจบริมฝีปากของเบียทรีซก็กดทับลงมาโดยมีฉากหลังเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ท้องทะเลสีแดงเพลิงช่างดูร้อนรุ่มเหมือนความรู้สึกของผมยามถูกมอบจูบอันดูดดื่มให้จนแทบสิ้นลมหายใจ


งานเทศกาลถูกจัดขึ้นในช่วงค่ำหลังพระอาทิตย์ตกไปประมาณ 2 ชั่วโมง บริเวณชายหาดซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหาดทรายและร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่บัดนี้กลับมีท่อนไม้ขนาดใหญ่วางซ้อนทับสูงขึ้นไปประมาณ 4 เมตรจากพื้น ดูแล้วเหมือนพิธีก่อกองไฟเลย


เบียทรีซเป็นผู้กล่าวเปิดงานเทศกาลโดยมีผมยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อกล่าวเสร็จบรรยากาศที่ควรจะครึกครื้นจากการเปิดงานกลับเงียบสงบกว่าปกติ ไม่กี่วินาทีต่อมาเบียทรีซปลดปล่อยพลังปิศาจออกมารอบกาย ผมที่อยู่ข้างๆ หันไปมองด้วยความตกใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามสัมผัสของพลังปิศาจจากทั่วบริเวณชายหาดก็ปรากฏขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน


“เบียทรีซ...”


“อยากเข้าร่วมงานเทศกาลไม่ใช่รึไง ปล่อยพลังปิศาจออกมาสิ” เบียทรีซหันมากระซิบบอก


“จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ” พลังปิศาจของปิศาจนับพันแผ่กระจายไปทั่ว ทั้งที่พลังปิศาจเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบต่อปิศาจในระดับต่ำกว่าแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงพลังที่หมายจะทำร้าย เพราะแบบนั้นมั้งปิศาจที่มีระดับต่ำจึงได้สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มลง


“งานเทศกาลนี่เหล่าปิศาจจะมารวมตัวกันปลดปล่อยพลังและเผาไหม้ซุ้มเพลิงให้มอดไหม้พร้อมกับปล่อยพลังของตนขึ้นสู่ท้องฟ้า แค่ทำตามข้าก็พอ”


“อืม” ผมพยักหน้าเข้าใจทำตามเบียทรีซที่ควบคุมพลังนั้นส่งไปยังบริเวณซุ้มที่ถูกสร้างจากท่อนไม้ขนาดใหญ่ พลังปิศาจของทุกตนรวมไปอยู่ยังจุดเดียวกัน หล่อหลอมท่อนไม้ให้ส่องแสงสว่างสีเงิน เป็นเปลวเพลิงที่ดึงดูดสายตายิ่งกว่าสีแดงหรือสีไหนๆ


ผ่านไปสักระยะเปลวเพลิงก็ลุกไหม้ต่อเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังปิศาจช่วยอีก งานเทศกาลที่ดูเหมือนจะจบกลับเริ่มเข้าสู่ช่วงต่อไป ปิศาจแต่ละตนไม่เว้นแม้แต่เบียทรีซต่างรวบรวมพลังและควบแน่นจนเกิดเป็นกลุ่มพลังที่มีความเสถียร ต่อให้ปล่อยออกไปก็ยังคงรูปร่างอยู่ได้


ผมเองทำเลียนแบบเบียทรีซโดยแบมือทั้งสองข้างเป็นฐานแล้วรวมพลังให้ลอยอยู่ด้านบนของฝ่ามือ ขนาดของมันขยายตามพลังที่ส่งไป เบียทรีซสร้างก้อนพลังออกมาได้สำเร็จนานแล้วแต่ยังปล่อยไว้นิ่งๆ คล้ายรอคอยบางอย่างอยู่ และเมื่อถึงเวลาอีกฝ่ายผลักกลุ่มของพลังที่ควบแน่นเป็นทรงกลมขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ใช่แค่เบียทรีซที่ทำแต่ปิศาจทุกตนที่อยู่โดยรอบต่างปล่อยพลังของตัวเองให้ลอยขึ้นด้านบนแม้รูปร่างจะไม่ได้กลมสวยหรือบางอันเป็นเหมือนสายใยของพลังซะมากกว่า


ภาพของพลังปิศาจลอยขึ้นสู้ท้องฟ้าในยามราตรีนั้นสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์สีเหลืองนวลส่งให้พลังนั้นดูเหมือนดวงดาวที่กำลังกลับคืนสู่ท้องนภา งดงามจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้


“ปล่อยพลังของเจ้าออกไปสิ” เบียทรีซหันมาบอกเมื่อเห็นพลังบนฝ่ามือผมยังอยู่


“อืม” มัวแต่ตกตะลึงกับภาพนั่นเลยลืมของตัวเองไปเลย ผมใช้มือสองข้างผลักพลังของตัวให้ลอยขึ้นไปด้านบนและมองพลังตัวเองที่ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม


“มีความเชื่อว่าผู้ที่สามารถส่งพลังของตัวเองไปได้สูงที่สุดจะได้พบเจอแต่ความสุข”


“เรื่องนั้นจริงเหรอ”


“ข้าก็บอกอยู่ว่าเป็นความเชื่อ”


“แต่ผมว่าไม่จริงนะ”


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น” เบียทรีซถามต่อ


“ก็ขนาดผมที่เพิ่งลอยพลังขึ้นไปยังรู้สึกมีความสุขเลย ผมว่าไม่ใช่แค่คนที่ลอยได้สูงสุดแต่เป็นทุกคนที่มาเข้าร่วมงานเทศกาลนี้จะได้เจอแต่ความสุข คุณเองไม่คิดแบบนั้นเหรอเบียทรีซ” ผมถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง


มันไม่เกี่ยวหรอกว่าพลังของใครจะลอยสูงที่สุดแต่เป็นเพราะพวกเราได้มารวมกันเพื่อทำบางสิ่ง นี่ต่างหากล่ะคือความสุข


“หึ...นั่นสิ ดูเหมือนข้าจะต้องเห็นด้วยกับเจ้าซะแล้ว” คนยิ้มยากอย่างเบียทรีซครั้งนี้กลับเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาสีทองสว่างเลื่อนมาประสานกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผม


ทั้งที่มีเพียงดวงตาที่สอดประสานแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองได้เชื่อมต่อทุกสิ่งทุกอย่างกับชายที่ชื่อว่าเบียทรีซ

....................................................

มีใครให้หวานกว่านี้อีกไหมมม

ตอนนี้เบาหวานขึ้นตาเลยทีเดียว 555

แต่งไปก็คิดว่า เอ...หวานขนาดนี้จะดีจริงๆ เหรอ

ถ้ายังเพิ่มระดับความหวานขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึงตอนจบคงพากันน้ำตาลขึ้นทั้งคนแต่งทั้งคนอ่านเป็นแน่

เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องมีตัวร้ายอยู่อีกไหม?

คำผิดอาจมีเยอะจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดและคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ

แม้คอมเม้นท์จะไม่มีแต่เราก็ดีใจที่ยังเห็นว่ามีคนชอบเรื่องนี้อยู่

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 10-03-2019 13:20:20
สำลักความหวานตายไปเลยค่าาาา  :m3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 10-03-2019 14:32:49
หวานมาก ชอบมากค่ะ โอ๊ย จะเป็นลม
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-03-2019 18:31:28
ทะเลนี่หวานจนกลายเป็นน้ำเชื่อมเลยเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-03-2019 23:05:44
ใครหลอกล่อใครกันแน่  o18
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 11-03-2019 07:23:49
จ้า เปิดใจเปิดตัว มีความสุขมากเลยเนาะ

ชอบความซื่อตรง สดใสของวิณณ์นะคะ
ทำเบียทริซแพ้ทางมาก แต่ทำปากแข็งไปงั้น

ตอนไปลงแข่งสู้ คือวิณณ์กล้ามากขึ้นด้วย
อยากลองว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น สู้ได้มากขึ้น

เบียทริซห่วงมาก หวงมาก ตามติดประชิดตลอด

อยากเห็นพลังเต็มๆ ของวิณณ์เลยค่ะ น้องจะพัฒนาขนาดไหน

หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-03-2019 08:06:40
เรื่องนี้หวานมากกกกกกกก ทะเลจืดไปเลย
ไม่จำเป็นต้องมีตัวร้ายละค่า
ตัวร้ายโผล่มาทีไรกลายเป็นตัวตลกทุกที ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 11-03-2019 17:47:21
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่16:⊱ 10/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-03-2019 10:33:28
หวานต่อไม่รอแล้ว o18
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-03-2019 13:13:17
⊰บงการ:วันที่17:⊱




ยามความมืดเข้าปกคลุมเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเวลาที่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจกำลังอยู่ในช่วงหลับใหล หลายคนเข้าใจว่าปิศาจจะออกมาในช่วงกลางคืนซึ่งในความจริงก็ไม่ผิดแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด การใช้ชีวิตของปิศาจที่ผมเจอไม่ได้แตกต่างกับมนุษย์เลย เริ่มตั้งแต่ตื่นขึ้นพร้อมกับดวงดวงอาทิตย์และหลับไปพร้อมกับดวงอาทิตย์เช่นกัน แต่ก็มีปิศาจอีกไม่น้อยที่อาศัยช่วงกลางคืนในการทำหลายๆ สิ่ง เช่นเดียวกับเหล่าปิศาจที่กำลังตีเข้ามาประชิดผม


ตัวผมก่อนนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงและตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงพลังปิศาจที่คืบคลานเข้ามาใกล้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง บนเตียงขนาดใหญ่นี้มีเพียงผมนอนอยู่คนเดียวต่างจากทุกวันเนื่องจากเบียทรีซมีประชุมด่วนเลยบอกให้ผมนอนหลับไปก่อนได้เลย
ผมอยากจะมองโลกในแง่ดีว่าปิศาจประมาณ 6 ตนที่อยู่รอบๆ นี่แค่หลงทางมาเลยจะเข้ามาปลุกผมเพื่อถามหาทางออก อยากจะคิดแบบนั้นแต่ดูยังไงสถานการณ์ในตอนนี้ก็ผิดปกติ


มีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาอาจรอโอกาสที่ผมกับเบียทรีซแยกห่างออกกัน พอสบโอกาสเลยเข้ามาล้อมรอบเตียงผมแบบนี้ ปัญหาคือผมจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี สิ่งที่ผมทำอยู่คือนอนนิ่งเหมือนคนกำลังหลับสนิทแต่หากเปิดไฟมองดีๆ คงจะเห็นเหงื่อไหลซึมลงมาจนเปียกหมอนไปหมด


ฉึก!


เสียงของปลายมีดปักลงมายังเตียงอย่างแรงบริเวณที่ผมนอนอยู่ หากไม่พลิกตัวหลบมีดเล่มนั้นคงปักอยู่แถวๆ แผ่นอกผมแน่ ข้อดีของการหลบคือรอดพ้นจากอาการบาดเจ็บได้ทว่าข้อเสียคืออีกฝ่ายจะรู้ตัว สายตากว่า 6 คู่จับจ้องมายังผมท่ามกลางความมืด


“เอ่อ...พวกคุณเป็นใคร” ผมส่งเสียงเพื่อถ่วงเวลาในการควานหาแว่นตา ปิศาจมีสายตาดีเวลาอยู่ในความมืดก็จริงแต่ผมที่สายตาสั้นไม่ได้รับข้อดีนั้นด้วยจึงถ้าไม่ได้ใส่แว่น


ถือเป็นโชคดีของผมในวันนี้สามารถหาแว่นมาสวมได้เร็ว พอใส่แว่นภาพอันเรือนรางก็ชัดเจนขึ้นมา ทว่าหลังจากสวมแว่นเสร็วไม่ถึงวินาทีปลายมีดอันแหลมคมก็พุ่งเข้าใส่ผมอีกรอบ และรอบนี้ไม่ได้มีแค่เล่มเดียวแต่ถึง 5 เล่ม สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดช่วยให้ผมขยับเคลื่อนไหวร่างกายจนรอดพ้นการโจมตีนั้นมาได้


ขาทั้งสองข้างของผมเหยียบลงบนพื้นได้สำเร็จ การสำเร็จนั้นผมยังไม่สามารถแสดงความดีใจได้เพราะอีกฝ่ายตีวงล้อมเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ


การฝึกต่อสู้ผมได้เตโชและปิศาจอีกหลายตนช่วยฝึกให้เลยไม่ประหม่ากับการต่อสู้นัก ถึงอย่างนั้นใช่ว่าผมจะไม่กังวล ปกติฝึกต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 แต่พอมาเจอของจริงดันกลายเป็น 1 ต่อ 6 เป็นจำนวนที่ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ยังรับมือลำบากเลย


ถ้าสู้แล้วไม่น่ารอดก็เหลือทางเลือกอีกอย่างคือหนี


เพียงแค่ผมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักเตรียมหนี ปิศาจสองตนที่อยู่ด้านข้างรีบก้าวไปยืนขวางอยู่หน้าประตูคล้ายเดาได้ถึงการกระทำต่อไปของผม ทางหนีเดียวถูกขวางไว้ซะแล้ว จะให้หนีออกทางหน้าต่างจากชั้น 10 ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก


ปิศาจตนหนึ่งอาศัยจังหวะที่ผมกำลังคิดพุ่งเข้าใส่พร้อมเหวี่ยงมีดหมายจะฟันผมให้โดน เรื่องการหลบหลีกเตโชชมผมไว้ว่ายอดเยี่ยม อาจเพราะมีสัมผัสที่ดีกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อยเลยรับรู้ได้เร็วถึงสิ่งที่เข้ามาใกล้ นั้นส่งผลให้ผมสามารถเบี่ยงตัวหลบมีดได้
เมื่อคนเดียวไม่สามารถสร้างบาดแผลให้ผมให้ปิศาจอีกสามตนจึงได้เข้ามาร่วมวงด้วยเลยให้ที่เหลืออีกสองคอยเฝ้าหน้าประตูและหน้าต่างกันผมหนี


ช่างเป็นแผลที่แยบยลเหลือเกิน


“ทำไมต้องทำร้ายผมด้วย” ผมส่งถามถามขณะก้มตัวหลบ อีกฝ่ายใช้ความเงียบนั้นเป็นคำตอบพร้อมใช้หมัดโจมตีสลับกับมีด
ไม่ว่าจะด้วยทักษะ ความสามารถในการต่อสู้หรือแม้แต่จำนวนผมนั้นแพ้หลุดลุ่ย จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะชนะ แต่ถึงไม่ชนะแต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก


ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบในด้านกำลังลังหรือจำนวนวิธีแก้ไขน่ะมีง่ายๆ แค่จัดการลดจำนวนคนของคู่ต่อสู้ลงให้เหลือเท่ากันซะก็จบแล้ว เป็นวิธีแก้แสนง่ายและสามารถทำได้จริงเพียงแค่ฝีมือผมในตอนนี้จะสามารถจัดการไปได้สักกี่คนกัน


อาวุธในมือก็ไม่มี แถมอีกฝ่ายยังไม่ปล่อยให้ผมได้มีช่องว่างในการคิดแผนเลยสักนิดผลัดกันลุกเข้ามาไม่หยุดหย่อน ความล้าจากการใช้สมาธิหลบการเคลื่อนไหวของทางฝ่ายนั้นเริ่มออกฤทธิ์ส่งผลให้ประสาทสัมผัสอ่อนลงและตามมาด้วยปลายมีดแหลมที่เฉี่ยวผ่านต้นคอผมไป


ผมไม่มีเวลามาสนใจดูบาดแผลนักเหวี่ยงหมัดซ้ายปะทะใบหน้านั้นอย่างจังพร้อมกับหมุนตัวหลบมีดที่พุ่งมาจากด้านหลัง หมัดที่ปล่อยใส่ถูกผมใช้มือยกขึ้นปัดป้องในระยะประชิด เมื่อเล็งเห็นถึงโอกาสผมไม่รอช้าขัดขาอีกฝ่ายให้ล้มลง


การกระทำของผมดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายเข้าโหมดต่อสู้เต็มตัว พลังปิศาจอันเข้มขนแผ่กระจายออกมารอบบริเวณ พลังปิศาจของพวกเขากำลังประสานเข้าด้วยกันสร้างแรงกดดันส่งมาถึงผมได้ ถ้าให้เดาในหมู่พวกเขาต้องมีปิศาจระดับสูงรวมอยู่แน่ แรงกดดันระดับนี้ผมจำได้ว่าเคยสัมผัสจากเตโชมาก่อน ส่วนเบียทรีซแม้จะได้ชื่อว่าเป็นปิศาจระดับสูงเหมือนกันทว่ากลับมีความพิเศษมากกว่า พิเศษในที่นี้หมายถึงด้านพลังอำนาจที่ใครได้เจอเป็นต้องยอมถอย


สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาของโลกปิศาจ


ในเมื่อทางนั้นใช้พลังปิศาจผมเองก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากจะใช้บ้าง


ถึงการควบคุมพลังปิศาจของผมจะอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีมากตามที่เบียทรีซและคนอื่นๆ บอกแต่ใช่ว่าผมจะสามารถควบคุมพลังให้ได้ดั่งใจได้ทุกครั้ง ผมก็คงทำได้แค่ภวนาในครั้งนี้ตัวเองสามารถควบคุมพลังได้ตามต้องการล่ะนะ


พลังปิศาจภายในกายค่อยๆ ปรากฏออกมาตามการตั้งสมาธิและควบคุมให้โอบล้อมร่างกายไว้ ต่อให้ปราศจากอาวุธแต่พลังปิศาจสามารถช่วยป้องกันการโจมตีได้ระดับหนึ่ง ความจริงตอนปะทะกันก่อนหน้านี้ผมน่าจะใช้พลังปิศาจ...มาคิดได้ตอนนี้คงสายไปแล้ว


“จัดการ!” เสียงออกคำสั่งดังก้องห้องก่อนปิศาจสี่ตนจะพุ่งเข้าใส่ผม หนึ่งในนั้นรวมพลังไว้บริเวณฝ่ามือและใช้มือนั่นโจมตีมาจากด้านหลัง ผมที่ไม่สามารถหลบทันเพิ่มพลังปิศาจของตัวเองเพื่อป้องกันแต่พลังของอีกฝ่ายกลับมากกว่าที่คาดนอกจากจะกันไม่อยู่แล้วร่างผมยังกระเด็นไปกระแทกกับขอบเตียง


“อึก...” ความเจ็บแล่นเข้ามาภายในร่างอย่างรวดเร็ว ร่างกายทรุดลงไปกองบนพื้นไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในขณะนี้


ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่ทำให้ผมเจ็บแต่เป็นอย่างอื่นที่มากกว่านั้น ปิศาจทั้งหกตนก้าวเข้ามาหาผมที่พยายามพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความยากลำบากก่อนจะตัดสินใจทำในสิ่งที่บ้าบิ่นที่สุดคือการปลดปล่อยพลังปิศาจภายในออกมา


พลังปิศาจที่ทะลักออกมาจากร่างผมนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถก้าวเข้ามาใกล้ได้ ถึงจะใช้พลังปิศาจเพื่อหักล้างกันแต่พลังของผมกลับมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด จริงอยู่การปลดปล่อยพลังออกมาในปริมาณมหาศาลสามารถช่วยผมให้รอดพ้นจากการโจมตีได้แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับพลังนี้ หากปลดปล่อยพลังออกมาในระดับนี้คงทนได้เพียงไม่นาทีเท่านั้น


“รอให้พลังมันหมดแล้วฆ่าทิ้งซะ” ทางฝ่ายนั้นเองรู้ถึงข้อจำกัดของผมซึ่งพอจะเดาได้ไม่ยาก แต่ที่น่าตกใจคือคำว่าฆ่านั่นต่างหาก


คิดจะฆ่าผมจริงๆ ด้วยสินะ


“ทำไมต้องฆ่าผมด้วย” ผมส่งเสียงถามกลับไป อาการมึนหัวเริ่มมาแล้วแสดงว่าผมคงทนได้อีกไม่นานก่อนพลังจะหมดลง


“...” ทางฝ่ายนั้นไม่ยอมให้คำตอบ พวกเขาถอยถ่างออกไปเพื่อเว้นระยะไม่ให้ถูกพลังของผม และรอโอกาสในการฆ่าผมในจังหวะที่หมดแรง


ยามพลังในกายไหลออกไปจนหมด ภายในอกกำลังกู่ร้องขอความช่วยเหลือตามสัญชาตญาณ และแน่นอนว่าผู้ที่ปรากฏขึ้นมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบียทรีซเพียงคนเดียว


“...เบียทรีซ!” ผมส่งเสียงเรียกเบียด้วยพลังทั้งหมดที่มีพร้อมหลับตาลงยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น


ตึง!


เสียงของบานประตูที่ถูกเปิดอย่างแรงมาพร้อมกับพลังปิศาจอันทรงอำนาจไหลทะลักเข้ามาภายในห้อง พลังปิศาจที่ส่งผลให้ปิศาจที่มีระดับต่ำกว่าต้องยอมสิโรราบในพลังอันน่ายำเกรงแต่ตัวผมยามรู้สึกถึงพลังนั้นทั้งร่างกลับอุ่นวาบคล้ายกำลังถูกโอบอุ้มและปกป้องอยู่จากเจ้าของพลัง ต่อให้ไม่ลืมตามองผมก็สามารถบอกได้ว่าพลังนี้เป็นของใคร


เบียทรีซ


“วิณณ์!” ไม่เพียงแค่พลังที่โอบอุ้มตัวผมอยู่แต่เสียงของเบียทรีซซึ่งดังขึ้นพร้อมเข้ามาช่วยพยุงร่างผมไม่ให้ทรุดลงไปกองบนพื้น


“เบียทรีซ...”


“อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องพูดอะไร เตโช แกรนจัดการ!” เบียทรีซบอกผมและหันไปทางหน้าประตู ผมเพิ่งเห็นว่าไม่ใช่แค่เบียทรีซแต่ยังมีแกรนและเตโชรวมไปถึงลูกน้องอีกหลายคนอยู่หน้าห้อง


“น้อมรับคำสั่ง!” พวกเขาก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อนเพราะเหล่าผู้บุกรุกบัดนี้พากันตัวเกร็งเมื่อถูกพลังของเบียทรีซตรึงไว้จึงสามารถจัดการจับกุมได้ไม่อยากนอกจากปิศาจระดับสูงที่สามารถทนต่อพลังของเบียทรีซได้ลุกขึ้นแล้วพุ่งไปทางกระจกคล้ายจะหนีแต่ตรงด้านหน้ากระจกที่ปราศจากเงาของสิ่งมีชีวิตกลับปรากฏร่างของเตโชยืนอยู่ ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวร่างนั้นก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นทันที


หลังจากเห็นเหตุภาพเหตุการณ์ด้วยตาของตัวเองตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าฝีมือตอนเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ผมนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของพลังที่แท้จริงเท่านั้นเอง


สุดยอดไปเลยเตโช


“องค์ราชา จะให้ทำเช่นไรต่อไปดี” แกรนหันมาถามเบียทรีซหลังจับกุมทุกคนได้หมดแล้ว


“เค้นหาความจริง”


“แล้วถ้าไม่ยอมเปิดปาก...”


“ทำวิธีอะไรก็ได้จนกว่าจะยอมเปิดปาก แต่ถึงจะยอมเปิดปากแต่โทษของการมาแตะต้องคนของข้าต้องทำยังไงคงรู้ใช่ไหม” เบียทรีซตอบคำถามโดยที่แกรนยังถามไม่จบแถมยังกวาดสายตามองไปทั่วห้อง


“รับทราบ ข้าจะลงมือเอง” เตโชตอบรับคำพูดของเบียทรีซ


“แกรน ตามกริซ” พยักหน้าให้เตโชเสร็จก็หันไปพูดกับแกรนต่อ


“ผมไม่เป็นไร...ไม่ต้องตามหมอก็...โอ้ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ต้องร้องลั่นเพราะถูกเบียทรีซกดนิ้วลงบนแผลบริเวณลำคอ


“ข้าไม่เรียกสภาพเจ้าในตอนนี้ว่าไม่เป็นไร” สายตาที่จับจ้องมานั้นทำเอาผมไม่กล้าเถียงกลับ


เบียทรีซในตอนนี้กำลังโกรธและหงุดหงิดอยู่ เพราะเบียทรีซเหมือนกำลังอารมณ์ไม่ดีนักผมเลยปิดปากเงียบไม่ได้พูดอะไรกวนใจมากไปกว่านี้ แม้ตอนถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นไปนั่งบนเตียงจะมีอาการตกใจเล็กน้อยก็ตาม


กริซซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยแพทย์แทบจะวิ่งเข้ามาในห้องเมื่อถูกเรียก บาดแผลของผมนอกจากรอยถูกมีดถากบริเวณลำคอแล้วก็มีรอยช้ำตรงแขนและขาอีกนิดหน่อย ถึงร่างกายจะเหนื่อยล้าจากการใช้พลัง แต่โดยรวมก็ไม่ใช่อาการสาหัสอะไร ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าที่เบียทรีซอารมณ์ไม่ดีเป็นเพราะคิดว่าผมอาการหนักแต่พอได้ยินกริซอธิบายอารมณ์ก็ไม่ได้ทุเลาลง แปลว่าไม่ใช่เรื่องนี้


ถ้าไม่ใช่เรื่องอาการบาดเจ็บของผมก็มีอีกอย่างนึงคือกำลังโกรธผม จะไม่ให้โกรธได้ยังไงในเมื่อให้ฝึกทักษะการต่อสู้กับผู้ที่เป็นถึงหัวหน้านำทัพอย่างเตโชมานับปีแต่แค่ปกป้องตัวเองยังทำแทบไม่ได้ ต้องให้เบียทรีซที่ยุ่งกับการประชุมมาช่วยถึงห้อง


“...ขอโทษนะ” ผมเอ่ยเสียงเบาทำลายความเงียบที่กำลังดำเนินอยู่ ตอนนี้ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยมีเบียทรีซนั่งหลังพิงหัวเตียงด้วยใบหน้าหงุดหงิด


“เจ้าจะขอโทษทำไม” ใบหน้าของเบียทรีซดูเหมือนไม่เข้าใจคำพูดผมนัก


“ก็ผมทำให้คุณโกรธ ทำให้คุณโมโห หงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดี...”


“เดี๋ยว ข้าบอกตอนไหนว่าเป็นเพราะเจ้า” เบียทรีซพูดแทรกระหว่างขยับตัวเข้ามาใกล้


“ก็เพราะผมไม่มีฝีมือแค่จะปกป้องตัวเองยังทำไม่ได้ทั้งที่คุณอุตส่าห์ให้เตโชมาช่วยฝึกผมแล้วแท้ๆ แถมผมยังทำให้คุณที่กำลังประชุมต้องมาช่วยแบบนี้อีก ขอโทษนะเบียทรีซ...ครั้งผมจะพยายามมากว่านี้” ผมบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด


“เจ้านี่นะ คิดโมเมไปเองตลอด”


“...หมายถึงไม่ใช่เหรอ” ที่ผมพูดไปหลายบรรทัดนั่นไม่ถูก?


“จะใช่ได้ยังไงกันเล่า ต่อให้ข้าสั่งเตโชให้ฝึกเจ้าจริงแต่เจ้าเพิ่งจะเรียนรู้มาได้แค่ไม่กี่ปี พลังปิศาจเองก็เพิ่งจะควบคุมได้ ดังนั้นฝีมือเจ้าในตอนนี้จะสู้พวกที่ฝึกมานับร้อยปีแล้วไม่ได้มันไม่ใช่เรื่องแปลก รอเจ้าฝึกอีกสัก 50 หรือ 100 ปีสิถ้าสู้ไม่ชนะข้าจะบ่นเจ้า ส่วนเรื่องประชุมลบออกจากสมองเจ้าทิ้งไปเลยคิดว่าการประชุมบ้าๆ นั่นจะสำคัญเทียบกับเจ้าได้รึไงวิณณ์” คำอธิบายจากเบียทรีซค่อนข้างเร็วแต่ผมก็จับใจความได้ประมาณนึง


“ไม่ได้โกรธผม?”


“ก็ไม่ได้โกรธน่ะสิ”


“งั้นทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ดีล่ะ” ผมถามต่อ


“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


“...ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวแปลว่าเป็นเพราะผมจริงๆ สินะ” เพราะถ้าไม่ใช่เพราะผมก็น่าจะบอกเหตุผลกันได้


“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เพราะเจ้า”


“งั้นก็บอกเหตุผลมาสิ”


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เบียทรีซยังคงย้ำคำตอบเดิม


“เป็นเพราะผมจริงๆ ด้วย” ผมเม้มปากแน่นพลางเบนหน้าหนีไปอีกฝั่ง


“ก็ข้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าไง!” น้ำเสียงของเบียทรีซเริ่มดังขึ้นคล้ายกำลังจะหมดความอดทน


“ถ้าไม่เกี่ยวจริงก็น่าจะบอกผมได้ใช่ไหม”


“ฮึ้ย! ก็ได้ อยากรู้นักใช่ไหม ที่ข้าโกรธ โมโหและหงุดหงิดนี่ไม่ได้เป็นเพราะเจ้าแต่เป็นตัวข้าเอง เท่านี้พอใจรึยัง!” น้ำเสียงหงุดหงิดนั่นราวกับจะไม่อยากบอกเรื่องนี้ออกมา


“...ทำไมถึงเป็นตัวเองล่ะ” จะว่าผมโง่หรือประมวลช้าก็ได้ ก็ผมไม่เข้าใจความหมายที่เบียทรีซบอกว่าโกรธตัวเองนี่นา มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกรธตัวเองงั้นเหรอ


“ข้าน่าจะรู้ว่าไม่ควรปล่อยเจ้าไว้ตามลำพังแต่กลับคิดว่าแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไรแล้วไปเข้าร่วมการประชุมบ้าๆ นั่นก่อนนอนจนทำให้เจ้าต้องมาเจ็บตัว ข้าโกรธตัวเองที่คิดว่าไม่เป็นไร โมโหตัวเองที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายและหงุดหงิดตัวเองที่ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ” คำขยายความที่ได้ยินนั้นอธิบายข้อสงสัยทุกอย่างที่มี


น่าแปลกที่อยู่ๆ ใบหน้ากลับร้อนทั้งที่อากาศกำลังเย็นสบายแถมหัวใจที่สงบนิ่งกลับเต้นเร็วขึ้นมา


“เบียทรีซ” ผมหันหน้ากลับไปหาอีกฝ่าย ผิวของเบียทรีซค่อนข้างขาวทำให้สามารถเห็นสีแดงระเร่อบริเวณแก้มที่ปรากฏขึ้นมาได้ชัดเจน


“...อะไรอีก”


“หน้าคุณแดงอยู่น่ะ”


“คิดไปเอง ตาพล่าจนมองไม่ชัดรึไง”


“แต่มันแดงจริงๆ นะ” ตอนนี้ผมใส่แว่นอยู่อีกอย่างไฟในห้องก็เปิดด้วย ไม่มีทางที่จะดูผิดแน่นอน


“วิณณ์” อีกฝ่ายเริ่มกดเสียงต่ำ


“ผมตามกริซให้ไหม”


“ไม่ต้อง จบเรื่องนี้ซะ”


“แต่...”


“ไม่มีแต่ นอนซะวิณณ์” เบียทรีซตัดบทสนทนาให้จบลง


“...ผมมีอีกเรื่องที่ต้องบอก”


“รีบๆ ว่ามา”


“คือ...ทำเตียงขาดซะแล้ว ขอโทษนะ” ผมบอกพลางใช้มือข้างซ้ายถกผ้านวมขึ้นจนเห็นบริเวณหนึ่งที่ปริขาดจนใยด้านในล้นออกมา ตอนแรกก็ลืมไปแล้วว่ามีดปักลงบนเตียงด้วยแต่พอนอนอยู่มือดันโดนบริเวณที่รุ่ยพอดีเลยนึกออกขึ้นมา


“ช่างมัน ไว้พรุ่งนี้ข้าจะให้เอาอันใหม่มาเปลี่ยน” แลเบียทรีซจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่


“อืม...งั้นผมนอนนะ”


“เจ้าควรนอนตั้งนานแล้ว” เบียทรีซสวนกลับ


“ทีคุณยังไม่นอนเลย” ผมบอก เห็นเอาแต่นั่งทำหน้าหงุดหงิด


“ข้ามีเรื่องให้คิดอยู่”


“คิดเรื่องผม?”


“...บทจะเข้าใจก็เข้าใจจริงๆ นะ”


“ฮะ?”


“ช่างเถอะ ข้าจะนอนแล้ว” ทันทีที่พูดจบไฟในห้องก็ดับลง


“เดี๋ยว ผมยังไม่ได้ถอดแว่น อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกมือของเบียทรีซเอื้อมมาสัมผัส


“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวก็ได้กลิ้งตกเตียงหรอก” เบียทรีซบอกก่อนจะดึงแว่นที่ผมสวมอยู่ออกให้ ความมืดไม่ใช่ปัญหาสำหรับปิศาจอย่างพวกเรา


“ไม่ตกหรอก ห่างตั้งเยอะ”


“ที่จะตกเพราะถูกข้าถีบนี่แหละ เลิกพูดแล้วนอนพักซะ”เสียงทิ้งตัวลงนอนของบียทรีซมาพร้อมกับอ้อมแขนที่คว้าตัวผมเข้าไปใกล้ ลมหายใจที่เป่ารดเส้นผมอยู่นี่ทำเอาใจเริ่มสั่น


“เอ่อ...จะนอนแบบนี้เหรอ” ผมถามแม้จะพอเดาคำตอบได้ก็ตาม


“อืม ทำไม” อีกฝ่ายย้อนถาม


“เปล่า...ฝันดีนะ”


“ฝันดี”


หลายสัปดาห์ผ่านไปตั้งแต่เหตุการณ์มีปิศาจบุกเข้ามาหาผมถึงในห้องนอน กิจวัตรทุกอย่างยังคงปกติเว้นแต่เรื่องเดียวคือเบียทรีซแทบจะไม่ปล่อยให้ผมห่างสายตา ก่อนหน้านี้หลายปีเบียทรีซก็เคยเป็นแบบนี้แต่พอปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพังเพียงไม่กี่ชั่วโมงกลับเกิดเรื่อง จากนี้คงไม่ปล่อยให้ผมห่างสายตาอีกแน่


จะว่ารู้สึกปลอดภัยก็คงใช่แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมไม่อยากให้เบียทรีซรู้อย่างวันนี้...วันที่ 14 กุมภาพันธ์


ปฎิทินของโลกปิศาจใช้แบบเดียวกับของลกมนุษย์แต่พวกวันสำคัญหรือเทศกาลต่างๆ จะไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้สำหรับโลกปิศาจไม่ได้ถือเป็นวันสำคัญแต่อย่างใด ซึ่งแม้จะเป็นวันเดียวกันหากเป็นโลกมนุษย์วันนี้ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างรอคอย...วันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์นั่นเอง


วันที่เหล่าชายหญิงจะได้แสดงออกถึงความรักให้กับคนที่ตนรักเห็นด้วยการให้ช็อคโกแลต ดอกไม้ ของขวัญและอื่นๆ ผมยังจำความรู้สึกในวันวาเลนไทน์สมัยเรียนได้อยู่เลย บรรยากาศช่วงเช้าที่เหล่านักศึกษาไม่อยากออกมาเรียนนั้นกลับเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงพูดคุยพร้อมบรรยากาศหวานละมุนตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ผมไม่ได้มีประสบการณ์บอกชอบหรือให้ของขวัญโดยตรงหรอก จะว่าเอาแต่เรียนหรือไม่สนใจรอบตัวก็ไม่ผิด


สำหรับผมวันวาเลนไทน์ก็เปรียบเหมือนวันปกติที่ออกจากเสียงดังกว่าปกติเล็กน้อย ยิ่งในตอนนี้ผมเองย้ายมาอยู่โลกปิศาจอย่างเป็นทางการแล้ววันวาเลนไทน์ก็ไม่ส่งผลอะไรกับผมนัก...นั่นหมายถึงตอนที่ยังไม่รู้ความรู้สึกตัวเองที่มีเบียทรีซ พอรู้ว่าชอบอีกฝ่ายก็อดคิดไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรสักอย่างในวันแห่งความรักนี้ ซึ่งอะไรบางอย่างที่ว่าผมคิดออกแล้วเพียงแต่มีปัญหาหรืออุปสรรค์ใหญ่อยู่ตรงหน้า...


“ไม่ให้ข้าตามไปทุกที่? เจ้าอยากโดนเล่นงานเหมือนครั้งก่อนอีกรึไง” แค่ผมเปิดประโยคว่าเบียทรีซไม่ต้องตามผมไปทุกที่ก็ได้นะ คำตอบพร้อมน้ำเสียงไม่พอใจของเบียทรีซก็ดังขึ้นแทบจะทันที


“ช่วงกลางวันแบบนี้ผมว่าไม่เป็นไรหรอกนะ” ถ้าเป็นช่วงดึกๆ อาจน่ากังวลแต่ตอนกลางวันผมว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร


“คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปเพราะคำพูดคาดเดานั่นรึไง”


“...ก็ไม่”


“รู้ดีนี่ เลิกคิดเรื่องนี้ซะ”


“แต่ผมอยากขอเวลาสักพักนึง” ผมเอ่ยเสียงเบาพลางดูท่าทีของเบียทรีซที่เงยหน้าขึ้นมามอง อีกฝ่ายกำลังอ่านเอกสารในมือโดยมีผมยืนอยู่หน้าโต๊ะยื่นเอกสารที่พึ่งทำเสร็จให้


“เวลา? เจ้าจะไปก็แค่บอกมาข้าจะไปด้วย” เบียทรีซไม่ได้บังคับให้ผมต้องอยู่ในห้องตลอด ผมสามารถออกไปไหนก็ได้ตราบเท่าที่อีกฝ่ายตามไปด้วย


“ผมอยากไปคนเดียวได้รึเปล่า” ขืนให้ไปด้วยความก็แตกกันพอดีสิ


“จะไปไหน” ดวงตาสีทองสว่างจ้องประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทันทีที่ได้ยิน


“...ผมอยากไปห้องครัว” ผมคิดอยู่นานว่าควรจะโกหกหรือบอกความจริงกับเบียทรีซดี หากผมเลือกที่จะโกหกผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาสามารถจับได้เลยเลือกที่จะบอกความจริงไป


“หากาเนอร์?”


“อืม ได้รึเปล่า”


“แล้วไปห้องครัวข้าไปด้วยไม่ได้รึไง” เบียทรีซถามกลับ


“ก็ไม่ใช่ไม่ได้แต่คุณไม่ค่อยชอบนี่” ผมพยายามหาเหตุผลเหมือนจะจำได้ว่าเบียทรีซไม่ค่อยชอบเข้าห้องครัวเห็นบอกว่าเป็นห้องอบๆ


“ไม่ชอบใช่ว่าไปไม่ได้”


“...ก็จริงแต่คุณมีงานรออยู่เยอะ...”


“ดูเหมือนเจ้าไม่อยากให้ข้าไปด้วยนะ” สมกับเป็นเบียทรีซแค่ไม่กี่ประโยคสามารถเดาความคิดผมได้แล้ว


“เอ่อ...”


“ข้าไม่ตามไปก็ได้แต่จะให้เตโชตามเจ้าไป” เมื่อเห็นผมพูดไม่ออกอีกฝ่ายก็ยอมถอยให้


“ได้” ผมพยักหน้าตกลงทันที


ตราบใดที่คนตามไปไม่ใช่เบียทรีซผมก็ไม่มีปัญหาหรอก


“เตโชตามไปได้ทำไมข้าถึงไม่ได้” เบียทรีซจ้องเขม็งมาทางผม


“เรื่องนั้น...” จะให้บอกว่าจะแอบทำบางอย่างให้เนื่องในวันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้อีก


คิดเข้าสิ เหตุผลที่ฟังขึ้นน่ะ


“ช่างเถอะ รอเตโชมาแล้วค่อยไป” อีกฝ่ายสรุปให้


“อืม” แม้จะยังคราแครงใจอยู่บ้างแต่ก็ตัดสินใจเดินกลับไปนั่งทำงานต่อในระหว่างรอเตโช



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-03-2019 13:13:49
(ต่อนะคะ)



พอเตโชเข้ามาหาเบียทรีซจึงสั่งให้เขาคอยตามดูแลผมในช่วงบ่าย สถานที่ที่ผมมาคือด้านในของชั้น 5 ซึ่งเป็นห้องครัวขนาดใหญ่มีอุปกรณ์และวัตถุดิบเพียบพร้อมสำหรับการทำอาหารและขนมอย่างครบครัน เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือแววตาตกใจก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มต้อนรับไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าเชฟอย่างกาเนอร์หรือปิศาจตนอื่นๆ เองต่างวางมือจากงานที่ทำอยู่เดินเข้ามาตีวงล้อมผม


“ท่านวิณณ์ไม่มาซะนานเลย”


“ข้าได้ยินมาว่ามีใครบุกมาตอนกลางดึกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”


“วันนี้จะมาทำอาหารของโลกมนุษย์แบบไหนให้พวกเราชิมอีกล่ะท่านวิณณ์”


คำทักทายมาพร้อมกับคำถามมากมายที่ผมเอ่ยตอบไม่ทัน แค่กำลังจะอ้าปากตอบคำถามแรกคำถามที่สองก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ไม่มีช่องว่างให้ได้พูดแทรกเลย


“พอก่อน ท่านวิณณ์ข้ายินดีที่ท่านมาเยือนสถานที่นี้อีก ไม่ทราบที่ท่านมาเพราะมีธุระบางอย่างใช่หรือไม่” กาเนอร์ช่วยหยุดพวกลูกน้อยก่อนจะถามกลับมาตามที่คิด เขาคงเดาได้ว่าการที่ผมมานี่ไม่ใช่แค่พราะจะมาเที่ยวเล่นอย่างเดียว


“อืม ผมอยากขอยืมครัวหน่อยได้ไหม” มาถึงขั้นนี้คงไม่ต้องเกรงใจแล้วล่ะ


“ห้องครัว? ได้แน่นอนครับ ท่านต้องการให้พวกข้าช่วยอะไรไหม”


“ที่โลกปิศาจมีช็อคโกแลตรึเปล่าที่เป็นสีน้ำตาลเข้มๆ” ผมถาม ถ้าพูดถึงวันวาเลนไทน์สิ่งแรกที่นึกถึงก็คงไม่พ้นช็อคโกแลต


“ช็อคโกแลต...ปีเต้” กาเนอร์ส่งเสียงเรียกหนึ่งในลูกน้อง


“ครับ” เจ้าตัวขานรับชื่อตัวเองก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องเก็บวัตถุดิบ และออกมาพร้อมกับของทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า


“ใช่นี่ไหมครับ” กาเนอร์ยื่นของที่ปีเต้วิ่งไปหยิบส่งมาให้ ผมแกะส่วนที่ม้วนทบกันอยู่ออกแล้วเปิดดูของที่อยู่ด้านใน เนื้อสีน้ำตาลแก่กับกลิ่นแบบนี้


“ใช่ครับ นี่แหละที่ผมตามหาอยู่”


“ดีแล้วที่เป็นอันเดียวกับที่ต้องการ ถึงชื่อจะเหมือนกันแต่บางอย่างชื่อในโลกมนุษย์กับโลกปิศาจจะไม่เหมือนกัน” เป็นอย่างที่กาเนอร์พูดแหละ ต่อให้ชื่อเหมือนแต่ก็มีไม่น้อยที่จะเป็นของคนละอย่างกัน


“ของหวานมื้อเย็นจะเป็นไรไหมถ้าผมอยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง” ผมถามกาเนอร์


“ไม่มีปัญหาครับ ของหวานมื้อเย็นข้าเตรียมเป็นไอศกรีมไว้แต่สามารถเก็บไว้เสิร์ฟมื้อต่อไปได้”


“งั้นของหวานมื้อเย็นผมขอจัดการนะ ขอยืมครัวด้วยกาเนอร์”


“ตามสบายเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ท่านวิณณ์ลงมือทำอาหารให้องค์ราชาทานนะครับ” กาเนอร์พูดถูกตั้งแต่มาอยู่นี่ผมทำอาหารอยู่หลายครั้งแต่ทุกครั้งถ้าเบียทรีซไม่ได้เข้ามาหาผมก็จะทำเองและกินเองร่วมกับพวกกาเนอร์นี่แหละ


ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจทำอาหารให้เบียทรีซ จะพูดให้ถูกต้องบอกว่าทำขนมล่ะนะ


“อืม วันนี้เป็นวันพิเศษน่ะ” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับทุกคนก่อนจะเริ่มลงมือทำขนมโดยมีช็อคโกแลตเป็นส่วนประกอบหลัก


การทำช็อคโกแลตแม้จะดูเหมือนง่ายแต่ความจริงค่อนข้างยากตั้งแต่การละลายแล้ว ยิ่งผมแทบไม่ได้ทำขนมหวานเลยยิ่งทำยาก โชคดีที่มีกาเนอร์และผู้ช่วยอีกจำนวนหนึ่งมาคอยช่วยสอนเลยทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นเยอะ


พวกเขาไม่ได้มาทำให้แต่จะถามก่อนว่าผมต้องการที่จะทำออกมาให้เป็นแบบไหนแล้วจึงค่อยสอนวิธีที่จะทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกะอุณหภูมิหรือแม้แต่วิธีการใช้ไม้พายผสม


ใช้เวลาไปร่วมหลายชั่วโมงในที่ที่สุดขนมหวานที่ผมต้องการก็เสร็จในเวลาก่อนถึงมื้อค่ำไปแบบฉิวเฉียด ขั้นตอนในการทำค่อนข้างล่าช้าเพราะผมเองที่มีความสามารถไม่พอ ยังดีที่ทำเสร็จทันแบบนี้แต่ก็ยังเหลืออุปสรรคอยู่อีกอย่าง


“แบบนี้จะเย็นทันไหมนะ” ผมพึมพำด้วยความกังวลระหว่างมองดูขนมที่เพิ่งทำเสร็จ จะว่าทำเสร็จก็ยังไม่ถูกนัก ต้องพูดว่าเกือบเสร็จเพราะเหลือการนำไปเข้าตู้แช่เย็น


“ทันสิครับ ข้าจะนำไปแช่ให้ วันนี้ข้าจะเสิร์ฟอาหารคาวก่อนหลังจากนั้นจะนำขนมหวานที่ท่านทำไปเสิร์ฟให้ภายหลังถ้าทำแบบนั้นจะมีเวลาพอให้ขนมเย็นและเซ็ตตัวทัน” กาเนอร์อธิบายขณะยกถาดใส่ขนมฝีมือผมขึ้น


“มีวิธีแบบนั้นด้วยนี่นา รบกวนด้วยนะครับ” ปกติกาเนอร์จะเสิร์ฟอาหารพร้อมกับขนมโดยจะกะระยะเวลาให้ขนมสมบูรณ์ที่สุดพอดีกับตอนกิน อย่างน้ำผสมเนื้อผลไม้แช่แข็งจะค่อยๆ ละลายระหว่างมื้ออาหารคาวพอจัดการอาหารคาวเสร็จผลไม้ลอยแก้วก็ได้ที่พอดี


“ได้ครับ แต่ท่านวิณณ์ควรรีบไปห้องอาหารก่อนที่องค์ราชาจะมาตามด้วยตนเองดีกว่านะครับ”


“อ่า...ได้เวลามื้อเย็นแล้วนี่ วันนี้ต้องขอโทษทุกคนที่ต้องสละเวลามาคอยช่วยสอนผมนะครับเลยทำอาหารเสร็จช้าเลย ขอบคุณทุกคนมากๆ สำหรับวันนี้นะครับ” ผมเดินไปด้านหน้าพร้อมกับโค้งศีรษะลงระหว่างเอ่ยความในใจ ถ้าเป็นเรื่องทำอาหารผมค่อนข้างคล่องแต่พอเป็นขนมแล้วดันไม่ใช้ไม่ได้เลย สงสัยต้องหาเวลามาฝึกเพิ่มสักหน่อยแล้ว


“เรื่องอาหารพวกเราเตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว อย่าได้ขอโทษพวกเราเลยท่านวิณณ์ ห้องครัวนี้ยินดีต้องรับท่านเสมอ” กาเนอร์หันไปมองลูกมือที่พากันส่งยิ้มมาให้ผมก่อนจะเป็นตัวแทนพูดกลับมา


“ครับ” ผมบอกลาทุกคนพร้อมกับก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องครัวมุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร เวลาประมาณนี้เบียทรีซน่าจะมานั่งรอแล้ว ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะต้องใช้เวลาทำนานขนาดนี้ไม่งั้นคงมาตั้งแต่ช่วงสาย


ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปผมหยุดยืนนิ่งแล้วหันไปหาเตโชที่เดินตามหลังมาติดๆ ระหว่างทำขนมผมได้อธิบายให้ทุกคนฟังถึงความหมายของวันที่ 14 นี้ แน่นอนว่าเตโชต้องได้ยินผมจึงอยากขอไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้เบียทรีซ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเบียทรีซต้องถามเตโชว่าผมทำอะไรบ้างแน่


“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่พูดอะไร” อีกฝ่ายส่งยิ้มบางๆ มาให้ก่อนจะเปิดประตูให้ผมก้าวเข้าไปด้านใน


แม้จะยังสงสัยแต่ในเมื่อประตูเปิดผมก็จำต้องเดินเข้าไปในห้อง ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซไม่ได้หันมามองเพราะดูเหมือนว่าจะมองมาตั้งแต่ก่อนเปิดประตูแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยเบียทรีซมีสัมผัสที่เยี่ยดยอดแค่จับสัมผัสพลังปิศาจจากตัวผมไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย


“ขอโทษที่มาช้านะ” ผมบอกอีกฝ่ายแล้วนั่งลงยังที่ของตัวเอง


“รู้ตัวว่ามาช้าด้วย?” เบียทรีซเลิกคิ้วเล็กน้อยระหว่างถาม


“ก็...นิดหน่อย แฮะๆ”


“ไม่ต้องมาแฮะ ทำอะไรอยู่ในห้องครัวตั้งหลายชั่วโมงน่ะ”


“แค่ทำขนมนิดหน่อย” รู้ว่าโกหกไปก็ป่วยการเลยบอกคำจริงไปบางส่วน


“เตโช รายงานมา” เป็นไปตามคาดเบียทรีซหันไปถามเตโชเรื่องความเคลื่อนไหวตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาของผมจริงๆ ด้วย


“ครับ ท่านวิณณ์ลงมาถึงห้องครัวตอน 13.04 และทักทายพวกกาเนอร์ก่อนจะลงมือทำขนมขนถึง 17.30 จึงเดินมายังห้องนี้ครับ” เตโชโค้งศีรษะระหว่างอธิบาย ผมอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ ที่เตโชไม่ได้บอกรายละเอียดมากมาย


“อยู่แต่ในห้องครัว?”


“มีไปเข้าห้องน้ำครั้งนึงครับ”


“อืม วันนี้ขอบใจมาก ไปพักเถอะ” เบียทรีซบอกเตโช


“ครับ” เตโชน้อมรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องอาหารไป


บรรยากาศเงียบๆ พานให้ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย ยังดีที่ความอึดอัดมีได้ไม่นานอาหารคาวก็ถูกยกมาเสิร์ฟถึงบนโต๊ะ อาหารวันนี้เป็นสเต็กพันเบค่อนราดด้วยซอสสีออกแดง ทานเคียงกับมันฝรั่งและผัก ถึงเป็นอาหารแบบเดียวกันแต่จานของเบียทรีซใหญ่กว่าผมประมาณ 3 เท่าได้


อยู่กันมาตั้งหลายปีผมรู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินเนื้อ ปกติผมคงไม่คิดอะไรเรื่องเนื้อชิ้นยักษ์บนจานของเบียทรีซทว่าวันนี้ต่างออกไป ถ้าเขาอิ่มขนมที่ผมอุตส่าห์ทุ่มเวลาไปเกือบครึ่งวันในการทำก็กลายเป็นหมันน่ะสิ


“เบียทรีซถ้าอิ่มไปจะแบ่งเนื้อมาให้ผมก็ได้นะ” เสียงมีดกระทบกับจานที่ดังขึ้นระหว่างตัดชิ้นเนื้อหยุดลงทันทีที่ได้ยิน ไม่ใช่แค่หยุดแต่อีกฝ่ายยังหันมามองผมด้วยท่าทีแปลกใจ


“เจ้าว่าอะไรนะ”


“เอ่อ...ถ้าอิ่มไปจะแบ่งเนื้อมาให้ผมก็ได้นะ” ผมเอ่ยซ้ำประโยคเดิมอีกรอบ


“ทำตัวแปลกๆ มีอะไรวิณณ์” แค่สองประโยคอีกฝ่ายก็สามารถสรุปออกมาได้ตรงเผง


“...เปล่าแปลกสักหน่อย”


“เลิกเสียเวลาโกหกเถอะ มันเปล่าประโยชน์”


“อึก...” ผมถึงกับสะดุ้ง


“มีอะไรก็ว่ามา”


“แค่ไม่อยากให้คุณอิ่มไปแค่นั้นเอง” ผมพึมพำเสียงเบา


“ทำไม” เบียทรีซถามต่อ


“ก็...เดี๋ยวจะกินของหวานต่อไม่ไหว” สุดท้ายก็จำต้องยอมเผยเรื่องของหวานออกมาจนได้


“ถ้ากินไม่ไหวเจ้าก็จัดการไปสิ ชอบของหวานนี่” ที่เบียทรีซพูดก็ไม่ผิดหรอกนะ มีหลายครั้งที่อีกฝ่ายไม่กินของหวานแล้วยกให้ผมเป็นคนจัดการแทน ส่วนตัวผมชอบของหวานอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไร


ใช่ วันอื่นน่ะไม่มีปัญหาแต่วันนี้น่ะ มีแน่นอน


“ชอบก็ใช่แต่...”


“เลิกแต่แล้วบอกมาว่าคิดจะทำอะไรกันแน่”


แกร็ก!


“ขออนุญาตินำของหวานมาเสิร์ฟครับ”


เสียงเปิดประตูดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา กาเนอร์เดินเข้ามาพร้อมกับจานขนมหวานสีขาวสะอาดและวางจานนั้นลงด้านหน้าของเบียทรีซ ตรงกลางจานมีขนมทรงกระบอก 3 ชั้นวางอยู่โดยด้านล่างสุดหรือฐานเป็นแคร็กเกอร์บดกับเนย ชั้นกลางเป็นส่วนที่เยอะที่สุดคือมูลช็อคโกแลต และปิดท้ายด้วยซอสดอร์กช็อคโกแลตประดับไวท์ช็อคโกแลตด้านบนสุด รอบๆ จานมีดอกได้วางประดับเคียงคู่กับผลไม้อยู่พองาม


เบียทรีซมองขนมหวานในจานสลับกับกาเนอร์ที่ยกมาเสิร์ฟคล้ายกำลังวิเคราะห์อะไรหลายๆ อย่าง


"ทำไมมีจานเดียว" เบียทรีซถามกาเนอร์


"เรื่องนั้นทรงไม่ถามคนทำเองดีกว่าหรือองค์ราชา"


"เจ้าไม่ได้ทำ?"


"ครับ"


"งั้นใครทำ" เบียทรีซถามต่อ


"..." กาเนอร์ไม่ตอบแต่ยิ้มพลางเหลือบมองมาทางผมที่เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อย


"...ฝีมือเจ้า?" เบียทรีซหันมาถามผม


"เอ่อ...ใช่ ฝีมือผมทำเอง" ไหนๆ เรื่องก็มาถึงนี่แล้วจะให้ปิดต่อไปคงไม่เหมาะ


"ทำให้ข้า?"


"อืม ผมทำให้คุณ" ผมพยักหน้าตอบไปตามจริง กาเนอร์โค้งบอกลาผมและเบียทรีซก่อนจะกลับออกไปปล่อยให้ภายในห้องเหลือเพียงผมและเบียทรีซสองคน


"...วันนี้ไม่ใช่วันเกิดข้า" เบียทรีซนิ่งไปสักพักใหญ่ถึงจะเอ่ยขึ้นมา


"อืม" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมกระพริบติดกันหลายรอบ เรื่องวันเกิดของเบียทรีซผมรู้อยู่แล้ว


"ถ้าไม่ใช่วันเกิดข้าแล้วเป็นวันอะไร" ผมว่าผมเข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อแล้วล่ะ เขาคงสงสัยว่าผมทำขนมให้เนื่องในวันอะไร


"วันที่ 14 นี้ในโลกปิศาจไม่ได้เป็นวันสำคัญอะไรใช่ไหม"


"อืม...หรือที่โลกมนุษย์วันนี้เป็นวันสำคัญ?" สมกับเป็นเบียทรีซแค่ฟังก็เดาออกแล้ว


"ใช่ วันที่ 14 นี้ในโลกมนุษย์จะเรียนว่าวันวาเลนไทน์"


"...วาเลนไทน์?"


"วันวาเลนไทน์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวันแห่งความรัก เป็นวันที่จะแสดงออกถึงความรักให้กับคนที่ชอบ ซึ่งของที่ขาดไม่ได้เลยก็คือช็อคโกแลต ผมอยากจะให้ช็อคโกแลตนี่กับเบียทรีซ...ช่วยรับไว้แล้วชิมได้ไหม" ผมอธิบายทุกอย่างให้เบียทรีซฟังพร้อมใช้มือขยับเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเบียทรีซมากขึ้น ความรู้สึกตื่นเต้นแล่นเข้ามา


"หึ...แปลว่าที่ไม่อยากให้ไปห้องครัวด้วยเพราะจะแอบทำสินะ"


"...อืม"


"ข้านึกว่าเจ้าจะรำคาญที่ข้าตามติดซะอีก" เบียทรีซพูดต่อ


"รำคาญ? ผมไม่รำคาญคุณหรอกเบียทรีซ" ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะคิดไปในทางนั้น


"ก็ดี"


"แล้วคำตอบล่ะ" ผมถามต่อ


"คำตอบอะไร" แค่ฟังก็รู้ว่าเบียทรีซกำลังแหย่ผมอยู่ เขาจำคำถามนั่นได้แน่แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้


"...ช่วยรับช็อคโกแลตนี่ไปแล้วชิมได้ไหม" นี่ผมต้องถามคำถามน่าอายถึงสองครั้งเลยเหรอ


"จะรับไว้ก็ได้..."


"จริงเหรอ งั้นรีบชิมเลยๆ" ผมยิ้มแป้นเลื่อนจานขนมเข้าไปใกล้เบียทรีซมากขึ้น


"ข้ายังพูดไม่จบ"


"ฮืม?" อะไร


"ข้าจะรับไว้แต่ไม่ชิม"


"ทำไมล่ะ" รับไว้แต่ไม่ชิมคืออะไร


"ถ้าอยากให้ชิมเจ้าก็มาป้อนสิ"


"..." ความเงียบบังเกิดขึ้นทันทีที่ฟังประโยคเมื่อครู่จบ


คือจะให้ผมป้อน?


"ว่ายังไง ถ้าเจ้าไม่ป้อนข้าก็จะไม่แตะ" เบียทรีซเร่งลัดเอาคำตอบ


"...ถ้าแค่ป้อนละก็..."


"ขยับเก้าอี้มานี่ หรือจะตักข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ" อีกฝ่ายสั่งพลางตบบริเวณตักตัวเองสองสามครั้ง


"ขอนั่งเก้าอี้เถอะ" ผมบอกก่อนลุกขึ้นลากเก้าอี้ตัวเองไปอยู่หัวโต๊ะข้างเบียทรีซ


ใครจะไปนั่งตักกัน...แค่นี้ก็แทบแย่แล้ว


เมื่อขยับตัวนั่งได้ที่ผมจึงใช้ช้อนเล็กตักมูสที่ถูกราดด้วยดาร์กช็อคโกแลตโดยมีด้านล่างเป็นแครกเกอร์ยื่นไปยังปากของเบียทรีซที่อ้าออกรับเอาของหวานฝีมือผมเข้าไป ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมจ้องมองไปยังใบหน้าของเบียทรีซด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก


จะอร่อยไหม


จะชอบรึเปล่า


อยากรู้ว่าเบียทรีซจะบอกว่าอะไร


"คำต่อไปล่ะ"


"ฮะ อืม...แป๊บนะ" ผมรีบตักคำต่อไปส่งให้อีกฝ่าย คำแล้วคำเล่าก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการสักที


"มีอะไร" เบียทรีซสงเกตถึงสายตาผมที่จับจ้องไปอยู่นานจนทนไม่ไหวต้องถามกลับ


"เป็นไง...อร่อยไหม"


"..." อีกฝ่ายไม่ตอบแต่เบนสายตาไปทางจานขนมที่บัดนี้ว่างเปล่าคล้ายจะสื่อคำตอบมาให้ผมโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ


"อร่อยเนอะ" ผมตัดสินจากจานที่ว่างเปล่า ถ้าไม่อร่อยเขาคงไม่กินหมดจานแบบนี้


"พูดเองเออเอง"


"งั้นคุณก็บอกมาสิว่าอร่อยรึเปล่า" ก็จริงที่ตอนนี้เหมือนผมกำลังพูดเองเออเองอยู่คนเดียวเพราะเบียทรีซไม่ได้บอกอะไรแค่สื่อมาทางสายตาเท่านั้น แต่ถึงจะแบบนั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าพูดไม่ผิด


เบียทรีซกินขนมได้แต่ไม่ค่อยชอบนัก เหมือนเป็นการกินเพื่อล้างปากจากของคาวซะมากกว่า มีหลายครั้งที่กินเหลือเพราะงั้นที่กินฝีมือของผมหมดนี่ก็แปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วนอกจากอร่อย


"จำเป็นต้องบอก?" อีกฝ่ายถามกลับ ดูท่าแล้วคงจะสนุกที่ได้แหย่ผมเล่น


"จำเป็นสิ"


"หึ"


"ไม่เอาหึ"


"...อร่อยดี" แม้จะเป็นเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินแต่ผมกลับส่งยิ้มกว้างกลับไปให้เบียทรีซ


"ดีใจจัง" ได้ยินแบบนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ


"ยิ้มมากไปแล้ว สรุปวันนี้ของโลกมนุษย์คือวันวาเลนไทน์สินะ"


"ใช่ๆ ถ้าคุณไปโลกมนุษย์จะเห็นทั้งดอกไม้ทั้งช็อคโกแลตเต็มไปหมดเลย"


"เห็นบอกว่าเป็นวันแห่งความรัก?"


"อืม เป็นวันที่เราจะมอบช็อคโกแลตให้กับคนที่ชอบ" ผมบอกกลับ


"ฮืม...แค่ชอบงั้นเหรอ"


"หมายถึงยังไง"


"จะมอบช็อคโกแลตให้คนที่ชอบ งั้นถ้าไม่ได้ชอบล่ะ" เบียทรีซถามต่อ


"...ถ้าไม่ได้ชอบก็ไม่มีใครเขาให้อะไรหรอกนะ" ถามแปลกๆ นะเบียทรีซ


"แต่ข้าจะให้"


"ให้อะไร...อื้ออ~" คำพูดถูกกลืนหายไปจากริมฝีปากที่กดทับลงมา รสชาติยามปลายลิ้นเข้ามาพัวพันต่างจากปกติ รสชาติแบบนี้มัน...


ช็อคโกแลต


เบียทรีซกดย้ำสัมผัสมอบจูบอันแสนดูดดื่มให้ผมจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนจะหมดลมหายใจ ความร้อนยามริมฝีปากนั้นทาบทับหรือรสชาติของช็อคโกแลตที่ส่งผ่านมานั้นไม่ทำให้ผมอายเท่าน้ำเสียงทุ้มๆ ที่กระซิบคำพูดบางอย่างข้างใบหู...


"ช็อคโกแลตนี่ข้าไม่ได้มอบให้คนที่ชอบแต่เป็นคนที่ข้ารัก...สุขสันต์วันวาเลนไทน์วิณณ์"

..................................................

มาต่อกันค่ะ

จากหลายๆ ตอนที่ผ่านมาตัวร้ายไม่โผล่เลย วันนี้เลยให้โผล่มาสักหน่อย

เรื่องนี้ดำเนินมาได้เกินครึ่งเรื่องแล้ว

ดีใจมากๆ ที่ช่วงมีคนคอมเม้นกันเข้ามามากมาย

ขอบคุณมากๆ เลยะคะ

มีคนถามมาว่าตอนนี้วิณณ์อยู่โลกปิศาจมาได้กี่ปีแล้ว

ขอตอบค่ะว่าอยู่มาได้สิบกว่าปีแล้วค่ะ

แม้เปิดมาจะไม่หวานแต่ปิดท้ายตอนกันแบบหวาน

เรานั่งอัพก็นั่งจิบโกโก้ด้วยความอิจฉา // อยากมีแบบนี้บ้าง 555

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นและทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-03-2019 13:46:00
ใครกล้ามาทำร้ายถึงห้องนอนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-03-2019 16:32:56
 :katai5: เขินนนนนนน ฮือออ ใจน้องบาง
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 17-03-2019 20:16:26
หวานกว่าเค้าช็อคโกแลตของวิณณ์ ก็เบียทรีซนี่แหละ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่17:⊱ 17/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-03-2019 22:21:03
หวานเกินไปแล้วนะ อิจฉาาาาาาาาาา  :m16:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-03-2019 13:22:50
⊰บงการ:วันที่18:⊱




“องค์ราชาขออภัยที่ครั้งนี้ข้ามาส่งรายงานช้าไป” เสียงของสก๊อตดังขึ้นทันทีหลังจากเบียทรีซอนุญาตให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาในห้องทำงาน


สก๊อตก้าวเข้ามาโค้งทำความเคารพเบียทรีซซึ่งนั่งอยู่ก่อนจะหันมาทักทายผมที่ผมโค้งหัวกลับไป เอกสารปึกใหญ่ในแฟ้มถูกยื่นไปตรงหน้า เบียทรีซรับแฟ้นนั้นไปพร้อมเอาเอกสารด้านในออกมาไล่เปิดดู


“ปกติเจ้าไม่ใช่คนที่ทำงานล่าช้าแบบนี้” เบียทรีซพูดต่อระหว่างใช้มือไล่เปิดเอกสาร ด้วยความที่ผมแอบหันไปมองเลยรู้ว่าการเปิดเอกสารนั่นเป็นการเปิดแบบผ่านๆ ไม่ได้อ่านตัวอักษรภายในเลยสักตัวเดียว


“มีปัญหาเล็กน้อยครับ”


“ปัญหาอะไร”


“พวกปิศาจที่เข้าไปในโลกมนุษย์มีเพิ่มขึ้นทำให้ข้าต้องกระจายกำลังคอยเฝ้าตรวจสอบและจัดการความผิดปกติมากกว่าเมื่อก่อน ปัญหาคือพอส่งพวกลูกน้องออกไปคนที่ช่วยในการรวบรวมสถิติและวิเคราะห์จุดต่างๆ เลยขาดไป”


“ก็ให้คนเดิมที่เคยทำ ทำควบคู่ไปสิ” เบียทรีซบอกวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ


“ข้าให้ทำอยู่แต่ด้วยงานที่มีมากขึ้นสปีดในการทำเลยช้ามาก ข้าเองก็ช่วยเร่งทำจนเสร็จได้ถึงจะช้ากว่าปกติไปเป็นเดือน ขออภัยจริงๆ” สก๊อตก้มหัวลงอีกรอบ


“จะเอาพวกปิศาจรับใช้ไปเพิ่มไหมล่ะ” เบียทรีซคิดสักพักก่อนเสนอความเห็น


“พวกปิศาจรับใช้สามารถทำงานทั่วๆ ไปได้ก็จริงทว่ากับงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะทางคงไม่เหมาะนัก”


“งั้นจะให้ยืนพวกปิศาจระดับกลางไป...”


“ขออภัยองค์ราชาเรื่องนั้นเกรงว่าจะไม่ได้” เสียงของแกรนมาพร้อมกับบานประตูที่เปิดอ้าออก ร่างของแกรนในชุดสีเทาก้าวเข้ามายืนขนาบข้างสก๊อตพร้อมเอ่ยทักทายและขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต


“เหมือนอาทิตย์ก่อนเจ้าจะบอกว่าขาดกำลังในการจัดแจงเอกสารสินะ” เบียทรีซพูดหลังจากนึกเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนออก ผมก็จำได้ลางๆ ว่างแกรนเคยพูดอะไรแบบนั้นเหมือนกัน


“ใช่ครับ ในการประชุมครั้งก่อนพระองค์เห็นด้วยกับการให้ผู้นำแต่ละเผ่าในโลกปิศาจมีสิทธิ์การยื่นเรื่องร้องเรียนพร้อมหามาตรการแก้ไขด้วยตนเองได้ซึ่งการจะทำได้แบบนั้นจำเป็นต้องให้พวกเขาเรียนรู้ถึงระบบการทำงานรวมไปถึงขั้นตอนในการดำเนินงานอย่างถ่องแท้ เพื่อตอบสนองนโยบายนั้นข้าจึงส่งพวกปิศาจที่มีความรู้มากพอไปยังเผ่าต่างๆ ส่งผลให้ตอนนี้บุคลากรของเราแทบไม่เพียงพอ” แกรนอธิบายด้วยใบหน้าครุ่นคิด เขาคงกำลังพยายามหาทางออกอยู่ละมั้ง


“ส่วนใหญ่พวกปิศาจที่มีทักษะความรู้มากพอจะอยู่ในพวกระดับกลางซึ่งการจะสอนให้เป็นและเชี่ยวชาญไม่ใช่เวลาน้อยๆ ต่อให้คัดคนเข้ามาเพิ่มแต่ก็ต้องใช้เวลาติวไปจนถึงทดลองทำงานอีกหลายปี” เบียทรีซพูดต่อจากแกรน


“อีกอย่างงานที่เจ้าทำเป็นข้อมูลตัวเลขเชิงลึกว่าด้วยเรื่องอัตราเข้าออกโลกมนุษย์ของปิศาจตลอดจนอัตราการเกิดภัยคุกคามต่อมนุษย์ในแต่ละเดือน ปิศาจที่อยู่นี่มีแค่หยิบมือที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นได้ คงไม่ลืมว่าครั้งก่อนข้าเพิ่งของยืมลูกน้องเจ้ามาช่วยงานเพราะถ้าพูดถึงความสามารถในการวิเคราะห์เชิงลึกคนของเจ้าเก่งกว่า” แกรนหันไปบอกกับสก๊อตที่ยืนกอดอกด้วยใบหน้าคิดหนัก


“ก็จริง ที่เก่งกว่าคงเป็นเพราะข้าส่งให้ไปทำงานในหลากหลายรูปแบบมาเป็นร้อยปี โลกมนุษย์น่ะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันไปอย่างรวดเร็วปิศาจที่ปรับตัวและตามการเปลี่ยนแปลงนั้นทันเลยได้ทักษาะทางด้านการวิเคราะห์ติดมาด้วย” สก๊อตพยักหน้าเห็นด้วยกับแกรน


“เหมือนข้าจะเคยบอกให้ส่งปิศาจไปให้สก๊อตฝึก?” เบียทรีซมองหน้าแกรนสลับกับสก๊อต


“ครับ แต่ยังไม่สามารถวางใจให้ทำงานได้ทั้งหมด ข้าเองก็ไม่มีเวลาที่จะมาตรวจทุกบรรทัด”


การถกเถียงถึงปัญหายังคงดำเนินต่อไป ตัวผมถึงแม้จะเอี้ยหูฟังแต่มือก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ผมค่อนข้างเข้าใจถึงปัญหาทางด้านบุคลากรและความสามารถ จริงอยู่ที่ปิศาจอาจมีจำนวนน้อยกว่ามนุษย์ที่โลก หากดูจากสถิติแบบง่ายจะเป็นปิศาจระดับต่ำมากถึงร้อยละ 70 ซึ่งปิศาจระดับต่ำส่วนมากจะมีรูปร่างผสมผสานกับสัตว์ต่อให้มีบางตนที่ฉลาดแต่การจะให้รูปลักษณ์แบบนั้นไปหาประสบการณ์โดยตรงที่โลกมนุษย์เป็นเรื่องยากมาก


สำหรับปิศาจระดับกลางมีอยู่ร้อยละ29.9999999 เรียกว่าค่อนข้างน้อยแถมไม่ใช่ว่าปิศาจระดับกลางทั้งหมดจะฉลาด ระดับที่ใช้แบ่งอาจเป็นตัวบ่งบอกถึงรูปลักษณ์และพลังปิศาจแต่ไม่ได้บอกถึงระดับของสมองว่าจะเท่ากันตามไปด้วย ผมเคยเห็นแกรนคัดเลือกคนเข้ามาฝึกในจำนวนปิศาจระดับต่ำและกลาง 100 ตน จะมีเพียงแค่10ตนที่ผ่านการคัดเลือกโดยจะเป็นปิศาจระดับต่ำและกลางอย่างละครึ่งๆ


และสุดท้ายจำนวนประชากรของปิศาจระดับสูงคิดเป็นร้อยละ 0.0000001 แถมตัวเลขนี่ยังเป็นแบบปัดแล้วเพื่อให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจไม่งั้นตัวเลขจริงจะเป็นทศนิยมมากกว่านี้อีก ถ้าแปลแบบแปลกๆ คือในปิศาจ 100 ตนจะพบปิศาจระดับสูงเพียงเศษเสี้ยวเดียว แต่หากเป็นความหมายที่แท้จริงก็คือเราจะพบปิศาจระดับสูง 1 ตนต่อปิศาจระดับกลางและสูงเกือบสิบล้านตน
ปิศาจระดับสูงที่ผมรู้จักในตอนนี้ก็มีเบียทรีซ สก๊อต เตโช แกรน กาเนอร์และบักเก็ตถ้ารวมผมไปด้วยก็จะเป็น 7 คน หากดูจากสถิติก็จะต้องมีปิศาจระดับต่ำและระดับกลางประมาเจ็ดสิบล้านตน เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าตกใจ


ปิศาจระดับสูงไม่เพียงแค่มีจำนวนน้อยแต่ยังมีทั้งพลังปิศาจและสติปัญญาเหนือกว่าปิศาจระดับอื่นอย่างเห็นได้ชัด การปกครองจึงต้องให้ปิศาจระดับสูงเข้ามาช่วยจัดการในส่วนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ด้านจำนวนที่ไม่เพียงพอแต่เป็นทักษะหรือความสามารถเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยและถือเป็นปัญหาใหญ่เลยด้วย


หากใครกำลังเรียกภาพข้อมูลตัวเลขและแผนภูมิที่ใช้แสดงค่าเหล่านั้นว่าสถิติล่ะก็ขอให้เปลี่ยนความคิดซะเพราะในโลกปิศาจมีการคำนวณด้วยการใช้สูตรรวมไปถึงเทคนิคพิเศษที่มนุษย์ยากจะทำความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ยากกว่าแต่ยังซับซ้อนกว่าด้วย


จำได้ว่าตอนแรกที่เห็นของจริงในเอกสารที่แกรนยื่นให้ดูผมเบิกตากว้างจนแทบจะทะลุออกมานอกเลนส์อยู่แล้ว เคยถามเบียทรีซอยู่ว่าทำไมถึงต้องใช้การคำนวณและการเก็บข้อมูลในรูปแบบนั้นด้วย คำตอบที่ได้กลับมาคือ...


‘ถ้าตกไปอยู่ในมือของมนุษย์จะได้อ่านไม่ออก’


นั่นแหละคือคำตอบ เพราะงั้นปิศาจอย่างพวกเราก็เลยต้องรับเคราะห์ในการคำนวณต่อไป กว่าผมจะสามารถคำนวนและจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีนั้นได้คล่องก็ใช้เวลาเป็นปี ทุกวันนี้ผมก็ใช้อยู่ตลอดอย่างเอกสารในมือตอนนี้ จะมีแค่ข้อมูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์เท่านั้นที่จะใช้วิธีนี้คำนวณถ้าเป็นข้อมูลของโลกปิศาจก็จะเป็นการคำนวณแบบปกติ


สงสัยคงกันไว้ตอนเปิดทางเชื่อมมิติแล้วเอกสารเผลอปลิวไปละมั้ง


“ถ้างั้นข้าจะช่วยทำต่อไปก่อนจนกว่าจะหาใครมาช่วยได้” สก๊อตบอกกับทุกคนที่ช่วยคิดหาทางออก


“แบบนั้นจะใช้เวลานานเกินไป เลทกว่าเดิมเป็นเดือนแบบนี้ข้าคนนึงที่รับไม่ได้” แกรนหันไปบอกสก๊อต


“ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ จะมีใครที่สามารถมาช่วยคำนวณค่าพวกนี้ได้ล่ะถ้าไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์มาก่อน”


ฮืม?...เดี๋ยวนะ


จะว่าไปก็มีอยู่นี่คนที่สามารถช่วยได้น่ะ


“เอ่อ...ให้ผมช่วยไหมสก๊อต” ผมเอ่ยแทรกบทสนทนาซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาร่วมชั่วโมงแต่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ ปัญหานี้ไม่สามารถจัดการได้ในเวลาอันสั้นหรอก อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลานับสิบปีในการฝึกจนชำนาญในกรณีผมที่เป็นเร็วกว่าคงเพราะมีพื้นฐานด้านบัญชีแถมค่อนข้างชอบพวกตัวเลขเลยใช้เวลาไม่นาน


“ท่านวิณณ์?”


“จริงสิ ถ้าเป็นท่านวิณณ์มีทักษะและความสามารถมากพอในการคำนวณและจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบนั้น อีกอย่างท่านวิณณ์สามารถบริหารเวลาในการทำงานได้รวดเร็วแถมยังมีความละเอียดรอบครอบรวมไปถึงเคยอยู่โลกมนุษย์มาก่อนการทำงานคงราบลื่น...”


“ไม่ได้” เสียงอันทรงอำนาจของเบียทรีซดังขึ้นแทรกระหว่างแกรนกำลังอธิบาย


“ทำไมไม่ได้ล่ะ” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปหาเบียทรีซเพื่อเอาคำตอบ หรือเพราะประสบการณ์ผมยังน้อยถ้าให้ไปทำอาจเกิดความผิดพลาดได้ ถึงอย่างนั้นผมค่อนข้างมั่นใจเรื่องการคำนวณของตัวเองพอสมควรเหมือนกันนะ


“เจ้ามีงานที่ต้องทำอยู่แล้ว”


“งั้นผมจะทำงานที่นี่ให้เสร็จก่อนค่อยไปช่วยสก๊อต” ผมตอบเบียทรีซ


“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ห่างสายตารึไง” เบียทรีซบอกเสียงนิ่ง


“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมขนาดนั้นก็ได้” พอรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงน้ำเสียงผมก็ค่อยๆ อ่อนลงทีละน้อย


“ถ้าไม่ห่วงเจ้าแล้วจะให้ข้าห่วงใครล่ะ”


“เบียทรีซ...”


“เลิกพูดเรื่องนี้ หาวิธีอื่นยังไงข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้าไปโลกมนุษย์แน่”


“คุณมีเหตุผลอื่นนอกจากห่วงผมใช่ไหม” ฟังจากคำพูดหลายๆ คำดูเหมือนจะมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่อีก


“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” อีกฝ่ายเลือกที่จะหันหน้าหนี


“จะไม่เกี่ยวกับผมได้ยังไง” คุยเรื่องผมอยู่แบบนี้ยังจะบอกว่าไม่เกี่ยวอีกนะ


“บอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวสิ”


“เบียทรีซ”


“...” ความเงียบนั้นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับเรื่องให้ผมไปช่วยงานสก๊อตที่โลกมนุษย์แน่


“ผมมีเวลามากกว่าคนอื่นที่กำลังยุ่งแถมยังมั่นใจว่าสามารถคำนวณค่าพวกนั้นออกมาได้ สก๊อตมีงานเยอะอยู่แล้วถ้าคุณให้เขาทำเรื่องนี้อีก อีกไม่นานเขาได้ป่วยเพราะพักผ่อนไม่พอแน่ ผมอยากช่วยไม่ใช่แค่สก๊อตแต่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของคุณมากกว่านี้...สักนิดก็ยังดี” ผมเอ่ยความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาจนหมดเปลือก


คนที่ทำงานหนักสุดไม่ใช่สก๊อตหรือแกรนแต่เป็นเบียทรีซ ต่อให้ส่วนมากจะนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานแต่ใช่ว่าจะไม่มีงานอื่น ต้องเข้าร่วมประชุมบางครั้งต้องออกไปนอกปราสาท ผมคิดมาตลอดว่าอยากช่วยเบียทรีซให้มากกว่านี้ ปัญหาในคราวนี้ผมเป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยเพราะงั้นผมจะไม่ยอมตัดใจจนกว่าจะได้ช่วย


“ถึงเจ้าจะบอกเหตุผลมาแค่ไหนคำตอบก็เหมือนเดิม”


“ทำไมล่ะ”


“...” เบียทรีซให้คำตอบเป็นความเงียบอีกครั้ง


“ข้าคิดว่าองค์ราชาคงกำลังกังวลว่าพอท่านวิณณ์ไปโลกมนุษย์แล้วจะเกิดคิดถึงที่นั่นขึ้นมาจนไม่อยากกลับมาที่โลกปิศาจแล้ว...”


“แกรน หุบปาก!” พลังปิศาจภายในร่างแผ่ขยายออกมารอบบริเวณทว่าไม่มีใครที่หวาดหวั่นต่อพลังนั่นเลยเพราะเบียทรีซไม่ได้กำลังโกรธแต่เหมือนกำลังเขินเมื่อถูกรู้ทันมากกว่า


“จริงเหรอเบียทรีซ” ผมเดินเข้าไปถามใกล้มาขึ้น พออีกฝ่ายเบนหน้าหนีผมก็ก้าวไปหาอีกฝั่งเพื่อจะได้เผชิญหน้ากันโดยตรง


“ไม่จริง”


“แต่ผมว่าจริงนะ”


“เจ้าเชื่อแกรนมากกว่าข้า?”


“อืม” ผมพยักหน้าโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด


“...บทจะรู้ดีก็รู้ดีจริงๆ เลยนะ” เบียทรีซบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


“นี่เบียทรีซ” ผมคุกเข่าลงตรงหน้าเบียทรีซก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีทองที่จ้องประสานมา


“...อะไรอีก”


“จริงอยู่ที่ผมมีคิดถึงโลกมนุษย์และคิดถึงบ้านที่เคยอยู่บ้างแต่แค่นั้นไม่ได้ทำให้อยากจะกลับไปอยู่โลกมนุษย์หรอกนะ ตั้งแต่ถูกสก๊อตไล่ออกแล้วได้เบียทรีซพามาที่โลกปิศาจ ได้มาอยู่ในปราสาทแห่งนี้ บ้านที่ผมจะกลับมาไม่ใช่บ้านที่โลกมนุษย์แต่เป็นที่นี่ ที่ที่ผมจะกลับมาคือที่ที่มีคุณ เพราะงั้นให้ผมไปช่วยสก๊อตเถอะนะ” ผมพูดพร้อมส่งยิ้มให้เบียทรีซ ดวงตาของเบียทรีซกำลังสั่นไหวคล้ายคำพูดผมมีอิทธิพลบางอย่างต่อจิตใจ


“...ให้ไปได้แค่บางวัน แต่ละวันที่ไปต้องไปเกิน 3 ชั่วโมง ทุกครั้งที่จะออกไปไหนต้องมีใครคอยตามไปด้วย ถ้าเรียกต้องรีบกลับมาและข้อสุดท้ายห้ามค้างคืนที่โลกมนุษย์ถ้าไม่มีข้าอยู่ด้วย” ทุกประโยค ทุกถ้อยคำรวมไปถึงน้ำเสียงที่ใช้นั้นพานให้ผมยิ้มกว้างจนหุบไม่อยู่


ความรู้สึกดีใจนั้นทำให้ร่างกายขยับไปเองโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดผ่านสมอง รู้ตัวอีกทีผมก็โผลเข้ากอดเบียทรีซเต็มแรงแล้ว


“อืม ผมสัญญา”


“ข้าให้วิณณ์ไปช่วยอาทิตย์ไม่เกิน 3 วัน” คำถามนี้เบียทรีซหันไปบอกสก๊อตขณะตรึงร่างผมให้นั่งอยู่บนตักพร้อมใช้วงแขนกอดรัดไว้


“แค่นั้นก็เพียงพอครับ ฟังจากที่แกรนเล่าแค่ 3 วัน วันละไม่เกิน 3 ชั่วโมงก็น่าจะช่วยเบาแรงไปได้มากแล้ว ขอบคุณท่านวิณณ์” สก๊อตพูดประโยคสุดท้ายกับผมด้วยรอยยิ้ม


“ยินดีช่วยครับ ผมมีงานทุกวันแต่ก็มีหลายวันที่ผมทำเสร็จก่อนเวลาแล้วนั่งว่างๆ ถ้าว่างเมื่อไหร่ผมจะติดต่อไปหา อ๊ะ...ปล่อยผมนะเบียทรีซ” พูดยังไม่ทันจบประโยคอ้อมแขนของเบียทรีซก็กระชับแน่นขึ้น


“ไม่” เป็นคำตอบที่สมกับเป็นราชาของโลกนี้จริงๆ


“ผมอึดอัด ปล่อยก่อน” ถ้าเป็นตอนอยู่กันสองคนคงไม่เป็นอะไรเพราะการถูกกอดถือเป็นเรื่องปกติ ต่างจากตอนนี้มีทั้งแกรนและสก๊อตยืนมองอยู่แถมยังมองมาด้วยสายตาแปลกใจอีก


น่าอายเกินไปแล้ว เขินจนหัวใจเต้นรัวแทบจะหลุดออกมาจากอกซะให้รู้แล้วรู้รอด


“สก๊อต”


“จะดูแลท่านวิณณ์ให้ดีที่สุดครับองค์ราชา” เพียงคำเดียวที่เบียทรีซเรียกสก๊อตก็ตอบกลับคล้ายสามารถเข้าใจความหมายของคำเรียกชื่อนั้นได้


จากวันที่ตกลงกันไม่กี่วันผมก็ได้หาจังหวะในช่วงที่จัดการงานเสร็จเรียบร้อยให้เบียทรีซติดต่อสก๊อตแล้วเปิดทางเชื่อมขึ้นตรงหน้าผม ในวันแรกของผมเหมือนเป็นการเริ่มต้นงานในบริษัทใหม่เลยต้องทำความเข้าใจและจดจำตำแหน่งห้องต่างๆ สถานที่อีกฝากของทางเชื่อมมิติเหมือนจะเป็นหนึ่งในตึกของสก๊อตซึ่งผมได้รับห้องส่วนตัวตรงกลางทางเดินในชั้นบนสุดของตึกพร้อมด้วยคนรับใช้สองคนและปิศาจระดับต่ำที่คอยพรางกายเฝ้าดูแลผมตลอด


การทำงานสลับไปมาทั้งโลกมนุษย์และปิศาจดำเนินมาจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เบียทรีซกำหนดทั้งจำนวนวันและจำนวนชั่วโมงในการไปช่วยงานสก๊อตผมจึงมักเลือกวันที่ทำงานของแกรนให้เสร็จในช่วงบ่ายแล้วค่อยไปต่องานที่โลกมนุษย์จนถึงมื้อเย็น อาจเพราะใช้พลังงานไปกับการใช้สมองมากผมเลยเริ่มกินข้าวเยอะขึ้นและไม่รู้ว่ากาเนอร์อ่านใจผมได้หรือยังไงถึงเพิ่มอาหารแต่ละมื้อขึ้นนิดหน่อย


“เบียทรีซ ติดต่อสก๊อตให้หน่อย” ผมหันไปบอกเบียทรีซหลังจากจัดเรียงเอกสารที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว


“จะไปช่วยสก๊อต?” เบียทรีซละมือออกจากเอกสาร


“อืม”


“เมื่อวานเพิ่งไปนี่” จริงอย่างที่พูด เมื่อวานผมเพิ่งไปช่วยงานมา ปกติผมจะไปวันเว้นวันมากกว่าไปติดๆ กันแบบนี้


“ก็ใช่ พอดีมีจุดที่ผมคิดว่าน่าจะทำผิดเลยจะรีบไปแก้แล้วก็ทำต่อให้เสร็จเลย” การคำนวณเหลืออีกไม่มากก็จะได้บทสรุปออกมาแล้วเลยไม่อยากให้ค้างคา


“แต่นี่มันจะ 5 โมงแล้ว”


“...งั้นผมกินมือเย็นกับคุณก่อนค่อยไปทำต่อได้ไหม” ผมลองคิดแล้วเสนอไป


“ดูจะชอบนะงานนั่น”


“ไม่ถึงกับชอบมากแต่ก็ชอบแหละ สนุกดี”


“เพิ่งเจอคนบอกว่าการคำนวณนั่นสนุก”


“สรุปไปได้ไหม” ผมถามซ้ำ


“ถ้าบอกว่าไม่ได้?”


“จะขอจนกว่าจะยอมให้ไป”


“เจ้า เดี๋ยวนี้กล้าดื้อเหรอวิณณ์” เบียทรีซยิ้มมุมปากระหว่างหันมามองทางผม


“ผมไม่ดื้อสักหน่อย”


“ที่เจ้าทำมันเรียกว่าดื้อ”


“เปล่า...ก็ได้ ผมแค่ดื้อนิดหน่อยก็ได้” พอถูกดวงตาสีทองนั่นจับจ้องมาผมก็ต้องยอมถอยให้


“ไม่ใช่นิดหน่อยแต่ดื้อมากต่างหาก”


“เบียทรีซ” คำก็ดื้อสองคำก็ดื้อ ตั้งแต่เด็กจนโตเพิ่งจะเคยถูกบอกว่าดื้อนี่แหละ ทั้งพ่อแม่ คุณครูหรือแม้แต่ที่ทำงานยังไม่เคยมีใครใช้คำว่าดื้อกับผมเลยสักคน ผมค่อนข้างมั่นใจเกินครึ่งว่าตัวเองไม่ได้ดื้อ


"ข้าให้เวลาถึงสามทุ่ม ถ้าเกินแม้แต่วินาทีเดียวข้าจะไปรับ” เบียทรีซสรุปก่อนจะก้าวนำออกจากห้องทำงานไปยังห้องอาหาร


“คุณห่วงผมไปแล้ว ต่อให้กลับดึกก็ไม่อันตรายหรอกสก๊อตเปิดทางเชื่อมมาส่งผมถึงที่อยู่แล้ว” แค่ก้าวเดินผ่านทางเชื่อมนั้นก็สามารถกลับมาถึงห้องได้ในเวลาไม่ถึงนาทีแถมตอนช่วยงานอย่างที่บอกสก๊อตสั่งให้ทั้งคนและปิศาจมาดูแลผม


การป้องกันขนาดนี้ผมไม่คิดว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นหรอกนะ


“...มันใช่แค่ห่วงที่ไหนเล่า”


“ว่าอะไรนะ” ผมก้าวเข้าไปถามเมื่อไม่ได้ยินเสียงพึมพำเมื่อครู่


“เปล่า”


“โกหก ผมได้ยินว่าพูดอะไรสักอย่างแน่ๆ ”


“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


“ถึงไม่เกี่ยวก็อยากรู้นี่”


“เดินดีๆ เดี๋ยวก็ได้สะดุดบันได” เบียทรีซบ่นยามเห็นผมก้าวลงบันไดโดยสายตาไม่ได้มองไปยังขั้นของบันไดแต่เป็นใบหน้าของเบียทรีซ


เปลี่ยนเรื่องตลอด


“ไม่สะดุดหรอกผมขึ้นลงมาตั้งหลายปี อ๊ะ!” ยังไม่ทันเอ่ยจบร่างผมก็เกือบจะไถลกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดถ้าไม่ได้เบียทรีซคว้าแขนไว้ น่าอายจริงๆ เลยทั้งที่กำลังพูดว่าไม่มีทางสะดุดแท้ๆ


“ยังพูดไม่ทันขาดคำ เป็นไงล่ะ”


“...ขอโทษ ขอบคุณที่คว้าผมไว้” ถ้ากลิ้งตกลงไปคงไม่จบแค่แผลถลอก


“ระวังตัวหน่อย อย่าลืมว่างานอดิเรกเจ้าคือความซุ่มซ่าม”


“ใครมีงานอดิเรกแบบนั้นกัน?” งานอดิเรกคือความซุ่มซ่ามเนี่ยนะ


ถกเถียงกันไม่นานก็มาถึงยังห้องอาหาร และเมื่อเสร็จจากมื้อเย็นเบียทรีซติดต่อสก๊อตให้เปิดทางเชื่อมพาผมไปยังห้องทำงานส่วนตัว ข้อมูลที่รวบรวมมาแต่ละพื้นที่ถูกนำมาวางเรียงใส่ตู้ไว้ด้านข้างให้ผมสามารถเดินไปหยิบได้สะดวกต่างจากช่วงแรกที่ต้องเดินไปหยิบอีกห้อง ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย


ว่ากันว่าเราสามารถทำงานออกมาได้เร็วและดีที่สุดคือยามที่มีสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน ในหัวคิดเพียงสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า ถ้าทำแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็สามารถทำออกมาได้ดีและใช้เวลาน้อย ยิ่งทำงานในสภาพแวดล้อมแสนเงียบสงบแบบนี้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวงานตรงหน้าก็เสร็จเรียบร้อย


ในเมื่องานเสร็จหมดแล้วผมจึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อหาสก๊อตทว่าพอเปิดประตูออกใบสก๊อตที่ผมกำลังจะออกไปหากลับยืนอยู่ข้างห้องในชุดสูทสีเลือดนกดูหรูหราต่างจากสูทที่เห็นอีกฝ่ายใส่ยามปกติ


หรือว่ามีไปงานต่อรึเปล่านะ


“...ถ้าเกิดปัญหาก็รีบไปจัดการซะไม่ต้องมา เดี๋ยวข้าจะไปเอง” สก๊อตคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากวางสายแล้วยังมีอาการถอนหายใจอีก


“มีปัญหาอะไรเหรอครับ” ผมเข้าไปถามตามตรง


“ท่านวิณณ์? ถ้าอยากพักข้าแนะนำระเบียงด้านนั้นเห็นวิวของเมืองในมุมสูงด้วย”


“เปล่า ผมทำงานเสร็จหมดแล้วเลยว่าจะกลับ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า” ผมถามซ้ำอีกรอบ จากที่มองคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เลขาที่ต้องไปออกงานด้วยกันติดธุระต้องจัดการกับปัญหานิดหน่อยข้าเลยต้องไปร่วมงานคนเดียว”


“แบบนั้นไม่เหมาะมั้ง ให้ผมไปแทนไหม” บุคคลแนวหน้าของโลกอย่างสก๊อตจะไปงานโดยปราศจากเลขาหรือคนติดตามที่เป็นเหมือนหน้าตาของบริษัทได้ยังไง การออกงานก็เหมือนขายของอย่างหนึ่งต้องเลือกคนติดตามที่มีทักความรู้และความสามารถรวมไปถึงหน้าตาและบุคลิกด้วย


“ข้าไม่รบกวนท่านหรอก ข้าจะเปิดทางเชื่อมให้ท่านกลับไปปราสาท”


“ผมช่วยคุณได้นะ โอ๊ะ...จะว่าไปผมไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรของบริษัทเลยแถมทั้งบุคลิกและหน้าตาเองก็คงสู้คนอื่นไม่ได้” นี่ผมลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ยังไง ขืนให้ผมไปได้ขายหน้ามากกว่าให้สก๊อตไปคนเดียวแน่


“นี่ท่านคิดแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ”


“ครับ?” คิดอะไร


“ไม่ว่าจะเป็นด้านความสามารถหรือบุคลิกท่านสามารถสู้กับคนอื่นได้สบาย ยิ่งกับภาพลักษณ์ในตอนนี้ เชื่อเถอะว่าทุกสายตาต้องจับจ้องมาแน่” สก๊อตบอกพร้อมมองผมตั้งหัวจรดเท้า


“...เพราะเป็นปิศาจระดับสูงสินะ” รูปลักษณ์ของปิศาจระดับสูงจะดูดีและงดงามกว่ามนุษย์หรือปิศาจระดับอื่น ซึ่งจะใช้ภาพลักษณ์นั่นในการล่อหลอกหรือแม้แต่ดึงดูดให้เข้ามาตกหลุม แต่นั้นเป็นปิศาจตนอื่นไม่ใช่ผม...อย่าว่าแต่หลอกล่อเลยแค่จะโกหกยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ


“นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ข้าให้ท่านไม่ด้วยไม่ได้หากองค์ราชารู้เข้าข้าจะโดนโกรธได้”


“แต่เบียทรีซให้เวลาผมถึง 3 ทุ่ม ถ้ามกลับก่อนเวลาไม่น่ามีปัญหา” เวลาตอนนี้เพิ่งจะทุ่มกว่าเท่านั้นมีเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง


“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เวลาแต่เป็นตัวท่านต่างหาก”


“ตัวผม?”


“ท่านไม่รู้หรือว่าตัวตนของท่านนั้นสำคัญเพียงใดกับองค์ราชา” สก๊อตถามกลับ


“...ผมเป็นคนรับใช้ของเบียทรีซ” นั่นถือฐานะที่ได้ตั้งแต่วันแรกที่ไปโลกปิศาจ


“...ลองถามกับท่านเบียทรีซเองดีกว่า ข้าจะเปิด...”


“ให้ผมไปด้วยเถอะสก๊อต” ผมคว้าแขนอีกฝ่ายไม่ให้เปิดทางเชื่อม


“ข้าขอรับแค่ใจที่ท่ายอยากช่วยแต่หากมีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ข้าที่จะโดนแต่มนุษย์ที่เข้าใกล้ท่านจะโดนลูกหลงไปด้วย” สก๊อตให้เหตุผล


“ไม่มีใครเข้าใกล้ผมหรอก ถ้ามีผมจะเดินออกห่างเอง ตอนนี้ผมก็เหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งที่อยากช่วยบริษัทที่ทำงานอยู่”


“ท่านคิดว่าการช่วยข้าเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยองค์ราชาใช่หรือไม่” คำถามนั้นทำเอาผมชะงัก เหมือนโดนลูกศรแทงใจเข้าอย่างจัง


“...ถ้าช่วยเพราะเหตุผลนั้นไม่ได้เหรอ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าทั้งหมดที่ผมทำก็เพราะอยากช่วยเบียทรีซ


“ได้ ข้าจะพาท่านไปด้วย”


“ขอบคุณสก๊อต” ไม่คิดว่าเขาจะรับเหตุผลแบบนี้ได้นะเนี่ย


“แต่ข้าอยากบอกท่านไว้ก่อน ตัวท่านไม่จำเป็นต้องพยายาม ไม่จำเป็นต้องช่วยแบ่งเบา ไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้เพียงแค่คอยอยู่เคียงข้างองค์ราชา...แค่นั้นก็ช่วยได้มากแล้ว”


ทันทีที่สก๊อตพูดจบประตูทางเชื่อมก็เปิดอ้าออก ผมก้าวเดินเข้าไปตามหลังสก๊อตก่อนจะโผล่ไปยังร้านเสื้อผ้าสุดหรู ตัวผมถูกแปลงโฉมให้อยู่ในชุดสูทสีฟ้าครามกับกางเกงสีเดียวกันอีกทั้งยังจัดผมและอื่นๆ มากมายก่อนสก๊อตจะเปิดทางเชื่อมและพาไปยังงานที่ถูกจัดขึ้นในชั้นบนสุดของตึกที่ไหนสักแห่ง


มีหลายครั้งผมคิดว่าอยากลองให้สก๊อตสอนการเปิดทางเชื่อมให้ มันคงดีไม่น้อยหากสามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไปในเวลาไม่กี่นาที การมาทำงานสายคงไม่มีถ้าสามารถเปิดทางเชื่อมนี้ได้ แม้จะเป็นสิ่งแสนสะดวกมากแค่ไหนแต่กว่าจะฝึกจนสามารถทำได้คงไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีอาจต้องเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ขนาดในโลกปิศาจเองก็มีจำนวนเพียงหยิบมือที่สามารถเปิดทางเชื่อมมิติได้แบบสก๊อต


“พอเข้าไปในงานแล้วห้ามเดินห่างจากข้าเข้าใจนะ” สก๊อตหันมาบอกก่อนพนักงานจะเปิดประตูบานใหญ่ให้พวกเราเดินเข้าไปด้านใน


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าตกลง


บรรยากาศภายในเป็นไปตามที่คิดไว้ ความหรูหราในระดับที่คนธรรมดาคงไม่มีทางได้สัมผัส ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนคงจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวที่ทั้งทอประกายแวววาวและหรูหราทว่าผมในตอนนี้ต่างออกไป การอยู่กับเบียทรีซทำให้ผมเข้าใจคำว่าอยู่อย่างราชาอย่างแท้จริง แค่ห้องนอนของเบียทรีซก็กว้างพอๆ กับบ้านผมทั้งหลัง นี่ยังไม่รอมห้องน้ำที่มีแยกทั้งฝักบัว แช่อ่างรวมไปถึงอบไอน้ำอีก ยิ่งกว่ามหาเศรษฐีอีกมั้ง


เพราะมีภูมิต้านทานผมจึงสามารถวางตัวให้เหมาะกับการเป็นเลขาชั่วคราวของสก๊อตได้ดีทีเดียว ถึงจะสัมผัสได้ว่าทุกสายตาจับจ้องมายังพวกเราทุกย่างก้าวของการเดินก็ตาม


คงจะมองสก๊อต


ผมคิดพลางยืนมองคู่ค้าหลายคนที่เข้ามาทักทายพร้อมพูดคุยฉันท์มิตร เลขาของฝั่งนั้นส่งยิ้มทักทายมาให้ผมซึ่งผมก็ส่งยิ้มกลับแทนคำทักทายเช่นเดียวกัน ไม่อยากเชื่อว่าพอผมยิ้มกลับไปอยู่ๆ อีกฝ่ายก็หน้าแดงขึ้นมาซะอย่างงั้น


“อย่ายิ้มให้ใคร” สก๊อตกระซิบบอกผมก่อนจะมีคนอีกกลุ่มมาทักทาย


“...ถ้าไม่ยิ้มมันจะดูเสียมารยาท” จะให้ผมยืนทำหน้านิ่งตลอดงานคงไม่ไหว


“ยังดีกว่ามีคนมาสนใจท่าน องค์ราชาได้ตัดคอข้าแน่”


“เบียทรีซไม่ได้โหดขนาดนั้น”


“โหดกว่านั้นแน่ถ้าเป็นเรื่องของท่านละก็” สก๊อตหยุดบทสนทนาหันไปทักทายกลุ่มต่อไปที่เข้ามาทักทาย


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-03-2019 13:23:20
(ต่อค่ะ)


ผมทำตามที่สก๊อตบอกคือไม่ยิ้มให้กับใครทั้งนั้นแต่จะใช้การผงกหัวทักทายกลับไปแทน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนตั้งแต่เข้ามารู้แค่ว่าผมรู้สึกหิวน้ำกันขึ้นมาเลยก้าวถอยหลังเดินห่างจากสก๊อตไป ตอนแรกผมกะจะบอกอีกฝ่ายแต่เห็นว่ากำลังยุ่งกับการสนทนากับคนประมาณ 5 คน


ในเมื่อผมเป็นคนขอตามมาก็ไม่ควรให้อีกฝ่ายเดือดร้อน


เครื่องดื่มภายในงานมีพนักงานเสิร์ฟคอยเดินถือถาดไปทั่วงาน ผมเลือกน้ำที่ดูจะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ยกขึ้นจิบบเล็กน้อย รสชาติแบบนี้เป็นเลม่อนสินะ ต่อให้เครื่องดื่มมีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ก็ไม่ส่งผลต่อผมเท่าไหร่หรอก เห็นแบบนี้ผมค่อนข้างคอแข็ง


“สวัสดีครับ” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีส้มอิฐ ใบหน้านั้นอาจหล่อเหลาแต่ถ้าเทียบกับปิศาจระดับสูงหน้าตาของเขากลับธรรมดาไปเลย


“...ครับ สวัสดี” ผมทักทายกลับตามมารยาท


“คุณเป็นคนของคุณสก๊อตสินะ” เขาถามต่อ


“ครับ” ไม่แปลกที่เขาจะรู้เพราะผมกับสก๊อตเดินวนแทบจะรอบงานอยู่แล้ว


“ขอบอกแบบไม่อ้อมค้อมเลยละกัน ผมสนใจคุณ”


“ฮะ?...เอ่อ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกครับ”


“คำพูดนั่นแปลว่ามีคนรักแล้วสินะ”


“...ประมาณนั้น” ถ้าพูดให้ถูกคือมีคนที่รักแล้ว ต่อให้ผมบอกความรู้สึกให้เบียทรีซฟังแต่ฐานะในตอนนี้มันยังไม่ชัดเจน เขาไม่ได้บอกว่าผมเป็นแฟนหรืออะไร


“ไม่เป็นไร แค่คืนเดียวก็ได้ ลองมานอนกับผมดูไหม”


“...ไม่ครับ” บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างตกใจที่ถูกรุกแบบนี้


“งั้นเป็นฉันไหมล่ะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมข้อมือผมที่ถูกดึงไป


“ปล่อยผม!” ด้วยความที่ออกกำลังกายทุกวันเลยมีพละกำลังมากพอในการสะบัดมือที่ถูกฉกฉวยไป


“อย่าเล่นตัวน่า จะสองคนพร้อมกันก็ไม่ถือนะ” ชายคนแรกพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้ขึ้น


“ฉันเล็งไว้ก่อน อย่ามาแย่งสิ”


ไม่ใช่สองแต่ตอนนี้ผมกำลังถูกผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังอยู่จนไม่เหลือช่องว่างให้หนี ด้วยระยะที่ค่อนข้างใกล้เลยมีหลายมือที่เอื้อมมาแตะแถมบางคนยังมาลูบก้นผมอีก ตกใจจนสะดุ้งหนีแทบไม่ทันเลย


สถานการณ์แปลกๆ นี่มันอะไรกัน


ตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ก็เพิ่งเคยถูกผู้ชายล้อมรอบจนขยับไปไหนไม่ได้เป็นครั้งแรก หรือจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปดึงดูดให้คนอื่นเข้ามาหา แบบนี้ท่าจะแย่แล้ว


“ถอยออกมาจากเขา!” เสียงของสก๊อตทำให้มือที่จับไปทั่วหยุดชะงักไปชั่วครู่ ทุกสายตาหันไปมองยังสก๊อตที่ทำหน้าหงุดงหงิดอยู่ และต้นเหตุของอารมณ์นั่นคงเป็นผมสินะ


“เด็กนาย? แบ่งให้ฉันสักคืนเรื่องการค้าเป็นอันตกลง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นข้อเสนอให้สก๊อต


“เรื่องนั้นคงไม่ได้ ถอยไป” สก๊อตดันกลุ่มชายที่ล้อมตัวผมให้ถอยห่าง


“ปฏิเสธแบบนี้ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยนะ ไม่ใช่แค่ฉันที่อยากได้เด็กนั่นแต่คนอื่นๆ เองก็คิดเหมือนกัน เสียสละแค่คนเดียวเธอจะได้สิ่งที่คุ้มค่ากลับไปแทนแน่ แต่ถ้ายังตอบไม่อยู่พวกเราก็ไม่รับประกันว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง”


“สก๊อต” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา เป็นเพราะผมมาเหรอสก๊อตเลยโดนกดดันแบบนี้


“ก็ลองสิ ถ้ากล้าแตะต้องเขาเรื่องไม่จบง่ายๆ แน่” สก๊อตไม่มีทีท่าหวั่นไหวกับคำขู่พวกนั้นสักนิดเดียว


“หวงรึไง หรือคิดจะเก็บไว้กินคนเดียวล่ะ”


“ถ้าอยากลองดีนักก็จัดหน่อยสิสก๊อต” เสียงอันทรงอำนาจดังก้องห้องจัดงาน ประตูทางเข้าออกถูกเปิดอ้าพร้อมร่างของเบียทรีซในชุดทำงานตัวเดิมเดินก้าวเข้ามา แรงกดดันของเบียทรีซพานให้พวกผู้ชายที่ตีวงล้อมผมอยู่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


“เบียทรีซ...”


“ข้าว่าคงได้เวลาที่เจ้าจะต้องเลือกสีโซ่แล้วล่ะวิณณ์” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ล้อเล่น ดูเหมือนจะให้เบียทรีซหงุดหงิดมาก


“ขอโทษ”


“ไม่ให้อภัย สก๊อต” เบียทรีซใช้ดวงตาสีทองของตัวเองประสานไปยังดวงตาสีฟ้าของสก๊อต


“ครับ จะจัดการให้ ต้องขออภัยจริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้” สก๊อตก้าวเข้ามาโค้งศีรษะขอโทษ


“ไม่ใช่ความผิดเจ้า วิณณ์กลับ”


“แต่สก๊อต...” จะปล่อยให้สก๊อตจัดการทั้งหมดแบบนี้ไม่ได้นะ ทั้งเรื่องผมทั้งเรื่องการปรากฎตัวของเบียทรีซ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะอธิบายได้ง่ายๆ


“ไม่มีแต่ จะอยู่โปรยเสน่ห์ให้หลงอีกเท่าไหร่ถึงจะพอล่ะ”


“ไม่ได้โปรย...”


“แค่ข้าหลงคนเดียวยังไม่พอรึไง” คำพูดนั่นไม่ได้แค่ทำให้ผมเงียบแต่ยังส่งผลต่อบรรยากาศโดยรอบ เบียทรีซไม่สนใจอะไรอีกคว้าแขนผมดึงให้เดินตามไป พอผ่านบานประตูโต๊ะลงทะเบียนที่ควรจะอยู่ด้านหน้ากลับกลายเป็นห้องนอนแสนคุ้นเคย


ทางเชื่อมมิติ?


ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรร่างผมก็ถูกเหวี่ยงลงไปกลางเตียงก่อนจะมีร่างของเบียทรีซตามขึ้นมาคร่อมไว้ ความมัวของแว่นไม่ได้ทำให้ความหมายที่อีกฝ่ายพยายามสื่อมาเพี้ยนไป


“เบียทรีซ...อื้ออ~!” จูบหนักๆ ทาบทับลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ปลายลิ้นของเบียทรีซลุกล้ำเข้ามาตอกย้ำตามแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่


รสสัมผัสของจูบในครั้งนี้ต่างจากทุกๆ ครั้ง ความหนักหน่วงยามกดย้ำสัมผัสรุนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เด่นชัดขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใดๆ เบียทรีซกำลังบอกว่าผมเป็นของเขา


อาการขัดขืนในตอนแรกเพราะความตกใจหายไปในเวลาไม่กี่วินาทีก็กลายเป็นคล้อยตาม ยินยอมให้ถูกสัมผัสโดยปราศจากการขัดขืน เป็นจูบที่ยาวนานกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยจูบมา ก่อนอากาศจะหมดเบียทรีซถึงยอมปล่อยให้ผมได้มีโอกาศกอบโกยลมหายใจทว่าได้หายใจเพียงไม่นานก็ถูกริมฝีปากนั้นประกบลงมาอีกครั้งหนึ่ง กว่าจะหยุดจูบร่างกายผมก็อ่อนแรงจนแทบขยับไม่ได้แล้ว


“คิดจะทำอะไรวิณณ์” คำถามแรกหลังจากจูบมรทอนดังขึ้น


“...ทำอะไร ผมไม่เข้าใจ”


“ไปร่วมงานเลี้ยงท่ามกลางผู้คนในสภาพนี้ เริ่มอยากลองใช้เสน่ห์ตัวเองดึงดูมนุษย์แล้วรึไง” เบียทรีซขยายความเพิ่มให้


“ไม่ใช่นะ ผมได้ยินมาว่าเลขาสก๊อตติดจัดการปัญหาเลยไปร่วมงานด้วยไม่ได้ ผมคิดว่าให้ประธานบริษัทไปออกงานคนเดียวมันดูไม่ดีผมเลยอาสาที่จะช่วย” ใช้เสน่ห์อะไรผมใช้เป็นที่ไหนกัน


“ช่วย? โดยการดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องมายังเจ้างั้นสิ หัดรู้ตัวหน่อยวิณณ์ตัวเจ้าในตอนนี้มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดไม่ใช่แค่มนุษย์แต่ดึงดูดพวกปิศาจด้วย ยิ่งนิสัยเจ้าชอบเปิดช่องว่างปล่อยให้เข้าถึงตัวได้ง่ายๆ ไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด ถ้าไม่ได้ข้าจัดการเจ้าพวกน่ารำคาญให้เจ้าไม่รอดจนถึงตอนนี้หรอกรู้ไว้ด้วย” หมายถึงเพราะผมเปิดช่องเลยทำให้ถูกรุกเข้ามาได้ง่ายสินะ


“...ครั้งหน้าผมจะระวัง”


“คิดว่าข้าจะให้มีครั้งหน้าอีกรึไง ต้องทำให้ข้าแสดงความเป็นเจ้าของขนาดไหนถึงจะพอกัน” เบียทรีซพูดต่อด้วยใบหน้าหงุดหงิด น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกใจเต้นขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายกำลังทำหน้ามุ่ย


ความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญเป็นแบบนี้นี่เอง


“เบียทรีซ...”


“เจ้าน่ะเป็นของข้าวิณณ์”


“อืม...ผมเป็นของเบียทรีซ” เรื่องนี้ผมรู้ดี


“ถ้ารู้ตัวก็อย่าห่างสายตาข้าไปไหนอีก”


“แต่ว่างาน...”


“ให้สก๊อตเอางานมาให้เจ้าทำที่นี่”


“แต่...”


“ไม่มีแต่วิณณ์ ดีแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่จัดการพวกมนุษย์ที่กล้ามาแตะของๆ ข้า” อีกฝ่ายจบเรื่องนี้โดยไม่ถามความสมัครใจ


“ให้สก๊อตจัดการจะไม่เป็นไรเหรอ ต้องมีหลายคนที่สงสัยแน่” ผมถามต่อ


“สก๊อตมีวิธีจัดการ คิดว่าเขาอยู่ที่โลกมนุษย์มาเท่าไหร่ล่ะ”


“...สัก 50 ปีมั้ง”


“หึ 200 ปี คือเวลาที่สก๊อตอยู่ที่โลกมนุษย์ ธุรกิจที่เจ้าเห็นก็เป็นแค่ธุรกิจฉากหน้าเล็กๆ เท่านั้นแหละเพราะถ้าทำตัวเป็นจุดสนใจเกินไปมันจะลำบาก” คำอธิบายนั่นทำเอาผมอึ้งไปเลย อยู่มานานหลายศัตวรรตเลยเหรอเนี่ย


“แปลว่าจัดการได้สินะ”


“ตามนั้น เจ้าไม่ได้โดนทำอะไรใช่ไหม” เบียทรีซถามกลับเสียงแข็ง


“...แค่โดนแตะๆ นิดหน่อย”


“คงปล่อยไปไม่ได้แล้ว”


“ใจเย็นก่อนเถอะเบียทรีซ ผมไม่เป็นไรสักหน่อย” แค่โดยจับนิดๆ หน่อยๆ เอง


“วิณณ์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะช่วยข้าในหลายๆ เรื่อง แต่ข้าไม่ได้อยากให้เจ้ามาทำอะไรพวกนี้หรอกนะ” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูด


“...สก๊อตก็บอกว่าคุณไม่ได้ต้องการให้ผมทำแบบนี้”


“แล้วเจ้านั่นพูดอะไรอีก”


“บอกว่าแค่ผมคอยอยู่ข้างๆ คุณก็พอแล้ว” นั่นเป็นคำพูดที่สก๊อตบอก


“รู้แล้วก็ทำตามซะ”


“แต่ผมอยากช่วยนี่”


“การที่มีเจ้าอยู่ถือเป็นการช่วย”


“...เข้าใจแล้ว...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ผมอยากบอกขอโทษอีกสักครั้ง


“อย่าทำอีกก็พอ”


“ยกโทษให้ผมรึยัง” ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าไม่ให้อภัย


“แค่ครั้งนี้” เบียทรีซมองผมสักพักก่อนจะยอมยกโทษให้


“ขอบคุณนะ” แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย


“รีบไปอาบน้ำแล้วมานอน”


“คุณอาบแล้ว?” ผมถามกลับ


“อาบแล้ว” เห็นอีกฝ่ายใส่ชุดเดิมนึกว่ายังไม่อาบซะอีก


ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำและแต่งตัว หลังจากผ่านการใช้สมาธิทำงานกับการออกงานสังคมทำให้รู้สึกอ่อนล้ากว่าปกติ แม้จะรู้สึกว่าสาเหตุจริงๆ จะมาจากจูบมรทอนที่เบียทรีซมอบให้ก็ตามที


พอออกมาจากห้องไฟดวงใหญ่ก็ดับลงเหลือเพียงไฟหัวเตียงเสียงสองข้างที่ส่องสว่างอยู่ ร่างของผมถูกคว้าเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดทันทีที่ขึ้นมานอนบนเตียง แสงไฟสลัวดับลงพร้อมกับความเงียบสงบยามค่ำคืนที่จะพาทุกคนไปสู่การหลับใหลทว่าในหัวผมกลับมาเรื่องนึงที่คาใจอยู่เลยส่งผลให้นอนไม่หลับ


“นอนไม่หลับ?” เบียทรีซรู้สึกถึงการขยับของผมในอ้อมกอดเลยเอ่ยถาม


“นิดหน่อย...นี่เบียทรีซ ผมมีเรื่องอยากถามได้ไหม” ผมลองขอ


“ว่ามา”


“คือ...ผมน่ะจะเรียกว่าเป็นแฟนคุณได้รึเปล่า” ใช้เวลาสักพักใหญ่เลยกว่าผมจะสามารถเอ่ยคำถามนั้นออกไปได้ มันเป็นเรื่องที่ผมอยากรู้มาตลอดแล้วตอนนี้ดูเหมือนความอยากรู้นั่นจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว


อยากรู้ว่าสำหรับเบียทรีซผมเป็นอะไรกันแน่


ฐานะของพวกเราในตอนนี้คืออะไร


คนรับใช้เหรอ


“ไม่ได้” คำตอบของเบียทรีซดังขึ้นแทบจะทันทีหลังถามจบ


“...” ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมห้องเช่นเดียวกันกับหัวใจผมที่เหมือนกำลังจะหยุดเต้น คำปฏิเสธของเบียทรีซแปลว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผมแต่การกระทำของเขาบอกว่าผมเป็นคนพิเศษ


สรุปแล้วความจริงคืออะไรกันแน่


“วิณณ์ หลับแล้วเหรอ” เบียทรีซถามบ้าง สงสัยเห็นผมเงียบเลยคิดว่าหลับไปแล้ว


“...มีแค่ผมคนเดียวเหรอที่ชอบ ไม่สิ รัก มีแค่ผมคนเดียวเหรอที่รักคุณ” แม้จะติดขัดแต่ก็สามารถเอ่ยออกไปตามที่คิดได้สำเร็จ


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น”


“...คุณบอกเองนี่ว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน”


“ใช่ ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นแฟนกัน”


“...” พอมาฟังซ้ำอีกรอบแล้วเจ็บเหมือนกันแฮะ นี่คือความรู้สึกของคนอกหักเหรอ


“ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้ามันไม่ได้เปราะบางเหมือนคำว่าแฟนที่มนุษย์ใช้เรียกความสัมพันธ์ในระยะดูใจนั่นหรอกนะ เพราะข้ามั่นใจในความรู้สึกนี้...เจ้าเป็นของข้า...และจะเป็นตลอดไปด้วย”


“...เบียทรีซ” มีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยแต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำ


“ถ้าเจ้าอยากได้ฐานะ ข้าจะมอบให้เพียงแต่ถ้าเจ้ารับไปแล้วก็ไม่มีสิทธ์คืนตลอดชีวิต ซึ่งเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” ผมถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย


ตอนแรกเหมือนจะเป็นคนใจกว้างแต่ยังไงเบียทรีซก็ยังคงเบียทรีซ


“ผมไม่ปฏิเสธหรอก บอกผมได้ไหมว่าจะให้ผมเป็นอะไร”


“คนรัก...เจ้าเป็นคนรักของข้าวิณณ์”


แทนที่จะโล่งใจในความสัมพันธ์ที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดกลับกลายเป็นว่าเพราะคำพูดนั้นของเบียทรีซทำให้ผมนอนไม่หลับไปตลอดทั้งคืน

...............................................

อ่านจบกันแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ

เราชอบมากเลยเวลาแต่งช่วงที่เบียทรีซออกอาการหึงหวงวิณณ์

ทุกคนคงได้ยินกันแล้วว่าสถานะของวิณณ์คือคนรักของเบียทรีซ

ในที่สุดก็เป็นได้บอกจนได้หลังจากบอกรักกันไปตั้งหลายตอน

เรื่องนี้อาจหวานมากแต่งบอกเลยว่ามีจุดที่เรียกน้ำตาด้วย

ตอนหน้าเจอกันค่ะ

ขอบคุณที่คอยติดตามมาเสมอนะคะ

ปล.อาทิตย์หน้าเราจะมีเปิดนิยายเรื่องใหม่ฝากติดตามด้วยน้าาา

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-03-2019 20:51:00
ใจเต้นแรงกับฉากจูบ เขาหึงงงงงงงงงงงง :o8:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-03-2019 22:22:22
หึง ห่วง หวง ห้าม ตายแน่ ๆ วิณณ์ แก้ตัวเอาเองนะ  o18
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 28-03-2019 20:06:32
เป็นคนรักแล้วจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-03-2019 21:57:28
วิณณ์น่ารัก อยากช่วยแบ่งเบา
แต่ก็มีเรื่องให้ได้ตามดูแล ตามหึง หวงได้ตลอด 

ว้าววว สักทีนะเบียทริซ คนปากแข็งยอมเผยตัวแล้ว

เป็นคนรัก ไม่ใช่แค่คนรับใช้ เข้าใจนะวิณณ์
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่18:⊱ 24/3/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 30-03-2019 23:06:42
ไม่ใช่แฟนแต่เป็นคนรัก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 31-03-2019 13:30:20
⊰บงการ:วันที่19:⊱



ในโลกปิศาจนั้นวันและเวลาเดินเหมือนกับโลกมนุษย์ ที่แตกต่างคงมีแค่วันสำคัญและงานเทศกาลที่ไม่เหมือนกัน หากเป็นโลกมนุษย์ในวันสำคัญหรือเทศกาลจะมีไม่น้อยเลยที่ประกาศให้หยุดเพื่อจะให้ทุกคนออกมาร่วมงานกันให้มาก คล้ายกับโลกปิศาจที่ในวันสำคัญจะมีประกาศแต่ไม่ได้หยุดงาน ตรงกันข้ามงานกลับมีมากขึ้นเพราะต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


วันพิเศษนี้คือวันฉลองการขึ้นครองราชครบ 150 ปีของเบียทรีซนั่นเอง งานเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ถูกจัดเตรียมให้เหมาะสมกับงานสำคัญเช่นนี้ตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน จำได้ว่าแกรนเข้ามาถามถึงธีมงานว่าอยากได้แบบไหนหรือโทนสีอะไรซึ่งเบียทรีซรวบตอบคำถามนั่นในประโยคเดียว...


"สีทอง"


ผมที่ได้ยินยังเผลอขมวดคิ้วตามไปไม่รู้ว่าที่แกรนพยักหน้าเข้าใจแล้วขอตัวออกไปเริ่มงานนั่นเข้าใจความต้องการของเบียทรีซจริงๆ น่ะเหรอ


ความสงสัยถูกไขกระจ่างในไม่กี่วันต่อมาที่แกรนนำเอาแผนงานพร้อมรูปประกอบมาให้เบียทรีซดู ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือการใช้โทนสีทองตามที่เบียทรีซต้องการก็ทำออกมาได้อย่างลงตัว ขนาดผมเฉยๆ กับสีทองยังคิดว่าสวยมากเลย มองโดยรวมเหมือนอยู่ในพระราชวังที่ถูกประดับประดาไปด้วยทองคำ


ว่ากันตามจริงก็เหมาะกับเบียทรีซจริงล่ะนะ


ตลอดการเตรียมงานหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีคำถามหนึ่งที่ค้างคาใจมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันงานถ้าจะถามสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


“นี่เบียทรีซ” ผมส่งเสียงเรียกเบียทรีซซึ่งนั่งทำหน้าเบื่ออยู่กับกองเอกสาร ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่เขาจะเบื่อผมเองที่เห็นอีกฝ่ายนั่งอ่านกองเอกสารอยู่ทุกวี่วันตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมายังรู้สึกเบื่อแทนเลย


หลายคนอาจมองว่าเป็นงานแสนสบายแค่นั่งอยู่โต๊ะอ่านเอกสารที่มีให้แล้วประทับตราอนุมัติกับไม่อนุมัติง่ายๆ แต่หากลองคิดดีๆ จะเห็นว่าในทุกๆ วันต้องนั่งก้นติดกับเก้าอี้มาเป็นเวลานับร้อยปี ร้อยปีนะไม่ใช่แค่ห้าสิบเหมือนมนุษย์ ใครจะไม่เบื่อบ้างล่ะแถมนิสัยของเบียทรีซไม่ชอบอะไรพวกนี้เท่าไหร่แค่ยอมทำจนเสร็จไปในแต่ละวันก็ดีเท่าไหร่แล้ว


“อะไร”


“มีเรื่องสงสัยนิดหน่อย ถามได้รึเปล่า” ผมเอ่ยถามทั้งที่มือและสายตายังคงถือเอกสารตัวเลขไว้ในมือ ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ผมถูกมนุษย์รุมล้อมในงานที่สก๊อตพาไปร่วมผมก็ถูกสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่าไม่ให้ออกไปไหนอีก ไม่เพียงแค่ไม่ให้ไปงานแต่ยังรวมไปถึงการไปทำงานอยู่บนตึกด้วย


ถึงจะสั่งห้ามแทบทุกอย่างแต่ด้วยปัญหาด้านบุคลากรที่ไม่เพียงพอนั้นเป็นเรื่องสำคัญเบียทรีซเลยยอมให้สก๊อตส่งลูกน้องหอบงานมาให้ผมช่วยได้ซึ่งปัจจุบันแม้จะผ่านมาหลายเดือนลูกน้องของสก๊อตก็ยังเข้าออกห้องทำงานนี้อยู่สัปดาห์ละสองถึงสามวัน
“ลองว่ามาก่อน” น้ำเสียงเบื่อหน่ายนั่นดูเหมือนคนใกล้จะสัปปะหงกเลย


“เห็นว่าวันนี้เป็นงานฉลองการขึ้นครองราชครบ 150 ปีของคุณ”


“แล้ว?”


“คุณไม่ได้อายุ 250 ปีเหรอ” ผมถามไปตามตรง เหมือนวันแรกที่ได้เจอกันอีกฝ่ายจะบอกว่าอายุ 230 ปี ผ่านมาถึงตอนนี้ก็มากกว่า 20 ปีแล้วที่ผมได้มาอยู่กับเบียทรีซ เป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะยาวนานแต่สำหรับผมยังรู้สึกเหมือนเพิ่งได้เจอเบียทรีซมาเมื่อไม่นานมานี้เอง


ยิ่งได้รู้ถึงความรู้สึกรักที่มีให้แถมยังได้รับความรู้สึกนั้นตอบก็ยิ่งทำให้รู้สึกเขินอายทุกครั้งที่มองหน้า ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ ไม่รู้ว่าผมจะเขินขนาดนี้ทำไมกัน


“ข้าอายุ 250 ปีแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับที่เจ้าจะถามยังไง” อีกฝ่ายถามกลับ


“ถ้าแบบนั้นตัวเลขขึ้นครองราชก็น่าจะเป็น 250 ปีสิไม่ใช่ 150” นี่แหละที่ผมคาใจมาตลอด งานฉลองขึ้นครองราชา 150 ปีแต่อายุของเบียทรีซคือ 250 ปี น่าสงสัยออก


“ข้าไม่ได้เกิดมาแล้วขึ้นได้รับตำแหน่งราชาเลยสักหน่อย”


“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” ผมเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นมาตลอดนะ เพราะได้ยินมาตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าราชาองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นทุก 800 ปี ด้วยพลังอันมหาศาลนั้นทำให้ปิศาจทุกตนสามารถรับรู้ได้ถึงความห่างชั้นและความแตกต่างของพลัง ผมเลยนึกว่าจะได้รับตำแหน่งราชามาตั้งแต่ตอนนั้นซะอีก


“ถึงปิศาจทุกตนจะรับรู้ว่าข้าเป็นราชาแต่การจะให้เด็กขึ้นรับตำแหน่งมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย ดีไม่ดีจะถูกจัดการได้ง่ายๆ เพราะพลังยังตื่นไม่เต็มที่” เบียทรีซบอก


“แล้วระหว่างนั้นคุณทำอะไรเหรอ” มีคนดูแลหรือว่าอยู่ด้วยตัวเอง


“ราชาองค์ก่อนส่งข้ารับใช้มาดูแลและคอยรับใช้จนข้าอายุครบ 50 ก็เริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกปิศาจเพื่อหาข้ารับใช้ของตัวเอง พอข้าอายุประมาณ 100 ราชาองค์ก่อนก็เสียชีวิตลงข้าจึงได้ขึ้นเป็นราชาองค์ต่อมา” คำอธิบายต่อมาสร้างความอยากรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดให้แก่ผม


“การออกเดินทางเพื่อหาข้ารับใช้นี่หรือว่า...” ผมเริ่มเดาเหตุการณ์บางอย่างได้แต่ไม่รู้ว่าจะถูกตามที่คาดไว้หรือเปล่า


“ตามที่เจ้าคิดแหละ ทั้งชารอน เตโช แกรนหรือแม้แต่สก๊อตข้าก็เป็นคนเจอและพาพวกเขาเข้ามาปราสาทนี้ด้วยกัน”


“เจอกับแม่ผมได้ยังไงเหรอ” อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ให้มากกว่านี้ ตอนเด็กๆ เคยถามพ่ออยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นจำได้ว่าคุณพ่อไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากบอกว่าเป็นคนที่ทั้งสวยและเท่มาก ญาติของแม่ก็ไม่มีเลยไม่เคยได้รู้อะไรอีก


ครั้งนี้มีโอกาสที่จะได้รู้ผมเลยไม่อยากพลาด


“ชารอนน่ะเหรอ เจอในสนามต่อสู้...ข้ายังจำภาพผู้หญิงร่างกายบอบบางกระแทกเข่าใส่ใบหน้าชายร่างยักษ์ได้ติดตาอยู่เลย ทั้งพลังและความแข็งแกร่งเป็นคำอธิบายถึงตัวชารอนได้ดีที่สุด” มุมปากของเบียทรีซยกขึ้นเล็กน้อยยามพูดถึงเรื่องของคุณแม่ คำว่าข้ารับใช้ที่เบียทรีซมักพูดผมรู้สึกนะว่ามันไม่ได้สื่อถึงระดับที่ต่ำกว่าแต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว


“งั้นผมล่ะ” ครั้งนี้ผมหันไปหาเบียทรีซบ้าง


“เจ้าทำไม” คนถูกถามวางเอกสารแสนน่าเบื่อลงบนโต๊ะแล้วเปลี่ยนความสนใจมาทางผมแทน


“ถ้าพลังและความแข็งแกร่งอธิบายถึงแม่ แล้วผมล่ะจะใช้คำไหนอธิบาย” ผมถามต่อด้วยความอยากรู้ คำที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองเหรอ...เบียทรีซจะให้คำว่าอะไรกับผมนะ


“เจ้าน่ะเหรอ เยอะเลยล่ะ” รอยยิ้มมุมปากนั่นดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดี


“อะไรบ้างๆ” มีเยอะซะด้วย


“ซุ่มซ่าม เป๋อเหล๋อ หน้างง โกหกไม่เป็น นั่นแหละตัวเจ้าวิณณ์” เบียทรีซเอ่ยพร้อมอมรอยยิ้ม ประกายในดวงตานั้นเหมือนถูกใจประโยคที่พูดออกมาซะเต็มประดา


“...ไม่เห็นเท่เลย” ถึงจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นความจริงทั้งหมดก็เถอะ


“เจ้าไม่เท่มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”


“ก็ผมอยากได้คำที่มันดูเท่ๆ บ้างนี่” ของคุณแม่ยังเป็นพลังกับความแข็งแกร่งเลย


“งั้นเจ้าลองบอกคำที่อธิบายถึงตัวข้าดูหน่อยสิ” เบียทรีซถามกลับ


“...คำที่สื่อถึงเบียทรีซเหรอ...ก็เยอะเหมือนกันนะ”


“พูดมาให้หมด”


“เอาแต่ใจ ชอบบงการ เอาใจยาก ขี้รำคาญ เจ้ากี้เจ้าการ ขี้หงุดหงิด ไม่ค่อยมีเหตุผล ชอบปิดบังแถมยังเจ้าเล่ห์อีก...”


“วิณณ์!” เบียทรีซเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความไม่พอใจ


“ทั้งคอยห่วงและคอยดูแลแต่ก็ไม่เคยจะยอมรับสักที แต่ทุกการกระทำของคุณมันแฝงไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ ที่ผมเคยเจอมา” ผมพูดต่อพลางใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมประสานไปยังดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซ พริบตาเดียวที่ดวงตาประสานผมรีบเบนหน้าหนีไปอีกฝั่งด้วยความรู้สึกเก้อเขิน


เจอกันอยู่ทุกวันไม่รู้ทำไมถึงยังรู้สึกแบบนี้อยู่อีกเหมือนเด็กสาวแรกรักเลย


จะว่าไปก็ไม่ผิดซะทีเดียวถึงจะไม่ใช่เด็กสาวแต่แรกรักนี่ก็ตรงอยู่ แฟนผมเคยมีแต่ก็แค่นั้นความรู้สึกตอนอยู่กับเธอคนนั้นไม่ได้ทำให้ใจเต้นเหมือนอย่างเบียทรีซในตอนนี้


“หลบตาทำไมวิณณ์” เบียทรีซไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปตามคาด


“...เปล่า ไม่มีอะไร”


“ไม่มีอะไรที่ไหนล่ะ ตอบมา”


“ก็บอกว่าเปล่า”


“ข้าคงเชื่อเจ้าหรอก”


“...เชื่อหน่อยไม่ได้เหรอ”


“ไม่ได้” อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง


“ผมไม่พูดได้รึเปล่า” ผมลองขอแม้จะรู้คำตอบ


“ไม่ได้”


“...อย่าใจร้ายสิเบียทรีซ”


“ข้าจะใจร้ายกว่านี้ถ้าเจ้ายังไม่ตอบมา” คำพูดนั้นทำเอาผมหันควับไปหาเจ้าของเสียงทว่ายามดวงตาคมๆ สอดประสานผมก็รีบหันไปมองภาพวิวข้างนอกแทนอย่างรวดเร็ว


ไม่ไหว...หัวใจมันเต้นเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้


“เอ่อ...”


“วิณณ์” ผมที่กำลังคิดว่าต้องเอ่ยอะไรออกไปสักอย่างกลับถูกเบียทรีซเรียก


“อะไรเหรอ”


“มานี่...ลุกมาหาข้า” ภายในหัวปฏิเสธคำพูดของเบียทรีซทว่าร่างกายกลับไม่ฟังลุกขึ้นก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายที่หมุนเก้าอี้มารอ ตลอดการก้าวผมมองเพียงพื้นกระเบื้องสีครีมบริเวณปลายเท้าเท่านั้น


“...มีอะไรล่ะ”


“คิดจะคุยกับข้าในสภาพนี้?” สภาพที่พูดถึงคงไม่พ้นผมที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่เป็นแน่


“ไม่ได้เหรอ...อ๊ะ!” อีกฝ่ายไม่รอให้ผมพูดจบประโยคคว้าแขนผมแล้วดึงแรงๆ จนร่างกายเซล้มไปอยู่บนตักของเบียทรีซในสภาพหันหน้าเข้าหากัน


นี่ผมชักจะอยู่บนตักของเบียทรีซบ่อยเกินไปแล้วนะ!


“เงยหน้ามองข้า”


“...” ผมส่ายหัวดิ๊กๆ แทนคำตอบทั้งที่ก้มหน้าลง


“วิณณ์”


“...มีอะไรก็พูดมาเลยเถอะ” จะให้เงยหน้าขึ้นไปมองตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ


“เงยหน้าขึ้นมามองข้า...วิณณ์” เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงนั้นดึงดูดให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปหาเบียทรีซโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีทองสว่างที่จ้องมองอยู่ก่อนทว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนให้ทวีความรุนแรงขึ้นไม่อีก


ยิ่งกว่าเขินหรืออายอีก เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้


“อย่ามอง” ผมรีบใช้มือปิดใบหน้าของตัวเองที่บัดนี้คงแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศเป็นแน่


น่าอายเกินไป


ขืนให้อยู่แบบนี้ต่อไปผมได้สลบคาที่ในไม่ช้าแน่


“จะเอามือปิดทำไม” เบียทรีซดึงมือที่ผมใช้ปิดหน้าอยู่ออกโดยไม่ต้องใช้พละกำลังมากมาย


“ผมอาย ไม่ไหวแล้ว”


“อายข้า?”


“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใครเล่า!” ผมพพูดเสียงดัง รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะแกล้งให้ผมตอบคำถามน่าอายนั่นอีก


“จะมาเขินอายอะไรเอาตอนนี้ล่ะวิณณ์ พูดให้ถูกเจ้าเริ่มหลบตาข้าตั้งแต่ได้รู้ฐานะของตัวเอง” เขาพูดไม่ผิดหรอก...เป็นแบบนั้นจริงๆ


ต้นเหตุของอาการนี้มาจากถ้อยคำที่กระซิบบอกพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับแน่นจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ ยามคำว่า ‘คนรัก’ ถูกเอ่ยออกมาหัวใจก็ส่งเสียงอย่างหนักทำเอาคืนนั้นผมถึงกับหลับไม่ลง


ถ้าจะให้โทษว่าเป็นความผิดใครก็คงจะเป็นตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้จนทำตัวเป็นปกติไม่ได้


“มันห้ามได้ที่ไหนล่ะ” ใช่ว่าผมอยากจะเป็นแบบนี้สักหน่อย


“มองกันบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”


“ผมจะแย่ก่อนน่ะสิ” ก่อนจะชินผมคงได้หัวใจล้มเหลวก่อนพอดี


“นั่นสิ ขืนเจ้ายังเขินหน้าแดงแถมยังทำตัวแบบนี้ เจ้าได้แย่แน่วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซเหมือนกำลังสื่อบางอย่างที่อันตรายต่อตัวผมเองเลย


“...เบียทรีซ”


“รีบกลับมาเป็นปกติก่อนที่เจ้าจะแย่ซะเอง” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซขยับหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเราสัมผัสกับเบาๆ


“ทำไมถึงมีแต่ผมที่เขินกัน” ผมบ่นเสียงแผ่ว


“อะไร”


“ทำไมคุณไม่เห็นเขินหรือมีท่าทีอะไรเลยล่ะ ทั้งที่เราเป็นคะ...คนรักกัน” พอพูดเองแล้วรู้สึกใจสั่นแปลกๆ


“ก็ไม่มีเหตุผลให้เขินนี่” อีกฝ่ายตอบกลับ


“ไม่แฟร์เลย”


“ตรงไหนกัน”


“ผมจะทำให้คุณเขินบ้าง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงฮึกเฮิม


“หึ จะทำให้ข้าเขิน?”


“ใช่”


“ไม่มีทาง” ใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั่นทำเอาความฮึกเหิมที่มีในตอนแรกปลิวหายไปในเสี้ยววินาที ต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะเรียกความรู้สึกนั้นกลับมาได้


ก็จริงมันอาจยากเพราะผมแทบจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเขินอายเลย จะให้หาวิธีก็ได้อยู่แต่ในสภาพที่นั่งตักมองหน้าเบียทรีซอยู่แบบนี้หัวไม่แล่นเลย ถึงปกติหัวจะไม่แล่นอยู่แล้วก็เถอะ


อะไรที่ยากๆ ผมคงทำไม่ได้เพราะงั้นควรจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำได้ และถ้าให้ลองคิดหาวิธีก็คงต้องใช้เบียทรีซเป็นแบบอย่าง อะไรที่เบียทรีซทำแล้วผมเขิน อะไรที่ทำแล้วใจเต้น...


แค่ผมลองทำแบบเดียวกันก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายเขินได้


ไม่รู้ว่าความคิดตื้นๆ แบบนี้จะใช้ได้ผลกับเบียทรีซรึเปล่า


“เบียทรีซ”


“อะไร...” คำพูดของคนถูกกเรียกขาดห้วงไปยามถูกผมโผลเข้ากอด ใช้แขนสองข้างกอดอีกฝ่ายสักพักก่อนจะโอบคอเบียทรีซให้โน้มลงมาโดยที่ผมเงยหน้าขึ้นไปแนบริมฝีปากลงไปยังปากของเบียทรีซ ดวงตาสีทองสว่างเบิกกว้างขึ้นเพียงเล็กน้อยทว่าดวงตานั่นเริ่มสั่นระริกเมื่อผมกลั้นใจรุกล้ำปลายลิ้นเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายอย่างไม่ประสา


ผมไม่เก่งเรื่องจูบเพราะเคยทำแทบนับครั้งได้ ถึงตอนนี้จะมีประสบการณ์มากขึ้นจากการถูกเบียทรีซจูบอยู่บ่อยๆ แต่ก็มักจะถูกอีกฝ่ายรุกหนักและชักนำให้ผมคล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมก็พยายามใช้ประสบการณ์เหล่านั้นมารุกจูบเบียทรีซให้หนักเท่าที่จะทำได้


อากาศภายในปอดเริ่มน้อยลงทุกที ก่อนจะสิ้นสุดการรุกอันแสนยาวนานผมกดย้ำปลายลิ้นพัวพันกับอีกฝ่ายแล้วผละออก ถึงจะอายจนอยากก้มหน้าหนีแต่ผมต้องกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองเบียทรีซซึ่งบัดนี้เป็นฝ่ายเบนหน้าหลบสายตาผมแทน ถึงจะหลบเลี่ยงไม่ให้มองใบหน้าตรงๆ แต่ผมก็ยังเห็นใบหน้าที่เห่อแดงขึ้นเล็กน้อยนั่นได้ชัดเจน


“...เบียทรีซ...เขินเหรอ” ผมถามตามภาพตรงหน้า


“พูดอะไรของเจ้า”


“แต่หน้าคุณแดงนะ” กลบเกลื่อนไปก็เท่านั้น ภาพมันฟ้องอยู่


“วิณณ์!” เสียงเรียกนั่นเหมือนจะสื่อให้ผมหยุดพูด


“สำเร็จแล้ว คุณเขินผมด้วย” ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลนะเนี่ย


“เลิกพูดไร้สาระ”


“คุณเขินผม”


“หยุดพูดวิณณ์!”


“ฮิฮิ...คุณหน้าแดง อุ๊บ! อื้อออ~!” เบียทรีซจับปลายคางผมให้เชิดขึ้นก่อนจะกดจูบอันรุนแรงลงมาแนบสนิทเพื่อหยุดผมที่พูดล้อไม่หยุด ยามปลายลิ้นสัมผัสและเกี่ยวพันมันดุดันแล้วเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากกว่าตอนที่ผมจูบก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า


ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาไปทั่วทั้งร่างกาย สร้างความร้อนรุ่มให้เกิดและทยานขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ผมพยามถอยหนีเพื่อลดความหนักหน่วงของจูบแต่เบียทรีซกลับไม่ยอมดึงตัวผมให้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นโดยที่ริมฝีปากยังคงไม่แยกจาก


กว่าเขาจะยอมปล่อยให้ผมได้หายใจอากาศในปอดก็ลิบหรี่เต็มที ไม่เพียงแค่หัวใจเต้นดังจนจวนจะหลุดออกมานอกอกแต่ยังรวมไปถึงความร้อนจากทั่งร่างกายมารวมอยู่บนใบหน้า เพิ่งเคยรู้สึกทั้งเหนื่อยและเขินไปพร้อมๆ กันก็วันนี้เอง


“ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าให้หยุด เจ้าไม่ยอมหยุดเองนะวิณณ์” เบียทรีซบอกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น


“...คุณนี่” เอาคืนผมใช่ไหม


“ตอนนี้เจ้าหน้าแดงก่ำเลย”


“หยุดล้อผมนะ”


“เสียงหัวใจเองก็เต้นดังขนาดอยู่ตรงนี้ข้ายังได้ยินชัดเจนเลย” เบียทรีซยังคงพูดต่อโดยไม่สนใจว่าผมจะบอกให้หยุด


“เบียทรีซ!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังลั่นด้วยความเขินอาย


“ถ้ายังไม่เลิกพูดกวนข้า เจ้าได้อายมากกว่านี้แน่”


“อึก...คุณเองก็อายเหมือนกันแหละน่า”


“ดูเหมือนแค่จูบครั้งเดียวจะไม่พอสำหรับเจ้าสินะ”


“...ไม่เอาแล้ว” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะกำลังปิดปากตัวเองด้วยสองมือ


“หึ ไปเตรียมตัวได้แล้ว งานจะเริ่มในอีกไม่ถึง 3 ชั่วโมง” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูดพลางหันไปมองนาฬิกาเรือนสีทองบนโต๊ะ


“แต่เอกสารยังเหลืออีกเยอะเลยนะ” ผมเองก็ไม่อยากวกกลับไปเรื่องเดิมอีก ถูกจูบดูดดื่มขนาดนั้นขาผมยังยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ


“ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ”


“อืม งั้นไปแต่งตัวกันดีกว่า ชุดผมก็เป็นสีน้ำตาลตัวเดียวกับงานวันเกิดคุณเนอะ” ถ้าพูดถึงชุดเป็นทางการผมมีแค่ชุดนั้นชุดเดียวซึ่งแทบนับครั้งได้เลยที่ผมใส่ออกไปไหน หากไม่ใช่งานใหญ่ผมจะใส่แค่ชุดสูทธรรมดาแต่งานวันนี้ถือว่าใหญ่มากคงต้องใส่ตัวนี้แหละ


“ใครบอกให้เจ้าใส่ตัวนั้น” เบียทรีซเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน


“ไม่ใช่เหรอ”


“ข้าสั่งตัดชุดใหม่ให้เจ้าแล้ว”


“ตัดใหม่? แต่ชุดนั้นยังใส่ไปไม่กี่ครั้งเองนะ”


“ชุดนึงใส่แค่สองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว รีบไปเตรียมตัว” อีกฝ่ายลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยให้ผมลงจากตักไปก่อน จุดหมายของเบียทรีซคือห้องแต่งตัวขนาดยักษ์ที่เชื่อมต่อกับห้องน้ำและห้องนอน


ห้องแต่งตัวของเบียทรีซไม่ใช่หรูแต่ต้องใช้คำว่าโครตหรู นอกจากจะใหญ่ทัดเทียมกับบ้านทั้งหลังแล้วยังแบ่งออกเป็นโซนตามวาระโอกาสต่างๆ ในตอนนี้ห้องแต่งตัวนี่มีโซนเสื้อผ้าของผมถูกทำขึ้นมาใหม่โดยจะมีชุดลำลองปกติ ชุดนอนและชุดสำหรับงานเลี้ยงจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ


ชุดใหม่ที่เบียทรีซบอกถูกแขวนอยู่ด้านหน้าสุดของราว เรียกว่าเด่นมากแต่ผมกลับเคยเห็นเอาวันนี้เอง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเอามาแขวนไว้ได้ไม่นาน ชุดแบบทางการของโลกปิศาจไม่ต่างอะไรกับชุดออกงานของโลกมนุษย์นักเพียงแต่มีความแวววาวและให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าฉากหนังโซนยุโรปสักเรื่อง


ตัวเสื้อสีครีมมีผ้าผูกคล้ายเนคไทค์สีฟ้าครามรวมกับเสื้อสูทสีฟ้าเข้มและกางเกงเข้าชุดกัน เป็นโทนสีสดใสซึ่งเหมาะกับงานเลี้ยงฉลองกว่าชุดสีน้ำตาลตัวก่อน สำหรับเบียทรีซด้วยใบหน้าและบรรยากาศรอบกายก็ทอประกายเจิดจ้าอยู่แล้วพอใส่ชุดเน้นสีทองมองเผินๆ นึกว่าเบียทรีซเรืองแสงได้


บรรยากาศของงานแทบจะเหมือนกับงานฉลองวันเกิดนอกจากในส่วนของการจัดโต๊ะสำหรับนั่งซึ่งจะจัดให้โต๊ะของเบียทรีซอยู่หัวโต๊ะโดยมีผมนั่งเยื้องไปทางซ้าย ฝั่งตรงข้ามผมคือแกรน ถัดไปอีกนิดคือสก๊อตและเตโชไปจนถึงบักเก็ตรวมไปถึงเหล่าปิศาจอีกหลายๆ ตนที่ทำงานอยู่ในปราสาท เรียกว่าการร่วมโต๊ะครั้งนี้มีเพียงผู้ที่ทรงอำนาจก็ไม่ผิดนัก


ช่วงแรกของงานเป็นการกล่าวเปิดงานโดยมีปิศาจตนหนึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรแล้วส่งไมค์ต่อให้กับปิศาจหลายตนพูดแสดงความยินดีก่อนไมค์จะมาอยู่บนมือเบียทรีซ ประโยคที่เบียทรีซพูดค่อนข้างสั้นเป็นเชิงบอกขอบคุณที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ก็แค่นั้น


เมื่อผ่านช่วงแรกไปการแสดงร่ายรำก็แสดงเป็นชุดแรก ความอ่อนช้อยและงดงามนั่นตรึงสายตาผมให้จับจ้องไปตั้งแต่เริ่มยันจบเพลง แต่พอหันไปมองเบียทรีซอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจการแสดงนั่นสักนิดแถมสายตายังหันมาทางผม ดูจากรูปการณ์คงไม่ได้เพิ่งมองมาด้วย ทันทีที่การแสดงที่ 2 เปิดฉากอาหารจานแรกก็ถูกเสิร์ฟเรียงตั้งแต่เบียทรีซ ผมและไปยังคนอื่นๆ เซ็ตอาหารถูกเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องดื่มสีเขียวในแก้วสีทองใสทำให้เวลามองผ่านแก้วสีของมันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำของต้นไคม์จะมีสีเขียวเข้มคล้ายสีของใบเตยคั้นสดทว่ารสชาติของมันกลับเหมือนน้ำผลไม้รวม



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 31-03-2019 13:30:48
(ต่อนะคะ)


ผมมองน้ำในแก้วแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย รสชาติของน้ำผลไม้ให้ความสดชื่นเหมาะจะจิบก่อนลงมือในมื้ออาหารซึ่งพอผมจิบเสร็จก็เตรียมจะหันไปคุยกับเบียทรีซแต่แล้วสีเขียวเข้มของน้ำไคม์ในมือของเบียทรีซเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมให้หรี่ลงเพื่อวิเคราะห์


“อย่าเพิ่งดื่มนะเบียทรีซ!” ผมเอ่ยเสียงค่อนข้างดังเพราะในหัวกำลังประมวลผลอยู่ และเพราะเสียงที่ค่อนข้างดังนั่นส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมายังผม อีกทั้งการแสดงยังหยุดชะงักไปด้วย


“มีอะไรวิณณ์” เบียทรีซถามกลับ


“ผมว่าน้ำมันสีแปลกๆ”


“แปลก?” เบียทรีซก้มมองน้ำในแก้วพร้อมขมวดคิ้วแน่นคล้ายจะบอกว่าแปลกตรงไหน


“...ให้กาเนอร์มาดูดีไหม” ผมเสนอ ทั้งน้ำและอาหารกาเนอร์เป็นคนคิดเมนูและทำด้วยตัวเองในส่วนของเบียทรีซ ผมคิดว่าเขาต้องรู้ถึงความผิดปกตินี่แน่


“ทำไม เกิดอะไรขึ้น” อีกฝ่ายถามต่อ


“ผมว่ามันผิดปกติ”


“ตามกาเนอร์มา” เบียทรีซมองประสานมายังดวงตาผมเหมือนกำลังค้นหาบางอย่างก่อนจะหันไปบอกปิศาจรับใช้ให้เรียกกาเนอร์ออกมาพบ


ตอนนี้เริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นประมาณว่าผมก่อกวนงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ทั้งที่เริ่มเปิดฉากมาได้ไม่นานในทางกลับกันพวกแกรนต่างขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิดบางอย่างอยู่ เตโชกวักมือเรียกลูกน้องตนเองแล้วกระซิบบางอย่าง พอได้รับคำสั่งจากเตโชเขาพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากงานเลี้ยงไป


ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีกาเนอร์เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงในชุดพ่อครัว ก้มศีรษะลงทักทักทายเบียทรีซและปิศาจโดยรอยก่อนจะเริ่มการสนทนา


“เรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดองค์ราชา” กาเนอร์เปิดประเด็ดทันที


“ไม่ใช่ข้าที่มี แต่เป็นวิณณ์” เบียทรีซหันมามองทางผมระหว่างตอบกาเนอร์


“ท่านวิณณ์?”


“ผมว่าน้ำในแก้วของเบียทรีซสีมันไม่ใช่น้ำจากต้นไคม์” ผมบอกกาเนอร์ไปตามที่คิด


“หมายความว่ายังไง...ไม่ใช่จริงๆ ด้วย” กาเนอร์ก้มมองน้ำในแก้วเพียงเสี้ยววินาทีก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีตกใจ


“กาเนอร์” เสียงเรียกจากเบียทรีซดังขึ้น คงต้องการคำอธิบายละมั้ง


“ครับ สีของน้ำไคม์จะมีสีเสียวเข้ม ถึงจะเข้มแต่จะให้ความใสและแวววาวแต่น้ำในแก้วกลับมีความขุ่นข้น ขออภัยองค์ราชาน้ำในแก้วนี้ขอทรงอย่าดื่มเลย ให้กริซตรวจสอบดีกว่า” กาเนอร์สรุป


“ข้าให้คนไปตามกริซแล้ว” เตโชพูดบ้าง ก่อนหน้านี้คงสั่งลูกน้องเรื่องนี้ละมั้ง กริซเองก็เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเพียงแต่เขาขอตัวลุกไปด้านนอกก่อนหน้านี้ไม่นาน สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มตึงเครียดมากขึ้น กริซวิ่งเข้ามาภายในห้องก่อนจะได้รับคำสั่งให้ตรวจน้ำในแก้วทันที ในโลกปิศาจการจะตรวจสอบไม่ได้ใช้เวลานานเป็นวันเหมือนมนุษย์แค่ไม่กี่นาทีก็สามารถได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้แล้ว


“ผลเป็นยังไง” แกรนถามกริซที่กำลังอ่านค่าผลลัพธ์


“...น้ำนี่เป็นน้ำของต้นไคม์ แต่ในมีพิษใส่ผสมอยู่ครับ” พอกริซพูดจบเหล่าปิศาจที่นั่งอยู่เริ่มกระวนกระวายเพราะเดาได้ถึงเรื่องร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น


“มียาพิษงั้นเหรอ กาเนอร์เจ้าตรวจสอบก่อนให้ข้ารับใช้ยกมาเสิร์ฟข้ารึเปล่า” เบียทรีซหันไปถามกาเนอร์


“แน่นอนครับ ข้ามั่นใจว่าตอนอยู่ในห้องครัวยังเป็นน้ำไคม์ปกติ”


“ยาพิษตัวนี้ต่อให้เป็นปิศาจที่มีพลังสูงแค่ไหนหากเข้าไปในร่างกายก็มีสิทธิ์ทำให้เสียชีวิตได้ แถมยังเป็นพิษที่หากผสมไปในของกินก็ไม่ทั้งรสหรือกลิ่นแม้แต่สีเองก็จะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กับกาเนอร์เขาคลุกคลีอยู่กับวัตถุดิบมาหลายร้อยปีจึงสามารถแยกได้แต่ท่านวิณณ์ที่เพิ่งมาอยู่ในโลกปิศาจได้ไม่นานกลับสามารถรู้ได้ถือว่าประสาทสัมผัสนั้นสุดยอดมาก” คำพูดของกริซเหมือนจะเป็นคำชมผมนะ


“เจ้ารู้ได้ยังไง” เบียทรีซหันมาถามผม


“ก็มองแล้วสีมันแปลกผมเลยคิดว่ามันน่าจะมีอะไรผิดปกติ” ผมตอบไปตามจริง


“แกรน สก๊อต เตโช เจ้ามองรู้ไหมว่าสีมันแปลก” เบียทรีซเลื่อนแก้วที่ยังมีน้ำเหลือไปตรงหน้าทั้งสามคน


“ถ้ามองเผินๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยครับ” แกรนตอบ ส่วนสก๊อตกับเตโชได้แต่ส่ายหน้า


“นี่เจ้ามีความซุ่มซ่ามเป็นข้อเสียเดียวรึไง”


“ฮืม?” หมายถึงยังไง


“บักเก็ต เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร” เบียทรีซเลื่อนสายตาไปมองโต๊ะที่อยู่ถัดจากเตโชไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“ข้าเองก็อยากทราบเช่นกัน หากถามว่าใครน่าสงสัยท่านไม่คิดว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวท่านหรอกหรือ” บักเก็ตยกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ระหว่างตอบเขาชายตามามองทางผม


“เจ้าหมายถึงวิณณ์?”


“ตามที่ทรงเข้าใจ”


“บักเก็ต...” กาเนอร์เตรียมจะเดินเข้าไปหาบักเก็ตแต่กลับถูกแกรนและสก๊อตห้ามไว้ก่อน ผมก็เปรียบเหมือนลูกศิษย์ของกาเนอร์เขาสอนผมเรื่องวัตถุดิบโลกปิศาจ เรื่องน้ำของต้นไคม์เองที่ผมรู้ก็เพราะได้รับคำอธิบายตอนลงไปหากาเนอร์ที่กำลังคั้นน้ำอยู่


ผมไม่ได้เก่งแต่คำอธิบายของกาเนอร์ทำให้ผมเห็นภาพและจดจำไว้ พอสิ่งที่เห็นไม่เป็นไปตามคำอธิบายก็ไม่แปลกที่ผมจะรู้สึกเอะใจหรือสงสัย พอผมถูกกล่าวหากาเนอร์เลยอยู่เฉยไม่ได้


“เจ้าคงมีเหตุผลที่สงสัยวิณณ์สินะ” แม้เบียทรีซจะใช้น้ำเสียงเรียบๆ ถามแต่ผมสัมผัสได้ถึงไอปิศาจที่เริ่มแผ่ออกมา


“ท่านไม่สงสัยเหรอ ไม่สิ ทุกคนไม่สงสัยเลยรึไง ถ้าเป็นกาเนอร์ที่อยู่ในครัวมาหลายร้อยปีการแยกแยะความแตกต่างออกเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่เขาไม่ใช่ ถ้านับรวมปีนี้เขาเพิ่งมาอยู่เพียงแค่ 20 ปีแค่นั้น...การจะแยกความแตกต่างได้นั้นเป็นไปไม่ได้นอกซะจากเขาเป็นคนใส่พิษแล้วจงใจพูดเรื่องความแตกต่างนี้เพื่อให้ท่านไว้ใจ” คำอธิบายนั่นทำเอาปิศาจตนอื่นๆ คล้อยตามหันมามองผมเป็นตาเดียว


อยู่ๆ ผมที่ช่วยเบียทรีซก็ถูกมองว่าเป็นคนร้ายซะอย่างงั้น


“หึ ฟังดูมีเหตุผลดี”


“เบียทรีซ...” ผมหันไปมองคนข้างกาย


นี่เขาเชื่อว่าผมทำเหรอ


“ข้าจะบอกอะไรให้นะบักเก็ต วิณณ์เป็นคนเดียวที่ข้าไม่มีแม้แค่ความคลาแคลงใจหรือสงสัย หยุดพยายามในเรื่องไม่เป็นเรื่องซะ” เบียทรีซบอกเสียงเรียบ


“ท่านเชื่อใจเขามากไป ระวังจะถูกหลอกเอาองค์ราชา”


“หลอก? แค่โกหกยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ การใช้คำพูดและปั้นหน้าก็ทำไม่เป็นศาสตร์ชั้นสูงอย่างการหลอกลวงหรือเอ่ยคำโกหกยิ่งไม่มีทาง วิณณ์ไม่ได้มีความสามารถสูงเหมือนเจ้านะบักเก็ต” เบียทรีซทิ้งระเบิดในประโยคสุดท้ายอย่างแนบเนียน


“ขอบพระทัยสำหรับคำชม ดูเหมือเขาจะสำคัญมากถ้าหายไปคงส่งผลต่อท่านไม่น้อย”


“ก็ลองดูสิบักเก็ต”


“แหมๆ ข้าแค่เตือนไว้เฉยๆ เท่านั้นเอง”


“หึ...งานเลี้ยงวันนี้เลิกแค่นี้ เตโช สก๊อตสืบหาคนที่ใส่ยาพิษให้เร็วที่สุด แกรนจัดการที่เหลือด้วย วิณณ์กลับห้อง” เบียทรีซสั่งการณ์ทุกอย่างก่อนจะคว้าแขนผมแล้วดึงให้เดินตามไป


จุดหมายของพวกเราคือห้องนอนของเบียทรีซ ทั้งผมและเบียทรีซต่างแยกกันอาบน้ำแล้วออกมานั่งเงียบๆ กันอยู่บนเตียง ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมสีน้ำตาลแดงของตัวเองหลังจากสระผมเสร็จ ส่วนเบียทรีซทำเพียงนั่งเอาหลังพิงขอบเตียงเอียงหน้ามามองผม


“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามเบียทรีซ เห็นจ้องมาได้สักพักใหญ่แล้ว


“ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของบักเก็ต”


“อืม ผมไม่สนใจหรอก นี่เบียทรีซคุณเคยบอกว่าตอนเดินทางเจอกับพวกเตโชสินะ แล้วบักเก็ตก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหรอ” ผมถามต่อ


“ไม่ใช่ บักเก็ตอยู่ในปราสาทมาก่อนแล้ว เหมือนจะเป็นลูกของปิศาจซึ่งเป็นข้ารับใช้ของราชาองค์ก่อนคอยดูแลในส่วนของการคลัง พอข้าเข้ามาเลยให้แกรนจัดการดูทุกอย่างแล้วแบ่งหน้าที่ของแต่ละคนออกไป” เบียทรีซอธิบายให้ฟัง


“...ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” ว่ากันตามจริงคือรู้สึกอันตราย ชายที่ชื่อบักเก็ตผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปลอดภัย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่ห่างๆ ไว้


“ไม่สบายรึเปล่า” อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้พลางใช้หลังมือแนบลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้


“ไม่ได้ป่วยหรอก แค่รู้สึกว่าบักเก็ตดูอันตราย”


“เจ้ารู้สึกถูกแล้ว อย่าเข้าใกล้บักเก็ตตามลำพัง เข้าใจนะ”


“อืม” ผมพยักหน้ารับคำ ถ้าไม่ได้บังเอิญเจอกันผมคงไม่ไปอยู่ใกล้หรอก


“มีอะไรอีกรึเปล่า เจ้าทำหน้ากังวลอยู่น่ะ” เบียทรีซถามต่อ


“นิดหน่อย อยู่ๆ ก็รู้สึกสังหรไม่ดีเลย” เหมือนมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


แล้วเป็นบางอย่างที่อันตรายมากด้วย


“ข้าจะปกป้องเจ้าเองวิณณ์”


“ผมเองก็จะพยายามปกป้องตัวเองให้ได้เหมือนกัน” ไม่อยากพึ่งเบียทรีซฝ่ายเดียว ผมเองก็ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ได้  อย่างแรกต้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยซะก่อน


“วิณณ์ เจ้าเป็นของข้า” เบียทรีซพูดพร้อมกับขยับใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น


“ผมรู้” เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้ว


“เป็นของข้าคนเดียว”


“อืม”


“ที่ที่ข้าอยู่ต้องมีเจ้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรเจ้าต้องกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” ดวงตาสีทองสว่างที่สอดประสานมานั่นดึงดูดจนผมไม่อาจละสายตาออกมาได้ราวกับต้องอยู่ในมนต์สะกด เบียทรีซแนบริมฝีปากลงมากดย้ำจูบอันแสนดูดดื่มตามอำเภอใจ


ตัวผมสามารถขัดขืนได้แต่ก็รู้ว่าต่อให้ขัดขืนยังไงผลก็ต้องออกมาในรูปแบบเดิมอยู่ดี อีกอย่างคือผมยอมที่จะถูกอีกฝ่ายตักตวงทุกรสสัมผัสได้วยความเต็มใจปราศจากการขัดขืนใดๆ


“อ๊ะ!...เบียทรีซ” ผมถึงกับสะดุ้งยามริมฝีปากนั้นเลื่อนลงมาขบเม้มบริเวณลำคอพร้อมกับมือข้างนึงที่เลิกเสื้อผมขึ้นจนเห็นหน้าท้องและแผ่นอก


“ในเมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นของข้าก็คงไม่ขัดขืนหรอกใช่ไหม” เบียทรีซกระซิบพลางใช้ฝ่ามือลูบไล้หน้าท้องผม


“อื้อ!...นี่คุณคิดจะ...” จะทำงั้นเหรอ


 “เจ้าเข้าใจความหมายสินะ”


“...อืม” ต่อให้ผมไร้ประสบกรณ์แต่ใช่ว่าจะซื่อจนไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เบียทรีซในตอนนี้ไม่ได้อยากแค่ครอบครองหัวใจของผมแต่ต้องการร่างกายและหัวใจ


“คงไม่ได้ยอมให้ใครมาแตะหรอกนะ” อีกฝ่ายถามเสียงเข้ม


“ไม่มีหรอก เอ่อ...ผมขอเวลาเตรียมใจสักหน่อยได้รึเปล่า” จะให้เริ่มเลยผมคงไม่ไหว


“กี่นาทีล่ะ” คำพูดของเบียทรีซแปลความหมายออกมาได้ว่าเขาไม่สามารถรอได้นานนัก


“...วันอื่นได้ไหม”


“พรุ่งนี้?”


อ่า...ผมขอมอบคำว่าความอดทนต่ำให้เบียทรีซเลย อะไรคือคือให้เวลาเตรียมใจเป็นหลักนาทีแถมพอจะขอเป็นวันอื่นดันเป็นวันพรุ่งนี้ซะอีก


“นานกว่านั้น...นะ” ผมพยายามขอถึงจะคิดไว้แล้วว่าความหวังมันค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม


“...ก็ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้า แต่หากเจ้าใช้เวลานานก็อย่ามาบอกว่าข้าใจร้ายที่ทนรอไม่ไหว” เบียทรีซบอกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ อ้อมแขนทั้งสองข้างกระชับร่างผมให้เข้าไปแนบชิด


“ขอบคุณนะเบียทรีซ” น่าแปลกที่ครั้งนี้อีกฝ่ายยอมถอยให้ง่ายๆ แบบนี้


“เพราะเป็นเจ้าข้าถึงยอมอดทนขนาดนี้หรอก”


“ฮืม?” ผมหันหน้าไปหาคนด้านหลังที่พึมพำบางอย่างขึ้นมา


“เปล่า นอนได้แล้ว”


“ราตรีสวัสดิ์เบียทรีซ”


ยามท้องฟ้ามืดสนิทเป็นสัญญาณของการเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมที่จมดิ่งอยู่ในความฝันสัมผัสได้ถึงแรงลมบางอย่างและเพียงพริบตาเดียวร่างของผมกลับถูกดูดให้ตกลงไปที่ไหนสักแห่ง กระแสลมกับกลิ่นของต้นไม้ที่ลอยมาทำให้ผมรู้ว่านี่คือป่า ดวงตาอันปราศจากแว่นพร่ามัวมากจนมองไม่เห็นสภาพรอบกายกระทั่งฝ่ามืออันเย็นเฉียบคว้าเข้าบริเวณคอผมพร้อมกับออกแรงบีบ


“โอ๊ย! อึก...” ของเหลวบางอย่างถูกกรอกลงในคอและบังคับให้กลืนลงไป


“ทำท่าทรมานได้น่าดูดีนี่” ต่อให้ไม่สามารถใช้สายตามองได้ทว่าสัมผัสกับน้ำเสียงแบบนี้ผมรู้จักดี


“...บักเก็ต” ไม่ผิดแน่


“ดีใจที่จำกันได้นะ”


“คิดจะทำอะไร”


“ถ้ากำจัดเจ้าซะราชาคงจะร้อนรนน่าดู แบบนั้นข้าอาจสามารถเอาชนะได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นช่วยตายหน่อยละกันนะ” ถ้อยคำเหล่านั้นดังก้องพร้อมร่างผมที่ถูกจับยกขึ้นแล้วลากไป


“ทำไมถึงต้องทำขึ้นขนาดนี้ด้วย” ทั้งวางยาพิษ ทั้งฆ่าคน


“คำถามโง่ๆ ข้าต้องเอาตำแหน่งราชาที่พ่อข้าเอาไม่ได้มาเป็นของตัวเองซะ”


“แค่เพราะตำแหน่งราชา ต้องทำร้ายผู้อื่นถึงขนาดนี้เลยเหรอ”


“หุบปาก! อย่าแกจะมาเจ้าใจอะไร เจตนารมณ์ที่สืบถอดมาจากพ่อข้าต้องทำมันให้สำเร็จไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม!”


“ตอนนี้คุณยังหยุดทัน อึก!” ความเจ็บแล่นไปทั่วบริเวณคอที่ถูกบีบแน่นขึ้น ผมพยายามรวบรวมพลังปิศาจแต่กลับไม่สามารถทำได้ถ้าให้เดาคงเป็นของเหลวที่ผมถูกกรอกลงคอไปก่อนหน้านี้แน่ๆ


“ข้าไม่คิดจะหยุด เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เท้าเจ้าไม่ได้ติดพื้นแล้ว”


“...” ผมถึงกับเงียบ สัมผัสได้ถึงแรงลมที่ตีขึ้นมาจากด้านล่างคล้ายกับร่างผมกำลังลอยอยู่กลางอากาศงั้นแหละ ถ้าไม่ใช่บนอากาศก็คงมีแค่...หน้าผา


“ที่นี่คือหน้าผาเหนือสุดของโลกปิศาจ เป็นผาที่ทั้งชันและสูง...จะเป็นยังไงนะถ้าข้าปล่อยเจ้าลงไป”


“...ต่อให้คุณทำแบบนั้นเบียทรีซก็ไม่มีวันแพ้คุณ” ผมกลั้นใจพูดแม้ว่าร่างกายจะเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว


“แก อยากตายเร็วนักสินะ”


“ยังไงคุณก็ไม่คิดจะปล่อยผมอยู่แล้วนี่” เขาคงไม่ลงทุนพาผมมาเพื่อขู่แล้วปล่อยกลับไปหรอก


“ฉลาดขึ้นมาหน่อยแล้วนะ”


“บักเก็ต คุณไม่เหมาะที่จะปกครองใคร แน่นอนว่าไม่คู่ควรกับคำว่าราชาด้วย ต่อให้คุณปล่อยผมลงไปหรือต่อให้เบียทรีซร้อนรนสักแค่ไหน คุณไม่มีทางเอาชนะเบียทรีซได้”


“ข้าจะส่งมันตามเจ้าไปละกัน”


“คุณแพ้แน่บักเก็ต” ผมยังคงย้ำ


ผมเชื่อว่าเบียทรีซสามารถเอาชนะได้ต่อให้ไม่มีผมแล้วก็ตาม สังหรก่อนหน้านี้คงเป็นนี่แน่ น่าเสียดายถ้าผมรู้ว่าจะเร็วขนาดนี้ผมคงจะพูดคุยกับเบียทรีซให้มากกว่านี้ จะเข้าไปกอดแล้วซึบซับไออุ่นนั่นและจดจำไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะแยกพวกเราออกจากกัน


“ลาก่อน”


สิ้นคำพูดมือที่อยู่บริเวณคอผมก็คลายออกพร้อมกับร่างผมที่ถูกปล่อยลงมาจากหน้าผา ด้วยแรงดึงดูดของโลกส่งผลให้ความเร็วยามดิ่งลงนั้นเพิ่มขึ้น ภายในหัวผมไม่ได้ร้องขอให้มีปาฏิหารย์แต่อยากส่งประโยคนึงไปให้เบียทรีซฟัง...


“อย่าแพ้นะเบียทรีซ” ผมเอ่ยเสียงเบาก่อนความเจ็บจะแล่นเข้าสู่ทุกอนูของร่างกาย ความเจ็บปวดนั้นพานให้สติดับวูบลงในทันที

.............................................

ค้างงงง

หลายคนคงกำลังกรีดร้อนในใจที่เราตัดจบตรงนี้

ความจริงก็ไม่เรียกว่าตัดเพราะสติของวิณณ์ดับวูบไปแล้ว

คู่นี้มีฉากหวานเลี่ยนเยอะมากถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถข้ามพล๊อตเรื่องที่วางไว้ในตอนแรกได้

เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่วิณณ์ต้องเผชิญและเบียทรีซเองก็ต้องเผชิญด้วย

ไม่ชินกับการแต่งฉากดราม่าแต่เนื้อเรื่องช่วงนี้เอื้อให้แต่งก็ต้องแต่ง 555

หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 31-03-2019 18:41:34
สงสัยว่าวิณณ์มาเจอกับบักเก็ตได้ยังนะ ทั้งที่นอนอยู่ข้างเบียทรีซ

ขอให้วิณณ์ปลอดภัยนะ เบียทรีซต้องปกป้องวิณณ์ได้แน่
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-03-2019 23:43:31
หนูเบียทำอะไรอยู่ วิณณ์นอนอยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 02-04-2019 00:06:44
ค้าง หวังว่าสวิณณ์คงไม่เป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่19:⊱ 31/3/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 06-04-2019 01:52:48
ค้างงง  :ling1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 06-04-2019 11:50:25
⊰บงการ:วันที่20:⊱



'...เบียทรีซ นี่เบียทรีซ' นี่เสียงของวิณณ์เรียกดวงตาสีทองสว่างของผมให้ลืมขึ้น บรรยากาศรอยกายและวิวทิวทัศน์ที่เห็นนั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่โลกของความเป็นจริงแต่เป็นเพียงความฝัน


ขนาดในความฝันยังเห็นวิณณ์อีกเหรอเนี่ย เรียกว่าวิณณ์เข้ามาอยู่ทั้งในโลกความจริงและความฝันเลย


มันไม่ใช่เพียงความรู้สึกรักแต่มีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมด หากจะให้บรรยายออกมาเป็นประโยคก็คงไม่พ้นประโยคที่ว่า...


วิณณ์เป็นทุกอย่าง


'มาอยู่ในความฝันข้าแบบนี้คิดจะทำอะไรวิณณ์' ความจริงผมควรจะถามตัวเองมากกว่าว่าทำไมถึงได้ฝันถึงอีกฝ่ายแบบนี้


'ผมอยากคุยกับเบียทรีซ...อยากคุยด้วยเยอะๆ เลย' วิณณ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงจะมองว่าเป็นรอยยิ้มดีใจปกติแต่ผมมองเขามาตลอดเพราะงั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้มนั่นไม่สามารถเร็ดรอดสายตาผมไปได้


'ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น' ผมถามกลับไปตามจริง มันไม่ใช่แค่ความเศร้าที่สื่อออกมาแต่รวมไปถึงความปลงหรือแม้แต่ความหม่นหมองบางอย่าง


'คุณชอบขนมอะไร' อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูดคล้ายไม่อยากตอบคำถามนั้น


'คำถามอะไรของเจ้าเนี่ย' มีคำถามเป็นพันเป็นแสนกลับถามเรื่องขนมที่ผมชอบซะอย่างงั้น


'ก็ผมอยากรู้นี่'


'ไว้ตื่นมาค่อยถามก็ได้มั้ง'


'...ก็ผมไม่มีโอกาสได้ถามแล้วนี่' เสียงพึมพำอันแผ่วเบาของวิณณ์ที่ผมได้ยินนั้นทำเอาผมต้องขมวดคิ้วแน่น


'หมายความว่ายังไง'


'...ตอบผมหน่อยสิว่าขนมที่คุณชอบคืออะไร' เป็นครั้งที่สองที่อีกฝ่ายเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม


'...ช็อคโกแลตละมั้ง' ถ้าเป็นปกติผมคงถามซ้ำจนกว่าจะได้คำตอบแต่ไม่รู้เพราะอะไรครั้งนี้ผมถึงเลือกที่จะตอบคำถามนั้นไป


'...'


'...อะไร ก็ตอบไปแล้วไง' ผมถามกลับเมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นเบิกกว้างขึ้นคล้ายกำลังจะตกใจกับคำตอบที่ได้ยิน


'แค่ตกใจ ไม่คิดว่าคุณจะชอบช็อคโกแลต'


'ข้าไม่ได้ชอบช็อคโกแลตทั้งหมดหรอกนะ แค่บางอันเท่านั้นแหละ' ถ้าคิดว่าผมชอบช็อคโกแลตทั้งหมดละก็ผิดแล้ว ตั้งแต่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยชอบกินพวกขนมหรือของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งโตมาก็ยิ่งไม่ค่อยชอบแต่ก็กินล้างปากหลังอาหารนิดหน่อยตลอด ที่บอกว่าบางอันก็ค่อนข้างผิดไปต้องพูดว่าที่ชอบมีแค่ช็อคโกแลตฝีมือวิณณ์


จะวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในทุกคำที่ป้อนมันสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน
ผมชอบเวลาที่รับรู้ความชอบหรือรักจากวิณณ์ ความเขินอายบวกกับใบหน้าเห่อแดงนั่นมองยังไงก็ไม่เคยเบื่อ


'ฮืม...งั้นคุณชอบสัตว์อะไร'


'ไม่ชอบ' แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลย


'ชอบท้องฟ้าเวลาไหน'


'ตอนเย็น' ท้องฟ้าในช่วงเย็นจะมีไม่กี่นาทีที่ทั่วทุกพื้นที่จะเห็นท้องฟ้าเป็นสีทองอร่าม มองดูกี่ทีก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย


'ผักที่ชอบล่ะ'


'แครอท' ผักหลายชนิดของโลกปิศาจจะเหมือนกับโลกมนุษย์ซึ่งแครอทก็เป็นหนึ่งในนั้น


'ผลไม้ล่ะชอบอะไร'


'ฟีปัส' ผลไม้ขนาดเล็กที่ไร้เมล็ดและด้านในไม่ใช่เนื้อผลไม้แต่เป็นน้ำผลไม้ พอกัดเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงน้ำที่ไหลออกมาจากด้านใน สาเหตุที่ชอบไม่ใช่รสชาติที่อร่อยแต่เป็นกินง่ายดี


'แล้ว...'


'คิดจะถามให้หมดทุกอย่างเลยรึไง' ผมพูดแทรก


'...ไม่ได้เหรอ'


'รอตื่นข้าจะตอบเจ้าทุกคำถามเลย' ผมบอกพลางเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของวิณณ์เบาๆ เจ้าตัวไม่ได้หลีกหนีตรงกันข้ามกลับขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมเอียงหน้าเล็กน้อยให้ผมสัมผัสได้มากขึ้น


'...เบียทรีซ...ผมรักคุณมากๆ เลยนะ' ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ส่งมาสร้างความรู้สึกหน่วงๆ ภายในอกให้เกิดขึ้น สำหรับผมฟังแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นคำบอกรักแต่มันให้ความรู้สึกคล้ายคำบอกลาซะมากกว่า


‘รักข้าแล้วทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้’


‘ผมมีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับคุณมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความเอาแต่ใจและความไม่ยอมใครของคุณมันทำให้ผมชอบเช่นเดียวกับความอ่อนโยนและอบอุ่นที่ทำให้ผมหลงใหล ทุกอย่างของเบียทรีซทำให้ผมรัก’


‘วิณณ์...’


‘นี่เบียทรีซ’


‘…อะไร’


‘อย่าแพ้นะ’ วิณณ์บอกก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้จนดวงตาของพวกเราประสานกันนิ่ง


‘แพ้อะไร’


‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’ วิณณ์ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแนบมายังแก้มผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง ในขณะนั้นเองที่ร่างกายของอีกฝ่ายค่อยๆ สลายไปราวกับเม็ดทรายยามถูกสายลมพัดพา


‘จะไปไหนวิณณ์’ ผมไม่ได้รับคำตอบของคำถามที่เอ่ยไป สิ่งที่อีกฝ่ายทำมีเพียงมอบจูบอันแผ่วเบาลงบนริมฝีปากก่อนทั้งร่างจะสลายหายไปจนหมดสิ้น


“วิณณ์!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ผนังของปราสาทถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุพิเศษช่วยในการควบคุมอุณหภูมิภายในปราสาทให้พอเหมาะอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมกลับรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลอาบเกือบทั้งร่าง


ความฝันเมื่อครู่คืออะไรกัน?!


ผมคิดพลางหันไปหาวิณณ์ที่น่าจะนอนหลับอยู่ด้านข้างทว่าร่างของวิณณ์กลับหายไปจากเตียง ความกังวลที่มีเริ่มเพิ่มขึ้นและเพิ่มเข้าไปอีกยามรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ ประสาทสัมผัสของปิศาจระดับสูงมีมากกว่าปิศาจระดับอื่นยิ่งกับผมที่เป็นถึงราชาสามารถขยายสัมผัสนั้นออกไปเพื่อหาคนที่ต้องการได้ เป็นการค้นหาพลังปิศาจที่ถูกปล่อยออกมาแบบเฉพาะของปิศาจแต่ละตน
เช่นเดียวกันกับวิณณ์ตลอดมาผมสามารถหาเขาเจอด้วยการตามกลิ่นไอของพลังปิศาจซึ่งแตกต่างจากปิศาจตนอื่นมาก ไม่ว่าจะอยู่ไกลสุดเขตแดนโลกปิศาจหรือแม้แต่บนยอดเหนือสุดของภูผาผมก็มั่นใจว่าสามารถหาเจอทว่าครั้งนี้ผมกลับสัมผัสถึงพลังของวิณณ์ไม่ได้เลย ราวกับหายไปอย่างสิ้นเชิง


เกิดอะไรขึ้น...วิณณ์!


ความรู้สึกภายในกำลังว้าววุ่นส่งผลต่อการควบคุมพลังปิศาจโดยตรง พลังปิศาจหนาแน่นระเบิดออกเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งปราสาทและอาจไกลไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกลด้วย ผมในตอนนี้ไม่สนว่าพลังจะร่อยหรอไปมากเพียงใดก้าวเดินไปยังห้องประชุม พลังที่ผมแผ่ออกไปเรียกเหล่าปิศาจระดับสูงที่สามารถขยับตัวได้ให้มารวมกัน


พวกเขาต่างรู้ดีด้วยสัญชาตญาณว่าผมในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ ทั้งแกรน เตโช สก๊อตหรือแม้แต่กาเนอร์ต่างก้าวเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าซึมเหงื่อ พลังของผมต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงก็ยังมีผลเพราะงั้นอย่าพูดถึงปิศาจที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้เลย นอกจากจะไม่สามารถขยับตัวได้แล้วยังจะสลบไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง


“องค์ราชา...เกิดอะไรขึ้น” แกรนเอ่ยถาม


“วิณณ์หายไป” ไม่จำเป็นต้องมีการเกริ่นใดๆ แค่ประโยคเดียวก็มากพอให้ข้ารับใช้คนสนิททั้งสี่ตนเข้าใจ


“ทรงสัมผัสถึงเขาไม่ได้?” กาเนอร์ถามต่อ


“ใช่ สก๊อต” ผมเบนสายตาไปทางสก๊อต ในเรื่องของการค้นหาไม่มีใครเก่งไปกว่าสก๊อต การค้นหาของสก๊อตก็ไม่ได้ต่างกับผมนักคือการใช้การจับกลิ่นไอหรือพลังของมนุษย์หรือปิศาจในการตามหา


“...สัมผัสถึงพลังของท่านวิณณ์ไม่ได้” สก๊อตเอ่ยบอกหลังจากใช้เวลาสักพักใหญ่ในการค้นหา


“หมายถึงเกิดอะไรขึ้นสินะ” เตโชหันไปถามสก็อต


“หากสัมผัสถึงพลังไม่ได้มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือพลังปิศาจหมดไปหรือแผ่วมากซึ่งในกรณีของท่านวิณณ์แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับสัมผัสไม่ได้ พลังปิศาจระดับนั้นไม่ว่าจะอยู่ในโลกปิศาจหรือโลกมนุษย์ข้ามั่นใจว่าสามารถหาเจอได้”


“อย่างที่ 2 คืออะไร” แกรนถามสก๊อตต่อ สีหน้ากังวลของสก๊อตทำให้บรรกาศเริ่มตรึงเครียดขึ้น ผมเองก็พอจะเดาอีกทางที่สก๊อตจะเอ่ยออกมาได้ และมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะฟังด้วย


“อย่างที่ 2 คือ...”


“ท่านวิณณ์ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว อธิบายง่ายๆ ก็คือตาย” เสียงจากบานประตูที่เปิดอ้าออกนั่นมาพร้อมกับบักเก็ตที่ก้าวเข้ามาภายในห้องด้วย เพียงแค่เห็นใบหน้านั้นความโกรธและหยุดหงิดก็ปะทุขึ้นมาแทบจะทันที


“ฝีมือเจ้าใช่ไหมบักเก็ต!!” ผมตะหวาดกร้าวดึงพลังปิศาจที่แผ่อยู่รอบๆ กลับมาปกคลุมรอบห้อง


“ดูท่านจะรนมากสินะ”


“ตอบคำถามข้า!” พลังปิศาจถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของกริซพุ่งเข้าใส่บักก็ตที่ใช้พลังปิศาจของตัวเองป้องกัน


“ต่อให้เป็นราชาปิศาจที่อยู่เหนือสุดแต่ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือไปได้ตลอดไปนี่นะ พลังปิศาจอันมหาศาลของท่านลดลงขนาดที่ข้ายังสามารถป้องกันได้สบายๆ เลย” บักเก็ตยกยิ้มขึ้นระหว่างพูด


“องค์ราชาทรงพักก่อนเถิด” แกรนก้าวเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าปกติ พลังของผมที่ทำให้เหล่าปิศาจหวาดหวั่นลดน้อยลงเพราะการปลดปล่อยพลังออกไปแบบไม่ยั้งคิดก่อนหน้านี้


“เจ้าทำอะไรท่านวิณณ์บักเก็ต” เตโชก้าวขึ้นไปเผชิญหน้ากับบักเก็ตด้วยสายตาของสัตว์ร้าย เตโชเป็นคนสนิทของผมและก็เป็นอาจารย์ของวิณณ์ด้วย เขาใช้เวลาฝึกวิณณ์มากว่า 20 ปี ความผูกพันธ์น่ะไม่ต้องพูดถึงเตโชถือว่าวิณณ์เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ


“หึ อย่ามาปรักปรำข้าเตโช” บักเก็ตจ้องไปยังเตโชอย่างไม่ยอมแพ้


“เจ้าต่างหากเลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรสักที คนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ยาพิษลงในแก้วขององค์ราชาก็คือเจ้า ปิศาจสารภาพมาหมดแล้ว” เตโชพูดต่อ


“แล้วไง? ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะรู้ความจริงหรือไม่เพราะยังไงข้าก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเจ้าไปอยู่แล้ว ต้องกวาดล้างพวกที่จะมาขัดขวางการขึ้นเป็นราชาของข้าให้หมด”


“คิดว่าพวกเราจะยอมง่ายๆ รึไง” แกรนและสก๊อตรวมไปถึงกาเนอร์ก้าวขึ้นไปอยู่ขนาบข้างเตโช


“เหอะ นี่ราชา มาสู้กันโดยใช้ตำแหน่งราชาเป็นเดิมพันดีกว่าน่า” บักเก็ตไม่สนใจพวกเตโชแต่กลับเงยหน้าขึ้นมาท้าทายผมแทน
“วิณณ์อยู่ที่ไหน” เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่การสู้กับบักเก็ตแต่เป็นวิณณ์


“ถ้าชนะข้าได้อาจจะยอมบอกก็ได้นะ”


“บักเก็ต!”


“เอายังไงล่ะองค์ราชา จะหนีหรือสู้?!” อีกฝ่ายตะโกนถามต่ออีก


“องค์ราชา อย่าไปสนใจ”


“เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเอง” ทั้งเตโชและแกรนรวมไปถึงคนอื่นๆ พากันช่วยพูดเพื่อไม่ให้ผมหลงกล ต่อให้กำลังกังวลหรือว้าวุ่นเรื่องวิณณ์สักแค่ไหนแต่เรื่องง่ายๆ ทำไมผมจะดูไม่ออก บักเก็ตเล็งช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุดไว้เพราะนั่นอาจเป็นโอกาสเดียวที่อีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้


“เอาสิบักเก็ต” ผมตอบตกลงพร้อมก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยมีพวกแกรนถอยไปยืนอยู่ข้างหลัง พวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะคำพูดของผมเป็นตัวบอกถึงการตัดสินใจ


“หึหึ ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ข้าจะจัดการเจ้าซะแล้วจะขึ้นเป็นราชา!” สิ้นคำพูดบักเก็ตควบคุมพลังปิศาจมารวมกันตรงหน้าก่อนจะใช้พลังนั้นพุ่งเข้าโจมตีผมอย่างรวดเร็วซึ่งผมใช้พลังของตัวเองเป็นเกราะป้องกันหากเป็นในยามปกติแค่พลังของบักเก็ตระดับนี้ไม่สามารถทำอะรผมได้แต่เพราะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์นานหลายสิบนาทีตอนนี้พลังที่เหลือจึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ทั้งหมด


“อึก...” ร่างของผมถูกพลังนั่นพุ่งเข้าใส่จนล่าถอยไปหลายเมตร


“องค์ราชา!”


“อย่าเข้ามายุ่งเจ้าพวกตัวกวน การต่อสู้นี่เป็นของข้ากับราชาที่กำลังจะถูกโค่น!!” บักเก็ตตะโกนใส่พวกแกรนที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยผม


“แก! บักเก็ต!”


“ว่าไงราชา จะยอมสละตำแหน่งโดยดีไหมล่ะแล้วข้าจะให้เจ้าตามเด็กนั่นไป”


“วิณณ์อยู่ที่ไหน” ผมกัดฟันข่มอาการบาดเจ็บถามบักเก็ตกลับไป


“ลองเดาไหมล่ะ”


“บักเก็ต!”


“ข้าไม่กลัวเจ้าในตอนนี้หรอกนะ อ่อนแอแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”


“วิณณ์อยู่ไหน” จะว่าผมยังไงก็ช่าง เรื่องสำคัญในตอนนี้คือต้องหาที่อยู่วิณณ์ ยังไงก็ต้องเป็นฝีมือของบักเก็ตแน่นอนอยู่แล้ว


“หึ รักมันมากขนาดนั้นเลย? ก็ได้ข้าจะบอกหลังจากจัดการเจ้า” กลุ่มของพลังปิศาจจับตัวกันเป็นก้อนขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ผมที่พยายามรวบรวมพลังที่เหลือมาใช้แทนเกราะป้องกัน แน่นนอนว่าพลังที่เหลือเพียงแค่นี้ไม่พอที่จะต้านพลังของบักเก็ตได้


ร่างกายของผมลอยไปตามแรงปะทะ แผ่นหลังกระแทรกเข้ากับผนังพร้อมโลหิตสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาจากจากบาดแผลทั่วร่าง ถึงจะเจ็บสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมทรุดลงไปกองบนพื้นแน่


“ตอบข้าบักเก็ต เจ้าทำอะไรวิณณ์”


“ใกล้ตายขนาดนั้นยังจะถามถึงมันอีกนะ ถือเป็นความใจดีของราชาองค์ใหม่ข้าจะบอกให้ละกันว่าข้าทำอะไรคนรักของเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายๆ ข้าแค่ใช้พลังปิศาจเปิดทางเชื่อมพาร่างของมันมาในสภาพงัวเงียจับกรอกยาพิษบังคับให้กลืนลงไป...”


“บักเก็ต!” ไม่ต้องรอให้ฟังจบประโยคผมใช้พลังปิศาจของตัวเองโจมตีใส่บักเก็ตแต่ด้วยพละกำลังที่ด้อยกว่าการโจมตีผมเลยโดนปัดออกหมด


“จากนั้นข้าทำอะไรต่อน่ะเหรอ ข้าก็บีบคอมันแล้วลากไปยังหน้าผา เสียงร้องครวญครางยามขอชีวิตก่อนข้าจะปล่อยร่างมันให้ล่วงลงไปข้าอยากให้เจ้าได้ยินจริงๆ เลย!” พูดจบบักเก็ตก็หัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบของพวกเราในห้อง


ความเจ็บปวดจากบาดแผลยังมีอยู่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกว่าพลังของตัวจะด้อยกว่าบักเก็ตเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่บักเก็ตทำกับวิณณ์มันมากเกินกว่าผมจะสามารถให้อภัย พลังที่หายไปอยู่ๆ ก็กลับคืนมา คำพูดของบักเก็ตมีหลายส่วนที่ผมไม่เชื่อโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่บอกว่าวิณณ์ร้องขอชีวิต


“เจ้าหลอกไม่ได้หรอกบักเก็ต...ต่อให้ทุกเรื่องที่เจ้าพูดมาจะเป็นจริงแต่มีแค่เรื่องเดียว วิณณ์ไม่มีทางร้องขอชีวิตกับเจ้า” ผมรู้จักวิณณ์ดี เขาอาจดูเหมือนอ่อนแอและอ่อนไหวไปกับทุกเรื่องแต่ภายใต้ความอ่อนแอนั่นกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ เขาไม่มีทางจะร้องขอชีวิตกับบักเก็ต


ความฝันที่เห็นก่อนหน้านี้มันอาจไม่ใช่ความฝันก็ได้


‘อย่าแพ้นะ!’


เสียงของวิณณ์ที่เอ่ยก่อนหน้านี้ดังก้องอยู่ในหัว


“อืม...ข้าไม่แพ้หรอก”


‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’


“แน่นอน...คิดว่าจะแพ้เหรอวิณณ์”


พลังปิศาจที่ใกล้จะมอดดับกลับแผ่ขยายออกมาคละครุ้งไปทั่วห้องแถมไม่ใช่พลังอันน้อยนิดแต่เป็นพลังอันมหาศาลเฉกเช่นยามปกติ ไม่สิ พลังของผมในตอนนี้มากกว่าตอนปกติอีก ความเข้มข้นของพลังส่งผลต่อพวกแกรนที่อยู่ไม่ไกลให้ทรุดตัวลง ทางด้านบักเก็ตเองก็มีสภาพไม่ต่างกันทว่าเจ้าตัวกลับใช้มือทั้งสองข้างยันเข่าตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปอยุ่บนพื้น


“เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้บักเก็ต” ผมเอ่ยระหว่างก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ยิ่งเข้าไปใกล้มาเท่าไหร่ร่างกายนั้นก็ยิ่งสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวต่อระดับพลังที่ต่างชั้นกันเกินไป


“อึก...พลังเจ้าน่าจะหมดแล้วนี่ ทำไมถึง...”


“วิณณ์บอกข้าว่าอย่าแพ้ ต้องชนะให้ได้” นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะไม่ยอมมาแพ้อยู่ตรงนี้


“ทำไมถึงรู้ว่ามันพูดแบบนั้น” สิ่งที่หลุดออกมาจากปากบักเก็ตทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ


ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย


รู้สึดีได้ไม่นานความรู้สึกเศร้าจะเริ่มถาโถมเข้ามา


“คงไม่คิดว่าข้าจะปราณีเจ้าหรอกนะบักเก็ต” พลังปิศาจจากภายในร่างเคลื่อนไปปกคลุมร่างกายของบักเก็ตจนไม่สามารถมองเห็นร่างนั้นได้เนื่องจากพลังปิศาจอันเข้มข้นนั้นมีสีดำสนิทกำลังกัดกินผู้ที่อยู่ภายในอย่างทุกข์ทรมาน


“องค์ราชา!” พวกแกรนก้าวเข้าหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง


“สก๊อตเปิดทางเชื่อม” ผมหันไปสั่ง


“ไปที่ไหนครับ”


“สถานที่ที่จะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้”


“รับทราบ” สก๊อตเปิดทางเชื่อมก่อนผมจะเหวี่ยงบักเก็ตที่อยู่ภายใต้พลังผมไปยังอีกฝากโดยไม่ปราณี


อีกฝ่ายไม่มีทางทำอะไรได้แล้วในสภาพที่ถูกกักขังด้วยพลังระดับนี้ จงจมอยู่ในห้วงของความทรมานเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เถอะ


“องค์ราชา...เรื่องท่านวิณณ์ให้ข้าจัดการออกตามหาเถอะ” เตโชเอ่ยหลังจากทางเชื่อมถูกปิด


“อืม ฝากด้วย ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาที่ไหนสักแห่ง”


“ท่านวิณณ์ต้องปลอดภัยแน่องค์ราชา” กาเนอร์บอก


“ข้าจะหาทางโลกมนุษย์เอง” สก๊อตพูดต่อ


“หากได้ข่าว ข้าจะรีบไปรายงานให้พระองค์ทราบ” สุดท้ายที่เอ่ยคือแกรน แม้ทุกคนจะพยายามให้กำลังใจผมสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจปิดซ่อนความกังวลเหล่านั้นได้ วิณณ์มีอิทธิพลมากไม่เพียงแค่กับผมแต่รวมไปถึงปิศาจคนสนิทของผม เวลาเพียง 20 ปี สามารถสร้างความเชื่อใจและความผูกพันธ์ได้เทียบเท่าผมที่อยู่กับพวกเขามานับร้อยปี


สัปดาห์ต่อมาแกรนมารายงานถึงข้อมูลที่เตโชส่งปิศาจไปตรวจสอบและเสาะหาจากทั่วทั้งดินแดนโลกปิศาจจนในที่สุดก็พบสถานที่ที่บักเก็ตพาวิณณ์ไป หน้าผาบนเขตเหนือสุดของโลกปิศาจได้ชื่อว่าเป็นหน้าผาซึ่งสูงชันที่สุด ผมให้ปิศาจเปิดทางเชื่อมมายังหน้าผาพร้อมกับก้มลงไปดูด้านล่าง ความสูงขนาดนี้ต่อให้เป็นดวงตาของปิศาจยังไม่สามารถมองเห็นก้นเหวได้


หากถูกปล่อยลงไปจากตรงนี้ถึงจะเป็นปิศาจที่เก่งขนาดไหนโอกาสที่จะรอดก็...


“อึก...” ผมยกมือขึ้นมากุมบริเวณหัวใจที่แสดงอาการเจ็บแปล๊บออกมา ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมามีอาการเจ็บแบบนี้มาตลอด กริซเองก็ไม่สามารถรักษาได้ซึ่งผมรู้ดีอยู่ก่อนที่กริซจะมาตรวจแล้ว สาเหตุของความเจ็บนี้คือความเครียดและความเศร้ายามไม่มีวิณณ์อยู่


ห้องนอนขนาดยังเท่าเดิมแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างใหญ่ยามไม่มีวิณณ์นอนกลิ้งไปมาอยู่ข้างๆ


ห้องอาหารที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันของผมและวิณณ์บัดนี้กลับเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่


ห้องทำงานผมมักจะใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการมองวิณณ์ซึ่งนั่งทำหน้าเคร่งเครียดทำงานยังโต๊ะด้านข้างโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวทว่าในตอนนี้แม้จะมองสักเท่าไหร่ก็พบเพียงความว่างเปล่า


น้ำตาของผมไม่ได้ไหลแต่ทั้งความเศร้า ขมขื่นและเสียใจกลับอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่รู้ว่าวันที่จะปะทุออกมาจะเป็นเมื่อไหร่ ความสดใสรอบกายเริ่มมืดและมืดขึ้นเรื่อยๆ แม้หัวใจจะยังเต้นแต่ผมรับรู้ได้ถึงจังหวะที่ช้าลงจนคล้ายจะหยุดเต้นในไม่ช้า


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะไม่มีวิณณ์เหมือนอย่างทุกที


ผมอยู่ตามลำพังมาได้กว่า 200 ปีแต่แค่ช่วงเวลา 20 ปีอันแสนสั้นมันกลับสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นและไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ ยิ่งนานวันยิ่งมีแต่จะมากขึ้น จนถึงตอนนี้วิณณ์กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


“องค์ราชา” เสียงเรียกจากด้านหลังมาพร้อมกับเตโชและคนในกองทัพบางส่วน


“ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มไหม” ผมถามโดยที่สายตายังคงทอดยาวออกไปยังผืนฟ้าสีครามตรงหน้า


“ข้าให้คนไปตรวจสอบด้านล่างแล้วแต่ไม่พบร่างของท่านวิณณ์”


“ไม่พบ?” หัวใจผมเริ่มส่งเสียงเต้นแรงขึ้นทีละน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเตโช การที่ไม่พบอะไรทั้งที่เพิ่งเกิดเหตุได้ไม่นานมีโอกาสสูงมากที่วิณณ์จะยังไม่ตาย เพราะหากจบชีวิตลงต้องมีร่องรอยหรือร่างหลงเหลืออยู่


“ครับ ที่พบมีเพียงรอยเลือดแต่หากไม่เจอร่างนั่นมีความเป็นไปได้ว่าท่านวิณณ์จะยังมีชีวิตอยู่” เตโชเองก็สรุปออกมาในทิศทางเดียวกับผม


“ตามหาให้ทั่ว! ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ทุกซอกทุกมุมในโลกปิศาจ ตามหาจนกว่าจะเจอ!” ผมหันไปสั่งเสียงก้อง


“น้อมรับคำสั่ง!”


ในเมื่อมีความหวังขนาดนี้ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อจะหาเขาให้เจอ!


กองทัพปิศาจกว่า 30,000 ตนกระจายออกไปทั่วทุกพื้นที่ของโลกปิศาจโดยเน้นบริเวณทางตอนเหนือโดยมีผู้นำคือเตโชและแกรนสลับกับสก๊อตที่เข้ามาช่วยในช่วงที่ไม่ติดจัดการปัญหาในโลกมนุษย์ การทุ่มกำลังเพื่อตามหาใช้เวลานานนับปีแต่กลับไม่พบเจอเบาะแสหรือร่องรอยอะไรเลย


ราวกับตัวตนของวิณณ์ไม่ปรากฎขึ้นที่ใดอีก


ผมไม่คิดจะจบทุกอย่างเพียงแค่การหาครั้งเดียวจึงออกคำสั่งให้ทำการค้นหาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบเจอเบาะแสและไม่เพียงแค่โลกปิศาจแต่ยังขยายขอบเขตการค้นหาไปยังโลกมนุษย์เพิ่มเติม เพราะอาจมีความเป็นไปได้ที่วิณณ์จะอยู่โลกมนุษย์ถึงจะน้อยแต่ใช่ว่าจะไม่มี


เวลาได้ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผมก็ยังคงไม่ละความพยายามในการค้นหา ชีวิตในแต่ละวันผ่านพ้นไปได้เพราะผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องได้เจอกันวิณณ์ วันพรุ่งนี้แหละที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มพร้อมกับเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น แต่แล้วไม่ว่าจะ 5 ปี 10 ปี 20 ปี 30 ปีหรือ 40 ปีผมก็ไม่เคยได้พบกับวิณณ์อีกเลย


จบบริบูรณ์................

ล้อเล่นนะคะ 555

เคยคิดเหมือนกันว่าหรือจะให้จบไปแบบนี้เลยดีนะ หวานกันนัก//คนขี้อิจฉา

แต่ก็ทำใจไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งดราม่าหรือจบแบบแบด หัวใจเราค่อนข้างบอบบางเวลาจะให้มีอะไรก็จะทำเป็นจุดดราม่าเล็กๆ ไม่ใหญ่โตหรือทะเลาะกันแบบร่ำไห้เสียน้ำตา

ที่กังวลอยู่คือนักอ่านจะค้างไปจนถึงวันอาทิตย์หน้าเลย

หรือเราจะขยับมาอัพวันเสาร์หน้าแทนวันอาทิตย์ดีนะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-04-2019 22:40:46
ขอให้วิณณ์ปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-04-2019 23:15:09
วิณณ์หายไปไหนเอย อยากรู้ ๆๆๆๆๆๆๆๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 06-04-2019 23:50:47
วิณณ์ต้องรอด
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 07-04-2019 00:51:43
ตัดจบแบบนี้บ้านไรท์ไฟไหม้แน่นอนจย้า  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-04-2019 16:47:43
เพิ่งเจอเรื่องนี้

สนุกมากกกกกกกกกก

ท่านวิณณ์ ต้องอยู่กับราสแน่ๆเลย

ราสมาช่วยท่ทนวิณณ์ใช่ใหม

ท่านราชาตามหาท่านวิณณ์

พาท่านวิณณ์กลับปราสาทเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 08-04-2019 21:20:32
วินต้องไม่ตาย ต้องมีใครมาช่วยไปแล้วแต่ทำไมหายไปนานจัง :hao5:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่20:⊱ 6/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-04-2019 22:20:55
วิณณ์อยู่ที่หมู่บ้านคนแคระรึเปล่า ไปตามเร็ววววว
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-04-2019 11:40:42
⊰บงการ:วันที่21:⊱




‘...วิณณ์’


เสียงใครน่ะ


‘วิณณ์’


ช่างเป็นเสียงที่แสนคุ้นเคยและเต็มไปด้วยความโหยหาซึ่งพานให้รู้สึกอยากวิ่งเข้าไปหาและซึมซับไออุ่นนั้นเหมือนอย่างทุกทีแต่ความง่วงกลับมีมากเกินกว่าร่างกายจะทานทนไหว อยากจะหลับตาแล้วจมดิ่งลงไปให้ลึกกว่าเดิม


‘วิณณ์!’


เสียงนั้นเริ่มตะโกนดังขึ้นคล้ายจะเรียกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา...อย่าเพิ่งหลับใหลไปกับความง่วงที่กำลังถาโถมเข้ามา
ระหว่างความง่วงกับความโหยหาที่มีต่อน้ำเสียงนั้นภายในหัวผมกำลังชั่งน้ำหนัก น่าแปลกที่น้ำหนักนั้นกลับเทไปเพียงฝั่งเดียวเท่านั้น


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบากเพราะกำลังต่อต้านกับร่างกายที่ต้องการให้หลับพักผ่อนต่อ สติอันเรือนรางทยอยกลับเข้าร่างเช่นเดียวกับความพร่ามัวของสายตายามปราศจากแว่น


สัมผัสของกลุ่มขนซึ่งรองศีรษะอยู่นั้นราวกับกำลังนอนอยู่บนปุยเมฆ ความรู้สึกแบบนี้ช่างคล้ายเหลือเกิน...


“...” เสียงที่พยายามเปล่งออกมาจากลำคอไม่สามารถดังลอดออกมาได้เหมือนเคย ผมลองพยายามส่งเสียงออกมาอีกหลายครั้งทว่าผลก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน


ด้วยความที่สติกลับเข้ามาจนเกือบจะเป็นปกติทำให้ผมหยุดทุกการเคลื่อนไหวแล้วพยายามนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จำได้ว่าผมเข้าร่วมงานฉลองขค้นครองราชของเบียทรีซจากนัเนก็เข้านอนตามปกติ จริงสิ...ผมถูกบักเก็ตกรอกยาบางอย่างแล้วปล่อยร่างผมให้ตกลงมา


เบียทรีซตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?!


เดี๋ยวก่อนนะ...แล้วกลุ่มขนสีดำนุ่มฟูที่ผมหนุนอยู่จนถึงก่อนหน้านี้ไม่ใช่เบียทรีซหรอกเหรอ


ผมรีบหันกลับไปแต่ยังไม่ทันได้หรี่ตามองหรือขยับเข้าใกล้ให้หายสงสัยปลายจมูกชื้นๆ ก็แตะบริเวณแก้มจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ


พอมองไม่ชัดแล้วรอบกายมันดูน่ากลัวไปหมด เหมือนอีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังตื่นกลัวและกังวลถึงได้ค่อยๆ ขยับใบหน้าเรียวเข้ามาคลอเคลียเพื่อคลายความรู้สึกเหล่านั้นลง มือทั้งสองข้างของผมเอื้อมไปสัมผัสกับกลุ่มขนนั้นพร้อมขยับหน้าเข้าไปใกล้ ยิ่งระยะใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมองเห็นลักษณะเฉพาะอันแสนคุ้นเคยได้มากขึ้น


ลักษณะแบบนี้ผมจำได้ดี...


ราส


สัตว์ปิศาจนามราลามอสที่ผมเคยเลี้ยงดูอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะบินจากไปเผชิญโลกกว้าง ถ้าถามว่ามั่นใจได้ยังไงว่าเป็นราสคงบอกได้แค่ว่ารู้สึกแบบนั้น ผมลูบเส้นขนสีดำสนิทไปจนถึงกลางแผ่นหลังซึ่งมีปีกสีดำคู่ใหญ่กำลังพับเก็บอยู่ข้างลำตัว กะจากขนาดยามลูบไปทั่วแล้วใหญ่กว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันประมาณ 3 เท่าได้


ราส


ผมเรียกอีกฝ่ายในใจพลางมองประสานกับดวงตาสีทองนั้น เหมือนกับเบียทรีซจริงๆ ด้วย ด้านราสเองก็ยินยอมให้ผมลูบเส้นขนสีดำนั่นนิ่งๆ สลับกับใช้ปลายลิ้นเลียใบหน้าผม


“ตื่นแล้วล่ะ ทำไงดี” เสียงเล็กของสิ่งมีชีวิตดังขึ้นจากทางฝั่งซ้ายของผม


“จริงด้วย ตื่นแล้ว ตื่นแล้วล่ะ” เสียงประสานดังขึ้นต่อจากเสียงแรก ดูเหมือนว่าจำนวนจะไม่ใช่แค่ 2 หรือ 3 น่าจะมากกว่านั้นเพราะผมสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าและไอปิศาจที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้


อยากจะมองทว่าในตอนนี้นอกจากสายตาจะมองไม่ชัดเพราะไม่มีแว่นแล้วยังไม่สามารถส่งเสียงได้อีก ช่างเป็นความลำบากที่ไม่อาจบรรยายได้


ในเมื่อผมยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นต้องการหรือมีธุระอะไรผมจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ราสมากขึ้น พลังปิศาจที่เคยรวมได้ง่ายๆ กลับหายไปอย่างสิ้นเชิงคล้ายภายในร่างไม่หลงเหลือพลังปิศาจอยู่อีกแล้ว


งี๊ดด~


เสียงครางเบาๆ จากราสคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องกังวล นั่นช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะเลย


พวกเขาเป็นใครกัน


“ถามพวกเราเหรอ” เสียงหนึ่งตอบคำถามที่ดังอยู่ในใจผมพร้อมกับร่างขนาดเล็กจิ๋วมีปีกสีใสอยู่กลางหลังกระโดดขึ้นมายืนบนตักผม


เหล่าคุณปู่คนแคระที่ว่าตัวเล็กแล้วยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าผมในตอนนี้ ด้วยขนาดตัวประมาณนกพิราบทำให้มีน้ำหนักน้อย ทั้งรูปร่างและหน้าตาไปต่างกับมนุษย์แถมยังชุดสีเขียวที่ใส่อยู่นี่ดูโดยรวมแล้วคล้ายกับพวกภูตในนวนิยายแฟนตาซีเลย


แต่เดี๋ยวนะ...ตอบผม?


แปลว่าได้ยินความคิดในใจของผมงั้นเหรอ


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” อีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


“เข้าใจถูกแล้ว~” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตนเดียวแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กโผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ล้อมรอบตัวผมเต็มไปหมด แต่ละคนมีใบหน้าและเพศแตกต่างกันไปแม้แต่ชุดยังมีหลายแบบแต่ทุกแบบล้วนใช้สีเขียวเป็นโทนเดียวกัน


พวกคุณเป็นใคร


“ไม่รู้จักพวกเราเหรอ”


“ไม่รู้จักเหรอ~” พอคนแรกพูดทีเหลือก็จะประสานกันพูดประโยคต่อมา


ขอโทษด้วยผมเพิ่งเคยเจอพวกคุณเป็นครั้งแรก


ถึงจะเคยเจอปิศาจมาหลายชนเผ่าทว่าที่เจอนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเผ่าปิศาจทั้งหมดในโลกนี้ เบียทรีซเคยบอกว่าต่อให้เป็นราชาแต่ใช่ว่าจะรู้จักปิศาจทั้งหมด ในทางกลับกันปิศาจทั้งหมดสามารถรับรู้ว่าเบียทรีซคือราชาได้ผ่านพลังปิศาจและรูปลักษณ์นอกซะจากจะอยู่ในร่างสัตว์เหมือนตอนอยู่โลกมนุษย์


“งั้นพวกเราขอแนะนำตัวให้เจ้ารู้จักนะ ผู้มาใหม่ พวกเราคือชนเผ่าภูตที่อาศัยอยู่ทางเหนือสุดของโลกปิศาจในดินแดนแห่งความลับแห่งนี้...เรียกแฟรี่ก็ได้”


“แฟรี่ไงล่ะ พวกเราคือแฟรี่~” แฟรี่นับสิบตนกางปีกเล็กๆ กลางหลังพร้อมบินไปมาตรงหน้าผมคล้ายกำลังแนะนำตัว


ผมชื่อวิณณ์


“พวกเรารู้ เจ้าเป็นคนขององค์ราชาเบียทรีซ”


“พวกเรารู้จักเจ้า”


เบียทรีซรู้ไหมว่าผมอยู่ที่นี่


“ไม่มีทางรู้หรอก”


“ใช่ๆ ไม่มีทาง ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนแห่งความลับของพวกเราชาวแฟรี่~” ครั้งนี้แฟรี่หลายสินตนเอ่ยประโยคเดียวพร้อมกัน


“ต่อให้เป็นราชาก็ไม่สามารถหาที่นี่เจอได้หรอกหากพวกเราไม่ให้เข้ามา”


งั้นทำไมผมถึงเข้ามาได้ล่ะ


ในตอนนี้ผมก็อยู่ในดินแดนของแฟรี่นะ


“นั่นเพราะราสพาเจ้ามายังไงล่ะ”


ราส? พวกคุณเป็นเพื่อนราสเหรอ


“เผ่าแฟรี่กับราลามอสมีสัมพันธ์กันมานานมากแล้ว ราลามอสจะซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งความลับเพื่อหลีกหนีปิศาจเผ่าอื่นมักจะออกล่าราลามอสเพื่อทำเป็นยา”


“ปิศาจช่างน่ากลัว~”


เพราะราสพาผมมาเลยสามารถเข้ามาได้สินะ


“ใช่แล้ว พวกเราตกใจมากนะที่เห็นราสแบกเจ้าที่ตัวโชกเลือดมา แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะรอดแล้วฟื้นขึ้นมาได้แบบนี้”


“จริงด้วยๆ แถมพลังปิศาจก็ไม่มี ร่างกายไม่น่าจะทนพิษบาดแผลไหวทว่าเจ้ากลับค่อยๆ รักษาตัวเองแม้จะช้าแต่ก็มากพอให้เจ้าสามารถรอดชีวิตไก้ ราสเลยพาตัวเจ้ามานอนพักแล้วอยู่ข้างๆ มาตลอด 50 ปี” ผมพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างยกเว้นแต่ตัวเลขในประโยคสุดท้ายที่เรียกคิ้วทั้งสองข้างของผมให้ขมวดเข้าหากันแน่


50 ปี?


หมายถึงผมนอนอยู่นี่มา 50 ปี?!


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”


"นอนหลับยาวมากว่า 50 ปี แบบนี้หิวไหมๆ"


โครกกกกก~!


คำว่าหิวทำปฏิกิริยาโดยตรงกับร่างกายทันทีที่ได้ยิน เหล่าแฟรี่พากันส่งเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มก่อนจะนำอาหารที่ใส่ไว้บนใบไม้มาให้ อาหารของแฟรี่เน้นหนักไปทางผักซึ่งผมชอบเลยจัดการไปหลายจาน ปกติผมไม่ใช่พวกกินจุแต่ครั้งนี้กลับกินคล้ายกำลังล้างผาน สงสัยเพราะหลับมานานร่างกายเลยต้องการพลังงานไปใช้ละมั้ง


ถึงอาหารจะอร่อยแต่วิวทิวทัศน์พร่ามัวแบบนี้แย่จังเลย


“เจ้ามองไม่เห็น?” แฟรี่ตนหนึ่งถาม


ผมสายตาสั้นน่ะ


“งั้นแบบนี้มองเห็นชัดรึยัง” แฟรี่สองตนบินขนานกันบริเวณดวงตาผมพร้อมโปรยบางสิ่งลงมา ความพร่ามัวที่มีเริ่มจางหายไปจนกระทั้งภาพตรงหน้าเด่นชัดขึ้นมาทันตา


มองเห็นแล้ว? พวกคุณทำอะไร


“เผ่าของพวกเรามีพลังในการสร้างภาพลวงตาถึงจะไม่เก่งกาจเท่าพวกคนแคระก็เถอะ ที่เจ้ามองเห็นก็เพราะพวกเราสร้างภาพลวงตาในระยะที่เจ้าสามารถมองเห็นชัดที่สุด”


“ความสามารถจริงๆ ของพวกเราคือการสร้างมิติล่ะ” เสียงแฟรี่อีกตนดังขึ้น


“ดินแดนนี้สร้างขึ้นจากพลังของพวกเรา~”


สุดยอดไปเลย ขอบคุณนะ


แบบนี้ช่วยได้เยอะเลย ผมหันไปมองภาพของป่าอันเรียงรายไปด้วยต้นไม้สูงยาวสุดสายตา ทั้งกลิ่นไอและบรรยากาศของธรรมชาติตรงหน้าเพียงแค่มองก็สามารถผ่อนคลายความกังวลในหลายๆ เรื่องให้ทุเลาลง แต่ก็ได้ชั่วครู่เท่านั้น


หากเรื่องที่พวกแฟรี่บอกว่าผมหลับมาตลอด 50 ปีเป็นความจริงละก็ ป่านนี้เบียทรีซจะเป็นยังไงบ้าง บักเก็ตจะทำอะไรเขาหรือเปล่า มีหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง


ผมอยากรีบกลับไปหาเบียทรีซ


งี๊ดด~


เสียงครางจากด้านหลังมาพร้อมกับร่างขนาดใหญ่ของราสที่ลุกขึ้นยืนสะบัดเส้นขนสีดำยาวก่อนปีกคู่ใหญ่จะกางออกกว้างกินพื้นที่ไปประมาณ 2 เมตรได้ ราสใช้ปลายจมูกคลอเคลียบริเวณใบหน้าของผมคล้ายกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างให้รับรู้


“ราสบอกว่าจะไปกับเจ้าด้วย” แฟรี่สาวผมยาวกระพือปีกสีใสวนรอบตัวราสระหว่างแปลความหมายให้


จะไปกับผมเหรอราส...ขอบคุณ


ผมยิ้มแล้วก้าวเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับราสอีกครั้งหลังจากผ่านมาหลายสิบปี ที่ไม่น่าเชื่อกว่าคือเขาอยู่กับผมตอนไม่ได้สติมาตลอด 50 ปี บางทีแค่คำว่าขอบคุณยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ


“จะไปเลยเหรอ”


“อยู่ที่นี่ต่อเถอะ”


“อยู่ต่อเถอะ~” เหล่าแฟรี่บินตีวงล้อมรอบกายผมระหว่างประสานเสียงพูด เป็นภาพที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น ภูตนับสิบตนกำลังบินอยู่รอบตัวแล้วขอให้ผมอยู่ต่อ


ผมก็อยากอยู่แต่ว่า...ผมอยากเจอเบียทรีซ


“เจ้าอยากเจอองค์ราชามากเหรอ”


“องค์ราชาเป็นคนสำคัญสำหรับเจ้าสินะ”


อืม...เบียทรีซสำคัญที่สุดสำหรับผม


“พวกเราว่าองค์ราชาเองก็คงคิดแบบเดียวกันกับเจ้า”


คิดแบบเดียวกัน?


“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่เจ้านอนหลับไหลองค์ราชามาตามหาเจ้าทั้งด้วยตัวเองและส่งข้ารับใช้มาไม่ขาด เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งเห็น”


“จริงด้วย เพิ่งเห็นๆ” แฟรี่หนุ่มเอ่ยก่อนจะมีเสียงของเหล่าแฟรี่ประสานต่อ


ทำไมถึงไม่พาผมออกไปหาเบียทรีซล่ะ


“ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมากหากขยับเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้พลังชีวิตของเจ้าดับลงได้ พลังอันน้อยนิดของเจ้าค่อยๆ ฟื้นร่างกายให้ดีขึ้นทีละน้อยซึ่งพวกเราองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่สิบกี่ร้อยปี ถ้าพวกเราให้องค์ราชาเข้ามาเขาคงไม่ฟังแล้วตรงไปคว้าตัวเจ้าซึ่งนั่นอันตรายเกินไป อีกอย่างพวกเราเคยบอกไปแล้วว่าสถานที่นี่คือดินแดนแห่งความลับต่อให้เป็นองค์ราชาพวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยสถานที่นี้ได้ง่ายๆ”



แม้ผมอยากจะเถียงกลับว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นทว่าในตอนแรกแค่ผมลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแล้ว เหมือนร่างกายไม่ได้ใช้งานมาหลายสิบปีส่งผลให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ ไม่ใช่แค่ตอนนั่งแต่ทั้งตอนกินข้าวหรือแม้แต่ตอนยืนผมทำทุกอย่างด้วยความเชื่องช้าจนตัวเองยังไม่เข้าใจว่าแค่ก้าวเดินทำไมมันถึงยากแบบนี้


หมายความว่าถ้าผมออกไปจากดินแดนแห่งนี้...ก็ไม่สามารถกลับมาเจอกับพวกคุณได้อีกแล้วเหรอ ทั้งที่ผมยังอยากเจอแถมมีเรื่องที่อยากคุย อยากถามอีกตั้งเยอะ


“...ยังไงดี พวกเราจะทำยังไงกันดี” แฟรี่หนุ่มหันไปขอความเห็นเหล่าแฟรี่ที่เหลือ


“ยกเว้นสิ ให้เขาเข้ามาได้”


“จริงด้วยๆ ให้เขาเข้ามาหาพวกเรา~!” แฟรี่หลายสิบตนประชุมพูดคุยกันอยู่รอบตัวผม


“ได้ วิณณ์...พวกเรายอมให้เจ้าเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ หากเจ้าต้องการจะมาหาพวกเราก็ให้ราสพามานะ” บทสรุปถูกเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดใสของบรรดาแฟรี่


ราสไม่อยู่กับผมตลอดเวลานี่ เคยได้ยินว่าราลามอสจะบินจากไปเมื่อถึงเวลา


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว แต่บินจากไปไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมาอีกนี่ การออกจากบ้านเป็นเหมือนการออกไปหาประสบการณ์ชีวิตซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวว่าจะทำยังไงต่อไป สำหรับราสที่นอนให้เจ้าหนุนมาตลอด 50 ปี เจ้าคิดว่าเขาจะยังจากไปอีกรึเปล่าล่ะ”


ผมถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของแฟรี่ตนนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมหันไปประสานกับดวงตาสีทองของราสนิ่งๆ เพื่อสื่อถามออกไปว่าที่เหล่าแฟรี่พูดเป็นความจริงรึเปล่า ราสส่งเสียงครางเบาหวิวก่อนจะขยับเรียวปากสีดำสนิทมาคลอเคลียผม แม้จะไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาเกียวกันได้แต่ผมกลับเข้าใจความต้องการของราสในตอนนี้ดี


เอาสิ...มาอยู่ด้วยเถอะราส


“พวกเราจะเปิดจุดให้ออกไปนะ อย่าลืมกลับมาหาพวกเราล่ะ!”


พวกเราเพิ่งคุยกันได้ไม่นานทำไมถึงได้เชื่อใจแล้วให้ผมเข้ามาที่นี่ได้อีกล่ะ


ผมค่อนข้างคาใจเรื่องนี้อยู่พอสมควร ขนาดเบียทรีซซึ่งเป็นราชาพวกเขายังไม่ยอมให้เข้ามาแต่กลับผมที่คุยกันได้ไม่กี่ชั่วโมงกลับยินดีที่จะให้มาเยือนอีกครั้ง


“เพราะเจ้ามีกลิ่นไอที่บริสุทธิ์ไม่เหมือนกับปิศาจตนอื่น คำว่าอยากเจอของเจ้าพวกเราเชื่อ”


“กลับมาอีกนะ มาหาพวกเรา~”


“อย่าลืมนะวิณณ์!”


ราสให้ผมขึ้นขี่หลังก่อนจะสยายปีกออกกว้างทยายขึ้นสู่ท้องฟ้า สีฟ้าของท้องฟ้าเริ่มเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้น นั่นคงเป็นทางออกจากดินแดนแห่งนี้ เสียงของเหล่าแฟรี่บอกลาดังขึ้นตลอดจนกระทั่งผ่านช่องว่างนั้นไปเสียงจึงเงียบหายไป ด้านนอกดินแดนไม่ได้ต่างจากภายในเลยทั้งต้นไม้ สีของท้องฟ้าหรือแม้แต่ผืนหญ้า สิ่งเดียวที่แตกต่างคือกลิ่นไอของดินแดนแฟรี่มีความบริสุทธิ์มากกว่า


ระหว่างราสกำลังเพิ่มความเร็วผมกระชับเสื้อคลุมซึ่งคลุมตัวแต่หัวยาวลงมาถึงบริเวณเข่าเพื่อกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ได้มาจากเผ่าแฟรี่ให้แน่นขึ้น หากไปเดินโลกมนุษย์คงถูกตำรวจเรียกไปคุยแน่เพราะสภาพตอนคลุมผ้าให้บรรยากาศเหมือนคนร้ายกำลังหนีคดี


การเคลื่อนที่ทางอากาศของราสนั้นรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบินด้วยความเร็วประหนึ่งนั่งรถไฟเหาะ แรงเสียดสีรวมกับแรงปะทะของลมเริ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่บริเวณสภาพอากาศไม่เป็นใจตรงหน้า นอกจากฟ้าจะมืดครึ้มแล้วสายฝนยังกระหน่ำลงมาจนเสื้อคลุมยังกันแทบไม่อยู่ มือทั้งสองข้างของผมขยุ้มกลุ่มขนสีดำของราสไว้แน่นทว่าด้วยความลื่นของฝนบวกกับกระแสลมที่พัดมาในจังหวะพอดีกันนั้นหอบร่างผมให้ปลิวไปกับแรงลมนั้นด้วย


ปีกซึ่งกำลังกระพือผ่านสายฝนหยุดชะงักพร้อมกับราสที่หันกลับมามอง พอเขาเห็นผมกำลังถูกกระแสลมพัดไปก็รีบพุ่งเข้ามาหา เรียวปากอันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวอ้าออกงับเข้าบริเวณเสื้อคลุมแล้วพาผมพุ่งออกจากเขตแดนของพายุฝนด้วยความเร็วสูงสุด


เมื่อหยุดออกจากบริเวณฝนตกหนักราสจึงบินลงไปบนพื้น วางร่างผมลงแล้วค่อยให้ผมกลับขึ้นไปอยู่บนหลังอีกครั้ง การมุ่งหน้าสู่ปราสาทของเบียทรีซไม่ได้ถึงในไม่กี่นาที มีหลายครั้งผมลูบแผงขนสีดำของราสเพื่อบอกให้หยุดพัก ผมไม่อยากให้ราสฝืนเพราะเขาเองก็นอนอยู่ข้างผมมาตลอดหลายสิบปีเป็นไปได้ว่าร่างกายยังขยับไม่สะดวกนัก


เวลาในโลกปิศาจไม่ต่างจากโลกมนุษย์หากดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะก็แปลว่าเป็นเวลาเที่ยงหากพระอาทิตย์ตกก็บ่งบอกถึงเวลาเย็น ช่วงเย็นผมและราสพักค้างคืนกันบริเวณธารน้ำใสและนำปลาที่ราสกับผมจับได้มาย่างเป็นมื้อเย็น แม้การจราจรบนอากาศจะสามารถเร่งความเร็วได้แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้กว่าจะมาถึงหน้าปราสาทได้ก็กินเวลาไปถึง 3 วันเต็ม


หากผมสามารถเปิดทางเชื่อมได้อย่างสก๊อตหรือปิศาจหลายๆ ตนคงไม่ต้องให้ราสเหนื่อยแบกผมบินมาจากทางตอนเหนือสุดของโลกปิศาจแบบนี้หรอก


บริเวณหน้าประตูปราสาทมีปิศาจเฝ้าอยู่ 2 คน ดูจากหน้าตาไม่ใช่คนเดิมกับครั้งล่างสุดที่ผมอยู่ คงมีการโยกย้ายไม่ก็ปรับเปลี่ยนละมั้ง ทันทีที่ราสร่อนลงมาด้านหน้าประตูปิศาจทั้งคู่มีสีหน้าตกใจแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขากลับชักดาบออกมาจ่อหน้าราสและผมที่อยู่บนแผ่นหลัง


“สัตว์ปิศาจนี่...ไม่จริงน่า”


“ราลามอส?!” ความตกใจยิ่งทวีขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นร่างของราสแบบเต็มๆ ตา


“...” ผมพยายามใช้ภาษาพร้อมอ้าปากพะงาบๆ สื่อความหมายให้พวกเข้ารู้ว่าผมและราสไม่ได้มีอันตรายอะไรแค่ต้องการขอผ่านเข้าไปพบกับเบียทรีซแค่นั้นเอง


“เจ้ารีบไปติดต่อหัวหน้าเตโช ข้าจะต้านไว้เอง”


“เจ้าคนเดียวไม่ไหวหรอก” ปิศาจอีกคนค้าน


“รีบไปสิ!”


“อึก...ห้ามตายนะ!” ปิศาจผมดำเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะวิ่งเข้าไปในปราสาทพร้อมน้ำตาลที่ไหลอาบแก้มคล้ายจะบอกลาเพื่อนร่วมทีมไปสนามรบอันไร้ทางรอด


“...” เอ่อ...ผมไม่ได้จะทำร้ายใครสักหน่อย


“เข้ามาเลยเจ้าปิศาจ ข้าจะเป็นคู่มือให้เอง”


กรรร~!


ความมั่นใจของปิศาจตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างรวดเร็วยามราสก้าวเข้าไปใกล้ส่งเสียงขู่คำรามเสียงดัง ผมรู้ว่าราสไม่ได้อยากสู้คงแค่ขู่ให้กลัวจะได้ไม่ต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น ในขณะที่ผมกำลังจะใช้ฝ่ามือลูบแผงขนสีดำสนิทของราส ร่างสีดำนั้นกลับทยานเข้าสู้ตัวปราสาทจนผมหน้าทิ่มลงยังกลุ่มขนสีดำ


ถ้านี่ไม่ใช่ขนนุ่มๆ ผมคงได้เจ็บตัวไปแล้ว


ราสวิ่งกระแทรกประตูห้องโถงแรกของปราสาทมุ่งหน้าขึ้นบันไดซึ่งผมได้แต่จับขนของราสไว้แน่นกันไม่ให้ตัวเองตกลงไป ความแตกตื่นภายในปราสาทเริ่มมากขึ้นเพราะเหล่าปิศาจภายในตื่นตกใจกับการมาเยือนของสัตว์ปิศาจนามราลามอสมากทำให้ได้ยินเสียงกรีดร้องตลอดทางผ่าน



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-04-2019 11:41:06
(ต่อค่ะ)


บานประตูสีครีมถูกส่วนหัวของราสกระแทกจนเปิดอ้าออกในการกระแทรกเพียงครั้งเดียว ด้านในห้องนั้นมีเหล่าปิศาจซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในแต่ละฝ่ายในการขับเคลื่อนงานของโลกปิศาจอย่างแกรน สก๊อตหรือแม้แต่เตโช แน่นอนว่าการประชุมย่อมขาดผู้นำอันมีอำนาจในการตัดสินใจไม่ได้ ร่างของเบียทรีซหรือราชาปิศาจนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ แม้ใบหน้านั้นจะดูอิดโรยไปบ้างแต่ก็ยังคงมีรัศมีของความเป็นราชาแผ่ออกมารอบกายอยู่


“...” เบียทรีซ


ผมพยายามเรียกแล้วเตรียมจะลงไปจากหลังราสทว่าเสียงชักอาวุธไม่เพียงแค่จากเหล่ากองกำลังปิศาจที่ตามมาสมทบจากด้านหลังหรือเตโชที่อยู่ด้านข้างล้วนทำให้ผมชะงัก จะว่าไปสภาพผมในตอนนี้จะไม่ให้ระแวงก็คงแปลกทั้งสวมเสื้อคลุมมีหมวกปิดถึงปลายจมูกแถมเนื้อตัวยังเปียกและเลอะโคลนจากการโดนพายุฝนก่อนหน้ามาถึงหลายต่อหลายวัน


กรรร~!


ราสขู่คำรามก้าวเดินไปหาเบียทรีซอย่างไม่เกรงกลัวปลายดาบที่จ่อเข้ามาใกล้มากขึ้น เมื่อใกล้ถึงเบียทรีซราสใช้การสะบัดตัวเพียงครั้งเดียวเหวี่ยงร่างผมที่คลายมือซึ่งกำขนนั่นอยู่ไปหาเบียทรีซ ด้วยแรงลมที่เข้าปะทะส่งผลให้ผ้าคลุมเปิดออกจนเผยให้เห็นใบหน้าเลอะโคลนของผม


เสียงของความวุ่นวายเงียบลงในพริบตาเช่นเดียวกับดวงตาสีทองสว่างอันแสนคิดถึงที่เบิกกว้างขึ้นยามเห็นผม อีกฝ่ายอ้าแขนออกกว้างรับผมที่ถูกเหวี่ยงมาโดยไม่รู้ตัวนัก ดวงตาของเขายังคงจ้องมายังผมคล้ายกำลังประมวลความคิดหลายๆ อย่างอยู่ภายใน


“...วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซดังขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่สัมผัสตั้งแต่แขนขึ้นมาถึงใบหน้าของผม


“...” ผมเอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของเบียทรีซ


“วิณณ์ ใช่เจ้าจริงๆ รึเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน


เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความหวัง...หวังว่ามันไม่ใช่ความฝัน


“...” ผมเผยรอยยิ้มแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเห็น


หมับ!


ร่างของผมถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเบียทรีซ วงแขนที่กระชับแน่นจนแทบหายใจไม่ออกนั่นสื่อถึงความโหยหาและความคิดถึงอย่างชัดเจน ระยะเวลา 50 ปีที่ผมหายไปสำหรับช่วงชีวิตของปิศาจมันไม่ได้มากมายอะไรเลยเพราะงั้นเบียทรีซคงไม่เป็นอะไรหรอก


ผมบอกตัวเองแบบนั้นตั้งแต่ตอนลืมตาตื่นขึ้นทว่าวันนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ถึงจะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณลำคอที่ถูกใบหน้านั้นซุกอยู่ ความเจ็บเริ่มแล่นเข้ามาเพราะวงแขนที่กอดรัดแน่นมากเกินจะทนไหว แทนที่จะบอกให้หยุดหรือผละออกแต่ผมกลับเลือกที่จะกอดตอบเบียทรีซให้เขารู้ว่านี่คือผม


ตัวผมจริงๆ ไม่ใช่ความฝันที่จะหายไป


“วิณณ์”


“...” อืม...เบียทรีซ


“วิณณ์”


“...” ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมอยู่ๆ น้ำตามันถึงไหลออกมา


เพราะดีใจที่เจอกันเหรอ...หรือเพราะได้ฟังน้ำเสียงของเบียทรีซในยามนี้กันแน่


“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ” ใช้เวลาสักพักใหญ่เลยกว่าเบียทรีซจะสังเกตถึงความผิดปกตินี้ เขาคล้ายอ้อมกอดแต่ยังคงใช้มือข้างนึงโอบเอวผมไว้ ดวงตาคู่เดิมประสานมาเพื่อหาคำตอบ


“...” ผมชี้มายังคอของตัวเองแล้วส่ายหัว


“...ไม่มีเสียง?” เบียทรีซขมวดคิ้วคิดสักพัก


“...” การพยักหน้าแทนคำตอบทำให้คนฟังแผ่บรรยากาศตรึงเครียดออกมา


“เตโช”


“กลับไปประจำตำแหน่งของพวกเจ้าตามเดิม” สมกับเป็นคนสนิทของเบียทรีซแค่คำพูดเดียวก็สามารถเข้าใจความต้องการได้ เตโชหันไปสั่งลูกน้องที่ยังจ่อดาบมายังราสด้วยสีหน้างุนงงให้กลับไปประจำตำแหน่งตามเดิม


“ครับ” ปิศาจจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าผมอยู่แล้วรับคำสั่งนั้นเต็มเสียงผิดกลับปิศาจหน้าใหม่ที่แม้จะมีท่าทีสงสัยแต่พวกเขาก็ยอมตามเพื่อนออกไปแต่โดยดี


“แกรน” เบียทรีซหันไปสบดวงตาสีฟ้าครามของแกรน


“ครับ ข้าจะจัดการเรื่องการประชุมต่อให้เอง” แกรนยิ้มมุมปากระหว่างโค้งศีรษะน้อมรับความต้องการที่เบียทรีซยังไม่ได้เอ่ย


“อืม นั่น...ราสสินะ” ดวงตาสีทองสว่างสองคู่ประสานกันอย่างดูท่าทีก่อนราสจะเป็นฝ่ายผงกหัวขึ้นลง ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับราสที่เข้าใจภาษาได้ สัตว์ปิศาจไม่ใช่สัตว์ธรรมดายิ่งกับราลามอสถือเป็นสัตว์ที่มีพลังทัดเทียมกับปิศาจระดับสูงเพียงแค่มีรูปลักษณ์เป็นสัตว์เท่านั้น


ดังนั้นการที่ราสจะเข้าใจคำพูดของพวกเราไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว อีกอย่างราสน่ะฉลาดมากมาตั้งแต่ตอนเล็กๆ แล้ว  พูดอะไรก็ฟังแถมยังเรียนรู้ได้เร็วอีก


“...ขอบคุณ” เบียทรีซวางมือลงบนหัวของราสก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แม้จะเป็นคำพูดที่แผ่วเบาแต่กลับเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกขอบคุณขนาดผมที่อยู่ข้างๆ ยังสามารถสัมผัสได้เลย


งี๊ดด~


เสียงครางของราสขานรับคำขอบคุณนั้นด้วยความยินดี และไม่กี่วินาทีต่อมาร่างขนาดค่อนข้างใหญ่ของราสกลับหดเล็กลงจนเหลือตัวเท่าเหยี่ยวแต่เป็นเหยี่ยวที่มีขนสีดำฟูฟ่องไปทั้งตัว บริเวณแผ่นหลังมีปีกสีดำหนึ่งคู่กางออกเช่นเดียวกับหางเรียวยาวที่ห้อยลงตามแรงโน้มถ่วง ราสกระพือขึ้นลงบินมาเกาะยังไหล่ผมแล้วเงยหน้าขึ้นมองเบียทรีซอีกรอบ


ราสกำลังบอกเบียทรีซว่าเขาจะอยู่กับผม ถ้าอยู่ในร่างเดิมคงมีเปอร์เซ็นต์มากทีเดียวที่เบียทรีซจะไม่ยอม แค่นอนก็เต็มห้องแล้วราสเลยปรับเปลี่ยนขนาดให้เล็กลง แค่คำว่าฉลาดยังน้อยเกินไปเลย...ต้องพูดว่าฉลาดมาก


“ก็ได้ ข้าให้เจ้าอยู่” คำตกลงจากเบียทรีซเรียกเสียงครางสูงจากราสแทนคำขอบคุณ


“องค์ราชาให้ข้าตามกริซไปที่ห้องดีไหม” แกรนถามเบียทรีซ


“อืม ตามมาให้เร็วที่สุด”


“ครับ”


“วิณณ์ไปห้องกัน” เบียทรีซไม่พูดเปล่าอุ้มร่างผมขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องท่ามกลางความตกใจของคนถูกอุ้มอย่างผม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างขึ้นแล้วพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยแต่ก็รู้ๆ กันอยู่ถึงนิสัยของเบียทรีซ ถ้าเขาจะอุ้มต่อให้ผมดิ้นยังไงเขาก็ยังจะอุ้มอยู่ดี


ประตูห้องนอนบนชั้น 10 ถูกเปิดอ้าออกโดยเบียทรีซวางร่างผมลงบนเตียง ราสเองก็บินตามเข้ามาก่อนบานประตูจะถูกปิด ผมและเบียทรีซพวกเราต่างจ้องมองกันอยู่เงียบๆ โดยไม่มีคำพูดอะไร ความจริงไม่ใช่ไม่มีแต่ผมเปล่งเสียงไม่ได้เลยพานให้ไม่สามารถสื่อสารได้ตามต้องการ แต่จะให้ถูกอีกฝ่ายจ้องแบบนี้ไปตลอดก็รู้สึกแปลกๆ เลยกวักมือพร้อมกับตบเบาๆ ยังเตียงด้านข้างสื่อให้เบียทรีซมานั่ง


“เจ็บตรงไหนไหม” อีกฝ่ายเดินมานั่งลงตามเสียงเรียกก่อนจะเปิดบทสนทนาขึ้น


“...” ผมตอบโดยการส่ายหัวแล้วเลื่อนมามาลูบบริเวณท้องตัวเอง


“ปวดท้อง?”


“...” เป็นอีกครั้งที่ผมส่ายหน้า


“หิว?” เบียทรีซทายต่อ


“...” ครั้งนี้ผมพยักหน้า สองสามวันมานี้กินแต่ปลาที่จับได้กับพวกผลไม้ในป่าผมเลยคิดถึงอาหารฝีมือกาเนอร์ขึ้นมาจับใจ


“กาเนอร์คงดีใจที่จะได้ทำอาหารให้เจ้าอีก”


“...” ผมฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้อีกฝ่าย พอได้กลับมาที่ปราสาท...สถานที่ที่มีเบียทรีซอยู่ผมก็รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ไม่สิ ที่นี่คือบ้านของผม


พวกเราพูดคุยกัน จะว่าพูดก็คงใช่แต่เป็นการพูดคุยที่ได้ยินแค่เสียงของเบียทรีซอยู่ฝ่ายเดียว คุยกันได้สักพักใหญ่ประตูห้องก็ถูกเคาะก่อนเบียทรีซจะอนุญาติให้เปิดประตูเข้ามาด้านในได้ กริซที่เข้ามานั้นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นผมนั่งส่งยิ้มพร้อมโบกมือทักทาย กริซไม่ได้มาแค่คนเดียวมีลูกมืออีกประมาณ 2 คนรวมไปถึงคุณปู่วาเกนที่ก้าวเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย


“ปู่วาเกน ไม่ได้อยู่โลกมนุษย์หรอกเหรอ” เบียทรีซถาม


“สก็อตเปิดทางเชื่อมพาข้ามา เห็นว่าเจอตัววิณณ์แล้ว” คุณปู่วาเกนบอกพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้เตียง


“ตอนนี้เขาพูดไม่ได้อีกอย่าง...”


“พลังปิศาจในกายหายไปจนหมดสิ้นสินะ” คุณปู่วาเกนต่อประโยคที่เบียทรีซยังพูดไม่จบ ผมรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้ว พลังปิศาจของผมมันไม่ได้อ่อนแต่หายไปโดยสิ้นเชิง


“ใช่ เพราะไม่มีพลังปิศาจข้าเลยไม่สามารถใช้การสัมผัสพลังปิศาจตามหาวิณณ์ได้ มันเกิดอะไรขึ้น”


“ข้าไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่องนะองค์ราชา กริซตรวจแล้วลองวิเคราะห์อาการ” คุณปู่วาเกนสั่งลูกศิษย์ที่เป็นถึงหัวหน้าของหน่วยแพทย์


“ครับอาจารย์” กริซรับคำสั่งก่อนจะเข้ามาตรวจดูอาการผม


“ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกวิณณ์” คุณปู่วาเกนเอ่ยก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างซึ่งไม่ได้ถือไม้เท้าเอื้อมมาลูบใบหน้าผม ความรู้สึกยินดีแผ่ซ่านออกมาทว่าหากสัมผัสดีๆ จะรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่อัดแน่นอยู่ภายใน


“...” ผมพยักหน้าระหว่างกุมมือข้างที่สัมผัสแก้มอยู่กลับ


“คงจะเจอเรื่องเหตุการณ์ที่เลวร้ายพอดูเลยใช่ไหม”


“...” ความเงียบถูกใช้แทนคำตอบให้อีกฝ่ายนำไปตีความเอาเอง จะว่าเลวร้ายก็คงใช่แต่ก็ไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เจอมาจะเลวร้าย เพราะผมถูกบักเก็ตทำให้ตกหน้าผาลงไปเลยได้กลับมาเจอกับราส ได้มาเจอพวกแฟรี่และได้กลับมาหาเบียทรีซอีกครั้ง


ผมไม่คิดว่านั่นจะเรียกว่าเหตุการณ์เลวร้ายได้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ดีเช่นกัน จนถึงตอนนี้ยังมีหลายครั้งเลยที่ผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้น


“ภายนอกไม่พบบาดแผลหรือสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุได้ดังนั้นข้าคิดว่าการที่ไม่สามารถพูดได้กับพลังปิศาจที่หมดไปนั้นมาจากภายใน” กริซบอกหลังจากใช้เวลาตรวจผมสักพัก


“วิณณ์ เจ้าได้กินอะไรแปลกๆ เข้าไปหรือไม่” ปู่วาเกนเอ่ยถาม


“...” ผมพยักหน้าตอบ นึกออกแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ยาที่บักเก็ตจับกรอกปากให้ผมกิน


“มีความเป็นไปได้สูงมาที่จะเป็นพิษชนิดร้ายแรงที่นอกจากจะมีฤทธิ์สยายพลังปิศาจไม่ให้กลับคืนแล้วยังทำลายกล่องเสียงจนไม่สามารถเอ่ยพูดได้”


“ทำยาแก้เดี๋ยวนี้” เบียทรีซออกคำสั่ง


“ข้าไม่ใช่คนของท่านองค์ราชาเบียทรีซ”


“เจ้า!”


“ข้าไม่ฟังคำสั่งท่าน ข้าจะทำเพราะถ้าต้องการช่วยหลานที่น่ารักของข้า” ปู่วาเกนยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้งราชาของโลกปิศาจ


“...จะหายเมื่อไหร่” เบียทรีซถามต่อไม่เอาเรื่องก่อนหน้านี้เพราะรู้อยู่แล้วว่ากำลังถูกแหย่เล่น


“เรื่องนั้นไม่สมารถตอบได้ หากเขาโดนพิษมาตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อนแต่ฤทธิ์ของมันยังไม่คลายมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการผสมพิษออกมาให้ออกฤทธิ์ในระยะยาวซึ่งไม่ง่ายเลยในการรักษาให้หาย”


“เจ้าจะบอกว่าวิณณ์จะไม่หาย?”


“ไม่ได้พูดเช่นนั้น แค่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน”


“อีกนานไหมกว่าจะปรุงยาเสร็จ” เบียทรีซถามต่ออีก


“กริซ” ปู่วาเกนเรียกให้กริซเป็นคนตอบแทน


“ครับ องค์ราชา การจะปรุงยาที่เราไม่รู้ถึงชนิดของพิษที่ท่านวิณณ์ได้รับเข้าไปนั้นยากมากเพราะหากปรุงยาซึ่งให้ฤทธิ์การต้านพิษที่ผิดอาจส่งอันตรายให้แก่ตัวท่านวิณณ์ได้ พวกเราเลยจำเป็นต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และเริ่มจากการใช้ยาแบบอ่อนหากได้ผลจะเริ่มการใช้ยาซึ่งต้านพิษมากขึ้น” กริซอธิบายให้เบียทรีซฟัง


“ตามนั้น...พวกข้าขอตัวก่อน หากยาเสร็จจะนำมาให้” ปู่วาเกนโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปตามด้วยกริซและคนอื่นๆ


เผลอเพียงพริบตาเดียวภายในห้องก็กลับมามีแค่ผมและเบียทรีซรวมไปถึงราสที่นอนแผ่อยู่ข้างเตียง การแบกผมขึ้นหลังบินมาจากทางเหนือสุดของโลกปิศาจต้องใช้พลังงานมากแน่ ถ้าผมสามารถพูดได้เมื่อไหร่จะขอบคุณราสเป็นอย่างแรก


ความเงียบซึ่งเข้าปกคลุมเรียกความตื่นเต้นแปลกๆ ให้เกิดขึ้น พอคิดว่าไม่ได้เจอกับเบียทรีซมาตั้ง 50 ปีอยู่ๆ ก็รู้สึกแบบ...ยังไงไม่รู้ พอหันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมก็ประสานเข้ากับดวงตาสีทองสว่างซึ่งจ้องมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว


“...จะว่าไปเจ้ามองเห็นทั้งที่ไม่ได้ใส่แว่นด้วย?”


“...” เหมือนผมจะเจอเข้ากับคำถามที่อธิบายยากถ้าไม่ใช้คำพูดเข้าซะแล้ว


ใช้เวลาคิดอยู่นานผมก็ลุกขึ้นจากเตียงก้าวไปอยู่ตรงหน้าของเบียทรีซที่มองตามมา ผมใช้มือสองข้างปั้นอากาศให้เป็นรูปของแฟรี่โดยเพิ่มการขยับของปีกด้วยการกระพือแขนของตัวเอง จากนั้นก็ย้ายมีทั้งสองข้างมาลากผ่านดวงตาสื่อให้รู้ว่าได้เหล่าแฟรี่มาช่วยผมเลยสามารถมองเห็นได้โดยไม่ใส่แว่น แต่คงไม่นานนักหรอก...ก่อนจะออกจากแดนนั้นมาบอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น


“เจ้าไปเจอตุ๊กตาหิมะกับลูกเป็ดที่ตัวใหญ่มาก?” คำแปลของเบียทรีซไม่ได้เข้าเค้าเลยสักนิดเดียว


“...” ผมส่ายหน้ารัวๆ ส่งไปให้


ตุ๊กตาหิมะอะไร?


ลูกเป็ดอะไร?!


“เจ้าเล่าเรื่องได้แย่มาก” เบียทรีซถึงกับถอนหายใจเมื่อผมพยายามอธิบายโดยการใช้ร่างกายสื่อความหมายต่ออีกรอบหนึ่ง อย่าคิดว่าผมไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากคล้ายกำลังเจอเรื่องตลกที่ปรากฎออกมานั่นนะ


เขากำลังกลั้นขำผมอยู่ชัดๆ


“...” คุณไม่เข้าใจเองต่างหาก!


ผมชี้หน้าพร้อมทำท่าหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายที่ส่ายหน้าคล้ายเอือมละอากับท่าทางของผมเต็มทน ทว่าถัดไปไม่กี่วินาทีเบียทรีซกลับเงยหน้าขึ้นมาหาก่อนจะคว้าแขนผมให้เซลงไปหา พูดให้เข้าใจง่ายคือผมถูกดึงให้ขึ้นไปนั่งบนตักในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน


“ข้าไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้ยิ้มและรู้สึกมีความสุขแบบนี้อีก”


“...” ผมเริ่มนิ่งยามได้ยินถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายคนกำลังอัดอั้น


“เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่ที่ข้าลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เจอเจ้าข้าไม่เคยที่จะยิ้มและมีความสุขอีก ทุกๆ วันข้าตามหาเจ้า...พยายามหาทุกหนทุกแห่งโดยไม่สนใจคำพูดของบักเก็ตที่บอกว่าเจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ในทุกๆ วันข้าจะบอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องได้เจอเจ้า บอกมาตลอดจนข้าเริ่มกลัวว่าสิ่งที่บักเก็ตพูดจะเป็นความจริง...”


“...” เบียทรีซ


“แต่แล้วในวันนี้ เวลานี้ ตรงหน้าข้ามีเจ้า...ข้ากำลังสัมผัสเจ้าอยู่ นี่คงไม่ใช่ความฝันที่พอข้าตื่นแล้วเจ้าจะหายไปหรอกใช่ไหมวิณณ์ บอกข้าที...ทำให้ข้าแน่ใจว่าข้าไม่ได้ฝันไป” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซกำลังสั่นดวงความรู้สึกหวั่นไหว่อย่างรุนแรง


“...” ถึงจะอยากพูดแต่เสียงก็ไม่ยอมออกมา ผมจึงเลือกที่จะกอดคออีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปยังปากของเบียทรีซ เป็นจูบที่แผ่วเบาและปราศจากการรุกร้ำใดๆ พร้อมกันนั้นผมคว้ามือของเบียทรีซขึ้นมาแนบบริเวณหน้าอกข้างซ้ายหรือก็คือบริเวณหัวใจ ให้เบียทรีซสัมผัสและรับรู้ถึงจังหวะของหัวใจที่กำลังเต้นแทนคำพูดที่อยากบอกเขาว่า...


นี่ไม่ใช่ความฝัน


“วิณณ์...หัวใจเจ้าเต้นดังไปไหม” เบียทรีซอยู่นิ่งๆ ได้ไม่นานตามคาด


เขาล้อผมที่หัวใจเต้นรัว จะไม่ให้เต้นดังได้ยังไงล่ะในเมื่อถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมาคล้ายกำลังกลืนกินตัวตนของผมเข้าไป


ผมไม่ยอมเป็นฝ่ายเดียวที่ถูกล้อจึงใช้มืออีกข้างแนบลงบริเวณหัวใจของเบียทรีซ สัมผัสของการเต้นของหัวใจนั้นไม่ได้ต่างจากของผมเลย แค่วางมือแนบลงไปก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน


“...” ว่าแต่ผมคุณก็หัวใจเต้นเร็วไม่แพ้กันหรอก


“วิณณ์ ไปอาบน้ำซะเจ้าเหม็นมากเลย” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นผมไม่รอช้ารีบเด้งตัวออกจากตักของอีกฝ่ายทันที ดันลืมไปเลยว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาเจอฝุ่นเลอะโคลนมานับไม่ถ้วน แถมก่อนหน้านั้นผมยังนอนหลับยาวมาตลอด 50 ปี นั่นหมายความว่าผม...


ไม่ได้อาบน้ำมา 50 ปี?!


อยากเป็นลม...ถ้าอยู่โลกมนุษย์ผมคงราขึ้นไปแล้ว


เบียทรีซก็ยังอุตส่าห์ทั้งกอดทั้งอุ้มผมได้อีกนะ


ด้วยความรีบร้อนในการลุกบวกกับความสามารถพิเศษที่มีมาตั้งแต่เกิดทำให้ขาผมสะดุดเข้ากับพื้นกระเบื้องเรียบๆ ก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นในวินาทีต่อมา แม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแต่ใช่ว่าผมจะไม่เจ็บ ความเจ็บและชาแล่นไปทั่วบริเวณสะโพก พอผมเงยหน้าขึ้นไปคิดจะขอความช่วยเหลือกลับเห็นรอยยิ้มของเบียทรีซที่ไม่ได้ยิ้มแค่ปากแต่เป็นทั้งใบหน้าสื่อถึงความสุขปนขบขันกับท่าทางของผมในขณะนี้


ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปความซุ่มซ่ามก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแถมนับวันดูจะมากขึ้นกว่าเดิมอีก


เบียทรีซยิ้มอยู่สักพักให้ก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าผม ซึ่งใช้เวลาช่างใจอยู่นานว่าจะยอมรับความช่วยเหลือนั้นหรือจะลุกขึ้นเองดี แน่นอนว่าเบียทรีซไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เลือกเองไปนานกว่านี้ลุกขึ้นจากเตียงมาอุ้มผมที่ขยับหนีก่อนจะก้าวตรงไปยังห้องน้ำ


ตลอดทางผมได้แต่ส่ายหัวดิ๊กๆ ดิ้นไม่หยุด พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมวางผมลง ความพยายามผมสำฤทธิ์ผลในเวลาต่อมาคือเบียทรีซยอมวางผมลงทว่าวางลงในอ่างน้ำอุ่นนะ หลังจากนั้นก็แน่นอนว่าผมทำได้แค่ยอมถูกเบียทรีซอาบน้ำให้จนกระทั้งตัวหอมฉุยแม้จะอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ตาม

...............................................

ก่อนอื่นต้องขออภัยจากตอนที่อาจทำให้ทุกคนตกใจกัน

ปกติเราไม่ค่อยแต่ดราม่าซึ่งตอนที่แล้วก็ไม่นับว่าดราม่าเท่าไหร่ เราวางเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่ช่วงคิดพล๊อตเรื่องและเป็นตอนที่เราค่อนข้างลำบากใจในการแต่งเพราะใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ทั้งคู่แยกจากกัน อีกใจก็นะ...หวานกันเกินไปแล้วห่างกันหน่อยเถอะ 555

ตอนนี้เมื่อทุกคนอ่านจบหวังว่าคงยิ้มกันได้แล้วนะคะ ไม่ใช่แค่วิณณ์ที่กลับมาแต่ยังมีราสกลับมาด้วย

มีคนเดาถูกด้วยนะ รู้ใจเราจริงๆ ค่า

อยากบอกไว้ก่อนจะได้ไม่ตกใจ ตอนหน้าเป็นตอนจบของเรื่องแล้วนะคะ

อาจดูเหมือนไม่ยาวแต่ในแต่ละตอนเนื้อหาค่อนข้างเยอะ เราลังเลว่าจะแยกหนึ่งตอนแป่งเป็นสองดีไหมแต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะไม่ตัดเพื่อจะให้นักอ่านได้อ่านกันยาวๆ กันดีกว่า

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.ตอนนี้เรามีกิจกรรมอยู่หน้าเพจแจกเรื่องสั้นใครสนใจสามารถเข้าไปร่วมกิจกรรมกันได้นะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-04-2019 12:57:47
ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ดีๆๆ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 13-04-2019 16:23:48
ดีใจที่วิณณ์กลับมานะ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-04-2019 17:20:18
ราสมาช่วยวิณณ์จริงๆด้วย

ราสขอมาอยู่กับวิณณ์เพราะจะใช้เลือดตัวเองผสมยา

เพื่อรักษาวิณณ์ใช่ใหม
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2019 23:04:58
เขากลับมาป่ะกันแล้วววววว  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการ:วันที่21:⊱ 13/4/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 14-04-2019 08:36:07
ราสช่วยวิณณ์จริงๆด้วย ดีใจที่ปลอดภัย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 20-04-2019 21:22:37
⊰บงการ:วันสุดท้าย:⊱



ความทรมานจากฝ่ามือสองข้างที่บีบรัดต้นคอของผมแน่นแล่นไปทั่วทุกอนูของร่างกายเช่นเดียวกับความหวาดกลัวที่กำลังแผ่ขยายออกมา การขัดขืนไม่สามารถหยุดเรี่ยวแรงอันมหาศาลนั่นได้ ร่างของผมถูกบีบคอในสภาพลอยตัวอยู่เหนือหน้าผาสูง
วินาทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือที่บีบคออยู่ทั้งร่างก็ดำดิ่งสู่ก้นเหวด้วยความเร็วสูงพร้อมกับความเจ็บปวดยามเนื้อหนังกระแทรกลงสู่พื้น...


เฮือก!


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมเบิกกว้างขึ้นท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงบของยามค่ำคืน ผมเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพยายามตั้งสติแล้วหันไปมองข้างกายซึ่งมีร่างของเบียทรีซนอนหลับสนิทโดยแขนข้างนึงพาดอยู่บนตัวผม ภาพนั่นช่วยคลายความรู้สึกหวาดกลัวที่ปะทุขึ้นมาได้มากเลย


“แฮ่ก...” ผมพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้กลับมาปกติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันที่ถูกปล่อยลงก้นเหวหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งภาพมันสมจริงจนผมรู้สึกกลัว


มันเป็นแค่ความฝัน


มันเป็นแค่เหตุการณ์ในอดีต


เพราะงั้นผมไม่ความจะเก็บมาคิดแล้วฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้


“เป็นอะไรวิณณ์” เสียงทุ้มจากข้างกายมาพร้อมฝ่ามืออุ่นๆ ที่แนบมายังแก้มมอบไออุ่นให้กับผมที่ร่างกายยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย


“...ผมฝัน”


“ฝัน? เดี๋ยวก่อนนะเสียงเจ้ากลับมาแล้ว?” เบียทรีซถึงกับเด้งตัวขึ้นมามองผมด้วยความประหลาดใจ พอได้ยินแบบนั้นผมเองก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้วจริงๆ


นับจากวันที่ผมกลับมายังปราสาทก็ผ่านมาประมาณครึ่งปีหรือ 6 เดือน ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งปีผมได้คุณปู่วาเกนและกริซรวมไปถึงปิศาจอีกหลายๆ ตนเข้ามาช่วยรักษาและดูแลด้วยการให้กินยารวมไปถึงการนวดเพื่อคลายพิษให้ออกจากร่าง


ดูเหมือว่าพิษที่ผมได้รับเข้าไปจะเป็นพิษชนิดร้ายแรง ฤทธิ์ของมันไม่เพียงแค่ทำลายเส้นเสียงในระยะยาวแต่ยังสลายพลังปิศาจภายในร่างจนหมดสิ้น เวลาในการรักษาจึงไม่สามารถระบุหรือกำหนดได้ชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ปู่วาเกนบอกว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการถอดพิษเหล่านั้นซึ่งหากรีบร้อนหรือเร่งรัดจนเกินไปจะส่งผลต่อร่างกายผมในภายหลังได้


ความจริงการเปล่งเสียงไม่ได้ก็ไม่แย่อย่างที่คิด มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกสนุกเพราะได้สื่อสารกับคนอื่นๆ ด้วยภาษากายอย่างกาเนอร์ เขาเป็นคนสุดท้ายในหมู่คนสนิทที่รู้ว่าผมกลับมาแล้ว ยังจำใบหน้าของกาเนอร์ตอนเข้ามาหาในห้องได้อยู่เลย เบียทรีซไม่ได้อธิบายอะไรก่อนจะเรียกอีกฝ่ายมาแล้วบอกให้ทำอาหารให้ผมที กาเนอร์จ้องหน้าผมอยู่นานมากราวกับกำลังคิดเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด และหลังจากเรียบเรียงได้เขาก็ส่งยิ้มกว้างพร้อมถอนหายใจโล่งอกก่อนจะก้าวเข้ามาหาผม


พอกาเนอร์รู้ถึงพิษภายในตัวเขาเลยพลิกแพลงอาหารในทุกๆ มื้อของผมให้มีสนุนไพรสำหรับล้างพิษ นอกจากจะอร่อยแล้วยังกินไม่เบื่ออีก คงเพราะได้ทั้งยาจากปู่วาเกนและอาหารล้างพิษจากกาเนอร์ผมเลยสามารถหายได้ในเวลาแค่ครึ่งปี


“บะ...” พอคิดว่าหายแล้วแต่พอลองพูดอีกครั้งปรากฎว่าเสียงออกมาแค่พยางค์แรกเท่านั้น


“อย่าเพิ่งฝืน พิษในตัวเจ้าอาจจะยังออกไม่หมด” เบียทรีซบอก


“อืม เหมือนจะมีเสียงแล้ว” ครั้งนี้พอลองพูดเสียงกลับออกมาเต็มทั้งประโยค


“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากวิณณ์”


“คุณเป็นห่วงผมเหรอเบียทรีซ” ผมเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ในความมืดแบบนี้ไม่ใช่อุปสรรคในการมองเห็นของปิศาจอย่างพวกเรา ยกเว้นแต่ผมที่สายตาสั้น


“เจ้ามันดื้อ”


“เปล่าดื้อนะ” ดื้อตรงไหนกัน


“แล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้มีอะไร ตัวเจ้าดูสั่นๆ ด้วย” เบียทรีซถามต่อ


“ไหนคุณบอกให้ผมพักเสียง?” ถ้าให้บอกเล่าก็ต้องใช้เสียงน่ะสิ


“อย่ามาย้อนข้าวิณณ์”


“ไม่ได้ย้อน”


“ที่เจ้าทำอยู่มันเรียกว่าย้อน”


“ผมจะพักแล้ว” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วล้มตัวนอนลง พอได้คุยกับเบียทรีซความรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บทั่วร่างก็หายไป ผมไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเบียทรีซเพราะหากบอกเขาต้องเป็นห่วงผมแน่ เรื่องของบักเก็ตเบียทรีซเล่าให้วันในวันที่สองหลังผมกลับมา


ผมอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยไม่มีอะไรให้ต้องย้อนนึกถึงอีก


“คิดว่าข้าจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้รึไง” เบียทรีซพูดก่อนจะจับตัวผมพลิกให้หันมาเผชิญหน้ากันในสภาพที่นอนตะแคงข้างอยู่


“...ไม่มีอะไรสักหน่อย”


“ทั้งหอบเสียงดังทั้งตัวสั่นขนาดนั้น ข้าคงเชื่อเจ้าหรอกวิณณ์” อีกฝ่ายสวนกลับแทบจะทันที


“กะ...” คำตอบที่กำลังจะเอ่ยไม่สามารถเปล่งออกมาได้ดั่งใจ


“ข้าจะไปตามกริซ”


“ไม่ต้อง!” ผมคว้าแขนอีกฝ่ายไม่ให้ลุกขึ้นจากเตียง ดึกป่านนี้จะไปเรียกมันดูไม่เหมาะแถมผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก พูดอีกแง่คือดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย สามารถส่งเสียงได้แม้จะไม่ทุกครั้ง


“ลองให้มาตรวจดูก่อนจะดีกว่า”


“ไว้พรุ่งนี้ก็ได้” อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว


“ตามใจเจ้า ในเมื่อเสียงกลับมาแล้วจะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร” สุดท้ายเบียทรีซก็วกกลับเข้าประเด็นเดิมจนได้ แถมสายตาที่ประสานมายังเร่งให้ผมรีบพูดออกมาอีก


“ก็แค่...ฝันร้ายนิดหน่อย” ผมตอบกลับไปตามจริง


“ฝันร้าย...เรื่องตอนอยู่ที่หน้าผาสินะ” เบียทรีซสามารถสรุปออกมาได้ทั้งที่ผมเอ่ยออกไปเพียงประโยคเดียว


“อืม” ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังต่อไป


“เจ้าฝันร้ายบ่อยแค่ไหน”


“...สองสามครั้งในหนึ่งอาทิตย์” ผมนึกระหว่างตอบ


“นี่เจ้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับข้ารึไง!” น้ำเสียงโกรธปนโมโหนั่นทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย


“ผมไม่อยากให้คุณต้องมาเป็นห่วง” เสียงผมเบาหวิวลงเรื่อยๆ ยิ่งท้ายประโยคแทบจะไม่มีเสียงเร็ดรอดออกมา ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของพิษแต่เป็นสายตาของเบียทรีซที่มองมา


“ที่เจ้าไม่บอกข้ายิ่งทำให้ข้าห่วงมากกว่าเดิมอีก”


“...คุณยอมรับว่าห่วงผม?” ค่อนข้างตกใจทีเดียว ปกติอีกฝ่ายแทบจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ ว่าเป็นห่วงผม ส่วนมากจะเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น


“นั่นไม่ใช่ประเด็นวิณณ์ เจ้าฝันร้ายบ่อยขนาดนั้นมันไม่ปกติ”


“ผมคิดว่าคงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกผมกำลังกลัว ความกลัวที่มีอยู่ภายในนี่ไม่สามารถลบหรือทำให้หายไปได้ง่ายๆ ซึ่งหากใช้เวลาสักหน่อยผมน่าจะลืมไปได้”


“ใช้เวลาสักหน่อยของเจ้านี่ยาวกว่า 6 เดือนเลย?” เบียทรีซถามกลับ


“...” ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ออกมาจากปากผม


“ข้ามีวิธีเสนอ อยากจะลองหน่อยไหมล่ะ”


“วิธีอะไร” ผมถามแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อรอฟัง


“เจ้าอยากลอง?”


“อืม” หากมีวิธีที่จะช่วยให้ผมไม่ต้องฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำอีกผมก็พร้อมที่จะทำ


“งั้นก็ขยับเข้ามาอีก”


“...พอรึยัง” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เบียทรีซมากขึ้นตามที่บอก


“ยัง ใกล้อีก”


“ถ้าใกล้กว่านี้ก็ติดแล้วนะ” ตัวผมในตอนนี้เรียกว่าอยู่ใกล้กับเบียทรีซขนาดที่สามารถได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน ขืนใกล้กว่านี้จมูกผมคงติดกับแผงอกนั่นแล้ว


“ขยับมาให้ติดสิ”


“คิดจะทำอะไร อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายดึงแขนจนหน้าผากกระแทรกเข้ากับแผ่นอกหนาตรงหน้า เพียงแค่นั้นยังไม่จบ เบียทรีซสอดมือลอดศีรษะผมแล้วใช้มือข้างนั้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลแดงคล้ายกำลังจะขับกล่อม เช่นเดียวกับเสียงของหัวใจที่ได้ยินในระยะประชิดจากการที่ใบหน้าแนบอยู่บริเวณแผ่นอกนั้น


“ไม่ต้องนึกถึงอะไร ฟังแค่เสียงหัวใจข้าวิณณ์” เบียทรีซกระซิบก่อนจะจูบเบาๆ ลงยังเส้นผมสีน้ำตาลแดงอย่างอ่อนโยน


ความรู้สึกเขินอายกระจายไปทั่วร่างพร้อมกับอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ อย่าว่าแต่ไม่ฝันร้ายเลยแค่จะข่มตาให้หลับลงยังยากจนต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง


หลายเดือนต่อมาฤทธิ์ของพิษซึ่งอยู่ในร่างกายผมก็หมดลงโดยสมบูรณ์ผมจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง เมื่อหายดีผมไม่รอช้าที่จะเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ จริงอยู่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมาผมมีช่วยทำงานบ้างแต่ก็แค่เล็กน้อยเพราะเบียทรีซอยากให้ผมพักจนกว่าจะหายแถมเจ้าตัวยังแทบไม่อยู่ติดห้องทำงานคอยมาดูผมที่มักออกไปเดินเล่นด้านนอกอยู่เป็นประจำแม้ผมจะมีปิศาจคอยตามอยู่ทุกฝีก้าวแล้วก็ตาม


ผมพอจะเดาความคิดของเบียทรีซออก พลังปิศาจในตัวผมยังไม่ฟื้นทำให้ไม่สามารถสัมผัสหาผมผ่านไอปิศาจได้เขาเลยกังวลว่าผมจะไปหลงอยู่ไหนอีกรึเปล่า


ก็คิดมาตั้งแต่ตอนได้เจอกันแรกๆ แล้วล่ะว่าเบียทรีซนี่เป็นพวกที่นอกจากจะทำอะไรตามใจตัวเองแล้วยังไม่ยอมให้ของของตัวเองอยู่นอกสายตา สำหรับผมคำว่าของของเบียทรีซไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ในทางกลับกันผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็นคนสำคัญ


สำหรับปิศาจพอพิษภายในร่างหายไปจนหมดพลังปิศาจภายในตัวก็ค่อยๆ กลับคืนมาทีละน้อยจนปัจจุบันผมมีพลังปิศาจเทียบเท่าแต่ก่อน ไม่สิ มีหลายๆ คนบอกว่าพลังปิศาจผมเพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนอีก เพราะได้พลังกลับคืนมาเหล่าปิศาจที่คอยตามเฝ้าดูแลผมแทบจะ 24 ชั่วโมงก็กลับไปทำหน้าที่เดิมของตัวเองต่อ เบียทรีซเองก็เลยเบาใจที่จะให้ผมออกไปเดินได้ตามลำพังถึงส่วนมากเขามักจะไปกับผมก็ตามที


ส่วนราสนั้นกลายเป็นเหมือนครอบครัวของผมกับเบียทรีซไปแล้ว ด้วยร่างกายที่ลดขนาดลงจนสามารถเกาะไหล่ผมไปได้ทำให้ราสไปแทบทุกที่ด้วยกันกับผม บางครั้งก็จะบินตามเบียทรีซไม่ก็ไปหลับอยู่บนตักของเบียทรีซบ้างสลับกันไป


ด้วยความน่ารัก ฉลาดและแสนรู้ของราสเบียทรีซจึงยอมให้เลี้ยงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เอ่อ...ความจริงปัญหาก็มีอยู่นะต่อให้เบียทรีซจะบอกว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยแต่ผมกลับมองว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ ปัญหานั้นคือปริมาณอาหารในแต่ละวันของราส
ราลามอสเป็นสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่ดังนั้นจึงต้องได้รับพลังงานให้เพียงพอกับรูปร่างแม้จะอยู่ในรูปลักษณ์ที่แสนกระทัดรัดทว่าร่างจริงก็เป็นสัตว์ปิศาจตัวใหญ่อยู่ดี ในแต่ละวันราสกินอาหารไปหลายร้อยกิโลกรัมเรียกว่าแทบล้างครัวเลยก็ไม่ผิดนัก ปริมาณอาหารขนาดนี้เหมือนกำลังเลี้ยงช้างอยู่สักตัว


กิจวัตรประจำวันเดิมๆ ของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับเบียทรีซ มื้อเช้าอันเปี่ยมไปด้วยสารอาหารจากกาเนอร์ก่อนจะไปฝึกทักษะการต่อสู้และการใช้พลังปิศาจกับเตโช ในช่วงสายและช่วงบ่ายช่วยแกรนทำงานส่งให้เบียทรีซสลับกับทำงานที่สก๊อตให้ปิศาจรับใช้นำมาให้ พอตกเย็นก็รับประทานมื้อค่ำและปิดท้ายด้วยการกลับห้องไปอาบน้ำและนอน


นี่เป็นกิจวัตรประจำวันปกติที่มีน้อยมากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทว่าในวันนี้กลับแตกต่างออกไป หลังจากจบมื้อค่ำเบียทรีซมักจะอาบน้ำแล้วนั่งเล่นบนเตียงกับราสสักพักรอผมอาบเสร็จแล้วปิดไฟนอนแต่วันนี้พอผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาในชุดนอนเบียทรีซกลับยืนอยู่กลางห้องในชุดลำลองไม่ใช่ชุดนอนเหมือนทุกที


“มีประชุมเหรอ” ผมเอ่ยถาม อย่างเดียวที่คิดได้คือเบียทรีซมีประชุม


“เปล่า”


“...ทำไมใส่ชุดลำลองล่ะ” แบบนั้นก็เหมือนกับกำลังจะออกไปไหนสักแห่ง


“จะออกไปข้างนอก”


“...อืม กลับดึกรึเปล่า” ผมถามต่อ ถ้าไม่นานผมอาจจะอยู่รอได้ยังไงตอนนี้นาฬิกาก็เพิ่งบอกเวลาสองทุ่มเท่านั้นเอง


“คงดึกอยู่”


“งั้นก็ระวังตัวด้วย”


“เจ้าก็ต้องไปด้วย รีบเปลี่ยนชุดซะ” เบียทรีซบอกเสียงนิ่งพร้อมชี้นิ้วไปทางห้องแต่งตัว


“ฮะ? ผมไปด้วยเหรอ”


“ข้าไม่พูดซ้ำวิณณ์”


“จะไปไหนดึกดื่นป่านนี้”


“เดี๋ยวก็รู้เอง ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว”


“...อืม” ผมมีสิทธิ์ขัดหรือปฏิเสธซะที่ไหนล่ะ


สุดท้ายผมก็จำต้องเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวเปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นชุดลำลอง สิ่งแรกที่เห็นหลังเปิดประตูกลับมาในห้องนอนคือทางเชื่อมมิติที่ถูกเปิดอยู่ ราสกระพือปีกมาหาแล้วใช้ขาหน้าทั้งสองข้างเกาะไหล่ผมทิ้งตัวให้ไปด้านหลังเหมือนทุกวัน


“เบียทรีซ...”


“ไปกันได้แล้ว” เบียทรีซไม่ปล่อยให้ผมได้ถามจบประโยคเดินมาคว้ามือผมไปจับก่อนจะดึงให้เดินเข้าไปในทางเชื่อมมิติที่เปิดอ้าอยู่


“เรากำลังจะไปไหนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเบียทรีซซึ่งเดินนำผมอยู่เล็กน้อย


“เดี๋ยวก็รู้”


“แล้วเดี๋ยวที่ว่ามันเมื่อไหร่ล่ะ”


“เดี๋ยวก็คือเดี๋ยว”


“...” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเลย


“เจ้าชอบพวกธรรมชาติสินะ” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องถามก่อนวิวทิวทัศน์ตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนไป


ความเย็นของอากาศโดยรอบบวกกับกลิ่นอายของดิน หินและต้นไม้แถมยังความมืดกับเสียงก้องๆ แบบนี้หรือว่าจะอยู่ในถ้ำ?


“อืม...ผมชอบ นี่พวกเราอยู่ในถ้ำใช่รึเปล่า” ตอบเสร็จผมก็ถามกลับ


“เดาเก่งนี่”


“แปลว่าถูกเนอะ”


“คิดเองเออเอง”


“ไม่ถูกเหรอ” ผมค่อนข้างมั่นใจกับคำตอบอยู่ไม่น้อยเพราะทิวทัศน์ของสองข้างทางเป็นทางเดินอันเต็มไปด้วยหินและหยดน้ำที่หยดลงมาตามทางเดิน


“ก็ไม่ผิด ที่โลกมนุษย์เจ้าเคยดูดาวไหม” เบียทรีซถามต่อ มือข้างที่ถูกคว้าในตอนแรกเปลี่ยนมาประสานกันไว้หลวมๆ ระหว่างเดิน


“เคยนะ ปกติก็จะดูอยู่ที่บ้านแต่เพราะอยู่ในเขตตัวเมืองเลยมองแทบไม่เห็น จำได้ว่าตอนไปเข้าค่ายช่วงมหาลัยบนดอยเป็นการดูดาวที่งดงามที่สุดในชีวิตเลย”


“ดูบนฟ้า?”


“ก็บนฟ้าน่ะสิ...คุณไม่ได้ดูดาวบนฟ้า?” ผมขมวดคิ้วถามกลับเมื่อได้ยินคำถามแปลกๆ จากอีกฝ่าย


“ปกติก็ใช่”


“หมายถึงอะไร”


“ลองเดาสิ”


“เดาไม่ออกหรอก ขอเฉลยเลยเถอะ”


“ข้าพาเจ้ามาดูดาวที่สวยที่สุดในโลกปิศาจ”


“ดูดาว...” ทั้งที่ยังมีความสงสัยอยู่แต่พอเบียทรีซดึงมือผมให้หลุดออกจากทางเดินยาวมาเป็นพื้นที่โล่ง เสียงของผมก็ถูกกลืนหายไปเพราะความงดงามของวิวตรงหน้า


ผมคิดอยู่ว่าถ้าดูดาวในถ้ำคงไม่พ้นเป็นการดูผ่านช่องว่างด้านบนจุดใดจุดหนึ่งของถ้ำแต่ในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น ด้านบนของผมเป็นเหมือนกระจกใสที่เพียงแค่เอื้อมมือขึ้นไปก็สามารถสัมผัสท้องฟ้าสีดำสนิทอันเต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายเจิดจ้าในระยะประชิด


ไม่เพียงแค่ดวงดาว ท้องฟ้านี้ยังเห็นเหมือนระลอกคลื่นที่พัดพาสะเก็ดสีเงินส่องแสงเคลื่อนที่ระยิบระยับอยู่ตลอดเวลาราวกับกำลังดูดาวที่สามารถเคลื่อนไหวได้ เป็นภาพที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด หากสามารถมอบคำคำนึงให้กับภาพนี้ได้ก็คงไม่พ้น...


งดงาม


เป็นความงดงามที่จะตรึงทุกดวงตาให้จับจ้องไปราวกับถูกเสน่ห์ของประกายท่ามกลางความมืดนั้นดึงดูดจนไม่อาจละสายตาออกมาได้ ดวงดาวบนยอดดอยที่ว่างดงามยังไม่อาจเทียบกับภาพตรงหน้านี้ได้เลย


ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นดวงดาวในระยะใกล้แค่นี้


ผมเอื้อมมือขึ้นไปด้านบนหมายจะสัมผัสดวงดาวซึ่งอยู่ใกล้เพียงระยะเอื้อม แต่ก่อนจะแตะถึงดวงดาวกลับสัมผัสโดนผนังสีใสคล้ายกับเป็นกระจกบานหนากั้นผมกับดวงดาวไว้อยู่ ผมเอียงคอหันไปมองคนข้างกายเบียทรีซเองก็เหมือนจะรู้ตัวเลยหันมามองตอบ


“สวยรึเปล่า”


“ยิ่งกว่าสวยอีก เนอะราส” ผมหันไปมองราสที่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบนอยู่เช่นกัน


งี๊ดด~


เสียงครางสูงตอบรับคำถามที่ผมเอ่ยออกไป ผมยิ้มรับแล้วลูบเส้นขนสีดำสนิทของราสสักพักจึงหันกลับไปมองหน้าเบียทรีซต่อ ผมเห็นนะว่าอีกฝ่ายกำลังรอบยิ้มมุมปากอยู่


“สถานที่นี้ถูกเรียกว่าการดูดาวใต้น้ำ ด้านบนที่เจ้าเห็นเป็นทะเลสาบขนาดกลางซึ่งก้นของทะเลสาบมีแผ่นหินใสที่สามารถมองภาพจากด้านบนได้ใกล้ขึ้นและอีกด้าน(ล่าง)หรือก็คือด้านที่พวกเราอยู่ก็สามารถมองทะลุผ่านสายน้ำขึ้นไปมองท้องฟ้าซึ่งถูกซูมให้เห็นราวกับดวงดาวอยู่ใกล้เพียงหยิบมือ...”


“อีกทั้งก้นทะเลสาบมีแร่ชนิดหนึ่งที่เมื่อตกดึกจะส่องแสงสะท้อนกับแสงจันทร์ เวลามีกระแสลมพัดผ่านจนเกิดเป็นคลื่นด้านบนจะเห็นภาพราวกับดวงดาวนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้” เบียทรีซอธิบายทุกอย่างให้ผมฟัคล้ายเขาอ่านออกว่าผมกำลังสงสัยแล้วต้องเอ่ยถามแน่


การดูดาวใต้น้ำเหรอ


ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีสถานที่นี้อยู่จริงในโลก ความงดงามที่เกิดจากธรรมชาติเป็นผู้สร้างมิใช่การลงมือทำของสิ่งมีชีวิต มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย ยิ่งมองดูเหมือนยิ่งได้รับความสุขเข้ามาเติมเต็มมากขึ้น



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 20-04-2019 21:23:15
(ต่อนะคะ)


“เบียทรีซ ขอบคุณนะที่พาผมมา” ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวนอกปราสาทสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะอยู่แถวตลาดไม่ก็ไปหาพวกคุณปู่คนแคระ ตอนนี้มีเพิ่มที่ดินแดนของเหล่าแฟรี่ ยังมีสถานที่อีกมากมายนักที่ผมยังไม่เคยได้ไปเยือน


“ดูเหมือนเจ้าจะชอบ”


“ชอบมากเลยล่ะ”


“อืม...เจ้าชอบแต่ข้ารัก”


“ฮืม? รักที่นี่?” ผมเอียงคอใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นเงยขึ้นไปหาเบียทรีซ


“รักเจ้า...ข้ารักเจ้าวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซเรียกอุณหภูมิภายในร่างกายให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมชักมือที่กุมกันไว้ออกทว่าเบียทรีซกลับกำแน่นพร้อมก้าวเข้ามาใกล้


“...อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้” แม้จะเหลือมือแค่ข้างเดียวแต่ผมก็ใช้มันยันร่างเบียทรีซไม่ให้ขยับมามากกว่านี้ เสียงหัวใจมันเต้นรัวจนตัวเองยังสัมผัสได้


“วิณณ์”


“อึก...อย่าเรียกด้วย” เบียทรีซใช้น้ำเสียงที่ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี


“หน้าแดงก่ำเลย ขนาดอยู่ในที่มืดข้ายังเห็นชัด”


“หยุดพูดนะ” แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว อย่ามาทำให้อายเพิ่มได้ไหม


“ข้ารักเจ้า” เป็นอีกครั้งที่คำว่ารักถูกเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงแสนนุ่มนวลพาคนฟังตกลงไปสู่หลุมที่หากตกลงไปแล้วก็ไม่อาจจะปืนขึ้นมาได้อีก สำหรับตัวผมตกหลุมนั่นไปตั้งนานแล้ว...ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองรักเบียทรีซนั่นแหละ


“...” เล่นพูดติดกันสองรอบแบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ


เบียทรีซเป็นอะไรไป เขาไม่ใช่คนที่จะมาบอกรักซ้ำแบบนี้นี่แค่จะให้ยอมรับว่าห่วงยังต้องยกแม่น้ำมานับสิบสายแต่วันนี้กลับพูดคำว่ารักหลายครั้งติดๆ กัน


“ข้าไม่ใช่คนที่จะพูดคำว่ารักบ่อย แต่ตลอดระยะเวลาที่เจ้าหายไปข้าคิดและโทษตัวเองมาตลอดว่าทำไมวันที่เจ้าอยู่ถึงได้ไม่ยอมบอกออกไปให้เจ้าฟังทั้งที่ข้าแน่ใจในความรู้สึกนี้ของตัวเองมากพอแล้ว สำหรับข้าเจ้าเป็นทุกอย่างไม่ใช่แค่คนรักแต่เป็นมากกว่านั้น”


“เบียทรีซ...”


“เจ้าเป็นของข้าวิณณ์ เป็นของข้าคนเดียว”


“อืม...ผมเป็นของคุณ”


“วิณณ์” เบียทรีซเอ่ยเรียกพร้อมกับแนบริมฝีปากลงมาลงมาจูบ ผมไม่ได้ขัดขืนตรงกันข้ามผมกลับเงยหน้าขึ้นเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรุกร้ำเข้ามามากขึ้น รสสัมผัสของจูบในคราแรกช่างอ่อนหวานและละมุลแต่พอเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเร่าร้อนและดุดันราวกับกำลังให้หมู่ดวงดาราเป็นพยานในการครองคู่ของพวกเรา


ยามดวงดาวทอประกายอยู่ท่ามกลางนภา ภายในห้องนอนของราชาเบียทรีซไม่ได้หลับใหลตามไปด้วย ริมฝีปากของผมกับเบียทรีซยังคงประกบเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งแผ่นหลังผมแนบลงเตียงคนที่ขึ้นคร่อมก็ยังไม่ยอมละจูบออก


“อื้อออ~...อ๊ะ!” เสียงครางของผมดังขึ้นเมื่อถูกเบียทรีซเลิกเสื้อเหนือแผ่นอกแล้วใช้ปลายลิ้นไล้เลียแผ่นอกให้ชูชันขึ้น เรี่ยวแรงภายในกายเหมือนจะถูกสูบออกไปจากจูบมาราธอนเมื่อครู่ซะแล้ว


“วิณณ์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผมสลับกับหยอกเย้าแผ่นอกทั้งสองข้าไปมา


“อ๊ะ! อึก...เบียทรีซนี่คุณอย่าบอกนะว่าจะทำ...อื้อ!” ผมถึงกับสะดุ้งยามเรียวลิ้นนั้นลากยาวลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบอันปราศจากอาภร


“เดาเก่งขึ้นแล้วนี่”


“เดี๋ยว อย่าเพิ่งผมยังไม่พร้อม...”


“เจ้าได้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจไปกว่า 50 ปีแล้วยังไม่พออีก?” เบียทรีซถามกลับโดยมือข้างนึงเริ่มซุกซนปลดกางเกงผมออกไม่เหลือแม้แต่ชั้นใน


“นั่นมัน...” จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาผมหลับสนิทไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียวพอลืมตาขึ้นมาเวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาไหนไปเตรียมใจกัน


“ข้าไม่คิดจะรอนานไปกว่านี้”


“อ๊าา!...เบียทรีซ” ความเจ็บเสียดบริเวณช่องทางด้านหลังที่ถูกรุกล้ำพร้อมของเหลวรุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ผมหลุดเสียงครางออกมาระลอกใหญ่


ร่างกายเหมือนกำลังโดนแยกแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น ยิ่งถูกทั้งพรหมจูบ ขบเม้มและหยกเย้ากระตุ้นร่างกายผมไปแทบทุกสัดส่วนความรู้สึกดีก็ยิ่งแล่นเข้ามา อารมณ์ภายในเริ่มเปิดเปิง ทุกการสัมผัสเรียกเสียงครางให้ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง


“ขนาดนี้แล้วข้าไม่หยุดหรอกนะ” เบียทรีซกระซิบพร้อมขบบริเวณลำคอผมแรงๆ


“อื้อ! ราส...ช่วยด้วย” ผมส่งเสียงเรียกตัวช่วยสุดท้าย


งี๊ดด~


ร่างของราสลอยขึ้นมาจากฟูกด้านล่าง ดวงตาสีทองสว่างของมันมองดูผมกับเบียทรีซเพียงชั่วครู่ก่อนจะบินมาเลียใบหน้าผมคล้ายกับให้กำลังใจแล้วบินกลับลงไปนอนด้านล่างต่อ


“หึ...ดูเหมือนราสจะเข้าข้างแล้วล่ะ”


“อึก...คุณมันคนเอาแต่ใจ” ดูเหมือนว่าผมคงไม่สามารถหนีจาดสถานการณ์นี้ได้แล้วล่ะ


“ก็รู้ดีนี่ ถ้าข้าอยากได้หรือต้องการอะไรข้าต้องได้ ทั้งหัวใจและร่างกายของเจ้า ข้าอยากได้วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซไม่ได้อ่อนโยน ไม่ได้สุภาพแต่เป็นน้ำเสียงคล้ายกำลังออกคำสั่งซึ่งนี่แหละคือเบียทรีซที่ผมรัก


แค่เขาบอกว่าต้องการผมก็ยินยอมที่จะมอบให้ด้วยความเต็มใจ


“...ผมให้คุณ เบียทรีซ” ผมเอ่ยประโยคนั้นด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าคอเบียทรีซให้โน้มลงมาก่อนผมจะเป็นฝ่ายมอบจูบให้อีกฝ่ายบ้าง


เบียทรีซสัมผัสไปทั่วทั้งร่างกายผมจนไม่มีส่วนใดที่ไม่ถูกครอบครอง ช่องทางด้านหลังที่คลายตัวถูกตัวตนของเบียทรีซค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาอย่างเชื่องช้า เสียงครางต่ำของเบียทรีซที่ผมได้ยินคล้ายกับกำลังสะกดกั้นอารมณ์ไม่ให้ทยานสูงไปมากกว่านี้


จังหวะเนิบนาบในช่วงแรกเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อผมเริ่มชินกับตัวตนภายใน ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาพานให้ในหัวขาวโพนทุกครั้งยามร่างกายถูกโยกคลอน เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วห้องช่างน่าอายแต่กลับปฏิเสธไม่ได้ว่ามันปลุกเร้าอารมณ์ให้เปิดเปิงจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้


“อ๊ะ!...อื้ออ~ เบียทรีซ อ๊า!”


“วิณณ์...ในตัวเจ้าช่าง...” เบียทรีซกระซิบข้างไปหูแล้วขยับกายเร็วขึ้น มือข้างนึงของเขากำลังปรนเปรอแก่นกายของผมที่ตื่นตัวใกล้จะปลดปล่อยออกมาตามจังหวะของการขยับตัว


“ผมไม่ อึก...ไม่ไหว อื้ออ~!” ไม่นานอารมณ์ภายในร่างก็ปะทุออกมาทว่าเบียทรีซกลับไม่ยอมให้ผมได้หยุดพักขยับร่างกายต่อด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น การเสียดสีภายในร่างบวกกับปลายลิ้นที่ไล้เลียกระตุ้นแผ่นอกนั่นส่งผลให้อารมณ์ที่เพิ่งปะทุเริ่มทยายขึ้นอีกครั้ง


เบียทรีซไม่มีความปราณีใดๆ เขาทำให้ผมรู้สึกดีจนร่างกายแทบรับไม่ไหว เช่นเดียวกันกับการเร่งจังหวะสะโพกให้รุกเร้าผมไม่หยุดจวบจนความต้องการถูกปลดปล่อยออกมาท่ามกลางเสียงครางลั่นของผม ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเองตอบรับความรู้สึกดีที่เบียทรีซมอบให้อย่างไม่ขัดขืน


“...แฮ่ก...” ผมหอบหายใจแรง


“เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะพอแค่นี้หรอกนะ” เบียทรีซเอ่ยพร้อมกับรั้งสะโพกผมขึ้น


“ว่าไงนะ...เดี๋ยว อ๊าาาา~!” ไม่ทันจะได้ห้ามอีกฝ่ายกลับสอดใส่ความแข็งขืนเข้ามาภายในร่างผมอีกรอบ


ความร้อนของร่างกายยามถูกเหย้าแหย่และกระตุ้นให้เกิดความเสียวซ่านนั่นหลอมละลายสติอันน้อยนิดที่หลงเหลือให้ดับวูบลงโดยไม่รู้ตัว


ยามเช้าของวันใหม่ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความปวดร้าวตามร่างกายที่แผ่ไปทั่วล่าง เพียงแค่จะขยับตัวลุกนั่งยังเซจะล้ม โชคดีที่เบียทรีซคว้าตัวผมไว้ไม่งั้นคงได้ตกเตียงไปแล้ว ดวงตาสีทองของเบียทรีซจ้องมายังผมพานให้รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“...มองทำไม” ผมพึมพำเสียงเบาให้อีกฝ่ายได้ยิน


“ข้าจะมองคนรักของตัวเองไม่ได้?”


“ก็...เปล่า”


“เจ็บมากไหม”


“มาก!” ผมตอบเสียงดัง


“ความผิดเจ้าเองนี่” เบียทรีซพูดก่อนจะหยิบแว่นผมยื่นมาให้ใส่


“ผม?” ตัวผมเองเนี่ยนะ


ผิดยังไงกัน


“เล่นทำตัวน่ารักแถมครางเสียงหวานขนาดนั้นจะให้ทนไหวได้ยังไง”


“หยุดพูดเลยเบียทรีซ” แค่นี้ก็อายจนแทบพลิกแผ่นดินหนีแล้ว


“ในที่สุดข้าก็ได้เจ้ามาครอบครองจริงๆ สักทีนะวิณณ์” เบียทรีซบอกก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างแนบลงยังแก้มของผม ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือนั้นช่วยบรรเทาอารมณ์เคืองๆ ที่มีให้หายไป


“...คุณครอบครองผมมาตั้งนานแล้ว” ผมตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวให้อีกฝ่ายฟังพลางเอียงคอรับสัมผัสของฝ่ามือซึ่งกำลังเกลี่ยแก้มผมมเล่นด้วยความยินดี


“วิณณ์...”


“ผมเป็นของคุณมาตลอดเบียทรีซ อาจเป็นมาตั้งแต่วันแรกที่ผมได้สบดวงตาสีทองสว่างของคุณแล้วก็เป็นได้” ภาพในวันแรกที่ผมและเบียเทียซได้เจอกันนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีพวกเราได้อย่างในตอนนี้


ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนปกติแสนธรรมดาของผมเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจอกับราชาของโลกปิศาจนอนจมกองเลือดอยู่ในสวน ความจริงอันน่าตื่นตกใจของแม่ตัวเองเป็นถึงคนสนิทของราชาปิศาจแถมผมที่เป็นลูกยังได้รับพลังนั้นมาเต็มๆ


การทะเลาะและไม่เข้าใจในวันแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ต่างฝ่ายต่างปรับตัวให้เข้ากับอีกฝ่ายมากขึ้นจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนี้ของพวกเราตรงกัน


อนาคตช่างเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน


เราไม่อาจรู้ถึงเรื่องราวในอนาคตได้ ดังนั้นพวกเราต้องทำวันนี้...ต้องทำปัจจุบันให้ดีและคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง


สำหรับผมเองก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าในอนาคตผมและเบียทรีซจะเป็นยังไง ความรู้สึกของพวกเราจะยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เพราะช่วงชีวิตของปิศาจอย่างพวกเรามีมากนับร้อยๆ ปี ถึงจะไม่รู้แต่ผมไม่เคยกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด
จะกลัวไปทำไมล่ะในเมื่อปัจจุบันพวกเรายังรักกันอยู่


เบียทรีซยังคงเป็นเบียทรีซ


และผมยังคงเป็นผม


พวกเรายังคงเป็นพวกเราอยู่เสมอ


และจะเป็นตลอดไปด้วย


“ผมรักคุณ...รักคุณมากๆ เลยเบียทรีซ”


“ข้าก็รักเจ้าวิณณ์ เพราะงั้นมาต่อรอบเช้ากันเถอะ”


“ฮะ?...ไม่เอานะ ผมไม่ไหว”


“ไหวสิ”


“ก็ผมบอกอยู่ว่าไม่ไหว”


“ข้าบอกว่าไหวก็ต้องไหวสิวิณณ์”


“คุณจะเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”


“แล้วเจ้าไม่รักข้าที่เป็นแบบนี้หรอกเหรอ”


“อึก...ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณนั่นแหละ”

...........................จบบริบูรณ์..............................

จบแล้วค่าา อันนี้จบจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ 555

หลายคนไม่อยากให้จบ อยากจะเห็นฉากหวานๆ ของทั้งคู่ต่อใช่ไหมล่ะะะะ

สำหรับเรื่องนี้บอกได้ว่าจะมีรวมเล่มค่ะแต่คงอีกสักพักใหญ่เลย

ใครสนใจเตรียมเก็บเงินไว้ได้น้าา

จะแต่งตอนพิเศษหวานๆ ให้มดไต่ให้ทุกคนได้อ่านกันแน่นอน

หากมีข่าวคืบหน้าจะมาแจ้งพร้อมอัพตอนส่งท้ายนะคะ

ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยเม้นท์ คอยเป็นกำลังใจให้กับเรามาตลอดทำให้เราสามารถแต่งเรื่องนี้ออกมาจนจบได้

จากนี้ไปเราก็ยังแต่งนิยายต่อไป

ใครสนใจนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราสามารถหาอ่านได้หลายเว็บเลยนะคะหรือจะเข้าไปในเพจเราก็ได้ เราสร้างโน้ตรวมนิยายที่แต่งไว้ค่ะ

สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนที่อ่านจะได้รับรอยยิ้มจากเรื่องราวของเบียทรีซและวิณณ์ไม่มากก็น้อยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ในเรื่องต่อไป

บ๊ายบายค่าา

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-04-2019 21:30:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :L1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-04-2019 22:08:11
โดนบงการจนถึงตอนสุดท้ายเลยนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 22-04-2019 18:11:43
สนุกดี เรื่องน่ารัก อ่านเพลินค่ะ
ชอบตอนวิณณ์ซุกขนหมาของเบียทริซ ฟินแบบนุ่มๆอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 24-04-2019 12:21:43
น่ารักมากกกกกกกก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 25-04-2019 09:45:40
สนุกมากค่ะ ประทับใจ
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 25-04-2019 10:32:18
สนุกและน่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ อยากให้มีตอนพิเศษนะคะ รอ รอ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 27-04-2019 12:53:06
สนุกมากเลยค่ะ ระหว่างที่เค้าหงุงหงิงกันราสนอนหลับได้ยังไง55555 :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-04-2019 23:04:03
ยังไม่อยากให้จบเลย

ละมุนจนบทสุดท้ายเลย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 29-04-2019 17:10:34
 o13

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-05-2019 18:29:08
เรื่องนี้ก็น่ารักอีกแล้ว :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 02-05-2019 07:11:16
สนุกมากค่ะ
ตามอ่านเกือบทุกเรื่องเลย
ชอบการวางโครงเรื่อง
สนุกทุกตอน
แต่คำผิดเยอะมากเหมือนกัน
มีสลับตำแหน่งคำบางช่วง
แต่โดยรวมก็พอเข้าใจได้อยู่
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 02-05-2019 12:37:01
สนุกมากกก ชอบทุกเรื่อง ของคนแต่งมากเลย
เหมือนหลุดไปอยู่ในโลกนิยาย แต่งเก่งมากๆ
รอหนังสือน้าาาจุ๊บๆ :L2:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 06-05-2019 20:59:44
ประทับใจ สนุกมากกกก
ติดตามอ่านทุกเรื่องนะคะ
 :m1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-05-2019 19:13:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-05-2019 18:57:12
น่ารักมากค่ะ น่าเอ็นดูวิณณ์มาก ความซื่อและความเด๋อมีเสมอ
แต่ตอนนี้เริ่มทันเบียทริซบ้างแล้วนะ แต่ก็แพ้ทางตลอดเวลา

เบียทริซมาเหนือมากค่ะ มีพาไปเดท มีบอกรัก จับฟัด
คือเป็นคนปากแข็งที่อบอุ่นขึ้นมาทันทีเลย

ดีใจที่วิณณ์รอดแล้วมีราสและแฟร์รี่ช่วยไว้
แล้วราสได้กลับมาอยู่กับวิณณ์ถาวรด้วย

คนไม่ดีสมควรเจอเบียทริซตอนโกรธมาก
ได้เห็นพลังแล้วว่า เบียทริซสมกับเป็นราชา

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวไม่ถึงกับซับซ้อนมาก
แต่น่าลุ้นตลอดเวลา สนุกและน่าติดตามมากเลยค่ะ
จะติดตามเรื่องต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 11-05-2019 20:32:06
น่ารักและสนุกมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 17-05-2019 10:35:32
น่ารักกกกก ถึงพระเอกจะปากแข็งมากก็เถอะ แต่ก็รักนายเอกของเรามากๆเลย
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 17-05-2019 14:48:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-05-2019 13:32:52
จบแล้ว ชอบเรื่องนี้มากเลย น่ารัก
หนูวิณณ์คนซื้อ
ชอบแนวนี้มากๆหาอ่านยากแนวแฟนตาซีย้อนยุคร่วมสมัย
พอเข้ามาเจอรีบพุ่งเข้าใส่
อ่านแบบวางไม่ลงคือเนื้อเรื่องสนุกน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 24-05-2019 08:16:00
น่ารักกกก  วิณณ์ น่ารักที่สู๊ดดด
อิจฉาราชา อิจฉาคู่นี้ เลิฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ปล.ราสไม่เขินหรอ 555+
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱ 20/4/62 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 28-08-2019 09:04:06
น่ารัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 30-08-2019 20:56:12
⊰บงการส่งท้าย:⊱





“มีอะไรวิณณ์” เบียทรีซเอยถามพร้อมดวงตาสีทองสว่างที่หันมามอง ตอนนี้พวกเรานั่งเล่นอยู่บนเตียงโดยเบียทรีซกำลังทอดสายตามองหิมะซึ่งกำลังตกหนักอยู่นอกหน้าต่างตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา


“เปล่ามีนี่” ผมตอบแล้วก้มหน้าลงไปมองราสสัตว์ปิศาจในร่างเล็กกำลังนอนหงายท้องให้ผมลูบเล่นอยู่บนตัก เพิ่งรู้ตัวตอนถูกเรียกว่าตัวเองหันไปมองเบียทรซอยู่ เรียกว่าเป็นการกระทำที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ไม่ผิดนัก


“คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามองมารึไง”


“...ก็ไม่” ต่อให้ไม่ได้มองมาแต่เบียทรีซสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว


“งั้นก็บอกมาว่ามองอะไร”


“มองคุณ” สาบานได้ว่าไม่ได้กวนอารมณ์หรือยียวนให้อีกฝ่ายอารมณ์ขึ้นแต่อย่างใด


ก็ถามมาว่ามองอะไรผมก็ไปตามความจริงล้วนๆ


“เดี๋ยวนี้กล้ากวนข้า?” เบียทรีซหรี่ตาลงขณะขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น


“...เปล่า”


“ตอบมา”


“แต่...”


“ไม่มีแต่วิณณ์”


“คุณจะบังคับผมเหรอ” ผมถามกลับ


“เจ้าพูดผิดไป” อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้น


“ตรงไหน”


“ข้าไม่ได้บังคับแต่กำลังสั่งเจ้าอยู่ เข้าใจนะวิณณ์”


“...” อยากจะตอบเหลือเกินว่าไม่เข้าใจ


คำว่าบังคับกับคำสั่งความหมายโดยรวมไม่ได้จะต่างกันเลยในความคิดผม ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชานี่มีนิสัยเหมือนแบบนี้กันหมดรึเปล่านะ ต้องการอะไรก็ต้องได้ อยากรู้อะไรก็ต้องรู้ เอาแต่ใจและไม่ชอบให้ใครมีความลับต่อตนเอง


ถึงนิสัยจะเป็นแบบนั้นแต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี ข้อเสียของเบียทรีซมีเยอะก็จริงทว่าข้อดีก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน ความใจดีและห่วงใยแฝงอยู่ในประโยคคำสั่ง ความอ่อนโอนและความน่ารักนั้นก็แฝงอยู่ในหลายๆ การกระทำ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นประกอบออกมาเป็นเบียทรีซที่ผมรักมาก


“วิณณ์” พอไม่ได้รับคำตอบเบียทรีซก็เรียกผมเพื่อเร่งรัดเอาคำตอบ น้ำเสียงออกคำสั่งเริ่มแข็งขึ้น อาจมีแค่ผมละมั้งที่สามารถรับรู้ได้ว่าภายใต้น้ำเสียงแข็งๆ นั่นเต็มไปด้วยความอยากรู้ราวกับไม่มีต้องการให้ผมปิดบังเรื่องใดกับเขา


“...ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก” เพราะตอนแรกเผลอมองไปโดยไม่รู้ตัวผมเลยต้องมานั่งย้อนนึกว่าตัวเองมองเบียทรีซไปทำไม


“ข้าจะเป็นคนตัดสินเองว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ”


“คิก...” ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดคำออกไปกับคำพูดนั่น รู้แค่ว่าตอนนี้ราชาของโลกปิศาจช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน


“วิณณ์!” ผมไม่ได้กลัวน้ำเสียงกดต่ำของเบียทรีซเลยสักนิด


“ผมมองเส้นผมสีดำของคุณ ก็แค่นั้น” ในเมื่อถูกทั้งสายตาทั้งน้ำเสียงกดดันมามากนาดนี้คงไม่เหลือทางเลือกอะไรนอกจากบอกไปตามตรง


“ผมข้า? ทำไม” เบียทรีซถามต่อพลางเหล่มองเส้นผมของตัวเอง


“ดูจะยาวขึ้นเยอะแล้ว”


“แค่นั้น?”


“อืม” ผมพยักหน้าส่งไปให้


“เรื่องเล็กแค่นี้เนี่ยนะ” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนหงุดหงิดที่ต้องมาเสียเวลาเค้นหาคำตอบมาหลายสิบนาที


“ผมบอกแล้วไปแล้วนะ” ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรก็ยังจะให้ตอบอยู่นั่นแหละ


“ไม่มีอย่างอื่นแล้ว?”


“...ก็เหมือนจะมี...”


“ว่ามา อย่าให้ข้าต้องเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ” เข้าใจความรู้สึกของเบียทรีซล่ะนะ ถามมาตั้งนานแต่กลับได้คำตอบกลับไปแค่นั้น


“เบียทรีซตอนไว้ผมยาวประมาณนี้...หล่อดี” ผมใช้มือจับเส้นผมสีดำของเบียทรีซม้วนเล่นระหว่างพูด ผมสีดำไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผมเพราะที่โลกมนุษย์คนผมดำมีเยอะแต่ผมของของเบียทรีซถึงจะดำเหมือนกันแต่ต่างจากมนุษย์ เวลาสะท้อนกับแสงไฟหรือดวงจันทร์สีดำนั่นจะทอประกายราวกับจะบอกเหล่าผู้พบเห็นว่าตัวตนของตนเองนั้นแตกต่างออกไป


“หึ หลงข้าขึ้นมาแล้วรึไง” รอยยิ้มของเบียทรีซดูจะชอบใจอยู่ไม่น้อย


“...คิดเองเออเอง” ผมลองใช้คำที่เบียทรีซมักจะบอกกับผมบ้าง


“กวนข้าขนาดนี้อยากได้รางวัลรึไงวิณณ์”


“รางวัลอะไร อื้ออ~” คำพูดถูกกลืนหายยามริมฝีปากของเบียทรีซแนบชิดลงมา ปลายลิ้นนั้นรุกล้ำเข้ามาเกี่ยวพันสร้างรสสัมผัสแปลกใหม่ที่ไม่ว่าจะจูบกันสักกี่ครั้งก็ไม่ชินสักที


ความร้อนรุ่มถูกกระตุ้นเพียงแค่ริมฝีปากและปลายลิ้นของพวกเราสัมผัสกัน จูบของเบียทรีซทำให้ผมจมดิ่งลงไปในห้วงของอามรณ์และความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุด ถูกล่อลวงและบังคับให้ยินยอมต่อรสสัมผัสนั้นอย่างไม่รู้ตัว ในสมองขาวโพลน รับรู้ได้เพียงความรู้สึกดีจากเบียทรีซเท่านั้น


“นี่คือรางวัลที่กวนข้าถึงสองครั้ง” เบียทรีซเอ่ยพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นหลังยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ


“...รางวัลตรงไหนกัน” ผมบ่นอุบอิบพลางใช้ฝ่ามือตัวเองแตะบริเวณแก้มเพื่อคลายความร้อนที่กำลังพุ่งสูงขึ้นด้วยความเขิยปนอาย


“ว่าอะไรนะ”


“เปล่า” เชื่อเถอะว่าถ้าผมพูดอะไรมากคงได้โดนจูบอีกรอบแน่ ใช่ว่าผมจะไม่ชอบเวลาจูบกับเบียทรีซเพียงแค่ความต้องการอันมหาศาลที่สื่อผ่านปลายลิ้นทำให้ผมแทบทนไม่ไหว


“ผมเจ้าก็ยาวขึ้นเยอะเหมือนกัน” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง


“ฮืม? อ้อ...จริงด้วย ยาวขนาดนี้แล้ว” ก่อนหน้าเส้นผมจะอยู่ประบ่าแต่ตอนนี้กลับยาวเลยบ่าลงมาประมานิ้วนึงได้ เพราะไม่ได้สนใจเลยเพิ่งมารู้สึกตัวตอนถูกทักแบบนี้


“ไม่ได้รู้ตัวเลยสินะ”


“ผมไม่ค่อยได้สนใจนี่ ผมตัดได้ไหม”


“ไม่เห็นต้องมาถามข้า หรือเจ้าอยากจะทำตามที่ข้าชอบ” เบียทรีซพูดขึ้น


“...แล้วแบบนั้นไม่ได้เหรอ” ความหมายของประโยคก็ตามนั้นแหละ ถ้าเบียทรีซชอบแบบไหนผมก็จะทำตามแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมก็เคยถามความเห็นของอีกฝ่ายมาก่อนแต่เป็นความรู้สึกคนละแบบกัน ตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันเพราะงั้นผมเลยอยากไว้ทรงที่เบียทรีซชอบ


นี่ผมคงหลงเบียทรีซตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่คำว่าหลงแต่ต้องเติมคำพ่วงท้ายไปด้วยอีกคำคือรัก


ผมหลงรักเบียทรีซ


รักมากขึ้นในทุกๆ วันที่ได้อยู่ร่วมกัน


“เจ้านี่นะ จะทำให้ข้าหลงไปถึงไหน” เบียทรีซจูบเบาๆ ยังหน้าผากผมระหว่างพูด


“อื้อ แล้วสรุปยังไงตัดดีไหม”


“สั้นกว่านี้หน่อยก็ดี เจ้าไม่ชอบให้ผมมันโดนไหล่ใช่ไหมล่ะ”


“อืม ใช่” ผมไม่ชอบจริงๆ นั่นแหละ ว่าแต่ทำไมเบียทรีซถึงรู้ได้ล่ะ


“ไว้พรุ่งนี้ข้าจะตัดให้”


“รอว่างก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้มีประชุมนี่”


“ไม่ได้ประชุมทั้งวันสักหน่อย”


“ถ้าคุณพูดแบบนั้นก็ได้”


“จบเรื่องผมเจ้า แล้วข้าล่ะ” ผมถึงกับขมวดคิ้วเมื่อบียทรีซอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง


“ผมไม่เข้าใจ” ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการถามหรือสื่ออะไร


“ข้ากำลังถามว่าเจ้าจะให้ข้าทำยังไงกับผมของตัวเองดี”


“...หมายถึงจะตามใจผม?”


“ทีเจ้ายังตามใจข้าทำไมข้าจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ”


“เบียทรีซ” ผมถึงกับหลุดยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยิน


“หึ ยิ้มกว้างไปแล้ว” เบียทรีซเองก็ยิ้มไม่ต่างกับผมหรอก


“ผมว่าคุณเหมาะกับทุกทรงนะ ถ้าไว้ยาวสักหน่อยผมขอทักเบียได้ไหม” ผมถามเสียงเริงร่าผิดกับคนฟังที่เริ่มแผ่รังสีแปลกๆ ออกมา


“อย่าแม้แต่จะคิดเชียววิณณ์”


“ไม่ชอบผมเปีย?”


“มันเหมาะกับราชาอย่างข้ารึไง”


“...ก็ไม่ค่อยเหมาะ” พอลองนึกภาพเบียทรีซถักเปียสองข้างเดินไปเข้าร่วมประชุมนอกจากจะหัวเราะไม่ออกแล้วยังเห็นลางไม่ดีอย่างการระเบิดพลังปิศาจออกมาด้วย


“ตั้งใจคิดหน่อย”


“ไว้แบบนี้ไปก่อนก็ได้นี่ พอผมคุณยาวประมาณนี้แล้วให้ความรู้สึกอ่อนโยนขึ้น” ตอนนี้ผมของเบียทรีซยาวใกล้เคียงกับผมคือต่ำกว่าบ่าลงมานิดนึง ปกติเบียทรีซจะไว้ผมพอดีกับบ่า


“เจ้าชอบแบบนี้?” เบียทรีซถามต่ออีก


“อืม” ผมพยักหน้าตอบกลับ


“งั้นก็ได้”


“ขอบคุณนะ”


“ขอบคุณอะไร”


“ขอบคุณที่รักผม”


“...อะไรของเจ้า” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะแปลกใจไม่น้อยเลยกับคำพูดของผม


“ผมแค่อยากพูดน่ะ ขอบคุณที่รักผมนะเบียทรีซ” ผมอาจเคยบอกรักเขามาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยได้ขอบคุณเรื่องนี้เลยสักครั้งเดียว


“เจ้านี่มันแปลกจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ”


“แปลก?” ผมน่ะเหรอ แปลกยังไงกัน


“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”


“ทำไมล่ะ”


“เพราะเป็นข้าต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้นกับเจ้า”


“...” หมายถึง...


“ขอบคุณที่รักข้าวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซนุ่มนวลและอ่อนโยนมากกว่าครั้งไหนๆ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่แนบสนิทจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ


รสสัมผัสของจูบในครั้งนี้ไม่ได้เล่าร้อน ไม่ได้ดูดดื่มแต่ช่างอ่อนโยน ละเมียดละไมจนผมแทบจะหลอมละลายไปกับความหวานละมุลอันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นความรู้สึกที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ความหวานของรสจูบกลืนกินทุกประสาทสัมผัสให้เหลือเพียงกันและกันอย่างไร้ที่สิ้นสุด...


งี๊ดด~


เสียงร้องครางของราสดังลั่นยามถูกเบียทรีซซึ่งขึ้นคร่อมผมอยู่ทิ้งน้ำหนังลง ทำให้ราสที่อยู่แถวหน้าท้องถูกทับ พวกเราทั้งคู่ผละออกจากกันด้วยความรวดเร็ว อารมณ์เปิดเปิงหายวับไปกับตา เหลืองเพียงแค่ความเขินอายที่มีพลังทำลายสูงจนแทบละลายกลายเป็นไอ


“ขะ...ขอโทษราส เป็นอะไรไหม” ผมอุ้มราสขึ้นมาแนบอกสลับกับลูบเส้นขนสีดำสนิทนั่นเบาๆ


“ชิ เจ้าจงใจสินะ” เบียทรีซพูดระหว่างจับจ้องไปยังราส ดวงตาสีทองสองคู่กำลังประสาทกันอย่างไม่มีใครยอมใครเป็นภาพที่คนมองอย่างผมได้แต่มองนิ่งอยู่อย่างนั้น


งี๊ดด~


“คิดว่าข้าไม่เห็นว่าเจ้ากระโดดขึ้นมาอยู่บนท้องวิณณ์รึไง”


งี๊ดด~


“ฮะ กล้าฮือข้า?!”


งี๊ดดด~


“เจ้า!”


“เอ่อ พอเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยนะ” ผมแยกเบียทรีซกับราสออกจากกันก่อนจะเกิดศึกระหว่างราชาปิศาจกับสัตว์ปิศาจราลามอส


“โยนมันไปนอนนอกปราสาท!”


“ตอนหิมะตกเนี่ยนะ” ภาพหิมะสีขาวโพลนยังตกกระหน่ำลงมาไม่หยุดเลย


“งั้นก็โยนไปนอกห้อง”


“อย่าใจร้ายสิเบียทรีซ”


“นี่ข้าปราณีมันมากแค่ไหนแล้ว ขัดจังหวะได้ตลอด” นอกจากเสียงแล้วยังทำหน้าหงุดหงิดอีก


“ก็นี่เป็นเวลาที่ผมต้องกล่อมราสนะ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมต้องลูบราสจนกว่าอีกฝ่ายจะหลับแล้วอุ้มลงไปนอนยังเบาะข้างเตียง มีหลายครั้งที่เบียทรีซเข้ามาขัดเลยถูกราสหงุดหงิดใส่โดยการใช้ปีกตบหน้าบ้าง ส่งเสียงครางยาวบ้าง


เหมือนกันราวกับเป็นพี่น้องเลยเบียทรีซกับราสนี่


“ได้ กล่อมมันเสร็จเมื่อไหร่เจ้าต้องมากล่อมข้าจนกว่าจะหลับบ้างเตรียมใจไว้เลย”


“ฮะ?” แม้จะงงและสงสัยกับคำพูดนันแต่เมื่อราสหลับผมก็ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของประโยคเมื่อครู่ อย่าว่าแต่จะกล่อมให้หลับเลยแค่ทำให้สงบลงยังต้องใช้เวลาไปเกือบค่อนคืน


นี่มันไม่ใช่การกล่อมแล้ว!
..............................................................
มาเสิร์ฟความหวานส่งท้ายค่า
มีใครคิดถึงทั้งคู่ไหมนะ
บทส่งท้ายก็ยังคงความหวาน+หื่นเล็กๆ 555+
สารภาพว่าเรื่องนี้เราแต่งไปหัวเราะไปมีความสุขมากๆ เลย เพิ่งเคยแต่พระเอกที่มีนิสัยแบบนี้ครั้งแรก ค่อนข้างชอบทีเดียว
หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะชอบเช่นกันนะคะ
วันนี้มีอีกข่าวมาแจ้งคือการเปิดพรีค่ะ

(https://www.img.in.th/images/6b8846902a1cb57bc72c133e8e2bdcac.jpg)

 
เปิกจองตั้งแต่วันนี้-15 ก.ย.62
- ราคา 590 บาท (2 เล่มจบ)
   + ตอนพิเศษภายในเล่มมีทั้งหมด 7 ตอน(อ่านกันอย่างจุใจ)
      >ตอนพิเศษ1 วันเกิดของผม
      >ตอนพิเศษ2 ยั่วยวน
      >ตอนพิเศษ3 ยาปลุก
      >ตอนพิเศษ4 เมื่อเบียทรีซป่วย
      >ตอนพิเศษ5 ปิคนิก? เดท? 
      >ตอนพิเศษ6 บ่อกลางแจ้ง
      >ตอนพิเศษ7 ราส
- พิเศษเฉพาะรอบจอง รับเล่มมินิ 1 เล่ม
ใครสนใจสามารถเข้าไปจองกันได้นะคะ
ลิ้งค์จอง>> www.bookishhouse.com/category/2/pre-order
ลิ้งค์สนพ.>> https://www.facebook.com/BookishHouseTH/
หรือสามารถดูรายละเอียดได้ทางเพจ >>nicedog<< ของเรานะคะ
ขอฝากผลงานอีกเรื่องนะคะ❤️
บ๊ายบายค่าา
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-08-2019 21:35:00
ก็จูบกันให้เห็นตลอดเลยมันต้องมีขัดขวางกันบ้างเนอะราสเนอะ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:35:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 03-05-2022 14:51:51
ทั้งน่ารัก ทั้งฮา  โก๊ะทั้งราชา และราชินี  อิอิ