Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เป็นเวลาเกือบปี ที่คุณพ่อคุณแม่ของพี่นิวไม่ได้กลับมาบ้านเลย แต่เราก็ไมได้ห่วงอะไรมากมาย
เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ท่านก็โทรมาคุยเป็นระยะ ๆ ให้เรารู้ว่าท่านสบายดี
กว่าเราจะพร้อมหน้ากัน เมื่อนั้นก็ใกล้จะถึงเทศกาลทำบุญประจำปีของตระกูลพี่นิว
ซึ่งก็ใกล้เคียงกับวันเชงเม้งของครอบครัวผม และผมก็คงจะกลับไปร่วมงานที่บ้าน
ส่วนบ้านพี่นิวก็เตรียมตัวไปบ้านใหญ่ที่ต่างจังหวัด แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น
ผมก็ถูกซักถามถึงหน้าที่การงาน จนแทบจะเรียกได้ว่าซักฟอก
ด้วยความห่วงใยจากคุณพ่อและคุณแม่
“เป็นไงเรา หน้าที่การงานไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ถึงไหนหรอกครับพ่อ รายนี้ขี้เกียจจะตาย”
คนที่ไม่มีใครถามกลับเป็นคนตอบแทนผม....ก็....ตามนั้นแหละครับ
ก็ไม่รู้สินะ......ยิ่งทำงานไปนาน ๆเข้า ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมินเฉยต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นทุกวัน
“ที่ทำงานมีขั้นตอนการเลื่อนตำแหน่งยังไงเหรอลูก”
จากที่นั่งอยู่บนโซฟาเหยียดขาตามสบายเมื่อครู่ คุณพ่อก็ขยับตัวนั่งตรง แสดงถึงความใส่ใจอย่างจริงจัง
ตั้งคำถามเอาตรง ๆ แบบนี้ ดูท่าท่านคงจะรู้สึกกังวลกับตำแหน่งงานของผมอยู่ไม่น้อย
อาจจะเป็นเพราะผมนั่งตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว เพื่อนพนักงานที่สอบเข้าทำงานได้พร้อม ๆ กับผม
หลายคนกำลังสอบตำแหน่งผู้จัดการกันด้วยซ้ำไป แต่เรื่องของเป้าหมายในชีวิต ของใครก็ของคนนั้น
จะให้เหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้
“ก็......เมื่อก่อนจะมีสอบแบบ e-learning* ครับ สอบผ่านขั้นต้นเมื่อไร
ก็เสนอชื่อเลื่อนเป็นผู้มีอำนาจลงนามตามลำดับไป”
(*e-learning เป็นระบบงานที่ออกแบบมาเพื่อให้พนักงานศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่านระบบเครือข่าย ของธนาคาร ซึ่งมีการเปิดสนามสอบปีละ 2-3 ครั้ง ให้พนักงานที่รักความก้าวหน้าได้ลงสมัคร โดยจัดหมวดหมู่ของวิชาที่ใช้สอบไว้เป็นชุด ๆ สอบผ่านแต่ละชุด ก็สามารถปรับตำแหน่งขึ้นไปทีละระดับ ข้อสอบก็ทำผ่านคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทำงานประจำวันกันนั่นแหละครับ แต่ในวัน-เวลาที่สอบ ซึ่งเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะทำการล็อคหน้าจอไม่ให้เราเข้าไปสืบค้นคำตอบในระบบงานได้)
“แล้วเราผ่านหรือยัง”
“ผ่านแล้วครับ”
“ถึงระดับไหนแล้วล่ะ”
“ผ่านระดับรองผู้จัดการแล้วครับ”
“แล้วยังไม่ปรับตำแหน่งให้หรือยังไง”
“ถ้ามีการเปิดสอบสัมภาษณ์ตำแหน่งรองผู้จัดการ ผมก็มีสิทธิ์ยื่นใบสมัครเข้ารับการพิจารณาครับ”
ตอนนี้ถ้าจะเทียบตำแหน่งทางบัญชี ผมก็คงเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีน่ะแหละ
แต่ชื่อมันอลังการจนเกินหน้าเกินตาไปเยอะครับ เพราะว่า นอกจากตำแหน่งจะมีชื่อเรียกเฉพาะแล้ว
ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ ว่าใครเหนือกว่าใครด้วยการเติมคำว่า “อาวุโส” ห้อยท้ายไว้อีกต่างหาก
“มีโอกาสไหมลูก”
ผมเหลือบไปมองพี่นิวที่ทำหูผึ่งรอฟังอยู่ข้าง ๆ
“มีครับ แต่ว่า....”
“แต่เขาไม่สอบครับพ่อ”
“อ้าว..../เอ๊อ....”
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ อุทานพร้อมกัน สายตาสามคู่พุ่งมาที่เป้าหมายเดียวคือ ผม
จากนั้นก็มีคำถามว่า “ทำไม” เหมือนอีกหลาย ๆ คนที่สงสัย
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รักความก้าวหน้านะครับคุณพ่อคุณแม่”
ไม่ว่าจะกี่คนที่ถาม จะกี่ปีที่ผ่านไป ผมก็จะมีเหตุผลเดียวที่บอกใครต่อใครได้
ซึ่งแน่ล่ะ ผมคงไม่กล้าบอกคนอื่น ๆถึงเหตุผลที่แท้จริงอยู่แล้ว
มันน้ำเน่าเกินไปถ้าใครได้ฟัง......แต่.....
มันสำคัญตรงที่บอกใครไม่ได้มากกว่า
“ตำแหน่งรองผู้จัดการมันมีแค่ตำแหน่งเดียวในแต่ละสาขาน่ะครับ ถ้าผมได้เลื่อนขึ้นไปจริง ๆ
ก็อาจจะต้องโยกย้ายไปที่อื่นที่มีอัตราว่าง แม้แต่ต่างจังหวัดที่ไกลออกไป ผมก็ต้องย้ายไปตามคำสั่ง
เพราะสาขาที่ตั้งอยู่ในเมืองที่เจริญอย่างบ้านเรา คนที่เขามีผู้ใหญ่สนับสนุนก็คงจะวางตัวไว้หมดแล้ว”
“แล้วคิดว่าพ่อไม่มี?”
พี่นิวหันขวับ ไปทางเจ้าของเสียงทันทีที่ท่านพูดจบ
“พ่อรู้จักใครเหรอครับ”
“มันก็มีบ้าง”
คุณพ่อลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับ สิ่งที่เรียกว่า “เส้นสาย”
“แต่ผมไม่ได้ใช้เส้นสายนะครับ จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้ขยันอย่างที่พี่นิวพูดน่ะแหละ”
“อย่างนูนี่ ไม่เรียกว่า ไม่ขยันนะ เรียกว่า ขี้เกียจเลยจะถูกกว่า”
.....แหม่.....พี่นิวครับ..........ถ้าไม่คิดจะเข้าข้าง ก็อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมได้ไหมครับ.....
ถ้าไม่ติดว่ารักมากนะ ผมได้ออกแรงฟาดฟันคนบางคนแถวนี้ไปแล้ว
“งั้นเราก็ย้ายไปรับตำแหน่ง จะที่ไหนก็ช่าง ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องได้ย้ายกลับมาอยู่ดี
พ่อเชื่อว่านโยบายของธนาคารก็คงอยากจะให้พนักงานอยู่ในท้องถิ่นบ้านเกิดมากกว่า”
“แต่มันไม่มีจุดหมายนี่ครับ จะต้องรอไปถึงเมื่อไรถึงจะได้ย้ายกลับมาก็ไม่รู้ ผมมีคนที่ต้องห่วงใยตั้งหลายคน
พ่อกับแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน เขาก็คงไม่อยากให้ผมห่างหูห่างตาไปไหนไกล ๆ
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน คิดถึงขึ้นมา อยากจะไปหาเมื่อไรก็ได้
อีกอย่างหนึ่งผมดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ที่ย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น หลายคนแทบจะไม่มีโอกาส
ได้กลับบ้านเกิดเลยจนเกษียณ ซึ่งผมคงรอเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจ
จนถึงกับสามารถเรียกร้องหรือต่อรองกับเจ้านายให้ได้ตามความต้องการของตัวเอง
เพราะงั้น เรื่องจะเล่นเส้นให้ได้ย้ายกลับ มันคงเป็นไปไม่ได้
แต่พูดจริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้อยากย้ายไปไหน พอ ๆ กับที่ไม่อยากใช้เส้นสาย
ในการขยับตำแหน่งนั่นแหละครับ แค่ได้เข้ามาทำงานด้วยเส้นสาย ก็เรียกว่าโชคดีมากแล้ว”
“มีแต่คนที่เขาทะเยอทะยาน อยากจะไต่เต้าให้มีตำแหน่งสูง ๆ กันทั้งนั้นแหละ
มีแต่เราล่ะมั้งที่สวนกระแสอย่างนี้”
คุณพ่อเปรยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ผม
ส่วนคุณแม่ก็นั่งอยู่ข้างคุณพ่อบนโซฟาตรงกันข้ามกับเราสองคน มือของคุณพ่อกุมมือคุณแม่ไว้หลวม ๆ
เหมือนเป็นความเคยชิน ผมเหลือบตามองดูแล้วอยากจะยิ้ม แต่ที่ทำไปก็เพียงมอง
แล้วนึกถึงตัวเองในวันหนึ่งข้างหน้า ที่ผมจะได้อยู่เคียงข้างพี่นิว และกอบกุมมือกันไว้แบบนี้บ้าง
“เหตุผลที่ผมไม่สอบเลื่อนตำแหน่งอย่างที่บอกไปแล้วมันก็ใช่อยู่ครับ แต่มันก็ยังมีเหตุผลอื่นอีกข้อ”
……..เหตุผลที่บอกใครไม่ได้
แต่สำหรับครอบครัวซึ่งรู้สถานภาพระหว่างผมกับพี่นิวดีอยู่แล้ว
ซ้ำยังเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างไม่เป็นทางการผมคงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
เพียงแต่ผมลังเลว่าจะพูดต่อไปยังไงดี อยู่ ๆ จะโพล่งออกไป ผมก็ออกจะกระดากอยู่เหมือนกัน
“ไหนลองว่ามาซิ ไอ้เหตุผลที่ว่านั่นน่ะ ดูท่าว่ามันจะสำคัญสินะ”
ผมจ้องหน้าคนที่ยังไม่ละสายตาไปจากผมตั้งแต่โดนคุณพ่อยิงคำถามแรก ๆ
ในขณะที่พี่นิวขยันเหน็บแนมผมตลอดการสนทนา แต่แววตาที่มองมาก็ยังอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ
อย่างที่ผมเคยได้รับเสมอมาในเวลาที่ผมต้องการ เขารู้ดีทีเดียวล่ะว่า เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
แม้ว่าผมจะไม่เคยบอกเขาออกมาตรง ๆ ก็ตาม
“สำหรับใครหลายคนอาจจะยอมแลกอะไรหลายอย่างได้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
แต่สำหรับผมแล้ว ถ้ามันต้องแลกกับความสุข ผมก็ขอปฏิเสธ.....หลายปีที่ผ่านมา
ผมได้อยู่ในบ้านนี้อย่างสมาชิกคนหนึ่ง เหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่ง
ผมรู้สึกเป็นหนี้คุณพ่อคุณแม่มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์
ก็คอยช่วยเหลือประคับประคองราวกับลูกแท้ ๆ ผมคิดอยู่เสมอว่า
หากมีอะไรที่ผมสามารถตอบแทนได้ ผมก็พร้อมจะทำทันที
......ยิ่งสิ่งนั้นจะทำให้คนที่เรารักมีความสุข ผมก็ยิ่งเต็มใจ”
ผมหันไปมองพี่นิว......คนที่ผมรักที่สุดทั้งชีวิตก็คือคน ๆนี้.....
ลูกชายอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวของบ้าน เพียงแค่ผมทำให้คนที่ผมรักมีความสุข
ก็เท่ากับได้ตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยแล้ว
“เพราะพี่นิวเป็นลูกชายคนเดียว แถมยังเป็นหลานคนโตของตระกูล
ทุกคนต่างก็ห่วงใยเขา ผมเองก็เหมือนกันครับ....ผมอยากจะดูแลเขา
อยากทำให้เขามีความสุข เพราะเมื่อไรที่เขามีความสุข ผมก็สุขไปด้วย”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ จนผมได้ยินเพียงเสียงของตัวเองก้องไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่น
รู้สึกตกใจจนต้องชะงักคำพูดไว้เพียงนั้น ก่อนจะพยายามรวบรวมคำพูดประโยคต่อไป ให้ตรงใจที่สุด
คนที่ถูกกล่าวถึงยื่นมือมากุมมือของผมเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ.....
ผมสบตาเขาอีกครั้งเพื่อเรียกกำลังใจที่จะพูดต่อ
“ที่ผ่านมา ด้วยวัยและการไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ทำให้เราต่างก็เสียเวลาไปนานหลายปี
ผมรู้ดีว่าช่วงเวลานั้นมันทุกข์ทรมานขนาดไหน มาวันนี้ ผมไม่อยากให้เราต้องอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้วครับ
ผม.....ไม่อยากแยกจากเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม........เพราะเขาเป็นคนสำคัญ.......
เป็นคนที่ผมอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเขาให้มากที่สุด.......ให้นานที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
ตำแหน่งที่สูงขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องสูงตาม พร้อม ๆ กับภาระหน้าที่ ที่คงจะแบ่งเวลาของเราออกไปอีก
สิ่งที่ได้มา มันเทียบไม่ได้เลยกับคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม
ใคร ๆ อาจจะมองว่ามันไร้สาระ แต่สำหรับผม.....ชีวิตที่ไม่มีพี่นิว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ยังไง”
จบคำพูดยาว ๆ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ....นิ่ง
พี่นิวส่งยิ้มมาให้แทนคำขอบคุณ พร้อมกับบีบมือผมแน่นขึ้น
ผมเห็นน้ำใส ๆ คลออยู่ในหน่วยตาของเขา ผมรู้ว่าเขารู้สึกซาบซึ้งกับความตั้งใจของผม
ที่จะทำเพื่อ “ความสุขของเรา” แต่ยิ่งไปกว่านั้น พี่นิวยังไม่ลืมว่า
เราสองคนเสียเวลาไปมากเท่าไร กว่าจะมีวันนี้ได้
………………
“ว่ายังไงแม่”
คุณพ่อถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามคู่ชีวิตที่รอสบตาอยู่ข้าง ๆ
“ไม่ว่ายังไงค่ะพี่ใหญ่.......น้อยเข้าใจลูก”
คุณแม่ตอบคุณพ่อไปด้วยรอยยิ้ม
“ก็.....นะ ถ้าเลือกแล้วว่า อย่างไหนมันดีสำหรับเรา
พ่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฝืนใจให้นูต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบเหมือนกัน
แล้วถ้าคิดว่าจะไม่เสียใจในวันหน้าที่จะไม่ได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานเหมือนเพื่อนฝูง
.....ก็ตามใจแล้วกัน”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่.....ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ
และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของผม อันที่จริง ผมซาบซึ้งดีอยู่แล้วว่า
ท่านทั้งสองมีเมตตาต่อผมมากเพียงไหน
“แม่ก็เดาไว้อยู่แล้วล่ะว่า เพราะลูกชายตัวดีของแม่ ทำให้นูไม่อยากไปไหน”
คุณแม่เปรยยิ้ม ๆ แล้วมองไปที่ลูกชาย
“แม่พูดแบบนี้เหมือนผมเป็นตัวถ่วงความเจริญเลยนะครับเนี่ย”
แล้วเสียงหัวเราะก็ลั่นครืน เปลี่ยนบรรยากาศจริงจังในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่
ให้กลับมากรุ่นไปด้วยไออุ่นแบบครอบครัวเหมือนเดิม
“ที่จริง....แม่เคยอยากได้ลูกสาวนะ”
คุณแม่โปรยยิ้มและหันมามองผม
“เพราะคิดว่าลูกสาวคงจะใกล้ชิดแม่ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน
ก็อย่างที่นิวเคยพูดน่ะแหละว่าอยากมีน้อง แต่แม่ก็มีไม่ได้เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง
ได้เขามาคนหนึ่งนี่ก็ลุ้นกันตั้งแต่รู้ตัวว่าท้องจนวันคลอดเลย”
ผมเคยได้ยินญาติ ๆ ของพี่นิวพูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้โดยตรงจากปากคุณแม่
ถึงได้ตระหนักในความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อลูกชาย รวมไปถึงการให้ความเข้าใจอย่างไม่มีข้อแม้
ซึ่งความเมตตาที่ผมได้รับจากท่านก็สืบเนื่องมาจากเหตุผลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เพราะมีลูกคนเดียวก็เลยทำให้แม่ต้องห่วงยิ่งกว่าห่วง จะว่าหวงด้วยก็ได้
ยังเคยคิดอยู่ว่า ถ้าวันหนึ่งนิวต้องแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง พ่อกับแม่จะทำยังไง
เราสองคนคงจะกลายเป็นตาแก่ยายแก่ที่เฝ้าบ้านอยู่อย่างเหงา ๆ
แล้วก็ทำได้แค่คอยเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ”
คุณแม่เบนสายตาไปมองคุณพ่อแล้วยิ้ม เหมือนจะขอการสนับสนุน ซึ่งคุณพ่อก็ยิ้มรับ
“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมไม่ทิ้งให้พ่อกับแม่เฝ้าบ้านตามลำพังหรอก”
“อ๋อ....ไม่มีทางหรอก เพราะพ่อกับแม่ชิงทิ้งเราซะก่อนแล้วไง ใครจะรอให้ถูกทิ้งกันละจ๊ะ”
เสียงหัวเราะดัง ๆ จากทุกคนดังขึ้นอีกครั้ง ผมรู้สึกผ่อนคลายจนหมดความกังวลไปเลยว่า
ไม่ได้ถูกกดดันเรื่องหน้าที่การงานอีกแล้ว
“หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันแล้ว เราสองคนก็อยากออกมาอยู่กันประสาครอบครัว
ถึงได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ ก่อร่างสร้างตัวด้วยการเปิดกิจการของตัวเอง แต่ไม่ทันไร
พ่อเขาก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ทิ้งให้แม่เลี้ยงลูกทางนี้คนเดียว
พร้อมกับต้องดูแลกิจการของเราไปด้วย มันผิดไปจากฝันของเราสองคนมากทีเดียว
......สิ่งที่นูคิดและทำอยู่......แม่เข้าใจ และไม่ว่ายังไง แม่ก็ขอยืนยันว่านูเป็นลูกของพ่อกับแม่
เท่า ๆ กับพี่นิวนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองขึ้นอยู่กับลูก
แม่จะยอมรับ และพร้อมจะสนับสนุนทุกทาง”
“ชะตาชีวิตนี่ก็แปลกนะลูก บางคนกว่าจะมีกินมีใช้ จนได้เป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ สักแห่ง
ก็ดิ้นรนกันแทบตาย แต่บางคนกลับได้มันมาง่าย ๆ ทั้งที่ไม่เคยนึกยินดีในสิ่งเหล่านั้น
มากเกินไปกว่าความสุขของคนที่เรารัก”
คุณพ่อผู้ซึ่งไม่ค่อยจะได้พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงาน อยู่ ๆ ก็เปรยขึ้นมา
“พ่อแต่งงานกับแม่ก็คิดแค่ว่าอยากสร้างครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกสักคนสองคน
ทำมาหากินกันไป เราอาจจะมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างก็จริง
แต่พ่อก็ไม่เคยมีเป้าหมายมากไปกว่าขอให้ได้อยู่กับครอบครัว
สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นไม่ให้ลูกเมียต้องลำบาก
แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เพราะเราต้องรักษาความหวังของคนอื่น ๆ
ที่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ทอดทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะย่าของลูก”
คุณย่าที่พยายามพยุงกิจการของสามีมานานนับสิบปี
หลังจากที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าคุณปู่จะสิ้นไปตอนที่ลูก ๆ ทั้งสี่คนโตแล้ว
ภาระการเลี้ยงดูจึงไม่หนักหนาสากรรจ์เท่าไร แต่การจะบริหารกิจการที่หล่อเลี้ยงหลายชีวิตในครอบครัว
ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะนึกว่า ผู้หญิงคนเดียวจะทำอะไรได้มากมายเพียงนี้
ลูกที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่คิดจะแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่คงได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู
และหากคุณพ่อทำเช่นนั้น ผมเชื่อว่า คุณแม่ก็คงรู้สึกผิด
ที่ยอมให้คุณพ่อเลือกทางเดินที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คิดจะทักท้วง
แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณย่าเอง
ที่ยินยอมให้คุณพ่อปลีกตัวออกมาจากกิจการที่ดูแลรับผิดชอบมาตลอดเท่าอายุของพี่นิว
ถึงแม้ว่าคุณย่าจะไม่ได้เต็มใจ เพราะต้องโอนอ่อนผ่อนตามมติของคนอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
.....ด้วยวัยที่ร่วงโรยลงมากแล้ว
จิตใจของหญิงสูงวัยท่านนั้น คงล้าเกินกว่าจะแข็งขืน ดึงดันให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการเหมือนที่ผ่านมา
...ท่านคงรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องวางมือเสียที
มีต่อนะครับ....ขอจัดหน้าก่อน
“คิดอะไรไม่หลับไม่นอน......หือ”
วงแขนที่อ้อมมารัดรอบลำตัวหลวม ๆ พร้อมกับคางที่เกยลงมาบนไหล่
ทำให้ผมต้องเบี่ยงหน้าไปหา พร้อมกับจรดปลายจมูกไปพอดีกับขมับของเขา
“คิดถึงทุก ๆ คน”
“เยอะไปไหมนั่น” พี่นิวหัวเราะเบา ๆ อย่างที่รู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นเอง
“ผมเป็นหนี้ครอบครัวพี่นิวมากจัง”
“หือ??”
น้ำหนักบนไหล่หายไป ในขณะที่ใบหน้าหล่อ ๆ กับแววตาที่มีคำถามก็ยื่นเข้ามาจนชิด
ผมมองไปในความมืดนอกตัวบ้านอย่างไม่มีจุดนำสายตา
เห็นเพียงแสงไฟวับแวมจากบ้านหลังอื่นในละแวกเดียวกัน เบื้องบนคือท้องฟ้าไร้ดาว
ในคืนที่มีแต่กลุ่มเมฆก้อนหนาเตรียมพร้อมที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ทุกเมื่อ.....
บ่งบอกถึงฤดูกาลที่ไม่ค่อยปกติ ด้วยเป็นหน้าร้อนที่ร้อนเสียจนแทบลืมว่าฝนตกแล้วจะฉ่ำเย็นเช่นไร
ที่ระเบียงห้องของเรา.......ที่เดิม ซึ่งผมหมั่นเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการตกแต่งสวนเล็ก ๆ
และหาต้นไม้มาปลูกอยู่เรื่อยเมื่อว่างเว้นจากงานประจำอันหนักหน่วง ทำให้เราสองคนชอบที่จะมายืนคลอเคลีย
หนีความอุดอู้ในห้องนอนบ่อย ๆ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ที่มีทั้งความมืด และแผงไม้เลื้อย
ช่วยบดบังเราสองคนจากสายตาคนภายนอก
“พูดแบบนี้คิดอะไรอยู่”
พี่นิวถามต่อ เพราะผมนิ่งไปนาน.....ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนี่นา
ไม่รู้จริง ๆ ว่าผมจะใช้คำไหนดี ถึงจะแทนความรู้สึกตอนนี้ได้อย่างตรงความหมายที่สุด
“คิดหลายเรื่องเลยครับ”
“ยกมาสักเรื่องซิ พี่อยากฟัง”
เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานมาก
มีหลากหลายเรื่องราวเหลือเกินที่ผ่านเข้ามาให้เราร้องไห้ และยิ้มได้
.......จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้า ระหว่างน้ำตากับรอยยิ้ม
อย่างไหนที่ผมจะได้รับมากกว่ากัน รู้แต่ว่าวันนี้ผมปลาบปลื้มใจ จนอยากจะร้องไห้
.......ถึงแม้จะมีน้ำตา แต่มันก็แทนความสุขที่เอ่อล้นจนผมไม่สามารถจะสรรหาคำใด ๆ มาบรรยายได้เลย
“ทำไมผมถึงได้รับแต่สิ่งดี ๆ จากบ้านนี้ล่ะครับพี่นิว”
“ก็เพราะนูเป็นลูกของพ่อกับแม่ไง....เป็นเท่า ๆ กับที่พี่เป็น”
“แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้......มันมากเกินไป”
ผมหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าหาคำตอบที่อยากฟัง
“ไม่ต้องไปโอนบ้านเป็นชื่อผมนะครับ”
ผมรวบรัดเข้าเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจมาตั้งแต่ตอนที่พูดคุยกันพร้อมหน้า
“ได้ไง ก็แม่บอกมา”
“ก็อย่าให้รู้”
“สักวันก็ต้องรู้”
.................
“ผมไม่เห็นอยากได้เลย แค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว.....พี่นิวว่าไหม”
ผมโอบแขนไปรอบเอวที่เริ่มจะกลายเป็นพุงกะทิ ซบหน้าลงบนไหล่กว้างที่เริ่มหนาขึ้นตามวัย
สูดกลิ่นไออบอุ่นกลิ่นเดิม ๆที่คุ้นเคย
“ก็อยากจะว่าตามนั้นหรอก แต่ยังไงพี่ก็เห็นด้วยกับแม่ไปแล้ว”
“ใครจะมารู้ ถ้าเราไม่บอก ผมว่าคุณแม่ไม่เรียกดูโฉนดหรอกมั้งครับ....เนอะ”
“ไม่อะ”
“ฮื้อ”
ส่งเสียงออกไปให้เขารู้ว่ากำลังขัดใจผมอยู่ แต่พี่นิวก็ไม่สน กลับโยกตัวผมเหวี่ยงเบา ๆ
อย่างที่ไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งนานแสนนานแล้ว.....อาจจะเป็นเพราะเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่
อารมณ์ที่จะมานัวเนีย กอดกัน.....โยกเยกเอยน้ำท่วมเมฆ....เหมือนสมัยวัยหวาน มันไม่หลงเหลืออีกแล้ว
ครั้งนี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกอยากอ้อนเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ
“พี่นิว”
“หือ”
“เรายังรักกันเนอะ”
“หึ ๆ อารมณ์ไหนเนี่ย”
“อารมณ์อยากอ้อน” ผมตอบกลั้วหัวเราะ
“รักครับ”
“ผมก็รักพี่นิวนะครับ”
รางวัลของการบอกรักเป็นการกดจูบกลางกระหม่อมแรง ๆ พร้อมกับอ้อมกอดที่แน่นขึ้นอีกเท่าตัว
“อึ้บ.....หายใจไม่ออก อย่ารัดแน่นแบบนี้สิ”
ผมประท้วงให้อ้อมกอดคลายออก ถึงได้เอนลงซบหน้ากับไหล่แน่น ๆ อีกครั้ง
“แม่อยากให้นูมั่นใจ แม่คงกลัวว่า ถ้าเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันอีก นูจะหนีกลับไปอยู่บ้าน
แล้วทิ้งให้ลูกแม่ทุกข์ใจอยู่คนเดียว”
“จนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจผิดอีกแล้วล่ะครับ....เฮ้อ....รู้สึกเหมือนตัวเองมีแต่ได้กับได้ยังไงไม่รู้อะพี่นิว”
“ช่าย.....ได้ทั้งลูกชายกับบ้านพร้อมที่ดินอีกหนึ่งหลัง”
ถึงจะหมั่นไส้ถ้อยคำที่เข้าข้างตัวเองแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นความจริงล้วน ๆ ที่ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้
“จำได้ไหม ว่าแม่เคยบอกจะโอนบ้านเป็นชื่อนูตั้งนานแล้ว”
ผมพยักหน้าหงึก ๆ
“ไม่คิดว่าคุณแม่จะเอาจริงนี่นา”
“รู้ไหม....ในขณะที่นูวิตกเรื่องที่พี่จะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ผู้ใหญ่รับปากกันไว้
แต่แม่กลับกลัวว่า ถ้านูรู้สึกไม่มั่นคง นูก็อาจจะจากไป.....แม่เขารักนูมากนะ
พี่เป็นลูก พี่รู้ดี พี่ยังเคยแอบคิดเลยว่า ถ้าถึงวันที่ต้องแต่งงานจริง ๆ พี่คงต้องระเห็จออกไปจากบ้านหลังนี้แน่ ๆ
เพราะแม่จะกลับมาอยู่กับนูเอง”
“จริงหรือครับ”
ผมรำพึงออกไปเสียงแผ่ว คล้ายมันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบจริงจังนัก
“อืม”
“พี่นิวครับ”
“หืม”
“ผมมีอีกหลายคำถามที่อยากรู้”
“ก็ถาม”
“คู่หมั้นพี่อะ”
“ไม่มีแล้ว”
“ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงถอนหมั้นล่ะครับ”
“เขาไม่อยากรอมั้ง”
“ก็เห็นรอมาได้ตั้งเป็นปี ๆ ทำไมอยู่ ๆ ถึงไม่อยากรอ”
“ก็คงเห็นแล้วว่ารอไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เขารู้ว่าพี่มีผม?”
“เปล่า.....เขารู้ว่า พี่ไม่ใช่ตัวจริง แต่งไปก็ไม่มีโอกาสได้เป็นเมียเจ้าของกิจการ
อย่างมากก็เป็นได้แค่เมียผู้จัดการแผนกโยธา ที่วิ่งไปวิ่งมาตามไซต์งานต่างจังหวัด เวลาจะจู๋จี๋กันแทบไม่มี”
“แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวสินะครับ”
“ผู้ใหญ่ตกลงกันมาแต่ครั้งปู่ยังอยู่ ถ้าพี่ไม่มีนูอยู่ก่อนแล้ว บางทีพี่ก็อาจจะทำตามข้อตกลงของปู่ก็ได้”
“เพราะผลจากการประชุมบอร์ดใช่ไหมครับ การสืบทอดตำแหน่งถึงเปลี่ยนไป
แล้วก็เลยมีผลถึงเรื่องการหมั้นไปด้วย”
“จะว่าไปแล้ว พี่เองก็ไม่รู้หรอกนะ....พวกเรารุ่นลูก รุ่นหลาน ไม่มีใครรู้หรอกว่า
เรื่องสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารเป็นความคิดของปู่หรือเปล่า เราอยู่กันแบบนี้ก็เพราะย่าทั้งนั้น
หรืออาจจะเริ่มที่พ่อเป็นลูกชายคนโต แล้วก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารมากกว่าใคร
แต่ไม่ว่าอย่างไหนมันก็ทำให้กิจการของเราอยู่มาได้....ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีที่มายังไง
พี่ก็ยังเคารพนับถือย่าไม่เปลี่ยนแปลง”
“นั่นสิครับ ถึงคุณพ่อจะเป็นประธาน แต่คุณย่าก็ไม่เคยปล่อยมือเลย ผมก็ว่าคุณย่าต้องทั้งเก่ง ทั้งแกร่ง
ไม่งั้นคงคุมกิจการมานานขนาดนี้ไมได้”
“ใช่....ยี่สิบกว่าปีที่พ่อเป็นผู้บริหาร น้อยครั้งที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านความเห็นของย่า
ก็ขนาดพ่อยังต้องฟังย่า แล้วคนอื่นจะไม่ฟังย่าได้ยังไง”
“เรื่องหมั้นของพี่นิวมันยกเลิกกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอครับ คุณย่าไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอครับ ที่ผิดคำพูด”
“เราต่างก็รู้เหตุผลที่ฝ่ายโน้นยกเลิกการหมั้น คนที่เสียคำพูดและเสียหน้าไม่ใช่ฝ่ายเรา
และถึงจะเป็นแบบนี้กิจการของเราก็ต้องพึ่งพากันต่อไปอยู่ดี ระหว่างสองตระกูลมันไม่ใช่เรื่องบาดหมางหรอกนะ”
“บทจะง่ายมันก็แสนง่ายแบบนี้เองเหรอครับ”
“ก็แค่ทางฝ่ายหญิงบอกเลิก พี่ก็เป็นอิสระ....แค่นั้น”
ถึงยังไงผมก็ว่ามันง่ายเกินไปอยู่ดี ถ้าเหตุผลที่ฝ่ายหญิงถอนหมั้นคือไม่ขอเป็นภรรยาของลูกหลาน
ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของกิจการ ผมว่า....ไอ้เรื่องที่ว่า ทำไมพี่นิวถึงจะไม่ได้ตำแหน่งนั้นนี่แหละ
คือประเด็นหลัก และ......และ.....และ.......ทางฝ่ายนั้นรู้ได้อย่างไร.........
ก็คงไม่ยากเพราะกิจการครอบครัวที่ต้องเกื้อหนุนกัน ย่อมต้องรู้ความเคลื่อนไหวกันบ้างเป็นธรรมดา
ถามเองตอบเองแล้วผมก็ได้คำตอบ
“ถ้างั้นการที่คุณพ่อลงจากตำแหน่ง ก็เป็นต้นเหตุให้ฝ่ายหญิงถอนหมั้น คุณพ่อไม่โดนคุณย่าตำหนิเหรอครับ”
“ถ้าพ่อมีเหตุผลพอ และย่าอยู่ในภาวะจำยอม ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไร ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก”
“อะไรคือภาวะที่คุณย่าจำยอมครับ.........ผมละลาบละล้วงเรื่องครอบครัวของพี่เกินไปหรือเปล่า”
พี่นิวนิ่งไปจนผมกลัวว่าคำถามที่ค่อย ๆ คืบไปตามคำตอบของพี่นิว
จะกลายเป็นการก้าวล่วงไปถึงครอบครัวของเขา โดยเฉพาะคำถามของผมเกี่ยวกับคุณย่าด้วยแล้ว
ต่อให้อยากรู้แค่ไหน ถ้าพี่นิวไม่เต็มใจบอก ผมก็ต้องหยุด
“ลืมไปแล้วเหรอ ว่านูก็เป็นคนในครอบครัวพี่ด้วยเหมือนกัน”
เป็นอีกครั้งที่คำตอบของเขาทำให้ลมหายใจผมแทบสะดุด
“ถ้าจะเอาคำตอบจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า พี่นี่แหละที่สร้างภาวะจำยอมขึ้นมาต่อรองย่า”
“ฮื้อ???....”
ไม่งงไหวหรือครับ
“และเพราะว่าพ่อรู้จักลูกตัวเองดี.....รู้ว่า ไม่ว่ายังไง พี่ก็จะไม่ทิ้งนู”
ถ้อยคำหนักแน่นขนาดนี้ ไม่ให้รางวัลก็ดูใจร้าย....ว่าไหม
ผมแตะริมฝีปากพี่นิวแผ่ว ๆ ด้วยปากของตัวเอง แทนคำขอบคุณ
“มันเริ่มมาจากเรื่องที่พี่ขอออกมาตั้งบริษัท.....พี่บอกย่าว่า พี่อยากมีอาณาจักรที่ตัวเองสร้างมากับมือเหมือนปู่
แต่ย่าไม่เห็นด้วย บอกว่าพี่ยังไม่มีประสบการณ์ ให้ทำกับที่บ้านไปก่อน พูดยังไงย่าก็ไม่ยอม
ก็เลยพบกันครึ่งทาง ความจริงย่าคงกลัวว่าถ้าวันหนึ่งปีกกล้าขาแข็ง พี่จะออกมาเต็มตัว
ก็เลยให้เงินมาลงหุ้นด้วย อย่างน้อยขอมีหุ้นสักครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้พี่ต้องฟังเสียงย่า”
“ทำแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่นิวจะปฏิเสธตำแหน่งประธานได้นี่ครับ ก็แค่มีกิจการของตัวเองเพิ่มเข้ามา”
“ปัญหามันอยู่ที่ คนอื่น ๆไม่มีใครรู้ว่าย่าเอาเงินส่วนตัวมาลงหุ้นกับพี่ เงินก้อนนั้นถึงต้องให้พ่อรับหน้าแทน
....นูคงเข้าใจ มันเหมือนเป็นการเอาเปรียบพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เขาก็อาจจะอยากมีกิจการของตัวเองเหมือนกัน
แล้วถ้าย่าให้เหตุผลว่า ย่ามีเงินก้อนหนึ่งที่ตั้งใจจะแบ่งให้หลานคนอื่น ๆด้วย เพียงแต่พี่ได้มาก่อน
นูคิดว่าจะมีกี่คนที่ยอมเข้าใจ แล้วถ้าเขาจะเอาอย่างบ้าง จนในที่สุด
ไม่มีลูกหลานคนไหนอยากจะทำงานกับครอบครัวอีกต่อไป กิจการของเราจะเป็นยังไง”
“หมายความว่าพี่นิวทำให้คุณย่าต้องยอมจำนน โดยอ้างเรื่องนี้น่ะเหรอครับ”
“พี่ยอมเดินตามเกมย่า ทั้งที่ตอนแรกพี่แค่ไม่อยากอยู่ใต้ปีกของที่บ้านตลอดไป
เรื่องของเรื่องก็เพราะพี่มีนู พี่คิดว่าถ้าตั้งตัวได้แล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน
โดยที่ย่าไม่สามารถมาบังคับให้พี่ทำตามใจได้อีก แต่ย่าเป็นคนหยิบยื่นโอกาสให้พี่เอง
คงหวังแค่อยากจะถ่วงให้พี่อยู่ในอำนาจต่อไป ขนาดย่าสบประมาทไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป
ว่ากิจการของพี่จะไม่รอด แต่ก็ยังให้เงินมาลงทุน....ย่ายอมจ่าย
เพราะคิดว่าสุดท้ายพี่ก็ต้องกลับไปรับตำแหน่งต่อจากพ่ออยู่ดี”
“แบบนี้ก็เท่ากับพี่นิวแบล็คเมล์คุณย่าสิครับ.....มิน่าล่ะ วันนั้นคุณย่าถึงว่าพี่นิวเจ้าเล่ห์”
ผมนึกสงสารคุณย่าขึ้นมาเสียแล้วสิครับ ข้อเสนอที่จะผูกมัดหลานชายคนโปรดกลับย้อนมาเล่นกลเอาเสียได้
คุณพ่อกับลูกชายเหมือนแท็กทีมกันเลย
“มันก็ไม่เชิงนะ อย่าลืมสิครับ ว่าพี่ทำเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ....หรือว่านูอยากให้พี่แต่งงานกับคนอื่น”
“แหม....พูดแบบนี้มันก็.....”
“พี่นิวครับ ผมถามจริง ๆนะ คุณพ่อเกษียณเพราะอยากพักผ่อนจริง ๆ หรือว่า อยากจะปลดภาระตำแหน่งประธานกันแน่”
“ทั้งสองอย่าง”
“เหรอครับ”
“แม่ก็ดีใจที่พ่อเลือกทำอย่างนี้ และไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอะไรให้พ่อทำอย่างนี้ สิ่งที่แม่กับพี่ดีใจที่สุดก็คือ
ครอบครัวของเรายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม....เท่าเดิม ไม่มีใครหายไปไหน ไม่มีใครเพิ่มเข้ามา
แบบนี้มันพอดีที่สุดแล้วสำหรับครอบครัวเรา”
พอดีที่สุดอย่างที่พี่นิวว่า.....ก็คือมีผมรวมอยู่ด้วยสินะ
ผมคิดว่า “คำตอบ” ที่ผมเคยสงสัย วันนี้ก็ได้เฉลยตัวเองออกมาแล้ว
โดยที่ผมไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน ที่ผ่านมาผมไม่เคยปริปากอยากรู้อะไรเพราะเหตุที่คิดเสมอว่า
มันเป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวของพี่นิว หากแต่เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมด กลับกลายเป็นว่า
ตัวผมเองต่างหาก ที่เป็นปัจจัยให้เกิดการตัดสินใจของคนทั้งบ้าน
นอกจากคำว่า “โชคดี” แล้ว ยังมีคำไหนที่แทนความหมายเดียวกัน แต่ยิ่งใหญ่กว่าอีกไหมครับ
....ผมอยากได้คำนั้นเหลือเกิน
“พี่นิวครับ พรุ่งนี้เราไปแบงก์กันนะ”
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ นูจะไปเคลียร์งานเหรอ”
หันไปดูหน้าคนถาม......จ๋อยเชียว
“เปล่าครับ ผมจะไปถอนเงินที่สาขาในห้าง.....ไปด้วยกันนะ”
(ยังมีต่อครับ......ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไดอารี่หน้าสุดท้าย)
วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ตระเวนเยี่ยมเยียนญาติมิตร หลังจากที่ไปอยู่ทางเหนือเสียนาน
ยิ่งคุณพ่อด้วยแล้ว ตั้งแต่บริหารกิจการของครอบครัวอย่างคร่ำเคร่ง
ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบปะเพื่อนฝูงและคนคุ้นเคยกันอย่างปลอดโปร่งเลย
นอกจากว่าจะพบเจอกันบ้างในงานสังสรรค์ธุรกิจ หรือสมาคมต่าง ๆ ตามแต่โอกาส
ผมกับพี่นิวกลับจากทำธุระที่แบงก์มาถึงบ้านเอาช่วงบ่าย
หลังจากที่เราอิ่มมื้อเที่ยงมาจากร้านสุกี้ชื่อคุ้นหูร้านเดิม วันนี้ผมเห็นน้องผู้ชายที่เป็นเด็กเสิร์ฟ
ขอแลกที่ยืนกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้โต๊ะของเรา เพื่อจะมายืนเต้นข้าง ๆ พี่นิว
ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาล้อเลียนไปให้พี่นิว ซึ่งนั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว
แล้วตบรางวัลน้องคนนั้นด้วยทิปเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากการเต้นนั้นจบลง
“ถามจริง พี่นิวรู้หรือเปล่าว่าน้องคนนั้นเขาไม่ได้ยืนข้างโต๊ะเราตั้งแต่แรก”
ผมแกล้งถามขึ้นเมื่อเราขึ้นมาอยู่บนรถเตรียมกลับบ้านกัน
“รู้”
“อ๋อ....มิน่าล่ะ ถึงได้ทิปน้องเขาไปตั้งเยอะ”
ผมแกล้งทำทีเหมือนตัวเองไม่พอใจ
“หาเรื่องแล้วไหมล่ะ”
“ก็ทุกทีไม่เห็นจะทำอะไรแบบนี้นี่นา”
“เขาอุตส่าห์มีความพยายามขนาดนั้น จะให้พี่ทำเฉยก็น่าสงสารแย่สิ”
“แล้วใบร้อยที่ให้ไปน่ะ แอบเขียนเบอร์โทรไว้หรือเปล่า”
“แกล้งถามใช่ไหมเนี่ย”
พี่นิวขมวดคิ้ว เสียงเริ่มขุ่น
“ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นหรอกครับ ขำดี น้องผู้หญิงหน้าเหวอเลย ตอนที่พี่นิวยื่นทิปให้น้องคนนั้นน่ะ
อาจจะคิดว่า ถ้าเขายืน เขาก็คงได้ไป”
“พี่ถึงได้ไม่เอาเงินทอนไง วันนี้เรากินสุกี้ที่แพงที่สุดในโลกเลยรู้ไหม”
“อย่าทำบ่อยแล้วกันครับ สุกี้มื้อละสองพันกินกัน 2 คนนี่มันออกจะเกินไปหน่อย”
คุณพ่อกับคุณแม่กลับถึงบ้านคล้อยหลังเราสองคนไม่นาน ก่อนท่านจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง
ผมก็ทันได้บอกให้ท่านลงมารับของว่างตอนบ่ายจัด วันนี้ผมสั่งข้าวเกรียบปากหม้อที่หน้าปากซอยไว้
เจ้านี้เพิ่งย้ายครอบครัวมาจากต่างจังหวัด แค่ข้าวของที่ใช้ทำอาหาร ดูสะอาดไม่พอ ยังมีรสชาติอร่อยอีกด้วย
ผมอุดหนุนเขาเป็นประจำ จนรู้สึกว่า ไปซื้อขนมปากหม้อทีไร มักจะได้แถมมาด้วยทุกที จนพี่นิวเริ่มแซวว่า
สงสัยป้าแกจะยกลูกสาวให้ เพราะทุกครั้งจะต้องได้เจอน้องเขาตักขนมให้ตลอด
มุมโปรดของครอบครัวก็ไม่พ้น หน้ามุข ที่เต็มไปด้วยกอกล้วยไม้ของคุณแม่
ที่ผมหาต้นใหม่มาแทนต้นเก่าที่เฉาตายไปเกือบหมด คุณแม่มาเห็นยังนึกว่าเป็นของเก่า
แต่เพราะผมเคยเล่าให้ฟัง ก็เลยชื่นชมผมเสียใหญ่ว่าปลูกต้นไม้เก่ง......ไอ้ผมจะบอกว่ามีคนสวนมาช่วยดูแล
คุณแม่ก็จะชมเก้อเสียเปล่า ๆ ก็เลยนิ่งไว้
“ปากหม้อเจ้านี้ไส้เค็มรสกำลังดีนะ แต่ไส้หวานแม่ขอผ่านนะจ๊ะ วันนี้รับแกงกะทิมาเต็มที่แล้ว”
“พ่อก็เหมือนกัน วันนี้กินขนมจีน 3 น้ำยาไปเต็มที่เลย กะทิทั้งนั้น”
“เป็นไงครับขนมจีน 3 น้ำยา”
พี่นิวถาม ซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกัน
“ก็น้ำยาปักษ์ใต้ น้ำพริก แล้วก็แกงเขียวหวานไง”
คุณแม่ตอบ
“อ๋อ.....นึกว่ามีสูตรใหม่ที่ไหน ผมจะได้ไปชิม”
“แล้วเราสองคนวันนี้ไม่ไปไหนเหรอ วันหยุดนะลูก ไม่ไปพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลงนอกบ้านบ้างล่ะ”
“วันนี้ผมชวนพี่นิวไปทำธุระมาแต่เช้าแล้วครับ กลับก่อนคุณแม่เดี๋ยวเดียว
จริง ๆ แล้ววันหยุดผมชอบอยู่บ้านมากกว่า ออกไปข้างนอกมีแต่เรื่องเสียเงิน”
“งก!”
“เอ๊...ว่าน้องทำไม ดีสิ....แม่ยังชอบอยู่บ้านเลย แต่ยังไงแม่ก็อยากให้เราไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ
หมกตัวอยู่แต่ในบ้านจะไม่ทันโลกเอา”
“ครับคุณแม่”
ผมหันไปสบตาพี่นิว เป็นเชิงบอกว่า.....ธุระที่ไปจัดการที่แบงก์มา จะทำตอนนี้ล่ะนะ......
พอเขายิ้มให้ ผมก็ลุกขึ้นไปเอาของสิ่งหนึ่ง แล้วกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าคุณพ่อ
“อะไร”
คุณพ่อเลิกคิ้วถาม เมื่อผมส่งซองยาวให้
“โบนัสปีนี้ของผมทั้งหมดครับ”
“ให้พ่อ?”
คุณพ่อรับไปเปิดออกดู....มันเป็นดร๊าฟท์สั่งจ่ายชื่อคุณพ่อ ด้วยตัวเลขที่ไม่ได้มากมายอะไร
สำหรับผู้บริหารที่เคยอยู่กับตัวเลขหลักร้อย ๆ ล้านมาก่อนอย่างคุณพ่อ แต่ท่านคงทราบดีว่า
มันเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยสำหรับพนักงานแบงก์ตัวเล็ก ๆอย่างผม
“ให้พ่อทำไม.....ทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะลูก”
ผมก้มลงกราบที่ตักคุณพ่อ แล้วพูดตอบ
“ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนสิ่งที่คุณพ่อทำให้ผม ก็มีแต่โบนัสที่เป็นเหมือนรางวัลของคนทำงาน
ที่จะแสดงความรู้สึกขอบคุณจากใจของลูกคนหนึ่งที่จะให้พ่อได้”
“พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าความเป็นพ่อหรอก”
“แต่การที่คุณพ่อลาออกจากตำแหน่ง ทั้งที่ยังสามารถทำงานได้ เพียงเพราะอยากให้ผมได้ยืนอยู่ที่เดิม
มันก็มากเกินไป สำหรับลูกนอกไส้อย่างผมเหมือนกันครับ”
“พูดอะไรอย่างนั้น เห็นลูกเป็นทุกข์ พ่อจะนิ่งเฉยอยู่ได้ยังไง แล้วสิ่งที่พ่อทำไป
ก็ไม่ใช่เพราะนูคนเดียว แม่เขาก็อยากให้พ่อทำแบบนี้มานานแล้ว แต่จังหวะมันมาตอนนี้
ทุกคนก็เลยดูเหมือนจะสมหวังกันไปหมด.......เอ้า.....เอาคืนไป ถือเสียว่าพ่อรับแล้ว
ขอบใจนะลูก แค่นี้พ่อก็ดีใจแล้ว ที่นูเป็นเด็กกตัญญู”
ผมรับซองคืนมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพราะไหน ๆ ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้คุณพ่อ
“งั้นผมบริจาคในนามคุณพ่อได้ไหมครับ”
คุณพ่อคุณแม่สบตากันยิ้ม ๆ แล้วก็พยักหน้า
“ก็ตามใจลูก”
หลังจากงานทำบุญรวมญาติผ่านพ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็กลับเหนือตามเดิม
ส่วนบ้านเราก็ได้ต้อนรับญาติผู้ใหญ่อีกท่าน ที่เดี๋ยวนี้ชักจะมาบ่อยขึ้น
เมื่อครั้งที่คุณย่ามาอยู่บ้านเราครั้งแรก การชงชาให้คุณย่า ถือว่าควรแล้วที่จะปรนนิบัติ
ต่อญาติผู้ใหญ่ของคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ได้แต่เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะวางตัวให้ท่านเอ็นดู
หรือแม้ไม่เอ็นดู ก็ขอเพียงอย่าให้ท่านชังน้ำหน้า ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
แต่วันนี้ การชงชาแบบเดิม ชุดชาเดิม ๆ เสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ท่านเดิม
กลับเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่คล้ายจำใจต้องทำ กลายเป็นทำด้วยความเต็มใจ และดีใจที่ได้ทำให้ท่าน
ภูมิใจที่ท่านไว้วางใจให้เราทำให้ มันช่างต่างกันเหลือเกิน กับในวันเก่า ๆ
ผมกำลังเติมน้ำในกระติกไฟฟ้าแล้วเสียบปลั๊ก
บนโต๊ะมีชุดกาแฟเนื้อเนียนสีไข่ไก่พร้อมจานรอง 3 ชุด กาชงน้ำชาที่โรยใบชารอไว้แล้ว
โถน้ำตาล โกโก้สำเร็จรูปชนิด ทรีอินวัน และจานเปลสำหรับใส่ของขบเคี้ยว....
ทั้งหมดถูกเตรียมไว้เป็นอาหารว่างสำหรับคน 3 คน มองออกไปที่หน้ามุข ข้างกอกล้วยไม้
คุณย่ากับหลานชายคนโปรด กำลังคุยกันอย่างออกรส รอเวลาน้ำชายามบ่าย
รอยยิ้มของผมผุดขึ้นที่ริมฝีปาก หยั่งรากแห่งความสุขลงไปถึงหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นึกย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ความรักของเราเริ่มต้นขึ้น มันไม่มีอะไรง่ายเลยจริง ๆ
แต่การที่เราสองคนก้าวเดินมาถึงวันนี้แล้ว ผมก็อดที่จะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า จะ 10 ปี 20 ปี ผมก็พร้อมจะเผชิญ
ตราบเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะอยู่เคียงข้างผมตลอดไป
คนที่ผมไม่จำเป็นต้องถามว่า....พี่ครับ รับผมบ้างไหมครับ.....อีกต่อไป
แต่เขาจะเป็นผู้ชายคนที่อยู่ให้ผมบอกรักไปอีกนานเท่านาน
“ผมรักพี่นิวนะครับ”
:mew1:
มาถึงปกหลังแล้วครับ
ขอบคุณ เพื่อนพ้องน้องพี่ทุก ๆคนที่ติดตามกันมาตลอด
ขอบคุณมาก ๆครับ :pig4: