I Hate You, I Love You, I Hate that...
“มาๆๆ เดินเร็วหน่อยไอ้ศิน! พวกแม่งจองโต๊ะไว้ฟากโน้น นู่นๆ”
“เห็นแล้วน่า ขอกูเข้าห้องน้ำแป๊บเดี๋ยวตามไป”
“จะตามมาแน่นา ไม่ใช่ไปแล้วไปลับหายวับชิ่งกลับก่อนนะมึง”
“เออ ไม่ชิ่งหรอก ก็ถ้ากูไปใครจะเป็นคนเก็บศพพวกมึงทั้งหลายทุกคนกลับหอวะครับ”
“ฮ่าๆๆ รู้ก็ดี”
ผมกลอกตาค้อนใส่ไอ้แบงก์ก่อนจะแยกกันชั่วคราว มันดิ่งไปหาเพื่อนอีกสองที่มาถึงก่อนแล้ว ส่วนผมปลีกตัวแวะเข้าห้องน้ำ
โดยพื้นฐานแล้วผมไม่ใช่สายแข็ง...แต่คืนนี้ก็ยอมตามใจเพื่อนในกลุ่ม (หลังจากโดนเซ้าซี้ไม่เลิก) มาฉลองกันที่ร้านเหล้าหลังมหาลัย (ลำบากกูต้องรอแบกกลับหออีก) เนื่องในโอกาสสอบมิดเทอมเสร็จ (ซึ่งพวกแม่งก็ไม่ได้สำเหนียกแม้แต่น้อยว่ามีรายงานอีกสองชิ้นต้องส่งมะรืนนี้)
เพลย์ลิสต์เพลงฮิตประจำร้านเหล้าเล่นไปเรื่อย ส่วนใหญ่เป็นเพลงอกหัก ผมฮัมเพลงงมงายของบอดี้สแลมขณะทอดน่องเลาะตามทางเดินติดกำแพงอิฐไปยังห้องน้ำหลังร้าน มองดอกกล้วยไม้ที่แขวนประดับข้างทางไปเรื่อย
และในตอนที่กำลังจะเลี้ยวตรงทางแยกนั้น...
พลั่ก!
ชนเข้ากับคนที่เดินสวนมาพอดีแบบเต็มๆ
“อ...อูย ขอโทษครับผมไม่ทันมอง”
“ครับๆ ไม่เป็นไร ผมเองก็...ศิน?”
แล้วประโยคอะไรก็ตามอีกฝ่ายตั้งใจจะพูดก็หยุดอยู่แค่นั้น
ผมเองก็ชะงักค้าง
เราสบตากัน เงียบกริบ
คนตรงหน้าผมคือ ’ภากร’...ซึ่งเป็นทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นในชื่อเดียว คนทั้งคณะชอบเรียกมันภากรๆ ไม่เคยเห็นใครเรียกแค่ไอ้ภาหรือไอ้กรสักที เราเข้ามารุ่นเดียวกันแต่มันอายุมากกว่าคนในรุ่นปีนึงเพราะซิ่วมาจากที่อื่น
ภากรเป็นมนุษย์ประเภทเด็กหลังห้องที่ชอบหลับสลับโดดแต่ดันสอบได้ท็อปแทบทุกครั้งมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวันมันเมาไปแล้วสี่ ด้วยความที่ผิวแทนหุ่นดีเบ้าหน้าใช้ได้ก็เลยเอื้อต่อนิสัยขี้หลีและความเป็นเสือผู้หญิงของอีกฝ่ายสุดๆ เคยหยุดที่ใครนานเสียที่ไหนล่ะมันน่ะ
ถ้าถามว่าทำไมผมรู้ละเอียดขนาดนี้...
“ศิน...เออ...” พอเห็นว่าเป็นผมอีกฝ่ายก็หน้าเจื่อนไปเลย อึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเค้นคำพูดออกมาจนได้ว่า “...ขอโทษนะ”
ผมไม่รู้หรอกว่ามันขอโทษเรื่องไหน เรื่องที่เดินชน หรือเรื่องที่ผ่านมา
ทั้งหมดที่ผมทำก็คือพยักหน้าตอบรับสองที แล้วเดินผ่านมันไปโดยไม่เอ่ยอะไรกลับไปสักคำ
เพลงงมงายยังคงดังมาจากลำโพงร้าน
ผมเก็บไปร้องต่อเงียบๆ แค่เพียงในใจ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินไปหาผองเพื่อนทั้งสามซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ในพื้นที่กลางแจ้ง ไอ้เพชรไอ้เพียวโบกไม้โบกมือเรียก ส่วนไอ้แบงก์กำลังแหกปากร้องเพลงอยู่คนเดียวอย่างเมามัน
ผมทิ้งตัวนั่งตรงเก้าอี้ว่างข้างไอ้เพชร เอื้อมมือหยิบไก่คลุกฝุ่นของอร่อยประจำร้านเข้าปากเคี้ยวหงับๆ ส่วนไอ้เพียวที่ยังนินทาอาจารย์ในคณะแบบติดลมก็ชง 285 ผสมโค้กส่งมาให้ ไม่เข้มมาก แค่พอให้กรึ่มๆ สนุกไปกับบรรยากาศ
“เฮ้ยมึง โต๊ะนั้น...” อยู่ๆ ไอ้แบงก์ก็ร้องทัก
“โต๊ะไหนอะไรยังไง” ไอ้เพชรเหลียวมองตามสายตาเพื่อนแล้วก็ชะงักไปอีกคน “อ้าวนั่น...ภากรป้ะ?”
“ไหนๆๆ มันอยู่ไหน” ไอ้เพียวนี่ชะโงกหน้าหาแบบขี้เสือกเต็มอัตรา
ผมเองก็หันไปมองเช่นกัน แล้วก็เจอจริงๆ ภากรนั่งฉายเดี่ยวอยู่ตรงเก้าอี้สตูล...ที่จริงก็ไม่น่าเรียกว่าเดี่ยว เหมือนจะกำลังจีบหญิงที่นั่งติดกันอยู่ชัดๆ มันนั่งเอียงข้างเอามือเท้าแก้มคุยกับสาว ขยับมือสางผมที่ยาวปรกท้ายทอยของตัวเองแก้เก้อบ้างเป็นระยะ ต่างหูแป้นเล็กสะท้อนแสงไฟวิบวับบาดตา หน้าแดงเรื่อๆ แบบที่คงเป็นเพราะแก้วเครื่องดื่มในมือมากกว่าเขิน
มันเป็นคนมีเสน่ห์ ผมยอมรับ
พูดจาปากหวานเจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อย แถมยังยิ้มหวานได้แบบที่ทำให้สมองคนมองหยุดทำงาน
ลองได้มาโดนมันจีบเถอะ รับรองใจสั่นกันทุกราย
ตอนนั้นเองที่มันเหมือนจะรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงมองเลยไหล่ของหญิงสาวข้ามฟากสนามหญ้ามาทางนี้ มันหยุดกึกทันทีที่สบตากับผมเข้าอย่างจัง
ผมมองตอบเพียงไม่นาน ก่อนจะเป็นฝ่ายถอนสายตาออกก่อนแล้วหันกลับมาหยิบกับแกล้มกินต่อโดยไม่เหลียวกลับไปอีก
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...ก็ดันพบว่าทั้งโต๊ะกำลังมองผมเป็นตาเดียวแทน
“อะไร จะมองกูเพื่อ?”
“มึงกับมันยังไม่ดีกันอีกเหรอ”
ไอ้ห่าแบงก์นี่ก็ถามตรงไป
แต่เอาจริงๆ...นอกจากไอ้แบงก์ที่เคยเค้นคอผมจนรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าผมกับภากรเคยคบกันในรูปแบบที่มากกว่าเพื่อน พวกมันรู้แค่ว่าเราทะเลาะกันรุนแรงแล้วไม่กลับมาดีกันอีกเลย แค่นั้น
เมื่อก่อนภากรเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับผมและไอ้แบงก์ไอ้เพชรไอ้เพียวนี่แหละ ไปไหนไปกัน เฮ้วๆ ตามประสา มันเป็นพวกหัวร้อนแถมชอบหาเรื่องใส่ตัวทำให้ผมต้องตามประกบดูแลเป็นพิเศษเสมอๆ ตอนนั้นจะเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้
จนกระทั่งหลังจากคืนหนึ่ง...ที่มีเหตุให้เมาหัวทิ่มกันทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของเราก็มาถึงจุดเปลี่ยน
...
ผมตื่นเช้ามาบนเตียงของตัวเองด้วยอาการปวดหัวจี๊ด อย่างแรกที่รู้ตัวคือ โอย แฮงก์แน่ๆ
อย่างที่สองที่รู้สึกคือทำไมมันเย็นๆ โล่งๆ หือ...เมื่อคืนถอดเสื้อผ้านอนเหรอ?
และอย่างที่สาม...
เมื่อหันไปทางขวามือผมก็ชะงัก ภากรอยู่ตรงนั้น บนเตียงเดียวกันกับผม เนื้อตัวเปลือยเปล่าดึงผ้าห่มปิดมาถึงเอว กำลังนั่งหลังเอนหลังพิงหัวเตียงมองมาที่ผมด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“ภากร?”
“โทษที...เมื่อคืนกูไม่น่ายุให้มึงแดกเยอะขนาดนั้น”
สีหน้าแปลกๆ ของมันทำให้ผมสังหรณ์ใจ
“เมื่อคืนมึงกับกู...”
“เออ”
เล่นตอบมาสั้นๆ คำเดียวแบบนี้ทำเอาผมไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงดี ได้แต่มองคนตรงหน้าตาค้าง ส่วนมันคราวนี้หลบตาไปแล้ว
คลับคล้ายคลับคลาว่ายังจำความรู้สึกเมื่อคืนได้บ้าง เลือนรางเหมือนความฝัน ภาพตัดที่แทบเรียบเรียงไม่ได้ของการเกี่ยวกระหวัดที่ร้อนแรง อิ่มเอม...และมีอะไรบางอย่างที่ชวนโหยหาเสียจนผมนึกแปลกใจตัวเอง
ตอนนั้นเองที่ผมค้นพบความจริงบางอย่างในจิตใจ ผมไม่ได้รู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นขนาดนั้น และไม่ว่าความรู้สึกนี้จะเรียกว่าอะไร...ผมไม่ได้รังเกียจภากร
“ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วค่อยคุยกันเหอะ” หลังจากตั้งสติได้แล้วผมก็พูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด แต่อีกคนฟังแล้วหน้าเสีย ส่ายหัวปฏิเสธ
“ลุกไม่ได้”
“ทำไมวะ”
“...” มันเม้มปากแน่นอยู่นาน สุดท้ายก็สารภาพเสียงอ่อย “...เจ็บ”
สมองผมหยุดทำงานไปสิบวินาที ก่อนจะสั่งการให้ผมพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายที่สะดุ้งโหยงทันควัน แต่ผมไม่สน เลิกผ้าห่มบนตัวมันขึ้นโดยไม่ขออนุญาตและไม่แคร์ด้วยว่ามันจะแก้ผ้าอยู่หรือเปล่า
ผ้าปูที่นอนบริเวณนั้นนอกจากจะเปื้อนคราบของเหลวบางอย่างแล้วยังมีรอยเลือดสีแดงหยดเป็นดวง
ผมตะปบหมับเข้าที่ข้อพับเข่าข้างซ้ายของภากรแล้วดันให้ยกขึ้นสุดแรง เล่นเอามันแหกปากร้องเสียงหลง “อ๊ากกก! เจ็บๆๆๆ ไอ้เหี้ยศินกูเจ็บบบ!!!”
ผมยอมปล่อยขามันหลังจากเห็นชัดแล้วว่านอกจากบนผ้าปู บริเวณต้นขาของเพื่อนก็มีคราบเลือดแห้งติดอยู่เหมือนกัน “เออะ...โทษที กูไม่รู้”
“กูก็บอกอยู่ว่าเจ็บอะ ไอ้สัสเอ๊ย มึงแม่งก็ไม่ยั้งเลย ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ...”
“ฮ...เฮ้ย เชี่ย นี่มึงร้องเหรอ!?”
“พ่อมึงดิ มั่วแล้ว กูไม่ได้ร้อง!”
ยอมรับว่าตกใจกว่าเดิมนิดหน่อย คือทีแรกที่ตื่นมาเจอสภาพแบบนี้ก็อุตส่าห์ทำใจแล้วว่าเมื่อคืนตัวเองคงโดนมันเอาแหงๆ แต่ใครจะไปนึกว่าผมจะเป็นฝ่ายไปทำไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเพลย์บอยตัวพ่อประจำแก๊งคนนี้ซะได้ ไม่รู้ว่าภากรมันอายหรือเสียเซลฟ์ แต่หน้ามันตอนน้ำตาคลอๆ แถมตัวสั่นน้อยๆ แม่ง...โคตรน่าสงสารจนผมใจหาย
มันไม่ได้โวยวายหรือเกร็งตัวหนีตอนที่ผมขยับเข้าไปกอดแล้วลูบหัวลูบไหล่เป็นการปลอบ
“กูไม่บอกใครหรอก สัญญา” ผมกระซิบบอกมัน “กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ ถ้าอยากให้ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกูทำให้มึงได้นะ ถ้าอยากกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมกูก็ทำให้ได้...”
“นั่นแหละปัญหา”
มันพูดขัดขึ้นกลางคัน อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วก็แปะหน้าผากทิ้งน้ำหนักลงมาที่ไหล่ของผม
น้ำเสียงของฝ่ายนั้นฟังดูก้ำกึ่งระหว่างอาย กระดาก กับไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง...แบบเดียวกันกับที่ผมคิดว่าตัวเองก็รู้สึกเหมือนกัน
และดีไม่ดีอาจจะรู้สึกมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว
“ศิน...กูไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
...
เราไม่เคยบอกใครถึงเรื่องในคืนนั้น ต่อหน้าเพื่อนคนอื่นเราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็รู้กันเองสองคนว่ากำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ
ความจริงไม่ต้องศึกษานิสัยใจคออะไรมากหรอก เราต่างคนก็ต่างรู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งนั่นแหละปัญหา...
ผมรู้จักภากรดีเกินไป มันอาจจะเป็นเพื่อนที่เข้าขากันไม่เลวนัก...แต่ผมรู้ว่ามันจะเป็นแฟนที่ดีให้ใครไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่เลิกนิสัยเสียเก่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ้าชู้
ทว่าสุดท้ายผมก็ใจอ่อนจนได้...ใจอ่อนให้กับใบหน้าเศร้าๆ และดวงตาหวานปนโศกคู่นั้นแหละ
อย่างที่เคยบอกไป ลองได้มาโดนมันจีบเถอะรับรองใจสั่นกันทุกราย
แต่ผมว่าเหตุผลที่ผมตอบตกลงคบกับมันไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิวเผินแบบนั้นหรอก
ผมว่าผมรักมันนะ...ผมรักจริงๆ และยิ่งนานวันความรู้สึกที่ว่าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับการปลดล็อก
รักจนโง่ รักจนหลอกตัวเองว่าคงจะเปลี่ยนมันได้
น่าเสียดายที่ภากรก็คือภากร มันยังคงความคาสโนว่าจีบสาวเจ้าชู้ไปเรื่อยเหมือนเดิม ยึดติดกับภาพโง่ๆ ว่าตัวเองเป็นเพลย์บอยที่เท่เสียเต็มประดาล่ะมั้ง ผมปรามมันจนเหนื่อยใจ บ่อยเข้าก็เริ่มสงสัยว่ามันจะเอายังไงกับความสัมพันธ์ของเรากันแน่
มันดูเสียเซลฟ์ที่เป็นฝ่ายรับในคราวนั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังยื้อผมไว้ ช่วงที่แอบคบกันโดยไม่บอกคนอื่นเราไม่เคยมีอะไรกันอีกซ้ำสองนะ อารมณ์แบบ...เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือจูบกันได้และใจสั่นด้วย
แต่ขณะเดียวกันมันก็ยังควงหญิงอื่นไม่ซ้ำหน้าแทบจะทุกวันเว้นวัน อะไรของแม่งวะ มันอยากให้ผมรักแต่ตัวมันล่ะเคยรักผมมั้ย เห็นผมเป็นของเล่นของมันเหมือนกันกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในสต็อกหรือไง จนหนสุดท้ายผมก็ระเบิดออกมา ยื่นคำขาดให้กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม...เหมือนเดิมในที่นี้คือเหมือนเดิมจริงๆ แบบที่เราเคยเป็นก่อนจะล้ำเส้นกันไปในคืนนั้น
แต่ก็ภากรอีกนั่นแหละที่เลือกจะปฏิเสธ
‘ไม่...ไม่ได้ กูกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงไม่ได้แล้วศิน’
‘ถ้างั้นก็พอที! แม้แต่เพื่อนก็ไม่ต้องเป็นกันแล้ว!!’
สองเดือนแล้วนับจากวันนั้น...เราไม่กลับมาคุยกันอีกเลย
“ไอ้ศิน ไอ้ห่า กูถามมึงอยู่เนี่ยได้ยินมั้ย”
“ห...หือ? อะไรนะ”
ผมสะดุ้ง พอกะพริบตาอีกสองสามทีถึงตั้งสติได้ว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ร้านเหล้ากับกลุ่มเพื่อน
แบงก์นั่งกอดอก ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “กูถามว่ามึงกับมันอะ...ยังไม่ดีกันอีกเหรอ”
เพชรกับเพียวก็มองมาอย่างสนอกสนใจเหมือนกัน ผมถอนหายใจเฮือก
“ยัง ก็ไม่ได้คุยกันตั้งแต่วันนั้นแหละ”
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ...” ไอ้เพชรถามจ๋อยๆ มันไม่ชอบเวลาเห็นเพื่อนทะเลาะกัน
ผมยักไหล่ ไม่ยอมตอบอะไรกลับไป บรรยากาศอึมครึมอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งไอ้เพียวกู้สถานการณ์กลับมาด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับไปเป็นนินทาอาจารย์ที่ภาคต่อ จากนั้นเพื่อนทั้งวงก็ไม่พูดชื่อภากรออกมาให้ผมได้ยินอีก