พิมพ์หน้านี้ - { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: _MindSky ที่ 22-11-2018 23:05:22

หัวข้อ: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 22-11-2018 23:05:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************










‘ความเจ็บปวด’ ของคนเรานั้นถูกนิยามเอาไว้ว่าเป็นความทุกข์ทางกายหรือทางใจที่เกิดขึ้นเพราะมีสิ่งเร้ารุนแรงและอันตรายมากระตุ้น ผมไม่ปฏิเสธหรอก มันก็จริงอย่างที่มีคนได้นิยามไว้





แต่ความเจ็บปวดสำหรับผมแล้ว..มันลึกซึ้งกว่านั้น..








คุณเคย...หัวเราะทั้งๆที่ในใจกำลังร้องไห้มั้ย

คุณเคย...แสร้งทำเป็นมีความสุขทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า

ถ้าคุณเคย.. คุณคือเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับผมแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่หัวเราะทั้งๆที่น้ำตาไหล หรือแสร้งยิ้มทั้งๆที่ภายในกำลังเจ็บปวดทรมาน
 
สองความรู้สึกนี้..ผมอยู่กับมันจนรู้จักมันดี เอาจริงๆผมไม่ได้เจ็บปวดหรอก  ‘ความเจ็บปวด’ ของผมมันกลายเป็น ‘ความชินชา’ ไปแล้ว
ผมไม่จำเป็นต้องมีความสุขหรอก..ถ้ามีใครคนนั้น..
 







‘เทียน..ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกับกูมาจนถึงทุกวันนี้นะเว้ย มึงคือความโชคดีของกูจริงๆ’

‘เทียน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู’

‘เทียน...ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา’


‘กูเอง..ก็ต้องขอบคุณมึงมากๆเหมือนกัน..เปลว ถ้าไม่ได้มึง...กูก็คงไม่เป็นกูในทุกวันนี้ ขอบคุณมึงมากๆเลยเพื่อนรัก ขอบคุณจากใจจริงเลย’

‘กูไม่โกรธมึงหรอกนะเว้ย กูสบายมาก กูจะดีใจซะอีกถ้ามึงมีความสุข เพราะงั้นไม่ต้องห่วงกูเลยเว้ย ถ้ามึงกังวลกับเรื่องสัญญาที่มึงเคยพูด กูจะบอกว่ากูโอเค สัญญากับกูน่ะมึงไม่จำเป็นต้องทำตามที่มึงสัญญาก็ได้’

‘นอกจากขอบคุณแล้ว..กูก็อยากจะขอโทษมึงด้วยเหมือนกันว่ะ’

‘ขอโทษนะเว้ยเปลวที่กูยุ่งย่ามกับมึงมากเกินไป’

‘ขอโทษเว้ยที่กูเป็นห่วงมึงมากเกินไป ..แต่เพราะมึงคือบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตกูที่ยังเหลืออยู่ กูเลยอาจจะเผลอเป็นห่วงมึงมากเกินไปหน่อย กูขอโทษจริงๆ’

‘แล้วก็..ขอโทษที่ร้องไห้ง่าย ขี้แยเป็นเด็กจนทำมึงรำคาญ’

‘ขอโทษที่..กูยังมีชีวิตอยู่..ทำให้เป็นภาระมึง’








‘ขอโทษที่รักมึงหมดหัวใจ’












เขา..ผู้เป็นดั่ง ‘เปลวไฟ’ ผู้ชุบชีวิต ’เทียนไข’ ให้สว่างไสวโชติช่วง


แต่ขณะเดียวกัน เปลวไฟ..ก็แผดเผาเทียนไขเสียจนมอดไหม้เหลือเพียงไขน้ำตา










”น้ำตาเทียน”
- Tian’s Tears -


















*เนื้อหาค่อนข้างรุนแรง*
*พฤติกรรมและคำพูดมีบางส่วนที่ไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณ*

สารบัญ
ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3914886#msg3914886)
ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3916092#msg3916092)
ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน RE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3917361#msg3917361)
ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน RE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3935739#msg3935739)
ตอนที่ 5 : 05 เปลวเผาเทียน RE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3935750#msg3935750)
ตอนที่ 6 : 06 เปลวเผาเทียน RE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3935755#msg3935755)
ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 RE { 50% } (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3935758#msg3935758)
ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 { 100% } (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3938692#msg3938692)
ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3938695#msg3938695)
ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3940566#msg3940566)
ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3943717#msg3943717)
ตอนที่ 11 : 11 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3946228#msg3946228)
ตอนที่ 12 : 12 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3948287#msg3948287)
ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3949885#msg3949885)
ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3958130#msg3958130)
ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 1/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3961936#msg3961936)
ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 2/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3961944#msg3961944)
ตอนที่ 16 : 16 บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3964452#msg3964452)
(Special) “Memories Jigsaw Puzzle” (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69003.msg3964470#msg3964470)

ฝากเปลวเทียนไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
คอมเมนต์บอกความรู้สึกหลังอ่านด้วยเราจะดีใจมากๆเลย
ยังไงก็ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ : )




Twitter : @_MindSky
[/i]
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 22-11-2018 23:10:58
01


เปลวจุดเทียน










      “ไปเลยนะไอ้เทียน มึงไปเลยนะ! ออกไปจากร้านกู!” เสียงตวาดลั่นดังมาจากเฮียเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดประจำตลาด

       “ไม่มีจะแดกขนาดนั้นเลยรึไงไอ้เด็กเวรนี่ ก๋วยเตี๋ยวถุงละไม่ถึงห้าสิบ ไม่มีตังจะจ่าย.. ยังอีก มองหน้าหาเตี่ยมึงหรอ ไปไกลๆไอ้เด็กเหี้ย!” เฮียยังคงตวาดลั่นไม่หยุดใส่เด็กมัธยมเจ้าของเรือนร่างผอมเพรียวดูบอบบางที่อยู่ในชุดนักเรียนเก่าๆเปื้อนดินเปื้อนฝุ่นจนดูสกปรกไม่น่าชมอยู่อย่างนั้นไม่หยุด



       ‘ซักวันเทียนจะมาตอบแทนเฮียแน่’ เด็กคนนั้นคิดแบบนั้นอยู่ในใจ ก่อนจะพยายามข่มใจให้หายกลัวแล้ววิ่งหนีไป

       เขาไม่ได้ชอบการขโมย ไม่ได้ชอบการเอาเปรียบคนอื่น แต่ก็ต้องกัดฟันทำมันลงไป เพราะถ้าหากไม่ทำแบบนี้..ชีวิตเขาและแม่ก็จบ



       สองเท้าของเด็กคนนั้นยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆจากตลาดไปยังชุมชนแออัดที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าๆไรนัก จุดมุ่งหมายของเขาคือบ้านโทรมๆหลังหนึ่งที่ทำด้วยไม้มีที่ตั้งอยู่ริมน้ำคลองประปาสีดำทะมึนเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานเขาก็ถึงจุดหมาย



       “แม่.. เทียนกลับมาแล้วครับ” เขาใช้เท้าข้างหนึ่งเสียดสีกับเท้าอีกข้างเพื่อถอดรองเท้านักเรียนขาดๆนั้นออกก่อนจะผลักประตูไม้เข้าไป

       “เทียนซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากแม่ด้วย ..แม่ลุกไหวมั้ย” เด็กน้อยปรู่เข้าไปหาแม่ของเขาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกเก่าๆที่อุดมไปด้วยไรฝุ่น เขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังโกหกคนเป็นแม่ เด็กน้อยคนนี้รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร

       เขาก็แค่..ไม่อยากให้แม่คิดมากที่เขาเป็นไอ้ขี้ขโมยไปแล้ว



       “…” แม่ของเด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าเธอค่อนข้างซีดเซียว ริมฝีปากก็แห้งกรังไร้สีสัน

       “รอแป็ปนะเดี๋ยวเทียนเอาไปใส่ชามก่อน ..แม่ค่อยๆลุกนะครับ” เด็กน้อยยิ้มแย้มแจ่มใสพูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะค่อยๆพยุงแม่ของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง

       “มาแล้วว ดูสิแม่ กำลังร้อนๆเลย มา เดี๋ยวเทียนป้อน” เด็กน้อยค่อยๆใช้ส้อมพันเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วนำมาป้อนแม่ของเขา เป็นเวลาเดียวกันที่แม่ของเขามองมาทางเขาพอดี สายตาของท่านรื้นเอ่อไปด้วยน้ำตา จริงๆแล้วท่านรู้ดีว่าเงินแทบจะไม่มีเหลือแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกของท่านจะซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้แบบนี้ได้

       “กินอีกเยอะๆนะครับแม่ จะได้มีแรง” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงจ่มใส และยังคงป้อนก๋วยเตี๋ยวให้แม่คำแล้วคำเล่า

       “พ..พอแล้วเทียน แม่..อิ่มแล้ว” ท่านบอก แม้ความจริงจะกินยังไม่ถึงครึ่งท้องเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกที่มีมากกว่า ท่านเลยอยากให้ลูกของตัวเองได้กินอะไรบ้าง ไม่ใช่อดๆอยากๆจนตัวผอมกร่องแกร่งแบบนี้

       “งั้นแม่กินยาต่อเลยแล้วกันนะครับ อะนี่ครับ น้ำด้วย” เด็กน้อยยื่นยาหลายชนิดให้แม่ของเขา ทุกครั้งที่มองไปที่แม่ของเขาเขาก็จะมีแต่ความเจ็บปวดจนตัวชาไปครู่หนึ่งเกิดขึ้น ..ร่องรอยบาดแผลตามตัวแม่ เขารู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร

       ครั้งหนึ่งภายในบ้านไม้โทรมๆหลังนี้เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น แม้สังคมรอบข้างจะค่อนข้างเลวร้าย มีแต่สิ่งสกปรกโสมม หรือแม้แต่ยาเสพติดอยู่รอบข้าง แต่ก็ไม่สามารถทำลายความอบอุ่นภายในบ้านหลังนี้ได้เลย บ้านหลังนี้มีพ่อ มีแม่ และเด็กน้อยที่อยู่ในวัยสดใสไร้เดียงสา

       ตอนเช้า..เด็กน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยอาหารเช้าที่แม่เป็นคนทำให้ ทุกเมนูแม้จะเป็นเพียงไข่เจียวธรรมดาๆแต่ก็อุดมไปด้วยความใส่ใจ เป็นอาหารแสนอร่อยที่ได้กินกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและมีบทสนทนาสัพเพเหระที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างดีคลอหูทำให้รู้สึกผ่อนคลาย การได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้มันช่างมีความสุขเหลือเกิน

       ตกเย็น..พ่อของเด็กน้อยก็กลับมาจากไปทำงาน งานของเขาไม่ได้หรูหราอะไรเลย เป็นแค่คนงานก่อสร้างธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับเด็กน้อย..เขาไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่น้อยที่พ่อทำอาชีพนี้ กลับกัน..เด็กน้อยกลับรู้สึกว่าพ่อของเขาคือฮีโร่ ..ฮีโร่ที่สามารถเสกปูน เสกอิฐ จนกลายเป็นอาคารบ้านเรือนได้ แม้จะไม่ได้มีพลังพิเศษมากมายเหมือนในหนัง แต่ฮีโร่ของเขาคนนี้เป็นฮีโร่ที่เก่งที่สุด กัปตันอเมริกาหรอ.. แบทแมนหรอ ใครก็สู้พ่อของผมไม่ได้หรอก เด็กน้อยคิดแบบนั้น

       หลังจากที่พ่อกลับเข้ามา สามพ่อแม่ลูกก็จะกินอาหารเย็นด้วยกันพร้อมกับดูทีวีไปด้วย บรรยากาศยังคงอบอุ่นและสนุกสนานไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนเคย

       เสร็จจากมื้อเย็นสุดวิเศษแล้วก็ได้เวลาพักผ่อน ..บนฟูกสีชมพูอมแดงลายดอกไม้เก่าๆนั้นเป็นที่พักผ่อนของเด็กน้อย แม่ของเขาและพ่อของเขา ก่อนนอนพ่อจะกางมุ้งเพื่อกันไม่ให้ยุงตัวร้ายเข้ามากล้ำกรายเด็กน้อยได้ ..บางจุดของมุ้งก็ขาดไปแล้ว แต่ด้วยความเก่งกาจของแม่นั้น เธอสามารถซ่อมแซมรูโหว่บนมุ้งได้อย่างชำนาญการราวกับมีพลังวิเศษ

       ‘แม่ของเทียนเก่งที่สุดในโลกเลย’ เด็กน้อยคิดแบบนั้น ก่อนจะผล็อยหลับไปภายใต้ความอบอุ่นจากอ้อมแขนของพ่อและแม่ที่เขารักสุดหัวใจ





        ..ทว่าเมื่อเรามีความสุข เวลามักผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเสมอ

 

       เวลาผันผ่านไปถึงสองปีจนเด็กน้อยเข้าสู่รั้วของโรงเรียนประถม..

       ‘ตั้งใจเรียนนะครับคนเก่ง’ แม่ของเด็กน้อยมักจะบอกแบบนี้กับเด็กน้อยทุกวันๆ จนมันฝังลึกลงไปในสมองของเด็กน้อย ทำให้เขาเรียนเก่งจนสอบได้ที่หนึ่งมาตั้งแต่ประถมหนึ่ง

       แม่มักจะเดินไปส่งเด็กน้อยที่โรงเรียนเสมอ ใจนึงก็เพราะอยากเป็นห่วงกลัวเด็กน้อยจะถูกแกล้ง ถูกทำร้าย อีกใจหนึ่งก็เพราะเธออยากมีเวลาอยู่กับเด็กน้อยให้มากขึ้น

       เพราะเธอรู้ดีว่า..เวลาของเธอเหลือไม่มากแล้ว



       เธอกำลังป่วย…ป่วยด้วยโรคร้ายแรงโรคหนึ่งที่สังคมรังเกียจ..

       และคนที่ทำให้เธอป่วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ..สามีของเธอนั่นเอง ..ความอบอุ่นหรอ ความสุขหรอ ..จริงๆแล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยเมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยู่ด้วยกันสองคนกับสามีของเธอ

       เขาทุบ ถีบ ฟาด ทำร้ายเธอไม่เว้นแต่ละวันเพราะฤทธิ์ของยาเสพติด เป็นความจริงที่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหลวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้น เราจะเป็นคนแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว ..สุดท้ายแล้วคนเป็นพ่อก็หนีไม่พ้นจากมัน พ่อของเด็กน้อยติดกัญชา ยาบ้า และอีกสารพัดสารเสพติดที่เขาสามารถหาเสพได้ ซ้ำร้าย..พ่อของเด็กน้อยยังกลายเป็นคนที่ติดเที่ยว ถึงแม้จะไม่มีเงินอะไรมากแต่พ่อก็จะแอบหนีไปทุกครั้งที่มีโอกาส และใช่..พ่อแอบขโมยเงินเพื่อเอาไปเที่ยว ..เงินที่ต้องกิน..ต้องใช้จ่ายในแต่ละวัน พ่อก็เอามันไป

       ที่ร้ายยิ่งกว่าคือพ่อติดผู้หญิง.. ผู้หญิงค้าบริการที่อยู่ตามแหล่งที่พ่อไปเที่ยว พ่อเสียเงินไปหลายบาทเพื่อซื้อเธอมานอนด้วยเพียงแค่คืนเดียว พ่อดูแลเธอดีมาก..ดีซะกว่าลูกในใส้ซะอีก

      จนสุดท้ายเงินที่พ่อเสียไปพ่อก็ได้รับสิ่งตอบแทนสุดล้ำค่าที่จะเป็นบทเรียนให้เขาไปตลอดชีวิต..

       โรคเอดส์..



       เคราะห์ซ้ำกรรมซัด..แม่ของเด็กน้อยเองก็พลอยติดโรคร้ายนั้นไปด้วยทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เธอแค่ทำหน้าที่ของเธอ ..เธอทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถู ดูแลบ้าน ดูแลลูก ทำงานเล็กๆน้อยๆหาเงินเท่าที่จะทำได้ เธอทำมันได้โดยไม่เคยคิดย่อท้อเหน็ดเหนื่อย

       เธอรู้ดีว่าสามีเธอคงจะเหนื่อยกว่าเธอหลายเท่า งานก่อสร้างมันไม่ใช่งานที่นั่งพิมพ์นั่งวาด แต่มันต้องขึ้นไปบนนั่งร้าน แบกอิฐ แบกปูน เล่นล้ออยู่กับความเสี่ยงถึงชีวิต เพราะงั้นเธอถึงได้รอ..รอปรนิบัติดูแลสามีของเธอทุกวัน น้ำท่าก็หาให้ อาหารการกิน เสื้อผ้าเธอก็เป็นคนดูแล

       เธอไม่เคยคิดร้ายกับสามีของเธอเลย กลับกันเธอยังรักเขาอย่างสุดหัวใจ..

       รัก..โดยไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะถูกหักหลัง..





       ..เมื่อเรากำลังทุกข์ใจ กำลังเจ็บปวด หรือเฝ้ารอใครซักคน เวลานั้นจะโหดร้าย มันจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเวลาถูกหยุด



       ‘โตไปลูกอย่าเอาพ่อเป็นแบบอย่างนะเทียน’

       ‘เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว’

       ‘พ่อขอให้ลูกเจอแต่สิ่งดีๆ’

       ‘พ่อขอโทษ..’



       ระฆังประหารลั่นดังก้องกังวาลก่อนที่พ่อของเด็กน้อยจะถูกอุกฤษฏ์โทษโดยการลั่นปืนเจาะลงที่กลางกระบาล ด้วยอาญาเสพและค้ายาเสพติด ซ้ำด้วยฆ่าข่มขืนหญิงค้าบริการ







       ชีวิตของ ‘เทียนไข’ ก็ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่วันนั้น..













ต่อด้านล่างค่ะ




หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 22-11-2018 23:13:38
  ‘เทียน’ หรือ ‘เทียนไข’ เป็นชื่อของผมเอง แม่ผมเป็นคนตั้งให้โดยเธอบอกว่า ‘หนูจะเป็นแสงสว่างในยามที่มืดมิดให้แก่ใครซักคนนะ..เทียนไข’ ผมชอบความหมายของชื่อนี้นะ.. แต่เทียนที่แม่ว่าคงจะหมายถึงเทียนเล่มอื่นที่ไม่ใช่ผม ..เทียนอย่างผมไม่อาจส่องสว่างให้ใครได้เลย เป็นเทียนไขที่ไร้แสง หากแต่ถูกความโหดร้ายจากโชคชะตาแผดเผาอยู่ร่ำไปด้วยสารพัดคำล้อเลียนที่ว่า ‘ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์’ ‘หยี้ขยะแขยง ไอ้เอดส์’ ‘ไอ้ขี้ขโมย’ ‘ไอ้สาระเลว’ จนเทียนไขไม่สามารถเป็นเทียนไขได้อีก แหลกสลายกลายเป็นแค่น้ำมันไขจาก ‘น้ำตาเทียน’



       ทุกคำกล่าวหามันไม่ได้จริงไปซะทั้งหมด ..อย่างแรกเลยคือผมไม่ได้เป็นโรคร้ายอย่างที่แม่เป็น ผมยังเป็นผม ยังสมบูรณ์แข็งแรงสุขภาพดีเพราะแม่ของผมดูแลผมมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไม่สามารถดูแลผมได้อีกแล้วก็ตาม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ความคิดประหลาดๆที่ว่า ‘ลูกคนเป็นเอดส์จะต้องเป็นเอดส์ไปด้วย’ นี่จะหายไปซักที

       อย่างที่สอง.. ผมไม่ได้อยากจะขโมยเลย แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ก็ไม่มีงานที่ไหนรับเด็กอายุสิบสามทำงานนี่ ผมจำเป็นต้องมียามารักษาแม่ จำเป็นต้องมีอาหารเพื่อความอยู่รอด จำเป็นต้องมีเงินเพื่อศึกษาเล่าเรียน ผมขอโทษจริงๆที่ผมต้องทำแบบนี้ ซักวันผมจะชดใช้บุญคุณพวกนี้แน่นอน ผมสัญญาไว้กับตัวเอง



       “แม่วันนี้เปิดเทอมวันแรก.. เทียนขึ้นม.1แล้วนะครับ” ผมยิ้มบอกเธอหลังจากที่เธอกินยาเสร็จเรียบร้อย เธอคลี่ยิ้มออกมาราวกับกำลังรู้สึกตื้นตันใจ เดี๋ยวนี้แม่ของผมแข็งแรงขึ้นแล้วนะครับ ก่อนหน้านี้เธอน้ำหนักลดฮวบฮาบเลย ตอนนี้เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่านะ..

       “ตั้งใจเรียน..นะครับ” เสียงเธอสั่นคลอน เธอมองชุดนักเรียนมอซอที่ผมใส่อยู่แล้วน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมา เดาว่าเธอคงอยากให้ผมได้ใส่เสื้อผ้าดีๆบ้างล่ะมั้ง อย่างน้อยก็ชุดนักเรียนในวันที่เปิดเรียนใหม่วันแรกแบบนี้ ที่มันสภาพเป็นอย่างงี้ก็เพราะผมเองแหละมั้ง ผมไม่รู้จริงๆว่าควรซักเสื้อยังไงให้สะอาดให้เท่าที่แม่เคยซักให้

        “เทียนไม่เป็นไรหรอกครับ ชุดนี้ยังใส่ได้อยู่เลย เก็บเงินไว้ซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นดีกว่า” ผมบอกแม่



       “งั้น..เทียนไปเรียนก่อนนะครับ” ผมเอ่ยลา ..และยังคงยิ้มให้แม่อย่างมีความสุข ผมเชื่อว่าถ้าผมยิ้มแม่ก็จะมีความสุขไปด้วย เพราะงั้นผมจึงยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอเวลาที่กลับมาบ้าน

       “เทียน..” เธอเรียกชื่อผม พยายามเอื้อมมือมาทางผมแต่ก็หยุดค้างไว้กลางอากาศ ก่อนจะนำมือกลับไปดังเดิม ..ผมรู้ดีว่าแม่เองก็กลัว..กลัวว่าผมจะติดโรคร้ายจากเธอ เธอจึงพยายามที่จะไม่โดนตัวผมเลยเท่าที่จะเป็นไปได้

       ผมจับมือเธอขึ้นมาแนบไว้กับแก้ม แม่ขัดขืนอยู่เล็กน้อย พยายามดึงมือกลับ แต่เสียใจครับแม่..ตอนนี้เทียนแรงเยอะกว่าแม่แล้วครับ

       “ไม่ต้องห่วงเทียนเลยแม่.. เทียนจะตั้งใจเรียน จะเป็นหมอให้ได้เลย ถึงตอนนั้น..แม่ของเทียนก็จะหายเป็นปกติ เพราะเทียนจะรักษาแม่เอง รออีกนิดนะแม่ อีกไม่นาน...” ผมแนบหน้าถูไถไปกับฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวเบาๆ แต่สำหรับผมแล้วมันสวยงามกว่าฝ่ามือใครๆ

       ความฝันของผมคืออยากเป็นหมอ มันจะไม่ใช่แค่ความฝันด้วย ผมจะเป็นให้ได้ มันต้องเป็นความจริง แม่ของผมต้องหายจากโรคนี้เพราะผมจะรักษาเธอเอง

       “..แม่รัก..เทียนนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาเม็ดนึงไหลลงข้างแก้มของเธอ ก็เหมือนกับผมแหละ..ตอนนี้ผมเองก็ร้องไห้..

       “เทียนก็รักแม่นะ..” ผมยกมือขึ้นมาซับน้ำตาบนแก้มของแม่ “แม่รอเทียนก่อนได้มั้ย...”

       “…อื้อ” เธอพยักหน้า



       แม่อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ..

       แม่รอเทียนก่อน..

       แม่อยู่กับเทียนก่อนนะ..





       ผมเดินออกมาจากบ้านก่อนจะไปเคาะประตูบ้านข้างๆก่อน ระหว่างที่ผมไม่อยู่ผมมักจะฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลแม่อยู่เสมอ ซึ่งคนๆนั้นก็คือ ‘น้าหยวน’ น้องสาวคนละพ่อของแม่ผม น้าหยวนเข้าใจเรื่องราวต่างๆในบ้านของผมดี เธอรู้ดีเลยว่าพี่สาวของเธอโดนอะไรมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเธอก็พยายามช่วยเท่าที่จะทำได้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมอีกคนเลยแหละ

       “น้าหยวน เทียนไปโรงเรียนก่อนนะครับ  ฝากดูแม่ด้วย”

       “จ้า เอ้อ..เดี๋ยวก่อนเทียน” เธอตอบรับก่อนจะเดินออกมาเปิดประตู

       “ครับ?”

       “อ่ะ เงินนี้น้าให้ ตั้งใจเรียนนะลูกนะ” เธอยิ้มก่อนจะให้ธนบัตรสีแดงใส่มือผม ผมก็รับมันมาแล้วก็ไม่ลืมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณ

       “ขอบคุณมากเลยครับน้าหยวน เทียนไปเรียนแล้วน้า” ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินออกไป

       ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณสามกิโลได้มั้งผมประมาณเอา สำหรับคนอื่นไกลมั้ยผมก็ไม่รู้แต่สำหรับผมผมสบายมากที่จะเดินไป

 

       วันนี้เป็นวันใหม่ของผมเลยล่ะครับ ใหม่แบบว่าใหม่จริงๆ ภาคเรียนใหม่ โรงเรียนใหม่ สังคมใหม่ ชีวิตใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด..ยกเว้นชุดนักเรียนที่ผมใส่ อักษรย่อโรงเรียนก็ถูกปักทับกับแผ่นผ้าที่ผมเอามาเย็บปิดอักษรย่อโรงเรียนประถม รอหลังจากวันหมอนัดแม่ก่อนละกันค่อยซื้อใหม่



       ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะเจออะไรบ้าง จะมีเพื่อนจากโรงเรียนตอนประถมที่ชอบล้อผมมาเรียนด้วยหรือเปล่า

       แต่ถึงมีก็ช่างเถอะ…ผมไม่สนใจอยู่แล้ว



       ผมเดินเข้าโรงเรียนไปอย่างไม่รู้ทิศทาง จำได้ว่าตอนมาสมัครมันดูไม่ได้ใหญ่มาก แต่เอาเข้าจริงๆก็ใหญ่พอตัวเลยทีเดียว ใหญ่จนผมไม่รู้จะเดินไปทางไหนแล้วครับ ช่วยด้วย



       “เฮ้ย มึงอะ” ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกใครก็ไม่รู้ มันดังจนเข้าหูผมเลยแต่ว่าเขาคงไม่ได้เรียกผมหรอกมั้ง…ไม่มีใครอยากเรียกผมหรอก..

       “หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง” เสียงยังคงดังตามหลังผมเรื่อยๆ หรือบางทีผมควรจะเร่งฝีเท้า.. เร่งดีกว่า

       “เอ้า รอกูก่อน” เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นดังรัวๆ สรุปคือคนๆนี้เขากำลังตามผมอยู่ใช่มั้ย

       ทันใดนั้นเองฝ่ามือของเขาก็แตะลงบนไหล่ผมทำเอาผมหยุดกึกลงในทันที

       “เฮ้อ เหนื่อยเลย..” ผมหันกลับไปหาเขา ..เด็กคนหนึ่งที่ส่วนสูงแตกต่างจากผมเล็กน้อยถึงปานกลาง ..ที่แตกต่างคือผมเตี้ยกว่าเขาครับ จำไม่ผิดโรงเรียนให้ตัดทรงนักเรียนแน่ๆแต่คนๆนี้กลับไว้รองทรงต่ำอย่างไม่แคร์สี่แคร์แปดอะไร เขาอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนๆกันกับผมบนคอเสื้อปักเดือนหนึ่งดวง ..แสดงว่าอยู่ม.1เหมือนๆกันกับผมสินะ

       “มีอะไรรึเปล่า..” ผมถามเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่มีคนมาทักผมก่อนโดยที่ไม่ได้ล้อผมแบบนี้ แต่คนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกที่ล้อผมเท่าไหร่ เขาเป็นใครถึงมากูมึงกับผมทั้งๆที่เราไม่เคยพบเคยเจอกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก เขามาคุยกับผมได้ไม่นานหรอกครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขารู้ว่าผมเป็นใคร..เขาก็คงจะหายไปเอง

       “พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..” คนตรงหน้าหอบเหนื่อย พอเขาเงยหน้ามองผมขึ้นมาแบบนี้อะไรหลายๆอย่างก็ชัดเจนขึ้น ใบหน้าของเขาสะอาดเนียนเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งมีสัน คิ้วเข้ม ริมฝีปากชมพูระเรื่ออย่างธรรมชาติ

       “…” ผมไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป มัวแต่จ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้น ..นานมากๆเลยที่ไม่ได้มีคนมาคุยกับใกล้ๆแบบนี้

       “ได้มั้ย..?” เขาส่งเสียงอ่อนหวานละมุนละไม ดึงให้ผมหลุดจากภวังค์

       “เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน”

       ”อ่าว…”

       ผมยิ้มแหยๆให้เขาไป ส่วนเขาพอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ขำออกมาลูกใหญ่เลย

       “ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย” เขายังคงหัวเราะร่วนจนผมหลุดขำตาม แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังเดินมาด้วยกันเรื่อยๆจนถึงสนามฟุตบอลหลังที่ถัดไปก็เป็นรั้วโรงเรียนซะแล้ว ..คือก็เรื่อยๆจริงๆอะเรื่อยแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง แต่ก็ยังเดินกันต่อ



       {ประชาสัมพันธ์นะคะ สำหรับนักเรียน ม.1 และ ม.4 ที่เข้ามาใหม่นั้น อาคารเรียนของ ม.1 จะเป็นอาคารสามค่ะ และ ม.4 จะเป็นอาคารเจ็ดค่ะ ขอให้นักเรียนที่เข้ามาใหม่ทุกคนไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพบครูที่ปรึกษาให้เรียบร้อย และมาเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมกันที่โดมอเนกประสงค์หนึ่งเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีค่ะ}



       เสียงตามสายดังจากลำโพงที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆทำให้เด็กโง่สองคนเดินกลับมาทางเดิมที่พึ่งจะเดินผ่านไป ไม่รู้ว่าเดินกันเพลินหรือว่าโง่กันจริงๆ คืออาคารสามเนี่ยพึ่งจะเดินผ่านมาเลย เด็ก ม.1 เต็มเลยแถวนั้น แต่ก็ไม่หยุดเดิน

       “มึงอยู่ห้องไร” คนข้างๆถามผม

       “..อยู่ห้องสอง” ผมตอบ ใจนึงผมอยากจะถามกลับเหมือนกันนะ แต่อีกใจนึงผมก็ไม่กล้าถาม กลัวเขาจะไม่ตอบผมแล้วก็ล้อผมเล่นเหมือนเพื่อนสมัยประถม ไม่รู้เหมือนกัน..แต่เหมือนกับว่า ถ้อยคำพวกนั้น ท่าทางพวกนั้นที่พวกเขาเคยทำกับผมมันฝังลึกลงในใจทำให้ผมกลัวที่จะปฏิสัมพันธ์กับใคร

       “เฮ้ย เหมือนกันเลย กูก็อยู่ห้องสอง” ทว่าเขากลับบอกผมเอง โดยที่ผมไม่ต้องถามอะไรเขาเลย

       “ไปห้องกัน” เขาชวน ก่อนจะเดินนำผมไป ..ผมควรจะวิ่งตามเขาไปมั้ย ผมมีสิทธิ์ที่จะวิ่งตามเขาไปใช่มั้ย.. หรือผมควรจะอยู่ตรงนี้ รอให้ไม่มีใครใส่ใจกับผมก่อนแล้วค่อยเดินไป

       “เอ้า เร็วๆ อยากเจอคนอื่นๆจะตายอยู่แล้ว” แต่เขากลับเดินกลับมา ..ก่อนจะจับมือผมแล้วพาวิ่งไป

       เขาดูร่าเริง ดูเป็นมิตร นิสัยดี แถมหน้าตายังดีอีก

       ผม…รู้จักคนแบบนี้ได้จริงๆหรอ





       เวลาผันผ่านไปตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็นเมื่อเราไม่ได้รู้สึกทุกข์…แต่ก็ไม่ได้มีความสุข..



       นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น…คนก่อนหน้านี้เขาได้พบได้เจอกับเพื่อนคนอื่นๆแล้ว ใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็เป็นที่รู้จัก ใครหลายคนไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงต่างก็เข้าหาเขาจนโต๊ะตัวที่เขานั่งมีแต่คนรุมล้อม ผมที่นั่งโต๊ะข้างๆเขาก็ทำได้แค่เป็นตัวประกอบฉากต่อไป

       เขาเหมือนเป็นดาวเนปจูน ในขณะที่ผมเป็นดาวพลูโต แล้วคนอื่นๆในห้องเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย  ..ครั้งนึงเราต่างอยู่ในระบบสุริยะเดียวกัน ชั่วระยะนึงของการโคจรของพวกเราเคยมีระยะที่ใกล้กันจนแทบจะซ้อนทับกัน แต่ไม่นานหลังจากนั้นดาวเนปจูนและพลูโตก็จะโคจรออกห่างจากกัน ห่างจนไม่สามารถมองเห็นกันได้อีก

       นักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องเริ่มสังเกตแล้วว่าดาวพลูโตมีวงโคจรที่ซ้อนทับกับดาวเนปจูน ดังนั้น..พวกเขาก็เลยขจัดดาวพลูโตออกไปเป็นเพียงดาวเคราะห์แคระ



       “นาย เราขอแลกที่ได้ปะ เราอยากนั่งกับไอ้เปลว” ใช่ครับคุณดาวเนปจูนคือ ‘เปลว’ คนที่ทำให้ผมเกือบเสียสมดุล…เกือบลืมไปว่าผม..ก็คือผม ที่ใครหลายคนรังเกียจ

       “ได้เลย” ผมยิ้มแหยๆให้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าลุกมาจากที่ตรงนั้น

       “มึงจะลุกไปไหน” หากแต่เปลวหยุดผมไว้ก่อนขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป เขาเลิกคุยกับคนรอบกายแล้วหันมาสนใจผม 

       ..อย่ามองเราแบบนั้นเลย คุณยังไม่รู้จักเราจริงๆ ถ้าคุณรู้..คุณอาจจะรังเกียจเราก็ได้นะ เพราะงั้น..อย่ามองเหมือนใส่ใจเราแบบนั้นเลย..  ผมคิดอยู่ในใจ…หวังว่ามันจะส่งไปถึงเปลวนะ

        “กูขอแลกที่กับมันเองแหละ เห็นมันนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตั้งนาน”

        “เฮ้ยอะไร อันนี้ที่ของมันเว้ย อย่ามาแย่งดิ ที่เพื่อนกู”

        …หัวใจของผมเต้นตุ้มต่อมไม่เป็นจังหวะ ..เพื่อนหรอ.. ผม..เป็นเพื่อนเปลวแล้ว..จริงๆหรอ

        “โห่ กูไปนั่งตรงนั้นก็ได้วะ”

        “เออนั่งดิ ตรงนี้ก็ว่าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนเคย “ส่วนมึงอะ..นั่งที่เดิมเลย”

        “…”

        “ชักช้าว่ะ ต้องให้กูปัดเก้าอี้ให้ก่อนมั้ย” ผมกลับไปนั่งที่ข้างๆเขาดังเดิมอย่างไม่อาจขัดคำสั่งเขาได้เลยแม้แต่น้อย เพื่อนหลายคนมองมาที่เราสองคนด้วยสีหน้างงๆ บางคนก็เริ่มที่จะเข้าหาผมบ้าง มีหลายคนที่เข้ามาถามชื่อผม ส่วนผมก็ใช้เวลานานเลยกว่าจะประมวลผมตอบเขาไป ..ผมไม่เคยเจอแบบนี้เลย

        ..ไม่เคยถูกสนใจใยดีมาก่อนเลย





        “ป่ะ กลับบ้านกัน” เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเขาคนนั้นก็ชวนผมขึ้นมา แบบนี้เรียกว่าชวนรึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะแค่บอกผมเฉยๆก็ได้ว่าเขาจะกลับแล้ว

        “มึงกลับยังไง” เขาถาม ผมอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะตอบไปตามตรง

        “เดินกลับ..”

        “บ้านอยู่แถวนี้หรอ”

        “ประมาณนั้น”

        “วันนี้พ่อกูมารับ ไปด้วยกันเปล่า เดี๋ยวไปส่ง” เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ.. คนๆนี้เป็นใครกัน ทำไมเพียงแค่เขาพูดแค่นี้หัวใจผมต้องเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ด้วย

         “ไม่เป็นไรหรอก เรากลับเองได้ มันไม่ได้ไกลมาก” แค่ประมาณสามกิโล

        “ตามใจ” ผมยิ้มให้เขาก่อนจะเก็บกระเป๋าแล้วเดินตามหลังเขาออกไป

        เราเดินไปด้วยกันแบบนั้นจนถึงหน้าโรงเรียน ก็มีพูดคุยกันบ้างสัพเพเหระ แต่ส่วนใหญ่ผมจะไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไปมากนัก ..ผมไม่ชินเลยทุกอย่างมันแปลกใหม่ไปซะหมด..

        “งั้นเรา..ไปก่อนนะ” ผมบอกเป็นการอำลา เขาเองก็ยักคิ้วประมาณว่าเออไปเถอะอะไรประมาณนั้นก่อนจะโบกมือบ๊ายบายผมแล้วนั่งตรงป้ายรถเมล์ต่อ



        สองเท้าผมก้าวไปเรื่อยๆตามฟุตบาท วันนี้มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมายเลย แต่หลายๆอย่างนั้นผมกลับไม่เคยคุ้นชินกับมันเลยซักอย่าง ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงตอนอยู่กับเพื่อน ไม่รู้ว่าควรพูดยังไง ถามอะไรได้บ้าง หรือควรตอบคำถามไปแบบไหน ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนถามผมจึงใช้เวลานิดหน่อยในการคิดคำตอบ ผมกลัวว่า..ถ้าผมตอบอะไรไปไม่ดีพอ คนอื่นเขาจะเสียความรู้สึก พลอยผิดหวังในตัวผมไปด้วย หรือหนักๆเลยก็คือ..เกลียดผมเหมือนเพื่อนที่โรงเรียนเก่า

        …แล้ววันนี้ผมเผลอทำอะไรไม่ดีไปรึเปล่านะ?

        ผมนึกย้อนถามตัวเอง พยายามไล่เหตุการณ์ตั้งแต่เดินเข้าไปในโรงเรียน ผมกลัวว่าผมจะเผลอทำอะไรไม่ดีลงไป อย่างขโมยของอะไรแบบนี้ เพราะผมปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพอผมขโมยอะไรบ่อยๆเข้ามันก็ติดเป็นนิสัยจนผมอาจจะเผลอทำมันไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้



         แต่คิดๆไปแล้วก็คงไม่มีหรอกวันนี้ผมวุ่นวายมากจริงๆกับการที่ต้องใช้สมองเพื่อคิดคำตอบที่เพื่อนคนอื่นถาม แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้วล่ะครับ

         แต่ถามว่ามันดีมั้ย…มันดีมากๆเลยแหละวันนี้ ผมยิ้ม ผมหัวเราะ ผม..มีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…





        ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาทีผมก็เดินมาถึงทางเข้า ผมเดินเข้าตรงช่องใต้สะพานข้ามคลอง ก่อนจะเดินลัดเลาะต่อไปตามทางเดินที่เป็นสะพานปูนขนาบสองข้างคลองยาวไปสุดลูกหูลูกตา ใช้เวลาอีกไม่กี่นาทีผมก็มาถึงจุดหมาย..



        ทว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไป.. บ้านของผมมีคนมามุงดูเต็มไปหมด

        เกิดอะไรขึ้น…



มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 22-11-2018 23:16:35
        “แม่..” สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ในหัวคือผู้มีพระคุณของผม …แม่.. เกิดอะไรขึ้นกับแม่..

        ผมวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปในบ้านทันที

        “แม่!!!!!” ผมตะโกนลั่นเมื่อเข้ามาในห้องนอนที่แม่นอนอยู่ หัวใจเต้นถี่รัว.. ใจผมสั่นราวกับว่าลึกๆแล้วรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

        “เทียน..” น้าหยวนที่น้ำตาอาบสองแก้มหันมาหาผม

        ..ภาพที่ผมเห็นคือน้าหยวนที่นั่งแหมะกับพื้นกอบกุมมือของแม่ไว้ด้วยตัวที่สั่นเทา น้ำตาไหลเป็นสายจนหน้าแดงเถือกราวกับร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงและยาวนาน ในขณะที่แม่ของผมกำลังนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆต่อน้าหยวนเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาของแม่ปิดสนิท สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆอีก..



        อา…แม่ก็แค่หลับ แม่แค่หลับเท่านั้นเทียนไข เดี๋ยวแม่ก็ตื่น.. ผมบอกตัวเอง



        “น้าหยวนอย่ากวนแม่สิครับ..แม่กำลังหลับอยู่นะ..” พูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่จริงๆก็รู้อยู่แก่ใจ พยายามคงน้ำเสียงให้ปกติที่สุดแต่สุดท้ายก็ยังสั่นเครือ จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงโดยทีผมไม่ได้ตั้งตัว จู่ๆก็สะอื้น จู่ๆ..แขนขาก็ไม่มีเรี่ยวแรง..

        “แม่จ๋า.. เทียนกลับมาแล้ว แม่..ตื่นได้แล้วนะครับ” ผมคลานเข้าไปหาร่างของแม่ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมาแนบแก้ม พยายามสะกิดเธอ..เขย่าเธอเบาๆ ปลุกให้เธอตื่น ..แต่ก็ไม่ได้ผล

        “แม่ครับ.. แม่ตื่นได้แล้ว…” ผมขยับเข้าไปกอดเธอ น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด มันไม่จริงใช่มั้ย…ไม่จริงหรอก แม่อาจจะแค่กำลังฝันดีอยู่ ก็เลยยังไม่ตื่น…

        “เทียน.. แม่เทียนไปสบายแล้วนะ..” น้าหยวนบอกผม อะไรกันน้าหยวน แม่ไปไหนล่ะ แม่กำลังหลับอยู่ต่างหาก..แค่หลับเฉยๆ..

        “เทียนออกไปก่อน.. เทียนกอดแม่แบบนี้ไม่ได้นะ.. โดนน้ำหนองแล้วจะแย่เอา” น้าหยวนพยายามดึงผมให้ออกมาจากแม่

        “ไม่เอา.. น้าหยวนโกหก.. เมื่อเช้าแม่ยังคุยกับเทียนดีๆอยู่เลย..” และผมยังคงดื้อดึง จนเธอต้องให้แฟนของเธอมาเอาผมออกไป

        “ปล่อย.. ปล่อยเทียน ฮือ..ปล่อย ไม่เอา จะไปหาแม่..ปล่อย!” ผมทำได้แค่ดิ้นเร่าๆอยู่อย่างงั้นไม่หยุด..

        ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าอยากเข้าไปหาแม่ อยากไปกอดแม่ ไม่อยากให้แม่ไปไหน



         ‘ตั้งใจเรียนนะครับคนเก่ง’



         เทียนกำลังตั้งใจเรียนเหมือนที่แม่บอกอยู่เลยแท้ๆ แม่ไม่อยากเห็นความสำเร็จของเทียนแล้วหรอ…





         ‘ไม่ต้องห่วงเทียนเลยแม่.. เทียนจะตั้งใจเรียน จะเป็นหมอให้ได้เลย ถึงตอนนั้น..แม่ของเทียนก็จะหายเป็นปกติ เพราะเทียนจะรักษาแม่เอง รออีกนิดนะแม่ อีกไม่นาน…’

       ‘...แม่รัก..เทียนนะ’ 

       ‘เทียนก็รักแม่นะ..’  ‘แม่รอเทียนก่อนได้มั้ย...’

       ‘...อื้อ’



        ไหนแม่บอกว่าแม่จะรอเทียนไง..

         แล้วทำไม..แม่ถึงทิ้งเทียนไปแบบนี้..







        “อยู่ตรงนี้ก่อนนะเทียน อาไปย้ายศพแม่เทียนก่อน”

        “อย่าเรียกแม่ผมแบบนั้น!” ผมมองแฟนของน้าหยวนด้วยสายตาเอาเรื่อง แม่ผมยังไม่ตาย.. ยังไม่ตายซักหน่อย..

       

         แต่แฟนน้าหยวนก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของผมมากนัก เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว ..ปล่อยให้ผมอยู่ข้างนอกบ้านคนเดียว

         ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าครั้งนึงผมเคยคิดว่ามันก็สวยดีเหมือนกันนะ มีทั้งสีส้ม สีเหลือง บางทีก็มีสีม่วง สีชมพู สีฟ้าเข้ามาเพิ่มด้วย แต่งแต้มเรียงไล่สีกันบนท้องฟ้า มีนกกระจิบบินผ่านฟากฟ้าสวนกับแสงแดดให้เห็นเป็นเงานกสีดำ ทุกอย่างพอรวมกันแล้วช่างลงตัวกันได้อย่างกลมกลืนราวกับภาพวาด

        …แต่ทำไมวันนี้..ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกัน ผืนฟ้าที่ผมเคยชมว่ามันสวย ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผมขนาดนี้.. ทำไมต้องเอาแม่ผมไปด้วย…ผมจะอยู่ยังไง

        ทำไมถึงไม่เอาผมไปด้วย…



        น้ำตาเม็ดใสยังคงหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาโดยที่ผมไม่สามารถห้ามมันได้ ผมเหม่อลอยมองไปรอบๆโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามองอะไร จมอยู่กับสภาวะว่างเปล่าที่ไม่รู้สึกนึกคิดอะไร แต่แค่..น้ำตายังคงไหล



        อา..สงสัยผมต้องยอมรับความจริงจริงๆแล้วล่ะ..

        ..คลองตรงหน้าผมจำได้ว่ามันก็ลึกพอสมควร ความลึกของมันน่าจะมากกว่าความสูงของผมอยู่หลายเท่า ดังนั้น..มันก็คงเป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะทำให้ผมได้ไปเจอแม่



       ผมมุดตัวลอดช่องรั้วไปก่อนจะค่อยๆโรยตัวลงบนผืนน้ำสีดำทะมึน น้ำเริ่มหลั่งไหลเข้ามาแทนที่อณูอากาศบนช่องของเสื้อผ้า ทำให้เสื้อและกางเกงเบื้องล่างเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ มันค่อนข้างหนาวเย็นเลยทีเดียว..

       แต่ไม่เป็นไรหรอก..แค่แป็ปเดียวเท่านั้น

      เทียนก็จะได้ไปหาแม่แล้ว..



       ผมปล่อยมือจากรั้วไม้ ทำให้ตัวเองตกลงสู่ผืนน้ำสีดำทะมึนนั้นทันที เสียงน้ำค่อนข้างดังเลย กลัวเหมือนกันว่าจะมีใครมาหยุดผมไว้ ..แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าผมรีบๆไปซะ ทุกอย่างก็จะดี..

       ผมเดินหน้าไปตรงกลางคลองทีละก้าวๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลไม่หยุดซักที น้ำสีดำเริ่มเพิ่มระดับขึ้นมาถึงอกผมแล้ว.. อีกไม่นานแล้ว



       “เฮ้ย ไอ้เทียน!” ทว่าเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ต้นเสียงคงจะมาจากอีกฝั่งของคลอง ผมคุ้นเสียงนี้ดี จำได้ดีเลยว่าเขาเป็นใคร

       “เทียนหยุด!” น้ำขึ้นมาถึงระดับคอแล้ว อีกนิดเดียว..



       ตู้ม!

       ทว่าเขาคนนั้นกลับกระโดดลงน้ำแล้วว่ายตรงมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมตกใจจนได้สติขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปหน่อย ..พื้นโคลนด้านล่างที่ผมเหยียบอยู่นั้นค่อนข้างลื่น เมื่อผมตกใจ..สิ่งที่เกิดขึ้นคือ.. เท้าผมไถลลื่นไปกับโคลนนั้นจนตัวหงายนอนอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมตีน้ำรัวๆไปมั่วๆตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด ซ้ำร้ายเท้าขวาจู่ๆก็รู้สึกขยับไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

       เขาใกล้จะถึงตัวผมแล้ว.. อีกไม่กี่เมตรเท่านั้น ทว่าผม.. กำลังจมสู่ใต้น้ำ..



       ผมพยายามกลั้นหายใจ ปิดหู ปิดตา เม้มปากแน่น พยายามไม่ให้น้ำเข้าไปทางใดได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด น้ำบางส่วนเข้าสู่ร่างกายผมไปแล้ว รสชาติของมันเหม็นสาบแย่เสียยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ผมเคยพบเคยเจอ ความอึดอัดจากมวลน้ำที่เบียดเสียดชิดตัวผมทำเอาผมยากที่จะปกป้องร่างกายตัวเอง แต่ถึงอย่างงั้นผมก็พยายามที่จะปกป้องตัวเองให้ได้มากที่สุด

       ผมอึดอัด.. อึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย อยากหายใจ..แต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่ปิดหูปิดตากลั้นหายใจเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ จนผมเริ่มขาดอากาศหายใจ ผมดิ้น..ดิ้น แล้วก็ดิ้น ดิ้นอย่างทุรนทุราย อวัยวะบางส่วนเริ่มชาดิก

      ทรมาน.. ทรมานเหลือเกิน..

      นี่หรือเปล่า..รสชาติของความตาย..

      สติผมเริ่มเลือนลาง ..ก่อนจะดับวูบไป









      ..ใครบางคนกำลังตบหน้าผมอยู่เบาๆ ราวกับกำลังพยายามปลุกผมให้ตื่น เขากดลงตรงช่วงอกของผมอย่างเป็นจังหวะ สลับกับประกบริมฝีปากนุ่มๆของเขากับปากผมแล้วเป่าลมร้อนๆเข้ามา เขาทำมันอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกถึงมวลน้ำบางอย่างที่กำลังดันขึ้นมากลางอกขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะมาถึงช่องปาก

       ทันทีที่ใครคนนั้นกดลงตรงกลางอกของผมอีกครั้งมวลน้ำคลองสีดำทะมึนก็พุ่งพรวดออกจากปากผมทันที

       “เทียน!” เขาเรียกชื่อผม ผมลืมตาขึ้นมาแต่ก็ยังมองเห็นอะไรไม่ชัด เห็นเพียงใบหน้าของเขาลางๆ เขาดูร้อนรนไม่น้อยเลยทีเดียว

       “…” ผมสำลักน้ำออกมาหลายระลอก ก่อนจะอาเจียนออกมาอย่างหนักเนื่องจากกลิ่นของน้ำที่เหม็นเกินจะบรรยาย ..ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าน้ำพวกนี้เข้าไปในตัวผมแล้วจริงๆ..

       “เทียน..ทำไมมึงทำแบบนี้..” คนข้างๆผมน้ำเสียงสั่นเครือ ผมหันไปมองเขาอีกครั้งนึง พยายามเพ่งสายตาให้ชัดๆ จนภาพที่เห็นนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น

       ..เปลว..

       “…” ผมทำอะไรไม่ถูก ว่าจะไม่ทำอะไรไม่ดีให้เพื่อนแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายแล้ว..ผมก็ทำ ‘เพื่อน’ ของผมร้องไห้..

       เปลว..กำลังร้องไห้

       “ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้..” เขายังคงสะอื้นไม่หยุด จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจ …ผมเข้าไปกอดเขาแน่น

       …ขอโทษเปลว..เราขอโทษ



       เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ผมกับเขาเราก็ยังกอดกันอยู่ตรงนั้น เขาร้องไห้น้ำตาไหลตัวสั่นสะอื้นอย่างหนักซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับผมเลย…แม้จะไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ผมกับเขาก็เข้าใจกันดีราวกับได้ส่งความรู้สึกของกันและกันผ่านการกอด



       เป็นแบบนั้นต่อไปอีกชั่วครู่ผมและเขาก็คลายอ้อมกอดออก ตัวเราเหม็นมากๆ ชุดนักเรียนสีขาวก็กลายเป็นสีเทาหม่นหมองเหมือนกันทั้งคู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา ..เราสบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่



       …ขอบคุณมากจริงๆ







       “แล้ว..เปลวมาที่นี่ได้ยังไง” ผมและเขาอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันแล้ว ผมให้เขายืมชุดผมไปใส่ก่อน ดูเขาตกใจกับสภาพบ้านของผมไม่น้อยเลยทีเดียว ..ก็แน่แหละเนอะ ตลอดชีวิตของเขาคงไม่เคยเจอสภาพบ้านแบบนี้

       “แอบตามมึงมา”

       “ฮะ?” ผมถึงกับตาโต

       “ล้อเล่น..จริงๆก็ไม่เชิง บ้านกูต้องผ่านสะพานตรงที่มึงเข้ามา เห็นมึงบอกว่าบ้านมึงไม่ได้ไกลแต่กูนั่งรถมาจนถึงนี่แล้วยังเห็นหลังมึงไวๆอยู่เลย ไม่ไกลกับผีมึงอะดิ” โดนพ่อว่าเลยครับ

        “สำหรับเรามันไม่ไกลไง” ผมตอบไปอย่างจริงใจ

        “เฮ้ย ไรวะ ยิ้มหน่อยดิ” เขาจับแก้มผมยกขึ้นให้ปากผมฉีกยิ้ม “เนี่ย ปกติมึงจะยิ้มแบบนี้ ยิ้มหน่อยดิวะ”

        “ปล่อยเลย” ผมหลุดขำกับท่าทางของเขา “เราไม่ได้ยิ้มแบบนี้”

        “…”

         “เรายิ้มแบบนี้ตังหาก” ผมทำคืนบ้าง ฉีกยิ้มให้ถึงหูไปเลยไอ้คุณเปลว

         “โอ๊ย กูเจ็บ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขากลับไม่ได้ขัดขืนอะไร ยอมให้ผมดึงแก้มซะอีก ผมก็จัดให้สิครับ รออะไร เอาให้ย้วยกันไปข้าง

         “เป็นไงสบายใจขึ้นรึยัง” เขาจับมือผมที่กำลังดึงแก้มเขาอยู่พร้อมกับถามออกมา

         “…”

          “มึงคงจะผ่านอะไรมาเยอะมาก” เขาจ้องมาที่ผมอย่างกับอ่านเรื่องราวในชีวิตผมออกผ่านดวงตา

          “เปลวเห็น..หมดแล้วใช่มั้ย” ผมถามเขา …เขารู้แล้วใช่มั้ยว่าผมใช้ชีวิตยังไง โตมายังไง เพราะในบ้านนี้ร่องรอยบนฝาผนังต่างๆยังมีร่องรอยการต่อสู้อยู่เต็มไปหมด ร่องรอยที่..พ่อทำร้ายแม่..

          ไหนจะถุงยาของแม่ที่ผมรับมาจากคนินิกเฉพาะทางของโรคนี้ซึ่งใครๆก็รู้กันดี แล้วไหนจะสภาพ..นางฟ้าของผมเมื่อไม่นานมานี้อีก..

          “เห็นหมดแล้ว”

          “…”

          “เห็นแล้วยังไงวะงง” อ่าว..

          “ก็..นี่แหละเรา” ผมบอกเขา  …นี่แหละคนที่คุณช่วยชีวิตเขา คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าชีวิตเขาเป็นยังไง โตมายังไงบ้าง คุณ..ผิดหวังใช่มั้ย

          “กูไม่ผิดหวังหรอก”

          “…”

          “ใช่มึงก็คือมึง แต่อย่างนึงที่มึงคือมึงคือ…มึงเป็นเพื่อนกู” เขาบอกผมด้วยสีหน้าจริงจัง ..หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว

          “เรา..เป็นเพื่อนเปลวแล้วหรอ..” ผมไม่เคยมีเพื่อนจริงๆซักคนเลยในชีวิต..

          “เอ้า รอไรอะ” เขาตอบ…กวนตีน? เรียกว่ากวนตีนรึเปล่านะ ผมไม่รู้เหมือนกันเห็นคนอื่นๆที่โรงเรียนพูดกัน

          “เรา..ไม่เคยมีเพื่อนเลย..” ผมก้มหน้างุด อยู่ๆก็รู้สึกน้ำตาจะไหล ขืนร้องไห้ต่อหน้าเปลวงี้อายแย่

          “ไม่เคยมีมึงก็มีซะ” เขาพูดพร้อมกับ..ลูบหัวผม “แล้ว..ต่อจากนี้จะไปอยู่กับใครล่ะ”

          “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะอยู่ที่นี่แหละมั้ง เราผูกพันธ์กับที่นี่ ..ถึงจะเห็นสภาพงี้น้า แต่ก่อนเนี่ยมีแต่ความอบอุ่นเลย เรามีความสุขมากๆเลยตอนนั้น” ผมเล่าไปพร้อมกับยิ้มไป ..พึ่งเคยเล่าเรื่องในชีวิตตัวเองให้คนอื่นฟังเป็นครั้งแรก รู้สึกสบายใจดีเหมือนกันเนอะ คลายความอึดอัดไปได้เยอะเลย

          “…”

          “แต่แล้ววันนึง..ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปหมดเลย จากที่แม่กับเราเคยมีความสุข..ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แม่กับเราทรมานเจ็บปวดกันมาตั้งแต่ตอนนั้น..”

          “..พ่อมึง..?”

         “พ่อโดนโทษประหารไปตอนเราอยู่ป.3 ก่อนพ่อจะไปพ่อทิ้งโชคร้ายให้แม่เต็มๆเลย..” น้ำตาผมไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกอีกรอบ “เราก็..ดูแลแม่มาตั้งแต่ตอนนั้น”

         “…” คนตรงหน้าผมเงียบไป

         “ก็..เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆแหละ จนมาถึงวันนี้..ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเลย”

         “…”

         “ถึงจะไม่อยากยอมรับความจริง…แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้” ผมเงยหน้ายิ้มให้เขาประมาณว่า ผมโอเค ผมไม่เป็นไร เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าอึดอัดใจไปด้วยหลังจากที่ฟังเรื่องราวของผม แต่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มโง่ๆนั้นของผมมันจะพอกลบเกลื่อนน้ำตาที่ไหลอาบแก้มได้รึเปล่าเนี่ยสิ

         “จริงๆ ..เรามีความฝันด้วยนะ เราอยากรักษาแม่ให้หาย อยากดูแลแม่ได้ดีกว่านี้ เพราะงั้น..เราเลยตั้งใจเรียนมากๆ เราอยากเป็นหมอ..” ผมเล่าต่อ สิ่งที่อยู่ในหัวที่ผมไม่เคยบอกใครจู่ๆมันก็พรั่งพรูออกมาราวกับมีใครเปิดก๊อก “เราเคยบ้าอ่านหนังสือด้วย เราอ่านแบบทั้งวันทั้งคืนอะ จนแม่ถามว่าอ่านอะไรขนาดนั้น เราก็เลยบอกไปว่า..เทียนจะไปสอบหมอครับแม่ ทั้งๆที่ตอนนั้นอยู่แค่ป.4”

          “…”

          “แต่พอมาถึงวันนี้แล้ว..เราไม่รู้จะพยายามไปเพื่อใครแล้วล่ะ ความฝันของเราเป็นจริงไม่ได้แล้ว”

          “เทียน” จู่ๆคนตรงหน้าก็เรียกผม หลังจากที่นั่งฟังผมบ่นมาได้ซักพัก

          “…”

          “มึงไม่จำเป็นต้องเลิกฝันเลยเว้ย มีคนโชคร้ายอยู่อีกเป็นหมื่นๆคนที่รอให้มึงไปรักษา ..เพราะงั้นอย่าทิ้งฝันตัวเองดิวะ เท่ดีออกที่ความฝันมึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

          “…”

          “มึงเก่งมากเลยนะที่อดทนมาได้ขนาดนี้..”

          “ไม่หรอก..”

          “กูก็..ไม่รู้หรอกนะเว้ย เพราะกูก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบมึง แต่ว่าต่อจากนี้..มึงจำไว้เลยว่า..”

          “….”

          ”เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู”

       

         



       



     



       



       





 











       











หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 22-11-2018 23:52:24
อ่านไปอึดอัดไป อยาจะร้องไห้ให้กลับชีวิตน้้อง  :hao5:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-11-2018 23:53:36
 :pig4: ติดตาม+1
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 23-11-2018 07:19:45
สงสาร​ร้องไห้ไม่หยุดดลย  สงสารน้องเทียนค่ะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-11-2018 05:35:51
น้องเทียนสู้ชีวิตมาก

 :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-11-2018 07:18:08
น้องเทียนมีเพื่อนแล้ว ต่อไปคงทำฝันให้เป็นจริงเพื่อเพื่อนคนนี้แล้ว :hao5: :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 25-11-2018 20:45:06
02

เปลวจุดเทียน







     ‘เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู’



       เสียงทุ้มนุ่มของเปลวดังก้องอยู่ในหัวผม หัวใจผมเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดมาจากอก เคยได้ยินคำพูดประมาณนี้ในละครทีวี แต่ในละคร..เขาจะพูดเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นสำคัญกับเขา ..พูดเพราะว่าอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าหรือหันหลังกลับมา..เขาก็จะอยู่ที่เดิม

       ..นี่ผม..สำคัญกับเปลวเหมือนในละครหรือเปล่า..



       “ขอบคุณเปลวมากๆนะ” ผมบอกเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม นี่ถ้าเปลวไม่เสี่ยงชีวิตไปช่วยผมขึ้นมาจากน้ำป่านนี้ก็คงไม่มีผมอีกต่อไปแล้ว

       ..ตอนแรกผมอยากไปหาแม่จริงๆนะ จู่ๆคนที่ผมรักมากที่สุด ..คนที่เป็นความหวังของผม เป็นกำลังใจ และคอยเข้าใจผมอยู่เสมอ คนที่เป็นทุกอย่างตลอดชีวิตของผมตั้งแต่วันที่เทียนไขคนนี้ได้ลืมตาดูโลก วันนี้คนๆนั้นเขาถูกท้องฟ้าใจร้ายมาพรากไป ผมก็เลยไม่รู้แล้วว่าทำไมต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อ ..จะใช้ชีวิตต่อไปเพื่อใคร ..พยายามไปเพื่อใครในเมื่อไม่มีใครรอดูความสำเร็จของผมแล้ว

       แต่พอผมได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เปลวเรียกผมให้ได้สติ ..ได้สบตากับดวงตาสีนิลของเขาแล้ว เหตุผลบางอย่างที่ผมได้มองข้ามก็กลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้งในหัวใจ ..เหตุผลที่ผมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ

       เปลวเป็นคนบอกเหตุผลนั้นผ่านทางสายตา

       ’มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องเพื่อใคร..แต่เพื่อความฝัน เพื่อตัวมึงเอง’







       “เออแล้วนี่เปลวไม่กลับบ้านหรอ ค่ำแล้วนะ” ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทะมึนก็เลยรีบถามเขาทันที

       “เดี๋ยวรอพ่อมารับอะ จริงๆก็ไม่อยากกลับบ้านหรอก” เขามองตามผมออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนผมหันกลับมามองหน้าเขาแทน ..เปลวจากด้านข้างนี่ยิ่งทำให้เห็นเลยว่าเขาจมูกสวยมากจริงๆ องค์ประกอบแม้เพียงครึ่งใบหน้าก็ยังดูกลมกลืนลงตัวไปทุกสัดส่วน ..แต่ว่าทำไมถึงไม่อยากกลับล่ะ

        “ทำไมไม่อยากกลับล่ะ คนที่บ้านไม่ว่าเปลวแย่หรอ.. แม่เราเคยสอนว่าห้ามกลับบ้านหลังจากหกโมง ถ้าหลังจากนั้นจะถือว่าเถลไถล นี่เปลวกำลังเถลไถลแล้วนะเนี่ย”

        “หรอวะ แม่กูไม่เห็นสอนอะไรเลย”

        “…”

        “อยู่ไหนก็ไม่รู้” สีหน้าของเปลวดูเศร้าสร้อยทันทีที่พูดถึงแม่

        “เปลวไม่ได้อยู่กับแม่หรอ”

        “…” ผมตาฝาดรึเปล่า ..ดวงตาสีนิลของเขากำลังรื้นเอ่อไปด้วยน้ำตา หรือว่าผมเผลอถามอะไรที่ไม่ควรจะถามออกไป

        “ขอโทษที่เราถามแบบนั้นนะ ..ไม่เป็นไร เปลวไม่ต้องตอบแล้ว ถือว่าเราไม่ได้ถามดีกว่า” ผมพยายามปลอบเขา

        “ไม่เป็นไร..” เปลวสูดหายใจเข้าก่อนจะผ่อนลมออกมาเหมือนจะพยายามข่มความเศร้าเอาไว้ในใจไม่แสดงออก “ก็จริง..กูไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ตั้งแต่กูเด็กๆแล้วล่ะ”

        “…”

        “แม่กูทำงานเกี่ยวกับวาดรูป..ที่เรียกว่า จิตรกร..ละมั้ง ไม่แน่ใจ ตอนกูเด็กๆเขาเลยสอนให้กูวาดรูป ..สอนให้วาดคน วาดต้นไม้ วาดบ้านหลังใหญ่ที่มีเขามีพ่อ..มีกู กูชอบวาดชอบเขียน..ก็เพราะเขา”

        “งั้นเปลวต้องวาดรูปสวยแน่ๆเลยเราว่า”

        “..มีอีกหลายอย่างเลยที่กูอยากให้เขาสอนกูวาด แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เขาไปจากกู..ไปจากพ่อ ไปหาครอบครัวใหม่.. กูก็เลย..เลิกวาดรูปตั้งแต่นั้นมา” เปลวยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่แบบนั้น สายตาของเขาเหม่อลอยราวกับกำลังจมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆสมัยที่เขาเป็นเด็ก

        “แต่เปลวเคยชอบไม่ใช่หรอ”

        “ก็ใช่ ..แต่ไม่อยากวาด วาดแล้วคิดถึงผู้หญิงคนนั้น”

        “เปลวเป็นคนบอกให้เราอย่าทิ้งความฝัน...” ใช่ เขาเป็นคนบอกผม เพราะฉะนั้นเขาเองก็ควรที่จะไม่ทิ้งความฝันของเขาด้วยเหมือนกัน  “เปลวฟังเรานะ.. แม่ของเปลวอาจจะผิดที่ทิ้งเปลวไปแบบนี้ แต่เปลวมองดูดีๆสิ แม่ของเปลวไม่ได้ทิ้งเปลวไปแบบไม่ใยดีซักหน่อย แม่ของเปลวทิ้งมรดกให้เปลวไว้ด้วย”

        “…ไม่มีอ่ะ”

        ”มีสิ ‘การวาดรูป’ ที่แม่สอนเปลว นั่นแหละมรดกที่เธอให้เปลว แม่ของเปลวส่งต่อความสามารถ ส่งต่อความฝันให้เปลว”

        “…”

        “เอางี้ดีกว่า.. เราจะไม่ทิ้งความฝัน เราจะเป็นหมอให้ได้ ถ้าเปลวหันกลับมาวาดรูปต่อ”

        “…”

        “โอเคนะ ”

        “เอาเข้าจริงๆมึงนี่ก็พูดมากเหมือนกันนะ” อ่าว.. โดนว่าเฉยเลยเทียนไข ผมคงเผลอพูดมากเกินไปจริงๆแหละครับ คงเพราะมัน..สบายใจเกินไป..เวลาที่ได้พูดคุยกับเปลว

        ..เขาจะไม่โกรธผมใช่มั้ย

        “ขอโทษ..”

        “พ่อกูโทรมาละ สงสัยคงใกล้จะถึงแล้ว” เปลวพูดสวนขึ้นมาทันควัน โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเขาสั่นระรัว เขาหยิบมันขึ้นมามองดูครู่หนึ่งก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม จู่ๆคนตรงหน้าก็หันมองมาที่ผม ซึ่งผมที่กำลังจ้องเขาอยู่แล้วพอเขาหันมาแบบนี้ก็ทำให้ประหม่าใจไม่น้อยเลยทีเดียว ทำไมถึงจ้องผมแบบนั้นล่ะ..หรือว่ามีอะไรติดอยู่บนหน้าผม..

       “..ไม่อยากกลับเลยจริงๆว่ะ”

       “…”

       ”ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว”

       “…” เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ ผมแพ้น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขา.. แพ้ท่าทางของเขา แพ้สายตาอ่อนโยนที่จ้องมาที่ผม แพ้ประโยคที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเมื่อครู่ด้วย มันทำเอาผมหลงไหลไปกับมันอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังจะออกไปแล้ว

        “กูไปก่อนนะ” ผมรีบลุกขึ้นเดินตามเขาไปกะว่าจะไปส่งเขาตรงคอสะพาน ..ทว่าผมกลับไม่อาจทำได้สำเร็จ มวลของเหลวอะไรบางอย่างกลิ่นเหม็นฉุนกำลังมาจุกอยู่ที่อกและยังดึงดันขึ้นมาเรื่อยๆ จู่ๆผมก็รู้สึกปวดท้องแล้วก็เวียนหัว

       มวลของเหลวเพื่อครู่ยังคงดึงดันที่จะออกมาจนยากที่จะทนต่อไป ..ผมทรุดลงตรงนั้นก่อนจะอาเจียนออกมาเต็มพื้นไม้  ระลอกแล้วระลอกเล่า..และยังคงอาเจียนออกมาอย่างหนักหน่วงจนเกิดความรู้สึกเจ็บแสบที่คอ

       “ไอ้เทียน!” เปลวที่กำลังจะเดินออกไปกลับต้องหันมาดูผมอีกครั้ง เขาวิ่งปรู่เข้ามาอย่างรวดเร็วและร้อนรน  ไม่ได้.. ผมจะให้ลำบากเปลวอีกไม่ได้แล้ว

       “เปลว..อย่าเข้ามา” เดี๋ยวก็เปื้อนอ้วกพวกนี้หรอก กลับบ้านไปได้แล้ว..

       ทว่ามวลของเหลวนั้นยังคงดึงดันที่จะออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เปลววิ่งอ้อมไปทางด้านหลังก่อนจะลูบหลังผมอย่างที่แม่ผมมักจะทำเวลาผมอาเจียนออกมาแบบนี้

       “เทียนมึงไหวมั้ย มึงเป็นอะไร..ทำไมมีเลือดด้วย” ฝ่ามือนุ่มกำลังลูบหลังผมอยู่เรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ผมเริ่มหายคลื่นไส้แล้ว แต่กลับมาปวดท้องแทน รู้สึกราวกับว่าข้างในกำลังถูกใครซักคนบีบทำลาย

       ... ทำไมภาพบ้านที่ผมเห็นมันถึงโคลงเคลงก็ไม่รู้ หลายๆอย่างสลัวเบลอ ความมืดมิดรอบข้างค่อยๆกัดกินแสงสว่างทีละนิดๆ

       “เปลว..กลับบ้านดีๆนะ..” ผมพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง…ขอให้กลับบ้านปลอดภัยนะ ผมคงเดินไปส่งไม่ไหวแล้ว..

       ทันใดนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง..







       ‘เวลา..เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่กลับเป็นตัวกำหนดทุกๆอย่าง ..ไม่ว่าจะเป็น กลางวัน..หรือกลางคืน เวลาตื่นหรือเวลานอน เวลาเข้างานหรือเวลาเลิกงาน และอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลก ทุกๆสรรพสิ่งล้วนถูกดำเนินไปด้วย ‘เวลา’ ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่นอกเหนือกาลเวลาได้’









        รวมถึง..ชีวิตของผม..



        “คนไข้ลำใส้ติดเชื้อฉับพลันรีบย้ายไปห้องฉุกเฉิน ด่วน!” ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่ร่างของผมถูกนำมาส่งที่โรงพยาบาล ทั้งหมอและพยาบาลต่างเดินกันขวักไขว่ดูร้อนรนเข้าๆออกๆห้องฉุกเฉินที่ว่าจนประตูกระจกไม่เคยได้ปิดสนิทเลย

        เข็มแหลมคมเจาะลงในเส้นเลือดที่หลังฝ่ามือของผมก่อนจะถูกติดไว้อยู่อย่างนั้นแล้วปล่อยของเหลวอะไรบางอย่างลำเลียงผ่านสายท่อเข้ามาในเส้นเลือดที่หลังฝ่ามือของผม

        มีบุรุษพยายาลแล้วก็พยาบาลหลายคนเลยที่กำลังยืนอยู่รอบๆผม หลายคนสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีราวกับกังวลใจอะไรบางอย่าง คง..กังวลว่าจะช่วยชีวิตผมไม่ทันซะแล้วละมั้ง..



       แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีชายวัยกลางคนในชุดกาวน์ก็เดินเข้ามาทางผม ก่อนจะนำหลอดของเหลวอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วป้อนลงไปที่ปากของผม ของเหลวนั้นไหลไปตามทางเดินอาหารจนเข้าไปสู่ลำใส้

 

       หมอและพยาบาลหลายคนวิ่งวุ่นอยู่กับการรักษาผม ดูเหมือนของเหลวที่ว่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว อาการปวดท้องที่เคยปวดอยู่ก่อนหน้ากลับปวดหนักยิ่งกว่าเดิม สมองสั่งการให้ผมรู้สึกตัวเหมือนจะให้ผมพาตัวเองหลีกหนีไปจากความเจ็บปวดนี้ แต่ผมไม่สามารถทำอย่างที่สมองสั่งได้เลย เรี่ยวแรงผมไม่มีเหลือแม้แต่จะขยับตัว ทำได้แค่กัดฟันทนกับความเจ็บปวดทรมานอยู่อย่างนั้น

       เดี๋ยวก็จะดีขึ้นแล้ว ..อีกนิดเดียว ทนต่ออีกซักหน่อยนะเทียน ..ผมบอกกับตัวเอง

       แต่ก็เหมือนกับผมให้กำลังใจตัวเองลมๆแล้งๆ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปเท่าไหร่ท้องผมก็ยังปวดอยู่เหมือนเดิม ทุกเสี้ยววินาทีผมต้องกัดฟันทน..หลับตา แล้วก็ยอมจำนนอยู่กับความทรมานนั้น  ...จากเสี้ยววินาทีเป็นนาที  จากนาทีเป็นชั่วโมง



       จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ท้องฟ้าภายนอกนั้นไม่มีแสงสว่างอีกต่อไป มันมืดสนิท เงียบสงัดวังเวง ซ้ำอากาศภายในห้องฉุกเฉินนี่ก็หนาวจับใจ  พยาบาลส่วนใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยอยู่แค่คนสองคนที่ยังเฝ้าดูอาการผมอยู่



       ผมอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อน มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่หลังฝ่ามือ และกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน ผมทำได้แค่นอนมองฝ้าเพดานอยู่แบบนั้นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงใดๆหลงเหลืออยู่ให้ขยับเขยื้อนได้เลย อาการปวดท้องยังคงอยู่แม้จะทุเลาลงไปบ้างแล้ว



       ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่เดาว่าก็คงเป็นเพราะเปลวอีกเหมือนเดิมแหละมั้ง ผมคงจะเป็นภาระให้เขาอีกแล้ว..

       “คนไข้นอนพักก่อนนะคะ” พยาบาลสาวสวยเดินมาบอกผมเมื่อเห็นผมลืมตาขึ้นมาแล้ว

       “เอ่อ..พยาบาลครับ คนที่พาผมมาเขาอยู่ไหนแล้วครับ” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป รู้อยู่แล้วแหละว่าเปลวต้องเป็นคนพาผมมาที่นี่แน่ๆ แต่ตอนนี้ผมก็ถึงมือหมอแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะมารอดูอาการผมทั้งๆที่พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า

        “ญาติคนไข้รออยู่ข้างหน้าห้องค่ะ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะ” เธอถามผมต่อ

        “เอ่อ..ก็ ปวดท้องอยู่หน่อยๆครับ แต่ไม่ค่อยมีแรงเลย พูดแล้วรู้สึกเหนื่อย..” ผมตอบไปตามความจริง ตอนนี้เหนื่อยแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ เหนื่อยเหมือนกับพึ่งวิ่งมา ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ

        “เป็นผลข้างเคียงจากยาน่ะค่ะ พักซักสองสามวันก็จะดีขึ้น” เธอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวจะย้ายหนูไปห้องพักแล้วนะ หนูจะได้เจอคนที่หนูถามหาแล้ว ดีใจมั้ยเอ่ย”

         “..ครับ” ผมยิ้มตอบเธอไป ก่อนจะนอนต่อโดยที่ไม่สามารถเลือกทำอย่างอื่นได้ นี่เปลวรอผมอยู่จริงๆหรอ.. เขาจะรอผมทำไมกัน..





        “เทียน!” เสียงหวานดังขึ้นเข้าสู่โสตประสาททันทีที่เตียงผมถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉิน

        “น้าหยวน..” ผมพูดออกมาเบาๆเมื่อเห็นน้าหยวน เธอมากับแฟนของเธอ น้าหยวนลุกขึ้นทันทีที่เห็นผมถูกเข็นออกมา

        ผมมองซ้าย มองขวา กวาดสายตาไปรอบๆจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเขา..

         ..ไม่มีเปลว..



        ดีแล้วรึเปล่านะ.. เขาต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนพรุ่งนี้เข้า เพราะงั้นที่นี่ไม่มีเขามันก็น่าจะ..ดีแล้ว

        ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมในใจมันถึงเหงาๆแปลกๆ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งๆที่แต่ก่อนผมมักจะไปไหนมาไหนคนเดียวแท้ๆ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยซักครั้ง แล้วนี่..ตอนนี้น้าหยวนก็อยู่กับผม ..ทำไมผมถึงยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง..



         “เป็นยังไงบ้างเทียน” น้าหยวนถามผมที่กำลังเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ผมถูกย้ายมาห้องพักผู้ป่วยรวม ซึ่งเตียงของผมอยู่ริมติดหน้าต่างเลยครับ ผมไม่ได้หันไปตอบเธอ สายตายังคงจ้องมองไปนอกหน้าต่างแบบนั้นต่อไป

         ..ความมืดกับความเหงาพอมารวมกันแล้วมันก็..ว่างเปล่าดีเนอะ

         ที่ผมรู้สึกแบบนี้เป็นเพราะผลข้างเคียงของยารึเปล่านะ ..บางทีอาจจะใช่ ผมคงไม่ได้ผิดหวังที่เปลวไม่ได้อยู่รอผมเหมือนที่คิดไว้หรอกมั้ง...



         “หลับแล้วหรอเทียน” น้าหยวนถามผมอีกครั้ง ดึงสติผมให้กลับมา

         “ย..ยังครับ”

         “เป็นยังไงบ้างลูก” น้ำเสียงเธอดูเป็นห่วงผมไม่น้อยเลย ทำเอาผมรู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆอย่างการฆ่าตัวตายมากขึ้นไปอีก

         “ปวดท้องนิดหน่อยครับ ง่วงด้วย..แต่นอนไม่หลับ” ผมรู้สึกร่างกายมันเหนื่อยล้าเต็มที แต่สมองกลับไม่ยอมเหนื่อยตามไปด้วยเลย นี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งผลข้างเคียงของยาด้วยละมั้ง

         “ทำไมถึงลำใส้ติดเชื้อได้ล่ะลูก..หื้ม” น้าหยวนถามผม ..คงไม่ดีแน่ถ้าผมตอบไปตามตรงว่าผมเผลอกลืนน้ำคลองลงไปขณะที่กำลังฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงเลี่ยงคำถามนี้และแทรกด้วยคำถามใหม่ของผมเอง

         “น้าหยวนมาได้ยังไงอะครับ” ผมถามเธอ จำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นเธอเลยแม้แต่เงา เอาจริงๆถ้าเปลวไม่ได้อยู่กับผมผมก็คงไม่ได้หายใจต่อจนถึงตอนนี้หรอกครับ เพราะความจริงอันโหดร้ายอีกอย่างนึงที่ผมต้องยอมรับก็คือ น้าหยวน..ไม่ได้เห็นผมเป็นญาติพี่น้องซักเท่าไหร่

         ความเป็นหลานของผมคงสำคัญน้อยเกินไปสำหรับน้าอย่างน้าหยวน เพราะหลายต่อหลายครั้งน้าหยวนก็ไม่ได้สนใจใยดีครอบครัวพี่สาวตัวเองเท่าไรนัก น้าหยวนปล่อยให้แม่โดนพ่อทำร้ายโดยไม่คิดจะเข้ามาห้ามปราม ทั้งๆที่บ้านก็อยู่ติดกัน ขณะที่บ้านหนึ่งกำลังมีปากเสียงกัน อีกบ้านกลับตั้งวงเล่นไพ่ปิดกั้นโลกภายนอกราวกับไม่อยากใส่ใจ

        แต่น้าหยวนก็คอยช่วยผมอยู่หลายๆเรื่องเหมือนกันนะ..แต่น้าหยวนจะช่วยเมื่อจำเป็นเท่านั้น จำเป็นขั้นที่จำเป็นมากจริงๆ



         จำได้ว่ามีวันนึงผมหิวมากๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงไม่ได้กินอะไรเลย เงินก็ไม่มีซักบาท ก็เลยไปดูของกินบ้านน้าหยวนเผื่อจะมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ผมถามน้าหยวนว่าพอจะมีอะไรให้ผมกินมั้ย น้าหยวนก็ตอบกลับมาว่าไม่มี ผมก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อไป ทนอดข้าวต่อไปอย่างนั้น  ทว่าพอตกเย็นผมมองออกไปนอกหน้าต่างผมกลับเห็นน้าหยวนกำลังเทข้าวเทกับให้หมาให้ไก่กินอยู่หลังบ้าน..

          หลานคนนี้สำคัญน้อยกว่าหมากว่าไก่ซะอีก..

         เงินหนึ่งร้อยบาทที่วันนี้น้าหยวนให้ผมมา ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าเพราะอะไรจู่ๆเธอถึงให้ผม ผมรู้ดี..ผมเข้าใจดีเลย นั่นมันเงินผมต่างหาก เงินที่เธอเคยแอบขโมยเอาไปเล่นการพนัน



         “เพื่อนเทียนไปเรียกน้ามา” เธอตอบคำถามที่ผมถามไปเมื่อครู่

         “แล้วตอนนี้เพื่อนเทียนไปไหนแล้ว”

         “ไม่รู้เหมือนกัน เขาเรียกน้ามาดูเทียนเสร็จปุ๊ปก็เดินออกไปเลย คงจะกลับบ้านไปแล้วมั้ง”

         “เขากลับไปแล้วหรอน้าหยวน” ผมถามซ้ำ

         “จ้า”

         …ดีแล้วแหละมั้ง หวังว่าเปลวจะกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยนะ..













มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 25-11-2018 20:50:01
        อีกไม่กี่นาทีก็จะหมดวันแล้ว วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน.. อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องที่แสนโหดร้าย

         เรื่องดีก็คือผมได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้มีเพื่อนดีๆหลายคน และได้รู้จัก ‘เปลว’ เพื่อนที่พิเศษกว่าเพื่อนคนไหนๆ คนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ คนที่ทำให้ใจเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

         ส่วนเรื่องที่โหดร้ายนั้นสำหรับผมแล้วมันค่อนข้างยากที่จะพูดออกไปตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม ..ในใจผมลึกๆก็ยังไม่อยากจะยอมรับความจริงอยู่ดี แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าต่อให้วิ่งหนีมันยังไงสุดท้ายแล้วความจริงก็ต้องเป็นความจริง ไม่สามารถหนีมันพ้น

          ..บนโลกนี้ แม่ของผม..ไม่อยู่แล้ว

         แม่ของผมอยู่อีกโลกหนึ่งบนท้องฟ้า โลกที่..แม่ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนในโลกนี้อีกต่อไป



          ...เทียนขอให้แม่พบเจอแต่ความสุข

         ….ขอบคุณที่เลี้ยงดูเทียนมาจนถึงวันนี้ เทียนมีความสุขมากๆที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่

         เทียนรักแม่ที่สุดในโลกเลย

         ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริงละก็..ขอให้เทียนได้เกิดเป็นลูกแม่อีกครั้ง ทุกชาติ…ตลอดไปเลย













         วันเวลาผันเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆอย่างเฉื่อยชา ผมยังคงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เหมือนเดิม ผมนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือว่าเพราะผมไม่คุ้นชินกับสถานที่กันแน่

         น้าหยวนไม่ได้อยู่ดูแลผมอีกในวันถัดมา และเธอก็ไม่ได้มาดูผมเลยตั้งแต่วันนั้น..

        ผมเฝ้ารอเวลาให้ผ่านพ้นไปแต่ละวันๆอย่างทรมาน พอรุ่งสาง..พระอาทิตย์ขึ้นไปยิ้มแฉ่งบนท้องฟ้า..แล้วพอตกเย็นพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป ผมนั่งนับวันคืนไปแบบนี้วนไปเรื่อยๆ หมอบอกว่าผมต้องอยู่ดูอาการที่นี่ก่อน อย่างน้อยก็หนึ่งอาทิตย์ กว่าแต่ละวันจะผ่านไปมันยาวนานเหลือเกิน

        หรือที่ผมรู้สึกว่านานเพราะผมกำลังรออยู่รึเปล่านะ.. เพราะผมรอเขารึเปล่า.. รอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันที่หกแล้ว

        เปลว..ไม่เคยมาเยี่ยมผมเลย





        ผมมีแค่พี่พยาบาลใจดีเท่านั้นที่คอยดูแล เธอมักจะชวนผมคุยเรื่องราวต่างๆในชีวิต แล้วก็คุยเรื่องอนาคตด้วย ผมบอกเธอว่าผมอยากเป็นหมอ อยากช่วยชีวิตคนอื่นๆเหมือนเธอ เพราะงั้นเธอก็เลยแนะแนวทางให้ผมมากมายเลย

 

         ‘ถ้าหนูอยากเป็นจริงๆ หนูต้องตั้งใจอ่านหนังสือนะ เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้’

        ‘ทำไมล่ะครับ’

        ‘พระราชบิดาท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘เวลาเป็นของมีค่า เมื่อมันล่วงไปแล้วมันไม่กลับมาอีก ถ้าเรามีโอกาสจะใช้มันเป็นประโยชน์แล้วเราไม่ใช้มัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย’  เพราะงั้นแล้วหนูอย่าปล่อยให้เวลาอันมีค่าของเราสูญไปโดยเปล่าประโยชน์เลย’

        ‘พระราชบิดาคือใครหรอครับ’

        ‘พระองค์คือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชบิดาแห่งการแพทย์แผนไทยนั่นเองค่ะ’



        ผมรู้สึกมีแรงใจขึ้นมาทันที รู้สึกผิดที่ก่อนหน้าที่ผมคิดจะล้มเลิกความฝันของตัวเองเพียงเพราะแม่ไม่ได้อยู่รอดูความฝันของผมเป็นจริงแล้ว  ต้องขอบคุณพี่พยาบาลมากๆที่นำคำสอนของพระองค์มาบอกแก่ผม ต่อจากนี้ผมจะมุ่งมั่นและตั้งใจให้มากขึ้น จะไม่ทิ้งความฝันตัวเองอีกแล้ว



        “เทียน” ใครบางคนเรียกผมขณะที่ผมกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะอยู่ที่นี่ เดี๋ยวสายๆรับยาเสร็จผมก็คงต้องกลับบ้านแล้ว

        “กูขอโทษนะที่พึ่งมา” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ผมจำได้ดีเลยว่าเขาเป็นใคร จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมาเสียดื้อๆ ..การรอคอยของผมจบลงแล้ว ..เปลวมาหาผมแล้ว

        ..ทว่าเปลวไม่ได้มาคนเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งมากับเขาด้วย เธอตัวเล็ก ผิวขาว ผมยาวสลวยราวกับเจ้าหญิงในจักรวาลดิสนีย์

        “ขอโทษที่ทิ้งมึง..” เปลวเดินเข้ามาข้างเตียงพร้อมกับเธอคนนั้น ผมยิ้มให้..พยายามข่มหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลร่วงลงไป

       “..ไม่เป็นไรเลย เราต้องขอบคุณเปลวมากกว่า” ขอบคุณ..ที่สุดท้ายก็ไม่ปล่อยให้ผมรออย่างไร้จุดหมาย

       “มึงยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ย” เปลวถามด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

       “ไม่เลย..เราดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้ว” ผมยิ้ม

       “อา..จริงสิ คนนี้ชื่อน้ำผึ้ง เพื่อนกูเอง อยู่ห้องสาม เขาก็อยากมาเยี่ยมมึงเหมือนกัน” เปลวผายมือไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอหันมามองค้อนเปลวอยู่หน่อยๆ ส่วนเปลวเองเมื่อเห็นแบบนั้นก็ลูบหัวเธอเล่นเบาๆ เปลวยิ้มด้วยแหละ เป็นยิ้มที่ดูมีความสุขมากๆ ยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นเปลวยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย คงเป็นเพราะน้ำผึ้งรึเปล่าที่ทำให้เปลวยิ้มออกมาได้ขนาดนี้

        “จริงๆเปลวให้เรามาเป็นเพื่อนต่างหาก เปลวป๊อด.. ไม่กล้ามาคนเดียว ฮ่าๆ” น้ำผึ้งหัวเราะออกมาเย้ยหยันเปลวด้วยท่าทีที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู  เปลวจึงเขกหน้าผากเธอเบาๆไปหนึ่งที สายตาของพวกเขาที่ใช้มองกันมันแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง..บางอย่างที่เรียกว่า..ความรัก

        ..ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมพวกเขาถึงมองกันแบบนั้น รู้แค่ว่าผมกำลังยิ้มอยู่เหมือนเคย ยิ้มอยู่ภาพที่เห็นตรงหน้า



        “แล้วมึงจะได้กลับบ้านตอนไหน กูจะได้รอ” เปลวหันมาถามผม

        “สายๆละมั้ง รอพยาบาลมาดูอาการอีกที” ผมตอบตามตรง

        “โอเค กูจะรอ”

        “แล้ววันนี้ทำไมไม่ไปโรงเรียนกันอะ ..วันนี้วันจันทร์ไม่ใช่หรอ” ผมถามพวกเขา นี่ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้วมั้ง ทำไมสองคนนี้ถึงไม่ไปโรงเรียน ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนด้วย

        “วันนี้พ่อกูจะพาไปหัวหิน กูก็เลยชวนน้ำผึ้งไปด้วย”

        “อ๋อ.. แล้ว ไปกันตอนไหนล่ะ ทำไมถึงมาที่นี่แต่เช้าเชียว” ผมถามต่อ

        “ก็มาหามึงนั่นแหละ ว่าจะรอไปส่งมึงที่บ้านก่อน เดี๋ยวค่อยไปหัวหิน” เปลวตอบ สีหน้าเขายังดูร่าเริงแจ่มใสเหมือนเดิม สำหรับเปลวเขาคงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ว่าผมคิด.. ผมกำลังเป็นตัวถ่วงของพวกเขาหรือเปล่า..

        “เปลวไปเตรียมตัวไปหัวหินเถอะ เดี๋ยวสายๆน้าหยวนคงมารับเราแล้วแหละ”

        “ไม่เอา กูจะไปส่งมึง” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง นี่เปลวจะรู้ตัวบ้างมั้ยว่าทุกครั้งที่เขาพูดแบบนี้มันทำให้ใจผมสั่น

        “กว่าเราจะออกจากโรงพยาบาล ..กว่าจะไปส่งเรา กว่าจะได้เตรียมของเตรียมเตรียมอะไร ไปถึงหัวหินก็เย็นพอดี เสียเวลาเปล่าๆนะเปลว น้ำผึ้งต้องรอนานด้วย” ผมพยักเพยิดเหตุผลไปทางเธอ

        “…”

        “ไปเถอะน่า เราโอเคแล้ว เดี๋ยววันต่อไปก็กลับไปวิ่งเล่นที่โรงเรียนได้แล้ว” ผมยิ้มกว้างเพราะไม่อยากให้เขากังวลอะไรเกี่ยวกับผมอีก

        เขาควรไปมีความสุขน่ะ ดีแล้ว



        เวลาผ่านไปจนถึงข่วงสายของวันเดียวกัน พยาบาลกำลังเข้ามาดูอาการผมเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จากนั้นเธอก็พาผมไปที่ช่องรับยา เภสัชตรงนั้นถามหาผู้ปกครองด้วยแหละ ผมก็เลยบอกว่าผมอยู่คนเดียว เธอก็อึ้งไปเลย แล้วเธอก็ชมผมที่ตัวแค่นี้แต่อยู่คนเดียวได้แล้ว ..นอกจากคุณพยาบาลแล้วก๋ต้องขอบคุณคุณเภสัชด้วยเหมือนกันที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

        จริงๆไม่มีใครมารับผมหรอก ..ผมโกหก







       ผมใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงในการเดินจากโรงพยาบาลมาถึงบ้าน แดดวันนี้ค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว แต่ก็ไม่กระทบกระเทือนอะไรกับผมได้หรอกเพราะปกติผมก็เดินกลางแดดกลางลมทุกวันอยู่แล้ว

       ทันทีที่ผมกลับถึงบ้านกำลังจะถอดรองเท้าเข้าไปในบ้านน้าหยวนก็เรียกผมไปหา เธอคุยกับผมเรื่องอนาคตต่อจากนี้ น้าหยวนถามผมว่าจะไปอยู่กับเธอมั้ย เพราะถ้าอยู่ที่บ้านตัวเองต่อเนี่ยค่าน้ำค่าไฟน้าหยวนจ่ายให้ไม่ได้เพราะเขาไม่มีตัง

       แน่นอนว่าผมรู้ดีว่าทำไม จริงๆน้าหยวนน่ะมีตังอยู่แล้ว แต่ที่เธอไม่อยากจะจ่ายให้ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องมาเสียเงินไปกับเด็กข้างบ้านที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่แบบผม และผมก็รู้ทันเธอดี ถ้าผมไม่อยู่บ้านนี้ล้วเขาจะได้ทุบทิ้ง อย่างน้อยข้าวของเครื่องใช้ กระดานไม้และรางเหล็กที่ใช้สร้างบ้านของผมก็น่าจะพอทำให้เธอมีทุนในการพนัน

       ‘ไม่ครับ เทียนจะอยู่ที่บ้าน’ ผมตอบเธอไปแบบนั้น ให้ตายผมก็ไม่อยู่กับน้าหยวนหรอก เรื่องอะไรจะต้องเอาชีวิตไปอยู่ในวงการพนันแบบนั้นล่ะ อีกอย่างค่าน้ำค่าไฟมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น ผมหามันมาได้อยู่แล้ว

       เธอเกลี้ยกล่อมผมอีกหลายประโยคแต่ผมก็ยืนยันคำเดิม สุดท้ายน้าหยวนก็ต้องยอมแพ้ไป



       ผมกลับมาที่บ้าน จู่ๆฝนก็เทลงมาจากฟ้าอย่างหนัก   ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแต่กลับนอนไม่หลับ ..ทำได้แค่นอนตาใสแจ๋วมองเพดานอยู่อย่างงั้น



       ติ๋ง

       หยาดน้ำจากฝนไหลซึมออกมาจากเพดาน นี่..เพดานรั่วอีกแล้วสินะ..



       ‘พ่อเอ๊ย เพดานผุอีกแล้วนั่นน่ะ สงสัยเปียกฝนแล้วมันอ่อน ไปหาอะไรมาปะมันหน่อยไป’

       ‘เออพอดีเลย ร้านตาเฮงมีไม้เก่าๆอยู่แกให้พ่อมาพอดี’

       ‘พ่อทำอะไรอะ ไม่กลัวตกหรอครับ’

       ‘แค่นี้เองเทียนเอ๊ย ปกติพ่อทำงานสูงกว่านี้อีกลูก’

       ‘พ่อลงมาเถอะ เทียนไม่อยากให้พ่อทำเลย กลัวพ่อตกมาแล้วจะเจ็บ..’

       ‘ถ้าให้พ่อเจ็บแล้วน้ำฝนไม่หยดมาโดนเทียนทำให้เทียนเป็นไข้ พ่อยอมเจ็บนะลูก’




       พ่อครับ..เทียนคิดถึงพ่อ..



       ฝ้าเพดานตอนนั้นตอนแรกมันเป็นช่องไม้ผุๆที่พอฝนตกน้ำฝนก็จะหยดลงมาทุกครั้ง ตอนเด็กๆแม่มักจะให้ผมเอาถังไปรองน้ำที่รั่วลงมาซึ่งผมก็ทำตามที่แม่สั่งเป็นแบบนั้นอยู่หลายวันเลยล่ะครับ จนสุดท้ายแม่ก็ให้พ่อมาซ่อมมัน เพดานนี้จึงกลับมาสวยเหมือนใหม่อีกครั้ง พ่อสามารถเสกให้ของเก่ากลายเป็นของใหม่ได้..นั่นคือพลังพิเศษอีกอย่างนึงของซุปเปอร์ฮีโร่ในดวงใจของผม



       ติ๋ง

       หยาดน้ำฝนยังคงหยดลงมา ถ้าผมส่งสัญญาณสปอตไลท์เรียกซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างในหนัง ซุปเปอร์ฮีโร่ของผมจะกลับมาหาผมมั้ยนะ..



       ผมลุกไปหาถังมารองน้ำฝน หยาดน้ำฝนเริ่มหยดลงในถัง ผมนั่งดูเม็ดฝนกระทบกับผิวน้ำอยู่แบบนั้น ตอนเด็กๆผมก็ชอบนั่งดูเม็ดฝนกระทบกับผิวน้ำแบบนี้เหมือนกัน ก็พอเม็ดฝนตกลงมามันจะเกิดระลอกคลื่นใช่มั้ยล่ะครับ ระลอกคลื่นนั้นมันจะขยายออกเป็นวงกลม ใหญ่ออกไป..แล้วก็ใหญ่ออกไป ทว่าท้ายที่สุดแล้วระลอกคลื่นที่ขยายจนกว้างใหญ่ก็จะหายไป ..ตอนเด็กๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร

       แต่ตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว มันก็คงเหมือนกับผมนั่นแหละ ผม..ที่เป็นผิวน้ำ กับเปลว..ที่เป็นหยาดน้ำฝน และระลอกคลื่นก็คือความสุข

       เมื่อหยาดฝนกับผิวน้ำกระทบกัน ระลอกคลื่นก็จะเกิด ผิวน้ำมัวแต่หลงอยู่กับระลอกคลื่นนั้นจนระลอกคลื่นขยายตัวออกไปเรื่อยๆเป็นวงกว้าง สุดท้ายแล้วระลอกคลื่นก็ค่อยๆหายไป โดยที่ผิวน้ำยังไม่ทันตั้งตัว

       เหมือนกับที่ผมได้รู้จักกับเปลว ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา …มีความสุขเสียจนหลงลืมไปว่ามันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน สุดท้ายแล้วความสุขก็ไปจากผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว

       วันนี้เปลวมากับเธอคนนั้น ผมพอจะรู้อยู่หรอกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ ที่เปลวแนะนำเธอให้ผมรู้จักนั้นหมายถึงอะไร สถานะของพวกเขามันมากกว่านั้น…ผมรู้ดี

       ที่ผ่านมาที่เปลวไม่ได้มาหาผมเลยก็เพราะเหตุผลนี้ด้วยแหละมั้ง..ถึงในใจจะไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอม

       ที่แปลกที่สุดก็คือทำไมผมต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย…ผมมีสิทธิ์อะไรไปหวงเปลว

       ทำไมผมต้องร้องไห้แบบนี้..



หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 25-11-2018 20:56:27
       ภายใต้ฟ้าฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงกระทบหลังคาสังกะสีเก่าสนิมเกาะจนเกิดเสียงดังลั่น บ้านไม้เก่าๆหลังนี้มืดสลัวมีแต่ความว่างเปล่าปกคลุมทั่วบริเวณ หากแต่มีเด็กตัวเล็กอย่างเทียนไขนอนขดคู้อยู่บนพื้นไม้ อากาศภายในค่อนข้างหนาวเย็นจากไอฝนที่ผนวกเข้ากับความเดียวดายในหัวใจ เด็กน้อยทำได้แค่กอดตัวเองด้วยแขนที่สั่นเทาแล้วพยายามข่มตาหลับต่อไป



       เช้าวันรุ่งขึ้นน้าหยวนเข้ามาปลุกเด็กน้อย บอกให้รีบไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ..เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของงานศพแม่ของเทียนไข จริงๆพิธีศพของแม่นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ศพของเธอถูกนำไปเก็บไว้ที่โกดังเก็บศพของทางวัดเพื่อรอวันเผา  ซึ่งศพของเธอพึ่งถูกนับมาสวดทำพิธีตามศาสนาเมื่อวาน และจะเผาในวันนี้

       เด็กน้อยหน้าชาเมื่อรับรู้  ..เพียงแค่กอดแม่ที่เขารักในวาระสุดท้ายเขาก็ยังทำไม่ได้ แล้วนี่อีก..พิธีศพของแม่ตัวเอง เขาก็พึ่งมารับรู้ในวันเผาแบบนี้



       ..การเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปสำหรับเด็กน้อยอย่างเทียนไขแล้วมันเป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต วันแรกที่แม่ของเด็กน้อยเสียชีวิตลงนั้น เด็กน้อยก็เสียสติจนจะฆ่าตัวตาย

       วันนี้ก็เช่นกัน…ทันทีที่โลงศพสีขาวที่ถูกตกแต่งด้วยลายไทยลายกนกสีทองและดอกไม้นานาชนิดถูกเปิดออกเพื่อที่จะให้ญาติๆของผู้ตายได้เห็นหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนั้น ..เมื่อคนตัวเล็กได้เห็นร่างไร้วิญญาณของคนที่เขารักที่สุดในชีวิต น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาโดยทันที เด็กน้อยร้องไห้และสะอื้นอย่างหนักหน่วงโดยไม่สนใจคนร่วมงานคนอื่นๆเลย เขาพยายามที่จะเอื้อมมือลงไปกอดแม่ขึ้นมาแต่ก็ถูกพระห้ามไว้ เด็กน้อยดิ้นอย่างรุนแรง เสียงร้องไห้ของเขาดังไปทั่วบริเวณอย่างน่าสลดใจ

       คนร่วมงานหลายคนมองดูเด็กน้อยที่กำลังร่ำไห้อย่างสมเพชเวทนา ภาพเด็กน้อยที่ถูกรัดถูกจับไว้โดยชายฉกรรจ์ถึงสามคนแต่เด็กน้อยก็ยังคงดิ้นอยู่แบบนั้น เทียนไขพยายามที่จะลงไปในโลงกับแม่ของเขา ..แต่โชคดีหน่อยที่สุดท้ายแล้วเขาก็แพ้แรงตัวเองแล้วหมดสติไป



        พอถึงเวลา …โลงสีขาวนั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายเข้าเตาเผาในทันที มีเสียงของโลงไม้และกระดูกระเบิดอยู่หลายระลอกก่อนที่ควันสีดำจะพวยพุ่งออกมาจากบนยอดเมรุ ลอยละล่องขึ้นไปบนท้องฟ้า



        ระฆังบนยอดหอระฆังดังลั่นกังวานไกลไปทั่วอาณาบริเวณทั้งในวัดและชุมชนใกล้เคียง จริงๆคนแถวนั้นจะคุ้นชินกับเสียงระฆังไปแล้วเพราะได้ยินทุกวัน หากแต่วันนี้เสียงระฆังนั้นก้องกังวานอยู่เนิ่นนานเสียจนน่าแปลกใจ ..ราวกับเสียงระฆังปนมาด้วยเสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณที่ยังคงห่วงลูก



        เสียงจากระฆังในวันนี้นั้นนอกจากจะเป็นสัญญาณบอกเวลาแล้ว สำหรับเด็กน้อยก็เป็นสัญญาณแห่งก้าวต่อไปของขีวิตเขาด้วย

        ..ต่อจากนี้เทียนไขจะไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติสนิทหรือใครคนใดก็ตาม

        ตัวคนเดียวบนโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้...อย่างแท้จริง







        เวลาผันเปลี่ยนไปจนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้เด็กน้อยตื่นขึ้นจากความฝันแสนหวานกลับเข้าสู่โลกความจริง

        เด็กน้อยตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปโรงเรียน เขาก็ยังใส่ชุดนักเรียนเก่าๆมอซอๆตัวเดิมเช่นเคย เพราะสำหรับเด็กน้อยแล้ว เขาไม่ได้ลำบากอะไรที่จะใส่มัน เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างที่จะดูสกปรกรกสายตาไปซักหน่อยสำหรับคนรอบข้างที่เดินผ่าน

        เด็กน้อยแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังมาห่อนึงและขนมจุบจิบอีกหลายอย่างยัดใส่ช่องใต้เสื้อบ้าง ในกระเป๋านักเรียนบ้าง ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

        …นี่แหละ วิถีชีวิตของเทียนไข







       “เฮ้ย ไอ้เหี้ยเอดส์นี่หว่า!” ใครคนหนึ่งเรียกเด็กน้อยเมื่อเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามาในโรงเรียนผ่านตาไป คำและน้ำเสียงที่คนๆนี้เรียกเด็กน้อยรู้ดีเลยว่าเขาคือใคร …เพราะฉะนั้นสิ่งที่เด็กน้อยทำได้ก็คือ..วิ่ง..วิ่ง แล้วก็วิ่ง วิ่งต่อไปถึงแม้ใจจะกลัวตัวจะสั่นแค่ไหนก็ตาม..

       “ไอ้เอดส์! ขนมมึงร่วงว่ะ ฮ่าๆไอ้ห่านี่ยังขี้ขโมยเหมือนเดิมเลยว่ะ” เสียงนั้นยังคงตามหลอกหลอนเด็กน้อยไม่หยุด เด็กผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่ายังคงตามเด็กน้อยอยู่อย่างนั้น ถ้อยคำที่เขาใช้…คำที่เขาตะโกน ..เริ่มทำให้คนอื่นๆเริ่มหันมาให้ความสนใจ จากคนที่วิ่งไล่ตามเด็กน้อยที่มีแค่คนเดียวก็เพิ่มเป็นสอง...และสาม มีอีกหลายคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันกับเด็กน้อย เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงจำได้ดีว่าเด็กน้อยเป็นยังไง

       “จะวิ่งหนีไปไหน ไอ้ลูกตุ๊ด!” ทว่า..ทันทีที่ได้ยินคำๆนี้ เส้นสติที่เด็กน้อยพยายามคุมไว้ก็ขาดสะบั้นลงทันที เขา..หยุดวิ่งหนี ก่อนจะหันกลับมาหาไอ้อ้วนที่ตามรังควานเขาไม่เลิก จนขนาดที่ว่าเขาวิ่งมาหลังตึกแล้วก็ยังไม่เลิกตาม

        “มึงว่ากูได้.. แต่มึงอย่ามาเล่นถึงพ่อกู!” เด็กน้อยพุ่งเข้าไปใส่ไอ้อ้วนคนนั้นทันที จริงๆเขาต่อยตีไม่เป็นหรอก แต่เขาทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาดูถูกซุปเปอร์ฮีโร่ของเขาแบบนี้



        ผัวะ!

        แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หมัดของเด็กน้อย …แต่เป็นของไอ้อ้วนที่ฟาดกลับลงมาด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่า

        “ซ่าจังนะไอ้ตุ๊ด ไหนๆเลิกขโมยลิปผู้หญิงรึยัง” ไอ้อ้วนดึงกระเป๋าเด็กน้อยไปค้น มันเททุกอย่างออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น

        ลิปที่ว่านั้นเทียนเคยขโมยมันมาจริงๆ ตอนนั้นเขาอยู่ป.4 ..ในคาบวิชาสังคมศึกษา คุณครูสอนเรื่องบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นมีคลีโอพัตรา เจ้าหญิงผู้ที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์อยู่ด้วย

       เด็กน้อยเลยอยากให้แม่งดงามแบบนั้นบ้าง สิ่งที่เด็กน้อยตัดสินใจทำลงไปก็คือขโมยลิปสติกของครูคนนึงมาเพื่อมาทาให้แม่ของเขา

       ‘แม่ของเทียนสวยที่สุดในโลกเลย’ เด็กน้อยคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกจับได้ แล้วก็ถูกล้อถูกรังแกตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเขาก็ยอมรับความผิดนั้นแต่โดยดี ..ยอมถูกล้อ ..ถูกรังแก โดยไม่คิดตอบโต้



       “โหวันนี้ขนมเยอะว่ะ ขโมยร้านไหนมาวะเหี้ย ร้านนั้นเจ๊งแล้วมั้ง”

       “อ้าว เจอโจทก์..  ว่าไงครับ ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์!” ใครอีกคนเดินมาสมทบ หัวเราะร่วนอย่างสะใจเมื่อได้พูดสิ่งที่ต้องการ ขณะที่เด็กน้อยนั้นได้แต่ลูบแก้มตัวเองที่พึ่งถูกชกป้อยๆ ทั้งเจ็บทั้งชา…หากแต่ไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางความรู้สึก

       “ได้ข่าวว่าแม่ตายแล้วนี่หว่า อุ๊ย! พ่อก็โดนประหาร แม่ก็เป็นเอดส์ตาย อยู่ยังไงดีล่ะทีนี้..” ใครอีกคนพูดสวนขึ้นมา เด็กน้อยตั้งหลักอีกครั้ง

       “ขโมยของชาวบ้านเขาไปวันๆงี้ไง ฮ่าๆ ไอ้ขี้ขโมย!” ทันทีที่ใครคนนั้นพูดจบ เด็กน้อยก็ชกเข้าไปกลางหน้าเขาทันที

       ผัวะ!

       คราวนี้เด็กน้อยต่อยโดนเต็มๆ จนเลือดอีกฝ่ายไหลซิบออกมาจากจมูก ทว่า..นั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้น ..เมื่อเส้นสติของสามตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลง..



       “ไอ้เหี้ยเทียน!”

       ผัวะ! ผัวะ! ตุบ ผัวะ!

       หมัดหนักๆและฝ่าเท้าใหญ่โตของทั้งสามรุมฟาดฟันใส่เด็กน้อยไม่ยั้ง ของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกจากปากเด็กน้อย ก่อนจะถูกหนึ่งในสามคนนั้นชกลงมากลางจมูกเพื่อเอาคืนกับสิ่งที่เด็กน้อยทำกับเขา



       “เทียน!” เสียงใครอีกคนดังขึ้นมาในโสตประสาทของเด็กน้อย

       “ไอ้เหี้ย พวกมึงทำอะไรเพื่อนกู!” คนที่พึ่งเข้ามาใหม่ประกาศเกล้าอย่างไม่เกรงกลัว “มึงไม่รู้หรอว่ามันพึ่งออกจากโรงพยาบาล!”

       เขาคนนั้นตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในใจเป็นห่วงเด็กน้อยอย่างสุดหัวใจ

       เป็นอีกครั้ง..ที่เปลวมาช่วยเทียนไข

       “ไอ้สาระเลว!” เขาลั่นวาจาดังไปทั่วบริเวณ

       ผัวะ!

       ก่อนตะพุ่งเข้าไปหาสามคนนั้นแล้วเสยหมัดอันแข็งกร้าวของเขาไปที่คางของไอ้อ้วนจนมันล้มลงไป หนึ่งในสองคนที่เหลืออาศัยจังหวะที่เปลวเผลอก่อนจะฟาดหมัดใส่หัวเขา

       โชคดีที่เขาหลบทัน เปลวเตะตัดขาหนึ่งในสองคนนั้นแล้วยัดหมัดหนักๆใส่หน้าหนึ่งคนที่เหลือ

       “ถุ้ย! หมาๆอย่างพวกมึงก็ดีแต่รังแกคนที่เขาไม่มีทางสู้นี่แหละวะ” เปลวชี้หน้าสามคนนั้นก่อนจะตวาดลั่น



       เด็กน้อยไม่เคยเห็นเปลวโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย ชายเสื้อเขาหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง ใบหน้าแดงเถือกจากเลือดที่สูบฉีดระรัวเพราะความโกรธ

        ครั้งหนึ่งเด็กน้อยเคยเห็นพ่อทำร้ายแม่ของเขาจนแม่กรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุราย …ทว่าพ่อกลับไม่หยุดการกระทำนั้น

       ความรุนแรงนั้นมันฝังลึกลงในใจของเด็กน้อยจนเขาไม่เคยคิดจะลืม และถ้าได้เห็นอีกเมื่อไหร่เด็กน้อยก็จะมีอาการที่เปลี่ยนไป..

        …สีหน้าของพ่อก็เป็นเหมือนกับเปลวไม่ผิด

        เด็กน้อย…กลัว



        “เทียน.. เทียน เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน” เปลววิ่งปรู่เข้ามาหาคนตัวเล็กที่กำลังนอนอยู่กับพื้น ทว่าคนตัวเล็กกลับผลักเขาออกไป เขาตัวสั่นราวกับลูกนก นั่งก้มหน้างุดเอามือขึ้นป้องกันหัวตัวเอง

        “อย่าเข้ามา..ฮือ อย่าเข้ามา” คนตัวเล็กสะอื้น ขยับถอยหลังหนีจากเปลว

        “เทียน.. เป็นอะไร กูมาช่วยมึงแล้ว ..ไปห้องพยาบาล..”

        “ออกไป!” เทียนไขตวาดลั่น

        “…” หากแต่เปลวไม่ได้เข้าใจความกลัวของเขาเลยแม้แต่น้อย …เพื่อนคนสำคัญของเขากำลังไล่เขาให้ออกไป

        “ฮือ.. ไม่เอาแล้ว.. เทียนกลัว”

        “ไม่ต้องกลัว กูอยู่นี่แล้ว” เปลวไม่ได้สนใจอะไรกับการที่เด็กน้อยไล่เขาเลย ในเมื่อเด็กน้อยไม่ฟังเขาจึงช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนจะพาเดินไปห้องพยาบาล ..มันค่อนข้างที่จะทุลักทุเลมากเลยทีเดียว เพราะถึงแม้เด็กน้อยจะผอมกร่องแกร่ง แต่เปลวก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรไปกว่าเด็กน้อยมากมายนัก แต่ก็ดีหน่อยที่เด็กน้อยสงบลงแล้ว เทียนไขเริ่มได้สติ ..เขาไม่ดิ้นเหมือนอย่างเคยอีก เขาไม่บอกว่าตัวเอง ‘กลัว’ อีกต่อไป

        นั่นก็เป็นเพราะ…สำหรับเทียนไขนั้น อ้อมแขนของเปลว ...เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด



        เปลวอุ้มเด็กน้อยมาจนถึงห้องพยาบาล ใครหลายคนตกใจกับสภาพของเทียนไข ครูบางคนพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็ไม่สามารถหยุดเปลวได้ เขาต้องเป็นคนพาเพื่อนคนสำคัญของเขาไปให้ถึงมืออาจารย์ห้องพยาบาลให้ได้ …เปลวคิดแบบนั้น

        ไม่นานนักเขาก็มาถึงห้องพยาบาลที่ว่า เปลวรีบส่งมอบเด็กน้อยต่อให้อาจารย์ห้องพยาบาลในทันทีที่เข้าไปถึง

        “ครูครับ ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ ช่วยด้วย..” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว เปลวเองก็พึ่งจะสังเกต ..ตามตัวของเด็กน้อยมีแต่แผลอยู่เต็มไปหมด ไหนจะรอยเท้าบนเสื้อนักเรียนของเขาอีก..

        ใช้เวลาค่อนข้างนานเลยทีเดียวกว่าจะทำแผลเสร็จ ระหว่างที่ทำแผลเด็กน้อยไม่ร้องเลยซักแอะ จนเปลวแอบนึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ ดูเขาเป็นคนบอบบางค่อนข้างมากเลยแท้ๆ แต่กลับนั่งอยู่เฉยๆมองแอลกอฮอล์ที่ราดลงบนแผลตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

        หลังจากทำแผลเสร็จ เขาและเด็กน้อยก็ถูกเรียกให้ไปห้องปกครอง เช่นเดียวกับไอ้สามตัวนั้น  แน่นอนว่าพวกเขาถูกลงโทษกันทุกคนเพราะว่าเรื่องนี้ทุกคนก็มีส่วนผิด ..ถ้าไม่พูดจาหยอกล้อกันรุนแรงแบบนั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง ..ถ้าเด็กน้อยไม่ต่อยจนจมูกไอ้อ้วนเลือดไหลก็คงไม่เกิดเรื่อง

        เทียนไขได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทีหลังจะใจเย็นให้มากกว่านี้ …เขาบอกตัวเองแบบนั้น

        “เทียน” เปลวเรียกเด็กน้อย หลังจากที่ออกมาจากห้องปกครอง

        “…” เทียนหันไปตามเสียงเรียก

        “เจ็บมากมั้ยวะ..”

        “..ไม่เป็นไรหรอก” แล้วก็หันกลับมามองทางข้างหน้าเหมือนเดิม

        “ไม่เทียน …กูรู้ว่ามึงเจ็บ”

        “…” เด็กน้อยยังคงเดินต่อไปนิ่งๆเหมือนเดิม ..มันก็จริงอย่างที่คนข้างๆเขาพูดนั่นแหละ แผลพวกนี้มันเจ็บแสบมากๆ

        “มึงโกรธกูรึเปล่าวะ..ที่กูไม่เคยไปเยี่ยมมึงเลย”

        “..เราจะโกรธทำไม ดีแค่ไหนแล้วที่เปลวช่วยไปบอกน้าหยวนให้เรา”

        “เฮ้อ ช่างเถอะว่ะ แต่กูขอโทษจริงๆนะ..พอดีกูมีปัญหากับบ้านกูนิดหน่อย” เปลวพูด เมื่อเด็กน้อยได้ยินว่าเปลวมีปัญหาแบบนี้เขาก็สนอกสนใจขึ้นมาทันที

        “ปัญหาอะไรหรอ บอกเราได้นะ เราจะพยายามช่วยให้เต็มที่เลย” เด็กน้อยหันมาหาเปลว

        “อยากรู้หรอ”

        “อยากสิ” เทียนทำตาใสแจ๋วราวกับอยากเผือกเต็มทีแล้ว

        “ไม่บอก”

        “เอ้า..” แล้วเทียนก็ทำหน้ามุ่ย

        “ฮ่าๆ ตลกหน้ามึงว่ะ” เปลวหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งคนข้างๆ

        “ทำไมขำอะ เราจริงจังนะเว้ยเปลว” เด็กน้อยหยุดเดินก่อนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

        “อ่าว..กูขอโทษ..”

        “เราล้อเล่น” ก่อนจะยิ้มออกมา

        “…”

        “ฮ่าๆ ตลกหน้าเปลวจัง” แล้วก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังที่ได้เอาคืนคนขี้แกล้งอย่างคุณเปลว

        เขาสองคนเดินเคียงกันไปแบบนั้นเรื่อยๆเพื่อไปยังห้องเรียน ระหว่างทางก็มีหยอกล้อกันแบบนี้เรื่อยๆ บรรยากาศรอบๆพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยเสียงหัวเราะ

        “แล้วนี่..ยังอยากรู้อยู่รึเปล่า ว่าปัญหาอะไร” เปลวถาม

        “อยากสิ ปัญหาเกี่ยวกับอะไรหรอ”

        “เกี่ยวกับ..มึง” คนตัวสูงกว่ากระซิบไปข้างๆหู

        “…”

        ”กูขอพ่อให้มึงมาอยู่กับกู”

       


















_________________________________
ชี้แจงนะคะ นิยายเรื่องนี้เนื้อเรื่องหลักอยู่ในพาร์ทปัจจุบันค่ะ (มหาลัย) ตอนนี้เป็นแค่เกริ่นๆน้ำจจิ้มๆค่ะ และเราก็เรียกพาร์ทเกริ่นๆนี้ว่า ‘เปลวจุดเทียน’
ยังไงก็ เป็นกำลังใจให้น้องเทียนไขกับคุณเปลวเขาด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่เข้ามาอ่าน : )

       

 





       

       









       







       









   

         

         

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-11-2018 23:47:23
 :L2:คุณพ่อของเปลวจะใจดีพอที่จะรับเทียนไปอยู่ด้วยหรือเปล่า รอตามตอนต่อค่ะ +1
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 26-11-2018 01:22:24
พ่อของเปลวคงจะรับเทียนเข้ามาดูแลแหล่ะ แต่ว่า......
โอ๊ยยยย  ขนาดเราเป็นคอดราม่า แบบเจ้มจ้น เราอ่านพาร์ทแรกๆแล้วหน่วงเกินน สงสารน้องเทียน อายุแค่ไม่กี่ขวบหนูเจออะไรมาเยะแยะมากเลยนะลูก

ความใกล้ชิดของเทียนกับเปลวเนี่ยแหล่ะที่จะยิ่งทำให้หน่วงเข้าไปอีก หวังว่าน้องเทียนจะสมหวังนะคะ รอติดตามนะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 26-11-2018 05:15:31
ที่เปลวบอกว่ามีปัญหากับที่บ้าน เพราะพ่อไม่อยากรับเทียนมาอยู่ด้วยรึเปล่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 28-11-2018 21:41:13
03
เปลวจุดเทียน



       “…” ผมทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เปลวพูดออกมา นี่เขาจะให้ผมไปอยู่กับเขาหรอ..

       “ก็..กูคิดว่ามึงอาจจะลำบากถ้าอยู่คนเดียวแบบนั้น” เขาอธิบาย “ไหนจะเรื่องค่ากินค่าอยู่ ..ถ้ามึงอยู่คนเดียวแบบนี้ซักวันมึงก็อาจจะอยู่ไม่ไหว ซึ่งกู..ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

       “…”

       “วันนั้นหลังจากมึงหมดสติพ่อกูก็มาถึงพอดี จริงๆกูก็อยากจะพามึงไปอยู่กับกูตั้งแต่วันนั้นเลยเหมือนกัน แต่ว่าพ่อกูเนี่ยสิ เขาไม่ได้ใจดีขนาดที่จู่ๆจะยอมรับใครก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยกันได้ สิ่งที่กูทำเลยเป็นการไปบอกคนที่อยู่บ้านข้างๆให้พามึงไปโรงพยาบาลแทน ส่วนกูก็ไปคุยกับพ่อเรื่องของมึงตั้งแต่วันนั้นเลย”

       “เปลว..ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้..” ผมพูดออกไปด้วยความเกรงใจ แค่นี้เขาก็ช่วยผมมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาคนอย่างผมไปเป็นภาระเลย

       “มึงอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นภาระกู..” นั่น รู้ทันอีก

       “…”

       “แต่จริงๆไม่เลยเว้ย มึงไม่ใช่ภาระเลย สำหรับกู” เปลวพูดด้วยสีหน้าจริงจังทำเอาผมประหม่าซะจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ว่า ผมน่ะ..ไม่คู่ควรที่จะไปอยู่ที่แบบนั้นหรอก..

       “ยังไงก็คงไม่ได้หรอกเปลว ..เราเป็นคนไม่ดี เรานิสัยแย่เกินกว่าจะไปอยู่กับคนอื่นได้” ผมพยายามบอกเปลวอ้อมๆ เพราะถ้าให้พูดไปตรงๆว่าผมขี้ขโมยก็กลัวว่าเปลวจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมอีกต่อไป ..แต่เอาจริงๆเปลวก็น่าจะรับรู้หมดแล้วแหละ เขาก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ไอ้สามคนนั้นมันว่าผม

        “เดี๋ยวก่อนนะ อันนี้กูไม่ได้ให้มึงเลือกนะเพื่อน”

        “…”

        “มึง ‘ต้อง’ ไปอยู่กับกู” ผมหันไปมองคนข้างๆด้วยใบหน้าที่เหลอหลาหนักกว่าเดิม นี่ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลยหรอ..

        “เปลวเผด็จการว่ะ..” ผมหันไปบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

        “กูได้ยินนะ” อ่าวเวรกรรม.. “ที่กูต้องบังคับมึงแบบนี้เพราะพ่อกูอนุญาตแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะเว้ยเทียนกว่าเขาจะยอมเข้าใจกู มึงรู้มั้ยกูต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้นกี่รอบ”

        “..เปลวทำจริงอะ..” ผมหลุดขำ คนอย่างเปลวเนี่ยนะจะนอนดิ้นเวลาถูกขัดใจ คิดไม่ถึงเลย

        “กูก็เวอร์ไปงั้นแหละ วิธีของกูคือพูดกรอกหูเขาทุกวันๆ แล้วก็ทุกครั้งที่เจอหน้า จนสุดท้ายเขาก็ยอมกู ฮ่าๆ ..ไม่รู้ว่ายอมหรือรำคาญ แต่ก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามึงต้องมาอยู่กับกู ..ตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้”

        “ฮะ? ว..วันนี้เลยหรอ”

        “วันนี้เลย เลิกเรียนแล้วไปเก็บเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นมา โอเคเปล่า”

        “…”

        “ไม่ตอบถือว่าโอเคนะ ..โอเค ตามนี้ เดี๋ยวเลิกเรียนกูไปกับมึงด้วย..ช่วยกันเก็บของ”

        สรุปแล้วเปลวก็พูดเอาเองเสร็จสรรพโดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมตอบกลับหรือโต้แย้งอะไรได้เลย..

     

       จริงๆแล้ว ผมน่ะจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นใต้สะพานลอย ..บนสะพานลอย ..ข้างถนนหรือตามป้ายรถเมล์ ผมก็อยู่ได้ทั้งนั้น แต่ช้อยส์บ้านของเปลวเนี่ย..มันไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเลยครับ ผมไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะไปอยู่กับครอบครัวเปลวได้มั้ย ผมจะเผลอทำอะไรแย่ๆลงไปหรือเปล่า ครอบครัวนั้นจะรังเกียจผมมั้ย

       แต่ขณะเดียวกันถ้าผมเลือกดั้นด้นที่จะอยู่บ้านหลังเดิมคนเดียวต่อไป ผมก็อาจจะอยู่ไม่ไหวจริงๆอย่างที่เปลวว่า การที่ผมขโมยของคนอื่น ผมต้องเปลี่ยนที่ขโมยไปเรื่อยๆไม่สามารถขโมยอยู่กับร้านเดิมๆ แหล่งเดิมๆได้ ทั้งนี้ก็เพื่อหนีไม่ให้ใครจำหน้าผมได้ แต่การเปลี่ยนที่แบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ให้มากขึ้นๆเหมือนกัน สุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงซักวันผมก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี พอถึงวันนั้นทุกอย่างก็อาจจะต้องจบลง

       การไปอยู่กับเขาคงจะเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ผมเลือกซะด้วย

       เพราะงั้นผมก็คง..ต้องไปอยู่กับเขาจริงๆแหละมั้ง



       “ไว้วันไหนว่างๆจะมานอนเล่นที่บ้านมึงก็ได้นะ” เปลวบอกผมด้วยสายตาที่จ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาผมราวกับรู้ดีว่าที่บ้านหลังนั้นสำหรับผมแล้วมันสำคัญขนาดไหน ราวกับ..รู้ดีว่าบ้านหลังนั้นเป็นความทรงจำที่แสนงดงามของผม ราวกับ..เข้าใจความรู้สึกของผม..

       “ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่ช่วยผมทุกๆอย่าง ขอบคุณที่เข้าใจกันนะเปลว

       “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพื่อนกูกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติกูก็ต้องช่วยปะวะ”

       “แต่ก็อยากขอบคุณอยู่ดี ขอบคุณนะเปลว” ผมยิ้มให้เขา แต่สงสัยรอยยิ้มของผมอาจจะทำให้เขาหมั่นไส้ เขาเลยโบ้ฝ่ามือลงกระบาลผมไปทีนึง มันไม่ได้แรงมากหรอกครับ ..หัวผมโยกเลยทีเดียว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลับรู้สึกอบอุ่นใจมากกว่าจะโกรธเคืองอีกฝ่าย

       “เออๆรู้แล้ว” แล้วเขาก็เดินกอดคอผมไปแบบนั้นจนถึงห้องเรียน..





       “เทียน เป็นไงบ้างวะ ได้ข่าวว่าโดนพวกห้องบ๊วยต่อย” หนึ่งในเพื่อนในห้องถามผม

       “เจ็บดิครับ ฮ่าๆ” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะร่วน รูปประโยคการตอบกวนส้นเท้าแบบนี้ก็เปลวนี่แหละครับที่ผมซึบซับเขามา  ต้องขอบคุณเขาอีกเหมือนกันที่สอนให้ผมมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผมกล้าพูดกล้าโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างไม่กลัวถูกทำร้ายเหมือนอย่างที่เคย

        “ฮ่าๆ เออก็จริงของมึง แล้วทำไมมันมาต่อยมึงวะ มีเรื่องไรกัน” อีกฝ่ายหัวเราะร่วนไปตามผม แล้วก็ยิงคำถามต่อ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามผมกลับอึกอัก..และไม่กล้าที่จะพูดออกไป

        ‘ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์’ ‘ไอ้ขี้ขโมย’ ‘ไอ้ตุ๊ด’

        ผม..พูดออกไปไม่ได้จริงๆ..

        “ไอ้เทียนเผลอไปเหยียบขาพวกมัน พวกมันก็เลยโมโห” ทว่าเปลวกลับตอบคำถามของเขาไปแทนผมและหลีกเลี่ยงความจริงที่มันกระทบจิตใจผม..

        “แต่ก็ไม่เห็นต้องทำร้ายกันขนาดนี้ปะวะ เหี้ยสัด” ดีหน่อยที่คนที่เข้ามาถามก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีกต่อไป

       “เห็นว่าพึ่งออกจากโรงพยาบาลวันก่อนด้วยนี่หว่า ใช่ปะเทียน” เพื่อนอีกหลายคนเริ่มเข้ามารุมล้อมโต๊ะผม และถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

       “อ่า..ใช่” ผมตอบกลับ

       “โห่ สงสารมึงว่ะ แย่เลย พึ่งจะหายเจ็บแต่ก็ต้องมาเจ็บซ้ำอีก”

       “..ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”

       “ยังไงก็..หายไวๆนะเพื่อน” ผมยิ้มให้เขาเป็นการขอบคุณ ..ครั้งแรกเลยที่ได้รับคำอวยพรว่า ‘หายไวๆ’ จากเพื่อน มีความสุขจัง..



       

       ไม่นานนักเวลาก็ผันผ่านไปจนตกเย็น ผมกับเปลวเดินเลียบทางคลองมาด้วยกันเรื่อยๆท่ามกลางบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและภาพฝันในอนาคตของพวกเรา

        เราคุยกันเรื่องบ้าน ..เปลวบอกว่าบ้านเขามีเตียงนุ่มๆที่ใหญ่ถึงหกฟุต มีโซฟากำมะหยี่สีดำที่กว้างพอให้นั่งทั้งเขาและก็ผม มีทีวีจอแบนขนาดห้าสิบนิ้วติดอยู่ที่ผนัง มีอ่างอาบน้ำสีขาวเหมือนที่อยู่ในละครทีวี

        ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเจอในชีวิตจริงเลยซักครั้ง ทุกอย่างตรงข้ามกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านผมไปซะหมด         

        เปลวบอกว่าจะให้ผมอยู่ห้องเดียวกับเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลามีการบ้านจะได้ช่วยกันทำ เวลาอยากเล่นเกมก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปชวนผมจากห้องอื่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรหรอกครับ ดีซะอีกจะได้ไม่รบกวนบ้านเปลวมาก แต่คำพูดของเปลวนี่สิที่ทำให้ผมเสียสมดุล..

        ‘มึงนอนกับกูนะ’ ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่..

     

 

       “อ้าวเทียน เก็บของจะไปไหน” น้าหยวนที่เดินผ่านหน้าบ้านไปพอดีเมื่อเห็นผมกำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่ก็หยุดฝีเท้าตัวเองแล้วหันมาให้ความสนใจกับผมทันที ผมหันไปทางเธอกำลังจะตอบเธอกลับไปแต่เปลวก็ชิงตอบไปซะก่อน

       “ตั้งแต่วันนี้เทียนจะไปอยู่บ้านผมครับ” เปลวตอบน้าหยวน ซึ่งพอเธอได้ยินแบบนั้นตาเธอก็เบิกโพลงไปด้วยความดีใจ เธอยิ้มร่าออกมาอย่างมีความสุข

       …ดีใจที่ไอ้เทียนแม่งไปๆได้ซักที กูจะได้ทุบบ้านนี้ทิ้ง

       …มีความสุขที่กูจะได้มีเงินเอาไปเล่นไพ่

       นี่คงจะเป็นสิ่งที่น้าหยวนกำลังคิดอยู่แน่ๆ ...หลานปลายนิ้วตีนอย่างผมน่ะรู้ดีอยู่แล้ว



       “เทียนไปอยู่บ้านเขาน่ะ ก็อย่าไปทำข้าวของเขาพังนะ” เธอเริ่มแสร้งร่ายยาวสั่งสอนผมเพื่อแสดงเป็นน้าที่แสนดี “อยู่นู่นก็ช่วยเขาทำงานบ้าน เก็บกวาด ล้างจานให้เขาด้วยนะรู้รึเปล่า”

       “เอ่อ..บ้านผมมีแม่บ้านครับ” เปลวมองหน้าผมแล้วก็พูดออกไป

       “…แต่ถึงอย่างงั้นก็ต้องช่วยเขาทำนะเทียน เข้าใจมั้ย” น้าหยวนหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็คงสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเธอไว้ได้ดังเดิมแล้วก็แสร้งสอนผมต่อไป

       “เทียนไม่อยู่ฝากน้าดูแลบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ” เปลวพูดพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าของผมขึ้นบ่า ก่อนจะเดินออกไปรอผมข้างนอก สวนกับน้าหยวน

       “ได้จ้า” เธอรับคำ ผมหยิบของใช้ส่วนตัวอีกสองสามอย่าง และรูปภาพของแม่ใส่ลงในกระเป๋าเป้อีกใบก่อนจะสะพายมันขึ้นมา

        “น้าหยวน เทียนไปก่อนนะ” ผมบอกเธอ “..น้าหยวนอย่ายุ่งกับบ้านเทียนนะ ห้ามเอาของข้างในไปขาย แม้จะเป็นแค่เศษเหล็กเศษไม้ น้าหยวนก็ห้ามเอาไปขาย..” จู่ๆผมก็พูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่รู้ตัว คนที่ผมพูดด้วยถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม

        “ทำไมพูดแบบนั้น น้าจะเอาไปทำไม?” น้ำเสียงเธอเริ่มไม่สบอารมณ์ “พูดเหมือนกับน้าเป็นขโมยเหมือนเทียน”

        “เทียนไม่คิดจะขโมยหรอกถ้าน้าหยวนช่วยเทียนดูแลแม่ซักนิดนึงอะ!” ผมเริ่มตวาดเสียงดัง “อีกอย่าง..น้าหยวนมีสิทธิ์อะไรมาว่าเทียน น้าหยวนก็ขโมยเหมือนเทียนนั่นแหละ ตังค์เทียน หรือแม้แต่ตังค์แม่ที่เก็บเอาไว้ให้เทียนไปโรงเรียน น้าหยวนก็ขโมย!”

        “เออแล้วจะทำไม เงินที่กูเอาไปสุดท้ายแล้วกูก็เอาไปซื้อยาซื้อข้าวให้แม่มึงแดกนั่นแหละ”

        “จริงหรอน้าหยวน..จริงหรอ เทียนไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ย ถึงว่าชีวิตเทียนกับแม่ถึงได้ดีขนาดนี้ เพราะน้าหยวนช่วยไว้นี่เอง”

        “…”

        “แต่ขอโทษที ช่วยไม่ให้ตัวเองโดนผีพนันเข้าสิงก่อนมั้ยน้าหยวน”

        “ไอ้เทียน!”

        “ห้ามเข้ามายุ่งกับบ้านเทียนนะ…น้าหยวนสัญญากับเปลวแล้ว!”

        “ไปเลยนะไอ้เทียน! มึงจะไปไหนก็เลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าเลย!” น้าหยวนตวาดลั่นก่อนจะเดินออกไป ผมมองตามหลังของผู้เป็นน้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกขอบตาร้อนๆเหมือนกับน้ำตากำลังรื้นเอ่อขึ้นมา ก่อนจะส่ายหัวเพื่อสะบัดมันทิ้งแล้วก้มหน้างุดเดินออกไปด้วยใจที่แตกสลาย ..ถึงจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเป็นหลานปลายตีน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าวันนึงจะถูกน้าคนที่เป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้



       “เทียนป่ะ..ไปกัน พ่อกูอยู่ตรงสะพานละ” เปลวหันหลังกลับมาเรียกผมที่เอาแต่ยืนมองบ้านตัวเองนิ่งๆ  ..บ้านเก่าๆหลังนี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง

       ..หลายๆสิ่งที่ว่านั้นเป็นเรื่องราวที่ดีและน่าจดจำ

       ..ขณะเดียวกันหลายๆอย่างที่ว่ากลับเป็นเรื่องราวอันแสนโหดร้ายที่ไม่น่าจดจำแต่ยากเหลือเกินที่จะลืมเลือน 

       ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผมอยู่ที่นี่ มีบทเรียนชีวิตหลายบทที่ได้จากบ้านหลังนี้ ..วันนี้ผมจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างงั้นผมก็จะไม่ลืมบทเรียนที่ได้มา ..จะไม่ลืมเรื่องราวดีๆ และจะจดจำเรื่องราวอันแสนโหดร้ายเอาไว้ในความทรงจำไว้คอยเตือนตัวเองในอนาคต

        ขอบคุณบ้านหลังนี้..ที่ทำให้เทียนไขเป็นเทียนไขในปัจจุบัน





        “สวัสดีครับพ่อเปลว” ผมเอ่ยทักทายพ่อของเปลวทันทีที่แทรกตัวเข้าไปในรถ เขามองผ่านกระจกมองหลังมาทางผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

        “สวัสดี” สั้นๆแค่นั้น ส่วนเปลวก็นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกับคนเป็นพ่อเลย เราสามคนปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมต่อไปจนรถเริ่มเคลื่อนตัว

        “เห็นไอ้เปลวบอกว่าแม่พึ่งเสียงั้นหรอ แล้วญาติคนอื่นๆล่ะ ไม่มีหรอหนู” พ่อถาม

        “ครับผม ..ผมไม่เหลือใครเลย..” ผมตอบ

        “ไอ้เปลวก็เลยอยากให้หนูมาอยู่ด้วยกันสินะ”

        “…” ชายวัยกลางคนตรงหน้านิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนพ่อของเปลวกำลังสะอื้นอยู่เลย ไหล่แสนสง่าของเขาสั่นเครือไม่หยุด

        “หนูจ๋า ลุง..ขอโทษนะ..”

        “…” ผมหูฝาดหรือเปล่า.. ทำไมพ่อของเปลวถึงขอโทษผมล่ะ?

        “ขอโทษนะ...ขอโทษจริงๆ” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือมากกขึ้นราวกับรู้สึกเศร้าสลดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ขณะเดียวกันเปลวที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ผมนั่งงงงันกับอากัปกิริยาของคนๆนี้

        “ขอโทษ..ทำไมครับ..?” ผมถาม ทำไมคนดูมีภูมิฐานอย่างเขาถึงขอโทษเด็กน้อยอย่างผม..

        “ลุงขอโทษ..” จากน้ำเสียงที่สั่นเครือก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น …พ่อของเปลวกำลังร้องไห้

        “…” 

        “ลุงเป็น..เพื่อนของพ่อหนู ลุงขอโทษที่ไม่ได้ทำอย่างที่พ่อหนูขอเอาไว้..”

        “…” 

        “ลุงขอโทษ ..ขอโทษจริงๆ” ผมรู้สึกทั้งตัวชาวาบ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปว่ายังไง อะไรคือสิ่งที่พ่อผมขอ แล้ว..ผมควรโกรธใช่มั้ย.. หรือควรจะตอบกลับไปยังไงดี..

        “..ตอนที่พ่อของหนูอยู่ในคุกเขารู้ดีว่าโทษของเขาคืออะไร เขาบอกลุงว่าเมียของเขาติดโรคเขาไปแล้ว เขาบอกลุงว่าเขามีลูกอยู่คนนึง ยังเด็กอยู่เลย เขาเป็นห่วงไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปกันยังไง เพราะฉะนั้นเขาเลยฝากให้ลุงมาดูแลลูกดูแลเมียของเขาให้ด้วย”

        “…”

        “…แต่ลุงไม่ได้ทำอย่างที่เขาขอไว้”

        “…” น้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก

        “..ลุง..ไม่ได้มาดูแลหนู ดูแลแม่หนู อย่างที่พ่อหนูขอไว้”

        “…”

        “ถ้าเกิดตอนนั้น..ลุงไม่ละเลยสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของหนู หนูก็คงมีชีวิตดีกว่านี้ แม่หนูก็อาจจะไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้ ..ลุงขอโทษจริงๆ” ความรู้สึกผมว่างเปล่า แต่กลับกันในหัวผมนั้นได้จมจ่อมอยู่กับจินตนาการที่ผุดขึ้นมาในหัวเสียแล้ว

       ..ถ้าคนๆนี้ทำตามที่สัญญากับพ่อผมเอาไว้ ตอนนี้ผมคงกำลังนอนตักนุ่มๆของแม่อยู่ หรือไม่เราก็อาจจะกำลังดูละครหลังข่าวด้วยกัน มีความสุข…มีรอยยิ้ม และใช่ครับ มันคือจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง ..แต่นั่นก็..เป็นสิทธิ์ของลุงที่จะทำหรือไม่ทำสินะ..? เพราะคำขอของนักโทษที่รอวันประหารอย่างพ่อผมน่ะ..มันไม่แปลกเลยที่จะถูกมองข้ามไป

        “ลุงขอโทษจริงๆนะหนูนะ..” พ่อของเปลวยังคงร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด

        “พอแล้วพ่อ..” เปลวพูดขึ้นมา “มันผ่านไปแล้ว..ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว”

        “ลุงพึ่งรู้ว่าไม่นานมานี้แม่ของหนูเสียแล้ว ..ลุง..รู้สึกผิดจริงๆ ขอโทษนะ”

        “ลุง..คิดว่าเทียนจะโกรธลุงหรอ..” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

        “…”

        “เทียนเข้าใจลุงดี…” 

        “เทียน..”

        “อ๋อ เข้าใจแล้ว ..เปลวก็รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย ..เพราะงั้นก็เลยเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราใช่รึเปล่า..” ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกจุกๆอยู่ตรงช่วงอก ..ผมรู้สึกผิดหวังยังไงก็ไม่รู้ที่มารู้ว่าที่ผ่านมาเปลวดีกับผมเพราะ..สงสาร

        “ไม่ใช่เลยเทียน ..ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด..”

        “เทียนขอบคุณมากๆ แต่ว่าส่งเทียนข้างหน้านั้นก็ได้นะครับลุง ไม่จำเป็นต้องช่วยเทียนก็ได้ ไหนๆทุกอย่างก็จบแล้ว พ่อแม่เทียนไม่อยู่แล้ว ลุงไม่ต้องคิดจะช่วยเทียนแล้วก็ได้ครับ อีกซักพักเดี๋ยวเทียนเองก็คงตามพ่อกับแม่ไป” ผมไม่รู้จะควบคุมอารมณ์ตอนนี้ของตัวเองยังไงดี มันทั้งเสียใจ.. น้อยใจ.. ผิดหวัง และอีกๆหลายความรู้สึกปนกันมั่วไปหมดจนเผลอพูดแบบนั้นออกไป

        “เทียน..อย่าพูดแบบนี้..” เปลวหันมาหาผม น้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ นี่ผมทำให้เพื่อนของผมร้องไห้อีกแล้วหรอ แย่จริงๆเลยเทียนไข

        ฮ่าๆแต่รู้มั้ย…ที่แย่กว่าคือเพื่อนของแกเขาเป็นเพื่อนกับแกเพราะสงสารยังไงล่ะ เพื่อนที่แกรัก ที่แกไว้ใจ..เชื่อใจที่สุด เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับแกเลยเว้ยเทียนไข เขาแค่ ‘สงสาร’ เด็กกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ไม่มีที่ไปอย่างแกก็เท่านั้น

        “หรือไม่จริงล่ะ..เปลว..”

        “..ถ้าจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่มึงเลย”

        “…” น้ำตาเม็ดที่สอง สาม และสี่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกโดยอัติโนมัติหลังจากที่ได้ยินคำว่าที่เปลวพูด ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน ..ทำไมผมถึงเจ็บกับคำว่า ‘แล้วแต่’ ของเขามากมายขนาดนี้



        “หนูไปอยู่ด้วยกันนะ หนูไม่ต้องทนทรมานอยู่ตัวคนเดียวแล้ว” ทว่าพ่อของเปลวกลับไม่ปล่อยผมลงไปตามที่ผมขอ เขายังคงขับรถต่อไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ..จากที่เคยถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด ตอนนี้เราทั้งสามคนกลับถูกปกคลุมไปด้วยเสียงสะอื้น



        ใช้เวลาร่วมสิบนาทีจนสุดท้ายแล้วรถคันที่เรานั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วหน้าบ้าน คนเป็นพ่อยื่นรีโมตมากดปุ่มอะไรซักอย่างที่ทำให้ประตูรั้วด้านหน้านี้ค่อยๆเลื่อนเปิดออก ภายในประตูรั้วนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่สีขาวสะอาดตัดด้วยหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม พ่อขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถจากนั้นเราทั้งสามก็ลงมา

        “ตามสบายเลยนะหนู” พ่อของเปลวบอกผม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ผมกับเปลวเปิดหลังรถก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ออกมา เปลวช่วยผมสะพายไปใบนึงเหมือนเดิม แต่ทว่าเราสองคนยังคงนิ่งใส่กันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา



        ผมเลื่อนประตูกระจกสีหม่นให้เปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไป ..ภายในบ้านเหมือนที่เปลวบอกผมเป๊ะเลย ..ทีวีจอใหญ่ ..โซฟากำมะหยี่สีดำ ตื่นเต้นแปลกๆยังไงก็ไม่รู้แต่พอหันไปหาเปลวเพื่อที่จะเล่าความตื่นเต้นให้ฟัง ผมก็ต้องหยุดความตื่นเต้นของตัวเองนั้นซะ ..สีหน้าของเปลวเรียบสนิทไร้ความรู้สึกใดๆ

         ..ผมทำให้เปลวโกรธแล้วใช่มั้ย

        “หนูตามเปลวขึ้นไปบนห้องเลยนะ หนูอยู่ห้องเดียวกับเปลวนะลูก” พ่อของเปลวเดินมาบอกผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

        ‘เปลว รอด้วย’ อยากจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ผมก็ทำได้แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆโดยไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้



       ไม่นานนักเราก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานหนึ่ง จากนั้นเปลวก็เปิดมันออกแล้วแทรกตัวเข้าไป ผมเองก็เข้ามาตามเขาติดๆ

       ภายในห้องของเขานั้นถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรียบๆแต่ดูคลาสลิคและทันสมัย ผนังห้องสีเทาหม่น เตียงใหญ่ขนาดคิงส์ไซส์อย่างที่เปลวเคยพูดไว้นั้นถูกปูด้วยผ้าปูสีดำและชุดเครื่องนอนโทนสีดำ ตรงหน้าห้องน้ำมีโซฟาอีกตัวนึงสีดำเช่นเดียวกัน ข้างหน้าโซฟามีโต๊ะเตี้ยเป็นกระจกใส มีถุงขนม เศษซากของของเล่นอย่างเลโก้ และหุ่นยนต์กันดั้มตกอยู่ ข้างหน้าเป็นทีวี มีชุดเครื่องเล่นดีวีดีและเครื่องเกมอยู่ข้างล่าง เดาว่าคงเป็นโซนโปรดของเปลวเลยล่ะมั้ง

       “…” แต่ถึงจะเข้ามาในห้องแล้ว เราก็ยังไม่พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว สีหน้าของเปลวยังคงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเคย

       ผมไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก ผมวางกระเป๋าตัวเองก่อนจะเดินสำรวจห้องต่อ ..ถัดจากโซนโปรดของเขาแล้วก็เป็นโซนหนังสือ ตรงนี้มีโต๊ะคอม แล้วก็บุ๊คเคสสีขาวตั้งอยู่ข้างๆ บนผนังมีรูปวิวสถานที่แลนด์มาร์กตามประเทศต่างๆติดอยู่หลายรูป ทว่ามีรูปหนึ่งที่ผมติดใจ

       ผมเดินไปหารูปนั้น มันไม่ได้ถูกจัดใส่กรอบรูปเหมือนรูปอื่นๆ แล้วก็ไม่ใช่ภาพพิมพ์เหมือนรูปอื่นๆด้วย หากแต่เป็นเพียงกระดาษเอสี่ธรรมดาๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีไม้หลากหลายสีจนกลายเป็นรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนที่ดูหน้าตาคล้ายเปลว

       “กูกลับมาวาดรูปแล้ว ..อย่างที่มึงขอ” จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไปด้วย เพียงแต่ยืนดูรูปใบนั้นที่เขาวาดดังเดิม ..องค์ประกอบของภาพล้วนดูสมส่วนไปซะหมดราวกับไม่ใช่ฝีมือของเด็กม.1 อย่างเขา

       “…”

       “เพราะงั้น..มึงช่วยรักษาสัญญาด้วย”

       “…”

       “ห้ามทิ้งความฝัน”

       “…”

       “ห้ามพูดแบบในรถอีก”

       เป็นอีกครั้งที่หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลลงอาบแก้ม ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่ผม นี่ผมเผลอทำให้เพื่อนคนสำคัญของผมเสียความรู้สึกไปแล้วสินะ..

       “ขอโทษ..”

       “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” เขาตอบ ผมหันมาหาเขา แต่เขาไม่ได้มองมาผมเลยซักนิด เปลวกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “จริงๆ..ก็ถูกของมึงแล้วแหละ”

       “…”

       “ครั้งแรกเลยกูเข้าหามึงเพราะสงสาร พ่อกูบอกไว้ว่าให้เข้าหาเด็กที่ชื่อเทียนไข”

       “…”

       “แต่ก็นั่นแหละนั่นมันความรู้สึกตอนครั้งแรกเฉยๆ หลังจากนั้นกูก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่ผ่านมาของมึงเท่าไหร่ เพราะมึงก็คือมึง..อย่างที่กูเคยบอก”

       “…”

       “มึงคือเพื่อนกู เพื่อนที่เก่งมากๆที่ผ่านอะไรมามากมายหลากอย่างโดยไม่คิดยอมแพ้”

        “…”

        “มึงที่ดูอ่อนแอ แต่พอเอาเข้าจริงๆมึงกลับแข็งแกร่งมาก กูยังอึ้งอยู่เลยที่มึงนั่งมองแอลกอฮอล์ที่ราดแผลตัวเองได้โดยไม่ร้องออกมาซักแอะ ..นั่นมันทำให้กูได้รู้ว่ามึงน่ะ แข็งแกร่งมากจริงๆ เป็นเทียนไขที่แข็งแกร่งที่สุดเลย”

        “…”

        “ชีวิตมึงอาจจะน่าสงสารก็จริง แต่ขณะเดียวกันกูโคตรนับถือมึงเลยนะ ที่มึงผ่านเรื่องราวร้ายๆต่างๆมาได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้กูก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอก แต่..”

        “…”

        “เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา”

        “..สัญญา…สัญญาหรอ”

        “ใช่ สัญญา”

        “…”

        “มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก”

         “…”

         “ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข”

         “เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย”

         “…”

         “สิ่งนั้นคือ..เปลว”

         “…”

         “แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว”

         “อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ”

         “เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น..” รู้สึกเลือดสูบฉีดมาที่แก้มอย่างหนักหน่วงเหลือเกินครับ “เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี”

         “งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง”

         “…”

         “อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี” อีกครั้ง..ที่หัวใจผมเต้นถี่ระรัวไม่เป็นจังหวะ

         “ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้พูดไปแบบนั้น ก่อนหน้านี้เรายอมรับว่าเราเผลอโกรธเปลวกับพ่อไปนิดหน่อย แต่ตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว” ผมพูดไปตามตรง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆเขา

         “ขนาดโกรธนิดนึงนะเนี่ย ถ้าโกรธมากกว่านี้มึงคงเผาบ้านกูอะ” เปลวพูดติดตลก ซึ่งมันก็ได้ผลดีเลย ผมหลุดขำออกมาตามเขา บรรยากาศรอบข้างของเราตึงเครียดน้อยลงเยอะ “เออลืมไปอย่างนึง..”

         “หืม?” ผมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ

         “ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังใหม่ครับผม” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด “บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก ..บ้านหลังนี้มึงจะมีแต่ความสุข” ผมยิ้มก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่น

         “ขอบคุณนะ”



        หัวใจดวงน้อยๆของผมเริ่มผูกกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะทรงพลังมากมายขนาดนี้

        ‘คำสัญญา’ คือสิ่งที่ถูกผมไว้อยู่กับสิ่งที่เปลวบอก

        ‘ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง’

        ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ตลอดไป’ นั้นมันจะนานแค่ไหน แต่ว่า..

        …อย่าผิดสัญญานะ...เปลว








มีต่อนะคะ

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 28-11-2018 21:44:43
        เสียงอื้ออึงจากลำโพงเครื่องเสียงของทางโรงเรียนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พิธีกรที่เป็นคุณครูฝ่ายกิจกรรมดำเนินการทำหน้าที่ของเธออย่างขะมักเขม้นภายใต้เสียงเฮฮาให้กำลังใจของแต่ละแสตนเชียร์

        ‘กีฬาสี’ เริ่มขึ้นแล้ว!



        “เฮ้ยไอ้เทียน ฝากมึงยกน้ำไปให้พวกนักบอลหน่อยดิ พวกไอ้เปลวอะแหละ มันอยู่สนามหลังโรงเรียน แข่งกับสีฟ้าอยู่”

        ‘โก้’ เพื่อนคนใหม่ที่ย้ายเข้ามาตอน ม.4 เดินมาหาผมพร้อมด้วยกระติกน้ำที่เต็มไปด้วยมวลน้ำที่หนักโคตรๆ

        “เออได้ๆ” ผมรับคำก่อนจะผัดเปลี่ยนหน้าที่จากไอ้โก้มาแล้วเดินไปที่สนามหลังโรงเรียน  บรรยากาศวันนี้ครึกครื้นมากครับ หลายคน..ไม่สิ ทุกคนเลยต่างหาก.. ทุกคนวุ่นวายกันไปหมดเลย โดยเฉพาะ ม.5 ที่เป็นชั้นปีของผม ทั้งงานหนัก งานหยาบ งานช้างก็ตกที่ ม.5 เรียกได้ว่า ม.5 เนี่ยเป็นทุกอย่างให้กีฬาสีแล้วจริงๆ เราต้องแบ่งคนไปดูทั้งหลีด ทั้งแสตนเชียร์ แล้วก็กีฬา ซึ่งผมกำลังจะไปดูกีฬา

         วันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชาย ม.ปลาย ระหว่างสีม่วงกับสีฟ้า ..ห้องผมอยู่สีม่วงครับ กำลังแข่งอยู่กับพวกห้องสิบสองที่อยู่สีฟ้า เห็นมีคนบอกว่าค่อนข้างดุเดือดเลยทีเดียว โกล์ฝั่งของสีฟ้านี่แน่นหนามาก งานหยาบไปเลยสิครับสีม่วงเรา..

         “ตรงนี้ไอ้เทียน!” ใครคนหนึ่งที่อยู่สีม่วงเหมือนกันเรียกผมให้เอาน้ำไปวางตรงนั้น ผมก็เดินไปตามที่เขาเรียกนั่นแหละครับ แต่สายตาผมนี่ไม่ค่อยจะได้มองทางเท่าไหร่เลย มองไปในสนามอย่างเดียว..

         ..เปลวในชุดนักบอลสีม่วงเบอร์ 18 กำลังวิ่งไล่ตามลูกหนังอย่างตั้งอกตั้งใจ เหงื่อของเขาโชกตัวจนเสื้อแนบไปกับแผ่นหลัง ทรงผมของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชื้นดูยุ่งเหยิงคล้ายกับหนวดปลาหมึก แต่ไม่รู้เหมือนกันทำไมผมถึงคิดว่าเขาเท่มากเลย

 

         ปั่ก!

         ครับ มัวแต่เดินดูนักกีฬา เดินชนเสาไปดิ

         “เอ้าไอ้ควาย55555” เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นมาจากเพื่อนๆคนอื่นๆที่อยู่สีเดียวกัน ผมได้แต่หัวเราะแก้เขินลูบหน้าผากที่ดูเหมือนจะปูดโนขึ้นมาป้อยๆ ก่อนจะเดินมาที่ที่เขาบอกแล้ววางกระติกน้ำลง



         ผ่านมาจะห้าปีแล้วครับที่ผมเป็นแบบนี้ …เดินชนนู่นชนนี่มั่วไปหมดไม่ยอมดูทาง ..บางครั้งก็เหม่อไม่สนใจเพื่อนคนอื่นจนเพื่อนต้องป้าบกลางหัวแรงๆถึงจะรู้สึกตัว แล้วก็ชอบมาป้วนเปี้ยนแถวสนามบอล ค่ำมืดแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน

         ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคนเดียวเลยครับ..

         คุณเปลวนั่นแหละ!



         ผมเดินชนเสา ..เดินชนผนัง ..เดินชนต้นไม้ ก็เพราะมัวแต่มองเขา

         ที่เหม่อจนโดนป้าบกลางกระบาลก็เพราะมัวแต่คิดถึงเขา

         ที่มาสนามบอลมาดูนักบอลซ้อมจนมืดค่ำก็เพราะเขาอีกตามเคย ถึงผมจะไม่ชอบฟุตบอลเลยก็เถอะ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นชอบและได้สมัครเป็นนักฟุตบอลลงแข่งกีฬาสีแบบนี้แล้ว ..ผมก็คงต้องชอบมัน

         ส่วนที่มารอจนมืดค่ำก็เพราะว่าต้องกลับบ้านพร้อมกัน ผมต้องรอเขาซ้อมเสร็จถึงจะได้กลับ เปลวเคยไล่ให้ผมกลับไปก่อนเหมือนกันนะแต่ว่าผมเองก็ห่วงเขาไง กลับค่ำเกินหกโมงแบบนี้เรียกว่าเถลไถล เมื่อเถลไถลแล้วก็จะมีแต่อันตรายทั้งนั้น ผมเชื่อแบบนั้นเพราะแม่ผมสอนมาแบบนี้

         นั่นผลพลอยได้ครับ จริงๆก็คืออยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากๆแค่นั้นแหละ



         ห้าปีแล้วล่ะครับที่ผมเป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่คิดว่าในใจลึกๆผมก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีอยู่แล้ว

         ผมชอบเปลว ..นี่แหละครับที่ผมรู้สึกมาตลอด



         “เทียนน้ำๆๆๆๆ ไอ้เทียน!” นั่น ผมเผลอเหม่ออีกแล้วครับ ฮ่าๆ

         “เออๆ แข่งเสร็จแล้วหรอวะ” ผมถาม เมื่อเห็นนักกีฬาคนอื่นๆเริ่มทยอยมาตรงที่ที่ผมอยู่

         “เสร็จแล้วไอ้ควาย เราแพ้”

         “อ่าว กูพึ่งมาได้ไม่นานเสร็จแล้วหรอวะ ไวสัดเลย” สกิลการพูดของผมพัฒนาขึ้นแล้วครับ จาก Lv. หน่อมแน้มเทียน เป็น Lv. หยาบสถุนเทียน ไม่ต้องสืบนะครับว่าพัฒนามาจากใคร

         “ไวกับผีอะดิ มึงหลับในหรอวะไอ้สัด กูฮาว่ะ เด๋อจริงๆเลยมึงเนี่ย” ผมเกาหัวแก้เขินอีกรอบ ยอมรับครับว่าเด๋อจริงวอนอย่าด่าเยอะเพราะด่าไปก็เด๋ออยู่ดี

         ผมแสตนบายแก้วน้ำตักน้ำดื่มรอนักกีฬามาเอาไปดื่ม ซึ่งก็เริ่มทยอยมาหยิบกันแล้วแหละครับ เหลือแต่คุณเปลวกับเดอะแก๊งของเขาอีกสองสามคนที่มัวแต่ยืดเส้นยืดสาย บางคนก็นอนราบไปเลยครับ ส่วนเปลวนั้นแลบลิ้นเป็นหมาหอบแดกเลยครับ โคตรฮา

         “เปลว เอาน้ำเปล่า เดี๋ยวกูเอาไปให้!” ผมตะโกนบอกเขา คุณเชื่อปะว่าเขาต้องเล่นมุข

         “เออกูเอาน้ำเปล่า ไม่เอากาแฟ ไม่เอาชาเขียว” นั่นไงครับ เทียนไขคนนี้ไม่เคยเดาผิดเลยถ้าเป็นเรื่องไอ้คุณเปลว

         ผมยกน้ำใส่ถาดมาหลายแก้วก่อนจะเดินมาหาเขา ที่ใส่มาหลายแก้วไม่ใช่จะเอามาให้เดอะแก๊งเขาดื่มหรอกนะครับ จริงๆเอามาให้เปลวคนเดียวฮ่าๆ ล้อเล่น

         “โต้ แม็ก ไอ้เท็นเอาน้ำเปล่า กูเอามาให้ หยิบเลยๆ” ผมตะโกนเรียกนักกีฬาคนอื่นๆมาหยิบน้ำ

         “ไรวะเรียกคนอื่นไม่เห็นมีไอ้เลย ทำไมเรียกกูมีไอ้อะ ลำเอียงว่ะเทียน กูนอยด์” ไอ้เท็นพูดติดตลก เอาจริงๆไอ้เท็นนี่ผมสุภาพกับมันไม่ได้จริงๆครับ สุภาพแล้วตลกมาก เชื่อว่าน่าจะเคยเป็นกันนะครับกับอาการที่ประมาณว่าคนๆนี้แม่งต้องหยาบใส่  ส่วนคนๆนี้หยาบใส่ไม่ได้ต้องภาษาดอกไม้เท่านั้น

          “โอ๋เอ๋นะที่รัก” ผมเดินเอาแก้วน้ำไปง้อมัน

          “ดีมากค่ะป๋าของหนู” และมันก็ทำท่ากวนตีนเหมือนน้องเบอร์ตองในตู้กระจก

          “ฟัคยูค่ะน้องส้ม” ผมชูนิ้วกลางใส่น้องส้ม ..ชื่อในวงการของไอ้เท็นมันอะ ก่อนจะเดินกลับมาหาเปลวเหมือนเดิม

          “เป็นไงมึง เหงื่อโชกเชียว” ผมถามไถ่อย่างเป็นห่วง เอาจริงๆนี่แยกไม่ออกแล้วว่าพึ่งเล่นบอลหรือพึ่งอาบน้ำ

          “แอมฟายแต๊งกิ้ว” และมันตอบ สีม่วงมีใครปกติไหมวะเอาดีๆ

          “แซดปะที่แพ้” ผมถามต่อ

          “แอมโซแซดเลยพี่ครับ ไอ้เวรเอ้ยประตูสีฟ้าแม่งเก่งสัดเลย ขนาดยิงลูกโทษกูยังยิงไม่เข้า”

          “มึงกากเองเปล่าเปลว” ผมกวนตีนไปหนึ่งสเต็ป

          “เนี่ยดูดิ ไม่เคยจะให้กำลังใจกูอะเทียน เดี๋ยวนี้น้า อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมดแหละ ใช่สิ้กูมันไม่สำคัญแล้วไง” แล้วก็พบกับสเต็ปที่เล่นใหญ่กว่าของไอ้เปลว

          “สู้ๆน้า อะให้กำลังใจละ” ผมชูสองนิ้วให้ ยิ้มแฉ่งบอกมันสู้ๆก่อนจะหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว

          “มึงเฟคมากสัด” เปลวหัวเราะร่วนออกมาอย่างมีความสุข …ผมเองก็ไม่ต่าง

          โคตรมีความสุขเลย ที่ได้คุยกันเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้แบบนี้



          “มึง ไอ้กุ้งโทรมาบอกว่าให้ไปช่วยเก็บสแตน แข่งจบแล้ว” หนึ่งในสีม่วงพูดขึ้นมา ดึงเอาความสนใจของทุกคนไปซะหมด ไม่เว้นแม้แต่ผม สิ่งที่เธอพูดเหมือนกับแสงสว่างปลายอุโมงค์เลยครับ กีฬาสีสูบพลังได้จบลงแล้ว เหลือแค่เก็บข้าวเก็บของ แล้วเราก็จะกลับบ้านได้แล้ว!

          ไม่รอช้าครับ ผมรีบเดินไปที่แสตนทันที คนอื่นๆก็เดินตามผมมาเหมือนกันนะครับ แต่พวกนักกีฬาคงต้องไปเปลี่ยนชุดกันก่อน แต่อย่างไอ้คุณเปลวนี่ผมว่าแม่งควรอาบน้ำใหม่เลยอะ



          “แสตนเราชนะเว้ยมึง กูดีใจ ฮือ อุตส่าห์ทำพร็อบ อุตส่าห์คิดท่า ฮือ มันสำเร็จแล้ว ..กูดีใจ” พวกคนอื่นๆที่คุมแสตนดีใจกันยกใหญ่เมื่อผลประกาศออกมาแล้วปรากฎว่าถ้วยสแตนเป็นของสีม่วง บางคนก็ถึงกับน้ำตาไหลเลยทีเดียว ผมก็ดีใจเหมือนกันนะถึงเราจะไม่ได้กีฬาแต่อย่างน้อยเราก็ได้แสตนแหละวะ

          ผมกับคนอื่นๆกระจายกันไปพร็อบต่างๆที่ใช้บนแสตน แล้วก็พร็อบตกแต่งแสตนอย่างอื่นกันอย่างเป็นระบบ ยกเว้นคัตเอาท์ที่ทางโรงเรียนให้เอาไว้โชว์บนแสตน ..ใช้เวลาไม่นานนักสแตนก็กลับมาว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยได้อีกครั้งหนึ่ง

          มนุษย์หมีแพนด้าหลายคนเริ่มสลบเหมือดไปตรงนั้นเมื่อเก็บของเสร็จ เอาจริงๆบางคนก็ยังไม่ได้นอนเลยครับตั้งแต่เมื่อคืน เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่โคตรสูบพลังจริงๆ



        Rrrrrrrrrr

        “ฮัลโหล” ผมกดรับโทรศัพท์ก่อนจะกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้วกรอกเสียงหล่อๆของผมลงไป

        [สวัสดีจ้า กูเอง..เปลวไฟแห่งความเหี้ยมโหด วะฮะฮ่า]

        “ขอโทษนะครับ ประกันคุณก็อกก๋อยมาก ผมไม่ซื้อครับ ลาก่อน” เป็นคุณเปลวนี่เองที่โทรมา สงสัยจะเรียกให้ผมกลับบ้านแล้วล่ะมั้งครับ เขาเองก็คงจะเหนื่อย

         [สัด มึงกวนตีนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ]

         ”มีอะไรครับคุณ รีบพูดมาเลย ผมธุระเยอะนะ เดี๋ยวต้องบินไปแสดงคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศอีก”

         [จะกลับบ้านยัง]

         “มึงอยากกลับรึยังล่ะ”

         [อยากมากแบบโคตรมากเลยครับ โคตรเหนื่อย.. อยากนอน]

         “งั้นกลับเลยก็ได้” ไม่เถียงเลยครับว่าวันนี้มันเหนื่อยขนาดไหน มีอะไรเยอะแยะมากมายเลยที่ต้องทำในงานกีฬาสี แต่สุดท้ายแล้วผมกับเพื่อนคนอื่นๆก็ผ่านมันมาได้ รางวัลจากความเหน็ดเหนื่อยครั้งนี้นอกจากถ้วยรางวัลแล้วก็คงเป็นความสนุก..ละมั้งครับ

        ถึงจะเหนื่อย ..แต่ในความเหน็ดเหนื่อยนั้น พวกเราเองก็สนุกกันมากๆ ทุกๆคนต่างร่วมด้วยช่วยกัน สามัคคีกันด้วยความบ้าบออย่างสุดขีด ถึงแม้จะมีหลุดกรอบ มีปัญหาที่คาดไม่ถึงบ้าง แต่เราก็ช่วยกันแก้ปัญหาจนสุดท้ายแล้วเราก็ผ่านปัญหานั้นไป และมีความสุขกับรางวัลล้ำค่าที่ยากจะลืมเลือน

       ‘ความสนุก’ อันเกิดจากความสามัคคีของเพื่อนๆทุกคน

         [จะมาเอากระเป๋าที่ห้องคณะสีปะ กูรออยู่นี่นะ รีบมา]

         “โอเค”

         เออแต่..เอาจริงๆถ้าคุยกันดีๆแบบนี้ก็คงรู้เรื่องกันตั้งนานแล้วปะวะคุณ 







         สองเท้าของผมก้าวสลับซ้ายและขวาไปเรื่อยๆจนไปหยุดที่จุดหมายที่นัดกับคุณเปลวเขาไว้ แต่พอมาถึงห้องคณะสีที่ว่า..ผมกลับไม่เจอคุณเขาเลยแม้แต่เงา

        “เปลว..?” ผมใช้แขนข้างหนึ่งดันประตูกระจกตรงหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปด้านใน ภายในห้องค่อนข้างมืดเพราะไร้ที่ทางให้แสงเล็ดลอดเข้ามา ซ้ำด้วยสภาพที่เป็นห้องกึ่งๆห้องเก็บของ

        ใช้เวลาชั่วขณะในการเดินไปหยุดอยู่หน้าล็อกเกอร์ที่ผมเอากระเป๋ามาเก็บไว้ ..จริงๆผมคิดว่าที่เปลวพูดอาจจะหมายถึงบอกล่วงหน้าว่าจะมาเอากระเป๋าที่ห้องนี้ แต่พอเปิดล็อกเกอร์ดูแล้วกระเป๋าที่อยู่ข้างในก็มีแต่ใบของผมแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นหมายความว่า…เปลวกลับไปก่อนผมแล้วนั่นเอง

        ช่างเถอะ

        เปลวคง…เหนื่อย ..เลยอยากจะกลับบ้านไปนอนพักเร็วๆล่ะมั้ง



        พอคิดได้ดังนั้นแล้วผมจึงหยิบกระเป๋าผมออกมาสะพายแล้วหันกลับไปทางประตูเช่นเดิม



        ผัวะ!

        ..และขณะที่กำลังหันกลับมานั่นเอง จู่ๆโลกที่ผมเห็นก็โอนเอียง เซล้มจนมุมมองที่เห็นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

 

        “เงินกูเมื่อไหร่มึงจะคืน!!!!!” เสียงแข็งกร้าวตวาดลั่นพร้อมกับกระชากคอเสื้อของผมขึ้นไปอย่างรุนแรง ความรู้สึกแสบๆชาๆเกิดขึ้นที่มุมปาก

        “มึงรู้มั้ยว่านี่มันเงินแม่กู แม่กูให้ยืมมาใช้ในงานสีก็เพราะคนในห้องบอกว่าจะคืนภายในวันนี้ และใช่..ทุกคนคืนกูหมดแล้ว ยกเว้นมึงกับไอ้เหี้ยเปลว!” มือแกร่งขยำคอเสื้อในมืออย่างเดือดดาลพร้อมกับเขย่าร่างผมทั้งร่างอย่างบ้าคลั่ง ภาพตรงหน้าที่เห็นสลัวเบลอไปด้วยม่านน้ำตาแห่งความหวาดกลัว ถึงแม้จะจับจุดไม่ได้ว่าตอนนี้ข้างหน้าผมมีอยู่กี่คนแต่ก็พอจะจำได้อยู่ว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร

        “พ..พรุ่งนี้..” ผมเอ่ยอ้อนวอนด้วยเสียงแหบพร่า ..เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่กิจกรรมโรงเรียนอันมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างประสบการณ์การทำงานให้นักเรียนอย่างกีฬาภายในที่เรียกว่ากีฬาสีนั้น…ไม่ได้มีแค่ด้านที่แสนสนุกน่าจดจำ

       อีกด้านหนึ่งที่ทุกคนต่างรู้ดี.. ปัญหาล้านแปดจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาจากการสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ปัญหาจากครูอาจารย์ที่อยากได้งานละเอียดงานดีๆแต่ไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยนอกจากพูดกดดันไปวันๆ แล้วไหนจะงบประมาณโรงเรียนที่ให้มา ‘หนึ่งหมื่นบาท’ นี่อีก แค่ค่าอาหารกลางวันกับน้ำของนักกีฬาก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ถึงแม้โรงเรียนจะมีนโยบายที่เป็นข้อห้ามเลยว่าห้ามให้นักเรียนเก็บเงินกันเอง แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับทุกทางแบบนี้แล้ว ทางออกเดียวที่มีก็คือแหกข้อห้ามนั้น

       และใช่...สีของผม เราทุกคนตกลงกันว่าจะช่วยกันออก ตอนแรกเราช่วยกันคนละห้าร้อย แต่นั่นก็ยังไม่พอค่าพร็อบ ค่าคัตเอาท์ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เราจึงตกลงกันอีกครั้งว่าจะให้ใครซักคนออกไปก่อน ซึ่งคนที่ดูจะเสียสละส่วนนี้ได้โดยไม่มีปัญหาเลยก็คือ..ภูมิ คนที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ ..แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นมันแค่ระยะเดียวเท่านั้น

       ไม่นานหลังจากที่ภูมิออกเงินไปแล้วเจ็ดหมื่นหมื่น ปัญหาที่เขาเคยพูดเองว่าจะไม่มีก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ซึ่งตรงนี้ผมก็เข้าใจเขาอยู่ เลยตกลงกับคนทั้งห้องไว้ว่าจะออกเงินคืนให้มันกันคนละสามพัน ขีดเส้นตายไว้ว่าวันนี้ ทว่าทุกอย่างกลับผกผันไปหมดเมื่อทางฝั่งมนุษย์เงินเดือนอย่างพ่อเปลวก็วนเข้ามาในช่วงปลายเดือนอย่างนี้

        “ภูมิ…ใจเย็นๆก่อน คือพ่อเปลวเขายังไม่มีตังค์เลยอะช่วงนี้ รอก่อนได้ไหม..” ผมพยายามคุมสติ กลั้นใจกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก

        “กูต้องรออีกนานแค่ไหนวะ ก่อนหน้านี้ที่มีเงินทำไมไม่จ่ายอะ ทีงี้มาเรียกร้องว่ากำลังจนๆ ทุเรศปะ อย่ามาเอาเปรียบคนอื่นไอ้ควาย!” มือแกร่งที่กอบกุมคอเสื้อของผมอยู่สะบัดออกพร้อมกับออกแรงผลักอย่างรุนแรงจนศีรษะกระแทกไปกับพื้นปูน ส่วนคนอื่นๆที่มากับภูมิก็แสยะหัวเราะเยาะยิ้มอย่างสะใจ ขณะเดียวกันริมฝีปากพวกเขาก็ขยับขึ้นลงเป็นคำพูดร้ายๆส่งเสริมสิ่งที่ภูมิพูดออกมาเมื่อครู่อยู่เรื่อยๆ

        “มึงรู้มั้ยว่าการที่มึงทำตัวทุเรศๆแบบนี้มันทำให้ครอบครัวกูเดือดร้อนไอ้เหี้ย!” ภูมิลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับชี้หน้าผมตวาดถ้อยคำร้ายๆออกมาเสียงดังไปทั้งบริเวณ

         ภาพตัวผมในวัยเด็กฉายซ้ำขึ้นมาในหัว …เด็กชายเทียนไขที่มีแต่แผลฟกช้ำตามตัว ผมจำรสชาติความเจ็บปวดในตอนนั้นได้ดีและมันก็เฝ้าหลอกหลอนผมมาตลอดถึงแม้จะจางๆไปบ้าง แต่ตอนนี้...ภาพเหล่านั้นได้กลับมาชัดเจนอีกครั้งแล้ว ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าบัวในโคลนตมก็ยังเป็นบัวในโคลนตมอยู่วันยันค่ำ อย่าได้ริอาจโผล่ดอกเน่าๆไปบนผิวน้ำให้ใครได้พบเห็น เพราะไม่ว่าใครเขาต่างก็..รังเกียจ

        “ร..เราขอโทษ เดี๋ยวจะคืนภูมิแน่ๆ พรุ่งนี้นะ..พรุ่งนี้ เราสาบาน”

        “ก็รอดูแล้วกันว่ามึงจะมีพรุ่งนี้หรือเปล่า!!!” เสียงแข็งกร้าวตวาดลั่นขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้คนตรงหน้าผมไม่ได้พูดเปล่า ฝ่าเท้าหนักๆของเขากดลงที่ช่วงท้องของผมอย่างรุนแรงในขณะที่ผมไม่ทันตั้งตัว และทันทีที่ปลายรองเท้าผ้าใบสีดำของเขากระทืบลงมานั่นเอง ทั้งหมัด ฝ่าเท้า แข้ง ขา ของใครต่อใครก็ไม่รู้ก็กระหน่ำเข้าใส่ผมอย่างหนักหน่วง

        “พอแล้ว..ฮือ ยอมแล้ว ร..เราขอโทษ..” …ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ขอร้องอ้อนวอนออกไปซ้ำๆหวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดการกระทำนี้ลง แต่ก็ดูเหมือนว่า..     

        “กูเกลียดมึงไอ้เหี้ยเทียน!!” ..มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

        ที่พึ่งสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ก็คงจะมีแค่เขาคนเดียว…มีแค่เปลวคนเดียวที่จะหยุดคนเหล่านี้ได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พอจะหลงเหลืออยู่พยายามยันตัวเองขึ้นมาต่อต้านแรงหมัดแรงเท้าที่กระทำกับตัวผมอยู่



        ตุบ!

        และมันก็ล้มเหลว ปลายคางของผมกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรงจนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาในปาก แต่ผมก็ยังคงพยายามดิ้นรนต่อไป ..ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมพยายามคลานเข้าไปหาโทรศัพท์ที่ตกอยู่ไม่ไกลเพื่อหวังจะติดต่อเปลว

        “เหมือนหมาเลยนะมึง” อีกฝ่ายแค่นขำพูดออกมาหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ “ได้ข่าวว่าไปอาศัยบ้านเขาอยู่ด้วยนี่หว่า จริงๆเป็นเด็กสลัมไม่มีพ่อไม่มีแม่”

        …ผิดแผกกับผมที่รู้สึกเหมือนถูกมีดแหลมๆกรีดลงกลางใจ

        “เปลว..” ผมพูดออกไปเสียงแผ่วเบาด้วยลมหายใจที่กำลังรวยริน ภาพใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยความสุขสันต์ของเปลวปรากฎขึ้นมาในหัว เป็นพลังให้ผมพอที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกคืบจนสัมผัสกับตัวโทรศัพท์ได้สำเร็จ

        “จะโทรหาไอ้เปลวหรอ..?” แต่แล้วก็ล้มเหลวอีกครั้ง ฝ่ามือของผมที่กำลังเอื้อมไปหยิบถูกพื้นรองเท้าผ้าใบเหยียบอย่างรุนแรงราวกับจะให้กระดูกภายในแตกหักเป็นเถ้าธุลี

       ”เปลว…ป..เปลว” ผมยังคงเรียกชื่อเปลวอยู่แบบนั้นเรื่อยๆ น้ำตาเม็ดใสไหลอาบสองข้างแก้มจนโลกที่ผมเห็นพร่าเบลอไปหมด ความเจ็บปวดทุกเซลล์สัมผัสมันชัดเจนและหนักหน่วงจนผมไม่อาจขยับเขยื้อนได้

        “หึ.. ตลกว่ะ” ตอนนั้น...สิ่งที่ผมกลัวมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และสิ่งนั้นคือ ผมกลัว..กลัวที่จะไม่ได้เห็นหน้าเปลวอีกต่อไป “มึงจะรู้บ้างมั้ยวะไอ้เทียน..”

        “…” แต่ผมไม่เคยรู้เลย..

        “..ว่าที่มึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะไอ้เปลวนั่นแหละ”

        “…” ..ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดตระหนักถึงความเป็นจริง

        “ไอ้เปลวมันหนี แล้วมันก็ทิ้งมึงไว้แบบนี้ไงไอ้เทียน”

         “…” เอาแต่จมอยู่กับโลกสีสดใสในจินตนาการและภาพความฝัน หวังลมๆแล้งๆว่ามันจะเป็นความจริง

         “ไม่สิ..มันไม่ได้ทิ้งมึง”

         “…”

         “มันหลอกให้มึงมาที่นี่เลยต่างหาก เพราะมึงมันโง่!”

       

       

 

       

         

         



















           ครั้งหนึ่งผมเคยได้รู้จักเทวดาใจดี คนๆนั้นเขามักจะช่วยผมทุกเรื่อง คอยสร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะกับผมอยู่เสมอ ผมไม่เคยเบื่อเลยเวลาที่อยู่กับเขา  ..เทวดาคนนี้ช่างร่าเริง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม     

           ‘เปลว’ เขาบอกผมว่านี่คือชื่อของเขา ครั้งแรกที่เราเจอหน้ากัน จู่ๆเขาก็เข้ามาทักผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมวันนั้นเปลวถึงเลือกที่จะเข้ามาทักผม บางทีอาจจะเป็นเพราะ..โชคชะตา รึเปล่า...

       โชคชะตาที่..พัดพาเปลวไฟอย่างเขาล่องลอยมาจุดประกายเทียนไขที่มอดดับไร้แสงสว่างอย่างผม จนทำให้เทียนไขเล่มนี้..ส่องสว่างได้อย่างงดงามอีกครั้ง

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผมรู้จักยิ้มและหัวเราะ

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผมได้มีเพื่อน..อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนอย่างผมกล้าพูด กล้าคิด และกล้าที่จะใช้ชีวิตเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

       และ.. ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผม รู้จัก ‘ความสุข’  ‘ความทรงจำ’ และ ‘ความเจ็บปวด’

       



         











       

         



 

       

       



 

       

 







       

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 28-11-2018 22:21:58
 :a5:
ทำไมเปลวทำงี้อะ
แล้วเทียนไม่ใช่เพื่อนเปลวเหรอ
พูดออกมาได้ เฮงซวย!!!
เปลวอย่าได้เป็นพระเอกเลย  :beat:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 28-11-2018 22:39:35
โหหหหหหหห  Iเปลว ทำไมเป็นคนแบบนี้ เปลี่ยนพระเอกเป็นเท็นค่ะ ไม่โอเคเลย  ไม่เห็นเทียนเป็นเพื่อนเลยรึไง รึว่านอนด้วยกันทุกวันก็แอบคิดรึอะไร

ไม่เข้าใจเปลว
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-11-2018 23:47:26
ใจสลายเลยเปลวเหี้ยมากพวกเปลวเล่นสารเสพติดหรือเปล่า
ถ้าเปลวคนเดียวพอว่าแต่หลายคนแนวรุมโทรมสำหรับเรามันสกปรกต้องขอโทษนะคะที่ใช้คำนี้
ปกติรับได้ฉากข่มขื่นแต่ต้องโดนคนเดียว หรือฉากร่วมรักสามคนขึ้นไปเราไม่อ่านเลยรับไม่ได้ค่ะเสียความรู้สึกเลยเจอบทนี้จริงๆชอบเรื่องนี้คอยติดตามตลอด เฮ้อ :hao5: :ling1:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 29-11-2018 10:01:35
วันนี้จะมาอัพตอนที่4-5นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 29-11-2018 20:31:36
เฮ้ย​ อะไรอ่ะ​ ทำไม​ยังทำกับเทียนแบบนี้เปลวยังเป็นคนอยู่มั้ย​ แม็กกับโต้ยังเป็นคนอยู่มั้ย​ พอกับคนแบบเปลวเถอะโคตรสารเลวเลย​ ทำกับเพื่อนแบบนี้หรอ​ ชีวิตเทียนจะยังไงต่อไป​
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-11-2018 21:05:48
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ


หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 29-11-2018 21:37:36
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ ข่มขืนไม่มช่เรื่องที่ควรเกิดซ้ำๆ และมันไม่ควรจบที่พระเอกนายเอกรักกัน ไม่โอเคมากๆ ตอนแรกนึกว่าเปลวจะเมาแล้วมีอะไรกับเทียน แต่นี่เหมือนเดิมหลอกเทียนมารุมโทรมโอโห เชว เลวรับไม่ได้

sex harassment ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นนิยายก็ตาม
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 29-11-2018 22:28:45
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะแล้วก็ขอบคุณสำหรับคำติชมด้วยค่ะ เราขออนุญาตเก็บทุกคำพูดของคุณไว้เพื่อปรับปรุงและพัฒนางานเขียนของเราในอนาคตนะคะ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
จริงๆนิยายเรื่องนี้เราเคยลงในเด็กดีไปแล้วถึงตอนที่6 ทีนี้มีแพลนว่าจะเอามาลงในเล้าด้วย ก็เลยทยอยอัพลงให้เร็วที่สุดให้พร้อมกับเด็กดี ถ้าคุณผู้อ่านอยากรู้ว่าเนื้อหาต่อจากนี้เป็นยังไงไปอ่านในเด็กดีได้นะคะ นิยายเรื่องที่คุณเคยเจออาจจะจบแบบนายเอกพระเอกรักกัน แต่อาจจะไม่ใช่กับนิยายเรื่องนี้ก็ได้นะคะ ตัวละครทุกตัวในนิยายเรื่องใดก็ตามในไคลแมกซ์ก็ต้องมีรีเฟลกซ์ของการกระทำอยู่แล้ว และก็เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ค่ะ ตัวเปลวเองก็มีรีเฟลกซ์ของการกระทำของเขา ซึ่งอยู่ในตอนถัดๆไป อีกอย่างคือเราไม่เคยคิดสนับสนุน sex harassment ค่ะ ถ้าเนื้อเรื่องที่เรานำเสนอมีส่วนไหนที่แสดงถึงการสนับสนุนการคุกคามทางเพศเราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 29-11-2018 22:30:57
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ ข่มขืนไม่มช่เรื่องที่ควรเกิดซ้ำๆ และมันไม่ควรจบที่พระเอกนายเอกรักกัน ไม่โอเคมากๆ ตอนแรกนึกว่าเปลวจะเมาแล้วมีอะไรกับเทียน แต่นี่เหมือนเดิมหลอกเทียนมารุมโทรมโอโห เชว เลวรับไม่ได้

sex harassment ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นนิยายก็ตาม

ถ้ามีส่วนไหนของเนื้อหาที่แสดงถึงการสนับสนุน sex harassment เราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่ตัวเราเองไม่เคยคิดที่จะสนับสนุน sex harassment เลยค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-11-2018 22:43:08
เครียด รอภาคมหาลัย เทียนจะเข้มแข็งได้รึเปล่า ขออ่านผ่านๆ หน่วงจิตหน่วงใจเกินไป นิยายนะนิยาย
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 6 : 06 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 29-11-2018 23:28:08
ไปตามอ่านในเด็กดีมาแล้วนะคะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทั้งตัวไรท์เองและตัวละครทุกตัวด้วย   :mew1:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 6 : 06 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Opolniscute ที่ 30-11-2018 01:20:00
ฮือออออ สนุกมากกกก  อ่านไปน้ำตาไหลไปติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 6 : 06 เปลวเผาเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 30-11-2018 03:03:15
 :katai1: แค่ชิวิตปกติก็ดราม่าแล้ว ถ้าต้องแตกกับใหม่เพรทะผู้ชายอีกนี่....ปวดตับมากเลย
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-12-2018 03:45:49
 o22 ดราม่า ทุกข์หนัก ให้มันตายกันไปเลย
กระอักเลือดดดด :jul1:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 01-12-2018 12:33:01
อ่านแล้วจิตใจอ่อนแออย่างแรง
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 01-12-2018 13:59:38
หนักหน่วงกระอักเลือดตายกันไปปข้างงงง  :sad4:  :o12:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 01-12-2018 19:03:21
น้ำหนักมันก็ยังไม่มากพอที่จะให้เทียนมาเจอแบบนี้​ แล้วทำไมพ่อไอ้เด็กเหี้ยพวกนั้นต้องอัดเสียงแล้วแล้วเอามาให้ลูกมาต่อรองกับคนอื่นแบบนี้ได้ด้วยหรอ​ แล้ว​ครั้งที่2​ เกิดจากอะไร​ แล้วเปลวไปโดนใครตีหัวมาจนความจำเสื่อมรึป่าวคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 17:42:11
04
เปลวเผาเทียน




       แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าเริ่มถูกกัดกินไปทีละเล็กทีละน้อยจนท้ายที่สุดแล้วก็มืดมิดไร้แสงสว่าง เสียงเม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายจากภายนอกดังเคล้าคลอเป็นเพื่อนกับหยาดน้ำตาที่กำลังไหลริน ภายในห้องเก็บของช่างเงียบสงัดหากแต่เสียงร่ำไห้ในใจนั้น...ดังระงมอย่างทรมาน

       ทันทีที่คนเหล่านั้นพอใจกับสิ่งที่ได้กระทำ พวกเขาก็ลาจากไป หลงเหลือไว้ก็แต่บาดแผลทางกายที่ม่วงช้ำหลายบริเวณ และบาดแผลทางใจที่แตกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

       เทียนไขไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทั้งหมดที่เขาทำได้มีแค่นอนให้ความเจ็บปวดทรมานกลืนกินตัวเขาต่อไป

       ‘ไม่เป็นไรหรอก…เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว’ เทียนไขนึกปลอบใจตัวเองอยู่แบบนี้ซ้ำๆ สายตามองไปที่ประตูกระจกอย่างเลื่อนลอย ได้แต่หวังว่าอีกไม่นานมันจะถูกเปิดออก เปลวจะกลับมาหาเขา แล้วก็จะ…กลับ ‘บ้านของเรา’ ด้วยกันเหมือนทุกวัน

 

       เวลาผันผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เทียนไขตัวสั่นเครือในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพในวัยเด็กฉายขึ้นมาในหัวซ้ำๆ

       ‘พ่อ อย่าทำแม่ อย่า.. เทียนขอร้อง’ เด็กน้อยคนหนึ่งพยายามเว้าวอนต่อผู้เป็นพ่อเพื่อให้หยุดการกระทำอันโหดร้ายกับแม่ของตนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ แต่ก็ใช่ว่าพ่อของเขาจะยอมฟัง การกระทำอันรุนแรงและป่าเถื่อนยังถูกดำเนินต่อไป เป็นความสุขทางใจของผู้เป็นพ่อที่เกิดขึ้นบนความทุกข์ทรมานของคนอื่น



       เด็กหนุ่มจำภาพนั้นได้ไม่มีวันลืมเลือน และวันนี้โลกอันแสนโหดร้ายก็นำพาให้เด็กหนุ่มคนนี้พบเจอสิ่งเดียวกันกับที่แม่เขาเคยเจอ

       เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นแม่ของเขาถึงทำได้แค่ร้องไห้

       เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเขาในวันนั้นถึงไม่เป็นผลใดๆ

       เขาและแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมจำนนต่อโชคชะตา ..ต่อให้ดิ้น ต่อให้ดื้อรั้น ก็ใช่ว่าคนใจร้ายที่เป็นผู้กระทำนั้นจะหยุด



        “…” การรอคอยมันทรมานขนาดไหนเทียนไขได้รู้แล้วในวันนี้ ..แม้ว่าผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน รอบกายของเขาก็ยังคงมีแต่ความเงียบเหงาและว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่เลยแม้แต่เงา

       ครั้งนึง..เทียนไขเคยเชื่อว่าเปลวคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขาแล้วจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความรู้สึกใดๆเปลวล้วนให้เขาได้ทุกอย่าง เชื่อ..จนขนาดที่ว่าไม่เคยคิดเผื่อใจไว้เลยว่าวันนึงจะถูกหลอกลวง ถูกหักหลังแบบนี้

       “…” และเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียวว่าทำไมน้ำตาถึงต้องไหลออกมาไม่หยุด

       เขารู้…เขารู้ดีว่าสำหรับเปลว ตัวเขานั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน เสียงอันน้อยนิดของเขามันไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว

       สิ่งที่ภูมิชี้หน้าด่าเขามันก็ไม่มีข้อไหนที่สามารถแย้งไปได้เลย ..เขามันก็แค่เด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่คนหนึ่งที่ดั้นด้นตัวเองอยากจะได้อยากจะมี ก็..สมควรแล้วล่ะมั้งที่ตัวเขาต้องมาพบจุดจบแบบนี้ ทั้งหมดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น ทุกๆอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง เขาผิดเอง..

 

        ..ผิดที่โง่ไปรักคนอย่างเปลวอย่างสุดหัวใจ

       











































       ‘เทียน เป็นอะไรลูก กลัวหรอจ๊ะ’

       ‘ฮือ..แม่ เทียนกลัว..’

       ‘โอ๋ มานี่มา มาอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของแม่มา’

       ‘…’

       ‘ดีขึ้นมั้ยลูก? แค่นี้พ่อก็มาทำร้ายลูกไม่ได้แล้ว’



       ภาพเด็กน้อยวัยประถมที่หวาดกลัวหมัดและเท้าหนักๆของผู้เป็นพ่อวิ่งร้องไห้เข้าไปหาแม่ฉายซ้ำขึ้นมาในหัว

       ผู้เป็นแม่เห็นลูกรักตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัวจึงอ้าแขนดึงลูกน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมอก ใจจริงของเธอไม่ใช่แค่ปลอบให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้เท่านั้น หากแต่การกอดแบบนี้ก็เคยป้องกันลูกรักของเธอไม่ให้ถูกทำร้ายได้แล้วจริงๆ

       เธอใช้ร่างกายบอบบางของเธอเพื่อปกป้องลูกรักในอ้อมกอด ถึงแม้จะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็จะไม่มีทางให้ลูกน้อยต้องเจ็บไปกับเธอด้วยแน่ๆ

       ผู้เป็นแม่ลูบหัวเด็กน้อยพร้อมกับเอียงตัวไปซ้ายขวาเพื่อปลอบประโลมลูกรักไปทั้งน้ำตา

       ‘ไม่เป็นไรนะเทียนนะ..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’





       เทียนไขกอดตัวเองแน่นแล้วลองเอียงตัวไปซ้ายขวาเหมือนตอนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดแม่

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เขาบอกกับตัวเองซ้ำๆ เป็นแบบนั้นอยู่เนิ่นนานจนแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามา กระบวนการคิดของเขาจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง



       โชคชะตาก็ยังคงเล่นตลกอยู่กับคนเจ็บเจียนตายอย่างเทียนไขต่อไป แสงตะวันกลับมาสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ทว่าภายในห้องนี้ก็ยังคงเงียบสงัดอยู่เช่นเดิม ใช่แล้ว…วันนี้วันหยุด เพราะฉนั้นแล้วความหวังอันริบหรี่ว่าจะมีคนผ่านมาเห็นแล้วให้ความช่วยเหลือก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

       เทียนไขไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฝืนลืมตาต่อ ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องบังคับให้เขาต้องนอนตัวงออยู่แบบนั้นด้วยความเหนื่อยเพลีย ซ้ำร้าย…บางส่วนของร่างกายชาดิกจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

       เขาอยากจะหลับ อยากจะหลีกหนีจากความเจ็บปวดทรมานที่กำลังได้รับ แต่ก็ทำไม่ได้…จนถึงตอนนี้แล้วเทียนไขก็ยังคงรอเปลวอยู่เช่นเดิม ยังคง..อยากจะเห็นใบหน้าของคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจอีกซักครั้ง 

       ก่อนจะ…หลับตาลง

       แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย





       “เฮ้ย!” เสียงใครคนหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท ใครกัน? เปลว..เปลวหรือเปล่า?

       ..แขนของใครคนนั้นสอดเข้าไปใต้ร่างของคนเจ็บอย่างเทียนไขก่อนจะพยุงขึ้นมาด้วยความร้อนรน

       “เปลว..” ดวงตาที่ปูดบวมของคนเจ็บปิดสนิท ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าเจ้าของอ้อมแขนนี้ แต่เทียนไขก็เชื่อว่าคนๆนี้ต้องเป็นเปลวอย่างแน่นอน ..คิดได้แบบนั้นแล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลก็คลี่ยิ้มอันแสนหวานเหมือนทุกครั้งออกมา



       “เปลว..เราจะกลับบ้าน..กันแล้ว ใช่มั้ย..?” กลับบ้านของเรา..บ้านที่เปลวบอกว่าจะมีแต่ความสุข..

       “…”

       “เรารอเปลว..มานานมากเลย..รู้มั้ย” คนเจ็บยังคงพูดจ้อไม่หยุดด้วยความดีอกดีใจ หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวของเขากลับมาพองโตอีกครั้งอย่างง่ายดาย

       “…” อีกฝ่ายผู้เป็นเจ้าของอ้อมแขนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ยังคงพยุงเทียนไขเดินออกไปจากห้องนี้อย่างยากลำบาก

       “เรา..รักเปลวนะ..” จู่ๆเทียนไขก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยพร้อมกับน้ำตาเม็ดใสไหลระรินพาดผ่านข้างแก้ม ริมฝีปากที่สั่นระริกพยายามเม้มเข้าหากันเพื่อกลัดกลั้นความตื่นเต้นและความเศร้าโศกในใจ แต่เพราะตอนนี้เขาอยากให้เปลวได้รู้ความรู้สึกของเขา ฉนั้นแล้วถึงคำว่า ‘รัก’ ของเขามันจะทำให้ตัวเขาเองเจ็บปวด เขาก็จะพูดออกไป แม้ว่า..

       “เดี๋ยวลุงพาไปส่งโรงพยาบาลนะ”

       ..สิ่งที่เขาต้องการสื่อออกไปทำได้แค่ในโลกของความฝันอันแสนหวานก็ตาม





















       “ไม่ไปครับ”

       “ทำไมล่ะหนู สภาพหนูแย่มากเลยนะ” ..ผ่านไปร่วมชั่วโมงที่คุณลุงภารโรงพยายามเกลี้ยกล่อมเทียนไขให้ไปโรงพยาบาล ไม่ว่าจะทำยังไงเจ้าตัวก็ยังยืนกรานคำปฏิเสธคำเดิมว่าจะไม่ไปโรงพยาบาล

       “ไม่ไปครับ” ริมฝีปากที่แห้งแตกมีรอยเลือดคลี่ยิ้มตอบปฏิเสธอย่างมีมารยาท ดวงตาที่เคยปูดบวมถูกประคบบ้างแล้วจึงทำให้พอมองเห็นโลกภายนอกได้บ้าง “ขอบคุณลุงมากๆที่มาช่วยผมเอาไว้”

       “งั้นเดี๋ยวลุงโทรหาพ่อแม่ให้มารับให้นะ ขอเบอร์หน่อย..” คุณลุงภารโรงยังคงจ้องมองมาที่คนเจ็บด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่สภาพร่างกายของเด็กน้อยคนนี้ที่ดูแย่จนเขาแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่ายังมีชีวิตอยู่ ซ้ำด้วยความดื้อดึงของเจ้าตัวที่ตัวเขาเองไม่อาจไปบังคับขู่เข็ญอะไรได้

       “..ผมไม่มีพ่อแม่หรอกครับ”

       “…” คำตอบที่เขาได้ทำเอาเขาพูดไม่ออก “งั้นเดี๋ยวลุงโทรหาครูประจำชั้น..”

       “ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้..ผมแค่อยากกลับบ้าน” แค่..อยากกลับไปเจอหน้าใครคนนั้นที่เขารัก

       “เอาแบบนั้นหรอ..?”

       “ครับ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

       “งั้นเดี๋ยวลุงเรียกแท็กซี่ให้ มีเงินไหม? เอาเงินลุงออกไปก่อนก็ได้นะ”

       “ขอบคุณครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณลุงเลย”

       “กลับถึงบ้านให้ผู้ปกครองพาไปหาหมอด้วยนะหนูนะ”

       “ครับ” เทียนไขเอ่ยตอบ กัดฟันทนความเจ็บที่ช่วงท้อง ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองเดินออกไป



























      …ขณะที่แสงเทียนกำลังส่องสว่างนั้น

      น้ำตาเทียนก็เริ่มละลายเช่นกัน














       ท้องฟ้าสีวานิลาอันได้ชื่อว่าเป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดกำลังไล่เรียงเฉดสีอย่างสวยงามอยู่บนฟากฟ้า ประจักษ์สู่ดวงตาที่ฉายแววความเจ็บปวดอยู่ทุกขณะของเทียนไข เขาเงยขึ้นไปมองเบื้องบน พร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะแตะต้องท้องฟ้า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในบ้านหลังที่จะมีแต่ความสุข





       “อ้าวไอ้เทียน ไปไหนมาทำไมไม่กลับบ้านเมื่อวาน” และทันทีที่เขาเลื่อนประตูกระจกสีหม่นหน้าบ้านออก คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดก็เอ่ยทักอย่างดุดันทันที “เหลวไหลนะมึงอ่ะ”

       “…” เทียนหันไปสบตากับคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอรู้ตัวว่าน้ำตากำลังจะไหลก็เลยเบือนหน้าหนีมาอีกทาง …นี่ใช่มั้ย คำทักทายคำแรกของคนที่เคยพูดนักพูดหนาว่าเป็นห่วงกัน?

       “แล้วนี่ไปโดนอะไรมา ไปหาเรื่องใคร”

       “…” ..นี่ใช่มั้ย สิ่งที่เขาเฝ้าทนอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดทั้งวันทั้งคืน เขาอดทนรอเพื่อมาเจอแบบนี้..ใช่มั้ย?

       “เป็นอะไรทำไมไม่ตอบกู”

       “…” ..ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ไม่มีแม้แต่คำอธิบาย

       “เทียน มึงโกรธอะไรกูมึงก็แค่พูดออกมา อย่ามาทำหน้าแบบนี้ กูเป็นห่วงเนี่ยกูเลยถาม”

       “…” เทียนไขแค่นยิ้ม ก่อนจะเดินขึ้นห้องไป ..มันก็ตลกดี ที่เขาเคยเชื่อคำว่า ‘เป็นห่วง’ ของเปลว ทั้งๆที่มันไม่เคยมีความจริงผสมอยู่เลย

       “ตามใจมึงนะ กูไม่สนละ” เสียงของเปลวดังตามหลังขึ้นมา ทำเอาขาที่กำลังก้าวขึ้นบันไดต้องหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอฉุกคิดได้ถึงความเป็นจริง สุดท้ายเขาก็เดินขึ้นบันไดต่อ



       จริงๆ…เปลวก็ไม่เคยสนใจกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นะ..?















       …ภายใต้ห้องนอนสีเทาหม่นห้องนี้ เคยมีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นมากมายระหว่างเทียนไขและเปลว ทุกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเทียนไขยังจำมันได้ดีเสมอมา

        ที่โซนทีวี..พวกเขาเคยเล่นเกมด้วยกัน บางวันก็ดูหนังกันดึกดื่นจนพ่อเปลวเข้ามาด่า แต่พอพ่อเปลวออกไป พวกเขาก็ดูต่อเหมือนเดิม จนสุดท้ายแล้วก็ผล็อยหลับกันไปทั้งคู่ พอเช้าถึงพึ่งรู้ตัวว่าทั้งเปลวทั้งเทียนไขต่างก็กอดกันกลม

       ที่ตรงนั้น พวกเขาเคยแอบเอาข้าวขึ้นมากินด้วยกัน

       ระเบียง..เปลวเคยขอให้เทียนไขนั่งเป็นแบบให้เขาวาดรูปอ้างว่าจะเอาส่งครู แต่พอวาดเสร็จรูปนั้นก็ไม่ได้เอาไปส่งครูคนไหนเลย แต่กลับติดอยู่บนหัวนอน

       พวกเขาเคยตื่นสายกันทั้งคู่จนต้องเลือกที่จะอาบน้ำด้วยกัน แต่สุดท้ายก็สายอยู่ดีเพราะมัวแต่แกล้งกัน

       ..เคยโกนหนวดให้กันเพราะกระจกแตก

         ..เคยปลอบใจกัน อยู่เคียงข้างกันไม่ว่าร้อนหรือหนาว   

       เคย…มีความสุขกันมากๆ

       แต่ตอนนี้ มันคง…ไม่มีอีกแล้ว





       สิ่งที่เหลืออยู่..สำหรับเปลวก็คงจะมีแต่ความขุ่นมัวของอารมณ์ เขาไม่เข้าใจเทียนไขเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรผิด เพราะอะไรถึงมองกันด้วยสายตาแบบนั้น

       และสำหรับเทียนไข…สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ตัวเขา ความทรงจำทุกเรื่องที่ผ่านมา และเสียงร้องไห้อย่างหนักหน่วงที่ดังระงมอยู่ทั่วบริเวณ

       “เทียน ลงไปกินข้าว” นานร่วมชั่วโมงที่เทียนไขขึ้นมานั่งกอดเข่าอยู่บนห้องคนเดียวเพื่อปลดปล่อยความเศร้าโศกที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ แต่ว่าก็คงจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว ..น้ำเสียงนุ่มๆเมื่อครู่ เทียนไขรู้ดีว่าคือเสียงของใคร

       “มึงร้องไห้หรอ?” ครู่หนึ่งหลังจากที่เปลวเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเทียนไขแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนก้อนเนื้อในอกกำลังถูกของมีคมเสียดแทงก็เกิดขึ้นกับตัวเขาจนเขาทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่เอ่ยถามออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

       “…” เทียนไขหันไปตามต้นตอของเสียง เขาจ้องมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นโดยไม่ละสายตา หากเป็นก่อนหน้านี้แค่เพียงเผลอสบตากันรอยยิ้มแสนหวานก็คงเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกต่อไป

       “..ไปกินข้าวเถอะเทียน กูรู้ว่ามึงหิวแล้ว” เปลวพยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วคุมน้ำเสียงให้ปกติดังเดิม

       “…” ..ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับเขามาเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วเปลวจึงทำได้แค่ถอนหายใจแล้วเดินออกไป



       “อะกูเอาขึ้นมาให้” แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนเปลวอยู่ตลอดเวลา ไม่นานนักเขาก็กลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับถาดสีน้ำตาลอันมีจานกระเบื้องใส่ข้าวสวยร้อนๆอยู่พูนจานหนึ่งใบ และแกงเขียวหวานของโปรดเทียนไขในชามกระเบื้องใบโตอยู่อีกหนึ่งใบ

       เปลวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไข เขาวางถาดลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน..

       “กินซะ!” ยอมรับว่าตัวเขาตอนนี้เริ่มที่จะหมดความอดทน เปลวไม่ชอบคนงี่เง่าที่โกรธอะไรก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ทว่าถึงเปลวจะใช้น้ำเสียงที่ดุดันแค่ไหนก็ตาม เทียนไขก็ยังจ้องมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอยู่ดังเดิม

       “…” แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเหมือนอย่างเคย เทียนไขละสายตาจากเขา ก่อนจะก้มลงแล้วหยิบจานข้าวขึ้นมาพร้อมกับชุดช้อนส้อม เปลวเห็นดังนั้นก็เลยใจชื้นขึ้นมาบ้าง รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นที่มุมปากของเขาเมื่อเห็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขายอมทำตามอย่างว่าง่าย

       ‘ไม่.. มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น’ ..คิดหรอว่าเทียนจะยอมให้รอยยิ้มนั่นได้เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนอย่างเปลว?



       เพล้ง!

        ..เทียนไขลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมจานข้าวที่อยู่ในมือ ก่อนจะปล่อยให้มันร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนจานกระเบื้องตกกระแทกกับพื้นห้องแตกละเอียด เม็ดข้าวสวยกระจัดกระจายทั่วพื้น

       “ไอ้เหี้ยเทียน!” น้ำแกงเขียวหวานร้อนๆกระเด็นโดนตัวของคนที่กำลังนั่งอยู่อย่างเปลว จนเส้นความอดทนที่เขาพยายามอดทนอดกลั้นมาตลอดขาดสะบั้นลง

       “มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้สัด!!!!!” เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักเทียนไขที่กำลังไร้สติออกไปจนอีกฝ่ายล้มลงกับพื้น ซ้ำร้ายศีรษะอันบอบบางของเขาก็กระแทกกับขอบเตียงจนของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกมา

        “…” น้ำตาเม็ดใสของเทียนไขดูท่าจะไหลรินออกมาอีกแล้ว..

       “ไม่อยากแดกข้าวบ้านกูมึงก็ออกไป ออกไป๊!” เรียวนิ้วชี้ชี้กราดมาที่คนที่กำลังนอนกองอยู่กับพื้น เปลวตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล เขาสาดพ่นถ้อยคำร้ายๆออกมา โดยไม่คาดคิดเลยว่า..

       “เปลว..ทำแบบนี้ทำไมหรอ” ความรู้สึกคนฟัง…จะเป็นอย่างไร

       “ทำ? กูทำอะไร มึงต่างหาก มึงเป็นอะไรของมึง”

       “จนถึงตอนนี้..เปลวก็ยังไม่คิดที่จะอธิบายใช่ไหม?”

       “คือเหี้ยไร กูทำไรให้มึง…มึงพูดสิไอ้สัด มึงไม่พูดกูจะรู้มั้ยไอ้ควาย!”

       “โอเค จริงๆแล้ว...เปลวอาจจะไม่ได้ทำอะไรหรอก..” สุดท้ายแล้วเทียนก็ไม่สามารถต้านทานหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาได้อีกต่อไป เขารวบรวมเศษเสี้ยวความรู้สึกในหัวใจเอามาปะติดปะต่อกันให้พอเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาอีกครั้งแล้วกลั่นออกมาเป็นถ้อยคำให้เปลวได้รับรู้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นถ้อยคำที่ทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวดถ้าต้องพูดออกไป...  “มัน..ผิดที่เราเองนั่นแหละ”

        “…” เทียนไขรวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่พยุงตัวเองขึ้นมา ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเปลวอีกครั้ง

        “…เราขอโทษที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเปลวจนทำให้เปลวต้องรู้สึกรำคาญ”

        “…” สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของเปลวคือใบหน้าที่นอกจากจะมีร่องรอยของบาดแผลฟกช้ำแล้ว ยังถูกย้อมด้วยคราบน้ำตาอีกด้วย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเลือดสีสดที่กำลังซึมแทรกไรผมที่หน้าผากออกมาเป็นทางยาว

        “…เราขอโทษที่ลืมตัวไปหน่อย ..ลืมว่าตัวเราเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไร …ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ความสุข หรือการได้มีชีวิตปกติอย่างที่คนอื่นๆได้มี ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่มีสิทธิ์นั้นเลย”

       “…”

       “…ขอโทษที่เชื่อใจเปลวมากเกินไปหน่อย”

       “…”

       “แล้วก็…ขอโทษที่ไว้ใจเปลวมากเกินไปด้วยนะ”

       “…” ..จริงๆมีคำถามๆนึงที่ติดอยู่ในใจของเปลวมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับเทียนไข ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยเข้าใจตัวเองอีกเลยว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแปลกๆแบบนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะได้คำตอบเสียแล้ว..

       “…ขอโทษที่รักเปลวนะ”

       “เทียน…” เขา..ก็รักเทียนไขเช่นกัน

       “…” ไม่ทันที่เทียนไขจะได้พูดอะไรต่อไปอีกเขาก็ถูกคนตัวโตกว่ารวบเข้าไปในอ้อมกอด และทันทีที่ได้ซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอด หัวใจที่แตกสลายก็เริ่มกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้ง ..เพราะนอกจากอ้อมกอดของแม่แล้วอ้อมกอดของเปลวนี่แหละที่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

       “ปล่อย..” ทว่าอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเปลวนั้นเต็มไปด้วยหนามแหลม เพราะงั้นเขาจะไม่มีวันยอมอยู่ในอ้อมกอดนี้อีกต่อไปแล้ว “บอกว่าให้ปล่อย..”

        “เทียน..กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เปลวกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น อารมณ์เดือดดาลเมื่อครู่ลดลงได้อย่างน่าประหลาดเพียงเพราะอ้อมกอดนี้ และในที่สุด…เปลวก็เอ่ยคำขอโทษออกมา

        เป็นคำที่..เทียนไขอยากได้ยินมาตลอด..

        “..เราไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่านี้เลย”

        “…”

        “ขอแค่มีเปลวอยู่ข้างๆกัน…สำหรับเรามันก็เพียงพอแล้ว” สำหรับเทียนไขเอง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับเปลวเลย ..ความเจ็บปวดทรมานที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปหมดสิ้น “ขอบคุณที่ขอโทษกันนะ..”

       “…” เปลวคลายอ้อมกอด ก่อนจะใช้สองมือตรึงท้ายทอยอีกฝ่ายไว้ ประสานสายตาซึ่งกันและกันอยู่เนิ่นนานก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามา

       “เปลว..” ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดที่ปลายจมูก ไม่นานนักเด็กไม่ประสีประสาเรื่องนี้อย่างเทียนไขก็หลับตาพริ้ม เปลวเห็นดังนั้นแล้วจึงค่อยๆประกบริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากสีระเรื่อของอีกฝ่าย

        ..รสจูบที่เขาทั้งสองได้สัมผัสนั้นช่างหอมหวาน ยากที่จะลืมเลือนได้ และเมื่อได้เริ่มสัมผัสมันก็ยิ่งอยากที่จะสัมผัสให้มากขึ้น …เปลวคลายมือที่ตรึงท้ายทอยอีกคนออก ก่อนจะค่อยๆขยับเข้าหาเทียนไขจนแนบชิดกัน เทียนไขถอยออกมา แต่ก็เปลวก็ยังคงขยับเข้ามาหาอีก จนไม่มีที่ให้เทียนได้ถอยหนีอีกต่อไป เปลวจึงใช้แขนข้างหนึ่งรองแผ่นหลังของเทียนเอาไว้แล้วค่อยๆโน้มตัวลงมาให้เทียนนอนราบไปบนที่นอน

        รสจูบอันหอมหวานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้เปลวไม่ได้หยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเทียนไขที่เดียว เขาบรรจงละเลงรอยจูบไล่ลงมาตามลำคอ เรียวไหล่สีไข่มุก มาจนถึงยอดอก ทำเอาเทียนไขร้องครางออกมาอย่างอดไม่ได้ 

        ท้ายที่สุดแล้ว…แสงจากโคมไฟที่หัวเตียง..

        ก็ดับลง

















       ‘ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว’ เหมือนเขาและเปลวจะไปได้ดี ใช่…มองดูแค่ภายนอกก็คงเป็นแบบนั้น

       เทียนไข…เป็นเด็กที่หวาดกลัวง่าย จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายอ่อนแอ แต่กลับถูกทำร้ายทารุณมาตั้งแต่เด็กๆ และถึงจะโตขึ้น เขาก็ยังถูกทำร้ายอยู่ซ้ำๆร่ำไป

       แย่หน่อยที่สมองของเขาดันจดจำเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะฉนั้นแล้วทุกภาพ ทุกฉาก ทุกเหตุการณ์ เขาจำมันไม่หมดทุกอย่าง ทั้งเสียง และความรู้สึกเจ็บปวดทรมานก็ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างตามหลอกหลอนเขาตลอดมา นานวันเข้า…สมองของเขาก็ไม่สามารถทนรับเรื่องราวต่างๆได้อีกต่อไป

       แต่เขาก็ยังยิ้มนะ เขายิ้มให้เปลวเสมอเวลาที่อยู่ด้วยกันหรือกำลังพูดคุยกัน



       ส่วนเวลาที่นอกเหนือจากนั้น…เขาร้องไห้ ร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้ค่าเข้าเกาะกุมหัวใจจนเขาเคยคิดจะทำร้ายตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากระเบียง แต่โชคดีที่เปลวเข้ามาซะก่อน เขาเลยหยุดการกระทำนั้น

       เขาจะไม่มีทางให้เปลวรู้โดยเด็ดขาด

       ว่าเขากำลัง…ป่วย











   

       



















       

มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 17:44:45
       ล่วงเลยมาจนถึงวันสุดท้ายของการใส่ชุดนักเรียน วันนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังเซ็งแซ่จากนักเรียนคนอื่นๆที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีการจัดซุ้มถ่ายรูปเป็นธีมต่างๆ มีจัดบู๊ทเพื่อแสดงความรู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมาของการเป็นนักเรียน ชมรมเสียงตามสายเองเปิดเพลงซึ้งๆที่เกี่ยวกับเพื่อนคลอหูเหมือนอย่างทุกปี

       บรรยากาศโดยรวมอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นจากเพื่อนพ้องน้องพี่ภายในรั้วเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ครูอาจารย์ที่คอยมอบคำอวยพรน่ารักๆให้แก่พวกเรานักเรียน ม.6



       “พี่เทียนคะหนูขอถ่ายรูปกับพี่หน่อยได้มั้ยคะ” น้องหนูมัธยมต้นเดินเข้ามาทักเทียนไขที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในพี่ ม.6 สุดหล่อของสาวๆในโรงเรียนไปแล้ว

       “ได้ครับ เอาท่าไหนดีล่ะ?”

       “โหยพี่เทียนไขอ่า ทะลึ่งงง” พี่เทียนที่หมายถึงแอ๊บท่าไหนดีก็ได้แต่งงๆไปที่น้องเข้าใจไปอีกทาง

       แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยิ้มและหัวเราะให้น้องหนู ก่อนจะเทคอะเซลฟี่กับน้องหนูแบบชิดใกล้จนแทบจะสิงร่าง ส่วนน้องหนูก็คือดีใจจนกระโดดลิงโลดไปเลย



       “แหม ฮอตใหญ่เลยน้า” ไอ้เท็นเอ่ยแซว เพื่อนคนนี้เทียนไขสนิทใจกับมันมากที่สุดรองจากเปลว ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เทียนไม่เคยเปิดใจให้ใครเลยนอกจากเปลว แต่พอเมื่อเวลามันเริ่มสอนให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เทียนไขก็เลิกปิดกั้นใจตัวเอง

       “ธรรมดาอะครับคุณสิบ อิดส๋าก็ไปวุฒิสภา” คุณสิบ = คุณเท็น, อิดส๋า = อิจฉา

       “วุฒิศักดิ์มั้ยมึง”

       “เออนั่นแหละ” นี่ถ้ามีจังหวะกลองตึ่งโป๊ะซักหน่อยก็คงจะฮาแตกไม่ใช่น้อย



       ฮะแป้กหรอ

       โทษๆ



       “ไอ้เท็นไอ้เทียน มาถ่ายรูปรวมห้องกัน!” สมาชิกหนึ่งในหกทับสองส่งเสียงตะโกนกรีดร้องโวยวายเรียกสองหนุ่ม

       “เออๆกำลังไป!” ไอ้เท็นตะโกนกรีดร้องโวยวายตอบกลับก่อนจะเดินไปทางที่เพื่อนคนๆอื่นยืนออกันอยู่ตรงซุ้มถ่ายรูปธีมอาชีพในฝันซึ่งมีพร็อบแต่ละอาชีพให้เลือกสรรมาประดับตัว



       และแน่นอนว่า ‘ว่าที่นิสิตแพทยศาสตร์’ อย่างเทียนไขเลือกเสื้อกาวน์มาใส่

       “ฮั่นน้อวว มึงแม่งโคตรเท่”

       “มึงคุยกะใครวะเทียน”

       “กูคุยคนเดียว”

       “…”

       งงตาแตกไปดิ นี่เทียนคนเดิมหรอวะทำไมถึงกวนตีนได้หน้าตายแบบนี้

       ว่าบุญว่าบาป เทียนไขมันก็เปลี่ยนไปมากจริงๆนะ มากจนแบบเรียกว่าหนูน้อยไม่ได้แล้วอะก็ดูความสูงที่ก้าวกระโดดของมันที่ผนวกเข้ากับใบหน้าหล่อสไตล์โคเรียนั่นดิ อปป้าเวอร์

       ไหนจะสมองที่โคตรหัวกะทิของโรงเรียนนั่นอีก มันกะทิขนาดที่ว่าตอนไปแข่งตอบคำถามทางวิชาการที่มันได้แชมป์เพราะตอบคำถามได้หมดจนโรงเรียนคู่แข่งถึงกับอุทานออกมาว่านี่คนหรือวิกิพีเดีย

       ไหนจะนิสัยติดตลกกวนตีนหน้ามึนของมัน นี่ถ้าใครไม่รู้จักไอ้เทียนมาก่อนแล้วมาโดนมันกวนตีนหน้ามึนใส่นะ ความคันตีนยุบยับอยากเอาไปทาบหน้าไอ้เทียนก็จะเกิดขึ้นในใจทันที

       พอจับทุกอย่างมายำเข้าด้วยกันแล้ว เทียนแม่งก็เป็นคนๆนึงเลยอะที่น่าเข้าหา ดูเหมือนส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้จะคิดแบบนี้กันซะด้วย เพราะฉะนั้นไอ้เทียนก็เลยดังระเบิดระเบ้อไปเลยในโรงเรียน

       ..มันก็ดีแล้วแหละที่เทียนได้เจอเรื่องราวดีๆบ้าง

       “หนึ่ง สอง ซั่มม เซย์ขี้!” ตากล้องโรงเรียนพูดให้สัญญาณ ซึ่งจากที่จะยิ้มแฉ่งก็กลายเป็นฮาระเบิดแทน เซย์ขี้พร่องส์

       “เทียนถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ” เสียงทุ้มนุ่มของไอ้เปลวเอ่ยทักเทียนหลังจากที่ถ่ายรูปรวมเสร็จ ซึ่งเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็ยิ้มแล้วเดินตามไปถ่ายรูปด้วยกันอย่างว่าง่าย

       “เอาแบบหลุดๆ” เปลวบอก

       “งี้ต้องแก้ผ้าปะหรือยังไง”

       “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะเทียน แก้ดิมา”

       “โห่เพื่อน กูล้อเล่น555”

       “ป๊อดไอ้ควาย55555” สองหนุ่มหัวเราะร่าจนตาหยีเป็นสระอิ

       “มาๆถ่ายดีๆละ มึงๆถ่ายให้พวกผมหน่อย” เปลวหันไปบอกตากล้องที่กำลังจะเดินไปทางอื่นด้วยสรรพนามกึ่งหยาบกึ่งสุภาพอย่างลงตัว

       “ถ่ายไปแล้วโว้ย”

       “อ่าว ถ่ายตอนไหนวะ” เทียนทำหน้าเหลอหลา เฮ้ยตอนไหนวะ หน้าหลุดถ่ายใหม่นะเว้ย

       “อะมาดู” ตากล้องเดินกลับมาหาพร้อมกับเปิดรูปที่พึ่งถ่ายให้ดู

       “ไหนๆ” ไอ้เปลวผู้ชื่นชอบในการอยากรู้อยากเห็นยื่นหน้าเข้าไปดูก่อนใคร

       ภาพที่เห็นในกล้องคือเปลวกับเทียนที่กำลังหัวเราะให้กันจนตาหยี องค์ประกอบรอบข้างค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร อย่างเช่นลูกโป่งที่ลอยพาดผ่านอยู่ตรงขอบรูป แต่โชคดีที่รูปยังโฟกัสคนอยู่ เพราะงั้นโดยรวมแล้วรูปที่ออกมาจึงดูเป็นธรรมชาติมากๆราวกับไปถ่ายในป่าอะเมซอน

       “เชี่ย มึงโคตรเมียเลยอะเปลว” เทียนไขเกทับไปดิเมื่อเห็นว่าไอ้เปลวเพื่อนมันแก้มชมพูตุ่นเบอร์แรงมากในรูป แต่จริงๆเป็นเพราะแสง

       “กูเมียแล้วไง เมียคนนี้เอาผัวได้นะบอกก่อน”

       “ถุ้ยถุ้ยถุ้ย” เทียนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เวลาที่ผ่านไปเป็นยางลบเกรดเอเลยที่ช่วยลบล้างความโกรธเคืองจนออกไปได้เกือบหมด ที่บอกว่าเกือบก็เพราะว่ามันยังไม่หมดไปซะทีเดียว ถ้าเกิดมีใครสะกิดมันขึ้นมาล่ะก็ ความรู้สึกเก่าๆก็พร้อมกลับมาเสมอ เทียนรู้สึกแบบนั้น

       แต่เขาไม่อยากจะจมจ่อมอยู่กับความโกรธไง เพราะยังไงแล้วเขาก็ยังต้องพึ่งเปลวอยู่ ส่วนเปลวเองก็แสดงออกให้เขาเห็นเรื่อยๆว่าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ฉนั้นแล้วก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่เทียนจะต้องนึกโกรธเคืองอะไรกันอีก เทียนเกิดความคิดนึงเข้ามาในหัว ความคิดที่ว่า ‘จริงๆโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายซักหน่อย ผู้คนที่เราพบเจอต่างหากที่โหดร้าย’  ซึ่งหากมันเป็นโชคชะตาจริงๆเราก็คงเลือกอะไรไม่ได้ สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการเลือกที่จะทำตัวให้น่าคบหามากขึ้น ยิ้มมากขึ้น เพราะงั้นเขาก็แทบจะไม่ได้เจอคนแบบนั้นอีกเลย

       “เทียน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

       “…” เทียนจ้องมองแววตาคู่นั้นที่จ้องมาที่เขา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มจะยิ้มออกมา

       “..ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกับกูมาจนถึงทุกวันนี้นะเว้ย มึงคือความโชคดีของกูจริงๆ”

       “…” เทียนไขยิ้มตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ายิ้มกว้างขนาดไหนแต่ที่รู้อยู่แก่ใจคือรู้สึกดีมากๆ โชคดีหรอ.. มึงเองก็เป็นโชคดีของกูเหมือนกันนะ

       ..ยิ้มอยู่อย่างนั้น หัวใจก็รู้สึกพองโตจนแทบจนล้นออกมาจากอก

       





       “ละนี่…จะเลิกเรียกเพื่อนได้ยัง? ..อยู่กันสองคนแล้วนะ” เทียนเอ่ยถามเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่ข้างๆหู คุณเปลวอดีตเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาตอนนี้ได้เลื่อนสถานะมาเป็นคนข้างกายได้ปีกว่าแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้แกรนด์โอเพนนิ่งออกมาให้ชาวโลกรับรู้แต่อย่างใด สถานะของเขาถูกเก็บไว้เป็นความลับระหว่างกันและกัน

       “…” และด้วยความที่เปลวเป็นพวกพูดไม่น้อย ต่อยหนัก เพราะงั้นพอเจ้าตัวถูกกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแบบนั้นแล้ว เขาก็เลยหอมแก้มเทียนไขไปเลยฟอดใหญ่

       “สัด” เลือดสูบฉีดไปที่หน้าแก้มเทียนไขอย่างหนักหน่วง เปลวเห็นดังนั้นจึงแค่นยิ้มที่ทำให้โลกสดใสออกมา

       “ไม่อยากให้กูเรียกเพื่อนหรอ? งั้นกูเรียกเมียจ๋า..อย่างนี้ได้ปะ”

       “ไม่ได้โว้ย!” เทียนไขปฏิเสธทันควัน แค่จินตนาการว่าเปลวเรียกตัวเองแบบนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

       “555555555555” ส่วนคุณเปลวพอเขาได้รับรีเอคชั่นแบบนั้นแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมาใส่หน้าเทียนไขด้วยความสะใจ สงครามกวนตีนแมทซ์นี้เขาชนะวะฮะฮ่า



       “แล้วนี่…มึงคิดไว้หรือยังว่ามึงจะเข้ามหาลัยไหน?” หลังจากสงบอารมณ์บ้าๆบอๆของทั้งคู่ได้สำเร็จ เทียนไขก็เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นมา

       “ยังไม่อยากบอกมึงตอนนี้เลยว่ะ” เปลวตอบ

       “ทำไมอะ? ต่างจังหวัดหรอ..” ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย…

       “อือ”

       “….” ไม่อยากแยกจากกัน…

       “ล้อเล่น แต่กูไม่บอกมึงตอนนี้หรอก คิดซะว่าเป็น..เซอไพรส์แล้วกัน กูสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะเข้าที่นั่นให้ได้”

       “พูดมาขนาดนี้แล้วกูไม่รู้เลยมั้งว่ามึงจะเข้าที่ไหน”

       “อ่าวเออ555555555 จริงด้วยว่ะ”

       “งั้น..เดี๋ยวกูช่วยติวให้ มึงต้องเข้าได้แน่นอนเปลว”

       “นอนติวได้ไหม”

       “ส้นตีนมั้ยที่รัก”

       “โหดเหลือเกินว่ะคุณเนี่ย”

       “ยังไงก็…ขอบคุณมึงมากๆเลยว่ะ ทั้งๆที่มีตัวเลือกอื่นให้มึงตั้งเยอะแยะ แต่มึงก็เลือกที่เดียวกับกู เรามา..พยายามไปด้วยกันนะ”

       “ขอบคุณมึงเหมือนกันเทียน กูจะต้องทำให้ความพยายามของเราเป็นจริงให้ได้”

        …สรุปก็คือไปมอเดียวกันเลยทั้งเทียนทั้งเปลว แต่เทียนอะมันติดแล้วตั้งแต่รอบพอร์ตฟอลิโอ เปลวนี่สิที่พลาดรอบหนึ่งรอบสองไปแล้ว เหลือก็แต่ต้องสอบแข่งขันกับคนอีกทั้งประเทศ แย่หน่อยก็ตรงที่เจ้าตัวเป็นคนหัวช้า เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยอยู่ในช่วงซุ่มหักโหมอ่านหนังสือปานจะต้มหนังสือแดก

 

       “วันนี้ไปไหนเปล่า มีนัดยัง เด็กเยอะหนิมึงอะ” เปลวหันไปถามเทียนไขด้วยน้ำเสียงนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขาและเทียนไขก็ชอบเสียงของเปลวมากๆ แต่คุณเปลวเขาก็ไม่วายที่จะแว้งกัดคนดังของโรงเรียนตรงท้ายประโยค

       “ไม่ได้ไปไหน ทำไม?” เทียนเอ่ยตอบ

       “จะชวนไปกินเหล้าบ้านเพื่อน”

       “กูไม่กินมึงก็รู้”

       “ไม่ต้องกินหรอก แต่แค่ไปเป็นเพื่อนกูเผื่อกูเมาจะได้หามกูกลับ”

       “ภาระโลกว่ะมึงอะ.. ไปก็ไป” ถึงจะบ่นกระปอดกระแปดแต่สุดท้ายแล้วเทียนไขก็ยอมตกลงไปด้วยอยู่ดี



       อปป้าเทียนยังคงเดินโปรยเสน่ห์ให้รุ่นน้องต่อไปเรื่อยๆในลานโดมกิจกรรม ดอกกุหลาบหลายดอกอยู่เต็มมือเขาเลย ไหนจะรูปที่ห้อยคอต่องแต่งเขียนข้อความไว้ว่าโชคดีนั่นอีก สภาพเสื้อนักเรียนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มีแต่รอยหมึกรอยปากกาเต็มไปหมด

       แต่มันก็ดีนะที่พี่น้องผองเพื่อนจะมอบดอกไม้ รูปภาพ หรือคำอวยพรให้กัน มันแสดงให้เห็นเลยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดนี้ เรามีคนเป็นห่วง เรามีคนเฝ้ารอดูความสำเร็จ ซึ่งมันก็อบอุ่นหัวใจมากๆเลย



       เวลาผันผ่านไปจนช่วงเย็นของวัน กิจกรรมอำลาอาลัยพี่ ม.6 จบลงแล้ว แต่สำหรับคนบางกลุ่มงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อ อย่างเช่นเขากับคุณเปลวตอนนี้ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนซักแห่ง บ้านเพื่อนหรอ? เพื่อนคนไหนกันล่ะ

       ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีแท็กซี่ก็พาเด็กหนุ่มทั้งสองมาจอดอยู่ที่หน้าทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นหลังนึง เปลวดูคุ้นกับที่นี่ดีแต่เทียนกลับไม่รู้จักสถานที่นี้เลย

       “ฮัลโหลกูถึงละ มาเปิดประตู” เปลวกรอกเสียงทุ้มนุ่มลงไปในโทรศัพท์ ไม่นานนักก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูบ้านสีน้ำตาล

       แม็ก?

       “ใครมาบ้างวะเพื่อนแม็ก” เทียนเอ่ยถามเจ้าของบ้านที่มาในชุดเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงนักเรียน ใช่..นี่คือบ้านของไอ้แม็ก

       “ไม่มีหรอก มีแค่เราสามคน กูเฮิร์ตอยากแดก เลยชวนไอ้เปลวมาแดกเหล้า” มันตอบ ก่อนจะดึงกลอนรั้วขึ้นแล้วเปิดออกต้อนรับผู้มาเยือน

       ทุกอย่างดูปกติดี แต่มีบางอย่างที่รบกวนใจของเทียนไขอยู่ตลอดเวลา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ทุกอิริยาบถที่เขาขยับหรือเขยื้อนจะมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องอยู่เสมอ ไม่สิ..สองคนเลยทั้งแม็กแล้วก็เปลว  ถึงเขาจะกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่แล้วพยายามคิดว่ามันจะไม่เป็นไรแล้วก็เถอะ แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

       เทียนไขนั่งอยู่ตรงโซฟาได้ไม่นาน เจ้าของบ้านเดินไปเอาเหล้า โซดา น้ำอัดลม และกับแกล้มต่างๆออกมาก่อนจะวางลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา

       “มึงลงมานั่งพื้นดิ กินด้วยกัน” แม็กเอ่ยชวนซึ่งเทียนก็ส่ายหัวไปเป็นคำตอบ

       “หึ ไม่กินๆ”

       “เฮ้ยไรว้า มาๆมากินด้วยกัน มึงจบ ม.6 แล้วนะเว้ยไม่ดีใจหรอ มาฉลองหน่อย”

       “ไม่เป็นไรๆ กูไม่กินเหล้า” เทียนไขปฏิเสธด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร หากแต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดมันโคตรจะเข้าทางทั้งสองคนนี้

       ใช่…เปลวไม่ได้ชวนเทียนไขมาเพื่อมาเฝ้าเขากินเหล้า



       “มานี่มาเทียน” ไอ้เปลวตบพื้นที่ว่างปุๆ “ถึงไม่กินก็มานั่งด้วยกัน นั่งบนนั้นมึงจะไปสนุกไรวะ”

       “…” ความกลัวเริ่มเกาะกุมภายในจิตใจของเทียนไข เขาไขว้มือไปด้านหลังเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่ามันกำลังสั่นเครือ เทียนไขก็ยังเป็นเทียนไขอยู่ดี เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่พ่อเคยทำกับแม่

       “ชนแก้ว!” ทุกคนในวงนั้นยกแก้วขึ้นมาชนอย่างมีความสุข ผิดกับคนไม่กินเหล้าที่ได้แต่นั่งก้มหน้ามองแก้วเปล่าตรงหน้า

       “เนี่ย ก็มึงเป็นแบบเนี้ย มันมานั่งแล้วก็แทนที่จะเทให้มัน” แม็กพูดขึ้นก่อนจะหยิบแก้วเปล่าตรงหน้าเขาไปผสมเหล้ากับน้ำอัดลมให้แล้วยื่นมาให้เขาในระดับที่ใกล้จนควรจะเรียกว่าจ่อปาก

       “ลองดู ไม่เมาหรอก” เทียนไขพยายามส่ายหัวปฏิเสธแต่จนแล้วจนรอดก็ต้องพ่ายแพ้กับสายตากดดันของอีกฝ่ายที่มองมา ..ไม่เว้นแต่เปลว

       ของเหลวหวานปนขมที่เขาไม่เคยลิ้มลองเลยซักครั้งในชีวิตกำลังถูกป้อนเข้าปาก เทียนหลับตาปี๋ คิดในใจว่าคงไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะกลืนมวลน้ำแอลกอฮอล์นั้นลงไป

       “เนี่ยเห็นมั้ย ไม่ได้ยากเลย เอาอีกเปล่าเดี๋ยวเทให้”

        “ไม่..” เทียนไขบอกปฏิเสธ

        “เหอะน่า” แต่เขาก็ต้องฝืนดื่มมันลงไปเป็นแก้วที่สอง สัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แตะของพวกนี้สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

       เขากำลังถูกหลอกให้ดื่ม ..แก้วที่สี่ผ่านไป ..แก้วที่ห้าผ่านไป แม็กลดปริมาณน้ำอัดลมลงเรื่อยๆแต่เพิ่มเหล้าเข้าไปมากขึ้น สตงสติที่ว่าจะคงไว้ก็เริ่มจะล้มเหลวไม่เหลือเค้า

       “รู้สึกยังไง?” ใครซักคนเอ่ยถามเขา ถึงแม้พยายามเพ่งอยู่นานแต่ก็ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใคร ความปวดหัวตุบๆเกิดขึ้น รู้สึกอย่างเดียวคืออยากนอน

       “กูว่ามึงคงง่วงละ งั้นขึ้นไปบนห้องดีกว่า”  หนึ่งในนั้นพูดขึ้น ก่อนจะลุกมาพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นเดินขึ้นไปบนห้อง ภาพตรงหน้าสลัวเบลอ หนังตามันหนักจนเทียนไม่อยากจะฝืนลืมตาต่อ

       “ก..กูไปก่อนนะ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะพยายามแทรกหลีกออกไป แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อถูกเจ้าของบ้านห้ามไว้ด้วยแขนแกร่ง

       “มึงไม่ต้องไปไหนหรอก” มันแค่นยิ้มพาเทียนไขไปที่เตียง แล้ววางลงให้นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์..

       “มาทำด้วยกัน มึงชอบไม่ใช่หรอ…ที่มึงเล่าให้กูฟัง?”





























       เวลาผ่านไปเชื่องช้าราวกับถูกหยุด ร่างเล็กที่อยู่ใต้อาณัติคนตัวใหญ่กว่าทำได้แค่พยายามกอบโกยออกซิเจนเข้าไปหายใจ แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อตัวเองกำลังถูกรุกล้ำทางร่างกายอย่างไม่มีทางสู้

       น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอย่างไม่ขาดสาย เสียงอู้อี้ในลำคอที่เอ่ยร้องขอให้ปล่อยกันไป แต่ก็ไม่มีความสงสารใดเกิดขึ้น

 

       “กูชอบว่ะไอ้เปลว เอามันส์สัดๆเลย…อยากเอามึงบ่อยๆจังเทียน” เสียงกระเส่าดังข้างหูเทียนไขกระตุกเอาความหวาดกลัวในจิตใจออกมาทำให้เทียนไขดิ้นเร่าๆอย่างทรมาน

       “ไอ้เปลว มึงจะเอามันปะ มาดิกูเสร็จละ ไปเข้าห้องน้ำแป็ป” คนบนร่างเอ่ยถามเพื่อนรักของเขา เทียนไขภาวนาในใจขอให้หยุดแค่เท่านี้ก็พอแล้ว เขาไม่ไหวแล้ว…

       “….” คนที่เขารักไม่ได้เอ่ยเอื้อนอะไรตอบกลับไป เพียงแต่ค่อยๆเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับค่อยๆถอดเสื้อ และทันทีที่ได้เห็นแบบนั้นในหัวของเทียนไขก็ขาวโพลนไปหมด

       “เปลว…มึง..” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตัวเอง แล้วที่ผ่านมาล่ะ..? ที่บอกว่ารักกัน… ที่บอกว่าจะดูแลกัน..

       “อยู่เงียบๆไปดีกว่าเทียน”

       “เปลวทำไม..ฮือ ทำไมทำแบบนี้ …ทำไม..” เม็ดน้ำตาสีใสของเทียนไขไหลร่วงไม่ขาดสายด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกใครบางคนเหยียบหัวใจ

       “ไม่ต้องร้องนะ.. ก..กูมาช่วยมึง..” คนตัวโตกว่ารวบเขาเข้าไปในอ้อมกอด

        ..ช่วยหรอ? ทำไมถึงกล้าใช้คำนี้ ไม่ใช่เพราะไอ้เหี้ยอย่างมึงหรอที่ทำให้เทียนต้องมาพบเจออะไรแบบนี้

       “ไม่ต้องเสือกช่วยกูหรอก…สาระแน” ถ้อยคำหยาบโลนหลั่งไหลออกมาจากปากหนูน้อยอย่างที่เปลวไม่เคยได้ยินมาก่อน

       “…” ทำเอาเขาได้แต่มองหน้าหนูน้อยด้วยความประหลาดใจ



       “ไม่เอากูด้วยอีกคนล่ะ ..กูจะได้เป็นเอดส์ตายให้สมกับคำที่พวกเหี้ยนั่นเคยล้อกู!!”



       ราวกับถูกเรียวมีดแหลมๆกรีดลงกลางอกก่อนจะเสียดแทงสวนเข้าไปกลางใจ เปลวถึงกับมือสั่นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาปล่อยเทียนไขจากอ้อมแขนก่อนจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้น



       “ต้องการแบบนั้นหรอ?” อารมณ์ของเปลวครุกรุ่น เขาก็แค่จะช่วยพาไปล้างตัวล้างคราบพวกนั้นออก มันจำเป็นด้วยหรอที่ต้องประชดกันถึงขนาดนี้ หรือเพราะอยากให้ทำจริงๆ ..ถ้าอยากคนอย่างไอ้เปลวคนนี้มันก็พร้อมจะจัดให้เสมอ

       “ไม่..ออกไปไกลๆตีนกูเลยนะ ออกไป!” เทียนถอยกรูด ส่วนเปลวก็เดินตามประชิดเข้าใกล้เรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วหนูน้อยก็ไม่มีที่ไหนให้หนีไปอีกเมื่อแผ่นหลังบางแนบกับผนังกำแพง

       “ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?” เปลวแสยะยิ้มที่เต็มไปด้วยโทสะ เขาขยับไปประชิดกับเทียนก่อนจะเชยคางขึ้นมา

       “ทวงบุญคุณ?” เทียนถาม ที่ช่วยกันมานี่เพราะจะเอาไว้มาทวงบุญคืนทีหลังงั้นหรอ “แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!”

       “ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู”

       “…”

       “จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ”

       ไม่เหลืออีกแล้วแม้ซักเสี้ยวของความรู้สึก..

       “…” หนูน้อยเริ่มเงียบลง และไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก คำว่า ‘เด็กกำพร้า’ มันสะท้านก้องกังวานอยู่ในหัว

       “มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!”

       “…” เม็ดน้ำตาโง่ๆที่ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวดไหลลงอีกครั้ง เทียนก้มหน้างุดปาดน้ำตาบนใบหน้าออก

       “เงยขึ้นมาดิไอ้สัด เก่งมากอะ!!” เปลวตวาดลั่นใส่หน้าคนตัวเล็กพร้อมกับบีบคางเขาขึ้นมาราวกับอยากให้มันแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ หนูน้อยจ้องใบหน้าคนที่เคยเป็นโชคดีของเขาอีกครั้ง

       คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ขัดขืนอะไรอีก เขาเพียงแค่มองใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าคนๆนี้เหมือนเป็นเทวดาใจดีด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้ม

       “เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม..?” คนตัวเล็กกว่าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนเต็มที 

       “…” เทียนไขยอมจำนนแล้ว…ทุกสิ่ง

       “ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่”

       “…”

       “เราจะไป”



       

       ..น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาอย่างหนักหน่วงจนต้องยกแขนขึ้นมาปาดออก เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน มันเจ็บทั้งกายและเจ็บแทบจะตายอยู่ตรงนั้นในความรู้สึก

 

       ‘มึงเป็นเพื่อนกู’ คำนี้…มันไม่มีจริง



      ไม่มีอีกแล้ว...คนที่เคยบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เขาร้องไห้

       ไม่มีอีกแล้ว…คนที่เคยบอกว่าเป็นห่วงกัน เคยดูแลกันยามที่ใครอีกคนป่วย

       ไม่มีอีกแล้ว …คำว่า ‘เพื่อน’







       กว่าค่ำคืนอันเลวร้ายนี้จะจบลงก็ปาไปจนตีหนึ่ง เทียนไขที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดทรมานจนหน้าแดงไปหมด เขาพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปจากตรงนี้ เทียนไขใช้มือข้างหนึ่งดันกำแพงไว้เพื่อยึดเป็นหลักในการเดิน ..การก้าวขามันยากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

       คนตัวเล็กเปิดประตูห้องน้ำก่อนจะพาตัวเองเข้าไป เขาหมุนเปิดฝักบัวเพราะคิดว่าน้ำจะช่วยชำระล้างความสกปรกออกไปจากร่างกายได้ ..แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ไม่ว่าน้ำจะชโลมลงบนร่างกายยังไงสัมผัสพวกนั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ดี

       เทียนไขจ้องมองสภาพตัวเองในกระจก ภาพเขาที่สะท้อนกลับมานั้นดูทุเรศจนเขาก็ยังนึกสมเพชตัวเอง ร่างกายมีแต่รอยม่วงช้ำเต็มไปหมด ปากก็บวมเป่งมีเลือดซิบ ใบหน้าแดงเถือกยังกับโดนน้ำร้อนลวก ที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นรอยของเหลวสีแดงที่แห้งกรังไปแล้วบนเรียวขาของเขา ..การกระทำอันโหดร้ายเมื่อก่อนหน้านี้นั้นมันหนักหนาเกินกว่าที่เทียนไขจะรับได้ กล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นของเขาปริฉีก ความเจ็บแสบจากแผลนั้นทรมานจนเขาแทบจะยืนไม่ไหว

       เทียนไขปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลชำระล้างร่างกาย เขาพยายามเอานิ้วถูร่องรอยทุเรศนั่นแรงๆเพื่อลบมันออก หลอกตัวเองไปว่ามันลบออกได้แล้วก็ถูไปแบบนั้นถึงจะเจ็บแสบแต่ก็ไม่อยากมีรอยนี้อยู่บนตัว

       ‘มึงไม่ได้ร้องไห้ ที่เห็นนี่มันเป็นหยดน้ำเฉยๆ มึงเข้มแข็ง...มึงไม่ได้อ่อนแอเลยเทียน’ เขาพยายามหลอกตัวเองทั้งๆที่น้ำตากำลังไหลอาบสองแก้ม ก่อนจะใช้มือถูรอยทุเรศนั่นอีกครั้งแต่เพิ่มแรงให้มากกว่าเดิมจนสุดท้ายแล้วเลือดก็เริ่มซิบออกมาแต่รอยนั่นก็ยังไม่จางหายไป

       เทียนไขร้องไห้อยู่อย่างนั้น เขาทุบกำปั้นลงกับกำแพงห้องน้ำซ้ำๆ ก่อนจะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ทรมาน…เขากรีดร้องจนสุดเสียง



       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’




       …เป็นเสียงที่กลั่นออกมาจากขั้วหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี





       

       





       



       





 



       



       



       



       



       

       









       

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 17:57:58
05
เปลวเผาเทียน




       “เปลว จำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย” เทียนไขในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดเดินเข้ามาถามเขา

       “จำได้สิ วันนั้นกูหลงกูเลยเข้าไปทักมึง”

       “ฮ่าๆ นั่นแหละ ตอนนั้นมันดีมากเลยเนอะ ..ดีมากเลยที่เราได้รู้จักกัน” เด็กในชุดนักเรียนยิ้มตอบอย่างเปรมปรี แต่ว่า..มันไม่แปลกไปหน่อยหรอที่จู่ๆมาพูดอะไรกันแบบนี้

       “ทำไมพูดแปลกๆ นึกซึ้งอะไรของมึง”

       “เปลว.. มีความสุขรึเปล่า?” รอยยิ้มที่ฉายแววเมื่อครู่เริ่มหม่นหมองลง เช่นเดียวกับชุดนักเรียนสีสว่างที่ค่อยๆทึบทะมึนก่อนจะจางหายไปเผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนข้างใน



       “...”

       “เรา..มีความสุขมากๆเลย เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด”เทียนก้มหน้าลง ทว่าทันใดนั้นร่างกายเจ้าของผิวพรรณละเอียดเนียนก็เริ่มปรากฎร่องรอยฟกช้ำตามตัว ยอดอกม่วงคล้ำ ซ้ำร้ายซอกคอกับไหปลาร้าที่มีร่องรอยเช่นเดียวกันหากแต่มันแดงก่ำและมีเลือดไหลซึมออกมา

       “เออ กูมีความสุขเหมือนกัน” เปลวนึกสงสัยกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาพยายามคิด คิดแล้วคิดอีกแต่ก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ‘เพื่อน’ ที่เขารัก

       “แต่ว่า.. ขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทรมานราวกับเราตายทั้งเป็น” คนตรงหน้าเงยใบหน้าขึ้นมา ก่อนจะทำให้เปลวต้องผงะเพราะสภาพใบหน้าที่เขาเห็น..

       ริมฝีปากที่เคยระเรื่อตอนนี้บวมเป่ง ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยฉายแววแห่งความสุขข้างหนึ่งปิดสนิท ส่วนอีกข้างก็ปูดบวมดูน่ากลัว พวงแก้มที่เคยมีเลือดฝาดตอนนี้ไม่ใช่แค่เลือดฝาดอีกต่อไป แต่เป็นเลือดสีสดจริงๆ

       “...” เปลวพูดอะไรไม่ออก อะไรบางอย่างจุกขึ้นมาที่คอจนเขาเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ คนตรงหน้าเห็นดังนั้นจึงค่อยๆคลี่ริมฝีปากบวมเป่งนั้นยิ้มออกมาบางๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาพาดผ่านข้างแก้ม ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

       “เรา..มาลา”















       “เทียน!” เสียงทุ้มนุ่มตะโกนลั่นอย่างสั่นกลัวจากฝันร้ายที่พึ่งจบไป สิ่งที่เห็นตัดภาพจากสภาพน่ากลัวของเด็กคนนั้นมาเป็นความมืดสลัวๆภายในบ้านสีครีมยามใกล้รุ่ง เขาใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปรอบๆ

       “ฝันหรอวะ..” เขาถามกับตัวเอง สิ่งที่ดวงตาสีนิลของเขาเห็นมีเพียงซากคนที่เมามายอย่างไอ้แม็กกำลังหลับไหลอยู่ไม่เป็นทาง ซึ่งก็ดูปกติดีทุกอย่าง

       “..เทียน..?” แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ...ไม่มีเพื่อนรักของเขาอยู่



       ใจที่แข็งแกร่งเข้มแข็งไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดกำลังสั่นกลัว บางอย่างที่เขารับรู้ได้ในสัญชาตญาณกำลังกระซิบข่าวร้ายให้เขายอมรับความจริง

       ‘เทียนไขตายจากมึงแล้ว’



       นั่นคือสิ่งที่สัญชาตญานกำลังพร่ำบอกเขา เปลวรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันระยำแค่ไหน กับการหลอกเทียนไขมาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้เพื่อนของเขา

       หนึ่งความคิดโง่ๆในหัวเลยก็คือ ‘ไอ้เทียนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพรามันไม่มีพ่อมีแม่ให้มาเอาเรื่องได้’ เพราะงั้นการลิ้มลองรสชาติใหม่ๆของเปลวจากคำรบเร้าท้าทายของเพื่อนจึงได้เริ่มขึ้น
       หมดสิ้นแล้วความรู้สึกนึกคิดและจิตใต้สำนึกที่ควรมี พวกเขากระทำต่อเทียนไขอย่างทารุณพลางเผยอหน้าขึ้นเหยเกไปด้วยความสุข หากแต่แลกมาด้วยความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสของเทียนไข



       ‘อย่า หยุดเถอะนะ.. พอแล้ว ฮือ ขอร้อง.. ไม่ไหวแล้ว’



       เสียงเว้าวอนอันไร้ความหมาย ถึงแม้จะประสานมือขึ้นมาบนอกเป็นทรงดอกบัวตูม หรือจะยกดอกบัวตูมนั้นขึ้นเหนือหัวแล้วก็ตาม



       ‘เปลว.. ช่วยด้วย’

 

       ความหวังสุดท้ายที่มีอยู่คือคนสำคัญคนสุดท้ายในชีวิตเขา และสิ่งที่ตอบแทนความหวังนั้นก็คือควันบุหรี่สีขาวที่พวยพุ่งออกจากปากกับสีหน้าอันเฉยชาไร้ความรู้สึก

       และ…ไร้ความเมตตา ที่แม้แต่..ความเมตตาอันควรมีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

       ฟ้องพ่อแม่หรอ…ไอ้เทียนไม่มีพ่อแม่ให้ฟ้องแล้วซักหน่อย

       ฟ้องครูอาจารย์หรอ…ไอ้เทียนไม่ใช่คนที่กล้าเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังขนาดนั้น

       ไประบายกับเพื่อนหรอ…ไอ้เทียนคนนี้ไม่มีทางเล่าให้เพื่อนคนไหนฟังอีกเหมือนกัน เพราะมันไม่ไว้ใจใคร

       ชีวิตเทียนมีเหลืออยู่แค่คนเดียวที่มันรัก ที่มันไว้ใจและเชื่อใจ เป็นคนสำคัญคนสุดท้ายเพียงคนเดียวในชีวิตของมัน

       และเปลวก็คือคนๆนั้น ขณะเดียวกันเปลวก็เป็นคนทำลายความไว้ใจความเชื่อใจและความรักที่ไอ้เทียนให้จนหมดสิ้น



       “เทียน..อยู่ไหน ได้ยินแล้วตอบกู” เปลวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงดุดัน เขารู้ดีว่าเทียนไขกลัวน้ำเสียงนี้ และทุกครั้งที่เรียกเทียนไขก็จะออกมา มันง่ายเหลือเกิน ง่ายกว่าเรียกสุนัขซะอีก

       “ไอ้เทียน!” หากแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้

       น้ำเสียงดุดันที่เปล่งออกไปมีเพียงความว่างเปล่าอันเงียบสงัดที่ตอบกลับมา



       “มีอะไรวะ” เจ้าของบ้านงัวเงียตื่นขึ้นมาเนือยๆ “เรียกมันทำไมนักหนา..?”

       ‘มัน’ สรรพนามที่ใช้เรียกสรรพสัตว์หรือสิ่งของแต่คนพวกนี้กลับใช้แทนตัวเทียนไข

       “มันหายไปไหนไม่รู้” เปลวตอบ

       “จะไปไหนได้วะ สภาพนั้น”

       “กูก็คิดเหมือนมึง แต่ว่า..ไม่มีเลย มันไม่ได้อยู่นี่แล้ว” ไม่รู้ว่าคนเจ็บเจียนตายสภาพนั้นจะไปที่ไหน แต่เชื่อเถอะว่า ‘มัน’ ไม่มีทางไปได้ไกล อย่างน้อยเลยก็ไม่มีทางไปได้ไกลจากเปลว

       “โว๊ะ! ไอ้เหี้ย! น่ารำคาญแต่เช้าเลย” แม็กสบถเสียงดังลั่น

       “ไปหาหน่อยปะ? เดี๋ยวมันจะตายเอา” 

       “ไอ้เชี่ยก็ปล่อยแม่งตายๆไปดิ”

       “ไอ้เชี่ยแม็ก นั่นชีวิตคนนะเว้ย” เปลวพูดออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะพูดคำว่า ‘ปล่อยให้แม่งตายๆไป’ ได้อย่างหน้าตาเฉย

       “แล้วไง?”

       “งั้นไม่เป็นไร…มึงก็นอนๆไปเถอะ นอนรอหมายจับข้อหากระทำชำเรา ไม่ก็…ฆาตรกร” เปลวไหวไหล่พูดออกไปอย่างไม่สนสี่สนแปดก่อนจะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วเดินไปดูรอบๆเพื่อหาร่องรอยของเทียนไข

       “ไอ้เหี้ยเปลวแม่งปากดีว่ะ” แม็กสบถลั่นหวังให้เจ้าตัวได้ยิน ก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาช่วยหาอีกแรง



       “มึงว่าคนอย่างมันจะไปไหนวะ?” เปลวเอ่ยถาม ในหัวเขามืดแปดด้านไปหมด

       “สภาพงั้นจะไปไหนได้วะถามจริง เดินยังจะไม่ไหวเลยเถอะ มันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละมึงเชื่อดิ หาตามต้นไม้พุ่มไม้อะเผื่อมันจะแอบ” แม็กตอบ

       “กูหาหมดละ กูคิดว่ามันจะสลบอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่มี”

       “ถังขยะเปล่า?” ไม่พูดเปล่า …ไอ้แม็กเตะถังขยะหน้าบ้านประกอบด้วย สิ่งโสมมในถังขยะนี่แหละเหมาะสมกับไอ้เทียน

       “ไปตายไอ้เหี้ย!” …ทว่าเปลวกลับไม่ได้รู้สึกตลกไปกับมัน เสี้ยวเล็กๆในใจของเขาบอกเขาว่ามันแรงเกินไป เทียนไขก็เป็นคนๆนึงเหมือนกัน ไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลา ไม่ใช่เศษขยะให้เขามาเหยียดหยามกันถึงขนาดนี้



       “กูว่ามันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ” เปลวพูด จริงๆถ้ามีสมองก็จะดูออกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะโง่มาแอบอยู่ในหมู่บ้านถ้ามีโอกาสได้ออกไป

       “แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะ..” เจ้าของบ้านเริ่มเป็นกังวล

       “เดี๋ยวกูไปดูเอง กูคิดว่ามันน่าจะกลับบ้าน ไอ้แม็กกูยืมรถหน่อยนะ” เปลวตอบก่อนจะถือวิสาสะเดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอไซค์ของบ้านนี้แล้วก็ขับออกไป







       ใช้เวลาชั่วขณะรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวจึงมาหยุดอยู่ที่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่สีขาวซึ่งก็คือบ้านของเขานั่นเอง

       ‘…ถ้าไอ้เทียนมันไม่ได้กลับมานี่ มันก็ไม่มีที่ไหนให้มันไปแล้ว’ เปลวคิดแบบนั้น

       “อ้าวลูก ไปไหนมาเมื่อวานทำไมกลับซะเช้าเลย” ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อของเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าลูกรักครั้งแรกในรอบวันขณะกำลังจิบกาแฟอยู่ที่โซฟา

       “พ่อ อย่าพึ่งถามได้มั้ย” ทว่าคนเป็นลูกกลับตอบไปด้วยความหงุดหงิดใจ

       “เออๆ แล้วนี่เทียนล่ะ? ไม่ได้ไปด้วยกันหรอ”

       “…” สองเท้าของชายหนุ่มสะดุดกึกทันที “ไอ้เทียน..ไม่ได้กลับมาบ้านหรอพ่อ?”

       “อ่าว ก็ใช่น่ะสิ นี่ไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

       “…”

       “มีอะไรรึเปล่า?” พ่อวางกาแฟในมือลงก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับท่าทางเลิ่กลั่กของลูกชายแล้วถามไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนเป็นลูกเมื่อเห็นดังนั้นความขลาดเขลาในใจก็กัดกินตัวเขาจนเหงื่อกาฬเริ่มซึมออกตามฝ่ามือ เขาทำได้แค่กำมือแน่นแล้วก็ส่ายหัวปฏิเสธไป

       “ม…ไม่มีครับ” เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือ เปลวตัดสินใจเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้หวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเกิด



       “จะไปไหนได้วะ..” เขาบ่นกับตัวเอง ก็ในเมื่อบ้านก็ไม่ได้กลับ ตามทางที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็นร่องรอยเลย แล้วไอ้เทียนจะไปไหนได้?

       เปลวก้าวขาคร่อมเบาะก่อนจะสตาร์ทแล้วขับออกไป จมจ่อมอยู่แต่กับเรื่องของเทียนไข

       ..ใจหนึ่งก็คิดว่าช่างแม่งไปก็ได้เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง แต่อีกใจหนึ่งกลับหวาดหวั่นจนเขาลนลานแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่

     

       ‘เปลว จำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย’

       ‘จำได้สิ วันนั้นกูหลงกูเลยเข้าไปทักมึง’

       ‘ฮ่าๆ นั่นแหละ ตอนนั้นมันดีมากเลยเนอะ ..ดีมากเลยที่เราได้รู้จักกัน’




       ‘เฮ้ย มึงอะ’

        ‘…’

        ‘หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง’

        ‘…’

        ‘เอ้า รอกูก่อน’

        ‘…’

        ‘เฮ้อ เหนื่อยเลย..’

        ‘มีอะไรรึเปล่า..’

        ‘พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..’

        ‘…’

        ‘ได้มั้ย..?’

        ‘เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน’

        ‘อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย’

       

       ‘มึงอยู่ห้องไร’

       ‘…ห้องสอง’

       ‘เฮ้ยเหมือนกันเลย กูก็อยู่ห้องสอง’





        ‘มึงจะลุกไปไหน’

        ‘กูขอแลกที่กับมันเองแหละ เห็นมันนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตั้งนาน’

        ‘เฮ้ยอะไร อันนี้ที่ของมันเว้ย อย่ามาแย่งดิ ที่เพื่อนกู’





        ‘พ่อกูโทรมาละ สงสัยคงใกล้จะถึงแล้ว’

        ‘…’

        ‘..ไม่อยากกลับเลยจริงๆว่ะ’

        ‘…’

        ‘ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว’





         ‘อยากรู้หรอ’

         ‘อยากสิ’

         ‘ไม่บอก’

         ‘เอ้า..’

         ‘ฮ่าๆ ตลกหน้ามึงว่ะ’

         ‘ทำไมขำอะ เราจริงจังนะเว้ยเปลว’

         ‘อ่าว..กูขอโทษ..’

         ‘เราล้อเล่น’

         ‘…’

         ‘ฮ่าๆ ตลกหน้าเปลวจัง’





       ‘เปลว.. มีความสุขรึเปล่า?’

       ‘...’

       ‘เรา..มีความสุขมากๆเลย เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด’

       ‘เออ กูก็มีความสุขเหมือนกัน’






        ‘มึงกากเองเปล่าเปลว’

        ‘เนี่ยดูดิ ไม่เคยจะให้กำลังใจกูอะเทียน เดี๋ยวนี้น้า อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมดแหละ ใช่สิ้กูมันไม่สำคัญแล้วไง’

        ‘สู้ๆน้า อะให้กำลังใจละ’

        ‘มึงเฟคมากสัด’





       ‘เทียนถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ’

       ‘…’

       ‘เอาแบบหลุดๆ’

       ‘งี้ต้องแก้ผ้าปะหรือยังไง’

       ‘ทำไมเป็นคนแบบนี้วะเทียน แก้ดิมา’

       ‘โห่เพื่อน กูล้อเล่น555’

       ‘ป๊อดไอ้ควาย55555’





       ‘เชี่ย มึงโคตรเมียเลยอะเปลว’

       ‘กูเมียแล้วไง เมียคนนี้เอาผัวได้นะบอกก่อน’

       ‘ถุ้ยถุ้ยถุ้ย’







       “…” ภาพในฝันซ้อนทับมาในหัว สภาพเทียนไขที่บอบช้ำจนเขาต้องผงะเมื่อเห็นปรากฎขึ้นอีกครั้งในหัว



       ‘แต่ว่า… ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่เราทรมานราวกับตายทั้งเป็น’











       ‘เรา…มาลา’
















       “เฮ้ย ไอ้เหี้ย!!!!!!!” ..หากแต่ว่า บางทีอาจจะไม่ใช่เทียนไขที่เป็นคนจากไป



       โครมมม!!!!!























       “แม่..ฮือ แม่จ๋า” เด็กหนุ่มเอ่ยร้องหาผู้เป็นแม่ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

       สองแขนที่สั่นเทาของเขากอดตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความหวาดกลัวภายในจิตใจ

       เด็กหนุ่มนอนขดคู้กอดตัวเองอยู่แบบนั้นท่ามกลางบ้านโทรมๆหลังเดิมที่เคยมีกลิ่นอายของความอบอุ่น

       หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนสิ่งที่เทียนไขเลือกทำโดยไม่ลังเลเลยมีอยู่สิ่งเดียว



       ‘หนี’

       เขาวิ่งหนีออกมาจากนรกด้วยสองขาที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ..หลายครั้งที่ความปวดร้าวและเหนื่อยเพลียบอกเขาว่าให้หยุดพัก แต่จิตใจกลับไม่ยอมรับฟัง

       สองขาของเทียนไขยังคงวิ่งต่อไปท่ามกลางความมืด ปล่อยให้น้ำตาไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกโดยไม่คิดจะปาดหรือซับออก รู้อยู่อย่างเดียวว่าต้องไปให้พ้นๆจากที่นี่

       ...ไปให้พ้นจากเปลว





       “แม่..เทียนคิดถึงแม่จังเลย..” เสียงที่เคยหวานหูน่าฟังตอนนี้แหบพร่าจนแทบจะไม่มีเสียงใดๆเปล่งออกมานอกจากลม

       “..แม่ เทียนเจ็บ.. แม่ลูบหัวเทียนหน่อยได้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มคลายอ้อมกอดจากแขนตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมาจับบนกลุ่มผมแล้วลูบเบาๆ “แบบที่แม่เคยทำ …แบบนี้”

       ..ท้ายที่สุดแล้วเทียนไขก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนนึงอยู่ดังเดิม ..เป็นเด็กน้อยผู้ที่โชคชะตาไม่เคยให้ความสนใจใยดี ..เป็นเด็กน้อยผู้ที่เกลียดความรุนแรงแต่กลับถูกกระทำด้วยความรุนแรงมาตั้งแต่จำความได้ ..เป็นเด็กน้อยที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่เคียงคู่เขามาตลอดก็คือ ‘ความเจ็บปวด’

       “ไม่เป็นไรนะเทียน.. ไม่เป็นไร” น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลอาบสองข้างแก้มของเทียนไขไม่หยุด ร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับลูกนก

       “แม่จ๋า.. ถ้าเทียนไปหาแม่ ..แม่จะโกรธเทียนมั้ย..” เด็กน้อยชันตัวลุกขึ้นนั่งกอดเข่า ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองความว่างเปล่าที่พื้นด้วยสายตาเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส

       “เทียน..ไม่อยากอยู่แล้ว”

       “…”

       “แม่..ไม่โกรธเทียนใช่มั้ย..”

       เทียนไขใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินโซซัดโซเซตรงไปที่ทางเดินสะพานปูนข้างหน้าบ้าน

       ..สิ่งที่อยู่ถัดจากสะพานปูนคือคลองสีทะมึนที่เด็กน้อยรู้จักมันเป็นอย่างดี รู้ซึ้งถึงรสชาติของมันแล้วด้วย และครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งที่เขาจะทิ้งตัวลงบนผืนน้ำนี้

       เทียนไขนั่งลงก่อนจะหย่อนขาข้างนึงลงไปจากสะพานปูน และตามด้วยขาอีกข้าง

       “ไอ้เทียน..จะทำอะไร!” แต่ทันใดนั้นเสียงอันคุ้นหูของผู้หญิงวัยกลางคนบ้านข้างๆก็ดังลั่นเข้ามาในหู หากถ้าเทียนไขปกติดีเหมือนคนอื่นก็คงจะหันกลับไปตามเสียงเรียก แต่ทว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ไม่อาจปกติได้อีกต่อไปแล้ว

       “อย่า.. ไม่เอาแล้ว พอแล้ว อย่าเข้ามา.. ฮือ พอแล้ว.. เทียนขอร้อง ฮือ..แม่ เทียนกลัว ..เทียนเจ็บ ฮือ..เจ็บ ไม่ไหวแล้ว” เด็กน้อยยกมือขึ้นมาปกป้องตัวเอง เขาปัดเป่าผลักไสไล่อากาศมั่วซั่วพลางขยับถอยหนีออกไปโดยไม่ห่วงว่าเนื้อตัวจะถูครูดกับพื้นปูนพื้นคอนกรีตเลยแม้แต่น้อย สองมือเล็กยกขึ้นพนมระดับอกพร้อมกับส่งเสียงเว้าวอนไปด้วยความหวาดระแวง

       “…” ผู้เป็นน้ามองดูภาพที่เห็นด้วยความประหลาดใจ ทว่าเมื่อได้ขยับเข้าไปใกล้ๆตัวของหลาน อะไรหลายๆอย่างที่เคยสลัวเบลอก็ชัดเจนขึ้นจนเธอต้องตกใจ

       “เทียน..นี่หนูไปโดนอะไรมา..” เธอใช้มือข้างนึงจับดูตามเนื้อตามตัวที่มีแต่รอยฟกช้ำประหลาดที่ดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่รอยที่เกิดจากการชกต่อย 

       “ฮือ.. ยอมแล้ว อย่าทำอะไรเทียนเลย..” ไหนจะเสียงครวญครางแหบพร่านี่อีก..

       “พ่อ!! มาดูไอ้เทียนมันหน่อย พามันไปโรงพยาบาลหน่อย!!” เธอตะโกนลั่นเรียกสามี พร้อมกันนั้นก็พยายามสังเกตร่องรอยต่างๆอีกครั้งซ้ำๆ เพราะในใจเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับหลานของเธอแล้วจริงๆ

       “หนูลูก.. นี่น้าเองนะ น้าไม่ทำร้ายเทียนหรอกนะ” หากแต่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร ซ้ำยังรู้สึกสงสารเด็กคนนี้ซะจนจับใจ น้ำตาแห่งความรักความห่วงใยของผู้เป็นน้ารื้นเอ่อขึ้นรอบดวงตาอย่างห้ามไม่ได้

       “ไม่เป็นไรนะเทียนนะ.. ไม่ต้องกลัว น้าหยวนไม่ทำร้ายเทียนหรอกนะ” ก่อนจะใช้สองแขนของเธอโอบกอดหลานรักเพื่อปลอบประโลมความหวาดกลัวภายในจิตใจ



       ..จริงๆแล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เทียนไขเคยคิดไปซะทีเดียว ถูกต้องที่เธออาจจะติดการพนัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญเลยคือเธอไม่เคยเห็นหลานของเธอเป็นหลานปลายตีนแต่อย่างใด น้าหยวนออกจะรักเทียนไขเสียด้วยซ้ำ

       ครั้งหนึ่งที่เทียนไขเคยมาขอข้าว ตอนนั้นเธอไม่มีเหลือเลยจริงๆ ตัวเธอเองข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินไม่ต่างกัน พอตกเย็นพอจะมีข้าวมีน้ำมาก็เอาไปให้บ้านข้างๆหวังจะเป็นอาหารให้เด็กน้อย แต่เขาก็ไม่เคยนึกห่วงปากท้องตัวเองเลย ข้าวปลาที่น้าเอามาให้ก็เอามาให้แม่หมดถึงแม้ตัวเองต้องอดอยากปากแห้งอยู่เป็นวัน

       ‘อ่ะ เงินนี้น้าให้ ตั้งใจเรียนนะลูกนะ’ เงินนี้เธอก็ให้จากใจจริง มันไม่ใช่เงินที่เธอขโมยมาจากไหนเลยหากแต่เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของสามีที่ทำงานบากบั่นเพื่อให้ได้มันมา และเธอก็ให้เด็กน้อยเอาไปซื้อข้าวซื้อน้ำที่โรงเรียนด้วยความรักที่น้ามีให้ต่อหลาน

       เพียงแต่..เด็กน้อยอาจจะไม่เคยมองในจุดนี้ ก็เท่านั้น





        หลังจากนั้นไม่นานเด็กน้อยก็ถูกพาไปส่งที่โรงพยาบาล

       หลายฝ่ายวุ่นวายในทันทีเมื่อได้เห็นร่างที่มีแต่ร่อยรอยฟกช้ำอยู่ทั่วร่าง และรอยเลือดที่แห้งกรังไปแล้วบริเวณหว่างขาของเทียนไข

       บรรยากาศภายในห้องแห่งชีวิตขณะทำการรักษาเด็กน้อยค่อนข้างวุ่นวาย หมอและพยาบาลเดินเข้าออกกันขวักไขว่เพื่อนำตัวยา และอุปกรณ์อื่นๆมาดำเนินการรักษา

       แต่ทว่าจวบจนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าแล้ว การรักษาก็ยังไม่เสร็จสิ้น ...เด็กน้อยถูกฉายรังสีเพื่อพิจารณาหาความบอบช้ำส่วนอื่นๆ ถูกเจาะเอาของเหลวสีแดงไป และถูกให้ยานอนหลับ

       แต่นั่น….ก็คงยังไม่สำคัญเท่าผลตรวจที่ออกมาในไม่กี่วันถัดมา



       “เรียนเชิญญาติคุณเทียนไขค่ะ” พยาบาลสาวกล่าวประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงสดใสของเธอ วันนี้น้าหยวนถูกนัดให้มาพบคุณหมอ อย่างแรกเลยก็เพื่อมาฟังผลการตรวจวินิจฉัยของหลานตัวเองในฐานะญาติของผู้ป่วย และอย่างที่สองคือ…ตัดสินใจเพื่อให้เทียนไขได้เข้ารับการรักษาระยะยาว

       “ญาติคุณเทียนไขใช่มั้ยครับ หมอขอเรียนแจ้งญาติก่อนจะเรียกคุณเทียนไขมารับฟังพร้อมกันนะครับ” คุณหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังกับน้าหยวน แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าน้ำเสียงน่าฟังนั้น สิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้มันไม่ได้น่าฟังเหมือนน้ำเสียงเลย

       “ค่ะ” น้าหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับฟังสิ่งที่หมอกำลังจะบอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย เธอก็ยินดีรับฟัง และถ้าเกิดเป็นข่าวร้ายจริงๆ…เธอก็ยินดีที่จะอยู่ดูแลหลานรักของเธอเคียงข้างกันตลอดไป

       “สำหรับผลตรวจเลือด HIV-Antibody นะครับ ตรงส่วนนี้คุณเทียนไขค่อนข้างโชคดีที่ยังไม่มีเชื้อ”

       “…” เธอคลี่ยิ้มออกมา ก็ยังดีหน่อยที่โชคชะตายังคงเมตตาหลานของเธออยู่บ้าง สบายใจไปได้เปราะนึงสำหรับเรื่องนี้ 

       “แต่ว่า...โรคซึมเศร้าที่เขาพึ่งจะหายขาดได้ไม่นาน ตอนนี้..คุณเทียนไข กลับมาเป็นอีกแล้วครับ”

       “…” ยิ้มเมื่อครู่ก็ต้องหุบลง ความสงสัย ความประหลาดใจ และความงงงวยเกิดขึ้นในหัว

       “ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาเท่าที่หมอสังเกตดูอาการของเขาแล้ว หมอรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้าแล้วก็ได้ เพราะอาการของเขามันรุนแรงกว่านั้น หมอสงสัยว่าเทียนไขอาจจะกำลังเป็น ‘โรคจิตเภทหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenia)’ ซึ่งต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วน..”

       “เดี๋ยว.. เดี๋ยวนะคะ”

       “ครับ?”

       “ดิฉันไม่ยักกะรู้ว่าเทียนไขเคยเป็นโรคซึมเศร้า” 

       “ตามประวัติการรักษาของคุณเทียนไขมีระบุเอาไว้ว่าเทียนไขมีภาวะสารเคมีในสมองไม่สมดุลมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ”

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 18:00:44
       “…” จู่ๆก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แล้ว..ที่ผ่านมา หลานรักของเธอนอกจากต้องต่อสู้กับปัญหาครอบครัว คำนินทาครหา คำด่าและคำเหยียดหยามแล้ว ยังต้องต่อสู้กับตัวเองอีกหรอ..

       “ง่ายๆเลยก็คือคุณเทียนไขมีภาวะซึมเศร้ามาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ทีนี้เนี่ย..ภาวะนี้จะไม่รุนแรง เทียนไขสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติถ้าไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น”

       “…”

       “และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อวันก่อนมันก็กระตุ้นภาวะนี้อย่างรุนแรง เพราะงั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้หมออยากให้ญาติดูแลคุณเทียนไขอย่างใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านก็อย่าปล่อยให้เขาคลาดสายตาโดยเด็ดขาด พยายามทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวให้ได้นะครับ คงความรู้สึกนี้ของเขาให้ได้ตลอด”

       “…” น้าหยวนพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่ารับปาก

       “ส่วนเรื่องความเรื่องคดี ตรงนี้หมอขอแนะนำว่าถ้าญาติประสงค์จะดำเนินคดี หมออยากให้เลื่อนไปก่อน เพราะยังไงแล้วคุณเทียนไขก็ยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถพูดเรื่องแบบนั้นออกไปได้ง่ายๆ และถ้าให้เขาฝืนก็ยังเป็นอันตรายกับเขาอีกด้วย”

       “เรื่องคดี..ดิฉันตามใจหลานอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคุณหมอคะ..”

       “ครับ?”

       “ที่ว่าเทียนมันเคยเป็นโรคนี้แต่หายแล้วเนี่ย ตอนไหนหรอคะ..?”

       “เทียนไขเข้ารับการรักษาตั้งแต่ธันวาเมื่อสองปีก่อนแล้วครับ พึ่งหายขาดเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว” นั่นมันช่วงที่..เทียนย้ายออกไปแล้วใช่รึเปล่า..?

       “หมอบอกว่า..ต้องถูกอะไรซักอย่างกระตุ้น งั้นแสดงว่าครั้งที่แล้วก็มีอะไรซักอย่างกระตุ้นเขางั้นใช่มั้ยคะ?”

       “อาจจะใช่ครับ ครั้งก่อนหมอไม่ใช่หมอเจ้าของไข้ของคุณเทียนไข เดี๋ยวหมอขอดูในประวัติการรักษาซักครู่นะครับ”

      “…”

      “ในนี้ระบุว่าเทียนไขถูกทำร้ายร่างกายครับ ตรงนี้หมอก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่เทียนไขดูจะกลัวเขามากๆ จากประวัติการรักษา..เทียนไขเคยจะฆ่าตัวตายด้วยครับ”

       “….”

       “ที่แย่ไปกว่านั้น…เทียนไขเหลือไตข้างขวาข้างเดียวแล้วนะครับ จากเหตุกาณ์ที่เขาถูกทำร้ายร่างกายตอนนั้น ทำให้ไตข้างซ้ายของเขาบอบช้ำหนักจนไม่ทำงานอีกต่อไป”  …ราวกับมีระฆังดังลั่นอยู่ในหัว จู่ๆก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ในหัวขาวโพลน รับรู้อยู่อย่างเดียวคือความรู้สึกผิดที่ดูแลลูกของพี่สาวตัวเองไม่ได้เลย

       “เรื่องการรักษา.. ตามสิทธิ์การรักษาของคุณเทียนไขแล้วก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เป็นค่ายาอีกนิดหน่อย และอาจจะมีค่ารักษากรณีอาการหนัก ไม่ทราบว่าญาติเห็นด้วยรึเปล่าครับถ้าจะให้คุณเทียนไขเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังตั้งแต่วันพรุ่งนี้”

       “ดิฉันไม่มีปัญหาเรื่องเงินค่ะ เพราะงั้นดิฉันเห็นด้วยค่ะ” เธอโกหก.. จริงๆครอบครัวของเธอก็มีภาระหนี้สินเช่นกันแล้วก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลยด้วย

       ความรักล้วนๆที่ทำให้เธอโกหกไปแบบนั้น

       ‘ความรัก’ ที่จริงแท้และบริสุทธิ์

       “งั้นหมอจะเชิญคุณเทียนไขเข้ามาแล้วนะครับ”





       ไม่นานนักประตูห้องตรวจสีน้ำเงินก็ถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยวีลแชร์ของหนึ่งในผู้ป่วยแผนกจิตเวชของทางโรงพยาบาลผู้ที่อายุน้อยที่สุด

       ‘นายเทียนไข จินตนันท์’



       “สวัสดีครับคุณเทียนไข” คุณหมอเอ่ยทักคนไข้ด้วยโทนเสียงนุ่มน่าฟังประจำตัวของเขา “เบื่อหน้าพี่หมอแล้วรึยังครับ?”

       …ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกจากสายตาที่เลื่อนลอยและความว่างเปล่าอันเงียบสงัด

       “วันนี้คุณแม่ว่ายังไงบ้างเอ่ย” คุณหมอเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนี้ก็ทำเอาน้าหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับหันควับมามองคุณหมอในทันที

       “..แม่บอกว่า อยากให้เทียนไปหา” แต่ไม่นานนักเธอก็ได้เข้าใจแล้วว่า ‘รุนแรง’ ที่คุณหมอบอกมันหมายถึงอะไร

       ..พอได้เข้าใจแล้วเธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาการของผู้ป่วยทางจิต แต่เธอก็ไม่นึกว่ามันจะน่าสงสารขนาดนี้

       ..มันเจ็บอยู่ในอกที่ได้เห็นสายตาที่เคยฉายแววแต่ความสุขแสนไร้เดียงสาตอนนี้เลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วในโลกของความเป็นจริง



       “แล้วคุณแม่..อนุญาตให้เราเข้ารับการรักษารึยังครับ?” คุณหมอเอ่ยถาม พลางจดอะไรยุกยิกๆลงในกระดาษ

       “แม่บอกว่า..ให้เทียนรักษา แต่เทียนไม่อยากทำแล้ว เทียนกลัว...เทียนเจ็บ มันปวดหัว ฮือ...ปวดหัว” ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มฉายแววความรู้สึกอีกครั้งแต่กลับเป็นความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดจนน้ำตาเม็ดใสจู่ๆก็ไหลลงมาเสียดื้อๆ ส่วนผู้เป็นน้าเมื่อเห็นดังนั้นจึงขยับไปหาหลานรักก่อนจะจับฝ่ามือเล็กขึ้นมากอบกุมหวังจะบรรเทาอาการลงไปได้บ้าง

       “รบกวนญาติเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยครับ” คุณหมอเอ่ยบอก น้าหยวนจึงกลับมาให้ความสนใจตรงนี้อีกครั้ง

       “ส่วนเทียนไขคนเก่ง หยุดร้องก่อนนะครับ แล้วเอานิ้วกดลงตรงนี้ แล้วก็เอามาแตะลงบนกระดาษตรงนี้ โอเคมั้ยครับ?” คุณหมอบอกกับคนไข้พร้อมกับทำท่าทางประกอบด้วยการยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วกดลงไปในหมึกปั๊มสีน้ำเงินแล้วทำท่าทาบบนกระดาษ

       “อย่าลืมที่หมอบอกนะครับ อย่าปล่อยให้เขาต้องรู้สึกว่าอยู่เพียงตัวคนเดียว” คุณหมอหันมาบอกน้าหยวนอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง

       “ค่ะ ยังไงฝากหมอช่วยดูแลหลานดิฉันด้วยนะคะ ดิฉันอยากให้เทียนหายเป็นปกติอีกครั้ง อนาคตเขายังอีกยาวไกลเลย”

       “หมอจะทำเต็มที่แน่นอนครับ เทียนจะหายป่วยแน่นอน ดีใจรึเปล่าครับเรา..” คุณหมอเอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปให้ถามเทียนไขด้วยโทนเสียงประจำตัว ซึ่งคนป่วยพอจะคลี่ยิ้มออกมาได้บ้างเขาจึงผายมือเป็นสัญญาณให้บุรุษพยาบาลพาเด็กน้อยกลับไปพักผ่อนต่อ



       “จริงๆแล้ว.. โอกาสที่จะหายเป็นปกติก็มีนะครับญาติ”

        “…”

        “แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจจากคนรอบข้าง สภาพแวดล้อม แล้วก็..แรงใจของตัวผู้ป่วยเอง”

       “…”

       “จากสภาพที่เห็นแล้วหมอก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้วว่าเทียนไขเจออะไรมา ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเจอมามันจะบั่นทอนแรงใจของเขาจนแทบไม่มีเหลือเลย”

       “…”

       “ยังไงหมอก็จะรักษาเทียนไขอย่างสุดความสามารถ แต่ว่า…หมอคงรับปากไม่ได้ว่าเขาจะหายดี”









       

       



       29 ก.พ 10.23 น.

       “สวัสดีครับคุณเทียนไข” เสียงนุ่มของพี่หมอเอ่ยถามหนูน้อยที่พึ่งเข้ามาใหม่ในห้องตรวจ สายตาของเขายังคงเลื่อนลอยดังเดิม แต่ยังพอจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าอยู่บ้าง “วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ”

       “..เทียน..มีความสุข” เสียงหวานเอ่ยตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม “แม่อยู่กับเทียนตลอดเลย เทียน..มีความสุขจัง”

       “..โอเคครับ” คุณหมอมองภาพเด็กน้อยตรงหน้าที่มองพื้นที่ว่างข้างๆตัวก่อนจะบันทึกอาการของเทียนไขลงในคอมพิวเตอร์ “แล้ว..วันนี้คุณแม่ว่ายังไงบ้างครับ”

       “แม่บอกว่า..เทียนจะหายเจ็บ เทียนจะไม่เจ็บ ถ้าเทียนไปหาแม่..”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่หนึ่ง

       วันนี้อาการเห็นภาพหลอนค่อนข้างรุนแรง ยังคงหวาดระแวงสั่นกลัวว่าจะถูกทำร้าย และคิดจะฆ่าตัวตาย’



       3 มี.ค 16.39 น.

       “เทียนไขครับ นี่หมอเองนะ พี่หมอเอง”

       “พอ..ฮือ เจ็บ ไม่เอาแล้ว ไม่เอา… อย่ามายุ่ง โอ๊ย..ฮือ”

       “…”

       “กลัวแล้ว..ฮือ เปลว หยุดเถอะนะ ขอร้อง..”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่สี่

       อาการเห็นภาพหลอนยังคงรุนแรงถึงแม้จะให้ยาบรรเทาไปแล้ว วันนี้เทียนไขไม่ได้พูดถึงแม่เหมือนทุกๆวัน แต่พูดถึงคนชื่อเปลว คาดเดาว่าน่าจะเป็นหนึ่งในความทรงจำอันเลวร้ายของเขา เทียนไขดูหวาดกลัวเขามาก

       อาการในช่วงเย็นรุนแรงจนต้องให้ยานอนหลับ ถ้าอาการในวันพรุ่งนี้ยังรุนแรงอาจจะต้องช็อกไฟฟ้าเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง’



       17 มี.ค 13.20 น.

       “เทียนไข..เทียนไขครับ”

       “…”

       “บอกพี่หมอหน่อยซิว่าวันนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง สนุกมั้ย เหงารึเปล่า?”

       “…”

       “เทียนไขได้ยินพี่หมอมั้ย? ..เทียนไข”

       “…”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่สิบแปด

       วันนี้ไม่มีอาการเห็นภาพหลอน แต่เทียนไขไม่พูดไม่จาไม่ตอบโต้อะไรเลย เอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า

        ให้ยากระตุ้นประสาทไป พอช่วงค่ำถึงได้เริ่มแสดงความรู้สึกตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็มีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้นที่แสดงออกมาผ่านหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างหนักหน่วง’



       21 เม.ย 11.17 น.

       “สวัสดีครับพี่หมอ” เสียงหวานเอ่ยทักคุณหมอเจ้าของไข้ด้วยน้ำเสียงสดใส

       “สวัสดีครับเทียนไข ยังรู้สึกกลัวพี่หมออยู่รึเปล่าครับวันนี้” ตลอดช่วงการรักษาที่ผ่านมาทุกครั้งที่เทียนไขต้องทำจิตบำบัดผ่านการพูดคุยเรื่องราวต่างๆกับพี่หมอ เขาก็มักจะแสดงความหวาดระแวงอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับวันนี้

       “ไม่กลัวแล้วครับ วันนี้เทียนรู้สึกสบายใจมากๆเลย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”

       “ดีแล้วครับ ชอบความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า?”

       “ชอบครับ”

       “งั้นเทียนคงความรู้สึกนี้ไปเรื่อยๆเลยนะครับ”

       “ครับ เทียนจะคงความรู้สึกนี้ไปจนถึงวินาทีสุดท้ายเลย พี่หมอไม่ต้องห่วงเทียนนะ เทียนหายดีแล้ว”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่ห้าสิบสาม

       วันนี้เทียนไขดูมีความสุขมากกว่าวันไหนๆจนน่าแปลกใจ เขายิ้มมากกว่าทุกวัน แถมยังสนอกสนใจกับหนังสือทางการแพทย์อีกด้วย หมอก็เลยให้ยืมไปอ่านเล่มนึง

       เป็นสัญญาณที่ดีมากๆเลยสำหรับเช้านี้ บางทีเทียนไขอาจจะหายเป็นปกติได้แน่อีกไม่นาน



       ทว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น ตกดึกคนที่ยิ้มแย้มในตอนเช้ากลับกลายเป็นคนละคน ..เทียนไขคิดจะฆ่าตัวตายอีกแล้ว

       เขาทุบกระจกในห้องน้ำแล้วนำเศษกระจกกรีดลงบนข้อมือตรงช่วงเส้นเลือดใหญ่ ดีที่ผู้ป่วยคนอื่นๆเห็นแล้วร้องขอความช่วยเหลือ เราจึงช่วยเหลือเขาได้ทัน

       วันพรุ่งนี้อาจจะต้องเปลี่ยนใช้ยาตัวใหม่ที่แรงกว่าเดิม และอาจจะต้องทำการช็อกไฟฟ้าอีกครั้ง’



       ..การรักษาเทียนไขยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ อาการของเขาขึ้นๆลงๆ บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้องไห้จนรู้สึกเศร้าสลดเมื่อพบเห็น

       วันแล้ววันเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เด็กคนนี้ก็ยังคงมีอาการหวาดระแวงไม่ต่างอะไรกับวันแรกที่เข้ารับการรักษา

       เสียงโอดครวญของเขาเป็นที่โจษจันแก่พยาบาลและผู้ป่วยคนอื่นๆ เพราะทุกครั้งที่ได้ยินก็อดที่จะรู้สึกเวทนาไม่ได้ หลายครั้งที่เทียนไขต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อสงบอาการ แต่มันก็ได้ผลเพียงแค่คืนต่อคืน

       เด็กน้อยถูกรักษาด้วยไฟฟ้ามาหลายต่อหลายครั้ง และบ่อยครั้งมากขึ้นในระยะหลังเพราะเขาเริ่มไม่ตอบสนองต่อยาหรือการทำจิตบำบัดใดๆ

       จวบจนโลกหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปจนถึงช่วงเดือนกรกฎา อาการของเทียนไขจึงเริ่มทุเลาลงจนอยู่ในขั้นที่ควบคุมดูแลตัวเองได้



       21 กรกฎา 10.25น.

       “Good morning ครับ my doctor” เสียงหวานของผู้ป่วยแผนกจิตเวชผู้ที่เด็กที่สุดเอ่ยทักคุณหมอด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงบริทิชจากการฝึกฝนโดยใช้หนังสือที่ยืมคุณหมอมา

       “Good morning  ครับเทียนไข วันนี้คุณดูมีความสุขนะ” คุณหมอเอ่ยตอบ เขาคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่ในที่สุดคนไข้ที่ตัวเองดูแลดีขึ้นจนสามารถไปใช้ชีวิตในสังคมข้างนอกได้แล้ว

       “ครับ ผมมีความสุข แล้วผมก็อยากให้พี่หมอมีความสุขด้วย ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอด” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ในใจรู้สึกขอบคุณพี่หมอมากจริงๆที่ช่วยดึงเขาจากจุดที่ต่ำที่สุดขึ้นมายังจุดที่ควบคุมความรู้สึกนึกคิดตัวเองได้อีกครั้ง

       “ได้เห็นผู้ป่วยของหมอมีความสุขแบบนี้หมอก็มีความสุขแล้วครับ” คุณหมอยิ้มตอบ “อย่าลืมมาหาหมอตามที่ระบุไว้ในใบนัดด้วยนะครับ”

       “ครับผม” เด็กน้อยรับปาก ..ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของการรักษาตัวภายในโรงพยาบาล หลังจากนี้เทียนไขจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมข้างนอกอีกครั้ง

       “น้าหยวนมารอรับเราตั้งแต่เจ็ดโมงแล้วล่ะ ตอนนี้น่าจะนั่งหลับอยู่ชั้นหนึ่ง” คุณหมอพูดติดตลกด้วยความสนิมสนม ระยะเวลาตลอดการรักษานั้นทำให้เขาสนิทกับผู้ป่วยคนนี้ในระดับนึงเลยทีเดียว

       “โห งั้นนี่ผมก็ปล่อยให้น้าหยวนรอนานแล้วน่ะสิ..” เทียนไขบ่นอุบอิบกับตัวเอง

       “ฮ่าๆ เดี๋ยวเราไปรับยาด้านล่างนะครับ แล้วก็กลับบ้านได้เลย”

       “ขอบคุณนะครับพี่หมอ ..ขอบคุณมากๆเลยที่ดูแลผมมาตลอด” เทียนไขบอกชายในชุดกาวน์อย่างจริงใจ

       “ครับผม หมอยินดี”

       “งั้น..ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวมารบกวนใหม่เดือนหน้าวันที่พี่หมอนัด”

       “เทียนไข” คุณหมอเอ่ยเรียก

       “ครับ?”

       “กลับมาเป็นหมอของที่นี่ให้ได้นะ” ..มีหลายครั้งที่เทียนไขบอกกับเขาว่าอยากเป็นหมอ และเมื่อเขาได้ฟังแบบนั้น ..ได้รู้ว่าเด็กคนนี้สอบติดที่ไหน เรียนเกี่ยวกับอะไร ..ได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้น บอกตรงๆว่าเขาพร้อมที่จะสนับสนุนเด็กคนนี้อย่างเต็มที่

       ในฐานะ…รุ่นพี่สายรหัสเดียวกัน



















       เทียนไขเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต่อแต่นี้ชีวิตเขาไม่ได้มีลำพังเขาคนเดียวอย่างที่เคยคิดอีกต่อไปแล้ว

       ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เทียนไขอยู่โรงพยาบาลมีเพียงคนเดียวที่เข้าๆออกๆเพื่อไปเยี่ยมเยียนพูดคุยถามไถ่ ถึงแม้ไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ค่ายา ค่ารักษา คนๆนี้ก็หามาจ่ายให้เขาจนได้

       คนๆนั้นเป็นคนที่เขาเคยนึกเกลียด เคยนึกมองข้าม นึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่เห็นความสำคัญของเธอเลยแม้แต่น้อย

       “น้าหยวนครับ..กลับบ้านกัน” แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ..คนๆนี้ไม่เคยมองเขาในแง่ลบอย่างที่เขามองเธอเลย ซ้ำยังคอยซัพพอร์ต ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้างเขามาตลอดไม่เคยทิ้งไปไหน

       “อ้าว..มาแล้วหรอลูก ดีๆ กลับบ้านกันนะเทียนนะ” แล้วก็ยัง…รักและเป็นห่วงเขาเสมอมา

       “ขอบคุณน้าหยวนมากๆนะ”





       เทียนไขกลับไปอยู่ที่บ้านริมคลองหลังเดิม ถึงสภาพจากภายนอกจะดูทรุดโทรม แต่ภายในตอนนี้บอกได้เต็มปากเลยว่าโมเดิร์นสุดๆ

       เขาใช้เวลาว่างก่อนจะต้องเริ่มไปเข้าค่ายต่างๆนาๆเพื่อเตรียมตัวเปิดเทอมให้กับการทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูบ้านของเขาจนสะอาดหมดจด แล้วก็จัดนู่นจัดนี่ใหม่ให้เป็นที่เป็นทางมากขึ้น เขารู้แล้วว่าอะไรทิ้งได้ก็ควรทิ้งซะ เพราะฉะนั้นแล้วสภาพใหม่ของบ้านหลังนี้จึงไม่สามารถใช้คำว่าบ้านโทรมๆได้อีกต่อไป

       เด็กน้อยยิ้มแป้นกับสภาพบ้านที่พึ่งตกแต่งใหม่ของตัวเอง

       ..มันอาจจะไม่ได้มีเตียงขนาดคิงไซส์ โซฟานุ่มๆ หรือทีวีห้าสิบนิ้วติดผนัง

       แต่นี่แหละคือความสุข..

       “นี่แหละ ‘บ้าน’ ของเทียนไข” เด็กน้อยบอกกับตัวเองอย่างภูมิใจ





       เวลาที่เหลือนอกจากนั้นเทียนไขก็ทุ่มมันให้กับงานพาร์ทไทม์ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งภายในห้าง ซึ่งเงินที่ได้แต่ละวันนั้นก็เพียงพอกับการดำรงชีวิตและยังเหลือเก็บอีกด้วย

       ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างเรียบง่ายและค่อยเป็นค่อยไป   ..ไม่มีเรื่องอะไรให้รู้สึกหวือหวา ขณะเดียวกันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้รู้สึกทุกข์ใจ

       เขาเริ่มมีสังคมจากพี่น้องในที่ทำงาน ได้พบปะผู้คนมากมายมากหน้าหลายตา ทำให้อาการป่วยนั้นทุเลาลงจนแทบจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนป่วยอีกต่อไปแล้ว





       วันเวลาฝันเปลี่ยนจนมาถึงมาถึงวันเปิดภาคเรียนวันแรกในการเป็นนักศึกษา

       เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอยู่ในชุดนิสิตสีขาวสะอาดและกางเกงสแล็คสีดำ มีเนกไทสีเขียวแก่ผูกอยู่หลวมๆที่คอ ซึ่งรวมๆกันแล้วเจ้าตัวก็ดูดีจนออร่าจับเลยทีเดียว

       สองขาของเขาก้าวเดินไปข้างหน้าตามทางเท้าหน้ามหาลัยต่อไปเรื่อยๆอย่างสง่าผ่าเผยเพื่อตรงไปยังประตูทางเข้า ผิดกับในใจที่ตื่นเต้นจนแทบอยากจะวิ่งตีลังกาไปคณะตัวเองอยู่รอมร่อเพราะอยากไปเจอเพื่อนๆที่คณะใจจะขาด

       ..กิจกรรมรับน้อง กิจกรรมค่ายปฐมนิเทศ และอื่นๆที่ทางคณะจัดให้นั้นทำให้เขาเป็นที่รู้จักรักใคร่ต่อใครหลายๆคนทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นปี

       เทียนไขเองก็สนุกไปกับกิจกรรมที่ว่ามากๆ เขาได้เพื่อนจากกิจกรรมนี้มากมายเลย ซึ่งก็..

       “นาย…นายทำบัตรนักศึกษาหล่นรึเปล่า..” เกือบจะทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไปได้แล้วแท้ๆ

       “…” เทียนไขหยุดกึก ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้เห็นคนตรงหน้า

       “อ่ะ รับไปดิ” ความหวาดกลัวที่เคยจางหายไปเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

       “…” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่รับบัตรนักศึกษาคืนมาอย่างหวาดๆกลัวๆ



       แต่ก็ต้องนึกแปลกใจที่คนตรงหน้ากลับไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้ข่มเหงหรือรังแกเขาอย่างที่เคยทำในอดีต

      คนตรงหน้าทำเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆออกมาก่อนจะหันกลับแล้วเดินนำเขาไป



       เทียนไขพยายามสะบัดความกลัวออกไปจากหัวก่อนจะก้าวเดินไปตามแผ่นหลังนั้นโดยไม่ลืมเว้นระยะห่างเอาไว้



       เขาใช้สายตามองสังเกตคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า คนนี้ๆใส่ชุดนิสิตเหมือนๆกันกับเขา จะแตกต่างก็แค่คนตรงหน้ามีหมวกไหมพรมใส่อยู่ที่หัวแค่นั้น การแต่งกายของเขาสะอาดสะอ้านดูดีระดับนึงเลยทีเดียว

       องค์ประกอบทั้งใบหน้าและรูปร่างทุกสัดส่วนมันไม่ผิดแน่ๆ..

       “เปลว..” เทียนไขเผลอเรียกออกไปเสียงเบาหวิวโดยไม่รู้ตัว ทว่าคนตรงหน้ากลับได้ยินและกำลังหันตัวกลับมาหาเขา

       “เมื่อกี้..เรียกเรารึเปล่า?” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มหันมายิ้มถามเพื่อความแน่ใจ

       “….” เทียนไขส่ายหัวปฏิเสธ

       “…” คนตัวสูงกว่าเมื่อเห็นดังนั้นจึงยิ้มบางๆกลับมาก่อนจะหันไปทางเดิมแล้วเดินต่อไป



       ‘แบบนี้ดีแล้ว..เป็นแบบนี้ดีแล้ว’ เทียนไขพร่ำบอกกับตัวเอง มันก็ดีแล้วที่เปลวไม่ได้ทำร้ายอะไรเขาอีก แต่ในเสี้ยวลึกๆในใจกลับรู้สึกจุกแปลกๆ

       เปลวทำเหมือนกับ…ไม่เคยรู้จักกัน



       

       





 

     

       







หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 18:05:16
06
เปลวเผาเทียน






       “อ้าวว่าไงเพื่อนเทียน มาเช้าเหมือนกันนะมึงเนี่ย” คนตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเทียนไขเอ่ยทักทายเขา คนๆนี้เทียนไขพึ่งรู้จักตอนค่ายปฐมนิเทศของทางคณะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง

       “แน่นอนครับคุณพล ประเดิมวันแรกด้วยการมาเจอหน้ามึงตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว” เทียนไขตอบรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

       คนๆนี้คือ ‘พละพล’ เพื่อนที่เทียนไขสนิทที่สุดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในคณะแพทยศาสตร์



       “พูดงี้แสดงว่าดีใช่ปะที่ได้เจอหน้ากู” พละพลถามต่อพร้อมกับเดินคู่กันไปกับเทียนไข

       “หึ” เทียนไขส่ายหัวขำๆ

       “สัด ขอบคุณ” ก่อนจะเดินคุยกันไปตามทางเรื่อยๆไปจบที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งในโรงอาหาร ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ ทั้งสองคนแทรกตัวลงไปนั่ง ก่อนจะพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมากันอย่างออกรส

       “หลังจากค่ายแล้วเป็นไงบ้างวะมึง” พละพลเอ่ยถาม

       “ก็เหมือนเดิมแหละว่ะ กูต้องทำงาน” เทียนไขตอบ เป็นความจริงที่ถ้ามีเวลาหลงเหลืออยู่เด็กตัวคนเดียวอย่างเขาก็จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากภาระค่าใช้จ่ายในเมืองใหญ่แบบนี้ และใช่ มันก็เหนื่อยมากๆจนเขาแทบจะไม่มีเวลาได้พักเลย

       “มึงอย่าหักโหมเกินไอ้เทียน นี่ก็เปิดเทอมแล้ว ถ้ามีเวลาได้พักก็ควรพักบ้าง” พละพลบอกด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นคนฉลาดและสามารถรับรู้และเข้าใจเพื่อนคนนี้ดีว่าชีวิตเป็นอย่างไรเมื่อมองแววตาและท่าทาง แต่เขาก็ไม่เคยถามไปตรงๆหรอกเพราะมันดูจะยุ่มย่ามกันเกินไป

       “ไม่เป็นไรหรอก กูอะแค่นี้สบายมาก นี่เดี๋ยวพอเลิกเรียนวันนี้กูก็ต้องไปร้านอีกเหมือนกัน วันไหนว่างๆก็ไปอุดหนุนกันได้นะเพื่อนพล ช่วงนี้มีโปร”

       “ถ้ามึงทำให้กูกิน โปรที่ว่าคงไม่ใช่โปรโมชั่น แต่คงเป็นเป็ดโปร”

       “รู้ทันอีก” เทียนไขรับมุกอย่างรู้งาน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ เป็นอย่างนั้นไปได้ซักพักก็ต้องหยุดเมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา

       “เฮ้ยไอ้พล เป็นไงบ้างวะ” หนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยทักพละพล ก่อนจะตรงลงมานั่งข้างๆคนที่เขาเอ่ยถึง ส่วนคนอื่นๆในกลุ่มเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองนั่งแหมะลงแบบนั้นแล้วก็จำเป็นจะต้องเดินตามมานั่งด้วยกันจนที่ว่างที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยพวกเขาไปซะหมด

       “อ้าวไอ้โจ้ กูหรอ...กูสบายดี มึงล่ะเพื่อน ได้ข่าวไปอังกฤษมาไม่ใช่หรอ ในของฟงของฝาก” พละพลตอบ

       “โทษทีกูลืม เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้ละกัน”

       “ดีมาก”

       “เออแล้วนี่เป็นไงมาไงถึงมาอยู่โรงอาหารคณะกูวะ คณะมึงก็มีปะโรงอาหาร หรือมาดักรอใครรึเปล่าครับคุณพละพล” โจ้มองพละพลสลับกันเทียนไขก่อนจะมองไปรอบๆพร้อมๆกับพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท

       “ไม่ได้มารอใครครับสัด กูหิว คณะกูอยู่ไกลเลยแวะแดกที่นี่ก่อน”

       “แล้ว…” โจ้เชยสายตามามองเทียนไขอีกครั้งอย่างนึกสงสัย

       “คนนี้เพื่อนกูเอง ชื่อเทียน ส่วนเทียน ไอ้เหี้ยนี่ชื่อโจ้นะ ระวังมันหน่อย..มันขี้ขโมย” พละพลแนะนำเพื่อนทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันด้วยน้ำเสียงปกติของเขา หากแต่ในคำสุดท้ายที่เขาพูดออกมานั้นมันกลับเป็นราวกับเรียวมีดแหลมๆที่แทงสลักลึกลงไปกลางใจของคนฟังอย่างเทียนไข 

       “มึงก็เวอร์ นั่นมันก็นานแล้วมั้ย เอ่อ..เราไม่ได้เป็นอย่างที่ไอ้เหี้ยพลมันพูดเมื่อกี้หรอกนะ” โจ้รีบแก้ต่าง

       “…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มให้บางๆ

       “เออแล้วนี่ไอ้ติสต์แตกของเรามันหายไปไหนของมันวะเนี่ย” โจ้มองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่เขาพูดถึง

       “ใครวะ” พละพลเอ่ยถาม

       “เพื่อนกูนี่แหละ พึ่งเจอกันวันนี้วันแรก เห็นมันใส่หมวกไหมพรมอยู่ตลอดเวลากูก็เลยเรียกมันว่าไอ้ติสต์แตก”

       “…”

       “แต่แม่งหล่อนะ เดินไปตรงไหนก็มีแต่สาวมองมันเต็มไปหมดเลย กูล่ะโคตรอิจฉา” เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนดูสนอกสนใจกับสิ่งที่โจ้พูด แต่ผิดกับเทียนไขที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ในหัวใจดวงน้อยๆที่พึ่งกลับมาแข็งแรงได้ไม่นานกำลังหวาดหวั่น

       “นั่นไงไอ้โจ้…มันมานู่นแล้ว” เพื่อนในกลุ่มของโจ้พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ด้วยนิ้วโป้งไปทางผู้มาเยือน ซึ่ง..เทียนไขก็คุ้นหน้าคุ้นตาเขาดียิ่งกว่าใคร

       “โห…ไอ้โจ้ นี่..ว่าที่เดือนคณะมึงรึเปล่าวะ..” พละพลเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ก็ได้แต่อ้าปากเหวอตกตะลึงกับองค์ประกอบบนใบหน้าที่ได้สัดส่วนและเหมาะสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว

       “เออคิดเหมือนกูเลย กูก็ว่าจะดันให้มันเป็นอยู่เหมือนกันเนี่ย”



       “เปลว..” เป็นอีกครั้งที่เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว ..คนใจร้ายคนนั้นกลับยิ้มและทำท่าทีมีความสุขราวกับลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรให้กันไว้บ้าง

       “ไอ้เปลว! มานี่ๆ คัมมอน กูอยู่นี่” โจ้กวักมือเรียกอีกฝ่าย แน่นอนว่าพอเปลวเห็นดังนั้นเขาก็รีบตรงเข้ามาหาในทันที

       “ว่าไง แล้วนี่นั่งทำอะไรกัน” คนใจร้ายหยุดพร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

       “อ๋อ ก็..นั่งนินทามึงอยู่อะ” โจ้ตอบ

       “เสียใจ”

       “กูล้อเล่น เออ..แต่จริงๆก็ไม่ล้อเล่นหรอก เพราะพวกกูกำลังพูดถึงมึงอยู่จริงๆ เนี่ยอุตส่าห์มาโฆษณามึงให้ไอ้พวกหมอฟังเลยนะเนี่ย”

       “กูควรดีใจ?” เปลวแค่นขำ ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงตรงข้างๆโจ้

       “อ้อ..ไอ้พล กับ..เอ่อ เทียน ไอ้นี่มันชื่อเปลวนะ ส่วนไอ้เปลว นี่..ไอ้พล กับคนนี้..ชื่อเทียน” โจ้จัดแจงเป็นตัวกลางทำความรู้จักให้ทั้งสองฝ่าย

       “ไม่ต้องสาระแนหรอกเพื่อนโจ้ กูแนะนำตัวเองได้ สวัสดีครับ..ผมชื่อพละพล เรียนอยู่คณะแพทย์ครับ” พละพลหันไปคุยกับเปลวด้วยสีหน้าที่ร่าเริงและเป็นมิตร ..ดูๆไปแล้วก็กำลังมีความสุขกันอยู่ทุกคน ยกเว้นแต่เทียนไขที่กระอักระอ่วนใจจนฝ่ามือที่เคยวางอยู่นิ่งๆสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่เพียงกำมือไว้แน่นๆใต้โต๊ะเพื่อระบายสิ่งที่กำลังรู้สึกออกไป

       “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ก่อนจะเชยสายตามามองคนตรงข้ามที่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จาอะไรออกมาเลยตั้งแต่ที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ “แล้วนี่..ชื่อเทียนใช่มั้ย”

       “…” ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อเห็นเทียนไขเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบอะไรกลับไป

       “เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ..?” เสียงนุ่มๆของคนใจร้ายยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทกระตุกเรื่องราวต่างๆในอดีตให้ค่อยๆพรั่งพรูเข้ามาเป็นฉากๆ

       “…” เทียนไขรีบส่ายหัวปฏิเสธ และพยายามปัดเป่าภาพเหล่านั้นออกไป

       “แปลกจัง ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้..”

       “เด็กยุคเก้าศูนย์หรือไงมึง มุกนี้มันใช้จีบใครไม่ได้แล้วครับเพื่อนติสต์ของกู” ดีหน่อยที่โจ้พูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาได้ทันท่วงที ไม่งั้นสุดท้ายแล้วเทียนไขก็คงไม่พ้นที่จะต้องกลับไปสถานที่แห่งเดิมที่เรียกว่าโรงพยาบาล

       “กูไม่ได้จะจีบเขา แค่รู้สึก..คุ้นๆกับชื่อเฉยๆ” เปลวตอบ สายตายังคงมองมาทางคนตรงหน้าที่ยังคงก้มหน้างุดอยู่เหมือนเดิม “แล้วนี่เทียน..เป็นอะไรรึเปล่า”

       “…” เทียนไขกำมือแน่น เหงื่อกาฬไหลซึมตามฝ่ามือและข้อพับตามกลไกของร่างกายเมื่อตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในใจทำได้แต่เพียงพร่ำบอกกับตัวเอง..



       ‘ไม่มีเปลวคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาตายจากมึงไปแล้ว อย่าเสียใจ.. อย่าร้องไห้.. ดีแล้วที่เขาจำมึงไม่ได้ ดีแล้วที่เขาตายจากมึงไป… ดีแล้ว’



       “เทียน..มึงเป็นไรเปล่า” พละพลแตะไหล่เพื่อนของเขาอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีไม่ดี

       “เปล่า.. กูไม่เป็นไร ป..ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” เทียนไขเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างเร่งรีบ ก่อนจะลุกพรวดพราดแล้วพาตัวเองออกไปจากตรงนั้น เสียงนุ่มๆดังไล่หลังเขามาติดๆ แต่เทียนไขก็ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย



       “..ใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมเก็บบัตรนักศึกษาให้เมื่อเช้ารึเปล่าครับ?”



       …ถึงจะไม่ได้ตอบกลับอะไรไปเป็นคำพูด แต่ในใจของเทียนไขนั้นตวาดลั่นคำตอบจนดังสะท้านไปทั่วทั้งใจแล้ว

      ‘ใช่…ผมเอง แต่ไม่ใช่แค่คนที่คุณเก็บบัตรนักศึกษาให้หรอก ผมคนนี้..ผมคนนี้คือคนที่คุณทำชีวิตของเขาแหลกสลายไม่มีชิ้นดี คนที่คุณทำระยำกับเขาไว้มากมายแต่กลับทำเป็นจำไม่ได้ คนโชคร้าย...ที่ได้พบเจอคนอย่างคุณ’





























       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆของวัน แสงแดดจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าสาดส่องเข้ามาอย่างแรงกล้าทำเอาด้านหลังของเสื้อนิสิตสีขาวของเทียนไขนั้นเปียกชุ่มจนแนบติดไปกับแผ่นหลัง

       ตอนนี้เขาเลิกเรียนแล้ว และกำลังมุ่งหน้าเดินออกจากมหาลัยเพื่อไปทำงานพาร์ทไทม์ของตัวเองต่อ โดยมีเพื่อนอย่างพละพลเดินเคียงคู่ไปด้วย

       “มึงจะกลับบ้านแล้วใช่เปล่า” เทียนไขหันมาถามเพื่อนที่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะต้องสู้กับแดดและอุณหภูมิที่เหยียบสี่สิบองศา

       “ก็คงกลับบ้านแหละว่ะ เหนื่อย ร้อน อยากนอน” อีกฝ่ายบ่นกระปอดกระแปดอย่างที่กำลังรู้สึก ก่อนจะหันมาหาเทียนไขแล้วเริ่มต้นประเด็นใหม่ “เออมึง”

       “ว่า”

       “มึงเคยรู้สึกใจสั่นเพราะเจอหน้าใครบางคนปะ” อีกฝ่ายอมยิ้มพร้อมกับก้าวเดินต่อไปราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก

       “…”

       “…แบบว่า ทำตัวไม่ถูก ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เพียงเพราะ..ได้เจอหน้าเขา”

       “เคยสิ …เคยอยู่แล้ว” เทียนไขตอบพร้อมกับหันหน้ากลับมามองทางตรงหน้าเหมือนอย่างเดิมด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนคนนี้ต้องการจะสื่อความรู้สึกใจสั่นที่ว่าในความหมายไหน

       แต่สำหรับเทียนไข…มีเพียงความหมายเดียวเท่านั้นในหัวใจ

        ใจสั่นเพราะ..ความเจ็บปวด…

 

        “..ปกติควรจะเป็นกับผู้หญิง แต่ว่ากู..รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายว่ะ” พละพลพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด “มึงจะไม่รังเกียจกูใช่มั้ยวะเทียน”

       “กูจะรังเกียจมึงทำไมวะไอ้พล มันเป็นเรื่องปกติ มึงก็คือมึง” เทียนไขเอ่ยตอบ

       “กูก็กังวลไว้ก่อนไง กูกลัวมึงจะรับไม่ได้”

       “กูรับได้อยู่แล้ว ไม่ต้องซีเรียสอะไรเรื่องนี้เลย”

       “จริงหรอ ..ดีใจว่ะ อย่าเกลียดกูนะเว้ย เป็นเพื่อนกับกูต่อไปด้วย”

       “กูไม่มีทางเกลียดมึงหรอกเพื่อนพล”

       “มึงว่า…กูพอจะมีโอกาสสมหวังบ้างมั้ยวะ”

        “ไม่รู้ดิ” เรื่องแบบนี้สำหรับประสบการณ์อันน้อยนิดในความทรงจำที่ผ่านมาของเทียนไขแล้วเขาก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนที่เรียกว่ามีหวัง แบบไหนที่เรียกว่าไม่มีหวัง ยังไงก็แล้วแต่..ถ้าเพื่อนอย่างพละพลพูดพร้อมใบหน้าจริงจังแบบนี้แล้วก็แสดงว่าคงจะตกหลุมรักใครเข้าแล้วจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น..เทียนไขอย่างเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ “แต่..มึงบอกกูก่อนสิว่ามึงไปรู้สึกแบบนั้นเข้ากับใคร”

        “กูยังไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไหร่เลยว่ะ ดูเหมือนกูจะไม่มีโอกาสสมหวังอะไรเลยด้วย..”

        “บ้า ไม่ลองก็ไม่รู้ปะวะ มึงบอกกูก่อนว่าคนๆนั้นคือใคร เดี๋ยวกูจะช่วยเท่าที่กูจะช่วยได้”

        “มึงอย่าไปบอกใครนะเว้ย รู้แค่เราสองคน เจอหน้ากันก็ห้ามแซวห้ามยิ้มห้ามขำห้ามทั้งหมด ทำตัวปกติ..” พละพลหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

        “เออได้”

        “กู..”

        “…”

        “กูชอบเปลวว่ะ”

        “…” ดั่งมีระฆังลั่นดังอยู่ในหัว จู่ๆขาที่ควรจะก้าวเดินต่อก็หยุดกึก ทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อกี้คราแล้วคราเล่า “มึง..ชอบเปลว..?”

        “ใช่.. มึงว่ากูจะพอมีหวังมั้ยวะ” มันไม่ใช่ความรู้สึกที่หึงหวง ไม่ใช่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเปลว แต่มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

       คนอย่างเปลวไม่ควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น



       “พล”

       “ว่า”

       “มึงไม่มีหวังหรอก ตัดใจซะเถอะว่ะ” ใช่แล้ว…อย่าหวังเลย พละพลไม่ควรมาหวังกับคนอย่างเปลว เขาควรไปพบเจอใครที่ดีกว่านี้…เทียนไขคิดแบบนั้น

       “…” ทว่าเพื่อนสนิทของเขากลับนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดร้ายๆออกมาจากปากเพื่อนตัวเอง

       “มึงก็ได้ยินแล้วนี่ว่าคนชื่อเปลวมันมีผู้หญิงเยอะ อย่าหวังเลยว่ะพล”

       “..แล้วกูไม่มีสิทธิ์หวังซักนิดเลยหรอวะเทียน” พละพลได้รู้แล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาที่แท้แล้วเป็นคนยังไง

       “ใช่ มึงไม่มี”

       “…” แขนที่เคยกอดคอเพื่อนสนิทคลายออก “ขอบคุณที่บอกให้กูรู้นะ แต่ทีหลังไม่ต้อง”

       “…”

       “กูกลับบ้านละ ไว้เจอกัน”

       “…” เทียนไขยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนสนิทเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าทะมึนตึงบอกบุญไม่รับไปในทันที ก็คงไม่ผิดหรอกที่จะโกรธกัน เพราะคำพูดที่เขาตอบกลับทุกคำมันก็ค่อนข้างจะทำลายความรู้สึกไม่น้อยเลย

       “…ขอโทษนะเว้ย” แต่ทั้งหมดนี่..ก็เพื่อพละพลทั้งนั้น





















       “เทียน ออกไปรับออเดอร์ลูกค้าหน่อย” เสียงหวานของหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเขาเอ่ยเรียกเพื่อผัดเปลี่ยนหน้าที่

       “ครับ” เทียนไขรับคำ ก่อนจะเดินออกมาจากครัวของทางร้านตรงไปที่หน้าร้าน

       ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิทแล้ว เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เขารู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานก็จะได้เลิกงานกลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว เขาคิดอยู่ในใจว่าถ้าลูกค้าโต๊ะสิบเอ็ดเรียกเช็คบิลเมื่อไหร่เขาก็จะกลับบ้านตอนนั้น แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง ลูกค้ารายใหม่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

       เทียนไขเอ่ยทักทายลูกค้าคนแล้วคนเล่าด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วอย่างเป็นมิตรตามที่ได้รับการฝึกสอนฝึกพูดจากพี่พนักงานคนอื่นๆ ปากกาในมือก็จดชื่ออาหารที่ลูกค้าสั่งอย่างไม่หยุดพัก จนขาทั้งสองข้างที่ยืนมานานร่วมชั่วโมงเริ่มเหนื่อยล้าแทบจะยืนต่อไปไม่ไหวแต่เขาก็ทำได้แค่ทนต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องถึงความสบายใดๆทั้งสิ้น

       “สวัสดีครับคุณลูกค้า มากันกี่ท่านครับ..” เสียงใสเอ่ยทักทายลูกค้าคนสุดท้ายก่อนจะปิดร้านเหมือนอย่างเคยพร้อมกับเตรียมปากกามาจด แต่ว่าก็ต้องตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วได้เห็นว่าลูกค้าด้านหน้านั้นเป็นคนที่เขาไม่อยากพบไม่อยากเจอเลยแม้แต่น้อย

       “อ้าวเทียน ..ทำงานอยู่นี่หรอ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม คนตรงหน้านี้ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษา มีหมวกไหมพรมใบเดิมใส่อยู่ที่ศีรษะเช่นเคย

       “…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายืนก้มหน้านิ่งๆ ไม่แม้แต่จะเชยสายตาไปมอง

       “อ่า..เรามาคนเดียว ยังไงก็รบกวนด้วยนะ” คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ต้องจำใจยอมแพ้ไป ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าเพราะอะไรถึงได้ดูเหมือนเกลียดกันขนาดนี้

       “พี่ส้มมารับออเดอร์แทนเทียนหน่อย เทียนจะกลับบ้านแล้ว” เทียนไขหันไปเรียกพนักงานในร้าน ก่อนจะวางสมุดจดออเดอร์ไว้ตรงนั้นแล้วพรวดพราดเข้าไปหลังร้านในทันที



       ไม่นานนักชุดยูนิฟอร์มพร้อมผ้ากันเปื้อนสีดำก็ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา เทียนไขใช้เวลาซักพักในการเก็บของลงกระเป๋าสะพายคู่ใจ ก่อนจะเปิดประตูทางหลังร้านออกมากะว่าจะลงไปทางบันไดหนีไฟแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวังเมื่อทันทีที่เปิดประตูออกไปก็เจอกับร่างสูงกำลังยืนพิงผนังอยู่

       “เทียนเดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงนุ่มๆเสียงเดิมที่เขาเคยตกหลุมพรางของมันจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นดังเข้ามาในโสตประสาท ถึงแม้จะเตือนตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆแล้วว่าอย่าได้ตอบอะไรกลับไป แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาเฝ้าอดทนอยู่กับความเจ็บปวดทรมานมาตลอดหลายเดือนก็ขาดสะบั้นลง

       “จะเรียกทำไมนักหนาวะ! รู้จักกูหรอ หรือยังไง สนิทกับกูมากนักหรอ!” ไม่มีอะไรที่จะเสียหายไปมากกว่านี้แล้ว แม้แต่ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันในอดีตก็ไม่มีให้เสียหายได้อีกเพราะมันพังทลายจนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวใดๆ

       “…” ร่างสูงตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนตรงหน้าจู่ๆก็เดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าแบบนี้ บางที..คงจะผิดที่เขาเองที่ไปทำเหมือนได้เป็นเพื่อนกันไปแล้ว ทั้งๆที่ความจริงก็ยังเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น

       “ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูไม่ได้อยากรู้จักมึง ช่วยจำใส่หัวมึงไว้ด้วย!!!” ปลายนิ้วชี้ของเทียนไขเหยียดตึงกดลงบนหมวกไหมพรมบนหัวของคนตรงหน้าอย่างเหลืออด

       “โอ๊ย..” ทว่าเปลวกลับร้องออกมาเสียงดังลั่น เพียงเพราะเรียวนิ้วที่กดลงไป แรงที่กดลงไปน่ะหรอ ยังไม่ถึงเสี้ยวนึงเลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่เปลวเคยทำ

       “…” ดวงตาสีนิลจ้องมองมาที่เทียนไขอย่างเจ็บปวดเพื่อขอความเห็นใจ และแน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมัน

       “มึงเจ็บหรอ?” รองเท้าหนังสีดำขลับขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงมากขึ้นๆ จนแผ่นหลังของเจ้าของร่างสูงนั้นแนบชิดไปกับผนัง



        ‘เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา’

        ‘สัญญา…สัญญาหรอ’

        ‘ใช่ สัญญา’

        ‘...’

        ‘มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก’

         ‘…’

         ‘ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข’

         ‘เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย’

         ‘…’

         ‘สิ่งนั้นคือ..เปลว’

         ‘…’

         ‘แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว’

         ‘อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ’

         ‘เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น.. เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี’

         ‘งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง’

         ‘…’

         ‘อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี’



        “สำออยฉิบหาย” มือข้างหนึ่งของเทียนไขออกแรงบีบลงไปที่ศีรษะของคนตรงหน้าอย่างรุนแรงก่อนจะสบัดปล่อยให้มันกระแทกไปกับผนัง

       “โอ๊ย…” เสียงร้องนั่นดังขึ้นกว่าเดิม ร่างสูงที่เคยสง่าผ่าเผยถึงกับทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น เขาใช้สองมือเกาะกุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น

       “ไม่ต้องเสือกแสดงว่าตัวเองเจ็บหรอก” เทียนไขมองภาพคนตรงหน้านอนขดคู้แสร้งทำเป็นเจ็บอย่างหมั่นไส้

       “..เจ็บ..”

       “ถุ้ย ขนาดกูมึงยังไม่เคยเห็นใจเลยไอ้เหี้ย!!”

       “..โอ๊ย ..ฮือ ช่วยด้วย..”

       “มึงหูหนวกหรอไอ้ควาย”

       “…ช่วยด้วย”

       “อยากให้ช่วยมากนักหรอ”

       “…”

       “..กราบตีนกูดิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าพูดไปแบบนั้น คงจะเพราะเขามั่นใจล่ะมั้งว่าคนอย่างเปลวไม่มีทางทำ แต่ทว่า…

       “ช่วย..เราหน่อย ..ได้มั้ย เราเจ็บ..” สองมือที่สั่นเทาของเปลวกลับกำลังประสานกันและกำลังก้มลงไปกราบแทบเท้าของเขา

       “…” เทียนไขได้แต่แค่นยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะชักเท้าถอยหลัง ..มันเหนือความคาดหมายของเขาเยอะ แต่บอกตรงๆเลยว่าสะใจดีเหมือนกัน “กูไม่ช่วย”

       “…”

       “ตอนกูเจ็บ…กูก็เคยขอมึงแบบนี้ มึงยังไม่เคยฟังกูเลย”

       “ร..เราจำไม่ได้ ฮือ…ขอโทษ ขอโทษ..ข” ใบหน้าหล่อขยับมาแนบกับรองเท้าหนังของเขาเพื่อขอความเห็นใจพร้อมกับพร่ำคำขอโทษอันแสนไร้ค่าออกมาซ้ำๆ

       “มึงตายนู่นแหละ กูถึงจะยกโทษให้ได้”























       



       

       





       

       



   





















       เวลาผันผ่านไปจนเช้าวันใหม่มาเยือน วันนี้เทียนไขก็มีเรียนตั้งแต่เช้าเช่นเคย เอาจริงๆก็มีเรียนเช้าทุกวันนั่นแหละ แถมบางวันอาจจะเช้ากว่าสมัยเรียนมัธยมซะอีก แต่มันก็ไม่ได้แย่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในทางที่เขาชอบมันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไรเลย กลับกันมันยิ่งน่าค้นหามากขึ้นๆ และนั่นก็เป็นแรงใจที่ดีเลยที่ทำให้เทียนไขไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน

       “พล มึงอยู่ไหน กูอยู่ตึกคณะแล้วนะ” เสียงใสเอ่ยพูดเพื่อส่งสารไปยังปลายสาย

       [วันนี้กูสายว่ะ โทษทีที่พึ่งบอก] และคำตอบที่อีกฝ่ายตอบกลับมาก็ทำเอาบุคคลที่ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เรียนเนื้อหาใหม่ๆอย่างเขาจนมาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ต้องหงอยไปเลยทีเดียว

       “เออๆไม่เป็นไร แล้ว..ทำไมถึงสายวะ เมื่อวานมึงก็มาโคตรเช้า มาก่อนกูอีก”

       [วันนี้กูก็จะไปเช้านั่นแหละ แต่ว่าไอ้โจ้มันโทรมาบอกกูพอดี ตอนนี้กูอยู่โรงพยาบาล]

       “อ่าว ใครเป็นไร”

       [แป็ปนึงนะ อย่าพึ่งวาง กูไปคุยกับไอ้โจ้แป็ป] ไม่ทันที่เทียนไขจะได้พูดอะไรต่อ ปลายสายก็มีแต่เสียงลมซะแล้ว …แต่เอาจริงๆแล้วใครจะเป็นอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขามากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ก็แค่ถามเฉยๆเป็นมารยาท นี่ถ้าไอ้พลไม่บอกเขาก็จะไม่เซ้าซี้อะไรต่อเลย…เทียนไขคิดแบบนั้น



       ตุบ

       กระเป๋าสะพายคู่ใจถูกวางลงบนโต๊ะสีขาวภายในห้องเรียนคาบแรก ไม่นานนักเจ้าตัวก็ฟุบลงไปกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำอะไร จริงๆถ้ามีไอ้พลมานั่งข้างๆป่านนี้ก็คงเล่นเกมไม่ก็ช่วยๆกันสรุปเนื้อหาที่เรียน แต่แย่ตรงที่ที่ข้างๆมันไม่มีใครเลย ในห้องก็มีคนอยู่แค่ห้าหกคนเท่านั้น

       [ฮัลโหลๆ มึงยังอยู่เปล่า หรือวางไปแล้ววะ..]

       “หึ ยังไม่วาง ไม่อยากวางเลยว่ะเหงา”

       [เออน่าเดี๋ยวเที่ยงๆกูไป]

       “โห งี้กูก็ต้องอยู่คนเดียวไปครึ่งวันเลยอะดิ”

       [วันเดียวน่า อาการไอ้เปลวยังแย่อยู่เลย]

       “…เดี๋ยว”

       […]

       “เดี๋ยวนะ..”

       [เดี๋ยวอะไรของมึงวะ..]

       “เปลวอยู่โรงพยาบาลหรอ..” ฝ่ามือที่ถือโทรศัพท์แนบกับใบหูจู่ๆก็สั่นระรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ บางอย่างที่เขานึกสงสัยมาตลอด บางอย่างที่มันติดอยู่ลึกๆภายในใจที่เขาเลือกที่จะมองข้ามมันไปโดยไม่คิดสนใจ

       [ใช่ เมื่อคืน ตอนประมาณเที่ยงคืนมั้งมีพยาบาลโทรมาหาไอ้โจ้บอกว่าไอ้เปลวอยู่โรงพยาบาล]

       “มัน..มันเป็นไรวะ..”



       บางอย่าง..ที่เขาเลือกที่จะกลบมันไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด..







       ‘ขอให้มึงรู้ไว้ เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง…กูสัญญา’







      [หมอบอกว่าสมองมันกระทบกระเทือน ตอนนี้อยู่ ICU]



       



       

       

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 18:13:51
07
เปลว 1/2
50%




      ‘แม่ครับ ทำไมแม่ถึงต้องวาดรูปบ้านของเราด้วยล่ะครับ?’

       ‘แม่อยากให้ใครก็ตามที่มาบ้านเราได้เห็นไง ว่าบ้านเรานั้นสุขสงบและน่าอยู่ขนาดไหน’

       ‘แล้วรูปเปลวล่ะครับ ทำไมแม่ถึงต้องวาดรูปเปลวด้วย?’

       ‘แม่วาดเปลวก็เพราะว่าอยากจะให้ทุกคนได้จดจำคนเก่งของแม่เอาไว้ในความทรงจำ’

       ‘แล้วรูปนี้ล่ะครับแม่ ทำไมแม่ถึงวาดพ่อ แม่ แล้วก็เปลว?’

       ‘แม่วาดก็เพราะว่า..อยากให้รูปๆนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าเราสามคนจะอยู่ดูแลเคียงข้างกันไปนานๆ”

       ‘นานขนาดไหนหรอครับแม่’


      ‘…ตลอดไปครับคนเก่ง’







       เสียงโทนนุ่มและอ่อนหวานน่าฟังที่เอ่ยบอกกับเปลวในวันนั้นยังคงย้ำเตือนให้เขารับรู้สถานะของตัวเองอยู่ทุกขณะผ่านทุกเซลล์ประสาทสัมผัสในทุกครั้งที่ฝ่ามือของเขาได้จับปลายดินสอ

       ผ่านมาแล้วนับสิบๆปีที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น

       เหตุการณ์ที่…เปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆหนึ่งไปตลอดกาล









       “คุณอย่ามายุ่งกับฉัน เลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกันซักที! รู้ตัวมั้ยว่าคุณมันน่ารำคาญขนาดไหน!!” เสียงที่เคยหวานนุ่ม...เสียงที่เคยน่าฟัง หากแต่ทันทีที่เธอคนนี้ได้ลั่นประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงที่เธอพ่นสาดก็กลับกลายเป็นเสียงแผดร้องตะโกนดังลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ

       “คุณใจเย็นๆก่อน ผมขอโทษ คุณอย่าไปจากผมเลยนะ อย่างน้อยก็คิดถึงเปลวเถอะ อยู่ด้วยกันอีกซักหน่อย..เพื่อเปลว..” ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงเสียงแหบพร่าของผู้เป็นพ่อเท่านั้น เขากำลังโอดครวญอ้อนวอนต่อคนรักโดยมีความหวังลมๆแล้งๆหล่อเลี้ยงหัวใจ เด็กน้อยวัยเพียงแปดขวบผู้ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนาทำได้เพียงนั่งกอดเข่าปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายไม่รู้จบ ไม่มีหนทางใดเลยที่เด็กน้อยอย่างเขาจะเข้าไปแทรกกลางเรื่องแบบนี้ได้

       ถึงแม้ในใจ…อยากจะเข้าไปขอร้องให้แม่อยู่กับตนมากแค่ไหนก็ตาม



       “เพื่อไอ้เด็กนี่อะหรอ ทำไมฉันต้องทำเพื่อมันด้วยถามก่อน?” ..ก้มหน้า ก้มหน้าให้ลึกมากกว่านี้ พ่อจะได้ไม่เห็นว่ามึงอ่อนแอ เสียงเล็กๆเฝ้าบอกตัวเองย้ำๆอยู่ในใจ

       “เถอะนะคุณ เปลวยังต้องการแม่..”

       “ฉันไม่ใช่แม่ของมัน” เสียงตอบกลับของเธอแม้จะเรียบๆ แต่มันก็ดังพอที่จะสะท้านไปทั่วทั้งใจของคนฟังอย่างเปลว น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกโดยไม่รู้หยุด

       “แต่อย่างน้อยครั้งนึงคุณก็เคยรักเด็กคนนี้..”

       “แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้รักมันแล้ว”

       “…”

       “ไอ้เปลวมันไม่ใช่เด็กโง่ มันโตของมันได้อยู่แล้ว อีกอย่างคุณก็มีปัญญาส่งเสียมันให้เรียนสูงๆได้อยู่แล้ว เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องมีแม่หรอก” ได้ยินแล้วใช่มั้ยเปลว.. ต่อไปนี้..แกจะไม่มีแม่อีกแล้ว

       “คุณ.. อย่าไปเลยนะ ผมขอร้อง..อยู่กับผม…” เข่าทั้งสองข้างกระทบลงกับพื้นพร้อมกับฝ่ามือที่ยันพื้นเอาไว้ และผลตอบรับที่เขาได้ก็คือ..เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องที่ค่อยๆดังไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง..หายไปกับความเงียบงัน



       …ถึงแม้ในหัวใจจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่เปลวจะสามารถแสดงออกไปได้ เสียงสะอื้นจากการร้องไห้และคราบน้ำตานั้นทันทีที่พ่อของเขาลุกขึ้นมาเขาก็ต้องรีบเก็บซ่อนมันไปให้เร็วที่สุด

       “เพราะมึงเลยไอ้เด็กเหี้ย!” แข้งขาอันแข็งแกร่งตวัดฟาดลงกลางลำตัวของเด็กน้อยอย่างไร้ความปราณีทันทีที่เธอคนนั้นออกไป ผู้เป็นพ่อคิดเพียงแค่ว่าเป็นเพราะไอ้มารหัวขนคนนี้นี่แหละที่มันสะเหล่อเกิดมาทำให้แม่แท้ๆของมันตาย ถ้าไม่มีมันมาเป็นภาระ...ภรรยาคนเก่าของเขาก็คงจะอยู่เคียงข้างเขาจนถึงทุกวันนี้  เขาก็ไม่ต้องมาเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่กับคนไม่รู้จักพอ แต่ท้ายที่สุดแล้วพอไอ้เด็กนี่มันเกิดมาทุกอย่างก็พังทลายไปเสียหมด แม้แต่ชีวิตคู่ครั้งใหม่ของเขาเองก็ด้วย

       “เป็นเพราะมึงคนเดียวเลยไอ้เหี้ยเปลว!” หมัดหนักๆทุบลงไปกลางกระโหลกเล็กของเด็กน้อย ผู้ถูกกระทำอย่างเขาทำได้แค่กัดฟันทนรับความเจ็บปวดเท่านั้น ห้ามแม้แต่จะส่งเสียงเรียกร้องอะไร

        “มึง..เพราะมึง… มึงเกิดมาทำไม..” หมัดแล้ว..หมัดเล่า สาดซัดใส่ลำตัวของเปลวอย่างไม่หยุดยั้ง บนผิวสีไข่ที่ถูกกระทำเริ่มปรากฏรอยม่วงช้ำ กระพุ้งแก้มกระแทกกับเหลี่ยมฟันจนเกิดแผลภายในปาก เลือดบางบริเวณไหลลงมาไม่หยุด ถึงกระนั้นแล้ว…เปลวก็ต้องทนเจ็บต่อไป จนกว่าจะสาแก่ใจพ่อตัวเอง





       สิ่งที่พอจะเป็นกาวคอยเชื่อมใจที่แตกสลายของเขาได้มีเพียงสองสิ่ง สิ่งแรก...คือกระดาษสีขาวอันว่างเปล่ากับดินสอไม้ ..หลังจากที่พ่อทุบตีทำร้ายเขาจนสาแก่ใจแล้ว เปลวก็จะพาร่างของตัวเองมานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำการบ้าน หยิบกระดาษขึ้นมาพร้อมกับใช้มือขวาจับปลายดินสอ ก่อนจะจรดดินสอลงบนแผ่นกระดาษ วาดรูปแม่ของเขาออกมา ถึงแม้เธอคนนี้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่เปลวก็รักเธออย่างสุดหัวใจ เพราะฉนั้นแล้วแม้ตอนนี้คนๆนั้นจะจากไปไกลแต่ก็ยังพอหลงเหลือสิ่งที่ทำให้นึกถึงเธอได้อยู่ ซึ่งก็คือ ‘ภาพวาด’ ที่เธอคนนั้นสอนให้วาดนั่นเอง ..ทุกครั้งที่เส้นร่างเป็นใบหน้าของแม่ หัวใจของเขาก็จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทุกครั้ง แต่ถึงจะอบอุ่นใจขึ้นมามากมายเพียงใด น้ำตาเม็ดใสก็ยังคงไหลอาบสองข้างแก้มอยู่ดี

       ‘เปลวรักแม่นะ’ ประโยคบอกรักที่ไม่เคยส่งไปถึงเธอคนนั้นเลย



       อีกสิ่งหนึ่งคือ ‘โรงเรียน’ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสนุก ทุกๆวันที่เปลวต้องมาโรงเรียนเขาไม่เคยคิดเบื่อเลยซักครั้ง เพื่อนๆของเขาทุกคนคอยสร้างเสียงหัวเราะให้เขาได้เป็นอย่างดี ความเศร้าโศก เจ็บปวด และทรมานจึงทุเลาลงไปบ้าง แต่สุดท้ายพอตกเย็นเปลวก็ต้องกลับไปเจอความเศร้าโศก เจ็บปวด และทรมานอีกเช่นเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จักจบ



       วันเวลาผันผ่านไปจนกระทั่งเปลวได้เข้าสู่ช่วงปลายประถมต้น ชีวิตเขาตอนนั้นถึงได้เป็นดั่งท้องฟ้าหลังพายุฝนอันสวยงาม ช่วงนั้นพ่อของเขามีงานที่ต้องสะสางมากมายจนต้องทำโอที บางวันก็ไม่ได้กลับบ้าน กลับทีก็ดึกดื่นค่อนคืน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ต้องไปเป็นที่ระบายโทสะของพ่อเขาอีก

       เด็กน้อยได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น หลบหลีกจากความเศร้าที่เคยอยู่ร่วมกันมานับแรมปีไปหาความสุขสมรื่นเริงอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงจะได้รับ

       และใช่ ด้วยเหตุนี้...เปลวถึงได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนมากๆ เพื่อนคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา เปลวให้ทุกอย่างเท่าที่จะให้เพื่อนได้ แน่นอนว่าเด็กน้อยไม่ประสีประสาก็ไม่รู้หรอกว่าการถูกหลอกมันเป็นยังไง ดังนั้นแล้วสิ่งที่เปลวประสบพบเจอจากเพื่อนในสมัยนั้นจึงเป็นการถูกหลอกเอาเงินไป นานวันเข้าก็เริ่มสะสมไปเรื่อยๆจนคนเป็นพ่อเริ่มสงสัย



        ท้องฟ้าหลังพายุที่เคยสวยงามจึงได้กลับมาถูกครอบคลุมด้วยหมู่เมฆสีทะมึนอีกครั้ง



       ..แต่เปลวกลับไม่ได้บอกความจริงกับพ่อไปว่าตัวเองถูกเพื่อนหลอกเอาเงิน เขากลับยอมให้คนเป็นพ่อทุบตีเป็นที่ระบายโทสะอีกครั้ง อาจจะแย่หน่อยตรงที่ว่า..ในตอนนั้นพ่อของเขาติดเหล้า เพราะงั้นแล้วทุกครั้งที่หมัดหรือแข้งขาได้กระทบลงบนลำตัวเขามันก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้หยุดง่ายๆเลย

       ชีวิตของเปลวดำเนินไปแบบนั้น สามวันดี...สี่วันทรมาน การที่ลำตัวของเขามีแต่บาดแผลนั้นเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนหรือใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นเขาจะได้รับรู้ เปลวเองก็เคยได้ยินคำว่า ‘สงสาร’ มาจากคนอื่นบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครนึกจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจริงๆจังเลยซักครั้ง

       จนกระทั่งเขาได้มารู้จักกับเพื่อนคนนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

       ‘ไอ้แม็ก’ นั่นเอง



       พวกเขามาสนิทกันตอนประถมปลาย ในตอนนั้นเปลวรัก ไว้ใจ และเชื่อใจเพื่อนใหม่ของเขาอย่างสุดซึ้ง ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ไอ้แม็กต่างก็รู้ดีว่าเปลวผ่านอะไรมาบ้าง และมันก็แตกต่างกับคนอื่นๆตรงที่มันกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเปลว ด้วยความที่พ่อของไอ้แม็กทำงานในบริษัทเดียวกันกับพ่อของเปลว และมันก็สนิทกับพ่อตัวเองมากๆ เป็นพ่อลูกที่ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ทุกปัญหา วิธีที่ไอ้แม็กใช้จึงเป็นการไปปรึกษากับพ่อแล้วให้พ่อชวนพ่อของเปลวไปเที่ยวหรือไปไหนต่อก็ได้ให้กลับดึกๆ สำหรับเปลวแล้ว..มันก็ได้ผลดีมากๆ เขาไม่ต้องเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอะไรอีก

       นอกจากนี้ไอ้แม็กยังช่วยสอนอะไรหลายๆอย่างให้เปลวได้รับรู้ด้วยเหมือนกัน ..หนึ่งความคิดที่ตกตะกอนได้ในหัวเปลวก็คือ ‘เราทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องระบายความอารมณ์ของใคร’ ซึ่งมันทำให้เปลวในตอนนั้นเริ่มเข้มแข็งมากขึ้น เขาไม่ได้ร้องไห้ขี้แยเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป เวลาที่พ่อกลับมาแล้วอารมณ์ร้อนคิดจะทำร้ายเขา เปลวก็จะลุกหนีขึ้นไปบนห้องก่อนหรือไม่ก็วิ่งหนีออกไปจากบ้านให้ไกล อาจจะไปเล่นเกมหรืออ่านหนังสือที่บ้านไอ้แม็ก แล้วค่อยกลับมาในตอนที่พ่อนอนหลับไปแล้ว ทุกวันนี้เขากับพ่อเลยแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว อาจจะดูแย่แต่สำหรับเปลวแล้ว อย่างน้อยเลยการที่ไม่ต้องมาพูดจาเสวนาอะไรกับคนเป็นพ่อมันก็ทำให้ร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆอีก

       เด็กน้อยไม่ประสีประสาอย่างเปลวในตอนนั้นคิดว่าการที่ชีวิตเขาดีขึ้นได้เป็นเพราะเพื่อนคนนี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงรักเพื่อนคนนี้มากๆ หากมีโอกาสก็จะหาสิ่งตอบแทนมาให้ทุกครั้ง



       ‘แม็ก  ถ้ามึงอยากได้อะไรมึงบอกกูนะ กูหามาให้มึงได้ทุกอย่างเลย’

       ‘จริงหรอ กูอยากได้ PS2 ว่ะ’

       ‘ได้ เดี๋ยววันอาทิตย์ไปซื้อกัน ให้พ่อมึงพาไป แต่เอาตังค์กูซื้อ’



       ‘เปลว กูโดนพ่อทำโทษว่ะ เขาไม่ให้ตังค์กูใช้เลยอะอาทิตย์นี้..’

       ‘ไม่เป็นไร กูพอมีอยู่ มึงอยากกินอะไรก็บอกกู เดี๋ยวกูซื้อให้’



       ..เปลวตามใจเพื่อนใหม่ของเขาทุกอย่าง จนสุดท้ายแล้วความเกรงใจที่เพื่อนควรจะมีก็มลายหายไป



       ‘เปลว โทรศัพท์มึงรุ่นใหม่เลยนี่หว่า อยากได้บ้างว่ะ ซื้อให้หน่อยได้ปะวะ’

       ‘…’

       ‘ถ้าได้น้า…กูจะไม่ขออะไรมึงอีกเลย แต่ถึงยังไงมึงก็มีเงินอยู่แล้วนี่ ..โทรศัพท์แค่หมื่นกว่าๆคงไม่ทำให้มึงต้องกินแกรบหรอกมั้ง ใช่ปะ?’

       ‘โทษทีว่ะแม็ก กูไม่มีเงินเลย วันก่อนที่กูไปบ้านมึงกูก็เลี้ยงมึงจนเงินไม่เหลือแล้ว’

       ‘โห่เปลว มึงก็ขอพ่อดิ พ่อมึงให้อยู่แล้ว’

       ‘แม็ก.. มึงก็รู้ว่าพ่อกูเป็นยังไง’

       ‘จะเป็นไรวะนิดเดียวเอง’

       ‘ไม่ได้จริงๆว่ะ.. กูกลัว..’

       ‘งั้นก็ไปไกลๆกูไปไอ้สัด’

       ‘…’

       ‘กูช่วยอะไรมึงตั้งหลายอย่างนะไอ้เปลว ทีกูขอให้ช่วยบ้างนี่มีปัญหาตลอด’

        ‘..ได้ ง..งั้น..เดี๋ยวกูจะลองขอพ่อให้’



       ..สุดท้ายแล้วเปลวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะลองไปคุยกับพ่อดู เพราะถ้าจะให้เลือกโดนทุบตีกับไม่มีเพื่อนคบ...เขายอมโดนทุบตีดีกว่า



       ‘มึงจะเอาเงินไปทำไรเยอะแยะวะไอ้เหี้ยนี่ ตัวเท่าลูกหมาใช้เงินเก่งฉิบหาย มึงคิดว่ามันหาได้ง่ายๆหรือไง ..ที่กูต้องกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนก็เพราะกูต้องหาเงินมาให้มึงกินมึงใช้ แล้วดูสิมึงเคยคิดสงสารกูบ้างมั้ยวะไอ้ลูกเณรคุณ!’ เสียงแหบพร่าอย่างเหนื่อยอ่อนของชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อตวาดลั่นอย่างไม่สบอารมณ์ ในครั้งนี้ไม่มีการทุบตีเหมือนครั้งก่อนๆอีก มีเพียงแค่ถ้อยคำร้ายๆที่พร้อมจะบั่นทอนทุกเสี้ยวของจิตใจ

       ‘นะพ่อ.. เปลวไม่เคยขออะไรพ่อเลยนะ..นะครับ..’

       ‘กูไม่ให้ มึงสำเหนียกตัวเองบ้างมั้ยวะ ไอ้เหี้ยนี่!’

       ‘…’

       ‘สำเหนียกบ้างมั้ย..ว่าเป็นเพราะมึงเกิดมาแม่มึงเลยตาย!’ และมันก็..เจ็บกว่าหมัดหนักๆหรือแม้แต่แข้งขาของพ่อหลายเท่า



       ..หยดน้ำตาเม็ดใสไหลลงมาโดยอัตโนมัติอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวล่ะว่าเขาเป็นสาเหตุทำให้แม่ต้องตาย ทำไมเขาจะไม่รู้..ว่าตัวเขาน่ะ ไม่สมควรเกิดมาเลยซักนิด เปลวรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว..



       ‘ขอโทษที่…เปลวเกิดมานะพ่อ’



       ..รู้อยู่แล้วว่าตัวเขาสมควรตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อความว่างเปล่า







       แต่ว่า..ปัญหาก็ไม่ได้จบแค่นั้น ในเมื่อเปลวไม่มีเงินพอที่จะซื้อ คำว่า ‘เพื่อน’ ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของเขา ก็ไม่มีอีกต่อไป



       ‘แม็ก..กูขอโทษนะเว้ย แต่กูไม่มีเงินจริงๆว่ะ’

       ‘…’

       ‘มึงรอกูก่อนได้ไหม..ซักเดือนสองเดือนเดี๋ยวกูซื้อให้มึงแน่ๆ’

       ‘ไม่รอหรอกไอ้สัด ไปไหนก็ไป ไร้ค่าว่ะมึงเนี่ย!’

       ‘…’



       ..หมดสิ้น..ทุกสิ่งอย่าง







       …หลังจากนั้นมา ชีวิตของเปลวก็ไม่มีโอกาสได้แตะต้องคำว่า ‘ความสุข’ อีกเลย..

       เขาถูกจำกัดทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อด้วยข้อหาที่ว่าเปลวใช้เงินเกินตัว เขาไม่มีสิทธิ์ได้ออกไปไหน ไม่มีสิทธิ์ได้ดูทีวีหรือเล่นเกม ไม่มีสิทธิ์ใช้โทรศัพท์หรือติดต่อใครผ่านสังคมออนไลน์ แม้แต่สิทธิ์ในชีวิตตัวเอง เปลวก็..แทบจะไม่มี

       ตอนแรกเขาเคยคิดว่าจะเรียนต่อที่โรงเรียนสาธิตของมหาลัยดังๆ แต่พอถึงเวลาพ่อกลับไม่ให้เขาได้เรียนต่อที่นั่น เอาจริงๆมันก็มีเหตุผลอยู่ เปลวและพ่อต้องขายบ้านที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตทิ้งไป รอจนได้เงินแล้วไปหาซื้อบ้านหลังใหม่ที่ถูกกว่าแถวๆชานเมืองแทนเพราะสภาวะการเงินที่มีปัญหา ดังนั้นแล้วโรงเรียนที่เปลวจำเป็นที่ต้องเข้าศึกษาต่อจึงเป็นโรงเรียนธรรมดาๆแถวๆนั้นแทน

       

       ..วันเวลายังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งจนมาถึงวันแรกของการขึ้นศึกษาต่อในชั้นมัธยมหนึ่ง วันนี้เด็กชายเปลวคุณพ่อขับรถมาส่งถึงโรงเรียน บรรยากาศในรถตลอดทางมีแต่ความอึดอัดและเงียบงันแต่พอถึงหน้าโรงเรียนคนเป็นพ่อกลับมีสีหน้าตกอกตกใจ สายตาจ้องมองไปที่เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนสกปรกมอมแมมคนนึงที่กำลังเดินเข้าโรงเรียน

       “…” คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับนักโทษก่อนนักโทษคนนั้นจะถูกประหารชีวิตฉายย้อนเข้ามาในหัวของคนเป็นพ่อ



       ‘พี่ชัย อีกไม่กี่วันผมก็จะถูกประหารแล้ว ผมขอ..ไหว้วานอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย’

       ‘ว่าไง’

       ‘พี่จำได้ใช่มั้ยที่ผมเคยบอกว่าผมมีเมียที่ติดโรคผมไปแล้วกับลูกที่พึ่งได้ ป.3 เมื่อไม่นานมานี้’

       ‘..จำได้สิ’

       ‘ผมฝากพี่ดูแลพวกเขาหน่อยได้ไหม..พวกเขา…ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ’

       ‘…’

       ‘โดยเฉพาะลูกของผม.. เขายังเด็กมาก ผมขอให้พี่รับเขาไปอยู่ด้วยได้ไหม ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของผม..’

       ‘…’

       ‘นะพี่..นะ.. สัญญากับผมนะ..’

       ‘เออๆ พี่สัญญา..’



       คำสัญญาที่เขา...ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองพูดออกไปเลยแม้แต่น้อย





       “เปลว…พ่อขออะไรอย่างนึง” เสียงของคนเป็นพ่อดูอ่อนลง น้ำลายฝืดๆถูกกลืนลงคอไปอึกใหญ่ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เต็มประดา

       “…?” เด็กน้อยในชุดนักเรียนตัวใหม่สีขาวสะอาดได้แต่ทำหน้างงงันกับปฏิกิริยาของพ่อ ปกติไม่เห็นแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘พ่อ’ เลยซักครั้ง เขาเองก็แทบจะลืมไปแล้วว่าเคยมี ‘พ่อ’ กับคนอื่นด้วย

       “ช่วยไปสนิทกับเด็กคนนั้นหน่อยนะ.. เห็นใช่มั้ย ที่ใส่ชุดเก่าๆคนนั้นน่ะ”

       “…” เปลวเปรยสายตาไปมองหาคนที่พ่อบอกจนไปสะดุดเข้ากับคนที่พ่อหมายถึง “คนนั้นหรอ?”

       “นั่นแหละ..คนนั้น ช่วยไป..เป็นเพื่อนกับเขาทีนะ..” และเพราะคำๆนี้…เรื่องราวทุกอย่างจึงได้เริ่มขึ้น



















       เปลวทำตามสิ่งที่พ่อไหว้วานอย่างว่าง่าย เพราะเขาเองก็ไม่มีเพื่อนเลยเหมือนกัน เปลวเดินตามหลังเด็กในชุดนักเรียนเก่าๆไปติดๆ ก่อนจะเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตร

       “เฮ้ย มึงอะ” ก็เป็นมิตรเสียจน..ทำเอาคนถูกเรียกสะดุ้ง

       “หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง” คนตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมาสนใจเขาซักที แถมยังเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อเขาพยายามบอกให้หยุด

       “เอ้า รอกูก่อน” สุดท้าย ก็เป็นเขาที่ต้องเร่งฝีเท้าวิ่งตามไป เปลวใช้ฝ่ามือแตะไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับหยุดกึกแล้วหายใจสูดเอาอากาศเข้าไปถี่รัว “เฮ้อ เหนื่อยเลย..”

       “มีอะไรรึเปล่า..” เด็กผู้ชายตรงหน้าตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเลิ่กลั่กและหวาดระแวง ซึ่งก็คงจะไม่แปลกอะไรที่จะตกใจกลัวเพราะถ้าเป็นเขาเอง เขาก็คงตกใจไม่แพ้กันที่จู่ๆมีคนมาทักแบบนี้

       “พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..” เปลวตอบ

       “…” ทว่าคนตรงหน้ากลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่พยางค์เดียว สายตาจับจ้องอยู่แต่บนใบหน้าของเขาจนทำเอารู้สึกประหม่าขึ้นมา

       “ได้มั้ย..?” เปลวส่งเสียงเว้าวอนออกไปอีกครั้ง ..พอมามองดูดีๆแล้วคนตรงหน้าเขาตอนนี้เอาจริงๆก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย ดวงตาที่กลมโต ปากนิด จมูกหน่อย คิ้วเป็นทรงอย่างธรรมชาติ ทุกสิ่งอย่างล้วนดูเข้ากันไปเสียหมดเพียงแต่ถูกร่องรอยของดินของฝุ่นบดบังไว้ก็เท่านั้น

       “เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน” อีกฝ่ายให้คำตอบกับเปลวด้วยใบหน้านิ่งๆไร้อารมณ์ใดๆ ซึ่งก็ดูกวนส้นเท้ามากๆจนทำเอาเปลวหลุดขำออกมา

       ”อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย” เขาหัวเราะร่วนออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่ ถึงจะดูเสียมารยาทแต่กลับกันคนตรงหน้าเขากลับมีรอยยิ้มปรากฎออกมาแต่งแต้มให้ใบหน้าหล่อที่ถูกบดบังนั้นดูเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าหลงใหล รับรู้ถึงความจริงใจที่ส่งผ่านออกมาผ่านรอยยิ้มบางๆนั้น



       เพียงเท่านี้..เปลวก็มั่นใจแล้วว่า เขาได้เจอเพื่อนแท้ของเขาแล้ว





       ในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้จักเทียนไขจริงๆ เพราะงั้นเขาจึงคิดว่าเทียนไขก็เป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเหมือนๆกันกับเขา ซึ่งก็..คิดแบบนั้นไปได้จนถึงช่วงเย็นของวันเดียวกันเท่านั้น  เปลวถึงได้เข้าใจทุกอย่าง..

       รอยยิ้มเมื่อเช้าที่เขาได้เห็นก็เช่นกัน เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยิ้มแบบนั้นออกมาทั้งๆที่ตัวเองกำลังแบกรับความเจ็บปวดทรมานอยู่ ซึ่งเปลวก็..เข้าใจมันได้เป็นอย่างดี..



       เปลวตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเทียนไขกำลังเดินลงน้ำด้วยสายตาที่เลื่อนลอยไร้จุดหมายพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลนองอาบสองแก้ม เขาจึงไม่รอช้าและรีบกระโดดลงไปช่วยให้เร็วที่สุดโดยไม่สนเลยว่าผืนน้ำนี้มันจะเหม็นสาบขนาดไหน

        ใช้เวลาไม่นานนักเปลวก็ช่วยเพื่อนของเขาได้สำเร็จ คนตรงหน้าสำลักน้ำและอาเจียนออกมาหลายระลอกจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วในใจของเปลวก็หวั่นๆแปลกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าพอจะเรียกว่าเป็นห่วงได้มั้ยกับคนที่พึ่งรู้จักกันวันแรกแบบนี้ แต่ลึกๆในใจของเปลว เขา..รู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ



       “เออแล้วนี่เปลวไม่กลับบ้านหรอ ค่ำแล้วนะ” เทียนไขมองไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมาถามเขา

       “เดี๋ยวรอพ่อมารับอะ จริงๆก็ไม่อยากกลับบ้านหรอก” เปลวตอบไปตามความจริง ในความรู้สึกของเขาถ้าเลือกได้ล่ะก็..เขาจะไม่กลับไปเหยียบที่บ้านอย่างแน่นอน

        “ทำไมไม่อยากกลับล่ะ คนที่บ้านไม่ว่าเปลวแย่หรอ.. แม่เราเคยสอนว่าห้ามกลับบ้านหลังจากหกโมง ถ้าหลังจากนั้นจะถือว่าเถลไถล นี่เปลวกำลังเถลไถลแล้วนะเนี่ย”

        “หรอวะ แม่กูไม่เห็นสอนอะไรเลย”

        “…”

        “อยู่ไหนก็ไม่รู้”

        “เปลวไม่ได้อยู่กับแม่หรอ”

        “…” จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาเสียดื้อๆ ทำไมกัน..แค่ถูกถามคำถามแค่นี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องร้องไห้เลย..

        “ขอโทษที่เราถามแบบนั้นนะ ..ไม่เป็นไร เปลวไม่ต้องตอบแล้ว ถือว่าเราไม่ได้ถามดีกว่า” คนตรงหน้าเหมือนจะจับสังเกตได้ จึงรีบออกตัวขอโทษขอโพยก่อนอย่างเร็วรี่ ซึ่งสำหรับเปลวแล้ว ..มันอบอุ่นหัวใจมากๆเลย เขารู้สึกได้เลยว่าคนๆนี้กำลังห่วงว่าเขาจะไม่รู้สึกไม่ดี ..นานมากแล้วที่เปลวไม่เคยมีคนห่วงใยเขาแบบนี้

        “ไม่เป็นไร..” เปลวยิ้มตอบ ก่อนจะสูดหายใจเข้าๆลึกแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ..มีบ้างที่ต้องพยายามกำมือแน่นๆเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล แต่การที่ได้ระบายออกไปมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายไปได้มากมายเลย “ก็จริง..กูไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ตั้งแต่กูเด็กๆแล้วล่ะ”

        “…”

        “แม่กูทำงานเกี่ยวกับวาดรูป..ที่เรียกว่า จิตรกร..ละมั้ง ไม่แน่ใจ ตอนกูเด็กๆเขาเลยสอนให้กูวาดรูป ..สอนให้วาดคน วาดต้นไม้ วาดบ้านหลังใหญ่ที่มีเขามีพ่อ..มีกู กูชอบวาดชอบเขียน..ก็เพราะเขา”

        “งั้นเปลวต้องวาดรูปสวยแน่ๆเลยเราว่า”

        “..มีอีกหลายอย่างเลยที่กูอยากให้เขาสอนกูวาด แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เขาไปจากกู..ไปจากพ่อ ไปหาครอบครัวใหม่.. กูก็เลย..เลิกวาดรูปตั้งแต่นั้นมา” ใช่แล้ว.. หลังจากที่แม่จากเขาไปได้ไม่นาน เปลวก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะวาดรูปอีกต่อไป

        “แต่เปลวเคยชอบไม่ใช่หรอ”

        “ก็ใช่ ..แต่ไม่อยากวาด วาดแล้วคิดถึงผู้หญิงคนนั้น” เป็นความคิดถึงที่ไม่เคยส่งไปถึงเลย..

        “..เปลวเป็นคนบอกให้เราอย่าทิ้งความฝัน...”

        “…?”

        “เปลวฟังเรานะ.. แม่ของเปลวอาจจะผิดที่ทิ้งเปลวไปแบบนี้ แต่เปลวมองดูดีๆสิ แม่ของเปลวไม่ได้ทิ้งเปลวไปแบบไม่ใยดีซักหน่อย แม่ของเปลวทิ้งมรดกให้เปลวไว้ด้วย”

        “…ไม่มีอ่ะ”

        “มีสิ ‘การวาดรูป’ ที่แม่สอนเปลว นั่นแหละมรดกที่เธอให้เปลว แม่ของเปลวส่งต่อความสามารถ ส่งต่อความฝันให้เปลว”

        “…” เปลวจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งๆ ขณะเดียวกันในหูก็รับฟังสิ่งที่น้ำเสียงโทนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของคนตรงหน้าพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ

       ..ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขาเลยซักครั้ง จนเขาเองก็ฉุกคิดไม่ได้เลยว่าแม่ได้ทิ้งมรดกที่ว่านั้นไว้ให้เขาจริงๆ

       ‘ขอบคุณมึงมากๆ...ขอบคุณจริงๆ’ เปลวพร่ำบอกเทียนไขผ่านสายตาด้วยความจริงใจ

       ขอบคุณนะ..





















       

       ...หลังจากนั้นแล้วก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วเทียนไขก็ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านของเขา เปลวยังจำอ้อมกอดแรกที่เขากอดต้อนรับสมาชิกคนใหม่ของบ้านอย่างเทียนไขได้ดีไม่มีวันลืม



       ‘บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก ..บ้านหลังนี้มึงจะมีแต่ความสุข’



       ถ้อยคำที่เปลวบอกกับเทียนไข ..ในตอนนั้นเขาพูดมันออกไปจากใจจริง เขาคิดแบบนั้นอยู่จริงๆ และสัญญากับตัวเองไว้แล้วด้วยว่าจะทำให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มีแต่ความสุขของเทียนไข ซึ่งแต่ละวันก็ผันเวียนเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างที่เปลวตั้งใจ และเปลวก็ดีใจมากๆที่ได้เห็นเทียนไขมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะตัวเขาเองพอได้เห็น ‘เพื่อนรัก’ มีความสุขแบบนั้นแล้ว เขาก็มีความสุขไปด้วยเช่นกัน



        ทว่าผ่านไปได้แค่ปีสองปีโชคชะตากลับเล่นตลก ..ทันทีที่เปลวได้ก้าวเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย…ความสุขที่เขาเคยมีก็กลับกลายมลายหายไปจนหมดสิ้น



       ‘ประหยัดๆหน่อยนะมึงอะ ค่าเทอมมึงกูก็จะไม่มีจ่ายอยู่แล้วรู้ตัวซะบ้าง’ สภาวะการเงินที่ติดขัดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทำให้เปลวต้องมาทนรับรู้ความตึงเครียดจากผู้เป็นพ่อทุกครั้งเวลาที่อยู่บ้าน เขาจึงเลือกที่จะอยู่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน พอเห็นว่าโรงเรียนจะมีกีฬาสีเขาเลยรีบไปสมัครเป็นนักฟุตบอลแล้วเคร่งซ้อมจนค่ำทุกวัน

       แต่ก็ยังดีที่เทียนไขมักจะมารอกลับพร้อมเขาอยู่เสมอ เพราะฉนั้นแล้วเขาจึงพอจะมีรอยยิ้มอยู่บ้าง



       แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด..

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 18:17:17
       ‘ว่าไงไอ้เปลว…ไม่เจอกันนานเลยนะเพื่อน’ เสียงอันคุ้นหูที่เขาจำได้ดีเลยว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ..จำได้ดีเลยว่าครั้งหนึ่งเคยถูกคนๆนี้ขับไล่ไสส่งอย่างหมูอย่างหมาเพียงเพราะแค่ว่าเขาไม่มีเงิน

       ‘ไอ้แม็ก’ ย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขา มันมาเพราะว่าต้องย้ายบ้านตามพ่อซึ่งพ่อมันก็ทำงานฝ่ายเดียวกันกับพ่อของเปลวเพราะงั้นแล้วก็เลยต้องย้ายตามมาด้วยเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางไปมาหาสู่ 

       เป็นความบังเอิญที่แสนประจวบเหมาะและลงตัว…



       ‘ย้ายมาเรียนนี่ไม่รู้จักบอกกูเลยนะเพื่อนเปลว นี่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่าเอ่ย?’

       ‘มึงเคยเห็นกูเป็นเพื่อนด้วยหรอวะถามก่อน’

       ‘เคยสิ เราก็ออกจะสนิทกันไม่ใช่หรอวะ หรือที่ผ่านมากูสนิทกับมึงฝ่ายเดียว’

       ‘…’

       ‘อ้อ จริงด้วยลืมเลย ปีหน้าพ่อมึงจะโดนปลดแล้วนะ ทางบริษัทเขาจะเอาพ่อกูขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดแทนพ่อมึงเพราะเขาจับได้ว่าพ่อมึงเอาเงินบริษัทไปใช้เป็นแสน ส่วนพ่อมึงไม่แน่ก็โดนไล่ออกเลย ฮ่าๆ กูกับพ่อกันฉิบหาย สงสัยจะกรรมตามสนอง’

        ‘ไม่..กูไม่เชื่อ..’

        ‘กูว่าแล้วว่ามึงต้องไม่เชื่อ มันก็แน่แหละเนอะ คนอย่างมึงมันไม่เคยสนใจพ่อตัวเองอยู่แล้ว มึงเกลียดพ่อมึงจะตาย’

        ‘…’

        ‘มึงคอยดูเอาปีหน้าเถอะว่ามันจะจริงอย่างที่กูพูดมั้ย’

        ‘…’

        ‘ไปก่อนนะจ๊ะ.. เอ้ยลืมเลย…ว่าจะมาเตือน..’

        ‘…’

        ‘เตรียมหายาทาแก้ปวดแก้บวมไว้ได้เลยนะเพื่อนรัก’

        ‘…’

        ‘เผื่อพ่อมึงจะเครียดหลังจากถูกปลดแล้วมาระบายโดยการเอาตีนฟาดหน้ามึงอย่างที่เขาเคยทำ’



       ...หลังจากนั้นเป็นต้นมา รอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรอย่างเปลวก็ล้วนแต่เป็นรอยยิ้มจอมปลอมดุจดังหน้ากากที่ใส่ทับบนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตา



       ‘พ่อเหนื่อยมั้ย..’ คำถามสั้นๆที่เปลวอยากจะเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นชายวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มของทางบริษัทกลับมาบ้านยามดึกดื่นค่อนคืนด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ไม่เคยได้ถามออกไปเลยซักครั้งเพราะความรู้สึกกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่มักจะรู้สึกทุกครั้งเวลาต้องพูดกับคนเป็นพ่อ ต้นเหตุลึกๆก็แน่นอนว่ามันเป็นเพราะสิ่งที่พ่อเคยกระทำกับเขานั่นเอง พอมาวันนี้..วันที่รู้ว่าชายคนนี้นั้นเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะได้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ นอกจากนี้ก็กำลังจะถูกปลดจากหน้าที่การงานที่เขาภาคภูมิใจ มันก็ยิ่งทำให้เปลวรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

       ‘เทียนหลับแล้วใช่มั้ย.. แล้วนี่ลงมาทำอะไรข้างล่างไม่ขึ้นไปนอน พรุ่งนี้ไม่ไปเรียนหรือไง’ น้ำเสียงแหบพร่าบ่นน้ำไหลไฟดับทันทีที่ได้เห็นลูกชายนั่งกอดเข่าอยู่ที่โซฟา

       ‘ไปๆ ขึ้นไปนอนได้แล้วไอ้เปลว จะตีสองอยู่แล้วมัวมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว ขึ้นไปเลย!’ น่าแปลก..ที่เปลวโคตรจะคิดถึงเสียงบ่นของพ่อเลย..

       ‘มึงนี่ทำไมพูดยากจังเลยวะ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มึงจะตื่นไหวรึไงดึกขนาดนี้แล้วเนี่ย’ น้ำตาเม็ดใสไหลงพาดผ่านสองข้างแก้มอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ..ทำไมเขาไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อกำลังมีปัญหา ..ทำไมไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อกำลังจะถูกไล่ออก..

       ‘..นอนก่อนนะพ่อ..’ เปลวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผ่อนออกพร้อมๆกับลุกเดินขึ้นไปบนชั้นสอง แต่ทว่าขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นขาของเขาก็ต้องหยุดกึกเพราะคำพูดของพ่อที่ดังตามหลังมา..

      ‘ถ้ามึงตื่นไม่ไหวก็ไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้นะ เดี๋ยวจะแย่เอา หรือถ้าจะไปก็กินยาแก้ปวดหัวด้วย…ในตู้ยายังมีอยู่’



       ..ทำไมถึงไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อรักและเป็นห่วงเขาขนาดไหน...



































       ‘ไปไหน กูนึกว่ามึงไปเข้าห้องน้ำ ..อ่าว เป็นไร ร้องไห้หรอ..’ เสียงงัวเงียของเทียนไขที่พึ่งตื่นเพราะถูกแสงไฟจากข้างนอกรบกวนเอ่ยถามเปลวที่พึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

       ‘เปล่า…ไม่มีอะไร มึงนอนเถอะ ดึกแล้ว’ เปลวตอบทั้งๆที่นัยน์ตาแดงก่ำและยังคงสะอื้นไม่หยุด

       ‘ไม่มีอะไรก็บ้าละปะ มานี่เลยมึงอะ’

       ‘อะไรของมึง จะนอนก็นอนไป อย่าพึ่งยุ่งกับกู..’

       ‘กูบอกให้มา’ เทียนไขพูดออกไปเสียงแข็ง เปลวได้ยินดังนั้นแล้วจึงจำใจเดินไปที่เตียง

       ‘มีอะ...’ เจ้าตัวพูดยังไม่สิ้นคำถามก็ถูกตัดบทด้วยอ้อมกอดอุ่นๆที่เทียนไขมอบให้อย่างไม่ทันตั้งตัว

       ‘กูไม่รู้หรอกว่ามึงไปเจออะไรมา ..มึงยังไม่ต้องเล่าให้กูฟังก็ได้ ไว้ตอนไหนพร้อมแล้วก็ค่อยเล่า แต่ว่าตอนนี้อะกูรู้นะว่ามึงรู้สึกยังไง’

       ‘...’

       ‘กูรู้ว่ามึงกำลังเศร้า ..มึงกำลังไม่โอเค กูรู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ…ที่เป็นมึง เพราะงั้นแล้วมึงไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งก็ได้เวลาอยู่กับกู’

       ‘…’

       ‘มึงร้องไห้ออกมาได้เลย กูอยู่ข้างๆมึงตรงนี้ …คอยกอดมึงแล้วก็ลูบหัวมึงแบบนี้’ ฝ่ามือทั้งสองของเทียนไขที่โอบล้อมลำตัวของอีกฝ่ายสอดประสานเรียวนิ้วกันอยู่ด้านหลังของเปลว ก่อนจะค่อยๆโยกตัวไปซ้ายขวาเบาๆ เพื่อปลอบประโลมความเศร้าโศกในใจ

       ‘เทียน..’ คนในอ้อมกอดพอได้ยินอย่างนั้นแล้วน้ำตาที่อุตส่าห์ทำฟอร์มเป็นเข้มแข็งมาตลอดเวลาขณะอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พังทลายหลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก แต่กลับกันริมฝีปากสีระเรื่อของเปลวกลับกำลังคลี่ยิ้มไปด้วยความตื้นตันใจ

       ‘กูขอบคุณมึงมากๆเลยนะเทียน’

























       ..เวลาผันผ่านไปจนขึ้นศักราชใหม่ ซึ่งเป็นช่วงของกีฬาสี นักเรียนทุกคนล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ บางคนก็รู้สึกสนุกไปงานกีฬานี้ แต่บางคนก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายและคิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่แสนจะน่าเบื่อ และบางคน..ก็กำลังนั่งเครียดอยู่กับมันเพราะหาทางออกใดๆไม่ได้เลย

       งบประมาณกีฬาสีปีนี้ได้คณะสีละหมื่นเท่านั้น และสีม่วงซึ่งเป็นคณะสีของเปลวกับเทียนก็ได้เอาเงินหมื่นนี้ไปลงกับแสตนเชียร์กับเชียร์หลีดเดอร์ซะหมด ทั้งๆที่เหลืออย่างอื่นที่ต้องใช้เงินอีกมากมาย สุดท้ายแล้วก็จบลงตรงที่ทุกๆคนต้องออกเงินเพิ่มกันคนละห้าร้อย สำหรับตรงนี้เปลวกับเทียนก็ยังไม่มีปัญหาอะไร

       แต่ทว่ามันกลับไม่จบแค่นั้นเมื่อมารู้ทีหลังว่าเงินหมื่นนึงที่หลีดเอาไปใช้นั่นมันได้แค่ชุดที่ใส่ตอนเต้นกับพร็อบแสตนของน้องๆบนแสตนเท่านั้น ยังไม่รวบกับค่าฉากหลีด พร็อบของหลีด แล้วก็ค่าสอนของคนที่พวกเชียร์หลีดเดอร์ไปจ้างมาอีก รวมๆทั้งหมดก็ประมาณเจ็ดหมื่น ซึ่งมันแพงมากๆถ้าจะให้พวก ม.5 ช่วยกันออก เพราะ ม.5 สีม่วงทั้งหมดมีกันไม่ถึงสี่สิบคนเลยด้วยซ้ำ เฉลี่ยออกมาแล้วก็คนละประมาณสามพัน ขีดเส้นตายไว้ในวันกีฬาสี

       ซึ่งสำหรับครอบครัวนี้หมายความว่าต้องจ่ายคูณสอง เพราะไม่ได้มีแค่เปลวคนเดียวแต่ยังมีเทียนอีกด้วย ซ้ำด้วยเงินจำนวนหกพันมันก็ไม่ใช่จำนวนเงินอันเล็กน้อยเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว อีกอย่างพ่อของเปลวก็กำลังจะถูกปลดในอีกไม่กี่วันนี้



       ปัญหามากมายร้อยแปดพันเก้ากระจุกอยู่ในหัวของเปลวจนตัวเขาเองก็แทบจะรับมันไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ยังคงกัดฟันทน แล้วฝ่าฟันปัญหาต่างๆต่อไปด้วยตัวคนเดียว หนึ่งความคิดในหัวเลยก็คือ เขาจะไม่โยนปัญหาต่างๆไปให้ใครต้องมาคิดมากอย่างที่เขาคิด เพราะงั้นแล้วสิ่งที่เปลวเลือกทำก็คือเก็บซ่อนทุกสิ่งอย่างและไม่เคยที่จะแสดงออกไปเลยซักครั้งว่าจริงๆแล้วตัวเองกำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไรอยู่



       และแล้วก็มาถึงวันกีฬาสี ทุกอย่างราบรื่นดี กีฬาก็มีชนะบ้างแพ้บ้างเป็นธรรมดา ปีนี้ถึงแม้ผลจะออกมาว่าสีม่วงซึ่งเป็นสีของเปลวและเทียนไม่ได้แชมป์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกแย่เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำออกมาพวกเขาได้ทำเต็มที่อย่างที่สุดแล้ว

       ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นอันเป็นเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน เปลวกับเทียนเองก็เช่นกัน เปลวโทรไปหาเทียนเพื่อบอกให้เทียนรีบเก็บของแล้วตามมาที่ห้องคณะสี เขาจะรออยู่ที่นั่น แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน



       แต่ทุกอย่างกลับผกผันไปเสียหมด..

       ทันทีที่เขาวางสายจากเทียน เบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นพ่อก็โทรเข้ามา ซึ่งปกติร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเบอร์นี้โทรมาหากันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

       เขารับสาย ก่อนจะพบกับเสียงของผู้หญิงคนนึงจากอีกฝั่งของการสนทนา น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นช่างนุ่มนวลและสุภาพ หากแต่สิ่งที่เธอเอ่ยบอกกับเปลวนั้นมันกลับทำให้โทรศัพท์ในมือเขาตกลงพื้นในทันที



      ‘ดิฉันแพทย์หญิงวชิรญา สุนทราฤประดิษฐ์นะคะ ดิฉันจะโทรมาแจ้งคุณทินกรว่าพ่อของคุณความดันขึ้นค่ะ จากผลตรวจพบว่าเขาเป็นโรคความดันมานานแล้วแต่ไม่เคยเข้ารับการรักษา ครั้งนี้จึงอาการหนักมาก ดิฉันต้องให้พ่อคุณนอนโรงพยาบาล แต่ว่าเขาไม่มีเงินติดตัวมาเลย เรียนคุณทินกรมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องแอตมิตและจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยนะคะ’



       ..เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่หดหายไปหมดจนเขาทรุดลงตรงนั้น เปลวทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะนึง แต่เมื่อตัดสินใจได้เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าตัวเองในล็อกเกอร์แล้วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลทันที

       …พร้อมกับเงินหกพันที่ว่าจะเอามาจ่ายค่ากีฬาสี



       เปลวฉุกคิดจึ้นมาได้ว่าตัวเขานัดกับเทียนไว้ว่าจะรออยู่ที่ห้องคณะสี เลยตั้งใจว่าจะโทรกลับไปหาแต่รู้สึกตัวอีกทีโทรศัพท์เขาก็ไม่ได้อยู่กับตัวเขาอีกต่อไปแล้ว มันตกกระแทกพื้นและกระเด็นกระดอนออกไปไกลตอนที่เขาคุยโทรศัพท์กับคุณหมอในตอนที่เขากำลังช็อคอยู่พอดี เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาและเทียนไขติดต่อกันไม่ได้เลย

       เปลวต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่อง ขีดเขียนเซ็นใบรับรองนู่นนั่นนี่มากมาย เขาต้องทำแทนพ่อหมดทุกอย่างเพราะตอนนี้พ่อของเขายังคงหลับไหลไม่ได้สติ ..แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาที่เขาทอดทิ้งไว้ที่โรงเรียน ห่วงมากๆจนมือที่จับปากกาสั่นระรัวแทบจะเขียนไม่ได้

       เปลวเสร็จธุระตอนทุ่มกว่าๆ ตอนนั้นพ่อเขาตื่นขึ้นมาพอดี เมื่อแขนของชายวัยกลางคนเริ่มขยับ ผู้เป็นลูกที่นอนซบอยู่ข้างเตียงจึงผละออกมาแล้วหันออกไปเช็ดน้ำตา

       ‘เปลว..ร้องไห้หรอลูก?’ น้ำเสียงอันอบอุ่นที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าได้ยินครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

       ‘เปล่า..’ คนปากแข็งเอ่ยตอบ

       ‘พ่อไม่เป็นอะไรหรอกนะลูกนะ ไม่ต้องห่วง’ ..ได้ยินแบบนี้แล้ว น้ำตาที่อุตส่าห์กลัดกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาห่วง..ห่วงพ่อมากๆ กลัวสุดๆว่าพรุ่งนี้จะไม่มีพ่ออีก จมอยู่กับความกังวลใจมาร่วมชั่วโมง ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอบกุมมือของพ่อไว้หวังว่าจะส่งพลังใจไปถึง

       ‘ฮือ..ทำไมพ่อไม่บอกเปลวว่าพ่อป่วย ..ทำไมพ่อถึงไม่มาหาหมอ..’ เด็กน้อยสะอื้นไห้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

       ‘พ่อไม่อยากเพิ่มภาระให้ครอบครัวเรา ไม่อยากให้ลูกอยู่แบบลำบากตรากตรำเพราะต้องเจียดเงินมารักษาพ่อ พ่อรู้ว่ามันเป็นโรคที่ไม่มีทางหาย ธรรมดาน่ะแหละลูก แก่ๆหน่อยก็เป็นโรคนี้กันทั้งนั้น พ่อก็แค่เป็นหนึ่งในนั้น’

       ‘เปลวไม่เป็นอะไรซักหน่อย เปลวโตแล้วนะพ่อ.. กินข้าวกับเกลือเปลวก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีพ่อเปลวอยู่ไม่ได้’

       ‘…’

       ‘ต่อไปนี้เปลวจะหาเงินมารักษาพ่อเองนะ เปลวจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ เพราะงั้นแล้วพ่อต้องเชื่อฟังคุณหมอ กินยาตามที่หมอบอกให้ตรงเวลา อย่าเครียด อย่า..’

       ‘เปลว’

       ‘…ครับ?’

       ‘พ่อ..พ่อขอโทษนะ’ ..น้ำตาของชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพตัวเองทุบตีลูกคนนี้ในอดีต

       ‘ไม่เป็นไรครับ เปลวไม่เคยโกรธพ่อเลย’ ลูกน้อยของเขาได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับยิ้มจนแก้มแทบปริ ส่วนตัวเขาเองพอได้เอ่ยคำขอโทษออกไปในใจก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

       หลังจากนั้นพ่อลูกทั้งสองโอบกอดกันและกันในรอบสิบกว่าปี เขาทั้งสองวางทิฐิในใจลง แสดงความรักที่ล้นฟ้ามหาสมุทรออกมามากขึ้น และพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลน่าฟัง

       เปลวและพ่อพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เรื่องราวในปัจจุบัน และเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มีบ้างที่ดุด่าว่ากล่าวกัน แต่เขาทั้งสองก็พยายามคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยกันเสมอ

       แต่ดูเหมือนว่า…เปลวจะลืมใครบางคนไปซะสนิทใจ



หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 19-01-2019 18:26:11
แจ้งนะคะ

มายด์ได้ Re-Write เรื่องนี้ เนื่องจากว่าเนื้อหามีบางจุดที่มายด์พลาดในเรื่องของข้อมูล และความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง ดังนั้นมายด์จึงเลือกที่จะ re-write ใหม่ ตั้งแต่ตอนที่ 3 จนถึงตอนที่7 โดยเนื้อหาที่รีไรท์มีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
- มายด์ตัดฉากที่เทียนโดนรุมข่มขืนไป
- เทียนและเปลวติดเงินค่าคณะสี จนทำให้เทียนถูกทำร้ายร่างกาย
- พ่อของเปลวถูกเปลี่ยนให้เป็นพนักงานบริษัท ตอนแรกเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด แต่ถูกลดลงมาเป็นแค่พนักงานธรรมดา และสุดท้ายก็จะถูกไล่ออก
- เทียนกับเปลวเคยคบกัน
ประมาณนี้ค่ะ


หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะ : )
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 [50%]”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 27-01-2019 12:50:37
       เย็นของวันถัดมาเปลวได้กลับมาบ้านหลังจากไปอยู่โรงพยาบาลเฝ้าพ่ออยู่เป็นวัน วันนี้เขาเลยบอกพ่อว่าจะขอกลับมานอนบ้านเพราะมีการบ้านที่ต้องทำอีกเยอะ แต่พอกลับมาถึงบ้านแทนที่เขาจะได้ยินเสียงกวนส้นเท้าที่มักจะตะโกนทักทายเขาทันทีที่ได้เห็นก็กลับเป็นเสียงเงียบๆเหงาๆ ราวกับไม่มีใครอยู่บ้าน



       ‘เทียนไปไหน?’

       เขานึกสงสัยอยู่ในหัว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะไปเล่นบ้านเพื่อน อีกไม่นานก็คงกลับ

       และใช่…มันเป็นอย่างที่เขาคิด ไม่นานหลังจากนั้นประตูรั้วหน้าบ้านก็ถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยร่างผอมบางของเทียนไข ทว่า…เทียนไขที่กำลังเดินเข้ามานั้นกลับโซซัดโซเซราวกับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆเหลือ



       “อ้าวไอ้เทียน ไปไหนมาทำไมไม่กลับบ้านเมื่อวาน” ในใจของเปลวมีหลากหลายความรู้สึกตีกันวุ่นวายไปหมด ทั้งความเครียดเพราะไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิต ความเหงา ความเศร้า ใจหนึ่งนึกโกรธอีกฝ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงและเป็นห่วงจนแทบนั่งไม่ติดพื้น แต่ทุกๆความรู้สึกนั้นเปลวกลับไม่รู้จะถ่ายทอดมันออกมายังไง เขารู้..เขารู้ ว่าตัวเองกำลังไร้สาระที่รู้สึกแบบนี้  “เหลวไหลนะมึงอ่ะ”

       “…” 

       “แล้วนี่ไปโดนอะไรมา ไปหาเรื่องใคร” …หึง? คำนี้ใช้ได้หรือเปล่า หรือเขาแค่โกรธที่เทียนไขมาในสภาพบาดแผลเต็มตัวด้วยความคึกคะนองของวัย?  สร้างภาระให้เขาเพิ่มขึ้นไปอีก?

       “…” 

       “เป็นอะไรทำไมไม่ตอบกู” ..คำตอบที่เขาได้จากเทียนไขมีเพียงสายตาที่จ้องมองมาที่เขาเท่านั้น มันทั้งนิ่ง เงียบ และดูเยือกเย็นราวกับฟันเฟืองความรู้สึกบางตัวได้หล่นหายไปจนทำให้โครงสร้างทั้งหมดพังทลาย “เทียน มึงโกรธอะไรกูมึงก็แค่พูดออกมา อย่ามาทำหน้าแบบนี้ กูเป็นห่วงเนี่ยกูเลยถาม”

       “…” เทียนไขยิ้มตอบเขา หากแต่เปลวกลับไม่ได้รู้สึกว่าเทียนไขกำลังยิ้มให้เขาอยู่จริงๆเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าเทียนไขเป็นคนยังไง และเขาก็รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนี้…เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เปลวอยากได้คำตอบแม้ซักพยางค์เดียวก็ยังดี แต่เทียนไขก็ไม่ได้ให้มันกับเขา ด้วยอารมณ์หลากหลายที่กำลังคุกรุ่นวุ่นวายอยู่ในหัว เปลวจึงไม่มีที่ว่างเหลือพอให้สนใจความงี่เง่าไร้สาระของเทียนไขอีก

       “ตามใจมึงนะ กูไม่สนละ”







       ‘รับจ้างวาดภาพ’ เปลวคลิกเม้าส์ด้วยปลายนิ้วชี้เพื่อกดสร้างเพจของเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ ซึ่งก็คือ ‘การวาดรูป’ อันเป็นมรดกเดียวที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้นั่นเอง เปลวจะใช้เพจๆนี้หารายได้เสริม เพื่อนำเงินมาเป็นค่ารักษาโรคที่พ่อเขาเป็น หรือไม่บางทีในอนาคต…สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะหาเลี้ยงครอบครัวของเขาได้



       ‘มึงทำได้…มึงต้องทำได้อยู่แล้วเปลว เพื่อพ่อ …เพื่อเทียน’ เขาพูดกับตัวเขาเองในกระจก ก่อนจะไปฝากลิ้งค์เพจไว้ในบล็อกต่างๆ รวมถึงฝากบรรดาเพื่อนๆของเขาให้ช่วยกันแชร์ 

       ..เปลวยิ้มกับจำนวนคนกดถูกใจที่ปรากฎแก่สายตาเขา ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วลุกไปหากล่องพยาบาล เขาเดินไปที่ครัวเพื่อทำแกงเขียวหวานของโปรดของเทียนไขพลางนึกยิ้มอยู่ในใจเมื่อนึกถึงสีหน้างอๆของเทียนไขที่ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งจนแก้มแทบแตกถ้าได้ลิ้มรสแกงเขียวหวานของโปรด…

       แต่มันกลับ…ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด



       “เทียน ลงไปกินข้าว” เจ้าตัวหันมาตามเสียงเรียก หากแต่คราบน้ำตาบนใบหน้าของเทียนนั้นชัดเจนจนเปลวทำอะไม่ถูก เพราะอะไรเทียนถึงร้องไห้? เขาตั้งคำถามอยู่ในใจ แต่ขาที่ควรจะก้าวเข้าไปปลอบกลับแข็งชาขึ้นมาดื้อๆ

       “มึงร้องไห้หรอ?” เปลวเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นเครือ

       “…” และคำตอบที่เขาได้รับก็คือความนิ่งเงียบ เฉยชา เยือกเย็นราวกับความรู้สึกใดๆก็ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว

       “..ไปกินข้าวเถอะเทียน กูรู้ว่ามึงหิวแล้ว” เปลวพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้เหมือนเดิมแม้มันจะยากลำบาก

       “…”

       และเมื่อเทียนไขไม่ยอมพูดอะไรออกมา..สุดท้ายเปลวจึงทำได้แค่..ถอนหายใจ..แล้วเดินออกไป



       “อะกูเอาขึ้นมาให้” แต่ด้วยความเป็นห่วงที่แทบจะล้นออกมาจากอก เปลวจึงเลือกที่จะกลับไปข้างล่างเพื่อนำแกงเขียวหวานของโปรดเจ้าตัวขึ้นมาเสิร์ฟถึงที่ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆนอกเหนือจากนั่งจ้องเขานิ่งๆด้วยสายตาที่แสนเจ็บปวด

       ความสงสัยที่เพิ่มพูนทำให้เปลวระเบิดความหงุดหงิดออกมา เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไข วางถาดลง ก่อนจะเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงดุดัน..

       “กินซะ!”

       “…” คนตัวเล็กกว่ามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยอมจับช้อนส้อมเพื่อทานข้าวอยู่ดี  เปลวเห็นแบบนั้นอารมณ์จึงเริ่มดีขึ้น เขาลอบยิ้มอยู่เงียบๆ อย่างนึกเอ็นดูเมื่ออีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย ทว่า…



       เพล้ง!

        ..เทียนไขกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมจานข้าวที่อยู่ในมือ แล้วปล่อยมันให้ร่วงทำเอาจานกระเบื้องตกกระแทกกับพื้นจนแตกละเอียด

       “ไอ้เหี้ยเทียน!” เส้นอารมณ์ที่เขาพยายามคงไว้ขาดผึง เมื่อเศษจานทำให้น้ำแกงเขียวหวานร้อนๆกระเด็นโดนตัวเขา หมัดที่มือข้างซ้ายกำแน่น

       “มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้สัด!!!!!” เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักเทียนไขออกไปด้วยแรงโทสะ “ไม่อยากแดกข้าวบ้านกูมึงก็ออกไป ออกไป๊!”

       เขาผิดอะไรนักหนา? บอกกันดีๆก็ได้ไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้?

       เพราะอะไร…เพราะอะไรความเป็นห่วงของเขาจึงไม่มีค่าเลย...

 

       “เปลว..ทำแบบนี้ทำไมหรอ” และในที่สุด…ประโยคแรกก็หลุดออกมาจากปากเทียนไข

       “ทำ? กูทำอะไร มึงต่างหาก มึงเป็นอะไรของมึง”

       “จนถึงตอนนี้..เปลวก็ยังไม่คิดที่จะอธิบายใช่ไหม?”

       “คือเหี้ยไร กูทำไรให้มึง…มึงพูดสิไอ้สัด มึงไม่พูดกูจะรู้มั้ยไอ้ควาย!”

       “โอเค จริงๆแล้ว...เปลวอาจจะไม่ได้ทำอะไรหรอก..”

       “…”

       “มัน..ผิดที่เราเองนั่นแหละ”

       “…” ..เสียงแหบพร่าปนกับเสียงสะอื้นของเทียนไขเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานจนเขารู้สึกได้ ใบหน้าของเปลวเริ่มซีดลง ความรู้สึกบางอย่างกำลังทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก มือทั้งสองข้างสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนี้…เปลวรับรู้แล้วว่า ฟันเฟืองบางอย่างนั้นได้หล่นสลายไปแล้วจริงๆ..

       “…เราขอโทษที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเปลวจนทำให้เปลวต้องรู้สึกรำคาญ”

        “…” 

        “…เราขอโทษที่ลืมตัวไปหน่อย ..ลืมว่าตัวเราเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไร …ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ความสุข หรือการได้มีชีวิตปกติอย่างที่คนอื่นๆได้มี ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่มีสิทธิ์นั้นเลย”

       “…” …ไหนล่ะคำสัญญาที่เปลวเคยให้ไว้ว่าจะไม่ทำให้เทียนไขต้องร้องไห้

       “…ขอโทษที่เชื่อใจเปลวมากเกินไปหน่อย”

       “…” …ไหนล่ะความสุขที่เปลวเคยพูดนักพูดหนาว่าอยากให้เทียนไขมี

       “แล้วก็…ขอโทษที่ไว้ใจเปลวมากเกินไปด้วยนะ”

       “…”

       “…ขอโทษที่รักเปลวนะ”

       …ไหนล่ะความรู้สึก ‘รัก’ ที่เปลวรู้สึกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเทียนไข



       ใช่แล้ว...เปลวมีใจให้เด็กน้อยที่ดูบอบบางคนนั้นตั้งแต่แรกพบ แต่เขาก็ปฏิเสธความรู้สึกตัวเองมาตลอดเพราะไม่อยากให้เทียนไขรู้สึกอึดอัด โดยที่ตัวเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าเทียนไขเองก็…รู้สึกไม่ต่างอะไรกับเขาเลย

       ทันทีที่เทียนไขพูดจบ เปลวไม่ปล่อยให้เจ้าตัวต้องร้องไห้อีกต่อไป เขาโผเข้าไปกอดเทียนไขในทันที พร้อมกับเอ่ยขอโทษออกไปสำหรับทุกความผิดที่เขาทำ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเทียนกำลังโกรธเขาเรื่องอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เขายอมแล้ว..ยอมแล้วทุกอย่าง

       เปลวกอดคนตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขนโดยไม่คิดจะปล่อยออกไปไหนอีก

       เขา..จะไม่มีวันปล่อยให้เทียนไขต้องร้องไห้อีกต่อไป















       ค่ำคืนนั้นจบลงที่เขาปลอบประโลมเทียนไขจนเทียนไขเริ่มสงบลง เปลวบอกความรู้สึกออกไปด้วยภาษากาย เขาทิ้งรอยจูบไว้แทบจะทุกอณูบนผิวสีขาวนวล มอบสัมพันธ์อันลึกซึ้งให้แก่เทียนไข ก่อนจะเอ่ยคำมั่นสัญญาด้วยใจจริง



       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’






       …ไม่มีใครรู้ว่าคำสัญญานี้เปลวจะทำมันได้จริงๆหรือเปล่า แต่เด็กอ่อนต่อโลกอย่างเทียนไขก็ให้อภัยและยินดีที่จะเชื่อในคำมั่นสัญญาของเปลว ..แน่นอนว่าเทียนเองก็อดที่จะจินตนาการไปถึงอนาคตไม่ได้ ว่าเขากับเปลวจะไปกันได้นานแค่ไหน แต่ด้วยความรักที่เขามีให้เปลว ขอได้ไหม… อย่าให้รักครั้งนี้เขาต้องเจ็บปวดเลย…





























       ..จากฤดูหนาวปลายเดือนธันวาในวันนั้นก็ผัดเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน แล้วก็วนกลับมาที่ฤดูหนาวอีกครั้ง ความแปรปรวนของอุณหภูมิทำให้อากาศในฤดูนี้อาจจะไม่ได้หนาวเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็น แต่สำหรับเปลวแล้วอากาศในฤดูนี้นั้นช่างหนาวเหน็บและเยือกเย็น

       แต่อาจจะไม่ใช่ในทางกายภาพ แต่เป็นทางความรู้สึก..





       ‘ภูมิ…เหลืออีกแค่พันเดียวไม่ใช่หรอ ขอเวลาอีกซักอาทิตย์ได้มั้ยวะ’

       ‘เป็นปีแล้วมั้ยไอ้เหี้ย!’

       ‘มึง กูจำเป็นจริงๆ ตอนนั้นพ่อกูเข้าโรง’บาล กูเลยต้องเอาเงินที่จะให้มึงไปจ่ายค่ารักษาก่อน’

       ‘..ครอบครัวมึงนี่เข้าโรงพยาบาลกันแทบจะทุกคนเลยนะ..’

       ‘มึงว่าไงนะ..?’

       ‘เปล่า’

       ‘…แล้วก็ ภูมิ...กูขอเหอะ’

       ‘…’

       ‘กูทำได้อย่างเดียวก็คือวาดรูป เพราะฉนั้นมึงเลิกหลอกให้เพื่อนมึงมาจ้างกูวาดแล้วก็เทได้แล้ว กูเดือดร้อน’

       ‘ก็กูไม่เดือดร้อนอะ ทำไงดี’

       ‘ภูมิ.. กูคุยกับมึงด้วยเหตุผลแล้วนะ’

       ‘หรอวะ? กูเองก็เคยเดือดร้อนเหมือนกันตอนกีฬาสีกูกับแม่เกือบจะโดนยึดบ้าน เพราะพวกเหี้ยอย่างพวกมึงไม่คืนเงิน’

       ‘มันก็ผ่านมาแล้วปะวะ มึงกับแม่ก็แค่ ‘เกือบ’ รึเปล่า? ไม่ได้โดนยึดจริงๆ..’

       ‘สำหรับกูมันไม่เคยผ่านไป เจ้าหนี้ที่แม่กูไปกู้เงินมาจ่ายค่าบ้านยังตามทวงพวกกูอยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น’

       ‘…’

       ‘ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกมึงที่ทำให้กูเดือดร้อน ทีนี้..ถามว่าตอนนั้นที่กูเดือดร้อน มึงสำนึกกันบ้างหรือเปล่า? ก็ไม่ คราวนี้ก็ทีกูบ้างแล้วล่ะที่จะไม่สำนึกแบบที่มึงเคยทำ’

       ‘ก..กูขอโทษ’

       ‘ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่อยากฟังเสียงดัดจริตเรียกร้องความสงสารของมึง ปัญญาอ่อน’

       ‘…’

       ‘อีกอย่าง…กูเอาคืนพวกมึงหมดแล้ว …อย่างสาสม’

       ‘เดี๋ยว..หมายความว่าไง?’

       ‘ไม่รู้อีกหรอ..? งั้นก็ไม่มีอะไรหรอก คนโง่ๆอย่างมึงก็ควรจะโง่ๆต่อไปแบบนี้นี่แหละ เดี๋ยวกูจะไปเอาใบ Transcipt ละ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาเจอหน้ามึงอีก เหม็นขี้หน้าเกินจะทน’



       …หลังจากนั้นภูมิก็ย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศพร้อมกับยกหนี้ที่เหลืออยู่ให้เป็นผลประโยชน์แก่เปลว ทว่าเปลวก็พึ่งมารู้เอาทีหลังว่าสภาพเทียนไขที่โซซัดโซเซในคืนวันถัดจากวันกีฬาสีนั้นเป็นเพราะภูมิ ถึงแม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าภูมิทำอะไรเทียนไข แต่จากที่ภูมิบอกเขาผนวกกับสภาพเทียนไขในวันนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่าคนอย่างภูมิ…สารเลวยิ่งกว่าใคร

       เปลวอยากจะแจ้งความเอาผิด แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว



       วันวานผ่านไปอย่างโหดร้ายในแต่ละวัน พ่อของเปลวอาการดีขึ้นบ้างจากการรักษา แต่พอเจอกับความกดดันจากที่ทำงาน พอกลับบ้านมาก็ความดันขึ้นทุกครั้ง เปลวทำได้แค่เป็นห่วงพ่ออยู่ห่างๆเท่านั้น เพราะพ่อของเขาก็ยังคงดื้อดึงที่จะไปทำงานต่อ เหตุผลเดียวที่ต้องทำแบบนั้นก็คือ..กลัวเปลวกับเทียนจะอดตาย

       แต่เปลวก็ไม่ได้นิ่งเฉย  อาชีพรับจ้างวาดภาพที่เปลวเคยคิดว่าจะทำมันเป็นงานอดิเรก ตอนนี้..เปลวต้องทำมันเป็นงานหลักอย่างแท้จริง ทันทีที่เลิกเรียนเขาไม่มีเวลาเถลไถลไปไหนทั้งนั้น หนังสือก็ไม่มีเวลาอ่าน เขาทำได้อย่างเดียวคือจุ่มปลายพู่กันลงบนเฉดสีทั้งหลายแล้ววาดลงบนแผ่นเฟรมผ้าใบ แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะลูกค้าหลายรายจ้างเขาแล้วก็ไม่มาเอา หายเงียบ ปล่อยให้น้ำหมึกน้ำสีที่ใช้วาดเปลืองไปโดยไร้คุณประโยชน์ เปลวก็มารู้เอาในภายหลังเช่นกันว่าภูมิเป็นคนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว

       เขาเครียดหนัก แสงสว่างที่เคยมีเริ่มริบหรี่จนไม่เห็นทางออก และสำหรับเปลว.. ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นมาในหัว..



       ‘พ่อครับ’

       ‘…’

       ‘เรื่องที่พ่อกำลังมีปัญหากับที่ทำงานแล้วก็เรื่องที่เปลวรับจ้างวาดรูป พ่ออย่าบอกให้เทียนรู้นะ’

       ‘ทำไมล่ะ?’

       ‘ผมสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะทำให้เขามีแต่ความสุข’

       ‘…’

       ‘เพราะฉนั้นแล้วเปลวเลยไม่อยากให้เทียนต้องมารับรู้เรื่องนี้ พ่อก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าที่ผ่านมาเทียนเจออะไรมาบ้าง เทียน..สมควรที่จะมีความสุข..’

       ‘พ่อเข้าใจ พ่อเองก็รู้สึกผิดกับพ่อของเทียนมันอยู่เหมือนกัน งั้นเอาตามนี้ ว่าแต่..’

       ‘…’

       ‘คงจะไม่แปลกใช่ไหมถ้าพ่อจะถามว่าลูกกับเทียนไขยังเป็นเพื่อนกันอยู่?’

       ‘…’

       ‘เอาเถอะ พ่อไม่ได้จะว่าอะไรหรอก จะรักจะใคร่จะอะไรกันก็ช่าง พ่อขอแค่อยู่ดูแลกันไปเรื่อยๆก็พอ คนนึงร้องไห้..คนนึงต้องปลอบ คนนึงร้อน…คนนึงต้องเย็น คนนึงรัก…คนนึงต้องรักให้มากกว่า’

       ‘…’

       ‘พ่อไม่รู้หรอกว่าตัวพ่อเองจะอยู่ได้อีกซักกี่ปี แต่ก็คงอีกไม่นานแล้ว พ่อเลยอยากให้ลูกกับเทียนอยู่ดูแลกันไปเรื่อยๆ ห้ามทิ้งกัน เพราะเทียนเหลือแค่ลูกคนเดียว ส่วนลูกเองถ้าไม่มีพ่อแล้ว เทียนก็คงเป็นคนเดียวที่ลูกจะเหลืออยู่’

       ‘พ่อ… ไม่เอา.. ไม่พูดแบบนี้’

       ‘ไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันนั้นก็ต้องมาถึงอยู่ดี อย่าลืมที่พ่อบอกแล้วกันนะเปลว’



       …คนรักของเขาจะต้องมีแต่ความสุข จะต้องมีแต่ความสุข… จะต้องมีแต่…





       ‘เปลว กูว่าไอ้เทียนแม่งน่ารักว่ะ’ ทว่า..ภายใต้ผืนสมุทรที่เคยสงบเงียบ เกลียวคลื่นระลอกใหม่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมา

       ‘มึงมีอะไรอีก ไอ้แม็ก’

       ‘โถ ทำไมทำตัวห่างเหินกับเพื่อนรักอย่างกูจังเลยอะ กูเสียใจจัง’

       ‘มึงต้องการอะไร กูไม่มีเงินให้มึงรีดไถแล้วว่ะ ขอตัว..’

       ‘แล้วใครบอกว่ากูต้องการเงิน’

       ‘…’

       ‘กูรู้นะว่ามึงกับไอ้เทียนคบกัน กูเห็นตอนพวกมึงแอบมาคุยกันอยู่หลังบู๊ท มีหอมกงหอมแก้มด้วยอะ น่ารักจังเลย…แหวะ กูจะอ้วก’

       ‘คนที่ดูถูกความรักของคนอื่นนี่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำประเภทไหนวะ?’

       ‘อย่าปากดี’

       ‘มึงรู้ก็รู้ไปเหอะ กูไม่ได้สนใจ ยังไงๆก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอยู่ละ ไม่ใช่เพราะเราเรียนจบนะ แต่คนปากอย่างมึงน่าจะต้องตายอีกไม่นาน’

       ‘ไอ้เชี่ยเปลว!’

       ‘อ่าวคิดว่าจะรู้สีกดีซะอีก เห็นชอบด่าคนอื่น กูก็คิดว่าจะชอบโดนคนอื่นด่าด้วย แต่กลายเป็นว่าพอโดนบ้างก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเลย โห่ มึงนี่…’

       [บอสครับ… บอส ผมขอเถอะนะครับ อย่าไล่ผมออกเลย เรื่องเงินผมไม่ได้ทำจริงๆครับ ผมยังมีลูกที่ต้องส่งเสียอยู่นะครับ บอสครับ.. ผมไหว้ล่ะ ผมกราบเลยก็ได้ อย่าไล่ผมออกเลย …อย่า..]

       ‘…’

       ‘เป็นไง? ไม่ปากดีแล้วหรอครับคุณเปลว’

       ‘เสียงพ่อกู..’

       ‘ใช่ เสียงพ่อมึง ..เป็นคลิปเสียงพ่อมึงที่กำลังอวดครวญ ขอร้องอ้อนวอนกับพ่อกู’

       ‘มึงทำอะไรพ่อกู!!!!’

       ‘กูไม่ได้ทำ พ่อกูก็ไม่ได้ทำ คนที่ทำมีเพียงคนเดียวนั่นก็คือพ่อมึง พ่อมึงทำตัวเอง’

       ‘…’

       ‘หรือไม่ ก็เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องยอมทำตัวไร้ค่าแบบนี้’

       ‘แม็ก มึงล้อเล่นใช่ไหม กูไม่ตลกเลยนะ’

       ‘มีสมองก็คิดเอาเองละกัน ..เอาจริงๆมึงยังนึกภาพไม่ออกหรอวะว่าพ่อมึงกำลังอ้อนวอนพ่อกูในท่าไหน’

       ‘…’

       ‘ในฐานะที่กูเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์กูจะบอกอะไรมึงให้นะ หัวพ่อมึงนี่…ระดับเดียวกับส้นตีนพ่อกูเลยว่ะ’

       ผัวะ!

       ‘ไอ้เหี้ย! ไอ้พวกเหี้ย!’

       ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

       ‘ต่อยกูไปเถอะ ทำให้สาสมแก่ใจมึง เพราะสุดท้ายกูก็ชนะมึงอยู่ดี..’

       ‘ทำไม.. ทำไมมึงต้องทำกับพ่อกูแบบนี้..’

       ‘อะไร? นี่มึงร้องไห้หรอ..? กูอึ้งเลยว่ะ คนที่เคยเกลียดพ่อตัวเองนักหนากลับกำลังร้องไห้ให้พ่อของตัวเอง’

       ‘ฮือ… ปล่อยพ่อกู ปล่อยพ่อกูไป..’

       ‘กูไม่ทำอะไรพ่อมึงหรอก เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็โดนไล่ออกอยู่ดี แต่กูจะทำ..’

       ‘…’

       ‘เอางี้ดีกว่า กูมีเกมมาให้มึงเล่น’

       ‘…’

       ‘กูขอตั้งชื่อว่า ‘เลือกใคร..คนนั้นรอด’ แล้วกัน’

       ‘…’

       ‘อย่างที่กูบอกไป ไอ้เทียนแม่งโคตรน่ารัก..’

       ‘ไม่..  ไม่..ไม่..ไม่..’

       ‘กูอยากได้มัน’

       ‘ไอ้เหี้ยแม็ก ไม่!!!!!!!’

       ‘แลกกับ…ให้พ่อมึงได้ทำงานต่ออย่างสบายใจ มึงจะมีกินมีใช้เหมือนเดิม’

       ‘ไม่มึง.. ไม่ กูไม่เอา…กูไม่เลือก’

       ‘ไม่มีสิทธิ์ว่ะ มึงต้องเลือกเท่านั้น ..ถ้าจะโทษใครซักคนก็คงต้องโทษตัวมึงเองนั่นแหละ ที่เกิดมาให้กูเกลียด แล้วก็โทษพ่อมึงด้วยที่เกิดมาแย่งงานที่พ่อกูอยากเป็น’

       ‘ไม่.. กูรู้ว่ามึงไม่มีทางไล่พ่อกูออกได้หรอก กู! ไม่! เลือก!’

       ‘ฮัลโหล พ่อครับ ที่เราตกลงกันไว้ไงครับ ตอนนี้ไอ้เปลวมันไม่เลือก พ่อไล่พ่อมันออกเลยได้ไหมครับ’

       ‘…’

       […ได้เลยลูก]

       ‘…เชื่อยัง?’

       ‘…’

       ‘มันก็แค่ง่ายๆเองปะวะเพื่อนเปลว แค่แบ่งให้ไอ้เทียนมาเป็นเมียกูบ้าง’

       ‘…’

       ‘ไหนล่ะเปลวคนเมื่อกี้ที่ยืนด่ากูฉอดๆ หึ เอ้า! เร็วๆ ชักช้าครอบครัวมึงอดตายแน่ ได้ยินมาว่าพ่อมึงก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลแล้วนี่’

       ‘กู..กูไหว้ก็ได้ มึง..กูขอเหอะ อย่าทำแบบนี้เลย..’

       ‘…’

       ‘แม็ก.. กูขอร้อง..’

       ‘มึงแม่งก็ไร้ค่าไม่ต่างอะไรจากพ่อมึงเลยว่ะ คิดว่าไหว้แล้วกูจะเมตตากรุณามึงว่างั้น?’

       ‘…’

       ‘มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก มึงอย่าโง่ไปหน่อยเลย พ่อมึงเองก็ทำพ่อกูเจ็บแสบไม่ใช่น้อยเหมือนกัน’

       ‘พ่อกูทำอะไร..?’

       ‘ตอนที่มึงยังเป็นไอ้เด็กเหี้ยคนนึงที่ถูกพ่อเตะต่อยทุกวัน พ่อกูเข้าไปช่วยใช่มั้ยล่ะ?’

       ‘พ่อมึงชอบชวนพ่อกูไปเที่ยวกลางคืนจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน..’

       ‘ใช่ มึงก็จำได้นี่หว่า แต่มึงคงจะไม่รู้ล่ะสิ..’

       ‘…’

       ‘วันนึง..พ่อมึงพลาดทำผู้หญิงท้อง แล้วเขาก็ตามติดพ่อมึงตลอดจะให้พ่อมึงรับผิดชอบ มึงคิดว่าพ่อมึงทำยังไง?’

       ‘…’

       ‘พ่อมึงโกหกหน้าด้านๆว่าพ่อกูเป็นคนทำเขาท้อง’

       ‘…’

       ‘อ้างว่าผู้หญิงคนนั้นเมาแล้วจำผิดคนบ้างล่ะ ตัวเองกลับบ้านตั้งแต่สี่ทุ่มแล้วบ้างล่ะ จนสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็โง่เชื่อ’

       ‘…’

       ‘มันก็ทำแบบที่กูทำกับมึงนี่แหละ แอบตามติดพ่อกูไปที่งานสัมมนา ถ่ายคลิปพ่อกูที่อยู่ในชุดทำงานพร้อมตราสัญลักษณ์ต่างๆที่บ่งบอกว่าทำงานบริษัทนี้ แล้วอัพโหลดลงบนอินเทอร์เน็ต แฉพ่อกูจนตำแหน่งที่พ่อกูจะได้รับก็กลายเป็นไม่ได้ และใช่…พ่อมึงก็เลื่อนขั้นมาแทนที่ตำแหน่งที่พ่อกูอยากจะเป็น’

       ‘…’

       ‘กูกับพ่อ เกลียดครอบครัวมึงมาตั้งแต่นั้น ทั้งรังเกียจ ขยะแขยง ไม่อยากจะเข้าใกล้ แต่ก็ต้องทำเป็นยิ้มทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป’

       ‘…’

       ‘วันนี้โอกาสมันเป็นของพวกกูบ้างแล้ว ทั้งมึงทั้งพ่อมึง…สมควรจมอยู่ใต้ตีนพวกกู!’

       ‘…’

       ‘กูเกลียดมึงไอ้เปลว! กูเกลียดมึง กูเกลียดพ่อมึง!!!’

       ‘กูจะรับผิดชอบ..’

       ‘เสือก ไม่มีสิ่งไหนมารับผิดรับชอบได้ทั้งนั้น นอกซะจากพวกมึงจะได้รับผลจากการกระทำของพวกมึงกลับไปบ้าง!!’

       ‘แม็ก..’

       ‘ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู กูไม่ได้อยากเป็นคนรู้จักกับมึง’

       ‘…’

       ‘มึงจำเอาไว้ ไอ้เทียนต้องเป็นเมียกู’

       ‘…’

       ‘ถ้ามึงเลือกไอ้เทียน พ่อมึงก็จะไม่ได้โดนแค่ไล่ออก แต่กูกับพ่อจะเอาให้สาสมกว่านั้น และถ้ามึงเลือกพ่อมึง คนที่มึงรักนักรักหนาก็จะจากมึงไป…ตลอดกาล’

       ‘เป็น…กู’

       ‘หืม?’

       ‘เป็นกูไม่ได้หรอ..เอากูแทนไอ้เทียนได้ไหม’

        ‘…’

        ‘ทุกอย่างที่มึงกับพ่อมึงอยากทำ อยากแก้แค้น เอามาลงที่กูคนเดียว กระทืบกูให้ตายจนกว่าจะสาแก่ใจ’

        ‘รักกันดีจริงๆเลยว่ะ กูชอบเลยแบบนี้’

        ‘แม็ก.. กูขอร้อง ทำกู…ทำกูคนเดียว มึงอยากทำอะไรกูยอมหมด’

        ผัวะ!!

        ‘สำหรับมึง กูต้องการแค่นี้’

        ‘…เอาอีก ..เอาอีก ต่อยกูอีก แล้วอย่าทำร้ายใครเลย..’

        ‘ถ้ามึงต้องการให้กูกระทืบมึง กูก็ทำให้ได้ แต่กูก็จะเอาไอ้เทียนมาเป็นเมีย แล้วก็ไล่พ่อมึงออกอยู่ดี!’

        ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!













       ‘เปลวไฟ’ หากมองจากภายนอกคงจะเห็นแค่สีส้ม สีเหลือง และสีแดงสลับประดับประกายกันอยู่ แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเปลวไฟนั้นร้อนระอุเพียงใด …หากแต่ ถ้าแสงสีที่เห็นเป็นประกายไฟนั้นเป็นสีของหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจนเป็นสีเลือด ความร้อนระอุที่แผ่ออกมาเป็นเสียงร้องตะโกนที่แสนเจ็บปวดทรมานล่ะ?



       ‘มึงต้องทำตัวปกติ อยู่ดูกูมีความสุขกับไอ้เทียน จ้องมองใบหน้าของคนรักมึงให้ดี บางทีมันอาจจะเผยสีหน้าแสนสุขออกมาก็ได้’

       ‘…’

       ‘จริงด้วย หลังจากกูเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วมึงจะทำอะไรไอ้เทียนต่อก็ได้นะ เผื่อแบบว่า..คนต่ำๆอย่างมึงจะเกิดอารมณ์ตอนดูกูกับไอ้เทียน’



       …เม็ดฝนเทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่ผันเปลี่ยนฤดูเข้าสู่ฤดูร้อน นอกเกลียวม่านมีแต่เสียงเม็ดฝนตกกระแทกกับวัตถุต่างๆ …ก็คงตะดีแล้วล่ะที่ฝนตก เพราะไม่งั้น..เสียงที่ได้ยินก็คงจะมีแต่เสียงร่ำไห้

        เทียนไขกำลังร้องไห้ นี่คือสิ่งที่เปลวเห็น ดวงตาของคนที่เขารักเต็มไปด้วยความทรมานแสนสาหัส เขาดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อหลีกหนี แต่ก็..เปล่าประโยชน์

       คมมีดแหลมๆเสียดแทงเข้ากลางใจก่อนจะขยับปลายมีดแล้วหันคมมีดขึ้นห้ำหั่นก้อนเนื้อหัวใจให้แตกเป็นเสี่ยงๆ …นี่คือความเจ็บปวดที่เปลวกำลังรู้สึก หรือบางทีมันอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

       …ภาพที่ปรากฎแก่สายตาของเขามันโหดร้ายเกินไป และที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือ…



       ‘พ่อ.. พ่ออยู่กับพ่อไอ้เปลวอยู่ใช่ไหม? อย่าพึ่งให้เขาไปไหนนะ กักตัวเขาไว้ ถ้าไอ้เปลวมันตุกติกพ่อจัดการพ่อมันได้เลย’



       …เขาทำอะไรไม่ได้เลย

       เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเทียนไขดังไม่หยุด มันดังเข้ามาในโสตประสาทของเปลวและฝังลึกลงไปในหัวอย่างไม่มีทางลืม



       ‘เปลว วันนี้วันอะไรรู้เปล่า’

       ‘รู้ดิ วันจันทร์ไง’

       ‘ผิด วันนี้วันครบรอบ’

       ‘กูก็ล้อเล่นเฉยๆหรอก กูเตรียมของไว้ให้มึงด้วย’

       ‘เหมือนกัน’

       ‘ไม่รู้เหมือนกันว่ามึงจะชอบหรือเปล่า..แต่ว่า กู..ตั้งใจวาดมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘อะนี่ กูวาดให้มึงนะ ใส่กรอบให้เรียบร้อย’

       ‘ส..ส่วนอันนี้ เปลวคงจะเคยเห็นเรานั่งถักบ้างแล้วแหละ แต่เราพยายามแอบๆถักแล้วนะ กะจะเซอร์ไพรส์..’

       ‘หมวก..?’

       ‘ใช่แล้ว…หมวกไหมพรม’

       ‘..ขอบคุณมากนะเว้ยเทียน’

       ‘ยังไม่หมดแค่นี้นะ เรายังมีนี่ด้วย’

       ‘ไหน?’

       ‘อ้อมกอด’

       ‘…’

       ‘แบบนี้ไง..’

       ‘น่ารักว่ะ แฟนใครวะ’

       ‘แฟนคุณเปลวเขาอะครับ’

       ‘เนี่ย จะไม่ให้รักได้ไง อยู่กับกูไปนานๆนะเทียน’

       ‘นานขนาดไหนหรอ?’

       ‘ตลอดไปเลย’

       ‘เปลวก็เหมือนกันนะ’

       ‘อยู่ข้างๆกัน…ตลอดไป’





       

       



       











             



       

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 [100%]”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 27-01-2019 12:58:56
08
‘เปลว’

2/2







    ‘กูจะปกป้องมึง..ให้ได้’





       “ไอ้เปลว มึงจะเอามันปะ มาดิกูเสร็จละ ไปเข้าห้องน้ำแป็ป” เสียงของไอ้แม็กเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสุขสม มันคงจะมีความสุขมากๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามเกมที่มันวางไว้ ทั้งพ่อเปลว ทั้งเปลว หรือแม้แต่เทียน ก็เจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้กัน

       “…” เปลวไม่ตอบ จ้องมองมันนิ่งๆด้วยความโกรธแค้นที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาทุกเมื่อ แต่ก็ต้องตามเกมที่มันวางไว้ต่อไป ..เขาลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหาคนเจ็บที่ร้องครวญครางอย่างทรมานอยู่บนเตียงพร้อมกับถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก

       “เปลว…มึง..” เสียงแหบพร่าของเทียนเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ..เปลวรู้ดีว่าเทียนไขกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในใจเขาอยากจะให้เทียนไขเชื่อใจเขาซักครั้ง.. 

       “อยู่เงียบๆไปดีกว่าเทียน” ทุกอย่างจะไม่เป็นไร.. เทียนจะต้องหนีไปอย่างปลอดภัย แล้วที่เหลือ เขา..จะเป็นคนรับทั้งหมดเอง

       “เปลวทำไม..ฮือ ทำไมทำแบบนี้ …ทำไม..”

       “ไม่ต้องร้องนะ.. ก..กูมาช่วยมึง..” แต่แค่เห็นน้ำตาบนใบหน้าของคนที่เขารัก เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เปลวโผเข้าไปกอดคนตัวเล็กกว่าอย่างแนบแน่น วางใบหน้าไว้บนไหล่ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่ตนเองพยายามกลัดกลั้นไว้หลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก ทว่า..

       “ไม่ต้องเสือกช่วยกูหรอก…สาระแน”

       “…” เทียนกลับ..ไม่ได้เชื่อใจเขาเลย

       “ไม่เอากูด้วยอีกคนล่ะ ..กูจะได้เป็นเอดส์ตายให้สมกับคำที่พวกเหี้ยนั่นเคยล้อกู!!” ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในหัวใจจนรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง น้ำตาหลายหยดไหลอาบทั้งสองข้างแก้มของเขา หยาดเหงื่อย้อมชโลมให้เปียกปอนไปทั้งร่าง

       “ต้องการแบบนั้นหรอ?” เปลวกลั่นความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาเป็นคำถาม

       “ไม่..ออกไปไกลๆตีนกูเลยนะ ออกไป!” ก่อนจะได้รับความเจ็บปวดกลับคืนมาซ้ำๆ

       “ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?” เขาไม่ได้อยากพูดแบบนี้ แต่ก็ต้องพูดออกไปเพราะกลัวว่าไอ้แม็กจะจับได้ว่าเขากำลังจะพาเทียนหนี แต่มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ.. เขาแค่จะช่วยเทียนให้หนีไป แค่หนีไป.. 

       “ทวงบุญคุณ?”

       “…” หนีไปสิเทียน.. ไม่อยากใช้คำพูดทำร้ายจิตใจมึงไปมากกว่านี้แล้ว..

       “แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!”

       “ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู” ขอโทษ… ขอโทษ

       “…”

       “จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ”

       ขอโทษ....

       “…” 

       “มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!”

       “…” 

       “เงยขึ้นมาดิไอ้สัด เก่งมากอะ!!” เปลวจับปลายคางของเทียนให้เงยขึ้น พยายามประคองคนตัวเล็กกว่าให้เคลื่อนไปที่ประตู หากแต่ว่า..ใจเขาตกไปอยู่ที่ปลายเท้าทันที ทั่วทั้งร่างชาวาบอีกครั้ง ..แขนเล็กๆที่เคยออกแรงขัดขืนปล่อยให้ตัวเองลู่ลงตามแรงโน้มถ่วง เทียนไขเลิกขัดขืน เขาหยุดอยู่นิ่งๆโอนเอนไปตามแรงกระทำของเปลว ดวงตาของอีกฝ่ายเริ่มเลื่อนลอย

       “เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม..?”

       “…” 

       “ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่”

       “…”

       “เราจะไป”

       “…” เปลือกตาสีไข่ปิดลงมาทีละนิดๆจนแนบสนิทกับหนังตาด้านล่าง ร่างกายของเทียนไร้เรี่ยวแรงใดๆ จนร่างเขาเซล้มกลับไปบนที่นอนอีกครั้ง ทำให้เปลวที่กอบกุมร่างเขาอยู่เซล้มไปตามๆกัน เปลวรู้สึกตัวอยู่บ้างจึงทำให้ไม่ได้นอนทับเทียนไขไปซะทีเดียว แต่ก็อยู่ในสภาพขึ้นคร่อมอยู่บนตัวเทียนไข



       “กูว่าแล้วว่ามึงต้องมีอารมณ์ มึงนี่…โคตรขยะ” เสียงทุ้มดังมาจากฝั่งห้องน้ำ เปลวหันไปตามเสียง ก่อนจะเจอกับไอ้แม็กที่ยืนกอดอกมองสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ไม่ห่าง

       “กูแค่จะลบร่องรอยทุเรศที่มึงทำไว้บนตัวเทียน” สติ.. เปลวต้องมีสติ

       “หรอ? ที่ทุเรศนี่..เพราะไอ้เทียนมันทุเรศหรือเปล่า?”

       “มึงต่างหาก” ดีแล้วที่เทียนหลับไป ..ดีแล้ว

       “ตัวมึงดีแค่ไหนกันเชียว”

       “…”

       “ทำอะไรก็ทำไป ลบให้สะอาดละกันร่องรอยที่มึงว่า แต่คงต้องเน้นๆตรงนั้นหน่อย เพราะกูใช้ทั้งปากทำ ใช้ทั้ง..”

       “เสือก ไปตายไปไอ้สัด”

       “ควาย ปากดีเดี๋ยวได้ตายทั้งพ่อทั้งลูกหรอก อย่าเยอะให้มาก”

       “ถ้ามึงกล้ามึงทำไปแล้วแม็ก มึงไม่กล้ามากกว่า มึงขี้ขลาดไง.. เหมือนกับตอนเด็กๆที่มึงก็กลัวพ่อตัวเองไม่ต่างอะไรจากกู แค่ขอเงินพ่อซื้อนู่นนี่ มึงยังไม่กล้า ต้องมาอาศัยคนอื่น..”

       “เปล่า กูมีตังค์เยอะแยะ แต่อยากใช้ตังค์มึง..ก็แค่นั้น ไม่เปลืองดี”

       “…”

       “จะทำอะไรก็ทำ อย่าเสียงดัง กูจะไปนอนละ เสร็จแล้วมึงจะไปไหนก็ไป ส่วนเทียนไขต้องอยู่กับกู”

       “ซึ้งน้ำใจมึงจังเลยว่ะ ใจบุญเอาตอนนี้กลัวต้องตกนรกเพราะสิ่งที่มึงทำละสิ”

       “ไอ้เชี่ยเปลว!”

       “…” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มเยาะอย่างสะใจก่อนจะทำเป็นก้มเคลียคลอกับคนใต้ร่างเพื่อรอให้ไอ้แม็กเดินออกไป













       “…” และหลังจากที่มันเดินออกไป สวิตซ์ความรู้สึกก็ถูกเปิดออก.. เปลวขยับมานั่งข้างๆเทียนไข ชันเข่าขึ้นมากอด ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วยความเจ็บปวด

       มือข้างขวาของเขากำขึ้นมาเป็นหมัดก่อนจะต่อยไปที่หน้าของตัวเองสุดแรง…

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา...ปกป้องเทียนไขไม่ได้

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา…ทำให้เทียนไขต้องร้องไห้

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา…ทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวด..



       “..ขอโทษ.. กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ กูขอโทษ” เปลวหันไปมองใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มอยู่ในความฝันแสนหวานหลบหลี้หนีจากความเป็นจริง พร่ำคำขอโทษออกมาซ้ำๆ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่จนราวกับจะเหยียบให้ใจของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

       ..ไม่รู้เหมือนกันว่าความเข้มแข็งที่ใครหลายคนบอกว่าเขามีมันมากกว่าใครๆ หายไปไหนหมด แต่ตอนนี้มันไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เหลือมีแต่ความอ่อนแอ ท้อแท้ เหนื่อยล้า และอยากจะยอมแพ้กับชีวิตที่ต้องเผชิญ

       …ยิ้มได้จากใจจริงครั้งล่าสุดเมื่อตอนไหนกันนะ? เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นตอนที่เขายังแบเบาะ มีพ่อ มีแม่ มีคนที่รักเขารายล้อมอยู่รอบกาย ตอนนั้นคงเป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและจริงใจที่สุดแล้ว

       จู่ๆเปลวก็รู้สึกคิดถึงผู้หญิงคนเดียวที่เขารักขึ้นมา เธอคนนั้นเป็นผู้สอนให้เปลววาดรูปนั่นเอง เขานึกถึงตัวเองในวัยเด็กที่ถูกผู้หญิงคนนี้โอบกอดด้วยความรัก ดูแลเขา เอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี จู่ๆก็คิดถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับ อ้อมกอดของแม่ที่เคยกอดเขาเวลาที่เขาร้องไห้

       ถึงไออุ่นจากอ้อมกอดนั้นเขาจะจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นยังไง แต่เขาก็จำได้ดีว่าทันทีที่แม่กอดเขา น้ำตาที่เคยหลั่งไหลก็ค่อยๆหยุด ค่อยๆหยุด จนสุดท้ายเขาก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง..

       ‘คิดถึงแม่จังเลยครับ’ เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อ.. มันทั้งยาก ทั้งลำบาก จนเขารับมันไม่ไหวแล้ว



       “…” เชยสายตาไปมองเทียนไขอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง ..ตอนนี้กำลังจะตีหนึ่งแล้ว เขาเองก็สภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากจะอุ้มเทียนลงไปตอนนี้เกิดตกบันไดขึ้นมาก็คงแย่กว่าเดิม แต่..คงไม่มีทางอื่นแล้ว

       “มึงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามคนที่กำลังหลับตาพริ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะไม่ได้คำตอบ แต่ขอแค่ได้ให้กำลังใจตัวเอง..แม้ซักน้อยนิดก็คงจะเพียงพอเป็นแรงสู้ต่อได้

       “ให้ความร่วมมือกูหน่อยนะ..” เปลวรวบรวมแรงกายแรงใจพยุงเทียนไขที่กำลังหลับให้ลุกขึ้น แต่ทว่าคนหลับกลับทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่ที่นอนและไม่ได้ความร่วมมือใดๆกับเขาเลย ..จากที่จะพยุงพาเทียนไขออกไปก็กลับกลายเป็นต้องอุ้มเทียนไขขึ้นมาจริงๆ

       “…” เปลวเจ็บแขน.. เขารู้ตัวเองดี ไอ้แม็กเป็นคนทำให้เขาสบักสบอม แต่ตอนนี้เขาจะไม่ยอมแพ้มัน เขาเชื่อว่า..ความหวังอันเล็กน้อยนี้จะทำให้เขาทำสำเร็จ..



       ตุบ!

       แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด..

       แขนเขาไม่ได้แข็งแกร่งพอจะรับน้ำหนักคนทั้งคนได้ไหว สุดท้ายแล้วเขาจึงยอมแพ้ ปล่อยให้ตัวเองทรุดลงจนเข่ากระแทกกับพื้น แล้วค่อยๆวางเทียนไขลงบนพื้นข้างๆตัว

       ความเจ็บปวดที่หัวเข่าแล่นไปทั่วร่างจนเขาเผลอร้องออกไปด้วยความทรมาน น้ำตาเม็ดใสไหลลงมาอีกระลอก..



       ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

       แด่ความอ่อนแอทั้งหมดที่เขามี.. ทำไมกัน.. ทำไม แค่นี้ทำไมเขาทำไม่ได้..



       เปลวทึ้งผมตัวเอง ดิ้นเร่าๆ พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นเพราะทำอะไรไม่ได้ เขาโกรธตัวเองมากๆจนอยากจะหาค้อนมาทุบหัวตัวเองทิ้ง

       “กู.. ฮือ กูขอโทษมึงจริงๆนะเทียน..กูขอโทษ” เปลวเอ่ยเอื้อนออกมาเสียงแหบพร่าจากน้ำมูกน้ำตาที่หลั่งไหลไม่หยุด เขาหันไปหาเทียน ก่อนจะโอบร่างคนหลับเข้ามาในอ้อมกอด มือข้างนึงลูบกลุ่มผมสีดำก่อนจะก้มไปหอมกลุ่มผมนั้น



       “มันจะผ่านไป.. มันจะผ่านไป..” เปลวพูดเสียงแผ่วอยู่ข้างๆหูคนในอ้อมแขน  ..จะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่าเปลวก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้เทียนไขจะต้องไม่เป็นอะไรอีกแน่นอน เขาจะปกป้องให้ได้

       คิดแบบนั้น…จนสุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้า เปลวจึงผล็อยหลับไป..






















       ..คืนนั้นเปลวฝันร้าย เป็นฝันที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เขาเคยรับรู้ เขา..ฝันถึงเทียน เป็นเทียนในชุดนักเรียนที่น่าสงสารเสียจนใจเขาแทบสลาย และความฝันนี้…ก็เป็นสิ่งที่กระตุกขวัญจนเปลวตกใจตื่นขึ้นมา..



       “เทียน!” เสียงทุ้มนุ่มตะโกนลั่นอย่างสั่นกลัวจากฝันร้ายที่พึ่งจบไป “ฝันหรอวะ..”

       เปลวกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ก่อนจะพบว่าตอนนี้แสงอรุณได้สาดส่องเข้ามาในห้องแล้ว ..ทุกอย่างก็ดูปกติดี แต่ทว่า..

       “..เทียน..?” ..สิ่งที่ไม่ปกติคือ...ไม่มีเทียนนอนอยู่ข้างๆเขาอีกต่อไป

       เปลวดีดตัวลุกขึ้นยืนในทันทีเมื่อกระบวนการคิดทำให้เขารู้ว่าเทียนไขไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาเดินไปดูตามบริเวณต่างๆ รอบๆห้อง ก่อนจะเปิดประตูลงไปข้างล่าง แล้วหาบริเวณรอบๆบ้าน แต่หาจนทั่วแล้วก็ไม่มีวี่แววของเทียนไขอยู่เลย



       “เทียน..อยู่ไหน ได้ยินแล้วตอบกู” เปลวเดินขึ้นไปบนชั้นสองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงดังลั่น เผื่อว่าไอ้แม็กมันจะเอาเทียนไขเข้าไปในห้องของมันตอนที่เขาหลับ

       “ไอ้เทียน!” เขาเรียกอีกครั้ง.. และอีกครั้ง… 

       “มีอะไรวะ” หากแต่ว่า..มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ..เทียนไม่ได้อยู่กับไอ้แม็ก “เรียกมันทำไมนักหนา..?”

       “มันหายไปไหนไม่รู้” เปลวตอบ

       “จะไปไหนได้วะ สภาพนั้น”

       “กูก็คิดเหมือนมึง แต่ว่า..ไม่มีเลย มันไม่ได้อยู่นี่แล้ว” ในใจเปลวกำลังร้อนรนไปด้วยความเป็นห่วง 

       “โว๊ะ! ไอ้เหี้ย! น่ารำคาญแต่เช้าเลย”

       “ไปหาหน่อยปะ? เดี๋ยวมันจะตายเอา” เขาเอ่ยถามอีกฝ่าย หยั่งเชิงหาความเป็นคนที่แม็กอาจจะพอหลงเหลืออยู่บ้างแม้ซักเล็กน้อย 

       “ไอ้เชี่ยก็ปล่อยแม่งตายๆไปดิ” แต่คงไม่..

       “ไอ้เชี่ยแม็ก นั่นชีวิตคนนะเว้ย”

       “แล้วไง?”

       “งั้นไม่เป็นไร…มึงก็นอนๆไปเถอะ นอนรอหมายจับข้อหากระทำชำเรา ไม่ก็…ฆาตรกร” เปลวพูดกระแทกหน้ามันไป ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านมันออกไปหาบริเวณในหมู่บ้าน

       “ไอ้เหี้ยเปลวแม่งปากดีว่ะ” ไม่วายที่มันจะตะโกนไล่หลังมา เสียงไอ้แม็กเริ่มอ่อนลงผิดกับเมื่อวาน เดาได้ว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาไม่ก็พ่อเขาแล้วแน่ๆ มันถึงได้ดูสงบลงได้ขนาดนี้



       “มึงว่าคนอย่างมันจะไปไหนวะ?” เปลวเอ่ยถาม เพราะเขาไม่ใช่คนแถวนี้ ไม่ได้ชำนาญทางบริเวณนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

       “สภาพงั้นจะไปไหนได้วะถามจริง เดินยังจะไม่ไหวเลยเถอะ มันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละมึงเชื่อดิ หาตามต้นไม้พุ่มไม้อะเผื่อมันจะแอบ”

       “กูหาหมดละ กูคิดว่ามันจะสลบอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่มี”

       “ถังขยะเปล่า?” ..เส้นความอดทนที่เขาคงไว้จาดผึง

       “ไปตายไอ้เหี้ย!” เปลวไม่พูดเปล่า เขาชกไปกลางจมูกของไอ้แม็กจนหยดเลือดสีสดไหลซึมออกมา

       “ไอ้สัด!” มันทำท่าจะต่อยคืน แต่เปลวไหวตัวได้ทันจึงรีบออกมาจากตัวบ้านแล้วปิดประตูรั้วกระแทกหน้ามัน

       “นี่ยังน้อยสำหรับที่มึงทำกับทุกคนในชีวิตกู”

       “เหมือนกัน..”

       “เหมือนอะไรของมึง”

       “นี่ยังน้อยสำหรับถ้าเทียบกับที่กูทำกับพ่อมึง”

       “ไอ้เหี้ยแม็ก!!!!!!!!!”

       “อย่าเอะอะโวยวาย เดี๋ยวข้างบ้านก็ปามีดใส่หัวมึงหรอก”

       “มึงทำอะไรพ่อกู มึงทำอะไร…” น้ำเสียงเปลวสั่นเครือ เขาคงทนไม่ได้แน่ๆถ้าพ่อเขาเป็นอะไรไป

       “กูไม่ได้ทำอะไร สำหรับคนแก่ใกล้จะลงโลงแบบนั้นแค่กีดกั้นไม่ให้บริษัทไหนรับเขาเข้าทำงานมันก็พอแล้ว”

       “…”

       “พ่อมึงโดนไล่ออกเมื่อวาน ชื่อสุริยสัตย์ของพ่อมึงก็ถูกขึ้นบัญชีดำ ..เมื่อวานพ่อมึงความดันขึ้นด้วยแหละ แต่เผอิญอยู่กับพ่อกูอยู่ไง ก็เลยไม่มีใครพาไปหาหมอ พ่อกูก็เลยนั่งดูพ่อมึงทรมานได้อย่างสะใจ”

       “ทำไมทำงั้นวะ! มึงจะให้เขาตายเลยหรอ!”

       “พ่อกูจะทำมากกว่านั้นอีกถ้าไม่ติดว่าไอ้แก่พ่อมึงมันก็กำลังจะตายอยู่พอดีอะ”

       ผัวะ!

       “มึงแม่งเหี้ยทั้งพ่อทั้งลูก!!!”

       “ต่อยกูเข้าไปเถอะ เอาเลย เอาให้สบายใจ แต่มึงจำใส่กะโหลกเน่าๆของมึงไว้เลยว่า ‘มึงแพ้’”

       “ไอ้ชั่ว”

       “ด่ากูอยู่นั่น.. ไม่หาเมียมึงแล้วหรอ? เดี๋ยวมันตายน้า”

       “เสือก”

       “ปากดี กูขอให้ไอ้เทียนแม่งตายห่าขึ้นมาจริงๆ”

       “กูว่ามันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ”  เปลวเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ เขามืดแปดด้านไปหมด เป็นห่วงเทียนก็เป็นห่วง เป็นห่วงพ่อก็เป็นห่วง

       “แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะ..” ไอ้แม็กตั้งคำถามถามกลับมาด้วยสีหน้ายียวนกวนส้นตีน แม้ในช่วงเวลาจริงจังแบบนี้

       “เดี๋ยวกูไปดูเอง กูคิดว่ามันน่าจะกลับบ้าน ไอ้แม็กกูยืมรถหน่อยนะ” เปลวไม่มีอะไรจะเสีย เขาทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของไอ้แม็ก ซึ่งแน่นอนว่า..มันไม่มีทางให้ได้ง่ายๆ

       “ได้สิเพื่อนรัก แต่ว่า..”

       “มึงอย่าเยอะ ชีวิตคนนะ ถ้ามันตายกูเอามึงตายแน่ ไม่สนอะว่ามึงจะเป็นคนเต็มบาทหรือไม่เต็มบาท”

       “กูแค่จะบอกว่าอย่าลืมสิ่งที่มึงเลือก”

       “…”

       “มึงเลือกพ่อ มึงไม่ได้เลือกไอ้เทียน”

       …ด้วยเกมโง่ๆของไอ้แม็ก ทำให้เปลวต้องตัดสินใจเลือกใครซักคน และคนที่เขาเลือกก็คือพ่อ แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางทิ้งเทียนไข เขาจึงพยายามหาทางออกอยู่ตลอด แต่มันกลับถลำลึกจนทำให้เทียนไขต้องเปื้อนมนทิน

       “กูรู้แล้ว” เปลวตอบ

       “มึงจะเลิกกับไอ้เทียนแล้วให้ไอ้เทียนมาอยู่กับกู?”

       “เออ กูจะเลิก”
















มีต่อนะคะ

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 [100%]”
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 27-01-2019 13:04:34
      ใช้เวลาชั่วขณะรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็มาถึงจุดหมาย หนึ่งความคิดในหัวคือเขาเชื่อว่าเทียนต้องกลับมาบ้านสีขาวหลังนี้แน่ๆ เพราะนอกเหนือจากนี้ก็คงไม่มีที่ไหนให้เทียนไขไปแล้ว



       “อ้าวลูก ไปไหนมาเมื่อวานทำไมกลับซะเช้าเลย” พ่อเขาเอ่ยถาม นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่พ่อดูปกติดีราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่พ่อก็คงไม่ต่างอะไรจากเขา ที่เป็นอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้คนเดียว ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ

       “พ่อ อย่าพึ่งถามได้มั้ย” ..ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วงพ่อ แต่เพราะตอนนี้เทียนกำลังหายตัวไป เพราะงั้นเขาจึงต้องรีบไปตามหาเทียนให้เจอเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกับพ่อว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี

       “เออๆ แล้วนี่เทียนล่ะ? ไม่ได้ไปด้วยกันหรอ”

       “…” สองเท้าของเปลวสะดุดกึกทันที “ไอ้เทียน..ไม่ได้กลับมาบ้านหรอพ่อ?”

       “อ่าว ก็ใช่น่ะสิ นี่ไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

       “…”

       “มีอะไรรึเปล่า?” พ่อวางกาแฟในมือลงก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับท่าทางเลิ่กลั่กของเขา  เปลวทำได้แค่กำมือแน่นแล้วก็ส่ายหัวปฏิเสธไป

       “ม…ไม่มีครับ” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ยอมรับว่าตอนนี้ใจของเขาเริ่มหวั่นวิตก สั่นระรัวไม่เป็นจังหวะใดๆอีกต่อไป ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาไม่สบายใจ รวมถึงความฝันเมื่อเช้าที่ราวกับเป็นลางร้ายบอกเหตุอะไรซักอย่าง

       “จะไปไหนได้วะ..” หรือว่า.. เทียนจะกลับไปบ้านของเขา บ้านริมคลองหลังโทรมๆหลังนั้น? 

       ไม่รอช้า..เจ้าตัวก้าวสลับซ้ายขวาอย่างรวดเร็วจนมาถึงตัวรถก่อนจะก้าวขาคร่อมตัวรถแล้วขับออกไป จุดมุ่งหมายคือบ้านหลังนั้น

       ..เข้มชี้บอกความเร็วเริ่มวาดวงสูงขึ้นเรื่อยๆจนทำองศามากกว่ามุมป้าน  ภายใต้หมวกกันน็อคสีดำน้ำตาเม็ดใสทำท่าจะหลั่งไหลออกมาอีกแล้ว

       ‘อย่าเป็นอะไรนะเทียน …มึงอยู่กับกูก่อนนะ’







       รถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านสถานที่ๆหนึ่งอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขาและเทียนไข ‘โรงเรียน’ คือสถานที่แห่งนั้น หลากหลายความทรงจำเกิดขึ้นที่นี่ เขาได้รู้จักเทียนไขก็เพราะที่นี้ และเช่นเดียวกัน เทียนไขเองก็รู้จักเปลวเพราะโรงเรียนนี้เหมือนกัน ความรักที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น…ก็เกิดขึ้นที่นี่

       สถานที่นี้ปรากฎสู่สายตาของเปลวผ่านทิวทัศน์สองข้างทาง ตอนนั้น..เขาไม่ได้นึกใส่ใจอะไรกับมันสักเท่าไหร่ และยังคงขับรถมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม หากแต่เขาไม่รู้เลยว่า..บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นมัน

       ..ชุดนักเรียนสีหม่นที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนจากปากกา ประจักษ์ให้เห็นอยู่ด้านหน้า แม้จะดูเลือนลางไปซักหน่อย แต่ก็เริ่มค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อขับเข้าไปใกล้ๆ

       เข็มชี้ความเร็วเริ่มลดองศาลงจนน้อยกว่ามุมฉาก เปลวคลายมือที่ไม่ได้จับคันเร่งขึ้นมาดันกระจกที่ปิดหน้าหมวกกันน็อคออก ก่อนจะตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลออกไป

       “เทียน!!!” ใจเขาร้อนรน ยิ่งขยับไปใกล้ภาพที่เขาเห็นมันยิ่งชัดเจน เทียนไขตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับในฝันที่เขาเห็นเลย สภาพหน้า สภาพตัว ..น่าสงสารจนใจเขาแทบสลาย

       “เทียน!” เปลวเอ่ยเรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง ..จนเทียนไขหยุดเดินแล้วหันมาตามเสียง หากแต่ดวงตาของเขากลับเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัสราวกับไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆอีกต่อไป

        “…” เจ้าตัวพลิกตัวมาทางเขา ดูเหมือนจะมองมาทางนี้ด้วยเหมือนกัน แต่พอเปลวชะลอรถ เทียนกลับยังคงมองอยู่อย่างนั้น มองข้ามเปลวไปที่โรงเรียนที่เปลวพึ่งขับผ่านมา

       สีหน้าของเทียนไขเริ่มแปลกๆไป ก่อนจะปรากฎเม็ดน้ำตาใสๆพาดผ่านข้างแก้ม เปลวไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทียนไขคิดอะไรอยู่ แต่ทันใดนั้น...

       “เทียน!!!!” ..ร่างอันบอบบางของเทียนไขก็ก้าวลงมาบนพื้นถนนที่มีรถราวิ่งกันอยู่ขวักไขว่ไม่ขาดสาย ปลายเท้าที่เปลือยเปล่าไร้รองเท้ามารองรับก้าวสลับซ้ายขวาทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆไม่หยุด ฝ่ามือเล็กๆที่บอบช้ำจากแรงบีบขยับเอื้อมไปด้านหน้าราวกับอยากจะหยิบจับอะไรบางอย่าง  รถราหลายคันบีบแตรกันชุลมุนวุ่นวาย

       เปลวเร่งความเร็วจนเข็มชี้ความเร็วเพิ่มองศาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เพื่อไปให้ถึงตัวเทียนไขให้เร็วที่สุด หากแต่ขณะเดียวกันนั้นก็มีรถบรรทุกหกล้อขับไล่หลังเขาอยู่ไม่ห่าง รถคนนั้นขับมาด้วยความเร็วไม่ต่างอะไรจากเขาเลย และรถบรรทุกคันนี้..ก็อยู่เลนเดียวกันกับเลนที่เทียนไขกำลังเดินอยู่

       ..รถราข้างหน้าขยับเลี้ยวหลบเทียนไขแล้วขับออกไปอย่างไม่สนสี่สนแปด จนถนนเริ่มว่าง ทำให้เปลวได้โอกาสเร่งความเร็วเข้าไปก่อนจะผ่อนลงเมื่อเหลือระยะห่างไม่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ทว่า..



       !!!!!!

       แตรรถบรรทุกก็ดังไล่หลังเปลวมาในระยะที่เริ่มจะประชิดแล้วเช่นกัน..



       ‘เราเกรงใจเปลวมากเลย หลายๆเรื่อง..’

       ‘เกรงใจไรวะ กูเต็มใจทำให้มึงทุกอย่างอะ มาเกรงจงเกรงใจเดี๋ยวกูโบก’

       ‘เราไม่ใช่แท็กซี่ปะ’

       ‘เออ ก็อย่าเกรงใจดิ กูเต็มใจให้มึงทุกอย่าง’



       ‘เปลวคิดว่า..การที่เราได้รู้จักกันมันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า?’

       ‘สำหรับมึงกูไม่รู้ แต่สำหรับกูอะ..กูดีใจมากๆเลยว่ะที่ได้รู้จักมึง’

       ‘เราก็เหมือนกัน ต้องขอบคุณโรงเรียนที่ทำให้เราได้พบกัน’



        ‘เทียน ตอนนี้มึงเป็นหนึ่งในครอบครัวกูแล้วนะเว้ย มึงไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองมึงยังไง ไม่ต้องสนใจคำพูดที่คนอื่นล้อมึง มึงมีกู มีพ่อ มีบ้านเรา มึงมีทุกอย่างไม่น้อยไปกว่าคนพวกนั้นเลย’

       ‘…’

       ‘มึงเชื่อมั้ย…ว่ากูให้มึงได้ทุกอย่าง’

       ‘เปลว..?’

       ‘ชีวิตกู..ถ้ามันจำเป็น กูก็ให้มึงได้’









       “เทียน!!” นี่คง..เป็นเสียงทุ้มนุ่มเสียงสุดท้ายแล้ว..ที่จะเอ่ยเรียกเทียนไข

       ..ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ที่เปลวขี่มาสามารถเข้าถึงตัวเทียนไขได้ เปลวก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้จับคันเร่งข้างเดิมดันกระจกหน้าหมวกกันน็อคให้ปิดลง ก่อนจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นผลักให้เทียนไขออกไป กลับไปอยู่บนฟุตบาท

 

       !!!!!!!!!!!!!!!!

       ส่วนตัวเขานั้น…เมื่อเห็นเทียนไขปลอดภัย จึงคลี่ยิ้มบางๆออกมา แต่งเเต้มใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อค

       ‘กูปกป้องมึง…ได้แล้วนะ’



       และขณะเดียวกันนั้นเอง รถบรรทุกหกล้อที่เบรกไม่ทันก็พุ่งเข้าชนกับรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดขวางทางอยู่กลางถนนในทันที ตัวคนขับกระเด็นออกจากตัวรถออกไปไกลกว่าสิบเมตร เปลวนอนแน่นิ่งอยู่ริมฟุตบาทที่ห่างออกไป สติที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดสั่งการให้เขาหันไปดูเทียนไขว่าเป็นอย่างไร และเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กของเขากำลังลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไปที่สะพานปูน รอยยิ้มเล็กๆ..ก็เกิดขึ้นอยู่ที่ริมฝีปาก ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ..

       ‘กูรักมึงนะเทียน’ …ปิดลง

       เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากตัวเขา แผ่บริเวณกว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ..



       ‘ตอนนี้กูมีความสุขจนไม่อยากจะคิดเลยว่ะว่าวันที่ไม่มีมึงจะเป็นยังไง’

       ‘เราว่าเปลวต้องเป็นคุณตาที่อยู่คนเดียวเหงาๆกับกาแฟและหนังสือพิมพ์แน่ๆเลย’

       ‘คุณตา..’

       ‘ทำไมหรอ?’

       ‘เปล่า จู่ๆกูก็เขินขึ้นมาเฉยเลย มึงแม่ง..น่ารักชิบหาย’

       ‘พอแล้วเลิกกอดได้แล้วน่า หายใจไม่ออกแล้ว อ่อก!’

       ‘โทษฐานน่ารักเกินไป.. เออแล้วมึงล่ะ..ถ้าไม่มีกูมึงคิดว่าตัวมึงจะเป็นไง’

       ‘ให้เปลวทาย’

       ‘ร้องไห้ขี้มูกโป่ง’

       ‘โคตรเวอร์ เราเคยเป็นแบบนั้นหรอ’

       ‘ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักมึงเลยแหละ’

       ‘เออจริงด้วย อืม..ถ้าไม่มีเปลว เราคง..ลืมนิยามของคำว่าความสุขไปเลยล่ะมั้ง’

        ‘…’

        ‘อยู่กับเปลว..เปลวสอนให้เรารู้จักความสุข รู้จักความเศร้า รู้จักทำอะไรหลายๆอย่าง รู้จักการคิด รู้จักการยิ้มแฉ่งแบบนี้…ให้มากขึ้น’

        ‘…’

        ‘ถ้าไม่มีเปลว โลกของเราก็คงไม่มีสีสันอะไร เราก็คงจำไม่ได้แล้วว่าความสุขเป็นยังไง ความเศร้าเป็นยังไง การที่จะยิ้ม..ต้องทำยังไง’

        ‘…’

        ‘แต่..มันจะไม่มีวันนั้นหรอกใช่มั้ย?’

        ‘…’

        ‘เปลวจะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป’

       









































       ‘เปลวไฟ’ เมื่อเผาไหม้เชื้อเพลิงจนหมดสิ้น สุดท้ายแล้วก็จะค่อยๆดับ และ..สลายไป







       ..คนเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนรถบรรทุกคันนั้นก็ขับหนีไปโดยไม่สนใจใยดี รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ขี่บิดเบี้ยวจนไร้รูปทรง แม้จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วแต่คราบเลือดที่แห้งกรังอยู่ตรงฟุตบาทนั้นมากมายเสียจนน่าใจหาย



       ห้องแห่งชีวิตวุ่นวายอีกครั้งเมื่อผู้ป่วยรายใหม่เข้ามา พยาบาลคนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่หยุดหย่อน เพื่อแทรกหลีกหลบ เข็นเตียงผู้ป่วยคนนี้เข้าไป

       สิบนาทีเห็นจะได้ ที่เปลวนอนอยู่บนเตียงนี้ แต่แค่นั้นเลือดสีสดก็ย้อมให้ผ้าปูบางส่วนเป็นสีแดงไปซะแล้ว …อุปกรณ์เครื่องช่วยหลายอย่างถูกใส่ให้กับร่างหนุ่มที่เปลือกตาของเขาปิดสนิท หมอและพยาบาลหลายคนเข้ามาดูคนไข้และเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงที

       ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ชายวัยกลางคนก็มาถึงที่นี่ด้วยความร้อนรน ทันทีที่เขารู้เรื่องเขาแทบจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้น และด้วยความเร่งรีบที่เขารีบมา เขาหวังอยู่ลึกๆว่าอยากเห็นใบหน้าลูกชาย แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้นเมื่อตัวเขาเองสุขภาพก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่ พอเร่งรีบทำอะไรเข้าสักหน่อย ความดันเขาก็ขึ้นสูงซะจนเขาหน้ามืดเซล้มอยู่ตรงโถงในโรงพยาบาล

      ฝั่งคนเจ็บ.. เขาไม่รู้สึกตัว ไม่ขยับ ไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เปลวนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนิ่งๆไม่ไหวติง ลมหายใจเขารวยรินจนแทบจะหยุดหายใจ แต่ดีหน่อยที่ได้เครื่องช่วยหายใจเอาไว้ เครื่องแสดงจังหวะชีพจรข้างๆก็เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีเลยว่าเปลวยังมีขีวิตอยู่

       แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้..ไปได้อีกนานซักกี่ชั่วโมง





       หนึ่งชั่วโมงผ่านไป พยายาลยังคงวุ่นๆอยู่กับการรักษาเปลวอยู่ไม่ขาดสาย บาดแผลตามตัวถูกปกปิดด้วยผ้าพันแผล จนขาข้างซ้ายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ริมฝีปากของเปลวซีดเผือก ไร้สีสัน ที่คอต้องใส่เฝือกเพื่อพยุงและเชื่อมกระดูก ชีพจรยังคงปกติ แต่ที่แย่ก็คือ หลังจากเอกซเรย์สมองของเปลว สิ่งที่พบคือ..มีอะไรบางอย่างไม่ปกติ

      ..เปลวเลือดคั่งในสมอง 



       สองชั่วโมง.. เปลวต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเลือดคั่ง เขาต้องผ่าตัดสมองและแข่งกับเวลาเพื่อให้เซลล์สมองเสียหายน้อยที่สุด การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนั้นจู่ๆชีพจรของเปลวหยุดเต้น หมอต้องทำการช็อตไฟฟ้าเพื่อทำให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่ก็ยากลำบากราวกับเปลวไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ทว่าพระเจ้าคงไม่ได้เข้าข้างเขา สุดท้ายหัวใจดวงน้อยๆที่บอบช้ำอย่างหนัก ก็กลับมาทำงานอีกครั้ง



       หลายวันผ่านไปเปลวก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่เหมือนเดิมและไม่ได้รู้สึกตัวหรือลืมตาขึ้นมาดูโลกที่กำลังผันผ่านไปเลยแม้แต่น้อย 

       ‘เปลว..ลูก ตื่นได้แล้ว.. ลูกหลับไปสี่วันแล้วนะ พ่ออยากคุยกับลูก.. พ่ออยาก..’ ชายวัยกลางคนจับฝ่ามือที่เย็นเฉียบจากอุณหภูมิแอร์ขึ้นมาแนบหน้า พลางลูบไล้มือนั้นด้วยใบหน้าของตน หวังให้ลูกชายเพียงคนเดียวลืมตาขึ้นมา ยิ้มให้เขาเหมือนอย่างที่เคย

       ไม่สิ..ไม่ต้องยิ้มก็ได้

       ขอแค่ตื่นขึ้นมา จะด่าจะว่าอะไรเขาเขาก็ยอมทั้งนั้น เขาผิดเองที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ



       เจ็ดวันผ่านไปเปลวก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างสุริยสัตย์ก็ยังคงเฝ้ารอต่อไปอย่างมีความหวัง …เขาโดนไล่ออกจากงานแล้ว ซ้ำร้ายเขาไม่สามารถไปสมัครงานที่บริษัทไหนได้เลย บางทีนี่คงเป็นกรรม..กรรมที่เขาเคยทำไว้ตั้งแต่ตอนที่เปลวยังเป็นเด็ก

       แต่ทำไมกรรมที่เขาก่อถึงไม่ลงที่เขาคนเดียวล่ะ..?

       ทำไม.. ทำไม..ต้องเป็นลูกของเขาด้วย





       วันที่สิบสอง วันนี้เปลวรู้สึกตัวแล้ว เขาขยับนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมา พร้อมกับค่อยๆลืมตา แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาเลย แถมยังทำท่าทีเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ตลอดเวลา

       จากผลตรวจคุณหมอบอกกับพ่อของเปลวว่าส่วนที่ได้รับความเสียหายที่สุดน่าจะเป็นสมอง แต่เปลวก็ได้ผ่าตัดไปแล้ว และได้รับยาอยู่ตลอด หากอาการปวดหัวยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลดลงก็คงต้องตรวจดูสมองอีกครั้ง

       และผลที่ออกมาก็คือสมองส่วนความทรงจำได้รับความกระทบกระเทือน..

       เปลว..สมองเสื่อม







       ..การรักษาดำเนินต่อไปแม้ช่วงหลังๆจะทำได้แค่พยุงอาการให้ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่ท้ายที่สุดเปลวก็ค่อยดีขึ้นๆ ..ผกผันกับพ่อของเขา ที่ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมารักษาเปลว จ่ายค่าผ่าตัด ค่ายา และค่าแอตมิต พ่อเปลวไม่ได้ตัดสินใจกู้เงิน แต่เขาใช้พลังกายอันน้อยนิดของเขาที่เหลืออยู่ไปทำงานแบกๆหามๆตอกตะปูเพื่อสร้างบ้านสร้างที่อยู่ เวลาที่ว่างที่เหลือก็รับจ้างทำนู่นทำนี่เล็กๆน้อยเพื่อหารายได้เสริม รูปบางรูปที่เปลวเคยบ่นกับเขาว่าลูกค้าไม่มาเอา เขาก็เอาไปขาย เงินที่ได้มาก็เยอะพอสมควร ทำให้เขายิ่งรู้แน่ชัดเลยว่าลูกของเขามีพรสวรรค์ด้านนี้ไม่น้อยเลย



       ‘เทียนไขหายตัวไป’ แต่พ่อของเปลวก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเทียนจนพอจะรู้ว่าเทียนจะไปไหนได้ เป็นความบกพร่องของการรับผิดชอบชีวิตคนๆนึงที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอด เขาเลยเลือกที่จะแจ้งตำรวจแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้า



       เป็นแบบนั้นไปได้ซักระยะ คนที่เคยทำทุกอย่างเพื่อลูกของตัวเองก็ได้..จากไป พ่อของเปลวจากไปโดยไม่ทิ้งคำร่ำลาหรือจดหมายบอกลาใดๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเปลวยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าคนนี้คือพ่อของเขา

       เปลวไม่รู้เลยว่า…ชายวัยกลางคนที่เคยดุด่าเขา เตะต่อยเขา แต่ก็คอยเป็นห่วงเขาอยู่ตลอด นึกถึงเขาอยู่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ตอนนี้ชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว

       งานศพถูกจัดเงียบๆ มีญาติมาเพียงแค่สี่ห้าคน แล้วก็ถูกเผาภายในวันเดียวกัน ไม่มีใครบวชหน้าไฟให้ทั้งนั้น



       ส่วนครอบครัวของไอ้แม็กก็ยังคงเสวยสุขกันต่อไป ความสะใจเกิดขึ้นในใจของสองพ่อลูกเมื่อได้ไปเห็นศพของคนที่ตัวเองเกลียด พวกเขาฉลองในความสำเร็จ ..ความสำเร็จที่แลกมาด้วยการยัดเยียดข้อหาขโมยเงินบริษัทให้พ่อของเปลว..



       สองเดือนผ่านไปเปลวเริ่มดีขึ้นมากจนได้รับอนุญาตให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านได้ แต่เปลวก็ไม่รู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ไหน จึงต้องไหว้วานให้หมอเรียกญาติของเขามารับให้หน่อย

       และวันนั้นเองที่เปลวได้รู้ว่า…ชายวัยกลางคนที่มักจะแวะเข้ามาหาเขาซะทุกวันพร้อมกับชุดเปื้อนดินเปื้อนปูนคือใคร เขามองหน้าคนในรูปที่กำลังยิ้มแฉ่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในหัว ลึกๆก็เหมือนน้ำตาจะไหล แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเศร้า

        ท้ายที่สุดแล้วก็มีญาติทางพ่อคนนึงมารับเขา เป็นผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบต้นๆ เปลวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่ก็ติดรถมาจนเธอมาส่งเขาที่บ้านหลังนึง

       ใช่..บ้านของเขานั่นแหละ เพียงแต่เขาจำไม่ได้เลยซักนิดว่านี่คือบ้านของตัวเอง



       อาจจะดูตลกไปซักหน่อย แต่ตอนนี้เขากำลังกดกริ่งที่ประตูรั้วบ้านตัวเองพร้อมกับเอ่ยถามซ้ำๆว่ามีใครอยู่มั้ย





       เปลวต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่กับบ้านของเขาอยู่หลายวันเลยทีเดียวกว่าจะเข้าใจและจดจำพื้นที่ทั้งหมดได้ และด้วยความที่เขาไม่รู้จะทำอะไรในแต่ละวันเขาจึงหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือมาอ่าน เขาเรียนรู้ใหม่อีกครั้งผ่านหนังสือทุกเล่มบนชั้นวาง ทว่ามีเล่มหนึ่งที่เขาจะเปิดอ่านแต่จู่ๆก็มีสมุดโน้ตเล่มเล็กๆหล่นออกมา ในนั้นไม่ได้เขียนอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกรายรับรายจ่ายของใครซักคน

       ‘ของเจ้าของบ้านคนเก่าแน่ๆเลย’ เขาคิดแบบนั้น แต่ความจริงคือ ของพ่อเขาต่างหาก..



       เปลวถือวิสาสะเปิดอ่าน แต่ละหน้ามีวันที่กำกับอยู่ ซึ่งหน้าแรกถูกเขียนมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน ถ้านับลบอายุของเขาไปตอนนั้นเขาก็น่าจะอายุประมาณสิบสองสิบสาม และทุกๆหน้าจะมีบรรทัดสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า..



       ‘อนาคตของลูก’ พร้อมกับจำนวนเงินด้านหลังที่เขียนว่า +1000 เสมอ



       และในขณะนั้นเองจู่ๆหนังสือเล่มเดิมก็ปรากฎเป็นสมุดบัญชีร่วงหล่นลงมาตามหน้าที่แทรกอยู่ ชื่อบัญชีเป็นชื่อของ ‘นายทินกร’ ซึ่งเป็นชื่อที่เหมือนกับชื่อที่พยาบาลบอกว่าเป็นชื่อของเขา จำนวนเงินที่ปรากฎในสมุดบัญชีเป็นตัวเลขเจ็ดหลัก





       ….พ่อของเปลวเก็บหอมรอมริบมาตลอดระยะเวลาหกปี ทั้งหมดก็เพื่อวันที่ลูกของเขาจะต้องก้าวไปสู่อนาคต ลึกๆเขาเองก็หวังอยู่ในใจว่าซักวันเงินก้อนนี้จะช่วยให้ลูกของเขาประสบความสำเร็จ

       เขาเคยเกลียดจิตรกร แต่พอเห็นเปลวชอบวาดชอบเขียน เขาก็เลยคิดว่า..

       ‘ซักวัน…เราคงจะได้เห็นลูกเราเป็นจิตรกรแน่ๆเลย’



       แต่เขาก็คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว





หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2019 20:42:27
 o22 หนาวเลยค่ะ ฮืออ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน”
เริ่มหัวข้อโดย: Happyshi ที่ 27-01-2019 22:42:04
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ ชอบการบรรยายอารมมากทั้งหน่วง ทั้งสิ้นหวัง เจ็บปวด เเละลุกขึ้นสู้ไรท์ใส่ใจลายละเอียดได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-01-2019 23:13:30
ตัวละครอาภัพทุกตัวเลยค่ะ ไม่อยากวาดฝันถึง Happy End ขอยังไงก็ได้ให้แม็กและพ่อได้รับกรรม
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ “
เริ่มหัวข้อโดย: Happyshi ที่ 28-01-2019 00:09:44
มาอัพเร็วนะคะ งื้ออออ สงสารทั้งเปลว กับเทียน ขอให้ผ่านเรื่องร้ายๆไปได้
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 29-01-2019 09:01:04
มาอัพต่อนะคะ ไม่ไหวแล้ว จะbad end happy end ยังไงเราก็ตามใจคนเขียนเลยค่ะ
เขีนได้สุด ได้ดีมากจริงๆ
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-01-2019 16:20:55
เปลวเทียน ชะตาชีวิตอาภัพนัก เจ้ากรรมนายเวรต่อกันยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะจำความได้ ให้อโหสิซึ่งกัน เวียนวนมาเจอกันอีกครั้งคนนึงก็ลืมสิ่งที่กระทำระยำ อีกคนที่รับกรรมดันจำได้ดี หึหึ!! อ่าาาาา ข้างหน้าหวังว่าจะได้เห็นฟ้าหลังฝน กับความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ของเทียนเปลว ความรักนั้นจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมต่อกันเอาเถอะนะ  ทำพลาดไปไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามนั้น ขอเพียงสำนึกผิดด้วยใจจริงก็พอ ผลที่ออกมานั้นจะอย่างไรก็ต้องยอมรับ มันต้องใช้เวลา ว้อยยยยยยยสนุกกมากกกกกกกับความหน่วงนี้ อ่านรวดเดียว อื้ออออยากอ่านต่อแล้วววววววว รอตอนต่อไปเลยค่ะ ทั้งโกรธทั้งชังและอาจจะยังรัก เห็นเขาเป็นยังงี้จะเอาไงดีละ อาจจะไม่ใจร้ายเพื่อตอบแทนช่วงเวลาที่ดีที่ผ่านมา แต่เมื่อความจำเขากลับมาใช่ว่าจะหลงลืมความเจ็บปวดที่เราได้รับมานะเทียน ตัวเราก็จิตเบาๆส่วนเขาก็ดันมาสมองเสื่อม เวรกร๊รมเวรกรรม คึคึ!! เข้มแข็งไว้ละกันทั้งสองคน จะผ่านไปกี่ปี หวังว่าจะทำตามฝัน นี่กดติดตาม Fav ไว้เลย อยากรู้เรื่องราวต่อไป ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพลงที่นี่ให้อ่านกัน ^_^ สนุกมาก ชอบค่ะชอบ เอาอี๊กก (:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 01-02-2019 22:58:32
09

‘เปลวเทียน’
ที่เคย...สุกสว่าง













       “เดี๋ยวนะ..”

       [เดี๋ยวอะไรของมึงวะ..]

       “เปลวอยู่โรงพยาบาลหรอ..” 

       [ใช่ เมื่อคืน ตอนประมาณเที่ยงคืนมั้งมีพยาบาลโทรมาหาไอ้โจ้บอกว่าไอ้เปลวอยู่โรงพยาบาล]

       “มัน..มันเป็นไรวะ..”

       [หมอบอกว่าสมองมันกระทบกระเทือน ตอนนี้อยู่ ICU]



       ..มือข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่จู่ๆมันก็อ่อนแรงจนประคองโทรศัพท์เอาไว้แทบไม่อยู่ ความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเกิดขึ้นกับเทียนไขจนเขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

       [เทียน.. ไอ้เทียน]

       “ฮ..ฮะ ว่าไง”

       [ว่าไงอะไรของมึง กูบอกว่าวันนี้กูคงไม่ได้ไปเรียนแล้ว กูเป็นห่วงเปลวว่ะ..ไม่อยากปล่อยเขาอยู่คนเดียว พยาบาลบอกกูว่าญาติเปลวมาหาเขาไม่ได้]

       …จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในภวังค์ ในหัวอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ทำได้แค่พยายามคงน้ำเสียงให้ปกติ

       “ไม่เป็นไร.. ดีแล้วล่ะ” ดีแล้ว.. สิ่งที่นายทำมันไม่ผิด เปลวสมควรได้รับผลของสิ่งที่เขากระทำ …มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม..

       [เลิกแล้วมาอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยดิ]

       “…”

       เทียนไขถึงกลัว …กลัวที่จะต้องเผชิญหน้า

       “ไม่ได้ว่ะ วันนี้มีธุระ ก..กูต้องทำงาน” ..กับคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ที่โรงพยาบาล







       ..ตลอดทั้งวันเทียนไขพยายามสลัดเรื่องของเปลวออกไปจากหัว เขาพยายามยิ้ม พยายามหัวเราะ เข้าหาคนอื่นๆเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องที่เกิด แต่จนแล้วจนรอด..ทุกครั้งที่เทียนไขต้องอยู่คนเดียว ภาพสีหน้าของเปลวที่น้ำตาไหลอาบแก้มไปด้วยความเจ็บปวดก็จะปรากฎขึ้นมาในหัวของเขาอยู่เสมอ

       ‘เจ็บแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ’ ใช่แล้ว.. นี่แหละคือสิ่งที่เปลวควรจะได้รับ เทียนไขบอกกับตัวเองอยู่แบบนั้นซ้ำๆ เพื่อใช้มันลบความรู้สึกบางอย่างออกไป ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงเปลวหรือนึกถึงห้วงความรักจอมปลอมที่ผ่านมา แต่เขาแค่กำลังกลัว…กลัวว่าเพื่อนสนิทที่เขามีเพียงคนเดียวตอนนี้อย่างพละพลจะต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้เปลวเจ็บเจียนตายก็คือเขา

       สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการเลือกที่จะปฏิเสธทุกครั้งที่พละพลเอ่ยปากชวนให้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน อ้างว่าต้องทำงานบ้าง ต้องกลับไปหาน้าบ้าง หรือไม่ก็อ้างธุระนั่นนี่ ทั้งที่ความจริงก็คือเทียนไขลางาน เขากลับมาอยู่ที่หอของตัวเองที่มุมนึงของห้อง

       ร่างของคนที่ดูเหมือนจะปกติมักจะชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด พลางบอกตัวเองอีกครั้ง..



       ‘สิ่งที่แกทำ…มันถูกต้องแล้ว’ เปลวสมควรหายไป.. เปลวสมควรตาย.. เราไม่ควรได้เจอหน้ากันอีก…

   



       

       ‘โรงพยาบาลบ้า’ ที่ที่สังคมมักจะมองว่ามันเป็นที่ที่มีแต่คนจิตไม่ปกติ มีแต่คนสติฟั่นเฟือง หากแต่ว่าความจริงแล้วคนป่วยเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเขาเลย คนป่วยเหล่านี้แค่ถูกโลกอันแสนโหดร้ายกลั่นแกล้ง เขาแค่ถูกโชคชะตาเล่นตลก ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือผู้ป่วยบางคนก็เคยได้รู้สึกถึงคำว่า ‘คนปกติ’เช่นกัน แต่เขากลับถูก ‘คนปกติ’ เหล่านั้นทำร้าย ทรมานเขาอย่างทารุณจนเขาไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ส่วนผู้กระทำบางคนก็ยังอยู่สุขสบาย นึกตลกขบขัน นึกขยะแขยง และเหยียดหยามคนไม่ปกติที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

       เพราะเหตุนี้ผู้ป่วยบางคนเลยอาจจะมีอาการคลุ้มคลั่งจากระบบความคิดที่ผิดเพี้ยนเพราะความเจ็บปวด แต่พวกเขาทุกคนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร พวกเขายังคงอยากจะมีชีวิตได้อย่างคนปกติ ..เพียงแต่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เท่านั้น



       และใช่..เทียนไขตอนนี้เขาแค่ ‘ดูเหมือน’ คนปกติ แต่ร่องรอยความเจ็บปวดภายในมันไม่เคยเลือนหายไป เช่นเดียวกับสารเคมีในสมองที่มันไม่มีวันสมดุลกันได้เลย

       เทียนไขคงสภาพ ‘ปกติ’ ในชีวิตทุกวันนี้ได้ก็เพราะยา







       วันใดที่มีเรื่องร้ายๆมากระทบกระแทกจิตใจ วันนั้น…สมองของเขาก็จะควบคุมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วันก่อนที่เปลวมาดักรอเขาหลังร้าน สมองของเขาจึงสั่งให้เขาทำร้ายเปลว หากแต่ถ้ามองอีกมุม…สมองที่ผุพังของเขาก็แค่สั่งการให้เขาป้องกันตัวเอง เอาตัวเองหลีกหนีออกมาจากความเจ็บปวด..ก็เท่านั้น

       บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ เหตุการณ์วันนั้น..เขาอาจจะรู้สึกตัว เขาอาจจะรับรู้ทุกอย่าง ทั้งภาพเปลวที่กำลังเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงไปในหัวใจ ทั้งเสียงร้องเว้าวอนขอความเมตตาจนเปลวก้มกราบแทบเท้า และผิวสัมผัสที่เขาใช้มือต่อย ใช้เท้ากระทืบจนมันช้ำม่วง…เขาก็จำมันได้ดี แต่ทั้งหมดทั้งมวลเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้น เทียนไขรู้สึกตัว..แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วมันก็..ทรมานอย่างถึงที่สุดเลยที่เห็นเปลวเจ็บปวด..







       ..ท้องฟ้าสีครามที่ผันเวียนเปลี่ยนคืนเปลี่ยนวันทำหน้าที่ของมันตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น จนมาหยุดที่ช่วงบ่ายแก่ๆวันหนึ่งในฤดูฝน ช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงก่อนที่เหล่านิสิตจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งก็แล้วแต่คณะ บางคณะก็เลิกเย็นจนเกือบจะเลยไปค่ำ แต่คณะของเทียนไขตอนนี้เลิกเรียนแล้ว เมื่อเทียนไขมองดูนาฬิกาที่ข้อมือจึงรีบเก็บหนังสือ ชีทเรียน และอุปกรณ์การเรียนต่างๆเข้ากระเป๋า ทุกอย่างดูปกติดี แต่ทว่าบทสนทนาที่ดังเข้ามาในโสตประสาทเขานั้น..กำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ไม่น้อย

       “เมธ มึงว่าคนป่วยเขาต้องการอะไรมากที่สุดวะ” เพื่อนสนิทของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยถาม ‘เมธ’ เพื่อนร่วมคณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

       “กำลังใจดิ” เมธเอ่ยตอบ

       “อันนั้นกูรู้ กูเลยอยู่ข้างๆเขามาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าโรงพยาบาล จนสองสามวันก่อนหน้านี้เขาพึ่งรู้สึกตัว กูเลยอยากซื้ออะไรหรือทำอะไรซักอย่างนึง…ไปให้เขา แทนคำขอบคุณที่เขายังอยู่กับกู” ..ชีทเรียนที่กำลังจะถูกใส่เข้าไปในกระเป๋าต้องหยุดกึก ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ในหัวทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ จนรับรู้ได้ว่า ‘เปลวรู้สึกตัวแล้ว’ ทันใดนั้นเอง..ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกก็ทำงานอย่างหนัก ความรู้สึกสบายใจก็เกิดขึ้น

       “หมายถึง..ไอ้คนที่ใส่หมวกไหมพรมมาเรียนใช่ปะพล? นี่มึง..ชอบมันจริงๆหรอ..” เมธถาม

       “กูก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่ะ ไม่รู้ว่ากูจะจริงๆจังๆมั้ย แต่ว่าทันทีที่รู้ว่าเปลวเข้าโรงพยาบาล วินาทีนั้นกูโคตรห่วงมันเลย แล้วก็เป็นห่วงหนักเข้าไปอีกตอนที่หมอบอกกูว่ามันไม่รู้สึกตัว”

       “โห..ขนาดนี้กูว่าใจมึงก็รู้คำตอบอยู่แล้วแหละว่ะ”

        “…”

        “ที่มึงถามกู..กูอาจจะไม่รู้แน่ชัดว่าสำหรับคนป่วยที่พึ่งฟื้น..เขาต้องการอะไรมากที่สุด แต่กูคิดว่าเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายหรอกว่ะ ขอแค่ใครซักคนอยู่ข้างๆ ให้เขาตื่นมาแล้วเขารู้ว่าเขาไม่ได้กำลังสู้อยู่คนเดียวแค่นั้นก็อาจจะเพียงพอแล้ว”

        “หรอวะ.. งั้น..หมวกนี่ กูก็คงซื้อมาเก้อเลยอะดิ” พละพลเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมพร้อมกับหยิบหมวกไหมพรมสีดำใบนึงขึ้นมา

       “อย่าบอกว่ามึงกะจะให้หมวกมัน..?”

       “ใช่ มัน..ไม่ดีหรอ..?”

       “กูว่าเวิร์คนะ เห็นว่ามันชอบใส่นี่ ได้ยินพวกเด็กคณะมันคุยกัน”

       “กูก็คิดแบบนั้น หมวกใบเดิมของเปลวมันเก่าแล้วอะ ดูโทรมๆ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก กูเลยไปซื้อใบใหม่มา กะว่าจะให้เขา”

       “เออใช่ วันนั้นที่มันใส่มา โอโหคือแบบ..กูอยากให้เงินไปซื้อใหม่”

       “ความรู้สึกเดียวกัน เหมือนจะเป็นหมวกถักเองนะ ลายผ้าถึงดูแหว่งๆขาดๆเกินๆ”

       “55555555ถือว่าเป็นโอกาสดีแล้วกันเพื่อนพล ซื้ออันใหม่ให้เปลว เปลวจะได้รู้ว่ามึงแคร์เขาขนาดไหน”

       “เทียนล่ะ…มึงว่าไง?” พละพลหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ เพราะเห็นว่าเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรมาซักพักแล้ว

       “…” เทียนยังคงนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น สายตาจ้องมองไปที่ฝ่ามือตัวเองที่วางอยู่บนหน้าตักอย่างเลื่อนลอย

       “เทียน?” พละพลเอ่ยเรียกอีกครั้งพร้อมกับใช้มือข้างนึงสะกิด ...จริงๆ เทียนไขไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาก็แค่..

       “หมวกมึงสวยดีออก เปลวต้อง..ชอบแน่ๆ” ..พึ่งจะรู้ว่าหมวกที่เขาถักทอเองกับมือ มันทำให้เปลวดูแย่ในสายตาคนอื่น

       “งั้น…กูเอาไปให้วันนี้เลยดีกว่า ..ไปด้วยกันมั้ยพวกมึง” ดีหน่อยที่พละพลไม่ได้จับสังเกต เจ้าตัวก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่องอื่น แต่มันก็ชัดเจนดีนะว่า..พละพลไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเขาขนาดนั้น

       “กูไม่ว่างว่ะวันนี้มีนัดกับทางบ้านแฟน” เมธตอบ ก่อนจะหันไปเก็บข้าวของสัมภาระตัวเองยัดลงกระเป๋าลวกๆ

       “ตลอดอะเมธ ..มึงล่ะเทียน จะไม่ไปเยี่ยมเปลวจริงๆหรอ มันก็เพื่อนมึงนะเว้ย ไปเยี่ยมมันซักวันก็ได้มั้ง” เมื่อไม่มีใครตกลงที่จะไปเป็นเพื่อนเขาเลยซักคน พละพลเลยหันมาหาที่พึ่งสุดท้ายซึ่งก็คือเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง

        “…” เทียนไขเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร จึงทำให้พละพลรู้คำตอบได้ในทันที ..เป็นอีกครั้งที่เทียนไขปฏิเสธ แต่นี่..เปลวก็เป็นเพื่อนพวกเราไม่ใช่หรือไง? 

        “แล้วแต่ กูไม่ได้บังคับใคร แค่คิดว่าถ้ามึงเห็นว่าไอ้เปลวเป็นเพื่อนกับมึงบ้างซักนิดซักหน่อย มึงก็ควรจะโผล่หน้าไปให้มันเห็นบ้าง”

        “…”

        “กูไม่ได้อยากจะว่ามึงนะเทียน แต่แบบ..มึงไปไหนของมึงวะ กูไปหาที่ร้านกูก็ไม่เจอมึง ไปหาที่หอมึงก็ไม่อยู่” อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาไม่สังเกต แต่เทียนไขดูเหมือนจะพยายามหลีกหนีอะไรบางอย่าง ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเทียนไขกำลังหนีอะไร

        “ก..กู..”

        “ช่างเถอะ มึงก็คงมีธุระของมึง”

        “…”

        “กูแค่จะบอกว่าไปเยี่ยมมันบ้าง” ..กับคำตอบที่มีแต่เสียงลมอันว่างเปล่าที่พละพลได้รับ มันก็คงเพียงพอแล้วที่จะเลิกเซ้าซี้ให้รู้สึกรำคาญใจ ทว่าครู่นึงหลังจากนั้นคนที่นั่งนิ่งๆไม่พูดไม่จามาตลอดจู่ๆก็พยักหน้าหงึกหงักราวกับตอบรับคำที่เขาพูดแล้ว พละพลควรจะเชื่อแบบนั้น…หรือควรจะเชื่อสีหน้าหวาดระแวงที่แสดงออกมาดี?

       “มึงจะไป?” เขาเอ่ยถาม ก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมจะเดินออกไปจากตึก

       “กูจะไป” เจ้าตัวก้มหน้างุด ก่อนจะลุกขึ้นตามเขา ปลายหางตาของพละพลเหลือบไปเห็นเรียวนิ้วที่กำลังสั่นเทาไม่หยุดของเทียนไข ..ทำให้เกิดคำถามอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว

        เทียน..กับเปลว ต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน





       “แล้ว..มึงจะไปวันไหน ถ้ามึงยังไม่อยากไปก็เอาไว้ก่อนก็ได้ มันไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น” พลเอ่ยถาม สายตาพยายามจับจ้องเทียนไขทุกๆการกระทำ

       “ไม่เป็นไร ก..กูไปวันนี้ได้” เขาไม่รู้ว่าเทียนไขกำลังคิดอะไร หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่สิ่งนึงที่เขารับรู้คือกิริยาท่าทางของเทียนไขมันแปลกเกินไป

       “…”

       “ก..กูไปวันนี้ ไป..วันนี้ ไปวันนี้..” มันแปลก…เกินกว่าคนปกติ

       “…” เขากับเมธหันมามองหน้ากันเพราะไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ทำได้แค่เดินเคียงข้างเทียนไขต่อไปด้วยความรู้สึกอึดอัด



       “ไปไหนกันจ๊ะสามคนนี้” แต่ดีหน่อยที่บรรยากาศขุ่นมัวเมื่อครู่ถูกทำลายลงไปด้วยเสียงทุ้มของผู้มาเยือนคนใหม่

        “อ้าวไอ้โจ้ มาป้วนเปี้ยนอะไรแถวนี้วะ” พวกเขาทั้งสามคนหันหลังกลับไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะพบกับคนตัวสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนักศึกษา ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง

        “กูมาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หลังตึกมึงเลยเดินมาเอาค้าบ” โจ้ตอบ

        “แล้วไป นึกว่ามาหาเศษกระดูกไปแทะ จะได้บอกว่าไม่มี” ไม่วายที่พละพลจะแกล้งแซวเพื่อนต่างคณะขำๆ อย่างสนิทสนม

        “มึงว่ากูเป็นแมวหรอ”

        “ใช่ แมวบ้านมึงแทะกระดูก…ถุ้ย!” ก่อนจะขำลั่นกันอยู่สองคน ส่วนเมธกับเทียนไขเป็นได้แค่ตัวประกอบฉาก

        ..เวลาที่ค่อยๆผันผ่านไปทำให้ท่าทางของเทียนไขเริ่มสงบลง เขาไม่ได้พึมพัมคำเดิมซ้ำๆเหมือนอย่างที่เคย ปลายนิ้วไม่ได้กระดิกสั่น แต่เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ต่างกับเทียนไขที่ทุกคนเคยรู้จักอยู่มากโข

        “เออพวกมึง..” โจ้เอ่ยขึ้นมาเปลี่ยนประเด็นพร้อมกับพยายามประคองไม้กระดานและพู่กันอุปกรณ์ต่างๆในมือไม่ให้ร่วงหล่น

        “ว่า” พละพลตอบรับ

        “มีใครว่างมั้ย พอดีกูอยากให้ไปช่วยกูขนของหน่อยว่ะ กูย้ายหอ”

        “กูไม่ว่าง มีนัดกับแฟน” คนติดแฟนอย่างเมธผู้ซึ่งมีนัดได้ทุกวี่ทุกวันไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ เขาตอบได้ในทันที ..ผิดกับเทียนไขที่เอาแต่ยืนมองภาพตรงหน้านิ่งๆราวกับกำลังใช้สมองประมวลผลคำถามที่โจ้ถาม เพื่อนสนิทอย่างพละพลมองมาที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ความสงสัยอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในหัว..

        “กูว่าง” เขารับปาก ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ไปเลยหรอหรือไง”

        “เดี๋ยวไปเอามอ’ไซค์ก่อน”

        “มึงงั้นกูไปก่อนนะ แฟนกูรอ เจอกันๆ” เมธพูดขึ้นมาก่อนจะเดินแยกออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือแค่พละพลและเทียนไขยืนอยู่ตรงนั้น



        “เทียน..” พละพลเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่ใช้คุยกันปกติ ก่อนจะเปิดกระเป๋าคู่ใจแล้วหยิบอะไรบางอย่างยื่นมาให้เทียนไข

        “…”

        “กูฝาก..หมวกอันนี้ไปให้เปลวด้วยนะ ไหนๆมึงก็จะไปแล้ว” ..ไปเยี่ยมเปลว.. ใช่แล้ว เขากำลังจะไปเยี่ยมเปลว ..ไปเยี่ยมเปลว ..คนที่เขาไม่อยากพบไม่อยากเจอ

        “…”

        “กูไปก่อนนะ ถ้าขนของเสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”



       



       





       ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำทะมึน บดบังแสงสว่างของดวงอาทิตย์จนแสงทั้งหมดลาลับขอบฟ้าไป ตึกรามบ้านช่องเริ่มปรากฎแสงของหลอดฟลูออเรสเซนซ์ที่ทอแสงละเล่นกันระยิบระยับตาเมื่อมองจากที่สูงๆ

        ประตูลิฟต์กำลังปิด ข้างในมีเพียงเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเจ้าของใบหน้าทรงสวย ดูเย้ายวนตาเป็นที่ตราตรึงแก่ผู้พบเห็น หากแต่ว่าตอนนี้ใบหน้านั้นกลับดูหมองลง และเต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ..แสงลิฟต์ที่ทำหน้าที่ขับไล่ความมืดมิดมีเพียงน้อยนิดจนเทียนไขแทบจะจมไปกับความมืด ในมือของเขามีถุงกระดาษใบหนึ่ง ข้างในเป็นหมวกไหมพรมสีดำที่ถูกถักทออย่างปราณีต มีป้ายแบรนด์ดังและราคาที่แพงหูฉี่ติดอยู่

        “…” เขาก้มมองถุงกระดาษในมืออีกครั้ง ..ไม่ว่าจะดูยังไง มองมุมไหน ความแตกต่างมันก็ชัดเจนมากๆถ้าเทียบกับหมวกใบเก่าที่เขาเคยถักให้เปลวเพื่อเป็นของขวัญในวันครบรอบ ..เทียนไขไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนี้เป็น แต่ว่าเขาก็พยายามทำมัน มีบ้างที่เข็มแหลมๆแทงโดนปลายนิ้วตัวเองจนต้องร้องโอดครวญ แต่ท้ายที่สุดแล้วหมวกใบนั้นก็ออกมาเป็นหมวกไหมพรมได้อย่างที่เขาตั้งเป้าไว้

       และใช่.. หมวกใบนั้นมันไม่ได้สวยงาม ลายผ้า ตะเข็บการเย็บ ทุกอย่างบิดเบี้ยว และปรากฎออกมาภายนอกเด่นชัดราวกับเจ้าตัวนำเศษผ้ามาเย็บๆติดกันเฉยๆ คง..ไม่ต้องถามเลยว่าถ้าเปลวเห็นหมวกใบนี้ เขาจะยังเก็บหมวกใบนั้นไว้หรือเปล่า

       แต่จริงๆ..ขยะแบบนั้น ทิ้งๆไปน่าจะดีที่สุดแล้ว





       ติ๊ง!

       ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเมื่อถึงชั้นเป้าหมาย สองเท้าก้าวสลับซ้ายและขวาเพื่อเดินออกมา ก่อนจะมองหาห้องที่เปลวอยู่

       ไม่นานนักเทียนไขก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าประตูห้องที่เปลวอยู่ กระจกสี่เหลี่ยมที่ติดตรงประตูทำให้เขาเห็นภาพที่อยู่ข้างใน ..ห้องผู้ป่วยที่ถูกปิดจนภายในห้องมืดสนิทไร้แสงสว่าง

       ฝ่ามือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรกำแน่นเพื่อระบายความหวาดกลัวในหัวใจ ก่อนเจ้าตัวจะดันประตูตรงหน้าแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน ..อากาศที่เย็นเฉียบจากอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศตีกระทบเข้ากับผิวหนังของเขาจนเขาต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองป้อยๆ ความหวาดกลัวผนวกเข้ากับความหนาวเย็นภายในห้องทำเอาปลายนิ้วเริ่มสั่นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ..ใบหน้าของคนใจร้ายที่ทำให้เขาเจ็บปางตาย อยู่ไม่ห่างจากเขาแล้ว..

 

       ‘ไม่เป็นไร.. แค่วางถุงใบนี้ แล้วก็ออกไป.. มันจะต้อง.. ไม่เป็นไร’ ไม่เป็นไร.. ต้อง..ไม่เป็นอะไร

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2 “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 01-02-2019 23:08:56
       “ใคร” ทว่าจู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ดังมาจากคนป่วยที่นอนซมอยู่บนเตียง กระตุกความกลัวและทุกอย่างที่เทียนไขพยายามขุดหลุมฝังมันเพื่อให้ตัวเองลืม พรุ่งพรูไหลเข้ามาในหัวทั้งภาพที่เขาถูกกระทำอย่างทารุณและเสียงกรีดร้องจนเส้นเสียงในคอแทบแตก..



      ‘เปลว กูขอร้อง..ฮือ ช่วยกูด้วย..ช่วยกู ช่วยกูที… แม็กหยุดเถอะนะ หยุดที..หยุด กูขอร้อง กูไหว้..ฮือ’

       ‘…’

       ‘เปลว.. ทำไม..ทำไมมึงถึงทำกับกูแบบนี้…ทำไม’

       ‘…’

       ‘แม็กมึงบีบคอกู..มึงฆ่ากู มึงฆ่ากูที…กูอยากตาย กูไม่อยากอยู่แล้ว..ขอร้อง กูขอร้อง..’




       ฉายเข้ามาในหัวซ้ำๆไม่รู้หยุด…



        “เทียน..” คนป่วยพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พิงหลังกับผนักเตียง เชยสายตามองมาที่เทียนไข ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวก็กำลังจ้องมาที่ตัวเขาอยู่เช่นเดียวกัน ความหวาดกลัวเกิดขึ้นภายในจิตใจของเปลว เพราะภาพในวันนั้นที่เขาโดนเทียนไขทำร้ายมันก็ชัดเจนอยู่ไม่ต่าง

        “…พลฝากมาให้” ทว่าคนที่กระทืบเขาจนเขามีสภาพแบบนี้กลับไม่ได้เข้ามาทำร้ายหรือสัมผัสแตะต้องตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เจ้าของใบหน้าทรงสวยแค่เข้ามาวางถุงกระดาษไว้ที่เคาน์เตอร์หัวเตียงก่อนจะหมุนตัวแล้วทำท่าจะเดินออกไป

        “เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน!” เปลวรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดแผดเสียงตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุด ..เขาก็เป็นคนๆนึงเหมือนกัน ไม่ใช่ตัวตลกที่จะยอมให้ใครตบหัวแล้วเอาเท้าลูบหน้าแบบนี้ ไหนล่ะคำขอโทษ? ไหนล่ะมารยาทพื้นฐานที่ควรมี? “คุณทำแบบนี้ทำไม?”

        “…”

        “คุณทำร้ายผมทำไม คุณโกรธคุณเกลียดอะไรผมขนาดนั้นเลยหรือไง ..ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยเนี่ยนะ?” คนป่วยจิกนิ้วลงบนผ้าห่มของทางโรงพยาบาลด้วยความโกรธที่ปะทุลุลั่นอยู่ในใจ เขาจ้องมองคนตรงหน้าไม่กระพริบ และด้วยเสียงตะโกนเมื่อครู่ของเขามันก็พอจะทำให้คนตรงหน้าหยุดเดิน..

        “ไม่เคย?” ทว่า..เสียงที่เขาได้ยินจากอีกฝ่าย มันกลับสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับ..อีกฝ่ายกำลังร้องไห้



       ‘มึงว่า..ถ้าเราห่างกันไกล ไม่ได้เจอกันนานๆเราจะลืมกันปะวะ?’

       ‘สำหรับเรา..เราว่าต้องห่างแบบ เราอยู่โลกเปลวอยู่ดาวอังคารเลยล่ะถึงจะลืม’

       ‘โห่ กาก’

       ‘เอ้า’

       ‘กูยังไม่คิดจะลืมมึงเลย ไม่ว่าจะไกลแสนไกล…จะดาวอังคารหรือจะกี่ปีแสง กูก็ไม่มีทางลืมมึง’




       ฮ่าๆ..คนๆนั้นเขาลืมแกซะสนิทใจเลยล่ะเทียนไข

        “ทำไม? หรือคุณจะบอกว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านี้?”

        “…” เป็นอีกครั้งที่เปลวไม่ได้รับคำตอบ หากแต่คนตัวเล็กกว่าที่ยืนไม่ไกลออกไปกลับกำลังตัวสั่นงันงกราวกับกำลังร้องไห้อย่างหนัก

        “ไม่ตอบ เอาจริงๆปะ ผมว่าคุณควรไปพบหมอจิตเวชข้างล่างนี่บ้างอะ คุณเหมือนคนไม่เต็ม”

        “…”

        “จะออกไปแล้วไม่ใช่หรอ ไปได้เลยครับ ฝากขอบคุณพลด้วย ผมอยากให้เขามาให้ผมด้วยตัวเองจัง”

        “…” ..ทุกอย่างมันจบไปแล้วเทียนไข ยอมรับความจริง..ยอมรับความจริง นี่คือสิ่งที่มันควรจะเป็น แกควรจะเดินออกไป ..ปิดประตูให้สนิท แล้ววิ่งออกไปให้ไกลอย่าให้ใครเห็นว่าแกร้องไห้



        “อยู่ทำไมล่ะ? ออกไปดิ” ..ทันทีที่คำๆนี้ส่งไปถึงโสตประสาทของคนฟัง ความรู้สึกเจ้าตัวที่กำลังดิ่งลงเหวก็ยิ่งดิ่งลงไปลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับคำพูดเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นก้อนหินขนาดยักษ์ที่ถูกเขวี้ยงปาลงมาทับถมกันไปเรื่อยๆจนความรู้สึกที่เคยคงอยู่ในระดับเข้าใกล้คำว่า ‘ปกติ’ ก็แตกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

        หยาดน้ำตายังคงไหล..และไหลอยู่แบบนั้นไม่รู้หยุด ริมฝีปากที่สั่นระรัวเม้มแน่นก่อนจะกัดฟันแล้วกลั่นออกมาเป็นคำพูดที่เขาหวังว่ามันจะช่วยปกป้องตัวเขาเอง

        “คิดว่า…อยากอยู่มากนักหรอ?” โกรธ..เขาต้องโกรธ เพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวล..

        “แล้วใครใช้ให้คุณอยู่? ผมบังคับคุณหรอ” อาจจะไม่มีใครบังคับใคร แต่มีสิ่งนึงที่ผูกมัดกันเอาไว้ตลอดมา..



       ‘เปลว..สิ่งนึงที่เราอยากจะบอกเปลวก็คือ ..มันไม่มีอะไรปกติอีกต่อไปแล้วนะ..’

       ‘…’

       ‘แค่…อยากให้รู้ไว้ เราควบคุมตัวเองไม่ได้ บางอย่างในตัวเรามันไม่เหมือนเดิม’

       ‘ถ้าหมายถึง..ผลตรวจในใบนี้ กูเห็นหมดแล้ว’

       ‘…’

       ‘มึงต่อยกูที เอาให้สาสมกับความโง่ของกูที่กูปกป้องมึงไม่ได้’

       ‘เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่เป็นไรนะ..เรายังไหว เปลวไม่ต้องเป็นห่วงกันเลย เรายัง..เหลือไตอีกข้างนึงที่ยังใช้การได้อยู่’

       ‘เทียน กูรักมึงนะ กูรักมึงมากๆ กูคงอยู่ไม่ได้ถ้ามึงเป็นอะไรไป’

       ‘…’

       ‘เพราะฉนั้น กูขอได้ไหม.. อยู่ข้างๆกู สู้ไปด้วยกัน’

       ‘โรคซึมเศร้า..มันทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราคงรับปากเปลวไม่ได้หรอก..’

       ‘ไม่เทียน.. มึงต้องหาย …อยู่กับกูนะ สัญญาได้ไหม..สัญญาว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อกู’

       ‘…’

       ‘กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง’




       ‘คำสัญญา’ ที่เทียนไขรักษามันไว้อย่างดี ถึงแม้ตัวเขาจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว..

        “จริงด้วยสิเนอะ ถ้าไม่ได้รู้จักกัน..กูก็คงไม่ต้องทน ‘อยู่’ มาจนถึงทุกวันนี้”

        “…” ..น้ำเสียงสั่นเครือพร่ำคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

        “กูไม่รู้ว่ามึงกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร ..แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงแกล้งทำเป็นลืมเรื่องเหี้ยๆที่มึงเคยทำกับกูแล้วกูจะให้อภัยมึงได้ กูจะบอกมึงตรงนี้เลยว่ามึงคิดผิด”

        “….”

        “กูเกลียดมึง นี่แหละสิ่งเดียวที่กูรู้สึก” นิยามความรักของคนอื่นมันเป็นยังไงเทียนไขไม่อาจรู้ แต่สำหรับเขา คำว่ารัก..ล้วนประกอบไปด้วยความทรมานและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส..

        “ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณอภัยให้ผมซักหน่อย เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ราวกับถูกมีดแหลมๆหลายๆเล่มกระหน่ำแทงลงที่กลางใจ จริงๆก็…คิดอยู่แล้วว่าเปลวคงไม่คิดว่าตัวเองทำผิด แต่พอมาได้ยินด้วยสองหูของตัวเองชัดๆแบบนี้…สองขาที่ช่วยพยุงร่างโทรมๆนี้ให้ยืนหยัดได้ก็ไร้เรี่ยวแรงใดๆ ขึ้นมาทันที

        “มึงกล้าพูดว่ามึงไม่ผิดหรอ..” 

        “…”

        “สิ่งที่มึงทำกับกู ..สำหรับกูมึงแม่งยิ่งกว่าฆาตรกร ..ยิ่งกว่ายมบาล ..ยิ่งกว่าผีห่าซาตานตนไหนๆ”

        “…”

        “มึงทำให้กูเจ็บ...เจ็บแบบที่มึงก็จินตนาการไม่ได้ว่ามันเจ็บขนาดไหน เพราะสิ่งที่มึงได้รับมันเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวนึงกับสิ่งที่กูเจอ”

        “…” ..นานมาแล้วการได้เจอหน้ากันและกันของพวกเขาเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด..หัวใจทั้งสองดวงของพวกเขารู้สึกแบบนั้น แต่ในตอนนี้การพบกันมันกลับเป็นหอกแหลมๆที่จะทิ่มแทงเรียวขาทุกครั้งถ้ามีใครคิดจะก้าวเดินต่อไป

        “..มึงกลับมาทำไม.. มึงกลับมาให้กูเห็นหน้ามึงอีกทำไม ..กูเหนื่อยแล้ว…ไม่อยากรับรับรู้อะไรแล้ว ..มึงได้ยินมั้ย ฮือ” …หยดน้ำตายังคงรินไหลออกมาไม่หยุด เรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มเหือดหายจนร่างทั้งร่างเซล้มลงไปตรงนั้น..

        “…” ..ถ้าเกิดว่า..ย้อนเวลากลับไปได้ บางทีมันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเราทั้งคู่ไม่ได้พบกัน ..จะได้ไม่ต้องรู้จักกัน และ..

        “ทำไมมึงต้องทำให้กูรัก ทำไมมึงต้องทำอย่างงี้กับกู ทำไม…” ..ไม่ต้องรักกัน ..มันจะดีกว่ามั้ย..ถ้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเป็นแค่หนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านจบก็กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย.. ฝันร้ายที่ยาวนานกินเวลาตลอดคืน แต่พอตื่นขึ้นมาในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น โลกทั้งใบก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม

        “ออกไป” ..แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้ ความจริงก็คือความจริง และมันก็ปรากฎอยู่ชัดเจนให้เห็นอยู่ตรงหน้า มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เทียนไขจะหลอกตัวเอง ..มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจคนเดียวโดยไม่พูดออกมา

        “มึงลืมกูลงได้ยังไงอะเปลว ..ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู ..มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด ..มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข ..มึงจะปกป้องกู…แล้วดูสิ่งที่กูได้รับ” ..หลากหลายคำถามที่กระจุกอยู่ในใจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกพร่ำมันออกไปไม่หยุด พร้อมกับพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา

       ..จริงๆทุกๆคำถามในใจเทียนก็รู้คำตอบดี

      มึงลืมกูลงได้ยังไง? นั่นก็เพราะว่าเปลวไม่เคยคิดจะจดจำมึงตั้งแต่แรกไง

      ไหนมึงบอกว่ารักกู? ความรักจอมปลอมที่เกิดขึ้นมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มอบความรักที่จริงใจไป คนๆนั้นคือมึงนั่นแหละเทียนไข

       มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด? มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข? มึงจะปกป้องกู?

       นี่แหละ..นิยามของคำโกหก



       

       “ผมบอกให้ออกไป”

       “กูไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ ..กูไม่ได้อยากมาหามึง ..กูไม่ได้อยากเจอมึง..”

       “ทำตัวเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่บังคับไปได้”

       “…”

       “ถ้าคุณไม่ใช่เด็กแบบนั้นคุณก็ไปซะ ไม่ได้อยากเจอผม? ผมก็ไม่ได้อยากเจอคุณ เราก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกัน..” ..อยากให้อยู่..เขาก็ต้องอยู่ ..อยากให้ไป…เขาก็ควรจะ..



       “..กูรู้..กูรู้แล้ว แล้วมึงล่ะรู้มั้ย…กูไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย” ..หายไปใช่มั้ย?

       “…”

       “..แต่กูต้องทำ ..กูต้องอดทนถึงแม้ตัวกูจะเจ็บซ้ำๆครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..”

       “คุณอยากตายคุณก็ไปตายสิ คุณจะฝืนอยู่ทำไม ออกไปซักที!” เขาคง..ขวางหูขวางตาน่าดูเลยสินะ..?

       “..มึงอาจจะ..ไม่เคยรักษาสัญญา แต่กูจำได้ทุกประโยคเลยนะ..ฮ่าๆ ..กูจำได้..ทุกคำพูดที่กูเคยพูดกับมึง แล้วกูก็ไม่เคยผิดสัญญา”

       “…”

       “มึงเคยขอให้กูมีชีวิตอยู่ต่อไป”

       “…”

       “กูเลยอยู่ ..ฝืนอยู่ต่อไปทั้งๆที่กูโคตรทรมาน”

       “…”

       “มึงเคยบอกว่ามึงชอบรอยยิ้มกู…กูก็เลยยิ้มให้มึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ากูจะกำลังเจ็บปวดหรือกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม”

       “…”

       “มึงเคยบอกกูว่าอย่าร้องไห้ กูเลยพยายามกลัดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลถึงแม้ข้างในกูจะกำลังพังทลายก็ตาม..”

       “ออกไป”

       “…” ..เปล่าประโยชน์เทียนไข หยุดทำตัวไร้ค่าได้แล้ว

       “ผมอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่คุณเคยรู้จัก”

       “…”

       “อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟังอีก ผมไม่ชอบ”

       “กูขอถามอะไรมึงเป็นอย่างสุดท้าย..”

       “…”

       “กู..หายไป ได้แล้วใช่ไหม?”

       “…”

       “กูไม่ต้องแกล้งทำเป็นมีความสุข ไม่ต้องแกล้งยิ้ม…แกล้งหัวเราะแล้วใช่ไหม?”

       “ผมจะพูดอีกครั้ง ออกไปซะ”

       “นี่คือ..คำตอบของมึงใช่รึเปล่า?” ..นกกระจิบตัวเล็กๆผู้ถูกกักขังอยู่ในกรงหนามแหลมๆ ถูกหนามเหล่านั้นทิ่มแทงจนปีกที่เคยใช้โลดแล่นในห้วงนภาไม่อาจสลายกางได้อีก ..ตอนนี้กรงหนามเหล่านั้นถูกเปิดออก ..พันธะสัญญาที่เคยผูกมัดกันตลอดมา..มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

       “…”

       “ฮ่าๆ ขอบคุณมึงมากๆเลยเปลว กูจะไม่..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..” แต่ไม่รู้ทำไม..

       “…”

       “กูอาจจะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้น กูขอ…เก็บมันไว้ในความทรงจำของกูหน่อยนะ..” ..นกกระจิบตัวนั้นกลับไม่ยอมออกมาจากกรง



       “…” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ..เป็นรอยยิ้มที่เปลวในตอนนี้ก็ไม่อาจลืมเลือนได้

       …มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สวยสดงดงามที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ แต่รอยยิ้มที่เขาเห็นมันเป็นยิ้มที่ดูเปรมปรีดิ์ ราวกับเจ้าตัวกำลังดีใจ..กับอิสรภาพที่ตัวเองได้รับ เทียนไขสละสายตาที่จ้องมองมาที่เขาก่อนจะหันไปทางประตูแล้วหันกลับไป ทว่า..

       “..มีชีวิตอยู่” จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ไล่หลังเขามา ถึงแม้มันจะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ดังพอที่จะลั่นสะท้านก้องกังวานไปในหัวใจ

       “ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้” ..ประตูห้องถูกเปิดออก ก่อนจะถูกปิดลง ภายในห้องจึงกลับมามืดมิดอีกครั้ง คนป่วยยังคงนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้นทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา..



       ‘เปลวว่า..โตขึ้นเราจะยังรักกันอยู่ไหม?’

       ‘แน่นอนอยู่แล้ว’

       ‘สำหรับเรา..เราไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่เราจะไม่มีวันเสียเปลวไปแน่นอน’

       ‘หมายความว่ายังไงวะ..?’

       ‘ก็..วันไหนที่เปลวไม่รักเราแล้ว..เราจะยังคงรักเปลวอยู่ตรงนี้เสมอ’

       ‘…’

       ‘และจะไม่มีวันเสียเปลวที่เรารัก…ไปจากความทรงจำ’




       ..และขณะที่เปลวกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิด หยาดน้ำตาเม็ดใสเม็ดนึงก็ไหลพาดผ่านข้างแก้มของเขา..























       ค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะมืดมิดจนซอยเปลี่ยวส่วนใหญ่แทบจะไม่มีแสงใดๆเล็ดรอดเข้าไป ดวงจันทร์บนท้องฟ้าวนคาบจันทรคติมาที่คืนเดือนดับ เมฆเมฆาบนท้องฟ้าก็หนาแน่นจนบดบังแสงจากดวงดาวไปหมดสิ้น

       …เวลาผันผ่านไปจนเข็มนาฬิกาของนาฬิกาลูกตุ้มเรือนหนึ่งเคลื่อนไปที่เลขโรมันเลขหนึ่ง ลูกตุ้มนาฬิกาจึงแกว่งกวัดก่อให้เกิดเสียงดังลั่นกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ

       “มึงเชื่อกูหรือยังล่ะโจ้” ใครคนนึงเอ่ยถามเพื่อนของเขาที่พึ่งดูคลิปบางอย่างที่ใครคนนั้นถ่ายมาได้จบ

       “ตรงๆนะ” เจ้าของชื่อเอ่ยตอบ “กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะว่าเทียนเพื่อนมึงจะเป็นคนแบบนี้”

       “กูก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่แม่งคือความจริง” ..เพื่อนของเทียนไข ที่สนิทที่สุดก็มีเพียงคนเดียว

       “กูสงสารไอ้เปลวว่ะ”

       “กูยิ่งกว่ามึงอีก กูแทบจะคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วตอนที่ได้ยินกับสองหูของตัวเอง”

       “มึงจะเอายังไงต่อ?”

       “มันทำอะไรไว้ มันก็จะได้รับอย่างนั้น”













       เวลาผ่านไปจนถึงค่ำคืนของเช้าวันใหม่ บนถนนที่ลาดยาวสุดลูกหูลูกตาไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัย มีเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาคนนึงเดินเตร็ดเตร่อยู่พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวไม่วางมือ

       “เดี๋ยวจะถึงหอแล้วแหละ ขอบคุณนะผึ้งที่โทรคุยเป็นเพื่อน”

       [ไม่เป็นไร เราเป็นห่วงเมธมากเลย ขอโทษนะที่วันนี้เราไม่ส่งไม่ได้ พ่อเราเอารถไปต่างจังหวัดอะ]

       “ไม่เป็นไรหรอก คิดมาก ได้เดินซักหน่อยมันก็ดีเหมือนกัน จะได้ย่อยข้าวที่พึ่งกินไปด้วย”

       [ลดความอ้วนหรือไงคุณ ถามจริงเอาตรงไหนมาอ้วน มีแต่กระดูกเถอะ]

       “55555555555”

       [เออนี่..จำได้ว่าเมธเล่าให้เราฟังว่าก่อนเมธจะมาหาเรามีเพื่อนเมธคนนึงอาการแปลกๆ เรารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ก็เลยลองค้นหาดูว่ามันคืออาการของอะไร..]

       “…”

       [เท่าที่เราหามาได้นะ..มันก็มีหลายโรค หลายปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับทางจิตเวชทั้งนั้นเลย เราเป็นห่วงเขาว่ะ..]

       “จริงหรอผึ้ง..จิตเวช?”

       [ใช่ ตอนนั้นที่เขาแสดงอาการ..มีอะไรซักอย่างไปกระตุ้นเขาหรือเปล่า?]

       “…”

       [ว่าแต่..เพื่อนเมธคนนั้น ชื่ออะไรนะ?]

       “ผึ้งเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ..เราว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

       [เดี๋ยวก่อน! เพื่อนเมธชื่ออะไร]

       “เทียน…มันชื่อเทียนไข”

       [เทียน.. เทียน.. เฮ้ย! เมธ รีบไปหาเทียนเดี๋ยวนี้เลย!]

























       …ทุกอย่างกำลังจะจบ ค่ำคืนอันแสนยาวนานคืนนี้จะเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่ฝันร้ายจะตามมาหลอกหลอนเขาได้

       “…” ยากระปุกนึงที่เขาพึ่งมันมาตลอดการใช้ชีวิตถูกเจ้าตัวเทลงฝ่ามือจนพูนพ้นขอบมือหล่นร่วงลงกับพื้นไปบ้าง แต่เทียนไขไม่ได้ใส่ใจอะไร

       ‘ทุกอย่างจะต้องไปได้สวย’ ใช่แล้ว.. เพียงแค่เขาค่อยๆหยิบยาในมือเข้าปากทีละเม็ดๆ ทุกๆอย่างก็จะดีขึ้น ..ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด ..ไม่ต้องรู้สึกถึงความเศร้า เขาก็จะได้จมลงสู่ฝันหวาน ไปเจอพ่อ..ไปเจอแม่ คนในครอบครัวของเขาที่เขารัก กลับไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น กลับไปสู่บ้านริมคลองหลังเดิมที่มีแต่ความสุข

       “มีความสุขมากๆนะเทียน” ประจวบเหมาะกับสายตาที่มองไปเห็นวันที่ที่ถูกวงกลมไว้ด้วยหมึกสีแดงไว้ว่าวันเกิด เขาจึงอวยพรให้กับตัวเอง พร้อมกับมอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้กับตัวเองเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับคำอวยพร

       ..ยาเม็ดที่หนึ่งถูกนำเข้าไปในปาก ก่อนจะตามด้วยเม็ดถัดมา และถัดมา ไปเรื่อยๆจนแคปซูลสองสีอัดอั้นเต็มปากไปหมด ..แก้วน้ำที่อยู่ข้างๆถูกยกขึ้นกระดกเข้าปาก ..ถึงแม้มันค่อนข้างที่จะกลืนยากจนทำให้น้ำหกราดตัวเขาไปบ้างแต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียว..ยาทุกเม็ดก็ถูกส่งลงไปในท้อง



       เทียนไขคลี่ยิ้มให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง โอบกอดความทรงจำดีๆของเรื่องราวที่ผ่านมา ก่อนจะจดจำทิวทัศน์ที่เห็นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลง..

       ‘จริงๆ.. ไม่ใช่ว่าการที่เราได้เจอกันจะมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนะ ต้องยอมรับแหละว่าครั้งนึงตอนที่ทั้งคุณและผมต่างก็เป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาตอนนั้นเรามีความสุขกันมากๆ การเล่นเกมแข่งกันแบบมาราธอนไม่ยอมหลับยอมนอนใครแพ้เลี้ยงขนมมันเป็นความสุขเล็กๆที่ผมยังคงจำได้ดี ต้องขอบคุณคุณด้วยเหมือนกันที่มอบหลายๆอย่างให้กับผม มันล้ำค่ามากๆเลยล่ะ’

       ‘ต่อจากนี้..ขอให้รักครั้งใหม่ของคุณเป็นรักที่ดีที่สุด ยั่งยืนจนคุณแก่เฒ่าและเป็นรักครั้งสุดท้ายของคุณ’

       ‘ขอให้คุณมีแต่ความสุขนะ’





หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: Star06 ที่ 04-02-2019 21:55:19
คนเรามันต้องเจอมรสุมชีวิตขนาดนี้เลยเหรอ สงสารเทียน นี่ว่าการที่เทียนหายไปจากโลกนี้คงมีความสุขกว่าปัจจุบันที่เทียนอยู่อะ ไม่มีใครเข้าใจแล้วอยู่ข้างๆเทียนได้สักคน อยากกอดปลอบเทียนมาก
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: mannysy ที่ 04-02-2019 22:27:56
เมื่อไหร่น้องจะได้เจอกับความสุขที่แท้จริงฮืออออออออ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-02-2019 11:05:26
ถ้าไม่ตายก็จะกลับมาอยู่ในวังวนของความเศร้า ทุกข์ทรมานใจอยู่เช่นเดิม หรืออาจจะอยากหลอกตัวเองให้เขามาเข้าใจเหมือนเดิม มารักเหมือนเดิม ถ้าเข้มแข็งด้วยตัวเองไม่ได้ก็คงจะทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่ปรารถนาให้จากไปนะ แต่ก็เข้าใจความอยากหายไป ถ้าไม่ได้คนอยู่ข้างๆกับที่ใจต้องการ มันก็ยากที่จะเข้มแข็งอยู่ เออเอาไงดีนะ หมอคะช่วยเทียนด้วยค่ะ คิดถึงน้าไว้นะเทียน เทียนไปน้าจะอยู่ยังไง ยังมีน้าที่รักเทียนมากอยู่นะ สู้มาได้ผ่านมาได้ เก่งแล้ว อยู่ใช้ชีวิตต่อนะ รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะมีใครมาทันไหม แล้วพลจะทำอะไร ช่างเปลวเขานะเทียน อย่างน้อยก็ได้คำปลดปล่อยพันธะมา รอรอตอนหน้าค่าาา สนุกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพ แต่ว่าถ้าใส่วันที่ลงอัพตอนใหม่จะดีเลยค่ะ เพราะบางทีจำตอนไม่ได้ ดูวันที่อัพเอาว่าอ่านไปยัง 555555
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 10-02-2019 19:23:26
10


‘เปลวเทียน’







       …อุโมงค์ที่มืดไปหมดทุกทิศทุกทางเริ่มปรากฎจุดแห่งแสงสว่างจุดเล็กๆอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ความมืดมิดเมื่อครู่จึงค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างสีขาว

       ‘อีกนิดเดียว..ทุกอย่างกำลังจะจบ..’ ใช่แล้ว..ทุกอย่างกำลังจะจบ ความเจ็บปวดทรมานที่เขาได้รับมาตลอดกำลังจะจบลง เทียนไขกำลังจะได้ไปหาแม่..คนที่เขาเฝ้าคิดถึงตลอดมา เทียนไขกำลังจะได้..มีความสุข

       “อึก…ฮือ..” ..แต่มันกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ..ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องเกิดขึ้นกับคนที่นอนขดคู้อยู่บนเตียงจนเขาต้องใช้มือกดมันเอาไว้หวังจะคลายความเจ็บปวด ลมหายใจของเขาเริ่มผิดปกติ หัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ใบหน้าของเจ้าตัวปรากฎรอยเลือดฝาดเนื่องจากความดันเลือดที่สูบฉีดอย่างหนัก จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เหงื่อไคลผุดขึ้นมาตามผิวหนังราวกับถูกแผดเผา ทว่ากลับกันร่างกายของเขากลับเย็นเฉียบ น้ำตาเม็ดใสไหลพาดผ่านสองข้างแก้มเพราะความทรมานที่ตัวเองกำลังเผชิญ

       …ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องก็ยิ่งเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ของเหลวอะไรบางอย่างพยายามดันตัวเองออกมาผ่านหลอดทางเดินอาหาร รสชาติขมๆจากเม็ดยาตีกลับขึ้นมาในโพรงปาก ก่อนจะอาเจียนออกมาโดยไม่อาจต้านทานต่อไปได้



       เม็ดยานับสิบเม็ดที่ร่างกายของเขาดื้อดึงไม่ยอมรับมัน และตอนนี้ก็กระจัดกระจายอยู่เต็มที่นอนพร้อมกับของเหลวสีแดงที่อาเจียนออกมาพร้อมกัน  ทว่ามันยังไม่หมดแค่นั้น …เทียนไขอาเจียนอีกหลายระลอก จนสิ่งที่ออกมามีเพียงแค่เลือดสีข้น

       ‘..ไม่สิ..มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ทุกอย่างต้องจบลงได้แล้ว..มันควรจะจบเสียที..’ ถูกต้องที่มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม..ถึงแม้จะข่มตาให้หลับ แต่ความรู้สึกนิดคิดทุกอย่างกลับยังคงทำงานอยู่เช่นเดิม ..ยังคงตอกย้ำด้วยถ้อยคำร้ายๆที่เสียดแทงหัวใจ และยังคงฉายภาพคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคืนนั้น สลับกับภาพความทรงจำดีๆที่เคยมี ..ทุกๆภาพฉายซ้ำๆอยู่ในหัวโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ สิ่งที่เทียนไขทำได้จึงมีแค่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอของตัวเองหลั่งไหลต่อไป หวังจะย้อมชะโลมหัวใจให้หลุดพ้นออกมาจากความเจ็บปวด



       ..เทียนไขกัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวดทรมานที่กำลังรู้สึก ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆออกมา ตลอดช่วงชีวิตของเขาคำว่า ‘ความสุข’ ที่แท้จริงมันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะงั้นอย่างน้อยๆเขาก็อยากให้วินาทีสุดท้ายของชีวิต…เขาก็อยากให้ตัวเขาเองได้เป็นคนที่มีความสุขซักครั้งหนึ่ง

       ..หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที ฝ่ามือน้อยๆที่พยายามกดช่วงท้องก็คลายออก ดวงตาสีใสค่อยๆถูกเปลือกตาบดบังทีละเล็กทีละน้อย และท้ายที่สุด…ร่างทั้งร่างก็แน่นิ่งไปไม่ขยับเขยื้อนอีก..













       ปัง!

       ..ครึ่งชั่วโมงถัดมา ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยกุญแจสำรองของเจ้าของหอพัก ปรากฎเป็นกลุ่มคนมากหน้าหลายตาที่มามุงดูสถานการณ์ที่กำลังเกิด ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งแทรกเข้ามาภายในห้องด้วยความร้อนรน และเมื่อเจ้าตัวได้เห็นร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงที่อยู่บนเตียง เขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที

       “เทียน.. ไอ้เทียน!” เขาใช้ฝ่ามือของตัวเองตบลงไปที่ใบหน้าของเทียนไขเบาๆเพื่อเรียกสติ และสิ่งที่เขาได้ก็คือ..มันไม่มีผลอะไรเลย เทียนไขยังคงแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ผิวกายเย็นเฉียบจนน่ากลัว

       “ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลให้หน่อยครับ!” เขาตะโกนแผดเสียงออกไปดังลั่นเพื่อให้คนที่มามุงดูได้สติแล้วคิดจะช่วยเหลือกันซักที

      ..ความสงสัยหลายๆอย่างเกิดขึ้นในหัวของเขา เพราะตอนเย็นก่อนจะแยกกันเขาจำได้ว่าเทียนไขอาจจะมีอาการแปลกๆไปบ้าง แต่รวมๆก็ดูปกติดี ไม่คิดเลยว่าพอมาถึงตอนนี้เพื่อนของเขาจะนอนแน่นิ่งจมอยู่กับกองเม็ดยาที่ถูกละลายไปบ้างแล้ว และคราบเลือดที่ซึมอยู่กับผ้าปูที่นอน

       ‘มันเกิดอะไรขึ้นกับมึงกันแน่วะเทียน..’ หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นภายในหัว ..ถึงแม้จะพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวยังไงเขาก็ยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดอยู่ดี บางอย่างมันขาดหายไป..และดูเหมือนว่าสิ่งที่ขาดหายไปจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดซะด้วย





       ..หลังจากนั้นเกือบชั่วโมง เทียนไขก็ถูกนำมาส่งจนถึงมือหมอ ร่างที่ดูบอบบางถูกวางนอนบนรถเข็นของทางโรงพยาบาล ก่อนจะถูกเข็นเข้าไปในห้องแห่งชีวิตอย่างรวดเร็ว



       Rrrrrrrr

       “ฮัลโหล ว่าไงผึ้ง” คนที่เป็นความสบายใจของเขาเพียงคนเดียวติดต่อเข้ามาพอดีราวกับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังต้องการใครซักคน

       [เป็นไงบ้างเมธ] ปลายสายเอ่ยถาม และเพียงเพราะคำถามที่ดูธรรมดาๆนี้ ก็ทำเอาคนที่จมอยู่กับความเครียดอย่างเมธน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาเลยทีเดียว

       “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้วล่ะ” เขาตอบ

       [อาการของเทียนแย่มากเลยหรอเมธ..]

       “เทียนหมดสติ ..เราไม่แน่ใจว่าอาการของเขามันอยู่ในระดับไหน แต่คงจะ..”

       [เมธล่ะ? ตอนนี้..เมธโอเคหรือเปล่า ให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนไหม]

       “ไม่เป็นไร เราโอเค ..เครียดนิดหน่อย” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเมธ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนคนรักของเขาก็ยังคงน่ารักแบบนี้เสมอ ผึ้งเป็นคนที่เขาสามารถเล่าให้ฟังได้ทุกอย่าง และเธอก็คอยรับฟังเขา อยู่ข้างๆกันตลอดมา “..เรารู้สึกเหมือนตัวเองบกพร่องในหน้าที่ของเพื่อนคนนึงเลยว่ะผึ้ง..”

       […]

       “เราไม่เคยรู้เลย ..ไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าเทียนกำลังป่วย เราปฏิบัติกับเขาแบบคนปกติคนนึง มีบ้างบางครั้งที่เรากวนตีนกัน มีบ้างที่เราหลุดคำพูดร้ายๆออกไป โดยที่เราแบบ..ไม่รู้เลยว่าเทียนไขที่เป็นคนฟังจะรู้สึกยังไงบ้าง เราไม่รู้เลย.. เราเห็นแค่ว่าเขายิ้ม..เขาหัวเราะ แล้วเราก็ทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ..ตลอดมา”

       [..เราเข้าใจเมธนะ แต่อย่างน้อยๆตอนนี้เมธก็ได้รู้แล้วนี่ ยังไม่สายไปหรอกนะถ้าเมธจะจดจำสิ่งที่ตัวเองอาจจะทำพลาดไปแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ไม่ทำแบบนั้นอีก..]

       “ไม่ผึ้ง.. มันยังมีอีกอย่าง คือเรารู้..วันนี้เราเห็นว่าเทียนมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่พูดถึงคนๆนึง แล้วไอ้พลมันก็ให้เทียนไปหาคนๆนั้น เทียนก็เลยไป ..ที่จะบอกก็คือ เรารู้ว่าเทียนไม่โอเคที่จะไปเจอคนๆนั้น แต่เราแม่ง..ไม่ห้าม ไม่พูดอะไรออกไปซักคำ เราปล่อยให้เทียนไป ..เราปล่อยให้เพื่อนของเราไปหาคนที่เขาไม่อยากเจอ.. แล้วทุกอย่างก็เป็นแบบที่เห็น เทียนพยายามฆ่าตัวตาย”

       [ใจเย็นๆนะเมธ มันอาจจะไม่ใช่ความผิดเมธก็ได้ เพราะถ้าเมธจะคิดแบบนี้ ทุกๆคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีส่วนผิดเท่าๆกันหมด เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองนะ อีกอย่าง..เราเชื่อว่าเทียนไขเข้มแข็งพอ เทียนไขจะไม่เป็นอะไรแน่นอน]

       “แต่เขาป่วย..ป่วยแบบที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามันหนักหนาขนาดไหน”

       [เทียนไขไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอก เรารู้จักเขาดี]

       “เดี๋ยว..เดี๋ยวนะ ผึ้งรู้จักเทียนด้วยหรอ..?”

       [ใช่ เรารู้จัก แต่อาจจะไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ญาติเราชอบเล่าเรื่องของเขาให้เราฟังบ่อยๆ เราเคยเจอเทียนไขด้วย ครั้งนั้นเขาป่วยเหมือนกัน..นอนอยู่โรงพยาบาล แล้วเราก็เด็กมาก แต่เราจำรอยยิ้มของเทียนไขได้ดีเลยล่ะ ถึงแม้เขาจะเจ็บ..จะป่วยอยู่ แต่เขาก็ยิ้มออกมาได้อย่างสดใส มันแสดงให้เห็นเลยว่าเทียนไขน่ะ..เข้มแข็งมากๆเลย]

       “อ๋อ เพราะแบบนี้ผึ้งเลยให้เรารีบไปหาเทียนใช่ไหม?”

       [เปล่า อันนั้นมีอีกเหตุผล]

       “…”

       [เราเคยบังเอิญเจอเขามาหาหมอจิตเวช]

       “…”

       [นานแล้วแหละ ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ ม.5 มั้ง..น่าจะ วันนั้นเราพาแม่ไปหาหมอ แล้วก็บังเอิญเจอเทียนไขกำลังเดินเข้าไปในแผนกจิตเวชพอดี สีหน้าเขาดูหม่นหมองมากเลย ..มาคนเดียวด้วย]

       “ถ้าเป็นแบบนั้น…หมายความว่าเทียนไขก็ป่วยมาตั้งแต่ ม.5 แล้วหรอ..”

       [ก็อาจจะ..]

       “…” เมธได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับ แสดงว่า..เทียนไขป่วยมาตั้งแต่ตอนนั้น และจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่หายขาด ก็หมายความว่า..อาการของเทียนไขก็คงจะไม่ใช่เล่นๆ แต่เขากลับ..เล่นๆ กับเทียนไขมาตลอด ทั้งการปฏิบัติตัวและการใช้คำพูดคำจา

       ..เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนใกล้จะรุ่งสาง ประตูห้องฉุกเฉินข้างหลังเมธก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกมา จนสุดท้ายแล้วเมธก็ตัดสินใจกลับบ้านไปซะก่อนเพราะตัวเองก็มีเรียนเช้า ทว่าการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ใจของเขาสงบลงเลยแม้แต่น้อย ในใจของเมธยังคงเป็นกังวลถึงคนที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่โรงพยาบาล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้เวลาผ่านไปให้ถึงเวลาเลิกเรียน
















       ฝั่งคนเจ็บ มันไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความว่างเปล่าและความเงียบสงัด ..เทียนไขถูกย้ายมานอนพักในห้องพักผู้ป่วยแล้ว แต่ด้วยปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจึงทำให้เทียนไขสามารถนอนได้แค่ห้องพักผู้ป่วยรวมเท่านั้น

       การรักษาดำเนินไปจนแล้วเสร็จทุกวิถีทาง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สิ่งเดียวที่พอจะเป็นความหวังได้ก็คือสัญญาณชีพจรที่ยังไม่หยุดเต้น นอกเหนือจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ที่พร้อมจะร่วงหล่นทุกเมื่อ

       เปลือกตาสีไข่ยังคงปิดสนิท ราวกับเจ้าตัวกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความฝันอันแสนหวาน ..เป็นความฝันที่เทียนไขได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งพ่อทั้งแม่แล้วก็ตัวเขาเอง นั่งทานข้าวด้วยกัน ดูละครโทรทัศน์พร้อมกับวิจารณ์พระเอกนางเอกกันเหมือนอย่างที่เคย ก่อนจะนอนหลับไหลอยู่ในอ้อมกอดแห่งความรัก ทุกๆคนล้วนแล้วแต่มีความสุข พ่อไม่ได้ติดยาเสพติด ชอบซื้อหญิงขายบริการ หรือโดนประหาร แม่ก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายที่คนต่างก็รังเกียจ และไม่ได้ลาจากเทียนไขไปไหนไกล พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

       ..เป็นความฝันที่อบอวลไปด้วยความรัก น่าทะนุถนอม และน่าหวงแหนอย่างถึงที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว…ก็คงจะไม่มีเหตุผลอะไรที่เทียนไขจะต้องตื่นขึ้นมาอีก

       “เทียน..” มันก็..ควรจะเป็นแบบนั้น

       “…”

       …หากแต่ว่าเสียงสั่นเครือที่ดังอยู่ข้างๆหูของเขามันกำลังปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา

       “เทียนไข..ตื่นได้แล้วนะ..”

       “…”

       “..ตื่นได้แล้ว..” จนสุดท้ายเปลือกตาสีไข่ก็ค่อยๆปรือขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีใสและนัยน์ตาสีนิล

       ‘ดีใจจังที่เรายังมีชีวิตอยู่’ สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับเทียนไข…วินาทีแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาสัมผัสความรู้สึกของการมีชีวิตอีกครั้ง หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงหล่นออกมาไม่หยุด

       “ทำไม.. ทำไมกูยังมีชีวิตอยู่อีก…ฮือ” ที่ผ่านมาเขาพบเจอแต่ความเจ็บปวด ปัจจุบันเขาก็พบเจอแต่ความเจ็บปวด ในอนาคตเขาก็คงหนีไม่พ้นความเจ็บปวด มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว

       “เทียน มึงใจเย็นๆ ใจเย็นๆดิวะ..” เมธที่อยู่ข้างๆเตียงเมื่อเห็นเทียนไขรู้สึกตัว แว็บแรกเขาดีใจ เขากำลังจะยิ้ม แต่ทันทีที่เขากำลังจะยิ้ม เพื่อนที่เขาเป็นห่วงมาตลอดวันก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาจนรอยยิ้มของเขาค่อยๆหุบลง

       “มึงช่วยกูทำไม..มึงช่วยทำไม..ฮือ” เทียนไขที่เคยหลับตาพริ้มตอนนี้กำลังร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับขยับถีบ ดิ้นเร่าๆอย่างทรมาน แต่อีกนัยนึงมันก็แสดงถึงความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง บางทีเมธควรจะออกไปแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า?

       ทว่าเขากลับไม่ได้คิดแบบนั้น ก็จริงอยู่ที่เขาเองก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่พอได้เห็นความเจ็บปวดทรมานที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าของเทียนไข มันก็ทำให้เขาทิ้งเทียนไขไม่ลง

       “ไม่เป็นไรนะเพื่อน กูอยู่ตรงนี้แล้ว” เมธจับมือเล็กๆที่กำลังสั่นเทาขึ้นมากอบกุมเพื่อหวังจะปลอบประโลมให้เทียนไขทุเลาลง แต่ดูเหมือนว่า..มันจะไม่ได้ผล

       “ไม่ต้องการ ฮือ…กูอยากตาย กูไม่อยากอยู่แล้ว..” เทียนไขยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ดึงมือตัวเองกลับไป เมธเห็นดังนั้นจึงคิดว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี..สำหรับเขา

       “กูอยากให้มึงมีชีวิตต่อไป”

       “ไม่เอา..ฮือ เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากอันสั่นเครือของคนเจ็บเม้มแน่น หยาดน้ำตายังคงหลั่งไหลออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ..ภาพที่เห็นสำหรับเมธแล้วมันทำให้เขาสงสารเทียนไขอย่างสุดหัวใจ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาเจ็บใจไปด้วย เจ็บใจตรงที่ว่า..เขาช่วยเหลือเพื่อนของเขาไม่ได้เลย..

       “ถือว่า..กูขอก็ได้ ครั้งนี้ครั้งเดียว” คงจะมีเพียงแค่คำขอร้องคำนี้เท่านั้นที่เขาพอจะทำได้ “ในฐานะเพื่อนคนนึงกูก็ไม่ชอบที่จะเห็นเพื่อนกูเจ็บปวดหรอก เพราะงั้นต่อจากนี้กูจะอยู่ข้างๆมึงเสมอ ไม่ว่ามึงจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจมึงก็มาโม้ให้กูฟังได้เสมอ”

       “…”

       “มีชีวิต.. มีชีวิตอยู่ต่อเถอะนะ..” เมธเอ่ยเอื้อนออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจากการสะอึกสะอื้น ยอมรับว่าตัวเขาตอนนี้ก็กำลังร้องไห้อยู่ไม่ต่าง เป็นหยาดน้ำตาที่เกิดจากหลายๆความรู้สึก ทั้งสงสาร รู้สึกผิด ดีใจที่เทียนไขยังมีชีวิต และเสียใจที่เทียนไขไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

       “…”

       “นะ..เทียน..”

       “…เมธ..” และในที่สุด..คนเจ็บก็ยอมรับฟังสิ่งที่เขาพูด ..เสียงในหัวใจของเขาส่งไปถึงหัวใจที่บอบช้ำของเทียนไขแล้ว

       “..กูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงผ่านอะไรมาบ้าง แต่กูอยากให้มึงมองมันให้เป็นอดีตให้หมด มองตัวมึงเองตอนนี้ให้เป็นปัจจุบัน แล้วมองความฝันของมึงให้เป็นอนาคต”

       “…”

       “มึงไม่อยากรักษาคนอย่างที่มึงเคยตั้งใจแล้วหรอ?”

       “…”

       “มึงฟังกูนะ ตอนนี้มึงอาจจะยังไม่มีความสุข เจอแต่เรื่องร้ายๆ ล้มลุกคลุกคลาน โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มึงเชื่อเหอะว่าซักวันมันจะผ่านไป”

       “…”

       “กูเชื่อว่าซักวัน ‘เทียนไข’ จะส่องสว่าง”

       “…” เทียนไขหันไปมองคนที่กำลังกอบกุมมือของเขาอยู่ ก่อนจะเชยสายตาขึ้นมามองที่ใบหน้าของอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าที่มีคราบน้ำตาไหลผ่านทั้งสองข้างแก้ม แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นจากใจจริง เขามองภาพที่เห็น อารมณ์ในใจเริ่มสงบลงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา





       

       ‘ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร’ เทียนไขเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง ..ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่ต้องลังเลกับคำตอบเลยว่าต้องตอบว่าอะไร แน่นอนว่าเขาจะตอบว่าเพื่อทำฝันให้เป็นจริง เพื่อที่จะมีความสุข แต่สำหรับเทียนไขนั่นก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ดีพอ แท้จริงแล้ว..ความหมายของการมีชีวิตอยู่มันไม่ได้มีอะไรมากมาย ทุกๆอย่างสามารถรวมกันได้เป็นคำว่า ‘ความเชื่อมั่น’ นั่นเอง ..เชื่อมั่นว่าในอนาคตซักวันเราจะมีความสุข .เชื่อมั่นว่าซักวันในอนาคตเราจะมีบ้านหลังใหญ่ แค่มี ‘ความเชื่อมั่น’ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งหาคำตอบให้กับคำถามนี้อีกต่อไป และสำหรับตอนนี้ เมธ..ก็ได้ทำให้ ‘ความเชื่อมั่น’ เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง

       ‘เชื่อมั่น’ ว่า ซักวันหนึ่งเทียนไขเล่มนี้..จะส่องสว่าง ให้แสงสว่างกับคนที่กำลังตกอยู่ในความมืดมิด

       ซักวัน..คำว่า ‘นายแพทย์’ จะต้องมาอยู่หน้าชื่อของเขา



       “เทียน กูขอถามได้มั้ยว่าทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงป่วย” คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยถาม เทียนไขหันไปสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาแล้วยันตัวเองขึ้นนั่งให้หลังพิงกับหัวเตียง แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรกลับอะไรไปในทันที ในหัวทบทวนสิ่งที่ได้ยินอยู่ซ้ำๆ

       “…”

       “ทำไมมึงถึงไม่ยอมบอกใครว่ามึงไม่ได้ปกติเหมือนคนอื่นๆ ทำไมมึงถึงไม่บอกว่ามึงป่วย..”

       “…”

       “ยาที่มึงกิน มันเป็นยาระงับประสาท.. หมอที่มาดูอาการมึง ก็ไม่ได้มีแค่หมอทั่วๆไป แต่มีหมอจิตเวชด้วย..”

       “…”

       “กูก็เป็นเพื่อนมึงคนนึงนะเว้ย ไอ้พลก็ด้วย ทำไมมึงไม่บอกกันวะ”

       “…”

       “…” เมธจ้องมองเทียนไขเพื่อรอคำตอบ แต่เมื่อเห็นว่าช่องว่างของบทสนทนามันเริ่มมากเกินไปเขาเลยกะจะขอโทษที่ถามไปแบบนั้น แต่ทันใดนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เป็นน้ำเสียงที่ดูนิ่งๆเย็นๆ แต่ก็ดังกังวานกึกก้องอยู่ในหัวของคนฟัง

       “..ก็…ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องบอกพวกมึงนี่..”

       “…”

       “เวลาอยู่กับพวกมึงกูอยากเป็นคนปกติ กูไม่ได้อยากเป็นคนป่วย” ใช่แล้ว..มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องทำให้คนรอบตัวต้องมามัวเป็นกังวลเรื่องของตัวเอง 

       “…”

       “ไม่ได้อยากถูกเทคแคร์ดูแลจนเหนือกว่าคนอื่น ที่สำคัญเลยก็คือ..ไม่อยากให้พวกมึงต้องมาคอยเป็นห่วงกู”

       “…”

       “เพราะงั้นกูก็เลยไม่ได้บอกใคร เพราะถ้าบอกใครซักคน ในสายตาเขา..กูก็จะไม่มีวันกลับไปเป็นคนปกติได้อีก” และนี่คือสิ่งที่เทียนไขกลัวที่สุด …เขารู้ดีว่าตัวเองป่วย และรู้ดีว่าเพื่อนๆของเขาอยู่ในวัยที่กำลังต้องการความสนุก ต้องการโลดแล่นอยู่ในแสงสี เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเลือกที่จะปกปิดเรื่องอาการป่วยของตัวเอง เพื่อที่จะให้เพื่อนๆรอบๆตัวเขาได้สนุก และมีความสุขอย่างที่ใจต้องการโดยไม่ต้องมากังวลอะไรเกี่ยวกับตัวเขา และสิ่งที่เทียนไขต้องทำมันก็ไม่ได้ยากอะไรด้วย ก็แค่..ทำตัวให้เป็นปกติ

       “…แต่ในฐานะเพื่อน กูก็ควรจะรู้เรื่องของเพื่อนกูบ้างปะวะ” เมธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับ “เห็นกูติดแฟนงี้ แต่กูก็เป็นห่วงเพื่อนของกูเหมือนกันนะเว้ย”

       “กู..”

       “เอาเป็นว่ากูจะไม่บอกใคร แต่ขอให้กูได้รู้หน่อยเถอะ มึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะได้รู้ว่ากูต้องทำยังไง” ..นานมากแล้วที่เทียนไขไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใย และตอนนี้เขาก็กลับมารู้สึกถึงมันอีกครั้ง ผ่านทุกๆคำพูดที่เมธสื่อออกมา

       “หมอบอกว่า…กูสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นๆได้แล้ว แต่กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจริงมั้ย เพราะบางทีกูก็รู้สึกว่ากูควบคุมตัวเองไม่ได้..” และเขา..ก็เลือกที่จะลองเชื่อใจเมธ

       “…”

       “กูเป็นโรคจิต หมอบอกกูว่ากูเป็นประเภท Paranoid Schizophrenia”

       “…”

       “กูเคยเป็นหนักตอนช่วงจบ ม.6 ใหม่ๆ แต่ก็รักษาจนกูสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ แต่มึงรู้มั้ย..”

       “…”

       “พี่หมอเขาโกหกกู.. เขาบอกว่ากูจะไม่เห็นภาพหลอนอีกต่อไปแล้ว แต่กูก็ยังเห็นมัน เห็นภาพเหล่านั้นอยู่ทุกๆครั้งที่กูหลับตา..” เทียนไขพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงมันเท่าไหร่นัก ถ้าเลือกได้เขาก็อยากจะลืมๆมันไปเสียด้วยซ้ำ

       “เทียน..” เมธค่อนข้างตกใจกับความจริงที่กำลังได้ฟัง แต่เขาไม่ได้นึกกลัวอะไรทั้งนั้น ในอกมีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งเขาก็ส่งผ่านมันผ่านทางฝ่ามือที่กำลังบีบมือเล็กๆของเทียนไขอยู่เบาๆ

        “..ทุกอย่างมันมืดไปหมด กูมองไม่เห็นทางออกเลยด้วยซ้ำว่ากูควรทำยังไงกับตัวเอง กูไม่มีที่ไป แม้แต่บ้านกูกูก็เรียกได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำว่านั่นยังเป็นบ้านอยู่ แต่แล้วกูก็ได้รับการช่วยเหลือ น้ากู..ช่วยกูจากตรงนั้น ดูแลกู รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย เป็นธุระให้กูทุกอย่าง กูรู้สึกขอบคุณเขามากๆ ซักวันกูจะกลับไปตอบแทนบุญคุณเขาแน่ๆถ้ากูเรียนจบ แต่มันคงจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว”

       “น้ามึง..?”

       “เขาเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน” น้าหยวน..จากเทียนไขไปเมื่อไม่นานมานี้ตอนช่วงก่อนวันเปิดภาคเรียนไม่กี่วัน แต่เทียนไขมารู้เอาทีหลังก็ตอนเปิดเทอมได้สองสามวันแล้ว ใช่..งานศพถูกจัดไปแล้วเรียบร้อย สิ่งที่เหลืออยู่ให้เห็นมีเพียงแค่โกฐใส่อัฐิ แต่ที่แย่ก็คือเขามารู้เอาทีหลังว่าน้าหยวนอยากจะมาหาเขา ในมือมีปิ่นโตซึ่งเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ตั้งใจว่าจะเอามาให้หลานเพียงคนเดียวของตัวเองเพื่อหวังจะให้เทียนไขได้กินของดีๆก่อนจะเปิดภาคเรียน แต่ทุกอย่างก็พังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี น้าหยวนถูกรถชนในขณะที่กำลังจะข้ามถนน สิ่งที่คิดว่าจะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณก็ไม่มีวันส่งไปถึงได้อีก



       “…”

       “สิ่งที่เหลืออยู่ในชีวิตกูเลยมีแค่เพื่อน ซึ่งกูก็มีแค่มึง กับไอ้พล”

       “ไม่เป็นไรนะเว้ยเทียนไข กูเชื่อว่ามึงเก่งมากๆที่มึงผ่านเรื่องราวพวกนี้มาได้”

       “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันก็คงจะดี แต่แย่หน่อยที่กูไม่ใช่..”

       “…”

       “กูขอโทษนะเมธ แต่กูยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องนี้ตอนนี้ว่ะ..” ..เรื่องของคนๆนึงที่เทียนไขเคยมีใจให้ ..เรื่องของคนที่เป็นทุกๆอย่างในชีวิตของเขา มันคงจะดีถ้าในหัวของเขามองเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วและสามารถเล่ามันออกมาให้เป็นแค่นิยายรักเรื่องนึง แต่มันไม่ใช่แบบนั้น…ทุกๆอย่างมันไม่เคยผ่านไป โดยเฉพาะความรู้สึก..

       “ไม่เป็นไรเพื่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็ได้ เอาที่มึงทำแล้วมึงโอเคอะดีที่สุด กูอยู่ตรงนี้คอยรับฟังมึงอยู่เสมอ” เมธตบบ่าเทียนไขเบาๆ ส่งพลังความเป็นห่วงที่อยู่ในใจไปให้มากที่สุด ซึ่งเทียนไขก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเหล่านั้น แต่ว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่ในใจ…ที่เขาอยากรู้

       “เออเมธ..กูมีอะไรจะถามมึงหน่อย”

       “จัดมาเลย”

       “มึงจะคิดยังไง..ถ้ากูจะบอกว่ากูเป็นต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ..สมมุติว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ” เมธจะคิดยังไง..ถ้าเกิดวันนึงเขามารู้ว่าเป็นเพราะเทียนไขเปลวถึงได้หลับไปเกือบสัปดาห์ จะคิดยังไง..ถ้าเทียนไขคนนี้ไม่ได้เป็นคนอย่างที่เขาคิด..?

       “ก็อย่างที่บอก…กูอยู่ข้างๆมึง ไม่ว่าคนอื่นจะมองมึงยังไง แต่กูจะมองมึงเหมือนเดิม มึง..ก็คือมึง ไอ้เทียนเพื่อนกู” ทว่า..คำตอบที่ได้มันกลับไม่ได้ทำให้เขาต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แต่มันกลับทำให้เขายิ้ม

       “อยากจะอ้วกแต่กลัวอ้วกเป็นเลือดอีก” …หมายถึง ขอบคุณมึงมากๆเลยนะเมธ

       “กวนตีนแบบนี้แสดงว่ามึงเริ่มโอเคแล้วอะดิ”

       “ไม่รู้ว่ะ ไม่อยากให้มึงเครียดไปตามกูเฉยๆ”

       “กูเคยเครียดอะไรด้วยหรอวะถามจริง”

       “เออว่ะ ไม่เคยเลย”

       “นั่นแหละ”

       “55555555555555”

       …เสียงหัวเราะดังลั่นสนั่นห้องในห้องพักผู้ป่วยรวมที่มีผู้ป่วยคนอื่นๆนอนอยู่ด้วย แน่นอนว่ามันเสียมารยาท แต่กลับกันมันช่วยทำให้ความสุขเล็กๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน..เกิดขึ้นอยู่ในใจของเทียนไข







มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 10-02-2019 19:31:26
       วันเวลาผ่านไปหลายวันจนอาการจากการกินยาเกินขนาดของเทียนไขเริ่มปกติดี อีกวันเดียวเทียนไขก็จะได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้ แต่เขาต้องกลับมาหาหมออีกครั้งตามวันและเวลาที่หมอนัดเพื่อดูอาการ เนื่องจากว่าหมอไม่สามารถไว้วางใจกับอาการป่วยของเขาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเขา สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือความเงียบเหงาที่เขาต้องเผชิญในแต่ละวันนี่ต่างหาก

       เทียนไขอยากกลับไปเรียน ..แต่ก็ทำได้แค่นั่งมองตึกรามบ้านช่องผ่านหน้าต่างกระจกสีใสเพื่อรอให้วันเวลาผ่านไป แต่ละวันหมุนเวียนไปด้วยการตื่นนอนในตอนเช้า แล้วก็หลับไหลในตอนกลางคืน..เป็นแบบนั้นอยู่ร่ำไป จะมีบางวันเท่านั้นที่เมธจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่ส่วนใหญ่เมธจะติดธุระหลายๆอย่างทำให้มาไม่ได้ แต่ก็จะโทรมาถามไถ่กันอยู่ตลอดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก



       “ทะด๊า สวัสดีครับผม วันนี้กูมาพร้อมช็อคโกแลตและบรรดาขนมขบเคี้ยวไร้ประโยชน์ที่มึงชอบ” นั่นไง กำลังนึกถึงอยู่พอดี คุณเมธเขามีความตายยากเวอร์ๆ

       “มันคืออาหารชั้นเลิศปะเหอะ มึงไม่รู้อะไร” เทียนไขยันตัวเองลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นเพื่อนของเขากำลังเดินเข้ามาหา

       “แน่นอน เพราะกระเพาะกูไม่ย่อยของที่ราคาต่ำกว่าสองพัน”

       “อุแหวะ” คนป่วยบนเตียงทำท่าอ้วกเพื่อกวนตีนไปหนึ่งสเต็ป ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะกลับมา โอเค..ถือว่ากวนตีนสำเร็จ

       “วันนี้เป็นไงบ้างล่ะมึง” เมธเอ่ยถาม ก่อนจะวางถุงขนมไว้ข้างๆเตียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม

       “ก็เฉยๆ ลงไปหาหมอมาตอนบ่าย เขาก็ให้กูทำแบบประเมิน สอบถามว่ากูรู้สึกยังไงช่วงนี้ เป็นยังไง”

       “เดาว่ามึงน่าจะเบื่อแน่ๆ”

       “ก็ไม่ขนาดนั้น อาจจะมีเหงาๆนิดหน่อย เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้กูทำ คือโคตรว่าง อยากเอาเวลาว่างพวกนี้ไปนั่งเรียนกับพวกมึงมากๆเลย”

       “โห่ กูนี่อยากจะบินหนีจากห้องเรียนชิบหาย รู้สึกเหมือนเป็นนกยูงในฝูงยุง คือกูเรียนไม่รู้เรื่อง”

       “กูขอเกลียดการเปรียบเทียบ”

       “55555555555”

       “แล้วนี่..ไอ้พลยังไม่ว่างอีกหรอวะ..?” เทียนไขชะเง้อมองหาคนที่เขาพูดถึงเพราะหวังว่าพลจะตามมาด้วย แต่ก็เห็นแต่เพียงความว่างเปล่า ..ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวหรือได้เห็นหน้าค่าตาพละพลเลย เมธเคยบอกเขาว่าพลไม่ว่าง ช่วงนี้มีงานที่คณะ เขาก็เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่เห็นพละพลเลยแม้แต่เงา

       “เออ ช่วงนี้มันฮอต” เมธพูดติดตลก ก่อนจะหันไปหยิบขนมที่เป็นของฝากให้ผู้ป่วยมากินเสียเอง

       “ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่กูจะไปขอลายเซ็นละกันนะ” คนป่วยรับมุกอย่างรู้งานก่อนจะหันไปหยิบขนมในถุงมาแกะกินบ้าง

       “เออนี่..มึงออกจากโรงพยาบาลวันไหนนะ?” เมธเอ่ยถามพร้อมกับเคี้ยวมันฝรั่งทอดกรอบในปาก

       “พรุ่งนี้ครับผม กูจะได้กลับไปเรียนแล้วเย่” เทียนไขยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ..พรุ่งนี้เขาจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว ..เขาจะได้กลับไปเจอเพื่อน ..ได้เรียนในสิ่งที่เขารัก ทว่า..

       “ไม่” จู่ๆสีหน้าเมธก็ดูผิดแปลกไปจากเดิม เช่นเดียวกันกับเสียงแข็งกร้าวเมื่อครู่ที่เปลี่ยนไปจากน้ำเสียงปกติ

       “…” เทียนไขหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ความเงียบสงัดเกิดขึ้นในการสนทนาชั่วขณะ

       “ก..กูหมายถึง มึงอย่าพึ่งไปเรียนตอนนี้ หยุดพักไปก่อนซักอาทิตย์ รอให้มึงหายดี” บางอย่างที่น่าสงสัยเกิดขึ้นในน้ำเสียงตะกุกตะกักของเมธ ..เพราะอะไรกันล่ะที่เขาจะไปเรียนไม่ได้?

       “ทำไมวะ มีอะไร”

       “ไม่มีอะไรหรอก กูแค่อยากให้มึงหายดีก่อน แล้วค่อยไปโรงเรียน จนถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สาย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวกูอธิบายให้มึงก็ได้”

       “จ้า เอางั้นก็ได้ขอบพระใจในความเป็นห่วงนะค้าบ” เทียนไขตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่ลึกๆในใจความสงสัยเมื่อครู่ก็ไม่ได้หายไป

       











       วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่เทียนไขได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ตลอดทั้งวันหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเขาไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากนอนพัก แล้วก็นอนพัก มีแค่นั้นจริงๆ ..ล่วงเลยจนมาถึงเช้าวันใหม่อันแสนสดใส ซึ่งถ้าจำไม่ผิดวันนี้เขามีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่เวลาที่เขาตื่นดันเป็นแปดโมงเช้าซะแล้ว สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการทำทุกอย่างแบบลวกๆแล้วรีบไปมหาลัยให้เร็วที่สุด



       “ขออนุญาตครับ!” เขาเอ่ยออกไปตามมารยาทพร้อมกับเปิดประตูตรงหน้าออก ก่อนจะพบว่าอาจารย์กำลังสอนไปได้ซักระยะแล้ว และเพื่อนคนอื่นๆก็กำลังเทความสนใจมาที่จอโปรเจคเตอร์หน้าห้อง แต่ทันทีที่อาจารย์หันไปตามเสียงเปิดประตู นิสิตทุกคนก็เทความสนใจมาที่ตัวเขาแทน


       ‘ก..กูหมายถึง มึงอย่าพึ่งไปเรียนตอนนี้ หยุดพักไปก่อนซักอาทิตย์ รอให้มึงหายดี’



       จู่ๆคำพูดของเมธก็ดังเข้ามาในหู แต่..ทุกๆอย่างมันก็ปกติดีนี่?

       “ขออภัยที่เสียงดังครับ” เทียนไขก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปตรงที่ว่างที่เหลืออยู่แถวๆหลังห้อง ซึ่งไกลกับที่ที่เมธกับพละพลนั่งอยู่พอสมควร



       “..อ่าว กระเป๋าดินสอล่ะวะ..?” และด้วยความรีบร้อน จึงทำให้เทียนไขลืมหยิบกระเป๋าดินสอใส่ลงมาในกระเป๋าสะพายของเขาเพราะฉะนั้นเทียนไขจึงจำเป็นที่จะต้องยืมจากเพื่อนคนอื่น และเขาก็เลือกที่จะยืมคนที่อยู่ข้างหน้าเขา..ตอนนี้

       “อุ้ม..มีปากกาให้เรายืมมั้ย คือเราลืมเอากระเป่าดินสอมา ก็เลย..”

       “ไม่มี”

       “..โอเค” ไม่ผิดหรอกที่อุ้มจะไม่มีปากกาให้ยืม ก็เธอใช้แท็บเลตในการเลคเชอร์ เพราะงั้นเป้าหมายจึงเปลี่ยนมาที่คนที่อยู่เยื้องๆไปทางซ้ายแทน

        “ฝ้าย ขอยืมปากกาหน่อยดิ คือเราลืมเอากระเป๋าดินสอมา ..ก็เลยไม่มีปากกาเลยซักด้าม ดินสอก็ไม่มี..” เทียนไขเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงสีหน้านิ่งๆเท่านั้น ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของเธอเลยแม้แต่คำเดียว ..ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรหรอก ฝ้ายอาจจะไม่มีให้เขายืมก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มีไปด้วยซะหน่อย คิดได้แบบนั้นเทียนไขจึงขอยืมใครอีกหลายคน แต่คำตอบที่ได้บางคนก็ให้มาแค่ความว่างเปล่า บางคนก็กระแทกหน้าเขากลับมาด้วยคำว่าไม่มีซะเสียงดังลั่น แต่…อย่างน้อยๆหัวหน้าอย่างลูกหว้าก็ต้องมีอยู่แล้วแหละ

      “ลูกหว้า..มีปากกาให้เรายืมไหม? คือเราลืมเอากระเป๋าดินสอมา..”

       “อะ เอาไป ไม่ต้องคืนนะ” เห็นมั้ย..ไม่ใช่ทุกคนซักหน่อยที่จะไม่มีปากกาให้ยืม..

       “ขอบคุณนะ” เทียนไขยิ้มตอบ ก่อนจะเปิดฝาปากกาแล้วเขียนชื่อตัวเองลงไปในชีท ทว่า..

       “ไม่ต้องขอบคุณ มันไม่ติด ฝากทิ้งด้วยนะ” ปากกาที่ลูกหว้าให้ยืมมามันเป็นปากกาหมึกหมด

       “…” รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของเทียนไขต้องหุบลง เมื่อเห็นลูกหว้าและเพื่อนคนๆอื่นหันไปหัวเราะกันคิกคักด้วยความสะใจ



       นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่เมธพยายามจะบอกเขา..?







       ช่วงพักกลางวันของวันเดียวกัน ..ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาดังขึ้นเทียนไขก็ไม่รอช้า รีบลุกเดินไปหาเพื่อนสนิทของเขาในทันที

       “ว่าไงคนดัง แหม่ ฮอตใหญ่เลยน้า ไม่ไปเยี่ยมกูบ้างเลย..” เขาเท้าแขนลงกับโต๊ะก่อนจะเอ่ยทักทายพร้อมกับเล่นหูเล่นตาแบบขำๆอย่างที่มักจะทำกันตามปกติ

       “เมธวันนี้กินไรดีวะ” ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ..ไม่หรอก พลคงจะไม่ได้ยิน..

       “ขอลายเซ็นหน่อยค้าบ เนี่ยๆๆเซ็นตรงนี้ เซ็นบนเสื้อผมเลยค้าบ” เพิ่มความดังให้มากขึ้น..เผื่อว่าพลจะไม่ได้ยินจริงๆ

       “เมธมึงรำคาญเหมือนกูปะวะ”

       “…” ฮ่าๆ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเพราะพลไม่ได้ยิน แล้วมันก็ใช่จริงๆด้วย แล้วนี่..พลกำลังหงุดหงิดกับเกมในมือถือใช่หรือเปล่า? ไม่ได้เห็นพละพลมุมนี้มานานเหมือนกันนะเนี่ย

       “เก็บได้แล้วเกมอะเพื่อนพล เดี๋ยวคนเต็มโรงอาหารก่อนน้า หิวไส้กิ่วไม่รู้ด้วย” ทุกอย่างปกติ.. ทุกอย่างมัน..ปกติ

       “อ้าวเทียน ออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอ?” เห็นมั้ยล่ะ..ทุกอย่างปกติดี เมื่อกี้พลแค่ไม่ได้ยิน เมื่อกี้พลแค่หงุดหงิดใส่เกมในมือถือเท่านั้น..

       “ไม่ออกกูจะมายืนตรงนี้มั้ยครับ ป่ะ ไปกินข้าวกัน” เทียนไขยิ้มตอบเสียงใส ก่อนจะเดินมาอีกฝั่งแล้วกอดคอพละพลเดินออกไป

       “ไอ้เมธบอกกูว่ามึงอาหารเป็นพิษ ตอนนี้เป็นไงบ้างหายดีแล้วหรอ” พละพลเอ่ยถาม ซึ่งคำถามที่เขาพูดออกมาก็ทำเอาคนฟังอย่างเทียนไขนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เพราะนั่นมันไม่ใช่ความจริงเลยซักนิด แต่พอหันไปทางเมธที่กำลังจีบนิ้วเป็นเชิงว่าโอเค เทียนไขก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพลถึงคิดว่าเขาอาหารเป็นพิษ

       “ตอนนี้กูสบายดี แต่จริงๆนอยด์มึงนิดหน่อยที่ไม่ไปเยี่ยมกูเลย อย่าลืมง้อด้วย” เทียนไขยิ้มตอบ ในใจนึกขอบคุณเมธมากๆที่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้จริงๆว่าตัวเขาป่วย

       “ไม่ค่อยว่างเลยว่ะ เดี๋ยวต้องไปช่วยงานคณะเรา เดี๋ยวก็ถูกไอ้โจ้ดึงไปช่วยงานคณะมัน”

       “เออๆกูเข้าใจ ช่วงคนมันจะฮอตมันก็ฮอตงี้แหละ” เทียนไขเอ่ยแซว

       “ที่ฮอตนี่เพราะหน้าตากูทั้งนั้นครับผม”

       “ถุ้ยถุ้ยถุ้ย”

       “5555555555”

       “อย่าขำเยอะเหม็นปาก อะ..ล้อเล่น”

       “สัด เออนี่เย็นนี้มึงก็ไปกับกูด้วยดิ ช่วยไอ้โจ้มัน คณะมันทำกระเป๋าเพื่อการกุศลขาย เป็นกระเป๋าผ้าสกรีนลาย มันให้เราไปช่วยมัน”

       “ได้ๆ หลังเลิกเรียนหรอ”

       “ใช่แล้วค้าบ”

       “เดี๋ยวนะพล” เมธเอ่ยขึ้นมา “กูไม่ยักรู้ว่าสถาปัตย์ทำกระเป๋าขาย”

       “มึงจะไปรู้ไรวะไอ้เมธ วันๆอยู่แต่กับแฟน ไงล่ะ..จะไปกับพวกกูเปล่าตอนเย็น” พละพลถามต่อ

       “โทษที..”

       “โอเคกูเก็ท ไม่ต้องพูดละครับ” ไม่ทันที่เมธจะได้พูดอะไรตอบกลับมาเขาก็ตัดบททันที ประมาณว่าพอเถอะ กูรู้ว่ามึงจะพูดอะไร

       หลายวันแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจสบายสมองเพราะบทสนทนาในกลุ่มเพื่อนที่หาสาระไม่ค่อยจะได้แบบนี้ บางที..นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีของการมีชีวิตอยู่ต่อด้วย ‘ความเชื่อมั่น’ ก็ได้ และสำหรับเทียนไขเองเขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะ ถึงแม้จะนึกสงสัยกับท่าทีที่แปลกๆไปของพละพลในตอนแรกอยู่บ้าง แต่มันก็คงจะไม่มีอะไร ทุกคนตรงนี้คือ ‘เพื่อน’ ที่เขารัก และเขาก็เชื่อด้วยว่าทุกคนตรงนี้ก็รักเขาเช่นกัน

       ..เป็นแบบนั้น..ใช่ไหม?











       ช่วงเย็นของวัน เทียนไขเดินออกมาจากตึกเรียนเดินไปตามฟุตบาทโดยมีพละพลอยู่เคียงข้าง จุดมุ่งหมายก็คือตึกสถาปัตย์ที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร พวกเขาเดินคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านๆมา โดยในบทสนทนาเต็มไปด้วยมุกตลก เรื่องราวไร้สาระ และสีหน้าที่แป้นแล้นทะเล้นล้อเลียนกันไปล้อเลียนกันมา อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหมือนอย่างเคย ..ไม่นานนักท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มทอแสงสีส้ม แสงอาทิตย์เริ่มจางหาย เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าใกล้จะสิ้นสุดช่วงวัน และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกเขาทั้งสองคนเดินมาถึงจุดหมายพอดี ทว่า..พละพลกลับไม่ได้พาเขาเดินขึ้นไปบนตึก โจ้ไม่ได้โผล่หน้ามาทักทายกันเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้



       “อ่าวพล..นี่ทางขึ้นไม่ใช่หรอ ไปไหนวะ?” เทียนไขเอ่ยถาม ในใจเริ่มรู้สึกหวั่นๆ..

       “…” อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมา ทว่ากลับกอดคอเขาแล้วกึ่งเดินกึ่งลากตัวเขามาที่ด้านหลังตึก

       “โอ๊ย! กูเจ็บ..” เทียนพยายามใช้มืองัดแงะให้ตัวเองหลุดออกมาจากพันธนาการ แต่มันกลับยิ่งยากขึ้นเพราะพละพลเกร็งแขนจนแทบจะล็อคคอเขาอยู่ตรงนั้น

       “พล..มึงจะพากูไปไหน ไอ้โจ้ล่ะ? …ปล่อยกู…ปล่อยกูได้ไหม กูเจ็บ..” คนในอาณัติร้องโอดครวญขอความเมตตามาตลอดทาง จนสุดท้ายแล้วพละพลก็ปล่อยให้เขาออกไปจากพันธนาการ และวิธีที่พละพลใช้ก็คือ..ผลักเทียนไขออกไปอย่างแรง

       “มึงกับเปลวเป็นอะไรกัน” เขาไม่เล่นแง่เล่นง่ามอะไรทั้งนั้น พละพลถามออกไปตรงๆโดยไม่อ้อมค้อมพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เทียนไขที่กำลังพยายามตั้งหลักให้ตัวเองยืนเต็มความสูง

       “…” ..ความรู้สึกหลายๆอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ ..เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พลกำลังจะทำ ไม่เข้าใจสีหน้าที่พลแสดงออกมา ก่อนหน้านี้พลยิ้มแย้ม..แต่ตอนนี้กลับบึ้งตึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคือง และคำถามเมื่อครู่..ก็กำลังทำให้เศษเสี้ยวหัวใจที่พึ่งจะปะติดปะต่อสมานกันเกือบจะสำเร็จพังทลายลงอีกครั้ง

       “มึงเป็นใบ้หรอ” ..เทียนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพียงแค่ได้ยินชื่อของเปลวเข้ามาในหู โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกๆอย่างแน่นิ่งราวกับถูกใครซักคนหยุดเวลาเอาไว้

       “ร..เรา..ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น” ใช่แล้ว..สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมันเป็นแค่ความรักจอมปลอม มันไม่ใช่เรื่องจริง

       “เชื่อก็โง่ ..กูรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”

       “ม..มัน..ไม่มีอะไรทั้งนั้น กูกับมันไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ” ใช่แล้ว..ไม่เคยรู้จักกัน อย่างที่เปลวพูดอยู่ทุกครั้ง

       “วันนั้นที่โรงพยาบาล กูได้ยินที่พวกมึงคุยกัน”

        “….” ..ราวกับมีระฆังดังก้องอยู่ในหัว

        “มึงเป็นแฟนเก่าเปลว? ..ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วยวะ มึงเจ็บแค้นอะไรขนาดนั้นเลยรึไง ชีวิตคนนะ?” 

       “พล กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรนะ แต่กูกับเปลวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้กูยุ่งกับเปลว ก็แน่นอน..มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว กู..ไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับมัน”

        “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วมึงจะมีเหตุผลอะไรที่มึงต้องทำร้ายเปลวด้วยวะ”

        “…”

        “เห็นมั้ย? มึงก็ตอบคำถามกูไม่ได้”

        “…”

        “กูแคร์มึงมากเลยนะเทียน คิดว่ามึงเป็นเพื่อนของกูมาตลอด ไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้”

        “…”

        “เปลวก็บอกกับกูเหมือนกันว่ามันก็ไม่ได้รู้จักมึง กูก็เลยสรุปเอาเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเพราะความเหี้ยของมึงล้วนๆ ..อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะเก่งซักแค่ไหน..?”

       “…”

       “มึงทำให้เปลวเป็นแผลที่หัว เพราะงั้น..”

       “…”

       “มึงก็โดนบ้างแล้วกัน”

        ..สิ้นเสียงของพละพลที่เย็นยะเยือก ก็ปรากฎเป็นชายฉกรรจ์หลายคนออกมาจากด้านหลังของเขาห้อมล้อมรอบทิศทาง ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะ ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนฝ่ามือสั่นระริก ริมฝีปากพยายามส่งเสียงเรียกพละพลที่กำลังเดินออกไปเพื่อขอความเมตตา

        “ไงไอ้เทียน มึงซ่านักหรอ ..ได้ข่าวว่าห้าวจัดจนทำเพื่อนกูเข้าโรงพยาบาลไปหลายวัน” เสียงทุ้มต่ำอันน่ากลัวเอ่ยรดอยู่ที่ใบหูของเขาอย่างน่าขนลุก

        “ไม่..ออกไป ออกไป” หยาดน้ำตาเริ่มรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา เทียนไขพยายามถอยหนี แต่ก็ไม่มีที่ทางให้เขาหลบหลีกไปไหนได้เลย

        “มึงคงจะรู้ตัวดีใช่ไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไป?” โจ้พูดขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่รอการปะทุอย่างเต็มที่ “มึงทำให้คนที่เขากำลังจะไปกันได้ดีต้องมาหยุดชะงักความสัมพันธ์..”

        “…”

        “ไม่เข้าใจเลยว่ะ …ทำไมเพื่อนกูต้องมาเจอคนแบบมึงด้วยวะ” ไม่เป็นไรหรอกเทียนไข …ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้..เข้มแข็ง..

        “…”

        “คนเหี้ยๆอย่างมึง ทำไมเพื่อนกูต้องมาเจอ!!” โจ้ตวาดเสียงดังลั่นก่อนจะใช้แรงเพียงเสี้ยวหนึ่งผลักเทียนไขออกไปจนคนตัวเล็กกว่าล้มไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยหินกรวด



        ผัวะ!

        ..สิ้นเสียงของโจ้หมัดหนักๆก็พุ่งตรงมาที่ศีรษะของเทียนไขทันที ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทุกเซลล์ประสาทสัมผัส

        “นี่แค่ส่วนน้อยที่มึงทำกับเพื่อนกู ไอ้เหี้ยเทียน!”



        ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

        หลังจากหมัดแรกที่กระแทกลงมาที่ศีรษะอย่างจังผ่านไป ก็ตามมาด้วยหมัดต่อไปๆในทันที กำปั้นหนักๆทุบลงที่สันจมูก ใครคนหนึ่งกระชากคอเสื้อของเขาจนตัวเขาลุกขึ้นไปตามแรง ก่อนจะถูกมอบอีกหมัดลงที่พวงแก้มสีระเรื่อ แล้วตามมาด้วยฝ่าเท้าที่ถีบมาจากด้านหลังจนเขาเซไปด้านหน้า ..ไม่มีใครรอรับเขาทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเทียนไขล้มหน้าคะมำไปกับพื้นดินที่มีแต่หินกรวด

        “อึก..ฮือ กูขอโทษ…ขอโทษ” น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาจากความเจ็บปวดที่รู้สึก


      ‘มึงฟังกูนะ ตอนนี้มึงอาจจะยังไม่มีความสุข เจอแต่เรื่องร้ายๆ ล้มลุกคลุกคลาน โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มึงเชื่อเหอะว่าซักวันมันจะผ่านไป’


       ..สิ่งที่เมธเคยบอก ตอนนี้เขาก็ยังอยากจะเชื่ออย่างนั้น ..ทุกอย่างจะผ่านไป..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่มันทรมานเหลือเกิน..



       “ไม่ต้องร้องขอให้ใครมาช่วยมึงหรอก เพราะตอนนี้ไม่มีใครสนใจมึงอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองก็ตาม”

       “…”

       “เรื่องที่มึงทำเอาไว้ ทุกคนทั้งในคณะกูแล้วก็คณะไอ้พล..รู้หมดแล้ว”

        “…”

        “และทุกคนก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าเข้าใกล้ น่าขยะแขยง”

        “…ไม่..ไม่ใช่แบบนั้น” ไม่หรอก..ไม่จริง อย่างน้อยๆพละพลก็ไม่คิดอย่างงั้นแน่ๆ พละพลคือเพื่อนที่เขารัก เป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาเชื่อใจแล้วก็ไว้ใจมากที่สุด..

        “ทำไม? มึงมีอะไรจะแถหรอ?”

        “พล.. พลช่วยด้วย” เอ่ยร้องออกไปทั้งน้ำตา ..แต่คำตอบที่ได้ก็มีแค่ความเงียบสงัด

        “โห่ นึกว่าจะแถอะไร ไอ้พลมันไปเที่ยวกับไอ้เปลวแล้ว มันไปด้วยกันทุกวันอะ”

        “…”

        “..คนเขารักกัน”

        “…”  นี่คือ…ความเป็นจริงสินะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขณะที่เทียนไขเจ็บปวดทรมานอยู่ที่โรงพยาบาล  พวกเขาทั้งสองคนกลับมีชีวิตที่ดี ความรักที่กำลังก่อตัวก็ไปได้สวย ชีวิตอบอวลไปด้วยความสุข อา..ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง..

        “อิจฉาล่ะสิ น่าสมเพชจัง”

        “…”

        “แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วแหละ คนอย่างมึงไม่น่าจะมีใครรัก!” สิ้นเสียงของโจ้ก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังสนั่นลั่นกังวานอยู่ในหัว ..ก็พูดถูกแล้วแหละ..เทียนไขอย่างเขาไม่มีใครรักจริงๆ

        “…ปล่อยกู..ไปเถอะนะ” ..เป็นแค่เทียนไขเล่มนึงที่ถูกแผดเผาจนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ก็ยังดั้นด้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

        “ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!” ใครคนหนึ่งตวาดใส่หน้าเขาเต็มๆ ก่อนจะตามมาด้วยทั้งหมัดทั้งเท้า ที่ทั้งต่อยทั้งถีบจนร่างกายเขาสะบักสะบอมไร้เรี่ยวแรงใดๆหลงเหลือ

        ..เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่อาจรู้ แต่หลังจากนั้นกลุ่มคนใจร้ายเมื่อครู่ก็ทยอยจากไป หลงเหลือไว้แต่เพียงเขาในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัวเพราะน้ำที่คนพวกนั้นสาดราดใส่เขา



       “…” ..มันเจ็บไปหมดทุกส่วน แต่ไม่เป็นไรหรอก.. เขาเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็งอย่างที่ใครหลายๆคนเคยบอก..



       ..พระจันทร์เสี้ยวเล็กๆบนท้องฟ้า สาดแสงเพียงน้อยนิดนำทางให้เขาใช้ก้าวเดิน เทียนไขเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะยิ้มให้กับภาพหมู่ดาวที่เขาได้เห็น ถึงแม้มันจะพร่าเบลอไปด้วยม่านน้ำตาไปบ้างก็ตาม

       “..ขอบคุณนะ..” เขาเอ่ยขอบคุณให้กับดวงจันทร์ที่กำลังยิ้มแฉ่งให้เขา “ผมจะไม่ยอมแพ้..ไม่ยอมแพ้หรอก..”

       …เลือดกำลังไหลออกจากรอยแผลที่ศีรษะและรอยแผลบนใบหน้าลงไปตามลำตัว เสื้อนิสิตที่เคยขาวสะอาดเปื้อนดินเปื้อนน้ำจนสกปรกดูน่ารังเกียจ บางส่วนของเสื้อก็เปื้อนสีแดงที่มาจากเลือด บางส่วนก็ขาดวิ่นเพราะถูครูดไปกับพื้นหินและแรงกระชากที่ทารุณ เรียวขาของเขาแทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วด้วยซ้ำว่ามันยังใช้การได้อยู่ แต่เทียนไขก็ยังประคองตัวเองให้เดินต่อไปโดยใช้ฝ่ามือยันผนังเอาไว้  ในหัวพยายามคิดถึงเรื่องที่เขาอยากจะทำ คิดถึงความฝันที่พอจะนำมาเป็นแรงให้เขาก้าวเดินต่อไปได้แม้เพียงก้าวเดียว..ก็คุ้มค่าแล้ว



       ตุบ!

       ด้วยความที่..ขาของเขาบอบช้ำจนเกินไป ทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้อีก เทียนไขจึงล้มฟุบอยู่ตรงฟุตบาท

       “ไม่..ไม่เจ็บหรอก มันจะผ่านไป..มันจะผ่านไป..” ใช่แล้ว..ทุกอย่างจะต้องผ่านไป มันจะผ่านไปได้ด้วยดี ขอแค่ตอนนี้เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อไปให้ถึงหอพักของตัวเอง ..ไม่เป็นไร ต้องไม่เป็นอะไร..



       …ร่างเล็กโซซัดโซเซค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะพาตัวเองมาจนถึงประตูทางออกได้สำเร็จ ทว่าระยะห่างระหว่างจุดที่เขายืนอยู่ตรงนี้กับหอพัก มันก็ไกลเหลือเกิน ไกลเสียจน..ร่างกายของเขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้ไหว

       “…เมธ ฮ่าๆ กูพยายามแล้วนะเมธ ..กูพยายามแล้ว..” เป็นอีกครั้งที่เขาหกล้ม ที่หัวเข่าเริ่มถลอก เทียนไขนึกขำ..แต่ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นน้ำตามันเอาไว้
       “กู..พยายามแล้วจริงๆ..”








มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’ “ Updated
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 10-02-2019 19:36:01
       …ค่ำคืนนี้สำหรับใครบางคนมันเป็นคืนที่แสนวิเศษ และเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก แต่ทว่ามันก็ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ

       เปลวออกจากโรงพยาบาลแล้วเมื่อห้าวันก่อน เขากลับไปพักฟื้นอยู่บ้านได้สี่วันจนมาถึงวันนี้ที่ร่างกายเขาพร้อมสำหรับการมาเรียน เขาจึงกลับมาเรียนเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งวันแรกของเขาในครั้งนี้มันก็พิเศษมากๆ เพราะเขาได้ใช้เวลาอยู่กับใครคนนึงที่เขาอยู่ด้วยแล้วแสนจะสบายใจ คนๆนั้นคือ ‘พละพล’ นั่นเอง

       วันนี้พวกเขาตกลงกันว่าจะไปทานอาหารด้วยกันแล้วก็ไปดูหนังกันซักเรื่อง ซึ่งทุกอย่างก็ไปได้สวย จำไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องในหนังเป็นอย่างไร แต่ที่ตราตรึงใจอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือรสจูบที่เขาและพละพลมอบให้กัน

       “กลับบ้านดีๆนะ” พละพลเอ่ยลาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปิดประตูรถเบาๆแล้วถอยออกไปก้าวหนึ่ง มองดูรถที่มาส่งเขารอให้ลับสายตา ..เปลวมักจะมาส่งพละพลเสมอ ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เหตุผลก็คงจะเพราะ..เขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับพละพลให้นานที่สุด ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นตลอดมา

       ..เวลาผ่านไปจนครึ่งค่อนคืน เปลวกำลังขับรถมุ่งหน้ากลับไปบ้านของตัวเองพร้อมกับเพลงสากลที่เปิดคลอหู ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของคนที่พึ่งบอกลากันไป วาดฝันไปถึงวันพรุ่งนี้แล้วว่าจะไปที่ไหนหรือทานอะไรกันดี

       รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านมหาวิทยาลัยที่เขาเรียน เขามองเข้าไปภายในรั้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขอบคุณสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาได้เจอพละพลอยู่ในใจ แล้วละสายตากลับมาสู่ท้องถนน ทว่าจู่ๆเปลวก็เหยียบเบรกขึ้นมาอย่างกระทันหันเพราะสายตาเหลือบไปเห็นใครคนนึงที่กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่บนทางเท้า ..รูปร่างและการแต่งกาย เขาจำได้ว่าคนๆนี้ใคร หากแต่ว่าทุกๆสัดส่วนของคนๆนี้ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยของของเหลวสีเข้ม



        “เฮ้ยคุณ!” เปลวรีบลงมาจากรถแล้วตะโกนเรียกเขาคนนี้ขึ้นมาทันที ..มันดูไม่มีเหตุผลซักเท่าไหร่ที่เขาจะมาเป็นห่วงคนที่ทำเขาเจ็บเจียนตาย แต่ว่า..ตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกแบบนั้น

        “…” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ เพียงแต่หันมามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปแล้วก้าวเท้าเดินต่อ

        “เทียน..? คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ไหวมั้ย?” เปลวเอ่ยถามด้วยความร้อนรน

        “…” แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ปลายเท้าเล็กๆยังคงก้าวเดินต่อไปทีละเล็กทีละน้อย ดวงตารื้นเอ่อไปด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด

        “เทียน ใครทำอะไรคุณ?” เปลวเดินไปดักอยู่ข้างหน้าเทียนไขพร้อมกับจับไหล่อีกฝ่ายไว้ ใช้สายตาสังเกตตามร่างกาย ก่อนจะพบว่าสภาพของเทียนไขนั้น..เต็มไปด้วยคราบเลือด ที่แย่ไปกว่านั้นคือ..ดวงตาของเทียนไขเลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป

        “มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่.. เข้มแข็ง ..ต้องเข้มแข็ง..” เสียงแหบพร่าพึมพัมอยู่กับตัวเองก่อนจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้น

        “เทียน!” เปลวตกใจกับภาพที่เห็น โชคดีที่เขารับตัวเทียนไขได้ทัน แต่เทียนไขก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไปแล้ว



        ‘หมอไม่อยากให้คุณทำงานหนัก ทั้งการใช้สมองจนหนักเกินไป แล้วก็การใช้ร่างกายที่หักโหมจนเกินพอดีด้วยเช่นกัน’



        หมอบอกกับเขาแบบนั้น ซึ่งเขาก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้..เขากลับเลือกที่จะทิ้งสิ่งที่หมอและเขาพยายามทำมาโดยตลอด แล้วโอบอุ้มเทียนไขขึ้นมาในอ้อมอก

       “โอ๊ย!” ความเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อหลายๆส่วนเกิดขึ้นมาทันทีที่อุ้มเทียนไขขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของคนที่อยู่ในอ้อมอกเขาในตอนนี้อีกแล้ว











       ..เปลวเลือกที่จะพาเทียนไขมาที่บ้านของเขา และเลือกที่จะปฐมพยาบาลด้วยตนเอง เขาจัดการถอดเสื้อผ้าของเทียนไขออก ก่อนจะแทนที่ด้วยชุดที่มีอยู่ในตู้ของเขาเอง เปลวทำทุกอย่างอย่างเบามือ และไม่นานหลังจากนั้นเทียนไขก็เริ่มรู้สึกตัว

       “โอ๊ย!” คนเจ็บร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีเมื่อขยับตัวแล้วพบว่าตัวเองกำลังถูกแอลกอฮอล์ล้างแผลประคบอยู่ที่แผลตรงหัวเข่า

       “อยู่เฉยๆ ผมจะทำแผลให้” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ส่วนเทียนไข..เขาตกใจกับภาพที่เห็น จึงรีบถอยกรูด

       “ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ ผมแค่บังเอิญเห็นคุณสลบ เลยพาคุณมาที่นี่ กำลังทำแผลให้”

       “…”

       “ขยับมานี่”

       “..ไม่ต้องหรอก ท..ทำเองได้”

       “ตามใจ” เปลวหยิบกล่องพยาบาลมาให้คนเจ็บ ก่อนจะมองดูคนเจ็บปฐมพยาบาลให้ตัวเองด้วยความเป็นห่วงที่รู้สึกอยู่ลึกๆในใจ



       “ดีใจนะที่คุณเลือกที่จะมีชีวิตอยู่” จู่ๆเปลวก็พูดออกมา มือที่กำลังจับที่คีบสำลีของเทียนไขหยุดค้างกลางอากาศ

       “…”

       “ผมว่าเขาคนนั้น..ที่อาจจะหน้าเหมือนผม? เขาต้อง..ดีใจมากแน่ๆ” เปลวพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม เทียนไขเชยสายตาขึ้นมาสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้างุดดังเดิม

       “….” ก้มหน้า..เพื่อหลบซ่อนหยาดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาอีกระลอก



       “กินอะไรซักหน่อยมั้ย? ผมทำอาหารเก่งนะ”

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

       “ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย..ผมอยู่คนเดียว”

       “..พ่อละ?”

       “ไม่รู้เหมือนกัน”

       “…”

       “คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้”

       ..เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เพียงแต่เก็บของทุกอย่างลงกล่องแล้วขึ้นไปบนห้องที่เปลวบอกอย่างว่าง่าย ..มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย เทียนไขแค่..เหนื่อย เหนื่อยกับการพยายามที่จะมีชีวิตอยู่









       ..ความเจ็บปวดไม่ได้ทุเลาลงไปซักเท่าไหร่ แต่เขาก็ดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ที่ทุลักทุเลอยู่บนทางเท้า เทียนไขไม่ได้นึกตั้งคำถามอะไรกับชุดที่ถูกเปลี่ยน คงเพราะ..เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ ไม่อยากจะคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรให้ตัวเองย่ำแย่ไปกว่านี้ เขาไม่เคยมีความสุข..เขารู้ และเขาก็จะไม่เว้าวอนเรียกหามันอีกต่อไปแล้ว

       น่าแปลกที่ภายในห้องๆนี้ยังคงเหมือนเดิม ..ชุดเครื่องนอน ..โซนโปรดของเปลว ..ชั้นหนังสือ และรูปภาพต่างๆที่เคยติดไว้ประดับตกแต่งก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ..กลิ่นอาย ..ภาพเก่าๆในที่ตรงนี้มันหอมหวนชวนให้คิดถึงก็จริง แต่ขณะเดียวกันหากคิดถึงภาพเหล่านั้นขึ้นมาภายในหัวใจก็จะเจ็บปวด..

       เทียนไขชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด จ้องมองส่วนต่างๆในห้องด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ยอมรับว่าในใจลึกๆก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรกับตัวเขาในตอนนี้อีกต่อไปแล้ว เขาและเปลวต่างก็เติบโตขึ้นมาก ต่างคนก็ต่างมีเรื่องราวที่หลากหลายของตัวเอง เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วมันจึงเป็นสิ่งที่สมควรและถูกต้องที่สุด

        แต่ไม่รู้ทำไม..ตอนนี้ในความรู้สึกเขาถึงรู้สึกเจ็บ..



       ‘เปลว รูปเรานี่จะเอาไว้ไหนอะ ใหญ่เบอเร่อ’

       ‘ไว้บนหัวนอน’

       ‘ไม่กลัวมันร่วงใส่หัวหรือไง’

       ‘ร่วงก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็ได้ตายในอ้อมกอดของมึง..มึงที่อยู่ในรูปอะนะ’

       ‘แหวะ อย่าเอาออกแล้วกันคุณ’

       ‘แน่นอนครับ จะติดอยู่ตรงนี้ตลอดไปเลย’




        คงเพราะ..เขาคงจะเชื่อสิ่งที่เปลวเคยพูดเอาไว้มากเกินไปหน่อย
        เพราะตอนนี้ รูปใบนั้น..มันไม่อยู่ตรงนี้แล้ว

       



       จมจ่อมอยู่กับความคิดได้ครู่หนึ่งประตูห้องก็ถูกเปิดออก ..เปลวขึ้นมาตามให้เขาลงไปกินข้าว จริงๆเขาก็ปฏิเสธนั่นแหละ แต่เปลวก็สาดมาด้วยข้ออ้างสารพัดจนทำให้เขาต้องตามลงมากินข้าวด้านล่าง



       “ท..ทำไมถึงทำแกงเขียวหวาน..?” ทว่า..ทันทีที่เทียนไขได้เห็นกับข้าวตรงหน้า ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เกิดขึ้นกับตัวเขา

       “ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้อร่อยที่สุดแล้วครับ รู้สึก..คุ้นเคยกับมัน” ไม่รู้หรอกว่าเปลวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับเทียนไขนี่มันเกินไปแล้วจริงๆ..

       “อิ่มแล้ว”

       “เดี๋ยวก่อน.. คุณกินไปแค่ไม่กี่คำเองนะ”

       “ไม่หิว”

       “ผมตั้งใจทำมากเลย..”

       “ตั้งใจทำหรอ..?” เทียนเชยสายตาไปมองคนใจร้ายอีกครั้ง ก่อนจะจับชามที่ใส่แกงเขียวหวานขึ้นมาแล้วเอาไปเทลงถังขยะ

       “เฮ้ย! ทำอะไรวะ!”

       “เลิกโกหกกันซักที!” เทียนไขตวาดเสียงดัง หยาดน้ำตาไหลร่วงออกมาไม่หยุด

       “ผมโกหกอะไรคุณวะ!”

       “เลิกแสดงละครตบตากันได้แล้ว มึงคิดว่ากูเป็นตัวอะไร..? จะทำอะไรกับกูก็ได้ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้หรอเปลว..”

       “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แล้วผมก็ไม่เคยโกหกคุณ”

       “จริงหรอ? แล้วแกงเขียวหวานนี่ล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบกิน มึงทำให้กูกินทุกครั้งที่กูพูดว่ากูอยากกิน”

       “…”

       “บ้านหลังนี้.. ห้องของมึง.. ทุกๆอย่างมันก็คือของๆมึง มึงคิดว่ากูจะโง่จำไม่ได้หรอ?”

       “...”

       “มึงก็คือไอ้เหี้ยเปลวคนนั้นนั่นแหละ คนที่ทำชีวิตกูพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้”

       “…”

       “มึงเห็นสภาพกูตอนนี้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะมึง”

       “…”

       “เพราะฉะนั้น..มึงเลิกโกหกกันซักที”

       “…”

       ”ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ทีหลังไม่ต้องหรอก สาระแน!”







   

       

       















หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’ “ Updated 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 10-02-2019 19:48:42
Talks กันนิดนึงนะคะ


จะบอกว่า เนื้อหาที่เป็นส่วนวิชาการมายด์ได้หาข้อมูลแล้วก็นำมาใส่ในเนื้อเรื่องตามความเข้าใจของมายด์เอง หากมันไม่ถูกต้องหรือมีตรงไหนผิดพลาด มายด์อยากให้นักอ่านทุกท่านช่วยชี้แจงให้มายด์ทราบด้วยอะค่ะ แหะๆ มายด์จะรีบแก้ไขแย่างด่วนจี๋เลย :o8:
ทั้งนี้ทั้งนั้นขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะหากเนื้อหาไม่ถูกใจ

เรื่องนี้มายด์ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายๆอย่างที่อยู่ในสังคมเราจริงๆ ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของชีวิตของคนๆนึงตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องเจอก็เลยดูหนักหนาพอสมควร แต่แน่นอนค่ะว่า ท้องฟ้าหลังพายุฝนย่อมสวยงามเสมอ
ยังไงก็ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
พูดคุยกันได้ที่แฮชแท็กทวิตเตอร์ #น้ำตาเทียน นะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’ “ Updated 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-02-2019 08:17:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’ “ Updated 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 18-02-2019 10:44:34



11


‘เปลวเทียน’









       ‘หมอครับ พอมีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำของผมกลับมาไหม’

       ‘ผมอยาก..ขอโทษเขา’




     



       ..มีประโยคๆนึงในหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน มันเขียนเอาไว้ว่า ..การพบเจอใครซักคนนึงไม่ว่าเราจะสนิทหรือไม่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของมันเสมอ ครั้งแรกที่อ่านผมก็ไม่ได้เข้าใจมันซักเท่าไหร่ แต่พอมาวันนี้…ผมรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่หนังสือเล่มนั้นบอก..หมายถึงอะไร

       วันที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งแรกบนเตียงของโรงพยาบาลในหัวของผมมันแทบไม่มีอะไรอยู่เลย ผมไม่รู้สึกถึงกระบวนความคิดที่กำลังทำงาน ไม่รู้สึกถึงความผูกพัน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความรู้สึกเองผมก็แทบจะไม่รู้สึกถึงมัน

        ทุกอย่าง..ว่างเปล่า

       ราวกับตกอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีสสาร ..ไม่มีดวงดาว ..ไม่มีดาราจักรหรือพลังงานใดๆ เป็นเพียงพื้นที่ว่างที่มืดสนิท ที่แย่ไปกว่านั้นคือ..ผมไม่รู้ว่าคนที่ผ่านไปผ่านมารอบๆตัวผมเขาเป็นใคร ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร แม้กระทั่ง..พ่อของผม ผมก็จำเขาไม่ได้

       และคง..ไม่มีโอกาสให้ผมจำได้อีกต่อไปแล้ว



       ..เขาจากไปในตอนที่ผมกำลังลอยอยู่ในห้วงอวกาศที่ว่างเปล่า ..ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยู่ดูแลผมที่นอนติดเตียงได้ซะทุกวัน ..ไม่รู้เหตุผลที่เขายิ้มเวลาที่ผมมีความสุข ที่สำคัญคือ..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างๆผม สู้ไปกับผมมาตลอดนั่นคือพ่อ และใช่…ผมมารู้เอาทีหลังในตอนที่เขาไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ..ไม่มีสัญญาณบอกเหตุ ไม่มีคำร่ำลา และ..ไม่มีแม้แต่โอกาสที่ผมจะเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยปากของตัวเองเลย

       ..ความรู้สึกตอนนั้น จะว่าเศร้ามั้ย..จริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น จะว่ามีความสุข..นั่นก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน บางทีอาจจะเรียกได้ว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ที่แย่ก็คือ..หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปไม่นานสมองของผมกลับมีความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา อาจจะดูอ่อนแอ..แต่ว่าตอนนั้นผมร้องไห้ ..ร้องไห้โดยที่ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม มีเพียงความรู้สึกนั้นเท่านั้นที่พอจะเป็นสิ่งที่สามารถบอกเหตุผลของหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาได้ ซึ่งถ้าจะให้นิยามมัน ..ความรู้สึกนั้นก็คงเป็น..ความรู้สึกผิด 

       ..รู้สึกผิดตรงที่วันที่คนสำคัญของผมได้จากไป ผมกลับกำลังยิ้ม..กำลังหัวเราะ โดยที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้น ในฐานะลูกผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร ผมจึงพยายามนึกเข้าข้างตัวเองแล้วนำเอาอาการป่วยของตัวเองมาอ้างเพื่อลบความรู้สึกนั้นออกไป แต่ว่าสุดท้ายแล้วน้ำหนักมันก็ยังไม่มากพอที่จะลบล้างความผิดของตัวเองได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีแค่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นครอบงำ เป็นแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

       ผมชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะพวกหนังสือที่เป็นปรัชญาต่างๆผมยิ่งชอบเป็นพิเศษ ตลอดวันผมมักจะนั่งขลุกอยู่กับมัน อ่านทุกคำและกวาดสายตาไปทุกๆตัวอักษร ทำแบบนี้วนเวียนไปเป็นวัฏจักรซ้ำๆเพื่อหาคำตอบหรือสิ่งที่ผมพอจะจำมันได้

       นอกเหนือจาก..ชื่อตัวเอง



       มีหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงคำๆนึงที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ในชีวิตประจำวันความสุขที่ว่าเป็นเรื่องที่พบเจอได้อย่างง่ายดาย แต่รู้มั้ย..สำหรับผม ความสุขมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

       การผ่าตัดสมองที่ผมเคยได้รับมันล่าช้าไปก้าวนึง ผม..สูญเสียความทรงจำ แต่ถ้าจะเอาแบบเป็นรูปธรรมจริงๆก็คือผมสูญเสียไปหมดทุกอย่าง ..กล้ามเนื้อผมอ่อนแรงลง ผมไม่สามารถหยิบจับ หรือยกของอะไรหนักๆได้ ในช่วงแรกอาการตรงนี้ค่อนข้างหนัก ผมต้องมีคนดูแลอยู่ตลอดซึ่งบางครั้งก็เป็นพยาบาล บางครั้งก็เป็นญาติของผมเอง ผลจากการดูแลตรงนี้ทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของผมค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้เฉกเช่นปัจจุบัน แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ค่อนข้างจะทุลักทุเลไม่น้อยเลย 



       ..ผมพบเจอกับใครหลายๆคนในชีวิต ซึ่งทุกคนที่ผมได้มีโอกาสรู้จักพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่มอบมิตรภาพอันแสนอบอุ่นคอยจุนเจือหัวใจให้ผม ยกเว้นก็แต่..ใครคนนึงที่..ระหว่างเรา คำว่า ‘มิตรภาพ’ มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

       เขาชื่อ ‘เทียนไข’ ..วันที่ได้รู้จักกันผมไม่เคยนึกโกรธหรือเกลียดอะไรเขาเลย กลับกันผมรู้สึกเหมือนกับว่านี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพบกัน ด้วยความรู้สึกนี้จึงทำให้ผมอยากจะสนิทกับเทียนไขให้มากขึ้น



       แต่แย่หน่อยที่..เทียนไขไม่ได้คิดแบบผม

       ..อากัปกิริยาทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงความรังเกียจเดียจฉันท์ผมราวกับผมเป็นตัวเชื้อโรคที่ไม่น่าเข้าใกล้ ในขณะที่กับคนอื่นเทียนไขเริงร่าราวกับเป็นคนละคน ..ถ้าเขาจะเกลียดหรือโกรธอะไรผมมันก็ควรจะมีเหตุผลสิ..จริงมั้ย เพราะงั้นผมจึงคิดว่าเขาคงจะเข้าใจอะไรผมผิดไปซักอย่าง ก็เลยหาโอกาสที่จะอธิบายให้เขาฟังว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรืออะไร และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผม เพราะช่วงเย็นของวันเดียวกันผมบังเอิญเจอเทียนไขที่ร้านอาหารพอดี

       ทันทีที่เจอหน้ากัน ผมยิ้มให้เขาเพื่อหวังจะให้เขาวางใจ..และปฏิกิริยาที่ผมได้คือการก้มหน้างุดไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจ

       ผมจึงเอ่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร…และคำตอบที่ได้คือการวางสมุดจดเมนูลงแล้วเดินหนีผมไปหลังร้าน

       ผมควรจะพอได้แล้ว..ถูกมั้ย ทว่าสมองโง่ๆของผมกลับสั่งการตรงกันข้าม มันพร่ำบอกผมอยู่ซ้ำๆในความรู้สึกว่าให้ผมตามเขาไป  และอย่างที่บอก..

        ผมแม่ง..โง่จริงๆนั่นแหละ



        ‘นาย..นายทำบัตรนักศึกษาหล่นหรือเปล่า..’



       ‘เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ..?’


       

       ..ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่มีวันเก็บบัตรนักศึกษาใบนั้นขึ้นมาให้สกปรกมือ และจะไม่มีวันปล่อยให้ความคิดที่อยากจะผูกมิตรกับคนเลวๆอย่างเทียนไขเกิดขึ้นมาเป็นอันขาด

       ..ทันทีที่ผมวิ่งตามเขาไปหลังร้าน ทุกๆอย่างที่ผมกับหมอพยายามสู้ด้วยกันมาตลอดก็เปล่าประโยชน์ เทียนไขใช้มือของเขากดและบีบที่ศีรษะของผมราวกับอยากจะให้มันแหลกสลาย ก่อนจะสะบัดมือออกจนหัวของผมกระแทกไปกับผนังอย่างรุนแรง

        ท้ายที่สุดหลังจากที่เขาแค่นยิ้มอย่างสมใจที่ได้เห็นผมกราบแทบเท้า เทียนไขก็เดินจากไป ขณะเดียวกันนั้นผมก็..จมดิ่งสู่ห้วงนิทราตั้งแต่ตอนนั้น



       ….ผมอยู่ในความฝันไม่รู้สึกตัวอยู่เกือบสัปดาห์ จริงๆไม่อยากจะรู้สึกตัวขึ้นมาซักเท่าไหร่ เพราะวินาทีแรกที่ผมสัมผัสการมีชีวิตอีกครั้ง..ความเจ็บปวดจากร่างกายที่บอบช้ำก็เกิดขึ้นแทบจะทุกส่วน ผมปวดหัว..ปวดในขั้นที่ว่าไม่สามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติได้ ปวดในขั้นที่ยาแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย

       ‘ไม่มีอะไรผิดปกติ พักอีกซักระยะคุณจะดีขึ้น’ หมอบอกผมแบบนั้น ผมอยากจะเชื่อเขาเหมือนกันแต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด ผมยังคงเจ็บ..ยังคงปวดศีรษะอยู่เหมือนเดิม ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผันผ่านไปด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าซักวันความเจ็บปวดจะหายไป

       

       ..โชคดีหน่อยที่ผมไม่ได้สู้อยู่ตัวคนเดียว ที่ว่างข้างๆเตียงของผมถูกเติมเต็มโดยพละพล..เพื่อนของผมในทุกๆวัน เขาอยู่คอยให้กำลังใจและดูแลผมเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยและท่าทางที่ดูเป็นมิตรของเขาผมก็เลยยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นในเวลาต่อมา และเพราะเหตุนี้..ผมจึงรู้สึกขาดเขาไปไม่ได้

       เขามักจะมาเยี่ยมผมทุกเย็น ..นานวันเข้าผมก็เริ่มนับเวลาคอยเขาอยู่ในทุกๆวัน ..รอคอยที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้โลกของผมสดใส ..รอคอยที่จะฟังเรื่องราวในแต่ละวันของเขา ขณะเดียวกันก็รอคอยที่จะเล่าเรื่องราวของผมให้เขาฟังด้วยเช่นกัน เราเติมเต็มซึ่งกันและกันจนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจผม ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมล่ะ..? ผมเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ

      แต่ก็...ได้แค่ ‘เหมือน’



       ..หลังจากนั้นจู่ๆเทียนไขก็โผล่หน้าของเขามาให้ผมเห็นอีกครั้ง เขาดูซูบลงกว่าเดิมนิดหน่อยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นประเด็นเพราะผมไม่ได้สนใจความเป็นไปของเขาอยู่แล้ว ..จริงอยู่ที่ตั้งแต่พบกันผมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเขา แต่ทั้งหมดมันก็มีแค่นั้น พอได้มารู้จักกันจริงๆเทียนไขกลับไม่ได้เป็นคนอย่างที่ผมคิดไว้ เขาเป็นแค่คนใจร้ายคนนึงที่ทำให้ผมต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอย่างทุกวันนี้ ..กับเทียนไขผมมีแต่ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้อยากฟังในสิ่งที่เขาจะพูด ..ไม่ได้อยากเห็นในสิ่งที่เขาจะทำ และที่สำคัญ…ผมไม่ได้อยากเห็นหน้าเขา

       น่าคิดเหมือนกันนะว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าโผล่หน้ามาให้ผมอีกเป็นครั้งที่สองโดยที่ไม่มีคำขอโทษหรือคำแก้ตัวกับสิ่งที่ทำกับผมไว้เลยแม้แต่คำเดียว



        ‘…พลฝากมาให้’ เขาพูดพร้อมกับวางถุงกระดาษเอาไว้ ยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังจะเดินออกไป

        นี่คือ..นิสัยคุณจริงๆหรอวะเทียนไข?

        ‘เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน!’ ..คุณไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ซักหน่อยเลยหรอ..

       ‘…’

       ‘คุณทำแบบนี้ทำไม?’

       ‘…’

       ‘คุณทำร้ายผมทำไม คุณโกรธคุณเกลียดอะไรผมขนาดนั้นเลยหรือไง ..ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยเนี่ยนะ?’ คุณใหญ่โตมาจากไหนถีงได้กล้าทำตัวเป็นอันธพาลจนทำให้ผมเป็นแบบนี้

        ‘ไม่เคย?’

        ‘ทำไม? หรือคุณจะบอกว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านี้?’ ..ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆคุณช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยล่ะว่าเพราะอะไรผมถึงเป็นแบบนี้ คุณบอกผมได้ไหมว่าจริงๆแล้วผมเป็นใคร

        ‘…’ เห็นมั้ย..คุณก็ให้คำตอบผมไม่ได้ สิ่งที่คนอย่างคุณทำได้ก็คือทำตัวแบบนี้ไง

        ‘ไม่ตอบ เอาจริงๆปะ ผมว่าคุณควรไปพบหมอจิตเวชข้างล่างนี่บ้างอะ คุณเหมือนคนไม่เต็ม’

        ‘…’

        ‘จะออกไปแล้วไม่ใช่หรอ ไปได้เลยครับ ฝากขอบคุณพลด้วย ผมอยากให้เขามาให้ผมด้วยตัวเองจัง’ ผมเน้นประโยคสุดท้ายอย่างจงใจเพื่อเป็นการบอกให้เขารู้ตัวซักทีว่าผมไม่ได้อยากเจอหน้าเขา

        ‘...’ ทว่า..น่าแปลกที่เขากลับไม่ตอบอะไรมาเลย

        ‘อยู่ทำไมล่ะ? ออกไปดิ’ ขวางหูขวางตาเป็นบ้า

        ‘คิดว่า…อยากอยู่มากนักหรอ?’

        ‘แล้วใครใช้ให้คุณอยู่? ผมบังคับคุณหรอ’ ที่ตรงนี้มีแค่ผมกับคุณ ..ถามจริงๆผมเคยยกมือไหว้วอนขอให้คุณมาอยู่ตรงนี้มั้ย แน่นอนว่าผมไม่เคย แสดงว่าที่ตรงนี้ก็ไม่มีใครอยากให้คุณมาเหยียบหรอก

        คนอย่างคุณมัน…สกปรก

        ‘..จริงด้วยสิเนอะ ถ้าไม่ได้รู้จักกัน..กูก็คงไม่ต้องทน ‘อยู่’ มาจนถึงทุกวันนี้’

        ‘…’

        ‘กูไม่รู้ว่ามึงกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร ..แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงแกล้งทำเป็นลืมเรื่องเหี้ยๆที่มึงเคยทำกับกูแล้วกูจะให้อภัยมึงได้ กูจะบอกมึงตรงนี้เลยว่ามึงคิดผิด’

        ‘…’ ทำไมเทียนไขถึงน่ารำคาญแบบนี้วะ เขาเอาอะไรมาพูด ผมไปทำแบบนั้นตอนไหน ประสาท..

        ‘กูเกลียดมึง นี่แหละสิ่งเดียวที่กูรู้สึก’ ..ทว่าจู่ๆ..ร่างกายผมก็ชาวาบกับสิ่งที่เทียนไขพูดออกมา ..เขาเกลียดผม ผมเองก็เกลียดเขาไม่ต่าง ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรอ.. ทำไมใจผมกลับหวั่นไหวกับคำว่า ‘เกลียด’ ที่เทียนไขพูดออกมาได้ขนาดนี้..

        ‘ผ..ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณอภัยให้ผมซักหน่อย เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด’ ใช่แล้ว..ผมไม่ได้ทำอะไรผิด

        ‘มึงกล้าพูดว่ามึงไม่ผิดหรอ..’

        ‘…’ ..แต่ทำไมผมถึง..

        ‘สิ่งที่มึงทำกับกู ..สำหรับกูมึงแม่งยิ่งกว่าฆาตรกร ..ยิ่งกว่ายมบาล ..ยิ่งกว่าผีห่าซาตานตนไหนๆ’ ..เจ็บกับสิ่งที่เทียนไขพูดออกมาได้มากขนาดนี้..

        ‘…’

        ‘มึงทำให้กูเจ็บ...เจ็บแบบที่มึงก็จินตนาการไม่ได้ว่ามันเจ็บขนาดไหน เพราะสิ่งที่มึงได้รับมันเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวนึงกับสิ่งที่กูเจอ’

        ‘…’ ผมพยายามคิดไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยิน พยายามคิดหาว่าก่อนหน้านี้ผมเคยทำอะไรเอาไว้หรือเปล่า ..ทว่าจู่ๆผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ..ยิ่งฟังสิ่งที่เทียนไขพูดออกมามันก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ..

        ‘..มึงกลับมาทำไม.. มึงกลับมาให้กูเห็นหน้ามึงอีกทำไม ..กูเหนื่อยแล้ว…ไม่อยากรับรับรู้อะไรแล้ว ..มึงได้ยินมั้ย ฮือ’

        ‘…’ ปวดหัว..ปวดหัว..

        ‘ทำไมมึงต้องทำให้กูรัก ทำไมมึงต้องทำอย่างงี้กับกู ทำไม…’

        ‘ออกไป’ ออกไปเถอะนะ.. ออกไปจากตรงนี้ หยุดพูดอะไรแบบนี้ออกมาซักที..

        ‘มึงลืมกูลงได้ยังไงอะเปลว ..ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู ..มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด ..มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข ..มึงจะปกป้องกู…แล้วดูสิ่งที่กูได้รับ’     

       ‘ผมบอกให้ออกไป’ ขอร้อง..

       ‘กูไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ ..กูไม่ได้อยากมาหามึง ..กูไม่ได้อยากเจอมึง..’

       ‘ทำตัวเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่บังคับไปได้’ ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมฟังในสิ่งที่ผมพูด ..ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะเห็นใจกันบ้างแม้ซักเล็กน้อย.. ผมต้องทำยังไงเทียนไข

       ‘…’

       ‘ถ้าคุณไม่ใช่เด็กแบบนั้นคุณก็ไปซะ ไม่ได้อยากเจอผม? ผมก็ไม่ได้อยากเจอคุณ เราก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกัน..’ ..มือของผมที่เคยวางขนาบข้างลำตัวเริ่มขมวดกำผ้าห่ม พร้อมกับจิกปลายเล็บอย่างสุดแรงเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ศีรษะที่กำลังรู้สึก

       ‘..กูรู้..กูรู้แล้ว แล้วมึงล่ะรู้มั้ย…กูไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย’

       ‘…’ เหงื่อไคลของผมเริ่มผุดขึ้นมาตามผิวหนังแต่ก็ทำได้แค่อดทนต่อความเจ็บปวดต่อไป บางที..ถ้าสิ่งที่เทียนไขพูดเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ และผมก็..เป็นคนผิดจริงๆ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับแล้วก็ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านั้นที่กลั่นออกมาจากปากของเทียนไขมันกำลังบีบเค้นหัวสมองของผมราวกับอยากจะทำลายมันลง

       ‘..แต่กูต้องทำ ..กูต้องอดทนถึงแม้ตัวกูจะเจ็บซ้ำๆครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..’

       ‘คุณอยากตายคุณก็ไปตายสิ คุณจะฝืนอยู่ทำไม ออกไปซักที!’ ผม…ขอร้อง

       ‘..มึงอาจจะ..ไม่เคยรักษาสัญญา แต่กูจำได้ทุกประโยคเลยนะ..ฮ่าๆ ..กูจำได้..ทุกคำพูดที่กูเคยพูดกับมึง แล้วกูก็ไม่เคยผิดสัญญา’

       ‘…’

       ‘มึงเคยขอให้กูมีชีวิตอยู่ต่อไป’

       ‘…’

       ‘กูเลยอยู่ ..ฝืนอยู่ต่อไปทั้งๆที่กูโคตรทรมาน’

       ‘…’

       ‘มึงเคยบอกว่ามึงชอบรอยยิ้มกู…กูก็เลยยิ้มให้มึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ากูจะกำลังเจ็บปวดหรือกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม’

       ‘…’

       ‘มึงเคยบอกกูว่าอย่าร้องไห้ กูเลยพยายามกลัดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลถึงแม้ข้างในกูจะกำลังพังทลายก็ตาม..’

       ‘ออกไป’

       ‘…’

       ‘ผมอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่คุณเคยรู้จัก’

       ‘…’

       ‘อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟังอีก ผมไม่ชอบ’

       ‘กูขอถามอะไรมึงเป็นอย่างสุดท้าย..’

       ‘…’

       ‘กู..หายไป ได้แล้วใช่ไหม?’

       ‘…’

       ‘กูไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นมีความสุข ไม่ต้องแกล้งยิ้ม…แกล้งหัวเราะแล้วใช่ไหม?’

       ‘ผมจะพูดอีกครั้ง ออกไปซะ’

       ‘นี่คือ..คำตอบของมึงใช่รึเปล่า?’

       ‘…’

       ‘ฮ่าๆ ขอบคุณมึงมากๆเลยเปลว กูจะไม่..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..’

       ‘…’

       ‘กูอาจจะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้น กูขอ…เก็บมันไว้ในความทรงจำของกูหน่อยนะ..’ ..เจ้าของแผ่นหลังบางเอ่ยพูดออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป

       ‘..มีชีวิตอยู่’ ทว่าเป็นจังหวะเดียวกับผมที่พูดออกไปเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งที่เทียนไขพูดมันกำลังทำให้ผมต้องทรมาน แต่เขาเองก็กำลังทรมานอยู่ไม่ต่าง เขาร้องไห้..เป็นการร้องไห้ที่เจ็บปวดที่สุด และผมก็รู้…ผมรู้ดี ..ว่าเขาไม่เคยนึกสงสารผมเลย ผมทั้งโกรธแล้วก็เกลียดเขาเข้าไส้

        ระหว่างเรามันเป็นแบบนั้น แต่ว่า…ผมอยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อนะเทียนไข

        ‘ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้’







       

        หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราก็แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย ต่างคนก็ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองตามทางที่ได้เลือกเดิน มีบ้างที่ผมพยายามมองหาเขาเพราะอยากรู้ความเป็นไปหลังจากนั้น แต่ผมก็ไม่เคยพบเขาอีกเลย ขณะเดียวกันผมกับพละพลก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ของกันและกันไปจนเราทั้งสองต่างก็รับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกัน

       ใช่..ผมชอบพละพล และพละพลก็ชอบผมอยู่เช่นเดียวกัน



       เราทั้งสองต่างก็มีความสุขกับชีวิตในแต่ละวันที่อบอวลไปด้วยความรัก ผมมีแพลนจะขอพละพลเป็นแฟนเหมือนกันนะแต่คิดว่ารอไปอีกซักพักให้อะไรๆมันลงตัวมากกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า

       ‘กลับบ้านดีๆนะ’ พละพลมักจะบอกลาผมด้วยคำนี้ซะทุกวัน แต่ผมกลับไม่เบื่อเลย คงเพราะ..รับรู้ถึงความเป็นห่วงที่เขาส่งมาให้ผมละมั้งครับ

       ผมมักจะคิดถึงสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้เสมอ โดยเฉพาะเรื่องของพละพล ผมวางแผนไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดี ทานอะไรกันบ้าง ซึ่งการที่ผมชอบคิดอะไรแบบนี้มันทำให้ผมยิ้มมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เคยคิดเหมือนกันนะว่ายังไงซะความทรงจำของผมก็ไม่มีวันกลับมาอยู่แล้ว เลิกหวังดีกว่า แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ..ถ้าผมดึงความทรงจำนั้นกลับคืนมาไม่ได้ ผมก็จะสร้างมันใหม่ สร้างกับพละพล

       ..คงจะดีถ้ามันไปได้สวย



       แต่สุดท้ายแล้วมันก็คงเป็นแค่..ความฝันลมๆแล้งๆของผมที่มันไม่มีวันเป็นจริง

       ..ผมเจอเทียนไขอีกครั้งกลางดึกคืนเดียวกันหลังจากที่ผมไปส่งพละพล เขาเดินขาลากดินราวกับมันใช้การไม่ได้ ซ้ำร้ายลำตัวก็เต็มไปด้วยรอยแผล เสื้อนิสิตด้านหลังขาดวิ่นเปรอะเปื้อนเศษดินและน้ำโคลน ดวงตาของเขาเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส ริมฝีปากที่แห้งแตกพร่ำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ออกออกมาซ้ำๆไม่รู้หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดและคราบน้ำตา ..สภาพร่างกายของเขาค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่จู่ๆภาพในวันนั้นก็ฉายเข้ามาในหัวผม..



      ‘ไม่ต้องเสือกแสดงว่าตัวเองเจ็บหรอก’

      ‘…เจ็บ..’

      ‘ถุ้ย ขนาดกูมึงยังไม่เคยเห็นใจเลยไอ้เหี้ย!!’

      ‘..โอ๊ย..ฮือ ช่วยด้วย..’

      ‘มึงหูหนวกหรอไอ้ควาย’

      ‘…ช่วยด้วย’

      ‘อยากให้ช่วยมากนักหรอ’

      ‘…’

      ‘กราบตีนกูดิ’




      ..ภาพที่ผมกำลังเจ็บเจียนตายอยู่ไม่ต่าง กำลังขอร้องอ้อนวอนให้เขาเมตตา เขาบอกให้ผมกราบเท้าเขา ใช่ผมยอมทำ เพราะวินาทีนั้นผมทรมานมากจริงๆ แต่สิ่งที่คนๆนี้ทำกลับเป็นการเดินจากไปอย่างไม่ใยดี

       “…” แล้วดูสภาพเขาตอนนี้สิ..มันไม่ได้ต่างอะไรกับผมในวันนั้นเลย ผมควรจะ..ช่วยเขาจริงๆหรอ…?

        “เทียน ใครทำอะไรคุณ?” ผมเอ่ยถามออกไปเพื่อพยายามที่จะเรียกสติอีกฝ่ายให้กลับมา และดูเหมือนการรับรู้ของเทียนไขจะยังคงทำงานได้ดีอยู่ เขาใช้เวลาในการประมวลคำถามของผมอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที..ใจผมก็ตกไปอยู่ที่ปลายเท้า

        “มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่.. เข้มแข็ง ..ต้องเข้มแข็ง..” เสียงแหบพร่าที่ตอบผมกลับมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส น้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาไม่หยุดจากดวงตาทั้งสอง ..มือผมสั่น ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยายามประคองเขาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังคงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มือข้างนึงพยายามเขย่าไหล่เขาเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร วินาทีต่อมา..คนในอ้อมแขนของผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป

        “เทียน!” ผมตกใจอย่างสุดขีดเมื่อร่างทั้งร่างเซล้มมาทับตัว ..พยายามเรียกชื่อเขาให้ได้สติขึ้นมา ..พยายามหาสิ่งที่พอจะช่วยเขาได้ ผมใช้มือข้างนึงพยุงตัวเขาเอาไว้ ส่วนอีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากะว่าจะโทรเรียกรถพยาบาล แต่จู่ๆความเจ็บปวดจากแขนข้างที่ใช้พยุงเทียนไขก็เกิดขึ้นจนทำเอาร่างทั้งร่างของผมกระตุกวาบ โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือหล่นลงไปในบ่อน้ำข้างๆ เพียงเสี้ยววินาทีจอโทรศัพท์ที่เคยเปล่งแสงสว่างก็มืดดับ



       “…” ผมหันมามองดูคนในอ้อมกอดอีกครั้ง

       “คุณสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ” ก่อนจะตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพยายามฝ่าฟันมันมาอย่างยากลำบากเพื่อที่จะให้ตัวเองหายดี แล้วใช้แขนที่สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงของตัวเองทั้งสองข้างโอบอุ้มเทียนไขขึ้นมา

       “โอ๊ย..” ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่มันก็คงจะ..ไม่สำคัญเท่าชีวิตของเทียนไขอีกต่อไปแล้ว

 

       ..นึกสมเพชตัวเองที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่ร่างทั้งร่างสมควรจะกำยำและแข็งแกร่ง แต่ผมกลับ..ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขับรถไปส่งเทียนไข

      ความเจ็บปวดเริ่มหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อผมยังคงอุ้มเขาอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อดี พยายามกัดฟันทนเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรซักเท่าไหร่

      สุดท้ายผมจึงตัดใจจากรถของตัวเองแล้วหารถแท็กซี่แทน จุดหมายปลายทางที่ผมเลือกผมรู้ว่าผมควรจะเลือกโรงพยาบาล แต่นั่นมันอาจจะไกลเกินไปสำหรับเทียนไขตอนนี้ ผมจึงเลือกที่จะพาเขามาที่บ้านของผมแทน เพราะมันก็..ไม่ได้ต่างอะไรจากโรงพยาบาลซักเท่าไหร่

        ผมรักษาตัวอยู่ที่บ้านมานเกือบครึ่งปี อุปกรณ์หลายๆอย่างของโรงพยาบาลหาได้ง่ายๆในบ้านของผม และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากมายซักเท่าไหร่ แต่ผมก็พอจะรู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลังจากนั้นถ้าเทียนไขยังไม่ฟื้นผมค่อยพาเขาไปโรงพยาบาลแล้วกัน



        ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็พาเรามาถึงจุดหมาย ผมจัดแจงทำการปฐมพยาบาลทุกๆบาดแผลของเทียนไขด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ และขณะที่ผมกำลังทำแผลอยู่ จู่ๆเทียนไขก็รู้สึกตัวขึ้นมา

       “โอ๊ย!” เทียนไขขยับตัวในขณะที่ผมกำลังล้างแผลให้ เจ้าตัวจึงร้องโอดโอยขึ้นมาพร้อมกับนิ่วหน้าเพราะความเจ็บปวด

       “อยู่เฉยๆ ผมจะทำแผลให้” ผมบอกเขาไปตามตรง ถึงเราจะเกลียดกันแค่ไหนแต่ถ้าจะให้ยืนดูคนทั้งคนตายไปต่อหน้าผมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะงั้นนี่เลยเป็นสิ่งที่ผมเลือก..

       “…” นั่นไง กะไว้แล้วว่าคุณต้องไม่เข้าใจ

       “ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ ผมแค่บังเอิญเห็นคุณสลบ เลยพาคุณมาที่นี่ กำลังทำแผลให้”

       “…”

       “ขยับมานี่”

       “..ไม่ต้องหรอก ท..ทำเองได้”

       “ตามใจ” ผมถอนหายใจ ก่อนจะวางที่คีบสำลีในมือลงแล้วหยิบกล่องพยาบาลให้เขา เทียนไขรับมันไปแต่โดยดีพร้อมกับค่อยๆจัดแจงปฐมพยาบาลให้ตัวเอง เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมองเทียนไขต่างออกไปจากที่เคยเป็น เขาในตอนนี้ดูไร้เดียงสาและดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่ถ้าสมมุติว่าเราเข้าใจกัน..เราจะพอเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ?



       “ดีใจนะที่คุณเลือกที่จะมีชีวิตอยู่” ผมพูดออกไปตามสิ่งที่กำลังรู้สึก บอกตรงๆว่าตอนนั้นหลังจากที่เขาพูดอะไรแบบนั้นออกมาผมก็อดหวั่นใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากรู้ความเป็นไปของเขา แล้วก็อยากจะขอบคุณเขามากๆเลยที่เขาไม่ได้เลือกที่จะหายไป

       “…”

       “ผมว่าเขาคนนั้น..ที่อาจจะหน้าเหมือนผม? เขาต้อง..ดีใจมากแน่ๆ” ผมเชื่อแบบนั้น  “กินอะไรซักหน่อยมั้ย? ผมทำอาหารเก่งนะ”

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เทียนไขตอบ ..เดาว่าเขาคงจะเกรงใจน่ะแหละ อีกอย่างเราก็ไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นที่ต้องบริการกันขนาดนั้น แต่ผมเชื่อว่าเขาจะต้องหลงรักอาหารที่ผมจะทำ เพราะผมคิดออกแล้วว่าจะทำอะไรให้เขาทานดี มันเป็นสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงทำมันออกมาได้อร่อย ..เป็นสิ่งที่ช็อตโน้ตบนตู้เย็นเขียนเอาไว้ว่าต้องมีวัตถุดิบเตรียมพร้อมที่จะทำมันอยู่เสมอ

       ‘แกงเขียวหวาน’ ครับ ตอนแรกผมไม่รู้ชื่อของมันหรอก แค่เอาของที่อยู่ในตู้เย็นมาทำอาหารประทังชีวิตก็เท่านั้น แต่ปรากฎว่าผมดันทำแกงเขียวหวานได้อร่อยซะงั้น รสชาติมันมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง ดังนั้นผมก็เลยอยากให้เทียนไขลองชิมมันดูซักครั้ง

       “ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย..ผมอยู่คนเดียว” ผมยิ้ม พร้อมกับบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนอย่างที่เคย

       “..พ่อละ?” ทว่าผมพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆเทียนไขก็ถามขึ้นมาทันที เป็นคำถามที่ทำเอารอยยิ้มเมื่อครู่..ต้องหุบลง

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’ “ Updated 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 18-02-2019 10:55:54
       “ไม่รู้เหมือนกัน” ก่อนจะปั้นยิ้มอีกครั้งเพื่อตอบกลับไป

       “…”

       “คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้” จริงๆนั่นห้องเก่าของผมเองแหละ แต่ว่าการที่มันอยู่ชั้นบน มันเลยเป็นอุปสรรคแก่การรักษาตัวของผมที่จะต้องพึ่งอุปกรณ์หลายๆอย่าง ดังนั้นผมจึงย้ายมานอนห้องข้างล่างแทน

        ดีหน่อยที่เทียนไขยอมรับฟังแล้วเดินขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี ผมจึงยิ้มให้กับแผ่นหลังที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับตอนนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ครัวแล้วเริ่มทำแกงเขียวหวานอย่างที่ตั้งใจ ..จัดการทำทุกอย่างอย่างสุดฝีมือ ทั้งการเตรียมวัตถุดิบ การประกอบอาหาร และการตกแต่งจานให้สวยงามน่ารับประทาน

      …คุณต้อง...ชอบมันแน่ๆ





       “ท..ทำไมถึงทำแกงเขียวหวาน..?” ทว่า..ทันทีที่เทียนไขได้เห็นกับข้าวตรงหน้าเขากลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป 

       “ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้อร่อยที่สุดแล้วครับ รู้สึก..คุ้นเคยกับมัน” ผมยิ้ม และตอบเขาไปตามตรง ก่อนจะขยับไปนั่งตรงข้ามเทียนไข แต่จู่ๆเทียนไขก็วางช้อนส้อมในมือลง

       “อิ่มแล้ว”

       “เดี๋ยวก่อน.. คุณกินไปแค่ไม่กี่คำเองนะ”

       “ไม่หิว”

       “ผมตั้งใจทำมากเลย..” คุณกำลังแย่ สารอาหารพวกนี้มันสำคัญมากๆ เพราะงั้น..ช่วยกินให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ..

       ผมเป็น…



       เพล้ง!

       ..ชามแกงเขียวหวานถูกเทียนไขยกขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ถังขยะแล้วเทแกงที่ผมตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือทิ้ง..

       “ตั้งใจทำหรอ..?” ..แล้วปล่อยให้ชามกระเบื้องตกกระทบพื้นจนมันแตกละเอียด

       “เฮ้ย! ทำอะไรวะ!” ..คืออะไรวะ? ถึงคุณจะโกรธจะเกลียดกันยังไงแต่ตอนนี้คุณควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำมั้ย แล้วนี่คืออะไร คุณทำอะไรของคุณวะเทียนไข..!

       “เลิกโกหกกันซักที!” อีกฝ่ายตะโกนลั่น กรีดปลายนิ้วชี้มาทางหน้าผมอย่างเหลืออด

       “ผมโกหกอะไรคุณวะ!”

       “เลิกแสดงละครตบตากันได้แล้ว มึงคิดว่ากูเป็นตัวอะไร..? จะทำอะไรกับกูก็ได้ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้หรอเปลว..”

       “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แล้วผมก็ไม่เคยโกหกคุณ”

       “จริงหรอ? แล้วแกงเขียวหวานนี่ล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบกิน มึงทำให้กูกินทุกครั้งที่กูพูดว่ากูอยากกิน”

       “…”

       “บ้านหลังนี้.. ห้องของมึง.. ทุกๆอย่างมันก็คือของๆมึง มึงคิดว่ากูจะโง่จำไม่ได้หรอ?”

       “...”

       “มึงก็คือไอ้เหี้ยเปลวคนนั้นนั่นแหละ คนที่ทำชีวิตกูพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้”

       “…”

       “มึงเห็นสภาพกูตอนนี้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะมึง”

       “…”

       “เพราะฉะนั้น..มึงเลิกโกหกกันซักที”

       “…”

       “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ทีหลังไม่ต้องหรอก สาระแน!”

       “เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนเทียนไข!” เรา..เรา..เคยรู้จักกัน..?

       “อย่ามายุ่งกับกู!!” เทียนไขเปิดประตูก่อนจะประคองร่างตัวเองให้ไปจากที่นี่ด้วยการกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ..ใจผมเริ่มเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก

       “เดี๋ยวก่อน..ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง?” ผมไม่รอช้า และรีบตามเขาไปจนแนบชิดติดตัว ใช้มือข้างนึงรั้งแขนเขาเอาไว้

       “เปลว…ถ้ามึงสงสารกูแม้ซักเสี้ยวนึง..”

       “…”

       “มึง..ปล่อยกูไปเถอะ” เขาหันกลับมาหาผมอีกครา และผมก็ต้องชาวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเทียนไข

       “…” เขาพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายแล้วผมเลยจำเป็นต้องปล่อยเขาไป ทว่าเทียนไขเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็เซล้มไม่เป็นท่า

       “เทียน.. ให้ผมช่วย..” ผมวิ่งเข้าไปด้วยความร้อนรนพร้อมกับยื่นมือให้อีกฝ่ายยึดไว้ให้ยืนขึ้น แต่เทียนไขก็ปัดมันออกอย่างไม่ใยดี

       “ไม่ ถอยไป..อย่ามาแตะต้องตัวกู”

       “แต่คุณกำลังเจ็บ..”

       “สำหรับกูแผลพวกนี้มันไม่มีผลอะไรหรอกเปลว การที่กูได้มาเจอมึงต่างหากที่ทำให้กูเจ็บ”

         “…” ราวกับถูกของมีคมเสียดแทงไปกลางหัวใจ ผมพูดอะไรไม่ออก

         “มึงเข้ามาอีก..กูจะฆ่าตัวตายตรงนี้” และผม..ก็ทำได้แค่ยืนเป็นไอ้โง่อยู่ตรงนั้น

         ..ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่สามารถรั้งเทียนไขเอาไว้ได้เลย สิ่งที่ทำได้มีแค่ยืนอยู่ตรงนั้นจมจ่อมอยู่กับคำพูดที่เทียนไขพูดออกมา พร้อมกับมองดูเขาที่กำลังเดินออกไปไกลเรื่อยๆจนลับสายตา













        เวลาผ่านไปนับสัปดาห์หลังจากวันนั้น ..ทุกๆคำพูดของเทียนไขเริ่มฉายย้อนเข้ามาในหัวผมซ้ำๆ จนผมไม่สามารถสลัดมันออกไปจากหัวได้

       อะไรหลายๆอย่างในบ้านหลังนี้ที่ผมอยู่มันเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าสิ่งที่เทียนไขพูดเป็นความจริง ..ทั้งกระดาษโน้ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นเอาไว้ว่าให้เตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับการทำแกงเขียวหวาน และเทียนไขก็บอกว่าผมชอบทำให้เขากิน..ทุกครั้งที่เขาพูดว่าเขาอยากกิน รวมถึงคำถามที่เขาถามถึงพ่อผมก่อนหน้านี้ ถ้าเขาไม่ได้รู้จักผมมาก่อนเขาจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผมอยู่กับพ่อ ไหนจะกิริยาท่าทางที่ดูคุ้นชินกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีของเขานั่นอีก..

        แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวผมก่อนหน้านี้..เป็นคนอย่างไร

        ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เทียนไขก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเลย



        “หมอครับ พอมีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำของผมกลับมาไหม ผมอยาก..ขอโทษเขา” ผมเริ่มต้นหาคำตอบให้กับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในหัว ..ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรไว้กับเทียนไข เขาที่ดูไร้เดียงสาถึงกลับกลายเป็นคนก้าวร้าว ดูเศร้าโศกได้ถึงขนาดนี้

       ..และผมไม่ได้อยากรู้แค่อย่างเดียว

       ผมอยากจะขอโทษเขาด้วยเช่นกัน..จากใจจริง

       “การบริหารสมองและออกกำลังกายจะช่วยได้ครับ” หมอตอบผม

       “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้ตั้งนานแล้วล่ะครับ” และใช่..คำตอบที่หมอให้มันก็คำตอบเดียวกันกับตอนที่ผมรู้สึกตัวครั้งแรกเลย ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดมันไม่มีผลอะไรเลย เปลวคนนี้ยังคงตกอยู่ในห้วงอวกาศอันมืดมิด

        “บางสิ่งบางอย่างมันต้องใช้เวลา ขอแค่คุณอดทนอีกซักหน่อย ทุกๆอย่างจะดีขึ้น”

        “มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอครับ..?” ..ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเชื่อเหมือนกันว่ามันจะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ว่างเปล่าเหมือนเดิม

        “เป็นแบบนั้นครับ ไม่ใช่ว่าที่คุณพยายามมาทั้งหมดมันไร้ความหมายนะครับ สมองของคุณมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นขอแค่คุณไม่หยุดพยายาม ความพยายามก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ”

       “…” ผมก็อยาก..ให้เป็นแบบนั้น “ขอบคุณนะครับ”

       ขอให้..มันเป็นแบบนั้น






















        ..เวลาผันผ่านไปตามกลไลของมัน จนมาถึงเช้าวันนึงของการเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ ..วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ใครหลายๆคนเกลียด เปลวเองก็เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้เกลียดแค่วันจันทร์

        เขาเกลียดทุกวัน

        เปลวเกลียดโลกที่ผุพังของเขาใบนี้



        “วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี” นี่คือสิ่งที่เปลวมักจะบอกกับตัวเองในกระจกในทุกๆวัน ตัวเขาที่มักจะฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับจัดคอปกเสื้อนักศึกษาให้อยู่ทรง และขยับเนคไทสีเขียวเข้มให้ไม่แน่นและไม่หลวมจนเกินไป เปลวจ้องมองดูใบหน้าที่สะอาดเหลี้ยงเกลาของตัวเองในกระจก ก่อนจะพยายามปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง แต่ก็ต้องหุบมันลงเพราะดูเหมือน..มันจะไม่เวิร์คเอาเสียเลย

       “นายจะหายดี..ซักวันนึง.. นายจะ..หายดี” นายเก่งมากแล้วเปลวที่ผ่านจุดนั้นมาได้ ไม่นานหรอก ..อีกไม่นานนายจะหายดีอย่างที่หมอบอก

        ถึงตอนนั้นเส้นผมของนาย..ก็จะขึ้นตามปกติ



       “…” หมวกไหมพรมสีดำถูกถอดออก เปลวมองภาพของตัวเองที่สะท้อนในกระจก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง

       “เห็นไหม..นายเก่งแล้ว” หยดน้ำตาเม็ดหนึ่งไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพราะยากแก่การอดกลั้นเอาไว้ ..ภาพในกระจกที่สะท้อนกลับมาคือสัญลักษณ์ของความทรมานที่เขาเคยพบเจอ



       ..รอยผ่าตัดสมองที่ปรากฎเด่นชัดให้เห็นบนหนังศีรษะตั้งแต่บริเวณบนใบหูด้านขวายาวไปจนถึงส่วนกลางของศีรษะ เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนเลยว่าในหัวของคนๆนี้...ไม่มีอะไรสมบูรณ์อีกแล้ว

        ..การผ่าตัดครั้งนั้นเปลวถูกเปิดกะโหลกออกเพื่อรักษาเลือดคั่งที่อยู่ในสมอง แน่นอนว่าขณะผ่าตัดทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เปลวไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่นั่นก็เพราะฤทธิ์ของยาสลบ ..ทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมาเขาเอาแต่ร้องไห้โวยวาย ดิ้นเร่าๆไม่หยุดเพราะความเจ็บปวดที่ตัวเองรู้สึก ..เป็นความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส

       หลายครั้งที่เขาต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ได้แค่ระยะสั้นๆเท่านั้น ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมา..ความเจ็บปวดก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ร่ำไป



       ..ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนเดิม เปลวพยายามรับความจริงในเรื่องนี้ แต่มันก็..ยากเหลือเกิน

       ฝีเข็มที่เย็บปิดแผลผ่าตัดบางส่วนยังคงเห็นชัดเจน เช่นเดียวกับรอยแผลที่พาดยาวอยู่บนศีรษะ และเส้นผมที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูน่าเกลียดน่ากลัว  เพราะเหตุนี้..เปลวจึงใส่หมวกไหมพรมใบนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดก็เพื่อซ่อนบาดแผลที่น่าเกลียดนี้เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

       “…” ..เปลวปั้นรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยาแก้ปวดที่วางอยู่ข้างหน้าขึ้นมาทานแล้วดื่มน้ำตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเกิดปวดหัวขึ้นมาขณะที่อยู่มหาลัย

       “วันนี้..จะเป็นวันที่ดี..” พรประจำวันที่เขาอยากจะวอนขอต่อพระเจ้าในวันนี้ ..ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี ..ขอให้..มันผ่านไปได้ด้วยดี









       ..หลังจากนั้นเขาก็ออกเดินทางเพื่อไปมหาลัย ทุกอย่างปกติดี เขาได้เจอเพื่อนคนสนิทภายในคณะ และที่แน่นอนที่สุดเขาได้เจอคนที่เขารัก..

       “มาสายนะคุณ” เสียงนุ่มๆที่ทำให้เขาสบายใจเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา

       “ไม่คิดว่าจะมีคนรอเจอ ถ้ารู้จะมาตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเลย” เปลวตอบ

       “ใครบอกว่ารอ”

       “อ่าว งั้นถ้าไม่มีใครรอกูกลับก่อนนะ”

       “โอ๋ งั้นกูรอก็ได้ ถ้าคุณเขาจะงอนเก่งขนาดนี้”

       “ไม่หาย มึงต้องง้อด้วยการไปดูหนังกับกูเย็นนี้ครับ”

       “อะได้ เอางั้นก็ได้ครับ”

       “แล้วนี่..ทำไมอยู่คนเดียวอะ?” เปลวเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นว่าพละพลกำลังนั่งอยู่คนเดียวจริงๆ

       “เมธมันไม่สบาย ก็เลยหยุดวันนี้วันนึง” อีกฝ่ายเอ่ยตอบ ..วันนี้คนติดแฟนเขาเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน เดาว่าคงติสต์เดินกลับบ้านแต่เจอฝนตกแน่ๆ

       “…” เปลวยังคงมองไปที่พื้นที่ว่างรอบๆโต๊ะที่พละพลกำลังนั่งอยู่ แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องของเมธ แต่เขาอยากรู้เรื่องของ..

        “มองหาอะไร”

        “ป..เปล่า” เรื่องของ..เทียนไข

        “เดี๋ยวกูจะขึ้นไปเรียนละ ตอนเที่ยงเจอกันนะ โรงอาหารใต้ตึกกูนี่แหละ..อร่อยสุดในมอละ” พละพลลุกขึ้นมาจากที่ที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินออกไป

        “โอเค” เปลวคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วหันกลับมาอีกทางเพื่อแยกไปเรียนอีกตึก





        ไม่นานนักก็ได้เวลาพักเที่ยง แสงแดดที่แรงกล้าสาดส่องมายังโลกใบนี้อย่างไม่ยำเกรง นิสิตส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันออกมาที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งสำหรับโรงอาหารคณะแพทย์แล้ววันนี้ก็คึกครื้นเหมือนเคย ..คงจะเพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างอร่อยถูกปาก แถมยังราคาเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า จึงทำให้ดึงดูดนิสิตนักศึกษาต่างคณะให้มาซื้ออาหารที่นี่ได้มากมาย

        รวมถึงเปลว



        เปลวมาตามที่คุยกับพละพลเอาไว้เมื่อเช้าว่าจะมาทานข้าวที่นี่ด้วยกัน เขามาพร้อมกับพวกไอ้โจ้ กลุ่มเพื่อนของเขานั่นเอง ..เปลวใช้เวลาชั่วขณะในการกวาดสายตามองหาพละพล และก็พบว่าพละพลกำลังนั่งจองโต๊ะอยู่ที่โต๊ะตัวนึงโซนกลางๆโรงอาหาร

       “นั่นไงแฟนมึง” โจ้ชี้ให้เปลวดู ก่อนจะถูกเจ้าตัวตบกะโหลกไปทีนึงเบาๆ

       “ไม่ใช่แฟนครับโจโจ้” แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โจ้พูดมันกำลังทำให้เปลวหุบยิ้มไม่ได้

       “เออกูเชื่อก็ได้” โจ้ขำร่วน ก่อนจะเดินเคียงคู่มากันเปลวไปยังโต๊ะที่พละพลนั่งรออยู่ โดยมีเพื่อนคนอื่นๆของโจ้เดินตามอยู่ข้างหลัง

       “เปลว กูรู้ว่ามึงชอบกินอันนี้ก็เลยซื้อไว้ให้ละ มึงจะได้กินพร้อมกูได้เลยไม่ต้องไปต่อแถวรอนาน” และทันทีที่เปลวนั่งลงตรงข้ามพละพลเจ้าตัวก็จัดแจงจานข้าวแกงที่ซื้อรอเปลวอยู่ก่อนแล้ว

       “อ่าวพล แล้วกูล่ะเพื่อน ทำไมซื้อให้แต่ไอ้เปลว” โจ้ทักท้วง

       “สิทธิพิเศษที่เปลวได้รับคนเดียวครับ โจ้อยากให้มีคนซื้อให้โจ้ต้องหาเมียแล้วปะ”

       “โหดร้ายว่ะ งั้นกูกับพรรคพวกไปซื้อข้าวก่อนน้า เชิญสวีทวี๊ดวิ่วกันตามสบาย” พูดเสร็จเจ้าตัวก็ทิ้งท้ายด้วยการทำหน้าทำตากวนส้นเท้าแล้วเดินออกไป ..เหลือเพียงแค่เปลวกับพละพลสองคนกลางโรงอาหารที่คนพลุกพล่านเต็มไปหมด

       “มึงจะดูหนังเรื่องอะไรวะ มีหนังใหม่เข้าหรอ” พลเปิดประเด็น พร้อมกับหยิบคู่ช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจะตักข้าวกิน

       “ใช่ กูรู้ว่ามึงต้องชอบแน่ๆ” เปลวตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ

       “รู้ใจกูจังเลยเนอะ อย่างงี้ก็ควรเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วปะ” ทว่าความมั่นใจเมื่อครู่ก็ต้องลดหลั่นลงมา ..มันไม่ใช่ว่าเปลวจะไม่อยากเลื่อนสถานะขึ้นไป แต่ว่า..มันยังไม่สมควรที่จะเป็นตอนนี้

       “…”  เปลวกลัว..

       “ล้อเล่นหรอก เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้” ..กลัวว่าพละพลจะรับในเรื่องที่เขากำลังป่วยไม่ได้

        “อีกซักพักนะมึง รอให้กูพร้อม..” เพราะเขาก็รู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่เขาเป็นมันค่อนข้างหนักหนาพอสมควร ถ้าพละพลรู้แล้วทำให้พละพลต้องคอยเป็นห่วงกัน อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้พละพลรู้หรอก เป็นแบบนี้ต่อไปดีที่สุด…กับทุกฝ่าย

       “กูไม่ได้อยากมีแฟนอะไรขนาดนั้น แค่มีมึงอยู่ข้างๆกูก็โอเคแล้วอะ”

       “กูอยู่ข้างๆมึงนี่แหละ ไม่ไปไหนหรอก..”





       เพล้ง!

       จู่ๆเสียงจานตกกระทบพื้นก็ดังขึ้นมา ดึงเอาความสนใจของผู้คนภายในโรงอาหารกันเป็นตาเดียว เปลวหันไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะพบว่าคนที่ทำเสียงดังรบกวนคนอื่นๆทั้งโรงอาหารก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

        เทียนไขนั่นเอง..



        “อะไร? มองกูทำไม มึงสะดุดขากูเองปะไอ้ควาย” ใครคนนึงที่นั่งอยู่ตรงนั้นตะโกนใส่หน้าเทียนไขที่กำลังหันไปมองหาผู้ที่ทำให้ตัวเองล้ม “มองเหี้ยไรนักหนาไอ้สัด ทำไม? มึงไม่อยากจบตรงนี้มึงก็ไปเจอกับกูได้”

        “…” ส่วนเทียนไข ..ตัวเขาเริ่มสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ เขาค่อยๆใช้แขนข้างนึงยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะขยับไปหยิบถาดรองจานที่กระเด็นไปใต้โต๊ะอีกโต๊ะนึงกลับมา แล้วใช้มือเปล่าของตัวเองหยิบจับเศษจานที่แตกขึ้นมาไว้บนถาดในมือด้วยความระมัดระวัง

        ..เม็ดข้าวที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น รวมถึงเนื้อและผักชิ้นโตที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเทียนไขถูกเจ้าตัวค่อยๆโกยขึ้นมาใส่ไว้ในถาดรองจาน จนพื้นที่เคยเปรอะเปื้อนดูสะอาดมากขึ้น ..เทียนไขลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาเดินต่อไป ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดี..ใบหน้าของเทียนไขเต็มไปด้วยคราบน้ำตา



        ..ที่แย่ไปกว่านั้น เศษข้าวที่เทียนไขเก็บขึ้นมาเขาไม่ได้นำมันไปทิ้งแต่อย่างใด แต่เทียนไขกลับพาข้าวเหล่านั้นไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป จับช้อนส้อมขึ้นมา ริมฝีปากที่สั่นระริกจากการสะอื้นค่อยๆอ้าออกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆนำข้าวที่ตกพื้นเหล่านั้นเข้าปาก

         มันไม่ใช่อุบัติเหตุ…ทุกคนต่างก็รู้ดี คนที่ด่าเทียนไขคนนั้นเขาจงใจยื่นขาออกมาสกัดขาให้เทียนไขล้มหน้าคะมำ และใช่…ดีใจด้วยที่ทำสำเร็จ

        ..แต่คุณจะรู้มั้ยว่า นั่นมันเป็นเงินที่กว่าจะได้มาเทียนไขต้องแลกมันด้วยน้ำพักน้ำแรง…

        คุณจะรู้มั้ย..ว่ามันทรมานขนาดไหนกับการเป็นตัวตลกของทุกคนในโรงอาหาร..







       “มึงดูดิ แม่งแดกข้าวที่ตกดิน โคตรบ้า..” ที่โต๊ะกลางโรงอาหารพละพลหัวเราะร่วนเมื่อเห็นภาพเทียนไขทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

        “…” เปลวถึงกับขมวดคิ้วกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        “มันยังสติดีอยู่หรือเปล่าวะ?” ..และแล้วเส้นความอดทนที่มีอยู่ก็ขาดลง เปลวลุกขึ้นออกมาจากตรงนั้นก่อนจะเดินออกไป















        “เทียนวางช้อนลง ผมซื้อมาให้คุณ” ..การมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวในสภาพแบบนี้แกก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอเทียนไขว่ามันยาก ทำไมแกถึงยังดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่ออีกล่ะ..?

         “เทียน.. คุณได้ยินผมมั้ย?” จะบอกว่าอยู่ต่อไปเพราะความฝัน..เพราะความเชื่อมั่นของตัวเองหรอ …มันไม่จำเป็นซักเท่าไหร่หรอก เพราะแกไม่ได้สำคัญกับใครอะไรขนาดนั้น

         เอาจริงๆ..ต่อให้แกหายไปก็..ไม่มีใครสนใจเลยด้วยซ้ำ



        “เทียน” เปลวเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุดันมากขึ้น เพราะเทียนไขเอาแต่เหม่อลอยพยายามจะเอาเศษข้าวเข้าปากอยู่ซ้ำๆ จนเปลวต้องหยิบถาดข้าวตรงหน้าเทียนไขออกมาแล้วแทนที่ด้วยข้าวจานใหม่ที่เขาซื้อมาให้ ..เปลวไม่ได้เดินออกไปไหน แต่เขาเดินไปซื้อข้าวจานใหม่มาให้เทียนไข

        “…” คนตัวเล็กกว่าจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนีไป แต่เปลวรู้ทันก็เลยรั้งเทียนเอาไว้ได้

        “คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ที่ผมทำผมก็แค่อยากจะช่วยคุณ…สิ่งที่เขาทำกับคุณมันแย่” เปลวพูดในสิ่งที่รู้สึก ..ก็เห็นอยู่เต็มๆตาว่าจงใจขัดขากันชัดๆ ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นเขาอีก 

        “ปล่อย..” เทียนไขพยายามปลดตัวเองออกมาจากพันธนาการที่ข้อมือ แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งขยับมากเท่าไหร่เปลวก็ยิ่งบีบข้อมือของเขาแรงขึ้นเท่านั้น

        “เทียน..คุณฟังผม ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณ ผมสงสาร..ก็เลยซื้อข้าวมาให้คุณใหม่” เปลวพูดไปตามตรง เขารู้สึกไม่โอเคเลยซักนิดที่เห็นคนๆนึงโดนแกล้งแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือทุกคนต่างก็หัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่พละพลที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเทียนไข ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้ว่า..

        “กูขอมึงหรอ..?” จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเทียนไขไม่ต้องการ

        “…”

        “กูบอกว่ายังไง.. กูบอกว่าทีหลังไม่ต้องมาช่วยกูไง กูไม่ต้องการ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มสั่นเครือ เปลวสบตากับเทียนไขอีกครั้งก่อนจะพบว่าดวงตาคู่สวยกำลัง..ร้องไห้อีกแล้ว

        “คุณเกลียดผม ผมรู้…ผมรู้ดี แต่คุณช่วยห่วงตัวเองก่อนได้มั้ยเทียนไข” ใช่แล้ว..ตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือเทียนไข เพราะงั้น..คุณช่วยเป็นห่วงตัวเองก่อนได้ไหม…

        “เปลวมึงทำอะไร” เสียงนุ่มที่เคยฟังแล้วสบายหู ตอนนี้พละพลกลับใช้มันด้วยความดุดัน

        “…” เปลวหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง กำปั้นทั้งสองของพละพลกำแน่นเพื่อระบายอารมณ์ เพราะสิ่งที่ประจักษ์ชัดแจ้งเต็มๆตาก็คือ..เปลวกำลังจับมือกับตัวเชื้อโรคอย่างเทียนไข

        “ฮือ…ปล่อย ปล่อยกู.. ปล่อยกูที” และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งอะไร ..ทันทีที่เทียนไขเห็นพละพลเขาก็รีบแกะมือของเปลวออกไป

        “หยุด” เปลวออกแรงบีบข้อมือของอีกฝ่ายให้มากขึ้นพร้อมกับบังคับขู่เข็ญเทียนไขด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “พล มึงไม่มาดูเพื่อนมึงหน่อยหรอวะ? พล?”

        “…มึงจะไปยุ่งกับมันทำไม มึงก็รู้นี่ว่าไอ้เหี้ยเทียนมันทำอะไรไว้กับมึงบ้าง!”

        “ทำไมวะ.. เทียนทำอะไรกูแล้วมันทำไม..?”

        “มึงยังต้องถามอีกหรอว่าทำไม มันทำมึงเกือบตายเลยนะเปลว”

        “ตอนนี้กูไม่สน” เปลวทิ้งท้ายก่อนจะหันกลับมาหาเทียนไขอีกครั้ง

        “ปล่อยเถอะ..ปล่อยเถอะนะ” คนตัวเล็กกว่ายังคงดื้อดึงไม่หยุด

        “คุณฟังผม …ที่ผ่านมาผมรู้ว่าระหว่างเรามันแย่ แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าจริงๆแล้วผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย ผมอยากให้เราได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ” …ถ้าหากทุกอย่างมันไม่บิดเบี้ยวแบบนี้ พวกเขาทั้งสองคงจะไม่ต้องมาพบเจอความเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่แบบนี้.. พอจะเป็นไปได้ไหม ถ้าระหว่างเรา…จะเริ่มต้นใหม่

        “กูไม่อยาก! มึงปล่อย…กูบอกให้ปล่อย ปล่อยกู”

        “…” แต่คงจะเป็นไปไม่ได้

        “กูเกลียดมึง..กูเกลียดมึง …มึงได้ยินไหมว่ากูเกลียดมึง ..อย่ามายุ่งกับกู …อย่ามายุ่งกับกู ฮือ….” ..ยังไงโลกของพวกเขาทั้งสองคนก็บิดเบี้ยวกันไปจนแทบจะไม่มีรูปร่างแล้ว …ไม่มีหนทางไหนให้โลกทั้งสองใบนี้มาบรรจบกันได้หรอก.. 

         มีแต่…จะคอยแผดเผาทำลายกันอยู่เรื่อยไป







        …เทียนไขร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ของตัวเองปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ..เขาผลักเปลวออกไปเพื่อจะให้เปลวปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ เพราะเขารู้ดีว่ายังไงซะเปลวก็ไม่มีทางเจ็บปวดอะไรอยู่แล้ว เปลวมีคนที่รักเขายืนอยู่ไม่ห่าง มีเพื่อนพ้องคอยปกป้อง ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย..



        โครม!

        …หากแต่ว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เทียนไขคิดไปซะทั้งหมด ด้วยแรงผลักเมื่อครู่เปลวถึงกับหงายหลังล้มลงไปกับพื้นโดยที่ไม่มีใครรับได้ทัน ที่แย่ไปกว่านั้น..

        หมวกไหมพรมกำลังจะหลุดออกไปจากศีรษะ

       

        “ฮะ..ฮะๆ ฮ่าๆ..” เปลวรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิด เขาจึงพยายามหัวเราะเพื่อสร้างความสุขปลอมๆขึ้นมาในโลกที่ผุพังลงไปแล้วของเขา

        “เปลว..!” เสียงนุ่มๆเอ่ยเรียกชื่อของเขา ก่อนจะพุ่งตรงมาหาเขาอย่างไม่รอช้า ทว่าพละพลกลับชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนั้นข้างๆลำตัวของเขา หยุดยืนอยู่นิ่งๆจ้องมองไปที่ศีรษะของเขาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจอย่างสุดขีด

        ..เช่นเดียวกันกับพวกไอ้โจ้ที่เดินมาถึงเมื่อครู่ พวกมันหยุดกึกไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา

        รวมถึง..คนอื่นๆในโรงอาหารด้วยเช่นกัน



        ‘วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี’ ทั้งๆที่เขาหวังให้มันเป็นแบบนั้น ..เขาสู้มาโดยตลอด พยายามอยู่ในสังคมให้ได้ด้วยสภาพที่น่าเกลียดแบบนั้นของตัวเอง

        ทั้งๆที่เปลว…พยายามจะมีความสุขมาโดยตลอด.. 





        “สะใจคุณหรือยัง..เทียนไข” แต่ตอนนี้..มันไม่มีผลอะไรแล้ว โลกที่ผุพังถล่มสลายไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ความรู้สึกดีๆก็เช่นกัน

        มัน..ไม่เหลืออะไรแล้ว







       

       

       























หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 11 : 11 ‘เปลวเทียน’” updated 18/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-02-2019 05:03:34
เอิ่มมมมม งืมมมมมมม "....." แตกสลายกันทั้งสอง ณ เวลานี้ แต่หลังจากนี้ผลสะท้อนกลับมาคงน่าจะเป็นเทียนมากกว่าหากว่าพลและเพื่อนรับได้กับสิ่งที่เปลวเป็นอยู่ตอนนี้ เทียนละจะโดนตีกลับแบบหนักว่าเดิมอีก ไอ้เราก็นึกว่าหายไปจะเข้มแข็งขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็เปล่า โอเคเราจะพยายามเข้าใจว่าเวลาแค่นี้ใครจะทำได้ (แหมมมแต่ถ้าเรามีแรงเกลียดชัง เราทำได้นะ เราต้องดีขึ้นงี้ 55555) //ในมุมมองต่อเปลว บางทีเราก็คิดนะว่าการที่เทียนมาทำร้ายๆใส่เปลวในตอนนี้ มันก็ไม่แฟร์สำหรับเปลวเลย เพราะเปลวเขาจำความเดิมไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็ถูก แล้วเทียนมาพ่นคำร้ายๆใส่ ทำร้ายร่างกายด้วย เขาจะคิดว่าเทียนร้ายนั้นมันก็ไม่แปลก ก็ไม่มีใครรู้ว่าเทียนเจอไรมา //ส่วนในมุมมองของเทียน เราก็เข้าใจอีกละว่า ก็คนเรามันเกลียด แทบอยากฆ่าให้ตายกับสิ่งที่เขาทำกับเรา มันเลยแบบเกลียดและโกรธจนไม่สนว่าเขาจะจำได้หรือไม่ แต่เทียนในตอนนี้ก็(คงแอบ)สับสนอยู่ว่าเขาแกล้งความจำเสื่อมหรือว่าเป็นจริงๆ (ซึ่งตามจริงเทียนน่าจะรู้บ้างแล้วนะว่าเขาเป็นจริงๆ) เราก็เลยเข้าใจทั้งสอง พยายามไม่เอนเอียงสุด 555555  แต่ถ้าเมื่อไหร่ความจำเปลวกลับมาเถอะ หึหึ! บัญชีหนังหมาเปิดรอเลย เทียนจะเอาคืนในความทรงจำเก่าเราไม่ว่าเลย (เราคงไม่กระทืบหรอกแแต่จะหล่อเริ่ดเชิดจนอิจฉาไปเลยละวะ ฮ่าๆๆ) หลังจากนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็อยากให้ทั้งสองต่างแยกกันเข้มแข้งนะ คงกลายเป็นเส้นขนานไปแล้ว ไม่อยากให้เกี่ยวข้องคือไม่ต้องไปวอแวนะเปลว ต่อจากนี้คงไม่ไปวอแวจริงๆแล้วละ ก็นะ แล้วเทียนก็เข้มแข็งไว้นะ สู้โว้ย ชีวิตมันต้องเดินต่อไป อย่าให้พวกมันมาหยามสิวะ ตีนกูนี้กระตุกอยู่ร่ำๆ อยากถีบหน้าพวกแม่ง อร๊ายยยยยยยยอินเว่อร์วังค่ะ 55555 สนุกกกกมากกก ดราม่าหน่วงดีแท้ อ่านยาวเลย เพลินจนอยากอ่านต่อแล้ว ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้อ่านกัน รอเสมอค่ะ อยากรู้จริงปลายทางของสองคนนี้อยู่ตรงไหน 555555555  เอาอีกค่ะเอาอีก รอรอรอนะคะ แต่งดีมาก ชอบเลย ^_^
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 11 : 11 ‘เปลวเทียน’” updated 18/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 24-02-2019 01:50:04
12


‘เปลวเทียน’




*เนื้อหาในตอนนี้ค่อนข้างรุนแรง ภาษาที่ตัวละครใช้ก็รุนแรงไม่แพ้กัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ*




       ‘ทำไมหน้าเปลวดูเครียดๆ คิดอะไรอยู่หรอ’

       ‘คิดถึงมึง’

       ‘คิดถึงเราก็ต้องยิ้มสิ’

       ‘เทียนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.. ’

       ‘มีอะไรหรือเปล่า หื้ม’

       ‘มึง..อยู่ข้างๆกู อย่าทิ้งกูไปได้มั้ย..’




       ...ภาพจำใบหน้าของเปลวในหัวเทียนไข เขาดูเป็นคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนอะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเปลวจะควบคุมสติและหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญ ..ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเปลวแทบจะไม่เคยแสดงออกมาเลยว่าตัวเองเศร้า กลับกันเปลวมักจะยิ้มอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเปลวมักจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้โลกทั้งใบของเขาสดใส เพียงแต่..เทียนไขไม่เคยรู้เลยว่ารอยยิ้มที่ประดิษฐ์อยู่บนใบหน้าของเปลวมันยากแค่ไหนกว่าจะยิ้มออกมาได้



       “…” เทียนไขยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาทำอะไรไม่ถูก แขนขารู้สึกแข็งชาไปหมดทำให้ก้าวไม่ออก ..เอาจริงๆคือ..เทียนไขยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะก้าวไปหาเปลวหรือเปล่า ควรจะช่วยเปลวขึ้นมามั้ย

       “เปลว..” พละพลก็ดูจะตกใจกับภาพอันอัปลักษณ์ของเปลวอยู่ไม่น้อย เขาจึงทำหน้าที่การเป็นคนที่เปลวรักและเป็นคนที่รักเปลวได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการ…ยืนดูอยู่ตรงนั้นไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ..เปลวเห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกขำตัวเอง ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงแล้วหยิบหมวกใบเดิมของตัวเองขึ้นมาสวม ..ใช้แขนอันสั่นเทายันตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก เนื่องจากความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อแสนอ่อนแอที่ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ถูกเทียนไขผลักจนล้มกระแทกไปกับพื้น

       “…” ..เปลวเริ่มเดินเข้ามาใกล้เทียนไข ทำเอาหัวใจของเทียนไขเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ความหวาดกลัวเกิดขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อระยะห่างระหว่างเขากับเปลวเหลือไม่ถึงฟุต ภาพหมัดหนักๆที่กวัดแกว่งกระหน่ำใส่เขาอย่างบ้าระห่ำฉายย้อนเข้ามาให้เกิดความรู้สึกเย็นวูบ 

       “…” หากแต่..เปลวไม่ได้ลุกขึ้นมาเพื่อทำร้ายเขาเหมือนอย่างที่เขาคิดเลย ที่แย่ไปกว่านั้น..คนที่มักจะยิ้มอยู่เสมออย่างเปลวกลับกำลัง..ร้องไห้

       …หยาดน้ำตาเม็ดใสกำลังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ฉายแววออกมา เปลวเชยสายตามาที่เทียนไขอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาของเทียนไขที่เขาเห็นฉายแววเพียงความหวาดกลัว ..ไม่มีคำถามไถ่ ..ไม่มีความสงสัย และไม่มีคำขอโทษใดๆเกิดขึ้น ..นั่นจึงเป็นคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่าที่เขาคิดอยากจะสนิทกับเทียนไข ..อยากจะเป็นเพื่อนกัน และอยากจะขอโทษถ้าซักวันความทรงจำเขากลับมา ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดที่เกิดจากความขาดสติของเขาเอง เปลวโง่เองที่คิดแบบนั้นกับเทียนไข ..นี่สิความเป็นจริง ทำไมเขาถึงไม่ยอมรับมันซักที..



       “คุณคง..เกลียดผมมากเลยสินะ..?” น้ำเสียงแหบพร่าของเปลวเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด ..ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องถามในสิ่งที่ตนเองก็..รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

       “…”

       “ช่วยตอบให้..คนโง่ๆอย่างผมรู้ตัวเองซักที..” ..แต่ถึงอย่างนั้น…เปลวก็อยากจะฟังจากปากเทียนไขอยู่ดี เขาจะได้รู้ตัวว่าต่อจากนี้กับเทียนไขเขาควรจะก้าวไปทางไหน

       จะได้..ไม่ก้าวผิดทางอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้



       “เออใช่! กูเกลียด.. เกลียดมึงฉิบหาย กูอยากฆ่ามึงให้ตายเลยด้วยซ้ำเปลว!” และนี่..คือคำตอบที่เขาได้รับ

       “ถ้าเป็นอย่างนั้น..” เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ สำหรับเรื่องราวทั้งหมด

       “…” ..เราต่างก็พบเจอแต่ความเจ็บปวด ..เราต่างก็ร้องไห้ เสียหยดน้ำตาจนมันดูไร้ค่า  ..เราต่างก็ทนทุกข์ทรมานกับการพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ให้เหมือนคนปกติ และสุดท้าย..เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าเรา..ไม่ควรพบไม่ควรเจอกันเลยซักนิด เพราะฉะนั้น..ทางที่ดีที่สุดที่พอจะช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นก็คงมีแต่ต้อง..ลบคำว่า ‘เรา’ ออกไปซะ

       ..ไม่ควรมีคนชื่อเทียนไข ในโลกที่ผุพังของเปลว

       และไม่ควรมีคนชื่อเปลว ..ในโลกที่แหลกสลายของเทียนไข



       “…” คนตัวเล็กกว่าเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยสบตากับเปลวอีกครั้ง และภาพที่เห็นก็ค่อนข้างพร่าเบลอจนแทบจะแยกวัตถุไม่ออก หยาดน้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาเต็มไปหมด ..เขาควรจะดีใจที่เปลวรู้ตัวเองซักทีว่าเขาโคตรจะเกลียดเปลวเลย ใช่ เขารู้..เขารู้ตัวดี แต่ลึกๆในใจมันกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  …วินาทีนั้นเองที่เทียนไขเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อครู่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ควร ริมฝีปากที่กำลังสั่นเครือจึงพยายามที่จะเอ่ยคำขอโทษออกไป

      “ต่อจากนี้ก็ขอให้เรา..อย่าได้เจอกันอีกเลย”

      ทว่ามันก็..สายเกินไปซะแล้ว



















       …หลังจากเหตุการณ์นั้นเรื่องของเทียนไขก็เริ่มลือกระฉ่อนไปไกล สายตาทุกคู่ในโรงอาหารตอนนั้นจับจ้องมาที่เขากันเป็นตาเดียว คิ้วของคนส่วนใหญ่ขมวดกันเป็นปม ก่อนที่คนเหล่านั้นจะหันกลับไปนินทาเรื่องเขากันอย่างสนุกปากภายในวงสนทนา และเรื่องของเทียนไขก็ถูกเล่าต่อกันไปปากต่อปากจนขยายกันเป็นวงกว้าง  ทำให้หลังจากนั้น..ทุกครั้งที่เทียนไขเดินผ่านใครก็ตามไม่ว่าจะคนในคณะเดียวกันหรือต่างคณะ สายตาของคนพวกนั้นก็มักจะมองมาที่เทียนไขด้วยความรังเกียจ..

       “คนนี้หรือเปล่าที่ทำให้เด็กสินกำคนนั้นหัวแตกอะ?” เสียงของใครคนนึงที่ดังแว่วมาให้ได้ยินบริเวณที่นั่งริมคณะขณะที่เทียนไขเดินผ่าน

       “ใช่ๆ วันก่อนก็ทะเลาะกันกลางโรงอาหารเลย มึงเห็นแผลเป็นหัวเด็กสินกำคนนั้นปะ แบบ..น่าสงสารว่ะ”

       “ใจคอมันทำด้วยอะไรวะ ถึงได้ใจร้ายขนาดนั้น แล้วนี่ทำไมยังกล้าเดินลอยหน้าลอยตาในสังคมอยู่อีก มันควรจะไปอยู่ในคุกแล้วปะ?” ..สิ่งที่เทียนไขทำได้มีเพียงแค่พยายามไม่สนใจต่อคำพูดเหล่านั้น ทำได้แค่ย้ำเตือนตัวเองให้เดินต่อไป อย่าสนใจ.. อย่าใส่ใจ..



       ปั่ก!

       “หมั่นไส้มันว่ะ” เสียงทุ้มตะโกนตามหลังเขามาด้วยความสะใจหลังจากที่ได้ปาก้อนหินก้อนนึงใส่หัวเทียนไข ..ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่เทียนไขก็ต้องกัดฟันทนแล้วก้าวเดินต่อไป

       “เอาว่ะ วันนี้เดินมาคนเดียวว่ะ ปกติเห็นตัวติดกับไอ้เหี้ยเมธ” ทว่าพอเดินออกมาจากคนกลุ่มนั้นที่ปาหินใส่เขา เทียนไขก็ยังมาเจอกับกลุ่มคนอีกกลุ่มที่นั่งออกันอยู่ตรงเชิงบันได

       “เมธไหนวะ”

       “ก็ไอ้นั่นไงที่ใส่แว่นหนาๆ แต่ก่อนเคยสนิทกับไอ้พล แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่กับไอ้เทียนละ งงมันเหมือนกันว่าทำไมเลือกมาอยู่ข้างไอ้เหี้ยนี่ ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้า” ..มือที่แนบสนิทข้างลำตัวเริ่มสั่นเพราะความหวาดกลัวที่กัดกินในหัวใจ เทียนไขพยายามข่มมันเอาไว้ก่อนจะก้าวเดินต่อไปเพื่อหลีกหนีคนพวกนี้ไปให้พ้นๆ แต่เสียงนกเสียงกาเหล่านั้นก็ไม่วายดังตามหลังมาให้ได้ยิน..

       “ก็คงพอๆกับไอ้เหี้ยเทียนมันนั่นแหละ คนศีลเสมอกันก็อยู่ด้วยกันได้ ศีลต่ำๆอย่างพวกมันเลยอยู่ด้วยกันได้ไง” ..ถ้าถามว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากการต่อยตีกับความเจ็บปวดที่เกิดจากคำพูดเหล่านี้อะไรเจ็บปวดกว่ากัน เทียนไขสามารถตอบได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย เพราะคำพูดเหล่านี้นี่แหละที่เจ็บปวดมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ทรมานมากๆที่เรารู้สึกเจ็บ แต่เราตอบโต้ไม่ได้ ทำได้แค่ก้มหน้ารับก้อนดินก้อนโคลนที่มันไม่เป็นความจริงเหล่านั้นปล่อยให้มันแต่งแต้มร่างกาย จนสุดท้ายแล้วเทียนไขที่คนอื่นๆรู้จักก็มีแค่เทียนไขที่เป็นข่าวลือ ไม่มีใครรู้จักกันจริงๆเลยแม้แต่คนเดียว

       “จริงว่ะ จำได้ว่าไอ้พลเคยบอกกูว่าไอ้เมธติดแฟนชิบหายเพราะแฟนมันรวย เลยทำตัวเป็นแมงดา เกาะเขากินไปวันๆ” ขอโทษนะเมธ.. ขอโทษที่กูดึงมึงลงมาให้คนเหล่านี้มันนินทา

       “5555555555 สมเพชว่ะ” ขอโทษจริงๆ…

       “อะดู เชี่ยเทียนแม่งเดินคอตกเป็นหมาเลย สมน้ำหน้า”

       

       …เทียนไขยังคงพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ดูปกติมากที่สุด เขายังคงดื้อรั้นที่จะมาเรียน มาเจอเพื่อนฝูงที่เคยทักทายกันถึงแม้ตอนนี้จะเปลี่ยนจากคำทักทายเหล่านั้นเป็นคำครหานินทาไปแล้ว เขายังคงคลี่ยิ้มออกมาเพื่อหวังให้มันซ่อนความเจ็บปวดข้างในที่กำลังแหลกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

       ..แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด ..โชคดีหน่อยที่เขายังมีเมธอยู่เคียงข้าง การใช้ชีวิตในสภาพแบบนั้นจึงไม่ได้ยากเท่าไรนัก เพราะอย่างน้อยๆถ้าเกิดรู้สึกแย่มากๆเขาก็ยังมีคนคอยรับฟัง..คอยเข้าใจเขาอยู่ จริงๆ..เมธเองก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าทุกคนกำลังมองเทียนไขอย่างไร เขาเคยตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่าเทียนไขทำอะไรลงไปหรือเปล่า และคำตอบที่เขากลั่นกรองมาได้จากปากของคนอื่นๆก็คือ

       พละพลไปเล่าให้ฟังว่าที่เปลวมีสภาพเป็นแบบนั้นก็เพราะเทียนไข

       …รอยแผลบนศีรษะของเปลวเกิดขึ้นก็เพราะฝีมือของเทียนไข

       และใช่…คนส่วนใหญ่เชื่อแบบนั้น เพราะภาพในวันนั้นมันก็ชัดเจนมากพอจนไม่จำเป็นต้องสรรหาหลักฐานใดๆมารองรับอีก



       ..สำหรับเมธ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อไอ้ข่าวลือบ้าๆนี่แน่ๆ ซ้ำในใจก็เป็นห่วงเทียนไขอยู่เต็มอก ทว่าเมธก็..ช่วยอะไรเทียนไขไม่ได้เลย เขาอยากจะให้คนอื่นๆรู้ว่าเทียนไขกำลังป่วย อยากให้มีคนเข้าใจเทียนไขเพิ่มขึ้นแม้ซักคนก็ยังดี ..แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลย เทียนไขไม่ให้เขาบอกเรื่องที่ตัวเองป่วยกับใคร ซึ่งเอาจริงๆเขาจะไม่ทำตามสิ่งที่เทียนไขพูดก็ได้ แต่พอหันไปเห็นรอยยิ้มของเทียนไขแล้วเมธก็ทำแบบนั้นไม่ลง.. ยิ่งไปกว่านั้น…เมธจะไม่มีวันทำร้ายเพื่อนที่รักและเป็นห่วงเขาอย่างเทียนไขแน่ๆ 

       “เมธ มึงไม่ควรมาเดินกับกู ทุกคนจะมองมึงไม่ดีนะ” นี่เป็นสิ่งนึงที่เทียนไขบอกเขา ขณะที่กำลังเดินเลียบไปบนฟุตบาทด้วยกันเพื่อไปหน้ามหาลัยในช่วงเย็นหลังจบคลาส แน่นอนว่าเมธไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างอยู่แล้ว ทว่าเทียนไขกลับไม่ได้คิดเหมือนเขา เพื่อนของเขาคนนี้เป็นห่วงเขาอยู่เต็มอก.. “กูว่า..เราไม่ควรเป็นเพื่อนกัน”

       “ไม่เกี่ยวปะวะ กูก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคนพวกนั้นอยู่แล้ว” เมธตอบ คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน

       “แต่คนพวกนั้นที่มึงว่ามันสามารถทำให้มึงใช้ชีวิตลำบากได้เลยนะ ..มึงควรไปอยู่ในที่ที่มีงควรอยู่ ไม่ใช่มาอยู่กับกูที่เป็นตัวเชื้อโรค..”

       “ใครจะคิดยังไงมึงจะไปสนใจทำไม”

       “เมธ กูไม่อยากให้มึงต้องมาเจ็บตัวหรือพบเจออะไรร้ายๆเพราะกู”

       “แล้วยังไง มึงจะให้กูทิ้งมึงที่กำลังแย่อยู่หรอวะ? กูทำไม่ได้หรอก”

       “กูไม่เป็นไรหรอกเมธ กูอยู่คนเดียวได้ อีกซักพักเรื่องนี้มันก็คงซาลง แล้วสุดท้ายมันก็จะผ่านไป” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างที่เขามักจะทำอยู่ทุกครั้ง หากแต่เมธรู้ดีว่าจริงๆเทียนไขไม่ได้ยิ้มอยู่อย่างที่ปรากฎให้เห็น

       “ใช่ มันเป็นแบบนั้น และในระหว่างที่รอให้มันผ่านไป กูจะอยู่ข้างๆมึง” และเมธก็เข้าใจเพื่อนของเขาดี เขาไม่มีทางทิ้งเทียนไขไปเด็ดขาด โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ไม่มีทาง..

       “มึงต้องไปจากกูเมธ”



       พลั่ก!

       แต่ทว่า..ทันใดนั้นคนตัวเล็กกว่าก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีออกแรงผลักให้เมธล้มลงไปบนฟุตบาท ในขณะเดียวกันแฟนของเมธที่จอดรถรออยู่ไม่ห่างก็เปิดประตูออกมาเห็นพอดี เช่นเดียวกับนิสิตคนอื่นๆบริเวณนั้นที่เห็นเหตุการณ์เต็มๆตา  ..น้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาของเทียนไขอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปอีกทางแล้ววิ่งหนีไป

       ทั้งหมดนี่…เพื่อให้เมธหลุดออกไปจากชีวิตเขา

       ..เพื่อให้..เมธที่เป็นเพื่อนของเขาเพียงคนเดียวในตอนนี้ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด หรือถูกนินทาว่าร้ายอะไรอีก..













       ..หลายวันผ่านไปหลังจากวันนั้น เทียนไขก็ยังคงดื้อรั้นที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีแต่คนรังเกียจเขาต่อไป สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆเพราะสิ่งที่เทียนไขทำ เมธห่างออกไปเพราะน้ำผึ้งสั่งห้าม พละพลมีเพื่อนกลุ่มใหม่ในคณะ และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมหาลัย ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิม เทียนไขยังคงต้องไปไหนมาไหนคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว เพื่อนคนเดียวที่เขาพอจะมีเหลืออยู่ก็คงจะเป็นตัวเขาเองในกระจก ที่พอเขายิ้ม..เพื่อนคนนี้ก็จะยิ้มตอบ พอเขาบอกว่าสู้ๆ ..เพื่อนคนนี้ก็จะขยับปากเป็นคำว่า สู้ๆ เช่นเดียวกัน

       เทียนไขไม่ได้รับรู้เรื่องของเปลวอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น แต่ก็เคยเดินสวนกันอยู่บ้าง  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเปลวและเขาต่างก็เดินไปตามทางของตนเอง สวนทางกันไปโดยไม่เหลียวหลังมามอง

       เราตายจากกัน..อย่างสมบูรณ์



       เทียนไขเลือกที่จะมากินข้าวคณะอื่นที่ไกลออกไปจากคณะตัวเอง ถึงแม้มันจะใช้เวลาในการเดินเท้าเพื่อมาที่นี่มากพอสมควร แต่มันก็ดีกว่าจะให้ไปนั่งกินข้าวท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาที่มีมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ

       ..เวลาช่วยให้ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นได้จริงอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพราะส่วนใหญ่คณะอื่นๆก็ไม่มีใครมาสนใจกับเรื่องของเขาซักเท่าไหร่แล้ว เพราะเหตุนี้เทียนไขจึงสบายใจมากกว่า กับการมารับประทานอาหารที่โรงอาหารของคณะอื่นที่ไกลออกไป เขามักจะทำแบบนี้ทุกวัน รวมถึงวันนี้ด้วยเช่นกัน.. แต่ละวันของเทียนไขสงบสุขเสมอมา จนกระทั่ง..

        “อ้าว เทียน..? ใช่เทียนไขปะ..?” มีใครคนหนึ่งที่กำลังเดินมาทางเขาหลังจากสบตากับเขาอยู่ครู่นึง เจ้าตัวไม่เพียงแต่เดินเข้ามาใกล้ แต่ยังถือวิสาสะนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเทียนไขอีกด้วย

       “กูโก้นะ มึงสบายใจได้กูไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น” คนตรงข้ามพูดเจื้อยแจ้วด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เทียนไขจึงพอจะเบาใจไปได้บ้าง เพราะอย่างน้อยคนๆนี้ก็ดูไม่มีพิษมีภัย “แต่กู..มีอะไรสงสัยอยู่อย่างนึง”

       “อ..อะไร..”

       “มึงกับเปลว..ทำไมถึงมาทะเลาะกันได้วะ?”

       “…” ฉึก! ..ราวกับถูกมีดแหลมๆปักลงกลางใจ ไม่เป็นไรเทียนไข.. ไม่เป็นไร

       “ทำไมทำหน้างั้น ..จำกูไม่ได้หรอเทียน กูโก้ไง เด็กใหม่ตอนม.4 ที่ย้ายมากลางเทอม”

       “อ..อ๋อ.. ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามึงเรียนที่นี่” ยิ้มเข้าไว้…

       “รู้สิแปลก ตลอดช่วงม.ปลายมึงกับกูคุยกันยังไม่ถึงห้าประโยคเลยด้วยซ้ำมั้ง”

       “ฮ่าๆ.. จริงด้วย” หัวเราะเข้าไว้..

       “แล้วนี่จะตอบคำถามกูได้ยัง? ที่กูถามก่อนหน้านี้”

       “…” อย่าคิดถึง.. อย่ารู้สึก..

       “จะด่าว่ากูเสือกก็ได้ แต่ถ้ากูจำไม่ผิดมึงกับเปลวอยู่บ้านเดียวกันไม่ใช่หรอวะ สนิทกันมากด้วย”

       “ไม่ขนาดนั้น..” ..มันผ่านมาแล้วเทียนไข มันผ่านมาแล้ว

       “ขนาดนั้นแหละ กูยังจำได้อยู่เลยว่ามึงอยู่รอมันซ้อมบอลจนมืดค่ำได้ซะทุกวัน”

       “...” ..ทั้งๆที่เทียนไขพยายามย้ำเตือนกับตัวเอง ..แต่สุดท้ายแล้วภาพเด็กหนุ่มที่กอดคอกันเดินกลับบ้านพร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในอดีตก็ฉายย้อนกลับมาในหัว..



       ‘บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้กลับไปก่อน กว่ากูจะซ้อมเสร็จก็มืดค่ำ’

       ‘ก็อยากกลับพร้อมกันอะ’

       ‘ดื้อ’

       ‘บ่นไปเถอะ กูก็จะอยู่รอกลับพร้อมมึงอยู่ดี’

       ‘บ่นเพราะเป็นห่วง ยุงมันเยอะ ไม่อยากเห็นคนแถวนี้เป็นไข้เลือดออก’

       ‘งั้น..ขอรับความเป็นห่วงของมึงไว้แล้วเลิกรอมึงตั้งแต่พรุ่งนี้เลยดีกว่าเนอะ’

       ‘ไม่ได้ ก..กูชินกับการกลับพร้อมมึงไปแล้ว’

       ‘อ่าว เดี๋ยวยุงกัดกู ..เป็นไข้เลือดออกทำไง?’

       ‘เดี๋ยวกูเหมาโลชั่นกันยุงมาไว้ให้มึง’




       …ภาพเหล่านี้มันผ่านไปแล้วก็จริง แต่ความรู้สึกมันไม่เคยผ่านไปเลย

       “..ไหนจะตอนที่มึงเจ็บตัวเพราะตกบันไดตอนหลังกีฬาสีจนมึงเดินไม่ได้นั่นอีก ได้ยินว่าเปลวหยุดเรียนดูแลมึงเป็นอาทิตย์เลยนะ พอมาโรงเรียนมันเห็นมึงเดินกะเผลกๆหน่อยก็อุ้มมึงขึ้นหลังเลย”

       “…” ..หยาดน้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบๆดวงตาอีกครั้ง ข้าวในจานกร่อยลงจนแทบจะไร้รสชาติ ถึงแม้จะพยายามสลัดภาพเหล่านั้นให้ออกไปจากหัว แต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที

       “มึงดูสนิทกันจะตายไป ทำไมตอนนี้เป็นแบบนั้นไปซะได้?”

       “ม..ไม่มีอะไรหรอก กูกับมันเคยสนิทกันก็จริง แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าบนโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน..” ยอมรับเถอะว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว..เทียนไข

       “หมายถึง..?”

       “กูกับเปลวเลยเป็นอย่างในทุกวันนี้ไง” 

       “เดาว่ามึงคงรู้สึกแย่พอสมควร” อีกฝ่ายตอบกลับมา ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บทสนทนาหลังจากไม่ได้เจอกันเกือบปีของพวกเขากร่อยลงไปมากกว่านี้ “เอางี้ดีกว่า พรุ่งนี้วันเกิดเพื่อนกู มึงน่าจะรู้จักนะแต่ไม่รู้ว่ามึงจะจำได้หรือเปล่า สนใจจะไปด้วยหรือเปล่า? งานใหญ่มากเลยนะ”

       “ใคร..?” เทียนไขเอ่ยถาม

       “เอาน่าเดี๋ยวมึงก็รู้เอง ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อย” โก้เอ่ยตอบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดตรงๆ แต่ยอมรับว่าท่าทางของโก้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เทียนไขไว้ใจ











       และใช่.. เทียนไขไว้ใจโก้ แล้วเลือกที่จะไปงานวันเกิดของใครก็ไม่รู้ตามที่โก้ชวน







       เทียนไขตกลงที่จะไป

       โดยที่..ไม่รู้เลยว่า ถ้าเขาไป..นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ





หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 11 : 11 ‘เปลวเทียน’” updated 18/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 24-02-2019 01:57:17
       …งานถูกจัดในโรงแรมหรูตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่งานวันเกิดธรรมดาๆของเด็กในช่วงอายุสิบเก้ายี่สิบปี แต่มันเป็นงานที่พิเศษยิ่งกว่านั้น ..งานนี้เป็นงานที่รวมทั้งงานวันเกิดของเพื่อนที่โก้บอก และปาร์ตี้เลี้ยงฉลองความสำเร็จในหน้าที่การงานของผู้เป็นพ่อของเพื่อนคนนั้นที่พึ่งถูกเลื่อนให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานของบริษัทชื่อดังระดับประเทศ

       รองประธานคนนี้จึงเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะจัดงานนี้ขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของลูกชาย และเลี้ยงขอบคุณคณะผู้บริหาร และพนักงานภายในบริษัทที่ช่วยให้เขาได้มีวันนี้อีกทั้งยังช่วยให้กระชับความเป็นพี่เป็นน้องกันภายในบริษัทอีกด้วย เพราะฉะนั้นในงานจึงถูกจัดตกแต่งให้อยู่ในรูปแบบที่หรูหราและสมกับชื่อของบริษัทนี้ ..มีพนักงาน หัวหน้าฝ่ายต่างๆ คณะผู้บริหาร รวมถึงกลุ่มเพื่อนของลูกชายผู้จัดงานมากมายที่มาร่วมงาน ค่ำคืนนี้ของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความสนุก และความอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า

       ..เทียนไขและโก้จึงเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆของงานนี้ พวกเขาเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งลงท่ามกลางกลุ่มคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขาทั้งสอง เทียนไขที่ไม่รู้จักใครเลยก็ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่กล้าที่จะพูดคุยกับใครซักเท่าไหร่ แต่ก็มีโก้คอยช่วยเป็นคนกลางในการทำความรู้จักให้ ความประหม่าที่เคยมีจึงคลายลงไปมาก

       เป็นแบบนั้นอยู่ครู่นึง ..ก่อนที่โลกของเทียนไขจะค่อยๆมืดดับลงอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของงานวันเกิด

       “อ้าวไอ้แม็ก! กูอยู่นี่เพื่อนมานี่เร็ววว” โก้เอ่ยเรียก ทำให้มันที่อยู่ในชุดสูทราคาแพงเดินเข้ามาใกล้

        “ก..โก้ กูกลับก่อนนะ” เห็นดังนั้นแล้วเทียนไขจึงรีบขอตัวก่อนจะลุกเดินออกไปด้วยความหวาดกลัว แผ่นหลังบางรวมถึงแขนขาใบหน้าของเทียนไขสั่นเครือไปหมด และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ..ไอ้แม็กรับรู้แล้วว่าไอ้คนที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่คือใคร

       “อ่าวไปไหน ..แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ย หนาวหรอ?” โก้เอ่ยถามเมื่อเห็นเทียนไขหน้าซีดเผือก ริมฝีปากสีอ่อนสั่นระรัว ดวงตาล่อกแล่กราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่างอย่างสุดขีด

      “ป..ไปก่อนนะ” ก่อนจะวิ่งออกไป แหวกฝูงชนที่กำลังดื่มด่ำกับเครื่องดื่มรสเฝื่อน

      “เฮ้ย! ไอ้เทียน..!” โก้หันไปเรียกตามหลังเทียนไข “รีบไปไหนของมันวะ ดู..ลืมกระเป๋าไว้อีก..”

      “มาไอ้โก้ เดี๋ยวกูเอาไปให้ไอ้เทียนเอง” เสียงทุ้มต่ำอันน่าขนลุกเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างๆเก้าอี้แล้วเดินตามแผ่นหลังบางนั่นไป





       เพี๊ยะ!

       ไอ้แม็กใช้ฝ่ามือของมันวาดวงกลางอากาศก่อนจะตวัดเข้าไปรวบแขนของเทียนไขอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ..ความเจ็บแสบเกิดขึ้นในทันที และมันก็มากพอที่จะกระตุกความหวาดกลัวทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเทียนไขให้แสดงมันออกมา

       “ใครกันเนี่ย หน้าคุ้นๆเหมือนเคยรู้จัก..” แม็กรวบคนอ่อนแออย่างเทียนไขเข้าไปในอ้อมกอดอันแข็งกระด้างที่เขาสรรสร้างมันมาด้วยแขนแกร่ง ฝ่ามือสกปรกโอบกอดเอวบางเข้ามาแนบตัว

       “…!!!” เทียนไขตกใจอย่างสุดขีดเมื่อตกเข้าไปอยู่ในพันธนาการ ทันใดนั้นเทียนไขจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักไอ้แม็กออกไปจนมันเซถอยหลังไปสองสามก้าว

       “รุนแรงจังเลย ..ว่าไงที่รัก ไม่ได้เจอกันนาน.. คิดถึงผัวบ้างมั้ยครับ.. หื้ม” เสียงอันน่าขนลุกเอ่ยเอื้อนออกมาจากปากของไอ้แม็กที่กำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจ ก่อนมันจะพุ่งเข้ามาหาเทียนไขอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือเชยคางเทียนไขขึ้นมาแล้วยื่นใบหน้าทุเรศๆของมันเข้ามาใกล้ๆ

       “ปล่อย.. ออกไป.. ออกไป” เทียนไขร้องขอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาพยายามปิดเปลือกตาลงเพราะไม่อยากสบตากับสิ่งมีชีวิตอย่างไอ้แม็ก หมัดที่มือกำแน่นก่อนจะทุบตีอีกฝ่ายเพื่อดิ้นรนให้มันปล่อย

       “ดูทำหน้าสิ กลัวกูขนาดนั้นเลยหรอ เสียใจจังทั้งๆที่เราก็เคยมีความสุขร่วมกัน” แต่ก็เปล่าประโยชน์สิ้นดี ยังไงแรงอันน้อยนิดของเขาก็สู้แรงของมันไม่ได้เลย ซ้ำร้ายพอไอ้แม็กรู้ว่าเขาพยายามดิ้นรน มือที่มันใช้เชยคางก็เริ่มออกแรงบีบปลายคางราวกับอยากจะให้มันแหลกสลายคามือ

       “อย่า..อย่าเข้ามาใกล้กูนะ.. อย่า อย่าเข้ามา”

       “คิดถึงเสียงนี้ของมึงจังเลยเทียน เอาอีกสิ ..ครวญครางออกมา ..ร้องขอชีวิตกับกูอย่างวันนั้น”

       “อย่า ฮือ..อย่าเข้ามา อย่า.. อย่า อย่า….” ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้น้ำตาที่เขากลั้นเอาไว้หลั่งไหลออกมา เทียนไขสะอื้นอย่างหนัก พร้อมกับขยับถอยหนีออกมาจากไอ้แม็ก แต่มันก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอยู่ตลอด จนท้ายที่สุดก็ไม่มีที่ให้เทียนไขหนีอีกต่อไป เบื้องหลังของเทียนไขเป็นโต๊ะที่วางอุปกรณ์รับประทานอาหารต่างๆไว้มากมาย มีแก้วไวน์จัดเรียงซ้อนๆกันเป็นชั้นๆกว่าห้าชั้น ส่วนอีกฝั่งนึงของโต๊ะที่ว่าก็เป็นโต๊ะของคณะผู้บริหารของบริษัทนี้

       “…จะถอยไปไหนอีกล่ะ ไม่มีที่ให้มึงหนีแล้วล่ะเทียน” ไอ้แม็กแค่นขำ ก่อนจะใช้มือทั้งสองเท้าโต๊ะเอาไว้โดยมีเทียนไขที่กำลังสั่นกลัวอยู่ตรงกลางวงแขน

       “ฮือ อย่ามายุ่งกับกู อย่า..อย่ามายุ่งกับกู…” เสียงครวญครางของเทียนไขยังคงดังให้เขาได้ยินอยู่เรื่อยๆ แม็กหลับตาพริ้ม รับฟังเสียงหวานที่เขาเคยได้ยินมันตอนที่เขามีความสุขอยู่กับร่างกายของไอ้เทียน

       “ไม่คิดเลยว่ามึงจะมา มึงเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเลย..” มือข้างนึงเลื่อนขึ้นมาตามผิวสีเปลือกไข่ของเทียนไขขึ้นมาเรื่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาจนปลายนิ้วมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อน แม็กแสยะยิ้มก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ทว่าเขาก็ต้องถอยออกไป ..อาการป่วยของเทียนไขถูกกระตุ้นให้มันรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งผ่านการกระทำของไอ้แม็กเมื่อครู่ สมองที่ไม่สมดุลของเขาสั่งการให้เขาปกป้องตัวเองด้วยการตะโกนกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง..

       “อย่า.. อย่ามาแตะต้องตัวกู!!” พร้อมกับหลบหลีกออกมาจากตรงนั้น แต่เพราะความเร่งรีบ แขนเทียนไขจึงไปชนกับแก้วไวน์ที่วางเรียงรายซ้อนกันอยู่จนโครงสร้างของมันพังทลาย ทำให้แก้วทั้งหมดเอียงและตกกระแทกลงบนหัวของชายหัวโล้นคนนึงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานบริษัท



       เพล้ง!

       “เฮ้ย!!!” ไอ้แม็กตกใจกับภาพที่เห็นอย่างสุดขีด ..แก้วหลายสิบใบตกกระแทกลงบนหัวของเจ้านายของพ่อมันจนเลือดสีสดไหลรินออกมา ส่วนตัวของชายคนนั้นก็หมดสติเอียงตัวลงมาก่อนจะล้มลงไปกับพื้นทับเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น



       “กรี๊ดดดดดดดดด!!!!” เสียงหวีดร้องของแขกเหรื่อดังสนั่น เหตุการณ์เริ่มชุลมุนวุ่นวาย คนในงานแตกตื่นกันไปหมดเมื่อเห็นเลือด ไอ้แม็กก็ไม่ต่าง หากแต่ว่า..ที่น่าตกใจที่สุดก็คงจะเป็นคนตรงหน้าเขาในตอนนี้

       “ไม่.. ไม่ ไม่ ไม่ ฮือ…อย่าเข้ามา ฮือ.. อย่าทำกูเลย กูกลัวแล้ว.. กูกลัวแล้ว ก..กู กูขอโทษ กูขอโทษ กูขอโทษ..ฮือ” ..คนตัวเล็กที่ร่างทั้งร่างสั่นระรัวไม่หยุด กำลังนั่งซุกหน้าลงกับหัวเข่าประนมมือขึ้นมาเหนือหัวเพื่อร้องขอความเมตตาจากเขาซ้ำๆไม่หยุด ทั้งๆที่เขา..ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

       “ไอ้เทียน! มึงทำอะไร!!!” เขาตะโกนเรียกไอ้คนที่เอาแต่ขอโทษให้มันได้สติ ความโกรธเกรี้ยวปะทุเดือดจนเขาแทบจะอยากเอามีดที่อยู่ไม่ห่างมาแทงให้ไอ้เทียนมันตายๆไปซะ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาเป็นคำตอบกลับเป็นคำขอโทษคำเดิม เทียนไขยังคงพร่ำมันออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นดังระงมจนเขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้

       “ฮือ ..กูขอโทษ กูยอมแล้ว อย่าทำกูเลยนะ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ..”

       “มึงออกไปจากงานนี้เลยนะ ออกไป๊!” เป็นอีกครั้งที่ไอ้แม็กพยายามตะโกนใส่เทียนไขเพื่อให้เทียนไขได้สติ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ท่ามกลางเหตุการณ์ที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเทียนไขกลับไม่คิดหนีและยังคงเอาแต่นั่งก้มหน้าพร้อมกับพนมมือไหว้อากาศ ..แม็กมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจ จริงๆเขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพร้อมที่จะขยี้เทียนไขให้ตายตรงนี้ แต่ลึกๆในใจเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เทียนไขกำลังแสดงออกมา…มันไม่ปกติ

       และใช่…ตอนนี้เทียนไขไม่ได้ปกติ

       ที่แย่ไปกว่านั้น เทียนไขอาจจะ..กลับมาเป็นปกติไม่ได้อีกแล้ว..

       “แม็กอย่าทำกู.. กูเจ็บ ..อย่าใส่เข้ามา กูกลัว ..กูกลัวแล้ว ..กูไม่ไหวแล้ว ฮือ…กูขอโทษ ..กูขอโทษ” ..ภาพที่เทียนไขรับรู้ตอนนี้มันไม่ใช่โรงแรม แต่มันคือห้องที่สลัวไร้แสงไฟ เขามองเห็นแต่เพดานสีขาวเบื้องบน ..มองเห็นแผ่นหลังกว้างที่นั่งอยู่ไม่ห่าง และมองเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังกระทำชำเราเขาอย่างสะใจ

       “…” ..แม็กเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ สิ่งที่เทียนไขพร่ำออกมามันกำลังดังกังวานอยู่ในหัวของเขาซ้ำๆ

       ครั้งนึงเขาเคยนึกสะใจที่เห็นเทียนไขเจ็บปวด และสะใจสุดๆเวลาได้ยินเสียงร้องครวญคราง

       นี่ก็เป็นเสียงที่เขาควรจะชอบไม่ใช่หรอ..?

       ทำไมเขาถึง..กลัว..กลัวเสียงนี้

       “โอ๊ย! ฮือ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมถูกข่มขืน ช่วยด้วย..” จู่ๆเทียนไขก็กรีดร้องโวยวาย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกวัดแกว่งแขนทั้งสองไปมั่วซั่วปัดเป่าอากาศอย่างไม่มีทิศทาง และแน่นอนว่า..เสียงของเขามันก็ดังพอที่จะทำให้คนในงานทุกคนได้ยิน จึงทำให้ทุกๆคนเริ่มหันมาสนใจกับร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังโซซัดโซเซกวัดแกว่งแขนในอากาศ

       “…” …สิ่งที่เห็นเริ่มประจักษ์ชัดเจนมากขึ้นแก่ดวงตาของผู้กระทำอย่างแม็ก ..นี่คือผลจากสิ่งที่เขาทำกับชีวิตของเพื่อนมนุษย์คนนึง ..นี่คือผลจากการที่เขาใช้อำนาจของตัวเองทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้จักคิด 

 

       “แม็ก นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไอ้เด็กนี่เป็นใคร มันเป็นบ้าหรือไง” คนเป็นพ่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาหาลูกชายด้วยความร้อนรน เขามองไปที่เทียนไขอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกไปแบบนั้น และเขาก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อคนที่ดูเหมือนคนสติไม่ดีอย่างเทียนไขพุ่งเข้ามาจับแขนพร้อมกับเขย่าอย่างรุนแรง

       “คุณ.. คุณช่วยด้วย ..ช่วยผมด้วย ฮือ ช่วยด้วย เจ็บ เจ็บ..ไม่ไหวแล้ว” ..แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เลยว่าภาพที่เทียนไขเห็นเป็นอย่างไร ..เทียนไขเห็นชายคนนึงเปิดประตูออกมา ชายคนนั้นเป็นความหวังเดียวของเทียนไขที่เขาหวังว่าจะช่วยให้เขาหลุดพ้นไปจากที่นี่ เพราะฉะนั้นเทียนไขเลยไปเขย่าแขน และอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

       “หุบปาก! รปภ.อยู่ไหนกันหมด ทำไมไม่มาเอาไอ้เด็กนี่ออกไป!” ทว่า..ผู้เป็นพ่อก็ปัดมือของเด็กน้อยออกไป ก่อนจะชะเง้อชูคอพร้อมกับตะโกนเรียกหารปภ.

       “เดี๋ยวพ่อ” หากแต่เขาถูกแม็กพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน..

       “…” ผู้เป็นพ่อมองลูกชายที่ห้ามปรามตนด้วยความงุนงง ก่อนจะต้องเดินออกไปจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนเดินมาเรียกตัว

       ส่วนแม็ก ..เขาเดินเข้ามาใกล้เทียนไขอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะทำอะไร เขาแค่อยากจะ.. ทำให้ตัวเองแน่ใจ

       “เทียน.. เทียน มึงเห็นกูมั้ย นี่กูเอง..” แม็กหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไขด้วยใจที่กำลังหวาดหวั่น น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา

       “ฮือ.. แม่ ช่วยเทียนด้วย” …ก่อนจะต้องปล่อยให้มันไหลออกมาเมื่อเทียนไขโผเข้ากอดเขาพร้อมกับรำพึงรำพันทั้งน้ำตาว่าเขาเป็นแม่

       “เทียน กูขอโทษ.. กูขอโทษจริงๆ..” แม็กเอ่ยออกไป ก่อนจะโผกอดเทียนไขเอาไว้ พร่ำคำขอโทษที่มันไม่มีความหมายอะไรเลยซ้ำๆ “กูขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ ..กูขอโทษจริงๆ”

       “…” ..แม็กยังคงพร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว เพราะเทียนไขในตอนนี้ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว



       “เฮ้ย มึงทำอะไรไอ้เทียนวะ!” เสียงไอ้โก้ร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง ก่อนเจ้าตัวจะพุ่งเข้ามาแล้วแยกเขากับเทียนไขออกจากกัน

       “…” ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้าใส่ไอ้แม็กจนทำให้มันไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเพื่อนคนอื่นๆเลยแม้แต่น้อย

       “เทียนมึงลุกไหวมั้ย ค่อยๆลุกนะ” โก้พยุงเทียนไขให้ยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆพาถอยออกมาจากไอ้แม็กแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มดังตามหลังมา..

       “โก้ ไอ้เทียนมันเป็นอะไรวะ..?” แม็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ..โก้ที่ได้ยินสิ่งที่เทียนไขร้องตะโกนเมื่อครู่จึงหันกลับไปตอบด้วยน้ำเสียงดุดันเพื่อหวังให้มันลั่นสะท้านไปในหัวสมองอันน้อยนิดของแม็กให้มันคิดได้ซักที

       “แล้วมึงทำอะไรมันล่ะไอ้สัด”

       “…”

       “มึงออกไปห่างๆไอ้เทียนเลยนะ แล้วอย่ามายุ่งกับมันอีก มึงแม่ง..ทุเรศ!” โก้ประกาศเกล้า ก่อนจะหันกลับมาแล้วพยุงเทียนไขออกไป





       “…” ส่วนแม็ก ..ความรู้สึกผิดในใจมันก็ยังคงทำให้แม็กเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าที่จะเงยหน้ามาเผชิญความจริง มันรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปหมดเลย แขนขาชา ใบหน้าชาราวกับถูกตบซ้ำๆ

       “แม็ก” ใครคนนึงเรียกเขา เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่เขาเชิญมานั่นแหละ “มึงทำอะไรไอ้เทียนวะ.. กูได้ยินที่ไอ้เทียนมันพูดเมื่อกี้..”

       “ไม่.. ไม่ ไม่เท็น กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น..” จริงสิ ไม่.. ไม่เลย.. เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาไม่ผิด เขาไม่ผิด..

       “แต่..”

       “ก็กูบอกว่ากูไม่ได้ทำไง!!” ขอหลอกตัวเองไปแบบนี้ได้ไหม..?

       “เออๆ นี่กูไปเจอไอ้เปลวมาเมื่อวาน กูเชิญมันมาด้วยแหละ มันดูงงๆนิดหน่อย แต่ก็บอกว่าจะมา แต่รู้สึกงานมึงจะล่มแล้วว่ะ.. มันคงไม่มาแล้วมั้ง..”

       “ไอ้เปลวหรอ..” รู้แล้วล่ะ..ว่าเขาจะหาคำตอบจากความสงสัยในหัวได้จากที่ไหน

       “ใช่ เออนั่นไงมันมาแล้ว” เท็นชี้ไปทางประตูทางเข้า แล้วหันกลับมาหาไอ้แม็กอีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

 

       “มึงมานี่!” แต่มันพุ่งมาหาผู้มาเยือนคนใหม่อย่างเปลวต่างหาก

       “ไอ้เทียนมันเป็นบ้าอะไรของมัน” แม็กไม่รอช้า เขาถามออกไปตรงๆทันทีที่ลากไอ้เปลวมาที่มุมนึงของห้องได้

       “โอ๊ย! คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย!”คนที่ถูกกระชากคอเสื้อร้องโอดโอย นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับใช้ถ้อยคำสุภาพๆจนแม็กนึกขนลุก

       “ไม่ต้องมาทำเฉไฉไอ้สัด บอกกูมา!”

       “แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงวะ! ปล่อย!”

       “มึงต้องรู้ดิไอ้เหี้ย มึงเป็นผัวมันไม่ใช่หรอ!!” ใช่แล้ว มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนที่รักไอ้เทียนนักหนายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมอย่างไอ้เปลวมันจะไม่รู้เรื่องว่าคนรักของมันป่วยเป็นอะไร

       “…”

       “เพราะงั้นมึงต้องบอกกูได้ว่าไอ้เทียนมันเป็นอะไร ..ทำไมถึงทำท่าทางแบบนั้น..” ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรอ..? เปลวควรจะรู้เรื่องของเทียนไขดีที่สุด.. แต่ทำไม..

       “เมื่อกี้..คุณว่าอะไรนะ..?”

       “…”

       “ผมกับเทียนไข..?” มันกลับทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

       “อะไร..? นี่มึงจะบอกกูว่ามึงจำไม่ได้หรอ อย่ามาทำเป็นโง่หน่อยเลยเปลว”

       “ขอโทษนะครับ แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นใช้คำแบบนั้นต่อกันได้ ..อีกอย่างผมจำไม่ได้จริงๆครับ ผมมาที่นี่เพราะมีคนเชิญให้มา เขาดูเหมือนจะเคยรู้จักผมผมก็เลยตอบรับว่าจะมา เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

       “ม..หมายความว่าไง.. มึงจำกูไม่ได้? จำไอ้เท็น ..จำไอ้เทียนไม่ได้หรอ?” โกหก.. โกหกแน่ๆ

       “ขอโทษที่ต้องตอบว่าใช่ ..ผมสูญเสียความทรงจำไปหมดแล้ว”

       “…” ..เป็นอีกครั้งที่รู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง ในหัวของแม็กเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้แล้ว..

       “คุณรู้จักผมหรอ พอจะบอกได้มั้ยว่าผมเป็นใคร..?”

       “ม..มึง..สูญเสียความทรงจำไปตอนไหน” และเขาก็รู้ตัวแล้วว่า..

       “..ไม่รู้แน่ชัดนะครับ แต่พยาบาลบอกผมว่าตอนนั้นมันช่วงประมาณเดือนกุมภาที่ผ่านมาครับ”

       “…” ..เขาได้ทำลายชีวิตของคนทั้งสองคนจนมันแหลกสลายไม่มีชิ้นดี

       “แล้วสรุปว่า.. คุณพอจะบอกผมได้มั้ยว่าผมเป็นใคร..?”

       “ไม่..ไม่ กูไม่รู้จักมึง” แม็กรีบส่ายหัวปฏิเสธ ก่อนจะพยายามเม้มปากเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มันสั่นกลัวไปมากกว่านี้  ..เขาเดินออกมาจากการสนทนา กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังจัดการอยู่กับเหตุการณ์วุ่นวายในโรงแรม ทว่ากว่าเขาจะเดินไปถึงตัวของพ่อ เสียงซุบซิบนินทามากมายที่ด่าว่าเขาอย่างรุนแรงก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน

       ‘หน้าก็หล่อ แต่สันดานแย่มากเลย’

       ‘สงสัยพ่อแม่ไม่รัก เลยต้องทำแบบนั้นกับคนอื่น’

        ‘ขยะสังคม’

        ‘หยี้ อย่ามาใกล้นะ ออกไปไกลๆ’

        …แม็กจึงทำได้แค่พยายามทำตัวให้ลีบและเล็กที่สุดเพื่อที่จะไม่ตกเป็นจุดสนใจ แต่ไม่ว่ายังไง..สุดท้ายแล้วเขาก็หนีความจริงไม่พ้น



       Rrrrrrrrrrr

         “ครับ..”

       [ไอ้เชี่ยแม็ก! ไอ้เหี้ย มึงแม่งเหี้ย โคตรชั่ว..ไอ้สารเลวเอ๊ย!]

       “เหี้ยอะไรของมึงไอ้โก้”

       [อย่าใช้ปากมึงเรียกชื่อกูไอ้สัดกูขยะแขยง คนอย่างมึงมันไม่ตายดีหรอก มึงจำสิ่งที่มึงทำกับไอ้เทียนไว้ดีๆ ซักวันนึงมึงต้องโดนคืน และหนักกว่าไอ้เทียนเป็นร้อยเท่าพันเท่า มึงจำไว้เลย]

       “…”

       [กูไม่น่ามาเป็นเพื่อนกับคนอย่างมึงเลยว่ะ]

       “…”

       และมันก็..จะเป็นตราบาปติดตัวเขาไปตลอดกาล









       ..หลังจากนั้นสามสี่วันก็มีข่าวมาว่ารองประธานบริษัทดังหลังจากเลี้ยงฉลองที่ได้เลื่อนตำแหน่งสดๆร้อนๆจู่ๆก็ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และถูกไล่ออกเพราะเกิดข้อพิพาทกันระหว่างรองประธานและประธานบริษัทเนื่องจากครอบครัวของรองประธานคนนี้มีพฤติกรรมที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม และพฤติกรรมเหล่านั้นก็นำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัท แต่ฝ่ายรองประธานดื้อดึงไม่ยินยอมจึงเกิดการใช้กำลัง จนถูกควบคุมตัวไปสืบสวนสอบสวนต่อที่โรงพัก ภายหลังพบว่ารองประธานคนเดียวกันนี้เคยมีประวัติตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดียักยอกเงินของบริษัทไปกว่าหนึ่งล้านบาท แต่รอดคดีไปเพราะหาตัวผู้กระทำผิดได้แล้ว คือ นายสุริยสัตย์ พนักงานบริษัท แต่หลังจากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่าจำนวนเงินกว่าล้านบาทที่ขึ้นอยู่ในบัญชีของนายสุริยสัตย์ถูกปลอมแปลงขึ้นมา และผู้ที่ปลอมแปลงก็คือ รองประธานคนเดียวกันนี่เอง

        ..คดียักยอกเงินในอดีตจึงถูกนำกลับมาสืบสวนใหม่อีกครั้ง ทำให้รองประธานคนนี้ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมาย ใช้ชีวิตเพื่อรอรับโทษทางกฎหมายต่อไป





























   

       

       

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 12 : 12 ‘เปลวเทียน’” updated 24/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 28-02-2019 19:24:09

13


‘เปลวเทียน’









       ‘..กูมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?’



       ..บนตัวผมมีใครคนนึงกำลังทำร้ายผมอยู่ มือของเขาบีบลงมาที่ไหล่ทั้งสองพร้อมกับรุกล้ำนำส่วนนั้นของเขาเข้ามาในร่างของผม และมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนลมหายใจของผมเริ่มติดขัด

       ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง ..มันทรมาน ..ทรมานราวกับผมกำลังจะตายอยู่ตรงนั้น ผมจึงพยายามขอร้องเขาให้หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ ..ขอร้องจนเสียงที่เปล่งออกไปมันแหบพร่าฟังไม่ได้ศัพท์

       ผมเห็นผู้คนมากมายกำลังเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาหันมามองผม ก่อนจะหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่างที่มันไม่เป็นภาษา ผมจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น ..แต่ในขณะที่ผมกำลังเข้าไปใกล้พวกเขา คนเหล่านั้นก็จะขยับหนีออกไป จนสุดท้ายแล้วแขนที่เอื้อมไปหวังจะไปให้ถึงตัวพวกเขาก็กลายเป็นเอื้อมออกไปจับอากาศ แต่แล้วจู่ๆ..ภาพที่เห็นก็ค่อยๆถูกแต่งเติมด้วยสีดำ มันค่อยๆกัดกินจากขอบรอบนอกก่อนจะเคลือบคลานเข้ามาเรื่อยๆจนภาพที่เห็นมืดไปหมดทั้งๆที่เปลือกตาของผมไม่ได้ปิด

       ใจผมเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ผมกลัว..กลัวเหลือเกิน มีใครพอจะช่วยผมได้ไหม.. ผมกลัว..



       ปัง!

       เสียงอะไรบางอย่างดังแว่วเข้ามาในหู จึงทำให้ผมกลับมาสู่ ‘โลกใบเดิม’ อีกครั้ง ผมเห็นประตูสีขาวอยู่ไม่ไกลไปจากตัวผม มันถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยผู้ชายคนนึงที่ดูมีอายุ อา…ในที่สุดก็มีคนมาช่วยผมซักที

       เห็นมั้ย.. โลกใบนี้ยังเหลือ..คนที่มองผมในฐานะคนๆนึงอยู่นะ..



       “คุณ.. คุณช่วยด้วย ..ช่วยผมด้วย ฮือ ช่วยด้วย เจ็บ เจ็บ..ไม่ไหวแล้ว” ผมไม่รอช้า ใช้สองเท้าที่มันแทบไม่เหลือแรงอะไรวิ่งเข้าไปหาชายคนนี้ในทันที เขามาช่วยผม.. เขามาช่วยผมแล้ว เขา..มาช่วย...

       “หุบปาก! รปภ.อยู่ไหนกันหมด ทำไมไม่มาเอาไอ้เด็กนี่ออกไป!” เสียงตะโกนด่าดังอยู่ตรงหน้าผม ..เห็นมั้ย เขามาช่วยผม ..ช่วยให้ผมรู้ตัวว่าผมควรตายได้แล้ว ควรตายคามือของแม็กตั้งแต่วันนั้น

       ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพอเป็นประโยคที่เขาไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาในหัวของผมมันถึงรับรู้..ทั้งๆที่ผมไม่ได้อยากรับรู้เลย มันเจ็บไปทั้งใจ ..ชาไปทั้งร่าง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมในหัวของผมมันถึง..ไม่สงสารตัวมันเองบ้างเลย ..ตัวมันที่กำลังร้องไห้ ตัวมันที่กำลังสั่นราวกับลูกสุนัข ตัวมัน..ที่กำลังรอคอยใครซักคนมาช่วยให้หลุดพ้นไปจากตรงนี้ มันยังคงรอ..รอต่อไปทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครมาสนใจมันหรอก



      “เดี๋ยวพ่อ” ..เสียงที่ผมหวาดกลัวที่สุดในชีวิตดังเข้ามาในโสตประสาท กระตุกเอาความรู้สึกนึกคิดของผมเมื่อครู่ให้ดิ่งลงเหว

       เป็นอีกครั้งที่ภาพตรงหน้าเริ่มถูกความมืดมิดกัดกิน มันค่อยๆมืดลง..ค่อยๆมืดลง ในขณะที่ในใจของผมกลัวมากและมากขึ้นเรื่อยๆ..

       “เทียน.. เทียน มึงเห็นกูมั้ย นี่กูเอง..” ทว่าจู่ๆเสียงนั้นมันก็กลายเป็นเสียงหวานๆที่ผมชอบฟัง ..เป็นเสียงนางฟ้าของผมที่ถูกสวรรค์เบื้องบนพากลับขึ้นไปในตอนที่ผมยังเยาว์วัย แต่ตอนนี้เธอกลับมาหาผม ..เธอกลับมาหาลูกของเธอ ..แม่กลับมา..แม่กลับมาช่วยเทียนแล้ว

       “ฮือ.. แม่ ช่วยเทียนด้วย” ผมวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง …แม่จ๋า แม่รู้มั้ย… เทียนคิดถึงแม่มากเลย เทียนคิดถึงรอยยิ้มของแม่ เทียนคิดถึงเสียงของแม่ เทียนคิดถึงอ้อมกอดที่ทำให้เทียนอบอุ่นใจแบบนี้..

       ..แม่..มารับเทียนใช่มั้ย..?

       เทียนโกรธแม่ได้มั้ยครับ.. โกรธที่แม่ปล่อยให้เทียนรอนานได้มั้ย แม่รู้มั้ย..เทียนอยากไปตั้งแต่วันที่เทียนเดินลงคลองแล้วแต่แม่ก็ไม่ให้เทียนไป ..ฮ่าๆ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้แม่ก็มารับเทียนแล้ว

       เทียนกำลัง..จะได้ไปอยู่กับคนที่เทียนรัก..



       “เทียน กูขอโทษ.. กูขอโทษจริงๆ..” ..แม่ขอโทษเทียนทำไมครับ.. เทียนไม่โกรธเลย เทียนดีใจซะอีกที่แม่ไม่ทิ้งเทียนไว้ให้มีชีวิตอยู่ เทียนน่ะ…อยากขอบคุณแม่ด้วยซ้ำ

       “กูขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ ..กูขอโทษจริงๆ”





       …ขอบคุณที่ทำให้ครั้งนึงเทียนได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง













       ‘คนๆนี้มันจะถีบแก’

       ‘ไอ้โง่ แกอยู่กับมันเดี๋ยวมันก็จับแกกระทืบ’

       ‘ไปสิ ไปเลย ไปตายด้วยมือของมัน’



       ‘อย่ากินยา กินแล้วจะปวดหัว แกจะอยากอ้วก’

       ‘หมอนัดแกไปฆ่า แกห้ามไปหาหมอ’

       ‘ดื้อนัก.. แกก็ตายไปนั่นแหละ สมควรแล้ว’




       …นานนับปีที่เสียงพวกนี้ดังวนเวียนอยู่ในหัว มันคอยเตือนผมให้ระวังคนรอบตัวและคอยเตือนให้ผมไม่ไปหาหมอ ..เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบถูกใครถามเซ้าซี้ มันบอกให้ผมหนีออกจากผู้คน ผมก็ทำตาม ..จนสุดท้ายแล้วผมก็เลยเหลือคนในชีวิตอยู่แค่ไม่กี่คน

       ..ความรู้สึกในหัวมันมีแต่ความรู้สึกร้อนรน ไม่สบายใจ และหวาดหวั่นสั่นกลัวอยู่ตลอดเวลา ..ผมหวาดกลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งสิ่งของและผู้คนด้วยกัน อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นพักๆโดยที่ผมก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ยาที่กินอยู่ทุกวันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย มันแค่ช่วยให้ผมคลายเศร้าได้นิดนึง ยืดเวลาระยะที่เป็นปกติให้นานขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านั้นของผมออกไปได้

       ผมยังคงรู้สึกถึงมัน ..ยังคงหวาดกลัว ..ร้อนรน และไม่สบายใจอยู่เช่นเดิม แต่ดีหน่อยที่ระยะปกติผมจะรู้ตัวว่าความเป็นจริงคือผมแค่กำลังป่วยเลยรู้สึกแบบนั้น ทำให้ผมยังพอเข้าสังคมได้ ..หากไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น

       ..ผมเฝ้าภาวนาอยู่ทุกวันว่าขอให้ผมไม่เจอกับอะไรที่เลวร้าย ขอให้ทุกวันผ่านไปได้อย่างราบรื่น อาจจะไม่ต้องมีความสุขแต่ก็ขอให้ไม่เจ็บปวดก็พอ

       ผมหวังให้มันเป็นแบบนั้นมาตลอด.. แต่ความหวังของผม..มันกลับมืดมิดไร้แสงสว่างใดๆ



       การที่เจอไอ้แม็กในวันนี้มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพียงแค่มือมันโดนตัวผม ความหวาดกลัวทั้งหลายที่ผมพยายามเก็บซ่อนก็ถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาจนทำให้ผมกลับมาอยู่จุดเดิมอีกครั้ง.. จุดที่…อาการป่วยของผมตกมาอยู่ในเกณฑ์อันตราย ..ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้

       สิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องอนาคตของตัวเอง ..ความฝันที่ผมอยากเป็น ..เพื่อนที่ผมอยากจะรักษาเอาไว้ ชีวิตของผมที่อยากจะก้าวหน้าเดินต่อก็..ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

       ทุกอย่าง..พังทลายแหลกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี



       ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ถ้าไม่ถูกสมองที่มันไม่สมดุลนี่หลอกหลอนด้วยภาพอันโหดร้าย ผมก็พอจะรับรู้อยู่บ้างว่าใครเป็นใคร และใช่..ผมรู้ว่าคนที่ช่วยผมออกมาจากโรงแรมคือโก้ แต่ผมก็ปฏิเสธความรู้สึกในหัวไม่ได้เลย โก้เกลียดผม ..เขากำลังจะทำร้ายผม ..ในหัวผมมันรู้สึกแบบนั้น





       ..โลกภายนอกมืดลงอีกแล้ว วันนี้ท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังคงใจร้ายอยู่เหมือนเดิม ใจร้ายตรงที่ปล่อยให้หมู่เมฆบดบังแสงดาวที่ควรจะระยิบระยับและบดบังแสงจันทร์ที่ควรจะผ่องประกาย แต่ก็ต้องขอบคุณท้องฟ้าคืนนี้มากๆ.. ขอบคุณที่ทำให้ความหวังของผมมีเพื่อน

       เพราะมันก็..มืดดำไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้าตอนนี้เลย



       ผมถูกโก้พยุงออกมาจากภายในโรงแรม เขาให้ผมเกาะคอ ขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างนึงของเขาพยายามพยุงตัวผมไปด้วย ผมที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรก็ได้แต่ทำตามในสิ่งที่เขาบอกโดยมิอาจขัดขืนหรือเอ่ยร้องออกไปได้เลยว่าตัวเองกำลังทรมานขนาดไหน..

       “ค่อยๆเดินนะเทียน ระวังๆค่อยๆลงบันได” เขาบอกผมแบบนี้ แต่กว่าสมองของผมจะประมวลผลได้ผมก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมาซะแล้ว

       ..ผมตกบันได ข้อเท้าข้างซ้ายพลิกจนทรุดลงตรงนั้น ความเจ็บปวดเกิดขึ้นจนผมต้องนิ่วหน้า ..ผมร้องออกไปเพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมเจ็บปวดแต่สิ่งที่ออกมาก็มีแต่เสียงแหบๆที่ฟังไม่รู้เรื่อง

       เขาใช้มือจับที่ข้อเท้าผมก่อนจะตรวจสอบดูว่ามันเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดที่ผมรู้สึกทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       “เทียนแป็ปนึง อย่าขยับ.. มึงฟังกูหน่อย” เขาบังคับผม และผมก็ไม่มีทางสู้อะไรเขาได้เลย..

       “ออกไป.. ออกไป.. ออกไป..” มีแค่เสียงเล็กๆอันแผ่วเบาและการดิ้นรนเท่านั้นที่ผมสามารถใช้มันสู้กับเขาได้

       “เทียนอยู่เฉยๆ กูจะช่วยมึงเนี่ย เป็นอะไรของมึงวะ..” คำหยาบโลนเริ่มหลั่งไหลออกมาจากปากที่อยู่ห่างไปจากผมไม่ถึงฟุต มือของผมกำแน่น หลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บปวดที่เขาจะกระทำ..

       “…มึงเป็นอะไรของมึงวะเทียน? ฮะ?” หลังจากนี้เขาคงจะใช้หมัดหนักๆของเขากระแทกลงมาที่กลางหน้าของผม แล้วก็ใช้เท้ากระทืบผมจนกว่าผมจะจมไปกับพื้นคอนกรีต เขาเกลึยดผม…ผมรู้ ทุกคนเกลียดผม.. ไม่มีใครอยากช่วยผมหรอก..

       “ขี่หลังกู..ไหวปะ?” แต่ทำไม.. เขาคนนี้กลับไม่ทำผมซักทีล่ะ.. ทำไมยังปล่อยให้ผมยังมองเห็น ยังได้ยิน และยังรับรู้อะไรต่างๆได้อยู่..

       “จับกูไว้นะ..” เขาขยับมานั่งแทรกตรงหน้าผม ก่อนจะใช้แขนทั้งสองบังคับให้ตัวผมเอนลงไปพิงบนหลัง จัดแจงเอามือทั้งสองของผมไปประสานกันอยู่ด้านหน้า แล้วใช้แขนทั้งสองของเขาพยุงตัวผมไว้จากด้านหลังจากนั้นก็ค่อยๆยืนขึ้น

       “ปล่อย.. ไม่อยากไป ออกไป.. ออกไป” ผมพร่ำพูดออกไปซ้ำๆข้างๆหูของเขาเมื่อตัวผมถูกเขายกขึ้นเหนือพื้น ใจตกไปอยู่ที่ปลายเท้า ตัวสั่นไปหมด กลัวว่าเขาจะพาผมไปทำร้าย กลัวว่าผมจะตก กลัวว่าเขาจะทำให้ผมต้องเจ็บตัว..

       “เทียนอยู่เฉยๆก่อน กูหนัก อย่าดิ้น!” เขาตวาดใส่ จากความกลัวที่มีมากอยู่แล้วพอถูกกระตุ้นให้มากขึ้นน้ำตาผมจึงไหลออกมาอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรอีกต่อไป เพียงแต่..หลับตา..ปล่อยให้น้ำตามันไหล และทำใจไว้รอรับความเจ็บปวด..

       ..ผมไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ผมไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรัก ผมอยากจะเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นเพราะตัวผมป่วย แต่ความเป็นจริงก็มีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลยที่รู้สึกแบบนั้นกับผม ..พวกเขาเกลียดคนที่ทำให้พลกับเปลวต้องแตกหัก พวกเขาเกลียดคนที่ทำให้เปลวเป็นแผลเหวอะหวะกลางหัว พวกเขาเกลียดคนที่ชื่อ..เทียนไข

       ..ทั้งๆที่เทียนไขคนนี้ลำพังแค่ตัวมันเองยังแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว มันไม่มีเรี่ยวมีแรงจะไปทำร้ายใครได้เลย แต่เพราะว่ามันดันเกิดมาเป็นเทียนไข ผู้คนเหล่านั้นก็เลยเกลียดมัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวมัน ..ไม่มีใครสนใจว่ามันจะเจ็บเจียนตายขนาดไหน สิ่งที่เทียนไขคนนี้ทำได้มีแค่ต้องกัดฟันทน ..ให้ความหวังตัวเองไปเรื่อยๆทุกวันๆว่ามันจะผ่านไป ..ซักวันมันจะมีความสุข

       แต่ใจมันก็รู้อยู่แล้วแหละว่า...ไม่มีวันนั้นจริงๆหรอก..



       “คุณครับ! เดี๋ยวก่อน..!” เสียงทุ้มนุ้มที่ผมคุ้นเคยตะโกนไล่หลังมาไม่ห่าง ผมร้องไห้หนักขึ้น ..อยากจะออกไปจากตรงนี้ อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่โก้กลับหันกลับไปหาเจ้าของเสียงนั้น

       “อ้าวเปลว..? มึงก็มาหรอ” ขอร้อง.. ขอร้องล่ะ …ผมไม่อยากเห็นหน้าเปลว ผมไม่อยาก..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..

       “รู้จักผมด้วยหรอครับ?”

       “เล่นมุกหรอสัด แล้วมีอะไร กูกำลังจะพาไอ้เทียนไปโรง’บาล”

       “เปล่าครับ พอดีเมธกำลังตามหาว่าเทียนอยู่ไหน เมื่อกี้เขาโทรมาด่าผมเพราะคิดว่าผมทำอะไรเทียนไข คุณ..เป็นเพื่อนเทียนไขใช่มั้ยครับ..?”

       “ครับ กูเป็นเพื่อน..”

       “ไม่.. ไม่ ปล่อยเรา ..ปล่อยเราไปเถอะนะ..” ..ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผมจริงๆหรอกผมรู้ความจริงในข้อนี้ดี ..ได้โปรดอย่าโกหกกันอีกเลย ..อย่าทำให้หัวใจของผมมันกลับมาตื่นเต้นดีใจกับคำลวงโลกคำนี้อีกเลยนะ..

       “…เปลว มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้เทียนมันเป็นอะไร กูไม่เข้าใจมันว่ะ ไม่รู้ว่าควรทำไงมืดแปดด้านไปหมดแล้ว”

       “…” คนที่ยืนอยู่ไม่ห่างเริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเมื่อได้ยินโก้พูดออกไปแบบนั้น ..ผมหลับตาปี๋ ก้มใบหน้าซบลงกับไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะกดมันลงเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าคนใจร้ายอย่างเปลว ..ระยะห่างของเราเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร เปลวเอื้อมมือออกมาหวังจะแตะตัวผมทว่าจู่ๆเขาก็ชะงักค้างกลางอากาศเมื่อเห็นว่าทั่วทั้งร่างผมกลับมาสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะนำมือกลับไปดังเดิม..

       “..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหมุนตัวแล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับไป แต่จู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันมาทางผมอีกครั้ง พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อย.. “คุณ..ต้องช่วยเขาให้ได้นะ..”

       “กูก็ว่าจะพาเทียนไปโรง’บาลนั่นแหละ แต่กูไม่รู้ไงว่าอาการแบบนี้กูควรพาไปโรง’บาลไหน”

       “..เมธบอกผมว่าถ้าเห็นเทียนมีอาการแปลกๆให้ไปที่โรงพยาบาลตามในกระดาษแผ่นนี้ เขามีหมอที่ประจำตัวเขาอยู่”

       “อาการแปลกๆ..? นี่มึง..จะบอกกูว่าเทียนเป็นโรคประสาทหรอวะ..”

       “…เมธไม่ได้บอกผมเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

       “หมายความว่าไงวะ? แล้วนี่เลิกเล่นได้ยัง ปกติคำพูดคำจามึงไม่ใช่แบบนี้..”

       “คุณก็เคยรู้จักผมหรอ..?”

       “กูไม่ตลกนะเปลว ยิ่งรีบๆอยู่”

       “..ขอโทษครับ แต่ว่าผมไม่ได้แกล้งคุณหรอก”

       “…”

       “ผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคุณ เอาจริงๆก็คือ..ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักใครบ้าง”

       “จะบอกว่ามึงสมองเสื่อมหรอ ล้ออะไรแบบนี้กูไม่ตลกด้วยจริงๆนะเปลว”

       “ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเชื่อก็ได้ขอแค่อย่าลืมที่ผมบอกก็พอ ..ช่วยเทียนไข..ให้ได้นะ” ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสียงของเปลวถึงได้ฟังดูเหมือนเขากำลังเป็นห่วงผมนัก ..ทั้งๆที่เขาเป็นคนพูดออกมาเองแท้ๆว่าอย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย และใช่..นั่นเป็นสิ่งที่ทั้งผมและเขาต่างก็ต้องการ เราต่างก็เฝ้าภาวนาขออย่าให้ได้เจอะเจอกันอีก ที่ผ่านมามันเพียงพอแล้ว.. เราเจ็บปวดกันมามากพอแล้ว..

       “งั้นก็ไปกับกูดิเปลว” ..โก้เอ่ยถาม เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองมาทางผม..

       “ไม่ดีกว่า เทียนคงไม่ต้องการแบบนั้น” ก่อนจะให้คำตอบ …เปลวพูดถูกแล้ว ผมไม่ได้ต้องการให้เขามายุ่งเกี่ยวกับผม แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บ..เจ็บเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเสียอีก…

       โก้และเปลวเหมือนตกอยู่ในโลกของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดโต้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงแค่ผม..ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนแผ่นหลังของโก้ ..อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของผมก็คือ..เปลวที่กำลังคลี่ยิ้มให้ผม รอยยิ้มนั่นแต่งแต้มใบหน้าที่ดูเศร้าโศกของเขาราวกับอยากจะใช้มันกลบเกลื่อนความเศร้า เป็นแบบนั้นอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ รอยยิ้มที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆหุบลง เปลวหันหลังกลับ ก่อนจะ..ค่อยๆก้าวเดินจากไป

       ..ภาพที่ผมเห็นมันอาจจะนิ่ง เงียบสงัด.. ไร้เสียงตะโกนด่า ไม่มีการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย แต่มันก็เป็นภาพๆนึงเลยที่…ผมคงไม่มีวันลืม



       ‘เปลว..อย่าไปจากกันอีกเลยนะ..’

       ..อย่าไปจากเราได้มั้ย ..อยู่กับเรา.. อยู่ด้วยกันอย่างที่เปลวเคยสัญญา..

       มีคำพวกนี้ดังวนเวียนอยู่ในความรู้สึก แน่นอนว่าไม่มีใครได้ยินคำพวกนี้หรอก เปลวก็เช่นกัน เขาเดินออกไปไกลเกินกว่าจะหันกลับมาแล้ว  ..ฮ่าๆ ตลกดีเหมือนกันนะ

       ในเวลาแบบนี้ผมกลับต้องการ..คนที่ผมเกลียดแสนเกลียด





หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 12 : 12 ‘เปลวเทียน’” updated 24/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 28-02-2019 19:33:41
       …ไม่นานนักผมก็ถูกนำมาส่งที่โรงพยาบาลอย่างที่พวกเขาคุยกัน ..ทันทีที่ผมเห็นรูปร่างอาคารและป้ายโรงพยาบาลผมก็เอาแต่ดิ้นไม่หยุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังอยู่ภายในรถแท็กซี่ ..ความเจ็บปวดทรมานในอดีตฉายย้อนเข้ามาในหัว ทั้งภาพที่ผมเอาแต่ร้องไห้โวยวายภายในโรงพยาบาลโดยไม่มีใครสามารถควบคุมได้จนสุดท้ายต้องพึ่งยานอนหลับ ..ทั้งภาพที่ผมเซื่องซึม ไม่พูดไม่จา ไม่อยากอาหาร ไม่อยากพบเจอกับผู้คน เอาแต่หาโอกาสหลบหลีกเข้าไปในที่แคบๆมืดๆอย่างในห้องน้ำอยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส และพอผมได้โอกาสที่แสนประจวบเหมาะ ผมก็พยายามจะคร่าชีวิตตัวเอง

       ..เลือดสีสดไหลออกมาไม่หยุดจากข้อมือที่ผมใช้เศษกระจกกรีดหวังจะฆ่าตัวตาย แต่โชคร้ายที่..เทียนไขคนนี้ทำไม่สำเร็จ ใครคนหนึ่งผ่านมาพอดีช่วยเอาไว้ได้ทัน ผลที่ตามมาก็คือยาต่างๆ กระบวนการรักษาต่างๆ ที่ผมเคยได้รับก็ถูกเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น ถูกช็อตไฟฟ้า การรักษาหลายๆอย่างทำให้เกิดอาการข้างเคียงกับตัวผมมากมาย จนทำให้ผมไม่อยากรักษาอีกต่อไป พอได้รับอนุญาตให้อยู่ในสังคมได้ผมก็เลยไม่มาหาหมออีกเลย และครั้งนี้..ก็เป็นครั้งแรกที่ผมกลับมาที่ที่ผมเกลียดอีกครั้ง..



       ผมแอตมิตอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หนึ่งคืนเพื่อรอหมอมาดูอาการในตอนเช้า ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลมาซักประวัติผมอยู่คนนึง ผมพยายามจะให้คำตอบกับเธอไปตามตรง.. แต่มันก็ติดๆขัดๆ พูดไม่เป็นถ้อยเป็นคำ ..คงเพราะผมยังคงรู้สึกถึงความหวาดกลัวภายในจิตใจ สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการซักประวัติผมเลย เธอเลยค้นประวัติการรักษาของผมขึ้นมา และทันทีที่เธอเห็นสีหน้าเธอดูตกใจไม่น้อย เธอมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสาร แต่สมองผมกลับไม่เข้าใจแววตาของเธอ คิดแต่เพียงต้องหลบต้องซ่อน ต้องหนีไปให้ไกล ..ผมยังคงคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผมจะถูกทำร้าย มัน..ทรมานอย่างถึงที่สุด..

       สิ่งที่ทำได้คือรอให้เวลามันผ่านพ้นไปด้วยความหวังที่จะให้อาการที่ผมกำลังเป็นมันทุเลาลงไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไรอาการเหล่านี้ก็ไม่ทุเลาลงไปเลยแม้แต่น้อย ..ตลอดทั้งคืนผมเอาแต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้น ดื้นเร่าๆปัดเป่าอากาศเพื่อพาตัวเองหลีกหนีจากภาพอันแสนโหดร้ายที่เห็นอยู่ในหัว เป็นแบบนั้นจนพระอาทิตย์ขึ้น และล่วงเลยมาถึงช่วงสายของวันซึ่งได้เวลาเข้าพบพี่หมอที่เคยรักษาผมครั้งที่แล้วพอดี

       หมอเรียกผมเข้าไปในในห้องตรวจ ตัวผมในวันนี้บนรถวีลแชร์ผิดแผกไปจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง ผมรู้สึกเหนื่อย เฉื่อยชา ไม่อยากขยับเขยื้อน จริงๆก็คือไม่อยากจะหายใจเลยด้วยซ้ำ ..ผมอยากจะหายไป หายไปจากที่นี่ หายไปจากโลกนี้

       ..ทันทีที่ผมบอกสิ่งที่ผมรู้สึกให้พี่หมอรับรู้ไปหมดทุกอย่างสีหน้าเขาก็ดูเปลี่ยนไป เขาจดสิ่งที่ผมพูดลงบนแผ่นกระดาษเอกสารอะไรบางอย่าง เมื่อเสร็จสิ้นพี่หมอจึงวางปลายปากกาลงแล้วพูดอะไรบางอย่างกับผม..

       “เทียนไข เทียนไขฟังพี่หมอนะ”

       “…” ..ผมรู้ว่าพี่หมอไม่เคยโกหกผมเลย พี่หมอใจดี และหวังดีกับผมเสมอมา แต่ว่าครั้งนี้.. พี่หมอที่เคยใจดีกลับกลายเป็นคนละคน..

       “พี่หมอรู้ว่าเทียนไขมีสังคมที่ดีภายนอกเป็นของตัวเองแล้ว แต่ต่อจากนี้..”

       “…”

       “พี่หมอคงต้องให้เทียนไขพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ซักระยะ”

       ..พี่หมอ..โกหกเทียนทำไมครับ

       พี่หมอ..ล้อเทียนเล่นทำไม..



       ..ฮ่าๆ พี่หมอก็รู้อยู่แล้วว่าเทียนอยู่รักษาตัวที่นี่ไม่ได้ เทียนยังอยากใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ..ยังอยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ที่สำคัญเทียนต้องกลับไปเรียนหนังสือ ..เทียนต้องกลับไปทำงานหาเงินมาใช้ เทียนต้องกลับไปหาเพื่อนของเทียน.. ความฝันของเทียน.. เทียนยังอยาก..เห็นรอยยิ้มของคนรอบๆตัวเทียน.. สิ่งที่เทียนพยายามทำมาทั้งหมด..

       “พี่หมออยากให้เทียนพักการเรียนครับ”

       ..เทียนไม่อยากทิ้งมันเลย...



       การรักษาตัวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นโดยที่ผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ โก้ที่รออยู่ข้างนอกพอถูกหมอเรียกเข้าไปคุยเขาก็มีทีท่าเป็นอันว่าตกลง เขาบอกกับผมว่า ‘ตอนนี้ตัวมึงสำคัญที่สุด อย่างอื่นไว้ทีหลัง’ ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเป็นห่วง แต่ผมอยากไปเรียนมากๆ ผมพยายามมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความฝันของผม ..ผมไม่อยากให้มันมาสูญเปล่าเพราะความอ่อนแอของผมเลย

       เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากวันนั้น การรักษาดำเนินไปได้ด้วยดี ผมไม่ได้ดื้อรั้นอะไรกับวิธีรักษา เพราะมาคิดๆดูแล้วถ้าเกิดผมยังไปเรียนอยู่ผมก็คงควบคุมตัวเองไม่ได้จนทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแน่ๆ สิ่งที่คิดมีเพียงอย่างเดียวคือผมอยากหาย ..อยากหายจากโรคนี้ ไม่ว่าวิธีรักษาจะเป็นอย่างไรผมก็ยินดีเข้ารับถ้ามันจะทำให้ผมหายขาด

       ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล โก้และเมธจะมาเยี่ยมผมตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันได้ไงแต่เขาก็ดูสนิทสนมกันดี พวกเขาสร้างเสียงหัวเราะเก่งทั้งคู่ ทำให้ชีวิตในโรงพยาบาลของผมคลายความเหงาลงไปได้เยอะเลย ..วันนี้ก็เช่นกัน

       “วันนี้เป็นไงบ้างมึง” พวกเขาทั้งสองเอ่ยทักทายผมที่กำลังนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง ..ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่สมองของผมมันกลับไม่สั่งการให้ผมตอบอะไรกลับไปเลย ในหัวยังคงจมอยู่กับภาพเลวร้ายเหล่านั้น ..จริงอยู่ที่นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรภาพเหล่านั้นก็ไม่เคยจางหายไป ..ความรู้สึกเจ็บปวด.. เสียงอันน่าขนลุก.. สัมผัสเหล่านั้น พวกมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว..

       “วันนี้กูกับเมธขนของกินมาฝากมึงเยอะแยะเลย” เสียงของโก้ดังเข้ามาในโสตประสาท ผมพยายามจะประมวลผลมัน พยายามจะเข้าใจที่เขาจะสื่อออกมา แต่ก็..ไร้ผล

       “กูไปช่วยมันซื้อมาเลยนะเนี่ย ใช้ตังค์มันจนคุ้ม”

       “สัด” พวกเขากำลังหัวเราะ รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทั้งสอง และใช่..ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะให้กับอะไร บางที..พวกเขาอาจจะกำลังหัวเราะเยาะคนโรคจิตอย่างผมหรือเปล่า..

       กลัว.. กลัวไปหมดแล้ว..

       “แล้วนี่..มึงจะได้ออกจากโรง’บาลวันไหนหรอ”

       “…” โก้หันมาทางผม ผมจึงหลับตาปี๋ กระตุกเข่าขึ้นมากอดเพื่อปกป้องตัวเอง เขากำลังจะทำร้ายผม.. เขากำลังจะทำร้ายผม ช่วยด้วย..

       “เทียน..เทียน!” เขากำลังด่าผม ..มีใครพอจะช่วยผมได้ไหม ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้.. ไม่อยากอยู่ที่นี่.. หมอ..พี่หมอ เทียนอยากได้ยานอนหลับ เทียนอยากหลับ…ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

       “โก้..จากที่มึงเล่าให้ฟัง ..จากที่กูเห็น จากที่กูรู้ทั้งหมด.. กูว่าระหว่างเปลวกับเทียน..มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆเลยว่ะ” …หยาดน้ำตาเริ่มรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างควบคุมไม่ได้ ผมพยายามก้มหน้า ก้มลงไปให้ได้มากที่สุด ตัวสั่นไปหมดทั้งร่าง..

 

       ‘ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?’

       ‘ทวงบุญคุณ? แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!’

       ‘ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู’



       ‘จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ’



       ‘มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!’




      อีกแล้ว.. ผมเห็นภาพเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่..ผมจะหลุดพ้นไปจากมันซักที เหนื่อยแล้ว ไม่อยากทนต่อไปแล้ว..



       “กูก็คิดเหมือนมึงเมธ ..เปลวกับเทียนเคยอยู่บ้านเดียวกันมาก่อน แถมยังสนิทกันโคตรๆ แต่ตอนนี้พวกมันกลับแตกหักกันไปคนละทาง..” ใครคนหนึ่งขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสที่กลุ่มผมถูกฝ่ามือของใครคนนั้นลูบเพื่อหวังจะปลอบประโลม

       “ถ้าจำไม่ผิดมึงบอกกูว่าวันก่อนทันทีที่เทียนเจอคนชื่อแม็กเทียนก็เอาแต่ร้องไห้บอกว่าตัวเองถูกข่มขืน ..ใช่มั้ย?” ..ผมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดิม เหมือนพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก เพียงแต่หันมาปลอบประโลมผมด้วยความเงียบสงบและอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น เป็นแบบนั้นอยู่นานจนผมค่อยๆทุเลาลงเพราะความห่วงใยที่ถูกส่งผ่านกิริยาของพวกเขาทั้งสอง

 

       “..กูคิดว่าไอ้แม็กน่าจะเป็นคนทำร้ายเทียน จนทำให้เทียนเป็นแบบนี้” โก้เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเริ่มไม่มีอาการเหล่านั้น

       “แล้ว..เปลวล่ะวะ? เปลวโดนอะไรทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้..”

       “กูก็ไม่แน่ใจ กูกับมันเคยเรียนด้วยกันนะ แต่วันนั้นมันทำเหมือนแบบไม่รู้จักกู ไม่รู้จักเทียน ทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย”

      “เป็นไปได้ไหมวะที่เปลวจะประสบอุบัติเหตุ”

       “เฮ้ยเมธ! กูจำได้ละ ตอนกูจบม.6 ใหม่ๆ แถวโรงเรียนกูมีข่าวว่ารถบรรทุกชนมอเตอร์ไซค์ มันไม่ได้ออกทีวีนะแต่มีคนเล่ากันมาปากต่อปาก..” …การประมวลผลในหัวของผมเริ่มทำงานอีกครั้ง ผมเริ่มรับรู้สิ่งที่พวกเขากำลังสื่อสารถึงกัน ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นจนคงที่อยู่ในระดับนึง ก่อนจะ..ดิ่งลงเหวลึกอีกครั้ง..

       “แล้วไงวะ..?”

       “ก็วันหลังจากปัจฉิม เปลวเคยทักมาในไลน์กรุ๊ปถามว่ามีใครเห็นเทียนไหม ทุกคนงงกันมากว่าทำไมเปลวถามแบบนั้นทั้งๆที่เทียนกับเปลวอยู่บ้านเดียวกัน คนในห้องก็ช่วยกันตามหาอะ ประกาศคนหายในทวิต ในเฟซ แต่ก็ไม่มีใครพบเทียนเลย และที่สำคัญคือ..นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่เปลวพิมพ์มา ก่อนเปลวจะ..หายตัวไปเช่นกัน”

       “…”

       “เคยมีคนไปหาเปลวที่บ้าน แต่ว่าพอกดกริ่งก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ทุกคนเป็นห่วงกันมากๆเลยปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี แต่จู่ๆไอ้แม็กก็บอกว่าเปลวกับเทียนย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ทุกคนก็เลยโล่งอก จากนั้นก็ไม่มีใครติดใจอะไรอีก นานวันเข้าก็ลืมกันไปหมด..รวมถึงกูด้วย”

       “..ไม่ใช่อะ ตั้งแต่กูเป็นเพื่อนกับเทียนมาเทียนไม่เคยบอกเลยว่าเคยย้ายไปต่างจังหวัด”

       “นั่นแหละ แล้วข่าวอุบัติเหตุนั่นอะแม่กูฟังมาจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาบอกว่ามันเกิดขึ้นเพราะมีคนเดินลงถนน รถบีบแตรไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป จนสุดท้าย..”

       “…”

       “..มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจากไหนไม่รู้ มาอุ้มคนที่เดินลงถนนคนนั้นแล้วผลักออกไปข้างถนน คนขับรถเสียหลักหักหลบรถบรรทุกข้างหลังไม่ทันก็เลยโดนชน”

        “โก้ นี่มึงจะบอกว่า..?” ..จริงๆ ผมรู้…ผมรู้ว่าเปลวมีอะไรบางอย่างที่มันไม่ปกติ ท่าทางของเขา.. บาดแผลของเขา.. ทุกอย่างเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนเลยว่าเปลวกำลังเจ็บปวด ..แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เขากระทำกับผมได้ ยังไงเปลวก็เป็นคนที่ผมเกลียดแสนเกลียด เกลียดจนอยากให้ตายไปจากกัน เกลียดโดยที่ไม่รู้เลยว่า..คนที่ผมเกลียดแสนเกลียดคนนั้น…

       จะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด..

       “กูว่า…เปลวอาจจะเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์คนนั้น”



       จู่ๆเม็ดน้ำตาก็หลั่งไหลออกจากดวงตาทั้งสองของผมอีกระลอกอย่างห้ามไม่ได้ ภาพของคนใจร้ายที่เอาแต่เรียกชื่อผมไหลย้อนเข้ามาในหัวไม่หยุด..



       ‘เทียน พวงกุญแจอันนี้น่ารักดี กูว่ามึงน่าจะชอบเลยซื้อมาฝาก’



       ‘เทียน ไปดูหนังกัน ..แหน่ะ..อย่ามามองกูแบบนั้น กูรู้อยู่หรอกว่ามึงไม่ชอบดูหนังโรงกูก็เลยไปซื้อแผ่นมา …ดูด้วยกันนะครับ ถ้าดื้อจะเอาป๊อปคอร์นถุงละยี่สิบฟาดหัว’



       ‘เทียน! มึงทำอะไรของมึงเนี่ย แค่หั่นผักก็หั่นให้มีดบาด ไปนั่งตรงนู้นเลย อยู่เฉยๆด้วยอย่าขยับเดี๋ยวกูไปเอากล่องพยาบาลก่อน ทีหลังอย่าจับมีดอีกนะ’



       ‘ไม่เป็นไรนะเทียน กูอยู่ข้างๆมึงแล้ว เนี่ยจับดู กอดกูดู กูอยู่ข้างๆมึงแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วนะ..’



       ‘5555555กูไม่จากมึงไปไหนหรอกเทียน คิดมากว่ะมึงเนี่ย ใครจะไปกล้าทิ้งคนที่เขารักโคตรๆแบบนี้กันวะ’



       ‘เทียนมึงรู้มั้ย ภาพในหัวกูตอนนี้คือตาแก่สองคนอยู่ด้วยกัน คนนึงรดน้ำต้นไม้ คนนึงกำลังทำอาหาร พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็มากินข้าวด้วยกัน เป็นแบบนี้ทุกวัน..อยู่ด้วยกันตลอดไป’




       คุณควรจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนอย่างที่ผมคิดอยู่ในหัวไม่ใช่หรอ.. คุณควรจะเป็นคนที่มีนิสัยแย่ๆคนนึงที่พร้อมจะขายคนรักของตัวเองเพื่อความสุขทางใจ  ..คุณควรจะเป็นคนเลวๆคนนึงที่ผมโชคร้ายที่ได้รู้จัก คุณมันก็แค่..คนใจร้ายคนนึงไม่ใช่หรอ..

       ..ทำไมคนอย่างคุณถึงต้องเอาแต่เรียกชื่อผม  ..ทำไมคนอย่างคุณถึงเอาแต่ห่วงใยผม ดูแลผมเหมือนผมเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต ..ทำไมคุณต้องรู้ทุกอย่างว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร คนอย่างคุณทำไมถึงได้เข้าใจผมทุกอย่าง และที่สำคัญ

       …ทำไมคุณต้องยอมเจ็บเพื่อให้ผมปลอดภัยด้วย…เปลว



       คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่ดี คุณกำลังทำให้ผมร้องไห้ไม่หยุดซักที คุณคิดบ้างมั้ยว่ามันทรมานแค่ไหน.. ผมทรมานแค่ไหนคุณเคยคิดถึงใจกันบ้างมั้ย..



       ..คุณอาจจะเจ็บปวดมาไม่ต่างอะไรจากผม แต่อย่างที่บอก..

       มันทดแทนกันไม่ได้หรอก



       











       ..วันนี้ท้องฟ้าก็โหดร้ายกับผมอีกแล้ว หมู่เมฆสีขาวที่ดูสะอาดและบริสุทธิ์ยังคงกลั่นแกล้งให้ผมพบเจอแต่อะไรร้ายๆ ผมควรจะชินชาไปกับมันได้แล้วจริงไหม..? แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย..

       ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่ผมอยู่ที่มหาลัย พี่หมอให้อนุญาตผมออกมาวันนึงเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมจะต้องจัดการ อีกทั้งผมก็พอจะสื่อสารรู้เรื่อง สมองประมวลผลได้รวดเร็วมากขึ้นบ้างแล้ว วันนี้ก็เลยเป็นวันที่ดีแสนดีของผม เพราะผมจะได้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง..

       

       “วันนี้มันมาเรียนว่ะ คิดว่าจะลาออกแล้วซะอีก ทำไมยังกล้ามาอีกวะ” เสียงของใครคนนึงดังเข้ามาให้ได้ยินทันทีที่ผมเดินผ่านกลุ่มเพื่อนที่เคยรู้จักกันก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นพวกคนที่เกลียดขี้หน้าผม ..จริงอย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละ..ผมควรจะลาออกไปได้แล้ว ไม่ควรมีคนชื่อเทียนไขมายืนอยู่ตรงนี้เลยจริงๆ

       “คนแบบนี้เขาเรียกว่าไรวะ ไม่มีจิตสำนึกเลยหรอวะถามจริง หน้าด้านหน้าทนฉิบหายไอ้เหี้ย” 

       ‘..ไม่เป็นไรเทียนไข ทนอีกนิด.. อีกนิดเดียวเท่านั้นแหละ’ ผมบอกกับตัวเอง พยายามคลี่ยิ้มออกมาเพื่อให้ขาทั้งสองก้าวต่อไป..

        ..จริงอยู่ที่วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจจะกลับมาเรียน แต่นี่คงเป็นวันเดียวและวันสุดท้ายแล้วล่ะที่จะเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้ ..หลังจากที่ผมทำเรื่องพักการเรียนให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็จะไม่มีใครต้องมาทนเห็นเทียนไขให้สกปรกรกสายตาอีกต่อไป

       ..ที่บอกว่าจะมาเรียน ผมไม่ได้บอกพี่หมอตรงนี้ แต่แค่ทำตามความรู้สึก ..ผมรู้ว่ามันอาจจะดูแย่ แต่ว่า..วันนี้ผมขอ..ไปนั่งเรียนกับพวกคุณได้มั้ย.. ผมขอไปนั่งอยู่ในที่ของผม.. นั่งจดเลคเชอร์อย่างที่เคยทำ ขอผม..พูดคุยกับพวกคุณ ยิ้มและหัวเราะไปกับพวกคุณได้ไหม..

       ‘ได้อยู่แล้ว’ ขอโทษที่ผมถือวิสาสะให้คำตอบแก่ตัวผมเอง ผมเห็นแก่ตัวผมรู้ดี แต่นี่..เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

        ..ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง มันจะดีเหมือนที่ผมคิดเอาไว้หรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่มีวันลืมมันแน่นอน ..ทั้งความรู้สึกที่ได้มาเรียนที่นี่พร้อมกับเพื่อนๆของผมอีกหลายคน ..รอยยิ้ม ..เสียงหัวเราะของพวกเขา ภาพความทรงจำที่แสนงดงามมากมายที่ได้เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ผม..จะไม่มีวันลืมเลย



       08.00

       เวลาแห่งการเรียนการสอนเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมจึงเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนจนไปถึงห้องๆหนึ่งที่ใช้เรียนในวิชาแรก ..ผมก้าวเข้าไปในห้องด้วยความมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เดินเข้าไปหาที่นั่งที่พอจะเหลืออยู่ ..ไม่อยากจะอวดเลยว่าผมโชคดีมากๆ เพราะที่ที่ยังว่างอยู่คือที่ข้างๆพละพล ถัดไปข้างหน้าก็เป็นที่ของเมธ หลังจากที่ผมพาตัวเองไปนั่งตำแหน่งนั้นความรู้สึกเก่าๆก็กลับมา เหมือนเราทั้งสามคน..ยังสนิทกันอยู่เหมือนเดิมเลยเนอะ..?

       “กระเป๋าใหม่หรอเพื่อนพล สีสวยว่ะ” ผมหันไปทักด้วยน้ำเสียงสดใสหลังจากสังเกตเห็นกระเป๋าคู่ใจของเขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีน้ำตาลอิฐ รูปทรงกระเป๋าก็ดูแตกต่างไปจากเดิม โลโก้แบรนด์ที่มุมกระเป๋าก็ผิดไปจากที่เคยเห็น

       “เสือก เป็นเหี้ยไรของมึง ไปไกลๆกูเลยนะ” พละพลหันมาตอบผม ..นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้

       “พลแล้วหนังที่เข้าเมื่อเดือนที่แล้วมึงไปดูมายัง จำได้ว่ามึงรอมาปีกว่าตั้งแต่เห็นข่าวว่าเริ่มทำ..”  ..คิดถึงบรรยากาศเก่าๆจังเลยเนอะ กูกับมึงที่หัวเราะไปด้วยกัน คุยเรื่องห่าเหวไปด้วยกันไม่รู้จักเบื่อ พล..มึงรู้มั้ย กูน่ะอยากเป็นเพื่อนกับมึงแบบนั้นตลอดไปเลยนะ ถึงแม้มันเป็นได้แค่ฝัน แต่ก็เป็นความฝันที่ดีที่สุดของกูเลย

       “เมธ มาเอาเพื่อนรักมึงออกไป กูรำคาญ”

       “…” จริงๆ… ผมรับรู้ทุกอย่าง หากแต่ผมก็ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น ..เป็นรอยยิ้มที่ปกปิดไม่ให้ใครเห็นว่าภายในผมกำลังแหลกสลาย..

       “อย่าปากดีไอ้พล ..เทียนมานั่งข้างหน้ากูดีกว่า” เมธหันมาหาผมพร้อมกับพยักเพยิดไปทางเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

       “นั่งตรงนั้นถ้ากูพูดอะไรไอ้พลก็ไม่ได้ยินอะดิ ไม่เป็นไรหรอกกูนั่งนี่แหละ” นั่งตรงนั้นอาจจะเห็นภาพในห้องได้กว้างกว่า เห็นรอยยิ้มของคนอื่นๆได้มากกว่า รวมถึงเห็นสไลด์ด้านหน้าได้ชัดกว่า แต่ถ้าเทียบกัน…ที่ที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ผมจะได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนรักของผม ได้เห็นพลหัวเราะ ได้ฟังเสียงพล พูดคุยกันเหมือนอย่างที่เคยเป็น เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว..สำหรับเหตุผลที่ผมต้องนั่งตรงนี้

       “ไปไกลๆกู อย่าให้กูต้องรังเกียจมึงไปมากกว่านี้ไอ้เหี้ยเทียน” ผมรู้...ผมรู้ว่าผมควรจะยอมรับความจริง..

       “…”

       “ไป๊!”

       แต่ขอ..ผมหลอกตัวเองอีกซักนิดได้ไหม

       “ก..กูจะไม่กวนมึงเลย แต่ขอกูนั่งตรงนี้.. นั่งข้างๆมึงได้มั้ย” ผมขอหลอกตัวเองว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีที่สุด น่าจดจำที่สุด เป็นวันที่ผมจะมีแต่ความสุขเฉกเช่นวันแรกที่ผมก้าวเข้ามาในมหาลัยนี้ ขอหลอกตัวเองต่อไปว่าคนรอบตัวผมยังคงมองผมในฐานะเพื่อนคนนึง

       “…”

       “กูจะนั่งอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งกับมึงอีกแล้ว.. ได้ไหม..” ขอหลอกตัวเองว่า..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี

       พลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขามองผมตาขวางอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายแล้วก็เบือนหน้าไปอีกทาง ..ผมจึงหันกลับมาที่สไลด์ด้านหน้าอีกครั้ง หยิบชีทเรียนเก่าๆที่คนอื่นๆเรียนจบไปแล้วขึ้นมาจากกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าแล้วหยิบปากกาหลากสีและดินสอขึ้นมาเตรียมจดเลคเชอร์ ..มือที่สั่นเทาพยายามจับปากกาให้มั่นก่อนจะบรรจงเขียนตามสไลด์ตรงพื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อยตรงมุมชีทเรียน มือข้างหนึ่งต้องยกขึ้นมาป้องปากเพราะกลัวจะเสียงดังออกไป เพราะตอนนี้..น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอีกแล้ว

       ..แต่ถึงกระนั้นผมก็พยายามที่จะกลัดกลั้นมันเอาไว้ พยายามใจจดใจจ่อไปที่การเรียนการสอนให้มากที่สุด สิ่งนี้เป็นความสุขของผม..ผมจะต้องไม่ร้องไห้ ..ห้ามร้องไห้เด็ดขาดเลย

       เพื่อนๆของผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเรียนไม่ต่าง แต่ก็มีบางคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น บ้างก็จับกลุ่มเล่นเกม บ้างก็กำลังแชทคุยกับคนที่เป็นหวานใจของพวกเขา ส่วนอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงที่ฟังดูเชี่ยวชาญของเธอยังคงพร่ำอธิบายเนื้อหาไม่หยุดหย่อน ผมมองภาพที่เห็น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆจดจำภาพเหล่านี้ ความรู้สึกตอนนี้ และรอยยิ้มของทุกๆคน เข้าไปเก็บไว้ในความทรงจำ..

       

       “อยากนั่งกับกูมากหรอ” ทว่าจู่ๆคนที่นั่งข้างๆผมอย่างพละพลก็พูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบมาหลายนาที

       “…” ผมหันไปตามเสียงของเขา ยิ้มกว้างและพยักหน้าตอบรับอย่างเร็วรี่

       “ได้” และนี่คือคำตอบที่พละพลให้ผม ..ความรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นอย่างไรผมได้รู้แล้วในตอนนี้ 

       “ขอบคุณมึงมากเลยพล” ..ในที่สุดพละพลก็เมตตาผมแล้ว ในที่สุดสิ่งที่ผมวาดฝันไว้ก็กำลังจะปรากฎให้เห็นในโลกความเป็นจริง

       “ไม่เป็นไรอยู่แล้ว ก็..เพื่อนกัน” พลพูดต่อ ..เพื่อน..? เพื่อนหรอ นี่พลหายโกรธผมแล้วหรอ..?

       “เพื่อน..?” ผมถามออกไปอย่างไปเชื่อหู ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำเอาหยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอีกครั้ง..

       “มึงเป็นเพื่อนกูไงเทียน” หากแต่ว่ามันไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากความเจ็บปวด แต่มันเป็นน้ำตาที่เกิดจาก..ความตื้นตันใจ

       “ขอบคุณ..ขอบคุณมากๆเลยพล ขอบคุณมึงมากๆเลย” ผมรู้สึกหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ พอได้ยินพละพลพูดแบบนั้นแล้วโลกที่เคยเป็นสีหม่นของผมก็เริ่มปรากฎสีสันขึ้นมา ท้องฟ้าที่เคยดูใจร้ายก็กลับกลายเป็นท้องฟ้าที่งดงามที่สุด

       “เย็นนี้มีบอลคณะ ไปกับกูปะ” เขาเอ่ยถาม และผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดเลยแม้แต่เสี้ยววินาที

       “ไปสิ..ไป กูไป” ริมฝีปากขยับเป็นคำออกไปอย่างรวดเร็ว และก็เอาแต่พูดซ้ำๆอยู่แบบนั้นไม่หยุด ..ผมดีใจ..ดีใจมากจริงๆ

       และคง..จะดีใจมากเกินไปหน่อย..

       “ดีเลย จะได้ไปช่วยกันเก็บลูกบอล”







       11.05

       เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาพัก ทุกคนในคณะทยอยกันออกไปรับประทานอาหารกันอย่างที่ควรจะเป็น ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน

       และที่พิเศษที่สุด วันนี้ผมได้ไปกินข้าวกับเพื่อนรักของผมด้วยล่ะครับ พลใช้ให้ผมไปซื้อข้าวให้ ผมทำตามอย่างไม่คิดจะปฏิเสธ แถมยังซื้อมาเกินกว่าที่พลสั่งอีกด้วย ในใจหวังอยู่เต็มที่ว่าพลจะต้องชอบแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆหลังจากที่ผมเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมของกินที่เต็มไม้เต็มมือ พลกลับ..ไม่แม้แต่จะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

       ‘ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรพลอาจจะไม่หิว’ ผมบอกกับตัวเอง ก่อนจะชวนพลคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อ



       11.37

       เรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย พลบอกผมว่าจะไปหาเพื่อนคณะอื่น ผมจึงขอแยกตัวออกมาโดยโกหกพลไปว่าวันนี้แดดร้อนเลยจะเตรียมตัวขึ้นเรียนแล้ว เมธก็มากับผมด้วยเหมือนกันผมจึงต้องโกหกเมธด้วยอีกคนว่าจะไปห้องน้ำ ก่อนจะแยกตัวออกมาเพียงลำพัง..

       ..ขอโทษนะ..ที่ผมต้องโกหก



       11.50

       ปลายปากกาจรดลงที่ช่องลงชื่อบนกระดาษเอกสารทางการ ผมพยายามบังคับให้มือไม่ให้สั่นแต่มันก็ยากเหลือเกิน..



       11.51

       แต่ในที่สุดบนช่องลงชื่อก็มีชื่อของผม

       เรียบร้อยแล้วล่ะ..

       ต่อจากนี้ ..ชื่อผมก็จะไม่อยู่ในชั้นปีนี้อีกต่อไป







       12.01

       การเรียนการสอนของวิชาในภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่ผมยังเอาแต่นั่งบนม้าหินอ่อนไม่ลุกไปไหนเพราะไม่มีแรงหลงเหลือพอ …จู่ๆผมก็ปวดหัวอีกแล้ว



       12.37

       แล้วผมก็ตัดสินใจกัดฟันทนก่อนจะลุกขึ้นพาร่างตัวเองขึ้นไปเรียนต่อ



       12.40

       ผมโดนอาจารย์ด่า เพราะรบกวนการเรียนการสอน อีกทั้งยังเข้าเรียนสายไปเกือบชั่วโมง เพื่อนร่วมคลาสหันมามองที่ผมกันเป็นตาเดียว ในหัวของผมมันบอกกับผมว่าให้ผมก้มหน้า อย่าไปสนใจกับสายตาเหล่านั้น แต่ในใจของผมมันกลับต่างออกไป มันบอกให้ผมยิ้ม ..แล้วพวกเขาก็จะยิ้มตอบกลับมา

       ผมเชื่อหัวใจของผม ก่อนจะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนหน้า..

       ‘เกลียดขี้หน้ามันว่ะ คนแบบนี้ทำไมยังไม่ตายไปซักทีวะ’

       เห็นมั้ย..เขายิ้มตอบผมจริงๆด้วย เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดที่ผมสามารถ..จินตนาการได้









     
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 12 : 12 ‘เปลวเทียน’” updated 24/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 28-02-2019 19:38:52
       17.05

       การเรียนการสอนจบลงไปได้ด้วยดี ผมพาตัวเองไปยืนหน้าประตูทางออก ใช้โอกาสนี้ในการโบกมืออำลาเพื่อนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่อาจจะเมินเฉยกับสิ่งที่ผมทำ แต่ก็มีบางคนที่โบกมือตอบผมด้วยเหมือนกัน ผมยิ้มจนแก้มแทบปริ ปากพูดอยู่ซ้ำๆจนลิ้นแทบพันกันว่า ‘กลับบ้านดีๆนะ’ ‘โชคดีนะเพื่อน’ พร้อมกับยืนส่งพวกเขาอยู่ตรงนั้นจนแผ่นหลังของเขาไกลออกไปลับสายตา



       ผมโบกมือบ๊ายบายเมธ พร้อมกับคำว่า ‘โชคดีนะ’ ตามหลังอย่างแผ่วเบา ส่วนเจ้าตัวที่กำลังเร่งรีบเพราะมีคนรอก็ได้แต่โบกมือไหวๆตอบกลับมา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป

       เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว.. ปล่อยให้เมธเข้าใจไปว่าผมกลับมาเรียนได้ตามปกติน่ะดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่เอาแต่มาอยู่ดูแลผมจนสภาพตัวเองโทรมลง



       เมื่อได้บอกลากับทุกคนจนครบ ผมจึงสูดหายใจเข้าไปลึกๆจนอัดแน่นเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

       ทีนี้ก็เหลือแต่..พละพลเพื่อนรักของผม





       17.45

       ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มทอแสงสีส้ม แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงจนไม่รู้สึกแสบผิวเมื่อได้รับแสง ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเคลื่อนไปอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่นานความมืดมิดจะมาเยือนอีกครั้ง

       เดาว่าตอนนี้พี่หมอคงเป็นห่วงผมมากๆแน่ๆเลยที่ยังไม่กลับไปโรงพยาบาลซักที แต่อีกไม่นานผมก็จะกลับไปแล้วล่ะ ..อีกไม่นานเท่านั้น..

       ขอผม..เก็บเกี่ยวความสุขของผมอีกซักนิด



       ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบอลของมหาลัย ยืนอยู่โดดๆท่ามกลางผู้คนมากมายที่มารอเชียร์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆกันนี่แหละครับ ได้ยินว่าเดือนหน้าจะมีงานกีฬาอะไรซักอย่าง เพราะงั้นก็เลยต้องมีการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักกีฬา ส่วนผมที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะว่าพละพลชวนให้ผมมา แย่หน่อยที่สนามนี้เป็นสนามที่ไม่มีอะไรคอยกั้น จึงทำให้ผมมีทำหน้าที่คอยเก็บลูกบอลที่ถูกเตะจนออกจากสนาม

       จริงๆหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของพลเพียงคนเดียว มันค่อนข้างเหนื่อยเขาก็เลยชวนคนมาช่วยเขา ซึ่งก็มีอีกหลายคนเลยทีเดียวรวมถึงผมด้วย



       ไม่นานนักแมตช์นี้ก็เริ่มขึ้น นักฟุตบอลหลายคนวิ่งตามลูกหนังกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนสุดท้ายลูกหนังลูกนั้นก็ถูกใครคนหนึ่งเตะมันเพื่อหวังจะให้เข้าประตู ทว่าบอลลูกนั้นกลับลอยขึ้นมาสูงจนชนกับตัวประตูที่เป็นเหล็กแข็ง ทำให้บอลลูกนี้กระเด็นออกไปไกลจากสนาม

       “โหไกลว่ะ.. กูเหนื่อยแล้วอ่ะ เทียนมึงวิ่งไปเก็บแทนกูหน่อยดิ” พลเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเดินมาหาผมที่อยู่ไม่ห่างก่อนจะแตะบ่าแล้วไหว้วานให้ผมช่วยวิ่งไปเก็บ

       “ได้ เดี๋ยวมานะ” แน่นอนว่าผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แค่นี้สำหรับผมน่ะ ..สบายมาก และผมก็ไปเก็บมาให้ได้จริงๆ



       “สัดเตะแรงกันจังวะ เทียนไปเก็บตรงนั้นด้วย” ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้หยุดหายใจหายคอ บอลอีกลูกก็กระเด็นข้ามหัวผมออกไปในอีกทิศทาง

       “ได้เลยเพื่อน” ผมตอบรับก่อนจะวิ่งตามลูกหนังลูกนั้นไป ความเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นจนฝีเท้าเริ่มช้าลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนเสื้อที่ใส่เริ่มแนบไปกับแผ่นหลัง

       แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังคงดั้นด้นไปเก็บลูกบอลมาให้พละพลจนได้ เป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนผมรู้สึกแล้วว่าโลกของผมมันเริ่มโคลงเคลง และที่แย่ไปกว่านั้น..



       “พล..กูขอพักแป็ปนึงได้ไหม กูเหนื่อย ไม่ไหว..” ..การหายใจของผมเริ่มติดขัด ผม..หายใจไม่ออก

       “อ้าว แล้วลูกนั้นใครจะไปเก็บวะ”

       “..กูเหนื่อยจริงๆ ..มียาดมไหม กูเหมือนจะเป็นลมเลย” ผมทรุดนั่งลงกับพื้นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงใดๆหลงเหลือ พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพละพล

       “ตอแหล” ..แต่มันก็เปล่าประโยชน์

       “…”

       “มึงขี้เกียจอะดิไม่ว่า ถุ้ย! สำออยฉิบหาย วิ่งแค่นิดหน่อยทำเป็นบ่นไม่ไหวจะเป็นลม” เพื่อนรักของผมกำลังเหยียดปลายนิ้วชี้มาที่หน้าของผมพร้อมกับตะโกนด่าเสียงดัง

       “…” ผมตกใจกับภาพที่เห็นจนได้แต่นั่งนิ่งๆไม่รู้จะพูดอะไรออกไป พละพลถูกใครบางคนหันมาด่าเพราะกำลังละเลยหน้าที่ เขายกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนจะหันกลับมาทางผมอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว

       “เห็นมั้ยไอ้เหี้ยโดนด่าเลยเนี่ย แม่งเอ๊ย!”

       “พ..พลกูขอโทษ.. กูขอโทษ กูกำลังจะไปเก็บให้..เดี๋ยวนี้แหละ” ผมหลับตาปี๋ พร่ำคำขอโทษออกไปซ้ำๆ ตัวเริ่มสั่นระรัวไม่หยุด แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังฝืนตัวเองลุกขึ้นแล้วพยายามที่จะวิ่งไปเก็บบอลลูกนั้น ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวผมก็ล้มลงตรงนั้นอีกครั้ง

       “ถุ้ย! อ่อนแอนักมึงก็ตายเหอะ ไร้ประโยชน์จริงๆเลยมึงเนี่ย” ..ราวกับถูกใครซักคนกรีดก้อนหัวใจ ทั่วทั้งร่างชาวาบ หยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างห้ามไม่ได้

       คำว่า ‘เพื่อน’ ของพละพล จริงๆลึกๆผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าความจริงก็คือเขาแค่แกล้งพูดให้ผมตายใจเพราะเหตุผลอะไรซักอย่าง และผมก็ได้รู้แล้วว่าเหตุผลนั้นก็คือเขาต้องการจะหลอกใช้ผม ต้องการจะขยี้ผมให้จมดิน

       แต่ผมก็ไม่เสียใจหรอกที่เชื่อในคำว่า ‘เพื่อน’ ของพละพล

       เพราะสำหรับผม…เขาคือเพื่อนของผมจริงๆ



        “พลระวัง!” …เสียงเล็กๆของผมผมใช้มันตะโกนออกไปเพื่อบอกให้พละพลหลบออกมาจากตรงนั้น เพราะบอลลูกหนึ่งกำลังถูกเตะมาทางนี้ พละพลหันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว แต่ว่า..มันก็ไม่ทันเสียแล้ว



        ปั่ก!

        “เฮ้ย!” เสียงกลุ่มคนกรีดร้องดังเข้ามาในโสตประสาท ก่อนเสียงพวกนั้นจะค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เดาว่าคงเป็นพวกนักฟุตบอลที่กำลังแห่กันวิ่งมาดู..

       “เทียน…ไอ้เทียน!” ..มาดูผมที่กำลังจะล้มลงไปนอนกับผืนหญ้า

       ..ในขณะที่บอลเมื่อครู่กำลังตรงดิ่งมาหาพละพล ผมใช้จังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเอาสารร่างของตัวเองไปบดบังเอาไว้ไม่ให้เพื่อนรักของผมได้รับอันตราย ถึงแม้มันจะทำให้คนที่จะได้รับอันตราย..จะเป็นผมเองก็ตาม



       …มีใครหลายคนกำลังมายืนมุงอยู่รอบๆตัวผม ใครคนนึงกำลังจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ผมก็ใช้แขนที่กำลังสั่นเทาของตัวเองปัดออกไป

       …อีกไม่นานผมก็จะหายไปอย่างที่พวกคุณต้องการแล้ว เพราะงั้น..คุณไม่จำเป็นต้องมาช่วยผมหรอก มองว่าผมเป็นหุ่นยนต์เหล็กที่จะเหยียบย่ำความรู้สึกยังไงก็ได้อย่างที่พวกคุณเคยมองต่อไปนั่นแหละดีแล้วล่ะ..



       “เทียน.. จมูกมึง.. เลือด..” เสียงทุ้มของพละพลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ..อีกหนึ่งอย่างที่ผมอยากจะขอหลอกตัวเอง ตอนนี้พละพล..เป็นห่วงผมใช่มั้ย..?

       ผมกำลังถูกใครซักคนเป็นห่วงใช่หรือเปล่า..



       ‘มึงกับเปลวเป็นอะไรกัน’

       ‘ร..เรา…ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น’

       ‘เชื่อก็โง่ กูรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น’



       ‘มึงทำให้เปลวเป็นแผลที่หัว เพราะงั้น..’

       ‘…’

       ‘มึงก็โดนบ้างแล้วกัน’
     



        ..แต่คงจะเป็นคำขอที่สูงเกินไปหน่อย เพราะมันตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ที่ตรงนี้..ไม่มีใครเป็นห่วงเทียนไขอย่างผมหรอก..

       “เทียนมึงเลือดไหลใหญ่แล้ว เช็ดก่อน..” พละพลเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางร้อนรน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะยื่นเข้ามาใกล้ผมหวังจะซับเลือดกำเดาที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากจมูกของผม ..ผมเห็นท่าทางของพละพลแบบนั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มเล็กๆออกมา แต่แย่หน่อยที่รอยยิ้มนี้เกิดขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาพอดี

       “..กูมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามพละพลทั้งน้ำตา ..เป็นคำถามที่ผมอยากถามเขามานานแล้ว

       “…” คนตรงหน้าผมนิ่งไปไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่จริงๆ..ไม่ต้องตอบก็ได้แหละ เพราะผมคิดว่า..ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมน่ะ…ไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรอก



       ..วันนี้เป็นวันที่ดีมากจริงๆวันนึงในชีวิตผมเลย ทุกๆอย่างที่เห็นที่รับรู้ล้วนดูสวยงามไปหมด ทั้งในทางกายภาพและในทางของความรู้สึก โดยเฉพาะรอยยิ้มของใครหลายๆคนที่ผมได้เห็นอีกครั้งในวันนี้ มันเป็น..สิ่งที่สวยงามมากๆเลย

       แต่ว่าคง...ได้เวลาบอกลากันแล้วล่ะ

       “ดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนมึง แล้วก็..ขอโทษด้วยที่เข้าไปเป็นเรื่องแย่ๆ ต่อจากนี้..”

       “…”

       “มันจะไม่มีอีกแล้ว”

       ..จะไม่มีเทียนไขคนที่พวกเขาต่างก็ขยะแขยงอีกต่อไป

       























       หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากนั้น โลกได้หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ทำให้กลไลของเวลายังคงดำเนินต่อไป จากแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันก็เปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ในความรู้สึกของผมมันเป็นแบบนั้นเพราะผม..ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เช่นเดิม

       อาการยังขึ้นๆลงๆไม่มีอะไรคงที่อยู่เหมือนเดิม บางครั้งก็เศร้าโศก เซื่องซึม แต่บางครั้งก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมา และบางครั้ง..ก็ยังคงเห็นภาพเหล่านั้นตามหลอกหลอน

       แต่การรักษาก็ค่อนข้างช่วยผมได้เยอะ เพราะความรู้สึกหวาดกลัวอันแสนทรมานเหล่านั้นเริ่มจางหายไปบ้างแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกถึงมันซักเท่าไหร่

       ทว่าที่แย่ก็คือ…

       ผมมีความผิดปกติที่ไตข้างที่เหลืออยู่



       ครั้งแรกที่วินิจฉัยพบ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ในหัวมันตื้อไปหมด หมอบอกว่าอาจจะเพราะร่างกายผมอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าใช้ร่างกายหนักเกินไปก็จะเกิดผลเสียหลายๆด้าน การที่ไตผมเริ่มผิดปกตินี่ก็เป็นหนึ่งในผลเสียเหล่านั้นที่มักจะเกิดขึ้นได้ ..จะว่าผมเสียใจมั้ยก็ไม่ จะผมว่าดีใจ..นั่นก็ไม่อีกเหมือนกัน เหมือนเคยอยากตายมาตลอดแต่พอมารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจริงๆมันก็รู้สึกโหวงๆยังไงไม่รู้

       ภาพวินาทีที่ผมถูกย้ายจากโรงพยาบาลทางจิตมาอีกโรคพยาบาลเพื่อดำเนินการรักษาเรื่องไตผมยังจำได้อยู่เลย ..มันเป็นภาพตอนที่ผมนั่งอยู่บนวีลแชร์และกำลังจะถูกเข็นออกไป เสี้ยวนึงผมหันมามองเตียงที่ผมเคยนอนมาตลอดการรักษา สิ่งที่เห็นก็คือ..มันว่างเปล่า ว่างเปล่าซะจนใจหาย



       …ผมเป็นผู้ป่วยแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลนี้ แต่ละวันยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันไปด้วยความเงียบเหงา โลกของผมค่อยๆถูกจำกัดให้มันแคบลง และแคบลงเรื่อยๆ มีกฎเกณฑ์มากมายสำหรับผู้ป่วยโรคไต ผมถูกจำกัดทั้งอาหารการกินและการใช้ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อความรู้สึกผมเริ่มแย่ อาการหวาดกลัวเหล่านั้นก็จะกลับมาให้รู้สึก



       ..วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ผมถูกแสงอาทิตย์ปลุกให้ตื่นขึ้นในตอนเช้า นอนรอกินข้าวตอนประมาณเจ็ดโมง รอหมอจิตเวชมาตรวจดูอาการช่วงสาย ก่อนจะลงไปตรวจไตที่ห้องตรวจด้านล่าง

       ..ทุกอย่างดำเนินไปแบบนั้น



       แต่แล้วผมก็ต้องชาวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อได้เห็นคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดี

       เปลว.. ที่กำลังเดินเคียงคู่มากับ..พละพล

       

       เสี้ยวหนึ่งผมเผลอสบตาพวกเขา แต่ผมก็หันหนีออกมาก่อนจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่าพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไร ทว่าผมกลับได้คำตอบมาอย่างง่ายดาย เพราะฝ่ามือของใครบางคนที่แตะลงมาบนไหล่ผม..

       “เทียน มึงเป็นไงบ้าง” เสียงของพละพลเอ่ยถามขึ้นมา เขาเดินมาหาผมคนเดียวในขณะที่เปลวยืนอยู่ห่างออกไป ..ผมพยายามจะเดินหนี แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตรึงไหล่ไว้เสียก่อน “ตอบกู กูเป็นห่วง”

       “…” และผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ..เป็นห่วง? เป็นห่วงผมน่ะหรอ..

       “กูรู้เรื่องที่มึงพักการเรียนแล้วนะ ..เพราะอะไรวะ? มึงป่วยเป็นอะไรกันแน่เทียน”

       “..มึงเป็นห่วงกูจริงๆหรอ..” ผมถามซ้ำ

       “ใช่ไง”

       “จริงๆนะ..ไม่โกหกกูใช่มั้ย” และยังคงถามซ้ำอยู่แบบนั้น

       “ไม่โกหก”

       “..กูไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็หายแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงกูนะ ดีใจมากๆเลย” ขอโทษที่กูโกหกมึงอีกแล้ว..

       “เป็นแบบนั้นกูก็ดีใจ เออเผื่อยังไม่รู้..” พละพลพูดต่อ สำหรับความเป็นห่วงของพล ผมดีใจมากๆเลยที่พลเป็นห่วงผม ผมรู้แหละว่าที่ผ่านมาระหว่างเรามันโคตรแย่ ถึงจะไม่รู้ว่าผมผิดหรือเปล่าแต่ผมอยากขอโทษเขามากๆเลย ผมอยากให้เรา..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม..

       “…”

       “กูคบกับเปลวได้ซักพักแล้วนะ” กลับไปเป็นเพื่อนที่..

       “…”

       “…ยินดีด้วยนะเพื่อนพล ขอให้มึงมีความสุขมากๆ” ..ยิ้มยินดีได้อย่างเต็มใจเวลาที่เพื่อนมีความสุข ไม่ใช่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกตบหน้าซ้ำๆแบบนี้..







 

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-03-2019 17:29:43
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-03-2019 04:16:19
จ่ะ! เอาเลยทั้งคู่ เอาตามสบายใจเลย คนดูเรื่องราวอย่างเรานี่ เหนื่อยไปกับทุกคน เพลีย แต่ถึงยังงั้นก็อยากติดตามอยากรู้ชีวิตเทียนต่อจากนี้อยู่นะ พี่หมอช่วยเทียนที ฝากความหวังไว้ได้ไหม 555 ต้องรักษายาวเลยละ อาการเหมือนจะดีแต่ก็ไม่น่ารอดถ้ามาออกเจอสภาพเดิมๆ คนเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ ใจจริงก็อยากรักษาให้จิตแข็งได้เลยนะถึงควรออกมาใช้ชีวิตปกติ สุดท้ายแล้วก็ยังคง งงว่าปลายทางของสองคนนี้อยู่ที่ไหน 5555555 เทียนวนลูปมาก หรือบางที่ก็เหมือนเดจาวู ตรงที่คิดว่าเคยเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันกับพล แต่จริงๆแล้วคือไม่เคยเป็นเลย 5555 เอาจริงเทียนนี้ละ ทำให้เราระแวงไปด้วยเหมือนกันว่าคนที่เข้ามาคือความหวังดีจอมปลอม หูแว่ว หลอน คิดไปเอง คล้อยตามเทียนเลย ซะงั้น นี่ถ้าได้อยู่กับเทียน เชื่อได้เลยว่าบ้าอีกคนแน่ๆกู 55555555 แต่ดูเมธกับโก้ก็คงดีจริงๆละ (มั้ง5555) สุดท้าย ท้ายสุดจริงก็คงต้อง อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ เส้นทางความสำเร็จของความฝันคงอีกยาวไกล หากตัวเองยังเป็นแบบนี้ จะพูดปลอบยังไงดีนะ ให้เทียนได้ลุกขึ้นฮึบสู้ คนเป็นโรคนี้เขาดูแลกันยังไงเดี๋ยววาปเข้าไปเป็นเพื่อนเทียนซะเลยหนิ 555555 ส่วนไอ้ชั่วแม๊กนั่น มันก็คิดสำนึกได้นะว่าสิ่งที่ทำไปโหดร้าย เพียงแต่ขี้ขลาดมากเกินไปเลยไม่กล้าจะยอมรับความผิด รอกรรมตามสนองละกัน ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! ^_^ ว้อยยยยสนุกกกค่า ลุ้นนะ อยากรู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง จะเอาไงกับชีวิตดี ทำไมมันถึงได้ยากอย่างเน่~~~ รออออออออรอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ยังคงแต่งและมาอัพให้เรื่อยๆ เจอกันตอนหน้าค่า ^__^ สนุกดี ดราม่าสมชื่อ คึคึ (:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-03-2019 03:06:43
สายดราม่าต้องมา มาคุได้ใจ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 23-03-2019 18:03:50
14

‘เปลวเทียน’






       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’




       …ตลกดีเหมือนกันนะที่ผมยังคงจมอยู่กับสัญญาปากที่เปลวเคยให้ ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยสัญญาอะไรไว้

       และมันก็ตลกมากๆเลยที่ความสัมพันธ์นี้ไม่เคยจบลงจริงๆ เพราะระหว่างผมกับเปลวยังไม่มีใครเอ่ยตัดความสัมพันธ์ของเรากันเลยซักคน ถึงแม้ผมจะเกลียดเขาแค่ไหนก็ตามแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ายังไงเปลวก็ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของผม ทว่าสำหรับเปลว…คงไม่ใช่แบบนั้น

       ความรักครั้งใหม่ของเปลวเริ่มต้นขึ้นในขณะที่ความรักครั้งเก่าของเขายังไม่จบลง เปลวกำลังก้าวเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับคว้ามือของพละพลมากอบกุมแล้วเดินต่อไปด้วยกัน ในขณะที่ผมยังอยู่ที่เดิม จมอยู่กับความเจ็บปวดและบาดแผลแสนทรมานอยู่เหมือนเดิม

       และผมก็คงเลือกอะไรไม่ได้นอกจากจะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตัวเองเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก่อนจะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยอวยพรให้พวกเขา

       ‘…ยินดีด้วยนะเพื่อนพล ขอให้มึงมีความสุขมากๆ’

       ถึงแม้ข้างในจะเจ็บเจียนตายก็ตาม…











        หลังจากพบคุณหมอเรื่องไตและทำการตรวจดูอาการเสร็จเรียบร้อย ผมก็ถูกส่งกลับขึ้นมาพักผ่อนบนห้องเหมือนเดิม ระหว่างทางขณะที่ผมกำลังขึ้นลิฟต์ภาพตัวเองในกระจกเงาที่สะท้อนกลับมาทำให้ผมอดที่จะสงสารตัวเองไม่ได้

       ..เทียนไขในกระจกใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากที่เคยปรากฎสีระเรื่อตอนนี้กลับไร้สีสัน เช่นเดียวกับเรียวผิวที่เคยมีน้ำมีนวลตอนนี้ก็ดูซูบลงไปมาก ..ทุกๆอย่างทำให้ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่าเวลาที่เหลืออยู่…มันมากน้อยขนาดไหนกันนะ? ผมจะยังคงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า มองดูท้องฟ้าสวยๆ และแสงไฟระยิบระยับตา ผมจะรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ไปได้อีกกี่วัน..



       ‘ซักวันเทียนไขจะส่องสว่าง’ เมธเคยบอกผมเอาไว้แบบนั้น ผมเองก็เคยเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอันที่จริง…เทียนไขเล่มนี้เคยส่องสว่างไปนานแล้ว และเพราะแสงสว่างเหล่านั้นเทียนไขเล่มนี้จึงค่อยๆหลอมละลายจนตอนนี้เหลือแค่เทียนเล่มเล็กๆ ที่ยังคงถูกแสงสว่างเหล่านั้นแผดเผาต่อไปเรื่อยๆ…หลอมละลายต่อไปจนกว่าจะไม่มีเชื้อเทียนเหลืออยู่



       ท้องฟ้าสีแสดภายนอกเริ่มถูกความมืดมิดเข้ามาแทนที่แล้ว ตึกรามบ้านช่องในเมืองหลวงแบบนี้จึงเริ่มปรากฎแสงไฟจากหลอดไฟชนิดต่างๆ มองจากหน้าต่างบนชั้นบนสุดของโรงพยาบาลแบบนี้ก็ดูระยิบระยับตาดี

       ผมในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ริมหน้าต่างกระจกใส ทอดสายตาไปยังแสงสีละลานตาเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลินใจ พวกมันทอแสงแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใครราวกับว่ากำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน …ผมคลี่ยิ้มให้กับความสนุกสนานที่ผมรับรู้ ก่อนจะหันกลับมาในห้องสี่เหลี่ยมสลัวๆอันเงียบเหงาดังเดิม สายตาทอดไปที่ประตูห้อง ก่อนจะพบกับแสงสว่างจากไฟทางเดินที่สอดส่องเข้ามาผ่านกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆ

      “..สวัสดีครับ ..ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยมกัน วันนี้ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว” ผมคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยขอบคุณกับคนที่มาเยี่ยมผม ..ฮ่าๆ ผมซ้อมน่ะครับ จริงๆภาพที่เห็นมีแค่ความว่างเปล่า ประตูห้องวันนี้เงียบสนิทเหมือนอย่างเคย ‘..ดีจังเนอะที่มีคนมาเยี่ยม’ ผมอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นจัง แต่คงจะไม่มีทางเป็นไปได้ ช่วงนี้เมธกับโก้ยุ่งอยู่กับการเรียนจึงทำให้ไม่มีเวลาว่างเหลือพอที่จะมาเยี่ยม พอมองหาคนอื่นๆนอกเหนือจากเพื่อนสองคนนี้ผมก็ไม่เห็นใครเลย สงสัยผมจะลืมไป..

       เทียนไขคนนี้…ไม่เหลือใครแล้วซักหน่อย

 

       พอรู้ตัวแล้วผมก็เลยพาตัวเองกลับมาที่เตียง ค่อยๆใช้แขนยันตัวให้ขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ค่อยๆเอนตัวลงนอน กระชับผ้าห่มสีขาวขึ้นมาห่มในระดับอกสร้างความอบอุ่นขึ้นมาโอบล้อมร่างกาย ก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลง..

       …หลับฝันดีนะเทียนไข







       ‘วันนี้มันมาเรียนว่ะ คิดว่าจะลาออกแล้วซะอีก ทำไมยังกล้ามาอีกวะ’

       ‘คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรวะ ไม่มีจิตสำนึกเลยหรอวะถามจริง หน้าด้านหน้าทนฉิบหายเลยไอ้เหี้ย’




       หลับ.. หลับสิเทียนไข..



       ‘มึงทำให้คนที่เขากำลังจะไปกันได้ดี ต้องมาหยุดชะงักความสัมพันธ์’

       ‘ไม่เข้าใจเลยว่ะ ทำไมเพื่อนกูถึงต้องมาเจอคนแบบมึงด้วยวะ’




       หลับได้แล้วเทียนไข ขอร้อง..



       ‘..คนเขารักกัน’

       ‘…’

       ‘อิจฉาล่ะสิ น่าสมเพชจัง’

       ‘…’

       ‘แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วแหละ คนอย่างมึงไม่น่าจะมีใครรัก!!!’

       ‘…ปล่อยกูไป..เถอะนะ’

       ‘ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!’




       …ทำไมไม่หลับซักที ..ผมจะต้องทนเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำๆไปจนถึงเมื่อไหร่ ..ผมจะต้องทนได้ยินเสียงของพวกเขาไปอีกนานแค่ไหน ..เมื่อไหร่มันจะผ่านไป ..เมื่อไหร่มันจะดีขึ้นจริงๆซักที..

       ..สุดท้ายแล้วหยาดน้ำสีใสๆก็ไหลรินออกจากหางตาข้างนึงของผม ความเจ็บปวดในวันที่ผมถูกกระทำหวนปรากฎขึ้นมาในหัวทำให้สวิตซ์ความรู้สึกถูกกดเปิดอีกครั้ง ..ภายใต้ห้องทรงเหลี่ยมสลัวๆห้องนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมนอนตัวงอเป็นกุ้ง แขนทั้งสองพยายามโอบกอดร่างกายของตัวเองด้วยความสั่นเครือ     

       “ห..หลับ หลับสิเทียนไข..” ผมคลายแขนข้างนึงออกมาก่อนจะใช้กำปั้นทุบศีรษะตัวเองเพื่อเว้าวอนให้จมดิ่งสู้ห้วงนิทราเสียที ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญและกำลังต่อสู้ทั้งๆที่แทบไม่มีแรงเหลือแล้ว ทว่า…เปล่าประโยชน์ ..ท้ายที่สุดผมก็ทำได้แค่ปล่อยให้ภาพเหล่านั้น เสียงก่นด่าเหล่านั้นตามหลอกหลอน ..นอนทรมานอยู่ตรงนั้นทั้งน้ำตาจนผล็อยหลับไป แต่รู้มั้ย..ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ผมต้องเจ็บปวดแบบนี้อยู่เสมอเมื่อหลับตาแต่ผมก็ไม่เคยชินกับมัน ทุกครั้งที่เกิดขึ้นผมจะรู้สึกว่าผมกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆราวกับกำลังจมดิ่งสู้ก้นบึ้งของมหาสมุทรที่ไม่ว่าจะตะเกียกตะกายอย่างไรสุดท้ายแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อมวลน้ำมหาศาล ที่ทรมานมากไปกว่านั้นก็คือ…ผมยังต้องตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพื่อจมดิ่งสู่มหาสมุทรนี้อีกครั้งเมื่อพยายามจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

       ผมจึงภาวนาอยู่ในใจทุกครั้ง..

       ขอร้อง.. อย่าให้ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย



















       แต่โลกใบนี้ก็ยังคงใจร้ายกับผมอยู่เหมือนเดิม ..ทั่วทั้งร่างของผมกระตุกตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกแสงอาทิตย์ยามเช้ารบกวน เหมือนจะดีใช่มั้ยที่ภาพเหล่านั้นจบลงแล้ว..? แต่ไม่เลย ทันทีที่ผมรู้สึกตัวสิ่งที่ผมรับรู้มีอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกก็คือเมื่อคืนผมก็แค่ฝันร้าย อีกสิ่งนึงก็คืออีกไม่นานเดี๋ยวฝันร้ายนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เกิดขึ้นซ้ำๆอยู่ร่ำไป ผมจึงไม่ได้ดีใจ ไม่ได้ตื่นเต้นกับวันใหม่ และไม่มีความหวังใดๆในการใช้ชีวิตหลงเหลืออยู่เลย ก่อนหน้านี้อาจจะเคยวาดฝันลมๆแล้งๆให้ตัวเองว่าถ้ามีโอกาสหายดีผมจะกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง ปีนป่ายไต่เขาไปให้ถึงจุดหมายที่ผมเฝ้าฝัน ..แต่สิ่งที่ผมวาดฝันเอาไว้มันก็เหมือนกับสายลมในห้องปิดตาย เป็นลมที่เกิดขึ้นแค่ตอนที่เปิดประตูเข้ามาเท่านั้น หลังจากประตูถูกปิด ก็ไม่มีสายลมใดพัดผ่านเข้ามาอีกเลย..

       “…” ผมก็เลยเริ่มคิดแล้วว่า…การรักษาของผม มันเสียเวลาเปล่าๆมั้ย.. ยารักษาทุกชนิดที่ผมได้รับมันสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์หรือเปล่า..

       ‘ใช่ แกคิดถูกแล้ว’

       …เสียงๆนึงดังอยู่ข้างๆหู ให้คำตอบแก่คำถามที่ผมตั้งขึ้นมาในหัว ผมรู้..ผมรู้ว่ามันเกิดจากจิตของผมที่ประสาทหลอนไปเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันก็..เป็นความจริง

       ผมกำลังทำให้หมอและพยาบาลหลายๆคนเสียเวลา ฮ่าๆ เห็นแก่ตัวที่สุดเลยใช่มั้ย.. นอกจากเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า ไม่มีใครต้องการแล้วผมยังจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอีก คงไม่แปลกหรอกที่จะมีแต่คนรังเกียจ บางที..คงจะถึงเวลาจริงๆแล้วล่ะมั้งที่ผมควรจากไป จะได้ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องเจ็บปวดและไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก

       ..ตอนเด็กๆหลังจากที่ตะวันลาลับฟ้าขณะที่ผมและแม่กำลังจะเข้านอนเรามักจะคุยกันว่าหลังจากผมเรียนจบได้มีการมีงานดีๆทำอย่างที่ผมฝันเอาไว้เราจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน  แม่อยากจะไปเห็นกำแพงเมืองจีนที่ว่าเป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในโลก ส่วนผมอยากสัมผัสหิมะ ตามหาแสงเหนือที่ว่ากันว่าสวยงามตระการตา และอีกหลายๆอย่าง ..เราต่างวาดภาพเอาไว้ในจินตนาการมากมาย เพราะผมและแม่ต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทรัพย์มากพอที่จะไปทำแบบนั้นได้จริงๆ แต่ถึงแบบนั้นเราทั้งสองก็มีความสุขมากๆที่ได้แบ่งปันจินตนาการด้วยกัน  ทว่า…น่าเสียดายที่ผมและแม่ไม่มีทางได้ไปเที่ยวด้วยการแบ่งปันจินตนาการให้กันได้อีกแล้ว แม่ทิ้งผมด้วยการออกเดินทางไปคนเดียวโดยไม่รอผมเลย แต่คง..ไม่เป็นไรแล้วแหละ ตรงนี้สูงกว่าพื้นดินแปดชั้น ถ้ากระโดดลงไปก็จะดิ่งลงสู่พื้นคอนกรีตข้างล่างทันที แรงกระแทกคงมากพอที่จะทำให้ศีรษะและสมองที่ไม่สมดุลของผมแหลกสลาย ทุกๆอย่างก็คงจะจบลงในทันทีโดยที่ไม่ต้องทรมาน ผมก็จะได้ออกเดินทางไปหาแม่ หลังจากนั้นเราก็จะไปเที่ยวด้วยกันอย่างที่เคยวาดไว้

       คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็เลยกระตุกสายน้ำเกลือออกไปจากมือ ก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วก้าวเดินออกไป ผมจำได้ว่ามีหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ตรงทางเดินบริเวณหน้าลิฟต์ ตรงนั้นผมคงพอจะปีนข้ามและกระโดดลงไปได้

       ผมคลี่ยิ้มให้ภาพตัวเองในกระจกภายในห้องน้ำ

       “ที่ผ่านมานายทำดีที่สุดแล้ว” ก่อนจะเอ่ยออกไปพร้อมกับชูสองนิ้วให้ตัวเอง ..ที่ผ่านมามันอาจจะไม่ได้ทำให้หลายๆอย่างดีขึ้นแต่ผมก็เต็มที่ที่สุดแล้วจริงๆ ..ผมอาจจะไม่ได้สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าตั้งแต่แรกผมสามารถเลือกเส้นทางชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ตัวเองได้ผมก็จะเลือกเส้นทางนั้น..ขอแค่ผมมีโอกาส ถ้าทุกอย่างมันไม่ใช่แบบนี้..ถ้ามันไม่ลงเอยแบบนี้ ..ถ้าให้โอกาสผมซักนิดให้ผมมีชีวิต ผมก็อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน

       แต่ก็อย่างที่รู้กันดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผมไม่ได้รับโอกาสนั้น



       ไม่รู้ว่าทำไมตัวผมในกระจกถึงมีน้ำตาไหลอาบแก้ม ยิ้มสิ.. ยิ้มเข้าไว้ เคยมีคนบอกว่าชอบรอยยิ้มของนายนะ ยิ้มหน่อยได้มั้ย.. อย่าร้องไห้อีกเลย..



       แกร๊ก!

       “..อาหารเช้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานดังอยู่ด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง แม่ครัวเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยที่พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอคนไข้อย่างผมยืนอยู่ข้างหน้าแบบนี้ แต่สุดท้ายเธอก็ควบคุมสติและแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ผมก่อนจะหยิบถาดที่มีชามอาหารวางอยู่เข้าไปจัดแจงไว้บนโต๊ะคร่อมเตียงด้านใน

       “อ..อรุณสวัสดิ์นะครับ” เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเอ่ยทักทายออกไปเพื่อไม่ให้เธอสงสัยอะไร ในใจได้แต่ภาวนาให้เธอไม่เห็นสายน้ำเกลือที่ห้อยต่องแต่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงตรงนั้น

       “..อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ” แต่ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่พยาบาลเสียหน่อยนี่ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไร ผมจะไม่ถูกจับได้แล้วกลับไปอยู่จุดที่ต้องเพิ่มขนาดยาเหมือนครั้งก่อนอีกแน่นอน ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก..

       ทว่าถึงจะพยายามคิดแบบนั้นยังไงผมก็ไม่สามารถข่มอาการหวาดกลัวในใจที่กำลังรู้สึกได้เลย มือผมเริ่มสั่น แววตาล่อกแล่ก สมองประมวลผลให้รับรู้ว่ากำลังจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตัวผมและผมก็ต้องป้องกันตัวเอง ท้ายที่สุด..ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ..แม่ครัววัยกลางคนกำลังจะเดินออกไปจากห้องหลังจากเสร็จสิ้นภาระงาน ทว่าจังหวะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ ในหัวผมก็สั่งการให้พาตัวเองหนีไปให้ไกลจากเธอ แต่ผมไม่ได้วิ่งหนี..

       “ออกไป.. ออกไปเดี๋ยวนี้ ..ออกไป!” ..สองมือของผมกลับเลือกที่จะออกแรงผลักเธอออกไป ผมอยากจะห้ามปรามตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนไม่หลงเหลือความสงสารใดๆอีก..

       “โอ๊ย!” เธอล้มลงไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดัง และเมื่อได้ยินเสียง..วินาทีนั้นผมตกใจอย่างสุดขีด ความหวาดกลัวที่มีเพิ่มมากขึ้น ในหัวรู้แต่ว่าตัวเองกำลังจะถูกทำร้าย ถึงจะพยายามสะบัดความคิดนั้นออกไปยังไงก็ไม่มีทางพ้นไปจากมัน ผมถอยกรูดจนเสียหลักหงายหลังล้มลงไปกับพื้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายที่จะขยับหนีต่อไป ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้ หลับตาปี๋ เท้าทั้งสองขยับถอยจนไปหยุดอยู่ที่มุมห้อง

       “ฮือ..ออกไปนะ อย่าทำเราเลย ช่วยด้วย..” ..ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของมหาสมุทรปกติจะเกิดขึ้นตอนพยายามจะหลับไหล แต่ตอนนี้ ..ตอนนี้มันเกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว เกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังตื่นและรับรู้ทุกอย่างดี ..ภาพเหล่านั้นฉายย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ผสมปนเปกันอย่างยุ่งเหยิงทั้งภาพจำที่แสนงดงามและภาพจำที่ผมไม่เคยอยากจำแต่กลับไม่เคยลืม..

       ..ผมหนีมันไม่พ้น..หนีไม่พ้นอีกต่อไปแล้ว



       ‘ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!!’

       …เสียงของโจ้ โจ้รู้มั้ย..ผมไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย



       ‘กูอยากให้มึงมีชีวิตต่อไป’

       ‘มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่ต่อเถอะนะ…’


        …เสียงของเมธ เมธ..กูเหนื่อยเหลือเกิน กูขอโทษนะที่กูคงทำอย่างที่มึงต้องการไม่ได้



       ‘คุณอยากตายคุณก็ไปตายดิ อยู่ทำไม’

       เสียงของเปลว.. น้ำเสียงอันแข็งกร้าวที่ทำให้ผมชาไปทั้งร่าง ..ผมก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอก ผมพยายามหายไปเพื่อทุกๆคนแล้วแต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย มันทรมานมากเลยนะคุณรู้มั้ย..



       ‘เทียน กูรักมึงนะ รักที่สุดในโลกเลย’

        …เสียงของเปลวอีกแล้ว เสียงนุ่มๆที่ผมชอบฟัง ..เราก็เคยรักคุณที่สุดเหมือนกัน แต่ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้เราขอเลือกที่จะไม่รู้จักคุณเลยจะดีกว่า..



       ‘เก่งนักมึงก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ กลับไปอยู่บ้านโทรมๆของมึงนู่นไป๊!’

        …และเสียงของเปลวอีกครั้ง หากแต่ว่าครั้งนี้ผมเห็นเป็นภาพชัดเจนอยู่ในหัว ..ใบหน้าของเปลวที่โกรธเกรี้ยว ..เสียงก่นด่าเหยียดหยามกันอย่างหยาบคายที่เปลวตะโกนใส่หน้า ชัดเจนเหลือเกินว่าคุณรังเกียจเรามาตลอด เปลวรังเกียจผม.. เปลวไม่เคยรักผมจริงๆเลยซักครั้ง

       ..ทุกคนต่างปรารถนาให้ผมจากไป แต่คงจะมีเปลวนี่แหละที่ไม่เพียงแค่ปรารถนา คำพูดของเขาทุกๆคำคอยฆ่าผมทีละเล็กทีละน้อยให้ตายลงอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะเป็นคำด่าทอที่ทำให้ผมเจ็บปวดทรมานหรือคำบอกรักแสนหวานที่ทำให้หัวใจผมพองโต ..ความปวดหัวเกิดขึ้นเมื่อภาพเหล่านี้ฉายย้อนขึ้นมาไม่หยุด จนท้ายที่สุดร่างกายผมก็..ทนรับไม่ไหวอีกต่อไป ผมร้องไห้อย่างหนักหน่วง กรีดร้องออกไปสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะ…หมดสติลงตรงนั้น










       …ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่  แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งผมก็กลับมานอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมซะแล้ว ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบกับประตูห้องที่ถูกเปิดออกพอดี พี่พยาบาลคนหนึ่งเดินตรงมาที่ผม เธอคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าผมกำลังมองไปที่เธอ พี่พยาบาลเดินเข้ามาจนมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

       “เป็นยังไงบ้างคะคุณเทียนไข”

       “…ปวดหัวนิดหน่อยครับ เหนื่อยๆเพลียๆยังไงก็ไม่รู้” ผมตอบไปตามตรง อาการปวดศีรษะตอนนี้ก็ยังคงรู้สึก คงจะผ่านไปแค่ชั่วโมงหรือไม่ก็สองชั่วโมง ..ผมเลยยังรู้สึกอยู่

       “คงจะเป็นเพราะหลับนานน่ะค่ะ ซักพักก็คงดีขึ้น” ..เดี๋ยวก่อนนะ หลับนาน?

       “…นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ”

       “วันนึงเต็มๆน่าจะได้ ก่อนหน้านี้เทียนรู้สึกตัวมาแล้วรอบนึงแต่อาการของเทียนไม่คงที่ และไม่มีใครควบคุมเทียนได้พี่เลยให้ยานอนหลับเพื่อที่เทียนจะได้พักผ่อน” พี่พยาบาลให้คำตอบ ผมจึงพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ นี่ผม..อาการรุนแรงมากขึ้นอีกแล้วสินะ ผมจำไม่ได้เลยว่ารู้สึกตัวขึ้นมาตอนไหน รู้แค่ว่าผมฝันร้ายมาตลอดตั้งแต่หมดสติไป “เดี๋ยววันนี้เทียนไปพบคุณหมอภวิดาตอนบ่ายสามนะคะ …อีกครึ่งชั่วโมงค่ะ”

       “ครับ” ผมรับคำ เสี้ยวหนึ่งผมสังเกตเห็นแววตาที่ฉายแววความกังวลใจของพี่พยาบาล เธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงแผ่นกระดาษที่หนีบอยู่บนคลิปบอร์ด แต่เมื่อเห็นว่าผมกำลังมองเธออยู่ พี่เขาก็เลยยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูลงอย่างเบามือ







       หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกพามาพบหมอเจ้าของไข้สำหรับโรคประสาทที่ผมเป็น ทันทีที่เข้าไปในห้องตรวจผมก็พบว่าเธอนั่งรอผมอยู่แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามตัวที่หมอนั่ง ยอมรับว่าผมประหม่ามากๆ เพราะตั้งแต่ที่รู้ว่าป่วยเป็นโรคนี้ผมก็รักษากับพี่หมอคนเก่ามาโดยตลอด พอต้องย้ายโรงพยาบาลก็เลยต้องเปลี่ยนคุณหมอด้วย ผมรักษากับหมอคนนี้ได้แค่เดือนเดียว เอาตรงๆผมยังไม่ชินซักเท่าไหร่

       “สวัสดีค่ะคุณเทียนไข” เธอละสายตาจากเอกสารและหนังสือตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรมาให้ผมด้วย

       “...สวัสดีครับ” สายตาของผมกวาดมองไปซ้ายขวาก่อนจะมองพื้นแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน หลบสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้า  นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาอยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ไม่ว่าจะครั้งไหนๆผมก็เป็นเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ..เป็นแบบนี้ ไม่ว่าใครเห็นก็เป็นต้องรำคาญทั้งนั้นแหละ คุณหมอคนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรหรอก..

       “พี่หมอของเทียนบอกหมอว่าเทียนชอบอ่านหนังสือ” ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง น้ำเสียงของเธอดูเป็นมิตร สีหน้าของเธอเจือไปด้วยความห่วงใย “..หมอพึ่งอ่าน The Little Book of Hygge จบ สนใจเอาไปอ่านมั้ยคะ..? เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขเล็กๆของชาวเดนมาร์ก”

       “ความสุข..?” จะแปลกไปมั้ยที่ผมจะจำไม่ได้เลยว่าความสุขจริงๆมันเป็นอย่างไร ..ความสุขในหนังสือที่หมอบอกคืออะไร

       “ใช่แล้ว…ความสุข ..ความสุขที่ซุกซ่อนอยู่รอบตัวเทียนไขมาโดยตลอด”

       “..ยังไงหรอครับ”

       “เทียนไขสังเกตต้นไม้ในสวนข้างหลังนี่ดูสิ ตอนนี้พวกมันอาจจะกำลังผลัดใบจนใบไม้ร่วงหล่นไปจนเหลือแค่กิ่งก้าน ..ดูเหงาๆใช่มั้ยคะ แต่หมอมองว่ามันไม่ได้เหงาเลย หมอมองว่าต้นไม้เหล่านี้มีความสุขดี พวกมันแค่กำลังซึมซับบรรยากาศของฤดูหนาวมากกว่า หลังจากนั้นพอเต็มอิ่มกับลมหนาวพวกมันก็จะผลิดอกออกใบอีกครั้ง”

       “…” สายตาของผมมองมองไปนอกหน้าต่างที่เป็นกระจกใสด้านหลังของคุณหมอภวิดา ภาพที่เห็นถ้ามองอย่างที่เธอว่า ต้นไม้เหล่านั้นก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กิ่งก้านของพวกมันกำลังขยับเขยื้อนเมื่อถูกลมหนาวพัดผ่านราวกับว่ากำลังเต้นระบำ

       “ที่หมอจะบอกก็คือ…ถ้าเรามองทุกๆอย่างรอบๆตัวเราให้เป็นความสุข เราก็จะมีความสุข”

       “…”

       “วันนี้เทียนไขคงจะเบื่อที่จะทานยา เบื่อที่จะเข้ารับการรักษาในแบบต่างๆแล้ว แต่ถ้าเทียนไขมองให้การกินยาเนี่ยเป็นความสุข มองการเข้ารับการรักษาในทุกๆแบบเป็นความสุขเล็กๆ อย่างน้อยๆเลยเทียนไขก็จะไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป ..ส่วนตัวหมอมองทุกๆอย่างรอบๆตัวหมอเป็นแบบนั้น ผลที่ได้ก็คือหมอมีความสุขมากๆ อย่างการที่ได้พูดคุยกับเทียนไขตอนนี้หมอก็มีความสุข และหมอก็อยากให้เทียนไขคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

       “…”

       “..รอยยิ้มเป็นสิ่งที่น่ารักมากๆเลยนะคะบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นอยู่กับหมอเทียนไขไม่ต้องกลั้นรอยยิ้มไว้ก็ได้ค่ะ…ยิ้มออกมาเลย เหมือนหมอ…แบบนี้” เธอฉีกยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ จนผมอดที่จะหัวเราะตามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้น “เอาล่ะ ทีนี้มาเข้าประเด็นกันดีกว่าเนอะ”

       “…” ผมพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ..น่าแปลกที่การมาพบหมอครั้งนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปราวกับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมพบกับคุณหมอภวิดา ..คงจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ผมรู้สึกหวาดกลัวอยู่ทุกครั้งที่ต้องเข้าพบเลยอาจจะทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง แต่ครั้งนี้พอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่าไหร่ ผมก็มีสมาธิในการฟังมากขึ้น สามารถรับรู้ในสิ่งที่หมอต้องการจะสื่อได้ พอจะเรียกว่า…เป็นสัญญาณที่ดีได้มั้ยนะ..?

       “พี่พยาบาลบอกว่าเทียนฝันร้าย ..หมอเองก็เคยฝันร้ายเหมือนกันนะคะ มันค่อนข้างแย่มากๆเลย แต่พอได้เล่าให้ใครซักคนฟังแล้วก็สบายใจมากขึ้นจนไม่มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่อีกต่อไป ตอนนี้หมอมองว่าฝันร้ายพวกนั้นเป็นภาพศิลปะอันทรงคุณค่าภาพนึง ที่พอเรามองย้อนกลับไปเราก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นแค่ภาพที่ผ่านไปแล้ว และที่บอกว่าทรงคุณค่าเนี่ยก็เพราะว่าภาพศิลปะภาพนี้สอนให้เราเป็นเรา ให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง …แล้วเทียนล่ะ? มองภาพของเทียนเป็นอย่างไร” ..นี่คือกระบวนการรักษาในรูปแบบนึงหรือเปล่า.. ทำไมผมรู้สึกอบอุ่นใจมากกว่าที่จะอึดอัดใจอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา ..และดูเหมือนว่าเพราะความอบอุ่นใจเหล่านั้น จึงทำให้ผมกล้าที่จะบอกคุณหมอไปตามตรงอย่างที่ผมรู้สึก

       “เทียน.. เทียนมองว่ามันเป็นเป็นภาพที่โหดร้ายมากเลย” ผมตอบ “..ทุกครั้งที่เทียนถูกบังคับให้มองภาพนั้นเทียนจะรู้สึกเจ็บปวด อยากจะหันไปทางอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่จมอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น..”

       “เจ็บปวด.. หมอเป็นกูรูเรื่องความเจ็บปวดพอดีเลย”

       “ครับ มันเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากคนที่ผมรัก เชื่อใจ แล้วก็ไว้ใจเขามากที่สุด..” …เสี้ยวนึงผมนึกถึงใบหน้าของเปลว เป็นเปลวตั้งแต่วันแรกที่รู้จักซ้อนทับกันมาเรื่อยๆจนมาถึงเปลวคนปัจจุบัน ..จากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงก่นด่า ..จากเสียงก่นด่าก็กลายเป็นเปลวที่ดูเศร้าสร้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นเปลวแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ผมทรมาน “หมอครับ ..ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ผมอยากหายไป ..หายไปจากตรงนี้ ..หายไปจากพวกเขาที่ตามหลอกหลอนผมตลอดเวลา”

       “พวกเขาตามหลอกหลอนเทียนอยู่ตลอดเวลาเลยใช่มั้ยคะ”

       “ใช่ครับ ผม..ทรมานมากๆเลย จะหลับก็หลับไม่ได้ บางครั้ง…อยู่เฉยๆก็ได้ยินเสียงของพวกเขาแล้ว”

       “หมอเข้าใจเทียนนะ ดีใจมากๆเลยค่ะที่เทียนแชร์ความรู้สึกของเทียนให้หมอรับรู้” เธอยิ้มกว้าง

       “…” ส่วนผมเมื่อได้ยินคำว่า ‘เข้าใจ’ ความรู้สึกทรมานในหัวใจก็ทุเลาลง

       “หมอมีวิธีที่จะทำให้พวกเขาเลิกตามหลอกหลอนเทียนนะคะ รวมถึงเสียงพวกนั้นด้วย อาจจะไม่ใช่การหายไปอย่างที่เทียนต้องการ แต่หมอมั่นใจว่าเป็นวิธีที่ดีกว่าการหายไปเป็นร้อยเท่าเลยค่ะ”

       “..วิธีอะไรหรอครับ”

       “วิธีที่เราจะสู้ไปด้วยกัน”

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 23-03-2019 18:10:14
       “เราจะทำ ECT กันสัปดาห์ละสามครั้งต่อจากนี้”

       “..แต่ผมจำได้ว่าครั้งก่อนที่ทำน้าหยวนเสียเงินไปเยอะมากๆเลย ที่ผ่านมาค่ารักษาก็น่าจะเกินกว่าประกันชีวิตนักศึกษาของเทียนแล้ว เทียนไม่มีเงินพอที่จะเข้ารับการรักษาแบบนั้นหรอกครับ” ใช่แล้ว… การช็อตไฟฟ้าช่วยได้มากก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ตัวผมในตอนนี้ไม่มีทางจะรักษาด้วยวิธีการแบบนั้นได้หรอก..

       “เรื่องนั้นเทียนไขไม่ต้องกังวลเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างมีคนรับผิดชอบให้เราแล้ว”

       “…” ผมขมวดคิ้ว ใครรับผิดชอบผม..?

       “ครอบครัวของเทียน”

       “เทียนไม่มีครอบครัวหรอกครับ เทียนอยู่ตัวคนเดียว”

       “ผิดแล้ว มีคนๆนึงอยู่เคียงข้างเทียนมาตลอดเลย หมอไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หรือน้องของเทียน แต่เขาบอกว่าเขาเป็น..คนในครอบครัวของเทียน”

       “ใครกันครับ”

       “เขาชื่อทินกร เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการรักษา”

        ..เปลว..?

        ..ทำแบบนี้ทำไม ไหนจะที่บอกว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขานั่นอีก อ๋อ..รู้แล้ว คงจะสมเพชกันมากๆเลยใช่มั้ยเปลว..

       

        “เทียนขอไม่รับการรักษาครับ”

        ถ้ามันเป็นเงินของคุณ…เราก็ไม่ต้องการ

       

   





       …ไม่นานนักท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มทอแสงสีส้มอีกครั้ง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้าไปในเวลาไม่ช้า …ผมที่พึ่งจะเสร็จจากการพบคุณหมอภวิดากำลังจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพักของตัวเอง การพูดคุยกับคุณหมอตลอดช่วงเย็นนี้ก็เกือบจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วแหละ ผมควรจะดีขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ต้องมารับรู้ว่าเปลวเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ผม และมันก็แย่มากๆเลยที่ผมเลือกอะไรไม่ได้ ผมปฏิเสธการรักษาไม่ได้ คุณหมอไม่อนุญาต เพราะถ้าผมไม่รักษาต่อผมเสี่ยงที่จะเสียชีวิต มากไปกว่านั้นอาการของผมควบคุมไม่ได้และเป็นอันตรายกับผู้อื่น ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์เธอจึงไม่สามารถอนุญาตผมได้จริงๆ

       ตอนนี้เปลวก็คงจะคิดว่าผมน่าสมเพช ใครจะไปรู้…บางทีอาจจะหัวเราะเยาะกันอยู่ก็ได้ เพราะในที่สุดก็ถึงคราวที่เขาได้เอาคืนสำหรับสิ่งที่ผมทำกับเขา

       ฮ่าๆ แต่ก็ถูกแล้วแหละเปลว ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน โคตรสมเพชตัวเองเลย





       ติ๊ง!

       ตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไกลจากตัวลิฟต์เท่าไหร่นัก จึงทำให้เสียงลิฟต์ดังเข้ามาในโสตประสาท เท้าซ้ายและขวายังคงก้าวสลับกันต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะต้องหยุดกึก เมื่อพบว่าคนที่กดลิฟต์ลงมาเมื่อครู่คือคนที่ทำให้วันนี้ของผมแย่กว่าที่ควรจะเป็น

       ผมมองไปที่เขาแบบพร้อมที่จะประจันหน้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเข้ามาทักผมแน่ๆ ระยะห่างเหลือน้อยลงกว่านี้เมื่อไหร่เดี๋ยวก็คงจะยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ..เป็นผู้ชนะที่ได้เหยียบย่ำชีวิตผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       ผมก้าวเดินต่อไป ขณะเดียวกันสายตาก็ยังคงมองไปที่เปลวอยู่ดังเดิม น่าแปลกเหมือนกันที่เปลวไม่แม้แต่จะเหลียวมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาของเขามองไปข้างหน้านิ่งๆไร้จุดโฟกัส นัยน์ตาสีนิลของเขาดูว่างเปล่า …จนในที่สุดระยะห่างของเราก็เหลือแค่เอื้อม ผมกำหมัดในมือทั้งสองข้างแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจเตรียมตัวรับมือกับทุกถ้อยคำที่เปลวจะสาดใส่

       หากแต่…เปลวกลับเดินสวนไปเฉยๆ



       “…” ผมยืนนิ่ง หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเปลวกำลังเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับทั้งๆที่ผมอยู่ในระยะสายตาเขาซะขนาดนั้น แขนเสื้อเราแทบจะชนกันแล้วด้วยซ้ำ



       “เดี๋ยวก่อน..!” ผมเรียกเสียงแข็ง ความหงุดหงิดใจที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อบ่ายทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปประชิดตัวเปลวได้โดยปราศจากความรู้สึกหวาดกลัว

       “…” เปลวหันมาตามเสียงเรียก …ความรู้สึกเย็นวาบเกิดขึ้นทั่วร่างเมื่อเห็นแววตานิ่งเรียบของเปลวที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

       ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรหรอก ใจแข็งเข้าไว้..  ยังไงก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง กับค่ารักษาพยาบาลโง่ๆที่เขาเสนอตัวมารับผิดชอบ อย่ากลัว.. อย่ารู้สึก อย่าคิดถึงมัน..

       “ทำไมมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กู? คิดว่ามันจะลบล้างสิ่งที่มึงทำได้หรอ?” ..จากกำปั้นที่เคยกำไว้แน่นเพราะความฉุนเฉียว ตอนนี้เปลี่ยนมาจิกลงบนชายเสื้อเพราะกลัวว่ามือจะสั่นอีก.. เสียงของผมที่พูดออกไปผมรู้ว่ามันกำลังจะขาดๆหายๆและฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็พยายามคงน้ำเสียงให้ได้ปกติที่สุด

       “..ยอมรับครับว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ ผมหวังว่ามันจะพอลบล้างสิ่งที่ผมเคยทำกับคุณเอาไว้ได้บ้าง” ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงที่ดูเหนื่อยๆกลับมา

       “..มึงเป็นคนบอกกูเองไม่ใช่หรอว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก กูก็ต้องการแบบนั้น แล้วนี่อะไร..มันคืออะไรวะ!”

       “ก็จริงที่ผมพูดไปแบบนั้น แต่คุณรู้มั้ยเทียนไข หลังจากนั้นผมก็สลัดคุณออกไปจากหัวไม่ได้เลย ผมก็ไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้นักหรอก.. ไม่ชอบเลยที่ในหัวมันเอาแต่คิดเรื่องของคุณ”

       “…” โกหก.. นิสัยนี้เมื่อไหร่จะเลิกซักที..

       “น่าสมเพชใช่ไหม? ผมเองก็คิดแบบนั้น ไม่รู้ว่าผมต้องโง่ขนาดไหนถึงไม่โกรธคุณเลย หลังจากที่คุณทำให้ผมต้องอับอายคนทั้งคณะ แต่กลับกันพอผมสงบสติอารมณ์ได้ผมก็เอาแต่กังวลเรื่องคุณ เฝ้าติดตามเรื่องราวของคุณมาตลอด แต่ก็ทำได้แค่อยู่ห่างๆตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้จะถูกคุณเกลียดมากขึ้น…” ..ทำไมไม่เป็นคุณล่ะที่เป็นคนพูดว่าผมน่าสมเพช ทำไมคุณถึงถามกลับว่าตัวเองน่าสมเพชมั้ย ทำไมคุณถึงกลัวถูกผมเกลียด..

       “พอ …มึงต้องการให้มันลบล้างสิ่งที่มึงเคยทำกับกูใช่ไหม?” แต่ผมจะไม่โง่ให้คุณโกหกกันได้อีกต่อไปแล้ว

       “…”

       “งั้นกูจะบอกตรงนี้เลยว่ามันลบล้างกันไม่ได้ กูไม่ใช่ขอทาน!” ผมขึ้นเสียง ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างที่เขาเคยทำกับผมในอดีต ..ผมคิดว่าการที่จะให้เปลวโดนบ้างมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ..แต่พอทำไปแล้วมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเลย หยาดน้ำตากลับรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาจนใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว หัวใจรู้สึกเหมือนกับถูกใครซักคนบีบทำลาย …เพียงเพราะได้เห็นสีหน้าของเปลวกำลังแสดงถึงความเจ็บปวด..

       “ข..ขอโทษครับ”

       “..รู้ตัวแล้วก็ไสหัวไป มาป้วนเปี้ยนทำไมที่นี่ รำคาญลูกตาจริง..” ผมหันหน้าหนี ก่อนจะเดินไปกดลิฟต์โดยไม่สนใจอะไรเขาอีก ไม่สิ.. คงต้องใช้คำว่า ‘พยายาม’ ที่จะไม่สนใจเขามากกว่า



       “..เทียนไข” เสียงทุ้มนุ่มที่ผมคุ้นเคยเรียกให้ผมหันกลับไป แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่เขาต้องการ เพราะถ้าหากหันไปหาเขาตอนนี้..ผมกลัวว่าเขาจะถูกผมทำร้ายอีก..

       “…”

       “ผมขอโทษ..จริงๆนะ”

       “…”

       “ถึงผมจะไม่รู้ว่าผมทำอะไรกับคุณไว้ แต่ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้ผมก็พร้อมจะช่วยเต็มที่”

       “เพราะงั้นก็เลยเสือกมารับผิดชอบค่ายาให้กู?” …ยิ่งฟังเปลวพูดนานเท่าไหร่ความหวาดกลัวในใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผมไม่อยากกลับไปรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่อยากแล้ว.. กลับไปเถอะนะ กลับไป..

       “ครับ ผมคิดแบบนั้น ก็เลยรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่คุณมาโรงพยาบาล…”

       “…”

       “วันนั้นผมแยกกับพวกคุณไปแล้วก็จริง แต่หลังจากนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะตามพวกคุณไป ผมรู้…ผมรู้ว่าคุณไม่ได้อยากเห็นหน้าผม เพราะฉะนั้นผมก็เลยไม่เข้าไปอยู่ให้คุณเห็นแม้แต่หางตา”

       “…”

       “ฮ่าๆ… ไม่ได้หวังจะให้คุณอภัยให้กันหรอกนะครับ แต่แค่อยากให้คุณรับรู้บ้างซักนิด ว่าผมเองก็..”

       “กูไม่ได้อยากรู้ และที่สำคัญกูไม่ใช่คนในครอบครัวของมึง!!” ผมพยายามใช้เสียงขับไล่เขาให้ไปๆซะ น้ำตาเริ่มหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ตัวเริ่มสั่นระรัว ความรู้สึกในหัวเริ่มกลัวเสียงของเปลวราวกับว่าเสียงที่เปลวพูดเป็นมีดแหลมๆที่คอยทิ่มแทง ..พอแล้วเปลว.. กลับไป ออกไปจากตรงนี้ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้..

       “อา..นั่นสินะ ก็จริงของคุณ..”

       “ไปซะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว กูรำคาญ” ..ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออก ไม่รอช้า..ผมรีบเข้าไปข้างในตัวลิฟต์ทันที มือเอื้อมไปกดที่ชั้นแปดก่อนจะกดปิดอย่างเร็วรี่ ทว่าจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังปิด เสียงทุ้มนุ่มของเปลวก็ไม่วายที่จะดังมาให้ได้ยิน และยิ่งไปกว่านั้น..

       “ขอโทษอีกครั้งนะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือ..ผมพยายามแล้ว พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ..” เปลวกำลังร้องไห้





       ..ประตูลิฟต์ปิดลง ดีหน่อยที่ไม่มีใครกดลิฟต์ระหว่างชั้นต่างๆ ทำให้ลิฟต์ที่ผมใช้มุ่งขึ้นไปที่ชั้นแปดอย่างเดียว ผมไม่ได้ยินเสียงใดๆรบกวนอีก ข้างในนี้มีเพียงความเงียบสงัด หากแต่เสียงความรู้สึกของผมนั้นดังสะท้อนไปทั้งใจ ..ผมไม่รู้..ไม่รู้เลยว่าควรจะเชื่อสิ่งที่เปลวบอกมั้ย ..กับใบหน้าแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ผมควรจะเชื่อคนที่เคยโกหกอย่างเขาหรือเปล่า ..และเพราะผมดันโง่ที่ตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าควรเชื่ออะไร ผมจึงทำให้ลิฟต์ตัวนี้เปื้อนหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า

       ตอนนั้นที่ตัดสินใจเรียกเปลวออกไป ในหัวของผมมันไม่มีเหตุผลอะไรมากมายเลย ผมแค่..รู้สึกแปลกๆเมื่อเปลวแค่เดินสวนกันไปเฉยๆ ทั้งๆที่ในอดีต..



       ‘มายืนเอ๋ออะไรอยู่ตรงนี้ อ้าปากอีก แมลงวันบินเข้าปากหมดแล้วมั้ง เอานี่ไปอุดปากหน่อยไป ซื้อมาฝาก เห็นบ่นว่าอยากกิน’



       ตอนนั้น…



       ‘ทายซิใครเอ่ย ใบ้ให้หน่อยๆว่าเป็นคนที่ถูกมึงทิ้งให้นอนตื่นสายแล้วมาโรงเรียนคนเดียว ทั้งๆที่ไอ้เราอุตส่าห์บอกว่าเดี๋ยวจะใจดีให้ซ้อนมอ’ไซค์ไปพร้อมกัน’



       และไม่ว่าตอนไหน..



       ‘ตื่นแล้วหรอ ลงมาช้าจังวะ ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง มาให้กูกอดเลย’

       ‘หาความเชื่อมโยงให้หน่อย’

       ‘จะมาดีๆปะหรือชอบแบบฉุดกระชากลากถู’

       ‘โทษทีครับ แต่เราต้องไปหาน้าหยวนขายผักที่ตลาด สายแล้วด้วย’

       ‘โห่ อุตส่าห์ทำแกงเขียวหวาน นี่ฝีมือเชฟระดับ Michelin Three Stars เลยนะ ..แต่มึงจะไปเดี๋ยวนี้เลยใช่ปะ งั้นรอเดี๋ยว กูไปเอากล่องมาใส่ให้ก่อน เผื่อมึงหิว’

       ‘โอเคเลยครับ’

       ‘มาแล้ว อ่ะข้าวกล่อง กินให้หมดด้วย’

       ‘ต้องกินกล่องด้วยแล้วมั้ง ..ไปก่อนนะครับ’

       ‘ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับมึงนะ’




       เปลวก็จะ..เข้ามาทักผมเสมอ



       ผมแค่..คิดถึงเปลวคนนั้น พอเห็นเขาแตกต่างไปจากเดิมก็เลยรู้สึกไม่ดีซักเท่าไหร่ ผมรู้ว่าผมควรจะควบคุมสติตัวเองให้ดีมากกว่านี้ ถ้าผมไม่หันไปเรียกเปลว ผมและเขาก็คงจะเดินจากกันไปแล้ว ต่างคนต่างไปในเส้นทางของตัวเอง ไม่มีใครต้องร้องไห้ แต่ผมกลับเลือกที่จะทำ.. เลือกที่จะทำให้ตัวเองเจ็บ

       เลือกที่จะทำให้เปลวร้องไห้











       สองวันผ่านไปนับจากวันนั้น ผมรู้สึกตัวขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วยเงียบๆห้องเดิม ด้วยความที่หน้าต่างอยู่ทางทิศตะวันออกแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นนาฬิกาปลุกที่ทำงานได้ดีมาก

       วันนี้เป็นวันแรกของการทำ ECT จำได้ว่าคุณหมอนัดไว้ตอนประมาณบ่ายโมง ช่วงเช้าหลังจากที่พี่พยาบาลมาดูแลเรื่องไตพร้อมกับจ่ายยาสำหรับตอนเช้าให้เสร็จแล้วผมก็ว่างยาวเลย

       …อาการป่วยตอนนี้ผมไม่รู้ว่าอยู่ในระดับไหน มันอาจจะแย่จริงๆนั่นแหละ แต่พอผมลองเปลี่ยนมุมมองแล้วลองมองโลกใบนี้ในอีกมุมดูผมก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้ ..ตอนนี้ผมชอบที่จะใส่ชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล ..ชอบเตียงที่ไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไปที่กำลังนอนอยู่ ..อาหารรสจืดที่เคยเกลียดก็เริ่มชอบขึ้นมาเมื่อมองว่ามันคืออาหารเพื่อสุขภาพ

       และดูเหมือนว่าการที่มองโลกในแง่นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าฝันร้ายที่ผ่านมาเมื่อคืนก็ทำอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว ฝันร้ายเหล่านั้นเป็นแค่ภาพศิลปะอันทรงคุณค่าอย่างที่คุณหมอบอกจริงๆ



       …นั่งคิดนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ซักพักนาฬิกาบนฝาหนังก็บอกเวลาให้ผมรู้ว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว ผมจึงลงมาเพื่อเตรียมตัวจะไปทำ ECT ทว่าพอถึงชั้นล่างเดินออกมาจากลิฟต์ได้ไม่กี่ก้าวผมก็เจอเปลวอีกครั้ง เขาอยู่ในชุดนักศึกษา พร้อมกับหมวกไหมพรมที่พละพลซื้อให้ใบเดิม และเหมือนผมจะมองเขานานเกินไป เขาจึงรู้สึกตัวแล้วหันมาที่ผมเช่นเดียวกัน ..จู่ๆผมก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว สีหน้าของเปลวไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานก่อนเลย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่พอได้สบตาแล้วทำให้ผมรู้สึกจุกอยู่ที่อก หากแต่พออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นผม สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไป..

       “เป็นยังไงบ้างครับวันนี้?” เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆ เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขา ..ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสัย ลึกๆในใจก็รู้สึกผิด แต่คนๆนี้ยังไงผมก็เชื่ออะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป และด้วยความที่ไม่อยากตั้งคำถามอะไรให้ไม่สบายใจไปมากกว่านี้แล้ว ความเกลียดชังในใจจึงชนะไป

       “โผล่มาทำไมอีก รำคาญ หลบไป เดี๋ยวไอ้พลก็เข้าใจผิดอีก” ผมหันไปด่าเพื่อตัดรำคาญ ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนว่าเปลวจะพูดอะไรให้ผมได้แสลงหูอีก ทว่าก็ไม่วายที่จะได้แสลงหูอย่างที่คิดจริงๆ..

       “ขอโทษครับ งั้น…ผมกลับก่อนนะ”..น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เคยน่าฟังกลับเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย..

       “…” ผมหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปหาเปลว แล้วก็พบว่าเขากำลังหันกลับไปทางที่เขาควรจะเดินแล้วเช่นกัน แต่จู่ๆ…เปลวก็หยุดกึกแล้วหันกลับมาหาผมพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างออกมา ..เป็นคำพูดที่คนที่จำได้ทุกอย่างอย่างผม..เจ็บปวด..

       “ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณนะเทียนไข”





       …การรักษาโดยใช้ ECT ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการผมก็ถูกส่งกลับมาพักฟื้นบนห้องพักผู้ป่วยเช่นเดิม ชั่วโมงแรกหลังจากการทำ ECT ผมรู้สึกปวดหัวมากๆ ซึ่งผมก็คุ้นเคยกับมันดีเพราะมันคือผลข้างเคียงจากการรักษาของวิธีนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ค่อยๆดีขึ้น และที่ดีสุดๆเลยก็คือ…ชั่วขณะนึงผมรู้สึกว่าผมกลับไปอยู่ในระดับคนปกติอีกครั้ง

       หมอบอกให้ผมนอนพักผ่อนให้มากๆ หลังจากถูกส่งขึ้นมาบนห้องผมจึงเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที

       การหลับครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆตรงที่ครั้งนี้ผมไม่ฝันร้ายแล้ว เป็นการหลับที่ลึกและทำให้ผมสบายใจมากๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมด เพราะถึงแม้จะไม่มีฝันร้าย ไม่มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ให้ผมดำดิ่ง แต่ก็มีเสียงนุ่มๆของใครคนนึงที่ผมได้ยินเมื่อตอนเที่ยง มันยังดังขึ้นซ้ำๆอยู่ในความรู้สึก

       ‘ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณนะ’ สีหน้าของเขาตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา …ไม่ได้ต่างอะไรกับเปลวที่ไร้เดียงสาคนนั้นเลย





       …ไม่นานแสงตะวันก็สาดส่องเข้ามาในห้องที่ผมนอนอยู่อีกครั้ง เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น วันนี้ผมมีนัดตรวจไตอีกแล้ว คุณหมอบอกว่าผมตัวซีดๆ เริ่มมีอาการเหนื่อยเพลียอย่างไม่มีสาเหตุแล้ว ปัสสาวะเริ่มบ่อยครั้งมากขึ้น ..เรื่องนี้ผมพยายามมองให้มันเป็นความสุข แต่ไม่ว่ายังไง..ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้เลย ผมกลัว.. กลัวไปหมดเลย ..ไม่อยากให้ความหวังที่คุณหมอภวิดาจุดประกายให้ผมมันสูญเปล่า

      ไม่อยากเสียใจแล้ว..



       ผมพาตัวเองลงมาข้างล่างตั้งแต่เช้าก่อนเวลานัดประมาณสามชั่วโมง สองเท้าของผมพามาหยุดอยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ต้นไม้สองต้นนี้ไม่ได้ผลัดใบเหมือนต้นอื่นๆที่โรงพยาบาลปลูก เดาว่าคงตั้งใจจะจัดไว้ให้มันเป็นโซนผ่อนคลายสำหรับบุคลากรในที่แห่งนี้ล่ะมั้ง ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่าที่ตรงนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากจริงๆ ..มีสายลมเอื่อยๆคอยพัดอยู่เรื่อยๆ มีนกพิราบมาจิกหาอาหารอยู่ตามพื้นดิน มีกระรอกตัวน้อยๆ ไต่ไปตามกิ่งก้านสาขาเพื่อหาอาหาร ..ผมมองภาพที่เห็นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ใบหน้าสร้างขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว ผมปิดเปลือกตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ ..ทว่าทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังเข้ามาให้ได้ยิน มันค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนทำให้ผมต้องลืมตาแล้วหันไปมองตามเสียง

       สิ่งที่เห็นก็คือ..ใบหน้าของคนๆเดิม



       “เจอคุณอีกแล้ว สวนข้างหลังอาคารเฉลิมพระเกียรตินี่ร่มรื่นดีนะครับเทียนไข” เปลวเดินเข้ามาจากข้างหลัง เขาเท้ามือไว้กับพนักพิงม้านั่งตรงที่ว่างข้างๆผม

       “…” ส่วนผม.. ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มีหันไปมองเขาอยู่ครู่นึง แต่ก็หันกลับมามองไปข้างหน้าเหมือนเดิม สีหน้าของเปลววันนี้ดูต่างไปจากสองวันที่ผ่านมา ..เขากลับมาเป็นเปลวคนเดิมแล้ว และเราก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะมาคุยกันแบบนี้ได้

       “ร่มรื่นดีเนอะ ถ้าได้มานั่งอ่านหนังสือตรงนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเลย”

       “มาทำไมอีก ไม่ได้อยากเจอ ไปไหนก็ไป” ผมเอ่ยไล่เสียงเนือยๆ เขาน่ารำคาญมากๆเลยนะตอนนี้ ถ้าถามว่าอุปสรรคในการรักษาตัวของผมตอนนี้คืออะไร

       คำตอบก็คือ..เปลว



       “..ขอโทษครับ งั้น..ขอตัวก่อน ขอโทษจริงๆที่เข้ามารบกวน จริงสิ…ลืมบอกไป”

       “…”

       “วันนี้วันแรกของเดือนธันวาคม December wish ของผมเดือนนี้ผมขอให้คุณหายไวๆนะครับ ขอให้เป็นเดือนที่ดีสำหรับคุณเลย”

       “ไร้สาระ” ผมพูดก่อนจะหมดความอดทนแล้วลุกออกจากตรงนั้น “จะขอก็ขอเรื่องตัวเองสิ อย่ามายุ่งเถอะ ไป๊!”

       “ผมอยากขอให้คุณมากกว่า อย่างที่บอกไป…ขอให้คุณมีความสุขกับเดือนส่งท้ายปีนะเทียนไข” ..ผมไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นโรคประสาท ดูท่าเหมือนจะเป็นเปลว อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงหยิบยกคำพูดสวยหรูมาพูดให้ผมแสลงหู ทั้งๆที่ถ้าอยากจะให้ผมมีความสุขมันก็ง่ายๆ…

       “กูมีความสุขแน่ๆถ้าไม่มีมึง”





       ..เวลาผันผ่านไปหลายวันจนเกือบจะครบสัปดาห์ การรักษาทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทางฝั่งของโรคประสาทผมรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากจริงๆ เพียงแต่ผลข้างเคียงก็ทำให้ผมเริ่มแย่ในด้านอื่นๆ แต่ก็จะดีขึ้นตามกาลเวลา ส่วนทางฝั่งของโรคไต หลังจากวันนั้นที่หมอนัดไปตรวจดูไตผลที่ออกมา…ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ผมไม่อยากนึกถึงมันนักเพราะกลัวว่าจะเกิดอาการหวาดกลัวพวกนั้นขึ้นมาอีก พยายามใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขและไม่เครียดให้มากที่สุด บางวันจมอยู่กับหนังสือดีๆที่คุณหมอภวิดาให้มาอ่าน บางวันก็ไปนั่งฟังเพลงสากลเพราะๆที่ม้านั่งตัวนั้น แต่ไม่ว่าจะวันไหนทุกกิจกรรมที่ผมลงมาข้างล่างก็จะถูกขัดเพราะคนๆนึงที่เสนอหน้ามาทุกวันไปเสียหมด และก็..ไม่ต่างอะไรกับวันนี้ที่ผมกำลังจะไปที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับนวนิยายไซไฟในมือ แต่กลับต้องหยุดกึกระหว่างโถงทางเดินชั้นหนึ่งเพราะเปลวเข้ามาทักอีกแล้ว

       “สวัสดียามเช้าครับคุณเทียนไข เจอกันแต่เช้าเลยนะครับ”

       “…” ผมไม่ตอบ พยายามเดินหนี แต่เขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม เปลวเร่งฝีเท้าเดินตามผมมาติดๆจนขึ้นมาเดินข้างๆพร้อมกับเสนอใบหน้าที่ผมไม่อยากเห็นมาใกล้

       “เวลานี้เวลาทานข้าวเช้าของผู้ป่วยใช่ไหม? คุณทานหมดหรือเปล่า รสชาติอาจจะจืดไปหน่อยแต่คุณต้องทานให้หมดนะ…” …ไม่รู้แล้วว่าเปลวต้องการอะไรกันแน่ อาจจะเป็นการให้อภัยจากผม เขาเลยเลือกที่จะตามรังควานผมไม่หยุด ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป แต่มันไม่ได้น่าให้อภัยเลยนะเอาจริงๆ น่ารำคาญที่สุด

       “รำคาญ ไปไกลๆแล้วเลิกยุ่งกับกูซักที เป็นบ้าอะไรของมึงอีกวะ!!!” ผมตวาดใส่เสียงดัง จนคนอื่นๆหันมามอง แต่วินาทีนี้ผมไม่สนแล้วถ้ามันสามารถทำให้เปลวไปจากผมได้

       “ข..ขอโทษอีกครั้งครับ” คนถูกด่าอย่างเขาพอได้ยินแบบนั้นก็ใช้ลูกไม้เดิมๆ นั่นก็คือตีหน้าเศร้า …เผื่อจะยังไม่รู้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วนะว่าสีหน้าเศร้าๆรวมถึงหยดน้ำตาของคุณมันเกิดขึ้นเพราะอะไร

       คุณโกหก… โกหกทั้งหมดนั่นแหละ

       …ไม่อยากคิดเป็นอย่างอื่นให้ทรมานใจแล้ว



       “ไม่ต้องขอโทษก็ได้มั้งถ้ามึงคิดจะทำอยู่เรื่อยๆ กูได้ยินจนโคตรเบื่อแล้วแต่มึงก็ไม่เคยหายไปจริงๆซักที”

       “ฮ่าๆ..” เปลวหัวเราะก่อนจะตีหน้าเศร้าอีกครั้ง “อีกหน่อย..เดี๋ยวผมก็จะหายไปแล้วล่ะ”

       “…” เก่งมากๆ ผมเกือบเชื่อแล้ว

       “ตามที่คุณต้องการเลย ..อย่างที่คุณต้องการมาตลอด”

       “ดี ไปซักที กูจะได้มีความสุขอย่างที่มึงต้องการเหมือนกัน” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจของผมกลับตรงกันข้าม ก้อนเนื้อในอกเริ่มสูบฉีดเลือดถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ใจสั่นไปหมด เป็นปฏิกิริยาที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมผมต้องกลัว..

       “ครับ ผมจะหายไป..ตลอดกาล” กลัวว่าครั้งนี้คุณจะพูดจริงๆ



หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’” updated 28/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 23-03-2019 18:18:54
       ผมเดินแยกมาจากเปลว ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้อย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก มีบ้างที่หันกลับไปมองว่าเปลวจะเป็นยังไง ..ครั้งแรกที่หันกลับไปเขายืนอยู่ที่เดิม ก้มหน้า มือข้างหนึ่งถูกใช้ปิดใบหน้าเอาไว้ ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนนัก แต่พอเห็นว่าไหล่กว้างของเขาสั่นระริก ใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกเลย ..เดินมาไกลกว่าห้าสิบเมตร ผมหันไปมองเขาอีกเป็นครั้งที่สอง สิ่งที่เห็นก็คือแผ่นหลังที่ผมคุ้นเคยกำลังเดินจากไป ระยะห่างระหว่างเรามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามสะบัดความคิดประหลาดๆในหัวออกแล้วเดินต่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองที่ที่เปลวยืนอยู่อีกครั้ง และเป็น..ครั้งสุดท้าย ที่ตรงนั้นไม่มีเปลวอีกแล้ว



       ..ไม่หรอก ก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมานั่นแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็กลับมาใหม่ให้ผมรำคาญใจอีกเหมือนเคย เขาไม่เคยพูดความจริงออกมาหรอก..จริงมั้ย เขาหลอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โกหกผมจนทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย อย่าคิดมากเลยนะเทียนไข.. อย่าคิด …อย่าร้องไห้…

       สุดท้ายแล้วนวนิยายที่ผมว่าจะเอามาอ่านเพื่อให้เป็นสีสันให้แก่วันนี้ทั้งวันของผมก็ต้องถูกปิดลง เพราะถ้าหากเปิดเอาไว้..กระดาษทุกหน้าก็จะเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา

       ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย.. ตลอดสัปดาห์นี้ผมด่าเขาสาดเสียเทเสีย ไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา บางวันที่รำคาญใจมากๆผมหลุดปากแช่งเขาด้วยซ้ำ แล้วดูตอนนี้สิ…ผมกลับเอาแต่ร้องไห้เพียงเพราะคำพูดของเขาและสีหน้าที่ดูเจ็บปวดรวดร้าวของเขา… ที่ผ่านมาแต่ละวันเปลวก็ตีหน้าเศร้าแบบนี้มาตลอดทำไมผมถึงไม่ชิน.. ไม่ชินเลย..

       ผมต้องเป็นคนโง่เชื่อคำโกหกไปอีกนานแค่ไหน…







       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงเย็นของวัน เมื่อตั้งสติได้ผมจึงลุกออกมาจากตรงนั้นหลังจากจมกับกองน้ำตามาครึ่งค่อนวัน สองเท้าก้าวเดิน มุ่งกลับไปที่ห้องพักของตัวเองดังเดิม…ซึ่งเป็นที่ที่ผมควรจะอยู่

       ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องผมก็ต้องตกใจว่าทำไมไฟห้องถูกเปิดอยู่ แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นเมธนอนแผ่หร่าอยู่บนโซฟาพร้อมกับเล่นเกมในมือถือไปด้วยอย่างเมามันส์ ..ผมเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างทันทีเมื่อเมธหันมาหา

       คิดถึงมึงจังเลยว่ะเพื่อน…

       “เป็นไงบ้างมึง ขอโทษที่หายไปนาน กูไม่ค่อยว่างเลยว่ะ นี่ก็พึ่งสอบเสร็จไปเมื่อวานพึ่งได้มีโอกาสมาเยี่ยมมึงนี่แหละ ส่วนไอ้โก้เดี๋ยวมันมาเยี่ยมนะช่วงนี้คณะมันมีงาน สอบย่อยเสร็จก็มีงานต่อกูล่ะวงวาร” มันวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวทันทีทั้งๆที่หน้าจอยังเป็นเกมที่มันกำลังเล่นอยู่ มันทักทายผมด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความห่วงใยกึ่งๆความกวนตีนของมัน พอผมได้ยินเสียงมันใจผมที่บอบช้ำเมื่อเช้าก็ค่อยๆดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

       “555555กูสบายดี …ดีขึ้นเยอะ ฝากบอกไอ้โก้ด้วยกูคิดถึง” ผมตอบ อา…แต่ว่าคงต้องโกหกมึงอีกแล้ว ขอโทษนะ..แต่เรื่องไตมันเลวร้ายเกินไปสำหรับมึงจริงๆ

       “ได้เลยเพื่อน มึงเวรี่กู๊ดมากที่ดีขึ้นเยอะ กินอะไรอร่อยๆหน่อยดีกว่า..อะซื้อมาฝาก” มันยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะหยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อมาให้ผม ผมจึงรับแล้วนำไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ข้างเตียง

       “แล้วเป็นไงบ้างมึง” ผมถามกลับ

       “อย่างที่บอกแหละ กูพึ่งผ่าน one night miracle มา”

       “55555กูก็เตือนมึงตลอดว่าอย่าเล่นมาก”

       “โห่ใครจะไปเก่งเหมือนมึงล่ะวะ” มันแซวผม ..โถ่ไอ้ฟาย ชวนมึงมาช่วยกันสรุปหลายรอบแล้วมึงก็บอกนัดแฟนไว้ สุดยอดไปเลยเพื่อน

       “ไอ้พลเก่งกว่ากูเยอะ” ผมขำก่อนจะปัดไปให้ไอ้พล ..เป็นบทสนทนาเรียบๆอย่างที่เราสามคนเคยคุยเล่นกัน พอคนนึงโบ้ยให้คนนี้ คนนั้นก็จะโบ้ยให้อีกคนนึง

       …คิดถึงจังเลย



       “..เออแล้วไอ้พลล่ะเป็นไงบ้าง”

       “…มันหรอ ก็ดีแหละ ปกติเหมือนที่ผ่านมา” จริงสินะ พลก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ทุกข์ร้อนได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมทำให้เขาต้องเจ็บปวด หรือเรื่องที่เขาทำให้ผมต้องทรมาน

       “พลคง..จะเกลียดกูอยู่ใช่ไหม?” ..ผ่านมานานเดือนกว่าแล้ว พอจะหวังได้ไหมให้เวลาช่วยลบเลือนความรู้สึกของพละพล.. เป็นไปได้ไหมที่อย่างน้อยๆเพื่อนที่ผมเคยสนิทจะเลิกมองผมแบบนั้น

       “…” เมธได้ยินสิ่งที่ผมถามเขาจึงอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้จะตอบอะไรกลับมา แต่แค่นี้ผมก็เข้าใจแล้วล่ะ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางเป็นแบบที่ผมหวัง พละพลเกลียดผม เป็นคนที่ทำให้คนอื่นๆในคณะและนอกคณะบางคณะพลอยเกลียดผมไปด้วยทั้งหมด.. พอผมหายไปจากพวกเขาแบบนี้คงจะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นหรือเปล่า..

       “พอที่ตรงนั้นไม่มีกูอยู่ ทุกคนมีความสุขมากขึ้นบ้างไหมเมธ..” อย่างน้อยๆ…ก็ไม่มีไอ้ตัวเชื้อโรคอย่างผมมาให้เกะกะลูกตาแล้ว

       “เทียน…”

       “กูอยากให้เป็นแบบนั้นจัง อยากให้ทุกคนมีความสุข..” แต่ผมไม่โกรธหรอกนะที่ทุกคนจะคิดแบบนั้น มันสิทธิ์ของพวกเขาอยู่แล้ว ผมก็แค่…ต้องผ่านมันไปให้ได้

       “..ทุกคนรอมึงอยู่นะ” เมธตอบ

       “ฮ่าๆจะดีมากเลยถ้ามันเป็นเรื่องจริง.. เมธมึงไม่จำเป็นต้องโกหกเพื่อให้กูสบายใจหรอก กูไม่เป็นไรแล้ว เทียนไขคนนี้เข้มแข็งขึ้นเยอะ”

       “..ดีแล้วเทียน มึงเก่งมากที่ผ่านเรื่องเหล่านั้นมาได้ อย่าไปนึกถึงอะไรพวกนั้นเลย” …พยายามแล้วล่ะเมธ และตอนนี้ก็จะพยายามต่อไป แต่ยังไงก็อดนึกถึงไอ้พลไม่ได้จริงๆว่ะ..



       “เมธ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

       “ว่ามาเลย”

       “พลมีความสุขหรือเปล่า..?”

       “…”

       “อยากรู้ ตอบตามตรงนะ” ..ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่เพื่อนที่ดีบกพร่องไปมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ไดแล้วด้วย สิ่งที่ทำได้ก็คงมีแค่นี้ ..เป็นกำลังใจให้ห่างๆตรงนี้ ขอให้เพื่อนรักของผมมีความสุขและมีชีวิตที่ดี เป็นหมอที่ดีอย่างที่มันวาดฝัน

       “ไอ้พลมันก็ไปตามทางที่มันเลือกน่ะแหละ กูไม่ยุ่งกับมันแล้ว” ผมคลี่ยิ้ม รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ทว่าผมไม่รู้เลยว่าภูเขาที่ถูกยกออกไป แท้จริงแล้วมันแค่ก้อนกรวดเล็กๆเท่านั้น ยังมีภูเขาอีกลูกที่ใหญ่โตกว่ามาก และกำลังจะทับตัวผมในอีกไม่กี่วินาที…

       “…”

       “…แต่เห็นว่าเดี๋ยวนี้มันมีแฟนเป็นเด็กทันตะต่างมอ…ดูสดใสขึ้นเยอะ”

        “…เดี๋ยว”

        “…”

        “พลไม่ได้คบกับเปลวอยู่หรอ?”

        “อ้าว มันคบกันหรอ ไม่เคยมีใครบอกกูเลยนะ”

        “…” ..ภูเขาลูกใหม่นี้ จะเรียกมันว่าเป็นความรู้สึกผิดก็คงจะได้ …ผมทำร้ายเปลวด้วยคำพูดมากมายมากว่าสัปดาห์ ทำร้ายเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขากำลังเผชิญอะไรอยู่













       …ผมจมอยู่กับความรู้สึกนั้นมาจนตะวันของเช้าวันใหม่ฉายขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว ถึงแม้เครื่องปรับอากาศจะไม่ได้ถูกใช้งานในวันที่อากาศแบบนี้ แต่มวลความกดอากาศจากภายนอกก็ทำให้ภายในห้องทรงเหลี่ยมเล็กๆห้องนี้หนาวเหน็บได้สุดขั้วหัวใจ

       เมื่อวานผมกับเมธอยู่คุยกันจนดึกดื่น ถามไถ่ถึงกันได้ซักพักก็ออกทะเลไปไกลจนเกินกว่าจะว่ายกลับ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็บอกว่าง่วงแล้วก็วาร์ปหลับไปเลย พอผมตื่นมาเขาก็ไม่อยู่ซะแล้ว ดีหน่อยที่มันยังทิ้ง message เอาไว้ให้ดูต่างหน้าว่า ‘ไปละ’ ถามว่าทำให้กูเข้าใจโลกมากขึ้นมั้ย คำตอบคือไม่

       แต่พอในห้องหนาวๆแบบนี้เหลือแค่ผมความเงียบเหงาก็ทำให้ความรู้สึกในใจของผมชัดเจนมากขึ้น..


       ‘ผมจะหายไป…ตลอดกาล’


       เสียงของเปลวดังขึ้นในความรู้สึก ผมจึงหันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนังเพื่อดูเวลา ก่อนจะตัดสินใจลงไปข้างล่าง



       10.12
       ผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมงแล้วที่ผมลงมาอยู่ข้างล่างตรงนี้ แต่ก็ไม่มีวี่แววของเปลวเลยแม้แต่เงา



       11.34
       วันนี้วันเสาร์.. เปลวจะตื่นสายหน่อยมันก็ไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง อีกซักหน่อยเดี๋ยวเขาก็คงจะมาก่อกวนผมเหมือนอย่างทุกวัน



       13.20
       บ่ายโมงแล้ว.. ไม่หรอก.. เปลวคงกำลังเดินทางมาซะมากกว่า อีกไม่นานเขาก็คงจะมาถึง โผล่หน้ามาให้ผมด่าเหมือนทุกวันก่อนจะกลับไปเพราะโดนไล่



       14.50
       …บางทีเปลวอาจจะคิดว่าผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งที่เดิมตรงนั้นก็ได้ ใช่..ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ



       14.55
       คุณ.. คุณอยู่ที่ไหน

       เราขอโทษ..ขอโทษที่ว่าคุณแบบนั้น



       15.47
       ปวดท้องมากๆเลย อยากไปหาอะไรกินแต่ก็กลัวว่าคุณจะมาในอีกไม่กี่นาทีนี้ รออีกซักหน่อยแล้วกัน



       16.27
       ขอโทษ..

       ขอโทษจริงๆ



       …หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ผมจึงได้รู้แล้วว่าตัวเองทำเกินไปจริงๆ บางที..สิ่งที่ผมคิดมันอาจจะผิดหมดเลยก็ได้ เพราะแต่ละอย่างที่ผมคิด..ผมไม่เคยมองในมุมของเปลวเลย ไม่เคยเห็นความจริงใจของเขาที่พยายามสื่อออกมาเลย

       และผลสุดท้าย…ผมก็ทำร้ายคนๆนึงไปแล้ว

       

       เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของเปลว ผมจึงลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้นแล้วเดินกลับไปที่ห้องพักเหมือนเดิม

       ..ยอมรับว่าลึกๆในใจยังอยากจะรอเขาอยู่ตรงนี้อีกซักนิด ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน แต่ก็พอจะทำให้ฝีเท้าของผมช้าลง เท้าซ้ายและขวาก้าวสลับกันไปอย่างช้าๆ สายตากวาดมองไปรอบๆอยู่ตลอดเวลา

       แต่ก็..ว่างเปล่า

       ผมคงไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขาแล้วจริงๆ..



       “เทียน” ทว่าขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นชานบันไดตรงหน้าตึกเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูก็ดังมาจากข้างหลัง สองเท้าชะงักหยุด หันไปตามต้นตอของเสียงนั้นด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว

       “เปลว…” เขา..เป็นเขาจริงๆ

       “ค่ำแล้วนะครับ เดี๋ยวยุงก็กัดหรอก” ขอบคุณ… ขอบคุณจริงๆที่ครั้งนี้คุณโกหก… “อ้อ.. สวัสดียามเย็นนะครับ วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับคุณหรือเปล่า”

       “…” เขาเป็นห่วงผม.. เป็นห่วงผมมาตลอดจริงๆ และผมก็ทำร้ายเขามาตลอดเช่นกัน

       “อา..ผมกวนใจคุณใช่ไหม? ขอโทษที่ยังมาให้คุณเห็นหน้าอีกนะ จะไม่มีอีกแล้วสบายใจได้” เปลวปั้นรอยยิ้มขึ้นมาประดับหน้า ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วทำท่าจะหันกลับไปอีกทาง เขายิ้มอยู่ก็จริง.. แต่ก็ดูเจ็บปวดไม่ต่างอะไรกับสีหน้าตอนที่เขาร้องไห้เลย

       “เดี๋ยวก่อน” ไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงถึงจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลได้ ..ภาพเวลาที่เห็นเปลวกำลังจะเดินจากกันไปมันทำให้ผมเจ็บ ..เจ็บยิ่งกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยเจอ.. ผมไม่อยากให้เปลวไปจากกันอีกแล้ว…

       “…”

       “เราอาจจะพูดกับเปลวแรงไป ขอโทษด้วยเหมือนกัน” ผมพยายามคงน้ำเสียงให้คงที่ถึงแม้จะสะอึกสะอื้นไปบ้าง แต่ก็หวังว่าเปลวจะเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ทุกคำของผม..ผมพูดมันจากใจจริงๆ..

       “…”

       “เรามีอะไรจะถามหน่อย..” อะไรบางอย่างที่ในใจลึกๆอยากจะถามคุณมาตลอดตั้งแต่กลับมาเจอกันครั้งแรก..

       “…”

       “เปลวเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?” วันนั้นคุณเปลี่ยนไปมากจริงๆนะ.. เราอยากรู้มากเลยว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง ชีวิตคุณเป็นอย่างไร ทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง ..แต่เพราะความโกรธ ความเกลียดและความแค้นที่มีมากกว่าเราเลยไม่ได้ถามคุณออกไป จนมาถึงวันนี้.. วันที่เราเข้าใจแล้วว่าคุณก็เจ็บปวดมาไม่แพ้กันเลย เราจึงอยากถามคุณดูซักครั้ง..

       “…” ..พอเปลวได้ยินดังนั้น ใบหน้าหล่อของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มที่ผม..โคตรคิดถึง เปลวก้าวเดินขึ้นมาทีละขั้นๆเพื่อที่จะมาหาผม ..หากแต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาไหล่กว้างของเปลวก็สั่นระริก เม็ดน้ำตาร่วงหล่นจากนัยน์ตาสีนิลไม่หยุด.. “สบายดีครับ ..ผม..สบายดี”



       ขอโทษนะเปลว.. ขอโทษจริงๆ

       “เปลว…ดูแลเพื่อนเราดีหรือเปล่า พลมีความสุขดีใช่มั้ย” ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วเอ่ยถามออกไปแบบนั้นเพราะนี่เป็นจุดประสงค์ของผม ..ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ผมก็คิดว่าเปลวควรจะรับรู้

       “ไม่รู้จะตอบยังไงเลยครับ ..เขินแปลกๆ แต่ผมก็ดูแลเขาอย่างสุดความสามารถเลยล่ะ ฮ่าๆ” คนตัวสูงกว่าผมปาดน้ำตาออกไปเช่นกัน เจ้าตัวยังคงรอยยิ้มนั้นไว้บนใบหน้า “..ส่วนเรื่องพลมีความสุขมั้ย อันนี้ผมไม่มั่นใจซักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมักจะเกิดขึ้นกับพวกเราเสมอเลย..”

       “…” ผมมองภาพที่ปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า เปลวตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของเขา.. น้ำเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา.. ไม่ต่างอะไรกับเปลวในตอนที่ยังเป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนนั้นอยู่เลย ..เป็นเด็กที่คุยโวเรื่องเกมส์ หุ่นยนต์กันดั้ม และตัวต่อเลโก้รุ่นใหม่ที่พึ่งซื้อเพื่ออวดเพื่อนๆคนอื่นๆ สีหน้าของเด็กคนนั้นเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มเฉกเช่นเปลวในตอนนี้

       



       “คุณล่ะเป็นยังไงบ้างเทียนไข?” เปลวถามกลับ น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้หัวใจผมสูบฉีดเลือดหนักหน่วงมากขึ้น จนทำให้ผมหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

       “สบายดีเหมือนกัน” ผมตอบ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่..พลไม่มาด้วยหรอ เห็นวันนั้นพลก็มากับเปลว”

       “เขาไม่ค่อยว่างซักเท่าไหร่ ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอกครับ เขาเรียนหนักผมรู้ หน้าที่สำคัญของคนรักกันก็ควรที่จะเข้าใจกันจริงไหม? ผมและพลก็เลยเอาใจใส่แล้วก็เข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี”

       “…” ..พอมาถึงตอนนี้ จะว่าเจ็บมั้ยที่ได้รับคำตอบกลับมาแบบนี้ จริงๆก็รู้สึกแบบนั้น แต่พอเห็นใบหน้าที่พูดเจื้อยแจ้วได้อย่างมีความสุข ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

       “ผมไม่รู้ว่าเขามีความสุขมั้ยที่มีผม แต่ผมน่ะ…มีความสุขมากๆเลยล่ะครับ” แต่ว่า…นี่เขาคง..ไม่รู้จริงๆสินะว่าคนรักของเขามีคนอื่นไปแล้ว

       “มั่นใจหรอว่าเป็นแบบนั้น?”

       “..ครับ..?”

       “หมายถึง.. มั่นใจหรอว่าพลเอาใจใส่แล้วก็เข้าใจเปลว?”

       “ฮ่าๆ ผมกล้าพูดเต็มปากเลยครับว่ามั่นใจ พละพลบอกว่าเขารักผม ผมเองก็รักเขาเหมือนกัน ..แค่นี้ก็ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาทำให้ใจสั่นคลอนแล้วครับ” ..ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของเปลวคงอยู่ต่อไป แต่ถ้ามันเป็นความสุขที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ ผมก็คงต้องช่วยเขา..

       “เปลว.. เราสงสารคุณนะ” ..ถึงแม้ว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายเขาแทนก็ตาม

       “…”

       “พลมีคนอื่น พวกเขาคบกัน ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันอย่างเปิดเผย” ผมบอกไปตามตรง คนตรงหน้าพอได้ยินดังนั้นแล้วก็นิ่งไปครู่ใหญ่

       ขอโทษนะเปลว.. ขอโทษจริงๆ



       “ผมเข้าใจแล้ว” ทว่าหลังจากนั้นจู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาดูว่างเปล่า รอยยิ้มที่เคยเกิดขึ้นจางหายไป “..ที่คุณเข้ามาทักผม ก็เพราะจะเข้ามาบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้ใช่มั้ย?”

       “…”

       “..คำถามที่เราถามกันว่า ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย?’ สำหรับผมผมถามออกไปเพราะความห่วงใยเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจ แต่เสียดายที่ของคุณคงไม่เหมือนกัน”

       “…” ..ความรู้สึกชาวาบเกิดขึ้นไปทั่วร่าง ผมทำร้ายเปลวอีกแล้ว..

       “ขอบคุณนะครับที่มาบอกให้ผมรู้ แต่เอาจริงๆ..”

       “…”

       “ผมรู้อยู่แล้ว”

       “…”

       “..ตอนที่คุณทำหมวกผมหลุดออกไปทุกคนต่างมองมาที่ผมด้วยหวาดกลัว บางคนก็รังเกียจด้วยซ้ำ ..วินาทีนั้นผมไม่ต้องการอะไรมากเลย จริงๆ ขอแค่มีใครซักคนเดินเข้ามาแตะบ่าผมแล้วบอกผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ ผมก็มีแรงลุกขึ้นเดินต่อแล้ว แต่ก็..ไม่มีหรอก ผมโคตรสมเพชตัวเองเลย ..คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน ..คนที่เคยบอกว่าคิดถึงกัน เป็นห่วงกัน ก็เอาแต่ยืนมองอยู่ห่างๆไม่กล้าเข้ามาใกล้ เวลานั้นผมก็เลยได้รู้แล้วว่าตัวผมไม่เหลือใครที่จริงใจกับผมกันจริงๆซักคน”

       “…”

       “แต่หลังจากนั้น…พละพลก็เข้ามาหาผม ..ขอโทษผม ..กอดผมที่กำลังร้องไห้ให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง และผมก็ใจอ่อนเชื่อคำขอโทษของพละพล จนสุดท้ายก็ได้คบกัน”

       “…”

       “แต่หลังจากคบกันได้ไม่กี่วันพละพลก็เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าพอเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วผมก็ไม่จำเป็นอะไรอีก ตอนนั้นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่าผมเป็นแค่ไอ้โง่คนนึง เป็นคนน่ารำคาญอย่างที่คุณเคยว่า”

       “…”

       “..พละพลเคยเป็นทุกอย่างของผม แต่ผมต้องจำใจห่างออกมา ความรู้สึกตอนนั้นมันว่างเปล่ามากๆเลยครับ แต่เพราะเรื่องของคุณอยู่ในหัวผมอยู่ตลอดหลังจากนั้นผมก็เลยมาหาคุณบ่อยๆ คิดว่าอย่างน้อยๆสภาพผมที่เป็นแบบนี้ก็ไม่อยากถูกใครเกลียดอีกแล้ว ..ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่มีทางที่คุณจะให้อภัยผมหรอก แต่ผมก็ยังอยากมาหาคุณ ..ผมไม่อยากให้คุณเหงา”



       …ภูเขาลูกเดิมที่ทับผมอยู่รู้สึกเหมือนจะใหญ่มากขึ้น ..เพราะอย่างนี้เปลวก็เลยมาเยี่ยมผมทุกวันใช่มั้ย.. ถึงแม้จะถูกผมด่า ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา.. แต่ก็ยังมาหากัน ..ทำแบบนั้นแค่เพราะว่ากลัวผมจะรู้สึกเหงาน่ะหรอ..

       แต่คุณก็..ทำสำเร็จนะ ตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกแบบนั้นเลยจริงๆ ถึงแม้จะเพราะคิดรำคาญเสียงของคุณไปทั้งวัน แต่นั่นก็ทำให้แต่ละวันในโรงพยาบาลของผมมีสีสันขึ้นมาก

       ผมอาจจะไม่เคยคิดในมุมนี้ แต่พอเข้าใจแล้วก็อยากจะบอกคุณนะว่า..

       ..ขอบคุณเปลวมากๆเลย



       “..ถ้าเปลวรู้แล้ว เปลวจะคบต่อทำไม?” ผมถามต่อ ในใจตอนนี้รู้สึกสงสารเปลวมากกว่าสิ่งใด

       “ฮ่าๆ นั่นสิเนอะ คงเพราะ..สำหรับผมพละพลเป็นความสุขของผมจริงๆละมั้งครับ ..ทุกๆเรื่องราวของเขา ..สีหน้าของเขา ..รอยยิ้ม ..เสียงหัวเราะของเขาทำให้ผมมีความสุข ..เป็นความสุขเพียงความสุขเดียวแล้วที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม”

       “…” ..ครั้งนึงเทียนไขคนนี้ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นความสุขของเปลวเหมือนกัน และเปลวเป็นคนพูดมันออกมาเอง แต่ตอนนี้เทียนไขถูกแทนที่แล้วล่ะ.. ฮ่าๆ



       “และเพราะว่าพละพลคือคนๆนั้น ผมก็เลยคิดว่า..”

       “...”

       “..คงไม่ผิดใช่ไหม ที่ผมจะเลือกจดจำความรักครั้งนี้ในด้านที่ดีๆเท่านั้น” ..เปลวยังคงรอยยิ้มของเขาไว้บนใบหน้า ถึงแม้ริมฝีปากเขาจะสั่นๆไปบ้างแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเปลวรักพละพลมากจริงๆ ผมรู้นะว่าตอนนี้เปลวกำลังเจ็บปวด แต่คง..ไม่สามารถปลอบอะไรเขาได้ ผมเองก็เจ็บไม่ต่างอะไรจากเขาเลย



       “เปลว” ผมเรียกเขา ..ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น ผมต้องยอมรับมัน ต้องยอมรับให้ได้..

       “ครับ” เปลวตอบ ผมสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง มองใบหน้าของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผม ..คุณยังเหมือนเดิมเลยเนอะ เวลาที่คุณรักใครคุณก็จะเป็นแบบนี้ คุณอาจจะจำอะไรไม่ได้ แต่คุณก็ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ..

       เพราะฉะนั้น..เราก็อยากให้คุณรู้ไว้..

       “อันที่จริง.. ที่เราถามเปลวว่า ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม’ ..เราถามเพราะเราเป็นห่วงเปลวนะ” ..ทั้งเป็นห่วง แล้วก็คิดถึงคุณมากๆ

       “…”

       “เอาจริงๆเราอยากขอโทษเปลวเหมือนกันสำหรับวันนั้นที่โรงอาหาร ขอโทษที่ทำตัวแย่ๆใส่เปลวมาตลอด แต่อยากให้รู้ไว้ว่าทุกอย่างที่เราทำมันเกิดขึ้นเพราะมันมีเหตุผลของมัน ..เหตุผลที่เปลวเองก็ลืมไปแล้ว” ..ผมอยากให้เปลวเข้าใจ ..ทุกๆความรู้สึกของผมตอนนี้กำลังทำให้ผมทรมาน ผมคิดถึงคุณ ผมเป็นห่วงคุณ ผมอยากกอด อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของคุณ และผม..รักคุณ รักที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังรัก แต่ทุกความรู้สึกของผม..ไม่ว่ายังไงมันก็ข้ามกำแพงนี้ไปไม่ได้ กำแพงที่สร้างขึ้นมาหลังจากคุณทำแบบนั้นลงไปในคืนวันปัจฉิม

       “ผมรู้… ผมเลยไม่โกรธคุณหลังจากที่รู้สึกว่าตัวผมเคยทำอะไรไม่ดีไว้กับคุณ”

       “…”

       “ผมอาจจะจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วล่ะ…คุณเป็นคนสำคัญของผมนะเทียนไข” ..มันก็ยังไม่พอหรอกเปลว แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วด้วย

       “ตอนนี้เรา…เหนื่อยแล้วว่ะ สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาเลย ..อยากพัก ไม่อยากคิดอะไรให้ทรมานจิตใจตัวเองแล้ว” ถ้าคุณลืม ..ผมก็จะพยายามลืมมันไปเหมือนกัน เปลวที่ใจร้ายคนนั้นที่ผมรัก.. ผมจะลืมเขา

       “มาคุยกับผมแบบนี้คุณไม่ทรมานจิตใจมากกว่าเดิมหรอครับ?”

       “จริงๆ..ลึกๆก็เจ็บอยู่แหละ” เจ็บ.. เจ็บมากๆเลยด้วย แต่เพราะคุณเองก็เจ็บเหมือนกันและผมก็เป็นห่วงคุณมากกว่า ความเจ็บของผมมันก็ดูเล็กน้อยไปเลย

       “..ผมขอโทษนะเทียน” คำขอโทษถูกพูดออกมารอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จริงอยู่ที่เปลวขอโทษออกมาจากใจจริง แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆหรอกว่าสิ่งที่เขาทำผิดมันคืออะไร

       “บางครั้ง..เราก็อยากเป็นเปลวนะ ..อยากเป็นฝ่ายที่ลืมเรื่องราวทุกอย่างบ้างจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้”

       “เหมือนกันเลยครับ”

       “…”

       “..บางครั้งผมก็อยากเป็นคุณ”

       “…”

       “..อยากจำเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นให้ได้ อยากเป็นฝ่ายเจ็บปวด อยากเป็นฝ่ายที่ทรมานแทนคุณ”

       “…” สายตาที่ฉายแววความเจ็บปวดจ้องมองมาที่ผม เราสบตากันอีกครั้งแต่ครั้งนี้ภาพที่เห็นของผมกลับสลัวเบลอไปหมด น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาจนบดบังใบหน้าหล่อของคนตรงหน้า

       “ในใจผมมันรู้สึกแบบนั้น”

       “ไม่หรอก.. ดีแล้วแหละที่เปลวลืมเรื่องพวกนั้นไป” ผมเม้มปาก กลั้นใจพูดต่อไป “..ต่อจากนี้เราจะคิดว่าเปลวคนนั้นที่เราเคยรู้จักเขาได้ตายไปแล้ว เปลวกับเขาไม่ใช่คนเดียวกัน”

       “ไม่ดีหรอกครับ การจำอะไรไม่ได้สำหรับผมมันแย่มากๆเลย..”

       “…”

       “เวลาที่คุณร้องไห้…ผมไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรคุณถึงเจ็บปวด”

       “…”

       “เวลาที่สีหน้าคุณดูหวาดกลัวอะไรบางอย่าง…ผมก็ไม่รู้เลยว่าทำไมคุณถึงเป็นแบบนั้น”

       “…”

       “เวลาคุณอยู่กับเพื่อน รอยยิ้มของคุณน่ะน่ารักมากๆเลยนะรู้มั้ย แต่พอคุณเจอหน้าผม รอยยิ้มของคุณก็จะหายไปทันที ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

       “…”

       “คำถามมากมายเต็มไปหมดในหัว แต่ผมไม่รู้คำตอบเลย อยากจะขอโทษคุณ..ผมก็ทำได้แค่ขอโทษออกไปปากเปล่า ในใจไม่ได้รู้เลยว่าทำอะไรกับคุณไว้”

        “..ช่างเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว” ไม่เป็นไร.. ไม่อยากเป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว.. ปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมามันเป็นอดีตต่อไปนั่นแหละ

        “…”

        “ขอบคุณที่มาเยี่ยมเราบ่อยๆนะ” ผมบอก ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในอาคาร มือสองข้างผมยกขึ้นมาซับน้ำตาออก ขาทั้งสองข้างที่รู้สึกราวกับเรี่ยวแรงหดหายไปหมดพยายามก้าวเดินต่อไป ก่อนจะต้องหยุดกึกเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นมาตามหลัง..

        “งั้นผม…มาอีกได้มั้ย?”

        “…”

        “…”

        “ตามใจ”











______________________
โค้งสุดท้ายแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’” 23/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-03-2019 19:46:30
ดีแล้วดีที่เปิดอกคุยกันแล้วยอมลงให้กันแบบนี้ เฮ้ออออออ!! ถอนหายใจยาวๆ เหนื่อยละเกินกับสองคนนี้ อย่างเพิ่งถามหาว่าปลายทางสองคนนี้อยู่ที่ไหนเลย เอาวันนี้ พรุ่งนี้ให้รอดก่อนเถอะ เล่นเอาซะเพลียตาม 55555555 ต่อจากนี้ก็หวังว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นบ้างนะ การรักษาก็คงง่ายขึ้น ทั้งรักษาจิตใจและเรื่องไตละนะ ได้กำลังใจจากคนที่อยากได้ จะรอติดตามเมื่อไหร่เทียนไขจะส่องแสงสว่างได้เต็มที่สุดสักที เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคน สนุกกกกกชอบความหน่วงนี้จริงๆ 55555 ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพต่อ อยากรู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง จะหาทางออกยังไง เลยรอติดตามตลอดนาาา ^^
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’” 23/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2019 23:44:41
หายเร็วๆแล้วกลับมาคบกัน เติมเต็มกันและกันนะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’” 23/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 10:19:01

15


‘น้ำตาเทียน’


1/2







       “สวัสดียามเช้าครับเทียน”

       ..เสียงทุ้มนุ่มดังเข้ามาในโสตประสาททันทีที่ผมรู้สึกตัวหลังจากจมดิ่งสู่ห้วงนิทราตลอดทั้งคืน ผมขยับร่างกายพร้อมกับค่อยๆลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามาผมจึงได้รู้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว

       เมื่อวานผมกับเปลวเราพึ่งจะคุยกันดีๆเป็นครั้งแรก แต่ก็มีอีกหลายอย่างมากๆที่ยังติดค้างอยู่ในใจและยังไม่ได้ถามเปลวออกไป หลังจากที่แยกกันผมจึงกลับไปคิดไตร่ตรองอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องราวที่ผ่านมา ความรู้สึกของเปลว และความรู้สึกของผม พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดโดยที่ผมและเปลวจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก แต่สุดท้ายแล้วไม่ทันที่ผมจะพบทางออกใดๆผมก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน รู้สึกตัวอีกทีก็คือตอนนี้

       ดูเหมือน..ผมจะฝันถึงเขาด้วย เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้คงเป็นเสียงจากความฝันเมื่อครู่สินะ..?

       “เป็นคนป่วยที่ขี้เซาดีนะครับ” ทว่าเสียงทุ้มนุ่มนี่ก็ยังดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง ผมจึงหันไปหาต้นตอของเสียงนั้น

       “…”

      ก่อนจะพบกับ..ความว่างเปล่า



       ..หูแว่วอีกแล้ว จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าวิธีการรักษาของคุณหมอจะได้ผลหรือเปล่า ก็จริงอยู่ที่ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่หมดไปซะทีเดียว และเพราะการที่มันยังไม่หมดไปเสียที ผมจึงเหนื่อยล้าเหลือเกินที่จะสู้ต่อ

       สุดท้ายวันนี้ก็คงเป็นแค่ ‘อีกวัน’ ที่ผมต้องตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอันว่างเปล่า



       “ผมอยู่นี่” ทว่าเสียงนี่ก็ยังไม่หายไป ผมจึงมองไปที่ต้นตอของเสียงอีกครั้ง แล้วผมก็พบกับ..ใบหน้าครึ่งซีกที่อาศัยเงามืดจากมุมที่แสงอาทิตย์เข้าไม่ถึงบดบังเอาไว้ ทันทีที่เห็นผมสะดุ้งจนร่างกายกระตุก หากแต่เมื่อแพ่งสายตาดูดีๆแล้วก็พบว่า..นั่นมันเปลว

       “ฮ่าๆ ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ แค่คิดว่าอยากจะให้คุณหัวเราะน่ะครับ” คนตัวสูงพูดพร้อมกับก้าวเท้าออกมาจากมุมตรงนั้น ผมจึงเห็นใบหน้าหล่อที่ถูกแสงแดดตกกระทบของเขาชัดเจนขึ้น เปลวในชุดนักศึกษา..อยากรู้จังว่าว่างนักหรอถึงมาทำอะไรแบบนี้ ..นั่นก็อีกประเด็นนึงแหละนะ แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือเขารู้ได้ยังไงกันว่าผมพักอยู่ที่ห้องนี้

       “คุณรู้ได้ไงว่าเราพักอยู่นี่..?” ผมเอ่ยถาม หลังจากรวบรวมสติและขวัญที่ผวาดผวาไปกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ แต่ก็..ดีแล้วแหละที่ผมไม่ได้หูแว่วไปเอง

       “ผมก็ถามประชาสัมพันธ์ไงครับ ง่ายนิดเดียวเอง”

       “แล้ว..เปลวมาทำไม” ผมถามต่อ จริงอยู่ที่เมื่อวานเราคุยกันแบบค่อนข้างที่จะเปิดใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งที่ขึ้นมาหากันได้ มาแกล้งกันแบบนี้ได้หรือเปล่า ..ไม่เข้าใจเปลวเลย

       “แวะมาก่อนจะไปเรียนน่ะครับ จริงๆก็รอเจอคุณอยู่ข้างล่างนั่นแหละแต่ว่าไม่เห็นคุณลงมาซักทีก็เลย..”

       “ขึ้นมาหา..?”

       “ครับ ..พอขึ้นมาก็เห็นว่าคุณยังหลับอยู่ เลยไม่อยากกวน กะว่าจะออกไปแล้วล่ะครับแต่คุณขยับตัวไปมาเหมือนกำลังจะตื่น ผมก็เลยอยากจะแกล้งคุณนิดๆหน่อยๆ..” เปลวอธิบายให้ผมฟังอีกยาวเหยียด ผมจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังอีกต่อไป เพียงแต่สายตาของผมพอมองไปที่เขาที่กำลังพูดไม่หยุดด้วยท่าทีเลิ่กลั่กแบบนี้แล้วก็รู้สึก..โกรธไม่ลง

       แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่แค่ขอโทษพร้อมกับบอกเหตุผลก็น่าจะพอแล้ว แต่เปลวก็เลือกที่จะอธิบายเพื่อที่ผมจะได้เข้าใจ

       “ขอโทษอีกครั้งนะครับ อย่าไล่ผมเลยนะ..” 

       “พอเถอะ เราเข้าใจแล้ว” ผมบอกเขา ..พอเจ้าตัวได้ยินดังนั้นริมฝีปากที่เคยขยับเขยื้อนเป็นคำอย่างรวดเร็วนั่นก็หยุดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างอันสดใสที่พอผมเห็นแล้วก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีสายรุ้งพาดผ่านเข้ามาในห้อง เฟอร์นิเจอร์และของใช้ทุกอย่างดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา

       “ขอบคุณครับ อันนี้..ไม่รู้ว่าคุณจะชอบแอปเปิลมั้ย แต่เห็นว่ามันเป็นรูปกระต่าย น่ารักดี นึกถึงคุณขึ้นมาก็เลยซื้อมาฝากครับ” เปลวยังคงรอยยิ้มนั้นไว้บนหน้า พร้อมกับหยิบกล่องแอปเปิลที่ถูกหั่นเป็นรูปกระต่ายวางเรียงรายกันขึ้นมา ก่อนจะนำเอาไปวางที่โต๊ะคร่อมเตียง จากนั้นเจ้าตัวก็ปัดมือทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอเค.. เสร็จสิ้นภารกิจ”

       “ภารกิจ..? ภารกิจอะไร” ..ยิ่งมองสิ่งที่เปลวกระทำผมก็ยิ่งสับสน

       “ก็หั่นมาให้.. หมายถึง เอาแอปเปิลมาให้คุณน่ะครับ”

       “…”

       “ถือว่าเป็นคำขอบคุณ…ที่คุณอุตส่าห์เข้าใจผม”

       แต่ว่า..ผมคงจะไม่ต้องหาคำตอบอะไรแล้วล่ะครับ รอยยิ้มและสายตาของเปลว..บอกทุกอย่างให้ผมได้รับรู้แล้ว 



       “..เมื่อกี้เปลวบอกว่าแวะมาก่อนจะไปเรียนใช่หรือเปล่า? รีบมั้ย.. เรามีอะไรจะถามหน่อย..” ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ไหนๆเปลวก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมก็ขอใช้โอกาสนี้ถามในสิ่งที่ค้างคาใจตลอดเวลาที่ผ่านมาหน่อยแล้วกัน

       “ไม่รีบครับ จริงๆจะไม่เข้าคลาสเช้าก็ได้” เขาตอบ ..ผมสบตาเปลวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆผ่อนออก เรียวนิ้วมือทุกนิ้วแทรกอยู่บนผ้าห่มก่อนจะออกแรงขยำเพื่อรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะถามคำถามนี้ออกไป



       “เปลว..ความจำเสื่อมใช่ไหม”

       ..เป็นคำถามที่คั่งค้างอยู่ในใจมานานตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเปลวจะลืมเรื่องราวทั้งหมดได้จริงๆ เลยหลอกตัวเองไปว่า ‘เปลวก็แค่แกล้งทำ’ ..เป็นแบบนั้นมาจนกระทั่งวันที่ได้ยินเมธและโก้คุยกัน ผมจึงได้รู้ว่าที่ผ่านมา…ผมคิดผิดมาตลอด

       การที่ผมหลอกตัวเองไปแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ว่าจะกับใครหรือแม้แต่กับตัวผมเอง

       ที่เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง..ก็เพราะตัวผมเองทั้งนั้น



       “..ผมไม่ได้ความจำเสื่อมครับ” เปลวตอบ “อยากให้เรียกว่า..สูญเสียความทรงจำไปมากกว่า”

       “…”

       “เพราะความจำเสื่อม..อาจจะจำอะไรได้บ้าง ..อย่างชื่อคน ..สถานที่ หรือการใช้ชีวิตเล็กๆน้อยๆ แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น..”

       “…”

       “ผมจำอะไรไม่ได้เลย”

       “…”

       “ผมไม่เคยบอกคุณไปตรงๆเพราะเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง เราเลยไม่เข้าใจกันตั้งแต่แรก แต่ถ้าเป็นไปได้..ในเมื่อคุณไม่รู้ ผมก็อยากจะให้คุณไม่รู้ตลอดไป” ..เสียงทุ้มนุ่มยังคงเอ่ยเอื้อนต่อไป หากแต่สายตาของเขาไม่ได้มองมาที่ผมอีกแล้ว ..ดวงตาสีนิลเชยมองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง สิ่งที่ผมรับรู้ได้จากแววตาคู่นี้มีเพียง..ความเจ็บปวด “คุณจำ..ตอนที่ผมไปเจอคุณที่ร้านอาหารได้มั้ย..?”

       “…”

       “ตอนนั้น..ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณมากเลยนะ ..แต่เพราะผมเข้าหาคุณเกินไปจนมันล้ำเส้น ผลที่ออกมาเลยค่อนข้างแย่” ..ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นปรากฎชัดขึ้นมาในหัว หากแต่ภาพเหล่านั้นเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องทรมาน และใช่..ผมไม่ใช่ฝ่ายที่ส่งเสียงร้อง “ตอนที่ผม..กราบเท้าคุณ ผมขอร้องคุณจริงๆนะ  มันเจ็บ..เจ็บจนชา อยากจะวิ่งหนีไปแต่ก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว ผมอยากให้คุณหยุด..”

       “…” แต่ตอนนั้น..ผมกลับไม่ฟังเขาเลย ผมยังคงทำร้ายเปลวไม่หยุด..

       “..ตัวผมในวันนั้นอ่อนแอมากๆ อ่อนแอจนทำได้แค่เว้าวอนขอความเมตตาจากคุณ แต่ถ้าถามว่า..ที่เป็นแบบนี้มันโอเคหรือเปล่า สำหรับผม..ผมว่ามันโอเคนะ เพราะหลังจากนั้นเราต่างก็มีโอกาสได้รู้จัก ได้เข้าใจกันมากขึ้น ..จนมาถึงวันนี้”



       ..ไม่ ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นเลย ถ้าเกิดว่าตอนนั้นผมกล้าที่จะเผชิญหน้ามากกว่านี้อีกซักนิด ทุกอย่างก็คงจะไม่ลงเอยแบบนี้ โอกาสที่เราจะได้รู้จักและได้เข้าใจกันก็คงจะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้

       ..แย่เหลือเกินที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก  สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่ความรู้สึกผิดที่ค่อยๆกัดกินหัวใจไปทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น

       

       “เปลว..” ผมกลั้นใจเรียกชื่อเขาอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามเปลวอีกคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “บอกเราได้ไหมว่าหลังจากที่ถูกเราทำร้าย ..เปลวเป็นยังไงบ้าง”

       “…” เขาไม่ได้ให้คำตอบผมในทันที หากแต่เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาที่เคยมองออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง และผมก็ได้เห็นว่านัยน์ตาสีนิลคู่สวยตรงหน้ารื้นเอ่อไปด้วยหยาดน้ำตาอีกแล้ว “..สัญญากับผมก่อนได้ไหมว่าคุณจะไม่รู้สึกแย่”

       “…” ผมพยักหน้ารับคำ ..พอได้ยินเปลวพูดแบบนี้แล้วผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้ ผมกลัว..กลัวว่าคำตอบที่เปลวจะให้มันจะไม่ใช่เรื่องดี

       ผมกลัว..ความเป็นจริง

       “..ต้องทำตามสัญญานะ” หากแต่..เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นความกลัวเหล่านั้นก็จางหายไปเมื่อถูกความอบอุ่นจากผิวนุ่มๆที่แนบมาบนหลังมือ ..สองมือของเปลวกำลังกอบกุมมือของผมที่กำผ้าห่มแน่น ผมตกใจอยู่เหมือนกันที่เปลวทำแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่วยได้มากจริงๆ

       “ตกลง” ผมคลี่ยิ้มก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เตรียมรับฟังคำตอบ ทว่าเปลวก็ไม่ได้ให้คำตอบผมในทันที เขานิ่งไปชั่วขณะ แต่ในขณะที่เขานิ่งไป ผมก็รู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตัวเองกำลังถูกบีบเบาๆ เป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนผมรับรู้ได้เลยว่า..เปลวกำลังอยากให้ผมผ่อนคลาย และเมื่อได้รู้ผมจึงใช้แรงอันน้อยนิดบีบฝ่ามืออุ่นๆของเขากลับ

       “เราไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง” เพื่อที่เปลวจะได้ไม่กังวลอะไรอีกผมเลยบอกให้เขารับรู้ว่าผมพร้อมแล้วที่จะฟัง ..ไม่ว่าคำตอบที่เปลวจะให้ผมมันจะเลวร้ายซักแค่ไหน ผมก็พร้อมที่จะยอมรับ ฮ่าๆ..ทั้งๆที่คิดไว้แบบนั้นแท้ๆ..



       “ผม..อยู่บนเส้นด้ายบางๆระหว่างความเป็นกับความตาย” ..แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกลับ..ชาวาบไปทั้งร่าง

       “…” 

       “สิ่งที่เทียนทำ..มันเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล” ..แรงบีบจากฝ่ามือของเปลวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผมอยากจะตอบกลับเขาไปด้วยการออกแรงบีบฝ่ามือเขาอย่างครั้งก่อน แต่ปรากฎว่าผมไม่มีเรี่ยวแรงใดๆเหลืออยู่เลยหลังจากที่รับรู้ความเป็นจริงที่ผมกลัว

       “…” ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเปลวต้องผ่านอะไรมาบ้างจนกว่าจะมีวันนี้ สิ่งที่ผมเคยคิดมันผิดทั้งหมด ผมทำร้ายเขา..ผมทำร้ายเปลว ทำร้ายจนเกือบได้ชื่อว่าเป็นฆาตกร ..เปลวคนตรงหน้าผมรับรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นอย่างไร ทำอะไรกับเขาไว้บ้าง เปลวที่สูญเสียความทรงจำมีสิทธิ์ที่จะโกรธและเกลียดผมไปตลอดกาลเลยก็ได้ แต่เขากลับไม่ใช้สิทธิ์นั้น เขายอมเสียเปรียบและเลือกที่จะปลอบประโลมคนที่ทำร้ายตัวเองด้วยฝ่ามืออุ่นๆของเขา..



       “เทียน ..ไหนล่ะที่เราตกลงกันไว้” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากที่ระหว่างเราจมอยู่กับความเงียบงันมาได้ชั่วขณะ เปลวกำลังทักท้วงในสิ่งที่ผมเอ่ยปากรับคำ จริงด้วยสินะ..ผมสัญญากับเปลวไว้แล้วว่าจะไม่รู้สึกแย่ โอเค..ผมจะไม่รู้สึกแบบนั้น จะไม่รู้สึก..ไม่รู้สึก ห้ามรู้สึกสิเทียนไข อย่ารู้สึก.. ห้ามร้องไห้..

       “สัญญากันแล้ว…ห้ามผิดสัญญาสิครับ”

       “ขอโทษ…ขอโทษนะเปลว ขอโทษ..” ขอโทษที่ไม่สามารถทำตามที่ตกลงกันไว้ได้จริงๆ.. ขอโทษที่ผมแก้ไขอะไรไม่ได้ทำได้แค่ร้องไห้อยู่แบบนี้..

       “ไม่เป็นไรครับ..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ดูสิครับ ผมกลับมา..ยิ้มได้แล้ว” ใบหน้าหล่อของเปลวปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยายามจะยิ้มตามเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรกันอีก แต่ก็..ทำไม่ได้จริงๆ..

       ..หยาดน้ำตายังคงไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของผมไม่รู้หยุด ภาพใบหน้าของเปลวที่ถูกประดับด้วยรอยยิ้มที่เคยชัดเจนดี ตอนนี้พร่าเบลอไปหมด..

       “ขอโทษนะเปลว..” เป็นคำขอโทษรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ผมก็ยังพร่ำมันออกไปซ้ำๆ หวังเพียงให้มันลบล้างความรู้สึกผิดออกไปจากใจ แต่ก็..ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่ว่าจะขอโทษอีกกี่สิบครั้ง บาดแผลของเปลวก็ไม่จางหายไป

       “..ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆครับ” เปลวพยายามปลอบ ฝ่ามือข้างหนึ่งผละออกจากฝ่ามือของผมก่อนที่เปลวจะใช้มันลูบหัวผมเบาๆ

       “…”  ..ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะสัมผัสจากฝ่ามือของเปลวบนศีรษะ สายตาหันไปสบตากับเขาเพื่อหาคำตอบสำหรับการกระทำนี้ และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ..เปลวกำลังร้องไห้อยู่ไม่ต่างกัน

       “..ไม่ร้องแล้วนะ ห้ามร้องไห้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มพูดออกมาด้วยความสั่นเครือ ผมรับฟังเขาได้เพียงเสี้ยววินาทีก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ..เปลวดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ไหล่กว้างสั่นระรัวแต่ก็ยังพยายามที่จะใช้มันเป็นที่พักพิงให้ผมคลายความรู้สึกในใจนี้ลง ขณะเดียวกันเขาก็ซุกใบหน้าอยู่ที่ไหล่ของผม “..มันผ่านไปแล้วนะเทียนไข มันผ่านไปแล้ว..ทุกอย่างกำลังดีขึ้น ผมไม่เป็นไรแล้ว..”

       “ครับ.. เราเข้าใจแล้ว เปลวก็..หยุดร้องได้แล้วนะ..” ผมพูดพร้อมกับกระชับอ้อมแขนของตัวเองขึ้นมาโอบกอดเขาตอบ

       ..ผมเข้าใจแล้วล่ะเปลว ที่คุณบอกว่าคุณไม่เป็นไร ทุกอย่างกำลังดีขึ้น..

       จริงๆ คุณกำลังโกหกอยู่ใช่ไหม.. คุณกำลังแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างสำหรับคุณมันกำลังดีขึ้นเพื่อให้ผมสบายใจ

       รู้มั้ยเปลว..

       คำโกหกของคุณ..ทำให้ผมเจ็บปวดอีกแล้ว







       ..เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วผมก็ไม่ทราบได้ ทว่าผมและเปลวก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างนั้น เราจมอยู่กับความรู้สึกในใจของตัวเองจึงไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก หากแต่ผมกลับรู้สึกว่าอ้อมกอดนี้ทำให้ผมและเปลวได้เข้าใจกันมากขึ้น ราวกับว่าเราต่างก็ได้ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆในใจให้กันและกัน ..ผมและเปลวยังคงมอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้กันต่อไป เราใช้ฝ่ามือเล็กๆลูบหัว ใช้ไหล่ที่สั่นเทาซับน้ำตาให้กัน ..เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียงสะอื้นค่อยๆเบาลง อ้อมกอดนี้จึงค่อยๆคลายออก ..ขณะเดียวกันหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมามากมายก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแสนหวาน

       “ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงยิ้มรับพร้อมกับตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงสดใส

       “ครับ ไม่ร้องแล้ว”

 

       ..ผมและเปลวคุยกันได้ซักพักก็ได้เวลาที่เปลวจะต้องไปเรียน เราจึงบอกลากันสำหรับวันนี้ จากนั้นเปลวก็ขอตัวออกไป ส่วนผมเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่พยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ และส่งเขาผ่านทางสายตา ..ครั้งนึงผมเคยกลัวการจากลาของเราแบบนี้ กลัวว่าซักวันนึงแผ่นหลังที่ค่อยๆห่างออกไปจนลับสายตาจะไม่กลับมาอีก ..แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไป สายตาของผมสามารถมองไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆห่างออกไปของเปลวได้โดยที่ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย

       คงจะเพราะ..คำบอกลาที่เปลวให้กันล่ะมั้ง

       ‘เจอกันพรุ่งนี้นะ’

       …ผมจึงมั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าของแผ่นหลังกว้างนี้จะกลับมาหากันอีก












       ไม่นานนักเวลาก็ผันผ่านไป ท้องฟ้าเบื้องบนที่เคยปรากฎสีคราม มีหมู่เมฆสีขาว ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแก่ และหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับของฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ..ผมเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าในแต่ละวันอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เหตุผลนึงก็เพราะไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้ แต่อีกเหตุผลนึงก็คือ..ผมชอบที่จะเฝ้ามองพวกมัน อยากจะสัมผัสก้อนเมฆสีขาว อยากจะขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วมองทิวทัศน์จากข้างบน และที่สำคัญเลยก็คือ..ผมอยากจะให้ตัวผมเองเป็นอย่างท้องฟ้า ถึงแม้จะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละวัน แต่ท้องฟ้าก็อยู่กับมนุษย์เราตลอดไป

       ผมอยาก..คงอยู่ตลอดไปเหมือนกับท้องฟ้า



       ‘ตายไปน่ะดีแล้ว’

       ‘เปลวไม่ได้สนใจใยดีนายจริงๆหรอกเทียนไข’

       ‘ไปๆซะตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า อยู่ต่อไปยังไงนายก็ตายอยู่ดี’




       ..ผมไม่อยาก..จากเปลวไปเลย

       ..ครั้งนี้ไม่มีใครแกล้ง ผมได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยพวกนั้นจริงๆ.. ถึงแม้จะไม่อยากฟัง จะยกมือขึ้นมาปิดหู จะพยายามกลบเสียงเหล่านั้นด้วยเสียงของตัวเอง หรือจะดิ้นรนหลีกหนีมันไปเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ เสียงพวกนี้ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันมาจากตัวผมเอง มาจาก..สมองที่ไม่สมดุลของผมเอง..

       …เหนื่อยเหลือเกินที่จะสู้ต่อ







       ..หลังจากนั้นวันใหม่ก็มาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าจนผ่านไปเกือบจะหมดเดือน สำหรับคนป่วยอย่างผมมันไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิมซักเท่าไหร่ …ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทานอาหารเช้า รอพี่พยาบาลมาดูอาการ และรอที่จะได้เจอเปลว

       เขายังคงมาเยี่ยมผมทุกวันอยู่เหมือนเดิม อาจจะเป็นช่วงสายๆหน่อย หรือไม่ก็ช่วงบ่าย แต่เขาก็จะมาหาผมอยู่เสมอ ทุกวันของผมจึงถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มของเปลวในชุดนักศึกษาอย่างนี้ตลอดมา ..จากก่อนหน้าที่ผลักไสไล่ส่งเขามาตลอดตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเปลวมากขึ้น ผมอาจจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรเหมือนที่ผ่านมาแล้วเพราะรู้ว่าเปลวสูญเสียความทรงจำ แต่ผมก็ยังไม่สามารถลบภาพการกระทำของเปลวออกไปจากหัวได้อยู่ดี

       จริงๆ..ผมไม่อยากจะนึกถึงมันเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพียงแค่เห็นหน้าเขา ทุกอย่างในคืนวันปัจฉิมก็จะปรากฎขึ้นมาในหัว มันไม่ได้ดีกับตัวผมหรอก..ผมรู้ แต่ผมก็ยังอยากจะเจอเขาอยู่ดี

       

        ..วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยๆ เหนื่อยแบบที่ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย ผมจึงไม่สามารถลงไปข้างล่างได้ ทว่าในวันที่อาการผมไม่สู้ดีแบบนี้ ผมกลับพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากจะบอกให้เปลวรู้ และคำถามอีกมากมายเลยที่ผมอยากจะถามเปลวออกไป แต่ก็ได้แค่..คิดรอไว้เท่านั้น เพราะเก้าอี้ข้างๆเตียงยังคงว่างเปล่าอยู่เช่นเคย ผมจึงนั่งๆนอนๆอยู่แบบนั้นให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ..เป็นแบบนั้นไปจนกระทั่งเข็มสั้นบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังเคลื่อนที่ไปอยู่ระหว่างเลขห้าและเลขหก ..ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเปลวอาจจะไม่ว่างสำหรับวันนี้



       “…” นึกๆดูแล้วก็แปลกดีเนอะที่ผมเอาแต่มองไปที่ประตูห้องอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ว่าเปลวจะมาหรือไม่มานั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา และถึงแม้เปลวจะไม่มาผมก็ไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไรหรือเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว…ความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น ผมควรจะยอมรับให้ได้จริงมั้ย.. แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย

       ผมไม่แน่ใจ …ไม่แน่ใจเลยว่าถัดจากวันนี้..

       ..จะมีวันอื่นให้ผมได้บอกเปลวอีกหรือเปล่า





       จมอยู่กับความคิดนั้นไปได้ซักพัก ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ..ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผมเห็นดังนั้นแล้วจึงเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดนั่นเข้าไปไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนตัวสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา

       “..พึ่งเลิกหรอเปลว” ผมเอ่ยทักเขาในทันที คนมาเยี่ยมเมื่อเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่เขาจึงยิ้มรับ ก่อนจะตรงมาแทนที่ที่ว่างบนเก้าอี้ข้างเตียง

       “ครับ ขอโทษนะที่มาซะค่ำเลย ผมคง..ไม่ได้รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณใช่ไหม..?” เขาพูดตอบ

       “ไม่หรอก เราดีใจซะอีกที่คุณมาเยี่ยม ..ขอบคุณนะครับ” ..ผมคิดถึงเสียงของคุณจังเลยเปลว คุณรู้มั้ย..ตลอดทั้งวันมานี้ผมเอาแต่เฝ้ารอคุณมาหา มันนานมากๆเลยกว่าเวลาจะผ่านไปแต่ละนาที

       “ฮ่าๆ ดีใจจังเลยครับ ..แล้วนี่..เป็นยังไงบ้างวันนี้..?”

       “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ..ขอโทษนะครับที่ผมโกหก แต่ถ้าผมโกหกแล้วทำให้คุณไม่ต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับผม..ผมก็ยินดีที่จะทำ “แล้ว..คุณล่ะ? ที่มหา’ลัยเป็นยังไงบ้าง”

       “ก็ดีครับ ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์ในโรงอาหารวันนั้นแล้ว ก็เลย..เริ่มฝึกใช้ชีวิตคนเดียว” เปลวยังคงรอยยิ้มของเขาไว้บนหน้า หากแต่น้ำเสียงของเขากลับฟังดูเศร้าสร้อยลงไปมาก ..ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะไม่มีใครคาดคิด แต่ต้นเหตุที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะผม.. “..ไม่ต้องขอโทษผมแล้วนะครับสำหรับเรื่องนั้น มันผ่านไปแล้วตอนนี้ผมโอเคดี”

       “…” ..เป็นผมอีกแล้วที่ทำร้ายเขา ทำร้ายเปลวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’” 23/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 10:31:05
       “วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับคุณหรือเปล่าครับเทียน” เปลวเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นเมื่อเห็นว่าสีหน้าผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อลบความรู้สึกนั้นออกไป บทสนทนาที่ผมเฝ้ารอมาตลอดทั้งวันจะได้ไม่เต็มไปด้วยบรรยากาศสีเทา

       “จริงๆก็เบื่อๆนิดหน่อย แต่ว่า..พอเปลวมา เราก็ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว” นี่เป็น..ความรู้สึกจริงๆของผมเลยแหละ พอมีเปลวมาอยู่ข้างๆแบบนี้ ความรู้สึกเหนื่อยหน่ายก่อนหน้านี้ทั้งหมดทั้งมวลก็จางหายไปหมดเลย

       “ดีใจนะครับที่อยู่กับผมแล้วคุณไม่เบื่อ”  ..ลึกๆก็คงเป็นเพราะความผูกพันระหว่างผมกับเขา  แต่ผมคิดว่า..สีหน้าของเขา น้ำเสียง และรอยยิ้มตอนนี้ของเขาต่างหากที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ “วันนี้ผมแวะห้องสมุดมา คุณสนใจเอาเล่มนี้ไปอ่านมั้ยครับ ผมยืมมาให้คุณโดยเฉพาะเลยพอเห็นว่าเป็นหนังสือแนะนำประจำสัปดาห์”

       “…” ผมยิ้ม ก่อนจะรับหนังสือที่เขายื่นมาให้ด้วยความยินดี ..นอกเหนือไปจากสิ่งที่ผมกล่าวไปทั้งหมดก็คงจะมีความน่ารักของเปลวตรงนี้ด้วยเหมือนกันที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ ..เขาทำให้ผมรับรู้เลยว่าถึงแม้ในเวลาที่ห่างกัน แต่เปลวก็ยังคงนึกถึงผม

       “เปลวสนใจ..ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับเรามั้ย” เพราะงั้น..ก็คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะแสดงให้เห็นว่าผมเองก็นึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกัน

       “ครับ..?” ฮ่าๆ กะไว้แล้วว่าเขาต้องทำหน้าแบบนี้ ความหมายที่ผมอยากจะสื่อก็ตรงตามที่พูดไปนั่นแหละ ตรงนี้อยู่สูงจากพื้นดินแปดชั้น ซึ่งก็สูงพอที่จะนั่งมองพระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าได้โดยไม่มีตึกรามบ้านช่องมาขวางกั้นทรรศนะ และผมก็จำได้ว่าหน้าต่างบริเวณหน้าลิฟต์ก็อยู่ทางทิศตะวันตกพอดี ผมก็เลย..อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับเปลวตรงนั้นด้วยกัน

       “ตามมานะครับ!” ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่จู่ๆผมก็มีแรงพอที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งนำเปลวออกไปได้ซะอย่างนั้น

       “ไปไหน? เดี๋ยวก่อนเทียน! รองเท้าคุณ!” คงจะเพราะ..ผมคิดถึงเรื่องราวเก่าๆมั้ง เลยตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้กลับไปทำอะไรแบบนั้นอีกครั้ง..

       ..ตอนที่ผมและเปลวยังเป็นแค่เด็กมอสาม สมัยที่หัวผมยังเกรียน ในขณะที่หัวเปลวไว้รองทรงแต่มีรอยกรรไกรฉับอยู่สองรอยด้านหลัง วันนั้น..ผมถูกเขาแกล้งเอารองเท้านักเรียนผมไปซ่อน ตอนแรกผมก็ตามเกมเขาไปด้วยการตามหารองเท้าของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ ในขณะที่เขาและผองเพื่อนก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจรองเท้าตัวเองอีก แล้วเดินกลับบ้านไปทั้งอย่างงั้น ยอมรับว่าวินาทีนั้นผมหงุดหงิดอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเปลวเริ่มหน้าเสียและกำลังวิ่งตามผมมาติดๆ ผมก็ตัดสินใจวิ่งหนีเขาไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า

        ‘กลับบ้านคนเดียวเลยนะ กุญแจอยู่กับกู แต่กูจะล็อกบ้าน มึงเข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า’

        พอคนขี้แกล้งอย่างเปลวได้ยินแบบนั้นก็สับตีนแตกวิ่งตามผมจนทัน แต่ผมตอนนั้นก็แสบอยู่พอตัว พอเห็นว่าเปลวกำลังวิ่งมาก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก จนสุดท้ายก็เสียหลักสะดุดล้มจนได้แผล



       ‘มึงจะวิ่งหนีกูทำไมวะ ดูไอ้ฟาย ล้มเลยสมน้ำหน้า’

       ‘ไม่เจ็บหรอก วิ่งเท้าเปล่าเมื่อกี้ก็ไม่เจ็บ’

       ‘ขี้โม้ ไม่เจ็บจริงมึงคงไม่ร้องไห้’

       ‘เจ็บก็ได้ถ้างั้น’

       ‘เห็นมั้ยล่ะ..’

       ‘เห็น แต่ก็ไม่เจ็บเท่ากับตอนที่กูใจไม่ดีเพราะหารองเท้าไม่เจอ แล้วมึงหัวเราะ’

       ‘เออน่า ขอโทษละกัน กูก็ถือรองเท้ามาให้มึงแล้วตั้งแต่ตอนที่มึงเดินออกมา แต่มึงเสือกวิ่งหนีกูอีก..’

       ‘ก็มึงเสือกตามกูมาอะ’

       ‘ขอโทษครับ’

       ‘กลับบ้านดีกว่า’

       ‘เดินไหวเปล่า..? ไม่น่าไหว..งั้นมานี่ดีกว่า ขี่หลังกู’




       ..หลังจากนั้นฉากหนังอินเดียก็จบลง เด็กหนุ่มผมรองทรงต้องชดใช้ความผิดด้วยการให้เด็กหนุ่มเจ้าของหัวเกรียนๆอีกคนขี่หลัง มือข้างนึงถือรองเท้าห้อยต่องแต่งไปมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็บ่นกันไปตลอดทาง คนนึงเอ็ดที่อีกคนวิ่งไม่ระวังจนหกล้ม อีกคนก็เอ็ดที่เจ้าตัวเอารองเท้าไปซ่อน

       เป็นแบบนั้นไปจนเด็กหนุ่มเจ้าของผมรองทรงเอ่ยบอกกับคนบนหลังว่าพระอาทิตย์กำลังตกดิน ทุกอย่างจึงกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง



       ‘มึงดูนู่น’

       ‘ดูอะไร..? พระอาทิตย์อะหรอ’

       ‘เออ สวยดีเนอะมึงว่าปะ’

       ‘ก็ปกติหรือเปล่า’

       ‘หึ มันทำให้ท้องฟ้าตอนนี้สวยมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘กูอยากเป็นพระอาทิตย์ ที่ทำให้ท้องฟ้าน่ามองได้แบบนี้’

       ‘ขอโทษนะ แต่ไม่เก็ท’

       ‘จะบอกว่า..ขอโทษนะที่แกล้ง กูจะไม่ทำอีกแล้ว’




       …ภาพท้องฟ้าขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับไปในวันนั้นจึงเป็นภาพที่สวยงามอีกภาพนึงเลยสำหรับเรา เพราะนอกเหนือจากท้องฟ้าแล้วก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ทำให้ภาพนี้องค์ประกอบลงตัว สิ่งนั้นก็คือ…รอยยิ้มของกันและกัน





       “..ไหนล่ะพระอาทิตย์ตกดินของคุณ” เปลวแค่นขำ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเบื้องบนไม่มีดวงตะวันให้เห็นเลย ภาพตรงหน้ามีเพียงแสงสีส้มที่เล็ดลอดออกมาจากก้อนเมฆก้อนใหญ่ แผ่รัศมีกินพื้นที่อยู่ตรงขอบฟ้าทิศตะวันตก  ผมที่วิ่งมาถึงก่อนเห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เกาหัวแก้เก้อ

       “ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับ” อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นโอกาสให้อะไรตอบแทนเปลวบ้างแล้วแท้ๆ แต่หมู่เมฆกลับไม่ให้ความร่วมมือกับผมเอาซะเลย



       “..หน้าต่างตรงนี้เปิดได้หรือเปล่าครับ ผมว่าตอนนี้ลมน่าจะกำลังเย็นสบายแน่ๆ” คนตัวสูงกว่ายิ้มถามพร้อมกับปลดล็อกหน้าต่างกระจกก่อนจะเลื่อนออก

       “เมื่อกี้เปลวได้ถามเราหรือเปล่า หรือเปลวแค่พึมพัมกับตัวเองเฉยๆ”

       “ทั้งสองครับ”

       โอเค.. ผมจะพยายามเข้าใจคุณแล้วกันนะ



       ครู่ต่อมาหน้าต่างกระจกตรงหน้าก็ถูกเปิดออกจนกว้าง กระแสลมธรรมชาติจากภายนอกจึงพวยพัดเข้ามาด้านใน กระทบกับผิวกายของเราทั้งสองจนรู้สึกเย็นวาบเนื่องด้วยตอนนี้อยู่ในฤดูหนาว ทว่าสายลมเหล่านี้กลับทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย และยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นไปอีกเมื่อได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดพร้อมกับหลับตา ผมทำแบบนั้นไปได้ซักพัก ก่อนจะถูกดึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงของเปลว



       “ทำไมจู่ๆ..ถึงชวนผมมาดูพระอาทิตย์ตกดินหรอครับ”

       “…”

       “ผมแปลกใจนิดหน่อย ..ปกติผมจะเป็นฝ่ายชวนคุณอยู่ตลอด ผมกังวลมากเลยว่าจะกวนคุณมากไปมั้ย จะทำให้คุณรำคาญกันหรือเปล่า”

       “ไม่หรอก เราไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วล่ะ..ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าใจเปลว” ใช่แล้ว..ผมไม่เคยนึกรำคาญเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นที่ชานบันได กลับกันผมกลับ..เฝ้ารอเวลาที่จะได้เจอเขาอยู่ทุกวัน “แล้วก็..ที่ชวนมาดูพระอาทิตย์ตกดิน..”

       “…”

       “คงเพราะ..เราคิดถึงเปลว”

       ผมคิดถึงเปลว ..คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเปลวและผมที่มันไม่มีทางย้อนคืนกลับมาได้แล้ว..

       “งั้น..ผมคงต้องย้ายมาตั้งฐานทัพอยู่นี่แล้วใช่ไหมครับ” เปลวปั้นสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดเสียงเข้มประหนึ่งว่าตัวเองเป็นพลทหารหน่วยไหนซักหน่วย ..ก็เกือบจะคล้ายแล้วแหละถ้าเขาไม่หลุดยิ้มออกมาซะก่อน ..ผมมองภาพที่เห็นก่อนจะหลุดขำให้กับท่าทีและคำพูดของเปลว

       “ที่นี่น่าเบื่อจะตายไป…คุณไม่ชอบหรอก” ผมพูดต่อ ..โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับเขาหรอก ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

       “ผมไม่น่าจะเบื่อหรอกครับ”

       “…”

       “..เพราะที่นี่มีคุณ” ..ที่ไม่เหมาะก็เพราะว่าถ้าเกิดเขามาอยู่นี่จริงๆ นอกจากโรคประสาท โรคไต ผมคงจะเป็นคนไข้โรคหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกโรค

       “ไม่หรอก..ชีวิตข้างนอกมีสีสันกว่าเยอะ” ผมพูดต่อ พยายามคงน้ำเสียงให้ดูปกติที่สุดไม่ให้เปลวรับรู้ได้ว่าหัวใจผมกำลังเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ทว่าหลังจากที่ผมพูดจบ เปลวที่ยืนอยู่ข้างๆก็นิ่งไปชั่วขณะ ..เขาไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เพียงแต่มองมาที่ผมนิ่งๆด้วยสายตาที่ผมก็อ่านไม่ออก



       “คุณอยาก..กลับไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมั้ยครับ” และหลังจากที่จมอยู่กับความเงียบมาได้ครู่หนึ่ง จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา “ถ้าได้ออกไป…คุณจะทำอะไรเป็นอย่างแรก”

       “…” ถึงผมจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เปลวถามซักเท่าไหร่ แต่เมื่อลองจินตนาการดูแล้ว ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ..ก็คงจะเป็นวันที่ดีมากๆเลยที่ผมจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับสิ่งที่ผมเฝ้าฝัน “..อาจจะดูน่าขำหน่อยนะ แต่ว่า..เรามีความฝัน”

       “…”

       “เราอยากเป็นหมอ เวลาคนที่เรารักเจ็บป่วยหรือไม่สบาย เราอยากเป็นคนที่ช่วยรักษาให้เขาหาย ..ฝันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” จริงอยู่ที่ผมเคยหมดหวังและล้มเลิกความฝันของตัวเองไปแล้วหลายครั้งตลอดช่วงเวลาในโรงพยาบาล แต่ผมก็ปฏิเสธสิ่งที่เป็นตัวผมไม่ได้อยู่ดี ..ผมชอบในสายอาชีพนี้ ..ผมหลงรักความสุขของคนไข้ที่ถูกรักษาจนหายดี เพราะฉะนั้นหากว่าซักวันหนึ่งผมมีโอกาสได้กลับออกไปอีกครั้ง ผมก็จะกลับไปทำตามความฝันของตัวเองอีก ถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ก็ตาม

       “ไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหนเลย เท่ดีออก”

       “ถ้าเปลวรู้ว่าตอนเด็กๆเรามุ่งมั่นขนาดไหนเปลวก็คงจะขำแหละ”

       “ขนาดไหนกันครับ?”

       “ตอนเด็กๆแม่เราป่วย เพราะงี้เลยเป็นสาเหตุให้เราอยากเป็นหมอ ตอนนั้นเราอยู่แค่ประถมเองนะ แต่เด็กชายเทียนไขคนนี้กลับเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน จนแม่ถามว่าจะอ่านอะไรขนาดนั้น เราก็ตอบไปว่าเราจะไปสอบหมอ ทั้งๆที่ตอนนั้นแค่ป.4”

       “…”

       “เพราะงั้นนี่คงเป็น..สิ่งที่เราคิดจะทำน่ะแหละ ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตข้างนอกอีก..” พอพูดจบผมก็หันกลับมามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆอีกครั้ง

       “…”

       “…” และผมก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น..

       “ผมรู้สึก..เหมือนเคยได้ยินคุณพูดแบบนี้มาแล้ว” ครู่หนึ่ง..สายตาของเปลวกลับมาเป็นสายตาของเปลวคนนั้นที่ผมรัก

       ..ความรู้สึกกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูกเกิดขึ้นกับตัวผม เสี้ยวหนึ่งความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ ผมกลัว..กลัวว่าเปลวคนนั้นจะกลับมาทำร้ายผมอีก ..แต่พอได้สังเกตท่าทางของคนตรงหน้าดูดีๆแล้วผมก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เมื่อกี้เป็นแค่ภาพๆนึงที่แล่นเข้ามาในหัวของเขาเท่านั้น เปลวคนนั้นไม่ได้กลับมาจริงๆอย่างที่ผมคิด ซึ่งก็..ดีแล้วล่ะ ดีแล้วที่เขาไม่ได้จำอะไรได้ และถ้าผมมีสิทธิ์เลือก..

       “ไม่หรอก เปลวคิดไปเองมากกว่า” ..ผมก็ขอเลือกให้เขาจำอะไรไม่ได้อีกเลยเช่นกัน

 

       



       


       หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีก เปลวจึงขอตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็เดินกลับมาพักผ่อนที่ห้องเหมือนเดิม จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกขุ่นมัวในใจอยู่แบบนั้นตลอดทั้งคืน

       ผมไม่แน่ใจเลยว่าความรู้สึกของตัวเองตอนนี้จริงๆแล้วผมต้องการอะไรกันแน่ ใจหนึ่งผมอยากเจอเปลว อยากพูดคุยกับเขา อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาให้มากกว่านี้ ทว่าอีกใจนึงพอผมได้เห็นท่าทางที่เหมือนเปลวจะจำอะไรซักอย่างได้ ผมก็อยากจะถอยออกมาให้ห่างจากเขา วินาทีนั้นเสี้ยวนึงในหัวผมอยากจะให้เขาหายไปเสียด้วยซ้ำ

       คงจะดีกว่ามากถ้าเปลวจำอะไรไม่ได้ไปตลอด ให้เปลวเป็นเปลวที่ทำให้ผมในตอนนี้มีความสุขต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ..ให้อดีตที่เลวร้ายเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว และให้ภาพจำดีๆเป็นความทรงจำอันแสนงดงามที่พอนึกถึงก็จะยิ้มแบบนี้ต่อไป

       ขอให้มันเป็นแบบนั้น…ได้ไหม



 











       “อรุณสวัสดิ์ครับเทียนไข”

       ..เวลาผ่านไปจนเช้าวันใหม่ของผมเริ่มต้นขึ้น ทว่าเริ่มต้นได้ไม่กี่ชั่วโมงเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมที่พึ่งทานอาหารเช้าและทานยาเสร็จเรียบร้อย กำลังลงมาเดินเล่นข้างล่างพอได้ยินดังนั้นผมจึงหันไปหาต้นตอของเสียง ก่อนจะพบกับใบหน้าหล่อที่กำลังยิ้มแป้นในชุดนักศึกษา

       “กำลังจะไปเรียนหรอ..?” ผมเอ่ยถาม

       “ครับ ผมมีเรียนเก้าโมง..”

       “อีกสิบนาทีเนี่ยนะ จากนี่ไปมหาลัยก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่เลยนะเปลว…จะทันหรอ” บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเปลวซักเท่าไหร่ หลายครั้งแล้วเหมือนกันที่เปลวตกอยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบแต่เขากลับเลือกที่จะแวะมาเยี่ยมผมก่อน เช่นเดียวกับวันนี้ 

       “จริงของคุณ..แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากแวะมาเยี่ยมคุณก่อน วันนี้น่าจะเลิกค่ำ”

       “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น วันนี้ไม่ว่างเปลวก็มาวันอื่นก็ได้” ผมสบตากับเขา ..จริงอยู่ที่พอเห็นหน้าเปลวแล้วภาพในคืนวันปัจฉิมจะผุดขึ้นมาในหัวและมันไม่ดีกับตัวผมเลย แต่ทุกครั้งก้อนเนื้อในอกกลับมีแต่ความรู้สึกยินดี ที่มากไปกว่านั้นมันยังสูบฉีดเลือดอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า

       “ผมอยากมาเจอคุณ”

       “…”

       “อีกอย่างผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย และที่สำคัญ…จำได้ไหม..? เทียนอนุญาตผมแล้วด้วยน้า” ก็ดูสิ่งที่เปลวพูดสิ ..จะไม่ให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกัน

       “เรากลัวว่าคุณจะไปสายต่างหาก”

       “เป็นห่วงผมหรอครับเทียน”

       “…” ..และนอกจากความรู้สึกที่หัวใจเต้นถี่ระรัวแล้ว พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเปลวพูดแบบนี้ผมก็มักจะทำอะไรไม่ถูกทุกที ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบกลับเขาไปยังไง ไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวแบบไหน

       “ฮ่าๆ คุณหน้าแดงนะรู้ตัวหรือเปล่า” เปลวเอ่ยแซว ทำเอาผมต้องยกมือขึ้นมาทาบแก้มเพื่อสำรวจว่าตัวเองเป็นอย่างที่เปลวพูดจริงมั้ย พออีกฝ่ายเห็นว่าผมมีปฏิกิริยาแบบนี้เจ้าตัวก็แค่นขำเบาๆ ผมหันไปมองค้อน เมื่ออีกฝ่ายเห็นสีหน้าของผมที่บอกบุญไม่รับเลยกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้วคงสีหน้านิ่งเฉยเสมือนว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       เปลว.. ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

       ถึงเขาจะจำเรื่องราวต่างๆไม่ได้แต่นิสัยของเขา ท่าทางของเขา อารมณ์ทางสีหน้า นัยน์ตา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าของผมตอนนี้ก็คือเปลวคนนั้น 

       “จริงสิ..อันนี้ผมมาเอามาให้คุณอ่าน ให้คุณเปิดก่อนเลย เป็น Best seller เลยนะครับ คิดว่าคุณน่าจะสนใจ เห็นว่าคุณชอบอ่านหนังสือ” เขาพูดพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะยื่นมาให้ผม มันถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสอย่างดี “อ่านเสร็จแล้วมาเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับ ผมไปเรียนก่อนนะ…วันนี้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว”

       ..แม้แต่นิสัยนี้ เปลวก็ไม่เปลี่ยนไปเลย พอเขารู้ว่าผมชอบอะไร เขาก็จะพยายามหาสิ่งนั้นมาให้ผมเสมอ จำได้ดีเลยว่าครั้งนึงผมเคยบอกว่าผมชอบหนังแอคชั่นไซไฟ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หาหนังแอคชั่นไซไฟมาแล้วก็ชวนผมดูด้วยกัน หรือแม้แต่ครั้งนั้นที่ผมบอกว่าผมชอบทานแกงเขียวหวานที่พ่อเปลวซื้อมาให้ วันถัดมาเปลวก็หาสูตรแกงเขียวหวานแล้วทำให้ผมทานในทันที

       ..คิดถึงคุณจังเลยเนอะ



       “ภารกิจอะไรของคุณกัน” ผมเอ่ยถาม ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาจนหุบไม่อยู่ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ เป็นปฏิกิริยาอัติโนมัติที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว

       “ก็…เอาหนังสือมาให้คุณอ่าน แล้วก็..มาเจอคุณครับ”

       “…” และก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่หัวใจผมเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกแบบนี้

       “วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะหนาว ยังไงคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะเทียน เดี๋ยวหลังเรียนเสร็จจะเอาเสื้อกันหนาวมาให้”

       “โอเค เปลวรีบไปเถอะเดี๋ยวสาย”

       …หลังจากนั้นพวกเราก็แยกกัน เปลวโบกมือลาก่อนจะเดินไปทางออกของโรงพยาบาล ส่วนผมเมื่อรับหนังสือมาจากเขาเรียบร้อยผมก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องพักผู้ป่วยดังเดิม

       จริงๆ..ที่ลงมาข้างล่างนี่ก็เพราะจะมาเจอเปลวนั่นแหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกวันผมจะตั้งตารอเพื่อเจอเขาอยู่เสมอเลย

       วันนี้ก็เช่นเดียวกัน…อีกเก้าชั่วโมงเปลวน่าจะเรียนเสร็จ ผมจะอ่านหนังสือที่เขาพึ่งให้มาฆ่าเวลาเพื่อรอให้ถึงตอนที่เปลวจะมาหาผมอีกครั้ง หลังจากนั้นผมก็จะเล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ให้เขาฟัง รับเสื้อกันหนาวจากเขา เอ่ยขอบคุณ ถามกันว่าระหว่างวันเป็นยังไงบ้าง พูดคุยกัน หัวเราะไปด้วยกัน ก่อนจะเอ่ยลากันด้วยคำว่า ‘เจอกันใหม่พรุ่งนี้’

       ภาพในหัวถูกวาดขึ้นมามากมาย ผมเห็นรอยยิ้มของเปลว สีหน้าของเขาที่อบอวลไปด้วยความสุข เพียงเท่านี้ช่วงวันของผมที่แสนเงียบเหงาก็กลายเป็นวันที่พิเศษขึ้นมาในทันที

       ขอให้..เป็นอย่างที่หวังนะ





       หนังสือที่เปลวเอามาให้ผมอ่านเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต ในเล่มนี้พูดถึงความสุขของคนเราในหลายๆความหมาย ผมใช้เวลาระหว่างที่รอนี้กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร เปิดแต่ละหน้าเบาๆด้วยความทะนุถนอม ซึมซัมสิ่งที่หนังสือต้องการจะสื่อให้ได้มากที่สุด

       ในเล่มบอกว่าความสุขมักจะทำให้เรายิ้มได้ ทำให้เราหัวเราะ ทำให้เรามองโลกใบนี้ในแง่มุมที่ดีขึ้น บางครั้งก็เกิดขึ้นเพราะว่าได้พูดคุย ได้สบตา ได้นั่งมองจากฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร และที่สำคัญคือ ความสุขเกิดขึ้นเพราะ..ได้รักในสิ่งนั้น พอได้อ่านทั้งหมดนี้ผมจึงสามารถนิยามความสุขได้เพิ่มอีกความหมายหนึ่ง

       ความสุขของผมคือ..เปลว

       ตอนนี้..ขอแค่มีเขา ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว



       



       แต่ผมลืมไป

       ผมลืมไปว่า..เทียนไขคนนี้ไม่เคยสมหวังกับอะไรเลย

       “…”

       ..เก้าชั่วโมงผ่านไปตามเวลาที่ผมได้คำนวณไว้ แต่ประตูห้องก็ไม่ถูกเปิดออก

       ..แสงสว่างจากภายนอกเริ่มหายไปแล้ว ในห้องที่ผมอยู่จึงค่อยๆมืดลง อากาศเริ่มเย็นเมื่อผนวกเข้ากับลมเอื่อยๆที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ ..หนังสือที่เปลวให้มาผมอ่านจบไปแล้ว ในใจกำลังเตรียมคำพูดที่จะบอกเล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ให้เขาฟัง ในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าซื่อๆของเขาตอนที่เห็นผมมีความสุขกับสิ่งที่เขาให้มา

       ผม..ทำได้แค่นั้น

       ทำได้แค่..วาดภาพอยู่ในหัว จมอยู่กับจินตนาการแสนเพ้อเจ้อของตัวเอง



       สุดท้าย..ท้องฟ้าก็ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆอีก จึงแน่ใจได้แล้วว่าวันนี้..เป็นแค่ ‘อีกวัน’ จากจำนวนวันที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของคนป่วยที่กำลังจะจากไปอย่างผม..

       ที่จริง..ผมอาการแย่ลงมากสำหรับเรื่องไต ไม่ว่าจะทานยาหรือรักษาด้วยวิธีใดแต่อาการผมก็ยังไม่ดีขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้น..ผมอาการทรุดลงเมื่อสองวันที่ผ่านมา และต้องเริ่มฟอกไตตั้งแต่วันพรุ่งนี้

       ..ผมทราบความจริงในเรื่องนี้ดี แต่ในหัวของผมไม่สามารถยอมรับมันได้ ทันทีที่ผมปล่อยให้ตัวเองนึกถึงหรือเป็นกังวลเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมก็จะหวาดกลัวขึ้นมา และทันทีที่ผมหวาดกลัว ภาพและเสียงที่ผมพยายามหลีกหนีก็จะกลับมาอีกครั้ง

       เพราะเหตุนี้เปลวจึงเป็นความสุขเดียวที่ผมมีอยู่ ผมอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ไปกับการได้เจอเขา พูดคุยกับเขา

       ..ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันกับเขา..ตลอดจนกว่าวันนั้นจะมาถึง

 

       ผมอยากให้เป็นแบบนั้นมากๆเลย แต่ว่า…ฮ่าๆ มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ คงจะ..ผิดที่ผมเองนี่แหละ ที่ไม่เคยเผื่อใจสำหรับเวลาแบบนี้เลย ..ผิดที่ผมเชื่อเสียสนิทใจในทุกคำที่เปลวพูด..

       ‘เดี๋ยวหลังเรียนเสร็จจะเอาเสื้อกันหนาวมาให้’

       ..และเพราะผมเชื่อว่าเปลวจะมาหา พร้อมกับเอาเสื้อกันหนาวมาให้จริงๆ ในใจของผมเลยกลับมาเจ็บปวดอีกแล้ว..

       “…” ..ไม่รู้ว่าทำไมสายตาของผมถึงเอาแต่มองไปที่ประตู ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าเปลวไม่มาแล้ว ไม่รู้เลยว่า..ทำไมลึกๆในใจผมยังคงหวังอยู่ ยังคง..หวังอยู่เล็กๆว่าเปลวกำลังเดินทางนำเสื้อกันหนาวมาให้ผมอยู่ ยังคง..หวังว่าจะได้คลายหนาวด้วยเสื้อกันหนาวตัวนั้น



       ตุบ!

       ..หนังสือปกแข็งร่วงหล่นไปจากมือ ผมจึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริงอันว่างเปล่า

       “…”

       คุณคง..ไม่มาแล้วจริงๆ



       สำหรับวันนี้..คงได้เวลาบอกลากันแล้ว

       ..เมื่อเริ่มยอมรับความจริงที่ไม่อยากยอมรับได้ ผมจึงหยิบหนังสือที่เปลวให้ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกอดมันไว้ในอ้อมอก

       “เจอกันพรุ่งนี้นะ”

       ไว้พรุ่งนี้..ถ้าคุณมาผมจะเล่าให้ฟังนะครับว่านิยามความสุขของผมเป็นอย่างไร











       ..แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้ผมได้รู้ว่าเช้าวันใหม่มาเยือนแล้ว วันใหม่..ที่ปกติต้องได้ยินเสียงของคุณ

       คุณ..กำลังเดินทางมาหากันแล้วใช่ไหม..?



       คิดได้แบบนั้นแล้วผมจึงยิ้มออกมา ก่อนจะรีบจัดการกับอาหารเช้า ทำธุระส่วนตัว แล้วลงไปข้างล่างทันทีพร้อมกับหนังสือที่เปลวให้ซึ่งผมแนบไว้ในอ้อมกอด และไม่ลืมที่จะเดินไปบอกกับพี่พยาบาลใจดีคนเดิมว่าผมจะลงไปข้างล่าง

       จุดหมายที่ผมจะไปก็คือม้านั่งตรงสวนข้างหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติ จุดนั้นเป็นจุดที่ผมและเปลวต่างก็รู้กันดี อาจจะเรียกได้ว่า..เป็นสถานที่สำหรับเราเลยก็ได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งเรามักจะเจอกันที่นี่ และมักจะนั่งคุยกันตรงม้านั่งตัวนั้นเสมอ

       ฉะนั้นวันนี้ผมก็เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าจะได้เจอเปลวที่นั่น



       ทว่า..แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร สิ่งที่อยู่กับผมก็มีเพียงหนังสือเล่มเดิมในอ้อมแขนของตัวเอง และที่นั่งข้างๆที่ว่างเปล่า

       ผมอยากจะนั่งรออยู่ตรงนี้ด้วยความหวังลมๆแล้งๆอีกซักนิด หากแต่ผมไม่อาจทำได้อย่างใจต้องการ เมื่อถึงเวลาที่แพทย์นัดไว้..พี่พยาบาลที่ผมบอกเอาไว้ว่าจะไปนั่งเล่นที่สวนเขาก็มาตามให้ไปเข้ารับการฟอกไต

       เป็นการ..ฟอกไตครั้งแรกในชีวิตเลย



       จริงๆผมวาดภาพเอาไว้เหมือนกันนะว่าเปลวจะอยู่ข้างๆผม รอผมจนกว่าการฟอกไตจะเสร็จสิ้น  มืออุ่นๆของเขาประสานกับฝ่ามือของผมให้ความรู้สึกหวาดกลัวในใจมันหายไป แต่น่าเสียดายที่พอเอาเข้าจริงๆ..กลับไม่มีเปลวอย่างที่ผมวาดฝันเอาไว้

       ‘หมอครับ ..ขอผมจับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ได้ไหม..’ ผมก็คงจะต้อง.. พยายามข่มความกลัวเอาไว้ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว



       หลายชั่วโมงผ่านไป การฟอกไตแล้วเสร็จสำหรับวันนี้ ผมจึงถูกส่งขึ้นมาพักผ่อนบนห้องพักผู้ป่วยดังเดิม และทุกอย่าง..ก็ยังคงเงียบเหงาเหมือนเดิม

       ก่อนนอนคืนนั้น ผมกระชับหนังสือที่เปลวให้ขึ้นมากอดอีกครั้ง สายตายังคงมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวัง ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กๆออกมาด้วยความสุข..

       “เจอกันใหม่พรุ่งนี้” ..ที่ผมสรรสร้างขึ้นมาปลอบประโลมหัวใจที่กำลังร้องไห้









       คืนนั้นผมฝัน.. ฝันถึงเปลวและผมในอดีต ..ภาพในฝันเป็นสีโทนซีเปีย ฉากในฝันเป็นห้องนอนสีเทาหม่นของเปลว..ที่โซนโปรดของเขา เรากำลังเล่นเกมด้วยกัน ท่ามกลางเสียงบ่นเป็นระยะๆของเปลวเพราะไม่สบอารมณ์ที่ผมเล่นไม่เก่ง ทว่าพอเจ้าตัวเห็นว่าผมน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ยื่นจอยบังคับมาให้ผมพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า ‘มานี่เดี๋ยวกูสอน’ ก่อนจะขยับมานั่งอยู่ข้างหลังผมแล้วจับมือผมให้บังคับจอยตามที่เขาทำ ..ในฝันนั้นเปลวและผมต่างเราก็มีความสุข ถึงแม้ตอนแรกจะขุ่นเคืองกันอยู่บ้างแต่หลังจากนั้นเราก็มีแต่เสียงหัวเราะ

       หากแต่..ความสุขของเราอยู่ได้แค่เพียงชั่วขณะหนึ่งฉากในฝันก็เปลี่ยนไป



       เปลวยืนหันหลังอยู่ข้างหน้าผมในชุดนักศึกษา เขาใส่หมวกหมวกไหมพรมที่ผมถักให้ ระยะห่างระหว่างเราค่อนข้างไกลกันพอสมควร ฉากรอบนอกมีเพียงแสงสว่างสีขาว

       ‘เปลว.. เปลวรอด้วย’ เทียนไขในฝันเอื้อมมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับวิ่งไปหาคนที่เขารัก ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปเท่าไหร่เปลวก็ยิ่งไกลออกไปมากเท่านั้น

       ‘เปลว!’ ผมตะโกนเรียกอีกครั้ง และครั้งนี้เปลวก็หยุดอยู่กับที่ เขากำลังจะหันกลับมาหาผม

       ‘เปลว..รอด้วย!’ ตัวผมในฝันยังคงร้องเรียกเขาอยู่อย่างนั้น และจังหวะนั้นเองที่เปลวหันกลับมาหาผม ใบหน้าหล่อของเขากำลังจะปรากฎรอยยิ้มกว้างขึ้นมา ทว่าจู่ๆ..รอบนอกของเราก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน มือของผมเอื้อมออกไปข้างหน้าหวังจะจับต้องเปลว หากแต่..ไม่ทันที่ผมจะได้สัมผัสตัวเขา..

       ‘ขอโทษนะเทียนที่กูปกป้องมึงไม่ได้’

      เปลวก็จางหายไป

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 10:38:09
15


‘น้ำตาเทียน’


2/2





       “เปลว!” ผมตกใจตื่นขึ้นมาทันทีที่ภาพในฝันทุกอย่างมืดสนิท เมื่อรู้สึกตัวการหายใจของผมก็หนักหน่วงรุนแรง เหงื่อกาฬผุดขึ้นตามลำตัวเต็มไปหมดทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น

       “…” ใช้เวลาชั่วครู่สำหรับคนป่วยอย่างผมในการรวบรวมสติกลับมา แต่ไม่นานนักผมก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่มันไม่ใช่ความจริง

       ..ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง แล้วผมก็พบว่าตอนนี้เช้าแล้ว..เป็นรุ่งอรุณสุดท้ายของปีนี้ เข็มสั้นบนนาฬิกาที่ฝาหนังอยู่ระหว่างเลขแปดและเก้า ผมจึงสลัดภาพความฝันเมื่อครู่ออกแล้วลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะ..ลงไปรอเปลวอีกครั้ง

       หลังจากที่ทานข้าวและทานยาเสร็จเรียบร้อยผมก็ลงไปข้างล่าง มุ่งตรงไปที่ม้านั่งตัวเดิม พร้อมกับหนังสือของเปลวเช่นเดิม

       ..ระหว่างทางผมเปิดหนังสือที่เปลวให้ไว้ขึ้นมาอ่านอีกครั้งเผื่อว่าผมอาจจะลืมเนื้อหาบางส่วนไป เวลาที่จะไปเล่าให้เปลวฟังเนื้อหาจะได้สมบูรณ์ครบถ้วน ..ผมใช้เวลาในการเดินประมาณห้านาทีผมก็มาถึงม้านั่งอันเป็นจุดหมาย จริงๆผมก็ยังก้มอ่านหนังสืออยู่แหละ แต่ก็รับรู้ได้เพราะตรงนี้จะมีลมอยู่แทบจะตลอดเวลา



       “เทียนครับ” เสียงอันคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาท ผมลดระดับของหนังสือตรงหน้าลง ก่อนจะหันไปด้านหลังซึ่งเป็นที่มาของเสียงที่ได้ยิน แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หันไปผ้าหนาๆก็ถูกคลุมมาที่ไหล่ของผม “ตรงนี้ลมแรง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

       “…” ..และทันทีที่ผมรู้ว่าเป็นใคร จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้

       “ผมขอโทษนะที่หายไป” เปลว..กลับมาหาผมแล้ว คุณกลับมาหาผม..กลับมาอย่างที่คุณพูดเอาไว้ ..ถึงแม้มันจะเลยมาสองวันแล้ว แต่ผมก็ดีใจเหลือเกินที่คุณกลับมา..

       ดีใจเหลือเกินที่คุณไม่ได้โกหกกันอีก..



       “ผมติดธุระนิดหน่อย..พึ่งเรียบร้อยเมื่อวาน ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกคุณเอาไว้ก่อน”

       “ครับ ไม่เป็นไร อย่างน้อยเปลวก็กลับมาหาเราแล้ว” ผมกระชับเสื้อกันหนาวให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหันไปหาคนตัวสูงด้วยรอยยิ้มที่ส่งตรงมาจากหัวใจ ทว่ารอยยิ้มของผมก็ต้องหุบลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่ที่มือข้างนึงของเปลว “…มือเปลวไปโดนอะไรมา?”

       “…” เจ้าตัวดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าผมไปสังเกตเห็นบาดแผลที่ถูกปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วของเขา

       “เจ็บไหม? ขอเราดูหน่อย..” ผมจับมือเขาขึ้นมาดูด้วยความร้อนรน พลิกสังเกตซ้ายและขวาเบาๆ

       ..ดีเหลือเกินที่ดูเหมือนจะไม่ใช่บาดแผลรุนแรง



       “สะบัดมือไปชนขอบโต๊ะน่ะครับ ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”

       “โธ่ ทีหลังเปลวต้องระวังให้มากกว่านี้นะ” ผมเอ่ยบอกเขาอย่างจริงจัง คิ้วทั้งสองเผลอขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะออกมานั่นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่า…ผมเป็นห่วงเขา

       “ครับ ผมจะเชื่อฟังหมอเทียนครับ!” เปลวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับตอบเสียงใส และคำว่า ‘หมอเทียน’ ที่เปลวพูดเมื่อกี้ก็ทำให้ผมที่สีหน้าจริงจังเมื่อครู่หลุดขำ

       “ยังไม่ใช่หมอซักหน่อย”

       “เดี๋ยวก็ใช่ครับ” เจ้าตัวรีบพูดต่อทันทีด้วยน้ำเสียงยียวน ทว่ามันกลับ..ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจ “..ถึงตอนนั้นผมจะป่วยเยอะๆแล้วไปให้หมอเทียนรักษา”

       “เรื่องไม่มีใครคิดทำ เปลวคิดตลอดเลยนะ”  อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว ..เปลวเป็นคนแบบนั้นจริงๆตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เรื่องไหนที่แปลกๆ ไม่มีใครคิดทำ เปลวมักจะทำ



       “เปลวจะรอ..จนกว่าเราจะเรียนจบมั้ยล่ะ” ผมถามต่อ และคำตอบที่ได้ก็ทำเอารอยยิ้มของผมหุบไม่อยู่..

       “รออยู่แล้วครับ”

       “…”

       “รออยู่ตรงนี้..”

       “…”

       “อยู่ข้างๆคุณตลอดไปเลย”



       ..ขอบคุณนะเปลว

       ขอบคุณที่ทำให้..เราอยากกลับไปทำตามความฝันอีกครั้ง



        ..กระแสลมพัดผ่านพวกเราทั้งสองอีกระลอก นำพาเอาความหนาวเย็นมากระทบผิวหนัง ดีหน่อยที่ผมได้เสื้อกันหนาวของเปลวช่วยเอาไว้ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นซักเท่าไหร่ ..ผมและเขาเดินมานั่งตรงม้านั่งกันแล้ว ตลอดช่วงที่ได้พูดคุยกัน บรรยากาศรอบนอกที่ผมรับรู้ก็อบอวลไปด้วยความสุข ผมยิ้ม..เปลวก็ยิ้ม เราต่างก็หัวเราะไปด้วยกันกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง

       และในที่สุด..ผมก็ได้เล่าเรื่องราวจากหนังสือให้เขาฟัง โดยที่ไม่ใช่ภาพเพ้อฝันที่ผมวาดขึ้นมาในหัวอีก..

       “เปลวรู้มั้ยความสุขคืออะไร” ผมหันไปหาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า หนังสือที่เปลวให้มาตอนนี้ผมวางมันไว้บนหน้าตัก มือข้างหนึ่งจับมันไว้ด้วยความหวงแหนส่วนอีกข้างวางไว้บนพื้นที่ระหว่างผมกับเขา ในใจนึกไปถึงความรู้สึกตอนที่ได้อ่านเนื้อหาข้างใน “..หนังสือเล่มนี้ที่เปลวให้เรามา เขียนบอกเอาไว้ว่า ความสุข..มักจะทำให้เรายิ้มได้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะว่าเรารักในสิ่งนั้น ..อาจจะเป็นหน้าที่การงาน วิชาชีพ งานอดิเรก หรือใครซักคน”

       “…” ..คนตัวสูงขยับหันมาหาผมอย่างใคร่รู้ เราสบตากัน ผมจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของเปลวได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ

       “..เราลองคิดๆดูแล้ว…ความสุขของเราก็แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย”

       “…”

       “แต่ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ความสุขของเรามักจะเกิดขึ้นเพราะคนๆนึง” ..ก่อนหน้านี้ผมเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความสุขมันหน้าตาเป็นแบบไหน ชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียวแต่เหมือนกับแบกรับโลกทั้งใบเอาไว้มันทำให้ผมเหนื่อยล้าและท้อใจเป็นอย่างมาก จนสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ดูน่าเบื่อไปเสียหมด เป็นแบบนั้น.. กระทั่ง..ความสุขของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง

       “ใครกันครับ..?”

       “เขา..เหมือนเป็นโลกทั้งใบของเรา” ..เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเพราะใครคนนึงที่ผมเคยเกลียดแสนเกลียด ทว่าพอเราได้เข้าใจกัน..รู้ตัวอีกทีใครคนนั้นก็เป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว “..เขาทำให้แต่ละวันที่มันไม่มีอะไรเลยของเรา กลับมาเป็นวันที่แสนพิเศษ”

       “…”

       “เขาชอบซื้อของมาฝากเรา ทำอะไรมาให้เราอยู่บ่อยๆ ครั้งนึงเขาเอาแอปเปิลรูปกระต่ายมาให้ เขาบอกว่าเขาซื้อมาแต่เรารู้..เรารู้ว่าเขาเป็นคนหั่นมาเอง เพราะแอปเปิลทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนสมส่วนเลย” นึกแล้วก็แอบขำอยู่เหมือนกันนะตอนนั้น เขาบอกว่าเขาซื้อมา แต่พอผมเอามาดู..แอปเปิลทุกชิ้นขาดๆเกินๆหมดเลย พลาสติกถนอมอาหารก็ห่อไม่ได้มาตรฐานซักเท่าไหร่ “..แต่เรากลับยิ้มไม่หุบเลย เมื่อเห็นถึงความตั้งใจของเขา”

       “…”

       “เขาเป็นคนที่เราต้องขอโทษเขาอยู่บ่อยๆเพราะเราทำร้ายเขาเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้..เราอยากจะขอบคุณเขา”

       “…”

       “ขอบคุณ..ที่เขาเข้าใจเรา ไม่ถือโทษโกรธในสิ่งที่เราทำกับเขาแล้ว”

       “…”

       “ขอบคุณ..ที่เขาทำให้เราหายเศร้า เลิกหวาดกลัว ทำให้เรายิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น พูดเก่งมากขึ้น ..ทำให้อาการป่วยของเราดีขึ้นอย่างรวดเร็ว” ..คุณหมอภวิดาเคยบอกกับผมว่าอยากให้ผมนึกถึงคนสำคัญของผมเอาไว้ พวกเขาจะคอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอ ซึ่งใครคนนั้นก็เป็นคนสำคัญของผมเช่นเดียวกัน เมื่อผมทำตามที่หมอบอกหลังจากนั้นอาการป่วยของผมก็ดีขึ้นมาก ถ้าวาดลงกราฟ..กราฟของผมก็ไม่เคยตกอีกเลย มีแต่คงที่และพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ผมเลยอยากขอบคุณคุณความสุขของผมและอยากให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของผม..

       “…”

       “ขอบคุณนะเปลว…สำหรับทุกอย่างเลย” ..ที่ผมรู้สึกมาตลอดหลังจากที่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้



       ..ใบไม้สีน้ำตาลหลายสิบใบร่วงหล่นมาจากต้น ก่อนจะถูกสายลมพัดพาให้ปลิวตกลงสู้พื้นดินอย่างช้าๆ หากแต่มีใบไม้ใบนึงที่แปลกแยกจากเพื่อนสูง มันไม่ปลิวตกลงสู่พื้น แต่มันกลับปลิวมาตกบนหน้าผม ผมที่กำลังจริงจังกับเรื่องที่พูดออกไปเมื่อครู่  โธ่…เปลวต้องหัวเราะผมแหงๆ

       “เทียน..ใบไม้..” นั่นไง ผมคิดไม่ผิดเลย ..คนตรงหน้าพอเห็นแบบนั้นแล้วก็หัวเราะลั่นอย่างที่ผมคิดไว้ ..แต่หลังจากนั้นเปลวก็ยื่นมือมาใกล้ผม ก่อนจะค่อยๆหยิบใบไม้ที่ติดอยู่บริเวณพื้นที่ตาและสันจมูกของผมออก ทันทีที่ผิวนุ่มๆจากฝ่ามือของเขาสัมผัสโดนใบหน้า..หัวใจของผมก็เริ่มทำงานหนักอีกแล้ว



       “เทียนครับ” เสียงอันคุ้นหูเอ่ยเรียก ..ใบไม้ถูกกำจัดออกใบจากใบหน้าผมแล้ว หากแต่สัมผัสจากมือของเปลวก็ยังคงทำให้หัวใจของผมเต้นถี่ระรัว ผิวนุ่มๆไม่ได้สัมผัสใบหน้าผมแล้วแต่ว่าเลื่อนลงมาสัมผัสที่ฝ่ามือของผมที่วางอยู่ระหว่างผมและเปลวแทน..



       “แล้ว..เทียนรู้มั้ย ตอนนี้ความสุขของผมคืออะไร”

       “…”

       “ความสุขของผมตอนนี้คือรอยยิ้มของคุณ”

       “…” นี่เปลว..ไม่ได้วางแผนจะทำให้ผมหัวใจวายใช่ไหมครับ..

       “อาจจะเพราะผมเคยเห็นแต่ตอนที่คุณร้องไห้ พอได้เห็นคุณยิ้มผมก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า..นี่แหละคือความสุขของผม”

       “…”

       “ผมเลยสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะทำให้คุณยิ้ม และจะไม่ทำให้คุณกลับไปร้องไห้อีกแล้ว” ..เปลวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมยิ้มให้กับสิ่งที่ได้รับรู้ ก่อนจะละมืออีกข้างจากหนังสือบนหน้าตักมาแนบบนหลังมือของเปลว ดวงตาสีนิลของเขาก้มมองลงมาที่มือของผม ทว่าหลังจากนั้น..จู่ๆเปลวก็นิ่งไป ไหล่กว้างของเขาสั่นเทาขึ้นมาจนผมสังเกตได้ “เพราะฉะนั้น..สัญญาเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมเทียน.. ว่าคุณ..จะไม่ร้องไห้อีกแล้ว”

       “…” เปลวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ..เขายังคงก้มมองไปที่มือของเราที่สัมผัสกันอยู่เหมือนเดิม ผมมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ ทีแรกผมก็ดีใจนะ..ที่รอยยิ้มของผมเป็นความสุขของเขา แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างมัน..ผิดเพี้ยนไป

       “นะ..สัญญานะ..” ..อาจจะเพราะการเว้าวอนของเปลวแบบนี้ น้ำเสียงที่สั่นเครือของเขาทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด..

      “…”

      “..สัญญากัน..นะ” ..ผมอาจจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เปลวต้องการซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันสามารถทำให้ไหล่กว้างของเขาหายจากอาการสั่นเทา สามารถทำให้น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาเลิกสั่นเครือได้แล้วล่ะก็..

       “สัญญาครับ” ..ผมก็ยินดีที่จะรับคำ



       ..หลังจากนั้นท่าทีของเปลวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม ผมพยายามสังเกตสีหน้าของเขาทว่าก็ไม่ได้คำตอบอะไร เพียงแต่นัยน์ตาสีนิลของเขาทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในหัว เพราะเส้นเลือดในตามันดูแดงขึ้นมาราวกับว่าเมื่อครู่เปลวกำลังจะร้องไห้

       เราคุยกันได้ซักพักพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาจากหมู่เมฆ สาดแสงและความอบอุ่นลงมา ..ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์อยู่เกือบจะเหนือหัวแล้วก็เลยหันไปหาเปลวอีกครั้ง 

       “ใกล้จะเที่ยงแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน คุณหมออนุญาตเราแค่ถึงเที่ยง เราต้องพักผ่อน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นหนังสือของเปลวคืนเขาไป “ขอบคุณนะที่เอามาให้เราอ่าน”

       “ครับ งั้นผมไปเรียนก่อน พักผ่อนเยอะๆนะครับ ..หมอเทียน”

       “…” ..ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าเปลวกลัวผมไม่เชื่อว่ารอยยิ้มของผมเป็นความสุขของเขาหรือเปล่า เพราะคำว่า ‘หมอเทียน’ ของเขาทำให้ผมยิ้มไม่หยุดเลยวันนี้ 

       งั้น..ถ้าเป็นแบบนั้น ผมขอทำให้เขายิ้มไม่หยุดบ้างดีกว่า

       จะได้..เท่าเทียม : D

       “คนไข้ก็..ตั้งใจเรียนนะครับ”

   





       หลังจากที่แยกตัวออกมาผมก็กลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้งเพื่อทานอาหารกลางวัน ..ยอมรับว่าจนถึงตอนนี้แล้วผมก็ยังยิ้มไม่หุบ ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากๆ ที่การรอคอยของผมไม่สูญเปล่า ผมได้ทำสิ่งผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผมได้บอกเล่าเรื่องราวภายในหนังสือให้เปลวฟัง ได้พูดคุยกับเขา รับเสื้อกันหนาวมาจากเขา และได้ขอบคุณเขาจากใจจริง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมเลยที่..หลายๆอย่างเป็นไปอย่างที่ผมหวัง



       นั่งยิ้มนอนยิ้มไปได้ซักพักผมก็เข้าไปแทรกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวเพื่อพักผ่อน ทว่า..ไม่ทันที่ผมจะได้หลับตาประตูห้องก็ถูกเปิดออก..

       “คุณเทียนไขคะ คุณหมอภวิดารออยู่ที่ห้องทำ ECT แล้วค่ะ” พี่พยาบาลเดินเข้ามาเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร พอได้ยินสิ่งที่เธอบอกผมจึงได้รู้ว่าผมลืมตารางการรักษาของตัวเองไปเสียสนิท ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ผมต้องทำ ECT

       “โอเคครับ” ผมตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วค่อยๆหย่อนขาลงจากเตียง พี่พยาบาลเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยเหลือ

       “วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะสำหรับการทำ ECT หลังจากนี้คุณหมอภวิดาจะเปลี่ยนการรักษาเป็นจ่ายยาให้ทานเหมือนเดิมค่ะ”



       ดูเหมือนว่า..

       วันนี้จะเป็นวันที่ดีมากๆเลยล่ะเปลว ถ้าคุณรู้คุณต้องดีใจมากแน่ๆ..

       อาการป่วยของผม..อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อันตรายต่อผู้อื่นแล้ว



       

        …เวลาผ่านไปจนทุกอย่างเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่เพราะหมอภวิดาอยู่พูดคุยกับผมต่อด้วย กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว เธอถามไถ่ถึงอาการของผม ความรู้สึกของผมตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็บอกเธอไปตามตรง ส่วนคุณหมอ..พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ดูเธอโล่งใจขึ้นมากๆ เธอเอ่ยชมผมอยู่หลายครั้งว่าผมเก่งมากๆที่ผ่านมันไปได้ ..ทั้งหมดทั้งมวลนี่ผมก็ต้องขอบคุณคุณหมอเขามากๆเลย เธอไม่เคยยอมแพ้เลยถึงแม้ว่าอาการผมจะแย่ลงอยู่หลายครั้ง ต้องขอบคุณหมอจริงๆที่สู้ไปกับผมและไม่เคยทิ้งผมเลย

       ..ขอบคุณมากนะครับ



       จากนั้นเราก็มีคุยกันเรื่องแผนการรักษาต่อจากนี้อีกซักหน่อย เพราะผมยังต้องพึ่งยาอยู่เพื่อให้หายขาดและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นหนักอีก ซึ่งกว่าจะเสร็จพระอาทิตย์ก็ย้ายตำแหน่งมาอยู่ทางทิศตะวันตกเสียแล้ว

       ..ท้องฟ้าเบื้องบนมีหมู่เมฆปรากฎอยู่ประปราย หมู่เมฆพวกนั้นกำลังเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของมัน ..ผมที่พึ่งเสร็จจากกระบวนการรักษาทุกอย่างกำลังพาตัวเองไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นไปบนห้อง แต่ระหว่างทางที่ค่อยๆเดินไปผมก็มองหมู่เมฆพวกนั้นไปด้วย

       ..แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกใส ตกกระทบกับพื้นหินอ่อนสีขาวจนเห็นเป็นเงาของช่องหน้าต่างอยู่ที่พื้น ..ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ดูสวยงามเหมือนกันนะ เพียงแต่แดดค่อนข้างแรงไปหน่อยผมเลยรู้สึกแสบตา

       ทว่า..จู่ๆเงาที่พื้นหินอ่อนก็ค่อยๆจางหายไป แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาเมื่อครู่..ก็หายไปเช่นกัน ..เมฆก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวไปบดบังดวงอาทิตย์ จนทำให้มุมมองจากบนโลกตรงนี้ไม่สามารถสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ได้ เพราะงั้นผมจึงสามารถจ้องมองท้องฟ้าได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะแสบตาเพราะแสงอาทิตย์อีก 

       มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วใช่ไหม..? ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึก..หวั่นๆใจยังไงก็ไม่รู้



       ‘กูอยากเป็นพระอาทิตย์ ที่ทำให้ท้องฟ้าน่ามองได้แบบนี้’



       จู่ๆคำพูดของเปลวก็ดังขึ้นมาในหัว ตอนนั้นผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเลยซักนิด แต่ว่าตอนนี้..ภาพเมื่อครู่ได้อธิบายอะไรบางอย่าง..



       ท้องฟ้าจะน่ามอง

       ก็ต่อเมื่อ..พระอาทิตย์หายไป







       ..ผมสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัว ก่อนจะรีบเดินไปยังลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ใช้เวลาชั่วครู่ผมก็มาถึงบริเวณหน้าลิฟต์ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกดลูกศรชี้ขึ้นตรงหน้า ก่อนจะขยับถอยออกมาเมื่อรอให้ประตูลิฟต์เปิดออก ..ตัวเลขข้างบนลิฟต์ครั้งแรกปรากฎเป็นเลขเจ็ด แต่ก็ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ เมื่อลิฟต์ใกล้จะลงมาถึงชั้นล่าง

       และขณะที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ผมก็ได้มีเวลาจมอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง

       ผม..พยายามบอกตัวเองว่าให้มองไปยังอนาคต คิดถึงอนาคตต่อจากนี้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน แต่ทว่า..เสียงของเปลวที่จู่ๆผมก็นึกถึงก่อนหน้านี้ก็ยังคงรบกวนใจผมอยู่ตลอด

       และสุดท้าย..ผมก็สลัดมันออกไปจากหัวไม่ได้



       ‘ถ้ามึงบอกว่ามึงจะไม่ทำอีกแล้ว กูก็คงจะไม่มีเหตุผลอะไรจะโกรธมึงแล้วเหมือนกัน’

       ‘โอเค โล่งแล้วกู’

       ‘เออแล้วเมื่อกี้ที่มึงพูด..มันหมายความว่าไงวะ?’

       ‘ที่กูพูด..?’

       ‘ก็ที่มึงบอกมึงอยากเป็นพระอาทิตย์อะไรซักอย่างอะ อยากจะเก็ทแต่กูไม่เก็ทว่ะ..จริงๆ’

       ‘ฮ่าๆ มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก กูแค่หมายถึง.. จะว่าไงดี’

       ‘ว่าไงก็ได้ครับคุณ เร็วเถอะ อยากรู้’

       ‘ท้องฟ้าที่กูพูด..กูหมายถึงมึง’










       ติ๊ง!

       ..ในที่สุดประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก ตัวที่เปิดออกเป็นตัวที่อยู่ขวามือของผม เท้าซ้ายและขวาของผมจึงก้าวสลับกันไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงเมตร

       หากแต่..ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวไปต่อ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่า..ขาทั้งสองมันก้าวไม่ออกอีกต่อไปแล้ว

       ..ภาพที่เห็นคือคนตัวสูงที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี ข้างๆตัวเขามีเสาน้ำเกลือ และพยาบาลคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

       “..เปลว..” ผมเอ่ยเรียกคนที่ออกมาจากลิฟต์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาจนรู้สึกร้อนผ่าว

       รูปร่างของเขา.. ส่วนสูงของเขา.. ใบหน้า ริมฝีปาก และนัยน์ตาสีนิลของเขา..

       คนตรงหน้าผมตอนนี้..คือเปลวจริงๆ



       “…”

       ปกติผมก็ควรจะดีใจใช่มั้ย..ที่เปลวกลับมาหากันอีก.. ผมควรจะเป็นแบบนั้น..

       “คุณ..คุณเป็นอะไร ทำไมคุณถึง..” ..ผมควรที่จะ..ไม่ร้องไห้ ควรจะยิ้มออกมาอย่างทุกครั้งที่เราเจอหน้ากันไม่ใช่หรอ.. ทำไมตอนนี้ผมกลับ..ยิ้มไม่ออกเลย..

       “..อา..ฮ่าๆ ความลับไม่มีในโลกจริงๆสินะ..” ..ทุกอย่างมันตื้อไปหมด ในหัวขาวโพลน ทุกส่วนของร่างกายไม่มีส่วนใดเคลื่อนไหว

       “ทำไมคุณถึง..ใส่ชุดนี้” ผมเอ่ยถามคนตัวสูงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่พยายามคงไว้ให้ดูปกติให้มากที่สุด ..ตอนที่เจอกันเมื่อเช้าจนถึงตอนเที่ยงเขาใส่ชุดนิสิต หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าเขาจะไปเรียน แล้วเราก็แยกกัน ทุกอย่างมันก็ดูปกติดี คุณไปเรียนบ่ายเวลาเลิกของคุณก็น่าจะประมาณห้าโมงแต่นี่พึ่งบ่ายสามกว่าๆ ยิ่งไปกว่านั้น..ชุดที่คุณใส่อยู่..

        ..มือของผมเริ่มสั่นระรัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ และทุกอย่างมันก็ยิ่งหนักขึ้นเมื่อสายตาของผมเหลือบไปเห็นหลังมือของเปลวที่เคยมีผ้าพันแผล ตอนนี้กลับมีเข็มจากสายน้ำเกลืออยู่ด้วย

       …เปลวเอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้นและไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่มองผมด้วยสายตาที่ผมไม่อยากเห็น.. ไม่อยากเห็นเลย

       ไม่อยากเห็นเปลวเจ็บปวดเลย..



       ทำไมกันเปลว.. ทำไมคุณถึงใส่ชุดนี้..

       …ทำไมคุณถึงใส่ชุดเดียวกับชุดที่ผมใส่อยู่



       “เทียน..คุณจำสัญญาที่คุณเคยให้ผมได้มั้ยครับ จำได้มั้ย..ที่ผมเคยบอกคุณ..” ..เปลวขยับเข้ามาใกล้ผม เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เราห่างกันไม่ถึงฟุต

       “…” ..ภาพที่ผมเห็นเริ่มพร่าเบลอจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ..ฝ่ามืออุ่นๆของเขาเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของผม นิ้วหัวแม่มือของเขาเกลี่ยลงบนเปลือกตาของผมอย่างเบามือ วินาทีนั้นผมจึงไม่สามารถกลัดกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป หยาดน้ำสีใสไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่ได้..

       “สัญญากันแล้ว..ห้ามผิดสัญญานะรู้มั้ย”

       “…” ..ทำไมคุณถึงไม่เคยบอกผม ทำไมเปลวถึงไม่เคยบอกเราเลย.. ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เลย..

       “ห้ามร้องไห้ ไม่ร้องแล้วนะครับ ..นะครับ” ..น้ำเสียงทุ้มนุ่มเริ่มสั่นเครือ เปลวยังคงเว้าวอนให้ผมทำตามคำสัญญา แต่ผมก็ไม่อาจรักษาสัญญานั้นไว้ได้อีกแล้ว เพราะแบบนี้ใช่ไหม.. คุณถึงพยายามบอกเราอยู่หลายครั้งว่าไม่อยากให้เราร้องไห้..

       ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย..เปลว

       ทำไมคุณทำแบบนี้..



       “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่..ไข้หวัด..” คนตัวสูงลูบหัวผม รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา ทว่า..ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยคดี เสียงหวานของพยาบาลคนนั้นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเปลว

       “คุณทินกรคะ ห้องเอกซเรย์เชิญทางนี้ค่ะ” ..ทันทีที่ผมได้ยินผมก็แทบจะไม่มีแรงเหลือให้ยืนหยัดอยู่ตรงนั้นได้ ..ทำไมเปลวถึงต้องเอกซเรย์.. เปลวปกติดีไม่ใช่หรอ.. ก่อนหน้านี้เปลวยังยิ้ม ..เปลวยังหัวเราะไปกับผมอยู่เลย

       ภาพหลอน.. ใช่แล้ว นี่เป็นภาพหลอนต่างหาก.. มันไม่ใช่ความจริงหรอก..

       “..ฮ่าๆ ขอโทษนะครับที่ผมโกหกคุณมาตลอดเลย” มันต้อง…ไม่ใช่ความจริง

       “…” ..ทั้งๆที่พยายามบังคับให้ตัวเองเชื่อไปแบบนั้นแล้วแท้ๆ..

       “ผมต้องไปแล้วนะครับ”

       แต่กลับ..ไม่มีประโยชน์อะไรเลย








มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 10:51:52
       “…”

       ..เทียนไขนั่งนิ่งๆอยู่ข้างหน้าห้องเอกซเรย์ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า สายตามองไปข้างหน้าโดยไร้จุดโฟกัส ..ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ข้างหน้าเขา แต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่นิ่งๆแบบนั้นโดยแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

       เวลาผ่านไปแล้วร่วมชั่วโมง ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลง แต่ประตูที่อยู่ข้างหลังก็ยังไม่ถูกเปิดออก เปลวยังคงอยู่ข้างในนั้น เทียนไขจึงทำได้แค่พยายามข่มความรู้สึกในใจของตัวเอง และรอให้เวลาแต่ละวินาทีค่อยๆผ่านไป ซึ่งสำหรับเทียนไขแล้ว..มันนานเหลือเกินในความรู้สึก

       คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่เทียนไขก็ไม่สามารถรู้คำตอบของคำถามพวกนั้นได้เลย สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงจมอยู่กับความสงสัยเหล่านั้น จมอยู่กับภาพความทรงจำเก่าๆ..



       ‘เทียน มึงว่า..เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ยวะ’

       ‘เปลวก็รู้..ตลอดไปมันไม่มีจริง’

       ‘กูอยากจะเป็นคนแรกที่ทำให้มันเป็นจริง’

       ‘แต่ไม่ว่ายังไง..สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจากกันอยู่ดี’

       ‘ก็แค่จากกันปะวะ ยังไงก็ยังอยู่ด้วยกันได้อยู่ดี’

       ‘ไม่เก็ทอะ’

       ‘ก็..ถึงแม้จะจากกันไปแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกัน’

       ‘…’

       ‘อยู่ในใจของกันและกัน’

       ‘…’

       ‘ตลอดไป’




       ..ทำให้จนถึงตอนนี้..หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ยังคงไหลรินออกจากดวงตาทั้งสอง เทียนไขภาวนาอยู่ซ้ำๆว่าขอให้ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ความจริง บางทีนี่อาจจะเป็นฉากอันเลวร้ายฉากนึงในความฝัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นเพราะโรคประสาทของเขากำเริบขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว..ขอร้อง อย่าให้ทั้งหมดนี้เป็นความจริงเลย..



       “อ้าวเทียน” ..เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหู เทียนไขรับรู้ดีว่าตอนนี้กำลังมีใครซักคนเรียกชื่อเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้หันไปตามเสียงที่เรียก สายตาของเขายังคงมองไปข้างหน้านิ่งๆ แววตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ



       “เวลานี้คุณควรจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องแล้วนะครับ” จนเมื่อเสียงทุ้มนุ่มนี้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับนั่งลงข้างๆเขา ใบหน้าของเทียนไขจึงค่อยๆหันมา..

       “..เปลว..” เป็นใบหน้าที่..เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ซึ่งพอเปลวได้เห็นแล้วเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ในหัวของเขาคิดเพียงอยากจะปลอบประโลมเทียนไข ..อยากจะดึงคนที่เขาไม่เคยอยากให้ร้องไห้เลยเข้ามากอด ..อยากจะกุมมือที่เล็กกว่ามือของเขาเอาไว้แล้วบอกว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ..อยากจะลูบหัวเทียนไขด้วยความเอ็นดูอย่างที่เคยทำ แต่ตอนนี้เปลวคงไม่มีสิทธิ์นั้นอีกต่อไปแล้ว

       ..เขาลืมไปเลยว่า เปลวไฟอย่างเขา..ถ้ายิ่งใกล้ชิดเทียนไขมากเท่าไหร่ เทียนไขก็จะยิ่งละลายมากขึ้นเท่านั้น

       เปลวคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้เทียนไขมีความสุขและไม่กลับมาร้องไห้อีก แต่สุดท้าย..เมื่อการกระทำของเขาและคำพูดของเขามันเริ่มถลำลึก เทียนไขก็เจ็บปวดอยู่ดี

       เปลวไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น.. ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดที่เขาทำไปหวังเพียงแค่เทียนไขจะมีความสุข หวังให้ความสุขคงอยู่กับเทียนไขต่อไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยในสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้แม้ตอนนี้เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ตาม

       เป้าหมายของเปลว อาจจะเรียกได้ว่า..ส่งเทียนไขให้ถึงฝั่งละมั้ง ..พอเทียนไขมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้น เปลวได้ชดใช้ในสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้ ตอนนั้นเปลวก็คงจะไม่จำเป็นอะไรแล้ว ถึงเวลานั้น..ก็คงจะเป็นเวลาที่ดีมากๆ

       สำหรับ..การจากไป



       ..แต่ทุกอย่างก็พังทลายไปเสียหมด

       เพราะความ..ไม่รอบคอบของเขาเอง



       “คุณคง..จะอยากรู้ใช่ไหม..? ว่าผมเป็นอะไร” เปลวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะค่อยๆผ่อนออก ..ตอนนี้เขาคงไม่สามารถเป็นคนปกติในสายตาเทียนไขได้อีกแล้ว

       “อยากรู้..”

       “…” เปลวเหลือบไปเห็นฝ่ามือเล็กๆทั้งสองข้างของเทียนไขที่กอบกุมกันอยู่บนหน้าตัก มันสั่นเทา แต่ก็ยังพยายามปลอบประโลมกันและกันอยู่แบบนั้น ..หนึ่งความคิดแล่นเข้ามาในหัว เป็นความคิดที่สั่งการให้เปลวเอื้อมมือไปสัมผัสมือเล็กของเทียนไขเอาไว้ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทำ เสียงแหบพร่าของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น..

       “อยากรู้เรื่องอะไรหรอ”

       “…”

       “ฮ่าๆ เปลวเป็น..โลกทั้งใบของเราไง” ..จู่ๆภาพที่เห็นก็พร่าเบลอขึ้นมาทันที สุดท้ายแล้วเปลวก็ไม่อาจกลัดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้ได้ เม็ดน้ำตาร่วงหล่นลงมาจากนัยน์ตาสีนิลของเขาไม่รู้หยุด …เทียนไขเห็นดังนั้นแล้วจึงเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมา ก่อนจะมอบสัมผัสอุ่นๆผ่านฝ่ามือนั้นลงที่ข้างแก้มของเปลว นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงที่เปลือกตาอย่างเบามือเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ และที่แย่ไปกว่านั้น..

       “เปลว.. ไม่ร้องไห้นะ อย่าร้องไห้เลยนะ” ..รอยยิ้มของเทียนไขเป็นความสุขของเปลว เทียนไขจึงกำลังพยายามยิ้ม สรรสร้างรอยยิ้มออกมาให้สวยที่สุด เขายิ้มออกมา..ทั้งๆที่น้ำตาอาบแก้ม

       ภาพที่เห็นตรงหน้าจึงทำให้เปลวได้รู้.. การโกหกของเขาทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

       ท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ..ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย



       “เทียน..” เปลวเอ่ยเรียก ..มาถึงตอนนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะไม่บอกกันตอนนี้ แต่ซักวันนึงเทียนไขก็คงจะรู้อยู่ดี เพราะฉะนั้น..

       ขอโทษนะเทียนไข..ที่ต้องทำให้คุณเจ็บปวดอีกแล้ว



       คิดได้แบบนั้นเปลวจึงใช้หลังมือซับน้ำตาออก แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง..

       “คุณช่วย..มากับผมหน่อยได้มั้ยครับ” ก่อนจะพาเทียนไขไปพบคุณหมอประจำตัวของเขา





       





       ..ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย เปลวเลื่อนประตูตรงหน้าออกไปด้านหนึ่ง ก่อนจะเดินนำเทียนไขเข้าไป ซึ่งข้างในก็มีคุณหมอท่านหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว



       “สวัสดีครับคุณทินกร” คุณหมอเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มทันทีที่เห็นคนไข้ของตัวเองเข้ามาข้างใน และเขาก็ต้องแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นผู้ป่วยอีกคนเข้ามาด้วย

       “สวัสดีครับหมอ คนนี้เป็นเพื่อนสนิทของผม ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไง..ผมอยากรับรู้ไปพร้อมๆกับเขาครับ” เปลวตอบกลับ ก่อนจะแทรกตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของคุณหมอ เทียนเองก็เช่นกัน

       “ได้ครับ” คุณหมอคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าต่อเพื่อสังเกตดูผลที่ได้จากการเอกซเรย์อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนที่จะได้รู้ผลเพียงชั่วครู่นี้เปลวจึงหันกลับมามองใบหน้าหวานข้างๆอีกครั้ง..



       ‘ถ้าคุณร้องไห้อีก..ผมจะอยู่ข้างๆคุณนะ’



       เปลวคิดอยู่ในใจ ทันใดนั้นรอยยิ้มบางๆก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา เปลวจึงเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือเล็กเอาไว้



       ขอโทษนะ







       

       “เรายังไม่หมดหวังนะครับคุณทินกร” ไม่นานนักช่วงเวลาอันน้อยนิดนี้ก็หมดลง คุณหมอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับขยับจอคอมพิวเตอร์ให้ฝั่งตรงข้ามของเขาสามารถเห็นหน้าจอได้

       “…” ภาพที่ปรากฎบนหน้าจอก็คือ.. ภาพจากการเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์สองภาพ ภาพแรกทางฝั่งซ้ายมือมีก้อนเนื้อเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น อีกภาพทางฝั่งขวาก็มีก้อนเนื้อนี้เหมือนกัน ต่างกันก็เพียงแต่..

       ..มันใหญ่กว่าเดิมพอสมควรเลย





       “มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราทุกคนหวัง แต่ว่าหลังจากนี้..เราจะสู้ไปด้วยกัน” คุณหมอพูดต่อ ส่วนเปลวเมื่อได้เห็นภาพที่จอคอมพิวเตอร์แล้ว…เขาก็พูดอะไรไม่ออกเลย ถึงแม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ..

       “หมอขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบ เนื้องอกที่สมองของคุณทินกร..”

       “…”

       “เป็นเนื้อร้ายครับ” ..จิตใจเขากลับแหลกสลายแทบจะไม่มีชิ้นดี



       ..แต่ถึงกระนั้นเปลวก็พยายามคงรอยยิ้มไว้บนหน้าอยู่เช่นเดิม ส่วนหนึ่งเขายิ้มเพื่อตอบรับคำของคุณหมอ แต่ลึกๆแล้วเขายิ้ม..ยิ้มเพื่อที่จะไม่ให้คนข้างๆเขาตอนนี้ต้องร้องไห้ไปมากกว่านี้อีก..

       ทำอย่างที่เสียงๆหนึ่งเคยดังขึ้นมาในหัวของเขาเมื่อนานมาแล้ว..



       ‘ทำไมมึงขี้แยจังวะ เข้มแข็งหน่อยดิ ใครทำอะไรมึงมึงสวนเลย อย่าไปกลัว’

       ‘ขอโทษ.. เราขอโทษนะ ขอโทษที่ขี้กลัว..’

       ‘อ่าว..ร้องหนักกว่าเดิมอีก’

       ‘…’

       ‘มึงก็คงเป็นมึงสินะ งั้นเอางี้ละกัน..’

       ‘…’

       ‘กูจะปกป้องมึงเอง’














       ..ฝ่ามือทั้งสองยังคงกอบกุมกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งออกมาจากห้องตรวจ เขาและเทียนไขไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้ม ผู้คนภายในโรงพยาบาลเริ่มลดน้อยลง …เทียนไขตอนนี้สงบลงไปมาก ซึ่งผิดกับที่เปลวคิดเอาไว้ตอนแรก แต่เมื่อเปลวจะเริ่มเดินไปข้างหน้า จู่ๆเทียนไขก็ยืนอยู่นิ่งๆอยู่ที่เดิมไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน

       “เปลว” ..เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกเขาหลังจากจมอยู่กับความเงียบมานาน ..เทียนไขตอนนี้ไม่มีอีกแล้วสำหรับรอยยิ้มหวานๆ เขาก้มหน้างุด ร่างกายกลับมาสั่นเทาอีกครั้งเพราะแรงสะอื้น ..เทียนขยับมาใกล้เปลว ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับมือเปลวขึ้นมา..แล้วตบลงบนหน้าของตัวเอง



       เพี้ยะ!

       “ช่วยด่าเราหน่อย ทำร้ายเราที ทำยังไงก็ได้ให้เราตื่น..” ไม่ใช่หรอก..ไม่ใช่เลย นี่มันไม่ใช่ความจริง.. ตื่นเถอะ..ตื่นได้แล้ว… ไม่อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว..

       “เทียนอย่า..!” ..เทียนไขยังคงพยายามทำร้ายตัวเองไม่หยุด เมื่อเปลวไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองฟาดลงบนใบหน้าเต็มแรง ..ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ถ้ามันสามารถช่วยให้เขาตื่นจากฝันร้ายนี้ได้เขาก็จะทำ ..เทียนไขคิดแบบนั้น พยายามหลอกตัวเองต่อไปว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ความจริง หากแต่…ลึกๆในใจเขากลับรับรู้ทุกอย่างดี  เขาเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว..

       ..ภาพเอกซเรย์ที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ วันที่ที่ปรากฎบนภาพทางฝั่งซ้าย..เป็นวันเดียวกันกับวันที่เขาพบคุณหมอภวิดาเพื่อปรับแผนการรักษาเป็นการรักษาด้วย ECT

       ใช่แล้ว.. วันที่เขาเดินสวนกับเปลวตรงหน้าลิฟต์นั่นเอง



       เป็นวันนั้น.. วันที่เขาเอาแต่ด่าทอ เอาแต่พ่นคำพูดร้ายๆสาดใส่เปลวไม่รู้หยุด..



       ‘ฮ่าๆ… ไม่ได้หวังจะให้คุณอภัยให้กันหรอกนะครับ แต่แค่อยากให้คุณรับรู้บ้างซักนิด ว่าผมเองก็..’

       ‘กูไม่ได้อยากรู้ และที่สำคัญกูไม่ใช่คนในครอบครัวของมึง!!’

       ‘อา..นั่นสินะ ก็จริงของคุณ..’

       ‘ไปซะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว กูรำคาญ’

       ’ขอโทษอีกครั้งนะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือ..ผมพยายามแล้ว พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ..’




       ..โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าวันนั้นก่อนหน้าที่เปลวจะมาเจอเขา..

       เปลวพึ่งได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต



       ..วันนั้นเป็นวันที่เปลวอ่อนแอจนแทบจะไม่มีแรงยืน โลกทั้งใบของเขาหยุดนิ่ง เวลาก็เหมือนถูกหยุดด้วยเช่นกัน ทุกอย่างมันดูมืดมนไปหมด เสียงรอบข้างไม่มีผลอะไรต่อประสาทการได้ยินของเขาเลย ทว่าพอได้ยินเสียงเรียกของเทียนไข..เปลวก็กลับมาสู่ความเป็นจริง

       กลับมาเพื่อให้เทียนไขทำร้ายเขาซ้ำอีกครั้ง







       “ทำไมล่ะเปลว.. ทำไม ทำไมเปลวไม่เคยบอกเราเลย.. ทำไม..” เทียนไขสะอื้นอย่างหนัก เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกไปไม่รู้หยุด ภาพใบหน้าของเปลวที่น้ำตาอาบแก้มในวันนั้นฉายเข้ามาในหัว ก้อนเนื้อในอกเจ็บปวดราวกับถูกบีบให้แหลกสลาย

       “…”

       “ทำไมหรอเปลว.. ตอบเราหน่อยได้มั้ย..”

       “…”

       ..หลากหลายคำถามพร่ำพูดออกมาซ้ำๆแต่คนตรงหน้าก็ไม่ให้คำตอบ เปลวเอาแต่เงียบอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาซักคำ   เปลวโกรธ..เขาโกรธตัวเองเหลือเกินที่ทำให้เทียนไขกลับมาร้องไห้ เขาโกรธตัวเองเหลือเกินที่โกหกเทียนไขมาทั้งหมด..

       “มีอะไรอีกบ้างที่เรายังไม่รู้ มีอะไรอีกบ้างที่เราโง่..”

       “พอแล้วเทียนไข” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้น ก่อนจะดึงเทียนไขเข้าไปในอ้อมกอด.. “พอแล้ว…คุณไม่ได้ผิดอะไรเลย”

       “เราจะไม่ผิดได้ยังไง.. เราทำร้ายเปลว เราทำร้ายเปลวอีกแล้ว..” ..เทียนไขได้รับอ้อมกอดแสนอบอุ่น อ้อมกอดที่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเขา หากแต่..มันกลับยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด..

       “ไม่เลย..คุณไม่ได้ทำร้ายผม ผมต่างหากที่ทำร้ายคุณ ..ทำร้ายมาตลอด ผมทำให้คุณร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..” เปลวกระชับอ้อมกอด เขาพยายามปลอบประโลมให้เทียนไขสงบลง แต่ทันทีที่เขาได้สัมผัสเนื้อตัวที่สั่นเทาของเทียนไข ก็กลับกลายเป็นเขาเองที่..ร้องไห้

       

       “ขอโทษนะเทียน..ผมขอโทษ”

       ขอโทษนะ..ที่ทำให้ร้องไห้อีกแล้ว

       ขอโทษจริงๆ..



       “ต่อจากนี้..เปลวบอกความจริงเราได้ไหม …อย่าโกหกกันอีกเลยนะ” ..เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น ก่อนจะใช้แขนของตัวเองมอบความอบอุ่นให้กับเปลวเช่นกัน

       “แต่ความจริงของผมมันจะทำให้คุณเจ็บ..”

       “ไม่เป็นไรหรอก” คนตัวเล็กกว่าสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “..ความเจ็บของเราไม่สำคัญเท่ากับเปลว”

       “…”

       ..ต่อให้ต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน ต้องทรมานอีกซักเท่าไหร่ ถ้าเพื่อเปลว …เขาก็ยอม

       “เปลวสำคัญกับเรามากนะรู้มั้ย”

       “…” คนตัวสูงกว่าเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้าใส่ ..ทำไมเขาถึงทำร้ายคนที่มองเขาเป็นคนสำคัญแบบนี้ได้ลง ทำไมเขาถึงเลือกที่จะโกหก เลือกที่จะให้เทียนไขต้องเจ็บปวดแบบนี้..



       “..ขอโทษอีกครั้งนะ” เปลวพูด

       “ไม่เป็นไรแล้ว” เทียนไขคลายอ้อมกอดแล้วปั้นรอยยิ้มแสนหวานขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เปลวรับรู้ว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ ก่อนจะพูดต่อ..  “แต่เปลว..ช่วยตอบคำถามเราหน่อยนะ”

       “ครับ” คนตัวสูงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เทียนไขจึงมองนัยน์ตาสีนิลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจสำหรับคำถามที่เขาจะถามออกไป

       “เปลวไปเรียนจริงๆหรือเปล่า”

       “…” ทว่าทันทีที่ได้ยิน รอยยิ้มเมื่อครู่ของเปลวก็จางหายไป ในเมื่อเขารับคำของเทียนไขไปแล้ว เขาก็คงต้องพูดความจริง..



       “ผม..โกหก”

       “…”

       “จริงๆแล้ว..ผมไม่ได้ไปเรียนเกือบเดือนแล้วล่ะ” และนี่..คือความเป็นจริงที่เปลวพยายามปกปิดมาโดยตลอด.. “ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่า..ที่ผมมักจะปวดหัวอยู่บ่อยๆเป็นเรื่องปกติของคนที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างผม แต่ช่วงหลังๆอาการมันก็เริ่มรุนแรงขึ้น..”

       “…”

       “ผมปวดหัวมากๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังจากที่ตื่นนอน ผมอาเจียนหลายครั้งโดยที่ไม่มีสาเหตุอะไรเลย ผมก็เลยมาหาหมอ ..วันนั้นผมมากับพละพลครับ แต่ผมไม่ได้บอกเขาว่าผมเป็นอะไร บอกแค่ว่าไม่สบายเฉยๆ เขาเลยไม่ห่วงผมมากแล้วก็เดินเข้าไปทักคุณนั่นแหละครับ”

       “…”

       “ผมไม่ได้ชอบเลยนะครับที่เขาเข้าไปพูดกับคุณแบบนั้น แต่เพราะผมเองก็คุยกับหมออยู่เลยไม่ได้เข้าไปห้าม ..สำหรับเรื่องระหว่างผมกับเขาหลังจากนั้นเราก็เริ่มห่างกัน อาจจะเพราะผมพยายามปกปิดเรื่องอาการป่วยของผมกับเขา ระยะห่างก็เลยเกิดขึ้น เขาก็เลยเริ่มเปลี่ยนไปอย่างที่ผมเคยบอกคุณ” ..ตอนนั้นเปลวตัดสินใจที่จะไม่บอกใครเลยเพราะว่าเขาไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง ..เปลวจึงดูปกติดีในสายตาคนอื่นรวมถึงในสายตาคนรักอย่างพละพลด้วยเช่นกัน และเพราะว่าเปลวอยากจะคงคำว่าปกตินี้ให้ได้นานที่สุด.. ซึ่งมันสวนทางกับอาการหลายๆอย่างที่เริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ เปลวก็เลยเลือกที่จะเก็บตัว หลังจากนั้นก็ค่อยๆห่างออกมาจากพละพล ..ฝั่งคนรักของเขาอย่างพละพลพอเห็นว่าเปลวเริ่มเปลี่ยนไป พละพลก็เจ็บปวดไม่ต่าง ในหัวคิดไปไกลถึงขั้นว่าเปลวกำลังจะทิ้งกัน เขาเริ่มเครียด ทั้งเครียดจากการเรียนและเครียดจากเปลวด้วย เครียดจนต้องพึ่งแอลกอฮอล์ให้ย้อมความเจ็บปวดเป็นความสุข และเพราะแอลกอฮอล์..ผลสุดท้ายที่พละพลได้ก็คือเขาไปร่วมหลับนอนกับเด็กหนุ่มต่างมหาลัย ในทีแรกเขาโกรธตัวเองมากๆที่ปล่อยตัวเองจนมาเจอแบบนี้ แต่เมื่อเขาถูกเติมเต็มอยู่บ่อยครั้ง เปลวก็ค่อยๆจางหายไปจากความรู้สึก..

       “…”

       “..วันถัดมาคุณหมอนัดผมมาเอกซเรย์ ซึ่งก็คือวันเดียวกับวันที่เราเจอกันหน้าลิฟต์นั่นแหละครับ ..ผลเอกซเรย์ของวันนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ..ผลเอกซเรย์ของวันนั้นเปลวรับรู้เพียงแค่ว่าเขามีเนื้องอกอยู่ในสมอง ซึ่งต้องรอทำการตรวจและวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย  “..และจากประวัติการรักษาของผมที่สมองไม่ค่อยสมบูรณ์ คุณหมอเลยบอกผมว่าถ้าผมเริ่มรักษาตั้งแต่ตอนนี้โอกาสหายก็จะมีมากขึ้น วันพรุ่งผมก็เลยเริ่มเข้ารับการรักษาเลยครับ”

       “…”

       “ผม..นอนโรงพยาบาลมาตั้งแต่วันนั้น”

       เปลว..นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเช่นเดียวกับเทียนไข



       “แต่ที่ผ่านมาเปลวก็ดูปกติไม่ใช่หรอ.. เปลวไม่ได้ใส่ชุดผู้ป่วยแบบนี้..”

       “ผม..เปลี่ยนไปใส่ชุดนิสิตเฉพาะช่วงที่ผมจะไปเจอคุณครับ” ..ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่คือสิ่งที่เปลวกระทำ เขาจะตื่นเช้าๆ เพื่อจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่ชุดนิสิตแล้วลงไปรอเจอเทียนไข

       “…”

       “..ที่ทำแบบนี้ก็เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ อยากได้ยินคุณหัวเราะ อยากเห็นคุณมีความสุข..” เสียงทุ้มนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยความรู้สึกที่รู้สึกจริงๆในใจ

       “…”

       “เพราะงั้นแล้ว..อย่าร้องไห้นะครับ” ฝ่ามือนุ่มของเปลววางลงบนกลุ่มผมของคนตรงหน้า ก่อนจะลูบเบาๆ ส่วนเทียนไข..ไม่ทันที่เปลวจะพูดทันขาดคำ น้ำตาเขาก็รื้นเอ่อขึ้นมาอีกระลอก..

       “ทำไมคุณถึงหวังดีกับเราได้ถึงขนาดนี้..” เพียงแต่ระลอกนี้..ไม่ได้เกิดจากความโศกเศร้า

       แต่เป็นความรู้สึกเปรมปรีดิ์และตื้นตันใจ

       ..ขอบคุณนะเปลว



       “..ส่วนนึงก็เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ผมเคยทำเอาไว้กับคุณแหละครับ” เปลวเอ่ยตอบ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ลึกๆแล้วผมเสพติด..”

       “…”

       “ผมเสพติดรอยยิ้มของคุณ” มันไม่ใช่คำหวาน แต่เป็น..ความรู้สึกของเปลวจริงๆ “..พอได้เห็นรอยยิ้มของคุณครั้งนึงแล้ว ผมก็อยากจะเห็นอีก..อยากเห็นไปเรื่อยๆเลยครับ”

       “…” ..สุดท้ายแล้วหยาดน้ำตาที่รื้นเอ่อขึ้นมาเมื่อครู่ก็ร่วงหล่นโดยไม่อาจห้ามตัวเองได้ เทียนไขโผเข้าไปกอดคนตัวสูง ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอยู่หลายครั้ง แต่จริงๆสำหรับเทียนไขแล้ว..ต่อให้พูดออกไปอีกซักพันครั้งหรือหมื่นครั้ง มันก็ยังไม่มากพอสำหรับสิ่งที่เปลวทำเพื่อเขา

       “ผมจะไม่โกหกคุณอีกแล้วล่ะเทียน” เปลวพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า แขนทั้งสองข้างโอบแผ่นหลังของเทียนไขไว้แน่น ..พวกเขาทั้งสองต่างก็มอบความอบอุ่นให้กันและกัน ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆมากมายที่รู้สึกอยู่ในใจให้ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับรู้ จนในที่สุดความตึงเครียดเมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป..













       “จริงสิ..ปีใหม่นี้คุณอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า..?” เปลวคลายอ้อมแขนออก แต่ก็ยังคงเหลือไว้หลวมๆ เขาเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยความหวังที่กระจุกแน่นอยู่ในอก

       “ไม่รู้เหมือนกัน ปกติเราไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรกับวันพวกนี้เท่าไหร่” แต่คำตอบที่เขาได้ก็ทุบทำลายความหวังเมื่อครู่ของเขาจนพังทลายไม่เหลือซาก

       “โธ่ ลองคิดดูซักอย่างสิครับ” หากแต่เปลวยังคงรบเร้าอย่างไม่ยอมแพ้ เทียนไขจึงหลุดขำให้กับสีหน้าของเปลวตอนนี้ที่ดูผิดหวังเหมือนกับเด็กน้อยโดนแย่งของเล่น

       “เรา..น่าจะอยากดูดอกไม้ไฟตอนที่เคาท์ดาวน์ล่ะมั้ง”

       “งั้น..เราไปดูดอกไม้ไฟด้วยกันนะครับ”

       “จะออกไปตอนนี้เลยก็คงไม่ได้แล้วแหละ”

       “ใครบอกว่าจะออกไปล่ะครับ อยู่ที่นี่นี่แหละ”

       “…”

       “ดูดอกไม้ไฟกับผมบนห้อง”



หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 10:58:54
       …ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีส้มในยามที่อาทิตย์อัสดง เป็นสีมืดทะมึนเมื่อไม่มีสิ่งใดคอยให้แสงสว่างได้เพียงพอเหมือนอย่างดวงตะวัน แต่ก็ยังพอมีแสงจากดวงดาวที่อยู่ห่างไกลระยิบระยับให้เห็นอยู่ประปราย ซึ่งพอผนวกเข้ากับแสงจากตึกรามบ้านช่องแล้ว ภาพที่เห็นตอนนี้ก็เป็นภาพที่สวยงามภาพนึงเลยทีเดียว

       เทียนไขและเปลวตอนนี้ทั้งสองคนขึ้นมาบนห้องแล้ว ห้องที่พวกเขาเลือกคือห้องของเทียนไข เหตุผลก็เพราะว่าอยู่สูงกว่า น่าจะเห็นอะไรได้ชัดกว่า

       ด้วยความที่เริ่มเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว เปลวก็เลยไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเล่นบทนักศึกษายอดนักซื้อของฝากคนนั้นอีก เขาสามารถขึ้นมาบนห้องพักผู้ป่วยได้สบายๆโดยที่ไม่ต้องถูกมองแบบงงๆว่ามาทำไมอย่างที่เทียนไขเคยมองอีกต่อไป

       และที่จู่ๆเปลวก็พูดถึงเรื่องปีใหม่ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมายเป็นพิเศษเลย เขาก็แค่…อยากใช้เวลาอยู่กับเทียนไขให้นานขึ้นก็เท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการฉลองอะไรที่ใหญ่โต ไม่มีการกินเลี้ยง หรือมีดนตรีบรรเลงให้เอิกเกริก

       แต่แค่เขาทั้งสองมีความสุข..เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

       



     

       ..หลังจากที่ขึ้นมาบนห้องแล้ว ไม่นานนักอาหารเย็นของทางโรงพยาบาลก็ถูกนำมาส่ง เปลวจัดแจงวางจานอาหารไว้บนโต๊ะคร่อมเตียงทั้งสองจาน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเพื่อร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าของเตียงอย่างเทียนไข ..ก่อนหน้านี้อาหารของโรงพยาบาลมันเคยจืดชืดไร้รสชาติสำหรับพวกเขาทั้งสอง แต่พอได้มาทานด้วยกันพร้อมกับบทสนทนาและเสียงหัวเราะแบบนี้ อาหารทุกอย่างก็ดูอร่อยไปเสียหมด



       “พอขึ้นปีใหม่..คุณอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” เปลวพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองเทียนไขที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก เจ้าตัวได้ยินแบบนั้นแล้วช้อนพร้อมข้าวพูนๆก็ชะงักค้างกลางอากาศ ปากที่กำลังอ้าก็ต้องหุบลง เปลวเห็นภาพตรงหน้าก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง

       “จริงๆเราวางแผนไว้เยอะแยะเลยนะถ้าเรามีโอกาสหายดี” เทียนไขตอบพร้อมกับมองค้อนไปหนึ่งสเต็ป

       “หายดีอยู่แล้วน่า คุณเข้มแข็งซะขนาดนี้”

       “..ไม่แน่หรอก..” เขาอาจจะหายสำหรับโรคประสาท แต่โรคไตที่เขากำลังเผชิญเขาไม่อาจมั่นใจได้เลยจริงๆ..

       “งั้น..ผมมีอะไรจะให้” เปลวพูดขึ้น ระหว่างนั้นเทียนไขก็นำข้าวบนช้อนเมื่อครู่เข้าปาก ส่วนเปลวก็ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมา..

       “…” บางอย่างที่เรียกว่า..กำลังใจ

       “นี่ครับ..” เปลวยื่นมือมาข้างหน้า ก่อนจะชูสองนิ้วให้เทียนไขพร้อมรอยยิ้ม “ผมให้คุณ”

       “…” ซึ่งก็ทำให้เทียนไขแทบจะสำลัก

       “Victory นะครับเทียนไข” ..แต่เทียนก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า..เปลวทำให้เขายิ้มอีกแล้ว



       “เราเกือบไม่รอดเพราะ victory คุณแล้วนะเมื่อกี้”

       “555555555โทษทีครับ” เปลวหัวเราะร่วน ก่อนจะถามต่อ “แล้ว..แผนที่คุณว่า เป็นยังไงหรอครับ..?”

       “ถ้ามีโอกาสหาย ระหว่างที่รอขึ้นปีการศึกษาใหม่ เรา..อยากไปต่างประเทศ” เทียนตอบ

       “…”

       “เราอยากไปมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ คิดไว้กับแม่หลายอย่างเลยว่าจะไปที่ไหน ..ไปทำอะไรบ้าง”

       “ไปกับครอบครัวใช่มั้ยครับ ดีจัง”

       “ฮ่าๆ เราไม่มีครอบครัวให้ไปไหนด้วยหรอก ได้แค่คิดน่ะแหละ”

       “งั้น..ไปกับผมมั้ยครับ”

       “…”

       “ไว้เราทั้งสองคนหายดีแล้วเราไปต่างประเทศกัน ว่าแต่..คุณอยากไปประเทศไหนล่ะ”

       “จริงๆเราอยากไปหลายประเทศเลย”

       “งั้นไปทุกประเทศที่อยากเลยดีมั้ยครับ”

       “เที่ยวเสร็จล้มละลายงี้หรอครับ น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ”

       “555555555555” เปลวขำลั่นจนทำเอาเทียนไขที่นั่งตรงข้ามหลุดขำไปด้วย เป็นแบบนั้นอยู่ชั่วขณะก่อนเปลวจะคุมสติตัวเองแล้วกลับมานั่งยิ้มจนตาหยีเหมือนเดิม ”ไว้ไปด้วยกันนะครับ”

       “ครับ ..ไว้ไปด้วยกัน”

       ซึ่งเทียนไขเองก็..ยิ้มอยู่ไม่ต่างกัน









       ..เวลาผันผ่านไปจนวันใหม่ใกล้เข้ามาถึง เหลืออีกเพียงห้าสิบกว่านาทีก็จะเปลี่ยนศักราชเป็นศักราชใหม่ ..ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท บรรยากาศภายในโรงพยาบาลจึงเงียบลงไปมาก

       หลังจากที่ทั้งสองคนทานข้าวเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็มาย้ายถิ่นฐานมานั่งอยู่ที่พื้นแทนนั่งบนเตียง เบื้องหน้าเป็นกระจกใสที่มีทิวทัศน์ภายนอกเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ..บรรยากาศแบบนี้ยังไงก็ควรจะต้องมีเครื่องดื่มอะไรซักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็มี

       ..น้ำเปล่าขวดหนึ่งวางอยู่ข้างๆ



       “เทียนครับ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมาจากด้านข้างของเทียนไข เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยตอบแต่ก็พยักหน้ารับ หลังจากนั้นสายตาก็มองไปยังทิวทัศน์ภายนอกต่อ “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ย..”

       “..ได้ครับ”

       “ก่อนหน้านี้…ผมเป็นคนยังไงหรอครับ” เทียนไขนิ่งไปชั่วขณะ เขาหันมามองคนตัวสูงข้างๆ

       ..ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะเทียน ก็แค่ตอบคำถามที่เขาถามเท่านั้น

       “เปลวเป็นคนที่..จู่ๆก็เข้ามาทักเรา เป็นคนหลงทางที่เข้ามาถามทางคนหลงทางอย่างเราอีกที” ..เทียนพยายามคงน้ำเสียงเอาไว้ ก่อนจะพูดไปแบบติดตลก พยายามไม่ทำให้สถานการณ์มันดูเครียด พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องราวในอดีต หากแต่เขาไม่รู้เลยว่า..ยิ่งเขาพูดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งคิดถึงมันมากเท่านั้น..

       “…”

       “เปลวพูดคำหยาบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็..เป็นเพื่อนที่ดีกับเพื่อนคนอื่นๆทุกคน”

       “…”

       “..เปลววาดรูปสวยมากๆ ทั้งรูปการ์ตูน และรูปเหมือน แบบแปลนบ้านเปลวก็วาดได้ ทุกอย่างในเรื่องของศิลปะเปลวถนัดหมด”

       “…”

       “..เปลวเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เก่งกีฬาหลายอย่าง ที่เก่งที่สุดน่าจะฟุตบอล เพราะเปลวชอบฟุตบอลมาก”

       “…”

       “เปลวเป็นคนใจดี..เปลวเป็นคนที่เข้ามาช่วยเราตอนที่เรากำลังจะจมน้ำ แล้วก็ช่วยเราจากตอนที่ถูกเพื่อนแกล้ง..”

       “…” และเมื่อยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่..

       “เปลวเป็นคนแรกของเราในหลายๆเรื่อง ..เป็นเพื่อนคนแรก ..เป็นคนที่ไม่รังเกียจเด็กขี้ขโมยอย่างเราคนแรก ..เป็นคนที่สอนให้เราเล่นเกมคนแรก ..เป็นลูกศิษย์ติวเตอร์เทียนไขคนแรก..”

        ..ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น



       “เราเคย..รักกันใช่มั้ยครับ”

       “…” ..เทียนนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำถาม ในหัวบอกให้เขาเลือกที่จะไม่ตอบ หรือไม่ก็ส่ายหัวปฏิเสธไป แต่ลึกๆในใจกลับแย้งว่าในเมื่อเปลวก็พูดความจริงแล้ว เขาเองก็ควรจะพูดความจริงออกไปด้วยเหมือนกัน

       แต่ถ้าเขาพูดออกไป..เขาก็จะเจ็บปวดมากกว่าตอนนี้เสียอีก..



       “…” ไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจอะไรมือของเทียนไขที่วางอยู่ระหว่างเขาทั้งสองก็ถูกสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือของเปลวกอบกุมเอาไว้ “ไม่เป็นไรนะ.. ผมอยู่ข้างๆคุณ”

       “…” รอยยิ้มบางๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเทียน เขาจึงตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรจะเชื่อ..ความรู้สึกในใจ

       “…”

       “เราเคย..รักกันจริงๆนั่นแหละ” ริมฝีปากเม้มแน่น เทียนไขพยายามพูดความจริงเช่นเดียวกับเปลวออกไป “เรา..เป็นคนรักกัน”

       “ผมในตอนนั้น..ดูแลคุณดีหรือเปล่า”

       “…” ..ภาพความทรงจำเก่าๆไหลย้อนขึ้นมาในหัว “คุณดูแลเราดี..ดีมาก”

       “…”

       “เรามีความสุขมากๆเลยที่มีคุณคอยเคียงข้าง..”

       “…”

       “แต่ขณะเดียวกัน..คุณก็ทำให้เราเจ็บปวดด้วยเช่นกัน ..เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืม”

       “เพราะงั้นเราก็เลยเลิกกันใช่มั้ยครับ”

       “…” ..ราวกับถูกมีดแหลมๆแทงสวนเข้าไปกลางหัวใจ ความเจ็บปวดในวินาทีที่รู้ว่าเปลวคบกับพละพลหวนกลับมาให้รู้สึกอีกครั้ง “จริงๆแล้ว..เรายังไม่เลิกกัน”

       “…”

       “เราและเปลวยังไม่มีใครบอกเลิกกัน” อาจจะเพราะเหตุนี้เทียนไขจึงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ได้เสียที ..ถูกจองจำด้วยคำบอกรัก และความทรงจำที่คอยหลอกหลอน

       “…” เปลวนิ่งไป ก่อนจะหันมาหาเทียนไขเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นอะไรบางอย่างมาจากอีกฝ่าย และเมื่อหันไปเขาก็ได้พบว่า..

       “เขายังเป็นคนรักของเราอยู่” ..เทียนไขกำลังร้องไห้

       “…”

       “ที่แย่ก็คือ..ความจริงแล้วเรายังคงรักเขา ..รักมาจนถึงทุกวันนี้” ..ร่างบางข้างๆเปลวกำลังสะอื้นอย่างหนักหน่วง หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่รู้หยุด เทียนไขตัวสั่นระรัว ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่ภาพจำในอดีตเต็มไปหมด..

 

       ‘เปลวจะไม่ทิ้งเราไปจริงๆใช่มั้ย’

       ‘ไม่ทิ้งครับ กูไม่มีทางทิ้งมึง’

       ‘เรากลัวว่าซักวันเราจะต้องเลิกกัน’

       ‘มึงไม่ต้องกลัวเลยเทียน’

       ‘ทำไมล่ะ’

       ‘มันจะไม่มีวันนั้น’




       หากแต่..ไม่ใช่แค่เทียนไขที่ภาพจำปรากฎขึ้นมาในหัว..

       เปลวเองก็เช่นกัน



       “โอ๊ย!” ความรู้สึกเหมือนถูกใครซักคนกำลังบีบศีรษะเกิดขึ้นกับเปลวอย่างรุนแรง ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่รัว เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาตามผิวหนัง ...จู่ๆเรื่องราวในอดีตก็ปรากฎขึ้นมาในหัว ภาพทุกภาพ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดปรากฎเป็นฉากๆ



       ‘ว่าแต่..มึงชื่ออะไรวะ’

       ‘เราชื่อเทียน’




       เป็นภาพตั้งแต่ที่เทียนยิ้ม..



       ‘แล้วนี่…จะเลิกเรียกเพื่อนได้ยัง? ..อยู่กันสองคนแล้วนะ’

       ‘ไม่อยากให้กูเรียกเพื่อนหรอ? งั้นกูเรียกเมียจ๋า…อย่างนี้ได้ปะ’

       ‘ไม่ได้โว้ย!’




       จนกระทั่ง..



       ‘เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม?’

       ‘…’

       ‘ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่’

       ‘…’

       ‘เราจะไป’




       ..น้ำตาเทียนหลั่งไหล



       …มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอบกุมศีรษะตัวเอง ความปวดหัวรุนแรงมากขึ้นจนเปลวน้ำตาไหล เสียงกรีดร้องทรมานดังออกมาจากเขา คนตัวสูงนอนไปกับพื้น ดิ้นรนไปด้วยความเจ็บปวด

       “เปลว!” เทียนไขตกใจกับภาพตรงหน้าอย่างสุดขีด เขากุลีกุจอเข้าไปหาเปลวที่กำลังดิ้นเร่าๆอยู่ ก่อนจะใช้มือจับแขนเปลวเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่

 

       “เปลว..เปลวเป็นอะไร..” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกไป แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ..สีหน้าของคนตัวสูงยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเสียงร้องอยู่เช่นเดิม



       “เปลว..!” เทียนไขร้องเรียกอีกครั้ง ทว่าเขาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆเปลวก็โผขึ้นกอดเขาเอาไว้แน่น ..อ้อมแขนของเปลวกอดรัดเทียนไขอย่างรุนแรง เปลวตัวสั่นระรัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ตอนนี้เริ่มเบาลง หากแต่..เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นแทน

       “กูขอโทษเทียน..กูขอโทษ” เสียงอันสั่นเครือพร่ำอยู่ข้างๆหูเทียนไขไม่หยุด ..ทันทีที่เขาได้ยินทั่วทั้งร่างกายก็ชาวาบ ความรู้สึกบางอย่างจุกขึ้นมาที่อก ก่อนจะถูกระบายออกไปทางหยาดน้ำตา

       “ปล่อยกู!” เทียนใช้แรงทั้งหมดพยายามผลักเปลวให้ออกไปไกลๆ แต่ก็ไม่อาจทำสำเร็จ ..เปลวกอดเขาไว้อย่างแนบแน่นจนแทบขยับไม่ได้ เทียนไขจึงใช้กำปั้นและเล็บทุบและจิกข่วนไปบนแผ่นหลังของเปลว

       “มึงทำกูเลย..ทำให้สาสมกับที่กูทำกับมึงไว้..” เปลวพร่ำบอก ความเจ็บปวดตามร่างกายเกิดขึ้นจนรู้สึกแสบราวกับแผ่นหลังได้รับแผลถลอกจากเรียวเล็บ

       “ปล่อย..! ปล่อยกู..ปล่อย…” เทียนไขร้องไห้..ร้องไห้อย่างหนักหน่วง เขายังคงทุบและทำร้ายเปลวอยู่เหมือนเดิม ทำร้ายจนเขาหมดแรงแต่เปลวก็ยังกอดเขาอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

       “ขอโทษนะ..ขอโทษ..” ..เสียงทุ้มนุ่มเริ่มอ่อนลง เช่นเดียวกันกับคนตัวเล็กในอ้อมกอดที่ไม่ดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว

       “มึงกลับมาอีกทำไม.. ทำไมมึงไม่ตายๆไปซะเปลว กูเจ็บมาพอแล้ว..กูพอแล้ว” ภาพในคืนวันปัจฉิมปรากฎชัดขึ้นมาในหัว ..ทั้งเสียงร้อง ..ความรู้สึกอันทรมานในตอนนั้น และความเจ็บปวดที่เห็นเปลวนั่งอยู่ห่างๆโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ทุกอย่างมันย้อนกลับมาให้รู้สึก..

       “กูก็เจ็บมาไม่ต่างจากมึงเลยเทียน กูอยากจะพอแล้วเหมือนกัน แต่กูทิ้งมึงไปไม่ได้..”

       “…”

       “ฟังกูนะเทียน..มึงฟังกูซักนิดได้ไหม.. ขอแค่ให้มึงเข้าใจกูก็พอ แล้วมึงจะโกรธจะเกลียดกูยังไงก็แล้วแต่มึงเลย”

       “กูไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” ..ไม่อยากฟังแล้ว เหนื่อยเกินกว่าจะรับฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว ระหว่างเรามันควรจบลงเสียตั้งแต่ตรงนี้

       “นะเทียน..นะ กูเจ็บจนจะตายแล้ว..” เปลวยังคงเว้าวอนคนในอ้อมกอด เสียงของเขาสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ในหัวตอนนี้ภาพในอดีตยังคงผุดขึ้นมาไม่รู้หยุด ความทรมานจากการปวดศีรษะยังคงเกิดขึ้น

       “…”

       “วันนั้นไอ้แม็กมันบังคับกู..มันชอบมึง มันอยากได้มึง ถ้ากูไม่ทำตามที่มันบอกมันจะทำร้ายพ่อ.. ช่วงนั้นมึงก็รู้ว่าพ่อไม่ค่อยสบายแล้ว” เปลวไม่รอให้เทียนให้คำตอบอีกต่อไป หัวใจของเขาเต้นถี่รัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาร้อนใจอย่างถึงที่สุดที่จะบอกความจริงออกไป   “มันให้กูเลือกระหว่างพ่อกับมึง.. กูขอโทษนะเทียน..กูขอโทษจริงๆ”

       “กูไม่เชื่อมึงหรอก ปล่อยกู!” แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์..

       “เทียนกูขอโทษ.. แต่กูก็โดนมันซ้อมเหมือนกัน กูพยายามจะพามึงหนีแล้ว..แต่กูไม่มีแรงเลย” เสียงของเทียนไขเหมือนเป็นเหล็กแหลมๆที่เสียดแทงก้อนเนื้อในอก เปลวชาวาบไปทันทีที่ได้ยิน หากแต่ริมฝีปากของเขาก็ยังคงพร่ำอธิบายเหตุการณ์ในวันนั้นไม่รู้หยุด น้ำตาไหลนองทั้งสองข้างแก้ม

        “กู! ไม่! เชื่อ! มึงหลอกกูไปให้คนอื่นเอา มึงมันเหี้ย! แค่นี้แหละที่กูรับรู้!!!”

        “กูรู้..กูรู้เทียน กูรู้ว่ากูเหี้ยขนาดไหนที่ทำไปแบบนั้น แต่กูทำไปเพราะไม่มีทางเลือกจริงๆว่ะ.. กูมืดแปดด้านไปหมดแล้วตอนนั้น ทุกอย่างมันรุมเร้าจนกูแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

        “เรื่องของมึงเถอะ”



        “…” ฉึก.. ความเจ็บปวดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้มึงควรจะพอแล้วหรือเปล่าเปลว.. ต่อให้พยายามอธิบายยังไงก็คงไม่มีใครเชื่อมึงหรอก  ..เสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกเปลวรู้สึกแบบนั้น เสียงของเขาในมุมของเขามันเป็นเพียงแค่เสียงเล็กๆเท่านั้น ต่อให้ตะโกนให้ดัง ร้องออกไปให้ดังแค่ไหนก็ไม่มีได้ยิน

        “และต่อให้มึงจะกอดกูไว้แบบนี้ต่อไปยังไงกูก็ไม่มีทางอภัยให้มึงอยู่ดี”

        ไม่มีเลยจริงๆ..



        ..เปลวก็เป็นแค่คนๆนึงเท่านั้นไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร เขาเป็นแค่คนๆนึงที่มีความรู้สึกทุกอย่างเหมือนกันกับเทียนไข แต่เทียนไขอาจจะไม่เคยรู้เลยว่า..แท้จริงแล้วคนๆนี้อ่อนแอขนาดไหน..



        “งั้นมึง..ฆ่ากูเลยได้ไหม..” ฮ่าๆ.. บางที..อาจจะอ่อนแอกว่าเทียนไขเสียด้วยซ้ำ

        “…”

        “กูไม่รู้แล้วว่าทำไมกูถึงยังมีชีวิตอยู่ กูควรจะตายตั้งแต่ตอนที่โดนรถชนแล้ว…ตั้งแต่ที่กูช่วยมึง”

        “…”

        “ทำไมกูไม่ตายวะเทียน.. ทำไมกูไม่ตายไปซักที..” ..ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาในตอนที่สูญเสียความทรงจำไปแล้วหรือว่าเป็นตัวเขาตอนนี้ ทุกตัวตนของเขาต่างก็เจ็บปวด ทรมานไปหมดจนแทบจะไม่มีแรงเดินต่อไปได้อีกแล้ว

        “…”

        “..กูขอโทษนะเทียน แค่นี้แหละที่กูอยากจะบอก” สุดท้ายเปลวก็ต้องยอมรับความจริงนั่นแหละว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาเคยเผชิญ กำลังเผชิญ และกำลังจะเผชิญอยู่ได้ สุดท้าย…เขาก็คงต้องคลายอ้อมกอดนี้แล้วปล่อยเทียนไขไป

       อา…อยากเห็นรอยยิ้มของคุณอีกจังเลย











        “เดี๋ยว..” ทว่าเทียนไขกลับเอ่ยขึ้นมาในขณะที่เปลวกำลังจะก้าวเดินออกไป

        “…”

        “ทำไมตอนนั้นมึงถึงมาช่วยกู..มึงคิดอะไรอยู่ถึงขับรถพุ่งมาเร็วขนาดนั้นเพื่อช่วยกู..” เด็กน้อยในสายตาของเปลวเอ่ยถามตามความสงสัยที่ตกค้างอยู่ในหัว

        “…”

        “มึงไม่คิดบ้างหรอถ้ามึงไม่ใส่หมวกกันน็อคแล้วมึงจะเป็นยังไง คิดว่ากูจะดีใจหรอถ้ามึงตาย” เปลวได้ยินแบบนั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มบางๆออกมาให้กับคำถามทั้งหมดทั้งมวลเมื่อครู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเทียนไขจะตั้งคำถามให้มันน่าขำขึ้นมาทำไม ทั้งๆที่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว..

        “กูไม่ได้คิดไรเลย”

        “…”

        “รู้แค่ว่า…ต้องช่วยมึงให้ได้”

        “แล้วชีวิตมึงล่ะ ไม่ห่วงบ้างหรอ”

        “ถ้ามันจำเป็นกูก็พร้อมจะให้มึง”

        …ถ้ามันทำให้คนที่เขารักได้มีชีวิตอยู่ต่อ ถึงแม้เขาจะต้องตาย เปลวก็ยินดี















หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 05-04-2019 11:05:50
       23.30

      …เปลวกำลังจะเดินออกไปจากห้องแล้ว แผ่นหลังกว้างกำลังจะจากผมไปอีกครั้ง เป็นการจากลาโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหรือเปล่า..

       ความรู้สึกหลากหลายความรู้สึกพัลวันกันอยู่ในใจ …วินาทีแรกที่คนใจร้ายอย่างเปลวกลับคืนมา ผมอยากจะทุบกระจกแล้วผลักเขาให้ตกลงไป ทว่าเขากลับกอดผมเอาไว้แน่นเสียจนผมแทบหายใจไม่ออก แถมยังพร่ำพูดเรื่องโกหกให้ผมฟังอยู่นานเสียจนรำคาญหู แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนฟัง

       ..ตอนแรกผมก็รู้สึกแบบนั้น หากแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไป ผมเจ็บ …มันเจ็บปวดเสียจนใจแทบสลายเมื่อเปลวคลายอ้อมกอดแล้วผมได้เห็นใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่ยังคงร่วงหล่นเม็ดแล้วเม็ดเล่าไม่รู้หยุด ผมอยากจะเอื้อมมือไปกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเปลวได้ลุกขึ้นจากตรงนั้นแล้ว

       พื้นที่ที่เคยมีเขาอยู่ข้างๆผม

       ตอนนี้..เป็นพื้นที่ว่างเปล่า



       “เปลว” ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกเขาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไป

       “…”

       “มึงไม่ได้…โกหกกูใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามตามสิ่งที่ก้อนเนื้อในอกมันเรียกร้องให้ถามออกไป ผมไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไงแล้วหลังจากนั้นผมจะทำอะไรต่อ ..ถ้าเปลวตอบว่าทั้งหมดนี้เขาโกหก..ผมก็ควรที่จะปล่อยเขาไปใช่ไหม ..แล้วถ้าเปลวตอบว่าเขาไม่ได้โกหกล่ะ..? ผมจะกอดเขาเอาไว้เหมือนที่ผ่านมา…ผมจะยกโทษให้เขาได้จริงๆหรอ..

       “กูเป็นคนยังไงในสายตามึง”

       “…”

       “กูเป็นคนโกหกใช่มั้ย เพราะงั้น.. ก็ไม่ผิดหรอกที่มึงจะคิดว่ากูโกหก คิดยังไงก็แล้วแต่มึงเลยเทียน…มึงมีสิทธิ์นั้น แค่กูได้บอกมึงไปกูก็โล่งแล้ว”

       “…”

       “..มันไม่สำคัญหรอกว่ามึงจะเชื่อกูมั้ย ..ยกโทษให้กูมั้ย กูแค่อยากจะขอโทษมึงเฉยๆ”

        “…”

        “วันนี้..กูรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ…กูขอโทษมึงจากใจจริงได้แล้ว”

        “…” จริงอย่างที่เขาพูด.. ผมอยากได้ยินคำขอโทษที่ออกมาจากใจจริงของเปลวมาโดยตลอด

        “กูอาจจะต้องเจ็บปวดไปกับเรื่องนี้ไปจนตาย แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ามึงจะมีความสุขหรือเปล่าหรอก เพราะงั้นทำตามที่ใจมึงคิดว่ามันดีกับตัวมึงเถอะ ถ้ากังวลเกี่ยวกับกู..กูจะบอกว่าไม่ต้องกังวลเลย กูโอเค..กูควรจะโอเคได้แล้วเพราะกูพยายามที่จะโอเคมานานพอสมควรแล้ว”

       “…”

       “..ไปก่อนนะ” ..รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเปลว เขาเอ่ยลาก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินต่อ…

       “กูรักมึง” ..ผมก็พูดออกไป ..พูดความรู้สึกจริงๆในใจ

       “…”

       “รัก..โดยที่กูก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังรัก”

       “…”

       “ทั้งๆที่มึงทำแบบนั้นกับกู.. มึงทำให้กูเจ็บจนแทบขาดใจ มึงทำให้กูเป็นอย่างทุกวันนี้..”

        “…”

        “ตอนที่ที่ตรงนี้มันไม่มีมึงอยู่…กูคิดถึงมึงมากเลยนะรู้มั้ย” คิดถึง..คิดถึงมากๆ ที่ที่เคยมีมึงอยู่แต่พอมันไม่มีมึงแล้ว กูโคตรคิดถึงมึงเลย..

        “…”

        “นั่นแหละกูถึงได้รู้ว่า..ลึกๆกูยังรักมึงอยู่”

        “…”

        “..ถ้ากูเชื่อมึง กูจะไม่เจ็บอีกแล้วใช่มั้ย..?” ผมเอ่ยถาม

        “เทียน.. มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้ามึงจะรอคำตอบจากกู กูอยากให้มึงตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่าจะฟังคำขอร้องจากกูนะ”

        “…”

        “ไม่ว่ามึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กูก็ยังรักมึงเสมอ..”

        “…” ..ผมวิ่งเข้าไปโผกอดเขาเอาไว้แทนคำตอบ



        “อย่าทำให้กูเจ็บอีกนะเปลว”

        จะไม่ให้..เขาจากไปอีกแล้ว





       เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่ผมก็ยังคงกอดเปลวอยู่อย่างนั้น พยายามซุกซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของตัวเองไว้ที่แผงอกเพื่อรอให้เปลวพูดอะไรซักอย่างตอบกลับมา

       “ขอบคุณว่ะ..ขอบคุณมากๆเลย” แล้วผม..ก็ได้คำตอบเป็นอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเปลว คราวนี้มันไม่ได้แน่นจนอึดอัดเหมือนครั้งก่อน ..อ้อมกอดครั้งนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยของผมอย่างที่เคยเป็นมาเลย

       “อยู่กับกูนะ” ผมพูด ก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้ขึ้นมาอีกระดับ รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “อยู่ส่งท้ายปีแล้วก็เริ่มปีใหม่ไปด้วยกันเหมือนอย่างเคย..”

       “ดูพลุอะไรของมึงน่ะนะ? ดูอยู่ได้ทุกปีไม่เบื่อหรอ”

       “555555จำได้แล้วหรอ”

       “เออ กูจำได้ละ”

       “จำได้ก็น่าจะรู้ด้วยดิว่ากูรอดูพลุทุกปีทำไม”

       “…”

       “เพราะเปลวชอบดูไง”





       23.45

       ..หลังจากนั้นผมและเขาจึงกลับมานั่งอยู่ที่เดิมตรงหน้ากระจกใสอันมีทิวทัศน์ข้างนอกเป็นตึกรามบ้านช่อง

       “ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีสำหรับมึงนะ ขอให้มึงสมหวังในทุกๆอย่าง ตลอดปีเลย” คนตัวสูงพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มรับแล้วพูดต่อ..

       “มึงก็เหมือนกันนะ”

       “ไม่เหมือนดิ” หากแต่เปลวกลับปฏิเสธ “กูไม่ขออะไรมากหรอกครับ ขอแค่..”

       “…”

       “มีมึงอยู่ข้างๆแบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอ”



       “..ขอบคุณนะเปลว” เราจะอยู่ข้างๆคุณไปแบบนี้แหละ ความรู้สึกทุกอย่างอาจจะไม่ได้ดีขึ้นภายในวันนี้ตอนนี้ แต่ว่าถ้าเราอยู่เคียงข้างกันไปแบบนี้เรื่อยๆเราเชื่อว่าซักมันจะดีขึ้นแน่นอน   “เริ่มจุดพลุกันแล้วล่ะ มองจากที่สูงแบบนี้สวยจังเลยเนอะ”

       “จริงด้วย มองได้ไม่เบื่อเลย”

       “เนอะ กูก็คิดแบบนั้น พลุสวยจริงๆ” ผมยิ้มกว้างก่อนจะหันกลับไปมองพลุดอกไม้ไฟที่ไกลลิบตาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะแตกออกเป็นประกายหลากสี

       “ใครบอกว่ากูหมายถึงพลุ”

       “…”

       “กูหมายถึงมึงต่างหาก”

       “..ไม่เขินหรอก” เปลว..ก็ยังเป็นเปลวจริงๆ

 

       “ขอโทษนะที่ปีนี้กูไม่มีของอะไรให้มึงเลย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น

       “ไม่เป็นไรหรอก…แค่มีมึงอยู่ตรงนี้กูก็ดีใจแล้ว” ผมตอบ ผมน่าจะตัดสินใจถูกแล้วจริงๆแหละที่เชื่อเขาและให้โอกาสเขาอีกครั้ง เพราะถ้าผมปล่อยให้เขาจากไป ผมก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนี้ผมจะเจ็บปวดขนาดไหน

       “อ่าวกูว่าจะใช้มุกนี้หยอดมึงซักหน่อย”

       “อ่าวหรอ เอาใหม่มั้ยล่ะ”

       “เอามึงแทนได้ไหม”

       “เสมอต้นเสมอปลายเลยนะคุณ ไม่แคร์สถานที่ ไม่แคร์ชุดที่ใส่อยู่ใดๆทั้งสิ้น เอาเปลวคนที่พูดคุณผมกลับคืนมาเดี๋ยวนี้เลย”

       “ก็กูนี่แหละมัน และต่อให้เป็นมันที่พูดจาดีแต่ลึกๆมันก็คิดแบบนั้นอยู่”

       “ขนลุกแล้ว” ..เกินคาดนะ เปลวคนก่อนหน้านี้ดีมากจริงๆ ดีจนไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะไปอยู่ในหัวเขาได้ แต่ผมก็คงลืมไปว่าเขาก็คือเปลวในรูปแบบนึง เปลวคนที่ขอในเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาย

       “หนาวหรอ” ทว่าดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปอีกทาง.. “ขอกอดหน่อยนะครับ”



       “เรา..ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันเนอะ” ผมตกไปอยู่ในพื้นที่อ้อมอกของเขาอีกครั้ง ด้วยความที่ผมเตี้ยกว่าอยู่เกือบคืบทำให้ตอนนี้ที่ผมพูดออกไปผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขา แต่ก็ไม่เห็นหน้า ซักเท่าไหร่เห็นแต่สันกรามคมๆประหนึ่งมีดปอกผลไม้

       “เยอะจริงๆนั่นแหละ แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องราวทั้งหมดนี้เหมือนกัน ที่ทำให้กูรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ากูจะสูญเสียความทรงจำ จะถูกทำร้าย..แต่กูก็ยังรักมึง” จู่ๆใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่เปลวพูด เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆนั่นแหละว่าต้องขอบคุณเรื่องราวทั้งหมด เพราะถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้น..เราก็คงไม่รู้เลยว่า..

       เรารักกันมากขนาดนี้



       “เราก็รักเปลวนะ” ผมตอบ ก่อนจะพูดต่อ..

       “จะรักตลอดไปเลย” แล้วผมก็พบว่า..เราพูดพร้อมกัน







       23.50

      ..เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงช่วงสิบนาทีสุดท้ายก่อนจะส่งท้ายศักราช ผมยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเปลวอยู่แบบนั้นเหมือนเดิม มัน..อุ่นมากๆเลยในอากาศหนาวๆแบบนี้

       เป็นไปได้ผมก็อยากให้อ้อมกอดอุ่นๆนี้คงอยู่ตลอดไป



       “มึงว่าพรุ่งนี้..เราจะเป็นยังไงกันต่อหรอ” แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่า..มันจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า

       “หมายถึง..?”

       “กูกลัว”

       “…”

       “กลัวว่าวันพรุ่งนี้มันจะไม่เหมือนกับวันนี้” ผมกลัว.. กลัวความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ กลัวว่าวันที่ผมลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้อีกแล้วมันจะมาถึง

       “…”

       “กลัวว่าถ้าเกิดกูหลับตาแล้วทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิมอีก”

       “…”

       “กลัวว่าถ้าวันพรุ่งนี้มาถึง..เราอาจจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว” อดคิดไม่ได้จริงๆว่าถ้าเกิดวันที่ผมหรือเปลวจากกันไปมาถึง..คนที่ยังอยู่ตรงนี้จะเป็นอย่างไร

       “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันอยู่”

       “แต่กูกลัว..” ภาพที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องคิดมากแบบนี้ ที่แย่ก็คือสิ่งที่ผมคิดกำลังทำให้ผมเศร้าโศก

       “จับมือกู”

       “…” ทว่าจู่ๆเปลวก็ขยับที่ทางให้ผมสามารถสัมผัสมืออุ่นๆของเขาได้ ผมไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่แต่ก็ทำอย่างที่เปลวบอก ก่อนจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตัวเองกำลังถูกบีบเบาๆเป็นครั้งคราว แผงอกข้างหลังผมกำลังขยับเอนไปทางซ้ายช้าๆก่อนจะขยับเอนมาทางขวาทำให้ผมโยกไปตาม เสียงทุ้มนุ่มฮัมทำนองอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆหู..

       “ปิดตานะ”

       “…”

       “..Just close your eyes, the sun is going down..”

       “…”

       “You’ll be alright, no one can hurt you now”

       “…”

       “Come morning light…”

       “…”

      “You and I be safe.. and…sound”



      …เปลวฮัมเพลงด้วยโทนต่ำจนดูแหบพร่าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไพเราะเสียจนผมลืมความรู้สึกเมื่อครู่ไปเสียสนิท..

      “…ไม่รู้เลยว่าเปลวร้องเพลงเพราะ”

      “กูชอบเพลงนี้” เขาก้มมายิ้มให้ผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองทิวทัศน์ภายนอกเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็โยกตัวไปมาเพื่อให้ผมคลายความเศร้าไปด้วย “..ถ้ามึงรู้สึกแบบนั้นอีกก็นึกถึงเพลงนี้ไว้นะ”

       “..คิดถึง hunger games เลยเนอะ ฉากที่รูว์ตาย…จำได้เลยว่าตอนนั้นมึงร้องไห้” ผมมองหน้าเปลวที่กำลังหลงไหลไปกับพลุหลากสีภายนอกด้วยความเอ็นดู เขาในมุมนี้ดูเหมือนเด็กตัวน้อยๆคนนึง เป็นเด็กที่อ่อนไหวง่าย ดูเป็นคนหัวอ่อน ..เปลวชอบดูพลุดอกไม้ไฟ เรานอนดูพลุดอกไม้ไฟด้วยกันครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้ว และเราก็อยู่ดูด้วยกันมาทุกปี จนถึงตอนนี้เด็กคนนั้นก็ยังชอบที่จะมองประกายหลากสีพวกนั้นอยู่เหมือนเดิม

       “…”

       “ครั้งที่สองเองมั้งที่เห็นมึงร้องไห้ เพราะครั้งแรกคือตอนที่มึงช่วยกูขึ้นมาจากน้ำ” ผมพูดต่อ  “ตอนนั้นต้องขอบคุณมึงจริงๆนะ แล้วก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ตัดสินใจอะไรโง่ๆทำให้มึงต้องลำบาก”

      “…”

      “ขอบคุณมึงนะเปลว ขอบคุณจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ขอบคุณจริงๆที่ไม่ทิ้งกูไป”

      ขอบคุณนะครับ





      “..มึงมีอะไรอยากจะบอกกับตัวมึงส่งท้ายปีเก่ามั้ย” เจ้าของสันกรามคมเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปได้ซักพัก สิ่งที่อยากจะบอกกับตัวเองในปีนี้หรอ..

       “คงจะบอกว่า..ขอบคุณมากๆที่อดทนมาขนาดนี้ละมั้ง ขอบคุณที่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ”

       “เก่งมากลูกพ่อ”

       “แล้วมึงล่ะ? มีอะไรอยากจะบอกมั้ย” ผมถามต่อ

       “กับตัวเองกูคงไม่มี กูมีแต่กับมึง..”

       “…” ผมขยับออกมานั่งดีๆเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเปลวเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจัง สายตาของเขาจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่ผมก็อ่านไม่ออก ทว่าทันใดนั้นเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ของเปลวก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้ผมและเขารู้ว่าเรามาอยู่ในห้วงนาทีสุดท้ายของปีกันแล้ว

         “…” ..เปลวหันไปหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ไม่ห่างก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกแล้วกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง  “และแค่คำพูดของกู ..กูก็คงจะสื่อออกไปได้ไม่หมด..”



       10

       ..คนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ผม มือของเขาขยับมาเท้าพื้นที่ข้างหลังตัวผม ทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้นอีก..



       6

      ใบหน้าหล่อของเปลวเริ่มใกล้เข้ามาจนระหว่างเราเหลือระยะห่างอยู่ไม่ถึงคืบ นัยน์ตาสีนิลของเขาทำให้ผมละสายตาออกไปไม่ได้เลย มันดูลึกล้ำราวกับกำลังชักชวนให้ผมดำดิ่งลงไป



       3

      ..ฝ่ามืออีกข้างของเปลวเอื้อมขึ้นมาสัมผัสที่ท้ายทอยของผม ก่อนจะลูบไล้เบาๆ แล้วใช้มันตรึงเอาไว้ไม่ให้ผมเคลื่อนหนี



       2

       ปลายสันจมูกของเราสัมผัสกัน ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดลงมาบริเวณริมฝีปาก ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนผ่าว หัวใจเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก



       1

       ..เปลือกตาของผมค่อยๆปิดลง ภาพที่เห็นจึงถูกความมืดเข้าแทนที่ หากแต่ผมก็ยังรับรู้ทุกอย่างได้ผ่านการสัมผัสของเปลว เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา..ริมฝีปากของเปลวก็แตะลงบนริมฝีปากของผม





       Happy New Year !

      …เสียงจากภายนอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงพลุดอกไม้ไฟที่ถูกประโคมจุดจนละลานตาไปทั่วท้องฟ้า …มืออีกข้างของเปลวเลื่อนมาโอบร่างของผมให้เข้าไปใกล้ชิดเขาให้มากขึ้นกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ยังมอบรสจูบแสนหวานให้ผมไปด้วย  เพราะความคิดถึงที่แทบจะล้นออกมา..ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างประสานกันอยู่ที่ท้ายทอยของเปลว และโอบกอดเขาเอาไว้อย่างหวงแหน



       “สวัสดีปีใหม่นะครับคุณหมอ” เปลวสละริมฝีปากออกก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น

       “สวัสดีปีใหม่ครับคุณจิตรกร” ก่อนจะตอบเขากลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเปลวได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกไปแก้มของเขาก็ปรากฎเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัด มันแดงไล่ไปจนถึงใบหู ผมแค่นขำกับภาพที่เห็น เปลวเลยหลบเลี่ยงด้วยการดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด

       “รักมึงจัง..” เปลวพูดหลังจากที่ผมกอดเขากลับพร้อมกับแนบเคียงใบหน้าไว้กับไหล่กว้าง ทว่าทันทีที่ผมสัมผัสเข้ากับร่างกายเขาเต็มๆผมก็รู้สึกว่าตัวเขาแปลกๆไป เปลวหายใจถี่รัวมากๆจนผมไม่รู้สึกว่ามันปกติ แผ่นหลังของเขามีเหงื่อออกทั้งๆที่อากาศภายในห้องหนาวเย็น และผมก็ชาวาบไปทั้งร่าง..เมื่อได้ยินเสียงเบาหวิวของเขาพูดอยู่ข้างๆหู

       “กูไม่อยาก..จากมึงไปเลย” ก่อนจะต้องรู้สึกหนักอึ้งเพราะน้ำหนักตัวของคนในอ้อมกอดของผม ราวกับว่าเปลวทิ้งมวลของตัวเองทั้งหมดลงมาที่ผมอย่างไรอย่างนั้น

       ราวกับว่า…เปลวไม่รู้สึกตัวแล้ว



       “เปลว..” ไม่หรอก..มันไม่จริงหรอก เมื่อกี้เปลวยังจูบผมอยู่เลย เราพึ่งจะอวยพรให้กันในวันปีใหม่.. เราพึ่งจะยิ้มให้กันอยู่เลย..



       “เปลว.. เปลวตื่น” ผมพยายามเขย่าตัวเขาให้เขารู้สึกตัว พอจะเป็นไปได้ไหมว่าเปลวแค่ง่วงแล้วก็หลับไป พอจะเป็นแบบนั้นได้ไหม..



       “เปลว..ได้ยินเราไหม..” น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาก่อนจะหลั่งไหลออกไปอย่างไม่อาจหักห้ามไว้ได้ ผมยังคงพยายามเขย่าตัวคนในอ้อมกอดอยู่ซ้ำๆ อยากจะผละเขาออกมาดูใบหน้าเหมือนกันว่าเปลวเป็นอะไรไป แต่ผมกลับกลัว.. กลัวว่าถ้าผละออกมาแล้วพอเห็นไปหน้าของเปลว ผมจะรับความจริงไม่ได้..

       “เปลวสัญญาไว้แล้วนะว่าจะไม่ทิ้งกัน..”



       “สัญญากันแล้ว…ต้องรักษาสัญญานะรู้มั้ย”



       

       



       












— TBC —





_________________________
ตอนต่อไปตอนสุดท้ายแล้วนะคะ
 













       









 

       



หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-04-2019 17:04:59
ม่ายยยยยย :o12:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 13-04-2019 23:08:32


16


บทส่งท้าย




       ถ้าหากว่า..จะวอนขออะไรซักอย่าง พระเจ้าจะยอมฟังเสียงของเรามั้ยนะ..

       ถ้าหากว่า..จะวอนขอให้ที่ว่างตรงนี้มีเขาเข้ามาแทนที่อีกครั้ง พระเจ้าจะบันดาลให้เราหรือเปล่า..

       ถ้าหากว่า..จะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้เพื่อแลกกับชีวิตของเขา พระเจ้าจะคืนเขากลับมาใช่ไหม..

       แล้ว..ถ้าหากว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง และคำขอของเราไม่มีใครรับฟัง

       เราจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร       





       ..ดวงตะวันอุทัยขึ้นบนท้องนภาอีกครั้ง วันนี้เป็นวันแรกของศักราชใหม่ เป็นโอกาสดีสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆในชีวิต สำหรับคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่คงจะไม่ใช่กับเทียนไข

       ร่วมเจ็ดชั่วโมงหลังจากที่เปลวถูกพาตัวออกไป ส่วนเขาก็ถูกบังคับให้นอนพักอยู่ที่นี่ ไม่ได้รับอนุญาตให้ตามลงไป เปลือกตาของเทียนไขก็ไม่ได้ปิดลงเลยตั้งแต่ตอนนั้น ..เขารับรู้ทุกอย่างตราบจนถึงตอนนี้ มือเล็กวางอยู่นิ่งๆขนาบไปกับลำตัว ดวงตาทั้งสองทอดมองออกไปโดยไร้จุดโฟกัส ในหัวปราศจากกระบวนการคิด ทุกอย่างรอบๆตัวดูว่างเปล่าไปเสียหมด เว้นก็แต่…ก้อนเนื้อในอกที่กำลังส่งเสียงสะอื้นอยู่ข้างในเงียบๆ



       รสจูบของเปลวยังคงตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก ลมหายใจที่เป่ารดเขาอ่อนๆ.. ดอกไม้ไฟหลากสีที่ประดับประดาท้องฟ้า.. อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น.. ฝ่ามือของเราที่ประสานกันอยู่นานเท่านาน.. สัมผัสทั้งหมดนี้เทียนไขยังคงรู้สึกถึงมัน..



      ‘กูไม่อยาก..จากมึงไปเลย’



       ..รวมถึงวินาทีที่เปลวหมดสติในอ้อมแขนของเขาด้วยเช่นกัน



         หยาดน้ำตาสีใสไหลรินออกมาจากดวงตาอีกระลอกเมื่อนึกถึงสัมผัสเหล่านั้น ฝ่ามือเล็กทั้งสองของเทียนไขจึงขยับขึ้นมาก่อนจะโอบกอดร่างกายของตัวเอง แล้วค่อยๆขยับเอนไปทางซ้ายจากนั้นก็ขยับเอนมาทางขวา ฮัมเพลงที่เปลวร้องให้ฟังด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ..ปลอบประโลมด้วยความอบอุ่นของอ้อมกอดที่เขาหวังว่ามันจะคล้ายอ้อมกอดของเปลว



       ‘ทำไมมึงถึงชอบให้กูกอดวะ’

       ‘ไม่รู้เหมือนกัน มันแค่..อุ่นดี เหมือนตอนที่เรากอดแม่ล่ะมั้ง ทำไมล่ะ? เปลวไม่ชอบกอดเราหรอ’

       ‘ถ้ากูตอบว่าชอบ..มึงจะรู้สึกแปลกๆหรือเปล่า’

       ‘ไม่แปลกหรอก แล้วนี่แสดงว่าเปลวก็ชอบหรอ..?’

       ‘ครับ กูชอบเวลาที่มีมึงมาอยู่ในอ้อมกอดของกู…แบบนี้’

       ‘เดี๋ยวก่อนเปลว..นี่โรงเรียน’

       ‘ก็มึงบอกว่าไม่แปลกไม่ใช่หรอ’

       ‘…’

       ‘เวลามึงอยู่ในอ้อมแขนกูแบบนี้ มันทำให้กูรู้สึกว่า..’

       ‘…’

      ‘มึงจะปลอดภัย และไม่มีใครมาทำร้ายมึงได้อีก’




       เปลว..เปลวช่วยกลับมากอดเราอีกครั้งได้มั้ย

















       ฝั่งผู้ป่วยอีกห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่าง บรรยากาศภายในห้องมืดสลัว เกลียวม่านนิ่งเงียบไม่ไหวติงไปตามแรงลม ทำให้บดบังแสงจากภายนอกจนหมดสิ้น

       ..คนตัวสูงที่พึ่งรู้สึกตัวได้ไม่นานมานี้ขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะกวาดสายตาสังเกตสภาพที่เป็นอยู่ เขาก้มมองเรียวแขนของตัวเองที่เคยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแกร่ง ทว่าตอนนี้กลับไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว เป็นเพียงเรียวแขนลีบๆที่ไม่ว่าใครก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็น

       “…”

       เปลวกวาดสายตามองไปที่ชุดนิสิตที่แขวนไว้ห่างออกไปจากเขาไม่กี่ก้าว รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะค่อยๆพยุงตัวเองลงมาจากเตียงแล้วก้าวไปหาชุดนิสิตตัวนั้น

       มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปจับเชิ้ตสีขาวหมายจะนำมาสวมใส่แทนที่ชุดผู้ป่วยที่กำลังใส่อยู่ เหตุผลก็เพื่อที่จะได้ทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพื่อที่..เทียนไขจะได้ลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และเพื่อที่เทียนไขจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวแบบนี้

       ..หากแต่เปลวก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ ในขณะที่เขาหยิบไม้แขวนที่แขวนเสื้อนิสิตไว้ออกมา จู่ๆความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นที่ศีรษะอย่างรุนแรงทำเอาเชิ้ตสีขาวในมือของเขาร่วงหล่นลงพื้นในทันที

       “…” เปลวกัดฟันแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดที่รู้สึก แต่ก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ เขาเซถอยหลังก่อนจะล้มลงกับพื้น เสาน้ำเกลือข้างๆตัวจึงล้มตาม เสียงของแข็งกระทบกับพื้นจึงดังไปทั่วอาณาบริเวณ

       ..ภาพที่เปลวเห็นเริ่มพร่าเบลอ จนในที่สุดหยาดน้ำตาจากความทรมานที่สมองก็ร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง ..ไม่มีทางไหนเลยที่เปลวจะสามารถใช้เพื่อหลบหลีกความเจ็บปวดนี้ เปลวต้องอดทน…ถึงแม้จะทนไม่ไหวแต่เขาก็ต้องทน ทำได้แค่เฝ้ารอพยาบาล คุณหมอหรือใครซักคนเข้ามาช่วยเท่านั้น

        ที่แย่ไปกว่านั้น..ความเจ็บปวดในสมองเป็นเหตุให้มวลของเหลวอะไรบางอย่างดึงดันขึ้นมาที่หน้าอก เปลวพยายามกลัดกลั้นมันเอาไว้ แต่มันก็ดันตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆจนยากที่จะต้านทานไว้ได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องปล่อยให้ตัวเองอาเจียนออกมา



       ทว่าจริงๆแล้วสำหรับเปลว..เขาคิดว่าการที่อาการปวดมันเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี ..การที่มันเกิดขึ้นในช่วงเช้าแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีแล้วจริงๆ เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้เทียนไขของเขาก็ยังไม่ตื่นแน่ๆ อย่างน้อยๆ..เทียนไขก็จะได้ไม่เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่แทบทุกวัน และอย่างน้อยๆ..เทียนไขก็จะได้ไม่ต้องมาเห็นภาพที่น่าสมเพชแบบนี้

       ‘ได้โปรด..จดจำผมไว้แต่ภาพที่ผมยิ้มแล้วก็หัวเราะไปกับคุณแค่นั้นเถอะนะ’ เปลวคิดแบบนั้น



       แต่ดูเหมือนว่า..มันจะไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเท่าไรนัก



       “เปลว” เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอันคุ้นหูที่เปลวสามารถรับรู้ได้ในทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงคือใคร

       “…”

       “เปลว!” เทียนไขร้องเรียกด้วยความตกใจอย่างสุดขีดหลังจากที่เห็นเจ้าของหัวใจของเขานอนหันหลังให้อยู่ที่พื้น ทว่าไม่ทันที่เรียวขาจะได้ก้าวเข้ามาใกล้เปลวก็พูดขึ้นมาเสียก่อน..

       “ออกไป”

       “…” ปลายเท้าทั้งสองข้างชะงักหยุด โสตประสาททบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อหู

       “ไม่ได้ยินหรอ บอกให้ออกไปไง!”

       “…”

       “กลับไปอยู่ในที่ที่มึงควรอยู่ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”

       ..หยาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่รู้หยุด เปลวกัดฟันทนความทรมานพร้อมกับพยายามพูดออกไปเสียงแข็งด้วยความเจ็บปวด เว้าวอนอยู่ในใจซ้ำๆ..

       ‘ออกไป..ออกไปเถอะนะเทียน หันหลังกลับไป.. ก้าวเดินออกไป.. เดินจากกูไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าจะรอให้เป็นกูที่ต้องจากไป เพราะฉะนั้นแล้ว..ทิ้งกูไว้ตรงนี้เถอะนะ..’



       “ทำไมเปลวพูดแบบนี้ เมื่อวานเรายัง..”

       “เรายังไม่เลิกกันใช่ไหม? ได้ งั้นก็เลิกซะตั้งแต่ตอนนี้”

       “…”

       “ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”

       “ฮ่าๆ..งั้นเมื่อวานนี้ กูคงจะโง่ไปเองใช่ไหม..”

       “…”

       “เข้าใจแล้ว..” เสียงเบาหวิวพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายไปกับอากาศ ส่วนคนฟังที่นอนนิ่งๆอยู่ที่พื้นทันทีที่ได้ยินเขาก็สะอื้นหนักขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นเทาไปหมด

       ‘ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ไปจากกู..ขอบคุณมากๆเลยที่เทียนไขของกูรักตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว’



       ..หากแต่เสี้ยววินาทีถัดมาเปลวกลับรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆบางอย่างที่กำลังโอบกอดสารร่างพร้อมกับช้อนศีรษะที่แนบไปกับพื้นของเขาขึ้นมา

       “..ถึงมึงจะโกหกกูอีกซักร้อยครั้งพันครั้ง กูก็คงจะทิ้งมึงไม่ลงหรอกเปลว”

       “…” ..เปลวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเทียนไขถึงได้ดื้อด้านแบบนี้

       “ค่อยๆลุกนะ” คนตัวเล็กกว่าพยุงคนที่นอนอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆเดินไปในห้องน้ำ ..เปลวพยายามระมัดระวังอย่างสุดขีดไม่ให้คราบของเหลวไปโดนผิวสีเปลือกไข่ของเทียนไข แต่ก็ล้มเหลวเพราะเจ้าตัวดันใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดคราบอาเจียนบนใบหน้าอย่างไม่คิดรังเกียจ



       “ทำไมมึงไม่ฟังกูเลย” เปลวเอ่ยถาม ในขณะที่เทียนไขกำลังจัดแจงทำความสะอาดใบหน้าให้ตัวเอง

       “กูฟัง..แล้วกูก็เจ็บมากด้วย”

       “…”

       “แต่ถ้าจะให้กูทิ้งมึงไปจริงๆ กูคงเจ็บมากกว่าหลายเท่า” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นใบหน้าหล่อของเทียนไข เสื้อผู้ป่วยของเปลวถูกเจ้าตัวค่อยๆปลดออก จนสุดท้ายท่อนบนของเขาก็ไม่เหลืออะไรไว้ปกปิด “ล้างตัวไปนะ เดี๋ยวกูไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้”

       “…” เปลวพยักหน้า ก่อนจะทำตามที่เทียนไขบอก อาการปวดศีรษะเขายังคงรู้สึก ทว่าพอเห็นเทียนไขทำแบบนี้แล้วเขาก็พอทนต่ออาการได้อย่างน่าประหลาด

       แต่ก็คงจะไม่ใช่ทั้งหมด



       คิดอะไรได้ไม่ถึงนาทีมวลของเหลวภายในร่างกายก็ดึงดันที่จะออกมาอีกครั้ง ด้วยความร้อนรน..ฝักบัวในมือจึงร่วงหล่นกระแทกกับพื้น เทียนไขที่กำลังหาชุดผู้ป่วยสำรองอยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินเสียงกระแทก เจ้าตัวก็รีบกุลีกุจอเข้ามาอย่างเร็วรี่

       คนตัวเล็กกว่าพาดเสื้อผ้าไว้ที่ราว ก่อนจะตรงเข้าไปหาเปลวที่กำลังอาเจียนอยู่ที่ชักโครก ฝ่ามือเล็กทาบลงบนแผ่นหลังกว้าง จากนั้นก็ลูบเบาๆ

       “กูเรียกพยายาลมาแล้วนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวเปลี่ยนชุด แล้วกลับไปบนเตียงเหมือนเดิม”

       “ขอบคุณมาก แต่ว่า..มึงออกไปได้ไหม กูไม่ได้อยากให้มึงมาเห็นสภาพกูแบบนี้ กูขอร้องจริงๆ..” สิ่งที่เทียนไขทำไม่ใช่สิ่งที่เปลวต้องการเลยซักอย่าง ..ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเทียนไขถึงไม่นึกรังเกียจของเหลวพวกนี้ ..ทำไมเทียนไขถึงไม่นึกสมเพชเขา ภาพเหล่านี้มีแต่จะสลักลึกลงไปในหัว ยิ่งจมอยู่กับมันเทียนไขก็จะถูกมันตามหลอกหลอนไปไม่จบไม่สิ้น ซึ่งเทียนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังปล่อยให้ภาพเหล่านี้มันเข้าไปอยู่ในหัวอยู่อีก

       “จะให้กูทิ้งมึงไปได้ยังไง ตอนนั้นมึงยังไม่ทิ้งกูเลย” 

       “…”

       “..ตอนที่กูจมน้ำ ตอนนั้นสภาพกูหนักกว่ามึงด้วยซ้ำ มึงยังกล้าปั๊มหัวใจ..มึงยังกล้าเป่าปากกูเลย”

       “…”

       “ตอนนั้นมึงรังเกียจกูหรือเปล่าล่ะ..?”

       “..ไม่ กูไม่รังเกียจมึงเลย”

       “ตอนนี้กูก็เหมือนกัน”

       “…”

       “กูรังเกียจคนที่กูรักไม่ลงหรอก” ..ภาพในวันนั้นฉายย้อนขึ้นมาในหัวของพวกเขาทั้งสอง



      ‘เทียน’

       ‘…’

       ‘มึงไม่จำเป็นต้องเลิกฝันเลยเว้ย มีคนโชคร้ายอยู่อีกเป็นหมื่นๆคนที่รอให้มึงไปรักษา ..เพราะงั้นอย่าทิ้งฝันตัวเองดิ เท่ดีออกที่ความฝันมึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้’

       ‘…’

       ‘มึงเก่งมากเลยนะที่อดทนมาได้ขนาดนี้..’

       ‘…’

       ‘กูก็…ไม่รู้หรอกนะเว้ย เพราะกูก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบมึง แต่ว่าต่อจากนี้..มึงจำไว้เลย..’

       ‘…’

       ‘เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย…มึงยังมีกู’




       ..รอยยิ้มอันแสนหวานจึงปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมด้วยแววตาที่หยาดเยิ้มไปด้วยความทรงจำ

       “ขอบคุณมึงมากๆเลยนะเทียน”

       “เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะคุณ” เทียนแค่นขำ เปลวเห็นแบบนั้นแล้วจึงเอื้อมมือไปกดชักโครก จากนั้นก็ขยับไปที่อ่างล้างมือเพื่อทำความสะอาด

       “รู้สึกใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ว่ะ แขนขาไม่ค่อยมีแรงเลย” ..ก่อนจะยิ้มชั่วร้ายอยู่หน้ากระจก

       “จริงหรอ งั้นเดี๋ยวกูใส่ให้”

       “รบกวนมึงด้วยนะ”

       “เฮ้ย ไม่รบกวนเลย เพราะกูไม่ได้จะใส่ให้มึง กูใส่ให้ตัวเอง เสื้อกูก็เปื้อนนะ..เห็นมั้ย?”

       “…” ดูเหมือนว่าครั้งนี้..เทียนไขจะรู้ทันเขาซะแล้ว

       “ล้อเล่น …เดี๋ยวกูค่อยเปลี่ยนทีหลัง มึงขยับมานี่ดิเดี๋ยวใส่เสื้อให้”

       “กางเกงด้วยดิ”

       “ครับ”

       แต่คิดอีกที..เทียนไขก็ยังเป็นเทียนไขนั่นแหละ







       ..หลังจากนั้นไม่นานพี่พยาบาลก็เข้ามาดูอาการของเปลวพร้อมกับให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เปลวพักอยู่ร่วมชั่วโมงความเจ็บปวดที่ศีรษะจึงค่อยๆเบาลง

       ผ้าม่านสีครีมถูกเปิดออกกว้างจนทำให้แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาภายในห้องได้ บรรยากาศขณะนี้จึงไม่อึมครึมเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

       “รู้สึกยังไงบ้าง..? ดีขึ้นบ้างมั้ย” เทียนไขเอ่ยถาม

       “ดีขึ้นบ้างแล้วแหละ ..แล้วนี่วันนี้มึงว่างหรอ”

       “ไม่รู้เหมือนกัน แต่บอกพี่พยาบาลไว้แล้วว่าจะลงมาหามึง”

       “ถ้าเขาอนุญาตมึงง่ายๆแบบนี้ก็แสดงว่ามึงใกล้หายแล้วอะดิ เห็นแต่ก่อนตอนมึงลงไปข้างล่างพี่เขาจะตามดูมึงอยู่ห่างๆตลอดเลย”

       “ถูกต้องแล้วค้าบ กูไม่ต้องทำ ECT แล้วด้วย แต่ก็ยังต้องกลับไปกินยาเหมือนเดิมอยู่”

       “งั้นอย่างนี้มึงก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลอีกไม่นานแล้วดิ”

       “…” เทียนไขนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยิน ความรู้สึกบางอย่างในใจพร่ำบอกกับเขาซ้ำๆว่าให้เขาพยักหน้าแล้วตอบรับไปว่าเป็นอย่างที่เปลวพูด ถึงแม้ความจริงจะไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม..



       “น่าจะนะ หมอก็บอกกูแบบนั้น” ยิ้ม..ยิ้มเข้าไว้

       “…ดีแล้ว” หากแต่..จริงๆเปลวก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น นายทินกรในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดการรักษารับรู้ความจริงในข้อนี้ดี โรคประสาทของเทียนไขกำลังจะหายแล้วก็จริง แต่ไม่ใช่กับอาการไตวายเรื้อรังที่ค่อยๆหนักขึ้นอยู่ทุกขณะตามกาลเวลา

       เทียนไขอาจจะไม่เคยพูดถึงอาการป่วยของตัวเองในเรื่องนี้ แต่เปลวก็รับรู้ทุกอย่างแล้ว รับรู้ด้วยว่าเทียนไขกำลังพยายามทำตัวให้ปกติเวลาอยู่กับเขา



       “จับมือหน่อย” เปลวเอ่ยขอ ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมมือเล็กที่อยู่ข้างๆเตียง

       “ไม่รอกูอนุญาตหน่อยหรอ”

       “หึ มึงช้า”

       “งั้นไม่ให้จับแล้ว”

       “งั้นจะจับอย่างอื่น”

       “งั้นจับมือต่อก็ได้ เอามีดมั้ย..ตัดไปได้นะ” ..ทันทีที่ได้ยินเปลวก็เลื่อนมือน้อยๆขึ้นมา ก่อนจะประทับรอยจูบลงบนหลังมือ

       “ไม่ใช้มีดแต่ใช้ปากแทนได้มั้ย” พูดไม่ทันจบเจ้าตัวก็ละเลงจูบไปจนทั่วทั้งหลังมือและหน้ามือ กลิ่นกายอ่อนๆปะทะเข้ากับจมูกจนทำให้เปลวอยากจะสูดอากาศบริเวณรอบๆเทียนไขเข้าไปในปอดให้หมดแต่เพียงผู้เดียว

       “นอนพักเถอะคุณ เล่นอะไรกับมือเราอยู่ได้” เปลวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะประสานมือกับเทียนไข สอดแทรกเรียวนิ้วทุกนิ้วไว้ระหว่างกันแล้ววางไว้ข้างๆตัว 

       “..อยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้จังเลย” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้น

       “…”

       “อยากอยู่กับมึงแบบนี้ไปตลอดจัง..” ที่จริง...เปลวเองก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนไขเลย เขาทั้งระแวงแล้วก็หวาดกลัวอย่างสุดขีด

       “กูจะอยู่กับมึงแบบนี้ตลอดไป” เทียนไขยิ้มตอบ ตลอด..ตลอดไปน่ะหรอ เปลวอาจจะเคยพูดออกไปแบบนั้น แต่มีตลอดไปอยู่จริงๆหรือเปล่าเปลวยังไม่แน่ใจกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ

       “เทียน”

       “…”

       “ถ้ามีใครซักคนจำเป็นที่จะต้องปล่อยมือกันก่อน ขอให้คนๆนั้น..เป็นกูได้มั้ย”

       “…”

       “ขอให้มันเป็นกูเถอะนะ…”

       ตอนนี้เทียนไขอาจจะยังไม่เข้าใจอะไร แต่ซักวันเขาก็คงจะเข้าใจเองเมื่อวันนั้นมาถึง ..วันที่เปลวไม่อาจต่อสู้กับสิ่งที่กำลังเผชิญได้ วันที่..สมองของเขาไม่ทำงานอีกต่อไป ฝ่ามือเล็กๆของเปลวนี้จะสามารถมอบสิ่งที่จำเป็นต่อเทียนไขได้

       อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาก แต่ให้คิดซะว่าเป็นของตอบแทนเล็กๆน้อยๆ

       สำหรับการที่เรา…ได้รักกัน

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 13-04-2019 23:29:11
       ..ท้องฟ้าสีครามและหมู่เมฆสีหมอก ค่อยๆเคลื่อนที่ไปช้าๆตามอัตราเร็วลมเบื้องบน เวลาในช่วงวันจึงผันผ่านไป ก่อนจะมาหยุดอยู่ช่วงเย็นที่ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแสด

       รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนที่มาหยุดอยู่หน้าตึกคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ภายในรถฝั่งคนขับเป็นหญิงสาวอายุย่างเข้ายี่สิบ เธอขับรถมารอรับแฟนหนุ่มของเธอเพื่อไปเที่ยวเล่นตามห้าง หรือไม่ก็ร้านอาหารที่ไหนซักที่ แต่ในตอนนี้เธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปที่ไหนดี



       Rrrrrrrrrr

       …และระหว่างที่รอ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆก็ดังขึ้น เธอวางมือจากแท็บเล็ตตรงหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับสาย

       “เป็นไงบ้างเปลว” เธอกรอกเสียงหวานลงไปผ่านโทรศัพท์ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงโทนต่ำตอบกลับมา

       [แย่นิดหน่อย เออผึ้ง…กูจะบอกว่ากูจำทุกอย่างได้แล้วนะ]

       “เสียงแบบนี้.. จริงด้วย เปลวจริงๆด้วย!” และใช่.. หญิงสาวที่ว่าก็คือ ‘น้ำผึ้ง’ นั่นเอง

       [ตั้งแต่ไปหัวหินตอน ม.1 เราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอีกเลยเนอะ กูก็มาสูญเสียความทรงจำอีก..]

       “จริงแหละ ปัญหาของผู้ใหญ่แต่ดันทำให้เด็กๆอย่างเราเดือดร้อน เทียนก็ไม่ใช่คนเดียวกับพ่อเทียนเขาซักหน่อย ไม่รู้ทำไมต้องเกลียดกันถึงขนาดนั้น”

       [กูไม่โกรธใครหรอก ป้าวรรณแม่มึงแกก็มีเหตุผลของแกที่ตัดญาติกันกับพ่อกู]

       “แต่เหตุผลตอนนั้นเป็นเราเราก็รับไม่ได้นะเปลว แค่พ่อเปลวรับเทียนไขมาอยู่ด้วยแค่นั้นเอง แม่เราไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นเลย”

       [คงเพราะ..ป้าวรรณคิดว่าพ่อเทียนเป็นคนทำให้แม่แท้ๆของกูจากไปล่ะมั้ง แกคงคิดว่าพ่อเทียนจะทำร้ายแม่เพื่อหวังจะเอาเงิน..จำได้ว่าแกบอกว่าแกเห็นกับตาเลยนี่ พอพ่อกูยังไปสนิทสนมกับคนแบบนั้นอีกป้าวรรณก็เลยโกรธจนตัดขาดกัน..]

       ..เคยมีคำพูดที่บอกไว้ว่าอดีตก็คืออดีต มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วและไม่ควรเก็บมาใส่ใจ บนโลกใบนี้ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่ว่า หากแต่..มันไม่ใช่แค่นั้น

       อดีตคือเรื่องราวที่ส่งผลทำให้เกิดปัจจุบัน



       ยี่สิบปีก่อนหน้านี้ในพื้นที่ที่กว้างกว่าสองไร่ มีการสร้างบ้านของคู่รักคู่หนึ่ง ครอบครัวของฝ่ายหญิงเป็นผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง ส่วนฝ่ายชายเป็นพนักงานธรรมดาๆของบริษัทนั้น

       หลังจากที่แต่งงานกันทั้งคู่ก็ตั้งใจที่จะสร้างบ้านซักหลังไว้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวสุขสันต์ พอเริ่มสร้างไปได้จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว ทั้งคู่ก็มาดูความคืบหน้าของงานที่บ้านหลังนั้น ที่พิเศษก็คือมีข่าวดีเกิดขึ้น..อีกไม่นานครอบครัวนี้จะสุขสันต์อย่างแท้จริง เพราะลูกตัวน้อยๆในท้องของฝ่ายหญิงที่ใกล้จะคลอดแล้วในอีกไม่กี่สัปดาห์

       ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง อุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ..แท่งไม้แท่งใหญ่ขนาดกว่าสองเมตรร่วงหล่นลงมาจากนั่งร้านในขณะที่คุณแม่คนนี้กำลังเดินผ่าน ทุกคนในบริเวณนั้นต่างก็เห็นกันเป็นตาเดียวว่ามันจะตกมาโดนหัวเธอแน่ๆ เสียงร้องตะโกนจากคนเป็นพ่อที่อยู่ห่างออกไปดังขึ้นเพื่อให้เธอได้สติ ทว่ามันก็ช้าเกินไปเสียแล้ว

       แต่ทันใดนั้นก็มีคนงานคนหนึ่งกระโจนเข้าไปหาเธอแล้วดึงเธอให้ออกมาจากตรงนั้น และใช่..คนงานคนนี้ก็คือพ่อของเทียน เด็กในท้องคือเปลว ส่วนผู้ชายที่ตะโกนเรียกอยู่ห่างออกไปก็คือพ่อของเปลว

       พ่อเทียนช่วยเธอไว้ได้ทันเวลาก็จริง แต่เพราะความร้อนรนจากการรีบกระโจนเข้าไปช่วยทำให้ทั้งคู่ล้มลง ..เสียงจากไม้ใหญ่กระทบพื้นและเสียงร้องตะโกนดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ ชาวบ้านละแวกนั้นหลายสิบคนจึงออกมาสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ..เป็นจังหวะเดียวกับที่รถหรูอีกคันเข้ามาจอดในบริเวณบ้านพอดี และคนในรถคือแม่ของน้ำผึ้ง พี่สาวของคุณแม่คนนี้ ..ภาพที่คนบริเวณนั้นเห็นคือชายที่แต่งตัวโสโครกเต็มไปด้วยดินและปูนกำลังรวบคนท้องที่แต่งตัวดูมีสกุลไปไว้ในอ้อมกอด ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีที่พี่สาวมีภาพที่เห็นจึงสลักลึกลงไปในหัวจนยากที่จะลืมเลือน

       และยิ่งไปกว่านั้น…เนื่องจากว่าผู้เป็นแม่ล้มลงกับพื้น ในเวลาต่อมาเด็กในท้องและแม่จึงมีโอกาสรอดแค่ห้าสิบห้าสิบ

       ถ้าจะให้แม่รอด…ก็ต้องเอาเด็กออก

       ถ้าจะให้เด็กรอด…แม่ก็จะจากไปตลอดกาล



       พ่อของเปลวอยากจะเลือกรักษาชีวิตของแม่ไว้ ทว่าคุณแม่กลับเลือกที่จะสละชีวิตตัวเองและฝากลูกให้ฝ่ายพ่อดูแล

       จากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้คำว่า ‘สุขสันต์’ ของครอบครัวนี้พังทลายไม่มีชิ้นดี เด็กที่เกิดมาไม่มีแม่ และถูกพ่อเกลียดมาตั้งแต่วันนั้น ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด..

       ชายผู้ถูกมองว่าสกปรกโสมมอย่างพ่อของเทียนไขถูกก่อกวนจากลิ่วล้อของครอบครัวฝั่งผู้ที่จากไป เขาไม่คิดเลยว่าการที่เขาคิดจะทำดี กลับนำพาหายนะมาสู่ครอบครัวของตัวเอง ..หลังจากวันนั้นข่าวที่แพร่ออกไปมีเพียงหัวข้อข่าวโง่ๆที่ว่าเขากำลังประทุษร้ายคนท้อง ถูกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าค่าตาประนาม และที่เลวร้ายที่สุด…

       ..พ่อของเทียนไขถูกลิ่วล้อพวกนั้นบังคับให้เสพยา ครั้งแรกเขาไม่ยอม ผลที่เขาได้รับคือหมัดและฝ่าเท้านับสิบ ท้ายที่สุดเขาก็เลยหนีไม่พ้น

       มีเพียงพ่อเปลวเท่านั้นที่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีกว่าใคร ..ถ้าไม่ได้พ่อเทียนไขช่วยไว้ในวันนั้น ทุกอย่างมันก็คงย่ำแย่เสียยิ่งกว่านี้

       ชายวัยกลางคนทั้งสองติดต่อกันอยู่บ้างในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ แต่พอเวลาผ่านไป..จากสองก็กลายเป็นหนึ่ง

       พ่อของเทียนถูกประหาร



       ความเครียดและความทุกข์ทำให้พ่อเปลวติดเหล้าเมาสุรา ผลาญเงินไปกับแอลกอฮอล์เพื่อหวังจะให้มันเยียวยาจิตใจ เขาหาผู้หญิงคนใหม่เพื่อจะให้แทนที่แม่ของเปลว แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยิ่งเพิ่มปัญหาให้เขาได้ทุกเมื่อเชื่อวันโดยมีเรื่องเงินเป็นสาเหตุ พอพ่อเปลวไม่มีเงินเพียงพอต่อความต้องการของเธอสุดท้ายเธอก็ทิ้งพ่อเปลวไป

       หลายปีต่อมาเมื่อพ่อเปลวมีโอกาสได้พบกับลูกของเพื่อนผู้โชคร้าย เขาก็เลยให้เปลวไปทำความรู้จักเอาไว้ ทว่าในเวลาต่อมากลับมีเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า ..ฝั่งมารดาของเด็กคนนี้เสียชีวิต เขาพึ่งรู้เรื่องเพราะเปลวเป็นคนมาบอก วินาทีแรกเขาอยากจะช่วยเด็กคนนี้ แต่เมื่อคำนึงถึงผลที่จะตามมาจากบรรดาวงศาคณาญาติของเขาแล้วเขาก็เลือกที่จะตัดใจ หากแต่เปลวกลับรบเร้าเขาอยู่นานจนสุดท้ายเขาก็เลยเป็นต้องจำยอม

       ไม่กี่วันให้หลังเมื่อแม่ของน้ำผึ้งรับรู้ว่าพ่อเปลวเก็บเด็กสลัมมาเลี้ยง ซ้ำยังเป็นลูกของคนที่ทำให้ชาติตระกูลเสื่อมเสีย เธอจึงตัดสินใจริบทรัพย์สินที่เคยเป็นของน้องสาวทุกอย่างกลับมา แต่เมื่อเห็นว่ามันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านก็ถูกขายไป เธอเลยตัดหางปล่อยวัด และไม่เผาผีครอบครัวนี้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังย้ายโรงเรียนให้ลูกสาวไปเรียนโรงเรียนที่อื่นอีกด้วย เหตุผลเพียงเพราะกลัวเสนียดติด

       น้ำผึ้งจึงห่างหายออกไปตั้งแต่ตอนนั้น



       “แต่ตอนนี้แม่ก็รู้แล้วแหละว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แม่เราก็อยากจะเจอเทียนไขซักครั้งเหมือนกันนะ..อยากจะขอโทษซักครั้ง” เธอกัดฟันพูดออกไป ลึกๆรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าเพียงแค่คำขอโทษไม่อาจทดแทนสิ่งที่เสียไป แต่เธอก็ทำสิ่งที่เธอทำได้อย่างถึงที่สุดแล้ว …การทำให้ผู้เป็นแม่ที่จงเกลียดจงชังเป็นหนักหนาได้เข้าใจเรื่องที่เกิดทั้งหมดจริงๆเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ แต่เธอก็ทำสำเร็จ

       ..หลังจากที่แม่ของน้ำผึ้งรับรู้ว่าพ่อเปลวได้จากไปแล้ว เปลวสูญเสียความทรงจำ รวมถึงเทียนไขที่หายตัวไป เธอก็เลยยอมฟังเสียงของลูกสาวตนเอง หวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น และคำพูดที่พ่อเปลวพยายามอธิบายให้เธอฟังอีกครั้ง

       แม่น้ำผึ้งจึงได้เข้าใจแล้วว่า..

       ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำ…เป็นความผิดมหันต์ที่ไม่ควรค่าแก่การอภัย



       [เทียนไม่ได้รู้เรื่องนี้หรอกมั้งกูว่า แต่ก็ดีแล้วแหละที่มันไม่รู้..แค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่คนๆนึงจะรับไหวแล้วว่ะผึ้ง]

       “…เปลวจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? งั้นเปลวช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังที…ให้ไปหาที่โรงพยาบาลมั้ย? วันนี้อยากได้อะไรหรือเปล่า แอปเปิล เสื้อกันหนาวหรือขนม?”

       [ฮ่าๆ ของพวกนั้นไม่จำเป็นแล้ว…ตอนนี้เทียนก็อยู่กับกูนี่แหละ หลับมาตั้งแต่บ่ายแล้ว]

       “โอเคงั้นไม่ไปรบกวนดีกว่า ว่างจะเล่าตอนไหนก็บอกด้วยละกัน” น้ำผึ้งแค่นขำให้กับความน่ารักของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เธอยังจำได้ดีเลยว่าครั้งแรกที่เด็กชายทินกรบอกกับเธอว่าตัวเองกำลังแอบชอบผู้ชาย แถมปากโดนปากกันไปแล้วด้วย วินาทีนั้นคุณทินกรเขาดูไร้เดียงสามากๆ ..เป็นรักแรก ..เป็นรักที่รักมากๆ ..และดูเหมือนจะเป็นรักเดียวของเขาด้วย เธอนับถือความรักของเปลวมากๆเลย

       ทว่า..น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ตอบกลับมากลับดูเศร้าสร้อยจนเธอนึกหวั่นใจ

       [กู..ไม่รู้เหมือนกันว่ะว่าจะว่างอีกทีวันไหน]

       “…”

       [กูกลัวว่ะผึ้ง]

       “…”

       [หมอบอกกูว่ากูยังพอมีหวัง…แต่กูไม่แน่ใจเลย กูทรมาน..ขนาดหมอให้ยาไปแล้วก็ยังทรมาน]

       “…”

       “เปลว..เปลวจะไม่เป็นไร” เธอเอ่ยปลอบ ..น้ำผึ้งเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเปลวต้องเผชิญกับอะไรบ้างสำหรับที่ผ่านมา รวมถึงตอนที่เปลวจำอะไรไม่ได้ และเธอก็เป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับเปลว ช่วงเวลานั้นทุกอย่างมันหนักหนาสาหัสมากๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันยาวนานราวกับต้องใช้เวลากว่าร้อยปี …แต่สุดท้ายเธอก็ช่วยให้เปลวก้าวผ่านมันมาได้ เปลวสามารถกลับมาเรียนที่มหาลัยตามที่เปลวคนเก่าตั้งเป้าเอาไว้ในแผ่นกระดาษโน้ตบนกระดานไวท์บอร์ดที่อยู่ในห้องนอน

       ทว่าในความเป็นจริง..ถ้าจะบอกว่าเปลวก้าวผ่านมันมาได้ทั้งหมดก็คงจะเป็นการโกหก เปลว..มีความผิดปกติบางอย่างที่รักษาไม่หายตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ และเธอก็ไม่คิดเลยว่ามันจะร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นเนื้องอก



       [มึงอยากรู้ใช่ไหมว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง..?]

       “ก็อยาก…แต่ถ้าเปลวยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเล่าก็ได้”

       [กูพร้อมแล้ว]

       “…”

       [แต่ก่อนอื่นมึงช่วยทำตามที่กูขอหน่อยได้ไหม..]













       ..ท้องฟ้าเริ่มถูกสีโทนมืดจากทางทิศตะวันออกกลืนกิน มันไล่ระดับสีจากน้ำเงินเข้ม ม่วง ชมพู แดงอ่อนและสีแสดจากแสงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงทางทิศตะวันตก พอรวมกันแล้วก็กลายเป็นท้องฟ้าที่ไม่ว่าใครถ้าได้มองก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันแน่ๆว่าสวยงามราวกับภาพศิลปะชั้นเลิศ

       ..บรรยากาศภายในห้องเริ่มมืดสลัวลงอีกครั้งตามธรรมชาติ มีเพียงแสงจากตึกรามบ้านช่องภายนอก และแสงจากช่องกระจกตรงประตูเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา

       คนตัวเล็กยังคงหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆเตียง ศีรษะของเทียนไขมีแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นหมอน ส่วนอีกข้างยังคงประสานกันกับเปลวอย่างแนบแน่นอยู่ดังเดิม

       เปลวมองใบหน้าที่กำลังจมอยู่กับฝันหวานอย่างเอ็นดู ช่วงไหล่ของเทียนไขขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าไปในปอด ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเมื่อค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา เปลวจ้องไปได้ซักพักรอยยิ้มก็เกิดขึ้นกับเขาโดยที่ไม่รู้ตัว

       “เทียน”

       “…” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเบาๆ ทว่าเทียนไขกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับ

       “ขี้เซาเหมือนกันนะมึงเนี่ย” คนตัวสูงใช้ฝ่ามืออีกข้างขยี้กลุ่มผมสีดำเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมเริ่มยุ่งเขาก็หัวเราะอยู่คนเดียว แต่ก็ลูบและจัดแจงให้ทรงผมกลับมาเป็นทรงเดิม สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของผู้ที่เป็นโลกทั้งใบของเขา..



      ‘เปลว บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำลัด เปลวไม่ได้แม่นขนาดนั้น เห็นมั้ยเนี่ยมันผิด ทำใหม่เลย ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามดิ ติวเตอร์เทียนอยู่ตรงนี้แล้ว’



       ‘มึงซ้อมใช่มั้ยวันนี้? กูมีธุระกับพวกงบประมาณว่ะ อาจจะเสร็จช้ากว่ามึง ถ้ากูช้า..มึงกลับไปก่อนได้เลยนะ แต่ยังไงกูก็จะรีบเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จให้เร็วที่สุดแหละ เผื่อเราจะได้กลับพร้อมกัน’




       มึงคง..เหนื่อยมามากใช่ไหมเทียน? แต่กูขออะไรมึงหน่อยได้ไหม.. ขอเพียงนิดเดียวเท่านั้น..

       “..พอจะเป็นไปได้ไหมที่มึงจะคงใบหน้าแบบนี้ของมึงไว้..”

       “…”

       “มึงที่มีแต่เสียงหัวเราะ.. เส้นตื้นกับมุกโง่ๆที่กูชอบเล่น”

       “…”

       “มึงที่มีแต่รอยยิ้ม.. มองท้องฟ้าก็ยิ้มให้กับท้องฟ้า มองพระจันทร์ก็ยิ้มให้กับพระจันทร์”

       “…”

       “ถ้ากูไม่อยู่แล้ว..”

       “…”

       “มึงช่วยคงสิ่งพวกนี้เอาไว้ได้ไหมเทียน” กูขอร้อง นะ..นะเทียน



       …หยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้เมื่อจินตนาการถึงวันที่ใบหน้าของเทียนไขไม่ได้หลับตาพริ้ม ไม่ได้มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

       “กูอยากให้มึงสัญญากับกูจังเลยเทียน.. อยากให้มึงสัญญากับกูอีกซักคำ”

       “…”

       “ถ้ากูปล่อยมือแล้ว…มึงต้องก้าวไปข้างหน้านะ”

       อย่าจมอยู่กับอดีต.. อย่าจมอยู่กับเรื่องราวที่พอมึงนึกถึงแล้วมึงจะเจ็บปวด

       “ถ้าเกิดมีใครซักคนที่ดีพร้อมเข้ามาในชีวิตมึง..”

       “…”

       “จับมือเขาไว้แล้วก้าวไปกับเขานะ”

       ..มึงอาจจะจับเอาไว้แน่นเหมือนอย่างที่จับกับกูเลยก็ได้ กูจะมีความสุขมากๆเลยถ้ามึงทำแบบนั้น

       ได้โปรด..มีความสุขเถอะนะ







       “เปลว” ..เสียงแหบพร่าของคนขี้เซาเอ่ยขึ้น เปลวจึงใช้หลังมือที่ไม่ได้ประสานกับเทียนไขซับคราบน้ำตาเหล่านั้นออกไปแล้วปลูกปั้นรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนเดิม

       “สวัสดีตอนเย็นครับคุณเทียนไข”

       “ฮ่าๆ เสียงแบบนี้มันเปลวเวอร์ชั่นคนดีนี่ครับ”

       “ผมก็เป็นคนดีตลอดนั่นแหละคุณ” หัวเราะเร็วเปลว..เก็บความรู้สึกทั้งหมดนั่นเอาไว้ซะแล้วหัวเราะร่วนเหมือนอย่างที่นายชอบทำ..

       “ค่ำแล้วหรอเนี่ย.. เราหลับไปนานแค่ไหนหรอเปลว”

       “ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงตอนนี้อะ” อดทนเอาไว้ก่อน.. อย่ารู้สึก.. ห้ามรู้สึก

       “จริงหรอครับ ..ยังไม่หายง่วงเลย”

       “กลับไปนอนต่อที่ห้องของคุณดีกว่านะ เริ่มมืดแล้ว”

       “กอดก่อนไปได้มั้ย..”

       “…” เปลวแค่นขำ ก่อนจะอ้าแขนกว้างรอให้เจ้าตัวเล็กของเขาเข้ามาเติมเต็ม เทียนไขเห็นดังนั้นแล้วก็ยิ้มแป้น จากนั้นก็ขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วซุกตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดแสนอบอุ่น

       “ขอหมอมาอยู่กับคุณได้ไหมเนี่ย..” คนในอ้อมกอดบ่นอุบอิบ แต่ก็ดังพอที่เปลวจะได้ยิน เขาจึงลูบหัวเทียนไขเบาๆ แล้วพูดต่อ

       “ฉากรักในโรงพยาบาลหรอ.. น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”

       “ขอตัวก่อนนะครับ” เปลวหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นๆแล้วสะบัดเจ้าตัวเล็กของเขาไปมาเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

       “วันนี้..ฝันดีนะครับ” เปลวเอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้ม เขาคลายอ้อมกอดไว้หลวมๆก่อนจะก้มลงไปประทับริมฝีปากไว้ที่หน้าผากสีเปลือกไข่

       “ฝันดีครับ” ..แต่เทียนไขกลับเล่นใหญ่กว่าด้วยการขยับขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากบนริมฝีปากของเปลว

       “ร้ายนะคุณเนี่ย”

       “ฮ่าๆ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” คนตัวเล็กกว่าค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดก่อนจะหย่อนเท้าลงบนพื้น ทว่าไม่ทันที่จะได้ก้าวเดินเสียงของเปลวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน..

       “เดี๋ยวก่อนเทียน”

       “ครับ?”

       “พรุ่งนี้เราไปเดินเล่นที่สวนหลังอาคารกันดีมั้ย…ซักสิบโมง” ขออีกนิด.. อีกนิดเดียวเท่านั้น..

       “มึงจะไม่เป็นไรหรอเปลว”

       “ไม่เป็นไร” ..ใช่แล้ว ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรนะเปลว เข้มแข็งหน่อย.. ยิ้มเข้าไว้

       “โอเค ได้ แต่ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงมึงต้องรีบบอกกูเลยนะ”

       ..คนตัวสูงไม่ได้ให้คำตอบเป็นเสียงพูด เขาพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ฝั่งเทียนไขเห็นแบบนั้นแล้วก็โบกมือบ๊ายบายจากนั้นก็เดินจากไป



       และทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น…

       “โอ๊ย!” ..ความเจ็บปวดในศีรษะก็เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง เปลวนิ่วหน้าด้วยความทรมาน ร่างกายสั่นระรัวโดยที่ไม่อาจควบคุม

       เขาทำได้แค่ให้เวลาอันเชื่องช้านี้ผันผ่านไปรอจนกว่าความเจ็บปวดจะทุเลาลง ..ระหว่างนั้นก็จมอยู่กับความรู้สึกที่เหมือนถูกใครซักคนบีบกระโหลกอย่างรุนแรงต่อไปเรื่อยๆ



       “ทนอีกหน่อยนะเปลว..” เสียงทุ้มนุ่มพยายามกล่อมเกลาตัวเอง เปลวพยายามข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ถึงแม้จะยากลำบาก



       “ทนหน่อย..รอให้ถึงพรุ่งนี้” ขอแค่พรุ่งนี้..พรุ่งนี้เท่านั้น



       ‘ซักวันพอเราโตขึ้น..เปลวก็คงจะต้องแต่งงานกับใครซักคนใช่ไหม’

       ‘ก็ใช่ มึงเองก็เหมือนกัน’

       ‘งั้นแสดงว่าซักวันเราก็คงต้องเลิกกัน..จริงมั้ย’

       ‘ถ้าเลิกแล้วจะแต่งงานกับใครวะ’

       ‘ครับ?’

       ‘ถ้ากูเลิกกับมึงแล้วกูจะแต่งงานกับใคร มึงจะแต่งงานกับใคร’

       ‘…’

       ‘เพราะงั้นไม่เลิกหรอก’

       ‘…’

       ‘พอกูกับมึงโตขึ้นมากกว่านี้…เราจะแต่งงานกัน’

       ‘กูไปตกลงปลงใจกับมึงตอนไหนเนี่ย’

       ‘เออเชื่อเถอะน่า พอแต่งงานกันเสร็จแล้วเราก็จะไปฮันนีมูนกันที่ไหนซักที เป็นคู่รักที่มีความสุขที่สุดในโลก’

       ‘ไม่อยากเป็นคู่ที่มีความสุขในโลกเท่าไหร่เลยอะ อยากเป็นแค่คู่รักที่มีความสุขด้วยกันสองคนไปเรื่อยๆก็พอ’

       ‘…’

       ‘ส่วนฮันนีมูน…เอาจริงๆอยากไปดวงจันทร์’

       ‘พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์มีนะ’

       ‘เอาดวงจันทร์จริงๆดิคุณ’

       ‘พูดเหมือนยอมแต่งกับกูเลยคุณเทียนไข’

       ‘อ่าวแล้วกูไม่ยอมได้หรอ’

       ‘ไม่ได้ครับ’

       ‘นั่น’

       ‘..สัญญานะ’

       ‘สัญญา’




       ขอเพียงแค่วันพรุ่งนี้…เปลวก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว



       ..ใบหน้าซื่อๆของเทียนไขปรากฎขึ้นมาในหัว ..เด็กน้อยที่ดูอ่อนแอในอดีตวันนี้เริ่มกลับมาเข้มแข็งขึ้นแล้ว

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาไม่ถูกใครก็ตามมาทำร้าย

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาหัวเราะได้อีกครั้ง   

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาเริ่มมีความสุขบ้างแล้ว

       “กูอยากอยู่เห็นมึงมีความสุขแบบนี้ไปนานๆจังเลยเทียน..”











       



       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงสายของวันต่อมา ขณะนี้เหลือประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะสิบโมง …บริเวณหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติวันนี้พอจะมีแสงแดดอยู่บ้าง แต่เมื่อผนวกเข้ากับสายลมเอื่อยๆแล้วก็เป็นอากาศที่เย็นสบาย

       ..วันนี้อาจจะดูเหมือนเป็นวันธรรมดาๆวันหนึ่ง ทว่ามันกลับพิเศษมากๆสำหรับใครบางคน



       “ขอโทษนะที่รบกวนพวกแกวันหยุดแบบนี้ แถมฉุกละหุกอีกด้วย” เสียงหวานพูดขึ้นก่อนจะดับเครื่องยนต์รถหรูของเธอ

       “ไม่เป็นไรเลยเว้ยผึ้ง มันสำคัญสำหรับเพื่อนเรา” คนที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยตอบ

       “โก้ กูฝากเอาขาตั้งวาดรูปไปวางไว้ที่นั่นก่อนนะ มึงไปรออยู่นู่นเลย เดี๋ยวกูกับผึ้งจะขึ้นไปรับพวกมันก่อน ผึ้งเดี๋ยวเราจะขึ้นไปหาเทียน ส่วนผึ้งขึ้นไปหาเปลวนะ” เมธที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับหันไปแจกแจงหน้าที่ให้กับอีกสองคนที่เหลือ จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตูรถลงมาที่กระโปรงหลังเพื่อนำอุปกรณ์ต่างๆออกมา



       “เดี๋ยวก่อนๆ” น้ำผึ้งพูดขึ้น “เรามีอะไรอยากจะขออยู่อย่าง..”

       “…”

       “สัญญาได้มั้ยว่าจะทำ”

       “ได้อยู่แล้ว ว่ามาเหอะ” โก้ให้คำตอบ น้ำผึ้งมองอีกสองคนอย่างช่างใจ ก่อนจะเอ่ย ‘คำขอร้อง’ ออกไป

       “ช่วยทำเหมือนว่า…เปลวกับเทียนปกติดีได้ไหม” เพียงแต่..คำขอร้องนี้มันไม่ใช่ของน้ำผึ้ง แต่ว่า...เป็นของเปลว เปลวอยากให้ใครก็ตามที่มาวันนี้ทำตัวให้เป็นปกติ อาจจะต้องเสแสร้งหรือแสดงละครกันอยู่บ้าง แต่เปลวก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น

       “…”

       “อย่างที่เราบอกไป..เปลวเองก็ป่วยเหมือนกัน แต่เขาค่อนข้างที่จะหนักกว่าเทียนไข”

       “…”

       “เปลวอยากให้วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของเขา…เป็นวันพิเศษวันสุดท้ายในความทรงจำของเขา..”

       “ทำไมถึงสุดท้ายวะ..?” โก้เอ่ยถาม

       “เปลวบอกว่า…เปลวอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”

       “…”

       “…สัญญานะว่าจะทำแบบนั้น”

       “..โอเค” ชายหนุ่มทั้งสองไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่แต่ทั้งคู่ก็พยักหน้าตอบกลับไป

       เมธเดินกลับไปเปิดประตูรถอีกครั้งเพื่อหยิบชุดสองชุดที่แขวนอยู่ในรถออกมา ..หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แยกกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับ



       

       ไม่นานนักเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป เข็มสั้นบนนาฬิกาที่ฝาผนังเคลื่อนที่เลยเลขสิบไปประมาณเจ็ดองศา ..คนตัวสูงตอนนี้เขาลงไปที่สวนแล้ว เหลือก็แต่ฝั่งของคนที่ตัวเล็กกว่าที่ยังสับสนงุนงงอยู่กับชุดที่เมธขีดเส้นใต้ว่าต้องใส่



       “เมธ กูไม่เข้าใจว่ะ..ทำไมกูต้องใส่สูทวะ” ใช่แล้ว..ชุดที่เทียนไขต้องใส่ก็คือชุดสูท จำเป็นจริงๆหรอที่คนป่วยอย่างเขาจู่ๆก็ต้องไปใส่ชุดสูท

       “รีบเปลี่ยนเถอะเพื่อนรัก” เมธเตรียมจะดึงม่านบังเตียงให้เทียนไข สถานะตอนนี้เขาพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม แต่เพื่อนของเขาก็ยังเอาแต่ทำหน้างงกับชุดตรงหน้าอยู่เหมือนเดิม

       “อย่างน้อยก็ตอบกูหน่อยไม่ได้หรอ ว่าทำไมกูต้องใส่”

       “วันนี้เป็นวันพิเศษ” เมธให้คำตอบ ลึกๆก็อยากจะพูดไปตรงๆแหละ แต่น้ำผึ้งกรอกหูเขามาตลอดทางว่าห้ามบอกเทียน ปล่อยให้เทียนได้เห็นด้วยตัวเอง

       “ใส่ก็ใส่” ทันทีที่ได้ยินเมธถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก มือของเขาก็ไม่รอช้า รีบรูดม่านไปจนบดบังเทียนไขได้มิดชิด

       ..ใช้เวลาชั่วครู่สำหรับการเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดผู้ป่วยมาอยู่ในชุดสูท แต่ไม่นานนักเทียนไขก็เสร็จเรียบร้อย



       “..ทำไมมึงดูดีจังวะ” และเสี้ยวแรกที่เมธได้เห็นเพื่อนตัวเองในชุดแบบนี้เขาก็แทบจะตะลึง เทียนไขที่เคยพบเจอในชีวิตประจำวันว่าดูดีแล้ว พอมาใส่สูทแบบนี้แล้วยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่

       “ลงไปข้างล่างใช่ไหม?” เทียนแค่นขำพร้อมกับเอ่ยถาม

       “ใช่แล้วเพื่อน…ทุกคนรออยู่ที่นั่น”

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 13-04-2019 23:36:14
       ..ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนวันนี้เต็มไปด้วยหมู่เมฆ มีนกกระจิบตัวน้อยๆบินพาดผ่านไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องประสานกันได้อย่างน่าฟัง นอกอาคารก็มีสายลมเอื่อยๆพัดผ่านผิวหนังอยู่แทบจะตลอดเวลา

       เทียนไขในชุดสูทกำลังจะก้าวลงชานบันไดเพื่อไปยังจุดที่นัดหมายกันเอาไว้ ทว่าไม่ทันที่ปลายเท้าจะหย่อนถึงบันไดขั้นต่อไปสายตาของเขาก็ไปกระทบเข้ากับแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกติดเอาไว้บนต้นไม้ข้างหน้า



       ‘จำที่เราเคยคุยกันได้ไหม?’



       มันเขียนเอาไว้แบบนั้น เป็นลายมือที่เทียนไขรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากๆ ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นแบบนั้นจริงแต่ก็คงจะนานมาแล้ว

       ..ทว่าเดินผ่านต้นไม้นั้นไปได้ไม่กี่ก้าว ที่ต้นข้างหน้าก็มีกระดาษใบหนึ่งติดอยู่ และต้นที่อยู่ถัดไปก็มีติดอยู่เช่นเดียวกัน ..ยาวไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่เขาคุ้นเคยกับมันดี

       

       ‘ที่มึงบอกว่า…อยากจะเป็นคู่รักที่มีความสุขด้วยกันสองคนไปเรื่อยๆก็พอ’



       “…”



       ‘ตอนนั้น…เด็กเอ๋อสองคนคุยกัน วาดฝันกันซะใหญ่โตทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะได้ทำแบบนั้นกันจริงๆมั้ย’



       “…”



       ‘แต่ตอนนี้กูคิดว่ากูรู้แล้วล่ะ…ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ’



       “…”



       ‘มันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือมีพิธีรีตองอะไรมากมาย แต่ว่า…คุณเทียนไขครับ’



       “…”



       …สองเท้าก้าวมาจนถึงต้นไม้ใหญ่อันคุ้นตา  ฝั่งตรงข้ามของต้นไม้นี้เป็นม้านั่งตัวเดิมที่เขาและเปลวมักจะมาเจอกันอยู่บ่อยๆ เทียนไขจำได้…เขาจำได้ดีเลยว่าที่ตรงนี้…เป็นที่แห่งความทรงจำ

       และก็เหมือนเดิม…กระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่บนต้นไม้ ข้างบนถูกแต่งแต้มด้วยปากกาเคมีเป็นลายมือเดียวกับทุกแผ่นที่ผ่านมา …เทียนไขหยุดกึกอยู่ตรงนั้นเมื่อประกอบทุกตัวอักษรได้เป็นข้อความ



       ‘แต่งงานกันนะ’



       …เสียงไวโอลินดังขึ้นที่อีกฝั่งของต้นไม้ มันถูกบรรเลงเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองเสนาะหู เทียนไขหันหลังกลับไปหาเมธอีกครั้งเพื่อที่จะถามว่าสิ่งที่เห็นหมายความว่าอะไร ทว่าเจ้าตัวก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว …ด้วยความสงสัยในหัว คนตัวเล็กในชุดสูทจึงเดินตามเสียงไวโอลินนี้ไป และภาพที่ประจักษ์แก่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็คือ…

       ม้านั่งตัวนั้น..ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ประดับสีโทนอ่อน มีเศษใบไม้สีน้ำตาลจัดเรียงเอาไว้รอบๆเป็นรูปหัวใจ ห่างออกมาข้างหน้าประมาณห้าเมตรมีกระดานวาดภาพพร้อมขาตั้งตั้งอยู่ ส่วนรอบนอกที่โรงพยาบาลจัดสวนด้วยหินอ่อนเป็นที่นั่งเอาไว้ มีผู้หญิงผมสลวยคนหนึ่งกำลังบรรเลงไวโอลิน และผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวราวกับว่าตัวเองเป็นบาทหลวงนั่งอยู่



       “เทียน” เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูเอ่ยเรียก เทียนไขจึงหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับคนตัวสูงที่อยู่ในชุดสูทแบบเดียวกัน

       “…”

       “มึงยังอยาก…ฮันนีมูนบนดวงจันทร์กับกูอยู่มั้ย” จู่ๆ..ก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ใบหน้าของเปลวตรงหน้าถูกเบลอด้วยหยาดน้ำสีใสที่รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา

       “มันไปจริงๆได้ที่ไหนเล่า..” ไม่คิดเลยว่าเปลวจะจำคำพูดของเด็กช่างฝันในวันนั้นได้

       “อาจจะไปไม่ได้..แต่ว่าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วนะ”

       “…”

       “ลอง..มองขึ้นไปดูดิ” เรียวนิ้วยกขึ้นชี้ไปข้างบน เทียนไขจึงเงยหน้าขึ้นตาม

       ..บอลลูนกลมๆลายดวงจันทร์เส้นผ่านศูนย์กลางเกือบเมตรที่ถูกผูกห้อยไว้กับกิ่งไม้ใหญ่คือสิ่งที่ปรากฎให้เห็น กระแสลมบางเบาสัมผัสผิวของมันทำให้ดวงจันทร์ตรงหน้า…หมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ ราวกับว่าเป็นดวงดาวจริงๆ



       “…” ..หยาดน้ำตาไหลพาดผ่านสองข้างแก้มอย่างไม่อาจกลัดกลั้นไว้ ทว่ามันก็ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเทียนไขได้



       “เทียนครับ”

       ..คนตัวสูงจับมือของเทียนไขข้างหนึ่งขึ้นมา นัยน์ตาสีนิลของเปลวจับจ้องรอยยิ้มของเทียนไขอย่างไม่ละสายตา ..เสียงไวโอลินค่อยๆเบาลงก่อนจะหยุดบรรเลง สิ่งที่โสตประสาทรับรู้จึงเหลือเพียงเสียงของลม และเสียงทุ้มนุ่มของคนตรงหน้า

       “แต่งงานกับผมนะ” เสี้ยววินาทีต่อมา..เปลวก็ปิดเปลือกตา ก่อนจะจุมพิตลงบนผิวสีนวลที่หลังมือ ..ฝั่งเจ้าตัวเล็กของเปลวดูเหมือนจะน้ำตาไหลหนักหน่วงมากขึ้น เจ้าตัวถึงกับต้องใช้มืออีกข้างยกขึ้นมาป้องปาก

       “ครับ” เทียนไขให้คำตอบ ก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้า “ขอบคุณนะเปลว…ขอบคุณมากๆเลย”



       สำหรับตอนนี้…ถ้ามีใครซักคนเอ่ยถามพวกเขาว่าพวกเขามีความสุขหรือเปล่า คำตอบที่ได้ก็คงจะได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดไตร่ตรองอะไรเลยแม้แต่น้อย

       ก็จริงที่ในอดีตพวกเขาต่างก็เจ็บปวด  สังคมรอบข้างต่างก็ทำร้ายพวกเขาอย่างทารุณ ..บาดแผลบางบาดแผลที่เกิดขึ้นก็เป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย ..เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เคยพบเจอก็ไม่สามารถลบเลือนออกไปจากความทรงจำได้ ความอ่อนแอที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั้งเปลวและเทียนไขเกือบจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาอันแสนโหดร้ายนี้อยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว…

       พวกเขาทั้งสองก็ผ่านมันมาได้



       และถ้าถามว่าตอนนี้พวกเขามีความสุขหรือเปล่า คำตอบก็คือ..

       ‘ใช่แล้ว…ตอนนี้ผมและเทียนมีความสุขมากๆเลย’



       “อะแฮ่ม… เอ่อ..ขอเวลาห้านาทีให้พ่อได้ทำพิธีหน่อยนะลูก” โก้ในชุดบาทหลวงกระแอมกระไอก่อนจะใช้เสียงแหบๆโคเวอร์เป็นผู้สูงอายุที่น่าเคารพนับถือ แต่ถ้าถามว่าที่ตรงนี้มีใครนับถือมั้ย…ก็คงไม่ ชุดที่ใส่อยู่นี่สงสัยกะจะใส่วันรับปริญญาอีกหกปีข้างหน้าด้วยแหงๆ

       “ไอ้โก้หรอ555555555555” เทียนไขหัวเราะร่วนเมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยมีหนวดปลอมติดอยู่

       “เออกูเนี่ยแหละ อย่าขำดิอยู่ในพิธีนะโว้ย! ไอ้เมธไอ้ผึ้งพวกมึงก็มาร่วมเป็นสกีพยานตรงนี้ได้แล้ว”

       “สกีบ้านมึงไอ้สัด” เมธตะโกนไล่หลังแต่ก็เดินมาตรงนี้อย่างที่โก้สั่ง ฝั่งคุณบาทหลวงพอเขาได้ยินเสียงด่าเขาก็ขำลั่นเป็นอันว่าพอใจ ก่อนจะหันกลับมาสำรวมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ในมือยกโพยที่ยับยู่ยี่ขึ้นมาดูอย่างโปรเฟซชั่นนอล



       “ทินกร ประดิษฐ์จันทร์ คุณยินดีที่จะยอมรับนายเทียนไข จินตนันท์เป็น ‘คู่ชีวิต’ ไหม คุณสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในยามป่วยไข้และสบายดี จะรักและให้เกียรติเขาตลอดชั่วชีวิตของคุณหรือไม่” บาทหลวงจำเป็นเอ่ยถาม คนตัวสูงผู้ถูกถามจึงจับมือทั้งสองข้างของเทียนไขเอาไว้ก่อนจะเอ่ยตอบ..

       “ยินดีครับ”

       “เทียนไข จินตนันท์ คุณล่ะ…ยินดีที่จะยอมรับคนๆนี้เป็น ‘คู่ชีวิต’ ของคุณหรือเปล่า” โก้ถามต่อ เจ้าตัวเล็กของเปลวพอได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็กระชับฝ่ามือของเปลวเอาไว้ ประสานกันอีกครั้งราวกับเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน

       “ครับ…ผมยินดี”



       ..จากนั้นสกีพยานหมายเลขหนึ่งก็หยิบไวโอลินของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะบรรเลงทำนองเสนาะหูเคล้าคลอคู่รักที่กำลังมองตากันอย่างไม่ละสายตา ส่วนสกีพยานหมายเลขสองอย่างเมธก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

       นั่นก็คือ…ปรบมือ



       “เชิญคุณทินกรสวมแหวนให้คุณเทียนไขได้เลยครับ”

        …คนตัวสูงขยับมาใกล้ ก่อนจะจับมือของเทียนไขขี้นมา ไม่นานนักแหวนสีเงินที่ดูเหมือนจะแพงหูฉี่ก็ถูกสวมใส่มาที่นิ้วนางข้างซ้ายของเทียนไข ก้อนเนื้อในอกของเจ้าตัวเล็กในวินาทีนี้พองโตและเต้นถี่รัวราวกับไวโอลินของน้ำผึ้งบรรเลงเป็นจังหวะร็อค เจ้าตัวมองดูทุกการกระทำของเปลวด้วยความรู้สึกที่ทำให้น้ำตาหลั่งไหลไม่หยุดทั้งๆที่ยิ้มอยู่



       “ต่อไป…เชิญคุณเทียนไขครับ” อ่าวเดี๋ยวก่อน เทียนไขมีแหวนซะที่ไหนกัน

       “ฮ่าๆกะไว้แล้วว่ามึงต้องทำหน้างี้ อ่ะนี่…ใส่ให้กู กูจะแกล้งๆทำเป็นไม่รู้” เปลวแค่นขำพร้อมกับหยิบกล่องแหวนสีเข้มออกมาจากกระเป๋ากางเกงเอามาใส่ในมือของเทียนไข

       ฝั่งเจ้าตัวเล็กของเปลวเมื่อได้รับแหวนมาแล้ว เขาก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ..จากนั้นก็ค่อยๆสวมสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเราต่างก็เป็น ‘คู่ชีวิต’ ของกันและกันเข้าไปที่เรียวนิ้วนางข้างซ้ายของเปลว

       “เรารักคุณนะ”

       พร้อมกับ..พูดคำๆนี้ออกไป



       “…” เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง …จริงๆตอนนี้มีความรู้สึกอีกมากมายเลยที่เขาอยากจะพูดออกไป 

       เปลวอยากจะขอบคุณ..ขอบคุณเทียนไขที่ทำให้เขาได้รู้ว่าการได้รักใครซักคน ได้ดูแลใครซักคน ได้รับผิดชอบใครซักคน มันล้ำค่าและมีคุณค่ามากๆ ทั้งในตำแหน่งของผู้ให้และในตำแหน่งของผู้รับ ..ความทรงจำดีๆ ..เรื่องราวดีๆก็เกิดขึ้นเพราะการที่เปลวและเทียนไขได้ร่วมกันกระทำสิ่งเหล่านี้

       แต่ขณะเดียวกันเปลวก็อยากจะขอโทษด้วยเช่นกัน

       เปลวอยากขอโทษ…ขอโทษสำหรับเหตุการณ์นั้นในคืนวันปัจฉิมที่ทำลายทุกอย่างลงจนมันพังทลายไม่มีชิ้นดี แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรมาทดแทนกันได้ แต่นั่นแหละ… ต่อเทียนไขแล้ว..เปลวทำได้แค่ขอโทษจริงๆ แต่ถ้าต่อตัวเขาเอง…ตราบาปนี้จะติดตัวเขาไปจนกว่าบนโลกนี้จะไม่มีเขาอยู่

       และเพราะ…บนโลกนี้จะไม่มีเขาอยู่แล้วจริงๆ.. เปลวเลยอยากขอโทษในสิ่งนี้ด้วยเหมือนกัน

       ‘ขอโทษนะ…ที่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณมาทำอะไรแบบนี้’

       ‘ขอโทษนะ…ที่ผมดันบอกว่าผม ‘ยินดี’ ที่จะซื่อสัตย์กับคุณทั้งในยามที่ป่วยไข้และสบายดี ทั้งๆที่ผม..ไม่มีทางได้อยู่ในยามที่ ‘สบายดี’ อีกต่อไปแล้ว’

       ‘ขอโทษนะ…ที่คนโกหกอย่างผม ในวันนี้กลับเลือกทำตามสัญญา…สัญญาที่เราจะแต่งงานกัน’

       ‘แล้วก็…ขอโทษนะสำหรับวันนี้ที่ผมแต่งงานกับคุณ’



       เปลวกำลังเห็นแก่ตัว…เขารู้ เขารู้ดี

       แต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวแล้วล่ะที่เปลวอยากจะทำ

       เป็น…ความทรงจำสุดท้าย



       “ผมก็รักคุณนะเทียน…รักมากๆเลยครับ..”













       …เวลายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป จนในที่สุดช่วงเวลาอันแสนงดงามนี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย

       เป็น ‘สุดท้าย’ แล้วจริงๆ..สำหรับเปลว



       “เทียน…เปลวบอกให้มึงอ่านหนังสือเล่มนี้หน่อย” เมธเดินเข้ามาหาเทียนไขที่กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิม เขาเดินมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งในมือ

       “ทำท่าอ่าน..?” คนตัวเล็กถามอย่างสงสัย

       “เปล่า..อ่านจริงๆนั่นแหละ เปลวอยากให้มึงทำตัวสบายๆ อ่านเหมือนเวลาปกติที่มึงอ่าน”

       เทียนไขได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ก่อนจะยื่นมือไปรับหนังสือเล่มนั้น พอรับมันมาไว้ในมือเขาก็พบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เปลวเคยให้เขายืมมาอ่าน แต่ที่แปลกไปก็คือ..มีโน้ตอยู่แผ่นหนึ่งติดอยู่บนในเล่มบนแผ่นที่เป็นปกใน



      ‘ความสุขเล่มนี้ จริงๆคุณไม่ต้องคืนผมหรอก…มันเป็นของคุณครับ ทุกๆอย่างของผมรวมถึงหัวใจเป็นของคุณ…คุณเทียนไข จินตนันท์’



       “…” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้า ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆเปิดอ่านมันอีกครั้งอย่างทะนุถนอม ท่องไปในโลกแห่งความสุขในหนังสือเล่มนี้อย่างเพลิดเพลินใจ



       …ห่างออกไปข้างหน้าระยะประมาณเกือบห้าเมตร ปลายพู่กันถูกจุ่มลงไปในจานสี ก่อนจะถูกนำขึ้นมาจากนั้นจรดลงบนแผ่นเฟรมผ้าใบที่ถูกล็อคไว้กับขาตั้งสำหรับวาดภาพ

       “จะวาดอะไรอีกล่ะทีนี้ คอลเลคชั่นเทียนไขเต็มบ้านแล้วนะเปลวรู้ยัง” น้ำผึ้งเอ่ยถามในขณะที่จ้องมองดูลูกพี่ลูกน้องวาดภาพด้วยรอยยิ้ม

       “วาดเพิ่มอีกซักรูปจะเป็นไรไป”

       “แล้วนี่…จะตั้งชื่อรูปนี้ว่าอะไรหรอ”

       “รูปนี้ชื่อว่า..”

       “…”

       “‘เปลวเทียน’ แล้วกัน”

       ..คนตัวสูงยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะหันกลับไประบายพื้นหลังด้วยสีโทนอ่อนอย่างเบามือ สายตาเหลือบไปมองเจ้าตัวเล็กของเขาอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่หันไปเขาก็จะเห็นว่าเทียนไขกำลังยิ้มให้กับหนังสืออยู่เสมอ มันทำให้เปลว…มีความสุขเหลือเกินกับการวาดรูปครั้งนี้



      ‘เฮ้ย มึงอะ’

        ‘…’

        ‘หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง’

        ‘…’

        ‘เอ้า รอกูก่อน’

        ‘…’

        ‘เฮ้อ เหนื่อยเลย..’

        ‘มีอะไรรึเปล่า..’

        ‘พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..’

        ‘…’

        ‘ได้มั้ย..?’

        ‘เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน’

        ‘อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย’




       …ภาพในวันแรกที่รู้จักกันฉายย้อนขึ้นมาในหัว เด็กน้อยสองคนในวันนั้นตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ทั้งตัวของพวกเขาเอง และสังคมรอบตัว

       ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ ‘เปลวจุดเทียน’ ให้ส่องสว่าง หรือตอนที่ ‘เปลวเผาเทียน’ ให้มอดไหม้ละลายเป็นไขน้ำตา

        สิ่งนั้นคือ…ความรักของพวกเขา

        ความรัก..ระหว่าง ‘เปลวเทียน’



        อาจจะไม่ใช่ความรักที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่สำหรับเปลวและเทียนไขแล้ว ต่อให้มีใครคนใดคนหนึ่งจำเป็นต้องปล่อยมือกันไปก่อน อีกคนที่ยังคงอยู่ก็จะยังคงเชื่อมั่นในความรักนี้

       พอถึงตอนนั้นแล้ว..อาจจะหลงเหลืออยู่แค่คำว่า ‘เคย’ สำหรับทุกอย่าง

       …ที่ตรงนี้เคยมาด้วยกัน

       …อาหารจานนี้เคยทานด้วยกัน

       …หนังเรื่องนี้เคยดูด้วยกัน

       แต่ขอให้ยกเว้นไว้อยู่อย่างนึง

       ยกเว้น… ‘เคยรัก’

       มันคือรัก..รักที่จะคงอยู่ตลอดไป

       

       

       

       





หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 13-04-2019 23:46:45



(Special) Tian’s Tears



“Memories Jigsaw Puzzle”








       ‘เปลว วันนี้วันอะไรรู้เปล่า’

       ‘รู้ดิ วันจันทร์ไง’

       ‘ผิด วันนี้วันครบรอบ’

       ‘กูก็ล้อเล่นเฉยๆหรอก กูเตรียมของไว้ให้มึงด้วย’

       ‘เหมือนกัน’

       ‘ไม่รู้ว่ามึงจะชอบหรือเปล่า..แต่ว่า กู..ตั้งใจวาดมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘อะนี่ กูวาดให้มึงนะ ใส่กรอบให้เรียบร้อย’

       ‘ส..ส่วนอันนี้ เปลวคงจะเคยเห็นเรานั่งถักบ้างแล้วแหละ แต่เราพยายามแอบๆถักแล้วนะ กะจะเซอร์ไพรส์..’

       ‘หมวก..?’

       ‘ใช่แล้ว…หมวกไหมพรม’

       ‘..ขอบคุณมากนะเว้ยเทียน’

       ‘ยังไม่หมดแค่นี้นะ เรายังมีนี่ด้วย’

       ‘ไหน?’

       ‘อ้อมกอด’

       ‘…’

       ‘แบบนี้ไง..’

       ‘น่ารักว่ะ แฟนใครวะ’

       ‘แฟนคุณเปลวเขาอะครับ’

       ‘เนี่ย จะไม่ให้รักได้ไง อยู่กับกูไปนานๆนะเทียน’

       ‘นานขนาดไหนหรอ?’

       ‘ตลอดไปเลย’

       ‘เปลวก็เหมือนกันนะ’

       ‘อยู่ข้างๆกัน…ตลอดไป’




       ตลอดไป..? คำนี้ปรากฎขึ้นมาในหัวหลายต่อหลายครั้ง หลอกหลอนให้จมปลักอยู่กับมันร่ำไป คงจะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยถ้า ‘ตลอดไป’ ที่เคยให้กันมันเป็นความจริง

       แต่แย่หน่อยนะ…ที่มันไม่ใช่

       และในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง…เราจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวด



       “ของน้อยจังเลยวะมึงเนี่ย” เมธเอ่ยขึ้นหลังจากยกกล่องลังที่ใส่ข้าวของต่างๆของเทียนไขลงจากรถมาวางไว้ที่หน้าบ้านได้สำเร็จ

       “ขาดเหลืออะไรหรือเปล่าเทียน บอกเราได้นะ…เดี๋ยวจัดการให้” ลูกสาวเศรษฐินีพูดพร้อมกับปิดประตูรถหรูอย่างเบามือ เธอถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พอเห็นว่าเสื้อผ้าและของใช้หลายๆอย่างของเทียนไขรวมกันแล้วมีขนาดแค่ลังกล่องเดียว

       “ไม่เป็นไรหรอกน้ำผึ้ง…แต่ก็ขอบคุณมากนะ  ขอบคุณที่มาส่งเราด้วย เดี๋ยวเราจัดของทั้งหมดนี้เองก็ได้ รบกวนเมธกับน้ำผึ้งมามากแล้ว” เด็กขี้เกรงใจตอบ …เทียนไขในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดผู้ป่วยอีกต่อไป หากแต่อยู่ในชุดลำลองตัวใหญ่โคร่งที่ยืมมาจากเมธ

       “งั้นเดี๋ยวกูช่วยยกลังนี้ไปไว้ในบ้านให้นะ” เมธบอกก่อนจะยกกล่องลังขึ้นมาอีกครั้งแล้วมุ่งตรงไปที่ประตูกระจกสีทึบที่อยู่ไม่ห่าง ซึ่งผู้ดูแลบ้านชั่วคราวอย่างน้ำผึ้งได้ทำหน้าที่เปิดรอไว้แล้วเรียบร้อย

       “ขอบคุณมึงมากเมธ” เทียนไขตบบ่าเพื่อนรักของเขาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับมามองบริเวณพื้นที่รอบๆบ้านอันคุ้นตาอีกครั้ง ขณะนั้นรอยยิ้มเมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป



       “โอเคหรือเปล่าเทียน?” น้ำผึ้งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเทียนไขมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

       “โอเคๆ ไม่เป็นไรแล้ว”

       ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรหรอก มันผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้วนะเทียนไข..

       “ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงก็รีบบอกเราเลยนะ ถ้าไม่โอเคกับที่นี่ก็อย่าพึ่งฝืนตัวเองก็ได้เทียน” ฝ่ามือนุ่มๆตบลงบนบ่าเบาๆเพื่อปลอบประโลม ก่อนจะพูดต่อ “เรากับเมธเป็นห่วงเทียนนะ …ถ้าเปลวอยู่ตรงนี้ เปลวก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับเรานี่แหละ”

       “แต่เขาเป็นคนอยากให้เรากลับมาที่นี่ไม่ใช่หรอ”

       “…”

       “เปลวอยากให้เรากลับมาที่บ้านหลังนี้…เขาคงไม่ได้ห่วงเราจริงๆหรอก” ใช่แล้ว…คนใจร้ายคนนั้นเขาไม่ได้ห่วงกันเลยแม้แต่นิดเดียว เปลวมันคนเห็นแก่ตัว ชอบโกหกหลอกลวง ไม่เคยมีความจริงใจต่อกันเลยซักครั้ง

       “ผิดแล้ว..เพราะเปลวเป็นห่วงเทียนต่างหากถึงอยากให้เทียนกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้”

       “…”

       “ที่บ้านนี้เหมือนเปลวมีอะไรบางอย่างจะบอกเทียนนะ…เรารู้สึก” น้ำผึ้งยิ้มกว้างเวลาพูดถึงความรักของลูกพี่ลูกน้องคนเก่งของเธอ …จนถึงตอนนี้แล้วน้ำผึ้งก็ยังคงนับถือความรักของเปลวมากๆ และน้ำผึ้งก็เชื่อด้วยว่าถ้าเทียนไขได้รับรู้ทุกอย่างแล้วจริงๆ เทียนไขก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน

       ถูกต้องแล้ว…ที่เธอพูดออกไปว่าเธอรู้สึก จริงๆไม่ใช่แค่รู้สึก แต่มันคือความจริง …ความจริงที่เปลวฝากไว้ให้เธอส่งสาส์นไปให้ถึงเทียนไข

       “…”

       “เรารู้ว่ามันยาก…แต่เทียนต้องผ่านมันไปให้ได้นะ”

       “เราจะพยายาม”

       …ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เอาจริงๆแล้วเทียนไขไม่มั่นใจเลยซักนิดว่าตัวเองจะทำได้ ก้าวแรกที่ลงออกมาจากรถแล้วรู้ว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่บ้านของเปลว กลับมาสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ หยาดน้ำตาโง่ๆนี่ก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาในทันที ไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ให้กับคนใจร้ายอย่างเปลว

       …ทว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาสองคนก็จะปรากฎขึ้นมาให้เห็นเสมอ ที่ข้างหลังต้นไม้ต้นนั้น…เด็กสองคนนั้นเคยใช้เป็นที่แอบในเกมเล่นซ่อนหา โรงจอดรถว่างๆตรงนี้…เด็กน้อยสองคนนั้นเคยวิ่งเล่นด้วยกัน ห้องนั่งเล่นที่มองเห็นผ่านกระจกตรงประตู…ที่ตรงนั้นเด็กน้อยสองคนก็เคยนอนหนุนตักพร้อมกับดูทีวีไปด้วยกัน

       เป็นอย่างนี้แล้ว…เทียนไขจะผ่านมันไปได้ด้วยวิธีไหนกัน.. วิธีไหนหรอที่จะทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่.. วิธีไหนหรอที่จะทำให้เขาลืมภาพของเด็กสองคนนั้น

       …วิธีไหนหรอที่จะทำให้เทียนไขลืมเปลวได้





       ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถ เจ้าของใบหน้าสวยลดกระจกลงมายิ้มให้พร้อมกับโบกมือบ๊ายบาย ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปจากพื้นที่ของบ้านหลังนี้

       และทันทีที่ประตูรั้วปิดสนิท ความรู้สึกหลากหลายในใจที่เทียนไขพยายามข่มเอาไว้ก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้อีกต่อไป



       ‘สรุปคือ…เราแต่งงานกันแล้วใช่ไหมเปลว’

       ‘ครับ เราแต่งงานกันแล้ว’

       ‘คิดไงของมึง จู่ๆก็ขอกูแต่งงาน’

       ‘กูแค่…อยากเป็นคนที่อยู่ดูแลมึงไปตลอด แล้วก็อีกอย่าง…กูทำตามสัญญาด้วย’

       ‘งั้นจับมือหน่อย’

       ‘…’

       ‘ถ้าจะอยู่ดูแลกู…ขอแค่เราจับมือกันไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอแล้ว’




       …ตอนนั้นเราจับมือกันแน่น แน่นจนขนาดที่ทำให้เทียนไขมั่นใจเลยว่าจะไม่มีใครปล่อยมือกันไปก่อนแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเปลวหรือเป็นตัวเขาเอง



       ‘กูรักมึงนะเปลว’

       ‘กูรักมึงมากกว่า’




       และยิ่งเราบอกรักกัน…เทียนไขก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เขามั่นใจมากๆว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี อาจจะใช้เวลาซักหน่อยแต่เปลวกับเขาต้องได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วยกันแน่ๆ

       ทั้งๆที่หวังเอาไว้แบบนั้นแท้ๆ…

       แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา…มือของเปลวที่เคยประสานกันเอาไว้ก็คลายออกทีละนิด..ทีละหน่อย

       จนสุดท้าย…

       เปลวก็ปล่อยมือกัน



       ‘คนโกหก’

       ‘คนเห็นแก่ตัว

       ‘คนใจร้าย’

       ทุกๆคำหลอมรวมกลายเป็นเปลว เทียนไขจำได้ดีเลยว่าเปลวจะไม่ทำให้เขาเจ็บปวดอีก แต่เปลวก็ยังทำ …นี่ไงคนโกหก

       แหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้าย…จริงๆมันต้องใส่เป็นคู่ แต่เปลวกลับทิ้งให้เทียนไขใส่เพียงคนเดียว …นี่ไงคนเห็นแก่ตัว

       การจากไปโดยไม่มีคำบอกลา ไม่มีอะไรซักอย่าง จู่ๆเปลวก็หลับตาแล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

       นี่ไง...คนใจร้าย



       คุณใจร้าย…ใจร้ายปล่อยมือเรา

       คุณใจร้าย…ใจร้ายที่แสร้งยิ้มให้เราตายใจว่าคุณจะไม่เป็นอะไร คุณทำเหมือนว่าตัวคุณเองกำลังมีความสุข ทั้งๆที่จริงๆแล้วคุณกำลังทรมาน

       คุณใจร้าย…ใจร้ายที่เรากอดคุณแล้วคุณกลับไม่กอดเราตอบ

       และคุณก็ใจร้าย…ใจร้ายที่คุณไม่ยอมยิ้มให้เราอีกต่อไปแล้ว



       คุณใจร้ายจังเลยเปลว..

       ใจร้ายมากๆเลยที่…แม้แต่วินาทีสุดท้ายของคุณ…คุณก็ยังบอกรักเรา

       คุณอาจจะไม่ได้บอกเป็นคำพูด แต่เรารู้…วันนี้เรารู้แล้ว เรารู้แล้วว่าคุณรักเรามากจริงๆ…



       ‘เทียน’

       ‘…’

       ‘ถ้ามีใครซักคนจำเป็นที่จะต้องปล่อยมือกันก่อน ขอให้คนๆนั้น..เป็นกูได้มั้ย’

       ‘…’

       ‘ขอให้มันเป็นกูเถอะนะ…’




       ..หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากที่เปลวปล่อยมือกันไปแล้ว ฝั่งเทียนไขก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน อาการไตวายของเขาทรุดหนักจนทำให้ต้องปลูกถ่ายไต เทียนไขรับรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำได้ในทันที ช่วงเวลานั้นเขาจึงคิดเพียงแค่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เขาจะมีชีวิตอยู่ คงจะดีกว่ามากๆถ้าตัวเขาลาจากโลกนี้ไป คงจะดีสำหรับทุกฝ่ายเลย

       หากแต่ในขณะที่เขากำลังสิ้นหวังนั้น…คุณหมอก็เข้ามาบอกเขาให้เขาเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต

       เป็นไตของผู้ป่วยที่สมองตายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

       …เป็นไตของเปลว



       เปลวใจร้าย..ใจร้ายเหลือเกินที่รักเจ้าตัวเล็กของเขามากมายขนาดนี้











       …หมู่เมฆบนท้องฟ้าวันนี้ดูเหมือนว่าจะเศร้าสร้อย พวกมันรวมตัวกันเป็นเมฆหนาสีหม่น ส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งคราว และไม่นานหลังจากนั้นเม็ดฝนก็ค่อยๆโปรยปรายลงมา เสียงละอองน้ำกระทบกับหลังคาดังขึ้น เทียนไขจึงละสายตาจากบรรยากาศเก่าๆนอกบ้านแล้วเดินเข้าไปหลบฝนข้างใน

       แปลกเหมือนกันนะที่ฝนมาตกหน้าหนาว บางที..อาจจะเพราะคนบนฟ้ากำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า..?



       …ทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างในบ้าน กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความทรงจำก็โชยเข้ามาเตะจมูก จากตรงนี้มองตรงไปที่ห้องครัวจะเห็นโต๊ะทานอาหาร ซึ่งเด็กน้อยสองคนนั้นก็เคยนั่งทานด้วยกันที่นั่นเหมือนกัน หรืออาจจะมองเฉียงไปทางซ้ายจากห้องครัวนิดหน่อย ตรงนั้นพอเปิดประตูออกไปก็จะเป็นห้องซักล้าง เด็กน้อยสองคนนั้นเคยซักชุดนักเรียนด้วยกันพร้อมกับแกล้งกันจนทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฟองจากผงซักฟอก



       “คง…ทำได้แค่คิดถึงแล้วใช่ไหมเปลว..” 



       รู้อยู่หรอกว่าคุณไม่เคยอยากให้เราร้องไห้ แต่ตอนนี้…เราไม่ไหวจริงๆ



       “คิดถึงเปลวจัง..”



       กลับมาหากันหน่อยได้ไหม.. เราร้องไห้อยู่นะ กลับมาปลอบเรา…ดึงเราเข้าไปกอดหน่อยได้ไหม กลับมาทำให้เรายิ้มอีกครั้งได้ไหมเปลว..





       …แสงไฟในบ้านเริ่มมืดสลัว เสียงเม็ดฝนภายนอกดังเคล้าคลอกับเสียงสะอื้นไห้ภายในหัวใจดวงน้อยๆที่กำลังจมอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เทียนไขรู้…เขารู้ดีว่าเปลวอยากจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมากมายขนาดไหน

       ตัวเขาเองก็อยากจะทำให้เปลวสมหวัง อยากจะมีชีวิตอยู่ให้สมกับสิ่งที่เปลวให้เขามา ทว่าพอเอาเข้าจริงๆมันทรมานมากเลย… ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปเต็มไปด้วยเรื่องราวนับร้อยนับพันที่เด่นชัดอยู่ในความทรงจำ

       เปลวคงจะอยากให้เทียนไขจมอยู่กับความทรงจำพวกนี้ใช่ไหม..? งั้น…จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าเทียนไขคนนี้ จะขอดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำพวกนี้ให้ลึกอีกซักนิด

       จะเป็นอะไรไหม…ถ้าเทียนไขคนนี้จะตามเปลวไป



       กระปุกยานอนหลับกระปุกหนึ่งถูกหยิบออกมาจากตู้ยาสามัญประจำบ้าน รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อได้เห็นฉลากยาอันคุ้นตา เป็นแบบนั้นไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปที่ประตูหน้าบ้านอีกครั้ง แล้วล็อคทั้งลูกกรงข้างนอกและประตูกระจกอย่างแน่นหนา

       “ครั้งนี้ขออย่าให้มีใครมารั้งกันไว้อีกเลยนะ” คนตัวเล็กพูดออกไปเสียงเบาหวิว จากนั้นก็หันกลับมาก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปข้างบนชั้นสอง

       ขึ้นไปที่..ห้องนอนของเขากับเปลว



       ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเทียนไขก็มาหยุดอยู่ที่ประตูห้อง มือข้างหนึ่งหมุนลูกบิดก่อนจะค่อยๆดันประตูออกไป ทว่า..

       “…” ห้องข้างในกลับอยู่ในสภาพที่แทบจะว่างเปล่า

       ชั้นหนังสือตอนนี้ไม่มีหนังสืออยู่อีกต่อไป โซนโต๊ะทำงานก็มีเพียงโต๊ะคอมพิวเตอร์และเก้าอี้เท่านั้น ที่นอนตรงหน้าเหลือเพียงที่นอนเปลือยเปล่าไม่มีเครื่องนอนใดๆปกปิด

       จู่ๆ…คำพูดของเปลวก็ปรากฎขึ้นมาในหัว



       ‘ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย…ผมอยู่คนเดียว’

       ‘พ่อล่ะ?’

       ‘ไม่รู้เหมือนกัน’

       ‘…’

       ‘คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้’




       ที่เปลวพูดวันนั้นหมายถึง..เขาไม่ได้นอนในห้องนี้แล้วหรือเปล่า..?

       วันนั้นห้องนี้มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆอย่างที่เปลวพูดจริงๆ แต่ก็มีของบางอย่างที่มันหายไป

       …รูปของเทียนไขบนหัวนอน



       ถึงจะเป็นรูปที่วาดให้เทียนไขในวันครบรอบแต่คนวาดอย่างเขาก็หวงเอามากๆ และต่อให้เป็นเปลวที่สูญเสียความทรงจำไป เปลวก็ยังอยากที่จะจำทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะเอาไปทิ้งหรือเอาเก็บไว้ในห้องเก็บของอย่างแน่นอน

       ความสงสัยและคำถามต่างๆเกิดขึ้นในหัว ..ใจหนึ่งเทียนไขไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้วเพราะคิดว่ายังไงซะก็ไม่มีประโยชน์ หากแต่อีกใจหนึ่งข้อสงสัยและคำถามมากมายต่างก็รบเร้าให้เขาไปหาคำตอบ



       ‘เรากับเมธเป็นห่วงเทียนนะ…ถ้าเปลวอยู่ตรงนี้ เปลวก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับเรานี่แหละ’

       ‘แต่เขาเป็นคนอยากให้เรากลับมาที่นี่ไม่ใช่หรอ’

       ‘…’

       ‘เปลวอยากให้เรากลับมาที่บ้านหลังนี้…เขาคงไม่ได้ห่วงเราจริงๆหรอก’

       ‘ผิดแล้ว..เพราะเปลวเป็นห่วงเทียนต่างหากถึงอยากให้เทียนกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้’

       ‘…’

       ‘ที่บ้านนี้เหมือนเปลวมีอะไรบางอย่างจะบอกเทียนนะ…เรารู้สึก’




       …จมอยู่กับความคิดได้ครู่หนึ่งเทียนไขก็ตัดสินใจนำกระปุกยาในมือไปวางบนโต๊ะทำงานไว้ชั่วคราว ก่อนจะเดินออกมาจากห้องแล้วไล่เปิดประตูห้องนอนห้องอื่นๆบนชั้นสอง

       และสิ่งที่เขาพบก็คือ…ความว่างเปล่า



       ห้องพวกนั้นตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของ ซึ่งเทียนไขก็เข้าไปหาดูแล้วแต่เขาก็ไม่พบรูปวาดรูปนั้นจริงๆ เจ้าตัวเล็กของเปลวจึงไตร่ตรองอีกครั้งถึงความน่าจะเป็น ก่อนจะตัดสินใจเดินลงมาข้างล่างเพื่อมุ่งหน้าไปห้องนอนห้องเดียวที่ยังเหลืออยู่

       ห้องนอนของพ่อเปลว



       ทว่าประตูห้องกลับล็อค แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเทียนไขก็รีบเดินไปหยิบกุญแจสำรองที่แขวนอยู่บริเวณทีวีทันที และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็นำกุญแจมาไขห้องนี้ได้สำเร็จ …ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ในอก หัวใจของเขาเริ่มสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นเมื่อฝ่ามือของตัวเองจับลงบนลูกบิดและกำลังจะเปิดมันออกไป

        “…”

        ประตูถูกเปิดออก ...ภายในห้องมีราวจับที่ถูกต่อเติมมาจากกำแพง เริ่มจากที่เตียงไล่ยาวไปจนถึงห้องน้ำ ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไล่ตั้งแต่โต๊ะทำงานมาจนถึงประตูห้องจุดที่เทียนไขยืนอยู่ …ผนังห้องมีภาพวาดนับสิบภาพติดอยู่ทั่วห้อง บางภาพก็ถูกวางซ้อนๆกันเอาไว้บนเก้าอี้ ..จานสีและพู่กันมากมายก็วางอยู่บริเวณนั้น ทว่าบางส่วนก็กระจัดกระจายบนพื้น …มีถุงยาและแผงยาที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ยารักษาอาการป่วยทั่วไปวางอยู่บนเตียงนอนเต็มไปหมด นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเอกสารอีกนับสิบแผ่นวางอยู่ที่โซนเดียวกัน และยังมีหนังสืออีกหลายสิบเล่มที่ถูกวางซ้อนๆกันบนโต๊ะทำงาน …พอเห็นชื่อหนังสือแต่ละเล่มแล้วเทียนไขก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าของทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นของๆใคร



       “นี่…ห้องของเปลวหรอ..?”

       ก่อนหน้านี้…เปลวนอนอยู่ที่นี่มาตลอดเลยใช่ไหม..?

       คำถามเกิดขึ้นในหัว เทียนไขไม่เข้าใจทุกอย่างตรงหน้าเขาตอนนี้เลย ทำไมเปลวต้องมีราวจับ..? ทำไมภาพวาดของเปลวถึงเยอะขนาดนั้น..? ยาพวกนี้คืออะไร..? ที่ผ่านมาเปลวป่วยอยู่แล้วหรอ..?

       ช่วงที่เรายังทำร้ายกันและกัน…คุณป่วยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรอ…?



       ตุบ!

       ..ด้วยความที่ไม่ทันจะได้ระวังอะไร ไหล่ของเทียนไขก็ชนเข้ากับตู้เก็บของจนทำให้มีกล่องอะไรบางอย่างร่วงหล่นลงมาที่พื้น ทำเอาฝากล่องเปิดออก ของที่อยู่ข้างในก็ปรากฎให้เขาเห็น



       ‘อย่าบอกว่ามึงกะจะให้หมวกมัน..?’

       ‘ใช่ มัน..ไม่ดีหรอ..?’

       ‘กูว่าเวิร์คนะ เห็นว่ามันชอบใส่นี่ ได้ยินพวกเด็กคณะมันคุยกัน’

       ‘กูก็คิดแบบนั้น หมวกใบเดิมของเปลวมันเก่าแล้วอะ ดูโทรมๆ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก กูเลยไปซื้อใบใหม่มา กะว่าจะให้เขา’

       ‘เออใช่ วันนั้นที่มันใส่มา โอโหคือแบบ..กูอยากให้เงินไปซื้อใหม่’

       ‘ความรู้สึกเดียวกัน เหมือนจะเป็นหมวกถักเองนะ ลายผ้าถึงดูแหว่งๆขาดๆเกินๆ’




       “…” เทียนไขนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบของข้างในกล่องขึ้นมา ข้างในนั้นมีกระดาษโน้ตสองแผ่นเขียนตัวอักษรด้วยลายมือที่เขาคุ้นเคย

       แผ่นแรกอยู่ข้างล่างเขียนเอาไว้ว่า..



       ‘ห้ามเอาไปใส่ เดี๋ยวจะเปื้อน หวง หาหมวกที่สวยที่สุดเท่านี้ไม่ได้แล้ว *เขียนไว้เตือนตัวเองนี่แหละ’



       ส่วนอีกแผ่นที่อยู่ข้างบน…



       ‘ขอโทษนะเปลวคนเก่า แต่เราจำเป็นต้องใช้ ถ้าได้ใบใหม่มาเมื่อไหร่จะเอามาเก็บไว้เหมือนเดิม’

       ‘จะดูแลอย่างดี…เราสัญญา’




       โน้ตทั้งสองแผ่นนี้…วางอยู่บนหมวกไหมพรมที่เขาถักให้เปลว

       

        “เพราะแบบนี้…พอเปลวได้หมวกของพล เปลวเลยไม่ใส่หมวกของเราอีกเลยใช่ไหม..”

        …หยาดน้ำตาร่วงหล่นอย่างไม่อาจกลัดกลั้นไว้ได้ เจ้าตัวเล็กของเปลววางกล่องเอาไว้บนชั้นข้างๆตัวก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ซึมซับสัมผัสที่ครั้งหนึ่งเปลวเคยใส่หมวกใบนี้ สัมผัสกลิ่นอายของคนตัวสูงที่เขาคิดถึง



       ทว่าเป็นแบบนั้นไปได้ไม่กี่นาที สายตาของเทียนไขก็ไปกระทบเข้ากับรูปภาพรูปหนึ่งที่ติดอยู่ที่ผนังเหนือโต๊ะทำงาน มันเป็นภาพของคนๆหนึ่งที่ยังไม่เสร็จดี แต่รูปร่างและการแต่งตัวของคนๆนั้นกลับดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น…ตัวเขาเอง

 

       สองเท้าก้าวเข้าไปหารูปนั้นอย่างไม่คิดรีรอ  ที่ข้างใต้ของภาพมีข้อความบางอย่างเขียนอยู่ เป็นข้อความที่..ยิ่งเทียนไขเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หยาดน้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหลมากขึ้นเท่านั้น..



‘จู่ๆคนๆนี้ก็ปรากฎขึ้นมาในหัว รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกันนะแต่นึกไม่ออก ไม่สิ..นึกไม่ได้เลย ที่วาดค้างไว้ครั้งก่อนอยู่ดีๆก็ปวดหัว หน้ามืดจนล้ม สีหกหมดเลย รูปนี้คงจะวาดได้แค่นี้แหละ



แล้วก็ตอนที่วาด…เกือบจะนึกชื่อคนในรูปออก

ตอนนี้อาจจะยังนึกไม่ออก แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะครับ’




       …ตอนนั้นที่เปลววาดภาพๆนี้ เขาพยายามอย่างมากที่จะจรดปลายพู่กันลงบนเฟรมผ้าใบทั้งๆที่มือยังสั่นๆ ร่างกายยังไม่พร้อมที่จะทำอะไร แต่เพราะเปลวกลัว…เปลวกลัวว่าถ้าปล่อยให้ภาพที่สลัวเบลอในหัวมันหายไป เปลวจะไม่มีวันนึกถึงมันได้อีก วินาทีนั้นคนตัวสูงของเทียนไขจึงตัดสินใจเก็บภาพสกรีนช็อตในหัวของตัวเองออกมาเป็นภาพวาดภาพนี้ทั้งๆที่ร่างกายยังเป็นแบบนั้น ผลที่ออกมาจึงทำให้เขาวาดต่อไม่ได้ และค้างเติ่งอยู่เพียงแค่นั้น

       จริงๆ ภาพทุกภาพในห้องนี้สำหรับเปลวแล้วมันก็เหมือนจิ๊กซอว์ แต่เป็นจิ๊กซอว์ความทรงจำ …เปลววาดเพื่อบันทึกภาพในหัวอันเลือนลางที่ปรากฎขึ้นมาเพียงชั่วครู่ให้ออกมาเป็นภาพจริงๆ เขาเขียนความรู้สึกและเรื่องราวที่นึกออกไว้ จากนั้นก็ค่อยๆนำภาพทุกภาพมาร้อยเรียงกันหวังเพียงให้จิ๊กซอว์ความทรงจำนี้สมบูรณ์



       …เทียนไขจ้องมองภาพตรงหน้านี้อยู่ครู่หนึ่ง รูปแบบการวาดและเทคนิคการใช้สีอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงลายมือที่เขียนอยู่ใต้ภาพ ทำให้ความคิดถึงทำงานหนักอีกครั้ง

       “ดีจังที่เปลวไม่ยอมแพ้…ดีจังที่สุดท้ายเปลวก็นึกชื่อเราออก..” ที่คุณไม่ยอมแพ้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่มันแย่ตรงไหนรู้มั้ย..

       “กลับมาเรียกเทียนหน่อยได้มั้ยเปลว..กลับมาได้ไหม..” มันแย่ตรงที่…เปลวกลับมาเรียกชื่อเราไม่ได้อีกแล้ว



       ดวงตาทั้งสองข้างยังคงมีน้ำตาร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งที่ประจักษ์แก่เทียนไขค่อนข้างพร่าเบลอ แต่ก็ชัดเจนมากๆเมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของคนใจร้ายคนนั้น

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | “ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 05/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 14-04-2019 00:00:16
       …ถัดมาจากภาพวาดเหนือโต๊ะทำงานไปทางขวา ตรงนั้นมีกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆที่เต็มไปด้วยกระดาษโน้ตหลายสิบใบ แต่ละใบถูกเขียนด้วยลายมือเดียวกันกับลายมือบนภาพเมื่อครู่ ข้อความบนโน้ต…คนตัวสูงเอาแต่พูดถึง ‘ใครคนนั้น’ อยู่เสียทุกแผ่น



       ‘ฝันถึงคนๆเดิมอีกแล้ว คุณเรียกชื่อผม เสียงคุณเพราะมาก 19 พ.ค’

       ‘จะเขียนมือซ้ายดู เผื่อจะนึกชื่อคุณออก 26 พ.ค’

       ‘ต่อไปจะหลับวันละ10ชั่วโมง เผื่อในฝันจะเห็นหน้าคุณชัดขึ้น…อยากจำคุณได้จัง 14 มิ.ย’




        ทั้งหมดนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจักรวาลเล็กๆของเปลวเลยก็ว่าได้ คนตัวสูงเขียนเอาไว้เวลาตั้งเป้าหมายว่าจะพยายามทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ใครคนนั้นปรากฎขึ้นมาในหัวและในความฝันบ่อยขึ้นและชัดเจนขึ้น เปลวพยายามหลายอย่าง บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการบนเล็กๆน้อยๆ แต่เพราะสิ่งนี้สมองของเปลวจึงฟื้นฟูตัวเองรวดเร็วขึ้น มากถึงแม้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด



       …ทางขวาของกระดานไวท์บอร์ด ตรงนี้เป็นมุมแคบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดหลายภาพที่เปลวเอามากองๆกันไว้ แต่ละภาพเป็นวิวทิวทัศน์ที่ชั่วขณะหนึ่งเปลวรู้สึกว่าเคยเห็น บางภาพเป็นมุมมองจากหน้าต่าง บางภาพเป็นมุมมองจากที่สูง และบางภาพก็เป็นภาพท้องฟ้าในแต่ละช่วงเวลา ถ้าเป็นคนอื่นมาเห็นอาจจะตัดสินไปแล้วว่าภาพพวกนี้ดูไม่มีอะไรเลย แต่สำหรับเปลวแล้วเขาเชื่อว่า ถ้าใครคนนั้น…คนที่เป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลเล็กๆของเขาผ่านมาเห็น คนๆนั้นจะต้องมองภาพทั้งหมดนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าแน่ๆ

        “พระอาทิตย์ตกดินรูปนี้สวยจังเลยเนอะ”

        และใช่…เทียนไขก็คือคนๆนั้น

        “อยากนั่งดูกับเปลวอีกจัง…”

        คนๆนั้น..ที่รู้ดีว่าภาพทั้งหมดนี้คือความทรงจำที่เขาและเปลวเคยมีร่วมกันมา และเป็นคนๆนั้นที่ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากจะโอบกอดทิวทัศน์ในภาพพวกนี้เอาไว้ด้วยความเศร้าโศก



       ถัดมาจากตรงนั้นมีรูปวาดขนาดเล็กแขวนอยู่ที่ผนัง ภายในภาพมีเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักเรียนกำลังเดินคู่กันไป คนหนึ่งหันมายิ้มกว้างให้อีกคนที่ตัวเตี้ยกว่าหน่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้หันหน้ามาให้เห็นแต่อย่างใด มีเพียงแผ่นหลังบางๆให้รับรู้ว่านี่คือเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น และภาพนี้…ก็เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ความทรงจำ





‘รูปนี้วาดเด็กผู้ชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงต้องวาดให้คนนึงใส่ชุดเก่าๆ

เด็กสองคนนี้กอดคอกัน

เล่าเรื่องตลกอะไรซักอย่างแล้วก็หัวเราะไปด้วยกัน



ที่แปลกก็คือ…

ทำไมรู้สึก…ผูกพันกับรูปนี้จัง’






       “…” ทว่าเมื่อเทียนไขกวาดสายตามองดูดีๆ ภาพที่แขวนอยู่ทั่วห้องก็มีข้อความอยู่ข้างล่างแทบทุกภาพ

       “ข้อความบนภาพพวกนี้หรือเปล่าที่น้ำผึ้งบอกเราว่าเปลวมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก..”

       หนึ่งคำถามเกิดขึ้นในหัว …มันไม่ใช่ว่าเทียนไขจะไม่อยากรับฟังสิ่งที่เปลวจะบอก แต่ตัวเขาในตอนนี้อ่อนแอเกินไป แค่มาอยู่ในบ้านหลังนี้เทียนไขก็ทรมานจนแทบจะล้มทั้งยืนอยู่แล้ว



       ‘อ่านเถอะครับ ทั้งหมดนี้..เพื่อคุณเลย’

       หากแต่…ก้อนเนื้อในอกกลับส่งเสียงออกมาแบบนั้น

       “ถ้าเราเจ็บ..คุณจะอยู่ข้างๆเราใช่มั้ย”

       คนตัวเล็กก้มมองลงไปที่สัญลักษณ์คู่ชีวิตสีเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายอยู่ครู่หนึ่งเพื่อใช้ตัดสินใจว่าควรเลือกที่จะรักตัวเองแล้วเดินออกไป หรือจะกระโจนเข้าหาหนามแหลมๆที่พร้อมจะเสียดแทงกันให้เจ็บปวด และไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบให้ตัวเอง

       “ขอโทษนะเทียนไข…ขอโทษนะที่ต้องทำให้เจ็บปวดอีกแล้ว..”





‘รูปนี้เป็นรูปแรกที่วาด หมอบอกให้ออกกำลังสมอง บ่อยๆ เลยคิดว่าการวาดรูปน่าจะช่วยได้



อยากจำทุกอย่างได้จัง…

อยากรู้ว่าคนที่เราเห็นลางๆในความฝันคือใคร



ต่อจากนี้จะวาดรูป แล้วก็เขียนความรู้สึกหรือเรื่องราวที่นึกขึ้นได้ไว้ข้างล่าง



ส่วนรูปนี้ระหว่างที่วาด…

รู้สึกคิดถึงใครบางคน…ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร’
       



       …ภาพนี้เป็นภาพของคนในความฝันที่เปลวเห็น คนตัวสูงพยายามวาดออกมาให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ตอนนั้นเขากลับลืมรายละเอียดไปเสียหมด คนในภาพๆนี้จึงดูเลือนลางเสมือนกับว่าอยู่ในสายหมอก ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ในขณะที่เปลววาด เขารู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้วาด และยิ่งไปกว่านั้น…ภาพๆนี้ทำให้เขารู้สึกคิดถึง…เป็นความคิดถึงครั้งแรกเลยหลังจากที่สูญเสียทุกอย่างไป

       เพียงแต่…เปลวไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังคิดถึงใคร





‘รูปนี้วาดโต๊ะกินข้าวกับมือสองคู่ที่กำลังแย่งกุ้งตัวโต



..ทำไมเรารู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้ อย่างกับเคยแย่งกุ้งใครเหมือนในรูป



รูปนี้อาจจะขี้เหร่หน่อยเพราะลองใช้ข้างที่ไม่ถนัดวาดดู เผื่อจะทำให้นึกอะไรออก



ต่อจากนี้จะพยายามให้มากขึ้น

เราจะพยายามนึกให้ออกให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร



แล้วพอวันนึงที่ความพยายามของเราสำเร็จ

เราเชื่อว่าคนที่เราคิดถึง…จะต้องภูมิใจในตัวเรามากแน่ๆ’






       “…” หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย …ทำไมเทียนไขจะจำไม่ได้ล่ะว่าครั้งนึงที่พ่อเปลวซื้อกุ้งตัวโตมาให้กิน เขากับเปลวตื่นเต้นกับมันมากๆจนเปิดศึกสงครามกันตลอดมื้ออาหาร ความรู้สึกในตอนนั้นเขาจำได้ดีเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร เป็นช่วงเวลาดีๆที่พวกเขาต่างก็มีความสุข มีรอยยิ้ม และมีเสียงหัวเราะ

       ฮ่าๆ… อยากจะหัวเราะให้ได้เหมือนตอนนั้นจังเลยเนอะ



       …ภาพๆนี้เปลววาดหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ เขารู้สึกคุ้นเคยกับองค์ประกอบหลายๆอย่างบนโต๊ะอาหาร รวมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าด้วย ความรู้สึกในใจจึงพร่ำบอกเขาว่าให้วาดภาพนี้

       วินาทีนั้นหนึ่งความคิดโลดแล่นเข้ามาในหัว เปลวเลือกที่จะใช้ข้างไม่ถนัดวาด มันลำบากก็จริงแต่เขาก็มีความสุขมากๆเมื่อจินตนาการถึงวันที่เขาจำทุกอย่างได้ พอถึงตอนนั้นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงก็คงจะภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ เปลวมั่นใจแบบนั้น

       “…”

       และใช่…เทียนไขภูมิใจในตัวเปลวจริงๆ

       ถ้าเขาเป็นเปลวที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายแบบนี้ เขาก็คงไม่ทำอะไรมากไปกว่าพักผ่อนให้ได้มากๆ ทว่าเปลวกลับเลือกที่จะพยายามทำอะไรหลายๆอย่างให้ความทรงจำตัวเองกลับมา จริงๆในห้องนี้มีอุปกรณ์อีกหลายอย่างเลยที่บ่งบอกให้รู้ว่าเปลวพยายามมามากขนาดไหน …เกมอักษรไขว้เป็นปึกที่เปลวทำอย่างเป็นจริงเป็นจัง …รูบิคที่มากกว่าทรงลูกเต๋าธรรมดา …ราวจับพวกนี้นอกจากจะเอาไว้ช่วยเดินในช่วงแรกๆแล้วเปลวก็ยังใช้มันเวลาอยากจะฝึกสมองด้วยการเดินปิดตาอีกด้วย อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย…แต่ตอนนั้นมันยากมากจริงๆ สำหรับคนที่สูญเสียทุกอย่างไปอย่างเขา

       และผลจากความพยายามของตัวเขาเองทั้งหมดก็ทำให้…จิ๊กซอว์ความทรงจำสมบูรณ์



       “เราอยู่ตรงนี้เพื่อภูมิใจในตัวคุณแล้วนะ..”

       หากแต่ความภูมิใจที่เทียนไขรู้สึก..กลับยิ่งทำให้เขาร้องไห้





       คนตัวเล็กที่กำลังท่องไปในจักรวาลเล็กๆของเปลวเดินทางจนมาถึงภาพวาดภาพสุดท้าย ภาพนี้อยู่ถัดออกมาจากเตียงนอนเพียงไม่กี่ก้าว ข้อความที่เขียนเอาไว้อยู่ข้างหลังภาพแทนที่จะเป็นใต้ภาพเหมือนทุกภาพที่ผ่านมา …ทว่าก่อนที่เทียนไขจะก้าวไปหาภาพตรงหน้า สายตาของเขาก็ถูกดึงให้ไปสนใจกองยาและกระดาษเอกสารหลายแผ่นบนที่นอน

       สำหรับยาหลายชนิดบนเตียงนี้เทียนไขไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักเพราะไม่คุ้นตาเลยแม้แต่อย่างเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาให้ความสนใจไปที่เอกสารที่วางอยู่โซนเดียวกันแทน …มือเล็กของเจ้าตัวเอื้อมไปหยิบบางแผ่นขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะทรุดลงที่เตียงเพราะไม่มีเรี่ยวแรงยืนได้อีกต่อไปเมื่อได้รับรู้

       ..กระดาษหลายแผ่นเป็นใบนัดของหมอ และมีอีกประมาณสองสามแผ่นเป็นใบรายงานผลตรวจหรืออะไรซักอย่างที่เทียนไขไม่อยากเข้าใจ …ไม่อยากเลย



      ‘…จากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ส่งผลให้สมองของคุณทินกรมีเลือดคั่ง จำเป็นต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน…’



       ‘…การผ่าตัดเปิดกระโหลกผ่านไปได้ด้วยดี…’



       ‘…คุณทินกรสูญเสียความทรงจำ…’



       ‘…ปรึกษาเรื่องปวดหัวศีรษะเรื้อรัง…’




       นี่เป็น..ข้อความคร่าวๆบนเอกสารทั้งหมดนั้น

       เรื่องที่เปลวสูญเสียความทรงจำไปจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเทียนไขรับรู้แล้วก็จริง แต่เขาไม่คิดเลยว่าเปลวจะเจ็บหนักขนาดนี้ เทียนไขไม่เคยรู้เลย…

       …น้ำตาเม็ดใสร่วงหล่นไม่รู้หยุดเมื่อได้อ่าน และที่แย่ที่สุดที่เทียนไขไม่อาจให้อภัยตัวเองได้…ทำไมเขาถึงพึ่งมารู้เรื่องเอาตอนนี้

       ทำไมถึงพึ่งมารู้ตอนที่เปลวไม่อยู่ให้เขาได้พูดอะไรออกไปอีกแล้ว



       “ขอโทษ..ขอโทษนะเปลว..”

       ริมฝีปากบางพยายามเม้มแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงร้องไห้มันดังไปมากกว่าเดิม ความรู้สึกผิดมากมายถาโถมเข้าใส่เทียนไขทุกทิศทุกทาง ภาพในอดีตฉายย้อนเข้ามาในหัวซ้ำๆ เป็นภาพที่เขาทั้งบีบและผลักศีรษะที่บอบช้ำของเปลวไปจนกระแทกกับกำแพงแข็งๆอย่างไร้ความปรานี

       “ขอโทษนะ..ขอโทษ..”

       ทว่าต่อให้พร่ำออกไปกี่สิบครั้งพันครั้ง เปลวก็ไม่มารับรู้อีกต่อไปแล้ว

       แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ..หลังจากที่เขารับรู้ทุกอย่างที่เปลวอยากจะบอก เขาก็คงจะตามเปลวไปในอีกไม่นาน





‘รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายที่วาดก่อนจะเริ่มเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล



ขอโทษนะที่เว้นว่างจากรูปเก่าไปซะนาน ปัญหาอะไรหลายๆอย่างเยอะมากจนเราเหนื่อยแทบจะไม่อยากสู้แล้ว



เราวาดท้องฟ้าตอนกลางคืนกับดอกไม้ไฟ เป็นทิวทัศน์บนภูเขาที่ข้างหน้ามีแม่น้ำพาดผ่าน ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำเป็นเมืองใหญ่



ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดอะไรอยู่ ภาพนี้ไม่ใช่ภาพที่เห็นในหัว แต่เป็นความรู้สึก…เราอยากวาดก็เลยวาดเพราะหวังจะให้ใจเราสงบลงบ้าง

แต่มันก็…ไม่เป็นแบบนั้น



เราพึ่งรู้ว่าเราเป็นเนื้องอก

ไม่แน่ใจแล้วว่า ‘ซักวันนึง’ ของเราที่ความทรงจำทุกอย่างจะกลับมามีอยู่จริงๆหรือเปล่า

เสียใจอยู่เหมือนกันนะสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่เสียใจยิ่งกว่าก็คือ..



เราจะไม่มีโอกาสได้ขอโทษคุณจากใจแล้วจริงๆหรอเทียนไข



ทำไมเราถึงรู้ตัวช้าขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่เรารู้..เรารู้แล้วนะว่าคนที่เราคิดถึง คนที่เราฝันถึงเขาเป็นใคร

เขาเป็นคนๆเดียวกับคนในรูปนั้น



ก่อนหน้านี้รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นรูปๆนั้น เราเลยเอาไปเก็บ ..เก็บไว้จนลืมไปแล้วว่ามีรูปนั้นอยู่

รูปของคุณ..



…รูปของเทียนไข

คนที่ผมคิดถึงมาตลอดคือคุณนี่เอง’





       ..ทันทีที่อ่านจบสายตาก็กวาดมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ด้านบนของชั้นวางของที่สูงกว่าระดับความสูงของเทียนไขไปมาก ข้างบนนั้นมีผ้าสีครีมคลุมอะไรบางอย่างรูปทรงสี่เหลี่ยมไว้อยู่

       ไม่รอช้า..เทียนไขมองหาอะไรที่พอจะใช้ปีนขึ้นไปได้อย่างเร็วรี่ จากนั้นก็ค่อยๆเอื้อมมือขึ้นไป นำสิ่งที่ผ้าสีครีมคลุมอยู่ลงมา และทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในผ้าคลุม หยาดน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาอีกระลอกอย่างหนักหน่วง

       มันเป็น...รูปๆนั้นที่เปลวมอบให้เจ้าตัวเล็กของเขาในวันพิเศษของพวกเขาทั้งสอง

       เป็นรูปของเทียนไข..



สุขสันต์วันครบรอบครับ

อยู่รอรับภาพวาดของกูแบบนี้ปีหน้าด้วยนะ

รักมึงนะ รักมากกว่าดอกไม้ไฟ : D

       





       เปลว…ใจร้ายกับเทียนไขอีกแล้ว

       “…เลยวันครบรอบมาแล้วนะ ไหนล่ะภาพที่เปลวจะให้.. เราอยู่ตรงนี้แล้ว.. ไหนล่ะเปลว” เสียงแหบพร่าพร่ำพูดออกไปไม่หยุด เทียนไขสะอึกสะอื้นอย่างหนัก ..การจากลาเจ็บปวดแค่ไหนเขาได้รับรู้แล้วในวันนี้

       หากแต่ดูเหมือนว่า…

       เทียนไขจะลืมอะไรไปบางอย่าง..



       ‘อยู่รอรับภาพวาดของกูแบบนี้ปีหน้าด้วยนะ’ จริงๆเปลวให้เทียนไขไปแล้วต่างหาก เพียงแต่เทียนยังไม่เคยนำภาพนั้นออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังเลยซักครั้งเพราะกลัวว่าจะเจ็บปวด

       เป็นภาพที่..เปลววาดให้เขาตอนงานแต่งงานเล็กๆในโรงพยาบาลแห่งนั้น



       …เทียนไขตอนนี้ความรู้สึกมากมายกระจุกอยู่เต็มไปหมดที่ก้อนเนื้อในอก เขาร้องไห้ระลอกแล้วระลอกเล่าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับภาพวาดของเปลวที่มีคำบอกรักอยู่ข้างใต้ …เป็นแบบนั้นร่วมชั่วโมงก่อนที่คนตัวเล็กจะตัดสินใจยอมแพ้ …ยอมแพ้ต่อโชคชะตาทุกอย่าง

       สองเท้าพยายามยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้งถึงแม้จะสั่นเทา เทียนไขที่กำลังดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำประคองตัวเองออกมาจากห้องนั้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเลื่อนลอยไปไกล

       ทว่าก้าวออกมาได้ไม่เท่าไหร่สายตาของเขาก็ไปกระทบเข้ากับภาพวาดที่อยู่ในกล่องลัง เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เดินไปที่ที่กล่องนั้นวางอยู่ ก่อนจะค่อยๆนำภาพที่เห็นเมื่อครู่ขึ้นมา

       เทียนไขจำได้..เขาจำได้ดีเลยว่าภาพวาดภาพนี้ เปลววาดเป็นความทรงจำสุดท้ายตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน จำได้ดีเลยว่ามันเป็นภาพผู้ชายในชุดเจ้าบ่าวสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนม้านั่ง คนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพร้อมรอยยิ้ม ส่วนอีกคนกำลังเล่าเรื่องอะไรซักอย่างพร้อมเสียงหัวเราะ แขนของเขาโอบไหล่ของอีกคนเอาไว้ด้วย ส่วนพื้นหลังเป็นอาคารสูงกว่าสิบชั้น มีเงาของแสงแดดพาดเฉียงกับตึก มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างๆ และมีใบไม้สีน้ำตาลปลิวไสวไปตามลมตกแต่งอยู่หลายจุด

       เขาจำได้หมดเลยว่าภาพนี้เป็นอย่างไร หากแต่ที่ผ่านมาเทียนไขไม่อยากจะมองภาพนี้ให้เจ็บปวดหัวใจ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจในภาพนี้ซักเท่าไหร่

       แต่ก็คงจะไม่ใช่กับครั้งนี้



       เทียนไขเห็นเงาของตัวหนังสือด้านหลังภาพที่สะท้อนกับแสงไฟภายในบ้าน มือทั้งสองจึงค่อยๆพลิกภาพตรงหน้าไปดูด้านหลัง …ก้อนเนื้อในอกสูบฉีดเลือดถี่รัว เสียงภายในใจร่ำร้องบอกให้เขาอ่านข้อความข้างหลังนี้อยู่ร่ำไป เมื่อทนต่อการรบเร้าไม่ได้ เทียนไขจึงค่อยๆกวาดสายตาไปทีละตัวอักษรอย่างทะนุถนอม

       …น้ำตาเม็ดใสร่วงหล่นลงบนเฟรมผ้าใบ เสียงร้องไห้ดังคลอเคลียกับเสียงฝนภายนอก ยิ่งอ่านเทียนไขก็ยิ่งเจ็บปวด ทุกคำที่เขียนทำให้เขานึกถึงใบหน้าซื่อๆของเปลว นึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นึกถึงใบหน้าของคนที่อยู่ข้างๆเขามาตลอด…



       





เทียน



ถ้าคุณสงสัยว่า...ที่ผ่านมาผมมีความสุขหรือเปล่า ที่ต้องทนซ่อนความเจ็บปวดกับอาการป่วยอยู่หลายครั้งเงียบๆคนเดียวไม่ให้คุณรู้



ผมจะบอกว่า

ผมน่ะ...ไม่จำเป็นต้องมีความสุขก็ได้

ขอแค่มีคุณ...มีคุณก็พอแล้ว




..ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ

..ขอแค่ได้จับมือคุณเอาไว้ ขอแค่ได้เห็นคุณยิ้ม ได้แอบมองคุณเวลาคุณหลับ

..ต่อให้ต้องเจ็บปวดขนาดไหนผมก็จะอดทนเอาไว้ แล้วก็จะยิ้มให้คุณเหมือนตัวผมในรูปนี้



ตอนที่คุณได้อ่านข้อความข้างหลังนี่ ผมก็คงจะจากคุณไปแล้ว

คุณอาจจะโกรธผม คุณอาจจะเกลียดผมไปแล้วที่ผมเอาแต่โกหก ซ้ำยังเห็นแก่ตัวที่ปล่อยมือไปจากคุณ

ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอกนะเทียนถ้าคุณจะคิดแบบนั้นกับผม แต่อยากให้รู้ไว้ว่าผมที่อยู่บนท้องฟ้าจะยังรักคุณอยู่เสมอ



ผมกลัวมากๆเลยว่า ถ้าผมจากไปแล้วคุณจะไม่อยากมีชีวิตอยู่

ลอง…นึกถึงสีหน้าของคุณหมอตอนเห็นว่าเทียนกำลังจะหายดีได้ไหมครับ เขาดูดีใจมากๆเลยใช่ไหม..? ถ้าเทียนทำตามความฝันของตัวเองต่อไป

ซักวันนึง…เทียนก็จะได้รู้สึกเหมือนที่คุณหมอของเทียนรู้สึก



ข้างๆเทียนยังมีเพื่อนที่พร้อมจะสู้ไปด้วยกันกับเทียนอยู่นะ พวกเขาไม่ทิ้งเทียนแน่นอน



เพราะฉะนั้นแล้ว..

ขอได้ไหมเทียน…ผมขอให้คุณอยู่ต่อไปได้ไหม

มีชีวิตอยู่ต่อไป…เพื่อตัวคุณเอง



คุณอาจจะคิดว่าผมจากไปไกล

แต่จริงๆแล้ว…ผมไม่ได้จากคุณไปไหนไกลขนาดนั้นหรอกนะเทียน



ผมยังอยู่ตรงนี้

…นั่งอยู่กับคุณในภาพนี้

…ยิ้มอยู่ข้างๆเทียนแบบนี้

วันไหนที่คุณคิดถึงกัน...ก็ขอให้คุณเงยหน้าขึ้นมามองภาพนี้นะครับ



หรือถ้าไม่คิดถึงผม …แต่คุณเหนื่อยๆจากเรื่องราวในแต่ละวัน ผมก็ขอให้คุณมองมาที่ภาพนี้เหมือนกัน



ผมจะยิ้มรอคุณอยู่ตรงนี้เสมอ

เป็นเปลวที่จะอยู่คู่เทียนตลอดไป : D



เปลวเทียน

ทินกร ประดิษฐ์จันทร์

2 มกรา









       “ขอบคุณนะเปลว..ขอบคุณมากๆเลย” ขอบคุณสำหรับภาพนี้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเรา

       ถ้าคุณบอกแบบนี้แล้วเราก็คงจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แน่นอนว่ามันยากลำบากแน่ๆสำหรับเรา แต่เราก็จะพยายามดูอีกซักครั้ง ถ้าวันไหนไม่ไหวก็คงจะต้องขอมองรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณจากภาพนี้เช่นกัน

       

       “ดีจังเลยเนอะเปลว…ที่เราได้รักกัน”

       




















       …เช้าวันรุ่งขึ้นเทียนไขก็เริ่มต้นใหม่จากจุดสตาร์ท เขาเริ่มจากการทำงานบ้านและจัดข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองที่ติดตัวมาให้เข้าที่ ม่านที่เคยบดบังแสงสว่างเจ้าตัวก็เปิดออกเพื่อให้แสงแดดส่องถึง

        ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาเองจะผ่านมันไปได้จริงๆมั้ย แต่เทียนไขก็จะพยายาม…เขาจะพยายามอย่างถึงที่สุด เปลวเองก็เคยมีช่วงที่ยากลำบากเหมือนกันแต่สุดท้ายเปลวก็ยังผ่านมันไปได้เพราะความพยายาม ฉะนั้นแล้วเทียนไขจึงคิดว่าถ้าเขาพยายามบ้าง…เขาก็คงจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

       พอถึงวันนั้นที่ทำได้แล้วจริงๆ..

       เทียนไขก็เชื่อว่า…เปลวต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ





       ช่วงเย็นของวันเดียวกัน เมธ โก้ และน้ำผึ้งก็มาเยี่ยมเขาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่พอได้เห็นสีหน้าของเทียนไขดูแจ่มใสมากขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ พวกเขาก็คลายความกังวลไปได้เยอะเลย

       บทสนทนามากมายถามไถ่กันถึงเรื่องราวในอดีต พวกเขาทั้งสี่คนอยู่คุยกันที่บ้านหลังนั้นอยู่หลายเรื่อง บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ



       ‘เทียน’

       ‘ว่าไงผึ้ง’

       ‘เห็นรูปที่เปลววาดยัง’

       ‘เห็นแล้วๆ ทำไมผึ้งรู้ล่ะว่าเปลววาดรูปพวกนั้น’

       ‘ต้องรู้สิเทียน ถึงจะเป็นญาติที่หลุดวงโคจรไปไกลแต่เปลวก็เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เราสนิทที่สุดเลย’

       ‘แล้วผึ้งพอจะรู้ไหมว่าทำไมห้องเก่าเปลวถึงไม่มีของอะไรอยู่แล้ว’

       ‘ฝีมือเรานี่แหละ เปลวเขาคำนวณมาแล้วว่าเทียนน่าจะขึ้นไป’

       ‘เขาสั่งเสียกับผึ้งเยอะมากเลยสิเนี่ย’

       ‘ไม่เยอะๆ นี่เรามีลิสต์ลงกระดาษด้วยนะ ประมาณห้าหน้าได้..แต่ก็ยังไม่หมด..’



        จริงๆแล้วที่เทียนไขกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ที่เทียนไขเดินขึ้นไปแล้วห้องนอนว่างเปล่าไม่มีอะไรจนทำให้สงสัย ที่เทียนไขได้เห็นรูปพวกนั้นรวมถึงงานแต่งงาน …ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเปลวล้วนๆ เขาสั่งน้ำผึ้งยิบๆเลยว่าให้ทำอะไรบ้างถ้าเกิดเขาจากไป

         …แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อที่เทียนไขจะได้มีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข และก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างที่เปลวหวังเอาไว้

        หากแต่นั่นก็ยังไม่หมด.. ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เปลวบอกน้ำผึ้งเอาไว้ หลังจากที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้น้ำผึ้งรับรู้



       ‘เรื่องแม็กพวกเรารอได้นะเทียน รอวันที่เทียนพร้อมที่จะพูดจริงๆ’

       ‘ขอบคุณมากๆเลยผึ้ง ขอเวลาอีกซักหน่อยเราว่าเราน่าจะพร้อมแล้วแหละ’

       ‘ทางนี้หลักฐานทุกอย่างก็พร้อมแล้วเหมือนกัน’



       และใช่…เปลวอยากให้เทียนไขแจ้งความ ถึงมันจะผ่านมานานเป็นปีแล้วก็ตาม เขาอยากให้เทียนไขปลอดภัยจริงๆ ไม่อยากให้มีใครทำร้ายเทียนได้อีก

       …เปลวฝากหลักฐานทั้งหมดที่เขามีไว้กับน้ำผึ้งแล้วให้น้ำผึ้งเป็นคนจัดการ ฝั่งลูกสาวเศรษฐินีอย่างเธอเนื่องจากมีความรู้สึกผิดเรื่องที่แม่ทำกับครอบครัวเทียนไขอยู่ ก็เลยตกลงใจจะช่วยอย่างสุดความสามารถ

       ส่วนหลักฐานที่เปลวมี เขามี ‘คลิปเสียง’ ที่แอบบันทึกเอาไว้เวลาถูกไอ้แม็กข่มขู่ ตอนนั้นที่ตัดสินใจบันทึกคลิปเสียงพวกนี้ไว้เหตุผลก็เพราะเปลวเห็นว่าอีกฝ่ายก็ใช้วิธีนี้มาข่มขู่กัน ฉะนั้นก็คงจะไม่ผิดอะไรถ้าเปลวจะใช้วิธีนี้เพื่อเป็นหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม ทว่าเขากลับประสบอุบัติเหตุไปเสียก่อน ทำให้คลิปเสียงพวกนี้ถูกลืมไป …พอเขาจำทุกอย่างได้เปลวก็เลยนึกถึงคลิปพวกนั้นอีกครั้ง

       จริงๆ เปลวไม่ได้หวังอะไรมากนัก เขาหวังแค่ให้หลักฐานชิ้นนี้ช่วยหนุนนำหลักฐานทางการแพทย์ชิ้นอื่นๆ รวมถึงคำให้การหากเทียนไขไปแจ้งความ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว





       

       ‘เทียน ไอ้พลตอนนี้ซึมๆไปเลยว่ะหลังจากรู้ว่าเปลวไม่อยู่แล้ว’

       ‘ตอนนี้พลอยู่ไหนเมธ’

       ‘มันโอเคแหละ กูว่าคงจะรู้สึกผิดมั้ง’

       ‘ถ้าทุกอย่างโอเคแล้วมึงพากูไปอธิบายให้มันฟังหน่อยได้ปะเมธ กูอยากให้มันเข้าใจ หลังจากนั้นมันจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่มัน’



       ส่วนพละพล ..หลังจากที่รับรู้ว่าคนรักเก่าของตัวเองจากไปแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเลย วันงานของเปลวก็เป็นวันแรกที่พละพลรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เปลวห่างออกไปจากเขา แท้จริงแล้วเปลวป่วย ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกิดขึ้นกับเขา มันจุกๆอยู่ในอก เขาอยากจะร้องไห้เพื่อระบายออกไปแต่เขาก็ร้องไม่ออก ได้แต่หวังให้เวลาช่วยให้ตัวเองดีขึ้น



       พวกเขาสี่คนอยู่คุยกันต่ออีกซักพักเพื่อวางแผนอะไรหลายๆอย่างต่อจากนี้ เทียนไขบอกกับพวกเขาว่าเดี๋ยวเปิดภาคเรียนใหม่จะกลับไปเรียนอีกครั้ง ทันที่คนอื่นๆได้ยินแบบนั้น

       …รอยยิ้มกว้างก็เกิดขึ้นกับพวกเขาพร้อมๆกัน





       ‘คิดถึงเปลวเหมือนกันเนอะเทียน ถ้าตรงนี้มีเขาอยู่คงจะมีกว่านี้มากๆเลย’

       ‘ก็จริงของผึ้งนะ แต่ว่าจริงๆแล้วเปลวก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ’

       ‘…’

       ‘อยู่ในใจเรา’

       













Memories Jigsaw Puzzle - End

For contact Twitter: @_mindsky
For Hashtags: #เปลวจุดเทียน
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-04-2019 02:01:00
มันอบอุ่นในหัวใจอ่ะ  ถึงจะเศร้าแต่ก็ยังยิ้มได้
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-04-2019 10:56:45
 :3123: :3123: :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 14-04-2019 23:54:14

น้ำตาท่วมจ้า

เศร้า แต่เราก็อ่าน

น้ำตาท่วมตั้งแต่ต้นเลย

ของคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-04-2019 01:08:03
ใช่เลยเทียนต้องกลับไปเรียน แล้วส่องแสงสว่างให้ได้ในสักวัน ให้เปลวได้ภูมิใจ //โฮรรรรร TT____TT น้ำตานองหน้าจากฉากจำความได้จนถึงสุดท้าย บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย ปมต่างๆมันก่อเกิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาแต่รุ่นพ่อแม่นี่เอง ก็เพิ่งจะเข้าใจ //นับตั้งแต่ความสัมพันธ์ของสองคนนี้สะบั้นลงจนเวียนวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในต่างภาวะ เราก็ถามตลอดว่า ปลายทางของสองคนนี้อยู่ที่ไหน กระทำร้ายใส่กันไปมา วนลูปซ้ำๆ ต่างก็เสียใจและเจ็บปวด แต่ลึกๆในใจนั้นกลับโหยหาและอยากเจอหน้าอยู่ตลอดเวลา มันตัดกันไม่ขาดจริงๆเพราะมันมีความผูกพันธ์ ความสัมพันธ์จนก่อเกิดเป็นความรักที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ "กูรักมึง" กว่าจะรับรู้เห็นมัน เวลาก็เหลือน้อยแล้ว แต่แค่นั้นก็ยังดีกว่าไม่รู้ กลับมายิ้มได้อีกครั้งช่วงบั้นปลาย แม้สุดท้ายแอบเศร้าแต่ก็สวยงามหากเทียนได้ส่องแสงทำความฝันให้เป็นจริงที่พูดไว้กับเปลว //แอบคาดไม่ถึงเล็กน้อย คิดมาตลอดว่าสองคนนี้ยังไงต้องได้ไปต่อ ปลายทางของพวกเขาที่เฝ้าถาม มาวันนี้เรารับรู้แล้ว จะขอเป็นกำลังให้เทียนต่อไป เปลวยังอยู่ในใจเทียนและเราเสมอ เป็นวายที่ดราม่าสมชื่อจริงๆ ไม่ผิดหวัง ถ้ามีให้โหวตบอกเลย โหวตให้เรื่องนี้แน่นอน สองคนนี้มาไกลจริงๆ เมื่อเทียนดับ คงได้เจอกันนะเปลว ชอบบบบบบบบบบมากกกกค่าา โอ๊ยยยยย วายสายดราม่าอย่างเราเสพกันแบบน้ำตาไหลพรากๆ 5555555 สนุกกกกกกกกก ขอบคุณมากๆนะคะที่แต่งมาจนจบ บรรยายดีมากกกก อินสุด ปรบมืออออออออ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ เอาอีกๆ ^_____^ (:   
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 21-04-2019 16:43:29
เปลวไม่น่าตายเลยอ่า
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: _MindSky ที่ 25-04-2019 22:47:47
Talk

สวัสดีค่ะ MindSky เองนะคะ

ก่อนอื่นก็คงต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านเลยที่อ่านกันมาจนถึงบทสรุปของเรื่อง ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

เรื่อง ‘น้ำตาเทียน’ เป็นนิยายเรื่องที่สองของเรา ถ้าผิดพลาดหรือไม่ถูกจริตยังไง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากเทียนค่ะ เรารู้สึกว่าเวลาเทียนถูกจุดแล้วมันมีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกันถ้าทิ้งไว้นาน ๆ ไฟก็จะเผาเทียนจนละลายหมด เลยเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ 5555

ส่วนตอนจบ ที่เราเลือกจบแบบนี้ เพราะเราอยากจะนำเสนอความรักที่ยิ่งใหญ่ของคน ๆ นึงที่พร้อมจะมอบให้อีกคนแม้กระทั่งชีวิตค่ะ ก็คือเปลวในตอนที่เสียสละขับรถเข้าไปผลักเทียนออกจากถนนจนตัวเองถูกรถชนนั่นเองง แล้วเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ และเราชอบมากเลยก็คือตอนที่เปลวบริจาคไตให้เทียนไขเพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็สู้ต่อไม่ไหวแล้ว เราวางพล็อตตรงนี้มานานมาก พอเขียนฉากนี้จริง ๆ เราอินมาก เขียนจบแล้วยิ้มไม่หุบเลย อยากจะดึงคุณเปลวมาหอมหัว 55555555555555

ส่วนเรื่องในส่วนของเทียนทั้งหมด เราอยากจะนำเสนอในมุมของคนที่ต้องฝ่าฟันเรื่องแย่ ๆ มาตั้งแต่เด็กที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ  อาจจะล้มลุกคลุกคลานมามาก แต่สุดท้ายก็ได้ก้าวต่อไป

และที่สำคัญเลย จะเห็นว่าเรื่องจะมีสองพาร์ทคือพาร์ทเหตุการณ์ที่เทียนไขรับรู้ กับพาร์ทเรื่องราวและเหตุผลที่แท้จริงในฝั่งของคุณเปลว ตรงนี้เราอยากจะนำเสนอ both sides story ค่ะ คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องนั้นจะมีสองด้าน(หรือมากกว่า)เสมอ

ดีใจมาก ๆ เลยค่ะที่นักอ่านทุกท่านเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
ยังไงก็ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่กดเข้ามาอ่านจักรวาลเล็ก ๆ ของเรา ขอบคุณค่ะ : ))
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 04-05-2019 21:23:11
ขอบคุณมากๆ เศร้าสุดๆ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: ton_gori ที่ 06-05-2019 19:36:39
พูดไรไม่ออกเลยครับ ร้องไห้อย่างเดียวเลย สงสาร เปลวกับ เทียน มาก  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 23-07-2019 12:25:35
ชอบนิยายเรื่องนี้มากจริงๆนะคะ ชอบความรังทนของนายเอก ชอบเนื้อหา แต่เราอ่อนแอเเกินกว่าที่จะอ่านจนจบ คือมันบีดทุกบททุกตอน ไม่กล้าอ่านจนจบจริงๆ แต่เราชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ ขอบคุณคนแต่งมากเลยนะคะ ที่เขียนผลงานดีๆแบบนี้มาให้ชาวเล้าเป็ดได้อ่านกัน

ขอบคุณจริงๆนะคะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์มุมปากตก ที่ 27-07-2019 19:13:31
เป็นวายดราม่าที่ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: สาววายเลือดสีม่วง ที่ 27-07-2019 23:36:11
เศร้ามากเลยค่ะ อ่านแล้วร้องไห้ทั้งเรื่องเลย เป็นนิยายที่ตัวเอกในเรื่องเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาก อ่านแล้วปวดตับปวดไตมากกกก :katai1: :o12:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 28-07-2019 11:46:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 30-07-2019 13:53:32
เศร้ามากกกกก :o12:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: Palita mew mew ที่ 25-08-2019 20:15:43
 :m15: :hao5: ขอบคุณ​มากค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลยย ร้องไห้หนักมากก
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 12-10-2019 10:22:01
เป็นเรื่องแรกเลยจริงๆ ที่อ่านแล้วร้องไห้แทบตลอดเรื่อง บางครั้งก็ยิ้มทั้งน้ำตา
เป็นนิยายที่ดีจริงๆค่ะ พล็อตคือเดาต่อไม่ถูกเลย มันพีคจริงๆ5555
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้นะคะ เหมือนได้เปิดมุมมองใหม่ๆเลย  :katai2-1: :hao5:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:13:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | #น้ำตาเทียน “ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 [50%]”
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 16-11-2020 13:06:05
 คนอะไรจะซวยซำ้ซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 27-11-2020 22:18:24
 :hao5: