ตอนที่ 6 ความลับที่ถูกเปิดเผย
บริเวณชายแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวรุนแรงแม้กระทั่งในหน้าแล้งแห่งนี้ นี่แหละคือเมืองโยนลนคร นครแห่งหุบเขาที่เมืองทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นคร่อมแม่น้ำ อันเป็นชัยภูมิที่แปลกตาไปกว่าเมืองอื่น แต่ทว่าเป็นปราการป้องกันเมืองได้อย่างดี หากศัตรูคิดจะเข้ามากร้ำกราย เพราะเมืองทั้งเมืองรายล้อมไปด้วยกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวรุนแรงยากที่จะเข้าถึงและหักใจกลางเมืองได้ ตรงช่วงกลางของแม่น้ำนั้น เป็นเกาะหินขนาดใหญ่ที่แทบจะโอบอุ้มเอาเมืองทั้งเมืองไว้ได้เลยทีเดียว ปราสาทหินสีแดงที่อยู่ตรงกลางนั้นทำให้ดูน่าเกรงขามแม้กระทั้งจะมองในระยะไกล ก็ยังเห็นพระราชวังตรงกลางได้เป็นอย่างดี
โยนลนคร อีกเมืองหนึ่งที่ใหญ่ได้เกือบจะเทียบเท่ากับเมฆาพยัค บัดนี้ความแข็งแกร่งของเมืองกำลังถูกท้าทายด้วยอำนาจเวทย์ของเทพพิสุทธิ์องค์ใหม่ ที่ไม่ว่าจะเมืองใดก็ต่างเกรงกลัวในอำนาจนั้น หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น
ท้องพระโรงกลางสีชาดเข้มแทบจะเป็นสีเลือด กษัตริย์หนุ่มนั่งประทับบนบัลลังค์อยู่ด้านบนสุดของการประชุมกับเหล่าเสนาบดี เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกังวานดูมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม
“คนสอดแนมที่เราส่งเข้าไปในเมฆาพยัคแจ้งข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง”
“ฝ่าบาท บัดนี้เราส่งทั้งทหารและพวกสายลับเข้าไปในเมืองนั้นเยอะมากแล้วพะย่ะค่ะ หากแต่ทุกคนยังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพพิสุทธิ์พระองค์ใหม่ตั้งแต่ได้รับการสถาปนายังไม่เคยมีใครได้เห็นตัวจริงของพระองค์นั้นเลย”
“ได้ข่าวว่ายังเป็นเด็กอยู่มาก อายุประมาณเท่าไหร่”
“17 ชันษาพะย่ะค่ะ” ทันที่ที่คนด้านล่างพูดจบและดูจากตำแหน่งในการนั่งในท้องพระโรงนั้นคงจะเป็นข้าราชสำนักชั้นสูงทีเดียว กษัตริย์แห่งโยนล ได้ฟังดังนั้นแล้วถึงกับทวนคำพูดของเสนาบดีคนนั้นอีกครั้งง
“17 หรอ..ดูท่าจะยังไม่มีความสามารถเท่าองค์เก่า แต่ก็ประมาทไม่ได้ หากพิสุทธิ์องค์นี้ฌานได้ถึงรู้เรื่องอนาคตหมดทุกอย่างแล้ว เราคงต้องปรับแผนการวันต่อวันเลยทีเดียว และคงจะต้องเหนื่อยกันไม่น้อย”
“หนทางชนะยังมีพะย่ะค่ะ”
“ท่านมหาเสนาเชิญพูดขึ้นมาเถิดข้าจะรับฟัง”
“หากเราเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ในเมือง เห็นทีทางเราจะได้เปรียบ ด้วยชัยภูมินั้นเหมาะกับเรายิ่งนัก ตอนนี้เป็นฤดูแล้งแล้ว อีกไม่กี่เดือนน้ำทางเหนือก็จะหลากเข้ามา ต่อให้ทางฝั่งนั้นเก่งกล้าสามารถซักแค่ไหน เสบียงของพวกมันก็ต้องหมดไป จะล้อมเมืองเราได้ก็เพียงแค่ไม่เกิน 5 เดือนเท่านั้น เมื่อน้ำทางเหนือมา พวกเมฆาพยัคก็ไม่สามารถสู้กระแสน้ำได้หรอกพระพุทธเจ้าข้า”
“กลแผนนี้ของท่านมหาเสนาบดีข้าเห็นว่าไม่เหมาะสม” เสียงที่แทรกพูดขึ้นมานั้นอยู่ก็แทรกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและเป็นเสียงที่มาจากด้านหลังของบัลลังค์ในท้องพระโรง ชายแก่เดินท่อมๆ เข้ามาโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง เสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นเป็นเพียงผ้าที่เฉียงคาดจากไหล่ซ้ายไปทางเอวด้านขวาเท่านั้น ส่วนผ้านุ่งที่นุ่งอยู่ก็ทบพับกันหลายชั้น จนดูหนาน่ารำคาญไม่น่าจะเดินได้ถนัดนัก มือขวายังคงกำไม้เท้าแน่น พร้อมกับเดินเขย่งเข้ามาจนถึงท้องพระโรงด้านหน้า
มหาเสนาอำมาตย์ทุกคน ทำความเคารพกับชายชราผู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาใหม่รวมไปถึงกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์นั้นก็ยังต้องยกมือไหว้ด้วย
“ท่านอาจารย์”
“ทำไมอาจารย์ของข้าพเจ้าถึงได้เห็นว่าไม่เหมาะ ท่านอาจารย์มีความคิดเห็นเป็นประการใดหรือ”
“ฝ่าบาท บัดนี้เทพพิสุทธิ์แห่งเมฆาพยัค ถึงแม้จะยังเชาว์ชันษานัก แต่เวทย์อาคมก็มิได้ด้อยไปกว่าเทพีพิสุทธิ์องค์เก่าเลย หากแม้ท่านเสนาบดี จะยั้งทัพของเมฆาพยัคด้วยน้ำ ข้าไม่เห็นสม เพราะให้อย่างไร ฝ่ายทางนั้นก็มีวิธีแก้เป็นแน่ กระหม่อมเข้าฌานมาก็นาน ไม่ปรากฏตัวต่อผู้ใดก็เพราะเรื่องนี้.......”
ชายชราเว้นวรรคคำพูดของตัวเอง ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นเสียงดังฟังชัด เป็นเสมือนทั้งการเล่าให้ฟัง และคำสั่งกลายๆ ให้กับกษัตริย์หนุ่มของตัวเอง
“ต่อให้เก่งขนาดไหน ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่ดี ตัวกระหม่อมเองมีเวทย์อาคมเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงมีขนาดเทพพิสุทธิ์แห่งเมฆาพยัคได้ เวทย์ที่กระหม่อมใช้เป็นเพียงอาคมของฤๅษีแต่เก่าก่อน มิใช่เวทย์ที่มีกันมารุ่นต่อรุ่นอย่างเทพพิสุทธิ์ บัดนี้อนาคตที่เทพพิสุทธิ์มองเห็น อาจจะมองเห็นกระหม่อมไม่ชัดนัก เพราะเกราะเวทย์กระหม่อมปิดกั้นเอาไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่เห็นได้ซะทีเดียว จุดอ่อนของเทพพิสุทธิ์อยู่ที่เลือดสีฟ้าของเขาเอง พระองค์ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้เลือดนั้นออกมา จะฆ่าเทพพิสุทธิ์ หรือให้โลหิตของเขาไหลออกมา เมื่อโลหิตไหลออกมาแล้ว เวทย์จะใช้ไม่ได้ชั่วขณะ”
“เป็นจริงหรือท่านอาจารย์” เสียงที่ระคนออกมาพร้อมกับความดีใจที่มีอยู่ในตัวของกษัตริย์หนุ่ม เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก และอาจเป็นเพียงเมืองเดียวเท่านั้นที่จะรู้ความลับนี้ได้
...........บัดนี้ ความลับของเทพพิสุทธิ์นั้นไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว...............
“ใช่พะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องให้เทพพิสุทธิ์โลหิตออกจากกายของเขา ถึงแม้จะเพียงหยดเดียวก็สามารถใช้ได้ แต่ปัญหาใช่ว่าจะไม่มี เพราะพิสุทธิ์นั้นรู้อนาคต หากจะมีใครไปทำร้ายจนถึงที่ เทพพิสุทธิ์จะต้องรู้ตัวก่อนแน่นอน จะชนะก็เป็นไปได้ยาก เทพพิสุทธิ์ผู้นี้ มีทั้งเวทย์และความสามารถด้านสรรพวุธ อีกทั้งทหารองค์รักษ์ก็รายล้อมนับร้อยคน จะเข้าถึงไมใช่เรื่องง่าย คนที่จะไปจัดการเรื่องนี้ จะต้องไม่เป็นรองในการรบประชิดตัว เกราะของกระหม่อม สามารถกั้นเทพพิสุทธิ์ให้ไม่เห็นได้เพียงคนเดียว หากผู้นั้นคิดจะทำลายพิสุทธิ์แล้ว ต้องทำให้จบเพียงในคราวเดียว ดีสุดคือฆ่าทิ้งได้ เลวสุดคือโลหิตไหลออกมา ........ กระหม่อมจะลงอาคมเกราะกำบังเทพพิสุทธิ์ให้คนผู้นั้นที่จะเข้าประชิดตัวเทพพิสุทธิ์เมื่อวันนั้นมาถึง แต่เมื่อกระหม่อมลงเกราะให้แล้ว กระหม่อมเองจะหมดสิ้นการกำบังทันที และเมื่อนั้น เทพพิสุทธิ์จะรู้ทันทีอีกว่ามีกระหม่อมอยู่บนโลกใบนี้”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์ งานสำคัญครั้งนี้ ข้าขอไปเอง” เสียงที่เปล่งออกมาคือผู้ที่นั่งอยู่บนราชบัลลังค์ ก่อนที่จะยืนขึ้นและพูดใหม่อีกครั้ง
“ข้า อัคนีย์ กษัตริย์แห่งโยนลนคร ถึงแม้รู้ว่าจะเสี่ยงอันตรายขนาดไหน แต่ในเมื่อเป้าหมายในครั้งนี้ ก็คือเทพพิสุทธิ์ ก็ไม่เห็นจะมีใครเหมาะสมไปกว่าข้าอีกแล้ว ถ้าชนะ โยนลนครจะเป็นมหานคราไปอีกนับพันปี แต่หากแพ้ ก็ไม่เสียชาติเกิดเพราะแพ้ด้วยน้ำมือของพิสุทธิ์”
เสียงกระหึ่มดังไปทั่วท้องพระโรง บุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาอัครเสนาบดี บัดนี้วิ่งเข้ามาถึงตรงด้านหน้าสุด พร้อมกับก้มลงคัดค้านในสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“ไม่ได้เด็ดขาดพะย่ะค่ะ เสี่ยงยิ่งนัก ให้ทหารเอกของเราหรือไม่ก็พวกเสือหมอบแมวเซา ทำไม่ดีกว่าหรือพระองค์ เสี่ยงเหลือเกิน ได้โปรดคิดทบทวนเถอะพะย่ะค่ะ” เสียงขับขานที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านเสนาบดีพูดยังคงพูดขึ้นย้ำอีกครั้งเหมือนเป็นการ ทักท้วงกันในที่ประชุดขณะนั้น
“ได้โปรดทบทวนเถิดพะย่ะค่ะ”
มีเพียงคนเดียว ที่เงียบและไม่คัดค้านในครั้งนี้ ก็คือท่านอัครโยคีย์ หรือพระอาจารย์ของกษัตริย์แห่งเมืองนี้นั่นเอง
“ขอบทุกทุกท่านที่เป็นห่วง แต่ลืมไปแล้วหรือ ว่าการรบประชิดตัวนั้น จนถึงบัดนี้ ก็ยังหาคนที่จะล้มข้าก็ยังไม่ได้ หากเกิดเพลี่ยงพล้ำไป ก็ให้น้องหญิงขึ้นว่าราชการต่อได้เลยเถิด โยนลนครใช่ว่าไม่เคยมีกษัตริย์หญิงเสียเมื่อไหร่ อย่ากลัวไปเลย”
“ฝ่าบาท แต่หนทางอันตรายยิ่งนัก ณ ตอนนี้เรารู้เพียงแค่ว่า เมฆาพยัคจะเริ่มเดินทางมาทางเมืองเราแล้ว นั่นคือการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะเราไปยึดเมืองนันนทรักษ์ อันเป็นเขตชายแดน แต่จะทำเรื่องนี้ควรปรึกษาพระปิตุลาก่อนดีไหม พระพุทธเจ้าข้า”
“อย่าเลย รบกวนเสด็จลุงเปล่าๆ หุบเขาโมกุลเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งทางธรรมชาติก็จริง แต่ครั้งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเส้นทางเดินของเมฆาพยัคเป็นแน่ ถ้าหากเกิดอะไรกับโมกุล เราก็ต้องส่งทหารและกองกำลังไปช่วยด้วยเหมือนกัน ศึกครั้งนี้น่ากลัวก็จริง แต่ถ้าเราไม่ทำศึก แล้วเมื่อไหร่อาณาประชาราษฏร์จะลืมตาอ้าปากได้เล่า คงต้องถูกเมฆาพยัคกดหัวไปอีกนับพันๆ ปีหรือ”
“ฝ่าบาททท”
“นี่คือราชโองการแห่งข้า ประกาศไปให้ทั่วอาณาจักร เร่งปลูกข้าวและเสบียงอาหารเก็บเข้ามาไว้ในท้องพระคลังข้างที่ เสบียงที่ได้จากโมกุลให้เก็บแยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง และเปิดเส้นทางลับระหว่างเมืองโยนลและโมกุลให้ติดต่อกันได้สะดวก ให้ท่านมหาเสนาบดี เป็นแม่ทัพใหญ่ คอยจัดการและทุกสิ่งอย่างในขณะที่ข้าจะออกจากนอกพระราชวัง ท่านพระอาจารย์หากเห็นชอบดังนั้น ได้โปรดสร้างเกาะกำบังให้ข้าด้วย เวทย์ของท่านจะทำให้พิสุทธิ์ไม่รู้ว่าว่าข้าคิดจะทำแผนการอันใดอยู่ ส่งทหารคุ้มกันตำหนักของน้องหญิงอย่างหนาแน่น หากศึกจบลงแล้ว ข้ามิได้กลับมา ก็ให้สถาปนาน้องหญิงขึ้นเป็นกษัตริย์ตรีต่อจากข้าได้เลย ขอทุกท่านจงอย่าได้โปรดแย้งอันใดอีก ข้าคือกษัตริย์ และหน้าที่ของกษัตริย์จะไม่มีทางโยนสิ่งอันตรายนี้ให้ใครแน่นอน”
ความเงียบปกคลุมทั่วท้องพระโรงอีกครั้ง พระอัครโยคีย์ เดินมาถึงเบื้องหน้าท้องพระโรงประจันหน้ากับอัคนีย์ ที่เป็นทั้งกษัตริย์และอดีตลูกศิษย์ของเขาเอง ไม้เท้าที่เคยเอาไว้ค้ำยันพยุงตัว บัดนี้ ปัดเกว่งขึ้นเหนือศรีษะ พร้อมกับการเดินลงมาของอัคนีย์ ก่อนที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าพระฤาษีตนนั้น พลันแสงสีแดง ก็ปรากฏทั่วกายของทั้งสองคน ก่อนที่แสงสีแดงสว่างจ้าทางฝั่งของชายชราจะถูกเทไปยังอีกฝั่งของชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าจนหมดสิ้น
“ขอบพระทัยพระองค์ ที่เห็นแก่โยนลนคร บัดนี้ด้วยฌานของข้า ข้ารับรู้ได้แล้วถึงการที่พิสุทธิ์รู้ว่ามีข้าผู้มีเวทย์อีกคนอยู่บนโลกใบนี้ แต่นับจากนี้พิสุทธิ์ผู้นั้นจะรู้แต่เพียงว่ามีกษัตริย์โยนลนครอยู่ แต่จะไม่ทางรู้ได้เด็ดขาดว่าเป็นใคร หรือผู้ใด หรือถึงแม้แต่วันพระองค์จะได้ปลิดชีพเทพพิสุทธิ์เสีย ทรงดูแลพระวรกายด้วย” กษัตริย์อัคนีย์ เดินไปตรงกลางของท้องพระโรงอีกครั้ง ก่อนจะหยิบพระแสงดาบให้กับ ท่านมหาเสนาบดี ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง
“ฝากดูแลโยนลนครและน้องหญิงของข้าด้วย บัดนี้ขอให้ท่านเสนาบดี ดูแลแทนข้า ข้าจะออกจากวังนับจากนี้ และจะเอาทหารที่สนิทไปเพียงแค่สองคนเท่านั้น สิ่งใดที่ตัดสินใจ ได้โปรดปรึกษาหารือกับพระอาจารย์ด้วยเถิด”
“ดูแลพระองค์ด้วยพระพุทธเจ้าข้า ศึกด้านหน้านั้นกระหม่อมจะทำจนสุดความสามารถ ขอให้สิ่งที่พระองค์ต้องการบรรลุผลด้วยเถิด”
ท่วงท่าที่สง่างามของบุรุษผู้เป็นกษัตริย์ของเมือง เดินออกไปทันทีที่พูดจบ พร้อมกับการคำนับจากผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงทั้งหมด
บัดนี้ โยนลนคร ทุกสิ่งทุกอย่างฝากไว้กับองค์กษัตริย์ผู้นี้แล้ว
.............................................................................
ณ บนวิหารบรรพชน เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของวิหารยังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียงบรรทมแห่งนั้น ลมหนาวยังคงพัดมาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่บนยอดเกือบจะสุดของยอดเขา อากาศช่างหนาวเย็นยิ่งนัก แต่หากบัดนี้ ทั้งผิวหน้าและผิวกายของเทพพิสุทธิ์กับผุดเหงื่อออกจนแทบจะท่วมตัว เสื้อผ้าขาวสะอาดบัดนี้ชื้นแฉะไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมา
“ใคร คนนั้นเป็นผู้ใด ทำไมถึงรู้เรื่องของเราได้” น้ำเสียงที่พูดออกมาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ สิ่งที่ตกใจว่าองค์รัชทายาทรู้แล้วว่าเทพพิสุทธิ์มีจุดอ่อนเช่นไรบ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่อริศัตรูก็รู้เช่นกัน
น่ากลัวเหลือเกิน
“บ่นอะไร !!!!!!!” อยู่ ๆ เสียงก็ดังออกจากตรงหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้นั้น
“รัชทายาท”
“ก็น่าจะรู้ว่าเป็นใคร หรือมีหนุ่มคนอื่นขึ้นมาทางหน้าต่างของเทพพิสุทธิ์ได้อีกนอกจากกระหม่อม”
“เข้ามาได้อย่างไง ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ท่านเหยียบมาที่นี่จนกว่าจะออกศึก ไม่กลัวอาญา.....” ยังไม่ทันที่พิสุทธิ์จะพูดจบ ชายหนุ่มตรงหน้าผู้ที่ปีนเข้ามาจากหน้าต่าง ก็ก้าวคร่อมขึ้นมาเหนือร่างพิสุทธิ์ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียง ความไวของทั้งสององค์แทบไม่ต่างกัน ทันทีที่รู้ว่ารัชทายาทเข้ามาประชิดตัว ข้อศอกของพระองค์ก็ตั้งรับในทันที แต่รัชทายาทก็ไวใช่ที่ ข้อศอกที่เห็นถูกจับเอาไว้ตรงข้อมือ ก่อนจะพลิกข้อมือที่เล็กกว่าไพ่ไปด้านหลัง แต่มืออีกข้างของเทพพิสุทธิ์ก็ยังว่างอยู่ นิ้วที่ทำท่าจะดีดและข้อมือหักออกมา เป็นลักษณะของการใช้เวทย์ป้องกันตัว ที่รัชทายาทเห็นจนคุ้นชิน และรู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเทพพิสุทธิ์จะทำอะไร ความไวกว่ารอบที่สองจึงเกิดขึ้น มือของรัชทายาทข้างที่ว่างจับข้อมือนั้นก่อนที่เวทย์จะสัมฤทธิ์ผล พาลไพ่ไปด้านหลังด้วยกันทั้งคู่ ข้อมือของรัชทายาทแกร่งกว่ามากนัก ทำให้จับข้อมือทั้งสองของพิสุทธิ์ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างสบาย ถึงแม้เทพพิสุทธิ์จะใช้พลังเวทย์โดยการใช้มือเป็นตัวนำให้พลังนั้นออกมา แต่ปากของพระองค์ก็ยังสามารถท่องมนต์คาถาได้ แม้จะถูกพันธนาการไม่ให้มือขยับไปไหน แต่ปากของพระองค์ก็เปล่งตรัสขึ้นมาเบาๆ แต่ท่องไปได้เพียงสองคำเท่านั้น........
มืออีกข้างที่ว่างของรัชทายาท ก็ปิดโอษฐ์ของพิสุทธิ์เอาไว้ได้ทันท่วงที
“อย่าคิด รัตติ จำไม่ได้หรือว่าเรื่องการต่อสู้แบบประชิดตัว พี่เก่งกว่าเยอะ” รัชทายาทยิ้มให้บุคคลที่อยู่ในอาณัติที่ขยับหนีไปไหนไม่ได้แล้วตอนนี้ แต่ถ้าจะให้อยู่ในอาณัติชั่วคราว ก็คงต้องทำให้หนักกว่านี้อีกซักหน่อย ไม่อย่างนั้น ถ้าเทพพิสุทธิ์หลุดออกไปได้ คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต้องเป็นพระองค์อย่างแน่นอน
มือขององค์รัชทายาทดันปากของเทพพิสุทธิ์ให้ห่างขึ้นไปอีกจนเผยให้เห็นลำคอยาวสะอาดตาตัดกับลูกกกระเดือกสีขาวนั้นอย่างชัดเจน พลันองค์รัชทายาทก็ก้มหน้าลงไปตรงซอกคอที่อยู่ติดกับหัวไหล่ ลึกลงไปใต้ชายเสื้อนั้น พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งอันใดที่น่ารังเกียจกับองค์รัชทายาท แต่หากเป็นสิ่งที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ...... ทันทีที่ก้มลงไป เสียงดังอึกอักในลำคอแต่ตรัสออกมาไม่ได้ของเทพพิสุทธิ์พร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว แต่หากถูกร่างกายด้านบนนั้นทับเอาไว้จนขยับตัวไปไหนไม่ได้ รัชทายาทก้มอยู่นานจนรู้สึกได้ถึงรสชาติที่คุ้นเคย และคงจะเป็นคนเดียวเท่านั้นเพราะพระองค์ไม่เคยทำกับคนอื่นใดเลย ........ โลหิตของเทพพิสุทธิ์ สีฟ้าสะอาดตา ทำไมหวานยิ่งนัก
“เรียบร้อย ....” พูดจบก็ปล่อยมือ นี่แหละคือการชนะเพียงชั่วครู่ที่มีต่อเทพพิสุทธิ์ ทันที่เป็นอิสระมือข้างหนึ่งของพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้าไปด้านหัวเตียงบรรทมของอีกด้านทันที มีดสั้นที่พระองค์เก็บเอาไว้เป็นประจำถูกดึงออกมาจากฝัก ความไวของเทพพิสุทธิ์ก็ใช่ที่ เพราะทันทีที่มีดอยู่ในมือ บัดนี้มันถูกวางทาบเอาไว้พอดีกับลำคอขององค์รัชทายาท
“อย่าได้ทำเช่นนี้อีก นี่แหละกระหม่อมถึงได้ฝึกวิชาป้องกันตัวเอาไว้เหมือนกัน ถ้าคิดจะทำกระหม่อมให้ไม่มีเวทย์เพียงชั่วครู่ ก็อย่าคิดว่าชนะเสมอไป”
“จะฆ่าพี่หรอ”
“ถ้าจำเป็น กระหม่อมก็ทำ นี่ในวิหารบรรพชน แล้วถ้าเกิดในสนามศึกเล่า พระองค์ทำกับกระหม่อมแบบนี้ ไม่คิดหรือว่าเมฆาพยัคจะย่อยยับแค่ไหน”
“พี่ผิดมากหรอ” ทำไมน้ำเสียงดูอ่อนลง
“ผิด”
“งั้นก็ฆ่าซิ่”
“................” รัชทายาทเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง มีบางสิ่งผิดปกติไป
“ดื่มสุรามาหรือ”
“อือ”
“เป็นอะไร ดื่มทำไม พรุ่งนี้จะเดินทางแล้ว ทำไมทำองค์เช่นนี้”
“อยากเจอรัตติ”
“เฮอะ..... เกือบ 7 ปี ไม่เคยจะมาหากระหม่อม พอเมาถึงจะมา แล้วก็มาทำอะไรเหมือนคนบ้า ดีกระหม่อมไม่ฆ่าทิ้งตั้งแต่ตรงหน้าต่าง”
“วันนี้ไม่ทะเลาะกันได้ไหม”
“กระหม่อมไม่เคยอยากจะทะเลาะด้วย พระองค์เริ่มต้นก่อนทั้งหมด”
“ขอโทษ”
“................”
“คงเมาจริงๆ” เทพพิสุทธิ์คิดในใจ แต่ทั้งความคิดในใจ และก็พูดออกมามันคืออย่างเดียวกัน ก่อนจะตรัสถามคนตรงหน้าต่อ บัดนี้ มีดในมือถูกเอาเก็บเข้ามาในฝักเรียบร้อยแล้ว
“ทรงเป็นอะไร ทำไมถึงดื่มสุรา”
“เป็นรัชทายาท” อีกฝ่ายนอกจากจะเมาและอ้อนแล้ว ยังยียวนซะด้วย
“กลับไปเลยไป”
“อย่าเพิ่งไล่ซิ่ ตอนนี้ลงหน้าต่างไม่ไหวแล้วมึนหัวไปหมด ถ้าตกลงไปตายแน่”
“ก็ดูตอบกระหม่อมเข้า”
“เจ็บไหมเมื่อกี้ ที่พี่กัด”
“ไม่เจ็บ แผลแค่นี้ เกิดเป็นบุรุษไม่ควรเจ็บกับแผลที่เหมือนโดนหมากัด”
“อ้าว......”
“ถามอีกครั้งทำไมถึงดื่มสุรา ตอบดีๆ ด้วย”
“ก็....”
“ก็อะไร” อีกฝ่ายซัก
“ก็นี่ก็ไม่เมา แต่ที่ดื่ม จะได้กล้ามาหารัตติไง กลัวว่าไปทำศึกแล้ว คุยกันไม่ได้มาก จะเสียดาย
โอกาส พรุ่งนี้เราสองคนก็ต้องออกไปรบแล้ว วันนี้ไม่ทะเลาะกันได้ไหม”
“................... ไปเดินเล่นอุทยานด้านหลังไหม” ครั้งนี้เทพพิสุทธิ์เป็นฝ่ายชวนเสียเอง
อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเหมือนเด็กๆ ทำให้อีกฝ่ายที่มองเห็นอดอมยิ้มไม่ได้ นี่หรือองค์รัชทายาท คงเป็นเขาคนเดียวนี่แหละที่ได้เห็นการกระทำของผู้ที่จะเป็นกษัตริย์แห่งเมฆาพยัคในเบื้องหน้า
“จะเดินไปไหน เดินออกไปทางประตู พวกทหารได้ตกใจกันหมด กระหม่อมสั่งไปแล้วว่าไม่ให้พระองค์เข้ามา ขืนพวกนั้นเห็นพระองค์เข้ามาคงโดนอโนทัยทำโทษแน่”
“เกลียดอโนทัย”
“เอ้า !!!! ไปเกลียดเขาทำไม เขาสง่างามกว่าพระองค์หรือ ถึงได้ไปเกลียดเขา”
“เฮอะ .....” เสียงนี้เลียนน้ำเสียงของเทพพิสุทธิ์เมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน
“จับมือกระหม่อม”
“มือนุ่มจัง”
“...........” สีหน้าของพิสุทธิ์ตอนนี้ ปะล่ำปะเหลือกกรอกตาขึ้นมองบน อย่างไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไป ถึงแม้จะอยู่ภายนอก ดูเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แต่ทั้งสององค์ก็คือเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งคู่ มือที่ประสานกันอยู่ชั่วครูปกติจะเกิดแสงสีฟ้าขึ้นมารอบตัว หากแต่บัดนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“ลืมไป พลังเวทย์ไม่มีระยะหนึ่ง” เทพพิสุทธิ์หันหน้าไปมองชายที่อยู่ตรงด้านข้างอีกครั้ง แต่ทั้งน้ำเสียง และสีหน้าแสดงความไม่พอพระทัยอย่างชัดเจน
“............” อีกฝ่ายได้แต่ก้มหน้า ยอมรับว่าตัวเองผิด แต่สีหน้าทำไมดูระรื่นนัก
“ไปทางหน้าต่างซิ่ เมื่อกี้พี่ก็มาทางหน้าต่าง”
“รัตติปีนไม่เป็น” เมื่ออีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่ อีกฝ่ายหนึ่งจึงใช้เรียกชื่อตัวเองเหมือนกัน เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
“เก่งก็ตั้งหลายอย่าง แต่ทำไมปีนหน้าต่างแค่นี้ปีนไม่เป็น เนี่ยหรอเทพพิสุทธิ์”
“ไหนใครบอกจะไม่ชวนทะเลาะ”
“............” รัชทายาทเงียบและก้มหน้าเหมือนเดิม ตอนนี้อะไรก็ได้ ขอให้ไม่ต้องทะเลาะกับอีกฝ่ายหนึ่งก็พอ
เทพพิสุทธิ์ไม่กล่าวอะไรต่อไป แต่ เดินออกไปทางผนังด้านข้างและลึกออกไปจนถึงซอกมุมหนึ่ง อันเป็นที่เก็บคัมภีร์ และหนังสือทั่วไปที่เอาไว้อ่าน ด้านข้างเป็นภาพผนังตั้งพื้นขนาดใหญ่ บุคคลในภาพคือเทพพิสุทธิ์เองที่เป็นองค์ปัจจุบัน มือข้างหนึ่งของพิสุทธิ์ดันออกเบาๆ ภาพผนังด้านนั้นก็เสเปิดออกไป จนเห็นทางเดินเป็นบันไดเดินลงไป แม้จะมืดแต่ก็ยังพอมีแสงให้เห็นได้
บุคคลที่เดินนำไปตรงหน้าจุดคบเพลิงแห้งที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะจุดไฟที่น้ำมันตะเกียงตรงปากประตู พร้อมกับเดินนำคนที่เป็นขี้เมาให้อยู่ด้านหลัง
“มีทางลับซะด้วย”
“หุบปาก !!! แล้วเดินตามมา” คนที่โดนดุ ก้มหน้างุดเดินตามไปอีกเหมือนเดิม แต่เดินไปได้ยังไม่ถึงห้าขั้น คบเพลิงที่ถืออยู่ก็ถูกแย่งออกไปโดยคนข้างหลังที่เดินแซงนำหน้ามา ถึงแม้จะมีแสงไฟแต่ก็ใช่ว่าจะสว่างมากนัก พอให้เห็นทางเดินได้แต่ก็อันตรายอยู่ดี ทางนี้เสมือนถูกปิดไม่ได้ใช้มานาน เพราะดูทั้งอับและทึบอย่างไรบอกไม่ถูก มือข้างหนึ่งที่ว่างขององค์รัชทายาท เอื้อมมาจับมืออีกข้างหนึ่งของเทพพิสุทธิ์ ถึงแม้จะเคยกล่าวกันเอาไว้ว่าอีกฝ่ายห้ามถูกเนื้อต้องตัวของเทพพิสุทธิ์เป็นเด็ดขาด แต่ครั้งนี้ก็ขอผ่อนผันให้ เหตุผลที่ยกมาง่ายๆ เพื่อให้ตัวเองดูไม่ผิดก็คืออีกฝ่ายหนึ่ง “เมา” แค่นั้นเอง
หนทางไปอีกไม่ไกลมากนัก เพียงผ่านไปชั่วครู่ ปลายทางก็เห็นแสงของพระจันทร์รำไรแล้ว ด้านหน้าถูกปิดไว้ด้วยตะแกรงเหล็กที่ขัดกันเอาไว้อย่างง่ายๆ รัชทายาทจับกระแทกมันออกไปเบาๆ
ภายในบรรยากาศหลังอุทยาน เป็นที่ประทับส่วนตัวขององค์พิสุทธิ์ไม่มีแม้ทหาร หรือใครมาเฝ้าอารักขา อุทยานด้านหลังนี้เป็นที่เฉพาะของเทพพิสุทธิ์เท่านั้น และคือหนึ่งใน 2 ที่ ที่ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาดแม้แต่องค์กษัตริย์ แห่งแรกคือสระเหมันต์ ส่วนแห่งที่สองก็คืออุทยานด้านหลังนี้นี่เอง เทียนทุกเล่มถูกจุดขึ้นมาจากเวทย์ที่เกิดขึ้นในพิสุทธิ์องค์แรกได้ทำเอาไว้ มันทำให้สว่างเพียงแค่ช่องทางเดินเท่านั้น แสงจากพระจันทร์ต่างหากที่ทำให้เห็นบรรยากาศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มองออกไปจนสุดลูกหูลูกตา สองข้างคือต้นฉำฉาขนากยักษ์ ขนาบไปสองข้างทางจนสุดขอบฟ้าบรรจบกัน
สถานที่สวยราวกับเทพนิยาย องค์รัชทายาทเคยมาที่นี่แล้วถึงสองครั้ง ไม่รวมกับครั้งนี้ที่เป็นครั้งทีสาม แต่ความงามอันน่าตื่นตาตื่นใจก็ยังมองได้อย่างไม่มีวันเบื่อ มือของทั้งสององค์ยังคงจับและเดินไปด้วยกัน ก่อนที่องค์รัชทายาทจะหันไปพูดกับเทพพิสุทธิ์
น้ำเสียงนั้นเบา แต่อบอุ่นยิ่งนัก
“สวยจัง”
ตอนที่ 7 สมมติพิสุทธิ์
“ทรงตรัสว่าอะไร” เทพพิสุทธิ์ แหงนมองขึ้นไปกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะได้ยินไม่ชัดนัก
“ป่าว” คนที่ถูกถามหันกลับมามองยิ้มๆ และยักไหล่ไปในทีท่าของคนที่กึ่งๆ มีสติ กึ่งๆ เมา
“พรุ่งนี้ออกเดินทาง กระหม่อมอยากให้พระองค์ มีพระวรกายที่พร้อมกว่านี้ ถ้าในยามศึก เมาแบบนี้ คงไม่ดีแน่”
“คำสั่งจากเทพพิสุทธิ์ หรือว่าเป็นคำขอร้องจากรัตติ” เป็นคำพูดที่มาพร้อมกับคำถามจากเจ้าของน้ำเสียงนั้น รัชทายาทหยุดเดินก่อนจะหันกลับมามอง ยิ้มที่มุมโอษฐ์ขึ้นเพียงนิดก่อนจะก้าวพระบาทออกไปต่อ
“ถ้าบอกว่าคำสั่งจากเทพพิสุทธิ์ล่ะ” เทพพิสุทธิ์ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้หันกลับมามองคนที่ถามอยู่ด้านข้าง
“กระหม่อมก็พร้อมจะปฏิบัติตาม ถึงแม้จะไม่เต็มใจ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้า เมฆาพยัคอาจจะไม่เหลือพิสุทธิ์องค์ใดต่อไปเลยก็ได้” เทพพิสุทธิ์เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า เหมือนกำลังจะคิดอะไรบางสิ่งบางอย่าง บางสิ่งที่ไม่สามารถจะบอกใครได้
“ทำไมทรงตรัสเช่นนั้น มีอะไรไม่สบายพระทัยหรือเปล่าเทพพิสุทธิ์” เป็นรอบหลายปีเหลือเกิน ที่น้ำเสียงแห่งความห่วงใยนี้ที่เทพพิสุทธิ์กลับได้ยินมันอีกครั้งหนึ่ง ความอบอุ่นจากน้ำเสียงนั้นมีพลังมากเพียงพอที่จะทำให้ลืมเรื่องราวอันเลวร้าย ทั้งระหว่างสองพระองค์นี้เอง หรือจากบุคคลรอบข้าง รวมไปถึงอนาคตกาลข้างหน้า เทพพิสุทธิ์กล่าวตอบกลับไป เสมือนเป็นคำขอบคุณที่คนข้างๆ มอบให้
“คืนนี้ เวลานี้ ขอให้มีเพียงอรุณย์พยัค และรัตติเท่านั้นได้ไหม ไม่มีเทพพิสุทธิ์ และไม่มีองค์รัชทายาทใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงเวลานี้”
“รับพระบัญชา” อีกฝ่ายก้มทำความเคารพให้แบบแกล้งยั่ว ก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปจับมือของอีกฝ่าย และพาเดินไปเรื่อยๆ
หากใครเดินตามไปด้านหลัง คงเห็นชายหนุ่มสองคน ถึงแม้จะมีรูปร่างที่ต่างกัน แต่การเดินท่วงท่าที่สง่างามของทั้งคู่นั้นก็เป็นภาพที่ตราตรึงยิ่งนัก ภาพแห่งความทรงจำเมื่อวัยเด็กกลับมาอีกครั้งในความรู้สึกของรัตติ และอรุณพยัค เมื่อครั้งทั้งสองพระองค์พระยศยังคงเท่ากัน ความเงียบสงบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ถึงแม้จะเดินผ่านพื้นหญ้าที่ประโปรยไปด้วยน้ำค้างในช่วงกลางดึกเช่นนี้ แต่ความอบอุ่นในจิตใจนั้นมีมากเหลือเกิน
“รัตติ” รัชทายาทเป็นคนเริ่มต้นชวนพูดอีกครั้งหนึ่ง
“หืม”
“คิดถึงพี่ไหม”
“ตลอดระยะเวลา 7 ปี พี่ทำตัวห่างเหินจากรัตติเอง รัตติไปหาพี่ก็ไล่ รู้ไหมว่าบางทีที่พี่หลับไปแล้ว รัตติยังเคยไปยืนมองเลย และก็คิดเสมอว่าจะมาเล่นหรือคุยได้เหมือนเก่าไหม พี่เปลี่ยนไปตั้งแต่รัตติได้ขึ้นเป็นพิสุทธิ์ พี่ไม่รู้หรอก ตั้งแต่ไม่มีเสด็จย่า รัตติก็เหงาเหมือนกัน ไม่มีคนคุยอย่างแต่ก่อน ถามรัตติว่าคิดถึงไหมก็ต้องคิดถึงแน่นอน แต่ก็น้อยใจเป็นเหมือนกัน ตอนสู้กัน ก็เหมือนจะฆ่ารัตติทิ้งจริงๆ พี่ใจดำเกินไป” เหมือนความในใจของเทพพิสุทธิ์ที่ผ่านมาหลายปีมันเป็นคำพูดที่ผสมไปด้วยความน้อยใจจริงอย่างที่พูดออกไป จนอีกฝั่งได้ฟังยังรู้สึกสะอึก
“ขอโทษ”
“พอเมาถึงจะขอโทษ จากพระทัยจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้” อีกฝ่ายยังคงตัดพ้อไปเรื่อยๆ
“ทำอย่างไงถึงจะหายโกรธ”
“...........” ไม่มีเสียงตอบรับของอีกฝ่าย ไม่มีคำตอบ
“ทำอย่างไรรัตติถึงจะหายโกรธ” รัชทายาทมองมาที่อีกฝ่าย ก่อนที่จับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของคนที่อยู่ข้างหน้า ให้หันมามองตากันอีกครั้ง
“ก็เคยทำแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ตอนนี้รัตติยังไม่อยากเห็นหน้าพี่ชาย”
“นี่ไง ไม่เห็นแล้ว” มือทั้งสองจากคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดึงเทพพิสุทธิ์เข้ามากอด ตัวที่เล็กกว่า ทำให้ใบหน้าของอีกคนถูกซบอยู่กับหน้าอกกว้างนั้น ถูกต้องแล้ว เทพพิสุทธิ์กล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้เค้าไม่อยากเห็นหน้าคนที่ที่เค้ารักมากที่สุด และก็เป็นไปในทำนองนั้นจริงๆ รัชทายาทไม่ให้เทพพิสุทธิ์เห็นหน้าตามที่ได้กล่าวไว้ จึงกอดไว้ให้แน่นเสียเอง ...... ถูกต้อง ไม่เห็นหน้าก็จริงแต่ทำแบบนี้ถึงแม้จะไม่เห็นหน้า แต่มันยิ่งใกล้ชิดมากกว่าอีกไม่ใช่หรือ
“ขี้โกง” มีน้ำเสียงเล็ดรอดออกมาจากคนที่เอาหน้าซุกอยู่กับหน้าอกของอีกคน
“ขี้โกงตรงไหน รัตติไม่อยากเห็นหน้าพี่ พี่ก็ไม่ให้เห็นแล้วไง” รัชทายาทยิ้มพร้อมกับก้มลงไปที่ปอยผมสลวยสีดำขลับสะอาดตา ก่อนจะสูดลมหายใจเพื่อที่จะรับความหอมจากกลิ่นผมนั้น
“ในห้องพระคัมภียร์จากวิหารบรรพชนกล่าวไว้ว่า บุคคลใดที่ขึ้นมาจากสระเหมันต์ นอกจากเส้นผมจะเล็กบางดุจแพรไหมแล้ว ยังดำขลับและส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา พี่เชื่อแล้วจริงๆ” ยังไม่ทันจะพูดจบคนที่กอดอยู่ก็ผลักออกแทบจะทันที แต่อีกคนก็ยังรั้งเอาไว้อยู่ไม่ให้ไปไหน ทำให้เทพพิสุทธิ์ดิ้นไปมาอยู่อ้อมอกนั้นเอง
“นี่อ่านตำราจบไปกี่เล่มแล้ว และมีเล่มไหนบ้างที่พระองค์ไม่อ่าน กระหม่อมอยากทราบจริงๆ” คำถามนั้นมันมีความโมโหอผสมอยู่ด้วย ซึ่งรัชทายาทเองก็พอจะจับใจความได้ ทั้งน้ำเสียงและสรรพนามที่เปลี่ยนไป
“อย่าโกรธซิ่ ก็รัตติชวนพี่เข้าไปเองนี่นา หลังๆ มา พี่ก็เลยแอบเข้าไปได้ ถูกต้อง พี่รู้ตำราแทบจะทกเล่ม แต่พี่จะฆ่าคนที่พี่รักที่สุดได้ลงหรอ จริงไหม ถ้าให้เดา ตอนนี้คงไม่รู้อนาคตของพี่ซินะ”
รัชทายาทหยุดพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะจับให้เทพพิสุทธิ์หันมองหน้ากันอีกครั้ง น้ำเสียงที่พูดอีกครั้ง มันทั้งหนักแน่นและชัดเจนยิ่งนัก
“ถึงแม้เทพพิสุทธิ์องค์นี้ จะไม่รู้อนาคตของรัชทายาท ว่าที่กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค แต่ว่าที่กษัตริย์พระองค์นี้ ก็ขอสาบาน ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ว่าจะปกป้องบ้านเมือง และที่สำคัญ จะปกป้องเทพพิสุทธิ์พระองค์นี้ตลอดไป ถึงแม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม...... รัตติได้โปรดเชื่อพี่เถิดนะ”
“แต่รัตติก็ผิดคำสัญญากับพี่ชายครั้งหนึ่งแล้ว” เทพพิสุทธิ์ยังคงไม่มองหน้า และเสมองไปทางอื่นเสีย ดวงตาทั้งสองข้าง ปราศจากน้ำตา แต่น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเหลือเกิน
“วันใดที่พี่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ วันนั้นพี่จะทวงคำสัญญาที่รัตติเคยให้พี่ก็แล้วกัน”
“แล้วถ้ารัตติยังคงทำไม่ได้อีก...... จะทำอย่างไร” ไม่มีน้ำเสียงตอบกลับมาจากคนที่ถูกถาม รัชทายาทปล่อยมือออกจากไหล่ทั้งสองข้างของเทพพิสุทธิ์ แล้วเอื้อมลงไปกุมมือแทน พาเดินออกไปจากตรงนั้นเรื่อยๆ
“อนาคตคือเรื่องของวันข้างหน้า แต่ตอนนี้มีเพียงแค่อรุณย์พยัค กับรัตติเท่านั้นไม่ใช่หรือ” จริงอย่างที่รัชทายาทพูด หนทาง ณ ตอนนี้ มีเพียงแค่สององค์เท่านั้น ถึงแม้อนาคตข้างหน้าเทพพิสุทธิ์จะรู้มากเพียงไร แต่ก็ยังเป็นเรื่องของอนาคตอยู่ดี
“อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง”
“จะขี่คอพี่หรอ”
“จะไปเล่นน้ำ ตรงหลังตำหนักตะวันตกต่างหาก”
“ถ้ากลับมาจากทำศึกกับโยนลนคร จะพาไป” ดวงหน้าของเทพพิสุทธิ์หมองลงไปทันที ที่ได้ยินคำว่าสงคราม ถูกแล้ว ถึงแม้ศึกครั้งนี้อนาคตที่พิสุทธิ์เห็นจะชนะก็ตาม แต่การเสียเลือดเนื้อของทั้งสองอาณาจักรย่อมมีแน่นอน แม้จะได้เปรียบ ที่รู้อนาคตมองเห็นทุกสิ่งอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่งปรากฏขึ้นมา ใครบางคน คนแก่คนนั้น นุ่งห่มคล้ายฤๅษีนอกรีต วิชาเวทย์ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับเขาเองก็ตาม แต่ก็น่าวิตกอยู่ไม่น้อย
“กลับเถิด องค์รัชทายาท นี่ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พระองค์จะต้องตื่นแต่เช้า”
“รัตติรู้ไหม ว่าหนทางเส้นทางนี้ ที่เค้าบอกว่าจะไปพบกับบรรพชนของทั้งสองเรา หนทางมันยาวแค่ไหน” คนที่ถูกถามกลับถามกลับ และไม่ตอบในสิ่งที่เทพพิสุทธิ์ได้ถามไว้
เทพพิสุทธิ์ไม่ตอบ แต่ผายมือออกไปทางด้านหน้า พร้อมกับ กระดกข้อมือขึ้น พลันนิ้วทั้งห้านั้นก็ชี้ขึ้นบนฟ้า ก่อนจะมีเส้นแสงสีฟ้าออกจากฝ่ามือ พุ่งลำแสงนั้นไปยังถนนที่ทอดยาวจนสุดสายตา หาปลายทางไม่เจอ
“เวทย์กลับมาแล้วหรือ” องค์รัชทายาทลืมเวลาไปเสียสนิท เพราะนี่มันชั่วยามกว่าแล้ว และตอนนี้หากจะทำแบบเดิมคงไม่ทันแน่
ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรต่อ นิ้วชี้อีกข้าง ก็ตระหวัดขึ้น พร้อมกับคำพูดเบาๆ ที่อยู่ในโอษฐ์ของเทพพิสุทธิ์ เพียงสองสามคำเท่านั้น มือข้างหนึ่งของรัชทายาท ก็ถูกพาดออกมาข้างหน้า พร้อมกับมืออีกข้าง ถูกแนบชิดกันทันที และความไวนั้นก็ไวเหลือเกิน เพียงแค่ข้อมือสองข้างขององค์รัชทายาทถูกให้แนบชิดกัน เชือกปริศนาสีขาวเส้นหนึ่ง ก็มัดข้อมือทั้งสองนั้น ถึงแม้จะไม่แน่นจนเจ็บ แต่ดึงเท่าไหร่ก็คงดึงไม่ออก
“เชือกเวทย์!!! ”
“ถูกต้อง มันคือเชือกเวทย์ ถ้ายังไม่กลับ ก็ได้ แต่คงต้องให้พี่ชาย เดินแบบนี้ไปตลอด และอย่าหวังจะได้เข้ามาใกล้รัตติแม้เพียงนิด รู้ว่ามือใช้การไมได้ เพราะถูกมัดไว้ แต่ปากของพี่ชาย รัตติก็ยังไม่อยากจะปิดมันตอนนี้หรอก หรือถ้าไม่เชื่อ จะลองดูก็ได้นะ”
“ขี้โกง รังแกคนไม่มีทางสู้นี่นา”
“ก็ใครเริ่มก่อน รัตติอยู่เฉยๆ แท้ อยู่ดีๆ ก็มากัดกัน”
“แก้มัดเถอะรัตติ พี่ไม่ทำอะไรแล้ว สัญญานะ ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ” เสียงคนเมาตอนนี้ ทั้งเมาและอ้อน แต่ไม่มีความน่าสงสารเอาซะเลย คนตัวใหญ่ๆ อ้อนคนตัวเล็กๆ มันดูกึ่งๆ แปลกๆ ในสายตาคนรอบข้างเหมือนกัน ดีนะ ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ เพราะถือได้ว่าเป็นที่ส่วนพระองค์เท่านั้น
“เดินไป ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกน่า” พิสุทธิ์กล่าวขึ้นมายิ้มๆ ก่อนจะจับให้องค์รัชทายาทเดินตาม
“เดินต่อก็ได้ แต่ขอจับมือด้วยได้ไหม” องค์รัชทายาทยังคงต่อรอง
“ไม่ได้”
“เฮ้อ !!! ไม่น่าเล๊ยยย ใครจะคิดนะ ว่าเทพพิสุทธิ์ที่ทุกคนคิดว่าจิตใจดีงาม เปี่ยมด้วยพระเมตตา มีคุณธรรมสูง จะรังแกคนอื่นได้ง่ายดายแบบนี้”
“จะพูดต่อ หรือจะให้รัตติปิดปาก” เทพพิสุทธิ์ยังคงขู่ต่อ แต่คำขู่นั้นมาพร้อมกับลักษณะที่พร้อมจะทำจริงเสมอ
“ขู่ได้ขู่ไป จริงๆ เลย คนอะไรใจดำชะมัด” ถึงแม้องค์รัชทายาทจะยังคงตัดพ้อต่อ แต่มือสองข้างที่ถูกมัดไว้นั้น ก็แอบทำอะไรขยุกขยิก ขยับเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตาจากเจ้าของเชือกเส้นนั้น
“อย่าคิดจะตัดเชือกเส้นนี้ออก รัตติรู้ว่าพี่ชายกำลังจะทำอะไร นี่แหละรัตติถึงไม้ไว้ใจ ต่อให้มีมีดนับพันเล่ม ก็ตัดเชือกนี้ออกไม่ได้ เพราะมันคือเชือกเวทย์ของพิสุทธิ์ มีเพียงกฤชของเสด็จพ่อเท่านั้น ที่เสด็จย่าประทานให้ไว้ที่จะตัดมันออกได้”
เทพพิสุทธิ์ยังคงยิ้มอย่างผู้ถือสิทธิ์ในการชนะครั้งนี้ ก่อนจะเดินนำออกไป ทิ้งให้คนข้างหลัง ทำหน้าขมวดยุ่งเหยิงอยู่อย่างนั้น
เทพพิสุทธิ์ยังเดินข้างหน้าไปเรื่อยๆ ปล่อยให้คนที่ถูกมัดข้อมือเดินตามไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ความเงียบปราศจากเสียงที่พูดออกมาทั้งสองคน ยังคงไปอีกซักพัก ช่วงเวลาในการเดิน และเส้นทางที่เดินมานั้นมันไกลมากแล้วจากวิหารบรรพชน แต่หนทางนั้นก็ยังไม่จบสิ้นง่ายๆ จนเมื่อใครคนใดคนหนึ่งทำลายความเงียบ และเอื้อมมือไปจับคนข้างหน้านั้นแหละ เทพพิสุทธิ์ถึงสงสัยอีกครั้ง
“เอ๊ะ !!!!”
มีดเล่มหนึ่งมีลักษณะหยักและโค้ง สีเงินใสวาววับเมื่อยามต้องกับแสงจันทร์ ความยาวของมันประมาณข้อศอกของคนคนหนึ่ง ปลายด้ามเป็นสีทองสกาว ประดับไปด้วยมุกและอัญมณีหลากสีสวยงามจนหาที่เปรียบมิได้
บัดนี้มือของชายคนที่ถูกเชือกเวทย์มัดเอาไว้ เป็นอิสระแล้ว มือข้างหนึ่งยังคงจับมือของเทพพิสุทธิ์ไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือกฤชชูขึ้นให้ดู
“เสด็จพ่อให้พี่ไว้ เมื่อบ่ายนี้เอง บอกว่าเอาไว้ป้องกันตัวยามศึกสงคราม”
“...........” ไม่มีคำตอบใดทั้งสิ้นจากเทพพิสุทธิ์ แต่ปากที่ขยับเพียงนิดทำให้รัชทายาทรู้ทันทีเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“รัตติ พี่สัญญาจริงๆ พี่ไม่ทำอะไรแล้ว อย่าใช้เวทย์มนต์กับพี่เลยนะ เดี๋ยวรัตติจะเหนื่อยด้วย พี่สัญญาจริงๆ” ไม่พูดเปล่า แต่รัชทายาทยังโผเข้าไปกอดเทพพิสุทธิ์อีกด้วย ไม่มีการล่วงเกินไปมากกว่านี้ รัชทายาทเพียงกอดไว้นิ่งๆ เท่านั้น
“กลับกันเถอะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ทั้งพี่ชายทั้งรัตติด้วย” เป็นไปตามคำขอร้อง เทพพิสุทธิ์ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์อันใดต่อรัชทายาท เพราะพระองค์ก็เหนื่อยมากเช่นกัน การใช้เวทย์มนต์แต่ละครั้ง ถึงแม้จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับพิสุทธิ์องค์ก่อนๆ ที่มีอายุนับร้อยๆ ปี
“ยังไม่อยากลับ”
“รัตติหนาว”
“ถ้าหนาว พี่ก็กอดไว้ไง”
“จะกอดทั้งคืนเลยหรือไง”
“ให้กอดป่าวล่ะ”
“..............”
ทั้งสองคนยังคงกอดกันอยู่เช่นนั้น แสงจันทร์ที่ส่องกระทบมาแทบจะเป็นร่างเดียวกัน เส้นทางนั้นสวยงามเหลือเกิน แม้จะเป็นยามค่ำคืน ต้นฉำฉาใหญ่สองข้าง ยังคงมีให้เห็นเป็นริ้วแถวไปจนสุดสายตา ลมบนยอดเขาบัดนี้พัดปลิวไปมาอย่างช้าๆ ไม่แรงมาก เสียงนกกลางคืน ยังคงร้องอย่างไพเราะ อันจับไม่ได้ว่าต้นเสียงนั้นอยู่ตรงไหน
พลันแสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยรอบของทั้งสององค์ ก่อนที่ ณ ตรงนั้นจะกลายเป็นที่ว่างเปล่าอีกครั้ง ไม่มีใครเหลืออยู่ซักคน
ในห้องบรรทมกว้างบนยอดวิหารบรรพชน บัดนี้สองคนที่อยู่ในสวนตรงนั้น ได้มาปรากฏกายที่นี่แทนแล้วด้วยเวทย์ของเทพพิสุทธิ์ เปลี่ยนสถานที่ แต่ไม่เปลี่ยนกริยาท่าทาง รัชทายาทยังคงกอดอย่างไร ก็ยังกอดอยู่อย่างนั้น บัดนี้คนที่กอดอยู่รู้แล้วว่าตัวเองได้ถูกดึงตัวมาที่ห้องนอนของเทพพิสุทธิ์แล้ว แต่ก็ยังไม่คลายอ้อมกอดนั้น
“ปล่อยเถอะ ไปนอนได้แล้ว”
“........” รัชทายาทไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ส่ายหน้าไปมาแทนคำพูด
“ถ้าไม่ปล่อย แล้วจะไปนอนได้อย่างไง”
“อยากกอดรัตติเรื่อยๆ”
“ก็ไปนอนกอดบนเตียงก็ได้” คนพูดคือเทพพิสุทธิ์ แต่พูดเสร็จก็หน้าแดงเสียเอง จริงอยู่ที่รัชทายาทเอง หรือเทพพิสุทธิ์เอง ก็เคยต่างที่จะไปนอนในห้องของใครคนหนึ่งออกจะบ่อย แต่นั้นคือเมื่อครั้งที่อีกคนหนึ่งคือรัชทายาทแห่งเมฆาพยัค ส่วนอีกคนหนึ่งคือรัชทายาทเทพ แต่หากครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในฐานะรัชทายาทกับเทพพิสุทธิ์
“นอนได้หรอ” รัชทายาทถาม แต่ก็ยิ้มไปด้วยที่อีกฝ่ายชักชวนเช่นนี้
“ก็นอนได้ อย่าให้เสด็จพ่อรู้ก็แล้วกัน”
ความรู้สึกที่แสนมีความสุขกลับมาอีกครั้งของทั้งสองคน ความบาดหมางที่เกิดจากคำผิดสัญญา ถูกลืม และลางเลือนไปชั่วคราว แต่ในใจของเทพพิสุทธิ์นั้นก็อยากให้เป็นตลอดไป เขายังจำได้ครั้งแรกที่เข้ามาสู่วิหารบรรพชน นอกจากเสด็จย่าแล้ว เพื่อนในวัยเด็ก ก็มีเพียงแค่องค์รัชทายาทนี้เท่านั้น ถึงแม้จะเล่นกับอโนทัยบ้างแต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้ เมื่อครั้งที่สามคนยังเป็นเด็กกันอยู่นั้น อโนทัยทหารองค์รักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารบรรพชนนี่แหละ ที่เป็นคนคอยแกล้งเทพพิสุทธิ์ตลอด แต่ก็ได้รัชทายาทอีกเช่นกันที่คอยช่วยเหลือ หลายครั้งที่เด็กสองคนในอดีต ที่เป็นเพื่อนกัน จะมีเรื่องมีราวตลอด จนบางครั้งเลือดตกยางออกก็มี แต่ทั้งเสด็จย่า และเสด็จพ่อเองก็ไม่เคยถือเอาเป็นเรื่องราวเพราะว่า ทั้งหมดนั้นคือเด็ก
เทพพิสุทธิ์ยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าแหงนมองขึ้นไปที่องค์รัชทายาทที่บัดนี้ยังนอนกอดอยู่ ลมหายใจเข้าออก จนสงบนิ่ง หมายถึงคงหลับสนิทไปแล้ว กลิ่นสุราอ่อนๆ ยังคงเข้ามาแตะจมูก ถึงแม้จะไม่รุนแรงนักแต่ก็พอจับความรู้สึกนั้นได้ เรียวคางที่บัดนี้เริ่มมีหนวดเคราขึ้นบ้างแล้วอ่อนๆ จากเด็กน้อยหน้าใส่เกลี้ยงเกลา เริ่มเป็นหนุ่มขึ้นอย่างเต็มตัว เทพพิสุทธิ์จุมพิตไปที่คางนั้น ก่อนจะซุกเข้าไปในอกอันอบอุ่นของคนที่สวมกอดไว้
นิทรานี้มีความสุขเหลือเกิน
...............................................
เช้านี้ที่อรุณพยัคนั้น ด้านล่างคลาคล่ำไปด้วยเหล่าทหารที่ถูกคัดเลือกและคัดสรรมาแล้วอย่างดี ยามเช้าที่ตื่นมา เทพพิสสุทธิ์ไม่เห็นองค์รัชทายาทแล้ว และนี่เขาก็สายมากแล้วด้วย เพียงครู่เดียวเทพพิสุทธิ์ก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องบรรทม
คนที่เจอคนแรกก็คือองค์รักษ์พิเศษของเขานั้นเอง อโนทัยในยามนี้ ดูเข้มแข็งและสง่างามไม่แพ้ชายใดในอรุณพยัคเลยทีเดียว เคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเอาสองคนนี้มาเทียบกัน ระหว่างรัชทายาท กับอโนทัย ใครจะสง่างามกว่ากันนะ
“อโนทัย วันนี้เจ้าดูดีขึ้นมากเลยนะ” เป็นคำทักทายแรกที่เทพพิสุทธิ์กล่าวออกไปกับทหารเอกคู่ใจ แต่ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของโนทัยกลับไม่สดใสเหมือนคนที่ทักไปเลย
“เมื่อคืนรัชทายาทอยู่ทีนี่หรือกระหม่อม” คำถามที่ถามออกมา ทำให้เทพพิสุทธิ์ ทั้งตกใจและแปลกใจเช่นกัน ทำไมอโนทัยถึงรู้ได้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เมื่อเช้าตอนที่กระหม่อมารอพระองค์ รัชทายาทเปิดประตูบรรทมออกมาทางนี้ ก่อนจะกลับเข้าไปแบบเดิม แล้วทรงบอกกับกระหม่อมว่า ลืมไป ทางที่จริงต้องไปทางหน้าต่าง”
เห็นชัดเลยว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน รัชทายาทไม่มีทางลืม ผ่านมากี่ปี ตั้งแต่เด็กจนโต รัชทายาทแทบไม่เคยออกมาทางประตูนี้เลยซักครั้ง มีแต่เข้าและออกทางหน้าต่างของห้องตลอด นี่มันแกล้งกันชัดๆ แกล้งเพื่อให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้ทรงนอนที่นี่ และให้อโนทัยรู้
เทพพิสุทธิ์มองหน้าองค์รักษ์ผู้หล่อเหลา โดยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องบอกอะไรบางอย่าง
“มีใครรู้บ้างนอกจากอโนทัย”
“มีกระหม่อมคนเดียว ที่อยู่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่”
“อย่าบอกเสด็จพ่อล่ะ”
“............”
“อย่าบอกเสด็จพ่อ” เทพพิสุทธิ์กล่าวย้ำอีกครั้ง
“กระหม่อม”
“ลงไปกันเถอะ ป่านนี้เสด็จพ่อรอแล้ว”
“ฝ่าบาท ทรงอยู่ที่ห้องปฐม ทรงอยากให้พระองค์พบกับสมมติพิสุทธิ์ อีกทั้งสามคน ทรงกำชับว่า ถ้าพระองค์ทรงตื่นบรรทมแล้วให้นำไปทันที โดยไม่มีใครติดตามไปด้วยนอกจากกระหม่อม”
“อืม.. ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เพียงแค่เทพพิสุทธิ์กล่าวจบ อโนทัยก็ทำความเคารพ พร้อมกับเดินนำหน้าไป ตลอดระยะเวลาการเดินทาง เหมือนมีบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้อโนทัยเปลี่ยนไป และ ความรู้สึกนั้นเทพพิสุทธิ์ก็รับรู้ได้
......... ขอโทษด้วยอโนทัย เราไม่ได้รักเจ้าเลย และต้องขอโทษจริงๆ ที่หัวใจดวงนี้ของเรามอบให้คนอื่นไปเสียแล้ว.........
ภายในห้องปฐม ณ บัดนี้ ปรากกฎเด็กหนุ่มที่ดูแล้วอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเทพิสุทธิ์เอง ทั้งดวงหน้า ถึงแม้จะไม่ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่รูปร่างนั้นแทบไม่ต่างกันเลย เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกตกแต่งอยู่บนร่างกาย ไม่ต่างอะไรกับเทพพิสุทธิ์แม้เพียงนิด หากจะมีและคนภายนอกแทบจะสังเกตไม่เห็น ก็คือ ธำมรงค์วงหนึ่งที่ถูกสวมไว้ในนิ้วชี้ของเทพพิสุทธิ์องค์จริงเท่านั้น
ณ ที่แห่งนั้น นอกจากสมมติพิสุทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว ยังมีทั้งเหล่าเสนาอำมาตย์ รัชทายาท รวมไปถึงกษัติย์แห่งเมฆาพยัคด้วย เทพพิสุทธิ์เดินเข้ามาถึงตรงกลางโถงห้อง พร้อมกับรับทำความเคารพจากทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น
“เสด็จพ่อ” ทั้งเทพพิสุทธิ์และกษัตริย์วารัญต่างทำความเคารพซึ่งกันและกัน ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่พูดอะไร แต่เทพพิสุทธิ์ก็รับรู้ได้ทันทีว่า ที่มาเป็นอย่างไร ถูกต้องแล้ว เทพพิสุทธิ์ผู้แทบจะไม่เคยออกไปไหนจากวิหารบรรพชน จะมีเพียงกององค์รักษ์ เหล่าเสนาอำมาตย์ชั้นสูง และเหล่าพระบรมวงศ์เพียงบางองค์เท่านั้นที่รู้ว่าเทพพิสุทธิ์องค์จริงคือองค์ไหน เมื่อเข้ามารวมกลุ่มกันเป็นทั้งสี่คนเช่นนี้
การที่ทำให้มีสมมติพิสุทธิ์ขึ้นมาอีกสามองค์ ก็เพื่อไม่ให้รู้ว่าพิสุทธิ์องค์จริงนั้นคือองค์ใดกันแน่ ในยามออกไปศึกสงคราม ในตำราของหอบรรพชนนั้น ได้มีบัญญัติไว้แน่นอน และการคัดเลือกสมมติพิสุทธิ์นั้น นอกจากจะเอาโครงหน้า รูปร่าง และวัยที่ใกล้เคียง คล้ายกันแล้ว ยังต้องดูที่สติปัญญา ไหวพริบ และความซื่อสัตย์เป็นหลักอีกด้วย การคัดสมมติพิสุทธิ์จะเป็นหน้าที่ของพิสุทธิ์องค์เก่าที่จะคัดเลือกเอาไว้ตั้งแต่วันที่พิสุทธิ์องค์จริง เหยียบเข้ามาอยู่ในวิหารบรรพชน แต่ทั้งสี่คน จะไม่มีวันได้เจอกันเด็ดขาด จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม และนี่เป็นครั้งแรก ที่เทพพิสุทธิ์องค์จริง ได้เจอกับสมมติพิสุทธิ์อีกทั้งสามคน
“เทพพิสุทธิ์และสมมติพิสุทธิ์ทั้งหมด จะอยู่รวมกัน เว้นเสียแต่ตอนบรรทม ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติอย่างเดียวกันทั้งหมด คำพูด การให้เกียรติ บัดนี้ท่านทั้งสี่คน คือเทพพิสุทธิ์ มีแต่เพียงเราที่อยู่ในห้องปฐมนี้เท่านั้นที่จะรู้ว่าองค์ไหนคือองค์จริง นับจากนี้ต่อไป ขอให้ท่านทั้งสาม ประพฤติและปฏิบัติให้เหมือนเป็นเทพพิสุทธิ์องค์จริงด้วย เพื่อความปลอดภัยของเทพพิสุทธิ์ และไม่ให้ใครคนอื่นจับได้” รัชทายาทกล่าวขึ้นพร้อมกับทำความเคารพหลังจากที่เทพพิสุทธิ์ ยืนอยู่ท่ามกลางสมมติพิสุทธิ์ทั้งสาม
ทำไมถึงมีความห่างเหินอีกแล้ว ซึ่งเทพพิสุทธิ์เองก็จับความรู้สึกนั้นได้ดี การคุยสัพเพเหระยังมีเกิดขึ้นอีกชั่วครู่ใหญ่ๆ เทพพิสุทธิ์ทำความรู้จักกับทั้งสามคนผู้ซึ่งเพิ่งจะเจอกันเพียงครั้งแรก แต่รัชทายาทบัดนี้ คงจะเดินออกไปตรวจตราด้านภายนอกแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่เห็นอยู่ในห้องโถงพระปฐมชั่วครู่แล้วเหมือนกัน
ฤกษ์ยามที่จะออกศึก ยังแหลือเวลาอีกนาน เทพพิสุทธิ์ยังเดินออกมาเรื่อยๆ บัดนี้ทหารหลายคนคงจะงงกันซักหน่อย เพราะพิสุทธิ์ที่เดินออกมา มีถึงสี่องค์ด้วยกัน ทหารชั้นปลายแถว และทหารทั่วไปก็ยังคงไม่ทราบว่าองค์จริงคือองค์ไหน องค์ไหนเดินผ่านไปทางไหน ก็ทำความเคารพไปทั้งสี่องค์ เป็นที่แปลกตาเป็นยิ่งนัก
ชายผู้ยืนหันหลังให้ที่เทพพิสุทธิ์เห็น กำลังออกคำสั่งกับทหารกลุ่มหนึ่ง คงจะคุยถึงเรื่องทัพเป็นแน่ เทพพิสุทธิ์ปล่อยยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป จนรัชทายาทเงียบและไม่ออกคำสั่งอะไรอีกทั้งสิ้น ถึงได้เดินเข้าไปหา
“พี่ชาย” ไม่เพียงแต่พูดเปล่า แต่เทพพิสุทธิ์ยังคว้ามืออีกข้างหนึ่งตรงปลายนิ้วมือขององค์รัชทายาท โดยไม่กล้าที่จะจับไปเต็มๆ
คนที่ถูกจับมือ ไม่ได้หันกลับมาอย่างทันท่วงที เว้นไว้อีกซักพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมาและทำความเคารพให้กับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า
“เทพพิสุทธิ์”
“.............” คำพูดที่เปลี่ยนไป สรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้เทพพิสุทธิ์รู้ได้ถึงอะไรบางอย่างก่อนที่จะถามไป
“เมื่อคืนที่ทำดีกับกระหม่อม คุยเหมือนเดิม เป็นเพราะสุราใช่ไหม”
“ใช่....” คำตอบนั้นชัดเจนยิ่งนักจากปากของรัชทายาท เทพพิสุทธิ์ไม่กล่าวอะไรต่อไปอีก เพราะแม้กระทั่งน้ำลายยังกลืนลงไปได้ยากแหลือเกิน แต่รัชทายาทไม่ได้หยุดกล่าวเพียงแค่นั้น เพราะคำที่สองนี้มันก็บาดความรู้สึกแทบไม่แพ้กัน
“กระหม่อมขออภัย เมื่อคืนกระหม่อมเมา และพระองค์ก็เคยบอก ไม่ให้กระหม่อมแตะต้องตัวพระองค์ เพราะฉะนั้น ปล่อยมือกระหม่อมเถอะ”
..................................