สารบัญ
ช่องว่างหมายเลข 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1459250#msg1459250)
ช่องว่างหมายเลข 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1461035#msg1461035)
ช่องว่างหมายเลข 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1462921#msg1462921)
ช่องว่างหมายเลข 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1470648#msg1470648)
ช่องว่างหมายเลข 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1471837#msg1471837)
ช่องว่างหมายเลข 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1473913#msg1473913)
ช่องว่างหมายเลข 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1475589#msg1475589)
ช่องว่างหมายเลข 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1476593#msg1476593)
ช่องว่างหมายเลข 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1480552#msg1480552)
ช่องว่างหมายเลข 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1483914#msg1483914)
ช่องว่างหมายเลข 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1486902#msg1486902)
ช่องว่างหมายเลข 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1488470#msg1488470)
ช่องว่างหมายเลข 13 Part I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1493442#msg1493442)
ช่องว่างหมายเลข 13 Part II (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1493750#msg1493750)
ช่องว่างหมายเลข 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1495494#msg1495494)
ช่องว่างหมายเลข 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1497294#msg1497294)
ช่องว่างหมายเลข 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1505782#msg1505782)
ช่องว่างหมายเลข 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1508194#msg1508194)
ช่องว่างหมายเลข 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1510964#msg1510964)
ช่องว่างหมายเลข 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1515174#msg1515174)
ช่องว่างหมายเลข 20 Part I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1516483#msg1516483)
ช่องว่างหมายเลข 20 Part II (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1520199#msg1520199)
ช่องว่างหมายเลข 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1534183#msg1534183)
ช่องว่างหมายเลข 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1538773#msg1538773)
ช่องว่างหมายเลข 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1577032#msg1577032)
ช่องว่างหมายเลข 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1580289#msg1580289)
ช่องว่างหมายเลข 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1589817#msg1589817)
ช่องว่างหมายเลข 26 [The End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1615024#msg1615024)
ช่องว่างตอนพิเศษ[The End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25142.msg1616308#msg1616308)
ผลงานเรื่องอื่นๆนะคะ
[เรื่องสั้น] Your Better Half (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16108.0)
[เรื่องสั้น]Bitter Sweet รักนี้หวานปนขม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19935.0)
[เรื่องยาว]:: เมื่อหนุ่มซึนมาหลงรัก :: (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20286.0)
[เรื่องสั้น]หนึ่งเดียวคนนี้ที่แตกต่าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=23888.msg1404556#msg1404556)
อ่านแล้วอย่าเครียดนะค้า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอค่า o13
เย็นนี้เจอกันค่ะ คาดว่าเรื่องคงจะยาวยืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ขอให้ทุกคนทำใจร่มๆไว่ก่อนนะคะ เผื่ออ่านตอนเย็นแล้วเกิดอารมณ์อยากเอาเมาส์ฟาดหัวบี 555+
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม อยากให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของฟี่ด้วยนะคะ เพราะบีเชื่อว่าคนเราก็มีความคิดเห็นต่างกันไป
บางทีเรื่องที่เราเห็นเป็นทางขวา ก็อาจจะมีคนคิดทางซ้ายก็ได้ ใครจะไปรู้ เนอะ ^^
Part II
(**หมายเหตุ ตัวละครในสถานที่นี้เป็นตัวละครสมมตินะคะ)
“ล็อกบ้านเรียบร้อยแล้วนะฟี่” ณัฐหันมาถามผม ผมพยักหน้าแล้วตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านเป็นรอบที่สาม ประตูหน้าต่างล็อกเรียบร้อยแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ของณัฐจอดคู่กับคันของผมอยู่ตรงที่จอดรถโดยมีโซ่คล้องไว้อีกชั้น ผมคล้องกุญแจประตูบ้านแล้วล็อกอย่างแน่นหนา
เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางตอนหกโมงครึ่ง ณัฐขับมอเตอร์ไซค์มาจอดที่บ้านผมตอนตีห้าแล้วโทรปลุกผมอยู่สิบห้านาทีกว่าผมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พอผมตื่นก็จัดหามื้อเช้าให้ณัฐกินระหว่างรอผมอาบน้ำ พอหกโมงครึ่งเราก็ออกจากบ้านเพื่อไปขึ้น
รถตู้ไปแหลมบาลีฮายเพื่อข้ามไปเกาะล้านอีกที
หลังจากวันนั้นที่เรามีความคิดว่าจะไปเที่ยวกันผมก็มาหาข้อมูลที่พักแล้วจองเสร็จสรรพ ทริปแบบด่วนจี๋ช่างน่าตื่นเต้น เพราะเราสองคนจะได้ลุ้นกันว่าที่พักจะเป็นยังไง ทะเลจะสวยไหม เราสองคนไม่เคยไปเกาะล้านกันทั้งคู่ จึงยิ่งน่าลุ้นเข้าไปใหญ่
พอได้ขึ้นรถตู้เราสองคนก็หลับไปตามระเบียบ หัวผมพิงอยู่ที่ไหล่ของณัฐ ผมหลับยาวไปจนถึงตัวเมืองพัทยาแล้วสะดุ้งตื่น มองไปข้างทางเริ่มเห็นทะเล แสงแดดเจิดจ้าเหมาะแก่การมาเที่ยวทะเล ณัฐหันมามองผมแล้วยิ้ม ทำไมเขาชอบยิ้มนักนะ... ใจผมมันสั่นรู้ไหม...
“ฟี่พิงไหล่ณัฐซะนานเลย เมื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เมื่อยหรอก ถ้าเมื่อยจริงๆก็ให้ฟี่นวดให้ ได้มั้ย?” ผมก้มหน้า สถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนเกินไปแล้วนะ...มันเหมือนแฟนกันเกินไปแล้ว..
นั่งรถตู้กันอีกพักหนึ่งก็ถึงท่าเรือแหลมบาลีฮาย เราทันขึ้นเรือตอนสิบโมงพอดี เรือที่นำผู้โดยสารไปส่งที่เกาะล้านเป็นเรือลำใหญ่ที่โคลงเคลงไปตามแรงคลื่น ตอนเดินขึ้นไปผมแอบหวาดเสียวนิดๆ แต่มือของณัฐที่กุมมือผมไว้แน่นนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เรือใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะ น้ำทะเลสีฟ้าใสเห็นถึงข้างใต้ ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเพราะอยากจะเล่นน้ำ ณัฐเองก็ดูอารมณ์ดีไม่แพ้กัน
พอไปถึงท่าเรือหน้าบ้านก็มีรถของรีสอร์ทมารับ เจ้าของรีสอร์ทเป็นคนขับรถมารับเอง เขาดูยังอายุน้อยแถมยังอัธยาศัยดีจนผมพูดคุยได้อย่างออกรส ระหว่างที่ไปเช็คอินเขาก็แนะนำร้านอาหารและหารถมอเตอร์ไซค์ให้หนึ่งคัน เพราะว่าที่เกาะล้านนักท่องเที่ยวมักจะใช้มอเตอร์ไซค์ในการเดินทางไปหาดต่างๆครับ ผมกับณัฐซื้อของสดมาจากบนชายผั่งเพื่อจะทำอาหารทะเลกินกันเอง แล้วที่รีสอร์ทมีเตาปิ้งย่างไว้ให้บริการด้วย โชคดีชะมัด
“ฟี่ เอาของไปเก็บก่อนเถอะ แล้วค่อยไปเล่นน้ำ” ณัฐบอกผมที่กำลังคุยกับเจ้าของรีสอร์ทอย่างเพลิดเพลิน อ้อ! ผมลืมบอกไป เจ้าของรีสอร์ทชื่อคุณแซนด์ครับ คุณแซนด์มองหน้าผมกับณัฐสลับกันแล้วก็เลยถามขึ้นมา
“คุณสองคนเป็นแฟนกันเหรอครับ?” ผมจุกเลยครับ เขินชิบเป๋ง แต่ก็รีบบอกปัดไปว่าไม่ใช่
“อ้าว ยังงั้นเหรอครับ ถึงว่าถ้าเป็นแฟนกันทำไมจองห้องเตียงคู่ ฮ่าๆ” คุณแซนด์ยิ้มกว้าง ผมเองก็ยิ้มตอบไป ใจหนึ่งผมก็อยากจะบอกครับว่าเป็นแฟนกัน แต่มันไม่ใช่นี่นะ.. เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมต้องทำใจรับเรื่องนี้ให้ได้ เพราะณัฐเองก็มักจะแนะนำกับคนอื่นว่าผมเป็นเพื่อน แต่วันนี้ผมไม่อยากได้ยินจากปากณัฐครับ ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมจึงชิงตอบเสียเอง ผมขอเจ็บเพราะปากผมเองดีกว่าครับ...
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณฟี่หิ้วกระเป๋าไปนะครับ” คุณแซนด์เอื้อมมือมาจะช่วยผมยกกระเป๋า พอจะบอกว่าไม่เป็นไร ก็มีคนที่ไวกว่าผมครับ
“ไม่ต้อง ผมหิ้วให้ ‘เพื่อน’ เองได้ครับ” ณัฐคว้ากระเป๋าไปจากมือผมแล้วใช้อีกมือที่ว่างคว้ามือผมไว้
“ขอตัวก่อนนะครับคุณแซนด์” ณัฐพยักหน้าให้คุณแซนด์แล้วลากผมไปที่ห้อง ผมเองก็เหวอไปกับท่าทีของณัฐจนไม่ทันได้สังเกตสายตาของคุณแซนด์ที่มองตามมา
“โห ห้องน่ารักเป็นบ้า” ผมอุทานด้วยความตื่นเต้น ก็ห้องนี้น่ะเป็นห้องแบบยกพื้นที่ยื่นไปตรงทะเล ห้องที่ใช้ไม้ในการสร้างให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านต่างจังหวัดเลย
“เตียงเดี่ยวสองเตียง?” ผมหันไปตามเสียงที่พูดขึ้นมา ณัฐยืนมองเตียงทั้งสองนิ่ง ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วสายตาสงสัยว่าณัฐไม่พอใจอะไรหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก” พอผมถามณัฐก็แค่ส่ายหัวแล้วยิ้มกลับมา ณัฐเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ตรงมุมห้อง ผมเองก็รื้อกระเป๋าตัวเองออกมาและหยิบเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเข้าตู้ พอจัดของๆตัวเองเสร็จผมก็หันไปหาณัฐ
“ให้ฟี่จัดของให้มั้ย”
“ไม่เป็นไร”
“เอาเถอะ ยังไงฟี่ก็ทำของตัวเองเสร็จแล้ว” ผมลากกระเป๋าณัฐมาแล้วลงมือเอาเสื้อผ้ามาแขวน เสื้อผ้ามีกลิ่นของณัฐทุกตัว ผมเหลือบไปเห็นณัฐกำลังตั้งใจมองวิวนอกหน้าต่าง ผมเลย...
แอบดมกลิ่นเสื้อของณัฐครับ...มันหอมเป็นบ้า...ฮ้า...กลิ่นของณัฐ
“ทำอะไรน่ะฟี่..” เสียงทุ้มนุ้มข้างหุทำผมสะดุ้งเฮือก ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับตอนนี้ มันเหมือนเด็กแอบกินขนมแล้วโดนคุณครูจับได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะอายดี จะตกใจดี หรือจะกังวลดี
“ณัฐถามว่าฟี่ทำอะไรครับ” โฮ....... คราวนี้ไอ้ฟี่ตายแน่ครับ ณัฐจะทำหน้ายังไง ณัฐต้องโกรธ ณัฐต้องรังเกียจผมแน่เลย
“อ๋อ.. เอ่อ...คือกลิ่นมันหอมดี ฟี่เลยสงสัยว่าณัฐใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรน่ะ” ผมตอบโดยไม่หันไปมองณัฐ
“เหรอ... ถ้าอยากรู้ก็ถามณัฐก็ได้นี่ จะไปดมทำไม”
“....” ผมอึ้งเลย พูดไม่ออก จะให้เหตุผลว่าอะไรดีวะเนี่ย จะบอกว่าผมจมูกเทพ แค่ดมก็แยกแยะยี่ห้อได้งั้นเหรอ คนนะ ไม่ใช่หมา หรือจะบอกไปตามตรงว่าผมอยากดมกลิ่นณัฐ? สงสัยแบบนั้นคงได้กลับบ้านแน่
“ฟี่จะไปดมเสื้อทำไม ณัฐอยู่นี่ทั้งคน... มาดมที่ตัวณัฐไม่ดีกว่าเหรอ” !?! หา??? อะไรนะ ผมฟังผิดเหรอ?
“!?!” พอผมจะหันไปถามณัฐก็สะดุ้งเฮือกเพราะณัฐอยู่ใกล้ผมมากทีเดียว ใกล้ขนาดที่ว่าพอผมหันไปปากเราสองคนก็เกือบแตะกันน่ะครับ
“มานี่มา” ณัฐพูดแค่นั้นแล้วตัวผมก็ลอยเลยครับ ลอยหวือขึ้นมาเพราะถูกอุ้ม ใช่เลย ผมถูกอุ้มเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมเหลือบมองแขนของณัฐที่มีกล้ามขึ้นเพราะใช้แรง คางของณัฐที่มีไรหนวดจางๆ ณัฐดูสมเป็นผู้ชายขนาดนี้เลย มันจะดีแค่ไหนกันถ้าเขากอดผมไว้ด้วยมือที่แข็งแรงทั้งสองข้างนั้น...
“ณัฐ ทำอะไรน่ะ!” แต่ผมก็ต้องหยุดความคิดอกุศลไว้แค่นั้นเมื่อณัฐโยนผมลงบนฟูก ต้องใช้คำว่าฟูกครับ เพราะว่าผมเลือกจองห้องที่ไม่มีเตียง ผมไม่ชอบนอนเตียงเท่าไรเพราะผมนอนดิ้น กลัวว่าจะตกเตียงเอาน่ะครับ
“อยากกอด”
“กอดได้ไหม”
สงสัยว่าณัฐยังกลัวผมอึ้งไม่พอ พ่อเจ้าประคุณเลยถามซ้ำอีกรอบ รูปการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากครับ เราสองคนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่ม ผมอยู่ด้านล่าง มีณัฐคล่อมอยู่ด้านบน เพื่อนกันเขาไม่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใช่ไหมครับ!!!
“เอ่อ.. ถ้าอยากกอดก็บอกดีๆ ไม่เป็นต้องลากมาบนที่นอนแบบนี้เลย” พระเจ้า ผมพูดอะไรออกไปวะครับ!
“ณัฐอยากนอนกอดนี่ ไม่ได้เหรอ” แล้วณัฐก็ทำหน้าเศร้า ผมเองกำลังสงสัยว่าตัวเองจะโดนเด็กใช้ใบหน้าหล่อๆมาล่อลวงให้ติดกับหรือเปล่า ไอ้ใจของผมมันก็ง่ายครับ หวั่นไหวอ่อนยวบไปหมดแล้ว
“ได้สิ...” พอผมบอก ณัฐก็ล้มตัวลงมานอนข้างๆแล้วกอดผมไว้แน่น ผมรับรู้ว่าจมูกของณัฐสูดดมกลิ่นจากตัวผม แขนแข็งแรงของณัฐกอดรัดผมแน่นขึ้นๆ จนสุดท้ายผมก็ยกแขนโอบณัฐไปพร้อมกัน...ผมใจง่ายว่ะ... แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าใครก็คงอยากทำตามที่ใจเรียกร้อง...
“ฟี่...” ณัฐถามผมเสียงเบา เรายังคงกอดกันอยู่อย่างนั้น หน้าผมซุกอยู่กับอกของเขา ผมจึงต้องผงกหัวขานรับแนบอกณัฐ
“หืม?”
“อย่าไปคุยกับไอ้เจ้าของรีสอร์ทมากนักนะ”
“หา? ทำไมล่ะ เขาก็ออกจะดูเฟรนด์ลี่” คุณแซนด์ใจดีนะครับ อุตส่าห์อาสาว่าจะให้เด็กที่รีสอร์ทปิ้งพวกอาหารทะเลที่ผมซื้อมาให้ระหว่างที่ผมไปเล่นน้ำ พอผมกลับมาจะได้กินพอดี
“ณัฐไม่ชอบที่มันมองฟี่” ผมขมวดคิ้ว ณัฐต้องการจะสื่ออะไรของณัฐ?
“อ้าว ก็คุยกันมันก็ต้องมองหน้าสิ ไม่มองหน้าจะให้มองก้นเหรอ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ บางทีณัฐก็ทำอะไรพิลึกๆดีนะครับ
“ก็ลองให้มันมองก้นฟี่ดูสิ!” ง่า...ผมพลาดครับ ณัฐไม่ขำตาม แถมยังขยับตัวมาคล่อมผมเหมือนตอนแรกแล้วแถมออพชั่นเสริมโดยการล็อกแขนสองข้างของผมไว้แน่น หน้าหล่อๆขมวดคิ้วทำหน้าบึ้ง
“ณัฐเป็นอะไรน่ะ ไม่พอใจอะไรก็บอกสิ?” ผมเริ่มสับสนว่าณัฐเป็นอะไรกันแน่ ร้อยวันพันปีณัฐไม่เคย...เอ่อ...งี่เง่าแบบนี้
“ณัฐไม่อยากให้คนอื่นมองฟี่นี่ ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่”
“ณัฐต้องการจะสื่ออะไร ฟี่ไม่เข้าใจ” ผมถามณัฐเสียงสั่น ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก ณัฐเองก็ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าเศร้า
“ณัฐหวงของณัฐนี่นา...ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย..”
“หวง?” ผมทวนคำถามอีกรอบ หวงที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า ‘Jealous’ งั้นเหรอครับ...
“ใช่”
“ณัฐหวงฟี่ทำไม...” เสียงผมมันสั่นแล้วครับ ผมกำลังจะร้องไห้... ณัฐทำให้หัวใจของผมเตลิดไปแบบกู่ไม่กลับแล้ว ณัฐแกล้งผมงั้นเหรอ? ต้องใช่แน่ๆ เพราะณัฐยิ่งชอบแกล้งผมอยู่ คงเห็นผมทำตัวไม่ถูกแล้วสนุกสินะ...
“...” นั่นไง ณัฐไม่ตอบครับ ณัฐเงียบ น้ำตาผมก็ไหล ณัฐแกล้งผม...
“ฟี่ ไม่เอานะ...ไม่ร้อง อย่าร้องไห้...” ณัฐใช้นิ้วป้ายน้ำตาให้ผม แต่ความเศร้าของผมมันก็มากจนผมกลั้นไม่ไหว มันเหมือนว่าผมกำลังขึ้นสวรรค์ กำลังจะบินโผล่พ้นจากเมฆขึ้นไปอยู่แล้วก็ถูกถีบกลับลงมา ณัฐเกลียดผมมากหรือไงนะถึงต้องแกล้งให้ผมดีใจแบบนี้...
“อ๊ะ...อย่า...” ผมดันหน้าณัฐออก จากที่ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มผม ณัฐก็เปลี่ยนมาจูบเบาๆ จูบที่ใช้ริมฝีปากแตะอย่างอ่อนโยน ถ้าเป็นปรกติผมคงจะหวั่นไหวไปกับสัมผัสนี้ที่ณัฐกำลังทำ แต่ตอนนี้ผมเสียใจ ผมถูกปั่นหัว ณัฐคงเห็นผมเป็นของเล่น ผมเบี่ยงตัวให้ออกมาจากอ้อมแขนของณัฐแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ยิ่งผมขืนตัวออกมาเท่าไร เขาก็ยิ่งรัดผมไว้แน่น
“ฟี่.. หยุดร้องเถอะนะ ณัฐขอโทษ” ผมส่ายหัว...ณัฐแกล้งผมเองแล้วจะมาขอโทษทำไมกัน...
“ณัฐขอโทษนะที่หวงฟี่... ขอโทษที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ...”
อะ
ไร
นะ
.
.
.
ผมฟังไม่ผิด? ณัฐไม่ได้ขอโทษที่แกล้งผม ณัฐขอโทษที่หวงผม เราเข้าใจกันคนละเรื่องงั้นเหรอ?
ณัฐไม่ได้แกล้งผม ผมแค่คิดไปเอง ที่จริงณัฐหวงผม ไม่อยากให้ผมคุยกับคุณแซนด์?
จะเป็นไรไหมถ้าผมจะขอบินขึ้นสวรรค์อีกรอบ...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล. ยิ่งเขียนยิ่งมันส์ 555+
ขอโทษจริงๆค่ะ T T
ช่วงนี้งานยุ่งมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงๆจะเอามาลงให้นะคะ :sad4:
“อื้อ! ณัฐ อย่าสิ เดี๋ยวก่อน” ผมพยายามดันเจ้าคนที่เริ่มนัวเนียผมมาตั้งแต่เข้ารั้วบ้านให้ออกไปห่าง แต่เขากลับกอดรัดผมแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“ฟี่...” ณัฐเรียกผมด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างหู ผมขาอ่อนยวบเมื่อเขางับที่ติ่งหูของผมเบาๆ ผมล็อกประตูบ้านอย่างเร็วก่อนที่ผมจะไม่มีแรงยืนมากไปกว่านี้
“ณัฐ...อะไรเนี่ย ใจเย็นๆสิ” ผมยกแขนเกาะที่บ่าของณัฐไว้ ปากผมก็ร้องห้ามแต่ว่าใจของผมคล้อยตามเขาไปครึ่งทางเสียแล้ว ก็ทั้งสัมผัสของณัฐและกลิ่นกายของเขาทำให้อารมณ์ของผมเตลิดได้เสมอเลย ยิ่งตอนนี้ณัฐรุกเร้าผมรุนแรงแบบนี้ผมก็ยิ่งชอบ...
“ฟี่เป็นของณัฐนะ...” หืม? หมายความว่ายังไง ทำไมเขาต้องทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ด้วยละ
”ณัฐเป็นอะไร ณัฐคิดมากเรื่องเม้งเหรอ” ผมลูบหัวเขาเบาๆ เราสองคนยังยืนพิงกันอยู่ตรงประตูบ้านเลยครับ ณัฐเอาหน้าซุกซอกคอผมและดันผมติดประตูบ้านไว้แน่น
“มันไม่เห็นจะจริงเลยนี่ฟี่...”
“อะไรไม่จริงครับ หืม?”
“ก็ที่เขาบอกว่าความรักมันจะต้องไม่ใช่การหึงหวง แต่มันไม่เห็นจะจริงเลย ก็ฟี่ดูสิ ณัฐหวงฟี่ขนาดนี้... ณัฐไม่อยากให้ใครมาใกล้ฟี่สักนิด ไม่อยากให้ใครมาพูดคุยกับฟี่ ไม่อยากให้ใครมามองฟี่ ณัฐหวงฟี่จนแทบบ้า”
ผมประหลาดใจกับเรื่องที่ณัฐเพิ่งพูดออกมาแบบสุดๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกแบบนี้ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าณัฐหึงหวงผมขนาดนี้ มันเทียบไม่ได้กับท่าทีภายนอกที่เขาแสดงออกมาเลย ผมไม่สมควรจะดีใจใช่ไหมที่ณัฐเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมดีใจสุดๆ ผมดีใจที่เขาหวงผมโคตรๆ
“ณัฐ...น่ารักจัง..” ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำนี้ จะให้ผมบอกเขาว่าอย่าห่วงหรือหวงผมเลยมันก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่อาจไปบังคับความรู้สึกใครได้นี่นะ ผมประคองแก้มของณัฐให้เขาหันมองผม แก้มของณัฐนิ่มและเด้งดึ๋ง(จริงๆนะครับ!)น่าจุ๊บเป็นที่สุด ผมหอมแก้มเขาเบาๆ เสียงณัฐร้อง ‘อื๊อ’ ในลำคอแบบที่เขาชอบทำเวลาจะอ้อนผม ผมกดจมูกหอมแก้มอีกข้างของณัฐแบบ ‘ลึกๆ’ กลิ่นหอมของผิวณัฐเป็นอะไรที่ผมคลั่งไคล้มาก
“อะไรอะฟี่...”
“ก็ณัฐน่ารักนี่”
“ณัฐงี่เง่าจะตาย” ณัฐพูดแล้วทำปากยื่น โฮกกกกก จะทำตัวน่ารักไปไหน ผมเลยจัดการจุ๊บที่ริมฝีปากยื่นๆนั่นเสียหนึ่งที เวลาณัฐทำตัวน่ารักแบบนี้ผมละใจอ่อนตลอดเลย
“ณัฐงี่เง่าก็เพราะความรู้สึกที่มีให้ฟี่นี่นา”
“ห้ามเบื่อณัฐนะ ถ้าณัฐงี่เง่ามากๆ งอแงมากๆ หวงฟี่มากๆก็ห้ามรำคาญณัฐนะ” ผมพยักหน้ารับ สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องที่น่ารำคาญสักนิด ผมคิดว่ามุมที่ณัฐงี่เง่าและงอแง มันคือด้านที่ผมได้รับอภิสิทธิ์ให้ได้เห็นเพียงคนเดียว มันเป็นสิทธิพิเศษของคนเป็นแฟนนี่นา...
“โอ๊ะ!” ผมเผลออุทานเมื่อณัฐออกแรงอุ้มผมพาดบ่าแล้วตรงไปที่โซฟา เขาวางผมลงอย่างเบามือและตามลงมานั่งกอดผมเอาไว้ ณัฐนัวเนียคลอเคลียผมไม่ยอมห่างเลยสักนิด
“ฟี่ตัวหอมจังนะ” ผมย่นคอเมื่อถูกริมฝีปากนุ่มจูบไปตามลำคอและหัวไหล่ นี่อย่าบอกนะว่าณัฐอยากจะออกกำลังกายก่อนกินข้าว!!!
Special: Nath’s scene
สวัสดีครับ ผมณัฐครับ
ใช่ครับ....ณัฐคนเดียวกับที่แฟนๆของฟี่บางคนคิดว่าผมไม่เหมาะสมกับฟี่เท่าไรนัก...
แต่ผมไม่โกรธหรอกครับ เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด การที่ผมจะเป็นที่ยอมรับได้ ก็คงต้องใช้เวลาฉันนั้น ผมรู้ตัวว่าผมอาจจะมีอดีตที่ไม่น่าพิสมัย และอนาคตของผมก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ผมไม่มีความเหมาะสมกับฟี่เลยสักนิด ฟี่มีทั้งหน้าที่การงาน มีบ้านของตัวเอง มีความสามารถซึ่งจะนำไปสู่อนาคตที่สดใส
ผมมีแค่ความรัก... ความรักที่มันกินไม่ได้ ความรักที่คงไม่ทำให้ฟี่มีความสุขไปได้ตลอด แต่ว่าผมก็รักเขาเข้าไปแล้ว ผมรักฟี่ ท๊อฟฟี่คนที่เมื่อผมเห็นครั้งแรกก็ไม่อาจละสายตาไปได้ มันไม่ใช่ความรู้สึกสเน่หาเหมือนเวลาที่ผู้ชายปิ๊งผู้หญิง ถึงแม้ว่าฟี่จะผิวใสหน้าตาน่ารักก็เถอะนะ ผมรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นผมคิดแต่เพียงว่าผมอยากทำให้คนยิ้มน้อยคนนี้เป็นคนที่ยิ้มได้มากๆ แค่นั้นเอง
และผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าจากความรู้สึกที่ผมแค่อยากทำให้เขายิ้ม มันกลายมาเป็น ‘ผมอยากเห็’
ตอนที่ผมลาออกจากที่ทำงานนั้น ผมก็กังวลเหมือนกันว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีก แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น หลังจากนั้นไม่นานฟี่ก็ออกจากงานเหมือนกัน ผมไปถามพวกพี่แก๊บ เขาก็บอกว่าฟี่ต้องไปฝึกงานและทำโปรเจคท์จบ นานๆครั้งที่เราจะได้เจอกันโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือ แค่นั้นผมก็ลิงโลดเหลือเกินแล้ว
วันนั้นที่ผมบังเอิญเจอฟี่ในเฟซบุ๊คก็เหมือนกัน ผมขอเป็นเพื่อนไปโดยไม่ลังเล พอได้คุย ได้แช็ท ผมก็รู้สึกเหมือนคืนวันเก่าๆคืนมาอีกครั้ง ผมอยากเจอฟี่มากขึ้นเรื่อยๆ อยากเห็นตัวจริง อยากพูดคุย อยากสัมผัส อยากฟังเสียงหัวเราะของฟี่ รู้ตัวอีกทีผมก็ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว และยิ่งเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกของฟี่ ผมก็ปฏิเสธไม่ออก ผมจึงบอกกับตัวเองว่าแทนที่ผมจะผลักไสให้ฟี่ไปกับคนอื่นที่ดีกว่าผม สู้ผมทำตัวให้ดีพอจะเคียงข้างฟี่ดีกว่าไหม?
ผมไม่อยากปล่อยฟี่ไป ผมไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นเด็ดขาด
เพราะอย่างนั้นผมจึงหึงหวงเหลือเกิน ผมแทบคลั่งกับริมฝีปากของฟี่ที่ช้ำเพราะฝีมือไอ้เวรนั่น ผมอยากจะซัดกับมันให้รู้เรื่องไปเลย แต่ฟี่ก็ขอร้องผมและผมก็เห็นแก่ฟี่ ยังไงมันก็เป็นเพื่อนรักของฟี่ แต่ปากของไอ้หมอนั่นมันก็ไม่น่ายกโทษให้ เพราะก่อนจะไปมันยังมีหน้ามาแช่งให้ผมเลิกกับฟี่อีกต่างหาก
ผมคงไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกหึงหวงไปได้หรอกครับ ผมเชื่อใจฟี่ที่สุด แต่ผมไม่เชื่อใจคนอื่น เพราะว่าฟี่เป็นคนที่น่ารัก พูดจาเพราะ แถมใจดีกับคนอื่น จึงไม่แปลกถ้าจะมีใครต่อใครมาหลงรักเขา ฟี่ไม่มีทางไปยุ่งกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่ไอ้คนอื่นที่มาชอบฟี่นี่สิ
ผมกลัวว่าสักวันหนึ่ง ถ้ามีคนที่ดีกว่าผมมาชอบฟี่ คนที่ให้ฟี่ได้ทุกอย่าง แล้วฟี่จะยังเลือกผมอยู่ไหม เพราะงั้นผมถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ฟี่เบื่อผม ผมรู้ว่าฟี่ชอบเวลาที่ผมเปลือยท่อนบน ผมก็จะใส่เสื้อติดตัวไว้ตลอดแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ชอบถอดเสื้อก็ตาม เพราะผมกลัวว่าถ้าฟี่เห็นบ่อยๆแล้วฟี่จะเบื่อผม หรือแม้กระทั่งคำว่า ‘รัก’ ที่ผมไม่อยากพูดออกมา เพราะผมกลัวว่าถ้าฟี่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงแล้ว เขาก็จะหมดความสนใจในตัวผม...
ผมเอาแต่คิดเรื่องของฟี่อยู่ตลอด คิด คิด คิด คิดอยากจะให้ฟี่มีความสุข คิดอยากจะให้ฟี่รักผมนานๆ คิดอยากจะให้ฟี่ยิ้มได้ อยากให้ฟี่กินข้าวเยอะๆ
ผมขอโทษนะครับที่ผมรักฟี่มากมายขนาดนี้...
และเพราะผมรักฟี่มาก ผมถึงไม่เคยเบื่อที่จะนัวเนียฟี่ หอมฟี่ ฟัดฟี่ และ...
“ณัฐ อย่าสิ ไม่เอา กินข้าวกันก่อนนะ” ผมทำเมินกับเสียงประท้วงของคนที่โดนผมกดไว้กับโซฟา ก็กลิ่นหอมเสียขนาดนี้ ผมหักห้ามใจไม่อยู่หรอกครับ พอได้ฟัดทีนึง มันก็ลามไปเรื่อย จนตอนนี้ผมถอดเสื้อเชิ้ตของฟี่ได้สำเร็จแล้ว
“อะ..อ๊ะ!” เสียงใสของฟี่ร้องเบาๆเมื่อถูกผมงับเข้าที่ยอดอกสีอ่อน ผมรู้ว่าฟี่ชอบให้ผมกัดแรงๆตามตัว แต่มันจะทำให้ผิวขาวเนียนของฟี่เป็นรอยช้ำเขียวเต็มไปหมด พอผมถอดเสื้อของฟี่ออกจนหมดไอ้รอยช้ำพวกนั้นก็ปรากฎเด่นชัดแก่สายตาผม ผมเองไม่อยากจะกัดฟี่เลยสักนิด แต่พอถึงเวลาจริงที่อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิง ผมก็คอยจะกัดเนื้อตัวของฟี่เพราะความหมั่นเขี้ยวเป็นประจำ
“ฮื้อ!” ผมมองร่างบางบิดกายเร่าเมื่อถูกผมลากลิ้นยาวไปตามสีข้างสลับกับการใช้ฟันขบเม้ม รอยแดงเกิดขึ้นตามเส้นทางที่ผมใช้ปากสัมผัสผิวกายของฟี่ ผมเลื่อนตัวขึ้นไปสบตากับคนด้านล่างและก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นสภาพของเขา
“หน้าแดงทำไมครับ หืม?” ผมถามด้วยเสียงยั่วเย้าข้างใบหูนุ่มนิ่ม นั่นยิ่งทำให้หน้าขาวแดงซ่านขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกได้จากการที่ทาบทับตัวฟี่แบบนี้ว่าหัวใจของฟี่กำลังเต้นระรัวมากขึ้น ยิ่งผมเห็นไอ้ตัวเล็กของผมสั่นมากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากแกล้งมากเท่านั้น
“ณัฐอะ...กินข้าว...” ผมกลั้นยิ้มเมื่อเห็นฟี่ยังยืนยันคำเดิม ทั้งที่เห็นอะไรต่อมิอะไร ทำอะไรต่อมิอะไรมาจนหมดแล้วฟี่ก็ยังอาย หากเป็นผู้หญิงบางคนผมจะคิดว่ามันเป็นมารยาของพวกเธอเสียด้วยซ้ำ แต่พอเป็นฟี่ ผมกลับคิดว่ามันน่ารักเหลือเกิน...
เปล่านะครับ ผมไมได้หลงฟี่จนหน้ามืดตามัว
ก็ฟี่น่ารักจริงๆนี่นา...
เพราะว่าฟี่น่ารัก ผมจึง ‘รัก’ ฟี่ไม่เคยพอสักที
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
อุ๊ยตายแล้ว ทำให้คนอ่านกิ๊บกิ้วได้แล้วววววววววววววววววว
รอตอนต่อไปนะคะo18
เขาบอกว่าเวลาที่คนเรามีความทุกข์ มักจะชอบหาที่พึ่งทางใจมาช่วยทำให้ใจสงบ คนที่นับถือศาสนาพุทธก็คงเลือกที่จะเข้าวัดทำบุญสินะ แต่ในเมื่อผมเป็นคริสต์ งั้นผมก็ต้องเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์เพื่อให้พระเจ้าช่วยชำระล้างจิตใจผมสิ
แต่มันไม่ได้ผลหรอก...ผมเคยลองมาแล้ว
ตอนที่ผมเลิกกับพี่ตังค์ใหม่ๆ ผมฟุ้งซ่าน จิตตก รู้สึกผิดบาปเป็นที่สุด การเข้าโบสถ์ไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจผมดีขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนกิเลสหนาเกินไปนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในที่สุดแล้วสิ่งที่ช่วยกอบกู้จิตใจผมได้ ก็คือระยะเวลา... ระยะเวลาที่ช่วยทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวจนคุณอาจจะสงสัยว่าผมอยากจะพูดอะไรกันแน่.. ให้คุณลองย้อนกลับไปอ่านข้างบนนะครับ ว่าผมพูดถึงอะไรไปบ้าง แต่หากคุณยังไม่เข้าใจ ผมก็จะอธิบายให้ฟัง
ผมพูดถึงเวลาที่ผมมีปัญหา ผมทุกข์ใจ ผมนอยด์(แดก)
และผมพูดถึงเรื่องในอดีต เรื่องของผมกับคนรักเก่าของผม...
ใช่ครับ วันนี้ผมกำลังเครียด เครียดเรื่องอดีต แต่ไม่ใช่อดีตของผมหรอก
แต่เป็นอดีตของณัฐ...
ผมกำลังสงสัยว่า ผมเองต้องใช้เวลาที่นานมากในการลืมความรักครั้งเก่า ถึงแม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายที่เลือกปล่อยมือแล้วเดินจากมาเอง ผมก็ยังคงนึกถึงมันอยู่ดี สงสัยคงเพราะผมเป็นคนเลือดกรุ๊ปโอ เขาว่ากันว่าคนเลือดกรุ๊ปโอมักจะชอบนึกถึงเรื่องในอดีต และด้วยสันดานของคนเป็นมนุษย์ ที่มักจะชอบคิดว่าถ้าตัวเองเป็นแบบนี้ คนอื่นก็จะต้องเป็นเหมือนตัวเองไปด้วย
ผมคิดว่าณัฐเคยนึกถึงเรื่องราวในอดีตไหม? ผมสงสัยว่าณัฐเคยติดต่อไปหาคนเก่าของเขาบ้างไหม? ผมอยากรู้ว่าณัฐเคยไปหาหรือไปเยี่ยมลูกเขาบ้างไหม?
ครับ... ผมยอมรับ...ตอนนี้ผมกำลังน้อยใจ...
น้อยใจกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อวาน...
....
...
..
.
.
“อะ...อื๊อ! ณัฐ เบาๆสิ..” ผมจิกเล็บลงที่ไหล่ของคนที่กำลังขยับร่างกายอยู่บนตัวผมตอนนี้ จังหวะการสอดประสานของเรารุนแรงและเร่งเร้าจนผมแทบจะทนไม่ไหวและต้องระบายอารมณ์ไปที่ร่างกายของณัฐ
“ฮื้อ!!” และณัฐก็แกล้งผมโดยการถอยออกห่างและกระแทกกลับมาจนสุด ผมกัดริมฝีปากแล้วจ้องณัฐเขม็ง ในใจแอบเคืองที่เขาคอยจะเอาแต่เป็นฝ่ายคุมเกมส์และกลั่นแกล้งผม พอผมจะขอเป็นฝ่ายทำให้เขาบ้างก็ไม่ค่อยจะยอม เพราะกลัวโดนผมเอาคืนน่ะสิ ไอ้คนบ้า!
“ฟี่ครับ..กอดณัฐหน่อย..” ผมยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แน่น ณัฐขอมาแบบนี้ผมก็ต้องทำให้สิ หยดเหงื่อจากแก้มณัฐแปะลงมาตรงปลายจมูกผม ผมชอบเวลาที่ณัฐอยู่ข้างบนจัง เพราะมันจะทำให้ผมเห็นร่างกายของเขาได้ชัดทุกส่วน ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ผมมีให้กับเขาว่ายังไงดี เพราะมันคงไม่มีคำไหนบอกความรู้สึกของผมได้หมดหรอก
ผมมักจะลมหายใจขาดห้วงเสมอเวลาที่เห็นณัฐ
และยิ่งหายใจไม่ค่อยออกเวลาที่เห็นณัฐเปลือยกายโชว์บอดี้ฟิตๆของเขา
แน่นอนว่าผมยิ่งแทบขาดใจไปเลยเมื่อบอดี้ที่ผมคลั่งไคล้นั้นกำลังนัวเนียกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับผมแบบตอนนี้!
“ณัฐ อื๊อ อะ...อ๊ะ!” ผมรู้สึกได้ถึงจังหวะการขยับที่เร็วและแรงมากขึ้นของณัฐ ข้างในของผมมันรู้สึกถึงสัมผัสของณัฐมากมายเหลือเกิน
TRrrr… TRrrr…
แม่ง....ใครโทรมาครับเนี่ย... โทรศัพท์ผมนี่หว่า แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวผมโทรกลับก็ได้
TRrrr… TRrrr…
มันยังไม่ยอมวาง!
TRrrr… TRrrr…
“รับก่อนไหมฟี่?” ณัฐหยุดการกระทำแล้วพักถามผม ผมจึงพยักหน้ารับและเตรียมคำด่าไอ้คนที่โทรมาไว้ในใจ ณัฐถอนกายออกจากตัวผมแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มาให้ ผมนอนมองก้นแน่นๆนั้นขยับไปมาตามจังหวะเดินอย่างเพลินใจแป๊บเดียวโทรศัพท์ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผมแล้ว
‘พี่ตังค์โทรมาทำไม??’ ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพอเห็นเบอร์โทรเข้า
“รับสิฟี่ ถามว่าเขาโทรมาทำไม” โอ้ว...เสียงเข้มเป็นกาแฟอเมริกาโน่เลยครับ ไม่ใส่น้ำตาลมาสักนิด
“งือ... ไม่อยากรับเลย” ผมลังเลจัง เขาไม่โทรมาหาผมหรอกถ้าไม่มีเรื่องจะรบกวน
“รับสาย แล้วบอกว่าอยู่กับแฟน ไม่ว่างคุย” ผมแอบอึ้งนิดนึง ณัฐเอาจริงเหรอ?
“....” ยังไงดีหว่า ถ้าทำอย่างที่ณัฐพูด มันก็จะโหดร้ายไปไหม? แต่ถ้าผมไม่รับเขาก็คงโทรมาอีก..
“จะรับไหมฟี่ ถ้าไม่รับ ณัฐจะรับเองนะ” พอณัฐว่างั้นผมก็เลยรีบรับสายเลยครับ ไอ้พี่ตังค์เฮงซวย ทำไมโทรมาตอนนี้วะ
“ครับ”
/ฟี่...ทำอะไรอยู่...กว่าจะรับสายได้../
“เอ่อ คือ...ฟี่อยู่กับแฟนครับ ไม่สะดวกคุย”
/อ้าว..ยังงั้นเหรอ..งั้น...พี่ขอโทษนะ...แค่นี้แหละ/
ครับ...แค่นั้นเอง แล้วเขาก็วางสายไป ผมว่างานนี้เขาคงไม่โทรมาอีกแล้วแหละครับ...ผมสงสารพี่เขาขึ้นมาแวบหนึ่งในใจ แต่แล้วก็สลัดความคิดเพ้อเจ้อนั่นออกไป เวลานี้ผมอยู่กับณัฐ จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาคิดถึงคนอื่น
“ฟี่...” ณัฐเรียกชื่อผมเบาๆแล้วขยับเข้ามากอดผม ผมชอบซุกหน้าไว้กับอกของณัฐแล้วดมกลิ่นของณัฐ จากนั้นเราสองคนก็ดำเนินเรื่องราวกันต่อจากตอนแรก และพอดึกหน่อยณัฐก็กลับบ้านไป...
แล้วผมก็อยู่คนเดียว...
ถามว่าทำไมณัฐต้องกลับบ้านเหรอครับ ทำไมณัฐไม่ค้างเหรอครับ...
ก็แม่ณัฐเขาอยู่คนเดียว พ่อณัฐเขาไปทำงานกะกลางคืน...ณัฐจึงต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาไง
ผมก็เลยต้องนอนคนเดียว
รู้ไหมครับว่าการที่ต้องนอนอยู่ท่ามกลางกลิ่นกายของคนรักที่หลงเหลืออยู่บนที่นอนนั้นมันช่างทรมาน ผมได้กลิ่นเขา ผมรู้สึกถึงไออุ่นของเขา แต่ผมไม่อาจสัมผัสเขาได้
ผมช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ ทั้งที่ผมเองก็ได้รับความรักจากเขามามากแล้ว แต่ผมก็ยังไม่พอ ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งณัฐให้อยู่กับผมไปตลอด... ก็ผมเหงานี่นะ...
เวลาที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีเขา ผมมักจะคิดฟุ้งซ่าน คิดโน่นนี่ไร้สาระ คิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจของผม บางครั้งผมก็พยายามที่จะไม่คิด แต่ด้วยนิสัยเดิมของผมที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรทำให้ผมห้ามความคิดไม่ได้ และสุดท้ายมันก็มาบั่นทอนจนจิตใจผมเจ็บปวด
ผมอยากจะรู้... ว่าเวลาที่ณัฐอยู่บ้าน หรือเวลาที่ไม่ได้อยู่กับผม...
เขาทำอะไร...
ณัฐได้รับรู้ในทุกเสี้ยวชีวิตของผม ได้รู้จักกับทุกคนในชีวิตผม แต่ผมไม่รู้ ไม่เคยได้รับรู้ชีวิตในเสี้ยวนั้นของเขา ไม่เคยไปบ้านเขา ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตในด้านนั้นของเขาเลยแม้สักครั้ง
ผมช่างต่างจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับรู้...
ผมคิดอิจฉาหล่อน ที่ได้เคยร่วมใช้ชีวิตกับเขา ได้ตื่นนอนพร้อมเขาทุกเช้า ได้เห็นหน้าเขาก่อนนอนทุกคืน...
แล้วคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน รู้จักกันมาตั้งนาน เขาจะติดต่อหากันไหม เขาจะคิดถึงกันไหม?
ณัฐจะโทรไปหาเขาเวลาลับหลังผมบ้างไหม?
แค่ผมคิดน้ำตาก็ไหลแล้วครับ ผมไม่ชอบร้องไห้เลย มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แต่ผมก็ห้ามน้ำตาไมได้ ผมกำลังเสียใจ เสียใจกับเรื่องที่ตัวเองนึกขึ้นมาเอง แล้วมันก็มาทำร้ายจิตใจผมเอง ผมรู้ว่าผมไม่เควรคิดเองเออเองโดยไม่ถามเขา
แต่คุณนึกออกไหม ตามนิสัยของณัฐ เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาคงไม่มีทางเมินเฉยไม่ใส่ใจเรื่องลูกของเขาได้หรอก ผมจึงเชื่อว่าเขาต้องติดต่อไปหากันบ้างอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือทำไมเขาไม่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างเลย ทั้งที่เขาบอกว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ผมฟัง แต่เขาไม่เคยพูดถึงมันเลย
ผมเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ในเรื่องมีคู่สามีภรรยาที่สมกันทุกด้าน ภรรยาแสนสวยและสามีรูปหล่อ ภรรยาทำทุกอย่างเพื่อให้สามีพึงพอใจและรักเธอมากๆ แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่รบกวนจิตใจของคนที่เป็นภรรยามาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ได้อยู่ร่วมกัน
มันคือเรื่องคนรักเก่าของสามี ผู้หญิงที่เป็นคนแรกของสามีเธอ และเป็นเซ็กส์ครั้งแรกของสามี...
ภรรยารู้ดีว่าสามีเลิกกับผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่เธอก็ยังครุ่นคิดเสมอ ว่าสามีของเธอเคยคิดถึงคนรักเก่าบ้างไหม และแล้วความกังวลของภรรยาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนรักเก่าของสามีย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองนี้ เมืองเดียวกันกับที่เธอและสามีอาศัยอยู่
ภรรยาเห็นคนรักเก่าของสามีแล้วก็นึกลำพองใจ ผู้หญิงคนนั้นสวยสู้เธอไม่ได้ มีดีสู้เธอไม่ได้ แต่ประสาผู้หญิงก็คิดมากไม่เปลี่ยน ถึงภรรยาจะสวยแค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เคยเป็นคนที่สามีเธอเคยคบมา และยิ่งตอนนี้สามีของเธอก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องคนรักเก่า นั่นยิ่งทำให้เธอกังวล เพราะเธอไม่รู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ในใจ...
ผมอ่านแล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าคนที่เป็นภรรยาจะคิดมากอะไรนักหนา คนเขาเลิกกันไปตั้งนานแล้วก็คงลืมกันไปบ้างแหละ ผมคิดแบบนั้นจนผมมาเจอกับตัวเองนี่แหละครับ ผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกของภรรยาแสนสวย แม้ว่าเธอจะมีดีทุกอย่าง เธอสวย เธอเป็นแม่ของลูกเขา เธอรักเขามาก แต่เธอก็ยังกังวลว่าสามีจะกลับไปหาคนรักเก่า
คนที่ไม่เคยเจอเองกับตัว จะไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ...
ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่ผมแค่หวงและหึง ผมแค่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะอยากเอาณัฐกลับไปเป็นของเธอ เหมือนกับที่ภรรยากลัวว่าคนรักเก่าจะมาทวงสามีของเธอไป
ผมคิด...คิดซ้ำไปซ้ำมา... คิดแล้วร้องไห้ ร้องไห้จนผมหมดแรงแล้วก็หลับไป...
นั่นแหละครับ...เรื่องเมื่อวาน เมฆฝนในใจผมมันตั้งเค้าทะมึนยาวนานมาจนวันนี้ แถมตอนเช้าพอผมมาทำงานก็เจอคนปากมอมเป็นคนแรกเลย
“ฟี่ หน้ามึง...โทรมมาก” ผมใช้หางตาเหล่มองคนที่ทักผมด้วยความหงุดหงิด มันไม่รู้บ้างหรือไงว่าเรื่องอะไรควรพูด เรื่องอะไรไม่ควรพูด
“ใครเขาจะเหมือนมึงละทัช หน้าเหียกมาทำงานได้ทุกวัน” ผมพูดไปงั้นแหละครับ ไอ้ทัชมันก็ไมได้ขี้เหร่อะไร แต่ไม่หล่อเท่าณัฐของผมแค่นั้นเอง หึหึ
“วาจาแรงมาก...เอางานมึงไป กูไม่กวนใจมึงละ” ไอ้ทัชวางเอกสารประกอบงานชิ้นใหม่ไว้ที่โต๊ะผมแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ผมหยิบเอกสารมาพลิกๆดูก็เห็นว่า ไม่ใช่งานเร่งอะไรนัก ผมเลยเลือกงานชิ้นที่ดูน่าสนใจมาทำก่อน
ผมรู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่ทัชมาสะกิดผมให้ไปกินข้าวเที่ยง ผมทำงานเพลินจนไม่ได้มองนาฬิกาอีกแล้ว
“ไปกินข้าวกัน ทำงานไม่รู้เวล่ำเวลานะมึงอะ” มันว่าผมอีกครับ
“จะกินอะไร” ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะกินอะไรดี ลองถามมันดู เผื่อว่าไอ้ทัชจะมีไอเดียดีๆ
“กูอยากกินตามสั่ง จะกินกะเพราไข่เยี่ยวม้า” มันพูดแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำของมัน
“เออ ความคิดดี งั้นกูเอาเหมือนมึงนะทัช” เราสองคนนั่งคุยโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนอาหารมาเสิร์ฟ พอผมจะตักข้าวเข้าปาก ไอ้ทัชก็ถามผมเสียงเรียบ
“มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฟี่”
“หือ?”
“กูรู้สึกนะ มึงเงียบๆ ชิ้นงานมึงก็ดูทึมๆ ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไรมึงไม่มีทางแสดงออกแบบนี้หรอก” ไอ้ทัชถามผมด้วยท่าทางที่เหมือนถามเรื่องดินฟ้าอากาศ มันถามเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ผมรู้ว่ามันก็อยากรู้ว่าผมเป็นอะไร
“...กูแค่คิดมากนิดหน่อย...”
“แล้วมึงคิดมากเรื่องเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“เรื่อง...ณัฐ..” ผมตอบแล้วทอดสายตาลงมองจานข้าว หวังว่าการนับเม็ดข้าวจะกลั้นไม่ให้น้ำตาผมหยดลงมาได้
“อืม...มึงเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มีอะไรไม่เข้าใจกันทำไมไม่คุยไม่บอก”
“...” ผมยังคงนิ่ง...วันนี้ไอ้ทัชดูพึ่งพาได้
“ขนาดเรื่องมึงกับไอ้เม้ง มึงยังไม่เล่าเลยนะ” ผมเงยหน้าสบตาไอ้ทัชด้วยความแปลกใจ นี่มันรู้?
“เม้งบอกเหรอ?”
“อืม มันมาเล่าให้กูฟัง กูก็ตกใจนิดนึงอะนะ แต่กูเข้าใจมัน ก็มึงน่ารักจะตาย เชื่อมั้ย แรกๆที่รู้จักกันกูไม่อยากจะคิดเลยนะว่ามึงเป็นผู้ชาย ดูหน้ามึงสิ หวานซะขนาดนี้”
“กูจะบอกณัฐ” ผมหรี่ตามองไอ้ทัชอย่างระแวง หวังว่ามันคงไม่คิดชั่วกับผม...
“เฮ้ยอย่า แฟนมึงขี้หึงสัด! และกูไม่ได้คิดอะไรกับเพศเดียวกันด้วยเว้ย ไม่ใช่แนวกู” ไอ้ทัชโบกมือห้ามเป็นพัลวันเลยครับ แล้วมันก็กำชับว่าห้ามบอกณัฐเรื่องที่มันชมว่าผมน่ารักอีกหลายรอบ
“มึงอย่าเก็บเรื่องไว้กับตัว มีอะไรก็ต้องถามต้องเล่าบ้าง มึงไม่ได้ตัวคนเดียวนะฟี่”
“อืม...” ผมซึ้งใจขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเพื่อนห่วงผมแค่ไหน แต่แล้วผมก็เปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของไอ้ทัช...
“ถ้าไม่มีมึง กูก็อู้งานไม่ได้ ถ้ามึงเครียดจนป่วยต้องลางาน กูก็ต้องทำงานแทนมึงน่ะสิ” ไอ้เพื่อนเหี้ย...
“เออฟี่ มึงรู้เรื่องจูนยัง” ผมหันหน้าไปมองไอ้ทัชอย่างสงสัย เรื่องจูน? หมายความว่ายังไง?
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องจูนกับคิงเพื่อนมึงอะ”
“หา?? ทำไมวะ ไอ้คิงมีอะไรกับจูน”
“เห็นว่ากำลังดูๆกัน”
“อ้าว ไหงไปถึงขั้นนั้นได้อะ” ผมถามเสียงสูงด้วยความแปลกใจ นี่ผมมัวแต่คิดมากเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเลยเหรอ
“ไม่รู้เหมือนกัน กูเองก็บังเอิญไปเจอสองคนนั้นที่เจเจ พอตอนกลางคืนกูเลยโทรไปถามจูนมา มันก็บอกว่าลองคบๆดู เพราะเห็นว่าคิงมั่นคงมาตลอด เคยชอบมันยังไง ก็ยังชอบมันยังงั้น” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ในที่สุดความพยายามของไอ้คิงก็สำเร็จสินะ
ในเวลาหลังเลิกงานที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ผมมานั่งคิดทบทวนถึงเรื่องเพื่อนสองคนที่ผมได้ฟังจากปากไอ้ทัช ผมเองดีใจที่เพื่อนสนิทของผมจะได้มาลงเอยกัน จูนเป็นคนดี และคิงก็เป็นคนดี
ความมั่นคงยังงั้นเหรอ?
จูนลองให้โอกาสคิงแม้ว่าเธอจะไม่เคยรู้สึกชอบคิงเลย แต่เพราะว่าคิงมั่นคงกับเธอยังงั้นเหรอ?
ผมคิดว่าบางทีการที่เราจะคบกับใครสักคน เหตุผลมันก็ไม่ได้เริ่มมาจากความรัก มันอาจจะเป็นการคบกันเพราะเห็นแก่ความดี คบเพราะสงสาร คบเพราะเห็นใจ ฯลฯ
แล้วณัฐคบผมเพราะอะไร??
TRrrr… TRrrr…
“ว่าไงครับ” ผมรับสายอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าใจเราจะสื่อถึงกันนะครับ หรือมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญผมก็ไม่รู้ แต่ว่าเวลาที่ผมกำลังคิดถึงเขา หรือเขากำลังคิดถึงผม ใจเราสองคนมักจะตรงกันเสมอ บางทีผมกำลังจะพิมพ์เมสเสจไปหาเขา เขาก็จะโทรมาหาผมพอดี
/ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ?/
”กำลังจะกลับแล้ว”
/แล้วจะไปไหนหรือเปล่า?/
“ไม่หรอก ว่าจะกลับบ้านเลย” ผมรู้ว่าณัฐอยากให้ผมไปหา แต่ในสภาพอารมณ์แบบนี้ ผมไม่อยากจะไปเจอผู้คนเยอะๆ ผมกลัวตัวเองจะไปทำตัวมืดมนจนคนอื่นหดหู่ตามเปล่าๆครับ
/เหรอ.../
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฟี่กลับบ้านก่อน”
/อืม/
ผมว่าณัฐเขาต้องรู้สึกได้ครับ ว่าผมแปลกไป พนันได้เลยว่าคืนนี้ณัฐต้องมากดออดบ้านผมไวกว่าปกติแน่นอน...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล1. รู้สึกว่าตอนนี้แต่งออกมาเองก็มึนเอง ถ้าคุณผู้อ่านคิดว่าติดขัดตรงไหนก็บอกได้เลยนะคะ บีจะได้นำไปปรับแก้
ปล2. เรื่องนี้ตอนหลังต้องแฮปปี้แน่ค่ะ เรื่องหื่นก็แน่นอนค่ะ เพราะคาแรคเตอร์ของณัฐเป็นคนที่ขยันทำการบ้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ขอหื่นทีละนิด เพราะมาม่ามันมากกว่านิ > <
เสียงกดออดหน้าบ้านปลุกให้ผมโงหัวขึ้นมาจากหมอนอิงบนโซฟา ผมกระพริบตามองรอบตัวด้วยอารมณ์มึนๆ ข้างนอกมืดแล้ว น่าจะประมาณสองทุ่ม เสียงกดออดดังซ้ำอีกครั้งราวกับจะเร่งให้ผมลุกไปเปิดประตู ณ บัดนาว แต่สำหรับคนที่เพิ่งตื่นและปวดหัวตึ้บจะปรับสภาพร่างกายได้ดีแค่ไหนกันเชียวนะ
ผมลุกขึ้นยืนและเดินออกไปตรงประตูหน้า ผมจ้องมองลอดตาแมวและก็เห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย ณัฐมีสีหน้านิ่งๆแบบที่ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปรับเขา ณัฐก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมเหมือนเคย ความหงุดหงิดในใจของผมมันแทบจะสลายไปทันทีที่เห็นเขายิ้ม แต่ผมก็ย้ำกับตัวเองเอาไว้ให้หนักแน่นมากๆ
ผมยอมรับว่าผมอาจจะน่ารำคาญ ผมอาจจะเป็นคนที่คิดมากเกินไป แต่ที่ผมคิดมันก็เป็นเพราะว่าผมใส่ใจไม่ใช่เหรอ ถ้าหากผมไม่ได้คิดอะไรกับเขา ผมจะเก็บเอาเรื่องบ้าบอมาใส่ใจหรือเปล่า? ก็คงไม่
“เพิ่งตื่นเหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำพูด ณัฐยังคงมีน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนเคย เขาวางกระเป๋าไว้บนตู้รองเท้าแล้วเดินเข้ามากอดผม
“หน้ามึนเชียว” ผมยิ้มกับคำพูดของณัฐ เขาจูบผมเบาๆตรงหน้าผากและแก้ม
“งือ... ปวดหัวตึ้บๆ” ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะอ้อนเขากลับ ใครกันละที่จะไม่หวั่นไหวไปกับความอ่อนโยนแบบนี้
“ไม่สบายเหรอครับ งานยุ่งเหรอวันนี้”
“ไม่ยุ่งหรอก...คิดเรื่องอื่นมากกว่า” ผมเริ่มพูดแทนการพยักหน้าได้แล้วครับ สมองผมเริ่มทำงานแล้ว
“ไหนบอกณัฐสิ ว่าฟี่คิดมากเรื่องอะไร”
“...” ผมไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหนดี เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเล็กๆ กลัวว่าถามออกไปแล้วณัฐจะหาว่าผมงี่เง่า คิดมาก
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกณัฐ ฟี่แค่เหนื่อยๆ เดี๋ยวฟี่ก็หายเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายความพยายามของผมก็สูญเปล่า ผมไม่กล้าถามเขาเหมือนเดิม...
“ฟี่... ทำไมกัน มีปัญหาอะไรฟี่พูดกับณัฐไม่ได้เลยเหรอ” ผมส่ายหัวงุด มันไม่ใช่อย่างที่ณัฐคิด แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง
“ไม่ ฟี่ไม่ได้เป็นอะไร ณัฐอย่าสนใจเลย” ผมหันหน้าหนีเขา ถ้ายังขืนจ้องหน้ากันแบบนี้คงได้ทะเลาะกันแน่
“ณัฐไม่ได้ตายด้านนะ ถึงจะได้ไม่รับรู้ว่าฟี่แปลกไป”
“แต่ฟี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ฟี่แค่เหนื่อย” ผมขึ้นเสียงตัดบทกับเขา ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้นะ
“ฟี่เห็นณัฐเป็นคนอื่นใช่ไหม?” ณัฐทำเสียงตัดพ้อ สายตาเศร้า ผมเห็นแล้วก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมานิดหนึ่ง เรื่องของผมเนี่ยอยากจะรู้หนักหนา ต้องรู้ให้ได้ ต้องเค้นผมให้ได้ แต่พอเรื่องของเขาละไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยถ้าไม่ขอ
“ถ้าณัฐจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ อยากจะเห็นฟี่เป็นคนอื่นนักก็ได้” ผมหันหลังเดินหนี แต่ณัฐก็คว้าแขนผมไว้แล้วกอดผมจากด้านหลัง
“ไม่ใช่สิฟี่ ณัฐไม่ได้คิดแบบนั้น ณัฐแค่ไม่อยากให้ฟี่คิดอะไรคนเดียว กังวลอะไรคนเดียว”
“...” ผมรู้สึกร้อนๆที่ขอบตา เหมือนน้ำตามันจะไหล
“ไม่มีอะไรหรอก ฟี่ก็แค่นึกถึง...เรื่องของณัฐ...ไม่เห็นณัฐพูดอะไรให้ฟังบ้างเลย...”
“เรื่องของณัฐ? เรื่องอะไรล่ะ ณัฐก็อยู่กับฟี่นี่ไง ไม่อยู่กับฟี่ก็อยู่บ้าน แล้วฟี่อยากรู้อะไร” ผมส่ายหัว ไม่ได้หมายถึงเรื่องแบบนั้น...
“ฟี่หมายถึง...เรื่องคนนั้น...ณัฐได้ติดต่อกับเขาบ้างหรือเปล่า ไม่เห็นณัฐพูดถึงบ้างเลย...” ก็ณัฐบอกผมเอาไว้ว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ฟังนี่นา...
“ก็มันไม่มีอะไรนี่ แล้วจะให้ณัฐเล่าอะไร”
“แล้วณัฐไม่ได้โทรไปหาเขาบ้างเหรอ ณัฐบอกไว้เองนี่ว่ายังไงก็ยังต้องติดต่อกันอยู่...เพราะเรื่องลูก...”
“ณัฐโทรไป เพราะวันนั้นลูกไม่สบาย แล้วณัฐเป็นห่วงลูก แต่เขาก็ไม่รับสาย จะให้ณัฐไปหาที่บ้านก็ไม่กล้าหรอก ก็ณัฐทำเขาเสียใจไว้นี่ จะมีหน้าไปพบเขาได้ยังไง” ไม่รู้ทำไมกันนะ พอผมได้ยินคำว่าลูก ผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที...
“ถ้าณัฐห่วงลูกนัก แต่ไม่กล้าไปหาเพราะทำเขาเสียใจ ณัฐก็กลับไปดีกับเขาสิ คืนดีกับเขาซะ จะได้เจอลูกไง” ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่...
“อะไรกันฟี่ ก็ณัฐเคยบอกแล้วไงว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว ต่อให้เลิกกับฟี่ ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปดีกับเขาหรอก”
“ก็แล้วณัฐเป็นห่วงลูกณัฐไม่ใช่หรือไงล่ะ นี่ก็เป็นทางเดียวไม่ใช่เหรอที่จะทำให้ได้เจอลูก”
“ทำไมฟี่ต้องเอาเรื่องที่ณัฐเป็นห่วงลูกมาต่อรองกันแบบนี้ ณัฐไม่มีสิทธิ์จะห่วงลูกเลยหรือไง ฟี่จะให้ณัฐเป็นคนใจดำที่ไม่เหลียวแลรับผิดชอบเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเลยเหรอ”
“แล้วจะให้ฟี่ทำใจได้ยังไง ณัฐรู้ไหมว่าไอ้คำว่า ‘ลูก’ มันแสลงใจฟี่แค่ไหน”
“....” ณัฐไม่ได้พูดอะไรกลับมา เขาขยับมาใกล้ผมและยกแขนจะสวมกอด แต่ผมก็เบี่ยงตัวออก
“ฟี่มีลูกไม่ได้นี่ ฟี่มีลูกให้ณัฐไม่ได้เหมือนผู้หญิงคนนั้นนี่...” น้ำตาผมไหลอาบแก้ม ผมรู้สึกขึ้นมาวูบหนึ่งว่าผมช่างทำตัวน่ารำคาญเหลือเกิน สักวันณัฐก็คงหมดใจให้ผมเพราะผมเป็นคนแบบนี้...
“ทำไมฟี่ถึงคิดว่าเรื่องนั้นมันถึงจะผูกมัดณัฐไว้ละ มันไม่จำเป็นเลยนะ ถ้าณัฐจะรักฟี่ ก็รักที่ตัวของฟี่ ไม่ได้รักเพราะฟี่มีลูก ไม่ได้เลือกฟี่เพราะความจำเป็นที่มันบังคับ...”
“...” พอณัฐเห็นผมเริ่มนิ่ง เขาก็สอดแขนรอบตัวผมและดึงผมไปนั่งบนตักเขา
“ณัฐยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรกับเขาด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของณัฐเอง พอมีลูกแล้ว ณัฐถึงได้เริ่มรู้สึกว่าว่าเข้ากันไม่ได้ ยังไม่ทันได้ศึกษากันและกันก็ต้องมามีลูกแล้ว”
“ไม่ร้องนะครับฟี่”
“อือ...” ผมขยับตัวหันไปซุกตรงซอกคอของณัฐ ผมชอบกลิ่นของเขา อุณหภูมิของณัฐที่ผมรู้สึกได้บ่งบอกว่าเขาอยู่กับผมในตอนนี้
“เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วนะฟี่ ณัฐพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ตอนนี้ณัฐอยู่กับฟี่ หัวใจณัฐก็อยู่กับฟี่ ฟี่ไม่ต้องคิดเรื่องของคนอื่นอีก” ผมพยักหน้ารับ แต่แล้วก็นึกได้...
“แล้วทำไมณัฐไม่เห็นเล่าให้ฟี่ฟังเลยว่าโทรไปหาแล้วเขาไม่รับ” บอกจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องไงวะ...
“มันตั้งนานแล้วนะฟี่ ณัฐไม่ได้สนใจจำด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมไม่เล่าตั้งแต่ตอนนั้น”
“ก็มันไม่ได้อยู่ในสมองสักนิดนี่นา”
เรื่องหลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดต่อหรอกนะครับ เอาเป็นว่าความสงสัยของผมมันก็จางหายไปแล้วละ และหลังจากการปรับความเข้าใจของเราสองคนแล้วผมกับณัฐจะทำอะไรกันต่อก็คงรู้นะครับ หึหึ...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล.1 ยังไม่ลืมกันใช่มั้ยคะ... :impress:
ปล.2 คือว่าที่หายไปนานไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือจะดองหรอกนะคะ สมองครีเอทตอนใหม่ได้มากมายแต่ไม่มีเวลาจะเขียน
เพราะว่าช่วงเดือนกค.มีโปรเจคใหม่เข้ามาแบบเร่งด่วน เลยไม่มีเวลาแต่งนิยายเลย
ปล.3 กำลังปั่นตอนที่ 24 นะคะ รับรองว่าสมกับที่รอคอยค่ะ :m1:
“ขยายสาขา?” ผมทวนประโยคของณัฐซ้ำอีกรอบเพราะคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป หลังจากที่ณัฐเพิ่งจะพูดอะไรเกี่ยวกับร้านกาแฟ ขยายสาขา และย้ายไปอยู่สาขาใหม่
“อืม พี่โอเขาไปดูที่มาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังทำร้านอยู่”
“แล้วเขาจะให้ณัฐไปประจำสาขานั้น?”
“ไม่ใช่ๆ เขาจะให้ผลัดกันไปน่ะ”
“แล้วมันไกลขึ้นนี่”
“อืม ไม่ดีเลยอะ ณัฐไม่อยากไปเลย”
“...” ผมนิ่งคิด อะไรบางอย่างในความรู้สึกผมมันกำลังก่อตัวทีละน้อย มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกยังไงกันแน่
“ฟี่ เป็นอะไร ทำไมทำหน้ามุ่ยละ” ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อณัฐแตะแก้มผม สงสัยผมคงจะเผลอแสดงออกทางสีหน้าไปชัดเจนเลยสินะ
“ไม่รู้สิณัฐ ฟี่ไม่ค่อยอยากให้ณัฐไปสาขาใหม่เลย ไกลก็ไกล แถมฟี่ยังไปหาลำบากด้วย” ผมไปเอานิสัยงี่เง่าแบบนี้มาจากไหนกันนะ...
“ณัฐก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นงานนะฟี่”
“งือ” ผมถอนใจแล้วพยักหน้า ก็ณัฐพูดกับผมอ่อนโยนเหลือเกิน จิตใจที่ว้าวุ่นมันก็ค่อยสงบลง ผมหลับตาเพื่อซึมซับสัมผัสที่ณัฐลูบแก้มผม ผมจับมือณัฐไว้แล้วจูบลงไปที่ฝ่ามือ เรื่อยไปตามท่อนแขนและหัวไหล่ ผิวกายเปล่าเปลือยของณัฐทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง...
“อะไรกัน” ณัฐถามเสียงแผ่วเมื่อปลายลิ้นของผมไล้เลียไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าของเขา ผมชอบกลิ่นของณัฐเหลือเกิน ชอบเวลาที่กลิ่นกายของณัฐติดอยู่ตามผ้าห่ม หมอน ที่นอนของผม ผมชอบที่ได้เห็นเสื้อผ้าของณัฐแขวนอยู่ในตู้ของผม...
ชอบเวลาที่ตื่นมาในตอนเช้าและเห็นเขานอนอยู่ข้างผม...
“ฟี่ อือ...” ฝ่ามือของณัฐกดหัวของผมและขยุ้มเส้นผมอย่างทรมานเมื่อผมเคลื่อนตัวลงต่ำและใช้ริมฝีปากงับเจ้าสิ่งที่อ่นนุ่มนั้นเข้ามาในปากของผม ผมชอบเวลาที่มันอ่อนปวกเปียก ชอบเวลาที่ผมได้ทำให้มันตื่นขึ้นมาในปากของผม
“อะ...อา..” เสียงของณัฐกระตุ้นอารมณ์ผมให้โหมกระพือขึ้นไปอีก ผมแทบจะงัดทุกกระบวนท่าออกมาเพื่อให้ณัฐพอใจ แต่ทว่าคืนนี้ยังคงอีกยาวนาน ผมค่อยๆทำไปจะดีกว่า
“อ๊ะ!” ผมพลาดเสียแล้วเมื่อปล่อยให้มือใหญ่ของณัฐเอื้อมมากอบกุมกับน้องหนูของผมได้ นิ้วทั้งห้าของณัฐทำหน้าที่กระตุ้นเร้าอย่างชำนาญจนน้องหนูผมเริ่มแข็งขึง ผมเสียวจนละริมฝีปากออกจากแก่นกายตื่นตัวของณัฐและก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกดอยู่เบื้องล่างแทน เสื้อยืดของผมถูกณัฐถอดออกอย่างรวดเร็วเหลือแต่เพียงแผ่นอกเปลือยที่หอบเหมือนจะขาดใจ
“อื้อ ณัฐ...อะไรกัน ขี้โกงอะ ตัวเองแรงเยอะกว่านะ...” ผมพยายามประท้วงแต่ก็ดูท่าว่าณัฐจะไม่สนใจเลย แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย ผมผวาเฮือกก่อนจะถูกณัฐจุบกดไว้แน่น อา...นี่เองที่เรียกว่าการถูกจับกด...
“อะ อ๊า!” ปลายนิ้วของณัฐเร่งความเร็วจนแผ่นหลังผมไม่ติดที่นอน
“ชอบไหม...ชอบให้ณัฐทำให้แบบนี้หรือเปล่า?” อึก! ไอ้คนบ้า ถามอะไรตรงๆแบบนั้นกันเล่า ผมเขินเป็นนะโว้ย
“หืม...ไม่พูดไม่ทำต่อนะครับ...” เสียงเซ็กซี่ยั่วเย้าล่อลวงให้ผมตกหลุมพราง เรื่องอะไรผมจะยอมทำตัวออดอ้อนน่าอายแบบนั้นละ
“ฮึก...ชอบ..” แต่ปากผมมันไม่ฟังคำสั่งจากสมองเลยครับ
“น่ารักจริง หึหึ..” ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมผมถึงไม่เคยต่อต้านเขาได้สำเร็จเลยนะ แล้วจู่ๆนิ้วที่ควานลึกอยู่ภายในก็เพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสอง ผมรู้สึกอึดอัดเบื้องล่างขึ้นมาทันที แก่นกายของณัฐบดเบียดเข้ากับต้นขาของผม ผมรู้สึกได้ถึงความเหนอะหนะจากส่วนปลายที่แข็งขึงนั้น ใจอยากจะโผเข้าไปหาและกลืนกินทุกอย่างของณัฐเข้าไปให้หมด แต่ติดที่มือใหญ่ล็อกเอวผมเอาไว้นี่สิ แถมยังไอ้นิ้วยาวๆที่ทำหน้าที่อยู่ตรงส่วนล่างของผมไม่เอื้อให้ผมคิดอย่างอื่นนอกจากส่งเสียงรัญจวนเพื่อให้ณัฐพอใจ...
“อยากได้เหรอ...อยากได้เหรอครับ?” น้ำเสียงอ่อนโยนใจดีขัดกับสายตาชั่วร้าย แต่ผมก็ยังพยักหน้าอ้อนวอนเพื่อให้ณัฐมอบในสิ่งที่ผมอยากได้
“อ๊ะ!!” ผมอุทานเมื่อรู้สึกว่าถูกยกตัวขึ้นสูงพร้อมกับลิ้นอุ่นหนาจาบจ้วงไปยังด้านหลังที่มีนิ้วนำทางอยู่ ผมพยายามดิ้นหนีเพราะไม่ชอบที่ณัฐจะมาใช้ลิ้นกับตรงจุดนั้น มันไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่ามันสกปรกก็เท่านั้น
“ไม่ชอบเหรอ” อา...มาแล้วครับ เจ้าเสียงเศร้าสร้อยออดอ้อน ณัฐช้อนสายตามองผมเหมือนลูกหมาน้อย ช่างน่าสงสารจนผมใจอ่อนอีกแล้ว
“ชอบสิ แต่มันสก-”
“ไม่ต้องพูดเลยนะฟี่ ณัฐชอบของณัฐ ณัฐรักของณัฐ มันไม่สกปรกเลยนะ ทีฟี่ทำให้ณัฐละ” ณัฐพูดอย่างเด็ดขาดเสียจนผมเถียงไม่ออก ความรู้สึกค่อยๆไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุด และผมก็ปลดปล่อยทั้งหมดออกมาจนเกลี้ยง ใบหน้าของณัฐมีหยาดหยดเกาะอยู่เป็นจุดๆ ผมรู้สึกหน้าร้อนวาบ นี่มันน่าอายจริงๆนะ...
“วันนี้หวานนะฟี่ สงสัยเป็นเพราะกินขนมหวานไปตอนมื้อเย็น” เสียงณัฐยั่วเย้าจนผมอยากจะมุดหน้าเข้าไปในผ้านวม แต่เจ้ากรรม...ณัฐคงไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ
“จะเสร็จคนเดียวได้ไงละหืม?” ณัฐยืดตัวขึ้นสูง และใช้อุ้งมือทั้งสองกำรอบข้อเท้าผมแน่น ก่อนจะจับแยกออกกว้างแล้วดันขึ้นแนบหน้าอกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งยกขึ้นพาดบ่าของเขาไว้ เผยส่วนน่าอายให้เชยชมเต็มที่จนผมต้องเบือนหน้าหนี และพยายามเอื้อมมือลงล่างเพื่อปกปิดส่วนลับไม่ให้เขามอง แต่ก็กลับโดนมือยึดแน่นไว้ทั้งคู่
“ณัฐอะ อย่าทำแบบนี้นะ มันน่าอายจะตายไป”
“อายแหละดีแล้ว เวลาฟี่อายแล้วน่ากินที่สุด” แหงะ...ไอ้คนลามก
“อ๋า!” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกได้ถึงแรงดันที่ปากทางอย่างช้าๆ จากปลายไล่ลึกเข้ามาทีละนิ้วๆ จนสุดความยาว ผมสูดหายใจยาวยืด เอกลักษณ์ของณัฐคือความรุนแรงที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ณัฐไม่เคยหยุดชะงักแม้ว่าปลายทางจะแน่นแค่ไหน แต่ณัฐจะใช้วิธีขยับเข้ามาทีละน้อยๆ เนิ่นนาน แต่ลึกล้ำ
“ของฟี่คอยจะดูดของณัฐเข้าไปเรื่อยเลย...” เสียงณัฐสั่นเครือ สะโพกแกร่งขยับเข้าออกหลังจากที่รอให้ผมปรับตัวชั่วเวลาหนึ่ง ส่วนปลายของณัฐครูดกับผนังภายในจนผมต้องร้องครางออกมา เสียงหอบหายใจของเราสองคนรุนแรงสอดประสานเข้ากับจังหวะการขยับกายสม่ำเสมอ ผมยกมือลูบแก้มของณัฐด้วยความรู้สึกที่โหยหา แม้จะได้ใกล้ชิดกันสักเท่าไรผมก็ไม่เคยจะรู้สึกว่ามันเพียงพอ...
“อือ...” ผมหลับตารับจูบจากณัฐ เขาดันสะโพกเร็วขึ้นพร้อมกับสอดลิ้นชิมรสชาติในปากผมอย่างช่ำชอง ผมดันไหล่ณัฐออกและสูดอากาศเฮือกใหญ่เข้าปดก่อนที่จะถูกณัฐจู่โจมจูบอีกครั้ง
“อ๊ะ...อา..ณัฐ...ณัฐ...” แม้ว่าผมจะหลับตา แต่ว่าทุกสัมผัสที่รุกเร้าผมอยู่ตอนนี้ก็ช่างคุ้นเคย ผมเรียกชื่อของคนที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองส่งเสียงไม่เป็นภาษา แรงกระแทกจากด้านบนหนักหน่วงตามอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ผมกรีดร้องหนักขึ้นเมื่อมือของณัฐกอบกุมน้องหนูของผมและรูดรั้งให้ความเสียวทวีขึ้นไปอีก
“ครับ...เรียกชื่อณัฐอีกสิฟี่” ณัฐพูดไปหอบไป จากความคุ้นเคยผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
“อะอื๊อ! ณัฐ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อสะโพกหนายันเข้าสุดก่อนถอยออกอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงการเกร็งกระตุกจากส่วนล่างของผม ณัฐตัวสั่นเทิ้ม ปากหอบหาอากาศหายใจ เสียงทุ้มครางต่ำอยู่ข้างหูผมก่อนปลดปล่อยความร้อนออกมาจนสุดตัว แรงรัดของช่องทางด้านหลังมากขึ้นผมคิดว่าตัวเองกำลังจะแตกสลาย ริมฝีปากอุ่นของณัฐจูบที่แก้มผมและพร่ำกระซิบถ้อยคำที่ทำให้ผมหลับสบายได้ทุกคืน...
“รักฟี่นะ...”
ผมนอนมองชายผ้าม่านแสนรักที่อาผึ้งเย็บให้ผมกำลังปลิวไหวเพราะลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ผมชอบนอนมองผ้าม่านปลิวเพราะลมพัด มันรู้สึกสบายตาอย่างบอกไม่ถูก
“อือ...” เสียงทุ้มครางอย่างงัวเงียกับแรงกอดรัดจากด้านหลังเรียกให้ผมหันไปสนใจ คนที่ยังคงหลับตาพริ้มดึงผมเข้าไปหาตัวแล้วกอดไว้แน่นเหมือนเด็กหวงของ ผมอดยิ้มไม่ได้...น่ารัก...
“ตื่นได้แล้วมั้ง...” ผมกระซิบข้างหูคนขี้เซา ณัฐยิ้มน้อยๆและกอดผมแน่นขึ้น แก้มใสซุกเข้ากับสีข้างของผม ณัฐไซ้จมูกกับผิวเนื้อของผมจนพอใจแล้วจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ
“กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมงครึ่ง”
“ฟี่ตื่นเช้าจัง”
“นอนเต็มอิ่มน่ะ ก็เลยตื่นเช้า ณัฐต้องไปทำงานนี่นะ อยากกินอะไรมั้ย”
“อือ...กินฟี่...”
“กินฟี่ไม่ได้ อยากกินอะไรครับ บอกเร็ว เดี๋ยวฟี่จะลงไปทำให้” ผมประคองแก้มนุ่มให้หันมาคุยกับผม เวลาเช้าๆเขามักจะงัวเงียเสมอ
“ไม่อาว จะกินฟี่” ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทีกรุ้มกริ่มร้ายกาจอย่างเมื่อคืนไปไหน กลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง พอเช้ามาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลางัวเงียณัฐจะช่างอ้อนเสียจริง แล้วแบบนี้ผมจะไม่หลงได้ยังไง...
“อ๋า...อะไรกัน” ณัฐทำเสียงเหมือนแปลกใจเมื่อผมเอื้อมมือลงไปจับส่วนล่างที่ยังคงหลับใหล ทำไมผมจะไม่รู้กันว่าเขาแอ๊บ
“อย่านะฟี่...” ณัฐบีบไหล่ผมแน่นเมื่อผมใช้มือลูบคลำหนักขึ้น ส่วนนั้นจากที่เคยอ่อนปวกเปียกเริ่มพองตัวขึ้นในมือผม
“ฮึ่ย~ รับผิดชอบเลยนะฟี่”
“ไม่อ๊าว!” ผมรีบกระโดดลงจากเตียงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะถูกตะครุบ ณัฐทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนผมรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นการออกไปให้พ้นจากระยะของเตียงนอนจะปลอดภัยที่สุด
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ตัวแสบ” เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังผมมา เรียกเสียงหัวเราะอย่างสะใจให้ผมได้เป็นอย่างดี
เวลาบ่ายกว่าๆเป็นช่วงที่เรามักจะง่วงนอน แต่สำหรับผมที่หลับมาตั้งแต่ตอนณัฐออกไปทำงานจนป่านนี้คงไม่มีทางง่วงแน่นอน หลังจากที่ผมนอนบิดขี้เกียจได้สองสามครั้ง โทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงผมก็ดังขึ้น
- เชอรี่ –
น่าแปลกที่เชอรี่โทรมาในวันหยุดแบบนี้ เพราะปรกติเธอมักจะยังคงหลับอยู่จนบ่ายสามโน่น ผมเองจะเป็นฝ่ายโทรไปปลุกเธอเสียด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับเชอรี่”
/ฟี่~ ตื่นแล้วเหรอ/
“อื้อ เพิ่งจะตื่นเมื่อกี้เอง แปลกจังที่เชอรี่โทรมาช่วงนี้”
/ฮิฮิ วันนี้เชอรี่เอาของออกมาให้เจ้าส้มที่มหา’ลัยน่ะ/
“เจ้าส้มลืมของอีกแล้วเหรอ” ผมนึกขำๆ เจ้าส้ม หรือส้ม คือน้องชายของเชอรี่ที่อายุห่างกันประมาณห้าปี เจ้าส้มเพิ่งเข้าปีหนึ่ง แต่รูปร่างหน้าตาล้ำไปเหมือนเด็กปีห้า อ๋อ เจ้าส้มเรียนเภสัชครับ เลยเรียนห้าปี
/อาทิตย์นี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะฟี่ สองครั้งแรกเป็นวันทำงาน ม๊าเลยเอาไปให้ แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ เลยใช้เชอรี่ออกมา/
“หึหึ ก็ดีแล้ว จะได้ตื่นเช้าๆไง”
/นั่นสิ เชอรี่ก็เลยได้เจออะไรดีๆแหละฟี่/
“อะไรเหรอ”
/ก็ช่วงนี้เขากำลังรับสมัครนักศึกษาปริญญาโทน่ะสิฟี่/
“เชอรี่จะสมัครเหรอ”
/ใช่ แล้วก็จะชวนฟี่มาสมัครด้วย/ เฮ้ย เชอรี่กับผมเรียนกันคนละสาขามานะ
/อย่าเพิ่งตกใจนะฟี่ เชอรี่จะเรียนสาขานิเทศน่ะ แต่ที่เชอรี่โทรมาเนี่ยก็เพราะว่าเขารับสมัครนักศึกษาทุนสาขามัลติด้วย/ อืม...ฟังดูน่าสนใจ
“แล้วเงื่อนไขของผู้ได้รับทุนละเชอรี่”
/เอ่อ...เดี๋ยวนะ... จะต้องมีเกรดเฉลี่ยระดับป.ตรี 3.50 ขึ้นไป และต้องรักษาเกรดเฉลี่ยระดับป.โทให้ได้ 3.50 ขึ้นทุกเทอม ต้องมีผลงานนำเสนอคณะกรรมการทุกเทอม และเมื่อจบแล้วต้องไปทำงานใช้ทุนในบริษัท XXX ที่เป็นบริษัทในเครือของผู้ให้ทุน/
“โห...เงื่อนไขเยอะมากเลยอะ แล้วฟี่จะไหวมั้ยเนี่ย”
/เชอรี่ว่าอย่างน้อยเกรดเฉลี่ยป.ตรีของฟี่ก็ผ่านแล้วแหละ ฮิฮิ/ ผมนึกถึงเกรดเฉลี่ยผมที่ผ่านเงื่อนไขแบบฉิวเฉียดคือ 3.54 เฮ้อ...สงสัยคงต้องลองสักตั้ง
“งั้นเชอรี่ช่วยเอารายละเอียดมาให้ฟี่ได้มั้ย”
/ได้สิ งั้นเชอรี่เอาไปให้ที่บ้านฟี่เลยนะจ๊ะ/
“โอเค แล้วเจอกันครับ” ความคิดของผมพันกันอีรุงตุงนังหลังจากวางสาย ผมคิดมานานแล้วแหละเรื่องเรียนต่อน่ะ เพียงแต่ว่าช่วงนั้นมันมีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย ก็เลยพักโครงการไป แถมยังเก็บเงินค่าเทอมไม่ได้ด้วย ต่อให้สอบได้ก็คงไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แต่ที่เชอรี่บอกมามันเป็นทุนนี่นะ...
ตอนนี้เหลือปัญหาเดียว...
คือณัฐจะยอมให้ผมเรียนหรือเปล่า...
พ่อทูนหัวของผมน่ะ งี่เง่าน้อยเสียเมื่อไรละครับ...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล.รักทุกคนค่ะ :-[
Special: Nath’s scene
ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าที่แท้จริงแล้วผมรู้สึกอย่างไร
หวง? ก็ไม่ใช่
หึง? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าฟี่จะห่างไกลจากผมมากขึ้น? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าจะมีคนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่? อืม...อันนี้ก็มีส่วน ผมไว้ใจฟี่ แต่ผมไม่ไว้ใจคนอื่น
กลัวว่าเราสองคนจะมีเวลาให้กันน้อยลง? อืม... พอจะเข้าเค้าแล้วครับ...
สำหรับผมและฟี่ ‘เวลา’ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก วันหยุดของผมที่ทั้งอาทิตย์มีเพียงวันเดียว แล้วผมยังจะต้องไปเรียนอีก นานๆครั้งที่ผมจะลาหยุดให้ตรงกับวันเสาร์ หรือมีวันหยุดพิเศษ เราจึงจะได้ใช้เวลาร่วมกัน...
ถ้าฟี่จะไปเรียนต่อโท วันเสาร์อาทิตย์ของฟี่ก็ต้องใช้เวลาไปกับการเรียน ไหนจะทำรายงาน ทำโปรเจคท์สารพัด...
แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อเสียเดียวที่ผมจะนึกออกเมื่อฟี่เรียนต่อโท
นอกเหนือจากนั้นก็ล้วนเป็นผลดีกับตัวฟี่ทั้งหมด
แล้วจะมีสาเหตุอะไรที่ผมจะถ่วงความเจริญของฟี่เอาไว้ละครับ...
“ณัฐ ลูกค้าสั่งแก้วเดียว ทำมาทำไมสองแก้วเนี่ย” เสียงพี่เป็ดทำให้ผมรู้สึกตัว มอคค่าแก้วที่ลูกค้าสั่งอยู่ตรงเคาเตอร์ อีกแก้วหนึ่งเป็นลาเต้...ลาเต้ที่ฟี่ชอบดื่มเสมอ... ผมคิดถึงฟี่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบๆเหม่อๆนะ” พี่เป็ดถามผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมนั่งลงบนสตูลแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเล่าเรื่องในใจผมให้พี่เป็ดฟัง สีหน้าของแกดูครุ่นคิดตามผมไปด้วย พอผมเล่าจบ พี่เป็ดก็จับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ
“ณัฐมีความสุขมากใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ากับคำถามแปลกๆของแก
“ถึงพี่จะไม่เคยพูด แต่พี่ก็รับรู้ได้ว่าณัฐมีความสุข มันเหมือนกับว่าณัฐมีจุดมุ่งหมายในชีวิตมากขึ้น ณัฐรู้ตัวว่าณัฐจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร” ผมก้มหน้าเมื่อฟังถึงตรงหน้า มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่ผมตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจทำงานมากขึ้น กินเหล้ากินเบียร์น้อยลง มันชัดเจนขนาดนั้นเลยใช่ไหมครับว่าผมทำเพื่อใคร...
“แต่ความสุขมันมากเกินไปจนณัฐรู้สึกกลัวสินะ...” ผมเงยหน้ามองพี่เป็ด ไม่ยักรู้เลยว่าความสุขนั้นมันน่ากลัว...
กลัว...ความสุข...งั้นเหรอ
ผมมีความสุขเวลาที่ได้กุมมือฟี่ มือเล็ก บอบบาง ผมเต็มใจที่จะดูแลฟี่
ผมชอบที่ได้กินอาหารฝีมือฟี่
ผมรักที่ได้ตื่นมาและเห็นหน้าฟี่เป็นคนแรก
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ฟี่ส่งมาให้ผมผ่านดวงตาสีอ่อนคู่นั้น
ผมรู้ว่าผมควรจะดีใจที่มีฟี่...
แต่ลึกๆแล้ว.... ผมกังวลเสมอมา...ยิ่งรักมาก ยิ่งห่วงมาก...ยิ่งคิดถึง...ก็ยิ่งกลัว
หากว่าความห่างที่มากขึ้น ทำให้เราสองคนเปลี่ยนไป ทำให้เราต้องห่างกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้ามีความสุขมากมายแต่รักษามันไว้ไม่ได้
บางทีผมนอนที่บ้าน...ข้างตัวผมไม่มีฟี่... เมื่อตื่นมาก็ใจหายทุกครั้งที่ไม่เห็นร่างอุ่นๆนั้นซุกตัวอยู่ข้างผม จนนึกออกว่าผมอยู่ที่บ้านของผมเอง...
“พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ณัฐหายกลัวนะ ใจคนมันก็แบบนี้แหละ แต่รู้ไหม สิ่งดีๆมักจะเกิดจากช่วงเวลาที่เราคิดว่ายากลำบากที่สุด เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ สิ่งที่ตอบแทนกลับมามักจะมีค่ามากเสมอ” พี่เป็ดพูดยิ้มๆแล้วก็คว้าแก้วลาเต้แก้วนั้นไปดื่ม เพียงอึกเดียวพี่เป็ดก็สำลักทันที
“แค่กๆ ทำไมมันหวานจังละณัฐ” ผมหัวเราะเบาๆ พี่เป็ดไม่กินหวานครับ
“ณัฐคิดถึงฟี่ ก็เลยเผลอชงไปครับ ฟี่ชอบกินหวานๆ” ผมยิ้มเมื่อคิดถึงคนที่ผมแสนรัก ความสุขที่ไม่มีที่มาเอ่อล้นขึ้นมาในใจของผม วินาทีนั้นผมคิดขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง
‘การคิดถึงใครสักคน ควรจะต้องคิดถึงแล้วมีพลัง ไม่ใช่คิดถึงแล้วเป็นทุกข์ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าการคิดถึงหรอก’
สู้เอาเวลากังวล มาเอาใจช่วยให้ฟี่สอบได้ดีกว่านะ...จริงไหมครับ
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ผมนั่งพลิกอ่านเอกสารที่เชอรี่เอามากองไว้ให้ผม รายละเอียดเกี่ยวกับการสอบบอกเอาไว้อย่างครบถ้วน ผมเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อลองเซิร์ชหาแนวข้อสอบของปีก่อนๆ รายละเอียดมีไม่ค่อยมากนักแต่ผมก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นครับ...
พอคิดว่าสิ่งที่ผมเคยคิดไว้เริ่มมีความเป็นไปได้ ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันระอุ เอ่อ...ผมไม่ได้ได้จะไปชกมวยนะครับ..
ผมชอบเรียน อยากเรียนเยอะๆ เคยคิดไว้ว่าอยากจะเอาถึงปริญญาเอก แต่ชีวิตจริงมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น... การงาน ความรัก ทำให้ชีวิตจริงของผมเบี่ยงเบนจากความฝันไปมากขึ้นๆ แต่ตอนนี้ ความฝันของผมมันกำลังกลับมาหา...
แต่มันจะทำให้ผมและณัฐมีเวลาให้กันน้อยลงนะ... ความคิดเสี้ยวหนึ่งมันแว่บขึ้นมาแบบนั้น...
ผมอายุยี่สิบสี่ พ้นจากวัยเรียนมาแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่ง ผมไม่ใช่วัยรุ่นคลั่งรัก ที่จะทำทุกอย่างเพื่อความรักและบูชาความรักมากกว่าการให้ความสำคัญกับตัวเอง ผมเคยผ่านจุดที่ทำได้แค่เฝ้ามองคนที่ผมรักมาแล้ว ความทรมานที่ไม่ได้รับรักตอบมันย่ำแย่แค่ไหนผมรู้ดี แต่ตอนนี้ณัฐรักผม และเรารักกัน แค่เพียงความห่างที่อาจจะมากขึ้นไม่สามารถทำลายความรู้สึกที่ผมเก็บมานานได้หรอกครับ
ความสัมพันธ์ในครั้งนี้สอนให้ผมได้รู้คุณค่าของความรัก การสูญเสียคนที่รักและการพลัดพรากมากมายทำให้ผมเรียนรู้ที่จะถนอมความรักที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทุ่มเทให้ความรักจนผมสูญเสียความเป็นตัวผมเอง และณัฐก็คงไม่ดีใจแน่ๆถ้าผมทำทุกอย่างเพื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนทิ้งสิ่งสำคัญอื่นๆไป
ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์แบบคนรักของเราสองคนมันเพิ่งจะเริ่มเองครับ ยังมีเวลาอีกมากมายที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมจะเชื่อก็คือความรู้สึกนี้จะยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแม้ว่าจะมีตัวแปรอื่นๆเข้ามาในชีวิตของเราสองคนมากมาย
ให้มันรู้ไปสิครับ...ว่าแค่การที่มีเวลาให้กันน้อยลง จะทำให้ผมรักเขาน้อยลง...
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
สอง-สามเดือนผ่านไป...
ซองจดหมายสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมเงยหน้ามองณัฐแบบงงๆ แต่พอเห็นตรามหาวิทยาลัยผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของณัฐจึงดูเหมือนตื่นเต้นนัก
“ณัฐเปิดสิ”
“จะเอางั้นเหรอ” ณัฐถามกลับ และผมก็พยักหน้า ผมมองมือของณัฐแกะซองจดหมายออก หัวใจผมเต้นตึกตักๆแรงขึ้นทุกที ณัฐอ่านจดหมายแบบไม่ออกเสียง ผมมองหน้าณัฐสลับกับจดหมายในมือไปมา ผ่านไปเกือบนาที ณัฐก็วางจดหมายลง
“ฟี่” อ้อมกอดอบอุ่นที่กอดผมอยู่ทุกวันมาแบบรุนแรงและรวดเร็ว ณัฐกอดผมแน่น แน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมทำตัวไม่ถูก อยากจะเอื้อมมือไปคว้าจดหมายมาอ่าน แต่ณัฐก็กอดผมจนขยับไม่ได้
“ณัฐ ผลเป็นยังไง ในจดหมายว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงผมเริ่มร้อนรน ผมอยากรู้ผลใจจะขาดอยู่แล้ว
“ฟี่...ต้องสัญญาว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบตัวนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในชิวตของเราสองคนเท่าไร เราก็จะยังมั่นคงต่อกันและกันใช่ไหม?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นซี่~~ ว่าแต่ณัฐบอกฟี่สักทีเถอะ ฟี่อยากรู้ผลแล้วนะ”
“อะไรกัน ณัฐพูดขนาดนี้แล้วฟี่ยังไม่รู้อีกเหรอ” ณัฐทำหน้ายิ้มแบบกรุ้มกริ่ม ผมเบิกตากว้างทันที
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“อื้อ ฟี่ได้เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่น่าหม่ำที่สุดในโลกแล้วนะ” ณัฐหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“เฮ้ย จริงดิ นี่ฟี่สอบติดแล้วจริงๆเหรอ อยากจะกรี๊ด!!”
“หึหึ ฟี่ของณัฐเก่งที่สุดเลยครับ” ตอนนั้นผมไม่รู้แล้วครับว่าณัฐหอมแก้มผมไปกี่ครั้ง กอดผมไปกี่หน ผมได้แต่นิ่งอึ้งเป็นตุ๊กตาให้ณัฐกอดรัดฟัดเหวี่ยงไปจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขากดผมนอนลงบนโซฟานั่นแหละ...
“มัดจำไว้ก่อนเยอะๆ เผื่อฟี่เรียนยุ่ง แล้วไม่มีเวลาทำการบ้านให้ณัฐ” นั่นละเหตุผลของเขา...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล. บีคิดไว้แล้วนะคะ ว่าตอนหน้าจะเป็นตอนจบ บีขออธิบายไว้ตอนนี้เลยว่าเรื่องนี้มันคงสุดได้แค่เท่านี้ เพราะว่าพื้นเพของเรื่องมันก็เกิดจากเอาเรื่องของคนรอบๆตัวมาเก็บเล็กผสมน้อยแล้วปั้นเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา โดยบีเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องเมื่อสมัยอดีต จน ณ ตอนนี้เรื่องมันก็ดำเนินมาถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน และก็เป็นจุดที่อิ่มตัวที่สุดแล้วค่ะ ถ้ายังดันทุรังเขียนต่อ ก็มีแต่จะกลายเป็นนิยายหลอกตัวเองไป เพราะงั้นเลยขอยุติไว้แค่ตอนหน้าค่ะ
สิ่งที่คุณปรารถนาจะได้รับจากคนรักของคุณที่สุดคืออะไร?
ของขวัญ เงินทอง
อ้อมกอด สัมผัส ความรัก ความห่วงใย ฯลฯ
สำหรับผมมีแค่สองสิ่งที่ผมต้องการ
คือความมั่นคงและความเสมอต้นเสมอปลาย
คนที่จะรู้สึกเหมือนเดิมกับผม แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม คนที่จะไม่เปลี่ยนไปไม่ว่าต้องเจอกับอะไรก็ตาม คนที่จะกุมมือผมไว้เหมือนวันแรกที่เราได้สัมผัสกัน คนที่จะบอกรักผมทุกวันเหมือนที่เคยทำ คนที่จะกอดผมไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนวันแรกที่เราคบกัน
คนที่ไม่ผันเปลี่ยนไปตามวันเวลา...
สำหรับคนอย่างผม ที่ไม่เคยได้รู้จักกับความรักที่มั่นคง การที่มีเขาก้าวเข้ามาในชีวิตเป็นเหมือนสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ความรู้สึกที่ผมไม่สามารถหาซื้อได้ ความรู้สึกเวลาที่ได้มองหน้าเขามันยังคงเดิมแม้เวลาจะผ่านมาเก้าปี...
นับจากวันนั้น...
เก้าปีก่อน
“ฟี่ แต่งตัวเสร็จหรือยัง ออกมาให้อาดูหน่อย” เสียงหวานของผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักสุดหัวใจเรียกให้ผมยอมละจากหน้ากระจกแล้วเดินไปหาเธอ ผมยังรู้สึกไม่มั่นใจนิดหน่อย ผมไม่ค่อยได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีแบบนี้เท่าไรนัก เลยรู้สึกว่าไม่เคยชิน
“ว้าว น่ารักที่สุด ดูดีมากเลยลูก” เสียงชมที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแทนที่จะยิ้มรับ ก็เล่นชมว่าผมน่ารัก ทำไมมันไม่เป็นคำว่าหล่อละ...
“ทำไมอาผึ้งไม่บอกว่าหล่อละครับ” พอผมพูดแค่นั้น อาของผมก็หัวเราะก๊าก
“ก็ฟี่น่ารักมากกว่าหล่อนี่ลูก ลองส่องกระจกแล้วบอกอาสิ ว่ามุมไหนที่มันจะดูหล่อได้” ผมหันไปมองกระจกตามที่อาผึ้งพูด ผิวขาว ปากนิด จมูกหน่อย เอ่อ...ห่างจากคำว่าหล่อไปไกลโข อ๊ะ...นั่นไง ไอ้ตัวหล่อของจริงเดินมาโน่นแล้ว
“ณัฐ หล่อเชียวลูก เห็นมั้ยอาบอกแล้วว่าเราน่ะเหมาะกับเสื้อสีขาว” คุณอาสุดรักจากที่ยืนชมผมอยู่แหม็บๆ พอเห็นหล่อของจริงเดินเข้ามาก็ปรี่เข้าไปหาทันที... มันน่าน้อยใจนัก...
“ไม่รู้สิครับ ปรกติเวลาขายกาแฟผมก็ใส่แต่เสื้อสีเข้มตลอด จนพาลคิดไปว่าตัวเองไม่เหมาะกับเสื้อขาวซะแล้ว” ผมมองคนที่พูดแล้วทำสีหน้ายิ้มน้อยๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดผิดตาไปจากที่ผมเคยชินใส่คู่กับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าคัทชูหนังสีดำ อื้อหือ...แฟนผมน่ากินชิบเป๋ง
“ฟี่” ณัฐเดินเข้ามาหาผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวในระยะแนบชิดจนผมเผลออายไปแว้บหนึ่ง
“อะ..อะไรเหรอ” วันนี้ณัฐมันหล่อจริงๆนะครับ ผมชักจะหายใจไม่ค่อยทั่วท้องแล้วสิ..
“น่ารักจัง” ผึง! เหมือนถูกธนูปักลงกลางหน้าผากเลยครับ ผมร้อนฉ่าที่หน้าขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ ถ้าคุณถูกผู้ชายที่หล่อสุดๆมาพูดแบบนี้กับคุณตรงหน้า โดยที่เขาดึงตัวของคุณให้ไปแนบชิดกับตัวเขาด้วย แถมยังทำตาเล็กตาน้อยตอนพูดอีก
เป็นคุณจะทนได้ไหมครับ?
“ฮื้อ พูดแบบนี้อีกละ อาผึ้งก็คนนึงแล้ว” ผมพูดแล้วจะหันไปค้อนใส่อาผึ้ง แต่ก็หาไม่เจอครับ นี่อาผมอันตรธานหายไปตอนไหนละเนี่ย
“ก็น่ารักจริงๆนะครับ ฟี่เหมาะกับสีอ่อนๆหวานๆแบบนี้ที่สุดเลย”
“อือ รู้แล้วแหละ ออกไปกันได้หรือยัง” ผมรีบตัดบทก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้ครับ เพราะณัฐยิ่งเป็นพวกเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายเสียด้วย...
“หึหึ ไปก็ไป”
ณัฐจูงมือผมเดินออกไปจากบ้านพักชายทะเล ผมยังอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ รีสอร์ทนี้สวยมากเสียจนผมอยากจะติดเกาะไปสักสามปี แน่นอนว่าอภินันทนาการนี้มาจากอาผึ้งของผมที่ให้เหตุผลว่างานแต่งของหลานฉันจะต้องดีที่สุด
ใช่ครับ...งานแต่งงานของผม...กับณัฐ
มันไม่ใช่งานที่จะมีพิธีและการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยหรอกนะครับ ก็แค่การทำพิธีกับบาทหลวง(ที่สนิทกับครอบครัวของอาผึ้งมาเป็นสิบปี เป็นคุณลุงบาทหลวงหน้าตาใจดีเชียวครับ) และงานเลี้ยงภายในหมู่คนสนิทนิดหน่อย ซึ่งอาผึ้งเลือกจองสถานที่ของรีสอร์ทนี้ไว้ ผมพยายามจะถามอาว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่อาก็บอกกับผมว่า ‘ถ้าฟี่จะช่วยจ่าย คงต้องทำงานใช้หนี้อาไปอีกสิบปีแหละ’ เพียงเท่านั้นผมก็เลยคิดว่าไม่ต้องรู้จะดีกว่า
ผมรู้สึกเขินนิดหนึ่งตอนที่ณัฐเดินจูงมือผมออกไปเจอกับผู้คน บรรดาเพื่อนของผมและเพื่อนของเขาจ้องมองมาที่เราเป็นตาเดียว ผมเห็นเชอรี่นั่งอยู่คู่กับอาผึ้ง ผมได้สบตากับเม้งที่มองมายิ้มๆ แล้วผมก็โดนณัฐหยิกมือครับ...ไอ้ขี้หึงเอ๊ย..
เราสองคนตกลงกันว่าจะเดินคู่กันไปหาบาทหลวง จะไม่มีฝ่ายใดที่จะยืนรออีกฝ่ายหนึ่งที่ปลายทาง ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องมาเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียม เราสองคนแค่อยากจะเดินเคียงข้างกันไปก็เท่านั้น
หัวสมองของผมอื้ออึงไปหมด บาทหลวงถามอะไรมาผมก็ไม่ได้ยิน ได้แต่ตอบอืออาไปตามเรื่อง จวบจนตอนที่ณัฐกำลังจะสวมแหวนให้ผมนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำตาของผมร่วงเผาะๆเสียแล้ว
“ผมจะรักคุณไปจนชั่วชีวิต...ของเราทั้งคู่นะครับ” คำสาบานที่หวานที่สุดที่ผมเคยได้ยินพร้อมกับแหวนทองคำขาวที่ไม่มีอะไรประดับนอกจากตัวเรือนสีขาวบริสุทธิ์ถูกสวมเข้าที่นิ้วนางของผมช้าๆ พอณัฐสวมเสร็จ ผมก็หยิบแหวนมาสวมให้ณัฐบ้าง แหวนทองคำขาวที่เหมือนกันเป๊ะยกเว้นขนาดจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเป็นของกันและกัน ณัฐใช้นิ้วเช็ดน้ำตาของผมเบาๆ น่าแปลกที่พอได้สวมแหวนแล้ว จิตใจของผมก็สงบนิ่งขึ้นมาก
”จูบคู่ชีวิตของคุณได้เลยครับ” ผมจับใจความประโยคสุดท้ายที่บาทหลวงพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะสิ่งสุดท้ายที่ติดตรึงใจผมที่สุดคือสัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากของณัฐกำลังถ่ายทอดมาสู่ผม ผมได้ยินเสียงกิ๊วก๊าวเบาๆ เสียงสะอื้นที่น่าจะเป็นของอาผึ้ง และเสียงปรบมือเปาะแปะ
เสร็จจากพิธีผมเดินไปหาพ่อแม่ของณัฐ แม่กับพ่อมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ผมรู้นักว่าเรื่องของเราคงไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะปรับใจได้ในเร็ววัน แต่ผมก็ยังคิดว่ามีสิ่งที่ผมควรจะทำ
“แม่ครับ ผมจะรักณัฐให้มากที่สุด และจะดูแลเขาให้ดี สมกับที่เขาเป็นลูกชายที่แม่และพ่อรักมากนะครับ” พอผมพูดจบผมก็ก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อและแม่ ผมรับรู้ได้ว่ารอบตัวมีเสียงฮือฮา มือของณัฐที่แตะมาที่ไหล่ผม และอีกมือหนึ่งที่ลูบหัวผมเบาๆก่อนจะจับให้ผมเงยหน้าขึ้น
“ดูแลกันให้ดีนะลูก” ประโยคเดียวที่แม่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนปนคราบน้ำตา พ่อยิ้มให้ผมเรียบๆและไม่ได้พูดอะไร แต่แค่นั้นก็มากเพียงพอที่คนอย่างผมจะได้รับแล้ว
“ฟี่ ขอบคุณมากนะ” ณัฐพูดกับผมในคืนนั้น คืน...เอ่อ...ส่งตัว....
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องพ่อกับแม่ไง”
“หือ? ต้องขอบคุณทำไมกัน มันเป็นเรื่องที่ต้องทำนี่นะ...” ผมพูดเขินๆ มันก็น่าเขินหรอกนะ เพราะปรกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรแบบนั้นสักเท่าไร
“ณัฐขอบคุณที่ฟี่ยอมทำเพื่อณัฐ ทำทุกอย่างเพื่อณัฐ ณัฐสัญญานะฟี่ ว่าจะทำตัวให้สมกับความรักที่ฟี่มีให้ กว่าที่เราจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นับจากนี้จะมีแค่เราสองคน จะเป็นเรื่องของเราสองคนนับจากนี้และตลอดไป ณัฐจะไม่มีทางลืมความรู้สึกในวันแรกที่เราคบกัน จะไม่มีทางลืมว่าณัฐรักฟี่แค่ไหน และจะจำเอาไว้ว่าหัวใจของณัฐมีไว้เพื่อใคร”
ผมชอบจังเลย...ที่ณัฐบอกว่านับจากนี้ไปจะเป็นเรื่องของ ‘เราสองคน’ ในที่สุดผมก็ได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาจริงๆสักที ถ้าหากว่าการที่ได้รักใครสักคนอย่างสุดหัวใจแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าชีวิตมีคุณค่า ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญของใครสักคน ผมคงจะรักตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ในเมื่อวันเวลาไม่สามารถย้อนคืนมาได้ ณัฐไม่สามารถแก้ไขอดีตของเขาได้ ผมไม่สามารถแก้ไขอดีตของผมได้ เราสองคนจึงเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปและทำวันปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ...
กลับมา ณ ปัจจุบัน
ทั้งที่เมื่อกี้ผมกำลังคิดเรื่องหวานๆของผมและณัฐตอนวันแต่งงานอยู่ดีๆ และวันนี้ก็ครบรอบที่เราแต่งงานกันมาเก้าปีแล้ว แต่ไอ้ภาพตรงหน้านี่สิ ทำให้ผมหงุดหงิดเสียเหลือเกิน...
“พี่ณัฐใช่ไหมคะ พวกหนูเป็นแฟนคลับของที่ร้านพี่เลยนะ หนูอ่ะ ไปซื้อกาแฟร้านพี่ทุกอาทิตย์เลยนะคะ” เสียงชะนีสาวนับได้หลายตนกำลังเจื้อยแจ้วอยู่รอบๆตัวชายหนุ่มที่สั่งให้ผมนั่งรอเขาที่โต๊ะ
สำหรับ ‘ณัฐ’ ในวัย 35 ปีคงจะต้องนิยามว่าเป็นชายวัยทำงานที่กำลังน่ากินเป็นที่สุด เค้าโครงหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ และร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ กอปรกับการที่ออกมาเปิดร้านกาแฟของตัวเองอย่างเป็นเรื่องราวและมีชื่อเสียงพอสมควรในเรื่องของรสชาติและคนขายรูปหล่อ ก็คงจะเพียงพอให้ผู้หญิงหลายๆคนมาโปรยขนมจีบเป็นประจำ
แต่สำหรับผม คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตของเขามาเก้าปี คนที่ตอนนี้มาฉลองครบรอบแต่งงานบนเกาะเดิมที่เราเคยจัดงานแต่งงานเมื่อคราวนั้น คนที่รู้จักมักคุ้นกับพนักงานหน้าเก่าๆของรีสอร์ทนี้หลายคน คนที่กำลังนั่งเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าจะจัดการชะนีเด็กพวกนั้นยังไงดี...
“เอ่อ...คุณฟี่คะ ผู้จัดการให้นำของหวานมาเสิร์ฟค่ะ” ผมหันไปมองพนักงานประจำร้านอาหารชื่อคุณไพลินที่เคยคุ้นกันประจำแบบงงๆ
“ผมไม่ได้สั่งนะครับ”
“ค่ะ...แต่ว่าผู้จัดการบอกว่าคุณฟี่ชอบช็อกโกแลตมูส...บางทีถ้าทานแล้วอาจจะอารมณ์ดีขึ้น...” ผมเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินคำอธิบายอึกอักจากปากคุณไพลิน อะไรกัน นี่ผมดูเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ขนาดนั้น? ผมหันไปมองณัฐที่สองมือยังถือจานอาหารจากไลน์บุฟเฟต์และรอบกายมีผู้หญิงพวกนั้นห้อมล้อมจนเดินไปไหนไม่ได้...
“งั้นก็ฝากไปขอบคุณผู้จัดการด้วยนะครับ ผมขอไปจัดการธุระก่อน แล้วถึงจะกลับมาทาน” ผมยิ้มให้พนักงานคนนั้นแล้วเดินตรงรี่ไปหาสุดที่รักของผม พอเจ้าตัวดีเห็นผมเดินไปหาก็ทำหน้าเศร้าสร้อยกระดิกหางดิ๊กๆเหมือนหมารอเจ้าของ
“ขอโทษนะครับน้อง” ผมพูดเสียงดังระดับที่จะได้ยินแค่ผม ณัฐ และผู้หญิงพวกนั้น เจ้าหล่อนทั้งหลายหันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจแต่ภายในยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์ประมาณว่า ‘แกเป็นใครยะ?’
“ช่วยหลีกทางให้กับผู้ชายคนนี้ได้ไหมครับ? ไม่ต้องทำหน้างง สุดหล่อคนที่น้องกำลังเอาหน้าอกไปถูแขนเขานั่นแหละ” ผมพูดไปพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อ(?)
“ไม่ทราบว่าคุณจะเข้ามายุ่งอะไรด้วยคะ พวกชั้นก็ไม่ได้ไปคุยกับเขาบนหัวคุณนี่” ชะนีเด็กคนที่เอานมถูแขนณัฐของผมหันมาถามเสียงจิก ผมรู้สึกได้ว่าเส้นความอดทนของผมเริ่มน้อยลงเป็นจำนวนแปรผกผันกับอารมณ์ของผมที่เริ่มพุ่งทะยานทะลุจุดเดือด
“ต้องยุ่งสิครับ เพราะผมอยากจะเตือนคุณด้วยความหวังดี เพราะไม่ว่าคุณจะยั่วยวนเขายังไง เขาก็ไม่มีทางรู้สึกอะไรกับเด็กอย่างคุณคุณหรอก”
“อ๊ะ แกอวดดีมาจากไหนเนี่ย รู้มั้ยว่าชั้นลูกใคร!” เสียงชะนีเด็กเริ่มแหลมมากขึ้น แต่เหมือนกับว่าเพื่อนคนอื่นๆของเด็กนี้จะเริ่มอายจึงไม่กล้าเถียงอะไรกลับได้แต่ยืนเป็นลูกคู่เฉยๆ
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าน้องลูกใคร แต่ที่แน่ๆถ้าพ่อแม่น้องรู้ว่าน้องทำตัวต่ำทรามมายุ่งกับคนรักของคนอื่นแบบนี้เขาต้องไม่ปลื้มแน่เลย” ผมพูดหน้าตาเฉยและรอดูฟีดแบ็กจากชะนีเด็ก ได้ผลครับ หล่อนเริ่มทำหน้าตาตกใจและหันไปมองณัฐที่ยักไหล่ยียวน
“อ๊ะ นี่...นี่ๆๆๆๆๆ คุณเป็นเกย์งั้นเหรอ! ชั้นจะเอาไปแฉ ชั้นจะเอาไปป่าวประกาศให้ทั่วเลยว่าเจ้าของร้านกาแฟมีชื่อเป็นเก๊ย์!!” ท้ายประโยคเจ้าหล่อนเร่งเสียงเสียสูงปรี๊ดจนผมกลัวว่าณัฐของผมจะหูหนวก
“เหอะ เขารู้กันหมดแล้วครับน้อง ผมก็เพิ่งจะเห็นชะนีอย่างน้องเนี่ยแหละเป็นคนแรกที่กล้าเข้ามาอ่อยแฟนผมได้ขนาดนี้ ขอโทษนะครับ อย่างน้องคงไม่มีปัญญาทำให้เขารู้สึกอะไรได้หรอก คนที่จะทำให้เขารู้สึกอะไรได้น่ะมันมีแต่ผมเท่านั้น เพราะฉะนั้นช่วยเอานมของน้องไปอ่อยแฟนคนอื่นเถอะ” ผมเริ่มของขึ้นและด่าชะนีเด็กไปเป็นชุด ไม่น่าเชื่อว่าเด็กนี่จะทำผมเลือดขึ้นหน้าได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยแสดงอาการแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนเลยนะครับ เพราะผมเองก็ชอบผู้หญิงสวยๆ ใครกันละจะไม่ชอบของสวยๆงามๆ แต่กับคนที่นิสัยต่ำแบบนี้ผมไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆครับ
“ฮึ้ยยย อีตุ๊ด! หน้าด้านน่ารังเกียจ แก๊!” ชะนีเด็กคงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพ่นคำผรุสวาทออกมาใส่ผม เพราะตอนนี้คุณสุวิทย์ผู้จัดการรีสอร์ทก็ได้เข้ามาจัดการสงบศึกพร้อมกับเตือนสาวๆเหล่านั้นว่าถ้าไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ก็ให้ย้ายไปพักที่อื่น
“ฮึ้ย! ไม่ต้องมาโดน” ผมยื่นแขนไปผลักไอ้คนที่เดินตามนัวเนียผมมาด้านหลัง พ่อตัวแสบที่ทำสีหน้าระรื่นเหมือนได้ดูละครฉากใหญ่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความหงุดหงิดของผมสักนิด
“ฟี่น่ารักจัง” เหมือนว่าจะยังไม่สำนึก ยังยื่นหน้ามาหอมซอกคอผมโดยไม่อายสายตาผู้คนที่เขามองมาแบบยิ้มๆ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่มันอยากจะทำให้ผมหึง มันอยากให้ผมอาละวาด ไอ้ปิศาจร้าย...
“อ๊ะ...อย่าเพิ่งมากวน คุณพีร์โทรมา” ผมดันณัฐออกห่างแล้วแสร้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อจะกดรับ
“มันโทรมาทำไม” จากเสียงออดอ้อนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินไม้เด็ดของผม คุณพีร์ผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่ของผมและเป็นคนที่มักจะเวียนมาขายขนมจีบให้ผมเวลาที่ณัฐเผลอ
“ไม่รู้สิ ขอไปคุยด้านนอกแล้วกัน” ผมทำเป็นไม่สนใจครับ หมั่นไส้มัน แกล้งผมดีนัก
“ไม่ต้อง ไม่ให้คุย เอาโทรศัพท์มา นี่เรามาฮันนีมูนกันนะที่รัก จะมัวไปคุยโทรศัพท์กับคนอื่นได้ยังไงกัน” สองประโยคสุดท้ายไอ้บ้านี่มันพูดออกมาอย่างดังเลยครับ แขกคนอื่นๆรวมทั้งพนักหงานหันมามองกันหมดเลย ผมละแทบอยากจะมุดดินหนี ทำไมนะ ผมถึงสู้ณัฐไม่ได้สักที
“ไอ้บ้า! ไป กลับห้องเลย ไม่ต้องกินแล้วข้าวน่ะ” ผมกระซิบด่าแล้วรีบเดินหนีกลับห้อง ได้ยินแค่เสียงณัฐหันไปสั่งมื้อเช้าเป็นรูมเซอร์วิสแล้วก็รีบดิ่งกลับห้องเลย อายจนหน้าชาแล้วครับ
“ฟี่ครับ~” เสียงสดใสดังขึ้นหลังจากเสียงปิดประตู ผมเร่งเสียงเพลงในไอพอดให้ดังขึ้นอีกแล้วนั่งกระดิกเท้าอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่มันสวยจริงๆนะครับ อย่างกับอยู่บนสวรรค์แน่ะ
“โกรธณัฐเหรอ หือ? เร่งเสียงเพลงซะดังอีกแล้ว ไม่เอานะเดี๋ยวหูหนวก” จู่ๆณัฐก็กระชากหูฟังออกไปจากหูผมครับ และแทนที่หูฟังก็เป็นลิ้นอุ่นๆที่แตะเลียลงมาแทน
“อ๊า! ไอ้บ้านี่ ทำอะไรกลางวันแสกๆ” ผมดีดตัวหนีแล้วลุกมายืนกุมหูหอบแฮ่กห่างจากณัฐไปสองเมตร
“อ้าว ยังจะมาถามอีก ตรงดิ่งกลับห้องมาแบบนี้ไม่ได้แปลว่าอยากจะทำอะไรงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เฟ้ย คิดอะไรก็เป็นเรื่องบนเตียงไปหมดเลยนะ”
“ถ้าฟี่ไม่ชอบบนเตียงงั้นก็ไปลองในอ่างจากุซซี่ก็ได้นะ”
“อ๊ากกก ไอ้บ้า!!!”
ผมคงได้ตะโกนด่าณัฐอีกไม่กี่คำหรอกครับ เพราะพอรูมเซอร์วิสมาส่ง ณัฐก็หันมาสนใจผมเต็มที่ ก่อนจะกระซิบข้างหูผมด้วยประโยคที่ทำให้ผมใจอ่อนจนได้
“ก็ณัฐรักฟี่นี่นา อยู่ใกล้ฟี่เท่าไร ใกล้ชิดเท่าไรก็ไม่พอสักที ณัฐอยากกินฟี่ไปจนแก่ตายเลยนะ”
อา...แล้วผมก็พลาดอีกแล้วครับ เรียบร้อยโรงเรียนณัฐ....
--------------------- The End ---------------------
ปล.แวะมาแก้คำผิดและปรับเปลี่ยนบางจุดค่ะ
ปล2.และก็จะยอกว่ากำลังคิดตอนพิเศษอยู่นะคะ
ปล3.ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก และทุกคนที่เพิ่งจะมาติดตามอ่านทีหลัง ขอบคุณสำหรับทุกคำติชมและกำลังใจนะคะ ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ -/\-
ตอนพิเศษกำลังเขียนค่ะ บีจัดมาแบบเต็มที่เลย o13
:: คำเตือน ::
ทำใจก่อนอ่านค่ะ ไม่ใช่ NC หรอกนะคะบอกไว้ก่อน = ='
*********************************************************************************************
ผมเกลียดหน้าฝน...
เกลียดเวลาที่ฝนพรำ
เกลียดเวลาที่เห็นน้ำฝนไหลลงมาตามหน้าต่าง
เกลียดฟ้าที่ขมุกขมัว
เกลียดเวลาที่ฝนตกแล้วทำให้ความเหงาทวีอานุภาพมากขึ้น...
การที่ต้องอยู่คนเดียวในวันฝนตกแบบนี้ช่างเป็นอะไรที่ทรมานสุดๆ ซักผ้าก็แล้ว ทำกับข้าวก็แล้ว ทำความสะอาดบ้านก็แล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่างเกินไปอยู่ดี...
คิดถึงณัฐจังเลย...
ฮึก...น้ำตามันจะเล็ด แต่ผมไม่ร้องไห้หรอก เพราะการคิดถึงจะต้องทำให้เรามีพลัง ไม่ใช่ทำให้เราเศร้า...
คุณเคยเป็นไหม บางครั้งที่สภาพดินฟ้าอากาศจะส่งผลกับสภาพจิตใจของคุณ อากาศดี คุณก็อารมณ์ดี อากาศหม่นหมอง คุณก็ซึมเศร้า การที่ฝนตกเหมือนฟ้ารั่วตลอดวันเสาร์อาทิตย์นี้ทำให้ผมหดหู่ขั้นติดลบ เมื่อวานวันเสาร์ วันนี้วันอาทิตย์ ผมไม่ได้ไปไหนเลย แถมณัฐก็ไม่ได้มาหาเพราะว่าติดเรียน ณ ตอนนี้ผมจึงมีเพื่อนอยู่เพียงหนึ่งเดียว...
ก็คือโลกไซเบอร์...
ขอบคุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ทำให้ผมมีเฟซบุ๊คเอาไว้เล่นในยามที่ไม่มีอะไรจะทำ การได้เห็นเพื่อนอัพเดทสถานะก็ทำให้เราได้รู้ความเป็นไปของเพื่อนได้ไม่น้อย อ้อ! ลืมบอกไป ตอนนี้ผมกับณัฐใช้เฟซบุ๊คอันเดียวกันแล้วนะครับ เป็นความคิดของณัฐนั่นแหละ
แต่การเล่นเฟซบุ๊คมันก็เป็นเหมือนดาบสองคม และยิ่งเป็นคนที่มีนิสัยพื้นฐานอยู่บนความวิตกจริตแบบผมด้วยแล้ว... ก็มักจะชอบสอดรู้สอดเห็นจนทำให้ตัวเองเสียใจเล่นๆ...
ผมก็แค่เข้าไปเปิดดูเฟซบุ๊คของแฟนเก่าณัฐ... หรือคนที่เป็นแม่ของลูกเขาแหละครับ...
ไหนลองบอกผมสิว่ามีใครบ้างที่สนิทกับแฟนเก่าของแฟนเรา มันก็คงจะมีบ้างสินะ แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน... บางทีผมก็รู้สึกรังเกียจความคิดของผมที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนว่าเธอทำอะไรผมก็รู้สึกว่ามันไม่เข้าตาไปเสียหมด แต่ถ้าเราจะปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์...มันก็คงไม่ดีใช่ไหมครับ..เราต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้...
ผมไม่ได้เป็น Friend list ของเธอคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ตั้งค่า Privacy เอาไว้แน่นหนานัก ผมจึงสามารถเข้าไปดู Wall และ Photo ของเธอได้ สถานะของเธอไม่ค่อยได้อัพเดทนัก เดือนหนึ่งอัพเดทสักสอง-สามครั้งเท่านั้นเอง ผมเกือบจะคลิกออกไปจากหน้าโพรไฟล์ของเธอแล้ว แต่เหมือนมีมือลึกลับดึงมือผมให้ไปคลิกดูอัลบั้มรูปของเธอซะอย่างนั้น...
สำหรับคนที่มีอัลบั้มรูปในเฟซบุ๊คไม่เยอะ มีการอัพเดทสถานะน้อย เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือมีการอัพเดทก็จะสังเกตได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ตอนนี้สายตาของผมไปสะดุดกับอัลบั้มรูปที่เธอเพิ่งอัพขึ้นไปใหม่...
ชื่ออัลบั้มคือ ดรีมเวิล์ด 3/7/2011
เหอะ...ขนาดคำว่าดรีมเวิลด์ยังสะกดผิดเลยแม่คุณ แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาใส่ใจ รูปโชว์เป็นหน้าอัลบั้มต่างหากที่ดึงดูดใจผมมากกว่า ในรูปที่ถ่ายเอียงๆมีคนสองคนอยู่ในรูปนั้น คนหนึ่งคือเธอ และอีกคนหนึ่งที่ตกขอบรูปไปครึ่งตัว คนที่ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าครึ่งเดียวก็จำได้ทันที คนที่เมื่อวันก่อนยังกอดผมและกระซิบคำว่ารักข้างหูผม...
ทำไมณัฐถึงไปถ่ายรูปกับหล่อนได้...
ผมเลื่อนไปดูรูปอื่นๆ บางรูปก็เป็นรูปณัฐกับลูก บางรูปก็เป็นรูปหล่อนกับลูก บางรูปก็เป็นของทั้งสามคน มือผมเริ่มสั่นเทาขึ้นทีละน้อย อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว สมองผมอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ไปเที่ยวดรีมเวิลด์กันสามคนพ่อแม่ลูกงั้นเหรอ? พ่อแม่ลูกเนี่ยนะ... มันดีมากใช่ไหม? มันดูเป็นครอบครัวมากเลยสินะ... ผมกลับไปที่รูปแรกอีกครั้ง มีสองรูปที่ทิ่มแทงใจผมที่สุด คือรูปที่ณัฐถ่ายคู่กับหล่อน และรูปที่ถ่ายกันสามคน ผมรู้ได้ทันทีว่ารูปที่ณัฐคู่กับหล่อนคงเป็นฝีมือลูกชาย ถ้าไม่ติดว่านั่นคือเด็กที่อายุเพียงห้าขวบ ผมคงจะตบกะโหลกให้ทิ่ม (ณ จุดนี้ผมจะไม่ขอรักษาภาพพจน์อีกแล้วนะครับ...)
ผมเริ่มคิดทบทวน บางทีมันอาจเป็นรูปที่ถ่ายมานานแล้วแต่หล่อนคงเพิ่งจะอัพรูป วันที่ในชื่ออัลบั้มก็บอกว่า 3/7/2011 ถ้าหากเป็นการเขียนวันที่แบบอังกฤษ ก็จะเรียงแบบ วัน/เดือน/ปี ซึ่งก็จะหมายความว่ามันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แต่ถ้าหากว่าเป็นการเขียนวันที่แบบอเมริกัน คือ เดือน/วัน/ปี ก็จะหมายถึง วันที่ 7 เดือน 3 ปี 2554 แต่ผมคิดว่าอย่างหล่อนคงไม่รู้จักการเรียงวันที่แบบอังกฤษหรืออเมริกันหรอก เพราะงั้นมันน่าจะเป็นแบบ วัน/เดือน/ปี ตามที่คนไทยคุ้นเคยแน่นอน(ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะครับถ้าวาจาของผมจะเหมือนกับการดูถูกเธอ...)
ในขณะที่ผมกำลังหาข้อสรุปให้ตัวเองเรื่องวันที่นั้น ผมก็เหลือบเห็นกางเกงตัวที่ณัฐใส่ในรูป ผมจำได้ว่าณัฐซื้อกางเกงตัวนั้นเมื่อเดือนห้าหรือเดือนหกนี่เอง เพราะฉะนั้น กางเกงตัวที่ซื้อในเดือนห้าหรือเดือนหก ไม่มีทางไปอยู่ในรูปภาพที่ถ่ายในเดือนสามแน่นอน มันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แน่นอนครับ...
ตอนนี้เดือนแปด...เหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เดือนนึง ซึ่งผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ยังไงและเมื่อไร ผมคิดหัวแทบแตกว่าวันนั้นคือวันอะไร ปฏิทินถูกผมเปิดแรงจนแทบจะขาด วันที่ 3/7/2011 คือวันอาทิตย์... วันที่ณัฐต้องมีเรียน แต่วันนั้น...มันเป็นวันอะไรนะ...วัน...ผมนึกออกแล้ว...มันคือวันเลือกตั้ง ณัฐไม่มีเรียน และเป็นวันหยุดที่ผมรอคอยตั้งนานที่จะได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งวัน...
ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ 1/7/2011 วันนั้นคือวันศุกร์ วันที่ณัฐมาบอกผมหน้าเศร้าว่าแม่เขาให้ไปช่วยอาย้ายบ้าน ผมใจหายไปแว่บหนึ่งแล้วเขาก็พูดต่อ
“แม่มาถามว่าวันอาทิตย์ณัฐว่างไหม ณัฐก็ไม่ได้คิดอะไรเลยตอบไปว่าว่าง” พอฟังแล้วผมก็จี๊ด... วันที่เราวางแผนว่าจะไปเที่ยวกัน เขากลับบอกแม่เขาว่า ‘ว่าง’ ทั้งที่ผมรอคอยวันนี้มานาน เขากลับทำเหมือนว่ามันไม่สำคัญ...
“ทำไมณัฐถึงพูดแบบนั้น” ผมถามเขาแบบนั้น แล้วผมก็โมโห เราทะเลาะกัน... หรือจะบอกให้ถูกว่าผมโวยวายใส่เขา ณัฐเองก็ขอโทษและอธิบายผมสารพัด จนสุดท้ายผมก็ยอม...ยอมทั้งที่เสียความรู้สึกเหลือเกิน แต่ยังไงก็เป็นเพราะแม่เขาขอร้องนี่นะ...
พอวันอาทิตย์ที่ 3/7/2011 ผมก็นอนตื่นสายๆ เพราะว่าไม่อยากจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในวันหยุดแบบนี้ จนผมตื่นมาตอนเที่ยง เขาก็โทรมาหาผม บอกว่ายังไม่ได้ออกไปเลย รอแม่อยู่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้โทรหาเขาสักครั้งเพราะคิดว่าเขาต้องกำลังยุ่ง ไม่อยากโทรไปรบกวน บ่ายสองก็แล้ว บ่ายสามก็แล้ว จนบ่ายสี่โมงเย็นเขาก็โผล่หน้ามาหาผมและกอดผมพร้อมกับบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปาก ผมเองก็ดีใจที่เขามาจนลืมเรื่องความโกรธไปจนหมด...
จนวันนี้...
ตอนที่ผมนั่งตัวชาบนเก้าอี้คนเดียว มือเลื่อนดูรูปซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมดูรูปหนึ่ง ก็เหมือนเอาตะปูตอกบนหัวใจผมอันหนึ่ง ใจของผมคงจะพรุนไปหมดแล้ว ทำไมกันนะ นี่ผมโดนหลอกงั้นเหรอ? ผมถูกผู้ชายคนที่ผมแสนเชื่อใจโกหกงั้นเหรอ วันเวลาที่ผ่านมาหลังจากวันนั้นเขาอยู่มาได้ยังไงโดยที่มีเรื่องปิดผมอยู่แบบนี้ ผมเองไม่เคยจะมีอะไรปิดบังเขา แต่เขากลับบอกรักผม กอดผม จูบผม ทั้งๆที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ผมเคยไว้ใจณัฐที่สุด
ผมเคยมั่นใจที่สุดว่าณัฐไม่มีทางนอกใจผม
ผมเคยภูมิใจว่าณัฐไม่มีทางโกหกผมแน่นอน
ผมคิดว่าเขารักผมที่สุด...
แต่นี่...เขากำลังเลือกที่จะไปจากผมงั้นเหรอ...
“ฮึก... ทำไมถึงทำแบบนี้กับฟี่...” ผมนั่งยกขึ้นมาและซุกหน้ากับเข่าตัวเอง น้ำตาไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะถามเขาเสียตอนนี้ อยากจะขอคำอธิบาย แต่เพราะผมไม่อยากรบกวนเขา ผมทำทุกอย่างก็คิดถึงเขาเสมอ ไม่เคยอยากให้เขามาลำบากเพราะผม ผมรักเขาจนสุดหัวใจ แต่นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนกับผมใช่ไหม?
โดยที่สติผมขาดๆเกินๆ ผมก็โพสสเตตัสบนเฟซบุ๊คของเราว่า ‘ดรีมเวิลด์ 3/7/2011 สนุกไหม?’ ถ้าณัฐเห็นแบบนี้แล้ว จะทำยังไงนะ...
ผมลุกจากเก้าอี้และไปซุกอยู่ที่โซฟา ผมพยายามจะหยุดร้องไห้ พยายามจะไม่สะอื้น แต่มันก็ยากเหมือนกับห้ามไม่ให้ฝนตก ความเสียใจของผมมันคงมากเกินไป หากผมไม่เคยคาดหวัง หากผมเผื่อใจไว้ ผมก็คงจะไม่ต้องเสียใจแบบนี้ หากผมไม่โง่ หากผมหัดโทรตามจิกเขา มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้... แล้วจะให้ผมทำยังไงได้ ผมรักเขาจนเชื่อใจเขาเสียขนาดนี้...
ผมน่าจะขาดใจตายไปเลย จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องอะไรอีก...
TRrrr… TRrrr…
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมจากฝันร้าย ผมลืมตาขึ้นและรับรู้ได้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ผมยังอยู่ ยังไม่ตาย และเบอร์ที่โทรเข้ามาก็คือเบอร์ของคนที่ทำผมเจ็บสุดหัวใจ...
“ฮัลโหล”
/ฟี่ ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยังครับ/ เสียงณัฐสดใส... ผมรับรู้ทันทีว่าเขาคงยังไม่เห็นสเตตัสของผม...
“กินแล้วสิ” ผมพยายามทำเสียงให้เหมือนปรกติ หากเขาจะหลอกผม ผมก็จะให้ความร่วมมือกับเขาให้ถึงที่สุด อยากทำอะไรกับผมก็เอาเถอะ...ที่รัก...
/ฮื้อ...ทำไมเสียงเหนื่อยๆ ไม่สบายหรือเปล่าฟี่/
“เปล่า...” ไม่ใช่หรอกณัฐ ฟี่ไม่ได้ป่วย แต่กำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว..
/ไม่จริงหรอก ปรกติฟี่ไม่มีน้ำเสียงแบบนี้/
“...งือ...ฟี่ปวดหัวนิดหน่อย...แต่เดี๋ยวก็หาย”
/ไม่สบายมากหรือเปล่า ทำไมไม่โทรหาณัฐละ/
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก จะต้องโทรไปกวนณัฐทำไมละ”
/อย่าพูดแบบนั้นสิฟี่ ณัฐไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ/
ในใจผมตอนนี้มันมีแต่คำว่า ‘ไม่อยากฟัง’ ผมไม่อยากฟังอะไรจากปากเขาอีก อะไรจริง อะไรไม่จริง ผมหมดสติสัมปชัญญะที่จะมาทบทวนแล้ว
“ณัฐ ฟี่อยากนอน ขอวางสายก่อนนะ ตั้งใจเรียนด้วยละ...” ผมคิดว่าผมควรจะวางก่อนที่ผมจะกลั้นร้องไห้ไม่ไหว ผมไม่รอณัฐพูดตอบกลับแล้วชิงวางสายทันที น้ำตาผมไหลอีกแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมหยุดคิด หยุดเศร้า วิธีที่ผมใช้เสมอก็คือการหลับ... เพราะผมจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก...
TRrrr… TRrrr…
โทรศัพท์ผมดังอีกครั้ง ผมดูนาฬิกา บ่ายสามโมง ณัฐโทรมาอีกแล้ว เพิ่งจะวางสายได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ... สัญชาตญาณของผมรับรู้ได้ว่าการที่ณัฐโทรมาคราวนี้ บางที... เขาอาจจะเห็นสเตตัสที่ผมโพสแล้วก็เป็นได้...
“...” ผมรับสาย แต่ไม่ได้พูดอะไร
/...ฮัลโหล...ฟี่../
“อือ...”
/เป็นอะไร... มีอะไรหรือเปล่า/ ชัวร์เลยครับ ณัฐเห็นแล้วแน่ๆ และก็คงรู้ด้วยว่าผมหมายถึงอะไร แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดออกมาตรงๆ เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ เผื่อว่าถ้าผมไม่ได้คิดเรื่องเดียวกับเขา เขาก็คงจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเปิดเผยออกมาสินะ..
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เหนื่อยๆ เพลียๆ”
/...แล้วที่โพสในเฟซบุ๊คน่ะ หมายความว่ายังไง/ เหอะ ผมรู้สึกจี๊ดเลยครับ ยังกล้ามาถามผมกลับใช่ไหม ไม่คิดจะบอกออกมาเองเลยใช่ไหม
“ณัฐลองถามตัวเองเถอะ น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะ” ผมไม่สามารถที่จะคุมน้ำเสียงตัวเองให้คงที่ได้แล้วครับ จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อารมณ์ร้อนค่อนข้างมาก แต่เพราะตามปรกติไม่ค่อยที่จะมีใครมาทำให้ผมโมโห ผมจึงไม่ค่อยได้ระเบิดอารมณ์สักเท่าไร
/ฟี่ไปเห็นอะไรมา ไปเจออะไรมาใช่มั้ย/ น้ำเสียงของณัฐเริ่มร้อนรนขึ้นทุกทีครับ แต่ผมกลับรู้สึกสะใจที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นได้
“ก็แล้วณัฐไปทำอะไรมาล่ะ บอกแล้วไงให้ถามตัวเองดู ทำอะไรมาอย่าคิดว่าฟี่ไม่รู้นะ!” ผมคิดว่าตั้งแต่ที่เราคบกันมาเกือบปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมตวาดและขึ้นเสียงใส่ณัฐ ก็ดีแล้ว ผมอยากจะให้เขารับรู้ได้เหมือนกันว่าการยอมของผมมันมีลิมิต
/ฟี่... ฟังณัฐก่อนได้ไหม ให้ณัฐอธิบายก่อนนะ/ ผมหูอื้อไปหมดแล้วครับ คำอธิบง-อธิบายอะไรผมไม่อยากฟังทั้งนั้น
“ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกณัฐ ณัฐอยากจะทำอะไรก็ทำไป อยากจะไปไหนกับใครก็ไป ไม่ต้องมานึกถึงความรู้สึกฟี่หรอก!”
/ฟี่..จะให้ณัฐไม่แคร์ฟี่ได้ยังไง ขอร้องเถอะ ฟังณัฐหน่อยนะ/
“ถ้าณัฐแคร์ฟี่จริง ห่วงความรู้สึกฟี่จริง ทำไมณัฐไม่คิดก่อนทำ ทำไมณัฐไม่คิดก่อนที่จะปิดบังอะไรฟี่ ไม่ต้องแล้วแหละณัฐ ไม่ต้องมายุ่งกับฟี่! ถ้าณัฐอยากจะไปนักก็ไปเถอะ ปล่อยฟี่ไว้อย่างนี้แหละ” ฮึก... ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว บุญเท่าไรแล้วที่ผมไม่ฟูมฟายออกมา...
/ฟี่ เดี๋ยวณัฐไปหานะ รอณัฐก่อนนะ/ สุดท้ายเขาก็ตัดบทผมเอาดื้อๆ ไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากฟังคำที่เขาจะพูดกับผม ไม่อยากรู้ว่าเขาจะบอกอะไร
ผมกลัวว่าสิ่งที่เขาจะบอกกับผมคือขอเลิก
กลัวเขาจะมาบอกผมว่าเขาจะกลับไปหาครอบครัว
กลัวว่าผมจะต้องทนอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีณัฐ...
ผมไม่มีทางทนได้แน่นอน..
“ถ้าณัฐมา ฟี่ก็จะไป...”
/โธ่ฟี่..ขอร้องละ ณัฐกำลังไป รอนะฟี่ รอนะ/ ผมเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงณัฐเหมือนสะอื้น ผมทำณัฐร้องไห้ ทำณัฐเสียใจ แล้วยังทำให้เขาต้องทิ้งการเรียนมาหาผม ทำไมผมถึงได้เฮงซวยแบบนี้นะ ตัวเองเสียใจคนเดียวก็พอแล้วจะต้องดึงคนอื่นมาอีกทำไม
/ฟี่ ตอบณัฐสิ รอณัฐนะ รอก่อน อย่าไปไหนนะ/
ผมไม่ได้ตอบณัฐไปหรอกครับ ผมกดสายทิ้งแล้วก็นั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียว สมองผมมันย้ำอยู่แต่เรื่องแย่ๆทำนองว่า...
ณัฐจะต้องมาบอกเลิกผม
เขาจะต้องทิ้งผมไป
ทำไมเขาถึงโกหกผม
ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตต่อมาจากวันนั้นได้หน้าตาเฉยทั้งที่มีเรื่องปิดบังผม
ทำไม ’เธอคนนั้น’ ถึงต้องอัพรูปเซ็ตนั้นขึ้น อัพเพื่ออะไร เพื่อจะป่าวประกาศว่าหล่อนไปเที่ยวกับลูกและสามีงั้นเหรอ ถ้าหากมีคนอื่นถามถึงณัฐ หล่อนคงจะบอกว่าเขาเป็นพ่อของลูกสินะ คงจะอ้างได้หน้าตาเฉยสินะ
ทำไม... ผมถึงต้องถูกทำแบบนี้ด้วย... ผมรักณัฐขนาดนี้ แต่ทำไมณัฐถึงเลือกทำสิ่งที่จะทำให้ผมเสียใจ...
ผมลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน ผมขนเสื้อผ้าของณัฐออกมาจากตู้ หากว่าเขามาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เขาจะได้เอาเสื้อผ้าไปได้เลย
ผมเก็บรูปของเขาออกจากทุกๆที่ในบ้าน ผมเก็บหนังสือการ์ตูนของเขา ข้าวของๆเขาใส่ถุงให้
ผมเก็บรูปที่เราถ่ายคู่กันมาแล้วฉีกทิ้ง รูปคู่กันที่ณัฐบอกว่าอยากได้ใบเล็กมาใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ผมก็ไปอัดมาให้ แต่ตอนนี้เขาคงไม่ต้องการอีกแล้ว โน้ตลายมือณัฐที่แปะไว้หน้าตู้เย็นคงจะทำให้ผมแสลงใจในภายหลัง แต่เขาอุตส่าห์เขียนให้ผม เพราะงั้นผมก็จะเอามันคืนให้ณัฐไป
อย่าได้เหลืออะไรให้นึกถึงกันอีกเลย...
ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมก็ได้ยินเสียงคนไขประตูบ้านผมแล้วปิดเสียงดังมาก เสียงณัฐเรียกชื่อผมมาจากชั้นล่าง ผมหิ้วของของเขาแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ณัฐเปียกซ่กเพราะฝนตก หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงรีบเอาผ้าขนหนูแห้งๆมาเช็ดผมให้เขา แต่แค่มองหน้าเขาผมก็จะสติแตกอยู่แล้ว ครั้งนี้มันเจ็บยิ่งกว่าครั้งไหน ผมรู้แล้วว่าทำไมเวลาคนที่เรารักทำให้เราเสียใจ มันถึงเจ็บเจียนตาย...
ก็เพราะว่าเรารักเขามากน่ะสิ การที่เรารักใครมาก คาดหวังมาก เวลาผิดหวังมันก็จะมากทวีคูณไปด้วย
ณัฐโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเดินดิ่งมาหาผม เพียงชั่วแวบเดียวผมก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วถูกอุ้มลงมาจากบันไดเรียบร้อย ผมดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเขา ความรู้สึกของผมคือไม่อยากให้เขามาถูกตัวผมสักนิด แต่ณัฐก็กอดผมเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“ฟี่ ฟังณัฐก่อน ให้ณัฐพูดก่อนเถอะนะ”
“ไม่ต้องหรอกณัฐ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“ทำไมละฟี่ จะให้โอกาสณัฐสักครั้งได้ไหม ขอให้ณัฐได้อธิบายสักนิดได้ไหม” ณัฐพูดไปตาก็แดงก่ำ ผมที่เจ็บปวดใจอยู่แล้ว พอมาเห็นเขาร้องไห้ก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้น... ทำไมผมถึงมีจิตใจอ่อนแอแบบนี้นะ...
“ไม่...” ผมส่ายหัวและดันเขาออก น้ำตาผมก็ไหล น้ำตาเขาก็ไหล ณัฐสะอื้นเบาๆ ผมรับรู้ได้เพราะเขากอดผมไว้แน่นและซุกหน้ากับซอกคอของผม ณัฐจูบที่ซอกคอของผมเหมือนพยายามที่จะปลอบประโลม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการสักนิด
“ณัฐ...อยากจะไปจากฟี่ก็ไปเถอะนะ ฟี่อยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงฟี่หรอก”
“ไม่ใช่นะฟี่ ไม่ใช่เลย ณัฐมีเหตุผล ณัฐมีคำอธิบาย ได้โปรดเถอะฟี่ อย่าผลักไสณัฐไปจากฟี่เลย”
“แล้วทำไมณัฐถึงทำแบบนั้น ถ้าไม่อยากไปจากฟี่แล้วโกหกฟี่ทำไม ณัฐรู้ไหมว่าฟี่ยังจำวันนั้นได้ดี ณัฐบอกฟี่ว่าจะไปไหน ณัฐใส่ชุดอะไร ณัฐกลับมาแล้วมากอดฟี่ทันทีที่เห็นหน้าฟี่ก็จำได้ ณัฐหลอกฟี่ไปแล้วยังกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!!”
“ฟี่..ณัฐก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ ณัฐเจ็บเหมือนกันที่มีเรื่องปิดบังฟี่ ไม่ใช่ว่าณัฐไม่คิดจะบอก ณัฐอยากจะบอกฟี่ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เพราะว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันมันมีความสุขมาก และณัฐก็รู้ว่าฟี่จะเจ็บปวดแค่ไหนถ้าได้รู้ ณัฐถึงได้พูดไม่ออกสักที”
“แล้วฟี่มารู้ทีหลังแบบนี้มันเจ็บน้อยกว่ากันมั้ยยยย!!” ผมตะโกนจนแสบคอไปหมดแล้ว แต่นั่นมันก็ยังไม่สาแก่ใจในการระบายอารมณ์ ถ้าผมไม่ตะโกน และนั่งทำท่านิ่งๆ ผมคงอกแตกตาย
“ไม่...” ณัฐพูดเสียงเศร้าแล้วก้มหน้าไป ผมก็เริ่มรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายซะ เครียดจะเป็นบ้าแล้วร่างกายยังจะมาป่วยอีก
“ฟี่จะกลับบ้าน” พอผมพูดแบบนั้น ณัฐก็เงยหน้ามามองผมเขม็งแล้วส่ายหัว
“บ้านฟี่อยู่นี่ไง”
“จะกลับบ้านอาผึ้ง ไม่อยากอยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่แหละ”
“บอกว่าไม่อยากอยู่ เข้าใจไหมว่าไม่อยากอยู่เลยสักวินาทีเดียว!” ผมตวาดใส่ณัฐ เขาทำหน้าตกใจจนผมรู้สึกผิด แต่อารมณ์โกรธที่เข้ามาครอบงำก็ทำให้ผมไม่สนอะไรทั้งสิ้น
“งั้นฟี่ก็ไปเถอะ... ณัฐคงรั้งฟี่ไว้ไม่ได้หรอก ณัฐคงไม่มีสิทธิ์จะรั้งฟี่แล้วสินะ...แต่ขอให้ฟี่จำไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้ณัฐไม่มีฟี่ ไม่มีใครเลย... ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปหาเขาอีก” พอณัฐพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมที่กำลังจะหันหลังกลับไปเก็บเสื้อผ้าต้องชะงักไปแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้นผมก็เดินต่อไป ผมเดินขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งทางก็...
“ฟี่...” น้ำเสียงเศร้าสร้อยพร้อมกับแรงกอดจากด้านหลัง นี่มันกะจะให้ตกบันไดตายทั้งคู่เลยใช่ไหม...
“...”
“ฟังณัฐก่อนนะ ขอแค่ฟังณัฐก่อน ถ้าฟี่คิดว่าคำอธิบายของณัฐมันยังไม่ดีพอแล้วฟี่ยืนยันที่จะไป ณัฐก็จะไม่รั้งไว้” ผมหันไปมองหน้าณัฐ สมองประมวลผลว่าควรจะทำอย่างไรดี ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้สึกใจเย็นขึ้นมาก เหมือนว่าพอได้ตะโกนแล้วมันก็โล่งขึ้นมากกว่าตอนแรกที่รู้เรื่องใหม่ๆ สมองผมเองก็พร้อมที่จะรับฟังมากขึ้น บวกกับพอเห็นหน้าณัฐ... ผมเชื่อใจเขามาตลอด รู้จักเขามาก็นาน ณัฐเองก็บอกว่าเขามีคำอธิบาย แล้วทำไมผมถึงได้ปล่อยให้อารมณ์โมโหมาครอบงำขนาดนี้นะ ผมถามตัวเองว่าต้องการแน่เหรอที่จะเลิกกัน ผมยอมแน่เหรอที่จะอยู่โดยไม่มีณัฐ ที่ผมไม่อยากฟังณัฐพูด ก็เพราะกลัวว่าเขาจะมาขอเลิกนี่นา แต่ตามจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เขาแสดงออกว่าเขารักผมมาก...ขนาดนั้น...
“ก็พูดมาสิ...” ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ณัฐเองก็แทบจะดึงผมไปนั่งตักอยู่แล้ว ผมจึงต้องถลึงตาใส่เขาเพื่อจะได้รู้ว่าผมรับฟังแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้หรอกนะ...
“แม่ของเขาโทรมาหาแม่ณัฐ” จู่ๆพ่อคุณก็เปิดประเด็นมาแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยครับ
“โทรหาแม่ณัฐ โทรมาทำไม?” ผมขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรที่ได้ยินเรื่องแม่ของผู้หญิงคนนั้น ช่างเป็นแม่ที่ยุ่มย่ามวุ่นวายไม่สิ้นสุดเลยแหละครับ
“โทรมาถาม ว่าทำไมณัฐไม่ไปหาลูกบ้าง” จี๊ดดดดดดดดดดดดด.....พุ่งปรี๊ดเลยครับ ผมหงุดหงิดกับคุณแม่ท่านนี้มานานแล้ว ใจคอนี่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้บ้างหรือไรว่าลูกเขาเลิกกันนานแล้ว
“พอแม่เขาโทรมาอย่างนั้น แม่ณัฐก็เลยตกปากรับคำไป ณัฐเองก็ปฏิเสธไม่ออก เพราะว่าแม่ณัฐสัญญาไปแล้ว” ถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงรูปเซ็ตนั้นครับ อารมณ์ผมเริ่มมาคุอีก ผมเลยสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไปก่อนที่ผมจะสติแตกอีกรอบ
“ณัฐไปแค่สองชั่วโมงเองนะฟี่... รีบไปแล้วก็รีบกลับ”
“วันนั้นคุยอะไรกันบ้าง” ผมถามเสียงต่ำ ไม่ได้จะหาเรื่องหรืออะไร แต่ก็แค่อยากรู้...
“ก็แค่ถามเรื่องยายเขา เห็นว่ายายเขาไม่สบาย ส่วนมากไม่ค่อยได้คุยกันหรอก”
ผมฟังแล้วก็เงียบ คุณคิดว่าในเวลาแค่สองชั่วโมงนั้นมันนานไหม? สำหรับคนรักกัน เวลาสองชั่วโมงเหมือนจะแสนสั้น แต่หากต้องอยู่กับคนที่เราไม่ได้รัก สองชั่วโมงนั้นก็ดูเหมือนจะยาวนาน... ผมยังมีสิ่งที่อยากถามเต็มไปหมด...
“อยากกลับไปอยู่กับลูกไหม” คำถามที่ผมถามเองเรียกน้ำตาให้มาคลอได้เป็นอย่างดี สักพักมันก็ไหลเอ่อออกมา ณัฐแตะปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วพูดเสียงเบา
“ฟี่จะให้ณัฐกลับไปเพื่ออะไร ทุกอย่างมันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม ตรงนั้นมันไม่มีที่สำหรับณัฐอีกแล้ว ที่ของณัฐอยู่ตรงนี้” เขาเอานิ้วจิ้มมาที่อกข้างซ้ายของผม ผมหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ณัฐไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังฟี่แล้วใช่ไหม? ”
“ไม่มีแล้ว แต่ถ้าฟี่จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
ณัฐพูดอย่างนั้น.. แต่..
ผมเชื่อ...
ผมยังคงเชื่อมั่นว่าณัฐไม่ใช่คนชอบโกหก แต่ถึงแม้คำโกหกของณัฐจะเป็น White lies มันก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยเมื่อรู้ความจริง แม้ตอนนี้ผมจะไม่โวยวาย ไม่อาละวาด ไม่ฉุนเฉียว แต่ความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้จะกลับมาดีเหมือนเดิม ผมยังจำความเจ็บปวดตอนที่เห็นรูปพวกนั้นได้ไม่ลืม และคนที่สร้างปัญหานี้ขึ้นก็สมควรที่จะต้องชดใช้
“ณัฐรู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกของฟี่จะไม่มีทางเหมือนเดิม ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไรฟี่ก็จะยังจำได้ว่าณัฐเคยโกหกฟี่ไว้ ฟี่ไม่โกรธที่ณัฐไป แต่ฟี่โกรธที่ณัฐปิดบัง ฟี่รู้สึกเหมือนว่าเป็นไอ้โง่ให้ณัฐหลอก เพราะฉะนั้นฟี่คงไม่สามารถที่จะปรับความรู้สึกกลับมาได้เหมือนเดิมทันที ทีนี้ก็จะเป็นปัญหาของณัฐที่จะต้องเยียวยาความรู้สึกของฟี่ด้วยตัวณัฐเอง”
“อืม” เขาพยักหน้าแล้วก็สวมกอดผม
“ฟี่กอดณัฐหน่อยได้ไหม”
ผมลังเลใจเมื่อได้ยินคำขอนั้น ผมยังรู้สึกตึงๆ ความเสียใจมันมีมากเหลือเกิน แต่บางสิ่งที่เรียกว่าโหยหาก็มากไม่แพ้กัน ความเคยชินที่ได้สัมผัสกันมันยังฝังแน่นในสมองของผม ผมยกแขนขึ้นแล้วโอบรอบแผ่นหลังของณัฐ
“จำไว้นะณัฐ จำความเสียใจของฟี่เอาไว้ จำไว้ว่าฟี่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของณัฐแค่ไหน ความไม่มั่นใจของณัฐ ความลังเลของณัฐมันทำให้ฟี่เจ็บ มันทำให้คนที่ณัฐบอกว่ารักมากต้องเสียใจ หากว่ามันต้องมีครั้งต่อไป เราจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีก” ผมขอภาวนาว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย...
“ถ้าสถานการณ์ของเราสองคนสลับกัน ถ้าณัฐต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของฟี่ ณัฐก็คงเสียใจไม่แพ้กัน ถ้าเป็นณัฐก็คงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ ณัฐขอโทษนะ ณัฐขอร้องฟี่ว่าอย่าจำเรื่องนี้ได้ไหม ลืมมันไปได้ไหม ขอโอกาสให้ณัฐ...”
“ฟี่ไม่ลืมหรอกณัฐ ไม่มีทางลืม แต่ฟี่จะไม่ยอมปล่อยให้มันมาทำร้ายจิตใจฟี่อีก”
“แค่นั้นก็ยังดี” ณัฐยิ้มเศร้า มันยังคงต้องใช้เวลาที่จะปรับความรู้สึกให้คงที่ ผมคิดว่าผมยังคงต้องเศร้าสร้อยไปพักหนึ่ง แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันมันจะต้องดีขึ้น เพราะว่าการที่ผมได้กอดเขาแบบนี้ การที่เราสองคนได้ใกล้ชิดกัน มันเป็นเหมือนยาที่ค่อยสมานแผลใจ และต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญว่าเรารักกันมากแค่ไหน อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำลายความรักลงไป...เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเราเชื่อใจกัน ก็จะต้องผ่านปัญหาไปได้แน่นอน...
ปล.ตอนนี้ผมเกลียดมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่สุดเลยครับ...
------------------------ The End ------------------------
แจ้งค่ะ :: เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่เขาคบกันใหม่ๆนะคะ ไม่ได้เกิดหลังจากแต่งงานแล้ว :L1:
ปล.เชื่อไหมคะ ว่านั่งพิมพ์ตอนนี้ไป บีก็เหมือนใจจะขาดไปด้วย ตอนพิเศษตอนนี้เป็นตอนเดียวที่กินพลังใจบีมากที่สุด ยิ่งเขียนก็ยิ่งหดหู่ สงสารฟี่ค่ะ สงสารมาก แต่เพราะความที่อยากจะให้ทุกคนได้รับรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป หากคุณเป็นคนที่มีความสุขมาก มันก็ต้องมีคนที่เจอแต่เรื่องให้ช้ำใจเสมอ ณัฐอาจจะทำผิด แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ฟี่อาจจะอ่อนแอ แต่ในความอ่อนแอนั้นก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น บีแค่อยากจะนำเสนอความรักในแง่มุมที่หลากหลายค่ะ เพื่อที่จะได้เป็นภูมิต้านทานให้หัวใจของเรามากขึ้น :L2: