ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/11/KNI6ND.png)
-Darin-
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/11/KNIrrJ.jpg)
เรื่องตลกร้ายของ "หญ้า" ชายหนุ่มผู้จริงจังกับชีวิต
ที่ดันไปตกหลุมรักหนุ่มมาดเซอร์ แสนชิล อย่าง "เมฆ" เข้า
สี่ปีในรั้วมหา'ลัย เขาตกหลุมรักเอง และ ตัดใจเอง โดยอีกฝ่ายไม่เคยระแคะระคาย
จนกระทั่งพวกเขาได้มาพบกันอีกครั้งบนรถไฟสายกรุงเทพฯ - เชียงใหม่
ทริปพักผ่อนก่อนเริ่มงาน จึงกลายเป็นทริปตลกร้ายอย่างเหลือเชือ
พระเจ้าจะบังเอิญส่งใครมาเจอผมก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่หมอนี่!!!
• • • • •
"ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม เหมือนนายไม่ดีใจที่เจอฉัน"
"เปล่า"
"แล้วทำไมสายตานายหงุดหงิดขนาดนั้น ฉันคิดมาตลอดว่าถึงไม่สนิทก็เพื่อนกัน ตกลงนายไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างนั้นเหรอ"
!!!
เปรตเอ๊ย! นี่มันสายตาของคนที่หลงรักนาย พยายามห่างนาย แล้วเสือกมาเจอนายโว้ยยย
#จากปลายหญ้าถึงก้อนเมฆ
Gravity Series เพราะแรงดึงดูด
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/11/KNMnJk.png)
•.★* สารบัญ *★.•
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3991437#msg3991437)
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3991678#msg3991678) ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3991928#msg3991928) ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3993118#msg3993118)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3993873#msg3993873) ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3994090#msg3994090) ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3994357#msg3994357)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3995096#msg3995096) ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3995498#msg3995498) ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3996045#msg3996045)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3996308#msg3996308) ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3996568#msg3996568) ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3997275#msg3997275)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3997522#msg3997522) ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3998521#msg3998521) ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3999061#msg3999061)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3999202#msg3999202) ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3999717#msg3999717) ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg3999939#msg3999939)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4000173#msg4000173) ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4000310#msg4000310) ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4000541#msg4000541)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4000714#msg4000714) ตอนที่ 23 [End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4000928#msg4000928)
Special Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4002249#msg4002249) Special Part [End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70657.msg4002434#msg4002434)
*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*.:。✿*
ตอนที่ 1
เซอร์ไอแซก นิวตัน
ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าความไว้ใจนั้นอาจไม่มีอยู่จริง
เจ็ดนาฬิกาสิบห้านาที ผมเก้าวเท้าลงจากรถไฟที่สถานีเด่นชัยพร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ และสัมภาระเดินได้ที่ได้มาด้วยความบังเอิญ บริษัทรถเช่าที่ผมติดต่อไว้มารออยู่แล้ว เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลาผมก็ได้รับโทรศัพท์ทันที ผมเซ็นเอกสาร ตรวจสภาพรถคร่าวๆ และรับกุญแจมาจากพนักงาน ก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวจากไป
“เดี๋ยวขับเอง” กุญแจรถในมือถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย ผมมองร่างสูงด้วยสายตาพิจารณา
“เมฆไม่ได้เช่ารถไว้เหรอ”
“เปล่า กะจะขึ้นสองแถวเข้าไปในตัวเมืองแล้วต่อรถทัวร์ไปน่านอีกที”
“ทำไมไม่เช่ารถ สะดวกกว่ากันเยอะ”
“ไม่รู้สิ” ร่างสูงยักไหล่ “พี่เชษฐ์แนะนำไว้แบบนี้ตอนที่โทรไปถาม แกเคยมาเที่ยวแล้ว”
“พี่เชษฐ์?”
“ใช่ นายจำพี่เชษฐ์ได้ไหมเป็นรุ่นพี่เราสองปี อยู่ภาคเดียวกับนาย”
ทำไมผมจะจำพี่เชษฐ์ไม่ได้ ในเมื่อเป็นรุ่นพี่ที่ผมสนิทมากที่สุด แต่ที่ไม่รู้ก็คือไอ้พี่เชษฐ์เป็นคนไว้ใจไม่ได้!!
“ไปน่านสิเอ็งน่าจะชอบ ถ้าให้ดีเอ็งขึ้นรถไฟไปลงเด่นชัยแล้วเช่ารถขับไป ได้บรรยากาศกว่าเยอะ”
“เดี๋ยวข้าช่วยจองตั๋วรถไฟให้กับติดต่อรถเช่าให้ เอาบริษัทที่ข้าเคยใช้ รับรองรถใหม่เอี่ยม”
ผมก็เพิ่งรู้วันนี้ว่ามีรุ่นพี่เป็นถึงเซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้คิดค้นกฎความโน้มถ่วง เพียงแต่ผมไม่ใช่แอปเปิ้ล แล้วหมอนี่ก็ไม่ใช่โลก จะโดนดึงดูดเข้าหากันแบบนี้ไม่ได้
“หญ้า”
“หือ?” ผมกะพริบตาสองสามที ดันเผลอใช้ความคิดจนลืมว่ายืนอยู่กับอีกคน
“จะไปเลยไหม”
“อ๋อ..อืม” ผมพยักหน้า เดินอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับ ในสมองคิดแค่เรื่องเดียว กลับไปตายแน่ไอ้พี่เชษฐ์!
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวจริงๆ ที่ผมปล่อยให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือการควบคุม เพียงครั้งเดียวที่เมามายจนขาดสติ เผอเรอพูดความในใจออกไปกับรุ่นพี่คนสนิท ผลของการกระทำในวันนั้นกำลังส่งผลกับผมในวันนี้ สงสัยว่าเซอร์ไอแซก นิวตันอาจจะไม่เข้าใจคำว่า ‘ผมตัดใจได้แล้ว’
• • • • •
รถซีดานสีดำขนาดพันสี่ร้อยเก้าสิบเจ็ดซีซีขับออกจากสถานีรถไฟเด่นชัย กระจกหน้าต่างทั้งสองข้างถูกลดลง ลมเย็นภายนอกพัดผ่านเข้ามา
“ไปไหนก่อนดี”
ผมสบตากับดวงตาของคนอารมณ์ดีด้วยใบหน้าของคนที่เพิ่งทำโบท็อกมา คนเพิ่งรู้ว่าโดนหักหลังมาใหม่ๆ มันก็จะประมาณนี้แหละ
“หากาแฟดื่ม”
“ติดกาแฟเหมือนกันเหรอ”
“อืม”
“แล้วหญ้าวางแพลนไว้ว่าคืนแรกจะพักที่ไหน จะได้ขับไปทางนั้น”
“ไม่ได้คิด”
“ไม่ได้คิด?” คิ้วหนาเลิกขึ้น
“ทำไมต้องแปลกใจด้วย”
"ผมคิดว่าอย่างหญ้าน่าจะวางโปรแกรมมาเป๊ะๆ น่ะสิ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มกว้าง “พักที่ไหน เที่ยวที่ไหน ตื่นกี่โมง กินกี่โมง นอนกี่โมง”
“แบบนั้นก็เกินไป”
“หึๆ”
“คราวนี้ผมไม่ได้คิดไว้ กะว่าเห็นที่ไหนน่าพักก็พัก แล้วเมฆล่ะแพลนไว้ยังไง”
“ไม่มี มีแค่ที่ๆ ผมอยากไป แต่ไม่ได้คิดไว้ว่าจะพักที่ไหน”
“ผม?” ผมเลิกคิ้วขึ้น เพิ่งสะดุดหูว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองจากฉันเป็นผม
“ก็หญ้าพูดสุภาพกับผม” ดวงตายาวเรียวหันมามองพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เห็นจำเป็นเลย” ผมพูดเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากการหากาแฟดื่มก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“อืม” ผมพยักหน้า ในหัวก็เริ่มวางโปรแกรมคร่าวๆ เริ่มจากแวะหากาแฟดื่มก่อน เสร็จแล้วก็หาที่พักจะได้อาบน้ำให้สบายตัว หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที
หนึ่ง
สอง
สาม
ผมนับจนถึงร้านที่สาม จึงหันไปถามคนขับที่กำลังรื่มรมย์กับวิวสองข้างทาง ต้นไม้สีเขียว ลมเย็นๆ และเพลงที่เปิดฟัง
“เราผ่านร้านกาแฟมาสามร้านแล้ว” ผมอยากถามว่าไม่เห็นเหรอแต่กลัวจะไม่สุภาพ
“เห็นแล้ว” เมฆหันมาส่งยิ้มให้
“แล้วไม่แวะเหรอ ร้านก็ดูโอเคดี”
“ไปนั่งดื่มกาแฟกลางทุ่งนากันดีกว่า”
“กลางทุ่งนา?” ผมถามด้วยความสนใจ
”ใช่ อยู่ที่อำเภอปัว เห็นจากรูปที่พี่เชษฐ์ถ่ายมา สวยดี”
“เอาสิ” ผมพยักหน้า ก็ดีเหมือนกันเพราะทริปนี้ผมอยากมาสัมผัสกับธรรมชาติให้มากที่สุดอยู่แล้ว
เกือบสองชั่วโมงจากสถานีรถไฟเด่นชัยถึงจังหวัดน่านและรถยังคงวิ่งต่อไป
“ยังไม่ถึงอีกเหรอ” ในที่สุดผมก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“อีกสักชั่วโมงครึ่งมั้ง”
ชั่วโมงครึ่ง!
“หิวหรือเปล่า”
ผมหันขวับไปมองคนพูด แปลกใจนิดหน่อยที่คนเราสามารถอยากบีบคอคนที่ตัวเองรักได้
“ไม่หิว แค่อยากดื่มกาแฟ” ผมแทบจะได้ยินเสียงกัดฟันกรอดลอดออกมาจากลำคอของตัวเอง
“คิดอยู่เหมือนกันว่าจะแวะ แต่ไม่อยากให้หญ้ากินกาแฟติดกันสองแก้ว รออีกนิดไหวไหม”
น้ำเสียงและดวงตาอ่อนโยนที่หันมามอง ทำให้ใจอ่อนยวบทันที
“อืม”
คำว่าแพ้คงเขียนติดอยู่กลางหน้าผากผม
• • • • •
สีเขียวของทุ่งนาที่กว้างสุดลูกหูลูกตากับลมพัดเอื่อยๆ ทำให้หลงลืมความคิดก่อนหน้าไปสิ้น รู้แล้วว่าทำไมเมฆถึงอยากมาดื่มกาแฟที่นี่
“คืนนี้ค้างแถวนี้ไหม เมื่อกี้ถามพี่เจ้าของร้านมา บอกว่าเลยออกไปหน่อยมีโฮมสเตย์บรรยากาศดี อยู่ติดกับทุ่งนาเลย”
“เอาสิ” ผมเห็นด้วย เพราะนึกชอบบรรยากาศตรงหน้า ถ้าได้ตื่นมาดูวิวแบบนี้ก็คงดี
“หญ้าได้งานหรือยัง”
“ได้แล้วเริ่มต้นเดือนหน้า เมฆล่ะ”
“ยังไม่ทำ คิดว่าจะเที่ยวอีกสักพัก อาจจะสักปีหนึ่ง”
“น่าอิจฉา”
“อิจฉาทำไม หญ้าก็เที่ยวได้ถ้าอยากจะเที่ยว”
“อย่าเลย รบกวนเงินพ่อแม่มานานแล้ว”
“หญ้าพูดแบบนี้ชักรู้สึกผิด” คนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ ผมไม่เคยเบื่อที่จะมองมันเลย
“ไม่เห็นต้องรู้สึกผิด เมฆไม่ได้ทำให้พ่อแม่เหนื่อยเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ”
จากข่าวที่ได้ยินมา แม้ครอบครัวของเมฆไม่ได้ร่ำรวยถึงระดับเศรษฐีแต่ก็มีฐานะ พ่อของเมฆเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกเล็กๆ เป็นธุรกิจภายในครอบครัว และถ้าผมเดาไม่ผิดเมฆคงทำงานกับครอบครัว
“หญ้ามีแฟนหรือยัง เหมือนผมไม่เคยเห็นหญ้าควงใครเลย”
“ต้องตอบด้วยเหรอ ผมว่าเมฆตอบคำถามแทนผมในตัวแล้วนะ” ผมหัวเราะเพราะขำคำถาม ก่อนชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายของอีกฝ่าย
“ยิ้มอะไร”
“แค่คิดว่าหญ้าหัวเราะแล้วน่ารักดี”
“ผมควรดีใจไหมที่มีผู้ชายชมว่าน่ารัก”
“หึๆ”
ใช่ ผมไม่ควรดีใจ และไม่ควรใจเต้นตึกตักแบบนี้ด้วย ‘เอ็งตัดใจได้แล้ว’ ท่องเข้าไว้
“แล้วเมฆล่ะ ไม่เจอกันเกือบห้าเดือนมีแฟนหรือยัง”
“เราไม่เจอกันห้าเดือนแล้วเหรอ? สมกับเป็นหญ้า ความจำดีจริงๆ”
ผมเม้มปากเข้าหากัน นึกเจ็บใจที่สมองบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแม่นยำ
“ก็ครั้งสุดท้ายตอนนัดเลี้ยงจบของคณะ ใครจะจำไม่ได้”
“ผมไง” รอยยิ้มของเมฆคลี่ออกกว้าง “ชักอยากรู้แล้วสิ”
“อะไร”
“ถ้าผมอยู่ใกล้คนฉลาดมากๆ จะฉลาดขึ้นไหม”
“ขอบคุณที่ชม”
“หึๆ ผมไม่ได้ชมมันเรื่องจริง”
“ก็ขอบคุณอยู่ดี แต่ตอนนี้ผมเหนียวตัวอยากอาบน้ำ ไปที่พักกันเลยไหม”
ผมชวนเมฆ เพราะถ้าวิวที่บ้านพักเหมือนที่นี่ ผมก็อยากไปพักผ่อนมากกว่า
“เอาสิ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ผมมองแผ่นหลังของเมฆที่เดินนำอยู่ตรงหน้า เป็นแผ่นหลังที่คุ้นตา เป็นตำแหน่งเดินที่คุ้นชิน ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวินาทีนี้ผมน่าจะคุยกับเมฆมากกว่าสี่ปีรวมกันแล้วมั้ง ดังนั้นถ้าผมจะขออะไรได้สักอย่างตอนนี้ ก็ขอให้หลังจากผ่านหกคืนเจ็ดวันนี้ไปแล้ว ผมยังคุ้นชินกับตำแหน่งเดิม อย่าให้หัวใจพาตัวเองไปไกลกว่านี้ก็พอ
• • • • •
“ห้องเดียว?”
นั่นคือเสียงแหกปากของผม แม้ความจริงแล้วสิ่งที่เมฆเห็นมีเพียงคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“ใช่ ก็เรามากันแค่สองคน”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ เริ่มเห็นถึงความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมนอนกรน”
“หญ้ากรนด้วยเหรอ”
“อืม เปิดสองห้องเถอะผมเกรงใจ”
“เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา ผมเป็นคนหลับง่ายหญ้ากรนได้ตามสบาย ไม่ต้องเปิดสองห้องให้เสียเงิน”
“....”
ผมอยากตบกะโหลกตัวเอง น่าจะบอกไปเลยว่าอยากเป็นส่วนตัว ถ้าพูดตอนนี้หลังอ้างเรื่องกรนไปแล้วคงดูไม่ดีเท่าไหร่
“ตามมา”
ผมจะทำอะไรได้ นอกจากเดินคอตกตามหลังเมฆไป
“อาบด้วยกันไหม”
!!!
ผมส่ายศีรษะไปมา ไร้ซึ่งคำพูด ร่างสูงยืนโดดเด่นอยู่ตรงหน้า ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงกางเกงยีนส์เอวต่ำ ที่ต่ำมากจนเห็นวีเชฟชัดเจน
“งั้นหญ้าอาบก่อนไหม ผมอาบทีหลังได้”
สายตาเจ้ากรรมดันมองต่ำไปตามมือของอีกฝ่าย ผมกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติเมื่อนิ้วของเมฆปลดกระดุมกางเกงยีนส์ออก ก่อนที่ซิปจะถูกรูดลงผมก็คว้าผ้าเช็ดตัวกับเสื้อยืดในกระเป๋า พูดเร็วๆ ว่าขออาบก่อนแล้วเผ่นเข้าห้องน้ำ ปิดประตูตามหลังดังโครม ก่อนจะนึกได้ว่าเดี๋ยวออกไปก็ต้องเห็นอยู่ดี
ไอ้โง่เอ๊ยยยย!!
มาคิดดูแล้วไม่ใช่เรื่องห้องหรอกที่ผมควรปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ความจริงผมควรปฏิเสธตั้งแต่อีกฝ่ายชวนเที่ยวด้วยกันแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยว่าตกลงผมฉลาดหรือโง่กันแน่
หรือว่า...ผมโง่เฉพาะเวลาอยู่กับหมอนี่
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 2
ในคืนที่นอนไม่หลับ
“พี่เชษฐ์!”
“ฮ่าๆ มาแบบนี้แสดงว่าพวกเอ็งเจอกันใช่ไหม” เสียงหัวเราะร่วนดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ ดูเหมือนปลายสายจะไม่รู้สึกรู้สมกับความโกรธของผม โชคยังดีที่เมื่อผมอาบน้ำออกมาเมฆมีผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้เรียบร้อย ผมจึงอาศัยตอนที่เมฆเข้าไปอาบน้ำโทรหาท่านเซอร์ไอแซก นิวตัน
“สนุกมากไหมพี่”
“สนุกอะไรวะ ข้าทำเพื่อเอ็งเลยนะเว้ย ไอ้เมฆมันโทรมาถามเรื่องไปน่าน เพราะข้าเคยฝอยกับมันไว้เยอะ พอข้าเจอเอ็ง เอ็งก็ดันบอกว่าจะไปเที่ยวภูเก็ตพอดี ข้าก็เลยอุ้มสมให้ซะเลย”
“มันไม่ขำ”
“ก็ไม่ได้จะให้เอ็งขำ จะให้เอ็งปล้ำมัน”
ผมถอนหายใจดังเฮือก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปลายสายจะได้ยินเต็มสองหู
“ตอบผมมาห้ามโกหกเป็นอันขาด พี่ได้บอกเรื่องผมกับเมฆไหม”
“ใครจะบอกวะ ข้ารู้สิว่าอะไรควรไม่ควร เอาน่า เอ็งคิดดูนะถึงข้าจะช่วยจัดการนิดๆ หน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะบังคับพวกเอ็งไปด้วยกันได้ ไม่คิดว่ามันเป็นพรหมลิขิตเหรอวะ”
พรหมลิขิตที่ไหน มีแค่หัวใจผมนี่แหละที่ห้ามไม่ได้ มันถึงต้องมาติดอยู่ด้วยกันแบบนี้
“ช่างมันเถอะ พี่ใช้ชีวิตให้มีความสุขแล้วกัน ผมกลับไปถึงแล้วพี่จะได้ไม่เสียดาย”
“โห ไอ้...”
ผมกดตัดสาย ยอมเสียมารยาทกับรุ่นพี่สักวัน นี่ยังถือว่าน้อย กลับไปเห็นทีว่าต้องคุยกันยาว
• • • • •
“ไม่ง่วงเหรอ”
ผมหันไปมองร่างสูงของเมฆที่ยืนอยู่ตรงประตู หลังจากท้องฟ้าเริ่มมืดผมออกมานั่งรับลมที่ระเบียง
“ยัง” ผมเลิกสนใจอีกฝ่าย สายตาจับจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ดาวสวยนะ”
แม้ไม่หันไปมองผมก็รู้ว่าเก้าอี้ที่วางอยู่คู่กันถูกจับจอง
“อืม”
“เคยเห็นทางช้างเผือกไหม”
“ไม่เคย” ผมส่ายศีรษะ ผมเป็นพวกเที่ยวซ้ำๆ หัวหิน พัทยา ภูเก็ต อยุธยา เขาใหญ่ ไม่ต้องถามถึงการผจญภัย เต็มที่ของผมคือการออกไปหาของกินที่ตลาด กับไปถ่ายรูปในที่ๆ คนหมู่มากชอบไปกัน
“อยากเห็นไหม”
ผมหันไปมองคนถาม สายตาของเมฆมองตรงขึ้นไปยังท้องฟ้า จึงเป็นโอกาสให้ผมได้ลอบมองใบหน้าของอีกฝ่าย ผมไม่เคยเห็นเมฆใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลย
!!!
จู่ๆ สายตาที่จับจ้องไปบนท้องฟ้าก็หันมาสบตากับผม
“อะไร?”
“อะไร” อาการของผมไม่ต่างจากคนทำผิดแล้วถูกจับได้
“หญ้าไมได้จะพูดอะไรกับผมเหรอ”
“อ๋อ” ผมกลืนน้ำลายลงคอ “จะถามว่า..” ว่าอะไรล่ะ “ว่าจะพาไปดูเหรอ” มันคิดได้แค่นี้จริงๆ
“ก็ถ้าอยากไป”
“ไปดูที่ไหน”
“ดอยเสมอดาว”
“อ๋อ ผมเคยอ่านผ่านตา ยังคิดอยู่ว่าชื่อโรแมนติกดี”
“ไม่ได้โรแมนติกแค่ชื่อ ที่นั่นตอนเช้ามีทะเลหมอก กลางคืนมีทะเลดาว เราจะได้เห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและเห็นพระอาทิตย์ตก”
“เคยไปแล้วเหรอ” แค่นึกภาพตามผมก็อยากไปแล้ว
“ยัง”
ผมอ้าปากค้าง ดวงตาของเมฆเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้มขำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขำอะไร ก็คงขำสีหน้าผมนี่แหละ
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจ ผมจึงหันหน้ากลับมา เปลี่ยนปลายทางของสายตาเป็นทุ่งนาข้างหน้าแทน แกล้งถอนหายใจหนักๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ผมฟังตั้งนานที่ไหนได้...”
“เอาน่า ถึงไม่เคยไปผมก็หาข้อมูลมาอย่างดี รับรองว่าไม่พาหญ้าไปหลง มีที่พัก ที่กินแน่นอน”
คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน ค่อยๆ หันไปจ้องหน้าคนพูด เมฆเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผม
“เมื่อกี้เมฆบอกว่าถ้าผมอยากไปใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วถ้าผมไม่สนใจ”
ริมฝีปากของเมฆยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาที่มองผมฉายแววร้ายกาจ “ผมก็พาไปอยู่ดี”
นั่นไง! เช็คมาละเอียดขนาดนี้ ยังทำเนียนมาถามผมว่าอยากไปไหม
“จะไม่ไปด้วยกันเหรอ”
ผมไม่แน่ใจว่าที่โฮมสเตย์นี้มีผีไหม แต่ที่รู้ๆ คือผมมีสิ่งที่ตามหลอกหลอนเป็นของตัวเอง ดวงตาแบบนี้ รอยยิ้มแบบนี้....
“ก็ได้ ”
ไม่รอด!
“พรุ่งนี้ออกจากนี้สายๆ ไปค้างสักสองคืนดีไหม”
“อืม” ผมพยักหน้า
“งั้นก็เอาตามนี้ เข้าไปข้างในกันเถอะแมลงเริ่มเยอะแล้ว”
“เมฆเข้าไปก่อนเถอะ ผมจะนั่งอีกสักพัก” บอกตรงๆ ว่าการอยู่ในห้องนอนสองคนกับเมฆเป็นสิ่งที่ผมยังทำใจไม่ได้
“ไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยดู”
!! หัวใจของผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เมื่อถูกมือใหญ่ของเมฆคว้าข้อมือดึงให้ลุกขึ้น
“มาเป็นไข้เลือดออกอยู่ที่นี่ไม่ดีแน่”
“ไม่เห็นมียุง” ผมบ่นพึมพำ แต่ก็จำยอมเดินตามแรงดึงของอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เพราะแรงมากกว่าเหรอ เปล่า เพราะแค่โดนจับข้อมือแข้งขาผมก็อ่อนแรงแล้ว
“เบียร์ไหม” กระป๋องเบียร์ถูกยกขึ้น ผมส่ายศีรษะไปมา
“ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”
ร่างสูงยักไหล่ ยกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นดื่ม ผมมองลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงแล้วเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่ออีกฝ่ายลดกระป๋องเบียร์ลง
“เมฆ ผมถามอะไรหน่อยสิ” ผมเรียกอีกฝ่ายเมื่อคิดขึ้นได้
“ว่ามาสิ” ร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนนั่งลงข้างผม บนเตียงของผม! เตียงฝั่งโน้นก็มีให้นั่งโว้ย
“จะถามอะไร” เมฆถามย้ำเมื่อเห็นผมนั่งโง่ๆ โดยไม่พูดอะไร
“อ๋อ จะถามว่าเมฆสนิทกับพี่เชษฐ์เหรอ หรือแค่รู้จักกัน”
แน่ล่ะว่าหลังจากโดนทักหลังไปหนึ่งครั้ง ผมไม่มีทางเชื่อใจรุ่นพี่ที่รักอีก ขอเช็คสักนิดเพื่อความอุ่นใจ
“สนิท”
ไอ้พี่เชษฐ์ไม่เคยบอกกันเลย! แต่ถามว่าผมแปลกใจมากไหม เอาจริงๆ ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะเมฆเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย เพื่อนเยอะ รุ่นพี่รัก อาจารย์รัก เพราะบุคลิกสบายๆ ของอีกฝ่าย
“ถามทำไมเหรอ”
“เปล่า เห็นคนละรุ่น คนละภาค เลยแปลกใจนิดหน่อยที่เมฆพูดเหมือนสนิทกับพี่เชษฐ์”
“เจอกันบ่อยตามวงเหล้าก็เลยสนิทกัน”
“อ๋อ”
“ไม่เคยเห็นหญ้าไปสักครั้ง ไม่แปลกที่ไม่รู้”
“ก็ผมไม่ดื่ม”
“สมกับเป็นนักศึกษาดีเด่น หญ้าได้เกียรตินิยมด้วยใช่ไหม”
“อืม”
“เก่ง ของผมร่อแร่แต่ก็จบจนได้”
“ร่อแร่ที่ไหน”
“หญ้ารู้ได้ยังไง”
ซวยแล้ว!!!
“ก็..หน้าตาแบบนี้คงไม่โง่”
“หึๆ ตกลงหญ้ากำลังชมผม หรือหลอกด่าผมกันแน่”
“ต้องชมสิ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
“ขอบคุณ” เสียงทุ้มนุ่มหู ดวงตาที่มองมาอ่อนโยน แต่ช่างไม่อ่อนโยนกับหัวใจของผมเอาเสียเลย มันยังทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อเข่าของอีกฝ่ายแตะอยู่กับต้นขาของผม
“ผมอยากถามแค่นี้แหละ แค่แปลกใจน่ะไม่มีอะไร”
“อืม” เมฆพยักหน้า
“....”
“....”
“ไม่กลับไปเหรอ”
“กลับไปไหน?” เมฆเลิกคิ้วขึ้น
ผมชี้นิ้วไปทางเตียงที่ว่างอยู่
“ยังไม่ง่วง”
ผมมองคนไม่ง่วงเอนหลังลงนอนบนเตียงของผมหน้าตาเฉย มือข้างหนึ่งรองศีรษะ อีกข้างจับกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่บนอก
“แปลกดีนะว่าไหม สี่ปีเราแทบจะคุยกันนับครั้งได้ ตอนนี้กลับมาเที่ยวด้วยกัน”
“ก็เมฆเป็นคนชวนผมเอง”
“จะบอกว่าอยากปฏิเสธแต่เกรงใจใช่ไหม”
ผมเม้มปากเข้าหากัน
“หึๆ โลกมันก็กลมแบบนี้”
ผมอยากบอกเหลือเกินว่าโลกไม่ได้กลมหรอก พอๆ กับที่หัวของพี่เชษฐ์จะเลิกกลมทันทีที่ผมกลับไป
“มีเพื่อนดีกว่าไม่มี ถึงเราไม่สนิทกันก็เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้า
“เที่ยวคนเดียวเหงานะ”
“ได้ข่าวว่าเมฆชอบเที่ยวคนเดียว”
ผมกัดปากตัวเองแทบไม่ทัน โชคดีที่อีกฝ่ายปล่อยผ่านไป
“ก็เพราะเที่ยวคนเดียวบ่อยๆ ถึงรู้ว่าบางทีมันก็เหงา” ดวงตาที่มองกระป๋องเบียร์เงยขึ้นมองผม ริมฝีปากยกยิ้มบาง “ดีแล้วที่ได้เจอกัน”
ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศ ที่มีแต่เธอมีแต่เธอ เธอไม่ต้องกลัว
ฉันจะพาเธอลอย ล่องไปในอันตราย จะมีแต่เธอมีแต่เธอ แต่ไม่ต้องกลัว
ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวง เหมือนคนพูดกำลังร้องเพลงนี้ไม่มีผิด
“หญ้า” มือที่สวยเกินหน้าเกินตายกขึ้นโบกเมื่อเห็นผมนั่งเอ๋อ หมดกันภาพลักษณ์ของผม
“อะไร” การใช้น้ำเสียงรำคาญนิดๆ ช่วยปกปิดความรู้สึกได้เสมอ
“หึๆ”
แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด เพราะดวงตาที่มองมาเป็นประกายรู้ทัน
“ขอลองหน่อยสิ” เมื่อไม่รู้จะข่มความอายยังไง ผมจึงคว้ากระป๋องเบียร์ของเมฆมาถือ ยกขึ้นดื่มเข้าไปหลายอึกก่อนจะสำลักและตามด้วยเสียงไอติดๆ กันจนหน้าแดง
เมฆรีบลุกขึ้นนั่ง ดึงกระป๋องเบียร์ไปจากมือผม
“ดื่มแบบนั้นก็สำลักพอดี”
มือใหญ่ลูบลงบนหลังของผม ความร้อนค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่าง ผมรีบขยับตัวออกห่าง
“ผมแค่ไม่ชินรสมัน ขมชะมัด” ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก ดวงตาของเมฆมองตาม จู่ๆ ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายก็ปรากฎรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“แบบนี้เรียกจูบทางอ้อมใช่ไหม”
แค่กแค่ก แค่กแค่ก คราวนี้ผมสำลักน้ำลายตัวเองแทน เมฆหงายหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง
“หญ้าตลกชะมัด เป็นคนจริงจังตลอดเวลาเลยเหรอ”
“เรื่องของผม”
“หึๆ”
“กลับไปเตียงตัวเองได้แล้ว ผมจะนอน”
คราวนี้เมฆยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ผมเองก็ลุกเช่นกัน รีบเดินไปเข้าห้องน้ำเพราะอยากซ่อนสีหน้าของตัวเอง
ผมใช้เวลาแปรงฟันอยู่นาน นานกว่าทุกๆ วัน จนแน่ใจว่าหัวใจเต้นในอัตราที่ไม่ก่อให้เกิดพิรุธจึงเดินออกมา สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเจอเมฆยืนอยู่หน้าห้องน้ำพอดี
“นึกว่าผมต้องนอนทั้งที่ไม่ได้แปรงฟันแล้ว”
“ไม่ได้นานขนาดนั้น”
ผมโล่งอกที่ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี ผมอาศัยช่วงเวลานี้รีบขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงศีรษะ ถ้าแกล้งตายได้คงทำไปแล้ว
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น เสียงเดินไปมา ไฟกลางห้องดับลง และเสียงอีกฝ่ายขึ้นเตียง
ในที่สุด ผมก็จะได้พักเสียที ลากันทีหนึ่งวันที่แสนทรหดของผม
“หญ้าหลับหรือยัง”
“.....”
“กู้ดไนท์ครับ ฝันดี”
แล้วใครจะหลับลง เฮ้ออออ
:::: ♥ TBC ♥::::
ขอขอบคุณ เพลง ลาลาลอย เดอะ ทอยส์ ( What The Duck )
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
ตอนที่ 5
ปลายหญ้ากับก้อนเมฆ
“ไอ้เมฆ! ฝ่ามือของพี่สิทธิ์รุ่นพี่ปีสามผ่านศีรษะผมไปแบบเฉียดฉิว “มึงไม่มีคนอื่นให้เลือกแล้วหรือไงวะ แม่งงง”
“อะไรพี่” เมื่อยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุผมจึงต้องถาม
“ก็คนที่มึงสั่งลงโทษไง นั่นมันสมบัติของคณะเลยนะโว้ย กูจะหาที่ไหนไปคืนอาจารย์วะ”
“สมบัติของคณะ?” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นสมบัติของคณะได้ยังไง
“เออ มึงไม่รู้เหรอว่าสอบย่อยคราวที่แล้วไอ้หญ้าฟาดคะแนนไปเท่าไหร่ อาจารย์ปลื้มมันจะตาย”
“อ๋อ ผมจำชื่อได้แต่ไม่รู้ว่าคนเดียวกัน รู้แต่ว่าหมอนี่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร รับน้องก็ไม่เข้า ผมเลยเลือกเพราะอยากอยากให้สนุกด้วยกัน”
“สนุกตายละมึง โน่นไปอ้วกอยู่โน่น กี่รอบแล้วกูไม่ได้นับ”
“เวรล่ะ” ผมลุกพรวดขึ้นยืน หันไปมองตามทิศที่รุ่นพี่ชี้ให้ดู “งั้นผมไปดูก่อนเผื่อเป็นอะไรมาก”
“เออไปเถอะ กูฝากไอ้หญ้าด้วยกลัวมันไม่รอดคืนนี้”
ผมรับคำรุ่นพี่ก่อนเร่งรีบเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไป ได้ยินเสียงอาเจียนดังออกมา
ผมมองร่างที่เกาะชักโครงอาเจียนอย่างหมดสภาพ ตัดสินใจเดินเข้าไปช่วยลูบหลังให้
“เป็นไงบ้าง”
หญ้าหันมามองหน้าก่อนหันกลับไปอาเจียนอีกครั้ง ผมรอจนหญ้าเลิกอาเจียนจึงพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน พาเดินออกจากห้องน้ำ
“กลับห้องพักนะ”
ศีรษะเล็กส่ายไปมา
“จะกลับไปที่งานอีกเหรอ แบบนี้ไม่รอดแน่”
“เปล่า มันไกลห้องน้ำ”
“งั้นก็...” ผมหันซ้ายหันขวาเห็นโต๊ะเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่ไม่ไกลแสงสว่างยังส่องไปถึง จึงตัดสินใจพยุงอีกฝ่ายเดินตรงไป
“นั่งก่อน”
หญ้านั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ซบหน้าลงกับโต๊ะ
“โทษที ฉันไม่คิดว่านายจะคออ่อนขนาดนี้”
“ช่างมันเถอะ” เสียงพูดอ่อนแรง ผมเห็นสภาพของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“มานี่ดีกว่า” ผมขยับไปนั่งปลายเก้าอี้ใช้สองมือจับไหล่หญ้าเอนลงมานอนหนุนตัก ปัดผมที่ชื้นเหงื่อออกจากใบหน้าให้
“พักก่อน”
ใบหน้าของหญ้าซีดเผือดแม้ในแสงสลัวก็ยังเห็นชัดเจน ผมใช้หลังมือซับเหงื่อที่หน้าผากและซอกคอออกให้ ปล่อยให้หญ้านอนพักไปเงียบๆ เสียงเพลง เสียงพูดผ่านไมโครโฟนดังอยู่ตลอดเวลา คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน คงไม่มีใครยอมเลิกราง่ายๆ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมคิดว่าหญ้าน่าจะดีขึ้นแล้วจึงประคองให้ลุกขึ้น
“นั่งไหวไหม” ผมถามให้แน่ใจ
“อืม”
ผมปล่อยมือจากไหล่ของหญ้า ลุกจากเก้าอี้ เดินมาหยุดตรงหน้าของหญ้าแล้วย่อตัวลง
“ขึ้นมาฉันจะพาไปนอน”
ถึงแม้หญ้าจะเมาแต่ก็ยังมีสติดีจึงเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งแขนสองข้างก็กอดมารอบคอผม ผมสอดมือเข้าไปใต้ขาของหญ้าก่อนยกตัวขึ้น
“นายนอนห้องไหน”
“ห้อง...” เสียงพูดเงียบหายไป
“เดี๋ยว!อย่าเพิ่งหลับ นายนอนห้องไหน”
“ห้อง...แรก”
“ถึงแล้ว” ผมวางหญ้าลงแต่ยังจับไหล่ไว้ หญ้ากวาดตาไปรอบๆ ก่อนเดินเซไปยังเสื่อที่ปูอยู่ท้ายห้อง เจ้าตัวล้มตัวลงนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
ผมจับศีรษะของหญ้ายกขึ้น สอดหมอนเข้าไปข้างใต้ หยิบผ้าห่มผืนบางที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ให้มาคลุมจนถึงอก ดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนอนสบายดีแล้วจึงนั่งลง พิงหลังกับผนังของห้องเรียน เหยียดขาออกยาว
“ไม่ออกไปสนุกเหรอ” เสียงถามแผ่วเบาแต่ผมก็ยังได้ยิน
“ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน เผื่อนายอยากอาเจียนหรือต้องไปหาหมอ”
“ไปเถอะ”
“พักเถอะอย่ามัวแต่พูดเลย” ผมวางมือลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิคร่าวๆ หน้าผากของหญ้าชื้นเหงื่อแต่ยังดีที่ไม่มีไข้
“ขอบใจ”
ดวงตาปรือหลับลง เพียงครู่เดียวเสียงลมหายใจก็ดังสม่ำเสมอ ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อมองใบหน้าของอีกฝ่าย ใครจะคิดว่าหมอนี่จะคออ่อนขนาดนี้
• • • • •
“เมฆ”
ผมหยุดเดินเมื่อพี่เชษฐ์รุ่นพี่ที่สนิทกันเรียกเอาไว้
“มึงเขียนจดหมายออกค่ายหรือยังวะ”
“ยังเลยพี่”
“งั้นก็มาเขียนเร็ว เดี๋ยวเขาจะเก็บแล้ว”
“ไม่เขียนไม่ได้เหรอผมไม่รู้จะเขียนอะไร” จดหมายที่พูดถึงคือการเขียนข้อความถึงคนที่มาออกค่ายด้วยกัน จะเป็นใครก็ได้ จะเขียนอะไรก็ได้ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
“เขียนๆ ไปเถอะวะ ถึงเวลาชมรมก็เอาไปซุกไว้บนชั้น ไม่มีใครมานั่งเปิดอ่านหรอก”
“งั้นก็ได้พี่” ผมนั่งลงตรงข้ามพี่เชษฐ์ บนโต๊ะมีกล่องกระดาษสำหรับใส่ข้อความที่เขียนเสร็จแล้ว กับกระดาษโน้ตพร้อมปากกาหลากสีวางอยู่ ผมหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่น จรดปากกาสีน้ำเงินลงไป
ถึงพี่สิทธิ์
สมบัติของคณะยังอยู่รอดปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง
จากเมฆ
ผมหย่อนกระดาษลงไปในกล่อง สายตาสะดุดเข้ากับตัวหนังสือสีฟ้าจึงหยิบขึ้นมาอ่าน
“ยิ้มอะไรของเอ็งวะ”
“ไม่มีอะไรพี่”
จากปลายหญ้า ถึงก้อนเมฆ
ก็สนุกดีนะ
• • • • •
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีห้า ผมคว้าโทรศัพท์มาปิด มองร่างเล็กที่นอนอยู่ รอยยิ้มค่อยๆ จุดขึ้นที่ริมฝีปากเมื่อคิดถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน ผ่านไปแล้วเกือบสี่ปีแต่หญ้ายังจำคืนนั้นได้ดีไม่ต่างกับผม
“อรุณสวัสดิ์”
ผมส่งยิ้มให้กับใบหน้างัวเงียของหญ้า เจ้าตัวกะพริบตาสองสามครั้งก่อนดวงตาจะเบิกโต
“ต้องลุกแล้วเดี๋ยวไม่ทัน” ผมพูดด้วยเสียงทุ้ม อดหัวเราะไม่ได้เมื่อหญ้าเด้งตัวออก จนหลังไปชนกับเต็นท์ทำให้มันโคลงไปมา หญ้ารีบลุกขึ้นนั่งมองผมหน้าตาตื่น
“ทำไมผมไปนอนตรงนั้น”
“เมื่อคืนอากาศหนาว” ผมลุกขึ้นนั่งบ้างบิดขี้เกียจไปมา “เห็นข้อดีของเต็นท์เล็กหรือยัง”
“ดีพ่องสิ”
“อะไรนะ” ผมหัวเราะขำเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของอีกฝ่าย ใครจะรู้ว่านักศึกษาดีเด่นจะอุทานแบบนี้เป็นกับเขาด้วย
“เปล่า” หญ้าส่ายศีรษะไปมา
“ไปแปรงฟันได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น” ผมเร่งเมื่อหญ้าเอาแต่นั่งนิ่ง
“อ๋อ..อืม”
หญ้าหันไปหยิบอุปกรณ์ล้างหน้าและผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนกระเป๋า ออกจากเต๊นท์ไปโดยไม่รอผม ดูเหมือหญ้าจะตกใจมากที่ตื่นมาพบว่าตัวเองนอนหนุนไหล่ผมอยู่ ก็อากาศมันหนาว นอนแบบนี้ก็อุ่นดี
• • • • •
-หญ้า-
“ถ่ายถึงพันรูปหรือยัง”
เสื้อแจ็คเก็ตถูกคลุมลงบนไหล่ ผมหันไปมองเจ้าของเสื้อ เมฆยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม
“ผมไม่ได้นับ”
“หึๆ” เมฆหัวเราะคำตอบผม
“สวยใช่ไหม”
“อืม คุ้มกับที่ตื่นเช้า”
“แต่ผมว่านะ..” เป็นอีกครั้งที่กล้องในมือถูกแย่งไป “มองด้วยตาเปล่าจะสวยกว่า”
“เดี๋ยวสิ” ผมยื่นมือไปหมายจะคว้ากล้องแต่เมฆใช้มือจับมือผมเอาไว้ไม่ให้แย่ง
“มองไปทางโน้น”
“รู้แล้วน่า” ผมหันหน้ากลับมองตรงไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า แต่สายตาแทบไม่โฟกัสอะไรเลย เพราะมือข้างนั้นยังถูกเกาะกุม
“มือหญ้าเย็นจัง”
“ก็อากาศมันเย็น”
“มาผมช่วย”
เมฆปล่อยมือที่จับ จัดการคล้องกล้องไว้กับคอก่อนยื่นมือมาจับมือผมอีกครั้ง ใช้สองมือถูไปมาแรงๆ
“อุ่นขึ้นไหม”
“อืม” ผมพยักหน้า ในใจท่องคำว่า ช้าลง ช้าลง ช้าลง เพื่อสั่งให้หัวใจทำงานอย่างมีระบบระเบียบ
“ส่งอีกข้างมา”
“ไม่ต้องก็ได้”
ปากกับใจไม่ตรงกันมันเป็นแบบนี้ ผมพูดว่าไม่ต้องแต่ดันส่งมืออีกข้างไปให้หน้าตาเฉย พอรู้ตัวหน้าก็ขึ้นสีแดงเรื่อ แต่นอกจากดวงตาที่มองมาด้วยสายตาขำแล้วเมฆก็ไม่ได้พูดอะไร
“แดดเริ่มออกแล้วไปกินกาแฟกันไหม หรือหญ้าอยากดูต่อ”
“ไปเลยก็ได้” ถึงจะเสียดายแค่ไหนผมก็ควรตัดใจ อยากที่บอกมันก็เหมือนอาหารอร่อยสำหรับคนลดน้ำหนัก ผมไม่ควรปล่อยให้ตบะตัวเองแตก
“วันนี้จะทำอะไร” ผมยกกาแฟขึ้นดื่มรอคำตอบจากเมฆ
“เดินไปผาหัวสิงห์กัน”
“ไกลไหม”
“ไม่ไกลมาก”
บอกตรงๆ ว่าผมไม่ไว้ใจคำว่าไม่ไกลมากของเมฆ แต่ก็น่าจะดีกว่านั่งอยู่ที่นี่
“ถ้าเราเดินขึ้นไปด้านบนสุดของผาหัวสิงห์ เราจะมองวิวแบบสามร้อยหกสิบองศา ไม่มีอะไรบดบังวิว”
“ตกลง” ผมตอบตกลงทันที จะพลาดได้ยังไงกัน
“งั้นทานข้าวก่อน”
“ผมไม่กินข้าวเช้า”
“ไม่กินจะมีแรงเดินได้ยังไง”
“ผมเดินได้ก็แล้วกัน”
“ดื้อเหรอ”
“ใครกันแน่ที่ดื้อ ผมบอกแล้วว่าไม่กินข้าวเช้า”
“งั้นไม่ไป”
“ผมไปเองก็ได้ ขาไม่ได้ผูกติดกันสัก....” ผมกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสายตาวาวๆ ของเมฆ ชักขาหนีโดยอัตโนมัติ
“หญ้า” เสียงเรียกนุ่มหู ดวงตาที่มองมาทำเอาใจเต้นแรง
“อะไร”
“กินเถอะ ผมเป็นห่วง”
“...”
“นะครับ”
“....”
“ข้าวผัดก็ได้”
ใครว่าผมแพ้ ผมแค่ไม่อยากเป็นลมกลางทางเท่านั้นเอง
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 7
จุดเริ่มต้นและความคุ้นเคย
เพราะความเย็นของอากาศทำให้ผมลืมตาตื่น เสียงลมหายใจของคนข้างๆ ยังสม่ำเสมอ เป็นอีกครั้งที่ผมหนุนหมอนใบเดียวกับเมฆ ศีรษะซบอยู่ใกล้กัน มือของอีกฝ่ายพาดวางอยู่ที่เอว ผมขยับตัวออกช้าๆ เลิกตกใจกับสภาพที่เกิดขึ้นคล้ายกับคุ้นชินมันไปแล้ว
ผมนอนมองใบหน้าของเมฆในแสงสลัวจากไฟข้างนอก อดขำตัวเองไม่ได้ที่ตกหลุมรักผู้ชายมาดเซอร์คนนี้ ไม่มีสัญญาณเตือนภัยเลยสักนิดว่าความรักครั้งแรกของผมจะเกิดกับผู้ชาย มานึกย้อนดูแล้วทุกอย่างน่าจะเริ่มต้นจากคืนที่ไปออกค่าย เป็นครั้งแรกที่ผมรับรู้ถึงการมีอยู่ของเมฆ แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น ตามมาด้วยวันประกาศคะแนนสอบ มันทำให้ผมเริ่มคุ้นเคยกับใบหน้าของเมฆ เริ่มคุ้นเสียงและความใจดีของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรัก ผมคิดน่าจะเริ่มจากวันนั้นมากกว่า
มันเป็นวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่อากาศเย็นกว่าปกติ ท้องฟ้าครึ้มคล้ายจะมีฝนหลงฤดู พลอยทำให้บรรยากาศดูอึมครึม ผมเลิกเรียนในเวลาสิบเจ็ดนาฬิกา และพบว่านอกตึกเรียนไม่ได้ดูเศร้าเหมือนบรรยากาศ
ต้นไม้ถูกประดับไปด้วยดวงไฟหลากสี ร้านรวงที่ทำจากซุ้มไม้ไผ่กระจายไปทั่วบริเวณคณะ ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะ ผมหลงลืมไปเลยว่ามันคือวันลอยกระทงเพราะไม่เคยสนใจสักครั้ง เว้นครั้งนี้ที่บรรยากาศรอบตัวทำให้รู้สึกเหงาขึ้นมา
คำถามหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว เดินเล่นหรือกลับ ผมยิ้มเศร้าเมื่อรู้คำตอบดี เดินคนเดียวจะไปสนุกอะไร เพื่อนสนิทผมสองคนมีแฟนแล้วเรียนอยู่มหา’ลัยอื่น และนี่คงเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่โดดเรียนวิชาสุดท้าย
“ยืนตรงนี้มันอันตรายนะ”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง มันใกล้มากจนตกใจ เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นเมฆยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้
“โทษที” ผมขยับตัวหลบ ลืมว่าตัวเองหยุดยืนกลางประตูทางออกพอดี
“เหมือนไม่ได้เจอกันนานอยู่คณะเดียวกันแท้ๆ”
“อืม” ผมแปลกใจที่เมฆชวนคุย แต่ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายคิดว่าไมได้เจอกันนาน ทั้งที่ผมเจอหน้าเมฆเกือบทุกวัน แม้บางวันจะแค่เดินผ่านกันก็ตาม
“ไปเที่ยวหรือเปล่า”
“ไปไหน” ผมทำหน้างงเมื่ออีกฝ่ายถามสั้นจนไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
“งานลอยกระทงไง” เสียงของเมฆกลั้วหัวเราะ ดวงตาที่มองมาเป็นประกายขำ
“อ๋อ” ผมพยักหน้า ไม่รู้ตัวสักนิดว่าดวงตาของตัวเองเศร้าลง “เปล่า ไม่ได้ไป”
“เป็นอะไร”
“หือ?” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเมฆ เลิกคิ้วขึ้นพราะแปลกใจคำถามของอีกฝ่าย
“นายดูเศร้าๆ”
“เปล่า” ผมปฏิเสธแต่กลับถอนหายใจออกมา “เหงามั้ง สงสัยเพราะอากาศมันอึมครึมน่ะไม่มีอะไร”
“ไม่ได้นัดใครไว้ใช่ไหม”
“เปล่า....เดี๋ยว!! จะไปไหน” ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อเมฆคว้าข้อมือดึงให้เดินตาม
“เดินเล่น”
“แต่..”
“ไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ อากาศดีๆ แบบนี้อย่าเพิ่งรีบกลับเลย”
ใจผมอยากปฏิเสธแต่ร่างกายกลับเดินตามเมฆไปเรื่อยๆ
Rrrrr
เมฆปล่อยแขนผมเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าตัวล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับ
“โทษทีว่ะไปไม่ได้แล้ว”
“นายอยู่ด้วยมีเหรอจะไม่สนุก ฝากขอโทษคนอื่นด้วยแล้วกัน”
“เอาน่าเดี๋ยวคราวหน้าเลี้ยง”
“อืม ไว้เจอกัน”
เมฆกดวางสายก่อนยัดโทรศัพท์กลับลงไปในกระเป๋า หันมาส่งยิ้มให้ผม
“หิวหรือเปล่า ได้ยินพี่แป้งบอกว่าจะออกซุ้มทำแฮมเบอร์เกอร์หมูคุโรบุตะขาย ท่าทางน่าอร่อยไปอุดหนุนกัน”
“มีนัดไม่ใช่เหรอ” ผมถามเพราะได้ยินบทสนทนาเต็มสองหู ถึงจะฝ่ายเดียวก็ตาม
“เปล่า” ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“จะดีเหรอ”
“ก็นายทำหน้าแบบนั้นใครจะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้” รอยยิ้มและดวงตาที่มองมาอบอุ่น มันอบอุ่นจนหัวใจของผมเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“หน้าแบบไหนกันเล่าคิดมากไปเอง” ผมหลุบสายตาลงมองพื้น เกิดอาการเงอะงะขึ้นมา รู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังจะร้อนผ่าว
“ฉันคิดมากไปเองก็ได้ แต่กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องไม่รู้เหรอ ไปกันเถอะ” เมฆจับข้อมือผมดึงให้ออกเดิน ความร้อนจากมือของเมฆคล้ายจะพุ่งเข้าจู่โจมหัวใจ
“ลอยกระทงไหม” เมฆถามหลังจากเดินเล่นจนทั่วงาน เวลาล่วงเลยไปถึงสองชั่วโมง
“ไม่” ผมปฏิเสธทันที “มันจะกลายเป็นขยะทำให้น้ำในสระเน่า”
เมฆพยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากจุดรอยยิ้ม “นายเป็นคนจริงจัง”
“อืม” ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง คำว่า ‘จะจริงจังไปไหนวะ’ เป็นคำที่เข้าหูผมบ่อยที่สุด
“ถ้าเป็นเพื่อนนายเร็วกว่านี้สิบวัน ฉันก็น่าจะเป็นคนดีมากขึ้นสิบวัน”
“หือ?”
“เปล่าไม่มีอะไร ไปขอขมาพระแม่คงคากัน”
“ไม่ลอย?” ผมย้ำความตั้งใจอีกครั้ง
“มาเถอะ” เป็นอีกครั้งที่ข้อมือผมถูกดึง เมฆเดินนำไปยังสระน้ำของมหา’ลัย เจ้าตัวนั่งลงริมสระน้ำทำให้ผมต้องนั่งตาม เมฆยกมือขึ้นไหว้ก่อนหลับตาลงผมถึงเข้าใจ ผมทำตามบ้าง ขอขมาพระแม่คงคาเท่าที่พอจะคิดคำพูดออก ผมเอามือลงแล้วแต่เมฆยังไหว้อยู่ ผมจึงลอบมองใบหน้าของอีกฝ่าย ริมฝีปากผุดรอยยิ้มบาง ผมพูดโดยไม่มีเสียงออกมา ขอบใจนายมากนะที่อยู่เป็นเพื่อน
“ตื่นนานแล้วเหรอ” เสียงทุ้มทำให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“อยากนอนเล่นหรือจะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น”
“ผมจะออกไปถ่ายรูป เมฆจะนอนต่อก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะเดี๋ยวหญ้าเหงา”
“จะเหงาทำไม” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ขำคำพูดของอีกฝ่าย
“นั่นสิ” เมฆสอดมือเข้าใต้คอ สบตากับผม “ทำไมผมชอบคิดว่าหญ้าเหงา”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมฆทำไมถึงคิดแบบนั้น” ผมถามกลับ
“มันอาจจะเป็นเพราะว่า..” เมฆหยุดพูด มองตาผมด้วยดวงตาเป็นประกาย “จริงๆ แล้วคนที่เหงาเป็นผมเองก็ได้”
ผมสบตากับเมฆนิ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “จะให้เชื่อจริงเหรอ”
“ฮ่าๆ” เมฆหัวเราะเสียงดังยันตัวลุกขึ้นนั่ง ยังคงมองมาที่ผม
“หรือไม่ก็เป็นเพราะว่า..” ดวงตาคู่นั้นอ่อนแสงลง “ผมชอบอยู่กับหญ้าก็ได้มั้ง”
หัวใจเจ้ากรรมทำไมถึงเต้นแรงแบบนี้ แรงจนผมต้องหลบสายตาของเมฆ
“เดี๋ยวฟ้าก็สว่างก่อนไปแปรงฟันได้แล้ว”
“ครับผม” ร่างสูงยกยิ้มกว้าง หยิบข้าวของส่วนตัวก้าวออกไปยืนรอผมนอกเต็นท์ ผมเลยพอได้หายใจหายคอเพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ใจหนอใจจะโอนเอียงเข้าข้างตัวเองทีละนิดแบบนี้ไม่ได้นะ
“ถ่ายรูปด้วยกันไหม”
ผมชะงักนิ้วที่กดชัตเตอร์หันกลับไปมองเมฆที่ยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลัง
“ตั้งแต่มาเที่ยวเรายังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย”
“ก็ได้ เดี๋ยวขอพี่ผู้ชายคนนั้นถ่ายให้” ผมมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่งที่พักอยู่เต็นท์ใกล้ๆ กัน ทำให้คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“ไม่เป็นไรใช้โทรศัพท์ก็ได้” เมฆเดินเข้ามายืนข้างผม ชูโทรศัพท์ในมือขึ้น
“ห่างไป”
“...”
เมฆละสายตาจากโทรศัพท์หันมามองเมื่อผมไม่ยอมขยับตัว มือที่ว่างอยู่โอบมารอบเอวดึงเข้าไปชิด ใบหน้าของผมร้อนผ่าวเพราะมือข้างนั้นไม่ยอมปล่อย
เมฆกดไปสองสามภาพ เมื่อได้ภาพที่ต้องการแล้วถึงปล่อยมือ ขาของผมแทบหมดแรง ยังดีที่ฝืนตัวเองเอาไว้ได้
“หญ้า”
ผมเงยหน้าขึ้นได้ยินเสียงชัตเตอร์ดัง เมฆลดโทรศัพท์ในมือลง ดวงตาที่มองมาติดรอยยิ้มอ่อน
“สวย”
ผมเลิกถามแล้วว่าหมายถึงอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมฆยกโทรศัพท์ถ่ายผม ทุกอย่างย่อมผ่านการเรียนรู้และคุ้นเคย เหมือนกับที่ผมคุ้นเคยกับการมองหาเมฆหลังจากวันนั้น เพียงแค่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้แล้ว แม้ไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนักก็ตาม
“ไปไหนต่อดี มีเวลาอีกอีกสามคืนสี่วัน”
สมองผมทำงานอย่างหนักเมื่อได้ยินคำถามจากเมฆ ซีกหนึ่งบอกให้ตอบไปว่าเปลี่ยนใจแล้ว จะเที่ยวอีกคืนเดียวแล้วกลับเลยเพื่อเซฟหัวใจตัวเอง อีกซีกหนึ่งบอกว่าใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าเพราะอาจหาไม่ได้อีกทั้งชีวิต
“หญ้า?”
“ผมไมได้คิด กะว่าจะนอนอยู่รีสอร์ท อ่านหนังสือ เดินเล่นแค่นั้น” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน กะไว้ว่าเดี๋ยวค่อยบอกว่าจะกลับ
“ผมลืมไปเลย! หญ้าบอกจะมานั่งเล่นนอนเล่นใช่ไหม ผมดันพาตะลอนซะทั่วโทษที”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ผมควรขอบคุณมากกว่า ถ้ามาคนเดียวก็คงไม่ได้ขึ้นมาเห็นวิวสวยๆ แบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นผมพาหญ้าเที่ยวเอง ไว้ใจได้เลย”
จบแล้วสินะ ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้ว ผมลอบถอนใจเบาๆ อย่าไปใส่ร้ายว่าเมฆบังคับเลย ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรถึงไม่ปฏิเสธ
“เก็บของกันเลยไหม เดี๋ยวลงไปแล้วผมจะหาร้านกาแฟดีๆ ให้หญ้าแวะ อยู่บนนี้สองวันคงคิดถึงกาแฟสดแล้ว”
“อืม” ผมพยักหน้า จมูกเหมือนได้กลิ่นหอมของกาแฟลอยมา เมฆหัวเราะขำเมื่อเห็นสีหน้าของผม มือใหญ่วางลงบนศีรษะ จับโยกเบาๆ ก่อนปล่อย คนรู้ใจที่ไม่ใช่คนรู้ใจหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง
• • • • •
“เมฆ”
“หือ?”
“รู้ได้ยังไงว่าผมติดกาแฟสด” ผมนึกได้เมื่อยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“มีคนบอก”
“อ๋อ” ผมเลิกถามต่อเพราะคิดว่าเป็นพี่เชษฐ์แน่ ในเมื่อเจ้าตัวเพิ่งสารภาพว่าเผลอพูดถึงผมกับเมฆ
“ยิ้มอะไร” ผมเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นรอยยิ้มและดวงตาพราวระยับของเมฆ
“กาแฟอร่อยดี”
“เห็นด้วย ชงได้พอดีมาก”
ผมยกกาแฟขึ้นดื่ม เห็นด้วยกับเมฆว่าเป็นกาแฟที่อร่อยมาก แต่ไม่ใช่เพราะรสชาติอย่างเดียวหรอก เพราะคนที่นั่งตรงหน้าด้วย ผมตัดสินใจได้ในที่สุดว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า เก็บความรู้สึกดีๆ เอาไว้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน
:::: ♥ TBC ♥::::
** สปอย
.
.
.
เหลือตอนหน้าอีกตอน หลังจากนั้นก็จะได้รู้ความรู้สึกฝั่งเมฆแล้ว ^^
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 11
จุดเริ่มต้น
-เมฆ-
ผมตัดสินใจโทรไปหาพี่เชษฐ์เมื่อคิดจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางควรเป็นที่ไหนดี
“ผมถามอะไรหน่อยสิพี่”
“ถามมาสิ”
“ดอยที่พี่เอารูปให้ผมดูคราวก่อนชื่อดอยอะไรนะ อยู่จังหวัดไหน”
“ดอยไหนวะ”
“ที่พี่ถ่ายทางช้างเผือก”
“อ๋อ ดอยเสมอดาวอยู่จังหวัดน่าน ทำไม? เอ็งจะไปเหรอ”
“ก็ว่าจะไปผมกำลังตัดสินใจอยู่ ลังเลระหว่างไปน่านกับไปแม่ฮ่องสอน”
“สวยทั้งสองที่ แต่แม่ฮ่องสอนเอ็งเคยไปแล้วไม่ใช่เหรอวะงั้นไปน่านดีกว่า”
“น่าสน”
“เชื่อข้ารับรองเอ็งจะชอบ”
“ได้พี่ ขอบคุณมาก”
ผมวางสายจากพี่เชษฐ์ ยังไม่ตัดตัวเลือกใดทิ้ง ผมยังไม่เคยไปน่านก็จริงแต่ผมก็คิดถึงปางอุ๋ง อยากกลับไปนอนที่นั่นอีกสักครั้ง
“ไอ้เมฆ เอ็งจะไปน่านเมื่อไหร่วะ”
ไม่ถึงอาทิตย์พี่เชษฐ์โทรกลับมาหาผม ถึงตอนนั้นผมก็ได้คำตอบแล้วว่าผมจะไปแม่ฮ่องสอน
“ผม..”
“พอดีรุ่นน้องข้าจะไปน่านเหมือนกัน”
“รุ่นน้อง?”
“ไอ้หญ้า เพื่อนรุ่นเดียวกับเอ็งไง”
“หญ้าจะไปน่านเหรอพี่” น้ำเสียงของผมเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ลืมที่คิดจะปฏิเสธไปสิ้น
“เออ ข้าก็พูดอยู่นี่ไง เผื่อพวกเอ็งบังเอิญเจอกันจะได้มีเพื่อน”
“ผมไปศุกร์หน้า”
“จองตั๋วหรือยังวะ แล้วเอ็งจะไปกี่วัน”
“ยังพี่ ผมกะจะไปสักอาทิตย์หนึ่ง”
“งั้นเหรอ จะฝากข้าจองตั๋วไหมต้องจองให้ไอ้หญ้าอยู่แล้ว”
“ดีเลยพี่ ผมฝากด้วย”
“งั้นเอาข้อมูลเอ็งมา”
ผมบอกทุกอย่างที่พี่เชษฐ์จำเป็นต้องใช้ก่อนวางหู ตั๋วเครื่องบินไปแม่ฮ่องสอนวางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ ผมตัดสินใจที่จะทิ้งมันทันทีโดยไม่ลังเล
• • • • •
ใบหน้าคุ้นตาก้าวขึ้นมาบนรถไฟ ในมือหญ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ เจ้าตัวไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนเจอที่นั่งของตัวเอง ผมรอจนหญ้าวางของเรียบร้อย รอจนรถไฟออกจากสถานีแล้วจึงเดินไปหา
“หญ้า”
หญ้ามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ ทำให้รู้ว่าพี่เชษฐ์ไม่ได้บอกอะไรอีกฝ่ายเลย
“ไง” คำตอบรับแสนสั้น
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอนายที่นี่ เป็นไงบ้างสบายดีไหม” ผมนั่งลงตรงข้ามหญ้า โชคดีที่ไม่มีใครนั่ง
“สบายดี เมฆล่ะ”
“สบายดี มาคนเดียวเหรอ”
“อืม”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้
• • • • •
“น่าอยู่มาก เมฆเข้าใจเลือก” หญ้าหันมาบอกผมเมื่อเดินเข้าไปในบ้านพักของรีสอร์ท ผมตัดสินใจขับรถมาบ่อเกลือ เลือกที่พักติดริมธาร จากหน้าบ้านสามารถเดินลงไปเล่นน้ำได้เลย
“หญ้าบอกว่าอยากพักผ่อนอยู่ในรีสอร์ทไม่ใช่เหรอ ผมเลยเลือกที่นี่จะได้ไม่เบื่อ”
“เปลี่ยนใจแล้ว” ผมมั่นใจว่าตาของผมไม่ได้ฝาดไป ผมเห็นสีแดงจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญ้า
“ทำไมถึงเปลี่ยนใจ”
“ก็แค่เปลี่ยนใจ”
“ไม่บอกเหตุผลหน่อยเหรอ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หญ้าผงะหนีจนหลังชนเข้ากับโต๊ะตัวยาว ผมใช้แขนทั้งสองข้างคร่อมหญ้าไว้กับโต๊ะไม่ให้หนีไปไหนได้
“จะบอกไม่บอก”
“เล่นเป็นเด็ก” คนพูดไม่ยอมสบตา หันหน้าไปมองทางอื่น
“ผมไม่เด็กนะ ถ้าหญ้าไม่เชื่ออยากลองพิสูจน์ไหม”
ผมต้องซ่อนรอยยิ้มเอาไว้เมื่อเห็นใบหน้าแดงซ่านของหญ้า คราวนี้ไม่ต้องคาดเดาอีกแล้วว่าตาฝาดไปหรือไม่
“ผมจะพิสูจน์ไปทำไม ผู้ชายเหมือนกัน”
ผมถอยตัวออกห่างเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนที่กางกั้น ใช้สายตาสำรวจอีกฝ่าย
“ไม่เหมือนมั้ง ผมว่าหญ้าตัวเล็กกว่าผม ผอมกว่าด้วย” ผมปล่อยมือจากขอบโต๊ะมาแตะที่เอวของหญ้าแทน
“เอวแทบจะโอบรอบได้แล้ว”
“พูดเฉยๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องจับ”
“ไม่จับแล้วจะรู้เหรอว่าพูดถูก”
“ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอก” หญ้าเดินหนีผมอย่างรวดเร็ว จึงไม่เห็นสายตาวาววับของผม หนีได้ก็หนีไป
“ระวัง” ผมเตือนเมื่อหญ้าก้าวถอยหลังโดยไม่หันมามอง หินในลำธารค่อนข้างลื่นผมจึงเป็นห่วงอีกฝ่าย
“ไม่เป็น...เฮ้ยย!”
ไม่ทันขาดคำหญ้าก็ลื่นจนเกือบหงายหลัง ดีที่ผมรับเอาไว้ได้ ผมก้มหน้าเหนือใบหน้าของหญ้าพอดี อีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคอ จ้องตาผมนิ่ง
“ไง”
“มันลื่น”
หญ้ารีบขยับตัวขึ้นยืนจนเกือบเซไปข้างหน้า ผมอดหัวเราะขำไม่ได้ ดูเหมือนหญ้ากำลังทำอะไรไม่ถูก
“ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้หญ้าดูแปลกๆ"
"ไม่เห็นแปลกตรงไหน" คนทำตัวแปลกปฏิเสธเสียงแข็ง
"แปลก แต่น่ารัก"
"เลิกล้อผมเล่นได้แล้ว ผมจะถ่ายรูปเดี๋ยวแสงหมด" หญ้าหันหลังให้ผม ยกกล้องในมือขึ้นบังใบหน้า
"หญ้า"
"หือ?" เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ผมยอมยืนดูเงียบๆ หญ้าก็กลับมามีสมาธิอีกครั้ง
"จีบได้ไหม"
กล้องในมือขาวเกือบร่วง เจ้าตัวหันมามองผมด้วยดวงตาเบิกกว้าง
"อะ!..อะไรนะ!"
"หญ้าได้ยินแล้ว" ผมมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายด้วยดวงตากรุ่มกริ่ม
"ผม..ผมว่าวันนี้เมฆนั่นแหละแปลก หาเรื่องแกล้งผมได้ทั้งวัน"
เห็นได้ชัดว่าหญ้าพยายามหลบสายตาผม
"ไม่เชื่อก็ตามใจ"
"ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ผมจะไปถ่ายรูปตรงโน้น" หญ้าชี้ไปทางต้นน้ำ "ห้ามเล่นแบบนี้อีกนะ ถ้ากล้องผมตกน้ำผมจะแช่งให้ดู"
"แช่งอะไรดี" ผมพูดด้วยน้ำเสียงปนขำ "แช่งให้มีแฟนเป็นผู้ชายดีไหม"
"ขำตาย" หญ้าพูดพึมพำอยู่ในคอ เดินดุ่มๆ ไปทางต้นน้ำโดยไม่หันมามอง
ผมยิ้มพึงใจแม้อีกฝ่ายจะดูหงุดหงิด อย่างน้อยก็แปลว่าหญ้าไม่ได้เฉยชากับสิ่งที่ผมพูดออกไป นั่นหมายความว่าผมยังพอมีความหวัง มันทำให้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา
“อยากเดินหนีก็ตามใจ เพราะนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง”
:::: ♥ TBC ♥::::
(ตอนนี้สั้นๆ เพื่อตัดจบพาสที่เป็นย้อนเรื่องในอดึตนะคะ ตอนหน้าก้อนเมฆจะลุยแล้ว ^^ )
(https://img.live/images/2019/08/13/COVER__Darin.jpg) (https://img.live/image/aSrbYi)
เอาก้อนเมฆกับปลายหญ้ามาให้ชมหน้าตากันค่ะ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>HAPPY WORDS BOOKS<< (https://www.facebook.com/happywordsbooks/)
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 13
หัวใจไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อ
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกมึนงง สมองทำงานอย่างเชื่องชา สาเหตุมาจากการหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายให้คิด
ผมไม่แน่ใจว่าสามารถเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่า แต่ส่วนหนึ่งในใจบอกว่า 'คนนั้น' ที่เมฆพูดถึงคือผมเอง หลายครั้งผมอยากโพล่งถามออกไปว่าใช่ผมหรือเปล่า แต่สติยั้งตัวเองเอาไว้ได้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่สมควร ผมยังต้องติดกับเมฆอีกสองวันหนึ่งคืน ถ้าทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่ผมคิด จะแบกความรู้สึกของตัวเองยังไงไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น มันคงเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดที่สุดในชีวิตของผม ดังนั้นผมจะรออีกนิด ในเมื่อรอมาได้ถึงสี่ปี แค่สองวันหนึ่งคืนคงไม่ถึงกับลงแดงตาย
"หญ้าอาบน้ำได้แล้ว" เมฆเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมไม่แน่ใจว่าพระเจ้ากำลังกลั่นแกล้งผมหรือคนที่พูดอยู่นี่แหละตั้งใจทำ ถึงพาร่างกายที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันอยู่ที่สะโพกมาหยุดยืนตรงหน้า
หยดน้ำเกาะพราวอยู่บนแผ่นอก ซิกแพคเคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ มันตรึงสายตาของผมเอาไว้
"หญ้านั่งหลับเหรอ"
ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ บอกตัวเองว่าตั้งสติเข้าไว้
"เกือบ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือย เอียงศีรษะซ้ายขวา ราวกับต้องการไล่ความง่วงออกไป
"งั้นก็รีบไปอาบน้ำจะได้ตื่น"
ผมตื่นตั้งแต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าขยับเข้ามาจนเกือบชิด นึกสงสัยว่าร่างกายคนเรามันจะดูแน่นดูตึงขนาดนี้ได้ยังไง
เมฆใช้สองมือจับใบหน้าผมให้เงยขึ้นสบตา ความเย็นแทรกซึมผ่านผิวจนรู้สึกสะท้าน ผมสบตาเมฆนิ่ง โยนความผิดให้ความมึนจากการนอนน้อยที่ทำให้ผมไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา
"ตื่น"
รอยยิ้มกับดวงตาพราวระยับที่มองมาทำให้ผมตาพร่า วินาทีนี้คิดว่าผมควรไปกระโดดลงลำธารมากกว่าถ้าอยากจะตื่นจากความคิดในหัวตัวเอง เสียอย่างเดียว น้ำในลำธารดันสูงแค่ข้อเท้าผม
"ตื่นแล้ว" ผมผละหน้าออกจากมือของเมฆ ลุกขึ้นจากเตียง
"ผมว่าไหนๆ เราก็เปลี่ยนที่พักเกือบทุกคืน คืนนี้ก็เปลี่ยนเถอะจะได้เที่ยวให้คุ้มๆ”
ไม่มีทางที่ผมจะบอกเหตุผลที่แท้จริง ว่าผมอยากเปลี่ยนห้องพักเป็นสองห้องนอน หรืออย่างน้อยเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ก็ยังดี โดนนอนกอดทุกคืนแบบนี้ หัวใจไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อจะได้ไม่รู้สึกอะไร
"เอาสิ ผมตามใจหญ้าอยู่แล้ว"
"จริงเหรอ ผมว่าไม่จริงมั้ง" ในที่สุดผมก็เจอช่องทาง
"หญ้าอยากทำอะไรว่ามา"
"ให้ผมจัดการที่พักเอง"
"ได้อยู่แล้ว"
"ตกลงตามนั้น" ผมหยิบผ้าเช็ดตัวจากราว เดินเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางปกติ เหมือนเรื่องที่คุยไม่สลักสำคัญอะไร ก่อนที่จะเสียอาการเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง รอดแล้วโว้ยตรู!
• • • • •
หลังจากแวะเที่ยวบ่อเกลือสินเธาว์ ผมตัดสินใจย้อนกลับไปที่ปัวอีกครั้ง นี่เป็นการท่องเที่ยวที่ไร้แผนการใดๆ อย่างแท้จริง เส้นทางวกกลับไปกลับมา หรือจะใช้คำว่าเรื่อยเปื่อยก็ไม่ผิด
“เมฆแวะร้านนั้น” ผมชี้มือไปที่ป้ายข้างทาง เกือบลืมไปแล้วว่าเราต้องซื้อของฝาก
ร้านผ้าทอมีผ้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ทั้งผ้าทอพื้นเมือง ผ้ามัดย้อม เสื้อสำเร็จรูป ผ้าคลุมไหล่ และสินค้าอีกหลากหลาย ผมเดินชมทั่วร้านก่อนเลือกผ้าทอลายโบราณให้กับแม่ของเมฆและแม่ของตัวเอง เลือกเสื้อผ้าทอทรงซาฟารีให้พ่อเลือกผ้าย้อมครามผืนใหญ่สำหรับใช้คลุมไหล่ให้กับอร เมื่อได้ของฝากครบแล้วผมจึงดูให้ตัวเองบ้าง ที่มองๆ ไว้คือเสื้อยืดย้อมครามผ้าเบาสบาย
“หญ้าเลือกให้ผมด้วยสิ”
ผมหันไปมอง สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มสบายๆ ที่ริมฝีปากและดวงตาของอีกฝ่าย
“ผมไม่รู้ว่าเมฆชอบแบบไหน เลือกเองเลย”
“หญ้าเลือกเถอะ ผมดูแล้วแต่ไม่รู้ว่าหญ้าชอบแบบไหน กลัวเลือกแล้วไม่ถูกใจ”
“เกี่ยวอะไรกับผม”
“จะได้ซื้อใส่ด้วยกัน”
ผมชะงักมือที่กำลังเลือกเสื้อ หันไปจ้องคนพูดเขม็ง “อะไรนะ”
“เสื้อคู่ หญ้าไม่รู้จักเหรอ” ดวงตาที่มองมาใสซื่อ แต่ผมบอกได้เลยว่าคนพูดเจ้าเล่ห์ชัดๆ
“ได้ เสื้อคู่ใช่ไหม เดี๋ยวผมเลือกให้”
ผมมองไปรอบๆ จนเจอเข้ากับเสื้อยืดตัวหนึ่ง เป็นเสื้อยืดย้อมครามสลับสีเข้มไปอ่อน จากน้ำเงินไล่ไปฟ้า
“สวยดี” เมฆรับเสื้อไปจากผม ก่อนคิ้วจะเลิกขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำไมมีตัวเดียว”
“ตัวเดียวก็ถูกแล้ว”
“ตัวเดียวไม่ใช่เสื้อคู่”
“ใช่สิ คู่กับคนโน้นไงผมเลือกให้แล้ว” ผมบุ้ยใบ้ใบหน้าไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ในมือมีเสื้อยืดแบบเดียวกันเป๊ะ
“ไม่ต้องชมก็ได้ ผมรู้ว่าผมตาถึง สวยดีนะ”
“หึๆ” เมฆหัวเราะในลำคอ ดูไม่โกรธเคืองผมสักนิด
“ผมเคยบอกแล้วว่าหญ้าแสบ”
“บอกตอนไหนไม่เคยได้ยิน” ผมคุยไปเรื่อยๆ จุดสนใจอยู่ที่เสื้อที่พับกองอยู่บนโต๊ะ
“บอกสิ”
“ตอนไหน” ผมหันไปมองเมื่อเมฆยังยืนยันคำเดิม ดวงตากรุ่มกริ่มที่มองมาทำให้สมองของผมค่อยๆ ทำงาน
‘ผมเคยแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งที่คณะ เป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นหยิ่ง แต่ผมว่าเป็นตัวแสบคนหนึ่งเลย’
ประโยคที่ได้ยินเมื่อวานวนกลับมาในหัว ผมเบิกตากว้างเมื่อนึกออก ความร้อนพุ่งขึ้นสูงจนมือที่วางอยู่บนกองผ้าเผลอปัดบางส่วนตกลงมา
“ขอโทษครับ” ผมรีบบอกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่ด้านหลัง
คำว่าอายมีสองความหมาย คือเอียงอายกับน่าอาย ดูเหมือนผมจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รู้สึกถึงสองความหมายภายในคราวเดียวกัน
เพราะนายเลย นายก้อนเมฆตัวแสบ!
• • • • •
ผมแวะร้านกาแฟกลางทุ่งนาก่อนเข้าที่พักที่หมายตาเอาไว้ จากโต๊ะที่นั่งมองเห็นสีเขียวของข้าวไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศแบบนี้ให้นั่งทั้งวันก็ทำได้
“หญ้า”
ดูเหมือนผมนั่งเงียบนานเกินไปคนที่มาด้วยจึงเรียกชื่อขึ้นมา
“เราสนิทกันแล้วใช่ไหม”
เป็นคำถามที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถาม ผมจึงหันไปมองหน้าก่อนหันกลับมา
“ไม่” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ไม่ได้ประชดประชันหรือแกล้งอีกฝ่าย แต่ผมคิดว่ามันเป็นความจริง ถึงแม้ว่าผมรักเมฆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันมากขึ้น แต่ห้าคืนหกวันไม่สามารถทำให้คนสนิทกันได้จริง มันเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่คนชอบพูดกันเท่านั้น
“หึๆ ไม่เป็นไร ผมสนิทกับหญ้าคนเดียวก็ได้ ขอปรึกษาอะไรหน่อยสิ”
“ได้ แต่ช่วยได้หรือเปล่าอีกเรื่องนะ”
“แค่ช่วยก็ขอบคุณแล้ว”
“ว่ามาสิ” ผมละสายตาจากวิวตรงหน้า หันไปตั้งใจฟังเมฆพูด
“จำที่ผมเล่าให้หญ้าฟังได้ไหม เรื่องคนที่ผมชอบ”
“อืม” ผมแน่ใจแล้วว่าตัวเองคิดผิด ไม่น่ารับปากเลย
“หญ้าคิดว่าผมควรบอกความรู้สึกไหม”
!!!
“คิดว่าผมพอจะมีโอกาสหรือเปล่า”
ผมไม่แน่ใจว่านี่คือคำถามที่ยากที่สุดเท่าที่เคยตอบมาหรือไม่ ที่แน่ๆ คือผมไม่มีคำตอบ ถ้าใช่ผมจริงก็ดีแต่ถ้าไม่ใช่ผมล่ะ
เดี๋ยว! เดี๋ยว! ไหนบอกว่าตัดใจแล้วจะมากั๊กคนอื่นทำไมเจ้าหญ้า!
“หญ้าโกรธอะไรผมหรือเปล่า”
“โกรธอะไร?” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร แต่คงตลกมากพอเพราะอีกฝ่ายหัวเราะออกมา
“ก็เห็นหญ้าทำหน้าเหมือนโมโหใครอยู่”
ใครที่ว่าคงหน้าตาเหมือนผมเปี๊ยบ
“เปล่าผมไม่ได้โมโห ผมกำลังคิดว่าควรบอกหรือไม่ควร” ผมไม่ได้โกหก ผมกำลังคิดจริงๆ
“ไม่เป็นไรผมไม่รีบ ฝากหญ้าช่วยผมคิดที กลับไปแล้วผมจะไปขอคำตอบ”
ดวงตาที่มองมาลุ่มลึก บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมเลิกคิดจะตอบโต้ สิ่งที่ทำมีเพียงการพยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วเมินสายตาไปทางอื่น
“เร็วเหมือนกันนะพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว” เสียงทุ้มของเมฆดังเข้าหู
“อืม”
“พรุ่งนี้หญ้าอยากไปเที่ยวที่แพร่ไหม หรือจะออกจากที่นี่ตอนเย็นแล้วไปสถานีรถไฟเลย”
“ออกตอนเย็นก็ได้ ผมนัดบริษัทรถมารับรถที่สถานีก่อนรถไฟออกชั่วโมงหนึ่ง”
“ขอดูตั๋วรถไฟหญ้าหน่อย”
“ดูทำไม ผมบอกเมฆแล้วนี่ว่าเรากลับเที่ยวเดียวกัน”
“อยากรู้ว่านั่งห่างกันไหม”
“อ๋อ” ผมเปิดกระเป๋าส่งตั๋วรถไฟให้เมฆ อดถามสิ่งที่อยากรู้ไม่ได้
“นี่มันบังเอิญมากเลยนะ มารถไฟเที่ยวเดียวกันก็บังเอิญแล้ว ขากลับยังกลับเที่ยวเดียวกันอีก” ความจริงผมรู้แล้วว่าทำไมถึงเจอกัน แต่ที่ไม่รู้คือทำไมถึงกลับพร้อมกัน
“ผมเชื่อว่าความบังเอิญมีอยู่จริง แต่ของเราไม่ใช่”
ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้น “เมฆหมายความว่ายังไง”
“หญ้าฝากพี่เชษฐ์จองตั๋วให้ใช่ไหม”
“ใช่”
“ของผมก็เหมือนกัน”
ไอ้พี่เชดดดดดด!!
“ที่นั่งห่างกันไม่มากน่าจะเท่ากับขามา” เมฆส่งตั๋วรถไฟคืนให้ผม
ก็ยังดีที่พี่เชษฐ์มีความคิดอยู่บ้าง ไม่จองให้นั่งด้วยกันไปเลย แต่ผมรับรองว่าความดีนี้จะไม่ส่งผลให้พี่เชษฐ์ได้รับการลดหย่อนโทษแน่นอน ผมได้แต่หวังว่าพี่เชษฐ์จะสบายดีระหว่างที่รอผมกลับไป
แชะ! เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น ผมหันไปมองโดยอัตโนมัติ เมฆลดโทรศัพท์ในมือลง
“หลายรูปแล้ว” ผมบ่นอีกฝ่ายเบาๆ
“งั้นถ่ายด้วยกัน”
ผมงงนิดหน่อย การบ่นว่าถ่ายหลายรูปแล้วแปลว่าอยากถ่ายด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่
เมฆขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ผม โอบมือลงมาบนไหล่ดึงเข้าไปชิด ศีรษะเอนลงมาซบกับศีรษะของผม จู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา หัวใจไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อ ผมเคยบอกเอาไว้แล้ว
• • • • •
“จองสองห้องครับ” ผมยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พูดราวกับประกาศชัยชนะ ขณะที่ร่างสูงเอาแต่ยืนยิ้ม
“สองห้องนะคะ ทั้งหมดสี่ท่านใช่ไหมคะ”
“สองคนครับ ผมหมายถึงห้องละคน”
“ค่ะ” พนักงานยิ้มรับ โดยไม่ซักถามใดๆ ส่งใบเข้าพักให้กรอก รับเงินค่าห้องพักและส่งกุญแจห้องให้ผม
“เดินตรงไปทางสะพานนะคะ สองห้องสุดท้าย”
“ครับ ขอบคุณครับ” ผมรับกุญแจมาถือ ที่นี่เป็นรีสอร์ทเล็กๆ เกือบคล้ายโฮมสเตย์จึงไม่มีบริการยกกระเป๋าให้ ผมเดินนำเมฆไปตามทาง
“ห้องเมฆ” ผมส่งกุญแจให้เมื่อยืนอยู่หน้าห้องที่ถึงก่อน เมฆรับไปถือโดยไม่พูดอะไร
“เจอกันห้าโมงเย็น” ผมส่งยิ้มให้เมฆก่อนเดินต่อไปยังห้องสุดท้าย
เสียงเคาะประตูดังหลังจากผมเข้าห้องพักได้ไม่ถึงนาที เมื่อเปิดประตูออกไปร่างสูงของเมฆก็เดินเข้ามา
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมนอนห้องนี้”
“จะเปลี่ยนห้องเหรอ”
“เปล่า ผมไม่นอนคนเดียว”
“หะ!!”
“นอนด้วยกันห้าคืนจนติด นอนคนเดียวไม่ได้แล้วเดี๋ยวไม่หลับ”
มันเหตุผลอะไรวะ!
“เตียงกว้างดีแบบนี้หญ้าน่าจะโอเค” คนพูดสรุปเองเสร็จสรรพ วางกระเป๋าลงข้างกระเป๋าของผม
“เดี๋ยวก่อน! ไหนบอกจะตามใจผม”
“ผมตามใจแล้วไงครับ หญ้าอยากพักที่นี่ก็พักที่นี่ หญ้าอยากเปิดสองห้องผมก็ตามใจ”
“.....”
“ขับรถนานๆ เมื่อยชะมัด หญ้าจะไปตอนไหนปลุกผมด้วยนะ ผมขอพักหลังนิด”
ผมได้แต่มองร่างสูงที่ล้มตัวนอนบนเตียง จะย้ายไปห้องโน้นกุญแจก็อยู่กับอีกฝ่าย จะไปขอที่พนักงาน หัวใจมันไม่ได้อยากทำขนาดนั้น เลยได้แต่ยืนมองร่างสูงด้วยสายตาท้อแท้ ผมลืมไปได้ยังไงนะว่าคำว่าแพ้มันเขียนติดอยู่ที่หน้าผาก
ไหนใครบอกว่าผมเป็นตัวแสบ มีคนแสบกว่าเห็นๆ อย่างน้อยก็คนที่นอนอยู่ตรงนี้
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 14
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ
เสียงในห้องน้ำเงียบลงแล้ว ผมมองกุญแจห้องที่วางอยู่บนโต๊ะ ชั่งใจอย่างรวดเร็วว่าผมควรจะรีบคว้าแล้วย้ายไปนอนอีกห้องดีไหม แต่เมื่อคิดว่าถ้าเมฆออกมาไม่เห็นผม กุญแจห้องก็หายไปจะรู้สึกอย่างไร แค่คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ที่ผมทำเหมือนรังเกียจ ความคิดทั้งหมดก็หายไปในทันที เมื่อเรารักใครสักคนเราจะไม่อยากให้เขาเสียใจ
“นึกว่าหายไปแล้ว” รอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายของร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ทำให้ผมเจ็บใจตัวเอง รู้อย่างนี้ย้ายห้องเสียก็ดี ไม่ใช่ว่าเมฆมองมาด้วยสายตาเหนือกว่า แต่เพราะดวงตาคู่นั้นบอกว่าเขารู้ใจผมว่าคิดอะไรอยู่
“ทำไมผมต้องย้ายออกจากห้องตัวเอง คนที่ต้องย้ายคือเมฆ”
“อย่าไล่เลย ตอนเปิดประตูออกมารู้ไหมว่าดีใจแค่ไหนที่หญ้ายังอยู่”
น้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินยังไม่ทำให้ใจเต้นแรงเท่ากับสายตาที่สื่อออกมาได้ตรงกับคำพูดทุกอย่าง ว่าอีกฝ่ายดีใจแค่ไหน
“ทำเหมือนเด็กติดหมอนข้างไปได้ ปกติเมฆก็นอนคนเดียวไม่ใช่เหรอ” ผมเบือนสายตาหนี ที่พูดแค่ต้องการเบรกอีกฝ่าย
“นั่นสิ” ร่างสูงนั่งลงข้างเตียง มองผมด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม “ผมลืมคิดไปเลยกลับไปจะทำยังไงดี ย้ายไปอยู่ด้วยกันดีไหม”
!!
“ไม่..ไม่ใช่เรื่องของผม นอนไม่ได้ก็หาวิธีเอาเอง” ผมรีบปฏิเสธด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
“ทำไมคนน่ารักถึงใจร้าย”
“เพิ่งรู้ว่าเสี่ยวเป็น”
“ฮ่าๆ”
เมฆลุกขึ้นยืน ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กขยี้ผมจนละอองน้ำกระจาย
“หงุดหงิดแบบนี้แปลว่าง่วงแล้วใช่ไหม อยากฟังนิทานก่อนนอนหรือเปล่า เดี๋ยวผมกล่อมเอง”
ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรสักอย่างมาปาใส่ เมฆเหมือนรู้ตัวรีบเดินออกห่างพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“หญ้าหลับแล้วเหรอ” ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมาที่เตียงหลังจากเป่าผมจนแห้งแล้ว
“หลับเร็วชะมัด” เสียงบ่นดังขึ้นก่อนไฟกลางห้องจะถูกปิดลง
“กู๊ดไนท์ครับ” ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดข้างหู ผมเกือบหายใจผิดจังหวะ ดีที่คอยระวังอยู่แล้ว ผ้าห่มถูกเลิกออก ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกอย่างเงียบสนิท
“หมอนข้าง?”
น้ำเสียงคนพูดทั้งแปลกใจและขำในเวลาเดียวกัน ผมโทรไปขอหมอนข้างจากพนักงานมา โชคดีที่ทางรีสอร์ทมี ผมจึงนำมาวางกั้นตรงกลาง
“ติดคนกับติดหมอนข้างก็เหมือนกัน กลับไปถ้าไม่มีก็ไปหาซื้อ” ผมพูดขึ้นโดยไม่ลืมตา
“หึ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนน้ำหนักจะทิ้งลงข้างตัว ผมซุกหน้าลงกลับหมอน ลอบยิ้ม คราวนี้ผมชนะ
• • • • •
หลังจากผ่านคืนที่นอนไม่หลับมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เริ่มทริป ผมก็เริ่มชินจนสามารถหลับได้เร็วในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ไม่เคยคิดว่าเมื่อเราสามารถทนทานต่อเรื่องชวนใจเต้นก่อนนอนได้แล้ว จะตื่นขึ้นมาใจเต้นแรงในตอนเช้าแทน
ใบหน้าที่วางอยู่บนหมอนใบเดียวกันโดยไม่มีหมอนข้างกั้นทำให้ผมเกือบผละตัวหนี แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังหลับสนิทไม่มีพิษมีภัยแต่อย่างใด ผมจึงสงบลงได้ สายตาค่อยๆ ไล่ไปตามใบหน้าคมสัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผมถึงตกหลุมรักใบหน้านี้
ดวงตายาวเรียว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูป
ผมแตะปลายนิ้วลงบนหว่างคิ้วอย่างแผ่วเบา เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาผมจึงไล่นิ้วลงมาที่ปลายจมูก
“ถ้าทำแบบนี้ผมจะปล้ำละนะ” เสียงพูดงัวเงียดังขึ้น ผมตกใจจนสะดุ้งเฮือกรีบเอานิ้วออกแทบไม่ทัน ก่อนที่ดวงตายาวเรียวจะลืมขึ้นอย่างช้าๆ
“จะลักหลับผมเหรอ” ดวงตาที่มองมาเป็นประกาย ผมเผลอหลบสายตานั้นจนได้แม้จะรู้ว่ามันทำให้มีพิรุธก็ตาม
“เปล่า ผมแค่อยากรู้ว่ามันโด่งแค่ไหน”
“แล้วมันโด่งแค่ไหน”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเมฆจับมือของผมกลับไปแตะที่จมูก
“ก็ไม่มากกว่าผมเท่าไหร่” ผมพยายามรักษาอาการถึงแม้มันจะไม่ทันแล้วก็ตาม
“จริงเหรอ”
เรามักจะรู้ตัวเมื่อสาย ผมมาคิดได้เมื่อมือของอีกฝ่ายแตะที่ใบหน้า ก่อนไล้นิ้วช้าๆ จากหว่างคิ้วลงมาจนถึงสันจมูก และก่อนที่มันจะลงมาถึงริมฝีปากผมก็รีบลุกขึ้นด้วยหัวใจที่เต้นรัว
“ผมหิวแล้ว”
“หญ้าไม่กินข้าวเช้าไม่ใช่เหรอ” สายตาที่มองมาเป็นประกายขำ
“ไม่กินก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่อยากกินทุกวันไม่ใช่เหรอ” คนเถียงหัวชนฝาเป็นแบบผมนี่เอง
“ผมเห็นด้วย ไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนยังหลงรักได้เลย”
ผมสบตากับเมฆ สายตาคู่นั้นตรึงผมไว้แม้อยากจะละสายตาแค่ไหนก็ตาม
“คนที่ผมชอบเป็นผู้ชาย เผื่อว่าหญ้ายังเดาไม่ถูกว่าเป็นใคร”
“อะ..อืม” ในที่สุดผมก็ละสายตาได้
“ไม่เห็นหญ้าแปลกใจเลย”
!!!
ใครจะกล้าบอกว่าที่ไม่แปลกใจเพราะผมเข้าข้างตัวเอง ว่าคนที่เมฆพูดหมายถึงผม
“ก็เมฆใช้คำว่าเขาแทนทุกครั้ง” โชคดีที่ยังหาทางออกได้
“นั่นสิ ผมลืมไป” คนพูดขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มตกไปอยู่ที่เอว มองเห็นแผงอกเปล่าเปลือย เมื่อคืนนี้เมฆใส่แค่กางเกงนอนตัวเดียว
“หญ้าไปอาบน้ำเถอะ ผมไม่อยากให้หญ้าโมโหหิว”
มีคำพูดมากมายที่อยากตอบโต้ แต่สิ่งที่ผมทำคือหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
• • • • •
ผมนึกเสียดายทิวทัศน์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า เมื่อคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะไม่ได้จิบกาแฟในบรรยากาศสบายๆ แบบนี้แล้ว
"หญ้าเริ่มงานวันไหน"
"วันที่หนึ่ง"
"ไม่เปลี่ยนใจไปทำกับผมเหรอ"
"ไหนเมฆบอกว่ายังไม่ทำ อีกปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ"
"ถ้าหญ้าไปผมจะทำเลย"
"งั้นดีแล้วที่ผมไม่ไปจะได้ไม่ขัดการเที่ยวของเมฆ" เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองชนะ รอยยิ้มกว้างจึงจุดขึ้นที่ริมฝีปาก แต่ต้องหุบฉับเมื่อดวงตาที่มองมาฉายความเอ็นดู คล้ายผมเป็นเด็กเล็ก
"ไปทำด้วยกันเถอะ" เสียงทุ้มนุ่มทำให้ผมอยากใจอ่อนแต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
"ผมเปลี่ยนใจไม่ได้ บริษัทที่ไปทำเป็นของพี่ชายน็อต" น็อตเป็นเพื่อนสนิทของผมที่มหา'ลัย มีพี่ชายทำบริษัทส่งออก หลังเรียนจบน็อตบอกให้ผมลองไปสมัครดู แล้วก็ได้งาน จะถือว่าเป็นการใช้เส้นสายก็คงได้
"พี่ชายน็อต?" ดวงตาที่มองผมหรี่ลง ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มเหมือนที่เคย "คนที่ชอบหญ้าเหรอ"
"ไปเอามาจากไหน" ผมหัวเราะเพราะขำอีกฝ่าย
"ผมได้ยินที่คณะ"
"ก็พูดกันไป ผมเจอพี่นพบ่อยก็จริงแต่ไม่มีเรื่องแบบนั้น เมฆได้ยินใครพูดเหรอ"
"น็อ.. ช่างเถอะ หญ้าพูดถูกคนคงพูดมั่วๆ กันไป"
"มันแน่อยู่แล้ว" ผมยิ้มขำแต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับเคร่งขรึม คิ้วของผมจึงขมวดเข้าหากัน
"เมฆมีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า หญ้าทานกาแฟต่อเถอะ"
"อืม"
ไหนๆ ก็เที่ยววันสุดท้ายแล้ว ผมจึงอยากใช้เวลานี้ซึบซับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
• • • • •
คนเรารู้สึกเศร้าเวลาไหนบ้าง ผมอยากรู้ว่าเคยมีใครเศร้าเหมือนผมบ้างไหม ที่เห็นรถคันที่เช่ามาคันที่เมฆขับให้นั่งตลอดทริปแล่นออกไปแล้วใจหาย
หลังจากทานอาหารเช้า ผมกับเมฆตัดสินใจขับรถเล่นแถวๆ นั้น เราแวะถ่ายรูปตามนาข้าวบ้าง ถ่ายกับภูเขาบ้าง เป็นวันที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างมีความสุข
เราเก็บกระเป๋าออกจากรีสอร์ทตอนบ่ายโมงตรง แต่เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกมาก เมฆจึงขับรถขึ้นดอยเพื่อไปชมวิว ขากลับลงมาเราแวะไปเดินเล่นที่ตลาดนัดยามเย็น หาอะไรง่ายๆ ทาน ก่อนขับรถไปเด่นชัยเพื่อให้ทันรถไฟขากลับ
“ยังไม่อยากกลับเหรอ” ดูเหมือนคนที่ยืนด้านหลังของผมจะเดาความคิดได้ ผมหันกลับไปส่งยิ้มให้แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เศร้าไปหน่อยก็ตาม
“พอได้เที่ยวแล้วก็ไม่อยากกลับ”
“อยู่ต่อไหม”
“ได้ยังไง” ผมหัวเราะเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ขอแค่หญ้าพูดคำเดียว”
“อยากทำนะแต่อย่าเลย ผมอยากกลับไปพักเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่มงาน มีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เสร็จ”
“เช่นอะไรบ้าง”
“ย้ายที่พัก ผมนัดเจ้าของคอนโดที่เช่าไว้ อยู่ใกล้บริษัทจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”
“ที่ทำงานหญ้าอยู่แถวสาธรใช่ไหม”
“ใช่ จำได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิ ใครไปช่วยขนของ น็อตเหรอ”
“เปล่าผมขนเองคนเดียว ไม่ได้หมายถึงจะให้ไปช่วยนะ” ผมรีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด
“คือของมันไม่เยอะ เลยไม่ได้บอกใคร”
“จะย้ายวันไหน”
“ไม่เป็นไร” ผมรีบปฏิเสธ
“ยังไงผมก็ต้องแวะไปหาหญ้าอยู่แล้ว ไปขอคำตอบที่เคยถามไว้”
ผมมองสายตาแฝงความนัยของเมฆ หัวใจค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น
“ตกลงไหม”
ผมไม่สามารถละสายตาจากดวงตาของเมฆได้ ได้แต่สบตาคู่นั้นนิ่ง ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปากของผม และเมฆเพียงแค่คลี่ยิ้มเท่านั้น
“รถไฟมาแล้ว”
ผมหันไปมอง รู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องตอบ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
กระเป๋าถูกร่างสูงแย่งไปถือ ผมจึงเดินตัวปลิวขึ้นรถไฟ มองหาที่นั่งของตัวเองก่อนนั่งลง เมฆเดินตามมาข้างหลังวางกระเป๋าของผมลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ส่งให้ผมดีกว่าเผื่อมีคนนั่ง”
“ไม่เป็นไร”
“อย่าเลย ผมไม่อยากให้เจ้าของที่นั่งว่าเอา”
“ผมไม่ว่า หญ้าวางได้ตามสบาย”
“ไม่ดีหรอก”
!!!
“อะไรนะ!” ผมเบิกตากว้าง ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าฟังผิดไหม
“ที่นั่งผม” เมฆชี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนนั่งลงข้างกระเป๋าที่ว่างอยู่
“แต่ที่นั่งเมฆไม่ใช่ตรงนี้”
“ผมซื้อเพิ่มอีกใบตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งให้เขาออกตั๋วเมื่อกี้”
ผมได้แต่มองรอยยิ้มชิลๆ ของคนพูด เพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร
“เสียดายเงิน” ในที่สุดผมก็คิดออก
“เสียดายเหมือนกัน แต่ถ้าอยากนั่งกับหญ้าก็ต้องยอม”
ผมเผยอยิ้มออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เมฆพูด อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นคล้ายต้องการถามว่าผมยิ้มอะไร แน่นอนว่าผมไม่ยอมบอก สิ่งที่ผมคิดก็คือถ้าเมฆตอบว่าไม่เสียดายผมคงไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร แต่พอตอบแบบนี้มันทำให้คนฟังหัวใจพอโตง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญขึ้นมา และที่ผมยิ้มก็เพราะมันทำให้ผมจำได้ว่าทำไมผมถึงชอบเมฆ
“หิวไหม เดี๋ยวรอพนักงามานตรวจตั๋วแล้วไปตู้เสบียงกัน”
“ยังหิวอยู่เหรอ” ผมอดหัวเราะไม่ได้
“เปล่า” คนตรงหน้าส่ายศีรษะช้าๆ “เดี๋ยวพนักงานน่าจะมาปูเตียงแต่ผมยังอยากนั่งคุยกับหญ้า”
พักนี้ผมรู้สึกเหมือนสู้สายตาเมฆไม่ได้เพราะมันทำให้ใจเต้นแรง
“ไม่ ไม่หิว” ผมตอบออไป
“อืม” ใบหน้าของเมฆยังเปื้อนรอยยิ้ม ไม่เซ้าซี้ให้ผมลำบากใจ
“ผมยังแน่นท้องอยู่เลย ถ้าจะคุยก็นั่งคุยตรงนี้ก็ได้ ก็เหมือนนั่งคุยกันบนเตียง”
“ตกลง”
ตอนพูดผมไม่ได้คิดอะไรแต่พอเห็นตาวาววับของเมฆถึงนึกขึ้นมาได้ หน้าจึงขึ้นสีแดงเรื่อ ผมเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ทั้งเขินทั้งอายผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
“จริงสิ” ผมหันกลับมาเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวเมฆให้เขาปูที่นั่งโน้นด้วยสิ มันเป็นเตียงล่างจะได้นอนสบาย นอนตรงนี้มันเป็นเตียงบน”
“เป็นห่วงผมเหรอ”
“เปล่า ผมนึกได้ก็บอกไหนๆ ก็เสียเงินแล้ว”
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ่มละมุนหู ดวงตาที่มองมาเป็นประกายอ่อนโยน ผมยอมรับโดยดุษฎีว่าโกหกไม่ขึ้น
พนักงานปูเตียงมาหลังจากรถไฟออกไม่นาน ผมเอ่ยขอบคุณเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย มาตอนนี้ถึงคิดได้ว่าไม่ควรชวนเมฆเลย ความเขินไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
โชคดีที่เมฆทำทุกอย่างได้เป็นธรรมชาติมาก ผมจึงรู้สึกผ่อนคลาย เรานั่งพิงคนละด้าน เมฆเหยียดขายาว ขณะที่ผมนั่งขัดสมาธิ เราคุยกันไปเรื่อยๆ ด้วยเสียงไม่ดังนักเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น เวลาที่คิดว่าเดินช้ากลับผ่านไปอย่างรวดเร็วจนค่อนคืน
“หญ้านอนเถอะดึกแล้ว”
“อืม”
“พรุ่งนี้เจอกัน ฝันดี”
“ฝันดี” ผมพูดเสียงแผ่วเบาในลำคอ มองร่างสูงของเมฆเปิดผ้าม่านและก้าวลงไป
ใครกันนะที่บอกว่านอนด้วยกันจนนอนคนเดียวไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ผมเสียหน่อย แต่ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเตียงแคบๆ บนรถไฟกว้างขึ้นมา เห็นทีว่าคงไม่ใช่เมฆคนเดียวที่ชิน
• • • • •
รถไฟเข้าเทียบชาลาตอนเช้าตรู่ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางพักผ่อนของผม ใครจะคิดว่าผมต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุดบนรถไฟ และต้องแยกกับคนที่ไม่อยากแยกที่สุดตอนนี้
“เดี๋ยวผมนั่งไปส่ง”
“ไม่ต้อง” ผมรีบปฏิเสธ
“ขึ้นรถเถอะ”
เป็นอีกครั้งที่ผมปฏิเสธแต่กลับดีใจอยู่ข้างใน เราพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบนรถแท็กซี่ ส่วนใหญ่ผมจะตอบคำถามมากกว่า เช่น ของที่ต้องย้ายเยอะไหม ควรเอารถอะไรมา อยากให้มาหากี่โมง
เดิมทีผมคิดว่าเมฆจะนั่งแท็กซี่ต่อไปเลย แต่อีกฝ่ายกลับลงพร้อมกับผมที่หน้าที่พัก ผมกำลังชั่งใจว่าจะชวนเมฆขึ้นไปไหมแต่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยววันอังคารผมมารับ”
“อืม ขอบคุณนะที่มาส่ง แล้วก็ขอบคุณที่เที่ยวเป็นเพื่อน” ผมส่งยิ้มให้เมฆ ดวงตาของเราประสานเข้าด้วยกัน
“ผมชอบหญ้า”
!!!
ผมยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอออกโดยไม่มีเสียงใดๆ หลุดลอดออกมา
“ผมอยากพูดก่อนหน้านี้แต่กลัวว่าหญ้าจะอึดอัด ไม่อยากให้หญ้าหนีกลับก่อน”
“....”
ริมฝีปากของเมฆระบายรอยยิ้ม ดวงตาที่มองผมอ่อนโยน
“หญ้าขึ้นไปเถอะ แล้ววันอังคารผมจะมาขอคำตอบเรื่องที่เคยถามหญ้าเอาไว้”
“.....”
“พักผ่อนเยอะๆ ไว้เจอกัน”
มือใหญ่แตะที่แก้มผมก่อนปล่อยออก ผมได้แต่ยืนมองร่างสูงที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนหลับตา
เมฆชอบผม?
เมฆชอบผมอย่างนั้นเหรอ
คนที่เมฆพูดถึงคือผม คนที่เมฆรักมาตลอดคือผมจริงๆ ใช่ไหม
หัวใจค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าว มือไม้สั่นเทา
มันไม่ถูกต้อง!
มันโกงกันชัดๆ
ไหนบอกจะมาถามว่าควรบอกรักดีไหม แล้วทำไมถึงแอบชกใต้เข็มขัดกันแบบนี้ !!!
หนึ่ง สอง สาม ผมยกมือขึ้นนับ
อีกสามวันกว่าจะถึงวันอังคาร แกล้งกันชัดๆ ไอ้คุณก้อนเมฆนิสัยไม่ดี
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 19
วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน
ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีส้มอมชมพู ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังก้าวผ่านประตูออกมา ก่อนที่สายตาจะประสานเข้ากับสายตาของร่างสูง ใบหน้าที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่คุ้นตา
หลังจากค่ำคืนนั้นเมฆไม่เคยถามผมอีกเลย มีเพียงการกระทำที่สม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแม้อีกฝ่ายจะเริ่มทำงานแล้วก็ตาม
“หญ้าอยากทานอะไร” ประโยคคุ้นเคยที่เมฆมักถามผมเป็นประจำ
“ผมคิดเอาไว้แล้ว” ผมเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง เพียงครู่เดียวรถก็เคลื่อนออกจากลานจอด
“ร้านอยู่แถวไหน” เมฆถามทางผมเมื่อคืนบัตรให้พนักงานรักษาความปลอดภัยแล้ว
“ในมหา’ ลัย“
“ในมหา’ลัยเหรอ” เมฆหันมามองหน้าผมด้วยสายตาแปลกใจ
“วันนี้วันลอยกระทง ผมอยากไปเที่ยวงานที่มหา’ลัย”
“ผมนึกว่าหญ้าไม่ชอบเลยไม่ได้ชวนไปเที่ยวที่ไหน”
“ไม่เป็นไร ผมแค่อยากไป” ผมตอบเสียงเบา เมฆหันมามองด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนละมือจากพวงมาลัยรถแล้วยื่นมาจับมือผม
“หญ้าเป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”
เปล่า” ผมยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตา “แค่คิดถึงน่ะ”
“ตกลง งั้นไปเที่ยวมหา’ลัยกัน”
“อืม” ผมพยักหน้า สายตามองตรงไปข้างหน้า รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปาก ท้องฟ้าวันนี้สวยเหมือนวันนั้น
• • • • •
ในมหา'ลัยสว่างไสวไปด้วยแสงจากไฟประดับ ร้านรวงผุดขึ้นมากมาย ทั้งอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม รวมถึงซุ้มเล่นเกมต่างๆ และเวทีการแสดงที่วงดนตรีกำลังเล่นเพลงอย่างครึกครื้น
หลังจากแวะทานก๋วยเตี๋ยวฝีมือรุ่นน้องที่คณะเพื่อรองท้องแล้ว ผมกับเมฆก็เดินเล่นในงานไปเรื่อยๆ
"เมฆ" ผมหยุดยืนที่หน้าตึกคณะ เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงทุ้ม
"ครับ" เมฆหันกลับมามอง
"จำวันลอยกระทงปีนั้นได้ไหม วันที่เมฆทักผมตรงนั้น" ผมชี้มือเข้าไปด้านในตึก
"จำได้สิ"
"ขอบคุณมากนะ ตอนนั้นผมไม่ได้บอกเมฆ"
"ไม่เป็นไร" ดวงตาที่มองมาอ่อนแสง มันดูอบอุ่นไม่ต่างกับวันนั้นวันที่เมฆตัดสินใจดึงแขนผมให้เดินไปด้วยกัน
"ผมน่ะทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรแต่ความจริงแล้วกำลังเศร้ามาก แต่เพราะเมฆ ผมเลยรู้สึกว่างานลอยกระทงมันก็ไม่ได้แย่ ที่จริง.." ผมยกยิ้มกว้าง "มันดีมากๆ "
"ผมดีใจที่หญ้าชอบ"
"ผมชอบ แต่วันนั้นผมไม่ได้ชอบแค่งานลอยกระทงอย่างเดียว ผมชอบเมฆด้วย"
"หญ้า" สายตาของเมฆเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตกใจผสมปนเปกัน
“หญ้าชอบผมอย่างนั้นเหรอ!”
"เมฆได้ยินไม่ผิดหรอกตั้งแต่วันนั้นผมก็เริ่มชอบเมฆ" ผมส่งยิ้มให้เมฆก่อนเริ่มออกเดินอีกครั้ง
"ผมชอบเมฆทีละนิดและชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็รู้ตัวว่าผมรักเมฆเข้าให้แล้ว"
"แต่ทำไม.."
"ทำไมเมฆถึงไม่เคยรู้ และทำไมผมถึงไม่เคยแสดงอะไรออกมาใช่ไหม"
"ใช่ ทำไมผมไม่เคยรู้เลย"
"ก็เพราะว่า.." ผมหันไปยิ้มให้เมฆ "ผมคิดว่าเมฆมีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะสิ"
"ผมไม่มี!"
"ผมว่ามันเป็นตลกร้าย" ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ชี้มือไปข้างหน้า "ผมเคยมาดูเมฆแข่งบาสกับเพื่อนๆ ที่นี่ด้วย ตอนนั้นผมคิดว่าผมจะทำอะไรเพื่อตัวเองสักครั้ง ผมเลยคิดจะชวนเมฆไปดูหนังด้วยกัน" ผมหยุดเดินที่หน้าสนามบาส หันไปมองเมฆเต็มตัว ริมฝีปากติดรอยยิ้มบาง
"บังเอิญผมนั่งข้างกลุ่มของอรบนอัฒจรรย์ เลยได้ยินที่อรแกล้งหลอกเพื่อนว่าเมฆมาจีบแต่ตอนนั้นผมไม่รู้ ผมเข้าใจว่าเมฆกำลังจีบอรอยู่จริงๆ ผมเลยคิดว่าผมควรหยุดอยู่แค่นั้น แล้วชอบเมฆอยู่ห่างๆ ก็พอ"
"ผมเห็น"
"เห็น? เห็นอะไร"
"เห็นหญ้าตอนออกจากสนามไปแล้ว เห็นจากบนอัฒจรรย์ ยังคิดอยู่ว่าหญ้ามาดูใคร เสียดายที่ผมเลิกช้าเลยไม่ได้เจอ
แม้เรื่องราวจะผ่านไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินก็อดหัวใจพองโตไม่ได้ ที่เราต่างมองหากัน
"เมฆ"
"ครับ"
"ผมบอกเมฆว่าผมจะไม่ให้คำตอบจนกว่าเมฆจะตอบคำถามผม ผมถามเมฆตอนนี้ได้ไหม"
"ได้สิ" เสียงตอบรับอบอุ่น
"ผมจะถามเมฆว่า.." ผมเงยหน้าขึ้นประสานสาตากับดวงตาที่มองมา
"ผมชอบเมฆ ชอบมานานมากแล้ว เมฆคบกับผมได้ไหม"
“โอ๊ะ!” ผมตกใจเพราะเมฆคว้าผมเข้าไปกอด กอดแน่นจนผมเหมือนจมเข้าไปในอกของอีกฝ่าย
"ผมรักหญ้า รักที่สุด” ริมฝีปากร้อนแตะลงบนหน้าผากเมื่อผมเงยใบหน้าขึ้นมอง ผมกะพริบตาสองสามที ถามด้วยใบหน้าที่ซื่อที่สุด
"เมฆไม่คบเหรอ งั้นถ้าเมฆไม่ตกลง ผมก็ไม่ตกลง"
"หึๆ" ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมันเขี้ยวผมเพราะแกล้งกอดผมแน่นขึ้น ใช้จมูกปัดเบาๆ ที่แก้ม
"ไหนคำตอบผม" ผมพยายามกลั้นยิ้มแต่ไม่สามารถซ่อนความสุขได้ ดวงตาจึงพราวระยับ
"ตกลง"
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ตกลง"
ดวงตาของเราประสานเข้าด้วยกัน มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข
"แต่ตอนนี้เมฆต้องปล่อยผมก่อนเพราะผมเริ่มจะอายแล้ว" ใบหน้าผมขึ้นสีแดงเรื่อ ถึงบริเวณหน้าสนามบาสจะไม่ใช่จุดที่จัดงานและไม่มีใครผ่านไปมาเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
"ผมยังไม่ปล่อยจนกว่าหญ้าจะตอบคำถามผม"
“คำถามอะไร”
"ถ้าหญ้าชอบผมอยู่แล้วทำไมถึงไม่ตอบตกลงเลย ทำไมถึงรอจนถึงวันนี้”
ผมมองคนถามด้วยสายตาเอาเรื่อง เมฆเลิกคิ้วขึ้นคล้ายต้องการถามว่าผมเป็นอะไร
"เพราะผมรู้ว่าวันนั้นเมฆถามเพราะเห็นผมเมา กะจะหลอกให้ตกลงง่ายๆ ใช่ไหม"
"หึๆ"
"ให้รอแบบนี้ดีแล้ว ต้องโดนเอาคืนบ้างวันหลังจะได้ไม่ร้ายกับผม"
"ฮ่าๆ" เมฆหัวเราะเสียงดังจนผมเก๊กดุต่อไปไม่ไหวหลุดรอยยิ้มออกมา
ความจริงแล้วที่ผมเลือกวันนี้เพราะผมอยากทำในสิ่งที่วันนั้นผมตัดสินใจไม่ทำแล้วเดินหนีไป รวมถึง..ใบหน้าของผมร้อนผ่าวเมื่อคิดขึ้นมา ถ้าวันครบรอบเป็นแฟนกันตรงกับวันที่ผมตกหลุมรักเมฆก็คงดี
“แต่ผมยังข้องใจอีกเรื่อง” เมฆยังไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ
“อะไรเหรอ”
“ทำไมพี่เชษฐ์ถึงเข้าใจผิดว่าหญ้าชอบน้องเพลิน”
“หึ” ผมหลุดเสียงหึออกมา ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะจนตัวโยน
“อะไรครับ” เมฆถามด้วยน้ำเสียงปนขำเมื่อเห็นท่าทางประหลาดของผม
“เมฆรู้จักเซอร์ไอแซกนิวตันไหม เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง”
ดูเหมือนเรื่องนี้ต้องเล่ากันยาว ผมจึงดึงมือเมฆไปหาที่นั่งคุยกัน แน่นอนว่าเมื่อผมเล่าจนจบเสียงถอนหายใจยาวของเมฆก็ดังขึ้น ดูเหมือนผมจะได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมหลังจากสี่ปีผ่านไป” เสียงทุ้มของเมฆถามขึ้น มันทำให้ผมยิ้มกว้าง
“อืม”
“หญ้าเสียดายเวลาไหม”
ผมหยุดคิดก่อนส่ายศีรษะช้าๆ “ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มันพิเศษ ถึงจะตลกร้ายไปสักหน่อยแต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าจดจำ”
“แต่ถ้าผมได้กอดหญ้าเร็วกว่านี้ก็ดี”
ใบหน้าของผมร้อนผ่าวเมื่อสบตากับดวงตาของเมฆ ถ้าละลายได้ผมคงละลายไปแล้ว
“ไปเดินเล่นกันต่อเถอะ” ผมลุกขึ้นยืน เวลาเขินผมมักจะทำตัวประหลาดเสมอ
เมฆไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มด้วยสายตาเอ็นดู มือใหญ่สอดเข้ามาจับมือผม มันอบอุ่นจนหัวใจพองโต
• • • • •
“ขับรถดีๆ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความบอกผมด้วยนะ” ผมหันไปบอกเมฆหลังจากปลดเข็มขัดนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” มือใหญ่จับข้อมือผมไว้ไม่ยอมให้เปิดประตู
“หญ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า”
“ลืมอะไร” ผมขมดวคิ้วเข้าหากันเพราะนึกไม่ออกจริงๆ
“อ๋อบอกฝันดีเหรอ ผมกะจะส่งให้ตอนเมฆถึงบ้านแล้วต้องทวงด้วย” ผมแซวอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
เมฆส่ายศีรษะช้าๆ ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
“งั้นผมก็นึกไม่ออกแล้ว”
“หญ้าลืมว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว” แขนของผมถูกเมฆดึงเบาๆ จนเซเข้าหา ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนริมฝีปากจะแตะลงที่ข้างแก้ม
“พรุ่งนี้เจอกันครับ”
“อะ..อืม” หน้าของผมร้อนผ่าว มันร้อนจนกลัวตัวเองจะเป็นไข้ ได้แต่หลบสายตาวาววับของเมฆ ตอบรับอือออในลำคอแล้วรีบเปิดประตูลงมาด้วยความอาย เกือบสะดุดขาตัวเองให้ขายขี้หน้าเล่น
เมฆลดกระจกลง ดวงตาที่มองยิ่งทำให้ผมหน้าแดงขึ้นไปอีก
“หญ้าครับ”
“หือ?”
“ขอบคุณ”
คำพูดเพียงคำเดียวแต่อบอุ่นไปถึงหัวใจ ผมยิ้มตอบเมฆด้วยสายตาที่ไม่แตกต่างกัน ทุกอย่างมีเวลาที่เหมาะสม ในที่สุดผมก็ได้พูดมันออกไป
จากปลายหญ้า ถึงก้อนเมฆ
ผมรักคุณ
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 22
ปลายหญ้าของก้อนเมฆ
เป็นวันอาทิตย์ที่ผมตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อเตรียมตัวทำอาหารกลางวัน แม้ว่าเมื่อคืนผมจะเขินจนลืมถามเมฆไปว่าอยากทานอะไร แต่ข้อดีของการหลงรักอีกฝ่ายมานานทำให้รู้ว่าเมฆชอบทานอะไร
ผมเก็บห้องที่สะอาดอยู่แล้วให้สะอาดยิ่งขึ้น นำจานชาม แก้วน้ำที่ซื้อไว้แต่ไม่เคยนำมาใช้เพราะเสียดายออกมาล้าง ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้คอนโดที่เปิดให้บริการตั้งแต่เช้า
ผมซื้อวัตถุดิบได้ครบตามที่ต้องการ แต่ก่อนจะกลับสายตาก็สะดุดเข้ากับร้านดอกไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางออก ดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าโดดเด่นอยู่ในตู้แช่ มันทำให้ผมนึกถึงช่อดอกไม้ที่เมฆซื้อให้
"ขอดอกไอเดรนเยียสีฟ้าดอกหนึ่งครับ" ผมบอกกับเจ้าของร้าน ถ้ามีมันอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยก็คงดี
• • • • •
(ผมกำลังไป หญ้าจะเอาอะไรไหมเดี๋ยวผมแวะซื้อให้) เมฆโทรหาผมก่อนออกจากบ้าน
"ไม่เอา ผมออกไปซื้อมาหมดแล้ว"
(ไปวันนี้เหรอ)
"ใช่ ผมเพิ่งกลับเข้ามา"
(ทำไมไม่โทรบอก ผมจะได้ไปซื้อเป็นเพื่อน)
"ไม่เป็นไร ผมจะได้ทำอาหารสบายๆ"
(หญ้าเห็นผมเป็นตัวก่อกวนเหรอ) เมฆพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"ใช่" ผมรับทันทีพร้อมกับหัวเราะออกมา
(หึๆ งั้นอีกสี่สิบนาทีเจอกันครับ)
"ครับ"
ผมกดวางสายก่อนเร่งมือทำงานที่ค้างอยู่ เหลืออีกแค่สี่สิบนาทีผมอยากทำให้เสร็จก่อนเมฆมาถึง
• • • • •
เมฆยืนรออยู่ที่รถพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ในมือมันทำให้ผมหัวเราะออกมา สีหน้าเจ้าของดอกไม้จึงเก้อกระดากขึ้นมาทันที
"ผมอยากมีอะไรติดมือมาให้หญ้า"
"เป็นรถยนต์หรือโฉนดที่ดินก็ได้นะผมไม่ขัดข้อง" ผมแซวอีกฝ่ายก่อนยื่นมือไปรับช่อดอกไม้มากอดไว้ เพราะมันใหญ่เกินกว่าจะถือด้วยมือข้างเดียว
"ของที่หญ้าพูดมาผมยังซื้อให้ไม่ไหว ขอเป็นแค่แหวนแทนก่อนได้ไหม"
เล่นเองเขินเองมันเป็นแบบนี้ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองในลำคอ "โดนอีกแล้ว"
"หึๆ" เมฆพาดมือลงบนไหล่ ขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งที คนหน้าแดงอยู่แล้วเลยกลายเป็นลูกมะเขือเทศชั่วคราว
"หญ้าทำเองหมดเลยเหรอ" น้ำเสียงและสายตาตื่นเต้นของร่างสูงทำให้ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ เล่นใหญ่เกินไปแล้ว
"เปล่า ไปซื้อมาแล้วบอกว่าทำเอง"
"ฮ่าๆ" เมฆหัวเราะเสียงดัง ดึงเก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวออกนั่ง ผมยืนรินน้ำดื่มอยู่ที่ตู้เย็นต้องรีบร้องบอก
"ล้างมือก่อน"
"ผมเพิ่งล้างมาก่อนออกจากบ้าน" เมฆยกสองมือให้ดู พอเห็นตาดุๆ ของผมก็รีบลุกขึ้นยืน
"ครับผมจะปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้เลย"
จะให้โกรธหน้าตาอ้อนแบบนั้นลงได้ยังไง ผมเลยหลุดรอยยิ้มออกมา ดูเหมือนร่างสูงจะรู้แทนที่จะเดินตรงไปล้างมือกลับเดินตรงมาหาผมแทน สองแขนกอดรอบเอวจากทางด้านหลัง
"คิดถึง" ริมฝีปากอุ่นแตะลงบนต้นคอ
"ยี่สิบสี่ชั่วโมงยังไม่ถึงเลย"
"จริงเหรอผมนึกว่าอาทิตย์หนึ่ง"
แม้จะรู้ว่าเป็นมุกแป๊กแต่ผมก็ขำอยู่ดี
"ไปล้างมือได้แล้วจะทานหรือเปล่าข้าว"
"ถ้าไม่ทานข้าวทานอย่างอื่นแทนได้ไหม"
"มีดอกไม้ที่วางบนโต๊ะทานได้"
"หญ้าซื้อมาเหรอ"
"มันเดินมาเอง" ผมตอบหน้าตาย
"หึๆ" เมฆรัดผมแน่นขึ้นด้วยความมันเขี้ยว "ผมดีใจที่หญ้าชอบดอกไม้ที่ผมเลือก"
"ผมชอบสีฟ้า"
"ผมรู้"
"จะบอกว่าเลือกเก่งงั้นเถอะ"
"จะบอกว่าชอบหญ้าต่างหาก"
ผมหันไปมอง จ้องหน้าอีกฝ่าย "ได้ข่าวว่าจีบติดแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ฮ่าๆ" เมฆขโมยหอมแก้มผมก่อนปล่อย ยอมเดินไปล้างมือแต่โดยดี
ดูเหมือนเมฆจะมีความสุขกับการกิน อาหารจานไหนก็ชมว่าอร่อยไปหมด แต่ผมรู้ดีว่าผมแค่คนทำอาหารได้ ไม่ได้ทำได้อร่อยมากอย่างที่อีกฝ่ายออกปาก แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นคนทำก็มีความสุขอยู่ดี เขาถึงพูดกันว่าบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากได้ของตอบแทนอะไรนอกจากสายตาหรือคำพูดที่บอกว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงความตั้งใจของเรา
เมฆเป็นคนล้างจานทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าเพราะผมเป็นคนทำ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกดี ทำให้ไม่เกิดความแคลงใจถึงอนาคตที่จะใช้ร่วมกัน
เดี๋ยวนะ! นี่ผมกำลังคิดถึงอนาคตที่จะใช้ร่วมกันแล้วเหรอ!!
"หญ้า" ผมชะงักมือที่กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ
"เป็นอะไรทำไมหน้าแดง" เมฆพูดด้วยเสียงปนขำ ไม่รู้โผล่มายืนตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่
"มันร้อน" ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริง
"งั้นผมเร่งแอร์ให้"
"อืม" แม้จะขี้หนาวแค่ไหนผมก็ทำได้แค่พยักหน้า
"เมฆจะกลับเลยไหม" ผมถามให้แน่ใจเพราะเมื่อวานเมฆบอกว่าจะแวะมาทานข้าวกลางวันด้วยเท่านั้น
"เย็นๆ ค่อยกลับ" เมฆเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว พิงศีรษะกับพนักทำท่าเหมือนจะหลับ
"ง่วงเหรอ"
"นิดหนึ่ง" เมฆพูดโดยไม่ลืมตาขึ้นมา
"งั้นเมฆพักไปก่อนนะหรือจะดูทีวีก็ตามใจ ผมขอเข้าไปอาบน้ำหน่อยมันเหนียวตัว ไม่เกินยี่สิบนาที”
"หญ้าตามสบายเลย ผมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนี้ไม่ไปแอบดู" คนพูดลืมตาขึ้นมามองผมด้วยดวงตากรุ่มกริ่ม
"ผนังกับประตูห้องน้ำผมทึบ ถึงอยากแอบดูก็ไม่เห็นอยู่แล้ว"
"หมดกันว่าจะทำตัวเป็นเด็กดีซะหน่อย" เมฆแกล้งถอนหายใจก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
"หญ้าไปอาบน้ำเถอะ ไม่ต้องรีบนะผมรอได้"
"อืม" ผมพยักหน้า เดินตรงไปยังห้องนอน หยิบเสื้อผ้าที่ต้องใช้ออกมาจากตู้พร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ สายตาเหลือบไปเห็นเสื้อยืดที่ซื้อมาจากน่าน ทำให้อดคิดถึงช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันที่โน่นไม่ได้
คิดย้อนไปแล้วตอนนั้นผมมองว่าเมฆเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง อยากจองห้องเดียวกันก็จอง อยากจะเข้ามานอนกอดก็ทำ แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าที่ผ่านมาเมฆชอบผมมาตลอด ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมสงสัยว่าเมฆต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่จะใกล้ชิดกันแบบนั้น ผมเองยังหัวใจเกือบวายแล้วเมฆล่ะ
ผมหันกลับไปมองผู้ชายที่นั่งหลับตาอยู่บนโซฟาผ่านกระจกกั้นห้อง ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งย่อมรู้ถึงความต้องการของผู้ชายดี ถึงผมจะดูเรียบร้อยแต่ไม่ได้แปลว่าผมไร้เดียงสา แค่เมฆเข้ามานอนแนบชิดด้านหลังท้องไส้ผมยังปวดมวน แล้วคนที่ต้องหยุดแค่กอดจะรู้สึกอย่างไร แม้เป็นเวลาไม่นานแต่มันก็พิสูจน์แล้วว่าเมฆรักผมมากพอ
"เมฆ" ผมเดินไปหยุดยืนตรงหน้าโซฟา เรียกเมฆด้วยเสียงแผ่วเบา
"ครับ" ดวงตายาวเรียวลืมขึ้นมองผม ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง
"อาบน้ำด้วยกันไหม"
สายตาของเมฆเปลี่ยนเป็นแปลกใจ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะอ่อนแสงลง
"ผมตอบว่าตกลงได้ไหม"
คำถามของเมฆทำให้ผมยิ้ม มันเป็นความอบอุ่นอย่างหนึ่งที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเรามากกว่าความรู้สึกของตัวเอง
แต่..เวลาเขินทีไรผมปากเสียทุกที!
"ถ้าไม่ได้ผมจะถามเหรอ"
ผมหันหลังกลับทันที เดินดุ่มๆ ไปเข้าห้องน้ำ ทั้งเขินทั้งอายจนเกือบเดินสะดุดขาตัวเอง
ผมหยุดยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ หัวใจเต้นตึกตักราวกับมันจะทะลุออกมาจากอก เมฆเดินตามเข้ามาโดยไม่เร่งรีบหยุดยืนด้านหลังผม เราสบตากันผ่านกระจก
เมฆวางมือบนไหล่ของผมทั้งสองข้างก่อนหมุนตัวผมให้หันไปเผชิญหน้า ดวงตาที่มองมาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน
"เหนียวตัวไหม" เมฆถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมพยักหน้าหัวใจเต้นตึกตัก
นิ้วยาวแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ เมฆแกะมันออกช้าๆ ไล่ไปทีละเม็ดจนถึงเม็ดสุดท้าย ผมรับรู้ถึงผิวผ้าที่เคลื่อนผ่านลำตัวผมจนตกลงไปกองที่พื้น เมฆจับมือผมไปแตะที่กระดุมเสื้อของตัวเอง ผมมองมือก่อนเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเมฆ
มือที่เงอะงะปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายได้อย่างเชื่องช้า เมฆปล่อยให้ผมทำโดยไม่เร่งเร้า ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมัดกล้ามปรากฎให้เห็นตรงหน้า เมฆจับมือผมวางทาบทับลงไปบนแผ่นอกก่อนไล่ลงช้าๆ จนถึงท้องน้อย
"เมฆ" เสียงเรียกของผมแหบพร่า เมฆส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ก่อนจะยกมือขึ้นจับใบหน้าของผมทั้งสองข้าง ริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาหา ผมหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ริมฝีปากถูกบดเบียน
ปลายลิ้นอุ่นแทรกผ่านเรียวฟันเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นนุ่มภายใน มือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังก่อนจะดันตัวของเราให้แนบชิด ผิวลื่นที่สัมผัสกับหน้าท้องทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วน ขาอ่อนแรง จนต้องใช้สองมือรั้งบ่าของเมฆเอาไว้
"อื้อ" ผมเผลอครางประท้วงเมื่อริมฝีปากของเมฆถอยห่าง จนต้องลืมตาขึ้นมองด้วยดวงตาพร่าเบลอ
"ผมรักหญ้าครับ" เสียงทุ้มอ่อนหวาน ก่อนริมฝีปากของเมฆจะเข้าครอบครองริมฝีปากของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีเมฆก็ยกผมขึ้นนั่งบนอ่างล้างหน้าก่อนแทรกตัวเข้ามายืนระหว่างขา ริมฝีปากแตะลงที่บ่า ก่อนขยับมาที่อกและเข้าครอบครองตุ่มไต ผมจับศีรษะของเมฆเอาไว้แหงนเงยหน้าขึ้นด้วยความเสียวซ่าน บิดตัวไปมาเพื่อลดความรู้สึกภายใน
"เมฆ อื้อ..เมฆ" ผมเรียกอีกฝ่ายเมื่อความรู้สึกปะทุขึ้นสูง
ตัวผมลอยขึ้นจากอ่างล้างหน้า ถูกอุ้มขึ้นราวกับเป็นเด็ก ผมซบหน้าลงกับบ่าของเมฆเพื่อซ่อนความอาย เพียงครู่เดียวหลังของผมก็แตะกับที่นอนนุ่ม
"หญ้าเป็นของผมนะ"
ผมหลุบตาลงได้แต่ผงกศีรษะแทนคำตอบ เครื่องปรับอากาศทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อกางเกงทั้งสองชิ้นหลุดออกไปจากตัว แต่เพียงครู่เดียวความอบอุ่นจากร่างกายของเมฆก็เข้ามาแทนที่
ริมฝีปากจูบซับไปทั่วใบหน้า ซอกคอและแผ่นอก ร่างกายของผมอ่อนราวกับขี้ผึ้งถูกไฟรนจนเผลอบดเบียดร่างกายเข้าหาร่างสูง นั่นคงเป็นสัญญาณที่บอกเมฆว่าผมพร้อมแล้ว
ทุกอย่างดำเนินไปตามทางของมัน ผมได้แต่ปล่อยเสียงครางลอดผ่านลำคอครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นสูงก่อนร่วงหล่นลงมาพร้อมกับจังหวะหายใจหอบถี่เหมือนคนจะขาดใจ ก่อนที่ร่างสูงจะกระตุกเกร็งและทาบทับลงมากกกอดผมไว้ เราหอบหายใจไปพร้อมกัน
“หญ้าเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม” เสียงถามอ่อนโยน สายตาที่มองมาบอกว่าเจ้าตัวทั้งรักทั้งเป็นห่วงผม
“ผมไม่มีแรงแล้ว”
“หึๆ” เมฆยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของผม มือไล้ไปรอบกรอบหน้าเพื่อเช็ดเหงื่อออกให้
“ขอบคุณครับผมมีความสุขที่สุด” ริมฝีปากของเมฆแตะลงที่หัวไหล่ ผมปรือตาขึ้นมอง
“ผมเลยไม่ได้อาบน้ำเลย” บอกแล้วว่าเขินทีไรผมพูดจาประหลาดทุกที
“เดี๋ยวผมอาบให้หญ้าเอง”
“อาบจริงๆ นะ”
“หึๆ”
“อาบอย่างเดียวนะ”
“หญ้าไม่ชอบเหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายศีรษะไปมา “แต่วันนี้หมดแรงด้วย เจ็บก้นด้วย”
“ฮ่าๆ” เมฆหัวเราะเสียงดัง สายตาที่มองเต็มไปด้วยความเอ็นดู ผมเผลอกัดปากตัวเอง โธ่เอ๊ยยย พูดอะไรออกไปวะเนี่ย
“ผมสัญญาว่าจะไม่กวน มาเถอะ” เมฆลุกขึ้นยืนก่อนอุ้มผมลงจากเตียง เดินตรงไปยังห้องน้ำ วางผมลงในอ่างอาบน้ำและช่วยทำความสะอาดให้อย่างอ่อนโยน ในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมรู้แค่ว่าผมรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
“หญ้า” เสียงเรียกแผ่วเบา ผมปรือตาขึ้นมอง รับรู้ถึงความนุ่มของผ้าห่มที่คลุมกาย
“หลับแล้วเหรอครับ”
“ผมง่วง” ผมพูดเสียงงัวเงีย
“งั้นก็หลับเถอะ”
ในความง่วงงัน ผมรู้สึกถึงริมฝีปากของเมฆที่แตะลงบนหน้าผาก และเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหู
“ฝันดีนะครับ ปลายหญ้าของผม”
ฝันดีเหมือนกันนะก้อนเมฆของผม
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 23 [End]
คือ..ความรัก
"เช่าเต๊นท์สำหรับสามคนครับ" ผมพูดด้วยเสียงสุภาพพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ พยายามทำเป็นไม่เห็นดวงตาขำของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน
ผมถือกระเป๋าเดินตรงไปยังเต๊นท์ที่กางอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ บรรยากาศที่เห็นคุ้มค่ากับการเดินทางมาถึงแม่ฮ่องสอน ผมรู้แล้วว่าเพราะอะไรเมฆถึงชอบปางอุ๋ง มันสงบเงียบและสวยงาม
"หญ้าชอบไหม"
"อืม" ผมพยักหน้า
"สุขสันต์วันเกิด"
"พรุ่งนี้ อย่าบอกว่าเมฆจำผิดวันนะ" ผมแกล้งแซวอีกฝ่ายรู้ดีว่าเมฆไม่ได้ลืม เดือนก่อนเมฆถามผมว่าพอจะลางานวันศุกร์กับจันทร์ได้ไหมจะชวนไปเที่ยวปางอุ๋ง พอถามว่าเมื่อไหร่ ผมก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะพามาเที่ยวในวันเกิด
"หึๆ" เมฆหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่าผมแซวเล่น ผมจึงแบมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย
"แต่ถ้าอวยพรวันนี้เลยไหนของขวัญวันเกิดของผมครับ"
"ที่นี่ไง"
"แล้วไป" ผมอมยิ้ม ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์
"แล้วไปอะไรครับ" เมฆสใช้สองมือจับหน้าผมให้เงยขึ้นสบตา
"ก็แล้วไป..นึกว่าเมฆจะตอบว่ายืนอยู่ตรงนี้ไงของขวัญของหญ้าซะอีก"
"หึๆ" เมฆหัวเราะในลำคอ ถ้าไม่เป็นเพราะห่างออกไปมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่หน้าเต๊นท์ ผมคงโดนจูบหน้าผากแบบที่อีกฝ่ายชอบทำเวลามันเขี้ยวผมไปแล้ว
"ไปเดินเล่นกันไหม"
"ไป" ผมตอบรับทันที อยากเดินถ่ายรูปอ่างเก็บน้ำก่อนที่พระอาทิตย์จะตก เพราะกว่าเราจะมาถึงก็เกือบสามโมงเย็นแล้ว เมฆเอากระเป๋าเดินทางของผมกับของตัวเองใส่ไว้ในเต๊นท์ แย่งกระเป๋ากล้องของผมไปสะพายเพื่อปล่อยให้ผมเดินเล่นสบายๆ
อากาศเย็นทำให้ผมเพลินกับการถ่ายรูป เมฆเดินตามผมไปเรื่อยๆ โดยไม่บ่นหรือเร่งให้ถ่ายเร็วขึ้น บ่อยครั้งที่ผมแอบถ่ายรูปเมฆตอนอีกฝ่ายเผลอ โดยเฉพาะเมื่อสายตาคู่นั้นหันมามอง ดวงตาที่อ่อนแสงลงดูอบอุ่นจนผมอดบันทึกเอาไว้ไม่ได้
เมื่อท้องฟ้าเป็นสีชมพูอมส้มและดวงอาทิตย์เคลื่อนลงต่ำ เมฆก็ชวนผมเดินกลับไปที่เต๊นท์ ผมยังสนุกกับการถ่ายรูปจึงยังไม่วางกล้อง หันกลับมาอีกทีหน้าเต๊นท์ก็มีเตาหมูกระทะตั้งอยู่ ผมยกยิ้มกว้างรีบเดินไปหา อากาศเย็นๆ บรรยากาศดีๆ กับหมูกระทะ มันเข้ากันที่สุดแล้ว
"อร่อย" ผมชมเปาะ เรื่องรสชาติถือว่าใช้ได้ แต่ผมว่าเป็นเพราะอากาศและบรรยากาศรอบข้างด้วยเลยรู้สึกว่ามันอร่อยกว่าที่อื่น
"ผมสั่งมาสองชุดหญ้ากินเลย"
"จะขุนผมเหรอ" ผมมองเมฆด้วยสายตาล้อเลียน
"เปล่า ตอนนี้ก็กอดเต็มมือดีอยู่แล้ว"
แค่ก แค่ก ผมไอออกมาเพราะสำลักผักที่เพิ่งทานเข้าไป เล่นเองเจ็บเองคือผมไม่เคยเปลี่ยนเลย
"หึๆ"
ผมมองแรงร่างสูงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ บางทีก็มันเขี้ยวท่าทางสบายๆ ของอีกฝ่าย
กว่าปาร์ตี้หมูกระทะจะจบลงท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีน้ำเงิน เราจัดการเก็บเตาคืน เก็บกวาดด้านหน้าเต๊นท์ ให้เรียบร้อยก่อนเดินไปอาบน้ำ อากาศเย็นทำให้ผมเผลอห่อตัวเข้าหากัน เมฆจึงดึงผมเข้าไปกอดไหล่ ความอบอุ่นจากร่างกายไม่สามารถช่วยได้มากนัก แต่ความอบอุ่นในใจให้ความรู้สึกที่ดีมาก
เมื่อกลับมาที่เต๊นท์ ผมจัดการปูเสื่อที่ด้านหน้า ตามด้วยผ้าห่มเนื้อนุ่มเพื่อให้นั่งสบายมากขึ้น อีกผืนวางไว้สำหรับคลุมขาหรือห่มตอนอากาศหนาว ข้อดีของการขับรถมาเองคือเอาของมาได้มากเท่าที่เราต้องการ
เมฆหยิบถุงของทานเล่นกับกล่องเก็บอุณหภูมิใส่เครื่องดื่มออกมาวาง รวมถึงตะเกียงไฟฟ้าที่นำมาเตรียมไว้เพื่อใช้หลังจากเจ้าหน้าที่ปิดไฟตอนสี่ทุ่ม เมฆเปิดฝากระป๋องเครื่องดื่มส่งให้ผม เรานั่งข้างกันบนผ้าห่ม
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ไม่น่าเบื่อ โชคดีที่คนไม่มากนักเพราะไม่ใช่วันหยุดยาว เต๊นท์จึงตั้งห่างกันออกไปพอให้มีพื้นที่ส่วนตัว สามารถคุยกันได้โดยไม่ต้องลดเสียงลง
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ รำลึกถึงความหลังระหว่างเราสมัยเรียนมหา'ลัย ผมขำทั้งตัวเองทั้งเมฆ อย่างน้อยก็เป็นตลกร้ายที่ยังหัวเราะได้
"มีครั้งหนึ่งผมเดินตามหญ้าด้วย" เมฆพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
"เดินตามผมเหรอ" ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน นึกไม่ออกว่ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น
"ใช่ ผมเห็นหญ้าเดินออกจากตึก ผมเลยเดินตามไปเรื่อยๆ"
"นี่ผมเป็นพวกไม่มีเซ้นส์ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมหัวเราะขำตัวเอง “ทำไมไม่เห็นรู้สึกตัวเลย"
"ผมเดินตามห่างๆ ไม่ได้เข้าไปใกล้หญ้ามาก"
"ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่เมฆเลย" สี่ปีที่ผมจำได้เมฆจะส่งยิ้มและเข้ามาทักเสมอถ้าเจอผม มีแค่ผมเท่านั้นที่แอบมอง
"ผมแค่อยากมองหญ้านานๆ เลยไม่ได้เข้าไปทัก"
"โธ่เอ๊ยย" ผมอุทานด้วยเสียงเหมือนขำอีกฝ่ายแต่จริงๆ หัวใจกำลังพองโต
"ผมก็เคยเดินตามเมฆนะ" ผมสารภาพบ้าง
"จริงเหรอ ผมไม่เห็นรู้ตัว"
"ใครว่าไม่รู้" ผมย่นจมูกเข้าหากัน "เมฆรู้ทุกทีมากกว่า ชอบหันมาทำเอาผมตกใจ เลยไม่เคยได้ตามเลย”
"หึๆ" เมฆหัวเราะเบาๆ ก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา
"ผมมีอะไรจะให้หญ้าดู"
"อะไรเหรอ" ผมมองด้วยความสนใจ
เมฆหยิบกระดาษที่ถูกเคลือบพลาสติกเอาไว้อย่างดีส่งให้ผม แค่เห็นสีของกระดาษและตัวหนังสือผมก็รู้แล้วว่าคืออะไร รอยยิ้มจึงปรากฎขึ้น ผมรับมันมาจากเมฆ
"ผมถือวิสาสะหยิบมาตั้งแต่วันนั้น เพราะหญ้าเขียนถึงผม"
กระดาษใบใหญ่ถูกตัดให้เล็กพอดี ตัวหนังสือสีฟ้ายังชัดเจน
จากปลายหญ้า ถึงก้อนเมฆ
ก็สนุกดีนะ
ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมจำเมฆได้ดีคือวันนั้น ผู้ชายร่างสูงผมยาวระต้นคอ มีรอยยิ้มติดอยู่ที่ริมฝีปากเสมอ ดูสบายๆ จนผมเคยคิดว่าผู้ชายคนนี้คงไม่เคยจริงจังกับอะไร และน่าจะเจ้าชู้อยู่ไม่น้อย แต่เพราะคืนนั้นผมถึงได้รู้ว่าเมฆใจดีแค่ไหน
"ตอนเขียนผมไม่คิดว่ามันจะถึงเมฆ"
"มันอาจจะเป็นแรงดึงดูดระหว่างเราก็ได้ เพราะตอนที่พี่สิทธิ์ให้เลือกคนถูกทำโทษ สายตาของผมก็มองไปที่หญ้า เหมือนกระดาษแผ่นนี้ ผมเห็นมันตอนที่หย่อนจดหมายของตัวเองลงไป ไม่เห็นว่าเขียนอะไร เขียนถึงใคร เห็นแค่ตัวหนังสือสีฟ้าก็สะดุดตาจนต้องหยุดมอง คนไปค่ายไม่ได้มีแค่หญ้าคนเดียว กระดาษก็ไม่ได้มีแค่ใบเดียว แต่ผมก็เห็นมัน"
ผมประสานสายตากับเมฆเราต่างยิ้มให้กัน ผมเองก็เชื่อแบบนั้น ยังจำความรู้สึกตอนที่เห็นเมฆบนรถไฟได้ เป็นผมเองที่ก่นด่าโชคชะตาแต่ตอนนี้ได้แต่นึกขอบคุณ
ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงไฟฟ้าที่เมฆเปิด เราหรี่มันคงให้พอแค่มองเห็นเพื่อไม่ให้แสงไปรบกวนนักท่องเที่ยวท่านอื่นในการชมดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
เมฆนอนหนุนตักผม เหยียดขาออกยาว จับมือผมไปประสานไว้บนอก
"พี่หญ้า"
"หือ?" ผมก้มลงมองใบหน้าที่หนุนอยู่บนตักเมื่ออีกฝ่ายเรียกผมแปลกๆ
"อีกห้านาทีหญ้าก็เป็นพี่ผมแล้ว"
ผมดีดหน้าผากเมฆเบาๆ โทษฐานที่ตอกย้ำความแก่กว่าของผม เมฆลุกขึ้นนั่ง หมุนตัวไปยังกล่องเก็บอุณหภูมิที่ใช้ใส่เครื่องดื่ม ผมคิดว่าเมฆจะหยิบกระป๋องน้ำเพิ่ม แต่ต้องแปลกใจที่อีกฝ่ายหันไปนาน พอจะเอ่ยปากถามเมฆก็หันกลับมาพร้อมเค้กก้อนเล็กที่วางอยู่บนถาดกระดาษสีฟ้าอ่อน ดวงตาของผมสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่หลุดลอดออกมาเบาๆ
"ไปซื้อตอนไหน"
"ตอนที่แวะซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมคิดว่าหญ้าคงอยากเป่าเทียนวันเกิด"
เมฆปักเทียนลงบนเค้กก้อนเล็ก ใช้ไฟแช็กจุดจนเกิดแสงสีเหลืองนวลตา
"เลยเที่ยงคืนแล้ว สุขสันต์วันเกิดครับ"
เค้กถูกยื่นมาตรงหน้า ผมสบตากับเมฆด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนหลับตาลงและยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอพร ก่อนจะเป่าเทียนเล่มนั้น เป็นวันเกิดที่ผมจะจดจำตลอดไป
"ขอบคุณครับ" ผมแตะริมฝีปากที่ข้างแก้มของเมฆแผ่วเบาเพื่อแทนความรู้สึกตอนนี้ เมฆส่งยิ้มให้ผม ยื่นมือมาจับถาดเค้กวางลงบนผ้าห่ม ก่อนจับมือผมไปลูบเล่น
"หญ้าจำได้ไหม วันนั้นหญ้าบอกผมว่าถ้าจะมีของติดไม้ติดมือมาให้เป็นรถหรือโฉนดที่ดินก็ดี แต่ผมบอกหญ้าว่าผมยังไม่มี"
หัวใจของผมเต้นโครมครามเมื่อเดาสิ่งที่เมฆจะพูดต่อไปได้ เมฆล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนออกมา
"สุขสันต์วันเกิดครับปลายหญ้าของผม" แหวนถูกสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย ความเย็นของโลหะที่สัมผัสนิ้วทำให้ผมอยากร้องไห้ บางครั้งความสุขก็ทำให้มีน้ำตา
"ขอบคุณครับ" ผมพูดเสียงแผ่วเบาราวกับมันดังมาจากที่ไกลแสนไกล
ผมมองแหวนที่อยู่บนนิ้ว มันเป็นแหวนทองคำขาวแบบเรียบ ตรงกลางฝังเพชรเม็ดเล็กๆ เป็นรูปสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ผมเงยหน้าขึ้นมองเมฆ
"คนสวนใหญ่ใช้สัญลักษณ์นี้แทนความรักที่ไม่สิ้นสุด แต่สำหรับผมมันแทนความรักของเรา"
"เมฆหมายถึง?" ผมยังไม่เข้าใจมันดีนัก
เมฆยิ้ม มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน จับมือผมที่สวมแหวนขึ้นมา
"ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คบกันตั้งแต่แรก ถึงเส้นทางของเราจะวนเวียนผ่านกันไปมาแต่ในที่สุดเราก็ได้คบกัน ผมเลยคิดว่าความรักของเราเหมือนกับสัญลักษณ์นี้ เคยเข้าใกล้กันและเคยเดินห่างกันไป แต่สุดท้ายเราก็มาเจอกัน"
ผมมองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จริงอย่างที่เมฆพูดมันเหมือนความรักของเรา
"หญ้าชอบไหม"
"ชอบมากที่สุด" ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเมฆด้วยดวงตาของคนที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่ง
"ขอบคุณมากนะ ผมจะรักษามันไว้อย่างดี"
"ผมก็เหมือนกันจะรักษาหญ้าไว้ให้ดีที่สุด"
ใบหน้าของผมร้อนผ่าวแม้เมื่อริมฝีปากร้อนแตะลงมาที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
"ทานเค้กกันเถอะ"
"อืม" ผมพยักหน้าเพราะเขินจนพูดอะไรไม่ออก
เค้กก้อนเล็กถูกตักกินช้าๆ เป็นช่วงเวลาเข้าสู่วันเกิดที่ผมมีความสุขมาก เราคุยกันไป ดูดาวบนท้องฟ้าไป เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ตีสองผมก็เริ่มง่วงนอน
"นอนกันเลยไหม" ผมชวนอีกฝ่าย
"ง่วงเหรอ"
"อืม"
"งั้นหญ้านอนไปก่อนเดี๋ยวผมปลุก"
"เมฆไม่นอนเหรอ" ผมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจ
"ผมจะรอดูทางช้างเผือกให้หญ้า ขึ้นแล้วจะปลุกนะ"
ดวงตาของผมเบิกกว้าง ในที่สุดผมก็รู้ว่าทำไมเมฆถึงพาผมมาที่นี่ในวันเกิด เพราะเมฆสัญญากับผมไว้ว่าจะพามาดูทางช้างเผือกด้วยกัน
"เป็นอะไร" เมฆหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกเหมือนจะร้องไห้ของผม
"ผมมีความสุข"
"หึๆ มานี่มา" เมฆดึงผมเข้าไปกอด ลูบหลังให้เบามือ
"หญ้าอยากเห็นไม่ใช่เหรอ ผมบอกแล้วว่าจะพาหญ้ามา"
"ขอบคุณนะ"
"อืม" เมฆพยักหน้า
ความง่วงที่มีอยู่หายไปสิ้น ผมตัดสินใจหยิบกล้องออกมาตั้งเพื่อรอถ่ายท้างช้างเผือกแรกที่ได้เห็น
เมฆดึงผมเข้าไปนั่งพิงอกระหว่างรอ กอดเอวไว้หลวมๆ หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้กันหนาว แม้เวลาจะเดินผ่านอย่างเชื่องช้า แต่ทุกนาทีที่ผ่านไปก็เต็มไปด้วยความสุข
“เมฆ” ผมเรียกอีกฝ่ายขึ้นมา
“ครับ” เสียงตอบรับดังริมหู
“ผมเป็นคนเขินง่ายเลยมักเลื่องที่จะพูดคำนี้ ไปใช้คำว่าชอบแทน แต่เมฆรู้ใช่ไหมว่าผมรักเมฆนะ”
“ผมรู้” ริมฝีปากของเมฆแตะลงที่ข้างแก้ม
“ผมก็รักหญ้า รักมากจริงๆ”
“ผมก็เหมือนกัน”
ผมวางมือลงบนแขนที่กอดกระชับเอว ความอบอุ่นจากร่างกายและหัวใจของเราถ่ายทอดสู่กัน ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สิ่งที่รอคอยค่อยๆ ปรากฏให้เห็น ผมระบายยิ้มบนใบหน้าได้แต่จ้องมองมันด้วยความสุข เพียงแต่ผมกับเมฆไม่ใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าอีกต่อไป จริงอย่างที่เมฆบอก ผมก้มลงมองแหวนบนนิ้วของตัวเอง เราสองคนได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ดึงดูดผมกับเมฆเข้าหากันไม่ใช่แรงโน้มถ่วง แต่คือ..ความรัก
สุขสันต์วันเกิดนะหญ้า ขอบคุณที่ไม่เคยตัดใจได้จริงๆ
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/09/01/ZsACNZ.png)
:::: ♥ Happy Ending ♥::::
*** ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบนะคะ ขอบคุณที่เอ็นดูปลายหญ้ากับก้อนเมฆ หวังว่าจะทำให้ทุกคนยิ้มได้และมีความสุขเวลาอ่านนะคะ ^^
*** สถานีต่อไป >>คุณคนเดียวกัน<<
** เห็นมีคนอ่านหลายท่านอยากรู้ว่า พี่นพ&เว มายังไงไปยังไง เลยเอามาลงให้อ่านกันนะคะ มีทั้งหมด2 ตอนค่ะ
ปล.ในหนังสือ(เล่ม) และอีบุ๊คมีspecial part นะคะ จะเป็นตอนพิเศษคู่หลัก 7 ตอนกับpecial partพี่นพ&เว ค่ะ
Special Part
จากพี่ถึง(น้อง)เพื่อน
นพ&เว
(1)
“พี่มึงชอบไอ้หญ้าจริงเหรอวะ!” ผมเผลอแหกปากเสียงดังด้วยความตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่น็อตบอก
“มึงจะแหกปากทำไมวะ”
“มึงพูดจริงพูดเล่น” ผมยังไม่อยากเชื่อหูตัวเองอยู่ดี
“เรื่องแบบนี้ใครจะพูดเล่น แต่อย่าไปบอกไอ้หญ้าล่ะ”
“แล้วมึงไม่ช่วยพี่มึงเหรอ”
“กูยังไม่รู้ว่าพี่กูจะจีบไหม เหมือนแค่ชอบๆ เอาไว้ถ้าจะจีบจริงค่อยว่ากัน”
“กูไม่อยากจะเชื่อเลย”
“มึงจะตกใจทำไมวะเรื่องแบบนี้ปกติจะตายห่า” น็อตบ่นผมที่เอาแต่รำพึงรำพันไม่เลิก
“กูรู้ว่ามันปกติแต่พี่มึงเนี่ยนะ ไอดอลกูเลยนะเว้ย เมื่อก่อนโคตรแบดบอย สาวเพียบ”
“มึงคิดว่าเดี๋ยวนี้ลดลงเหรอ พี่กูมันได้หมดไม่ได้แบ่งเพศแค่ชอบก็พอ”
“ไอ้ห่าน็อตอย่าพูดสิวะกูขนลุก” ผมยกแขนขึ้นดู ขนทุกเส้นตั้งตรงเรียงตัวสวย
“เลิกพูดเถอะ กูไม่น่าเล่าให้มึงฟังเลย”
“กูเห็นด้วย มึงไม่น่าเล่าเลย” ผมส่ายศีรษะแล้วต่อไปจะมองหน้ายังไงวะ แค่คิดว่าพี่นพอยากจิ๊กจั๊กกับไอ้หญ้าก็ขนหัวลุกแล้ว
• • • • •
“เว”
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก รีบขยับตัวขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มทักทายอีกฝ่าย
“สวัสดีครับพี่นพ”
“เพิ่งมาเหรอหรือว่ามาค้างตั้งแต่เมื่อคืน”
“เมื่อคืนครับ”
“ตามสบายนะ”
“ครับ”
ผมมองร่างสูงก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่น เผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ได้แต่สงสัยตัวเองว่าผมจะเกร็งทำไม ผมเจอพี่นพนับครั้งไม่ถ้วน เพราะมาค้างบ้านน็อตบ่อยมาก ไม่เคยเกร็งแบบนี้มาก่อน เพราะไอ้น็อตเลยไม่น่าเล่าเรื่องนั้นให้ผมฟัง
• • • • •
ผมแตะมือกับขอบสระ หันไปมองน็อตที่ยังว่ายมาไม่ถึง ข้อดีของการมานอนบ้านเพื่อนคือความสบาย ห้องนอนแอร์เย็นฉ่ำ มีแม่บ้านทำอาหารให้สามมื้อ มีเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่ไม่เคยตกยุค และมีสระว่ายน้ำให้ออกกำลังกาย ผมมาบ่อยจนสนิทกับคนในบ้าน เว้นพี่นพเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยู่ เจอกันแป๊บๆ ก็หายไปแล้ว เพราะแบบนั้นพี่นพถึงเป็นไอดอลของผมมาตลอด แม้ว่าแม่ของน็อตจะบ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าลูกชายใช้ชีวิตเสเพลเกินไป ป่านนี้ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ไม่ยอมแต่งงานสักทีก็ตาม
“มึงจะว่ายไปแข่งโอลิมปิกหรือไง” น็อตบ่นทันทีที่โผล่ศีรษะขึ้นมา
“ถึงจะแข่งเล่นๆ มันก็ต้องทำให้เต็มที่”
“ติดไอ้หญ้ามาหรือไงวะ”
“ถึงกูไม่ฉลาดเท่าไอ้หญ้าแต่กูก็ฉลาดโว้ย”
“หึ” น็อตลูบน้ำออกจากใบหน้าก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม ผมจึงมองตามสายตาของเพื่อน
“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ”
“เบื่อ”
สายตาผมหยุดอยู่ที่คนตอบคำถาม พี่นพเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างสระ ร่างสูงมีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวปกปิด มองเห็นแผ่นอกกว้าง ซิกแพคแบบจัดเต็ม ต้นขาแข็งแรง
“ไอ้เว”
“หะ!” ผมหันไปมองหน้าน็อต
“กูถามมึงไม่ได้ยินเหรอวะ”
“ถามอะไร”
“กูถามว่าคืนนี้มึงจะค้างที่นี่ไหมกูจะชวนพี่นพดื่ม”
“อ๋อ..เออ” ผมตอบไปแบบมึนๆ และที่มึนยิ่งกว่าคือ...
ผมจะใจเต้นกับหุ่นพี่นพทำเหี้ยอะไร!! โว้ยยย ไปกันใหญ่แล้วกู ผมอยากจะทึ้งผมของตัวเองออกมา
“งั้นวันนี้ผมจองตัวนะพี่นพห้ามรับนัดซ้อน นานๆ ทีดื่มกับน้องชายหน่อย”
“ไม่มีปัญหา”
พี่นพลุกขึ้นยืน ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ แม่งเอ๊ยหุ่นแบบนี้ไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ จะชอบ
เสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นเมื่อพี่นพพุ่งตัวลงมา ก่อนร่างสูงจะโผล่พ้นน้ำพร้อมกับสะบัดศีรษะไปมา ผมสงสัยว่าพี่นพคิดว่ากำลังถ่ายโฆษณาอยู่หรือเปล่า ทำไมต้องทำตัวเท่ขนาดนั้นด้วย
เดี๋ยวก่อน! ผมเรียกสติตัวเอง แล้วมึงไปเสือกอะไรกับเขาไอ้เว! เมื่อก่อนไม่เคยสนใจจะมองขนาดนี้ แม่งเอ๊ยใครก็ได้ช่วยเอาเรื่องพี่นพชอบผู้ชายออกไปจากหัวผมที
“พี่นพลองว่ายแข่งกับไอ้เวไหม”
ผมหันขวับไปมองน็อต หาเรื่องอะไรให้กูอีกกก
“เอาสิ”
“งั้นเพื่อความสนุกเราควรพนันอะไรสักอย่าง” สายตาของน็อตเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด
“ได้” ผมพยักหน้า “แต่มึงแข่งนะกูเป็นกรรมการเอง”
“ทำไม เรากลัวพี่เหรอ”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมือของพี่นพจับเข้าที่ต้นคอ ขนแขนสแตนอัพแทบไม่ทัน
“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธพร้อมกับพยายามเบี่ยงตัวออกแต่มืออีกฝ่ายแข็งเหมือนคีบเหล็ก จะออกตัวมากก็ไม่ได้ผมเลยต้องยืนเฉยปล่อยให้จับไป
“งั้นก็แข่งกับพี่ เห็นว่าเราว่ายเร็วพี่ก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ครับ” ผมยิ้มแห้ง แข่งก็แข่ง ผมไม่ได้กลัวการแข่งหรอกแต่กลัวความคิดของไอ้น็อตมากกว่า ไม่รู้ว่ามันจะพนันอะไร
น็อตมองหน้าผมกับพี่นพสลับกันก่อนพูดขึ้นมา
“เอาเป็นว่าใครแพ้..”
“เลี้ยงเหล้า” ผมพูดแทรกน็อตเพราะนึกอย่างอื่นไม่ออกจริงๆ พูดก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง
“เลี้ยงทำไมวะเหล้าของพ่อเต็มบ้าน” น็อตส่ายศีรษะ คิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเหมือนยังหาข้อสรุปที่ถูกใจไม่ได้
“ง่ายๆ ถ้าพี่แพ้เราพี่จ่ายให้เราห้าพัน ถ้าเราแพ้พี่..” พี่นพมองหน้าผม ริมฝีปากยกยิ้มร้ายกาจ
“พรุ่งนี้พี่ยืมตัวเราควงไปกินข้าวหน่อย”
“หะ!” ผมเลิกคิ้วขึ้น “ควง? ควงทำไมพี่”
“ให้ผมทายนะมีสาวที่ไหนล้ำเส้นอีกแล้วใช่ไหมพี่นพ”
“หึๆ” พี่นพหัวเราะในลำคอโดยไม่ตอบ สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ รู้ใจกันดีเหลือเกิน
“ไม่สนเหรอมึงห้าพันเหนาะๆ แต่ถ้าแพ้ก็ได้ไปกินข้าวฟรีอยู่ดี”
ไม่สน ไม่สนเลยสักนิด แต่ถามว่ามีใครฟังผมไหมตอบเลยว่าไม่มี พี่น้องตกลงกันเองเรียบร้อย ผมก็ได้แต่ภาวนาอย่างเดียวว่าขอให้ตัวเองชนะ มันต้องมีทางสิน่าผมถึกจะตาย อย่างพี่นพจะสู้ผมได้ยังไง ผมเหล่ตาไปมองอีกฝ่าย
ก็แค่สูงกว่า ก็แค่แขนขายาวกว่า ก็แค่ดูแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ก็แค่ซิกแพคเป็นมัดๆ ก็แค่วีเชฟขึ้นโคตรชัด
!!
เชี่ย! มึงจะมองต่ำลงไปทำไมวะ
“งั้นเริ่มเลยนะ” เสียงน็อตดังขึ้น ผมจึงเดินท่องน้ำไปยังขอบสระพร้อมกับพี่นพ
แค่เสียงน็อตให้สัญญาณออกตัวผมก็จะรู้ชะตากรรมตัวเอง เพราะพี่นพพุ่งตัวออกไปแล้วผมยังยืนอยู่เลย ระยะห่างจึงต่างกันไปแล้วหนึ่งช่วงตัว ถึงแม้ผมจะเร่งจนสุดกำลังจนเกือบไม่ได้หายใจ สุดท้ายผมก็แตะขอบสระหลังพี่นพอยู่ดี พอเงยหน้าขึ้นจากน้ำพี่นพก็มองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยดวงตาเป็นประกาย
“พรุ่งนี้ก็ฝากด้วยนะ”
“แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”
“ไม่ต้องแค่ไปกับพี่ก็พอ”
“ครับ” ผมยิ้มแห้งออกมา ก็แพ้แล้วจะให้พูดอะไร ยังไงก็ต้องทำถึงจะไม่เต็มใจก็เถอะ
ผมว่ายน้ำเล่นกับน็อตอยู่อีกเกือบชั่วโมง ขณะที่พี่นพว่ายไปกลับโดยพักน้อยครั้งมาก ผมเดาว่าอีกฝ่ายว่ายเพื่อออกกำลังกายและฟิตหุ่น มิน่าไหล่ถึงผึ่งผายแบบนั้น
หลังจากขึ้นจากสระน้ำ น็อตขึ้นไปอาบน้ำบนห้องนอน ส่วนผมใช้ห้องน้ำที่อยู่ติดกับสระเสร็จแล้วถึงตามขึ้นไป กลิ้งรอเพื่อนอยู่บนเตียง เรื่องอาบน้ำนานต้องยกให้น็อต
“กูเกือบหลับแล้ว” ผมอดบ่นเพื่อนไม่ได้ กว่าจะโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำ
“กูไม่ได้โสโครกเหมือนมึงนี่หว่า ลุกได้แล้วกูหิว”
“เออ” ผมลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน รอน็อตแต่งตัวอีกครู่หนึ่งแล้วจึงลงไปชั้นล่างพร้อมกัน
พี่นพนั่งดื่มรออยู่แล้วในห้องอาหาร ผมนั่งลงข้างน็อตตรงข้ามกับพี่นพ แม่บ้านเริ่มทยอยเสิร์ฟอาหาร ผมกินไปดื่มไป เน้นหนักไปทางฟังพี่น้องคุยกันมากกว่า
หลังจากอิ่มแล้วน็อตชวนไปดื่มต่อที่ห้องนั่งเล่น เหล้ารสชาตินุ่มคอไม่บาดเหมือนยี่ห้อที่ผมดื่มเป็นประจำทำให้จำนวนแก้วมากกว่าที่เคยดื่ม เมื่อเวลาเข้าสู่เที่ยงคืนผมก็รู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว
“กูขึ้นไปนอนก่อนนะ” ผมหันไปบอกน็อต
“เออ”
“ฝันดีทุกคน” ผมลุกขึ้นยืนก่อนยกมือโบกให้ทั้งสองคน เดินเซๆ ขึ้นไปชั้นบน ผมเดินตรงไปยังห้องนอนของน็อต เปิดเข้าไปได้ก็ทิ้งตัวลงนอนกลางเตียง แอร์เย็นฉ่ำที่เปิดไว้ทำให้ต้องลุกขึ้นดึงผ้าห่มที่ปลายเตียงมาคลุม ไม่มีอะไรดีไปกว่าการซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ อีกแล้ว
มีบางอย่างหนักๆ พาดอยู่บนตัวของผมทำให้การพลิกตัวทำได้ลำบาก ผมปรือตาขึ้นมองก่อนดวงตาจะเบิกโพลงยิ่งกว่าไข่ห่าน
พี่นพ!!
ร่างกายผมซุกอยู่ในอ้อมแขนของพี่นพ อกแน่นๆ อยู่ตรงหน้า โดยไม่มีเสื้อผ้ากางกั้น
เชี่ย! ผมเผลออุทานออกมา รีบก้มลงมองตัวเองก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าเสื้อผ้าตัวเองยังอยู่ครบ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดไปในทางนั้นแต่มันก็คิดไปแล้ว
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ สิ่งที่คิดอยู่ในหัวเป็นอย่างแรกคือพี่นพมานอนกับผมบนเตียงได้ยังไง แล้วไอ้น็อตไปไหน ก่อนจะได้คำตอบเมื่อมองไปรอบๆ ห้อง เชี่ยแล้วห้องนี้ผมไม่เคยเข้ามา ดูจากโทนสีที่ออกขรึมๆ น่าจะเป็นห้องพี่นพมากกว่า ซวยแล้วกูจะดีดดิ้นก็ไม่ได้เพราะคนที่ผิดน่าจะไม่ใช่พี่นพแล้ว อย่างเดียวที่ผมจะทำได้ตอนนี้คือหายตัวไปให้เร็วที่สุด
ผมค่อยๆ ยกแขนพี่นพออกจากเอว ได้แต่ภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา สาธุบุญที่ลูกช้างทำมาขอให้สำเร็จด้วยเถิดดดด
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงงัวเงียที่ดังขึ้นปิดฉากชีวิตผมอย่างสมบูรณ์ ผมปล่อยมือจากแขนพี่นพ เงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งให้คนที่กำลังมองมา
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
“หึ” เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคออีกฝ่าย ดวงตาที่มองมาเป็นประกายขำ
“เตรียมพร้อมเป็นแฟนพี่ตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ”
“แฟนอะไร้!” ผมขึ้นเสียงสูงปรี๊ด แต่เห็นดวงตาวิบวับของอีกฝ่ายถึงรู้ว่ากำลังโดนแหย่อยู่
“เมื่อคืนผมเข้าผิดห้องใช่ไหมครับ” ผมถามด้วยเสียงเจื่อนๆ
“ใช่”
“ปลุกไม่ตื่นใช่ไหมครับ”
“ใช่”
ถึงตอนนี้หน้าผมก็จืดยิ่งกว่านมสด
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร พี่ชอบนะอุ่นดี”
!!!
“ฮ่าๆ” พี่นพหัวเราะเสียงดัง “จะตกใจอะไรหนักหนาเดี๋ยวตาก็หลุดออกมา”
ผมหลับตาลงทันที มันทำไปเองโดยอัตโนมัติก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะหลับทำไมวะจึงรีบลืมตาขึ้น เจอกับดวงตาลุ่มลึกที่มองมา ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขำ ใบหน้าของผมกับพี่นพอยู่ใกล้กันมาก มากจนผมไม่กล้าหายใจ
“ผม..ผมกลับห้องน็อตดีกว่า ขอโทษที่กวนนะพี่” ผมลุกพรวดขึ้นนั่ง
“อืม” พี่นพสอดมือเข้าไปใต้ศีรษะ สายตามองตรงมายังผมที่นั่งอยู่
“อย่าลืมนัดของเรา”
“นัด?” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เหมือนสมองมันตกใจจนเลิกทำงาน
“วันนี้เราต้องให้พี่ควง”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า “แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าอื่นมามีแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์เก่าๆ ผมว่าคงไม่เหมาะมั้งครับเสียมาดพี่นพหมด” ผมพยายามหาทางออก
“ใส่ของน็อต”
“....”
จบข่าวครับ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้า “ครับ” แล้วรีบเดินออกจากห้องพี่นพมา
“ไอ้น็อต” ผมตบหัวเพื่อนที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียง น็อตปรือตาขึ้นมองก่อนหลับลงเหมือนเดิม
“ทำไมมึงไม่ไปลากตัวกูมา”
“ลากทำไมยังกับมึงตัวเบาๆ”
“มึงก็ควรปลุกกู”
“ถ้ากูไม่เสียดายที่นอนพี่นพกูเอาน้ำราดมึงแล้ว”
คำตอบของเพื่อนทำให้ผมรู้ว่าน็อตคงพยายามทุกทางแล้ว ผมนั่งลงบนเตียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็คงได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป
“ไอ้น็อตกูยืมเสื้อผ้ามึงนะ”
“อืม” น็อตรับคำในลำคอก่อนซุกหน้าลงกับหมอน ผมพ่นลมหายใจยาว เอาวะทำให้มันเสร็จๆ ไปก็แล้วกัน
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
Special Part
จากพี่ถึง(น้อง)เพื่อน
นพ&เว (End)
ผมหันไปมองพี่นพทันทีเมื่อเห็นสาวสวยที่ลุกขึ้นยืนในล็อบบี้ของโรงแรม
“อะไร” พี่นพยกยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าของผม
“โคตรสวยเลยพี่” ผมพูดเสียงเบาเพราะอีกไม่กี่ก้าวเราก็จะเดินถึงแล้ว
“ความสวยไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด”
ผมมองรอยยิ้มของพี่นพ ได้แต่ค้านอยู่ในใจว่าก็เห็นที่ควงอยู่สวยทุกราย
"มาถึงนานหรือยังครับ" เสียงถามทุ้มนุ่มหู ใบหน้าติดรอยยิ้มบาง เห็นทีต้องจำไปใช้บ้าง
"ปัทเพิ่งมาถึงค่ะก่อนนพแป๊บเดียว"
"ไปที่ร้านเลยไหมครับ"
"ค่ะ"
พี่นพหันมามองผม สายตาและรอยยิ้มที่ส่งมาให้อ่อนโยนจนผมขนลุกเกรียว
"ไปกันเถอะ" มือใหญ่แตะที่เอวด้านหลัง จู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปเหมือนคนโดนป้ายยา
ร้านอาหารอยู่ด้านในของโรงแรม พนักงานพาเดินไปยังโต๊ะที่จองไว้ ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสาวสวย จึงเห็นสายตาผิดหวังเมื่อพี่นพนั่งลงข้างผม
"น้องชายเหรอคะ" เสียงถามหวานหู
"ผมกำลังจะแนะนำพอดีครับ เวนี่คุณปัทเป็นเพื่อนพี่เอง"
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายจางหายเมื่อได้ยินคำแนะนำของพี่นพ
“ส่วนนี่เวครับ เป็น...” พี่นพทิ้งเสียงหันมามองผมด้วยดวงตาอ่อนหวาน
“สั่งอาหารดีกว่าครับ” พี่นพหันกลับไปส่งยิ้มสุภาพให้หญิงสาวตรงหน้า ทิ้งคำพูดและดวงตาหวานฉ่ำที่มองผมเอาไว้ ผมเห็นสีหน้าของคุณปัทแล้วพูดได้คำเดียวว่าแสบมาก เห็นแบบนั้นใครจะไม่เข้าใจผิดบ้าง
ผมเห็นคุณปัทกัดริมฝีปาก สายตาขบคิด แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมายิ้มหวานอีกครั้ง
“ทานข้าวแล้วนพไปเดินเล่นเป็นเพื่อนปัทหน่อยได้ไหมคะ”
“ผมไม่มีปัญหาครับต้องแล้วแต่คนนี้” จู่ๆ ก็ผมโดนโยนปัญหามาให้ ผมสบตาของพี่นพ ใช้มือกระแทกต้นขาอีกฝ่ายใต้โต๊ะแต่ไม่ได้รับความร่วมมือใดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอ พยายามใช้สมองอย่างรวดเร็วว่าพี่นพอยากให้ผมตอบว่าอะไร ก่อนหันไปสบตากับคุณปัท
“พอดีผมนัดเพื่อนไว้ครับไม่อย่างนั้นก็อยากอยู่”
“น้องเวนัดเพื่อนไว้เหรอคะ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเราเราไปส่งน้องเวก่อนดีไหมคะนพ แล้วเราไปเดินเล่นห้างใกล้ๆ ที่น้องนัดไว้ก็ได้”
ผมเริ่มเข้าใจคำว่าล้ำเส้นของน็อตหน่อยๆ แล้ว แต่ดูเหมือนเรื่องแค่นี้ไม่คณามือไอดอลของผม พี่นพหันมามองผมด้วยสายตาเอ็นดูเหมือนผมน่ารักเต็มประดา ก่อนหันกลับไปหาคุณปัท ริมฝีปากยกยิ้มบาง
“ปล่อยไปไม่ได้ครับเดี๋ยวเกเร ไปคุมจะได้อุ่นใจว่าไม่นอกลู่นอกทาง”
เอาเว้ย ไปให้สุดแล้วหยุดที่จู่ๆ ก็มีคนคุมซะงั้น ผมได้แต่ปลงอนิจจังอยู่ในใจ
“นพ!” ดวงตาคุณปัทเบิกกว้าง สีหน้าตกใจเหมือนเห็นผี แต่คนที่นั่งข้างผมกลับดูสบายๆ จนน่าหมั่นไส้
“สั่งอาหารดีกว่าครับ” พี่นพยกมือข้างหนึ่งขึ้นเรียกพนักงาน ผมเห็นดวงตาของคุณปัทตกลงมองแขนอีกข้างของพี่นพ ถ้ามองจากฝั่งโน้นคงเหมือนพี่นพกำลังวางมือบนขาของผมใต้โต๊ะซึ่งก็ใช่
“ขอโทษนะคะ” คุณปัทลุกพรวดขึ้นยืน “พอดีปัทนึกได้ว่ามีนัด ขอตัวค่ะ”
ผมอ้าปากค้างยังไม่ทันหุบปากลงร่างระหงก็เดินเชิดๆ ออกไปแล้ว ผมหันกลับมามองพี่นพ ใบหน้าของอีกฝ่ายติดรอยยิ้มขำ ท่าทางรื่นรมย์
“ทานอะไรดีพี่เลี้ยง”
“ไม่ตามไปเหรอครับ”
“ตามไปทำไม ถ้าจะตามไปคงไม่พาเรามาด้วย”
เออก็จริง ผมลืมคิดไปเพราะมัวแต่ตกใจที่อีกฝ่ายพรวดพราดออกไป ผมจึงพยักหน้าให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว
พี่นพให้ผมเป็นคนสั่งอาหาร ไหนๆ ก็มาแล้ว ร้านก็หรู เมนูก็น่ากิน ผมเลยสั่งเต็มที่พี่นพไม่ห้ามสักคำปล่อยให้ผมสั่งตามสบาย ผมเลยเริ่มคิดว่าอันที่จริงแข่งแพ้พี่นพก็ไม่เสียหายอะไร
หลังจากทานอาหารจนท้องเกือบแตก พี่นพก็ชวนผมไปเดินเล่น ผมเดินตามพี่นพเข้าร้านเสื้อผ้าหรู ได้แต่มองอีกฝ่ายเลือกโดยไม่กล้าหยิบจับ แต่พอออกจากร้านผมกลับได้เสื้อติดมือกลับบ้านด้วย
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้เพื่อขอบคุณอีกฝ่าย
“อยากไปไหนต่อไหม”
ผมส่ายหน้า ไม่มีไอเดียอยู่ในหัว
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกัน” ผมสะดุ้งนิดๆ เมื่อมือของพี่นพแตะลงบนแผ่นหลังแต่จะเดินหนีก็ไม่ได้ จึงได้แต่เดินเคียงอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถ
ผมขึ้นไปนั่งบนรถ พี่นพหันมามองก่อนยกยิ้มมุมปาก ผมสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาหา ใบหน้าของพี่นพเฉียดจมูกของผมไปแค่นิดเดียว
“ทำไมไม่คาดเข็มขัด” พี่นพดึงเข็มขัดมาใส่ให้ก่อนถอยตัวกลับไป
จู่ๆ หัวใจของผมก็เต้นในจังหวะแปลกๆ สายตาที่มองอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป ผมคิดว่าตัวเองกำลังมองพี่นพเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พี่ชายของเพื่อน
ผมเริ่มรับรู้ถึงความหายนะทางความรู้สึก จึงพยายามหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการ...
“พี่นพผมถามอะไรตรงๆ ได้ไหมครับ”
“ได้สิ”
“พี่นพชอบหญ้าเหรอครับ”
“ใครบอกเรา”
“เจ้าน็อต”
พี่นพหัวเราะในลำคอโดยไม่ตอบ หันหน้ากลับไปมองข้างหน้าก่อนหมุนพวงมาลัยรถออกจากช่องจอด ผมมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย เดาจากท่าทางคำตอบน่าจะใช่
“ผมช่วยไหมพี่” ขอโทษนะหญ้าอย่าด่ากูเลย
“เราจะทำยังไง”
“ก็...” อะไรดีล่ะผมก็ดันไม่ได้คิดไว้
“นัดหญ้าไปกินข้าวไหมจะได้สนิทกันมากขึ้น” ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากแผนง่ายๆ หญ้าสนิทกับพวกผมก็จริงแต่ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันในวันหยุด เพราะรายนั้นเป็นพวกติดห้อง ชอบอ่านหนังสืออยู่ห้องมากกว่า
“หญ้าจะยอมไปกับพี่สองคนเหรอ เวก็ไปด้วยกันสิ”
“เอ่อ..” ผมเริ่มคิดหนัก แต่เมื่อเห็นสายตาที่หันมามองก็รีบพยักหน้าทันที “ก็ได้ครับ”
“นัดวันไหนบอกพี่ด้วย”
“ได้ครับเดี๋ยวผมฝากน็อตมาบอก”
“จะฝากทำไม” โทรศัพท์ถูกโยนลงบนตักของผม
“เวบันทึกเบอร์เวให้พี่ ไลน์ด้วยนะ แล้วอย่าลืมกดโทรออกไปเบอร์ตัวเอง”
“ได้ครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจัดการ โดยการพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไปก่อนกดโทรออก
“เรียบร้อยครับ” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้พี่นพ
“จะให้พี่ไปส่งที่ไหน” พี่นพถามเมื่อรถลงจากลานจอดของโรงแรมแล้ว
“ที่หอผมได้ไหมครับ”
“ได้สิ บอกทางพี่มาแล้วกัน”
“หลังมอครับ เข้าซอยเจ็ดเกือบสุดซอย” ผมไม่ต้องบอกอะไรมากเพราะพี่นพเคยเรียนที่นั่น
“โอเค”
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อรถจอดที่หน้าหอพัก
“เดี๋ยว”
“ครับ?” ผมหันกลับไปมองพี่นพ นิ้วของอีกฝ่ายแตะที่ใบหน้า ผมกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“ออกแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าพี่นพเช็ดอะไรออกให้ รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่ากลองรัว ตอนที่ไม่รู้ว่าพี่นพชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายผมไม่เคยคิดอะไร แต่พอเริ่มคิดมันก็หยุดคิดไม่ได้
“ขอบ..คุณครับ” ผมพูดเสียงตะกุกตะกักดีที่ไม่มากจนผิดสังเกต ส่งยิ้มให้พี่นพแล้วรีบเผ่นลงจากรถ
ผมยืนรอจนรถสีดำคันหรูลับไปจากสายตา เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้น ผมยกมือขึ้นตบลงไปบนอกของตัวเอง ไม่เข้าใจความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นเลย
• • • • •
ผมละสายตาจากเกมที่เล่นเมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้า คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเป็นพี่นพ
นอนหรือยัง
ยังครับ
ฝันดีนะ
ผมมองหน้าจอไม่มีข้อความอื่นเข้ามาอีก เดี๋ยวสิวะ แค่เนี่ย! มาไวไปไวเกินไปหรือเปล่า ส่งมาทำไมผมก็ยังไม่รู้แต่ที่รู้คือผมดันตื่นเต้น ไอ้เวเอ๊ย พาตัวเองเข้าสู่โซนอันตรายเข้าไปทุกที ดึงสติกลับมาเว้ยมึงจะตื่นเต้นทำไม
ผมพ่นลมหายใจออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อความส่งเข้ามาอีกผมจึงส่งกลับไป
ฝันดีครับ
• • • • •
อยู่ไหน
ผมอ่านข้อความที่เข้ามา เริ่มชินกับการที่พี่นพส่งข้อความหาผมสั้นๆ พยายามบอกตัวเองว่าพี่นพคงเห็นว่าผมจะช่วยเรื่องหญ้าเลยพยายามเอาใจ..มั้ง
หอครับ
ทานอะไรหรือยัง
ว่าจะต้มมาม่าทานครับ
ไม่มีอย่างอื่นเหรอ
หมดเกลี้ยง
ผมส่งอิโมจิรอยยิ้มไปด้วย จะได้ไม่ดูจนจนเกินไป
อืม
แค่คำเดียวแล้วก็หายไป ผมยักไหล่เปิดเกมขึ้นมาเล่นต่อ บอกแล้วว่าเริ่มชินกับการมาไวไปไวของอีกฝ่าย
ไม่ถึงชั่วโมงครึ่งโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่รู้จัก
“สวัสดีครับ”
(คุณเวหรือเปล่าครับ)
“ใช่ครับ”
(ผมเป็นคนขับรถของบริษัทคุณนพครับ คุณนพให้เอาของมาให้คุณเวครับ ผมรออยู่หน้าหอ)
ดวงตาของผมเบิกกว้างก่อนลนลานตอบ “ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ผมเดินกลับขึ้นห้องด้วยความรู้สึกสับสน ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกตอนนี้ออกมาได้ ไม่เข้าใจ ดีใจ อบอุ่น เขิน กังวล ทุกอย่างผสมปนเปกันหมด
ขอบคุณครับ
ผมส่งข้อความไป
อย่าทานมาม่า มีอะไรโทรหาพี่
ขอบคุณครับ
ผมส่งข้อความเดิมกลับไปอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าจะพิมพ์อะไร หัวใจมันเต้นแรง จู่ๆ ก็อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา
ผมวางโทรศัพท์ลง พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยอมรับกับตัวเองในที่สุดว่าผมรู้สึกดีๆ กับพี่นพเข้าให้แล้ว
• • • • •
ผมยกยิ้มกว้างเมื่อเห็นรถที่แล่นเข้ามาหน้าหอพัก ก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากันเมื่อไม่เห็นหญ้านั่งมาด้วย ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าพี่นพคงมารับผมก่อนไปรับหญ้า
“พี่นพไม่ไปรับหญ้าเหรอครับ” ผมหันไปมองคนขับเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่รถวิ่งไม่ใช่ทางไปที่พักของหญ้า
“เปล่า” เปล่าเหรอ ผมเบิกตากว้าง ก็ผมเป็นคนนัดหญ้าเอง
“น็อตไปรับหญ้าแล้ว”
“อ๋อ เดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านใช่ไหมครับ”
“พี่ให้น็อตไปรับหญ้าไปทานข้าวแต่ไม่ได้ไปกับเรา”
“อ้าว” คราวนี้ผมเหวอจริงๆ “ทำไมครับ พี่นพอยากเจอหญ้าไม่ใช่เหรอ”
“พี่ไม่เคยบอกว่าพี่ชอบหญ้า” พี่นพหันมามองผมด้วยดวงตาที่ทำให้ใจเต้นแรง
“พี่อยากเจอคนไหนพี่ก็ไปรับคนนั้น”
พี่อยากเจอคนไหนพี่ก็ไปรับคนนั้น พี่อยากเจอคนไหนพี่ก็ไปรับคนนั้น คำพูดของพี่นพวนเวียนอยู่ในหัวของผม
“แต่..แต่..”
พี่นพชะลอรถก่อนเลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอดรถของมหา’ลัย ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ ผมสบตากับพี่นพที่หันมามองเต็มตัว
“พี่บอกน็อตไปว่าพี่คิดว่าพี่ชอบเพื่อนของน็อต ชอบเพราะน่ารักดี แต่ขอให้แน่ใจก่อนพี่จะบอกอีกที”
อ๋อ เพราะแบบนี้นี่เองน็อตถึงบอกผมว่ารอให้พี่นพแน่ใจก่อนค่อยช่วย
“แต่พี่ไม่คิดวาน็อตจะเข้าใจว่าเป็นหญ้า”
ผมหัวเราะออกมาเมื่อฟังพี่นพพูดจบ “ก็พี่นพบอกว่าชอบเพราะน่ารัก ไอ้น็อตมันก็ต้องนึกถึงหญ้าอยู่แล้ว คงไม่นึกถึงผมหรอกครับ”
“เวน่ารัก” เสียงทุ้มและดวงตาที่มองมาทำเอาผมไปต่อไม่ถูก สมองและหัวใจค่อยๆ ซึมซับคำพูดของอีกฝ่าย
!!
เดี๋ยว! ผมเบิกตากว้างจ้องหน้าพี่นพ “พี่..พี่นพชอบผมเหรอครับ!!”
“หึๆ เพราะแบบนี้ไงพี่ถึงบอกว่าเราน่ารัก” พี่นพมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน
“แต่..แต่..”
นิ้วยาวเรียวแตะลงที่ริมฝีปากของผม
“พี่บอกเวแล้วว่าความสวยไม่ใช่สิ่งสำคัญ คนที่เราชอบก็คือคนที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเพศไหน พี่ชอบเว มันก็เท่านั้นเอง”
ผมสบตากับพี่นพ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าว
“พี่ไม่ได้ขอให้เวตอบพี่ตอนนี้ แค่ไม่ปิดโอกาสพี่ก็พอ”
“ตกลงครับ” ผมตอบด้วยความรวดเร็ว
“ขอบคุณครับที่เปิดโอกาสให้พี่” พี่นพแตะมือที่แก้มของผม ดวงตาบอกความรู้สึกรักโดยไม่ปิดบัง
“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆ
“เปล่าเหรอ” ดวงตาของพี่นพหรี่ลง
“ครับ ผมหมายถึงตกลงครับ ตกลงเป็นแฟนกันเลยก็ได้”
ผมเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพี่นพ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นประกายวาบวับ
“ตอบพี่แล้วพี่ไม่ให้เราเปลี่ยนใจนะ”
ผมส่ายหน้าแรงๆ ริมฝีปากยกยิ้มเขินเริ่มอายขึ้นมา ก่อนพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมว่าผมก็ชอบพี่นพเหมือนกัน”
“หึๆ” พี่นพหัวเราะออกมาเบาๆ มองผมด้วยสายตาเอ็นดู “ขอบคุณครับ”
ผมเบิกตากว้าง เมื่อริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผม
“พี่นพมันมหา’ลัย!!” ผมร้องลั่นรถ หน้าแดงหูแดงไปหมด
“แปลว่าที่อื่นเวอนุญาตพี่ใช่ไหม” ดวงตาที่มองมากรุ่มกริ่ม ผมรีบหันไปมองนอกหน้าต่างแทนเพราะสู้สายตาพี่นพไม่ไหว
“จะพาผมไปทานข้าวที่ไหนครับรีบพาไปเลย ไม่ดี ไม่อร่อย ไม่แพง ผมเปลี่ยนใจนะครับบอกไว้ก่อน” ผมพูดทั้งที่หน้าแดงซ่าน
“หึๆ ตกลงครับคุณแฟน”
ผมเม้มปากเข้าหากันเขินจนแก้มจะแตก หัวใจพองโต ดีเหมือนกันแฮะจู่ๆ ก็มีแฟนเฉยเลย
:::: ♥ Happy Ending♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)