พิมพ์หน้านี้ - END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: mifengbee ที่ 10-04-2018 13:17:05

หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 10-04-2018 13:17:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม









you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ




☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀


พระอาทิตย์สัญลักษณ์แห่งทิวากาล             

พระจันทร์สัญลักษณ์แห่งราตรีกาล

พระอาทิตย์มาพร้อมกับความสว่างสไสว          

พระจันทร์มาพร้อมกับความมืดมิด

พระอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง          

พระจันทร์ทำได้แค่อาศัยพลังจากแสงพระอาทิตย์

พระอาทิตย์เจ้าแห่งดาว                        

พระจันทร์ดาวเคราะห์ไร้ราคา



แม้พระอาทิตย์จะร้อนแรงแผดเผา แต่ก็ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์คณานับ

แต่พระจันทร์ที่เยือกเย็นทำได้แค่ส่องแสงนวลในบางวัน

พระจันทร์มิอาจทัดเทียมพระอาทิตย์ฉันใด พระอาทิตย์ก็ยิ่งอยากครอบครองพระจันทร์ฉันนั้น

หากแต่กฏธรรมชาติยากนักจะหักหาญ….




                     






อดีตรุ่นพี่ที่ร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์

เป็ชนวนแรงดึงดูดให้พระจันทร์อย่างผมเคลื่อนที่รอบเขาอย่างไม่สิ้นสุด

แต่จะเป็นยังไงถ้าพระอาทิตย์อยากโคจรรอบดวงจันทร์มากกว่า



◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐


ดิม อาคิรา นายแพทย์หนุ่ม พ่วงอาชีพนักแสดงมากฝีมือ ที่นานๆ ทีจะรับเล่นละครสักที กลับเลือกมาแคสติ้งในซีรี่ส์วายเป็นครั้งแรก

ศิ ศิรัส จับพลัดจับผลูได้ไปแคสติ้งซีรี่ส์วายเรื่องนี้อย่างจำใจก็ไม่ถูกนัก เพราะถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นพี่ที่เคยทำให้ใจเต้นแรงมาขอร้อง

มีหรือคนอย่างศิที่รักสงบจะเอาตัวเองเข้ามาในวงการที่อยู่ยากที่สุด!


กับการเป็น คู่จิ้น ที่มีหนึ่งคน คิดจริง


Epilogue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3816211#msg3816211)
EP.01 บทนายเอก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3816750#msg3816750)
EP.02 เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น (http://hhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3818580#msg3818580)
EP.03 เสื้อกินมือ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3820239#msg3820239)
EP.04 ความลับที่ทุกคนรู้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3822217#msg3822217)
EP.05 หมอป่วยขอคนช่วยดูแล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3825399#msg3825399)
EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3828612#msg3828612)
EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3831812#msg3831812)
EP.08 ข้าวกล่องของน้อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3835030#msg3835030)
EP.09 sins (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3838386#msg3838386)
EP.10 cigarettes after sex (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3842454#msg3842454)
EP.11 A kiss A promise
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3847019#msg3847019)
EP.12  I'll call you by mine
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3850728#msg3850728)
EP.13 secret romance
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3853138#msg3853138)
EP.14 โลกคู่ขนาน
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3855367#msg3855367)
EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3857691#msg3857691)
EP.16 4 Together [X - POOL / X - APO] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3860228#msg3860228)
EP.17 SAY YES (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3863507#msg3863507)
EP.18 เด็กร้าย ๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3867964#msg3867964)
EP.19 คนที่เข้าใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3873024#msg3873024)
EP.20 Spotlight (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3878715#msg3878715)
EP.21 หมดหนทาง X MHEK
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3880051#msg3880051)
EP.22 Fix You (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3890275#msg3890275)
EP.23 version of you (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3893487#msg3893487)
EP.24 เข้าบ้าน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3895990#msg3895990)
EP.25 always be certain  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3898835#msg3898835)
Day 1-1 : I told the star about you  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3900566#msg3900566)
Day 1-2 :  I never know a better sexy than my lips on your leg (Part 1)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3905414#msg3905414)
Day 1-2 :  I never know a better sexy then my lips on your leg (Part 2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66867.msg3907908#msg3907908)


ฝากด้วยนะคะเรื่องแรกค่ะ
ผิดพลาดอะไรยังไงก็ลองติชมกันเข้ามาเล้ยย
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะ

เยิ้บๆ

บี




HONNE - Day 1 ◑ (https://www.youtube.com/watch?v=hWOB5QYcmh0)









หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】- epilogue (10/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 10-04-2018 14:44:08
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
prologue

You know you’re in love when you can’t fall asleep because reality is finally better than your dreams.
คุณจะรู้ว่าคุณตกหลุมรัก เมื่อคุณไม่สามารถข่มตาหลับได้เพราะความจริงมันดีกว่าความฝันของคุณ
 Dr. Seuss

 





        หลังจากอาจารย์ประจำวิชาการทดสอบและการวัดจิตวิทยาปิดสไลด์และวางไมค์ เสียงจอแจของนิสิตที่กำลังเตรียมตัวเก็บข้าวของและออกจากห้องที่เหมือนโดนแรงกระแทกภายในจิตใจขั้นรุนแรง เพราะอาจารย์จะเทสต์ครั้งแรกหลังจากเปิดเทอมมาสามสัปดาห์และเรียนไปมากกว่า 12 lesson ไม่หมดรักแต่หมดแรงที่แท้จริง ยังไม่นับโปรเจ็กต์วิจัยที่จะต้องส่งก่อนมิดเทอมแต่ยังแก้บทนำไม่เสร็จ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ชีวิตนิสิตจิตวิทยาปีสามไม่ง่าย โคตรไม่ง่ายเลย

        “วันนี้เลิกเรียนกูต้องไปแคสงานนะศิ” อาโป หรือ ชโลทร หนึ่งในเพื่อนอีกสามคนพยายามคุยกับศิรัส เพื่อนตัวดีที่เอาแต่ตีป้อม ROV ทั้งที่เฌอและเมฆพยายามจะคุยด้วยตั้งแต่อาจารย์วางไมค์ แต่ก็ไม่ทันเพราะไอ้ศิเปิดเกมก่อนจะได้พูดอีก

        “ฮะ เออ ก็ไปดิ อย่าเพิ่งเรียกตอนนี้ดิวะ กูกำลังจะออลคิลละ แป๊บนึงเดี๋ยวไม่ได้ MVP”

         อาการติดเกมของศิรัสทำเอา เมฆ ฆิฆาทัศน์, เฌอ เฌอลักษณม์ เบื่อหน่ายกว่าใคร เพราะเวลาศิรัสได้เข้าโหมดตีป้อมที่ไรก็เหมือนหลุดเข้าไปในเกม ทั้งที่เล่นทีไรก็ชนะนับครั้งได้


         พรึ่บ


         “เห้ย เฌอ อย่าเพิ่งดิ จะจบเกมแล้ว” เฌอสาวสวยคนเดียวของกลุ่มแย่งมือถือจากผมไปแบบไม่สนใจว่าเพื่อนจะโดนคนในเกมอีกที่เหลือก่นด่าถึงโคตรเหง้าขนาดไหน

         “ถ้ามึงเห็นเกมดีกว่าพวกกู กูจะคืนให้ เลือกมา” สวยก็จริงแต่แมนมาก แมนกว่าพวกผมมัดสามคนรวมกันเสียอีก และผมก็กลัวเฌอเวลาโกรธมากๆ

          สายตากดดันจากเพื่อนทั้ง 3 คนทำให้ยอมจำนนทำท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวฟังเพื่อนว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่

          “มึงฟังนะศิ พวกกูตกลงกันแล้ว ตอนที่มึงเอาแต่เล่นเกมโดยไม่ฟังเหี้ยอะไรเลย ว่าเราจะไปดูอาโปแคสต์งานวันนี้” เฌอพูดขึ้นอย่างคล้ายจะเหลืออด

           “อ้าว ทำไมเราต้องไปด้วยอะ”

           “ก็เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่มาก กูต้องการกำลังใจจากพวกมึง” อาโปพูดด้วยสายตาตื่นเต้นและมีความหวัง

           “มันจะได้ไปแคสต์ซีรีส์ช่องพีพีมีเดียเลยนะมึง” เฌอต่อให้อย่างกับนัดกับอาโปมาแล้ว

            “หรอวะ เออดีใจด้วยนะอาโป” พูดว่าดีใจด้วย แต่ผมรู้ว่าสายตาผมว่างเปล่าปนไม่เข้าใจ มันสวนทางกับคำพูดสุดๆ
 
            “เหี้ยศิ!!”

            เฌอ และอาโป ตะโกนอย่างเหลืออดกับอาการที่ไม่ค่อยจะรู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับใครเค้าเลยของศิรัส ส่วนเมฆก็เสียบหูฟังบ่งบอกว่าไม่อยากรับรู้ไปโดยปริยาย







          สุดท้ายทั้ง 4 คนก็มาถึงอาคารใหญ่ติดรถไฟฟ้า ราคาที่ดินที่พวกเขาเหยียบแทบประเมินราคาไม่ได้ เวลาบ่ายโมงกว่าๆ หลังจากที่กินข้าวจากที่มหา’ลัยก็มุ่งหน้ามาที่นี่อย่างไม่ได้รีบร้อนกันเท่าไหร่ เมฆยังคงเป็นสารถีคอยรับส่งเพื่อนๆ แม้ว่าทุกคนต่างก็มีรถ แต่ลงความเห็นว่าเมฆขับรถดีที่สุด และมันก็รวยสุดที่จะเติมน้ำมันทุกอาทิตย์เพื่อไปส่งเพื่อนทั้ง 3 คนทุกวัน

           เมฆนี่ดีที่สุดแล้ว  และเมฆก็ไม่ยุ่งกับผมเวลาเล่นเกมด้วย!



 
           พีพีมิเดียเป็นองค์กรเอกชนชื่อดังที่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำธุรกิจสื่ออย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการผลิตรายการโทรทัศน์, ละคร, โฆษณา, อีเวนต์คอนเสิร์ต และสื่อออนไลน์ต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นการได้มาร่วมงานกับบริษัทนี้ถือเป็นใบเบิกทางที่โคตรดีในวงการบันเทิงเหมือนเอาดอกกุหลาบมาปูบนพรมแดงแล้วเดินย้ำไปอย่างสบายเท้า
 
            เรากดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 24 สถานที่สำหรับการแคสติ้ง บรรยากาศโดยรอบห้องโถงขนาดใหญ่คึกคัก มีผู้เข้าคัดเลือกมากหน้าหลายตาเดินขักไขว่ ถือเอกสารและแฟ้มสำหรับใส่เรซูเม่ บางคนก็มีเพื่อนมาด้วยเหมือนพวกผมที่มารออาโป บ้างก็นั่งพิงกำแพง บ้างก็ยืน หลายคนอ่านหนังสือเล่มหนา สถานที่ตรงนี้น่าจะเป็นที่สำหรับประชุมหรือสัมมนาของบริษัท และจริงๆ ก็สามารถจัดคอนเสิร์ตได้เลยด้วยซ้ำ เสียงพูดคุย สลับกับเสียงการทักทายของเหล่าบรรดานักล่าฝันที่อยากเป็นนักแสดงของค่ายนี้ดังทั่วฮอลล์ และบอกเลยว่ามีแต่คนหน้าตาดีมากๆ ทั้งนั้น บางคนก็รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเห็นผ่านทีวี บางคนก็หล่อจนรู้สึกว่าพวกนี้ไปอยู่ไหนมา
 
           ศิ ศิรัส  ชื่อความหมายดีที่คุณย่าตั้งให้ แปลว่าแสงจันทร์ เพราะอยากให้เป็นคนเย็นตา สบายใจ เวลาที่ใครได้อยู่ใกล้ แม้จะไม่มีแสงจัดจ้าร้อนแรง แถมไม่ได้มีประโยชน์ให้กับพื้นโลกเหมือนแสงพระอาทิตย์ แต่ก็น่าจะทำให้คนหลงทิศในยามที่มืดมนที่สุดรู้ว่า ถึงอย่างไรก็ยังจะมีแสงจันทร์ที่สว่างไสวตรงนี้อยู่ด้วยตลอดค่ำคืน

          ชีวิตโดยปกติของผมก็ไม่มีอะไรหวือหวาหรือน่าเร้าใจมากเท่าการปั่นวิจัยทุกเทอม อดหลับอดนอน ตื่นไปพรีเซนต์ กลับมาแก้งานวนไป นี่แหละครับเรื่องน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต

          แต่จริงๆ ก็มีอีกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วเหมือนกัน ยังจำจังหวะหัวใจที่สูบฉีดเลือดอย่างรุนแรงได้อยู่เลย






         ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 ขณะที่แอบเข้าไปห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำที่โรงเรียน ทั้งที่ปกติแล้วไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า แต่มันสุดกลั้นแล้วจริงๆ ของเสียในร่างกายมันกลั่นออกมาและพร้อมระบายตามท่อปัสสาวะแล้ว  ในขณะที่กำลังปล่อยสิ่งเหล่านั้นลงชักโครก ก็กลับได้ยินเสียงหอบหายใจมาจากห้องน้ำฝั่งทางขวา มันเป็นเสียงกระเส่า และพลุ่งพล่าน จนเดากิจกรรมที่บุคคลในนั้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงี่ยหูว่ามาเป็นลมหายใจของคนๆ เดียวหรือสองคน...จนแน่ใจว่าเสียงลมหายใจเกิดจากคนๆ เดียว ไม่ใช่กิจกรรมที่มีใครลักลอบทำแบบนั้นในโรงเรียน

         ผมเองก็อดที่จะหน้าร้อนตามไปด้วยไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าออกจากห้องน้ำแม้ว่าจะทำธุระเสร็จแล้ว เพราะกลัวห้องข้างๆ จะรู้ว่ามีคนแอบได้ยินเสียงลมหายใจที่โคตรจะเซ็กซี่ขนาดนั้น และเมื่อเสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมากขึ้น มันทำให้ผมขนลุกและเสียวท้องน้อยตามไปด้วย แม้จะรู้ว่าเขาคนนั้นคือผู้ชายก็ตาม และพอได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องข้างๆ รอให้แน่ใจว่าเขาจะเดินออกจากห้องน้ำแล้ว ผมก็รีบเปิดประตูตามออกมาเพื่อโกยอากาศหายใจ เหงื่อไคลที่ไหลลงตามกรอบหน้า ผมรู้ดีกว่าไม่ใช่แค่เพราะอากาศร้อนแต่อารมณ์แตกเนื้อหนุ่มมัน ‘อยาก’ มากกว่า

         พอแอบออกจากห้องน้ำมาก็สอดส่องเข้าไปในสระว่ายน้ำ ภายในสระโล่ง ไร้ผู้คน พบเพียงรุ่นพี่ที่จบไปนานมาก จำได้ว่าผมเข้าเรียนม.1 เขาก็จบม.6 ไปได้หลายปีแล้ว แต่ที่จำได้เพราะเขากลับมาที่โรงเรียนบ่อยมากๆ ในฐานะศิษย์เก่าที่เคยเป็นทั้งประธานนักเรียน ประธานชมรมว่ายน้ำ แถมยังสอบติดโควต้าหมอตั้งแต่ภาคเรียนแรก หน้าตาก็หล่อเหล่าจนได้กล่าวขานว่าเป็นเดือนประจำโรงเรียนแม้จะไม่ได้มีการจัดตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งหล่อทั้งเก่งใครจะลืมลง ไม่นานนี่เขายังเป็นตัวแทนสมาคมศิษย์เก่าที่อายุน้อยสุดในการร่วมงานประจำปีของโรงเรียน ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และวันนี้เขาคงกลับมาสอนน้องๆ ว่ายน้ำ หนึ่งในงานที่เขาอาสา...
 
         และใช่นี่คือเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ไม่ใช่เพราะทำผิดกฎของชมรมว่ายน้ำ แต่ความผิดอันใหญ่หลวงคือการได้ยินกิจกรรมส่วนตัวของรุ่นพี่คนดังคนนี้ต่างหาก

         ใครจะคิดว่าเขาจะกล้าช่วยตัวเองในห้องน้ำโรงเรียน

              -//-






 
           
       “สำหรับน้องที่จะลงสมัครแคสติ้งในวันนี้ กรุณาเตรียมเอกสารให้พร้อม และมาลงทะเบียนตรงนี้ได้เลยนะคะ”
 
       “เห้ย อาโปไปดิเค้าเรียกละ” เฌอที่ดูจะมีความสุขไม่น้อยสำหรับวันนี้ ไม่น้อยธรรมดาผมว่ามากเลยทีเดียว หญิงห้าวคนนี้อย่างไรก็ชอบผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายหล่อ แม้จะมีอดีตไม่ดีกับพวกหน้าหล่อเท่าไหร่ เฌอก็ยังตัดนิสัยชอบมองคนหล่อไม่ได้หรอก
 
       “เออๆ พวกมึงรอแถวนี้นะ เค้าแค่น่าจะให้ส่งเอกสารว่ะ”
 
       “ทำไมคนเยอะจัง” ผมพูดด้วยความสงสัยระคนไม่ชอบสถานที่ที่มีคนมากมายขนาดนี้
 
       “ก็นิยายเค้าดังไง ดังมาก กูอ่านก่อนมาแคสยังชอบเลย ทั้งที่กูอ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็หลับ ฮ่าๆ” อาโปพูดยอตัวเองน่ะว่าอ่านหนังสือ ทั้งที่ปกติเห็นหนังสือแล้วก็หลับตลอด เวลาสอบก็เป็นหน้าที่ผมและเฌอที่ต้องอ่านให้มันฟัง เพราะถ้ามันอ่านเองเมื่อไหร่จะได้ยินเสียงกรนแทน -_-

 

     “เชี่ยพี่ดิมมา”

        “มึงงง พี่ดิมมาแคสด้วยว่ะ”

        “อาคิรามาแคสแบบนี้ มึงว่าเรากลับบ้านดีป่ะ”

        “บทพระเอกเค้าได้แน่ๆ เชี่ยหล่ออะไรขนาดนี้วะ”

 


        เสียงกรี๊ดจากบรรดาคนที่มาแคสบทผู้หญิงแบบอดกลั้นไว้ไม่ได้ดังขึ้นเป็นระยะ รวมถึงคำพูดถอดใจ เมื่อเห็น “ดิม หรือ นายอาคิรา ชานยกาญจ์ธำรงค์” ว่าที่คุณหมอศัลยแพทย์และนักแสดงที่เคยมีผลงานกับพีพีมีเดียสองสามเรื่อง แต่ดังและเรตติ้งดีมาก ซึ่งหาได้น้อยในยุคทีวีดิจิตอลแบบนี้ แต่ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรมีแค่สัญญาใจว่าเค้าจะรับงานจากแค่ที่นี่เท่านั้น
 
        ดิม ชายหนุ่มอายุ 28 ปี รูปร่างสมส่วนด้วยความสูง 189 เซนติเมตร ผิวออกแทนไม่ใช่ขาวใสพิมพ์นิยม หน้าสไตล์ไทยมีเสน่ห์ล้นเหลือ และหุ่นชวนฝันภายใต้ร่มผ้านั่น เคยถ่ายแบบลงนิตยสารชื่อดังด้วยคอนเซ็ปต์ฮอตซัมเมอร์ที่มีแต่คนบอกว่าอากาศตรงนั้นไม่น่าร้อนเพราะพี่เค้าร้อนแรงกว่าอากาศทั้งหมดรวมกัน  ไม่พอยังมาพร้อมกับดีกรีความฉลาด ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ และกำลังเรียนต่อด้านศัลยกรรม พร้อมกับการเป็นนักแสดง กลายเป็นไอดอลให้วัยเรียนตัวจริงเสียงจริง
 
        แต่เป็นที่รู้กันว่าหมอดิมเค้าจะเลือกรับงาน โดยเฉพาะละครเพราะใช้เวลาถ่ายนาน รวมถึงบทต้องดี คุ้มค่าที่เค้าจะเจียดเวลานอนมาถ่ายซีรี่ส์ ซึ่งเรื่องนี้เค้าดันมา แสดงว่ามันต้องดีแน่ๆ น่ะสิ




         และเพราะเขาที่ทำให้ ใจผมเต้นอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นใบหน้าผู้ชายที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในชีวิตผม มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว
 
           
       ทำยังไงดีเพราะผมยังไม่ลืมเสียงลมหายใจเซ็กซี่นั้นสักวินาที





------To be Continued------






ฝาก หมอดิม กับน้องศิ ด้วยนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งเลย
ผิดพลาดอะไรยังไงก็คอมเม้นท์บอกเลยนะ
ยินดีที่ทุกคนแวะเข้ามาอ่านค่ะ

   #เพียงจินตนาการ
   #หมอดิมน้องศิ

   บี

   :)
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】- epilogue (10/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Mickey199663 ที่ 10-04-2018 19:02:48
น้องงงง น้องแอบคิดไม่ดีกับพี่เค้าเหรอลูกกก ทะลึ่งนะเรา
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】- epilogue (10/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 10-04-2018 19:15:46
รอติดตามค่าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - epilogue (10/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 10-04-2018 20:28:39
ติดตามต่อค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.01 - บทนายเอก (12/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-04-2018 23:57:09
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.01 บทนายเอก
[/size]

Just don't go forsaking yourself No one can stop you





The Intersection : ตะวันคลาดพระจันทร์

“กลิ่นดอกแก้วหอมอ่อนลอยมาแตะจมูกคราใดที่นิทรา ภามาสจะหวนย้อนอดีตไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก การแต่งกายที่ผิดแผกจากปัจจุบันแต่เลาว่าเคยเห็นในหนังสือเรียน คำพูดจาด้วยถ้อยวลีโบราณไม่คุ้นหู ฉากทอดตรงหน้าผ่านการแอบมองข้างบันไดนี้ ปรากฏภาพชายหญิงมีมงคลสวมหัว ก้มรับพรจากพระภิกษุดูแก่ฌาณ อาจจะเป็นพิธีวิวาห์ แต่ทำไมกันลูกตาที่ทอดมองฉากตรงหน้ากลับมีน้ำจากนัยน์ตาที่ไหลหยดลงเปื้อนผ้านุ่งสีมอที่หัวเข่าเช่นนี้ กลิ่นดอกแก้วค่อยๆ จางดึงให้เขาตื่นจากฝันกลับสู่โลกจริงที่แม้ลืมตาน้ำตาจะเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง”

ความฝันของ “ภามาส หรือ มาส” ไม่เคยปะติดปะต่อเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ผ่านวันเกิดปีที่ 20 เขาว่ามันประหลาดแต่ดีกว่าฝันเห็นผีหน่อย การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ สำหรับเด็กต่างจังหวัดปรับตัวได้มา 1 ปีแล้ว นี่ก็ร่วมเข้าปีที่ 2  การได้มาทำกิจกรรมร่วมกับต่างคณะทำให้เขาตื่นเต้น ที่น่าตกใจคือได้พบกับ “รังสิมันต์ หรือ เรย์” บุคคลที่หน้าละม้ายคล้ายกับผู้ชายที่เขาร้องไห้ให้ในฝัน นี่มันน่ากลัวกว่าผีอีกไม่ใช่หรือไง!
               
รังสิมันต์คือใคร? แล้วเขาจะฝันแบบเดียวกับเขามั้ยนะ?





ศิรัสอ่านเรื่องย่อหลังปกนิยายระหว่างรออาโปเตรียมเอกสารก่อนจะยื่นให้ทีมงาน แถมไม่กล้าสบตาใครในที่นี้สักคนเพราะมีแต่คนหล่อและสวยเกินไป เลยได้แต่หยิบตัวอย่างหนังสือจากโต๊ะลงทะเบียนสำหรับอ่านฆ่าเวลาหรือให้ผู้สมัครเตรียมตัวเพิ่มได้อ่านกัน


จากการอ่านบทนำก็รู้ว่านิยายเรื่องนี้มียอดวิวคนคลิ๊กเข้าไปอ่านในออนไลน์กว่า 4 ล้านครั้ง และตีพิมพ์เป็นหนังสือกว่า 5 ครั้ง ครั้งละหลายพันเล่ม แถมยังจำหน่ายหมดจนต้องสั่งจองล่วงหน้า ผมไม่แปลกใจที่พีพีมีเดียนำบทประพันธ์เรื่องนี้มาสร้างเป็นซีรี่ส์ ทั้งยังเป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการซีรี่ส์วายที่หยิบนิยายกึ่งพีเรียดมาสร้างเป็นครั้งแรก ด้วยงบประมาณและการบริหารการถ่ายทำแน่นอนว่าต้องสูงกว่านิยายรักวัยใสทั่วไป แต่นั่นก็เพื่อผลกำไรมหาศาล จากในและต่างประเทศ แถมแค่เริ่มต้นยังได้คุณดิม อาคิรา ร่วมแคสเป็นพระเอก คงจะเรียกเสียงฮือฮาให้ทั้งแฟนคลับและแฟนนิยายอย่างท้วมท้น


“น้องๆ ที่แคสต์บทรังสิมันต์ เดี๋ยวเข้าห้อง B1 ด้านซ้ายมือเลยนะครับ ส่วนบทอื่นๆ รอเรียกอีกทีนะ เชิญครับ”
 

เสียงทีมงานประกาศผ่านไมค์ให้ได้ยินโดยทั่วกัน มีกลุ่มผู้ชายบางส่วนที่หน้าตาจัดว่าดีโคตรๆ กำลังทยอยเดินไปที่ห้องที่ทีมงานแจ้ง วันนี้แม้คนจะเยอะมากอาจจะร่วม 500 คน ที่ผ่านการคัดกรองจากหลายพันคน ด้วยการให้ส่งเรซูเม่และคลิปแนะนำตัวมาแล้ว คนที่ได้เข้ามาแคสติ้งในวันนี้คือล้วนแต่เป็นคนที่มีทักษะทั้งนั้น


“อาโปอีกนานใช่มั้ยกว่าจะถึงบทของมึง ขอลงไปซื้อกาแฟหน่อยได้หรือเปล่า” เมฆพูดขณะมองมาหาผมที่เป็นคอกาแฟเหมือนกันในบ่ายที่ร้อนจัดแบบนี้

“เออน่าจะอีกนานอะ ฝากซื้อด้วยสิ กูเอามัชฉะลาเต้ เพิ่มผงชาเขียว เพิ่มหวาน และเพิ่มวิป เอ้อ ถามเค้าด้วยว่ามีเจลลี่มั้ย ใส่มาด้วยนะ เงินก็ออกให้ก่อน” พูดพร้อมยิ้มตาหยี สาวๆ มาเห็นคงมองว่าน่ารักหนักหนา แต่เมฆกลับไม่ใส่ใจเพราะอาโปก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ใช้เขา อีกอย่างก็เอือมกับอาการชูการ์แอดดิทของอาโป  เพราะเมฆเป็นสายคลีน จะบอกให้ว่าผมเคยแอบเห็นหุ่นเมฆตอนเราเรียนวิชาเลือกเทนนิสปี 1 หุ่นเค้าลีนมากแทบจะไม่มีไขมันส่วนเกิน ซิกแพ็คอาจจะไม่ชัดมากแต่มันดูสุขภาพดี และเซ็กแอพพีลสูงทีเดียวแหละเพื่อนผมคนนี้ แม้ภายนอกจะดูเนิร์ด แต่เคยได้ยินมั้ยครับว่าผู้ชายเนิร์ดเซ็กส์จัด..

“เยอะ” 

เมฆพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ผมเลยเดินตามไปพร้อมถือกระเป๋าสตางค์ลงไปด้วย

“แวะห้องน้ำแป๊บนึงได้มั้ยเมฆ ปวดฉี่อะ” เราเดินผ่านน้องน้ำก่อนจะไปกดลิฟท์ ก็เลยรู้สึกว่าปวดหน่อยๆ เข้าก่อนจะกินน้ำเพิ่มอีกรอบคงจะดีกว่า
 

“เกล เราบอกแล้วไงว่ามันคืองาน...ไม่...เกลเราคุยกันแล้วนะ เรามาแคสยังไม่ได้บทซะหน่อย...เห้อ...โอเค ตอนนี้คงคุยไม่รู้เรื่อง...แค่นี้นะ”

บทสนทนาจากห้องข้างๆ คงเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มาแคสต์ล่ะมั้ง ทะเลาะกับแฟนหรอ ทำไมล่ะ หรือแฟนจะเป็นพวกไม่ชอบซีรี่ส์วาย แต่มันก็แค่งานนี่นา
 
ได้ยินห้องข้างๆ กดน้ำแล้วก็เปิดประตูออก เลยรอจังหวะแล้วค่อยออกจากห้องตัวเอง แต่ผมคิดผิดเพราะว่าเปิดประตูห้องน้ำก็ปะทะจังๆ กับผู้ชายที่เป็นตัวเต็งบทพระเอกในวันนี้กับท่ากอดอกเหมือนว่ารอใครซักคนออกจากห้องน้ำ แต่เอ๊ะ มันไม่มีใครนี่หว่า หรือรอผม
 
“อย่าบอกใคร”

 “.....”

เค้าพูดกับผมหรอ ก็ต้องใช่สิเพราะมีผมคนเดียวยืนตรงนี้

“เธอน่ะ ได้ยินใช่มั้ย”

 “อื้อ”

 “มันไม่ใช่ความลับหรอกเพราะตอนนี้เธอก็รู้แล้ว แค่มีผลกับงาน”

 “แฟนน่ะหรอครับ”  พอเขาพูดมาขนาดนี้มันจะแปลว่าอะไรได้นอกจากว่าเขาจะมีเจ้าของแล้ว

“ครับ มันมีผลกับงานนี้”

“อ้อ ครับ”

“ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้ ผมจะเหมาว่ามาจากเธอนะ”

“เจอกันตอนแคสต์”

คำพูดกึ่งขอร้องแถมขู่ล่ะมั้งเนี่ย ทำไมผมต้องบอกใครด้วยไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่องสักหน่อย

เจอกันตอนแคสต์อะไรเล่าไม่ได้มาแคสต์ มั่วว่ะ
 
มองสารรูปตัวเองในกระจกแค่คิดยังไม่กล้าส่งใบสมัครด้วยซ้ำ สูงไม่ถึง 175 หุ่นก็ไม่ดี เริ่มมีพุงเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย และชอบกินหมูกระทะที่สุด ไม่พอเบเกอรี่และโกโก้นี่ขาดไม่ได้เลยต้องกินทุกวัน มีดีแค่ผิวเนียนเพราะกรรมพันธุ์ดี ทั้งที่ไม่เคยบำรุงอะไร แต่นั่นแหละรวมๆ ก็เด็กผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร
 
ก็แค่ศิรัสเกมเมอร์มือกากเท่านั้นแหละ








อาโปได้คิวเข้าไปแคสต์แล้ว เป็นบทเพื่อนนายเอกในยุคปัจจุบัน นับว่าเด่นอยู่เหมือนกันเพราะเป็นคนเดียวที่รู้ว่านายเอกกำลังประสบปัญหาอะไรอยู่ และเป็นคนที่รับฟังเข้าใจ รวมถึงช่วยคิดค้นวิธีที่จะไปทำความรู้จักกับพระเอกเพื่อสืบหาผู้ชายย้อนยุคในฝันอีกด้วย
 
“มึงว่าอาโปมันจะได้มั้ยวะ”

“เท่าที่ลองนั่งอ่านหนังสือ และจากที่เห็นคนมาแคสต์ แล้วก็ประสบการณ์ของมันก็อาจจะนะ”

“นี่มึงอ่านจะจบแล้วหรอเมฆ”

“อ่าฮะ ก็รออาโปมาจะสามชั่วโมงละนะ”

“ไวเหี้ยๆ เป็นกูหลับตั้งแต่ 3 หน้าแรกละ แล้วเป็นไงสนุกป่ะ”

“ดีนะ คนเขียนหาข้อมูลดีตอนย้อนอดีต ตอนปัจจุบันก็ตลกดี”

“เมฆๆ เห็นปลั๊กชาร์จแบตแถวนี้มั้ยอะ คือแบตจะหมดกำลังจะคิลแล้วด้วย”

“........”

เฌอกับเมฆหันมามองหน้าผมด้วยสายตาแบบนี้อีกแล้ว ทำอะไรผิดอ่า…








ห้อง B1

บรรยากาศการแคสติ้งผ่านไปครบทุกคน  บทพระเอกนั้นคงตัดสินใจไม่ยากเพราะตัวเต็งหลายคนมาโชว์ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงแบบที่ทำการบ้านมาอย่างดี ส่วนบทอื่นๆ ก็ไม่น่าห่วงอะไร ขาดก็แต่บทนายเอกที่ยังไม่เจอใครมีคาแรคเตอร์ชัดเจนพอที่จะเป็นภามาสได้เลย คณะกรรมการคัดเลือกนักแสดงกำลังปรึกษาว่าจะตัดสินอย่างไร เพราะไม่อยากเลือกใครก็ได้มารับบทนี้เพราะแฟนๆ นิยายคงผิดหวังหากเลือกคนที่มีบุคลิกไม่ตรงตามบทประพันธ์

“คุณอบเชยครับ ผมว่าเราควรให้น้องๆ ที่เราคิดว่าพอจะเล่นได้มาแสดงให้ดูอีกรอบดีมั้ย เผื่อรอบที่แล้วเขาตื่นเต้น”

 “ตอบตามตรงนะคะไม่มีใครคือภามาสเลยค่ะคุณติณณ์ นักเขียนสาวถอนหายใจเล็กน้อย
"มาสต้องเป็นคนที่สดใสออกมาจากนัยน์ตา แววตาของคนที่อ่อนน้อม เจียมตน แต่กล้า และเข้มแข็ง ไม่ใช่คนมั่นใจในตัวเองแต่เป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติ น้องๆ ที่มามีความสามารถและมีคาแรคเตอร์นะคะ แต่น้องๆ ยังไม่เข้าใจในความเป็นมาสอย่างที่ดิฉันเขียน”

“ครับผมอ่านรายละเอียดคาแรคเตอร์แล้ว แต่คนแบบนั้นผมพอจะเห็นน้องพูลล์นะครับ แถมเค้ายังมีฐานแฟนคลับเยอะด้วย เราน่าจะใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้”

“แต่พูลล์เค้ามีความมั่นใจเต็มแบบที่ลดลงยากมากเลยค่ะ น้องเค้าแสดงดีมากเลยนะคะ แต่อบยังไม่เชื่อค่ะ เป็นไปได้มั้ยคะที่เราจะใช้นักแสดงที่ไม่เคยผ่านงานมาก่อนเพื่อลดตรงนี้ลง” อบเชยหันหน้าไปถามแอคติ้งโค้ชหรือครูกิ่งที่เป็นหนึ่งในทีมงานที่ทรงคุณวุฒิในโปรเจกต์นี้

“ครูคิดเหมือนคุณอบเชยนะคะ ครูอยากเห็นเด็กที่ค่อยๆ พัฒนา ดีซะอีกเราจะได้ปั้นเด็กใหม่ให้ค่ายด้วยไงคะ”

“อย่างนั้นเราอาจจะต้องให้เวลาในการเรียนการแสดงนะครับ อย่าลืมว่าเรามีเวลาเทรนดิ้งเด็กแค่ 2 เดือนก่อน
เปิดกล้อง” นายโปรดิวเซอร์ลุคเซอร์ออกความเห็น

“เรามีเวลาเวิร์กช้อปกันตั้งสองเดือนนะคะ อบว่าน่าจะพอ”

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราจะยังไม่ประกาศคนที่ผ่านเข้ารอบบทภามาสหรอครับ?”  หัวหน้าทีมประสานการจัดงานในครั้งนี้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล

“อืม ฝากเปลี่ยนสคริปต์พิธีกรด้วยนะคุณธนา ขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้นะ”

“เพื่องานที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด”


นักเขียนสาววัยสามสิบต้นๆ เจ้าของบทประพันธ์ยิ้มรับเมื่อข้อเสนอของเธอถูกตอบรับจากผู้อำนวยการสร้างที่ลงทุนซื้อลิขสิทธิ์นิยายจากเธอและให้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานทุกขั้นตอน เพราะให้เกียรติแก่เธอผู้เป็นเจ้าของและเข้าใจในเจตนางานเขียนของตนเองดีกว่าใคร
               
คนที่มาร่วมแคสติ้งในวันนี้เดินรวมกันเข้าไปที่ฮอลล์ บ้างก็เลือกนั่งตามที่นั่งที่ทีมงานจัดไว้ บ้างก็ยืนลุ้นรอบๆ ฮอลล์ ที่เอาไว้ใช้ประชุมเลยมีทั้งที่นั่งและพื้นที่ให้ยืน สำหรับการฟังผลประกาศการคัดเลือกรอบแรก ในหนึ่งคาแรคเตอร์จะมีผู้ผ่านเข้ารอบต่อไปเพียง 5 คน หรือน้อยกว่านั้นตามความเหมาะสม และจะได้เข้าไปเวิร์กช้อปกับครูสอนการแสดงให้กับนักแสดงชื่อดังของค่าย เพื่อคัดกรองคนที่จะได้รับบทนั้นๆ อีกที เป็นความเห็นชอบจากทั้งผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และผู้เขียนบทโทรทัศน์ ซึ่งคุณอบเชยและคุณติณณ์เห็นด้วย
               
“สำหรับบทรังสิมันต์หรือบทพระเอก 5 คนที่ได้ไปต่อนะครับ ได้แก่ น้ำมนต์  เก้า แตงโม คัตเตอร์ และดิมครับ เชิญบนเวทีเลยครับ”

เสียงปรบมือดังทั่วฮอลล์กับการคาดการณ์ที่ไม่ผิดนัก

“ต่อไปบทภูผาเพื่อนนายเอก 5 คนที่ได้ไปต่อ ได้แก่ ยิว บูม พีพี อาโป และกานต์ เชิญบนเวทีครับ”
 
เสียงไมค์ที่ดังเล็ดลอดออกมาข้างนอกทำให้เพื่อนสามคนที่ลุ้นตัวบิดร้องเฮออกมาด้วยความดีใจที่เพื่อนสนิทได้ผ่านเข้ารอบตามที่หวังไว้





“เชี่ยอาโปทำได้เว้ยยยยย” เฌอหญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มอุทานเสียงดังกว่าใคร

“อาโปเก่งจังเลยอะ นี่จะมีเพื่อนเป็นนักแสดงแล้วหรอ” ผมก็พลอยดีใจไปด้วยนะเนี่ย

“ก็ขอให้มันผ่านเวิร์กช้อปแล้วกัน” เมฆพูดนิ่งๆ แต่ยกยิ้มมุมปากเล็กๆ

“เสร็จจากนี้เราไปกินหมูกระทะกันดีมั้ยอะ ฉลองไง”

“ไม่!!”

เฌอและเมฆปฏิเสธผมแทบไม่ต้องคิด ทำไมล่ะ หมูกระทะอร่อยนะเว้ย
 

“ทางเรามีเรื่องประกาศอีกหนึ่งเรื่องนะครับ สำหรับบทของภามาสนั้น เราจะแคสติ้งกันอีกครั้งในอาทิตย์หน้า เวลาเดียวกัน เพราะทางคณะกรรมการเห็นว่าน้องๆ ที่มีวันนี้มีความสามารถแต่คาแรคเตอร์ยังเป็นภามาสไม่ได้ อยากให้กลับไปทำการบ้านมาอีกครั้ง”


เสียงอื้ออึงดังลอดจากในฮอลล์ เพราะทุกคนที่มาแคสบทนายเอกนั้นมีจำนวนมาก แต่กลับไม่มีผลการตัดสินให้ใครผ่านเข้ารอบ
ไม่อยากจะคิดว่าตอนนี้ในฮอลล์วุ่นวายขนาดไหน จะมีประท้วงมั้ย

เพื่อนสามคนมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปใกล้ประตูฮอลล์เสียหน่อยจะได้ยินชัดๆ ไงเล่า
 

 
คนที่มาแคสติ้งทุกคนะไม่พอใจกับคำประกาศแบบนั้นของทางทีมงาน และให้หาทางแก้ไขให้ดีกว่านี้ เพราะหลายคนเดินทางมาไกลจากต่างจังหวัด บางคนมาจากต่างประเทศ จะให้ไปๆ มาๆ แบบนี้ก็คงไม่คุ้มกับค่าเดินทาง แถมยังแบกความฝันสำหรับอาชีพนักแสดงมาไกลจนใกล้เกือบถึงฝันแล้ว แต่กลับต้องหวนกลับบ้านไปแบบมือเปล่า
 
คณะกรรมการไม่ทันคิดตั้งรับกับสถานการณ์นี้ และลืมคิดเรื่องความรู้สึกของทุกๆ คนที่เดินทางมาคัดเลือกอย่างมีความหวัง เหมือนพวกเขาดูถูกความฝันของเด็กหลายคน เลยขอประชุมหารือแนวทางเพื่อให้ไม่เกิดกระแสด้านลบกับคณะผู้จัดเองและข่าวที่จะออกไปสู่โลกโซเชียล พร้อมขอความร่วมมือจากน้องๆ ที่มาแคสติ้งอย่าเพิ่งโพสต์เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม
 

           




   
30 นาทีผ่านไป การประชุมก็ยังเคร่งเครียดหาข้อสรุปไม่ได้
           

ก็อกๆ

“ขออนุญาตครับ พอดีคุณอาคิราอยากขอเข้าพบครับ”

“เข้ามาสิ” คุณติณณ์ถอดแว่นสายตาออกหลังจากการประชุมยังหาข้อยุติไม่ได้

“ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาพบนะครับ คือ ถ้าผมจะยื่นข้อเสนอให้แคสติ้งบทภามาสอีกครั้ง ภายในวันนี้ได้มั้ย ผมว่าผมเจอคนที่น่าจะเป็นภามาสได้ในแบบที่คุณอบเชยต้องการ” ชายหนุ่มพูดด้วยสายตาจริงจัง และกล้าหาญ รั้งให้สายตาของผู้ใหญ่ในที่ประชุมตั้งใจฟังคำพูดของคุณหมอคนนี้

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเค้าสมควรได้รับบทนี้คะ”  เจ้าของบทประพันธ์ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“ถ้าคุณอบเชยกำลังหาเด็กผู้ชายที่ดูน่ารักโดยธรรมชาติ แล้วสายตาเค้าก็ใสซื่อ ไม่โกหกความรู้สึก แถมยังไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน ผมว่าเค้าใช่ครับ” ว่าที่พระเอกคุณหมอตอบอย่างมั่นใจ

“เค้าเป็นใครคะ”

“ผมไม่ทราบครับ น่าจะเป็นเพื่อนจากคนที่มาแคส”
 
“แล้วคุณคิดว่าเค้าจะยอมมาแคสมั้ย” คุณติณณ์ถามขึ้น

“ผมจะพูดให้เองถ้าคุณอนุญาตให้มีการแคสอีกรอบ”

“งั้นฝากด้วยครับ”  ผู้กำกับออกปากหลังจากนั่งฟังการถกเถียงมาเป็นเวลานาน เพราะเชื่อให้พลังความจริงบางอย่างจากตัวผู้ชายคนนี้ และถ้าเป็นไปได้เขาอยากร่วมงานด้วยสักครั้ง







คณะกรรมการเดินออกมาจากห้องประชุมหลังจากมีมติให้ทำการแคสติ้งบทภามาสอีกรอบภายในวันนี้ แม้จะล่วงเลยมากว่า 2 ชั่วโมงตามกำหนดการ ซึ่งต้องแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยการคัดเลือกเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเท่านั้น แต่สิ่งที่ต้องตอบคำถามกับทุกคน คือจะให้ศิรัสเข้ามาแคสติ้งในรอบนี้ด้วย

นั่นน่าจะเป็นปัญหาใหญ่มากกว่า

   
“น้องๆ ทุกคนครับ ทางผมและคณะกรรมการคนอื่นๆ คุยกันแล้วว่าจะให้มีการแคสติ้งบทมาสอีกหนึ่งรอบ น้องๆ อาจจะกลับบ้านดึกหน่อย จะโอเคกันหรือเปล่า”


“โอเค ครับ/ค่ะ”
“จัดไปครับผมมม”


ทุกคนแทบจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน หลายคนยิ้มดีใจ สีหน้าดูมีความหวังกว่าตอนประกาศให้มาแคสใหม่ครั้งหน้า

“แต่ไม่ใช่ถูกคนที่จะได้เข้ารอบครั้งนี้นะครับ เราจะคัดเลือกสำหรับบางคนที่กรรมการเห็นว่ามีคุณสมบัติและตรงคาแรคเตอร์เท่านั้น เพื่อเป็นการประหยัดเวลา และอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ คือ จะมีผู้เข้าร่วมคัดเลือกที่เพิ่มเข้ามาในรอบนี้ด้วย แต่น้องคนนี้ไม่ได้สมัครเข้ามาแต่แรก ทางกรรมการของเราบังเอิญไปเจอเลยอยากให้ลองมาแคสติ้งดูด้วย”

“อ้าว แบบนี้ได้ไง เด็กเส้นหรอ”
“งั้นคนที่โดนตัดสิทธิ์ออกก่อนจะรู้ได้ไงว่าเล่นดีไม่เท่าคนนี้อะ”
“ไม่โอเค”
“เด็กเส้น!”


“เอายังไงดีครับ น้องๆ เค้าดูจะไม่โอเคกันเลย”  ทีมประสานงานวิ่งมาถามคณะกรรมการที่นั่งข้างเวทีเพื่อต้องการความเห็นในการจัดการปัญหาที่ยังจบไม่ลง

อบเชยคว้าไมค์ตรงหน้าขึ้นพูด

“พี่ขอพูดในฐานะคนเขียนนิยายเรื่องนี้หน่อยนะคะ”

เสียงในฮอลล์ที่ดังระงมก่อนหน้านี้ค่อยๆ หรี่เสียงเงียบลงเหลือแค่เสียงแอร์ที่ดึงหึ่งให้ทุกคนตั้งใจฟัง

“พี่เข้าใจความคาดหวังของน้องๆ หลายคนดี ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษในการจัดการของทางทีมงานด้วย ทางเราคิดว่าภามาสคงจะมีอยู่ในตัวน้องๆ ไม่ใครก็ใครในที่นี้”

“พี่ใช้เวลาเขียนเรื่องนี้เกือบ 2 ปีค่ะ พี่คิด กลั่นกรอง ไตร่ตรอง รีเสิร์จหาข้อมูลเองทุกอย่าง พี่เชื่อว่าพี่เข้าใจในทุกคาแรคเตอร์ของตัวละครที่พี่ปั้นมันขึ้นมากับมือ ในตอนแรกที่อยากจะให้เปิดการคัดเลือกใหม่เพราะในที่นี้ไม่มีใครเหมือนภามาสเลยสักคน น้องๆ หลายคนเล่นดีค่ะ การแสดงยอดเยี่ยม หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างดี แต่ไม่ใช่มาสในแบบที่พี่หล่อหลอมเขาขึ้นมา แต่พี่เชื่อว่าน้องๆ ที่ได้รับการคัดเลือกให้ผ่านไปแคสติ้งในอีกไม่กี่นาทีนี้จะโชว์ศักยภาพความเป็นภามาสออกมาให้พี่เห็น อย่างคนเข้าใจและทำการบ้านมา ส่วนเรื่องน้องอีกคนที่จะเข้าร่วมการแคสด้วยอีกครั้ง อย่าลืมนะคะว่าเค้ามีโอกาสเพียง 1 ครั้งเท่านั้น พลาดแล้วพลาดเลยไม่มีโอกาสรอบสองเหมือนน้องๆ อีกหลายคนที่มีโอกาสค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หลังจากอบเชยวางไมค์ในห้องก็ยังคงเงียบ คล้ายกับทุกคนกำลังคิดตามในสิ่งที่บุคคลสำคัญที่ทำให้มีนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ ผมเสนอให้น้องๆ ที่มาแคสบทภามาสทุกคนลงคะแนนว่าเห็นด้วยให้มีการแคสติ้งอีกหนึ่งรอบตามข้อเสนอที่ทางคณะกรรมการเสนอ กับอีกหนึ่งทางคือเปิดรับสมัครบทมาสอีกครั้งและทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า หลักการประชาธิปไตยหลายคนคงยังไม่ลืมนะครับ”

เสียงดังระงมขึ้นอีกครั้งในฮอลล์ ทางเลือกไม่ต่างอะไรกับมัดมือชก แต่เป็นหนทางเดียวที่น่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ดีที่สุด

“ทีมงานรบกวนทำอุปกรณ์ด้วยครับ ของ่ายๆ แค่ปากกา 2 ด้ามแล้วให้น้องๆ ต่อคิวสองแถวไปเขียนลงกระดาษว่าเลือกข้อ 1 หรือ 2 น่าจะใช้เวลาน้อยที่สุด” นายโปรดิวเซอร์มากฝีมืออีกคนของพีพีมีเดียจัดการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วสมเป็นมือทองอีกคนของที่นี่






15 นาทีผ่านไป นักแสดงที่มาร่วมคัดเลือกบทภามาสก็ลงคะแนนเสียงครบทั้งหมด ทีมงานใช้เวลานับอย่างถี่ถ้วนพร้อมประกาศผลให้เด็กๆ ที่มาพร้อมด้วยความหวังฟังตลอดวัน

“สำหรับผลในการลงคะแนนนะคะ ผู้ที่มาร่วมคัดเลือกบทภามาสทั้งหมด 113 คน เลือกข้อเสนอที่ 1 ด้วยคะแนน 55 คะแนนค่ะ ส่วนเลือกข้อเสนอที่ 2 ด้วยคะแนน 58 คะแนน สรุปว่าคนส่วนมากในที่นี้เลือกข้อเสนอที่ 1 นั่นคือให้มีการแคสติ้งใหม่สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก และให้น้องศิรัสเข้าร่วมแคสติ้งด้วยครับ คณะกรรมการ”


“งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม” คุณติณณ์แย้มยิ้มเล็กน้อยหลังพูดประโยคนี้

แม้จะมีเสียงเสียดายและการแสดงออกถึงความไม่พอใจของผู้เข้าแข่งขันอยู่บ้าง แต่แนวทางประชาธิปไตยก็ทำให้ทุกคนต้องยอมรับในเสียงข้างมาก






30 นาทีก่อนเหตุการณ์วุ่นวาย

“ดีใจแทนอาโปว่ะ ได้ไปต่อด้วย กูนะเว้ยเห็นมันอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้ง 2 เดือน ทั้งที่มันเกลียดหนังสือจะตายห่า แสดงว่ามันคงอยากได้งานนี้จริงๆ”

“อาโปอาจจะขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่กูว่ามันเป็นคนมุ่งมั่นนะ”

“แหนะ เมฆเห็นตีกันบ่อยๆ ลับหลังล่ะชมมันนะ กูจะเอาไปบอกมัน”

“เออบอกไปเถอะมันไม่เชื่อหรอก”

ขณะที่เมฆกับเฌอเถียงกันศิก็นอนเหยียดยาวบนพรมเอากระเป๋าหนุนแทนหมอนนอนกดเกมสุดฮิตที่ทำเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แม้จะชนะได้น้อยครั้งก็ตาม
   
“ขอโทษนะ เธอสะดวกหรือเปล่า”
   
จู่ๆ ก็มีผู้ชายตัวสูงยักษ์ชะโงกหน้ามาในขณะที่ศิรัสกดเกมเพลิน แถมใบหน้าตอนสลับกลับเปลี่ยนที่ ตามาอยู่ตรงปาก ปากไปอยู่ที่หน้าผาก จมูกก็กลับทิศทาง ดูตลกจนศิรัสอดขำไม่ได้เพราะมันเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่งใต้ทะเล

ปลาหมึก

“คิก”

“....”

“อะ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะขำพอดีเพื่อนส่งรูปตลกๆ มาให้ดู”

รูปปลาหมึก คิกคิก

“ยังไม่รีบกลับใช่หรือเปล่า”

เราสามคนมองหน้ากันอย่างงงๆ ว่าทำไมว่าที่พระเอกถึงเดินมาถามคำถามแปลกๆ โดยที่ไม่มีการเอ่ยทำความรู้จักกัน

เราส่ายหัวและรอฟังคำถามจากร่างสูงที่ไม่คิดจะย่อลงมาหาให้แหงนหน้าขึ้นไปจนคอจะเคล็ด

“ช่วยมานั่งที่เก้าอี้ได้มั้ยครับ พอดีมีเรื่องจะขอให้ช่วย คุยกันแบบนี้ผมเมื่อยคอน่ะ”

คือควรเป็นผมที่พูดคำนั้นมั้ย….


คนตัวสูงหน้าปลาหมึก(ในจินตนาการของผม)เล่าเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นให้ทั้งสามคนฟัง และเมื่อได้ยินว่าเค้าเสนอให้ผมเข้าไปแคสติ้งด้วยก็ใจตกไปที่ตาตุ่ม เห้ย มันจะไปกันใหญ่แล้ว

“เดี๋ยวๆๆ ก่อนนะครับ คือว่าผมเล่นละครไม่เป็น ไม่เคยเล่น และไม่คิดจะเล่น” คำพูดจริงจังจากน้ำเสียงที่เปล่งออกไปหลังจากได้ยินคำขอที่ชาตินี้ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้

“แต่ในสายตาผมคุณคือมาส”

“...”  น้ำเสียงที่จริงจังบวกกับสายตาที่มองมาอย่างขอร้อง นัยน์ตาดีดำขลับคล้ายทะเลลึกแทบจะมองไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้าคิดอะไร มันเลยกลัวว่าเค้าคนนี้จะมองลึกเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นระรัว จำนวนครั้งหากวัดตอนนี้น่าจะความดันสูงจนเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์

“คือ...ว่า ผมกลัว คนอื่นๆ เค้าจะคิดยังไงผมไม่ได้มาสมัครนะ มันเหมือน เหมือนไปตัดสิทธิ์คนอื่น”

“คุณอบเชยไม่คิดว่าวันนี้คนที่มาแคสจะได้รับบทมาส ไม่งั้นผมคงไม่ต้องมาคุยกับคุณ”

“แต่ว่า…”

“ไม่อยากไปทำงานกับเพื่อนสนิทตัวเองหรอ ในบทเล่นเป็นเพื่อนกันด้วยนะ อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิด”

“.....”

ศิรัสหันไปมองเพื่อนอีกสองคนอย่างขอความเห็นจากคนจนหนทาง เพราะนัยน์ตาสีดำมืดดวงนี้ดักไว้จนหาทางออกไม่เจอเอาเสียเลย

“ศิลองดูมั้ย” เฌอลักษณม์ที่นั่งฟังข้างเพื่อนสนิทเอามือตัวเองไปกุมมือขาวที่นั่งจับมือตัวเองแน่น เพราะกำลังประหม่า

“ถ้าเราเข้าไปดูตอนแคสด้วยได้หรือเปล่าครับ เขาคงไม่กล้าไปยืนตรงนั้นคนเดียว”

“ได้เดี๋ยวผมจะคุยให้”

“....”

“ทำไมต้องเป็นผมครับ เอ่อ คุณอาคิรา” การเรียกชื่อเค้ายากพอๆ กับการตัดสินใจในครั้งนี้เลยให้ตายเหอะว่ะ ใจก็เต้นแรงฉิบ

“เพราะผมรู้ดี รู้ดีว่าคุณคือมาส และมาสคือคุณ”

“...”

“แววตาคุณมันพิเศษนะศิรัส”

เสียงหัวใจมันเต้นดังเกินไปแล้ว

โอเค ก็ได้วะ









หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.01] (11/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-04-2018 23:58:45
ตอนนี้ผมแทบลมจับอยากจะเป็นบ้าไม่รับรู้อะไรอีกเลยในชีวิต แต่ก็กลับลำไม่ทันแล้ว ตอนนี้เหมือนเรือลอยหลงทางกลางมหาสมุทรแถบสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร์ ที่พายุโหมกระหน่ำ ฝนตก ลมแรง และใกล้จะอับปางลงในเวลาไม่ช้า และพายุลูกนั้นคือบทโทรทัศน์ 1 ไดอะล็อกสำหรับใช้ทดสอบอยู่ในมือของผมแล้ว เป็นซีนที่ต้องย้อนยุคไปในความฝันของภามาส ภาษาก็โคตรยาก แถมต้องเข้าฉากกับพระเอกอีกด้วย มือก็สั่น เหงื่อไหลทั้งที่ในห้องเย็นเฉียบ อยากหายออกไปจากตรงนี้ แค่ไปพรีเซนต์งานหน้าห้องผมยังต้องซ้อมตั้งหลายวัน แต่นี่แสดง ทำการแสดงต่อหน้าคนใหญ่โต มืออาชีพทั้งนั้น แม้จะใจชื้นมองเห็นเพื่อนสนิทสองคนนั่งด้านหลังคณะกรรมการ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจมันอยากจะสู้เอาซะเลย

จะร้องไห้แล้ว ฮือออออออออออ

“เธอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ จะร้องไห้หรือไง” เสียงของคนที่เพิ่งทำให้ผมยอมตกลงมาเจอสภาวะที่ยากเข็นดังขึ้นภายในห้องรับรองก่อนเดินเข้าห้องเชือด...

“เฮ้อ มันยากมากๆ เลยนะครับ มันยากมากกกก”

“ไหนมองหน้าฉันหน่อย”

โอ้ยยยย จะบ้าหรือไงใครจะไปมองได้วะ คิดว่าตัวเองหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาหรือไง

“เร็วสิ”

“เอ่อ คะ....ครับ” ผมค่อยๆ แหงนหน้าไปสบตากับผู้ชายที่สูงกว่าเกือบ 20 เซนติเมตรที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ขายาวของเค้าก้าวมาให้สายตาย่นระยะลงเหลือเพียงไม่กี่นิ้ว สีนัยน์ตาดำขลับเหมือนกำลังล้วงความลับที่ลึกที่สุดของผมออกมาอย่างไม่ต้องเอื้อนเอ่ย หากแต่ก็แฝงไอความอุ่นจนเกือบร้อนแทรกเข้ามา มันหลายอารมณ์และมันดึงสติให้ผมมองอยู่อย่างนั้นไม่กล้าละสายตา หรือเพราะคนๆ นี้มีอิทธิพลกับผมมานานเหลือเกิน เหมือนแรงต้านในกายมันพลันหายไปหมด

“ตาเธอสวย มันเหมือนมีดาวส่องอยู่ข้างใน” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยอย่างไม่มีเกริ่นนำ สายตาแน่วแน่และอ่อนโยนสะท้อนภาพของผมที่มองตาเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้า อาจจะไม่ใช่ความกล้า แต่ถูกพลังมหาศาลของนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นี้ดูดเข้าไปอย่างหาทางออกไม่เจอ

“ตาคุณก็สวย มืดจัง มองไม่เห็นอะไรเลย” เหมือนพร่ำเพ้อมากกว่าพูดออกไป แต่มันมาจากส่วนลึกของความคิด

ก็บอกแล้วว่าผมควบคุมอะไรไม่ได้เลย

“แค่นี้ก็น่าจะพอ”

“คะ..ครับ”

“แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเธอคือมาส”

“อ่า ยังไงครับ”  เล่นผละออกห่างกันหลายเมตรทั้งที่เมื่อกี๊ยังยืนใกล้จนลมหายใจรดกันแท้ๆ เหมือนโดนดึงปลั๊กวายฟายตอนจะออลคิลอย่างงั้นแหละ ฮึ้ยย ไรวะ

“ภามาสพูดความจริงจากความรู้สึกเสมอ มาสไม่กล้าแต่มีความก็กล้าในตัวเอง เธอกลัวฉันแต่เธอก็มองตาฉัน”

“หรอครับ”

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ฉันเล่นกับคนอื่นมาแล้ว 9 คน เธอคนสุดท้าย”

“และเธอจะต้องได้บทนี้”



ทันทีที่ศิเดินเข้ามาในห้องสำหรับแคสติ้ง อบเชยก็เหมือนได้เจอคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน ท่าทางแบบนี้ แววตาเปล่งประกายคู่นั้นทำให้เธอนึกถึงคนๆ เดียวนั่นก็คือภามาสที่เธอผูกพันเหมือนลูกในไส้ เพราะเธอปั้นเขามากับมือจากห้วงความคิดและความรู้สึกของเธอ แม้ว่าเค้าจะไม่เคยมีตัวตนบนโลกความจริง แต่เธอก็รู้ว่าถ้าเค้ามีลมหายใจอาจจะมองผ่านเด็กผู้ชายที่ยืนประหม่าไม่กล้าสบตาใคร อย่างคนตรงหน้าเธอนี้ก็เป็นได้ เธอยิ้มอย่างพอใจที่สายตาของคุณหมอคนนั้นมองเห็นไม่ผิดอย่างที่เขาว่า

เพราะเราน่าจะเจอคนที่เหมาะสมกับบทนายเอกได้แล้ว



หลังจากการแคสอีกครั้งผ่านพ้นไปจากนักแสดงที่ถูกคัดเลือกให้ได้เข้ามาแคสอีกครั้งจำนวน 10 คนรวมทั้งศิด้วย

การแสดงของศิรัสแม้จะอยู่ในอาการประหม่าตอนที่ต้องเข้าฉากคนเดียว หากแต่พอได้เล่นกับอาคิรากลับลดทอนความตื่นเต้นลงไปได้จนน่าประหลาด ซีนที่คัดเลือกมาใช้ทดสอบคือฉากหนึ่งในความฝันที่ภามาสเห็นตัวเองกำลังรับใช้เจ้านายด้วยการแต่งกายตามประสาทาสที่อยู่ในเรือน แต่กระนั้นก็ต้องคอยหลบสายตาจากนายที่มักไม่รู้ตัวว่ามองทาสชายผู้นี้ด้วยแววตาเช่นไร ต่างอะไรกับมองหญิงงามที่มักจะทอดสะพานให้นายลูกเจ้าพระยาคนนี้เสมอ อารมณ์สำหรับซีนนี้ต้องมีทั้งเขินอาย และเจียมตน อีกทั้งยังต้องใช้ความกล้าแอบสบตานายตัวเองบ้างในบางที อารมณ์ซับซ้อนแต่ศิรัสกลับเล่นออกมาได้อย่างน่าเชื่อว่าเป็นทาสที่แอบรักนายที่เป็นเพศเดียวกัน ในยุคร้อยกว่าปีก่อนได้อย่างน่าเอ็นดู

การแสดงของนักแสดงหน้าใหม่กับคุณหมอว่าที่พระเอกอยู่ในสายตากรรมการ และเพื่อนที่เข้าร่วมแคสติ้ง รวมถึงทีมงาน ต่างก็ยิ้มรับกับการเข้าถึงบทบาทแม้บทสนทนาน้อยนิดแต่หลากด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่ขัดสายตาว่าศิรัสจะได้เข้ารอบต่อไป







22.34 น.

“เกือบ 10 ชั่วโมงที่ใช้เวลาสำหรับการแคสติ้งหานักแสดงหลักผ่านเข้ารอบแรกนะครับ มาราธอนจริงๆ วันนี้ขอโอทีด้วยนะครับนาย” พิธีกรพูดติดตลกคล้ายสถานการณ์ที่ตึงเครียดให้พอจะได้ยิ้มออกกันบ้าง

 “สำหรับบทสุดท้ายที่เราจะประกาศผู้ผ่านเข้ารอบไปเวิร์กช้อปต่อ ในบทภามาส ได้แก่ นนนท์ บอส ตระการ พูลล์ และศิ ครับ”

พิธีกรประกาศรายชื่อคาแรคเตอร์สุดท้ายท่ามกลางเหล่าผู้เข้ารอบในบทอื่นๆ อีก ประมาณ 30 คน นับว่าร่อยหรอเหลือเกินหากเทียบกับบทอื่นๆ ไร้เสียงเชียร์ มีแค่เสียงปรบมือดังเปาะแปะจากไม่กี่คนเท่านั้น เพราะหลายคนเหนื่อยล้าทางทีมงานก็อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกสามารถกลับบ้านได้เลย หรือใครจะอยู่รอประกาศก็ได้ แต่นั่นแหละ แทบจะไม่มีใครอยู่รอ นอกจากคนที่ได้ผ่านการคัดเลือกเพราะต้องอยู่รอฟังกำหนดการในครั้งต่อไป

บทของภามาสดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ในข้อครหาเสียแล้วล่ะ







“เห้อออ เหนื่อยยยยยย กลับบ้านกันพวกมึง”

หลังฟังกำหนดการณ์ต่างๆ เสร็จก็ล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่ม ชโลทรและศิรัสเดินออกมาหาเพื่อนที่เหลือข้างนอกฮอลล์พร้อมบิดขี้เกียจ ตัวฑิฆาทัศน์และเฌอลักษณม์หลังจากที่ได้เข้าไปให้กำลังใจและเห็นว่าศิรัสก็ทำได้ดีเลยขอออกมารอเพื่อนที่เดินดีกว่าจะไปเกะกะทีมงาน

“ดีใจด้วยนะพวกมึงสองคนเลย มาหนึ่งได้ถึงสองว่ะ” เฌอลักษณม์ยิ้มให้เพื่อนสองด้วยอารมณ์เริงร่าเสมอ

“เออศิมึงต้องมาเล่าด้วยนะเว้ย ว่าทำไมได้เข้าไปแคส แถมได้ผ่านเข้ารอบอีก”

“เดี๋ยวค่อยคุยดีมั้ยวะ กูหิวไปหาไรกินกัน พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก” ฑิฆาทัศน์พูดพร้อมสะพายกระเป๋าเป้และส่งกระเป๋าผ้าลายหมีแพนด้าจาก we bare bears ให้เพื่อนคนละใบ แยกออกเพราะใช้ลายเดียวกันคนละสี

ศิรัสรับกระเป๋ามาสะพายและเดินนำหน้าเพื่อนคนอื่นไปแบบไม่พูดอะไร ในใจมันมีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะตั้งรับยังไงทัน จู่ๆ ก็ได้ไปแคสติ้งบทนายเอก ผ่านเข้ารอบ ต้องไปเวิร์กช้อปกับครูการแสดงชื่อดัง และตอนนี้ชีวิตคงไม่มีคำว่าสงบสุขเกิดขึ้นอีกแล้ว

“เธอ”  เสียงเรียกที่คุ้นหูและสรรพนามที่ไม่มีใครใช้กับเค้าอีกแล้วนอกจากคนๆ เดียว ที่แม้จะดีใจที่ได้กลับมาพบเจอเขาอีก แต่ตอนนี้ไม่อยากหายใจด้วยซ้ำ มันเหนื่อยไปหมด

“ครับ?”

“ดีใจที่เป็นเธอ”

“ดีใจอะไร ผมคงไม่ผ่านอีกรอบหรอก”

“...”

“ทำไมต้องเป็นผมคุณดิม แค่เริ่มก็เหนื่อยแล้ว ไม่อยากทำ” ผมพูดอย่างมีอารมณ์ถ้าไม่ใช่เพราะเค้าเสนอชื่อผมไปก็ไม่ต้องมาทนฝืนทำอะไรยากเกินตัว เกินความฝัน เกินจิตนาการของตัวเองแบบนี้ จากตอนแรกที่ดีใจที่ได้เจอ ใจสั่นที่ได้พบคนที่ชอบอีกครั้ง แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้วว่าควรรู้สึกแบบนั้นมั้ย

“แต่ผมอยากให้เป็นเธอ”

“ผมชื่อศิครับ ศิรัส อยากให้เรียกชื่ออะ”

“เธอเด็กกว่าผมหลายปี ไม่อยากเรียกน้อง”
“ไว้เจอกัน”

พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วร่างสู่งก็เดินผ่านหน้าเขาไปพร้อมกระชับกระเป๋าเป้ยี่ห้อดังไปทางประตูลิฟต์



ชักรู้สึกงอแงไม่อยากเจอเขาอีกแล้วล่ะ
ให้ตายสิ




------To be Continued------








ตอนแรกแบบเต็มมาแล้วววว

ตอนแรกก็มาซะเครียดเลย แต่ตอนหน้าจะซีเรียสกว่านี้ 55555555

แต่อดเปรี้ยวไว้กินหวานหนาพวกเจ้า คิกคิก

บี

:)
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.01] (12/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-04-2018 00:51:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.01] (12/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 14-04-2018 08:05:54
...

นั่น..อ่านแล้วชอบที่นายเอกไม่หลงพระเอกมากไป มีรำคาญนิดๆ เล่นตัวหน่อยๆ

ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Base on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.01] (12/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-04-2018 17:16:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.02-เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 16-04-2018 22:25:31
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ


EP.02 เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น

If you will learn to begin To trust the voice within




ซีรีส์ดังเปิดแคสวันแรกโดนจวกมี “เด็กเส้น”
รายงานพิเศษ “อาทิตย์คลาดพระจันทร์” ซีรีส์ที่สาววายรอคอย ขรุขระตั้งแต่เริ่มแคสต์
“ดิม อาคิรา” ตัวเต็งพระเอก “อาทิตย์คลาดพระจันทร์”
แฟนคลับ “พูลล์” ดันเทรนด์ทวิต บทภามาสใน “อาทิตย์คลาดพระจันทร์” ต้องเป็นเขาเท่านั้น!
เปิดประวัติ “ศิรัส” โดนหาว่าเป็นเด็กเส้นรับบทภามาสใน “อาทิตย์คลาดพระจันทร์”





ไม่แปลกใจกับฟีดในเฟซบุ๊กที่เลื่อนผ่าน ทุกเว็บไซต์ข่าวชื่อดังโหมกระแสโดยเฉพาะด้านลบจากตัวผมไปต่างๆ นาๆ กดเข้าไปอ่านเนื้อข่าวไม่มีอะไรนอกจากรูปที่ถ่ายไกลๆ ขณะที่ผมนั่งหน้าห้องตอนรออาโป  เพราะผมไม่เล่นไอจี เฟซบุ๊กก็เลยแทบจะไม่มีรูปตัวเองให้นักข่าวได้เสาะหาไปลงข่าว

ข่าวเรื่องนี้ออกไปได้ยังไงน่ะหรอ ผมก็ไม่แปลกใจอีกเพราะคนที่มาแคสติ้งจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการคัดเลือกนักแสดงของคณะกรรมการ ประเด็นเลยเขาคงไม่พอใจผมที่เหมือนไปฉกเค้กที่ควรจะเป็นของเขามา และบางคนก็มีฐานแฟนคลับไม่น้อย กระแสรุนแรงในโซเชียลยุค 4.0 เป็นเรื่องที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ไม่ยากนัก


แย่ไปกว่าข่าวในเว็บไซต์คือคอมเมนต์ใต้ข่าว มีแต่คำตำหนิ และเหยียดหยันด้วยถ้อยคำหยาบคาย และเจ็บแสบ ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย ตัวตนจริงๆ ผมก็ไม่มีใครรู้จัก แต่กลับมาโดน bully แบบนี้ ที่รู้สึกเศร้าไปกว่านั้นกลุ่มแฟนคลับที่มีจำนวนมากในทวิตเตอร์ตัดต่อรูปผมที่ถูกถ่ายจากที่ไกลๆ มองไม่ชัด แม่งโคตรดูขี้เหร่ ไปทำมีมเปรียบเทียบกับคนที่ตัวเองเชียร์ ข้ามคืนผมมีแฮทแท็กของตัวเองด้วยนะครับ #มาสกินเส้น แถมขึ้นเทรนด์ที่ 1 อีกต่างหาก ดังชั่วข้ามคืนเลยเว้ย

ชีวิตที่ผ่านมา 21 ปีของผม หมดกันแล้วความสงบเรียบง่าย ตื่นนอน ไปเรียน ทำการบ้าน กลับคอนโดมานอน เล่นเกม วนลูปอยู่แค่นั้น ไม่เคยเอาชีวิตเข้าไปพัวพันกับอะไรให้วุ่นวาย ไม่ชอบไปในที่ที่คนเยอะ ไม่ชอบสถานที่อโคจรเสียงดัง ไม่อยากถูกห้อมล้อมด้วยใครๆ และไม่อยากให้ใครรู้จักมากไปกว่าเพื่อนสนิทสามคน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป

อยากร้องไห้จัง ทำไมอาโปถึงอยากเข้าไปในวงการที่วุ่นวายแบบนี้กันนะ


ครืด ครืด
              
(MHEK)

“ฮัลโหล”

(ศิโอเคป่าววะ กูเห็นข่าวมึงเต็มไปหมด)

เมฆมักจะเป็นคนแรกที่พร้อมจะรับฟังเพื่อนเวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหนทุกปัญหาเขาพร้อมจะช่วยเหลือ


เป็นเมฆที่คอยบดบังแสงแดดที่ร้อนจนแผดเผาให้พื้นโลกได้เสมอ

มีครั้งหนึ่งตอนปี 2 พิกเล็กเลิกกับพี่ทอย เดือนวิศวะที่โคตรเจ้าชู้ แต่มาจีบเพื่อนผู้หญิงสุดห้าวที่สุดในกลุ่มของเรา

พี่ทอยตามจีบเฌออยู่นานหลายเดือนกว่าเพื่อนสาวของเราจะใจอ่อน แต่คบไปได้ไม่นานโปรโมชั่นที่หนุ่มหล่อดีกรีเดือนวาดฝันให้ก็เริ่มหมดลง เฌอเริ่มจับได้ว่าการที่พี่ทอยไปเที่ยวกลางคืนแต่ละครั้งไม่เคยไม่มีสาวกลับคอนโดไปด้วย นั่นก็ยังทำให้เฌอใจเย็นนั่งคุยกับเขาดีๆ ว่ารู้ความจริงและจะขอเลิก แต่พี่ทอยดันไม่ยอมบอกว่ารักเฌออย่างนั้นอย่างนี้ ผมนะโมโหมากเลยตอนที่เฌอมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังทั้งน้ำตา เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่สตรองที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันที่เห็นคนที่เข้มแข็งเสมออ่อนแอไม่เป็นตัวเองได้ขนาดนี้ เมฆทนเห็นเพื่อนต้องเจ็บช้ำน้ำใจต่อไม่ได้ อีกไม่กี่วันเมฆยื่นข้อเสนอให้พี่ทอยออกไปจากชีวิตเฌอด้วยการจะขายหุ้นส่วนของตัวเองให้กับบริษัทพ่อพี่ทอย จากที่เมฆสืบรู้มาว่าบริษัทพ่อพี่ทอยอยากได้หุ้นของบริษัทพ่อเมฆเพียงแต่ว่าเครดิตบริษัทยังไม่ดีพอที่จะมีบอร์ดคนไหนขายให้ ข้อเสนอนี้เมฆต่อสายตรงไปที่พ่อของพี่ทอยด้วยตัวเองเพื่อบีบบังคับให้พ่อลูกจัดการปัญหาและเรื่องปากท้องของครอบครัว แม้แผนนี้เป็นไปได้ด้วยดี แต่นั่นก็ทำให้เฌอรู้ว่าผู้ชายที่เธอมอบความรักและความรู้สึกดีให้นั้นไม่เคยเห็นเธอมีค่ามากไปกว่าผู้หญิงที่เขานอนด้วยคืนเดียว

“ไม่รู้ว่ะเมฆ แค่ไม่ชอบที่เป็นแบบนี้ กูไม่ได้ทำอย่างที่เขาเขียน”

(งั้นมึงก็อย่าเพิ่งเครียด กูว่าเดี๋ยวทางค่ายเค้าคงมีวิธีรับมือ)

“คงงั้นมั้ง ถ้ามันวุ่นวายกับชีวิตกูมาก ก็ถอนตัวแม่ง”

(เออ เอาแบบนั้นแหละ มึงก็ไม่ได้อยากเล่นแต่แรก)

“ขอบใจนะที่โทรมา กูคิดไม่ตกเลยว่ะ ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย”

(ได้ยินเสียงก็รู้แล้ว ได้นอนบ้างยัง ปกติมึงไม่ตื่นเช้าขนาดนี้)


“ก็วันนี้เรียนเช้าไม่ใช่หรอวะ”

(ปกติเรียนเช้ามึงตื่นอีก 10 นาทีเข้าเรียนเหอะ)

“เออดิ ไม่ได้นอนเลยเนี่ย”

(งั้นเดี๋ยวไปรับ รอแป๊บ)

“โอเค ขับรถดีๆ”





โรงอาหารคณะจิตวิทยาโล่งตาเพราะยังไม่แปดโมงดี ที่นี่คลาสแรกจะเริ่มเวลา 8.30 และนิสิตส่วนใหญ่ก็คงจะมาใกล้ๆ เวลาเริ่มเรียน น้อยคนที่จะมากินข้าวเช้า อ่านหนังสือรอก่อนคลาสเริ่ม คงเป็นมนุษย์ในจินตนาการเพราะความจริงแค่ตื่นมาเรียนได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว

ชีวิตปี 3 ของผม เมฆ อาโป และเฌอวุ่นวายกับสิ่งที่เรียกว่าวิจัยไม่ใช่น้อย แม้คณะของเราจะสอนการทำวิจัยตั้งแต่ปี 2 แต่นั่นก็แปลว่าเราจะต้องผลิตงานวิจัยทุกปีต่อจากนั้นมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผมที่เรียนไม่ค่อยเก่งแต่ยังดีที่ขยันเลคเชอร์  และลายมือสวย แถมยังชอบวาดรูปประกอบน่ารักๆ หลายสีจะได้จำได้ง่าย แต่ผมน่ะจำไม่ได้หรอกคนที่จำได้คือเมฆต่างหาก มันนะแทบไม่เคยจดเลคเชอร์  บางทีก็แอบหลับในห้อง แต่เวลาสอบดันได้คะแนนดีบางทีก็ท็อปทรีของเซคตลอด โคตรไม่ยุติธรรมแต่มันบอกว่าที่สอบได้เพราะเลคเชอร์ ผม แถมยังตอบแทนด้วยการพาไปเลี้ยงหมูกระทะทุกครั้งหลังสอบมิดเทอมและไฟนอล บอกว่าเป็นค่าเลคเชอร์  -_-

“เมฆ มึงว่าโต๊ะข้างหลังมึงเขามองกูแปลกๆ ป่ะวะ”

หลังจากที่เดินไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าภากับน้ำเปล่าแล้วมานั่งที่โต๊ะ ก็รู้สึกว่ามีคนจ้องผมอย่างไม่ปกติ เวลามีคนมาจ้องตอนกินข้าวมันจะไม่อร่อย หรือผมคิดไปเองวะ บางทีเพราะวันนี้ผมใส่คอนแท็กเลนส์แทนที่จะเป็นแว่นกรอบหนาสีดำที่จะใส่ประจำเวลามาเรียน แต่วันนี้นึกไม่อยากใส่เพราะถ้ามีคนจำได้จากในข่าวแล้วเห็นผมใส่แว่นหนาเตอะดูเนิร์ดขนาดนั้นคงโดนว่าหนักกว่าเดิม

แต่จริงๆ ผมทำอะไรก็คงจะโดนวิจารณ์อยู่แล้วแหละ


“อืม กูว่าไม่ใช่แค่โต๊ะนั้นหรอก หลายคนแล้วที่มองมึง”

“เพราะข่าวพวกนั้นแน่ๆ ทำไงดีวะ กลับคอนโดดีมั้ย กูไม่กล้าเดินไปไหนเลย” ผมกุมหน้างุดกับอกทันทีที่เมฆบอก ปกติเป็นคนรู้ตัวช้าเวลาใครมองจะไม่ค่อยรู้ตัวหรอก เด๋อๆ นั่นแหละครับ

“มึงจะกลัวอะไร”

“กลัวเพราะเขาหาว่ากูโกงไง”

“แต่มึงไม่ได้โกง กูว่ารอทางผู้ใหญ่เขาติดต่อมาดีกว่าว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง ถ้าไม่ทำแล้วปล่อยให้มึงลอยแพโดนด่าอยู่แบบนี้ ก็ถอนตัวซะ”

“แล้วตอนนี้กูจะทำยังไงดี”

“กินข้าวให้หมด จะได้ไปเรียน เค๊”

เมฆตักโจ๊กหมูสามย่านเจ้าเข้าปากคำสุดท้าย ก่อนจะเลิกคิ้วเสมือนถามผมว่ารออะไรทำไมไม่กินข้าวต่อ มึงก็พูดง่ายไงเมฆ มาเป็นกูสิมันลำบากใจนะเว้ย จากคนที่ไม่เป็นที่รู้จักของใคร แต่ตอนนี้กลับโดนจ้องเขม็งตลอดเวลา สูญเสียความมั่นใจจากที่แต่ก่อนมีน้อยอยู่แล้ว



ติ๊ง ติ๊ง

เสียงข้อความดังขึ้น จากเบอร์ที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้

“วันนี้บ่ายสามจะมีแถลงข่าว ทางผู้ใหญ่เขาอยากให้เธอร่วมแถลงข่าวด้วย เจอกันที่ตึก  D”

D ใครอะ

ทีมงานหรอ ทำไมไม่โทรมาเลยล่ะเรื่องสำคัญแบบนี้

“เมฆวันนี้จะมีแถลงข่าวว่ะ เขาให้กูไปด้วย”

“เออดี ก็ไปดิ”

“จะโดนนักข่าวถามอะไรมั้ย”

“เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็บอกเองแหละน่า”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เออไปก็ไปวะ เป็นไงเป็นกัน

คงต้องไปถามพี่ทีมงานว่า D คือใครด้วย อย่างน้อยๆ ก็ขอบคุณที่เขาแจ้งข่าว





หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเพื่อนคนอื่นก็พร้อมโดดเรียนคาบบ่ายวิชาเสรีที่เราเลือกลงเรียนวิชาเดียวกันนั่นคือโยคะ วันนี้อ.วิดาคงไม่ได้สอนพวกผมฝึกบริหารการหายใจแล้วล่ะสิ เมฆขับรถจากมหาลัยมาที่ตึกสูงเสียดฟ้าหลังเดิมที่เราเพิ่งกลับไปเมื่อวาน และวันนี้ผู้คนดูจะไม่ได้คึกคักเท่า  มีแต่พนักงานออฟฟิศที่ถือเอกสารเดินขวักไขว่ และบางคนก็คุยเจรจาธุรกิจที่ร้านกาแฟ บรรยากาศดูสบายๆ ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของผมอย่างสุดขั้ว เพราะทันทีที่ก้าวเข้ามาที่นี่ในใจมันว้าวุ่น ประหม่า และกังวล กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำอะไร ทำยังไง ให้ผ่านพ้นจากสิ่งตรงนี้ไปได้



ครืด ครืด

เบอร์โทรเข้ามาปลิดความคิดที่ว้าวุ่นให้ต้องรับสาย

“ฮัลโหลครับ”

(น้องศิ พี่นิ้งนะลูก ประสานงานของซีรีส์นะคะ)

“ครับพี่”

(วันนี้มีงานแถลงข่าวที่ตึกตอนสามโมงนะคะ น้องศิสะดวกมาหรือเปล่า)

“ตอนนี้ผมอยู่ที่ตึกแล้วครับ”

(อ้าวหรอคะ คงมีคนโทรบอกก่อนหน้าพี่แน่เลย พี่ยุ่งๆ ขอโทษที่โทรหากะทันหันนะลูก)

“ไม่ได้โทรบอกครับพี่ มีแมสเสจมา”

(หื้ม หรอคะ ไม่ใช่โทรหรอ เค้าบอกหรือเปล่าว่าเป็นใคร)

“เปล่าครับ ลงชื่อแค่ตัว D ผมก็คิดว่าทีมงาน”

(งั้นหรอคะ เจอกันบ่ายสามที่ชั้นเดิม ห้องเดิมนะ)

“ผมต้องทำอะ…”

(ตู๊ด ตู๊ด)

“อ้าววางไปละ ยังไม่ได้ถามอะไรเลยวุ้ย”

“ทีมงานหรอวะศิ” เฌอถามขึ้นหลังจากที่เราหาที่นั่งในร้านกาแฟใต้ตึกรอเวลาได้แล้ว

“ใช่ แต่แปลกๆ อะ เพราะตอนบอกว่ามีคนส่งแมสเสจนัดมาแล้วเขาก็งงๆ เหมือนว่าปกติจะแจ้งอะไรจะต้องโทรนัด แล้วใครส่งแมสเสจให้ อยากรู้อะ แถมวางหูใส่ทั้งที่จะถามว่าต้องทำอะไรบ้าง คนยิ่งกลัวๆ อยู่”

“เออเอาน่า เดี๋ยวเขาคงบรีฟหน้างานล่ะมั้ง แล้ววันนี้เขานัดใครมาอีกป่ะนอกจากมึง” อาโปที่เดินจากการไปสั่งเครื่องดื่มมาทันฟังที่ผมคุยกับเฌอพอดีถามขึ้นอย่างนึกสงสัยเหมือนผมเช่นกัน

“อันนี้ก็ไม่รู้อีก ถ้าต้องขึ้นเวทีคนเดียวทำไงดีอะ”

“ไม่หรอกน่า อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ใหญ่แหละ อย่าเพิ่งกังวลสิ” อาโปตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยก็มองด้วยสายตาส่งพลังบวกมาให้เหมือนกัน

ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ






ภายในห้องก่อนเตรียมแถลงข่าว นอกจากผู้อำนวยการผลิต ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ครูสอนการแสดง และคนเขียนนิยาย

ก็เห็นจะมีอีกชายหนุ่มที่นั่งร่วมหารือการแก้ปัญหาในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน




หลังกลับจากการแคสติ้งเมื่อวานรังสิมันต์ก็กลับไปทำหน้าที่คุณหมอต่อด้วยการอยู่เวร ER* แทนเพื่อนหมอที่ขอแลกเวรกันตอนเช้าเพราะเขาต้องมาทำภารกิจเมื่อวาน แม้จะเหนื่อยจนอยากนอนจะตายชัก แต่หน้าที่ก็สำคัญจนละไม่ได้ และเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คิดว่าอยากทำให้ดีที่สุดในฐานะมนุษย์ที่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์จากสิ่งที่ร่ำเรียนมา

ระหว่างพักหาอะไรกินตอนเกือบจะเที่ยงคืนก็เห็นฟีดในเฟซบุ๊กเริ่มมีกระแสข่าวของการแคสติ้งที่เพิ่งจบไม่กี่ชั่วโมง เกลื่อนเต็มหน้าไทม์ไลน์ แม้จะเป็นนิยายเฉพาะกลุ่มแต่นี่ก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมจากคนจำนวนมากจริงๆ และกระแสตีกลับก็แรงพอกัน โดยเฉพาะข่าวด้านลบของศิรัสที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กเส้น ไม่พอแค่นั้นยังโดนคำตำหนิ กล่าวหาว่าไม่เหมาะสม และถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ นานา  เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผมที่อยากให้ศิรัสเข้ามาร่วมในการแคสติ้งครั้งนี้เอง

และผมควรจะเป็นคนรับผิดชอบ


แม้ว่าจะเลยเวลาที่จะคุยธุระแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องต่อสายตรงถึงคุณติณณ์ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ ในฐานะที่ผมร่วมงานกับเขามาก็หลายครั้งและคิดว่าเขาคงไม่อยากเกิดความเสียหายกับการลงทุนมหาศาลของบริษัท ยังดีที่คุณติณณ์ไม่ใช่คนนอนเร็วโดยวิสัยเลยทำให้การพูดคุยของผมและเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกันในการขจัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเลือกแถลงข่าวอย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ อย่าถามว่าทำไมผมถึงได้โทรหาคุณติณณ์ที่เป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตละครได้ เพราะเขาคือคุณอาแท้ๆ ของผมเอง แค่เราใช้คนละนามสกุลเพราะผมใช้นามสกุลคุณแม่อย่างที่คุณยายอยากดำรงณ์ตระกูลเก่าไว้ และผมก็มีน้องชายอีกคนการใช้นามสกุลใครก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญน้อยคนนักที่จะรู้ว่าผมและผอ.ฝ่ายผลิตละครพีพีมีเดียเป็นญาติกัน ซึ่งถ้าใครรู้ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะผลงานที่ผมทำไว้ให้กับที่นี่มันคงยืนยันความสามารถได้มากกว่าว่าผมเป็นใคร

ก่อนวางสายจากอาติณณ์ก็ไม่ลืมที่จะขอข้อมูลบางอย่างที่คิดว่าอาน่าจะหาให้ได้ไม่ยาก แต่นั่นก็ต้องแลกกับคำถามที่ตอบยากว่าจะเอาเบอร์ของเด็กคนนั้นไปทำอะไร เงียบไปอึดใจก็หาคำตอบได้

อยากขอโทษเขาที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้


ออกจากเวรตอนประมาณ 8 โมง ยังดีที่คนไข้ฉุกเฉินตอนกลางคืนไม่ได้มีจำนวนมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นคนชราที่มีอาการของโรคประจำตัวกำเริบลูกหลานก็จะพามาโรงพยาบาลยามวิกาลเสียส่วนมาก และเคสอุบัติเหตุรถสิบล้อชนกับรถเก๋ง เป็นคนขับรถสิบล้อที่เจ็บหนักถึงขั้นกระโหลกร้าวเพราะหักหลบรถเก๋งที่ขับสวนเลนเนื่องจากหลับในเพราะเมา ทำให้รถสิบล้อหักเข้าข้างทางชนกับตอมอสะพานที่กำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า น่าจะเป็นข่าวใหญ่วันนี้ด้วยอีกหนึ่งข่าว แต่ตอนนี้พี่คนขับปลอดภัยดีไม่ใช่เพราะพระที่แขวนหน้ารถ แต่เพราะบุคลากรการแพทย์ทุกคนที่ช่วยเหลือให้พ้นวิกฤติชีวิตครั้งนี้ และหลายครั้งคนไข้ก็ต้องจากโลกนี้ไปเพียงเพราะคนที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทาง

คุณหมอสะพายเป้และเก็บของกระจุกกระจิกนิดหน่อยก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือหย่อนลงเสื้อกาวน์สั้น และก็คิดได้ว่าเช้าแล้วเด็กนั่นคงตื่นแล้ว อาจจะต้องบอกเด็กคนนั้นสักหน่อยสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ พิมพ์แล้วลบอยู่หลายประโยค มีทั้งขอโทษและให้กำลังใจ แต่นั่นก็ไม่ควรเพราะเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเลยตัดสินใจส่งแค่กำหนดการณ์ไปให้สั้นๆ ลงท้ายชื่อย่อตัวเอง หวังว่าคงเดาไม่ยากว่าใครแต่นั่นคือสิ่งที่ผมเองที่ลืมไปว่าเด็กคนนั้นไม่ได้สนใจโลกเท่าไหร่


ครืด ครืด

(My Gale)

“ครับเกล”

(ออกเวรหรือยังคะคุณหมอ)

“ออกแล้วครับ วันนี้เหนื่อยจัง” นานๆ ทีจะได้อ้อนแฟนเช้าๆ แบบนี้ เพราะปกติผมจะเข้าเวรเช้ามากๆ และเกลยังไม่ตื่น เวลาเกลตื่นผมก็ไม่มีเวลามานั่งรับโทรศัพท์หรือตอบไลน์แฟนหรอก ส่วนใหญ่จะวุ่นวายกับการเป็นผู้ช่วยอาจารย์หมอผ่าตัดเคส เพราะการได้เข้าไปร่วมผ่าตัดบ่อยๆ มันจะทำให้ผมเข้าใจเคสต่างๆ มากขึ้น และการอยู่โรงพยาบาลรัฐฯ ทำให้ได้เจอคนไข้เคสยากและแปลก ซึ่งจะทำให้วินิจฉัยโรคเฉพาะทางที่ผมเรียนได้ดี

ส่วนอาชีพนักแสดงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบและอยากทำมันให้ดี เพราะมันได้ฮีลลิ่งร่างกายและอารมณ์หลายๆ อย่างจากการเป็นหมอที่วันๆ เอาแต่ช่วยเหลือผู้อื่น พอมาเป็นนักแสดงมันช่วยตัวผมเองไม่ให้หมกมุ่นแต่กับตำราและการรักษา จนบางทีเกิดความเครียดเกินขีดจำกัด การได้มองเห็นตัวเองในคาแรคเตอร์อื่นๆ มันทำให้ชีวิตหลากหลายและมีสภาวะจิตที่ดีขึ้น

(งั้นดิมกลับไปนอนแล้วบ่ายๆ เรากินข้าวกันนะคะ เกลไม่ได้เจอดิมหลายวันแล้ว)

การเป็นแฟนผมมันเหมือนคบกับโทรศัพท์ เจอกันผ่านแอปพลิเคชั่น และเสียง ตัวเป็นๆ จะหยิบจะจับแทบจะน้อยโอกาสมาก เหมือนวันนี้ที่ผมไม่มีทางไปกินข้าวกับเธอได้เพราะต้องไปนั่งโต๊ะร่วมแถลงข่าวกับปัญหาที่ส่วนหนึ่งมาจากตัวเอง

“วันนี้หรอ คงไม่ได้แล้วล่ะครับ ดิมต้องไปธุระที่บริษัท ขอโท…”

(ไม่ต้องขอโทษค่ะ เกลไม่อยากได้ยิน ดิมเอาแต่ขอโทษแต่ไม่คิดจะทำให้มันดีขึ้น)

“เกล...”

(ช่างเถอะค่ะ ไว้คราวหน้าที่ไม่รู้เมื่อไหร่ก็แล้วกัน อย่าลืมกินข้าวนะคะ บายค่ะ)

หลายครั้งที่บทสนทนาของเราจะจบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้ แต่เพียงไม่กี่วันเกลก็จะกลับมาน่ารักสดใสเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม


คงคล้ายกับฝุ่นตะกอนที่ตกลงในน้ำ น้ำก็จะมัวขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยใสแวววาว ก็จะกลายเป็นขุ่นคลั่ก และสกปรก จนสุดท้ายดื่มไม่ได้และทำได้แค่เททิ้งไป… คนที่ถูกเททิ้งคือคนที่ทำให้น้ำขุ่นนั่นแหละ





14.30 น.


การเตรียมความพร้อมสำหรับงานแถลงข่าวใช้เวลาวางแผนเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทีมงานทราบเรื่อง การดำเนินการต่างๆ ทั้งเชิญสื่อ เตรียมห้องประชุม อาหารว่าง แผนกต้อนรับ ถูกจัดการหลังจากคำสั่งของผู้อำนวยการฝ่ายผลิตได้หนังสือจากประธานบริษัทเรียบร้อย แต่สิ่งที่ยากกว่าเรื่องเหล่านี้คือถ้อยแถลงที่ทุก ๆ คน จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตอบคำถามนักข่าวในคำถามที่คาดไม่ถึง และจำกัดขอบเขตในการถามคำถามให้เป็นแค่ซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีเรื่องอื่นๆ ปะปน 

คุณหมอที่ได้นอนประมาณ 4 ชั่วโมงก็หาวออกมาครั้งที่ 3 หลังถูกฝ่ายสื่อสารองค์กรซ้อมตอบคำถามของสื่อมามากกว่า 10 คำถาม ล้วนเป็นการคาดการณ์ว่าจะผุดขึ้นมาจากนักข่าวทั้งสิ้น

“กาแฟมั้ยคะคุณหมอ” กะรัต PR ฝ่ายสื่อสารองค์กรถามขึ้นหลังจากนั่งสังเกตว่าที่พระเอกที่ดูจะไปทำหน้าที่คุณหมอมาหนักเมื่อคืนเลยพักผ่อนไม่เพียงพอ

“ก็ดีครับ”

“พี่แมวจ้ะ เดี๋ยวลงไปซื้อกาแฟที่สตาร์บัคให้หน่อย เอามาให้ครบคนในห้องประชุม ลงบัญชีแผนกไว้นะเดี๋ยวกะรัตไปเคลียร์เองค่ะ”

“ค่ะคุณกะรัต”

“ขอโทษนะครับ ผมได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหมอ เทางบริษัทดีใจมากกว่าที่คุณยอมรับเล่นซีรีส์เรื่องนี้” กะรัตยิ้มให้คุณหมอก่อนจะนั่งแก้สคริปต์ที่จะให้ผอ.เป็นคนกล่าวเปิดการแถลงข่าว

“ทำไมให้ผมมาซ้อมคนเดียวล่ะครับ ไม่ให้ศิรัสเขามาซ้อมด้วยหรอ”

“อ้อ พอดีเราประชุมกันแล้วว่าให้คุณดิมเป็นคนพูดคนเดียวจะดีกว่า เพราะน้องศิมือใหม่สำหรับนักข่าวเกินไปค่ะ แถมถ้าคุณดิมพูด มันก็จะดูเป็นการออกตัวปกป้อง จะได้ดูโปรโมทเป็นการตลาดในตัวได้น่ะค่ะ อันนี้ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเค้าเสนอมา”

“ครับ”

ว่าแต่เด็กที่ขี้กังวลแบบนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะตอนนี้






ร้านกาแฟใต้ตึก

“ศิจะสามโมงแล้วไม่มีคนโทรตามเลยหรอวะ”  เฌอที่นั่งดูดลาเต้จนหมดแก้วถามขึ้นอย่างนึกเบื่อ เพราะนั่งรอมาจะสองชั่วโมงแล้ว แต่ทางทีมงานยังเงียบ

“นั่นสิ ลองโทรกลับไปที่เบอร์ที่เค้าโทรมามั้ย” อาโปสมทบ

“ก็ได้”  ผมเม้มปากและถอนหายใจเบาๆ ออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะกดโทรออก แม้จะไม่อยากให้ถึงเวลาที่ต้องไปอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ แต่การมานั่งรอนานๆ ไม่ใช่วิสัยของผมเท่าไหร่ เล่นเกมไปแล้วตั้งหลายตาแพ้จนหงุดหงิดแล้วด้วย

“ตู้ดดด ตู้ดดด ตู้ดดด”

(สวัสดีค่า นิ้งค่า)

“เอ่อ พี่นิ้ง ผมศิเองนะครับ คือจะให้ผมขึ้นไปตอนไหนหรอ”

(ว้าย น้องศิ พี่ลืมพี่ขอโทษ ขึ้นมาเลยลูกๆ อีกสิบห้านาทีจะเริ่มแล้วจ้า มาๆๆ)

ฉิบหายละ ตอนแรกไม่อยากรอ ตอนนี้ไม่อยากขึ้นไปเลย พี่นิ้งน่าจะลืมไปเลย ;__;





ผมและเพื่อนทั้งสามคนเดินขึ้นลิฟต์มาชั้น 24 เหมือนที่มาเมื่อวาน แต่วันนี้ความรู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ห้อง B2 ขนาดเท่ากับห้อง B1 ที่ใช้สำหรับแคสติ้งเมื่อวาน มีแบ็คดรอปโลโก้บริษัทตั้งอยู่หลังโต๊ะแถลงข่าวที่มีที่นั่งประมาณ 6 ที่ได้ ตอนนี้ยังไม่มีนักข่าวได้เข้ามาในห้องนี้ก่อนจะถึงเวลา ส่วนเขาและเพื่อนๆ ก็มีทีมงานเดินอ้อมอีกฝั่งเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าแบบตรงๆ

“น้องศิแล้วก็เพื่อนๆ นั่งรอตรงโซฟาข้างหลังก่อนนะคะ เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแล้วจะมีทีมงานไปบอกนะ”

“ครับ”

พี่ทีมงานที่รับผมจากลิฟต์พาไปเจอพี่นิ้งคนที่โทรไปนัดผมก่อนจะพาผมเดินมาหลังแบ็กดร็อป ซึ่งจัดไว้เป็นโซฟาตัวยาวสองตัวหันหน้าชนกัน พร้อมโต๊ะกลางมีน้ำและขนมวางไว้ด้วย แต่ไม่ยักจะเห็นคนที่มาแคสติ้งคนอื่นๆ แฮะ หรือเขาจะนัดผมคนเดียวหว่า ฮือ ว้าเหว่อะไรขนาดนี้ 

“ศิ มึงทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ทำอย่างกะปวดไส้ติ่ง” เมฆคงสังเกตผมตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้แล้ว จะให้ทำยังไงให้มันรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย

“ก็มันกังวลนี่ กลัวด้วย”

เฌอที่นั่งข้างผมยิ้มให้ก่อนจะเลื่อนมือมาจับที่มือข้างนึงของผมไปไว้ที่ตักตัวเอง

“กลัวไรมีพวกกูอยู่ด้วย อย่าไปกลัวดิ ถ้ามันแย่มากมึงก็แค่ถอนตัวป่ะ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำกลับไปเรียนด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้”

อาโปและเมฆที่นั่งฝั่งตรงข้ามยักคิ้วกวนๆ ให้ผมได้ยิ้มออกมา แม้ในใจจะกังวลไม่สร่าง แต่อย่างน้อยๆ ผมจะรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว จะมีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ เสมอ

เสียงจอแจจากข้างหน้าแบ็กดร็อปทำให้รู้ว่ามีสื่อมวลชนเดินเข้ามาจับจองที่นั่งที่ดีที่สุดสำหรับงานแถลงข่าวของพีพีมีเดียในครั้งนี้ ฟังจากเสียงแล้วจำนวนนักข่าวคงไม่น้อยเลยทีเดียว จากตอนแรกที่กังวลตอนนี้เป็นความเครียดที่ปิดไม่มิด เฌอกุมมือผมแน่นกว่าเดิม

อยากออกไปจากตรงนี้เร็วๆ จัง




“พี่ๆ นักข่าวเซ็ตกล้องเรียบร้อยนะคะ เราจะเริ่มงานแถลงข่าวกันเลยค่ะ”

ประตูใหญ่ที่ผมสามารถมองเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาได้จากมุมเล็กๆ ข้างหลังก็เห็นได้ว่ามีใครมาบ้าง

คุณติณณ์ คุณอบเชย ครูกิ่ง คุณเจี๊ยบผู้กำกับ และใครสักน่าจะเป็นฝ่ายสื่อสารองค์กร และคุณดิม… เดี๋ยวนะคุณดิมมาทำไม เกี่ยวอะไรกับการแถลงข่าววันนี้ด้วย


นี่มันชักจะยังไงๆ แล้วนะ






“สวัสดีครับพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอบคุณก่อนเลยที่สละเวลาและให้หมายข่าวที่แจ้งอย่างกะทันหันวันนี้เป็นอีกหนึ่งหมายที่สำคัญ ขออนุญาตแนะนำบุคคลที่มาร่วมแถลงข่าวในวันนี้ คุณเจี๊ยบผู้กำกับ ครูกิ่งหลายคนคงรู้จักดี คุณอบเชยเจ้าของบทประพันธ์ และคุณพิภพกรรมการฝ่ายสื่อสารองค์กร อีกคนที่สำคัญและหลายๆ คนคงอยากสัมภาษณ์คุณหมอดิม อาคิรา ครับ”

“อย่างที่คุณติณณ์แนะนำผมไปนะครับ ผมพิภพผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร จะเป็นคนอ่านถ้อยแถลงและจุดยืนของกระแสที่เกิดขึ้น บริษัท พีพีมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มีการผลิตซีรีส์เรื่องอาทิตย์คาดพระจันทร์ The Intersection จากบทประพันธ์ของคุณอบเชย ซึ่งมีการแคสติ้งและคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบแรกไปเมื่อวาน โดยเฉพาะบทของภามาสเกิดการแคสติ้งรอบสองเกิดขึ้น มีผู้เข้าคัดเลือกที่ไม่ได้ลงสมัครแต่แรกเข้าร่วมด้วย และผู้เข้าคัดเลือกคนนั้นผ่านเข้ารอบแรก เนื่องจากทางกรรมการเห็นว่าบทของภามาสนั้นเป็นคาแรคเตอร์ที่ซับซ้อนหลากอารมณ์ ไม่เพียงแต่มีทักษะการแสดงที่ดีแล้ว กายภาพภายนอกนั้นก็สำคัญ จึงลงความเห็นให้เกิดวิธีการข้างต้นเพื่อให้การดำเนินการของการผลิตซีรีส์เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ทั้งนี้คณะกรรมการทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เห็นร่วมกันว่าผู้เข้าคัดเลือกท่านนั้นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝึกฝนและพัฒนาทักษะด้านการแสดง อีกทั้งบุคลิกภายนอก และการแสดงที่ได้รับการทดสอบ เทียบเท่ากับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกท่านอื่นๆ และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน ผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านเข้ารอบ รวมถึงแฟนๆ นิยาย ทำให้เราต้องออกมาชี้แจงถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ และให้เกียรติผู้เข้าคัดเลือกท่านนี้ที่ไม่ได้ตั้งใจลงสมัคร แต่เป็นการขอร้องจากทีมงาน ดังนั้นอยากให้ทุกท่านให้ความยุติธรรมกับเขา และนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ทางทีมงานและฝ่ายผลิตละคร ยืนยันเจตนาที่จะผลิตผลงานอย่างมีคุณภาพและคิดถึงผู้ชมก่อนเสมอ ขอบคุณครับ”

ผมนั่งฟังคำแถลงแล้วก็ใจเต้นตุบๆ ลุ้นว่าทางทีมงานจะใช้คำพูดแบบไหน แต่เท่าที่ฟังและหลักจิตวิทยาที่เรียนมา มันไม่ใช่แค่ชี้แจงต่อปัญหาและกระแสด้านลบที่เกิดขึ้น แต่แสดงให้เห็นถึงการแคร์คนดูและฐานคนอ่านนิยายมากพอกับปกป้องผม แถมไม่มีการเอ่ยชื่อผมอีกด้วย นั่นเป็นกลยุทธ์ที่นอกจากจะกันผมออกจากปัญหาและออกหน้ารับแทนด้วยการใช้ชื่อบริษัท ยังสร้างความสนใจให้คนอยากรู้ว่าผมเป็นใครได้อีกด้วย







มีต่อ


หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 16-04-2018 22:34:14
“ทำไมถึงทาบทามน้องศิรัสล่ะคะ ทั้งที่น้องก็ไม่ได้มีเจตนาจะเข้าคัดเลือกแต่แรก”

“อบเชยนะคะ นักเขียน ขอตอคำถามนี้ค่ะ  ตอนแรกอบเสนอทีมงานให้มีการรับสมัครและแคสติ้งบทภามาสอีกหนึ่งรอบในสัปดาห์ถัดไป เนื่องจากน้องๆ ที่มาแคสติ้งเมื่อวานมีคาแรคเตอร์โดดเด่น แสดงดี แต่ยังทำให้อบเชื่อไม่ได้ว่าเขาจะสามารถแสดงบทของภามาสออกมาได้เหมือนในนิยาย มีคนอ่านที่คาดหวังมากมาย อบไม่สามารถทรยศต่อความคาดหวังนั้นได้ค่ะ เพราะพวกเขาคือคนที่ทำให้นิยายของอบกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา และการที่ทางทีมงานได้เจอตัวเลือกที่หลงมารอเพื่อนที่มาแคส ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราควรจะลองดู เพื่อให้เกียรติผู้เข้าคัดเลือกคนอื่นๆ ที่ตั้งใจเดินทางมา และให้โอกาสสำหรับบางคนที่เราเห็นแววว่าจะพัฒนาต่อยอดไปได้ ที่สำคัญพี่ๆ สื่ออาจจะยังไม่ทราบว่าเรามีการลงประชามติตามแนวทางประชาธิปไตยกับผู้เข้าคัดเลือกก่อนที่เราจะตัดสินใจด้วยค่ะ”


“คุณติณณ์ เล่าการลงประชามติให้ฟังหน่อยครับ”

“อันนี้เป็นข้อเสนอของคุณนายโปรดิวเซอร์ เพราะน้องๆ ที่มาแคสติ้งแสดงออกมาว่ารู้สึกไม่ดีกับทางเลือกที่เราให้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์อันพึงทำได้ของพวกเขานะครับ ทางเราเลยให้น้องๆ เลือกข้อเสนอ นั่นคือการให้บางคนผ่านเข้ารอบ และให้น้องคนที่เราขอให้เข้าร่วมแคสติ้งด้วย กับเปิดรับสมัครบทภามาสใหม่ และทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า ผลปรากฏว่าน้องส่วนใหญ่ก็เลือกช้อยส์แรกครับ”


“แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกเลยนะคะ”

“จริงๆ น้องคนนั้นมีโอกาสครั้งเดียวเหมือนอีกหลายคนในห้อง และถ้าเขาทำไม่ดี เขาก็แค่กลับบ้าน ไม่เหมือนหลายคนที่ได้โอกาสรอบที่ 2 นะครับ ความเสี่ยงเท่ากัน แถมความเสี่ยงที่เขารับเมื่อวานมันมีเอฟเฟ็กต์มากมายจนผมต้องตั้งโต๊ะแถลงนี่ไงครับ”


“คุณติณณ์ เล่าการลงประชามติให้ฟังหน่อยครับ”

“อันนี้เป็นข้อเสนอของคุณนายโปรดิวเซอร์ เพราะน้องๆ ที่มาแคสติ้งแสดงออกมาว่ารู้สึกไม่ดีกับทางเลือกที่เราให้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์อันพึงทำได้ของพวกเขานะครับ ทางเราเลยให้น้องๆ เลือกข้อเสนอ นั่นคือการให้บางคนผ่านเข้ารอบ และให้น้องคนที่เราขอให้เข้าร่วมแคสติ้งด้วย กับเปิดรับสมัครบทภามาสใหม่ และทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า ผลปรากฏว่าน้องส่วนใหญ่ก็เลือกช้อยส์แรกครับ”


“แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกเลยนะคะ”

“จริงๆ น้องคนนั้นมีโอกาสครั้งเดียวเหมือนอีกหลายคนในห้อง และถ้าเขาทำไม่ดี เขาก็แค่กลับบ้าน ไม่เหมือนหลายคนที่ได้โอกาสรอบที่ 2 นะครับ ความเสี่ยงเท่ากัน แถมความเสี่ยงที่เขารับเมื่อวานมันมีเอฟเฟ็กต์มากมายจนผมต้องตั้งโต๊ะแถลงนี่ไงครับ”

“ถามได้มั้ยคะ ทีมงานคนไหนไปเจอน้องคนนั้นคะ”

“.....”

พอมีคำถามนี้ความเงียบก็เกิดขึ้น ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะคนๆ นั้นคือคุณดิมยังไงเล่า แต่ถ้าเขาตอบไม่รู้จะเกิดกระแสอะไรบ้าง รู้ๆ กันอยู่ว่ามีแต่คนเชียร์ให้คุณดิมคู่กับคนที่ชื่อพูลล์ ดาราคนนั้นที่ผมไม่มีอะไรไปเทียบได้ และคงตกรอบถ้าหากมีการโหวตเกิดขึ้น

“ผมเองครับ”

เชี่ยละ

เสียงคุณดิม!!

เสียงฮือฮาเกิดขึ้นหลังจากที่คุณดิมพูดไม่กี่คำ

“จริงๆ ผมอยากรับผิดชอบกับการกระทำของผม ที่ทำให้น้องเขาเดือนร้อนมากๆ เพราะผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้ทีมงานสามารถทำงานต่อไปได้ ผมเข้าใจและเข้าใจและเห็นความตั้งใจในการทำงานของทีมงานทุกคนดี อีกอย่างผมได้พูดคุยกับน้องเขาสั้นๆ ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องด้วย แต่หลังจากที่อ่านนิยายหลายๆ รอบทำให้ผมจินตนาการภามาสออกมาจากการได้พูดคุยกับเขาเพียงไม่กี่คำ แม้ว่าเขาจะแสดงไม่เก่ง แต่สายตาและการสื่ออารมณ์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ลองไปถามคนที่ได้ดูการแคสติ้งของเขาเมื่อวานดูสิครับ และจะเชื่อว่าผมไม่ได้พูดเกินจริง”


“งั้นแบบนี้น้องคนนั้นก็จะกลายเป็นตัวจริงเลยหรือเปล่า เพราะทุกคนดูจะพอใจน้องเขานะครับ”

“ไม่ครับ ผมในฐานะผู้กำกับนะ ผมไม่ทำงานกับคนที่ทำงานไม่ได้ และทำให้การทำงานช้าเพียงเพราะไม่มีสกิลและไม่พัฒนาตัวเอง เขาเหมาะแค่ไหนแต่ถ้าทำออกมาได้ไม่ดีตามมาตรฐานของงาน คนที่พร้อมกว่าก็ต้องได้ไป”


“วันนี้เราจะได้เจอน้องเขามั้ยคะ”

“เอาไว้วันประกาศตัวละครอย่างเป็นทางการนะครับ”

เสียงเสียดายดังมาจากพี่ๆ นักข่าวทุกสำนักที่หวังมาเอาจุดไคลแม็กซ์นั่นคือการปรากฏตัวของผู้เข้าคัดเลือกคนที่เป็นประเด็น แต่เหมือนต้องกลับไปแบบที่ได้ข่าวเหมือนๆ กันทุกสำนัก ผิดโผลหน่อยก็ตรงที่พระเอกคุณหมอมาร่วมโต๊ะแถลงข่าว แถมยังเป็นคนไปทาบทามน้องคนนั้นมาเองอีกด้วย แค่นี้ก็เขียนข่าวแซ่บกระพือไปไกลแล้ว



“แต่ถ้าเขาได้เป็นตัวจริง พี่ๆ จะได้เห็นความน่ารักของเขาเหมือนที่ผมเห็นครับ”



จู่ๆ ว่าที่พระเอกก็พูดใส่ไมค์พร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย คล้ายอาการเขิน  เสียงวี๊ดว้ายจากนักข่าวสาวที่มีจำนวนเยอะกว่าผู้ชายในห้องนี้ เกินอาการคล้ายๆ สิ่งที่เรียกว่า “ฟิน” และ “แหม” กับสิ่งที่คุณหมอกล่าวอ้างถึงน้องศิรัส ที่ตอนนี้หมดข้อครหาว่าเป็นเด็กเส้น



แต่เป็นเด็กหมอแทน



ตอนแรกที่ว่าจะได้กลับไปแค่คำแถลงข่าว แต่นี่มีประเด็นเผ็ดๆ ไปโหมข่าวได้เป็นอาทิตย์ คุณหมอร้ายไม่เบานะ
ศิรัสนั่งบีบมือตัวเองเข้ากับมือของเฌอด้วยหัวใจที่เต้นคนละจังหวะกับก่อนจะมีการแถลงข่าว
   
“แต่ถ้าเขาได้เป็นตัวจริง พี่ๆ จะได้เห็นความน่ารักของเขาเหมือนที่ผมเห็นครับ”

ทำไมคุณดิมพูดแบบนั้นออกไป ไม่กลัวคนอื่นเขาจะเข้าใจผิดหรือไง ไหนจะโดนเขียนข่าวไม่ดีอีกแน่ๆ ไม่ใช่แค่ผมที่โดนคนเดียวแต่เขาที่ไม่เคยมีข่าวไม่ดีอาจจะต้องโดนไปด้วย ทั้งยอมรับเองว่าเป็นคนเสนอให้ผมเข้าไปแคส แถมยังมาพูดแบบนี้ออกสื่ออีก หาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเองทั้งนั้น โคตรบ้า

แต่ปฏิเสธไม่ได้ไม่ใช่หรือไง ว่ามันทำให้ใจผมสั่น สั่นกว่าตอนกินกาแฟเซเว่นปั่นวิจัยข้ามคืนซะอีก ไม่เคยคิดว่าการได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้ เข้าไปทำความรู้สึก อยากให้รู้ว่าเขาเปลี่ยนชีวิตผมยังไง ทั้งที่เมื่อวานไม่อยากเจอแล้ว แต่นั่นแหละใจมันเหลวเพราะประโยคเดียว บ้าไม่บ้า และถ้านี่เป็นสิ่งที่เขาอยากชดเชยที่ทำให้ผมต้องผจญกับเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดวัน


ผมว่ามันน่าจะเพียงพอที่ผมจะยกโทษให้


ก็ได้...


._.




ใจง่ายว่ะ







หลังจากทีมงานส่งนักข่าวกลับจากห้องหมดแล้ว ก็บอกให้ผมและเพื่อนเดินไปที่ห้องประชุมอีกครั้ง แต่วันนี้ดีใจชะมัดที่ไม่ต้องไปทำหน้าตาประหม่าที่ดูประหลาด เพราะขี้เหร่เป็นทุนเดิม (แม้คุณดิมจะชมว่าน่ารักให้ตัวลอย) แต่ความจริงเป็นยังไงก็เห็นๆ อยู่นี่นา ใครจะมั่นใจกับคำชมจากคนหล่อมากๆ เพียงครั้งเดียว นอกจากบินตรงไปอินชอนต่อรถไปโซลและศัลยกรรมที่คลีนิกย่านกังนัม ใช่มะ

“น้องศิ นั่งก่อนสิคะ”

เปิดประตูไปก็เจอผู้ใหญ่ที่นั่งแถลงข่าวเมื่อครู่พร้อมหน้าพร้อมตา นี่ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานเลยไม่ใช่หรอ เหมือนเข้าห้องปกครองเลยอะ

“เราโอเคหรือเปล่ากับคำแถลง” คุณติณณ์ถามขึ้นเองเลยหรอเนี่ย ตามหลักแล้วมันคือว่าเป็นการให้เกียรติมากกว่าให้ตัวแทนอย่างคุณพิภพพูดอีกนะ

“อ่า ครับ ขอบคุณที่วันนี้ให้ผมรอข้างหลังนะครับ”

“ฮ่าๆๆ ทำไมล่ะกลัวหรอ”

“ครับ กลัวว่าจะทำให้ทุกคนเดือดร้อน”

“พวกเราสิทำให้เธอเดือดร้อน ขอโทษด้วยนะ ผ่านวันนี้ไปได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”

“ครับคุณติณณ์ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติผมมากขนาดนี้

พอหันไปมองเพื่อนสามคนที่นั่งถัดไปอย่างโล่งใจ แม้จะยังกังวลกับกระแสข่าวที่จะออกไปจากวันนี้ว่ามันจะหักลบกลบข่าวเมื่อเช้าได้ไหม แต่ก็ชื่นใจไปเปราะที่อย่างน้อยผู้ใหญ่ทุกคนก็ให้เกียรติและเห็นความสำคัญของเด็กธรรมดาๆ คนนึงมากขนาดนี้ มองไปที่ทุกคนส่งแต่สายตาเอ็นดูปกเห็นใจมาให้ อยากขอบคุณจริงๆ ที่ไม่ให้ผมขึ้นไปปรากฏตัว

“ขออนุญาตนะคะคุณติณณ์” สาวสวย หุ่นเพรียว กับผมสีดำขลับ ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง เดินเข้ามาในห้องประชุมประตูไหนไม่รู้เพราะที่นี่มีหลายประตูเหลือเกิน ก่อนจะเข้ามานั่งตรงข้ามผม ฝั่งที่คุณดิมนั่งเยื้องไปอีกสองช่วงเก้าอี้

“เชิญเลยใบชา ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะ ทุกคนเชิญที่ห้องทานข้าวเลยนะครับ” ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากหลังประชุม ผมและเพื่อน รวมถึงคุณดิมยกมือไหว้ตามกาลเทศะ




“พี่ใบชาจากฝ่ายวางแผนการตลาดนะคะ คืออย่างนี้พวกพี่กำลังคิดว่า น่าจะมีกระแสเรื่องคำพูดของคุณหมอดิมก่อนจบแถลงข่าว ก็เลยอยากจะเดินหมากมาร์เก็ตติ้งรุดหน้าไปเลย”

ผมและคุณดิมเผลอหันมาสบตากันอย่างกับรู้ว่าคงจะเกี่ยวกับเราแน่ๆ

“ก็เลยอยากให้น้องศิและคุณหมอดิม สองคนทำตัวสนิทสนนกันเข้าไว้น่ะค่ะ เราทำซีรี่ย์ชายชาย ฉะนั้นถ้าสร้างโมเมนต์ให้คนจิ้นตามคำพูดของคุณหมอได้ เราก็น่าชิงพื้นที่สื่อในเรื่องนี้แทนเรื่องไม่ดีได้นะคะ”
“เพราะคนจะไปสนใจกับความสัมพันธ์ของคุณดิมกับน้องศิมากกว่าข่าวเด็กเส้นที่ไม่เป็นความจริง”

“ผมโอเคถ้ามันจะช่วยได้”

เฮ้ย ไม่ถามความเห็นผมก่อนหรือไง จู่ๆ ก็จะให้ไปสนิทสนมกัน แล้วมันต้องเบอร์ไหนถึงจะเรียกว่าดูสนิท ยังไม่พร้อมที่จะต้องสนิทกับคุณดิมเพราะแค่นี้ก็ใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่แล้ว ฮือออ

“เอาอย่างนี้นะคะน้องศิ วันนี้ให้คุณหมอดิมไปส่งดีมั้ยคะ แล้วก็อัพสตอรี่ไอจีให้เห็นวับๆ แวบๆ ว่ามีใครบางคนไปส่ง ทำนองนี้”

“คือผมไม่เล่นไอจีอะครับ”

“งั้นต้องคุณหมอดิมแล้วค่ะ” พี่ใบชาพยักเพยิดไปที่คุณดิมที่ยังนั่งชั่งใจกับคำขอในการโปรโมท แม้เราจะยังไม่ได้เป็นตัวจริงทั้งคู่ แต่เป็นแผนการตลาดที่คาดเดาได้ว่าผลตอบรับจากสาววายที่ชอบโมเมนต์เปิดนิดปิดหน่อย ให้ได้จิ้นไปเองจะโหมกระแสได้แค่ไหน

“ได้ครับ"
“งั้นผมขอตัวกลับเลยได้มั้ยครับ พอดีต้องกลับไปเขียนเคสรายงานผ่าตัด”

“ทางทีมงานไม่มีอะไรแล้วค่ะ เชิญทุกคนกลับได้ตามสะดวก แต่ใช้ลิฟท์ข้างหลังนะคะ เผื่อนักข่าวยังอยู่แถวนี้” ทีมประสานงานพูดขึ้น

“เดี๋ยวนะคะ ใบชาว่ากลับทางปกติดีกว่าค่ะ เผื่อนักข่าวเขาอยากรู้ว่าน้องศิน่ารักแบบที่คุณดิมบอกมั้ย แล้วน่ารักขนาดที่ว่าคุณหมอดิมจะต้องไปส่งเลยหรอ” พี่ใบชาใช้สายตาเปล่งประกรายและน้ำเสียงที่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้ เหมือนเห็นโอกาสให้งานที่เธอวางแผนจะบรรลุผลโดยเร็ววัน


เดี๋ยวก๊อนนนนนนนนนน ทำไมไม่มีใครถามความคิดเห็นผมเลยอะ

โอ้ยยยยยยยยยยย

ผมชักจะกลัวพี่ใบชากับการวางแผนตลอดเวลาของพี่เขาแล้วล่ะสิ


แล้วใครซวย


ผมไงงงงงงงงงงงงงงง


หัวใจอย่าเพิ่งวายตายไปก่อนนะ






ER* เป็นคำย่อที่มาจากคำว่า Emergency room ซึ่งแปลว่า “ห้องปัจจุบัน” แต่พยาบาลบางแห่งก็เรียกตามภาษาที่นิยมใช้กันในโรงพยาบาลทั่วไปว่า “ห้องฉุกเฉิน”  สามารถให้บริการแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยฉุกเฉินจากปัญหาสุขภาพ เช่น หัวใจวาย ไตวาย หรืออุบัติเหตุ รวมถึงการตรวจโรคแบบเร่งด่วน ที่ต้องการทราบผลอย่างรวดเร็วด้วย นอกจากนี้ ที่พึงจำไว้เลยก็คือ การเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องรอยื่นบัตรหรือรอคิว สามารถพาผู้ป่วยเข้าไปทำการตรวจรักษาได้ทันที แต่ต้องเป็นในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น


ข้อมูลจาก https://www.alwaysguru.com/er-opd/












------To be Continued------



 


อยู่ก็กลายเป็นเด็กหมอเฉยเลย555555555555

ไม่ต้องงงนะลูกเดี๋ยวมันจะยิ่งกว่าเป็นเด็กหมออีก

หุหุ

เพราะจะได้เปงเมียคูมหมอ แงงๆๆ

ฝากคอมเม้นต์ด้วยนะคะ



บี



เยิ้บ

 :o8:

หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: biibbmnt ที่ 17-04-2018 20:25:19
 :katai5: :katai5: :katai5:

รอออออออออออออ
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 17-04-2018 23:14:37
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ แต่อยากให้ชัดเจนในการเล่าเรื่องว่าจะเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือ 3 กันแน่
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 18-04-2018 10:47:03
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จะปรับปรุงค่ะ ฝากติดตามต่อไปด้วยน้าาา



เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ แต่อยากให้ชัดเจนในการเล่าเรื่องว่าจะเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือ 3 กันแน่
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 18-04-2018 21:07:25
น้องน่ารักๆๆ อยากได้น้องศิเป็นของตัวเอง เมฆก็ดูงานดี พี่ดิมก็โอเคอยากจะเก็บเธอไว้ให้หมด
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vivierav ที่ 19-04-2018 22:14:43
ตามมาจากทวิต เป็นกำลังใจให้น้าาาาา รีบมาต่อเบยยยยยยย
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.03 - เสื้อกินมือ (20/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 20-04-2018 17:26:51
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.03 เสื้อกินมือ
[/size]

I don't cry for yesterday there’s an ordinary world




บรรยากาศภายในรถ BMW 4Series Coupe มีเพียงเสียงเพลงเปิดคลอจากวิทยุคลื่นสากลที่เล่นออโตเมติกตั้งแต่ออกสตาร์ท สงสัยเป็นความถี่ที่สารถีเขาชอบล่ะมั้ง ตั้งแต่เรานั่งบนพาหนะสี่ล้อคันนี้มาได้สักพัก ความเงียบที่ปกคลุมระหว่างเรายังไม่เจือจาง ไร้ประโยคการพูดคุยและสอบถาม ไม่มีใครเอ่ยปากแม้จะรู้สึกอึดอัดกับการกระทำที่ประดักประเดิดเช่นนี้พอตัว หากแต่เพื่องานก็อาจจะดีกับอนาคตที่เราทั้งคู่ก็ไม่แน่ใจว่าต้องทำแบบนี้ต่ออีกหรือไม่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าทั้งผมและคุณดิมจะได้เป็นตัวจริงของซีรีส์เรื่องนี้เหมือนที่ผู้ใหญ่คาดหวังหรือเปล่า

ตอนออกจากห้องประชุม เมฆ อาโป และเฌอ ต่างก็เข้าใจวิธีการในการทำงานแบบมืออาชีพของที่นี่ดี คร้านผมจะไม่อยากทำตามเพราะไม่สนิทกับคุณดิมถึงขนาดนั่งรถไปกับเขาแค่สองคน แต่นั่นก็ดูจะเป็นกริยาที่เด็กกว่าอายุ เพราะในเมื่อตัวเองตัดสินใจจะทำงานก็ควรทำอย่างเต็มที่ตามศักยภาพ ซึ่งสิ่งสำคัญของคนทำงาน นั่นคือ การมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นสิ่งแรกที่พึงมี แม้จะขัดต่อแรงต้านในใจตามที

“But you only need the light when it’s burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you’ve been high wh……”

“.....”

เสียงฮัมเพลงจากสารถีสำเนียงบริชติชที่ผมคิดมาตลอดว่าผู้ชายพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฟังยากนี้เท่ที่สุด และดูคูลแม้จะไม่ต้องทำอะไรเลย คนข้างๆ นี่เขาจะเพอร์เฟ็คต์แมนไปแล้ว ลอบสังเกตว่าเขาขยับนิ้วชี้เคาะพวงมาลัยตั้งแต่เมโลดี้เพลงดังขึ้น แม้เสียงจะไม่ได้ดังมากเหมือนการขยับลูกคอเบาๆ ตามจังหวะเพลงมากกว่าร้องออกมา แต่นั่นทำให้ต้องเหลียวไปมองเขานิดนึงแม้ตั้งแต่นั่งรถมาเราจะยังไม่ได้มองหน้ากันเลยก็ตาม

“อะ ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรครับ ก็รถคุณ”

“แต่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ผม”

“เอ่อ..คุณชอบเพลงนี้หรอครับ”

อาจจะเป็นจังหวะที่ดีที่เราควรสนทนากันบ้าง คงดีกว่านั่งเกร็งทั้งคนขับและคนอาศัยติดสอยห้อยตาม และถ้าผมต้องพูดแค่ประโยคขอบคุณตอนถึงที่หมาย มันคงจะกระอักระอ่วนกันไปกันใหญ่

“ก็ความหมายดีนะ เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีคุณค่าตอนเสียมันไปแล้ว”

“....”

“แล้วเธอชอบฟังเพลงแนวไหนล่ะ” ไม่คิดว่าเขาจะถามผมกลับ เตรียมคำตอบไม่ทันเลย

“อ่ะ อ่อ จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบเพลงแนวไหนเป็นพิเศษ ฟังตามๆ เขากับเวลาที่ยูทูบรันไปเรื่อยครับ ศิลปินไทยเดี๋ยวนี้ก็ฟังเดอะทอยครับผมว่าเค้าเจ๋งดี”

“เดอะทอยหรอ เดี๋ยวผมจะไปลองหาฟังบ้างนะ”

“อ่า ครับ”



เปาะ แปะ เปาะ แปะ

เม็ดฝนตกกระทบกระจกหน้ารถ จากเม็ดเล็กบางก็ค่อยกลายเป็นเม็ดหนาอวบอ้วน แผ่กระจายให้กระจกรถราคาแพงชุ่มช่ำด้วยสายธาราจากน้ำฝน เสียงเพลงที่จากเดิมไม่ดังตอนนี้โดนเสียงฝนกลบจนมิด คิดไว้ไม่ผิดว่าฝนจะตก เพราะเมฆตั้งเค้าตั้งแต่บ่าย และก็มาตกตอนเย็นขณะที่ทุกคนกำลังจะกลับบ้านทุกที จากตอนแรกที่รถติดอยู่แล้ว นาทีนี้คงติดกว่าเดิมจากสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“เธอรีบหรือเปล่า ผมว่าฝนตกแบบนี้คงอีกนานกว่าจะถึง”

“ไม่ครับ ผมมีแค่การบ้านนิดหน่อย แต่คุณดิมน่ะสิ ต้องกลับไปทำงานต่อใช่มั้ย ส่งผมที่รถไฟฟ้าสถานีข้างหน้านี้ก็ได้นะครับ คุณดิมจะได้รีบไป”

“ไม่ด่วนหรอก เดี๋ยวผมไปส่งเธอก่อน ฝนตกแบบนี้จะไปเองได้หรอ เอาร่มมาหรือไง”

“อ่า...ไม่ได้เอามาครับ”

“งั้นก็คงต้องทนอยู่บนรถด้วยกันไปก่อน”



หลังจากได้ยินประโยคนี้ก็เลยเบนหน้ามองนอกหน้าต่าง อากาศเย็นขึ้นจากอุณหภูมิที่ลดลง สายฝนยังคงสาดกระเซ็นลงบนพื้นถนน ผู้คนริมทางจราจรต่างหลบสายน้ำก่อนจะเปียกปอน แม้จะพยายามหาสิ่งอื่นเหนี่ยวนำความคิดจากประโยคที่เขาพูดแต่มันไม่ได้ผลเลย

ทนหรอ...ใช่สินะ เป็นเขาต้องอดทนกระอักกระอ่วนใจที่ต้องมาให้คนแปลกหน้าอย่างผมอยู่บนรถ ทั้งที่ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นคนในครอบครับหรือไม่ก็แฟน...มากกว่า

จะต้องแปลกใจอะไร ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

กว่าหนึ่งชั่วโมงที่บทสนทนาเกิดขึ้นประปราย เช่น

“เธอหนาวหรือเปล่า ลดแอร์ได้นะ”

“หิวไหม มีแซนวิชอยู่ข้างหลังหยิบได้เลย”

เหมือนเขาจะพยายามชวนคุยไม่ให้ผมเบื่อ แต่มันก็เป็นคำถามที่ตอบสั้นๆ และผมเองก็ยังเก็บประโยคนั้นมาคิดอยู่ เลยไม่อยากรบกวนเขามากไปกว่านี้

กระทั่ง เจอคำถามนี้

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ก็ไม่นี่ครับ แค่หนาวนิดหน่อย”

“ผมหมายถึงเธอไม่พอใจอะไร”

“ก็..ก็เปล่านี่ครับ มีเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไม่พอใจ”

“ผมรู้ว่ามันอึดอัดนะ แต่ทนหน่อยแล้วกัน เลยแยกไฟแดงนี้ไปคงไม่ติดแล้ว จะได้ไม่ต้องถอนหายใจใส่เหมือนรู้สึกแย่อีก”

“เฮ้ย ผมเปล่านะ...ครับ”  ผมไปถอนหายใจใส่เขาเมื่อไหร่กัน ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็แค่เขาถามมาผมก็ตอบ แต่แค่ไม่ได้ถามกลับเท่านั้น มันก็ไม่ได้ผิดปกติเพราะเราก็ไม่ได้สนิทกันจนต้องพูดคุยตลอดเวลาหรือสรรหาเรื่องให้ได้คุยสร้างบรรยากาศเสียหน่อย เรื่องถอนหายใจก็ด้วย ก็รถมันติดไม่ขยับเลยก็ต้องมีหงุดหงิดกันบ้างสิ

“รถมันติดนี่ครับ ก็ต้องมีบ้าง แต่ไม่ได้ถอนหายใจใส่คุณดิมเลยซักนิด จริงๆ นะ” ผมพยายามอธิบายด้วยท่าทีจริงจังและซีเรียสสุดๆ เลย

“โอเคๆ ก็ไม่ต้องนั่งมองข้างทางทำทีว่ามันน่าสนใจขนาดนั้น เพราะผมจะคิดเอาเองได้ว่าเธอกำลังหันหลังให้ และมันเป็นท่าทีที่แสดงออกว่าไม่พอใจ” ผมลืมไปว่านี่ผมกำลังคุยกับคุณหมอ การแสดงอากัปกริยาของผมไม่ได้ยากเกินที่คุณหมอจะคาดเดาได้ว่าผมรู้สึกอย่างไร คงคล้ายกับการวินิจฉัยโรคบางอย่างที่ไม่ต้องซักถาม แค่สังเกตจากอาการ

“ครับ ผมขอโทษ” แต่ครั้งนี้ผมก็คงทำผิดจริงๆ ทั้งที่เขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าตั้งหลายปี ยังแสดงอาการที่เสมือนไม่มีสัมมาคารวะ ทำได้ยังไงหันหลังให้เจ้าของรถที่กำลังขับรถให้ผมนั่ง บอกตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่แค่นี้ยังไม่ผ่านเลย

“จะยอมรับคำขอโทษ ถ้าเธอจะแวะกินข้าวกับผมสักเดี๋ยว”

“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ ผม”

“เพราะเธอเล่นกินแซนวิชผมหมดแล้วนี่ จะให้ผมหิ้วท้องกลับโรงพยาบาลหรือไง”

“อ้าว ก็คุณดิมบอกว่ากินได้นี่” ผมก้มหน้างุดกับอกเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะน้อยนิดเพราะว่ากินของเขาหมดจริงๆ แบบไม่เผื่อแผ่ หิวครับ ก็จะทุ่มแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลย

“ซอยข้างหน้ามีร้านอาหารญี่ปุ่น เธอกินได้มั้ย”

“ครับ อะไรก็ได้” ยังจะกล้าถามอีกทั้งๆ ที่ตัวเองเลี้ยวรถเข้ามาแล้วแท้ๆ ทำอะไรรวดเร็วแบบนี้ตลอดเลยหรือไง คนคูล 4.0





คุณหมอวนหาที่จอดแต่เหมือนว่าจะมีรถ CRV จอดคล่อมเลนอยู่ที่หนึ่งทำให้คุณหมอไม่มีที่จอด ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเราอาจจะต้องรอจนกว่าจะมีพนักงานมาเห็น ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะไม่มีใครยืนนอกร้านเลยเพราะฝนตกหนักมาก

“เดี๋ยวผมไปบอกพนักงานให้ คุณดิมรอแป๊บนึงนะครับ”

“เห้ย เดี๋ยว!!”

เสียงคุณหมอเรียกผมไว้แต่ไม่ทันแล้วแหละครับ เพราะตอนนี้ผมวิ่งฝ่าเม็ดฝนขนาดใหญ่เพราะมันกระแทกผ่านเสื้อนิสิตตัวบางโดนผิวเนื้อจนรู้สึกแสบไปหมด ขนาดระยะทางไม่กี่เมตรแต่ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองเปียกไปครึ่งตัวแล้ว พอผลักประตูร้านเข้าไป พนักงานและลูกค้าหลายคนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ก็หันมองผมด้วยสายตาประหลาดปนตกใจ ผมคิดไม่ออกเลยว่าหน้าตาที่ขี้เหร่อยู่แล้วตอนเปียกฝนมันจะยิ่งดูไม่ได้ขนาดไหน

แค่เงยหน้าน้ำจากไรผมก็หยดติ๋งๆๆ คงขี้เหร่สุดๆ เลยว่ะศิ

“เดี๋ยวเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะคุณลูกค้า เชิญยืนตรงนี้ก่อนค่ะ พอดีตรงนั้นมีปลั๊กไฟ”
อยู่ รถเพื่อนผมจอดไม่ได้ ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ”

“อ่อ ค่ะ พี่กอล์ฟๆ ไปดูรถให้ลูกค้าหน่อย เขาจอดรถไม่ได้ ให้เขาเข้าไปจอดที่โรงจอดรถพนักงานก็ได้”

“ครับ ผู้จัดการ”

พนักงานที่นั่งอยู่ริมประตูร้าน กระวีกระวาดคว้าร่มขนาดใหญ่ก่อนจะออกไปโบกรถ ผมมองผ่านนอกหน้าม่านแบบญี่ปุ่นทะลุกระจกออกไป รถบีเอ็มสีดำขลับกำลังเคลื่อนเข้าที่จอดรถพนักงานของร้านที่ว่างหนึ่งที่พอดี

 แอร์ในร้านก็เย็นผมเริ่มสั่น พยายามเอาส่วนที่แห้งของเสื้อนิสิตเช็ดหน้า เพราะน้ำจากปลายผมหยดลงกรอบหน้าให้นึกรำคาญ

 “คุณลูกค้าใช้ทิชชู่ไปก่อนนะคะ สงสัยเด็กในร้านจะหาผ้าขนหนูใหม่ไม่เจอ เดี๋ยวดิฉันไปดูให้ค่ะ”

 “ขอบคุณครับ”

   



กริ๊ง

เสียงประตูหน้าร้านเปิดขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของสารถีที่หาที่จอดรถได้แล้ว เสื้อเชิ้ตอาร์มานี่สีกรมท่ามีหยดน้ำฝนหยดใส่ประปราย ไม่ได้เปียกปอนเหมือนผม ไงล่ะคนดีจิตอาสา เหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด

“อะ เช็ดตัวซะเดี๋ยวไม่สบาย”

ผ้าขนหนูสีเข้มกว่าเสื้อเชิ้ตของร่างสูงถูกยื่นให้ผม อย่างที่รับมางงๆ เขาหยิบมาด้วยหรอ คนอะไรจะมีผ้าขนหนูติดรถ ถ้าไม่ค่อยไม่กลับบ้านไปนอน อ้อ ลืมว่าเขาเป็นหมออาชีพนี้คงนอนน้อยเป็นปกติ

“ขอบคุณครับ” ผมรับอย่างเกรงใจ เพราะไม่รู้ว่าถ้าใช้ของเขาแล้วเขาจะมีใช้ตอนจำเป็นหรือเปล่า ถ้าคืนนี้เขาอยู่เวรแล้วอยากอาบน้ำขึ้นมา

 “เอาไปเถอะน่า ยังไม่ได้ใช้ ซักแล้ว สะอาด”

“ไม่ได้หมายความว่ากลัวสกปรกซะหน่อย” ผมยู่ปากพูดเบาๆ กับตัวเอง คุณหมอเนี่ยเข้าใจผมผิดอีกแล้ว

ร่างสูงทอดสายตาหาโต๊ะว่างก่อนจะเดินไปนั่งมุมหนึ่งของร้านฝั่งติดกระจก น้ำฝนยังคงไหลบ่าต่อเนื่องไม่คิดว่าจะหยุดเสียเลย พายุคงเข้าแน่ๆ

“ใครใช้ให้วิ่งฝ่าฝนออกไปแบบนั้น” ขณะที่กำลังเช็ดผมที่เริ่มหมาด คำถามเสียงดุจากผู้ชายตรงหน้าก็ถามขึ้น

 “อ่า ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ คุณดิมก็หาที่จอดไม่ได้สักที”

 “ก็ไปหาร้านใหม่ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องลงทุนวิ่งตากฝนแบบนี้ เธอไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง”

 “ก็กินยาสิครับ ใครๆ ก็รู้”

 “.....” คุณหมอนั่งกอดอกและหันไปมองนอกหน้าต่างกับอาการเถียงคำไม่ตกฟากจากเด็กที่ห่างจากเขาเกือบ10ปี

 “ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างลืมตัวที่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นตอบคนโตกว่าตรงหน้าไป

 “เรื่อง” เสียงดุกว่าเดิมตอบกลับมา จากที่เคยกล้าดีตอนนี้เริ่มสลด คนตรงหน้าคงจะถามอย่างเป็นห่วง เพราะอาชีพที่ต้องดูแลรักษาคนไข้ทุกวัน การที่มีคนไข้เพิ่มแปลว่าเพิ่มงานให้บุคคลากรทางการแพทย์ ทั้งที่อาการป่วยจะไม่เกิดถ้าไม่ดันทุรังเอง

 “ก็ที่พูดไม่ดีกับคุณที่เป็นผู้ใหญ่กว่า”

 “ผมไม่ได้ถือเรื่องพวกนั้น แต่สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ มันคืออาการของคนที่ไม่รักตัวเอง เธออาจจะเป็นหวัดเพราะตากฝน แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าจะไม่เป็นโรคอื่นๆ อีก หลายคนตายเพราะแค่เป็นหวัดมานักต่อนักเพราะโรคแทรกซ้อน” คุณหมอพูดประโยคยาวโดยที่แทบไม่หายใจ ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่เอาจริงเอาจัง เหมือนโดนป๊าดุตอนออกไปเล่นน้ำฝนเมื่อผมเด็กๆ

 “ผมไม่มีโรคประจำตัวครับ ปกติแข็งแรงดี ไม่ค่อยป่วย เดี๋ยวกลับคอนโดแล้วจะกินยาก่อนนอนนะครับ”

 “เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรถ้าไม่จำเป็น”
 “ขอเมนูด้วยครับ” ก่อนพูดจบคุณหมอมองย้ำผมอีกทีแต่สายตาไม่ดุเท่าเดิมหลังจากที่ผมรับปากไป

เฮ้อ นี่หรอผู้ชายที่คิดว่าวันนึงอยากอยู่ใกล้ ขนาดวันนี้ได้มากินข้าวด้วยกัน ความตื่นเต้นหายหมด และอยากจะหดหัวเข้ากระดอง ไม่คิดว่าเขาจะดุขนาดนี้นี่นา เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่พอได้พูดก็จัดชุดใหญ่ไฟหอไอเฟลเลยนะ โดยเฉพาะไอ้คำที่พ่นๆๆๆ เหมือนท่อนแร๊พพี่กอล์ฟ ฟัคกิ้งฮีโร่อะ จ๋อยก่อนกินข้าวไปสิมึงไอ้ศิ คิดถึงเสียงด่าของเฌอขึ้นมาเลย คำหยาบยังไม่เจ็บเท่าพูดความจริง แงง

ผมสั่งอูด้งหมูน้ำซุปมิโซะ กับกุ้งเทมปุระ และชาเขียวร้อน ส่วนคุณหมอสั่งข้าวแกงกระหรี่หมูทงคัตสึ กับไข่ออนเซ็น และซูชิแซลม่อนโรลอีกถาดใหญ่ ชาเขียวเย็น อากาศแบบนี้ยังสั่งน้ำเย็น คุณหมอต้องเป็นสัตว์เลือดเย็นแน่ๆ อยู่ในน้ำลึกได้โดยไม่เป็นอะไร ใช่ เพราะเขาคือปลาหมึกไง!  ขนาดอยู่ในรถยังเปิดแอร์ซะเย็นเฉียบถึงกระดูก ถ้าผมไม่บอกว่าหนาวขอลดแอร์เขาก็คงนั่งได้สบายๆ แบบไม่ทุกข์ร้อน

 “หนาวหรือไง ทำไมปากสั่นขนาดนั้น”

“ครับ เสื้อมันยังไม่แห้ง” ผมพูดพร้อมกระชับผ้าขนหนูผืนขนาด 2 ฟุตพันรอบคอ แต่มันไม่ค่อยช่วยอะไรเพราะผ้าก็ชื้นหลังจากใช้ซับน้ำจากเส้นผม

อยู่ๆ คุณหมอก็ลุกออกจากโต๊ะผมได้แต่มองตามงงๆ ว่าลุกไปไหน อาจจะไปเข้าห้องน้ำล่ะมั้ง

ไลน์กรุ๊ปเด้งตลอดเวลาถามว่าผมถึงหรือยังเป็นระยะ ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ไม่อยากจับมือถือบ่อยใจมันเตรียมจะกดเข้าเกมตลอด ไม่อยากเล่นตอนอยู่กับคุณดิมเดี๋ยวเสียมารยาท เขาขับรถเหนื่อยๆ ผมนั่งเล่นเกมสบาย เอาจริงนอกจากเกรงใจก็กลัวหัวร้อนแล้วด่าคนในเกมออกมามากกว่า เพราะมันจะดูสถุนถ่อยโคตรๆ เพราะแต่ละคำพ่อขุนรามต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่

พอเฌอถามถึงแก้วิจัยบทแรก ผมก็เครียดขึ้นมา เพราะยังไม่ได้เริ่มแก้เลยตั้งแต่ส่งไปครั้งที่แล้ว ว่าจะแก้เมื่อวานก็ดันเจอมรสุมชีวิตทำเอานอนไม่หลับตลอดคืน ชีวิตช่วงนี้มันก็จะพีคๆ หน่อย

“อะ”

ผมเงยหน้าจากมือถือที่ก้มตั้งแต่ร่างสูงใหญ่เดินไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเดินกลับมานั่งตรงหน้าเมื่อไหร่

 “เสื้อ ผมให้พนักงานไปเอาจากรถมาให้ ใส่สิจะได้ไม่หนาว”

ผมรับเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทายี่ห้อดังจากสุพรีมมา ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณที่เขาเมตตาผมขนาดนี้ คงกลัวผมจะป่วยตายไปจริงๆ

กำลังจะสวมเสื้อราคาแพงให้ตัวเองเพราะหนาวสุดๆ
 
“เดี๋ยว จะใส่ทั้งที่มีเสื้อเปียกๆ อยู่แบบนี้ได้ไง ไปถอดเสื้อออก เดี๋ยวเป็นปอดปวม”

“อ่าครับ”







แรกเริ่มที่จะสวมเสื้อตัวนี้ทับเสื้อนิสิตเปียกชื้น นั่นไม่ใช่ไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นหวัด แต่กลัวว่าจะต้องเอาร่างกายเปลือยเปล่าสวมเสื้อของผู้ชายที่รู้จักกันได้ไม่นาน ไม่ได้สนิทกัน และยังให้ยืมเสื้อตัวละตั้งหลายหมื่น มันจะดูแปลกๆ พิกลหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็อาจจะโดนคุณหมอเทศน์อีกหลายกัณฑ์ ครั้นพอสวมแล้วส่องกระจกดู โอ้โหนี่มันเสื้อยักษ์ใส่หรือไง ทำไมโคร่งขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็ก ก็ดูสมส่วนไม่สูง ไม่อ้วน แต่พอมาใส่เสื้อของคนสูงเกือบสองเมตร นี่เรามันก็แค่เสาบันไดบ้านเท่านั้นเอง ชายเสื้อเลยไปถึงต้นขา แขนยาวเกินแขนจริงตั้งเท่าไหร่ ไหนจะฮู้ดดูระเกะระกะเหลือเกินเมื่ออยู่บนตัวผม เอาเป็นว่าขี้เหร่เหมือนเดิม ช่างแม่งเถอะวะ ดีกว่าใส่เสื้อเปียก

 “คุณใส่เสื้อเบอร์อะไร ทำไมมันตัวใหญ่ขนาดนี้” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะเจอคุณหมอนั่งจ้องมือถือ อาหารก็เสิร์ฟมาครบแล้ว แต่คงต้องพับแขนเสื้อเยอะเลยกว่าจะจับตะเกียบได้

 “XL น่ะสิ”

 “ถึงว่ามันใหญ่มากๆ  แต่ก็ขอบคุณนะครับ ผมจะรีบเอามาคืน”

 “กินเถอะ ผมหิวแล้ว” คุณหมอบอกปัดพลางหักตะเกียบ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่อย่างกับว่าเสื้อตัวละ 299 ตามตลาด ขโมยซะดีมั้ง

 “ครับ” ผมพยายามพับแขนเสื้อสองข้าง เพราะมันยาวเกินกว่าจะกินอูด้งถนัด ไม่ดีแน่ถ้ามันร่นลงมาตอนซดน้ำแกง ซูพรีมxน้ำแกง ความแพงคงจบลง

“ยื่นแขนมา”

“ฮะ เอ่อ ครับ”

“จะพับให้ไง”

ท่าทางผมคงพิลึกพิลั่นเต็มทนคุณหมอเขาเลยเวทนาช่วยพับแขนเสื้อให้เสียดิบดี รับรองว่าไม่หล่นแน่ๆ

“ขอบคุณครับ จะกินละน้าา”

  “....”

 “อ่ะ ขอโทษครับ กินเถอะครับจะเย็นหมด”






“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”

คุณดิมเดินนำหน้าพร้อมผลักประตูออกจากร้านหลังเช็กบิลเรียบร้อยแล้ว ก่อนผมจะเดินตามหลังพร้อมยิ้มให้ผู้จัดการร้าน และแน่นอนว่ามื้อนี้เราหารกัน ใครสั่งอะไรก็จ่ายตามนั้นแหละ ก็บอกแล้วไงว่าแค่เราต้องมาทำตัวเหมือนสนิททั้งที่ไม่ได้สนิทก็กระอักกระอ่วนใจพอทนแล้ว ถ้าต้องเกิดมีคนเสนอเลี้ยงข้าวคงได้เกิดเดธแอร์อีกรอบ หารกันแหละแฟร์ๆ ดีไม่มีอะไรติดค้าง

นอกจากเสื้อราคาหลายหมื่นที่ผมต้องซักมาคืนเขาน่ะนะ


ขึ้นรถคาดเบลท์เสร็จก็ล้วงหามือถือ และเจอกับข้อความไลน์กรุ๊ปที่แจ้งเตือนเต็มหน้าจอ

เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

ผมกดอ่านข้อความหลายสิบอาจจะเกือบร้อยที่แจ้งเตือน แต่ที่ไม่ได้ยินเพราะปิดการรบกวนไว้เป็นนิสัยเวลาเล่นเกม ไม่อย่างนั้นต้องคอยเลื่อนแจ้งเตือนเวลาเกมเข้าตาจนตลอด มันจะทำให้แพ้ไง

สรุปใจความที่ได้อ่านส่วนใหญ่จะได้รับจากเฉอ และความเห็นของเมฆกับอาโปประปราย เป็นการแคปเนื้อหาข่าวของวันนี้ที่มีการแถลงข่าวเกิดขึ้น แต่ที่ข่าวลงช้าเพราะพี่ๆ นักข่าวคงเจอมรสุมพายุฝนเหมือนกัน ประเด็นคือแทบจะทุกสำนักข่าวที่มาวันนี้ แตะประเด็นที่ผมไม่ใช่เด็กเส้นน้อยมาก ดันไปเล่นประเด็นที่ผมเป็นเด็กหมอแทน โอ้โหห มันยิ่งกว่าไปกันใหญ่ มันไปกันโคตรใหญ่ เพราะประโยคที่คุณหมอเขาพูดประโยคเดียวเลย ไม่พอยังมีคลิปภาพตอนที่จู่ๆ คุณเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนคิดว่าการแถลงข่าวจบแล้วนี่แหละ มันเหมือนรอจังหวะที่คนไม่ได้สนใจแต่กลับมาทำให้ทุกคนสนใจได้เป็นหนึ่งเดียว ก็ยังพอเบาใจได้บ้างเพราะเนื้อข่าวที่เฌอแคปเจอร์มาจะเขียนไปในทิศทางที่บริษัทต้องการ คือ ตัดคำครหาที่ว่าผมเป็นเด็กเส้นไปได้ด้วย

แต่!! ประเด็นมันมีข้อความจากในทวิตเตอร์นี่สิ ที่เฌอแคปมาเยอะกว่าข่าวอีก
ที่สำคัญแฮทแท็กมันกลับมาอีกแล้ว


#มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ


เอ้าตอนแรกก็ด่าอยู่หรอก แต่พอหมอดิมเค้าพูดงี้ กูขึ้นเรือก็ได้ ไม่รู้ด้วยนะว่าเค้าจะได้เป็นตัวจริงมั้ย กูชิปไว้ก่อน5555555555555555555555555555  #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ

 #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ นี่มันอะไรกันนนนนนนนนนนนน ต้องกลับลำหรออออออ ดิมพูลล์ไม่ได้ไปต่อหรอ ดิมศิหรออออ ยังไม่ลงเรือโว้ยใจแข็งง แม้จะแพ้สายตาที่หมอเค้าพูดปย.นั้นก็เถอะ /ไหลตาย

*แนบรูป* ละเนี่ยยยยยยย ตอนแรกก็ไม่อะไรละ ในไอจีสตอรี่หมออะถ่ายติดแขนใครวะพับเสื้อ ข้อมือเล็กนิดเดียวแต่ไม่ใช่ข้อมือผู้หญิงแน่ ปกติหมอจะถ่ายแต่ที่รพ.ป่ะ หนอยยย ล่มเรือดิมพูลล์หรอ ดั้ยยยยยย   #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ

*แนบรูป* โคตรหิว อาหารดีๆ ในรอบอาทิตย์ หิวนี่หิวข้าวหรือหิวอะไรคะพี่หมอ มากินหนูมั้ยล่ะ /บิด #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ



เฮ้ย รูปนี้คือยังไง แล้วมาได้ไง ตอนไหน เพราะมันคือแขนผมชัดๆ แม้จะดูตั้งใจถ่ายอาหารตรงหน้า แต่ข้อมือขณะคีบเท็มปุระมันไม่ได้ดูเป็นจุดดร็อปของภาพเลยเหอะ ละแคปชั่นมันก็ธรรมดาๆ แต่ทำไมคนคิดไกลขนาดนี้

ชิปคืออะไร

เรือคืออะไร

ง๊งงงงงงงงงงง







ผมใช้เวลาในการอ่านข้อความอยู่นานและกำลังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ที่ผมละไปเสี้ยวนาที แต่เกิดเรื่องมากมายจนแทบจะตามไม่ทัน ดีที่เฌอเป็นสาวโซเชียลและเชี่ยวชาญในงานแคปงานเผือก ไม่อย่างงั้นผมคงรู้ตัวอีกทีตอนตลาดวาย

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมขมวดคิ้วขนาดนั้น หรือปวดท้อง?”

“เอ่อ ปะ เปล่าครับ” คำถามสไตล์คุณหมอดึงสติให้กลับมา เรื่องเมื่อกี้ทำให้ลืมไปเลยว่ากำลังนั่งอยู่ข้างคนที่เป็นเรื่องเป็นราวด้วย

“คุณดิมครับ เอ่อ รูปนี้น่ะ คุณดิมถ่ายหรอ”

“อะฮะ ไหนว่าไม่เล่นไอจี”

“พอดีเพื่อนแคปมาให้ คือ ตอนนี้มีคนแคปแล้วเอาไปลงทวิตเตอร์เพียบเลย จะเป็นอะไรมั้ย กลัวมีคนเข้าใจผิด”

“ผมถ่ายกับข้าวผม ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“แต่มันติดมือผมด้วย”

“ใครจะรู้ว่ามือเธอล่ะ”

“อ่า นั่นสิครับ”

ผมอาจจะกังวลไป ผมคงต้องสมัครทวิตเตอร์บ้างแล้วล่ะ ไม่ได้หรอกมีแฮทแท็กประจำตัวตั้งสองวัน เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง!


คุณหมอมาส่งผมที่คอนโดไม่ไกลจากมหา’ลัยมากเท่าไหร่ พ่อกับแม่ซื้อให้หลังจากที่ผมสอบติดที่นี่และคงสะดวกกว่าเดินทางไปกลับสยาม-ปากเกร็ด อีกอย่างท่านก็ทำงานด้านอสังหาฯ ด้วยกันทั้งคู่อยู่แล้ว การซื้อคอนโดใจกลางเมืองเพื่อเอาไว้เก็งกำไรในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่น่าลงทุน ดีกว่าไปเสียค่าเช่าทุกเดือนแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา นี่แหละครับพ่อแม่ผม แต่ไม่ใช่ว่าทำงานอย่างเดียวจนไม่ใส่ใจลูกนะ เพราะผมโทรหาม๊าทุกวันก่อนนอน และกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ แซลม่อนกับซูชิ หมาพันธุ์เฟรนช์บลูด็อกรอคอยการกลับไปของผมทุกวัน

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะถอดที่คาดเบลท์ออก

“แล้วก็ขับรถดีๆ นะครับ”

“ครับ ขอบคุณ”

เฮ้อ สิ้นสุดกันทีวันที่ยาวนาน






ใครว่า!!!







มีต่อ
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.02] (16/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 20-04-2018 17:28:13
ครืดดด ครืดดด

[MAMA]

“ครับหม่าม๊า”

(ไงเจ้าลูกชาย จะไปเป็นนักแสดงหรือไงจ๊ะ)

“เฮ้ย!! ม๊ารู้ได้ไงอะ”

(หนอยย จะไม่รู้ได้ยังไง ข่าวเต็มฟีดเฟซบุ๊กขนาดนี้) นี่ผมลืมไปได้ยังไงว่าคุณกฤติกาเป็นสาวโซเชียลขนาดไหน เผลอๆ เก่งกว่าผมอีก

“ก็..ก็มันหลายอย่างอะม๊า ศิไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง”

(ก็เริ่มตั้งแต่แรก มีเวลาฟังทั้งคืนจ้า ไคลแม็กซ์เลยนะห้ามลืมเรื่องคุณหมอคูลๆ คนนั้นด้วย)

ถึงกับต้องกุมขมับก่อนเรียบเรียงทุกอย่างแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างสองวันนี้ให้หม่าม๊าผู้ที่ผมไม่เคยปิดบังอะไรได้เลยในชีวิต เพราะม๊าเลี้ยงผมเหมือนเราเป็นทั้งแม่ ลูก เพื่อน พี่สาว และที่สำคัญเป็นนายธนาคารของผมด้วย ซึ่งเธอมีอำนาจใหญ่คับบ้าน สถานะการเงินผมจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ผู้กุมอำนาจคนนี้แหละ ยิ่งไปกว่านั้นม๊าจะเป็นคนที่สอนการแก้ไขปัญหา การให้ทางเลือก และชี้แนะตามประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งม๊าไม่เคยที่จะชี้นำให้ผมทำอย่างนั้นอย่างนี้เลยในชีวิต ม๊าให้โอกาสผมเลือกเองและทดลองเองเสมอ แม้อาจจะเป็นคนที่เรียนไม่เก่งแต่ม๊ารู้ว่าผมพยายามไม่แพ้คนอื่น แต่ให้ม๊ารู้ไม่ได้ว่าผมเล่นเกมหนักพอๆ กับอ่านหนังสือ ไม่งั้นคงต้องหาเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟเองแน่ๆ

“มันก็เป็นแบบนี้แหละครับคุณกฤติกา”

(ทำไมเมื่อวานไม่เห็นเล่าให้ม๊าฟัง ถึงว่าเอาแต่บอกว่าง่วงๆ คิดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่อง)

“พยายามแก้ปัญหาเองอยู่ไง เลยอยากลองดูก่อนจะปรึกษาม๊า”

(ก็ยังดีที่ทางผู้ใหญ่เขาให้โอกาส แต่ที่ม๊าฟังลูกก็อยากลองทำนี่ครับ ใช่มั้ย)

“อื้อ ม๊าว่ายังไง แอบฟังเขาคุยกันมาเขาบอกจะถ่ายช่วงปิดเทอม แต่ก็จะยาวกินไปตลอดเทอมสองเลย”

(ถ้าลูกอยากทำก็ต้องแบ่งเวลาให้ได้ ม๊ารู้ว่าลูกกังวลเรื่องเรียน แต่ม๊าเคยบอกแล้วไง ม๊าไม่ได้อยากมีลูกที่เรียนเก่ง ม๊าอยากมีลูกที่มีความสุขกับสิ่งที่เลือก จำได้มั้ย)

“ครับ”

(ถ้าอยากทำก็ทำให้เต็มที่ อย่าให้คนที่ให้โอกาสเราผิดหวัง โดยเฉพาะคุณหมอ ม๊าเชียร์เขาถ้าลูกได้เล่นก็เล่นคู่กับเขาแหละ เริ่ดสุด)

“ม๊าา ผู้ชายกับผู้ชายนี่นะ”

(ทำไมล่ะ 2018 แล้ว คนที่เหยียดเพศอะโคตรเอ้าท์)

“แล้วป๊ารู้หรือยังเนี่ย ไม่ช็อกไปแล้วหรอที่ลูกจะเล่นซีรีส์คู่กับผู้ชาย”

(เอาให้มันได้เล่นก่อนเถอะลูกหมา พูดซะอย่างกะเค้ารับแล้ว)

“เอ้า ม๊าเปิดลำโพงหรอ ก็ว่าแล้วเสียงอู้ๆ ป๊าไม่ต้องมาล้อเลย เดี๋ยวจะดังแบบที่มีรายการไปถ่ายเปิดบ้านดาราเล้ย”
(เอ้อ เอาเล้ยยย เดี๋ยวให้ป้าวรรณทำความสะอาดบ้านรอ โอกาสที่บ้านสถาปนิกมือทองจะได้โชว์ผลงานละเว้ย)

(มือทองเมื่อ 20 ปีที่แล้วน่ะหรอคะ เลิกคุยๆ ม๊าจะไปอาบน้ำนอนละ ไว้พรุ่งนี้โทรหาใหม่นะจ๊ะคุณภามาส อิอิ)

“คร้าบบ รักป๊ากับม๊านะ”



นี่แหละครับบ้านผม เรามีกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก และหมาอีกสองตัว รวมถึงป้าวรรณที่อยู่กับบ้านเรามานานมากๆ น่าจะก่อนผมเกิดซะอีก แม้ครอบครับผมจะเลี้ยงดูและให้คำสั่งสอนผมอย่างดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนที่น่าจะเป็นความหวังของบ้านได้เท่าไหร่ ป๊าม๊าไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผมเรียนไม่เก่งและอยู่ระดับกลางๆ ต่างจากป๊าที่เป็นนักเรียนทุนของมหาลัยได้ไปศึกษาต่อด้านสถาปนิกที่ฝรั่งเศส ส่วนหม่าม๊าก็จบปริญญาโทด้านการบริหารการเงิน และเคยเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารชื่อดังของประเทศก่อนจะออกมาทำธุรกิจด้านอสังหาพร้อมกับป๊า ตอนแต่งงานกันได้ 10 ปีแรก ตอนนั้นผมน่าจะอายุประมาณ 5 ขวบได้มั้ง แม้จะขรุขระในการเริ่มธุรกิจของตัวเองแต่ท่านสองคนก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยยังทำหน้าที่พ่อและแม่อย่างดี กลับบ้านทุกวัน กินข้าว เล่านิทาน เล่นกับผม มารู้ตอนที่เข้า 10 ขวบ ว่าพอท่านส่งผมเข้านอนแล้วก็ต่างทำงานต่อจนดึกดื่นทุกคืน สิ่งนี้เลยเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจและกังวลใจกลัวว่าจะทำให้พวกท่านผิดหวัง

การได้โอกาสในเส้นทางนักแสดงครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะทำให้ท่านทั้งสองที่ผมรักมาก ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ก็ได้

ไป! ออก! ไป! สู้!




ออกจากห้องน้ำหลังนอนแช่น้ำอุ่นเกือบยี่สิบนาที ไม่พอเกือบหลับเพราะสบายเกินไป ได้หยุดพักร่างกายและความคิดที่วกวนจากหลายๆ เรื่องที่เผชิญในวันนี้มันก็ดีเหมือนกัน

ขณะที่เช็ดผมที่เริ่มหมาด เสียงเตือนว่ามีการขอให้รับวิดีโอคอลจากใครสักคน เลยพุ่งไปที่แมคแอร์ที่เปิดไว้ว่าจะแก้วิจัยในคืนนี้

อ้อ เฌอ นี่เอง

แต่พอรับแล้วกลับพบเพื่อนอีกสองคนนั่นก็คืออาโปและเมฆกับสภาพผมยุ่งใส่แว่นทั้งคู่ จริงๆ กลุ่มเราสายตาสั้นทั้งกลุ่ม แต่สามคนเขาเลือกที่จะใช้คอนแท็กเลนส์ประจำวันกัน ส่วนผมก็เลือกใส่แว่นเฉพาะเวลาเรียนและนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ

(ช้าว่ะศิ คอลไปหาตั้งแต่สองทุ่มกว่า นี่สามทุ่มละ)

“อาบน้ำไง มีไรอ่ะ เรื่องข่าวมีอะไรอีกมั้ย”

(ยิ่งกว่าข่าวว่ะศิ กูว่ามึงต้องสมัครทวิตเตอร์แล้วแหละ) อาโปพูดพลางเลื่อนมือถือของตัวเอง และโชว์ภาพบางอย่างให้ผมดู

“มองไม่ชัดเลยอะ ภาพอะไรวะ”

(มึงก็ไปใส่แว่นสิโว้ยยยย) เฌอโวยวายขึ้นมา เออว่ะ แว่นไม่มีจะมองเห็นอะไรชัด เป็นคนตลกนะเนี่ยศิ

“เออๆ โทษๆ ใส่ละ ไหนเอามาใกล้ๆ จอหน่อย”

อาโปเอามือถือไอโฟนเอ็กซ์ที่เพิ่งถอยมาไม่กี่เดือนก่อนใกล้กล้องแมคโปรของตัวเองมากขึ้น ภาพนั้นเหมือนแอบถ่ายจากร้านอาหาร เห็นผู้ชายคนนึงที่ยืนข้างโต๊ะอาหารใส่เสื้อแขนยาวฮู้ดสีเทายี่ห้อสุพรีม

เดี๋ยวนะ..

ผู้ชายที่นั่งที่โต๊ะใส่เสื้อสีกรมท่าแขนยาวพับแขน

โอ้โหหห ชัดเลย ชัดดดดด

ประเด็นคือแคปชั่นในรูปนี่แหละ “ผู้ชายเสื้อสีกรมท่านี่เห็นแค่หลังยังรู้เลยว่าเป็นหมอดิม แต่คนที่ใส่เสื้อสุพรีมตัวใหญ่กินมือนี่คุ้นๆ นะคะ ทำไมรูปที่มีคนถ่ายได้เมื่อวานตอนงานแคสต์กับสิ่งที่เห็นมันเหมือนคนละคนเลย เนี่ยดูสิเสื้อกินมือนุมากๆ ตัวเร้กๆ เขิงงง ยืนยันว่าคุณหมอเค้ามากับใคร”

(มึงไม่ต้องอึ้ง ยังไม่หมดเพียงเท่านี้) อาโปเลื่อนรูปภาพที่ถูกแคปลงไว้ในอัลบั้ม

ภาพนี้เป็นภาพขณะคุณหมอสั่งให้ผมยื่นแขนไปตรงหน้าเพื่อที่จะพับแขนเสื้อไซส์ใหญ่ให้ผมกินข้าวได้สะดวก และมันก็เป็นการช่วยเหลือหลังจากที่คุณหมอเห็นความยุ่งยากในการจัดการเสื้อตัวโคร่งของผมเอง และมันก็ไม่สำเร็จสักที แต่นั่นแหละในรูปมันพูดไม่ได้ซักหน่อย

“เค้าพักแขนเสื้อให้กันด้วยโว้ยยยยยยยยยยยยยยฟานกานยดดากสยนไหยดาดอนดานานดานเวนำก่”

ฉิบหายมาก ฉิบหายมากๆ

ไหนคุณหมอดิมเขาบอกว่าไม่มีใครรูัไงว่ารูปที่หมอลงในไอจีมันไม่มีคนรู้ว่าเป็นผม หมอคิดผิดมากๆ เลยแหละครับ และตอนนี้เหมือนกำลังฆ่าผมให้ตายอีกรอบ ไม่รู้จะโดนด่าอะไรบ้าง ตอนแรกที่จะสมัครทวิตเตอร์ดู ตอนนี้ไม่เอาแล้วแหละ กลัวเข้าไปเห็นความเห็นไม่ดี กลัวจะต้องมานอยด์อีกรอบ

ทวิตเตอร์นี่อยู่ยากจังเลยนะครับ

(ศิ ศิ เห้ย มึงอย่าเพิ่งเครียด) เป็นเสียงเมฆที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดลบที่กำลังจู่โจมให้ผมเริ่มจะรู้สึกแย่และกังวลอีกครั้ง

“แฟนคลับเขาต้องด่าอีกรอบแน่ๆ เลยอะ ทำไงดี”

(จากที่กูอ่านๆ นะเพื่อนยาก สาววายพากันดิ้นจะตายละ มีแต่คนฟิน มีส่วนน้อยนะที่ไม่พอใจ เพราะว่าเขาชิปเรือดิมพูลล์ไง)

“อะไรคือชิปอะเฌอ”

(ชิป ย่อมาจาก ชิปเปอร์ รากศัพท์น่าจะมาจากคำว่าเรือในภาษาอังกฤษมั้งกูไม่แน่ใจ ส่วนใหญ่พวกสาววายเขาจะใช้ สาววายมึงคงรู้จัก ทีนี้เขาก็จะเชียร์คู่ผู้ชายที่ตัวเองชอบ อย่างหมอดิมกับพูลล์ ก็เรียกว่าเรือ สมมติมีโมเม้นต์ก็แบบเรือกูแล่นแล้วอะไรแบบนี้ ถ้าไม่มีโมเม้นต์ชงเอง ก็แบบกูพายเองก็ได้ ทำนองนี้ เดี๋ยวมึงก็เข้าใจเองแหละ เพราะมึงกำลังจะเล่นซีรีส์วายไงจ๊ะ)

“อ่าาา งงๆ แต่ก็เข้าใจแหละมั้ง แล้วสาววายเขาลงเรือกูกับหมอดิมงี้หรอ ตอนนี้ที่จะบอก”

(เอออ เพราะรูปมึงเมื่อวานกับวันนี้แม่งคนละเรื่อง ตอนแรกพวกที่ด่ามึงก็บอกว่ามองผิดไป ทำนองนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่ก็บอกว่ามึงน่ารักเหมือนที่หมอดิมบอกตอนงานแถลงข่าว แอร๊ยยยยยยย กูเขินอะ)

“หรอ แต่ก็มีคนด่าอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ เขาคงไม่พอใจ อีกอย่างทำแบบนี้เหมือนมันข้ามหน้าข้ามตาคนที่ได้เข้ารอบคนอื่นเลย”

(ไม่เกี่ยวป่ะวะ เพราะก็ยังไม่ได้คัดเลือกตัวจริงซักหน่อย หมอดิมก็ยังไม่ได้เป็นพระเอกเหอะ ไม่ใช่ว่ามึงมีกระแสแบบนี้กับพี่เขามึงจะได้เล่นป่ะ พี่เจี๊ยบเขาไม่เอาคนที่เล่นไม่ได้หรอก) อาโปพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

(บวกอาโป) เมฆที่นั่งเงียบฟังมานานพูดขึ้น

(กูว่ามึงต้องเล่นไอจีแล้วแหละ แต่หลังจากนี้สักวันสองวัน เดี๋ยวจะหาว่าเกาะกระแสตรงนี้เอายอดฟอลอีก) เฌอเสนอ

“คือกูไม่เห็นความจำเป็นอะ”

(มันจำเป็นเว้ย อย่างน้อยๆ เอาไว้เป็นพื้นที่ในสื่อโซเชียลของตัวเอง มึงไม่ได้เป็น someone แล้วนะ มึงเป็น somebody ที่มีคนรู้จักแล้ว) อาโปที่เข้าใจวงการมายาอธิบายให้เข้าใจถึงอิทธิพลของโลกเสมือนที่คาบเกี่ยวโลกจริงอย่างแยกไม่ได้

“แต่กูไม่รู้จะเอาไว้ลงรูปอะไร พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบถ่ายรูป”

(ก็นึกอยากลงค่อยลง อีกอย่างมึงเลิกคิดซักทีว่าตัวเองขี้เหร่ ถ้ามึงขี้เหร่ขนาดนั้นเขาจัดให้มึงเข้ารอบป่ะ ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองดีดีดิ๊ ขาวก็ขาวกว่ากู หน้าก็ใสกว่ากูที่เป็นผู้หญิง เอาอะไรมาขี้เหร่ มึงนี่พิมพ์นิยมหนุ่มน้อยหน้าใสที่สุดแล้ว)

“ก็กูขี้เหร่กว่าเมฆกับอาโป”

(โอ้ยยยยย) เพื่อนสามคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ผมได้แต่ก้มหน้าแล้วยู่ปาก บ่งบอกจากความไม่เคยมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง เพราะมีเพื่อนสองคนที่หน้าตาดีมากๆ ขนาบข้างตลอด เวลาลงรูปในไอจีก็จะไปโผล่ในเพจคิ้วท์บอยของมหาลัยบ่อยๆ แม้มันสองคนจะไม่ค่อยพอใจเพราะแอดมินไม่เคยมาขอ และเมฆปฏิเสธในการร่วมงานใดใดกับทางเพจเพราะไม่อยากเสียพื้นที่ส่วนตัวในมหาลัย จะมีก็แต่อาโปที่ปฏิเสธยากเพราะมีงานในวงการ เดี๋ยวจะหาว่าหยิ่ง แม้จะนึกรำคาญแอดมินอยู่หน่อยๆ

(งั้นพรุ่งนี้ไปตัดผม เลิกไว้ผมยาวๆ ปิดหน้าปิดตาซะที เดี๋ยวกูจะพาไปร้านดังที่เซเลบทำกันเลย จะได้รู้ตัวซะทีว่ามึงอะน่ารักอย่างที่หมอดิมเขาว่า เนี่ยพูดอีกกูก็เขินอีก)

“เขินอะไรเล่า เขาก็พูดเบี่ยงเบนประเด็นข่าวไปงั้นแหละ”

(แล้วมันก็ได้ผล เพราะตอนนี้มึงไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ แอร๊ยยยยยยยยย กูไหลตายดีกว่า เขินโว้ยยย)

เฌอสาวห้าวของกลุ่มเอาหมอนใบใหญ่มาปิดหน้าบังอาการที่เรียกว่าอะไรนะ “ฟิน” ใช่มั้ย ของตัวเอง เพื่อนผมก็เป็นสาววายหรอเนี่ย




หลังจากพูดคุยกับพวกนั้นอีกนิดหน่อย ก็ปิดหน้าจอแมคแอร์ลง และพาตัวเองเดินไปที่เตียงอย่างลอยๆ ก่อนจะล้มตัวลง แม่งเป็นวันที่ยาวนาน ยาวนานจริงๆ ใจที่คิดว่าจะแก้งานวิจัยเลยหมดอารมณ์ทำ สมองที่ว่างเปล่าในเรื่องงานกลับคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อีกครั้งอย่างถี่ถ้วน นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับผมเหมือนกัน จากคนที่ไม่เคยอยากเอาตัวเองไปวุ่นวายกับอะไร ชอบอยู่ในที่ของตัวเอง เซฟโซนของผมมีแค่บ้าน มหาลัย คอนโด และที่ที่มีเพื่อนๆ อีกสามคนอยู่ด้วย หากแต่ตอนนี้กลับเอาตัวเองเข้าไปอยูในวงล้อมของผู้คนมากมาย สองวันมานี้ผมพบเจอคนแปลกหน้าไม่ต่ำกว่า 20 คนได้มั้ง กำลังคิดหาสาเหตุว่าทำไมตัวถึงทำแบบนี้

หน้าคุณหมอดิมก็ลอยเข้ามา อาจจะใช่มั้ง….

สายตาที่เหมือนเชื่อในตัวผม อย่างที่ไม่เคยมีคนทำให้รู้สึกมาก่อน
สายตาแกมข้อร้องให้ลองค้นหาศักยภาพของตัวเองดู
สายตาที่ทำให้ผมเชื่อว่าตาผมสวยจากคำที่เขาชม

   
ถ้าไม่ใช่เขา ผมอาจจะไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พอคิดได้แบบนี้ก็ยกยิ้มอย่างที่ใจมันพองไม่น้อย

นอนคิดอะไรเพลิน ดูนาฬิกาดิจิตอลข้างหัวเตียงปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนเข้าแล้ว เลยหยิบรีโมทกำลังจะปิดไฟในห้อง


ติ๊ง


เสียงข้อความเข้า เป็นเสียง i massage ไม่ใช่ไลน์อย่างปกติ

“อย่าคิดมากล่ะ อีกสามวันเจอกันที่ตึก D”

ไม่ต้องหาคำตอบแล้วล่ะว่าใครกันที่ส่งข้อความมาให้ผมก่อนวันแถลงข่าว เจ้าของเสื้อยี่ห้อดังที่แขวนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าบิ้วท์อินในห้องแต่งตัว



เป็นเพราะเขาจริงๆ นั่นแหละ





------To be Continued------







เรารู้สึกว่าตอนนี้คุณหมอเค้าน่ารักนะ แบบว่าดูใส่ใจคนรอบข้างดี

หรือเพราะเป็นคนนี้เลยใส่ใจ อิอิ

ไม่รู้ว่าอธิบายลักษณะของศิไปชัดเจนแค่ไหน แต่สปอยด์ตอนหน้าภาพของน้องศิจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ฝากให้กำลังใจนายเอกมือใหม่ของเลาโด้ย



#เพียงจินตนาการ

#หมอดิมน้องสิ



@mifengbeexx



บี
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】#หมอดิมน้องศิ - [EP.03] (20/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vivierav ที่ 21-04-2018 20:47:56
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

เขินอะค่ะ คุณหมอซึนหรืออะไร
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.03 - เสื้อกินมือ (20/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 22-04-2018 08:08:57


นิยายวายใสๆ วัยกรุ๊งกริ้ง. สะอาดๆ

น่ารักดีอ่ะ.  ทั้งครอบครัวและเพื่อนพ้อง

รออ่านหมอดิม_ศิ จ้า



 :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:

หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.03 - เสื้อกินมือ (20/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: biibbmnt ที่ 22-04-2018 20:42:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.04 - ความลับที่ทุกคนรู้ (24/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 24-04-2018 22:18:31
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.04 ความลับที่ทุกคนรู้
[/size]

I finally found you, my missing puzzle piece. I'm complete






ขับรถมาถึงโรงพยาบาลตอนประมาณสองทุ่มกว่า ยังคงมีผู้ป่วยและญาติวนเวียนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งปกติที่เห็นจนชินตา ผมถือเสื้อกาวน์สั้นและกระเป๋าเป้เดินตรงไปยังห้องพักแพทย์แผนกศัลยกรรม จริงๆ วันนี้ไม่ใช่เวรผมแต่ขอเข้าเวรแทนหมอตั้ม เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนต่อเฉพาะทางพร้อมกัน เพื่อที่เก็บเวลาเข้าเวรให้มากที่สุดก่อนที่จะต้องไปเวิร์กช็อปภายในอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้ มีขึ้นราววอร์ดตรวจคนไข้ที่พักฟื้นหลังผ่าตัดประมาณ 2-3 เคส ตอนประมาณ 3 ทุ่มก่อนจะให้คนไข้พักผ่อน และจากนั้นคงใช้เวลาเขียนรายงานสรุปเคสทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อส่งให้กับอาจารย์หมอเจ้าของเคส

การเรียนต่อเฉพาะทางในปีแรกของผมเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะการจัดการชีวิตตัวเองให้แบ่งเวลาทำทุกอย่างได้อย่างลงตัว และต้องเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี ซึ่งการได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 2 คนในการเรียนต่อเฉพาะทางด้วยทุนของโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการแข่งขันสูงมาก ถ้าไปเรียนด้วยทุนตัวเองคงใช้เงินมหาศาล ในตอนแรกคุณแม่ก็ไม่ได้อยากให้เรียนต่อเพราะเรื่องที่ต้องไปอยู่โรงพยาบาลชุมชนตามต่างจังหวัด และกลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าลูกชายนาน อีกอย่างคงกลัวผมลำบาก เพราะตอนที่ผมใช้ทุนตอนจบป.ตรี ก็เป็นโรงพยาบาลศูนย์ใกล้กรุงเทพฯ แต่ใช้ทุนเรียนเฉพาะทางจะได้ไปในที่ชุมชนที่ต้องการแพทย์เชี่ยวชาญตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่ แต่แม่คงลืมไปว่าลูกชายคนนี้ไม่เคยกลัวความลำบาก และท่านก็เคยขอร้องให้ออกมาทำอาชีพนักแสดง แต่ผมปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด ทำไม่ได้หรอกครับ ผมรักในอาชีพแพทย์ เรียนมาตั้งนานใช้เงินรัฐไปตั้งเท่าไหร่ วิชาความรู้ที่เรียนมาช่วยคนได้อีกมากมาย จะให้ทิ้งเพราะกลัวเหนื่อย กลัวลำบาก คงผิดกับที่ให้ปฏิญาณไว้ในวันรับเสื้อกาวน์


   
จ้องคอมพ์เขียนเคสอยู่นาน ก็มานึกได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้โทรหาเกลเลย ไม่รู้ตอนนี้จะนอนหรือยัง แต่ก็แปลกว่าทำไมไม่ได้รับสายจากใคร พอจับมือถือขึ้นมาเท่านั้นแหละ

แบตหมด เวรละ

ก็ว่าทำไมโทรศัพท์เงียบขนาดนี้ ปกติจะมีไลน์จากเกลมาบ้าง หรือไม่ก็ไลน์ของพี่ๆ ในโรงพยาบาลวอร์ดต่างๆ ที่เอาไว้คุยเล่นกัน

เสียบสายชาร์จและรอเปิดเครื่องไอโฟนเจ็ดพลัสสีดำ พอเจ้ามือถือได้แบตเตอรี่ก็แสดงแมสเสจแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับจากเกลสิบสี่สาย และแม่อีกสองสาย ไม่พอยังมีข้อความจากไลน์ของเกลอีกหลายสิบประโยค

ผมยกมือขึ้นลูบปากอย่างเครียดๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลายอย่างคงสร้างความไม่เข้าใจและไม่พอใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของผู้ชายที่ออกตัวปกป้องผู้ชายอีกคนด้วยถ้อยคำสองแง่สองง่าม แม้อธิบายได้ว่าเป็นเรื่องงานรวมถึงสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้กับสิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแย่ และไร้ซึ่งคำอธิบายจากผู้ชายที่เธอมอบความรักให้

ตู๊ดด ตู๊ดด ตู๊ดด

รอปลายรับอย่างใจจดจ่อ นี่ก็เกือบเที่ยงคืนกลัวว่าเกลจะเพลียจากงานจนหลับไปก่อนที่เราจะได้ทำความเข้าใจ

(ค่ะ ดิม)

“เกล แบตดิมหมดครับ”

(ค่ะ เกลพอรู้ แต่หมดนานนะคะเกือบครึ่งคืนเลย)

“ขอโทษนะ กลับจากแถลงข่าวแล้วก็รีบมาทำงานเลย เพราะต้องมีรายงานเคสส่งอาจารย์พรุ่งนี้”

(ค่ะ)

“เกลไม่เป็นแบบนี้สิครับ ดิมขอโทษจริงๆ นะ”

(ไม่อยากได้ยินคำขอโทษแล้วค่ะ เกลฟังบ่อยมาก อยากให้อธิบายเรื่องวันนี้มากกว่าแค่มันคืองาน)

“เฮ้อ คือ จริงๆ มันก็เป็นคำอธิบายเดียวที่ดิมจะให้ได้ ดิมสงสารน้องเขาที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะดิม เลยทำแบบนี้เพื่อเบี่ยงประเด็นไป”

(ชมผู้ชายว่าน่ารักเนี่ยนะ จะบ้าหรอคะ)

“ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น นักข่าวก็จะรุมทึ้งน้องมันไม่เลิก ไหนๆ ก็เล่นซีรีส์วายแล้วยังไงวันหนึ่งผมก็ต้องเจอข่าวแบบนี้อยู่ดี”

(หึ ซึ่งเกลไม่เคยเห็นด้วยและไม่เคยเข้าใจกับการที่ดิมเลือกรับงานแบบนี้)

“เกลครับ เราเคยคุยเรื่องนี้กันจริงจังแล้วนะว่าเกลจะไม่ตัดสินเรื่องงานของดิม”

(แต่เรื่องนี้มัน…)

“มันแค่งาน โอเคมั้ย ทุกอย่างที่ดิมทำมันแค่งาน ไม่มีเรื่องอื่นทั้งนั้น ดิมเห็นเขาเหมือนน้องชาย แค่นั้น”

(แต่งานนี้มันส่งผลต่อภาพลักษณ์ดิมนะคะ คนอื่นจะติดภาพว่าคุณเป็นเพศที่สามไป ไหนจะความเป็นหมอของคุณอีก)

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง คนไข้เขาไม่เลือกหมอว่าเพศไหนหรอกครับ เพราะหมอทุกคนมีหน้าที่ดูแลคนไข้ อีกอย่างผอ.โรงพยาบาลและอาจารย์ทุกคนดิมคุยก่อนที่จะตัดสินใจแล้ว พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร”

(เฮ้อ เกลยอมแพ้ค่ะ แต่ต่อไปเวลาไปทำงานเกี่ยวกับละครดิมต้องรับโทรศัพท์เกล โอเคมั้ยคะ)

“ดิมจะโทรหาเกลเองเลยดีกว่า โอเคมั้ยคะ”

(ไม่ต้องมาคะขาเลย กินข้าวหรือยังคะ)

“เรียบร้อยแล้วครับ แต่เดี๋ยวผมต้องไปช่วยแผนกฉุกเฉินหน่อย มีพยาบาลบอกว่ามีเคสด่วน”

(โอเคค่ะ เกลคิดถึงดิมนะ ดูแลตัวเองด้วย)

“ดิมก็คิดถึงเกลค่ะ ออกเวรจะไลน์บอกนะครับ”

สิ่งหนึ่งที่เกลไม่เหมือนคนอื่นคือการยอมรับและพยายามทำความเข้าใจกับผมในทุกๆ เรื่อง แม้บางเรื่องมันไม่ควรจะเข้าใจแต่เธอก็เข้าใจมาตลอดตั้งแต่เราคบกัน และมันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าผมเห็นแก่ตัวที่ให้แต่เธอยอมรับและพยายาม แต่ตัวผมกลับไม่ได้ทำอะไรให้ความสัมพันธ์ของเราคืบหน้ามากไปกว่านี้ ป่าวประกาศบอกใครก็ไม่ได้ รู้แค่วงแคบๆ คือครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของเราเท่านั้น เพราะหลายๆ อย่างมันส่งผลกับทั้งผมและเกลเอง อย่างงานนี้ถ้ามีใครรู้ว่าผมมีแฟนคงเป็นความลำบากในการทำงานของทีมงาน ผมหวังว่าจะได้บทดีๆ นี้ จะได้เป็นบททดสอบของตัวเองอีกขั้น ซึ่งถ้ามันเป็นไปอย่างที่หวัง จากที่ลองไปศึกษามา การจิ้นของแฟนซีรีส์มันมีอิทธิพลมากมายเกินกว่าที่จะเอาเกลเข้ามาเกี่ยวพัน การที่ต้องเห็นเกลโดนตัดสิน เปรียบเทียบ หรือแม้จะถูกสืบค้นประวัติ เป็นเรื่องที่ผมยอมไม่ได้ นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะปกป้องเธอจากเรื่องนี้ คือ การไม่เอาเธอมาเกี่ยวข้องตั้งแต่แรก

ยังดีที่เกลไม่รู้เรื่องในทวิตเตอร์ เธอเป็นสาวลูกเจ้าของนักธุรกิจ และก็เป็นนักธุรกิจที่ไม่ได้สนใจโซเชียลมากไปกว่าการเอาไว้รับข่าวสาร ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่โคตรจะดี ไม่อย่างนั้นคงได้ซักผมจนขาวเรื่องภาพที่มองยังไงใครก็รู้ว่าผมไปกินข้าวกับเด็กคนนั้น จุดพีคคือจังหวะที่พับแขนเสื้อที่ผมให้เขายืมใส่ก่อนจะปอดบวม มีอย่างที่ไหนวิ่งฝ่าพายุฝนเพื่อหาที่จอดรถให้ผม ถ้าสมมติตอนวิ่งมีรถสวนมาจะทำยังไง ไหนอาจจะต้องป่วยอีก ที่สำคัญเลยเขาไม่รู้ตัวว่าเสื้อนิสิตน่ะบางแค่ไหนเวลาเปียกน้ำ ซึ่งเวลานั่งหันหน้าเข้าหากันมันทำให้ผมเห็นหมด หัวนมสีอะไร มีกล้ามมั้ย หรือมีพุง น่าเวทนาขึ้นไปอีกเพราะปากสั่นหงึกๆ เลยต้องให้พนักงานไปหยิบเสื้อแขนยาวที่ติดรถเอาไว้ไปฟิตเนสมาให้เด็กที่สั่นเหมือนเจ้าเข้าเพราะหนาว

แววตาใสตอนที่เห็นข่าวตัวเองก็ตื่นตูมจนนึกขำในใจ สงสัยไม่เล่นโซเชียลอะไรเลย เป็นคนรักสันโดษหรือไง ขนาดผมที่ไม่ค่อยมีเวลานอนแต่ยังไงก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ไว้ มันดีตรงที่เราทันเหตุการณ์ข่าวสาร ยิ่งการค้นพบหรืองานวิจัยที่เจ๋งๆ บางทีสำนักข่าวก็รู้ก่อนคนที่เป็นหมอเสียอีก นั่นเป็นข้อดี แต่ข้อเสียก็นะ มหาศาลเหมือนอย่างที่เด็กศิเจอเมื่อวาน

ไม่รู้ป่านนี้จะหูตกไปหรือยัง เพราะรูปที่โดนแอบถ่านว่อนทวิตเตอร์ขนาดนี้
   

“อย่าคิดมากล่ะ อีกสามวันเจอกันที่ตึก D”

สไตล์เดิม เพิ่มเติมคือให้กำลังใจเขาหน่อย จะได้มีแรงฮึดสู้ อาการหางตาตก หูหลูบ นี่ไม่ค่อยเหมาะ สีหน้าดีใจตอนเห็นของกินตรงหน้าดูท่าจะเหมาะกว่า ถึงว่ามีพุงน้อยๆ นะนั่นตัวแค่นี้







วันอาทิตย์แบบนี้ปกติผมจะใช้เวลานอน เล่นเกม กิน ทำการบ้านบ้าง นอน เล่นเกม วนไปแบบนี้เป็นวัฏจักรศิรัสอีสแฮปปี้ที่สุดเลย แต่ความหวังของผมพังทลายตั้งแต่เฌอมากดออดที่หน้าประตูตั้งแต่ 9 โมงเช้า ก่อนเวลาตื่นปกติของผมตั้งสองชั่วโมง โหจิตใจจะฆ่ากันให้ตายหรือไม่อย่างไร ไม่พอยังบังคับให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ให้ผมขับรถตัวเองไปห้างย่านเพลินจิต  เพราะขากลับเธอบอกว่าขี้เกียจวนรถมาส่งให้ผมกลับเอง เฮ้ย แบบนี้ก็ได้หรอวะ ได้แหละใครจะเถียงคุณเฌอลักษณม์ได้ล่ะ ลองเถียงสิโดนด่าย้อนอดีตถึงเรื่องที่คุณเคยทำไม่ดีไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14

เหอะ

“ถึงแล้ว กำลังจอดรถ” เฌอโทรตามหลังจากที่ถอยรถเข้าซองได้เสี้ยววินาที อะไรจะขนาดนั้น นี่ผมยังงงอยู่เลยว่าทำไมถึงต้องนัดเจอกันที่นี่มีอะไรพิเศษ เฌอเล่นไม่บอกอะไรเลย

“ศิ” ดีที่เช้าขนาดนี้แถวนี้ยังไม่มีคนมากเท่าไหร่ เฌอตะะโกนซะดัง

“เบาๆ ก็ได้เฌอ พามาที่นี่ทำไมเนี่ย”

“เอาน่า ป่ะกินข้าวกันก่อน ค่อยว่าทีหลัง มึงหิวกูรู้นะ”

“หราาา” ผมทำหน้าใส่เฌออย่างเอือมๆ เป็นสีหน้าที่น้อยครั้งจะได้ทำ เพราะปกติเฌอจะทำใส่ผมมากกว่า

เรานั่งในร้านอาหารไทยฟิวชั่น ซึ่งเป็นร้านประจำของพวกเรามีมาหลายสาขา เวลานัดกันกินข้าวข้างนอกถ้าคิดอะไรไม่ออกก็จะมาร้านนี้ มีเมนูหลายอย่างที่พวกเราชอบและกินได้ไม่เบื่อ

“ขอเซตอาหารเช้าครับ แล้วก็ซีซ่าสลัด ชาเขียวร้อน”

“ข้าวไข่ข้นเบค่อนแฮม แกงจืดเต้าหู้ไม่ใส่กระเทียม แล้วก็น้ำเปล่าค่ะ”

“เอ้อ เดี๋ยวเมฆมาด้วยนะ”

“นี่ตกลงมีเรื่องอะไรกันอะ ทำไมต้องนัดเจอกันวันอาทิตย์ด้วย ปกติเราจะไม่ค่อยเจอกันวันนี้นี่ ที่สำคัญกูไม่รู้เรื่องก่อนด้วย ไปนัดนอกรอบใช่มั้ย”

“เออน่า เดี๋ยวเมฆมาก็รู้เอง อาโปตอนแรกก็จะมาแต่ว่านางติดงานเดินแบบไรไม่รู้”

ความไม่น่าไว้ใจเปล่งประกายออกมาจากนัยตาใสของเพื่อนผู้หญิงตัวเล็กที่วันนี้เลือกใส่เสื้อครอปแขนกุด และกางเกงผ้าเทโรทรงกระบอกขาเต่อ รองเท้าผ้าใบสีขาว แต่งตัวสวยกว่าปกตินะเนี่ย ต้องมีอะไรแน่ๆ ที่ปกติเราจะนัดเจอกันแถวสยามไม่ก็ฝั่งบ้านเมฆย่านรามอินทรา แต่นี่นัดเจอกันที่เพลินจิต มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

นั่งกินข้าวไปไม่นานเมฆก็มาพร้อมกับสไตล์คนหล่อที่ใส่แค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าแตะแบบคาด ก็ดูหล่อกว่าผมตั้งเท่าไหร่ ยิ่งวันนี้แทบไม่มีเวลาเลือกเสื้อผ้าเลยหยิบเสื้อยืดบางลองเซียการ์สีกรมท่ากับกางเกงผ้าขากระบอกสีเทาที่สั่งผ่านอินเตอร์เน็ตมา รองเท้าก็คอนเวิร์สสีขาว แถมวันนี้ใส่แว่นด้วยเพราะเฌอไม่ให้เวลาใส่คอนแท็กเลนส์ ผมก็ไม่หวี เอาเป็นว่ารวมๆ ขี้เหร่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหน้าง่วง

ใช้เวลาจัดการอาหารเช้าไม่นาน เฌอก็พาเดินออกจากห้างมาซอยใกล้ๆ ผ่านร้านรวงตามข้างทาง จนมาหยุดที่เอเวอนิวแห่งหนึ่ง ผมเคยขับรถผ่านแต่ไม่เคยเข้ามาในนี้ เฌอพาเดินเข้ามาข้างในก่อนจะขึ้นลิฟท์พาไปชั้นสอง ก็เจอกับร้านตัดผมตกแต่งสไตล์โมเดิร์น

เดี๋ยวนะ นี่หลอกผมมาตัดผมหรอ

“เห้ย ไม่เอา ไม่ตัด”

“มึงต้องตัดค่ะ มาเร็วกูโทรมาจองกว่าจะได้คิว” เฌอถูลากถูกังผมเข้ามาในร้านตัดผมสุดหรู

“เอาน่าศิ ตัดเถอะกูรำคาญผมทรงหมาพุดเดิ้ลของมึง” เมฆพูดขึ้นอย่างนึกรำคาญง ก็จะไม่ยุ่งได้ไงล่ะ เฌอให้เวลาแต่งตัวรวมกัน 10 นาที

“สวัสดีค่ะคุณเฌอที่นัดไว้ตอน 10.30 ใช่มั้ยคะ”

“ใช่ค่ะ ตัดคนนี้ค่ะพี่”

“เห้ย เฌอ ขอร้อง” ทำหน้าอ้อนวอนเฌอแต่แล้วแม่คุณก็มองไม่เห็น

“งั้นเชิญไปสระผมก่อนนะคะ เดี๋ยวช่างจะเข้ามาตอน 11 โมงนะคะ”

“เจ้าของร้านตัดเองใช่มั้ยคะ”

“ใช่ค่ะ วันนี้คุณมีนเข้าร้านค่ะ”

ผมทำท่าอิดออดก่อนเฌอจะดุนหลังให้เดินตามพี่ผู้หญิงเข้าไปในส่วนของห้องสระผม เคยได้ยินชื่อร้านนี้มาบ้างเห็นว่าส่วนใหญ่ดาราเซเลบจะมาใช้บริการกัน เจ้าของร้านไม่ค่อยได้ตัดให้ใครนอกจากคนสนิท แต่ทำไมเฌอได้คิวเจ้าของร้านมาตัดให้ผมที่โนเนมแบบนี้ได้ยังไง พี่สาวที่มาต้อนรับพาผมมาส่งที่ห้องสระผมบรรยากาศสบายๆ เตียงสระมีระยะห่างกัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเทียนอโรม่าที่จุดรอบห้อง ต่างจากร้านทำผมทั่วๆ ไป อีกอย่างไม่มีกลิ่นน้ำยาย้อมผมฉุนๆ แบบที่อื่นด้วย ไม่แปลกใจว่าจะได้รับความนิยมจากคนที่พอมีกำลังจ่ายมากพอสมควร

เหตุผลจริงๆ ที่ไม่ค่อยยอมตัดผมไม่ใช่เพราะหวงผมหรืออะไร แต่เพราะฝังใจตอนเด็กๆ โดนครูที่โรงเรียนตอนมอต้นไถผมจนแก้ไม่ได้ เลยต้องจำใจตัดทรงสกินเฮด ปกติเป็นคนผมยาวช้าชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ทำให้ต้องไว้ผมทรงนั้นหลายเดือนกว่าจะกลับมาเป็นทรงเหมือนคนปกติ เลยเป็นคนไม่ค่อยอยากตัดผมเพราะกลัวว่าร้านที่ตัดให้จะตัดสั้นเกินไป

ออกจากห้องสระผมก็มาเจอกับเจ้าของร้านที่กำลังเตรียมอุปกรณ์ตัดผม ที่จำได้เพราะพี่เขาลงนิตยสารกับรายการทีวีจำพวกแรงบันดาลใจบ่อยๆ อีกอย่างเขาก็หล่อด้วยไง
   
“วันนี้อยากตัดทรงอะไรเอ่ย คิดมาหรือยัง”

“เอ่อ ไม่เลยครับ”

“พี่มีนคะ ตัดแบบที่ให้เพื่อนเฌอหล่อๆ น่ะค่ะ”

“อะไรเจ้าเฌอ พี่งงตั้งแต่เราให้แม่โทรหาพี่แล้วนะ ปกติเข้าร้านตัดผมกับเค้าที่ไหน”

“ก็ไม่ได้ตัดเองไงคะ ฮี่ๆ เอาน่าๆ ตัดให้เพื่อนเฌอหน่อย มันกำลังจะได้เล่นซีรีส์ของพีพี”

“พีพีมีเดีย?”

“ยังไม่ได้เล่นซะหน่อยเฌอ ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า” ผมยู่ปากปรามเฌอที่ชักจะอวดอ้างเกินจริงไปหน่อย

“งั้นเดี๋ยวพี่จะทำให้เขาเลือกเราดีมั้ย ทรงหน้าแบบนี้ตัดทรงไหนก็ได้ เดี๋ยวทำสีด้วยนะ”

“อ่าครับ”

เอาก็เอาวะ เชื่อในฝีมือช่างชื่อดังในประเทศหน่อยแล้วกัน


กว่าสามชั่วโมงในขั้นตอนการทำผม เริ่มจากตัด ซึ่งตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นทรงอะไร รู้แต่ว่าสั้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้สั้นมาก เพราะผมไม่อยากโชว์หู คิดมาตลอดว่าตัวเองหูกาง ซึ่งพี่ช่างเขาก็บอกว่าคิดไปเอง ก็ผมไม่มั่นใจนี่ เขาก็ยังดีที่รับฟังความเห็น เลยพยายามตัดให้ด้านหน้ามีผมเยอะหน่อยแต่สไลด์ด้านข้างให้รับกับกรอบหน้ามากขึ้น ขั้นตอนการลงสีนี่ใช้เวลานานที่สุด อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยว่าสีอะไร มีลงไฮไลท์อะไรของเขาไม่รู้ ตอนทำเขาไม่ได้ขออนุญาตแต่เหมือนบอกให้รู้ เอาเลยครับ ผมของผมไม่ใช่ของผมอีกต่อไป ตามสบ๊ายยยย

เสียงไดร์เป่าผมทำให้รู้ว่าถึงขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีอันยาวนาน ผมแอบสัปหงกเพราะมันนานซะเหลือเกินพี่จ๋า พี่ช่างใช้เจลสำหรับเซตผมให้นิดหน่อยก่อนมันจะออกมาเป็นทรงที่เขาคิดวางแผนไว้ แต่ผมยังไม่เห็นไม่ชัดหรอกครับ เลยขอให้พี่เขาหยิบแว่นที่ถูกถอดตั้งแต่สระผมมาใส่จะได้เห็นหน้าตัวเอง ใจก็กลัวว่ามันจะเด๋อ แต่อีกใจก็คาดหวังให้ออกมาแตกต่างในทางที่ดีขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง ชอบมั้ย”

“เอ่อ พี่ทำไรกับผม”

“ทำไมล่ะไม่ชอบหรอ” พี่ช่างถามดูแต่น้ำเสียงเขาดูมั่นใจว่าไม่มีทางที่ผมจะไม่ชอบ ซึ่งนั่นก็จริง ผมว่าผมชอบมากกกก

“ป่าวครับ ผมแค่คิดว่าตัวเองไม่เคยเหมาะกับอะไรแบบนี้”

“ก็มั่นใจสิ” ช่างตัดผมชื่อดังบอกพร้อมยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะเดินไปเก็บอุปกรณ์



“เชี่ยยยยยยยย ศิ หล่อมาก น่ารักด้วย”

“ดีกว่าทรงพุดเดิ้ลของมึงเยอะเลย”

“กูก็ว่าแบบนั้น”


ผมส่องกระจกพินิจพิจารณาบุคลิกของตัวเองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ศิคนก่อนหน้าที่จะเดินเข้ามาที่นี่ทรงผมยาวปรกหน้าปรกตาไม่เป็นทรง ไม่มั่นใจในตัวเอง  ตอนนี้กลับถูกรังสรรค์จากปลายกรรไกรและความชำนาญของช่างทำให้มันออกมาเป็นทรงอันเดอร์คัตไถข้างออกเล็กน้อย ด้านหน้าสไลด์ให้รับกรอบหน้าทรงรูปไข่ เซตแหวกข้างหน้าเล็กน้อย เหมือนที่เห็นนายแบบเกาหลีเขาทำกันเยอะช่วงนี้ สีบลอนด์น้ำตาลอ่อนทำให้ลุคดูเด็กกว่าเดิมทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหน้าเด็กขนาดนี้

   “เดี๋ยวพี่ขอถ่ายรูปลงไอจีร้านหน่อยนะคะ” พี่พนักงานต้อนรับคนเดิมเดินมาบอกผมที่กำลังส่องกระจกอย่างหยุดทึ่งในลุคตัวเองไม่ได้

“เอ่อ จะดีหรอครับ ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง”

“ยิ้มแล้วยืนเฉยๆ ก็พอค่ะ ถอดแว่นออกด้วยนะคะ รีแล็กซ์หน่อยค่ะไม่ต้องเกร็งนะ” ทำยังไงก็คนมันไม่เคยถ่ายอะพี่

“โอเคค่า ขอบคุณมากๆ เลยค่ะคุณลูกค้า สีผมนี้คุณกานต์คิดใหม่เลยนะคะยังไม่เคยลองกับใคร คุณลูกค้าเป็นคนแรก”

“หรอครับ”

“ใช่ค่ะ เข้ากับคุณลูกค้ามาก น่ารักมากค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมได้แต่ยิ้มรับคำชมเขินๆ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง เฌอและเมฆก็เบะปากใส่กับอาการเห่อทรงผมของผมพอตัวเหมือนกัน



   
ออกจากร้านตัดผมมาจ่ายค่าเสียหายไปไม่แพงอย่างที่คิด ไม่ใช่เพราะพี่เจ้าของร้านรู้จักกับครอบครัวเฌอเพราะเป็นญาติทางแม่ (ผมเพิ่งรู้ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา) แต่เพราะราคาปกติก็เท่านี้ อย่างที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์พี่เขาเลยแฮะ จำได้ลางๆ ว่า มีดารามาตัดร้านเยอะๆ ข้อดีคือเราแทบไม่ต้องโปรโมทร้านเลย การจะคิดราคาแพงมันเหมือนเอาเปรียบลูกค้า ดาราเขาก็ต้องทำงานแลกเงิน เซเลบเขาก็ต้องทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่และหน้าที่ของเราคือทำให้เขาดูดี ไม่ใช่แค่ดารา แต่หมายถึงลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ จะได้รับการบริการอย่างเสมอกัน ราคาเท่ากัน

ความคิดแบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเป็นช่างตัดผมมือต้นๆ ของประเทศ เจ๋งโคตร



“แหม่ ตอนให้ตัดทีแรกล่ะอิดออด”

ดันไหล่เฌออย่างเขินๆ ที่แซะตั้งแต่ออกจากร้าน

“ก็กลัวเด๋อนี่ ไม่ได้หล่อเหมือนเมฆนะเว้ย”

“ไม่ต้องมาโยนให้กู มึงมันไม่เคยเห็นความดีของตัวเอง”

“กูบวกเมฆ เลิกซะทีกับการไม่พอใจในตัวเองเนี่ย บ้านก็รวย หน้าก็ดี แต่เรียนห่วยไปหน่อยแค่นั้น”

“เฌอ เกือบดีละ”

“ถ้ามึงเลิกตีป้อมเดี๋ยวเกรดก็ขึ้นเองอะ”

“น่าๆๆๆ ไปเดินดูน้ำหอมกัน เนี่ยเห็นในเว็บรุ่นที่มึงอยากได้มาละ เร้ววววว”

ผมเบี่ยงเบนประเด็นก่อนที่เพื่อนสองคนจะรุมด่าผมมากไปกว่านี้







วันจันทร์ที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึง คลาสเช้าสำหรับวิชาเลือกการจัดการความเครียดในองค์กร เป็นวิชาที่น่าสนใจจนทำให้นิสิตหลายคนเอนตัวฟุบลงกับโต๊ะแลคเชอร์ ทั้งที่ทั้งคลาสมีอยู่ไม่ถึง 60 คน ช่างกล้าเสียจริงพวกเจ้า ยังดีทีอ.ปวีณามัยใจดีแค่ตอนสอนเท่านั้นแหละ เหอะๆ ตอนสอบเหมือนสวมวิญญาณศาสตราจารย์แอมบริดจ์

ที่น่ากังวลใจกว่าการเรียนวันนี้คือนัดหมายจากพี่นิ้งประสานงานของซีรีส์คนเดิมโทรมาบอกให้ผมเข้าบริษัทประมาณ 5 โมงเย็น เนื่องจากจะเริ่มทำการเวิร์กช็อปวันนี้วันแรก ตอนแรกก็ตื่นเต้น แต่ไม่มากเท่าไหร่ เพราะมีแมสเสจปริศนาที่ไม่ปริศนาอีกต่อไปสำหรับผมส่งมาบอกล่วงหน้าตั้งสามวัน เลยไม่ลืมติดเสื้อฮู้ดแขนยาวยี่ห้อดังมาคืนคุณหมอด้วย บอกเลยว่าเทน้ำยาปรับผ้านุ่มเยอะมากๆ กลัวจะทำให้เสื้อเขาเหม็นอับ
   
การเรียนคลาสเช้าบ่ายต่อเนื่องยาวๆ ทำให้ร่างกาย  ยม อาโปสอนมา เป็นภาษาเหนือแปลว่า เหี่ยว คล้ายๆ กับหมดแรง แก๊งค์เราเลยชอบใช้คำนี้มันอธิบายสภาพหลังเลิกเรียนทั้งวันได้ดีกว่าคำอื่น ไหนจะการบ้านที่ต้องส่งก่อนศุกร์นี้ผ่านเมล์อาจาร์ปวีนมัย กับหัวข้อ “เขียนถ้อยแถลงสำหรับลดข้อขัดแข้งภายในแผนก ระบุข้อขัดแย้ง สาเหตุ และวิธีการแก้ไข เรียบเรียงเป็นคำแถลงการณ์สำหรับหนังสือเวียน”  กูจะบ้าาาาาา อาจารย์ไม่ปราณีเลยเหอะ

“ศิป่ะ เดี๋ยวไม่ทัน รีบเหอะสี่โมงละ เดี๋ยวบีทีเอสคนเยอะ”

“เฮ้ออ เหนื่อยจังอาโป ขอเอนหลังแป๊บได้ป่ะ”

“มะเหงกเหอะ มึงเอนเท่ากับมึงหลับ เร็ว”

“เจอกันพรุ่งนี้นะเมฆ เฌอ” ผมคว้ากระเป๋าอย่างจำใจและลากเมฆกับอาโปเสียงอ่อย

“เดี๋ยวๆ เลิกกี่ทุ่มอะ” เฌอถามขึ้นตอนที่ผมกับอาโปกำลังเตรียมสะพายกระเป๋าเป้ วันนี้ไม่ได้ใช้ถุงผ้าแล้วเพราะต้องเอาชุดไปเปลี่ยนตอนเวิร์กช็อป อาโปผู้มีประสบการณ์บอกมา

“สามหรือสี่นี่แหละมั้ง”

“งั้นคอลกันก่อนนะจ๊ะ งานกลุ่มจะแก้ไม่ทันแล้ว”

“เฌอออออออออ” อาโปโอดครวญกับเฌอที่ห่วงการเรียนพอๆ กับเมฆแบบไม่ปราณีปราศัยกันเลย

“เออ เดี๋ยวจะทำล่วงหน้ากับเมฆก่อน แต่ยังไงก็ต้องมาช่วยกัน งานกลุ่มไม่ใช่….”

“ทำสังฆทาน” ผม อาโป และเมฆ พูดขึ้นพร้อมๆ กัน

“เออนั่นแหละ”

   
นี่คือวลีพิฆาตของเฌอเลย เคยมีครั้งหนึ่งอาจารย์สุ่มจับกลุ่มให้ทำรายงานการวิจัยจิตวิทยาทางสังคม เฌอถูกสุ่มให้ไปอยู่กลุ่มผู้หญิงที่เป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงซึ่งเฌอเคยบอกว่าไม่ถูกโฉลกด้วย แต่ต้องไปทำงานลงพื้นที่เก็บข้อมูล ซึ่งพวกเธอเหล่านั้นก็บ่นระงม จนไปๆ มาๆ เฌอกลายเป็นคนทำงานคนเดียว พอมีการรายงานความคืนหน้าระหว่างทำงาน เฌอพูดถึงปัญหาในการดำเนินงานเหมือนระบายความในใจ พีคที่สุดคือเฌอขอทำงานชิ้นนี้คนเดียวและขอทำใหม่ด้วยหัวข้อใหม่เพราะเฌอไม่อยากทำงานแบบ ทำสังฆทานทำคนเดียวแต่ได้อนิสงส์ทั้งกลุ่ม ทั้งห้องเงียบกริบกระทั่งอาจารย์ เพื่อนร่วมกลุ่มต้องขอเวลานอกและขอโทษเฌอที่ให้ทำงานคนเดียว สรุปอาจารย์หักคะแนนคนอื่นในกลุ่มยกเว้นเฌอ ไม่เช่นนั้นก็ต้องทำงานใหม่ทั้งหมดด้วยหัวข้อใหม่เหมือนเฌอถ้าจะแยกกลุ่ม

โคตรคนจริง นี่แหละเฌอเพื่อนโผ๊มมม







บรรยากาศการเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้ผ่านเข้ารอบทุกคนได้รับป้ายชื่อของตัวเอง พร้อมวงเล็บบทที่จะได้รับใต้ชื่อ บรรยากาศห้องกว้าง โล่ง มีกระจกเป็นผนังเกินครึ่ง เหมือนที่เคยเห็นในทีวี แน่นขนัดไปด้วยผู้ผ่านเข้ารอบสำหรับซีรีส์เรื่องนี้เกิน 50 ชีวิต แบ่งเป็นบทต่างๆ มีผู้ผ่านเข้ารอบไม่เท่ากันแล้วแต่ความเห็นชอบของกรรมการ ห้องลักษณะนี้เป็นที่สำหรับการซ้อมเต้น ซ้อมการแสดง และใช้เวิร์กช็อปกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเด็กเทรนด์ของพีพีมีเดียจะได้ใช้ห้องนี้ ส่วนห้องซ้อมอื่นๆ จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงใช้กัน คนละชั้น นั่นแหละ

“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ครูกิ่งนะคะ แล้วนี่มีครูเอ้ ครูต้น ครูน้ำหนึ่ง จะมาเป็นคุณครูสำหรับการเวิร์กช็อปตลอด 5 วันนี้”

“เห้ยย 5 วัน”
“5 วันเองหรอ”
“น้อยจังอะ”


ครูกิ่งที่ผมเคยเจอยังไม่ทันแจ้งอะไรต่างๆ มากมายก็เกิดเสียงจอแจจากทุกคนที่นั่งในห้องนี้ ราวกับไม่อยากเชื่อว่ากระบวนการเวิร์กช็อปสำหรับคัดเลือกนักแสดงที่จะเป็นตัวจริงในซีรีส์จะใช้เวลาแค่ 5 วัน

“เด็กๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ฟังครูก่อน” ครูต้นใช้น้ำเสียงเรียบๆ แต่ดังและฟังชัด จนทุกคนหยุดการใช้เสียง เหมือนครูปกครองดุเลย คนนี้ต้องน่ากลัวแน่ๆ

“ขอบคุณครูต้นค่ะ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คณะกรรมการและครูประเมินกันมาแล้วว่าภายใน 5 วัน จะดึงศักยภาพของเด็กที่พร้อม ที่จะได้เป็นตัวจริงของนักแสดงเรื่องนี้”

   “ฉะนั้น หน้าที่ของทุกคนจะต้องตั้งใจ ฝึกฝน และพัฒนาตัวเองให้ครูเห็น ในวันสุดท้ายของการเวิร์กช็อปจะมีคณะกรรมการคนอื่นๆ เข้าร่วมประเมินครั้งสุดท้าย และทุกๆ วันครูทั้ง 4 จะประเมินพวกเราทุกคนด้วย” ครูน้ำหนึ่งพูดขึ้น

“ครูอยากให้ทุกคนตั้งใจให้มากที่สุด อย่าลืมความฝันว่ามาที่นี่ทำไม โอเคมั้ยคะ” ครูเอ้ที่ดูใจดีที่สุดพูดพร้อมยิ้มให้พวกเราอยากจริงใจ

“ค้าบบบบบ/ค่าาาาาาา”



   
“เอาล่ะ บทเรียนแรกในวันนี้ครูอยากให้ทุกคนจำชื่อเพื่อนที่ร่วมเล่นบทเดียวกับเราให้ได้ จับกลุ่มกันเร็วๆ นั่งแยกเป็นกรุ๊ป เอ้าเร็ว เด็กๆ” สิ้นเสียงครูกิ่งทุกคนต่างมองหาคนที่เขียนวงเล็บใต้ชื่อเหมือนกัน

ตอนแรกที่นั่งกระจัดกระจายเลยได้วิ่งหาเพื่อนที่มีชื่อวงเล็บเดียวกับผม บอกเลยว่าวุ่นวายมากๆ แต่โชคดีที่ได้ยินคนนึงยืนแล้วยกมือเรียกชื่อบทภามาส อ่ะ คนนั้นไงที่ชื่อพูลล์
   
“ภามาสตรงนี้ครับ” พอได้มายืนใกล้ๆ เขาก็รู้เลยว่าทำไมถึงมีแฟนคลับเขาด่าผมขนาดนี้ นอกจากจะหน้าตาดีจัดแล้ว ยังเป็นคนที่หล่อและสวยในคนเดียวกัน คือ หน้าหวานยิ้มทีก็น่ารักมากๆ เลย

“รังสิมันต์ตรงนี้” ผู้ชายที่ตัวโตพอๆ กับคุณดิมยืนยกมือท่ามกลางความวุ่นวาย ก่อนจะมีผู้ชายหน้าตาดีจัดอีกสี่คนค่อยๆ เดินเข้ามา ภาพมันเหมือนฉากในซีรีส์เกาหลีที่พระเอกเดินออกมาในซีนแรกพร้อมกันเลยอะ โคตรเท่เหอะ

อะ นั่นคุณดิม เราสบตากันเล็กน้อย ยังไม่ทันยังได้ส่งสัญญาณทักทายเขาก็หลบสายตาไปซะก่อน อ่า เราไม่ได้สนิทกัน

อย่าลืมสิศิ






กลุ่มของคุณดิมและผมนั่งใกล้กัน เรียกได้ว่าตอนนี้ผมนั่งหันหลังให้เขาอยู่ คือ ถ้าหันหน้าไปก็ชนเขาเต็มๆ แอบตื่นเต้นเหมือนกัน พอคิดถึงวันที่ฝนตกกับแมสเสจปริศนานั่นใจมันก็เต้นเร็วขึ้นแบบดื้อๆ ไม่เคยอยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่ก็แอบดีใจที่เขาเอ็นดูผมล่ะมั้งนะ

“เป็นหวัดหรือเปล่าวันนั้น” เสียงกระซิบจากคนด้านหลังก็ถามขึ้นอย่างที่กะจะให้ได้ยินสองคน

“เปล่าครับ” ผมกระซิบตอบกลับไป

“ดีแล้ว”

“ผมเอาเสื้อมาคืนคุณด้วย” บอกเจตจำนงอย่างตั้งใจของตัวเอง

“เลิกแล้วค่อยว่ากัน”

“ครับ”

ได้ลอบยิ้มกับตัวเอง นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เหมือนมีความผิดเสียมากมายกะอิแค่จะคืนเสื้อ คุณดิมก็ถามตามประสาความเป็นนายแพทย์ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยศิ



เลิกยิ้มได้แล้ว

   








มีต่อ







   



หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.04 - ความลับที่ทุกคนรู้ (24/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 24-04-2018 22:24:54
“เอาล่ะ จับกลุ่มเสร็จแล้ว ครูจะให้ทักทายกันในกลุ่ม และผลัดกันเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของตัวเอง แล้วเลือกตัวแทนกลุ่มเพื่อเล่าให้ครูและเพื่อนๆ คนอื่นฟัง เริ่มเลยครับ”

นะนนท์ (อ่านจากป้ายชื่อ) เริ่มทักทายเพื่อนในกลุ่มก่อน ประกอบไปด้วย พูลล์, บอส, ตระการ, และผม ก่อนจะไล่เวียนตามลำดับไปทีละคน สายตาคนอื่นๆ ที่มองผมไม่เป็นมิตรแบบปิดไม่มิด ยกเว้นพูลล์ที่ยิ้มให้ผมตั้งแต่เจอหน้ากันตอนรวมกลุ่ม ความรู้สึกอึดอัดเริ่มเกาะกินภายในใจอีกครั้งแต่ผมจะพยายามไม่แสดงมันออกมา

ทุกคนเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นของตัวเองได้อย่างน่าฟัง จนมาถึงคิวผมที่ต้องบรรเลงเรื่องที่เตรียมไว้แล้ว แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะประสบการณ์ไปดิสนี่ย์แลนด์ที่แคลิฟอเนียร์ตอนม.5 ลดความน่าตื่นเต้นลงเพราะเวลาที่นานมากจนจำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ไม่เคยลดเมื่อนึกถึงเลยคงจะมีเรื่องเดียว เอาวะ เรื่องนี้คงไม่ได้ถูกเลือกจากเพื่อนคนที่เหลือหรอก

“เราอยู่มอสี่ ตอนนั้นน่าจะเลิกเรียนแล้วห้องน้ำในอาคารปิดหมด เลยต้องไปแอบเข้าห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำ ซึ่งปกติไม่ให้คนนอกเข้า ตอนเข้าไปก็ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในห้องข้างๆ ก็เลยทำธุระของตัวเองไป จนได้ยินเสียงเปิดน้ำจากห้องอาบน้ำ ตอนแรกเราก็กลัวคิดว่าไม่ใช่เสียงคน แล้วจู่ๆ ก็เสียงหอบหายใจจากห้องข้างๆ คือมันเป็นเสียงแบบว่าหอบหายใจเหมือนทำอะไรด้วยตัวเอง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นฉากรักอิโรติกของรุ่นพี่ แต่...แต่ว่าไม่น่าใช่เพราะฟังดูแล้วเป็นเสียงคนเดียว เลยคิดว่า เอ่อ...เขาน่าจะช่วยตัวเอง เราก็เลยอยู่ในห้องน้ำนานมากรอจนกว่าเขาจะออกไปแล้วค่อยออกไป” ทุกคนในกลุ่มเงียบฟังและแสดงอาการลุ้น และโล่งอกที่ผมไม่ได้เจอผี แต่กลับยิ้มเขินอย่างปิดไม่มิดพอรู้ว่าเป็นเรื่องความต้องการแบบผู้ชายๆ

“แล้วรู้มั้ยว่าใครอะ” บอสเป็นคนถามขึ้น

“อ่า ก็เป็นรุ่นพี่ที่จบไปนานมากๆ แล้วอะ เขามาสอนว่ายน้ำ แต่ว่าอย่าไปบอกใครนะ เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แต่ว่าคิดเรื่องที่ตื่นเต้นไม่ออก” ผมก้มหน้าพร้อมบีบมือตัวเองอย่างกังวล ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ทำอย่างนี้

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะจากสี่คนดังขึ้นแล้วก็อมยิ้มให้ผม พูลล์ยกมือลูบคออย่างอายๆ

เออมันน่าอายเว้ย แล้วคนที่น่าอายเขาก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

“เรื่องหลงป่าตอนเข้าค่ายของเราด๋อยไปเลยว่ะ ของนายเจ๋งกว่าจริงๆ” ตระการที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

“โหวตมั้ยว่าของใครจะได้ไปเล่า”

“ใครให้เรื่องของศิบ้าง” พูลล์คนเดิมขอเสียงโหวตจากทุกคน แถมส่งสัญญาณสายตาให้เพื่อนคนอื่นอีก

ไม่นะ ม่ายยยยยยยยยยยยย

พรึ่บ!

เชี่ยยยยยยยยยยยย ตายแน่ เรื่องคุณดิวจะต้องออกสู่สาธารณะหรอวะ โอ้ยไม่น่าเลยไอ้ศิ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับได้ตั้งหลายปีจะมาโป๊ะแตกวันนี้ น้ำตาจะไหลแล้ว


และแล้วเรื่องเซ็กซี่ของคุณดิมก็ออกสู่สาธารณชน เป็นที่ฮือฮาของคนทั้งห้องรวมถึงคุณครูด้วย ทั้งที่ผมไม่ได้เล่าสนุก ยังคงประหม่าเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แต่ครูทั้งสี่คนก็บอกว่าเป็นการเลือกเรื่องมาเล่าที่ดี มีจังหวะในการนำเสนอ มีจุดไคลแม็กซ์ แต่ยังต้องพัฒนาอารมณ์และน้ำเสียงของผู้เล่าให้น่าติดตามกว่านี้ ก่อนจะได้รับเสียงปรบมือดังจากทั้งห้อง รวมถึงคุณดิมด้วย โล่งอกดีมั้ยที่เขาจำไม่ได้ว่านั่นเป็นเรื่องของเขา ซึ่งดีแล้วดีโคตรๆ ถ้าเขารู้ผมคงไม่รู้ว่าจะมองหน้าเขายังไงอีก

   
“เอาล่ะ เด็กๆ ก่อนจะกลับบ้านกันนะคะ พี่ใบชา ฝ่ายการตลาดเขาอยากจะคุยอะไรกับพวกเราหน่อย”

“เชิญค่ะ”

อ่า พี่ใบชาจอมวางแผนคนดีคนเดิมมม ฮึ้มมม

“สวัสดีค่ะน้องๆ พี่ใบชานะคะ วันนี้เป็นยังไงเวิร์กชอปวันแรก สนุกหรือเปล่า”

“สนุกครับบบ สนุกค่าาา”

“เรื่องที่พี่จะแจ้งก็ไม่มีอะไรมาก น้องๆ ทุกคนคงมีไอจี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก กันเนอะ ซีรีส์ของเราเป็นซีรีส์วาย ฉะนั้นการสร้างโมเม้นต์หรือความสัมพันธ์ขณะเวิร์กชอปให้ฟอลโลวเวอร์ของเราได้เห็นความเคลื่อนไหว พี่คิดว่าจะยิ่งทำให้ตัวซีรีส์ได้รับการพูดถึงนะคะ อยากให้น้องๆ ทำอย่างเป็นธรรมชาติ อันนี้ไม่ใช่เป็นแผนการตลาด พี่พูดตรงๆ เลยแล้วกัน มันจะดีต่อตัวน้องๆ สำหรับคนที่ได้ไปต่อ ก็อาจจะขยายกลุ่มไปมีแฟนคลับ ส่วนคนที่ไม่ได้ไปต่อก็จะมีคนรู้จักมากขึ้นจากกระแสของซีรีส์นี้ สู้ๆ กับเวิร์กชอปนะคะ”

พี่ใบชาพูดจบก็แจกยิ้มให้พวกเราอย่างใจดี แต่ผมรู้ว่ามันมีอะไรแอบแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น เพราะผมตกเป็นเหยื่อการตลาดของพี่ใบชามาแล้วไง!! #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ ยังมีคนพูดถึงอยู่เลยจนทุกวันนี้ และตอนนี้ผมมีทวิตเตอร์แล้วแหละแต่เป็นแอ็คหลุม (ศัพท์นี้เฌอสอนมา) เอาไว้ส่องแท็กอย่างเดียวเลย



สี่ทุ่มสิบห้าคุณครูอนุญาตให้ทุกคนกลับบ้าน รวมถึงฝากการบ้านให้ไปท่องบทคนละสามบรรทัด พรุ่งนี้จะเรียนการฝึกพูดและการใช้น้ำเสียง รวมถึงคลาสบล็อกกิ้งด้วย

เอาตรงๆ แค่วันนี้วันเดียวร่างกายผมก็ยมแบบที่ไม่รู้จะยมอย่างไรแล้วครับคุณผู้โช้มมมม หลังจากกิจกรรมแนะนำตัวและเล่าเรื่องน่าอาย (ชื่อที่ผมตั้งเอง) พวกเราก็โดนให้ฝึกสมาธิและพัฒนาอารมณ์เบื้องต้น จากการจับคู่และพูดคุยกันผ่านสายตาโดยไม่ผ่านคำพูด ผมคู่กับพูลล์ การแสดงอารมณ์ของพูลล์ดีมากๆ เขาสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจน จนผู้รู้ว่าเขากำลังเศร้าอยู่เป็นอาการเศร้าที่ไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นการต้องการหาคนปรับทุกข์ ส่วนผมแสดงอาการดีใจ เป็นการดีใจที่จะได้กลับบ้านหลังจากคลาสวันนี้ พอครูมาถามเราสองคนก็ตอบอย่างตรงกัน เป็นคู่เดียวที่ทำได้อย่างที่ครูต้องการ เก่งเนาะเราเนี่ยตัวแค่นี้

ผมกับพูลล์เข้ากันดีกว่าที่คิดไว้ และเขาก็เป็นคนมีน้ำใจมากๆ พูลล์เรียนการแสดงมามากกว่าผม แน่ล่ะเขาเคยเล่ยซีนี่ส์มาบ้างแล้ว เลยอธิบายการแสดงอารมณ์และวิธีการที่ดีให้ ผมเลยแสดงออกมาได้ แนวโน้มเราจะได้เป็นมิตรมากกว่าศัตรูล่ะมั้ง

“ศิ เราขอไอจีหน่อยสิ” พูลล์เดินมาสะกิดผมในห้องน้ำ ที่กำลังล้างหน้าล้างตาเตรียมกลับคอนโด

“อ่อ เรายังไม่ได้สมัครเลย”

“เออศิมึงลืมใช่มั้ยเนี่ย บอกให้สมัครตั้งแต่เมื่อวันก่อนละ” อาโปพูดด้วยเสียงเหวี่ยงๆ

“แหะๆ เออยังอะ”

“งั้นเดี๋ยววันนี้เราสมัครแล้วจะฟอลไปนะ” หันไปพูดกับผู้ชายหน้าหวานที่มัดผมจุกด้วยยางสีเหลือง คนอะไรทำอะไรก็น่ารักแฮะ

“งั้นขอไลน์ไว้ สมัครแล้วเราจะส่งชื่อแอคเคาท์นไปให้”

“อื้อ เอาสิ” ผมและอาโปแลกไลน์กับพูลล์ด้วยบรรยากาศเป็นธรรมชาติที่สุด เขาเป็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวดีมากๆ เลย ไม่แปลกที่ใครก็อยากเข้าหา

   “งั้นเรากลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันนะศิ อาโป”

“บ๊าย บาย”  โบกมือลาเพื่อนใหม่เฟรนด์ลี่ต่างจากความคิดก่อนจะมาเวิร์กชอปโดยสิ้นเชิง จริงๆ ก็กับทุกคนที่จะต้องเจอวันนี้ แต่พอผมออกไปเล่าเรื่องน่าอายนั่นทุกคนก็ใช้สายตามองผมต่างออกไป ไม่ใช่การหยั่งเชิง หรือเหยียด แต่เป็นสายตาที่พร้อมจะทำความรู้จักกับผมมากขึ้น อีกอย่างวันนี้ก็มีมาทักทายผมนอกจากคนในกลุ่มตั้งสามคนแหนะ น่าดีใจใช่มั้ยล่ะ


“กลับแท็กซี่กันศิ ขี้เกียจเดินขึ้นไปขึ้นรถไฟฟ้า” ทั้งที่จริงก็ไม่ได้ไกลเลย แต่เราสองคนเหนื่อยจนเกินจะทำอะไรนอกจากนั่งเฉยๆ ให้พี่แท็กซี่ขับไปส่งที่คอนโด

ปรี๊น

บีเอ็มสีดำขลับกับป้ายทะเบียนที่จำขึ้นใจบีบแตรใส่ ไม่ต้องเดาเลยคนในรถจะเป็นใคร คุณดิมไงจะใครล่ะ

“ขึ้นรถสิ” คุณดิมลดกระจกฝั่งคนขับก่อนจะเรียกผมและอาโปที่กำลังจะก้าวออกจากอาณาบริเวณบริษัท

“อ่า ไม่เป็นไรครับ”

“เร็วสิ รถคันหลังเค้าจะออก”

“เอาไง” ผมหันไปถามอาโป

“เร็วน่า” คุณดิมเร่ง

“เออไปก็ไป” อาโปผลักให้ผมไปนั่งข้างคนขับ ผมเลยต้องรีบเปิดแล้วปิดประตูรถคันคันหรูอย่างช่วยไม่ได้ เสียงแตรจากรถข้างหลังก็กดดันจัง

“ขอบคุณครับคุณดิม”  ผมยกมือไหว้ขอบคุณหลังจากที่คาดเบลท์แล้ว

“ไม่เป็นไร”

“อาโปบ้านอยู่ไหน”

“อ่อ แยกสามย่านครับ”

“งั้นเดี๋ยวไปส่งอาโปก่อนแล้วไปส่งเธอ”

“ครับ”

ความสงสัยในคำสรรพนามระหว่างผมกับอาโปที่คุณเขาเรียกมันดูแปล่งๆ ทำไมเรียกผมว่าเธอแต่เรียกอาโปว่าอาโป ทั้งๆ ที่ผมกับอาโปเป็นเพื่อนกัน เอ๊ะ คุณหมอเขาสับสนกับอะไรพวกนี้หรอ

พออาโปลงจากรถคุณดิมไป ผมไม่รอช้ารีบถามถึงความสงสัยทันที

“ทำไมคุณดิมไม่เรียกอาโปว่าเธอ แต่เรียกอาโปว่าอาโป แต่ทำไมเรียกผมว่าเธอ”

“....”

“....”

คุณหมอเงียบ ผมเลยเงียบตาม เพราะไม่ได้รับคำตอบ

“ก็ตอนแรกผมไม่รู้จักชื่อเธอ ก็เลยเรียกเธอ”

“แต่ตอนนี้รู้แล้วนี่ครับ”

“มันชินไปแล้ว หรือเธออยากให้ฉันเรียกอะไร  น้องศิ?”

“อ่ะ มะ ไม่ใช่ๆ เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้”

“งั้นเอาไว้สนิทกันค่อยเรียก”

“อ่า..ครับ”

งั้นแปลว่าเขาสนิทกับอาโปมากกว่าผมหรือไง

อะไรวะ


รถหรูจอดเทียบที่จอดหน้าคอนโด ผมปลดเบลท์คาดออก ก่อนจะยื่นถุงเสื้อฮู้ดที่วันนี้ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะเอาไปคืน แต่เหมือนมันวนกลับมาที่จุดที่มันจากไปเมื่อเช้าเลยแฮะ เดินทางหลายต่อจังนะเจ้าฮู้ดสองหมื่น

“นี่ครับเสื้อผมเอามาคืน ขอบคุณที่ให้ยืมครับ”

“เอาไว้ด้านหลังเลย”

จังหวะที่สารถีร่างสูงเอี้ยวตัวจะพยายามเคลียร์ของหลังรถที่ค่อนข้างเยอะ แต่วางเป็นระเบียบดี ผมก็จะหันไปวางถุงเสื้อตามที่คุณดิมบอก ใบหน้าของเราก็ลดระยะเข้ามาใกล้กันอย่างไม่ควรจะเป็น สายตาจากนัยน์ตาเรียวสวยสีนิลดำขลับสะท้อนใบหน้าเหว๋อๆ ของผมอย่างเด่นชัด เสมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดลงแค่ได้มองดวงตาคู่นี้ มันดึงดูดรัดตรึงให้ขยับไปไหนไม่ได้ ถ้าหากเขาสั่งให้ผมหยุดหายใจก็คงทำตามอย่างไม่ขัดขืน

“อ่ะ ขอโทษที” เป็นเขาที่หลบสายตาทำให้พันธะทุกอย่างพลันสลายลงไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งนั่นดีกับตัวผม ไม่อย่างนั้นคงได้หยุดหายใจ…

“ผมขอตัวนะครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

กำลังจะเอี้ยวตัวเปิดประตูรถ เสียงเรียกจากคนที่ผมเอ่ยลากลับดังขึ้น “เดี๋ยวสิ”

“ตัดผมแล้วจำแทบไม่ได้เลยนะ”

“มันดีหรือไม่ดีครับ” ผมไม่รู้ว่าเขาใช้สายตาแบบไหนตอนพูดประโยคนี้ ได้แต่ก้มหน้างุดถามคำถามกัลอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ดีสิ”

“....”

“น่ารักดี”



คนไม่สนิทกันเขาชมกันว่าน่ารักหรอวะ


งงเว้ย


-//-








------To be Continued------





ชื่อตอนเต็มๆ ความลับที่ทุกคนรู้แต่หมอไม่รู้5555555555555555555555555

หมอที่ว่าซึนก็ยังแพ้ความน่ารักของน้องงงงงงงงงงงง ตัดผมใหม่แล้วยิ่งน้องงงงงง

โอ้ยยยยยย เบื่อความซึนของหมอเนาะ

เดี๋ยวจำความหลังของตัวเองได้ก๊อนนนน

555555555555555555

ไว้เจอกันอาทิตย์หน้าเด้อ





#เพียงจินตนาการ

#หมอดิมน้องสิ



@mifengbeexx




บี
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.04 - ความลับที่ทุกคนรู้ (24/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: biibbmnt ที่ 26-04-2018 22:14:18
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.04 - ความลับที่ทุกคนรู้ (24/04/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vivierav ที่ 01-05-2018 19:21:27
รอนะค้าาา เป็นกำลังใจให้เด้อ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.05 - หมอป่วยขอคนช่วยดูแล (01/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 01-05-2018 20:11:43
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.05 หมอป่วยขอคนช่วยดูแล

I never knew you were the someone waiting for me
'Cause we were just kids when we fell in love






เข้าวันที่สี่ของการเวิร์กชอป บอกเลยว่าทุกคนต่างมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า ใต้ตาหลายคนดำคล้ำผลพ่วงมาจากพักผ่อนน้อย เพราะนอกจากการมาเวิร์กชอป ทุกคนยังคงมีหน้าที่หลักที่ต้องทำ บางคนยังเป็นนักศึกษา บางคนมีธุรกิจส่วนตัว บางคนกำลังรอเรียนต่อ บางคนก็ทำงานในวงการ และบางคนก็เป็นหมอ…

คนหลังน่าจะอาการหนักสุด เพิ่งมารู้จากปากของเขาเมื่อวาน ขณะล้อมวงพักเบรคกินขนมที่ทางทีมงานจัดมาให้ว่าหลังจบเวิร์กชอปคุณหมอจะต้องกลับไปเข้าเวรต่อจนเช้า และเข้าเวรอีกทีตอนหลังเวิร์กชอปของวันถัดไป ซึ่งจริงๆ กินเวลาเวรของคนอื่นไปถึง 2 ชั่วโมง ทำให้หลังจากนี้จะต้องไปชดใช้เวรกรรมให้คนอื่นทดแทน พอมานั่งนับจำนวนชั่วโมงนอนก็คิดว่าไม่น่าจะดูอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่ร่างสูงสภาพอิดโรยบอกต่ออีกว่าจะต้องเข้าเรียนอีกตอนบ่าย อื้อหือ ไม่แปลกใจเลยทำไมสภาพคุณหมอดูอ่อนล้าเต็มที ทำได้แค่ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางเจ้าของร่างสูงหน้าคมที่ตอนนี้ใต้ตาดำกว่าก้นหม้อ กลัวว่าจะต้องเรียกกู้ภัยมาส่งหมอไปโรงหมอแทน

พาร์ทหลังของการเวิร์กชอปวันนี้ คือ การแสดงออกทางอารมณ์ที่เกิดจากความขัดแย้งและซับซ้อนกว่าสิ่งที่เคยเรียนไป คนดูแลบทเรียนนี้คือครูต้นสุดโหด แต่เป็นคุณครูที่อธิบายการแสดงออกได้ดีที่สุดเลย มีการไกด์ให้เห็นภาพทำให้เราเข้าใจว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไร การกลั่นอารมณ์ตัวเอง แม้กระทั่งจังหวะการพูดเวลาที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์นั้น ส่วนไดอะล็อกที่ได้นำมาฝึกวันนี้มากจากซีรี่ส์วายชื่อดัง ฉากปะทะคารมณ์ของสามตัวแสดง นั่นคือ พระเอกที่หลงรักนายเอกและพยายามผลักไสแฟนเก่าต่อหน้าผู้ชายที่ตัวเองเลือก อารมณ์ทั้งโกรธปนเศร้าของสามคน นับเป็นซีนที่ยากมากเพราะฉากจริงจะมีฝนตกลงมาด้วย แต่ครูต้นแค่อยากให้แสดงอารมณ์ความโกรธปนเสียใจออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่ถึงกับต้องสร้างฝนเทียม

“เอาล่ะ เด็กๆ ในเมื่อเรามีผู้หญิงน้อย ผู้ชายบางคนต้องเล่นเป็นผู้หญิงแทนนะ แต่อารมณ์ไม่ต่างกัน หรือจะสมมติเป็นรักสามเศร้าของผู้ชายสามคนก็ได้”

“วู้วววว วู้วววว” เสียงโฮ่แซวจากปากผู้ชายรอบห้องซ้อมการแสดง

 “เอาล่ะๆ เริ่มจับกลุ่มกันเลย พวกบทพระเอกต้องจับคู่นายเอกนะ อย่าลืมตำแหน่งตัวเอง”

“ศิๆ มาจับคู่กัน พี่ดิมๆ มาเร็วฮะ” ผู้ชายสัญลักษณ์ของความร่าเริง ที่วันนี้มัดจุกด้วยยางสีเหลืองเหมือนเคยคว้าแขนผมและผู้ชายร่างสูงที่ยืนหาวรอบที่สามสิบ ก่อนจะผลุบนั่งลงเป็นกลุ่มก่อนใครเพื่อน ผมนี่หน้าเหว๋อหน่อยๆ ไม่คิดว่าจะต้องมาเข้ากลุ่มกับคุณดิม...ตั้งแต่เวิร์กชอปมา 3 วันเข้าวันที่ 4 ก็คือวันนี้ มีวันแรกเท่านั้นที่ได้คุยกันบ้าง เพราะหลังจากที่หมอพูดคำนั้นผมก็ไม่กล้าสู้หน้าสู้สายตาเขาอีกเลย

“ตัดผมแล้วจำแทบไม่ได้เลยนะ”
“ดีสิ”
“น่ารักดี”



คุณดิมไม่มีทางรู้หรอกว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำจะมีอิทธิพลกับผมมากแค่ไหน มันเพิ่มพูนความรู้สึกหลายอย่างให้พองโต ชัดเจน แม้จะพยายามปฏิเสธมาโดยตลอดก็ตามที ได้แต่เตือนตัวเองว่าคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีกก็แค่อารมณ์เผลอไผลจากการใกล้ชิดเกินควรก็เท่านั้น

“แค่ก แค่ก อ่ะ ขอโทษที” ร่างสูงที่นั่งถัดจากพูลล์ไอแห้งๆ สงสัยคงมีอาการเจ็บคอแล้ว

“พี่ดิมไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดจัง” ผู้ชายที่สดใสกระทั่งเสื้อผ้าที่เลือกใส่ เสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดเข้ากับบุคลิกที่น่ารักของเขาที่สุด และความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนที่แสดงออกก็น่ารักมากจริงๆ

“เจ็บคอนิดหน่อย ไม่เป็นไร เรามาเริ่มซ้อมกันดีมั้ย” คุณหมอยกน้ำเปล่าที่ถือติดตัวเสมอจิบเพื่อลดอาการระคายคอ ก่อนจะใช้สายตาคมๆ นั่นมองผมอย่างตั้งใจ แต่นั่นแหละอย่างที่รู้ว่าผมพยายามหลบหน้าเขามาตลอดหลายวัน แต่วันนี้ดูจะทำไม่ได้เสียแล้ว
   
“...”

“งั้นเรามาแบ่งบทกันดีมั้ยศิ ศิอยากเล่นเป็นใคร”

“เรากับพูลล์คงต้องเลือกใครซักคนใช่มั้ย เราเป็นแฟนพระเอกก็ได้นะ”

“อืมมม แต่เราว่าศิเล่นเป็นนายเอกเถอะ เผื่อได้เล่นจริงๆ อะ” เจ้าของร่างสมส่วนพูดพร้อมโน้มตัวมาใกล้ และยิ้มเหมือนล้อเลียนผมกับผู้ชายที่นั่งอ่านบทอยู่

“ใช่ที่ไหนเล่า”



ครูต้นให้เวลาเราซ้อมครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มบททดสอบตามความสมัครใจ หลายๆ กลุ่มผลัดกันแสดงอย่างไม่มีใครอิดออด ครูทุกคนย้ำเสมอว่าคุณสมบัติของนักแสดงที่ดีคือสปิริต ฉะนั้นพวกเราทุกคนในที่นี้เลยพยายามแสดงออกถึงสปิริตให้มากที่สุด ผมจับตาดูกลุ่มของอาโปมากที่สุดเพราะรู้ว่าอาโปหวังในการถูกคัดเลือกเป็นตัวจริงมากๆ และที่ผ่านมาอาโปก็ทำได้อย่างดีเสมอจนครูชมในทักษะและการพัฒนาที่เห็นได้ทุกวัน ส่วนตัวผมหลังจากซ้อมกับคุณหมอที่หายใจแรงผิดปกติข้างๆ ก็ดูน่าจะไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะคุณดิมกับพูลล์ส่งอารมณ์มาให้ดีมาก กลับกลายเป็นว่าผมเสียอีกที่ดูจะเป็นตัวถ่วงของทีมยังไงไม่รู้

“เธอไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า”

“...”

“นี่เธอ”

ร่างสูงใหญ่ที่ดูจะอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนแผ่กระจายออกมาจากตัวจนผมที่นั่งข้างๆ รู้สึกได้ ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำได้แค่นิ่งทั้งที่ใจนั้นเต้นระรัวเพราะไม่กล้าสู้หน้าคนๆ นี้จริงๆ กลัวว่าจะเผยความรู้สึกบางอย่างทีที่ไม่ควรแสดงออกให้เขารับรู้ว่าดีใจแค่ไหนกับคำชมไม่กี่คำ

ห้ามเด็ดขาดเลยศิ

“ป่าวครับ ไม่มีอะไร”
“คุณดิมไม่สบายหรือเปล่า ทำไมตัวร้อนจัง” การพยายามเลี่ยงประเด็นการพูดคุยเรื่องนี้น่าจะดีที่สุด

“อืม สงสัยจะใช่แล้วแหละ”

“หมอก็ป่วยเป็นด้วย” ผมเย้า

“หมอก็คน คนที่ดีแต่ดูแลคนอื่น แต่ไม่เคยดูแลตัวเอง” คนข้างๆ พูดพร้อมเหยียดยิ้มให้ตัวเอง

“มากลุ่มสุดท้าย คุณหมอ พูลล์ ศิ” เสียงครูต้นทำให้บทสนทนาที่ไม่ได้ลื่นไหลหยุดลง อย่างที่ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ

เริ่มการแสดง พูลล์และคุณดิมเผชิญหน้ากัน ส่วนผมยืนอยู่หลังร่างสูงใหญ่ในฐานะมือที่สามขี้ขลาด การเผชิญหน้าของตัวละครทั้งสามตัวที่มีความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง เพื่อให้การเล่นอย่างไหลลื่นครูเลยอยากให้พวกเราใช้ชื่อตัวเองเพื่อจะได้อินมายิ่งขึ้น



“พี่ดิมเลือกมันใช่มั้ย” พูลล์พยายามที่จะเข้ามาใกล้ตัวผมแต่ถูกคนตัวใหญ่กว่าขวางทางเอาไว้
   
“พูลล์อย่าทำอย่างนี้ เราจบกันไปแล้ว”

“จบสิวะ เพราะพี่นอกใจไปหามันไง แน่จริงมึงเอาหน้าหนาๆ ของมึงออกมาดิ มุดหลังแฟนคนอื่นอยู่ได้” พูลล์ชี้หน้าและพูดออกมาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด สายตาอาฆาตที่แสดงออกมาอย่างน่ากลัว

“เฮ้ย อย่าให้พูดไม่รู้เรื่องนะพูลล์ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” คุณดิมชี้หน้าพูลล์ด้วยอารมณ์เหลืออด สายตาที่บอกเลยว่าใครมาได้เห็นต้องถอยกรูเพราะรู้แน่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ

“หึ พี่รู้ตัวป่ะว่าตัวเองเป็นยังไงตอนอยู่กับเขา พี่ดูมีความสุข พี่ดูรักและห่วงใย เหมือนที่เคยทำกับผมทุกอย่าง! ทุกอย่างที่คนอย่างมึงแย่งไป!” พูลล์ย่างก้าวเข้ามาเหมือนจะทำร้ายผม อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ต่างจากเมียน้อยที่ไปแย่งสามีคนอื่นมา พาลคิดถึงชีวิตจริงของตัวเองที่คิดไม่ซื่อกับผู้ชายที่หลบหลังเขาอยู่ตรงนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของและไม่มีทางที่จะคิดเป็นอื่นกับผมได้ก็ยังหน้าไม่อายที่จะรู้สึก

“หยุด มึงหยุดนะ!” คุณดิมผลักพูลล์จนล้มลง ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น ความรู้สึกของตัวละครที่ผมได้รับขาดสะบั้น การถูกตราหน้าว่าเป็นคนแย่งคนรักของคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของเขามาก่อนมันก็แย่พอตัว แต่การต้องมาถูกด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงก็หมดความอดทน อดทนที่เห็นคนที่ตัวเองรักทำร้ายคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้

“พี่ดิมพอเถอะ พอ!” จู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาทั้งที่ในบทไม่มีถึงขนาดนี้

“ฮึก พี่แม่งโกหก ทำไมต้องโกหก ไปทำร้ายเขาทำไม เขาทำอะไรผิด คนผิดอยู่นี่ ศิเอง ฮือ ศิผิดเองที่ไปรักคนแบบพี่”

“ศิ..” คุณดิมมีท่าทีตกใจที่เห็นผมร้องไห้ แต่ก็นั่นแหละมันไหลออกมาเอง

พูดจบก็ต้องหันไปประคองพูลล์ที่ล้มอยู่ที่พื้น

“ขอโทษ ขอโทษนะ” พูดขอโทษพลางจับแขนเล็กที่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าผลักกระเด็น เพื่อจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น

พลั่ก

พูลล์ผลักผมเต็มแรงจนล้มลง คุณดิมกำลังจะมาช่วย และผมต้องตบคุณดิมแบบเฉียดๆ ด้วยอาการผิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้อย่างที่สุด

เพี๊ยะ

“ออกไปจากชีวิตศิ ออกไป!!”  แล้วก็เดินไปด้วยอาการเสียใจ

เสียงปรบมือดังจากรอบห้อง พร้อมเสียงโห่ร้องจากเพื่อนๆ ที่นั่งดู รวมถึงคุณครูที่ยกยิ้มให้ พวกเราสามคนจับมือกันพร้อมโค้งรับการแสดงความชื่นชม

ผมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีมือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมสีใหม่เบาๆ อย่างไม่นึกฝัน คล้ายจะปลอบประโลมอารมณ์ที่เข้าถึงบทบาทให้คลายความรู้สึกลง แต่เหตุการณ์นั้นก็เกิดเพียงเสี้ยววิ แต่เป็นเสี้ยววิที่ทำให้ใจกระตุกจากการกระทำที่อ่อนโยนจากคนที่ไม่คาดหวัง

“วันนี้ทุกคนทำดีมากๆ ครูดีใจที่เห็นพัฒนาการของทุกคนเลย” ทุกคนในห้องนั่งฟังครูต้นพูดอย่างตั้งใจ เป็นการสรุปปิดท้ายกิจกรรมแบบที่ทำทุกวัน เพื่อแจ้งว่าในวันพรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไรกันบ้าง

“ศิ ร้องไห้ทำไม บอกครูได้มั้ย”

“คะ..ครับ” ครูต้นถามขึ้นขัดความคิดที่ยังโดนตรึงอยู่กับสัมผัสแผ่วเบานั้น

“อ่อ สงสารพูลล์ครับ”

“ทำไมถึงสงสารล่ะ”

“ก็แค่คิดว่าทำไมพูลล์ต้องเป็นคนโดนกระทำจากความเห็นแก่ตัวของคนสองคน เขาไม่ได้ผิดอะไร เลยเสียใจแทนพูลล์มั้งครับ”

“Exactly! การเข้าใจในอารมณ์ของตัวละครที่เราสวมบทบาท รวมถึงการเข้าใจอารมณ์ของตัวละครอื่นที่เราเข้าฉากด้วย จะทำให้เกิดการแสดงที่เป็นธรรมชาติ และแสดงออกมาอย่างคนที่เข้าใจโลกเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ หมดหวัง แยกแยะและทำออกมาให้ชัดเจนอย่างที่ตัวละครเป็นคนๆ เดียวกับเรา”

“วันนี้เธอทำดีมากศิรัส รวมถึงคนอื่นๆ ที่ครูไม่เอ่ยชื่อด้วย ครูภูมิใจในตัวพวกเธอมาก” ทุกคนยิ้มเป็นปลื้มกับคำชมคำแรกที่ได้จากครูต้น ปกติครูจะไม่ค่อยชมแต่จะให้คำแนะนำ วันนี้ถือว่าพวกเราสอบผ่านที่ได้รับคำชมจากครูต้นได้




ครูทุกคนให้แยกย้ายกลับบ้านได้ ผมและอาโปก็มุ่งหน้าไปลานจอดรถ เราแยกกันเพราะได้ที่จอดคนละชั้น พวกเราเห็นความจำเป็นของรถส่วนตัว แม้จะไม่ชอบขับรถเองเท่าไหร่ อีกอย่างถนนเส้นนี้รถติดมาก แต่ก็อย่างที่ทราบสภาพวันแรกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ร่างกายก็ยมเกินกว่าจะพาตัวเองขึ้นบีทีเอสกลับ หรือจะใช้บริการแท็กซี่ในเวลาดึกดื่นคนเดียว เลยเลือกขับรถตัวเองมาดีกว่า

มินิคูเปอร์สีเหลืองสดจอดข้าง BMW 4Series Coupe ทะเบียนคุ้นตา คงจะเป็นคุณหมอที่มาจอดเทียบทีหลัง เพราะตอนแรกที่ผมจอดข้างเป็นเบนซ์สีขาว อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นวะ ใช้สายตาสอดส่องหาเจ้าของรถ ก็พบว่ากระโปรงด้านหลังเปิดอยู่ อาจจะกำลังเก็บของ เลี่ยงยากที่จะไม่เผชิญหน้าแล้วสินะ เพราะผมก็ต้องเก็บของหลังรถเช่นเดียวกัน พอเดินไปถึงก็เห็นร่างสูงสวมเสื้อยืดสีขาวของ CK กำลังนั่งหลับตาพิงกระโปรงรถที่เปิดไว้อยู่ ดูท่าอาการป่วยของคุณหมอจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขนาดมานั่งหลับแบบนี้

“คุณดิมครับ”

“หืม”

“อ่า โอเคหรือเปล่า” เขาไม่ได้หลับแฮะ สีปากและสีหน้าของคุณหมอแดงระเรื่อ พิษไข้คงเล่นงานคนที่แข็งแรงอย่างเต็มที่แล้ว

“ปวดหัวนิดหน่อย สงสัยไข้จะขึ้น” คุณหมอเอาหลังมือเช็กอุณหภูมิร่างกายผ่านหน้าผากและลำคอของตัวเอง มันไม่น่าจะไข้ขึ้นธรรมดาน่าจะไข้สูงเลยล่ะมั้งเนี่ย

“เข้าไปนั่งในรถดีมั้ยอะ ตรงนี้อบอ้าว” คุณหมอพยักหน้ารับก่อนจะปิดกระโปรงรถ และเดินมาเปิดประตูข้างคนขับก่อนจะพาตัวเองเข้าไปนั่ง ผมได้แต่เดินตามและมองการกระทำที่ดูพร้อมจะวูบหลับได้ตลอดเวลา

“คุณกินยาหรือยังครับ”

“กินแล้วล่ะ เลยดูง่วงขนาดนี้ไง” ร่างสูงที่เคยแข็งแรงตอบเสียงเอื่อยก่อนจะยกมือนวดขมับตัวเอง

“เธอพอจะมีทิชชู่เปียกหรือเปล่า ขอใช้เช็ดตัวหน่อยสิ”

“อ่า ไม่มีครับ เดี๋ยวผมวิ่งออกไปซื้อเซเว่นให้ รอแป๊บนึงนะ”

“ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร”

“ศิ!” เสียงสดใสของพูลล์ที่ผมเริ่มจะชินหูดังขึ้น คนตัวเท่าผมกำลังวิ่งมาอย่างหน้าตั้ง

“ยังไม่กลับหรอ”

“อื้อ ก็กำลังแล้ว เอ้อ พูลล์พอจะมีผ้าเย็นหรือว่าทิชชูเปียกมั้ย คุณดิมเขาไม่สบายน่ะ”

“เฮ้ย มีๆ” คนน่ารักและโอ้อวดว่ากระเป๋าตัวเองมีทุกอย่าง กำลังรื้อกระเป๋าเป้โดราเอม่อนก่อนจะยื่นผ้าเย็นซองสีชมพูให้คุณหมอ

“พี่ดิมโอเคหรือเปล่า ทำไมอาการดูแย่กว่าตอนอยู่ในห้องอีก อะนี่น้ำครับ” พูลล์ยื่นน้ำแร่ไม่เย็นให้คุณหมอที่นั่งบนเบาะรถฝั่งคนขับที่เปิดประตูไว้ตามไปด้วย

“ขอบคุณครับ”

“นี่แล้วจะขับรถกลับไหวหรอ สภาพแบบนี้ มีเข้าเวรต่อมั้ยเนี่ย” น้ำเสียงสดใสดูจะห่วงใยเพื่อนรุ่นพี่ในวงการพอตัว จริงๆ พูลล์ก็เป็นคนที่เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนทุกคนอย่างเป็นนิสัยอยู่แล้ว

“มีครับ อาจจะจอดรถไว้นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา เดี๋ยวไปแท็กซี่ได้”

“ได้ไงพี่หมอ เอางี้มั้ย ศิไปส่งพี่หมอสิ” ใบหน้าใสหันมามองคนที่ตัวเองเสนอชื่อ

“อะ...อ้าว” เหว๋อสิครับ ไม่คิดว่าโบนัสจะลงที่ตัวเอง เหอะๆ

“ก็บ้านเราไกลกว่าโรงพยาบาลพี่หมอคนละโยชน์เลย ศิแหละไปส่งพี่เขาหน่อยน่า”

“แต่ว่า…”

“ไม่เป็นไรไม่รบกวนหรอก กลับกันเถอะพวกเราน่ะ ดึกแล้วจะอันตราย ผมไม่เป็นไร ผมเป็นหมอนะ แค่กๆ” เสียงทุ้มกว่าปกติของคุณดิมปนกับเสียงไอทำให้ต้องกลับใจ แอบรู้สึกผิดที่ดูเหมือนปฏิเสธเขาทั้งที่เขาก็เคยอาสาไปส่งที่คอนโดตั้งสองครั้ง

“เดี๋ยวผมไปส่งครับ มีของอะไรที่คุณต้องใช้บ้าง”

“มาๆ เดี๋ยวเราช่วยขน” พูลล์ที่ออกเสนอตัวมีอาการร่าเริงสุดๆ หลังจากที่ผมรับปากว่าจะไปส่งร่างสูงที่นั่งกุมขมับเพราะอาการปวดหัวที่คงจะทวีขึ้น ไวรัสคงเล่นงานเขาหนักจริงๆ ควรพาไปเข้าเวรให้เร็วที่สุดดูท่าจะดี จะได้มีพยาบาลดูแล สงสัยวันนี้คุณหมอคงต้องงดดูแลคนอื่น

“ขับรถดีๆ น้าาา” เสียงสดใสร่ำลาก่อนจะโบกมือให้จนมินิคูเปอร์คันโปรดของผมเลี้ยวจนสุดทางออก


เจ้ากี้เจ้าการนักนะ เจ้าพูลล์




ติ๊ง!

เสียงแจ้งเตือนจากมือถือขณะที่รถยังไม่เลี้ยวออกจากตึกดี เลยรีบปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของคนที่หายใจถี่อยู่เบาะข้างคนขับ แต่เจ้ากรรมมือดันไปเลื่อนเปิดซะนี่ เป็นสตอรี่ไอจีของพูลล์ที่แท็กชื่อผมกับคุณดิม! วิดีโอรถสีเหลืองสดกำลังเลี้ยวออกจากตึก

@thesimoonnie
เป็นคุณหมอก็ป่วยได้แต่มีคนไปส่ง งิงิ
@dim.akira

พูลล์ ว้อยยยยยยยยยยยย




ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระแสในทวิตเตอร์มันจะพุ่งทะยานขึ้นน่านน้ำเมืองชิปเปอร์แค่ไหน

ในช่วงแรกที่พี่ใบชามาขอความร่วมมือในการใช้พื้นที่สื่อของตัวเองให้เป็นประโยชน์ หลายคนที่พอจะมีฟอลโลเวอร์เป็นฐานทุนเดิม พอลงรูปหรือไอจีสตอรี่ก็จะมีคนแคปไปลงทวิตเตอร์พร้อมติดแท็กซีรี่ส์ ไม่ก็มีการจิ้นคนนั้นกับคนนี้เป็นแฮทแท็กต่อท้าย และ #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ ก็ยังคงมีการพูดถึงอยู่ตลอดเวลาที่ผมเข้าไปส่อง มีบ้างที่มือลั่นกดหัวใจแต่คงไม่มีใครสังเกตว่าเป็นผมหรอกเพราะใช้รูปตัวละครในเกมเป็นโปรไฟล์ อีกอย่างชื่อแอคเคาทน์ก็ไม่เหมือนไอจีตั้งมั่วๆ จะได้ไม่มีคนจำได้  ที่สุดแล้วนั้นการจิ้นมันเลยเถิดมาเป็นชื่อจริงของคุณดิมกับผมแทนแฮทแท็กยาวนั่นแล้ว #ดิมศิ จั๊กจี้หน่อยๆ นะ

มันค่อยๆ โหมกระพือเพราะเพื่อนที่เวิร์กชอปหลายคนชอบจับสังเกตทั้งผมและคุณดิม หลังจากวันแรกก็มีโดนแซวบ้างเพราะแฮทแท็กเด็กหมออะไรนั่น แต่แล้วเหมือนโดนล่มเรือโดยผมเองที่แทบไม่ได้คุยกับคุณดิมเลย กิจกรรมกลุ่มก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน รูปหรือสตอรี่หลายๆ คนอาจจะมีติดผมบ้าง ติดคุณดิมบ้าง เหมือนกำลังโดนจับตามอง แต่แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมเมนต์ให้คนได้จินตนาการต่อเลย จนนี่แหละวันนี้ เจ้าพูลล์ตัวดียื่นไม้พายให้เหล่าคนขี้ชิปคนได้จิ้นต่อ ตัวผมมันไม่เท่าไหร่ กังวลก็แต่คนที่ป่วยไม่สบาย ซึ่งตอนนี้น่าจะหลับไปแล้วจะไม่ชอบใจเอา จิ้นในซีรี่ส์เป็นแค่งาน จิ้นในชีวิตจริงอาจจะไม่เหมาะ

ก็เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่


อีกเรื่องคือศิคนนี้มีไอจีกับเขาแล้ว ไม่โดนด่าว่าหลังเขาแล้วน้าาา เพิ่งสมัครแอคเค้านท์ไปไม่กี่วันก่อน ยอดฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นทุกวัน เฌอเป็นคนสอนผมเล่นพร้อมด่าไปด้วยกับอาการสองจิตสองใจในการเลือกชื่อแอคเค้านท์ ชื่อที่ไม่มีคนใช้ก็ไม่ชอบ ชื่อที่เฌอคิดให้ก็ไม่เอา เลยจบลงที่ชื่อที่เมฆคิดให้ นั่นคือ @thesimoonnie เพราะชื่อจริงผมแปลว่าพระจันทร์ และมูนนี่ก็น่ารักดี ผมก็เลยเออออไม่อย่างนั้นเฌอคงกินหัวผมเป็นแน่

รูปแรกที่ลงเป็นรูปที่เฌอแอบถ่ายวันที่ตัดผมเสร็จ เราแวะกินไอติมก่อนกลับ ไม่เคยรู้เลยว่าใช้สายตามองของกินแบบนั้น ลูกไอติมสามสีน่ารักเรียงบนโคนจับ และผมก็ยิ้มให้กับไอติมที่กำลังจะถูกกลืนลงพุงน้อยๆ ของตัวเอง เป็นรูปที่เฌอบอกน่ารักดีก็เลยลงรูปนี้เอาฤกษ์เอาชัย คนที่ฟอลก็นี่แหละเดอะแก๊งทั้งสามคน คนไลก์ก็นี่แหละเฌอ เมฆ และอาโป และไม่ลืมที่จะบอกชื่อแอคเค้านท์ให้พูลล์รู้คนแรก เท่านั้นแหละ พูลล์ก็แคปไอจีผมลงสตอรี่แล้วบอกให้คนอื่นไปฟอล วันเดียวยอดฟอลโลเวอร์ขึ้นสองพันกว่าคน โอ้โห นี่แหละนะพลังของเซเลบบิตี้ คนตามในไอจีพูลล์ตั้ง 2 แสนกว่าแหนะ ห่างจากผม 20 เท่า ฮ่าๆ



ระยะทางจากบริษัทถึงโรงพยาบาลของคุณหมอจริงๆ ไม่ได้ไกลมาก แต่ว่ารถติดพอสมควร ครับ รถติดเวลาสี่ทุ่มหากจะใช้เส้นทางที่ไปคอนโดผมก็จะต้องไปกลับรถไกลพอสมควร แสดงว่าคุณดิมจะต้องใช้เวลาอยู่บนถนนเวลากลับจากเวิร์กชอปนานเหมือนกัน ใช้ชีวิตสมบุกสมบันจริงๆ 

ใบหน้าคมระเรื่อด้วยเลือดฝาด ทำให้หน้าและปากเขาแดงขึ้นมากเพราะพิษไข้ ซึ่งเขาหลับตาลงตั้งแต่ออกรถ และขออนุญาตผมปรับเบาะเพื่อให้นอนสบายขึ้น เลยยกผ้าห่มลายหมีวีบาร์แบร์ส์ให้ยืมห่มป้องกันอากาศเย็นจากแอร์ หลังจากนั้นเขาก็ภาพตัดไม่รับรู้อะไรอีก ลมหายใจสม่ำเสมอและเผลอไอบ้างในบางที

“คุณดิมครับ” ผมพยายามเรียกคนที่หลับสนิทเพราะตอนนี้มาถึงภายในโรงพยาบาลแล้วแต่ไม่รู้จะต้องไปตึกไหนต่อ

“....” 

“คุณดิม” เหมือนจะไม่รู้สึกตัว หรือเขาจะช็อกไปแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย

“คุณดิม คุณดิม ตื่นครับ!” ผมใช้เสียงที่ดังขึ้น พร้อมกับแตะที่แขนเขาเบาๆ

“....”

“คุณๆ นี่ตื่นเถอะครับ ทำไงดีวะ ลงไปเรียกคนมาช่วยดีมั้ยเนี่ย” รำพึงกับตัวเองเพราะเริ่มกว่าว่าเขาจะช็อกไปจริงๆ

หมับ มือใหญ่ที่อุ่นร้อนจับลงบนข้อมือเล็กกว่าที่ใช้ปลุกคนป่วยเมื่อสักครู่

“อื้อ ได้ยินแล้ว แต่มันลืมตาไม่ขึ้น”

“เฮ้ออ โล่งหน่อย คิดว่าคุณดิมช็อกไปแล้ว ผมตกใจหมด”
“ถึงโรงพยาบาลแล้ว ต้องไปอาคารไหนครับ”

ร่างสูงค่อยๆ ปรับเบาะและปรับสายตาให้รับแสง พร้อมคลายมืออุ่นจนร้อนที่จับข้อมือผมออกช้าๆ ก่อนจะมองว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้

“เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย ตรงไปที่อาคารผู้ป่วยใน ลานจอดรถจะอยู่ข้างหน้าเลย”

“ครับ คุณเป็นไงบ้าง ไหวหรือเปล่า”

“ท่าจะแย่ อยากได้ยาสักเข็ม ปวดหัวสุดๆ” คนป่วยตอบด้วยเสียงที่ดูจะแหบขึ้นกว่าเดิม แต่บอกก่อนว่าหาเค้าความเซ็กซี่ไม่ได้เลย น่าสงสารมากกว่าที่เสียงเท่ๆ กลายเป็นเสียงเป็ดไปแล้ว

“ถึงแล้วครับ เดี๋ยวผมถือของไปส่ง”
“ผมต้องเรียกรถเข็นมั้ยเนี่ย คุณเดินไหวหรือเปล่า”

“ได้น่า” อะ ได้ก็ได้


กวาดสัมภาระทุกอย่างของคุณหมอใส่สองมือ แต่คนป่วยก็ยังดื้อจะถือเอง แค่พาตัวเองเดินลงจากรถเข้าตึกยังดูงงๆ สะบัดหัวไล่ความมึนตั้งหลายที ทำมาเก่งจะถือของหนักๆ คิดว่าตัวเองเป็นเดอะฮัคส์หรือไงทั้งที่เป็นแค่ปลาหมึกป่วยๆ
   
พี่พยาบาลที่กำลังเข้าเวรพอเห็นสภาพคุณหมอสุดหล่อของเธอดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ตะโกนสั่งบุรุษพยาบาลให้เอารถเข็นมารับคุณหมอ ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อให้คุณหมอที่เข้าเวรได้ตรวจอาการของคนป่วย ตอนแรกผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนเลยได้แต่เดินตามพวกเขามา พร้อมหอบหิ้วสัมภาระที่โคตรหนักตามไปด้วย ไม่กล้าวางหรอกถ้าหายมาจะทำยังไง กระเป๋าบาลองเซียก้าไม่ใช่ถูกๆ

“ไข้หวัดนะครับพี่ 39.5 เลยนะ ไปทำอะไรมาครับ”  คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งน่าจะเด็กกว่าคุณดิวที่โดนวินิฉัยอาการอยู่

“สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอน”
“ฉีดยากับขอน้ำเกลือซักขวดนะ วันนี้หมอคงต้องราวด์คนเดียวแล้วไหวหรือเปล่า”
   
“สบายพี่ วันนี้มีเอ็กเทิร์นหลายคน”

“ขอบคุณนะ”


หลังจากฉีดยาและเจาะสายน้ำเกลือคุณหมอที่ตอนนี้เป็นคนป่วยเต็มรูปแบบก็โดนเข็นเข้าไปในห้องพักแพทย์ ที่มีทั้งเตียงและห้องน้ำส่วนตัว บุรุษพยาบาลช่วยพยุงคุณหมอให้นอนบนเตียงก่อนจะออกจากห้องไป ผมเงียบพร้อมของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าห้อง ยังคิดว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ วิญญาณหลุดออกจากร่างตั้งแต่พี่พยาบาลเจาะสายน้ำเกลือที่แขนข้างขวาแล้วใจจะวาย อาการกลัวเข็มมันไม่เคยหายไปจากใจ ฮือ

“อ้าว ยังไม่กลับหรอ”

“อ่า ผมไม่รู้ว่าจะเอาของพวกนี้ไปวางที่ไหน กลัวหายอะ” 

“หึหึ” คุณหมอยิ้มเมื่อมองเห็นสภาพของผมตอนนี้ มือข้างขวาถือเสื้อกาวน์ มือซ้ายยกกระเป๋ารองเท้า ส่วนหลังก็สะพายกระเป๋าเป้ พ่วงกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กสะพายข้างอีก บอกแล้วว่ามันดูเกะกะมากๆ

“เอาไปวางที่โต๊ะก็ได้”  เลยเดินเข้าห้องพักแพทย์ที่ดูสะอาดและมีกลิ่นของความเป็นโรงพยาบาลอ่อนๆ แม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลรัฐแต่ก็นับว่ามีสวัสดิการสำหรับหมอดีเหมือนกัน

“ปกติไม่ได้มาอยู่หรอกห้องนี้ ต้องเป็นระดับอาจารย์หมอที่มีเคสผ่าตัดนานๆ” เหมือนคนป่วยจะอ่านใจผมออกว่ากำลังพินิจสถานที่นี้อยู่

“อ้าว งั้นปกติที่คุณเข้าเวรไปอยู่ที่ไหนหรอครับ”

“ข้างๆ ห้องพยาบาลที่เดินผ่านมานั่นแหละ”

“ห้ะ แคบๆ นั่นหรอครับ” ผมแอบตกใจเพราะมันไม่ได้กว้างแถมเห็นมีโต๊ะหลายตัว แสดงว่าต้องอยู่กันหลายคน

“ใช่ อยู่กลางคืนก็จะได้ใช้บ้าง แต่กลางวันไม่ค่อยได้เข้าไปหรอก ส่วนมากก็ต้องตรวจคนไข้ทั้งวัน”

“....”

“ทำไมทำหน้าแบบนี้” ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำหน้ายังไง แต่ว่าไม่อยากจะเชื่อเลยที่อาชีพที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นจะมีคุณภาพชีวิตที่เหนื่อยขนาดนี้

“ป่าวครับ แค่กำลังคิดตาม ถ้าผมเรียนจบแล้วมาทำงานในโรงพยาบาลจะเป็นแบบคุณมั้ย”

คุณหมอยกยิ้มแต่ทว่าอ่อนแรงคล้ายกับพลังงานที่เหลืออยู่กำลังจะหมดลง

เดี๋ยวนะ ทำงาน งาน การบ้าน!!

“เห้ยทำงาน! ตายห่าการบ้านอ.ปวีณามัยยังไม่เสร็จ” ฉิบหายแล้ว คืนนี้ไม่ต้องนอนล่ะมึงไอ้ศิ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูโอ้โห ห้าทุ่ม แล้วต้องส่งก่อนแปดโมงวันศุกร์ one night miracle จงบังเกิดกับตัวข้าเถิด

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ การบ้านยังไม่เสร็จเลย”

“กลับเถอะ ขอบคุณมากนะ” คุณหมอยิ้มให้อีกแล้ว วันนี้ยิ้มบ่อยจัง เสือยิ้มยากเวลาป่วยจะยิ้มมากกว่าปกติหรือไง

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย” ผมถามออกไปอย่างลืมตัวว่านี่คือโรงพยาบาลคงไม่มีพยาบาลกล้าปล่อยให้บุคลากรคนสำคัญเป็นอะไรไป

“อ่า นี่โรงพยาบาล เด๋ออีกละ” ยกมือเกาหัวอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหนเพราะปล่อยโป๊ะตูมใหญ่
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ เอ่อ หายไวๆ นะ”

"เดี๋ยว"
"วันนั้นถ้าผมทำเธอไม่สบายใจ ขอโทษด้วย"

"ครับ?"

"รู้สึกแปลกๆ ที่ผู้ชายชมว่าน่ารักสินะ"

"ก็มั้ง..." เป็นอีกครั้งที่คุณหมอแปลเจตนาของผมผิด แต่ก็ดีแล้วแหละ อย่าให้เขารู้เลยความจริงเป็นยังไง เพราะมันไม่ควรจริงๆ

"คิดซะว่าผู้ใหญ่ชมเด็กแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องหลบหน้ากันอีก"

"ครับ"

"กลับเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ"

ยกมือไหว้คนป่วยที่อาวุโสกว่าก่อนจะปิดประตูและปิดไฟตามที่คุณหมอขอ พร้อมออกมาด้วยความรู้สึกที่ใจโหวงๆ ยังไงพิกล

เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว

แต่ที่ผิดปกติคือผมเองที่คาดหวังในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้



ไม่รู้จะเก็บใจที่มอดมิดกลับไปจุดไฟให้ปั่นงานคืนนี้ยังไงได้

เฮ้อ















มีต่อ

หัวข้อ: Re: 【Based on blue story | เพียงจินตนาการ】EP.05- หมอป่วยขอคนช่วยดูแล (01/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 01-05-2018 20:17:01
ภายในห้องพักแพทย์ที่มีแสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านช่องว่างเข้ามา ทำให้ห้องที่ปิดไฟไม่ได้มืดสนิทนัก ยังคงมองเห็นบรรยากาศรอบห้องพักแพทย์อาวุโสที่ตอนนี้เขาได้ใช้แม้จะยังไม่อาวุโสก็ตาม นายแพทย์อาคิราแปรสภาพเป็นคนไข้ยังนอนไม่หลับเสียทีเดียวเพราะปกติเวลานี้คือเวลางาน นาฬิการ่างกายพลิกผลันอาการหลับยากก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ที่ไม่ปกติคือภาพของเด็กผมน้ำตาลอ่อนคนนั้นยังฉายวนอยู่ในหัว ตั้งแต่วันที่ได้ไปส่งที่คอนโดครั้งที่สอง เหตุการณ์คล้ายอุบัติเหตุทางความรู้สึกส่งผลต่อต่อตัวเขาอย่างหาสาเหตุไม่พบ ไม่รู้จะวินิจฉัยอาการของตัวเองอย่างไร ไหนจะไอ้การพลั้งปากชมทรงผมใหม่ว่าน่ารักนั่นอีก ผิดปกติอย่างที่เกลว่า นี่แหละที่กังวลมากๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร รู้แค่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลคือแววตาใสซื่อของใบหน้าขาวเนียนไร้ที่ติ และรอยยิ้มที่มีให้ทุกคนยกเว้นนายแพทย์อาคิราคนนี้ กลายเป็นอากาศที่ถูกลืมอย่างไม่รู้เหตุผล ได้แต่เดาว่าการถูกผู้ชายที่ไม่ได้สนิทกันชมว่าน่ารักคงจะสร้างความตระหนกให้เด็กคนนั้นเหมือนกัน ถ้าวันนี้ผมไม่ป่วยขนาดที่ขับรถกลับไม่ได้ก็คงได้กลายเป็นอากาศในสายตาเด็กคนนี้ต่อไป

เด็กนั่นทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น รู้จักกันแต่เหมือนไม่รู้จักกัน แสดงออกว่ารู้สึกอะไรก็ไม่ได้คงทำให้ตื่นกลัวกว่าเก่า หูตกทุกครั้งที่เผลอมาสบตากัน คงจะหวาดระแวงสินะ หวังว่าหลังจากวันนี้คงไม่ต้องหลบหน้าหลบตากันอีกก็เป็นพอ

เหตุผลที่ผมเลือกจะบอกเขาคงหนักแน่นพอให้เราเป็นปกติต่อกัน

ทั้งที่จริงๆ


ความผิดปกติเกิดขึ้นกับหัวใจของผมหนักกว่าไวรัสที่เกาะกินร่างกายผมตอนนี้เสียอีก







“วู้วววว เด็กหมอมาแล้วว่ะ”
“เป็นไรกันอะไปส่งโรง’บาล”
“พยาบาลจำเป็นไงคะ”
“พยาบาลฉีดยาคุณหมอหรือเปล่า”
“วู้วว”


วันสุดท้ายของการก้าวเข้าห้องเวิร์กชอปเสียงโห่ร้องแซงแซ่ดังระงมต้อนรับทันที คำแซวชวนให้คิดไปไหนต่อไหนออกมาจากปากเพื่อนผู้ชายในห้องนี้ ดีที่คุณครูกับคุณดิมยังไม่มา เอาใหญ่เลยนะ ฮึ้ย!

ดูก็รู้ใครเป็นหัวหน้าฝีพาย ผู้ชายมัดจุกสองข้างด้วยยางสีเดิม ที่วันนี้ใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์สีชมพู ลายการ์ตูนซิมซันกำลังกินไอติม

เจ้าพูลล์!!

“เลิกพูดเหอะน่า ก็แค่ไปส่งโรงพยาบาลโว้ยยย”

“แหนะ ละทำไมได้ไปส่ง” บอสที่อยู่กลุ่มภามาสเหมือนกันพูดด้วยสีหน้าแกมหยอก

“ก็จอดรถใกล้กัน พูลล์เนี่ยตัวดีเลย”

“อะๆๆ อย่ามาโยนให้เรา ก็เห็นสีหน้ากับท่าทางศิดูเป็นห่วงเขาขนาดนั้น เดินวนรอบรถพี่หมออยู่ได้” เจ้าของเรื่องแก้ตัวอย่างที่คิดเอาเองโคตรๆ

“ไม่ใช่ซะหน่อย พอๆๆ เลย หยุดพูดได้แล้ว!”

“เขินอะเขิน” คัตเตอร์ที่อยู่กลุ่มรังสิมันต์พูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วกิ้วๆ มาให้ด้วย คนพวกนี้ชักกำเริบเสิบสาน!

แม้จะพยายามตัดบทเพื่อนที่มารอเวิร์กช้อปก่อนเวลาบางส่วนยังล้อไม่เลิก และคงไม่เลิกจนกว่าครูจะมา เฮ้อ เอาเลยสหาย

ระยะเวลา 5 วันที่พวกเรา 50 ชีวิตที่ต้องทำกิจกรรมร่วมกัน ใช้เวลาด้วยกันวันละ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ดีกว่าที่คิดไว้ บทเรียนบางอย่างทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับคนแปลกหน้า บางบทเรียนทำให้เราเห็นอกเห็นใจและยอมรับเพื่อนในห้องมากขึ้น แม้จะไม่ได้สนิทกันทุกคนแต่ก็จำชื่อได้ จำหน้าตาได้ จำบุคลิกท่าทางได้ เป็นประสบการณ์ดีในชีวิตอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่เข้าสังคมยากแบบผม แม้ว่าผลตัดสินวันนี้อาจจะมีบางคนที่ผิดหวัง หรือบางคนได้ดั่งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้ก่อขึ้นในใจและจดจำไปตลอด

มีพี่ทีมงานแจ้งพวกเราว่าจะต้องย้ายไปที่ห้อง B2 ซึ่งจะเป็นห้องที่ดูทางการกว่านี้ เสียงโหวกเหวกก่อนหน้าก็เงียบลงขนัด ไปถึงก็เจอคุณครูทั้ง 4 คน รวมถึงผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย ทั้งคุณติณณ์ คุณอบเชย คุณเจี๊ยบ คุณนาย พี่นิ้ง และพี่ใบชา เป็นการนั่งบนเก้าอี้ลักษณะครึ่งวงกลม และพวกเราทั้งหมดก็นั่งที่พื้นเป็นระเบียบ

ผมใช้สายตาสอดส่ายเพื่อหาคนที่ยังไม่เห็น หรืออาจจะป่วยมากจนไม่สามารถมาวันสำคัญได้ เป็นอย่างนั้นคงน่าเสียดายเพราะเขาเป็นอีกคนที่ตั้งใจมาก และเกิดอาการวูบโหวงในใจคล้ายเป็นกังวลว่าเขาจะอาการไม่ดีขึ้นหรือทรุดหนักกว่าเดิม

เสียงประตูเปิดก่อนที่จะเริ่มมีการประกาศอะไร ร่างสูงคุ้นตาในชุดเสื้อแขนยาวฮู้ดซูพรีมคุ้นตา กับกางเกงยี่ห้อเดียวกันสีเดียวกัน รองเท้าอะดิดาสรุ่นลิมิเต็ด เดินเข้ามาในห้องพร้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างขออนุญาต ใบหน้าถูกคาดด้วยมาส์กสีเขียว แขนเสื้อที่ถลกสูงข้างหนึ่งทำให้มองเห็นผ้าก็อตที่พันเข็มสายน้ำเกลือไว้ ดึงสายน้ำเกลือออกเลยหรือไงกัน นี่ไม่ได้เรียกสปิริตนี่เรียกว่าไม่ห่วงตัวเอง เอาคำเขาที่เคยว่าผมมาใช้ว่าเขาคืนเลย เหอะ!
   
“มองขนาดนี้เรียกเขามานั่งด้วยเลย” อาโปที่นั่งข้างๆ กระซิบ

“มองอะไรเปล่าเว้ย”

“อย่ามา ไปส่งเขาเมื่อคืนไม่เห็นบอกเพื่อนซักคำ ถ้าไม่เห็นในสตอรี่พูลล์ก็ไม่รู้”

“มันฉุกละหุกน่าไม่มีอะไรหรอก เขาไม่สบายมึงก็เห็น” ตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเรื่องที่ไม่ได้บอก จะเอาเวลาไปบอกตอนไหนกลับถึงคอนโดก็รีบปั่นการบ้านอ.ปวีณามัย ได้นอนตอนเกือบตีสี่ ดีที่เรียน 10 โมง ไม่งั้นก็คงไม่สภาพไม่ต่างจากซอมบี้ ถ้าเพื่อนรู้ว่าผมลืมการบ้านโดนบ่นอีก มีเพื่อนหรือพ่อแม่ก็ไม่รู้

“จ้ะๆ” อาโปตอบอย่างประชดประชันเล็กๆ แต่สายตาแกมหยอกเย้านั่นมันอะไร คิดว่าจะมีอะไรระหว่างผมกับเขาหรือไง ตอนนี้ก็ยังไม่สนิทกันเลยเถอะ




“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเวิร์กช้อป กิจกรรมไม่มีอะไรมากแค่อยากให้ทุกคนออกมาพูดความรู้สึกของตนเอง ก่อนและหลังการได้เข้าร่วมเวิร์กช้อป สิ่งนี้จะเป็นบททดสอบสุดท้ายที่จะแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ทุกคนมีต่อการแสดง และการซื่อสัตย์ต่อตัวละครที่ตัวเองเลือกรับบท ครูอย่างให้ทุกคนพูดออกมาจากใจจริง จากความรู้สึกเนื้อแท้ของตนเอง สั้นๆ ไม่ต้องยาวมาก” ครูน้ำหนึ่งพูดก่อนจะยิ้มให้พวกเรา และนี่คือบททดสอบครั้งสุดท้ายที่เหมือนจะง่ายแต่สำหรับผมยากที่สุดเลย…


“สวัสดีค่ะ หนูชื่อปลานะคะ เลือกรับบทใบเฟิร์นค่ะ ความรู้สึกหนูก่อนที่จะมาเวิร์กช้อป คิดแค่ว่าอยากมีผลงานในวงการ อยากมีชื่อเสียง ถ้าได้ทำงานกับที่นี่คงดีมากๆ แม้ตัวบทจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากเพราะเป็นซีรีส์วาย ชะนีน้อยอย่างหนูคงไม่ได้รับความสนใจ แต่พอมาได้เวิร์กช้อปครูทุกคนทำให้หนูมองเห็นคุณค่าของทุกตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง และมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากกว่าที่เคย ที่สำคัญการเป็นนักแสดงไม่ใช่การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแต่คือการถือว่าตัวเองเป็นองค์ประกอบที่จะหล่อหลอมให้ละครสมบูรณ์ขึ้นค่ะ” 

เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากน้องปลาพูดจบ น้องยังเป็นเด็กมอปลายอยู่เลย หน้าตาน่ารักและร่าเริง ในตอนแรกไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่กิจกรรมหลายอย่างทำให้นิสัยที่น่ารักของเธอปรากฏต่อสายตาคุณครูและเพื่อนๆ ยิ่งทัศนคติที่โตกว่าเด็กทั่วไปอาจจะทำให้เธอได้รับโอกาสนี้ก็เป็นได้

ลำดับการออกไปพูดไล่เรียงมาเรื่อยๆ จนถึงแถวของผม ถึงคิวอาโปต้องออกไปพูดก่อน

“สวัสดีครับ ผมอาโป เลือกรับบทภูผา ผมเป็นอีกคนที่ใฝ่ฝันจะทำงานในวงการนี้ เหตุผลคืออยากพิสูจน์ตัวเองหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอยากแสดงให้ครอบครัวเห็นถึงความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้อย่างที่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล เพราะครอบครัวผมจะย้ายไปอยู่ที่ซิดนีย์และผมไม่อยากไป เพราะบ้านผมคือที่นี่ครับ ขณะที่เวิร์กช้อป คิดเสมอว่าจะต้องทำอย่างเต็มความสามารถ และทำให้ดีตามกำลังตัวเอง มีคำพูดหนึ่งที่ครูน้ำหนึ่งพูดและผมรู้สึกกระทบใจมากๆ คือ เมื่อวันหนึ่งเราได้รับความรักของคนที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไร สิ่งหนึ่งที่เราควรแสดงออกว่าเรารู้สึกซาบซึ้งคือการรักษาความรักของเขาเอาไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หน้าพ่อกับแม่ก็ลอยเข้ามาเลย แม้วันนี้ผลคือผมไม่ได้ไปต่อ แต่ผมจะกล้าไปบอกพ่อกับแม่ว่าสิ่งที่ผมทำมันอาจจะไม่เป็นอย่างหวัง แต่ผมก้าวข้ามความผิดหวังได้เพราะความเชื่อใจของพ่อแม่ที่มีให้ผมเสมอ และจะตอบแทนพวกท่านด้วยการไม่ยอมแพ้ครับ ขอบคุณครับ”

นี่แหละจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเพื่อนที่มีความตั้งใจอย่างแนวแน่เสมอ อาโปรู้ว่าต้องย้ายไปซิดนีย์ตั้งแต่ปี 2 ซึ่งตัวอาโปเองไม่อยากไปจากเมืองไทย เลยพยายามทำงานหลายๆ อยากให้ที่บ้านเห็นว่าดูแลตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวล และอาชีพนี้ก็ทำเงินได้ดีพอกับที่บ้านให้ หรืออาจจะมากกว่า ปัจจัยเรื่องเงินดูไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อาโปได้รับการเลี้ยงดูดีมากๆ เป็นคุณหนูเลยก็ว่าได้ ฉะนั้น การเลือกที่จะอยู่คนเดียวห่างจากพ่อแม่หลายพันกิโลเมตรก็คงต้องแสดงให้ท่านเห็น อาโปทำได้ดีกว่าผมแน่ๆ

เอาล่ะ ตามึงแล้วศิ หายใจเข้าหายใจออก ทำตัวปกติไม่มีอะไรเหมือนคุยกับเพื่อน ฟู่!

“สวัสดีครับ ศิรัส มีคนเลือกให้รับบทภามาสครับ” เสียงหัวเราะเบาๆ จากทั้งเพื่อนและผู้ใหญ่ดังขึ้นกับความจริงที่มาเล่าอีกทีก็กลายเป็นเรื่องขำขันไป

“ผมไม่เคยเข้าใจในวงการนี้ ไม่รู้ว่าเขาทำงานกันอย่างไร กระทั่งไม่รู้แม้แต่การแสดงคืออะไร ที่สำคัญไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ก็มายืนแล้ว เหมือนเป็นการจำยอมแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยรู้ตัวเองว่าสมัครใจอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิต อยากเป็นคนที่พ่อแม่ภูมิใจได้ อยากเป็นเพื่อนที่พึงพาให้เพื่อนได้ อยากเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดีขึ้น การเลือกเส้นทางนี้รู้แก่ใจว่าจะมีชีวิตแบบศิคนเดิมไม่แล้วนะ แต่เพื่อตัดตัวเองออกจากการเป็นศิคนเดิมเลยพยายามเรียนรู้และซึมซับสิ่งที่ครูทุกคนสอน มาเวิร์กชอปวันแรกๆ รู้สึกอิจฉาที่หลายคนมีความฝันและกำลังเดินตามความฝัน ผมไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตนี้จะทำอะไรต่อถ้าเรียนจบ การได้มาอยู่ท่ามกลางคนที่มีความฝันมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้ตัวผมเองต้องพัฒนาอะไรบางอย่างและสิ่งหนึ่งที่คิดว่าแน่ใจมาก คืออยากเป็นนักแสดงที่ดี เป็นนักแสดงที่อยู่ในบทบาทอะไรใครดูก็เชื่อ อยากเป็นคนๆ นั้นครับ”

เสียงปรบมือดังขึ้นเหมือนทุกคน รอยยิ้มของเพื่อนๆ ที่ส่งมาให้ ต่างจากวันแรกที่ได้เข้ามาอยู่ร่วมกัน ศิคนเดิมที่ไร้ตัวตน เริ่มมีแสงในตัวเองที่พอจะมีคนมองเห็นบ้างแล้ว ความภูมิใจในตัวเองอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นทำให้ใจมันพองโตอย่างรู้สึกอิ่มเอม

“คนสุดท้าย หมอดิมค่ะ ไหวมั้ยคะ พอจะพูดได้หรือเปล่า” ครูน้ำหนึ่งถามคุณดิมเมื่อเดินมาถึงข้างหน้า

คุณดิมถอดมาส์กออกทำให้เห็นสีหน้าที่ยังดูอิดโรยแต่ดีกว่าเมื่อวานที่ไม่แดงเป็นมะเขือเทศแล้ว พิษไข้คงทุเลาลง

“ได้ครับ แต่เสียงอาจจะเบาหน่อย”

“เชิญค่ะ”

“ผมอาคิรา ดิม เลือกบทรังสิมันต์ครับ อาชีพการเป็นนักแสดงสำหรับผมเป็นสิ่งพิเศษมากๆ เพราะมันช่วยเยียวยาร่างกาย จิตใจ และความรู้สึก มันทำให้ละทิ้งจากความตึงเครียดของงานหลักได้ดี การได้สวมบทบาทเป็นคนนั้นคนนี้ทำให้เรามองเห็นตัวเองในมุมอื่นที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นได้ การมาเวิร์กช้อปตลอด 5 วัน ผมได้รับพลังจากคุณครู จากเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคน มันทำให้รู้สึกว่าเรานี่ก็แก่เหมือนกันนะ จำได้ว่าเวิร์กช้อปทุกครั้งก็เจอแต่คนที่เด็กกว่า โดยเฉพาะครั้งนี้ห่างจากน้องที่เด็กสุดเกือบ20ปี แต่นั่นแหละครับ พลังของเด็กๆ หรือวัยรุ่นมันสดใสเสมอ ทำให้ได้เจอมุมมองความสบายใจ และหลุดออกจากความคิดอย่างผู้ใหญ่ได้สักพักก็ดีเหมือนกัน และดีใจที่ได้เจอทุกคนครับ”

ประโยคสุดท้ายสายตาคมมองมาที่ผมจนแอบสะดุ้งว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ไม่เคยเดาความรู้สึกจากนัยน์ตาสีดำมืดนั้นได้สักครั้ง



“คงถึงเวลาที่จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการว่าใครจะได้ถูกคัดเลือกเป็นนักแสดงหลักของซีรีส์อาทิตย์คลาดพระจันทร์แล้วนะคะ”  พี่นิ้งประสานงานรับหน้าที่สำคัญนี้

หลังจากจบการพูดความรู้สึกของผู้เข้าคัดเลือกทุกคน ผู้ใหญ่ก็เดินออกจากห้องไปก่อนจะกลับเข้ามาหลังจากนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง คงประชุมหารือกันเพื่อเลือกคนที่เหมาะสม และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว


รังสิมันต์ (พระเอก)           รับบทโดย   อาคิรา (ดิม)
ภามาส (นายเอก)            รับบทโดย   ศิรัส (ศิ)
ภูผา (เพื่อนนายเอก)        รับบทโดย   อาโป (ชโลทร)
หมอกฟ้า (เพื่อนพระเอก)  รับบทโดย   อธิรัช (ปาล์ม)
พายัพ (เพื่อนพระเอก)      รับบทโดย   นภัทร (ภัทร)
ใบเฟิร์น (เพื่อนนายเอก)      รับบทโดย   ศศิธร (ปลา)
มิว                               รับบทโดย   กรกนก (นก)
ดุจดาว                          รับบทโดย   ปาลิดา (พะพาย)
กรกรรณ (ประธานค่าย)     รับบทโดย   นิรัช (นิว)
แทนไท                         รับบทโดย   ภาคิน (เงิน)

หลังจากประกาศผลทุกคนต่างเข้าแสดงความดีใจให้เพื่อนที่ได้รับบทเป็นตัวจริง คนที่ไม่ได้แทบจะไม่มีใครแสดงอาการเสียใจ ทั้งที่คงเสียใจ แต่ความยินดีกับคนที่เหมาะสมคงจะมากกว่า ซึ่งเป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แต่ส่งผลอย่างเด่นชัด เป็นภาพความสวยงามท่ามกลางการแข่งขันและแย่งชิง


นับจากนี้ชีวิตจะเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วนะ

ศิ…








------To be Continued------


ตัวละครเยอะนิดนึงแต่ว่าไม่ต้องจำหมดจะโผล่มาแค่ไม่กี่คนอิอิ
เจอกันตอนหน้านะคะะ เยิ้บๆๆๆ


#เพียงจินตนาการ
#หมอดิมน้องสิ

@mifengbeexx

บี

หัวข้อ: Re: 【ัyou are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.05- หมอป่วยขอคนช่วยดูแล (01/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 05-05-2018 21:33:18
แจ้งเรื่องสำคัญนะคะ

บีขอเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพราะดันไปฟังเพลง Day 1 ◑ ของ Honne แล้วชอบมากกกก
จนได้ inspied มาตั้งชื่อเรื่อง เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบชื่อเดิมเท่าไหร่
555555555555 แต่ชื่อนี้ชอบแล้วนะคะ งื้อ

แต่ความหายของชื่อและแกนเรื่องยังเกี่ยวกับพระอาทิตย์และพระจันทร์เหมือนเดิมเลย

you'll alway be my day 1 นะคะ อิอิ

ฝากติดตามด้วยยยยยยยยย


เยิ้บบบบบบบ กรุบ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】**แจ้ง**แก้ไขชื่อเรื่องค่ะ (05/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 05-05-2018 22:53:15
รอเธอ..มานานแสนนาน..ทรมาณจริงๆ  :katai1:  :ling3:  :mew6:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】**แจ้ง**แก้ไขชื่อเรื่องค่ะ (05/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 06-05-2018 01:36:08
ตอนประกาศรายชื่อ  อันใหนคือ ภูผา คะ ?  พายัพหรอ ?  เสียดายจังอาโปไม่ได้ไปไฟนอลวอร์กกับ ศิ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】**แจ้ง**แก้ไขชื่อเรื่องค่ะ (05/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 08-05-2018 11:23:38
ตอนประกาศรายชื่อ  อันใหนคือ ภูผา คะ ?  พายัพหรอ ?  เสียดายจังอาโปไม่ได้ไปไฟนอลวอร์กกับ ศิ  :hao5: :hao5:


edit แล้วนะ จริงๆ อาโปเข้ารอบค่ะ ฮืออออออ พิมพ์ตกไปป

ยังไงฝากติดตามด้วยค่าา

ขอบคุณที่ชี้เป้าความพลาดอันใหญ่หลวง TT
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 08-05-2018 16:51:06
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์

I'm not going to wait until you're done
Pretending you don't need anyone






พระอาทิตย์สัญลักษณ์แห่งทิวากาล      
พระจันทร์สัญลักษณ์แห่งราตรีกาล
พระอาทิตย์มาพร้อมกับความสว่างไสว   
พระจันทร์มาพร้อมกับความมืดมิด
พระอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง   
พระจันทร์ทำได้แค่อาศัยพลังจากแสงพระอาทิตย์
พระอาทิตย์เจ้าแห่งดาว         
พระจันทร์ดาวเคราะห์ไร้ราคา

◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑

แม้พระอาทิตย์จะร้อนแรงแผดเผา แต่ก็ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์คณานับ
แต่พระจันทร์ที่เยือกเย็นทำได้แค่ส่องแสงนวลในบางวัน
พระจันทร์มิอาจทัดเทียมพระอาทิตย์ฉันใด พระอาทิตย์ก็ยิ่งอยากครอบครองพระจันทร์ฉันนั้น
หากแต่กฎธรรมชาติยากนักจะหักหาญ….


เฉกเช่นนายกับไพร่ แม้พระพุทธเจ้าหลวงจะทรงประกาศเลิกไพร่ เลิกทาส แต่กระนั้นก็มีไพร่อีกไม่น้อยยอมเป็นไพร่ดีกว่าออกไปตระเวนไม่มีที่คุ้มกะลาหัว

บ้านภิรมยาพร เจ้าของเป็นถึงพระประพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสุนทรเทวา กรมหมื่นพิชญศรภิรมยาพร มีลูกชายเพียงคนเดียวคือ หม่อมเจ้า พันแสง ต้นราชสกุล ภิมรมยาพร เกิดกับนางเพียง ภิรมยาพร หญิงชาวบ้านจากเมืองพิษณุโลก ยศของเจ้าพันแสงจึงได้เป็นเพียงท่านชาย แต่กระนั้นก็มิได้ให้ท่านเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง กลับอัธยาศัยดีแก่ทุกคน โดยเฉพาะบ่าวไพร่ในบ้าน ยิ่งหลวงท่านเลิกทาสท่านชายยิ่งเห็นทุกคนเป็นเสมือนครอบครัว

โสม ลูกทาสในเรือนเบี้ยเป็นเพื่อนเล่นของท่านชายมาตั้งแต่สมัยไว้จุก จนห่างไกลกันเมื่อหลายสิบปีก่อนเพราะต้องไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อกลับมาท่านชายพันแสงรูปโฉมงดงามเหมือนในนิราศของพระสุนทรโวหารยิ่ง โสมเทียวรับใช้และคอยติดตามนายผู้นี้อย่างถวายชีวิต แม้ท่านชายจะเสนอให้ไปทำงานช่วยท่านที่กระทรวง เพราะเห็นว่าเป็นคนอ่านหนังสือออกดี เขียนก็ได้ จะได้ช่วยตรวจทานงานท่าน แต่ไอ้โสมมิกล้าเอื้อมอาจ ทั้งกลัวว่ามีงานทำเป็นไทจะโดนระเห็จออกจากบ้านไป

นับวันบ่าวชายอย่างโสมจะดูอ่อนช้อยเข้าไปทุกวัน พันแสงไม่เคยรู้ว่าโสมถนัดงานเรือนพอกับงานหนังสือ กับข้าวกับปลาทุกมื้อถูกคิดค้นจากบ่าวหนุ่มผู้นี้ ทั้งกรองมาลัย พับหัวบัว เจ้าคนนี้ก็ทำได้เสียหมด นับเป็นศิษย์รักคุณแม่ที่คอยถ่ายทอดวิชาจนหมดเปลือก มิได้เห็นว่ามันเป็นชายฤาหญิง

เมื่อพันแสงยังไม่มีเมียบ่าวชายก็จะรับหน้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้ทุกเมื่อเชื่อวัน และตกเป็นหน้าที่ของโสมอย่างเสียมิได้ ความใกล้ชิดจากการเอ็นดูบ่าวคนนี้ ท่านชายพันแสงมิได้รู้เลยว่าใช้สายตาแบบใดมองบ่าวผู้ซื่อสัตย์ ตัวบ่าวเองก็มิเคยปฏิเสธผลักไส เลยเถิดไปหลายขั้นจนต้องเนื้อตัว หลายครั้งเข้าก็เผลอแสดงกลางแจ้ง จนมีบ่าวหลายคนไปบอกคุณนายของบ้าน

พิธีดูตัวหานายหญิงของบ้านคนต่อไปจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างท่านชายเองก็ขัดมิได้ บ่าวคนสนิทก็ดูจะถูกคุณแม่ใช้งานจนไม่ได้พบกันแม้จะอยู่รั้วบ้านเดียวกัน จนได้เจอหญิงที่ควรคู่จะเป็นคู่หมายของท่านชาย ภาระของการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างคำนึงถึงหน้าตาทางบ้าน ก็ต้องเทียวรับส่งมล.กิ่งนภา อย่างจำใจ

คุณนายของบ้านดับไฟเสียต้นลม เจรจากับบ่าวที่สุดแสนจะเอ็นดูให้ออกไปใช้ชีวิตแบบคนเป็นไทเสีย พร้อมให้เงินอีกหลายบาท กำชับหากจงรักภักดีกับท่านชายแท้แล้วอย่าทำให้ท่านต้องพบเจอกับคำครหาใดๆ บ่าวหนุ่มใจสลายกับการต้องจากลานายสุดที่รักโดยไร้คำอำลา จัดข้าวของออกจากบ้านเสียเย็นวันนั้นก่อนท่านชายจะกลับ แล้วลงเรือออกจากพระนคร กลับบ้านไปพักใจที่สุพรรณบุรี

หลังจากรู้ว่าบ่าวคนสนิทจากไปอย่างไม่ลา ท่านชายก็หัวเสียไม่น้อย ทั้งเสียใจที่คิดว่าใจทั้งสองตรงกันแล้ว แต่นั่นแหละหนาเรื่องที่เป็นไปมิได้อย่างที่สุด ทำได้เพียงคำนึงถึงชายผู้อยู่ในหัวใจทุกครั้งที่ต้องทำตามหน้าที่ลูกผู้ชายต่อคู่หมาย

งานแต่งงานใหญ่โต ลูกท่านกรมหมื่นมีแขกเหรื่อมากมาย พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งท่านราชครูแก่ฌาณสวมมงคล โสมที่รู้ข่าวจากทาสในเรือนก็รีบมาจากเมืองสุพรรณฯ เพื่อแสดงความยินดีกับนาย แต่ก็ได้แค่ร้องไห้อย่างพรั่งพรู น้ำตาที่ไหลไม่ได้ดีใจ แต่เสียใจที่ทำได้แค่นั่งมองภาพที่มีแต่ความสุขผ่านชานบันได น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าเปื้อนเสื้อผ้าทาสสีมอจนชุ่มไปหมด


ความฝันภามาสมักจะหยุดที่ตรงนี้เสมอ ตั้งแต่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ภาพเดิมๆ ฉายซ้ำเปลี่ยนฉากไปมาจนเขาลำดับเรื่องได้คร่าวๆ ผู้ชายหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองศักดินาต่ำต้อยหลงรักชายอีกคนที่สูงส่งเกินเอื้อม หากเป็นเรื่องจริงคงเป็นโศกนาฏกรรมทางความรักที่หนักหนา เพราะเมื่อหลายร้อยปีความรักต่อสภาพเพศเดียวกันนับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าดู

ความสงสัยต่อความฝันทำให้นักศึกษาเอกประวัติศาสตร์อย่างภามาสค้นหาร่องรอยอดีตเพื่อค้นต้นตอของความฝันนี้ เริ่มจากปรึกษาดุจดาวเพื่อนคณะเดียวกันที่มีเซนต์จากการสืบทอดของตระกูล ดุจดาวบอกภามาสจะได้เจอคนที่ไม่เจอมานานมาก และจะได้เข้าใจทุกอย่าง

จนกระทั่งได้พบเจอผู้ชายในฝันที่เค้าโครงหน้าเหมือนกับหม่อมเจ้าพันแสงในยุคศตวรรษที่ 21 เขาคือผู้ชายหนึ่งในคณะสถาปัตย์ที่จะไปทำค่ายอาสาแถบชายแดน กรกรรณประธานค่ายรุ่นพี่จากคณะเดียวกันบอกว่าเขาไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศช่วงปี 3-4 ทำให้ไม่แปลกที่ไม่เคยพบรังสิมันต์ หรือ เรย์

การออกค่ายทำให้ภามาสพยายามสืบเสาะและเข้าหารังสิมันต์ กลับโดนเข้าใจผิดว่าเป็นการจีบรุ่นพี่ และโดนรังสิมันต์ปฏิเสธด้วยการบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่กระนั้นภามาสก็เป็นคนน่าเอ็นดูคล้ายน้องชาย กลับจากค่ายก็ไม่อาจทำให้รังสิมันต์ผลักไสเด็กผู้ชายคนนี้ได้ ทั้งยังเค้นถามสาเหตุที่แท้จริงของการเข้าหา

ภามาสแน่ใจว่ารังสิมันต์ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเขาจากที่ไหนมาก่อน การสืบหาความฝันพิศวงดูท่าจะกลายเป็นหมัน แต่พักหลังรังสิมันต์ก็ดีกับภามาสมากขึ้น ภาพซ้อนจากเรื่องราวในนิทราส่งผลต่อความรู้สึกของภามาสที่รุนแรงต่อรังสิมันต์ นับวันยิ่งอยากอยู่ใกล้ อยากให้ตามใจ อยากได้ร้อยยิ้มยากจากผู้ชายคนนั้น แต่ต้องถอยกรูเพราะมิวแฟนสาวของรังสิมันต์

เรื่องราวเสมือนกระจกสะท้อนอดีตมาถึงปัจจุบัน หากแต่แตกต่างตรงที่รังสิมันต์ไม่เคยคิดอะไรกับภามาสคนนี้แม้แต่น้อย

รังสิมันต์เริ่มรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเด็กที่เคยป้วนเปี้ยนจู่ๆ ก็หายไปจากชีวิตจนใบเฟิร์นและแทนไท เข้าหาภามาสอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง ภูผาเพื่อนสนิทภามาสที่เคยเชียร์เขากลับเพิกเฉย นั่นทำให้เขานั่งชำแหละความรู้สึกตนเองอย่างรอบด้าน แม้จะแน่ใจในความรู้สึกแต่ยังยากกับการยอมรับว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น และความรู้สึกผิดต่อแฟนสาวที่ซื่อสัตย์กับเขามาเสมอ

หมอกฟ้าและพายัพเพื่อนสนิทรังสิมันต์เห็นแฟนสาวที่แสนดีของเพื่อนสนิทเดินควงกับผู้ชายคราวพ่ออย่างออเซาะ เส้นความรักขาดผึงภายในเสี้ยวนาที มิวซึ่งไม่ยอมเสียผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตไปก็เดินเกมดับไฟเสียแต่ต้นลม เข้าหาภามาสโดยบอกว่าตนท้องและรังสิมันต์ก็หนีไป การอ่านเกมว่าผู้ชายที่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนั้นเพียงคนเดียวมอบให้เด็กผู้ชายหน้าซื่อคนนี้ การหักกระดูกเบอร์แข็งกว่าคงทำให้เธอได้ผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตคืน

ภามาสผู้ซื่อสัตย์และรักความยุติธรรมระเบิดความจริงของการเข้าหา พร้อมความรู้สึกต่อรังสิมันต์ รวมถึงการผลักไสให้ผู้ชายคนนี้ออกไปจากชีวิต เจ้าตัวงงงันกับสิ่งที่ได้ยิน แต่จะตามไปอธิบายก็สายไปเสียแล้ว ภามาสหนีไปซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ อย่างที่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าที่ใด หัวใจของเขาก็เหมือนจะจากไปด้วย

แล้วพระจันทร์ก็หายไปในเงามืดอย่างที่พระอาทิตย์ตามหาไม่ได้ เพราะฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้….


ก่อนพระราชครูจะเจิมหน้าผากเจ้าบ่าว ก็เอ่ยถามในสิ่งที่เหมือนเจาะเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจท่านชาย ว่าแน่ใจแล้วหรือที่จักทำเช่นนี้ พิธีวิวาห์หยุดลงเพราะพระราชครูมิสามารถทำพิธีให้เสร็จสมบูรณ์ได้เนื่องจากฝนตกห่าใหญ่ หม่อมเจ้าพันแสงลงจากเรือนทั้งที่ฝนตกหนักเพียงเพราะรู้จากบ่าวในเรือนว่าโสมมา

ท่านชายออกตามหาบ่าวเจ้าของหัวใจไปทั่ว จนเจอร่างบอบบางกว่าชายสั่นงกงั่นใต้ต้นโพธิ์ ก่อนจะสวมกอดและพร่ำคำว่าคะนึงหาขนาดไหน พาบ่าวกลับเรือนหลังฝนห่าใหญ่หยุดอย่างน่าฉงน ท่านราชครูเรียกให้ทั้งสองเข้าพบก่อนเอ่ยว่า

กรรมที่ทำร่วมกันมามันไม่ได้หมดเท่านี้มันจะผูกมัดเจ้าสองต่อไปไม่สิ้นสุด


ดุจดาวได้รับการขอให้ช่วยเหลืออีกครั้งจากผู้ชายแปลกหน้าอย่างรังสิมันต์ เธอตกใจกับการที่ดวงชะตาของภามาสและรังสิมันต์ผูกพันกันขนาดแยกไม่ออก จนพาไปพบกับคุณปู่เธอให้ช่วยหาทาง ไม่มีพิธีทางไสยศาสตร์ มีแต่การให้แสดงออกถึงความจริงใจต่อความรู้สึก ยอมรับการพลัดพราก ยอมรับความเจ็บปวด และยอมเป็นฝ่ายรออย่างไม่ร้อนรน สิ่งที่ตามหาจะกลับมา

เทอมสุดท้ายของการเรียนปี 4 ภามาสใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป หากแต่มีผู้ชายอย่างรังสิมันต์ตามจีบอย่างรุกเร้า ขอให้ลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น ขอให้เริ่มใหม่ ขอให้ให้โอกาส ภามาสแม้จะทราบว่าตนเคยมีใจให้รังสิมันต์เพียงใด แต่กลัวการกลับไปรักพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงอีก กลัวโดนแผดเผาจนไหม้เป็นจุณ กลัวจะโดนทิ้งขว้างยามพลบค่ำให้อยู่ลำพัง แต่นานวันเข้าสุดท้ายก็แพ้ให้กับแสงที่ส่งมาถึงเขาเสมอแม้จะมืดมิดเพียงไหน แพ้เสมอให้กับ “หัวใจ” ของพระอาทิตย์

อยู่ไกลเพียงใดวันหนึ่งก็จะกลับมาพบเจอกันร่ำไป
จงรู้ไว้ยามพรากจากจะมีอีกคนรอเจ้าอยู่เสมอ
ต่างต้องพึ่งพากัน เกื้อหนุนกัน คนนึงร้อน คนนึงเย็น
คาบขนานกัน คลาดกัน แต่ไม่จากกัน




----------



สองเดือนหลังจากผ่านการเวิร์กชอปทุกเสาร์อาทิตย์ รวมแล้วกว่า 8 สัปดาห์ที่คนสิบคนต้องพบเจอหน้ากันตลอด ส่วนนักแสดงรุ่นพี่ที่เข้าร่วมการแสดงด้วยก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเข้าร่วมเวิร์กชอปอย่างเป็นกันเอง รวมถึงการถ่ายทอดมุมมองการเป็นนักแสดงและการใช้ชีวิตอยู่ในวงการมายาท่ามกลางความกดดันและความคาดหวังหลายอย่าง ทุกท่านเป็นนักแสดงมากฝีมือได้รับรางวัลมากมาย มีแต่ความปรารถนาดีให้รุ่นน้องคราวหลานทุกๆ คน มันเป็นความจริงใจที่สัมผัสได้ว่าเราได้ถูกต้อนรับสู่ครอบครัวใหญ่อย่างวงการมายาแห่งนี้

สิ่งหนึ่งที่จะลืมบอกไม่ได้เลย คือ พูลล์ได้เข้ามารับบทหมอกฟ้าแทนปาล์มที่ถอนตัว เพราะเขาต้องเลือกการได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกให้เข้าไปศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ที่นั่น นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่าคนที่อยากเข้ามาเล่นซีรี่ส์เรื่องนี้มีแต่คนที่โปรไฟล์ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ผมรู้สึกอุ่นใจมากๆ ที่พูลล์ได้เข้ามารับบทนี้ด้วย เพราะเราเข้ากันดีเหมือนเห็นตัวเองสะท้อนออกมาจากอีกคน แต่สิ่งที่พูลล์มีมากกว่าผมคือความสดใสและช่างเจรจา เข้ากับทุกคนได้ง่ายไปเสียหมด มันทำให้การทำงานราบรื่นและไม่เครียดจนเกินไป ขืนมีแค่ผมกับอาโปนะ คงจะต้องโดนบังคับอ่านบทและไม่ให้เล่น ROV ตอนพักแน่ๆ แต่ถ้าเป็นพูลล์เราจะแอบไปกินไอติมใต้ตึกกันเวลาพัก ฮี่ๆ

นอกจากนี้สองเดือนที่ผ่านมามันยังเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่ เพราะมีแต่คนหอบหิ้วคอมพิวเตอร์มาเวิร์กชอปด้วย ปั่นโปรเจ็คต์สิครับรออะไร ใช้เวลาทุกนาทีมีค่าเสมอ ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียสองวันไปกับการต้องเข้าเวิร์กชอปและงานไม่เดิน ไม่พอจะต้องอ่านหนังสือเพื่อสอบไฟนอลทั้งๆ ที่ยังอ่านหนังสือทำวิจัยไม่เสร็จ โอ้ว มาย จีซัส อยากจะเผาตัวเองให้ร้อนตลอดเวลาจะได้มีไฟทำทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปได้
   
แต่สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น คือ การที่มีคุณหมอหนึ่งเดียวในการเวิร์กชอปครั้งนี้ให้คำปรึกษาในการทำวิจัยเรื่องจิตวิทยาอปกติ ซึ่งดีที่คุณหมอเขาสนใจเรื่องนี้อยู่บ้างเลยแนะนำเท็กส์ให้เยอะ เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขอคำปรึกษาและใกล้ชิดกัน

“คุณดิม พอดีผมเขียนบทที่สองงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสร็จแล้ว อยากให้อ่านว่ามีตรงไหนที่ผมแปลจากเท็กซ์ไม่เข้าใจหรือเปล่า” หลังจากใช้เวลาหลายวันในการรวบรวมข้อมูลจนหัวฟูก็ต้องกลับมาหาที่พึ่งเดียวตอนนี้ของตัวเอง

“อืม เอาสิ” คุณหมอที่นั่งเล่นมือถือเช็กโซเชียลของตัวเองตอบอย่างสบายๆ ก่อนจะตามมาด้วยประโยคนี้ “แต่ผมว่าก่อนที่จะเริ่มดูการบ้านเธอ มานั่งคุยกันหน่อย”

“เอาสิครับ มีอะไรหรอ”

“จะสองเดือนแล้วที่เจอหน้ากันทุกอาทิตย์ เธอเอาการบ้านมาปรึกษา ทำกิจกรรมด้วยกัน” สายตาคมที่มองตรง
มาอย่างมีความหมายบางอย่างทำให้ผมที่ตั้งใจฟังใจกระตุกอย่างง่ายๆ

“.....”

“ไม่รู้สึกแปลกหรือไงที่เรายังแทนตัวเองกันแบบนี้”

“อ๋อ แบบไหนอะ ผมก็เรียกคุณดิมว่าคุณดิมมาตลอด อีกอย่างคุณดิมก็เรียกผมว่าเธอเองนี่นา”

“งั้นต่อจากนี้ พี่จะแทนตัวเองว่าพี่ ศิก็แทนตัวเองว่าศิ”

“.....” ช็อกอยู่ครับ ช็อก
   
“ทำไมล่ะ หรือเราไม่ได้สนิทกัน?”

เจอคำถามนี้ถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ด้วยซ้ำสิ่งที่เป็นอยู่เรียกสนิทหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่ผมจะเลือกปรึกษาเวลามีปัญหา นอกเหนือจากอาโปและพูลล์ เพราะเราต้องเวิร์กชอปเข้าคู่กันมากที่สุด แหงล่ะเราต้องเล่นคู่กันนี่นา แต่พอมาเจอคำถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบยังไงถ้าตอบว่าสนิทจะเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าวะ

“ก็...เรียกพี่หมอแบบนี้ไม่ได้หรอครับ”

“ไม่ พี่เฉยๆ ไม่ก็พี่ดิม”

“อ้าวทำไมล่ะ คนอื่นเขาก็เรียกพี่หมอกัน”

“อยากเลิกเป็นหมอบ้าง แค่กับศิก็ยังดี”

“...”

“นะ…”

จบสิ้นสิ่งที่ต้านทานมาตลอด คำขอร้องจากปากผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ มาขอให้ไอ้ศิทำเรื่องแค่นี้ให้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ พี่ดิม!!

“อื้อ พี่ดิม…”


และหลังจากนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้นอย่างที่ไม่ใช่แค่สถานะ แต่คือการกระทำ



หลังจากที่ประกาศผลการคัดเลือกนักแสดงอย่างเป็นทางการ แฮทแท็กของซีรีส์ก็ได้รับการพูดถึงอย่างล้นหลามอีกครั้งทั้งในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก จำได้ว่าวันนั้นยอดคนติดแฮทแท็กเป็นล้าน พอเข้าไปอ่านก็มีทั้งที่ชื่นชอบและไม่ถูกใจใครหลายคน ซึ่งคนๆ นั้นก็เป็นผมซะเยอะ ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่ภูมิต้านทานผมเยอะแล้วแหละเลยไม่ค่อยเก็บเอามาคิดอะไรให้มันบั่นทอน ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตตรงนี้แล้วคงต้องทำอย่างเต็มความสามารถนั่นแหละครับ

แต่ก็มีไม่น้อยที่ให้กำลังใจผม และตอนนี้ผมก็มีทวิตเตอร์ออฟฟิเชียลของตัวเองแล้วด้วย เพราะพี่ใบชาบอกว่าเอาไว้ติดต่อกับแฟนคลับ ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีแฟนคลับกับเขาเหมือนกัน พอสมัครวันแรกเพื่อนนักแสดงทุกคนก็ช่วยโปรโมททำให้มีคนฟอลโลวผมมาเยอะมากจนงงว่าผมก็ฮอตเหมือนกันหรอเนี่ย อีกอย่างเพิ่งรู้อีกนั่นแหละว่าตัวเองก็มี “บ้านแฟนคลับ” กับเขาเหมือนกัน ที่สำคัญมี “บ้านคู่” อาโปบอกแบบนั้น เป็นบ้านของ พี่ดิมกับผมเอง

เออเขินเลยแฮะ


“ศิ มึงปิดบังอะไรพวกกูป่ะ” เสียงผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามขึ้น กลางวงม้าหินหน้าคณะที่เรากำลังนั่งกินขนมรอเรียนคลาสสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล

“อะ..อะไร ปิดบังอะไร”

“อาโปมึงอะต้องเห็นอะไรแน่ๆ ใช่มะ” ตาใสๆ หรี่ลงอย่างจับผิดเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างผม

อาโปเลือกที่จะไม่ตอบแต่ยกยิ้มอย่างมีเลสนัย ก่อนจะกดมือถือยุกยิกแล้วยื่นให้เฌอดู

“เชี่ยยยยยยยยยยย” เฌอดูอะไรบางอย่างแล้วมองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ

“เห้ยอะไรอะ มีอะไร ไหนเอามาดูบ้าง” ไวเท่าเซลล์นำประสาท ผมคว้าไอโฟนเอ็กซ์จากคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะอึ้งไป
แล้ว

สิ่งที่เห็นคือภาพผมกับพี่ดิมกำลังคุยเรื่องงานวิจัยกันอยู่ แต่ผมนั่งเอาคางวางที่เก้าอี้ในห้องเวิร์กชอป ส่วนพี่ดิมนั่ง
เอาหลังพิงกำแพง แล้วเราสบตากันเขายิ้มให้ผม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก เพื่อนที่เรียนด้วยกันจะรู้ดี เอาตรงๆ ก็ไม่รู้ตัวว่าเขายิ้มให้ขนาดนั้นเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกจะเหนื่อยจนพักสายตาไปแต่ปากก็ยังคุยกับเขาอยู่ สรุปคือโดนอาโปเพื่อนตัวดีแอบถ่ายมาซะได้ ทำไมไม่บอกจะได้ขอให้ส่งให้!

“หึ นี่สนิทกันขนาดนั้นแล้ว?” เมฆยิ้มมุมปากหลังจากที่ได้ดูรูปนี้แล้วเหมือนกัน

“กะ ก็บอกแล้วไงว่าพี่เขาช่วยทำวิจัย ไม่งั้นกูตายไปแล้ว”

“แหนะ เดี๋ยวนี้มีพงมีพี่นะ” อาโปแซวสมทบ

“อ้าว ก็ทุกคนก็เรียกพี่มั้ย อาโปอย่ามาจับผิดสิวะ”

“ก็ป่าววว แต่คนอื่นเรียกพี่เค้าว่าพี่หมอ แต่มึงเรียกพี่ดิม แปลกๆ ป่ะ”

“กะ ก็ กู ไม่รู้เว้ยย”

จะให้บอกได้ยังไงว่าเขาไม่อยากให้เรียกว่าพี่หมอเพราะอยากหยุดเป็นหมอบ้าง แค่กับเราก็ยังดี -//-

“มึงชอบเค้าหรอศิ” เฌอที่หายตะลึงงันแล้วพูดขึ้น ให้ได้เสียวสันหลังวาบ

“เชี่ย จะ จะบ้าหรอวะ ป่าวนะเว้ย กะ ก็แค่สนิทกันมากกว่าเดิม”

“แต่มึงหน้าแดง”

“ก็แดดมันร้อน กูตัวแดงง่ายพวกมึงก็รู้”

เพื่อนสามคนนั่งมองผมเขม็งอย่างจับผิดกับอาการลุกลี้ลุกลน จะให้รู้ได้ยังไงว่าใจเต้นแค่ไหนกับคำถามของเฌอที่จี้ใจดำเหลือเกิน อีกอย่างก็ไม่เคยเล่าให้เพื่อนสามคนฟังว่าเขาเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผมมานานมากแล้ว แม้อาโปจะรู้จากการเวิร์กชอปเมื่อสองเดือนก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร และความลับนี้คงต้องตายไปกับผม โดยที่พี่ดิมไม่รู้ว่าผมรู้เห็นการกระทำอันน่าอายของเขาคนเดียว

“มึงเคยบอกกูว่าเขามีแฟนแล้ว” เมฆพูดขึ้นตอนเคี้ยวป๊อกกี้รสช็อกโกแลตไปด้วย

“ใช่ไง กูจะไปชอบเค้าได้ไง พวกมึงหนิ” 

นั่นสินะ เขามีแฟนอยู่เป็นตัวเป็นตน อย่าไปรู้สึกดีมากไปกว่าความใจดีสำหรับการช่วยเหลือ เพราะเขาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อต่อคนอื่นเป็นปกติ

ไม่ได้พิเศษแค่เรา

คนที่พิเศษคือคนที่กุมหัวใจเขาต่างหาก



“อย่าให้รูปนี้หลุดนะอาโป เดี๋ยวพี่ดิมเค้าจะเดือดร้อน”

“เออๆ ไม่หลุดหรอก แต่เดี๋ยวกูแกล้งๆ ส่งให้มึงเผื่ออยากได้งี้” อาโปยังส่งสายตาล้อเลียนไม่เลิก ผิดกับเมฆที่เหมือนจับอาการบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปอย่างรวดเร็วของผมได้ เลยมองอย่างเข้าใจ และเป็นห่วงเสมอ

เพราะเมฆรู้ว่าผมอ่อนไหวแค่ไหน ไม่ได้เข้มแข็ง แต่แสร้งทำเป็นปกติเก่งกว่าใคร

   
“มึงกูว่าไม่ทันละ”

เฌอยกไอโฟน8 ของตัวเองขึ้นให้เพื่อนๆ รอบโต๊ะดู เป็นภาพเดียวกับที่อาโปถ่ายได้ คือผมกับพี่ดิม แต่ความแตกต่างคือมันชัดมาก คุณภาพจากกล้องระดับเทพ พอเห็นชื่อแอคเคาท์นที่ลงรูปก็อยากจะร้องไห้เป็นภาษาตุรกี ออฟฟิเชียลของซีรีส์ลงเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเห็นเพราะตอนนี้เห็นกันทั้งประเทศ ไอ้ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พี่ดิมนี่สิจะเป็นยังไง กลัวจะโดนเข้าใจผิด


รีบร้อนเข้าไลน์เพื่อจะส่งภาพเจ้าปัญหาไปหาคุณหมอที่คงจะเข้าเวรเช้าอยู่

[thesisi] พี่ดิม
[thesisi] ส่งรูปภาพแล้ว
[thesisi] จะเป็นไรมั้ย

[akiradim] it’s okay why? A r serious?
พี่ดิมเคยบอกว่าถ้ารีบจะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเพราะมันไม่ต้องกด shift

[thesisi]  ก็แฟนพี่ไง

[akiradim] don’t worry she always understood me

Akiradim calling

“กูไปคุยโทรศัพท์แป๊บนะ เดี๋ยวมา”
   
“แหนะคุยกับใครทำไมต้องออกไปคุยไกล” อาโปยังหาเรื่องจับผิดไม่เลือก ซึ่งจริงๆ ก็จับผิดถูกจุด

“ยุ่งน่า”

   

“ครับพี่ดิม”

(พี่ว่างละ ไม่ต้องกังวลหรอก)

“อ่า ครับ”

(เค้าเข้าใจว่ามันคืองาน ต่อไปเราก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ)

“....”

(ยิ่งซีรีส์ออนคงโดนเยอะกว่านี้ ไม่ต้องห่วงพี่ ห่วงตัวเองเถอะ)

“ผมไม่เป็นไรอยู่แล้ว ไม่มีพันธะเหมือนพี่นี่”

(ก็จะหาแฟนยากเอา)

“ผมออกจะน่ารักเดี๋ยวก็มีคนมาจีบแหละ โถ่ว”

(หึ เลิกเรียนแล้วหรือไง)

“ยังครับ กำลังรอเรียน แต่พอพี่โทรมาก็เลยเดินออกมาคุย เดี๋ยวเพื่อนล้อ”

(ล้อว่า)

“ก็ล้อจากรูปนั้นไง”

(ก็แค่มอง ตลกดีศิตอนนั้น ตาก็จะนอนปากก็จะถามงาน หึ)

“ฮ่าๆ พี่ดิมไปทำงานเถอะน่า ศิจะไปเรียนละ”

(ครับ ตั้งใจเรียนล่ะ)



แค่ได้ยินว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเรื่องงานก็ใจหวิวไปเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่พี่ดิมทำมันไม่ได้แสดงถึงความจริงใจให้กัน หากแต่ทว่ามันหมายถึงกำแพงที่สูงใหญ่ที่เขามีให้กับผม กำแพงของการเป็นเพียงเพื่อนรุ่นน้องร่วมงานกันเท่านั้น

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ ฉะนั้นผมก็ควรมีกำแพงของผมเช่นกัน จะพยายามไม่ก้าวข้ามกำแพงของตัวเองเพื่อไปเจอกำแพงที่สูงกว่า

และในชีวิตนี้คงไม่มีวันทลายได้







มีต่อ





หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】**แจ้ง**แก้ไขชื่อเรื่องค่ะ (05/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 08-05-2018 16:54:51
วันฟิตติ้งเดินทางมาถึง เป็นอีกหนึ่งวันที่วุ่นวายแต่เช้าตรู่ อาโปขับรถมารับผมที่คอนโดเพราะรู้ว่าถ้าผมไปเองคงถึงสตูเลยเวลานัดเพราะมัวแต่ตีป้อม ROV หลังจากสอบไฟนอลผ่านพ้นไปสำหรับเทอมแรก และวันนี้ก็จะได้เริ่มทำงานอย่างเต็มตัว แต่จริงๆ ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าผมต้องตื่นมาทำงาน เมื่อคืนเลยไม่ได้เล่นเกมจนดึกดื่นเหมือนที่อาโปเป็นห่วง

ศิ เปลี่ยนไปแล้วน้าาา

บอกแล้วไงจะกลายเป็นศิที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตขึ้น และไม่ให้ใครเป็นห่วงอีกแล้ว ผมรู้เสมอว่าเพื่อนทั้งสามคนหวังดีกับผมพอกับคนในครอบครัว และผมไม่เคยนึกรำคาญหรือไม่อยากรับสิ่งเหล่านี้เลย จริงๆ ผมชอบให้เพื่อนใส่ใจและดุผม มากกว่าเงียบใส่เวลาทำอะไรไม่ถูกต้อง นั่นแปลว่าพวกเขาหมดความอดทนกับการเป็นคนดื้อรั้นของผมเต็มที

อาโปยังแปลกใจที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมของเรียบร้อยก่อนที่อาโปจะมาถึงเสียอีก เหลือแค่ปิดไฟห้องก็ออกไปทำงานกันได้

“ไม่น่าเชื่อ”

“ทำไมเล่า ก็บอกแล้วว่าไปเองได้ ไม่เชื่อ”

“ก็ปกติสอบเสร็จมึงเล่นเกมถึงเช้าตลอดนี่หว่า”

“ศิคนเดิมตายไปแล้วเว้ย เนี่ยก็ต้องมาส่งกูอีก”

“ใครว่า กลับเอง เพราะกูมีนัดแล้ว”

“เอ้า ได้ไง ละนัดกับใคร”

“ไม่บอก”
“ไปขึ้นรถ เดี๋ยวสาย”

เดี๋ยวนี้เพื่อนๆ ชักจะมีความลับกันใหญ่ เหมือนจะมีแต่ผมคนเดียวที่ชอบโดนชำแหละความห้ามมีความลับ มีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็โดนคั้นให้พูดหมด แต่ทั้งเมฆ อาโป และเฌอ ดูจะมีเรื่องที่ผมไม่รู้ ไอ้พวกนี้! เออผมก็มี ได้ แลกกัน!!




@Studio Z


“หมอยกแขนทางขวาขึ้นนิดนึงครับ ตั้งไม้เท้าให้ได้องศาด้วยครับ ครับ อย่างนั้นแหละ”

ช่างภาพชื่อดังที่มาถ่ายฟิตติ้งให้เราวันนี้บอกคุณหมอในการจัดท่าทางให้ดูเป็นหนุ่มในยุคร้อยกว่าปีก่อน ชุดราชปะแตนเต็มยศกับหมวกท่านขุน ทำให้ร่างสูงหน้าไทยดูเหมาะกับบทท่านชายพันแสงอย่างหาใครเทียบไม่ได้

“เดี๋ยวให้น้องอีกคนเข้าเฟรมได้เลยนะ”

“ไปค่ะน้องศิ” พี่ทีมงานบอกผมว่าถึงคิวตัวเองแล้ว

“ครับๆ”

ท่านชายพันแสงนั่งบนเก้าอี้โบราณลวดลายแปลกตา มีโต๊ะกลมทรงจีนแกะสลักอย่างวิจิตร สูงระดับเอวตั้งขนาบทางซ้ายมือ ก่อนที่ช่างภาพจะจัดให้ตัวผมนั่งพื้นทางขวามือ ใกล้กับรองเท้าคัดชูสีดำขัดมัน รูปแบบการแต่งกายของชายในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการแต่งกายที่ผมสวมใส่คือชุดบ่าวเสื้อสีอิฐกับนุ่งโจงกระเบนสีเดียวกันในท่านั่งพับเพียบ ประสานมือไว้หน้าตัก โน้มตัวลงเล็กน้อย ในลักษณะที่เจียมตัวสมกับเป็นทาสในเรือนท่าน

“โอเคดีครับ น้องที่นั่งข้างล่างเดี๋ยวยิ้มนิดนึงนะ นิดเดียวพอ โอเคดี”

“ทีนี้ท่านชายมองบ่าวมันหน่อย มองแบบคนที่มีใจรักต่อบ่าว อะดีครับ ยกยิ้มนิดนึง โอเคสวยมาก เดี๋ยวเปลี่ยนชุดได้เลย”


“สวยมากเลยศิมาดูสิ พี่หมอด้วย”

พูลล์ที่ดูตื่นเต้นกับรูปภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอแมคขนาดหลายสิบนิ้ว รูปภาพที่ช่างภาพชื่อดังอย่างที่ก้อง ธนา ที่เลือกรับงาน จะรับแค่งานที่คอนเซ็ปต์แปลกใหม่หรือไม่ก็ได้ท้าทายความสามารถเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ต่างประเทศ การเดินทางมารับงานถ่ายฟิตติ้งให้ซีรีส์เรื่องนี้รับรองว่าสวยอย่างหาที่ติแทบไม่ได้ แสง เงา การจัดวางองค์ประกอบ การท่าทางและสีหน้าของนักแสดง  รูปภาพลักษณะการย้อนอดีตแบบนี้ยิ่งเป็นงานถนัดของพี่เขา แทบจะไม่ต้องรีทัชสามารถนำไปใช้โปรโมทได้เลยด้วยซ้ำไป

“พี่ชอบรูปนี้”

พี่ดิมที่มายืนอยู่หลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ โน้มตัวลงมาใช้เม้าส์เลื่อนรูปไปยังรูปที่เจ้าตัวชื่นชอบ ซึ่งจริงๆ ผมก็ชอบรูปนี้มากเหมือนกัน

ช็อตสุดท้ายที่พี่ก้องถ่าย หม่อมเจ้าพันแสงมองบ่าวที่ตนมอบหัวใจให้ด้วยความรู้สึกทั้งรัก ทั้งใคร่ และเอ็นดู อย่างปิดไม่มิด  พี่ดิมถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสายตาได้ดีเหมือนมองคนรักจริงๆ ในขณะที่ผมก็ก้มมองต่ำหากแต่ยังเห็นว่ายิ้มอย่างเขินอายจนปิดไม่ได้ เชื่อเลยว่าถ้าภาพนี้เกิดขึ้นในสมัย 200 ปีที่แล้วคงโดนประณามทั่งพระนคร

พี่ก้องทำให้ท่านชายพันแสงและโสมเหมือนทะลุมิติออกมาจากสมัยก่อนได้อย่างมีชีวิตชีวาจริงๆ




“น้องศินี่ผิวดีจังเลยนะคะเนี่ย เนียนเหมือนก้นเด็กเลย”  พี่ดาด้าช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นกะเทยผมก็มองไม่ออกเลย เพราะสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ

“ขอบคุณครับพี่ดาด้า” ผมยกมือไหว้หลังจากรับคำชมตามมารยาทที่ควรจะทำ

“อุ้ยๆ ไม่ต้องไหว้ค่ะลูก มารยาทดีด้วยนะคะเนี่ย”

“อย่าไปชมมันมากครับ เดี๋ยวมันเหลิง” อาโปที่นั่งทำผมเสร็จแล้วพูดดักคอพี่ๆ ขึ้น

ผมยู่ปากใส่อาโปที่มักจะหยิกแกมหยอกผมเสมอ แต่ทุกคนรู้ดีเพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน

“แต่ผมว่าพี่ดาด้าพูดถูกนะ ผมนี่อิจฉาผิวน้องศิมากเลย” ภัทรหรือนภัทร รับบทพายัพเพื่อนสนิทรังสิมันต์ เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพร้อมถ่ายฟิตติ้งแล้ว

ผมไม่ได้สนิทกับพี่ภัทรมากนัก รู้แค่เขาอายุมากกว่าผม และเป็นคนที่หน้าตาหล่อจัดอีกคนหนึ่ง ยิ่งพอประกาศผลการแคสอย่างเป็นทางการหลายคนถึงกับบอกว่าพี่เขาไปอยู่ไหนมา หล่อขนาดนี้ทำไมไม่เข้าวงการก่อนหน้านี้  รูปร่างสมส่วน สูง แต่น้อยกว่าพี่ดิม ผิวขาวพิมพ์นิยม และเป็นผู้ชายที่แฟชั่นนิสต้าตามยุคทีเดียว ที่สำคัญนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ชวนฝัน ถ้าใครได้จ้องตรงๆ คงมีระทวย

“อ่า ขอบคุณครับพี่ภัทร”

“ใช้อะไรบอกพี่บ้างสิ”

“ฮ่าๆ เอาจริงๆ ไม่มีสกินแคร์อะไรแปลกๆ เลย ก็ล้างหน้าให้สะอาดแค่นั้นเอง”

“โอ้ยยย น้องศิยิ่งพูดพี่ยิ่งอิจฉานะคะ พี่นะดูแลยิ่งกว่าลูกอีกผิวหน้าเนี่ย นวดหน้าก็แล้ว สครับก็แล้ว ยังกระด้างกว่าส่วนที่แย่ที่สุดของหนูอีกลูก” พี่ลูกหมู ช่างทำผมชายหัวใจหญิงที่กำลังม้วนผมให้น้องปลาพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ แต่น้ำเสียงดูประชดประชันชีวิต

คนที่อยู่ห้องต่างหัวเราะให้กับท่าทางตลกของพี่ดาด้าและพี่ป๊อปที่สร้างสีสันให้กับวันที่งานยาวนานแบบนี้ วงการนี้คงขาดสีสันน่าดูถ้าไม่มีทรัพยากรคุณภาพแบบพวกพี่ๆ

“ขอโทษนะครับ พอดีผมติดกระดุมเสื้อข้างหลังไม่ได้ ขอยืมตัวศิไปติดให้ได้มั้ย”

คุณหมอเข้ามาในห้องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังมาก แต่เพราะร่างสูงใหญ่ทำให้เขาเป็นจุดเด่นเสมอไม่ว่าจะไปยืนอยู่ตรงไหน

“เดี๋ยวให้พี่ติ๊ดตี่ติดให้ก็ได้นะคะคุณหมอ”
“ติ๊ดตี่มาดูแลคุณหมอค่ะลูกเร็ว โอกาสมาแล้ว”  พี่ดาด้าตะโกนเรียกคอสตูมที่เด็กกว่าแต่แต่งตัวสมเป็นคอสตูมของกองซีรี่ส์ที่วาย จะบอยก็ไม่บอย จะสาวก็ไม่สาว เป็นลุคยูนิเซ็กส์น่ารักๆ แม้ตัวพี่ติ๊ดตี่จะสูงใหญ่แค่ไหนก็ตาม

“ค่าา คุณแม่ ลูกรีบมาแล้ว”

“อ่า ไม่เป็นไรครับ พอดีจะให้ศิช่วยทำอะไรบางอย่างด้วย”

“เดี๋ยวติ๊ดตี่ช่วยได้ทุกอย่างเลยค่ะหมอ” พี่ดิมหน้าเจื่อน ผมไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการให้ช่วยเรื่องอะไรเพิ่มอีกนอกจากจะให้ช่วยติดกระดุมหลังเสื้อ แต่ถ้าให้คอสตูมช่วยไม่ได้อาจจะเป็นเรื่องที่เขาคงไม่สะดวกใจ

“เดี๋ยว ผมช่วยเองก็ได้ครับพี่ๆ”

ผมมองหน้าคุณหมอของทุกคนในห้อง แต่ไม่ยักจะสังเกตเห็นอาเจื่อนเหมือนเมื่อสักครุ่ เหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าหล่อเหล่า กับทรงผมที่ถูกเปลี่ยนให้ทันสมัยเข้ายุคลุคโอป้าเกาหลี ให้สมกับเป็นรังสิมันต์แทนหม่อมเจ้าพันแสง

   
   
“พี่ดิมมีอะไรหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่เรียกมาติดกระดุมใช่มั้ย” ปากก็ถามไปแต่มือก็พลางติดกระดุมให้พี่ดิมไปด้วย เสื้อผู้ชายแบรนด์ไทยจากห้องเสื้อชื่อดังเป็นคอลเล็กชั่นยูนิเซ็กส์ที่พอมาอยู่บนตัวผู้ร่างสูงใหญ่สมส่วน มันทำให้เชิ้ตสีเรียบดูสง่าขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“มองอะไร”

“พี่รู้ได้ไงว่าศิมอง มีตาหลังหรอ”

“หัดยอกย้อน”

“ป่าวซะหน่อย ก็ศิยันอยู่ข้างหลังพี่ พี่หันหลังให้ศิ รู้ว่าศิมองมันไม่แปลกหรือไงเล่า”

พี่ดิมหันหน้ามาก่อนจะยิ้มให้ ทั้งที่ผมยังติดกระดุมให้เขาไม่ถึงรังดุมสุดท้ายเลย

“ก็เวลามีคนแอบมอง คนเรามักจะรู้สึกได้เสมอ”

“ผมติดกระดุมให้พี่ก็ต้องมองพี่เป็นธรรมดา” ผมยังเถียงว่าไม่ได้ลอบสังเกตแผ่นหลังกว้าง

“มองกระดุม หรือมองหลังพี่ หื้ม” มือใหญ่ยีผมสีเข้มขึ้นเพราะเพิ่งไปเปลี่ยนสีผมให้เข้ากับบทบาท ด้วยความรู้สึกมันเขี้ยวมากกว่าอยากทำโทษ
   
“ถึงว่าเวลามีคนแอบมองเรา ถึงไม่รู้ตัว”

“หื้อ ใครครับ?”

“ก็ไอ้ภัทรไง”

“เดี๋ยวนะ เค้าก็อาจจะมองทั่วไปมะ แล้วพี่รู้ได้ไงอะ”

“ก็พี่มองเราตลอด”

“....”  สายตาของร่างสูงที่พูดประโยคนี้อ่านไม่ออกว่าพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน หรือมีนัยยะทางความหมายอะไร อาจจะแค่แกล้งผมให้ตกใจเล่นไปเท่านั้น แต่บอกไว้เลยว่าผมแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

“คือ....พี่หมายถึง ก็เราอยู่ด้วยกันตลอดถูกมั้ย ก็ต้องมองเห็นศิตลอดสิ”

“อ๋อ คงไม่หรอกมั้ง พี่ดิมอาจจะมองผิด เค้าไม่น่าจะชอบผู้ชาย”

“หึ เดี๋ยวนี้เค้าไม่มองแล้วเพศอะไร”
“ยิ่ง…”

“ยิ่งอะไรพี่ดิม หยุดมองแบบนี้เลย!” 

คุณหมอที่แสนดีของทุกคน ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนขี้แกล้ง โดยเฉพาะแกล้งผมเนี่ยแหละ สายตาที่มองกระลิ้มกระเหลี่ยอย่างผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อย แน่ล่ะหล่อขนาดนี้ตอนเรียนคงฮอตสุดๆ ไม่สิ ตอนนี้ก็ฮอตอยู่

“ฮ่าๆ ก็เราน่ะไม่รู้อะไรเอาซะเลย”

“ไม่รู้อะไรเล่า”  อดจะกระเง้ากระงอดร่างสูงตรงหน้าไม่ได้ที่เอาแต่เย้าแหย่ให้หงุดหงิดใจ รู้อะไรก็ไม่พูดไม่บอก ชอบให้หาคำตอบเองตลอด ทั้งที่จริงๆ บอกมาเลยก็จบแล้ว

ท่าเยอะ!!





คนตัวเล็กเดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่ร่างสูงจะเดินตามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะแสดงออกทางอารมณ์เท่าไหร่เวลาอยู่ในห้องเรียนด้วยกัน ยกเว้นการอยู่กับเด็กตัวเล็กที่แสนจะร่าเริง และยิ้มตลอดเวลาคนนั้น เขาคนนี้ตกหลุมความสดใสเข้าเต็มเปา โดยเฉพาะแววตาที่ใสซื่อและมักแสดงออกถึงจริงใจต่อทุกคนเสมอ แต่คนที่จะได้รับมากกว่าใครคือคุณหมอคนเดียวในทีมนักแสดง ในตอนแรกเขาก็คิดว่าคงเพราะงานวิจัยที่เด็กนั่นตั้งใจเสียเต็มประดา แต่ไปๆ มาๆ กลับสนิทกันเกินกว่าที่จะเป็นแค่ปรึกษางานวิจัย ไม่รู้ว่าสองคนเขาจะรู้ตัวมั้ย แต่คนในกอง พี่ๆ ทีมงาน และครู เห็นการกระทำที่ประเจิดประเจ้อนั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ในสายตาผู้ชายที่วันนี้รู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกัน กลับไม่ได้รู้สึกคัดค้านความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นในใจ

แต่คุณหมอคงยังยอมรับไม่ได้แน่ เพราะผมเห็นกำแพงที่เขาพยายามปั้นแล้วรื้อถอนอยู่หลายครั้งจากสายตาที่มองคนตัวจ้อย และการกระทำที่แสดงออกอัตโนมัติ หลายครั้งก็พลั้งมือ หลายทีก็พลั้งเผลอ

ก่อนที่คุณหมอจะทลายกำแพงตัวเอง ผมคงต้องทลายกำแพงเด็กหน้าใสคนนั้นให้ผมก้ามข้ามไปก่อน





------To be Continued------



ตอนนี้สั้นนิดใช่มะ55555555

ความสัมพันธ์ของหมอกับน้องเริ่มเดินหน้าแล้วนะ

แต่เริ่มแบบมีคู่แข่งเลย ถ้าหมอไม่รีบก็จะมีคนเร็วกว่านะคะ

อิอิ





ฝากกดกำลังจัยตั่งต่าง

แฮทแท็กใหม่เด้อ



#youaremyday1

#กาลครั้งหนึ่งที่รักคุณ



@mifengbeexx



บี


หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 08-05-2018 22:32:47
 :mew1: รอ ร๊อ รอ ~
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 10-05-2018 09:32:16
ติดตามค่ะ ʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔ
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 11-05-2018 20:10:54
 :mew1:
Ror Yu Na Jaa
 :mew1:
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 12-05-2018 02:15:48
จะเชียร์พี่ดิม ก็เชียรืไม่เต็มที่ ว่ากันตรงๆก็สงสารแฟนนางอยู่  :hao5:
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 12-05-2018 17:21:32
รอ ร๊อ รอ พี่ดิมน้องศิ  :mew2:
แอบหวั่นใจในตัวพูลล์ไม่รู้สิหรือเราคิดไปเอง :really2:
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์ (08/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 13-05-2018 09:29:45
 :sad4:  :o12: งอแงได้ไหม~
เสพติดเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07เป็นเด็กต้องsafe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 15-05-2018 22:11:22
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP07 : เป็นเด็กต้อง safe sex
[/size]

I came along
I wrote a song for you
And all the things you do







“ไว้เจอกันวันแถลงข่าวนะพูลล์” โบกมือบ๊ายบายคนตัวเท่ากันที่ตอนนี้นับเป็นเพื่อนสนิทอีกคน เราสนิทกันมากขึ้นเพราะคุยไลน์กันตลอด พูลล์จะชอบแคปทวิตตลกๆ ที่จิ้นพวกเราในซีรีส์มาให้พูดคุยขำขันเหมือนคนบ้าที่หัวเราะกับจอมือถือ เลยทำให้เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตนอกเหนือจากซีรีส์กัน กลายเป็นมีคู่หูคนใหม่ที่ชอบชวนกันไปทำแต่เรื่องบ้าบอ

“นานไป๊! วันนี้ไปไหนต่อป่าว ไปเดทกัน”

“เดี๋ยวววว เดทไรเล่า”  ผมยังไม่ชินกับไอ้การขี้เล่นของพูลล์ที่ชอบพูดคำชวนคิดลึกไปไกลของเขาเท่าไหร่นัก

“ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่น ไปกินข้าวเดินเล่นกัน”
“ไหนๆ อาโปก็ลอยแพศิแล้วนิ”

“เออโดนทิ้งอะ ตอนไปรับก็ไปรับอย่างดีเหอะ” มองขวางเพื่อนตัวดีที่มีความลับ ถามว่าจะไปไหนก็ไม่บอกมันชักจะยังไง

“อะไร ก็มีธุระ ไปกับพูลล์แหละดีละ ฝากมันด้วยนะพูลล์” อาโปหันไปยิ้มกว้างให้กับพูลล์อย่างรู้กัน

“สบ๊ายย เดี๋ยวไปส่งถึงคอนโดเลย”




@ห้าง S

“ช่วงนี้ศิสนิทกับพี่หมอเนอะ” คนพูดกำลังเคี้ยวซูชิโรลในปากอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องถ่ายฟิตติ้งวันนี้อยู่แท้ๆ

“อ้าวก็เวิร์กชอปต้องเข้าฉากกับพี่เค้าบ่อยนี่นา แปลกหรอ”

“ก็ไม่เชิง แค่ศิอาจจะไม่รู้ตัวว่าเวลาอยู่กับพี่หมอ ศิเป็นยังไง”

“แล้วเป็นไง?” เอียงหน้าถามอย่างสงสัย

“ก็เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ขี้อ้อน ขี้เขิน ชอบตะแง้วๆ พี่เค้าอะ เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่ตลอดเวลา”

“บ้า เราทำแบบนั้นหรอ…”  แทบไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป

“พี่หมอก็นะ เหมือนหมียักษ์ใจดีที่ตามใจกระต่ายที่สุดเลย” คนพูดเคี้ยวเท็มปุระไปด้วยอีก
“พูดน้อยกับทุกคนแต่คุยกับศิเยอะกว่าใคร”
“ถึงบอกว่าสนิทนี่ไง”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ เราก็แค่เห็นว่าพี่ดิมเป็นผู้ใหญ่กว่า อีกอย่างเค้าชอบดุด้วย ก็เลยทำตัวให้เด็กๆ ไว้จะได้ไม่โดนดุไง” ไม่เคยทำกับพ่อแม่หรือไง ทำแบบนี้พ่อแม่ก็จะตามใจจากที่ดุก็หายเลย

“หรออออ พี่ภัทร กับพี่นิวก็โตกว่าไม่เห็นศิจะไปอ้อน” พูลล์ทำหน้าตาจับผิดเต็มที่

“กะ ก็ไม่สนิท”

“อะๆ เอาเถอะ ไม่มีอะไรก็ไม่มีเนอะ ดีละจะได้ทำงานง่ายๆ ฮี่ๆ”

แม้ปากของพูลล์จะบอกแบบนั้นแต่เชื่อได้เลยว่าสายตาที่ยังเจือความสงสัยไว้เต็มประดานั้นจะยังคงจับจ้องผมกับพี่ดิมต่อไปแน่นอน เจ้าพูลล์ไม่ปล่อยง่ายๆ หรอก

บอกตามตรงว่าไม่เคยรู้ตัวว่าดูสนิทกับพี่ดิมจนคนรอบข้างทักขนาดนี้ ก็คิดว่าทำตัวปกติเหมือนทำกับทุกคน แค่โมเมนต์ของเราได้อยู่ด้วยกันบ่อย ไหนต้องซ้อมบท เข้าฉาก และฝึกทักษะหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่แปลกไม่ใช่หรือไงที่ตัวจะติดกัน

คิดมากน่า

ถึงอย่างนั้นก็แอบเขินอยู่หน่อยๆ กับคำเปรียบเทียบที่พูลล์ใช้เรียก

หมียักษ์กับกระต่าย

แม้จะเป็นเพียงจินตนาการของพูลล์แต่มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของผมพองโตขึ้นมาอย่างน่าอาย ทั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ อาการดีใจกับสิ่งเล็กน้อยกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างสูงมักโผล่มาในห้วงความคิดเสมอ แม้จะคอยปัดป้องให้เขาอยู่นอกกำแพงของตัวเองแค่ไหน หากแต่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะผลักไสความรู้สึกตัวเองที่ค่อยๆ เพิ่มพูนอย่างห้ามไม่ได้

คงทำได้แค่นี้ แค่คิดและมีเขาไว้ในจินตนาการของตัวเองคนเดียว



ครืด ครืด

“ไม่รับหรอพูลล์”

“ไม่อะ ไม่อยากรับ”


ติ๊ง ติ๊ง

“เฮ้ย ซวยละ” พูลล์ดูกระสับกระส่ายหลังจากที่อ่านเมสเสจบางอย่างที่มีคนส่งมาให้ เหมือนมองหาใครบางคนอยู่รอบๆ ร้านอาหารที่เรานั่งกันอยู่

“มีอะไรอะ”

“อิ่มยังศิ ไปกันเถอะ”

“หื้อ ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“มีคนที่เราไม่อยากเจออยู่ที่นี่”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไปเถอะนะ”

ท่าทางดูร้อนรนทำให้ผมรีบเคี้ยวหมูชาชูคำสุดท้ายและดูดชาเขียวตามลงไป ดีที่ไม่ติดคอ

“ก็ได้ๆ”

คนที่ร้อนรนรีบเดินไปจ่ายเงินที่เคานเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าแขนผมเดินไปยังลานจอดรถที่เขาจอดไว้

ปึก!

ยังไม่ทันไปถึงลานจอดรถดีพูลล์ก็พาผมเดินมาชนผู้ชายร่างสูงใหญ่ ในชุดสูทสีกรมท่าดูภูมิฐาน ใส่แว่นกรอบดำมาดคุณชายคนนึง

“Shit!”

“ทำไมพูดคำหยาบอีกแล้ว หื้ม น้องพูลล์”

อ้าวรู้จักกันหรอ

“เกี่ยวไรกับคุณ”

“พูลล์รู้จัก…”

“สวัสดีครับน้องศิ พี่ชื่อภีมนะ เป็น..”

“หยุดเลย! พี่มาทำไมเนี่ย” คนข้างผมชี้หน้าคนตัวสูงที่มาปรากฏตัวแบบสร้างความไม่พอใจให้เพื่อนผมเท่าไหร่ จากตอนแรกที่ดูกระสับกระส่ายกลายร่างเป็นแมวขี้หงุดหงิดไปเสียแล้ว

“พี่เคยบอกว่าไง ห้ามไม่รับสายพี่ไงครับ”

“ก็ไม่ว่างป่ะ สรุปมีไร”

“มารับ”

ผมว่าความสัมพันธ์ของคนตรงหน้าชักแปล่งๆ ได้กลิ่นความไม่ใช่พี่น้องธรรมดา

“ไม่ได้ วันนี้ต้องไปส่งศิที่คอนโด”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเราทั้งคู่นั่นแหละ” รอยยิ้มใจดีส่งมาให้ผมอย่างเป็นมิตร จริงๆ ผู้ชายตรงหน้ามีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ละสายตาไม่ได้เลย ตัวสูงใหญ่ สมาร์ท ผิวสีขาวเหลือง ดวงตาชั้นเดียวแต่ทว่าหางตาคมกริบ คงมีเชื้อจีนปกในสายเลือด ไหนจะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสะอาดนี่อีก


“ศิ พูลล์ มีอะไรกันหรือเปล่า”


“พี่หมอ! /พี่ดิม!” คำเรียกเหมือนอุทานของผมและพูลล์ที่การเห็นคุณหมอสุดหล่อมายืนข้างหลังพวกเราตอนไหนไม่รู้ โผล่มาอย่างกับผีในหนัง ที่แปลกใจกว่านั้นคือคุณหมอมีเวลามาเดินห้างด้วยว่ะ ทำไมไม่เอาเวลาไปนอน

“ตกใจอะไรกัน”

“ก็พี่เล่นโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนี่” พูลล์ตอบแทนใจผมที่ยังตกใจไม่หาย

“แล้วสรุปมีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” คุณหมอมองไปยังผู้ชายอีกคนที่สูงพอกัน แต่คนละสไตล์กันเลย คนที่เพิ่งมาถึงคงไปเปลี่ยนชุดก่อนจะมาเดินห้างล่ะมั้ง เพราะมันดูสบายๆ คนละลุคกับเมื่อเช้าสุดๆ เสื้อยืดพอลล์สมิธ กับกางเกงยีนส์ขาดเข่า และรองเท้าผ้าใบฟีล่าสีขาว สวมหมวกบางลองเซียก้าสีดำ ดูทันสมัยและทำให้ดูเด็กกว่าอายุมากโข

“ปะ เปล่าครับพี่หมอ เอ่อ นี่พี่ภีม เป็นพี่ชายของพูลล์เอง”

“หึ” ร่างสูงในชุดสูทยกยิ้มมุมปากหลังจากการแนะนำของพูลล์

“ผมดิมครับ”

“ครับคุณดิม วันนี้ได้เจอตัวจริงซะที” พี่ภีมพูดประโยคชวนสงสัยเหมือนว่ารู้จักพี่ดิมมาก่อนซะอย่างงั้น
“พูลล์เล่าเรื่องคุณให้ฟังน่ะครับ”

อ๋อ

“อ่อครับ ไปเล่าอะไรล่ะเจ้าพูลล์”

“ไม่มีอะไรเหอะก็ทั่วไป”

“แล้วสรุปว่ายังไง มีอะไรกัน” พี่ดิมถามขึ้นหลังจากรอคำตอบมานาน

“ผมมารับน้องพูลล์กลับบ้าน แต่คนแถวนี้ไม่รับโทรศัพท์ก็เลยมารอที่นี่ แต่ก็จะหนีกลับไปอีก”

“ไม่! พูลล์ไม่กลับกับพี่ พูลล์จะไปส่งศิก่อน อีกอย่างเอารถมาถ้ากลับด้วยแล้วรถจะเอาไว้ไหน”

“เดี๋ยวให้ลุงสมมาเอาให้”

“เหอะ คิดอะไรง่ายไปหมด” ผมไม่เคยเห็นพูลล์ในอารมณ์แบบนี้มาก่อน ปกติจะร่าเริง สดใส แต่ตอนนี้หงุดหงิดไปซะหมด เหตุผลน่าจะมาจากผู้ชายตี๋โอป้าคนนี้

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งศิเอง พูลล์กลับไปกับพี่ชายเถอะ”

“พี่หมอ ไม่เอาาา!” เสียงพูลล์หง่อยไปซะอย่างนั้น นี่มันผิดแผนไปหมดเลย

“กลับกับ พี่ชาย นั่นแหละ” น้ำเสียงดุปนมากับประโยคนี้ชัดเจน เลยได้พูลล์เลยพยักหน้ารับเบาๆ อย่างจำยอม

“งั้นพูลล์ก็กลับกับพี่ได้แล้วใช่มั้ยครับ”

“ฮึ้ยยย!” พูลล์มองพี่ภีมตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์ที่ร่างสูงใหญ่ก็ได้ตัวช่วยให้พาเด็กที่หงุดหงิดคนนี้กลับไปด้วยได้

“งั้นผมขอตัว ป่ะศิ”

“งั้นไว้เจอกันนะพูลล์”
“เดี๋ยวเราถึงคอนโดแล้วโทรหานะ”

“อื้อ ขอโทษนะศิ พอดีคนแถวนี้เป็นบ้าอะ กลับดีๆ นะ”

เราสองคนโบกมือลากัน ผมมองคนตัวเท่ากันในชุดเสื้อเชิ้ตสีพีชตัวโคร่ง ปลดกระดุกสามเม็ดเผยให้เห็นแผงอกขาวๆ กับกางเกงยีนส์เดฟขาดเล็กน้อย สะพายกระเป๋าผ้าสีขาวลายซิมซัน เดินสะบัดหน้าหนีผู้ชายที่พยายามหนีมาก่อนหน้านี้แต่ไม่ทัน ไม่รู้ว่าทำไมพูลล์ถึงอยากหนีพี่ภีมนัก แต่คนที่ฉุนเฉียวทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คงเพราะคนนั้นสำคัญอยู่เหมือนกันสินะ

“พี่ดิมมาที่นี่ได้ไง”

“ขับรถมาสิ”

“กวนอะ”

“ฮ่าๆ พี่ก็มาซื้อของเข้าคอนโดนิดหน่อย”
“เราเถอะไปเป็นก้างเขาทำไม”

“ก้าง? ก้างอะไรอะ” 

คุณหมอขยับปีกหมวกไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มใต้ตามีรอยดำจางๆ คงได้พักผ่อนดีกว่าหลายวัน

“เอาเป็นว่าคนของเค้ามาตามกลับบ้าน เราก็ไม่ควรไปยุ่ง”

พอผมคิดตามคำที่คุณหมอบอกและปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่แม้พูลล์จะดูไม่ชอบใจมากๆ ที่พี่ภีมมารับถึงห้าง แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมีความผูกพัน แต่วันนี้คงมีผิดใจอะไรบางอย่าง ชาวบ้านอาจจะเรียก งอน

ผมยิ้มรับเมื่อคิดได้

“แล้วแฟนพี่ไม่มาซื้อของด้วยหรือไง”

“เค้าก็อยู่บ้านเค้าสิ”

“อ่าฮะ แล้วนี่ซื้อเสร็จหรือยังอะ”

“ยังไม่เริ่ม จะไปเดินด้วยหรือรอแถวนี้”

“จริงๆ ศิกลับเองก็ได้นะ จะได้ไม่ลำบากพี่ดิมไปส่ง เผื่อพี่...”

“รับปากแล้วก็ต้องทำ” พูดยังไม่ทันจบคุณหมอเขาก็โพล่งสัจจะออกมา

“สรุปคือจะไปส่งให้ได้ว่างั้น”

พี่ดิมพยักหน้า

“งั้นไปซื้อของด้วยก็ได้”

รับอาสาเข็นรถให้พี่ดิมรอบซุปเปอร์ขนาดใหญ่มาประมาณครึ่งชั่วโมง ทำให้เห็นด้านคุณพ่อบ้านในตัวผู้ชายร่างยักษ์คนนี้ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ไม่ได้ใช้ประจำว่าอันไหนคุ้มกว่าและน่าซื้อกว่ากัน ที่สำคัญรู้อีกอย่างว่าการเป็นหมอไม่ได้ทำให้เขารักสุขภาพเท่าที่ควร ตุนอาหารแช่แข็งเต็มรถเข็น ผมทำได้แค่ปรามๆ ว่าควรซื้ออาหารสดไปไว้บ้าง เขาก็อิดออดว่าไม่ค่อยได้ทำอาหาร แต่สุดท้ายก็รับปากว่าจะซื้อกับข้าวใต้คอนโดกินบ่อยกว่าเดิม แต่กระนั้นคุณหมอกลับปฏิเสธอาหารที่มีน้ำตาลเยอะๆ เช่น พวกน้ำอัดลม นมเปรี้ยว หรือน้ำผลไม้กล่อง เขาให้ความรู้ว่าพวกนี้ไร้ประโยชน์อย่าไปเชื่อคำโฆษณา และพาผมเข็นรถไปซื้อผลไม้หลายชนิดแทน ในมุมที่ไม่รักสุขภาพก็ยังรักสุขภาพอยู่ หมอก็คือหมอ

ความโรคจิตของผมคือแอบจำว่าคุณหมอเขาใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้จะจำไปทำไมด้วย แต่มันอยากรู้นี่._.


“อะไรทำไมมองพี่แบบนั้น”

“อะ เอ่อ เปล่าซะหน่อย” พี่ดิมพาผมเข็นรถมาโซนของใช้ผู้ชาย เลยเถิดมาถึงเชลฟ์ถุงยางและอุปกรณ์สำหรับเมคเลิฟ

“Safe sex ไง แปลกหรอ”

“ปะ เปล่า ยังไม่ทันพูดอะไรเลย”

“เขินนิ หูแดงจัง” มือใหญ่จะเอื้อมมือมาจับหูของผมที่มันคงแดงอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถ้าไม่เขินก็รู้สึกประดักประเดิดเต็มทนที่ต้องมามองดูผู้ชายเลือกถุงยางเนี่ย

“เฮ้ย เปล่าซะหน่อย” 

“หึ”

นี่ก็สายตาขี้เสือกไปมองอีกว่าเขาขนาดเท่าไหร่ ใช้แบบไหน แม้จะอายุ 21 แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้เยอะเมื่อไหร่

ล่าสุดคงกับแฟนเก่าสมัยมัธยม…

จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านด้วยกันที่นานๆ ทีจะได้ทำแบบนี้ เพราะเราคบกันแบบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงนักบาสสุดฮอตของโรงเรียน เลยเปิดเผยไม่ได้ว่าคบกับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายแบบผม ผู้ชายที่มีเพื่อนสนิทไม่กี่คน ใครก็คงจำไม่ได้ว่าเรียนที่นี่ เราเลยต้องแอบนัดเจอกันหลังเลิกเรียนพิเศษ ฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาเขาเลยอาสาพาไปส่งที่หอไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษ แต่ขอแวะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอตัวเองก่อน นั่นนำมาซึ่งการหอมแก้มครั้งแรก จูบแรก และเซ็กซ์ครั้งแรก ที่เต็มไปด้วยความความสุขสมและโหยหากันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นของครั้งที่สองสามและอีกหลายครั้ง มันดีมาตลอดจนก่อนเรียนจบเราก็ห่างกันไปเพราะวุ่นวายกับการเตรียมแอดมิดชั่น ไม่ได้บอกเลิก แต่ก็ไม่มีใครพยายามติดต่อกันอีก ตัวผมเองก็เฮิร์ตอยู่พักใหญ่แต่บอกใครไม่ได้ ความรู้สึกก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่าน แต่ยังจำเขาคนนั้นในหัวใจได้ดี หากทว่าไม่ขอกลับไป ให้มันเป็นความทรงจำที่ดีแบบนี้แหละดีแล้ว

“วัยแบบพี่ยังต้องป้องกัน เราก็อย่าห้าวล่ะ” คำพูดชวนปวดหัวและไม่สำนึกกับการกระทำของตัวเองฉุดผมออกจากอดีตที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี

“ไม่คุยกับพี่ดิมละ แม่ง”

ผมเข็นรถหนีไปทางอื่นโดยไม่อยากสนใจคำพูดคำจาของคุณหมอที่เริ่มจะออกลายตัวตนที่แท้จริงมาแล้ว ไม่รู้คนอื่นโดนเหมือนที่ผมมั้ย แต่ผมโดนทุกทาง ฮึ้ย




ซ่าส์ ซ่าส์

ก้าวออกมาจากตัวห้างไปยังลานจอดรถ ก็ได้ยินเสียงฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง ไม่พอลมยังกรรโชกอีกต่างหาก นี่มันอะไรกันใกล้จะหน้าหนาวแล้วฝนยังจะตกอีก เมืองไทยนี่มันเอาแน่อะไรกับอากาศไม่ได้เลยจริงๆ และผมจะเจอเหตุการณ์ฝนตกหนักอะไรบ่อยขนาดนี้

“พี่ดิมจะขับรถกลับได้หรอ ศิว่าฝนตกหนักมากเลยอะ”

“งั้นไปกินข้าวกับพี่ก่อนรอฝนซา”

“งืม ครับ”




“จะมีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตอีกป่ะ” ผมถามแถมเย้าพี่ดิมที่กำลังสั่งอาหารแนวอิตาเลี่ยนที่เขาเป็นคนเลือก แต่ผมปฏิเสธเพราะเพิ่งกินอิ่มไม่นาน

“โดนแอบถ่ายกับพี่ไม่ดีหรือไง”

“ฮ่าๆๆ ป่าวๆ ก็เราเป็นคู่จิ้นกันนี่เนอะ ขนลุกว่ะ”

“ว่ะเหวะอีกละนะ เด็กแค่นี้”

“ขอโทษครับผม เป็นหมอพ่วงครูสอนมารยาทป่ะครับ”

“เดี๋ยวเป็นครูสอนอย่างอื่นด้วย” พี่ดิมวาดมือใหญ่ลูบหัวผม เป็นการลูบเบาๆ แถมมองด้วยสายตามีเลศนัย ไม่พอยังยกยิ้มที่มุมปากอีก ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าไว้ใจสุดๆ จะแกล้งอะไรอีก

“สะ สอนอะไร จะแกล้งอะไรศิอีก”

“เดี๋ยวก็รู้ เอาไอติมมั้ย พี่กินคนเดียวมันแปลกๆ”

“เขินหรอ” ผมเย้าคนที่เพิ่งทำให้ผมแกล้งใจเต้นแรง

“เดี๋ยวเถอะ สตรอว์เบอรี่นะ”

“ครับผม”

และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือพี่ดิมจำได้ว่าผมชอบกินไอติมรสสตรอว์เบอรี่



ผ่านไปร่วมชั่วโมงออกมาจากตัวห้างฝนก็ยังตกหนักไม่ลดแรงลงแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วพี่ดิมเลยตัดสินใจขับรถฝ่าฝนอย่างระมัดระวัง เม็ดฝนขนาดใหญ่โปรยปรายสู่พื้นดิน กระทบกระจกหนาของรถยุโรปทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงไปกว่าครึ่ง ที่ปัดน้ำฝนทำงานเป็นระวิง แต่สารถีก็ดูใจเย็นเหมือนความเย็นที่แผ่ปกคลุมรอบรถโดยไม่ต้องลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารสุดหรูนี้

“ศิ”

“ครับ”

“จะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะแวะคอนโดพี่ก่อน”

“ทำไมล่ะครับ” ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าคอนโดคนข้างๆ อยู่ที่ไหน แต่ที่รู้คือคอนโดผมอยู่ห่างจากตรงนี้ไปไม่กี่ไฟแดง แต่แค่ต้องไปวนรถกลับไกลหน่อยเท่านั้น

“ฝนมันตกแรงมากพี่มองไม่ค่อยเห็นทาง อีกอย่างรถมันติดมากเลย เดี๋ยวฝนซาแล้วพี่ออกมาส่ง”
“แต่ถ้าศิไม่โอเคพี่ขอจอดข้างหน้าก่อนได้มั้ย”

“ปะ ป่าวครับ ไม่ได้ไม่โอเค ปะ ไปคอนโดพี่ดิมก่อนก็ได้” แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนิดหน่อยที่คิดว่าต้องไปคอนโดของผู้ชายที่ตัวเองคิดไม่ซื่อ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง และเพื่อนร่วมถนน ก็เอาแบบนั้นก็ได้



เนอะ




ก้าวแรกที่สัมผัสห้องชุดเพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดสุดหรู หลายครั้งที่เคยผ่าน แต่ไม่คิดว่าจะหรูหราขนาดนี้ โทนสีขาว เทา และครีม คือเฉดสีหลักของห้องนี้ กลิ่นสะอาดลอยเตะเข้ามาในจมูก ภาพเบื้องหน้าคือห้องรับแขกจัดเป็นระเบียบ ซ้ายมือคือห้องครัวขนาดใหญ่ที่ดูสะอาดสะอ้านเหมือนไม่เคยใช้มาก่อน ขวามือคือบันไดไปสู่ชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องส่วนตัวของคุณหมอ ภายนอกระเบียงที่มองเห็นไกลๆ เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว มีมุมไว้สำหรับนั่งมองวิวข้างนอก แต่ตอนนี้ไม่ควรออกไปสัมผัสกับละอองฝนที่ยังไม่ลดละ

“ตามสบายนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรอุ่นๆ มาให้”

“ครับ”
“พี่ดิม อยู่คนเดียวจริงๆ หรอ”

“ทำไม คิดว่ามีใครอยู่หรือไง”

“ก็ ห้องมันกว้างมากกก ไม่กลัวผีหลอกหรอ”

“ผีกับพี่น่ะเพื่อนกัน ไม่รู้หรือไง” ร่างสูงพูดไปด้วยพร้อมจัดข้าวของที่วางบนโต๊ะตัวสูงยาวภายในห้องครัวไปด้วย
“เป็นหมอเลิกกลัวผีตั้งแต่ผ่าอาจารย์ใหญ่แล้ว” น้ำเสียงสบายๆ ที่นานครั้งคนตรงหน้ามักจะพลั้งเผลอเวลาเล่าเรื่องบางอย่างที่ไม่มีเรื่องซีเรียสปะปน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราสองคนสนิทกันจริงๆ สนิทกันจนถึงมายืนอยู่บนคอนโดของเขาได้

“เหอะ นั่นสิ ผีอะต้องกลัวพี่มากกว่า”

“แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าผีไม่มัวนะ”

“โหดร้ายว่ะ”

“พี่พยาบาลชอบพูด พี่จำมาทั้งนั้น”

“หราาา”  ไม่จริงหรอกที่คนกล้าเลือกถุงยางต่อหน้าคนอื่นจะไม่รู้จักคำผวนพวกนี้ ขนาดผมยังรู้เลย

ผีมารักฉันเธอ เนี่ยยิ่งรู้ดี

อิอิ


23.10 น.

กว่าค่อนคืนที่สายฝนยังโปรยปรายด้วยกำลังแรงเท่าเดิมไม่ลดละ เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์เดินวนไปส่องที่ริมระเบียงหลายครั้งหลายคราก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมาเหมือนเดิม โกโก้อุ่นที่พี่ดิมชงมาให้ตอนนี้หมดไปเหลือเศษสีน้ำตาลเข้มใต้ก้นแก้วมัคลายแซลลี่สุดน่ารัก ผมเอ่ยปากแซวกับความมุ้งมิ้งที่มีแก้วน้ำลายน่ารักนี้อยู่บนคอนโดหนุ่มโฉด คุณหมอรีบปัดป้องว่าได้เป็นของขวัญจากคนไข้เด็กขณะราวด์วอร์ดเด็กนั่นเอง เลยได้แต่เออออยอมเชื่อ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาดูชิลขนาดที่ว่าไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างได้ เลยได้คำตอบว่าวันนี้หยุด 1 วันหลังจากเข้าเวรติดต่อกันมาเป็นเดือน

หลายชั่วโมงที่เราติดแหง็กอยู่ด้วยกันนอกจากจะได้เห็นกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหมอแล้วก็ยังเห็นเขาในลุคที่ดูธรรมชาติที่สุด เสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขายาวสีมอ ใส่สบายแต่ดูท่าจะราคาไม่สบาย ลุคคุณหมอสวมแว่นทรงกลมสมัยนิยมกรอบสีดำนี่ถ้าใครได้มาเห็นคนอยากกระชากหัวใจตัวเองให้ไปเลยแบบฟรีๆ เพราะผมก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่โทษทีที่ไม่มีใครได้เห็นนอกจากผมตอนนี้

“เฮ้ย พี่ดิม”

“หื้ม มีอะไร ตกใจอะไรขนาดนั้น”

พี่ดิมเงยหน้าจากหนังสือเล่มเล็กในมือ ผมที่ยังไม่แห้งดีทำให้ไม่เป็นทรงเหมือนเคย ขายาวที่พาดกับโซฟาตัวเล็กไว้เหยียดขา ถูกรบกวนด้วยเสียงดังฉุดสมาธิที่ก่อนหน้านี้อยู่กับตัวเอง จะไม่ให้เสียงดังได้ยังไงในเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นจริงซะแล้ว

#เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น is back!!!

“มีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตเตอร์อีกแล้วอะสิ พี่!!”

“เดี๋ยวใจเย็นๆ”

“เย็นได้ที่ไหน นี่มันรูปตอนพี่เลือกถุงยาง!!”

“Damn it!”



เออซวยมั้ยล่ะ







มีต่อ




หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 15-05-2018 22:24:08
บอกตรงๆ ใจพี่บางมากกับเหตุการณ์นี้ ลงมาหลายเรือแต่ไม่คิดเลยจะมาเจอโมเม้นต์ที่เขาพากันมาเลือกถุงยาง ใจพรี่ ช่วยด้วยคุณตำหนวดดดด คูมหมอจาเอาลูกชั้ลไปทำชำเราาาาาาาาา #อย่าทำเบานะ #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ

รูปที่ถูกแอบถ่ายคือตอนที่พี่ดิมถือถุงยางในมือ กับมืออีกข้างจะเอื้อมมาจับหูผมตอนที่ล้อว่ามันแดง มันดูเหมือน เอ่อ คู่รักหยอกเอินปนเขินอายกับการต้องมาเลือกของใช้สำหรับใช้ร่วมกัน…
นอกจากนี้ยังมีรูปในร้านอาหารขณะที่พี่ดิมยกมือลูบผมของผม ลานจอดรถขณะที่ผมช่วยขนของลงจากรถเข็นใส่ท้ายรถบีเอ็ม

บอกตรงๆ ว่าคืนนี้แฮทแท็กคงขึ้นไทยเทรนด์อีก!!!

“เค้าอาจจะเลิกงานละไปเดทกันต่องี้แกรรรรรรรรรรรร นี่ซีรี่ส์ยังไม่เปิดกล้องเลยนะโว้ยยยยยยยยยยย ทำไมกูฟินขนาดนี้ /ขออ๊อกซิเจน #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

“ไม่เคยคิดว่าพี่หมอเค้าจะแบบหื่นอะมึงงงงงงงง พาน้องไปเลือกถุงยางเลยอ่อวะ อิเหี้ยเกินไปป่ะ น้องศิรู้กกกกกก ยังเด็กอยู่เรยยยยยยยยย /แอบไปนอนใต้เตียง #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

“กูว่าหมอเยสดุอะ #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

โอ้โหหหหหหหหห อันนี้พีคสุดตั้งแต่แอบเข้าไปส่องในทวิต หวังว่าพี่ดิมคงจะไม่เห็น แต่คนรีทวิตโคตรเยอะพันกว่าในสิบนาที ฮืออออออออ


ดุอะไรยังไม่โดน!!!


“หึหึ”

“ขำอะไรพี่”

“ก็ขำศินั่นแหละ นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”

“ก็คนเข้าใจผิดไปไหนต่อไหน เพราะความสัปดนของพี่แท้ๆ”

“ขอโทษๆ เดี๋ยวแก้ข่าวให้ น้องเสียหายจะแย่ละ”


ติ๊ง


อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมแค่แกล้งน้องมันเล่นเฉยๆ คนแอบถ่ายน่าจะถ่ายเป็นคลิปนะครับจะได้ชัดๆ @thesimoonie


วิเดียวคนรีตั้งหลายร้อย

พลังชิปเปอร์นี่รุนแรงจริงๆ นะครับ กลัวแล้วนะ

“ยังไปแขวะเขาอีก”
“เดี๋ยวถ้าเขามีคลิปขึ้นมาซวยไม่พัก”

Reply จริงๆ มีคลิปด้วยค่ะแต่มันจะเกินงามไปหน่อยเลยลงรูป คุณหมออยากให้ลงคลิปหรอคะ ช้อยจัดให้ค่ะ


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยย


“พี่ดิม!!!”


มึงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


ไม่ไหวแล้วขอหยาบใส่ในใจก็ยังดี นี่ผมต้องโดนเรื่องแบบนี้เพราะเขากี่ครั้งแล้วไม่อยากนับ แต่ครั้งนี้มันสุดจริงๆ คนอื่นจะคิดไปไกลถึงดาวพลูโตเนปจูนก็ไม่ว่า แต่ถ้ามันหลุดไปถึงนักข่าว จะพาลเดือดร้อนไปถึงผู้ใหญ่ในบริษัท ไหนจะพ่อแม่ผม ครอบครัวเขา ที่สำคัญแฟนเขาอีก

โกรธจริงๆ ได้มั้ยวะ

มีสิทธิ์มั้ย

“...”

“ศิ..”

“....”

“ไม่คิดว่าเค้าจะมีจริงๆ”
“เดี๋ยวพี่ดีเอ็มไปให้เค้าลบ”

ผู้ชายร่างสูงเดินจากโซฟามุมห้องมาหาผมที่นั่งโซฟากลางห้องหน้าทีวีขนาดใหญ่ที่เปิดไว้แต่ไม่มีใครดู ตอนแรกที่นั่งหันข้างให้ตอนนี้เลยหันหลังให้รู้ไปเลยว่าโคตรไม่ชอบใจที่เขาทำสิ่งที่ไม่น่าทำเลย รู้แหละว่าปกติเขาจะล้อเล่นกับแฟนคลับหรือคนที่ติดตามเป็นปกติ โดยส่วนมากจะคีพคาแร็กเตอร์ดุๆ หน่อย แฟนคลับก็จะกล้าๆ กลัวๆ เวลารีพลายคุยกับเขา หากแต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลัวนี่น่า อย่างน้อยก็มีแฟนคลับคนนี้ที่กล้าเล่นกับคำยุยงของตัวต้นเหตุ

“พี่ขอโทษนะ”

“อื้ม”

“นี่โกรธจริงๆ หรอ”

โซฟาตัวยาวฝั่งด้านหลังของผมยวบลงอย่างที่รู้ว่าคนตัวโตขยับจากที่เดิมมานั่งตรงนี้แทน มือใหญ่หนาสัมผัสหัวไหล่มนเบาๆ แล้วลูบด้วยสัมผัสอ่อนโยนคล้อยตามคำขอโทษที่เอ่ยก่อนหน้านี้

“แฟนพี่คงไม่มาดักตบผมหรอกนะ”

“คิดไปถึงไหนเนี่ย เค้าไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ครับๆ พี่ไปอธิบายกับผู้ใหญ่ด้วย ถ้าเรื่องไปถึงหูนักข่าวแย่แน่คุณอาคิรา”

“นักข่าวคงไม่กล้ามาสัมภาษณ์พี่ที่โรงพยาบาลหรอกจริงมั้ย”
“ไม่ต้องกลัว”

“เฮ้อ” หันหน้ามาปะทะคนพูดพร้อมถอนหายใจอย่างสุดปลงเพราะวิธีแก้ต่างของคุณหมอที่ผมไม่สามารถย้อนแย้งได้เลยว่ามันทำไม่ได้จริง ความฉลาดเป็นกรดของเขายังคงใช้งานได้ดีกับทุกเรื่อง

“ทีนี้ก็เลิกกังวลได้แล้ว”
“มากังวลเถอะว่าวันนี้ศิจะกลับคอนโดยังไงดี”

นั่นสิ พายุฝนที่โหมกระหน่ำตั้งแต่ย่ำค่ำยังไม่หยุดหรือซาให้ได้ใจชื้นพอที่คนแถวนี้จะขับรถไปส่งหรือนั่งแท็กซี่กลับเองได้เลย


“นอนที่นี่ได้มั้ย”


“ห้ะ”

“ศิน่ะ พอนอนที่นี่ได้มั้ย”

นี่มันเป็นคำชวนหรือคำขอกันแน่ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เพราะสายตาอ่อนโยนยังไม่แปรเปลี่ยนจากเมื่อครู่คงสถิตย์อยู่ในดวงตาสีนิลที่ครั้งนี้ยอมให้ได้อ่านออกบ้างว่าเขารู้สึกอยากขอโทษกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น

“ศิมากกว่าที่ควรถามว่าศินอนที่นี่ได้มั้ย ไม่ใช่พี่มาถามว่าศินอนได้หรือเปล่า พี่เป็นเจ้าของห้องนะ”

“ก็กลัวมันจะคับแคบไป”

“ขี้อวด! รำอะ”

คุณหมอยกยิ้มมุมปากแบบคนเหนือ น่าจะไปอยู่เชียงรายนะ -*-



สาบานว่านี่คือเสื้อผ้าคนปกติไม่ใช่ของยักษ์ เสื้อยืดแบรนด์ดังอย่าง CK ไซซ์ xl สำหรับคนเอเชียคือขนาดเล็กสุดที่เจ้าของผ้าผ่อนพวกนี้ เห็นว่าซื้อมาผิดไซซ์ใส่ไม่ได้แต่ยังไม่ได้เอาไปให้ใครเลยกลายมาเป็นชุดยืมให้ผมที่แคระกว่าเขาตั้งกี่เซ็น ปกติใส่เสื้อไซซ์ m ก็รู้สึกพอดีตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ไป หากแต่ทว่าตอนนี้เสื้อยืดคอกว้างก้มที่เห็นหัวนม เอียงไปทางไหนคอเสื้อก็ตกไหล่เผยให้เห็นหัวไหล่เกลี้ยงเกลามีปานสีชมพูเล็กรูปดอกจิกทางซ้าย ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึงต้องใส่บ็อกเวอร์สีเทาสั้นจู๋เห็นว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากเพื่อนพิเรนทร์ซื้อมาหยอกเล่น ถ้าสมมติคุณหมอใส่คงรัดเป้าตึงจน -*-



คุณหมอนั่งพิงหมอนใบใหญ่บนเตียงคิงไซซ์มองเด็กผู้ชายที่ส่องกระจกในห้องแต่งตัวบิ้วท์อินครั้งแล้วครั้งเล่า หมุนซ้ายหมุนขวาราวกลับไม่มั่นใจในตัวเองกับชุดที่ผมจัดหาไปให้ยืมใส่นอนคืนนี้ เสื้อยืดตัวเขื่องกลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซซ์แขนยาวเลยข้อศอก กับกางเกงบ็อกเซอร์ที่โผล่เลยชายเสื้อมานิดหน่อยเผยให้เห็นขาขาวเรียวยาวไร้เส้นขนให้รกตาเฉกเช่นชายที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ผมที่มัดจุกทรงน้ำพุรับกับใบหน้าสดเนียนใสราวกับเด็กทั้งที่คงใช้โฟมล้างหน้ายี่ห้อเดียวกับผมหมาดๆ แต่ทำไมดูสดใสราวกับตบเซรั่มของลาแมร์

“พี่ดิมมีน้ำยาล้างคอนแท็กเลนส์มั้ยครับ”

“อะ อ่อ มะ มีๆ อยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ”

“ครับผม ขอใช้หน่อยนะ”

“หยิบเลย”

เสียงตกร่องมีพิรุธเผยออกมาอย่างถูกขัดจังหวะการเชยชมบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ซึ่งจะเป็นใครไปได้นอกจากเด็กที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำอย่างระมัดระวังหลังถอดคอนแท็กเลนส์แล้ว จังหวะการก้าวขาแต่ละทีมันทำให้กางเกงขาสั้นมากแถมยังกว้างขนาดเห็นขาอ่อนด้านในอย่างไม่ตั้งใจ ไหนจะเสื้อคอกว้างตกไหล่เห็นช่วงต้นคอขาวและไหล่มนสีขาวอมชมพูดูสุขภาพดี

เขาจะรู้ตัวมั้ยที่ทำอยู่นี่


อ่อยกันชัดๆ


“ฮ้าวววว พี่ดิมจะให้ศินอนตรงไหน โซฟาข้างนอกก็ได้นะ” ร่างเล็กขยี้ตาเดินมายืนข้างเตียงใหญ่ฝั่งที่ผมนอน พร้อมกับหาวอย่างเต็มที่เป็นสัญญาณว่าง่วงเต็มทนแล้ว

“ขึ้นมาสิ”

“หื้อออ จะให้นอนบนเตียงหรอ”

“ใครจะให้แขกไปนอนโซฟา ห้องนอนอีกห้องพี่ทำเป็นห้องหนังสือแล้ว”

“แต่ว่า..”

“มาเถอะน่า” จัดการดึงแขนเล็กแต่ดูท่าจะแรงเกินไปเพราะไม่คิดว่าจะตัวเล็กขนาดดึงเบาๆ แล้วปลิวลงบนตักได้ง่ายดายขนาดนี้ เลยได้เผลอสบตาคู่สวยเปล่งประกายคล้ายมีดาวระยิบระยับยามค่ำคืน ขนตายาวรับกับดวงตากลมโตที่ตอนนี้เบิกตาโพล่งราวกับกระต่ายตกใจหนักหนา

“พี่เล่นอะไรเนี่ย” ร่างเล็กบนตักเหวใส่อย่างไม่สบอารมณ์แม้จะแอบเห็นว่าหูทั้งสองข้างแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“ผอมเอ้ย ดึงแค่นี้ก็ขาอ่อน”

“คนบ้าอะไรแรงโคตรเยอะ ดูด้วยข้อมือน้องเป็นรอยเนี่ย” คนที่ตะแงวๆ ยกข้อมือเล็กที่มีรอบแดงเป็นปื้ดสองสามรอยให้ดู

“บอบบางจริงๆ คุณหนู” มันเขี้ยวเลยบีบปากช่างต่อว่าไปที

“อื้ออ่อเอย” (ปล่อยเลย)

ปล่อยให้คนตัวเล็กเดินไปนอนอีกฝั่งที่ว่างอยู่ ที่ไร้ซึ่งอาการประหม่าของคนที่ต้องนอนด้วยกันครั้งแรก มีแต่ความง่วงงุนพอหัวถึงหมอนก็เหมือนภาพตัดไปเลย

คนที่ลำบากคงมีแค่ผมคนเดียว

ฝันดีกระต่ายแสบ





------To be Continued------




หรือพี่หมอจะเยสดุ5555555555555555555
งื้อเขียนอะไรลงปัยยยย
อยากได้คอมเม้นท์ หนุบหนับ

เยิ้บ



บี <3

หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-05-2018 02:41:52
กำลังตกใจกับความลับ น้องศิเคยมีแฟน!!!!
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 16-05-2018 10:42:17
เง้ยยยยยย.
มีแฟนได้งุยอ่ะ
ตกใจเลย
รรร..ร
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-05-2018 12:57:09
เหยยยยย ดุไม่ดุเราสงสัย55555
นี่อะไร เรือแล่นไวมากกกกกก ขอเราโดดลงเรือด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 16-05-2018 13:11:08
น่ารักดีค่ะ
ค่อยๆสนิทกันไปแบบไม่รู้ตัวแต่ว่ากลัวในความสัมพันธ์เหลือเกิน
คนพี่ก็ยังมีแฟน เห้อออ
ขอมาม่าน้อยๆนะคะ 555
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 16-05-2018 19:34:25
ถ้าอิพี่ถ่ายรูปน้องลงigอีกจะฟินนนนนนมากกกกกกกกก :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 16-05-2018 20:30:50
 :-[
หัวข้อ: Re: UP!【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vivierav ที่ 20-05-2018 20:13:12
น้องศิเคยมีแฟนว่าช็อคแล้ว
หมอพาน้องไปเลือกถุงยางช็อคกว่า
อิหมออออออออออ
อย่าทำน้องงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.08 ข้าวกล่องของน้อง (22/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 22-05-2018 21:52:05
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP08 : ข้าวกล่องของน้อง
[/size]

I won big the day that I came across you
‘Cause when you’re with me, I don’t feel blue






6.50 น.

เสียงกุกกักเล็กน้อยก็ทำให้เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ตื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก ปกตินอนห้องนี้คนเดียวเสียงรบกวนอื่นแทบไม่มีนอกจากเสียงปลุกของมือถือที่ตั้งไว้เพื่อเตือนให้ไปเข้าเวร แต่วันนี้มีเสียงบางอย่างดังมาจากด้านล่าง พอลืมตาสู้แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านสีเทาก็มองไม่เห็นคนที่นอนอยู่ข้างกันเมื่อคืน

นี่คงเป็นต้นเหตุของเสียงที่ว่า

ภาพผู้ชายตัวเล็กใช้หนังยางมัดเสื้อไหล่ตกของตัวเองทั้งสองข้างเพื่อให้มันไม่รำคาญในการขยับตัว อีกทั้งผมจุกเมื่อคืนที่ไม่ได้แกะออกทำให้กลายเป็นคนสามจุกไปเสีย น่าจะกำลังง่วนกับการทำอะไรบางอย่างในครัวที่ตัวผมแทบไม่ได้ใช้ นอกจากเข้ามาเวฟอาหาร หรือชงกาแฟ

“ทำอะไรแต่เช้า” ผมหาวหวอดเพราะนี่ยังไม่ใช่เวลาตื่นปกติ เข้าเวรเช้าก็จริงแต่จากคอนโดไปโรงพยาบาลใช้เวลาไม่นาน เพราะเดินทางสวนคนอื่นเลยกะเวลาตื่นตอนเจ็ดโมงสิบห้า แต่วันนี้ตื่นก่อนตั้ง 45 นาที

“อ้าวพี่ดิมตื่นเร็วจัง”

“ไม่ได้จะตื่นเร็วแต่มีคนทำเสียงดัง”

“เฮ้ย จริงหรอครับ ผมขอโทษนะ คือพยายามหาหม้ออะ”

“ไม่เป็นไร ตื่นง่ายอยู่แล้ว”

“แล้วนี่เราจะทำอะไร พังครัวพี่หรือไง”

“ใช่! จะพังแล้ว เพราะหาอะไรไม่เจอซักอย่าง เรียกว่าครัวได้ยังไงเนี่ย ตะหลิวก็ไม่มี มีดก็ไม่มี เครื่องปรุงก็มีแค่ซอสกับน้ำตาล”

ก่อนที่เด็กสามจุกจะบ่นผมไปกว่านี้ เลยเดินผ่านคนตัวเล็กไปเปิดประตูเก็บของใช้สำหรับห้องครัว ที่ทำแบบนี้เพราะปกติผมไม่ทำอาหารไงเอามาวางไว้ก็เกะกะ เลยให้แม่บ้านที่นานๆ จะขอให้ทำอาหารให้ ซึ่งใช้แล้วเขาก็จะล้างเก็บไว้ในห้องข้างๆ ใกล้ห้องซักล้างแทน

“มาดูสิจะใช้อะไรบ้าง โวยวายจริง”

“อ้าว มีแล้วทำไมเอามาไว้นี่ล่ะ นึกว่าจะไม่ได้กินข้าวละ” ดูเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ของคนตรงหน้า

“จะทำอะไรให้พี่กินครับน้องศิ”

“น้องเนิ้งอะไร”
“ง่ายๆ แกงจืดเต้าหู้หมูสับกับไข่เจียวแล้วก็ข้าวสวย เหมาะมากกับอาหารเช้า” ตัวเล็กพูดขณะขนอุปกรณ์ที่ตัวเองต้องใช้มาวางที่เคานเตอร์ในครัว

“ปกติพี่ไม่ค่อยกินข้าวเช้า แต่วันนี้จะลองชิมฝีมือก็ได้”

“บอกไว้ก่อนชมได้แต่ห้ามติ”
“เตือนแล้วนะ” ใช้นิ้วชี้เรียวชี้หน้าผมด้วยใบหน้าอมยิ้ม เพราะเขากำลังเล่นเป็นเชฟหม่อมป้อมจากมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์น่ะสิ ถ้าหม่อมมีสามจุกยูริคงเถียงไฟแลบกว่าเดิม

“หึ ครับๆ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ มีเข้าเวร 8.30”

“อื้อ จะรีบเร่งมือเลยครับ” ตะเบ๊ะใส่เหมือนผมเป็นเจ้านายกับพ่อครัวซะนี่ เด็กแสบ


น้ำอุณหภูมิห้องจากฝักบัวชโลมร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ความเย็นของมันกำลังช่วยให้ระลึกความทรงจำที่เกิดขึ้นในห้องนี้เมื่อคืน เป็นเรื่องที่ยังคงวนอยู่ในหัว และสัมผัสนั้นยังอุ่นแผ่เต็มหน้าอก

เข้าวันใหม่มาได้ชั่วโมงแล้ว ซึ่งแน่นอนคนข้างๆ หลับไปนานแล้ว ส่วนตัวผมยังคงข่มตาหลับไม่ได้เลยอ่านหนังสือนิยายเล่มใหม่แต่เป็นเรื่องเก่าอมตะของทางฝั่งยุโรป แต่นั่นแหละสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับความรักของหญิงชาวบ้านกับองครักษ์เจ้าชาย หากแต่ทว่าใบหน้ายามหลับของแขกคนพิเศษนี้กลับดูน่าหลงใหลกว่าภาษากวีชื่อดัง

ดวงหน้าสดใสรับกับแสงโคมไฟสีเหลืองส้มดูผ่องอำไพ แพขนตายาวรับกับพวงแก้มขาวอมชมพูอย่างดูตั้งใจ ทรงจมูกเรียวเล็กเชิดปลายทรงหยดน้ำที่หลายคนอยากได้มาครอบครอบ ริมฝีปากสีแดงสดตามลักษณะคนผิวดี เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมอย่างละนิดละหน่อยพอมารวมกับคนที่สดใสและสว่างไสวเหมือนดวงจันทร์วันข้างขึ้น เลยน่ามองจนละสายตาไม่ได้

“อื้อ หม่าม๊ามาปิดไฟให้หน่อยดิ”

คนถูกมองพูดอย่างละเมอคงเพราะแสงจากโคมไฟฝั่งผมแยงตารบกวนการนอนหลับสบายของเขา

“ปิดให้แล้วนอนซะ”

ไฟล์ทบังคับทำให้ต้องวางหนังสือ ถอดแว่นตา แล้วเอนตัวลงนอนลงทั้งที่ยังไม่ง่วงดี หัวสัมผัสกับหมอนใบโตได้ไม่นานกำลังจะคล้อยหลับตา คนข้างๆ ก็เขยิบเข้ามาใกล้ เหมือนซุกหาไออุ่น คงหนาวเพราะฝั่งเขานอนแอร์ลงพอดี ซึ่งทางเลือกง่ายๆ ก็แค่กดรีโมตแอร์แล้วเพิ่มอุณหภูมิ แต่ตัวผมเองไม่ยักจะเลือกทำแบบนั้น แต่ให้คนตัวเล็กซุกที่อกและโอบไหล่บางไว้อย่างจะบังความเย็นให้


แปลกใจตัวเองที่เลือกทำแบบนั้น

คงเพราะแสงไฟ

คงเพราะเสียงฝนที่ยังไม่ซา

และคงเพราะใจที่มันห้ามตัวเองไม่ได้


และหวังว่าพระจันทร์จะไม่เอาความลับนี้ไปบอกเขา




หลังจากหุงข้าว และทอดไข่เจียวสูตรกรอบสะท้านครัวคุณหมอแล้ว ก็ตั้งน้ำจะทำน้ำซุประหว่างรอน้ำเดือดเลยได้คิดถึงเหตุการณ์ที่ชวนอมยิ้มเมื่อคืน

ผมรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ มาทับที่พุง เลยทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง ในตอนแรกคิดว่าโดนผีอำไม่กล้าลืมตาได้แต่พยายามสวดมนต์ในบทที่นึกออก ภาวนาให้สิ่งลี้ลับหายไปซักที จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ใกล้หูพ่นลมหายใจออกมาเลยทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้นอนอยู่ห้องตัวเองนี่หว่า ค่อยๆ ลืมตามาดูให้ชัดว่าตัวเองนั้นนอนอยู่ในท่าประหลาดอะไร

ปรากฏภาพที่เห็นในความมืดสลัว คือ คุณหมอใช้ลำแขนให้พาดที่เอวในขณะที่ผมหันหลังให้ ผ้าห่มกองอยู่ระดับเอว แต่ไม่หนาวเพราะความร้อนจากแผ่นอกของผู้ชายตัวโตทำให้อุ่นมากกว่าผ้าห่มอีก ทำไมถึงมานอนในลักษณะนี้ได้ก็ไม่รู้


นี่พี่ดิมกำลังนอนกอดผมอยู่ชัดๆ

ใจเต้นไม่เป็นระส่ำเหมือนจะพุ่งออกจากอกเมื่อรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่อย่างที่คิด แผ่นอกกว้างกำลังกระเพื่อมตามแรงลมหายใจเข้าออก ท่อนแขนใหญ่ที่โอบตัวผมไว้มิดทั้งยังแน่นราวกับผมหนาวหนักหนา ทั้งที่ตอนนี้ร้อนไปทั้งตัวและความรู้สึก ลมหายสม่ำเสมอเป่ารดหูและต้นคอจนรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก จะให้ข่มตาหลับต่อคงทำไม่ได้ หรือจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นนี้ก็กลัวคนตัวโตจะตื่น เลยได้แต่นอนนิ่งๆ ฟังเสียงลมหายใจที่ยังคงเซ็กซี่เสมอมา ค่อยๆ กล่อมให้หลับไปอีกที

รู้ตัวอีกทีตอนโทรศัพท์แจ้งเตือนว่าแบตจะหมดดังขึ้นเป็นเสียงเบาๆ แต่คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นตั้งแต่รู้ตัวว่าโดนกอดทำให้ได้ยินเสียงนี้ชัดเจน เลยเอื้อมมือคว้ามือถือบนโต๊ะข้างหัวเตียงเห็นว่านี่ก็หกโมงครึ่งพอดีเลยได้ทีพยายามเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งที่รัดจนร้อนตลอดคืน

ลอบมองผู้ชายที่กอดผมตลอดคืนด้วยความรู้สึกเคอะเขินอย่างอธิบายไม่ถูก

อยู่ๆ ทำไมเราถึง กอดกันได้ ไม่แน่ใจ


รู้แค่ใบหน้าที่ดูดีแม้ในยามหลับยังคงชวนให้มองอย่างไม่อยากละสายตา คิ้วหนาคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างกับฝันเรื่องอะไรอยู่ เลยใช้นิ้วชี้ของตัวเองจรดลงกลางหว่างคิ้วเผื่อปมในฝันจะคลายเป็นดี จมูกโด่งเป็นสันที่พ่นลมหายใจรดต้นคอเมื่อคืนรับกับปากกระจับสีธรรมชาติ หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอเล็กใต้คาง ดีแล้วที่ดวงตาสีนิลมืดสนิทไม่มีโอกาสได้เห็นว่าผมใช้สายตาอย่างไรมองเขาในตอนนี้ ไม่งั้นคงควานหาได้หมดว่าผมรู้สึกอย่างไร

ให้มันเป็นความลับของผมกับพระอาทิตย์ตอนเช้าที่สาดแสงอุ่นๆ นี่ก็พอ



“ขอบคุณที่ให้นอนที่คอนโดนะครับ”
“อะ นี่แทนคำขอบคุณ”

“อะไรหื้ม”

ผมส่งถุงผ้าขนาดเล็กที่หาเจอในห้องเก็บอุปกรณ์ครัว เลยเอามาใส่กล่องข้าวที่ตั้งใจทำให้คุณหมอได้เอาไว้ทานตอนพักกลางวัน ถือเป็นความปรารถนาดีที่ไม่อยากให้เขาต้องไปกินข้าวเซเว่นหรืออาหารตามสั่งที่ต้องรอนานๆ เวลาเที่ยง

“ข้าวกล่องไง พี่ดิมจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อข้าว”

“แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ไปต่อแถวซื้อข้าว พี่ฝากพี่พยายบาลซื้อ”

“เอาเป็นว่าพี่จะได้ไม่ต้องรอข้าวแล้วกัน หิวจะได้กินเลย โอเค๊”
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ส่วนเสื้อผ้าพี่ผมจะซักแล้วเอาไปคืน”

“อ้าวหอบมาด้วยทำไม เดี๋ยวแม่บ้านก็มาซักให้”

“ไม่เอาหรอก ขอนอนห้องเค้า ยืมเสื้อเค้าใส่ ยังจะให้คนอื่นซักให้อีก ไม่ได้เป็นง่อยนะ”

“นี่ว่าพี่เป็นง่อยใช่ป่ะ”

“เฮ้ย เปล่าๆ ก็พี่ไม่มีเวลาเข้าใจน่า ศิไปแล้วนะ ไว้เจอกันนะครับ” ผมยกมือไหว้สารถีที่แต่งตัวเต็มยศด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสแล็กสีเข้ม เซ็ตผมเล็กน้อย พร้อมเครื่องแบบประจำตัวคล้องสเต็ทห้อยไว้หลังรถ

“ไปดีมาดีนะน้องศิ” คนตัวโตยกมือเท่าใบพายยีหัวผมเล่นอีกแล้ว แต่ทานโทษที่มันไม่ยุ่งเพราะไม่ได้สระสองวัน ฮ่าๆ

“น้องอะไรเล่า ไปละ ขับรถดีๆ นะคุณหมอ”

นึกแปลกใจว่าตัวเองทำไมได้อาศัยรถหรูคันนี้มาส่งที่คอนโดบ่อยจริง

ไม่ดีต่อหัวใจเลยจริงๆ นะ

พอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแก้มมันก็อุ่นร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าตัวของคนต้นเหตุจะไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยว่าเมื่อคืนร่างกายของเรามีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะที่ไม่ปกติ อย่างน้อยก็ไม่ปกติกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรเลยเถิดถึงขั้นไปนอนคอนโดด้วยกัน และกอดกันกลมขนาดนั้น…




พักกลางวันโดยปกติของหมอที่โรงพยาบาลรัฐไม่ใช่เวลาเที่ยง แต่เป็นเวลาที่คนไข้น้อยพอที่จะดอดไปกินข้าวสัก 10 หรือ 15 นาที ซึ่งพี่พยาบาลจะอาสาไปซื้อข้าวมาให้ตั้งแต่เที่ยงเพราะไม่อย่างนั้นข้าวก็หมดและได้กินข้าวแช่แข็งเซเว่น แต่วันนี้ต่างจากวันอื่นๆ จนหัวหน้าพยาบาลนึกแปลกใจว่าทำไมคุณหมอดิมไม่วานให้ไปซื้อข้าว จนได้รับคำตอบว่ามีข้าวกล่องมาเอง พยาบาลอาวุโสเบิกตาโพลงใส่เพราะนึกว่าฟังผิด คุณหมอที่ไม่เคยทำอาหารมาทานเองแต่วันนี้มีข้าวกล่องติดไม้ติดมือมาด้วย สงสัยมีคนส่งปิ่นโตส่วนตัว

“มีใครทำให้หรอคะหมอ”

คุณหมอยิ้มรับแต่ไม่ตอบคำถามของหัวหน้าพยาบาลเพราะรู้ว่าหยั่งเชิงในคำตอบว่าอยากได้แบบไหน แน่นอนว่าหัวหน้าพยาบาลคนนี้รู้ดีว่าผมมีแฟนแล้ว เพราะเคยขอให้ไปรับเกลมารอที่ห้องพักส่วนตัวของผมที่นานครั้งจะได้เข้าไปใช้ ส่วนใหญ่ก็จะพักรวมกับคนอื่นๆ หรือไม่พักในห้องตรวจเวลาที่ไม่มีคนไข้แทน แต่นั่นแหละเธอก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเกลทำอาหารไม่เป็น

เมนูข้าวไข่ข้นแฮม ปลาแซลม่อนทอด และสลัดผักผลไม้ ถูกจัดอย่างดีในกล่องข้าวที่แบ่งสรรเป็นสัดส่วน บอกตามตรงว่าไม่เคยรู้ว่าห้องตัวเองมีกล่องลักษณะนี้ด้วย สงสัยเป็นคุณแม่ที่ซื้อมาไว้ให้ใช้ อย่างที่ไม่รู้เอาเสียเลยว่าลูกไม่มีเวลากระทั่งกินข้าวเช้า ยังไงก็นึกขอบคุณที่กล่องใบนี้ทำให้ผมมีข้าวกลางวันดีๆ กินเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ยกยิ้มอย่างหุบไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าเด็กสามจุกที่เวลาตั้งอกตั้งใจทำอะไรแล้วดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ตัวเล็กๆ ในผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนหมุนซ้ายหมุนขวาในครัวที่ไม่ค่อยได้ใช้ วันนี้กลับมีชีวิตชีวาเพราะเด็กที่เคยเข้าใจว่าไม่สนโลก แต่ได้มารับรู้ก็วันนี้ว่าไม่ใช่เขาไม่สนใจโลก แต่เขาเลือกโลกของเขาเอง การทำอาหารคงเป็นโลกอีกใบของเขาที่ผมได้เห็น

อร่อย

เป็นอาหารสุขภาพที่มีรสชาติกลมกล่อม โดยเฉพาะสลัดผักผลไม้ที่คนตัวเล็กประยุกต์เอาผลไม้ที่ผมขนซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตเมื่อวานมาผสมเข้ากันดีกับร็อกเก็ตสลัด น้ำสลัดนี่ก็เหมือนกันไม่น่าเชื่อว่าจะทำเอง เป็นรสชาติแปลกใหม่ดีไม่เหมือนซื้อมาจากที่ไหน

โลกใบนี้ของเขามันช่างน่ารักและน่าสนใจจริงๆ เป็นอีกด้านที่ทำให้ผู้ชายร่างบางดูน่าทนุถนอมเหลือเกิน ยิ่งตอนกอดแล้วตัวเหลือนิดเดียวหรือเพราะผมตัวใหญ่เกินไปไม่รู้ เหมือนกอดผู้หญิงตัวเล็กอย่างไงอย่างงั้น แค่กล้ามเนื้อยังคงความเป็นชายวัยแตกหนุ่มอยู่ ดีแล้วแหละที่เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนผมล่วงเกินอะไรไป ให้มันเป็นความลับเหมือนที่ผมนั่งยิ้มกับข้าวกล่องใบนี้ดีแล้ว….










หญิงสาวผู้มีกุญแจห้องเพ้นท์เฮาส์สุุดหรูนับเป็นหนึ่งในสามคนที่เจ้าของห้องไว้ใจยกกุญแจให้ไขเข้ามาพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้ทุกเวลา รองจะคุณแม่

เกล กัญญกาญจน์ เลิศวิบูลย์กิจวาณิชย์ ลูกสาวเจ้าสัวเจ้าของท่าเรือขนาดใหญ่แถบชายฝั่งตะวันออกและอ่าวไทย รวมถึงธุรกิจส่งออกอาหารแช่แข็งแต่แบ่งสันปันส่วนให้ลูกชายคนเล็กดูแล ส่วนลูกสาวคนโตที่เก่งด้านบริหารเลยสานต่องานจากพ่อดูแลธุรกิจใหญ่คือโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เธอคนนี้เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ และคุณสมบัติ สมบูรณ์แบบและเธอก็คิดว่าเจอผู้ชายที่ศีลเสมอกันอย่างคุณหมออาคิราที่เธอรักและพร้อมจะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้ รอเพียงโอกาสและเวลาเหมาะสม

แกร๊ก

กลิ่นสะอาดสม่ำเสมอของห้องชุดสุดหรูนี้เป็นกลิ่นที่เธอจำได้ดี แม้จะไม่ค่อยได้มาบ่อยนักเนื่องจากส่วนใหญ่งานเธอจะต้องไปต่างจังหวัดเสียส่วนมาก วันนี้ว่างและพรุ่งนี้ก็มีงานช่วงบ่ายเลยกะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ผู้ชายที่เธอคิดถึง และไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเดือน ด้วยการโชว์ทักษะทำอาหารที่แอบไปฝึกมาให้เขาได้ตกใจเล่น

“กลิ่นอาหาร”
“จากในครัว?”

เธอแอบแปลกใจเล็กน้อยที่ได้กลิ่นอาหารจากในห้องครัว เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มไม่มีทางตื่นเพื่อมาทำอาหารเช้ากินก่อนไปทำงานแน่นอน

“หรือหิว คงเวฟข้าวล่ะมั้ง”

หากแต่ภาพที่เธอหันหลังเจอในซิงค์อ่างล้างจานคืออุปกรณ์ทำครัวที่ถูกล้างทำความสะอาดอย่างดี และวางคว่ำไว้รอสะเด็ดน้ำก่อนเก็บเข้าที่ ถ้าเป็นแม่บ้านมาทำให้ก็คงไม่ใช่ โดยปกติแม่บ้านมักจะมาวันเสาร์หรือไม่ก็อาทิตย์ และจะทำงานเรียบร้อยหมดทุกอย่างไม่ใช่วางไว้ให้เจ้าของบ้านมาเก็บต่อแบบนี้ ถ้าไม่ใช่แม่บ้านแล้วใคร?

หญิงสาวรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นในอก หัวใจเต้นแรง ในสมองวาดภาพจินตนาการไปในสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะถูกกระทำจากผู้ชายที่เธอคิดว่าซื่อสัตย์ คือ การนอกใจแล้วพาใครขึ้นมาที่นี่

“ไม่จริงหรอก ดิมไม่มีทางทำแบบนี้” เธอพึมพำกับตัวเองราวภาวนาให้สิ่งที่เธอคิดไม่ใช่ความจริง ให้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด

แต่ความเป็นผู้หญิงช่างสังเกตก็ดันมาพบว่ามียางผูกผมสีน้ำเงินวางอยู่ข้างอ่างล้างหน้า และมีเส้นผมพันอยู่โดยรอบ ยางรัดผมของผู้หญิงมาอยู่ในห้องน้ำภายในห้องนอนของแฟนเธอได้ยังไง การไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอเรื่องสะเทือนใจ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้น ยิ่งเมื่อเธอหันไปพบแปรงสีฟันที่เพิ่งถูกแกะใช้วางอยู่ข้างๆ แก้วที่ใส่แปรงสีฟันของแฟนหนุ่มและของเธอ… นั่นแปลว่าคนๆ นี้จะต้องค้างกับแฟนของเธอจนเช้าถึงได้ใช้แปรงนี้ทำความสะอาดก่อนจะออกไป

กัญญกาญจน์กุมอกข้างซ้ายที่มันเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ พยายามโกยอากาศหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ และมีสติ มือสองข้างชื้นเหงื่อจนชุ่ม ขาที่เริ่มหมดแรงหาที่พักพิงก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำที่แห้งสนิท เธอประมวลสิ่งที่คิดกับตัวเองแล้วมันหนักหนาเหลือเกินที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว น้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่เห็นยางรัดผมสตรีที่ไม่เคยมีในห้องนี้แม้แต่ของตัวเองยังไม่วางระเกะระกะ ทำนบสุดท้ายที่สุดทนก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟ็กต์ แต่เธอก็ทำเต็มที่ในฐานะแฟนคนหนึ่งจะทำได้ แต่คงสู้ไม่ได้กับเสน่ห์ปลายจวักที่ผู้ชายคนไหนเห็นก็หลงอย่างเจ้าของยางมัดผมเส้นนี้

ความผิดหวังและเสียใจประเดประดังเข้ามาอย่างท่วมท้น แผนที่จะทำอาหารเซอร์ไพรส์เลยต้องพับเก็บไปเพราะไม่มีแก่ใจทำอะไรทั้งนั้น เลยได้แค่รอให้ถึงเวลาที่ผู้ชายเจ้าของห้องกลับมา

อยากได้คำอธิบายแม้มันจะชัดเจนอยู่แล้ว
อยากให้เขารั้งเธอแม้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรพอรั้งเขาได้มั้ย
อยากบอกรักคำสุดท้ายให้ฟังแม้ไม่รู้อีกฝ่ายจะยังรู้สึกเหมือนเดิมหรือไม่





19.15 น.

ไฟในห้องเพ้นท์เฮ้าส์สว่างขึ้นหลังจากคุณหมอเสียบคีย์การ์ดลงกับที่ของมัน หากแต่สิ่งที่แปลกไปคือประตูระเบียงเปิดอ้าทำให้ลมเย็นจากข้างนอกปะทะหน้าเจ้าของห้องอย่างจัง เมื่อเช้าไม่ได้เปิดไว้นี่ หรือศิมาเปิดแล้วลืมปิด ก่อนออกจากห้องก็ตรวจดูแล้วว่าไม่ได้ลืมปิดอะไร แต่ก็ดีเหมือนกันอากาศเย็นๆ ลมโกรกก่อนฝนตกก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย

“ดิมคะ”

“เฮ้ย!”

“ตกใจอะไรคะ เกลเอง”

เกลในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเสมอต้นขา กำลังเดินลงจากบันไดชั้นสอง ด้วยท่าทางที่….แปลก เกลไม่เคยใส่กางเกงขาสั้นขนาดนี้แม้แต่ตอนที่เรานอนด้วยกัน เกลไม่เคยมีท่าทางและแววตาเช่นนี้แม้ว่าผมจะขอในเรื่องอย่างว่า และเกลไม่เคยมาหาผมโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า การมาเซอร์ไพรส์ของเกลครั้งนี้ทำผมรู้สึกแปลกไปทั้งหัวใจ

“เกลกลับจากระยองเมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นบอกดิมเลย”

“เมื่อเช้าค่ะ คิดถึงก็เลยมาหาดิมที่นี่ เซอร์ไพรส์มั้ยคะ” เธอเดินมากอดพร้อมกับเอามือเรียวลูบแผ่นหลังของผมไปด้วย

“มากๆ กินอะไรมายังครับ หิวมากเลย เดี๋ยวสั่งอะไรมากินนะ”

“เกลน่าจะทำกับข้าวเป็นนะคะ จะได้ทำให้ดิมทาน” เกลคลายอ้อมกอดออกก่อนจะคล้องแขนสองข้างที่ต้นคอผมอย่างออดอ้อน แปลกจริงๆ เกลไม่เคยประเจิดประเจ้ออย่างนี้ เธอจะสงวนท่าทีอย่างมีกิริยาเสมอ

“หื้ม อยู่ๆ ทำไมอยากทำอาหาร ไหนว่าไม่ชอบให้ตัวเหม็นกลิ่นอาหารไงครับ”

“จะได้เป็นแม่บ้านเต็มตัวไงคะ ไม่ดีหรอ”

“ดีครับดี” วันนี้เกลอ้อนเก่งเหลือเกิน การไม่ได้เจอหน้าแฟนสาวนานแล้วมาพบเจอเธอด้วยกิริยาเช่นนี้ก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ทุเลาจากความเครียดของงานวันนี้ไปปลิดทิ้ง

“เกลอาบน้ำให้นะคะ”

“ครับ”

จุ๊บ น้อยครั้งเต็มทีที่เกลจะเป็นคนเริ่มจูบผมก่อน ส่วนมากเป็นผมอ้อนให้เธอทำด้วยซ้ำ วันนี้เกลแปลกไปจริงๆ แปลกชนิดที่ผมตั้งรับกับอาการอ่อยเรี่ยราดนี้ไม่ทัน



เสียงหอบหายใจสองคนผสานกับภายในห้องอุณหภูมิแตะ 20 องศา หากแต่ทว่ามันดันร้อนฉ่าด้วยแรงอารมณ์ของชายหญิงที่พากันขับขานเพลงรักที่ร้างหายไปนานนับเดือน ความโหยหาในรสสัมผัสของกันและกันกินเวลาเกือบค่อนคืน แม้จะไม่ได้กินอาหารเย็นแต่ความอิ่มเอมจากรสรักที่ผลัดกันปอดป้อน ก็คลายความหิวโหยได้ดีพอกับอาหารรสเลิศ คำรักที่ออดอ้อนจากหญิงสาวทำชายหนุ่มร่างกายกำยำไม่ยั้งมือและไม่ยั้งแรงที่แสดงออกผ่านภาษากายว่าเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

“อะ รักเกลมั้ย อื้อ มั้ยคะ”

“ฮะ ฮื้ม”

“ดิมคะ”

“ฮื้มมม”

“อีกนิดนะคนดี”

แรงขยับถี่กระชั้นอย่างรุนแรงโหมใส่ร่างกายบอบบางของหญิงสาวรวดเร็ว เป็นสัญญาณว่าร่างแกร่งจะถึงฝั่งฝันรอบที่สาม แต่เจ้าของร่างบางถึงฝั่งไปนับไม่ถ้วน คนควบคุมเกมรักอันร้อนแรงโน้มตัวลงมาจูบขณะที่ร่างกายหลั่งสสารความเป็นชายในเกราะป้องกัน มัดกล้ามแน่นกระตุกตามแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานจนร่างบางที่รับความรู้สึกอย่างท้วมท้นต้องกอดคอร่างหนาเอาไว้

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

จุ๊บ

เสร็จสมในกิจกรรมที่คลายความเครียดและสร้างความสุข การจูบที่หน้าผากเป็นการปลอบประโลมการกระทำที่รุนแรงต่อหญิงสาวได้ดีพอๆ กับกอดหลังมีเซ็กซ์ คุณหมอผู้ที่เข้าใจในอนาโตมี่และจิตใจมนุษย์มักจะทำให้แฟนสาวพอใจเสมอเมื่อมีบทรักร่วมกัน

หากแต่ทว่าคราวนี้เธอไม่ได้ยินทำบอกรักตอบเหมือนทุกที นั่นแปลว่าสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นแล้ว

ความกังวลใจนี้ไม่มีทางหายไปจากใจของเธอ แม้จะอยากรู้ความจริงจากปากชายที่เธอรักมากแค่ไหนแต่หัวใจที่เหมือนโดนบีบด้วยฝ่ามือใหญ่เพิ่งกอบกุมเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว กำลังบีบคั้นเธออย่างไม่ปรานีด้วยการแบ่งใจให้ใครบางคนที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้จะกู้คืนความรักได้อย่างไร จึงหลับตาให้ดูคล้ายอาการเพลียจากการโดนสูบพลังงาน พร้อมหันหลังให้ชายคนรักที่ยังวอแวกับร่างกายของเธอให้เขาหยุดเสียหากไม่ได้หวังให้เธอเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตอีกแล้ว









มีต่อ

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.07 เป็นเด็กต้อง safe sex (15/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 22-05-2018 22:03:45
หนังยางรัดผมเส้นไม่คุ้นตาบนขอมือของเกลทำให้ผมแปลกใจ เพราะโดยปกติเกลไม่ค่อยมัดผล มักจะสยายเส้นผมสลวยสีดำขลับมากกว่าจะมัดให้เสียทรง เลยนึกถึงใครบางคนที่ชอบมัดผมจุกให้ผมข้างหน้าในเวลาสบายๆ สองคืนติดกันมานี้เตียงหลังใหญ่ของผมถูกใช้โดยคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เดี๋ยวนะทำไมผมต้องเอาคนสองคนมาเปรียบเทียบกันด้วย มันไม่แฟร์กับผู้หญิงที่นอนเปลือยกายอยู่ข้างผมตรงนี้ แต่ผมกลับคิดถึงผู้ชายอีกคนที่เพิ่งลุกจากเตียงนี้ไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง

ความสับสนภายในใจทำให้ต้องลุกไปอาบน้ำอีกครั้ง

ชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างคุณธรรมและความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้น

ผู้ชายร่างเล็กที่ทำให้ผมมองตามทุกการกระทำ อยู่ด้วยทำให้ลดภาวะความเป็นผู้ใหญ่ลง ยิ้มง่ายกว่าเดิม และอยากรู้จักให้มากกว่านี้ แรงต้านภายในใจกำจัดให้เขาเป็นเพียงน้องชายที่กล้าต่อกรกับพี่ชายตัวยักษ์อย่างผม ทั้งที่จริงๆ เด็กคนนั้นปีนข้ามกำแพงสูงมาในฐานะคนที่รู้สึกพิเศษเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

หญิงสาวผู้มอบความรักอย่างซื่อสัตย์และหวังดี เข้าใจ ให้เกียรติ ยอมรับ และรับฟังทุกคำขอร้องให้เข้าใจการเป็นตัวผม เธอไม่ได้เป็นเพียงแฟนแต่เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดและที่ปรึกษาในยามที่สับสน ความสัมพันธ์ของเราแม้ไม่ได้ราบเรียบดีงามแต่ก็ปรับเปลี่ยนเพื่อกันมาได้นานถึงสองปี จนกระทั่งวันนี้ผมรู้ตัวดีว่ายังรักเธอไม่แปรเปลี่ยน

แต่หัวใจมันไม่ได้เต้นจังหวะแบบนี้กับเธอคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

ถ้าจะผิดคงเป็นผมที่ใจมันไม่แข็งแรงพอที่จะกล้ายอมรับอย่างห้าวหาญเหมือนกับวันที่เดินเข้าไปจีบเธอกลางงานเลี้ยงรุ่นของมหาวิทยาลัย

สายน้ำเย็นเฉียบไม่ได้ช่วยให้ความคิดที่วกวนในหัวคลายความว้าวุ่นลง ยังรั้งให้คิดมากเท่าตัว ด้วยวุฒิภาวะทางความคิดที่โตมากพอจะไม่ตัดสินใจอย่างนึกคึกคะนองทำตามใจตัวเอง ความรักที่ฟูมฟักด้วยมือของเธอและผมกำลังจะพังลงด้วยน้ำมือของผมเอง การทำให้ผู้หญิงคนนี้เสียใจเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมอยากให้เกิดขึ้น

พันผ้าขนหนูให้พออยู่ติดสะโพกหลังจากอาบน้ำเสร็จ เลยมาหยุดยืนหน้าอ่างล้างหน้า พลันสายตาก็มองเห็นแปรงสามอันวางเรียงในแก้วใบใส แปรงที่ปกติจะมีเพียงสอง ทว่าตอนนี้มันเพิ่มจากคนที่เพิ่งกลับไปเมื่อเช้า ผมถึงกับกุมขมับทั้งที่หน้ายังเปียกชื้น ความแปลกประหลาดของอากัปกิริยาที่เกลทำในวันนี้มันเป็นคำตอบทุกอย่างว่าเธอรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในเพ้นท์เฮ้าส์หลังนี้ได้ดี เลยเลือกที่จะทำเช่นนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ใจว่าผมมีเธอคนเดียวหรือกำลังมีใครอีกคน การกระทำของผู้หญิงที่ไม่มั่นใจในตัวผู้ชายที่เธอรัก จึงอยากวัดด้วยร่างกายและอารมณ์ผ่านวิธีการเดียวที่เธอจะนึกออก

นี่มึงทำอะไรลงไปดิม!
โคตรเห็นแก่ตัวเลย


กว่าผมจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้หวาดระแวง และตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ของเราจนถึงขนาดลุกมาทำให้สิ่งที่ไม่เป็นตัวเองขนาดนี้

สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ของตัวเองให้แฟนสาวก่อนจะตะกองกอดเธอเข้าสู่อ้อมแขน พรุ่งนี้คงต้องพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่พาลให้เธอเข้าใจผิด และขอให้เธอยกโทษกับความเผลอไผลใจง่ายที่คงทำให้เธอเสียใจแม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาก็ตาม





รุ่งเช้าผมตื่นไม่ทันผู้หญิงที่นอนข้างกันเมื่อคืน กระวีกระวาดคิดว่าเธอกลับไปทั้งที่ยังเข้าใจผิดแบบนั้น วิ่งจากชั้นสองลงมาที่ห้องรับแขกเห็นเธอนั่งจิบกาแฟด้วยชุดที่เรียบร้อยกว่าเมื่อวาน

“เกล!”

“ตะโกนทำไมคะ”

“คิดว่าเกลกลับไปแล้ว ดิม..มีเรื่องจะคุยด้วย”

เดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งโซฟาตัวยาวข้างเธอ พร้อมกับขยับแว่นตาที่ควานหาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสบนที่นอนแล้วไม่พบร่างบอบบางนอนอยู่ เพื่อให้มองเห็นใบหน้าเนียนใสราวอ่อนกว่าวัย และใต้ตาคล้ำย้ำชัดว่าเธอพักผ่อนน้อยจากกิจกรรมเมื่อคืน

“...”

“ดิมรู้ว่าเกลรู้ว่าดิมพาคนมานอนที่นี่”

“....” เธอเบือนหน้าแล้วหลบสายตาเมื่อผมพูดประโยคแรกออกไป

“แต่ดิมอธิบายได้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เค้ากลับคอนโดไม่ได้ เลยต้องนอนที่นี่”

“เค้า?”

“ครับ ผู้ชาย เด็กที่ผมจะเล่นซีรีส์ด้วย”

“เกลไม่เคยรู้เลยนะคะว่าดิมสนิทกับเค้าขนาดให้ขึ้นคอนโด แถมให้เข้าไปถึงห้องนอน” เกลพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวตามอารมณ์ที่มารับรู้ว่าผมจงใจปิดบังเรื่องที่เธอย้ำแล้วว่าควรบอก

“ดิมไม่รู้จะให้น้องมันไปนอนที่ไหน”

“โซฟาตั้งหลายตัว ผู้ชายนอนตรงไหนไม่เห็นยากนี่คะ แต่ทำไมต้องเตียงที่เป็นที่..ที่ของเรา” ผู้หญิงตรงหน้าร่างกายสั่นเทิ้มมือที่กุมกันมั่นเริ่มจับแน่นขึ้น แววตาสั่นไหวตรงข้ามกับน้ำเสียงที่กลั้นไม่ให้สั่นและประคองไม่ให้ตัวเองร้องไห้

“เกล..”
“ดิมขอโทษนะ ขอโทษ” ผมกุมมือเล็กของข้างที่สั่นเทาไว้หวังจะคลายความเสียใจให้ แต่อย่างไรก็คงไม่ทันเพราะเธอเสียใจในสิ่งที่ผมไม่ไตร่ตรองก่อนทำ

“ฮึก..ดิมไม่เคยเป็นแบบนี้ ขนาดเพื่อนดิมยังไม่เคยพามาที่นี่”
“แต่ ฮึก เด็กคนนี้ เค้าทำให้ดิมเปลี่ยนไปรู้ตัวหรือเปล่า ฮือ”  ทำนบน้ำตาของคนตรงหน้าพังทลายไม่มีอะไรมากั้นความเสียใจที่ตอนนี้กลายเป็นฟูมฟายไปแล้ว ทำยังไงที่จะทำให้เธอปลดแอกจากสิ่งเลวร้ายที่ผมทำได้

“ไม่เกล ดิมจะไม่ให้เค้ามาที่นี่อีก ดิมขอโทษนะ”
“เราจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน นะเกล”
“เชื่อดิมนะครับ”

“ดิมรักเกลนะ”

กำแพงที่ก่อไว้สูงมาก เด็กตัวเล็กเท่าหน้าอกยังปืนป่ายข้ามมันมาได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เขาไม่ได้ปืนข้ามมา แต่ผมเป็นคนรื้อกำแพงตัวเองและข้ามไปหาเขาต่างหาก ความรู้สึกผิดท้วมท้นต่อผู้หญิงคนรักมีมากเท่าไหร่ ยิ่งกับเด็กคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็มากเท่าทวีคูณ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองไปวาดความหวังหรือแสดงการกระทำให้คนตัวเล็กเข้าใจผิดไปมากน้อยแค่ไหน จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ดูจะเลวมากกว่าเดิม เพราะทั้งตั้งใจและรู้สึกไปกับสิ่งที่ทำ

แต่ตอนนี้ต้องถอยออกมา ถอยออกจากกำแพงเดิม แล้วก่อร่างสร้างกำแพงใหม่ให้สูงชันและหนาแน่น เพื่อกันตัวเองไม่ให้ออกไปทำอะไรแบบที่ผ่านมา

ทำในสิ่งที่ใจคิด แต่ผิดต่อทุกคน






หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

Intersection The series official tweet : Official Profile มาแล้วนะคะ เลือกเลยค่ะว่าจะขึ้นเรือไหน อิอิ #แอดมินบัวผัน

“โปสเตอร์สวยมากอะ รูปตอนย้อนยุคคือดีย์ เริสสสสสสสสสสสสสสส #IntersectionTheSeries”

“ฉากตอนคุณพันแสงงาบนายโสมในห้องมาเลยจ้า ฮืออออ รีบถ่ายเถอะค่า อยากดูแล้ววว #IntersectionTheSeries”

“นี่มีใครสังเกตป่ะ โปรไฟล์ของคุณหมอกับน้องศิ เค้าเรียนโรงเรียนเดียวกันอะ เฮ้ย ชายล้วนที่นี่เค้าโตมาเพื่อได้กันหรอ #IntersectionTheSeries”
Reply : เจอกันที่โรงเรียน ได้กันที่งานบอล เปิดตัวตอนเล่นซีรีส์ /คิดไปเองๆ55555555555555555555

ชะตาเค้าลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องมาเจอกัน ฟ้าดินแยกเราเท่าไรไม่ขาด พบชาติพรากเราห่างกันไม่ได้ ผิดเรื่องๆ #หมอดิมน้องศิ #IntersectionTheSeries


คุณหมอกำลังกินข้าวกล่องเซเว่นกับกาแฟเซเว่นเพิ่มพลังงานด้วยโซเดียมและคาเฟอีนก่อนเข้าเวรดึกวันนี้ เลื่อนทวิตเตอร์หลังจากในกรุ๊ปไลน์ซีรี่ส์บอกว่ารูปภาพโปรไฟล์และภาพโปสเตอร์โปรโมทออกมาแล้ว ซึ่งผมเห็นแล้วก็ยอมรับว่าสวยจริงๆ งานเนี้ยบมาก ความพิเศษของภาพชุดนี้นอกจากจะมีรายละเอียดคาแร็คเตอร์ที่ทุกคนได้รับแล้ว ก็แนบประวัติส่วนตัวของแต่ละคนมาให้ด้วย เนื่องจากหลายคนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ความน่าสนใจคือผมไม่ยักรู้วมาก่อนว่าศิเรียนโรงเรียนเดียวกับผม คงเป็นรุ่นน้องที่ห่างกันหลายปี และแน่นอนว่าผมรู้อยู่แล้ว ใครจะจำเด็กที่วิ่งออกจากสระว่ายน้ำในวันที่ตัวเองทำเรื่องหน้าอายนั้นไม่ได้วะ แถมยังกล้าเอามาเล่าต่อหน้าคนเยอะๆ หึ นี่ยังไม่ได้สะสางเลย ไว้ก่อนแล้วกันไม่ได้สำคัญอะไร

บอกตามตรงหลังจากเกิดเรื่องวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับเด็กหน้าใสอีกเลย แม้เขาจะโทรมาหาผมสองครั้งว่าจะเอาชุดมาคืนให้ แต่ผมปฏิเสธการเจอทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะให้เขาไปหาที่คอนโด หรือให้มาเจอที่โรงพยาบาล กับเหตุผลห่วยๆ ที่ว่า ผมยุ่งจนไม่รู้ว่าจะว่างตอนไหน ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดที่ปลีกตัวไปรับของแค่นั้นไม่ได้ แต่ยังไม่พร้อมไปเผชิญหน้ากับเด็กไร้เดียงสาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เรื่องดราม่าชีวิตผม แม้เขาจะบอกไม่เป็นไรที่ผมปฏิเสธแต่น้ำเสียงหงอยๆ นั่นก็ทำให้หัวใจผมรู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน

ศิคนอ้วน @thesi_moonie
ฝากด้วยนะครับ ><
quote tweet Intersection The series official

Reply to @thesi_moonie  ได้ครับ เพื่อนพระเอกคนนี้ยินดี อิอิ

Reply to @napat_patt 55555555555 อะไรของพี่ภัทรเนี่ย เจอกันวันบวงสรวงงับ

Reply to @thesi_moonie งับตรงไหนดี

Reply to @napat_patt  ….. ไปเล่นตรงนู้นเบย

Reply to @thesi_moonie เล่นตรงหนายเดดดด



เมนชั่นจากแฟนคลับให้ผมเข้าไปเห็นการสนทนานี้เต็มกล่องแจ้งเตือน ศิไปสนิทกับภัทรเมื่อไหร่ผมไม่รู้ แต่วันนี้รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้น และเดาว่าเป็นการเดินเกมจากฝั่งนายคนนั้น แต่ไม่คิดว่าจะโจ่งแจ้งและรุกคืบขนาดนี้ เหล่าสาววายที่อยากให้เกิดโมเมนต์ทั้งในชีวิตจริงและซีรีส์ การหยอกล้อและเล่นตามคาแร็คเตอร์ตัวละครในโซเชียลก็ทำให้ฟินและกรีดร้องกันยกใหญ่

ได้ เล่นกับเขาหน่อยแล้วกัน

Reply to @thesi_moonie @napat_patt เล่นตรงที่เพื่อนพระเอกเค้าเล่นกัน :)


ในเมื่อเพื่อนพระเอกเขาไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ตรงไหน ก็แค่ชี้ทางออกให้ว่าที่ที่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ที่สมควรอยู่ แม้เขาจะอยากอยู่มาก ทั้งในชีวิตจริง และในซีรีส์ ผู้ชายน่ะมองกันออกและศิก็ยังเด็กมากที่จะรู้ทัน

หวงตามบทบาทคงไม่ผิดหรอกมั้ง






กรี๊ดดดดดดดดดดด

“ศิ!! อิศิ!!!” เฌอกรีดร้องใส่หูผมที่นั่งอยู่ข้างกัน สรรพนามผมเปลี่ยนจากไอ้มาเป็นอีเมื่อไหร่ไม่รู้ งงหน่อยๆ แต่ตามนั้นแหละ แล้วแต่แม่คุณเขา

“อะไร เบาๆ เดี๋ยวข้างห้องก็เรียกนิติมาด่าหรอก”

“อิเหี้ยๆๆ กูฟินอะ”

“ฟินอะไร?” ตอบไปด้วยเสียงหน่ายๆ กับอาการโอเวอร์แอ็คติ้ง คนยิ่งตั้งใจเล่นเกมอยู่

“เช็กแจ้งเตือนทวิตจ้า” สายตาของเฌอที่จ้องมือถือเหมือนเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีม้าโพนี่และคิตตี้วิ่งอยู่ เป็นอะไรวะ

ไถมือถือของตัวเองที่ตั้งแจ้งเตือนเอาไว้เฉพาะคนที่ฟอล ไม่อย่างงั้นโทรศัพท์คงเจ๊งกับโนติที่เด้งตลอดเวลา

“เชี่ย!” อุทานอย่างตกใจสุดขีด พี่ดิมผู้ไม่เคยทวิตอะไรนอกจากรีข้อมูลข่าวสาร แต่วันนี้เมนชั่นตอบผมและพี่ภัทรคุยกัน ในเชิง

หวง!

แม้จะไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาเป็นอาทิตย์ แต่ข้อความประโยคสั้นๆ ความหมายกำกวมแต่บริบทชัดเจน ก็ทำผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ การที่หายหน้าหายตาไปทำผมรู้สึกเหงาปากอยู่เหมือนกัน สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เราเจอกันแทบจะทุกวัน เพิ่งมาห่างก็อาทิตย์ที่เตรียมเปิดกล้องนี่แหละ มาทีก็ทำใจกระเพื้อมเชียว หนอยยยยยยย คุณหมอ

“แหม อิศิทำมาเขิน”

“ขง เขินอะไร”

“แล้วมึงยิ้มทำไม”

“ก็ กะ กูขำ! พี่เค้าปกติเล่นทวิตที่ไหนล่ะ”

“หรอจ๊ะ คุณศิรัส” น้ำเสียงเชิงประชดของเฌอทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกเอาซะเลย เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไงอีก
“ มึงเขินเหอะ กูรู้จักมึงมากี่ปีจะไม่รู้เชียวหรอว่าเพื่อนตัวเองเวลาพูดถึงพี่หมอ พูดในความรู้สึกแบบไหน”

“....”

“มึงชอบเค้าใช่มั้ย”

“บ้า กะ กูไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น”

“มึงโกหกใครก็ได้นะศิ แต่ไม่ใช่กับกู” เฌอที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของผมพูดตามที่เธอบอก ว่าไม่มีอะไรที่ผมปิดเฌอได้

“แต่เค้าเป็นผู้ชาย”

“มึงก็เคยคบผู้ชาย”

“กูหมายถึงเค้าเป็นผู้ชาย ที่ชอบผู้หญิงไม่มีท่าทีว่าจะชอบผู้ชายเลย”

“แล้วเค้ามีท่าทีแบบไหนตอนอยู่กับมึง หมายถึงตอนที่มึงไปนอนกับเค้า”

“เฌอ! รู้ได้ไง” ผมตกใจจริงๆ กับเรื่องนี้ เพราะไม่ได้ปริปากบอกใครเลย ไม่อยากให้พี่เขารู้สึกหนักใจ ถ้ามีคนรู้เขาอาจจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดีก็ได้

“รูปมึงที่ไปซื้อถุงยางกับพี่เค้าเต็มทวิตเตอร์”

“แต่พี่เค้าขอให้ลบแล้ว”

“เหอะ โลกโซเชียลลบไปก็ไม่มีวันหมด”
“อีกอย่างวันนั้นมึงบอกกูว่าจะกลับบ้าน แต่มึงรู้มั้ยตอนกูโทรหามึงกูอยู่หน้าห้องมึงและห้องล็อก เกือบเชื่อแล้วถ้าแม่มึงไม่ลงรูปว่าไปดินเนอร์วันครบรอบแต่งงานกับพ่อมึง แต่ในรูปไม่มีมึง”
“ยังไม่ทันเป็นดาราเลยนะ หัดกลับกลอกแล้วนะ”

“แล้วทำไมถึงคิดว่ากูไปนอนกับเค้าล่ะ” ผมพูดเสียงอ่อยอย่างยอมรับผิด

“พี่ดิมอัพสตอรี่ไอจีข้าวกล่องตอนเที่ยง กูจำได้ว่าเมนูโปรดที่มึงชอบทำ เป๊ะ! ถ้าไม่ได้ไปนอนกับเค้า มึงก็ต้องเอาไปให้เค้าที่โรงพยาบาล คนที่นอนตื่นเที่ยงอย่างมึงอะนะจะตื่นมาทำอาหารตอนเช้าแล้วเอาไปส่งเค้า ซึ่งถ้ามึงทำแบบนั้นจริงๆ กูก็จะด่าว่ามึงแรด!”

“เออ! ก็วันนั้นฝนตกทั้งคืนพี่เค้าขับรถไปส่งไม่ได้ ตอนแรกจะไปรอฝนซาที่คอนโดพี่เค้าแต่ว่ามันไม่หยุดเลย ก็เลยได้ค้างอะ” เหมือนมานั่งสารภาพในศาลชั้นต้นกับอัยการที่ซักฟอกจะเปื่อย

“แล้ว”

“ก็นอนเตียงเดียวกัน ตอนแรกจะนอนโซฟาแต่พี่เค้าไม่ยอม กูง่วงก็เลยนอนด้วยกัน”

“เค้ามีปฏิกิริยายังไง”

“หมายถึง…”

“เค้ามองมึงแบบไหน อึดอัดมั้ยที่มีผู้ชายนอนด้วย”

“เอ่อออ กะ ก็ ไม่ มั้ง” เฌอหรี่ตาอย่างจับได้ว่าผมกำลังจะโกหก เพราะพูดกะกุกตะกักทั้งที่พยายามห้ามตัวเองแล้ว

“เออ!! เค้ากอดกู”

“นี่ไง!!” เฌอตบเข่าดังฉาดเหมือนอิช้อยในละคร
“แปลว่าเขาเค้าไม่ได้รังเกียจมึง”

“ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะชอบกู”

“มึงก็ทำให้เค้าชอบสิวะ”

“แต่เค้ามีแฟนแล้ว”

“มึงเคยได้ยินมะ ชอบเค้าไม่ได้ชอบแฟนเค้า”

“โคตรบาป!!!”

“ศิ มึงไม่ได้ชอบใครมากี่ปีแล้วตั้งแต่เลิกกับแฟนนักบาสในความลับอะไรของมึง ก็สู้สิวะ ลองดู ไม่แข่งยิ่งแพ้เคยได้ยินป่ะ”
“นี่แล้วกูรู้มาอีกว่าเค้าระหองระแหงกับแฟนเค้าจะตาย”

“ไปรู้ได้ไงอีก” เรื่องชาวบ้านนี่ขอให้บอกเฌอ รู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องตัวเองจริงๆ

“กูใครอย่าลืมว่าพี่ชินเป็นบก.โต๊ะบันเทิง” เฌอพูดถึงพี่ชินพี่ชายในคราบพี่สาวที่นั่งเป็นบรรณาธิการสำนักข่าวชื่อดังของประเทศ แต่ข่าวเรื่องคุณหมอมีแฟนไม่เคยหลุดออกมาเพราะเขาวางตัวดีและไม่ควรถูกแฉ

“ศิมึงมั่นใจในตัวเองหน่อย คนนี้กูเชียร์!!”

ความหนักใจมาตกที่คนต้องลงแข่งชิงชัยในศึกที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง ผู้ชายที่ซื่อสัตย์ จริงใจ จริงจัง อย่างพี่ดิมคงไม่มองผู้ชายเด๋อๆ ด๋าๆ แถมไม่มีอะไรพิเศษพอให้เค้าชายตามองมากกว่าเพื่อนร่วมงานเลย มากสุดคงเป็นน้องชายที่น่าแกล้งเท่านั้น

และถึงแม้ผมจะชอบเค้าอย่างที่เฌอพูดแต่กรอบที่ขีดขึ้นจำกัดตัวเองทำให้มันยากขึ้นเท่าตัว

แต่รู้เลยว่าแค่สัมผัสเดียวจากคืนนั้นผมก็พร้อมที่จะทำลายกรอบที่ขีดไว้ด้วยลิควิดเพนเทลซักร้อยแท่ง!!










------To be Continued------



ตอนนี้อารมณ์ดริฟท์ไปดริฟท์มาก แต่ตอนนี้ดริฟท์กว่านี้มาก!!

เกลียดหมอกด 1
สงสารหมอกด 2
ทีมหอมหัวน้องศิ กด 1 2 3 ก็ได้5555555555555

ขอเม้นท์หน่อยดั้ยมั่ยดั้ยยยยย

แจกันวันอังคารหน้าแน้ /เสียงชูแจ

ถ้าไม่มาอนุญาตหยิกได้แต่อย่าแรงมากน้องเจ้บ





บี

#youaremyday1











หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.09 sins (29/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 29-05-2018 21:20:49
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP09 : sins
[/size]

Don't stop loving 'til the morning, don't stop loving 'til the morning






กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“ถ้าอยากพบกับนักแสดงจากซีรีส์ขอเสียงดังกว่านี้ได้มั้ย!”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

งานแถลงข่าวที่จัดอย่างยิ่งใหญ่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร เวลาเย็นย่ำบรรยากาศดีเลยทำให้เหล่าแฟนคลับที่ขนทัพมาเชียร์ดาราที่ตัวเองชื่นชอบเต็มลานกว้างแห่งนี้ ป้ายไฟ ลูกโป่ง ดอกไม้ รวมถึงเสื้อทีมสัญลักษณ์ของการเป็นแฟนคลับจัดเต็มแบบไม่มีบ้านไหนยอมกัน ขนาดที่เมื่อเช้าบวงสรวงเปิดกล้องอย่างเป็นทางการกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุแต่พอตกเย็นมาทุกคนก็ยังครึกครื้นและดูไม่มีท่าทีเหนื่อยเลย นี่แหละพลังแฟนคลับที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อซัพพอร์ตศิลปินที่ตัวเองรักอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย

“พบกับนักแสดงจากอินเตอร์เซคชั่นเดอะซีรีส์ หรือ ตะวันคลาดพระจันทร์ได้เลยครับ!!”

นักแสดงหน้าใหม่ และนักแสดงคุ้นหน้าทั้ง 10  ชีวิตออกจากหลังเวทีเพื่อปรากฏตัวในอีเวนท์แรกของซีรีส์วายจากค่ายชื่อดัง ที่ต้องฝ่าฝันและแย่งชิงกว่าจะได้คว้าบทและนำแสดงในเรื่องนี้ กระแสการตอบรับเป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้ใหญ่ที่ลงทุนและลงแรง นักแสดงหน้าใหม่ได้รับการต้อนรับดีจากทีมงานทุกส่วนที่ได้ร่วมงานด้วย รวมถึงแฟนคลับที่เปิดใจยอมรับ โดยเฉพาะศิรัสที่โดนกระแสข่าวโจมตีอย่างหนักในช่วงแรก แต่ด้วยคาแร็คเตอร์น่ารักพิมพ์นิยมนายเอกซีรีส์วาย ทำให้ความสดใสและจริงใจแผ่ไปถึงคนอื่นแบบไม่รู้ตัว ทำให้ใครต่อใครก็เอ็นดู เรียกลูก เรียกน้องกันหมด

งานแถลงข่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนแม้จะยังไม่มีกระทั่งเทลเลอร์ให้ได้ชม แต่ทุกสำนักก็พร้อมใจให้พื้นที่สื่อตรงนี้อย่างไม่ต้องร่อนหมายเชิญ กล้องหลายร้อยจับจ้องไปที่ภาพบนเวทีทุกการเคลื่อนไหว ทั้งกล้องจากสำนักข่าวและกล้องจากเหล่าแฟนคลับสายช่างภาพ พร้อมรังสรรค์ภาพศิลปินที่ตัวเองรักออกมาสวยงามด้วยการกดชัตเตอร์ที่หัวใจ





“ไงเรา หมดแรงล่ะสิ”

“อื้อ ไม่ไหวอะ พี่ภัทรทำไมยังยิ้มได้อีก ศิจะหลับแล้วเวอร์” ผมพูดขณะเอาทั้งตัวพิงเก้าอี้ในห้องแต่งตัว หลังจากงานแถลงข่าวจบ แต่เดี๋ยวต้องออกไปเจอแฟนคลับ พี่อายว่าแบบนี้ อ้อ พี่อายคือ AR ที่มาเป็นคนดูแลผมกับพี่ดิม พูลล์ แล้วก็อาโป เพราะเรายังไม่มีผู้จัดการส่วนตัว เลยให้พี่อายมาดูแลชั่วคราวไปก่อน

“แล้วจะออกไปเจอแฟนๆ ไหวหรอเนี่ย หื้ม”

“อย่าหื้มดิพี่ภัทร มันแบบศิเป็นเด็กน้อย”

“เอ้า อะไรวะเนี่ย ฮ่าๆ”

“เออน่า ไหวแหละ เราเหนื่อยเค้าก็เหนื่อย พี่อายบอกเค้ามารอเจอตั้งแต่เช้ามาก่อนเราอีก เราดิสบายกว่าตั้งเยอะไม่ไหวได้หรอ”

“หึ เคยได้ยินมั้ย รอยยิ้มของศิลปินมักจะหายไปเมื่อหันหลังให้เวที”
“แต่พี่ว่าคนอย่างศิคงไม่ใช่ศิลปินที่เห็นแฟนคลับเป็นแค่นั้นหรอกใช่มั้ย”

“เอาตรงๆ ผมไม่รู้เลยว่าแฟนคลับเป็นยังไง รู้แค่ว่าเค้าเมตตาเรามากๆ เลยนะ ไม่รู้จักกัน ไม่ใช่ญาติ พี่น้อง เพื่อน แต่ทำให้เราตั้งหลายอย่าง โคตรเสียสละเลย ความรักของพวกเค้ามันยิ่งใหญ่อะ”

“ศิจะเป็นดาราที่มีคนรักเยอะกว่านี้อีก ถ้าเลิกทำหน้าตาวิตกตอนคนเยอะ ๆ”

“เฮ้ย ศิทำหรอ ตอนไหนวะพี่” ผมตกใจที่ไม่รู้ตัวเลยว่าไปทำหน้าตาแบบนั้นตอนไหน

“ตอนอยู่บนเวที always”

“ฉิบ รูปต้องออกไปทุเรศแน่ๆ แล้วพี่เห็นได้ไง”

“ก็พี่มองศิตลอดเวลา”

“อ่า เฮ้ย หรอ แล้วทำไมไม่เตือนอะ โหเนี่ยพรุ่งนี้ลงข่าวด้วย” เอามือลูบหน้า คิดสภาพหน้าตาเห่ยๆ ลงในเว็บข่าว และทวิตเตอร์ กูจะบ้าตายยยยยยยยยยยยย

พยายามไม่คิดประโยคที่เขาพูดกับผมสองรอบแล้ว ไม่อยากคิดว่ามันจะมีอะไร เพราะสายตาพี่ภัทรบอกชัดมากๆ ว่ามีอะไร




“ศิ!!”

“เฌอ! เมฆ!”

“อะนี่ ยินดีด้วยนะมึง” เฌอวันนี้ใส่เสื้อเปิดไหล่สีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีขาว และรองเท้าส้นสูง valentino นับว่าแปลกตาที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ไหนจะแต่งหน้าเนี้ยบกว่าทุกวัน ที่สำคัญผมลอนที่รวบมัดต่ำ ดูผู้ดีสุดๆ ต่างจากเฌอสาวห้าวในชุดนิสิตพลีทยาว รองเท้าผ้าใบ ส่วนเมฆวันนี้มาในสูทสีเทาเข้มลายตาราง และเสื้อเชิ้ตสีดำไม่ติดกระดุมซักสามเม็ดได้มั้ง ฮอตปรอทแตก เสมือนเป็นเซเลบบิตี้ในงานคนนึง

“สวยว่ะวันนี้ เมฆก็หล่อสัสรัสเซีย”

“อะแน่นอน มาเป็นแขกวีไอพีทั้งที อาโปล่ะ” เฌอวิ๊งค์ตาใส่ผมทีนึงที่โดนชม ส่วนเมฆก็ยกยิ้มมุมปาก แต่สายตามองหาใครอยู่ น่าจะเป็นอาโป

“อ่อ ออกไปหาแฟนคลับอะ เดี๋ยวก็เข้ามา เนี่ยเดี๋ยวกูก็ออกไปละ”

“เออเว้ย เอาหน่อยมีแฟนคลับกับเค้าด้วย กูคิดว่ามีแต่แอนตี้แฟน ฮ่าๆ” เฌอล้อปมเก่าๆ

“แล้ว..” เฌอมองไปที่ผู้ชายที่นั่งข้างผมเมื่อครู่นี้

“เออนี่พี่ภัทร ที่เล่นเป็นเพื่อนที่ดิมอะ นี่เฌอแล้วก็เมฆเพื่อนศิเองครับ”

“กูรู้ละแต่อยากให้มึงแนะนำเฉยๆ อิอิ” เฉอกระซิบ แหม่ทำมาเป็นเห็นผู้ชายหล่อไม่ได้เลยนะ

“หวัดดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนน้องศิอีกสองคนนะครับ” พี่ภัทรยิ้มละลายไปให้เฌอ เพื่อนตัวดีที่ตอนนี้เข้าขั้นเพ้อเต็มขั้นแล้ว ตาหวานๆ ของพี่ภัทรน่ะเกินต้านทาน แต่สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกมันไม่ได้เกิดกับใครก็ได้ แม้จะหล่อทะลุจักรวาลแอสการ์ดก็เถอะ

“น้องศิลูก มา ออกไปเจอแฟนคลับกัน ภัทรเดี๋ยวรอแนนมาเรียกนะจ๊ะ” พี่อายเรียกเสียงดังจากหน้าประตูห้องแต่งตัว ก่อนจะมีผู้ชายร่างสูงคุ้นเคยจะแทรกตัวสวนเข้ามา ใช่พี่ดิมตัวดีนั่นแหละ และดีที่หายหัวด้วย วันนี้ทั้งวันคุยกันไม่กี่ประโยคเองมั้ง เพราะอะไรผมก็ยังงงอยู่ ไม่ใช่ว่างานยุ่งขนาดนั้นแต่เขาพยายามหลบหน้าหลบตาน่ะสิ

เหมือนไม่อยากจะสนิทกันเหมือนเดิม




ผมเดินออกมาบริเวณลานหน้าห้างที่เพิ่งเสร็จกิจกรรมทางการไปสักครู่ มีคนกลุ่มใหญ่มากๆ ยืนล้อมวงเป็นระเบียบเหมือนรอคอยการมาของใคร

“เอ้า มาละจ้าา น้องศิจ้าเด็กๆ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”

“ชู่ววว เบาหน่อยลูกเดี๋ยวยามมาไล่ กลั้นไว้นะคะ อะมาเลยถ่ายรูปพูดคุยพี่ให้ 15 นาทีนะ”

ผมไม่อยากเชื่อสายตาว่าผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เค้าจะมารอผม มารอตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เกือบจะสามทุ่ม แต่สายตาและรอยยิ้มที่ส่งมาให้มันชัดเจนเหลือเกินว่าเขาดีใจกับการปรากฏตัวของเด็กผู้ชายโนเนมและไม่มีอะไรพิเศษ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษจริงๆ ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้รับเกียรติมายืนตรงนี้

“มึ้งงงงงง น้องน่ารักอะ เขินใหญ่เลย”
“โอ้ยกูจะตายแล้วววว”
“ศิลูก โพสต์หน่อยค่ะ พี่จะถ่ายรูป”


“เอ่อ ทำแบบไหนอะครับ ผมทำไม่เก่ง” ยกมือเกาต้นคอแบบเขิน เอาจริงๆ ตอนนี้มันเขินกว่าตอนที่อยู่บนเวทีแล้วคนข้างล่างเยอะกว่านี้อีกอะ

“อิเหี้ยๆๆๆ น้องแบบน้องงงงงงงงงงงงงงงง”
“ไว้ไปให้คุณหมอสอนนะคะ เค้าเก่ง”
“อร๊ายยยยยยยยยยยยย”
“ขี้ชงอะ ฮ่าๆๆๆๆ”


บรรยากาศมันเป็นกันเองมากๆ ทั้งเราไม่รู้จักกันเลย แต่ทำไมเหมือนสนิทกันมานานแล้ว ตอนแรกที่เขินๆ ก็เริ่มจะรู้ว่าจะเอามือไปไว้ตรงไหนแล้วล่ะ แต่มันก็ยังเขินอยู่ดี -//-

“นี่พี่ให้นะคะ เป็นขนมจากฮ่องกง ซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณนะครับ ไม่เห็นต้องลำบากเลย”

“เห็นศิชอบพี่ซื้อให้นะคะ”
“ฝากให้คุณพ่อคุณแม่นะคะชาจากจีนค่ะ”
“เสื้อแซลม่อนกับซูชินะคะ”
“นี่กริซลี่ เดี๋ยวคราวหน้าจะทยอยเอามาให้ครบแก๊ง”


การยกมือไหว้และคำขอบคุณมันจะทดแทนในสิ่งที่พวกพี่ๆ เค้าทำได้ยังไงนะ คิดไม่ออกเลย ผมยิ้มกว้างอย่างที่ไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร แต่ผมยิ้ม ยิ้มให้กับความรักและกำลังใจที่ส่งมาให้ ผมได้รับแล้วมันจะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้ผมทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนนะ

นี่สินะ ความรู้สึกที่เรียกว่า ตื้นตัน





“โห ศิได้ของเยอะจัง จะแบกกลับยังไงเนี่ย” พูลล์ที่ดูจะตื่นเต้นกับกองของขวัญของฝากจากแฟนคลับที่เรียกว่ามหึมา เยอะสุดน่าจะเป็นขนมและอาหารการกิน กะขุนให้อ้วนแน่ๆ

ได้! จะกินให้หมดนี่ภายในสองวัน

“เอารถมาแต่ว่าจอดอยู่อีกห้างอะ เดี๋ยวยืมรถเข็นในซุปเปอร์ขนไปได้อยู่มั้ง”

“เดี๋ยวพี่ช่วย ป่ะ” พี่ภัทรเสนอตัวช่วย รู้สึกว่าวันนี้จะได้คุยกับพี่เขาบ่อยจริงๆ เหมือนรอบๆ ตัวผมมีพี่ภัทรอยู่ด้วยตลอดเลย ทั้งที่ก่อนหน้าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนี้นี่นา การที่เขาทักไลน์มาคุยด้วยเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้สนิทกันขึ้นล่ะมั้ง ผมก็กล้าที่จะคุยกับทุกคนไม่เกร็งแล้วล่ะ

แต่จริงๆ หวังให้คนที่บอกว่าสนิทกันออกตัวช่วยมากกว่า

ไม่เป็นไรหรอก

“ครับ ขอบคุณนะพี่ ใจดีจัง”

“ไม่เป็นไรน่า ตัวก็ผอมแค่เนี่ย จะขนไปยังไงเราสองคน”

“แหม่ จะบอกว่าตัวเองตัวใหญ่หุ่นดี เกทับกันนี่หว่า” พูลล์พูดอย่างหมั่นไส้เล็กๆ

“ก็สูงกว่าพูลล์เกือบ 15 เซนฯ ป่ะ”

“พี่ภัทร!! แม่ง!!!”







เสียงหัวเราะและหยอกล้อของผู้ชายสามคนในบรรยากาศสบายๆ อยู่ในสายตาผมมาสักพัก แม้จะทำเป็นไม่สนใจเก็บข้าวของที่บรรดาแฟนคลับนำมาให้ แต่หูและสายตาก็ลอบสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด

และมันก็ทำให้คนอย่างผม

หงุดหงิด

ที่หมาตัวใหญ่วอแวกับกระต่ายอย่างมีชั้นเชิง

ทั้งที่ตรงนั้นมันควรเป็นของผมแท้ๆ

“เฮ้อ”

“พี่หมอไหวป่าวพี่” อาโปที่จัดของข้างๆ กันถามออกมา ลืมตัวว่าไม่ได้อยู่มุมนี้คนเดียว

“ไหวๆ พี่แค่คิดว่าจะกินขนมพวกนี้หมดได้ยังไงน่ะ”

“เอาไปให้ไอ้ศิดิ มันอะตัวแดกขนม เอ้ย กินขนม” อาโปพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กผู้ชายที่วันนี้ใส่สูทสีดำ เสื้อข้างในสีเหลืองมัสตาร์ด กางเกงเต่อขากระบอกเห็นข้อเท้าเล็กและตาตุ่มสีชมพู พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับผู้ชายตัวโตในชุดทางการกว่าปกติ และหล่อมากเท่าตัว กำลังช่วยขนของลงรถเข็นของห้าง เห็นว่าจะอาสาไปส่งถึงรถ หึ

“แค่ของศิ คงกินได้ถึงเดือนหน้า”
“เดี๋ยวพี่เอาไปแจกเด็กๆ วอร์ดเด็กแล้วกัน”

“เอ่อ พี่หมอ ผมถามอะไรหน่อยสิ”

“มีอะไรหรอ”

“เสื้อยืดสีเทาของ fendi กับกางเกงบ็อกเซอร์สีน้ำเงิน พี่รู้มั้ยว่าของใคร ผมเห็นไอ้ศิแขวนไว้หลังรถมันเป็นอาทิตย์ละ”

“....”

“เอ่อ คือผมเห็นพี่สนิทกับมันน่ะช่วงนี้ ผมถามแล้วมันไม่ยอมบอก”

“เค้าไม่บอกพี่ก็ไม่รู้หรอก”

ทำไมจะจำไม่ได้ว่านั่นคือชุดของตัวเองที่ให้คนติดฝนยืมใส่นอนในคืนที่ยังจดจำในหัวได้ดี ยังคงฉายชัดในหัวทุกวันที่กลับคอนโด ว่าความน่ารักของเขาทำให้หัวใจดวงนี้เกือบทรยศต่อคนรักที่ซื่อสัตย์ของตัวเอง จนต้องยับยั้งชั่งใจและไม่ควรเข้าใกล้ให้เขาพลอยเจ็บ

เหมือนที่ผมเจ็บอยู่ตอนนี้
เจ็บที่ต้องเห็นเขาสนิทกับคนอื่น
เจ็บที่ตัวเองทำได้แค่นี้


“หรอครับ”
“เดี๋ยวนี้มันหัดมีความลับ”

ผมยิ้มให้กับอาโปที่บ่นเพื่อนสนิทตัวเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาเก็บของให้เร็วขึ้นจะได้ออกไปจากตรงนี้เสียที



“พี่ดิม!” เสียงห้าวที่คุ้นหูเรียกผมในลานจอดรถ ท่าทางกระหืดกระหอบหิ้วถุงกระดาษใบโตมาด้วย

“แฮ่กๆ คิดว่าพี่กลับไปแล้ว”

“ยังขนของไม่เสร็จน่ะ แล้วรู้ได้ไงว่าพี่จอดรถไว้ที่นี่” อาคารจอดรถของห้างที่ใช้แถลงข่าวมันไกลจากห้างที่คนตัวเล็กจอดรถพอสมควร เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบริเวณหน้าผากเนียนบ่งบอกให้รู้ว่าเขาที่วิ่งมาตลอดทาง

“ถามพี่อายน่ะสิ ก็ไลน์มาแล้วพี่ไม่อ่านเลย”
“นี่ครับเสื้อกับกางเกง ศิเอามาคืน”

“อื้ม” ผมรับของจากคนตรงหน้า ปลายนิ้วเผลอไปสัมผัสกับข้อนิ้วเล็กๆ นั่น แค่นี้เองทำไมใจมันเต้นแรงนัก

คิดถึง

เป็นคำเดียวที่จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้ ขณะสบตากับดวงตาเล็กระยิบระยับแค่เสี้ยววิ แต่มันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง อยากให้ยืดเวลาออกไปกว่านี้หน่อย แต่ก็คงไม่ได้

“พี่ดิมเข้าเวรหรือเปล่าคืนนี้”

“ไม่ล่ะ พี่เข้าพรุ่งนี้”
“เดี๋ยวพี่กลับแล้วนะ”

“อ่อ..ครับ”
“ขับรถดีๆ นะ”

แม้จะหันหลังเดินออกมาก่อน แต่ความรู้สึกของผมยังอยู่ตรงนั้น อยู่กับเด็กที่มีสายตาเคลือบแคลงและสงสัยในตัวผม คงกำลังโทษตัวเองว่าทำความผิดอะไรที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ คนขี้กังวลคงจะคิดมากในความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่เชื่อเถอะผมไม่ได้สบายใจที่ทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะห้ามตัวเองไม่ให้ถลำความรู้สึกต่อเด็กที่มีอิทธิพลต่อหัวใจอย่างไร







“ศิทะเลาะกับพี่ดิมหรอ” พูลล์ถามขึ้นขณะกินข้าวกล่องอาหารกองวันนี้ เป็นฟู๊ดซัพพอร์ตจากแฟนคลับผมและพี่ดิม แบบบ้านคู่อะไรทำนองนี้ มื้อนี้แม่ครัวเลยไม่ต้องเหนื่อย อีกอย่างอาหารเยอะจนเหลือเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในใจของผมดีขึ้น เพราะคนที่เป็นเจ้าของอาหารพวกนี้ครึ่งหนึ่งยังพยายามหลบหน้าหลบตาและพูดคุยกับผมน้อยเหลือเกิน ยังไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว ก็ไม่เห็นคุยกันเลย วันนั้นหลังจากเจอพี่เค้าที่ห้างแล้วมีอะไรอีกมั้ย”

“ก็...ไม่มีอะไร เราก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน”

“ศิ..บอกเราได้นะ” พูลล์ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ บอกเลยจังหวะนี้อยากร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น พยายามจะเข้าไปถามไปพูดคุยแต่พี่เขาก็หลบหน้าตลอด เข้าฉากด้วยกันก็เหมือนทำตามหน้าที่ไม่มีมากกว่านั้น จนทีมงานหลายคนสังเกตเห็นและแยกเก้าอี้แต่งตัวให้ผมและพี่ดิมไปคนละที่

ทั้งที่เราไม่ได้ทะเลาะกัน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันก็ดี

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย

“ไว้เลิกกองแล้วเราติดรถพูลล์ไปลงคอนโดนะ”

“อื้อ”

วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะแบตรถหมดตอนไหนก็ไม่รู้ อีกอย่างวันนี้ไม่มีซีนของอาโปพอที่จะให้มันไปส่ง เราเริ่มเปิดกล้องมาได้ประมาณเกือบเดือนได้แล้ว ถ่ายไปหลายซีน ส่วนใหญ่จะเป็นซีนในยุคปัจจุบันเพราะต้องเก็บฉากเหล่านี้ให้หมด ก่อนจะไปถ่ายฉากย้อนอดีตที่ต่างจังหวัด และแพลนก็อีกไม่กี่วีค ทุกวันนี้เลยเร่งถ่ายคิวของผมและพี่ดิมให้หมดก่อนเพราะพี่เขาจะให้คิวได้แค่วันพุธถึงวันเสาร์ ฉะนั้นตลอด 4 วันในระยะเกือบเดือนที่ผ่านมันโคตรจะอึดอัดเลย

“เอาป่ะ” พี่ภัทรยื่นซองบุหรี่ให้ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ ม้าหินใต้ต้นหูกวางขนาดใหญ่ ขณะพักกองรอเซตฉากซีนตอนเย็น โลเคชั่นคือมหาลัยเอกชนย่านชานเมือง บรรยากาศขณะปิดเทอมก็ไม่ได้เงียบเสียทีเดียว ยังมีนักศึกษามามหาลัยทำกิจกรรมอยู่ตลอด รวมถึงกองถ่ายขนาดใหญ่ที่มาขอใช้พื้นที่ด้วย

“ก็ดีพี่”

“ดูดด้วย?”

“ก็เคยลอง ไม่ได้แย่ เครียดๆ ก็มีบ้าง”

“แสดงว่าตอนนี้เครียด?”

ผมจุดบุหรี่สัญชาติเกาหลีก่อนพ่นควันสีเทาหม่นปนกับอากาศข้างหน้า การเผาไหม้ที่ผ่านทรวงอกมันทำให้ลมหายใจสม่ำเสมอ สมองโล่งชั่วขณะมาโฟกัสกลิ่นมิ้นท์เย็นๆ ที่ติดอยู่ในลมหายใจแทน

“อื้อ อาจจะ”

ร่างสูงข้างๆ เอาแขนใหญ่พาดบนพนักม้าหินด้วยท่าทีสบายๆ แต่หากคนอื่นมาเห็นคงเป็นท่าทางขี้หวงของผู้ชายคนหนึ่ง

“เพราะหมอ?”

“...”

“ใช่สินะ”
“พี่ไม่ชอบที่ศิเป็นแบบนี้นะ คนอื่นก็ไม่สบายใจ พี่ทีมงานเค้าเป็นห่วง”

“ศิไม่รู้จะทำยังไง มันอึดอัด” ผมสูดควันบุหรี่อีกครั้งจนสุดปอด และพ่นออกสู่อากาศอีกครั้ง แต่มันไม่ได้โล่งอย่างที่หลอกตัวเองหรอก มันยังอึดอัดเท่าเดิม เหมือนก่อนหน้านี้ นิโคตินอัดแท่งไม่ได้ช่วยอะไรเพราะใจผมยังโหว่งอยู่เลย

“ก็ทำเหมือนเดิม ช่วงนี้ศิไม่ยิ้มเลยรู้ตัวมั้ยเนี่ย” ผมสายหน้า ก่อนจะเขี่ยเศษเถ้าบุหรี่ลงบนดิน
“ในเมื่อศิทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
“แล้วก็เลิกมองหาเค้าซะที หงุดหงิด”

“มองหาอะไรเล่า พี่ภัทรก็มั่ว”

“เหอะ เคยบอกแล้วว่ามองตลอด แต่ศิก็มองมันตลอด” พี่ภัทรดับแท่งนิโคตินของตัวเองบนที่สำหรับทิ้งบุหรี่ แล้วหันหน้ามาหาผม เพื่อคว้าข้อมือที่ผมกำลังจะดูดบุหรี่อีกรอบ แล้วเอามวนบุหรี่ทิ้งที่เดียวกัน

“อ้าวพี่”

“หวังว่าจะไม่เห็นศิมาสูบบุหรี่อีกนะ”

จุ้บ

พี่ภัทรจูบบนนิ้วชี้ที่ยังมีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่ ผมที่ไม่ทันคิดว่าเขาจะทำเหว๋อก็แดกไปเลย โคตรสตั๊นท์กับการกระทำของผู้ชายที่หล่อเหลือร้ายคนนี้ ใจเต้นเลยพี่ภัทรแม่ง!!

“พี่ภัทร!!!! @&$&$$)%*(#_+@)#*”

ด่าไม่ทันอีกวิ่งเร็วกว่ายูเซนโบลต์ละมั้ง*

ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่ภัทรเข้าหาผมในทำนองไหน แต่ตัวผมก็มีพื้นที่ให้เขาเป็นเพียงพี่ชายที่น่ารักมากคนนึงเท่านั้น ท่าทางรวมถึงการกระทำเมื่อครู่คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นการหยอกเอินของผู้ชายที่สนิทกัน แต่แน่นอนผมรู้ว่าพี่ภัทรหวังมากกว่านั้น เรื่องนี้ค่อยว่ากัน เอาเรื่องคนที่เป็นค้อนหนักในใจผมก่อน


เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เอาวะ ในเมื่อเขาทำเหมือนกับไม่อยากรู้จักผม ผมก็ทำเป็นรู้จักเขามาเป็นชาติแล้วก็ได้!!

ได้!! จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย

ได้!!





มีต่อ




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.08 ข้าวกล่องของน้อง (22/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 29-05-2018 21:32:17
“พี่ดิมอย่าหนีนะเว้ย ห้ามขยับตัวเลย ไม่อย่างนั้นจะบอกให้หมดว่าคนที่ช่วยตัวเองในห้องน้ำโรงเรียน คือ พี่!!”

พ่นทุกอย่างออกหมดทีเดียวอย่างรวดเร็ว พอพูดจบก็หายใจโกยอากาศเข้าปอดรัวๆ เพราะทำใจตั้งแต่เย็นนี่ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม พอเลิกกองก็อาศัยจังหวะที่ทุกคนเตรียมตัวกลับแอบตามผู้ชายร่างสูงในชุดลำลอง กำลังเปิดประตูรถตัวเอง ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก็เอาเรื่องนี้มาขู่ซะเลย จะได้รู้ๆ กันไปว่าจะหลบหน้ากันอีกหรือเปล่า ไม่ก็บอกมาว่าทำอะไรผิดจะได้ขอโทษ ไม่ใช่เอาแต่เมินใส่กันแบบนี้

ใจดีสู้เสือหน่อยมึง!

“....”

“อะ เออ นั่นแหละ ถ้าพี่ยังเมินใส่ศิแบบนี้ จะบอกให้หมดเลย!”

“หึ เด็ก”

“เออก็คิดได้แบบเด็กๆ นี่แหละ จะไปทำตัวแบบผู้ใหญ่ที่หลบหน้ากันทำไม” ผมประชดทั้งที่ใจนะ กลัวเอามากๆ กลัวจะได้เห็นสายตาว่างเปล่าจากผู้ชายตรงหน้า เหมือนตอนที่เอาเสื้อผ้าไปคืนเขานั่นแหละ มันเหมือนว่าก่อนหน้านี้สำหรับเราสองคนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นแบบนั้น ซึ่งมันรู้สึกแย่จริงๆ

“อย่าทำแบบนี้เลยศิ”

“หึ รังเกียจกันมากเลยหรอ แค่หันหน้ามาคุยกันยังทำไม่ได้!”

ผู้ชายร่างสูงหันหน้าเข้าหาตัวรถที่จอดอยู่ ล้วงกระเป๋ากางเกงและก้มหน้าถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันตัวกลับมาหาผมที่ก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน

“คิดหรอว่าพี่ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นตัวพี่ ในเมื่อพี่เห็นศิวิ่งออกจากสระว่ายน้ำวันนั้น”

“ห้ะ!!!”

“ศิรัส อังคณานิพัฒน์พล รุ่น 114”


“พี่ดิมรู้..”

คนตัวใหญ่มีสีหน้าหน้าจริงจังแปะอยู่ ก้าวย่างเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ

“เด็กผู้ชายในชุดลูกเสือรีบวิ่งออกจากห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำในเย็นวันพฤหัส ทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม”

ผมยกมือปิดปากตัวเองอยากไม่อยากเชื่อว่าพี่เขาจะจำรายละเอียดได้ขนาดนี้ แสดงว่าวันนั้นวิชาพลางตัวลูกเสือของผมไม่เนียนเลย แม่ง

“กล้ามากนะที่เอาเรื่องของพี่ไปเล่าให้คนอื่นฟังตั้งเยอะ” ใบหน้าของพี่ดิมเคลื่อนเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม แถมสายตาตอนนี้ยังดุโคตรๆ เหมือนจะกินหัวผมได้อยู่แล้ว

“แต่ศิไม่เคยบอกว่าเป็นพี่..”
“กะ ก็ คิดว่าพี่ไม่รู้ ศิไม่มีเรื่องอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ก็เลย...”

“เลยเอาเรื่องน่าอายของคนอื่นไปเล่างั้นสิ หึ”

“พี่ดิม ศิ…” กลายเป็นว่าทำไมผมเป็นคนผิดวะเนี่ย ทั้งที่จะเอาเรื่องนี้มาให้เขาจนตรอกแท้ๆ น้ำเสียงที่ดูโกรธทำเอาผมจะร้องไห้รอมร่อ

“....” เขาเอาหน้าออกไปแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ ผมคิดว่าเขาจะขับรถแล้วออกไปเลย แต่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างบนคอนโซลรถ ก่อนจะถือสิ่งที่หาเจอแล้วเดินมาหาผมที่ยังยืนที่เดิมไม่ได้ขยับตัวไปไหน

“ของศิใช่มั้ย” คนตัวโตยื่นยางรัดผมสีน้ำเงินเข้มมาให้ ซึ่งแน่นอนมันเป็นของผมเอง แสดงว่าลืมไว้ที่ห้องพี่เขาหรอ ถึงว่าหาไม่เจอ

“อื้อ พี่ดิม ศิขอโทษนะที่คิดจะแบล็กเมล์พี่” ผมรู้สึกผิดที่คิดน้อยไป แม้มันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่ยังไงก็ไม่ควร แค่เอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อหน้าคนตั้งเยอะก็แย่พอตัวแล้ว งี่เง่าฉิบหายเลย

“ช่างเถอะ”

“ก็พี่ดิมไม่คุยกับศิ ไม่มองหน้า ศิทำอะไรผิดหรอ ทำไมพี่ดิมเป็นแบบนี้” ความอึดอัดที่เกาะกินใจมาเกือบเดือนมันกำลังจะสิ้นสุดลง รวมถึงความอดกลั้นที่พยายามทำเป็นไม่อ่อนแอ ไม่เป็นไร ค่อยๆ พังทลายลง เพราะที่ผ่านมามันยากเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่สำคัญกับเขาขนาดนั้น

“ถ้าศิทำอะไรไม่ดี ศิขอโทษนะ แต่พี่ดิมอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ย” ยอมรับว่าตอนพูดไม่ได้มองหน้าผู้ชายตรงหน้าเลยแม่แต่นิดเดียว ไม่กล้าสบตากลัวจะเจอสายตาที่หมางเมินกัน กำมือที่ชื้นเหงื่อของตัวเอง ในขณะที่มันชาจี๊ดขึ้นเป็นสัญญาณว่าน้ำตามันกำลังจะร่วงหล่น

หมับ

“พี่ขอโทษ ศิ ขอโทษนะ”

เขากอดผม

“ฮึก ศิไม่รู้เลยว่าศิทำอะไร ทำให้พี่ดิมโกรธเรื่องอะไร ไม่รู้เลย ฮึก”

“ชู่ว ไม่ร้องนะครับ พี่ไม่ได้โกรธสิ พี่มันแย่เอง”

เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมลูบหัวผมไปด้วย เลยได้กอดตอบเขาแน่นขึ้น แน่นมากๆ เพราะกลัวเขาจะคลายอ้อมกอดนี้ไป เพิ่งรู้ว่ามากกว่าความอึดอัดใจ

คือผมคิดถึงพี่ดิมเหลือเกิน

“ฮึก…”

“หยุดร้องนะคนเก่ง พี่จะไม่ทำแบบนี้แล้ว” น้ำตาผมเปียกเสื้อยืดราคาแพงของเขากระจายเป็นวงกว้าง แต่ผมก็เลิกหยุดร้องไห้ไม่ได้ซะที

“ไหนดูดิ๊ ทำไมขี้แยจังวะ” เขาคลายอ้อมกอดแต่ผมยื้อไว้

“อื้อ ไม่เอาไม่ปล่อย” แต่เขาก็พยายามแกะมือผมออกได้อยู่ดี ก่อนจะจับมือข้างซ้ายของผมมาวางที่ใบหน้าคมคาย

เราสองคนสบตากันราวกับพูดคุยกันผ่านดวงตา เป็นภาษาที่ใช้ทั้งความรู้สึก และหัวใจสื่อสาร เป็นคำพูดหลายล้านคำที่พูดออกไปไม่ได้ แม้จะอยากพูดมากแค่ไหน แต่คิดว่าเราเข้าใจกัน…

พี่ดิมใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาที่ตอนนี้กำลังจะหยุดไหล เพราะสายตาที่ผมอ่านเขาออกเป็นครั้งแรก เหมือนกับเป็นคำปลอบประโลมที่ดีชะงัก

“อย่าร้องไห้เพราะพี่อีก พี่ไม่มีค่าขนาดที่ศิจะมาเสียน้ำตาให้”
“พี่แค่คนเห็นแก่ตัว พี่ไม่ได้อยากทำแบบที่ผ่านมา แต่พี่กลัว”

“....”

“กลัวว่าจะทำให้ศิเสียใจ”

“ใช่ ศิเสียใจ” ลูบมือบนใบหน้าคมอย่างช้าๆ ช่วงเวลานี้เหมือนได้รับแสงแดดอุ่นๆ ตอนเช้า อบอุ่น ละมุน และให้เวลาทุกชีวิตได้เริ่มต้นใหม่ เหมือนความรู้สึกของเราที่ถูกซ่อมแซมอย่างช้าๆ โดยมือของเราสองคน

ผมไม่ลืมหรอกว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย แต่ขอได้มั้ย

แค่วันนี้
ให้ผมได้บอกเขาในใจว่าคิดถึงก็ยังดี


“พี่รู้ และพี่ขี้ขลาดที่กลัวตัวเองเสียใจ พี่ทำเพื่อปกป้องตัวเอง โดยไม่คิดถึงความรู้สึกศิเลย”

“อื้อ งั้นก็อย่าทำแบบนี้อีก ศิไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่พี่ดิมอย่าเมินกันแบบนี้ มันรู้สึกแย่ เหมือนพี่ดิมรังเกียจ”

“โถ่ เด็กน้อย” ร่างสูงกดจมูกลงกับฝ่ามือของผมอย่างแผ่วเบา

“ถ้าพอมีเวลา”

“คืนนี้พี่จะอธิบายให้ฟังนะครับ”

“อื้อ” โผกอดคนตรงหน้าอีกรอบ ก่อนที่มือใหญ่จะจูงข้อมือผมเดินไปที่รถหรู สงสัยวันนี้พูลล์คงไม่ได้ไปส่งผมแล้วล่ะ จะบอกว่าตัวเองใจง่ายก็ได้ที่เขาพูดแค่นี้ก็หายโกรธ ทำไงได้ในเมื่อเขามีอิทธิพลกับความรู้สึกมากขนาดนี้ แม้จะผิดบาปก็ตามที

“อ้อ แล้วศิก็อธิบายที่ไอ้ภัทรมันจูบมือเธอด้วย”

“พี่ดิมเห็นด้วยหร..”

“พี่มองศิตลอด”





@คอนโด

เหมือนว่าผมเอาเสื้อผ้ามาคืนเขาเพื่อที่จะใส่กลับเข้าไป เสื้อตัวโตยานและเหี่ยวบนตัวของผม ได้แต่ทำใจเพราะทำยังไงก็ต้องใส่ นี่วันนี้อัพเกรดด้วยการใส่แว่นไปด้วย เด๋อในเด๋อ

ตอนโทรไปบอกพูลล์ว่าจะกลับเองโดนโวยวายใส่ยกใหญ่ว่าจะกลับยังไง เพราะโลเคชั่นวันนี้ ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ลำบากหน่อย เพราะรถโดยสารสาธารณะแถวนี้หาลำบากมากๆ ความทุ่งรังสิตล่ะนะ แต่พอบอกว่าพี่ดิมไปส่งก็โดนซักยกใหญ่ว่าเกิดอะไรยังไง เลยบอกว่ายังเล่าไม่ได้เพราะยังไม่รู้เหมือนกัน พอพูดประโยคนี้คนที่กำลังตั้งใจขับรถถึงกับหันมามอง อ้าวก็จริงๆ ยังไม่เคลียร์อะไรเลย รอฟังอธิบายจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่เหมือนกัน

ร่างสูงออกจากห้องน้ำพันผ้าขนหนูที่สะโพกอย่างหมิ่นเหม่ เดินออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่ามีผมนั่งอยู่ตรงนี้ ในมือยังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่ไม่แห้ง ก่อนจะมองมาแขกอย่างผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานในห้องนอนของเขา หยดน้ำที่เกาะอยู่บนแผ่นอกประปรายกระทบกับไฟดาวไลท์ เหมือนพี่ดิมเรืองแสงได้อย่างไงอย่างงั้น นี่กูอยู่กับเทวดาหรือเปล่าวะ

“มองอะไรขนาดนั้น”

“ฮะ เฮ้ย เปล่าซะหน่อย”

“ก็เห็นอยู่”

“เออมอง ก็ใส่มาให้มองไม่ใช่หรอ”

“หึ เดี๋ยวนี้รู้เรื่องแล้วนี่” คนกึ่งเปลือยตอบและเดินเข้าห้องแต่งตัวบิ้วท์อิน ดี! จะได้มีสติคุยด้วยหน่อย ไม่งั้นมองแต่ซิกแพ็คเขาแน่ๆ แงง หม่าม๊า ศิ ไม่ได้ทะลึ่งนะ

“พี่กับไอ้ภัทรใครหุ่นดีกว่ากัน” เสียงห้าวตะโกนจากในห้องมา

“เอ่อ..ขอคิดก่อน”

“ทำไมคิดนานวะฮะ” ร่างสูงที่ออกมาจากห้องแต่งตัวในสภาพไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ เพราะเสื้อไม่ใส่ ใส่แค่กางเกงนอนขายาว กับผ้าขนหนูพาดบ่าเท่านั้น จงใจชัดๆ

“ก็กำลังพิจารณา พี่ภัทรเค้าก็มีซิกแพ็คเหมือนกัน แถมขาวด้วยเหอะ” ผ้าขนหนูผิดเล็กถูกโดยมาคลุมหัวทั้งที่ยังอธิบายไม่จบเลย กำลังจะบอกว่าหัวนมสีชมพูไม่ใช่สีช็อกโกแลตแบบคนแถวนี้

“สนิทกันจนน่ารำคาญ”
“นี่แค่หลอกถามนะ แต่ไม่คิดว่าจะเห็นหุ่นมันจริงๆ แม่ง”

ดึงผ้าเช็ดตัวกลิ่นสะอาดออกจากหัวจุกทรงน้ำพุ แล้วปาคืนคนที่ปามาได้ “อ้าว ก็ตอนแต่งตัวพี่ภัทรชอบถอดเสื้อแล้วเปลี่ยนข้างนอกเลย”

“แล้วศิล่ะทำแบบนั้นมั้ย”

“บ้าหรอ หุ่นแบบนี้ใครจะกล้าถอด”

“ดีแล้ว ต่อไปนี้ย้ายมาแต่งตัวห้องเดียวกับพี่ เดี๋ยวบอกพี่ติ๊ดตี่ให้”

“อ่า ตามนั้นก็ได้”

“เรื่องมันจูบมืออธิบายมา”

“เอ่อ อ่า ก็ไม่รู้ อยู่ๆ เค้าก็จูบ”

“ไม่เคลียร์”

“ก็ไม่รู้ จริงๆ แค่เครียดๆ” คนตัวสูงหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง มันทำให้มองเห็นซิกแพ็คชัดเข้าไปอีก
“ก็เรื่องพี่นั่นแหละเขาให้บุหรี่ก็เลยดูด พอหมดมวนเค้าก็ทำแบบนั้น”

เพี๊ยะ

“โอ้ย” มือหนาฟาดลงเหม่งเต็มๆ เจ็บจี๊ดเลย

 “เป็นเด็กเป็นเล็กดูดบุหรี่ทำไม”

“แล้วพี่อะ เห็นนะว่ามีแฟนคลับคนสวยเอาขนมมาให้ที่กองทุกวัน”

“ก็แค่แฟนคลับ”

“คนอื่นเค้าคิดว่าพี่สนิทหมดแล้ว เห็นคุยถ่ายรูปอะไรด้วยนี่”

“เซอร์วิสไง”

“....”

“....”

อยู่ๆ ก็มีช่วงเดธแอร์ที่เราทั้งสองคนต่างรู้ว่าเกิดจากอะไร สายตาเราที่สบตากันบ่งบอกว่าความหมายของทุกประโยคที่พูดออกไปคือการ หึงหวง ทั้งที่ความสัมพันธ์ระดับเราไม่ควร เพราะมันไม่ใช่วิสัยเพื่อนร่วมงานหรือพี่น้อง และเราต่างรู้ดีว่ามันไม่ควร

“มานั่งที่เตียงสิ” อ่าคงถึงเวลาที่เราควรจะคุยกันจริงจัง

“เช็ดผมให้หน่อย” แป่ว สรุปใช้กันเฉย

นั่งชันเข่าให้สูงกว่าคนตัวยักษ์บนเตียง ส่วนเขานั่งขัดสมาธิ จริงๆ เขาน่าจะมีไดร์แห้งเร็วกว่าเยอะเลย

“พี่ดิมมีไดร์มั้ยจะได้แห้งเร็วๆ”

“ไม่เอาศิมือเบาทำแบบนี้สบายกว่า”

“ได้ทีใช้เลยนะ”
.
.
.
“ศิ”

“หื้ม”

เขาคว้าข้อมมือที่กำลังง่วนเช็ดผมที่หมาดขึ้น และจะใช้แรงไม่มากดึงผมไปนั่งลงบนตัก ง่ายดายเหมือนตักข้าวเข้าปาก แต่ผมนี่สิตกใจจนทำหน้าเหว๋อมากๆ แถมตอนนี้ที่ได้นั่งลงบนตักแกร่งแล้วใจเต้นรัวตึกๆ จนมันจะทะลุออกมาจากอก

“เกลรู้ว่ามีคนมานอนที่ห้องคืนนั้น เค้ามาหาพี่หลังจากที่ศิกลับไปแล้ว”
“เค้าเสียใจคิดว่าพี่มีคนอื่น”

“....”

“พี่เลยบอกกับเค้าว่าจะไม่ให้ใครมาที่นี่อีก”
“แล้วพี่ก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่เข้าใกล้ศิ เพราะพี่กลัวใจตัวเอง”

ตั้งแต่เริ่มอธิบายที่ดิมก็กอดผมไว้ในอ้อมอกที่เปลือยเปล่า สัมผัสถึงอัตราการเต้นของหัวที่ชัดเจน และตอนนี้อ้อมกอดพี่ดิมเริ่มรัดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายกำยำของเขาทำให้ผมกลายเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดราชสีห์ หนีไปไหนไม่ได้ ต้องทนฟังเรื่องที่ทั้งผมและเขาทำผิดต่อผู้หญิงหนึ่งคน

“แล้วพี่ก็กลัวว่าจะทำให้ศิเสียใจ”
“พี่ทำให้ศิรู้สึก พี่รู้ เพราะพี่ก็รู้สึก”


“อื้อ ศิรู้สึก มากๆ” เอาคางเกยบนแขนที่โอบกอดผมอยู่ในอก และเพิ่มแรงกอดตอบผู้ชายที่ตอนนี้กำลังแสดงความอ่อนแอให้ผมเห็น

“แต่มันผิด ศิรู้”

“ศิ…พี่ผิดเองที่เอาศิเข้ามาเกี่ยว มันเป็นความเห็นแก่ตัวของพี่เอง” เขากอดผมแน่นขึ้นอย่างรู้สึกได้ และไหล่หนากำลังสั่น ผู้ชายที่เคยแสดงว่าเข้มแข็งที่สุดคนนึง คอยดูแลและช่วยเหลือคนอื่นอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แต่ต้องมาเจอปัญหาในชีวิตและกำลังหลั่งน้ำตาเพราะความอึดอัด และสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าต้องเลือก จริงๆ เขาไม่ต้องเลือกเลยเพราะผมเองที่เข้ามาผิดที่ผิดเวลา จนทำให้มันยุ่งเหยิงขนาดนี้

ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินออกมาจากความหนักใจของเขา เพื่อกลับมาดูแลหัวใจตัวเองที่ตอนนี้กำลังจะแตกสลายตามใครอีกคน

“งั้นเราอย่าทำให้มันยากไปกว่านี้เลยเนอะ” เป็นประโยคที่กลั้นใจพูดเหลือเกิน ไม่ตรงกับความคิด ไม่ตรงกับความรู้สึก แต่มันตรงกับความถูกต้อง ทั้งที่ dark side ในหัวอยากกอดเขา อยากทำหลายๆ อย่างร่วมกับเขา อยากมีเขาอย่างนี้ในชีวิต แต่ light side กลับต้องปล่อยมือจากเขาไปอย่างเต็มใจ

“ศิ ไม่”

“ศิอยากเห็นแก่ตัว อยากมีพี่ดิมอยู่แบบนี้ แต่เรากำลังทำร้ายคนที่ทำแต่เรื่องถูกต้องมาโดยตลอด”

“ศิจะมองพี่ว่าเลวยังไงก็ได้ แต่พี่อยากมีศิอยู่แบบนี้”

“อยู่กับพี่ดิมได้มั้ยครับ”

“....”

เจ้าของอ้อมกอดแข็งแรง ดึงผมให้เผชิญหน้ากับเขาในท่าที่ล่อแหลม แถมขาเจ้ากรรมดันโอบกอดรอบเอวของเขาไว้ พร้อมกับแขนที่โอบไหล่กว้างไว้ ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมาให้อยากรู้สึกทรยศต่อสิ่งที่ควรทำเสียจริง

“...”

“ยังไงถ่ายซีรี่ส์เราก็เจอกันอยู่แล้ว”

“แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม!” พี่ดิมเริ่มเสียงดัง แต่ผมจะไม่ใจอ่อนแม้จริงๆ แล้วมันไม่เคยแข็งแต่แรก

“ก็กลับไปทำให้มันเหมือนเดิม เหมือนที่ตอนนี้เราเป็นแค่พี่น้องกันไม่มีอะไรมากกว่านี้”

ร่างสูงคลายอ้อมกอดเล็กน้อยๆ ยกแขนที่พาดบ่าของเขาลงและจับข้อมือเล็กๆ กอบกุมไว้ที่มือเดียว

“ศิแน่ใจใช่มั้ยว่าจะทำแบบนี้”

“เราต้องทำครับ” มองตาสีดำสนิทที่ตอนนี้วูบไหวไม่เหมือนเดิม ความมั่นใจและไม่เปิดให้อ่านความหมายหายไป รอยช้ำสีแดงจากการหลั่งน้ำตายังคงเด่นชัด ยกมือเช็ดคราบนั้นอย่างแผ่วเบา ทั้งที่หัวใจของตัวเองยังไม่หยุดร้องไห้เลยด้วยซ้ำ

ร่างสูงที่อ่อนแรงเอาหัวพาดบนไหล่ของผมราวกับจะหาที่พักพิงกับความเหนื่อยล้าที่ตัวเองต้องเผชิญ พอมาคิดดูคนที่คิดมากกว่าผมคือคนที่ตอนนี้ไม่เหลือเค้าของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์เลยสักนิด เป็นแค่ผู้ชายที่ต้องรบรากับความรู้สึกตัวเองและความถูกต้อง

“ไม่เคยคิดว่าศิจะดื้อขนาดนี้เลย”  เสียงอู้อี้จากซอกคอพูดขึ้น

“เรามาทำข้อตกลงกัน”

คนตัวโตที่งอแงมากๆ ยกหัวออกจากบ่าอย่างยากลำบาก มามองหน้าผมด้วยสายตาที่อ้อนวอน

“1.เราเป็นแค่พี่น้องร่วมงาน”
“2.ลืมเรื่องวันนี้”

“แค่สองข้อพี่ก็ทำไม่ได้แล้ว”

“ต้องได้ 3.ทำทุกอย่างตามหน้าที่”

“ใจร้ายว่ะ โคตร”

“หรือจะทำแบบที่พี่ดิมทำ ไม่คุย ไม่สนใจ ไม่แคร์ ทำตามหน้าที่ เอามั้ย”

“Shit!!”

“ข้อตกลงเริ่มพรุ่งนี้”

“งั้นคืนนี้…”

ใบหน้าคมกำลังไล่ต้อนผม สายตาที่เคยอ่อนโยนตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าเล่ห์และบอกความปรารถนาของตัวเองชัดเจน ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรเพราะไม่ใช่แค่เขาต้องการ แต่มันเป็นความต้องการของเรา ทว่ามันจะมากเกินจนผูกมัดให้เราดิ้นออกจากวังวนอุบาทว์นี้ไม่ได้ แต่จะคัดค้านต่อเสียงเรียกร้องของร่างกายและหัวใจก็เกินจะทานไหว

“May i kiss you now”

“Just kiss”


ร่างสูงผลักผมนอนลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา สายตาของเขาจับจ้องที่ผมอย่างไม่วางตา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้จนไม่เหลือพื้นที่ให้อะไรแทรกได้ ริมฝีปากประกบเข้ากับปากสีอ่อนของผมอย่างอ้อยอิง คล้ายกับอยากให้เวลามันเดินช้ากว่านี้ ความชำนาญและช่ำชองในปฏิกิริยาร่างกายมนุษย์ของคุณหมอทำผมเปิดปากรับทุกรสสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ kiss แต่มันคือ deep kiss ริมฝีปากของเราเริ่มบดเบียดด้วยแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นกันการจูบตอบแบบเด็กๆ ถูกนำมาใช้ และเผลอส่งลิ้นให้เขางับเล่น เสียงลมหายใจที่รุนแรงทำสติเริ่มกระเจิง น้ำใสๆ เปรอะเปื้อนริมฝีปากของผม และเขาก็ใช้ส่วนที่เลียได้จัดการทุกหยาดหยด ราวกับว่ามันเป็นน้ำหวานที่ราดบนขนม รับรู้ว่ามันจะไม่ใช่แค่ที่ปากเพราะคุณหมอเล่นเลื่อนใบหน้าลงไปงับที่ต้นคอให้รู้สึกเจ็บๆ คันๆ

“อ๊ะ”

“I want more” มือใหญ่เริ่มเลื้อยเข้าไปในเสื้อนอนตัวใหญ่ของเขาเอง แล้วลูบไล่แผ่นหลังของผมที่ตอนนี้แทบไม่ติดเตียง

“มะ ไม่ครับ”

เสียงของผมขาดห้วงเพราะเขาละจากซอกคอแล้วกลับมาจูบใหม่อีกครั้ง คราวนี้รู้เลยว่ามันรุนแรงกว่าเดิม เพราะปากบนและปากล่างโดนเค้าขบเบาๆ รวมถึงยังสำรวจฟันผมแทบทุกซี่ราวกับกลายร่างเป็นทันตแพทย์ชั่วขณะ ลิ้นของเราเกี่ยวกันยุ่งเหยิงลมหายใจปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าของใคร ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้กินมาชเมลโล่เผาไฟหอมๆ ที่แคมป์ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะผมยังจำรสสัมผัสนุ่มนิ่มและหอมละมุนของมันได้อยู่เลย ตอนนี้อยากงับมาชเมลโล่และกัดมันทีละน้อยเพราะกลัวหมด

ความร้อนจากร่างกายของผู้ชายที่กำลังกระสันแผ่ออกมาอย่างคุกรุ่น แม้จะอยู่ในห้องอุณหภูมิต่ำ เพราะพี่ดิมถอดเสื้อ มัดกล้ามที่แข็งแรงกำลังเกร็งและแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เด่นชัด

และถ้าไม่ห้ามเขาต้องนี้ ผมก็คงห้ามไม่ได้ รวมถึงห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

“ฮะ พี่ดิมพอเถอะ แฮ่ก”

“Damn!” ร่างสูงสบถหยาบจากการขัดอารมณ์ของผมเอง

“เราอย่าทำให้มันยากกว่านี้เลย”

“...”

“นะครับ”

“หึ จูบลาสินะ”

เสียงลมหายใจของเราดังขนาบไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศ ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากเฝ้ามองใบหน้าราวกับจะจดจำทุกอย่างในค่ำคืนนี้ไว้ให้มากที่สุด ชัดเจนที่สุด และตราตรึงมากที่สุด มือใหญ่ของเขาดึงหนังยางที่มัดผมออก ก่อนจะลูบเส้นผมเล็กนุ่มอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าทำแรงกว่านี้มันจะขาดติดมือไป ความอ่อนโยนของเขาเหมือนคนละคนกับเมื่อครู่นี้

แต่จะโหมดไหนถ้าเป็นเขาผมก็โอเคทั้งนั้น


“กอดกันมั้ย”

ผู้ชายตรงหน้าพุ่งตัวมากอดผมไว้อย่างรวดเร็ว เรากอดกันแนบแน่นอย่างที่รู้ดีแก่ใจว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำ อ้อมกอดที่เคยอบอุ่นในวันที่ฝนกระหน่ำตก ไม่เปลี่ยนไปในวันที่อากาศร้อน อาจจะอุ่นขึ้นด้วยซ้ำเพราะเนื้อของเขาแนบตัวผมที่ถูกกอดจนจมอก ความผิดบาปที่เราก่อขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับหัวใจที่เพิ่งเริ่มอยากจะเริ่มใหม่

เหมือนเห็นภาพตัวเองสะท้อนจากซีรีส์ที่อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าต้องคลาดจากพระอาทิตย์ดวงนี้

พระจันทร์อย่างผมจะเอาพลังไหนมาส่องแสง

ก็คงต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองแม้จะมืดมนก็ตาม





ฝันดี

แล้วเจอกันนะพระอาทิตย์ของผม






------To be Continued------





แงงงงง เค้าจูบกันแล้ววว แม้จะรู้สึกผิดบาปก็ตาม งื้ออ

อย่าตีเลาาา ตอนนี้หนักหน่วงกว่านี้ เย่

55555555555555

เจอกันอังคารหน้างับ

เยิ้บ

บี

@mifengbeexx

#youaremyday1





หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.09 sins (22/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 29-05-2018 22:15:28
สงสารน้องงงงงงง :o12:

จะรักกันก็ไม่ได้เพราะพี่ดิมมีแฟนอยู่แล้ว

เชียร์พี่ภัทรแทนได้ไหมเนี๊ยยย
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.09 sins (22/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vivierav ที่ 05-06-2018 21:35:43
รอนะคะะะ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.10 cigarettes after sex (06/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 06-06-2018 22:46:16
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.10 cigarettes after sex
[/size]

When your fingers walked in my hand
Next day, nothing on my phone
But I can still smell you on my clothes






“นุ่นๆ บอกทีมเซตฉากต่อไปเลย...พี่เจี๊ยบครับ ซีน 6 นี่พี่เจี๊ยบจะบรีฟเองหรือให้ผมบรีฟครับ”

“นายเอาเลย พี่ขอไปสูบบุหรี่แป๊บ ฝากบอกหมอมาหาพี่หน่อย”

“ครับพี่”


ผู้กำกับมือทองที่หลายคนอยากร่วมงานด้วย ไม่ใช่แค่กำกับละครดี แต่แกทำงานเนี๊ยบแล้วก็อารมณ์ดี ไม่ดุ แต่จะสอนมากกว่า ผมเปลี่ยนชุดเข้าฉากต่อไปซึ่งเป็นชุดลำลองเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เป็นฉากที่ภามาสมาหารังสิมันต์ที่หอ และเอาขนมมาฝากอีก เพราะอยากจะขอคุยเรื่องประหลาดๆ ด้วย แต่ตอนนี้รังสิมันต์คิดว่าภามาสตามจีบตัวเองซึ่งเป็นช่วงที่เขารู้สึกว่าเด็กรุ่นน้องคนนี้มันน่ารักดี เลยให้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวที่น้อยคนจะได้ก้าวเข้ามา แต่ตอนนี้แหละที่มันเผลอใจมากไปหน่อยเลยทำรุ่มร่ามกับน้องด้วยการเผลอจูบตอนนั้นมันผล็อยหลับ หลังจากกินขนมที่ตัวเองซื้อมาฝากคนมาหาจนหมด ความเอ็นดูที่ว่าทำให้จุ๊บอย่างตั้งใจ แต่มันก็เลยเถิดไปเป็นจูบ และคนถูกจูบดันตื่นมาจูบตอบนี่แหละ!

“ป๋า มีไรหรือเปล่าครับ”

“เอาป่ะ” คนอาวุโสส่งซองบุหรี่สีเขียวยี่ห้อนอกมาให้ผม

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวเค้าเหม็น”

“หึ ถือว่าทำการบ้าน”

“แล้วรู้ได้ไงว่ากูจะให้มึงจูบจริง ไอ้ลูกหมา” สรรพนามแบบคนคุ้นเคยถูกนำมาใช้เวลาที่พี่เจี๊ยบหรือคนในกองจะเรียกป๋า อยากคุยอะไรที่มันสบายๆ แต่เวลาทำงานป๋าก็จะเรียกทุกคนด้วยชื่อ ยกเว้นเรียกศิและพูลล์ว่าไอ้ตัวเล็กที่1 และไอ้ตัวเล็กที่2 เพราะสองคนนี้ดันเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กและป่วนสุด ยิ่งกว่าน้องใบเฟิร์นที่เด็กสุดในกองซะอีก

“เอ้า ผมก็คิดว่าจะได้จูบจริงนะเนี่ย”

“เออ กูไม่ทำอะไรหลอกคนดู เล่นก็ให้มันจริงไปเลย”

“หึหึ ดีครับ” ลอบยิ้มมุมปากอย่างคนรู้กัน พี่เจี๊ยบเป็นผู้กำกับเจนสนาม ทำไมจะมองไม่ออกกับความสัมพันธ์ลับๆ ของพระเอกนายเอกที่ตัวเองคอนโทรลอยู่

“เอาให้เนียนนะ เดี๋ยวกูเสียผู้ใหญ่หมด”

“ครับป๋า”
“จะเล่นให้เนียนกว่าหน้าเค้กป้าต้อยอีก”




“ตอน 12 ซีน 6 เทค 1”

ฉับ

เสียงสเลทดังขึ้นเป็นสัญญาณของการแสดงฉากง่ายๆ นี้สำหรับผม แต่มันดูจะยากเหลือเกินสำหรับคนที่เข้าฉากด้วย สายตาตื่นปนประหม่า พยายามนอนนิ่งๆ แต่ผิวหนังตากระตุกยิบๆๆ เป็นอาการของคนไม่สามารถข่มตาให้หลับอย่างธรรมชาติได้

“คัต!”

“ตัวเล็กหนึ่ง เคยแกล้งหลับมั้ยเนี่ย”

“โหป๋า ศิตื่นเต้นอะ”

“ใช้มุมกล้องจะตื่นเต้นทำไม”

“ฮื้อออ เอาใหม่นะ ขอโทษทุกคนนะครับ”

ผมมองหน้าป๋าแล้วก้มหน้าลอบยิ้มกับตัวเอง เพราะอีกคนที่งอแงไม่รู้ชะตากรรมว่าจะต้อง “เล่นจริง จูบจริง” ยังคิดว่าใช้มุมกล้องอยู่ ขนาดนี้ยังตื่นเต้นจนทำใจเล่นไม่ได้




“ศิ นอนคว่ำหน้าลงกับโซฟานะ ให้หน้ามันตกขอบนิดนึง หมอจะได้ทำเหมือนจูบได้”

“ครับ”

“อะบล็อกกิ้งเลย”

พี่นายโปรดิวเซอร์บรีฟซีนนี้ด้วยตัวเอง ตัวผมไม่ต้องอะไรมาก แค่นั่งมองเด็กที่เผลอหลับ ก่อนจะไถตัวมาหาน้องมันเรื่อยๆ จากที่นั่งบนโซฟาอีกตัว ก็เขยิบมานั่งพื้นเพื่อพาใบหน้าตัวเองเข้าใกล้คนหลับให้มากที่สุด ก่อนจะจุ๊บแบบใช้มุมกล้อง แล้วคัต และเปลี่ยนมุมกล้องอีกฝั่ง เพื่อให้เห็นคนที่ตื่นแล้วจูบผมตอบอย่างชัดเจน (แต่ใช้มุมกล้อง)

“หมอมองศิจากโซฟาตัวเล็กข้างๆ นี้ก่อน มองน้องมันซัก 5 วิ มองเหมือนจะแดกอะเข้าใจป่ะ”

“หึ ครับ ไม่ยาก” สบสายตาคนที่ต้องเข้าฉากด้วยกัน ทว่าดวงตาคู่สวยก็พลันหลบสายตา เป็นแบบนี้เสมอหลังจากเราทำข้อตกลงบ้าๆ นั่นกัน คนตัวเล็กจะไม่ยอมอยู่กับผมตามลำพัง ยกเว้นซ้อมบทก่อนเข้าฉากและไม่มีอะไรนอกเหนือจากการซ้อมบทจริงๆ ผมพยายามจะไม่ทำให้น้องอึดอัดแต่ว่ามันยากจริงๆ กับความรู้สึกที่วกวนอยู่ในใจ เข้าใจแล้วตอนที่ตัวเองทำเมินอีกคนแล้วเขารู้สึกยังไง แม้น้องจะไม่ได้เมินเฉยแต่เราก็ไม่ได้คุยกันแบบ “สนิท” เหมือนเดิมได้อีก สกินชิพที่เคยทำไม่ต้องพูดถึงทำได้แค่หน้าฉากถ่ายซีรี่ส์เท่านั้น

นี่ก็สองอาทิตย์ผ่านมาแล้วที่ผมต้องอดทนทำเรื่องพวกนี้

เมื่อไหร่จะได้ยกกองไปถ่ายต่างจังหวัดนะ

เผื่อบรรยากาศมันจะพาให้น้องใจอ่อนกับผมบ้าง





“ตอน 12 ซีน 6 เทค 2”

ฉับ

ใบหน้าเนียนใสหลับตาสนิทกว่าเทคแรก เวลาเขาหลับมันเหมือนก้อนสายไหมสีขาวกลมๆ ที่อยู่บนไม้เสียบ ถ้าเข้าไปแตะต้องก็กลัวจะละลายคามือ แต่ก็ชวนงับเบาๆ แล้วกลืนรสหวานปร่าลงท้องจริงๆ พวงแก้มย้วยที่แนบกับพื้นโซฟาเป็นภาพที่น่าเอ็นดูเหมือนเด็ก 6 ขวบกำลังหลับใหลก็ไม่ปาน

ก็บอกแล้วว่าซีนนี้สำหรับผมมันไม่ยากเลย แค่สวมวิญญาณของนายอาคิราแทนรังสิมันต์เท่านั้นเอง เพราะสองคนนี้แทบจะเหมือนกันแต่ติดตรงที่รังสิมันต์จะติดปากไว แต่พูดอะไรตามที่คิด สวนผมพูดก่อนคิด แต่ไม่ได้พูดทุกอย่างที่คิด มันเลยมีปัญญาแค่มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาของอาคิราผ่านรังสิมันต์อยู่นี่ไง

หลังจากที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาแต่ตอนนี้กลับเข้าถึงบทบาทด้วยการแสดงที่เหมือนหลับจริงๆ ลมหายใจสม่ำเสมอหลังจากได้พักเมื่อครู่ และได้รับการย้ำความมั่นใจจากโปรดิวเซอร์เรื่องมุมกล้องที่จะพยายามทำให้มันออกมาเหมือนจูบจริงมากที่สุด เคลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าชิดจนปลายจมูกโด่งของผมจรดกับปลายจมูกรั้นของอีกคน เอียงใบหน้ารับกับองศาปากเล็กสีชมพูก่อนจะแตะมันเบาๆ หนังตาของคนที่เสมือนหลับกระตุกเล็กน้อยแต่กล้องไม่น่าจะจับได้ เพราะป๋าไม่สั่งคัต ย่ามใจเลยบดริมฝีปากของตัวเองให้แนบกันขึ้นมากขึ้น และมากขึ้น จนลมหายใจของเราประสานกับเป็นหนึ่งเดียว

“คัต!”
“โอเค ย้ายมุมกล้องเลย ให้เร็วเดี๋ยวต่ออารมณ์ไม่ติด”

สิ้นเสียงป๋าคนตัวเล็กก็กระเด้งตัวจากโซฟาตัวนุ่มทันที อาการตื่นๆ แสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกระต่ายที่นอนหลับแล้วลูกมะพร้าวตกลงมาบนพื้นเสียงดังสนั่น เพียงแต่ว่ากระต่ายตัวนี้ไม่ตะโกนบอกใครๆ ว่าฟ้าถล่ม หากแต่ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ แต่กัดปากล่างตัวเองอย่างคนเขินปนตระหนก เหมือนเขาสตั๊นท์กับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการบรีฟแต่ผู้กำกับไม่สั่งคัต คนตัวเล็กเลยพูดท้วงอะไรไม่ได้ สายตาพลันเหลือบมาเจอผมแล้วเหมือนสะดุ้งเล็กน้อย

“ป๋า เดี๋ยวศิมา แป๊บนึงนะ”

“เฮ้ย จะไปไหนจะถ่ายแล้ว”

“ขอสองนาที”

คนตัวเล็กวิ่งหายไปจากฉาก 2 นาทีอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ แต่อาการตื่นตระหนกแสดงออกด้วยการใช้นิ้วเล็กๆ จับชายเสื้อของตัวเอง ไรผมชื้นเหงื่อเม็ดเล็กแต้มหน้าผาก ทั้งใบหน้าและหูเลือดลมคงวิ่งพล่านถึงได้กลายเป็นสีชมพูทั่วขนาดนั้น

ทำไมน่ารักเอ็นดูขนาดนี้

อยากฟัด


แต่เดี๋ยวก็ได้ฟัดแล้ว หึ


“มา ตัวเล็กพร้อมยัง”

“อื้อ ครับ”

คนโดนเรียกกลับมานั่งในมุมเดิมของตัวเอง ส่วนผมที่ยังไม่ได้ขยับไปไหนก็มองตามการกระทำของคนที่ไม่ยอมมองหน้ากันซักวิเดียว

“ศิ พี่ถามหน่อยสิ”

“...”

“ตอนที่เราแอบดูพี่ในห้องน้ำวันนั้น รู้สึกยังไง”

“เฮ้ย มาถามอะไรตอนนี้อะ เป็นบ้าหรอ” ศิเหวใส่ผมด้วยเสียงกระซิบ คงเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน เนื่องจากพี่ๆ ทีมงานจัดแสงจัดกล้อง และวนดูเทปเพื่อให้เรานั่งตำแหน่งเดิมให้มากที่สุด

“แล้วรู้สึกยังไง”

“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแหละ รู้สึกอยากออกไปจากตรงนั้น คนวิตถาร”

“หรอ”
“คิดว่าจะรู้สึกอะไรซะอีก”

“ทำไมต้องรู้สึกด้วย”

“ก็จำรายละเอียดซะแม่นได้ตั้งหลายปี ก็คิดว่ารู้สึกอะไร”

“บะ บ้า ก็แค่จำได้ป่ะ พอเลยเลิกคุย”

“งั้นก็เอาเท่าที่จำได้มาเล่นฉากต่อไป”

“ไม่จำเป็นเหอะ”

“รอดู”



“อะมาๆ ไฟพร้อม กล้องพร้อม เสียงพร้อม”

“พรึ่บ”




ตอนพี่นายบรีฟมันไม่ใช่แบบนี้เลยซักนิด มุมกล้องที่บอกจะปรับเพื่อไม่ให้ดูหลอกตาคนจนเกินไป แต่ไม่ใช้การจูบจริงเหมือนที่ร่างสูงประกบปากลงมาแบบนั้น ตกใจเหมือนกันแต่คิดว่าถ้าตัวเองจะขอหยุดกลางคันก็จะยิ่งทำให้คนอื่นทำงานช้าไปใหญ่ อีกอย่างป๋าเห็นเต็มตาแน่ๆ ผ่านจอมอนิเตอร์แต่ดันไม่สั่งคัต ผมก็แค่นักแสดงใหม่จะกล้าหยุดเล่นได้ยังไง

2 นาทีที่หายไปไม่ได้ใช้ทำอะไรเลยนอกจากกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอดหลังเสียงคัตของป๋า เหมือนเสียงระฆังสั่นตอนมวยจบยก ขณะที่ผมกำลังเพลี่ยงพล้ำคู่ต่อสู้ที่ไม่สมฐานะจะแข่งกันแต่แรก เขาที่เป็นมวยเปรียบ เจนสนามกว่า และล้มคู่ต่อสู้มานักต่อนัก ส่วนผมเป็นแค่มวยวัด ขึ้นสังเวียนชกนับครั้งได้ ไม่มีประสบการณ์มากพอจะไปต่อกรใครเขา

ยิ่งเป็นเขาผมยิ่งแพ้

“ตอนที่เราแอบดูพี่ในห้องน้ำวันนั้น รู้สึกยังไง”
“ก็จำรายละเอียดซะแม่นได้ตั้งหลายปี ก็คิดว่ารู้สึกอะไร”



ใครจะไปกล้าบอกว่ารู้สึกกับเหตุการณ์ตอนนั้นขนาดไหน เปลี่ยนชีวิตตัวเองมากมายเพียงใด แค่นี้ผมก็ทำลายข้อตกลงที่ตัวเองเป็นคนตั้งไปหลายครั้ง จูบที่ผ่านการแสดงมันปลุกอะไรหลายๆ อย่างในตัวเองอย่างพลั่งพรู ที่บอกว่าทนได้ ที่บอกว่าทำได้ มันไม่จริงเลยซักนิด จิตวิทยาการหลอกตัวเองลองเอามาใช้แล้วมันไม่ได้ผลเลย เพราะยังคิดถึงครั้งสุดท้ายที่นอนกอดกันได้อย่างเต็มหัวใจ

พอป๋าสั่งเดินกล้อง

ผมที่นอนอยู่บนโซฟาตัวเดิม พยายามข่มตาหลับให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แม้ก้อนเนื้อในหน้าอกจะเต้นรัวเหมือนกลองที่โดนตีด้วยจังหวะซุมบ้า กล้องที่เพิ่มจาก 3 เป็น 5 ตัวจับหลายมุมมากขึ้น ทั้ง close-up และมุมกว้าง มันยิ่งกดดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แล้วถ้าอีตาคนข้างหน้าจูบจริงอีกก็คงต้องขอให้หยุดถ่ายจริงๆ ไม่งั้นอาจจะตายก่อนได้

แต่ไม่ทันแล้วเพราะลมหายใจของคนที่นั่งจ้องหน้าตามบทมาสักพักก่อนจะเคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ จนลมหายใจของเขารดรินที่ปลายจมูกและริมฝีปากของผมอย่างชัดเจน ก่อนที่ปากหนาจะค่อยๆ บรรจงแตะที่ริมฝีปากผม ก่อนเขาจะทำมากกว่าแค่เอาปากแตะกัน คือเริ่มบดเบียดเข้าหา จริงๆ ในบทผมจะต้องลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่ไม่ถอนริมฝีปากออก พร้อมกับจูบตอบกลับไป แต่นี่แค่ลืมตาขึ้นมองก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว

“คัต!”

“ป๋า ทำไมจูบจริงอะ ไหนบอกจะใช้มุมกล้อง” ต้องของอแงนิดนึงเพราะมันเลยเถิดจากที่คุยกันไว้มากๆ เพราะฉากนี้จะไม่ใช่แค่เอาปากแตะกัน แต่ต้องเป็นจูบที่ลึกซึ้งพอตัว

“ก็เมื่อกี้เห็นเอ็งเล่นได้ แถมซีนมันก็ดีอารมณ์ก็ดี กลัวมันไม่ต่อเนื่อง คนดูไม่โง่นะเว้ย”

“...”

“แต่ถ้าจะให้ใช้มุมกล้องก็ได้ เดี๋ยวถ่ายฉากเมื่อกี้ใหม่ ถ้าเอ็งไม่โอเค”

“อ่า..งั้นขอทำใจก่อนได้มั้ย มีเวลามั้ยครับ”

“เออ ให้ 5 รวมกับเมื่อกี้อีก 2 เป็น 7 แล้วนะเว้ย ให้ไว”

“ครับ”

ป๋าเจี๊ยบเดินออกจากฉากไปรวมถึงพี่ๆ คนอื่นที่เดินไปหาน้ำหาท่ากินระหว่างรอผมทำอารมณ์ พี่นายเดินดุ่มเข้ามาหา ส่วนพี่ดิมที่ยังคงนั่งที่เดิม แค่ร่างสูงทำท่าสบายๆ ด้วยการเหยียดขาและอมยิ้มมุมปากแบบกวนสุดๆ

“ไงเรา”

“ต้องเล่นจริงๆ หรอพี่นาย”

“ก็ป๋าว่างั้น เราไม่โอหรอ”

“ก็เปล่า แค่มันตั้งตัวไม่ทัน ถ้าบอกก่อนก็จะได้เตรียมใจ” ก้มหน้ากุมมือตัวเองด้วยอยากสร้างความมั่นใจให้ก่อขึ้นในใจ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจจูบกับผู้ชายที่รู้อยู่แก่ใจว่าชอบเขามากขนาดไหน จูบยังไงให้ไม่กลับไปรู้สึกมากขนาดที่ต้องแหกกฏทั้งที่อุตส่าห์ทำมาได้ตั้งนาน

“งั้นก็เตรียมใจซะ เพราะเมื่อกี้มันดีมาก หมอทำอารมณ์โคตรดี”
“เอางี้เช็กมอนิเตอร์ดูมั้ย เผื่อว่าจะช่วยตัดสินใจได้”

“ครับ”

“หมอมาสิ”

ร่างสูงที่ทำท่าเหมือนไม่ได้ฟังแต่ได้ยินแน่ๆ ว่าผมคุยกับพี่นายว่าอะไร ลุกจากพื้นแล้วเดินมาที่จอมอนิเตอร์ก่อนจะยืนข้างผม แต่นั่นแหละเราไม่ควรยืนใกล้กันเกิน 1 เมตร เลยเขยิบไปเพื่อที่จะหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างพี่ทอยผู้ช่วยผู้กำกับ

ฉากที่ผมแสดงแค่หลับตาให้เสมือนว่าหลับจริงๆ เลยไม่มีทางเห็นว่าคนตัวโตมองตัวด้วยสายตาแบบไหน พี่ดิมเหมือนมีรังสิมันต์อยู่ในตัว สายตาของเขากล้าๆ กลัวๆ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะยังรับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้นกับผู้ชายที่มาตามตื้อทุกวันไม่ได้ แม้จะปฏิเสธความคิดแต่กลับหลอกหัวใจตัวเองไม่ได้ สายตาลังเลที่จะลองจูบผู้ชายตรงหน้ามีทั้งความประหม่า และความกลัว แต่ทว่าก็กล้าพอที่ทำตามคำเรียกร้องของตัวเอง ริมฝีปากที่สั่นน้อยๆ เผยอขึ้นก่อนจะประทับลงที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตารับสัมผัสนั้นเช่นกัน

ไม่แปลกใจที่ทำไมป๋าถึงบอกว่ามันดีมากๆ เพราะมันดีจริงๆ คนอะไรจะเก็บรายละเอียดของอารมณ์ตัวละครได้ดีขนาดนี้ ความประหม่า กลัว แต่ห้าวหาญพอที่จะ “ลอง” ทดสอบหัวใจตัวเอง พี่ดิมเก็บได้ทุกเม็ด ถ้าบอกว่าเขาเล่นละครมาแล้วซัก 10 ปีก็น่าเชื่อ ซึ่งพอได้มาเห็นกับตาก็ทำใจให้เซตฉากถ่ายใหม่ตั้งแต่แรกไม่ได้ มันเหมือนดูถูกความตั้งใจของทุกคน โดยเฉพาะพี่ดิม

“ดูจบแล้วเป็นไง”

“สวยอย่างที่ป๋าบอกจริงๆ”

“แล้วยังอยากให้ใช้มุมกล้องมั้ย พี่ให้เราตัดสินใจนะ เพราะนี่ก็งานเรา ทุกคนมีสิทธิ์พึงพอใจกับงานของตัวเอง”

“ไม่ล่ะครับ เหลืออีกกี่นาที”

“2”

“งั้นพี่ดิม ไปซ้อมกัน”

ลากแขนผู้ชายที่ยืนกอดอกออกมาจากจอมอนิเตอร์ ก่อนจะพาเขาไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อแคบๆ หลังฉาก เพื่อตกลงอะไรบางอย่าง

“ลากพี่เข้ามาแบบนี้จะทำอะไรไม่ดีกับพี่ป่ะเนี่ย”

“จูบศิเหมือนที่พี่ดิมจูบวันนั้น”

“เฮ้ย!”

“ที่พี่ถามว่าศิรู้สึกอะไรเมื่อสิบปีก่อน มันแค่วูบวาบตามประสานวัยรุ่น แต่คืนนั้นรู้แล้วว่าการแสดงออกว่าเรารู้สึกกับใครมากๆ เป็นยังไง”

“...”

“เอาความรู้สึกของอาคิรามาใส่ในตัวรังสิมันต์ได้มั้ย”
“ไม่งั้นภามาสคงทำให้ศิรัสผ่านฉากนี้ไปไม่ได้”


มือใหญ่สากเล็กน้อยลูบลงบนใบหน้าของผมอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา ราวกับว่ากลัวมันบุบสลาย ทั้งที่ตอนนี้เราทั้งสองคนรู้ดีว่ากำแพงที่พากันก่อ ฉาบ และเทปูน มันพังทลายไม่มีชิ้นดี

“ครับ”




พรึ่บ

“แอ็คชั่น!”

ทันทีที่ริมฝีปากของคนที่ใช้ลมหายใจปลุกอารมณ์ให้กระเจิงมาหลายวินาทีก็ได้สัมผัสกับความนุ่มนวลที่เคยเจอ เหมือนภาพแฟลชแบ็คที่ฉายย้อนกลับไปคืนที่เกิดจูบแรกของเรา เมื่อคนตัวโตลงน้ำหนักมากขึ้นก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องเปิดดวงตาด้วยอากัปกิริยาตกใจเล็กน้อย และก็เริ่มจูบตอบไปอย่างไร้เดียงสา ซึ่งมันเป็นจูบปกติเพราะไม่ได้เก่งมากประสบการณ์เหมือนคนนำเกมตอนนี้ เสียงของริมฝีปากที่ประกบกันดังเล็ดลอดผ่านไวเลสเป็นแน่ ซึ่งมันคงน่าอายมากๆ แต่นั่นแหละหยุดตอนนี้ก็คงต้องเล่นกันใหม่หมด

เราสองคนเหมือนลืมบรรยากาศรอบข้างว่ามีสายตาหลายสิบคู่กำลังมองเราอยู่ ความเงียบสงัดในห้องเล็กๆ เสมือนจำลองให้เราสองคนที่อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้หลากสี หอมหวน ชวนให้หลงใหล และติดกับอย่างหาทางออกไม่เจอ ร่างสูงใช้มือประคองหน้าของเราไว้ก่อนจะกดจูบหนักๆ ครั้งสุดท้ายแล้วค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าออกอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับว่าได้กินอาหารรสโปรดแล้วไม่อยากให้มันหมด และเขาจะกดจูบลงที่หน้าผากผมด้วยความอ่อนโยนทั้งหมดที่มี เราสบตากันอย่างมีความหมาย

 รังสิมันต์รับรู้ความรู้สึกของภามาสผ่านสัมผัสนี้

ไม่ต่างจากที่ศิรัสก็โหยหาสัมผัสของอาคิราเหลือเกิน

“คัต”
“สุดยอด!”

“วุ้วว”
“เก่งเว้ย”

เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังมากจากที่งานทุกภาคส่วน ไม่แม้แต่แม่ครัวที่ชะเง้อหน้ามองอยู่ที่ประตูไกลๆ จะไม่อายได้หรอ เลยเอาหน้ามุดกับแขนเสื้อคนตัวโตที่ยิ้มรับคำชมอย่างหน้าบาน ไม่พอเลียริมฝีปากลวกๆ ให้ผมเห็นอีก แม่งยิ่งเขินไปกันใหญ่ หน้าร้อนไปหมดเลย ไม่เคยคิดว่าการจูบต่อหน้าคนมากๆ แม้จะเป็นแค่การแสดง (ที่ออกมาจากความรู้สึกจริง) จะสร้างความเขินก้อนมหึมาได้ขนาดนี้ อยากมุดดินหนีสุดๆ

“พี่ไม่ได้แอ็คติ้งนะ”
“พี่คือพี่”

“อื้อ ศิก็คือศิ”


เสียงอู้อี้ที่ได้ยินแค่เราสองคนมันดังชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายของการเซตฉากต่อไป เป็นสิ่งยืนยันว่ากฏห่าเหวต่างๆ ที่พยายามทำกันมาตั้งมากมายแตกสลายเป็นผุยผง เหลือเพียงโมเลกุลเล็กปลิวว่อนในอากาศ ก่อนที่จะถูกพัดหายไปกับสายลม แต่กระนั้นเราก็ยังรู้ว่ามันยังคงอยู่ สัมผัสมันได้อยู่ และเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงอย่างไรมันก็เกิดขึ้นจริง

และเราก็พร้อมทำผิดกันอีกครั้งอย่างรู้อยู่แก่ใจ





มีต่อ





หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.09 sins (22/05/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 06-06-2018 22:56:05
@เพ้นท์เฮ้าส์

ถ่านที่ไม่เคยมอดเวลาได้เติมเชื้อเพลิงเล็กน้อยมันก็ลุกโชนขึ้นเป็นเปลวไฟร้อนแรงเจิดจรัสได้อีกครั้ง หากทว่าคราวนี้แทบไม่มีใครพยายามมอดกองไฟนี้อีก มีแต่จะเติมเชื้อเพลิงให้ลุกโชติช่วงและประคองไม่ให้มันดับไปอีก

จุ๊บ

“อื้อ พี่ดิม ปล่อยก่อน”

“ก็คิดถึง”

ผู้ชายตัวใหญ่ผิวแทนขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะออกกองถ่ายงานกลางแดด กำลังกอดผมบนตักกว้างและจูบย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกที่หลังคอ กกหู และแก้ม พร่ำเพ้อพูดว่าคิดถึงเป็นสิบครั้งได้ กลับมาอยู่ที่คอนโดเขาอีกครั้งหลังจากถ่ายซีนสุดท้ายของวันนี้ ซึ่งเขาหาโอกาสล่อลวงผมมาที่นี่ตั้งแต่วันที่ถ่ายฉากจูบ แต่พยายามปฏิเสธตลอดเพราะอยากขอเวลาคิดอะไรหลายๆ อย่าง และพยายามยอมรับว่าการกระทำที่ใจอยากไม่ต่างจากเป็น “ชู้” แต่นั่นแหละความดีแพ้ความเลวเสมอ

“หอมจัง” เขายังไม่หยุดที่จะเอาจมูกโด่งๆ สำรวจต้นคอผม

“หอมอะไรศิยังไม่ได้อาบน้ำเลย มีแต่กลิ่นปิ้งย่างเหอะ”

พยายามเอียงตัวหลบแล้วแต่ว่าอย่างที่รู้

เขา = เสือ

ผม = แมว

“คิดถึงพี่มั้ย”

“เจอกันอยู่ทุกวันนี่นะ”

“คิดถึงพี่มั้ยครับ” เขาใช้มือหนาประคองใบหน้าให้หันไปสบตาสีนิลสีเดิมที่ตอนนี้มีแต่แววตาที่ซุกซน พยายามจะไล่ต้อนให้ผมตอบคำถามแบบที่เขารู้อยู่แล้ว

จุ๊บ

“คิดถึงครับ”

สองสายตาประสานกันก่อนจะค่อยๆ เอียงหน้ารับสัมผัสจากริมฝีปากของกันและกัน คุณหมอไล่ต้อนผมด้วยรสจูบที่เคยปรนเปรอให้ ลมหายใจเริ่มประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกันอย่างช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะรุกมากขึ้นจนผมต้องพ่นลมหายใจออกทางปากตอนที่เขาเริ่มใช้ลิ้น และเขาก็จัดเจนพอที่จะทำให้ผมเปิดปากให้เขาสำรวจทุกซอกทุกมุมภายในพื้นที่เล็กๆ มุมปากเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำใสๆ และเขาก็จัดการมันทุกหยาดหยด

“ฮะ แฮ่ก”

มือใหญ่จับแขนผมคล้องคอเขาก่อนจะลูบเอวเล็กให้หันไปนั่งค่อมเขาในท่าที่ล่อแหลม ไม่พอยังใช้มือสากเลิกเสื้อฮาวายขึ้นก่อนจะสอดมือเข้าไปแล้วลูบวนบริเวณเอวและแผ่นหลังก่อนจะไล้มาที่หลุมสะดือ ผมถึงกับสะดุ้งเพราะมันรู้สึกเสียวพิกล เขาถอนจูบเพราะแรงกระตุกเมื่อกี๊ก่อนจะจูบใหม่ด้วยการยกยิ้มมุมปากอย่างคนหาของเล่นใหม่เจอ ปลายนิ้วเรียวหมุนวนรอบฐานสะดือและมันทำให้ผมสะดุ้งหลายรอบก่อนเขาจะถอนจูบที่ยาวนานออก เสียงลมหายใจหนักที่ผสานกันอยู่ตอนนี้มันตอบคำถามเราทั้งคู่ได้ดีว่าจะเกิดอะไรต่อ

ร่างสูงค่อยๆ ถอดกระดุมเสื้อของผม ในขณะเดียวผมก็แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตมูจิของเขา เราสบตากันทว่าผมต้องหลบสายตาคมที่มันอ่านออกอย่างชัดเจนว่าเขาคิดเลยเถิดไปถึงขั้นไหน เสื้อของพี่ดิมถูกปลดออกจากร่างกายที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแต่เขาหยุดมือตั้งแต่ปลดกระดุมเสื้อผมถึงเม็ดที่สาม พอเสื้อเขาตกลงพื้น จู่ๆ ก็พรวดพลาดจูบผมอีกครั้งอย่างร้อนแรงกว่าเดิม คราวนี้รับรู้ได้เลยว่าเขา

เอาจริง

ริมฝีปากร้อนซุกไซ้ลงมาตามลำคอ ตอหนวดเล็กๆ ของเขาทิ่มผิวเนื้อผมจนต้องส่งเสียง ไม่ช้าลิ้นร้อนก็ถูกใช้งานอีกครั้ง เขาขบเม้มจนคิดว่าน่าจะเกิดรอยบางๆ เลยดันไหล่เขาออกนิดนึง

“มันจะเป็นรอยนะครับ”

“มีวิธีทำให้หายเร็วๆ พี่เป็นหมอนะ”

จบประโยคเขาจัดการเม้มหลายจุดที่ไหปลาร้า เนินอก ก่อนที่เขาจะถดตัวออก ตอนแรกผมคิดว่าเขาน่าจะพอแล้วแต่ไม่เลย ปากอันเดิมกำลังเม้มตุ่มไตที่หน้าอกผ่านเสื้อฮาวายตัวบาง ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนๆ เลียรอบฐานอย่างชำนาญและกัดเบาๆ

“อ๊ะ”

เสื้อฮาวายสีฟ้าอ่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของคนที่ยังไม่คิดจะปลดมันออก  เหมือนรอคำขอร้องจากผมอย่างไงอย่างงั้น

หึ

วางแผนไว้แล้วสินะ

“ฮื้อ พี่ดิม เสื้อมันเปียกมันหมดแล้วนะครับ ฮะ อื้อ”

“พี่ควรทำยังไงดีครับ ช่วยบอกหน่อย”

“ถะ ถอด ถะ เถอะ ฮ้า”  ยังพูดไม่จบร่างสูงก็จัดการแหวกเสื้อให้กว้างขึ้นก่อนจะนำผิวริมฝีปากมาสัมผัสผิวที่หน้าอกอีกครั้ง ซึ่งมันรู้สึกเสียวกว่าเดิมเพราะเป็นเนื้อแนบเนื้อเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกอะไรก่อน มันตีกันสับสนเหมือนมีมดเดินอยู่ในท้องซักแสนตัวได้

ไม่ช้าเสื้อที่คนมือใหญ่พยายามปลดกระดุมก็โดนดึงจนกระดุมกระเด็นไปไหนไม่รู้ และตอนนี้ท่อนบนของเราก็เปลือยเปล่าต่อหน้ากันครั้งแรก อย่าหาเวลาอายกันเลยมีหน้าที่แค่กลั้นเสียงน่าอายเท่านั้น

ตอนนี้รู้สึกคิดผิดที่ใส่กางเกงยีนส์เดฟแนบขาเพราะมันทำคนถอดเริ่มหงุดหงิด แต่ผมกลับขำกับความพยายามของเขา จริงๆ ออกปากให้ผมถอดเองน่าจะง่ายกว่าแต่คนตัวโตไม่ยอมเอ่ยปาก แต่สุดท้ายผมก็ได้ลุกไปยืนต่อหน้าให้เขาลอกคราบตามใจ

“ทีนี้เราก็ช่วยพี่บ้าง”

มือเล็กเงอะงะไม่แน่ใจว่าจะใช้วิธีไหนปลดกระดุมกางเกงยีนส์สีซีดที่ตอนนี้เป้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยู่ภายใต้ยีนส์ราคาแพงคงตื่นเต็มที่ ขนาดไม่ได้มองหน้าเขายังรู้เลยว่าเขากำลังยิ้มเยาะที่ผมเงอะงะเหมือนเป็นเซ็กซ์ครั้งแรก ปลดตะขอและรูดซิปลง ก่อนจะโอบรอบตัวเขาเพื่อปลดกางเกงลงจากสะโพก ที่สำคัญไอ้สิ่งที่คิดว่ามันตื่นมันตื่นกว่าที่คิด หน้าเริ่มเห่อร้อนกับสิ่งลามกที่คิดในหัว

กางเกงยีนส์ยังไม่หลุดจากขาคนตัวสูงดี เขารวบตัวผมก่อนจะผลักลงโซฟาตัวเดิม และสลัดกางเกงให้พ้นตัว ก่อนจะเข้ามาจูบอย่างหิวกระหาย เสมือนการที่ผมปลดกางเกงให้ส่งผลต่อความอดทนของพี่ดิมเหลือเกิน ไม่พอก้านนิ้วยาวของเขายังคอยสะกิดตุ่มที่หน้าอก และอีกมือก็ลูบไล้สะดือและท้องน้อยให้ส่งเสียงน่าอายในลำคอ ยังไม่ทันได้หายใจ มือที่เมื่อกี๊วนที่สะดือก็เลื้อยเข้าไปใต้ calvin klein ของผมก่อนจะลูบคลำสิ่งที่นอนนิ่งให้มันตื่นตามของเขาไป คนลามกยังจับมือผมไปลูบของเขาทั้งที่ปากยังทำงานดีจนน่าตี เพราะหน้าอกคงพร้อยไปด้วยรอยคิสมาส์กเขาเต็มไปหมด

“รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรต่อ”

ผมพยักหน้ารับ

“ถ้าจะหยุดให้พี่หยุดตอนนี้”

“...”

“เพราะต่อจากนี้พี่จะไม่หยุด”

พี่ดิมพูดจบประโยคก็สบตาผมรอการตัดสินใจทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรามาไกลเกินกว่าจะหยุด แต่สิ่งที่เขาทำมันคือการให้เกียรติผม  และอยากให้เรื่องที่จะเกิดขึ้นเกิดจากความพร้อมใจของเราทั้งคู่ ไม่ใช่อารมณ์ชี้นำ แม้ว่าใจจะรู้ดีว่าไม่ควรแต่บางทีชีวิตเราก็แค่อยากเลือกทำในสิ่งที่รู้ว่าผิดแต่มันถูกใจแค่นั้น

ผมไม่ตอบรับอะไรแต่ใช้แขนโอบรอบคอแล้วจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากหนา และนี่แหละเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของผู้ชายตัวโต เขาดึง ck ตัวน้อยออกก่อนจะจัดการกับอามาร์นี่สีดำของตัวเอง เนื้อตัวเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่มันกระตุ้นความรู้สึกปั่นป่วนจากภายในให้สูบฉีด สายตาคมสำรวจร่างกายของผมเหมือนพยายามสแกนทุกรูขุมขน เลยบิดขาปกปิดส่วนที่แข็งขืนเพราะแรงอารมณ์ แต่มือใหญ่กลับแยกมันออก

คนตัวโตลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างที่ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร พยายามเบียดขาตัวเองเขาหากันเพราะไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น ผมคงหัวใจวายตายไปก่อน

“ไม่นะครับ ไม่ทำตรงนั้น”

“พี่อยากทำให้”

จบประโยคคุณหมอที่รู้ดีกว่าการเมคเลิฟด้วยวิธีนี้จะทำให้คู่ของตัวเองรู้สึกดีแค่ไหน มันไม่ใช่แค่ออรัล แต่มันคือการวางใจและยินยอมที่จะถูกปรนเปรอด้วยส่วนที่อ่อนไหวและส่วนที่นิ่มนวลที่สุด แค่เขาครอบครองสิ่งนั้นด้วยปากเสียงครางน่าอายก็ออกจากลำคอทันที

“อื้อออ พะ พี่ ดิม”
“อะ อย่า”

แม้จะรู้ว่าห้ามเขาไม่ทันแต่ก็ไม่อยากให้เขาหย่ามใจกลืนกินจนเหมือนเป็นสิ่งที่เขาควรลิ้มลองนัก เพราะมันไม่ใช่อาหารไง อิพี่ดิมนี่กะจะให้ผมเสร็จคาปากเขาหรือไง ดูดเหมือนมันจะให้มันหลุดเขาไปในคอเขาอย่างนั้น มือเล็กลูบผมของผู้ชายที่โยกขึ้นลงจนผมนี่ตัวไม่ติดโซฟา ก่อนจะพยายามดันหน้าเขาออก แต่นั่นแหละไม่มีทางที่ร่างสูงจะยอม

“อ๊ะ ฮ่า จะออกแล้วครับ ฮะ อ๊ะ”

ของเหลวสีขุ่นพุ่งออกมาเลอะปากของผู้ชายผิวแทน ซึ่งมันมีจำนวนเยอะจนเปรอะไปถึงหน้าอกเขา ก็แน่ล่ะสิช่วงนี้ถ่ายซีรี่ส์แค่เวลานอนยังน้อยเอาเวลาไหนไปปล่อยออก คนตรงหน้าเลียขอบปากที่เปื้อนน้ำแถมมองด้วยสายตาที่เหนือชั้น

“หึ”

“ขำอะไรครับ”

“รู้มั้ยศิตอนนี้เซ็กซี่เป็นบ้า”

“...”

“ตัวขาวๆ เลอะน้ำขาวๆ เต็มตัวไปหมด”

“หยุดลามกเลย”

“พี่ว่าเราเลยคำนั้นมาเยอะแล้วนะ”

“Shut up!”

“And fuck me? I want to hear that word”

“Stop your fucking sassy words!”

“Okay i’m ready to fuck you”

จบประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงบริชติชที่โคตรล่อแหลม เขาก็ไล่จูบผมตั้งแต่ข้อเท้า แม้จะผมจะชักเท้าหนี แต่ไม่ทันหรอก จนเลยเถิดมาถึงลำคอ มือซนคอยปาดคราบน้ำรักไปป้ายที่ตรงช่องทางอุ่น ลูบวนและส่งก้านนิ้วแข็งค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไป และนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วเพราะเจ็บ แต่เขารับรู้ได้เลยพยายามจูบหนักๆ เบี่ยงเบนความสนใจ มือข้างที่ว่างก็พยายามปลุกเร้าตุ่มที่หน้าอก พอเผลอนิ้วที่สองก็เข้าไปได้ง่ายกว่าเดิม ตามมาด้วยนิ้วที่สามที่ทำเอาจุกเสียดเหมือนกัน กลั้นเสียงที่บอกว่าตัวเองเจ็บแล้ว แต่คนด้านบนก็รับรู้ได้อยู่ดี

“เจ็บมั้ยครับ” ตอบไม่ได้เลยแค่พยักหน้ากลับไป

“พักก่อนมั้ย” ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

“...”

“แค่ทำให้เร็วขึ้นน่าจะช่วย” พอร่างสูงได้ยินอย่างนั้นนิ้วที่ยาวที่สุดก็กำลังควานหาบางอย่างจนมัน…

“อ๊ะ”

“เจอแล้ว”

“ตรงนี้หรอที่ให้ทำเร็วๆ”

“ทำไมพูดมากอะ”

“หึ”

เหมือนเจอกล่องสมบัติพอจับจุดได้เขาละการเล้าโลมแล้วโฟกัสการที่ทำให้ผมตัวกระตุกเพราะสะกิดต่อมสร้างความรู้สึกเสียวตรงนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“อ๊ะ ฮ่ะ ไม่เอา อ๊ะ นิ้วแล้ว”

“หื้ม”

“เอานิ้วออก อ๊ะ อื้อ”

“แล้วทำยังไงต่อครับ”

“เข้ามาเถอะ คะ ครับ” ไม่รู้ว่าทำหน้าตาแบบไหน ถ้าเห็นตัวเองในกระจกคงด่าตัวเองว่า slut ได้อย่างไม่ขัดใจเลย เซ็กซ์ทำให้คนเปลี่ยนไปได้เยอะจริงๆ ทั้งผมทั้งเขา จากเป็นปลาหมึกตอนนี้เป็นเสือซะงั้น ส่วนผมจากเป็นกระต่ายก็กลายเป็นแมวขี้ยั่ว

คนตัวโตถอนนิ้วก่อนแล้วยกตัวผมที่อ่อนปวกเปียกเป็นวาสลีนโดนความร้อน เข้าไปในห้องนอนของเขาที่ชั้นสอง การขึ้นบันไดด้วยการอุ้มผู้ชายที่ไม่ได้ตัวเล็กเบาหวิวได้นี่เขาต้องแข็งแรงขนาดไหน พอหลังสัมผัสกับเตียงเท่านั้นแหละพี่ดิมจัดการสวมถุงยางให้ตัวเองด้วยความเร็วแสง

สารหล่อลื่นจากถุงยางทำให้ส่วนแข็งขืนมากของเขาที่พยายามเข้ามาให้ตัวของผมไม่ได้ยากเท่าคิดไว้ อาจจะเพราะการเล้าโลมที่หนักหน่วง แถมมีน้ำหล่อลื่นของผมผสม แต่ความพยายามของเขาไปได้แค่ครึ่งทางเพราะจู่ๆ ส่วนนั้นก็เหมือนจะขยายตัวขึ้นอีก และพี่ดิมคงรู้ว่าผมเริ่มเจ็บเลยหยุดสอดใส่แล้วเอนตัวลงมากอดผมอีกครั้ง

“ศิ อย่าเพิ่งรัดพี่สิครับ”

“ศิเปล่า”

“ถ้าพี่เสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้ขยับมันจะดูน่าอายมั้ย”

“อื้อ งั้นเข้ามาเถอะ”

“...”

“เพราะศิก็ไม่อยากอายที่ต้องเสร็จตั้งแต่พี่ยังไม่ขยับ”

พี่ดิมพยายามดันส่วนนั้นเข้ามาในตัวผมทั้งที่ยังกอดผมอยู่ในอ้อมกอด มันเสียวมากจนต้องกอดเขาแน่นและอ้าขากว้างขึ้นไปอีกเพื่อให้ตัวตนของพี่ดิมเข้ามาให้สุดทาง คนตัวโตจูบไปมั่วซั่ว ฟังจากเสียงลมหายใจก็รู้ว่าเขาอยากไปต่อเต็มที่แต่กลัวผมเจ็บ เลยประคองหน้าเขาแล้วจูบซับที่หน้าผากพร้อมยิ้มให้อยากบอกว่าไม่ต้องกังวล แม้ในใจจะกลัวพลังความแข็งแรงที่เขาจะใส่เต็มที่เมื่อผมพร้อม

ร่างสูงค่อยๆ ขยับร่างกาย จับหัวเข่าของผมเพื่อยั้งแรงตัวเอง ก่อนที่จะกระแทกรุนแรงขึ้น เสียงครางที่โคตรเซ็กซี่ทำผมเสียวสะท้านไปหมด ไม่รู้จะรู้สึกอะไรก่อน ใครจะไปคิดว่าจะกำลังเมคเลิฟกับผู้ชายที่ตัวเองไม่เคยจินตนาการว่าจะมาถึงตอนนี้ ตอนที่ตัวตนของเราผสานกันแนบแน่น สัมผัสกันอย่างลึกซึ้ง มากกว่าเซ็กซ์เต็มไปด้วยความรู้สึกรัก ที่อบอวลเต็มห้องใหญ่นี่ อุณหภูมิเย็นจัดก็ไม่เท่าความร้อนแรงของผู้ชายตรงหน้า เหงื่อที่ผุดจากกิจกรรมใช้แรงทำให้เขาดูเซ็กแอพพีลสูงกว่าที่เคย และผมไม่อยากให้ใครเห็นภาพของเขาตอนนี้เลย ให้ตายสิ ฮอตฉิบหาย

เสียงเนื้อกระทบกันอย่างรุนแรง พี่ดิมถอนแท่งร้อนออกก่อนจะพยุงตัวผมให้หันหลัง และเข้ามาอีกครั้ง ท่านี้มันลึกกว่าเมื่อกี๊อีกมากๆ

“อ๊ะ ฮ่า ลึก ไปแล้วครับ”
“บะ เบาหน่อยครับ”

“ก็อย่าตอดพี่แรงสิ”

เขาเหมือนหูดับฟังอะไรไม่ได้ความอีกเพราะแรงกระแทกกระทั้นมันรุนแรงและรวดเร็ว จนผมร้องไม่เป็นภาษาและหวังว่าผนังเพ้นท์เฮ้าส์แพงจะหนาพอที่จะไม่ทำให้เสียงผมหลุดออกไปให้ได้อับอายคนอื่น

พี่ดิมพลิกตัวผมให้กับมาท่ามาตรฐานอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขารีบร้อนเหมือนจะถึงจุดของเขาแล้ว ในขณะที่ผมถึงไปสองรอบตอนที่เร่งความเร็วเมื่อครู่ เสียงครางต่ำจากปากคนตัวโต และการซอยถี่แบบไม่หยุดพักทำผมใจจะวาย

“อีกรอบมั้ยครับคนดี อ๊ะ”
“พร้อมกันนะ”

“ฮื้อ อ๊ะ อ่า”

“แฮ่ก อ่าา”

แรงกระตุกสองสามทีของพี่ดิมเป็นสัญญาณว่าเขาถึงจุดหมาย แต่ร่างสูงยังไม่ยอมถอนกายออก ความอุ่นร้อนของน้ำรักรู้สึกผ่านถุงยางแบบบางมาก คนตัวโตล้มตัวมาซุกไซ้ที่ลำคอและหน้าอก เหมือนแมวเชื่องๆ ที่กำลังอ้อนเอาอะไรซักอย่าง ผมเลยกอดแมวตัวโตที่แกนกายเขายังไม่ยอมสงบลง

“อยากทำอีกรอบหรอ หื้อ คุณแมว”

“ครับ เจ้าของแมว แต่ถุงยางหมด”

“สดก็ได้” ผมยกยิ้ม

เท่านั้นแหละพี่ดิมกระวีกระวาดถอดถุงยางทิ้งข้างเตียงและต่อรอบสอง สาม ทันที

แมวในร่างเสือมันพร้อมงับเหยื่อที่ใจอ่อนเสมอ

บอกตามตรงการจะลุกออกมาจากเตียงที่มีคนตัวขาวๆ นิ่มๆ ที่นอนหลับพริ้มในอ้อมกอดนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าไม่ลุกมาทำอะไรซักอย่างคงอดใจไม่ไหวทำรักต่ออีกรอบ ทั้งที่อีกคนง่วงและเพลียจนหลับไปในรอบที่สาม ควันบุหรี่สีเทากลืนไปกับท้องฟ้าสีดำสนิทในเวลาตีสองกว่า ดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าและเห็นเด่นชัดมากกว่าตอนดึก ลมเย็นพัดเอื่อยๆ ไม่แรงนักทำให้รู้สึกสงบลงได้บ้าง แต่ไอ้เจ้าที่อยู่ใต้ผ้าขนหนูที่พันลวกๆ ก็ยังไม่สงบอยู่ดี ยอมรับว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ทางเพศค่อนข้างสูง แต่จะระบายออกด้วยตัวเอง

และ

เกล

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ไอ้สิ่งที่ทำลงไปจะผูกมัดตัวเองให้ดิ้นจากศิไม่หลุด และทำให้ความสัมพันธ์ของเราสามคนยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้ แต่เชื่อเถอะถ้าคุณได้ใช้เวลาอยู่กับเด็กคนนี้ จะไม่มีซักวินาทีที่ไม่อยากครอบครองเขา ไม่อยากสัมผัสเขา ไม่อยากให้เขาเป็นของตัวเองแค่คนเดียว คุณไม่มีทางปฏิเสธได้เลย แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องทำเลวต่อคนรักมากแค่ไหนก็ตาม

หมับ

“ตื่นมาไม่เจอ” เสียงอู้อี้จากคนที่เดินมากอดด้วยเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า โดยคลุมตัวเองด้วยผ้านวมสีเทาเหมือนมาชเมลโล่เดินได้

“พี่ออกมาสูบบุหรี่” ดับบุหรี่แล้วโยนทิ้ง ก่อนหันไปจัดผ้านวมให้พันตัวเขามิดชิด แล้วดึงมาชเมลโล่ที่ตอนนี้ผมฟู แก้มชมพู เข้ามากอดเต็มอก

“ไม่เห็นเคยสูบ หรือว่าเครียดหรอ”
“คิดผิดที่ทำหรอครับ”

“ป่าว ป่าวเลย หยุดความคิดนี้ไว้เลย”

“แล้วสูบทำไม” ผมกระชับอ้อมกอดขึ้น ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากมน

“มันไม่ลง”

“หื้อ”

“นอนกอดศิทั้งอย่างนั้นมันไม่ลง” ส่งสายตาไปมองสิ่งที่ยังแข็งขืนได้ร่มผ้า

“หื้อออ พี่ดิมมม” คนในอ้อมแขนมุดหน้าลงกับอกอย่างเขินสุดขีด หูแดงไปหมด ที่เห็นเจ้านั้นเด่ชี้หน้าเขาผ่านผ้าขนหนูบางๆ

“อยู่ตรงนี้ซักพักนะ”
“ง่วงก็หลับได้เลย พี่จะพาไปนอน”

“อื้อ”

“ถ้าไปนอนที่เตียงพี่กลัวจะอดใจไม่ไหว”
“เดี๋ยวศิจะเจ็บ”

เรากอดกันท่ามกลางหมู่ดาวและสายลมที่พัดผ่าน พระจันทร์ในวันข้างขึ้นสวยหมดจด ไม่ต่างจากพระจันทร์ของผมที่แม้จะอ่อนแรง แต่ก็ยังส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดเสมอ







----------To be continued-----------



ป่ะ เข้าคุกกันเถอะพวกเรา5555555555555555555555555555
ไหนใครบอกหมอดิมเยสดุนะ
มาเอารางวัลไปเรย5555555555555

แตงเปงแตกทีแท้ทรู แตกแบบตั้งใจ แตกแบบมั่ยแค มั่ยรัยเรยยย

แงงงงงงงงงงง #อยากเปงเมียหมอดิม กด 1 #อยากเปงเมียหมอดิม กด 2 #อยากเปงเมียหมอดิม กด 99 สาธุบุนโยเรเพราะมั่ยสวยเท่าน้องศิก็เหนื่อยหน่อย

แหล่งตะโกนเอาไว้บอกว่าพวกเทออยากมีผัวเปงคัย อย่าลืม

@mifengbeexx

#youaremyday1


บีอยากเปงเมียหมอดิม :hao7:




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.10 cigarettes after sex (06/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Mofa_l ที่ 07-06-2018 00:47:36
หมอดิมไม่อ่อนโยนต่อใจชุ้นเลยยยย :haun1: อยากจิเป็นศิ!!!  :ling1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.10 cigarettes after sex (06/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: biibbmnt ที่ 11-06-2018 17:34:29
จะบ้าตายยยยยยยยยยยยยยย
 :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.10 cigarettes after sex (06/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vwiwiw ที่ 14-06-2018 23:52:33
 :fire: :m31: :m16:

เมื่อไหร่ep11จะมาค่ะ
รออยู่นะคะ พลีสสสส
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.10 cigarettes after sex (06/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 15-06-2018 23:15:33
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.11 A kiss A promise
[/size]

I need you to, Tell me right before it goes down
Promise me you'll Hold my hand if I get scared now



“อยากทำอีกรอบหรอ หื้อ คุณแมว”

“ครับ เจ้าของแมว แต่ถุงยางหมด”

“สดก็ได้”


ช่วยไม่ได้ที่ตื่นก่อนอีกคน เลยได้มานอนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน กำลังงงตัวเองว่ากล้าพูดแบบนี้ออกไปได้ยังไง เพราะอารมณ์ที่มันยังต่อเนื่อง หรือเพราะคนที่มาอ้อนแต่ไม่กล้าพูดอะไร หรือเพราะไฟในใจมันก็บอกว่าต้องการเหมือนกัน แม่งโคตรน่าอาย และโคตรน่าไม่อายสุดๆ เลย

ไหนจะตอนที่เดินไปกอดผู้ชายที่ตื่นมาไม่เจอเมื่อคืนด้วยร่างกายเปลือยเปล่า คว้าได้ผ้านวมก็เดินโทงๆ ออกไปเลย นี่มันไม่ต่างอะไรกับเมียอ้อนผัวเลยไม่ใช่หรือไง เพียงแต่เราเป็นทางกายไม่ใช่ทางใจหรือพฤตินัยน่ะสิ แต่นั่นแหละโดยรวมสกิลอ่อยแบบไม่รู้ตัวของผมนี่ก็ไม่ธรรมดาเลยว่ะ มารู้เอาวันนี้แหละว่าตัวเองก็แรดเหมือนกัน เฌอรู้คงโดนกรี๊ดใส่หูแรงๆ

คนข้างๆ ที่ยังกอดผมแน่นทั้งที่นอนคว่ำเอาหน้าซุกต้นคอผมหลับสบายโดยไม่มีท่าทีจะตื่น ไม่แน่ใจว่าต้องไปเข้าเวรกี่โมง แต่คุณหมอไม่เคยลืมหน้าที่ นี่ก็เพิ่งแปดโมงนิดๆ อาจจะเข้าเวรสายล่ะมั้งวันนี้ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งจะลุกไปเข้าห้องน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่มีคราบเหงื่อไคล และนอนหมกกันแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว จริงๆ พี่ดิมบอกว่าจะเข้าไปอาบน้ำก่อนนอนก็ได้เขาจะ ‘จัดการ’ ให้ แต่ทว่าผมง่วงเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากจะนอนให้เขากอดเฉยๆ อีกอย่างตรงนั้นก็ขัดๆ เสียดๆ ด้วย นอนเอาแรงก่อนค่อยว่ากัน แต่พอตื่นมาก็รู้เลยว่ามันไม่สบายตัวเท่าไหร่

ทันทีที่จะลุกออกจากเตียงก็มีมือใหญ่กอดหมับเข้ามาที่เอว

“จะไปไหนครับ” มือสีแทนลูบเอวของผมก่อนที่จะพาตัวเองเอาใบหน้าซุกที่หลัง

“เข้าห้องน้ำ”

“หื้อ เพิ่งแปดโมงกว่าเอง” ลมหายใจร้อนๆ จากผู้ชายตัวใหญ่ที่กอดผมจากด้านหลังรินรดที่ปลายหู

“ศิเหนียวตัว”

“งั้นเดี๋ยวพี่อาบน้ำให้”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ”

ยังไม่ทันได้ออกปากห้ามดี เขาก็พรวดพราดพยายามจะมาอุ้มผม ทั้งที่เนื้อตัวเราสองคนไม่มีอะไรปกปิดเลย จำได้ว่าตอนออกไปหาพี่ดิมที่ระเบียงเขาพันผ้าขนหนู แต่ไหงตอนนี้มันไม่มีแล้ว ร่างสูงอุ้มผมด้วยท่าอุ้มเด็ก คือ ยกขึ้นมาดื้อๆ เหมือนไม่หนักอะไรเลย แล้วตรงไปที่ห้องน้ำทันที


จริงๆ เราไม่ควรใช้เวลาในห้องน้ำนานขนาดนี้ ถ้าพี่ดิมไม่พยายามหยุหยับกับผม อ้อนให้สระผมให้บ้าง ถูหลังให้บ้าง ไหนจะชวนไปลงอ่างอาบน้ำอีก ที่สำคัญการกำจัดสิ่งที่อยู่ในตัวผม ซึ่งคิดว่าถ้าผมทำเองคงไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ เกือบเลยเถิดไปยอมเขาอีก แต่ผมก็ใจแข็งผ่านมันมาได้โดยการแลกกับคิสมาส์กที่หัวไหล่สองสามรอย ให้ตายสิ

 ไม่คิดเลยว่าเค้าจะมีความต้องการมากขนาดนี้

“พี่ดิมเข้าเวรตอนไหน”

“เที่ยงครับ วันนี้ควงเวรแทนเพื่อนด้วย”

“แล้วปกติต้องเข้าเวรประมาณกี่ชั่วโมงอะ” เราไม่เคยถามถึงความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของกันและกันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมชักจะอยากรู้อะไรๆ จากเขามากขึ้น แค่คิดว่าตัวเองน่าจะมีสิทธิ์อะไรในตัวเขาบ้าง ทั้งที่จริงๆ มันไม่มีหรอก แต่ถ้าเขาไม่อยากให้ก้าวก่ายก็คงบอกเอง
“ปกติก็เวลาราชการ 8 ชั่วโมง แต่มันไม่เคยปกติ บางทีก็ 10 ไม่ก็เลยไป 12 อย่างวันนี้น่าจะเลย 12 ชั่วโมง มีหลายเคสที่พี่ต้องดู” ร่างสูงตอบขณะใส่เสื้อยืดยูนิโคล่ลายโดราเอม่อนที่เพิ่งออกมาไม่นาน น่ารักดีเหมือนกันไม่ค่อยเห็นเขาในลุคนี้เท่าไหร่

“ทำไมจู่ๆ ก็ถาม หื้ม”

“นี่พี่ดิมรู้มั้ย ศิไม่ชอบคนที่ หื้ม กับตัวเองเลย”

“ทำไมครับ”

“ก็มันดูแบบศิเป็นเด็กน้อยไงเล่า” นั่งอยู่ปลายเตียงในชุดคลุมอาบน้ำ เพราะรอให้เขาแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยเข้าไป เพนท์เฮ้าส์เขาใหญ่จริง และห้องแต่งตัวบิวท์อินก็ใหญ่จริง แต่ก็ไม่ควรเข้าไปใกล้พี่ดิมในขณะที่ตัวเองมีเครื่องป้องกันตัวชิ้นเดียว

“ก็ศิเด็กกว่าพี่ไง” พี่ดิมตอบพร้อมกับก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว แถมมายืมยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ตรงหน้าผมอีก

เคยบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าเวลาเขาใส่แว่นแล้วผมยุ่งๆ เนี่ยโคตรอยากจะบ้าตาย มันดูเซ็กซี่ ดูเนิร์ด ดูเป็นมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็น แต่ทำผมใจสั่นมากๆ ทุกที

“มองอะไรพี่”

“มะ มอง เสื้อ”

“คิดว่ามองเพราะพี่ใส่แว่น”
“ทำไมครับ ชอบผู้ชายใส่แว่นหรอ”

ผู้ชายใส่แว่นที่ว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวพร้อมกับคร่อมตัวผมเอาไว้จนมิด เอาอีกแล้วนะ ไม่เคยมีระยะปลอดภัยเวลาอยู่ด้วยกันเลย

ใบหน้าคมกลิ่นสะอาด พยายามเข้ามาใกล้ผม จนตอนนี้ระยะห่างเหลือถึงมิลหรือเปล่าไม่รู้ “หื้ออ ออกไปเลย ศิอยากแต่งตัว”

“นี่ไงแต่งแล้ว”

“ชุดคลุมอาบน้ำเนี่ยนะ” สายตาคมจ้องผมอย่างมีเลศนัย คราวนี้อ่านออกเลยว่าเขาคิดเรื่องลามกอยู่แน่ๆ

“ทีหลังจะหาชุดที่สั้นกว่านี้ อยากเห็นขาสวยๆ”

“โว้ยพี่ดิม พอเลย แม่ง!!”

คือไม่พูดเปล่านี้ เอามือลูบต้นขาผมอีก เหมือนตาเฒ่าหื่นๆ ที่พยายามจะล่อลวงเด็กอย่างไงอย่างงั้น ได้ทีเลยวิ่งหนีเข้าไปที่ห้องแต่งตัวพร้อมล็อกกลอนซะเลย เหนื่อยชะมัด โดยเฉพาะเหนื่อยใจเนี่ย!



สิบเอ็ดโมงเราสองคนก็จัดการกับอาหารเช้าที่สั่งขึ้นมา หลังจากที่เถียงกันว่าผมจะเป็นคนทำเอง เพราะมีอาหารสดที่พอจะทำได้บ้าง แต่พี่ดิมก็ห้ามนั่นนี่บอกไม่อยากให้ยืนนานๆ เพราะยังเจ็บอยู่ ซึ่งผมประเมินตัวเองแล้วว่าไหวและทนได้ถ้าต้องยืนไม่กี่นาทีทำอาหารให้ ‘คนที่รัก’ ซึ่งเพิ่งสัมผัสได้อย่างเต็มหัวใจวันแรกกิน แต่นั่นแหละคุณหมอเขาไม่ได้มารับรู้ความรู้สึกพิเศษที่ก่อขึ้นในหัวใจเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปในฐานะอะไร ก็ว่าจะพยายามตัดเรื่องนั้นออกไป แต่เชื่อเถอะครับถ้าเป็นใครก็คงทำใจได้ยาก ในเมื่อศีลธรรมมันขาดสะบั้นเพราะราคะขนาดนั้น

“เป็นอะไร ทำไมเหม่อๆ คิดอะไรอยู่” พี่ดิมถามขึ้นขณะที่ใช้ทิชชู่เช็ดปากไปด้วย ตอนเช้าเขากินเยอะมากๆ เบรคฟาสต์ ที่มีไข่ดาวสองฟอง แต่เขากินไข่ต้มเพิ่มอีกสองฟอง ไหนจะอกไก่ปั่น ผลไม้สดจานใหญ่ที่ผมดื้อปอกให้ ซึ่งตอนนี้ร่างสูงกินเสร็จแล้วคงได้เงยหน้าจากจานอาหารมาเห็นผมที่นั่งคิดเรื่องของเราอยู่

“อะ อ่อ ก็คิดหน่อยครับ”

“คิดเรื่องอะไรบอกพี่ได้มั้ย”

สายตาคมที่เขาส่งมามันอ่อนโยนจนอ่านได้ ความเป็นห่วงฉายชัดบนใบหน้า เหมือนเขาเป็นคนเดียวที่อ่านผมออกเสมอไม่ว่าผมคิดอะไรอยู่

“บอกพี่เถอะ ถ้ามันเป็นเรื่องของเรา ศิไม่ควรคิดคนเดียว”

“อื้อ ศิคิดเรื่องของเรา”

พอคิดว่าเราจะต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ใจมันก็มันหวิวเสียไม่ได้ เพราะรู้ๆ อยู่ว่าสิ่งที่เราทำมันผิดมหันต์ เหมือนเดินเข้าไปในป่าต้องห้าม แต่ป่านั้นดันสวยงามน่าหลงใหล และไม่อยากออกไปจากตรงนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นกับดักเขาวงกต คดเคี้ยว วกวน หลงทาง จนออกไปจากที่นั่นไม่ได้ เหมือนผมตอนนี้

“มานี่มา” คนตรงข้ามเรียกเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าไปหาเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนตักหนา และอ้อมแขนแข็งก็กอดรัดไว้เบาๆ

“ศิเสียใจมั้ยเรื่องเมื่อคืน”

“ฮะ มะ ไม่ได้เสียใจ” เจอคำถามนี้เลยได้ก้มหน้างุดกับอกตัวเอง จริงๆ มันก็น่าอายที่จะตอบแบบนี้ แต่ผมไม่ได้เสียใจเรื่องที่เราทำเมื่อคืนเลยแม้แต่นิด

“แต่ศิละลายใจ” มือขยำกางเกงกีฬาขายาวของพี่ดิม ที่เขาบอกว่าซื้อมาผิดไซซ์อีกแล้ว แต่ผมดันใส่ได้พอดี

“หึ ทำไมไม่รู้ที่พี่รู้สึกดีใจที่ได้ยินประโยคนี้”

“...” หันไปมองหน้าเขาที่ตอนนี้ไม่ได้แสดงอาการว่าดีใจอย่างที่บอก

“เหมือนกับพี่จะไม่ต้องรู้สึกแบบนั้นคนเดียว”
“เห็นแก่ตัวเนอะ”

“พี่ดิม…”

“พี่รู้ว่าศิคิดเรื่องอะไร เพราะสิ่งที่ศิคิด พี่ก็คิดเหมือนกัน”
“และคิดมาตลอดเวลาที่ได้อยู่กับศิ”

พี่ดิมจับผมให้หันหน้าไปมองหน้าเขาตรงๆ เลยเอามือทั้งสองข้างจับแก้มเขาและลูบเบาๆ

“....”

“พี่ดิมให้โอกาสศิได้มั้ย”

“หื้ม?”

“ให้โอกาสให้ศิได้รักพี่ดิม”
“พะ...” พี่ดิมพยายามจะพูดแต่ผมใช้มือปิดไว้

“พี่ดิมไม่ต้องรักศิก็ได้ แค่ให้ศิได้...รักพี่ดิม”

“รักแบบที่ไม่ต้องการอะไรเลย แค่ขอให้พี่ดิมเอ็นดูศิแบบนี้ก็พอ”

มือใหญ่ดึงมือผมที่ปิดปากเขาก่อน สีหน้าที่เขาได้ยินสิ่งที่ผมพูดเหมือนจะอึ้งๆ และดูตกใจกับคำบอกรักที่ไม่คิดจะได้ยินเวลานี้ ผมไม่แน่ใจว่าเก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้วจะมีโอกาสได้พูดเมื่อไหร่ ไหนๆ มันก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว การกล้าจะบอกความจริงกับเขามันเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดในจังหวะนี้ และอีกอย่างก็อยากจะย้ำให้เขารู้ว่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น ทำได้ด้วยความรักอย่างเต็มใจ ไม่ใช่แค่อารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น

“ศิ...พี่ก็ระ…”

“อย่าเพิ่งพูดเลยครับ พี่ดิมไม่ควรพูดคำนี้กับใครนอกจากแฟนพี่”

“แม้ตอนนี้พี่จะพูดคำนี้ไม่เต็มปาก แต่ศิมั่นใจได้เลยนะ ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นพี่ตั้งใจและมันไม่ใช่แค่เซ็กซ์”
“ศิรู้ใช่มั้ย”

“อื้อ ศิรู้สิ”

“ศิขอโอกาสจากพี่ พี่ก็อยากขอเวลาจากศิ...ได้มั้ยครับ” พี่ดิมจับมือทั้งสองข้างของผมแน่น สายตาแน่วแน่และอ้อนวอนของเขาใครเห็นก็คงยอมสยบ เหมือนหัวใจของผมตอนนี้

“ขอเวลาทบทวนหลายๆ อย่าง” พี่ดิมดึงผมเข้าไปกอดและถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง รู้ได้เลยว่าเขาหนักใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจ

ตลอดเวลาที่ผ่านมายอมรับว่าเคยคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกันว่าเขาคงรู้สึกอะไรกับเราจริงๆ อย่างที่เคยพูด แต่มันมาชัดเจนเมื่อคืนว่าพี่ดิมทั้งหวงแหน และโหยหาผมขนาดไหน ไม่ต่างจากที่ตัวเองยอมให้เขาทำทั้งที่รู้ว่าถ้าห้ามเขาก็หยุด แต่ดันไม่ทำ เพราะหัวใจมันเรียกร้องแต่เขามานานพอกัน

เลยเข้าใจวลีที่ว่า ‘การกระทำมันเสียงดังกว่าคำพูด’ ก็เมื่อคืนที่เราต่างแลกสัมผัสให้กันและกัน ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่เซ็กซ์อย่างที่พี่ดิมบอก แต่มันคือการทำรักระหว่างคนสองคนที่มีความรู้สึกตรงกัน

“จะดูน่าอายมากมั้ย ถ้าศิตอบว่าศิรอได้” ผมกระชับอ้อมแขนกอดตอบเขาเช่นกัน
“หึ ทั้งที่คนที่รอมีแฟนที่น่ารักมากๆ และเขาก็รักแฟนมากๆ”

ไม่รู้ทำไมห้ามเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเวลาพูดความจริงในเรื่องนี้ออกมา แม้ความรู้สึกเราจะตรงกัน แต่บอกตามตรงผมก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำให้พี่ดิมรักได้ขนาดนั้น บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความวูบไหวและความอ่อนไหวที่เขาห่างจากคนรักก็เป็นได้

พี่ดิมคลายอ้อมกอด ก่อนจะมองหน้ากันตรงๆ สายตาที่เขาส่งมาคราวนี้มันดูชัดเจนว่าจริงจังมากกว่าครั้งไหน ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนจริงจังมากอยู่แล้ว แต่คราวนี้มันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาก

“ศิอย่าคิดอะไรบั่นทอนตัวเองนะ พี่ขอร้อง”

“...”

“อย่าร้องไห้เพราะพี่อีกเลย”

“...”

“พี่เชื่อว่าโอกาสของศิและเวลาของพี่มันจะมาบรรจบกัน”

“ฮึก..เหมือนรังสิมันต์กับภามาสน่ะหรอ ฮึก..”

“ครับ พระอาทิตย์ขาดพระจันทร์ไม่ได้หรอก” พี่ดิมเช็ดน้ำตาให้ ทั้งที่ห้ามแล้ว แต่การกระทำที่แสนอ่อนโยนและคำพูดที่จริงจัง มันช่วยไม่ได้ที่จะกระทบใจผมขนาดนี้

“มะ ไม่จริง พระจันทร์ต่างหากขาดพระอาทิตย์ไม่ได้

“ถ้าไม่มีพระจันทร์...พระอาทิตย์คงส่องแสงโง่ๆ อย่างโดดเดี่ยว”

“...”

“การที่ตัวเองได้โอบกอดพระจันทร์ในทุกค่ำคืนผ่านแสงของตัวเอง มันดีมากเลยนะ”
“อยู่เป็นพระจันทร์ของพี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีไปไหน”

“อึก เลี่ยนจัง เรากำลังทำตัวเป็นลุงอยู่นะครับ”

“หึ แล้วใครเริ่ม”

“อื้ออ”

ยังไม่ทันได้ต่อคำกับเขา ต่อปากดันมาเสียก่อน พี่ดิมใช้มือใหญ่สองข้างแนบที่แก้มผมที่เปื้อนน้ำตา แล้วจูบที่ริมฝีปากเบาๆ ดูดดึงและนุ่มนวล ก่อนจะเคลื่อนที่ไปซับน้ำตาที่ข้างแก้มที่สอง แล้ววนมาที่ปากอีกครั้ง เขาอ่อนโยนมากๆ คล้ายกับว่าการเปิดใจคราวนี้เราได้ข้ามภูเขาสูงชันที่มีขวากหนามใหญ่คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเอง แต่แล้วมันก็ถูกปลดแอกด้วยการเริ่มใหม่และรั้งรอในสิ่งที่ถูกต้องกว่าที่เป็นอยู่

‘สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ’

ใบหน้าของเราค่อยๆ เคลื่อนออกจากกัน จูบนี้เหมือนเป็นคำสัญญาในหัวใจสำหรับเราสองคน

เขาจะให้โอกาสผมพิสูจน์ความรักที่มีให้เขา
ผมจะให้เวลาเขาพิสูจน์ความรักที่มีให้ผม








มีต่อ




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.11 A kiss A promise 100% (19/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 19-06-2018 00:02:55
วันเปิดภาคเรียนที่สองวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้คงจะหนักหนาสาหัสพอสมควร เพราะไม่แค่เรียนผมยังต้องถ่ายซีรีส์ควบคู่ไปด้วย เหลือแค่ฉากที่ต้องไปถ่ายต่างจังหวัดทั้งนั้น อีกอย่างเทอมนี้เรียนแค่ 4 ตัว ก่อนจะไปฝึกงานตอนซัมเมอร์อีก 1 ตัว เลยมีเวลาให้กองอาทิตย์ละ 4 วันเต็มๆ อีกประมาณ 30% ก็จะจบแล้วล่ะ อดทนหน่อยศิรัส

“เมื่อเช้าไม่ได้ขับรถมาหรอศิ” อาโปถามทั้งที่เพิ่งหาวน้ำตาปริ่มที่ขอบตา มันทำงานหนักพอๆ กับผมนี่แหละ เจอกันบ่อยสุดแล้วในกลุ่มเพื่อน

“อ่อ เออไม่ได้เอามา”

“แล้วมึงรู้ได้ไงอาโป ปกติมาสายจะตายวันนี้มีเวลามาสังเกตเพื่อน” เฌอถาม

“กะ ก็เออมาเร็ว ถ้าศิมันเอารถมาก็ต้องเดินมาหลังคณะ นี่มันเดินมาหน้าคณะติดประตูใหญ่ ก็คิดว่าคงไม่ได้เอารถมาไงวะ”

“แล้วมึงทำไมมานั่งหน้าคณะ ทั้งที่โต๊ะประจำอยู่ใต้ตึก หื้ม” อาโปทำหน้าเลิกลั่กเพราะเฌอน่ะตัวจับผิดยิ่งกว่าเครื่องจับเท็จ

“มันมากับกูเมื่อเช้า เลยนั่งกินกาแฟร้านหน้าตึก”

เฌอสบตากับผมอย่างรู้กันว่ามันแปลกๆ ในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ปกติตีกันจะตายแต่วันนี้ดันมาเรียนด้วยกัน

“รถอาโปแบตหมด มันเลยให้กูแวะรับ”

“แต่คอนโดอาโปอยู่ใกล้กูนะ ทำไมไม่โทรบอกกันอะ” แม้เมฆจะไขข้อสงสัยแล้วแต่มันก็ยังมีเรื่องให้ชวนซักต่ออีก

“พวกมึงสองคนมีไรกันป่ะเนี่ย” ผู้หญิงคนเดียวถามคำถามยิงตรงใส่ทั้งคู่

“ไม่มี! กะ ก็กูเห็นเมื่อคืนศิเข้าซีนดึกไง กะ ก็ไม่อยากรบกวน” อาโปก็ยังทำตัวมีพิรุธไม่หาย

“หึ ถ้าพวกมึงพร้อมก็บอกกูแล้วกัน” 

คำพูดของเฌอทำให้เมฆที่นั่งหน้านิ่งอยู่นานสบตากับอาโปที่ดูกระสับกระส่ายกว่าปกติ เหมือนกำลังสื่อสารทางสายตาระหว่างกัน แต่ แล้วบทสนทนาก็ถูกตัดจบหลังจากอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา โดยที่ผมรอดไม่โดนซักว่าทำไมไม่ขับรถมา

ก็เพราะเมื่อเช้าพี่ดิมมาส่งน่ะสิ เขาดอดมานอนที่คอนโดผมหลังจากกลับจากเข้าเวร เมื่อวานไม่มีซีนเขาเลยได้ไปชดใช้กรรมต่อจนดึก แล้วก็โทรมาอ้อนขอนอนด้วยเพราะไม่อยากขับรถกลับคอนโด ทั้งที่คอนโดเขาไม่ได้ไกลกว่าที่จะมาหาผมเท่าไหร่ ก็เลยได้ตามใจให้มาและทำสัญญาว่าจะนอนเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ตื่นเช้ามาเขาก็เลยคะยั้นคะยอจะมาส่งเพราะต้องเข้าเวรเช้าเหมือนกัน แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะขัดใจเขาได้มั้ยล่ะ ไม่มีทางหรอก แพ้ทางเขาตลอดนั่นแหละ ก่อนลงจากรถยังไม่วายหาเศษหาเลยทั้งจูบทั้งหอมแก้ม ทั้งที่อยู่ในเขตมหาวิทยาลัยแท้ๆ คนหน้าไม่อายไม่ได้มาสนอยู่แล้ว

ว่าแต่คุณหมอที่มีผ่าตัดใหญ่วันนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ

คิดถึงเขาอีกแล้วทั้งที่เพิ่งห่างกันไม่กี่นาที

เป็นเอามากว่ะศิ





ออกจากห้องผ่าตัดด้วยชุดที่ร้อนที่สุดแต่ก็ต้องทนใส่ ก่อนจะถอดหน้ากากอนามัยแล้วล้างไม้ล้างมือก่อนถอดชุด วันนี้เป็นมือผ่าตัดที่ 3 รองจากอาจารย์หมอ และรุ่นพี่ที่เรียนเฉพาะทางปีที่สุดท้าย แต่ด้วยเคสที่ยากพอสมควรคือผ่าตัดโรคหัวใจ กับคนไข้ที่อายุมากพอที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างทาง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เหลือเพียงระวังไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนคนไข้ก็จะสามารถพักฟื้นที่โรงพยาบาลและกลับบ้านได้ในที่สุด แต่คนที่ดีใจกว่าหมอคงเป็นญาติๆ ที่มาออหน้าห้องผ่าตัด ทั้งลูกๆ หลานๆ คงจะเป็นอากงที่ทุกคนรักมากทีเดียว

นี่แหละครับหนึ่งในความสุขของคนทำอาชีพนี้ คือการรักษาทุกชีวิตให้อยู่ต่อเพื่อเป็นที่รักของคนที่รักเขาอย่างเต็มความสามารถ

แม้จะทำไม่ได้ทุกคนก็ตาม ด้วยกฏธรรมชาติ แต่การทำให้เขามีลมหายใจอยู่ต่อได้นานเท่าที่ร่างกายทำไหว ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง

ไม่ใช่เพื่อแค่ตัวเขา แต่เพื่อคนที่รักเขา


เข้าห้องพักที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ นั่งกินข้าวและเล่นโทรศัพท์อยู่ประปราย เงยหน้ามองนาฬิกาก็ปาไปบ่ายกว่าๆ เป็นปกติที่จะใช้เวลาในห้องผ่าตัดเกินครึ่งวัน ลืมไปแล้วล่ะว่าการกินข้าวตรงเวลาทำได้เมื่อไหร่ หยิบกระเป๋าเพื่อเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด แต่แล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้น

“ครับแม่...วันศุกร์นี้หรอครับ...ครับไม่มีถ่าย...จะมีคิวอีกทีอาทิตย์หน้าครับ...ครับ อ่อ เกล ครับ จะลองชวนไม่แน่ใจว่างานเยอะหรือเปล่า...ครับ..รักแม่ครับ”

พอได้ยินชื่อผู้หญิงที่ควรจะคิดถึงตลอดเวลาก็ใจกระตุกเหมือนกัน ก็เพราะว่าเธอหายไปจากห้วงคำนึงมาซักพักแล้ว ตั้งแต่ยอมรับกับตัวเองว่าหัวใจถูกครอบครองโดยเด็กผู้ชายหน้าใสที่เพิ่งไปส่งเมื่อเช้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่แฟร์ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้มันจบลงง่ายๆ เหมือนมีแฟนตอนม.ต้น ที่จะเขียนจดหมายไปบอกเลิกแล้วทุกอย่างก็จบ แย่ที่สุดคือกลับไปเป็นคนรู้จักกันไม่ได้ แต่นี่คือเราโตพอที่ความสัมพันธ์จะไม่ได้ถูกผูกแค่ผมกับเธอ แต่มันผูกมัดไปด้วยคนรอบข้าง และสังคมของเรา

“เฮ้อ”

“หมอดิม เป็นไรป่าวคะ” พี่กล้วยหมอสูติถามขึ้น ไม่รู้ว่ายืนคิดอยู่นานจนเธอสังเกตเห็นเมื่อไหร่

“อ่อ ป่าวครับ แค่เหนื่อยนิดหน่อย”

“ทานข้าวด้วยกันสิคะ วันนี้พี่ทำข้าวผัดปลาแซลม่อนมา ทำมาเยอะเลยนะคะ” ไม่เยอะธรรมดา พอมองไปรอบๆ ห้องแล้วมีแต่คนได้ข้าวกล่องแบบเดียวกันหมด สงสัยทำมาแจกล่ะมั้ง ใจดีจัง

“ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมขอไปเปลี่ยนชุดก่อน”

“รีบๆ นะคะ เดี๋ยวหมดก่อน”

“ครับผม”

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมายอมรับว่าโทรหาเกลน้อยครั้งจริงๆ แถมพอเกลจับได้ว่าพาคนอื่นไปนอนที่ห้องก็เหมือนเรามีบางอย่างขั้นกลางในความรู้สึก อาจจะเป็นเพราะความเชื่อใจมันถูกบั่นทอนลง ความรู้สึกที่เคยมีต่อกันเลยค่อยๆ ลดลงไปด้วย แน่นอนว่ามันเกิดจากผมทั้งนั้น และผมก็ละเลยพอที่จะไม่ได้ใส่ใจเท่าเมื่อก่อน แน่นอนความผิดมันอยู่ที่ผมนี่แหละไม่ใช่เธอ

ส่องกระจกมองดูตัวเองที่แม้จะเป็นอาคิราคนเดิม แต่ความรู้สึกต่อตัวเองมันห่อเหี่ยวยังไงชอบกล เคยมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด เคยเป็นคนเข้มแข็งกับทุกๆ เรื่องได้ดี และเคยอดทนไม่นอนมา 48 ชั่วโมงก็ผ่านมาแล้ว แต่กลับเรื่องที่ต้องเด็ดขาดในความสัมพันธ์บอกเลยว่าขี้ขลาดขึ้นมาดื้อๆ

ถ้าเธอไม่เคยเป็นผู้หญิงที่อยากร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน

ถ้าเธอไม่ดี หรือเป็นผู้หญิงงี่เง่ากว่านี้สักนิด

ก็คงรู้สึกดีกว่านี้ที่ต้องเลือกทำร้ายเธอแบบนี้

แต่ยิ่งยื้อก็เหมือนจะยิ่งสร้างตราบาปให้ตัวเอง

และทำร้ายเธออย่างสาหัสสากรรจ์

คงต้องถึงเวลาที่ก้มหน้ายอมรับความจริงกับความเลวที่ตัวเองทำ แม้จะต้องถูกตราหน้าว่าอย่างไร คงต้องแล้วแต่ ‘เกล’ กำหนด




ตื๊ด.. ตื๊ดด

[ขะ ค่ะ ดิม]

“ฮัลโหล เกล สะดวกคุยมั้ย”

[เอ่อ ได้ประมาณสองนาทีค่ะ]

“วันศุกร์นี้เกลว่างหรือเปล่า พอดีคุณแม่อยากชวนไปทานข้าวที่บ้านน่ะ”

[เอ่อ วันศุกร์นี้หรอคะ คือ เกล..]

“เกลผลัดดิมมาหลายครั้งแล้วนะครับ เหมือนตอนนี้ดิมเป็นเกลแล้วเกลเป็นดิมเลยเนอะ”

[ประมาณกี่โมงคะ พอดีจะมีเรือเข้าช่วงบ่าย อาจจะได้ดินเนอร์เลย]

“ครับ ขอแค่เกลมาก็ดีใจแล้ว”

[ค่ะ เกลก็มีเรื่องอยากคุยกับดิมเหมือนกัน]

“ครับ เจอกันนะ”

[ค่ะ เท่านี้นะคะ เกลมีประชุม]

“ครับ บาย”


ถ้าย้อนกลับไปครึ่งปีก่อนหน้า บทสนทนาของเราจะดูห่างเหินขนาดนี้มั้ยนะ เหมือนตอนนี้ผมพยายามจะทำให้มันเหมือนเดิม ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันพังเพราะตัวเอง เห็นแก่ตัวไม่จบไม่สิ้น จะหวังให้ความสัมพันธ์ที่ตัวเองทำลายลงไม่เปลี่ยนแปลง เหอะ ตลกสิ้นดีไอ้ดิม

สิ่งที่ยากกว่านั้นคือการจะบอกให้คนที่ครองหัวใจรู้ แล้วทำให้เขาสบายใจได้อย่างไรเมื่อต้องกลับไปเจอปัจจุบันที่ยังคงสถานะอย่างถูกต้องกว่า ศิจะคิดมากกับความรู้สึกของผมที่มันไม่ชัดเจนแค่ไหน ทั้งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเหมือนจะดี แต่คล้ายกับคลื่นลมสงบก่อนพายุจะมาอย่างไงอย่างงั้น




กว่าสี่ทุ่มที่มองดูนาฬิกาแขวนบนผนัง วันนี้ก็วันพฤหัสฯ เข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมปริปากพูดว่าพรุ่งนี้จะต้องพาเกลไปหาคุณแม่ ซึ่งเดาไม่ยากเลยว่าทำไมจู่ๆ แม่ถึงอยากเจอเราสองคน คงอยากคุยเรื่องแต่งงานหรือไม่ก็หมั้น เพราะเห็นผมคบกับเกลมานานและดูราบรื่นไร้ปัญหาทะเลาะกันเรื่องเวลาของผม และแม่ก็เอ็นดูเกลจากคุณสมบัติ รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติที่เธอมี แม้จะเจอเธอไม่กี่ครั้งแต่ผมก็ดูออก เพราะแม่ไม่ค่อยยินดีเวลาพาแฟนไปแนะนำเท่าไหร่ แต่กับเกลแม่เหมือนถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น

“เฮ้อออออ”

ครืดดด ครืดดด

[My Si]

[พี่ดิมนอนยังอะ]

“ยังครับ กำลังคิดถึงบางคนอยู่”

[อี๋ เลี่ยนจัง]

“แล้วรู้ได้ไงว่าพี่คิดถึงศิ”

[อะ อ่อ คิดถึงพี่เกลหรอครับ..] ปลายสายเสียงอ่อยลง เนี่ยแหละเหตุผลที่ผมไม่กล้าบอก กลัวคนตัวเล็กจะแอบไปร้องไห้คิดมากคนเดียว ทั้งที่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ดีเหมือนที่เราพยายามทำอยู่แล้ว

“ปะ เปล่า พี่คิดถึงศิ”
“จริงๆ นะ…เชื่อพี่สิ”

[....]

“อย่าเงียบสิครับ”

[อื้อ พี่ดิมจะคิดถึงพี่เกลศิก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรอกครับ ก็เค้าแฟนพี่นี่นา เนอะ]  การทำเสียงสดใสไม่ได้กลบความเศร้าได้แม้แต่นิด แต่เขาก็พยายามทำเหมือนไม่เป็นไรอยู่ทุกครั้ง เพื่อให้ผมสบายใจ แต่นั่นแหละมันยิ่งทำให้เขาแย่ ไม่รู้ข้างในผุพังไปแค่ไหนแล้ว

เหมือนตอนนี้ผมกำลังทำร้ายคนสองคนที่รักผมไปพร้อมกันอย่างไรไม่รู้

“ศิ…”

[...]

“พี่มีเรื่องจะบอก ศิตั้งใจฟังพี่นะ”

[อะ อื้อ..]

“พรุ่งนี้ที่พี่ต้องผิดนัดกับศิไปดูหนังไดโนเสาร์ เพราะคุณแม่นัดพี่กับเกลไปพบ”

[....]

“พี่จะคุยกับเกลเรื่องของเรา”

[พี่ดิม..แล้ว]

“พี่จะพูดความจริง มันถึงเวลาแล้ว”

[ถ้าพี่เกลเขา…]

“ครับ เค้าจะเสียใจมากๆ และพี่ก็จะปลอบ มันอาจจะไม่จบวันนั้น แต่มันต้องจบ”

[แล้วพี่ดิม…]

“ถ้าพี่เสียใจ ศิจะโกรธพี่มั้ย”

[มะ..ไม่ ไม่เลย ถ้าพี่ดิมไม่เสียใจ ศิจะโกรธมากกว่า]

“ศิ...เรื่องของเรามันอาจจะไม่ถูกต้องมาแต่แรก แต่พี่กำลังพยายามอยู่นะครับ”

[...]

“รอพี่นะ”

[ฮึก พี่ดิม...พี่ดิมจะเสียใจมากมั้ย จะร้อง อึก ไห้มั้ย ทำไมศิเสียใจ ฮืออ]

“ครับพี่คงร้องไห้ แต่ศิจะอยู่ข้างๆ ตอนที่เฮิร์ทเรื่องเกลใช่มั้ย”

[อื้อ ฮือออ ศิ...ศิจะอยู่กับพี่ดิม]

“ครับ รอพี่นะ อย่าร้องไห้เลยคนดี”

[ฮืออ ฮึก]

“พี่ไปกอดตอนนี้ไม่ได้นะ”
“ไหนว่าเฌอกับอาโปมานอนด้วย ร้องไห้แบบนี้เพื่อนเป็นห่วงแย่”

[อึก อื้อ คะ ครับ ไม่ร้องแล้วๆ]

“พรุ่งนี้พี่จะโทรหานะครับ”

[อื้อ อึก พี่ดิมต้องโทรมานะ ศิจะรอ]

“ครับ พี่คิดถึงศินะ ตลอดเวลาเลย”

[ศิก็คิดถึง อยากกอดแล้ว]

“อีกไม่นานนะคนดี”

[อื้อ ศิรักพี่ดิมนะ]

ข้างนอกฝนตกอีกแล้ว เป็นอีกวันที่มองไม่เห็นพระจันทร์ เพราะก้อนเมฆมาบดบังซะมิดไปหมด หรือว่าแท้จริงแล้วเมฆมาบังเพราะพระจันทร์กำลังร้องไห้หรือเปล่านะ…








ซองสีน้ำตาลเข้มที่วางบนโต๊ะทำงานของกัญญกาญจน์ แม้เธอจะได้มันมาร่วมเดือนแล้วแต่ยังทำใจเปิดดูสิ่งของในนั้นไม่ได้ เดาได้ว่าเป็นรูปภาพที่ต้องทำให้เธอบาดตา แม้จะทำใจมาร่วมสองเดือนกับความเปลี่ยนแปลงของคนรัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขึ้นแม้แต่นิด

ความสัมพันธ์ที่ก่อร่างขึ้นมากว่า 2 ปี มันผูกพันกว่าที่เธอคิด เพราะเขาเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ในชีวิตเธอ หากแต่ทว่ามันมีชิ้นส่วนสุดท้ายที่เข้ากันไม่ได้เสียอย่างนั้น เธอยอมรับว่าเสียใจที่รู้ว่าคนรักมีใครอีกคนแทรกเข้ามาในใจ แต่ไม่ได้โยนความผิดให้เขาแต่เพียงคนเดียว การเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมอาจจะไม่ได้ให้ได้ทุกอย่างในสิ่งที่เขาต้องการก็ได้

ที่สำคัญมีใคร ‘บางคน’ เดินกลับเข้ามาในชีวิตเธอหลังจากกลับจากคอนโดเขาไม่นาน

“เกล ยูเหม่ออีกแล้วนะ”

“ซอรี่นะทีเจ”

“คิดเรื่องพรุ่งนี้หรอ”

“ค่ะ แค่คิดว่าพรุ่งนี้มันอาจจะจบแล้วจริงๆ” ร่างสูงลูกครึ่งไทยสิงคโปร์เอื้อมมือมาจับหญิงสาวที่นั่งเก้าอี้ตรงหน้า

ทีเจ หรือ ธามไท เชน เป็นลูกครึ่งไทยสิงคโปร์ ทำธุรกิจผลิตอะไหล่เครื่องจักร และจำหน่ายเครื่องจักรที่ใหญ่ระดับอาเซียน นับว่าเป็นผู้ชายที่ทั้งหล่อ และฐานะดี และพ่วงฐานะเป็นแฟนเก่าของเธอสมัยไปเรียนปริญญาโทที่บอสตัน ก่อนจะเลิกรากัน เพราะกัญญากาญจน์ดึงดันกลับไทย ทั้งที่ทีเจอยากใช้ชีวิตกับเธอที่อเมริกามากกว่ากลับมาบริหารธุรกิจที่สิงคโปร์

แต่เมื่อประมาณเดือนที่แล้วก็ทำให้พวกเขาทั้งสองคนได้โคจรกลับมาเจอกันเพราะการขยายธุรกิจของครอบครัวทีเจ คือการทำโรงแรมที่แถบภาคตะวันออกของไทย เลยได้สั่งซื้ออุปกรณ์การตกแต่งจากยุโรป และแน่นอนบริษัทที่รับดำเนินการคือบริษัทของกัญญากาญจน์นั่นเอง

ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ เพราะทีเจยังคิดถึงผู้หญิงคนเดียวที่เขารักอยู่เสมอ จึงยอมกลับบ้านเกิดเพื่อเริ่มธุรกิจของตนเอง และใช้วิธีนี้กลับเข้าหาเธออย่างแนบเนียน และเหมือนมาถูกจังหวะในขณะที่เธอสับสนกับความสัมพันธ์ของคนรักในปัจจุบัน หากแต่ทว่าเขายืนยันที่จะรอและเคียงข้างเธอตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา แม้มันจะไม่นาน แต่ยอมรับว่าทีเจก็เข้าข้างตัวเองพอสมควร เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้เข้ามาในบ้านเธอแบบนี้

“ยูคงรักเขามากเลยเนอะ”
“ขนาดยูรู้ว่าเขานอกใจ ยูก็ยังไม่โกรธเขา”

“ไอโกรธสิ แต่ไอก็ไม่ได้ซื่อสัตย์”

“...”

“ถ้าไอซื่อสัตย์ ยูคงไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่” เกลลุกออกจากโต๊ะดินเนอร์ ก่อนจะไปยืนริมกระจกกว้าง มองเห็นแถบชายฝั่งและแสงไฟจากเรือขนส่งอยู่ไกลๆ

ผู้ชายร่างสูงคว้าร่างของเธอเข้ามากอดแนบอก “เขาดีกว่าไอแค่ไหน เกล..ยูบอกไอ ไอจะทำให้ดีกว่า และไอสัญญาจะไม่ทำยูเสียใจ”

“ทีเจ…”

“ไอไม่ได้ให้ยูลืมเขานะเกล แค่กลับมารักไอได้มั้ย กลับมารักธามเถอะนะครับ ธามไม่ชอบเห็นเกลร้องไห้เลย”

“ยูมันขี้โกง ฮึก รู้ว่าไอแพ้เวลายูแทนตัวเองว่าธาม”

“สูตรโกงนี่มันยังใช้ได้ แสดงว่าเกลก็ยังรักธามอยู่สินะ”

“ฮื้อ เลิกกอดไอซักที เดี๋ยวแม่บ้านมาเห็น”

ทีเจใช้มือปาดน้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าเบาๆ และกดจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน สายตาของเขาส่งความมุ่งมั่นไปให้เธอว่าไม่ว่าจะเกิดอะไร เขาจะอยู่ตรงนี้ข้างเธอเสมอ และจะเป็นแบบนี้เหมือนที่เคยเป็นมา

แม้จะรู้สึกผิดในใจกับอาคิรา แต่กัญญากาจน์ก็ต้องยอมรับกับตัวเองจริงๆ ว่าธามไทเข้ามาทำให้ชีวิตของเธอไม่จมดิ่งไปเท่าที่ควร และเธอก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องโบกมือลากับความสัมพันธ์อันยุงเหยิงและให้มันเป็นไปตามทางที่มันควรจะเป็นสักที

ซองกระดาษสีน้ำตาลใบเดิม คงถึงเวลาปลดล็อกความจริงที่ว่า...ความสัมพันธ์ระหว่างอาคิราและกัญญากาญจน์มันจบแล้วจริงๆ 

เธอตัดสินใจเผารูปที่นั่งดูทีละใบด้วยใบหน้าเรียบเฉย และทีเจก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอไม่ห่างไปไหน

รูปแอบถ่ายของอาคิราและศิรัสในอิริยาบถหลายๆ อย่าง ที่เธอไม่เคยรับรู้ และมันเกิดหลังจากเหตุการณ์ที่คอนโดวันนั้นสองอาทิตย์เห็นจะได้ บอดี้การ์ดของคุณพ่อให้คนไปแอบตามถ่าย อาจจะตามมาตั้งแต่แรกๆ ที่เราคบกัน แต่พอดิมผ่านด่านคุณพ่อก็คงเลิกจ้างไป และแน่ล่ะพ่อก็คือพ่อ คงสังเกตเห็นความปกติของลูกสาวคนเดียวเลยต้องกลับไปทำแบบนี้อีก และสุดท้ายก็ให้เราตัดสินใจเอง

แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าเขาพยายามจะตัดใจจากเด็กผู้ชายน่ารักคนนั้นแล้ว แต่มันคงยากสำหรับเขา พอๆ กับที่เธอปฏิเสธความทรงจำเดิมที่วนเวียนกลับเข้ามาไม่ได้นั่นแหละ

ถ้าจะบอกว่าดิมนอกใจ
เธอก็คงไม่ต่างกัน

ถ้าพรุ่งนี้ผ่านไป แล้วเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ มันจะดีแค่ไหนกันนะ…





-----------To be continued------------



ครบแล้ว 100%
เคลียร์เนอะ....

เอาจริงๆ ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของหมอและน้องมันดูแย่ไปมากกว่านี้
เลยให้มันออกมาในรูปแบบนี้อะเนอะ

สบายใจทั้งคู่

พวกเทอว์จะได้ฟินเวลาเค้ารักกันงัยยยยยยยย

อยากได้เม้นท์ให้กำลังใจ

ได้โม้ยยยยย

ร้ากกกกกกกกก

#youaremyday1

@mifengbeexx




บีเองจ้า


หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.11 A kiss A promise 100% (19/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 19-06-2018 01:55:03
ตอนแรก จะเม้นบอกว่า เอาไว้จบเรื่องจะมาอ่านใหม่นะ  อ่านไปรู้สึกผิดบาปไป 55555 ทนไม่ไหว  แต่โอเค้ จบเรื่องละ อันนี้ก็หน่วงมาแล้วนะคะ อย่าดราม่าอีกเล้ยยยย ทรมานใจคนอ่านม๊ากกก  :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.11 A kiss A promise 100% (19/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 19-06-2018 15:04:12
 :ling1:  :katai4: รันทดมาก เอร้ยยย..  :ling2: หน่วงใจมาก
 :katai1:  :katai2-1:  :ling2:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.11 A kiss A promise 100% (19/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 19-06-2018 18:14:06
รอมาม่าหมดหม้อ  :z3: ขอขนมหวานต่อน๊า :m26:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.12 i'll call you by mine (23/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 23-06-2018 21:01:15
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.12  i'll call you by mine
[/size]

Too sure if you would mind I was nervous but I had to say
Call you my own, and can I call you my lover





“มึงร้องไห้?” เฌอที่นอนเล่นแม็คบุ๊กบนเตียงผมพูดขึ้น ขณะเดินเข้าห้องนอนไม่กี่ก้าว หลังจากที่คุยโทรศัพท์สายสำคัญจากระเบียงเสร็จ ระยะเวลาคุยอาจจะไม่ได้ยาวนาน แต่ระยะเวลาที่ยืนมองฝนพรำลงมานานพอที่จะทำให้เสื้อยืดสีพีชที่จะใส่นอน มีละลองฝนแปะประปราย แม้จะไม่ใช่ระเบียงโอเพ่นก็ตาม

“ก็...อือ”

“ทำหน้าหมาด้วย เป็นไร ทะเลาะกับพี่ดิม?” อาโปที่นั่งไถไอแพดของผมบนโต๊ะทำงานถามต่อ

ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ ทั้งที่จริงๆ เราไม่ได้ทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ แต่คิดว่ามันหนักหนาพอๆ กับเราขึ้นเสียงเถียงกัน

พาตัวเองไปหย่อนก้นลงปลายเตียง สายตาเอาแต่มองโทรศัพท์ อยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ อยากรับสายของคนที่บอกให้รอ แค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ทำไมรู้สึกว่าแต่ละวินาทีผ่านไปช้าจัง

จู่ๆ เตียงข้างๆ ก็ยวบลง คงเป็นเฌอที่กระเถิบมานั่งข้างกัน “ศิ มึงลืมหรือยังว่ามีอะไรบอกพวกกูได้เสมอ”

“...”

“...”

“พรุ่งนี้แม่พี่ดิมให้พาแฟนเค้าไปเจอ”

“ทั้งที่เค้าไม่เจอกันมาจะสองเดือนแล้ว?”

“อืม..เค้าไม่ได้พูดว่าจะเลิก แต่เค้าบอกจะจบ ให้กูรอ..แต่ว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่ใช่วันสุดท้าย”

“...”

“กูรู้สึกแย่นะที่เค้าต้องเลิกกับแฟน ทั้งที่เค้ารักกันมากๆ” พอพูดมาถึงตรงนี้น้ำตาที่หยุดไหลก็เริ่มต้นไหลอีกครั้ง เป็นความจริงที่รู้สึกผิดบาปในใจอย่างที่สุด แม้การกระทำของพี่ดิมจะบอกว่ารัก แต่ในขณะนั้นเขาก็รักแฟนเช่นกัน

พยายามปลอบใจตัวเองแค่ไหน แต่ความจริงว่าตัวเองเป็นมือที่สามมันก็ยังชัดเจนอยู่ดี

“แล้วมึงโอเคมั้ยถ้าเค้าเลือกแฟนเค้าแทนที่จะเป็นมึง”

หันไปมองหน้าผู้หญิงที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อน และส่งสายตาที่เห็นใจส่งมาให้ เฌอเป็นแบบนี้เสมอ แม้จะดุจะด่าแค่ไหน แต่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอจะเข้มแข็งและเป็นหลักให้เพื่อนได้ ทั้งที่ตัวเองก็ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มา

“ความรักมันไม่ใช่การเสียสละ แต่มันคือการเห็นแก่ตัว”
“รักใครก็ต้องอยากให้เค้ารักตอบ อยากครอบครอง อยากให้ส่วนหนึ่งของชีวิตเค้ามีเราอยู่ด้วยไม่ใช่หรอวะ”

“...”

“แม้ว่าพวกกูจะไม่ได้เห็นด้วยที่พี่ดิมบอกให้มึงรอ ทั้งที่เค้ายังไม่เลิกกับแฟน”

“...”

“แต่การที่มึงมานั่งทำหน้าหมาหงอยรอเจ้าของแบบนี้ กูว่ากูก็มีส่วนผิดที่ยุมึง แต่กูก็ยังจะทำ เพราะเวลามึงพูดถึงเค้ามึงมีความสุข”

“...”

“มึงเชื่อใจเค้ามั้ย”

“อื้อ ที่สุดเลย...แต่ก็กลัว”

“กลัวอะไร”

“กลัวว่าเค้าจะเลือกความรักที่ถูกต้อง มากกว่าเลือกกู”

“...”

“กลัวว่าที่บอกให้รอ เพราะเค้าไม่ได้เจอแฟนเค้านานๆ แต่วันนี้ได้ไปเจอแล้วเค้าจะรู้…ฮึก”

“...”

“รู้ว่าที่ผ่านมาเค้าแค่หวั่นไหว...เค้าแค่เผลอใจ..และเค้าไม่ได้รู้สึกกับกูจริง”

ผู้หญิงตัวเล็กดึงผู้ชายอย่างผมเข้าไปกอด แม้กอดของเธอจะไม่ได้โอบรอบตัวผมทั้งหมด แต่ยอมรับเลยว่ามันอุ่นใจจริงๆ ที่ตอนนี้มีเธออยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะผ่านคืนนี้ไปด้วยการทำอะไร ถ้าให้นอนก็คงทำได้แค่นอนแต่ไม่มีทางหลับ ทั้งที่ใจยังรอคอยให้ถึงวันรุ่งขึ้นทุกลมหายใจ

มือใหญ่ต่างจากเฌอกำลังลูบหัวของผมเบาๆ ก่อนจะนั่งลงอีกด้านของเฌอ

“แต่ตอนนี้มึงก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการรอไม่ใช่หรอวะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามการเสียงสะอื้นของผมเอง

“...”

“ถ้าสุดท้ายแล้ว เค้าจะรู้สึกว่าที่ผ่านมาเค้าแค่เผลอใจ มึงก็ต้องยอมรับความจริง”

“ฮึกกก...”

“เพราะสิ่งที่มึงและพี่เค้าทำ มันก็เกิดจากการเผลอใจไม่ใช่หรือไง”

อาโปในโหมดจริงจังมักจะเป็นคนคอยเตือนสติให้ยอมรับความจริง และให้มองถึงความผิดพลาดของตัวเองก่อนที่จะโทษคนอื่นเสมอ อาโปเลยเป็นคนรู้จุดอ่อนของตัวเอง และพัฒนาตัวเองได้ดีเยี่ยม (ถ้ามันไม่ติดที่ขี้เกียจ) พอคิดตามในสิ่งที่อาโปพูดก็ต้องกลับมามองว่าความสัมพันธ์ของเรามันเริ่มมาแบบไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ถ้ามันจะต้องเจออุปสรรค หรือจบลง ก็คงเพราะจุดเริ่มต้นมันไม่ถูกที่ ถูกเวลา แม้จะถูกใจก็ตาม

“แต่มึงเชื่อใจเค้าไม่ใช่หรือไง”

“...”

“ก็เข้มแข็งหน่อยสิวะ”

“อื้ออ ฮึก กะ กูจะพยายาม”

“กูว่าเค้าก็คงเจ็บไม่ต่างจากมึงหรอก”

อาโปกอดผมอีกคน กลายเป็นว่าตอนนี้เราสามคนกอดกัน ท่ามกลางเสียงสะอื้นที่ค่อยๆ แผ่วลงของผม

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเพื่อนไม่ได้สำคัญเวลาเราสุขที่สุด แต่เพื่อนสำคัญเวลาเราทุกข์ที่สุด
และเพื่อนแท้จะคอยอยู่กับเราเสมอแม้ว่าจะสุขหรือทุกข์ที่สุด






ดึงเน็กไทด์สีเทาเข้มชิดต้นคอ ติดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตสีดำดำสนิท ก่อนจะมองกระจกดูทรงผมและหน้าตาตัวเองอีกครั้ง นัดสำคัญของผมกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่ชั่วโมง ตะวันกำลังจะตกดินในอีกไม่กี่นาที มีหลายอย่างที่คิดอยู่ในหัวและมันดูจะยุ่งเหยิง เกี่ยวกันพันไปมา สมองที่เคยชาญฉลาดกลับหาปมที่จะแก้ปัญหาไม่ได้

ที่บอกศิว่าจะต้องยอมรับความจริง พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับยากไปหมด

การเผชิญหน้ากับ ‘คนรัก’ ที่ตอนนี้เป็น ‘คนเคยรัก’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัว แถมตัวเองยังเป็นคนคิดก่อน ทั้งที่ตอนคบกันเราตัดสินใจร่วมกัน แต่พอจะจบกลับคิดเองก่อนคนเดียว

โคตรเท่เลยมึงไอ้ดิม

ครืด ครืด

[MY GALE] เห็นชื่อที่แสดงบนหน้าจอมือถือแล้วสะท้อนในใจ ว่าไม่ได้เห็นสายนี้โทรหามานานแค่ไหนแล้ว ตลอดสองเดือนที่มันคลุมเครือเป็นผมเสียมากที่โทรหาเธอ แต่ก็ไม่ได้บ่อยเท่าที่ควร ส่วนเธอจะใช้ข้อความในการสื่อสาร ตรงนี้ล่ะมั้งที่มันทำให้ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆ ห่างกันไป เพราะขาดการสื่อสาร และพอชินกับมัน ก็กลายเป็นว่าเราไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันก็ได้ในที่สุด

“ครับเกล..เจอกันก่อนหรอ ดิมอยู่ที่คอนโด เกลถึงแล้วหรอ โอเค ครับ”

และมันยิ่งทำให้ผมแปลกใจที่เกลมาก่อนเวลาดินเนอร์ที่เรานัดกันพอสมควร แถมยังมาถึงที่นี่แล้วซะอีก

ตึ้ง ต่อง

เสียงออดหน้าห้องดัง คงเป็นคนที่ผมวางสายเมื่อสักครู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงใช้คีย์การ์ดแตะเข้ามาเลย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว

เปิดประตูไปเห็นผู้หญิงที่ยังคงงดงามทุกกระเบียดนิ้ว ชุดเดรสเปิดไหล่สีน้ำเงินเข้ม กับกระเป๋าครัชสีเงินเลื่อม รวมถึงสร้อยเส้นเพชรเส้นเล็กที่มีจี้แป้นยาวที่จริงของเธอมันช่างดูลงตัว และสง่างามเมื่ออยู่บนไม้แขวนนี้

“ขอโทษนะคะที่เกลมาก่อน”

“เกลเข้ามาก่อนสิ”

หลายครั้งที่เกลมาที่นี่แต่บรรยากาศตอนนี้มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง การวางตัวที่ดูห่างเหิน คำทักทายที่ดูเป็นทางการเสียจนเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ ห้องนี้มันไม่ได้มีเรื่องราวของเรา

“เกลว่าเราอาจจะต้องคุยกันก่อนไปเจอคุณแม่”

“ครับ”

เราสองคนนั่งลงที่โซฟาร์ตัวยาวกลางห้องนั่งเล่น อย่างทีระยะห่าง

“เกลรู้เรื่องเด็กคนนั้นแล้วนะคะ”

“คือ..”

“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ เกลเข้าใจดี”

“...”

“และเกลจะไม่ถามว่าดิมจะเลือกใคร เพราะใจดิมเลือกเค้าไปแล้ว”

“เกล..ดิมขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” เขยิบเข้าไปใกล้ผู้หญิงที่รักตรงหน้า และใช้มือใหญ่ของตัวเองกอบกุมมือนุ่มคู่นี้ไว้ มือคู่ที่เค้าตะกองจับกันมาหลายครั้ง มือที่กอบกุมในวันที่เหนื่อยล้า และมือคู่นี้ที่เคยเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะดูแลเธอให้ดีมาตลอด

“ค่ะ เกลก็ขอโทษเหมือนกัน ที่เป็นแฟนที่ไม่ดีเท่าที่ควร” เธอยิ้มเศร้าๆ มาให้

“ไม่! ไม่เลยเกล ดิมสิที่ห่วย แย่ เลว เลวมากๆ ที่ทำให้เกลเสียใจ”

“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ดิมจำได้ไหมว่าวันครบรอบแล้วเรานัดไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน แล้วเกลลืมเพราะมัวแต่ทำงาน ทำให้ดิมไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวตั้งสองวัน กว่าจะหาไฟล์ทบินไปได้”

“เกล ดิมไม่เคยโกรธ”

“ดิมจำได้มั้ยคะ ตอนที่เราคบกันแรกๆ เกลเคยขอเลิกกับดิมกี่ครั้ง เพราะดิมไม่มีเวลาให้”

“...”

“ที่เกลบอกว่าเข้าใจในอาชีพของดิม จริงๆ เกลไม่เคยเข้าใจเลยค่ะ”

“ดิมบ้านรวย ทำงานเอกชนสบายๆ ได้แต่ดิมไม่ทำ ทนทำงานโรงพยาบาลรัฐสวัสดิการแย่ๆ ไหนจะเรียนต่อเฉพาะทาง ไหนจะถ่ายซีรี่ส์ พาร์ทในชีวิตของดิมมีเกลน้อยมาก เกลเลยหาทางออกทำงานเยอะๆ จะได้ไม่กังวลเรื่องดิม แต่จริงๆ มันไม่ช่วยอะไรเลย เกลยังคงอยากให้ดิมมาหา อยากอยู่ด้วย อยากกอดทุกวัน”

เธอเบนหน้าหนีจากสายตาที่ผมมอง

“เกลเคยอิจฉาพี่พยาบาลที่เข้าเวรกับดิม เคยมองแรงใส่พวกเธอด้วยซ้ำ หึ แต่ดิมไม่รู้หรอก เพราะเกลแสดงแต่ด้านดีๆ ให้เห็นไงคะ”

“ทำไมเกลไม่ทำล่ะ เกลมีสิทธิ์ทำทุกอย่าง”

“เพราะเกลกลัวถูกดิมมองไม่ดี”

“เกล…” คำพูดของเกลกระแทกใจผมอย่างรุนแรง ที่ผ่านมาผมเป็นแฟนที่ไม่ได้เอาใจใส่เธอขนาดนี้เลยหรอ

“เห็นมั้ยคะ ว่าเกลก็ไม่ได้เป็นแฟนที่ดี”

“ดิมต่างหากเกล ดิมผิดเอง ดิมเริ่มทุกอย่าง ถ้าเกลอยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ดิมจะ..”

“จะไปบอกเลิกน้องเค้าหรอคะ ทั้งที่ดิมพยายามมาตั้งหลายครั้งแล้ว”

“เกลรู้”

“ค่ะ เกลดีใจนะคะพี่ดิมพยายามทำมัน แต่เกลเข้าใจค่ะว่ามันยาก”

“ขอโทษที่เป็นแฟนที่แย่นะ แย่เหี้ยๆ ด้วย”

“ถ้ามันจะผิดมันก็ผิดที่เราทั้งคู่พยายามไม่มากพอต่างหาก”

ผมรวบตัวผู้หญิงที่พยายามจะเข้มแข็งเข้าอ้อมกอด เธอหาเรื่องโทษตัวเองเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกผิดกับตัวเองไปมากกว่านี้ แต่ให้ตายเหอะ มันยิ่งทำให้ผมโคตรรู้สึกแย่ที่ทำร้ายความรู้สึกเธอเลย ทำไมผู้หญิงดีๆ ต้องมาเจอผู้ชายห่วยๆ อย่างผมด้วยวะ

เกลผลักหน้าออกผมเบาๆ เลยได้คลายอ้อมกอดที่รัดเธอแน่นมาหลายนาที ดวงตาคู่สวยแดงก่ำจะสบตาผมตรงๆ

“ดิมนอกใจ ดิม..” พยายามกลั้นก่อนสะอื้นแล้วพูดคำสารบาปที่เป็นความจริงที่สุด

“เกลก็นอกใจดิมค่ะ”

สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากของผู้หญิงตรงหน้า

นี่มันเรื่องอะไร?

“ดิมจำทีเจได้มั้ย”

“ที่เกลเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนตอนอยู่บอสตัน”

“ไม่ใช่เพื่อนค่ะ แฟนเก่า”

“...”

“ตอนนี้เค้ากลับมา เรากำลังคิดว่าการมาเจอกันอีกครั้ง มันถูกเวลากว่าตอนแรก”

“...”

“ทั้งที่เกลยังไม่เลิกกับดิม แต่เกลยังรักเค้า” เธอพูดอย่างไม่ได้ละสายตาไปจากผม เป็นประโยคที่ฟังเหมือนจะต้องเจ็บ แต่ผมกับรู้สึกโล่งใจ และเธอเองก็อมยิ้มเมื่อพูดคำนี้

“แล้วดิมล่ะคะ รักน้องคนนั้นมั้ย”

“ครับ รักครับ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“งั้นคงถึงเวลาแล้วสินะคะ”

“...”

“เราเลิกกันนะคะดิม”

เธอเอ่ยประโยคที่แสนเศร้านี้ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า แม้หยดน้ำตาจะไหลอาบแก้มที่ถูกแต่งมาอย่างดี แต่แววตาของเธอมันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดไว้ และเหมือนเวลานี้เธอจะดูแมนกว่าผมโคตรๆ ที่กล้าหาญพูดคำๆ นี้ เพราะผมขี้ขลาดจริงๆ ที่จะพูดมัน

“เกล ขอบคุณนะ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง”

“...”

“ดิมรักเกลนะครับ จะรักแบบนี้ไม่มีวันเปลี่ยน ความรักของดิมที่ให้เกลไปแล้ว ไม่ขอรับคืน แต่จะให้เกลชั่วชีวิต”

ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มรับ ก่อนจะเอนตัวจุมพิตหน้าผากเนียนเบาๆ และประทับมันไว้อย่างเนิ่นนาน ให้เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่ผมจะรักเธอในฐานะกัลยาณมิตรที่ไม่มีอะไรมาตัดขาดกันได้ และพร้อมจะดูแลเธอชั่วชีวิตถ้าเธอร้องขอ

นี่คงเป็นสิ่งชดเชย ชดใช้ และไถ่บาป สำหรับกรรมที่ผมก่อไว้กับเธอ



หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.12 i'll call you by mine (23/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 23-06-2018 21:05:19
ผู้หญิงชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ม และผู้ชายชุดสูทสีเทาเข้ม เดินเข้ามาในร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสในโรงแรมหรูกลางเมือง สายตาแขกเหรื่อที่อยู่ในร้านมองทั้งสองอย่างชื่นชมในความสง่างามและเหมาะสมกันอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับคุณผกากรองที่ยิ้มกระหยิ่มในใจ ว่าที่ลูกสะใภ้เธองามงดเป็นที่สุด

“สวัสดีครับคุณแม่”

“สวัสดีค่ะคุณแม่”

“สวัสดีครับลูก สวัสดีจ้ะหนูเกล”
“แม่สั่งซิกเนเจอร์ของที่นี่ไว้นะคะ ลูกๆ อยากสั่งอะไรเพิ่มก็เอาเลยนะ”

บริกรแต่งตัวเนี้ยบ น่าจะเป็นระดับสูงกว่าเด็ดเสิร์ฟทั่วไปทำหน้าที่บริการโต๊ะวีไอพีนี้เป็นพิเศษ

“ขอน้ำพั้นช์เพิ่มก็พอค่ะ”

“ของผมไม่รับ เพราะคุณแม่คงทราบว่าลูกชอบทานอะไร”

บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปได้อย่างสบายๆ คุณแม่ดูจะเอ็นจอยกับอาหารมื้อนี้ เพราะเธอทานไปค่อนข้างเยอะทีเดียว การสนทนาของเราสามคนก็ราบรื่นและสนุกกว่าที่คิด จริงๆ คุณแม่เป็นคนอารมณ์ดีและค่อนข้างพูดเก่ง ภายนอกอาจจะดูดุ แต่เบื้องหลังแล้วเป็นคนทันสมัยพอสมควร ล่าสุดเห็นแชร์คลิปพี่สู่ขวัญลงหน้าเฟซบุ๊ก พร้อมแคปชั่นจะไปตามรอยที่ตลาดนัดจตุจักร เห็นทีต้องให้พี่อ้อมหลานป้าพิมแม่บ้านไปคอยดูแล กลัวจะเป็นลมแดดก่อนจะได้ตามรอยจบ

“ดิม ถ่ายซีรี่ส์เป็นยังไงบ้างคะ ใกล้เสร็จหรือยัง”

“ครับ ก็ใกล้แล้ว เหลือแค่ซีนที่ต้องไปต่างจังหวัด”

“อ่อหรอ งั้นก็ดีสิ แม่จะได้เจอหนูเกลบ่อยๆ พอดิมทำอะไรหลายอย่างแล้วก็ไม่ค่อยกลับบ้าน แถมยังไม่ได้เจอแฟนด้วยใช่มั้ยคะ แม่ก็พลอยเหงาไปด้วย”

“บินไปหาหลานที่อังกฤษสิครับ จะได้ไม่เหงา” ผมเย้า ลูกชายพี่ซันพี่คนโต ตอนนี้หกขวบ ถูกส่งไปเรียนภาษาคอร์สสั้นๆ สำหรับเด็กที่อังกฤษพร้อมกับแม่เขา คุณย่าก็เลยเหงาๆ ช่วงนี้

“คนแก่บินบ่อยๆ ไม่ดีหรอกค่ะ ดิมก็แต่งงานรีบมีหลานให้แม่สิ”

“...”

“...”

เกลและผมหันมองหน้ากัน เหมือนเรารอประโยคนี้ เพราะจะได้พูดความจริงกับคุณแม่สักที

“แม่ครับ”

“คะ มีอะไรกันหรือเปล่า แม่พูดเรื่องแต่งงานแล้วเงียบใส่แม่เลย”

“ดิมกับเกลเลิกกันแล้วครับ”

“คะ!!”

“ค่ะ เราเลิกกันแล้ว”

“ดะ เดี๋ยว ทำไมล่ะคะ แล้วที่ผ่านมาหนึ่งชั่วโมง ทำไมทั้งสองคนดูยังรักกันอยู่ล่ะคะ”

“ครับ เราสองคนยังรักกันเหมือนเดิม แต่แค่ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิม”

“ทะเลาะกันหรอคะ ทำไมแม่ดูไม่ออกเลย” ผู้หญิงสูงวัยตรงหน้าดูจะตกใจจริงๆ ถ้าคุณแม่เป็นโรคหัวใจคงมีความดันขึ้นกันบ้าง แต่ผมเป็นหมอตรวจสุขภาพให้แม่ทุกปี ท่านแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นโรคที่คนมีอายุเริ่มเป็นกัน อาจจะมีปวดข้อ ปวดเข่า เวลาทำกิจกรรมนานๆ บ้าง แต่ไม่อันตรายอะไร

“ป่าวค่ะ เราจบกันด้วยดี” ผู้หญิงข้างๆ หันมายิ้มให้ผม

“เราจะรักกันแบบเพื่อนตลอดไปค่ะ”

ผมยิ้มตอบเธอและจับมือเล็กที่วางอยู่หน้าตักไว้เบาๆ

“ว้าาา แม่ก็คิดว่าจะได้จัดงานแต่งลูกชายซะแล้ว เซ็งเลยอะ” นี่ไงแม่ผม ใช้คำวัยรุ่นมั้ยล่ะ

“อาจจะไม่แห้วก็ได้นะคะคุณแม่”

“ทำไมหรอคะ สรุปตาดิมนอกใจหนูเกลหรอ” เสียงคุณแม่แข็งขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ความจริงน่ะใช่เลย

“ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกค่ะ เค้าเริ่มคุยหลังจากเราเลิกกันแล้ว”

ผมบีบมือเกลแน่นขึ้น เธอหันมายิ้มสวยให้

ขอบคุณนะครับที่ยังปกป้องกันเสมอ

“แล้วหนูเกลมีคนคุยหรือยังคะ ถ้ายังรับพิจารณาลูกแม่อีกครั้งได้มั้ย” น้ำเสียงคุณแม่ติดจะอ้อนวอนเล็กๆ แต่เหมือนจะแค่ลองดูเท่านั้น คงหวังจะฟลุ๊ค

“เกลก็มีแล้วครับ เป็นเศรษฐีที่สิงคโปร์ หมอจนๆ สู้ไม่ได้หรอก”

“แหม่ ของดิมก็น่ารัก..อุ๊ปส์ ไม่พูดดีกว่า”

“ใครหรอคะ แม่รู้จักมั้ยคะดิม”

“ไว้ขอใช้เวลานานกว่านี้จะพามาเจอแม่นะครับ”

“ค่ะๆ แล้วแต่เลยค่ะ เด็กสมัยนี้ไวกันเหลือเกิน คนแก่ตามไม่ทันค่ะ”

เรื่องที่เราทั้งสองคนกังวลดูท่าจะราบรื่นกว่าที่คิด เพราะก่อนหน้าที่จะพาเกลไปแนะนำคุณแม่ เล่นจับคู่ลูกสาวเพื่อนให้ผมเยอะแยะไปหมด แต่ก็ทำได้แค่ปฏิเสธไป และพอพาเกลมาเจอแม่ก็ดูจะอ่อนลง เหมือนลดความกังวลว่าลูกชายจะไม่มีเมีย แต่แล้วพอความสัมพันธ์ของผมกับเกลจบลงด้วยดี กลับกลายเป็นว่าคุณแม่เข้าใจเสียอย่างนั้น แถมยังยิ้มเป็นกำลังใจให้ผมก่อนจะแยกกันกลับบ้านอีก

หรือแม่จะปลงว่าลูกจะไม่มีเมียซะแล้ว

มีสิแม่ แค่เมียไม่ใช่ผู้หญิง


“นี่เอามาเย้ยกันทั้งที่เพิ่งเลิกไม่ถึงวันเลยหรอ” Audi R8 สีดำขลับจอดเทียบหน้าร้านเหมือนรู้เวลา เดาไม่ยากว่าใครเป็นสารถี คงเป็นทายาทตระกูลดังจากแดนสิงโตพ่นน้ำ หึ บีเอ็มกูกากไปเลยมั้ยเนี่ย

“จริงๆ มาเย้ยยังแต่ยังไม่เลิกด้วยซ้ำ เพราะเค้าขับมาจากชลบุรีแหนะ”

“เหอะ เกลร้ายอย่างที่บอกจริงๆ ว่ะ”

“ฮ่าๆ กลับก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่”

“ครับ”

เรายิ้มให้กันด้วยความจริงใจอย่างที่สุด เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นนานมากๆ แล้วจากผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจ ไม่รู้นานแค่ไหนที่พรากรอยยิ้มสดใสไปจากเธอ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ วันนี้คงต้องได้ส่งเธอคืนกลับไปหาคนที่เรียกรอยยิ้มเธอกลับมา

“ดิมขับรถดีๆ นะคะ”

“ครับ รักเกลนะครับ”

“รักดิมเหมือนกันค่ะ”

สวมกอดผู้หญิงตรงหน้า ด้วยสัมผัสของ “เพื่อนแท้” ครั้งแรก และตลอดไป




ห้าทุ่มครึ่ง บีเอ็มดีดำจอดหน้าคอนโดที่มองยังไงก็ไม่ใช่คอนโดของตัวเองสักนิด แต่นั่นแหละออกจากโรงแรมก็คิดถึงแต่หน้าเด็กคนนั้น ไม่รู้ว่าจะกังวลไปถึงไหนแล้ว ตั้งแต่บอกว่าจะโทรหาวันนี้หลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างจบ ‘คนรอเก่ง’ ก็ยังไม่ติดต่อมาเลยสักนิด ไม่กระทั่งไลน์มา จนเริ่มเป็นห่วงว่าจะนั่งกอดเข่าร้องไห้ไปหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ตบไฟเลี้ยวเข้ามาในนี้แล้ว

นิติบุคคลจำผมได้ดี เพราะเคยมาที่นี่สองสามครั้ง อีกอย่างเธอก็ดูจะเป็นแฟนคลับผมด้วย เลยเข้านอกออกในที่นี่ได้สบายๆ ขอแค่เธอไม่เอาไปบอกใครว่าผมมาหาคู่จิ้นยามวิกาลก็พอ ซึ่งเธอก็ดูจะฟินเงียบๆ คนเดียว

ติ๊ง ต๋อง

รอไม่นานประตูสีเงินบานใหญ่ก็เปิดออก

“...”

“...”

“พี่ดิม”

“ไงครับ เจ้าของแมว”

“ฮื้ออ”

แรงพุ่งจากคนตัวเล็กเข้ามากอดผมเต็มแรง อ้อมกอดจากคนตัวเล็กรัดแน่นขึ้น

“กอดแน่นไปแล้วน้องศิ”

“อื้ออ จะกอด ศิรอนานมากเลย” หัวทุยไถไปมาที่หน้าอกของผม จนเส้นผมนุ่มยุ่งเหยิงไปหมด ความงอแงมาเต็มสูบสุดๆ ทั้งที่ปกติแทบไม่เห็นพาร์ทนี้ของเขาเอง

“คิดว่าพี่ดิมจะ...ไม่มาแล้ว”

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ หื้ม” ดึงแขนที่รัดผมแน่นให้คลายอ้อมกอด ปิดประตู แล้วดึงมือตัวงอแงให้เดินเข้ามากลางห้องนั่งเล่น ทีวีที่เปิดไว้เสียงดัง ฉายภาพยนตร์ call me by your name ค้างไว้

“กลัวว่าพี่ดิมจะไม่กลับมาเหมือนโอลิเวอร์ แล้วพี่จะโทรมาบอกศิว่าตัดสินใจจะแต่งานกับพี่เกล” ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงโซฟาร์คนหน้ามุ่ยก็พูดประโยคที่คงติดอยู่ในใจมาทั้งวัน

ใบหน้าขาวนวลตอนนี้หมองลงอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะใต้ตาที่คล้ำลงมาก คงคิดมากจนไม่ได้นอน ซึ่งไม่ได้ต่างจากผมเท่าไหร่ ศิไม่ติดต่อผมเพราะเชื่อว่ายังไงผมก็ยังจะติดต่อกลับมา แต่ที่ผมไม่ติดต่อเขาเลยทั้งวัน ก็เพื่อทดสอบหัวใจตัวเองครั้งสุดท้ายว่าหลังตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ ทำงาน คิดถึงใครกันแน่ สุดท้ายคำตอบก็คือเด็กตรงหน้าที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“พี่ไม่มีทางให้ศิร้องไห้คนเดียวหลังจากวางสายพี่หรอก”

“...”

“เพราะพี่จะมาเช็ดน้ำตาให้ศิด้วยตัวเอง”

“...”

“น้ำตาจากพี่ครั้งสุดท้าย”

ศิช้อนสายตามองผมนิ่ง น้ำตาที่คลออยู่ก่อนแล้ว ค่อยๆ ไหลอาบแก้มใส มือสากของตัวเองเกลี่ยน้ำใสเบาๆ ให้หมดไป แต่ดูท่าจะไม่หมดง่ายๆ คนที่เคยเข้มแข็งก่อนหน้านี้ไม่รู้หายไปไหน เหลือแต่เด็กขี้แยที่กำลังฟูมฟายอยู่ตรงนี้

“พี่เลิกกับเกลแล้วนะ”

“...”


“เราจบกันด้วยดี ศิจะโอเคหรือเปล่าถ้าพี่ยังจะรักเกลอยู่”

ตาคู่สวยหลบสายตากันดื้อๆ ทั้งที่ยังฟังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ

“รักแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน..ตลอดไป”

“พี่ดิม!”

“พี่ไม่ได้แกล้งนะ ศิไม่ฟังให้จบเองต่างหาก”

คนตัวเล็กใช้กำปั้นที่แรงไม่เล็กหาดลงที่หน้าอกผมดังปั๊ก ดีแค่ไหนแล้วที่ศิไม่ต่อยผมให้รู้แล้วรู้รอด แต่จริงๆ ถ้าศิต่อยผมอาจจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ก็ได้

จับข้อมือเล็กแนบอกแน่นของตัวเอง เจ้าตัวดูจะงงเล็กน้อยกับการกระทำของผม ตั้งแต่เจอหน้าศิผมพยายามทำให้ทุกอย่างดูสบายๆ ง่ายๆ ไปเสียหมด เพราะไม่อยากให้ศิคิดมากไปกว่าเดิม ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทำอยู่เลยแม้แต่นิด แค่เห็นศิร้องไห้หัวใจมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาเสียอย่างนั้น

กลัวศิจะรับไม่ได้กับการเป็นผู้ชายโลเล หวั่นไหวง่ายกับใครที่เข้ามา ผู้ชายที่เลิกกับผู้หญิงที่รักมากมาหาเขาทั้งที่รู้จักกันไม่นาน

กลัวศิจะไม่มั่นใจ

ถ้าเขาคิดว่าสักวันหนึ่งผมสามารถทำแบบนี้กับเขาได้เหมือนกัน ก็คงไม่ผิดอะไร

สุดท้ายแล้วถ้าเขาจะไปผมก็คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอะไร

“ตีพี่อีกก็ได้นะ ตีเท่ากับที่พี่ทำให้ศิรู้สึกแย่มาโดยตลอด”

“...”

“ให้สมกับความโลเล และไม่ชัดเจนอะไรสักอย่าง”

“พี่ดิม…”

“หรืออยากต่อยพี่ก็ได้นะ เอาเลย พี่โอเค”

“...”

“ขอแค่ศิ...มั่นใจในความรักของพี่นะ”

“...”

“พี่จะไม่ทำให้ศิเสียใจอีก”

“อื้อ ศิบอกเพื่อนได้หรือเปล่า”

“ครับ”

“ศิบอกป๊ากับหม่าม๊าได้มั้ย”

“ถ้าพ่อแม่ศิไม่ตกใจนะ”

“ศิบอกพูลล์ได้มั้ย”

“ครับ”

“ศิจับมือกับพี่ดิมได้มั้ยเวลาเราไปข้างนอกกัน” จับมือทั้งสองข้างของคนตรงหน้ามากุมไว้

“ครับ”

“ตาพี่ดิม จมูกพี่ดิม แก้มพี่ดิม ปากพี่ดิม ทุกอย่างที่เป็นพี่ดิม” สายตาของคนที่พูดไล่มองไปทุกส่วนที่เขาเอ่ยถึง ราวกับเด็กๆ ที่กลัวว่าของเล่นของตัวเองจะหายไป

“...”


“ศิเป็นเจ้าของได้หรือเปล่า”

“ศิเป็นเจ้าของพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้วจำไม่ได้หรือไง”


“ฮื้ออ พี่ดิม ทำไมชวนเข้าเรื่องทะลึ่งเนี่ย กำลังโรแมนติกเลย” และแล้วน้ำตาของคนตรงหน้าก็หยุดไหลได้สักที

ไม่อยากเห็นน้ำตาเขาอีกแล้ว สัญญากับตัวเองเลย

“ดูชุดที่ตัวเองใส่ก่อนเถอะ”

เสื้อยืดตัวใหญ่ผ้าเนื้อบางสีขาวล้วน ที่เหมือนใส่ซ้ำแล้วหลายครั้งจนมันบ๊างบาง ไหนจะกางเกงนอนแบบรัดที่มันสั้นมากๆ เหมือนจะปิดแค่โคนขาเองมั้ง ถ้าเขาใส่นอนเองคนเดียวมันก็ดูจะไม่มีอะไร แต่นี่ผมดันโผล่มาแบบไม่ตั้งตัว เลยขอเหมาว่าเขากำลัง ‘ยั่ว’ ผมอยู่ชัดๆ

“กะ ก็ศิจะนอนแล้วนี่  ก็พี่บอกว่าจะโทรมา แต่ดันมาเอง”

“ปกติใส่ชุดนอนแบบนี้หรอครับ” รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังใช้สายตาประมาณไหนมองคนตรงหน้า เพราะคนถูกมองเอาแต่หลบสายตากัน แถมแก้มแดงๆ กำลังบอกว่าเขินจัด

“มันแปลกหรือไงเล่า”

“เปล่า มันเซ็กซี่ดี”

“โอ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว”

ไม่คุยด้วยแต่เดินเข้าห้องนอน นี่แม่งยั่วกันสุดๆ เลยนะน้องศิ



จัดการอาบน้ำเสร็จสรรพ ออกมาจากห้องน้ำก็เจอคนที่นอนกลิ้งบนเตียงเปลี่ยนกางเกงมาใส่ขายาว แต่เสื้อยังเป็นตัวเดิม หึ คนไม่จริง

จริงๆ ศิจะไล่ให้ผมกลับไปนอนที่คอนโด แต่สำออยว่าง่วงนอนขับรถไม่ไหว เลยได้ลงเอยนอนค้างกับน้องที่คอนโด

เตียงลายหมีพูห์ของศิมันให้บรรยากาศเหมือนที่นอนของเด็กอนุบาลสุดๆ แต่ยอมรับเลยว่าโคตรน่ารักและโคตรเข้ากับเจ้าของเตียง

“ศิจะนอนเลยหรือเปล่า”

“อื้อ อีก 5 นาที ขอจบเกมนี้ก่อน พี่ดิมปิดไฟเลยก็ได้ ศิมีไฟหัวเตียง”

“ชอบเล่นมือถือแบบนี้สายตาจะสั้นกว่าเดิมนะ”

“แม่ง มึงโง่อะ เดินไปให้เค้าฆ่า วุ้ว”

“...”

“อุ้ย ขอโทษครับ หัวร้อนไปหน่อย”

นอนเท้าแขนมองเด็กผู้ชายตรงหน้าด้วยหลายความรู้สึก สองวันมานี้ไม่รู้ว่าเขาต้องเจออะไรมาบ้าง คิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง รู้สึกอะไรบ้าง แต่การที่เขาสามารถเล่นเกมแล้วด่าคนในทีมได้ขนาดนี้ ก็คงรู้สึกสบายใจในระดับหนึ่งล่ะมั้ง

“เย้ ชนะ! เก่งมากไอ้ศิ” คนนอนคว่ำทำท่าเยสแล้วกดปิดมือถือก่อนจะนอนหงายลงกับหมอน แล้วสายตาเขาก็มองผมกลับพอดี

“ศิ”

“ครับ”

“ต่อไปพี่จะบอกรักศิได้อย่างเต็มปากแล้วนะ”

“...”

“มันไม่ใช่ความผลั้งเผลอ หรือความผิดพลาด ไม่ใช่ตั้งแต่ต้น”

“...”

“แต่มันคือความตั้งใจของพี่นะครับ”

“อื้อ”

“พี่ดิมรักน้องศินะครับ”

“น้องศิก็รักพี่ดิม”


สองกายเคลื่อนเข้าหากันตามแรงดึงดูดของร่างกายและหัวใจ พร้อมคำว่า ‘รัก’ ถูกเอื้อนเอ่ยจากปากของทั้งสองหัวใจที่เกี่ยวพันกัน และมันจะค่อยๆ ถักทออย่างปราณีตจากวันนี้เป็นต้นไป จนกลายเป็นงานฝีมือที่สวยงาม ด้วยลายมือชื่อของคนสองคน

เสียงฉีกกระดาษฟลอยด์ด้วยรีฝีปากหนา ด้วยอาการใจเย็น ทว่าลมหายใจหอบถี่กระชั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของสัมผัสแห่งรักที่จะผสานสองร่างกาย ให้หล่อมรวมเป็นหนึ่งเดียว

“อ๊ะ ฮื้อออ”

“พี่เป็นของศินะครับ”

“...”

“เป็นของศิคนเดียว”

มันจะเป็นความรักที่ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคนเสียที


พระจันทร์ในคืนเดือนข้างขึ้น สุกสว่างลอยเด่นบนนภาทึบไร้แสง ในยามดึกสงัด
ด้วยพลังจากแสงพระอาทิตย์ที่ทอดส่องมาถึง แม้ตัวเองจะอยู่อีกฟากโลกก็ตาม

เพราะอาทิตย์ไม่มีทางปล่อยให้พระจันทร์ไร้แสง
เหมือนที่พระจันทร์อบอุ่นเสมอยามต้องแสงพระอาทิตย์





---------------To be continued--------------


เป็นอีกตอนที่แต่งยากเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะชิล
ใครยังไม่ได้ดู call me by your name พวกเธอคือชาวเน็ตเกรดz นะขอบอก
55555555555555

จบดราม่าละนะะะ สำหรับชามนี้!

ตอนหน้าจะกลับเข้าสู่ชีวิตติดซีรี่ส์ละ55555555
น้องพูลล์จะคัมแบ็คค ใครคิดถึงนางบ้างงงง
เจอกันตอนหน้าเด้อพ่อแม่พี่น้อง
ฮักเด้อออ <3

อยากอ่านเม้นท์คือเก่าล่ะ

หัวใจ #youaremyday1 #กาลครั้งที่รักคุณ

@mifenfbeexx

บีเอง

 :hao7:





หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.12 i'll call you by mine (23/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: biibbmnt ที่ 25-06-2018 21:11:31
เห็นสปอย์ในทวิตแล้วอยากอ่านนนนนนนนนนนนนนน

ฮึ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romace (23/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-06-2018 23:22:36
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.13 secret romance

Cause girl you’re perfect. You’re always worth it
And you deserve it, The way you work it




กระดาษฟลอยด์ชิ้นที่สามถูกฉีกด้วยมือของร่างสูงผิวแทนชื้นเหงื่ออาบเต็มร่างกาย ลมหายใจรุนแรงไม่สม่ำเสมอมาพร้อมกับใจที่เต้นระรัวในอกที่ยังกระเพื่อม มือใหญ่สวมถุงยางให้ตัวเอง ก่อนจะจับเอวคนใต้ร่างให้พลิกคว่ำ ใช้แกนกายที่แข็งเต็มที่ตีแก้มก้นขาวเนียนอย่างหยอกล้อ

“ฮื้ออ พี่ดิม ยังจะต่ออีกหรอครับ”

“ศิควรห้ามพี่ตั้งแต่มองพี่ฉีกถุงยางเมื่อกี้นี้”

“อะ อื้อ ฮะ ชะ ช้าหน่อย”

แกนกายที่ยังแข็งขืนแม้จะถูกใช้งานและปลดปล่อยความใคร่มาสองครั้งแล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปทำหน้าที่อีกรอบตามความต้องการของเจ้าของ พอเห็นคนใต้ร่างสั่นน้อยๆ ก็เหมือนสัตว์ร้ายในตัวเองครอบงำอีกครั้ง สวนกายจนสุดทางไม่ได้ทำช้าแบบที่คนร่วมรักบอก

“อ๊ะ!”

คุณหมอโน้มตัวไปจูบซับหลังขาวเนียน และทิ้งรอยคิสมาส์กบางๆ ไว้ตามลาดไหล่และช่วงหลัง มือใหญ่พลางเล่นแก่นกายของคนใต้ร่างที่หอบหายใจหนัก และส่งเสียงครางหวานให้เพิ่มเสียงอีกหน่อย ยอมรับว่าหลงใหลในทุกอย่างของเด็กคนนี้ แม้จะประสบการณ์ไม่มาก แต่ก็โอนอ่อนตามความต้องการของเขาทุกอย่าง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าตัวเองน่ะเซ็กซี่แค่ไหน

เอวบางเคลื่อนไปตามแรงกระแทกจังหวะคงที่ แต่ลึกจนห้ามไม่ให้ส่งเสียงน่าอายไม่ได้ ไหนจะจังหวะที่คนคุมเกมหยุดแล้วแช่แก่นกายไว้ ก่อนจะอาศัยจังหวะเผลอถอนออกแล้วใส่ใหม่จุดสุดแรง ทำได้แค่กำผ้าปูที่นอนแน่นและส่งเสียงดังให้คนข้างบนพอใจ เพราะเขาก็จะครางรับเช่นกัน

“รู้ตัวมั้ยว่าศิสวย...สวยไปทั้งตัว”

“พะ พี่ดิม มาพูดอะไรตอนนี้”

“แฟนคลับชอบให้พี่เป็นแด๊ดดี้ ฮ่ะ”

“อื้อ อ๊ะ ฮะ พี่ดิมเบาหน่อย”

“ศิไม่อยากเป็นหนูของแด๊ดดี้ ฮ่ะ บ้างหรอ ฮ่า”

“หนูเหนอ อ๊ะ อะ พะ ดิม ศิ จะ ฮื้อออ”

ร่างสูงที่กำลังขยับถี่กระชั้น หยุดชะงักลงเมื่อคนใต้ร่างกำลังจะถึงฝั่งฝัน เขายกยิ้มก่อนจะถอนกายออกแล้วพลิกร่างที่อ่อนปวกเปียก ก่อนจะพาตัวเองไปนอนแทน พร้อมทั้งยกคนตัวเล็กมานั่งหน้าขาตัวเอง

คนตัวเล็กยังค้างกับอารมณ์ที่กำลังจะปลดปล่อยเลยยอมโอนอ่อนให้เขาทำอะไรตามใจ จนรู้ตัวอีกทีก็มานั่งในท่าล่อแหลมบนตัวคุณหมอเข้าแล้ว สายตาที่ร่างหนาใช้มองมันช่างส่อเค้าว่าความคิดพิเรนทร์คงกำแล่นในหัวแน่นอน

“พะ ดิม ทำไมให้ศิ..เอ่อ นั่งตรงนี้”

“หึ หนูอยากเสร็จมั้ย”

“...”

“ขยับเองเลยครับ”

คนด้านบนฟาดมือลงที่กล้ามท้องแน่นไม่แรงมาก กะให้เค้ามีสติว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เพราะมันน่าอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี

“ฮือ พี่ดิมศิทำไม่ได้หรอก”

คนได้ยินยกยิ้มและยกเอวตัวเองขึ้นเล็กน้อยให้แกนกายที่นอนใต้ก้นคนด้านบนได้สัมผัสความต้องการ ที่ไม่ต่างจากคนตัวเล็กที่ทรมาณกับอาการอยากปลดปล่อยของตัวเอง

จนแล้วจนรอดมือบางก็จับแกนกายของเขาก่อนจะค่อยวางตัวเองลงไปอย่างช้าๆ

“อ๊ะ ฮื้ออ อ่าาา”

ร่างเล็กกัดปากตัวเอง มันรู้สึกมากจนต้องโน้มตัวลงไปแนบกับหน้าแน่นแกร่ง เขากอดตอบเบาๆ ก่อนจะเด้งตัวดันแกนกายขยับเข้าไปในร่างที่ตอดรัดเขาอย่างรุนแรง

“อย่าเพิ่งรัดสิ”

“ฮะ มันห้ามได้หรือไงเล่า”

คนตัวใหญ่ใต้ร่างกดจูบที่หน้าผากเนียน เรื่อยมาที่ปากบางที่หอบหายใจเข้าปอดถี่กว่าปกติ

“ขยับเถอะ พี่จะตายแล้ว”

คนตัวขาวใช้มือกดที่หน้าท้องหนา ก่อนจะค่อยๆ ยกตัวเองขึ้นและลงช้าๆ แต่ดูจะไม่ทันใจเพราะอารมณ์ที่คงค้างก่อนหน้านี้มันตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง ทำใจเร่งจังหวะให้มากขึ้น จนคนใต้ร่างต้องเข้ามาจับมือทั้งสองไว้เพื่อพยุงตัว เสียงกระเส่าอย่างพอใจของคุณหมอ ทำอารมณ์คนที่ขยับโยกพุ่งสูง จนทะลักเต็มหน้าท้องแน่นไปด้วยมันกล้าม เละเทอะและเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำสีขาวเป็นหย่อมๆ

“อ๊ะ พะ ดิม ศิ ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร ภาพเมื่อกี้โคตรสวย”

ไม่รอช้าคนที่นอนระงับอารมณ์ของตัวเองก็เร่งเปลี่ยนตำแหน่ง โดยไม่ลืมถอดถุงยางตัวเกะกะออก แล้วสอดใส่ตัวเองเข้าไปในร่างกายคนรักอีกครั้ง พร้อมขยับเขยื้อนอย่างไม่ออมแรง เพราะทนเห็นคนรักยั่วยวนและเซ็กซี่มานานเกินทน

“ฮะ อ๊ะ พี่ดิม ระ เร็วไปแล้ว”

“หนูทำให้พี่คลั่ง ฮ่ะ อีกนิดครับ”

สะโพกหนายังคงกระแทกกระทั้นรุนแรง มัดกล้ามทุกสัดส่วนชื้นเหงื่อและมันขึ้นเห็นเด็ดชัด ตาคู่สวยมองทุกการกระทำของคนที่โคตรเซ็กซี่ในยามนี้ แม้จะรู้สึกว่าต้องปลดปล่อยอีกครั้งก็ตาม

“ฮะ ศิ พร้อมกันนะ”

“ฮื้ออ พะ ดิม อ๊ะ”

ทั้งสองร่างปลดปล่อยความใคร่ทุกหยาดหยดพร้อมกัน ร่างสูงกระตุกหลายครั้งและพ่นลมหายใจพร้อมกับเสียงครางทุ้มยาวนาน พอๆ กับคนใต้ร่างที่โกยอากาศหายใจเข้าปอดรัวๆ เอื้อมมือไปแตะคราบเนอะหนะที่พุงทั้งที่มันเพิ่งเช็ดออกไปเมื่อไม่กี่นาที

จุ๊บ

“พี่รักหนูนะครับ”

“หนูก็รัก”

ร่างสองตะกองกอดกันไม่นาน คนตัวโตก็เดินโทงๆ ไปเอาทิชชู่มาเช็ดตามเนื้อตัวคนที่นอนปวกเปียกแทบไม่อยากขยับตัว และเช็ดตัวเองไปด้วย

“จะอาบน้ำอีกรอบมั้ย”

ศิรัสพยักหน้ารับ เพราะไม่สามารถทนนอนทั้งที่ตัวเองเหนอะหนะขนาดนี้ได้ แม้จะง่วงเต็มทีก็ตาม คุณหมดจัดการอุ้มคนที่ดูจะเริ่มงอแงเข้าห้องน้ำและจัดการอะไรๆ ให้โดยที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่รักแกคนตัวเล็กอีก

จะห้ามใจให้ไหว



ร่างสูงใหญ่ขยับตัวหลังจากอากาศในห้องอุ่นขึ้นเพราะแอร์ปรับอุณหภูมิคงที่ ไหนจะมีตัวซุกที่มุดอกเขาเสียแนบแน่น แขนใหญ่ชาดิกเพราะโดนนอนทับทั้งที่เป็นคนดึงให้เขาเข้ามานอนไม่อ้อมอกด้วยตัวเอง ยอมรับว่ากลิ่นตัวของศิทำเอาเค้าเพ้อ มันหอมแบบเฉพาะตัว ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม ไม่ใช่กลิ่นแป้ง ไม่ใช่กลิ่นครีมอาบน้ำ แต่มันเป็นกลิ่นของศิ สงสัยเป็นฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาล่ะมั้ง นี่ผมอาจจะคลั่งน้องมันเกินไปก็ได้นะ

จมูกโด่งของตัวเองกำลังคลอเคลียกับแก้ม ซอกคอ หน้าอก นี่เสพติดเขาจริงๆ ว่ะ เป็นเอามากโคตรๆ เพราะตอนน้องหลับนี่มันโคตรน่ากอดอีกซับรอบ แก้มขาวอมชมพูกับจมูกโด่ง รับกับปากสีชมพูนี่แม่งห้ามใจลำบากจริงๆ

“อื้ออ หือ พี่ดิม”

“จุ้บ” อดใจไม่ไหวจุ้บหน้าอกทับรอยคิสมาส์กเมื่อคืนไปที

“หือ ตื่นแล้วหรอ”

“ครับ ศิโอเคหรือเปล่า”

“โอเคเรื่อง?” เขาขยี้ตางัวเงียบก่อนจะเอาหัวโหม่งเบาๆกับอกผมทีนึงไล่ความง่วง

“เจ็บตรงนั้นมั้ย ถ้าเจ็บพี่จะดูให้”

“ดะ เดี๋ยวก่อนเลย ให้ศิตอบก่อนจะเลิกกางเกงศิมั้ยอะ”

“ก็หมอเป็นห่วงนี่ครับ”

“หมอหรือปลาหมึกครับ ทำไมมือไวฉิบ” ศิรี่ตา เอามือเล็กของเขาจับมือผมที่วางบนสะโพกเขาออก

“เป็นห่วงเมียนี่ก็ผิดเนอะ”

“พี่ดิม!”

“พี่พูดผิดตรงไหน”

“กะ ก็ มันน่าอาย!”

“อายทำไมก็เห็นกันหมดแล้ว”

“โว๊ะ ไม่คุยด้วยแล้ว แล้วก็ห้ามเรียกศิแบบนั้นด้วย”

“งั้นเรียกหนูแทนได้มั้ย”

“NO WAY!!”

“Why not? you can call me daddy back it’s fair”

“stop your sassy words dirty doctor!!”

คนขี้เขินลุกออกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังพยุงตัวเดินได้ไม่ดีนัก แต่ก็ดูไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย จริงๆ แอบดูตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ ไม่มีทางให้เขาป่วยหรอก ไม่งั้นคนรู้สึกไม่ดีไปด้วย เพราะเป็นคนทำทั้งนั้น แต่ย้อนเวลาไปจะทำมั้ย ก็ทำป่ะวะ ฮ่าๆ



อาหารเช้าหน้าดีถูกรังสรรค์ด้วยคนตัวเล็ก เหมือนตัวเองเป็นพ่อบ้านใจกล้า แอบมองเมียทำอาหารเช้า ทั้งที่เขาสวมเชิ้ตสีขาวของตัวเองเมื่อวานและท่อนล่างใส่แค่กางเกงในตัวเดียว อวดเรียวขาสวยเดินไปเดินมาในห้องครัว เวลาก้มทีก็เห็นไปถึงสะดือที หรือเวลาก้มหยิบของต่ำๆ แก้มก้นที่ลอดผ่านอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋วนี่เป็นฉากที่โคตรประทับใจ ไหนใบหน้ามันเล็กน้อยจากอากาศร้อนและการทอดเบค่อน แต่ยอมรับว่าเซ็กซี่ยิ่งกว่านายเอกเอวีที่เคยดูอีกบอกตรงๆ

เบรกฟาสต์ที่มีแค่เบค่อนและไส้กรอกที่เป็นไขมันร้าย นอกจากนั้นคือไข่ดาวน้ำ ขนมปังโฮลวีต อะโวคาโด้ และบลูเบอรี่ อีกจานคือสลัดผักและผลไม้จานใหญ่ วางข้างกับน้ำฝรั่งคั้นสด นมจืด และกาแฟดำ

อื้อหือ นี่ได้เมียมีสเน่ห์ปลายจวักด้วยหรอวะเนี่ย แค่ข้าวกล่องครั้งที่แล้วก็ประทับใจจะตายแล้ว มาเจอเซตเมนูอาหารเช้าระดับโรงแรมอีก พาแม่ไปขอพรุ่งนี้เลยได้มั้ย

“พี่ดิมมาเร็วครับ ทานอาหารเช้า เดี๋ยวไปเข้าเวรสายนะ”

เจ้าตัวที่พูดเดินไปนั่นนี่หาอะไรมาวางที่โต๊ะเต็มไปหมด แค่นี้ผมก็ยิ้มแก้มจะระเบิดตายอยู่แล้ว

“นี่เพิ่ง 9.30 เอง พี่เข้าเวรเที่ยง”

“นั่นแหละ กินข้าวเถอะ เลยเวลาอาหารเช้ามานานแล้ว” พูดเสร็จเลื่อนเก้าอี้ให้อีก โอ้โหนี่นั่งอยู่โนโวเทลแบ็งก็อกหรือเปล่า

“ปกติพี่กินแค่กาแฟดำก็พอแล้ว”

“อ้าว สรุปคือจะไม่กิน?” ศิเอามือเท้าสะเอว แบบเฟียสๆ

“เห้ย! ไม่ใช่ๆ กินๆ เมียทำให้ทั้งที”

“พูดงี้ยิ่งไม่ต้องกิน” คว้าเอวคนขี้งอนให้มานั่งกินข้าวด้วย เก้าอี้เดียวกันเลยให้มันจบๆ

คงไม่รู้ตัวสินะว่าอ่อยกันอีกแล้ว

“เห้ย ไม่เอา กินดีๆ จะให้ศิเกะกะทำไม”

“จะให้พี่กินข้าวหรือกินศิ เลือกเอา”

“..กะ กินข้าวไปเลย”

“ป้อนหน่อย”

“ฮึ้ยย”

เช้านี้ไม่ต่างอะไรกับหลังจากคืนส่งตัวบ่าวสาวเลย แม่งโคตรจะโรแมนซ์สุดๆ


ติ๊ง ต่อง ติ๊ง ต่อง

“หื้อ ใครมา ศิไปเปิดแป๊บ”

“ดะ เดี๋ยว”

เรียกไม่ทันคนตัวเล็กก็วิ่งดุ๊กๆ ลืมเจ็บไปเปิดประตูให้แขก ทั้งที่ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองแต่งตัวแบบไหนอยู่ ผมนี่กุมหน้าผากเลย

“ศิ!! เซอไพร์ส!!”

“พูลล์!!”




“shit!”


เราสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก หลังจากที่ศิเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว และระหว่างนั้นผมก็กินข้าวเช้ารอไปด้วย ส่วนพูลล์ที่นั่งดูทีวีก็มองมาทางผมแบบยิ้มๆ ตลอด เหมือนเพื่อนตอนประถมที่รู้ว่าเรากับคนที่แอบชอบมีซัมธิงมากกว่าแค่แอบชอบ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ดันมารู้ความลับของเรา พูลล์เป็นเจ้าเด็กขี้ล้อเลียนคนนั้นแหละ

“ทำไมเราต้องนั่งเงียบด้วยอะ” พูลล์ถามขึ้นทำลายความเงียบ

“อะ อ่อ ก็ แบบว่ามัน”

“พี่ค้างกับศิเมื่อคืน แล้วดูจากสภาพศิพูลล์คิดว่าไง”

“ก็แบบมีซัมธิงกัน”

“มากกว่าซัมธิง”

“พี่ดิม!!” ศิในชุดเสื้อยืดผ้าเนื้อดีสีเทา และกางเกงวอร์มสีเดียวกันเหวขึ้นอย่างกลบอารมณ์เขินหนักของตัวเอง ถ้าเขานั่งข้างๆ คงดึงมากอดแล้ว น่าหยิกจริงๆ แต่นี่เจ้าตัวดันเลือกนั่งข้างเพื่อนรักบนโซฟาร์ตัวยาว ส่วนผมนั่งที่โซฟาร์แยกอีกตัว

“เอาน่าศิ โตๆ กันแล้ว เรื่องปกติจะตาย เนอะพี่หมอเนอะ”

ผมยักคิ้วเอออ่อกับพูลล์หน้าทะเล้น เตรียมจะง้างปากศิเต็มที่ถ้าอยู่กันสองคน

“แต่ศิลืมใช่มั้ยที่เรานัดกันเมื่อวาน เสียใจนะเนี่ย อยู่กับผู้แล้วลืมนัดเพื่อนหรอ”

“เห้ย ไม่ใช่นะ แต่..เราก็ลืมจริงๆ แหละ ขอโทษนะ” ศิทำหน้าเศร้าที่ดูจะลืมนัดเพื่อนจริงๆ

“อิอิ ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าจายยย” สายตาพูลล์มองไปยังไหปลาร้าของศิที่โผล่พ้นเสื้อออกมานิดหน่อย ซึ่งมันมีรอยคิสมาส์กจางๆ ของผมอยู่ และทันทีที่คนโดนมองรู้ตัวก็ยกมือปิดทันควัน

“”หึ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ไปเข้าเวรได้แล้วไป”

“อ้าวไล่กันเฉย”

“ก็นี่จะ11โมงแล้ว ศิเห็นนะว่าแจ้งเตือนมือถือพี่ที่ชาร์จอยู่ในห้องบอกว่ามีเคสด่วน”

“แอบอ่านไลน์พี่หรือไง โคตรเมียเลยว่ะ”

“คิคิ พูลล์กลับดีมั้ยเนี่ย”

“ไม่ต้อง! พี่ดิมนั่นแหละไปได้แล้ว!” และคนตัวเล็กก็มาจูงแขนผมเข้าห้องนอน เดินไปหยิงมือถือและกุญแจรถมาให้ อย่างรวดเร็ว รวมถึงสูทและเนคไทด์ใส่ไม้แขวนเสื้ออย่างดีมาให้ด้วย

“เสื้อเชิ้ตยังไม่แห้งเดี๋ยววันหลังศิเอาไปให้”

“ครับ”

ผมยกยิ้มยืนมองหน้าคนที่หน้าแดงระเรื่อตรงหน้า ศิลนลานและทำตัวไม่ถูกกับการต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราอย่างกะทันหันแบบนี้ ทั้งที่เมื่อคืนเจ้าตัวยังอยากให้เปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ของเราอย่างกับอะไร แต่พอมันฉุกหุกแบบนี้คนคิดเยอะก็คงกังวลอะไรไปอีก

“ศิ”

“...”

“พี่ออกเวรแล้วเราไปกินข้าวข้างนอกกันนะครับ”

“จะ..ดีหรอครับ”

“ดีสิ ไปห้างใกล้ๆ นี่แหละ พี่อยากกินลูกไก่ทอง”

“แต่ร้านนั้น..”

“ร้านนั้นทำไมครับ”

“อาจจะเจอคนรู้จัก…” ตลอดเวลาที่ผมพูดเขาแทบจะไม่มองหน้าและเลี่ยงจะมองตากันตรงๆ เดาผิดที่ไหนว่าคนอยากเปิดเผยแต่ใจจริงแล้วกลัวแค่ไหน

“เจอก็เจอไม่เห็นเป็นไร”

“...”

“คู่จิ้น เอ๊ะ คู่จริงไปกินข้าวกันแปลกตรงไหน”

“พี่ดิมอะ”

ยกมือข้างที่ว่างลูบเส้นผมนุ่มสีอ่อนเพราะสีดำที่ย้อมทับเริ่มหลุด อยากให้เขาคลายกังวลกับการคาดการณ์ไกลและคิดไปก่อนของคนตัวเล็กแต่ดันคิดใหญ่

“ไม่ต้องกังวลหรอก พี่อยู่ด้วยทั้งคน”

“อื้อ”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น พี่จะเป็นด่านแรก ด่านสอง สาม และด่านที่ร้อยของศิเอง”

“...”

“จะไม่มีใคร blame ศิได้อีก พี่ไม่สัญญาแต่พี่จะทำให้ดู”

“ขอบคุณนะครับพี่ดิม”

“เปลี่ยนเป็นแด๊ดดี้ได้มั้ย”

“พอเลย! ไปทำงานได้แล้ว”

“เจอกันตอนเย็นนะ เดี๋ยวก่อนออกเวรครึ่งชั่วโมงพี่โทรหา ไม่ดึกแน่นอน”

“อื้อ”

จุ้บ

ขโมยหอมแก้มขาว ก่อนจะเดินเร็วๆ ออกจากห้องนอนเขาเพื่อพุ่งไปประตูหน้าห้อง พอหันมามองคนโดนฉวยโอกาสมองตาเขม็งเลย

เอ๊ะ เมื่อกี้เราลืมพูลล์ไปแว้บนึงใช่มั้ยนะ

โทษทีนะเจ้าพูลล์






มีต่อ


หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.12 i'll call you by mine (23/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-06-2018 23:24:55
“พูลล์หยุดเลยอย่าเพิ่มถาม”

เดินจากห้องนอนยังไม่ทันหย่อนก้นนั่งที่เดิม เพื่อนตัวดีก็ทำท่าจะเอ่ยปากถามข้อสงสัยต่างๆ ที่เตรียมไว้ แต่ต้องบอกให้พักไว้ก่อน เพราะตอนนี้หัวใจที่เต้นโครมครามยังไม่สงบเลย แถมหน้าก็ร้อนมากๆ ด้วย

“อืมๆ ไม่ต้องพูดไรเราก็เดาได้อะ” ผู้ชายในชุดเสื้อลายกราฟิตี้แปลกๆ กับกางเกงสีเหลืองอ๋อย และถุงเท้าสีแดง นั่งกอดหมอนอิงมองมาอย่างเหนือชั้น

“ก็อย่างที่เห็นแหละ”

“เห็นพี่ดิมหอมแก้มศิก่อนจะวิ่งไปประตูหน้าห้องอะหรอ”

“เห้ย ทำไมเห็น”

“เราแอบดู ฮ่าๆๆๆ” คนนิยามน่ารักหัวเราะอย่างชอบใจกับการขี้เผือกที่สำเร็จของตัวเอง หนอยยยยย อย่าให้ถึงทีเราบ้างนะ

“ขี้เผือกเหมือนกันนะเราอะ”

“มันอยู่ในเซลล์เลยแหละ อิอิ”

ผมกดปิดทีวีแล้วเข้าโหมด Netflix เพราะวันนี้ที่สัญญากับพูลล์ไว้ คือ เราจะมาดูซีรี่ส์ Stranger Things seasons 2 ตอนจบด้วยกัน หลังจากที่โทรไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่กังวลตลอดวันให้อีกฝ่ายฟัง เขาเลยเสนอว่าจะมาทำกิจกรรมแบบนี้ ทั้งที่ก็รู้ว่าเขาอยากมาอยู่เป็นเพื่อน ถ้าเกิดเรื่องอะไรไม่ดีเหมือนที่เราสองคนคาดการณ์ แต่ผิดคาดเพราะพี่ดิมดันโผล่มาเมื่อคืนไง เขาน่ะตัวทำลายแผนไปหมด

แต่ยอมรับว่าเมื่อคืนมันดีมากๆ เลยนะ

“นี่ๆ”

“หื้อ”

“ครั้งแรกป่ะ”

“อะ อะไร”

“ก็เมคเลิฟไง”

“ถามอะไรเนี่ยพูลล์” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามพูลล์ด้วยการนั่งมองจอทีวีขนาดใหญ่ตรงหน้า ทั้งที่ไม่ได้โฟกัสซีรี่ส์ที่เริ่มเล่นเลยสักนิด เพราะภาพเมื่อคืนมนฉายเข้ามาในหัวอย่างเด่นชัด และมันทำเอาหน้าเริ่มร้อนอีกแล้ว

“น่า อยากรู้ บอกหน่อย”

“กะ ก็ไม่ใช่”

“หมายถึงเคยมีแฟนมาแล้วใช่ป่ะ”

“ไม่ใช่ครั้งแรก  ละ... แล้วก็เมื่อคืนไม่ใช่ครั้งแรก..กับคนนี้”

“Oh my Jesus!” พูลล์เด้งตัวมาจับแขน เขย่าเล็กน้อย สายตาตื่นๆ ของเขามันน่ารักและเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่โดนมะพร้าวตกใส่หัว

“Seriously?”

“อือฮึ”

“ศิ!!”

“...”

“โอ้โหหห พูดไม่ออกเลย เหมือนลูกสาวโดนเจาะไข่แดง”

“...”

“ทำไมพี่ดิมทำงี้ แสดงว่าครั้งแรกกับเขา เขายังไม่เลิกกับแฟนงี้?”

“ก็...ใช่”

“แล้วศิยอม?”

ผมพยักหน้าแบบเจี๋ยมเจี้ยม คือตอนนี้ไม่รู้พูลล์โมโหอะไร ทั้งที่ผมก็โตขนาดนี้แล้ว เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องที่ห้ามได้ที่ไหนสำหรับผู้ชาย

“สดมั้ย”

“กะ ก็ แบบ”

พูลล์ยืนขึ้นเท้าสะเอว แบบเอาเรื่องสุดๆ 

“มีบ้าง…”

“OH MY GOD!!!”
“PLEASE!!!”

“พูลล์เราโอเค คือเราก็ยอมเอง เราไม่มีอะไรเสียหาย”

“แต่พวกผู้ชายมันมักมาก รู้มั้ยว่ามีเซ็กส์กันแบบไม่ป้องกันน่ะอันตรายแค่ไหน ไหนจะเรื่องที่พี่ดิมล่อลวงศิให้มีเซ็กส์ด้วยทั้งที่ยังไม่เลิกกับแฟน เหอะ มักมาก!” คนตัวเท่าผม เดินไปเดินมาและดูหัวร้อนเกินพอดี เขาเป็นอะไรของเขาวะ

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ นั่งลงก่อน” ดึงแขนเล็กให้นั่งลงที่เดิมสงบสติอารมณ์ ไม่นานเขาก็หายใจปกติกว่าเมื่อครู่

“ขอโทษที คือเราแค่ไม่โอเคกับการกระทำของพี่ดิม”

“...”

“เราแค่ห่วงว่าศิจะเสียใจ แล้วก็ผิดหวัง”

“พูลล์เป็นไรหรือเปล่า ทำไมดูไม่ชอบใจขนาดนี้” ทั้งที่ตอนเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขายังดูอยากหยอกล้อแท้ๆ แต่พอรู้ว่าเมื่อคืนไม่ใช่ครั้งแรกของผมกับพี่ดิม เขากลับโมโหมากขนาดนี้

“เราก็แค่...หื้อ ช่างมันเถอะ แต่พูลล์ไม่เสียใจใช่มั้ยตอนนั้น แบบว่าให้ครั้งแรกของศิกับพี่ดิมเกิดขึ้น ทั้งที่มันคลุมเครือ”

“ไม่เลยพูลล์ เพราะมันคือการเมคเลิฟ มันไม่ใช่แค่เซ็กส์”

“อื้อ ดีแล้วล่ะ ว่าแต่ว่าพี่ดิมดุป่ะ” ท่าทางล้อเลียนมาอีกละ เขานี่มันเป็นมนุษย์เปลี่ยนโหมดด้วยรีโมตได้หรือไงวะ เข้ามาเรื่องทะลึ่งจนได้

“ดะ ดุ อะไรเล่า”

“น่าาา”

“อือ ดุอะ ดุมากเลย”

“ถึงว่าคิสมาส์กที่หลังคอยังมี”  พลัยสายตาเขาก็เหลือบมองไปที่ต้นคอผมซะงั้น  เอามือปิดสิจะรออะไร ช่างสังเกตนักวะ

“พอเลย เลิกคุยกันเรื่องนี้ จะดูมั้ยซีรี่ส์อะ”

“จ้าๆ ดูๆ อิอิ”


ยังดูไม่จบเรื่องผมก็หลับตอนไหนไม่รู้ แหง่ล่ะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสอง ตื่นเช้าเพราะถูกกวนอีก ดูหนังไปกินข้าวเช้าไปพออิ่มไม่นานก็ดันเผลอหลับไปซะงั้น สะดุ้งตื่นอีกที end credit ขึ้นแล้ว สงสัยต้องได้ดูใหม่อีกรอบคนเดียว ว่าแต่พูลล์หายไปไหนนะ

“ไม่เอา..ไม่ต้องมา พูลล์กลับเอง บอกคุณแม่ของพี่ภีมไปสิว่าไม่ว่าง..ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนี้...คุณแม่พี่ไม่ได้อยากให้พูลล์ไปขนาดนั้นหรอก..พี่นั่นแหละ..อื้อ..เย็นๆ แล้วกัน คอนโดพี่นั่นแหละ ครับ ค่ะ ทำไม! แค่นี้ บาย”

เสียงคุยโทรศัพท์ดังมาจากห้องครัว พอแอบฟังก็ได้รู้ว่าคุยกับใคร

“แฮ่ม! โทษทีเราหลับ”

“อื้อ เข้าใจเมื่อคืนมันหนักนี่เนอะ”

“สรุปว่าเรื่องพี่ภีมจะเล่าเมื่อไหร่นะ” เจ้าตัวทำหน้าเลิกลักหยิบนั่นนี่บนโต๊ะกินข้าวเข้าปาก ไม่พูดไม่จา เหอะ เรื่องคนอื่นนี่เก่งนัก!

“เราอยู่ห้องศิถึงเย็นได้มั้ย”

“เอาดิ เรามีออกไปข้างนอกตอนเย็นๆ อยู่แล้ว”

“จ้า คนมีนัดดินเนอร์อะเนาะ”

“คนมีนัดไปคอนโดผู้ชายมีสิทธิ์พูดไรด้วยหรอ”

เราสองคนผสานเสียงหัวเราะในห้องครัวแบบคนบ้า เออมันเป็นเรื่องปกติสามัญแต่พอพูดถึงก็อดยิ้มไม่ได้ การมีคนรอเราไปหาอยู่นี่มันดีจริงๆ นะ

แม้ตอนนี้ยังไม่มีสถานะชัดเจน แต่มันมีความสุขที่สุดเลย





ใต้ถุนวงการบันเทิง : “คู่จิ้น” ชายชายควงดินเนอร์หวานนอกจอ โนแคร์สายตาประชาชี กลางห้างดังคนแน่นร้าน ขยันป้อน ขยันโอบ ขยันยิ้มให้กัน สาววายในร้านฟินจนเข่าอ่อนลุกไม่ขึ้นจนต้องเรียกรถฉุกเฉิน (อันนี้เวอร์เพื่อภาพ) แหล่งข่าววงในน่าเชื่อถือ เพราะแอดมินเห็นเองจ้าาาาา จบไม่จบ #ใต้ถุนวงการบันเทิง

Comment - ใต้ถุนวงการบันเทิง : ถามหาตัวย่อกันจริงพวกหล่อน ใบ้ไปก็ไม่เห็นจะถูก คราวนี้ไม่ให้หรอกรู้แค่ซีรี่ส์กำลังจะออน เป็นค่ายใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก

Comment  - JibJib JingJai : พูดไปจะหาว่าชงคู่ที่ตัวเองชิปให้มีโมเม้นต์ป่ะ ไม่กล้าพิมพ์ชื่อกลัวโดนฟ้อง แต่ถ้าร้านลูกไก่ทอง พารากอนวันนี้ นี่ก็เห็น อิอิอิอิอิอิอิ
Reply  - สาววาย กายหยาบไม่มี : ใบ้ก็ได้ค่าาาาาาา ถือว่าทำบุญด้วยอาหารคาว เพราะทางนี้กินเผือกจนเฝื่อนคอแล้วค่า
   Reply -  ใต้ถุนวงการบันเทิง : 5555555555555555555
   Reply - JibJib JingJai : เมะชื่อจริงแปลว่าซัน ส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว
   Reply  - สาววาย กายหยาบไม่มี : ประหนึ่งถอดสแควร์รูดยกกำลังสามสิบหารเก้าอินดิเกทเข้าไปอีก
   Reply - ชื่อขิง ไม่กินขิง : รู้ละ อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ
Comment  - นพดล สิริวโส : โอนเงินให้อาตมาแล้วจะบอกบุนให้ นังเด๋อ



“พวกที่ยังไม่รู้ว่าใครก็ควรออกจากด้อมไปป่ะ ก็บอกละด้อมกูไม่มีโมเม้นท์แต่แอบกินกันจริงโว้ย #เมะชื่อจริงแปลว่าซันส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว”
“กูขำหลวงเจ้5555555555555555555555555555555 #เมะชื่อจริงแปลว่าซันส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว”
“ทิ้งไม้พายแล้ว พอดีไม่ได้ใช้อะ ติดมอเตอร์ไฟฟ้า /มองเหยียด #เมะชื่อจริงแปลว่าซันส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว”
“ชัดขนาดนี้เหลือแค่แถลงข่าวว่าเป็นผัวเมียแล้วป่ะ #เมะชื่อจริงแปลว่าซันส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว”
“ใครเข้ามาในแท็กแล้วไม่รู้ขอไม่คบนะคะ ชาวเน็ตเกรดแซด บายค่ะ #เมะชื่อจริงแปลว่าซันส่วนเคะชื่อจริงแปลว่าเย่ว”






---------------To be continued--------------

การแต่งฉากชาวเน็ตนี่เป็นตัวเองสุดละ555555555555555555555555
หมอดิมมาทวงอำนาจผัวคืนแร้วนะ ผัวคือผัวไม่มีอำนาจใดลบล้างดั่ยย
ตายมั่ยตายยยยยยยยยยยย

หัวใจ #youaremyday1 #กาลครั้งที่รักคุณ
@mifenfbeexx
บีเอง
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 29-06-2018 11:58:34
Fcพี่ดิมคนดุ :m25:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: IIIA ที่ 30-06-2018 01:56:59
นี่ไปอยู่ไหนมาทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้ ฮือออออออ ดีอ่ะ ดี~~~~

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-07-2018 20:35:12
ฮือออ ซาหนูกกกก บาปๆพอร์นๆปนกันไป น้องศิน่ารักมากกก เกลียดตอนพี่ดิมพูดภาษาอังกฤษด้วยความลามก อ่านๆไปก็หวงน้อง ชอบทอดกายให้เขาย่ำยีแบบดุๆ หนูลูกกกกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maddy_moody ที่ 01-07-2018 23:10:45
มันเหมือนจะพอร์นๆหน่วงๆ​ แต่ตอนนี้แบบ​ รังสีความรักสาดส่องแรงมาก​ บอกเลยว่าเหตุการณ์​ชงคู่ชิปนี้โดนใจสุดๆ​ เพราะใช่ค่ะ​ เราก็ทำ​ #หลบหน่อยเรือพี่มา​ #ไม่ชิปคู่ที่เป็นแฟนกัน​
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 02-07-2018 02:27:08
กรีดร้องงงงงเราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงดีมากกกกกกกกค่ะอยากเป็นเมียหมอเลย :hao7:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 02-07-2018 12:24:52
ช่วงดราม่าอ่านแล้วหน่วงจนน้ำตาไหล พอทุกอย่างเคลียร์เท่านั้นแหละ ทั้งหวานทั้งแซ่บบบบ หมอดิมขาน้องศิช้ำหมดแล้วค่ะหมอ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pwmd ที่ 02-07-2018 17:16:14
โอ้ยยยเลิฟเรื่องนี้ ต้องเม้นๆๆ เราตามคุนหมีคุกมาไม่ผิดหวังจริมๆ
ประทับใจกับชาวเน็ตเวอร์ มีความเรียล มีความตลกอะ เหมือนเห็นตัวเอง  55555555555 

ชอบน้องศิมากเว่ออออ น้องเยว่ งุย เห็นภาพน้องเป็นกาตุ่ยขาวๆนุ่มนิ่ม ล่อลวงมาก
คือเราก็รู้นะว่าน้องศิโตแล้วแต่เหมือนพี่ดิมพรากผู้เยาว์เลยอะ ฮ่าาา คุนตำรวจ!!!!
ขอยาดเก็บน้องศิลงในหมวดนายเอกฟีลเตอร์ น้อง ค่ะ รักมาก /ขยำ/
ประเด็นดราม่าก่อนหน้าคือคิดว่าจะหน่วงมากๆกว่านี้
แต่ว่าพอเจอฟามดุของคุมหมอ.... อื้มมม ไม่พูดเยอะ เจ็บคอแทนน้อง

เป็นกลจ.ให้คนเขียนนะคะ เลาจารอตอนต่อปัยยย
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 02-07-2018 17:28:35
ตาย ๆๆๆ เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง จิ้มแบบเดาสุ่มมาก ๆ แล้วพบว่าดีมาก ๆ ฮืออออออออ
อ่านรวดเดียวตั้งแต่เมื่อคืนยันเย็นวันนี้ ได้นอนไป 4 ชม. 55555555

พาร์ทบาปก็บาปจนอึดอัดหัวใจเลยค่ะ แต่ชอบวิธีการหาทางลงให้แต่ละฝ่ายนะ
ดูเจ๊า ๆ ดี ไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้หญิงเป็นตัวร้ายเสมอไปอ่ะเนอะ

แล้วก็ชอบบทสนทนาบนเตียงในเรื่อง daddy ด้วย
โอ้ยย คือเราอ่านนิยายมาเยอะมาก เจอไดอะล็อกแดดดี้อย่างนั้นอย่างนี้มาเยอะจนเฝือ
แต่ยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ทำให้เรากลับมาเขินได้อีกครั้ง 5555+ มีชั้นเชิงในการใส่บทสนทนาให้ตัวละครมาก ๆ ค่ะ

แล้วก็ชอบอ่านในส่วนของชาวเน็ตหวีดร้องด้วย ขำมากกกกก ขอยาดไม่ชิปคู่ที่เป็นแฟนกัน!!  :hao7:

ว่าแต่ว่าเห็นเจ้าพูลล์หัวร้อนขึ้นมาขนาดนั้น ต้องมีอะไรฝังใจกับพี่ภีมรึเปล่าเนี่ย  o8
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 02-07-2018 19:59:42
คือดีมากกกกกกกกกกก T/////T ชอบความหยอดน้องว่าผัวเมีย ชอบความแอบเปิดตัวเนียนๆ
อยากเป็นพูลล์เลยอ่ะ อยากมีความอยู่ใต้เตียงดารา 555555555
หวังว่าแม่พี่ดิมจะโอเคกับน้องนะ ถึงน้องมีหลานให้ไม่ได้แต่น้องมีเสน่ห์ปลายจวักจ้าาา
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 02-07-2018 23:35:22
พี่ดิมดุโคตรรร
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-07-2018 06:03:06
ชอบน้องพูลล์
โมเม้นท์ชาวเน็ตนี่ นึกถึงตัวเอง 5555
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Hananijinji ที่ 03-07-2018 07:29:37
ช่วงที่พี่ดิมมาพัวพันตอนยังไม่เลิกกับแฟนนี่แบบ ฮือออ อ่านไปปวดใจแทนศิไป แต่ขอสงสัยนิดหน่อยนะคะ อ่านยาวรวดเดียวมาตั้งแต่ตอนแรก บางทีไรท์เขียน ศิ หรือ สิ งง ชื่อไหนแน่ ชื่อตอนที่1 หรือ2 เขียนผิดนะคะ สลับตัวอักษรภาษาอังกฤษ for asking สักอย่างนี่แหละ คำผิดมีบ้างประปราย แต่ก็พอเข้าใจได้ สนุกมากค่า
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 03-07-2018 10:47:31
น้องชื่อ 'ศิ' ค่ะ 'ศิรัส' แปลว่าแสงจันทร์ อาจจะมีบางประโยคที่น้อแทนชื่อตัวเองมั้ยคะ ประมาณ 'ศิว่ามันต้องเป็นแบบนี้สิ'
ขอโทษที่ทำให้สับสนนะคะ  :sad4:

ช่วงที่พี่ดิมมาพัวพันตอนยังไม่เลิกกับแฟนนี่แบบ ฮือออ อ่านไปปวดใจแทนศิไป แต่ขอสงสัยนิดหน่อยนะคะ อ่านยาวรวดเดียวมาตั้งแต่ตอนแรก บางทีไรท์เขียน ศิ หรือ สิ งง ชื่อไหนแน่ ชื่อตอนที่1 หรือ2 เขียนผิดนะคะ สลับตัวอักษรภาษาอังกฤษ for asking สักอย่างนี่แหละ คำผิดมีบ้างประปราย แต่ก็พอเข้าใจได้ สนุกมากค่า
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsang ที่ 03-07-2018 17:44:37
รักเรื่องนี้ค่ะ  ❤️  อ่านแล้วนึกถึง น้องที่โดนแอนตี้ จากซีรีย์วาย ว่าเด็กเส้น  เรื่องจริงซ้อนมาเลย อินเองคิดเอง 5555
เลยอ่านจนถึงตอนนี้ ปริ่มมากกกกกก  พี่หมอดุมากกกกกกกมากจริงๆค่ะ  น้องน่ารักจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: daisyskies ที่ 03-07-2018 21:17:58
กรี๊ดมาก กรี๊ดอัดหมอนแล้วค่า555555555 พี่หมอดุมากดุจริงๆ แอร๊ยยยย
เอ็นดูน้องศิด้วย ตอนมีปมที่น้องศิมีอะไรกับพี่หมอทั้งๆที่ยังไม่เลิกกับคุณเกลนี่เตรียมปิดแล้วค่ะกลัวดราม่า รับไม่ไหวแล้ว แง
สุดท้ายเรื่องปมมือที่สามก็แก้ได้ดีค่ะ ชอบ ไม่อยากเสียน้ำตาค่ะ ฮือ555555555555
 
ปล.คำว่าโซฟาร์อะค่ะ คือมันไม่มีการันต์น้า สะกดว่า โซฟา เฉยๆค่า
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-07-2018 22:25:22
รักเรื่องนี้ หนูศิน่ารักกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 03-07-2018 22:33:59
ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างค่าาาาาาาา นี่เข้าใจว่าโซฟาร์มาโดยตลอด คงจำ so far away ฮือออออออออออ ขอบคุณค้าา

กรี๊ดมาก กรี๊ดอัดหมอนแล้วค่า555555555 พี่หมอดุมากดุจริงๆ แอร๊ยยยย
เอ็นดูน้องศิด้วย ตอนมีปมที่น้องศิมีอะไรกับพี่หมอทั้งๆที่ยังไม่เลิกกับคุณเกลนี่เตรียมปิดแล้วค่ะกลัวดราม่า รับไม่ไหวแล้ว แง
สุดท้ายเรื่องปมมือที่สามก็แก้ได้ดีค่ะ ชอบ ไม่อยากเสียน้ำตาค่ะ ฮือ555555555555
 
ปล.คำว่าโซฟาร์อะค่ะ คือมันไม่มีการันต์น้า สะกดว่า โซฟา เฉยๆค่า
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 03-07-2018 22:47:06
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.14 โลกคู่ขนาน
[/size]

Flowers always make it better
But this time I’ve gone too far



เช้าวันที่ขมุกขมัวเพราะฝนตกอีกแล้ว อะไรนักหนาก็ไม่รู้ อีกสิบนาทีต้องออกไปเรียนแต่ว่าฝนกระหน่ำแบบนี้จะให้ไปได้ยังไงนะ ส่วนตัวผมน่ะโดดเรียนได้อยู่แล้ว แต่คุณหมอที่นั่งจิบกาแฟตรงหน้านี่สิ เห็นว่ามีตามเคสผ่าตัดเมื่อวันก่อนตั้งแต่หกโมงเช้า

เมื่อคืนกว่าจะได้กลับมานอนที่คอนโดตัวเองก็เกือบทะเลาะกันที่ลานจอดรถ เพราะคนพี่จะให้ผมไปนอนที่เพนเฮ้าส์ของเค้าอย่างเดียว แถมบอกให้ไปเก็บของย้ายไปอยู่เลยจะได้ไม่ต้องขับรถไปๆ มาๆ เอาแต่ใจเหมือนกันนะคนนี้ ก็เลยสู้ขาดใจเพราะเรื่องของเรามันเพิ่งเริ่มและป๊าหม่าผมก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เกิดวันดีคืนดีพวกท่านมาหาที่คอนโดแล้วไม่มีใครอยู่ทำไงล่ะ โดนหักเงินเดือนและหักมรดกแน่นอน แต่บอกเหตุคนแก่ขี้งอแงว่ายังอยากมีสเปซของตัวเอง เอาไว้ทำการบ้าน และอ่านหนังสือ ไว้วันไหนไม่มีเรียนก็จะสลับไปอยู่คอนโดเขา พื้นฐานที่เป็นคนตามใจอยู่แล้วก็เลยยอม

ที่สำคัญเมื่อคืนได้นอนแบบนอนจริงๆ ไม่มีล่วงเกิน ทั้งที่พี่ดิมน่ะถ้ามีโอกาสก็คงไม่ปล่อยไปหรอก แต่ผมยังระบม อีกอย่างวันนี้ก็เรียนด้วย ทางนั้นก็เลยยอมนอนกอดเฉยๆ และมันรู้สึกดีมากๆ ที่อ้อมกอดนี้เป็นของผมอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ไม่ต้องคอยระแสดระวัง ไม่คลุมเรือ ไม่เบลอๆ เหมือนหมอกตอนเช้าหลังฝนตกอีกแล้ว

อ้อ เรื่องชาวเน็ต พี่ดิมบอกไม่ต้องกังวลแอดมินเพจใต้ถุนวงการบันเทิงเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่ดิมเอง ผมนี่ผงะเลย เพราะจากที่เคยเข้าไปตามอ่านคิดว่าแอดมินน่าจะเป็นเพื่อนสาวไม่ก็ผู้หญิงแรงๆ แต่ดันเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่ดิมนี่นะ พอซอกแซกมากๆ เขาก็ยอมรับว่าเป็นคนบอกให้แอดมินโพสต์เอง เพราะอยากเปิดตัว??????????

อะไรของเขาวะ แล้วไม่ถามกันเลย??

ตอนแรกก็นึกโมโหนั่นแหละ ตีหน้าอกหนาๆ ที่เปลือยต่อหน้าตอนตื่นเมื่อเช้าไปที แต่เขาให้เหตุผลว่าเรื่องแบบนี้ในบ้านเรามันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อีกอย่างก็จะได้สร้างกระแสก่อนซีรี่ส์ออนไปในตัว ซึ่งเป็นกระแสจริงๆ อะนะไม่ได้โดนใครปั่นมันขึ้นมา

“พี่อยากคบกับศิแบบไม่ต้องปิดบังใคร”

“...”

“พี่และศิอยู่ในที่สว่าง มันไม่ง่ายที่เราจะทำอะไรตามใจ โดยไม่สนความคาดหวังของสังคม”

“แต่…”

“อย่างน้อยๆ ก็แฟนคลับที่เค้าติดตามเรามาตลอด”

“ศิว่ามันเร็วไปอะ จริงๆ กลัวเรื่องงานพี่ดิมมากกว่า”

“หึ ไม่ต้องห่วงพี่ น้องนะที่เสียหาย เป็นของพี่แล้วอยากอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ หรอ”

“มะ ไม่ งั้นหลังจากนี้เราจะทำยังไง”

“ปล่อยให้คนคิดว่ามันมีอะไรไปเรื่อยๆ เพราะคนคิดว่าคู่จิ้นมันคาบขนานกับคู่จริงอยู่แล้ว แต่เราเป็นคู่จริงในคราบคู่จิ้นไง”

“อย่างนี้มันไม่เหมือนหลอกคนอื่นหรอ”

“หลอกตรงไหนพี่รักศิจริงๆ ศิก็รักพี่จริง ใช่มั้ย”

“อื้อ ถามไรตอนนี้วะ”

“หึ นั่นแหละ เราก็ใช้ชีวิตปกติส่วนเรื่องจริงจิ้นให้เขาไปคิดเอาเอง”

“ที่ทำงานก็ต้องทำแบบนี้หรอ”

“อ่าฮะ จะได้เนียนๆ”

“พี่ดิมว่าไงศิก็ว่างั้นแหละ แต่เตือนเลยนะห้ามรุ่มร่ามเกินไปเวลาอยู่ข้างนอก”

“หึ ครับ”


เคลียร์เรื่องนี้กันจบต่างคนเลยต่างจัดการตัวเองเพื่อไปทำหน้าที่ ไม่มีมาอ่อยอิ่งเพราะพากันตื่นสายแล้วเสียเวลามาคุยกันเรื่องนี้อีก ไม่คุยไม่ได้พี่อายและพี่แนน AR ที่ดูแลผมกับพี่ดิมโทรเป็นมิสคอลตั้งแต่เมื่อคืน เราสองคนไม่รับซะด้วยเพราะนอนเร็วเพลียทั้งคู่ ก็เลยจำเป็นต้องคุยกันให้จบๆ ก่อนจะแยกย้าย เหมือนพี่ดิมจะแวะไปบริษัทช่วงบ่าย แล้วกลับมาเข้าเวรต่อบวกกับชั่วโมงที่ออกไป คงกลับดึกแหละคุณหมอวันนี้

“ศิออกไปพร้อมพี่เลยมั้ย” ร่างสูงกระดกกาแฟยกสุดท้ายก่อนจะใช้ทิชชู่เช็ดปากลวกๆ แล้วคว้าข้าวของต่างๆ มาถือ

“แต่พี่ดิมจะสายเพราะต้องวนไปส่งศิที่มอนะ”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง ทำให้มากกว่านี้ก็ทำได้”

“มาหยอดอะไรเวลานี้”

“งั้นก็ไปครับ”

สะพายกระเป๋าผ้าสีเหลืองลายหมีสามตัว หนีบร่มพับไปด้วย เผื่อไปถึงคณะจะต้องวิ่งฝ่าฝนลงไป รถพี่ดิมยังสะอาดเหมือนเดิม สะอาดกว่ารถผมที่มีชีวิตที่ยุ่งน้อยกว่าเขามาก

“พี่ดิมหยิบข้าวกล่องลงมาด้วยมั้ยอะ”

“ครับ ไม่ลืมหรอก ข้าวศิมีค่ายิ่งกว่าทองอีก”

“เพราะศิทำให้?”

“เพราะพี่ไม่อยากกินข้าวเซเว่น”

“ฮ่าๆๆ พี่ดิมตบมุกเป็นด้วย” มือใหญ่ลูบหัวผมเบาๆ แล้วไม่ได้เอามือออกไป หากแต่เลื่อนมากุมมือผมไว้ มือเขาอุ่นในขณะที่ถ้าผมอยู่ในที่เย็นๆ แล้วตัวจะเย็นไปหมด

“พี่ดิมจำวันที่ศิขึ้นรถพี่ดิมวันแรกได้มั้ย”

“ ได้ดิครับ”

“ศิเกร็งมากเลยนะ พี่ดิมหน้านิ่งมาก รถก็ติด ฝนก็ตก เหมือนถ้าศิพูดอะไรไปจะโดนด่าอะ”

“ฮ่าๆ นี่คิดแบบนั้นหรอ” เขายกมือที่กุมไปจูบอย่างนึกเอ็นดูล่ะมั้ง แต่จริงๆ คือแทะโลม แต่มันน่ารักดี

“แล้วพี่ดิมรู้สึกยังไงวันนั้น”

“ก็อึดอัดนิดหน่อย แต่กลัวว่าศิจะอึดอัดมากกว่าเพราะรถมันติดมากแล้วต้องอยู่กับคนแปลกหน้าเป็นชั่วโมง อีกอย่างศิดูกลัวมากๆ พี่น่ากลัวหรอ”

“อื้อ พี่ดิมดูดุ”

“แล้วดุจริงมั้ย”

“พอรู้จักแล้วพี่ดิมใจดีอะ แค่พูดน้อย”

“หรองั้นคืนนี้เอาใหม่ จะได้รู้ว่าเป็นคนดุจริง”

“เฮ้ยย ลามก” พูดจบก็จูบหลังมือผมอยู่นั่น เหมือนคิดได้ก็ยกมาจูบอะ บ้าบอ ผมเนี่ยเขินจนบ้าบอละ




“มาแล้วหรออิตัวดี” เฌอนั่งกอดอกในคลาสเรียนรวมที่ตอนนี้เรานั่งอยู่บนยอดดอยห้องสโลป ทั้งที่ปกติจะนั่งกลางๆ แต่พอเฌอทักแบบนี้ก็รู้เลยว่ามีเรื่องต้องโดนซักจนขาว

“อะ อะไร”

“เหอะ แฮทแท็กในทวิตเตอร์กระฉ่อนขนาดนั้น มือถือกูเกือบไหม้เมื่อคืน เพราะตามเสือกเรื่องเพื่อนตัวเอง แต่มันกลับเงียบกริบ กกกับผู้ชาย”

“เดี๋ยวนะ เรื่องอะไรกันวะเฌอ แฮทแท็กเมะซันเคะเย่วอะไรนั่นหรอ”

“ค่ะ นี่มึงอย่าบอกว่ามึงไม่รู้” อาโปที่นั่งถัดไปจากเฌอ และเมฆนั่งถัดจากอาโปที่ตอนนี้เสียบหูฟัง ทั้งที่มันไม่ได้ฟังเพลงหรอก ผมรู้ กำลังฟังเพื่อนเถียงกันนี่แหละ

“ห้ะ คือศิไปกินข้าวกับใครอะ”

“กูจะบ้าตาย นี่มึงถ่ายซีรี่ส์ด้วยกันจริงป่ะอิโป”

“พี่หมอดิม?”

เฌอหันหน้ามาสบตาอย่างซักไซ้ แน่นอนล่ะเพราะเธอก็อยากฟังอยากปากผมเอง

พนักหน้ายอมรับ “อื้อ กูเองแหละ”

“นั่นไง ทำไมตอนกูเดาข้อสอบทำไมไม่ออกแบบนี้” เฌอตบเข่าดังฉาดทีนึง ดีที่คนในห้องสโลปเยอะเสียงตบเข่าเลยไม่ได้ดังกลบเสียงพูดคุยเท่าไหร่

“แต่ตอนกูเข้าไปดูในแท็กไม่เห็นมีใครแปะรูปเลยอะ”

“ก็เค้ารู้กันไงโว้ยยยยยย อิโป อิควัย”

“นั่งดีๆ โป เดี๋ยวก็หัวทิ่ม” เมฆกดไหล่ของอาโปให้ลงไปนั่งที่เก้าอี้ เพราะตอนนี้อาโปโน้มตัวมาหาเฌอจนหน้าจะทิ่มอยู่แล้ว

“แล้วคือยังไง เค้าเคลียร์กับเมียแล้ว?” เฌอหยักเพยิดหน้ามาซักกันต่อ

“อื้อ เค้าบอกจบด้วยดี เหมือนว่าแฟนเก่าพี่เกลก็กลับมาพอดี”

“ต่อๆ”

“พี่เกลก็กลับไปคุยกับแฟนเก่าเหมือนกันตอนที่ห่างกับพี่ดิม” พูดไปก็พลางหยิบชีทกับอุปกรณ์เรียนวางบนโต๊ะไปด้วย

“โป๊ะเชะจังวะ”

“อืม มันเลยง่ายกว่าที่คิด”

“ไม่งั้นมึงก็คงร้องไห้ที่ห้องไม่มาเรียนหรอกวันนี้”

“แล้วนี่เค้ามาส่ง?”  เมฆถามขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ

“อื้อ”

“ค้างด้วยกัน?”  อันนี้เป็นเฌอถาม

“กะ ก็ อื้อ”

“ติดกระดุมอีกเม็ดดีกว่ารอยที่หน้าอกมึงชัดมาก” เมฆพูดทั้งที่พลิกชีทไปมา เหมือนเป็นเรื่องไม่ซีเรียส

“กูกำลังจะทัก ใจคอไม่ดีเลย แม่ง หน้าร้อนไปหมด นี่กูแค่จินตนาการนะ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ดูกร้านโลกทั้งที่จริงๆ ไม่เก่งเรื่องพวกนี้หรอก แค่ปากเก่งน่ะ

“มึงก็ตาดีนะเมฆ” เป็นอาโปที่พูดพลางกอดอกเหมือนจะติดไม่พอใจคนนั่งข้างๆ ที่ช่างสังเกตหน้าอกผม

“อืม ไฝเล็กๆ ที่หลังคอมึงกูก็เห็น”

“อู้วววว”  ผมกับเฌอมองหน้ากันยิ้มๆ กับความสัมพันธ์คลุมเครือของเมฆและอาโป มันไม่พูดเราก็ไม่ถามเพราะเพื่อนกันอยู่ด้วยกันตลอด วันหนึ่งก็จะไม่อยากปิดกันเอง รอให้สองคนพร้อมดีกว่า


พี่ดิมไลน์มาอีกทีตอนเกือบบ่ายโมง บอกว่าเพิ่งได้กินข้าว แถมถ่ายกล่องข้าวที่เกลี้ยงเหมือนล้างให้ดูอย่างชื่นใจด้วย เอาจริงๆ ผมทำอาหารไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอกครับ ทำได้แค่เมนูง่ายๆ พวกอาหารเช้า อาหารฝรั่งอะไรพวกนี้ ถ้าเป็นอาหารไทยยากๆ นี่ต้องพักไปก่อนเลย เท่าที่ศึกษามาจากยูทูปนะ อาหารไทยนี่ปรุงยากสุดแล้วอะ บางเมนูอย่างต้มยำกุ้งต้องมีห้ารส คือ เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน และขม  รสถึงจะกลมกล่อม แต่ถ้าเป็นอาหารฝรั่งอย่างสปาเก็ตตี้นี่แค่เค็มๆ มันๆ ก็ใช้ได้แล้ว แต่อาจจะต้องฝึกฝีมือเพราะดูท่าคุณหมอเขาชอบกินอาหารไทยกับอาหารญี่ปุ่น

ไม่ได้เตรียมตัวเป็นแม่ศรีเรือนนะ แต่ว่าอะไรที่เราคิดว่าเป็นสเน่ห์ในตัวเอง ก็ต้องยิ่งรู้จักบริหารไม่ใช่หรอ

รู้หรอกว่าพี่ดิมใช้สายตาแบบไหนมองผมเวลาทำกับข้าว อยากละลายลงกับพื้น แต่ทำเป็นไม่สนใจแล้วให้เขาหลงสเน่ห์ให้ตายไปเลย ครั้งแรกที่รู้น่ะไม่ได้ตั้งใจ แต่ครั้งล่าสุดเนี่ยตั้งใจ…และครั้งต่อๆ ไปจะตั้งใจมากๆ หุหุ

“มึงว่าเพื่อนเราอาการเป็นไง”

“หลงผัว”

“พูดอีกก็ถูกอีกอาโป”

“พูดไม่เพราะ”  เสียงเมฆพูดขึ้นเลยได้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวงใต้โต๊ะคณะซึ่งเป็นโต๊ะประจำคุยเรื่องวิจัยกลุ่ม แต่ก็ไม่วายโดนแขวะที่ยิ้มกับมือถือ

อาโปจี๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจนัก แต่ก็กลับไปพยักหน้ากับเฌอแบบรู้กัน แถมยังทำปากคว่ำใส่อีก ทำมาเป็นนะ อย่าให้มีคนที่รักบ้างแล้วกัน

“มาเลยค่ะคุยโปรเจ็กต์ต่อ”

“เออก่อนคุย กูกับศิต้องไปออกกองต่างจังหวัดประมาณอาทิตย์นึงนะ ถ่ายยาวแล้วจบเลย”

“ทำไมเพิ่งบอก” เมฆเสียงเย็นขึ้นทันที ทั้งที่เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีดูดจูปาจุ๊บอยู่เลย

“ก็กำลังบอกไง” อาโปตอบเสียงปกติได้ยังไงนะ

“เออๆ แล้วไปเมื่อไหร่”

“อาทิตย์หน้าใช่ป่ะวะศิ”

“ใช่ๆ วันอังคารอะ กลับจันทร์หน้าเลย ถ้าเฌอมีอะไรให้ช่วยก็คงต้องคุยกันผ่านไลน์นะ”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก กูว่าคนที่มีปัญหาอะไม่ใช่กูละหนึ่ง”

ผมเห็นด้วย เพราะตอนนี้เมฆใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังมาก เหมือนเด็กที่โดนขัดใจแล้วก็ไม่ฟังเสียงบ่นของแม่อะ แต่คนที่ทำให้มันเป็นงี้กลับนั่งกัดเลย์ห่อที่สองอย่างไม่สะทกสะท้าน เอาดีๆ เวลาเมฆโกรธไม่สนุกเลย คนที่เงียบอยู่แล้ว เงียบกว่าเดิม เหมือนคุยกับก้อนหินอะ แต่เชื่อว่าอาโปจะมีวิธีรับมือล่ะมั้ง ดูจากการยื่นเลย์แบ่งให้ ไม่ใช่สิ ป้อนเลย เออง้อกันสมกับเป็นสองคนนี้ดี

เวลาล่วงเลยมาจนเกือบสี่โมงเย็น เราย้ายไปนั่งห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลรวบรวมให้มากที่สุดเพราะผมและอาโปจะไม่ได้อยู่ช่วยตั้งอาทิตย์ คงทำได้แค่ช่วยพิมพ์เอกสารประกอบการวิจัย ซึ่งส่วนอื่นๆ เฌอและเมฆจะต้องประสานงาน โดยเฉพาะหาโรงพยาบาลที่จะสามารถให้เราเข้าไปเก็บตัวอย่างงานวิจัยได้ อันนี้คือเรื่องสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อการรักษาคนไข้แผนกจิตเวช ที่สำคัญต้องเป็นโรงพยาบาลรัฐ จะบ้าตายมันเครียดตรงนี้ อาโปเสนอให้ลองคุยกับพี่ดิมแต่ผมไม่อยากไปเพิ่มงานให้เขา เอาไว้มันตวนตัวจริงๆ ก่อนแล้วกัน

ตกเย็นพี่ดิมโทรมาเล่าเรื่องที่เข้าไปคุยที่บริษัท เขาบอกตามความจริงว่าไปกินข้าวกับผม แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพจนั้นคงคิดไปไกลอีก (ทั้งที่ตัวเองให้โพสต์ เหอะ) ทางบริษัทก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่สำคัญพี่ใบชาบอกว่าดีแล้วเสียอีกเพราะมีกระแสตั้งแต่ซีรี่ส์ยังไม่ออน คนเป็นหมอมองขาดกว่ามาร์เก็ตติ้งอีกว่ะ

สรุปเราก็คงต้องเล่นบทคู่จิ้นในคราบคู่จริงไปเรื่อยๆ

ตราบใดที่ยังไม่มีใครจับได้ล่ะมั้ง







วันสุดสัปดาห์ที่ผมรอคอยมาถึงแล้วโว้ยยยยยยย เพราะจะได้กลับไปนอนกอดแมวขี้อ้อนสักที ควงเวรเป็นบ้าเป็นหลังมาห้าวันติด เพราะอาทิตย์หน้าจะต้องไปถ่ายซีรี่ส์ที่ต่างจังหวัดอีกตั้งอาทิตย์ นอนรวมกันอาทิตย์นี้ประมาณ 15 ชั่วโมงถึงหรือเปล่าไม่แน่ใจ เจ้าตัวเล็กน่ะเป็นห่วงจะตายแล้ว เทียวขับรถเอาข้าวมาส่งตอนเย็น บางวันก็มานั่งกินข้าวที่โรงพยาบาลด้วยกัน ติว่าตาคล้ำ ติว่าหนวดขึ้น อย่างงั้นอย่างงี้ แค่พูดคำว่าคิดถึงยังไม่ทำเลย ดูความฟอร์มของเขา แต่มันน่ารักนะชอบหมดแหละ

ครืดดด ครืดดด

เช็ดมือที่เพิ่งล้างเลือดและสิ่งสกปรกต่างๆ หลังยืนผ่าตัดร่วมห้าชั่วโมงกับอาจารย์หมอเสร็จ  ขอให้เป็นคนตัวเล็กเถอะ อยากอ้อนใจจะขาด รีบรับทั้งที่ไม่ดูชื่อด้วยซ้ำ

“ครับผม”

(เสียงหวานจังวะเพื่อนกู)

เสียงห้าวทักทายแบบนี้จนต้องกลับมาดูชื่อคนโทรเข้าให้ชัดๆ

[NAWIN]

“มีไรไอ้วิน ร้อยวันพันปีไม่เห็นติดต่อเพื่อนฝูง”

(ลงมากรุงเทพครับผม อยากเจอเพื่อครับผม)

“วันนี้ไม่ได้นะเว้ย กูควงเวรห้าวันติดแล้ว จะตาย”

(จะตายหรืออยากกลับไปกกเมีย)

“เสือกอีกละ”

(ไม่เสือกจะรู้หรอครับว่าเพื่อนเลิกกับหญิงแล้วมีคนดามใจเรียบร้อย)

“แล้วยังไงครับ อิจฉาหรอ”

(ไม่อิจฉาหรอกครับ เป็นโสดให้คนเสียดายเล่นดีกว่าครับ)

“ควาย ฮ่าๆๆ เจอที่ไหน ต้องบอกน้องมันก่อน”

(พามาด้วยเลยๆๆๆๆ อยากเจออออ) น้ำเสียงมันน่าถีบจริงๆ

“เออๆ เดี๋ยวบอก ไม่เฟิร์มนะเว้ย กูง่วง”

(อย่ามาเพิ่งอ่อนแรงครับ ตอนสอบเฉพาะทางมึงไม่นอนห้าวันยังไม่ตาย)

“ครับเหี้ยวิน  แค่นี้นะครับผม จะโทรบอกเมียครับ”

(ครับๆ เจอกันครับ)

@X bar

บรรยากาศกึ่งผับกึ่งร้านอาหาร ตกแต่งสไตล์โกธิคย่านรามอินทรา เป็นร้านประจำของผมและเพื่อนสมัยเรียนป.ตรี วันนี้นาวาพี่ชายฝาแฝดนาวิน รวมถึงพายุ และไม้เมือง นัดมาที่นี่ เพราะเราทั้ง 5 คนไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนต่างยุ่งกับภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ อย่างไอ้นาวาที่เมียเพิ่งคลอดลูกก็โดนเมียให้เป็นยามเฝ้าลูกทุกคืน มันก็บ่นผ่านไอจีสตอรี่พร้อมถ่ายรูปหน้าโทรมๆ ของตัวเองลงทุกวัน ส่วนนาวินที่ยังครองความโสดและยังคงนิสัยหว่านสเน่ห์ให้หญิงทั่วเมืองเชียงใหม่ ที่มันไปลงทุนทำโฮสต์เทลและร้านอาหารที่นั่น ส่วนพายุสืบต่อกิจการของพ่อคือการเป็นหมอฟันประจำคลีนิกที่ใหญ่ที่สุดที่อยุธยา และไม้เมืองที่กำลังจะเป็นดร.ด้านรัฐศาสตร์และคงจะผันตัวไปเป็นอาจารย์ในมหาลัยดังๆ ซักที่

อย่าแปลกใจว่าทำไมเพื่อนอีก 5 คนไม่มีใครเป็นหมอเหมือนผม เพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่มัธยม เอ็นทรานส์ (โคตรลุง) เข้ามหาลัยเดียวกัน ดันฟลุ๊คติดที่เดียวกันหมดเลยคบกันยืดยาวทุกวันนี้ ทั้งที่ไอ้พายุบอกว่าจะเลิกคบเพราะชอบชวนมันไปกินเหล้าเวลามันสอบ ผมก็สอบนะแต่ตอนนั้นเกเรไม่แคร์ห่าไรเลย เที่ยวยับ ก่อนจะมารับกรรมก็ตอนเอ็กซ์เทิร์นปี 6 และตอนไปใช้ทุนนั่นแหละ ไม่มีวันไหนไม่โดนด่า กว่าจะได้เกียรตินิยมมานี่ไม่ได้ง่าย ดีที่หล่อและฉลาดด้วย ฮ่าๆๆๆ

“ไง พระเอก กูรอมึงจนจะหมดเวลาเที่ยว เมียตามให้ไปดูลูกแล้ว” นาวาแขวะทันทีที่ผมนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ โซนที่เรานั่งค่อนข้างส่วนตัวและเป็นโต๊ะสำหรับแขกวีไอพี อภิสิทธิ์จากไอ้นาวาที่พ่อตาเป็นเจ้าของร้าน

“ได้เมียเพราะกูลากมานั่งร้านนี้ยังจะปากดีใส่”

“แฮะ ขอโทษค้าบบ ผู้มีพระคุณ เดี๋ยวจะเอาพานพุ่มมากราบตีนนะคร้าบบ”

“กวนตีน”

“ไหนน้องอะครับ มาด้วยมั้ยๆ” ไอ้หน้าวินตัวดี คอยืดยาวเหมือนยีราฟเหลียวซ้ายแลขวามองหาคนที่มาด้วย

ครับ สรุปศิมาด้วย บอกอยากมาเจอเพื่อนผม ตอนแรกคิดว่าจะกลัวซะอีกที่ต้องมาเจอสังคมของผม แต่พอให้ดูเฟซไอ้นาวินน้องมันขำกับมุกห้าบาทสิบบาทจนอยากมาเจอตัวจริง ผมนี่ขมวดคิ้วเลย ไม่ใช่เพราะหวงนะ แต่เพราะไม่อยากให้น้องมาเจอคนจัญไรแบบไอ้วิน กลัวจะคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับมันไปด้วย ทั้งที่ก็เป็นแหละแค่มีชั้นเชิงกว่า

“แวะเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวคงออกมา”

“โถ่ ทำไมปล่อยให้น้องไปคนเดียวล่ะครับ เดี๋ยวกูไปรับมั้ย” อยากเอาตีนถีบอกมันจริงๆ

“ไม่ต้องสะเอะ มาละ”

ผู้ชายตัวเล็กวันนี้สวมเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยเสื้อยีนส์บาลองเซียก้าพอดีตัว กางเกงเดฟขายาวสีดำ และรองเท้าเปิดส้นกุซชี่ ตอนแรกจะให้ใส่หมวกเพราะไม่อยากให้ใครเห็นหรือจำได้เท่าไหร่ แต่ศิน่ะดื้อ บอกมันไม่เข้ากับชุดที่เขาเลือก ก็เลยตามเลย

“สะ สวัสดีครับ พี่ๆ”

“....”

เพื่อนผมทั้งสี่คนจู่ๆ ก็มองหน้ากันแบบเลิกลัก จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะทักน้องมันก็ไม่ทัก ไม้เมืองยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด ไอ้พายุก็มองไปที่เวทีข้างล่างอย่างหาจุดสนใจ นาวายิ้มแห้งๆ มาให้ คงมีแค่ไอ้นาวินที่ยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ส่งมา

ลืมไปว่าไม่ได้บอกก่อนว่าคนใหม่ที่มาดามใจเป็น ‘ผู้ชาย’

ทำไมคราวนี้มึงเสือกไม่สุดวะเพื่อน

“นี่น้องศิ” มองหน้าน้องแล้วก็ไม่รู้จะบอกว่าเป็นสถานะอะไรกัน จะบอกว่าแฟนก็ยังไม่ได้ขออย่างเป็นทางการ จะบอกว่าเมียก็ดูจะไม่ให้เกียรติน้องเกินไป เอาเป็นว่าบอกแค่ชื่อไว้ก่อนแล้วกัน พวกมันรู้กันอยู่แล้ว

“คะ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ น้องศิ” เป็นไอ้นาวินที่ทักทายกลับ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็ยกยิ้มแห้งๆ มาให้

สีหน้าน้องตอนนี้ไม่สู้ดีเลย ผมผิดเองที่คิดว่าเพื่อนๆ จะสืบจนรู้แล้วว่าคนใหม่ของผมเป็นใครและเป็นเพศอะไร แต่เกมพลิกที่คิดว่าเพื่อนตัวเองขี้เสือกได้กว่านี้

“ศิจะกลับมั้ย” เอื้อมมือไปจับมือที่นั่งกุมไว้ที่หน้าตักตัวเองแน่น ถามอย่างเป็นห่วง แต่น้องส่ายหัวแทนคำตอบ แต่ผมไม่ไหวว่ะ พาน้องกลับคงดีกว่า

ไม่คิดจะโทษเพื่อนที่ทำใจยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตัวเองไม่ได้ แค่คาดหวังมากเกินไปว่าเพื่อนคงจะเข้าใจถ้าวันนี้ผมจะเลือกน้องให้ยืนอยู่ข้างๆ ในฐานะคนรัก แต่นั่นแหละ เพื่อนมันไม่ได้รับกันไปหมดเสียทุกเรื่องหรอก ผมเองที่ทำให้เพื่อนผิดหวัง

“ถ้ามึงไม่โอเค งั้นกูกลับก่อนนะ ไว้ค่อยนัดเจอกันใหม่” ดึงข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นและกำลังจะก้าวขาออกจากตรงนี้

“เฮ้ยๆๆๆ ใจเย็นๆ ก่อนพระเอก” ไอ้นาวา

“เอออ ใจร้อนจังว้าาา” ไอ้ไม้เมือง

“แผนไอ้นาวิน” ไอ้พายุ

“ไอ้คนหัวฆวย!” แม่งสุดจะทนกับความพิเรนทร์ที่เล่นเป็นเด็กๆ ของมัน ไอ้เพื่อนชั่ว

“น่าาา ก็อยากจะรู้นี่ครับว่าเพื่อนจะทำไง ไม่เคยเห็นเพื่อน...เอ่อ คบผู้ชาย...น่ารัก” ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้ส่งสายตากระลิ้มกระเรี่ยมาให้ศิที่หลบอยู่หลังผม

“คนอย่างมึงนี่นะ” นั่งลงโซฟาแล้วกระดกโค้กจนหมดแก้ว ครับ วันนี้กินโค้กเพราะไม่ไหวทั้งเพลียทั้งเหนื่อย เดี๋ยวจะพาเด็กกลับไม่ไหวด้วย

“น้องศิทำไมมาคบกับคนอย่างมันอะครับ” นาวินถามตามประสาคนขี้เสือกก่อนเลย

“นั่นดิ” ไอ้นาวาพี่มันสมทบ

สองพี่น้องรักษ์ยมมหาประลัยไปที่ไหนบรรลัยที่นั่นพอๆ กับโคนัน

“อ่า กะ ก็เล่นซีรี่ส์ด้วยกัน แล้วก็ยังไม่ได้แบบคบกัน”

“ห้ะ!” เพื่อนสี่คนห้ะพร้อมกัน ไอ้พายุก็เอาด้วย ปกติจะเงียบๆ วันนี้คงโดนนาวินเป่าหูมาเยอะ

“เออยังไม่ได้ขอแบบเป็นทางการเว้ย!” ตะหวาดใส่พวกแม่งไปที อะไรจะอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น ศิจู่ๆ ก็ซื่อขึ้นมาตอบทุกคำถามที่มันถามสิน่า

“คุณกากขนาดนี้เลยหรออาคิรา” นาวา
“ผมเสียใจว่ะที่นับถือ” ไม้เมือง
“คนที่เคยเป็นลูกพี่สิ้นลายไปตอนไหน” พายุ
“งั้นพี่ขอคบน้องศิแซงคิวมันเลยนะครับ” นาวิน

“ไอ้เพื่อนเหี้ยยย!” ผมใช้คำหยาบต่อหน้าน้องครั้งแรกเลยมั้ง แม่งอย่าสุดจะทน เพื่อนที่เคยกวนตีนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงก็ยังกวนตีนไม่เปลี่ยน ศิลูบมือผมเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา จนเพื่อนๆ คนอื่นก็หัวเราะตาม ทีนี้เลยกลายเป็นเรื่องตลกเพราะผมกากที่ไม่ขอน้องเป็นแฟนเสียที

ยังไม่ถึงฤกษ์ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมคิดไว้แล้ว เรื่องแบบนี้ : )




มีต่อ






หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.13 secret romance (28/06/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 03-07-2018 22:51:07
พูดคุยกันอีกสักพัก ส่วนใหญ่พวกมันชวนน้องคุย พอศิบอกว่าชอบมุกของไอ้วินเท่านั้นแหละเลยเถิดมากๆ ตบมุกกันซะน้องหัวเราะจนกรามจะค้าง นี่หรอวะผู้ชายอายุจะสามสิบ สมองเท่าสิบขวบจริงๆ แต่พอดนตรีสดก็ขึ้นเล่นก็เลยหันไปดูมรสพให้เข้ากับบรรยากาศของค่ำคืนนี้ ดนตรีสดที่นี่จะเป็นวงฟรีแลนซ์ดังๆ ไม่ก็จะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมา แต่ส่วนมากจะเป็นแนวโฟล์คซองฟังสบายๆ ไม่ค่อยเป็นแบบครบวงแบบที่อื่น

“You'll always be my day one
Day zero when I was no one”


ผมเห็นน้องดูตื่นเต้นตั้งแต่ดนตรีเพลงนี้ขึ้น พอมาเห็นน้องพึมพำกับตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะไม่เคยเห็นเขาร้องเพลงเลย

“ศิชอบเพลงนี้หรอ”

“อื้อ ชอบมากเลย ฟังครั้งแรกแล้วชอบเลยอะ”

“เพลงชื่อว่าอะไรครับ”

“I got lucky finding you
I won big the day that I came across you”


“เดย์วันครับ”

“ฮะ อะไรนะ” เสียงฟังที่ดังขึ้นทำให้ผมหูดับเอาซะดื้อๆ

“ลุงจังหูตึงเนี่ย” ศิเอาหน้าเข้ามาใกล้ เพื่อที่จะได้พูดให้ผมฟังชัดๆ

“You'll always be my day one
Day zero when I was no one
I'm nothing by myself, you and no one else”


“เดย์วัน..”

“You'll always be my day one”

“...”

“always be now and always be tomorrow”

ศิได้ยินทุกประโยคที่ผมพูดจากสัมผัสของเขา และผมอยากให้น้องสัมผัสมันได้ว่าคำพูดนี้ออกมาจากห้วงความรู้สึกจริงๆ

แม้เรื่องของเรามันจะเกิดได้ไม่นาน หากแต่ทว่ามันสร้างเรื่องราวมากมาย ‘ทั้งดีและไม่ดี’ ที่เราร่วมกันก่อ และนับจากนี้เราจะเขียนเรื่องของเราด้วยสองมือ อาจจะต้องพบเจอกับอุปสรรค ต้องทะเลาะกัน ต้องผิดใจกัน แต่เรื่องราวที่ผ่านมามันจะเตือนสติเสมอว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดอย่างถูกต้องแต่แรก มันกัดกินใจและทรมานพวกเราแค่ไหน แต่สุดท้ายก็จับมือกันผ่านมาได้ ตราปาบที่ประทับในใจจะไม่จางหายและไม่ลืมเลือน แต่จะเก็บเอาไว้ให้เป็นสติและประคองความรักของเราให้ดีจนกว่าจะสุดทาง

“หื้ออ พี่ดิมทำไร คนเยอะ ศิบอกแล้วว่าอย่ารุ่มร่ามไง” คนตัวเล็กพูดเสียงเบาให้เราได้ยินสองคน ทั้งที่พูดเสียงปกติคนก็ไม่ได้ยินอยู่แล้วเพราะเสียงดนตรีในร้านดัง

“อย่างที่พี่บอกเข้าใจใช่มั้ย”

“อื้อ”

“พี่ไม่ได้จะขอเป็นแฟนกับศิตอนนี้ มันกระจอกไป”

“อ้าว” ยิ้มที่คนตรงหน้าหวัง เพราะเพื่อนเวรแท้ๆ

“แต่พี่รักศิและศิจะเป็นทุกอย่างของพี่ตั้งแต่วันนี้และพรุ่งนี้...เวียนไปแบบนี้นะครับ”

“ไม่ตลอดไปหรอเห็นคนชอบพูด”

“ถ้าพี่ตายก่อนคำว่าตลอดไปของพี่ก็โกหกน่ะสิ”

“เนี่ยกำลังจะดีแล้ว พูดเรื่องตายทำไมอะ”

“พี่แก่กว่าศิตั้งหลายปีนะ แล้วพี่ก็ทำงานหนัก จะตายเร็วกว่าศิก็ไม่แปลก แค่พูดเผื่อไว้ พี่ไม่อยากสัญญาอะไรแล้วทำไม่ได้ เพราะคนที่พี่สัญญาด้วยจะเสียใจ แต่พี่จะทำให้ทุกๆ วันเหมือนเดิมนะ”

“รู้แล้วๆ ศิไม่รีบหรอก ศิรอได้ รอมาตลอดแหละ”

น้องยิ้มน่ารักมาให้ อยากกอดให้จมอกตอนนี้เลย แต่ไม่ลืมหรอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

“นี่พี่ดิม คือเพื่อนพี่อะ เค้าไม่ได้ดูดนตรีเลยนะ”

“พวกขี้เสือก!”



ตีหนึ่งหนึ่ง น้องศิของทุกคนในวงคอพับคออ่อนไปเรียบร้อย หลังจากนั่งหัวเราะเพื่อนตัวดีเผาชีวิตผมสมัยเรียน ยังดีที่รู้กันว่าอย่าเล่าเรื่องไม่ควรเล่า ก็เลยมีแต่เรื่องฮาๆ สร้างบรรยากาศสนุกให้ทั้งวงได้ แกนนำคือเพื่อนเบาปัญญาสุดอย่างได้นาวิน สมกับที่มันเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬาเอกนันทนาการ หาเรื่องคุยเก่งเป็นที่หนึ่ง และระหว่างที่ทุกคนเล่าเรื่องตลกก็พลอยชนแก้วกันเรื่อยๆ สุดท้ายคนที่หัวเราะก็เริ่มหัวเราะกระทั่งแก้วกระทบกัน และเปิดฝาโซดา...สรุปได้เลยว่าน้องเมา ทั้งที่กินไปสองแก้วครึ่ง ระยะเวลาสองชั่วโมง เมาเหล้าที่ละลายน้ำแข็งจางๆ นี่แหละครับคนของผม

ปฏิกิริยาคนเมาคือมุดครับ เอาหัวซุกหาที่นิ่มๆ นอน ตอนแรกผมเอาหัววางบนไหล่ แต่เจ้าตัวก็เอาหัวฟูมาดุนๆ แล้วซุกที่อก จังหวะนั้นคือเพื่อนโห่แล้ว แต่ทำไงได้ในเมื่อยังไม่อยากกลับ พอได้คุยกับเพื่อนบรรยากาศเก่าๆ มันก็กลับา ติดลมบน สุดท้ายเลยย้ายน้องนอนหนุนตักที่โซฟาตัวยาว แล้วให้พายุกับนาวาไปนั่งที่ผมกับน้องแทน ไม่นานน้องก็ขยับไปขยับมาเพราะนอนไม่สบาย เลยตัดสินใจกลับดีกว่า

“กลับกันครับ” ก้มไปกระซิบเบาๆ

“อื้อออ”

“เดินเองไหวมั้ย”

“อื้ออ ศิเดิน ดะ ได้ ไหว”

“งั้นป่ะ”
“อะ นาวา กูเลี้ยงวันนี้” ยื่นบัตรเครดิตสีดำด้านให้นาวาในฐานะที่มันรู้จักมักจี่กับที่นี่ที่สุด

“ป๋าพร้อมเพย์” นาวายกยิ้มล้อเลียน แล้วเดินแยกไปที่เคาเตอร์เพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายทั้งโต๊ะ
ผมพยุงน้องให้เดินออกไปที่ลานจอดรถ เพื่อนคนอื่นๆ ก็เดินตามกันออกมา

“งี้แหละมีเมียเด็กต้องหมั่นเช็กเงินเดือน” ไม่พ้นที่นาวินจะแซวต่อ
“เงินเดือนหมอจะพอค่าข้าวน้องหรอวะ ฮ่าๆ”

“กูเลยต้องทำงานหลายอย่างนี่ไง”

“โถ่ ทำเป็นคนตกยาก แค่หุ้นบริษัทพ่อมึงก็กินปันผลไม่หมดแล้วมะชาตินี้”

“ไม่รู้ว่ะ แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ไปช่วยอะไรพ่อเลย คงขายให้ดิน”

“อ้าวพระเอก มึงจะขายหุ้นพันล้านให้น้องมึงแล้วมึงจะเอาไรแดกตอนแก่”

“มีความรู้ถึงขั้นเป็นหมอได้ จะไม่มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเองกับเลี้ยงน้องมันก็ให้รู้ไป”

“คำพูดยังพระเอก” ไม้เมืองพูดขึ้น

“แต่แดกไม่ได้” ไอ้พายุที่คงฟังมานาน ได้จังหวะพูดก็มาแบบพอดิบพอดีลงล็อกตลอด ไอ้ห่า

พยุงน้องเข้าไปนอนในรถ ปรับเบาะให้นอนสบาย พร้อมสตาร์ทเครื่องก่อนจะมาร่ำลาเพื่อนๆ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา แต่มิตรภาพจะไม่เคยร้างลา

นาวาเดินเอาบัตรเครดิตมาคืน พวกเราห้าคนยืนมองหน้ากันยิ้มๆ แอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าพวกมันแดงระเรื่อ ถ้าเป็นตอนมหาลัยผมคงไม่ได้มายืนแบบนี้หรอก เมาเป็นหมา ไอ้พายุคงกำลังลากกลับคอนโด ไหนจะไม้เมืองที่บ่นด่าเพราะต้องวนรถไปส่งผมที่อยู่คอนโดคนละโยชน์กับพวกมัน ส่วนไอ้นาวาก็เช็กทางว่ามีด่านหรือเปล่า นาวินรายนั้นเมาหลับไปก่อนผมอีก

“ขอบคุณพวกมึงทุกคนนะเว้ย”
“ที่เข้าใจ”

“สองพันสิบแปดแล้วป่ะวะ ความรักเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เพศไหนก็ได้ มึงอย่าคิดว่าพวกกูใจแคบขนาดนั้น” ไม้เมืองเป็นคนแรกที่พูดทั้งที่กอดอกหลวมๆ มาดอาจารย์ยืนบรรยายให้นักศึกษาฟัง

“มึงรักใครแสดงว่าเค้าควรค่าที่จะรัก ตอนนับถือเป็นลูกพี่สอนกันไว้นี่” หมอฟันล้วงกระเป๋ากระเกงยีนส์ขาดๆ ไม่ต่างอะไรกับผ้าเช็ดตีนพูด เป็นหมอที่หน้ามึนที่สุดแล้วมันอะ

“ดีอีกไม่ต้องเลี้ยงลูก เหนื่อยสัสๆ มาช่วยกูเลี้ยงลูกนี่มา”  เพื่อนคนอื่นฮาครื้นกับพ่อลูกอ่อนที่ดูเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเหลือเกิน

“ไงก็เพื่อนป่ะวะคุณ มันเลิกเป็นได้ด้วยหรอ เลิกเพราะคุณมีแฟนเป็นผู้ชาย ใจหมาไปหน่อยมั้ย” นาวินเดินมาดึงมือติดอกไปที ก่อนที่เพื่อนคนอื่นจะทำตาม

ถ้าเปรียบมิตรภาพเป็นอะไรสักอย่างสำหรับผม จะให้มันเป็นหนังยางเป่ากบตอนเด็กๆ ถ้ามันมีวงเดียวมันก็จะเป็นแค่ยางรัดแกงธรรมดา แต่เมื่อไหร่ที่ถูกเกี่ยวมัดมันจะต่อขยายยาวเหยียด หนาแน่น คงทน ทว่าต้องแลกพื้นที่ให้วงยางของตัวเองสั้นลง เพื่อจะเกี่ยวอีกเส้นไว้ เหมือนความจริงใจที่ต้องให้ และได้รับคืนเช่นกัน เราห้าคนก็เหมือนยางเป่ากบห้าเส้นที่เกี่ยวมัดกันไว้อย่างพอดิบพอดี อาจจะหย่อนยานยามห่างไกล แต่ก็หยืดหยุ่นเมื่อกลับมาเจอกันได้อีก แม้วันหนึ่งมันจะเก่าและขาดออกจากกัน แต่อย่าลืมว่าคุณสมบัติยางถ้าเก็บดีๆ จะอยู่ได้นานเท่านาน

เพื่อนไม่เคยเก่า อย่างที่พี่เวียร์บอกไว้นั่นแหละครับ





------------------------To be continued-------------------------




สรุปพี่เวียร์มาเพื่อฆ่าทุกคน อะไรวะ555555555555555555555555
เปิดตัวเพื่อนคูมหมอเค้าแหละ งานดีย์ทั้งนั้น
เลือกๆเอานะ เพราะหมอดิมเค้าเมียแร้วจ้าาา

ขิงประโยคนี้ของอิน้องแมะ

“ไม่ได้เตรียมตัวเป็นแม่ศรีเรือนนะ แต่ว่าอะไรที่เราคิดว่าเป็นสเน่ห์ในตัวเอง ก็ต้องยิ่งรู้จักบริหารไม่ใช่หรอ” /รุดก้านมะยม



บีอีกแล้วครับทั่น

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1


@mifengbeexx



หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-07-2018 23:40:20
อ่านจบเพลงขึ้นเลย จากวันนี้ จะมีเรา เราและนายยยยยยย 5555555555555

ยิ่งอ่านไปไม่ใช่แค่หมอดุแล้วค่ะ น้องก็อ่อย สมน้ำสมเนื้อออ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: praewypn ที่ 04-07-2018 09:06:24
อยากได้นาวินนนนนนนนน ฮี่ๆ สนุกมากค่าา  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 04-07-2018 16:14:53
ยอมเข้าคุก ยอมเป็นคนบาปปป ฮื่ออออหมอออ หมอดุมากกก กรี๊ดดดด
แต่อยากให้หมอจัดการตัวเองให้ไวๆนะ ถือเป็นการให้เกียรติแฟนตัวเองแล้วก็น้องด้วย

ขออนุญาตนิดนึงนะคะ ยังมีคำผิดอยู่หลายจุดอยากให้ลองเช็คด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 04-07-2018 19:19:36
ดีต่อใจจจจจจจจ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 04-07-2018 22:02:09
พี่เพื่อนดีก็อุ่นใจแหล่ะจะยังไงก็อยู่ข้างกัน
แต่น้องศิเมากลับห้องไปอิพี่จะทำไงน๊าาาา :z1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2018 13:45:47
 :L2: :L1: :pig4:

ว่าจะค่อยๆอ่านทีละนิด เงยหน้ามาอีกทีตีห้าละ 55
น่ารักมากเลย ดีใจที่ผ่านความทรมานใจมาได้ จะมีอีกไหม (กลัว)
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: uzosou ที่ 06-07-2018 00:32:27
แง่น้องศิน่ารักกกกก ฮือออออออออออ

ส่วนลุงหมอของเรานั้น 5555555555 ทำไมดุขนาดนี้คะ

พี่เป็นคนจริง จัดหนัก จัดเต็มมากค่ะ

นี่แบบแอบเครียดตอนที่ยังคบกะเกลอยู่ ฮือออออ ก็เข้าใจศินะว่าเออจะกังวลในตัวหมอก็ได้

ชอบที่พี่หมอพยายามอ่านความคิดน้องและพยายามจะทำให้น้องเชื่อใจอะ ฮืออออออ

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: StephanieSong ที่ 06-07-2018 20:36:32
คือมันดี พึ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านได้แต่อุทานว่า OMG ทำไมพึ่งมาอ่านนนนนนนนน 
ทำไมหมอดุ เพราะน้องมันอ่อยใช่มั้ยยยย :impress2: 
ไม่ไหวเลือดหมดตัว
รอตอนต่อไป สู้สู้คร่าาาา   :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Nongun18 ที่ 06-07-2018 21:56:39
มาต่อเร็วๆน่าอย่าทิ้งให้ลงแดงนาน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 07-07-2018 08:41:00
ชอบโมเม้นท์ชาวเน็ต 555555 เดี๋ยวไปหวีดในทวิตต่อค่าา ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: hwang ที่ 07-07-2018 15:19:31
พอได้กันแล้วก็ลับลู้ถึงความพอร์นนนน พี่หมอพอร์นมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ออร่ามันออก
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ฮืออออ ชอบ รอตอนต่อไปนะคะ ฃ

<3
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-07-2018 12:09:59
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน..อ่านทันแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 08-07-2018 17:43:02
นว้องงงงงง อ่นนทันแล้ววว
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ezi ที่ 08-07-2018 20:17:53
ติดบ่วงน้องศิ กับ หมอ เป็นอาทิตย์แล้วว ออกไม่ได้ 5555

รอออๆๆๆ

ชอบเพลงนี้เหมือนกัน HONNE มีคอนเสริตที่ไทยนะ 25-26 กค นี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 08-07-2018 22:51:16
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส
[/size]

It’s just you and me, with the world beneath our feet
We can see for miles up here
We can go wild up here


“ศิ!” ผู้ชายที่ภายนอกเหมือนฝาแฝดผมเอ่ยทักเสียงดังลั่น ตอนที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในห้องแต่งตัว ใช่ครับวันนี้เราเริ่มถ่ายซีรี่ส์กันต่อ โลเคชั่นอยู่อยุธยาเป็นบ้านทรงไทยสร้างใหม่ ญาติแม่พี่นายโปรดิวเซอร์เป็นเจ้าของเลยได้ขอใช้ในราคาที่ไม่แพงมาก

“Hey dude” ขณะนี้เวลาหกโมงเช้าเป๊ะ เสียงที่ทักทายเจ้าตัวร่างเริงเลยเป็นเสียงที่ง่วงสุดๆ

“ทำไมมาช้าจังล่ะ แล้วนี่ง่วงขนาดนี้ขับรถมายังไงเนี่ย”

เปิดปากหาวแล้วใช้มือปิดปากก่อนจะตอบคนตรงหน้า “มากับพี่ดิมอะ”

“อ๋ออออออ”

“อ๋อยาวจัง”

“อิอิ ดีแล้ว ป่ะไปแต่งหน้ากันจะคิวแรกแล้ว ตื่นเต้นจัง”

ฉากแรกวันนี้เราจะใช้แสงเช้านวลๆ สำหรับการกลับมาสถานที่สำคัญของภามาสคือบ้านที่เคยอยู่ในความทรงจำในฝัน ซึ่งจะได้มาพร้อมกับเพื่อนตัวเองในปัจจุบันและเพื่อนของอาคิรา เป็นการสำรวจพื้นที่ออกค่ายทุกคนในเรื่องเลยได้มาอยู่ที่นี่แทบจะทั้งหมด

จากนั้นจะเป็นฉากภามาสและอาคิรา สำหรับชีวิตในอดีตของทั้งคู่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาวันนี้และวันพรุ่งนี้ถ่ายทำ และจะย้ายกองถ่ายไปที่ชลบุรีเป็นค่ายทหาร ซึ่งเป็นสถานที่จำลองสำหรับการออกค่ายอาสา และจบที่ทะเล หนึ่งอาทิตย์นี้คงจะต้องตายกันไปข้าง

“คุณลูกศิ ทำไมลืมตาไม่ขึ้นแบบนั้นล่ะคะลูก มาเร็วมานั่งก่อน” ป้าตุ๋ยช่างแต่งหน้าสาวสองประจำกอง เรียกผมเสียงดังแต่เป็นเดซิเบลระดับปกติของแก

“เหมี่ยวเซตผมปกตินะ เดี๋ยวทรงย้อนยุคป้าให้เอ็มทำ”

“ค่ะแม่” พี่เหมี่ยวและพี่เอ็มช่างทำผม เป็นลูกน้องของป้าตุ๋ยอีกที แต่แกอยู่กันแบบแม่ลูกเพราะพี่ทั้งสองคนกำพร้าทั้งคู่ อีกอย่างก็เป็นลูกสาวที่คุยกันถูกคอแม่ล่ะนะ

“ป้าตุ๋ยศินอนดึก ไม่รู้ว่าตาดำมั้ย ขอโทษนะครับ” พูดขณะมองบนเพื่อให้ป้าลงรองพื้น

“ศิพูดเหมือนขิงเราอะ” เสียงพูลล์

“เออศิ มึงดูใต้ตาเพื่อนมึงด้วย” อาโปมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยเดินเข้ามาตอนหลับตาอยู่ ฮ่าๆ

“อ้าวอาโปมาแล้วหรอ”

“เออโคตรง่วง ดีนะเมฆมาส่ง”

“อ๋ออออ” ผมอ๋อยาวเหมือนพูลล์เมื่อกี๊

“เออ! กูก็รู้ว่ามึงมีคนมาส่งเหอะ”

หุบปากแทบไม่ทัน แล้วนั่งนิ่งๆ ให้ป้าตุ๋ยละเลงหน้าต่อไป

“ศิ กาแฟมั้ยเห็นพี่ๆ เค้าจะไปซื้อ”

“อื้อพี่ดิมหรอ ศิเอาๆ””

“ทำไมพี่ดิมถามแค่น้องศิอะ น้องพูลล์ น้องอาโปก็นั่งอยู่ตรงนี้นะครับ” อาโปถามขึ้น มองไม่เห็นหรอกเพราะป้าทาอะไรที่เปลือกตาอยู่ แต่เสียงมันกวนสุดๆ เลย

“หึ ครับ ทุกคนเลยเอาอะไรมั้ย”

“เดี๋ยวให้เอ็มไปบอกก็ได้ค่ะคุณหมอ ไม่ต้องเดินไปเองหรอกค่ะ” ป้าตุ๋ยพูดขึ้นอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับป้า ผมว่างอยู่ไหนๆ ก็รอคิวแต่งหน้า พี่เอ็มก็ต้องแต่งอีกหลายคน น้องๆ คนอื่นมาถึงแล้ว”

“ขอบคุณนะคะคุณหมอ หล่อแล้วยังใจดีอีก”

“สรุปว่าเอาอะไรกันบ้างครับ” เสียงพี่ดิมเหมือนอยู่ใกล้มากเลยแฮะ ทำไมใกล้จัง ก็เลยลองลืมตามาดูตอนที่ป้าตุ๋ยยกมือออกจากหน้า

“เฮ้ย! พี่ดิม ตกใจหมด” ใบหน้าคมที่มองมาตรงหน้าห่างไปไม่กี่คืบ ทั้งที่มันควรเป็นป้าตุ๋ยไม่ใช่หรือไง

“หน้าเนียนแล้ว”

“ก็ต้องเนียนสิคะหมอ รองพื้นของป้าใช้ลังโคมเลยนะเนี่ย”

“ผมหมายถึงผิวหน้าศิเนียนอยู่แล้วอะครับ”

“อ้าวหมอ ป้าวืดเลยนะเนี่ย”

“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับป้า”

“ไปเลยครับบ๋อยรับเมนูแล้วไปเลย”

ทุกคนในห้องแต่งตัวเลยขานเมนูที่ตัวเองต้องการ ก่อนที่คุณหมอจะย้ำเมนูอย่างแม่นยำ สมองเขานี่ทำด้วยอะไร ถ้าเป็นผมแค่เมนูตัวเองกับของอาโปก็ลืมละ

“พี่สั่งให้เค้าเอาบราวนี่ให้ศิด้วยนะ จะได้กินรองท้องก่อนข้าวเช้า”

“ขอบคุณครับพี่ดิม”

ผมยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไป พูลล์และอาโปมองหน้ากันแล้วยกยิ้มอย่างรู้กัน ไม่ใช่สิ ล้อเลียน เหอะ อย่าให้พี่ภีมกับเมฆโผล่มาที่นี่บ้างแล้วกันจะเบะปากให้มุมปากไปถึงต้นคอเลย



บทสนทนาพี่ดิมกับพี่ภัทรฟังดูแปลกๆ เวลาไม่ได้เข้าฉากกัน

‘ผมว่ารังสิมันต์เห็นแก่ตัวนะ ทั้งที่ตอนแรกตัวเองก็ไม่ได้ชอบภามาสแท้ๆ แต่กั๊ก’ พี่ภัทร

‘ในนิยายเหมือนเค้าไม่รู้ตัวหนิ คนเราเวลาเจอคนที่ใช่บางทีมันก็ไม่ได้มาเวลาที่ถูก ก็ค่อยๆปรับ’ พี่ดิม

‘หมายถึงว่าอีกคนเค้าต้องรอแบบนี้หรอครับพี่หมอ ไม่แฟร์ว่ะ’

‘ถ้าความรักมันไม่มีสูตรตายตัว แค่รู้ว่าหัวใจตรงกัน คนอื่นก็ไม่เกี่ยวแล้ว’


เนี่ย เขาคุยกันเรื่องซีรี่ส์จริงๆ ใช่มั้ย คือพูดตอนที่รอเข้าฉาก ในมือยังมีบทที่ถือคนละเล่มอยู่เลย ไม่ยักจะซ้อมกลับคุยอะไรกันแปลก ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่นก็ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนทุกคนก็รอฟังอยู่ แต่มันทำไมรู้สึกหลังคอเย็นวาบชอบกล แต่พอเวลาเข้าฉากก็เล่นหัวกันตามบทได้ปกติ นี่มันอะไรกันวะ??


ตกบ่ายคล้อยผมและพี่ดิม รวมถึงนักแสดงพี่ ๆ มากฝีมือจะเล่นด้วยกันหลายฉาก ส่วนน้องและเพื่อนคนอื่นมีบางคนที่นอนที่กอง มีหลายคนนั่งติดเก้าอี้กินข้าวกองที่โคตรอร่อย และบางคนก็ขอตัวกลับเลย แต่มีพี่ภัทร พูลล์ อาโป และน้องเฟิร์นที่รอคุณแม่มารับ นั่งเล่นในห้องแต่งตัวที่ผมและพี่ดิมกำลังทำผมกันใหม่ ส่วนพี่ ๆ ที่จะเข้าฉากด้วยจะแต่งอีกห้อง

“พูลล์ อาโป ยังไม่กลับหรอ” ผมถามเพราะเห็นว่านี่ก็จะสองโมงแล้ว กว่าจะเข้าถึงกรุงเทพฯ รถจะติดเสียก่อน

“รอคนมารับ/เดี๋ยวเพื่อนมารับ” สองคนนั้นตอบขึ้นพร้อมกันเหมือนนัดมา แถมยังเลิกลั่กอีกต่างหาก มิน่าเห็นนั่งขมวดคิ้วจ้องมือถือ คงไม่อยากให้ ‘คนที่ว่า’ มารับกันสักเท่าไหร่ เพราะต้องเจอคนอีกเยอะแยะ ไหนจะนักข่าวบันเทิงที่วันนี้มาถ่ายทำเบื้องหลังอีกจำนวนหนึ่ง

“แฟนหรอคะลูก น้องพูลล์ น้องอาโป”

“ไม่ใช่ครับป้า!/ไม่ใช่นะป้าตุ๋ย” ตอบพร้อมกันอีกแล้ว ฮ่า ๆ เลยได้ยิ้มให้ผ่านกระจก เอาจริงความสัมพันธ์สองคู่นี้เหมือนจะชัดเจนแต่ก็ยังคลุมเครือ คู่ของเมฆกับอาโปทั้งสองคนก็ยังไม่เปิดปากกับเพื่อนเลยสักอย่าง เมฆดูจะชัดเจนกับการกระทำและความรู้สึก แต่อาโปกลับดูเหมือนดึงๆ ผลักๆ เมฆ เหมือนยังไม่แน่ใจกับอะไรสักอย่าง ส่วนพูลล์กับพี่ภีม แน่นอนล่ะพี่ภีมชัดเจนระดับ 4K แต่พูลล์ก็ยังไม่อยากยอมรับความสัมพันธ์กับผู้ชายหน้าตี๋เท่าไหร่ คงมีบางเรื่องที่สองคนไม่ได้เล่าให้ผมฟันนั่นแหละ แต่ไม่คาดคั้นหรอกจะดูอยากเสือกเกินไป รอให้พร้อมคงจะเล่ากันเอง แต่เร็วๆ หน่อยอยากรู้อะ

“ของพูลล์พี่ชายมารับครับป้า”

“ส่วนผมเพื่อนมารับครับ เมื่อเช้าผมรถเสีย”

“อ๋อเหรอจ๊ะ อิอิ แล้วน้องภัทรสุดหล่อล่ะทำไมยังไม่กลับคะ” ป้าตุ๋ยกำลังแต่งหน้าเพิ่มให้พี่ดิมถามขึ้น

“รอคนแถวนี้ครับ เจอกันวันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย” พี่ภัทรมองเขามาในกระจกที่ผมนั่งทำผมอยู่ เลยเอานิ้วชี้ที่ตัวเองเสมือนถามเขากลาย ๆ ว่าผมหรอ ซึ่งคนในกระจกก็พยักหน้า พร้อมยักคิ้วกวน ๆ ให้อีก

เหมือนพี่เอ็มจะรู้เลยกระซิบบอกว่าอีกห้านาทีก็เสร็จ เลยพยักหน้ารับให้เขาไปที และแน่นอนพี่ดิมที่นั่งกระจกถัดไปเห็นทุกอย่าง เอาไงดีวะเนี่ยจะเดินไปบอกว่าขอคุยกับพี่ภัทรแป๊บนึงคนในห้องต้องมองแปลกๆ แน่เลย ไลน์ไปแล้วกัน

[MYSUN]

[thesisi] พี่ดิมศิขอไปคุยกับพี่ภัทรแป๊บนึงได้มั้ยอะ
[thesisi] sent a sticker

ร่างสูงเห็นข้อความแล้วมองหน้ากลับมา แต่ไม่ตอบข้อความอะไรเลยทั้งที่อ่านจากแจ้งเตือนแล้วแท้ๆ

[thesisi] พี่ดิมมมมม ตอบหน่อยสิครับว่าอนุญาตมั้ย

เขาเห็นข้อความแล้วหันมามองหน้าด้วยใบหน้าเรียบสนิท รู้เลยว่าไม่สบอารมณ์ แล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ

[thesisi] แต่ยังไงศิก็จะไปคุยกับพี่ภัทรนะครับ ไม่นานหรอก พี่ดิมห้ามโกรธเพราะศิบอกแล้ว

[MYSUN]  NO!! YOU CANT GO WITH HIM

[thesisi] โถ่พี่ดิมมันไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ไม่ได้เจอกันนานเฉยๆ

[MYSUN] I TRUST YOU BAE BUT I DONT TRUST HIM!

[thesisi] 5min please

[MYSUN] TAKE YOUR FRIEND GO THERE

[thesisi] โอเคครับบบบบ รักพี่ดิมนะ อย่าโกรธนะ

พี่ดิมคว่ำมือถือลงที่หน้าขาแล้วไม่ได้หันมามองตอนที่ผมลากพูลล์และอาโปให้ออกไปด้วยกัน โดยล่อลวงด้วยขนมจากแฟนคลับของผมที่ส่งมาให้ตะกร้าใหญ่

ผมและพี่ภัทรแยกมานั่งที่เก้าอี้ไม้เก่าตัวยาวใต้ถุนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เพราะอากาศข้างนอกไม่เป็นใจให้เราไปเดินไปคุยไปเท่าไหร่

“เค้าว่าหรือไงที่ออกมากับพี่”

“พี่ภัทรรู้?”

“ผู้ชายจะเป็นศัตรูกันก็ต่อเมื่อชอบคนๆ เดียวกัน”

“...”

“และมันจะมองกันออก”

“พี่ภัทร…”

“เฮ้อ มาช้ากว่าทุกที” ผู้ชายอายุ 25 ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุและเป็นที่หมายปองของผู้หญิงทั้งประเทศตั้งแต่เข้ามาแคสติ้ง กำลังสารภาพรักกับผม..

“คือ..พี่ แบบว่า”

“อืม พี่ชอบศิว่ะ”

“....”

“ตั้งแต่ศิยิ้มตาหยี๋ ๆ ให้เค้า ตั้งแต่ศิหน้าหงอยเพราะเค้า และตั้งแต่ศิร้องไห้เพราะเค้า”

“พี่ภัทร”

“ไม่เป็นไรไม่ต้องพูดอะไรหรอก พี่แค่อยากบอกไม่ต้องการอะไรแม้แต่คำปฏิเสธ เพราะพี่รู้อยู่แล้ว”

“ศิขอโทษนะ”

“ขอโทษไมวะ ทำไรผิด หื้อไอ้ตัวเล็ก” พี่ภัทรใช้มือใหญ่ลูบหัวเบาๆ ทำแรงไม่ได้เดี๋ยวผมพังป้าตุ๋ยจะเฉ่ง

“ก็ไม่รู้อะ แค่รู้สึกว่าพี่ภัทรคงรู้สึกไม่ดี”  มองหน้าพี่ภัทรตรงๆ นัยตาเขาเจื่อความผิดหวังไม่แบบปิดไม่มิด รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ ไม่รู้ตัวเลยว่าไปทำอะไรให้ความหวังหรือเข้าใจผิดหรือเปล่า มัวแต่โฟกัสที่คน ๆ เดียวมาตลอด เลยลืมคิดถึงคนอื่นที่คอยอยู่ข้าง ๆ เวลาเสียใจ

“พี่ผิดเองแหละ พี่มาช้า โคตรช้า”
“แต่ถึงพี่จะมาเร็วกว่านี้พี่ก็สู้อะไรเค้าไม่ได้เลยว่ะ” เขายกยิ้มเหมือนเยาะมากกว่าให้ตัวเอง

“พี่ภัทรดีสิ ดีมากเลย คอยอยู่กับศิเวลาเศร้า”
“เป็นพี่ที่ใจดีมากเลยนะครับ” เอื้อมมือไปวางทับมือเขาเบาๆ ตามที่รู้สึก หวังว่าความจริงใจของผมจะส่งถึงเขาและเยียวยาเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ้าง

“นั่นแหละวันนี้ก็จะมาบอกว่าจะเป็นพี่ชายคนนั้นเสมอ”
“มีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่ได้ ยินดี” พี่ภัทรโอบไหล่ผมแน่น แถมกระแทกมือตบที่บ่าแรงๆ ด้วย feel like a brother เร็วอะไรขนาดนี้

“ถ้าพี่ภัทรมีอะไรก็บอกศิได้เสมอนะ”

“เออเดี๋ยวไปหาคนใหม่จีบก่อน คราวนี้จะรีบเลย แล้วจะมาปรึกษา”
“จะไม่ช้าให้หมาคาบไปแดกละ” เขาตบเข่าดังฉากดทีนึง ปรับอารมณ์เร็วดีเหมือนกันแฮะ

“ทำไมต้องปรึกษา พี่ภัทรจีบคนไม่เก่งหรอ”

“เออ!! นกมาเยอะเห็นหน้าแบบนี้”

เราสองคนหัวเราะให้กันเสียงดัง เป็นอีกครั้งที่เข้าใจความสัมพันธ์ของคนมากขึ้น คนเราถ้ามีความรู้สึกดีๆ ให้ใครไม่จำเป็นต้องจบที่การเป็นคนรักเสมอไป พี่ภัทรทำให้เข้าใจว่ารักแบบไม่หวังอะไรนอกจากหวังดีมันมีอยู่จริงๆ เขาเป็นอีกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจรองจากพ่อแม่และก็เพื่อน เป็นเหมือนพี่ชายคนโตที่ผ่านโลกมาเยอะพอที่จะสอนและให้คำปรึกษาได้ดี แต่ดีในที่นี้ไม่ใช่ว่าถูกต้องเสมอไป เขาสอนให้ผมเลือกทำตามความต้องการของตัวเองก่อนจะเลือกสิ่งที่ต้องทำ เพราะถ้าเราสิ่งที่เราอยากทำเต็มที่แล้ว มันจะเป็นเรื่องที่ดีได้เอง

“แต่ถ้าเค้าทำให้เสียใจก็อย่ายอมนะ ศิยอมมาเยอะแล้ว”

“ครับ พี่ภัทรต้องไปต่อยให้นะ”

“มึงจะบ้าหรอ! คิดว่าอยู่ปอสี่หรือไง เค้าตัวอย่างกับเดะฮอว์ค”

“ฮ่าๆๆๆ คิดภาพไม่ออกเลย”

ครืด ครืด

[MYSUN] Time’s Up!!   

อ่านแจ้งเตือนแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “พี่ภัทรเดี๋ยวศิไปก่อนนะ จะกลับเลยป่าว”

“ยังหรอก อยู่ให้เค้ารำคาญสายตาเล่น สนุกดีเวลาเห็นเค้ามีหลายอารมณ์” พี่ภัทรลุกตามทำท่าจะเดินไปส่ง แต่ผมห้ามไว้ก่อน ถ้าเห็นคนตรงหน้าเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวสองคนกับผมมีหวังไฟลุกแน่เลย เพราะตอนนี้พูลล์กับอาโปก็ยังไม่เดินมาตามเวลานัด คงกินขนมกันหมดไปแล้วมั้ง

“อย่าแกล้งน่า ศิเนี่ยจะซวย”

“ซวยแบบไหน เหมือนที่หลังคอมีรอยกัดป่ะ”

“เฮ้ย! ยังไม่หายอีกหรอ” ตะปบหลังคอตัวเองอย่างรวดเร็ว บ้าน่าไม่ได้ทำมาหลายวันแล้วจะมีได้ยังไง ครั้งสุดท้ายที่พี่ดิมทำข้างหลังก็สามสี่วันแล้ว อีกอย่างเขาไม่ได้กัดที่หลังคอนี่นา หรือว่าตอนนั้นรู้สึกที่อื่นมากกว่า ไม่จริงๆๆๆ

“เหอะ กูว่าละ กินไปแล้วด้วยสินะ เร็วฉิบ”

“พี่ภัทร!!” สรุปโดนพี่ภัทรหลอกถามจนได้

“เออรู้แล้วว่าเป็นได้แค่พี่ย้ำจัง ไปเลยไป เดี๋ยวเดินออกมาต่อยกู” สรรพนามเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเวลาสถานะมันเปลี่ยนไป แต่ก็ดีเหมือน รู้อยู่แล้วว่าพี่ภัทรไม่ใช่ผู้ชายสายสุภาพเท่าไหร่ เอาจริงพี่ดิมก็ไม่ใช่หลังจากที่ไปเจอเพื่อนเค้ามา ก็หยาบบ้างตามประสาผู้ชาย แค่เลือกว่าควรจะใช้กับใครล่ะมั้ง

รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยแฮะ






มีต่อ




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 08-07-2018 22:55:16
เดาไว้แล้วว่าจะต้องรับมือกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ พี่ดิมนิ่งและแทบไม่คุยกันเลย นอกจากซ้อมบทและเข้าฉากด้วยกัน บ่ายแก่ ๆ แสงกำลังสวย ซึ่งฉากต่อไปจะเป็นซีนที่ผมต้องแต่งตัวให้พี่ดิมด้วยสิ ถึงเนื้อถึงตัวกันนิดหน่อย และจบด้วยพี่ดิมต้องกอดผมไว้แล้วนั่งตัก ก่อนจะคลอเคลียกัน พี่นายให้ผมลองซ้อมกันเองในห้องที่จะใช้เข้าฉากก่อนที่ทีมงานจะเข้ามาเซ็ตไฟ ซึ่งเขาก็มีสปิริตพอที่จะตั้งใจซ้อมอย่างดี แต่ดันไม่พูดอะไรนอกเหนือจากบทเลยนี่แหละ โกรธจริงๆ สินะ

“เอ็งเบื่อไหมที่ต้องมาแต่งตัวให้ข้าทุกวัน” พี่ดิมเริ่มซ้อมตามไดอะล็อก และผมกำลังผูกโจงกระเบนให้เขาอยู่ ไม่กล้ามองหน้าจริงๆ เหมือนในบทนั่นแหละ

“ไม่ขอรับเจ้าพันแสง” ตอบไปด้วยเสียงกล้าๆ กลัวๆ และเสหลบสายตาที่เขามองมาด้วย

“ข้าชอบที่เอ็งเอาพวงมะลิมาไว้บนหัวนอนทุกคืน”
“เอ็งทำตลอดไปได้หรือไม่”

“ขอรับ บ่าวยินดีทำให้เจ้าพันแสงทุกอย่าง”

“แล้วถ้าขอให้ทำอย่างอื่น..” พี่ดิมรวบผมที่ก้ม ๆ เงย ๆ จัดเสื้อผ้า ก่อนจะนั่งบนตั่งตัวยาวและผมนั่งบนตักพี่เขาอีกที

“คุณพันแสงทำ อะ...อะไรขอรับ”

“กอดเอ็งไง” พี่ดิมกอดผมแน่นขึ้น และสายตาที่เขามองมันไม่ใช่คุณพันแสงสักนิดแต่นี่เป็นคุณอาคิราชัด ๆ
“คิดว่าพี่จะโอเคที่มันถึงเนื้อถึงตัวศิหรอ”

“หื้อออ พี่ดิมมันไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวกลับไปที่ห้องเล่าให้ฟัง นะๆ”

ร่างสูงหันหน้าหนีแม้จะกอดผมแน่นแค่ไหนก็ตาม เหมือนงอนแต่ก็ยังอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เนี่ยพี่ดิมตอนนี้เลย คนแก่อะไรขี้น้อยใจชะมัด

“หึ พี่บอกแล้วว่าไม่ไว้ใจมัน”

“ถ้าศิเล่าเรื่องที่คุยกันแล้ว พี่ดิมจะไม่โกรธศิ น่า ๆ รอหน่อยนะครับ” เอามือเย็นๆ ของตัวเองลูบแก้มให้เขาหันกลับมามองหน้ากัน หนวดไรเล็ก ๆ ทิ่มที่มือให้พอคันยุกยิก แต่มันเข้ากับคุณพันแสงสุดๆ ไหนจะผมที่เซ็ตด้วยเจลเรียบแปล้หวีไปด้านหลังเปิดเหม่งรับแสง คนหน้าคมอยู่แล้วดูคมคายมากกว่าเดิมเท่าตัว สีผิวแทนที่เหมาะกับบทชายไทยยุคโบราณ ชุดราชปะแตนกระโจมน้ำเงินของชายสูงศักดิ์มันขับให้เขาดูดีโขเลย

“พี่ไม่ได้โกรธ แต่หึง เข้าใจป่ะ”

“ครับๆ รู้แล้ว แต่อย่ามึนตึงใส่กันซี่ ศิไม่มีสมาธิทำงาน”

“งั้นจูบพี่หน่อย”

“จะบ้าหรอ”


“เฮ้ยไอ้ลูกหมาสองตัว มึงยังไม่ปิดไวเลสโว้ย!!”


ฉิบหายยยยยยยยยย


พอได้ยินเสียงป๋าตะโกนผ่านโทรโข่งผมกับพี่ดิมก็ช็อกกันไปพัก ก่อนจะปิดไวเลสแล้วคุยกันว่าควรจะออกไปข้างนอกด้วยความรู้สึกแบบไหน อย่างที่รู้ว่าเราตกลงว่าจะยังไม่บอกใครนอกจากเพื่อนสนิทเท่านั้น และการที่เราสองคนโป๊ะแตกกันกลางกองถ่ายแบบนี้มันเหนือการควบคุม จริง ๆ ไม่ใช่หรอกเราประมาทกันเองที่ไม่เช็กให้เรียบร้อย

“ไอ้ตัวเล็กหนึ่งมามานี่ซิ” ออกจากห้องก็เจอป๋ารออยู่แล้ว โดนมองด้วยใบหน้าแต้มยิ้มแบบไม่ตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไอ้ลูกหมามึงด้วย”

“ป๋าถามก่อนดิ ใครได้ยินบ้างครับ” พี่ดิมเดินขนาบข้างมาพร้อมกัน ก่อนที่ป๋าเจี๊ยบจะตบท้ายทอยพี่ดิมเบาๆ

“เอาซะหน่อย ทำทะลึ่งในกองกู”

“โหป๋า คิดว่าปิดไวเลสแล้ว” พี่ดิมหลับตาปี๋เพราะป๋าง้างมืออีกรอบ ดู ๆ ไปเหมือนพ่อลูกเลยแฮะ เวลาโดนจับได้ว่าแอบเอารถออกไปขับทั้งที่ยังไม่ได้ใบขับขี่

“มีกู ไอ้นาย แล้วก็ผู้ช่วยช่างภาพอีก 2 คน ดีนะไม่ได้ต่อลำโพง ไม่งั้นกระฉ่อนไปทั่วกอง”
“สารภาพมาว่ามันเคยมีมากกว่าที่กูได้ยินเมื่อกี๊ใช่มั้ย”

เราสองคนมองหน้ากัน ตอนนี้เดินมาถึงชานระเบียงที่ไม่มีทีมงานคนไหนอยู่ เป็นมุมที่ป๋าจองไว้สูบบุหรี่ทำสมาธิเวลาอ่านบท

“ก็...ครับ” พี่ดิมตอบแล้วเอื้อมมือมาบีบเบา ๆ

“แล้วเตรียมรับมือหรือยังถ้าใครรู้เยอะกว่านี้”

“ก็ยังไม่ได้คิดจริงจัง แค่คิดว่าคนก็คงอยากให้เราสนิทกันมากอยู่แล้ว ก็เลยจะปล่อยให้คิดไป”

“เอ้อดี! ซีรี่ส์กูจะได้ดัง ๆ คู่จิ้นเป็นคู่จริง”
“แล้วในบริษัทมีใครรู้หรือยัง?”

“ยังครับ แค่บอกปัดไปก่อน เพราะอยากให้อะไรมันลงตัวก่อน” พี่ดิมกำมือแน่นขึ้น นี่มันไม่ต่างอะไรกับเวลาพาแฟนไปเจอพ่อแม่แล้วโดนซักเลยไม่ใช่หรอ

ป๋าควักซองบุหรี่ออกมาก่อนจะเคาะมวนบุรี่ยี่ห้อดังมากัดไว้ที่ปาก แต่ไม่ได้จุดไฟ ก่อนจะดึงมาคีบไว้ที่นิ้วข้างซ้าย แกดูเครียดกว่าเราสองคนอีกแฮะ

“รู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ง่าย ยิ่งยืนอยู่ในที่สว่างแบบนี้ ผมรู้ว่าหมอแก้ปัญหาได้ แต่เป็นห่วงว่ะโดยเฉพาะไอ้ตัวเล็ก เพิ่งเข้ามาในวงการห่าเหวนี่”

“ป๋าาาาา” วิ่งไปกอดเอวป๋าเจี๊ยบแน่น รู้สึกดีมากผู้ใหญ่ที่เคารพคนหนึ่งแม้จะรู้จักกันไม่นานจะส่งความห่วงใยมาให้ขนาดนี้ ป๋าคงเป็นห่วงจริงๆ กับเส้นทางที่เราสองคนเดินอยู่ มันไม่ง่ายที่ผู้ชายสองคนจะมีความสัมพันธ์ฉันท์แฟนในประเทศนี้ และมันยิ่งยากไปกว่าเดิมถ้าผู้ายสองคนนี้เป็นดารา

“ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด จะปกป้องทุกอย่างเลยครับ”

พอได้ยินพี่ดิมพูดก็อดยิ้มไม่ได้ สายตาเขาไม่ใช่แค่พูดแต่เขาดูจริงจังและทำมันให้ได้ เพราะนี่เป็นเหมือนคำมั่นที่ให้กับผู้ใหญ่ที่เราสองคนเคารพทั้งคู่

“เออรู้ว่าหมอทำได้ เฮ้อ เออๆ มีอะไรก็บอกนะ อยู่มานานว่ะเห็นอะไรมาเยอะ สังคมบ้านเราแม่งไม่พ้นการเหยียดไม่พ้นบูลลี่หรอก อยากให้เตรียมใจไว้” ผมคลายอ้อมกอดจากพุงนุ่มนิ่มของป๋าเจี๊ยบและป๋าเอามือมาลูบผมเบาๆ ก่อนจะกอดไหล่ผมไว้

“ขอบคุณป๋านะครับ” ผมยกมือไหว้ พี่ดิมก็ด้วย

“แล้ว เอ่อ ป๋าโอเคใช่ป่ะที่เราสองคน..” เราสองคนสบตากันเหมือนรู้กัน ว่ากลัวคำตอบนี้เสมอเวลาถามคนสำคัญในชีวิตเรา

“กูทำซีรี่ส์เกย์มาสองเรื่อง แล้วการผู้ชายสองคนรักกันมันแปลกตรงไหน”
“รักกันแล้วอย่าเอาความคาดหวังของคนอื่นมาทำให้เขว”

“ป่าวป๋า คนอื่นเนี่ยไม่แคร์เลย แคร์คนที่เราแคร์ครับ”

“เลี่ยนว่ะหมอ ไปๆ เตรียมเข้าฉาก ถ้าเล่นหลายเทคแล้วแสงหมดก่อน มึงโดนกูด่าก่อนชาวเน็ตแน่ๆ”

ป๋าเจี๊ยบไล่เราสองคนไปก่อนจะจุดบุหรี่ที่ถือไว้ พี่ดิมยิ้มให้ผมก่อนที่ผมจะยิ้มให้เขา มันเหมือนเอาหินอีกลูกออกไปจากหัวใจของเราสองคน ยอมรับว่าตั้งแต่ทำงานกับป๋ามามีแต่ความสบายใจและรู้สึกเคารพนับถือ เสมือนเป็นผู้ใหญ่อีกคนในบ้าน แม้ป๋าจะดุบ้างด่าบ้าง แต่เรารู้ว่ามันคือการทำงานและอยากให้งานออกมาดี คอยบอกว่าเสมอว่าควรปรับตรงไหน เพิ่มอะไร เพื่อที่พอออกไปสู่สายตาคนดูแล้วจะได้รับความพึงพอใจ



“ไปปปปป เลิกกองงงงงงง”  พี่นายโปรดิวเซอร์ตะโกนบอกทุกคนผ่านโทรโข่ง ขณะนี้ก็ปาไปห้าทุ่มแล้ว เราถ่ายไปหลายซีน โดยเฉพาะซีนของผมที่ต้องเก็บอินเสิร์จทั้งกรองมาลัย พับดอกบัว เย็บผ้า รวมถึงซีนที่เตรียมอาหารให้ครอบครัวเจ้าพันแสง และฉากที่ต้องเอามาลัยไปไว้ในห้องเจ้าพันแสง รวมถึงฉากเลิฟซีนเล็กๆ น้อยๆ นับว่าวันนี้ทำงานกันรวดเร็วได้ตามกำหนด แต่ทีมงานและนักแสดงทุกคนเพลียกันมาก ยิงยาวสิบกว่าชั่วโมง แต่นั่นแหละทุกคนชินแล้ว มีแต่ผมนี่แหละที่ร่างกายยมสุดๆ ปวกเปียกเป็นเจลลี่โดนลนไฟเลย

“ไหวมั้ย อย่าเพิ่งหลับ ป่ะเก็บของ” พี่ดิมถอดเสื้อผ้าที่ใช้เข้าฉากต่อหน้าต่อหน้าผม ดีที่เราอยู่ในห้องแต่งตัวกันสองคน คนอื่นเขาเก็บของกลับกันไปหมดแล้ว แต่เราสองคนต้องไปรับบรีฟสำหรับฉากพรุ่งนี้ก่อนจะได้กลับ

“หาวใส่อีก เร็วเปลี่ยนชุดครับ”

“ง่วงอะ”

“หรือจะให้พี่เปลี่ยนให้”

“หื้อ ไม่เอาเปลี่ยนเอง พี่ดิมก็หันไปสิ”

“อายอะไรอีกมากกว่านี้ก็เห็นมาแล้ว เร็วเลยครับ ไม่งั้นจะได้นอนแป๊บเดียวนะ”

จัดการถอดเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนเป็นชุดที่ใส่มาเมื่อเช้า จังหวะนี้ไม่อายอะไรแล้ว ส่วนคนที่บอกให้ถอดน่ะ ลอกแลกดูซ้ายดูขวาคอยดูว่าจะมีคนผลักประตูเขามาหรือเปล่า เนี่ยก็เป็นซะแบบนี้คนเรา น่ารักไง

เราสองคนนอนที่โรงแรมในเมืองของอยุธยา ไม่ได้ขับรถกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องมาใหม่ เลยจองห้องไว้ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาวิวดีสุดๆ แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเพราะมืดสนิท เช็กอินแล้วตรงขึ้นมาที่ห้องกัน เป็นห้องไม่ได้กว้างหรือแคบเกินไปเหมาะสำหรับอยู่สองคน เตียงใหญ่กลางห้องคือจุดหมายของผม ณ จังหวะนี้ เลยพุ่งตัวลงไปแบบไม่ลังเล

“พี่ดิมอย่าเพิ่งดุนะ ไม่ได้เอาเท้าวาง”

พูดก่อนที่คนตัวโตจะว่า รายนั้นไม่ชอบให้ขึ้นที่นอนเวลายังไม่ล้างเท้า หรือยังไม่อาบน้ำ แต่ตอนนี้ง่วงมากจริงๆ ดักทางไว้ก่อน ไม่มีเสียงตอบรับแต่ได้รับกอดอุ่นๆ จากด้านหลังแทน คุณหมอเขาคงเหนื่อยไม่แพ้กัน ตื่นเช้ากว่าผม ขับรถอีก แม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงแค่ก็อ่อนล้าเป็นธรรมดา

ตอนนี้เราสองคนนอนกอดกันในท่าประหลาดสุดๆ ขายังอยู่พื้นแต่ตัวนาบบนเตียงไปครึ่ง ลมหายใจร้อนๆ ของร่างสูงที่ดันตัวผมเอาไปชิดตัวเขามาขึ้น รินรดที่ต้นคอผะแผ่วและสม่ำเสมอ กลายเป็นว่าเขาเหมือนจะชัตดาวน์ตัวเองก่อนผมอีกนะเนี่ย

“พี่ดิมๆ อาบน้ำก่อน”

“อื้มม”

“หน้ายังไม่ล้างเลย เดี๋ยวสิวขึ้นนะ”

“อาบด้วยกันนะ เค้าบอกมีอ่าง อยากแช่น้ำ”

“อื้อๆ ลุกเถอะ”

พอตอบตกลงเขาลุกพรวดพลาดเหมือนไม่ได้ง่วงมากก่อน จริงๆ เลยคนนี้ เรื่องแบบนี้ล่ะเร็วเชียว ลุงคนหื่น



ก้าวเข้าห้องน้ำกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่เหลวที่คนตัวโตเข้ามาเตรียมไว้ก็ปะทะเข้าจมูกอย่างจัง เขาหันหน้าเข้ากระจกกำลังใช้คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า พี่ดิมเป็นคนผิวสุขภาพดีและแข็งแรงมาก แทบจะไม่เห็นรูขุมขนเลย ทั้งที่เป็นผู้ชายแท้ๆ คงเพราะออกกำลังกายและใช้ผลิตภัณฑ์ดีบำรุงผิวเสมอ แต่บางทีก็เกเรใช้สบู่อาบน้ำล้างหน้าแล้วนอนเลยในวันที่เขาเหนื่อย แต่น่าอิจฉาที่ตื่นมาก็ไม่มีสิว มีแค่ใต้ตาดำๆ 

พี่ดิมถอดเสื้อผ้าแล้วตอนนี้มีแค่ผ้าขนหนูสีครีมของโรงแรมพันสะโพกไว้ ส่วนผมก็ใส่ชุดคลุมอาบน้ำเพราะไม่อยากเปลี่ยนในห้องน้ำ แอบตื่นเต้นเหมือนกันเพราะนี่เป็นการอาบน้ำด้วยกันครั้งแรกของเรา และมันไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคย แถมวันนี้เจอพี่ดิมคาดโทษไว้อีก ไม่อยากจินตนาการอะไรไปก่อนเพราะเขาก็เหนื่อยผมก็เหนื่อย แต่บรรยากาศมันดันให้ดื้อๆ

ร่างสูงหันหน้ามามองผมที่ยืนเหมือนเป็นตัวเกะกะในเซเว่นเวลารอข้าวเวฟ เขายกยิ้มก่อนจะจับมือให้ไปยืนที่กระจก และใช้สำลีซับคลีนซิ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าพูดอะไร กำลังหลบสายตาที่เขามองมา มันเหมือนในจินตนาการไม่มีผิด แสดงความต้องการอย่างปิดไม่มิดเสมอผู้ชายคนนี้

“พี่ดิมเลิกมองศิแบบนี้เถอะนะ”

“ทำไมครับ”

“ศิจะ..ละลาย..”

“ยังไม่เลิกเขินอีกหรอ ก็มองแบบนี้ทุกวัน”

“พี่ดิมเลิกเขินเวลาที่ศิบอกรักหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เขินเวลาปกติ แต่เขินเวลาที่ศิบอกรักเวลาที่พี่อยู่ในตัวศิ” เขาโน้มตัวลงมาพูดใกล้หู แล้วโยนสำลีอันสุดท้ายทิ้งลงขยะไปด้วย

“หื้ออออออ ลามกว่ะ

เจ้าของหุ่นที่โคตรเซ็กซี่เกี่ยวเอวพาผมเดินไปที่อ่างอาบน้ำ ควันบาง ๆ ลอยวนเหนืออ่าง อุณหภูมิน้ำที่เขาเตรียมมาแล้วว่าถ้าได้นอนแช่จะต้องสบายและช่วยให้ผ่อนคลาย มือสากสอดเข้ามาที่ผ้าคลุมอาบน้ำตรงช่วงที่ทับกัน ก่อนจะแหวกออกจากอก แล้วค่อย ๆ แหวกมันลงจากหัวไหล่ ร่างสูงจูบที่หัวไหล่มนเบา ๆ ก่อนจะประคองให้ผมลงไปนั่งในอ่างน้ำทั้งๆ ที่ยังมีชุดคลุมอาบน้ำท่อนอยู่บนตัว

พี่ดิมปลดผ้าขนหนู ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาลงมาสมทบก่อนจะจัดแจงท่าให้ผมไปนั่งให้ระหว่างขา เขาจูบที่ต้นคอ หอมแก้ม และดมไปทุกส่วนบนลาดไหล่

“หอมจัง”

“อย่ามาโม้เลย เหงื่อออกทั้งวัน”

“ไม่โม้ หอมแบบกลิ่นนี้พี่ได้กลิ่นคนเดียว”

“กลิ่นอะไร”

“กลิ่นคนรัก”


เออเขินเว้ย มากๆ ด้วย ไม่คิดว่าเขาจะมามุกนี้ คุณหมอหน้านิ่งก็มีมุกไว้หยอดเหมือนกันนะ ไม่ใช่จะคุยเรื่องทะลึ่งเป็นอย่างเดียว

“ไหนจะเล่าเรื่องที่คุยกับไอ้ภัทรให้ฟังได้ยัง” พี่ดิมพูดทั้งที่ใช้มือลูบวนหน้าขาและแขน ซึ่งผมก็ยอมให้ทำเพราะมันสบายยังไงไม่รู้ น้ำหนักมือเขาที่ลงเบา ๆ เวลาสัมผัส แต่มันเหมือนถูกแมวนวดเลย

“กะ ก็ ไม่มีอะไร เขามาสารภาพว่าชอบ”
“อ๊ะ! พี่ดิม” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี มือข้างซ้ายก็สะกินตุ่มไตกันเสียดื้อๆ

“ยังไงต่อ”

“พี่ภัทรรู้เรื่องของเรา เขาเลยบอกว่าเขามาช้า ฮื้อ พี่ดิม เอาออกไปก่อน” มือข้างขวาเขาบีบเค้นที่ก้นของผม และเหมือนจะสอดก้านนิ้วเรียวเข้ามา

“ต่อ”

“อื้อ ฮะ ขะ เขาบอกว่าถ้ามาก่อนก็สู้พี่ไม่ได้”

“รู้ตัวนิ หึ”

ตอนนี้มือพี่ดิมสะละวนกับร่างกายผม เขารู้ดีว่าจับตรงไหน บีบตรงไหนจะทำให้รู้สึกดี และรู้สึก ‘อยาก’ ขึ้นมาได้ ถ้ามีหนังสืออะนาโตนี่ร่างกายผม คงถูกเขียนโดย นายแพทย์ อาคิรา ชานยกาญจ์ธำรงค์ แน่นอน

“เขาก็เลยขอเป็นพี่ชาย..ฮะ”

“ไม่อนุญาต!” ร่างสูงจับผมผลักหันกลับไปแทนที่เขา ก่อนที่จะพรมจูบไปทั่วแผ่นอก

“อย่าทำรอย งื้อ” เหมือนจะไม่ทันเพราเขาทั้งดูดดุน ทั้งกัดตามหน้าท้อง พยายามถึงขั้นยกเอวขึ้นมาเพื่อที่จะลงลิ้นตรงสะดือ น้ำสบู่สีขาวขุ่นเปรอะเปื้อตามปากของร่างสูง ไม่แน่ใจว่าเขาไม่ห่วงว่าตัวเองจะกินสบู่ไปหรือยังไง พอหันไปเห็นขวดสบู่เหลว มันเป็นแบบออแกนิกนี่เอง ตรวจสอบมาแล้วสินะ หึ

“พี่ไม่ไว้ใจมัน ไม่รู้แหละ ศิห้ามอยู่ใกล้มันเลย โคตรไม่ชอบ” เขาหยุดกระทำทุกอย่างแล้วใช้เสียงจริงจังคุยด้วย ผมหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอด แล้วตั้งสติคุยกับเขาดี ๆ และประณีประณอมที่สุด

“พี่ดิมมม”

“ยังจำได้อยู่เลยที่วันนั้นมันกอดศิ กล้าดียังไง”

“ไม่เอาน่า ศิก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ศิเป็นของพี่ดิมนะ” ประคองใบหน้าคมแล้วกดจูบแผ่วเบาลงที่ปากหนา ก่อนจะเริ่มบดเบียดอย่างเอาใจ เพราะรู้ว่าเขาไม่สบายใจ บอกตามตรงไม่ได้คิดว่าเขาจะขี้หึงขนาดนี้

“พี่ขี้หึงมากนะ”
“แล้วนี่จะเป็นบทลงโทษของคนที่ทำให้พี่หึง”

“อื้ออ ดะ เดี๋ยว”

พี่ดิมจูบอย่างหนักหน่วง แล้วดึงจุกยางกักน้ำออก จนตอนนี้ร่างกายเกือบเปลือยของผมที่มีน้ำสบู่สีขาวขุ่นเปียกปอนตามตัว มันเป็นภาพเรทอาร์น่าดูถ้าไปดูในที่สาธารณะ มือสากลูบไล้ไปทั่วและมันง่ายเพราะลื่นจากสบู่เหลว เขาประคองใบหน้าผมและเพิ่มแรงจูบมากขึ้นอย่างที่กล่าวโทษ

มือหนาให้ผมจับแกนกลางของเขา และรู้กันว่าจะต้องทำอะไรต่อ ผมพยายามรูดชักท่อนลำที่กำลังขยายตัวตามความต้องการ ในขณะที่ปากก็ถูกดูดดุนไปด้วย มือของเขาก็พยายามปลุกเจ้าตัวน้อยของผมขึ้นมาเช่นกัน ก่อนที่อีกมือจะใช้นิ้วเรียวยาวล่วงล้ำเข้ามาในร่างกาย นิ้วเรียวกำลังหาจุดเร้า ส่งเสียงได้แค่ผ่านลำคอเพราะร่างสูงยังไม่ยอมถอนจูบเลยสักวิ

“อ๊ะ ฮื้อ ยะ อย่า พี่ดิม”

“อย่าจริงงหรอ”

เขาหาจุดเร้านั้นเจอทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน ก็บอกแล้วว่าร่างกายผมเขาน่ะรู้ดีที่สุด ยิ่งตอนนี้เขาแกล้งเพราะเขี่ยมันไปมา จนร่างกายผมใกล้จะเสร็จ แต่แล้วก็ดึงนิ้วตัวเองออกมา

“ฮ้าา ฮะ พะ ดิม ทำไมทำแบบนี้”

“ลงโทษเด็กขี้ยั่ว ยั่วให้หึง”

“ขอโทษ...แต่ว่า..”

“แต่ว่าอะไรครับ”

“ทำต่อนะ นะครับ...แด๊ดดี้”

เหมือนเขาฟิวส์ขาด จับแท่นร้อนค่อย ๆ  สอดเข้าทั้งที่ในใจอยากจะทำให้ไวกว่านี้ แต่คงกลัวผมเจ็บ ไม่รอช้าเข้ามาจนสุดแล้วก็ค่อย ๆ ขยับ แต่เพิ่มแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว มือหนาประคองไหล่ของผมไว้เพราะกลัวกระแทกกับขอบอ่าง แรงปรารถนาของเขาครั้งนี้เหมือนจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกเพราะผมไม่เจ็บเลย มีแต่ความรู้สึกเสียวซ่านในช่องท้อง

“พะ ดิม แรงกว่านี้ ฮื้อ”

“จะยั่วพี่ให้ตายไปเลยหรือไงหนู” คล้องแขนบนไหล่กว้างใช้สายตาว่าต้องการเขามากกว่าใคร และแนบริมฝีปากปะกบปากหนาที่หอบหายใจไม่ต่างกัน

แรงกระแทกกระทั้งรุนแรงตามที่ผมร้องขอติดต่อกันนานหลายนาที จนตัวผมพ่นน้ำขาวๆ เลอะเปรอะไปโดนซิกแพ็คเขา แต่นั่นแหละเขาไม่หยุด ทั้งยังประคองเอวแน่นเพราะยึดให้ร่างกายเราสอดประสานแนบชิดกว่าเดิม

“พี่ดิม ศิอยากทำ ฮะ อื้อ ฟังก่อน ศิทำให้นะ” เขาผ่อนแรงก่อนจะยกตัวเองไปนอนแทนแล้วให้ผมนั่งบนหน้าตัก แม้ตัวเองจะถึงฝั่งอยู่แล้วแต่ก็ยังตามใจ เสื้อคลุมอาบน้ำเปียกชื้นพาดตามลำตัวร่างสูง

“อ่า น่ารักจัง หนูขยับหน่อย” ผมคิดว่ารู้แล้วนะว่าทำไมพี่ดิมไม่ถอดชุดออกทั้งหมด จินตนาการฉากนี้ไว้แน่ๆ คนลามกเอ้ยยย

“อ๊ะ อย่า พะ เพิ่งกระแทกมา”

พยายามขยับตามที่ร่างสูงบอก มือหนาประคองเองแล้วช่วยอีกแรง อารมณ์ที่เพิ่มขึ้นทำให้จังหวะของผมและเขาสอดประสานกัน ผมขยับและเขากระแทกตัวเบา ๆ ขึ้นมารับกันอย่างกับเครื่องดนตรีในที่เขียนโน้ตเพลงเดียวกัน พี่ดิมกัดปากตัวเองอย่างกลั้นเสียง แต่ในขณะที่ผมส่งเสียงอย่างปิดไม่มิด

“ฮะ ฮ่าาา แรงนิดนะ”

“อื้อออ” พี่ดิมกระแทกตัวเร็วและรุนแรง เป็นสัญญาณว่าเขาจะถึงฝั่ง เขาโน้มตัวผมให้ไปรับจูบก่อนที่จะกระตุกสามสี่ครั้ง พอกับผมที่ถึงฝั่งอีกครั้งและน้ำมันก็เลอะทั้งตัวผมและเลอะทั้งตัวเขาอีกแล้ว

จุ๊บ

“ไถ่โทษนะครับ”

คิดว่านี่จะเป็นการไถ่โทษในแบบที่เขาชอบแล้วกัน แต่จากนี้อย่าหวังเลยว่าจะยอมง่าย ๆ แบบบนี้อีก ระบมไปทั้งตัว ไหนจะการที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำเพื่อการณ์นี้อีก  วัน ๆ นอกจากงานแล้วคงเอาแต่นั่งคิดเรื่องพวกนี้แน่ ๆ หมกมุ่นเกินไปแล้วคุณหมอ

“ครับ ดีมากเลยชอบ หายแล้ว”

“เหอะ นี่คิดเอาไว้แล้วสินะ”

“เรื่องของหนูพี่คิดตลอดเวลาแหละ”


เขาจัดการอาบน้ำล้างตัวให้ในอ่างอีกรอบ เพราะผมยืนไม่ไหว แถมยังง่วงจนสามารถหลับกลางอากาศได้ ไม่อยากคิดเลยว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นไปออกกองแต่เช้าจะมีสภาพเป็นอย่างไร ยังดีที่พรุ่งนี้นัดกองเจ็ดโมงครึ่ง ไม่ใช่หกโมงเหมือนเมื่อวาน คุณหมอจัดแจงให้กินยาแก้ปวดและยาแก้อับเสบ ทั้งยังแต่งตัวให้ เช็ดผม บริการดีระดับโรงแรมห้าดาวเลยแหละ ซึ่งแน่นอนผมนั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลย ไถ่โทษให้แล้วก็สถาปนาตัวเองเป็นนายและเจ้าพันแสงก็เป็นไพร่ไปนะ

“ฝันดีนะหนู”

“ฝันดีเจ้าแด๊ดดี๊”




---------------------To be continued------------------------



รำคานเนอะอะไรก็ฉุดรั้งเค้าไว้ไม่ได้จริง ๆ ว่ะคู่นี้
ความรักไม่ใช่แค่ที่เตียง อ่างอาบน้ำบ้างก็ได้
ตอนหน้าต้องไปที่ระเบียงมะตามสูตร -..-

แจกันตอนหน้า

บีคนเดิมครับทั่น

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.14 โลกคู่ขนาน (03/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-07-2018 23:09:46
หมอดิมหื่นกับน้องศิทุกที่ทุกเวลา
หาโอกาสหื่นใส่น้องได้ตลอด
แต่ดีนะ..คนอ่านชอบบบบบบบบ
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2018 08:57:22
 :L2: :pig4:

พี่หมอดุสม่ำเสมอ
เด็กเขาก็รู้งาน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 09-07-2018 12:09:18
เชื่อแล้วว่าพี่ดิมดุจริง อิอิ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 09-07-2018 12:26:26
พี่หมอดุ  :mew6:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tamarind ที่ 09-07-2018 12:47:59
โอ้ย เขินนนนน น้องศิน่ารักมากกกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: praewypn ที่ 09-07-2018 14:56:09
รอระเบียงค่า อุ๊ยยๆ อิอิ น่ารักมากค่าคู่นี้ งืออ  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-07-2018 22:26:59
โอ้ยพี่ดิมเบาหน่อย น้องก็ช่างยั่วเกินไปแล้ววว  :hao7:

ว่าจะช่วยดูคำผิด ตอนนี้เจอสามอัน แต่จำได้แค่ที่เดียวค่ะ พออ่านฉากพี่ดุน้องแล้วลืมหมด 5555555 คำว่า ตาหยี ค่ะ ไม่มีไม้จัตวานะคะ ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่าา อ่านไปฟังเพลง day 1 ไปแล้วอินมากก ชอบมากนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-07-2018 22:30:09
อู๊ยหมอ ที่ระเบียงบ้างก้ดีนะคะ :haun4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 09-07-2018 23:17:22
กรี๊ดดดดุมากก กลัวแล้วเด้ออ  :hao3:
แต่ว่าเราก็ยังไม่ไว้ใจพี่ดิม ระแวงไปหม้ด ฮื่ออกลัวทำร้ายจิตใจน้อง
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkping ที่ 10-07-2018 00:25:13
ทำเราเจอกันช้าไป สนุกมากกก อ่านแล้วชวนบาปดีนะจบกันด้วยดี
แนะนำนิดคำว่า "เค้า" เขียนว่า "เขา" จะถูกหลักภาษามากกว่านะคะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 10-07-2018 05:03:43
เจ้าแด๊ดดี้ หน่าร้ากกกกกกกก :hao7:
พี่ดิมนี่ไม่ได้เลย เอะอะหาเรื่องกินน้อง
แต่ต้องก็ให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน คูมแม่จาเปงลมแล้วน้ารู้กก :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-07-2018 06:03:01
โอ้ยยยย หวานอะไรจะขนาดนี้ พี่ดิมเท่จัง
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 10-07-2018 08:59:02
ทำเราเจอกันช้าไป สนุกมากกก อ่านแล้วชวนบาปดีนะจบกันด้วยดี
แนะนำนิดคำว่า "เค้า" เขียนว่า "เขา" จะถูกหลักภาษามากกว่านะคะ

อันนี้เราตั้งใจ เวลาเขียนในบทบรรยายจะใช้คำว่า ‘เขา’ แต่บทสทนาจะใช้ ‘เค้า’ เพราะเป็นคำพูดน่ะค่ะ เพื่อแยกเวลาพูดกับบรรยาย แงง แต่ไม่แน่ใจว่ามีหลงเขียนบรรยายเป็น ‘เค้า’ คนเขียนสายตาง่อย55555 ยังไงก็ขอบคุณที่คอมเม้นท์มานะคะ :o8:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 13-07-2018 01:51:32
แงงงงงงงอ่านแล้วหัวใจจะวาย ใจบางไปหมดแล้วรู้กกกกกก ฮืออมันเขินอะ ฟินมากจิกหมอนแล้วจิกหมอนอีก ทำไมมันพอนขนาดนี้คะเนี่ยเกลียดคำที่เขาเรียกกัน แดดดี้ หนู โอ๊ยยยเราแพ้อะไรแบบนี้จะเป็นลมหน้าร้อนมากเว่อออ สนุกมากค่ะ ขอบคุณคนเขียนนะคะ :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-07-2018 15:55:50
พี่หมอดิม คืนนี้จะมาหรือเปล่า
เค้าอยากรู้ คุณหมอจะหาเรื่องเยดุน้องศิอีกไหม

#หมอดิม#เยดุมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 14-07-2018 22:39:46
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.16 four together [X - POOL / X - APO]
[/size]

I had hoped you'd see my face
And that you be reminded that for me it isn't over




X - POOL

แสงแดดอ่อนแรงเวลาโพล้เพล้ทอดสีทองอร่ามไปทั่วผืนทะเลไกลสุดลูกตา เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์จะได้จินตนาการถึงภาพตัดขวางของโลกใบใหญ่ แต่ทว่าเป็นเศษเสี้ยวของจักรวาลอันไรขอบอนันต์

ผมนั่งมองภาพตรงหน้าเหมือนโดนสะกดจิต หรือเพราะเหนื่อยล้าจากการเร่งถ่ายซีรี่ส์ทั้งวันไม่มั่นใจ ลมเย็น ๆ และกลิ่นเค็มจากเกลือทะเลปะทะใบหน้ามาเป็นเวลาสักพัก ยังไม่มีใครเรียกให้เข้าฉากเลยถือโอกาสอู้มานั่งเพ้อกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่คล้ายกับงานศิลปะของจิตรกรชื่อดัง

“พูลล์!”

“...”

“มาหลบนี่เอง พี่ ๆ ตามไปกินข้าว เดี๋ยวจะได้ถ่ายซีนรอบกองไฟ” ผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาหุ่นนายแบบและยิ้มกระชากใจพี่ ๆ สาวสองในกองเอ่ยทักขึ้น ผมและอาโปเริ่มสนิทกันเพราะศิ เขาสองคนเป็นเพื่อนกันมาก่อน แล้วเหมือนจะเป็นผมที่เพิ่มเข้าไปทีหลังเวลาเราต้องทำงานด้วยกัน

“เรายังไม่ค่อยหิวเลย กำลังฟินกับบรรยากาศ”

“จริง เราไม่ได้มาทะเลนานมาก ครั้งสุดท้ายก็น่าจะ..3 ปีที่แล้ว”

“เรามาบ่อยมาก แต่จะไปแถวหัวหิน”
ผมนั่งอยู่บนชายหาดที่ทรายสีมอ เพราะไม่ใช่ทะเลฝั่งที่เราจะใช้ถ่ายจริง ซึ่งที่ถ่ายฉากจบมันสวยกว่านี้มาก แต่ตรงนั้นต้องเคลียร์พื้นที่สำหรับเซ็ตติ้งถ่ายพรุ่งนี้เลยไม่ไปยุ่มย่าม

“ดีอะ มีคนไปด้วยบ่อย เราไม่มีคนไปด้วยก็จบที่ไม่ได้ไปทุกที”

“เปล่า ไปคนเดียวอ่า”

“หื้อ ไปทะเลคนเดียว”

“อื้อ ตอนไม่สบายใจ คิดอะไรไม่ออก” เปลี่ยนท่านั่งเป็นชันเข่าแล้วรวบกอดขาของตัวเองไว้ สายตายังทอดไปที่ท้องฟ้าจรดน้ำทะเลสีส้มประกายสวยและแสงน้อยลงเรื่อย ๆ

“นี่เราถามหน่อย พูลล์กับพี่คนนั้นคือยังไงหรอ”

“พี่ภีมน่ะหรอ”

“จะพูดว่าเสือกก็ได้นะ”

“ฮ่าๆๆ ไม่หรอก ถามได้ จริง ๆ เราก็เหมือนรอให้คนถามเหมือนกัน” หันหน้ามามองคนที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิบนพื้นทรายร่วน สีมอเหมือนกัน

“เค้าจีบพูลล์หรอ หรือเป็นแฟนกันแล้ว?”
“คือพูลล์ดูเหมือนลำบากใจเวลาที่เค้ามาหา”

“คงเหมือนอาโปกับเมฆล่ะมั้ง”

“หึ จริง ๆ เราก็รอให้คนถามเราเรื่องนี้เหมือนอยู่เหมือนกัน”

“ฮ่า ๆ คุยกันตอนนี้เหมือนเวลาจะไม่พอด้วยป่ะ”

“เอองั้นเลิกกองเจอกันที่ห้อง นอนคุยยาว ๆ พรุ่งเรานี้มีซีนเดียว พูลล์ล่ะ”

เราสองคนได้บัดดี้จับคู่กันนอน ไม่ต้องพูดถึงพี่หมอกับแฝดผมนะ ทางทีมจัดให้นอนด้วยกันอยู่แล้วเพราะจะได้สนิทกัน แต่หารู้ไม่ว่าถ้าได้นอนแยกกัน พี่หมอคงเปิดห้องของรีสอร์ทเองเพื่อให้ศิไปนอนด้วย จบ

“2 ซีนแว้บๆ”

“ดีล!”

“deal man!”


ลุกจากชายหาดพร้อมกับพระอาทิตย์หายจากเส้นตัดน้ำทะเลไป ความมืดค่อย ๆ กลืนกินทุกสรรพสิ่ง และน้ำทะเลสีส้มทองเมื่อสักครู่ก็กลายเป็นสีดำสนิท เหมือนปิดสวิตท์ไฟทางธรรมชาติ


ซีนสุดท้ายของวันนี้คือฉากรอบกองไฟ ของการเข้าค่ายทำกิจกรรม เป็นธรรมเนียมเด็กนักศึกษาคือการเล่าเรื่องผีหรือเรื่องสยองขวัญที่ตัวเองเจอมา แน่นอนว่าเรื่องทุกคนที่นั่งรอบกองไฟเป็นเรื่องที่แต่งเองทั้งนั้น นอกจากเรื่องของศิหรือภามาสที่เขาจะเล่าเรื่องความฝันซ้อนกับความจริงของตัวเอง และดันกลัวเองจนร้องไห้ออกมา จุดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการมองตัวตนของภามาสของรังสิมันต์เปลี่ยนไป ซึ่งถ้าไปออนแอร์ฉากนี้จะอยู่ในช่วงแรก ๆ ของเรื่องเลย

ศินั่งท่องบทอันยาวเหยียดของตัวเองบนขอนไม้ขนาดใหญ่ที่ทางพี่ทีมงานเตรียมมาประกอบฉาก ข้าง ๆ มีพี่หมอคอยปัดยุงและแมลงให้ คนความจำดีอย่างพี่หมอคือสามารถจำบทหนึ่งซีนได้ด้วยการอ่านสองรอบและเป๊ะทั้งไดอะล็อก อารมณ์ และท่าทาง เหมือนวิญญาณนักแสดงคนนั้นเข้าสิงแถมกินบทเข้าไปด้วย พูดถึงตรงนี้ก็อิจฉาแหละ ยังดีที่ไม่ค่อยขี้ขิงเหมือนพี่ภัทรกับพี่ปาล์ม พี่หมอก็เลยมีเวลามานั่งดูแลว่าที่แฟนได้อย่างดีขนาดนี้

“แฮ่ม ๆ”
“บริจาคเลือดให้ยุงบ้างก็ได้มั้ง ทำทานน่าพี่หมอ”

“ทำทานแล้วเป็นไข้เลือดออกหรือมาเลเรียน่ะหรอครับน้องพูลล์”

“ง่ะ”

“เราบอกไปแล้วก็โดนแบบนี้” ศิยู่หน้าใส่พี่หมอเล็กน้อย และยิ้มตาหยีให้ผม

“มาแซวเพื่อนทายากันยุงหรือยังเราน่ะ” พี่ดิมมองแบบคุณหมอที่จริงจังแต่ไม่ได้จะดุนะ แค่เป็นคุณหมอประเภทที่ยอมให้ด่าแรง ๆ ดีกว่าพูดความจริงน่ะ อันนั้นเจ็บกว่าโดนหยิกอีก

“ทาแล้วครับผม รู้หรอกน่า”

“พูลล์จะเล่าเรื่องอะไรอะ น่ากลัวป่ะ นี่กลัวเพื่อนเล่าแล้วเรากลัว ลืมบทจะพาลซวยกันหมด” ศิสงสายตาตามประสาคนขี้กังวลมาให้

“ซอล์ฟ ไม่มีอะไรให้กลัวเล้ย” เขยิบไปขอนั่งข้าง ๆ ศิ กองไฟข้างหน้าใช้ฟืนจริงแต่เป็นประเภทไร้ควันเพื่อป้องกันเข้าหูเข้าตานักแสดงเดี๋ยวจะได้นั่งร้องไฟกันก่อนจะถ่ายจบ

ครืด ครืด

[P] วันนี้เลิกกองยังนะ
[P] พี่ภีมคิดถึงน้องพูลล์จัง

การแจ้งเตือนจากข้อความของคน ๆ เดียวตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มันกลายเป็นความเคยชินและรู้สึกถึงการมีมันอยู่เสมอ และคงรู้สึกโหว่งเป็นหลุมบิ๊กแบงถ้าวันหนึ่งหายไป

กองไฟตรงหน้าลุกโชนให้แสงสว่างแต่ต่างกับหัวใจที่ขุ่นมัวเหมือนวันพระอาทิตย์ไร้แสง แม้ภายนอกจะดูสดใสดี แต่แท้จริงมีแต่เมฆบดบังจนอึมครึมไปหมด

ไม่เคยตอบข้อความพี่ภีมในทันที บางครั้งเขาโทรมาก็ตัดสายหรือไม่รับ แต่จะโทรกลับในอีกหลายนาทีต่อมา มันเป็นเพราะเรื่องราวในครั้งนั้นที่ทำให้ผมเสียสูญกับความสัมพันธ์ของเรา ทั้งที่มันควรจะดีกว่านี้หรือพัฒนาได้มากกว่าที่เป็นอยู่แท้ ๆ แต่กลับต้องเหมือนนับหนึ่งใหม่ หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสนับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

พี่ภีมเป็นพี่ชายข้างบ้านที่ย้ายมาใหม่ ขณะนั้นผมอยู่มอสี่ และเขากำลังเรียนปี 2 เรากลายเป็นเพื่อนต่างวัยที่เข้ากันดีในทุกเรื่อง พ่อแม่ของเราก็กลายเป็นเพื่อนบ้านที่เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน รวมถึง ‘เภตรา’ พี่สาวแสนสวยและน่ารักของผมก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับพี่ภีม เพราะเขาอายุเท่ากัน

พี่ภีมเรียนจบปี 4 ก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที โดยมีพี่สาวของผมไปเรียนที่มหาลัยเดียวกันด้วย ในตอนนั้นยอมรับแล้วว่าตัวเองแล้วว่าชอบพี่ภีมในแบบคนรักไม่ใช่แค่พี่ชายข้างบ้าน ตอนไปส่งที่สนามบินร้องไห้กอดเขาแน่นแถมขโมยจูบพี่เขาก่อนจะวิ่งจากมา พี่ภีมติดต่อมาเสมอช่วงแรก ๆ ที่ไปอยู่ แต่พอนานเข้าก็เริ่มขาดหายเหตุผลเพราะเรียนหนัก แถมยังต้องทำงานในบริษัทเครือข่ายของครอบครัวเขาที่นู้นด้วย แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกหน่วงในใจ และคิดว่าการรอของตัวเองกำลังจะสูญเปล่า เพราะขณะที่ผมรอการติดต่อจากเขาทุกวันก็เห็นรูปถ่ายที่ถูกแท็กในเฟซบุ๊กและไอจี ไปปาร์ตี้บ้าง เที่ยวนอกเมืองบ้าง และในเฟรมจะมีพี่สาวผมอยู่ด้วยเสมอ

พี่ภีมไม่เคยบอกว่ารู้สึกแบบไหนกับผม แต่เขาให้ผมรอ และผมก็ซื่อรอจนเขากลับไทย และคุณพ่อคุณแม่ของเราทั้งสองคนก็อยากจะขอให้พี่ภีมและพี่เภตราหมั้นกัน

เหมือนโดนบีบหัวใจด้วยมือหลาย ๆ คู่ และทั้งสองคนก็ไม่ได้ดูตื่นตกใจเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเตรียมเรื่องนี้ นอกจากผมที่นั่งเป็นไอ้โง่ในชุดสูทสุดหรูในห้องทานข้าวที่โรงแรมดัง

วันเดียวกันเพื่อนที่ไทยของพี่ภีมและพี่เภตราอยากฉลองต้อนรับ ผมก็เลยต้องไปด้วยอย่างเสียไม่ได้เพราะดันรู้จักกับเพื่อนทั้งสองฝ่าย ตลกดีที่เหมือนไปนั่งฟังเรื่องราวของทั้งคู่โดยที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก ทำอะไรไม่ได้นอกจากดื่มจนเมา และตัวต้นเหตุก็พาไปที่คอนโดเขาไม่ได้ไปส่งที่คอนโดผม

เหตุการณ์คืนนั้นก็เลยทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมด



X - APO

นักแสดงกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบกองไฟให้ความรู้สึกเหมือนเข้าค่ายลูกเสือตอนมอต้น ดีกว่าหน่อยที่ไม่มีครูผู้นำสันทนาการมานำร้องเพลงโอ้เมื่อมีไฟไฟลุกขึ้นแจ่มจ้า แล้วก็ชื่นชมหมู่ที่แสดงได้ดีด้วยการพูดประโยคเดิมสามครั้งและทำท่าไปด้วย เอาตรง ๆ ทุกวันนั้นยังสงสัยว่ามีประโยชน์ตรงไหน นอกจากเอาไว้แกล้งเพื่อนในหมู่ที่ตัวเองสนิท

“ไฟเดิน กล้องเดิน แอ็คชั่น!”

“เรย์มึงจำตอนที่เราไปออกค่ายปี1ได้ป่ะวะ”

“เออ ทำไมวะ”

“กับข้าวแม่งอร่อยเนอะ”

ผัวะ!

“ไอ้ภูผาเค้าให้เล่าเรื่องผีนี่ก็วกเข้าเรื่องแดกตลอดเลย” พี่ภัทรที่รับบทเป็นพายุตบหัวพูลล์เบา ๆ

“เออ แม่งเล่าต่อก็ได้แค่เล่นมุก มึงตบกูซะจริงจังเลยพายุ” พูลล์มีบุคลิกที่ไม่เข้ากับกลุ่มพระเอกที่สุดแล้ว คนอื่นตัวใหญ่อย่างกับยักษ์และเขาเหมือนแมวตัวน้อย ๆ ที่คอยได้รับการปกป้องจากเพื่อนตัวใหญ่

“คืองี้…”

พี่หมอดิมในบทรังสิมันต์ คนภายนอกได้ดูก็คงคิดว่าเขาเป็นคนเดียวกัน แต่คนในกองจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่ รังสิตมันต์ปากเร็ว พูดแล้วมาคิดทีหลัง เฮฮา ไม่ค่อยสะอาด และรั่ว แต่พี่หมอจะคิดก่อนพูด สุขุม เนี้ยบ สะอาด น่าเคารพ ที่สำคัญพูดน้อย ยกเว้นพูดกับไอ้ศิอะนะ

อิจฉาสองคนนี้เหมือนกัน ตรงที่อุปสรรคในชีวิตรักยากกว่าที่ผมเจอมาก ๆ แต่ความเข้มแข็งและเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองและคนรัก ทำให้ผ่านมันมาได้เหมือนปาฏิหาริย์

แต่ผมนี่สิ ไม่เข้มแข็ง ไม่เชื่อมั่น เปราะบาง และอ่อนแอเกินกว่าจะวางความรู้สึกไว้กับใครอีก เพราะเหตุการณ์ที่เจอมันทำผมเสียสูญจนไม่กล้ามีใครมาตั้ง 3 ปี ทั้ง ๆ อีกคนก็ดูจะไม่ได้สนใจ จนผมมีคนมาเข้าเลยเขาจึงเริ่มร้อนรน ใช่ครับมีคนเข้ามาเพราะเริ่มมีชื่อเสียง มีคนรู้จัก ไอจีที่ตอนแรกยอดฟอลโล่วแสนต้น ๆ ตอนนี้เขยิบมาสองแสนกว่า ยอดไลก์ก็มากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่มีแค่ร้านค้ามาฟอล

‘พี่เพทาย’ เป็นผู้ชายน่ารักมากคนหนึ่ง เขาเข้าหาผมง่าย ๆ สบาย ๆ  เริ่มจากการทักไดเร็กไอจีมา แล้วอยากขอเป็นเพื่อน เท่านั้น  ตอนแรกไม่ได้สนใจด้วยซ้ำเพราะคิดว่าคงเหมือนคนอื่น ๆ แอบคิดว่าเป็นแฟนคลับที่แฝงตัวมาด้วยซ้ำ แต่พอกดเข้าไปดูไอจี ค่อนข้างเป็นคนคุมโทนเที่ยวตลอดเวลา จนเห็นในไบโอว่าเป็นกัปตันสายการบินหนึ่ง พ่วงช่างภาพ และนักท่องเที่ยว  เขาส่งเพลงที่อยากให้ฟังมาทุกวัน จนต้องกด aollowed แต่ก็ไม่เคยตอบข้อความเลยสักครั้ง ทว่าเขาก็ไม่คะยั้นคะยอ ยังส่งเพลงมาให้ทุกวัน บางวันเพลงไทยบางวันเพลงสากล ลูกทุ่งยังมี ก็เลยตัดสินใจคุยดูแล้วนัดเจอกันเงียบ ๆ

พี่ทาย เขาให้ผมเรียกแบบนี้ ขยันมาหาเวลาผมเลิกเรียนแอ็คติ้ง และเขาก็มักจะแลนด์ดิ้งเวลานั้นพอดี แต่แอบมารู้ทีหลังว่าย้ายไฟล์ทขอบินในประเทศจะได้มาเจอกันบ่อย ๆ ยอมเงินเดือนน้อยกว่าเดิมเพื่อมานั่งกินข้าวกล่องเซเว่นเวลาเกือบเที่ยงคืนหน้าคอนโดผม ไหนจะหิ้วของฝากจากหลายจังหวัดมาให้อีก จีบกันโต้ง ๆ แบบนี้จะไม่หวั่นไหวได้หรอ ไหนจะเป็นคนที่ภายนอกดูดี ภูมิฐาน และดูเป็นผู้ใหญ่ แม้อายุจะน้อยแต่ได้เป็นผู้ช่วยกัปตันสายการบินดัง เกือบวางหัวใจให้เขาไปแล้วด้วยซ้ำ

เฌอเป็นคนแรกที่สังเกตความผิดปกติของผม เพราะเบี้ยวนัดเพื่อนครบกลุ่ม ไหนจะชอบหายตัวเสาร์อาทิตย์ แรก ๆ เธอคิดว่าอาการติสท์กำเริบ จนมาเจอผมกับพี่ทายนั่งรอดูหนังรอบมิดไนท์ที่พารากอน ที่สำคัญเฌอดันมากับเมฆ ก็เลยต้องบอกความจริงกับเพื่อนและแนะนำพี่เพทายให้ทุกคนรู้จัก

บทสนทนาทางไลน์จากเมฆทั้งที่เขาไม่เคยแชทส่วนตัวมาหานานมากแล้ว ได้รับหลังจากคืนที่เมฆได้เจอกับพี่ทาย

[Cloudy] : แฟน?
[APO] : No
[Cloudy] : คนคุยว่างั้น
[APO] : Umm maybe
[Cloudy] : นานแค่ไหนแล้ว
[APO] : it’s not matter of you
[Cloudy] : ก็ถามดู เห็นไม่คุยกับใครนานแล้ว
[APO] : Thanks kub

นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เพราะหลังจากที่เมฆรู้ก็ชอบพูดจาแขวะแต่ให้เหตุผลว่าเป็นห่วงกลัวจะโดนหลอก พูดไปถึงขนาดกลัวว่าผมจะไปเป็นเมียน้อยกัปตัน เหอะ ตอนได้ยินโคตรโมโหเลยเพราะมันดูถูกผมเอามาก ๆ จนเฌอกับศิต้องห้ามทัพ และหลังจากวันนี้เขาก็บังคับไปรับไปส่งเวลามีซ้อมการแสดงหรือมีเรียน จะเห็น mercidez benz c-class รุ่นล่าสุดมาจอดหน้าคอนโดทุกวัน แม้บ้านเขาจะอยู่ไกลจากที่นี่หลายกิโล บางวันทำเป็นไม่เห็นขับรถตัวเองออกจากคอนโดไปเลย และวันนั้นก็จะกลายเป็นวันพินาศทันที เพราะเมฆจะตามเฝ้าทุกที่ โทรหาเป็นสิบ ๆ สาย

เมฆผู้ใจเย็นทีทุกคนเห็นน่ะ แค่ภาพล่วงตา เขาคือเมฆผู้ก่อพายุทอร์นาโดต่างหาก

สุดท้ายก็ยอมให้เขาตามไปรับไปส่ง แต่สิ่งที่ไม่เคยถามคือทำแบบนี้ทำไม เพื่ออะไร เขาไปรับไปส่งแม้กระทั่งวันที่ไปเดทกับพี่เพทาย ถามถึงเหตุผลก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ทำหน้านิ่ง ๆ ขับรถเร็วตามนิสัยเวลาโมโห เขาก็เป็นแบบนี้แหละ ภายนอกที่ดูเย็นชา แต่ภายในกลับร้อนรุ่มพร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งที่ขว้างหน้าแค่รู้สึกไม่ถูกใจ

อดีตของเมฆ กับ ปัจจุบันของเมฆ มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่





X - POOL / X - APO

เจ้าของร่างสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรบิดขี้เกียจเดินเข้าห้องพักที่ทางทีมงานจัดให้ รีสอร์ตที่นี่บรรยากาศดีมาก จนไม่คิดว่าจะอยู่ในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ อย่างชลบุรี แต่เป็นพื้นที่หวงห้ามส่วนใหญ่จะใช้รับแขกคนสำคัญของกองทัพ หรือไม่ก็ราชอาคันตุกะ และเปิดให้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์บ้าง ถือว่าโชคดีก็ว่าได้เพราะนี่ถือเป็นซีรี่ส์เรื่องแรกที่ได้เข้ามาถ่ายทำที่นี่

“พูลล์จะอาบน้ำก่อนเปล่า เราขอนั่งอ่านบทพรุ่งนี้อีกแป๊บ” อาโปนั่งขัดสมาธิที่โซฟาเล็ก ๆ ภายในห้อง เงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นรูมเมทเดินเข้ามา สภาพยับเยินเหมือนไปถ่ายละครของอาหลอง แต่จริง ๆ แค่เข้าฉากรอบกองไฟ อาโปมองว่าผู้ชายคนนี้เหมือนร่างฝาแฝดของเพื่อนตัวเอง ในเวอร์ชั่นร่าเริงและมอบพลังบวกให้กับทุกคนได้เสมอ แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม พี่นายเรียกตัวเอ็นเตอร์เทน

“อื้อ เรามอมแมมากเลย ส่องกระจกที่ห้องแต่งตัวเหมือนหมาคลุกฝุ่นเลยอะ”

อาโปพยักหน้ารับและยิ้มให้บาง ๆ แล้วก้มอ่านบทและท่องจำต่อ แต่ไม่นานเสียงมือถือก็ขัดจังหวะอีกครั้ง

[Cloudy]

“อื้อ ว่า”

(เลิกกองยัง)

“แล้ว กำลังอ่านบท”

(กินข้าวยัง แล้วจะนอนตอนไหนหรอ)

“กินแล้ว น่าจะห้าทุ่ม ถามทำไม”

(สี่ทุ่มครึ่งโทรหาได้มั้ย)

“...”

(สี่หุ่มสี่สิบห้าก็ได้)

“...”

(สี่ทุ่มห้าสิบห้าได้มั้ย)

“คุณทำไรอยู่วะตอนนี้ ต้องการอะไรแค่บอกให้เรารู้ตรง ๆ”

(อยากคุยด้วย)

“ในฐานะอะไร”

(...)

(ถ้าเป็นเพื่อน เมื่อสามปีก่อนก็ไม่ต้องคุยกันทุกวันป่ะวะ)

(เราขอโทษ)

“เรื่อง”

(ทุกเรื่องที่ทำให้คุณเสียใจ ทุกเรื่องที่ทำลายความเชื่อใจ และทุกเรื่องที่ทำให้คุณปิดกั้นตัวเอง)

“...”

(เราคิดว่าคุณจะไม่มีใคร จนกว่าเราจะกล้ากว่านี้)

“หึ เราบอกคุณไปแล้วไง ว่าถ้าจะกลับมาอย่าคิดว่าใช้เวลาแค่นี้ เพราะเราใช้เวลานานกว่าจะเป็นเพื่อนคุณได้”

(อืม รู้ งั้นก็ให้โอกาสเราบ้าง)

“ค่อยคุยนะเราจะไปอาบน้ำแล้ว” อาโปวางสายเพราะไม่อยากฟังน้ำเสียงอ้อนวอน โยนมือถือลงที่พื้นที่ว่างข้างโซฟาร์ ขยี้หัวตัวเองอย่างคนคิดไม่ตกกับสิ่งที่ได้ยิน

กลับมาทำไม กลับมาในวันที่จะเริ่มใหม่ทำไม





มีต่อ


หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.15 อย่าลืมปิดไวเลส (08/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 14-07-2018 22:44:41
หยิบบุหรี่ซองสีขาวเกลี้ยงออกไปริมระเบียง คนรูปร่างสมส่วนไม่ได้ติดบุหรี่เลย เคยสูบอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็คนที่เพิ่งวางสายนั้นแหละเป็นคนสอน แต่เวลาที่คิดอะไรไม่ออกและอยู่ในสภาวะปลงไม่ตกอัดนิโคตินเข้าปอดมันก็โล่งไปได้สักพักเหมือนกัน

ก็อก ๆ

พูลล์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาเคาะกระจกริมระเบียง

“อาโปเราอาบน้ำเสร็จแล้วนะ”

“อื้อ” ดับบุหรี่ที่ดูดได้ครึ่งมวนกับที่เขี่ยบุหรี่ของทางรีสอร์ทจัดให้

“สูบด้วยหรอ”

“บ้างอะ เวลาคิดอะไรไม่ออก” คนตัวสูงกว่ามองคนตรงหน้าที่ใส่ชุดนอนลายหมีสามตัวแขนยาวขายาว ก็เพิ่งเคยเจอผู้ชายที่มาออกกองแล้วพกชุดนอนลายน่ารักแบบนี้มาด้วย อ้อ ยกเว้นเพื่อนอย่างศิรัสไว้หน่อย

“พอดีประตูห้องน้ำมันน่าจะไม่เก็บเสียง เอ่อ เราก็เลยได้ยินน่ะ ทะเลาะกับเมฆหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ มันขมุกขมัวเหมือนควันบุหรี่เมื่อกี๊เลย”

“บุหรี่ที่อาโปจุดเองน่ะหรอ”

“นั่นสินะ เราจุดมันเองแท้ ๆ”

“เฮ้ยๆ เราไม่ได้มีนัยยะอะไรเลยนะ ก็อาโปเปรียบเทียบแบบควันบุหรี่อะ”

“พูลล์นี่มองโลกดีว่ะ เราไปอาบน้ำละ”

“นี่เรายังมีสัญญาเล่าเรื่องอยู่ใช่เปล่า”

“อ่าฮะ แล้วก็นี่ มือถือพูลล์สั่นตลอดเลย ตอบไลน์บ้างนะ”

“น่าาา ไปอาบน้ำไป”

คนในชุดนอนลายหมีสามตัวเดินไปหยิบมือถือมาดูแจ้งเตือนจากคน ๆ เดียว ที่มักจะถามไถ่ตลอดเวลา นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เขาจะโทรหาทุกวันแล้ว แต่วันนี้จะไม่คุยเพราะจะนอนคุยกับอาโป



[thepooh] วันนี้เราไม่ว่างคุยกับพี่นะ เรามีนัดทำกิจกรรมที่กอง
[P] แค่ 5 นาทีก็ไม่ได้หรอ
[thepooh] คุยกันทุกวันไม่เบื่อหรือไง ขนาดพี่ไปเรียนตั้งหลายปีก็ไม่ได้คุยกันตลอดป่ะ
[P] พี่จะทำยังไงนะน้องพูลล์ถึงจะหายโกรธพี่เรื่องนี้
[thepooh] ถ้าพี่ภีมเหนื่อยก็ไม่ต้องทำก็ได้ เราเคยบอกแล้ว
[P] ไม่เหนื่อย พี่แค่อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม
[thepooh] จะเป็นเหมือนเดิมได้ไงก็ในเมื่อมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทั้งพี่ภีม ทั้งเรา
[thepooh] บางทีเราอาจจะมาได้แค่นี้ก็ได้นะ
[P] พี่ขอโทษ
[thepooh] ไว้เรานอนจะไลน์บอกนะ ไปทำกิจกรรมก่อน

คำว่าขอโทษจากปากผู้ขายที่ไม่เคยยอมแพ้และเป็นเลิศทุกด้านในชีวิต มันค่อนข้างกระทบจิตใจที่สั่นไหวของพูลล์ไม่น้อย ถ้าคืนนั้นตัวเขาเข้มแข็งและห้ามใจตัวเองได้มากพอ เรื่องราวมันก็คงง่ายกว่านี้ และพี่ภีมคงตัดสินใจไม่เลือกผมเพราะแค่อยากรับผิดชอบกันเฉย ๆ

พี่ภีมไม่เคยไปเทคแคร์พี่เภตราเลยตั้งแต่หมั้นกัน เขาเอาเวลามาขลุกอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาที่ว่าง ไม่เข้าใจว่าทำแบบนี้แล้วพี่เภตรายอมได้ยังไง กับพี่สาวก็ไม่คุยกันเรื่องนี้เท่าไหร่ อีกอย่างเธอก็อยู่คอนโดตัวเอง ส่วนตัวเองก็แยกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เรียนปี 1 ครอบครัวเราไม่ได้สนิทกันมากขนาดที่จะพูดคุยกันทุกเรื่อง ยิ่งโตขึ้นความห่างเหินจากครอบครัวก็ยิ่งไกลออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่น ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร เข้าใจคุณพ่อคุณแม่มากกว่าที่ต้องทำงาน เพราะพวกท่านสร้างทุกอย่างมาด้วยสองมือของตัวเอง

อาโปเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ใส่เสื้อบาสตัวใหญ่กับกางเกงบอลขาสั้นเป็นชุดนอน หุ่นสุดฮอตที่มองลอดจากแขนเสื้อกว้างทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนรักษาสุขภาพดีเยี่ยม แต่ไม่ได้ใหญ่แบบหุ่นก้ามปู อาโปเข้าฟิตเนสเพื่ออยากให้หุ่นเฟิร์ม ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป เพื่องานถ่ายแบบที่ตัวเองรัก

“ทำหน้ามุ่ยอีกละ” อาโปเห็นคนตัวเล็กกว่านั่งกอดเข่าบนเตียงของเขา สายตาจับจ้องไปที่ทีวีหรี่เสียงเบา แต่โฟกัสดันไม่ใช่สารคดีที่เปิดเลยสักนิด

“เราเบื่อความไม่ชัดเจน”

“อ่า เริ่มเลยก็ได้นะ”

พูลล์เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองและความสัมพันธ์กับพี่ชายข้างบ้านที่ตัวเองหลงรัก และคิดว่าอีกคนใจตรงกันมาตลอด จนกระทั่งพี่ชายข้างบ้านและพี่สาวของตัวเองหมั้นกัน จากความเห็นของพ่อแม่

“พี่เค้าหมั้นกับพี่สาวของพูลล์ แต่ยังตามรับตามส่งพูลล์เนี่ยนะ” พออาโปได้ฟังรู้สึกเรื่องของตัวเองเล็กไปเลย เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้มีเรื่องครอบครัวเข้ามาเกี่ยว

“อื้อ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เรารู้แค่ว่าที่บ้านเรากับพี่ภีมกำลังจะทำธุรกิจร่วมกันบางอย่าง แต่เราไม่รู้รายละเอียด” พูลล์นอนคว่ำเอาหมอนใบใหญ่มากอด แล้วแนบแก้มย้วยของตัวเองบนหมอน สายตาหม่นแสดงออกมาหนักใจกับเรื่องนี้แค่ไหน

“พูลล์เคยถามพี่ภีมยังอะ”

“เคยแล้วแต่เค้าบอกแค่ว่าวันหนึ่งจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเอง รอเค้าก่อน”

“หึ คนพวกนี้คิดว่าเรารอเก่งแค่ไหนวะ”

“นั่นสิ เรารอเค้ามาตั้งสี่ปี คิดว่าพอได้เจอกันอะไร ๆ มันจะชัดเจนขึ้น แต่แล้วก็ไม่เลย” คนพูดเสียงสั่นเครือและบังคับไม่ให้น้ำตาไหลไม่ได้

“เราถามหน่อยสิ แล้วพี่ภีมเทคแคร์พี่สาวพูลล์แบบที่ทำกับพูลล์หรือเปล่า”

“ไม่มั่นใจ รู้แค่เค้างานยุ่งมาก ๆ ถ้ามีเวลาก็จะมาหาเรา ถ้าเค้าไปหาพี่เภตราด้วยก็คงต้องสับรางเก่งมาก”

“แล้วทำไมยังยอม”

“กะ ก็ เรารักเค้า รักมาก ๆ เลยอาโป” พูลล์พูดไปเอามือปาดน้ำตาตัวเองไป คนที่นั่งมองทนไม่ได้เลยเดินไปหยิบทิชชู่ให้ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงเดียวกัน

“อื้อ เราเข้าใจ เพราะเราก็รักคน ๆ นึง รักมาโดยตลอด”

“แล้วทำไมอาโปดูยังไม่อยากเปิดใจให้เมฆหรอ”

“เรากับเมฆเคยคบกัน สมัยมอปลาย”

“ฮะ!”

“พูลล์รู้คนแรกเลย ศิกับเฌอก็ยังไม่รู้”

“แล้วทำไม..”

“แล้วทำไม เราถึงเป็นเพื่อนกับมันได้ หรือทำไมไม่บอกศิกับเฌอน่ะหรอ” พูลล์เช็ดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะลุกมานั่งข้างคนที่กำลังชันเข่าเล่าเรื่องตัวเอง

“ก็เพราะมันขอให้เราเป็นเพื่อนมัน อีกอย่างคิดว่าถ้าศิกับเฌอไม่รู้ ชีวิตในมหาลัยน่าจะราบรื่นกว่า”

“แล้วทำไมถึงเลิกกัน ทำไมถึงทำได้ เจอหน้ากันเกือบทุกวันเลยนะ โอ้ยเรามีคำถามเยอะมาก”

“ฮ่า ๆ ใจเย็น ๆ กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง”

“เรากับเมฆเรียนโรงเรียนชายล้วนด้วยกัน ตอนประมาณมอห้าเทอมสอง พูลล์คิดออกใช่มั้ยล่ะว่าโรงเรียนชายล้วนมีแต่เด็กผู้ชายทะโมน ๆ เต็มไปหมด การเล่นอะไรแผลง ๆ มันเกิดขึ้นทุกวัน เรากับเมฆอยู่กลุ่มเดียวกันและก็เล่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัวเสมอ จนมันเลยเถิดถึงขั้นเกือบจูบกัน และนั่นแหละที่ทำให้เราใจเต้นกับเพื่อนคนนี้ และเหมือนมันก็รู้นะว่าเราแปลกไป ก็เลยนั่งคุยกันตรง ๆ”

“วันนั้นจำได้เลยเรากับมันนั่งคุยกันที่ดาดฟ้าของโรงเรียน ก็สารภาพไปนั่นแหละว่าใจเต้นด้วยทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แล้วเมฆก็บอกว่ามันก็รู้สึกเหมือนกัน ทีนี้เลยลองคุยกันดูเพราะไม่แน่ใจตัวเองทั้งคู่ว่าเป็นเพราะมันเป็นสัมผัสที่แปลกใหม่หรือเปล่า อีกอย่างวัยตอนนั้นก็อยากรู้อยากลองอยู่แล้ว”

“สี่เดือนได้มั้งที่คุยกัน แล้วก็ตกลงคบกันในฐานะแฟน แต่ไม่ได้บอกใครหรอกนะ ทีนี้เพื่อนเริ่มล้อเพราะเราดูสนิทกันมากขึ้น กลับบ้านด้วยกัน นั่งด้วยกัน สายตาเป็นห่วงเป็นใย แต่มันเริ่มมาหนักข้อเข้าตอนที่เพื่อนในกลุ่มบางคนจับได้ว่าเราใช้ของคู่กัน กลายเป็นโดนล้อจากเพื่อนแทบทั้งชั้น บางคนที่ไม่ชอบเมฆก็ถึงกับบูลลี่ด้วยคำพูดแรง ๆ สำหรับเราน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เมฆเป็นสภานักเรียนก็เลยโดนสอบจากอาจารย์ ผู้ใหญ่บอกว่ามันไม่เหมาะสมที่เราจะมีความสัมพันธ์แบบนี้”

“เมฆดูเครียดและเริ่มเฟดตัวเองออกจากเรา ตอนแรกเราเริ่มจากศูนย์จนตอนนั้นมันเลยร้อยไปแล้วด้วยซ้ำ”

คนเล่าเริ่มกำมือตัวเองแน่น การพูดถึงเรื่องชีวิตที่จำได้แม่นแม้จะผ่านมาหลายปี ความรู้สึกตอนนั้นยังตราตึงอยู่ในความทรงจำ

“นานเท่าไหร่หรอ” อาโปถามขึ้น

“รวมที่คุยด้วยก็เป็นปีนะ”
“ตอนนั้นเราไม่ได้แคร์ใครเลยว่าจะมองเราแบบไหน แต่เมฆแคร์ แคร์สายตากลุ่มเพื่อนที่มองเราสองคนเปลี่ยนไป แคร์สายตาคนทั้งโรงเรียนเวลาเราเดินไปไหนมาไหนกัน แคร์สายตาคนนอกโรงเรียนเวลาที่มองมา”

“เราพยายามคุยกับเมฆปรับความเข้าใจ และเว้นระยะห่างเวลาอยู่ที่โรงเรียน แต่แล้วมันยิ่งแย่เพราะเมฆเอาแต่แคร์คนอื่น โดยที่ไม่สนใจเรา สุดท้ายก่อนจะปิดเทอมแรกตอนมอหก เมฆก็บอกเลิกเรา โดยให้เหตุผลว่า” คนพูดถอนหายใจเหมือนคำที่จะพูดออกมามันยากเหลือเกิน

“เขาไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายตลอดไปได้”

“อาโป…” คนตัวสูงเสียงเริ่มสั่นกับประโยคที่ฝังใจมาโดยตลอด และมันเหมือนเป็นแผลที่ไม่เคยหายไปจากหัวใจได้สักวัน

“ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะทำยังไง เมฆขอให้เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เรารักเมฆมากขนาดที่เรายอมเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ให้เมฆออกไปจากชีวิต แต่มันก็เหยียบย่ำจิตใจเราอีกครั้งด้วยการเปิดตัวแฟนสาวดาวโรงเรียนหญิงล้วนข้าง ๆ”

“แย่มาก!!” พูลล์อารมณ์ขึ้นเพราะความเอาแน่นอนของเมฆไม่ได้ เหอะ ผู้ชายก็มักมากแบบนี้

“ตอนนั้นเราเลยตัดใจและเฟดตัวเองออกจากลุ่มเพื่อน ตอนแรกเกือบตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและย้ายไปอยู่ที่นู้นกับที่บ้าน แต่ในใจลึก ๆ ก็อยากเห็นเมฆประสบความสำเร็จอีกสักขั้นในชีวิต ก็เลยว่าจะรอเรียนจบปอตรีแล้วค่อยไป”

“แล้วทำไมถึงมาเรียนมหาลัยเดียวกันแล้วยังอยู่กลุ่มเดียวกันอีก ผู้ชายแบบนี้ไม่น่าให้เป็นเพื่อนด้วยเลย!”

“เราไม่รู้ว่ามันเลือกเรียนคณะและมหาลัยเดียวกับเรา เพราะอย่างที่บอกเราเฟดตัวเองออกมา แต่ก็พยายามกลับไปเป็นเพื่อนมันนะ เจอกันก็ทักบ้างแต่ไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแล้ว พอมาเจอมันวันเฟิร์สเดทที่มหาลัยก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็คุยกันตามประสาเพื่อน อีกอย่างเราก็ทำใจได้ในระดับนึงแล้ว”

“เฮ้อออ แล้วนี่เมฆจะกลับมาหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะแค่หวงก้างเพราะเรามีคนคุยอยู่ล่ะมั้ง”

“แล้วอาโปจะทำยังไง”

“เรายังไม่รู้เลย เรื่องตอนนั้นสำหรับเรามันแย่มากเลยนะ เราร้องไห้ตั้งหลายวันแหนะกว่าจะทำใจยอมมองหน้ายอมทักทายกันได้ แล้วนี่เราก็ทำใจมาได้ตั้งสามปีแล้ว แม่งยังจะมาทำแบบนี้อีก” 

“ทำไมความสัมพันธ์ของคนมันเข้าใจยากจัง”

“เรื่องพี่ภีมพูลล์จะเอาไงต่อ”

“เราก็ไม่รู้ แค่คิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเค้าไม่ต้องมารู้สึกรับผิดชอบอะไรเรา เค้าคงเลือกแต่งงานกับพี่สาวเราก็จบ”

“จะโอเคหรอ”

“ก็ต้องโอเคสิ เรากับพี่ภีมไม่ได้เป็นอะไรกันตั้งแต่แรกนี่เนอะ”

ผู้ชายในชุดบาสลูบผมของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ดูตัวเล็กลงกว่าเดิม เพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเหลือเกินสำหรับผู้ชายที่ตัวเองรักและรอคอยมาเสมอ

ไม่ต่างจากคนที่ถูกลูบหัวได้แค่ยิ้มอย่างจริงใจให้กับรูมเมทตัวโตที่ตอนนี้หัวใจฟีบแบนไม่ต่างกัน สิ่งที่อาโปเจอมันหนักหนาทางความรู้สึกและความเชื่อใจ

“เราจะทำยังไงให้เชื่อใจคน ๆ หนึ่งได้ ทั้งที่เขาเคยทำร้ายจิตใจเราขนาดนี้วะ” อาโปพูดราวกับรำพึง

“นั่นสิ” พูลล์ตอบรับอย่างเหม่อลอย

สองหัวใจที่บุบสลาย เหมือนจะเข้าใจกันดีกับสถานการ์ที่ทั้งคู่กับลังเผชิญ ไม่มั่นใจว่าควรให้โอกาสไหม เพราะอีกใจก็กลัวว่าจะโดนทำร้ายจิตใจจากผู้ชายที่รักอีก แต่ตอนนี้ที่ทั้งคู่ทำก็ไม่ต่างอะไรกับการให้โอกาส เพียงแต่ว่ารอ รอว่าเมื่อไหร่เขาทั้งสองคนจะชัดเจนและทำให้มั่นใจว่าถ้าเดินหน้าต่อสู่ไปกับความรักครั้งนี้อีกครั้ง มันจะดีกว่าที่ผ่านมา

ครืด ครืด
[Cloudy]

ครืด ครืด
[P]

เสียงโทรศัพท์สองเครื่องสั่นพร้อมกันในเวลาเกือบห้าทุ่ม อาโปและพูลล์มองหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจบนเตียงของตัวเอง ก่อนที่อาโปจะเดินออกไปรับโทรศัพท์ที่นอกระเบียง และปล่อยให้พูลล์ใช้เวลากับปลายสายในห้องแทน

คืนนี้ทั้งสองคนคงต้องทวงถามความชัดเจนและบอกสิ่งที่คิดออกไปบ้าง เผื่อว่ามันจะช่วยให้มองเห็นปลายทางที่จะเดินต่อ

ว่าควรพอหรือไปต่อ


End X - POOL / X - APO






-----------------To be continued-------------------

มาแล้วเรื่องความสัมพันธ์ของภีมพูลล์ และเมฆอาโป
บอกเลยว่าปูมาขนาดนี้ก็ควรเขียนเรื่องแยกมะ
555555555555555555555555
แต่ไว้ก่อนนะ เอาเรื่องนี้จบก่อน

ตอนหน้าเจอกับหมอดุและน้องขี้ยั่วเหมือนเดิมจ้า

เม้นท์ให้หนูหน่อยพี่จ๋า

บีคนเดิมครับทั่น

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2018 23:19:31
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-07-2018 00:06:11
ความรักมันก็จะซับซ้อนหน่อยๆอ่ะเน๊าะ
เราเข้าใจ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 15-07-2018 01:06:55
 :katai1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 15-07-2018 03:09:56
 :ling2: เข้าใจแล้วจ้าพี่จ๋า เข้าใจแจ่มแจ้ง เจ็บปวดละเกิลลลลล
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ezi ที่ 15-07-2018 10:18:37
ให้พูลล์กับอาโปคบกันเอง แล้วทิ้งพี่ภีมกับเมฆไว้นั่น 555555555
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-07-2018 13:27:30
แยกเรื่องออกมาทีค่าาา อยากอ่านเยอะๆ บีบหัวใจทั้งสองคู่ ของพูลล์ยังพอได้ ของอาโปนี่ต้องเอาให้สาสมกับคำบอกเลิกวันนั้น คูมแม่จะตีด้วยก้านมะยม ใครทำลูกเจ็บ แม่จะตีมันเองค่ะ  :m31:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Pandora20 ที่ 15-07-2018 13:29:07
สงสารทั้งคู่เลยอ่ะ ทั้งอาโปและน้องพูลล์ ถึงจะคู่กันกับสองคนนั้นจริงๆ แต่เราก็อยากให้มีคนอื่นที่ดีกว่ามาคบหรือคู่กันกว่าอยู่ดีอ่ะ(คุณนักบินดีมากกก อยากดั้ยสสสส์) ทำร้ายกันเกิ้นนน
อิพี่ภีมก็ไม่ชัดเจน ไม่บอกความจริงที่อาจจะหมั้นเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร (หรือคิด เอ๊ะ? 5555)
ส่วนนางเมฆ ถึงตอนนั้นจะยังเด็ก แคร์สายตาคนอื่น แต่ก็ทำร้ายจิตใจกันเกินไปอี๊กกกก

เพราะฉะนั้น อาจต้องใช้เวลากันถึง 10 ปี มันคงจะเบาบางความรู้สึกเหล่านั้นลงได้มั้ง ฮือออออ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 15-07-2018 14:42:15
เป็นเรื่องที่ดีและไม่ดึงดราม่านาน อ่านได้เพลินๆ แต่ก็แอบอินเรื่องของพูลล์กับอาโปมากกว่าคู่หลักอีก รู้สึกปมมันบาดใจดี
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-07-2018 19:06:28
สองคู่หลังยังดูคลุมเครือนะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-07-2018 20:12:57
อดีตอันขมขื่นซะงั้น
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 16-07-2018 00:16:42
ทำไมถึงใจร้ายกันจังงง ได้กันเองเลยดีไหมลูก ปล่อยไปเถอะคนเลวๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 16-07-2018 08:44:39
ทำไมเราต้องรักคนอื่นมากกว่าตัวเองล่ะ โอ้ยยย อึดอัดแทน พูล กับ อาโป ช่วยรักตัวเองมากกว่านี้หน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 16-07-2018 09:59:01
สงสารอาโปกับน้องหมีพูลล์จังตอนนี้ :mew6:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 17-07-2018 02:39:25
นี่อยากฝห้อาโปไปคบกับพี่เพทายอะ อยากให้หลุดพ้นไปจากเมฆหมอกสักที
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-07-2018 10:45:56
เพราะชีวิตไม่ใช่น้ำตาลสายไหม..เลยต้องมีดราม่านิดๆ พอให้กลมกล่อม (นิดเดียวพอนะ 555) รอจ้า  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 21-07-2018 23:40:15
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.16 SAY YES
[/size]

I'm thinking 'bout how people fall in love in mysterious ways




และแล้วการถ่ายทำซีรี่ส์สุดหฤโหดตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมากำลังจะจบลง ตอนนี้เวลาประมาณสี่โมงกว่า ๆ เราย้ายโลเคชั่นมาอีกหาดที่ไม่ไกลจากรีสอร์ทที่พัก หาดทรายสีขาวละเอียดทอดยาวไปริมทะเล ถูกคลื่นซัดกระทบอยู่เป็นระลอก แนวต้นสนสีเขียวขจีเรียงรายเลาะตามริมหาด นี่เป็นอีกสถานที่ที่สวยและเหมาะกับการถ่ายพรีเวดดิ้งมาก ๆ ไม่ต่างจากเกาะนามิที่เกาหลีเลย

คุณลุงนาวิกโยธินที่ดูแลพวกเราบอกว่าหาดตรงนี้เคยมีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญของประเทศมากมาย ยังไม่รวมว่าเคยไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังทั้งฝั่งฮอลลิวู้ดและบอลลี่วู้ดอีกหลายเรื่อง แต่ที่คนไทยไม่ค่อยทราบ ด้วยเพราะเป็นพื้นที่อนุรักษ์แนวปะการัง และสัตว์ทะเลอย่างพะยูน ที่มักจะวนเวียนมาเล็มหญ้าทะเลในระแวกนี้บ่อยครั้ง หากเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่พ้นทรัพยากรทางธรรมที่มีค่ามหาศาลเหล่านี้คงหายไปในพริบตา

“น้องศิเอาน้ำมั้ยลูก” พี่สวัสดิการกองถ่ายเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟ เป็นกระบอกน้ำลายซัลลี่สีฟ้าตัวการ์ตูนจากภาพยนตร์มอนสเตอร์อิงค์ ที่มีฝาเป็นรูปซัลลี่ตัวใหญ่เด่นกว่าคนอื่น กระบอกน้ำผมเองแต่คนที่เตรียมมาให้น่ะ ยืนคุยกับพี่นายเรื่องรถอะไรสักอย่าง คุณหมอบอกว่าเขาได้เป็นของขวัญจากวอร์ดเด็กอีกแล้ว ได้บ่อยไปป่ะวะ แถมเป็นงานลิมิเต็ดจากญี่ปุ่น นี่คนไข้โรงพยาบาลรัฐเขาซื้อของตอบแทนคุณหมอราคาแพงขนาดนี้เลย?

“ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ กองนี้สวัสดิการดีไม่ใช่แค่คนนะ หมายถึงอาหารการกิน น้ำท่า ขนม ผลไม้ มีทุกอย่างเวลาหิว ยิ่งกว่าเซเว่น ยิ่งวันไหนแม่ ๆ แฟนคลับของพวกเราเอาฟู้ดเซอร์วิสมาให้พี่ ๆ ในกองยิ้มแก้มฉีก

“ไงมึงตื่นเต้นป่ะ จะถ่ายฉากสุดท้ายละ” อาโปเดินเอาศอกสะกิดจากด้านหลัง ตอนนี้ผมนั่งอยู่หลังรถบ้านของป๋าเจี๊ยบที่มีเต้นท์และพัดลมแอร์เป่าจนเย็น

“ก็นิดหน่อย แต่ใจหายมากกว่า”

“เออจริง คิดถึงวันที่มึงพากูไปแคสต์ได้เลย”

“เวลาผ่านไปไวเนอะ ครึ่งปีแล้วอะ”

นับตั้งแต่วันแรกที่ไปแคสต์เรายังเป็นนิสิตปี3 ธรรมดากันอยู่เลย มามองดูตอนนี้ที่ใช้ชีวิตในกองถ่ายกับทีมงานมากฝีมือ สังกัดสถานีโทรทัศน์ชื่อดัง ไหนจะมีแฟนคลับมีคนที่รู้จักมากขึ้น มันพลิกชีวิตของผมไปแบบคนละขั้วกับก่อนหน้า

ที่สำคัญพาร์ทชีวิตที่เคยมีแค่เรียน เล่นเกม ทำวิจัย ก็ถูกแบ่งมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่สำคัญ พ่วงด้วยการมีคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิต เป็นคนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปยืนข้าง ๆ จะได้อยู่ใกล้ จะได้ไปอยู่ในชีวิตของเขา คนที่อยู่ในความทรงจำเสมอและกำลังจะสร้างความทรงจำใหม่ไปด้วยกัน

“มึงยิ้มอะไร กูรู้นะ”

“อะไรว้า ยิ้มก็ผิดหรอ”

“เหอะ นี่ถ้ากูไม่มาแคสต์มึงก็ไม่ได้เจอกับพี่หมอ ขอบคุณกูยัง?”

“พูดใหม่ ถ้าเฌอไม่บังคับกูมาหรอก”

“เออนั่นแหละ ผู้มีพระคุณยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไหว้สาเสีย”

“ฮ่า ๆ ติดภาษาโบราณเหมือนพี่ดิมเลย” ผมหัวเราะเพื่อนที่นั่งลงข้าง ๆ พักหลังรู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มกับอะไรง่าย ๆ และหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนชีวิตมันลงล็อกและรู้สึกว่าการเป็นตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองยังไงก็ดีเหมือนกัน

“อะไรนิดอะไรหน่อยก็ผัวอะเนาะ ลำไยได้มั้ยวะ”

“อย่าใช้ภาษาป้าตุ๋ยสิ มันดูเหมือนคุณแม่นะ”

อาโปทำจริตเลียนแบบป้าตุ๋ยทั้งจือปาก และทำไม่ทำมือ นิสัยไม่ดีจริง ๆ คนอย่างมัน แต่ขำจนน้ำตาไหล ฮ่าๆๆ

“โปจะบอกว่าเสือกก็ได้นะ เรื่องกับเมฆนี่ยังไงวะ คือกูกับเฌออยากรู้นะ แต่รอพวกมึงบอก” ส่งสายตาลอบ ๆ เคียง ๆ ไปให้เพื่อนดูอากัปกริยาว่ามันจะดูดอึดอัดใจไหมถ้าลองถาม

คนตัวสูงกว่าข้าง ๆ ยกน้ำในกระบอกเก็บคงามเย็นสีเงินขึ้นดูดด้วยท่าทางสบาย ๆ

“งั้นกลับกรุงเทพฯ นัดเฌอไปที่คอนโดกูแล้วกัน บางทีพวกมึงรู้แล้วอาจจะช่วยกูหาทางออกด้วย”

“มันยากขนาดนั้นเลยหรอ”

“ยาก แต่ไม่เท่าเรื่องมึงกับพี่หมอหรอก”

ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ พี่ประสานงานก็โบกมือเรียกให้เข้าฉากเสียก่อน

“ไปกันเถอะ กูจะได้รอดูมึงกุ๊กกิ๊กในจอ”

“อย่าล้อน่า”

“จะอัดวิดีโอเก็บไว้ ว่านี่ไม่ใช่การแสดงแต่เป็นความรู้สึกจริง แหวะ กูพูดแล้วยังขิงตัวเอง”

“พูดเยอะ”



บรรยากาศปาร์ตี้ริมทะเลของนักศึกษาชายและหญิงที่เซ็ตขึ้นบริเวณข้างรีสอร์ทที่พัก มีเต้นท์ผ้าสีขาว และโต๊ะที่จัดแต่งทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เตาย่างบาร์บีคิว ธีมแต่งกายแน่นอนเสื้อฮาวายที่ไม่มีสับปะรด เพราะไม่อย่างนั้นคงลายตาไปหมด

พวกเราซ้อมบล็อกกิ้งกันเล็กน้อย เพื่อนคนอื่นแทบไม่มีบทพูด จะเป็นภาพบรรยากาศแห่งความสุข และการพบปะเพื่อนอีกครั้งก่อนที่ตัวละครแต่ละตัวจะแยกกันหลังจบปี4 เลยจะเป็นการเก็บอินเสิร์ทความวุ่นวายและโกลาหล ก่อนที่รังสิมันต์จะชวนภามาสออกไปริมทะเล เพื่อขอแต่งงาน

ในนิยายอาจจะดูเกินจริงไปสำหรับชีวิตเด็กปี4 แต่คุณอบเชยก็เขียนเหตุผลไว้ดีเหมือนกัน

‘การแต่งงานไม่ใช่จุดจบของความรัก หากแต่มันคือการเริ่มต้นเรียนรู้และทำความรู้จักกับ คู่ชีวิต การยอมรับในความบกพร่อง การชื่นชมในความดี และการอยู่เคียงข้างในวันที่เพลี้ยงพล้ำ และพร้อมโอบอุ้มกันและกันเสมอ เพราะผู้ชายอย่างรังสิมันต์ไม่ใช่คนคิดเยอะ การแสดงออกว่าอยากใช้ชีวิตคู่กับคน ๆ หนึ่งที่เขารักด้วยการแต่งงาน มันเป็นสิ่งที่คนอย่างเขาจะบอกกับคนรักได้ว่า เขาพร้อมจะมอบทั้งชีวิตให้โดยไม่มีข้อแม้’

แต่ในเมื่อคนดูซีรี่ส์อาจจะไม่ใช่คนอ่านนิยาย คนเขียนบทโทรทัศน์เลยเอาความคิดของรังสิมันต์มาใส่ในคำพูด มันดูไม่ประดักประเดิดเพราะเขาเป็นคนพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว

ตอนอ่านยังหน้าร้อน ถ้าได้ยินจากปากพี่ดิม คงละลายไปบนทรายแน่ ๆ เลย ฮึบ หายใจเข้าลึก ๆ

“ไอ้พวกลิงกูให้มึงซ้อมไม่ใช่ให้แดกจริงโว้ย” ป๋าเจี๊ยบตะโกนผ่านโทรโข่ง เพราะพี่ปาล์มพี่ภัทรเริ่มใช้มือจับน่องไก่กันแล้ว เหมือนหิวทั้งที่เมื่อกี๊ก็เพิ่งลุกจากโซนครัวแท้ ๆ กระเพาะคนหรือบ่อน้ำบาดาล ลึกอะไรขนาดนั้น

“โถ่ป๋า ของเข้าฉากดีกว่าที่เลี้ยงพวกผมอีกอ่า” พี่ปาล์มที่ป๋าเรียกว่าตัวก่อกวน เพราะแกเรียนนิเทศฯ เลยอยากเรียนรู้งานในกองทุกอย่างกระทั่งเดินสายไฟและปรับพัดลม บางทีแกก็เดินตัดหน้ากล้องเพราะอยากไปดูมุมกล้องใกล้ ๆ เคยโดนป๋าเอาสเลทเขวี้ยงใส่ก้นด้วย ขำกันทั้งกอง

“มึงหัดอยู่กันแบบสงบเสงี่ยมแบบไอ้เงินบ้างเหอะ” ป๋าพูดถึงน้องชายเล็กสุดในกอง ที่ในบทเล่นเป็นคนกวนบาทาตลอดเรื่อง แต่ชีวิตจริงพูดน้อย ขี้เขิน ยิ้งแก้มแตกอย่างเดียว

“ไอ้เงินไม่ได้สงบเสงี่ยม มันถ่านหมด ถ้าป๋ายังไม่เคยเจอน้องที่เอกมัย ป๋าพูดไม่ได้หรอก”

“เฮ้ยพี่ปาล์ม!” เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นน้องเงินโวยวายขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ

“โคตรฮ็อตอะบอกตรงนี้ สาวรุมอย่างกะของแจกฟรี”

“พี่ปาล์ม ผมไหว้ล่ะครับ” น้องเงินที่โดนปล่อยโป๊ะต่อหน้าทีมงานและนักแสดงเกือบครบเซ็ต ยิ้มกระสับกระส่ายแบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน

“นี่มึงลิงหลอกเจ้าหรอไอ้เด็ก” ป๋ายิ้ม ๆ กับความลับของเด็กผู้ชายอายุเพิ่ง 19 ปีแต่ดูจะแก่ณานไม่น้อยกว่าพี่ ๆ ในกองเสียแล้ว

“พี่ศิตื่นเต้นมั้ยคะ” น้องปลาที่นั่งข้างผมถามขึ้นด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ เหมือนน้องเขินอะไรสักอย่าง

“ก็นิดหน่อยครับ ทำไมน้องปลาเหมือนจะเขิน?” ผมถามไปอย่างตรง ๆ ผิวสีขาวอมชมพูของน้องแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ก็แบบ ฮื้อออ อ่านในนิยายมันน่ารักมากนี่คะ แถมต้องมีจูบแบบ deep kiss ด้วย” เธอใช้มือเล็กนาบแก้มที่แดงแจ๋ของเธอขณะเล่าไดอะล็อกที่ทุกคนในกองรู้ และผมเองก็รู้ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเขินเหมือนที่น้องปลากำลังเป็นอยู่ตอนนี้

“อ่า ก็นิดหน่อยครับ” หรือเพราะจูบกับพี่ดิมบ่อยแล้ว แต่เอ๊ะ จูบผ่านสายตาคนทั้งกองนี่หว่า! กลางทะเลนี่หว่า!! ดีพคิสนี่หว่า!!!

อะ ตายแน่ เขินจนเป็นบ้าแน่

ตอนแรกที่ชิลล์ลืมคิดว่าวันนี้นักแสดงที่ถูกแคสต์ด้วยกันมาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด และเหมือนพวกเขาระแคะระคายความสัมพันธ์ของผมกับพี่ดิมอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไร คราวนี้ต้องมาเล่นฉากจูบต่อหน้าคนหลายสิบ มันมากกว่าครั้งที่แล้วเป็นเท่าตัว โอ้วมายบุดด้า

อยากขุดทะเลแล้วมุดทรายหนีไปทวีปอื่นเลย

พอลองมานั่งคิดหน้าก็เริ่มจะร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ไอ้การเป็นคนผิวขาวและผิวบางมันเลยเห็นชัดเวลาที่เลือดไหลเวียน ที่ตอนนี้หน้าเริ่มเห่อ ไม่ใช่เพราะร้อนแต่เพราะอายจากความคิดตัวเอง

“ร้อนหรอ” คุณหมอคนเดียวในกองถามขึ้น เรานั่งข้างกันตามที่บล็อกกิ้งไว้

“อะ ปะ เปล่าครับ” ก้มหน้างุดกับอกตัวเอง ทำเป็นอ่านบทซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่จำได้หมดแล้ว

“หน้าแดงมากเลยนะ แพ้แดดหรือเปล่าไม่ได้ทาครีมกันแดดหรอ” พี่ดิมแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้รู้เลยว่าเพราะผมคิดแต่เรื่องพี่เขานั่นแหละเลยหน้าร้อนแบบนี้

คิดถึงดีพคิสที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่กี่นาทีข้างหน้า จำติดในความรู้สึกเสมอว่าจูบแบบดูดดื่มของพี่ดิมกระชากวิญญาณขนาดไหน มันไม่ใช่แค่ปากสัมผัสกัน หากแต่เขาชอบกัดเบา ๆ ที่ริมฝีปาก และใช้ลิ้นละเลียดผิวปาก กดจูบอย่างโหยหา มันทำให้มืออ่อนระทวยและขาอ่อนแรง ซึ่งถ้าเขาทำแบบนั้นตอนถ่ายฉากนี้ กลัวว่าตัวเองจะเผลอจิกเสื้อ นั่นมันแปลว่าผมต้องการ…

ก็เลยทำให้นั่งไม่ติดนี่ไง

“พี่ดิมไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยสิ”

“ศิ โอเคหรือเปล่า พี่เริ่มเป็นห่วงแล้วนะ”

“นะ ไปกัน”

ใช้เสียงไม่ดังมากในการคุยกันเพราะตอนนี้ในกองเสียงดังพอสมควร ทั้งจัดไฟ ทั้งเสียงนักแสดง เราสองคนเลยหลบสายตาของทุกคนเดินออกมาได้



ลากคนตัวโตเดินเข้ามาในห้องน้ำรีสอร์ทขนาดสองห้องแล้วล็อกกลอนทางเข้าไว้

“ศิเป็นอะไรเนี่ย หื้ม พี่ไม่สบายใจนะ มือศิก็อุ่น ๆ ด้วย ไม่สบายหรือเปล่า”

คุณหมอเอาหลังมืออังหน้าผาก ข้างแก้ม และซอกคอ คือมันร้อนเพราะเขินไม่ใช่เพราะจะเป็นไข้ คุณหมอคนเก่งเขาแยกไม่ออกสินะ ทีอย่างนี้ล่ะก็

“หึ เปล่าเลย ศิแค่…”

“แค่…” ผมเกลียดการทวนคำของร่างสูงตรงหน้าจัง มันยิ่งลดระดับความกล้าที่จะทำอะไรแบบนี้นะรู้มั้ย!

“ซ้อมจูบกันเถอะ!”

“เดี๋ยว ๆ”

“ก็ซ้อมไงเล่า ในบทมันเขียนว่าจูบดูดดื่มเลยนะ ศิแค่ไม่อยากประหม่าแล้วทำให้ทุกคนช้า กลัวแสงหมด”

นี่คือเรื่องใหญ่ของกองถ่ายเลย ฟ้า ฝน อากาศ เนี่ย วันนี้แสงดีฟ้าโปร่งถ้าถ่ายเสร็จทุกคนก็จะได้กลับบ้านกันเลย ซึ่งสมมติผมทำไม่ได้แปลว่าจะต้องรอพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ซึ่งเสียเวลา เสียเงิน และเสียความน่าเชื่อถือที่สุด โบกมือให้กับการจะเป็นมืออาชีพได้เลย

“ให้พี่ทำยังไงครับ”

“ก็...จูบ แต่ว่า! ไม่จูบแบบปกติ” พี่ดิมทำหน้างงเล็กน้อยแต่ก็โน้มตัวลงมา พร้อมจับปลายคางด้วย ริมฝีปากของเราสองคนค่อย ๆ สัมผัสกันอย่างอ่อนโยน ผมเอียงคอรับจูบที่ป้อนโดยคนรักที่ตอนนี้จะต้องสวมบทบาทเป็นนักแสดงอีกคน และผมก็ต้องเล่นเป็นอีกคนด้วยเช่นกัน พี่ดิมลูบไล้มือใหญ่ของตัวเองไปตามลำคอก่อนจะกดเบา ๆ เพื่อให้ปากของเราแนบชิดกัน ขยับปรับมุมองศาและเริ่มบดริมฝีปากลงมา ผมเริ่มหายใจเสียงดังตามอารมณ์ และเหมือนพี่ดิมจะรู้เขาค่อย ๆ ถอนใบหน้าออกก่อนจะมองตากันแล้วกดจูบที่จมูกแล้วเลื่อนใบหน้ามาที่หน้าผาก จรดมันอยู่อย่างนั้นแล้วกอดผมเข้าไปจมอก

เป๊ะ! ตามไดอะล็อก

“แบบนี้ได้มั้ย” พี่ดิมผละกอดจากผม เขาใช้สายตานุ่ม ๆ มองริมฝีปากที่ตอนนี้ถูกเคลือบไปด้วยน้ำลายตัวเองเพราะเลียไปเมื่อครู่ ร่างสูงใช้ปลายนิ้วเช็ดมันออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

“อื้อ แบบนี้แหละ”

“แล้วศิคิดว่าพี่จะทำแบบไหน”

“กะ ก็..”

“When we make love?”

ผมพยักหน้ากับอกกว้างแทนคำตอบ

“Why”

“I can’t stand even if I wanted you in front of everyone”

“How’s it can I tase?”

ไม่รอให้ตอบรับ ผู้ชายที่ใช้สำเนียงบริชติชได้เซ็กซี่ที่สุด จัดการเชยค้างผมให้เงยหน้ารับจูบที่คราวนี้เลยเถิดจากคำว่าอ่อนโยนไปไกล ควรใช้คำว่าร้อนแรง ริมฝีปากหนาบดเบียดทุกพื้นที่บนผิวปากอย่างชำนาญ ลิ้นร้อนเริ่มถูกใช้ด้วยการแตะที่ริมฝีปากก่อนจะส่งเข้ามาหลอกล้อกับลิ้นของผม และแน่นอนอวัยวะไร้กระดูกชิ้นนี้มันโอนอ่อนตามเขาไปอย่างไม่รักดี ไม่ใช่แค่แตะแต่เขาทั้งดูดดุน และแลกน้ำใสที่ตอนนี้เประเลอะขอบปากไปหมด มือใหญ่ที่ไม่เคยอยู่อย่างสงบบีบที่ก้นหลายครั้งทั้งที่ปากก็ยังทำหน้าที่ ลมหายใจรุนแรงของจูบที่แล้วเทียบไม่ได้กับอาการขาดห้วงของอ๊อกซิเจนที่ต้องอาศัยจังหวะหลบหลีกเพื่อหายใจ มือข้างซ้ายของเขาเริ่มหมุนวนชายเสื้อก่อนละไล้มาที่หน้าอกและสะกิดเบา ๆ

“อ๊ะ ฮะ พี่ดิม อย่า”

เขาไม่ฟังทั้งยังสะกิดเร็วขึ้น มือที่ทำหน้าที่บีบแก้มก้นก็เหมือนเจอของเล่นนุ่มมือ เขาดันให้ผมไปติดผนังห้องน้ำก่อนจะเริ่มบดเบียดหน้าขาของตัวเองเสียดสีกับของผม แขนที่เคยคล้องที่เอวเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นกอดเขาแน่ขึ้นด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุก และไม่ช้าก็เริ่มจิกที่หลังพี่ดิมหลายที

“พะ พอเถอ ฮื้อ ศิจะไม่ไหวแล้ว”

“ใครจะไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น” การขยับปากของพี่ดิมไม่ได้ห่างจากริมฝีปากผมเลย การขยับขึ้นขยับลงเลยทำให้สัมผัสน้ำใสที่จะเลอะขอบปากของกันและกัน

“...”

“เมียยั่วแบบนี้ใครจะอยากให้เห็น”

“พี่ดิม!”

“พี่ช่วยก่อนมั้ย ศิจิกหลังพี่แรงขนาดนี้ ทนไม่ไหวหรอกกว่าจะถ่ายซีนนี้จบ”

“หื้ออ เพราะพี่ดิมนั่นแหละ”

ร่างสูงกดจูบที่หน้าผากก่อนจะดึงมือเข้าไปในห้องน้ำและจัดการอะไรต่อมิอะไรที่เขาปลุมมันขึ้นมาให้กลับไปอยู่ในสภาวะปกติเหมือนเหมือน ก่อนจะออกมาเพื่อเข้าฉากจริง ๆ เสียที หลังลงทุนเอาตัวเองไปซ้อมมาก่อนหนึ่งยก

เดิมก้มหน้างุดออกมาก่อนพี่ดิมไม่นาน เพราะรู้เลยว่าหน้าต้องแดง ตัวต้องแดงมากแน่ ๆ มากกว่าตอนที่เข้าห้องน้ำไปเสียอีก ยังดีที่ป๋าบอกอีกสิบนาทีถึงจะเริ่มถ่าย เพราะเหมือนไฟมีปัญญานิดหน่อย เลยได้มีช่วงพักหายใจหายคอ แก้เก้อด้วยการอ่านบทเงียบ ๆ และคนตัวต้นเรื่องก็นั่งเงียบเหมือนกัน

ความรู้สึกเหมือนแอบเอาหนังสือโป๊ไปอ่านในห้องสมุดแล้วกลัวครูบรรณารักษ์จะจับได้ แต่ในใจก็จะค้านว่ามันเห็นจะผิด เพราะนี่ก็ถือเป็นหนังสือเหมือนกัน แถแบบแถดแถ่ด

“ทุกคนไฟมาแล้ว อีกห้านาทีเตรียมตัว”

พี่นายประกาศผ่านโทรโข่ง ทุกคนเลยถูกป้าตุ๋ย พี่เอ็ม และพี่เหมี่ยว ดูแลความเรียบร้อยหน้าผม ส่วนผมกับพี่ดิมก็ผมก็ยื่นบทคืนให้พี่ทีมงาน เพราะหมดเวลาจะท่องแล้ว อีกอย่างเวลาเล่นถ้ามันติดขัดจะมีพี่ทีมงานสายปาก ค่อยอ่านบทให้อยู่ ถ้าลืมก็ชำเลืองมองได้นิดหน่อย พี่แกจะคอยอยู่ในมุมที่สายตามองเห็นพอดิบพอดี สายตาที่ว่าคือสายตาฝั่งผมเอง เพราะพี่ดิมน่ะอัจฉริยะจำบทได้ทุกตัวอักษร

“ไฟเดิน กล้องเดิน เสียงมา แอ็คชั่น!” เสียงผู้ช่วยผู้กำกับดังขึ้นก่อนที่การแสดงทุกอย่างจะเป็นไปตามบท

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พี่ปาล์มเล่าเรื่องตลกจนทุกคนในโต๊ะขำพรืด ภาพที่ออกไปคงจะเป็นการแสดงออกทางความสุขที่เกิดขึ้นของทุกตัวละครก่อนจบบริบูรณ์ ทุกเหตุการณ์ที่ดำเนินตามบทถูกคลี่คลาย ปมทุกอย่างถูกแก้ไข ความสัมพันธ์ของทุกบทบาทถูกเกี่ยวโยงและแสดงออกในฉากสุดท้ายของเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ และภาพความทรงจำที่ฉายซ้อนทับ

“คัต! โอเคผ่าน” พี่นายคนเดิมบอกผ่านเครื่องขยาย

“พวกเอ็งเล่นลองเทคเก่งเนอะ เจ้าปลาก็กินจริงจังเหมือนหิวอะหนู” ป๋าได้โอกาสแซว บอกแล้วแกเป็นคนสบาย ๆ นักแสดงหน้าใหม่ทุกคนฝนกองเลยไม่เกร็งเวลาได้ทำงานด้วย ยกเว้นตอนเล่นบทยาก ๆ แล้วหลายเทคยังไม่ผ่าน ก็แอบกลัวว่าจะถูกด่าเหมือนกัน ซึ่งผมรับรองได้ว่าถูกด่ายังรู้สึกดีกว่าแกเงียบใส่แล้วไม่พูดอะไรด้วยตลอดซีนนั้น นรกที่แท้มาเยือนแล้ว

“ป๋าพวกผมปิดกล้องแล้วใช่ป่ะ” พี่ปาล์มตัวก่อกวนถามขึ้น

“ยังเว้ย รอถ่ายฉากจบก่อนสิวะ จะไม่รอเพื่อนเลยหรอไอ้นี่ เมียตามไปเลี้ยงลูกหรอ ฮึ” ทุกคนในกองหัวเราะลั่นกับคำแซวของป๋า เพราะพี่ปาล์มแกติดแฟน ดันได้แฟนเด็กกว่าหลายปีเลยเทียวไปรับไปส่งมหาลัยตลอดช่วงนี้

ขณะที่พูดคุยหลอกล้อ พี่ ๆ ทีมช่างภาพ และช่างไฟ ก็ขนย้ายอุปกรณ์ไปอีกสถานที่ไม่ไกลกัน แต่เป็นริมหาดทรายสีขาวละเอียด ถูกเก็บกวาดและเรียงหินอะไรไม่รู้เต็มไปหมด

ป๋าและพี่นายเรียกผมกับพี่ดิมให้มาซ้อมบล็อกกิ้งการเดิน ท่าทาง ก่อนจะเริ่มถ่ายจริงกันเมื่อทุกอย่างพร้อม

“ปากเอ็งเจ่อ ๆ กินเผ็ดมาหรอตัวเล็ก”

“ปะ เปล่าครับ”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“เฮ้ยป๋า ตีผมทำไม” ป๋าเอาม้วนกระดาษที่น่าจะเป็นบทฟาดพี่ดิมที่หัวสองที เจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันได้แต่เอามือปัดพัลวัน

“มึงลามกในกองกูอีกแล้ว นี่เห็นว่าถ้าไม่ได้นอนห้องเดียวกะน้องมันจะจองห้องใหม่ เออรู้แล้วว่ารวย รวยใหญ่เลยนะ”

“นิดหน่อยเองครับ” พี่ดิมหันมามองด้วยสายตาเจ้าชู้ เม้มริมฝีปากตัวเองเพราะภาพในห้องน้ำมันย้อนกลับมาอีก คนบ้าเอ้ยยย

“เออ ๆ เล่นให้สมจริงแล้วกัน ถ้าไม่ทันแสงนะ จะด่าทั้งคืน”




มีต่อ




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 4 Together (14/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 21-07-2018 23:43:58
เสียงสับสเลทดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าการแสดงต้องเริ่มขึ้นตามที่เตรียมตัวไว้

ตามบทรังสิมันต์จะแอบพาภามาสเดินออกจากงานเลี้ยงในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังหายพ้นจากผืนน้ำทะเล โดยบอกว่าอยากไปเกินเล่นริมชายหาด ขณะเดินเลียบริมหาดข้าง ๆ กันนั้น ร่างสูงจับมือคนข้าง ๆ ก่อนจะเดินข้างกันไป ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับจากขอบฟ้าไป เขาก็เอ่ยเรื่องการเดินทางของพระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นมาก

“มาสคิดป่ะว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์จะโคจรมาเจอกัน”

“ถ้าเอาตามหลักวิทย…”

“ไม่เอาดิ เอาแบบเพ้อ ๆ เลย”

“เรย์คิดอะไรแบบเพ้อ ๆ เป็นด้วยหรือไง”

“น่า ลองคิดดูหน่อย”  พี่ดิมตอนนี้สวมบทบาทเป็นรังสิมันต์ได้สมบูรณ์แบบ เพราะสายตาเขาที่มองผม กับสายตารังสิมันต์ที่มองภามาสมันต่างกันโดยสิ้นเชิง

“อืมมม ไม่คิดว่าจะมีวันนั้นหรอก ไม่มีเพราะเราไม่เชื่อไปแล้วอะ อีกอย่างพระจันทร์ได้แต่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งโคจรมาเจอกัน พระจันทร์ก็คงละลายก่อนถึงพระอาทิตย์ล่ะมั้ง”

“แล้วถ้าเราจะบอกว่ามีช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้จะบรรจบกันได้ล่ะ”

“ยังไง”

“อะหันไป” พี่ดิมจับผมให้หน้าไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เขากอดผมไว้หลวม ๆ จากด้านหลัง เพื่อมองดูแผ่นฟ้าสีส้มที่กำลังลดแสงของตัวเองลงเรื่อย ๆ  แล้วมีเงาพระจันทร์เต็มดวงกำลังโผล่ขึ้นที่ขอบน้ำทะเล ซึ่งมุมตรงนี้เสมือนสองสิ่งกำลังเคลื่อนที่สวนทางกัน และก็ใกล้มาเสียด้วย บอกตามตรงผมไม่คิดว่าจะมีปรากฏการณ์แบบนี้เลย น่าอัศจรรย์มาก ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คงเกิดได้ล่ะมั้ง

“เห็นมั้ย เราเชื่อเพราะเคยเห็น เหมือนที่มาสเชื่อเรื่องความฝันเพราะมาสสัมผัสมันได้” ผมหันหน้ามาสบตากับคนที่พูด

“...”

“เหมือนกันตอนแรกที่เราไม่เชื่อเพราะเราสัมผัสมันไม่ได้ แต่ตอนนี้เราเชื่อแล้ว ไม่ใช่เพราะเราสัมผัสมันได้น แต่เราเชื่อเพราะมาสทำให้เราเชื่อ และเราก็อยากให้มาสเชื่อว่าเรารักมาส”

“...”

“อย่าหนีเราไปอีก เพราะเราเป็นแค่พระอาทิตย์ที่ทำได้แค่อยู่กับที่ เราโคจรรอบใครไม่ได้ เราไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่เผาไหม้ตัวเองไปเรื่อย ๆ เราเหมือนจะตายเลยตอนมาสไม่อยู่”

“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”

“อืม แย่มาก พระจันทร์ของผมอย่าหนีไปไหนอีกเลยนะครับ อยู่ด้วยกันนะ”

“อื้อ ถึงไม่บอกก็ไปไหนไม่ได้หรอก ยังไงเราก็มีหน้าที่โคจรรอบพระอาทิตย์อยู่แล้ว แต่คราวนี้จะไม่ทำแค่หมุนไปเรื่อย ๆ หรอกนะ เพราะเราเอาแต่ใจ และพระอาทิตย์ต้องเป็นของเราคนเดียว เรา...”

“แต่งงานกันนะ”

“...”

“...” คนตรงหน้ายิ้มให้ด้วยความจริงจังตามบทบาท ตอนนี้แทบแยกไม่ออกว่าเขาคือรังสิมันต์หรืออาคิรากันแน่ สายตาที่สื่อมาถึงทำให้สับสน

“แน่ใจหรอ มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ” คนตรงหน้าใช้สายตาที่มองผมคือมองผม ไม่ใช่แบบที่รังสิมันต์มองภามาส พี่ดิมกำลังทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ

“มาสก็รู้ว่าเราไม่มีอะไร เราไม่รู้จะทำยังไงให้มาสรู้ว่าเราจะไม่มีทางไปไหน เราจะไม่รักใคร เพราะเราทำให้มาสหมดความเชื่อใจไปแล้วครั้งหนึ่ง เรากลัว...กลัวว่ามาสจะไปจากเราอีก”

“...”

“...”

“อื้อ แล้วต้องจัดงานมั้ย”

“มาสตกลงแล้วหรอ”

“อื้ม”

“ดีใจจังวะ วู้ว! แน่นะ!”

ผมพยักหน้ากับท่าทางดีใจของคนตรงหน้าที่ออกจะเกินเบอร์ สายตาของรังสิตมันต์กลับมาอีกครั้ง แปลกเหมือนกันที่เมื่อก่อนไม่เคยมองออกเลยว่าพี่ดิมคิดอะไร แต่ตอนนี้เขากลับปิดแทบไม่มิดว่าคิดอะไร หรือรู้สึกอะไรอยู่ อาจจะเพราะเราอยู่ด้วยกันมากขึ้น แล้วผมก็พยายามสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างของเขาให้ได้มากที่สุดด้วย

คนที่เพิ่งของแต่งงานควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ แล้วก็ได้แหวนเกลี้ยง ๆ หนึ่งวง สายตาอ่อนโยนปนดีใจถูกส่งมาให้ตามบท พร้อมจับมือเล็กมาไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะสวมแหวนวงสวยเข้ากับนิ้วกลางข้างขวาอย่างตั้งใจ

“ไว้เราไปซื้อแหวนแต่งงานด้วยกัน แล้วค่อยใส่นิ้วนางนะ ตอนนี้จองไว้ก่อน”

เราสองคนโผลกอดกันตามบทบาท แต่ในใจของผมอุ่นระอุ ดีใจ และเต็มไปด้วยความอิ่มเอมที่อัดแน่น มันเหมือนถูกพี่ดิมขอผมแต่งงานจริง ๆ ทั้งที่นี่แค่ฉากหนึ่งในละครที่เราร่วมกันสวมบทบาท และแสดงเป็นอีกคนที่เราไม่รู้จัก หากทว่ามันทาบเกี่ยวกับชีวิตเราสองคนเหลือเกิน

เพราะซีรี่ส์เรื่องนี้ทำให้เราเจอกัน
เพราะบทละครเรื่องนี้ทำให้ผมได้รับบทนำ
และเพราะเขาที่ทำให้ผมได้มายืนอยู่ตรงนี้


ได้รักและถูกรัก จากผู้ชายที่ไม่เคนเอื้อมถึง

ร่างสูงผละตัวออกก่อนจะใช้ริมฝีปากหนาแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากผม ก่อนจะบดเบียดอย่างอ่อนโยน มือหนากระชับอ้อมกอด ก่อนจะใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าของผมให้รับจุมพิตได้มากขึ้น เราลืมตาแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะประกบจูบลงอีกครั้งและครั้งนี้มันไม่ใช้แค่ริมฝีปากที่ชิดกัน แต่ทั้งเนื้อตัวเราก็ชิดกันมากขึ้น รสจูบของอีกฝ่ายมอมเมาผมอย่างที่ลืมความอายก่อนหน้าไปเลย พี่ดิมไม่ลืมบทเขาถอนจูบอย่างอ้อยอิ่งและกดจุมพิตที่หน้าผากแผ่วเรา เราโผกอดกันแน่น และพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปพอดิบพอดี

จะบอกว่าฟ้าเป็นใจก็ได้งานนี้

“คัต!!”

ถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่ผู้ชายร่างสูงที่ยกมือเช็ดปากตัวเองพร้อมยกยิ้มให้ อดเขินไม่ได้เพราะคุยกันแล้วว่าจะจูบแบบที่ซ้อม แต่พี่ดิมดันเกือบจะดีพคิสและใช้ลิ้นแทรกเข้ามา

“โอเค ปิดกล้อง!!”

เยยยยยยยยย้ วู้วววววววววว ได้กลับบ้านแล้ววววว

เสียงจากกลุ่มคนที่แอบหลังพุ่มไม้ข้างรีสอร์ทตะโกนดัง ดีที่ตรงนี้เป็นหาดส่วนตัว ไม่งั้นต้องมีคนแจ้งเจ้าหน้าที่บ้าง

เดี๋ยวนี้ ทุกคน..อยู่ตรงนี้ งั้นแสดงว่าฉากเมื่อกี๊

OMG!!

“โหหห พี่หมอ จริงจังมาก” พี่ปาล์มเอ่ยปากแซวคนแรก

“สุดว่ะพี่ เทคเดียวผ่าน” น้องเงินสมทบชมพี่ดิม

“พี่ศิเก่งมากอะ ไม่เขินเลยหรอ” น้องปลาถาม แต่ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่หลบสายตาของทุกคน เพราะเขินไงเล่า ใครไม่เขินบ้างจูบกับผู้ชายต่อหน้าคนตั้งหลายสิบ

“ไป ๆ พวกเอ็ง ขึ้นไปได้แล้ว เกะกะเขาจะเก็บของ เดี๋ยวให้ช่วยเก็บนะโว้ย”  ป๋าเจี๊ยบเจ้าเดิมที่เป็นคนเอ็ดพวกลิง ๆ ในกองได้

“ขอบคุณนะครับป๋า” พี่ดิมยกมือไหว้ป๋า และเดินไปขอบคุณพี่ ๆ ทีมงานทุกคน คนอื่น ๆ ก็เลยทำตาม ทีนี้เสียงขอบคุณดังไปทั่วบริเวณ

คนเบื้องหน้าทำงานว่าเหนื่อยแล้ว แต่คนเบื้องหลังเหนื่อยกว่ามาก แถมเงินก็น้อยกว่า นัดกองตีหน้า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมมาแล้วจะไม่เจอใคร ทีมงานสแตนด์บายรอก่อนหน้านั้นไม่รู้กี่ชั่วโมง มันแสดงให้เห็นว่าคนเบี้องหลังคือกำลังขับเคลื่อนงานโปรดักชั่นอย่างแท้จริง




เรามีงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่ได้รับคำอนุญาตจากฝ่ายการเงินของกองเรียบร้อย เรื่องนี้สำคัญเลย เพราะจะใช้จ่ายอะไรทำตามใจไม่ได้ ต้องมีใบเสร็จ ใบกำกับภาษีอะไรก็ไม่รู้ คนที่ดุสุดในกองไม่ใช่ป๋าบอกแล้ว แต่เป็นพี่การเงินต่างหาก

อาหาร ขนม เครื่องดื่ม จัดเต็มให้ทุกคน พี่ ๆ ทีมงานดูเอ็นจอยหลังงานเสร็จสิ้น และเหมือนเป็นวันปลดปล่อย หลายคนเริ่มกรึ่มทั้งที่เพิ่งจะสามทุ่ม บางคนโชว์สเต็ปแดนซ์กันแล้ส มีพี่ช่างภาพโชว์ลูกคอเหนือชั้นที่น่าจะไปเป็นนักร้องมากกว่าเป็นช่างภาพ  ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้ยังเพิ่งรู้ว่าป๋ามีภรรยาที่น่ารักและเข้าใจป๋ามาก ๆ เพราะแกทำตัวเหมือนโสด ๆ เลย โสดในทีนี้ไม่ใช่ไปหลีสาว ๆ ในกองนะ แต่หมายถึงไม่เคยเห็นป๋าโทรหาใครในเวลางาน บางทีแกอาจจะโทรตอนเลิกกองก็ได้นี่เนอะ อีกอย่างแกทำงานบางทีไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน ก็ยังไว้วางใจ ทั้งที่ป๋าดูจะเป็นอาชีพที่เจอคนสวยเยอะ และคงมีไม่น้อยที่พยายามเข้าหาป๋าเพราะเป็นผู้กำกับชื่อดัง

“ฮ้าววว”

“ง่วงแล้วหรอ” พี่ดิมที่นั่งข้าง ๆ กัน ขณะที่ภาพตรงหน้าเรายังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ผมกลับหาวออกมาเสียอย่างนั้น สงสัยเพราะตื่นเช้ามากเกินไป แล้ววันนี้ก็ใช้พลังไปเยอะ

“อื้อ นิดนึง”

“งั้นไปนอนกันมั้ย”

“พี่ดิมอยู่สนุกต่อก็ได้นะ เดี๋ยวศิไปนอนก่อน”

“ไม่ดีกว่า พี่ง่วงเหมือนกัน”

พี่ดิมส่งสัญญาณให้ป๋ากับพี่นาย รวมถึงเพื่อน ๆ ในวง ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมงานสังสรรค์ออกมา เพื่อกลับไปที่ห้องของเรา ที่แยกเป็นเหมือนบ้านหลังเล็ก ๆ เรียรายตั้งอยู่ห่างกันไม่มาก




“ขี้เกียจอาบน้ำจัง” พึมพำกับตัวเองขณะที่ก้าวเข้ามาในห้องขนาดไม่กว้างมาก มีเตียงใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง และห้องน้ำอยู่ทางขวามือของประตูห้อง และมีระเบียงเล็ก ๆ ทอดข้างนอกให้พอมองเห็นทะเลสีสวย แต่ตอนนี้ถูกความมืดกลืนจนเป็นสีดำไปหมด

“ให้พี่อาบให้มั้ย”

“พอเลย!” วกเข้าเรื่องแบบนี้ได้ตลอดเวลาสิน่า ยังไม่คาดโทษที่จูบไม่ตามที่ซ้อมกันไว้เลยนะ

“ครับ ๆ ไปรีบอาบเถอะ จะได้มานอน ขยี้ตาจนเครื่องสะอางเปื้อนไปหมด” ร่างสูงลูบหัวเบาและเช็ดเปลือกตาให้อย่างเบามือ แล้วหาเสื้อผ้าให้ก่อนจะผลักผมเข้าไปอาบน้ำ

ก็ง่วงนั่นแหละ แต่ก็ยังนอนไม่หลับเสียทีเดียว ทุกคืนเราจะนอนพร้อมกัน รู้สึกว่าตัวเองติดหมอนข้างใบนี้ไปแล้ว ไม่ได้ก่าย ไม่ได้กลิ่นเหมือนจะนอนไม่หลับ นี่แย่แล้วหรือเปล่านะ ถ้ากลับกรุงเทพฯ ไปแล้วต้องแยกคอนโดกันนอนจะทำยังไงล่ะทีนี้

เหมือนแรดที่ติดผู้ชายขนาดนี้นะ แต่ก็ยอมรับว่าติดพี่ดิมจริง ๆ นั่นแหละ

คนที่อยู่ในความคิดออกจากห้องน้ำมาในสภาพที่ไม่สวมเสื้ออีกแล้ว ใส่แค่กางเกงนอนขาสั้น เขาบอกว่าแอร์ที่นี่ร้อนกว่าห้องตัวเอง เลยนอนไม่ค่อยกลับถ้าใส่เสื้อ “อ้าวไหนว่าง่วงทำไมยังไม่นอน”

“ง่วง แต่ว่ามันยังไม่หลับอะ”

“หรือเพราะพี่ไม่ได้กอดกันแน่”

“เปล่าสักหน่อย”

 พี่ดิมถอดคอนแท็กเลนส์แล้วใส่แว่นแทน ทาครีมบำรุงอะไรนิดหน่อย เหมือนเขาจะสังเกตเห็นว่าผมมองเขาอีกแล้ว

“มองไม่ได้หรอครับ”

“มองได้ ยิ่งกว่ามองก็ได้”

“มานอนได้แล้วน่า”

คนตัวโตเดินมาแล้วหย่อนตัวลงบนเตีงก่อนจะสอดตัวใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แต่เขาห่มแค่สะโพก อย่างที่บอกไปว่าเขาน่ะขี้ร้อนอย่างกับอะไร ตอนไปใช้ทุนเห็นว่าได้อยู่บ้านพักแพทย์แบบไม่มีแอร์ สุดท้ายก็ขอทางผอ.โรงพยาบาลติดแอร์ด้วยงบตัวเอง เพราะนอนไม่ได้

แขนหนาสอดเข้าที่ประจำคือใต้ซอกคอผม และมือข้างเดียวกันก็ลูบแขนเบา ๆ เหมือนกล่อมให้หลับ “นอนเถอะ”

“พี่ดิม..” เรียกเขาด้วยเสียงยาน ๆ เพราะง่วงเต็มที แต่ถ้าไม่คุยกันวันนี้เรื่องที่สงสัยก็คงติดค้างในใจจนเก็บไปฝัน

“หื้ม”

“ตอนที่ถ่ายฉากสุดท้าย…”

“...”

“พี่ดิมเหมือนพี่ดิม ไม่ใช่รังสิมันต์”

“...”

“ศิเกือบหลุด เพราะว่าศิรู้สึกดีใจจริง ๆ ไม่ใช่ภามาสดีใจ”

“เก่งจัง” พี่ดิมก้มลงมาหอมหน้าผาก ผมรู้สึกได้ เลยลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาผ่านแว่นกรอบสีดำที่มองยังไงก็น่าหลงใหลเสมอ

“เก่งอะไรอะ”

“เก่งที่มองออก”
“ชอบที่ถูกขอแต่งงานแบบนี้หรอ”

“อื้อออ กะ ก็...ใครจะไม่ดีใจเล่า”

เขากอดผมแน่นขึ้น และใช้มืออีกข้างเกลี่ยแก้ม ขณะที่ผมเอาหน้าซุกอกหาที่นอนสบายให้ตัวเอง

“ศิ”

“อื้อออ ง่วงจัง”

“เป็นแฟนกันมั้ย”

“ห้ะ!” สะดุ้งลืมตาขึ้นอย่างทันที ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ ไม่ได้เตรียมใจอะไรสักอย่าง ขอตอนผมง่วงนอนจัดนี่คิดได้ไง ถ้าสมมติเมื่อกี๊หลับไปก่อนก็คงต้องลาเลยเพราะว่าไม่ได้ยินแน่ ๆ คำนี้

“พี่ขอโทษนะที่เรื่องของเรามันเลยเถิดมาขนาดนี้แล้วถึงจะเพิ่งพูดคำนี้”

“จริง ๆ แค่เรารู้กันก็พอแล้ว ศิไม่..”

“แต่พี่อยากทำอะไรที่มันชัดเจนบ้าง”

“พี่รักศิและพี่อยากให้ศิมั่นใจ ตอนแรกคิดว่าจะกลับไปทำเซอร์ไพร์ส แต่ว่าคิดว่าวันนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว”

“...”

“เพราะครั้งแรกเราเจอกันก็เพราะซีรี่ส์เรื่องนี้”
“และรักกันก็เพราะซีรี่ส์เรื่องนี้”
“เป็นแฟนกันในวันถ่ายซีรี่ส์จบ ดีมั้ย”

“ดีครับดีมากเลย ศิจะจำไม่ลืมเลย” ความดีใจที่ปิดไม่ได้แสดงออกผ่านการกอดตอบเขาอย่างแน่นขึ้น ตอนนี้เหมือนนอนบนตัวะพี่ดิมเลย

“สรุปแล้วเป็นมั้ย”

“ยังจะมาถามอีก เป็นมากกว่านั้นแล้วไม่ใช่หรือไง” แหงนหน้ามองผู้ชายใส่แว่นที่เพิ่งขอกันเป็นแฟน ทำยังไงถึงจะลดอาการรักเขาหลงเขาอย่างนี้ลงได้นะ

“ครับเป็นหนูของแด๊ดดี้”

“อื้อ หนูก็หนู หนูง่วงแล้วค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้ได้มั้ย…ครับ แด๊ดดี้”  เอาหน้าถูไถกับอกพี่ดิม แล้วเอื้อมมือไปดึงแว่นเขาออก บังคับให้เขานอนไปพร้อมกัน

คนโดนนอนทับกดจูบที่หน้าผากย้ำ ๆ หลายที “พูดแบบนี้เดี๋ยวไม่ได้นอน”

“อื้อ นอนๆ”

“ฝันดีครับแฟนพี่”

“ง่า อย่าเพิ่งเริ่มสิ เขิน”

เป็นค่ำคืนที่ผมได้นอนกอดผู้ชายที่ได้สถานะชัดเจนว่า ‘เราเป็นแฟนกัน’ ช่วงเวลาที่มีความหมายแม้มันจะรวดเร็วด้วยข้อจำกัดของผมเองที่งุวงงุน แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ แล้วครั้งนี้มันก็ดีมาก ขณะที่บอกว่าตัวเองง่วงนอนนั้นหัวใจก็สูบฉีดเลือดอย่างรุนแรงถ้ามันเด้งทะลุออกมาจากอกได้คงกระดอนออกมาแล้ว

เป็นการขอเป็นแฟนที่ธรรมดา แต่พิเศษที่สุดสำหรับคนอย่างผม

“ฝันดีนะครับแฟนของศิ”





------------------To be continued-------------------

เห็นชื่อตอนพวกเธอก็คิดว่าพี่ดิมจะดุน้องอีกแร้วชั่ยมั่ยชั่ย
ก็บอกว่าตอนหน้างัยยยยยยยยย
อย่ารุงรังนะ /เสียงเจ๊น้ำขายเสื้อ
ใครรอตอนหน้ากด cf ไว้เรยจ้าาาาาาาาา
แพ็คส่งให้ทิตหน้าเหมือนเดิม ใช้แบบลงทะเบียนก็ช้าหน่อยนะ

บีคนเดิมครับทั่น

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx




หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-07-2018 23:47:04
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-07-2018 00:24:42
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 22-07-2018 01:15:22
เห็นชื่อตอนแล้วคิดว่าดุจริงๆ แต่หวานมากตอนนี้ 555555 ขอเป็นแบบ DHL ได้ไหมคะ กระวนกระวายเว่อร์ อยากให้ถึงตอนหน้าเร็วๆ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-07-2018 11:24:06
งูย..ยยยยย เขินแทนหนู หวานมาก  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-07-2018 11:42:41
ไม่รุงรังค่าา ให้น้องพักผ่อนๆ เบาๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 22-07-2018 22:37:43
 :hao3:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 30-07-2018 21:55:58
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.18 เด็กร้ายๆ
[/size]

Let me cater to you Cause baby this is your day
Do anything for my man Baby you blow me away



กลับจากถ่ายซีรี่ส์มาราธอนจินตนาการไว้ว่าจะนอนกอดแฟนหมาด ๆ ซักสองคืนแล้วค่อยกลับไปทำงาน แต่ที่ไหนได้พอหัวหน้าพยาบาลเห็นว่าผมถ่ายซีรี่ส์เสร็จจากข่าวบันเทิงของช่อง พี่แกก็เล่นโทรหาผมเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังขับรถกลับกรุงเทพฯ บอกว่าตอนนี้คนไข้ค่อนข้างมาก และอาจารย์หมอหนึ่งท่านก็ลากะทันหันไปต่างประเทศ แพลนที่วางไว้ก็ล่มสิครับต้องกลับไปใช้เวรใช้กรรมเร็วกว่ากำหนด

น้องก็เข้าใจดี แต่ก็ดูงอแงนิดหน่อยตอนที่บอกจะไปส่งที่คอนโดแล้วจะรีบกลับไปเก็บของแล้วเข้าเวรเลย

“พี่ดิมต้องไปเลยหรอ”

“ครับ คนไข้เยอะเลย” ยกมือไปลูบหัวคนที่สายตาดูหมองลงเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามยิ้มให้อยู่ โถเด็กน้อย จะทำให้หลงไปถึงไหน

“อื้อ แล้วคืนนี้จะกลับมั้ย”

“ไม่แน่ใจ อย่ารอเลย ง่วงก็นอนนะ”

“ครับ ขับรถดี ๆ นะ พอมีเวลาแป๊บนึงมั้ย ศิจะทำอะไรไปให้กิน”

“เอาสิ พอมีอยู่”


ในความงอแงก็มีความน่ารักตามประสาเขาอยู่ แอบคิดไว้ว่าเขาจะเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ แต่เปล่าเลย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำความเข้าใจ และพยายามเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผม แบบเต็มใจมากกว่าฝืนใจทำให้มันผ่านไป

แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเต็มใจทำแบบนี้ได้นานแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาแทบไม่มีใครทนได้สักคน

ชีวิตที่ไม่มีเวลาให้แม้กระทั่งตัวเอง มันไม่ง่ายเลยที่จะดูแลใครได้

แต่จะพยายามทำให้ได้ดีที่สุด ดีกว่าที่ผ่านมา และดีพอสำหรับความรักที่ศิมีให้ผม

เราสองคนต่างแยกย้ายทำหน้าที่คุยกันบ้างเวลาว่าง ส่วนมาจะเป็นผมนั่นแหละที่ไม่ค่อยว่าง เพิ่งได้รู้กำหนดการเพิ่มมาว่าจะต้องเข้าร่วมทำวิจัยกับอาจารย์หมอจากอเมริกา และหมอที่เรียนต่อเฉพาะทางเหมือนกัน ทีนี้แหละจะยุ่งมากกว่าเดิม ยังดีที่ซีรี่ส์ถ่ายจบแล้ว เห็นพี่ใบชาแจ้งว่ามีลูกค้าเริ่มติดต่อให้ไปรับงานอีเว้นท์ แต่คงเป็นผมที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย เพราะเคลียร์คิวตัวเองไม่ได้ ก็คงสร้างความเสียหายอยู่ แต่ลูกค้าหลายรายก็เข้าใจได้ บางเจ้าก็ติดต่อมาให้ผมไปเป็นพรีเซนเตอร์จำพวกผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ แต่ก็ต้องปฏิเสธไป เพราะไม่ควรเอาหน้าที่การงานของตัวเองไปสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ และไม่ถูกจริตผมเท่าไหร่

ศิกำลังจะสอบปลายภาคและต้องหาสถานที่ฝึกงานในช่วงปิดเทอม แต่น้องก็มีเวลาว่างกว่าผม เลยได้เห็นข้อความจากไลน์เป็นกำลังใจตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา น้องเคยจะมากินข้าวกับผมที่โรงพยาบาลเวลาพัก แต่ก็ปฏิเสธน้องไปเพราะเหมือนจะมีกลุ่มแฟนคลับแวะเวียนมาที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง ซึ่งน้องก็เข้าใจดี

ผมแวะไปนอนกับศิบ้างในวันที่มีเวลา แต่ก็ต้องตื่นก่อนที่น้องจะไปเรียน เพราะต้องเข้าเวรแต่เช้าตรู่ วันนี้เหมือนกัน และเหมือนน้องจะรู้เลยทำอาหารกล่องไว้ให้แช่ในตู้เย็น มีโน้ตอิทสีฟ้าสดใสแปะหน้าตู้เย็นไว้ว่า ข้าวกลางวันของแด๊ดดี้ น่ารักซะจนอยากปลุกขึ้นมาฟัด แต่ทำไมได้เพราะดูน้องก็การบ้านเยอะ โต๊ะอ่านหนังสือกระจัดกระจายไปหมด

เย็นวันนี้เป็นจะวันสุดท้ายที่จะต้องควงเวรแล้ว อาทิตย์หน้าก็จะเข้าเวรปกติ ก็จะหายใจหายคอได้คล่องขึ้นหน่อย ตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายจะไม่ไหว นอนน้อยไม่พออาหารที่กินยังไม่ดีเลย แถมไม่ได้ออกกำลังกาย การเป็นหมอนี่ดีแต่ทำให้คนไข้สุขภาพดีขึ้น แต่ตัวเองกลับถูกบั่นทอนสุขภาพลงทุกวัน

“เฮ้อ”

“เป็นไรหมอต้น” ตอนนี้ผมกำลังเก็บของเพื่อเตรียมกลับคอนโด น้องเอ็กซ์เทิร์นก็ถอนหายใจแรง ในมือยังมีชาร์ทคนไข้เพียบ

“เหนื่อยว่ะพี่”

“อาจารย์สุธีแกก็แบบนี้เข้มงวดหน่อย”

“ไม่คิดว่าเอ็กซ์เทิร์นจะหนักหนาขนาดนี้เลย พี่ผ่านไปได้ไง ไม่ใช่ดิ พี่คิดยังไงถึงต่อเฉพาะทางอีก”

“พี่ก็ถามตัวเองอยู่ทุกวัน แต่ก็ทำมันทุกวันเหมือนกัน” ยกยิ้มมุมปากให้ตัวเอง ขณะที่สายตามองผ่านห้องพัก ไปเห็นคุณตาที่มาทำบายพาสหัวใจและอยู่โรงพยาบาลกว่าสองสัปดาห์ นั่งบนรถเข็นโดยมีลูกชายและลูกสะใภ้คอยดูแล พร้อมทั้งคุณยายที่เดินจูงมือหลานวัย 5 ขวบ สีหน้าทั้งครอบครัวมีความสุขกับการที่สมาชิกในครอบครัวได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากันเหมือนเดิม นี่แหละมั้งคำตอบ

“ผมจะเป็นหมอที่ดีได้มั้ยไม่รู้ กลัวครับ”

“กลัวว่าตัวเองทำไมได้ หรือกลัวว่าคนอื่นคิดว่าเราจะทำไม่ได้” สายตาของว่าที่หมอรุ่นน้องหม่นสีลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเห็นภาพตัวเองตอนใช้ทุนแรก ๆ ท้อจนอยากจะลาออก

“ทั้งคู่เลย เดี๋ยวนี้คนในโซเชียลยิ่งดราม่าเก่ง ๆ อยู่”

“ก็ทำตามหน้าที่แหละหมอ เราไปนั่งอธิบายใครไม่ได้หรอกว่างานเราหนักหนาแค่ไหน เราเหนื่อยแค่ไหน และรัฐแทบไม่ช่วยอะไรกับบุคลากรอย่างเราเลย แต่เราอย่าลืมว่าคนไข้เขาเจ็บปวด ทรมาน ถ้ารอให้ทุกคนมานั่งเข้าใจ จิตใจเราเองนั่นแหละที่จะอคติกับสิ่งที่ทำอยู่”

“แพชชั่นพี่หมอเจ๋งว่ะ อุทิศตนสุด ๆ”

“ไม่หรอกครับ มันก็มีช่วงที่เหนื่อยจนอยากลาออกก็มี แต่พอมองย้อนกลับไปว่าเรามาอยู่ตรงนี้ทำไมก็มีแรงขึ้นมา จริง ๆ ไม่ใช่หรอก แค่หิว”

“ฮ่าๆๆ เออว่ะพี่ผมว่าผมยังไม่ได้เติมชานมไข่มุก ไปฉีดเข้าเส้นเลือดซักหน่อยดีกว่า”

หมอรุ่นน้องเดินอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนเดินเข้ามาแอบอู้กับเคสที่ตัวเองต้องดูแล และเหมือนเพิ่งโดนอาจารย์หมอดุมา แต่นั่นแหละอาชีพอย่างเรามันจะมีช่วงวีค ๆ ในหนึ่งวันเสมอ เราถูกสอนมาให้รับมือกับความเครียดและเรียนรู้วิธีกำจัดความเครียดของตัวเองได้ดีกว่าคนอื่นล่ะมั้ง บางทีการได้กินของอร่อย ๆ ก็ช่วยได้เยอะ



วันนี้ศิมานอนที่คอนโดผม เพราะใส่เสื้อผ้าเดิมซ้ำกันมาสองวันแล้ว อีกอย่างห้องน้องไม่มีเสื้อที่ผมใส่ได้เลย แถมน้องยังส่งซักเสื้อเลยไม่มีเครื่องซักผ้าซะงั้น เสื้อที่มีอยู่หลังรถก็ใส่หมดแล้ว กลับมาอาบน้ำใส่ชุดใหม่ที่คอนโดตัวเองก่อนจะเป็นเกลื้อนน่าจะดี

“I found a love for me
Darling just dive right in
And follow my lead”


เสียงเพลงโปรดของผมลอดออกมาจากห้องครัว แน่ล่ะผมให้กุญแจคอนโดน้องไว้ คงกะมาทำอะไรกินเย็นนี้ น่ารัก

“Baby, I'm dancing in the dark with you between my arms
Barefoot on the grass, listening to our favorite song”


เด็กผู้ชายมัดจุด ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์ขาด ๆ ขาสั้นเหนือเข่า สวมผ้ากันเปื้อนลายริลัคคุมะที่คงค้นเจอในตู้เก็บของ ผมซื้อมาเพราะเห็นว่าน่ารักดีจากช้อปตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อ2-3ปีที่แล้ว และไม่เคยใช้เพราะทำอาหารไม่เป็น แต่ซื้อผ้ากันเปื้อนงงตัวเองเหมือนกัน แค่ดาเมจควมน่ารักมันเลยต้องหยิบติดมือมา และจินตนาการว่าถ้าที่มีคนรักใส่ผ้ากันเปื้อนลายน่ารักทำอาหารให้ตัวเองกินมันคงดีไม่น้อย ซึ่งตอนนี้มันเหนือจินตนาการไปแล้ว

“ต้องใส่อะไรก่อนนะ มันฝรั่งหรือว่าแครอท” น้องเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง แล้วกัดผักที่ว่าลองชิม สุดท้ายก็เทมันทั้งสองอย่างลงให้หม้อเดียว กลิ่นนี้น่าจะเป็นซุปไก่ใส่มันฝรั่ง

ว่างสิ่งของต่าง ๆ ไว้ข้างเก้าอี้หน้าห้องครัว ก่อนจะเดินหย่องทำตัวเป็นขโมยเข้าหาคนรัก

หมับ

“เฮ้ย!”

“ทำไรกินครับหนู หอมไปถึงนิติคอนโดแล้ว” ใช้จมูกไซร้ซอกคอหากลิ่นคุ้นเคยที่ไม่ได้ดอมดมแบบเต็ม ๆ มาหลายวัน

“ตกใจหมดเลย ทำซุปไก่ นี่ครั้งแรกไม่รู้ว่าจะกินได้มั้ย ทำอาหารไทยไม่เก่งเลย”

“พี่กินได้หมดแหละ เอาศิเทลงจานมาพี่ก็โอเค”

คนโดนกอดตีที่แขนผมเบา ๆ “ตลกเหอะ ไปอาบน้ำดีมั้ย จะได้กินข้าว” ศิหันกลับมาสบตากับผม

“ตาพี่ดิมเหมือนแพนด้าบวกแพนด้ายกกำลังแพนด้าอะ เหม็นด้วย” จมูกเล็ก ๆ ฟุดฟิดไปตามซอกคอ และเสื้อตัวเก่าที่ผมสวมใส่

“เหม็นขนาดนั้นเลยหรอครับ” ทำหน้าเศร้า ๆ ถ้าใครจำได้ผมบอกน้องหอมตลอดเวลาแม้จะเหงื่ออออกทั้งวัน ทีแบบนี้จะบอกว่าหอมบ้างก็ไม่ได้

“ครับ ดูท่าเสื้อจะขึ้นขี้เกลือด้วย” น้องดูจะไม่สงสารเลยแฮะ เมียใครวะ

“เฮ้อ ก็ได้ ๆ พี่มันเหม็นนี่ ใครจะหอมเหมือนตัวเอง” ทำท่าน้อยใจไปงั้นแหละครับ เผื่อได้อะไรกระชุ่มกระชวย

“โห นี่น้อยใจหรอ” น้องกอดพุงผมแน่น ก่อนจะแนบแก้มตัวเองลงบนหน้าอก แล้วส่ายหน้าไปมา “ศิอยากให้พี่ดิมสบายตัวไง จะได้หายเหนื่อย” ไปเอาไอ้การช้อนลูกตาเหมือนหมาขี้อ้อนแบบนี้มาจากไหนนะ แอ็ทแท็กกับหัวใจลุงดวงนี้สุด ๆ เลย จะบ้าตาย

“อะ อืมครับ ไปอาบก็ได้”

“ไม่น้อยใจแล้วนะ”

“ใครน้อยใจ ไม่มีเหอะ”

“ทำมาเป็นนะเจ้าแด๊ดดี้”

หมอหัวทุยเล็กแรง ๆ ไปทีก่อนจะผละพาตัวเองเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเน่าอย่างที่น้องว่า เสื้อผ้าในตะกร้าห้องนอนจำได้ว่ายังไม่ได้ซักตั้งหลายตัว ตอนนี้หายไปหมดแล้ว แม่บ้านไม่ได้เอาไปซักแน่ ๆ เพราะนี่ไม่ใช่วันอาทิตย์ ว่าที่เจ้าของห้องอีกคนเอาไปซักให้สินะ ทำตัวเมียขึ้นทุกวัน

นอนแช่น้ำอุ่นแบบอมยิ้มไปในที ชีวิตตัวเองตอนนี้ถ้าไปเล่าให้ใครฟังคงมีคนอิจฉาบ้างแหละ ผู้ชายอายุเกือบลุงที่เคยบ้างาน ทำงานหลายอย่างจนไม่มีเวลาให้ใครกระทั่งตัวเอง ตอนนี้มีคนที่คอยเข้าใจ ให้กำลังใจ และเติมเต็มชีวิตในหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะ “ความสุข” และ “ความสบายใจ” ต่อไปนี้ก็คงทำงานลืมวันลืมคืนได้ แต่คงลืมคนที่รออยู่ที่ “บ้าน” ไม่ได้

บ้านในที่นี้คือศิ

ศิคือบ้านที่น่ากลับของผม




แต่งตัวสบาย ๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดเส้นผมที่ยังเปียกชื้นเดินลงมาห้องครัวด้านล่าง กลิ่นหอมฉุยของอาหารสารพัดอย่างก็ถูกจดวางเต็มโต๊ะ อย่างกับจะเลี้ยงคนทั้งคอนโด น้องรู้ว่าผมกินเยอะ แต่ก็ไม่ใช่จะเยอะขนาดนี้มั้ย

“พี่ดิมมาพอดีเลย ศิจัดโต๊ะเสร็จแล้ว น่ากินมั้ย”

เด็กผู้ชายในผ้ากันเปื้อนพูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำตรงหน้า รอยยิ้มสดใสปรากฏให้เห็นจากใบหน้าเนียนใสบ่อยครั้งกว่าแรก ๆ  ที่เรารู้จักกัน จะเคลมว่าตัวเองก็เป็นความสุขของเขาได้มั้ยนะ

“ไหนดูซิมีอะไรน่ากินกว่าศิมั้ย” จุ๊บแก้มเนียนที่ดูโกลว์ขึ้นจากความร้อนในการทำงานครัว

น้องมองตาขวางแบบเขิน ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เลยได้ทีจุ๊บปากเล็ก ๆ ที่ยู่แบบเด็กดื้อไปที

“วันนี้ศิลองทำอาหารไทยนะครับ ไม่ถนัดเลยไม่รู้จะอร่อยมั้ย”

กวาดสายตามองโต๊ะอาหารตรงหน้าที่รายล้อมไปด้วยอาหารหน้าตาน่าทาน ทั้งต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่ง ไข่เจียวกุ้ง ผัดผักรวม กะเพราไก่ สลัดผักสด ไข่ดาวน้ำ น้ำส้มคั้นตั้งคู่กับน้ำเปล่า และข้าวสวยร้อน ๆ

“พี่กินเยอะขนาดที่ศิต้องทำกับข้าวขนาดนี้เลยหรอ”

“อื้อ ก็กลัวพี่ดิมไม่อิ่ม”

“พี่ว่าพี่ต้องเป็นหมูแน่ ๆ ยิ่งไม่ได้ออกกำลังกายอยู่ด้วย” พูดไปก็เดินไปดึงเก้าอี้ให้เขา แล้วก็พาตัวเองไปประจำที เรานั่งตรงข้ามกัน เพราะโต๊ะอาหารในห้องครัวเป็นโต๊ะเล็ก ๆ สำหรับสองคน

“เป็นหมูก็น่ารักดีนะครับ ตัวสีชมพู วิ่งดุ๊กดิ๊กๆ” ศิตักข้าวพูนจานให้ผมก่อนจะตักหนึ่งทัพพีให้ตัวเอง

“เดี๋ยวพี่อ้วนมาก ๆ จะไม่พูดแบบนี้หรอก”

“พี่ดิมเป็นยังไงศิก็...รักพี่ดิมอยู่ดีแหละ” ประโยคสุดท้ายดูจะแผ่วลงเล็กน้อยตามระดับความเขินของคนพูด ผมไม่ซักอะไรต่อเพราะเดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าว จะได้กินเจ้าเด็กน่ารักข้างหน้าแทน


มื้อนี้เจริญอาหารมากกว่าปกติ ทั้งที่ปกติก็เจริญอาหารที่ไม่ใช่ข้าวในโรงพยาบาลอยู่แล้ว ยิ่งเป็นฝีมือของคนรักทำให้กินยิ่งอร่อยเท่าทวี ผมช่วยศิเก็บจานและอาสาเป็นคนล้างให้เอง เพราะไม่อยากเอาเปรียบน้อง ทำกับข้าวให้แล้วยังต้องมาทำความสะอาดให้อีก ตอนแรกศิเกี่ยงจะทำเองเพราะอยากให้ผมเข้าไปพักผ่อน แต่ผมก็บอกเขาไปว่า

“ศิเป็นแฟนพี่ไม่ใช่แม่บ้าน อยากดูแลพี่รู้ แต่แค่กลับมาแล้วเห็นหน้าศิก็หายเหนื่อยแล้ว ศิไม่ต้องลำบากเลย”

น้องก็พยักหน้าทำเป็นเข้าใจ แต่เสียงเครื่องซักผ้าในห้องซักล้างส่งสัญญาณเตือนว่าได้เวลาเอาผ้าออกจากเครื่องไปตาก น้องก็วิ่งดุ๊ก ๆ ไปตากผ้าทันที ฟังที่ไหนล่ะเด็กดื้อแบบนี้

ศิกำลังจะเดินเอาตะกร้าผ้าไปเก็บเข้าที่ ผมที่นั่งบนโซฟาร์หลังจากล้างจานเสร็จ ก็มาสังเกตความเป็นคนเจ้าระเบียบของเด็กคนนี้ ก่อนตากผ้ากลับตะเข็บ เรียงสี แยกกางเกงกับเสื้อ อดใจไม่ได้ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แถมตอนที่เขาจะเดินผ่านไปก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอีก แต่ไม่กล้าเรียกน้องยืนถ่ายรูปดี ๆ หรอก นี่ก็เขินเหมือนกันไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลย ลอบยิ้มกับภาพที่ตัวเองแอบถ่ายน้องแล้วตั้งเป็นโฟลเดอร์เฟบเวอร์วิทกับตัวเองคนเดียว เป็นเอามากจริงว่ะดิม



สองทุ่มกว่าศิอาบน้ำตัวหอมเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมย้ายตัวเองมานอนกลิ้งบนเตียงเรียบร้อย แถมตาปรือจะหลับเต็มทีแต่รอเจ้าเด็กที่อาบน้ำเหมือนจะฟอกสีผิวใหม่

“นานจัง” พึมพำโดยที่ยังไม่ลืมตา

“พี่ดิมง่วงแล้วหรอ” น้องถาม และเหมือนได้กลิ่นสบู่อาบน้ำชัดเจนขึ้นใกล้จมูก

“อื้อ เพลียยังไงไม่รู้” ตอบไปพยายามลืมตาที่หนักอึ้ง แต่ก็เลือนลางเพราะไม่ได้ใส่แว่น เลยควานหาแว่นที่หัวเตียง แต่แล้วเหมือนคนที่ยืนข้างเตียงจะรู้ก็เลยถูกสวมแว่นให้

พอภาพทุกอย่างชัดเจนเท่านั้นแหละ อาการง่วงก่อนหน้านี้ค่อย ๆ สะบัดออกจากหัว เพราะชุดศิที่สวมใส่ กับใบหน้าที่หม่นเล็กน้อย เหมือนเจ้าตัวเตรียมอะไรบางอย่าง แต่ผมดันบอกง่วงนอน

เสื้อเชิ้ตสีครีมบางเหมือนกระดาษ ห่อหุ้มร่างกายเปลื่อยเปล่าเพราะแสงไฟในห้องทำให้เห็นว่าร่างบางไม่มีอะไรปกปิดเลยนอกจากอาภรณ์ชิ้นนี้ ที่อาบน้ำนานคงไม่ใช่เพราะแค่เตรียมตัว คงเตรียมใจที่จะทำแบบนี้ แต่แล้วผมดันมาบอกว่าเหนื่อยอยากนอน น้องคงใจเสียไปแล้ว

“งั้นพี่ดิมพักผ่อนเถอะครับ ศิ...ขอไปเปลี่ยนเสื้อก่อน” ใบหน้าหม่นปนเขินอายกำลังจะหันหลังกลับไปที่ห้องแต่งตัว แต่ไม่เร็วเท่ามือของผมที่คว้าแขนน้องไว้

“เดี๋ยวสิ ชุดนี้…”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ศิแค่ลองใส่ดูเฉย ๆ” น้องไม่หันมามองหน้าผมเลยตอนที่พูด ไงล่ะมึงไอ้ดิม ยังจะง่วงอยู่มั้ย

พอศิตอบแบบนี้ก็โคตรรู้สึกผิดขึ้นมา ดึงแขนน้องเบา ๆ จนคนตัวเล็กนั่งลงบนเตียง ก่อนที่ผมจะกอดน้องไว้ด้วยแขนข้างเดียวหยั่งเชิง กลัวว่าน้องจะปัดออกเพราะโดนโกรธเข้าแล้ว แต่แล้วน้องก็ไม่ทำเลยหย่ามใจกอดเต็มแรงทั้งสองข้าง แล้วเอาคางที่มีหนวดแข็ง ๆ หยุบหยับพาดบนไหล่เล็กอย่างออดอ้อน

“พี่ไม่รู้ว่าศิเตรียมอะไรแบบนี้ พี่ขอโทษนะ”

“...”

“นะครับ”

“ศิไม่ได้โกรธ แค่...เห็นพี่ดิมเหนื่อย ๆ ก็เลย…”

“....”

“อยากทำให้”


“โถ่หนู”

ได้ยินคำตอบแบบซื่อ ๆ คิดอะไรง่าย ๆ แบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าน้องจะทำอะไรแบบนี้ให้ เพียงเพราะเห็นผมทำงานหนัก ไม่ใช่แค่เรื่องที่คัดสรรเสื้อผ้าที่คิดว่าผมน่าจะชอบ แต่มันรวมไปถึงทำอาหารเย็นกินกันง่าย ๆ เมื่อกี๊ ไหนจะทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเพื่อให้ผมนอนสบายขึ้น มันเป็นความใส่ใจที่น้องตระเตรียมไว้ให้ เพราะคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน และคงอยากให้ผมที่ค่ำคืนที่มีความสุขกับเขาจนยอมอายแต่งตัวอะไรที่ไม่เคยชิน แค่อยากให้ผมหายเหนื่อยเท่านั้นเอง

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ

จูบที่แก้มเนียน ลาดไหล่ และข้อมือ แทนคำขอโทษและรู้สึกผิดที่ตัวเองโง่ไม่รู้อะไรเลย

“พี่ไม่ง่วงแล้ว ยังมีโอกาสอยู่มั้ย”

น้องไม่พูดอะไร แต่ผลักผมลงไปนอนราบที่เตียงด้วยแรงทั้งหมดที่มี แล้วขึ้นมานั่งคล่อมผมทั้งตัว  เสื้อไม่ได้ยาวมันก็เลิกขึ้นจนเห็นของลับวับ ๆ แวบ ๆ พลอยให้ใจเต้นเหมือนลุงแก่ ๆ กำลังจะได้กินอิหนูเด็กคราวลูก

“คนบ้า รู้มั้ยเนี่ยว่าเตรียมใจนานแค่ไหน อยู่ ๆ มาบอกง่วง เหอะ” น้องฟาดมือเล็ก ๆ ลงที่กลางอก แต่มันไม่เจ็บสักนิดเดียว

“พี่ดิมอยู่เฉย ๆ ห้ามแตะตัวศิเลยนะ เป็นบทลงโทษของคนนิสัยไม่ดี”

ผมยิ้มรับและพยักหน้ารับ “พี่ใช้เสียงได้มั้ย”

“อะ อื้อ อันนั้นอนุญาต”

คนที่คล่อมอยู่ด้านบนจับแขนสองข้างของผมด้วยแรงแบบเด็ก ๆ ของเขาแล้วยกมันไว้เหนือศรีษะ อยากจะขำแต่ไม่กล้าเพราะเดี๋ยวน้องใจเสียไอ้สิ่งที่น้องเตรียมมาจะไม่ได้เห็นแน่นอนในชาตินี้




มีต่อ


หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.16 SAY YES (21/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 30-07-2018 21:59:33
ศิก้มลงมาจูบ เป็นจูบที่ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่เราจูบกันมากทีเดียว เพราะน้องได้รับการเทรนด์ที่ดีจากผมไปนั่นเอง อะอวยตัวเองไปหนึ่ง ริมฝีปากนุ่มนิ่มกำลังบดเบียดกับริมฝีมปากหนาของผม น้องส่งเสียงเล็กน้อยเวลาที่ผิวไปโดนไรหนวดที่กำลังขึ้น ได้แต่ยิ้มกับความน่ารักของเขา ลิ้นเล็กพยายามจะกล่ำกลายเข้ามาในปาก แต่ผมก็ทำเป็นอยู่นิ่ง ๆ จนเขาถลึงตาใส่เลยยอมเปิดปากแต่โดยดี ผมให้น้องคุมเกมอยากเห็นว่าไปเรียนขั้นตอนมาจากสำนักไหน Coat หรือ Men

ลิ้นเล็กทำหน้าที่ดีกว่าที่คิด ทำเอาผมเริ่มเคลิ้มใช้ลิ้นตัวเองเกี่ยวพันน้องไปหลายที เกือบจะเผลอตัวจูบกลับแรง ๆ ไปเสียแล้ว แต่ยังดีที่ยั้งตัวทัน มือศิเริ่มซุกซนลูบที่แผ่นอกและหน้าท้อง ทั้งที่ปากกำลังเคลื่อนตัวลงมาตามซอกคอและไหปลาร้า น้องกำลังสร้างคิสมาส์กผมก็ยอมเพราะไม่ค่อยได้ใส่เสื้อยืดออกไปข้างนอกอยู่แล้ว

ศิใช้มือเลิกเสื้อนอนของผมขึ้นแล้วถอดมันออกจากตัว ใจจริงอยากปลดกระดุกเสื้อเชิ้ตเขาชะมัดแต่กติกาคือผมห้ามโดนตัวน้องไง ไอ้ส่วนหัวนมน้องมันก็แข็งแทงเสื้ออกมายั่วยวนเสียจริง

น้องใช้ลิ้นและมืออีกข้างหยอกเย้ากับตุ่มที่หน้าอกผม เหมือนเขากำลังกินขนมชิ้นโปรด อย่างที่บอกน้องใช้ลิ้นเก่งขึ้นมาก ๆ และตอนนี้เสียงครางอย่างพอใจเปล่งออกไปอย่างห้ามไม่ได้ อยากจะใช้มือสองข้างของตัวเอง ประคองเอวเล็ก ๆ ที่โก่งโค้งนี่เหลือเกิน แต่ทำได้แค่กำผ้าปูที่นอนแน่น ผมเห็นน้องยกยิ้มอย่างชอบใจและไม่รอช้าเขาก็ใช้มือที่ว่างเลื่อนไปลูบส่วนที่กำลังจะแข็งตัวเบา ๆ กระตุ้นให้มันรู้สึกร่วมไปกับเจ้าของ

“ฮ่า” เสียงประหลาดนี่เปล่งออกมาหลังจากที่ศิใช้มือกอบกำส่วนที่อยู่ใต้กางเกงนอน ตอนที่น้องล้วงเข้าไปเขาแอบตกใจเล็กน้อยที่ผมไม่สวมกางเกงใน ใช่ครับ ปกติไม่ค่อยใส่เพราะอึดอัด และตอนนี้ยิ่งอัดอัดเพราะของน้องก็เริ่มแข็งแล้ว และมันก็กำลังถูดไถที่หน้าท้องของผม น้ำใสจากแรงอารมณ์เลอะที่หน้าท้องผมเล็กน้อย มันเป็นภาพที่อยากยกมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บไว้จริง ๆ แต่ทำไม่ได้

คนด้านบนถอยหลังไปเล็กน้อย และเหมือนผมจะรู้ว่าน้องกำลังจะทำอะไร

“ศิจะทำหรอ”

น้องไม่ตอบแต่ดึงกางเกงผมออกอย่างช้า ๆ และส่วนที่กำลังขยายเด้งพรืดขึ้นต่อหน้า น่าอายชะมัด คนทำยิ้มให้อย่างเขิน ๆ มือเล็กจับที่ท่อนอุ่นก่อนจะใช้ลิ้นเลียเหมือนชิมของที่อยู่ในมืออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  พอรับรู้รสชาติว่ามันไม่ได้ประหลาดอย่างที่คิดก็อ้าปากกว้างขึ้นก่อนจะรับมันเข้าไปทั้งหมด แต่เข้าได้แค่ส่วนหัว แค่นี้ใจผมก็จะขาดอยู่แล้ว

เท้าข้อศอกเพื่อยกตัวมองน้องทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าเขาจะทำให้ เพราะไม่ได้ร้องขออยากให้น้องทำเลย รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมทำให้กันง่าย ๆ และแน่นอนมันน่ารักมากจนอยากจะจับน้องมาฟัดให้จมเตียงตอนนี้

“อี้อิมอุดเอย”  (พี่ดิมหยุดเลย)  น้องมองมาที่ผมตลอดตอนทำกิจกรรม เห็นผมกำลังจะใช้มือลูบหัวน้องก็เลยพูดทั้ง ๆ ที่ปากยังคาไอ้เจ้านั่น โอ้ย จะตายแล้วโว้ย ตายเพราะความซื่อของน้องนี่แหละ

เลยได้แต่กำหมัดแล้วส่งเสียงครางต่ำ ๆ ให้เขารู้ว่าผมพอใจกับการกระทำของเขาแค่ไหน แม้ว่ามันจะไม่ได้สมบูรณ์แบบมาก เพราะรู้สึกว่ายังโดนฟันขบเบา ๆ แต่ไม่เจ็บอะไร อยากรู้จริง ๆ ว่าไปฝึกตอนไหน ใช้อะไรฝึกกันนะ

พวกคุณคิดสภาพออกใช้มั้ย แฟนผมกำลังทำท่าโก่งโค้งเพื่อออรัลให้ ใบหน้าขาวนวลอมชมพูขึ้นเล็กน้อยเพราะต้องใช้แรง และเสื้อเชิ้ตตัวบางก็ร่นขึ้นจนมันมากองที่เอว ภาพทุกอย่างฉากชัดบนเงาจอทีวีขนาด 44 นิ้วบนผนังตรงข้ามเตียง ที่ไม่ค่อยได้เปิดใช้ แต่มันมีประโยชน์ก็วันนี้แหละ

“ฮ่าา หนูจะทำให้พี่เสร็จนะ”

จุ๊บ

น้องถอนริมฝีปากและจูบที่ส่วนที่เล่นลิ้นกับมันมานานพอสมควร แล้วหอบหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ชื้นขึ้นที่ขมับ จนอยากเช็ดให้ ผิวน้องแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จู่ ๆ เขาก็เดินลงไปจากเตียงจนผมเหว๋อว่าจะทำให้กันแค่นี้หรอ ถูกลอยทะเลเพราะไปทำให้น้องไม่พอใจแน่ ๆ แต่แล้วน้องก็เดินกลับมาพร้อมกับขวดเจลสีใส

ไม่พูดพร่ำทำเพลง น้องก้มลงมาจูบผมอีกครั้งอย่างไม่พูดไม่จา รู้แค่ตอนนี้อารมณ์น้องกระเจิดกระเจิงมาก ๆ มือเล็กปลดประดุมเสื้อเชิ้ตด้วยตัวเองออกสองสามเม็ด จนแผงอกขาวเด่นกระง่านตรงหน้า เขาถอนจูบก่อนจะเปิดขวดเจลแล้วทาไปที่ส่วนที่ควรหล่อลื่นด้วยตัวเอง สองขาเล็กที่คล่อมผมอยู่แหวกออกเล็กน้อยเพื่อจะได้ถนัดขึ้น ใบหน้าใสเริ่มเหยเกเล็กน้อย พอมองไปที่ทีวีใจกระตุกเลย นิ้วเล็กพยายามสอดเข้าไปที่ส่วนนั้นด้วยตัวเอง

“อื้อ” น้องกัดปากตัวเองดูแล้วทรมานไม่น้อย

สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมพูดไม่ออกเลย คือไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นคนรักช่วยตัวเองต่อหน้า อยากจะรวบตัวน้องแล้วจัดการอะไร ๆ ให้มันเป็นไปตามใจ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าน้องจะทำอะไรต่อ และตัวเองจะทนกับการยั่วยวนนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่

นอนมองน้องเตรียมตัวด้วยใจเต้นแรงเกือบห้านาที โดยที่น้องไม่สนใจเลยว่าผมจะตายอยู่แล้ว แถมยังมองหน้าด้วยสายตาช่ำเยิ้มบ่งบอกว่าตัวเองพร้อมแค่ไหนนั่นอีก ใจมันแทบจะทะลุออกมาจากอกอยู่แล้ว แต่ก็ตกใจอีกรอบที่น้องบีบเจลใส่มือแล้วค่อย ๆ ทาที่ส่วนแข็งขืนของผมที่กระตุกเองหลายทีเพราะอยากเต็มทน

“ถ้าพี่ดิมแตะศิ ศิจะหยุดเลยนะ”

น้องขู่ผมอีกรอบ เดาว่าน้องคงรู้ว่าผมวางแผนอะไรไว้ แถมยังรู้ว่าผมอดกลั้นได้อีกไม่นาน

พอเขาทาเจลให้เสร็จ ก็จับสิ่งที่แข็งเป็นหินตั้งก่อนแล้วค่อย ๆ กดตัวเองลงมาทับสิ่งนั้น น้องกัดปากตัวเองแน่นจนกลัวว่าจะช้ำ กลั้นเสียงร้องไว้ในลำคอ อยากจะดันตัวเองเคลื่อนเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวน้องจะเจ็บ แถมถ้าทำแบบนั้นก็กลัวน้องจะหยุดอย่างที่บอกไว้เลยได้แค่มองการกระทำที่สุดวาบหวิวตรงหน้า และเริ่มรู้สึกมากขึ้นเมื่อน้องดันตัวเองจนสุดลำ

“ฮ่า” เขาถอนหายใจเบา ๆ

“หนูกำลังทำให้พี่เป็นบ้า”

“อื้อ ศิจะ จะขยับ”

“รัดพี่แน่นขนาดนี้จะขยับได้หรอ”

“อะ อื้อ พะ..พี่ดิม ยะ หยุดเลย” น้องออกปากห้าม เพราะผมควงเอวเล็กน้อยเพื่อให้น้องลดอาการเกร็ง แต่ก็โดนสั่งห้ามเฉยเลย ทั้งที่ตัวเองเสียวมากขนาดนี้

“ครับ ๆ”

คนตัวเล็กใช้แขนกดที่หน้าท้องของผมก่อนจะค่อย ๆ ขยับขึ้นลงด้วยจังหวะเนิบช้า และเริ่มคล่องขึ้นเพราะช่องทางงเริ่มขยาย ก่อนจะใช้แรงและความเร็วเพิ่มขึ้น เล็บที่ยาวเล็กน้อยจิกลงที่แถวสะดือแต่นั่นแหละไม่เจ็บเลยสักนิดมีแต่ความเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

“ศิ เร็วไปแล้ว..ครับ อะ”

ตอนนี้ไม่ใช่แค่ขยับขึ้นลง แต่น้องเริ่มใช้ตัวเองถูไถบดเบียด ยิ่งทำแบบนี้น้องของผมมันยิ่งเข้าไปในตัวน้องลึกขึ้นมาก ๆ และผมกำลังจะหมดความอดกลั้นเต็มที

“พะ ดิม จับมือหน่อย”

จับมือศิสองข้างแน่น เขาคงอยากหาหลักเพิ่มแรงตัวเองให้ได้มากขึ้น และนี่เป็นจุดที่ทำให้กติกาของเราขาดสะบั้นเพราะน้องขอให้แตะตัวเขาเอง หึ เด็กขี้ยั่ว

“อ๊ะ จะถึง”

น้องขยับโยกอีกไม่กี่ทีตัวก็กระตุกสองสามครั้งก่อนที่น้ำสีขุ่นเปื้อนเต็มหน้าท้องและกระเด็นมาถึงหน้าอกของผม ศิโกยอากาศหายใจเข้าปอดและบีบมือที่จับผมแน่น ก่อนจะก้มลงมาจูบอย่างขอกำลังใจ หึ คราวนี้ล่ะ

รีบพลิกตัวน้องทั้งที่ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่ และน้องก็ดูตกใจไม่น้อยที่ผมทำแบบนั้น

“พี่ดิมห้าม..”

“หนูผิดกติกาก่อนเพราะขอให้พี่จับมือไง”

“คิดไว้แล้วสินะ คนเจ้าเล่ห์อย่างพี่อะ”

“พี่จะทำให้หนูบอกให้ได้ว่าไปเรียนไอ้ที่ทำเมื่อกี๊มาจากไหน”

“อ๊ะ พะ พี่ เร็วไปแล้ว”

ไม่ต้องรีรออะไรอีกเพราะที่ทนไปก่อนหน้านี้มันก็นานเกินไปแล้ว มีอย่างที่ไหนไม่เคยเริ่มก่อน ทั้งที่ดูเป็นเด็กทขี้อายกับอะไรแบบนี้ แต่กลับกล้าทำสิ่งที่ยั่วยวนกันแต่กลับไม่ให้แตะต้องตัวเอง จะต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบว่าอย่าทำอะไรที่น่ารักเกินกว่าปกติ เพราะแค่ปกติก็ทำให้หลงจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเวลากลับบ้านอยู่แล้ว

เจ็บตัวหน่อยแล้วกันเด็กดื้อ

สวนสะโพกเข้ากับเอวเล็กอย่างไม่ยั่งแรง เพราะมันยั่งตัวเองไม่ได้ น้องน่าจะรู้ว่าผมเป็นคนมีความต้องการมาก ยังกล้ามาทำอะไรแบบนี้ บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้เริ่มหน้ามืดและรุนแรงกับน้องพอสมควร

กระชากเสื้อเชิ้ตที่รกตาออกจากร่างกายเนียนขาวตรงหน้า ที่มันยิ่งผ่องขึ้นเมื่อกระทบแสงไฟ ปกติเวลาเราเมคเลิฟน้องมักจะขอให้เปิดแค่ไฟหัวเตียง แต่วันนั้นเปิดไฟสว่างทั้งห้อง แถมผ้าม่านก็ยังไม่ได้ปิด ดีที่ห้องอยู่ชั้นสูงสุดและเป็นมุมที่ไม่ตรงกับอาคารสูงอื่นเลย

“ไปดูวิธีการมาจากไหน ใครสอน”

“อ่า ฮะ พี่ดิม บะ เบาหน่อยเถอะครับ”

“ตอบพี่ก่อนคนดี”

“อื้อออ ในเว็บ”

“แค่นั้นหรอ”

“ฌะ เฌอบอกด้วย อื้อ อ๊ะ ก็ลองทำตอนที่พี่ดิม ปะ ไปเข้าเวร”
“อ๊ะ”

พอได้ยินน้องบอกแบบนั้นยิ่งอยากเป็นบ้า ลองทำด้วยตัวเองตอนผมไม่อยู่เพื่อทำให้ผมมีความสุข ไม่อยากคิดว่าน้องจะเสร็จไปกับวิดีโอโป๊ไปกี่ครั้ง คิดแล้วก็แอบไม่พอใจ ทำไมไม่ให้สอนวะไปพึ่งวิดีโอทำไม

เออหึงกระทั่งวิดีโอโป๊นี่แหละ แม่ง

ก้มลงไปจูบเพื่อให้น้องหยุดการใช้เสียง เพราะกลัวว่าจะเจ็บคอ เสียงที่ใช้ตอนนี้รู้เลยว่าน้องรู้สึกมากไม่ต่างกัน แผนประหลาด ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกแล้ว

“เด็กดื้อ แอบช่วยตัวเองตอนพี่ไม่อยู่”

“อื้ออ พี่ดิมศิจะสะ เสร็จ”

“อย่าเพิ่งครับ”

จัดการรวบตัวเด็กในอ้อมแขน แล้วกระเตงออกมาที่กระจกริมระเบียง ก่อนจะพลิกตัวเขาให้หันหน้าเข้าหาวิวเมืองหลวงของกรุงเทพฯ ที่กำลังสวย เพราะเพิ่งจะไม่กี่ทุ่ม

“พะ ดิมจะทำอะไร ตรงนี้ไม่เอา”

“พี่จะเอา”


“ฮ่าา อ๊ะ”

ไม่พูดเปล่าเริ่มขยับอีกครั้ง แต่ลดแรงกระแทกลงมาหน่อย กลัวกระจกแตกไม่งั้นนิติคอนโดคงบุกขึ้นมาเพราะสัญญาณกันขโมยดัง จับเอวบางให้ชิดที่แผงอก ก่อนจะบังคับให้เขาหันมารับจูบแบบดูดดื่ม ขาศิเริ่มไม่ติดพื้นคงเพราะอาการเสียวกับบรรยากาศแปลกใหม่

ถอนจุมพิตออก เพราะน้องเริ่มส่งสัญญาณว่าจะถึงฝั่งอีกครั้ง เลยขยับเป็นจังหวะเพื่อให้เขาปลดปล่อย ไม่นานน้ำสีขาวขุ่นที่เริ่มจางเพราะไปแล้วหนึ่งรอบก็ฉีดเปรอะกระจกใสเป็นจุด ๆ กระจายไปทั่ว ศิพิงกระจกเริ่มหมดแรงเลยตามไปจูบแผ่นหลังเนียนชื้นเหงื่อเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือแอบปลดล็อกกระจกแล้วดันเขาออกไปยืนรับผมที่ระเบียงทั้งที่ตัวเองไม่ได้ถอนกายออก

“มะ ไม่นะ พี่ดิม”

แน่นอนผมเริ่มขยับอีกครั้ง น้องจับขอบระเบียงสแตนเลสแน่น ผมจัดให้เขาอ้าขาอีกเล็กน้อยแล้วเพิ่มแรงขึ้นอีก เพราะตัวเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่โดนน้องปล่อยให้ค้างเติ่งตอนแรก จนตอนนี้น้องเสร็จไปสองรอบเลยคิดว่าไม่ควรกลั้นอีกต่อไป ใส่แรงกระแทกกระทั้นมากขึ้นจนน้องตัวโยนชิดกับระเบียง

“อ๊ะ อ๊ะ”

“ฮ่า อีดนิดคนดี”

ขยับเร็วและรัวอีกหลายครั้งก่อนจะปลดปล่อยสิ่งที่ไม่ได้เอาออกมาเป็นอาทิตย์เข้าตัวน้อง และมันน่าจะเยอะมากจนไหลออกมาตามต้นขาน้องเต็มไปหมดทั้งที่ยังไม่ได้ถอนกายออก

“ฮ่าา ดูซิขนาดพี่ยังไม่ช่วยตัวเองเลย”

“ฮะ พี่ดิมไม่มีเวลามากกว่า”

ถอนกายออกแล้วน้ำสีขุ่นมากมายก็ถยอยไหลออกมาอีก จนน้องมีสีหน้าตกใจ ก็เลยอุ้มน้องเข้าห้องและให้เขาปิดกระจกก่อนจะวางเขาบนเตียงอย่างเดิม

ที่ระเบียงก็เร้าใจดีเหมือนกัน ยกให้เป็น favorite place for make love

อย่าคิดว่าจะจบแค่รอบเดียว เพราะบอกแล้วว่าน้องอาจจะต้องเจ็บตัวหน่อยที่ทำแบบนี้กับคนมีความต้องการสูงอย่างผม

ง่วงนอนน่ะหรอ หายไปตั้งแต่เห็นเสื้อเชิ้ตสีครีมที่ตอนนี้กองอยู่ข้างเตียง รวมกับเสื้อและกางเกงของผมแล้วล่ะ

ความเพลีย ก็แพ้เมียขี้อ่อย





เช้าวันนี้กับอาการปวดเนื้อปวดตัวเหมือนเข้าฟิตเนสแล้วโดนเทรนเนอร์จัดครบเซตบริหารก้น ตอนนี้เหมือนก้นโดนค้อนทุบจนร้าวระบมไปหมด ตัวการที่ทำยังคงนอนคว่ำหน้าใช้แขนใหญ่กอดเอวผมไว้อย่างแน่นหนากลัวหาย ตอนแรกที่บอกว่าเพลียง่วงไม่มีอยู่จริง หน้ากระจก ริมระเบียงมาต่อที่เตียง และจบที่ในห้องน้ำอีกรอบ ภาพผมตัดไปตอนที่เขาปลดปล่อยภายนอกใต้ฝักบัว ตอนนั้นในตัวผมมีแต่น้ำเขาเต็มไปหมด คนบ้ากามเอ้ย

มองนาฬิกาเพิ่งจะเก้าโมงกว่า วันนี้คุณหมอหยุดหนึ่งวันแต่เห็นว่าตอนเย็นจะต้องไปหาอาจารย์เรื่องทำวิจัยอะไรสักอย่าง และเขาคงไม่ตื่นมากินข้าวเช้าแน่ ๆ อาทิตย์ที่แล้วนอนรวมกันไม่ถึงสิบห้าชั่วโมง วันนี้คงปล่อยให้นอนไปก่อน จริง ๆ เมื่อคืนกะว่าจะช่วยเขาปลดปล่อยแค่รอบเดียวเท่านั้น แต่พี่ดิมนั่นแหละดันมาทำง่วงใส่กันทั้งที่อุตส่าเตรียมอะไรตามที่เฌอบอกแล้วแท้ ๆ ใจเสียไปสิ

แต่ถ้าเข้าเหนื่อยขนาดที่ไม่อยากทำก็บอกกันได้นี่นา พูดดี ๆ ก็เข้าใจได้ ถ้าถามว่าใจเสียมั้ยก็นิดหน่อย แต่เรื่องแบบนี้ถ้าอีกคนไม่อยากทำก็ไม่ควรฝืน จะกลายเป็นเสียอารมณ์เปล่า ๆ แต่แล้วก็นั่นแหละลุงหื่นกามมักจะมีแรงกับอะไรแบบนี้เสมอ และจุดจบของคนที่เตรียมจะสร้างความสุขให้คนรัก กลายเป็นคนทุกข์ให้ตัวเอง

เจ็บตูดนี่ไง

สงสัยจะแบตจะหมดจริงจัง ขนาดขยับตัวลุกพี่ดิมยังไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว ปกติเขาเป็นคนตื่นง่ายได้อย่างกับอะไร ยินอะไรนิดหน่อยก็ตื่นแล้ว ดีแล้วให้คุณหมอเขาพักไปก่อนที่จะตื่นมาวอแวกับผมอีก

นอนแช่น้ำอุ่นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ดีที่อ่างที่คอนโดพี่ดิมมีระบบน้ำวน เลยช่วยคลายเมื่อยไปได้เยอะเลย นี่แหละนะวิถีคนรวย

ตั้งใจจะโทรหาหม่าม้าซะหน่อยแต่ดันเป็นหม่าม๊าโทรเข้ามาก่อนเหมือนรู้ใจ เลยเดินลงมารับโทรศัพท์ข้างล่างจะได้ไม่รบกวนคนหลับด้วย

“ครับ หม่าม๊า”

(ม๊ามาหาที่คอนโดลูกไม่อยู่หรอครับ)

“อ่า ครับ”  ฉิบหายแล้วมึงไอ้ศิ ทำไมม๊ามาเซอร์ไพร์สวันนี้วะ

(ไปนอนกับเมฆหรอหรือกับเฌอ)

“เปล่าครับ คือลูก…”

(หรือกับแฟน)

“....”

(ศิครับ ไหนศิจะบอกม๊าทุกเรื่องไง)

“ครับม๊า ศิอยู่คอนโด...เอ่อ แฟน”

(งั้นม๊าจะไปหา บอกที่อยู่มาครับ)

“หม่าม๊าาาา”

(หรือจะให้โทรให้ป๊าไปด้วยกันเลย) เสียงเย็น ๆ ของม๊าทำผมใจหลุ่นวูบ ยิ่งพูดชื่อป๊าด้วยแล้วเหงื่อซึมเลย ป๊าปกติใจดีแต่อย่าให้โกรธนะ

“ครับ ๆ ก็ได้ คอนโดอยู่ที่สาทร ซอย…”

ความซวยมาเยือนแล้วแหละคุณหมอดิม เอายังไงดีล่ะคราวนี้ จริง ๆ เคยบอกหม่าม๊าไปแล้วว่ามีคนคุย ๆ อยู่ แต่ยังไม่นาน ไว้รอให้อะไร ๆ มันแน่นอนกว่านี้แล้วจะบอกหม่าม๊าว่าแฟนคือใคร แต่ไม่ทันแล้วแหละเพราะหม่าม๊ากำลังจะมาหาที่นี่แล้ว

ทำไงดีวะเนี่ย เริ่มจากไปปลุกคนขี้เซาให้ตื่นก่อนเลย


เสียงลมหายใจดังเป็นจังหวะอีกนิดจะกรนแล้ว

“พี่ดิม”

“....” นิ่งสนิทไร้การตอบรับ

“พี่ดิมครับ ตื่นเถอะ”

“ฮื้อ” บิดตัวหนีกันอีกแหนะ

“พี่ดิมตื่นเถอะ ม๊าศิจะมาหา”

“หื้ม” ร่างสูงไม่สวมเสื้อลืมตาโพล่งขึ้น ทั้งที่ยังปรับแสงไม่ได้
“ว่าไงนะ”

“ม๊าศิจะมาหาที่นี่ครับ”

“ฮะ แม่ศิจะมาที่นี่หรอ”

“อื้อ ม๊ารู้แล้ว แต่ว่าศิยังไม่ได้บอกว่าแฟนศิคือใคร”

พี่ดิมสบถเป็นคำภาษาอังกฤษสั้น ๆ ก่อนจะเด้งตัวไปอาบน้ำด้วยความเร็วแสง ผมเลยจัดแจงหาเสื้อหาไว้ให้ ยังไม่ทันจะเลือกเสร็จเขาก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบสะโพก ปากก็ยังมีแปรงสีฟันถูอยู่เลย

“ม๊าศิดุมั้ย พี่ต้องทำตัวยังไงบ้าง ศิเอาชุดหล่อ ๆ เลยนะ” แล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ เสียงฝักบัวเปิดสงสัยคงอาบน้ำแล้ว

เพิ่งเคยเห็นพี่ดิมลนลานครั้งแรกนี่แหละ ใครจะคิดว่าคนนิ่ง ๆ จริงจังอย่างเขาจะวิ่งเป็นหนูติดจั่นได้ขนาดนี้แค่เจอหน้าแม่แฟนครั้งแรก มาดอะไรที่เคยมีหลุดหมดทุกอย่าง

แต่จริง ๆ ผมก็ควรลนลานเพราะมีตั้งหลายอย่างที่ปิดบังหม่าม๊าไว้ รอโดนเชือดได้เลยศิรัส




เจ๊หยกซอยหกเก้า เผ๊ซ ๆ ๆ แซ่บ ๆ ๆ มาอีกแร้วจ้าาาาาาา พวกหร่อนที่ไปวิ่งตามผู้ชายอยากให้เค้าได้กันน่ะเขาได้กันแร้วนะรู้ยัง เรื่องจริงไม่รุงรังตาหอยแครงจร้า
เจ๊หยกซอยหกเก้าวันนี้มาคอนเฟิร์มผู้ชายที่น้องติ่งสาววายหลายคนเชียร์ให้เขาได้กัน มีคลิปเสียงหลุดจากกองถ่ายจ้า
ขณะซ้อมบล้อกกิ้งอะไรตั่งต่างฮีทั้งสองก็ลืมปิดไวเลสเสียงพลอดรักดังสนั่นผ่านลำโพงผู้กำกับสิคะงานนี้ ผกกคนดังก็เรียกสองคนไปปรับทัสนคติรัวๆ เรยค้าาา ไม่รู้งานนี้จะยังได้ร่วมงานกันอยู่มั้ย เพราะคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะ คลิปเสียงที่ว่าน่ะเจ๊ไม่ปล่อยหรอกนะ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวพวกเธอก็ไปเสาะหาเอาจนได้ อย่าถามเลยว่าใครใช่คู่ที่พวกเธอชิปหรือมั้ย เอาเป็นว่าซีรี่ส์ถ่ายจบไปแล้วกำลังจะออนแอร์จ้า ไงล่ะจิ้นให้เขาได้กันเขาได้กันจริงเลย อิอิ #เจ๊หยกซอยหกเก้า
Comment - JibJib JingJai : ขอให้เป็นขอที่คู่ที่หนูชิป สาทุบุน #หลวงเจ้ช่วยด้วย
Comment - ขายครีมขนดก : เอาเกย์มาเล่นบนเกย์ก็ถูกแล้วป่ะ
Comment - sutida toy : ถ้าตัวย่อคู่ ดศ นี่เสียดายอะ คิดว่า ด เป็นผชมาตลอด ชั้นรักเค้า
Comment - Drama attact : เจ๊ระวังค่ายเขาฟ้องนะยิ่งใหญ่ๆอยู่
Comment - ตลาดกลาง : ใครรักกันเลิกกันนี่กูต้องรู้มั้ย
Comment - สาวขอนแก่น แมนไผ : ใครอะ ใบ้ทีค่าาา
   Reply - ติ่งซรวาย : คิดว่าจากซร ตวคพจ ค่ะ คู่พระนาย
Comment - วัดดูยูมีน : อิเจ๊ อย่ามาได้ป่ะ ไคจะเอาเกย์มาเล่นเปงเกย์วุ้ย ซรวายก็ต้องชายชายดิ ไม่ได้เหยียดนะ
Comment - นพดล สิริวโส : อาตมากลับกุฏิมาเจอข่าวนี้ร้องไห้เลย กุฏิโดนงัด /ร้องไห้ใส่สบง
   Reply  วัดดูยูมีน : อิหลวงเจ้อิควาย55555555555555555555555






**Perfect - Ed Sheeran

-----------------------------to be continued-------------------------------




ทิ้งปมไว้แบบรุงรัง แบบวร้าย วร้าย
สองเรื่องเร้กๆ ไม่ใหญ่ไม่โต
หมอดิมคนดุหรือว่าหนูศิมันขี้อ่อยวะ
อยากรู้เลยไปดูสำนักไหนมา55555555555555555 /ขอลิงก์
ใครคิดถึงชาวเน็ตตอนหน้านางจะมาละนะ
กด cf ไว้เรยจ้าาา

อยากอ่านคอมเม้นท์งับ

บีคนเดิมครับทั่น

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-07-2018 22:11:19
 :hao4:

เรื่องนี้ไม่จบเศร้าใช่ไหมนะ
เราคิดไปเองใช่ไหม ทำไมกลัวววว

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-07-2018 23:39:38
ใครเป็นหนอนในกองเอาคลิปมาปล่อยเนี่ยย ชาวเน็ตก็รุงรังงง ตีตาย  :katai1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 31-07-2018 00:01:13
หมอก็ยังคงดุเหมือนเดิม หรือดุกว่าเดิมนะ 55555555555. รักกันรุนแรงเหลือเกิ๊นนนานา
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-07-2018 00:11:18
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-07-2018 00:32:40
มีหึงวีดีโอ..น่าเอ็นดู    :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 31-07-2018 01:13:31
โอ๊ยยยยย ผ่านจากความดุพี่ดิม มาเจอดราม่าต่อ ขอวาป กลับไปอ่านพี่ดิมคนดุต่อได้ไหมคะ ใจเราบางกับดราม่ามากกก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 31-07-2018 22:32:49
 :pighaun: รอตอนต่อไป :mew3:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-07-2018 23:05:18
หลงไปกับความร้อนแรงของหนูศิกับแด๊ดดี้ แต่ตอนท้ายนี่อะไร ไหนแม่จะมาไหนจะมีข่าวใต้เตียงมาอีก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 01-08-2018 00:00:17
555 เด็กวร้ายวร้าย
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 01-08-2018 06:47:18
จะรับมือกับคุมแม่ยังไงเนี่ยยย พี่ดิม 555
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: SM_day ที่ 01-08-2018 10:04:17
เจอม๊มน้องศิ แบบวร๊ายๆ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 01-08-2018 20:22:23
โหหหพี่หมอดุเหมือนเดิมมมมม
เอาแร้วเด้อตัวรว้ายๆ มาแร้วว
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 02-08-2018 01:03:41
เพิ่งเข้ามาอ่านแบบรวดเดียวเรื่องราวสนุกน่าติดตามนะ
วางพล๊อตมาดีทีเดียวมีปมปัญหาที่เราก็ลุ้นว่าจะแก้กันไป
ในทางไหนแต่ก็พาออกมาได้แบบไม่สะดุดใจเลย
และด้วยคาร์แร็คเตอร์ของแต่ละคนก็ทำให้เข้าใจนะว่าทำไม
คิดแบบนี้ทำแบบนี้ตอนแรกกังวลว่าจะจบไม่ดีแต่ตอนนี้ไม่ซีแล้ว
คิดว่าทุกปัญหาก็จะมีทางออกในแบบของแต่ละคนนั่นแล่ะ

แต่มาทีเดียว2ชามเลยนะมาม่าอ่ะเอาให้หมอเป็นชามๆไปเถ้ออ
สงสารชะนีน้อยหอยสังข์ที่รอให้เค้ามีความสุขด้วยกันปกติๆที
แต่มันดูเป็นไปได้ยากทั้ง2ปมมั้ย ครอบครัว หน้าที่การงาน สังคม
โอ้ยยนนยรุงรัง ยังไงก็ต้องสู้นะคะฝากบอกพี่ดิมกับหนูศิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนผู้นำเสนอผลงานดีๆเรื่องนี้นะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 04-08-2018 23:47:34
รอชั้นรอเทออยู่...  :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-08-2018 21:50:26
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.19 special person
[/size]

You’re a mystery I have travelled the world
And there’s no other girl like you



ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง

เกือบชั่วโมงที่เราสองคนพะว้าพะวงกับเสียงสัญญาณนี้จนพากันลนลาน แต่แล้วก็หยุดลงพร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมครามราวกับเป็นลูกระเบิดน้อยหน่าดึงสลักถ้าโดนสะกิดเล็กน้อยก็คงระเบิดตายกันตรงนี้

ผมเป็นคนเดินไปเปิดประตูเพ้นท์เฮาส์สุดหรูต้อนรับแขกคนสำคัญสำหรับเช้านี้

“หม่าม๊า”

“ว่าไงคะลูกชาย”

“อ่า สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ตามปกติเวลาเจอหน้าบุพการี แต่คราวนี้มือไม้สั่นเหมือนเจ้าเข้า

“แม่เข้าไปได้มั้ยคะ เจ้าของห้องเขาโอเคหรือเปล่า”

“เชิญครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในระยะไม่ไกลจากผมมาก เขาเดินมาตอนไหนไม่ยักรู้ แต่รู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลย เพราะหม่าม๊าตอนนี้มีรังสีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกมวนท้อง

“ม๊ากินข้าวมายังครับ กินข้าวก่อนนะ”
“ลูกทำอาหารเช้าไว้ด้วย”

ผมไม่อยากนั่งรอเวลาให้เปล่าประโยชน์เลยหาทางออกด้วยการทำอาหารแม้ร่างกายจะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่านั่งปลงไม่ตกให้เครียดซ้ำเข้าไปอีก

เมนูอาหารวันนี้เป็นเบรกฟาสต์ง่าย ๆ ไข่ดาวน้ำ ไส้กรอกอกไก่ แฮม ขนมปัง สลัดผักผลไม้ และน้ำส้มคั้น เป็นของสดที่เหลือจากที่ซื้อเข้ามาก่อนที่จะมาหาพี่ดิมเมื่อวาน

“ค่ะ ม๊าหิวพอดี ไม่ได้ชิมฝีมือลูกชายนานแล้ว” น้ำเสียงของหม่าม๊าเหมือนจะดูปกติในสายตาของคนอื่น แต่ในความรู้สึกของลูกชายเพียงคนเดียวรับรู้เลยว่าไม่ปกติสักนิด

“คะ ครับ”

พี่ดิมจัดการเลื่อนเก้าอี้ให้หม่าม๊า และคุณกฤติกากล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะมานั่งประจำที่ข้างผม วันนี้เราออกมานั่งรับประทานที่ห้องทานข้าวอย่างถูกสุขลักษณะ อาหารถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย ด้วยการจัดสรรอย่างดีจากพี่ดิม เทียบแล้วไม่ต่างจากภัตราคารหรูตอนเช้าเลย

“ลูกศิมาที่นี่บ่อยมั้ยคะคุณหมอ” หม่าม๊าที่กำลังใช้ผ้าเช็ดมือถามขึ้นเสียงราบเรียบ

“ก็สองสามครั้งครับ”

“แบบมาค้างหรอคะ”

“ครับ” มาดจริงจังของพี่ดิมถูกนำมาใช้ในสถานการณ์แบบนี้

ผมเลือกเสื้อคอปกสีฟ้าเนื้อผ้าดี และกางเกงสแล็คสีกรมขาเต่อให้พี่ดิม จะได้ไม่ดูสบายเกินไปและไม่ดูทางการเกินไป อีกอย่างเสื้อคอปกมันก็ปกปิดรอยอะไรต่อมิอะไรที่คอเขาได้ดี

“ศิรัสไม่เคยเห็นบอกหม่าม๊าเลย”

ชื่อจริงที่นาน ๆ ครั้งจะถูกขานออกจากปากคนเป็นแม่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือปี2 ที่ได้เอฟวิชาบังคับ ทำให้ต้องลงเรียนวิชานั้นใหม่ เกรดส่งไปที่บ้านหม่าม๊าเค้นหาต้นตอว่าทำไมถึงติดเอฟวิชานี่ด้วยเสียงเย็น ๆ และเรียกชื่อจริงตลอดเวลาคุยกัน เพื่อเพิ่มระยะให้ดูห่างเหิน เป็นจิตวิทยาในการกดดันและทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนทำโทษทั้ง ๆ ที่หม่าม๊าไม่ได้ด่าหรือตำหนิอะไรเลย แต่มันจะรู้สึกผิดโดยปริยาย

“หม่าม๊า ลูก…”

“ผมผิดเองครับ ผมอยากให้น้องมาหาเอง”

“ม๊าอยากทราบเหตุผลของลูกหม่าม๊าค่ะ”

“...”

“...”

น้ำเสียงเยือกเย็นและดูห่างเหินที่แม่ใช้มันทำให้ใจของผมหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ถ้าหม่าม๊าให้ผมเลิกกับพี่ดิม

จะทำยังไงดี

ถ้าหม่าม๊าให้เลือกระหว่างครอบครัวและคนรัก...จะต้องตัดใจใช่มั้ย

มือใหญ่เอื้อมมาจับมือผมที่กุมกันแน่นบนหน้าตักใต้โต๊ะ ภาพที่จินตนาการไว้ในตอนแรกต่างจากตอนนี้ มันกลับตาลปัตรไปหมด หม่าม๊าที่เคยเข้าใจและให้ทางเลือกลูกชายเสมอ ในตอนนี้ไม่ใช่เลย ความผิดเกิดจากที่ผมเลือกปิดบังและไม่จริงใจต่อบุพการีที่ไว้ใจผมมาก ๆ ก่อนเอง มันก็สมควรที่จะต้องโดนแบบนี้

“เอาเถอะค่ะ ไว้เรากินข้าวกันก่อน เดี๋ยวจะไม่อร่อยเปล่า ๆ”

ตาที่เริ่มร้อนเพราะกลัวแม่ตัวเองตอนนี้เหลือเกิน หม่าม๊าที่ใจดีเสมอมา ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับอัยการสอบสวนที่กำลังเค้นหาความจริงจากปากผู้ต้องหา กระพริบตาไล่น้ำตาที่มันรื้นขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วพยายามกินอาหารตรงหน้าเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

อาหารเช้าสามจานดูจะมีแค่ผมที่พร่องลงน้อยสุด พยายามทำเป็นปกติแล้วแต่มันยาก ยากมากจริง ๆ ไม่รู้จะต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้ายังไง

“ม๊าอิ่มแล้วใช่มั้ยครับ”

“ค่ะ ปกติใครเก็บโต๊ะหรอคะ”

“กะ ก็สลับกันครับ” ตอบเสียงอ้อมแอ้มตามที่ม๊าถาม ทั้งที่จริง ๆ พี่ดิมก็ช่วยเก็บตลอดเวาเรานั่งกินข้าวกันเสร็จ

“ก็ดีแล้วค่ะ งานบ้านไม่ควรเป็นงานของใครคนใดคนหนึ่ง”

ผมและพี่ดิมมองหน้ากัน แล้วยิ้มให้กำลังใจกันแม้มันจะดูเขินมากก็ตาม ก่อนจะช่วยกันเก็บจานที่ใช้แล้วบนโต๊ะเดินเข้าห้องครัว

“พี่ล้างเอง”

พี่ดิมเหมือนจะดูออกว่ามือที่จับจานที่มีฟองน้ำยาล้างจานอยู่สั่นแค่ไหน

“พี่ดิม...ศิไม่เห็นเห็นหม่าม๊าเป็นแบบนี้เลย”

“ไม่เป็นไรนะ”

มือใหญ่จับมือผมทั้งที่มันยังเปื้อนน้ำยาล้างจาน

“พี่อยู่ตรงนี้ไง อยู่กับศิ”

“...”

“เราผ่านมันไปได้แน่ ๆ ศิเชื่อใจพี่มั้ย”

พี่ดิมบีบมือผมแน่นขึ้นเพื่อส่งผ่านความเชื่อมั่นและให้เชื่อใจผู้ชายคนนี้

“อื้อ ศิจะไม่กลัวถ้ามีพี่ดิมอยู่ด้วย”

สบสายตาคู่คมที่ตอนนี้อ่อนโยนเหลือเกิน อยากจะกอดพี่ดิมให้แน่น ๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ควรอย่างยิ่ง

“พี่จะทำให้หม่าม๊าเชื่อใจพี่ให้ได้ ว่าจะดูแลลูกชายคนเดียวได้อย่างดี”

ผมพยักหน้าและหยาดน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ร่วงหล่นลงอย่างง่ายดาย

พี่ดิมเปิดก็อกน้ำก่อนจะล้างมือผมและตัวเอง เช็ดมือด้วยทิชชูสะอาดก่อนจะใช้มือเย็นปาดน้ำตาผมออกอย่างเบามือ

“ฮึก”

เขายกมือลูบผมและยิ้มที่แสดงออกว่าเขาเข้มแข็มและพร้อมจะปกป้องผมจากทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนจะกอดผมแนบอกอย่างไม่กลัวหม่าม๊าเข้ามาเห็นฉากแบบนี้ ทั้งที่ใจผมกลัวมาก ๆ

“พะ ดิม ศิกลัวม๊ามาเห็น”

“ศิร้องไห้หนิ พี่ควรทำยังไง ถ้าไม่ใช่กอดศิไว้แบบนี้”

“...”

“พี่ไม่กลัวม๊าศิจะว่า แต่พี่กลัวศิจะไม่เลิกร้องไห้”

“ฮึก ฮือ”

มือใหญ่ลูบหัวของผมเบามือ และก้มลงมาจุมพิตเส้นผมอย่างปลอบประโลม ในตอนนี้หัวใจของผมที่แกว่งไกวเมื่อครู่พอจะสงบใจลงได้บ้าง ความอบอุ่นจากร่างกายที่คุ้มเคยเหมือนเป็นฮีตเตอร์บรรเทาอาการทุกข์ในหัวใจได้อย่างดี

พี่ดิมยืนกอดผมอยู่หลายนาทีก่อนที่ร่างสูงจะผละตัวออกก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม และหันไปล้างจานต่อจนเสร็จ และมันถึงเวลาที่เราสองคนจะไปเผชิญหน้ากับความจริง ความกลัว ด้วยความกล้าที่เราสองคนช่วยกันสร้างมันขึ้นมา และต้องผ่านมันไปให้ได้



หม่าม๊านั่งที่โซฟาในโซนรับแขก ในมือยังกดมือถืออยู่ คงกำลังอ่านข่าวหรือไม่ก็ทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใด

“ม๊าครับ”

“มากันแล้วหรอ”

ผมหันไปสบตากับพี่ดิมก่อนจะนั่งลงตรงข้ามม๊าที่เป็นโซฟาร์ตัวยาว เพื่อที่เราจะได้นั่งพอดีทั้งสองคน

“นานเท่าไหร่แล้วหรอคะคุณหมอ”

“....”

“ที่ตกลงจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กัน”

หม่าม๊าถามพี่ดิมและเลือกใช้คำว่าความสัมพันธ์แบบนี้ โดยที่ไม่พูดว่าเราสองคนคบกันหรือเป็นเป็นแฟนกัน มันแน่นอนอยู่แล้วว่าม๊าคงรับไม่ได้

“จริง ๆ ก็ไม่นานครับ”
“แต่เราใจตรงกันมานานมากแล้ว”

“หมอไม่อายหรือคะ ที่จะคบผู้ชายทั้งที่ตัวเองก็มีหน้าตาในสังคม”

“หม่าม๊า…” คำถามที่ออกจากปากของคนเป็นแม่มันไม่ใช่แค่แทงใจคนถูกถาม แต่มันแทงใจผมอย่างจัง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาโดยตลอด แต่พยายามลืมมันไป และคิดว่าเราสองคนจะอยู่กันไปแบบนี้อย่างมีความสุขได้ โดยที่ไม่ต้องแคร์คนอื่น

คนถูกถามใช้มือใหญ่เอื้อมมากุมมือผมแน่น และหันมามองหน้าผมก่อนจะขยับปากตอบม๊า

“ศิมากกว่าที่ต้องอายที่มีแฟนอย่างผม แฟนที่พาไปกินข้าวดูหนังไม่ได้ แฟนที่ไม่ได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้า แฟนที่พาไปเที่ยวบ่อย ๆ ไม่ได้ แฟนที่ให้เวลากับคนอื่นมากกว่าตัวเอง”

“...”

“ศิต้องอายคนอื่นที่มีแฟนอย่างผม แฟนที่ทำหน้าที่ได้ดีไม่พอ”

“ถามตัวเองหรือยังว่าโอเคแน่หรอ” ม๊าพยักเพยิดหน้ามาถามความเห็นผม

นั่นสินะตอนนี้มันก็ดูโอเคและยังไม่ปัญหา แต่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะเป็นอย่างไร รู้แค่ตอนนี้อยากอยู่ตรงนี้ อยากอยู่ข้าง ๆ อยากทำกับข้าวดี ๆ ให้พี่ดิมกินทุกวัน ไม่ต้องไปเที่ยว ไม่ต้องไปเดทบ่อย ๆ เหมือนคนอื่น แต่แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง

“ศิก็ไม่รู้ครับ”

พี่ดิมกุมมือผมแน่นขึ้น

“ศิรู้แค่ตอนนี้อยากอยู่ตรงนี้ อยากอยู่ข้าง ๆ ในวันที่พี่ดิมกลับจากผ่าตัดเหนื่อย ๆ อยากทำอาหารดี ๆ ให้”

“น้องเป็นความสุขของผมครับ”

เราสองคนมองหน้ากัน น้ำตาที่ปริ่มตรงหัวตาไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จากความเครียดและความกดดันทั้งหมดทั้งมวล สายตาคมที่มองมาออย่างหนักแน่นและแน่วแน่กับคำพูดเพื่อที่จะยืนยันว่าความรักของเราไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันด่วน แต่ทว่ามันเกิดจากการไตร่ตรองดีแล้ว ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ทำความผิดต่อผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่ง แต่พี่ดิมก็กล้าก้าวข้ามเพศสภาพของผมจนมานั่งกุมมือกันอยู่ตรงนี้ได้


“ก็แค่เนี่ย!”
“เฮ้อ หายใจไม่ออกค่ะ”


“...”

“...”

ผมและพี่ดิมมองหน้ากันด้วยความงงงวยสุดขีด หม่าม๊าคนที่ทำสีหน้าจริงจังไร้อารมณ์นั่งไขว่ห้างน่าเกรงขาม ตอนนี้เปลี่ยนท่าเป็นปกติ และเอาหนังสือนิตยสารขึ้นมาพัด แถมยังยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอย่างเร็ว

“หม่าม๊า นี่มัน…”

“ก็เอาคืนเด็กที่ชอบปิดบังยังไงล่ะ มีแฟนทั้งทีมีหน้าให้ม๊ารอตั้งหลายเดือน เหอะ คิดว่าเรื่องแค่นี้ม๊าสืบไม่ได้หรือไงจ๊ะ”

“เฮ้อ” ถอนหายใจเสียงดังพร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่มันปริ่มรอมร่อ พี่ดิมที่มองมาก่อนอยู่แล้วยกยิ้มอย่างโล่งอกให้เหมือนกัน

“เห็นหม่าม๊าเป็นคนใจร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่”

พอคนเป็นแม่พูดแบบนี้ก็เลยลุกเดินไปฝั่งตรงข้าม แล้วสวมกอดผู้หญิงที่รักมากที่สุดเต็มรัก พอม๊าพูดแบบนี้น้ำตามันก็พาลจะไหล เพราะไม่ใช่แค่ผมโกหกแถมยังทำเหมือนไม่รู้จักแม่ของตัวเองอีก

“ม๊า ศิขอโทษนะ” เสียงอู้อี้พูดบนอกของม๊า เสื้อผ้ากลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อน ๆ ไร้น้ำหอม ยังคงทำให้รู้สึกสงบและอุ่นใจเสมอ

“เป็นเด็กหรือไงเรา ไม่อายหมอเขาหรอมากอดม๊าแบบนี้”

ผมส่ายหัว ไม่มีอะไรน่าอายแล้วจังหวะนี้

“ม๊าไม่เคยโกรธลูกนี่ครับ ลูกก็รู้ แต่ที่ม๊าต้องแบบนี้เพราะหมั่นไส้เฉย ๆ ยะ”

“ม๊าาาา”

เสียงขำจากลำคอดังมาจากผู้ชายที่นั่งตรงข้าม เขามองผมที่กอดแม่ด้วยสายตาอ่อนโยนปนโล่งใจไม่ต่างกัน

“ขอโทษครับ พอดีไม่เคยเห็นศิในมุมแบบนี้เลย”
“แล้วก็ขอโทษหม่าม๊าด้วยครับ ที่ทำให้ไม่สบายใจ” พี่ดิมยกมือไหว้หม่าม๊าอย่างนอบน้อม

“ม๊าไม่ได้โกรธค่ะ แค่ม๊าอยากรู้ว่าถ้าลูก ๆ สองต้องไปเจอกับเหตุการณ์ยาก ๆ มีคนสงสัยในความสัมพันธ์จะทำกันอย่างไร ม๊าเป็นห่วง เราสองคนไม่ใช่คนธรรมดาแล้วนะคะ” ม๊าผละผมออกจากอก ก่อนจะใช้มือเล็กลูบหัวผมเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยน สายตาที่แสดงความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ฉายชัดอยู่ข้างใน

“ไม่ได้มีแค่ม๊า ไม่ใช่ป๊า หรือไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่คุณหมอ หรือเพื่อน ๆ ของลูก แต่มันหมายถึงทุกคนในสังคมนะคะ ลูกไม่ผิดที่จะรักกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจได้”

“...”

“...”

“แต่ม๊าเข้าใจค่ะ”

พอม๊าพูดประโยคนี้ผมก็โผกอดเธอแน่น ๆ อีกที แถมเอาหน้าถูเสื้อนุ่ม ๆ ไปด้วย “แค่หม่าม๊าเข้าใจก็ดีใจมาก ๆ แล้ว เรื่องอื่นค่อยคิดนะ”

“ขอบคุณที่หม่าม๊าเข้าใจนะครับ”

ม๊ายิ้มตอบรับคนตัวโตอย่างใจดี เป็นรอยยิ้มที่แต้มบนหน้าของผู้หญิงคนนี้เสมอ ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของผม และเป็นบุคคลที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่จะอยู่กับผมทุกเมื่อ

ไม่รู้จะขอบคุณหรือทดแทนพระคุณของคนเป็นแม่อย่างไรให้เหมาะสมกับความเสียสละทั้งชีวิตเพื่อให้ลูกได้มีความสุข ยอมแม้กระทั่งให้ลูกเลือกชีวิตที่หลายคนในสังคมยังไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่พูดถึงกระทั่งถ้ามีคนมาถามว่าลูกชายมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้ชายด้วยกัน เสมือนเธอไม่ได้คิดตรงนั้น คิดแค่ผมมีความสุขกับสิ่งที่เลือกหรือเปล่า คิดแค่ถ้าวันหนึ่งต้องผิดหวังเสียใจ เธอก็จะยังอยู่ข้าง ๆ เสมอ

ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทนมีอยู่จริงบนโลกใบนี้
มีอยู่จริงในโลกของแม่ผม




มีต่อ







หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.18 เด็กร้าย ๆ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-08-2018 21:55:12
“ม๊าก็บอกหลายทีแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะมีเมียน่ะ”

ท่าทางมึนตึงของม๊าในตอนแรกที่เหยียบเพนเฮาส์แห่งนี้กับขณะนี้ต่างกันราวกับคนละคน และนี่แหละคือหม่าม๊าตัวจริงเสียงจริง

“โธ่ม๊า ลูกไม่เคยพูดซะหน่อย” ไม่เคยพูดซะหน่อย ม๊าก็พูดไปเรื่อย ยกเว้นแต่ป๊าที่บอกว่าให้ลองหาผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานและตัวเล็กกว่าก็น่าจะพอเดินด้วยกันได้

“เอ้อใช่ ก็แฟนคนแรกของเธอก็ผู้ชายนี่นา”

“...”

“...”

HOLY SHIT!

พอเห็นปฏิกิริยาผมที่สตันท์ ม๊าก็ลืมตาโตแล้วหันมองพี่ดิม ตอนนี้เหมือนเราทั้งคู่ใส่ฟิลเตอร์สโลว์โมชั่นอย่างไงอย่างนั้น “ลูกยังไม่ได้เล่าให้หมอฟังหรอ” หม่าม๊ากระซิบ

“จริง ๆ ลูกจะทำเป็นลืมไปแล้ว” กระซิบตอบหม่าม๊า แล้วหันมายิ้มแห้งสุดชีวิตให้พี่ดิม

สายตาที่อ่านไม่ออกของร่างสูงกลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ใบหน้าก็ยังดูปกติดี แถมยังยิ้มให้แม่ผมอีกต่างหาก แต่ผมนี่แหละที่รู้ว่ามันไม่ปกติแบบสุด ๆ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่าให้เขาฟังแค่ไม่เห็นความจำเป็นที่เขาต้องรู้จักอดีตที่มันผ่านมานาน และไม่ได้สำคัญกับชีวิตผมแล้วด้วยซ้ำ

“สิบเอ็ดโมงแล้วหรอเนี่ย เดี๋ยวม๊ากลับออฟฟิศก่อนนะคะ พอดีมีประชุมตอนเที่ยง” ใครเขาประชุมกันเวลาเที่ยง ม๊าใช้วิธีปลีกตัวได้ไม่เนียนเลยนะครับ

“ม๊าน่าจะอยู่ทานข้าวเที่ยงก่อน ลูกว่าจะทำสปาเก็ตตี้นะ” ตอนนี้พยายามรั้งให้คนเป็นแม่อยู่ด้วยกันอีกหน่อย เพราะรังสีความไม่พอใจแผ่กระจายจนรู้สึกร้อนไปหมด ทั้งที่แอร์ก็เย็นดี

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปะป๊าจะไม่มีคนทานข้าวเที่ยงด้วย”
“ที่สำคัญวันนี้ลูกต้องกลับคอนโดนะคะ”

หันไปมองพี่ดิมแต่เขาดันเบนสายตาไปทางอื่น นัยหนึ่งคือไม่อยากรับคำของม๊า และอีกนัยหนึ่งคือผมต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้มีผลลัพธ์ที่ทุกคนพอใจ

โอ้ย อยากจะเจาะพื้นคอนโดและมุดลงไปตอนนี้แม่ง!

“ครับ”
“ลูกเดินไปส่ง”

ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมผมกับม๊า และยกมือไหว้หม่าม๊า พยายามมองหน้าพี่ดิมด้วยสายตาละห้อยสุดชีวิต แต่เหมือนโดนเมินไปแล้วนี่สิ


“ม๊า ศิจะทำยังไงล่ะครับทีนี้”

“ม๊าซอรี่นะคะ คิดว่าคุย ๆ กันแล้ว”
“หมอเป็นผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจอะไรง่ายนะคะ”

มันใช่แบบนั้นที่ไหนล่ะครับ

คุณกฤติกาพูดปลอบใจพร้อมใช้มือนิ่ม ๆ บีบแก้มผมก่อนจะกอด และเดินออกจากห้องไป




หันมาอีกทีร่างสูงที่ยืนอยู่เมื่อครูก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว

“พี่ขี้หึงมากนะ”

คำพูดเมื่อครั้งนั้นย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง แต่ทำขนคอตั้งชันเสียดื้อ ๆ

ลองเดินหาชั้นล่างแล้วไม่มีวี่แวว สงสัยคงอยู่ที่ห้องหนังสือ พี่ดิมมีห้องหนังสือเล็ก ๆ ข้างห้องนอน มีโซฟาสีแดงตัวยาวอยู่ในห้อง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นนอกจากชั้นวางหนังสือและโซฟาตัวนี้

พอเดินขึ้นมาชั้นสองประตูห้องนี้ถูกแง้มไว้ แสดงว่ามีคนอยู่ข้างใน เปิดเข้าไปก็พบคนที่กำลังหายืนเลือกหนังสือด้วยท่าทางไม่สนใจการมาถึงของผม

ผมไม่รู้ว่าพี่ดิมคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าทำไมต้องโดนเมินแบบนี้ แค่เพียงผมเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน บางทีผมก็ไม่เข้าใจ

“พี่ดิม ศิเข้าไปได้มั้ย” พูดอยู่หน้าห้อง เพราะอย่างที่บอกห้องมันไม่กว้างพอที่จะให้ผู้ชายสิงคนเข้าไปยืนง้องอนกันได้

“พี่ดิมโกรธศิเรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ศิเคยมีแฟนศิไปแก้ไขอะไรไม่ได้นะ”

“....” ร่างสูงยังคงยืนเลือกหนังสือโดยที่เหมือนไม่สนใจคำพูดของผมต่อไป

“เขาไม่ได้สำคัญกับชีวิตศิ ศิลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ”

“...”

“ถ้าพี่ดิมอยากรู้ ใช่เขาคือคนแรกของ…”

“พอเลย!”

ร่างพูดเสีงดังทั้งที่ยังหันหน้าเข้ากับชั้นหนังสือ เพราะถ้าเขาตะคอกใส่หน้าผมไม่แคล้วคงรู้สึกแย่เดินหนีออกจากตรงนี้

“พี่ไม่ได้โกรธ แต่หึงเข้าใจมั้ย แม่งยิ่งมารู้ว่ามันคือคนแรก ยิ่งโมโหตัวเอง”
“ทำไมไม่เจอกันเร็วกว่านี้วะ”


พี่ดิมยังคงไม่หันหน้ามาพูดกับผม แต่เหมือนเขากำลังระงับอารมณ์ตัวเอง ดูจากมือที่กำหนังสือเล่นเล็มแน่นจนเส้นเลือดขึ้น

พาตัวเองเดินผ่านประตูเล็กอย่างไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต และไม่กี่ก้าวก็ประชิดตัวคนตัวใหญ่ แผ่นหลังกว้างตรงหน้ายังคงดูอบอุ่นและมั่นคงเสมอ ใช้แขนกอดรัดเอวเขาไว้ แนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง หวังให้เขาคลายความความรู้สึกที่สุมอยู่ในใจ และอยากทำให้มั่นใจว่าอดีตที่ผ่านไปแล้ว แทบจะไม่มีผลกับปัจจุบันและอนาคตของผมและเขาเลย

“ศิขอโทษที่ไม่เคยบอก”

“ช่างมันเถอะ พี่หัวเสียไปเอง” คนโดนกอดใช้มืออุ่นจับมือผมที่กอดเขาไว้

ผมกอดพี่ดิมแน่นขึ้นและเขาก็ลูบมือตอบกลับ เราเหมือนอยากใช้เวลาตรงนี้เยียวยาความรู้สึกของกันและกันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร สัมผัสได้ถึงลมหายใจของร่างสูงที่สม่ำเสมอกว่าตอนแรก สิ่งที่คลุกกรุ่นเมื่อคืนสงบลงแล้ว เขาจับมือผมออกจากเอวแล้วหันหน้ามากอดผมแน่นโดยที่ไม่พูดอะไร

เหมือนเขาอยากขอโทษที่ใช้เสียงดังถึงขั้นตวาดใส่ผมเมื่อครู่ พี่ดิมจูบซับขมับ และลูบเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

“ตอนเย็นไปเดทกันนะ”

“หื้อ ไหนว่าพี่ดิมต้องไปหาอาจารย์หมอไง” จู่ ๆ พี่ดิมก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อาจารย์แคนเซิลไปแล้วล่ะ พี่ว่าง”
“อีกอย่างก็ตั้งแต่เราเป็นแฟนกันจริง ๆ มันมากกว่าแฟน”

“พี่ดิมแม่ง พอจะโรแมนติกก็เป็นงี้ทุกที” ผมเหวใส่คนตัวสูงที่ชอบวกเขาเรื่องเมีย ๆ ของเขา

“อะ ๆ ก็ตั้งแต่เป็นแฟนกันเรายังไม่เคยไปเดทกันจริงจังเลย แล้วก็ฉลองเรื่องที่ม๊าศิเข้าใจเราด้วยไง”

“เอางั้นก็ได้ แต่ศิไม่ได้เตรียมชุดมาเลย คงต้องกลับไปเอาที่คอนโดนะ”

“เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่”

“โห เสี่ยมากป่ะ”

“เสี่ยไม่เสี่ยก็ เลี้ยงหนูได้ตลอดชีวิตแล้วกัน”

บรรยากาศมาคุเมื่อครู่หายไปในพริบตา นี่อาจจะอีกจุดเริ่มต้นดีดีเวลาเราผิดใจกันแล้วมันถูกแก้ไขด้วยเรา มันเลยดูไม่ยุ่งยากและไม่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต้องเสียสละ แต่เราเสียสละร่วมกัน เราเสียความเป็นตัวเองในบางอย่าง เรายอมรับความเป็นเขาในบางอย่าง โดยที่ยังคงความเป็นตัวเอง นี่แหละมั้งคำว่า “เรา” ในความสัมพันธ์




บ่ายสี่โมงพี่ดิมขับรถออกจากคอนโดเพื่อจะไปเลือกซื้อชุดสำหรับดินเนอร์คืนนี้ ซึ่งผมเองก็ยังไม่ทราบว่าคุณเขาจะพาไปที่ไหน พอดูห้างที่เขาจะพาไป มันแทบไม่ได้ต่างจากขับรถจากคอนโดเขาเพื่อไปคอนโดผมเลย แต่ก็ขี้เกียจขัดเดียวโดนขมวดคิ้วใส่อีก เลยนั่งนิ่ง ๆ บนรถ ฟังเพลง Ed Sheera อัลบั้มโปรดของสารถี

“พี่ดิมดูสิ พูลล์ไลฟ์อยู่แหละในไอจี”

“มันคืออะไร”

“อ้าวพี่ดิมเล่นไอจีเป็นจริงมั้ยเนี่ย ก็ถ่ายทอดสดไง แบบคุยกับคนที่เขามาคอมเมนท์อะไรแบบนี้”

“พี่เอาไว้ลงรูปเฉย ๆ กับลงสตอรี่ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก” ร่างสูงตอบขณะที่เหยียบเบรคตอนติดไฟแดงพอดี

“นี่ ๆ ศิลองเล่นดูแล้ว เรามาไลฟ์กันได้มั้ย”

“เอางั้น?”

“อื้อ ๆ รอรถติด”

“ลองดู เอาเครื่องพี่ก็ได้ เครื่องศิแบตจะหมดไม่ใช่หรอ”

“ครับผม”

กดเข้าฟังก์ชั่นไลฟ์ในไอจีพี่ดิมอย่างไม่ลังเล

“มาแล้ว ๆ”

“โหคนดูขึ้นเร็วมากเลย ตอนนี้พี่ดิมมีคนตามอยู่เท่าไหร่นะ”

“ไม่แน่ใจเจ็ดแสนมั้ง”

“ก็ว่าอยู่คนดูเยอะมากเลย นี่จะห้าพันแล้ว สวัสดีครับ นี่ศิเองพี่ดิมอนุญาตให้เอามือถือมาไลฟ์ครับ ทำไม่เป็นเลยแนะนำด้วยนะ”

Comment กรี๊ดดดดดดด น้องศิลูกอยู่กับคุณหมอหรอคะ

“ครับ เรากำลังจะไปห้างกัน”

Comment หัวใจชั้นนนน
Comment เป็นการชิปที่คอมพลีทที่สุดในชีวิต ขออนุญาตร้องไห้ค่ะ
Comment อยากเห็นคุณหมอดิมค่ะน้องศิลูกแม่


“พี่ดิมมีคนอยากเห็น”

“หวัดดีครับ ขับรถอยู่คุยกับน้องไปนะ”

“แหะ ๆ พี่ดิมขับรถอยู่ครับ”
“คุยเรื่องไรดีอะ อ้อ ทุกคนรอดูซีรีส์ด้วยนะครับ จะฉายแล้วน้า”

Comment พี่อยากดูชีวิตจริงน้องมากกว่าในซีรีส์อีกค่ะ
Comment นี่ชั้นชิปอะไรอยู่ หัวใจจจ

Comment ไม่ผิดหวังที่อยู่ทีมหมอ สุดมากค่ะ
Comment ขอเลิฟซีนเผ็ด ๆ นะคะ ป้ารออยู่


“ขอเลิฟซีนเผ็ด ๆ นะคะ ป้ารออยู่ ฮ่าๆๆ ผมยังเด็กอยู่นะไม่มีหรอกเผ็ด ๆ”

“เด็กไม่ดีไปโกหกเขาทำไม” สารถีอยู่ ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา ไม่พอยังใช้มือใหญ่ขยี้ผมซะเสียทรงเลย

“พี่ดิมมมม ผมยุ่งหมดแล้ว”

Comment นี่ก็ชัวร์แล้วว่าคลิปเสียงที่ออกมาน่ะเรื่องจริง

ผมเห็นคอมเมนท์นี้ได้แต่อ่านในใจแล้วขมวดคิ้วโดยที่ไม่ได้ตอบ แต่ตั้งคำถามในใจว่าคลิปเสียงอะไรแล้วทำไมคน ๆ นี้ถึงพูดแบบนี้ขึ้นมา เลยแคปหน้าจอไว้ แล้วคุยกับแฟนคลับคนอื่นอย่างปกติ แต่ว่ามันมีคำถามแบบนี้มาเรื่อย ๆ เลยตัดบทด้วยการบอกว่าแบตจะหมดแล้วลาทุกคน

“พี่ดิมมีคนเมนท์เรื่องคลิปเสียงเต็มไปหมดเลย ศิงงว่าคลิปอะไรอะ”
“นี่แคปหน้าจอไว้ด้วย”

หลังจากพี่ดิมจอดรถผมเลยยื่นมือถือให้เขาอ่านสิ่งที่แคปไว้ ร่างสูงอ่านด้วยสีหน้าจริงจังและขมวดคิ้ว แต่แล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

“ไม่มีอะไรหรอก พวกปั่น นักเลงคีย์บอร์ด ป่ะไปซื้อของกัน”

“อ้าว อดเผือกเลย อื้อ ๆ ก็ได้”





เด็กน้อยองผมเดินเลือกเสื้อผ้าแบรนด์โปรดของเขาอย่างมีความสุข และผมไม่อยากทำลายความสุขของเขาด้วยเรื่องนี้เลย ดีที่มือถือเขาแบตหมดและถูกชาร์จอยู่ในรถ ตอนนี้เขาเลยไม่มีเครื่องมือในการสืบค้นข้อสงสัย เพราะถ้าเข้าไปในแอพทวิตเตอร์ เรื่องที่พูดถึงมากที่สุดกลายเป็นคลิปเสียงบ้า ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาก

ใช่ คลิปวันนั้นแหละครับที่เราพลาดลืมปิดไวเลสกัน ผมเชื่อว่าป๋าและพี่ผู้ช่วยผู้กำกับไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้แน่ แต่นั่นแหละมันคงจะเกิดความผิดพลาดอะไรบางอย่างในขั้นตอน post production แน่ ๆ หรือไม่อาจจะมีคนอื่นที่ได้ยินและอัดเสียงไว้ ซึ่งเจตนาที่ทำแบบนี้ไม่มีทางหวังดีกับใครเลย

หลังจากที่พยายามหาคลิปเสียงจากแฮทแท็ก #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า ก็ยังไม่มีใครได้ฟังคลิปจริง ๆ จัง ๆ สักคน แต่ต้นตอของข่าวคือเพจดังเพจหนึ่งที่ออกมาพูดว่ามีคลิปเสียง และคนก็พยายามเสาะหาคลิปที่ว่า แต่เหมือนไม่มีใครมีจริง ๆ สักคน คิดได้ว่าเพจนั้นคงไปรับรู้มาอีกที แล้วมากระจายข่าวต่อ

ก็ยังรู้สึกโล่งใจที่คลิปที่ว่าไม่หลุดจริงจังอย่างที่เพจนั้นกล่าวอ้าง เพราะไม่เช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาว่าเจ้าของเสียงคือใคร รวมกับคำใบ้ด้วยและแทบจะฟันธงได้เลยว่าคือผมกับศิ

เรื่องนี้มันไม่ได้กระทบแค่ผมกับน้อง แต่มันรวมไปถึงทีมงาน ป๋าเจี๊ยบ พี่นาย และผู้ใหญ่ที่บริษัทอีก ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถึงผู้ใหญ่ในค่ายหรือยัง เพราะยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากใคร แม้เรื่องจะเกิดมาค่อนวันแล้วก็ตาม ไม่แน่ทางบริษัทก็ไม่รู้และผมนี่แหละต้องไปสารภาพบาปเอง อะไร ๆ ที่คาราคาซังมันจะได้คลายลงบ้าง

แต่ประเด็นนี้ดูจะกระทบจิตใจแฟนคลับผมและน้องจำนวนไม่น้อยเลย ไม่ใช่ว่าทุกคนเชียร์ให้ผมกับน้องได้กันจริง ๆ ยังมีคนที่แค่จิ้นและต้องการให้เราเป็นแค่สิ่งในจินตนาการมากกว่าเป็นความจริง ต้องยอมรับว่าไม่ใช่สาววายทุกคนจะชื่นชอบความสัมพันธ์แบบชายรักชายและใจยังกว้างไม่พอจะรับ LBGT ได้ ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจและยอมรับในความเห็นต่าง และไม่ได้แคร์ขนาดนั้น คนที่แคร์น่ะยืนเลือกเสื้อคอเล็กชั่นใหม่ burburry อย่างสนุกสนาน



นางใบ้มาขนาดนี้ยังจะสืบอีกหรอว่าใคร คู่ที่กูชิปมันเรียลแล้ว ต้องไปแก้บนที่ไหนวะเนี่ย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   เออแปลกดีที่จะเลิกชอบเขาเพราะเขาชอบกันจริง ๆ กูงงนะเนี่ย มีสาววายแบบนี้ด้วยหรอวะ #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   รับไม่ได้อะ มันแบบเหนือที่คิด ทำใจไม่ได้เลย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   ยังไม่ได้ฟังคลิปแต่คิดกันไปแล้วว่าเรื่องนี้ เชื่อเพจนั้นด้วยหรอคะ /มอง #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   ใครมีคลิปบอกบุนทีจ้าาาาาาา อินี่งงมาก คือพยายามหาแล้วแต่ทำไมไม่มีแหล่งเลย แล้วทุกคนก็คือเชื่อไปแล้วว่าคือคู่นั้น ไหนละคลิป ไหนนนนนนน /ใครส่งคลิปหนีกระดาษมา กูบล็อกจ้า #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
   มาถึงยุคที่คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้ว แต่เราก็ยังนก #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
      reply พี่ค่อน5555555555555555555555555555555555555555555555
   อาตมาก็เป็นคู่จริงกับเจ้าอาวาสนะ ไม่เห็นมีใครมาชิปเลย #คู่จิ้นเป็นคู่จริงแล้วจ้า
      reply ชิปหายงี้หรออิหลวงเจ้







------------------- to be continued---------------------



ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปเกือบ2อาทิตย์ แงแง
ไม่ได้จะถือโอกาสลงเรื่องหม่าม๊าน้องศิในวันแม่เลยนะ
แต่สุขสันต์วันแม่นะคะ กอดแม่กันเยอะ ๆ น้าาา
ชาวเน็ตกลับมาแล้ว ตอนหน้าเจอหมอท้าชนนักข่าวหน่อย
หลวงเจ้นี่แฟนคลับนับเบอร์วันของหมอกับน้องเลยนะ55555555555

อีสอีส

รักเด้อพวกสู

บีเองจ้า


#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx



หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 11-08-2018 23:11:57
คุณแม่น่ารักมาก...กกกกกกกกกกก  :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 12-08-2018 10:28:06
ชอบอิหลวงเจ้ตรง " อาตมาก็คู่กับเจ้าอาวาสนะ "
ตอนที่แล้วก็ อะไรของเขาหายก็ไม่รู้ ฮาอ่ะ
แลอยากอ่านนนนนน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-08-2018 15:19:52
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 12-08-2018 18:48:54
แงง คำผิดเยอะอยู่นะคะ บางช่วงมันขัดอารมณ์ไปเลย แต่ว่าแล้วว่าหม๊าม๊าต้องมาป่วน55555555. แต่ว่าคุณหมอมีนัดไม่ใช่หรอคะ มาเดทกะน้องจะไปทันหรอ เครียดๆเรื่องคลิปเสียงอยู่พอมาอ่านช่วงชาวเน็ตถึงกับขำออกเสียง จนแม่ด่าเลยค่ะ หลวงเจ้ต้องรับผิดชอบนะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 18-08-2018 14:04:54
น่ารักจุงง....  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 25-08-2018 23:21:39
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.20 Spotlight
[/size]

Baby when I know you’re only sorry you got caught
But you put on quite a show




ครืดดด ครืดดด

เสียงสั่นของโทรศัพท์บนหัวเตียงทำให้ผมต้องพยายามลืมตาและใช้มือควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างหัวเตียงอย่างสะลึมสะลือ

“ฮัลโหลครับ”

[น้องศิหรอคะ พี่ใบชานะคะ]

“อ่าครับ” พอได้ยินชื่อพี่ใบชาก็ตื่นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจ ชื่อนี้ที่ไม่ได้ยินมานานมาก ๆ ตั้งแต่พี่เขาขอให้ทำอะไรแปลก ๆ กับพี่ดิม จนความสัมพันธ์ของผมและเขาก้าวกระโดดมาจนทุกวันนี้

[ขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนแต่เช้า วันนี้น้องศิมีเรียนมั้ยคะ ถ้าช่วงบ่ายช่วยเข้ามาที่ษริษัทได้มั้ยเอ่ย]

ผมเริ่มคิดแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ใบชาถึงต้องโทรมาหาผมอย่างทันด่วนขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องซีรีส์ก็น่าจะแจ้งในกรุ๊ปในทุกคนรับทราบ แต่นี่โทรหาผมโดยตรงคนเดียว..

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ใบชา แล้วผมไปคนเดียวหรอ” ถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองไปทำความผิดอะไรหรือเปล่า

[ถ้าคุณหมออยู่ด้วย ก็ฝากบอกเขาให้มาด้วยกันเลยนะคะ]

“คะ ครับ” เสียงขาดห้วงของผมเปล่งแทบไม่ออกเมื่อพี่ใบชาเอ่ยชื่อคนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่ควรกลับกลับคอนโดตามที่แม่บอก แต่คนตัวโตกลับงอแงมาก เลยทำให้ผมต้องค้างที่นี่อีกคืน และอีกอย่างวันนี้พี่ดิมได้หยุดอีก 1 วัน เก้าโมงต้องเข้าไปคุยกับอาจารย์หมอเรื่องที่ท่านแคนเซิลไปเมื่อวาน แต่ตอนนี้เหมือนบ่ายจะต้องมีคิวเพิ่มเข้ามาอีกเรื่อง

[ค่ะ ทางบริษัทเห็นข่าวแล้ว เราอาจจะต้องคุยกันว่าควรจะทำอย่างไร]

“ข่าว? ข่าวอะไรหรอครับ”

[น้องศิยังไม่รู้หรอคะว่ามีคลิปเสียงที่คล้ายน้องศิกับคุณหมอหลุดจากกองถ่าย]

“ฮะ!!”

คำอุทานเสียงดังส่งผลให้คนที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสีหน้าสุดช็อกโลกของผม

[ยังไงบ่าย ๆ เราเจอกันนะคะ พี่ไม่รบกวนแล้ว]

“คะ ครับ”

พี่ใบชาวางสายไปแล้วแต่ผมนี่ตัวชาดิกเหมือนยืนอยู่บนไหล่เขาแถบขั้วโลกเหนืออยู่เลย คลิปเสียงที่นึกออกคงมีแค่วันนั้นที่เราลืมปิดไวเลส แต่ป๋าบอกแล้วนี่นาว่าไม่มีใครได้ยินนอกจากป๋าและพี่ผู้ช่วยผู้กำกับอีกสองคน

“ใครโทรมาหรอ” ผู้ชายตัวโตที่ยังสะลึมสะลือพยุงตัวเองนั่งข้าง ๆ พี่ดิมจูบซับที่หัวไหล่เหมือนอย่างที่ชอบทำ แต่ผมยังนั่งนิ่งคิดไม่ตกกับสิ่งที่รับรู้

“พี่ใบชาครับ”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” มือใหญ่ลูบไล้แขน และแน่นอนเขาจับสังเกตได้ว่าผมไม่สบายใจเอาเสียเลย

“มีคลิปเสียงเราหลุดครับ ลงข่าวไปเยอะเลย”

“รู้กันแล้วสินะ”

“หื้อ พี่ดิมก็รู้หรอ ทำไมไม่เห็นบอกศิ”
“อ๋อ ถึงว่าเมื่อคืนไม่ให้ศิเล่นมือถือเลย ทำไมไม่บอกศิล่ะครับ”

ออกจากจากห้างเขาก็พาไปดินเนอร์ แล้วผมก็มึนไวน์ กลับมากะว่าจะเช็กข่าวก่อนนอนแต่พี่ดิมริบมือถือ และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แถมมือถือเขาก็สั่นตลอดเวลาหมือนมีคนพยายามติดต่อ แต่สุดท้ายร่างสูงก็ปิดมือถือไปดื้อ ๆ และหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำรักต่อ จนดึกดื่นผมก็หลับไป

“พี่ไม่ได้อยากจะปิดศิ”

“แต่พี่ดิมก็ทำไปแล้ว”

“เพราะพี่รู้ว่าศิจะเครียดแบบนี้” พี่ดิมพยายามจะเข้ามากอด แต่ผมกระเถิบตัวหนี

ทุกครั้งผมเข้าใจว่าพี่ดิมอยากปกป้องอยากทำให้ผมสบายใจ และให้ความรักของเราราบรื่นมากที่สุด ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า มีประสบการณ์ในการจัดการปัญหาที่เข้ามาได้ดีกว่า แต่ผมกลับมองว่าเวลาเรามีปัญหามันควรเป็นเราสองคนที่แก้มันไปด้วยกัน ไม่ใช่พี่ดิมเอาตัวเองเป็นโล่บังทุกปัญหาที่จะเข้าถึงตัวผมทุกครั้ง

“ศิไม่อยากให้พี่ดิมปกป้องศิเหมือนศิเป็นเด็กเล็ก ๆ”
“ปัญหานี้มันควรเป็นเราที่ต้องแก้ไปด้วยกันไม่ใช่หรอครับ”

“…” ร่างสูงมองหน้าผมด้วยสายตาละห้อย

“ใช่ศิกลัวแล้วก็ไม่สบายใจ แต่พี่ดิมเคยบอกไม่ใช่หรอว่าเราจะผ่านมันไปได้”

“...”

“ยิ่งพี่ดิมไม่ให้ศิรับรู้ ปิดบัง แล้วพี่ดิมคิดมั้ยว่าศิจะรู้สึกยังไง ที่ให้แฟนตัวเองรับหน้าแก้ปัญหาทุกอย่างคนเดียว ทั้งที่มันคือปัญหาของเรา” น้อยครั้งที่ผมจะใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวคุยกับเขา เพราะครั้งนี้ทั้งรู้สึกกลัวเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งโกรธตัวเองที่ทำตัวอ่อนแอขนาดที่ต้องให้พี่ดิมคอยเป็นห่วงตลอดเวลา

“ครับ พี่ขอโทษ พี่คิดน้อยเอง”

“อื้อ ศิรู้ว่าพี่ดิมรับมือได้ทุกอย่าง” ผมจับมือใหญ่ของเขามากุมไว้ ซึ่งเขาก็คงเครียดไม่ต่างกัน แต่ภาวะความเป็นผู้นำของมันทำให้เขาต้องท้าชนทุกอย่างได้อย่างไม่เกรงกลัว “แต่ศิอยากแบ่งปันทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องที่สุข แต่ความทุกข์พี่ดิมต้องแชร์ให้ศิรู้ ศิอาจจะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจ แต่ศิจะพยายามนะ”

“เจ้าหนูของพี่โตขึ้นขนาดนี้แล้วสินะ” เขายกยิ้มให้

“จะโตพอที่จะปกป้องพี่ดิมให้ได้เลยนะ”

“หึ ครับ”
“ศิมีเรียนเช้าใช่มั้ย เดี๋ยวเที่ยงพี่ไปรับที่มหาลัยแล้วไปเข้าบริษัทด้วยกัน”

“อื้อ เขาคงไม่สั่งให้เราเลิกกันใช่มั้ย”

“ไม่มีใครมีสิทธิ์มาสั่งให้เราเลิกกันทั้งนั้นครับ”



พี่ดิมขับรถมาส่งที่มหาวิทยาลัยตอนประมาณแปดโมงสี่สิบห้าทันคลาสแรกพอดี วันนี้เป็นวันที่ผมต้องเข้ามาเรียนวิชาที่ต้องเก็บให้ครบก่อนจบปีสาม ยังไม่ทันได้นั่งเต็มก้น เฌอก็ถามทันทีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่แปลกใจ เพราะตอนนั่งรถมาก็เปิดอ่านไลน์กลุ่มที่มีข้อความแชทประมาณเกือบ 300 ข้อความ และส่วนใหญ่จะมาจากเฌอทั้งนั้น

“หายหัวไปเลยนะคะ กูไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทรไปก็ไม่รับ”

“ช่วยพี่ดิมทำงาน” งานที่ว่าคือกิจกรรมเข้าจังหวะนั่นแหละนะ

“อ๋อหรอ คิดว่ากกกับผัวลืมเพื่อนไปแล้ว”
“สรุปยังไงคะ เสียงมึงจริงป่ะ”

“เฌอได้ฟังแล้วหรอ”

“หึ ยังอะ ก็หาอยู่แต่ไม่มีเลยว่ะ เสือกทั้งคืน ดูตากูดิดำขนาดที่คอนซีลเลอร์ของนาร์สยังกลบไม่มิดเลย” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพยายามเอาหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้เห็นว่าใต้ตาของเธอดำเพราะว่าเสือกทั้งคืนจริง ๆ เออรู้แล้วคุณเฌอลักษม์

“ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงมั้ย เพราะก็ยังไม่ได้ฟัง แต่...ถ้าตามเรื่องในข่าว” หน้าตาเฌอบ่งบอกว่าอยากเสือกเอาการเอางานมาก ๆ

“ก็ใช่”

“กรี๊ดดดดดด” เฌอกรี๊ดใส่แขนเสื้อผม เพื่อไม่ให้เสียงดังเกินไปเพราะตอนนี้คนนั่งเต็มห้องสโลปรออาจารย์เข้ามาสอน

“เบา ๆ” อาโปที่นั่งถัดไปปรามเพื่อน เพิ่งสังเกตว่าเมฆไม่ได้นั่งข้างอาโปเหมือนทุกที แต่กลับนั่งข้างผมแทน ตอนมาก็ไม่ได้สังเกตว่าเป็นเมฆเพราะเขาฟุบหลับอยู เว้นที่ว่างไว้เลยเข้าใจว่าเป็นที่ตัวเองโดยอัตโนมัติ แปลก ๆ แฮะ

“โปมึงรู้ป่ะ วันนั้นมึงก็ไปกองไม่ใช่หรอ”

“หึ ไม่รู้ว่ะ วันนั้นคิวกูไม่มีแล้วก็เลยกลับก่อนมั้ง ใช่ป่ะวะศิ” อาโปถาม ทั้งที่สายตายังจับจ้องที่มือถือเหมือนคุยแชทกับใครค้างไว้

“มั้ง จริง ๆ มีแค่กู พี่ดิม ป๋าเจี๊ยบ กับพี่ผู้ช่วยผู้กำกับที่รู้”

“หรือว่าจะเป็นพี่สองคนนั้นเปล่า เพราะป๋าคงไม่ทำ” อาโปตั้งข้อสงสัย

“ไม่หรอกกูเชื่อใจป๋าแล้วก็พี่ ๆ ทีมงาน เขาไม่ทำหรอก”

“ไม่แน่นะมึง เพื่อเงินคนเรามักจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้” เป็นเฌอที่ตั้งข้อสันนิษฐานสมทบ

“เดี๋ยววันนี้เข้าบริษัท เหมือนผู้ใหญ่จะรู้แล้ว”


“เชี่ยจริงหรอวะ เรื่องใหญ่เลย” อาโปตาโตที่ได้ยินและอุทานขึ้น “งี้เรื่องมึงกับพี่ดิมก็ปิดเขาไม่ได้แล้วดิวะ”

ก็คงแบบนั้น คุยกับพี่ดิมในรถก่อนมาถึงว่าเราจะตัดสินใจบอกเรื่องของเราให้ผู้ใหญ่รับรู้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลิกกันเพื่องาน และถ้ามันจะส่งผลต่อซีรีส์ที่กำลังจะออกอากาศ พี่ดิมก็จะยอมจ่ายค่าเสียหาย หากบริษัทเรียกร้องตามกฏหมาย เพราะทั้งพี่ดิมและผมมีสัญญากับบริษัทสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ และในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าหากทำให้เกิดความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเราบริษัทสามารถดำเนินการทางกฏหมายได้

อาจารย์เดินเข้าห้องพอดี ทุกคนต่างแยกย้ายและเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเรียน เมฆก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเรียนหลังจากฟุบหลับเมื่อครู่

“ผ่านมันไปให้ได้นะ” เสียงเบา ๆ จากผู้ชายข้าง ๆ ที่ให้กำลังใจ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคนพูดน่าจะต้องการกำลังใจมากกว่า

“ไม่สบายหรอเมฆ” ไม่เคยเห็นเมฆโทรมขนาดนี้มาก่อน เขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้หนวดขึ้นเป็นตอเข้มเห็นชัดขนาดนี้

“เปล่ากูไม่เป็นไร”

“มีไรก็บอกได้นะ”

“อืม”

ไม่รู้ว่าเมฆมีเรื่องหนักใจอะไร แต่แทบไม่เคยเห็นผู้ชายที่มั่นใจและเก่งทุกเรื่องดูไร้ทิศทางขนาดนี้มากก่อน สายตาที่ลอบมองผ่านผมไปทางผู้ชายอีกคนในกลุ่มก็น่าจะเดาไม่ยากว่าคงมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้



“พี่ดิมจะมารับหรอวะ” เฌอถามขณะที่กำลังลงลิฟต์หลังจากเลิกคลาส และได้โปรเจ็กต์ใหม่ที่ต้องทำงานคู่ คราวนี้ได้คู่กับเมฆเพราะอาโปตัดหน้าขอคู่กับเฌอไปก่อน ทั้ง ๆ ที่ช่วงหลังมีงานคู่สองคนนี้แทบจะเป็นบัดดี้กัน เพราะผมตัวขี้เกียจอยู่กับเฌอจะได้โดนตามจี้ได้

“อื้ม ไลน์มาว่าอยู่หน้ามอแล้วกำลังวนรถเข้ามา”

“ขอให้ผ่านไปได้นะมึง ยังไงผู้ใหญ่เขาก็คงมีทางออกให้” สายตาเฌอดูเป็นห่วงและเธอส่งให้กำลังใจผ่านดวงตากลมคู่นี้มาให้อย่างเปี่ยมล้น ผมได้แต่ยิ้มรับ

“มีอะไรก็โทรมานะ พี่ใบชากูก็พอจะคุยกับนางได้ นางไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่ดึงหน้าเก่ง” อาโปพูด และเช่นเคยแทบไม่มองหน้าเมฆเลย ทั้งที่เมฆมองอาโปแทบจะตลอดเวลา

“ขอบคุณพวกมึงมากนะ กูคิดว่ามันจะต้องมีทางออกที่ดี” ยิ้มให้เพื่อนทุกคน ก่อนสายตาจะมองไปเห็นบีเอ็มคันคุ้นตาจอดเทียบที่ริมฟุตบาธหน้าคณะ เลยโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วขึ้นรถคันเดิมที่นั่งมาตอนเช้า

มองผ่านกระจกไปก็ยังเห็นเพื่อนทั้งสามคนยืมมองรถจนลับสายตา ถึงจะแยกย้ายกันไป

ตลอดสามปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้สนใจว่าเพื่อนจะสำคัญกับเรามากขนาดไหน เพราะสนใจแต่เกม สนใจแต่ตัวเอง จนครึ่งปีที่ผ่านพ้น เมื่อมีปัญหาก็จะมองเห็นสามคนนี้อยู่รอบตัวเสมอ ค้นพบแล้วว่าจริง ๆ เพื่อนไม่ใช่แค่คนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แชร์เรื่องราวในชีวิตกัน แต่คือคนที่เราจะสามารถทำตัวอ่อนแอ ห่าเหว เหลวแหลกในชีวิต และจะไม่ไปในวันที่เราทุกข์แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนยืนอยู่ด้วยกัน



อาคารสูงตระหง่านข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ไม่ต่างจากศาลพิพากษาในคดีที่มีผมและสารถีตกเป็นโจทย์ที่เราต้องไปให้ปากคำ ที่เป็นโจทย์ก็คือเราไม่ได้ทำความผิด คนที่ผิดคือคนปล่อยคลิปบ้า ๆ นั่นเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง เราต้องเข้าไปแก้ต่างและหาวิธีแก้ปัญหาก่อนมันจะลุกลามสร้างความเสียหายให้คนอื่นและตัวเราเอง

เราสองคนขึ้นลิฟตืบริเวณไฮโซนอันเป็นสถานที่ที่พี่ใบชาส่งแมสเสจมาบอก ชั้นของผู้บริหารมักจะเงียบเหงาเสมอเพราะมีคนทำงานแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผลักเข้าห้องประชุมก็เจอผู้ใหญ่คุ้นหน้าในวันแคสติ้งทั้งคุณติณณ์ คุณพิภพและพี่กะรัตฝ่ายสื่อสารองค์กร ป๋าเจี๊ยบ พี่นาย พี่ผู้ช่วยผู้กำกับสองคน กระทั่งคุณอบเชยก็เข้าร่วมประชุมด้วย

“นั่งก่อนสิคุณหมอ ศิ” เสียงทุ้มของคุณติณณ์เชิญเราสองคนนั่งประจำที่ ถัดจากที่หัวโต๊ะซึ่งนั่นคือคนเชิญนั่นเอง  “เริ่มเลยนะครับ”

“คุณหมอ น้องศิ ที่วันนี้เราต้องเรียกคุณสองคนมาไม่ได้อยากจะมาต่อว่าหรืออะไรนะ เราแค่ต้องหาวิธีรับมือ หากมันเกิดเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายกว่านี้”

“หมายถึงอะไรที่เลวร้ายครับ?” พี่ดิมตั้งคำถามกลับด้วยเสียงจริงจัง

“ถ้าคลิปที่ว่านั่นมันหลุดออกมาจริง ๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างของเพจ เพราะผมสอบถามคุณเจี๊ยบแล้ว ว่าเหตุการณ์นี้จริงหรือไม่ ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง” ประธานที่ประชุมประสานมือตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “ซึ่งเหตุการณ์ที่มันจะเป็นไปได้ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่การที่พวกคุณเป็นคู่จิ้นอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่พวกคุณต้องรับแรงปะทะจากสังคมจากความสัมพันธ์ของคุณ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับตัวคุณและนักแสดงคนอื่น ๆ”

“แค่เพราะเรารักกันน่ะหรอครับ”

“พี่ดิม..” คำพูดเหมือนเพ้อที่ออกมาจากปากของผม หลังจากได้ยินคนรักพูดคำนี้ต่อหน้าทุก ๆ คนที่อยู่ในห้อง ปฏิกิริยาของคุณติณณ์และคนอื่น ๆ นอกจากทีมงานกองถ่าย ดูจะอึ้งไปไม่น้อย

“นี่พวกคุณ…” คุณติณณ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของหลานชาย พี่ดิมเล่าให้ฟังแล้วว่าได้เบอร์ผมมาจากคุณอาเขานี่แหละ

“ครับ เราคบกัน”
“แล้วผมก็คิดว่ามันไม่มีอะไรเลวร้าย เพราะเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผมจะสามสิบ น้องก็บรรลุนิติภาวะแล้ว”

เสียงเย็นยะเยือกของคุณหมอใช้งานได้ดีเหมือนทุกครั้ง เพราะคำพูดเขาเหมือนฟรีซทุกคน และยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“ขออนุญาตนะคะ คุณหมอคะ คุณก็ทราบดีว่าฐานคนดูซีรีส์เราส่วนใหญ่คือผู้หญิงและสาววาย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะรับความรักแบบชายรักชายได้”

“ครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะนั่งแถลงข่าว ถ้าทุกคนเห็นสมควรว่าความสัมพันธ์ของผมกับน้องยังไม่พร้อมเปิดเผย และในเมื่อคลิปนั่นมันอาจจะไม่มีจริงก็ได้ ซึ่งถ้ามีจริง ๆ เราจำเป็นต้องยอมรับหรอครับ สมมติถ้าเราเบี่ยงเบนประเด็นไป ผมว่าคนดูและแฟนคลับเขาคงจะจิ้นหนักกว่าเดิม ซึ่งผมว่ามันดีกับทางการตลาด หรือคุณใบชาคิดยังไงครับ” ยอมรับว่าพี่ดิมพูดแรงทั้งที่ไม่มีคำหยาบ มันเหมือนการประชดประชันพี่ใบชาในหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบอยู่

พี่ใบชามองหน้าพี่ดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่อย่าลืมความลับไม่มีในโลกนะคะ ยังไงพวกเขาก็จะสืบจนรู้”

“ผมทราบดี เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายคนไปเฝ้าผมถึงโรงพยาบาล แต่นั่นมันก็เกินความสามารถที่เราจะจัดการได้หรือเปล่า และผมกับน้องก็ไม่ได้อยากปิดบังใคร ถ้าถามกันตรง ๆ” บทจะดื้อดึงพี่ดิมก็ทำได้อย่างไม่ไว้หน้าใคร ยังคงรักษาน้ำเสียงสุภาพ แต่คำพูดนั้นเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมใครสุด ๆ

“แล้วนักแสดงคนอื่นล่ะคะ กลัวจะมีผลกระทบกับพวกเขาค่ะ” พี่ใบชาหันไปพูดกับคุณติณณ์ ท่านได้แต่กอดอกอย่างใช้ความคิด ทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉย

“ผมไม่ได้ห้ามให้พวกคุณรักกัน อย่างที่บอกว่ามันต้องหาทางป้องกันถ้ามันเกิดเรื่องที่เราคาดไม่ถึงกว่านี้”

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ” คุณอบเชยเสนอความเห็น เขายิ้มให้ผมก่อนที่จะพูดต่อ “อย่างที่หมอดิมบอก ในเมื่อคลิปที่ว่าก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีจริงมั้ย และถ้ามันมีจริงและถูกปล่อยออกมา ก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเขาหรือเปล่า เราก็ใช้กระแสนี้ทำให้เป็นเหมือนพวกเขาจริง ๆ ไปเลย ดีเสียอีกคนจะได้อยากดูซีรีส์ของเรามากขึ้น คนก็จะเริ่มจับผิดว่าพวกเขาเป็นคู่จริงมั้ย ที่สำคัญถ้าสมมติมีอะไรที่เลวร้ายแบบที่คุณติณณ์กังวล เราก็ควรจะสนับสนุนให้เขารักกันมากกว่าปิดกั้น คงได้ใจ LGBT ทั่วเอเชียนะคะ”

คุณอบเชยพูดจบทุกคนต่างเงียบราวกับใช้ความคิดและคิดตามที่คุณอบเชยเสนอ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณในใจที่คนสร้างนิยายเรื่องนี้ และทำให้ผมได้มาเจอกับพี่ดิมอีกครั้ง จะเข้าใจเรามากกว่ากลัวผลงานของตัวเองที่ปั้นแต่งขึ้นมากับมือเสียหาย เพียงเพราะผมและพี่ดิมรักกัน

“ผมต้องขอโทษพี่ ๆ ทุกคนนะครับที่ทำให้วุ่นวาย” ผมยกมือไหว้ทุกคน พี่ดิมหันมามองคงไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ ผมจะพูดขึ้นมา ทั้งที่เขาจับมือผมไว้บนตกและผมรู้ตัวว่าตัวเองสั่นมากแค่ไหน แต่ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ สถานการณ์มันอาจจะเลวร้ายเหมือนที่คุณติณณ์พูด ในที่นี้หมายถึง พี่ ๆ ทุกคนจะมองพี่ดิมไม่ดี

“แต่เราแค่รักกันในฐานะของผู้ชายธรรมดา ๆ สองคน และผมไม่รู้ว่าจะทำให้เพื่อน ๆ นักแสดงคนอื่นลำบากขนาดนี้ ถ้ายังไงผมจะไปขอโทษพวกเขาล่วงหน้าครับ”

“เอ่อ...พี่ไม่ได้กีดกันที่น้องศิกับคุณหมอรักกันนะคะ พี่แค่..”

“ครับผมเข้าใจว่าพี่ใบชาทำตามหน้าที่” สีหน้าหม่นลงของผู้หญิงสวยจัดกับผมสีดำขลำม้วนลอนสลวย เธอคงไม่ได้อยากมากำหนดกฏเกณฑ์อะไรในชีวิตคนอื่น แต่ทว่าหน้าที่ของเธอจำเป็นที่ต้องตั้งคำถามกับทุกอย่างที่จะกระทบกับองค์กรที่ทำงานให้

“คุณพิภพว่ายังไงครับ” คุณติณณ์ที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิมถามผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร

“จากที่ฟังมา ผมว่าข้อเสนอของคุณอบเชยดีทีเดียว เราปล่อยให้มันคลุมเครือไปแบบนี้ดีกว่า ไม่ต้องแถลงข่าว มิเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเรายอมรับ ที่สำคัญเราต้องหาต้นตอของคลิปเสียงที่ว่าถ้ามีเกลือเป็นหนอนเราอาจจะลำบากในเรื่องอื่นอีก”

“ผมลองถามทีมงานผมแล้ว ทางทีมตัดต่อบอกว่ามีการอัพฟุตเทจของเทปที่ถ่ายวันนั้นขึ้นคลาวน์บนอินเทอร์เน็ต ไม่แน่อาจจะมีความผิดพลาดตรงนั้น” ผู้กำกับพูดขึ้น

“ผมต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นไม่ได้เช็กให้ดีว่ากล้องมันเร็กคอร์ดอยู่ด้วย และไม่ได้ทำการลบครับ” พี่ผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งพูดขึ้น

“เอาล่ะ ๆ ผมไม่โทษใครหรอก เท่าที่ฟังดูมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ยังไงรบกวนคุณพิภพให้ทีมกฏหมายตรวจสอบอีกทาง เพราะถ้ามีคนจงใจปล่อยออกไป เราคงต้องมีมาตรการลงโทษเพราะเจตนาไม่ดีแน่”

พูดจบคุณติณณ์มองหน้าเราสองคนแล้วยกยิ้มให้บาง ๆ และสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อสักครู่หายไป

“ผมไม่ให้คุณเลิกกันหรอก น้องศิเลิกทำหน้ากลัวผมได้แล้วนะ คุณหมอก็อย่าทำหน้าเหมือนโกรธผมด้วย”

พี่ดิมยกยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาของพูดแทงใจที่ว่าเขารู้สึกโกรธจริง ๆ มีบางช่วงที่พี่ดิมบีบมือผมเพราะเขากำลังระงับความโกรธของตัวเอง

“ยังจำวันที่คุณหมอเดินเข้าห้องประชุมมาขอให้แคสต์ศิได้อยู่เลย อะไรกันนี่ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว พรหมลิขิตหรือไง”

พี่ ๆ คนอื่นเริ่มยิ้มตามจากคำแซวของประธานที่ประชุม หลังจากคร่ำเคร่งกับหัวข้อการรประชุมมานาน

“เรื่องเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ผมให้พวกคุณคุยกันเองแล้วกัน เห็นว่าจะมีงานเลี้ยงปิดกล้องวันที่ออนแอร์วันแรกใช่มั้ย เคลียร์กันเองนะ ผมว่าพวกเขารู้ก่อนผมอีกมั้งเนี่ย” คุณติณณ์พูดติดตลก

“แค่สงสัยน่ะครับ ยังไม่มีใครรู้นอกจากพูลล์กับอาโป” เพราะผมและพี่ดิมเห็นว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเรื่องของเรามันอาจจะกระทบกับงานของพวกเขาด้วย อย่างไรเราก็ควรบอก เพื่อแสดงความจริงใจที่เรามีให้






มีต่อ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.19 คนที่เข้าใจ (30/07/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 25-08-2018 23:26:52
“งั้นก็เอาตามนี้ ใช้ชีวิตปกตินะ เรื่องอื่นมันเป็นหน้าที่ที่ผมและทีมงานต้องจัดการ ขอบคุณที่กล้าพูดความจริง แล้วก็ยินดีด้วยกับความรักครับ” ผู้อำนวยการยิ้มให้ ผมถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ และยกมือไหว้ขอบคุณเขา

ผมและพี่ดิมยกมือไหว้คุณติณณ์กับพี่ ๆ คนอื่นในที่ประชุม แทนคำขอบคุณและความเข้าใจ คุณติณณ์เดินมาตบบ่าผมและพี่ดิมพร้อมยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป ป๋าก็พยักหน้าทักทายก่อนจะขอตัวไปดูตัดต่อ เหลือแค่พี่ใบชาที่ยังยืนอยู่ภายในห้อง เหมือนรอคุยกับพวกเราส่วนตัว

“พี่ไม่ได้…” พี่ใบชาพูดกับพี่ดิม ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เธอคงกลัวเราเข้าใจผิดว่าเธอกีดกันความสัมพันธ์ของเรา

“ผมต้องขอโทษคุณใบชาด้วยที่ใช้คำพูดไม่ดี ผมเข้าใจว่าคุณทำตามหน้าที่”

“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ น้องศิอย่าโกรธพี่นะคะ”

“ไม่เลยครับ ผมเข้าใจดี”

“แล้วก็อยากให้รู้ว่าพี่สนับสนุน LGBT นะคะ”

“ผมยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า แต่แค่รักผู้ชายคนนี้เท่านั้นเอง” พี่ดิมพูดและมองหน้าผม โดยที่ไม่คิดเลยว่าการพูดอะไรทำนองจะทำให้ผมเขินจนอยากหายตัวไปจากตรงนี้

พี่ใบชายิ้มเขินเหมือนกัน “เห็นใจคนโสดด้วยค่ะหมอ ไปทำงานให้รวย ๆ ดีกว่าค่ะจะได้เอาเงินไปซื้อ ยินดีด้วยอีกครั้งนะ”

“มีอีกเรื่องที่ผมต้องแจ้ง คือ อีกสองวันสมาคมที่ผมร่วมทำวิจัยจะมีงานแถลงข่าว MOU ความร่วมมือวิจัยกับทีมแพทย์ต่างประเทศ ผมต้องไปในฐานะแพทย์ที่ให้ข้อมูลกับสื่อ แจ้งพี่ใบชาไว้นะครับ”

“ให้เออาร์ไปดูแลมั้ยคะ พี่จะประสานให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่งานใหญ่อะไร”

“โอเคค่ะ งั้นพี่ขอตัวนะ”

เราสองคนยกมือไหว้เธอ ผู้หญิงคนสวยและไม่น่าเชื่อว่าจะยังโสด เดินออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื่นกว่าตอนที่นั่งประชุม บรรยากาศที่เราคิดว่ามันจะแย่ขนาดที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการฟ้องร้องกลับมลายหายสิ้นด้วยความเข้าอกเข้าใจ จากความโอบอ้อมอารีของผู้ใหญ่ที่เราต่างนับถือ

ความโชคดีคงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่เป็นแบบเรา แต่มันเกิดขึ้นกับเราแล้ววันนี้



พี่ดิมเดินกอดคอผมออกจากห้องประชุม ผมบอกว่าจะแวะซุปเปอร์ทำอาหารเย็น พี่ดิมอยากกินต้มยำกุ้งและไข่เจียวหมูสับ ขณะที่กำลังจะกดลิฟต์เพื่อลงชั้นจอดรถ เราก็เจอคุณอบเชยเธอเหมือนกำลังยืนคอยใครอยู่

“คุณอบเชยยังไม่กลับหรอครับ” ผมถามและเธอก็ยิ้มให้ เดาไม่ยากว่าเธอกำลังยืนรอพวกเราอยู่แน่นอน

“ค่ะ รอคุณหมอกับน้องศิ ยินดีด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ทำให้นิยายของอบมีชีวิตขนาดนี้”

“ผมก็ต้องขอบคุณคุณอบที่ทำให้ผมได้เจอศิครับ” นายแพทย์อาคิรานี่เมื่อไหร่จะเลิกหยอดผมต่อหน้าคนอื่นสักทีนะ บอกกี่ทีแล้วมันไม่ชินๆ

“รู้มั้ยคะ อบแอบคิดเองคนเดียวว่า มันจะสมบูรณ์แบบแค่ไหนถ้านิยายของอบทำให้คนรักกันจริง ๆ”
“คุณสองคนทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว”

เธอยิ้มกว้างให้พวกเรา สาวใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผมยาวประบ่า สวมแว่นทรงทันสมัย และแต่งหน้าเล็กน้อย เธอดูน่ารักและเรียบร้อยในวัยสามสิบต้น ๆ ถ้าใครได้อ่านนิยายที่เธอแต่งจะเห็นความคิดของเธอชัดเจนว่าเป็นคนมองโลกสีเทา ไม่ตีตราใคร ไม่แปะป้ายใคร รักความยุติธรรม และศรัทธาในความรักอย่างล้นเหลือ แม้ปัจจุบันเธอจะยังไม่แต่งงาน แต่แฟนหนุ่มวิศวกรของเธอนั่นโชคดีเหลือเกินที่จะมีว่าที่ภรรยาที่เข้าใจโลกและพร้อมจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ

เธอผู้ที่ทำให้ความรักของผมเป็นจริง


“ผมขอกอดพี่อบได้มั้ยครับ” เสี้ยววินาทีที่แล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจจะพูดมันออกไป เพราะไม่รู้จะมีวิธีที่จะแสดงออกขอบคุณเขาได้ดีเท่ากับมอบกอดของตัวเองเพื่อบอกว่าผมรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าไม่มีคุณอบเชย

ผมคงเป็นแค่พระจันทร์ที่เดินคาบขนานกับพระอาทิตย์อย่างไม่มีวันบรรจบ


เราสองคนสวมกอดกันความรู้สึกมันเหมือนได้กอดพี่สาวทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยรับรู้ว่าความรู้สึกได้กอดพี่สาวเป็นอย่างไร แต่คิดว่าถ้าตัวเองมีพี่สาวเวลากอดกันคงรู้สึกแบบนี้

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ”

“ขอบคุณเหมือนกันค่ะ” 

มองหน้าผู้ชายที่มองผมและคุณอบเชยสวมกอดกัน เขายกยิ้มให้เหมือนเคย และเราต่างก็ทราบดีว่าคำว่าขอบคุณสำหรับเธอนั้นมันไม่พอจริง ๆ




กล่าวลาคุณอบเชยและนัดแนะเจอกันอีกครั้งวันเลี้ยงฉลองปิดกล้อง ถนนสุขุมวิทรถติดเหมือนเคย เลยได้ถามรายละเอียดงานอีเวนท์ที่พี่ดิมจะไปเข้าร่วม ได้ความว่าเป็นงานที่สมาคมที่พี่ดิมเข้าร่วมทำงานด้วยจะมีการร่วมทำงานวิจัยกับโรงพยาบาลดังจากหลายประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เพื่อคิดค้นวิจัยหาวิธีรักษาโรคในอนาคต ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่ามีทั้งโรคเบาหวานกลายพันธุ์ โรคมะเร็ง กระทั่งโรคจิตเวช ซึ่งอันหลังนี้พี่ดิมบอกว่ามีแนวโน้วที่ประชากรโลกจะประสบมากขึ้น จากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง

เป็นงานไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็กระตุ้นความสนใจในวงการสาธารณะสุขบ้านเราได้ไม่น้อย เพราะแทบไม่เคยมีการร่วมมืออะไรแบบนี้มาก่อน พี่ดิมเล่าด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น เพราะได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมวิจัย แม้จะเป็นตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์หมอก็ตาม ซึ่งความร่วมมือไม่ใช่เพียงชั่วคราว แต่จะนานหลายปี ซึ่งสมาคมที่พี่ดิมทำงานจะเป็นตัวแทนของอาเซียนวิจัยจากกลุ่มประชากรแถบนี้ โรงพยาบาลอื่น ๆ ก็ทำวิจัยในภาคพื้นของตนเอง ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดชุดความรู้ใหม่ ๆ เสนอต่อองค์กรอนามัยโลกก็เป็นได้

รู้สึกว่าแฟนตัวเองเหมือนเป็นหนึ่งในทีมอเวนเจอร์ช่วยโลกเลยแฮะ

น่าภาคภูมิใจสุด ๆ


@ห้องประชุม โรงแรม C

ห้องประชุมขนาดใหญ่ดูเล็กลงไปขนัด เมื่อเหล่านักวิชาการ ทั้งศาสตร์ตราจารย์ ด็อกเตอร์ และเหล่าแพทย์ผู้เข้าร่วมงานวิจัยรวมตัวอยู่ในงานวันนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่จัดงานนี้ขึ้น ซึ่งทุกสองปีจะมีการจัดงานเช่นนี้เวียนกันไป เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ และบอกว่าถึงการดำเนินงาน รวมไปถึงการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในประเทศภูมิภาคที่จัดงาน

ผมในฐานะผู้ให้ข้อมูลด้านภาษาไทยและภาษาอังกฤษกับสื่อมวลชน ซึ่งขณะนี้มีสื่อสายสุขภาพ นักศึกษาแพทย์ที่ขอเข้าร่วม รวมถึงนักประชาสัมพันธ์ขององค์กรสาธารณสุขจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาร่วมงานแล้ว อีกประมาณห้านาทีพิธีการบนเวทีก็จะเริ่มขึ้น

“คุณหมอดิมคะ คือว่าตอนนี้มีนักข่าวบันเทิงจะขอสัมภาษณ์คุณหมอน่ะค่ะ”

“ครับ? นักข่าวบันเทิง พวกเขารู้ได้ยังไงครับ ทางออกาไนซ์เชิญด้วยหรอครับ” ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น

“ไม่มีนะคะ ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร”

“รบกวนไปแจ้งพวกเขาว่ารอจบงานผมจะออกไปสัมภาษณ์นะครับ”

“ได้ค่ะ”

พอมาคิดดูก็ไม่แปลกใจที่พวกเขารู้ว่าผมจะมางาน เพราะหมายเชิญคงระบุรายชื่อสำหรับคนที่จะให้ข้อมูล และคงได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้เพราะมีวิดีโอพีอาร์กระจายตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ปัญหาตอนนี้ผมไม่ได้กลัวที่จะต้องถูกสัมภาษณ์ แต่นี่คืองานระดับชาติไม่ใช่งานเปิดตัวสินค้าหรืองานแฟชั่นโชว์ ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำงานตามคำสั่ง แต่นี่ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเอาเสียเลย

“ขณะนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมลงนามความร่วมมือได้เลยครับ”  พิธีกรในงานประกาศกำหนดการสุดท้ายก่อนจะถ่ายรูปร่วมกัน และเชิญทุกคนรับประทานอาหารและจะมีเสวนาต่อช่วงบ่าย

อาจารย์หมอที่ผมร่วมงานด้วยเดินลงจากเวที ผมจึงเดินเข้าไปคุยกับท่านกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“อาจารย์ครับ พอดีว่ามีนักข่าวบังเทิงมารอสัมภาษณ์ผมตอนนี้รออยู่ข้างนอก”

“อ้าวหรอ คุณไปสร้างเรื่องอะไรล่ะพระเอก เขาถึงมารอน่ะ”

“นี่แหละครับผมก็อยากรู้ว่าเรื่องอะไร ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ ผมไม่ทราบมาก่อนจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร ๆ ผมรู้ว่าคุณเก่งพอที่จะรับมือได้ ไม่ต้องเกรงใจ เขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา”

“ครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมยกมือไหว้อาจารย์หมอ ท่านตบบ่าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปร่วมรับประทานอาหาร

ผมโชคดีจริง ๆ ที่พบเจอแต่คนที่เข้าใจ แม้สถานการณ์มันไม่ควรที่จะเข้าใจด้วยซ้ำ

และเมื่อผมปรากฏตัวหน้าแบ็กดรอปแสงแฟลชและเสียงรัวช็อตเตอร์ก็กระหน่ำใส่ใบหน้าทันที ผมยกมือไหว้สื่อมวลชนตามมารยาทที่ดี

ทีมงานออกาไนซ์จัดแจงพื้นที่สำหรับการสัมภาษณ์ และตอนนี้ไมค์จากหลายสำนักจ่อที่ริมฝีปากผม

“ต้องขอบคุณพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกคนที่ให้ความสนใจนะครับ แต่ผมขออนุญาตให้สัมภาษณ์สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลทางวิชาการ และสื่อต่างประเทศก่อนนะครับ ต้องขออภัยพี่ ๆ ด้วยครับ” ผมรู้ว่าที่ผมทำเช่นนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับสื่อสายบันเทิงที่จะมาถามเรื่องข่าวของผม แต่ผมต้องให้เกียรติงานที่เชิญผมมา และผมมาในฐานะนี้

ไมค์เกินครึ่งลดลงเหลือเพียงไม่กี่สำนักข่าวเท่านั้นที่ต้องการทราบรายละเอียดความร่วมมือในครั้งนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่มา ผมให้เวลาสัมภาษณ์เกือบชั่วโมงได้ ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ดีใจที่หลายท่านทำการบ้านมาดีและอยากทราบรายละเอียดเจาะลึกมากกว่าแค่เนื้อหาตามข่าวแจกที่ให้ในงาน

“คุณหมอคะ ใกล้หรือยังคะดีทางพี่ ๆ นักข่าวเขา…” ทีมออกาไนซ์มากระซิบขณะที่ผมพาสำนักข่าวต่างประเทศชมนิทรรศการในงาน

“ครับ บอกเขารออีกห้านาที”

“ค่ะๆ”



ผมปรากฏตัวที่แบ็กดรอปบริเวณที่จัดงานอีกครั้ง และกล่าวขอโทษที่ทำให้รอนาน

“ถ้าพี่ ๆ ใจดีอย่าลืมประชาสัมพันธ์งานผมให้ด้วยนะครับ” เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยเรื่องเย้าแหย่เพื่อไม่ให้ตึงเครียดเกินไป

“เข้าเรื่องเลยนะคะ คลิปเสียงที่หลุดออกมา คุณหมอได้ฟังหรือยังคะ แล้วคิดว่าใช่ตัวเองหรือเปล่า”


“อืมมม จริง ๆ ก็ยังไม่ได้ฟังนะครับ พี่ ๆ ได้ฟังแล้วหรอครับ แชร์ผมบ้างสิจะได้รู้ว่าใช่ผมมั้ย บอกไม่ได้ครับเพราะผมยังไม่ได้ฟังเลย ทำไมพี่ ๆ คิดว่าเป็นผมล่ะครับ”

“จากเพจเจ๊หยกซอยหกเก้าอะค่ะ”


“เขาระบุชื่อเลยหรอครับว่าใคร”

“...”

“อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้มั้งครับ ฮ่า ๆ”

“ทางค่ายทราบข่าวหรือยังคะ”

“อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะยังไม่เห็นมีใครติดต่อมาครับ ช่วงนี้ผมก็ยุ่ง ๆ เรื่องงานวิจัยด้วย น่าเสียดายถ้าผมรับงานอีเวนท์ได้พี่ ๆ จะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงงานวิชาการแบบนี้” นี่แหละโลกมายา การโกหกเป็นเรื่องธรรมชาติ

“แล้วคุณหมอคิดยังไงกับการมีแฟนเป็นเพศเดียวกันคะ”

“ผมว่าการที่เราจะรักใครสักคนมันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาจะเป็นใคร สัญชาติอะไร ศาสนาไหน แค่เรารักกันก็พอแล้วครับ”

“หมายความว่าคุณหมอมีแฟนเป็นเกย์ได้หรอคะ”

“ครับ เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศนะ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ”


เสียงฮือฮาจากนักข่าวและช่างภาพดังขึ้นเมื่อผมพูดจบประโยค ไม่ได้ตอบเอาหล่ออะไร แต่ตอบตามความคิดของตัวเอง ผมรู้ว่าจุดประสงค์ที่เขาถามเพราะข่าวแบบนี้มันขายได้ เพราะคนไทยชอบเรื่องความลับ รสนิยมความส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว

“ฝากผลงานหน่อยค่ะคุณหมอซีรีส์จะออนแอร์แล้ว”


“ขอบคุณที่มีคำถามนี้ครับ ผมแอบรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปงานอีเวนท์โปรโมทซีรีส์เลย ครับยังไงก็ฝากซีรีส์อาทิตย์คลาดพระจันทร์ด้วยนะครับ อีกสองอาทิตย์ก็น่าจะได้ชมกันแล้ว ทางพีพีมีเดียนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ คุณหมอยิ้มให้กล้องหน่อยค่ะ กล้องนี้ด้วยค่ะ กล้องนี้ครับ”

ผมไม่รู้ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร ผมจะถูกมองแบบไหนจากสายตาคนในสังคม จะบอกว่าไม่แคร์ก็คงไม่ได้ในเมื่องานของตัวเองกำลังจะออกสู่สายตาสาธารณชนในไม่ช้า ทำได้แค่ในแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ไฟท์จนตัวเองและคนอื่นลำบาก และไม่ยอมจนตัวเองและคนอื่นลำบากเช่นกัน

นี่แหละครับวิถีดารา

ดีที่เป็นผม ถ้าเป็นศิ หรือน้อง ๆ นักแสดงที่ยังไม่มีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้คงโดนสาวไส้จนเละเทะ ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งที่จะรับมือได้ แต่ผมแค่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับพวกเขา เอาง่าย ๆ หาตัวผมที่จะมาให้สัมภาษณ์อะไรแบบนี้ยากจะดีกว่า เขาเลยจำใจยอมอดทนรอ ถ้าเป็นดาราคนอื่นที่เล่นตัวแบบนี้ นักข่าวคงกลับสถานีไปแล้ว ก็เพิ่งเห็นข้อดีของการที่งานเยอะจนไม่มีเวลาไปออกงานอีเวนท์



บ่ายคล้อยการเสวนาเสร็จสิ้นและผมกำลังจะกลับคอนโด วันนี้ต้องไปนอนที่คอนโดศิเพราะม๊าศิขู่มาว่าถ้าเอาลูกเขาไปขลุกที่ที่คอนโดตัวเองจะให้ศิย้ายไปอยู่บ้าน แม่ก็คือแม่ ปากบอกว่ายอมรับแต่อย่างไรก็ห่วงลูกอยู่ดี แต่ไม่เป็นไรผมไปนอนคอนโดน้องได้สบายมาก เตียงอาจจะเล็กกว่าหน่อยแต่ยังไงก็หนุนหมอนใบเดียวกันอยู่ดี

ครืดดด ครืดดด

[My Si]

“ครับหนู พี่กำลังกลับ”

(พี่ดิม!! มีข่าวพี่ดิมเต็มไปหมดเลย ที่งานเชิญนักข่าวบันเทิงด้วยหรอ)

“ข่าวออกไวจังว่าจะกลับไปเล่าให้หนูฟังแต่ไม่น่าจะทัน เขามากันเองพี่ก็ไม่รู้ เกรงใจเจ้าของงานมาก ๆ แต่เขาก็มากันแล้ว”

(อาจารย์ไม่ว่าอะไรหรอ ถ้าเป็นศิต้องแย่แน่ ๆ เลยอะ)

“ก็ต้องขอโทษอาจารย์ไปแต่ท่านก็ใจดีไม่ได้ว่าอะไร แล้วข่าวว่ายังไงบ้าง”

(ส่วนใหญ่ก็ดีนะ พี่ดิมจะขับรถหรือยัง ใส่หูฟังด้วยนะ ศิจะอ่านให้ฟัง)

“กำลังจะถึงรถครับ จริง ๆ ไว้พี่อ่านเองที่คอนโดก็ได้มั้ง”

(ไม่เอา ศิตื่นเต้นจะเล่าเลย)

“ครับ ๆ ใจร้อนจริงหนู”




Thirut ยังอุบเงียบ “ดิม อาคิรา” ปัดยังไม่ได้ฟังคลิปเสียง เผยโอเคมีแฟนเป็นเพศเดียวกัน

ข่าวสดชื่น พระเอกยันความคิด “หมอดิม” ยอมรับมีแฟนเป็นเพศเดียวกันได้ อึกอักคลิปเสียงปริศนา

The Mattar “เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ” นายแพทย์อาคิรา ชานยกาญจ์ธำรงค์ สัมภาษณ์พิเศษคุณหมอไทยหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยระดับนานาชาติ และความร่วมมือที่จะเป็นตำนานวงการสาธารณสุขโลก

ใต้ถุนวงการบันเทิง  “ผมว่าการที่เราจะรักใครสักคนมันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาจะเป็นใคร สัญชาติอะไร ศาสนาไหน แค่เรารักกันก็พอแล้วครับ เป็นเกย์ก็มีความเป็นคนเหมือนกัน ผมเคารพคนที่ความสามารถมากกว่าเพศนะ แล้วนี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องการตัดสินหรือ judge คนอื่น มันล้าหลังแล้วครับ” กรี๊ดมากกกกกกกกกกก ยกให้เป็นสามีแห่งชาติทั้งหน้าตา ความสามารถ แล้วก็ความคิด วี๊ดมากกกกกก จะเป็นลมมมมม #ใต้คลิปเสียงปริศนา #ใต้ว่าที่สามีแห่งชาติ #ใต้คุณหมอไทยระดับอินเตอร์ #ใต้งานMOU


“เอางี้นะ นักข่าวคือเหมือนโดนหมอแซะตลอดเวลาเว่ออออออ และคำตอบหมอคือหล่อเว่ออออออออ โอ้ยรักมากกกกกกกกกกก” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“งานนั้นเหมือนเป็นงานวิชาการมาก ๆ แล้วนักข่าวบันเทิงไปคือ? แล้วไม่มีข้อมูลงานนั้นเลยคือ? โคตรไม่ให้เกียรติ แต่หมอก็ใจดี๊ดียังให้สัม” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“คือกูอยากรู้รายละเอียดงานระดับชาติที่หมอทำมากกว่าคลิปเสียงที่ยังไม่รู้ว่าใช่หมอมั้ยอะ” #ใต้คลิปเสียงปริศนา
   Reply : นี่จ้าตัวเอง The Mattar ทำไว้ดีมาก http://the-mattar-article-news-mou/
   Reply : ขอบคุณจ้าาาา /ไหว้ย่อ

“นี่ดูจากเว็บเพจนึงนางไลฟ์ ตอนแรกที่หมอดิมออกมาพวกนางก็เตรียมจ่อไมค์เลย แต่หมอบอกว่าขอให้สัมฯ กับสื่อที่ต้องการข้อมูลภายในงานก่อน หน้าแตกไม่แตก” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“หมอคือสมบัติของชาติแล้วอะ คนอะไรจะเก่งไปหมดทุกอย่าง ไหนจะความคิดที่ positive มาก ๆ อีก เฮ้ย นี่ไม่อยากรู้แล้วนะว่าเขาจะมีแฟนเป็นใคร อยากรู้ว่าเขากินอะไรถึงเก่งแบบนี้” #ใต้คลิปเสียงปริศนา

“ชั้นคิดไว้แล้วค่ะว่าลูกเราเลือกคู่ครองไม่ผิด และชั้นก็น้อยใจในโชคชะตาค่ะ ลุ้นให้เขารักกัน เขารักกันจริง ๆ แล้ว แต่ดิชั้นก็ยังนก สาจ๋าาาาาาาาา แพรขอชาร้อน ๆ แบบไฟนรก ราดที่หน้าแพรทีจ้ะสาาาาาาาาา”

“Don’t touch my husband” #ใต้คลิปเสียงปริศนา
   Reply : เพราะหล่อนไม่มีผมสินะอิหลวงเจ้
   Reply : แกต้องเป็น house maid ตลอดไปนังสาจ๋า





-----------------------to be continued-------------------------




สาจ๋าาาาาาาาาา แพรบอกแล้วไงว่านิยายเรื่องนี้ไม่เอาไว้อ่าน เอาไว้โชว์
5555555555555 อินกับคุณแพรวาทานิกานะช่วงนี้ เลิฟมาก
ไงล่ะคูมหมอฟาดนักข่าวแบบนิ่ม ๆ หล่อ ๆ ไปเลย อิอิ
น้องศิก็ได้ผู้ชายดีเด่ระบบอินเตอร์เนชั่นแนลไปครองสวย ๆ แบบไม่ต้องตบตี
แล้วพวกเธอล่ะมีเขาคนนั้นเป็นของตัวเองหรือยัง
จะมีได้ยังไงก็ในเมื่ออ่านนิยายชั้นอยู่เนี่ย!

รักเหมียนเดิม

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx






หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-08-2018 01:43:45
คุณหมอสติดีมาก และเหน็บได้ดีมากๆ 5555
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-08-2018 08:18:06
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-08-2018 10:32:24
ใจพี่หมอหล่อเหมือนหน้าตา  o13
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 26-08-2018 19:37:00
หลงรักคุณหมอหมดหัวใจ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-08-2018 20:26:25
สมน้ำหน้าพวกนักข่าว จัดการมันเลยค่ะคุณพรี่  :angry2:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-08-2018 23:27:25
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.21 หมดหนทาง X MHEK
[/size]

Maybe I came on too strong, Maybe I waited too long



กว่าสามปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ความหวัง ไร้ทิศทาง และไร้ซึ่งจุดหมายเท่าวันนี้มาก่อน ภาพเมื่อไม่กี่วินาทีที่ Porsche Panamera ปีล่าสุดตีไฟเลี้ยวออกจากริมฟุตบาธคณะ พร้อมด้วยตุ๊กตาหน้ารถที่นั่งไปด้วย ตุ๊กตาที่ผมคิดมาตลอดว่าจะไม่มีวันที่เขาจะเป็นของคนอื่น จะรอให้ถึงวันที่ตัวเองพร้อมสำหรับขอความรักจากผู้ชายคนนี้ที่เป็นรักแรกและรักเดียวของผมอีกครั้ง

แต่แล้วมันก็ช้าไป
ไม่สิ
สายไปแล้ว


เฌอลักษณม์มองหน้าผมเหมือนขอคำอธิบายในความสัมพันธ์ที่มันดูจะยุ่งเหยิงของผมและเพื่อนเธออีกคน แต่แล้วก็ทำได้แค่บอกลาแล้วขึ้นรถตัวเองไป ความลับที่คิดว่าไม่ควรบอกใครเพราะคงทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้งสี่คนของเราแปรเปลี่ยน ตอนนี้มันเหมือนเป็นกรงที่ขังผมไว้อย่างแน่นหนา และตัวเองก็โยนกุญแจทิ้งไปเสียแล้ว

[APO]
[ถ้าเลือกแล้วก็บอกเราหน่อย]
[เราจะได้พยายามมากกว่าเดิม]

เวียนส่งข้อความแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แต่ก็ไร้การตอบรับและไม่ได้รับเกียรติกระทั่งเปิดอ่าน เจอหน้ากันที่มหาวิทยาลัยอีกฝ่ายทำตัวเหมือนปกติดี แต่จะสนทนากับผมแค่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น พอจะเริ่มพูดเรื่องอื่นก็เอาแต่กดโทรศัพท์และปิดการรับรู้ไป

หมดหนทางที่จะเรียกความเชื่อมั่น เชื่อใจ และไร้โอกาสแก้ตัว แม้กระทั่งความเป็นเพื่อนอีกฝ่ายก็คงตัดขาดได้ไม่ยาก หากผมยังทำตัวไร้สติ เอาแต่ใจ และคิดเอาแต่ได้แบบนี้

ไม่อยากเล่าเรื่องราวในอดีตเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองในปัจจุบัน เพราะผมมีเวลามากมาย มากกว่าคน ๆ นั้นที่เพิ่งเข้ามาไม่นาน แต่แล้วก็ไม่ทำอะไร ได้แต่รอเพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ ไม่พอที่จะทำให้เรื่องราวในอดีตถูกลบไปได้ เพราะตัวเองทำเรื่องเลวร้ายมากเหลือเกิน

ทำไปทั้งที่รู้ว่าอาโปจะเสียสูญ เสียใจ และเสียความเป็นตัวเอง ไม่พอยังตามมาเป็นตัวรุงรังในชีวิตในรั้วมหาลัย และคนจิตใจดีอย่างอาโปก็ไม่แม้แต่จะแสดงความรังเกียจ โกรธแค้น หรือผลักไส ทั้งที่ผมทำเขาไว้เจ็บแสบขนาดนั้น

“ครับแม่..ครับ...กำลังกลับ...ที่ไหนครับ...ครับได้”

เหมือนคุณแม่รู้ตารางเรียนผมว่าวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวัน และคนติดบ้านอย่างผมอาจจะไม่ได้ไปไหนนอกจากกลับบ้าน เลยให้แวะเอาชุดที่สั่งตัดที่ห้างแถวบ้าน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ผมหายจากบ้านบ่อย ๆ เพราะตามรับตามส่งอาโป ไม่สิ เขาไม่ได้ให้ตามแต่ผมเองที่ขืนใจเขาให้ทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่แม้แต่ชายตามองด้วยซ้ำ

“เมฆ! เมฆ!” กำลังจะเดินเข้าตัวห้างก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากไกล ๆ ผู้ชายตัวสูงโปร่งที่เรียกผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

“เฮ้ย! เมฆจริง ๆ ด้วย”

“อ้าวจิม”

“เออกูเอง”

“กลับจากเมกาเมื่อไหร่วะ” จิมเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน มันไปเรียนต่อที่อเมริกาตั้งแต่จบม.6 ตอนนั้นยกโขยงกันไปส่งทั้งห้องเลย

“ยังไม่กลับถาวร แค่ที่นู้นซัมเมอร์เลยกลับมาพักว่ะ มึงเป็นไง ทำไมดูโทรม ๆ วะ ก๊งบ่อยหรอวะ”

“ไม่ใช่ กูแค่เซ็ง ๆ กับชีวิต” อาการประดักประเดิดแสดงออกชัดเจนระหว่างผมกับจิม ทั้งที่เราเคยสนิทกันมาก ๆ แต่เรื่องราวครั้งนั้นมันทำให้มิตรภาพสั่นคลอน

“เฮ้ยงั้นคืนนี้ไปจอยกันดิ กูนัดเพื่อนที่ร้านแถวบ้านมึงพอดี”

“เออเอาดิ เบื่อ ๆ พอดี”

พูดคุยกันนิดหน่อยก็แยกย้ายไปทำธุระ มันก็มาทำธุระให้แม่เหมือนกัน นัดแนะสี่ทุ่มคืนนี้เจอกันที่ร้านเหล้า


@U bar

เสียงดนตรีสดเล่นสอดรับกับเสียงนักร้องหญิงที่กำลังขับขานบนเพลงแสนไพเราะเพื่อนักดื่มที่มาสังสรรค์ในค่ำคืนนี้

ร้านนี้ผมผ่านบ่อยแต่ไม่เคยได้แวะเข้ามา มองจากข้างนอกบรรยากาศดี และภายในก็ดีอย่างที่คิด แสงไฟสลัวที่ตกแต่งรอบร้าน ประกอบกับโทนสีอุ่นของวอลเปเปอร์ และหลังคาโปร่ง ทำให้บรรากาศในร้านเหมือนคาเฟ่มากกว่าร้านเหล้า แต่ก็ชวนให้เมาดีเหมือนกัน

“เฮ้ยเมฆทางนี้ ๆ”

จิมตะโกนเรียกจากโต๊ะตัวในสุดของร้าน ซึ่งผมคิดว่าดีเหมือนกันเพราะไม่ค่อยชอบเสียงดังจากวงดนตรีเท่าไหร่

รอบโต๊ะมีแต่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมอปลายนับแล้วห้าคน แต่เชื่อไหมว่าผมแทบไม่เคยมารสังสรรค์พบปะกับพวกมันนี้เลยตั้งแต่เรียนจบ เหตุผลก็เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมต้องจำใจเลิกกับอาโป และผมก็ละอายใจบวกกับความรู้สึกผิดหลาย ๆ อย่าง เลยคิดว่าไม่มาเจอให้เสียดหัวใจกับเรื่องเดิม ๆ ดีกว่า

แต่ที่วันนี้มาก็เผื่อว่าตัวเองจะได้หลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง ไม่รู้สิ มันเป็นแค่ลางสังหรณ์บ้า ๆ บอ ๆ ของคนไร้สติอย่างผมก็ได้

“เชี่ยเมฆ ไม่เจอมึงนานโคตร หล่อฉิบหายเหมือนเดิม แต่ทำไมดูซึม ๆ วะ สาวเทงี้”  ณัฐถามขึ้น

ผมเลือกที่จะไม่ตอบได้แต่กระดกแก้วที่มีน้ำสีอำพันไม่ผสมมิกเซอร์ลงคอ ความร้อนผ่าวของดีกรีแอลกอฮอล์รับรู้ได้ว่ามันไหลไปส่วนใดของร่างกาย ถ้าหัวใจอยู่ใกล้กระเพาะตอนนี้ก็คงแสบสันอยู่เหมือนกัน

“ไม่ถามเรื่องหญิงก็ได้ สงสัยคงช้ำมา” ว่าที่นายสัตวแพทย์เปลี่ยนเรื่อง
“กูถามเรื่องอาโปได้ป่าววะ กูเห็นรูปในไอจีมึงมีแต่มัน สรุปคือคบกันอยู่หรอ?”

“เออนั่นดิ ไหนตอนนั้นว่าเลิกกันแล้ว” ธีร์เพื่อนที่เคยสนิทอีกคนถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามพวกนี้อย่างไร ไม่โทษใครทั้งนั้นเพราะถ้าย้อนกลับไปความผิดอยู่ที่ผมคนเดียว

“อืมคบกัน”

“เหี้ย! จริงป่ะเนี่ย” จิมอุทาน ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ดูจะตกใจเหมือนกัน

“แบบเพื่อน”

“อ้าวไอ้เมฆ”
“ห่าตกใจหมด”
“เออมึงแม่ง”

คำพูดจากเพื่อน ๆ รอบโต๊ะ ทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พวกมันก็ไม่เคยเข้าใจและยอมรับความรักในแบบของผมกับอาโปได้

หมดคำถามที่พวกมันอยากรู้ต่างคนก็ต่างเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน โดยที่ผมนั่งฟังเงียบ ๆ มีหลายเรื่องที่กำลังคิดวนอยู่ในหัว ถ้าผมบอกไปว่าผมยังรักอาโปตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้บรรยากาศจะยังครึกครื้นเฮฮาแบบนี้ไหม หรือเพื่อนจะมองผมเป็นตัวประหลาดสำหรับพวกมันกันแน่


ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ทว่าตอนนี้สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะพ่ายแพ้ให้กับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปขนัด เพื่อนหลายคนก็ไม่ต่างกัน บ้างก็ลุกขึ้นเต้น ไปพาสาวสวยมาเป็นแขกในวงเพิ่มบ้าง ดนตรีที่บรรเลงเป็นจังหวะบีทหนัก ๆ กระแทกกระทั้นต่างจากตอนที่มาถึง คล้ายจะกระตุ้นและมอมเมาสมทบกับดีกรีแอลกอฮอล์ไปในที

ไม่นานไฟในร้านก็เปิดสว่างขึ้นดนตรีภายในร้านก็หรี่เสียงลง เป็นสัญญาณว่าปาร์ตี้วันนี้ต้องเลิกราและแยกย้ายกลับเคหะสถานของใครของมัน

“เฮ้ยเมฆไหวป่ะวะ” ตะวันเพื่อนอีกคนถามขึ้น ดูมันเมากว่าผมอีกยังจะมาถามว่าไหวมั้ย

ผมพยักหน้าเพราะหยุดดื่มไปก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงและอัดน้ำเปล่าไปเยอะพอสมควรเพราะกลัวขับรถกลับไม่ไหว

“ไหว”

จู่ ๆ เพื่อนทุกคนก็นั่งล้อมวงมองหน้ากันเหมือนนัดแนะอะไรสักอย่าง อาการเมามายเมื่อครู่ดูจะหายไปดื้อ ๆ  แล้วก็เป็นว่าที่นายแพทย์ทะเลถามขึ้น

“เมฆ กูถามมึงจริง ๆ นะ ที่มึงไม่มาเจอพวกกูเลยตั้งแต่เรียนจบ เกี่ยวกับเรื่องตอนนั้นหรือเปล่า เพราะพวกกูใช่มั้ยที่ทำให้มึงกับอาโป…”

“ไม่เกี่ยวหรอก”
“ทุกอย่างมันอยู่ที่กู”

บรรยากาศภายในโต๊ะดูเงียบขึ้น เพื่อนส่งแขกสาว ๆ กลับไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมและเพื่อนสนิทวัยเด็กนั่งล้อมโต๊ะกันเท่านั้น

“พวกกูคิดกันมาตลอดว่าที่มึงเฟดตัวออกไปเพราะโกรธพวกกู ที่มีส่วนทำให้มึงเลิกกับอาโป” จิมเดิมมานั่งข้าง ๆ และโอบไหล่ผมไว้ แม้จะเริ่มสร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่สายตากับพร่าเลือนเพราะน้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้ นี่สินะที่ว่าแอลกอฮอล์ทำให้อารมณ์อ่อนไหว “มึงด่าพวกกูก็ได้ เพราะตอนนั้นยอมรับว่าการกระทำพิเรนทร์ของพวกกูแม่งเหี้ยจริง ๆ”

ภาพเมื่อวันวานสมัยวันรุ่นแบ่งบานของผมและเพื่อนก็ย้อนกลับเข้ามา…



โรงยิมชั้นสองที่กว้างขวางแคบไปขนัดตา เมื่อมีการแข่งขันบาสระดับชั้นมอปลายคู่ชิงชนะเลิศ บรรดาเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำต่างขยันโชว์ทักษะและเทคนิคในเกมการแข่งขันที่กำลังดุเดือด สองทีมคละผู้เข้าเล่นจากนักเรียนมอปลาย ตัวผมและผู้ชายร่างโปร่งในฐานะคนรักเล่นคนละฝ่าย เขามีทักษะการเล่นกีฬาที่ดีจนเป็นหนึ่งในทีมบาสของโรงเรียน ส่วนผมคงได้แค่ส่วนสูงและทักษะการเล่นนิดหน่อยที่ได้เขาฝึกซ้อมให้ที่สนามกีฬาหลังเลิกเรียนพิเศษ

เราแอบยิ้มให้กันขณะเลี้ยงลูกและวิ่งไล่ส่งบอล เพราะบังเอิญที่ผมและเขาเล่นตำแหน่งปีขวาเหมือนกัน เกมในสนามทีมเป็นรอง แต่ถ้าเป็นเกมจ้องตาผมชนะเขาราบคาบ

ไม่เคยมีครั้งไหนที่อาโปจะจ้องตาผมได้เกินสามวิ ความเขินอายของผู้ชายคนนี้มันน่ารักเหลือเกินสำหรับผม

จบเกมแน่นอนทีมผมแพ้และเป็นทีมอาโปที่ฟอร์มดีจนเป็นแชมป์สมัยที่สอง

บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์ที่แสนวุ่นวายเมื่อครู่ ขณะนี้เงียบสงบเหลือเพียงผมและอาโปที่เป็นเจ้าของมัน

“คุณไม่ออมมือให้ผมเลย” ผมเย้า ขณะที่ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้เขา เรายืนในซอกมุมที่ลับพอที่จะไม่มีใครสังเกตหลังล็อกเกอร์

“ในสนามคุณคือคู่แข่ง ทำไมต้องออมมือ” คนตัวบางกว่ายกยิ้ม ผมชอบที่เวลาเขายิ้มแล้วตาโต ๆ ของเขามันหรี่ลงเหมือนยิ้มไปด้วย

“แต่เราเป็นแฟนคุณนะ” หมัดของคนตรงหน้าชกที่ท้องผมเบา ๆ นี่แหละอาการเขินของผู้ชายสูง 178 เซนติเมตร

จู่ ๆ เขาก็โผเขากอดผมทั้งที่ร่างกายของเรามีแค่ผ้าขนหนูปกปิดส่วนล่าง ไม่พอยังกดจูบที่ต้นคอเบา ๆ ด้วย นี่ยั่วกันชัด ๆ

“คิดถึงจัง ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เลย”

“คุณกำลังลดความยั้งใจของเรานะ”

“ก็ไม่ต้องยั้ง” เขาเคลื่อนใบหน้าจากต้นคอหันมาสบตา ก่อนที่จะเสมองที่อื่น ก็บอกแล้วว่าเขาแพ้ผมเวลาสบตาเสมอ คนที่ปากเก่งแต่สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อผมเลื่อนมือพาดที่เอวของเขา ท่าทางล่อแหลมของเราตอนนี้ไม่ต่างจากฉากหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เคยดู ความรักในความลับหลังล็อกเกอร์ที่โรงเรียน

“เหยดดดดดดดดด”
“ณัฐมึงถ่ายได้ป่ะวะ”
“หัวหน้าห้องคิงกับนักกีฬาบาสประจำโรงเรียนพลอดรักหลังล็อกเกอร์ว่ะ”
“ฮิ้วววววววววว”
“เรื่องนี้ต้องขยาย”

เสียงเอะอะมะเทิงจากล็อกเกอร์ฝั่งตรงข้าม ฉากที่ว่าเลยไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

คลิปและภาพของผมกับอาโปถูกส่งต่อผ่านช่องทางสื่อสารให้คนอื่น คนส่งสารพวกนั้นคือเพื่อนในกลุ่มของเราเอง โดยที่พวกมันยังสนุกและหัวเราะแบบไม่ได้สนใจว่าผมและอาโปจะรู้สึกอย่างไร และสิ่งที่ทำให้เส้นความอดทนขาดลงก็คือ

‘เฮ้ย อย่าเครียดน่า ขำ ๆ มึงได้กันยัง ข้างหลักมันป่ะ’ คำพูดจากปากเพื่อนที่คิดว่าสนิทที่สุดอย่างจิมทำให้ผมผลักอกมันแล้วต่อยเข้าที่หน้าเต็มแรง ไม่ได้โกรธที่มันดูถูกผมแต่โกรธที่มันดูถูกอาโปซึ่งเป็นเพื่อนของมันอีกคน ทำไมถึงพ่นคำพูดสามานย์ขนาดนี้ออกมาจากปากได้

‘เชี่ยมึงต่อยกูทำไมเนี่ย’

‘หมาในปากมึงจะได้สงบเสงี่ยมบ้าง’

‘เหี้ยเมฆ!’

หลังจากวันนั้นเหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้าย เพราะเพื่อน ๆ ต่างพากันแบนผม คำพูดที่พวกมันใช้อย่างสนุกปากแต่งแต้มเรื่องราวใส่ไข่ให้กับอาโปต่าง ๆ นา ๆ และเหตุผลที่มันเล่นงานอาโป เพราะอาโปเพิ่งเข้ามาในกลุ่มตอนมอปลายมันเลยโทษเขาที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป ซึ่ง ณ จุดนั้นผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย พยายามหาทางออกกับเรื่องนี้ว่าควรทำอย่างไร ยอมรับว่าเครียด กลัว และขี้ขลาดเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา คิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ไม่ให้อาโปโดนคนอื่นเอาไปพูดอย่างสนุกปาก คิดกระทั่งชวนอาโปย้ายโรงเรียน แต่เรื่องพวกนี้มันถูกกระจายไวอย่างกับเชื้อโรค ไปที่ไหนก็คงตามติดตัวเราไปทุกที่

สุดท้ายก็คิดโง่ ๆ คือออกจากชีวิตของอาโปเพื่อปกป้องไม่ให้เขาโดนใส่ร้ายและด่าทออีก

‘เราไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายตลอดไปได้’

นี่คือคำพูดบอกเลิกเดียวที่ผมพอจะนึกออก และใช่มันโหดร้ายกับอาโปมากถึงมากที่สุด ผู้ชายที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายได้ กลับค่อย ๆ เรียนรู้จักความรักจากผู้ชายอย่างผม ยอมกระทั่งเสนอว่าเราไม่ต้องเจอกันที่โรงเรียน ยอมไม่ไปไหนมาไหนข้างนอก และยอมให้ตัวเองอยู่ในความลับตลอดไปได้

ขอแค่ให้ผมอยู่กับเขา

และสุดท้ายผมก็ใจร้ายมากพอที่จะเพิกเฉยกับคำขอของคนที่รักมากที่สุด


อาโปขาดเรียนไปสองวันเต็ม ๆ ซึ่งในหัวใจผมร้อนรนถึงไปแอบไปดูเขาถึงบ้าน แอบมองเขายืนรดน้ำต้นไม้ด้วยสภาพอิดโรย ใต้ตาคล้ำ และบวมแดง คงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ชินจังหมาพันปอมเปอเรเนียนวิ่งคลอเคลียไม่ห่าง ร่างโปร่งนั่งยองยองลงแล้วอุ้มสุนัขเข้ามากอดแนบอก ผู้ชายตัวสูงขณะนี้ตัวเล็กลงไปอีก ไหล่บางสั่นกลั้นสะอื้น หัวใจของผมเหมือนโดนบีบขย้ำและกระชากออกไปจากร่าง ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้ายกับคน ๆ ไว้มากมายแค่ไหน

อาโปเฟดตัวออกจากกลุ่มไป ผมก็ยังใช้ชีวิตกับเพื่อนกลุ่มเดิม ในความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ขณะนั้นผมไม่เหลือความจริงใจและความรักในมิตรภาพให้พวกมันอีก แต่ที่ยังอยู่ก็เพื่อทำให้พวกมันคิดว่าผมเลือกพวกมันและยังคงเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง จะได้เลิกยุ่งกับอาโปสักที

พวกมันก็พยายามเป็นพ่อสื่อให้ผมกับเด็กคอนแวนต์โรงเรียนข้างกัน ปล่อยข่าวลือต่าง ๆ นานา กลบข่าวที่พวกมันเป็นตัวต้นเรื่องทำร้ายผมและอาโปอย่างคึกคะนอง ภาพจำของอาโปในเทอมสุดท้ายเขาแทบไม่สุงสิงกับใคร และเรื่องฉาวก็เงียบหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

ความเห็นแก่ตัวของผม คืออยากมีอาโปในชีวิตไม่ว่าจะอย่างไร ก็เลยสืบจนรู้ว่าเขาสอบตรงที่ไหนบ้าง เลยเลือกสอบคณะและสาขาเดียวกัน จนสุดท้ายติดที่เดียวกับอาโปจนได้ แม้ว่าวันที่ผมได้เจอกับศิ เฌอ และอาโป ในวันเฟิร์สเดต สายตาของอาโปจะว่างเปล่าไม่มีกระทั่งเงาของผมในนั้นก็ตาม

แต่ความสบายใจเดียวคืออย่างน้อยผมก็ยังอยู่ในชีวิตของเขาบ้างก็ดีเกินพอแล้ว ความใจดีของผู้ชายคนนี้คือยังส่งยิ้มให้ ทักทาย เสมือนเราทำความรู้จักกันใหม่ในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนอย่างแท้จริง

เจ็บเหมือนจะตาย
แต่ก็คงยังไม่ได้ครึ่งที่อาโปเจ็บ

สุดท้ายเลยเลือกที่จะเฟดตัวเองออกจากกลุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่มอต้น ทั้งที่มีไลน์กลุ่ม มีเฟซบุ๊ก แต่ผมไม่เคยปรากฏตัวในการสนทนาของพวกมันเลยตลอด 3 ปี เพราะรู้สึกยังติดค้างในใจ และไม่สามารถมองพวกมันเป็นเพื่อนที่จะคอยพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันได้ สุดท้ายเลยมีเพื่อนจริง ๆ แค่ศิ เฌอ และอาโป…


เวลาผ่านไป ทัศนคติ และวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น ทำให้เรามองโลกคนละแบบกับตอนที่เรายังเด็ก เคยคิดว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเพื่อน แต่จริง ๆ แล้วเป็นเพราะผมเองที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาเลยต่างหาก แม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่กำลังจะเสียอาโปไปจริง ๆ ก็ยังคงใช้อารมณ์อย่างไร้สติ มากกว่าใช้เหตุผลคุยกัน

“พวกกูขอโทษนะเว้ยที่ทำให้เรื่องของมึงจบแบบนั้น” ตะวันพูดเจือด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ

“พวกกูรู้สึกผิดมาตลอด” จิมพูดพร้อมตบบ่าผมแรง เสียงเขาสั่น น้ำตาของผมรินไหลเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน ๆ ที่อึดอัดใจไม่ต่างกัน

“มึงยังรักเขาหรอวะ” ทะเลถามขึ้น

ผมพยักหน้ารับ

“จนถึงตอนนี้?”

“อืม”

“มึงกับอาโปเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ทั้งที่มึงยังรักเขามาตลอดหรอวะ” ว่าที่คุณหมอถามแทนใจ

“กูทำได้แค่นั้น”

ความเงียบเข้าควบคุมบรรยากาศการพูดคุย ทุกคนราวกับใช้ความคิดและนึกถึงอดีตที่มันแสนเจ็บปวด การกระทำไม่คิดขณะที่เรายังเด็กส่งผลต่อปัจจุบัน ตอนนั้นเราไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริง แต่วันนี้เราเรียนรู้มัน ตั้งรับกับมัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เจ็บปวด เพียงแต่เรารู้ว่าเวลาเราเจ็บเราแสดงออกไม่ได้ว่าเราเจ็บ แต่ความสบายดีของเราจะส่งผลต่อความสบายใจของทุกคนต่างหาก นี่แหละชีวิตของผู้ใหญ่

“พวกกูขอโทษจากใจจริง ๆ ตอนนั้นกูคิดว่ามึงกับอาโปแค่เผลอใจ พวกกูตั้งรับไม่ทัน ยอมรับว่ารับไม่ได้ แต่เห็นสภาพมึงเป็นแบบนี้ มึงจะให้พวกกูทำอะไรก็ได้ ให้กูไปขอโทษอาโปก็ได้ ให้พวกกูชะล้างความผิดของพวกกูบ้างก็ยังดี” คำพูดจากจิมสั่นเครือและกลั้วน้ำตา ทะเลเสมองไปทางอื่น ส่วนณัฐก้มมองกระเบื้องที่พื้น ตะวันนั่งหลับตาทั้ง ๆ ที่น้ำตายังคงไหล ธีร์ยกบุหรี่ขึ้นมาจุดทั้งที่ในร้านห้าม

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ผมและอาโปที่เจ็บปวด แต่พวกมันเหมือนเนื้อร้ายที่เกาะกินใจมาโดยตลอด ไม่ต่างจากนักโทษกลับใจและมองเห็นความผิดของตนเองว่าสร้างความเสียหายแค่ไหน ส่งผลถึงใครบ้าง และนั่นแหละคิดได้เมื่อสายไปแล้ว

“ช่างมัน เขาเริ่มใหม่ไปแล้ว มีแต่กูที่ยังอยู่ที่เดิม” จิมกอดคอผมแน่นขึ้น ผมใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองลวก ๆ ก่อนจะชวนทุกคนกลับ

“กูไม่โกรธพวกมึง แค่ละอายใจกับเขาเกินกว่าจะมีความสุขได้” ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำเหมือนติดต่อพวกมันเสมอ หลายครั้งโกหกว่าไปสังสรรค์กับเพื่อนมอปลาย แต่จริง ๆ นอนอยู่บ้าน ดีที่ไม่ใช่คนติดโซเชียลเลยทำให้อาโปเชื่อได้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้มาสนใจจุดนี้เลยด้วยซ้ำ

“มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ กูอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย”  ใบหน้าอมทุกข์ของเพื่อนที่เดินมาส่งผมที่รถแสดงออกว่าพวกมันไม่ได้สบายใจแม้จะเอ่ยคำขอโทษแล้วก็ตาม

“มึงยังมีพวกกูนะ แม้พวกกูจะเคยเป็นเพื่อนที่ห่าเหวในชีวิตมึง แต่ตอนนี้จะเป็นเพื่อนที่ดีขึ้น” ตะวันตบบ่าผมเบา ๆ

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ พวกกูเต็มใจช่วยมึงทุกเรื่อง” จิมที่ยืนกอดอกพิงรถผมพูดขึ้น

“อืม ขอบใจพวกมึงมาก ดีใจที่วันนี้ได้มาเจอพวกมึง โล่งอกเหมือนกัน”

ผมส่งรอยยิ้มที่คิดว่าฝืนได้ดีที่สุดให้พวกมัน ก่อนจะกล่าวลาแล้วขึ้นรถตัวเองไป ถ้าถามว่าวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของเราสามารถกลับไปเฮฮาสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนได้หรือยัง ก็คงต้องตอบว่ายัง สามปีที่หายไปมันเพิ่มระยะห่างมากอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ดีขึ้น โล่งใจและหายใจออกบ้าง ก็หวังว่ามันจะค่อย ๆ ดีขึ้น





มีต่อ


หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.20 Spotlight (25/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-08-2018 23:30:24
เส้นทางที่ผมกำลังเดินทาง ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมรู้ดี แต่ในหัวคิดอะไรวกวนจนสุดท้ายมาจอดรถที่หน้าคอนโดของผู้ชายที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ฝนโรยปรายลงมาทั้งที่ก่อนหน้าไม่มีวี่แวว นี่แหละคนบาปหนาอะไรก็ไม่เป็นใจ จอดรถริมฟุตบาธหน้าคอนโดบอกยามว่าจะขึ้นไปหาเพื่อน และนิติบุคคลจำผมได้ดีเลยปล่อยให้ขึ้นมาง่าย ๆ ไม่ได้สนใจว่าจะเดินฝ่าสนตกหนักในค่ำคืนนี้

ไม่ได้มาเหยียบที่นี่นานในความรู้สึก ก่อนที่อาโปจะแคสต์ซีรีส์ผ่าน ผมมาที่นี่แทบจะทุกอาทิตย์เพราะคอนโดอาโปใกล้มหาลัย และเราทั้งสี่คนมักจะคลุกตัวอยู่ที่นี่บ้าง ไปคอนโดศิบ้างสลับกัน

ยกนาฬิกาดูเวลาเข้าวันใหม่เกินมาสองชั่วโมง แต่ในหัวคิดแค่ขอได้เห็นหน้าเขาสักห้าวินาที หากเขาปิดประตูใส่ก็ไม่เป็นไร

ติ๊ง ต่อง ติ๊ง ต่อง

ไม่นานผู้ชายร่างโปร่งเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตู ซึ่งแน่นอนเขาดูตกใจที่เห็นแขกในยามวิกาลคือผมเอง แต่แล้วสิ่งที่คิดไว้กลับไม่เกิดขึ้น เขาเปิดประตูกว้างคล้ายกับเชิญผมเข้าห้อง สงสัยเวทนาสภาพเปียกปอนเหมือนตกน้ำมาของผม ไหนจะกลิ่นเหล้าคลุ้งอีก

ระหว่างถอดรองเท้าก็สังเกตว่ามีรองเท้าคู่ใหญ่วางอยู่นอกชั้น ซึ่งไม่ใช่ของอาโปแน่ ๆ ได้แต่ภาวนาในใจว่าไม่ให้เป็นอย่างที่ตัวเองคิด

สำรวจห้องชุดที่แสนคุ้นเคย ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนครั้งที่เคยมา อาโปที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนเจ้าระเบียบใช้ได้ ดูได้จากข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกจัดวางเขามุม เป็นระเบียบ ไม่รกตา ห้องโทนสีขาวที่เขาชอบก็ทำให้ที่นี่โล่งโปร่งและหายใจสะดวกดี

“ดื่มมาหรือไง ทำไมเหม็นกลิ่นเหล้าขนาดนี้”

“อืม”

“นั่งรอแป๊บแล้วกัน เราจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”

“ครับ”

ขนาดทำเลวร้ายใส่เขาสารพัด ไหนจะสร้างความปั่นป่วนให้ในช่วงที่ผ่านมา อาโปก็ยังใจดีด้วยเสมอ

แกร๊ก

ประตูห้องนอนอาโปถูกเปิดออกโดยผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำไม่ใส่เสื้อ และนั่นแหละสิ่งที่ผมภาวนาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่มีใครฟังขอจากคนเลว ๆ อย่างผม

“ใครมาหรอโป”

“เพื่อนน่ะครับ”


เสียงฟ้าร้องดังจากข้างนอก แต่ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อมอย่างจัง ตัวชาคล้ายกับโดนไฟหมื่นโวล์ช็อตจนขยับตัวไม่ได้ อยากจะบังคับสายไม่ให้มองภาพตรงหน้าแต่เหมือนถูกสตัฟฟ์เอาไว้ อาโปเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ชื่อเพทายก่อนจะดึงแขนเขาเข้าไปในห้องโดยที่ผมไม่รู้ว่าอาโปจะบอกกับเรื่องผมที่มาดึกดื่นกับเขาว่าอย่างไร

นั่งนิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่กล้าขยับตัว จากที่เคยคิดว่าตัวเองใกล้สูญเสียเขาไป ตอนนี้ได้เสียเขาไปแล้วจริง ๆ อย่างเป็นทางการ

“อะนี่เสื้อผ้า ไปเปลี่ยนซะเดี๋ยวไม่สบาย” รับเสื้อผ้ามาจากผู้ชายในเสื้อสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น เป็นชุดนอนสุดสบายที่เขาชอบ นั่นหมายถึงว่าเขาสบายใจมากพอที่จะใส่ชุดแบบนี้นอนในห้องเดียวกับผู้ชายคนนั้น “เราจะไปหาอะไรอุ่น ๆ ให้กิน”

“เลือกเขาแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย”

“....”

“เราไม่มีหวังแล้วใช่หรือเปล่า”

“...”

“หึ นั่นสิเนอะเราไม่น่าถามคุณทั้งที่คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” ขามันเหมือนไม่มีแรงเลยทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าที่ผมถืออยู่เป็นชุดที่มาลืมไว้ เขายังเก็บไว้อีกทั้งที่ทิ้งไปคงดีกว่า

ร่างโปร่งนั่งตรงข้ามกัน เขาไม่ได้พูดอะไร และผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ความเงียบที่เกาะกุมบรรยากาศ แต่กลับทำให้ความจริงเสียงดังชัดขึ้น และเป็นผมที่ต้องยอมรับความจริงสักที ไม่ว่าจะดึงดัน ดื้อรั้นสักเพียงใด ทุกอย่างก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า ผมกลับยังจมปลักอยู่ที่เดิม

“เรารู้ว่าที่ผ่านมาเราทำความลำบากใจให้คุณ”
“เราขี้ขลาดที่ปล่อยให้มันนาน...ขนาดที่ขอโอากาสไม่ได้แล้ว”
“ขอบคุณที่ไม่เกลียดเรา เราจะพยายามเป็นเพื่อนที่ดีเหมือนที่คุณทำ”
“และจะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีก”

เหมือนจะรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดคำพูดพวกนี้กับเขา เลยพูดแบบไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าพูดตามความรู้สึกภายในใจของตัวเอง และไม่แน่ใจว่าทำไมน้ำตามันไหลอีกแล้ว เป็นคนร้องไห้ง่ายขนาดนี้เลยหรอวะ

“เราขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“และเราก็ค้นพบแล้วว่าอะไรคือสิ่งเลวร้ายในชีวิตของคุณ”
“ก็คือตัวเราเอง”

“ไม่…”

“คุณดีกับเราจนเราละอายแก่ใจว่ะ ตอนแรกวันนี้เราแค่อยากเห็นหน้าคุณ แต่ไม่คิดว่าเลยว่าจะต้องบอกลา”

“จะ...ไปไหน”

“เปล่าไม่ได้ไปไหน แค่บอกลาคุณจากความรู้สึกตัวเอง” เงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไม่หยุดไหล ใช้หลังมือเช็ดมันออกลวก ๆ เพราะอยากมองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าให้เต็มที่ ก่อนที่จะไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ในความรู้สึกเดิมอีก

“เขาดีกับคุณมั้ย”

“อื้ม”

“ครับดีแล้ว งั้นเราขอเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว จะไม่รบกวนแล้วแหละ” ลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำ แต่น้ำเสียงสั่นเครือของเขาก็ทำผมหยุดชะงัก

 “อยู่จนฝนซาก่อนก็ได้นะ”

มันทำให้น้ำตาที่ถูกเช็ดไปเมื่อครู่ไหลบ่าออกมาอีก พยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ตัวของผมสั่นเหมือนวันที่ยืนร้องไห้ข้างกำแพงรั้วบ้านของเขาในวันนั้น แต่วันนี้มันเจ็บกว่าวันนั้นแบบเทียบไม่ติด เจ็บเหมือนจะตายเลย

“ฮึก เดี๋ยวเราไปเอาอะไรอุ่น ๆ มาให้นะ” ไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำว่าเขาร้องไห้ ซึ่งมันจะวกกลับมาที่ผมทำให้เขาร้องไห้อีกแล้ว

ยอมรับว่าแว้บหนึ่งรู้สึกอุ่นวาบในใจที่รับรู้ว่าเขาเองก็เสียใจ มันอาจจะเป็นเพราะเรามีสายใยบาง ๆ ผูกพันกันเอาไว้ แม้จะไม่ใช่ในฐานะคนรัก แต่เมื่อมันจะต้องตัดขาดเขาก็คงใจหายเหมือนกัน

ตัดสินใจเลือกที่จะเดินเข้าห้องน้ำและรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มองหน้าตัวเองในกระจกใช้เวลากลั่นน้ำตาออกมาให้หมดแล้วล้างหน้าล้างตาเดินออกมา เพื่อไม่ทำให้คนที่รออยู่ข้างนอกหนักใจเหมือนที่รับปากกับเขาไว้

แก้วมัคสีน้ำเงินเข้มคือสีที่เขาชอบ
ชาพีชที่เขาชอบ
ฝนตกในตอนกลางคืนที่เขาชอบ
คงมีแค่ผมอย่างเดียวที่อยู่ตรงนี้แล้วเขาไม่ชอบ
ตลกร้ายชะมัด

“ขอบคุณครับ”

ทั้ง ๆ ที่ชาค่อนข้างร้อนแต่ผมใช้เวลาไม่นานในการดื่ม ไม่ใช่เพราะอากาศเย็นมาก แต่เพราะความร้อนของชามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรเลยมากกว่า คงเป็นระบบรับรู้ความรู้สึกของผมมันอาจจะตายไปแล้วก็ได้

ลุกขึ้นหยิบถุงเสื้อผ้าเปียกติดมือและกำลังจะกล่าวลา แต่ผู้ชายตรงหน้าก็พูดขึ้นก่อน

“ฝนยังไม่ซาเลย จริง ๆ..”

“อย่ายื้อเลย” ดวงตาและจมูกแดงก่ำของเขาบอกให้รู้ว่าเมื่อครู่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาไม่ต่างกัน และขณะนี้น้ำใส ๆ ก็ปริ่มที่หัวตาเขาอีกแล้ว ต้องรีบตัดบทก่อนที่จะทำให้เขาร้องไห้อีก เขาควรพอสำหรับการร้องไห้เพื่อผม ผมไม่มีค่าขนาดที่เขาจะมาเสียน้ำตาให้อีก

“...”

“ไม่ว่าจะสงสารหรือเวทนา แต่อย่าเลยนะ”
 “ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ”

ทั้ง ๆ ที่มีอีกคำที่อยากพูดกับเขา แต่กลืนมันลงคอไปเพราะรู้ว่าไม่ควรพูดมันออกมา แม้ว่ามันจะเป็นแผลติดอยู่ในใจไปตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร ดีกว่าให้เป็นตราบาปในชีวิตของเขา

“ขอบคุณที่ให้เข้ามา” ในชีวิตนะ

คำพูดประโยคเต็มที่อยากบอกเขา แต่เกรงว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกดีที่มีผมในชีวิตเท่าไหร่ ก็เลยตัดบทด้วยรอยยิ้มที่ดีที่สุดในชีวิตส่งให้เขา

เรารักคุณ

พร้อมฝากความรู้สึกอันมากล้นในหัวใจของตัวเองเอาไว้ตรงนี้ ที่นี่ กับคน ๆ นี้

สุดท้ายมันก็กลายเป็นการจากลาที่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นสักที




พอประตูปิดลงตอนนั้นแหละที่รู้เลยว่าความเข้มแข็งของหัวใจและร่ายกายมันได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว ไม่รู้หรอกว่าการหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะตายก็คงรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้ง

อ่อนแอ เปราะบาง นี่สินะที่เขาว่ากัน

ยืนหลบมุมเพื่อมองประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมา จ้องที่ลูกบิดประตู คิดในใจถ้าเขาเปิดประตูออกมาเพื่อมองหาก็คงต่อชีวิตตอนนี้ได้อีกหน่อย แต่นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วยังไร้วี่แวว สุดท้ายการหลอกตัวเองของผมแม่งก็พ่ายแพ้ให้กับความจริงที่ต้องยอมรับ

มึงแพ้แล้วเมฆ มึงแพ้ให้กับตัวมึงเอง

นี่แหละโทษทัณฑ์ที่ผมควรได้รับมานานแล้ว ผมยื้อมานานมันก็เลยโคตรเจ็บ แต่ถ้าย้อนกลับไปก็คงเลือกที่จะทำเหมือนเดิม เพราะเมฆคนนั้นก็คือตัวผมเอง เมฆที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เมฆที่ไม่ยอมแพ้ เมฆที่คิดว่าตัวเองเก่งจัดการได้ทุกอย่าง เมฆที่มั่นใจในตัวเอง แต่กลับกันเมฆในตอนนี้มันสูญสลายหายไปต่อหน้าผู้ชายที่ชื่ออาโปเมื่อครู่ มันไม่เหลือเมฆคนนั้นอีกต่อไป


(ฮะ ฮัลโหล)

“ศิ กูไปหาได้มั้ย”

(ฮื้อ เมฆหรอ มีอะไรมั้ย)

“ฮึก กู กูไม่ไหว”

(อื้อมาเลย เราจะโทรบอกนิติให้ ขับรถดีดีนะ ให้เราไปรับดีมั้ย)

“ไม่ ฮึก เป็นไร”

(งั้นเมฆไม่ต้องวางสายนะ)

“อะ อื้อ”




นั่งจ้องตึกรามบ้านช่องที่ระเบียงห้องศิมานานขนนาดไหนไม่แน่ใจ บุหรี่หมดเกือบซองแล้ว ไอ้เพื่อตัวเล็กที่ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปนอนในห้องนอน หลับบนตักคนรักหลังจากที่ร่วมร้องไห้กับผม เมื่อรับรู้เรื่องราวที่ผมเรียบเรียงให้ฟัง

“เจ็บว่ะพี่หมอ”
“มียาฉีดแล้วลดความเจ็บปวดข้างในมั้ย”

“ก็พอมี แต่เคสต์เมฆพี่สั่งฉีดยาแบบนั้นไม่ได้หรอก” เสียงทุ้มพูดอย่างใจเย็น เขายิ้มให้ซึ่งผมคิดว่าเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนกำลังคุยกับพี่ชาย

“งั้นก็ฉีดยาให้หลับตลอดไปเลยได้มั้ย”

“ไม่อยากเจอเขาแล้วหรอ”

“...” ทำไมจะไม่อยากเจอล่ะ อยากสิ อยากเห็นเขามีความสุข สุขให้สมกับที่เขาทุกข์ใจมาตลอด

“ความเจ็บตอนนี้มันหนักหนา มันสาหัส จนเราคิดว่าเราทนไม่ได้ แต่พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น มะรืนดีก็ดีขึ้นได้อีก เดือนหน้า ปีหน้ามันก็จะยิ่งดีขึ้น”

“...”

“เมฆบอกเขาเดินไปข้างหน้า แล้วเมฆไม่อยากเดินไปข้างเหมือนกันหรอ”

“แต่มันไม่มีประโยชน์เลยว่ะพี่ มันไม่มีจุดหมาย เป้าหมายในชีวิตมันไม่มีแล้วไง ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร” เพราะเขาเป็นทั้งความหวัง เป็นทั้งเป้าหมาย เป็นแทบจะทุก ๆ อย่างที่ผมอยากให้เกิดขึ้นในอนาคต แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรเลย

“เพื่อตัวเองไง”

“...”

“ให้โอกาสตัวเองบ้าง ไหนเมฆบอกว่าตัวเองได้รับโอกาสจากเขามานานแต่ก็ยังไม่เคยใช้โอกาสนั้นทำให้เขากลับมารักได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ชีวิตเพื่อให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้ที่จะเจ็บปวด ผิดหวัง สมหวัง และความสุข”
“อย่างน้อย ๆ ก็ให้โอกาสเพื่อนคนนี้ของเมฆได้แอบไปด่าพี่เวลาโกรธพี่หน่อยก็ดี”

“หึ”

“ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่เป็นหมอ ใช้จิตวิทยาพูดกับเด็กเรียนเอกจิตวทยาอย่างผมจนรู้สึกว่าความคิดที่ไม่อยากอยู่แม่งโง่มาก”

“ใครก็โง่ทั้งนั้นแหละถ้าเป็นเรื่องความรัก”

นั่นสิเนอะ ความรักไม่ผิดหรอก ผิดที่เราใช้มันเป็นเครื่องมือรองรับความล้มเหลวชีวิตรักของเราทั้งนั้น ดูอย่างไอ้ศิกับพี่หมอ ผ่านทุกรสชาติของความรัก แต่ก็ยังประคับประคองและเขียนรูปแบบของรักของตัวเองด้วยความเข้าใจ ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ อยู่บนพื้นฐาน “รักที่มีให้กัน” 

นั่งคุยกับพี่หมอจนท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสี ได้แต่ขอโทษขอโพยที่ทำให้เขาอดหลับอดนอน ซึ่งเขาก็ใจดีบอกไม่เป็นไรเพราะบางทีควงเวรเวลานอนก็สวิงปกติอยู่แล้ว

เรานั่งเงียบมองท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นรุ่งอรุณวันใหม่ ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออกเหมือนทุก ๆ วัน เช่นกันกับชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันหลังตื่นจากนิทรา แม้เมื่อวานจะพลาดพลั้ง ล้มเหลว สิ้นเรี่ยวแรง เพียงวันนี้เรายอมรับและพร้อมแก้ไข จะได้รู้ว่าโลกมันไม่ได้โหดร้ายใส่เราขนาดนั้น

ลาก่อนเมื่อวานที่แสนเจ็บปวด

สวัสดีวันนี้ที่จะดีขึ้น



---------------To be continued----------------


บันทึกเป็นสถิติที่ดีที่สุดของตัวเอง เขียนนิยายจบตอนภายในวันเดียว /ปรบมือแบบหลีดจุฬา
หรือจริง ๆ เราเขียนดราม่าเก่งไม่แน่ใจ55555555555555
เห็นใจเมฆบ้างมั้ย เออบางทีชีวิตมันก็ยากแบบนี้แหละเนอะ

พี่กบจ๋าาาาา ขอกระทิงแดงให้แพรสิบขวดนะจ๊ะ จะเอาไปชุบชีวิตน้องเมฆของพรี่
ฮืออออออออออ เศร้าาาาาาาาาา

อยากอ่านเมนท์จ้าพี่สาจ๋าาาาาาา ฮ้องไห่นำกันแน่จ้าาา

ฮักเด้อ

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx






หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: meepoohyoyo ที่ 28-08-2018 23:50:18
รอติดตามค่าาาา
เนื้อเรื่องน่ารักมากๆเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-08-2018 00:06:52
 :m15:

สงสาร

 :L2: :pig4:

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-08-2018 00:19:57
เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 29-08-2018 06:05:08
สงสาร....ทุกอย่างมันบีบคั้นจิตใจละเกิน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-08-2018 10:28:31
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 29-08-2018 12:17:12
เราเสียใจ แอบอยากให้สมหวังกัน แต่ถ้าสุดท้ายควมเจ็บช้ำมันทำให้ไม่กล้าลืมจนกลับไปคบกันอีกไม่ได้ เราก็เข้าใจ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 29-08-2018 12:43:54
แอบอยากให้กลับไปนะ แต่บางทีเวลามันอาจจะช่วยอะไรได้มากกว่า
ถ้าสุดท้ายแล้วจะใช่เดี๋ยวมันก็คงใช่แหละ ตอนนี้ทุกคนก็แค่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำในอดีต
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-08-2018 14:47:25
เมฆนกแล้วใช่ไหมคะ จะได้ปักถูก หนึ่งวินาทีก็ช้าไปจ้าาา อันนี้คือถ้าไฟนอลแล้วอาโปไม่เลือกเมฆจริงๆจะเด็ดมาก คนเขียนนี่แหล่ะค่ะใจเด็ด เจอแต่เรื่องที่ถ่านไฟเก่ากลับมาร้อน ถ้าอันนี้จุดไม่ติดนี่สุดๆเลย ชอบบบ คนใหม่ขอให้ดีๆนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 29-08-2018 19:15:41
อย่างน้อยถ้าจะจบกันจริง ๆ ก็เคลียร์กันให้รู้เรื่อง ให้เข้าใจตรงกัน เปิดอกคุยกันเถอะค่ะพี่น้อง
มันจะได้แฟร์ ๆ ทั้งความรู้สึกของเมฆและอาโป จะได้ไม่ต้องติดค้างให้อึดอัดอะไรกันอีก  :เฮ้อ:
อันนี้ความรู้สึกมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ โปเริ่มใหม่กับเพทายในขณะที่ก็ยังต้องเจอเมฆ ยังไม่เคยเคลียร์กันแบบสบายใจได้จริงเหรอ?
เมฆจะเริ่มใหม่ได้จริงเหรอ ? เวลาไม่ได้เยียวยาได้เสมอไปสำหรับหลาย ๆ คน ในกรณีเมฆนี่ก็ไม่รู้สินะ ถึงจะเริ่มคิดได้ช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่คิดเลยอ่ะนะ ในความรู้สึกเรา
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-08-2018 22:41:35
อึมครึมไปอีก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 30-08-2018 03:29:36
 :katai2-1: กะมาเจิมเเบบผ่านๆก่อน แต่ติดแล้วอ่ะ เนื้อเรื่องสนุกค่ะ บรรยายฉากต่างๆดี ภาษาก็สวย มาต่ออีกน้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 30-08-2018 23:38:02
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 10-09-2018 17:29:01
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 19-09-2018 21:20:03
นานเหลือเกิน
พลัดรึเปล่าเอ่ย
ต้องทบต้นทบดอกนร้าาาา
เรางก
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 21-09-2018 23:42:30
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.22 Fix You


Lights will guide you home
And ignite your bones
And I will try to fix you



ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาเข้ามานอนในห้องตอนกี่โมง แต่คิดว่าน่าจะใกล้สว่าง และตื่นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่คนเดียว ไร้คนที่พาเข้ามานอนเมื่อรุ่งสาง พยายามลืมตาต้านแสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่าน เพื่อมองนาฬิกาแล้วบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว ถึงว่าพี่ดิมไม่อยู่ที่นี่เพราะมีเข้าเวรตอนแปดโมงเช้า แล้ววันนี้เห็นว่ามีเคสผ่าตัดช่วงเย็นคงกลับมาดึก

พี่สั่งข้าวไว้ ตื่นแล้วโทรไปบอกให้เขามาส่งนะ

ความน่ารักของพี่ดิมแหละนะ ใครที่บอกว่าผมดูแลพี่เขาดีมาก ๆ เอาจริงยังไม่ได้ครึ่งนึงที่พี่ดิมดูแลผมเลย


เดินลงมาชั้นล่างแล้วพบว่าเพื่อนที่หอบหิ้วตัวเองมาหากลางดึก ยังคงหลับสนิทบนเตียงในห้องนอนแขก กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอบอวนรอบห้อง มันมาจากผู้ชายตัวสูงอัดเข้าปอดเมื่อคืน คงเยอะมากทีเดียวล่ะมั้งเนี่ย

“เมฆ” ผมเรียกจากข้างเตียง

“หื้อ” คนตัวสูงนอนเหยียดกายเล็กน้อยหลังจากมีการรบกวนเกิดขึ้น

“จะไปเรียนตอนบ่ายมั้ย”

“หื้อ อื้อ ๆ ไป ๆ”

“แน่ใจหรอ ไหวเปล่า วันนี้โดดสักวันก็ได้นะ”

เมฆค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นนั่ง แล้วประคองสติ สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเคราหนาขึ้นกว่าวันก่อนพอสมควร สภาพชุดนักศึกษาตัวเดิมที่สวมเมื่อวานยับยู่ยี่ ไม่เหลือเค้าคนที่ถูกขนาดนามว่าหล่อกว่าเดินมหาลัยเมื่อสามปีที่แล้วเอาเสียเลย

“ไปเถอะ กูไม่อยากให้โปไม่สบายใจ”

“แล้วมึงสบายใจหรอ”

เมฆส่ายหน้าแทนคำตอบ สายตาเหม่ลอยของเขาที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่อาการของคนง่วงงุน แต่เรื่องราวของเมื่อวานคงกำลังย้อนไหลเวียนเข้าไปในหัวอย่างพรุ่งพรู

“กูจะพยายามเป็นปกติให้ไวที่สุด ไม่อยากให้เขารู้สึกผิดหรือมีความรู้สึกติดค้างอะไรกับกูอีก อยากให้เขาเริ่มใหม่โดยที่ไม่พันธะอะไรเลย”

“เฮ้อ ทำไมมึงไม่เคยบอกกูเลยว้า มึงปล่อยให้มันนานขนาดนี้ได้ไง”

“กูก็ถามตัวเองอยู่ศิ หึ บางทีกูกับมันอาจจะไม่ใช่ของกันและกันมั้ง”

“อย่ามาทำเป็นเชื่อเรื่องพรหมลิขิต เพราะมึงไม่เชื่ออะไรพวกนี้น่าเมฆ”

“ลองเชื่อบ้างก็ดีไม่ใช่หรอวะ กูจะได้ยอมรับความจริงในความเชื่อที่กูไม่เคยเชื่อบ้าง”

เมฆยกยิ้มเหมือนเยาะให้ตัวเอง แล้วถามหาผ้าเช็ดตัวเพื่ออาบน้ำ รวมถึงขอยืมใช้ที่โกนหนวดอันใหม่ของพี่ดิม เพื่อกำจัดเคราครึ้มของตัวเอง เพราะมันบอกว่ามองกระจกแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองชอบกล เออมึงควรรู้ตัวตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว

ผมกับเมฆนั่งกินข้าวที่พี่ดิมสั่งห้องอาหารที่คอนโดไว้ให้เงียบ ๆ ตอนนี้ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งก็เลยไม่ได้เร่งรีบมากเท่าไหร่ เมฆเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาที่เคี้ยวอาหารเข้าปาก เลยเป็นเหตุให้ผมอ้าปากกินข้าวมากกว่าจะถามไถ่อะไรออกไป เพราะคิดว่าเมฆน่าควรจะได้คิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวหลังจากมรสุมที่ถาโถมเมื่อคืน ไหนวันนี้จะต้องไปเผชิญหน้ากับต้นเหตุอีก

ไม่อยากคิดว่าถ้าเฌอรู้จะช็อคแค่ไหน

เพราะผมยังช็อคจนสติหลุด ถ้าไม่มีพี่ดิมอยู่ด้วยเมื่อคืน คนไร้หลัก กับคนเสียขวัญอยู่ด้วยกันสองคนจะเป๋ไปทิศทางไหน



@มหาวิทยาลัย C

วิชาที่เราลงเรียนวันนี้เป็นเซคชั่นเล็ก ๆ ที่มีจำนวนผู้เรียนแค่ยี่สิบกว่าคน และห้องเรียนก็ไม่ได้ใหญ่มาก จัดโต๊ะเรียนแบบกลุ่ม ซึ่งทำให้กลุ่มของเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน แน่นอนเมฆและอาโปยังคงมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ และเหมือนพยายามสงบนิ่งทำตัวเหมือนวันก่อน ๆ ทั้งที่มึนตึงกันอยู่แล้ว

“ศิ เมฆกับอาโปยังไม่คุยกันอีกหรอวะ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามอย่างกระซิบกระซาบ เพราะเธอนั่งทางขวาของผมส่วนเมฆนั่งทางซ้ายผม ส่วนอาโปนั่งถัดไปจากเฌออีกที

“อืม มั้ง ตอนกลางวันเฌอก็ถามดิ”

“จะไม่ดูเสือกไปใช่ป่ะ”

“แล้วตอนนี้ไม่เสือกหรอ”

“อิศิ!”

เฌอหันกลับไปสนใจสไลด์ของอาจารย์ ผมเลยทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ ไปให้เมฆ เพราะหันไปเจอทางนั้นมองมาก่อนอยู่แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือคนที่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนในกลุ่มอีกคนรับรู้ ก็ควรจะเป็นเมฆนี่แหละ

เลิกคลาสตอนประมาณเกือบสี่โมง ปกติคลาสนี้จะเลิกสามโมงสิบห้า แต่เพราะอาจารย์สอนเผื่อคาบต่อไปที่หยุดไปด้วย เนื่องจากอาจารย์มีประชุมวิชาการที่ต่างประเทศพอดี แถมวิชานี้เป็นวิชาคล้ายกับการโต้วาที ต้องพูดคุยและสื่อสารกันภายในกลุ่ม บรรยากาศการเรียนของพวกเราวันนี้เลยอึมครึมอย่างมาก จนอาจารย์เดินมาถามตั้งสองครั้งว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เฮ้อ

อึดอัดแทนจัง

[MY SUN : วันนี้พี่ไม่ได้กลับคอนโดนะ]
[MY SUN : พอดีพี่ต้องแวะไปที่บ้านครับ]

เปิดไลน์มาเจอข้อความของพี่ดิมเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

อ่า อยู่ด้วยกันทุกวันจนลืมไปเลยว่าพี่ดิมก็มีบ้านที่ต้องกลับเหมือนกัน เสียดายวันนี้ว่าจะทำอาหารไทยศึกษาสูตรจากยูทูบมาแล้ว แต่ไม่เป็นไรไว้วันหลังก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ดิมก็คงกลับ

[Si : ครับ แล้วพรุ่งนี้กลับกี่โมงหรอ]

ไม่ได้หวังให้พี่ดิมตอบเร็ว เพราะคงติดงานหลายอย่าง แต่แปลกแฮะ คราวนี้เปิดอ่านทันทีเลย สงสัยว่างพอดี

[MY SUN : อาจจะเย็น ๆ หลังพี่ออกเวร]

[Si : อื้อ ศิจะทำข้าวเย็นรอนะ พรุ่งนี้มีเรียนแค่เช้า]

[MY SUN : เมฆเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเรียนหรือเปล่า]

[Si : มา แต่ว่าบรรยากาศอึมครึมมากเลยพี่ดิม ศิอึดอัด]

[MY SUN : ให้เวลาเขาหน่อย พี่ไปทำงานต่อแล้ว ดึก ๆ จะโทรหานะ]
[MY SUN : คิดถึงหนูนะครับ]

[Si : งื้อ ศิก็คิดถึง รีบกลับมาไวไวนะ]
[Si : sent a sticker]

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีพอร์ชคันเดิมก็มารับตุ๊กตาหน้ารถคนเดิมอีกแล้ว พอมองไปที่เมฆก็เห็นเขาเบือนหน้าหนีฉากตรงหน้าทันที เพราะไม่เพียงแค่รถหรูจอดรับตุ๊กตาหน้ารถเท่านั้น แต่คราวนี้สารถีเดินลงมาเปิดประตูรถและยิ้มแสนอบอุ่นให้เพื่อนของผม พร้อมทั้งรับสัมภาระและจัดการไปวางไว้ด้านหลังให้อีกต่างหาก นี่มันฉากสวีทไม่ใช่หรอวะ เมฆทนเอาหน่อยนะมึง




@ห้าง S

“เอาล่ะเล่าให้กูฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมึง” เฌอได้ทีถามอย่างคาดคั้น หลังจากที่เรากินมื้อค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในห้างแถวมหาลัย เรามาที่นี่กันบ่อยเหมือนกัน เพราะคนไม่ค่อยรู้จักมาก และมันก็เป็นส่วนตัวดี

ผมยกมือผายไปทางเมฆ เพื่อให้คนที่รู้เรื่องดีที่สุดเป็นคนเอ่ยปาก

“เฮ้อ นี่มึงจะรู้มั้ยว่ากูเจ็บหนักมาเฌอ มึงต้องร้องไห้แน่ ๆ”

“อยากร้องไห้ กูรอแล้ว มา!” เฌอทำหน้าจริงจังเพื่อตั้งใจฟังกับสิ่งที่จะได้


และเป็นไปตามคาด ผู้หญิงที่ภายนอกอยู่แกร่ง เข้มแข็ง ร้องไห้กับประโยคบอกเลิกสุดแสนจะเจ็บแสบของเมฆที่บอกกับอาโปสมัยมัธยม ทั้งยังด่าทอคนเล่า แต่ไม่นานเมื่อเมฆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเฌอก็สวมกอดเพื่อนตัวโตทันที คือมันพลิกไปพลิกมายิ่งกว่าซีรีส์สืบสวนเสียอีก

“ทำไม ฮึก มึงไม่เคยบอกพวกกูเลย” เฌอถามขึ้นด้วยเสียงสะอึดสะอื้น เมฆก็พลอยน้ำตารื้น เพราะเหมือนสะกิดแผลสดของตัวเองอีกครั้ง

“เพราะกูไม่อยากให้พวกมึงอึดอัด อาโปมันก็คงคิดแบบเดียวกัน”

“กูไม่อยากถามคำถามนี้เลย แต่ก็ต้องถาม แล้วมึงจะเอาไงต่อ” เมฆไม่ได้พูดอะไร มันยกมุมปากเหมือนยิ้ม คล้ายกับให้ผมตอบคำถามนี้แทนมันที

“มันบอกว่าจะพยายามเป็นเหมือนเดิมให้ได้เร็วที่สุด”

“เชี่ยยยย ไม่มีทางเมฆ กูเนี่ยไม่มีทางมองพวกมึงเหมือนเดิมได้อีก อิห่าเอ้ย ทำไมเรื่องแม่งอิรุงตุงนังขนาดนี้วะ” เฌอเช็ดน้ำตาที่แขนเสื้อผมอีกครั้ง แถมยังพยายามจะสั่งขี้มูก แต่ผมผลักหัวมันออกทัน ผู้หญิงอะไรเนี่ย

“ฮืออออออ เรื่องพวกมึงแม่งเศร้าฉิบหายเลยอะ”
“มึง’งงงง ทำใจมองอาโปมีคนใหม่ได้จริง ๆ หรอวะ”

“ก็ต้องทำให้ได้ เพราะกูทำได้แค่นี้” ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้า ตอนนี้ขนาดตัวเล็กลงไม่ต่างจากตุ๊กตาปั้นไร้ชีวิต นัยน์ตาของเขามันไร้ซึ่งความหวัง และไร้หนทาง

“อาโปเป็นความรักที่ดีที่สุดของกูแล้ว”

“แต่ความรักดีดีไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวเปล่าวะ”

ไม่รู้สิผมว่าคนเราเกิดมามีชีวิตเดียวก็จริง แต่โอกาสในชีวิตมีได้เป็นหมื่นเป็นพันครั้งที่เราจะเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่เราจะเจอโอกาสนั้นมั้ย หรือกระทั่งเราให้โอกาสตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งถ้ามันมากพอ เราก็จะมีความสุขกับมันได้เอง แค่เปิดใจเท่านั้น

“กูเห็นด้วยกับศินะเมฆ มึงจะต้องได้เจอคนอีกตั้งเยอะ คนเราไม่ตายตอนยี่สอบสองหรอกจริงป่ะ”

“อืม มั้ง”

“มั้งพ่อง อย่าบอกว่ามึงเคยคิดฆ่าตัวตายนะ ไหนกูสำรวจอาการซึมเศร้ามึงหน่อยซิ” เฌอกระวีกระวาดหาเครื่องมือในกระเป๋า

“เดี๋ยว ๆ เปล่ากูไม่มีความคิดนั้น แม้จะรู้สึกดึ่งดาวน์แค่ไหน แต่กูรับมือไหว”

“เฮ้อ กูโล่งอก” เฌอยกมือทาบอก ผมก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย เพราะถ้าเมฆมีอาการซึมเศร้าคงต้องพาไปพบอาจารย์หรือไม่ก็ไปโรงพยาบาลด่วนเลย

“ขอบคุณนะพวกมึง”

“ขอบคุณทำไมวะ” ผมเอ่ย เฌอก็พยักหน้าตาม สงสัยว่ามันขอบคุณอะไร อยู่ ๆ จะมาทำซึ้ง

“ขอบคุณที่ไม่เกลียดกู ทั้งที่กูทำกับอาโป...เข้าขั้นเลว” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมฆ ทำผมใจห่อเหี่ยวไปด้วยอีกครั้ง

“อาโปเคยบอกว่าเกลียดมึงหรือเปล่า” ผู้หญิงคนเดียวถามขึ้น แต่คนถูกถามกลับส่ายหัว

“งั้นมันก็ไม่ได้เกลียดมึงหรอก พวกกูก็ไม่มีสิทธิ์เกลียดมึง เพราะนี่เป็นเรื่องของพวกมึง คนที่ตัดสินได้มีแค่พวกมึง ซึ่งพวกมึงก็เลือกแล้วว่าจะให้มันจบแบบนี้”

เราพูดคุยกันตลอดจนลืมว่ามีเสียงเพลงจังหวะสบาย ๆ เปิดคลอในร้าน และเมื่อเฌอพูดประโยคยาวนี้จบเราสามคนถึงถึงได้ยินว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ร้านเปิดเพลง แต่มีผู้ชายวัยรุ่นหน้าตาน่ารักร้องเพลงด้วยกีตาร์โปร่งตัวเดียว เขามองมาที่กลุ่มของเราแล้วยิ้มผ่านนัยน์ตามาให้ ผู้ชายที่นั่งหันหลังอย่างเมฆคงไม่เห็นว่าจริง ๆ มีอีกหนึ่งคนที่ให้กำลังใจเขาผ่านเนื้อเพลงอยู่

When the tears come streaming down your face
'Cause you lose something you can't replace
When you love someone but it goes to waste
What could it be worse?
Lights will guide you home

*Fix You - ColdPlay*

ตกดึกเบียร์และไวน์เริ่มตีกันรวนในกระเพาะ แต่คิดว่าตัวเองไม่ได้เมาเท่าเมฆและเฌอ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ไลน์ไปบอกพี่ดิมตั้งแต่เย็นว่ามากินข้าวกับเพื่อน แต่เลยเถิดเป็นกินเบียร์ไปซะงั้น จนสี่ทุ่มได้โทรไปคุยสั้น ๆ ว่าคงไม่ได้คุยโทรศัพท์ก่อนนอนเหมือนที่นัดไว้แล้ว ซึ่งคนปลายสายก็เข้าใจดี แต่ก็ย้ำว่าถ้าเมาหรือกลับกันเองไม่ได้ให้โทรมาหา เพราะพี่ดิมจะมารับ ใจดีอีกแล้วแม้บ้านจะอยู่ไกลจากตรงนี้มากก็ตาม

ตัวเองคออ่อนมากรู้นะ แต่อดไม่ได้ที่จะจิบนิดหน่อยให้กับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะกินทุกวันหนิจริงมั้ย ส่วนสองคนที่คอแข็งกว่าไวเบรเลี่ยม ตอนนี้คอพับคออ่อนกับโต๊ะ เพราะถ้านับจำนวนขวดของมึนเมาตรงหน้า น่าจะเลี้ยงคนทั้งคณะได้เลย

“เมฆ ๆ กลับกันเถอะ เฌอ ไหวมั้ยกลับกันร้านปิดแล้ว” ทั้งสองคนที่เมามายพยายามตั้งสติและหาจุดโฟกัสของตัวเอง

“อื้อ กูไหว ๆ กลับ ๆ ป่ะ เมฆ ไปเร็ว” เป็นเฌอที่ลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่ก็โงนเงนไปมาจนผมต้องรีบไปพยุงไว้ สรุปใครกันแน่ที่อกหักวะเนี่ย

“อือ ไปดิ” คนถูกเรียกก็เหมือนจะไหว แต่ไม่ไหวเลย ก้าวหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังไปสอง และสภาพผมก็ไม่สามารถแบกเพื่อนทั้งสองคนเพื่อไปที่รถได้

“ผมช่วยครับ” ผู้ชายที่ร้องเพลงคนนั้น เดินมาเข้ามาพยุงเมฆช่วยผม ที่จะตอนนี้แขนซ้ายกำลังจะเดี้ยงเพราะเฌอเล่นทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่ตัวผมเต็มที่

“ขอบคุณครับ รบกวนด้วย” ผู้ชายคนนี้ดูท่าจะเด็กกว่าพวกเราหลายปี แต่ท่าทางทะมัดทะแมง แม้จะตัวเล็กกว่าเมฆทว่าแข็งแรงสามารถพยุงผู้ชายตัวโตกว่าได้

ท่าทางผมทุลักทุเลจนผู้จัดการร้านที่เป็นผู้หญิงมาช่วยพยุงอีกแรง ผมต้องควักหากระเป๋าเพื่อจ่ายเงินค่าอาหารและของมึนเมา พอทำการเช็กบิลเสร็จก็มุ่งไปที่ลานจอดรถทันที แถมเฌอก็บ่นอยากอ้วกอีกต่างหาก อย่าเพิ่งนะเว้ย แค่นี้ก็ดูไม่ได้อยู่แล้วเฌอลักษม์

“รถทะเบียนอะไรครับ” เด็กผู้ชายมีน้ำใจถามขึ้น

“9889 ครับ”

“เบ๊นซ์คันนั้นใช่มั้ยครับ สีดำ”

“ครับ”

เรามาถึงรถของเมฆที่วันนี้อาศัยรถมันมา ซึ่งดีแล้วที่ผมไม่ได้ขับรถมา ไม่งั้นล่ะลำบากพี่ดิมให้มารับแน่นอน ล้วงหากุญแจรถจากกระเป๋าเพื่อนชายที่พูดพร่ำเพ้ออะไรซักอย่างอย่างหมดมาดคุณชาย แล้วรีบกดกุญแจอย่างไม่รีรอเพื่อให้คนที่ช่วยได้วางผู้ชายร่างหมีที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนเพื่อนหญิงหนึ่งเดียวนอนราบที่เบาะหลัง

“ขอบคุณมากเลยนะครับที่อุตส่าช่วย”

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เมาใช่มั้ย ขับรถกลับดีดีนะครับ”

“ครับไม่เมา ขอบคุณอีกทีครับ” เห็นเพื่อนเมาขนาดนี้ก็สร่างเสียดื้อ ๆ

เขายิ้มรับและเดินหันหลังกลับไปทางที่เรามา ก่อนที่จะหยุดชะงักแล้วหันกลับมาพูดบางอย่าง

“ถ้าไม่สบายใจมาที่นี่อีกนะครับ”


 ผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมยิ้มกว้างให้ จนยิ้มตามและพยักหน้ารับ ผมยืนมองเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักชื่อจนเขาเดินลับสายตา และแอบเห็นว่าเขาลอบมองเพื่อนตัวโตที่โดนแบกมาจนเสี้ยววินาทีสุดท้ายเหมือนกัน จู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะขับรถหรูของเมฆไปที่คอนโดของตัวเอง เพราะถ้าไปส่งบ้านทั้งสองคนในสภาพนี้พ่อแม่คงตกใจน่าดู




--------------------



“แม่ลองคิดตามเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน ก็ยังแอบกังวลว่าคนจะมองลูกยังไง” คุณผู้หญิงของบ้านที่กำลังปอกผลไม้ใส่จาน เพื่อเป็นของหวานหลังมื้อเช้าของลูกชายคนเดียว ซึ่งก็คือผมที่กำลังจิ้มอกไก่ย่างเข้าปาก ถึงกับต้องชะงักกับประโยคที่แม่พูด เพราะเมื่อคืนก็เหมือนจะพูดเรื่องนี้กันเข้าใจแล้ว

ตามคาดที่คุณแม่อยากให้ผมกลับบ้านเพราะคงเห็นข่าวที่กระหน่ำลงทุกสำนัก และเจ้าแม่โซเชียลอย่างคุณผกากรอง ที่ทุกวันนี้ลงรูปในเฟซบุ๊กมีคนกดไลก์มากกว่าผมอีกด้วยซ้ำ เธอเลยเป็นกังวลว่าลูกชายจะถูกมองผิดเพี้ยนจากเจตนาที่อยากจะสื่อต่อสังคม ก็เลยได้อธิบายกันยืดยาว ตามประสาคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงและกังวลแทนลูก ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน ทั้งเรื่องชื่อเสียง และทำให้เห็นว่าแม่ผมยังไม่ได้เปิดใจต่อความรักของเพศเดียวกันมากเท่าผมประเมิน

“โถ่ คุณแม่ครับ อย่ากังวลไปเลย ไม่มีทางที่เรื่องแค่นี้จะกระทบกับงานใหญ่ระดับประเทศที่ผมทำหรอก”

“แต่แม่กังวลนี่คะ”

“อะไรกันคุณ นี่เรื่องเมื่อคืนยังไม่จบอีกหรอ” คุณพ่อเดินเข้าครัวมาเพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงานพูดขึ้น
ดร.ชัชชาติ นักธุรกิจและที่ปรึกษาด้านการเงินให้กับสถาบันการเงินของประเทศหลายแห่ง คุณพ่อเป็นคนอัจฉริยะคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่ 17 จบโทตอน 19 และจบด็อกเตอร์ตอน 23 พร้อมทำงานไปด้วย ใช่อยู่ที่ท่านเกิดมาในตระกูลเชื้อเจ้าเชื้อกษัตริย์ แต่ก็ใช่ทุกตระกูลจะร่ำรวยนี่นา คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณย่าที่เป็นหม่อมหลวงแต่งงานกับคุณปู่ที่เป็นพ่อค้าชาวจีน เลยทำให้คุณพ่อกลายเป็นหลากนอกตระกูล ยังดีที่คุณปู่เป็นคนขยันทำมาหากินเลยสามารถสนับสนุนการเรียนในสมัยนั้นได้ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงมอปลาย หลังจากนั้นก็ต้องสอบชิงทุนให้ได้ต่อเนื่องเพื่อจะได้เรียนหนังสือสูง ๆ จนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่หลายคนนับถือเช่นทุกวันนี้

“ก็คุณคะ ฉันเป็นห่วงลูกนี่” กีวี่ แก้วมังกร และฝรั่ง ถูกปอกจนเสร็จและจัดเรียงบนจานสีใสอย่างสวยงาม จนคิดถึงเด็กที่หนีไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อคืน คุณแม่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตรและข้าวเช้ากับสำหรับคนในบ้าน และแม่รู้ดีกว่าใครว่าผมกินมื้อเช้าเยอะปริมาณไหน แต่ตอนนี้มีอีกคนที่รู้แล้วเหมือนกัน


เออเห็นแม่ก็คิดถึงเมียเฉยเลยว่ะ



หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.21 หมดหนทาง X MHEK (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 21-09-2018 23:46:00
“ดิมจะสามสิบแล้วนะ ปล่อยมันไปเถอะ” แม่บ้านเดินเอาข้าวต้มกุ้งมาเสิร์ฟพร้อมกาแฟดำให้คุณพ่อ ท่านพูดพร้อมพยักเพยิดมาทางผม “เดี๋ยวมันก็ไม่กล้าพาเมียเข้าบ้านพอดี”

พอคุณพ่อพูดคำนี้ถึงกับสำลักอาโวคาโด้ที่กำลังเคี้ยวอยู่เฉย เหมือนพ่อจะรู้ความคิดของผม ผมว่ากำลังคิดถึงเมียแล้วก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

มันถึงเวลาหรือยังที่จะพูดเรื่องสำคัญนี้กับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด แต่นี่จะเป็นอีกขั้นของการก้าวไปเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัว นั่นคือ การให้เกียรติคนที่รัก ทั้งครอบครัวผม ครอบครัวศิ และตัวศิ คนที่ผมรู้สึกแล้วว่าอยากใช้ชีวิตและอยากให้เขาวางชีวิตให้ผมดูแล และสุดท้ายเราจะดูแลกันและกัน

ลองหยั่งเชิงดูจะได้เตรียมรับมือถูก

“พ่อครับแม่ครับ” หลังจากผมเช็ดปากและวางช้อนก็รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยเรื่องสำคัญให้ท่านพอจะได้ทราบ

“ผมมีแฟนแล้วนะ”

“แฟนหรือเมียวะลูกชาย ฮ่า ๆ” คุณพ่อแซว แต่คุณแม่ยังคงมีสีหน้าอึ้งอยู่เล็กน้อย

“ใครหรือคะ ใช่คนที่หนูเกลบอกแม่หรือเปล่า”

“ครับ คนนั้นแหละ”
“ไว้ผมจะพามาเจอนะ เขาทำอาหารเก่งเหมือนแม่เลย”

“ทำอาหาร? นี่ไปนอนที่คอนโดลูกแล้วหรอคะ?” คนเป็นแม่ยังซักไซร้ต่อ ส่วนคุณพ่อซดข้าวต้มกุ้งแบบประมาณว่ากูไม่เกี่ยวแล้วนะ โถ่พ่อ

“ก็บ้างครับ ส่วนใหญ่ผมไปนอนคอนโดน้องมากกว่า” ผมตอบไปตามตรง เพราะเรื่องแบบนี้พวกท่านรู้ดีว่ามันเป็นปกติของคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคก่อนสมัยพ่อแม่จีบกัน

“มีรูปให้แม่ดูมั้ย อยากเห็นแล้วสิ”

“ไว้ผมพามาเจอเลยดีกว่า”

แม้จะยังไม่สามารถบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับน้องได้ เพราะคิดว่าพ่อแม่คงตกใจไม่น้อยกับรสนิยมของลูกชายที่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ผมเชื่อว่าพ่อแม่มีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังความรู้สึกของผมและคนที่ผมรัก อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ศิที่ทำให้ผมใจระทวยกับความน่ารักของเขาได้ ก็คงไม่อยากที่จะทำให้พ่อและแม่ถวายหัวใจให้อีก

“ถ้าสมมติผมมีแฟนเป็นผู้ชายพ่อกับแม่จะว่ายังไงบ้างครับ”

คุณพ่อไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงแต่ยกไหล่ขึ้นที เชิงว่าเรื่องของแกเจ้าลูกชาย ส่วนคุณแม่ทำตาโต อย่างไม่อยากเชื่อว่าเมื่อสักครู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากลูกชาย

“เดี๋ยวนะคะ อันนี้เป็นเรื่องสมมติใช่มั้ย” ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่มีท่าทีเช่นนี้ เพราะมันคงน่าตกใจไม่น้อยสำหรับผู้หญิงยุคเจนเอ็กซ์ที่รับรู้มาตลอดว่าผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ทั้งที่เปิดตัวกับที่บ้านและที่แม่สืบเสาะจนรู้

แต่คุณแม่คงคิดไม่ถึงว่า ผมมีผู้ชายน้อยใหญ่เข้ามาตามจีบบ่อยเหมือนกันนะ

“ครับ”

“เฮ้อโล่งอกค่ะ แต่ถ้าลูกมีจริง ๆ…เอ่อ...แม่ก็คงต้องขอเวลาหน่อยนะคะ แม่รู้ว่าลูกแม่เลือกใครก็คือคนนั้นดีจริง ๆ แต่จะให้คนยุคโบราณแบบแม่รับเรื่องทันสมัยแบบนี้ปุบปับคงไม่ได้หรอกค่ะ” คุณแม่ใช้น้ำเสียงพูดที่ดูออกว่าเป็นกังวล ทั้งสีหน้าของเธอก็แสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง แต่กระนั้นก็พยายามกลั่นกรองคำพูดเพื่อทำให้ผมไม่รู้สึกโดนทำร้ายจิตใจ

แม่ก็ยังคือคนที่รักและเป็นห่วงเราอยากจริงใจที่สุด

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ

“ส่วนพ่อแล้วแต่ดิม เคยบังคับแกได้ด้วยหรือไง ให้ไปเรียน MBA ก็เรียนหมอ ให้ไปต่อเฉพาะทางที่อเมริกาก็ต่อที่ไทย จะแบ่งหุ้นให้ก็บอกยกให้ดินไปเถอะ”

ผมยิ้มกับการรู้จักลูกชายของตัวเองดียิ่งกว่าตัวผมเองเสียอีก

“แต่ที่พูดไม่ใช่เพราะประชดนะ เพราะพ่อพิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งที่ดิมเลือก ดิมคิดแล้วคิดอีก คิดมาดีแล้ว สิ่งที่ดิมเลือกคือสิ่งที่ดิมรักและทำมันได้ดีจริง ๆ”
“ทีนี้จะให้พ่อว่าอะไรอีก”

“ครับ” ผมตอบรับพ่อสั้น ๆ เพราะสายตาที่เราประสานกันมันสื่อสารเป็นพัน ๆ ประโยคไปแล้ว และผมคิดว่าพ่อก็รู้ว่าสิ่งที่ผมสมมติมันมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอในชีวิตลูกชายคนกลางของบ้าน ตั้งแต่ผมสมมติว่าจะสอบในโครงการของกสพท. สมมติว่าจะไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัด และตั้งแต่ผมจะไปเป็นนักแสดง ทุกการสมมติที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น

รวมถึงครั้งนี้ที่ผมสมมติว่าจะมีคนรักเป็นผู้ชายด้วยเหมืนกัน

ผมออกจากบ้านพร้อมพ่อ ถามว่าระดับผู้บริหารทำไมต้องไปทำงานแต่เช้าขนาดนี้ นั่นก็เพราะวิสัยทัศน์แบบง่าย ๆ ถ้าอยากให้พนักงานทุ่มเทกับงานแบบไหน เราก็ควรทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะทุกคนคือฟันเฟืองและแรงขับเคลื่อน ไม่ใช่บริษัทจะมีแค่คุณพ่อและดินมันคงจะขับเคลื่อนต่อไปได้

ซึ่งผมก็ได้คุณพ่อในเรื่องนี้มาเต็ม ๆ ล่ะมั้ง การตรงต่อเวลามันทำให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา ผมไม่เคยโกรธเพื่อนที่นัดแล้วมาสาย แค่จะไม่ทำแบบนั้นเท่านั้นเอง




เย็นวันนี้นัดน้องมาหาที่คอนโดผม เพราะไม่ได้กลับมาหลายวัน กลัวห้องจะลืม พอเปิดประตูไปเท่านั้นแหละกลิ่นอาหารลอยเตะจมูกทันที

บ้านไม่ใช่สถานที่ แต่คือผู้คนในบ้านสินะ
คิดว่าถ้าศิไปอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คงจะกลายเป็นบ้านของผม


“พี่ดิม วันนี้ศิทำปลาหมึกผัดไข่เค็ม แล้วก็ต้มข่าไก่ มีน้ำพริกปลาทูด้วยนะครับ แต่อันนี้ศิไม่ได้ทำเองซื้อมาแหละ หรือว่าพี่ดิมจะกินคลีนมั้ย ศิจะได้ทำเพิ่ม..” ผมจับเด็กที่เจื้อยแจ้วสาธยายเมนูที่อยากนำเสนอมาหอมหัวแรง ๆ มันชักจะน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ

“หัวเหม็นมั้ย” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาชอบกังวลว่าตัวเองจะไม่สมบูรณ์แบบ กลัวตัวเหม็นบางล่ะ กลัวหน้าตาดูไม่ได้บ้างล่ะ ผมแอบสังเกตว่าศิโกนขนขาตั้งแต่ที่ผมกับน้องชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์และผมโหมกระหน่ำฟัดน้อง จำได้ว่าครั้งแรกที่มีอะไรกับยังจับเจอขนขาอ่อน ๆ ได้เลย หลัง ๆ มานี่เนียนกริบ

หรือผมยังทำให้ศิมั่นใจในตัวเองไม่ได้กันนะ

“ศิ พี่คุยกับพ่อแม่เรื่องของเราแล้วนะ” ศิดูตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน แน่ล่ะ เด็กขี้กังวลอย่างเขาก็คงไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะรวดเร็วและประเดประดังขนาดนี้

“จะ..จริงหรอ แล้วเอ่อ พ่อแม่ของพี่ว่ายังไงบ้าง”

“แต่พี่ยังไม่บอกนะว่าลูกสะใภ้เป็นใคร” น้องตีแขนผมเบา ๆ ที่ผมเอาเรื่องซีเรียสมาล้อเล่นอีกแล้ว “พี่เกริ่นไปแล้ว แต่แม่พี่ขอเวลาน่ะ”

“หมายถึง...ถ้าคุณแม่พี่ดิมไม่โอเค เราจะต้อง…”

“พี่ก็จะอยู่กับศิเหมือนเดิม” ผมกอดเด็กตัวเล็กเข้าอ้อมแขน หวังจะเพิ่มความมั่นใจ

“แต่นั่นแม่พี่ดิมเลยนะครับ”

“พี่เชื่อว่าแม่พี่จะเข้าใจ เหมือนที่แม่ศิเข้าใจ เพียงแค่เราต้องทำให้ท่านเชื่อมั่นว่าเราจะดูแลกันได้จริง ๆ อีกอย่างพี่ก็รับปากกับหม่าม้าศิแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะดูแลศิให้ดีที่สุด”

“...” คนที่ถูกกอดเอวในตอนแรก กอดตอบผมแน่น

“ศิเชื่อใจพี่ใช่มั้ย ไว้ใจพี่หรือเปล่า” คนตัวเล็กผละตัวออกมาเพื่อมองหน้าผม และสายตาคู่ตรงหน้ามีแววสับสนในที เหมือนเขางงว่าทำไมผมถึงถามอะไรแบบนี้

ไม่ใช่เขาหรอกที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ผมต่างหากที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับเขา

“ทำไมพี่ดิมถามแบบนี้ล่ะครับ” ฝ่ามืออุ่นนาบที่ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา “ศิทำอะไรให้รู้สึกว่าพี่ดิมคิดว่าศิไม่เชื่อใจอย่างนั้นหรอ”

“ศิไม่จำเป็นต้องกลัวว่าตัวเองจะมีกลิ่นเหม็นอะไร ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะชอบทมผมที่ศิไปตัดมามั้ย ศิไม่ต้องโกนขนรักแร้ หรือโกนขนขา และไม่ต้องทาครีมบำรุงอะไรมากมายทั้งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ต้องทำเพราะอยากให้พี่ชอบหรอกนะ”

แตะมือตัวเองทาบกับมือเล็กที่ยังลูกไล้แก้มสากของผม แล้วดึงมือนั้นมาจุมพิตที่ข้อมือขาวเต็มจูบ

“เพราะพี่รักทุกอย่างที่เป็นศิ ทุกอย่างเลย” 

“พี่ดิม…”

“ไม่ต้องน่ารักไปมากกว่านี้ แค่นี้พี่ก็รักศิจนหัวใจจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว รู้มั้ยหนู”

จุ๊บ

ศิรัสเขย่งตัวมาเพื่อทาบริมฝีปากของตัวเองแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม กดและนาบลงมาเต็มพื้นที่ ไม่ปล่อยให้เด็กรุกนาน ปฏิบัติการจูบอย่างที่ชอบทำและรับรู้ด้วยว่าเขาก็ชอบที่ผมทำเช่นกัน ริมฝีปากของสองเราบดเบียดกันจนไม่มีพื้นที่ให้น้ำลายได้หล่อลื่นด้วยซ้ำ กำลังจะใช้ลิ้นแต่ก็ต้องหยุดเพราะเด็กตรงหน้าหายใจไม่ทันและผละตัวก่อนที่มันจะเลยเถิด เพราะมือผมดึงผ้ากันเปื้อนลายริลัคคุมะจนหลุดรุ่ยไปเสียแล้ว

“พอก่อนเลย ศิตัวเหม็น”

“นี่ไงเพิ่งบอกไปเอง ยังจะมาคิดแบบนี้อีก”

เด็กปากแดงเจ่อตรงหน้าก้มหน้างุดกับออก ก่อนจะพูด “ก็อยากให้พี่ดิม...รักไปนาน ๆ นี่นา”

“ข้าวไว้กินหลังกินเมียก่อนแล้วกัน” คิดว่าผมได้ยินคำพูดยั่วยวนแบบนี้แล้วจะปล่อยเด็กขี้อ่อยไปง่าย ๆ หรอ ในเมื่อผ้ากันเปื้อนหลุดแล้วก็ไม่ต้องใส่อะไรเลยก็แล้วกัน


ความคิดพิเรนทร์ไหลทะลักเข้ามาทุกทีเวลาอยู่บนเตียงกับเด็กคนนี้ คนที่บอกว่าตัวเองน่ะไม่มีเสน่ห์ไม่มีอะไรให้น่าหลงใหล อยากให้เขาเข้ามาอยู่ในสายตาของผมแล้วจะได้เห็นตัวเองว่าเขาโคตรจะเซ็กส์แอพเพียลสูงลิบลิ่วติดเพดาน ขนาดใส่เสื้อผ้าครบและเป็นชุดใส่อยู่บ้านธรรมดา ๆ มีผ้ากันเปื้อนลายริลัคคุมะมาทาบบนตัวอีกที ก็ยังน่าขย้ำให้จมเขี้ยว

จัดการถอดผ้ากันเปื้อนและชุดที่ว่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ทันใจผมอยู่ดี ศิที่ตอนแรกดูจะปฏิเสธเพราะอยากอาบน้ำให้ดีเสียก่อน แต่ตอนนี้เจ้าตัวดูอยากจะหนีไปจากตรงนี้ เพราะผมผูกผ้ากันเปื้อนสีเหลืองเข้ากับเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของเขา แถมยังกดจูบเพื่อป้องกันการกล่าวคำปฏิเสธ มือใหญ่กำลังลากผ่านเนื้อผ้าร่มบาง ๆ ทำให้คนใต้ร่างตัวกระตุกเพราะอารมณ์ที่เสียวสะท้าน ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา

“อะ พี่ดิม จะ จะทำอะไรครับ” ผมยกตัวให้เปลี่ยนให้น้องคล่อมบนตัวผม เพราะอยากเห็นเด็กตัวแดงในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองลายหมีให้เต็มตา

“อยากนอนมองเด็กหมีชัด ๆ”

“ฮื้อ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยอะ มันน่าอายนะเว้ย” คนตัวแดงทำท่าทีจะโวยวาย แต่ไม่ทันได้ตามใจ ผมผงกตัวกดจูบหนัก ๆ ที่ริมฝีปากบาง แล้วจัดการถอดเสื้อเชิ้ตและเนกไทที่เกะกะออก

“หนูหันหลังหน่อยครับ”

ศิที่ดูจะกำลังงง ค่อย ๆ เปลี่ยนท่านั่งตามที่ผมบอก

“ถอดกางเกงให้พี่หน่อย”

“พะ ดิมจะทำอะไร” ผมไม่ตอบได้แต่กดจูบตามแผ่นหลังเนียน ที่ยังคงความแข็งแรงของผู้ชายวัยรุ่นได้อย่างดี พอผมไม่ตอบน้องก็จัดการกับกางเกงสแล็คขายาวออกพ้นตัว แต่ยังเหลือปราการชิ้นสุดท้ายไว้ หึ ยังจะยื้ออีกมาถึงขั้นนี้แล้ว เลยเลื่อนใบหน้าไปใกล้กกหูของคนที่นั่งหันหลังตัวสั่นงันงกและพูดขึ้นเบา ๆ

 “หนูถอดให้พี่เถอะ มันอยากมาหาหนูจะแย่แล้ว”

คิดว่ามันยังดูโรคจิตไม่พอ เลยไล้ปลายจมูกผ่านต้นคอเรื่อยมาถึงแผ่นหลัง มือสากลากผ่านกระดูกสันหลังที่นู้นขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาก้มไปจัดการชั้นในของผม และสังเกตว่าเขาผอมลงอีกแล้วเพราะไขมันส่วนเกินที่เคยมีตอนนี้แทบไม่เหลือ ลากมือเอื้อมไปถึงหน้าท้องแบนราบผ่านไรขนอ่อน และก็เลยเถิดไปจนถึงส่วนที่รู้สึกไว กอบกุมมันเต็มมือพร้อมรูดเบา ๆ มืออีกข้างก็ไม่อยู่เฉยสะกิดต่อมไตที่หน้าอกเพิ่มความรู้สึกให้คนตัวบางขึ้นไปอีก

“อ๊ะ อื้อ”

ดุนแผ่นหลังเล็กไปข้างหน้าเล็กน้อย ขณะนี้เด็กใต้ร่างอยู่ในท่าล่อแหลมเต็มที ขาสองข้างของเขาพยายามจะหุบเข้าหากันแต่ไม่ได้สิถ้าขาชิดกันแล้วมันจะเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ยังไง เลยจัดการแทรกตัวเองเข้าไปหว่างขาก่อนจะก้มลงไปที่ส่วนนั้นและใช้ลิ้นสัมผัสมันเบา ๆ

“อ๊ะ พี่ดิม อย่า! ไม่เอา!” ศิสะดุ้งเมื่อรู้ว่าสัมผัสที่ตัวเองได้รับมันเกิดจากอวัยวะส่วนใดของผม

“ศิไม่เคยสกปรกสำหรับพี่ และพี่จะพิสูจน์ว่าพี่รับทุกอย่างของศิได้”

“ฮื้อ มันสกปรกครับ”

ไม่ได้ฟังเสียงทัดท้านยังคงยืดยันจะทำต่อ และใช้ก้านนิ้วยาวของตัวเองเบิกช่องทางรักอีกที จะได้พร้อมรับร่างกายที่มันพร้อมโคตร ๆ ของผม ทั้งที่ยังไม่ได้ไปสัมผัสอะไรมันเลย แต่มันแข็งขืนเพียงเพราะอยู่ใกล้เขา เมื่อคิดว่าศิพร้อมแล้วก็ส่งสารกดจูบที่ต้นคอเขาแรง ๆ น้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่าอะไรถูกไถที่ช่องทางของเขา และผมก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่เข้าไปซะที

“ไหนบอกว่ามันอยากมาหาไง why you do this!!” เขาเหวใส่ผมด้วยเสียงแข็ง

“หึ I want to hear that!”

และนั่นเหมือนคำอนุญาตที่ให้ผมเข้าไปในตัวน้อง แน่นอนครั้งนี้ไม่มีเครื่องป้องกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีแต่ผมนิสัยไม่ดีเองแหละ

“อ๊ะ” ยังไม่ทันได้เข้าไปสุดทางน้องก็ส่งเสียงสุดแสนสยิวหัวใจ มือเล็กดันต้นขาผมไว้เหมือนจะบอกว่าอย่าเพิ่งพยายามเข้ามามากกว่านี้ “เจ็บหรอ”

“ฮื้อ ฮะ ครับ ทะ ทำไมมันขยายกว่าทุกครั้ง”

พอได้ยินแล้วเหมือนหูดับยิ่งพยายามดันมันเข้าไปให้สุด และค่อย ๆ ขยับเข้าออก จนสุดท้ายเด็กคนดีก็เลิกเอามือมันยั้งขาผมไว้ แต่เปลี่ยนไปกำผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ไปหมด พอจังหวะทุกอย่างลงตัวก็เลยเปลี่ยนท่าทางตามที่วางแผนไว้ในหัวว่าวันนี้จะต้องได้เห็นฉากนี้ พาตัวเองนอนลงแล้วให้น้องหันหน้าโดยที่ยังคล่อมผมไว้ สีเหลืองของผ้ากันเปื้อนกระแทกเข้าตาผมอย่างจัง แต่ที่กระแทกกว่านั้นคือสีหน้าในยามนี้ของคนรัก มันหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไปหมด เขายังคงหอยหายใจถี่กระชั้นและปวกเปียกจนผมสามารถให้เขาอยู่ในท่าไหนก็ได้

“ฮาา คิดมาแล้ว ชะ ใช่มั้ย”

ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสายตาแบบไหน แต่มันคงชัดเจนบนใบหน้าเลยแหละว่าผมต้องการอะไร ไม่รีรอเริ่มขยับกระตุ้นให้คนด้านบนขยับสักทีและเมื่อเขาขยับผ้ากันเปื้อนสีสดใสก็เลิกขึ้นลงพอให้เห็นส่วนนั้นของเขาวับ ๆ แวบ ๆ  เซ็กซี่ชะมัด หัวใจเต้นแรงเหมือนโดนกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเลย

น้องคงมองว่าผมโรคจิตไปแล้วแน่ ๆ  กับการแอบใช้มือเลิกผ้ากันเปื้อนเพื่อที่จะมองร่างกายของเราเชื่อมกัน และถูกขยับขับเคลื่อด้วยคนรักของตัวเอง คนด้านบนบดเบียดและโยกขยับด้วยสีหน้าและท่าทางที่ผมไม่เคยคุ้นชินกับมันได้สักครั้ง เหงื่อชื้นที่ปลายเส้นผมและใบหน้าแดงระเรื่อ ให้ตายเหอะว่ะ มันจะอยู่ในทุกความคิดของผมแน่ ๆ เออยอมเป็นไอ้โรคจิตที่เสพติดศิก็ได้วะ

น้องขยับอีกไม่นานเขาก็ปลดปล่อยออกมาเลอะเต็มผ้ากันเปื้อน ส่วนตัวผมก็พลิกตัวกลับมาที่ท่าเบสิกและอดใจไม่ไหวจริง ๆ ที่จะปลดปล่อยลงบนผ้ากันเปื้อนสมทบ ก่อนจะจับลูกชายกลับเข้าไปช่องทางนั้นอีกครั้ง และบทรักที่สองก็เริ่มขึ้นอีก

สงสัยผ้ากันเปื้อนอันนี้ต้องถูกน้องทิ้งลงถังขยะแน่ ๆ เลย

และผมถูกน้องตั้ง AKA ให้ (ที่น้องอธิบายตั้งนานว่ามันคืออะไร เพราะยอมรับว่าก็เกิดมานาน)
คือ Pornny Daddy เดี๋ยวคราวหน้าว่าจะแต่งไรม์ตอนน้องอยู่บนตัวให้สักสองบาร์ Yeah






-------------------------------------To be continued-----------------------------------------





ขอโทษทุกคนก่อนเลย หายไปเกือบสามอาทิตย์
ตอนนี้ใช้น้ำเสียงดูขึงขัง ไม่พูดจาออ่อนหวาน เพราะมีคนติดตามเข้าหน่อย
จริง ๆ อยากใส่มุกนี้ลงในเรื่องมากแต่ว่าก็กลัวนิยายติดเชื้อในกระแสเลือดอะน้อออ
เป็นยังไงงงง หายไปนานก็เข้มข้นคนเขียนไม่จางละเน้ออ
#ประกาศคัมแบ็คอย่างเป็นทางการ #โปรเจ็กต์ใหญ่ที่ทำคนเดียวเสร็จแล้ว #เฮฮฮฮ้
ตอนนี้หลายอารมณ์มากหน่อย เข้าพาร์ทชีวิตครอบครัวแล้ว มาดูว่าน้องศิจะฝ่าด่านแม่ผัวดั้ยมั้ยยยยย
กด 99 ให้กำลังน้องด้วยนะ

รออ่านคอมเมนท์จากเหล่าลูกหมีทั้งหลายจ้า
#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1
@mifengbeexx



 :hao7: :hao7: :hao7:

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-09-2018 00:17:27
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 22-09-2018 01:46:32
นเรารอการชดเชยจากคุณค่ะ //ข่มขู่
รอการทบต้นทบดอกแบบดอกเบี้ยค้างชำระ //ขูดรีด
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 22-09-2018 09:25:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: SuwaNNa ที่ 22-09-2018 14:45:08
ผ้ากันเปื้อนในตำนาน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-09-2018 15:10:26
หอบกำลังใจมาให้น้องศิ..คุณพ่อคงเข้าใจแต่คุมแม่นี่..เอาใจช่วยอีกแรง   :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 29-09-2018 00:14:04
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.23 no body perfect
[/size]

You're the only one who runs my world




1 เดือนผ่านไป

ทางทีมงานแจ้งทางในกรุ๊ปไลน์ของนักแสดงทุกว่าจะมีการเลี้ยงปิดกล้อง หลังจากที่เลื่อนมาแล้วหนึ่งครั้ง เพราะติดที่ผู้กำกับไม่สะดวก เลยมาเป็นวันนี้ตรงกับวันที่ซีรีส์ออกอากาศเป็นวันแรกพอดี

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ผมเสนอให้พี่ดิมกลับบ้านบ่อยขึ้น เพราะอยากฝากอาหาร ขนม เล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่ตัวเองพยายามหัดทำ เพื่อไปให้คุณพ่อคุณแม่พี่ดิม ผมไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พวกท่านยอมรับ สิ่งนี้มันเป็นความคิดเด็ก ๆ ของผมเองที่อยากให้ท่านรับประทานอาหารดี ๆ  แม้จะรู้ว่าบ้านพี่ดิมมีแม่บ้านจัดการให้ทุกอย่าง แต่นี่คือสิ่งเดียวที่คิดว่าผมจะทำได้ ในระหว่างที่แม่พี่ดิมขอเวลา

เมื่ออาทิตย์ก่อน ป่าป๊าของผมนัดพี่ดิมไปรับประทานเย็นที่บ้าน โดยมีผมและม๊าเป็นคนเข้าครัวเอง ซึ่งเป็นแผนของม๊า เพราะอยากให้ป๊าได้คุยกับพี่ดิมแบบจริงจัง ถ้าผมอยู่ด้วยป๊าจะทำท่าขึงขังไม่ได้ ม๊าบอกแบบนี้

พอถามพี่ดิมว่าคุยอะไรกับป๊าบ้างเขาก็อ้อมแอ้มบอกแค่ว่าเป็นคำพูดของลูกผู้ชายชายชาติลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ผมสังเกตตอนที่นั่งกินข้าวป๊าไม่ค่อยพูดอะไร ส่วนใหญ่จะถามถึงเรื่องสมัยเรียนมัธยมเพราะเราสามคนเรียนที่เดียวกันหมด เรื่อยไปจนงานของหมอโรงพยาบาลรัฐเป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าป๊ากำลังจะร่วมหุ้นสร้างโรงพยาบาลเลยถามความต้องการจากคนอยู่ที่นั่นทุกวัน แต่สิ่งที่แปลกตาคือป๊าดูขรึมและมีมาดที่ลูกชายอย่างผมไม่เคยเห็น

จากที่ประเมินก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดีนะ และคืนนั้นป๊าก็บังคับให้ผมนอนที่บ้าน บอกว่าไปนอนบ้านคนอื่นรบกวนเขา ทั้งที่จริง ๆ หาเรื่องคุยกับผมในแบบที่ไม่มีพี่ดิมมากกว่า

“ป๊าอ่านเขาไม่ออก”

“แล้วป๊าจะอ่านอะไรพี่ดิมอะ”

“ก็อ่านแบบทีผู้ชายมันอ่านกันออกไง”

“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะครับ”

“ก็ไม่รู้นี่ไง ฮ่าๆๆ เขาก็ดูสุขุมดี เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ มีชั้นเชิง อีกอย่างไม่ใช่แค่ฉลาดแต่เฉลียว ดูคนออก”

“นี่ขนาดไม่รู้ยังมองได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย”

“แหม่ไอ้ลูกหมา ป๊าก็อายุอานามขนาดนี้ก็พอมองออกเว้ย หายากนะคนที่ฉลาดแล้วเฉลียวด้วย” ป๊ากอดอกพูดพลางคิดไปด้วย

ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของพ่อเท่าไหร่ “ยังไงอะ”

“ก็ฉลาดพูด ฉลาดแสดงออก เลือกพูดในสิ่งที่คนฟังอยากได้ยิน และเลือกจะฟังเมื่อต้องฟัง มิน่าล่ะลูกถึงติดเขาแจขนาดนี้”

“โถ่ ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมยู่ปากไปที แต่ผู้เป็นพ่อก็เบะปากใส่ เออยอมรับก็ได้ว่าติดเขาจริง ๆ นั่นแหละ “แล้วผ่านป่ะ?” ผมเอ่ยถาม

“กำลังคิด ไว้พามาอีก นี่ยังอยากรู้เรื่องห้องหับในโรงพยาบาลอยู่เลย”

“แหม่ป๊า”

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ยิ้มกริ่มกับตัวเอง ตอนแรกก็กังวลว่าป๊าจะรับไม่ได้กับความรักของผม แต่ทุกอย่างกลับเป็นไปในทางที่ดีกว่าที่คิด แม้ป๊าจะไม่ได้ยอมรับเสียทีเดียวตามมาดของพ่อที่(ทำท่า)หวงลูกชาย แต่กระนั้นป๊าก็ยอมรับในความน่าเชื่อถือของพี่ดิมพอสมควรล่ะนะ

“ศิ ไหงมานั่งคนเดียววะ พี่หมอไม่มาหรอ” เสียงผู้ชายตัวใหญ่ที่ไม่ได้เจอนานนับตั้งแต่ปิดกล้อง พี่ภัทรดูดีเหมือนเดิม และคิดว่าดีกว่าเดิมยังไงแปลก ๆ เขานั่งลงตรงข้างโต๊ะสำหรับสองที่ที่ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ดิมติดเคสเดี๋ยวตามมาน่ะครับ คงมาทันตอนเริ่มงานพอดี” ยกน้ำผลไม้ที่ทางพนักงานเอามาเสิร์ฟให้จิบไปพลาง ๆ

“ก็ว่า เขาไม่น่าให้ศิมาคนเดียว แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ อาโป? พูลล์? ไปไหน”

“กำลังมาน่ะครับ จริง ๆ คนอื่นในทีมนักแสดงก็ยังไม่มาป่ะ” ผมมองไปรอบ ๆ ร้านอาหารกึ่งบาร์ ที่วันนี้ถูกจองเพื่อเลี้ยงปิดกล้องและฉลองการออกอากาศวันแรก “มีแค่เราสองคนนี่แหละที่รีบ”

“เออว่ะจริงด้วย”

“นี่พี่ภัทรไปทำไรมาอะ ทำไมดู...แปลกตา”

“เนี่ยตาถึงนะน้องชาย ทำสีผมใหม่เว้ย แล้วก็ผิวแทนขึ้น”

“เออว่ะจริงด้วย เฮ้ย! เออจริงด้วยพี่! ดีอะ!!” ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่พี่ภัทรบอก และเหมือนมันเป็นความรู้สึกที่เราสงสัยแล้วถูกคลายปมอะ จริง ๆ ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ก็ได้ แต่กับพี่ภัทรมันต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อน ฮ่าๆๆๆ

“ศิเล่นใหญ่กว่าแม่พี่ที่เห็นพี่กลับบ้านหลังจากหนีไปเที่ยวเดือนนึงอีกอะ”

“ฮ่าๆๆ ก็อยากเล่นใหญ่อะ เออศิเห็นพี่ภัทรไปเที่ยวตลอดเลย โคตรอิจฉา”

“เนี่ยก็บอกให้คบกับพี่ คบกับหมอเขาจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ไหน”

“อย่ามาขิงน่า” หรี่ตามองคนที่นับว่าตัวเองเป็นพี่ชาย

“พี่หมอเขาดีใช่ป่ะ ยังเหมือนตอนแรก ๆ มั้ย”

“ครับ ก็ดีเหมือนเดิม แต่นั่นแหละ  ไม่ค่อยอยากให้เขาพาไปไหนแค่นี้เขาก็เหนื่อยแล้ว” พี่ภัทรหยักหน้ารับ พร้อมเอามือมาลูบผมผมไปด้วย ผมยิ้มรับกับความห่วยใยที่พี่ภัทรมีให้ ตั้งแต่คบกันมาเรายังไม่เคยได้ไปที่ไหนไกลเกินกว่าแถบปริมณฑลเลยมั้ง แต่ผมไม่ติดอะไรนะ อย่างที่เคยบอกว่าก่อนหน้านี้ตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว เรื่องนี้เลยไม่ได้เป็นปัญหา แค่ได้เจอหน้ากัน กินข้าวที่ห้อง หรือเอาปิ่นโตไปให้พี่ดิมที่โรงพยาบาลก็มีความสุขดี

 “แล้วพี่ภัทรมีคนให้ไปจีบยัง”

“หึ พูดกับใครอยู่วะน้อง มีดิระดับนี้” พี่ชายตรงหน้าพูดอย่างภาคภูมิใจ “คือไปเจอเด็กไทยเว้ย ตอนไปเที่ยวเขาที่อิตาลี โคตรอินดี้ไปคนเดียว บอกว่า gap year ก่อนเข้ามหาลัย คุยไปคุยมาเรียนที่เดียวกับพี่สมัยมอปลาย ก็เลยขอคอนแท็กตีเนียนคุยเรื่องมหาลัยซะเลย นี่เป็นไง”

“เฉียบขาด” ผมยกนิ้วโป้งให้เขาพร้อมยักคิ้วให้ด้วย ก่อนตบบ่าเบา ๆ “เอาใจช่วยนะพี่ชาย”

นั่งคุยกับพี่ภัทรได้สักพัก ก็เริ่มมีเพื่อนนักแสดงคนอื่นทยอยมาสมทบ รวมถึงพี่ ๆ ทีมงานด้วย สถานที่เริ่มคึกคักก็ตอนที่พี่ปาล์ม พี่นิว น้องเงิน ตัวแสบ ๆ เดินทางมาถึง ก็รีบปรี่เข้าไปจับเครื่องขยายเสียงและบรรเลงร้องคาราโอเกะกันก่อนเลย เพิ่งรู้วันนี้ว่าน้องเงินเล่นกีตาร์ได้ดีมาก ทำเอาทุกคนที่มาในงานแล้วปรบมือให้มือกีตาร์มากกว่านักร้องอย่างพี่ปาล์มเสียอีก

เกือบสามทุ่มทุกคนก็มาพร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นแฟนผมไว้คน เพราะตอนนี้เพิ่งออกจากโรงพยาบาลและอีกสักพักกว่าจะมาถึง แต่อีกไม่ถึงสิบนาทีซีรีส์ตอนแรกของเราก็จะออกอากาศกันแล้ว

“ก็คือพระเอกของเราตอนนี้ก็ยังมาไม่ถึงนะครับ”

“ครับผม ก็ต้องเข้าใจคุณหมอหนุ่มไฟแรงกันหน่อย ผ่าตัดไปไฟลุกไปนะฮะ”

พี่ภัทรและพี่ปาล์มแต่งตั้งตัวเองเป็นพิธีกรในคืนนี้เอ่ยแซว แถมมองมาที่ผมอีกด้วย คนพวกนี้นะ จริง ๆ เลย

โดยปกติเวลามีกิจกรรมปิดกล้อง มักจะมีนักข่าวติดต่อเข้ามาขอเก็บบรรยากาศ วันนี้ผมก็เลยถูกสัมภาษณ์จากนักข่าวของช่องต้นสังกัด และนักข่าวออนไลน์อีกสองสำนัก และนอกจากนั้นเป็นการสัมภาษณ์รวม เพราะพี่ใบชาที่วันนี้ไม่ได้มา ฝากทางเออาร์ที่มาร่วมงานอนุญาตให้ผมสัมภาษณ์แค่นี้ ด้วยเหตุผลความเหมาะสม โดยทางเพจหลักของช่องไลฟ์บรรยากาศงานวันนี้ไปด้วย มีแฟน ๆ นิยายเข้ามาชมบรรยากาศเยอะจนน่าตกใจ และแน่นอนส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับพี่ดิมและพูลล์ ของผมก็มีนะแต่ว่าไม่ยอะเท่าสองคนนั้นหรอก

ขณะนี้ทางร้านสวิชต์เสียงเพลงให้เป็นเสียงจากทางทีวีแทน กิจกรรมโหวกเหวกเมื่อสักครู่หยุดชะงัก เพราะเสียงเพลงประกอบซีรีส์ รวมถึงโลโก้ ต่าง ๆ ทยอยเลื่อนขึ้นมา พอไตเติ้ลแนะนำชื่อนักแสดงคนไหนก็จะมีเสียงปรบมือ กระทั่งเสียงแซว และต้องยอมรับว่าไตเติ้ลทำได้สวยและเหมาะกับละครกึ่งพีเรียดได้ดี ทั้งโทนสี ฟ้อนต์ รวมถึงเพลงที่ได้นักร้องชื่อดังเสียงดีในค่ายมาร้องประกอบให้ ถ้าเอ่ยชื่อทุกคนในประเทศน่าจะรู้จักเขาดี

ฉากแรกที่ฉายบนจอคือฉากความฝันในอดีตของผม เป็นภาพตัดสลับฉายทับกับสิ่งมีชีวิตที่ขมวดคิ้วบนเตียงซึ่งก็คือผมนั่นเอง

“เล่นเก่งจัง” ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะเสียงกระซิบคุ้นเคยใกล้กกหู พี่ดิมโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไหนว่าอีกสักพักถึงจะมาถึง

“ทำไมมาเร็วจังครับ” ผมกระซิบตอบ เพราะตอนนี้บรรยากาศในร้านดูเงียบลงโข เพราะทุกคนต่างตั้งใจดูผลงานของตัวเองที่ออกอากาศอยู่

“พี่ตัดสินใจแว้นมา เพราะรถยังติดอยู่เลยตอนนี้”

พี่ดิมตอบผมแล้วหันไปสวัสดีผู้ใหญ่หลายท่านที่นั่งถัดจากโต๊ะที่ผม ตอนแรกนั่งอยู่สองคนกับพี่ภัทร ก็ได้ขยับขยายมานั่งโต๊ะกลมใหญ่รวมกับเพื่อน ๆ คนอื่น โดยที่ไม่มีที่ให้พี่ดิม แต่เขานั่งเบียดผมที่แขนเก้าอี้แขน เปิดเผยมากไปแล้วนะคุณหมอ

“ศิขึ้นกล้องนะ”

“หรอครับ ศิว่าตัวเองแปลก ๆ ยังไงไม่รู้”

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า ตอนนี้คนดูทั้งประเทศละ” พูลล์นั่งใกล้ผมพูดขึ้น “สีหน้าพี่ดิมชัดเจนเลยนะครับ หึ” ไม่วายกระแซะผู้ชายตัวโตที่นั่งเบียดผมอยู่ แถมยังขโมยแก้วน้ำอัดลมผมไปซดเข้าคออึก ๆ แล้วก็ยักคิ้วใส่พูลล์ไปด้วย กวนดีเหมือนกันพี่ดิมเนี่ย

“พี่ดิมหิวมั้ย กินอะไรดี มีของกินอยู่ตรงนู้นเป็นบุฟเฟ่ต์แหละ”

“หิวมากเลย มีเวลากินข้าวกลางวันแค่แป๊บเดียวเอง”

“งั้นเดี๋ยวศิไปตักมาให้นะ ไปรอที่โต๊ะเล็กนะ จะได้นั่งกินสบาย ๆ” ผมทำท่าจะลุกไปตักข้าวให้พี่ดิม แต่ถูกคนตัวโตดึงแขนไว้

“ไม่เป็นไรพี่ทำเองได้ ศิมานั่งเป็นเพื่อนได้มั้ย”

“ฮิ้ววววว พระนายเขาดู๋ดี๋กันนอกจอว่ะเฮ้ย” เสียงพี่ช่างภาพคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง แล้วทุกคนที่นั่งตั้งใจดูซีรีส์ก็หันมามองผมกับพี่ดิมเป็นตาเดียว แน่นอนล่ะมันค่อนข้างที่จะเอ่อ ดูสวีทล่ะมั้ง ผมคิดเอาเองว่าทุกคนในทีมเดาได้ว่าเราทั้งคนมีความสัมพันธ์เกินกว่าเพื่อนร่วมงาน (จริง ๆ เกินไปเยอะเลย)

ได้แต่มุดหน้างุดเข้ากับแขนของพี่ดิม ก่อนเขาจะค่อย ๆ ลุกแล้วไปที่โซนอาหาร ผมจึงลุกตามไปเพื่อไปนั่งเป็นเพื่อนเขาทานอาหาร พี่ดิมไม่ชอบกินข้าวคนเดียวสักเท่าไหร่ถ้าเลือกได้ ทว่าเวลาเลือกไม่ได้ก็จะต้องจำใจกินคนเดียว เขาเล่าให้ฟังบางวันเลิกงานไม่ดึกมากก็จะขับรถกลับไปกินข้าวที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเหงากินข้าวคนเดียวที่คอนโด

เขานั่งกินข้าวเงียบ ๆ กับอาหารฟิวชั่นทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง และอาหารญี่ปุ่น ซึ่งพี่เขาเลือกกินแต่อะไรที่ย่อยง่าย แต่ก็กินเยอะเท่าเดิม ฮ่า ๆ

เมื่อทีวีตัดเข้าโฆษณาโฆษกที่แต่งตั้งตัวเองก็ลุกขึ้นมาจับไมค์ทำกิจกรรมอีกครั้ง โดยพุ่งเป้ามาที่ผมและพี่ดิมที่นั่งกินข้าวในมุมเล็ก ๆ ภายในร้าน ไม่พอยังวิ่งเอาไมค์มาจ่อปากพี่ดิมทั้งที่เขายังเคี้ยวข้าวอยู่เลย ส่วนพี่ดิมก็ขำ ๆ ร่วมสนุกไปด้วย

“รู้สึกยังไงกับฉากเมื่อสักครู่นี้ครับ” เป็นพี่ปาล์มที่ใจกล้า

“ก็ดีครับ มีคนเขิน” เสียงโห่ฮิ้วจากทุกสารทิศ เพราะฉากที่เพิ่งผ่านไปคือฉากในความฝันที่ผมนุ่งโจงกระเบนให้คุณชายพันแสงน่ะสิ “ผมหมายถึงคนในที่นี้เขินกันหมดครับ” พี่ดิมตอบกลั้วหัวเราะไปด้วย เพราะเข้าใจดีว่าคนที่ถามต้องการคำตอบแบบไหน และพี่ดิมก็คือคนที่เล่นเกมเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ

“แล้วตอนที่ถ่ายทำล่ะครับรู้สึกยังไง”

“ก็แปลก ๆ ดีครับ ไม่เคยแต่งชุดไทย แล้วก็..ตั้งแต่โตมาก็เพิ่งเคยมีคนมาแต่งตัวให้แบบนี้”

“โห นี่น้องศิก็ถือเป็นคนแรกของพี่หมอเลยสิครับ”

“ครับ คนแรก”


เสียงกรี๊ดกร๊าดโหแซวดังแซงแซ่ขึ้นอีกรอบ ผมไม่รู้จะทำหน้าแบบไหน เลยได้แต่ยิ้มเขินอยู่ที่เก้าอี้ แล้วยิ่งเป็นพี่ปาล์ม ไว้ใจได้เรื่องลามกเนี่ย ไม่อยากคิดถ้าพี่ดิม พี่ปาล์ม พี่ภัทร อายุใกล้กันกว่านี้แล้วอีกสองคนไม่เกรงใจหน่อยก็คงจะเป็นแก๊งปากแมวเหมือนที่ป๋าตั้งให้พี่ปาล์มแหง่ ๆ

คิดไว้ไม่มีผิดช็อตเมื่อสักครู่มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทีมงานถ่ายลงไอจีสตอรี่แล้วแท็กผมกับพี่ดิมเต็มไปหมด เรียกได้ว่าดันแท็กของซีรีส์ในทวิตเตอร์ได้มากทีเดียว เพราะเพียงแค่ออกอากาศวันแรกคนก็ทวิตข้อความร่วมห้าแสนกว่าไปแล้ว

“เช็กเรตติ้งอยู่หรอ”

“อื้อ มีแต่คนแคปที่พี่ดิมถอดเสื้อเต็มไปหมด” ผมยู่ปากใส่เขาไปที ตอนนี้ซีรีส์จบไปแล้วตามเวลาออกอากาศ บรรยากาศในร้านก็เลยกับมาครึกครื้นด้วยเสียงเพลงและแสงไฟที่ถูกหรี่ลง ผมและพี่ดิมก็ได้ย้ายกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิม โดยที่พี่ภัทรเสียสละไปนั่งอีกโต๊ะข้าง ๆ เขามากระซิบบอกว่ากลัวพี่หมอเหม็นขี้หน้า

“ทำใจมีแฟนหุ่นดีก็แบบนี้” เสียงทุ่มกระซิบข้างหู เขานั่งเอาแขนพาดพนักพิงผมไว้ ไม่ต่างจากโอบเลยไม่ใช่หรอ

“เชอะ เดี๋ยวจะไปฟิตกล้ามบ้าง ที่พี่ใบชาบอกว่าแอทติจูดติดต่อจะให้ผมไปถ่ายแบบอะจำได้มั้ย ลืมหรอ”

“ไม่ให้ไปครับ ลืมหรอ” เขาย้อน  แถมยังเอาหน้ามาใกล้ ๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี่อีก แพ้ทุกทีสิน่า

“คุยกับคนอื่นบ้างเห๊อะ ไม่เคยคุยกันหรอ” อาโปกระแทกตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างผม ส่วนคนอื่น ๆ โชว์สเต็ปหน้าเวทีที่พี่ปาล์มเปิดคอนเสิร์ตอีกแล้ว “เหมือนไม่เคยเจอกันอะพี่หมอ”

“หึ” พี่ดิมยกยิ้ม แล้วกระดกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอ ตอนแรกผมก็ท้วงตอนที่ร่างสูงสั่งเครื่องดื่มกับบริกร แต่เขาบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ได้เข้าเวร มีแค่ไปประชุมย่อยเรื่องวิจัยกับอาจารย์ตอนบ่ายเท่านั้น ก็เลยปล่อยให้เขาสนุกให้เต็มที่อย่างไรเราก็กลับแท็กซี่กันอยู่แล้ว

“ทำมาเป็น กูเห็นว่าพอร์ชมารอรับมึงเลยหนิ ทำไมไม่ชวนเขาเข้ามาด้วยล่ะ”

“มึงไม่เห็นนักข่าวหรือไง”

“เฮ้ย จริงด้วย พี่ดิม!” ลืมไปเลยว่ามีนักข่าวมาด้วย แล้วที่เราสองคนแสดงออกว่าสนิทกันมาก ๆ ล่ะ เขาจะเอาไปเขียนอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่โตอีกหรือเปล่า

“ช่างเขาเถอะ ซีรีส์ออนแล้ว เขียนเยอะ ๆ สิดี คนจะได้พูดถึงเยอะ ๆ โฆษณาจะได้เข้าเยอะกว่านี้ เนอะอาโป”

ผมสงสัย มองพี่ดิมสลับกับเพื่อนตัวเอง “มันหมายความว่ายังไงอะ”

“ถ้าโฆษณาเข้าเยอะใช่ป่ะ มึงก็อาจจะได้ค่าตัวเพิ่มไง ในสัญญาก็บอกนี่หว่า ไม่ได้อ่านอีกแล้วอะดิ” อาโปส่ายหน้าให้ เพราะจริง ๆ ผมก็อ่าน แค่อ่านไม่หมด แฮะ ๆ รู้แค่ว่าจะได้ค่าตัวหลังจากที่ซีรีส์ออน ส่วนราคาค่างวดอะไรผมก็จำไม่ได้ด้วยอะ

“ก็ถ้าสมมติมึงโดนหลอกให้เซ็นสัญญาทาสมึงก็แค่ตายศิรัส ดูแฟนพี่ดิพี่หมอ” อาโปโบ้ยมาให้คนที่โตกว่ามองผมแบบยิ้ม ๆ

“ก็ตอนนั้นกูตื่นเต้นนี่ เป็นสัญญาสำคัญฉบับแรกเลยนะเว้ยโป อีกอย่างวันนั้นก็มีหลายคนที่ไปด้วยอะ กูเห็นเขาอ่านกันเสร็จแล้ว แต่กูอ่านหนังสือช้ามึงก็รู้ ก็เลยเซ็นต์ ๆ ไปเลย”

“เฮ้อ” อาโปถอนหายใจใส่กับความไม่รอบคอบของผม

“ทีหลังต้องอ่านดี ๆ นะ ดีที่เป็นที่นี่ไม่งั้นศิอาจจะโดนหลอกได้”

“ครับผม” หงอยไปเลย เหมือนโดนพ่อดุแต่ยังดีที่มีแฟนปลอบ อิอิ

ตกดึกหลายคนเริ่มกรึ่ม บางคนโงนเงนยืนไม่ตรงไปเสียแล้ว ไม่เว้นแม้แต่พี่ ๆ นักข่าวในงาน แอลกอฮอล์นี่ทำให้คนสนิทกันไวดีจริง ๆ ล่าสุดน้องเงินนั่งกอดคอพี่ดิมแล้ว ตอนแรกเห็นคุยกันเรื่องรถอยู่ดี ๆ ก็เข้าเรื่องสาวที่เด็กหน้าใสตามจีบอยู่แต่คู่แข่งดันเป็นคนครึ่งค่อนมหาลัย คนมากประสบการณ์อย่างพี่ดิมก็ได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้เด็กปี 1 ไปหลายกระบวนท่า ไป ๆ มา ๆ พี่ดิมก็ถูกเด็กกอดคอแบบนี้แหละครับ ทั้งที่พี่เขาไม่ได้เมามายขนาดนั้น เพียงแค่กรึ่มๆ เท่านั้น แต่คงไม่อยากขัดการสนทนาที่ลื่นไหลนี้

ส่วนผมนั่งฟังป๋าและพี่ปาล์มคุยกัน รวมไปถึงพี่ ๆ ทีมงานฝ่ายเทคนิค ส่วนตัวเองดูจะง่อยด้านนี้ที่สุด แต่ดูเป็นโต๊ะที่น่าจะได้สาระที่สุด ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมานั่งหัวเราะจนกรามจะค้างเพราะการเล่นมุก ตบมุกกันไปมา บางมุกก็ไม่เข้าใจดีเลย์หัวเราะหลังคนอื่นเขาก็มี

“นี่ไอ้ตัวเล็ก ถ้าอยากเข้าวงการตลกจริง ๆ ต้องฝึกเยอะ ๆ จะมานั่งขำอย่างเดียวไม่ได้นะเว้ย”

“ทำไมอะป๋า” พี่ปาล์มถาม

“เพราะกูไม่ใช่ขัน”

“ขำขัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” ทั้งที่มันดูเป็นมุกแป้ก ๆ แต่เพราะทั้งวงหมดเหล้าไปหลายกลมแล้ว ไม่ขำทุกมุกได้ยังไง





มีต่อ

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.22 Fix You (28/08/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 29-09-2018 00:18:48
“ศิ ๆ ไปข้างนอกเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ” นั่งขำขันยังไม่ทันได้เช็ดน้ำตาหมด ก็รู้สึกมีคนสะกิดไหล่ เป็นอาโปนั่นเอง หน้ามันแดงตามฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นปกติ ไม่ว่าจะกินมากกินน้อยก็ตาม

อาโปพาเดินออกมาตรงระเบียงของร้านที่ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้แขวนระโหงระยาง มีโคมไฟเล็ก ๆ พอส่องสว่างไม่ให้มืดจนเกินไป เพื่อนตัวสูงของผมควักบุหรี่ยี่ห้อนอก ที่นาน ๆ ทีจะเห็นมันสูบ ครั้งสุดท้ายก็ตอนปั่นวิจัยกลุ่มกัน ผมไม่ได้ถามอะไรแต่คิดว่าตัวเองเดาถูกว่าเพื่อนกำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่

“มันเป็นยังไงบ้าง เมฆน่ะ”

“ก็อย่างที่มึงเห็น”

“ดูเหมือนสบายดีอะนะ มันอยากให้กูเห็นแบบนั้นมากกว่า” อาโปพ่นควันสีเทาลอยฟุ้งไปในอากาศ เขี่ยขี้เถ้าลงกับจานเขี่ยบุหรี่ที่วางไว้ “มันเล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง”

“เอาจริง ๆ เรื่องนี้พวกมึงน่าจะคุยกันเอง”

“มึงก็เห็นว่ามันยากขนาดไหนศิ ไม่ใช่ว่ากูไม่ให้เวลา ไม่ใช่ว่ากูไม่ให้โอกาส กูรอมันมาตลอด รอให้มันพร้อม รอให้มันพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มึงก็เห็นว่ามันเมินเฉยแค่ไหน แสดงเป็นเพื่อนกูมาได้ยังไงตั้งหลายปี แล้วจะกลับมาตอนที่กูจะเริ่มใหม่แล้ว มันไม่ทันแล้วหรือเปล่าวะ” มันไม่ใช่การระบายแต่มันคือการตัดพ้อ ผมเข้าใจดีในฐานะคนรอ ไม่ว่าจะเร็วจะช้ามันก็ทรมานอยู่ดี

“กูไม่รู้ว่าถ้ามันอยู่ตรงนี้ มันจะตอบอะไรกับมึง แต่กูรู้แค่ว่ามันละอายใจที่ทำให้มึงเจ็บ”

“เออกูเจ็บ! ไม่ใช่เจ็บเพราะยังรอมัน แต่กูเจ็บที่มันกลับมาในวันที่กูเริ่มใหม่ไปแล้ว!” อาโปพูดอย่างเหลืออด

“มึงเลือกพี่เพทายเพราะมึงรักเขาใช่มั้ย ไม่ใช่เพราะมึงแค่อยากหลุดพ้นอยากเมฆ”

อาโปสูดควันเข้าปอดครั้งสุดท้าย ก่อนจะทิ้งก้นบุรี่ลงที่ทิ้ง แล้วพ่นลมหายใจออกจากปอดแรง ๆ ควันสีเทากลุ่มใหญ่ลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศ และสลายหายไป

“กูว่ากูจะรักเขาได้ในสักวัน” อาโปหันมามองหน้าผม สายตาหม่นหมองของอาโปมันชัดเจนว่าที่ผ่านมาความบอบช้ำไม่ได้เกิดกับเพื่อนตัวโตอย่างเมฆเท่านั้น แต่มันกัดเซาะหัวใจเพื่อนตัวบางตรงหน้าผมด้วย “เขาดีกับกูมาก กูรู้สึกดีมากที่เขาเข้ามาในชีวิต มันไม่ยากไม่ใช่หรอวะที่กูจะรักเขา”

“ถ้ามึงมั่นใจ มึงก็ไม่ต้องมานั่งหาเหตุผลแล้วไม่ใช่หรอวะ”

“...” ความเงียบของอาโปทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจไม่ต่างจากคนข้าง ๆ สายตาของเขามองไปยังรถพอร์ชที่จอดนิ่งสนิทอยู่ที่ลานจอดรถด้านนอก

“มึงก็ควรเดินต่อเหมือนอย่างที่มึงอยากให้มันเป็นดิ บางอย่างมันอาจจะเลยจุดที่เราแก้ไขมันได้แล้วหรือเปล่า หรือถ้ามึงยังรู้สึกกับเมฆอยู่มึงปล่อยให้พี่เพทายเข้ามาในชีวิตมึงทำไม ทั้งที่มึงรอเมฆมาได้ตั้งหลายปี”

“....”

“ใช่มั้ย...แสดงว่าเขาทำลายกำแพงในหัวใจมึงได้ขนาดนี้แล้ว มึงยังจะมานั่งคิดถึงสิ่งที่มันผ่านไปแล้วทำไม คิดมั้ยว่าพี่เพทายเขาจะรู้สึกยังไง”

“กะ กู…”

“มึงถามตัวเองดี ๆ ถ้าสิ่งที่มึงทำเพื่อจะเอาชนะเมฆ มึงชนะแล้วแหละ แล้วพี่เพทายล่ะ มึงดึงเขาเข้ามาเกี่ยวทำไม”

“กูไม่ได้อยากเอาชนะ! กู กูชอบเขา กูไม่รู้ แต่ว่ามัน...ยากมากที่จะ...ไม่คิดถึงเมฆอีก”

“มึงไม่คิดถึงมันสิแปลก มึงรู้สึกกันมากี่ปี ความผูกพันมันเกี่ยวรัดจนทำให้มึงหายใจไม่ออกมาตั้งนานนี่ อยู่ที่มึงต้องปล่อยมันไปอย่างที่มึงต้องทำซะที” ตบบ่าเพื่อนตัวสูงกว่า ผมรู้ดีถึงความรู้สึกที่ต้องตัดขาดจากสิ่งที่คาดหวังมันยากแค่ไหน “มึงจะทำได้อาโป มึงเคยทำมันได้มาแล้ว”

อาโปจุดบุหรี่อีกมวนแล้วยืนสูบมันเงียบ ๆ ผมทำได้แค่ยืนข้าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ามันไม่ได้ผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปด้วยตัวเองคนเดียว

“กูจะบอกเขา กูจะเล่าให้พี่เพทายฟัง”

“...” ไม่ได้เป็นประโยคคำถาม แต่เหมือนอาโปอยากจะบอก ไม่ก็กำลังหาทางออกด้วยตัวเอง

“ถ้าเขารับไม่ได้ เขาก็แค่ไปใช่มั้ยวะ...แต่กูไม่อยากให้เขาไป” ผมโอบอาโปเขาสู่อ้อมกอด แม้จะตัวเล็กกว่าก็ตาม แต่ทว่าตอนนี้คนที่กำลังรู้สึกแตกสลายอีกครั้งตัวเล็กกว่าผมอีก

“ก็ทำให้เขารู้ว่ามึงชอบเขาจริง ๆ กูว่าเขาโตพอที่จะเข้าใจ”

“เอ่อ...ขอโทษที่มารบกวน” เสียงพูลล์ผมจำได้ดี เลยหันไปหาเพื่อนอีกคนที่หน้าแดงเพราะแอลกอฮอล์เหมือนคนอื่น  “แต่คือ...พี่ ๆ เขาจะกลับกันแล้ว...อาโปร้องไห้หรอ” พูลล์กระวีกระวาดเข้ามาจับหน้าจับตาอาโป ด้วยความที่เป็นคนห่วงเพื่อนพ้อง

“อื้อ น่าอายว่ะ”

“ทำไมร้องไห้ เป็นอะไรหรือเปล่า เรื่องเมฆหรอ”

“พูลล์ก็รู้?” ผมถามพูลล์เพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้เขาก็รุ้เหมือนกัน

“จริง ๆ กูบอกพูลล์คนแรกว่ะ มึงจำวันที่ถ่ายซีนสุดท้ายได้มั้ย” ผมพยักหน้ารับ “วันนั้นแหละ มันสุด ๆ หลายเรื่อง อีกอย่างพูลล์ก็ดูอึดอัดกับเรื่องเขาอยู่ด้วย”

“อ่า จริง ๆ ก็เคลียร์แล้วแหละ แต่ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังน่ะ” พูลล์เดินมายืนแทรกผมและอาโอที่พิงระเบียงอยู่ “เราคบกับพี่ภีมแล้วนะ”

“ว่าละ” ผมและอาโปแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน สิ่งที่ได้ยินมันไม่ได้เกินจากที่คาดการณ์สักเท่าไหร่ พูลล์เล่าให้ผมฟังเรื่องเขาและพี่ชายข้างบ้านกับปัญหาอิรุงตุงนังภายในครอบครัว และการแอบรักกับพี่ชายคนนี้มาหลายปี สุดท้ายแล้วก็จบแบบแฮปปี้สินะ ดีแล้วล่ะพูลล์ไม่เหมาะที่จะมานั่งทุกข์ใจกับอะไรแบบนี้

“ฮึยย ฟังเราก่อนน่า ก็จริง ๆ บ้านเรากับพี่ภีมต้องร่วมหุ้นกันน่ะ เพื่อจะได้เป็นต่อในการประมูลงาน แล้วทีนี้มีหลายฝ่ายจับตามองว่าสองครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์ที่น่าจะร่วมงานกันได้ตลอดรอดฝั่ง ก็เลยให้พี่ภีมหมั้นกับพี่เภตราน่ะ แต่เพราะไม่อยากให้เราต้องเครียดหรือรับรู้ปัญหาทางธุรกิจ พ่อแม่และพี่สาวเราก็เลยปิดเราไว้ ท่านบอกว่าเรายังเด็กเกินที่จะมาแบกรับปัญหา ทั้งที่บริษัทของครอบครัวเรากำลังจะตกไปเป็นของคนอื่นถ้าไม่ได้โปรเจ็กต์นี้ สุดท้ายแล้วพอมันค่อย ๆ ดีขึ้น พี่ภีมก็แอบถอนหมั้นกับพี่เภตราเงียบ ๆ แล้วเดินไปบอกพ่อกับแม่เราที่บ้าน เรายังตกใจเลย แล้วก็นั่นแหละพ่อกับแม่เรารักพี่ภีมเหมือนเป็นลูกชายอีกคน ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

“เห็นนี่หมายถึงแหวนที่นิ้วนางข้างขวานี่ด้วยป่ะ”

“อย่าแซวซี่ กว่าจะได้ เราตีกับพี่ภีมตั้งหลายรอบแหนะ เขาบอกจะใส่ข้างซ้าย ๆ อะไรของเขาก็ไม่รู้ เฮ้ย ทำไมกลายมาเป็นเรื่องเราเฉยเลยอะ” พูลล์เหวใส่ผมสองคน ได้แต่ยืนอมยิ้มกับพฤติกรรมที่จะเรียกว่าน่ารักก็ได้ จริง ๆ เขาทำอะไรก็น่ารักไปหมดนั่นแหละ ผู้ชายอะไร

อาโปเตรียมจะจุดบุหรี่อีกมวน แต่ผมแย่งมาถือไว้ เขาสบถเบา ๆ แต่แล้วก็ถอนหายใจยอมแพ้ แล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้น“ก็เรื่องของเรามันไม่ต้องเดาว่าจะเป็นยังไง มันเป็นในแบบที่มันควรจะเป็น”

“ป่ะ เข้าไปลาผู้ใหญ่กันเถอะ” เป็นอาโปอีกนั่นแหละที่เลือกจะเดินนำหน้าผมและพูลล์ออกไป คนข้างหน้าเช็ดน้ำตาที่เปียกชื้นใบหน้าออกอย่างลวก ๆ แผ่นหลังที่ลู่ลงเมื่อครู่ผายขึ้นจนคิดว่าน่าจะยืนหยัดกับปัญหาและผ่านมันไปให้ได้อีกครั้งหนึ่ง



เป็นครั้งแรกที่พี่ดิมเมาว่ะ ผมแบกผู้ชายที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรขึ้นลิฟท์ที่คอนโดชั้นสามสิบ ถามว่าผมแบกคนเดียวไหวหรอ ก็ต้องไหวแหละนะแฟนทั้งคนแม้ตอนนี้ขาจะสั่นก็ตามที

พอเดินกลับเข้ามาในร้านสภาพพี่ดิมที่ผมเห็นคือถูกล้อมรอบไปด้วยทีมนักแสดงและทีมงานที่กำลังยุยงให้พี่ดิมเล่นเกมใบ้คำในมือถือ สงสัยคงโดนทุกคนรุมแกล้งเลยตอบไม่ได้จนดื่มเพียวหลายช็อตจนน็อคไปนี่แหละ คอแข็งแค่ไหนโดนวิสกี้แรง ๆ ติดกันหลายแก้วก็ล้มช้างได้เหมือนกันนะ

“ตอบเสือ...ข้อนี...เฮ้ย...ไอ้น้องเงินมึงโกงกูแล้ว” เสียงพูดแทบฟังจับใจความไม่ค่อยได้ของเขาทำให้พี่ดิมคนเท่หมดมาดไปเลย

“พี่ดิมถึงห้องแล้ว วันนี้นอนข้างล่างแล้วกันนะ ศิแบกขึ้นชั้นสองไม่ไหว”

“จะ จะอ้วกอะ”

“เฮ้ย ฉิบหายแล้ว!!”

“เดี๋ยวก่อนนะๆๆ” ผมกระวีกระวาดวิ่งหาถังขยะในห้องนอน แต่ไม่มี! ไม่มีเลย! ต้องพุ่งตัวด้วยความเร็วแสงไปหาสิ่งที่มีในครัวก่อนจะไม่ทันการณ์

เพิ่งเคยเห็นพี่ดิมสภาพนี้ ใจนึงก็อยากจะถ่ายรูปเขาไว้แกล้งเหมือนกันนะ แต่พอมาคิดดูแล้วมันดูไม่ค่อยให้เกียรติเขาเท่าไหร่ คงไม่ได้ชอบให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้หรอก นั่งเสิร์จหาวิธีที่จะทำให้เขาไม่แฮงค์พรุ่งนี้เช้า ได้ข้อมูลว่ากินน้ำอุ่น ๆ ช่วยได้ แต่จะปลุกเขาขึ้นมากินได้ยังไงล่ะ อีกอย่างแค่เช็ดตัวเขาก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว

“ศิ ศิ”

“ครับ พี่ดิมจะเอาอะไรมั้ย”

“ขอน้ำให้พี่หน่อย”

“นี่ครับ” พยุงตัวพี่ดิมขึ้นกินน้ำจากแก้วเทเตรียมไว้ให้แล้ว “พี่ดิมปวดหัวมั้ย” เขาส่ายหัวก่อนจะนอนลงที่เดิม สายตาฉ่ำเยิ้มจากแฮลกอฮอล์ยังไม่จางลง แต่เขามีสติกว่าตอนที่มาถึงคอนโด

“พี่ขอโทษที่ทำให้ลำบาก” ร่างสูงพยายามพูดแม้จะดูงง ๆ ง่วง ๆ แถมหมดแรงเพราะอ้วกออกหมด

“ไม่เป็นไรครับ พี่ดิมมุมนี้ก็ดู...เรียลดี”

“ถ้ารู้จักพี่ก่อนหน้านี้สักสิบปี จะรู้ว่าฉายาดิมคอทองแดงไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ…” พี่ดิมตาปรือลงและใกล้จะหลับอีกรอบ “ขอบคุณที่ดูแลนะครับ” ผมยิ้มให้คนผู้ชายตรงหน้าลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ ไม่บ่อยหรอกที่จะกล้าเล่นหัวเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนเด็กที่เพิ่งเมาเหล้าเป็นครั้งแรก

คงไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้

คุณหมอที่ใครต่างก็ยอมรับในศักยภาพและความเชี่ยวชาญ ผู้ชายวัย 28 ที่ความคิดโตกว่าอายุ ไหนจะเป็นนักแสดงที่ใครก็ต่างจับตามอง ยังไม่รวมกับเป็นตัวแทนแพทย์คนไทยร่วมงานระดับนานาชาติ เขาคือบุคคลที่เพอร์เฟ็คต์จนแทบหาที่ติไม่ได้

แต่วันนี้เขาเมามายจนเดินเองไม่ได้ อ้วกจนหมดไส้หมดพุง ผมเพ้าที่เซตอย่างดีตอนนี้รุงรังไม่เป็นทรง เสื้อผ้าก็ยับยู่ยี่ ต่างจากคนเมื่อเช้าที่เจอราวกับคนละคน

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรังเกียจ แม้จะไม่เคยปรนนิบัติให้ใครขนาดนี้มาก่อน

เพราะเป็นพี่ดิม ไม่ว่าเขาจะเวอร์ชั่นไหนผมก็ยังรักอยู่ดี

“ทั้งในยามทุกข์และยามสุขนะครับ จะอยู่ด้วยกันแบบนี้” ผมกดจูบหน้าผากเนียนที่อุณหภูมิร้อนขึ้นนิดหน่อยเพราะแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนร่างกาย แม้จะมีกลิ่นเหล้าติดกายของคนที่หลับพริ้มไปแล้ว หน้ามันเยิ้มเพราะทำได้แค่เช็ดน้ำอุ่น หรือแม้แต่เขาจะเละเทะมากกว่านี้ก็อยากเห็น อยากเห็นทุกมุมในชีวิตของเขา เรียนรู้ ปรับเปลี่ยน แก้ไข และประคองให้ความรักของเรามันเดินไปได้ไกลขึ้นเรื่อย ๆ

I never want to stop memories with you - Pierre Jeanty



-------------------------To be continued---------------------------

ตอนนี้มาสั้นโหนยยยยยยยยย แต่ไขความกระจ่างเรื่องเมฆอาโปได้นิดนึง
สรุปใครคือคู่หลักวะ555555555555555 /เสียงคนอ่าน
ในมุมเรานะ คนรักที่จะเดินไปด้วยกันได้ นอกจากจะมีความรักให้กัน
การให้เกียรติคนรัก ครอบครัว ตัวเอง คือสิ่งสำคัญ
ต่อมาคือการยอมรับ เสียสละบางอย่าง แม้ว่าเราไม่ได้ชอบไม่ได้อยากทำมัน
แต่ถ้าวันหนึ่งคุณยอมปรับเพื่อเขา นั่นแหละความรัก
วันนี้มีสาระนะมาแนวปรัชญา

ที่สำคัญ! อย่าปล่อยให้เป็น#ใต้ตานักเขียนข้นคนอ่านจาง
อย่าลืมเม้นท์เน้อออ รออ่านอย่างใจจดใจจ่อ /ขมวดคิ้วแบบเฮียอี้

รักเหมียนเดิม

#กาลครั้งที่รักคุณ #youaremyday1

@mifenbeexx
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-09-2018 01:59:18
สงสารอาโป อีเมฆนี้นะ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 29-09-2018 02:44:33
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนักเขียนแล้วว่าจะให้เมฆอาโปเป็นแบบไหน  :hao5:
แต่งดีจนอินกับทั้งความรู้สึกคนทั้งคู่เลย ไม่สงสารมากสงสารน้อยไปกว่ากัน
เพราะต้นเหตุมันไม่ได้มาจากคนทั้งคู่อย่างเดียว สิ่งเร้าอื่น ๆ การกระทำของคนอื่นส่งผลต่อคู่นี้เต็ม ๆ
เสียดายตรงก็ยังรู้สึกรักกัน ผูกพันกันอ่ะนะ เห้อ เหนื่อยจังความรัก

ปล.ดิมศิหวานกันจนเหลือแค่จดทะเบียนสมรสเป็นเรื่องเป็นราวละจ้า เหม็นความรัก ส่วนภีมพูลนี่ก็คราวนู้นยังป๊องแป๊งกันอยู่เลยย มาอีกทีสวมแหวนเลยนาาา :hao3:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-09-2018 07:12:36
อยากอ่านพี่ภีมกะน้องพูลล์  :call:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-09-2018 13:25:02
เอาใจช่วยน้องศิต่อไปค่าาา เพิ่งเคยเห็นพี่ดิมแบบนี้ ตลก  :hao7:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-09-2018 21:55:47
ทั้งรักทั้งหลงกันจริงๆพี่ดิมน้องศิ น่าร๊ากกกกก :mew2:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 01-10-2018 02:11:09
ต้องขอบอกว่าเสียน้ำตาตอนเมฆกับอาโปจริงๆ มันก็อึดอัดนะแต่ก็เข้าใจว่าไม่ง่ายเลยที่จะคุย คู่อื่นก็หวานๆกันแล้ว คือถ้าอาโปจะเริ่มใหม่กับเพทายก็ขอให้มีความสุขและเข้าใจกัน ส่วนเมฆก็ถ้าจะเริ่มใหม่อย่าลืมหันไปทางเด็กกีตาร์คนนั้นนะดูเหมือนจะชอบเมฆ น่ารักดี ขอบคุณคนเขียนนะเพิ่งมาอ่าน
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-10-2018 17:57:05
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 04-10-2018 21:15:19
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.24 เข้าบ้าน

I got a bad boy, I must admit it
You got my heart, don’t know how you did it
[/i]



“คุณแม่นั่งยิ้มอะไรครับ”

“คะ อ๋อ แม่ดูซีรีส์ที่ลูกเล่นอีกรอบน่ะสิคะ” ผู้หญิงวัยกลางคนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบผม เพราะไม่อยากละสายตาจากไอแพดเลยแม้แต่วิเดียว

วันนี้ผมกลับบ้านเอาขนมสังขยาหน้ากุ้งที่ศิทำมาให้คุณแม่ และว่าจะมาคุยกับคุณแม่เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้อีก ศิก็ดูจะกังวลใจ ส่วนผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือเพิกเฉยกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ดูท่าคุณแม่ก็อยากเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เต็มแก่ เฝ้าถามว่าเมื่อไหร่จะพามาเจอ เทียวฝากคำชม และคำแนะนำจากของคาวหวานที่คนตัวเล็กหมั่นทำมาให้สม่ำเสมอ

ฝากสิ่งของที่หอบหิ้วมากับแม่บ้านให้เขาจัดใส่จานมาให้คุณแม่ที่ดูจะเพลิดเพลินกับการรับชมผลงานลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้(ที่ยังไม่รู้)

“ลูกมาดูสิ เนี่ยน้องมาสน่ารักจริง ๆ ดิมเขินน้องหรอคะหูแดงด้วยค่ะ” อาการแม่นี่จะบอกว่า ‘ฟิน’ ได้มั้ยนะ

“ครับ น้องน่ารักจริง ๆ นั่นแหละ คุณแม่อยากเจอน้องมั้ย เดี๋ยวดิมพามา”

“จะดีหรอคะ แม่เขิน” คุณแม่ยกไหล่เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป “แต่ว่าก็ดีนะคะ แม่เป็นแฟนคลับน้องศิ ทำไมลูก ๆ ไม่เป็นเด็กผู้าชายน่ารักแบบน้องนะ ทำไมลูกแม่ต้องตัวใหญ่เป็นยักษ์กันหมด”

“อ้าว ผู้ชายตัวใหญ่นี่สิครับคูลจะตาย” ผมนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ข้างคุณแม่

“แม่ไม่น่าแต่งงานกับผู้ชายตัวสูงใหญ่เลยสิน่า”

“อ้าวแม่ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เหอะ พ่อผิดใช่มั้ยเนี่ย” คุณพ่อเดินถอดสูทให้แม่บ้านก่อนจะมานั่งที่โซฟาว่างอีกตัว ท่านมักกลับถึงบ้านเวลานี้เสมอ หลายปีแล้วที่คุณพ่อเลิกทำงานหนัก ๆ เพราะพี่ซัน และดินเข้าไปช่วยบริหารบริษัท เพราะผมไม่สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทได้อย่างที่ทุกคนรู้กัน ท่านเลยมีเวลามานั่งทานข้าวกับคุณแม่ทุกเย็น แทนลูกชายสามคนที่แยกออกไปอยู่ข้างนอกตามภาระหน้าที่

“แม่แกน่ะติดละครจนไม่เป็นอันทำอะไร คะยั้นคะยอให้พ่อโทรหาอาติณณ์บอกให้เพิ่มเวลาออกอากาศซีรีส์จากสองเป็นสามวัน”

“ก็คุณคะ ฉายแค่เสาร์ อาทิตย์ อีกอย่างแค่หนึ่งชั่วโมงเองนะคะ โปรแกรมวันศุกร์ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากลุงพูดกับหนังเก่า ๆ น่ะค่ะ น่าจะเอาเวลาตรงนี้ยกให้ซีรีส์ไปเลย”

“โถ่ คุณแม่” ผมส่ายหัว ไม่คิดว่าคุณแม่จะเป็นขนาดนี้ “ถ้าออกอากาศหลายวันก็จบเร็วนะครับ อีกอย่างโฆษณาก็ขายได้ประมาณหนึ่งเองด้วย ถ้าขายได้เยอะคงได้เวลาเพิ่มกว่านี้มั้ง แม่ก็ไปซื้อโฆษณาสิครับ”

“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้ดิม แกนี่มาขายของให้แม่ชัด ๆ”

“พ่อเดี๋ยวเอาเบอร์การตลาดเรามาเลยค่ะ พรุ่งนี้ให้เขาไปซื้อโฆษณาไปเลยจบ ๆ”

“แม่เอาจริงหรอ” คุณพ่อถามพลางขำในลำคอไปด้วย ปกติพ่อจะค่อนข้างตามใจแม่ พ่อเคยบอกว่าแม้ว่าแม่จะไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก แต่งานบ้านนี่แหละคืองานที่ยิ่งใหญ่ ไหนจะดูแลบ้าน ดูแลสามี และดูแลลูก การจัดการบ้านหลังใหญ่ให้สะอาดเรียบร้อยจะใช้แค่คนงานไม่ได้ เพราะคนที่รู้จักบ้านหลังใหญ่นี้ดีที่สุดคือคุณผกากรองนี่แหละ และนี่คือความเสียสละอย่างหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่เพรียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ รวมถึงมีหน้าตาในสังคม จะยอมกลายเป็นแม่บ้านทั้งที่เรียนจบบัญชี เกียรตินิยมเหรียญทอง สถาบันเดียวกับผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในสมัยนั้นถือว่าโก้และเธอควรไปทำงานบริษัทเอกชนดี ๆ หรือไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ก็แต่งงานกับคุณพ่อ เพื่อที่จะสร้างครอบครัวและเป็นคุณแม่ที่ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่

“นี่จริง ๆ แม่อยากไปเจอคุณนักเขียนด้วยนะคะ แม่อยากเลี้ยงข้าวดี ๆ สักมื้อ ตอบแทนที่เขียนนิยายที่ดีมากค่ะ”

“ตกลงแม่ผมเป็นสาววายไปแล้วหรอ หื้อ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้ชายรักกันก็น่ารักดีนะคะ พูดแล้วก็เขินจังเลย” แม่เอามือจับแก้มตัวเอง เพราะฉากที่ผมเห็นฉายบนไอแพด คือฉากที่ผมจูบศิขณะที่เขาหลับ เป็นฉากที่เล่นจริงโดยที่ไม่ได้บอกศิไว้ก่อน

ขณะนี้ซีรีส์ออกอากาศไปได้เกือบครึ่ง และกระแสดีอย่างต่อเนื่อง มีงานอีเวนท์ติดต่อให้นักแสดงไปร่วมงานดึงเหล่าแฟนคลับให้ตามไปเจอคนที่ตัวเองชอบมากมาย ศิเองก็ไปร่วมงานมาแล้วหลายงาน ส่วนผมยังไม่มีโอกาสได้ไปตามคำเชิญ ด้วยภาระหน้าที่งานหลักที่ปลีกตัวไปไม่ได้ อีกอย่างกำลังจะประเมินงานวิจัยแล้วด้วยช่วงนี้ก็เลยยุ่งมาก ๆ ไหนจะต้องเข้าเวรอีก เวลาว่างถ้าไม่คลุกอยู่กับศิ ผมก็จะแวะมาบ้านบ้างตามคำสั่งของแม่(เมีย)อีกคน

“ไว้ผมพาน้องมาหาคุณแม่นะครับ จะได้ไม่ต้องไปงอแงให้คุณพ่อไปซื้อเวลาโฆษณา”

“ค่ะ ดีเลยค่ะ แม่จะเตรียมตัวให้พร้อมเลย”

“มาพร้อมกับแฟนดิมเลยนะ”

“จริงหรอคะ! ดีเลยค่ะ แม่จะได้เตรียมอาหารชุดใหญ่ หนูเขาทำให้แม่มาเยอะมาก ๆ แม่ต้องจัดเต็มบ้าง”

“ครับ”

ผมยิ้มกริ่มกับสิ่งที่จินตนาการไว้ในหัว ขนาดแม่ยังไม่ได้เจอศิตัวเป็น ๆ เห็นผ่านภามาส แม่ยังหลงรักในเสน่ห์ที่หาตัวจับยากอย่างเขาเลย ถ้าเจอตัวจริงก็คงไม่ยากที่จะทำให้คุณผกากรองหลงรัก




“ห้ะ!! พี่ดิมจะพาไปเจอคุณแม่หรอ”

“ครับ วันนี้เลยนะ” หลังจากวันที่ผมบอกคุณแม่ไป กว่าสัปดาห์ก็เพิ่งจะได้มีวันหยุดเหมือนคนอื่นเขา เลยโทรไปนัดแนะคุณแม่ว่าจะพาน้องไปหาที่บ้าน

“เดี๋ยวก่อนสิ วันนี้! ศิยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย พี่ดิมทำไมมันกะทันหันขนาดนี้ล่ะครับ ของฝาก! ของฝากก็ยังไม่มีเลย”

เด็กผู้ชายตรงหน้าลุกลี้ลุกลนกับสิ่งที่ผมบอกไป เขาเด้งตัวโหยงจากกองหนังสือเพราะเมื่อครู่คนตัวเล็กนอนกลิ้งเกลือกกับหนังสือที่วางระเกะระกะบนพรมหน้าทีวี เนื่องจากจะสอบไฟนอลในอีกสองวันข้างหน้า เมื่อคืนเขาก็เพิ่งไปติวกับเพื่อน ๆ มา ตกดึกก่อนกลับคอนโดนยังซื้อของกินปให้ผมที่โรงพยาบาลอีกด้วย

“ไม่ต้องเตรียมอะไร เพราะแม่พี่บอกจะตอบแทนที่ศิทำขนมกับอาหารไปให้”

“ไม่ได้ๆ ๆ ไปหาผู้ใหญ่ทั้งทีจะไปตัวเปล่าได้ไงล่ะ ทีตอนพี่ดิมไปหาป๊า พี่ดิมยังหิ้วไวน์ขวดละตั้งหลายพันไปฝากเลย”

“อ่า งั้นศิอยากซื้ออะไรล่ะครับ แวะซื้อก่อนเข้าบ้านก็ได้ พี่บอกแม่ไว้ว่าเราจะไปถึงประมาณหกโมงเย็น”

“ฮือ พี่ดิมอะ ทำไมต้องบอกกะทันหันแบบนี้ด้วยอะ แบบว่าศิจะใส่เสื้อตัวไหนดี แล้วใต้ตาศิดำมั้ย เมื่อคืนก็นอนดึก”

ผมดึงเด็กที่ยังไม่เลิกกับนิสัยขี้กังวลมานั่งตัก ลูบเส้นผมที่เหนียวเล็กน้อยคิดว่าไม่ได้สระมาหลายวัน เพราะช่วงนี้เขาอ่านหนังสือหนักมาก เห็นว่าอยากทำคะแนนให้ดีจะได้ดึงคะแนนเมื่อตอนปี 1 และปี 2 ที่ทำไว้ได้ไม่ดีนัก แม้มันอาจจะช้าไปแต่เขาก็อยากตั้งใจให้มากขึ้น

“ไม่ต้องกังวลนะครับหนู”

“กลัวแม่พี่ดิมจะ...รับไม่ได้นี่” สายตาแห่งความกังวลฉายชัดในนัยน์ตากลมตรงหน้า “กลัวทำให้ท่านผิดหวังในตัวพี่”

คว้าเด็กตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก เขาไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะไม่ถูกยอมรับ แต่กลับคิดเกินกว่านั้นคือกลัวครอบครัวผมผิดหวังในตัวผมงั้นหรอ ตัวก็แค่นี้แต่ทำไมคิดใหญ่กว่าตัวนักนะ แถมยังแบกมันไว้มานานเท่าไหร่แล้ว

“ศิครับ พี่รักศินะ ศิรักพี่มั้ย”

“อื้อ รักสิ” เสียงอู้อี้บนอกตอบรับเบา ๆ

“งั้นทุกอย่างที่ศิกังวล ศิแบกรับมันไว้ แบ่งมาให้พี่บ้างได้หรือเปล่า” ผมกอดกระชับเขาให้แน่นขึ้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะเก็บทุกอย่างมาคิดและยังไม่ค่อยพูดถึงความทุกข์ที่ตัวเองเก็บงำไว้ “ถ้าพ่อแม่พี่จะผิดหวังในตัวพี่ เพียงเพราะพี่มีความรักกับผู้ชาย ผู้ชายที่คิดถึงพี่มากกว่าตัวเอง พี่ก็ยินดี และพร้อมพิสูจน์ตัวเองว่าความรักแบบไหนก็คือความรักเหมือนกันทั้งนั้น”

“พี่ดิม…”

“พี่รู้ว่าที่ศิพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างมันไม่ใช่เพื่อตัวศิเลย แต่เพราะศิกลัวใช่มั้ย กลัวจะไม่ถูกยอมรับ กลัวถูกดูถูกอีก”

“จริง ๆ ยังมีอีกอย่าง...ศิกลัว...ไม่ดีพอจะอยู่ข้าง ๆ พี่ดิม”

“ก็เลยพยายามทำอะไรพวกนี้หรอ” เด็กที่กอดผมแน่นพยักหน้ารับ เขาไม่ได้ร้องไห้อย่างที่ผมกังวล เพราะทุกครั้งถ้าพูดเรื่องที่แบบนี้เขามักจะอ่อนไหวเสมอ ไม่รู้ว่านี่ก็เป็นอีกสิ่งที่พยายามทำมันอยู่หรือเปล่า “คนที่จะตัดสินว่าเราเหมาะสมกันหรือเปล่ามันไม่ใช่พวกเราหรอครับ ต้องให้คนอื่นตัดสินเราหรอ” ประคองไหล่เขาเพื่อสบตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ ปริ่มที่หางตา

“ศิฟังพี่ดิมนะครับ หนูไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองดีเหมาะสมกับพี่เพื่อลบข้อครหาของใคร เพราะความเหมาะสมเราสองคนตัดสินใจกันเองได้ แล้วเราใจตรงกันแล้วว่าเราอยากอยู่ด้วยกันจริงมั้ย พี่อยากให้ศิเป็นตัวของตัวเอง ความพยายามที่มีน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริง ๆ มันจะกลายเป็นฝืน รู้หรือเปล่า” ใช้มือใหญ่ของตัวเองแนบแก้มอุ่น ๆ ของคนตรงหน้า “พี่ไม่อยากให้มีความรู้สึกฝืนในความสัมพันธ์ของเรา”

มือเล็กที่อุณหภูมิสูงกว่าผมเล็กน้อย แนบทับหลังมือของผม ก่อนจะพูดขึ้น “ศิไม่ได้ฝืนเลย ศิเต็มใจทำ ศิอยากให้ตัวเองดีกว่านี้ ส่วนเรื่องที่อยากให้ที่บ้านพี่ดิมยอมรับ...จริง ๆ ก็นิดนึง แต่ศิไม่ได้ฝืนนะ ศิอยากทำจริง ๆ”

“เอาเป็นว่าพี่ไม่อยากให้แฟนของพี่เหนื่อยเกินไป เพื่อที่จะทำให้ใครต่อใครยอมรับในความสัมพันธ์ของเรา เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยซ้ำว่าเราประสบความสำเร็จ เราดี เรามีเงิน แม้เราจะเป็นกลุ่มชายรักชาย พี่ไม่แคร์ว่าใครจะพูดยังไง ขอแค่พี่ไม่ได้ยินจากหูพี่ก็พอ ไม่งั้นก็รู้กัน”

“เป็นคุณหมอทำไมนังเลงจังเลยล่ะครับเจ้าแด๊ดดี๊” มือเล็กย้ายมาแนบแก้มของผม ไม่พอยังใช้นิ้วนวดที่คิ้ว สงสัยผมคงทำสีหน้าซีเรียสเกินไป “อื้อ ศิเข้าใจแล้ว”

“งั้นต่อไปนี้มีอะไรก็บอกพี่ อย่าเก็บไปคิดคนเดียว ไหนว่าเราจะมีทั้งช่วงที่ทุกข์และสุขไง”

“ครับ ๆ ศิจะบอกพี่ดิมทุกเรื่องเลย แม้เรื่องอาหารกลางวันไม่อร่อย หรือศิโดนเฌอด่าเวลาแอบงีบในคลาส ดีมั้ย”

“มันควรจะเป็นแบบนั้น”

เรากอดกันอีกครั้ง และมันเต็มไปด้วยความสบายใจจากคนตัวเล็ก บ่าที่หนักอึ้งเมื่อครู่ดูผ่อนคลาย และผมก็รู้สึกดีที่น้องไว้วางใจและเป็นที่พึ่งให้เขาได้ มันอาจจะปรับไม่ได้ในทันที แต่เชื่อว่าทั้งน้องและผมจะสามารถค่อย ๆ ทำมันได้ดีขึ้น


ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมง น้องชวนผมมาเดินวิลล่าไม่ไกลคอนโดของเขา ตอนแรกก็ถามว่าทำไมไม่ไปห้างจะได้มีตัวเลือกเยอะกว่า เขาว่าจะใช้เวลานานทั้งรถติดทั้งหาที่จอดรถ อีกอย่างที่นี่ก็มีของนำเข้าหลากหลายดี

“พี่ดิมว่าศิควรทำซุปเห็ดหรือว่าซุปข้าวโพดดี”

“แม่พี่ไลน์มาบอกว่าจะทำสเต็กปลาแซลม่อนนะ งั้นทำซุปเห็ดดีมั้ย จริง ๆ พี่ชอบ ขอเป็นเห็ดทรัฟเฟิ้ลนะ”

“ได้หมด เพราะพี่ดิมจ่ายอยู่แล้ว ฮี่ๆ”

เดินเข็นรถตามผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า เขาไม่ได้มีความชำนาญในเรื่องอาหารมากมาย แต่สองสามเดือนที่ผ่านมาเจ้าตัวพยายามหาความรู้ ฝึกปรือ จากเมนูง่าย ๆ ก็แอดวานซ์ไปถึงพวกเบเกอรี่ ตอนนี้คอนโดของผมเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารจำนวนมาก จนคิดว่าน่าจะเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ได้เลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีใช้เป็นข้ออ้างให้น้องมานอนกับผมที่คอนโดได้บ่อยขึ้น เพราะคอนโดเขาเล็กกว่าเวลาอบขนมแล้วมันระอุในห้องซึ่งไม่ดีต่อระบบอากาศภายในห้องเท่าไหร่

ศิพิถีพิถันในการเลือกผลไม้นำเข้าเพื่อให้พนักงานจัดใส่ตะกร้า รวมถึงของตกแต่งด้วยตัวเอง แม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่ความรู้เรื่องศิลปะศิดีกว่าผมมาก เขารู้ว่าสีไหนเข้ากัน ผลไม้สีนี้ตัดกับผลไม้สีนั้นต้องวางคู่กัน ถ้าพ่อกับแม่ผมมาเห็นคงดีใจที่เขาตั้งใจขนาดนี้ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย และราคาของที่ให้ไม่ได้สูงค่ามากมาย มีแต่ความตั้งใจอันเปี่ยมล้นยิ่งกว่าผลไม้นานาชนิดในกระเช้าใหญ่นี้

พอกลับมาถึงคอนโดของศิ เขาก็จัดการทำอาหารง่าย ๆ ตามที่ผมบอกใส่กล่องทัปเปอร์แวร์อย่างดี ก่อนที่เจ้าตัวจะไล่ผมไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่ใช่มานั่งมามองเขาบนโต๊ะกินข้าว ที่คอนโดศิมีโต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ สำหรับสี่คนบริเวณห้องครัว ไม่ได้แยกเป็นสัดส่วนเหมือนคอนโดผม ถ้าวันนี้ผ่านไปด้วยดีคงต้องคุยกับเขาเรื่องนี้จริงจังให้เขาย้ายไปอยู่กับผมถาวร ที่เขาติดไม่ใช่เพราะป๊ากับม๊า แต่เพราะเรื่องที่บ้านผมมากกว่า

“พี่ดิมว่าศิใส่เสื้อตัวนี้หรือตัวนี้ดีกว่ากัน”

“ไม่ต้องใส่ดีที่สุด” ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกโยนจากห้องแต่งตัวมาอย่างแรง ผมกำลังเช็ดผมอยู่บนเก้าอี้หน้ากระจกสะดุ้งเล็กน้อย เห็นเขาขมวดคิ้วใส่แล้วอารมณ์ดี ศิอาบน้ำเสร็จก่อนผมนานแล้วแต่ยังเลือกชุดไม่ได้ว่าจะใส่ตัวไหนดี เอามาทาบแล้วก็เอาใส่เก็บเข้าตู้เหมือนเดิม เขาเป็นเด็กผู้ชายที่แต่งตัวดี แต่ไม่ได้หวือหวามากมาย ลุคส่วนใหญ่ก็ตามวัยรุ่นนิยมใส่ ก็เลยแทบไม่มีเสื้อผ้าแบบทางการสักเท่าไหร่ เวลาออกงานทางทีมงานก็จะจัดการหามาให้ไม่ได้ซื้อเอง เขาก็เลยหัวเสียที่ผมไม่ได้บอกล่วงหน้าจะได้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่

“แต่งแบบที่เคยแต่งเถอะน่า ไม่เป็นไรหรอก”

“ได้ยังไงเล่า เฮ้อ พี่ดิมนี่แย่จริง ๆ” เขาเหวใส่ผมอีกแล้ว วันนี้โดนน้องหงุดหงิดใส่กี่ครั้งแล้วนะนับไม่ถ้วนเลย “จะให้ใส่ยีนส์ขาด ๆ กับเสื้อยืดตลาดนัดหรือไงล่ะ”

“พี่บอกแล้วว่าให้หนูเป็นตัวเองไงครับ ให้มันดูเรียบร้อยหน่อยก็พอ เสื้อที่เราใส่ไปดินเนอร์วันนั้นไงครับของ burberry หนูใส่ไปครั้งเดียวเองนะ”

“อ่า จริงด้วย” อาจจะเพราะผมใช้น้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ยังยิ้มคุยกับเขา เด็กที่ดูพะว้าพะวงก็กลับมามีมีสติ และตั้งใจฟังสิ่งที่ผมพูด บางทีก็ต้องใช้โหมดนี้คุยกับเขาบ้าง แม้ว่าศิจะโตในระดับหนึ่งแต่ความเป็นเด็กในตัวเขาก็ยังมีอยู่เวลาที่ต้องจัดการปัญหาที่จวนตัว

ส่วนผมเลือกใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมที่หาเจอในตู้เสื้อผ้าของน้อง ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามาลืมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใส่อะไรก็ใส่ได้เพราะแค่กลับบ้านเองนี่นะ ไม่คิดมากเหมือนเด็กที่โดนผม(แอบ)ดุไปเมื่อครู่นี้หรอก

ศิแต่งตัวเรียบร้อยวันนี้เพียงแค่หวีผมแต่ไม่ได้เซตอะไร เพราะไม่รู้จะทำทรงไหนเลยตัดสินใจไม่ทำ พอจะง่ายก็ง่ายดีแฮะ เขาหิ้วกล่องซุปที่ทำ และขนมคุกกี้ที่อบเมื่อวานก่อนไปด้วย ส่วนผมถือเสื้อผ้าของตัวเองเพราะจะเอากลับไปให้แม่บ้านที่คอนโดซัก ถ้าทิ้งไว้ที่นี่ไม่พ้นน้องจัดการให้อีก

ตลอดทางที่นั่งรถมาศิยังคงมีสีหน้ากังวล มือเล็กกุมที่หน้าขาตลอดเวลา เลยใช้มือข้างที่ว่างไปกุมมือเขาหวังจะคลายความกังวล น้องเอนตัวมาพิงไหล่ผมอย่างหาที่พึ่ง

พอรถเลี้ยวพ้นรั้วบ้าน เขาบีบมือผมแน่นจนเหงื่อเริ่มชื้นเต็มฝ่ามือ

“ไม่เป็นไรนะ เกิดอะไรขึ้นพี่จะอยู่ด้วยตลอดเวลา” น้องพยักหน้ารับ แล้วยิ้มให้ผม ก่อนที่เราจะเปิดประตูออกจากรถไป “พร้อมมั้ย”

“ครับ”





มีต่อ
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.23 version of you (29/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 04-10-2018 21:18:47
“สวัสดีครับป้า” ผมทักทายป้าแม่บ้านที่มารอรับ ส่วนน้องยกมือไหว้ตามคนมารยาทดี

“สวัสดีค่ะ คุณท่านรออยู่ในห้องทานข้าวแล้วค่ะ”

“ครับ ฝากเอานี่ไปจัดใส่ถ้วยด้วยนะครับ” ส่งอาหารที่เตรียมมาให้แม่บ้าน แล้วเดินถือกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่เดินไปที่ห้องทานข้าว หันไปยิ้มเพิ่มควมมั่นใจให้เด็กที่เดินตามหลังผมมาด้วย

“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ อ้าวดิน มาด้วยหรอ” บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ปกติจะใช้สำหรับรับแขกคนสำคัญเท่านั้น ซึ่งวันนี้ก็คงจะเป็นเด็กที่ละล้าละลังไม่รู้จะทำตัวยังไงข้าง ๆ ผม “นี่น้องศิครับ พามาแล้วนะครับคุณแม่” ศิยกมือไหว้ทุกคนและคนที่จะปลื้มใจที่ได้เจอนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบคงจะเป็นคุณผกากรองนี่แหละ

คุณแม่ที่กำลังจัดโต๊ะอาหาร บนตัวยังมีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่รับไหว้เด็กที่พูดสวัสดีเบาเหลือเกิน

“สะ..สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่...พี่ดิม”

“อันนี้น้องซื้อมาฝากครับ” ผมยกกระเช้าผลไม้วางบนโต๊ะทานข้าวอีกฝั่งที่ไม่มีคนนั่ง

“สวัสดีจ้ะ” คุณแม่รับไหว้ และยิ้มเขิน ๆ “ทำไมดิมไม่โทรมาบอกแม่ก่อนละค่ะว่าใกล้ถึงแล้ว ดูซิแม่ดูไม่เรียบร้อยเลย” ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าแกะผ้ากันเปื้อนออกแล้วส่งให้ป้าแม่บ้าน ก่อนจะเดินมาหาผมและศิที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

“แม่ขอจับมือได้มั้ยคะ”

“คะ ครับ ได้ครับ”

“ฮื้อ น่ารักจังเลยค่ะ มองใกล้ ๆ ยิ่งน่ารัก แม่เหมือนจะลอยได้เลย”  เธอนำมือทั้งสองข้างแนบหน้าตัวเองที่ขึ้นสีระเรื่อไม่ต่างจากเด็กสาวแรกแย้มที่ได้เจอไอดอลที่ตัวเองชอบ

“ซีรีส์ดิมทำแม่เป็นขนาดนี้เลยหรอครับพ่อ” ดินน้องชายที่นาน ๆ ทีจะกลับบ้านถามขึ้น

“ก็อย่างที่พ่อเล่าให้ฟังนั่นแหละ” ประมุขของบ้านพูดขึ้นด้วยเสียงที่เอือมเล็กน้อย “มา ๆ นั่งเถอะ พ่อหิวแล้วล่ะ อยากกินอาหารฝีมือแม่ที่ทำรอดาราในดวงใจจะแย่แล้ว”

ผมขำในลำคอและชวนน้องนั่งฝั่งตรงข้ามคุณแม่และดิน ส่วนพ่อนั่งหัวโต๊ะ

“ทำไมวันนี้กลับบ้านล่ะดิน” ผมและน้องชายเกิดห่างกันสองปี แต่เราสนิทกันพอสมควรเลยไม่ได้เรียกแทนว่าพี่เหมือนบ้านอื่น

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนดินต้องถามดิมป่ะวะคำถามนี้ พอจะพาแฟนเข้าบ้านหน่อยกลับบ้านบ่อยเชียวนะ” ผมไม่ไดพูดอะไรต่อ ถ้าถามถึงสถิติในการกลับบ้านตั้งแต่เรียนจบ เป็นผมนี่แหละที่กลับบ้านแบบมานอนที่บ้านน้อยที่สุดแล้ว พี่ซันที่งานเยอะกว่ายังกลับมานอนที่บ้านบ่อย

“ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า น้องศิคงหิวแล้วใช่มั้ยคะ” เด็กข้าง ๆ ยังทำหน้าเหลอหลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสักครู่

ป้าแม่บ้านนำซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลที่ศิทำมาเสิร์ฟเคียงกับสเต็กปลาแซลม่อน

“โห มีซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลด้วยหรอครับแม่” ดินตาโตกับอาหารที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศ “ลาภปากจริง ๆ ขอบคุณพ่อนะครับที่ชวนผมกลับบ้านวันนี้ ไม่ผิดหวังเลย” ดินยกยิ้มให้คุณพ่อ ก่อนจะจับช้อนและเริ่มตักซุป

“เปล่านี่คะ แม่ไม่ได้ทำ ดิมซื้อมาหรือเปล่า”

“ไม่ได้ซื้อครับ ศิเป็นคนทำ”

คุณแม่ทำหน้าประหลาดใจ “น้องศิทำอาหารด้วยหรอคะ ดีจังเลยค่ะ เด็กสมัยหายากที่ทำอาหารเป็น” ทั้งสามคนรวมถึงผมกำลังลิ้มรสอาหารของเด็กผู้ชายที่นั่งพะว้าพะวงกับปฏิกิริยาของทุกคนในบ้านหลังจากรับประทานอาหารที่เขาทำ

“อร่อยจังเลยค่ะ น้องศิเก่งมากเลยนะคะ”

เขายกยิ้มพอใจ และสีหน้าเริ่มจะมีสีขึ้นหน่อย หลังจากที่ก่อนหน้านี้หน้าซีดเหงื่อซึมตามไรผมตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้าน

เราห้าคนรับประทานอาหารคาวที่คุณแม่จัดเต็ม นอกจากสเต็กปลาแซลม่อนแล้ว ยังมีสารพัดอาหารตะวันตก ทั้งสปาเก็ตตี้ผัดซอส ขาหมูเยอรมัน อกไก่ย่างบาบีคิว สลัดผักสด บรรยากาศบนโต๊ะมีแต่เสียงของคุณถามไถ่ศิทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และแอบถามซีรีส์ตอนต่อไปอีกต่างหาก คุณพ่อ ดิน และผม ได้แต่กินเงียบ ๆ พูดบ้างถ้าคุณแม่ถามความเห็น ส่วนเด็กที่นั่งข้าง ๆ ก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นกันเอง

หลังอาหารคาวแม่บ้านนำชาอุ่น ๆ มาเสิร์ฟ พร้อมกับผลไม้ และคุ้กกี้ที่ศิเอามาฝาก คุณพ่อชอบจิบชาตอนเย็นกลายเป็นว่าพวกเราก็ชอบไปด้วย มันช่วยให้หลับสบายดีเหมือนกัน

“คุ้กกี้นี่ก็ฝีมือน้องศิหรอคะ แม่จำได้”

“คะ ครับ ทำไมถึง...บอกว่าจำได้ล่ะครับ”

“ก็คราวที่แล้วที่ดิมเอามาให้ก็รสชาติแบบนี้เลย แค่ไม่มีอัลมอลต์” คุณแม่พูดพลางกัดคุ้กกี้อีกคำแล้วยกชาขึ้นจิบ

“....” ผมและศิมองหน้ากัน คนข้างผมเหงื่อตกอีกรอบหลังจากได้ฟังสิ่งที่คุณแม่พูด เพราะมันหมายความว่าคุณแม่ทราบว่าศิเป็นแฟนของผม ทั้งที่จริง ๆ ผมไม่แปลกใจที่คุณแม่ทราบ เพราะวันนี้ที่เคยบอกว่าจะพาแฟนมาเปิดตัวด้วยแต่ดันมาแค่ศิคนเดียว…

“พ่อครับ แม่ครับ ดินด้วย จริง ๆ แล้วศิไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นแฟนของดิมเอง”

“...”

“ผมอยากจะบอกพ่อกับแม่นานแล้ว แต่คิดว่ารอเวลาที่เหมาะสม อาหาร ขนม ที่น้องฝากมาให้เป็นความคิดที่เขาอยากทำ ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะโอเคมั้ย แต่อยากให้ค่อย ๆ ทำความรู้จักศิได้มั้ยครับ”

“ที่ดิมไม่พาศิมาที่บ้านทั้งที่คบกันมาสักพักแล้ว เพราะแม่ใช่มั้ยคะ เพราะที่แม่พูดวันนั้นหรือเปล่า”

ผมหันไปมองคนของตัวเองว่าเราเป็นอย่างไรกับการพูดความจริงครั้งนี้ เขาได้แต่นั่งก้มหน้ามองแก้วชาที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น พอหันมามองคุณแม่ที่ยิ้มมีสีหน้ารู้สึกผิดฉายชัดก็วูบโหวงในใจเหมือนกัน

“ดิมคิดมากกับคำพูดของแม่มากเลยใช่มั้ย จริงอยู่ที่แม่เกิดมานานไม่ค่อยทันกับโลกที่ก้าวไปเร็วขนาดนี้” คุณแม่พยายามพูดไปแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูส่งไปให้เด็กที่นั่งก้มหน้าไม่สบตาใคร

“แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ก้าวทันเสมอคือพร้อมเข้าใจลูกนะคะ”

ศิเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับผม เหมือนเรารู้ว่าควรทำอะไรต่อ จึงเดินนำน้องไปหาแม่ที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ ก่อนจะคุกเข่าพร้อมกันแล้วกราบลงที่ตักของแม่ ไม่ใช่แค่เราสองคนที่คิดไม่ตก แต่คุณแม่ที่พอจะเดาอะไรหลาย ๆ ออก ก็คงหนักใจอยู่เหมือนกัน และยิ่งเท่าทวีถ้าทบทวนสิ่งที่เธอพูดไปแล้วจะกระทบจิตใจลูกชายของตัวเอง

คุณแม่จับแก้มของศิแล้วลูบเบา ๆ “รู้มั้ยคะว่าแม่รู้ตั้งแต่ดิมเอาสปาเก็ตตี้ไข่เค็มมาฝากแม่ เพราะอีกกล่องที่กินหมดแล้วมีโน้ตของน้องศิแปะหราอยู่ด้านบน ทำอาหารกลางวันให้คนขี้เกียจด้วยหรอคะ เหนื่อยมั้ย” ศิส่ายหน้าเบา ๆ แล้วโผกอดเอวคุณแม่ ก่อนที่เขาจะร้องไห้ออกมา

“อ้าวแม่ไปทำแฟนเขาร้องไห้ได้ยังไงละเนี่ย” คุณพ่อที่นั่งเงียบมาตลอดพูดติดตลก

ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า มันเกินจินตนาการเหมือนกัน สิ่งที่คิดไว้อย่างดีที่สุดก็คือคุณแม่ทำตัวปกตินั่งทานอาหารอย่างไม่พูดอะไร และสิ่งที่ร้ายที่สุดคือเธอลุกออกจากโต๊ะไป แต่นี่มันเรียกได้ว่าเกินฝัน

ศิผละจากอ้อมกอดของคุณแม่ เช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจศิ”

“โถ่พูดอะไรแบบนั้นคะ แม่ยอมรับค่ะว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ แต่เพราะพ่อบอกกับแม่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับดิมไปตลอดไม่ใช่เรา และความรักความปรารถนาดีของเราไม่ใช่การวาดชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นให้กับเขา แต่คือชีวิตที่เขาเลือกเดินด้วยตัวเอง และแม่เห็นดิมมีความสุข ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ ขอบคุณน้องศินะคะที่ดูแลพี่เขาอย่างดี แม้เขาจะบ้างานไปหน่อย แต่เขาก็ยังบ้างานอีกด้วย”

“อ้าวแม่ครับ…”  ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะกับมุกตลกที่แม่เล่น “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”

ผมถือโอกาสกอดแม่ และนานแล้วที่เราสองแม่ลูกไม่ได้กอดกัน เธอที่ชีวิตมีแค่สามี และลูก ไม่แปลกอะไรที่จะวิตกกังวลกับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำความเข้าใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่แท้จริง



“นอนกับแม่สักคืนนะ” คุณแม่นั่งคุยกับศิหลายเรื่องจนดึกดื่น ประเด็นส่วนมากก็เรื่องผมนี่แหละ เผาจนไม้ไปยันกระดูกแล้ว

“ครับ ๆ”

“ดีค่ะ แม่ให้แม่บ้านทำความสะอาดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” คิดไว้แล้วนี่นาแม่ผม “กู๊ดไนท์นะคะเด็ก ๆ”

“ฝันดีครับคุณแม่” ศิตอบรับก่อนจะถูกแม่ผมดึงไปกอดอีกที ดูเธอจะชอบสัมผัสเด็กผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เหตุผลที่แม่อยากได้ลูกชายตัวไม่โตเพราะจะได้ทำอะไรแบบนี้หรอ

“เฮ้อ” ลูกสะใภ้คนใหม่ของบ้าน ทิ้งตัวนั่งบนเตียงกว้างที่ผมเคยใช้ตั้งแต่สมัยมอปลาย และรีโนเวทไปหนึ่งครั้งสมัยมหาวิทยาลัย อุปกรณ์ ข้าวของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ยังถูกจัดวางที่เดิม และสะอาดเอี่ยมเหมือนมีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน

“หายใจโล่งเลยสินะ”

“สุด ๆ! ศิกลัวแทบแย่แหนะ แม่พี่ดิมน่ารักจังเลยนะครับ คุณพ่อด้วย”

“พี่โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกท่าน ทั้งที่พี่อาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีนัก” สายตาก้มไปมองรูปครอบครัวที่วางอยู่บนตู้หนังสือ มันเป็นสมัยเด็กที่เรายกโขยงไปเที่ยวทะเลในวันครบครอบแต่งงานของพ่อกับแม่ ตอนนี้ผมอยู่มอต้นเองมั้ง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง

อ้อมกอดรัดด้านหลังมาจากผู้ชายอีกคนในห้อง มันทำให้ผมรู้ว่าความสุขของผมถูกเพิ่มมากอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเขา เมื่อวาน วันนี้ และในอนาคตเขาจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยิ้มได้

“พี่ดิมหน้าเหมือนเดิมเลย คนนี้พี่ชายคนโตใช่มั้ย” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปที่คนที่ดูโตสุดในแกงค์สามพี่น้อง

“ใช่ พี่ซันน่ะ เดี๋ยวคงได้เจอ ช่วงนี้บินไปหาลูกกับเมียที่อังกฤษ” 
 
“การมีพี่น้องนี่ดีมั้ยครับ ศิเกิดมาเป็นลูกคนเดียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อยากมีพี่มากเลยนะ” ผมหันไปกอดตอบเด็กที่ทำท่าเหมือนอ้อนกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว

“ดีสิ ดีมากเลย แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านหรอกมั้ง ซันเป็นพี่ที่สุขุม ส่วนดินเป็นน้องที่แสบเอาเรื่อง”

“แล้วพี่ดิมล่ะครับ”

“พี่น่ะคนดี”

“เหอะ ไม่เชื่อหรอก” เด็กตรงหน้าหรี่ตามองเพราะไม่เชื่อการโกหกคำโตของผม คนดีที่ไหนจะชวนพี่น้องไปว่ายน้ำที่สโมสรหมู่บ้านตอนฝนตกจนป่วยนอนโรงพยาบาลพร้อมกันสามคน แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้จำจนกลัวไม่กล้าทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ เพราะคุณแม่ไม่คุยด้วยตั้งสามวัน เป็นสามวันที่ทรมานและอึดอัดที่สุดในชีวิต ดินมาขอนอนด้วยและร้องไห้ทุกคืน คนเป็นพี่อย่างผมรู้สึกผิดจนไม่รู้จะรู้สึกผิดยังไง สุดท้ายก็ไปสัญญากับคุณแม่ว่าจะไม่ทำอีก

“แล้วหนูล่ะตอนเด็กเป็นยังไงครับ”

“อืมมม ศิก็เป็นเด็กธรรมดา ๆ แถมหน้าตาไม่น่าจดจำ ขนาดที่ว่าหลงกับลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกที่ฮ่องกงด้วย”

“ตอนนั้นไม่น่าจดจำสำหรับใคร แต่ตอนนี้น่าจดจำสำหรับพี่คนเดียวก็พอ”

“ทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้เล่า”

“วันนี้ศิน่ารักมาก ๆ เลยนะ” เขยิบหน้าเข้าไปใกล้คนที่พยายามหลบหลีก  “ขอบคุณนะครับที่รอ ขอบคุณที่อดทนมาโดยตลอดนะ”

จุ๊บ

อดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสเขา ใบหน้าขาวผ่อง แก้มนุ่มนิ่ม ปากเล็กกระจับสีชมพูอ่อน รวมไปถึงจมูกเชิดเล็กน้อย ทั้งหมดทั้งมวลอาจจะไม่ได้หล่อเหลา พิมพ์นิยมในสายตาใคร ทุกวันนี้ยังแอบเห็นบางเพจแคปรูปน้องในซีรีส์ไปเบลมว่าโกงบทภามาสมาอยู่เลย แต่แล้วไงเขาน่ารักและดีเกินไปสำหรับคนอย่างผมด้วยซ้ำ

“ฮื้อ พี่ดิม เดี๋ยวก่อนสิครับ จะ...ทำ ที่นี่หรอ”

“เจิมให้ห้องนอนพี่หน่อย อยากมีกลิ่นคนของพี่ติดที่ของพี่”

“ทุกทีสิน่าพี่ดิมเนี่ย”

“หนูก็ยอมพี่ทุกทีสิน่า”

“อ๊ะ”




กิจกรรมกิจกรรมกามของผมกับน้องจบประมาณเกือบตีสอง และคนถูกรังแกก็หลับพริ้มไปเรียบร้อย ส่วมผมอะดรีนาลีนหลั่งออกมาเยอะไปหน่อยเลยยังหลับไม่สนิท นอนเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มมาได้สักพักแล้ว ความคิดที่เวียนวนอยู่ในหัวมาหลายวัน และมันชัดเจนขึ้นในวันนี้คือผมอยากใช้เวลากับครอบครัวของผมให้มากกว่านี้ ครอบครัวในทีนี้รวมถึงศิด้วย ถ้ายังทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันแบบนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ดี

ผมตัดสินใจที่จะเลือกเพิ่มเวลาในชีวิต มากกว่าทำอีกสิ่งที่ตัวเองชอบ



“ลงมากันแล้วหรอคะ วันนี้แม่ให้ป้าแม่บ้านเตรียมข้าวต้มสำหรับทุกคนนะ ส่วนดิมเบรกฟาสต์แบบคลีนเหมือนเดิมค่ะ” คุณแม่กุลีกุจอพรีเซ็นต์อาหารเช้าหน้าตาน่ารับประทานบนโต๊ะอาหารเล็กที่เราใช้ประจำ

และนี่ก็หมายความว่าศิไม่ใช่แขกของบ้านอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นคนในครอบครัว

“สวัสดีตอนเช้าครับคุณแม่” ลูกสะใภ้หมาด ๆ ของบ้านทักทายเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างเป็นธรรมชาติ คุณแม่ตาโตเพราะลูกชายห่าม ๆ ทั้งสามคนไม่เคยทำอะไรแบบนี้

“คุณพ่อล่ะครับ”

“กำลังลงมาจ๊ะ”

“สวัสดีตอนเช้าครับพี่ดิน” ดินก็เหวอไปอีกคน

“ทำไมคุณแม่กับพี่ดินดูตกใจล่ะครับ”

“ฮ่า ๆ ที่บ้านเราไม่มีวัฒนธรรมน่ารัก ๆ อะไรแบบนี้หรอกน้องศิ”

“น่ารัก?” ศินั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม ด้วยสายตางุนงง

“ก็ที่ทักทายกันยามเช้าอะไรแบบนี้น่ะสิ”

“แม่มีแต่ลูกชายทะโมน ๆ ค่ะ ทำอะไรน่ารักแบบนี้ไม่เป็นหรอก กว่าสามสิบสองปีศิคือดอกไม้บานยามเช้าที่สดใสของแม่นะคะ” คุณแม่เดินมาหอมหัวลูกชายคนใหม่ ผมและดินหัวเราะพรืดออกมา ไม่เคยรู้ว่าคุณแม่เก็บกดที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้าน

“เอาลูกเขามาเป็นลูกตัวเองขอพ่อแม่เขาหรือยังครับคุณ” คุณพ่อเดินเข้ามาเห็นฉากเด็ดพอดีเอ่ยแซว

“ว่าแต่คุณพ่อคุณแม่น้องศิทราบเรื่องแล้วใช่มั้ย หรือให้แม่กับพ่อไปคุยให้มั้ยคะ”

“เอ่อ ป๊ากับม๊าศิทราบแล้วครับ พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร”

“งั้นแม่ก็ควรไปคุยแบบเป็นทางการ ไว้หาวันดี ๆ ไปกันนะคะคุณ” ผู้ชายสามคนในบ้านมองหน้ากันยิ้ม ๆ ที่วันนี้เห็นคุณแม่มีความสดใสอย่างแปลกตา เหมือนตอนที่ไปแม่ไปรับพวกเราสามพี่น้องที่โรงเรียนวันเปิดเทอมแรกเลย และมันก็ผ่านมานานแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมอยากดูแลท่านให้มากกว่าที่เป็นอยู่ และคิดว่าสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจนี้คงถูกต้องแล้ว

“พ่อแม่ครับ ดิมว่าจะเลิกรับงานในวงการ”

“พี่ดิม!” กลายเป็นเด็กที่นั่งข้าง ๆ ตกใจยิ่งกว่าคนที่ผมตั้งใจบอก

“จริง ๆ พี่จะปรึกษาศิหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจ มาแน่ใจเอาเมื่อคืน”

“ทำไมล่ะลูกชาย กว่าจะขอแม่ไปทำได้ไม่ง่ายเลยนะ จู่ ๆ ก็จะไม่ทำแล้วซะงั้น” คุณพ่อนั่งเอามือประสานกัน ตั้งใจฟังเรื่องที่ผมปรึกษา เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง

“อยากมีเวลาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้างครับ เวลาเล่นละครมันดีมากเลยนะครับ มันได้เห็นตัวเองในมุมที่ไม่เคยเห็น ทำแล้วมันคลายเครียดเพราะไม่อยากให้ตัวเองยึดติดกับความเป็นหมอเกินไป”

“ดิมกลัวตัวเองเป็นบ้าอะดิ” น้องชายเอ่ยแซว

“เออจริง ๆ ก็กลัวตัวเองบ้างานเกินไป เลยหาทำอะไรทำเบี่ยงเบนไง แต่ตอนนี้เจอสิ่งที่สร้างความสงบและอยากกลับบ้านมานอนโง่ ๆ แล้วแหละ” ผมมองไปที่จุดเปลี่ยนในชีวิตของผม เขายังงงแถมเอานิ้วชี้ที่ตัวเองอีกต่างหาก

“เรานั่นแหละครับ พ่อกับแม่ก็ด้วย ไม่อยากตายเร็วเพราะทำงานหนักเกินไป อีกอย่างจะได้กลับมาดูแลพ่อกับแม่บ่อย ๆ”

“ดีเลยค่ะ แม่จะได้เจอน้องศิบ่อย ๆ” คุณนายของบ้านยิ้มตาหยีแล้วนั่งทานอาหารเช้าอย่างสบายใจ

“พ่อกับแม่คงแล้วแต่ดิม ยังไงก็ไปคุยกับอาติณณ์ให้เรียบร้อยนะ”

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นน่ะศิ คิดมากอีกแล้วล่ะสิ” เอื้อมมือไปลูบหัวเด็กที่ทำหน้าตาคิดมากอีกแล้ว

“เปล่าครับ แค่ศิทำให้พี่ดิมเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อที่จะหาเวลามาดูแลศิหรือเปล่า”

“เอ้อ เด็กคนนี้ หาเวลาอยู่กับแฟนว่ายากแล้ว ทำให้แฟนเลิกคิดมากนี่คงยากกว่า” เท้าคางกับมืออีกข้างอย่างปลง ๆ “พี่ชอบอยู่กับศิมากกว่าเล่นละครโอเคมั้ย”

“ดิมนี่มันขิงกันนี่หว่า อะไรคือการมาจีบแฟนต่อหน้าคนโสดอย่างผมวะ”

“งั้นหุ้นของดิมไม่ต้องขายให้น้องนะ เก็บไว้ปันผลเลี้ยงลูกเขาให้ดี ไม่ก็เอาไปลงทุนอย่างอื่น เงินเดือนหมอโรงพยาบาลรัฐกลัวจะไม่พอค่าน้ำค่าไฟเพนเฮาส์”

เสียงหัวเราะจากทุกคน การันตีได้อย่างดีว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ที่ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตกับพวกเขาให้มากขึ้น ทำงานอย่างพอดี

และมีความสุขในแบบง่าย ๆ กับครอบครัวของผม



----------------To be continued----------------

เป็นอีกตอนที่ตั้งใจอยากใส่เรื่องความสำคัญของครอบครัวเข้าไป
การมีครอบครัวที่เข้าอกเข้าใจมันเป็นพื้นฐานของคนที่เต็มคนเลยนะ
จบสาระ555555555555555555555555
Congratulations กับลูกสะใภ้บ้านชานยกาญจ์ธำรงค์หน่อยจ้าา
น่าหมั้นไส้มากกกกกก พอมีเมียก็คือจะไม่เล่นละครละ
แถมเหตุผลก็คืออยากมีเวลาอยู่กับแฟนว่ะ งงมาก5555555555
ตอนหน้าก็ last episode ละเด้ออออ

อยากอ่านเมน์เหมือนเดิมงับ
รักเด้อ

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1
 

หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-10-2018 22:00:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-10-2018 23:16:50
คุณแม่น่ารักจังเลยยยย น้องก็น่ารักกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-10-2018 23:27:33
จะจบแล้วหรือ....โนว..ววววววววววว   :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-10-2018 23:35:06
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-10-2018 17:09:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PhantomAlone ที่ 08-10-2018 00:18:07
ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆที่ฮีลหัวใจนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ รอเก็บเล่มเลยยย  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JingJing ที่ 08-10-2018 22:05:29
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก ขอบคุณคนแต่งมากๆน้าา  :L2:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-10-2018 21:57:03
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.25 always be certain (END)

We can see for miles up here, We can go wild up here
It’s just me and you
[/i]



“ทำไมแฟน ๆ เขาดราม่ากันทุกวันเลยล่ะครับ แถมแคปไอจีสตอรี่พี่ดิมเต็มเลย”

“ยังดีนะไม่คิดแฮทแท็กให้ด้วย” พี่ดิมหัวเราะหึในลำคอ

เรากำลังเดินเล่นริมทะเลยามเย็น ท้องฟ้าผืนกว้างตรงหน้าตัดกับผืนน้ำทะเล ทอแสงสีสวยหลากสีสะท้อนกันคล้ายกระจกเงา เราใช้วันหยุดสั้น ๆ หลังจากผมสอบเสร็จและพี่ดิมส่งงานวิจัยไปประเมินครั้งแรก มาพักผ่อนที่ทะเลหัวหินอย่างไม่มีแพลนอะไร เพียงแค่อยากออกมาสูดอากาศนอกกรุงเทพฯ ก็เท่านั้น

“เขาคงไม่ชอบใจที่พี่ไม่ไปออกงานอีเวนท์กับศิล่ะมั้ง”

“ฮื้อ ทำไมล่ะ ก็พี่ดิมติดงานนี่”

“เขาคงคิดว่าพี่ไม่เต็มใจที่จะแสดงละครชายรักชาย รับเล่นเพราะอยากสร้างกระแสให้ตัวเอง”

“เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว” ใหญ่โตไปมากจริง ๆ ผมไม่คิดว่าการที่พี่ดิมติดงานตามหน้าที่ของเขาจะถูกทำให้เข้าใจไปแบบนั้น “งั้นพี่ดิมจะไม่ทำอะไรเลยหรอ”

“ไม่เป็นหรอก เดี๋ยวเขาก็ค่อย ๆ ลืมพี่ไปเอง”

พี่ดิมเข้าไปคุยกับคุณติณณ์เรื่องจะไม่รับงานในวงการ เนื่องจากภาระงานหลักที่มากเกินจะแบ่งเวลาได้ ซึ่งทางคุณติณณ์ก็บอกว่าจะรอ แต่พี่ดิมตอบปฏิเสธเพราะถ้าเรียนเฉพาะทางจบต้องไปจะต้องใช้ทุนอีกสามปี ตอนนั้นก็คงอายุพอสมควรนักแสดงใหม่ ๆ คงเกิดขึ้นมากมากเกินกว่าจะมาเสียเวลารอเขา ส่วนพี่ใบชาเสนอให้พี่ดิมรับแค่งานเล็กน้อย เช่นถ่ายแบบ หรืองานพรีเซ็นเตอร์ ทว่าเจ้าตัวก็ปฏิเสธไปอีก เขาจะขอมุ่งไปทำงานวิชาการที่เขาตั้งใจ สุดท้ายผู้ใหญ่หลายคนก็ใจอ่อนกับความตั้งใจแน่วแน่ของว่าที่คุณหมอศัลยแพทย์

อีกประมาณสี่ตอนซีรีส์ก็จะจบ และคิดว่ามันจะถูกปิดฉากด้วยความสวยงาม แม้ว่าวันนั้นพี่ดิมอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะนักแสดงอีกต่อไป แต่ผลงานเรื่องสุดท้ายก็น่าจะทำให้คนจดจำและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ไม่น้อย ถ้าจะบอกว่าวินวินทั้งสองฝ่ายคงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรแฟนคลับก็อยากพบปะนักแสดงหลักตามกลไกปกติ และนี่อาจจะทำให้พี่ดิมถูกมองไม่ดีได้

“ศิว่าพี่ดิมน่าจะบอกพวกเขานะครับว่าพี่ดิมติดภารกิจหลายอย่างทำให้ไม่สามารถรับงานอีเวนท์ได้”

“หมายถึงแฟนคลับน่ะหรอ”

“ครับ แล้วก็คนอื่น ๆ ด้วย”

คนตัวโตหยุดเดินแล้วหันออกไปมองท้องฟ้าที่สีเข้มขึ้น “พี่ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจได้ การที่พี่ไม่แถลงข่าวหรือทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็เพราะการลาออกจากวงการมันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจของพวกเขามากกว่าการเงียบแล้วปล่อยให้เวลาลืมพี่ไป ถ้าพี่ประกาศก็จะมีคนรอและการรออย่างไม่มีจุดหมายมันทรมาน อาจจะมีคนมารอเจอพี่ที่ทำงานซึ่งพวกเขาเคยทำมาแล้ว และก็คงถูกมองไม่ดีไปตามระเบียบ พี่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย”

“....” จับมือของคนตัวโตที่ใช้สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า สีหน้ากังวลเมื่อพูดถึงกลุ่มคนที่ตามให้กำลังใจเขามาตลอดระยะเวลาที่ทำงานในวงการ มันคงเป็นความผูกพันที่ดีสำหรับเขา

“พี่ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะมองกลุ่มแฟนคลับแบบไหน สิ่งที่พี่เห็นคือความเสียสละ สละเวลา สละเงิน สละความรัก ให้กับใครก็รู้ มันเป็นความสัมพันธ์อีกรูปแบบที่พึ่งพากันในเชิงการเยียวยา อาจจะเรียกมันว่าความรักที่ช่วยฮีลลิ่งต่างฝ่ายก็ได้ ซึ่งมันดีมากนะ”

“พี่ดิมแคร์พวกเขามากเลยนะครับ”

“อื้ม จริง ๆ ถ้ามีโอกาสพี่อาจจะเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อ ทำกิจกรรมด้วยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลากันจริง ๆ”

ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย พี่ดิมดึงผมเข้าไปกอดแนบอก ยืนมองพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าอีกด้านของผืนน้ำทะเล ไม่นานท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยความืดมิดอย่างรวดเร็ว คนตัวโตกอดผมเนิ่นนานโดยที่เราไม่พูดอะไรกัน มีบ้างที่เขาจุมพิตผ่านเส้นผมหลายครั้ง และมันทำให้ผมรู้สึกดี คล้ายกับเรากำลังชาร์จพลังกันและกันผ่านกอดนี้ บรรยากาศโดยรอบเพิ่มความสบายใจ ตัดทุกอย่างแล้วเหลือแค่เรา

“ศิชอบไปเที่ยวที่แบบไหนหรอ”

“ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่ดิม”

“งั้นโรงพยาบาลดีป่ะ” ผมเห็นเขาชะงักเล็กน้อย และหูแดงก่อนจะเล่นมุกนี้กลบเกลื่อน เจ้าแด๊ดดี้นี่น้า

เรากำลังเดินกลับที่พัก ซึ่งดิมบอกว่าจะพาไปกินข้าวและเดินเล่นแถวตลาดโต้รุ่งที่หัวหิน จริง ๆ ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้งแต่ก็นานมาแล้วตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นยังไม่มีตลาดเลย เวลาได้ไปเที่ยวก็จะไปกับที่บ้านช่วงปิดเทอมแบบนาน ๆ ที เพราะป๊ากับม๊าไม่ได้ว่างขนาดนั้น

“พี่ถามจริงจังนะ พี่จะได้แพลนชีวิตแล้วพาศิไปไง แต่คงไปบ่อย ๆ ไม่ได้นะ ศิจะโอเคหรือเปล่า”

“ศิไม่รู้ว่าตัวเองชอบเที่ยวที่แบบไหน เพราะไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ แบบว่าไม่ชอบที่คนเยอะ ที่จริงเราไม่ต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ ก็ได้นะ นาน ๆ ทีมาแบบนี้ก็โอเคแล้ว”

“พี่โชคดีจริง ๆ นะที่มีแฟนน่ารักแบบนี้”

“เอาคืนที่ศิหยอดไว้เมื่อกี๊หรอ” เอาแขนคล้องเอวคนตัวโตอย่างอารมณ์ดี “จริง ๆ นะศิโอเค ถ้าจะโอเคที่สุดคือพี่ดิมได้นอน ได้กินเต็มอิ่ม จะได้ไม่เป็นแด๊ดดี้แก่ ๆ ไง” เขาเอามือมาบีบจมูกทำโทษที่ผมว่าเขาแก่

“เดี๋ยวคืนนี้รู้เลยว่าแก่แล้วแซ่บแค่ไหน”

“วกเข้าเรื่องทะลึ่งอีกแล้วนะ”

แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์สั้น ๆ แต่ผมมีความสุขมาก ๆ และสัมผัสได้ว่าคนตัวโตที่กำลังแกะปูตัวใหญ่ตรงข้ามก็มีความสุขมากเช่นกัน ยังดีที่งานของพี่ดิมถ้าเป็นวันหยุดทุกคนก็จะเคารพสิทธิโดยการไม่โทรมารบกวน ยกเว้นกรณีที่ต้องรับมือกับเคสหนักและหมอที่เข้าเวรไม่เพียงพอ ถ้าเกิดขึ้นอาจจะต้องได้บึ่งกลับกรุงเทพฯ กันตอนนี้เลย



แสงไฟที่ส่องสว่างจากตลาดโต้รุ่งที่ตั้งเรียงรายติดกัน ทำให้ยามค่ำคืนของที่นี่รวมถึงตัวผมคึกคักแม้จะกินจนพุงบวมมากก็ตาม พี่ดิมเดินจับมือผมตลอดเวลาเหมือนกลัวว่าจะหลงทาง ผู้ชายอายุ 21 ที่ไม่ได้ตัวเล็ก กับผู้ชายวัย 28 ตัวโตเดินรอบตลาดโดยที่ไม่ปล่อยมือเลยไม่รู้คนจะมองด้วยสายตาแบบไหน แต่ผมไม่แคร์ เรียนรู้แล้วว่าคนที่ควรแคร์ที่สุดคือคนที่กุมมือจนร้อนนี่ต่างหาก

“พี่อยากดูร้านนั้น” เขาจูงมือเดินเข้าร้านสารพัดต่างหูและจิว เครื่องประดับที่แทบไม่เคยเห็นเขาใส่ ทั้งที่เห็นว่ามีรูเล็ก ๆ ที่ติ่งหูทั้งสองข้างบ่งบอกว่าเคยเจาะหูมาก่อน

มือใหญ่หยิบต่างหูสีเงินแวววับล้อกับแสงไฟ เป็นแบบวงกลมธรรมดาตามสมัยนิยม เขาวางแล้วหยิบอีกแบบที่มีแป้นล็อกด้านหลังมีเพรชเม็ดเล็ก ๆ สีขาว อันนี้ดูสวยทีเดียว แต่แล้วเขาก็วางมันลง ไม่แม้แต่จะถามราคาพ่อค้าด้วยซ้ำ ก่อนที่จะ
ยิ้มให้เจ้าของร้านและเดินออกมา

“ไม่ซื้อหรอครับ”

“ไม่ดีกว่า ซื้อไปก็คงใส่ไม่ได้...มันไม่เหมาะกับงานน่ะ” เขายิ้มโดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่สักเท่าไหร่

“แล้วเข้าไปดูทำไมล่ะครับ”

“แค่ดูให้หายอยากได้เฉย ๆ ได้จับได้สัมผัสก็โอเคแล้วแหละ อีกอย่างพี่ไม่ได้ใส่นานแล้วคงตันแล้วอะ” เขาจับติ่งหูแล้วลูบมันเบา ๆ ก่อนจะเดินไปดูร้านอื่นแบบที่ปล่อยให้สิ่งที่ชอบอยู่ด้านหลัง โดยไม่สนใจมันอีก

เกิดความคิดกับตัวเองว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งยอมละสิ่งที่เป็นความสุขเล็กน้อยของเขา เพื่อความเหมาะสมของงาน เพื่อความน่าเชื่อถือของตัวเอง เพื่อภาระหน้าที่ที่มักถูกผู้อื่นคาดหวังเสมอ อย่างนั้นหรือ? แล้วผู้คนที่คาดหวังจะมารู้หรือไม่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ ของคนที่ทำงานวันหนึ่งมากกว่าสิบสองชั่วโมง ผมน่ะไม่เข้าใจหรอก เพราะต้องมาเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง มันไม่แฟร์เลยว่าไหม

“พี่ดิมศิอยากกินไอติมไข่แข็งตรงนั้นที่เราเดินผ่านมา แต่ว่า” ผมยู่ปากอ้อน ๆ เขาหน่อย “ศิปวดขาอะ ใส่รองเท้าแตะเดินนาน ๆ เป็นงี้ตลอดเลย”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ ศินั่งรอพี่ที่เก้าอี้ว่างตรงนั้นก่อน” ที่นี่มีโซนจัดให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรับประทานอาหารได้

“ครับ” 

คล้อยหลังผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผมรีบเดินไปที่ร้านขายต่างหูเมื่อสักครู่ที่เราเดินออก รีบจัดการในสิ่งที่ตัวเองวางแผนไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่ถึงสิบนาที เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเป็นกังวลและผมก็จะโดนดุเอาง่าย ๆ ที่หายไปแบบนี้

“ร้อนหรอ ทำไมหนูเหงื่อออกเยอะจัง” สงสัยที่วิ่งไปวิ่งกลับเมื่อกี๊แน่ ๆ

“อ่า นิดหน่อยครับ ขอไอติมหน่อย” พี่ดิมตักไอติมเพื่อจะป้อน แต่ผมส่ายหัว ไม่อยากให้เป็นที่สนใจของคนอื่นเท่าไหร่ ไม่ได้อายนะ แต่เขินมากกว่า คนไม่เขินอย่างเขาก็ดึงดันจะทำ ก็ต้องตามใจเขาอีกแล้ว อ้าปากรับไอติมรสหวานมันเข้ากันดีของวัตถุดิบ ก่อนไอติมจะหมดถ้วยก็แอบมองเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าใช้สายตาโฟกัสอะไรสักอย่างตรงหน้าเขา ซึ่งก็คือข้างหลังผม

“พี่ดิมมองอะไรหรอ”

“ดูนั่นสิ เด็ก ๆ กลุ่มนั้นที่นั่งพับใบเตยขายน่ะ”

“ตัวเล็ก ๆ กันอยู่เลยนะครับ ไม่น่าต้องมาทำงานเลย พี่ดิมอยากไปอุดหนุนน้องมั้ย” ผู้ชายตรงหน้าพยักลงช้า ๆ ก่อนจะกินไอติมคำสุดท้ายเองและทิ้งถ้วยพลาสติกลงถังขยะ และจูงมือผมมุ่งไปกลุ่มเด็กตัวเล็กสามคนนั่งกับเก้าอี้ตัวเล็กพับใบเตยอยู่

“ขายยังไงครับ” คนตัวโตนั่งยอง ๆ ถาม

“อันละ 20 บาทครับ สามอัน 50 บาท”

“งั้นน้าซื้อ 3 อัน” เด็กชายที่ตัวโตที่สุดจัดช่อใบเตยที่พับเป็นดอกกุหลาบใส่ถุงให้ “กินข้าวกันหรือยังทั้งสามคนเลย”

เด็กชายตัวโตหันไปมองหน้าเด็กตัวเล็กอีกสองคน คาดว่าคนนี้น่าจะเป็นพี่คนโตส่วนอีกสองคนเป็นน้องชาย สุดท้ายพี่ชายก็ส่ายหัวเบา ๆ

“เลิกงานกี่โมง”

“เอ่อ สี่ทุ่มครับ”

“งั้นน้าจะนั่งรอตรงนั้น เลิกงานแล้วไปกินข้าวกันนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปกินกับยายที่บ้าน ยายก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน” คำตอบเด็กตรงหน้าทำผมสะท้อนในหัวใจ มันมีแต่คำถามพรั่งพรูในหัวมากมาย แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำ ความเหลื่อมล้ำในสังคมของเราไม่มีวันที่จะจางหายไป

“บ้านอยู่ไกลหรือเปล่า ให้ยายออกมากินด้วยกันสิ” เด็กคนน้องยิ้มร่าก่อนจะวิ่งจากจุดที่นั่งขายของไปยังสถานที่หนึ่งในมุมมืดของตลาด มีไฟสลัว ๆ ทำให้มองเห็นหญิงชรากำลังนั่งพับเตยอยู่เช่นกัน

ผมมองหน้าพี่ดิมแล้วยิ้มบาง ๆ ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ แต่พอมองใบหน้าเด็กชายสองพี่น้องที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีร่องรอยของความดีใจแบบปิดไม่มิดผมก็เข้าใจ



เรากลับที่พักกันดึกกว่าที่วางแผนไว้ เพราะคนใจดี 2018 เลี้ยงข้าวครอบครัวน้องพับเตยมื้อใหญ่หนึ่งมื้อ แถมให้ซื้อใส่ถุงเป็นอาหารสำหรับพรุ่งนี้เช้าอีกด้วย พอได้พูดคุยกับคุณยายแล้ว ก็ค้นพบว่าพวกเขาอาจจะจนที่ทรัพย์สิน แต่ไม่ได้อับจนปัญญา และไม่รีรอขอความช่วยเหลือจากใคร พยายามเรียนรู้และใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่เลี้ยงชีพอย่างน่าชื่นชม คุณยายปฏิเสธเงินแม้ว่าพี่ดิมจะหยิบยื่นให้จำนวนหนึ่ง แต่ขอเปลี่ยนเป็นนมและไข่ไว้ให้หลาน ๆ ได้กินเป็นอาหารแทน

“เด็ก ๆ พวกนั้นน่าสงสารจังเลยนะครับ คุณยายก็ด้วย”

“อื้ม เด็กพวกนี้สะท้อนความล้มเหลวเรื่องการคุมกำเนิดได้ดีเลยนะ พ่อแม่ที่ไม่พร้อมแต่ดันมีลูกในภาวะแบบนี้ คนที่รับกรรมก็คือเด็ก ๆ นี่แหละ พี่เจอเคสแบบนี้บ่อย ๆ ที่โรงพยาบาล ตอนที่ราวน์วอร์ดเด็กก็ได้ช่วยบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่พอมาเรียนต่อก็ไม่ค่อยได้ทำแล้วแหละ”

“ทำไมพี่ดิมถึงช่วยพวกเขาล่ะ”

“ไม่แน่เด็กที่พี่ช่วยวันนี้ โตขึ้นเขาอาจจะได้ช่วยคนอื่นก็ได้”

“เท่สุด ๆ ไปเลยฮะคุณหมอ” ผมยกนิ้วโป้งให้ พลางใช้มืออีกข้างลูบกระเป๋ากางเกงที่บรรจุสิ่งของที่คิดว่าจะเซอร์ไพร์สเขาไปด้วย กลัวว่ามันจะหายแล้วมิชชั่นจะเฟล แต่มันยังอยู่ดี “เอ่อ แล้วพี่ดิมอยากมีลูกมั้ย” เป็นคำถามที่วนเวียนในหัวมานานเหมือนกัน แต่ที่ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบ พอวันนี้ได้เห็นเขาดูมีความสุขเวลาได้พูดคุยกับเด็กก็อดไม่ได้จนต้องถามออกมา

“ศิท้องได้หรือเปล่าล่ะ” ใจวูบเหมือนกันพอได้ยินคำตอบ ผมยู่ปากเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “งั้นพี่ก็ไม่อยากมี การมีลูกหรือไม่มี ไม่ได้แปลว่าเราไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์นี่ใช่มั้ย มีพี่มีศิก็พอแล้ว” ยิ้มกว้างรับคำตอบที่คาดหวังว่าจะได้ยิน และมันทำให้หัวใจที่วูบไหวพองโตยิ่งกว่ามีบอลลูนลอยเคว้งอยู่ข้างในเสียอีก

เรามาถึงก็มานั่งม้านั่งริมระเบียงรับลมเย็น ๆ เพราะไม่อยากอาบน้ำแล้วตัวเหนียวจากลมทะเลอีกรอบ ได้โอกาสปีนขึ้นไปนั่งหน้าขาคนตัวโตเพราะคำตอบที่เข้าทางกับสิ่งที่อยากอ้อนเขาสักเรื่อง ใช้นิ้วเขี่ยตอหนวดที่เริ่มขึ้นมุมปาก

“พี่ดิมจะว่าอะไรมั้ย ถ้าศิจะขอ…”

“ขออะไรครับ” พี่ดิมใช้นิ้วเขี่ยที่จมูกเบา ๆ

โถมตัวกอดคอพี่ดิมแล้วตอบด้วยเสียงงึมงัม “ขอไปอยู่กับพี่ดิมได้มั้ยล่ะ”

“หื้อ พูดจริงพูดเล่น” เขาพยายามดึงตัวผมที่เหมือนลิงเกาะเจ้าของออกจากตัว และพอทำสำเร็จก็ได้เห็นสายตาเชิงล้อเลียนและดีใจปนกัน

“จริงสิ! ก็รอให้ชวนตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นชวนอะ!” เสียงหัวเราะจากผู้ชายตัวโตทำเอาผมเขินจะแย่

“เนี่ย น่ารักอีกแล้ว” พี่ดิมยักคิ้วให้สองที ก่อนผมจะจับหน้าเขาแล้วทำให้มันบู้บี้ ชอบทำแบบนี้เพราะหมันเขี้ยว “ศิไปอาบน้ำก่อนนะ” ปีนลงจากตักหยิบของต่าง ๆ เตรียมตัวอาบน้ำ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดไล่หลังก่อนที่จะเหยียบเข้าห้องน้ำ

“เตรียมตัวมาเลยนะหนู ยังไงคืนนี้ก็โดนแน่”


“โอ้ยพี่ดิม!”

ไม่ต้องบอกก็ทำอยู่แล้วล่ะน่า มาที่แบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ คบกันมานานพอที่จะอ่านออกว่าคนของผมน่ะชอบทำนอกสถานที่แค่ไหน เขาจะคึกคักและดูสดใสทุกครั้งที่เราได้นอนต่างถิ่น รู้เลยว่าในหัววางแผนสำหรับเรื่องอย่างว่าตลอดเวลา  จากคุณหมอคนคูลก็กลายเป็นชายผู้เร้าร้อนและหิวกระหาย



“ทำไมพี่ไม่เคยใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อนี้แล้วหอมเท่าศิใช้เลย” จมูกที่ชอนไชต้นคอลามไปหน้าอก ก่อนจะใช้ลิ้นลิ้มเลียตุ่มไตที่แข็งขืนคล้ายกับเป็นลูกอมรสหวาน แต่มันทำให้ผมหัวเสียเพราะแก่นกายที่แช่อยู่ภายในไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

จึงพยายามผลักร่างสูงแล้วพลิกตัวคล่อมตัวเขาแทน “แกล้งกันชัด ๆ”

“หึ เปล่าซะหน่อย” พูดจบไม่พอยังจะกระทุ้งตัวเบา ๆ ให้ผมสะดุ้งอีกด้วย

“อ๊ะ อื้ออ ดะ เดี๋ยวสิ” เขาไม่พูดพร่ำอะไรต่อ แต่ใช้แรงกระเด้งตัวจากเตียงเข้ามาในตัวผม ซึ่งมันเข้าลึกมาก มันทำให้รู้สึกมากจนต้องล้มตัวลงไปกอดเขาไว้ เสียงเนื้อเรากระทบกันฟังดูหยาบโลน จังหวะก่อนที่ตัวเองจะถึงฝั่ง เอื้อมมือไปหยิบสิ่งของที่เตรียมไว้ในลิ้นชักหัวเตียง คุมสติและพยายามสวมต่างหูที่มีเพชรเม็ดเล็กประดับลงที่ติ่งหูของคนตัวโตที่ยังดูสนุกกับสิ่งที่ทำ

“อ๊ะ อะไรน่ะครับ”

“ฮื้อ ศะ ศิจะถึง ระ แรงหน่อย” สิ้นเสียงคนใต้ร่างก็ดันร่างตัวเองเข้ามาอย่างแรงและเร็ว ไม่กี่ทีผมก็ทำเขาเลอะทั้งที่เพิ่งอาบน้ำได้ไม่นาน กอดคอเขาแน่นทั้งที่เนื้อตัวเรายังเชื่อมกันไม่ห่าง

“ฮะ ศิเห็นพี่ดิมอยากได้ ก็เลยซื้อมาให้”

จุ๊บ

 เขาจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดันตัวผมให้มองหน้ากัน “ขอบคุณนะครับ รู้มั้ยที่พี่ไม่ใส่ต่างหู เพราะพี่เคยลืมแล้วใส่ไปตรวจคนไข้ทั้งวัน ก่อนออกเวรพี่โดนอาจารย์หมอด่ายับ จากนั้นพี่ก็ไม่ใส่อีกเลย”

“ต่อไปนี้ศิจะเตือนพี่ดิมเองนะ จะได้ไม่เป็นคนแก่ขี้ลืมอีก”

“หมดแรงเพราะคนแก่ขนาดนี้ยังจะกล้าท้าทาย” เขาพลิกตัวเองแล้วเริ่มบทรักที่อีกครั้ง ไม่สิมันเพิ่งเริ่มสำหรับเขา รสจูบคุ้นเคยกำลังโหมกระหน่ำไม่แพ้สะโพกของเขาที่ถาโถมเข้ามาภายในกายของผม เขาถอนจูบและจับแขนผมคล้องคอ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยกยิ้มขึ้นก่อนจะใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่เปียกชื้นออกจากหน้าผาก ก่อนจะทาบหน้าผากของเขาลงที่หน้าผากของผม ตอนนี้เลยได้ยินเสียงลมหายใจของเขาชัดเจน ผสานกับเสียงครางกระเส่าของผม

“พะ พี่มีความสุข”

“ศิ อ๊ะ ก็เหมือนกัน”

พี่ดิมกอดผมแน่นก่อนจะขยับร่างกายอย่างรวดเร็วอีกไม่กี่ที เขาปลดปล่อยใส่เครื่องป้องกันทั้งที่อิดออดไม่อยากใช้ แต่ไม่อยากให้แม่บ้านมาทำความสะอาดจากกิจกรรมของเรา มันไม่ได้น่าพิศมัยสำหรับใครเท่าไหร่ อีกอย่างพี่ดิมจะได้ไม่เคยตัว ทั้งที่ตัวเองเป็นหมอแท้ ๆ กับละเลยเรื่องแบบนี้ น่าตีที่สุด

“ขอบคุณที่ใส่ใจพี่เสมอนะหนู”

“ก็พี่ดิมใส่ใจคนอื่นมาเยอะแล้ว ศิจะตามใจพี่ดิมเองนะ โอเคมั้ย”

ผมถูกกอดอีกครั้ง และอีกครั้ง เราผ่านค่ำคืนล่วงเข้าสู่วันใหม่ เป็นอีกหนึ่งวันที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน ตื่นนอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปเดินเล่นกัน จับมือกัน พูดคุยปรึกษากัน และเข้านอนด้วยกัน

ไม่เคยจินตนาการมาก่อนในชีวิตว่าวันหนึ่งจะมีคนที่พอดีและมาเติมเต็มให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าที่เคย

กาลครั้งหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ผ่านไป แต่กาลครั้งของผมคือทุกวันที่กำลังจะก้าวไป พร้อมกับ ‘เขา’ พระอาทิตย์ผู้ให้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของผม ให้พระจันทร์ดวงนี้ส่องสว่างท่ามกลางหมู่ดาว บนนภาที่ไร้แสง และจะทาบเคียง คู่ขนาน ไม่จากกันเช่นนี้ตราบที่ธรรมชาติจะสิ้นสุด




มีต่อ





หัวข้อ: Re: 【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.24 เข้าบ้าน (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 11-10-2018 22:09:16
My Taken

บรรยากาศในโรงพยาบาลยามเย็นยังคงมีคนไข้เทียวทยอยเข้าออก รวมถึงญาติที่เดินขวักไขว่เต็มที่พื้นโรงพยาบาลเช่นทุกวัน แต่ทว่าวันนี้มีชายวัยรุ่นหน้าตาดีมานั่งรอผมที่ริมระเบียงทางเดิน พร้อมกับอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ขอยืมจากห้องสมุดผมมาด้วย เขาปิดเทอมและอาสาจะมารับเพราะวันนี้เรามีนัดดินเนอร์กันที่เยาวราช ใช่ครับ เยาวราช เป็นการทานอาหารเย็นทางข้างง่าย ๆ
ผมกำลังเขียนรายงานเคสต์ของวันนี้เข้าระบบ แอบมองลอดบานเกล็ดบ่อยครั้ง เพื่อดูว่าเขาจะโดนยุงกัดมั้ย ให้เขามานั่งรอในห้องก็บอกว่าไม่อยากเป็นจุดเด่นให้คนอื่นเอาไปพูดต่อ ทว่าพอมืดแล้วระเบียงทางเดินจะเต็มไปด้วยยุงนี่แหละ จึงรีบทำงานตรงหน้าให้เสร็จ

ครืด ครืด

[POOL]

เห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ก็แอบแปลกใจเล็กน้อยเพราะเจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยโทรหาเขามาก่อน ส่วนมาจะส่งข้อความมากกว่า

(ฮัลโหลพี่ดิม!)

“ค่อย ๆ พูดก็ได้พูลล์ มีอะไรหื้ม”

(พรุ่งนี้วันเกิดศิ! พี่ดิมเตรียมเซอร์ไพรส์หรือยัง พูลล์กับเพื่อน ๆ เตรีมแล้วนะ จะชวนพี่ดิมให้เข้าขบวนการด้วยกันน่ะฮะ)

“อ่า พรุ่งนี้วันเกิดศิหรอ”

(พี่ดิม!! ไม่รู้ได้ไง วันเกิดแฟนทั้งที!)

นั่นสินะ ขนาดวันสำคัญของเขาผมยังไม่ใส่ใจพอที่จะจดจำเลย ถ้าน้องรู้ว่าผมจำวันเกิดเขาไม่ได้คงจะน้อยใจมากแน่ ๆ เลย แม้ศิจะดูเป็นเด็กไม่ตื่นเต้นในวันเทศกาลต่าง ๆ แต่นี่วันเกิดตัวเอง คงคาดหวังที่จะได้รับอะไรพิเศษไม่ใช่หรือไง

“แล้วแพลนกันไว้ว่ายังไงบ้าง...อื้ม...ที่นั่นหรอ รู้จักครับ โอเค”

(ยังไงฝากพี่ดิมด้วยนะ ศิต้องดีใจมากแน่ ๆ)

เสียงตื่นเต้นจนจินตนาการถึงสีหน้าอันสดใสของเจ้าเด็กพูลล์ได้ดี แผนการที่พูลล์และเพื่อน ๆ วางแผนขึ้นเพื่อเซอร์ไพรส์คนของผม ทำเอาผมเองละอายใจ ไม่ใช่แค่ตัวเองลืมวันเกิดคนที่นั่งรออยู่ข้างนอก แต่ยังรู้ว่าตัวเองไม่มีเวลากระทั่งตระเตรียมสิ่งเหล่านั้นได้เลย

นิ้วเล็ก ๆ เกาแขนที่กำลังขึ้นสีแดงของตัวเอง แน่นอนว่าโดนยุงกัด เขามันน่าตีบอกว่าให้เข้ามานั่งข้างในก็ไม่ยอม โดนยุงกัดในโรงพยาบาลอันตรายน้อยที่ไหน

“เด็กดื้อนี่มันน่าตีจริงๆ”

“อ้าว พี่ดิมงานเสร็จแล้วหรอ” ละสายตาจากหนังสือขึ้นมาตอบผม แต่นิ้วก็ยังขยับเกาที่เดิม

“พี่บอกให้เข้าไปนั่งข้างในถ้ายุงกัด”

“ก็นิยายมันกำลังสนุกนี่นา โดนกัดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

“ยังจะเถียง” นั่งลงข้างเขาเพื่อทายาหม่องที่ยัดใส่กระเป๋าเสื้อก่อนออกจากห้องทำงาน “โห มันไม่ใช่แค่ที่แขนนี่นา ข้อเท้าโดนกัดเต็มไปหมดเลย ถ้าหนูเป็นไข้เลือดออกพี่จะทำโทษซ้ำเลยนะ”

“ง่ะ ก็ถึงว่าเริ่มคัน ๆ แหะ ๆ” เด็กตัวดียังรื่นเริงไม่ได้รู้สึกเกงกลัวกับคำขู่ของผมสักนิด “ศิครับ ปกติแล้ววันพิเศษ ศิทำอะไรบ้าง” ลองแย๊ปถามเผื่อจะได้ไอเดียทำอะไรให้เขา เอาจริง ๆ เลยนะ เป็นคนง่อยเรื่องการทำอะไรแบบนี้มาก เข้าขั้นวิกฤติเลยแหละ

“วันพิเศษหรอ แบบยังไงอะ วันหยุดงี้ป่ะ ศิก็นอนตื่นมาเล่นเกมแล้วก็กินแล้วก็นอนอะ ฮ่า ๆ ๆ เนี่ยโครตพิเศษเลย”

“นั่นมันศิเมื่อก่อนเถอะ เดี๋ยวนี้พี่ไม่เห็นวันหยุดศิจะนั่ง ๆ นอน ๆ เลย ห้องพี่สะอาดยิ่งกว่าแม่บ้านมาทำให้ซะอีก ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องทำ ๆ”

“ก็ศิว่างนี่ ปิดเทอมทั้งที รอตั้งอาทิตย์กว่าจะถึงวันฝึกงาน พอศิจะกลับบ้านไปอยู่เล่นหมาบ้าง ลุงบางคนแถวนี้ก็ไม่ให้ไปนี่” ปิดฝายาหม่องแล้วจับมือเด็กที่มีรอยยุงกัดเต็มตัวให้เดินตามไปที่ลานจอดรถ

ผมยกยิ้มกับคำพูดคำจาของคนตรงหน้าที่ชักจะแก่กล้าขึ้นทุกวัน อีกหน่อยต้องเป็นคนต่อล้อต่อเถียงเก่งคนหนึ่งแน่ ๆ “งั้นวันนี้หลังจากกินข้าวเย็นแล้วพี่ไปส่งที่บ้านนะ หม่าม๊าศิไลน์มาบอกว่าช่วยกล่อมให้ศิกลับบ้านที ป๊าไม่มีคนดวลปิงปองด้วย”

“คิดถึงลูกก็น่าจะบอกกันตรง ๆ สิป๊าม๊าเนี่ย”

จู่ ๆ แผนการบางอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว คงต้องหาจังหวะโทรไปเตี๊ยมกับบ้านน้องก่อนจะไปส่งลูกเขาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

บางคนเขาน่าจะลืมวันเกิดตัวเองด้วยซ้ำ



“พูลล์มันทำแบบนี้แน่หรอ ทำไมมันถึงดูไม่สุก”

“นั่นน่ะสิพี่ดิม เฌอมาดูให้หน่อยสิ”

ครัวในคอนโดของผมดูเล็กไปขนัดตาเมื่อมีผู้ชายถึงสี่คนและผู้หญิงอีกหนึ่ง กำลังขมักเขม้นเตรียมวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับเด็กที่นอนเล่นกับน้องหมาอยู่ที่บ้าน โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเย็นนี้จะมีเซอร์ไพร์สเป็นปาร์ตี้วันเกิดเล็ก ๆ สำหรับเขา

ตอนแรกพูลล์และเฌอโต้โผจัดงานวันเกิด เลือกร้านอาหารของญาติพูลล์เป็นโลเคชั่นจัดงาน แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว อยากจะให้เขาใช้เวลาพิเศษแบบนี้ได้อยู่กับเพื่อน ๆ แบบเป็นกันเอง อีกอย่างผมก็อยากรู้จักเพื่อนเขาให้มากขึ้น ทั้งเฌอ ทั้งเมฆ ส่วนน้องนักแสดงคนอื่น ๆ ก็จะทยอยตามมาทีหลัง ตอนนี้คอนโดผมเลยถูกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ามุมเพื่อเพิ่มพื้นที่ เมื่อคืนผมเลยได้นอนไปแค่ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ วันนี้ก็แลกเวรกับเพื่อนอีกคนเพื่อการณ์นี้

ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มชิมเค้กที่ผมพยายามทำจากสูตรในอินเทอร์เน็ต แต่เหมือนมันจะผิดขั้นตอนอะไรสักอย่าง ทำให้เนื้อเค้กร่วนไม่จับตัวเป็นก้อน “พี่หมอหนูว่า....เราซื้อเอาดีมั้ยอ่า แป้งมันไม่สุกอะค่ะ” เธอทำหน้าตาเหยเกหลังจากบริโภคเนื้อแป้งดิบ ๆ เข้าไป

“เฮ้อ แค่นี้มึงก็ยังทำไม่ได้” ผมสบถกับตัวเอง เพราะนี่เป็นเค้กก้อนที่ 3 แล้ว

“เอาน่าพี่หมอ ถ้าศิมันรู้ว่าพี่ตั้งใจทำขนาดนี้มันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ เอางี้มั้ยเปลี่ยนมาเป็นบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ทำง่ายค่ะไม่ยาก อร่อยด้วย” สาวสวยสุดเฉี่ยวในสายตาผม ภายนอกที่ดูมั่นใจ แต่ภายในอ่อนโยนมาก ศิมาเล่าให้ฟังถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนคนนี้ยุ ศิก็คงตัดใจจากผมไปนานแล้ว

“ลองดูก็ได้ครับ พี่ต้องทำยังไงบ้าง”

เฌอสอนผมทำขนมเค้กที่ว่าอย่างคล่องแคล่ว เธอดูช่ำช่องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ขัดกับลุควันนี้เสียจริง

เรามีธีมคือสีน้ำเงินและสีเหลือง เพราะเป็นสีที่เจ้าของวันเกิดชอบ อาหารที่เราเตรียมก็เป็นอะไรง่าย ๆ อย่างสุกี้ และสั่งอาหารจากห้องอาหารข้างล่างมาด้วย มีแต่คนทำกับข้าวเก่งกันทั้งนั้นที่อยู่ตรงนี้

ผม เมฆ ศิ คุณภีม และเฌอ จัดการทุกอย่างเสร็จราวห้าโมงกว่า ทั้งที่ไม่ได้นอนแต่กลับไม่มีความง่วงเลย นี่จะเป็นแผนเซอร์ไพร์สครั้งแรกในชีวิตและหวังว่าจะไม่ปล่อยโป๊ะตอนที่โทรไปบอกน้องว่าให้เขานั่งแท็กซี่มาเองเพราะติดเคสต์กะทันหัน ทั้งที่บอกว่ายังไงก็จะไปรับแท้ ๆ และการโกหกคำโตเกือบไม่รอดเพราะน้ำเสียงอ้อมแอ้มเกือบจะงอแงของเขาเพราะผมผิดคำพูด ได้แต่เพียรขอโทษและทำเสียงออดอ้อนจนคนที่ได้ยินอย่างเพื่อนเขากลั้นขำกันลำบาก สุดท้ายหกโมงกว่าเด็กเมืองนนท์ก็มาถึงแล้ว

“ทำไมเย็นจัง พี่ดิมลืมปิดแอร์หรอ แต่มันเป็นระบบออโต้นี่” เสียงพูดราวกระซิบ ก่อนที่จะได้เห็นสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงตกคีย์ของผม

“happy birthday to you
happy birthday to you
happy birthday to my love
happy birthday to you”


เดินอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ถือบลูเบอรี่ชีสเค้กพร้อมปักเทียนสุดน่ารักที่เฌอซื้อมา เข้าไปหาคนที่กำลังอึ้งอิมกี่กับการเซอร์ไพร์สจากผม

“วันนี้วันเกิดศินี่!! พี่ดิม! จำได้ด้วยหรอ!!” เขาตื่นเต้นยิ้มและดีใจจนทำตัวไม่ถูก ลืมตัววางกระเป๋าสะพายลายหมีสามตัวที่พื้นอย่างไม่ใยดี

“อธิษฐานเร็ว” เด็กตรงหน้าหลับตาอธิษฐานไม่นานก็ลืมตาขึ้นก่อนจะยิ้มให้ผม ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับพร้อมไฟในห้องก็เปิดขึ้นอย่างรู้งาน ไม่รีรอวางเค้กที่ไม่ควรใช้เป็นเค้กวันเกิดไว้ที่เคาเตอร์บาร์ เจ้าของวันเกิดโถมตัวกอดผมอย่างไม่ได้ตั้งหลัก

“ฮื้อ ศิดีใจมาก ๆ เลยนะ!” กอดตอบคนตัวเล็กที่ทำเอาผมโงนเงนจากการโถมตัวเข้ามาแบบไม่ตั้งหลัก
 

“กอดแน่นจังหนู” ศิกอดแน่นจนผมหายใจเกือบไม่ออก พอแกะมือที่กอดผมแน่นออกก็ต้องรีบสารภาพขณะที่น้องยังดีใจอยู่  “ก่อนที่จะให้ของสิ่งนี้ พี่มีเรื่องจะสภาพ...จริง ๆ พี่จำวันเกิดศิไม่ได้แต่มีคนบอกพี่ล่วงหน้า พี่เลยสั่งทำอะไรไม่ทัน แต่หวังว่าศิจะชอบนะ” เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่ยู่หน้าแบบโคตรจะทำลายล้างหัวใจให้หนึ่งดอก

ผมเปิดกล่องกัมมะยี่สีน้ำเงินออก ภายในบรรจุแหวนสีเงินสองวง เลือกหยิบวงเล็กสุดออกมาแล้วจับมือเล็กข้างขวาที่เย็นเฉียบก่อนจะค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนลงที่นิ้วนางอย่างช้า ๆ คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงยิ้มบาง ๆ นัยย์ตาคลอไปด้วยน้ำใส และเขาทำเช่นนั้นให้ผมด้วยแหวนวงใหญ่กว่าอีกวงในกล่อง

“บนแหวนมีรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์คนละเสี้ยว มันเหลือแค่สองวงในร้าน พี่ไม่อยากบอกว่ามันบังเอิญเดี๋ยวไม่โรแมนติก พี่จะคิดว่ามันรอเราไปครอบครองแล้วกัน แบบนี้ดีกว่าเนอะ” คนตรงหน้าพนักหน้ารับ เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาก่อนที่จะควักของขวัญอีกชิ้นที่แสนพิเศษและไม่คิดว่าจะมีโอกาสมอบให้ใครอีก “คุณแม่พี่ให้ศิเป็นของขวัญวันเกิดครับ”

ล้วงของขวัญอีกชิ้นออกจากกระเป๋าเสื้อ สร้อยทองคำขาวสั่งทำพิเศษก่อนที่คุณยายจะเสียชีวิต เพื่อมอบให้หลานสะใภ้ทั้งสามคน โดยมีจี้ทรงกลมเป็นงานแกะสลักลวดลายจีนโบราณอย่างงดงาม ผมสวมให้คนตรงหน้า เขามีสีหน้าตื้นตันและดูเหมือนจะดีใจจนจะร้องไห้อีกแล้ว

“ไว้ไปถามแม่พี่เองนะว่ามันหมายความว่ายังไง”

ศิยกมือไหว้แนบอก ก่อนที่จะเข้ามากอดผมแน่น เสียงอู้อี้ในลำคอผมฟังไม่ออกว่าเด็กคนนี้พูดอะไร “พูดอะไร หื้อ ไหนบอกพี่ชัดๆ ซิ” ดึงผู้ชายที่ตัวไม่เล็กแต่คิดว่าตัวเองตัวเล็กกว่าผมเสมอออกจากอ้อมกอด ก็เลยเห็นสีหน้าที่แดงเพราะทั้งร้องไห้และเขินปนเปกันไปหมด

“ขอบคุณนะครับ ศิไม่คิดเลยว่าจะมีงานวันเกิดแบบนี้” ยังคงก้มหน้างุดกับอกแล้วพูดงึมงำ ๆ

“แฮปปี้ เบิร์ธเดย์!!!”

กลุ่มเพื่อนรักของเขาและคนที่มาสมทบ คือ อาโป และแฟนของเขา นอกจากนี้ยังมีไม้เบื่อไม้เมาของผมอย่างภัทร ปาล์ม น้องปลา และเด็กเงิน ซึ่งในนี้มีเพียงน้องปลาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ปีหน้าน้องก็เข้ามหาลัยแล้วเจ้าปาล์มบอกว่าอยากสอนให้น้องเข้าสังคม สุดท้ายทั้งแอลกอฮอล์และอาหารเย็นที่เตรียมไว้ก็ถูกยกออกมาวางเรียงรายเต็มโต๊ะอาหารสำหรับสิบกว่าคน

เจ้าของวันเกิดเซอร์ไพร์สหนักไปใหญ่เมื่อเดินเข้ามาถึงโซนห้องรับแขก เพราะทุกอย่างถูกจัดแต่งไว้อย่างดี พอดีกับที่เขาใส่เสื้อสีเหลืองมาด้วย เข้าธีมแบบไม่ตั้งใจ แต่ผมคิดว่าถ้าน้องใส่สีอื่นเขาคงวิ่งเข้าไปเปลี่ยน

ทุกคนอิ่มหนำกับสุกี้และอาหารสารพัดที่วางบนโต๊ะ “เรามาร้องเพลงให้ศิอีกทีดีป่ะ”

“แต่เทียนถูกเป่าไปแล้วนะ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยขึ้น

“กูมีมาอีกชุดจ้า แถมมีเค้กอีกก้อนด้วย กูไม่ให้มึงเป่าทับไลน์เค้กที่พี่หมอทำหรอก” ศิดูตกใจเล็กน้อย เพราะผมยังไม่ได้บอกว่าบลูเบอรี่ชีสเค้กที่เขาหม่ำคนเดียวไปตั้งครึ่งน่ะเป็นฝีมือของผมเอง

“พี่ดิมทำเองหรอ อร่อยมากเลยอะ ขอบคุณน้าาา” จู่ ๆ ผมก็โดนหอมแก้มฟอดใหญ่ ไม่คาดคิดว่าศิจะกล้าแสดงความรักต่อหน้าเพื่อน ๆ คิดว่าตอนนี้หูตัวเองคงแดงก่ำแน่ ๆ “งั้นศิขอกินคนเดียวเลยนะ ไม่แบ่งใคร” สงสัยเจ้าเด็กคนนี้เมาน้ำพั๊นซ์ที่ปาล์มทำแหง่ ๆ

“แหมมมม่” เสียงดังจากรอบวง แน่สิถ้าเห็นเพื่อนมาแสดงความรักต่อหน้าแบบนี้ก็แอบหมันไส้เหมือนกันนะ

น้องปลาขอกลับก่อนเพราะคุณพ่อมารอรับด้านล่าง ผมลงไปส่งน้องเพราะเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียว เธอไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เหมือนอย่างที่พวกทะโมนจะแกล้ง พอกลับขึ้นมาบนห้องอีกทีแฟนผมก็ถูกเจ้าเงิน ปาล์ม และภัทรแกล้งมอมจนถูกให้ไปเต้นมะละกอกล้วยส้ม เสียงหัวเราะดังอย่างสนุกสนานรอบวง หยิบแก้วของตัวเองไปนั่งข้างผู้ชายที่เคยมานั่งปรับทุกข์ที่นี่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน

“ไงเรา”

“ไงอะไรพี่หมอ” เมฆอมยิ้มและรู้ดีว่าผมถามถึงเรื่องอะไร

“ดีขึ้นมั้ย” คนถูกถามพยักหน้า การยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ผมแน่ใจกับคำตอบ เพราะสายตาที่ทอดมองไปยังอาโปและเพทายมันแทบไม่หลงเหลือความเจ็บปวด “ดีแล้ว หาความสุขให้ตัวเองบ้าง ศิบอกว่าเมฆเข้าไปทำงานในบริษัทของที่บ้านหรอ”

“ครับ ฝึกงานไปในตัว อีกอย่างถ้าได้ทำอะไรยุ่ง ๆ ก็จะได้ไม่คิดเท่าไหร่” พูดถึงเรื่องฝึกงานสรุปศิฝึกงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดผม ในตำแหน่งนักจิตวิทยาตามที่เขาเรียนมา น้องยื่นสมัครไปโดยไม่บอกผมด้วยซ้ำมารู้อีกทีก็คือวันที่เขาสอบเสร็จนั่นแหละ ก็คงอยากจะพยายามด้วยตัวเอง เพราะถ้าบอกป๊าหรือบอกผมก็คงเสนอให้ไปฝึกที่บริษัทแน่นอน

“ไม่ใช่เพราะจะได้มีข้ออ้างไปบาร์ใกล้ออฟฟิศหรือไง” เมฆยิ้มกว้างกว่าเดิม ศิเด็กขี้เมาธ์เล่าให้ผมฟังแทบจะทุกเรื่องไม่เว้นแม้เรื่องเมฆไปนั่งฟังเพลงที่บาร์นั่นบ่อย ๆ

“พี่ดิมมมมม ทำไมโคมไฟมันหนุนอ่าาา” เด็กที่เดินแทบไม่ตรงล้มตัวแหมะที่โซฟาว่างข้างผม และตอนนี้ร่างกายเหมือนไม่กระดูกปวกเปียกไปหมด

ภัทรหัวเราะดังเพราะผมเห็นเขาเป็นคนมัดจุกสามจุกให้แฟนผม ตอนแรกก็หึงบอกตัวเองในใจให้ใจเย็น ๆ คงไม่มีอะไร “พี่หมอพาเด็กไปนอนเหอะ อ่อนว่ะ” ผู้ชายหน้าหล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติทั้งที่ดวลแอลกอฮอล์กับเจ้าปาล์มไปเยอะ

“งั้นพี่พาศิไปนอนก่อน ทุกคนตามสบายนะ ไม่ไหวก็นอนในห้องนี้ได้เลย มีที่นอนแล้วก็ผ้าห่มในตู้” ผมชี้ไปที่ห้องนอนแขก ก่อนจะอุ้มผู้ชายที่พูดอ้อแอ้ไม่ต่างจากเด็กขึ้นไปห้องนอน

ผู้ชายวัย 22 ปีบริบูรณ์ในวันนี้นอนเกลือกลิ้งบนเตียง ตอนแรกคิดว่าเขาจะเมามายจนไร้สติ แต่เปล่าเลยเขาเพียงตาลายมากไปหน่อยก็เท่านั้น

“พี่ดิมมม มานอนด้วยกันซี่~” ผมเท้าสะเอวมองเด็กที่อ้อนเก่งตอนเมาอย่างน่าฟัดที่สุด

ทิ้งตัวบนเตียงแต่ไม่ได้กะจะนินตามคำเชื้อเชิญ เพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำ “สรุปเมาหรือไม่เมา หื้ม” ได้ทีก็ย้ายตัวเองมานอนตักเฉย บอกแล้วว่าอ้อนเก่งกว่าปกติ

“ไม่รู้~ รู้แค่วันนี้พี่ดิมน่ารักจังเลย ใจดีมากกกก”

“ชอบมั้ยครับ” ลูบหัวคนที่พยายามมุดเอาหน้ามาถูกกับแผ่นท้องของผม

“อื้อ ชอบมาก ศิไม่เคยถูกเซอร์ไพร์สวันเกิดเลย ป๊ากับม๊าชอบจัดงานให้แต่มันก็ไม่เซอร์ไพร์สอะ แบบนี้ก็น่าตื่นเต้นดี”

“ถ้าพี่จำได้ งานก็คงดีกว่านี้ โกรธพี่มั้ยที่พี่ลืมวันเกิด” หัวเล็ก ๆ ส่ายไปมากับหน้าท้อง

“พี่ดิมไม่ต้องจำอะไรแบบนี้ก็ได้นะ ถึงศิจะชอบ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรอะ ไม่มีพวกนั้นได้แต่ไม่มีพี่ดิมไม่ได้นะ โอเคมะ”

“ตัวน่ารักเอ้ยย” หมันเขี้ยวเขาเลยเอาหน้ามุดท้องเขากลับบ้าง คนถูกมุดหัวเราะเสียงดัง เราพากันเกลือกกลิ้งผลัดกันแกล้งจั๊กจี๋เหมือนเด็ก ๆ แต่เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจดบันทึกกับการหัวเราะสุดเสียงของผมตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่มา ศิปลดล็อกและปลดแอกผมจากหลาย ๆ อย่าง

อาชีพแพทย์หลายคนบอกเป็นอาชีพที่เสียสละ โดยเฉพาะสละเวลา หลายคนอาจจะบอกว่าอาชีพอื่นก็ต้องสละเวลาเช่นกัน ใช่ครับ ไม่ผิดเลย แต่เวลาของบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐอย่างผม ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านด้วยซ้ำ แม้จะมีตารางเวรที่แน่นอน แต่บางวันที่คนไข้มาจำนวนมาก เมื่อหมดเวลาใช่ว่าจะกลับบ้านแล้วให้คนไข้ที่มารอความช่วยเหลือมาใหม่วันพรุ่งนี้ นี่แหละครับสละเวลาเพื่อให้ลดระยะเวลาลดรอคอย

น้องเข้ามาเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายให้ผมอยากทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ในรูปแบบของคนไข้ แต่คือคนรัก คุณค่าของการทำเพื่อคนอื่นมันสร้างความภูมิใจให้เราได้ประมาณหนึ่ง แต่คุณค่าของการทำเพื่อคนรักมันทำให้หัวใจพองโตเพียงแต่เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขา

เราตะกองกอดกันทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำทั้งสองคน หลังจากที่เด็กตาลายเริ่มมึนหัวมากกว่าเดิม กลิ่นกายของเขายังคงเป็นกลิ่นที่ผมเสพติดมันยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพง อาจจะเพราะฟีโรโมนแห่งความรักที่แผ่ออกมาแบบไม่รู้ตัว

“วันนี้ศิมีความสุขมากเลยนะ ได้กลับไปหาป๊ากับม๊า ได้อยู่กับพี่ดิม ได้อยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ มีความสุขมาก ๆ กอไก่แสนล้านตัวเลย”

“มากขนาดนั้นเลย?”

“อื้อ ก็ใครจะคิดจะฝันว่าจะได้เจอกับพี่ดิมอีกหลังจากเจอในห้องน้ำวันนั้น” เกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงออกจากหน้าผากมน ดวงตากลมหวานฉ่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “แถมได้ทำงานด้วยกันอีกต่างหาก มันเหนือจินตนาการมากเลยนะครับวันนี้ได้นอนกอดพี่ดิมแบบนี้ ได้สัมผัสพี่ดิมแบบนี้ และถูกพี่ดิมรักตอบด้วยนะ” คำพูดยาวที่ชัดเจนของเขาทำเอาคนฟังอย่างผมตัวลอยจะติดเพดาน เขามองผมเป็นเทวดาขนาดนี้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนธรรมดาแท้ ๆ

“ใช่ศิคนเดียวที่ไหนที่มองว่ามันเหนือจินตนาการ พี่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรักใครได้ขนาดนี้ พอได้รู้จักกับศิจริง ๆ แล้วการที่ทุกคนมองว่าพี่เลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ เทียบไม่ได้กับจิตใจของศิด้วยซ้ำ”

“ช่วง!..คนอวดแฟน!” เขาทำเป็นขำกลบเกลื่อนความเขิน ซึ่งจริง ๆ ผมก็คิดว่ามันดีเหมือนกัน การพูดอะไรแบบนี้ใครไม่เขินบ้าง การบอกรักมันธรรมดาไปเลยเทียบกับการบอกความดีของกันและกันเนี่ย

“พี่ดิมเชื่อมั้ยว่าศิแอบคิดว่าชีวิตของเราเหมือนในนิยายเลยอะ แบบพระอาทิตย์กับพระจันทร์อะไรแบบนี้ นิย๊ายนิยายเนอะ ฮ่า ๆ แต่ศิชอบจัง”

“ถ้างั้นพระจันทร์จะอยู่กับพระอาทิตย์นาน ๆ เลยได้มั้ย” ว่าจะไม่พูดเลี่ยน ๆ แต่ในเมื่อคนฟังก็มึน ๆ ผมก็มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดนิดหน่อยมันเลยสร้างความกล้าที่จะพูดอะไรแบบนี้ เอาหน่อยนาน ๆ ที

“นานนนนนนนนนนน จนกว่าพระอาทิตย์จะแก่เลย ดีมั้ย”

“พี่มีความสุข หนูเป็นความสุขของพี่”

“มีทูมีทูนะ”


เป็นอีกค่ำคืนที่กอดเจ้าเด็กคนนี้หลับคาอก และมันจะเป็นเช่นนี้ทุกค่ำคืน อย่างที่น้องบอกว่าไม่ได้อยากมีอะไรพิเศษในวันสำคัญ หรือไม่ต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ แค่เป็นสิ่งประจำวัน เป็นความธรรมดาที่มีเราสองคนอยู่ในเรื่องราวทุก ๆ วัน มันก็โคตรจะวิเศษแล้วสำหรับผม

ผมสัญญากับตัวเอง ไม่ว่าวันเกิดปีไหน ๆ ผมจะทำให้น้องรู้ว่าเขาสำคัญกับผม และเพื่อขอบคุณที่เกิดมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตทีเหลือ


ถ้าผมเป็นพระอาทิตย์อย่างที่เขาบอก เขาก็เป็นพระจันทร์ในทุกค่ำคืนของผม ค่ำคืนที่ไม่มีใครรู้ว่าดวงดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในกาแล็กซี่จะโด่ดเดี่ยว การมีอยู่ของพระจันทร์มันทำให้ผมรู้ว่าพลังของการรอคอยมันมีค่ามากแค่ไหน  เพราะไม่ว่าอย่างไรธรรมชาติจะพาเรามาบรรจบกันได้เสมอ และจะเป็นเช่นนี้ตราบเท่านาน

นานจนกลายเป็นกาลครั้งที่รักคุณ
กาลครั้งที่มีแต่ความทรงจำ
กาลครั้งที่เมื่อใดที่เล่าขานจะมีเพียงรอยยิ้ม
กาลครั้งที่เราจะก้าวเดินนับจากนี้ไปด้วยกัน


Once upon a time, I told you how much I love you
Now, always be certain




------------The Beginning-----------



หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-10-2018 22:38:17
จบแล้วหวานกันดี๊ดี
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 11-10-2018 22:51:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-10-2018 23:10:00
 :L1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 11-10-2018 23:13:57
ฮือออออจบแล้ว ดีมากๆๆๆๆเลยค่ะ สารภาพเลยว่าตอนที่เข้ามาอ่านเกือบหยุดไปแล้วช่วงมรสุมจัดๆรู้สึกโชคดีที่สู้อ่านต่อ ฟ้าหลังฝนสวยงามจริงๆ มันละมุน อบอุ่นไปหมดเลยค่ะ สัมผัสได้ถึงความรักที่อบอวลจริงๆอิ่มใจมากๆเลยย ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-10-2018 00:35:32
น่ารักมากเลย เป็นอีกเรื่องที่เราชอบมาก เหมือนต่อสู้และดูต้นทางมาด้วยกัน ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปแน่นอนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 12-10-2018 00:44:10
เห็นชื่อเรื่องนี้มานานจนคุ้นค่ะ
พอเห็น END แปะหน้า ก็พุ่งเข้ามาทันที

หมอน่ารักนะคะช่วงหลัง
แต่ช่วงแรก ๆ ที่มีอะไรกับน้องขณะที่ยังไม่เลิกกับแฟน
อันนั้นไม่น่ารักเลยค่ะ แย่มาก ..
ยังดีที่แฟนสาวก็ ... พอกัน ขนมพอสมน้ำยาแท้ทรู

แต่หลังจากนั้น หมอก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ

ส่วนน้องศิ .. ตอนแรก ๆ เหมือนอินเนอร์น้องจะแมน ๆ
แบบเด็กติดเกมคนหนึ่ง
แต่ตอนหลัง ๆ ออกแนว เคะ ชัดแจ้งจนเหมือนคนละคน
อ่านแล้วถึงกับ เอ๊ะ ... คนเดียวกันหรือนี่
แต่โดยรวม น้องก็น่ารักค่ะ

ส่วนกรณีของคู่เพื่อนรักเพื่อนไม่ได้นั้น
หน่วงดีค่ะ เข้าใจเลย ...
แอบคิดว่า จะมีซีนเมฆกับหนุ่มตัวเล็ก .. ที่ร้านที่เมฆไปเมาหรือเปล่า
ดูเหมือนมี clue อยู่นะคะ ...

แต่จะอย่างไรก็ตาม "ขอบคุณค่ะ" สำหรับการเขียนจนจบ
แล้วจะรอติดตามอ่านเรื่องต่อไป (ถ้าทราบและเขียนจบแล้วนะคะ) นะ! :bye2:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sackyjung ที่ 12-10-2018 01:20:27
 Thanks na kaa ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ น่ารัก ๆ ยะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 12-10-2018 19:27:56
จบแล้ว ชอบเรื่องนี้มากเลย เขียนดีมากๆ ชอบสุดช่วงคอมเม้นชาวเน็ต เหมือนเห็นตัวเอง55555
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 12-10-2018 20:37:02
ขอบคุณ  :pig4: สำหรับนิยายดีๆน่ารักๆค่ะ หวังว่าคงมีเรื่องราวใหม่ๆให้ติดตามต่อไปนะคะ
เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-10-2018 15:01:41
ชอบมากเลย..ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆจ้า รอเรื่องต่อไป   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-10-2018 18:49:05
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 14-10-2018 14:25:06
จบแล้วววว สนุกมากเลยค่า

หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 14-10-2018 14:36:12
 :o8: มันดีต่อใจจริงๆเรืีองนี้ ไม่มีอุปสรรคเลยหวายจนจบเรืรองพี่หมอดิมได้ใจศิไปเต็มๆ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 14-10-2018 14:50:17

มันดีต่อใจ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-10-2018 00:53:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】EP.25 always be certain (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 15-10-2018 04:47:50
ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special Day 1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 15-10-2018 20:28:01
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
Day 1-1 : I told the star about you



Mhek’ Part

เป็นอีกค่ำคืนที่ใช้เวลานั่งจิบแอลกอฮอล์รสดีบนเคาเตอร์บาร์สำหรับนั่งคนเดียว เสียงร้องเพลงโดยผู้ชายคนเดิมดึงความสนใจให้ผมละสายตาจากแก้ววิสกี้ตรงหน้าไปมองเขา นิ้วเรียวเริ่มขยับนิ้วกับกีตาร์โปร่งคู่ใจ บทเพลงที่ผู้ชายคนนี้เล่นมักจะเป็นเพลงที่ตรงกับความรู้สึกผมในทุกวันแบบทึกทักเอาเอง

หลังจากฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อในตำแหน่ง officer ธรรมดา นอกจากตัวงานที่ได้เรียนรู้แล้ว ก็ยังได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะใช้เวลาไปกับการทำนู้นทำนี่มากมายแค่ไหน แต่ถ้าสมองและหัวใจทำงานสวนทางกันมันก็ไม่มีทางที่จะไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วได้แม้สักวันเดียว

แต่สิ่งหนึ่งที่สอนผมได้ดีที่สุดคือ การทำเป็นลืมทั้งที่ยังจำ ดีกับหัวใจมากกว่า

“We keep this love in a photograph
We made these memories for ourselves
Where our eyes are never closing
Hearts are never broken
And time's forever frozen still”

จะไม่ให้คิดเอาเองได้ยังไงว่าเขาร้องเพลงที่ตรงกับความรู้สึกผมทุกครั้งที่มานั่งที่นี่ รอยยิ้มสว่างไสวถูกแจกไปให้แขกทุกคนในร้าน แม้วันนี้จะเป็นวันอังคารและพรุ่งนี้ทุกคนต้องทำงาน แต่ภายในร้านบาร์เล็ก ๆ ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาเสพดนตรี เสพแอลกอฮอล์ เสพการพูดคุยพบปะ และเสพการนั่งคิดอะไรคนเดียวเช่นผม

“ขอแบบเดิมอีกแก้ว” ผมพูดกับบาร์เทนเดอร์ที่คุ้นหน้ากันดี คนนี้จะทำหน้าที่ถึงประมาณสี่ทุ่ม และต่อจากนั้นจะเป็นนักร้องเสียงดีลงมาทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ต่อแทน และผมมักจะนั่งจนถึงเวลานั้นเสมอ

เลื่อนไอจีไปเรื่อยเห็นรูปถ่ายฉลองวันครบรอบของอาโปและพี่เพทาย กว่าครึ่งปีที่เขาเริ่มต้นกันอย่างราบรื่น ผมยินดีด้วยเสมอที่อาโปมีวันที่มีความสุข ไม่ต้องมาจมกับการรอคอยอีกต่อไป เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่าสามเดือนที่ต้องแยกย้ายกันฝึกงานทำให้ไม่ค่อยไปเจอกันสักเท่าไหร่ จะบอกว่ามันดีก็ดี แต่เคยได้ยินมั้ย ภูเขาน้ำแข็งถูกทำลายได้เสี้ยววินาทีจากเปลวไฟหัวไม้ขีด นั่นแหละความรู้สึกผม

“สวัสดีครับคุณ” ผู้ชายยกมือไหว้ผมเหมือนทุกครั้ง เราไม่เคยแนะนำตัว ไม่รู้ชื่อ เขารู้แค่ว่าผมอายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร และนี่คือสิ่งที่ผมสบายใจเวลาคุยกัน

“สวัสดี”

“งานเครียดหรือเปล่าครับวันนี้” ผมไม่รู้แน่ชัดกับอายุของเขาเพราะไม่เคยถาม คิดว่าคงเด็กกว่าไม่กี่ปี แต่น่าจะมากพอที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ท่าทางคล่องแคล่วในการจัดของ จับขวดเหล้า ใส่นั่นผสมนี่ มันมีความชำนาญพอสมควรและเพลินตาดี

“ไม่เท่าไหร่ แค่เซ็งหัวหน้าแผนกที่ชอบจับผิด”

“งั้นวันนี้ลองแก้วนี้ เผื่อจะหายหงุดหงิดครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเลื่อนแก้วน้ำสีสวย ผมไม่แน่ใจว่าเขาผสมอะไรลงไปบ้างเพราะดูไม่ทัน แต่แน่ใจว่ามันต้องออกฤทธิ์ตามที่เขาบอก เพราะมันเป็นเช่นนั้นตลอดมา กระดกเครื่องดื่มที่ว่า ความร้อนของแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในนั้นเล็กน้อย ทำหน้าที่เสียดลำคอและไหลลงกระเพาะไป

“อื้ม ดี เธอเก่ง”

“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มเจิดจรัสของเขาผสมกับเครื่องดื่มรสดีทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไร้เหตุผล “จริง ๆ วันนี้ผมกะจะมาบอกว่าคงไม่ได้มาบ่อย ๆ แล้ว”

“ลูกค้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้บาร์เทนเดอร์ทราบด้วยหรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“หึ” ยกยิ้มกับตัวเอง นั่นสินะทำไมต้องบอกเขาด้วย ยกเครื่องดื่มแก้วเดิมดื่มจนหมดแก้ว “คิดซะว่าเป็นประโยคบอกเล่าก็แล้วกัน”

“ผมก็คงจะมาทำได้แค่สุดสัปดาห์เหมือนกัน” เสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอในร้าน กับอุปกรณ์ชงเหล้ากระทบกันดังปนเปกับประโยคที่เขาพูดขึ้นเบา ๆ แต่ผมได้ยินชัดเจน “นี่ก็เป็นประโยคบอกเล่านะครับ”

ความสัมพันธ์ของผมและนักร้องควบบาร์เทนเดอร์หนุ่มมีแค่สายใยของแอลกอฮอล์เกี่ยวโยงเราเป็นเส้นบาง ๆ การแวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้งของผม ทำให้พนักงานในร้านต่างรับรู้ความสัมพันธ์อันพิลึกนี้ดี บางคืนผมนั่งดื่มจนเข้าวันใหม่กระทั่งร้านปิด จนได้เดินไปส่งที่ถึงจักรยานกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดอิงแอบกำแพงบ่อยครั้ง

“เธอจะไปไหน ถามได้หรือเปล่า”

“อยู่ที่ว่าคุณอยากรู้หรือเปล่า ผมยินดีบอกทุกเรื่องแค่คุณถาม” ผู้ชายตรงหน้าเช็ดแก้วไวน์ที่กำลังจะรินเสิร์ฟลูกค้าคนที่นั่งถัดจากผมไปสองเก้าอี้ ก่อนจะเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้มสดใส “เปิดเทอมแล้วครับ ก็ต้องไปเป็นนักเรียน” นี่อาจจะเป็นการเผยอีกหนึ่งความลับระหว่างเราว่าเขายังอยู่ในวัยเรียน ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ได้ถามต่อ ทั้งที่ในใจก็อยากรู้ว่าเขาเรียนที่ไหน แต่กลับปากหนักที่จะถาม

“แล้วคุณล่ะครับจะไปไหน”

“กลับไปในที่ที่มา”

“กวนหรอครับคุณลูกค้า”

ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับการทำเช่นนี้ เขาไม่อยากรู้จักผมมากไปกว่าที่ผมอยากให้รู้ และผมก็ไม่ได้อยากรับเขาเข้ามาในชีวิตทั้งที่ยังไม่พร้อม มันเป็นความสบายใจแบบไม่รู้จักกัน

บรรยากาศเปิดเทอมปีสุดท้ายของผมและเพื่อน ๆ ดูจะคึกคักตั้งแต่วันแรก การรับน้องปี 1 แบบสร้างสรรค์เป็นข้อตกลงของนิสิต ผู้ปกครอง และคณาจารย์ในคณะ เลยได้เห็นการทำกิจกรรมเป็นกลุ่มใต้อาคารคณะเสียงแซงแซ่แต่เช้า

“นี่เราปีสี่แล้วหรอวะ อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเรียนจบแล้วอะ” เฌอบ่นงุ้งงิ้งตั้งแต่ผมโทรไปถามว่าวันนี้เราต้องเข้ามหาลัยหรือเปล่า ด่าผมก่อนหนึ่งยกว่าโทรไปปลุกแต่เช้า และได้ไปรับเธอมามหาลัยพร้อมกันด้วย  ส่วนผู้ชายที่ดูจะน่ารักขึ้นทุกวี่วันดูดนมและกัดแซนวิชไม่พูดจา แก้มมันดูหนาขึ้นกว่าก่อนปิดเทอมสงสัยพี่ดิมขุนมาดี

“และนั่นนะคะน้อง ๆ เป็นรุ่นพี่ปีสี่ของคณะเรา คุ้นหน้าใชมั้ยล่ะคะ” หัวหน้าสันทนาการปี2 จู่ ๆ ก็กล่าวแนะนำพวกผมที่โต๊ะกลมใต้อาคาร แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังจากนั้นเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาว ๆ ที่จำศิได้ก็ดังขึ้น “นั่น ๆ พี่อาโปครับ” ผู้ชายหน้าหล่อหุ่นนายแบบเดินตรงมาด้วยท่าทีงงสุดขีด

“อะไรวะ”

“อิน้องปีสองแนะนำพวกมึงสองตัวไง คนดังนะเนาะ” เฌออธิบายเพิ่มเติม สุดท้ายเราก็ย้ายที่ไปนั่งที่โรงอาหาร เพราะคลาสเช้าอ.แจ้งมางด จึงต้องรอเรียนบ่าย บรรยากาศในกลุ่มเราก็เหมือนเดิมแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน มีเพียงศิไม่ได้เป็นเด็กติดเกมเหมือนเดิมแล้ว กลายเป็นเด็กเนิร์ดไปซะงั้น สงสัยอยากเดินสายวิชาการเหมือนแฟน ส่วนผมและอาโปเราก็คุยกันได้แม้ผมจะไม่ได้สนิทใจ ทั้งที่เขาวางผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

“เมฆกินข้าวมันไก่เป็นเพื่อนหน่อยดิ” ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์ของมาร์ค รัฟฟาโล้ ที่สปอย์ภาพยนตร์สุดโปรด

“เออกินดิ เฌอ ศิ เอาไรป่ะ” ทั้งสองคนส่ายหน้า เลยเดินมาร้านข้าวมันไก่ของป้าสุดโหดในโรงอาหารกลาง

“ป้าครับเอาข้าวมันไก่ ส่วนอก ข้าวน้อย เพิ่มแตงกวา น้ำจิ้มซอสดำ แล้วก็ข้าวมันไก่ต้มไม่หนังอีกหนึ่งครับ” ผมสั่งให้เมฆด้วยสีหน้าปกติ เป็นอย่างนี้มาตลอดสามปีตั้งแต่อาโปสั่งข้าวมันไก่ด้วยคำสั่งแปลก ๆ แล้วเจอป้าสวนมาว่าเรื่องมาก แต่คนข้าง ๆ ดันบอกว่าร้านนี้อร่อยที่สุดในย่านนี้ เวลาอยากกินก็มักพาผมหรือไม่ก็ศิมาเป็นไม้กันมาเสมอ

“แต๊งกิ้วนะ ไม่ขาดไม่เกิน เป๊ะ!”

“เออก็ทำให้ตลอดป่ะวะ” ระหว่างทางที่กำลังจะเดินกลับโต๊ะ ผู้ชายที่เดินตามกระซิบเบา ๆ ว่าขอบคุณ และนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดในความสัมพันธ์ของผมและอาโปหลังจากวันนั้น ซึ่งผมมองว่ามันไม่ใช่ความหวังแต่เขาแค่เป็นคนน่ารักไง

จังหวะนรกมักจะเกิดขึ้นเวลาแบบนี้เสมอ มีผู้ชายคนหนึ่งทำของบางอย่างตกที่พื้นและผมหลบไม่ทันเลยเหยียบเข้าเต็ม ๆ

แกร๊บ

พอยกเท้าออกก็เห็นเป็นมือถือไอโฟน 5s และหน้าจอแตกละเอียดเพราะน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงไป “เฮ้ย ผมขอโทษ” รีบปรี่วางถาดจานข้าว แล้วก้มลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กนั่น

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับผมทำตกเอง”

ก้มไปหยิบมือถือก่อนจะปรากฏภาพพักหน้าจอผ่านกระจกแตกละเอียดเป็นผู้ชายคุ้นตานั่งก้มเล่นมือถือที่เคาเตอร์บาร์แห่งหนึ่ง และใช่ นั่นผมเอง! พอเงยหน้ามองเจ้าของมือถือที่หน้าจอแตกละเอียดนั่นก็พบว่าเขาคือคนคุ้นหน้าที่เพิ่งเจอเมื่อคืน

“เธอ!”

“เอ่อ คุณ”


เขาดูทำอะไรไม่ถูกแย่งมือถือกลับไป ก่อนที่จะลุกลี้ลุกลน ยืนหัยซ้ายหันขวาแล้วรีบเก็บของที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะวิ่งหนีไป ป้ายที่ห้อยคอเขาทำผมรู้ว่าคน ๆ นี้เป็นเด็กปี 1 เท่านั้น

“ใครหรอ”

“คนรู้จักน่ะ”

จริง ๆ เราแทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำว่ามั้ย




APO’s Part

เลิกเรียนกลุ่มเราไม่ได้นัดไปไหนต่อ เพราะรู้สึกอยากแยกย้ายกันกลับไปนอน ฝึกงานเสร็จก็แทบไม่ได้หยุดเลยดันมาเปิดเทอมเสียก่อน วันนี้ต้องพึ่งท้องที่วิลล่าแถวคอนโดเพราะพี่เพทายคงไม่ได้แวะมากินข้าวด้วย เขามีไฟล์ทตอนสี่ทุ่ม

[MY BEAR calling]

“ครับคุณหมี”

(พี่เห็นว่าเลิกเรียนแล้วเลยโทรมาหาครับ เย็นนี้กินข้าวกับอะไร)

“พี่ห่วงแต่เรื่องปากท้องโปตลอดเลย โปโตแล้วน่า”  ปลายสายหัวเราะ ก่อนหน้านี้ผมน้ำหนักลดลงเพราะมีเรื่องให้คิดหลายอย่างและเขาก็รู้สาเหตุนั่นดี เลยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ คอยเฝ้าถามไถ่ตลอดว่าได้กินอาหารครบสามมื้อหรือเปล่า

(ก็โตแล้วนี่แหละยิ่งดื้อ แล้ววันนี้เป็นยังไงครับ)

“ถามถึงเรื่องเรียนหรือเรื่องเมฆล่ะพี่หมี”

(ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับคุณยีราฟ)

“หึหึ วันแรกได้คอร์สซิลลาบัสมาตามเคย ส่วนเมฆก็ปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงโอเคมั้ย”

(จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง คุณยีราฟของผมบอกเองว่าเคยเกือบเลือกเขาไปแล้วนี่นา) เสียงกระเง้ากระงอดของผู้ชายอายุ 30 ทำผมยิ้มออกมา (แน่ใจใช่มั้ยที่เลือกพี่)

“พี่เพทาย โปรู้ว่าทำให้พี่กังวล แต่เชื่อโปนะว่ามันจะไม่มีมากไปกว่าความเป็นเพื่อน โปเป็นเพื่อนเมฆมาได้ตั้งสามปี”

(ทั้งที่โปยังรักเขามาโดยตลอด)

“แต่ตอนนี้อาโปรักพี่เพทายไง”

(...) ปลายสายเงียบไป ตั้งแต่วันที่ผมคุยกับศิและพูลล์ ก็ตัดสินใจบอกทุกอย่างให้พี่เพทายรับรู้ พอเล่าเรื่องทุกอย่างจบเขาไม่แม้แต่จะพูดอะไร นอกจากรวบตัวผมไปกอดแล้วทึกทักว่าที่ผมยังอยู่ตรงนี้และเลือกที่จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟังก็เพราะผมเลือกเขา ผมไม่ได้เลือกเขาเลย เขาต่างหากที่เลือกผม เลือกที่จะอยู่ข้าง ๆ หัวใจโลเลและไม่มั่นใจตัวเองเลยในเวลานั้น

“อาโปรักพี่นะ เนี่ยเห็นนมตราหมียิ่งคิดถึงคุณหมีเลย”

(ทำเป็นพูดดี พรุ่งนี้จะไปชกพุงคุณยีราฟให้แฟ่บเลย)

“พี่เพทายก็อย่าลืมกินข้าวนะ เสร็จงานแล้วโทรหาด้วยนะ”

(ครับยีราฟ พี่ไปทำงานก่อน)

สรรพนามน่าจั๊กจี๋เป็นผมเองที่เริ่มมัน เพราะเวลาขึ้นรถมักจะเห็นกล่องนมเปล่าตราหมีทิ้งอยู่ในรถเสมอ เพราะเขาชอบกินมันมาก จนอายุขนาดนี้ก็ยังติดอยู่ ว่าไปแล้วซื้อไปติดตู้เย็นที่คอนโดไว้หน่อยจะดีกว่า

“อาโป อาโปป่ะ” ผู้ชายสูงโปร่งหน้าตาคุ้นเพราะดูล้ำกว่าตอนมอปลายโข

“จิม?”

“เราเอง คิดว่าทักคนผิดซะอีก อาโปดู...หล่อขึ้นว่ะ”

“จิมก็เหมือนกัน”

ความรู้สึกประดักประเดิดเกาะกุมกริยาท่าทางผมรู้ดี การมาพบเจอกับเพื่อนคนนี้ผู้ที่ร่วมก่อเหตุการณ์เลวร้ายช่วงหนึ่งในชีวิตย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง เป็นความบังเอิญที่น่าดีใจหรือควรเสียใจดี

“ดีใจจังที่ได้เจอ เอ่ออาโป...พอจะมีเวลาหรือเปล่า เรามีเรื่องคุยด้วย” จิมที่คงรู้สึกไม่ต่างกันพูดขึ้นทั้งที่ไม่ค่อยกล้ามองหน้าผมเท่าไหร่

“ก็ได้ เราขอซื้อของตรงนี้แป๊บนึง จิมไปรอที่ร้านกาแฟข้างหน้าก่อนก็ได้” เพราะคงแปลก ๆ ที่เพื่อนเก่ามาเจอกันแล้วจะมาเดินช้อปปิ้งซื้อของด้วยกันจริงมั้ย


ร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขาทั่วโลกมีผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง และผิวขาวกว่าช่วงมัธยมด้วยเพราะไปเรียนต่อต่างประเทศ แม้ผมจะเฟดตัวออกจากลุ่มเพื่อนช่วงนั้นแต่ก็ยังพอรับรู้ข่าวสารพวกมันเรื่อย ๆ จากโซเชียลมีเดียที่พอจะมีคอนแท็กกันอยู่

“สั่งช็อคโกแล็ตร้อนให้นะ”

“ขอบใจ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเราหรอ” พอนั่งลงที่เก้าอี้บุนวมอย่างดีก็ไม่รีรอคุยธุระทันที

“เข้าเรื่องเลยนะ กับเมฆนี่เป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย แบบว่าคุยกันหรือยัง”

“ก็คุยกันปกตินะ มีอะไรหรือเปล่า” ผมทำท่าหยิบนั่นหยิบนี่ไม่ได้ตั้ใจฟังเท่าไหร่ แต่ดูคนอีกคนเขาจะพยายามพูดคุยทั้งที่เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

“หมายถึงคุยเรื่องตอนนั้นอะ ที่ว่าทำไมมันถึงต้อง...เอ่อ…เลิกกับมึงอะ” พอได้ยินคำนี้ถึงกับหยุดนิ่งและมองหน้าคนตรงข้าม เขาประหม่าและดูกลัวที่จะพูดมัน

“...” คิดว่าเรื่องตอนนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรให้เราทำความเข้าใจกันอีก ในเมื่อทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจที่จะรับความรักของพี่เพทายแล้ว

“อาโป กูของโทษนะเว้ย เรื่องตอนนั้น” คนพูดก้มหน้าลง น้ำเสียงติดจะหม่นหมองตามความรู้สึก “ขอโทษที่เล่นกับความรู้สึกของมึงและเมฆ พวกกูไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้”

“มันผ่านไปแล้วช่างมันเถอะ”  เรายังเด็กและมันก็ผ่านมานานเกินกว่าจะรู้สึกโกรธเคืองให้มันเผาหัวใจตัวเองอีก การปล่อยวางและก้าวเดินต่อไปข้างหน้า คือสิ่งที่เยียวยาบาดแผลครานั้นได้ดี

“แต่เมฆมันไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย กูไม่รู้ว่ามึงทำยังไงที่ต้องมองหน้ากันตลอดสามปีโดยที่ไม่พูดคุยเรื่องนั้น แต่กูอึดอัดเหี้ย ๆ กูไม่เคยรู้สึกดีเลยที่เห็นมึงกับมันถ่ายรูปในเฟรมเดียวกันทั้งที่มันมีบาดแผลในใจพวกมึง จากฝีมือกู” คนตัวสูงกว่าเสียงสั่น มันคงไม่ใช่แค่ผมกับเมฆที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดที่เกิดจากความคึกคะนอง แต่ผู้ชายตรงหน้าก็ด้วย

“รู้มั้ยทำไมมันถึงบอกเลิกมึง” เขามองตาผมด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “เพราะมันอยากให้พวกกูเลิกแกล้งมึง ห่าเหตุผลโคตรเด็ก แต่เสือกได้ผล พอพวกกูคิดว่าเพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมกูก็ไม่สนใจมึงอีก”

“....”

“มันปกป้องมึง พอมันเข้ามหาลัยพวกกูก็ไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเลย จนเมื่อสามเดือนที่แล้วได้เจอมัน มันบอกว่ามันยังรักมึงอยู่ กูรู้สึกผิดจับหัวใจเลย กูไม่คิดเลยว่าการเล่นพิเรนทร์ของกูจะทำให้เพื่อนกูเจ็บปวดยาวนานขนาดนี้ ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงกับฝ่ามือ มั่นใจว่าน้ำตาลูกชายของเขามันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่นี่คือความจริงที่สุดตลอดสามปีที่ผ่านมาต่างหาก

“แล้วทะ...ทำไม เมฆไม่เคยบอกเราเลย ทะ...ทำไมปล่อยให้เราเข้าใจแบบนั้นมาโดยตลอด”

“เพราะมันรู้สึกผิดจนละลายใจ จนไม่กล้ามีความสุข กระทั่งมีความสุขกับมึง”

“โง่! โง่ที่สุด!” ผมพูดจนเกือบติดตะเบง ยังดีที่ร้านในยามพลบค่ำไม่ค่อยไม่คนนั่ง “มาบอกตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

“กูรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์เพราะมึงก็เริ่มใหม่ไปแล้ว สิ่งที่บอกวันนี้ก็เพื่อไม่ให้มีอะไรติดค้างในใจต่อกันอีก หลังจากที่เจอเมฆกูภาวนาให้มันมาพูดความจริงกับมึง แต่แล้วมันก็ไม่ทันใช่มั้ยวะ”

จู่ ๆ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็รินไหลลงข้างแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ได้รับรู้วันนี้มันถาโถมและโหมกระหน่ำในหัวใจจนชาไปหมด สิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้ดี และรู้จริงมาตลอด กลับตาลปัตรไปเสียหมด การที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง สามารถวางใจในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนให้กับเมฆมาได้โดยตลอด ยังสู้ไม่ได้กับผู้ชายอีกคนที่ยอมรับทั้งความเจ็บปวด แบกข้อเท็จจริง และเก็บกุมมันมาคนเดียวตลอมาด ปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยที่ไม่ได้สนใจว่ามันจะหยดเปียกเสื้อนิสิตเป็นวง

นานเท่าไหร่ไม่มั่นใจ เพื่อนตรงข้ามยื่นทิชชู่มาให้ แต่ผมไม่ได้สนใจใยยี จนมันต้องย้ายมานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ แล้วเช็ดน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะหยุดไหลง่าย ๆ ให้

“ต้นเหตุมันมาจากพวกกูเอง ถ้าพวกกูไม่ใจแคบ กูเข้าใจในความรักดีกว่านี้สักนิด พวกมึงคงไม่ต้องเจ็บขนาดนี้”

“เราจะไปคุยกับเมฆ” พูดอย่างเลื่อนลอยแต่คิดว่าตัวเองมีสติพอที่จะทำแบบนี้ การได้ฟังเรื่องราวจากปากของเขามันคงชัดเจนกว่า

“เดี๋ยวกูไปส่ง มึงไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย” ผมส่ายหัวและยินดีที่จะให้เพื่อนเก่าคนนี้เป็นสารถี

กลุ่มก้อนเมฆที่ขมุกขมัว ไม่เคยได้รับความสดใส เขามีชีวิตอยู่แบบนั้นได้อย่างไรตลอดหลายปี




มีต่อ







หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special Day1-1 (11/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 15-10-2018 20:30:31
Star, Tell me what he say

รถยนต์ยุโรปสุดหรูจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านของคนมีอันจะกินแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ผู้ชายร่างโปรงนั่งประจำที่ข้างคนรับ กดโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อต่อสายหาคนที่ต้องเจอในวันนี้ให้ได้

“คุณ เราอยู่หน้าบ้านคุณ” เมื่อสารถีที่ขับรถมาส่งถึงที่หมาย ก็รอจนกระทั่งเพื่อนอีกคนเปิดประตูเล็กข้างรั้วออกมา พยักหน้าทักทายกันเล็กน้อยแล้วก็ขับรถออกไปด้วยความหวังที่ว่าความเจ็บปวดที่เขาเป็นก่อขึ้นจะทุเลาเบาบางลงบ้าง

“ทำไมเราต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่นวะ” ชโลทรพูดขึ้นเมื่อได้เห็นผู้ชายที่เห็นหน้ากันมาตลอดสามปี แต่เขาไม่แม้จะปริปากพูดคุยเรื่องสำคัญนี้

“...” ฆิฆาทัศน์ใจวูบโหวงที่คนตรงหน้าใช้สรรพนามแบบนี้เรียกกันอีก ทั้งสายตาที่ไม่เคยมีเขาอยู่ในนั้นมานานแล้ว กลับสะท้อนอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเขากระตุกอย่างรุนแรง

“ตอบดิ ทำได้ยังไง ใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้ยังไง” จับแขนอีกคนที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไรเขย่าแรง มีเพียงการจ้องเข้ามาในนัยน์ตาเท่านั้น

ฆิฆาทัศน์ไม่ตอบอะไรคนที่ตาแดงก่ำกำลังจะร้องไห้รอมร่อเข้ามาสู่อ้อมอก นานมากแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้ คนในอ้อมกอดดูจะตัวโตกว่าเมื่อครั้งนั้นมากทีเดียว กอดเขาไว้โดยที่อีกคนไม่ได้กอดตอบมีเพียงไหล่ที่สั่นตามแรงสะอื้นจากการร้องไห้

“ผมยังเจ็บไม่เท่าคุณเจ็บด้วยซ้ำ บอกแล้วอย่าร้องไห้ให้ผมอีก” ชโลทรได้ยินประโยคแรกจากผู้ชายที่เจอหน้ากันมาโดยตลอด การต้องแกล้งทำว่าทุกอย่างมันโอเค มันผ่านไปได้ โดยที่คิดถึงแต่ความรู้สึกของคนอื่น เขาทำได้ยังไง

“ทำไมไม่พูดอะไร” หมัดแข็งแรงจากคนถูกกอดชกเข้าที่แผ่นหลังของผู้ชายตัวสูงกว่า เสียงอู้อี้ข้างหูทำเอาฆิฆาทัศน์กอดอีกคนแน่นกว่าเดิม “คุณแม่ง”

“ขอแค่นี้ แค่ได้กอดคุณวันนี้ก็ดีแล้ว”

แขนแกร่งเลิกชกแผ่นหลังแล้วเปลี่ยนเป็นกอดตอบแทน เสียงสะอื้นหนักขึ้นอีก สองร่างโอบกอดกันราวกับปลาในบึงน้ำแห้งขอดได้ฝนชะโลมจนมันมีชีวิตอีกครั้ง เป็นสัมผัสที่ปลดล็อกความรู้สึกในใจที่มันขุ่นมัวให้ได้เห็นอะไรที่มันชัดเจน อย่างน้อยก็ความรู้สึกที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยของเมฆ เขาจะไม่ต้องหลบซ่อนความรู้สึกเหมือนเงาอีก และอาโปก็ได้รับรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เก่งอย่างที่เคยทำมาได้โดยตลอด

ร่างสูงผละอ้อมกอดที่คิดว่าแค่นี้ก็มากเกินไปที่เขาควรจะได้รับ มันเหนือความคาดหมายที่เขาจะได้รับจากผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำไป แม้จะได้อ้อมกอดที่คิดถึงมาตลอดคืนอีกครั้ง แต่ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของมันอีกแล้ว คนตรงหน้ามีความสุขดีกับคนของเขา ยอมรับว่าการได้เจอกันในวันนี้มันจะเติมเชื้อเพลิงแห่งความหวัง เป็นเปลวไฟตะเกียงพายุที่วูบไหวไปตามแรงลมในคืนพายุโหมกระหน่ำ และจะขอให้มันเป็นความหวังเล็ก ๆ ที่จะทำให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เท่านั้น

มือหนาขยี้ผมคนตรงหน้าที่น้ำตาเหือดแห้งเหลือเพียงดวงตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้ “ไม่คิดว่าจะยังร้องไห้เก่งเหมือนเดิม แต่ว่าอย่าร้องไห้เลย มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยนะ”

“ใครล่ะวะที่ทำให้เป็นแบบนี้”

ชโลทรช้อนตามองคนตรงหน้าอย่างเผลอตัวว่าไม่ควรทำเช่นนี้ เพราะตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแง่งอนเพื่อนคนนี้ด้วยซ้ำ หัวใจกระตุกเมื่อคิดถึงผู้ชายที่คุยโทรศัพท์ด้วยตอนเย็น ใครกันที่ย้ำกับเขาว่าไม่มีอะไรต้องห่วงในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนตัวสูงกว่าไม่มีอะไร ทั้งที่ภูเขาเอเวอร์เรสที่สร้างในใจผุกร่อนจนกลายเป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ บนทุ่งหญ้ากว้างเท่านั้น

ทั้งสองยืนมองหน้ากันอย่างที่ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศรอบข้างเงียบงันสมกับเป็นหมู่บ้านที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง เมฆชวนอาโปเข้าบ้านแต่อีกคนปฏิเสธ และเลือกที่จะนั่งริมฟุตบาธหน้าบ้านแทน ยามที่ตรวจตรารอบหมู่บ้านด้วยจักรยานยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยและตะโกนว่าระวังยุงกัดก่อนจะฮึมฮัมเพลงแล้วจากไป

“ผมดีใจที่คุณไม่เกลียดผม ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกว่าเป็นแฟนแน่นอน” ฆิฆาทัศน์พูดขึ้นอย่างมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ตามที่กล่าวออกไปแน่นอน

“เราก็เหมือนกัน” ชโลทรมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืดทำให้พอจะเห็นดาวที่แต่งแต้มท้องฟ้าได้บ้าง แม้จะถูกเสียงไฟจากมหานครสว่างกว่ากลบ แต่ก็ยังเห็นแสงระยิบระยับไกลหลายปีแสงส่องทอดมาถึง อาโปไม่ได้พูดกับคนข้าง ๆ เท่านั้น แต่ยังบอกไปถึงดวงดาวดวงนั้น ดาวที่เราเคยนั่งมองมันด้วยกันบนดาดฟ้าโรงเรียนในวันเข้าค่ายผู้นำเยาวชน ดาวที่เราจับจองว่านี่คือดาวของเรา แม้ตอนนี้เราของคนจะไม่ใช่ของกันและกัน แต่ดาวดวงนั้นมันยังจะมีเขาและคนข้าง ๆ ติ๊ต่างเอาเองว่ายังเป็นเจ้าของมันอยู่ไม่ว่าจะอย่างไร

ดาวดวงนั้นฆิฆาทัศน์ไม่เคยลืม มันสุกสว่างและเป็นดาวนำทิศทางของผู้หลงทาง เราสองคนเคยนั่งมองมันด้วยกันอย่างไร้เดียงสาเมื่อครั้งนั้น เป็นการจินตนาการที่ขอบเขตและไม่คิดถึงกฎเกณฑ์ใด ๆ นอกจากเรานั่งดูมันอยู่ด้วยกันสองคน และมันยังคงเป็นอยู่ ดาวของเรา

ไม่มีใครเอ่ยถึงการกลับมา หรือเริ่มต้นอะไรใหม่ เพราะสองหัวใจต่างรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่เพราะตัวอาโปที่มีพันธะกับใคร ทว่าหัวใจทั้งสองดวงมันแปรเปลี่ยนสภาพไปเสียแล้ว หัวใจที่ไม่ได้มีเพียงเพื่อกันและกัน มันถูกกาลเวลา และความเจ็บปวดกัดกร่อนมานาน ทำให้แม้ว่าอยากเริ่มต้นเยียวยากันและกันมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นยังเด็ก ตอนนี้เราเติบโตขึ้น หัวใจที่ร่ำร้องและเพรียกหากันและกันเกิดอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกคน พอมันรวมกันแล้วทุกอย่างมัน ‘ไม่ใช่’ อีกต่อไป

ไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า ที่จะลบเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับฉายซ้ำและคั่งค้างในความรู้สึก มันอาจจะต้องใช้เวลาจนกระทั่งมันตกตะกอนกลายเป็นสันดอนในหัวใจ เป็นหลักฐานที่ครั้งหนึ่งมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในนี้ รู้จักความรักที่ไม่ใช่แค่รักและทุกอย่างจะจบ ความรักที่มีแค่คนสองคนไม่มีทางเกิดขึ้นได้บนโลกอันบิดเบี้ยว ฉะนั้นการเลือกเส้นทางที่ทำให้ใครบางคนที่จะเป็นคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิตไว้ โดยที่ไม่มีวันต้องเลิกรากัน ก็คือการคงสถานะกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันตราบชีวิตจะสิ้นสุด

ฆิฆาทัศน์ทำหน้าที่สารถีแทนจิราวัฒน์ที่ขับรถมาส่งแต่ไม่ได้รอรับกลับ รถยนตร์เปิดประทุนถูกเลือกเป็นพาหนะในค่ำคืนที่มืดมิดแต่สว่าสไวในความรู้สึกของเขา มันเป็นความสบายใจที่ยิงกว่าได้ยกภูเขาออกจากอก มันคือโลกที่เคยแบกไว้ได้กลับไปหมุนตามวงโคจรของมัน

“ไม่ใช่ไปส่งแล้วจ๊ะเอ๋กับพี่เพทายอีกนะ”

“ฮ่า ๆ ทำไมกลัวหรอ”

“เออกลัวโดนต่อย”

“ถ้าเขาต่อยคุณ เราจะร่วมวงด้วย โทษฐานที่ปากหนัก” พวกเขาสองคนหัวเราะให้กันอย่างสบายที่สุดในรอบหลายปี ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านตัวพวกราวกับกำลังดีใจไปพร้อมกันด้วย

“นี่ เราอึดอัดเรื่องนึงว่ะ”

“เรื่อง?”

“ไม่อยากพูดกูมึงกับคุณเลย ไม่ชอบ”

“แล้วทำได้ตั้งหลายปี”

“ทำไมคุณไม่ถามตัวเองวะ”

ยกยิ้มมุมปากให้คนที่ยอกย้อนเก่งไม่เปลี่ยน “งั้นจะพูดแบบนี้หรอ”

“เออพูดแบบนี้เหอะ สบายปากกว่าตั้งเยอะอะ” เมฆเห็นด้วยกับความคิดนี้ การใช้สรรพนามกูมึงแทนกันพวกเขาต่างคิดเอาเองว่าจะดูสนิทกัน ทั้งที่มันทำให้ห่างเหินขึ้นไปอีกเท่าตัว นี่อาจจะเป็นคำขอเดียวของชโลทรที่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับฆิฆาทัศน์หลงเหลือความทรงจำที่บ่งบอกว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง

พอร์ชคันเดิมจอดบนหน้าคอนโดของชโลทร เจ้าของรถหรูยืนพิงรถและสูบบุหรี่อย่างกับรอคอยใครบางคน ทั้งที่จริง ๆ เขาขึ้นไปรอในห้องก็ได้ ชโลทรมีแต่คำว่างานเข้าวนเวียนเต็มความคิดคิด มองนาฬิกาก็เห็นว่านี่เที่ยงคืนกว่าแล้วพี่เพทายเสร็จงานแล้วก็คงมาหาเหมือนทุกครั้ง จินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่หมีของเขาจะโกรธแค่ไหนที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะแบตหมดตอนไหนไม่รู้ แถมยังนั่งรถมากลับแฟนเก่าที่เพทายไม่เคยคิดว่าชโลทรลืมได้อย่างที่ปากบอกจริง ๆ

“เดี๋ยวผมเดินไปส่ง” เมฆเอ่ยขึ้นเพราะเห็นคนข้าง ๆ เริ่มลุกลี้ลุกลน อาการกลัวของเพื่อนทำให้เขาแน่ใจ ว่าสายตาที่สะท้อนภาพของเขามันไม่ได้หมายความไปมากกว่าคนตรงหน้าเพียงแค่สบายใจมากขึ้นก็เท่านั้น

“พี่เพทาย”

“พี่โทรไป…” เพทายที่ส่งสายตาเป็นห่วงมากกว่าเชิงตำหนิมาให้อาโป ทำให้เมฆยกยิ้มมุมปากว่าสิ่งที่ตัวเองและเพื่อนทำนั้นถูกต้องแล้ว แม้ภายในใจจะยังรู้ต่อกันมากเพียงไร สุดท้ายเราจะก็จะพ่ายแพ้ต่ออดีตที่เลวร้ายแม้เราต่างจะเข้าใจถึงเหตุผลกันและกันดีก็ตาม

“อาโปแบตหมด” ชโลทรยกมือถือให้เพทายดูยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

“ยังไงผมกลับก่อน”

“ขอบคุณที่มาส่งอาโปนะ” เพทายพูดกับผู้ชายที่ยืนข้างหลังแฟนตัวเอง ด้วยสีหน้าปกติไม่ได้เชิงหงุดหงิด แม้ในหัวใจจะคันยุบยิบและอยากซักไซร้คุณยีราฟตรงหน้าแค่ไหน

“ยินดีครับ ฝากเพื่อนผมด้วย” เพทายพยักหน้าอย่างรู้ความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ “ฝากแบบไม่ถอนคืนนะครับ”

ฆิฆาทัศน์มีสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ว่าสายตาของชโลทรมองตัวเขา มันแตกต่างากที่มองเพทายอย่างสิ้นเชิง เขาจำได้ว่าสายตาที่ชโลทรมองเขาเมื่อหลายปี กับสายตาที่มองเพทาย มันเป็นความรักที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ความรักของเด็กมัธยมปลายอีกต่อไป เพื่อนคนนี้มีความรักที่โตขึ้น และหวังว่าชโลทรจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นของตัวเอง และเพทายจะมั่นใจในความรู้สึกของชโลทรเร็ววัน

“ขับรถดี ๆ นะ” อาโปกล่าวขึ้นพร้อมกับเพทายใช้แขนแกร่งโอบเอวและยกยิ้มให้เมฆ เป็นการกล่าวคำอำลาสำหรับค่ำคืนนี้การแสดงออกของผู้ชายที่เหมาะสมที่จะดูแลเพื่อนรักของเมฆทำเอาเจ้าตัวนึกขำในใจว่าคืนนี้อาโปจะโดนซักจนขาวแค่ไหน

ในใจเพทายไม่ใช่ไม่เชื่อใจแฟนของตัวเอง ทว่ารู้ดีว่าการตัดขาดความสัมพันธ์ที่เรื้อรังมานานไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่ใช้ความรัก ความดี การเอาใจใส่ แต่ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพทายยินยอม เพียงเพราะอยากให้คนของตัวเองหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด แม้จะรู้ว่าวันนี้จะยังทำให้ชโลทรตัดใจจากเพื่อนคนนั้นไม่ได้หมด แต่วันหนึ่งหัวใจอันเหี่ยวเฉาจะฟูพองเพราะรักเขาเต็มหัวใจ

และวันนี้เพทายได้รับรู้แล้วว่าตัวเองแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของชโลทรได้มากกว่าที่คิดไว้

“คืนนี้ยาวคุณยีราฟ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูคนที่ถูกโอบ เจ้าตัวเลยได้แต่ยู่หน้าเล็กน้อยกลับไปให้ กระนั้นก็ไม่ได้มีความหวั่นเกรงคำขู่สักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าคำขู่ของหมีตัวโตไม่ได้น่ากลัวเพราะความใจดีมันมากกว่า มีแต่จะทำทีงอนเพื่อให้ง้อด้วยวิธีที่ชอบ เช่น ได้กินน้ำผึ้งรสหวานจากวิธีป้อนที่แสนพิเศษ

สุดท้ายแม้มันจะเหมือนการจากลา ทว่าไม่ใช่ มันคือการทักทายกันในความรู้สึกใหม่ ไร้พันธนาการจากห้วงอดีต ตัดจากความโกรธ ราคะ ที่พัวพัน หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่สั่งสม เหลือเพียงความทรงจำที่เกิดขึ้นจริงเก็บมันไว้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิต ให้เป็นเข็มทิศไม่ให้หลงทางอีก

ขอให้เช้าวันพรุ่งนี้เมฆไม่ขุ่นมัว มีแต่ความสดใส
ขอให้สายน้ำจงฉ่ำเย็น ไหลธารไม่เหือดแห้ง



------------------End Day 1-1------------------



เป็นพาร์ที่เขียนยากมากกกกกกกก5555555555555
ที่เราไม่ให้เมฆเป็นคนพูดเอง เพราะคนอย่างเมฆมันไม่มีวันพูด!
ให้อีกหนึ่งในตัวต้นเรื่องพูด่าจะโอเคกว่า ทุกคนเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งที่ผิดพลาดได้นะ
อนึ่ง น้องนักร้องยิ้มสวยปี 1 กับเมฆจะเป็นอย่างไรรรร โปรดติดตามมมมมมมม
อสอง พี่หมีและน้องยีราฟอาจจะมีเพิ่มในเล่มมมมม
อสาม สเปเชียลยังไม่จบ555555555555555
อสี่ คิดถึงชาวเน็ตสเปหน้าแจจจจจจจจ น้องศิและพูลล์จาคัมแบ็คสู่อ้อมกอดแม่ๆ
อห้า รักส์เด้อออออ

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1



หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-10-2018 20:46:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-10-2018 20:49:41
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 15-10-2018 21:54:18
ความรักที่รู้ว่าไปต่อไม่ได้มันก็มีทางเลือกไม่กี่ทางให้เลือกสินะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 15-10-2018 22:56:37
รู้สึกดีที่เรื่องเป็นแบบนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-10-2018 23:08:23
อยากให้เมฆมีความสุขเสียที  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2018 23:26:19
เสียดายเมฆกับโปนะคะ ถึงจะแอบหวังลึกๆ แต่พอเห็นพี่เพทายก็ไม่กล้าคิด กลัวบาป  :mew2:

โอเคมากที่มันจบแบบนี้ ต่างคนต่างวางสิ่งที่ถืออยู่ เป็นกำลังใจให้นังเมฆเร้กๆ ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-10-2018 07:10:07
เรื่องนี้ดีงาม หลังจากที่ได้อ่านช่วงอรกๆแล้วหยุดยาวจนมันจบ ไล่อ่านทั้งคืนไม่หลับไม่นอนจนถึงเจ็ดโมงครึ่งของวันใหม่ คุ้มจริงๆค่ะกับการไม่นอน ชอบๆ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 16-10-2018 22:14:09
เพิ่งได้มาอ่านและอ่านรวดเดียวเลย อยากขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ เราได้อ่านหลายสิ่งดีๆเยอะเลย และนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่สมเหตุสมผลและเป็นความจริงจนเราอยากให้สมจริงน้อยกว่านี้ในบางเรื่อง นั่นคือเรื่องของเมฆกับอาโป...มันจะดีแค่ไหนถ้าเป็นนิยายแบบเพ้อฝันที่เขาสองคนได้กลับมารักกันอีก เราหวังมากๆเลยว่าในที่สุดเขาจะกลับมาเริ่มกันใหม่แต่ก็ผิดหวัง... ความคิดเราเห็นแก่ตัวมากอะ แบบว่าถ้าในอนาคตอาโปเลิกกับคุณเพทาย(ที่แสนดีและไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่คุณเป็นพระรองของเราอะ;-;) เมฆไม่ได้สานต่อกับน้องปี1คนนั้นและรออาโปแล้วเขาได้กลับมาคบกันอีกเหมือนเกลกับทีเจคงดีมากเลย คนเราต้องเดินไปข้างหน้าก็จริงแต่เราสามารถเดินย้อนกลับมาข้างหลังเพื่อจับมือคนเดิมแล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันใหม่ได้นะคะ จริงๆก็รู้ว่าคุณคนเขียนไม่ได้วางให้เขาคู่กัน(โอ้ย เศร้า)เพราะไม่อย่างนั้นคงให้อาโปรู้ความจริงตั้งนานแล้ว ฮืออออออ //ถือถุงกาวขึ้นเรือผีแบบเหม่อๆ

อ้าว ลืมคู่หลัก5555555 แต่สำหรับพี่ดิมน้องศิคือไม่มีอะไรจะพูดถึงนอกจากเหม็นความรักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หลงกันให้ตายไปเลยค่าาาา555555555555555
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 17-10-2018 11:38:08
ร้องหนักมากกับพาร์ทของเมฆอาโป :m15:
ความรักมันซับซ้อนจริงๆ
สนุกมากๆ แต่ละตอนยาวสะใจมาก
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 18-10-2018 20:49:12
เป็นเรื่องที่โคตรดี ดีมาก ชแบความเข้าใจโลกของศิ ชอบความดุของหมอ ชอบความสดใสของพูล ชอบความเป็นแม่ของเฌอ แต่ๆๆเราคิดว่าอาโปกับเมฆน่าจะไปต่อ หรือเพราะเราชอบความซับซ้อนของใจคนแต่สิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นไม่เปลี่ยนคือความรู้สึกต่อคนๆนึงเสมอมา
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 19-10-2018 23:47:37
คู่น้องศิพี่ดิมหวานเจี๊ยบเลยค่าา น่ารักกันสุดๆ
อยากอ่านคู่น้องพูลล์กับพี่ภีมจังง
สนุกมากๆเลยยย ขอบคุณมากๆค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-10-2018 00:55:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 20-10-2018 15:07:10
ชอบเรื่องนี้มาก คู่ศิกับดิมน่ารัก แต่เสียใจคู่เมฆกับอาโปอ่ะ เราอยากให้คู่กัน :hao5:
เราว่าความรักเป็นเรื่องซับซ้อนนะการที่เรารักใครสักคนมานานมาก ทั้งที่เจ็บปวดทั้งที่เสียใจแต่ยังรัก
ต่อให้เจอคนใหม่ที่ดีแค่ไหนก็แทนกันไม่ได้อ่ะ เพทายเป็นคนดี แต่เป็นพระรองอ่ะ
กลับไปอ่านอีกรอบเราก็ยังให้เมฆเป็นพระเอกอ่ะ :sad11: แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของคนเขียนนะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรืื่องนี้น๊า :L2:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-10-2018 18:34:42
เพิ่งเข้ามาอ่าน รวดเดียวจบเลย สนุกค่ะ
แม้จะเอาใจช่วยอาโปกับเมฆ แต่เป็นแบบนี้ดีมากๆ

ถ้าจะต้องปรับก็คงเป็น มีที่พิมพ์ผิดอยู่หลายจุด ใส่ชื่อตัวละครผิด มีประโยคที่ใส่ซ้ำ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JanJanIsHappy ที่ 21-10-2018 21:23:03
เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ก่อนอื่นเลยคือความแด๊ดดี้ของพี่ดิมคือโอ้ยยยยยยยยแพ้ ในส่วนของคู่รองคือทำเราหน่วงมากๆ และเชียร์น้องยิ้มสวยมากจริงๆ น้องแอบชอบพี่เขามาตั้งแต่ตอนแรกแล้วใช่มั้ย แง ดี อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: c4jeab ที่ 22-10-2018 19:16:06
สนุกมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-10-2018 22:32:17
 :katai2-1:คู่พระนายก็รักกันจนฉ่ำ ดีใจที่พระเอกกับ,ฟนเก่าจบกันด้วยดี
น่าอิจฉา ส่วนเพื่อนๆก็มีดราม่ามาให้ลุ้น สนุกสนาน หวานละมุน
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 28-10-2018 21:48:04
เป็นนิยายที่ดีมากเลย
เวลาที่ได้อ่านทุกตัวอักษร
มันเหมือนเราติดตามชีวิตของคนที่มีอยู่จริง
อ่านไปก็เอาใจช่วยทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียนและชีวิตความรักของพวกเขา
รักมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-10-2018 22:28:40
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
Day 1-2 : I never know a better sexy then my lips on your leg (Part 1)
[/size]


หลังจากซีรีส์จบความฮอตยิ่งกว่าอากาศร้อนประเทศไทยคือคือคิวงานของนักแสดงวัยรุ่นจากซีรีส์วายกระแสแรง ทำให้นอกจากเรียนปีสุดท้ายแล้ว ศิรัสและเพื่อนนักแสดงคนอื่นต่างวิ่งงานเป็นพัลวัล แม้จะไร้เงาพระเอกซีรีส์ยืนประกบข้างอย่างที่แฟนคลับอยากเห็น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลูกค้ายีหระสักเท่าไหร่ เพราะความน่ารักที่พุ่งประกายราวกับดวงดาวน้อยๆ เจิดจรัสท่ามกลางหมู่ดาวนพเคราะห์ดวงใหญ่นั้นกำลังค่อยๆ เฉิดฉาย และเรียกลูกค้าสาววายได้อย่างล้นหลาม

วันนี้ก็เช่นนี้ ศิรัสและเพื่อนพ้องมีเพียงเข้ามาคุยกับอาจารย์เรื่องหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์เท่านั้น ก่อนที่ช่วงบ่ายศิรัสและชโลทรจะไปถ่ายแบบให้นิตยสารวัยรุ่นชื่อดัง หลังจากเคยขึ้นมาแล้วหนึ่งครั้งและกระแสตอบรับดีเกินคาด นิตยสารหลายหมื่นเล่มถูกจับจองแถมยังรีปริ้นท์เพิ่ม ช่วงเวลากอบโกยของธุรกิจสิ่งพิมพ์ซบเซา ไม่ต่างจากนักแสดงหน้าใหม่ที่ต้องการพื้นที่สื่อ

อาคิราไม่เคยก้าวก่ายงานของคนรัก เช่นเดียวกับศิรัสที่ไม่เคยแง่งอนเวลาแฟนไม่ค่อยกลับคอนโด เนื่องจากงานทั้งหลายที่รัดตัว บางทีบินไปประชุมที่วิชาการที่ต่างประเทศนานหลายวัน มีแค่ความคิดถึงและเป็นห่วงสุขภาพจากการสื่อสารโซเชียลทางไกลเท่านั้น นับว่าทั้งสองเรียนรู้ที่จะเติบโตในทางเดินของกันและกันอีกหนึ่งสเต็ป

“เสี่ยเมฆใจดีอีกละ” ศิรัสพูดขึ้นหลังคาดเบลท์ ฆิฆาทัศน์อาสาพาไปส่งเพื่อนเพราะเห็นว่าจะไปเอาของให้คุณแม่ช่วงสี่โมงแถวนั้น พอโทรถามทางสตูดิโอว่าสามารถให้เพื่อนไปนั่งรอได้หรือไม่ก็ได้รับอนุญาตว่าไม่ติดอะไรแค่อย่าถ่ายรูปลงโซเชียลก็พอ

“ว่าแต่วันนี้ถ่ายแบบอะไรกัน หมายถึงถ่ายแบบไหน” สารถีถามขึ้น ก่อนที่เพื่อนที่นั่งข้างหลังอีกคนจะตอบ “ถ่ายให้แบรนด์ดีไซเนอร์ไทยอะ คอนเซ็ปต์ก็โตๆ หน่อย ไม่ได้ดูวัยรุ่นจ๋าแบบครั้งก่อน”

“แต่เห็นว่าวันนี้จะมีดีไซน์เนอร์จากเกาหลีมาด้วยนะ จะมาหานายแบบไทยไปเดินแบบให้ห้องเสื้อเขาอะ” ศิรัสพูดพลางกดมือถือส่งข้อความหาคนรักว่าตัวเองกำลังจะไปทำงานแล้ว พร้อมส่งกำลังใจให้คุณหมอที่มีเคสต์ผ่าตัดช่วงบ่ายเช่นกัน “กูไม่ได้ยืนหนึ่ง ฮ่าๆ อย่างอาโปว่าไปอย่าง”

“ใครจะรู้”  ชโลทรตอบยิ้มๆ เพื่อนที่ไม่เคยมั่นใจในตัวเอง แม้จะเจอแสงแฟลช แสงสปอตไลท์ส่องมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังตื่นเต้นและไม่มั่นใจกับตัวเองอยู่ร่ำไป ทั้งที่ไม่ใช่แค่น่ารัก แต่ดูดี มองไม่เบื่อ มันเป็นเสน่ห์ที่ไม่ใช่ใครก็มีได้

สามเกลอมาถึงสตูดิโอขนาดใหญ่ที่จะใช้เป็นโลเคชั่นสำหรับวันนี้ เป็นอาคารรูปทรงหลากหลาย แต่พวกเขาตรงไปยังอาคารโกธิคที่จะใช้เป็นสถานที่หลักสำหรับงานวันนี้ ไม่รีรอรีบล้างหน้าล้างตาเพื่อแต่งหน้า โดยนักแสดงคนอื่นๆ ก็เดินทางมาพร้อมกัน นักแสดงชายในเรื่องยกเว้นพระเอกที่ปฏิเสธงานทั้งหลาย ต่างจับจองช่างแต่งหน้าฝีมือดี

“ศิ อาโป มากันแล้ว!” เสียงสดใสจากผู้ชายที่กำลังลงรองพื้นบนผิวเนียนละเอียดทักทายเพื่อนสองคนที่มาถึง “อ้าวเมฆมาด้วยหรอ” คนถูกทักยกมือแล้วยิ้มให้บางๆ พูลล์ยังคงเป็นคนน่ารักไม่เสื่อมคลาย

“พี่ๆ ครับนี่เมฆเพื่อนศิกับอาโป วันนี้ขอมาดูงานด้วย” ฆิฆาทัศน์ยกมือสวัสดีช่างแต่งหน้าทำผมและสไตล์ลิสต์ในห้อง ก่อนจะหาที่นั่งไม่ให้เกะกะการทำงาน


ชุดสูทคุมโทนสีเข้มขรึม รวมไปถึงลายตาลางของดีไซน์เนอร์ไทยถูกสวมโดยไม้แขวนหน้าตาดีที่ถูกแต่งแต้มโดยเครื่องสำอางให้เขากับคอนเส็ปต์ในวันนี้

“ภัทรกับอาโปไปยืนข้างหลังนะ ส่วนศิ พูลล์เดี๋ยวนั่งตรงกลาง เงินกับปาล์มขนาบข้าง โอเคครับ ไป ดี ดีครับ” ช่างภาพชักภาพไป นายแบบมือใหม่ต่างก็โพสต์ท่าตามอารมณ์ที่ถูกบรีฟมาก่อนหน้านี้

“โอเค เปลี่ยนชุดได้เลยครับ”

“น้องศิ น้องพูลล์ พี่ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ” ทีมงานสาวแต่งตัวสมกับทำงานให้กับแบรนด์เสื้อผ้าเดินมาเรียกนายแบบที่คล้ายกันอย่างกับฝาแฝด

“ครับ/ครับ” ศิรัสและพีทพลมองตากันอย่างงงงวย ที่ทำไมถึงถูกพี่ผู้หญิงสุดเฉี่ยวคนนี้เรียกแค่สองคน

“พอดีทางคุณคิมเขาอยากให้พี่มาคุยเรื่องที่จะให้น้องสองคนถ่ายแบบให้ทางห้องเสื้อเขาน่ะค่ะ”

“ผมหรอ/พูลล์ด้วยหรอครับ” ทั้งสองเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าจะถูกหวยขนาดนี้

“ค่ะ น้องทั้งสองคนเลย ถ้าสนใจเสร็จงานแล้วเดี๋ยวเราคุยกันอีกทีนะคะ”

“คะ ครับ” เสียงศิรัสตอบรับ ขณะที่พีทพลอ้ำอึ้งไปกะทันหัน

“ศิ! นี่จริงใช่ป่ะ เราไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยอะ”

“เราก็ถามตัวเองอยู่”

“เรารู้มาว่าแบรนด์เสื้อผ้าเขาอะ ได้รับความสนใจมากๆ ในปีที่ผ่านมาด้วย โหยตื่นเต้นอะ ทำไมเลือกเรา งื้อ” พีทพลจับบีบแก้มตัวเองแรงๆ หนึ่งทีพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป



“ทางคุณคิมเขาบอกว่าอยากให้น้องทั้งสองคนถ่ายแบบเป็นแอดหน้าร้านเขาน่ะค่ะ” หลังจากเสร็จงานถ่ายแบบแล้ว เพื่อนรักทั้งสองคนที่ถูกเชิญมานั่งคุยกับดีไซน์เนอร์หญิงชาวเกาหลีใต้ โดยเธอแจ้งความประสงค์และรายละเอียดงานผ่านล่าม โดยมีทางเออาร์ของพีพีมีเดียนั่งฟังข้อตกลงด้วย ในฐานะผู้ดูแลศิลปินแม้จะไม่ได้เซ็นต์สัญญาเป็นศิลปินในค่าย แต่ถึงอย่างไรก็อาจจะต้องคีพคาแร็กเตอร์ของตัวศิลปิน ตามสัญญาก่อนรับเล่นซีรีส์

ศิรัสและพีทพลตั้งใจฟังคอนเส็ปต์ของงานที่ว่า และปรึกษาเออาร์ของบริษัทอีกที โดยทั้งสองไม่ได้ติดเรื่องคอนเส็ปต์สักเท่าไหร่ แต่กลัวจะติดเรื่องภาพลักษณ์ของบริษัทมากกว่า เลยจะแจ้งอีกครั้งผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด

“ศิฟังแล้วว่าไง”

“อืม เราว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ”

“คงไม่มีใครรู้หรอกเนอะว่าเป็นเรา”

“อื้อ อีกอย่างก็ใช้แค่ในเกาหลีด้วยอะ”

เพื่อนรักสองคนพยักหน้าให้กันอย่างเข้าแกเข้าใจ ต่างจินตนาการถึงการร่วมงานกับต่างชาติในฐานะนายแบบครั้งแรก โดยก่อนหน้าเคยไปจัดแฟนมีตติ้งหลายประเทศมาแล้ว และกำลังจะจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลี ทางดีไซน์เนอร์ทราบเรื่องก็เลยอยากใช้กระแสของซีรีส์นี่แหละมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด เพราะแบรนด์ของเธอเป็นสไตล์ยูนิเซ็กส์ ก็คือสามารถใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง และจะบุกตลาดเพศที่สามของที่นู้นด้วย แม้สังคมจะไม่ค่อยยอมรับแต่เธอกลับมองเห็นกำลังซื้อที่สูงจากกลุ่มคนเหล่านี้และนั่นจะทำให้แบรนด์ของเธอตอบคำถามต่อสังคมชายเป็นใหญ่ว่ามันคร่ำครึไปเสียแล้ว


ทางทีมงานสั่งอาหารมาเลี้ยงทุกคนโดยใช้บริการเดลิเวอรี่และดูเหมือนทุกคนจะวุ่นวานไปเสียหมดจนลืมไปรับอาหารที่สั่งไว้ ฆิฆาทัศน์เห็นมีผู้ชายใส่หมวกและชุดของบริการรับส่งอาหารมาด้อมๆ มองๆ บริเวณประตูทางเข้าสตูอยู่นานสองนาน และเหมือนพยายามโทรหาใครบางคน เขาเลยตัดสินใจเข้าไปสอบถาม

“ติดต่อใครหรอครับ”

“ติดต่อคุณพีทครับ พอดีผมเอาอาหารมา..ส่ง”

น้ำเสียงคุ้นหูชวนประหลาดใจก่อนจะเงยหน้าไปพบกับผู้ชายคนนั้นที่เราไม่ได้เจอกันมาหลายคืน

“เธอ”

“เอ่อ คุณ สวัสดีครับ” คนตรงหน้าเอ่ยขึ้น และหลบตา

“นี่ทำงานกี่อย่างกัน แล้ววันนี้ไม่เรียนหรือไง ทำไมมารับส่งอาหารด้วย” พลางคิดในใจว่าคนๆ ทำไมต้องทำงานมากมายขนาดนี้ การเป็นนักร้องควบบาร์เทนเดอร์มันไม่หนักหนาไปแล้วสำหรับเด็กปีหนึ่งหรือ นี่ยังมาขับมอเตอร์ไซค์ตากแดดส่งอาหารอีก

“คุณช่วยรับของแทนได้มั้ยครับ พอดีจะต้องไปส่งอีกที่” คำถามถูกผลักตกไป จำใจเซ็นต์รับของและรับจากถุงอาหารจากร้านดังมากมายมาถือไว้

“ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ” ผู้ชายตัวเล็กกว่ายกมือไหว้ก่อนจะคล่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว เรียกแทบไม่ทัน จากวันนั้นที่เจอผู้ชายคนนี้ที่มหาวิทยาลัยใจมันก็เต้นเป็นจังหวะแปลกๆ อยากไปพบเจอเขาที่บาร์ในคืนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่กลัวว่ามันจะย้ำอะไรบางอย่างให้ชัดเจน ไม่อยากจะเริ่มต้นเพราะแค่นั่นเป็นเรื่องสบายใจที่ฉาบฉวย แต่พอได้เจอวันนี้อีกครั้ง จากที่กลัวว่ามันจะย้ำ มันยิ่งชัดว่าอยากรู้จักให้มากขึ้น รอยยิ้มสดใสในวันนั้นหายไปแท้จริงแล้วอันไหนคือรอยยิ้มแท้จริงกันแน่

พอทางการตลาดและฝ่ายดูแลศิลปินไม่ติดเรื่องคอนเส็ปต์ในการถ่ายแบบนี้ รวมถึงการพูดคุยการเผยแพร่โฆษณาชุดนี้กับทางดีไซน์เนอร์แล้ว แพลนวันถ่ายทำร่วมถึงการเตรียมตัวของนายแบบทั้งสองคนว่าดีไซน์เนอร์ต้องการให้ร่างกายของนายแบบเพอร์เฟ็คในระดับที่จะเกิดการรีทัชให้น้อยที่สุดเพื่อความสมจริง

“นี่เราจะต้องไปทำแบบนี้จริง ๆ หรออาโป”

“นั่นดิ คือแบบมันก็น่าอายนะ”

“ต้องถอดหมดเลยใช่มั้ยอะ”

ศิรัสพลางปรึกษากับเพื่อนที่นั่งข้างคนขับ โดยที่เขาอาสาเป็นสารถีเพื่อที่จะไปคลีนิดเสริมความงามแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ สำหรับการ ‘ประทินผิว’

[My Sun]

“ครับ พี่ดิม”

(วันนี้พี่ออกเวรไว ว่าจะชวนศิไปกินข้าวข้างนอกตอนเย็น) ศิรัสกดรับโทรศัพท์สายสำคัญเสมอ เสียงทุ้มลอดผ่านลำโพงทำให้เพื่อนอีกคนได้ยินไปด้วย

“ศิมีไปเตรียมตัวถ่ายแบบอะ ที่บอกไว้เมื่อคืน”

(แล้วจะเสร็จกี่โมง ให้ไปรับหรือเปล่า)

“ศิเอารถมาด้วยอะวันนี้ งั้นกลับไปเจอกันที่บ้านดีมั้ยอะ”

(ทำไมงานนี้ดูเป็นความลับจังหื้ม)

“ไม่ใช่ซะหน่อย” พีทพลได้ยินเพื่อนลากเสียงยาวแล้วก็อดขำในใจไม่ได้ เพราะเขาก็โดนแฟนตัวดีซักไซ้ไม่ต่างกัน ทั้งที่งานมันไม่มีอะไรแต่ทำไมพวกเขาสองคนถึงคิดตรงกันว่ายังไม่ควรบอก เพราะเกรงในใจลึกๆ ว่าผู้ชายสองคนจะต้องทัดทานแน่นอน ทั้งที่มันเป็นทั้งโอกาสและรายได้ที่ดีพอสควร

“น้านะ ไปเจอกันที่บ้านนะครับลุง” สรรพนามใหม่ที่ศิรัสเพิ่งลองใช้ดูแล้วคนถูกเรียกไม่โกรธ กลับหัวเราะหึในละคอและหันไปสนใจเท็กบุ๊กส์เล่มหนา เลยได้ใจเรียกมาเรื่อยๆ แต่ก็มีเวลายกเว้นคือขณะที่ทำกิจกรรมอย่างว่า ถ้าเรียกเขาจะยิ่งมีแรงฮึดและคนเรียกไม่ต้องหลับต้องนอนตลอดคืน

ศิรัสวางสายจากคนรักก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนที่นั่งข้างกัน “เราไม่ได้บอกพี่ดิมอะ คือมันรู้สึกทะแม้งๆ ว่ายังไงเขาต้องห้ามแน่ๆ”

“เหมือนเราเลย พี่ภีมต้องฆ่าเราแน่”

“เนอะ” สองสหายจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น และทำเป็นว่ามันจะผ่านไปได้อย่างดี

ร้านเสริมความงามที่ส่วนมาลูกค้าจะเป็นผู้หญิง วันนี้มีผู้ชายหน้าตาดูได้สองคนเดินเข้าร้าน พอแจ้งชื่อก็รู้ว่าทางทีมงานของห้องเสื้อเขาจองคอร์สไว้แล้ว

นี่มันคอร์สเตรียมถ่ายแบบหรือคอร์สเจ้าสาววะเนี่ย! ทั้งทำเล็บ นวดตัว ขัดผิว นวดหน้า กระทั่งโกนขนที่ลับทุกส่วนในร่างกาย…

“ศิเราต้องทำแบบนี้จริงหรอ คือ...เราไม่เคยแบบแก้ผ้าต่อหน้าใคร เอ่อ นอกจากแฟนอะ”

“เราก็ด้วย ทำไงดี”

“คุณลูกค้าเชิญเลยค่ะ ไม่ต้องอายนะคะ พนักงานของเราเป็นผู้ชายค่ะ” ศิรัสค้านในใจว่านั่นแหละที่ทำให้เขาอายไปกันใหญ่

เริ่มจากแว๊กซ์ขนขา ขนอ่อนตามลำตัว ไล่ไปถึงขนลับตรงนั้น ทางพนักงานไม่ได้แว๊กซ์อย่างที่พากันกังวลหมดไม่อย่างนั้นคงมีตะโกนด่ากันบ้าง เพียงแว็กซ์และจัดแต่งทรง(?) ให้ดูสะอาดขึ้นก็เท่านั้น

พีทพลแต่งตัวเสร็จก่อนออกมารอเพื่อนอีกคนที่กำลังจะออกมา แม้จะไม่ได้ถูกทำความสะอาดทั้งหมด แต่การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นนี่ทำเอาเขาอกสั่นขวัญแขวนเมื่อคิดถึงหน้าคนรักว่าถ้ารู้จะต้องโดนอะไรบ้าง

ไม่ต่างจากศิรัส ขณะขับรถกลับคอนโดคนรักก็จินตนาการไปถึงวันหนึ่งหากร่างสูงรู้เรื่องขึ้นมาว่าเขาแก้ผ้าต่อหน้าใครก็ไม่รู้ แถมยังโดนสัมผัสตัวนั่นนี่อีก ยังจำการขี้หึงของเขาได้ว่ามันมีอนุภาพร้ายแรงแค่ไหน แค่คิดก็ขนคอตั้งแล้ว


@Condo W

วันต่อมาก็ถึงคิวถ่ายแบบตามแพลน โลเคชั่นเป็นคอนโดต้นแบบราคาครึ่งร้อยล้านย่านเอกมัย ใช้ห้องราคาแพงที่สุดของโครงการมันจึงใหญ่โตโอ่โถง และถูกตกแต่งอย่างหรูหรามากทีเดียว ขนาดอาจจะเท่ากับเพนเฮ้าส์ของคนรัก ศิรัสคาดเดา แต่การตกแต่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยๆ ห้องของคุณหมอก็ไม่มีแชนเดอร์เรียใหญ่เท่ารถหนึ่งคันแขวนบนเพดานแบบนี้

พีทพลมาถึงก่อน รับทราบจากที่ไลน์คุยกัน วันนี้มีเออาร์ที่ทางบริษัทส่งมาดูแลด้วย รู้สึกอุ่นใจเล็กน้อยเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ต้องตัดสินใจกันเอง

ใบหน้าเราสองคนถูกแต่งแต้มอย่างพอดิบพอดีไม่ได้หนาเตอะ แต่บางเบาธรรมชาติ ดูสดใสและเน้นงานผิว ไฮไลท์หรืออะไรสักอย่างทำให้ผิวดูมีออร่าเหมือนดื่มน้ำวันละสามลิตรเป็นประจำ

“น้องศิ น้องพูลล์ เดี๋ยวเปลี่ยนชุดเลยนะคะ” พี่ทีมงานผู้หญิงคนเดิมเดินมาบอก

ชุดแรกสำหรับถ่ายวันนี้ เอ่อ...เสื้อเชิ้ตสีขาวหนึ่งตัว

“เซตแรก Morning suite เริ่มเลยนะครับ”

ไฟถูกเซตเป็นแสงแดดอ่อนยามเช้าสองผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา สองนายแบบโพสต์ท่าบนเตียงนอนขนาดใหญ่ มีพร็อพคืออาหารเช้าแบบฝรั่งจัดวางอย่างระเกะระกะดูไม่ตั้งใจ ช่างภาพชาวเกาหลีบอกจะไม่ถ่ายให้เห็นใบหน้าเต็ม แต่จะเห็นสัดส่วนร่างกาย และเน้นที่เสื้อผ้าเป็นหลัก

เชตที่สองเป็น afternoon tea เครื่องแต่งกายเป็นโค้ทเปิดไหล่ และเสื้อคลุมไหล่ โดยมีเอสเซสเซอรี่เพิ่มคือหมวกและเครื่องปรับดับอย่างแหวน ต่างหู กำไลเลท เราย้ายโลเคชั่นมาเป็นริมระเบียงกว้าง จากตรงนี้มองเห็นกรุงเทพฯ ในมุมที่เงินห้าสิบล้านซื้อมาแล้ว คุ้งน้ำเจ้าพระยาไกลๆ สุดมุมท้องฟ้า และตึกอาคารที่สวยงาม เซตนี้ก็เช่นเคยโฟกัสจะไปอยู่ที่เสื้อผ้าและร่างกายที่เผยออกจากเสื้อผ้าเล็กน้อยนั่น

ต่อมาเซต Day off เรียกได้ว่าเป็นชุดสบายๆ ใส่อยู่บ้านหรืออกไปแฮงเอาท์กับเพื่อนก็ได้ โลเคชั่นคือห้องนั่งเล่นกว้างขวางมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบถ้วน กางเกงขายีนส์ขาดขาสั้นมากอาจจะแค่สองคืบจากต้นขา ความเว้าแหว่งของมันทำให้เผยเนื้อหนังเล็กน้อย เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวที่สวมใส่ก็ดูน่ารักในแบบที่ผู้ใส่ก็น่าจะได้เหมือนกัน ช่างภาพให้เรานั่งเล่นเกม อ่านหนังสือ กินขนม

เซตสุดท้าย sexy leg จริงๆ ในตอนที่คุยกันครั้งแรกติดกับคอนเส็ปต์เซตนี้ที่สุดเพราะต้องใส่ชุดว่ายน้ำนี่แหละ แม้จะเห็นฝีมือของช่างภาพในเซตก่อนหน้ามาแล้ว แต่การที่ต้องร่วมเฟรมกับเพื่อนตัวเองและนายแบบคนอื่นด้วยมันค่อนข้างจะวาบหวิว ย้ายโลเคชั่นไปที่สระว่ายน้ำไม่เล็กไม่ใหญ่ข้างนอก นายแบบหน้าฝรั่งจ๋าหุ่นแน่นเดินเรียงรายเข้ามาด้วยชุดว่ายน้ำสีขาว ซึ่งต่างจากของศิรัสและพีทพลที่ดีไซเนอร์ออกแบบมาให้ดูโป๊น้อยกว่า ด้วยความยาวเท่าต้นขา และเป็นกางเกงที่เก็บสัดส่วนได้ดีกว่ากางเกงว่ายน้ำทั่วไป มาถึงตอนที่ต้องเข้าเฟรมนี่แหละ

“น้องศิเดี๋ยวคล่อมนายแบบคนทางซ้ายมือนะคะ ส่วนน้องพูลล์พิงนายแบบข้างหลังได้เลยค่ะ”

“OK great! so beautiful Next” ช่างภาพที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เล็กน้อยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปพูดกับล่ามแล้วเธอก็หันมาคุยกับเราที่หน้าเซต

“น้องศิเดี๋ยวคล้องคอนายแบบนะคะ เอาตัวแนบเข้าไปอีกค่ะ” ภายในใจศิรัสระส่ำระส่ายไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นขนาดนี้มาก่อน 

“นายแบบคะ คนที่น้องพูลล์พิงอยู่ เอานิ้วมาเกี่ยวกางเกงน้องหน่อย ล้วงเข้าไปเลยค่ะ” ล่ามที่แปลภาษาก็ไม่ปราณีปราศัยเท่าไหร่เลย พีทพลหน้าเจื่อนมากแต่ก็พยายามแสดงสปิริตของการทำงาน ท่องในใจวนหลายรอบว่ามันคืองานและมันจะออกมาดี

“OK finished!  checking ”

จะบอกว่ามันแทบจะดูไม่โป๊เลย กลับดูน่าค้นหา วับๆ แวบๆ อย่างที่ให้คนดูจินตนาการเอาเองว่าแท้จริงแล้วคนในภาพเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะมีภาพหนึ่งเท่านั้นที่ดูจะเซ็กซี่มากก็ตรงที่เห็นสะดือจุ่นของศิรัสรวมไปถึงหน้าท้องแบนราบมีไลน์ไล้ลงใต้ร่มผ้าเล็กน้อยจากการถูกบังคับให้ออกกำลังกาย นอกจากนั้นรูปก็ดูเป็นแฟชั่นและศิลปะมากทีเดียว

งานไปเป็นได้ตามที่พูดคุยจะบอกว่าเป็นงานเห็นความลับก็ไม่ใช่ จะเปิดเผยก็ไม่เชิง เพราะแทบจะไม่เห็นหน้านายแบบเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโคลสอัพดวงตาบ้างก็เท่านั้น เพราะทางห้องเสื้อมีแพลนจะเปิดตัวเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายด้วย

ดูรวมๆ แล้วไม่มีทางรู้ว่าคือศิรัส และพีทพล นักแสดงจากประเทศไทย






หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-1 (15/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 28-10-2018 22:29:03
Peem’s Part

ผมสังเกตว่าสองสามวันมานี้แฟนผมดูน่ารักขึ้นแปลกๆ ตั้งแต่บอกว่าจะไปถ่ายแบบให้ดีไซน์เนอร์ของเกาหลี เคยถามรายละเอียดแล้วก็อ้อมแอ้มตอบไม่เคยชัดเจนว่าสรุปคอนเส็ปต์คืออะไร เห็นต้องเตรียตัวอะไรหลายอย่าง และเขาก็ดูจะตื่นเต้นกับการร่วมงานกับชาวต่างชาติครั้งแรก

วันนี้พูลล์จะมาหาที่บ้าน เป็นจังหวะดีเพราะไม่มีใครอยู่เนื่องจากทุกคนไปเที่ยวต่างประเทศกันหมด ผมอาสาดูแลบ้านโดยนัยคืออยากใช้เวลาอยู่กับคนรักหลังจากโหมงานติดต่อกันหลายสัปดาห์

ติ๊ง เสียงแมสเสจดังขึ้น ผมละจากอาหารเช้าตรงหน้าแล้วเปิดข้อความใน i message

คุณดิม

‘เผื่ออยากแชร์วิธีทำโทษเด็กที่แอบไปทำงานแบบนี้มา’


ข้อความสั้นๆ แนบรูปถ่ายป้ายโฆษณาที่มีตัวอักษรภาษาเกาหลี คิดว่าคงมีคนส่งมาจากเกาหลีให้คุณหมออีกที ซึ่งมองเผินๆ จะเห็นว่าเป็นการขายเสื้อผ้าจริงจัง เพราะไม่เห็นหน้านายแบบเลย แต่เดี๋ยว! ไฝเล็กๆ ตรงขาด้านในของนายแบบที่กำลังพรีเซนต์ชุดว่ายน้ำอยู่นั่นเอาทำผมตาโต และหัวร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีภาพในชุดเสื้อเชิ้ตทรงโอเวอร์ไซส์ โดยนายแบบนอนราบบนเตียงพร้อมกับอาหารเช้า ผ้ามันบางมากถึงกับเห็นตุ่มไตที่หน้าอก และรอยปานสีแดงเล็กๆ ตรงเนินอกนั่น ใครจะจำร่างกายแฟนด้วยเองไม่ได้วะถามหน่อย!

ผมตอบกลับคุณหมอไปถึงวิธีการของตัวเอง แล้วได้รับอิโมจิยกนิ้วมาให้

น้องพูลล์กล้าดียังไงให้คนทั้งเกาหลีเห็นขาอ่อน!

คิดวนหัวร้อนจนตกบ่าย เด็กตัวดีก็ขับรถเข้ามาในอาณาบริเวณบ้านของผมอย่างไม่รู้เรื่อง คงแอบผิดสังเกตหน่อยที่ผมไม่โทรถาม ไม่คะยั้นคะยอให้รีบมาเหมือนทุกที ผู้ชายตัวเล็กกว่าผมสิบกว่าเซ็นต์หอบหิ้วถุงขนมและอาหารการกินนานาจิปาถะที่ชอบซื้อมาเสมอ พร้อมกับไอแพดและมือภือหนีบรักแร้มาด้วย

“พี่ภีม มาช่วยกันหน่อยซี ไม่เห็นหรอว่าของเยอะอะ” มาถึงก็โวยวายทันที ทั้งที่เรียกหนูแดงเด็กในบ้านก็ได้ และคราวนี้ผมนิ่งเฉยไม่พูดจาทำท่าสนใจจอไอแพดตรงหน้าอย่างกับว่าหุ้นที่ซื้อดิ่งลงเหว แต่เปล่าเลยอารมณ์ตอนนี้ต่างหากที่ดิ่ง

“เรียกไม่ได้ยินหรอ หื้อ” เขานั่งลงบนแขนโซฟาก่อนจะเอามือนุ่มมาหยิกแก้มไปมา “ทำไมหน้าบึ้ง หุ้นตกหรอครับ” พอเขาจับสังเกตได้ว่าผมไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนอย่างเลย คนตัวเล็กก็หงอยลงไปนิดหน่อย

“เปล่าครับ”

“แล้วเป็นอะไรอะ ทำไมดูไม่ดีใจที่น้องมาหาที่บ้าน ไม่งั้นกลับก็ได้นะ” น้ำเสียงติดจะแง่งอนและเตรียมตัวจะลุกออกไป ความคุกรุ่นในใจมันก็เพิ่มพูนขึ้นก่อนจะลากแขนเล็กนั่นให้ขึ้นไปบนห้องนอนจะได้สะสางสิ่งที่มันรบกวนหัวใจและปลุกอารมณ์ปีศาจร้ายในตัวให้พลุ่งพล่านแบบนี้

“เดี๋ยวสิพี่ภีมเป็นอะไร ทำไมต้องลากน้องแบบนี้ด้วย” ควักมือถืออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโชว์รูปที่เซฟจากข้อความมาให้คนตรงหน้าดูว่าผมควรจะโกรธเขาไหม

คนรักของผมตอนนี้ทำตาโตและอึ้งไปกับสิ่งที่เห็น คงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนเห็นแม้จะไม่ได้เปิดเผยล่ะสิ หึ เด็กขี้โกหก

“น้องจะอธิบายว่ายังไง น้องก็รีบพูดมาเลย” ยืนกอดอกหันหลังให้เขา ถามว่าโกรธมากขนาดนั้นมั้ย จริงๆ ก็ไม่ได้มากขนาดนั้นแต่ น้อยใจ มากกว่า มันแปลความหมายได้ว่าน้องคิดว่าผมไม่เข้าใจงานของเขามากพอ ไม่แม้แต่จะปรึกษากันว่าควรทำหรือไม่ ตรงกันข้ามที่ผมบอกน้องทุกเรื่องในชีวิต

“พี่ภีม คือน้องคิดว่ามันเป็นงานที่ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างก็มีศิทำด้วย มันเป็นงานแรกที่ได้ทำงานร่วมกับทีมงานต่างชาติเลยนะ”

“...”

“อีกอย่างก็ได้ค่าขนมเยอะเลย”

“...”

ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยยืนกอดอกนิ่งให้รู้ไปเลยว่าไม่พอใจ และรู้สึกว่าชายเสื้อถูกดึงเบาๆ ไม่อยากหันไปเห็นหน้าจ๋อยๆ เหมือนน้ำเสียงที่เขาพูด ไม่งั้นก็ได้ใจอ่อนและเด็กคนนี้ก็จะคิดว่าผมโกรธไม่เป็น

“พี่ภีม....น้องพูลล์ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

“ไม่ใช่แค่น้องไม่บอก แต่น้องจงใจปิดพี่ และโกหกพี่ด้วย”

“ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่!” ปฏิเสธทันควัน เสียงสั่นเจื่อปนมาด้วย

“ถ้าบอกพี่คิดว่าพี่จะห้ามไม่ให้ไปทำใช่มั้ย แล้วคิดมั้ยว่าถ้าพี่มาเห็นทีหลังพี่จะรู้สึกยังไง กับการที่แฟนตัวเองโชว์นั่นโชว์นี่ให้คนอื่นเห็น”

“คนอื่นไม่รู้นี่”

“แต่พี่รู้ไง!” ผมเผลอใช้เสียงดัง มือเล็กกำชายเสื้อแน่นขึ้นก่อนที่เสียงสะอื้นเบาๆ จะดังขึ้น เลยหันหน้ากลับมากอดเขาแน่นแนบอก น้ำตาที่ไหลมาจากไหนไม่รู้มากมายทำเอาชุ่มจนเสื้อเปียก

“ถ้าสมมติน้องโดนหลอกแล้วงานพวกนี้มันมีมากกว่าที่เขาถ่าย ถ้าไปโผลในพวกเว็บขายทำยังไง พี่เป็นห่วงรู้มั้ย” คนร้องไห้พยักหน้ากับอกก่อนจะผละตัวเองออกมามองหน้ากัน ใบหน้าเปื้อนน้ำตาอาบแก้มไม่รู้ว่าสำนึกผิดหรือเสียใจที่โดนผมดุกันแน่ ตาแดงๆ ก็ทำเอาใจอ่อนยวบไปหมดแล้ว ใครจะชอบเวลาแฟนร้องไห้ เขาร้องมามากพอแล้วกับผม แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้ที่จะทำแบบนี้จริงๆ พอได้เห็นรูปนั่นแล้วในหัวก็จินตนาการไปต่างๆ นาๆ เป็นห่วงมาก่อนเลย และหวงเขาขึ้นอีกร้อยเท่า

“พี่หวงน้องเข้าใจมั้ย” ใช้นิ้วปาดน้ำตาข้างแก้มขาวก่อนจะก้มลงไปจุมพิตอย่างที่ชอบทำ “พี่ไม่เคยเห็นน้องเป็นสิ่งของ หรือไม่อยากให้ร่างกายน้องต้องเป็นของพี่ น้องมีสิทธิ์ในตัวเองทุกอย่าง และน้องมีค่ากับพี่มากกว่าที่ตัวน้องเองจินตนาการถึง”

“พี่ภีม น้องขอโทษจะไม่ทำอีก” คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาแนบมือผมอีกชั้น สายตาฉ่ำวาวจากการร้องไห้ทำให้เขาน่าเอ็นดูขึ้นเป็นกอง

“ครับอย่าทำอีกเลย พี่ใจจะขาด”

“อื้อ”

“ถ้ามีงานแบบนี้อีกบอกกันหน่อยนะ อย่างน้อยๆ พี่จะได้รู้ว่ามันปลอดภัย” เขาพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ และผมก็ทำเช่นเดียวกัน เคลียร์กันแล้วใช่ว่าเด็กที่ทำผิดจะไม่โดนลงโทษนี่ใช่มั้ย?
 
พาน้องมานั่งที่เตียงใหญ่ กิจกรรมอย่างว่าไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่ทั้งที่มันเหมาะนะเอาจริงๆ น้องเคยมานอนเล่น เกลือกลิ้ง นอนกลางวัน แต่ไม่เคยแตะต้องน้องที่นี่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่วันนี้ก็ไม่แน่

“ทำไมพี่ถึงเห็นแอดพวกนี้อะ”

“คุณหมอดิมส่งมาให้ครับ”

“เห้ย! จริงดิ งั้นศิก็ซวยเหมือนกันหรอ”

“คิดว่าเพื่อนน้องจะรอดหรอ คุณหมอดูโกรธทีเดียว” เกลี่ยผมสีน้ำตาลอ่อนเส้นเล็กดัดลอน น้องเพิ่งดัดผมมาไม่กี่วันก่อนก็หลังจากที่หนีไปทำงานนั่นแหละ เพราะเห็นว่าจะไปแคสต์ซีรีส์เรื่องใหม่ แต่งานนี้หายห่วงเป็นซีรีส์วัยใสไม่ใช่ซีรีส์วายด้วยซ้ำ

“พี่ภีม…”

“หื้ม” สายตาละห้อยของคนตรงหน้าส่งมาให้ มันเจื่อปนด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เด่นชัดที่สุดคือรู้สึกผิด อาจจะเพราะน้องไม่เคยโกหกผมเลย หนักสุดแค่ปกปิดความรู้สึกแต่การกระทำเขาชัดเจนเสมอ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกเลยที่น้องเป็นแบบนี้

เข้าทาง

“น้องจะไม่ทำแบบนี้อีกนะ จริงๆ ก็ลืมคิด ไว้ใจทีมงานมากเกินไปจริงแหละ สมมติรูปที่มีมันมากกว่าที่ถูกปล่อยออกมา ต้องแย่แน่เลย”

“ยังไม่นับรวมถ้ามีคนจำได้ แฟนคลับน้องน่ะธรรมดาที่ไหน”

“ไหนบอกพี่ได้มั้ยว่าไปโชว์ตรงไหนอีก หื้ม” ทำท่าจับส่วนนั้นส่วนนี้น้อง จะได้ดูไม่ละลาบละล้วง หรือเผยเจตจำนงของตัวเองจนเกินไป กลัวไก่ตื่น

“ก็มีตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้” น้องเลิกเสื้อขึ้นตรงไหน หน้าท้อง และต้นขา โถ่เด็กน้อยช่างไม่รู้อะไรเลย “แต่ว่ามันไม่เห็นหมดนะ นิดๆ หน่อยๆ”

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ

ไม่รอช้าในคนตรงหน้าคิดนาน กดจุมพิตบนร่างกายตามจุดที่น้องบอกทันที และก่อนที่เขาจะส่งเสียงถ้อยคำด่า ก็กดจูบลงบนริมฝีปากที่ค้างเติ่งเพราะตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของผม

ไม่รอช้าในคนตรงหน้าคิดนาน กดจุมพิตบนร่างกายตามจุดที่น้องบอกทันที และก่อนที่เขาจะส่งเสียงถ้อยคำด่า ก็กดจูบลงบนริมฝีปากที่ค้างเติ่งเพราะตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของผม

ผลักไหล่บางลงบนเตียงกว้างที่เคยมีผมเป็นเจ้าของคนเดียวมาโดยตลอด ขณะนี้กำลังจะมีเจ้าของร่วมอีกคน พูลล์พยายามจะพูดบางอย่างเขาส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ทว่าผมไม่ปล่อยให้น้องปรามาสอะไรอีก แค่นี้ก็ทนมาเกินพอแล้ว ทนให้คนอื่นเห็นส่วนที่ผมอยากเห็นคนเดียว ทนให้น้องอ้อนแบบที่เขาไม่รู้ตัว และทนต่อการเรียกร้องในใจไม่ไหวอีกต่อไป

“ฮะ พะ พี่จะทำที่นี่จริงหรอ หื้ออ คุยกันหน่อยสิ” ผละจากการสำรวจซอกขาด้านในของคนรักเพื่อมาตอบเขาสักหน่อย

“ครับจะทำ แรงด้วย” ความหมันเขี้ยวพูดจบเลยขนซอกขาที่แน่ใจว่าใส่กางเกงสั้นแค่ไหนก็ไม่เห็น ถ้าเห็นก็คือใส่กางเกงในแล้วล่ะ ซึ่งนั่นควรเป็นตัวน้องและผมที่ได้เห็นมัน “ขออุทธรณ์แต่ยังไงก็ต้องถูกลงโทษอยู่ดีนะครับ”

“อื้ออออ ยะ อย่า อื้อออ พะ ภีม” เสียงทัดทานไม่เคยทำให้ผมละออกจากร่างกายที่เหมือนอาหารรสเลิศที่ชวนลิ้มลองอย่างไม่รู้เบื่อ ค่อยละเลียดชิมทุกสัดส่วนอย่างใจเย็นเสมอ เป็นอาหารรสชาติที่โปรปราณสำหรับผมตลอดกาลเลยก็ไม่ผิด ใช้ปากสำหรับส่วนนั้นดูดดึงเน้นคลึง ว่าจะไม่ถอดปากออกแต่คนใต้ร่างใช้มือผลักไหล่ผมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างกระตุกเกร็ง

“หื้ออออ ภีมบ้าว่ะ” สรรพนามไร้คำนำหน้าเป็นความต้องการของผม อยากจะให้เวลาที่เราทำรักไม่มีกฏเกณฑ์อะไร มีแค่เราที่เสมอกัน เป็นความสุขให้กัน อันนี้คิดในมุมเท่ๆ แต่ความจริงเป็นรสนิยมความชอบโดยส่วนตัวของผมเอง แต่แค่ยังไม่กล้าบอกคนใต้ร่างที่นอนหอบหายใจรุนแรง ว่าอยากให้เขาพูดทุกอย่างที่รู้สึกขณะที่ทำรักกัน ซึ่งวันนี้ได้โอกาส

เอื้อมมือไปควานหาเจลและอุปกรณ์ป้องกันออกมาจากลิ้นชักข้างหัวเตียง พูลล์ตัวแดงหน้าแดงขณะที่ผมใช้ปากฉีกฟลอยด์ถุงยางและสวมใส่ส่วนที่แข็งขืนต่อหน้าเจ้าตัว ก่อนจะบีบเจลใส่มือก่อนจะป้ายไปยังส่วนนั้นของน้อง

“ถ้าไม่เตรียมตัวมาเธอแย่แน่ๆ ภีม” ผมยกยิ้มกับสรรพนามนี้ ‘เธอ’ ชอบชะมัด ฟังแล้วคันในใจยิบๆ อีกอย่างน้องเตรียมตัวมาพร้อมเหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีเหตุการณ์นี้ ที่บอกจะทำแรงไม่แรงเดียวแล้วล่ะหลายแรงน่าดู

ร่างกายของเราสอดประสานราวกับบทเพลงที่ถูกแต่งใหม่ทุกครั้ง ท่วงทำนองที่บรรเลงด้วยหัวใจที่นำทางมันไม่เคยซ้ำกัน มิใช่เพราะเราหาลูกเล่นหาสิ่งใหม่อะไรมาเพิ่มสีสัน แต่เพราะเราสองคนนี่แหละที่ไม่รู้สึกพอในรสสัมผัสที่ต่างฝ่ายมอบให้กัน มันแปลกใหม่ราวกับเป็นดอกไม้ผลิบานในดินแดนใหม่เสมอ

“อื้อออ แรงไปแล้ว ชะ ช้าหน่อย”

“เจ็บมั้ย”

“ซอยถี่ขนาดนี้แล้วมาถามว่าเจ็บมั้ย อ๊ะ อ๊ะ อื้อ” ไม่ต้องรอให้คนใต้ร่างที่โดนเปลี่ยนเป็นทา dogy พูดจบ เพราะคำพูดตรงๆ จากปากเขาทำเอาแรงที่มีมาเพิ่มจากไหนไม่ทราบ จับเอวบางแน่นก่อนจะสวนกระแทกเข้าจุดเดิมแรงกว่าเดิม บอกตามตรงว่าชอบครับชอบให้น้องพูดลามกๆ

“บะ บอกหน่อยว่ารู้สึกยังไง ที่รักครับ”

“ฮะ ฮื้ออ สะ เสียว เธอจะ...เสร็จ” รีรอได้ที่ไหนในเมื่อคนใต้อาณัติพูดขนาดนี้ กระแทกกระทั้นอย่างไม่บันยะบันยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเจ็บเพราะฟังจากเสียงคงไม่เจ็บ ที่เจ็บน่าจะเป็นคอมากกว่าจากเสียงครางสุดรัญจวญใจ

“พร้อมกันนะ” เสียงพร่าของตัวเองบอกคนรักก่อนจะใช้แรงขยับอีกไม่กี่ครั้งก่อนที่คนใต้ร่างจะเกร็งช่องทางรัก จับส่วนนั้นของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วเกือบจะถอดเครื่องป้องกันไม่ทัน ของเหลวสีขุ่นขาวเปรอะเปื้อนหน้าท้องขาวที่ยุบพองจากการหอบหายใจอย่างรุนแรง

“จะต่อเลยหรอ” น้องถามเพราะผมฉีกถุงยางอีกชิ้นและสวมเข้าอวัยวะที่ยังแข็งขืนอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดของรอบที่แล้วเลย

“อืม” ผมตอบรับในลำคออย่างง่ายๆ สบายๆ ก็วันนี้เป็นคนคุมเกมนี่นา อีกอย่างน้องก็ดูจะไม่ขัดอะไรเพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ นานๆ ทีไอภีมคนนี้ไม่ต้องอ้อนวอนขอมีอะไรกับแฟนนะครับ ถือว่าเป็นแต้มบุญแล้วกันที่อดเปรี้ยวมาตลอด



ไปเจอในบอร์ดเนติเซนเกาหลีเขาถามหานายแบบในแอดนี้กันเพียบ พวกแกว่าคุ้นๆ ป่ะวะ *แนบรูป* /ล้มมมมมมมมม #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
นี่อยู่เกาหลีจ้า แอดนี่ขึ้นเต็มเมียงดงเว่อร์ คือตาคุ้นมากกกกกกก ถ้าถอดคอนแท็กเลนส์ออกนี่ใช่เลยป่ะ อิลูกกกกกกกกกกก #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
เหมือนดีไซเนอร์คนนี้เขาเพิ่งมาไทยป่ะ เนี่ยรูปในไอจีเมื่อไม่นานเอง หรือว่าที่น้องไปถ่ายแบบวันนั้นวะ เพราะเขาเช็คอินที่นั่นด้วย กรี๊ดดดดดดดดด อิภาพตอนเช้ากับสะดือขาวๆ นั่น หัวนมนั่น อิดอกกกกกกกก #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
กูเป็นแม่น้องเกือบปีจะจำไฝสีน้ำตาลที่นิ้วชี้ลูกไม่ได้หรอวะ #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
จริงๆ ขาดเซตที่มีลูกไม้ป่ะวะ แบบบางๆ งี้อะ แงงงงงง เจจีวีเว่อออออ #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
   Reply แบบนี้ป่ะคะ *แนบรูป* /หืดหอบ
#ประเทศกูมี นายแบบผู้ชายที่หุ่นเหมือนผู้หญิง จนผู้ชายเกาหลีตามกันให้วุ่น คือไรรรร #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา
   Reply  พระนพดลสิริวฺโส : ประเทศกูมีพระหัวโปกใส่สะบงและเหมือนผู้หญิงนะโยม
   Reply ค่อน : อันนี้เป็นพระกะเทยป่ะครับ
   Reply : 55555555555555555555555555
ล่าสุดแม่เกานางไปหาวาร์ปมาเทียบแล้วว่ะ ก็คือเดือนหน้าจะมีมีตด้วยป่ะ สนุกแน่มึงเอ้ยยยยยยยยยย #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา




-------------- End Day 1-2 --------------

การอธิบายภาพที่น้องไปถ่ายแบบนี่ยากมากเลยไม่รู้ว่าทุกคนพอจะเข้าใจไหม
แต่ภาพในหัวนี่ชัดเจนมาก เพราะเป็นคนชอบอายัยวับๆ แวบๆ แงงง
น้องงงงงงงงงงงงงงงงงง
ตอนนี้พี่ภีมก็มาแล้วนะบับว่าท็อปฟอร์มมั้ยอารัยยังไงงงงง

เจอกันใหม่นะงับบบบบบบ

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-10-2018 23:32:42
ไหนนนนนนนน ขอดูรูปหน่อยค่าาา  :hao7: นี่ว่าพี่ดิมต้องดุกว่าเดินอีกสิบเท่า ลุ้นจนจะเป็นลมมมม  :z1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 28-10-2018 23:47:26
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JanJanIsHappy ที่ 29-10-2018 01:02:45
โอ่ยยยย จะเป็นลม แด๊ดดี้ดิมเตรียมเชือดหนูศิแล้วค่ะงานนี้

ปล. เพิ่งเห็นทวิตของคุณนักเขียนเรื่องรีไรต์ โดยเฉพาะรีไรต์ฉากเรทให้มีการป้องกันอะไรตั่งๆ มากกว่าเดิมแล้วดีใจมากเลยค่ะ คือจริงๆ แบบเดิมเราก็ไม่ขัดอะไรเลยนะคะ เข้าใจได้ว่าเป็นนิยาย และในชีวิตจริงก็อาจจะมีกันบ้าง (รึเปล่า ไม่แน่ใจเพราะเราก็ไม่เคย) แต่พอเห็นว่านักเขียนจะเพิ่มตรงนี้เข้าใจก็ดีใจอ่ะค่ะ น่าจะเป็นการช่วยนำเสนอการ safe sex ได้อีกทางนึง ถึงแม้อาจจะเล็กน้อยมากก็ตาม ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-10-2018 11:17:33
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-10-2018 20:00:31
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-10-2018 03:06:41
เพลิน~~~
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-10-2018 10:35:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 30-10-2018 15:10:52
ชอบมาก..เรื่องราวมากมายของแต่ละคู่มันเรียลจริง ๆ ..วิธีเริ่ม วิธีจบ บทสรุปของแต่ละคู่ก็มีเหตุมีผลดี

คู่เมฆโปแม้จะเศร้าแต่ถือว่าโอเค..เพราะอย่างที่โปบอกว่าเราจะเชื่อใจคนที่ทำให้เราเสียใจได้แค่ไหน..

เมฆมาช้าไปหัวใจโปซ่อมแซมตัวเองแล้ว..จบสวย..ทุกคนไปต่อ..เยี่ยมค่ะ  o13  :m3:

คู่เมฆเหมือนจะมาแวบ ๆ ใช่มั้ยคะ  :m12: รอนะจ้ะ  :m4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 30-10-2018 21:28:01
ชอบคู่ #ภีมพูลล์ เค้าพูดจาไพเราะเสนาะหูเหลือเกินเจ้าค่ะ น่ารัก   :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 04-11-2018 09:23:18
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 04-11-2018 21:35:52
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
Day 1-3 : I never know a better sexy then my lips on your leg (Part 2)



Si’s Part

พี่ดิมไม่กลับคอนโดมาสองวันแล้ว เขาบอกว่าใกล้จะถึงช่วงประเมินวิชาเฉพาะทางแล้ว ไหนจะต้องเร่งงานวิจัยก่อนจะไปประชุมที่โตเกียวในอีกสองสัปดาห์ แต่เอาจริงๆ ผมไม่เจอหน้าพี่ดิมมาเกือบอาทิตย์ได้แล้ว เขาทำงานกลับดึกและผมรอไม่ไหวก็นอนก่อนตลอด ตื่นเช้ามาเตียงก็ว่างเขาออกไปทำงานแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าเขาหลบหน้ายังไงไม่รู้....

กิจกรรมอย่างว่าช่วงนี้แทบจะไม่เกิดขึ้น ทั้งที่ปกติไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนเขาจะต้องหาเวลาดอดเล็กดอดน้อยตลอด แต่นี่ไม่มีเลย

เขาเบื่อผมแล้วหรือเปล่านะ

หลังจากถ่ายแอดให้ห้องเสื้อที่เกาหลีผ่านพ้นไป จู่ๆ ก็มี #น้องสะดือขาวกับน้องมีไฝที่ขา เกลื่อนทวิตเตอร์ ซึ่งทำเอาผมตกใจมากทีเดียว กลัวคนจะจำได้ กลัวคนเข้าใจผิด กลัวจะทำให้ค่ายเดือดร้อน ที่สุดเลยกลัวพี่ดิมจะรู้ว่าไปทำงานแบบนี้ แถมยังปิดบังเขาอีก แต่แล้วก็เป็นเพียงกระแสของชาวเน็ตพอไม่มีการตอบโต้อะไรกระแสก็ค่อยๆ เงียบไปเอง

วันนี้วันเสาร์ผมตื่นแต่เช้ากะว่าจะทำปิ่นโตไปให้คนที่อยู่โรงพยาบาลสองวันสองคืน ไลน์ไปตั้งแต่เมื่อคืนปรากฏว่าตอนเช้าแล้วก็ยังไม่ได้รับการเปิดอ่านจากเจ้าตัว สงสัยงานคงจะยุ่งมากแน่ๆ ทำซูชิ กุ้งเทมปุระ แล้วก็สลัดอะโวคาโดไปให้ดีกว่า จะได้เติมพลัง

ตระเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อย วันนี้เลือกเสื้อตัวที่พี่ดิมซื้อให้เป็นลายยีราฟประหลาดๆ เพราะเป็นจินตนาการเด็ก เขาสั่งซื้อจากเว็บไซต์ที่อเมริกา บอกว่าน่ารักและได้ทำบุญให้กับเด็กด้อยโอกาสทั่วโลก นอกจากจะเป็นคนดีของแฟนแล้วยังเป็นคนดีของโลกใบนี้ด้วยนะคุณหมอดิมเนี่ย

ช่วงกลางวันโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ก็ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทั้งผู้ป่วยและญาติเดินขวักไขว่อย่างกับมีงานอีเวนท์ แต่เปล่าเลยนี่คือความปกติที่น่าเศร้าของระบบการจัดการของวงการสาธารณะสุขของประเทศเรา ความแออัดจอแจสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางสิทธิขั้นพื้นฐานได้เป็นอย่างดี

ขยับปีกหมวกแก๊ปเล็กน้อย ขณะที่เดินลัดเลาะผ่านระเบียงทางเดินเพื่อไปห้องพักแพทย์ของพี่ดิมที่มาประจำจนจำทางได้ มองลอดบานเกล็ดหน้าต่างเข้าไปก็พบว่าคุณหมอกำลังคุยกับคุณหมอผู้หญิงอีกคนในห้อง เหมือนกำลังอธิบายอะไรสักอย่างอาจจะเป็นเอ็กซ์เทิร์นล่ะมั้ง

“ขอบคุณพี่หมอดิมมากเลยนะคะ ยังไงเย็นนี้เจอกันค่ะ” คุณหมอสาวสวยเดินออกจากห้องด้วยท่าทีขวยเขินเล็กน้อย ผมว่าผมมองปฏิกิริยาเธอไม่ผิด

“ครับ เจอกัน ติดรถพี่ไปก็ได้นะ” คนรักของผมยิ้มให้สาวเจ้า ก่อนจะสังเกตว่าผมยืนอยู่เยื้องกับประตู “ศิ มาหาพี่หรอ”

ผมพยักหน้าและยกยิ้มอย่างปกติที่สุดทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ กับภาพที่เห็นเมื่อสักครู่

“งั้นดาวไปก่อนนะคะ” พี่ดิมพยักหน้าแล้วยิ้มให้เธอ ก่อนจะเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้นเพื่อเชื้อเชิญผมเข้าไป ห้องพักแพทย์ขนาดเล็กที่ดูสะอาดสะอ้าน มีเตียงผ้าใบที่ไม่น่าจะดูนอนสบายนักถูกพับเก็บพิงผนังอยู่ด้านขวาห้อง ส่วนอีกด้านเป็นโต๊ะทำงานมีแฟ้มเอกสาร รวมถึงหนังสือวางระเกะระกะเต็มโต๊ะ

“ศิทำข้าวกลางวันมาให้ พี่ดิม...กินข้าวหรือยัง” เหมือนแผ่นสะดุดเพราะหันไปเห็นกล่องทัปเปอร์แวร์สองกล่องวางอยู่ข้างๆ เครื่องชงกาแฟด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา “มีข้าวแล้วหรอ”

“อื้ม น้องเอ็กซ์เทิร์นซื้อมาฝากน่ะ แต่พี่จะกินของศิ อันนั้นไว้อุ่นก็ได้ ไหนมีอะไรกินบ้าง” ร่างสูงรับกระเป๋าผ้าข้างในมีกล่องทัปเปอร์แวร์หลายใบพร้อมบรรจุอาหารที่เจ้าตัวชอบแน่นขนัด เรานั่งกินข้าวด้วยกันภายในห้องเล็กๆ แอร์ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ เสียงโอเปอร์เรเตอร์ประกาศลอดเข้ามาในห้องอย่างที่ถ้าเข้ามาพักก็เหมือนไม่ได้พัก พี่ดิมยกนาฬิกาดูเป็นระยะคล้ายกับจะบอกเป็นนัยว่าเขาไม่สามารถใช้เวลาตรงนี้ได้อีกนานนัก

“พี่ดิมรีบหรอ ค่อยๆ กินก็ได้ เดี๋ยวติดคอ”

“พี่มีตรวจคนไข้ตอนบ่าย แต่ต้องมีแวะไปดูคนไข้ที่ผ่าตัดเมื่อคืนก่อนน่ะ” ผู้ชายตรงหน้าพูดไปพลางเคี้ยวอาหารไปพลาง อย่างคนที่รีบร้อนจริงๆ “แล้วศิไม่มีงานหรอวันนี้”

“ไม่มีครับ ศิบอกพี่ดิมไปแล้ว”

“อ่อหรอ พี่คงลืมน่ะ” เขาพูดทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ ความอึดอัดใจมันพุ่งชนเข้าเต็มหัวใจ พี่ดิมที่เคยใส่ใจอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอดกลับเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ หรือเป็นความเคยชินที่เราอยู่ด้วยกันตลอด ผมอาจจะคิดมากไป

“แล้ววันนี้พี่ดิมจะไปไหนหรอครับ กลับบ้านหรือเปล่า ศิจะได้ทำกับข้าวรอ”

“ไม่ต้องหรอก พี่มีไปเลี้ยงส่งเอ็กซ์เทิร์นน่ะ อาจจะกลับดึกครับ” ถ้าผมไม่เอ่ยถามร่างสูงจะบอกมั้ยนะ แอบน้อยใจได้หรือเปล่าที่มีเวลาว่างไปเลี้ยงส่งรุ่นน้อง แต่กลับไม่มีเวลามาอยู่ด้วยกัน เป็นอาทิตย์แล้วนะที่ไม่ได้รับอ้อมกอดจากเขา ไม่แม้แต่จะแตะตัวด้วยซ้ำ

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พยายามกินอาหารที่ตัวเองเตรียมมาอย่างปกติที่สุด แม้ในใจจะห่อเหี่ยวแค่ไหนก็ตาม ไม่รู้ว่าเขาสังเกตมั้ยว่าผมใส่เสื้อที่ตัวเองซื้อให้ วันนี้ฉีดน้ำหอมที่เขาเคยบอกว่าชอบมาด้วย ไหนจะกำไลข้อมือที่เขาซื้อให้ตอนไปประชุมที่อังกฤษ หรือเขาอาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้

ไม่เคยรู้สึกน้อยใจขนาดนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่พี่ดิมไม่รับงานในวงการนี่ก็หลายเดือนมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาแบ่งเวลาได้ดีเสมอ เรายังเคยไปเที่ยวทริปสั้นๆ ด้วยกัน แต่สองอาทิตย์มานี้พี่ดิมดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่สนใจอะไรที่เคยสนใจเหมือนเคย โดยเฉพาะเรื่องของเรา ไหนจะหาเรื่องกลับบ้านดึก เลี่ยงตอบคำถามเวลากลับบ้าน ทั้งที่ผมไม่เคยคะยั้นคะยอแต่เขาก็ดูเหมือนไม่อยากตอบ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ คืนนี้ไม่ต้องรอพี่นะน่าจะกลับดึก”

“พี่ดิมจะดื่มหรือเปล่า ให้ศิไปรับมั้ย”

“อืมมม ไม่เป็นไรดีกว่า ศิเอารถมาหรือเปล่า” ผมส่ายหัวแทนคำตอบ กำลังจะบอกว่ามารอเขากลับบ้านพร้อมกัน แต่แล้วก็ยังไม่ได้เอ่ย เพราะร่างสูงตรงหน้ายื่นกุญแจรถให้ “งั้นพี่ฝากรถกลับไปด้วยสิ”

“ไม่ต้องไปรับคุณหมอคนนั้นแล้วหรอครับ” น้ำเสียงที่ติดจะแข็งขึ้นเล็กน้อยเอ่ยถามเขา

“นั่นสิ  พี่ลืมไปเลย งั้นศิกลับเองได้ใช่มั้ย”

“อื้ม พี่ดิมก็ตั้งใจทำงานนะ”

“ครับ พี่ไปก่อนนะ” คุณหมอหนีบเสื้อกาวน์สั้น กับสเต็ทโทสโคป พาดที่คอ แล้วก้าวขายาวๆ นั่นอย่างรวดเร็วออกจากห้องไปโดยไม่ได้หันกลับมามองอีก มีแต่ผมที่เหลียวมองเขาเดินจนสุดริมระเบียงลับสายตาไป ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้คิดอะไรสะเปะสะปะเต็มหัวไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าพี่ดิมนอกใจเพราะคิดว่าเขาไม่มีวันทำ หรือเป็นตัวผมเองที่หมดความน่าหลงใหลน่าชื่นชมในสายตาเขาก็ไม่ทราบได้

ทำยังไงดี




กลับคอนโดมาอย่างคิดไม่ตกกับเหตุการณ์วันนี้ นอนมองเพดานอย่างเลื่อนลอย มีสายของเออาร์ของบริษัทโทรมาหลายสาย คงจะคอคิวงานแต่ผมไม่อยากคุยเรื่องงานตอนนี้เลย แค่คิดว่าพี่ดิมจะรู้เรื่องที่แอบไปถ่ายแบบนั่นมาก็เครียดจนราจะขึ้นสมอง เลยตัดสินใจขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิท ในตอนแรกคิดว่าจะโทรหาพูลล์ แต่เพื่อนคนนี้ช่วงนี้งานยุ่งมากทีเดียวเพราะกำลังเวิร์กช็อปซีรีส์เรื่องใหม่อยู่ จึงตัดสินใจโทรหาเฌอลักษณม์แทน

“เฌอ”

[ว่า]

“มีเรื่องจะปรึก”

[ปรึกเรื่อง]

“ถ้าสมมติว่าแฟนแบบไม่สนใจ จะมีวิธีไหนทำให้เขา เอ่อ กลับมาสนใจเราได้บ้างอะ”

[มึงจะสมมติเพื่อ นี่ก็พูดเรื่องตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือไงอินี่ ทำไมผัวไม่ทำการบ้านหรอ] น้ำเสียงรู้ทันของเพื่อนสนิททำเอาผมอ้ำอึ้ง

“กะ ก็เออ นั่นแหละ ช่วงนี้พี่ดิมดูไม่สนใจกูเลยว่ะ”

[มึงปล่อยตัวเองให้โทรมป่ะ โหมงานหนักอะดิ หรือไม่มึงก็ไม่มีเวลาให้เขา เขาน้อยใจหรือเปล่า] ผมพยายามนึกตามคำที่เฌอบอก ถึงขนาดเดินไปที่กระจกในห้องแต่งตัวว่าตัวเองดูเป็นยังไงบ้าง หน้าหมองหรือก็ไม่ดูปกติดีทุกอย่างเลย ยิ่งไม่มีเวลานะตัดออกไปได้ไม่เคยจะกลับบ้านดึกหรือออกไปทำงานเช้ามากจนไม่ได้เจอเขา มีแต่เขานั่นแหละที่เลี่ยงจะเจอกัน

“ไม่เลย กูว่ากูปกติดีทุกอย่าง วันนี้กูเอาข้าวไปให้เขาที่โรงพยาบาล เจอเขาอยู่กับหมอผู้หญิงเอ็กซ์เทิร์นคนหนึ่งด้วย กูไม่อยากคิดอะไรแบบนี้นะ แต่ก็อดคิดไม่ได้”

[จริงหรอวะ แล้วพี่ดิมมีท่าทียังไง]

“ก็...ถ้ากับหมอคนนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรมั้ง กูแค่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยดีใจที่กูไปหาเหมือนทุกที”

[นี่มึงทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า คิดดีๆ นะ บางทีเขาอาจจะรอให้มึงสำนึกผิดอยู่ก็ได้] ผมพยายามคิดตาม ถ้าเป็นเรื่องที่ไปถ่ายแบบให้ดีไซน์เนอร์เกาหลีล่ะก็อาจจะเป็นไปได้ แต่พี่ดิมจะรู้ได้ยังไงในเมื่อภาพที่ออกมาแทบจะมองไม่ออกเลยว่าคือผม อีกอย่างเขาไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าจะเชื่อความเห็นชาวเน็ตที่มโนเป็นอาหารหลักอยู่แล้วก็ไม่สมกับเป็นพี่ดิมเลยไม่ใช่หรอ

“จริงๆ ก็มีเรื่องที่ไปถ่ายแบบนั่นแหละ”

[มึงยังไม่ได้บอกเขาอีกหรอ!!] เฌอเสียงดังจนต้องเอามือถือออกจากหู ทำไมทุกคนต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นอะ
[กูว่าเรื่องนี้แหละ มึงไปสารภาพผิดเลย มึงก็รู้เขาขี้หึงขี้หวงขนาดไหน ครั้งนี้กูว่าเขาโกรธมากเลยแหละ และที่ทำเป็นไม่สนใจมึงก็คือรอให้มึงไปง้อไปบอกเขาเองไง]

“กูต้องทำไงไม่ให้เขาไม่โกรธมาก กูรู้ว่ากูผิดนะเฌอ แต่มันก็ไม่ขนาดนั้นป่ะวะ”

[มึงยังไม่รู้เลยว่ามึงผิดแค่ไหน ถึงกูบอกวิธีไปมึงก็ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ อะ ไปทบทวนตัวเองนะอิศิว่าทำไมมึงถึงผิด แล้วทำไมพี่เขาถึงโกรธมึง]

เปลี่ยนมาคุยเรื่องธีสิสนิดหน่อยก่อนจะวางสายจากเพื่อนสนิทไป ในใจเริ่มกังวลกับสิ่งที่เฌอบอกมากๆ พี่ดิมจะโกรธที่แอบไปทำงานแบบนั้นจริงๆ น่ะหรอ ทั้งที่มันก็แค่งาน แต่อย่างว่าผู้ชายอย่างที่ดิมขี้หึงมาก หึงกระทั่งแฟนเก่าจนเกือบมีปากเสียงกันก็มีมาแล้ว แต่ที่เขาทำนี่ผมโกรธคืนได้มั้ยล่ะ ไม่พอใจกันก็น่าจะบอก ก็น่าจะคุยกันสิ ไม่ใช่มาเมินกันแบบนี้ ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วแท้ๆ ถ้ามีอะไรเราจะคุยกันทุกเรื่อง

แต่คราวนี้ยังไงผมก็มีส่วนผิด คงต้องหาวิธีง้อเขา แต่ปัญหาคือจะหาเวลาไหนง้อในเมื่อร่างสูงหลบหน้ากันแบบนี้


ห้าทุ่มก็แล้ว เที่ยงคืนก็แล้ว ตีหนึ่งก็แล้ว คนรักก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับ โทรไปก็ไม่รับสายนี่เขาโกรธผมหรือกำลังจะทำให้ผมโกรธเขาคืนกันแน่ แต่ความเป็นห่วงมีมากกว่า อาจจะเมากลับไม่ได้ กลัวเกิดอุบัติเหตุก็กลัว กลัวโดนตำรวจจับก็กลัว เป็นอีกคืนที่นอนดึกเพื่อรอแฟนให้กัลบมานอนกอด แต่ก็ไร้วี่แวว

ตี๊ด

เสียงประตูใหญ่หน้าห้อง จอที่แสดงผลในห้องนอนบอกว่าร่างสูงที่ผมเป็นห่วงกลับมาแล้ว ผมวิ่งมาชะโงกหน้าดูที่บันไดก่อนจะผลุบเข้าห้องนอนทำทีเป็นนอนหลับ ทั้งที่จริงๆ อยากคุยกับเขาให้รู้เรื่องว่าทำไมถึงเลือกหาทางออกของปัญหาด้วยวิธีนี้ เหมือนเราต่างยังไม่โตพอที่จะเข้าใจมันอย่างนั้น

เสียงอุปกรณ์บางอย่างกระทบกันจากการวางของ ถอดนาฬิกา ถอดแหวน เข้าไปอาบน้ำ และสักพักก็ออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูระเบียงห้องนอนออกไป ผมที่นอนหันหน้าไปทางนั้นก็เห็นว่าพี่ดิมสูบบุหรี่และมีแค่ผ้าขนหนูพันรอบเอวในค่ำคืนที่อากาศเย็นเช่นนี้

คิดว่าเป็นจังหวะที่ควรจะเข้าไปปฏิบัติการง้อเขาอย่างจริงจังซะที ทันทีที่ผลักบานประตูเลื่อนออก พี่ดิมชะงักเล็กน้อยแต่ไม่ได้หันกลับมามอง นี่โกรธขนาดนี้เลยหรือไง

“พี่ดิมทำไมกลับดึกจัง ศิโทรหาก็ไม่รับ” ตรงเข้าไปกอดเอวผู้ชายตรงหน้า ร่างกายเขายังชื้นด้วยหยดน้ำเกาะตามร่างกายอยู่เลย

“พี่ไม่สะดวกน่ะ” เขาพูดและพ่นควันสีเทาออกจากปากจำนวนมาก

“โกรธศิหรอ”

“...”

“โกรธศิเรื่องที่หนีไปทำงานนั่นใช่มั้ย พี่ดิมรู้แล้วใช่มั้ย ศิขอโทษที่ไม่ได้บอก”  รู้สึกผิดจริงๆ กับเรื่องนี้ พอมาคิดดูแล้วมันก็ไม่ต่างจากการโกหกเขา แม้พี่ดิมจะไม่เคยก้าวก่ายการทำงาน แต่การซื่อสัตย์ต่อคนรักด้วยการบอกเรื่องสำคัญก็เป็นสิ่งที่ควรทำ

“พี่จะโกรธศิเรื่องนั้นได้ไง นั่นมันร่างกายศิ ศิจะให้ใครเห็นมันก็เป็นสิทธิ์ของศินะ”


“...” ผมฟังแล้วสะอึก เขาพูดเหมือนผมไม่มีค่าสำหรับเขาแล้ว ร่างกายที่อีกฝ่ายเคยเชยชมเคยโอบกอดมันไว้ทุกค่ำคืน วันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพียงเพราะผมเอามันไปให้ใครก็ใครเห็น...อย่างนั้นหรือ

“รู้มั้ยว่าทำไม”

“...”

“เพราะพี่ให้เกียรติในการตัดสินใจของศิเสมอ”

“พี่ดิม ศิขอโทษ ขอโทษนะ” ผมกอดคนตัวโตแน่นขึ้น พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้มีมากแต่แรกเพราะทิฐิในใจ ตอนนี้หัวใจกลับบีบรัดจนหายใจไม่ออก ความคิดน้อยของตัวเองทำให้คนรักรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้เลยหรอ

“พี่บอกแล้วไงครับว่าไม่ได้โกรธ” พี่ดิมพ่นควันทีเทาลอยฟุ้งไปในอากาศครั้งสุดท้าย ก่อนจะเขี่ยบุหรี่และดับไฟ ทั้งที่เพิ่งสูบไปได้ไม่ถึงครึ่งมวน เพราะรู้ว่าผมไม่ถูกกับกลิ่นบุหรี่เท่าไหร่ แค่นี้เขายังแคร์เลย ทำไมผมถึงไม่แคร์เขาทั้งที่มันเป็นเรื่องควรแคร์แท้ๆ

“โกรธศิ โกรธศิเยอะๆ เลย ศิทำตัวไม่ดี แย่มากๆ ศิจะไม่ทำอีกนะๆ” แผ่นหลังหนานิ่งอยู่นาน ก่อนจะขยับและแกะมือของผมออกจากเอวเขา ใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ทุกทีเขาจะจับมือ หรือไม่ก็ดึงไปกอดแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ผมคงหวังมากไปให้เขายกโทษให้รวดเร็วทันทีแค่เพียงได้ยินคำขอโทษที่ทำได้แค่พูด

“ช่างเถอะไม่เป็นไร ศิไม่ได้ตั้งใจโกหกพี่นี่เนอะ”

ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนตรงหน้า ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง พยายามห้ามไม่ให้ร้องไห้เพราะไม่อยากใช้น้ำตาเพื่อทำให้เขาใจอ่อนยกโทษให้

“ศิผิดไปแล้ว ศิตั้งใจโกหกพี่ดิมแต่แรก เพราะกลัวว่าพี่ดิมจะห้ามไม่ได้ทำงานนี้”

“ครับ” คำตอบรับสั้นๆ ยิ่งทำให้ใจโหวงไปหมด ให้เขาโกรธยังดีกว่าให้เขาไม่รู้สึก และไม่อยากรับรู้อะไรอีก ความรักที่ดีมากๆ กลับพังทลายด้วยมือของผมเอง

“ศะ ศิ กะ วะ ว่า ฮึก จะบอกพี่ดิม แต่ว่าศิกลัว ก็เลยผลัดมาเรื่อยๆ ฮึก” ปาดน้ำตาออกจากแก้ม พี่ดิมยืนนิ่งยังไม่พูดอะไร “ศิขอโทษที่ให้พี่ดิมรู้เอง ถ้าสิ่งที่พี่ดิมทำมาทั้งอาทิตย์คือการลงโทษ ศิได้รับโทษนั้นแล้วนะ ทรมานมากเลยที่พี่เดิมทำเหมือนไม่รักกันแล้ว”

“...”

“หรือถ้าพี่ดิมเบื่อกันจริงๆ ก็บอกได้นะ ศิจะปรับปรุงตัว จะไม่โกหกอีกแล้ว จะไม่รับงานแบบนั้นอีก จะไม่ให้พี่ดิมเหนื่อยใจอีก ฮึก”

“พอเถอะ” คนตรงหน้าพูดขัดขึ้น เขาคงไม่อยากได้ยินคำแก้ตัวของคนขี้โกหกหรอก ผมรู้ดีว่าพี่ดิมเป็นคนรักษาคำพูด ซึ่งนั่นหมายถึงคนที่เขารักก็ควรจะรักษาคำพูดด้วยเช่นกัน แต่ผมดันเลือกที่จะทำตรงกันข้าม ถ้าจะโดนเขาบอกเลิกก็เป็นเหตุผลที่ดี

“ฮึก..”

“เข้าไปข้างในได้แล้ว อากาศมันเย็น” พี่ดิมจับข้อมือของผมแล้วเดินเข้าห้องมาพร้อมกัน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปล่อยแขนผมและเดินไปในห้องแต่งตัว น้ำตาไหลแบบพรุ่งพรูแต่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นกลัวเขาจะรำคาญ พอร่างสูงเดินออกมาสายตาจับจ้องทุกการกระทำของเขาอย่างตั้งใจ รอว่าเขาจะพูดอะไร รอว่าคืนนี้จะมีสิทธิ์นอนที่นี่หรือเปล่า

“นอนเถอะ พี่เหนื่อย อยากนอนกอดศิ”

“อื้อๆ” รีบเช็ดน้ำตาออกจากหน้า แล้วมุดตัวเข้าไปซุกพี่เขาที่นอนก่อนแล้ว ตอนนี้แค่ใฟ้ได้อยู่กับเขาตรงนี้ก็พอ จะไม่ขออะไรอีก ไม่ต้องรีบยกโทษให้ก็ได้ แต่จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้น ความไว้ใจถ้ามันเสียไปแล้วจะเรียกกลับคืนมาได้ยาก แต่ยากยังไงก็จะเรียกคืนมันมาให้ได้!





มีต่อ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-2 (28/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mifengbee ที่ 04-11-2018 21:39:36
Dim’s Part

วันนี้ไม่มีเข้าเวร เลยกะว่าจะนั่งลุยงานเอกสารที่ต้องสรุปผลงานวิจัยเรียบเรียงเพื่อเตรียมไปประชุมที่โตเกียวในอีกไม่กี่วัน ยอมรับว่าสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเหนื่อยมาก เหนื่อยกายดูจะหนักหนาสาหัสมากที่สุด นอนน้อย กินข้าวไม่ตรงเวลา แถมไม่ได้ออกกำลังกาย กิจกรรมอย่างว่าแล้วใหญ่มันหมดแรงทุกทีเวลากลับมาถึงบ้าน

เรื่องที่น้องไปถ่ายแบบอะไรนั่นมาถามว่าโกรธมั้ย ยอมรับตรงๆ ว่าโกรธมาก มันไม่ใช่แค่น้องโกหก แต่น้องพาตัวเองไปเสี่ยง ทีมงานนั่นไม่ใช่คนไทย การสื่อสารอาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อน เข้าใจว่าทางการตลาดและทีมกฏหมายของบริษัทเก่งและรัดกุมมาก แต่ทุกอย่างมันมีช่องโหว่งเสมอ แม้ผมจะเห็นโฆษณาทุกภาพที่ออกสื่อทั้งหมด แต่ไม่มีการรับประกันเลยว่าภาพที่อยู่ในกล้องหรือภาพเบื้องหลังมันจะไม่ถูกบันทึกไว้

ผมติดต่ออาติณณ์ไปให้ช่วยประสานงานเรื่องทีมงานเพื่อจะขอซื้อทุกภาพที่ศิและพูลล์ไปถ่าย และให้เผยแพร่เฉพาะภาพที่ทางทีมงานเลือกใช้เท่านั้น ความยุ่งยากคือต้องจ้างทนายที่นู้นเพื่อเข้าไปเจรจา ทำสัญญา ซึ่งยังไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ เพราะการส่งเอกสารจากต่างประเทศค่อนข้างต้องใช้เวลา ผมรู้สึกทะแม่งๆ ทางทนายที่เกาหลีบอกว่าดีไซน์เนอร์ควบเจ้าของห้องเสื้อนี้มีธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงธุรกิจสีเทาด้วย แม้ธุรกิจเสื้อผ้าจะดูโปร่งใส่ดีแต่อย่างไรก็ป้องกันไว้ก่อน ไม่อยากให้น้องเสียหายทั้งนั้น แม้จะต้องใช้เงินจำนวนมากก็ตาม

เสียงกุกกักในครัวตอนเดินลงบันไดมา ทำให้รู้ว่าคนที่นอนข้างกันเมื่อคืนคงกำลังทำอาหารเช้าอยู่ ผมจำได้ว่าน้องมีงานตอนบ่าย ทำไมยังไม่ไปเตรียมตัวกันนะ

“พี่ดิม ตื่นแล้วหรอ” เสียงสดใสทักทายเมื่อสังเกตว่าผมนั่งลงที่โต๊ะทานข้าวในห้องครัว ศิดูร่าเริงกว่าปกติทั้งที่สีหน้าตรงกันข้าว แววตาหม่นหมอง ใต้ตาดำคล้ำทำเอาผมรู้สึกผิดที่เมื่อคืนพูดจาแบบนั้นออกไป ใช่อยู่ที่ผมโกรธน้องจริงๆ แต่มันไม่ได้มากมายจนยกโทษให้ไม่ได้ เพียงแต่เหนื่อยจากงานจนไม่อยากพูดคุยอะไรทั้งนั้นตอนนั้น ก็เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้แหละที่เห็นสภาพคนรักเป็นแบบนี้

“พี่ขอกาแฟหน่อยได้มั้ยครับ”

“ศิเตรียมให้แล้ว พี่ดิมจะกินข้าวเลยมั้ย” พยักหน้าตอบพร้อมยิ้มให้เขาไปด้วย เช้านี้รู้สึกปวดหัวสงสัยไมเกรนจะมาเยือนอีกแล้ว

อาหารมากมายตรงหน้ามีแต่ของชอบผมทั้งนั้น ถุงจากวิลล่าวางเรียงรายบนเคาเตอร์ครัวทำให้ทราบว่าน้องคงไปหาซื้อของเพื่อทำอาหารเช้าให้ เขาต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงเพื่อมาเตรียมทั้งหมดนี่ ผมเผ้ารุงรังไม่หวีสาง แว่นตาฝ่าขึ้นไม่มีกระทั่งเวลาเช็ด ไหนจะหน้ามันเยิ้มนี่อีก อยากรวบมากอดเสียจริง แต่ติดที่ว่าก็อยากให้น้องเรียนรู้ที่จะรู้สึกผิดและเติบโตขึ้นด้วยความเข้าอกเข้าใจ ‘เรา’ ให้มากขึ้น

“ทำไมกินน้อยจังล่ะ ไม่อร่อยหรอ” สีหน้าคนถามรวมถึงน้ำเสียงที่ฟังดูหมดความเชื่อมั่นในฝีมือทำอาหารอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่กินน้อยเพราะปวดหัวจนไม่อยากกินอะไรมากกว่า

“เปล่าครับ พี่แค่รู้สึกปวดหัว สงสัยนอนน้อยหลายวัน”

“งั้นศิไปหยิบยาให้นะ วันนี้พี่ดิมไม่มีเข้าเวรใช่มั้ย” พยักหน้ารับก่อนจะยกแก้วกาแฟดำขึ้นดื่ม “เดี๋ยวศิกลับจากทำงานจะซื้อซุปเห็ดร้านที่พี่ดิมชอบมาให้นะ” รอยยิ้มที่จะพยายามทำให้สดใสแต่สายตามีแต่ความพะวงฉายชัดอยู่ในนั้น ศิกำลังพยายามทำให้ผมพอใจ และอยากให้ยกโทษให้ ในใจรู้สึกผิดมากที่ต้องให้น้องเรียนรู้มันด้วยวิธีนี้ แต่ผมก็เสียใจที่น้องโกหกผมเหมือนกัน


ศิออกไปทำงานด้วยดวงตาแดงช้ำ น้องคงแอบไปร้องไห้ขณะอาบน้ำ เขาเดินมาบอกแต่พยายามหลบหน้าไม่สบสายตาผมก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถแล้วออกมา ยกมือลูบใบหน้าตาเองอย่างคิดไม่ตก นี่เราทำเกินไปหรือเปล่าที่ให้น้องวิตกขนาดนี้ พอแค่นี้ดีกว่า ก่อนที่หัวใจผมจะสลายไปก่อน น้ำตาน้องมันคือของต้องห้ามสำหรับผมจริงๆ

นั่งทำงานจนเวลาล่วงเลยมาถึงเย็นย่ำ แสงอาทิตย์สีส้มลอดผ่านผ้าม่านทาบบนผนังห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงานเล็กที่เอามากางเสริมข้างโซฟาโดนอาทิตย์ที่กำลังอัสดงทาบไปด้วย ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองนั่งทำงานมานานพอควร เมื่อสายกินยาไปแล้วนอนพักไปสองชั่วโมงก่อนจะลุยงานอย่างขมักเขม้น จนลืมจับมือถือไปเสียสนิท พอหยิบมาดูก็พบข้อความจากศิหลายสิบข้อความบอกเล่าว่าเขาทำอะไรบ้าง ถามไถ่ว่ากินยาแล้วดีขึ้นมั้ย บ่นว่าตัวเองตื่นเต้น กระทั่งวันนี้แต่งหน้าหนามาก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบข้อความน้องเลยเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของตัวเอง

หรือเป็นผมกันแน่ที่ไม่ได้ใส่ใจน้องเท่าที่ควร กี่ครั้งแล้วที่ให้เขาต้องเผชิญกับงานยาก หรืออยากได้กำลังใจเล็กน้อย แต่แล้วผมก็มาไม่เคยทันเพราะติดงานตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นน้องก็เข้าใจผมและผ่านปัญหาตรงนั้นมาได้ด้วยภูมิคุ้มกันของน้องเอง ใครกันแน่ที่บกพร่อง ใครกันแน่ที่เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ถ้าน้องจะกลัวว่าผมจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับงานที่น้องแอบไปทำก็คงไม่ผิด เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมไม่ได้ทำความเข้าใจน้องมากพอด้วยซ้ำ

ตู๊ดด ตู๊ดด

“เลิกงานหรือยังหนู”

[เสร็จแล้วครับ กำลังเปลี่ยนชุด ศิซื้อซุปเห็ดให้แล้วนะ]

“พี่ไม่อยากกินซุปเห็ดแล้ว”

[อะ อ้าว ทำไมล่ะครับ หรือจะเอาอย่างอื่นมั้ยศิจะซื้อไปให้]

“อยากกินศิมากกว่า”

[พะ พี่ดิม พะ พูดอะไร เอ่อ พี่น้ำหวานศิแขวนชุดไว้ตรงนี้นะ พูดลามกแบบนี้ได้แสดงว่าหายแล้วล่ะสิ] เสียงปลายสายเงียบลงกว่าเมื่อครู่ สงสัยคงเดินออกจากจุดที่คนจอแจแล้ว

“นะ รีบกลับมาเถอะ ไม่ต้องซื้อะไรหรอก แค่พาตัวเองกลับมาให้พี่กอดหน่อย” จะบอกว่าอ้อนก็ไม่เต็มปาก เพราะจริงๆ มันควรจะมีคำพูดคำจาที่หวานกว่านี้ แต่ได้เท่านี้ล่ะนะสำหรับคนอย่างอาคิรา จากที่ตอนแรกทำเป็นโกรธเขา พอเห็นน้องเสียใจเข้าหน่อยก็ต้องกลายเป็นคนง้อแทน

“อื้อ ศิก็อยากให้พี่ดิมกอดแน่ๆ เลย”


ตี๊ด



สียงปลดล็อคประตูหน้าห้องทำให้รับรู้ว่าคนที่รอมาถึงแล้ว

“เอ่อพี่ดิม ศิกลับมาแล้ว”

“อื้ม พี่เห็นแล้ว”

เสื้อเชิ้ตสีชมพูคอกว้างสมัยนิยมกับกางเกงยีนส์สีขาวที่น้องเลือกสวมใส่ เหมาะกับเขาดีทีเดียว ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง แก้มที่แดงเปล่งปลั่งอมชมพู ผมสีน้ำตาลอ่อนที่น้องกลับมาทำอีกครั้ง นี่ผมไม่ได้สำรวจแฟนตัวเองอย่างถ้วนถี่มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ศิซื้อของกินติดมาด้วย พี่ดิมจะกินเลยมั้ย งั้นเดี๋ยวศิไปเอาใส่จานมาให้นะ” ผู้ชายตรงหน้าวิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในห้องครัวอย่างที่ไม่รอคำตอบจากคำถามของตัวเองด้วยซ้ำ ผมส่ายหัวกับท่าทาที่ดูเขินอาย แน่สิ เพราะผมใช้สายตาที่น้องเองก็รู้ว่ามันมีความนัยแบบไหนซ่อนอยู่ เล่นมองเหมือนถอดเสื้อผ้าเขาแบบนั้น…

ผมไม่ได้ตามน้องเข้าไปในครัวทันทีเพราะเดี๋ยวเขาจะประดักประเดิดยิ่งกว่าเดิม เลยจัดการเช็กทวิตเตอร์สำหรับงานที่น้องไปร่วม ซึ่งเป็นอีเวนท์เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ดังดึงดาราศิลปินที่เป็นกระแสมาร่วมงานเป็นช่วงๆ สำหรับน้องคิวโชว์ตัวสี่โมงเขาเลยเสร็จงานไว ทั้งที่ไปเตรียมตัวซ้อมคิวตั้งแต่เที่ยง พอน้องมีงานเยอะขึ้นเขาก็ไม่เคยใช้บัตรเครดิตที่ผมให้อีก ขนาดซื้อข้าวของเข้าบ้านน้องก็เอาเงินตัวเองจ่าย สรุปใครเป็นเจ้าของบ้านใครเป็นคนอาศัย ตั้งแต่น้องมาอยู่ด้วยบ้านก็มีชวิตชีวากว่าแต่ก่อนเยอะ แอบเห็นที่ระเบียงน้องชำผักสวนครัว อย่างพวกกะเพรา โหระพา ผักชี ต้นหอมไว้ด้วย สงสัยต้องโอนชื่อบ้านให้เขาแล้วล่ะถ้าจะดูแลดีกว่าผมขนาดนี้

เสียงลงบันไดตึงตังทำให้ผมหันกลับไปมอง เห็นว่าน้องกำลังลงจากชั้นบน ชุดน่ารักนั่นถูกเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแทน หน้าตาก็ถูกเช็ดออกจนหมดเกลี้ยง นี่แหละศิรัสเวอร์ชั่นที่จะไม่ยอมให้ใครเห็น

“อ่อ ศิไปเปลี่ยนชุดน่ะ พี่ดิมกินข้าวเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็น” น้องยังหลบสายตากันอยู่ดี ผมเดินไปหาเขาก่อนจะโอบเอวอย่างที่ชอบทำแล้วเดินเข้าครัวไป

ซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ล และสเต็กปลาแซลม่อนสำหรับสองคนถูกจัดวางที่โต๊ะอย่างปกติ มีแต่คนตรงหน้านี่แหละที่นั่งกินข้าวไปพร้อมกับหน้าแดงหูแดง เหมือนร้อนทั้งๆ ที่อากาศก็ปกติดี หรือเขาจะไม่สบาย

ใช้หลังมืออังหน้าผากและแก้ม ปรากฏว่ามันร้อนนิดหน่อยแต่คิดว่าไม่มีไข้ “ตัวก็ไม่ร้อนนิ ทำไมหน้าแดงจังหนู เผ็ดอะไรหรือเปล่า”

“ปะ เปล่าเลย! พี่ดิม ศิแค่ร้อนเฉยๆ ซุปมันหายร้อนยากเนอะ” คนตัวเล็กเป่าซุปเห็ดใหญ่ก่อนจะกินอาหารตรงหน้ากลบเกลื่อนไป

รับประทานอาหารเสร็จน้องก็รีบเก็บจานและขอตัวขึ้นห้องนอนทันที ยังไม่ทันที่จะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันเลย ดูน้องลุกลี้ลุกลนชอบกล หรือเขาไปทำอะไรที่น่าตีมาอีก คราวนี้ล่ะจะโกรธจริงๆ จะเอาให้เข็ดไปเลย

ขึ้นมาห้องนอนเพื่อรอน้องออกมาจากห้องน้ำ วันนี้คนตัวเล็กใช้เวลาในนั้นมากเป็นพิเศษ คงอยากจะล้างเครื่องสำอางให้สะอาด น้องเคยบ่นสิวขึ้นเพราะขี้เกียจมาสองสามครั้งแล้วก็เข็ดอีกเพราะมันหายแล้วก็ทิ้งรอยดำนาน ทั้งที่ผมอ่านเอกสารในไอแพดก็แล้ว เล่นโซเชียลก็แล้ว เล่นเกมก็แล้ว น้องก็ยังไม่ออกมา มันชักจะยังไงๆ แล้วนะ

ก็อกๆๆๆ

“ศิ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอาบน้ำนานจัง ศิครับ ตอบพี่หน่อย”

“อีกแป๊บเดียวนะพี่ดิม ใกล้จะเสร็จแล้ว” เขาพูดเสียงดังออกมาจากห้องน้ำ

“ไม่แป๊บแล้ว ออกมาเลย เดี๋ยวนี้ครับ” น้องเงียบไปอึดใจ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องน้ำแล้วทำเอาผมตะลึงงั้นกับสภาพคนรักที่เห็นตอนนี้

หูแมว ลูกไม้ กระดิ่งคอ

“เผื่อแด๊ดดี้จะหายโกรธหนูบ้าง”

“คะ ใครบอกให้ทำแบบนี้”

น้องส่ายหน้า ก่อนจะช้อนตามองผม โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอ้อนกันอยู่ “เห็นในแอคเคาท์ทวิตเตอร์คนญี่ปุ่น แล้วคิดเอาเองว่าน่าจะดี ก็...เลยให้เฌอสั่งชุดมาให้”

จะเรียกว่าชุดก็ไม่ถูก เพราะมีแค่กางเกงที่สั้นเทียบเท่ากางเกงในชายระบายลูกไม้บางแนบเนื้อ จนเห็นทุกสัดส่วนเว้าโค้ง ที่พีคคือมีหางฟูเป็นพวงงอกจากก้นน้อง แถมยังมีกระดิ่งสายสีดำประดับบนคอระหงอย่างที่ทำให้มันดูเป็นชุดขึ้นมา ที่คาดผมแมวนี่ก็ยิ่งทำใจแทบจะวายตาย อยากงับแมวตัวนี้ให้จมเขี้ยวเดี๋ยวนี้ตอนนี้

แต่ต้องใจเย็นไว้จะให้รู้ว่าเสือหิวจนน้ำลายสอไม่ได้

“อะ อืม” เสียงที่เปล่งออกไปอย่างเก็บอาการ ทำเอาแมวตรงหน้าเหมือนจะหมดความมั่นใจทั้งที่ตอนแรกก็คงมีไม่มากอยู่แล้ว แต่ก็ต้องตัดใจทำเป็นเมินแล้วเดินกลับเตียงให้ดูปกติ “มานอนได้แล้วศิ”

ผู้ชายในชุดแมวเดินมาที่เตียงด้วยใบหน้าที่หมดความมั่นใจ แต่ก็ยังใจกล้าเดินมาหยุดที่ปลายเตียง และทิ้งเข่าลงที่บนเตียงก่อนจะค่อยๆ คลานเข่าเข้ามา ย้ำครับว่าคลาน แต่แมวที่กำลังคลานกำลังก้มหน้าก้มตาอย่างไม่กล้าสู้หน้านัก สงสารแต่ก็อยากรู้ว่าน้องจะทำอะไรต่อ ไปศึกษาเรื่องพวกนี้มาแค่ไหน

แมวตัวใหญ่กำลังนั่งทับหน้าขาและใช้บั้นท้ายที่มีนางฟูนุ่มนิ่มบดเบียดส่วนนั้น บอกตามตรงว่าเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้พลังที่ซุกซ่อนอยู่สูบฉีดเลือดในร่างกายให้พลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ก็เพิ่งจะเคยโดนแมวอ้อนก็วันนี้

มือเรียวจัดการถลกเสื้อนอนสีเทาของผมก่อนจะถอดออกจากตัว ดีที่ยังใส่คอนแท็กเลนส์อยู่เลยเห็นทุกการกระทำของแมวยั่วสวาทเด่นชัดทุกท่วงท่า น้องสบตากับผมด้วยความกล้าที่มีทั้งหมด ก่อนที่เขาจะโน้มตัวมากดจุมพิตที่จมูกของผมเบาๆ และใช้จมูกไล้ตามกรอบหน้า ลำคอ และหน้าอก น้องชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะใช้ลิ้นเย็นชื้นเลียที่ตุ่มไต่สีน้ำตาลเข้มบนหน้าอก ทำเอาผมสะดุ้งโหย่งเพราะไม่คิดว่าน้องจะทำแบบนี้ ปกติหน้าที่นี้ต้องเป็นผมทำให้เขา

“ฮ่าาา” ส่งเสียงที่กลั้นไม่อยู่ออกมาจากลำคอ ความรู้สึกน้องเป็นอย่างนี้สินะ เสียวจนเกร็งหน้าท้องไปหมดแล้ว

“ไหนว่าจะกอดกันไง” แม้ปากเขาจะขยับแต่ลิ้นกลับโลมเลียไปทั่วหน้าท้อง น้องไม่รีรอคำตอบจากผม มือเล็กไวกว่าที่ผมคิดเขาถอดกางเกงนอนขาสั้นของผมออกจากตัว ท่อนกายกลางลำตัวผงกขึ้นมาอย่างคนรู้สึกมาก ใช่ ผมไม่ได้ใส่กางเกงในนอนมานานแล้วเพราะอยากนอนสบายๆ 

“อ๊ะ” ริมฝีปากบางครอบลงมาที่ท่อนกลางกายอย่างไม่รีบร้อน ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้ดูไป...ศึกษามาดี ไม่มีท่าทีเคอะเขินเอียงอายและหวาดกลัวเหมือนครั้งก่อนหน้า ไอ้ที่เก๊กๆ อยู่ก็คือหมดสภาพไปแล้ว ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากและเรียวลิ้นที่ตวัดไปมาตรงจุดที่ไวต่อสัมผัส ทำเอาท้องน้อยปั่นป่วน เกร็งหน้าขา จนต้องระบายออกโดยการขย้ำผ้าปูเตียง

“ฮื้อ ศิช้าหน่อย”

“อ้อออกอ่าอยากใอ้ออดไอ่ใอ่อ่อ” (ก็บอกว่าอยากให้กอดไม่ใช่หรอ)

หัวทุยผงกขึ้นลงจนหูแมวกระดุ๊กกระดิ๊กไปมา พวงหางส่ายสะบัดปัดป่ายตามไปด้วย ช่างเป็นภาพที่จะบันทึกไว้ในซีรีบรัมไม่รู้ลืมตลอดชีวิต

ศิหยุดกิจกรรมใช้ปาก ก่อนยกยิ้มอย่างคนคุมเกม น้องดึงเนกไทด์สีดำออกจากขอบกางเกงผ้าลูกไม้ตัวบางและจัดการผูกข้อมือผมไว้ “ศิกำลังจะไถ่โทษที่ทำให้พี่ดิมโกรธ...นะครับ”

ไม่ได้ตอบรับอะไรได้แต่ยิ้มบางๆ รอดูว่าแมวตัวนี้จะเตรียมอะไรมาบ้าง ร่างบางล้วงซองฟอยล์ออกจากกางเกงในอีกแล้ว นี่เขาซ่อนของเล่นไว้เยอะเหมือนกัน ปากบางฉีกซองอย่างช้าๆ และจัดการสวมเข้ากับส่วนนั้นของผมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะลุกไปหยิบเจลที่หัวเตียง และมานั่งคุกเข่าหันหลังให้เอนตัวไปข้างเล็กน้อย บีบเจลและทาทาบไปที่ส่วนนั้นโดยไม่ได้ถอดหางฟูออก นิ้วเรียวหมุนวนรอบจุดนั้น ยั่วยวนและโคตรเซ็กซี่จนอยากจะคว้าตัวน้องมากอดแรงๆ แต่ห้ามใจไว้อยู่

แมวสุดยั่วคล่อมหน้าขา จับท่อนเอ็นที่แข็งขืนตั้งชั้น ก่อนจะกดก้นลงมาครอบครองมันไว้

“อื้ออออออ” คนด้านบนเปล่งเสียงครางในลำคอ หัวนมสีอ่อนชูชันตรงหน้าทำให้รู้ว่าน้องรู้สึกมากพอกัน ไม่นับส่วนนั้นของน้องที่แข็งตัวเช่นกัน

“แน่นจังครับน้องแมว” ศิไม่ตอบอะไรแต่เริ่มขยับขึ้นลง มือบางจับที่เอวของผมก่อนจะเริ่มใช้แรงมากขึ้น อยากคว้าคนตรงหน้ามาจูบแทบขาดใจแต่มือที่โดนมัดไม่อำนวย คนตัวเล็กเขี่ยตุ่มไตที่หน้าอกของผมอย่างแรง ก่อนจะใช้ลิ้นกับมัน ในขณะที่เอวก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี เรียกว่าดีมากทีเดียว นี่ไปดูมากี่กระบวนท่าวะเมียผม

“ศิขอโทษที่ทำให้พี่ดิมโกรธ” ริมฝีปากที่ยังชิดกันพูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับลมหายใจไม่สม่ำเสมอ “ศิรู้ แฮ่ก ว่าพี่ดิม อื้อ เป็นห่วง” น้องเด้งตัวเป็นจังหวะแรงขึ้น มือเล็กหาที่ยึดโดยจับหัวไหล่ผมไว้แน่น “แต่พี่ดิมไม่ อื้อออ เห็นต้องทำตัวน่ารัก แฮ่กๆ กับหมอคนนั้นด้วย อื้อออ เลย”

“พี่เปล่า ฮ่าาา”

“ไม่จริง อื้อ อื้อ อื้อ” น้องกระแทกตัวอย่างแรงลงมาเหมือนจะลงโทษผมกลายๆ “อื้อ อื้อ คนใจร้าย แฮ่กๆ” คนด้านบนกระตุกเกร็งช่องทางรักบีบรัดท่อนกลางกายยี่กระชั่น น้ำสีขาวขุ่นเลอะเปื้อนหน้าท้องเรื่อยมาจนหน้าอกผม เหงื่อชื้นตามไรผมและลำคอระหง เป็นวันที่รู้สึกแปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการที่คนรักทำอะไรแบบนี้ให้มันจะกระตุ้นความต้องการในตัวเองมากขนาดนี้ อดรนทนไม่ไหวกระชากเนกไทด์ออกและรีบพลิกตัวแมวที่ควรต้องโดนเสือดูแลบ้างแล้ว

ศิหอบหายใจรุนแรงเหนื่อยอ่อนจากการใช้แรงมหาศาล ไหนจะความกล้าบ้าบิ่นทำไปแบบไม่กลัวอายหลังจากคืนนี้ ผมโน้มตัวไปเกลี่ยผมที่ปรกหน้าน้องออก สายตาฉ่ำหวานมองมาที่ผม และจับมือผมไว้ “ศิขอโทษนะ จะไม่โกหกพี่ดิมอีกแล้วนะครับ ไม่เอาแล้ว โดนพี่ดิมเมินจนคิดว่า...เบื่อศิแล้ว”

“เลยใส่ชุดแมวนี่มา?” ศิพยักหน้ารับ โถ่เด็กน้อยของพี่ แต่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรหรอกนะ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เชยชมแมวน้อยตัวนี้แน่นอน

“พี่ไม่ได้เมิน แค่พี่เหนื่อยๆ จากงานเท่านั้นเอง เรื่องงานนั่นพี่ไม่สบายใจเลยนะ กลัวศิจะโดนหลอกเข้า สมัยนี้ไว้ใจใครได้ที่ไหน” คนมือไวพูดไปก็ไล้ไปตามเนื้อตัวคนใต้ร่างไปด้วย จนมาสะดุดที่หน้าท้อง ปกติมันจะมีไรขนอ่อนแต่ตอนนี้ไม่มี น้องโกนมันออกหรือไง เพิ่งสังเกตว่าภายใต้ผ้าลูกไม้สีอ่อนขนตรงส่วนนั้นถูกกำจัดอย่างดี ไม่ใช่แต่โกนหรือตัด “ศิไปแว็กซ์ขนมาหรอ”

“ฮะ อะ ก็อื้อ ทางลูกค้าให้ทำ”

“เดี๋ยวนะ งั้นก็ต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนทำน่ะสิ”

“พี่ดิม~~”

“น้องแมวตัวดี บอกลาน้องศิเขาหน่อยนะ ฟ้าไม่สว่างอย่าคิดว่าจะได้นอน”

ผมเริ่มขยับอย่างไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยไป สวนสะโพกเข้าหาแมวน้อยตรงหน้าด้วยแรงที่อดกลั้นจากการกระทำของเขาก่อนหน้า เอวบางถูกรั้งเข้ามาใกล้กันมากขึ้น กางเกงในมีหางนี่ทำเอาเกะกะใช้ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางการทำหน้าที่เอวแข็งแรงของผมได้ ถอนกายเกือบสุดแล้วกระแทกเข้าไปในตัวเขาอย่างแรงหลายครั้ง

“นี่สำหรับที่ให้คนทั้งเกาหลีเห็นต้นขา”

“อ๊ะ”

“นี่สำหรับให้คนทั้งกองเป็นเรือนร่าง”

“อื้อ”

“นี่สำหรับไปแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่น”

“อ๊ะ ฮื้อออ แฮ่ก หนูจุก”

“แค่จุกอย่างเดียวหรอครับ” มือเล็กปัดป่ายหาที่ยัดเหนี่ยว ก่อนที่เราจะประสานมือกันทั้งสองข้างและสะโพกผมทำหน้าที่โยกขยับถี่ระรัว น้องร่างกายกระตุกอีกครั้ง และน้ำขุ่นก็พุ่งกระจายเต็มหน้าท้องของเขาและกระเซ็นมาโดนหน้าอกผม ไม่รอช้าตัวเองก็ตามน้องไปติดๆ แต่ปลดปล่อยในอุปกรณ์ป้องกัน เพราะไม่งั้นยกเดียวก็คงเลอะเทอะไปต่อไหน เดี๋ยวจะไม่มีแรงมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกันเสียเปล่าๆ

“ฮะ แฮ่กๆ” เสียงผมเอง ยังไม่เหนื่อยแค่มันตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ กับสภาพแมวตรงหน้า

“ฮะ ต่อไปก่อนรับงานศิจะบอกพี่ดิมคนแรกเลย ไม่เอาแล้วแบบนี้”

“แต่พี่อยากเอา”

ดึงเครื่องป้องกันอันเก่าทิ้งลงถังขยะข้างหัวเตียง ก่อนจะสวมอันใหม่ไฉไลให้ตัวเองอย่างรีบร้อน มือสั่นพัลวัลไปหมด นี่ก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ชื่นชอบเซ็กส์แบบคอสเพลย์แบบนี้ ไว้ต้องพรีออร์เดอร์จากญี่ปุ่นมาบ่อยๆ เสียแล้ว ตื่นเต้นเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กวัยคนองอีกครั้งเลย ผับผ่า

“อื้อๆๆๆ”

“ทำไงดีกางเกงในแมวน้องขาดแล้วอะ”

“ก็ทำแรงขนาดนี้!!”

“ก็แมวน่ารัดเอ้ยน่ารักขนาดนี้ พี่ยั้งตัวเองเท่านี้ก็ดีแล้นะน้องเหมียว”

“อ๊ะๆ ฮ่าาา ช้าหน่อยแด๊ดหนูไม่ไหว”


ก็ไม่รู้ว่าพี่ดิมโกรธศิมากแค่ไหน ถ้านับรวมถุงยางที่หมดไปก็เกือบสองกล่องเท่านั้นเอง

จุดจบของเด็กขี้โกหก

มันมักจะเจ็บก้นเสมอ

ก่อนจะหลับไปก็เคลียร์กับน้องเรื่องหมอเอ็กซ์เทิร์นคนนั้น เล่าให้น้องฟังว่าเธอเป็นนักเขียนนิยายวายและอยากจะขอคำปรึกษาเวลาที่ผู้ชายมีเซ็กส์ในเรื่องของความรู้สึก อีกอย่างเธอก็เป็นอีกคนที่รู้ว่าผมเป็นแฟนกับศิจากการสังเกตตลอดระยะเวลาที่มาทำงานที่โรงพยาบาล น้องมักจะมาหาผมหรือไม่ก็มารับเวลาเลิกงานบ้าง ผมก็ตอบคำถามน้องเขาปนเขิน แต่ก็ดีกว่าจะให้เขียนความเข้าใจผิดๆ ให้คนอ่านเข้าใจผิดตามไปด้วย เป็นหมอด้วยอย่างน้อยการให้ความรู้กับประชาชนคนอ่านกลุ่มเล็กๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำให้ถูกต้อง

น้องได้ฟังก็เข้าใจ พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะซุกตัวเข้ามาให้แนบอกของผมแล้วหลับไปเลย เกือบตีห้ากว่ากิจกรรมอย่างว่าจะจบลง เราทั้งสองคนเลอะเทอะไปตามๆ กัน ทำให้ต้องพากันอาบน้ำใหม่ ความผิดหลักๆ คือผมเองเลยต้องจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ศิ แถมต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่อีก เช้าอย่างที่บอกน้องไปจริงๆ นั่นแหละ ดีที่วันนี้เข้าเวรกลางคืนไม่งั้นก็คงเบลอไปทำงานแน่

เบลอเพราะเมคเลิฟทั้งคืน แฮะๆ

มันไม่ใช่ทุกปัญหาของงคู่รักจะจบลงหลังจากเมคเลิฟได้ ปัญหาตรงนั้นมันก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข มันยังอยู่เหมือนเดิม การแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือการที่เราควรจะพูดคุย ปรับความเข้าใจ ปรับทัศนคติที่มีต่อกัน ปัญหาความรักมันไม่ได้เกิดแค่ใครคนใดคนหนึ่งแต่มันเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจกันมากพอ ให้ความเคารพกันไม่มากพอ ให้เกียรติกันไม่มากพอ และซื่อสัตย์ต่อกันไม่มากพอ ฉะนั้น การเอาใจเขามาใส่ใจเราในทุกเรื่องคือความรักที่แท้จริง

ผมและน้องโตกันขึ้นไปอีกขั้นในความรักของเรา

ขอให้ความรักของผมตื่นขึ้นมาแบบสบายดี ไม่บ่นเจ็บก้น และต่อว่าผมก็พอ ไม่งั้นอดอีกหลายวัน



--------------------END Day 1-3-----------------




จะว่าพี่ดิมดุก็ไม่ได้ป่ะ ก็น้องเป็นแมวยั่วเยแบบนี้อะะะะะะะะะะะ
อิตาบ้าๆๆๆๆๆ
ไปให้สุดจ้าน้องงง แมวมาแล้วต่อไปเป็นอะไรดี เมดงี้ พยาบาลงี้ นักศึกษางี้
แงแงแงแง คูมหมอของประชาชนชอบอะยัยแบบนี้

ตอนพิเศษอีก 3 ตอนคิดว่าเจอกันอีกทีในเล่มเนาะ เยิ้บบบ

ขอบคุณที่ติดตามนะฮะ จะดีไปอีกถ้าจะอุดหนุนนิยายจากนิเขียนตัวเร้กๆ ไปโดย
5555555555555555555555
เจอกันใหม่งับบบบบบบบบบบบ


บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1

@mifengbeexx






หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-11-2018 21:42:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 04-11-2018 22:22:36
ทำไมดุจังเลยยยยยยยย ฮือออออออ
 สงสารน้องง :hao7: :hao7://ขอที่อยู่พี่หมอดิมหน่อยค่ะจะส่งชุดใหม่ไปให้ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-11-2018 23:43:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JustMin ที่ 05-11-2018 00:09:05
พี่ดิมใจร้ายจัง~ ต้องออเดอร์ชุดคอสเพลย์มาเยอะๆแล้ว
 :impress2: :impress2:

ขอบคุณที่มาอัพต่อค่า~
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 05-11-2018 00:23:56
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JanJanIsHappy ที่ 05-11-2018 02:09:31
สงสารตอนน้องโดนเมินมากเลยอ่ะ กลัวเขาไม่รักจนต้องมาทำอะไรแบบนี้เลยอ่ะ จริงๆ ตอนน้องกลัวว่าพี่ดิมจะนอกใจ นี่แอบกังวลว่าน้องจะนึกถึงเรื่องเก่าด้วยซ้ำ ดีแล้วที่ผ่านไปได้ด้วยดี
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-11-2018 20:19:59
สงสารน้องไปหมด พี่ดิมที่เป็นแบบนี้คือน่ากลัวมาก กลัวไปพร้อมน้องเลย อย่าโกรธบ่อยนะคะ ไหว้แล้วววว  :call:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Maleemol ที่ 05-11-2018 21:21:45
 :-[  :-[  :-[
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 05-11-2018 22:45:10
ดี ดีไปหมดเลย ภาษาดี พล็อตดี ลำดับเรื่อง เหตุการณ์ก็ดี อ่านลื่นไหลเลยค่ะ

คาเลกเตอร์ตัวละครแต่ละคนก็ชัดเจน พี่ดิมกับน้องก็หวานชื่นเหลือเกิน 

เรื่องราวของเมฆกับอาโปก็หน่วงจนปวดใจ แต่เราชอบความเรียลนะ คนรักกัน ไม่ถูกที่ ถูกเวลาก็ไม่ใช่ ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้เคลียเรื่องค้างคาในใจ ได้เริ่มต้นใหม่ เก็บทุกอย่างไว้เป็บความทรงจำ มองกลับมาแล้วยังยิ้มได้ดีกว่า

เห็นการหวีดของชาวเน็ตแล้วเหมือนเห็นตัวเองเลย 55 5


หืออออออออ ชอบทุกอย่างของเรื่องเลย
เป็นกำลังใจในคนเขียนสำหรับผลงานใหม่ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-11-2018 22:55:06
ตายอย่างสงบ :m25: ศพสีชมพู  :heaven

เลือดท่วมจอแล้ว  :jul1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-11-2018 23:08:45
แอบใจร้ายนะพี่ดิม..มมมมมมม    :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gibari ที่ 09-11-2018 07:08:26
หื้มมมม พี่ดิมคนดุกับน้องศิคนยั่วนี่ทำใจอ่อนระโหยโรยแรงไปหมดเลยค่ะ

ตลอดเวลาที่อ่านมานี่รู้สึกเหมือนเป็นประสบการณ์ใกล้ตัวในชิตที่เกิดขึ้นจริง
ส่องแท็กก็จะเจอข้อความแนวนี้ พร้อมบุคคลขาประจำในทวิตเตอร์ 55555

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆ นี้นะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 09-11-2018 16:45:08
แอบคิดว่าหมอเอ็กเทิร์นคนนั้นอาจจะเป็นคนเขียน :o8:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 29-11-2018 01:21:08
อย่าปิดบังหมออีกนะน้องแมว โกรธได้น่ากลัวไป รักกันไปอีกขั้นแล้วเพราะปรับความเข้าใจกันแล้ว
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LomaPakpao ที่ 09-12-2018 12:20:53
รอ Day1-6ค่ัััััะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: senprai ที่ 10-12-2018 01:54:31
อ่านถึงตอนจบ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ รักตัวละครในเรื่องมากๆ เลยยย รักความชาวเน็ตที่โผฃ่มาแบบฮาๆ ด้วย อิงความเป็นจริงได้น่ารักมากๆ ตอนอ่านเรื่องนี้ก็คิดว่าอยากอ่านนิยายที่น้องศิกับพี่ดิมเล่นมากๆ ฮ่าๆ เป็นเหมือนนิยายซ้อนนิยายมากๆ ในช่วงแรกที่มีการกล่าวถึงบทที่น้องต้องเล่น ทุกตัวละครมีเหตุผลมารองรับความคิดของตัวเองเสมอ และทุกอย่างอาจจะไม่ได้สมหวังเสมอไป แต่ทุกอย่างก็ต้องก้าวต่อไปเน๊อะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับนิยายเรื่องนี้ รักมากๆ เลยค่ะ ♥♥
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 10-12-2018 17:00:00
คู่เมฆxอาโปเป็นอะไรที่หนักหน่วงมาก ร้องไห้จนตาปูดไปหมด แต่ก็นะ "ความรักก็งี้แหละ" จึ๊ก ๆ ในหัวใจเรามาก เขียนดีสุด ๆ

ส่วนคู่หลักของเรา...น่ารักมากกก อ่านแล้วรู้สึกว่า ดีแล้วที่เราได้นอนครบ 8 ชม./วัน คุณหมอแต่ละคนคือผู้เสียสละอะ น้องก็เข้าใจพี่ดีมาก ๆ รวม ๆ คือดี อยากอ่านคู่ เมฆกับน้องปีหนึ่งคนนั้นจัง จะมีในเล่มมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: YYuiiiiuYY ที่ 10-12-2018 21:36:26
ชอบเรื่องนี้มากกกก ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 11-12-2018 22:07:55
สงสารแฟนคุณหมอ ถ้าคิดกับน้องจริงๆ รีบบอกคุณแฟนนะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 11-12-2018 23:34:36
ฟินไม่สุดเลยค่ะ จาร้อง
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 12-12-2018 01:22:26
เหมงฟามหื่นจากคุมลุง
เหมงกลิ่นอ้อยจากตัวน้อง
เหมงฟามรักของพวกเอ็งละเกิลลลล
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 13-12-2018 13:22:43
ชีวิตแฮปปี้มากค่ะ งู้ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fernfabled ที่ 14-12-2018 15:01:42
เรื่องน่ารักกกกมาก
ทั้งคุณพระอาทิตย์และคุณพระจันทร์เลยย
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2018 18:29:56
เกือบไม่ได้อ่านตอนนี้ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 16-12-2018 06:14:11
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 24-01-2019 09:10:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: peppermintt ที่ 10-03-2019 11:14:38
หวังแค่ว่าพนและวันต่อๆไปมันจะดีขึ้น สู้นะเมฆ #อิน
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: peppermintt ที่ 11-03-2019 08:14:13
พี่หมอต้องใจเย็นๆนะ อย่าดุกับน้องแบบนี้
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: snartza ที่ 11-03-2019 20:44:40
ตอนแรกๆ อ่านแล้วก็สนุกมากๆ พล็อตเรื่องดี ภาษาที่ใช้ก็ดีเลย

แต่อ่านมาถึง EP 9 เริ่มอ่านต่อไปไม่ไหว EP 10 ยิ่งหนักขึ้นไปอีก

เป็นมาม่าที่เลวร้ายเกินไป พระเอกนอกใจแฟน(ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย)

แบบนี้ในอนาคตวันข้างหน้า ถ้าพระเอกคบนายเอกแล้ว เกิดพระเอกไปเจอคนอื่นที่ถูกใจอีก
ก็ไม่ต้องนอกใจนายเอกอีกหรอ (รับไม่ได้สุดๆกับเรื่องนอกใจ)

ซ้ำร้าย EP10 เริ่มหนักขึ้น ไม่ใช่แค่พระเอก แต่นายเอกเริ่มเอาด้วย

โอ้แม่เจ้า !! นี่มันลอบเป็นชู้กันชัดๆ
ถึงแม้แฟนพระเอกจะมีคนมาดามใจ หรือต่อให้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้
แต่ในมุมพระเอกกับนายเอก ไม่รู้ว่าแฟนพระเอกเป็นแบบนั้น รู้แค่ว่ายังคงเป็นแฟนที่ซื่อสัตย์ดี

แล้วแอบรัก(ลัก)กันแบบนี้.... นี่ถ้าไม่ได้บทเป็นพระเอกนายเอก ก็ต้องเรียกว่า ลักลอบเป็นชู้กันแล้วล่ะ

ขออภัยจริงๆที่อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว.... ถ้าเม้นท์เราทำให้ผู้แต่งรู้สึกแย่ ก็ขอโทษด้วยนะ
แต่เรารู้สึกแย่มากจริงๆ เลยต้องระบายออกมา
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 19-03-2019 21:27:40
อยากให้อาโปกับเมฆกลับมารักกันจังค่ะ
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-03-2019 16:49:31
อื้อออออออออออ น้องแมววววว :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 31-03-2019 04:38:03
ขอบคุณมากค่า 
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 01-04-2019 18:45:59
พี่ดิม น้องศิ ฉากจบนี่แบบว่า :pighaun:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 03-04-2019 14:00:02
สนุกมาก น่ารักมาก ชอบจ้า^^
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Narakjang2000 ที่ 07-06-2019 12:46:56
อ่านจบแล้ววว สนุกมากครับ แต่เสียใจมากเหมือนกัน
ทำไมเมฆ โป ไม่สมหวังกันสักที เพราะก็รักกันถึงจะมีเรื่องเจ็บปวดก็น่าจะผ่านกันไปได้
คนอ่านเจ็บมากครับ กินข้าวไม่ลงเลย T_T //อินมากก  :L3: :L3:
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: SakeiooSakei ที่ 26-08-2019 21:25:55
น้องน่ารัก พี่หมอดุมากค่าาาาาาา

Sent from my SM-A910F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 29-10-2019 00:16:37
แง สนุกมากเลยค่ะ พี่ดิมก็ดุ ยัยศิก็ขี้ยั่วจริงๆเลย 55555
หัวข้อ: Re: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:32:19
 :pig4: