พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2014 18:51:12

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2014 18:51:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2014 18:53:44
อธิบาย
1.   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น สมมติขึ้น มโนขึ้น กรุณาใช้จินตนาการในการอ่าน โดยเฉพาะการทำความเข้าใจว่าช่วงเวลาในเรื่องสั้นเรื่องนี้ (เดือนธันวาคม) ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงอากาศหนาวแล้ว
2.   ชื่อเรื่องหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าผิดวิสัยผมมากๆ ขอยืมมาจากชื่อหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “ด้วยรักและช็อคโกแล็ต” ครับ
3.   ขออนุญาตใช้ภาษากลาง เพื่อความง่ายต่อการเขียนและการอ่านของทุกฝ่าย แต่ขออนุญาตปนภาษาเหนือ (คำเมือง) มาบ้างเล็กน้อยเพื่ออรรถรสและความน่ารักกุ๊กกิ๊ก (คนแต่งชอบภาษาเหนือเป็นการส่วนตัว) แต่เนื่องจากไม่ใช่คนที่อู้กำเมืองได้ หากมีความผิดพลาดประการใดจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

.
.
.

ขอมอบเรื่องนี้ให้กับ น้องๆ ที่กำลังจะเรียนจบ ม. 6 และคนที่กำลังแอบรักหรือเคยแอบรักเพื่อนสนิทของตัวเองทุกคน


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2014 19:03:50
(1)

ฤดูหนาว

.
.
.

มีครับ ประเทศไทยมีฤดูหนาว และบางปีมันก็หนาวจริงๆ ด้วย แต่คนกรุงเทพฯ ที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับอากาศหนาวตามฤดูกาลคงจะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ อย่างน้อยแถวบ้านผมนี้ก็หนาวพอดูเชียวล่ะ โดยเฉพาะตอนเช้าๆ กับตอนค่ำ เวลาขี่รถเครื่อง แม้จะขี่เบาๆ ไปแค่เซเว่นใกล้ๆ แล้วเจอลมเย็นๆ ปะทะนี่ก็ทำเอาหน้าชาได้เลยเหมือนกัน

ผมชื่อโอบครับ อายุ 18 เรียนอยู่ ม. 6 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ภาคเหนือของไทย เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงนั่งยัน นอนยัน ยืนยันว่าประเทศไทยมีฤดูหนาวจริงๆ ไม่อย่างนั้นบรรดาคนกรุงทั้งหลายคงไม่แห่มาเที่ยวบ้านผมกันเยอะแยะในช่วงนี้หรอก โดยเฉพาะบนดอยต่างๆ

เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับตัวขี้เกียจที่เกาะบนหลังอยู่ราวๆ ล้านกว่าตัว ผมเอื้อมมือออกไปปิดนาฬิกาปลุกที่กำลังส่งเสียงน่ารำคาญ แล้วซุกตัวลงไปในผ้าห่มอีกครั้ง นี่ขนาดไม่ได้เปิดแอร์ และเพิ่งเริ่มเข้าฤดูหนาวได้ไม่กี่วันนะเนี่ย แม่งยังหนาวขนาดนี้เลย

“พี่โอบ! ตื่นได้แล้ว!” ยัยอาย น้องสาวของผมรัวกำปั้นลงบนประตูห้องนอน “วันนี้อายต้องไปทำงานกับเพื่อนแต่เช้านะ เมื่อคืนก็บอกแล้วไง! เร็วๆ เดี๋ยวอายไปสาย!”

“เออๆ ตื่นแล้ว!” ผมสะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกออกจากเตียงอย่างหัวเสีย

พื้นปาร์เก้ที่เย็นเฉียบทำเอาผมสะดุ้งโหยงทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัส ผมรีบจ้ำไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวข้างกระจกขนาดเต็มตัว หน้าตาผมในตอนนี้นี่แม่งโคตรดูไม่ได้เลย ผมล่ะเกลียดการต้องตื่นนอนตอนเช้าจริงๆ พับผ่า

ผมเดินออกจากห้องไปอาบน้ำ แล้วจากนั้นก็รีบแต่งตัว ในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อนักเรียนอยู่นั้น ผมก็สำรวจหน้าตาและร่างกายของตัวเองอีกครั้ง ที่จริงผมก็หน้าตาดีเนอะ พอได้อาบน้ำสักหน่อย หน้าตาเริ่มสดชื่น ผิวพรรณเริ่มเข้าที่ ผมว่าผมก็หล่อเหลาอยู่ไม่หยอก แม้ว่าผมจะเป็นลูกครึ่ง น่าน-ชลบุรี และเคยใช้ชีวิตอยู่แถวๆ บางแสนอยู่จนถึงชั้นประถม แต่แม่ก็มักพูดอยู่ตลอดเวลาว่าผมนี่หน้าตาคนเมื๊องคนเมือง จบไม่มีเค้าความเป็นคนเมืองชลเลย แต่ผมก็ไม่เคยเข้าใจหรอกว่าไอ้ ‘เค้าความเป็นคนเมืองชล’ อย่างที่แม่บอกเนี่ย มันเป็นยังไง

“พี่โอบ!! เสร็จรึยัง! รีบไปกินข้าวเร็ววววว! ถ้ายังช้าอีกอายจะเอารถไปเองแล้วนะ!”

“กำลังจะลงไปแล้วโว้ยยยย!!” ผมตะโกนตอบกลับไป

การมีน้องนี่แม่งโคตรน่าเบื่อเลยจริงๆ นะครับ ใครไม่มี อย่าได้คิดจะลองเลยนะ เชื่อผมเหอะ

เมื่อไปถึงโรงเรียน อายก็รีบเปิดตูดวิ่งไปที่ที่มันนัดทำงานกับเพื่อนเอาไว้ทันที ผมเดาว่าคงจะเป็นที่โรงอาหารหรือไม่ก็ที่ห้องเรียนมันล่ะมั้ง หลังจากอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เดินไปยังซุ้มที่ผมกับเพื่อนๆ มักจะมานั่งกันประจำตอนเช้าก่อนเข้าแถว แต่แน่นอน เช้าขนาดนี้ยังไม่มีใครมาถึงหรอก ผมดูนาฬิกาข้อมือ แม่งยังไม่ถึงหกโมงสี่สิบห้าเลย สงสัยผมได้ฟุบหลับรอเพื่อนแหงๆ

“ไอ้โอบ!” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นทางด้านหลัง เพื่อนของผมโบกมือพร้อมกับสาวเท้าตรงเข้ามาหา

“อ้าว มาทำเหี้ยไรแต่เช้าวะ ไอ้นิค”

“กูมาลอกการบ้าน ไอ้เชี่ย เมื่อคืนก็ลืมทำ เลยบอกไอ้ปิงให้มันเอามาให้กูลอกแต่เช้าอะ เยอะชิบหายยยย”

“ไม่ใช่ว่ามึงเพิ่งลืมทำเมื่อคืนหรอก ไอ้ผีเบื่อ งานเค้าสั่งให้ทำมาเกือบเดือนแล้ว เสือกเพิ่งจะมาเริ่มทำเมื่อคืน กูว่ามึงไม่เสร็จหรอก อย่าพยายามเลย” ผมหัวเราะ

“ส้นตีนเหอะ ไอ้เหี้ย มึงเสร็จแล้วก็พูดได้นี่หว่า ไม่ช่วยแล้วยังเสือกซ้ำเติมอีก”

เมื่อเดินไปถึงจุดรวมพลของเรา ผมก็เห็นเพื่อนอีกสองคนนั่งเล่นมือถืออยู่ที่นั่นแล้ว ซึ่งสองคนนั้นคือไอ้โต๊ะและไอ้ปิง เมื่อเห็นเราสองคนกำลังเดินตรงเข้าไป พวกมันก็โบกมือให้ โดยเฉพาะไอ้ปิงที่กำลังยิ้มกว้างให้ผมสุดๆ

“เป็นไงวะ ไอ้โอบ หน้าตาไม่รับแขกเลยนะ” ไอ้ปิงตบลงบนที่ว่างข้างๆ มันเพื่อให้ผมนั่งลง

“เช้าขนาดนี้ ใครจะไปหน้าตาแฮปปี้ได้แบบมึงล่ะ” ผมพูดก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะ

“โอ๋ๆ ถ้าไม่ชอบตื่นเช้าแล้วมึงมาแต่เช้าขนาดนี้ทำไมวะ” ไอ้ปิงพูดพลางลูบหัวผม “กูนึกว่าจะมีแค่ไอ้นิคคนเดียวซะอีก มาเคลียร์งานประธานเหรอวะ”

“เปล่า กูโดนน้องบังคับมาส่ง...” ผมพูดตอบในลำคอ

“โถๆ ทูนหัวของนม” ไอ้ปิงหัวเราะ

“พอๆ มึงเลิกกุ๊กกิ๊กกันได้ละ ไอ้เชี่ยปิง เอางานมา! แล้วบอกกูด้วยว่าอันไหนสำคัญ อันไหนข้ามได้ กูไม่มีเวลาแล้วววว!” ไอ้นิคโวยวาย

“สมน้ำหน้า บ่าควายนิ เอ้าเอาไป! ลอกซะ สงสัยอะไรถามไอ้โต๊ะได้ กูลากมันมาด้วยเพื่อการนี้”

“ลำบากกูอี๊กกก บ่านิค หยั่งคิงมันตึงขึดตึงจา ผะย๋าปึก* ฮึ!”

“อย่าเพิ่งด่ากู! ให้กูได้เริ่มลอกงานก่อนได้ม้ายยยย!!”

ผมเอียงหน้าขึ้นมองไอ้ปิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม มันกำลังหัวเราะอยู่กับไอ้สองคนนั้น แต่แล้วมันก็เหลือบหันมามองทางผมเข้าพอดี เมื่อเห็นว่าผมกำลังมองมันอยู่ มันก็ส่งยิ้มและยักคิ้วมาให้ ทำเอาผมเขินจนต้องหลุบหน้ากลับลงใต้โต๊ะเหมือนเดิม

ไอ้ปิงเป็นคนหน้าตาดีครับ แถมเป็นนักกีฬาอีกต่างหาก เป็นหนุ่มฮ็อทของโรงเรียน มีสาวๆ มาชอบมันเยอะแยะ ผมกับมันเพิ่งมาอยู่ห้องเดียวกันตอน ม. 4 เริ่มต้นจากเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน จนกลายมาสนิทกันมากๆ ก็ในอีกปีนึงให้หลัง มันกับผมเริ่มกลายเป็นคู่หูตัวแทบจะติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดก็ตอน ม. 5 เทอมต้นนั่นแหละ แต่มันไม่รู้หรอกว่าผมน่ะ แอบมองมันอยู่บ่อยๆ มาตั้งแต่ตอน ม. ต้นแล้ว ผมว่ามันเป็นคนหล่อ น่ารัก และอัธยาศัยดี มีความมั่นใจในตัวเองสูงแต่ไม่น่าหมั่นไส้ พอได้มาอยู่ห้องเดียวกันตอน ม. 4 ผมก็ดีใจสุดๆ แต่แสดงออกไม่ได้ ได้แค่แอบปลื้มมันฝ่ายเดียว เพราะที่โรงเรียนไม่มีใครรู้เลยว่าผมชอบผู้ชาย แถมด้วยความที่เป็นเด็กกิจกรรม อยู่ในคณะกรรมการนักเรียนมาตลอด มีคนรู้จักเยอะ อาจารย์ก็รู้จักกันทั้งโรงเรียน จะให้จู่ๆ เปิดตัวว่าชอบผู้ชายก็คงทำไม่ได้ รวมเข้ากับสถานการณ์บีบบังคับ อยู่ในสังคมที่เพื่อนๆ มีแต่ผู้ชายแท้ จีบสาว เตะบอล ผมก็พลอยตกกระไดพลอยโจน ทำตัวเป็นแบบเดียวกับพวกมันมาจนเรียกได้ว่าชินเสียแล้ว

แต่ต่อให้ผมเคยชินกับการปกปิดตัวตนจริงๆ ของตัวเองมากขนาดไหน ผมก็ไม่สามารถเคยชินกับอาหารหวั่นไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้กับไอ้ปิงได้เลยสักที

และไม่ใช่แค่เพราะความหน้าตาดีกับนิสัยของมันเท่านั้นด้วย ที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกชอบมันมากพอๆ กับเจ็บปวดจากความรักข้างเดียวที่ต้องเก็บซ่อนไว้แบบนี้ ผมน่ะ ไม่รู้ตัวหรอกว่าความชอบ ความแอบปลื้มของผมมันเปลี่ยนไปเป็น ‘รักข้างเดียว’ แบบที่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันดันชอบทำตัวให้ผมเผลอคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอๆ มาตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มสนิทกันมากๆ แล้ว ไม่ว่าจะด้วยการที่มันชอบเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ อย่างเมื่อกี้ เวลาที่มันชอบมานั่งข้างๆ ผมแม้จะมีที่ว่างเยอะแยะ เวลาที่มันเล่นหัวผม กอดคอผม ชวนผมไปไหนมาไหนสองคน หรือแม้แต่เวลาที่มันแอบส่งยิ้มให้ผมแค่คนเดียวแบบเมื่อครู่นี้ก็ด้วย

ดูเหมือนมันเองก็น่าจะคิดอะไรกับผมเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ แต่เปล่าเลย ผมรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับผมแบบนั้นแน่นอน... ทำไมผมถึงมั่นใจอย่างนั้นน่ะเหรอ

ก็เพราะว่ามันเป็นแฟนกับเพื่อนน้องสาวผมน่ะสิครับ

และผมก็รู้ว่ามันเคยมีอะไรกับน้องคนนั้นมาแล้วด้วย

แม่งงงง...

“กินอะไรมารึยัง มึง” เสียงของไอ้ปิงที่พูดอยู่ใกล้ๆ หูผม ทำเอาผมสะดุ้งโหยงจนหัวโขกเข้ากับหน้าของมันอย่างแรง

“โอ๊ยยย!!” เราทั้งคู่ร้องออกมาพร้อมกัน ผมยกมือขึ้นกุมหัว ส่วนมันกุมจมูก

“อ้าว ไอ้เชี่ยโอบ ทำร้ายร่างกายไอ้ปิงเหรอวะ” ไอ้โต๊ะหัวเราะ

“ทำร้ายเชี่ยไร ก็แม่งอะ ทำกูตกใจ” ผมนิ่วหน้าพลางลูบหัวตัวเองเบาๆ “เออๆ กูขอโทษ เจ็บมากป่าววะ”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่เท่าไหร่” ไอ้ปิงโบกมือ แต่ผมเห็นเลือดสีแดงเข้มหยดออกมาจากจมูกผ่านทางง่ามนิ้วของมัน

“เฮ้ยยย มึงเลือดกำเดาไหล!” ผมตกใจ

“เออ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หยุด” มันหัวเราะเบาๆ “สงสัยจะมีปัญหากับโพรงจมูกกก”

“ยังจะมาตลกอยู่อีก บ่าฮ่านี่!” ผมควักผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อ

“ไอ้เชี่ยปิง!! มึงไปไกลๆ กูเลย!” ไอ้นิคโวยขึ้นมาเสียงดัง หน้าของมันซีดเผือด “ไอ้เชี่ยโอบ มึงรีบพาแฟนมึงไปไกลๆ กูเลย ไอ้เหี้ย! กูกลัวเลือด!”

ผมก็ลืมไปเสียสนิทว่าไอ้นิคมันกลัวเลือดขนาดหนักจนถึงกับเคยเป็นลมเพราะเห็นเลือดมาแล้ว ผมกับไอ้ปิงจึงรีบลุกจากม้านั่งและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังก๊อกน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด และเมื่อไปถึง เราสองคนนั่งยองๆ ลงตรงก๊อกน้ำ

“เจ็บมากป่าววะ มึง กูขอโทษ” ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มัน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเลือดก็หยุดแล้ว”

“อย่ามาดื้อน่ะมึง แล้วใครสอนให้เงยหน้าเวลาเลือดกำดาไหลวะ หันมานี่ซิ” ผมจับปลายคางของมันให้หันมาหาผม สั่งให้มันบีบจมูกแล้วก้มหน้าไว้ แล้วจากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดที่เลอะอยู่ตรงเหนือริมฝีปากให้มันเบาๆ แต่ยิ่งเช็ด เลือดก็ยิ่งเลอะ ผมเลยต้องเอาผ้าไปชุบน้ำพอหมาดๆ แล้วเช็ดคราบเลือดที่เลอะอยู่ออก และไหนๆ ก็ไหนๆ จึงเช็ดเลือดที่ติดอยู่บริเวณง่ามนิ้วให้มันไปด้วยเลย

ไอ้ปิงหัวเราะเบาๆ แม้จะกำลังบีบจมูกก้มหน้าอยู่ก็ตาม

“ขำอะไร” ผมถาม

“ก็มันจั๊กจี้อะ”

“ยังจะมีอารมณ์มาบ้าจี้นะมึง” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“มึงนี่ใจดีเนอะ ไอ้โอบ” มันเงยหน้าขึ้นมานิดนึงแล้วหันมามองผม

ผมเขินจนรู้สึกว่าตัวเองต้องหน้าแดงแน่ๆ จึงตบหัวมันไปเบาๆ เป็นการแก้เก้อแล้วก็ลุกขึ้นยืน “เพ้อเจ้อนะมึง ก้มหน้าไปไม่ต้องพูดมาก พอเลือดหยุดแล้วก็ล้างมือซะ เอ้านี่ กูให้ผ้าไว้เช็ด”

ไอ้ปิงยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า แต่ด้วยความที่มันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม มันจึงคว้าเข้าที่มือของผมแทนที่จะเป็นผ้าเช็ดหน้าในมือ มันชะงักไปครู่สั้นๆ ก่อนจะดึงเอาผ้าเช็ดหน้าไปแล้วถึงลุกขึ้นยืน

“กูว่าหยุดแล้วว่ะ” มันพูดพลางปล่อยมือที่บีบจมูกไว้ออก “นี่งะ เห็นมะ เลือดกูแห้งเร็ว”

“งั้นก็ล้างหน้าล้างมือสักที จมูกมึงยังมีคราบเลือดอยู่เลย”

“เหรอ ตรงไหนวะ” มันเอามือถูจมูก

“โอ๊ยยยย! ถูซะแรงขนาดนั้นกลัวเลือดไม่ออกอีกรึไง มานี่!” ผมดึงผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของมันแล้วใช้มุมผ้าเช็ดตรงแถวๆ รูจมูกให้มันเบาๆ

ไอ้ปิงยิ้มอีกครั้ง “เห็นมะ มึงแม่งใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับกู”

นั่นไง! มันทำแบบนี้กับผมอีกแล้ว! อยากจะด่ามันนักว่าแฮ่นแต๊แฮ่นว่า แฮ่นหลายยยยยเนาะ! แต่ก็พูดไม่ออก ความเขินมันคับลิ้นคับคอจนจุกไปหมด

“ผ้าเช็ดหน้ามึงผืนนี้กูขอนะ เปื้อนเลือดหมดแล้ว ไม่รู้จะซักออกรึเปล่า เอาไว้เดี๋ยวกูซื้อใหม่มาคืนให้”

“ไม่ต้องคืน ไม่ต้องซื้อ แค่นี้เอง ผ้าเช็ดหน้ากูมีเยอะแยะ” ผมส่ายหน้า “ไปเหอะมึง คนเริ่มเยอะแล้ว คนอื่นคงมาถึงกันแล้วมั้ง กลับไปหาไอ้พวกนั้นกันเหอะ” ผมเดินนำมันออกไป

“เดี๋ยว ไอ้โอบ” ไอ้ปิงคว้าต้นแขนผมเอาไว้ “ขอบใจนะเว้ย”

ผมไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าเดินจ้ำกลับไปหาเพื่อนๆ จะว่ามีความสุขมันก็มีอยู่หรอกนะ แต่อีกใจก็เจ็บแบบเหี้ยๆ คนไม่เคยแอบชอบใคร ไม่เคยแอบชอบเพื่อนตัวเอง แม่งไม่เข้าใจหรอก



........................................................................................

*หยั่งคิงมันตึงขึดตึงจา ผะย๋าปึก แปลว่า ทำไมถึงได้สมองทึบนัก ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ (ประมาณนั้น)

........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2014 19:08:48

(2)

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมต้องแบกเอกสารกองใหญ่ของอาจารย์จากคาบสุดท้ายไปไว้ที่ห้องพักครู ตอนแรกก็คิดว่าแบกคนเดียวก็คงจะไหวนะ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็หนักเหมือนกันว่ะ แถมห้องพักครูก็อยู่ไกลอีก พอเดินออกจากห้องไปได้หน่อย ผมก็ต้องวางมันลงแล้วถอนหายใจออกมาให้กับความโง่ของตัวเองเฮือกใหญ่ที่ดันไม่ขอความช่วยเหลือจากใครเลย

“ไง แบกไม่ไหวล่ะสิ” เสียงของไอ้ปิงดังขึ้นจากด้านหลัง มันเดินเข้ามาแบ่งกองเอกสารไปครึ่งหนึ่ง “มา กูช่วย”

“เออ ดี แต๊งกิ้ว”

เราสองคนเดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน เด็กนักเรียนหลายคนที่เพิ่งเลิกเรียนวิ่งบ้างเดินบ้างผ่านพวกเราไปก็ส่งเสียงสวัสดีทักทายเราเป็นระยะๆ จนกระทั่งเราเอาเอกสารไปเก็บให้อาจารย์เสร็จแล้วและกำลังเดินออกจากห้องพักครู ผมก็บังเอิญเจอไอ้น้องสาวตัวดีของผม

“พี่โอบ อายกำลังจะโทรหาพอดี วันนี้อายต้องไปทำโครงงานกับเพื่อนอะ คงกลับดึก เมื่อกี้โทรบอกพ่อกับแม่แล้ว”

“เออ แล้วไง”

“พี่โอบทิ้งรถไว้ให้อายหน่อยดิ เดี๋ยวอายต้องใช้ขี่ไปซื้อของและไปบ้านเพื่อนต่ออะ นะๆ”

“อ้าว แล้วกูจะกลับยังไงอะ”

“พี่โอบก็ให้เพื่อนไปส่งดิ อายขอพ่อกับแม่แล้วนะ” เอาอีกแล้วไง นิสัยเอาแต่ใจของน้องสาวของผม แถมพ่อกับแม่ก็ตามใจมันเหลือเกินด้วย

“เดี๋ยวกูไปส่งมึงเอง” ไอ้ปิงเสนอ “แต่ต้องรออีกสักพักนะ เดี๋ยวกูต้องแวะเข้าชมรมก่อน”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับกับไอ้นิคหรือใครก็ได้”

“ไม่ได้ กลับกับกูนี่แหละ ห้ามเถียง จบ เมื่อเช้ามึงทำกูเลือดออกนะ อย่าลืม”

“เกี่ยวเชี่ยไรวะ...”

“ห้ามขัดใจกู”

“เดี๋ยวๆ เมื่อเช้าพี่โอบไปทำอะไรพี่ปิง” อายถาม

“ไม่มีอะไรหรอก น้องอาย อุบัติเหตุนิดเดียวน่ะ ว่าแต่เดี๋ยวฝนก็ต้องอยู่ทำงานกับอายด้วยใช่มั้ย ไงพี่ฝากฝนด้วยก็แล้วกันนะ พี่ไปก่อนละ เดี๋ยวเข้าชมรมไม่ทัน” เมื่อพูดจบ ไอ้ปิงก็กึ่งจูงกึ่งลากผมออกมาทันที

น้องฝนที่มันพูดถึงเมื่อครู่ก็คือแฟนของมันครับ

“อะไรวะ มึงไม่อยู่รอรับน้องฝนกลับบ้านเหรอ ไอ้ปิง”

“ไม่อะ” มันตอบสั้นๆ แต่แค่นั้นยังไม่พอที่จะทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมสงบได้

“ทำไมวะ ทะเลาะกันรึไง”

“อือ สักพักแล้ว อีกไม่นานคงเลิกว่ะ” มันตอบกลับมาตรงๆ ทำเอาผมคาดไม่ถึงเล็กน้อย

“มีปัญหาอะไรกันวะ”

“เรื่องมันยาว ช่างมันเหอะ กูไม่ได้เสียใจอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงกู” มันหันมายิ้มให้ผม

“ใครบอกว่ากูเป็นห่วงมึง” ผมเบะปาก

“คนอย่างมึงต้องเป็นห่วงกูอยู่แล้วแหละ กูรู้” มันฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

เออดี ไอ้โอบ เขินไปสิ เขินอีกแล้ว ทั้งเขิน ทั้งเจ็บในหัวใจแปลกๆ ด้วย นี่เราก็จะจบ ม. 6 กันในอีกไม่กี่เดือนแล้วนะ ผมจะสามารถทนความรู้สึกนี้ไปได้จนถึงวันสุดท้ายมั้ยเนี่ย แต่พอคิดแบบนั้น อีกใจนึงก็ผมเสียใจเหมือนกันนะครับ เพราะถ้าวันที่ผมกับมันต้องห่างกันมาถึง ผมคงจะต้องเหงาและเจ็บปวดมากแน่ๆ ถึงจะพยายามบอกตัวเองว่าผมคงจะสบายใจขึ้น ที่ไม่ต้องทนเห็นรอยยิ้มที่บีบหัวใจผมอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ทุกวัน ผมจะได้เริ่มต้นใหม่กับหัวใจตัวเองสักที แต่ก็เพราะรอยยิ้มเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ผมยิ้มได้และรู้สึกอบอุ่นอยู่ได้ทุกวันแม้ในวันที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ก็ตาม

มันคือความสุขที่เจือไปด้วยความเศร้า และมันคือรอยยิ้มที่มาพร้อมหยาดน้ำตาในบางครั้งคราว

ไอ้ปิงอยู่ชมรมบาสเก็ตบอลครับ มันเป็นประธานชมรมด้วย อีกไม่กี่วันข้างหน้า โรงเรียนเราต้องแข่งกับโรงเรียนคู่ปรับที่สู้กันมานาน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอด และปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ไอ้ปิงจะได้เล่นกับทีมของโรงเรียนแล้ว มันจึงอยากคว้าชัยชนะหนนี้มาให้ได้ และในขณะเดียวกันมันก็อยากให้น้องๆ ในชมรมทุกคนได้ประสบการณ์การแข่งกันเป็นทีม ได้ชนะร่วมกัน มันจึงค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับการมาซ้อมและคอยกระตุ้น คอยช่วยเหลือให้คนอื่นๆ พัฒนาฝีมือไปพร้อมๆ กันมากๆ

สรุปหลังจากนั้นผมก็นั่งเล่นมือถือรอมันซ้อมไปเรื่อยๆ ครับ บางทีมันก็จะวิ่งออกมาดูผมบ้างว่าทำอะไรอยู่ ตอนพักก็มานั่งคุยกับผม คอยถามว่าหนาวมั้ย หิวรึยังอะไรของมันไปเรื่อย ผมนั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่บนสแตนด์จนกระทั่งมันซ้อมเสร็จ ซึ่งก็ปาไปหกโมงกว่า ซึ่งเอาจริงๆ คนอื่นก็ยังไม่เลิกหรอก แต่มันขอกลับออกมาก่อน

“ทำไมไม่ไปซ้อมให้มันเสร็จๆ วะ หนีออกมาก่อนได้ไง”

“ไม่เอาอะ กูเก่งแล้ว ซ้อมแค่นี้พอละ เดี๋ยวมึงรอนาน”

“ถุย ปากดีตลอดอะมึงอะ”

“ฮ่าๆ จริงๆ แล้วคือกูหิวว่ะ ปะ ไปหาอะไรกินกัน เดี๋ยวกูค่อยไปส่งที่บ้าน” มันกอดคอผม “หนาวมั้ยเนี่ย ใส่เสื้อบางเป็นกระดาษแบบนี้ เอาอะไรคิดวะ”

“ก็กลางวันมันร้อนนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าต้องกลับเย็นค่ำแบบนี้ล่ะวะ” ผมเถียงกลับ

“เอ้า เอาเสื้อกูไปใส่ แล้วเอาเสื้อมึงมา แลกกัน”

“เฮ้ย ไม่เอาๆ ไม่ต้อง กูไม่หนาวขนาดนั้นหรอก”

“ไม่ต้องมาเถียง กูเห็นมึงนั่งห่อไหล่อยู่ตั้งนานแล้ว มานี่” มันจัดการถอดเสื้อนอกของผมออก แล้วโยนเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองมาให้ผม “ใส่ซะ”

“แล้วมึงไม่หนาวรึไง”

“กูเพิ่งออกกำลังมา ไม่หนาวหรอก ไปเหอะ หิว” มันเดินนำผมไปยังรถเครื่องของมัน จากนั้นก็ยื่นหมวกกันน็อคให้ผม “ถ้ากลัวตกก็เกาะเอวพี่ให้แน่นๆ นะจ๊ะน้อง” มันหัวเราะ

“กวนตีนนะมึง” ผมเขกหัวมันเบาๆ “ไปๆ จะพาไปแดกอะไรก็ไป กูหิวแล้ว”

“ได้เล้ยยยย”

ไอ้ปิงขี่รถพาผมออกจากโรงเรียนตรงไปยังทิศตรงข้ามกับบ้านของผม มันบอกว่าจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านที่พวกเราเคยไปกินกันประจำ ถึงจะอยู่ไกลหน่อย แต่ผมก็โอเค เพราะมันคือร้านโปรดของผม และอากาศหนาวๆ แบบนี้ได้ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ สักชามก็ไม่เลวเหมือนกัน

ในขณะที่ซ้อนท้ายมันอยู่นั้น ลมเย็นๆ พัดเข้าปะทะร่างกายของผมจนผมต้องห่อไหล่ ผมนึกสงสัยว่าแล้วไอ้ปิงที่เป็นคนขี่ รับลมเต็มๆ แถมยังใส่เสื้อสเว็ตเตอร์ตัวบางๆ ของผมอีกนั้น จะไม่หนาวแย่หรือไง

“หนาวมั้ยวะมึง” ผมถามมันเมื่อรถของเราหยุดรอสัญญาณไฟที่สี่แยก

“นิดหน่อย”

“นั่นไง แล้วทำไงล่ะ มึงเอาเสื้อตัวเองไปใส่ไป”

“ไม่ต้อง มึงใส่ไปเหอะ กอดเอวกูหน่อยก็พอ จะได้หายหนาว”

“ครวยเหอะ! ทะลึ่งละไอ้นี่!”

ไอ้ปิงหัวเราะ และเมื่อสัญญาณเปลี่ยนเป็นไฟเขียว มันก็ออกรถ หลังจากขี่ต่อไปได้อีกสักหน่อย มันก็พูดขึ้น “ไอ้โอบ เมื่อกี้อะ กูพูดจริงนะเว้ย”

“อ... อะไร”

“กอดเอวกูหน่อย กูหนาว”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปดี หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้สองแขนโอบรัดเอวของมันจากทางด้านหลังตามที่มันบอก ทั้งที่ใจก็เต้นแรง แต่อีกใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่ามันคงไม่ได้คิดอะไรหรอก มันคงแค่หนาวจริงๆ และก็อยากได้ไออุ่นจากผมบ้างก็เท่านั้น อีกอย่างเรื่องการถึงเนื้อถึงตัวของพวกเราในหมู่เพื่อนฝูงก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วด้วย... มั้ง

ผมคิดอย่างนั้น จนกระทั่งมันใช้มือข้างหนึ่งมาจับมือของผมเอาไว้ มือเย็นๆ ของมันทำผมสะดุ้งเบาๆ และทำให้หัวใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีก

ไอ้ปิงกุมมือของผมเอาไว้แบบนั้นไม่ยอมปล่อย ถึงมือของมันจะเย็น อากาศจะหนาว และลมจะเย็นมากเท่าไหร่ แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นแบบบอกไม่ถูก...

ถ้าหากหยุดเวลาลงได้ ผมก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ ณ ตอนนี้จังเลยว่ะ


........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 10-12-2014 20:09:59
ประเดิม คนแรกเบย อิอิ

จริงๆอะ ปิงชอบโอบอะสิ 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 11-12-2014 00:01:11
อ่านแล้วรู้สึกปิงก็แอบอ่อยนะถ้าไม่ได้คิดอะไร

แต่ปิงน่าจะคิดอะไรกับโอบบ้างล่ะเนอะ

คนเขียนสู้นะ o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 11-12-2014 00:45:34
แนวรักจุกอกมาอีกแล้ว โคตรชอบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 11-12-2014 21:42:33
ขอให้จบแฮปปี้แบบได้อยู่ด้วยกันจนโตเถอะ  :z2:


ปอลิง: ว่าแต่เรื่องสั้น เค้าย้ายมาห้องนี้หมดเลยเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: peppier ที่ 12-12-2014 01:53:03
น่าร้ากกกกกกก
รอนะครับผม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 12-12-2014 23:53:41
 ปิง มันต้องคิดอะไรแน่อะ ผมว่าไม่นั้นไม่แสดงออกท่าทางแบบนี้กับโอบหรอกครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 13-12-2014 00:25:34
เฮ้ยยย ปิงอ่อยโอบหว่ะ!!
ปิงรู้ป่ะเนี่ยว่าโอบแอบชอบเลยยิ่งอ่อย
รีบมาต่อเร็วๆ นะคุณต้น มาเป็นกำลังใจให้..
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-12-2014 00:50:17
(3)

หลังกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ไอ้ปิงก็ขี่รถพาผมไปส่ง คราวนี้มันไม่เอ่ยปากขอให้ผมกอดมันอีกแล้ว แต่มันเป็นฝ่ายจับมือผมไปกอดเอวของมันเองตั้งแต่ก่อนออกรถเลยด้วยซ้ำ

เมื่อมาถึงบ้าน ผมก็คืนเสื้อแจ็คเก็ตให้กับมัน หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง มันไม่ยอมขี่รถออกไป ส่วนผมก็ไม่ยอมเข้าบ้านสักที ถึงเราจะสนิทกันมาก แต่ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดเท่ากับวันนี้มาก่อน เราเคยถูกเนื้อถูกต้องกันบ่อยก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ในระดับนี้ ยกตัวอย่างเช่นปกติมันก็แค่ลูบหัวผมบ้าง โอบบ่าผมบ้าง แค่นั้นเอง แต่เรื่องจับมือนั้น... วันนี้วันแรกเลยว่ะ

“มึง... ยังหนาวอยู่ปะวะ” ผมถามขึ้นในที่สุด

“ก็นิดหน่อย แค่คิดว่าเดี๋ยวต้องขี่รถกลับบ้านก็ตัวจะแข็งแล้วเนี่ย”

“งั้นเข้ามาในบ้านก่อนมั้ย หาไรอุ่นๆ แดกก่อนแล้วค่อยกลับ... รึไงดี”

ไอ้ปิงยิ้มกว้าง “เอาดิ พ่อแม่มึงไม่ว่าใช่ปะ ดึกแล้วนะ”

“ดึกห่าไร เพิ่งจะสองทุ่มเอง มาเหอะ เค้าไม่ว่าหรอก ทำเป็นไม่เคยเข้าบ้านกูไปได้”

ผมพาไอ้ปิงเข้าบ้าน ไหว้พ่อกับแม่ แล้วจากนั้นก็พามันขึ้นไปบนห้องนอน ผมชงโอวัลตินขึ้นไปให้มันด้วย เพราะผมรู้ว่าโอวัลตินร้อนคือของโปรดของมัน และมันก็รู้ว่าผมรู้และต้องชงให้มันแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เข้าบ้านผมหรอก

“เฮ้ออออ... ดีจังงง...” มันถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มจางๆ หลังดื่มโอวัลตินไปอึกนึง

“ทำเป็นคนแก่ไปได้ สึ่งตึงเนาะ*”

“อากาศหนาวๆ อย่างนี้ จะมีอะไรดีกว่าโอวัลตินอุ่นๆ สักแก้ว กับเพื่อนดีๆ สักคนวะ”

“ฮู้ยยยยย น้ำเน่าหลาย ไปใช้กับแฟนมึงนู่น คำหวานๆ น่ะ ไม่ต้องมาใช้กับกู” ผมลืมตัวปากไวพูดเรื่องแฟนของมันออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เออะ... ขอโทษทีว่ะ กูลืมไปว่ามึงกำลังมีปัญหากับแฟนอยู่ มันแย่มานานขนาดไหนแล้ววะ”

“สักพักใหญ่แล้ว สัก... เดือนสองเดือนได้ละมั้ง”

“อ้าว เฮ้ย แต่มึงเพิ่งคบเค้าได้แค่ครึ่งปีเองไม่ใช่เหรอวะ และถ้ามันแย่ขนาดนั้น ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ก็กูไม่ได้บอกใครเลยอะ แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ก็แค่ห่างๆ กันไปว่ะ กูว่าน้องมันทำตัวเฉยเมยไปเอง กูก็ปล่อยๆ ไป แล้วแต่มันอะ มันบอกเลิกกูเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น กูไม่เสียใจหรอก... เสียดายนะ แต่ไม่เสียใจแล้วว่ะ มันผ่านจุดนั้นมาแล้ว”

“จริงเหรอวะ มึงจะไม่เสียใจเลยจริงๆ อะ” ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆ มัน “แฟนทั้งคนนะเว้ย”

“ก็เหมือนจะเสียใจนิดนึงนะ แต่... เอาจริงๆ ก็ไม่อะว่ะ ก็อย่างที่บอกว่ากูผ่านตรงนั้นมาแล้ว กูเคยนอยด์ เคยคิดมากไปแล้ว มันจบแล้วว่ะ และที่สำคัญ กูว่าการที่กูไม่ค่อยจะเสียใจเนี่ย คงเพราะ...” มันหันมามองหน้าผม

“เพราะ...” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“ไม่บอกดีกว่า ฮ่าๆๆ”

“อ้าวววว ไอ้หน้ากบ!” ผมยกเท้าขึ้นถีบมันเบาๆ แต่ไม่กล้าถีบแรงเพราะกลัวโอวัลตินจะหกเลอะเตียง

ไอ้ปิงวางถ้วยลงบนโต๊ะหัวเตียง จากนั้นก็เอนตัวลงนอน “อีกไม่กี่เดือนเราก็จะเรียนจบแยกย้ายกันแล้วนะเว้ย... มึงคิดว่าไงวะ”

“คิดว่าไงเรื่องอะไร”

“เรื่องเพื่อนๆ เงี้ย เรื่องกูกะมึงเงี้ย...” มันชูมือขึ้นและกางนิ้วออก ทำท่าเหมือนกำลังพยายามจะจับแสงไฟจากหลอดไฟบนเพดาน “กูคงคิดถึงมึงแย่เลยว่ะ ก็ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด กูสนิทกับมึงที่สุดเลยนี่หว่า”

“อืมม” ผมตอบได้แค่นั้นจริงๆ

“มึงสัญญากะกูะเว้ย ไอ้โอบ ว่ามึงจะไม่ทิ้งกู จะไม่หายหัวไปไหน เราจะยังติดต่อกันเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแยกย้ายไปเรียนที่ไหนกันก็ตาม”

เนื่องจากปัญหาที่บ้าน เราจึงต่างก็รู้กันดีว่ามันกับผมคงไม่มีทางได้เรียนที่เดียวกันแน่ๆ

“โอ๊ยยย ไอ้เชี่ยปิง มึงอย่ามาดราม่าเอาตอนนี้ได้มั้ยวะ ไอ้เหี้ย อีกตั้งนานกว่าจะเรียนจบนะเว้ยยยย” ผมบ่ายเบี่ยง เพราะไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไป ผมกลัวว่าถ้าหากผมเผลอแสดงความรู้สึก อารมณ์ หรือความอ่อนแอที่เก็บเอาไว้มานานออกไปแล้วล่ะก็ ผมจะหยุดมันไม่ได้

“บางทีมึงแม่งก็เป็นซะแบบเนี้ย ไอ้โอบ” ไอ้ปิงถอนหายใจเบาๆ มันยังคงไม่มองหน้าผม

“เป็นแบบไหน”

“แบบนี้แหละ”

ผมมองหน้า มองดวงตาที่เหม่อมองไปข้างบนของมันแล้วรู้สึกใจเต้นจนปวดร้าวหน้าอกไปหมด ความรู้สึกบีบหัวใจจนแทบจะทำผมหายใจไม่ออกนี่คืออะไร ทำไมจู่ๆ ผมถึงรู้สึกทั้งความรักและความเศร้าใจที่เอ่อล้นจนท่วมท้นแบบนี้ขึ้นมาได้

ผมเปลี่ยนเรื่องเป็นชวนมันคุยเรื่องการแข่งบาสที่กำลังจะมาถึง ซึ่งก็ได้ผล เพราะเราคุยเรื่องนี้และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันได้อีกนาน จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่ของผมชวนให้ไอ้ปิงนอนที่บ้านเสียเลย เพราะว่ามันดึกมากแล้ว และวันนี้ก็เป็นคืนเดือนมืด แม่บอกว่าไม่อยากให้ไอ้ปิงขี่รถกลับบ้านคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ ผมมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาจะห้าทุ่มแล้ว

ไอ้ปิงอุทานเบาๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตอนนี้ดึกแค่ไหนแล้ว มันลืมเปิดเสียงโทรศัพท์ตั้งแต่เย็น ทำให้ไม่ได้รับสายที่แม่ของมันโทรเข้ามาหลายสาย มันจึงโทรกลับไปหาแม่ โดนด่าไปยกนึง แล้วขออนุญาตแม่นอนกับผมที่บ้านเสียเลย ซึ่งแม่ของมันก็ไม่ได้ว่าอะไร

“งั้นคืนนี้ก็รบกวนหน่อยเนาะมึง”

“รบกงรบกวนห่าอะไร ทำเป็นไม่เคยมานอนค้างไปได้ แปรงสีฟันมึงยังทิ้งไว้ที่นี่อยู่เลย ไปๆ ไปอาบน้ำ ดึกแล้ว เดี๋ยวแม่กูด่าเอา” ผมลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวมายื่นให้มัน “เดี๋ยวกูเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้”

“ขอบคุณคร้าบบบ” มันทำหน้าทะเล้นให้ผมก่อนเดินออกจากห้องไป

ก็จริงที่ไอ้ปิงเคยมานอนที่บ้านผมหลายหนแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เคยใจเต้นแรงอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อหนแรกๆ ที่มันมาค้างคืนด้วย แต่สุดท้ายผมก็ชินไปเอง เพราะไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราเลย เราต่างคนต่างนอน ไม่เคยแม้แต่จะถูกตัวกันด้วยซ้ำ อีกอย่าง ผมเองก็พยายามไม่คิดอะไรเกินเลยกับมันมาได้ตั้งนานจนเป็นความเคยชินไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกว่าบางอย่างในตัวผม... บางอย่างระหว่างเรามันเปลี่ยนไปจนผมกังวล

บางทีอาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่ามันกำลังจะเลิกกับแฟน
บางทีอาจจะเป็นเพราะมันขอให้ผมกอดมันตอนขี่รถเมื่อหัวค่ำ
บางทีอาจจะเป็นเพราะเรากำลังใกล้จะเรียนจบและต้องแยกย้ายกันไปแล้ว
บางทีอาจจะเป็นเพราะคำพูด สีหน้า และแววตาของมันเมื่อครู่นี้
บางทีอาจจะเป็นเพราะทุกๆ อย่างที่ว่ามาทั้งหมด
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะใจของผมเองคนเดียวนั่นแหละ

อีกยี่สิบนาทีถัดมา ไอ้ปิงก็นอนอยู่บนเตียงของผมเรียบร้อย ผมรอมันซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มดีแล้วจึงถามว่าผมจะปิดไฟได้รึยัง เมื่อมันพยักหน้าให้ ผมก็กดสวิทช์ และทั่วทั้งห้องก็มืดลงทันที

ผมค่อยๆ เดินคลำทางไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน “ไม่เปิดแอร์ ไม่เป็นไรใช่ปะ”

“แค่นี้ก็หนาวจะตายห่าแล้ว”

“มึงยังหนาวอยู่หรอวะ”

“ก็นิดหน่อย”

“จะเป็นหวัดมั้ยเนี่ยมึง เสือกโชว์แมน เอาเสื้อให้กูใส่ เป็นไงล่ะ” ผมหันไปหามัน

“อ้าว ก็กูไม่อยากให้มึงหนาวนี่หว่า... แต่ได้มึงกอดกู กูก็อุ่นขึ้นเยอะแล้ว”

ถึงจะมืด แต่ผมก็คิดว่าผมมองเห็นว่ามันกำลังยิ้มให้ผมอยู่แน่นอน

“สลิดนักนะมึงเนี่ย นี่ถ้ากูไม่รู้นะ กูต้องคิดว่ามึงแม่งเป็นเกย์รึกำลังจีบกูแน่ๆ ไอ้ห่าาา” ผมพูดไปด้วยใจที่เต้นโครมคราม

ไอ้ปิงหัวเราะร่วนก่อนจะโผเข้ามากอดรัดตัวของผมเอาไว้

“เฮ้ย! ทำเชี่ยไรมึง!”

“กูหนาว ขอกอดหน่อยไม่ได้รึไง” มันพูดลงบนซอกคอของผม “แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นเอง”

บางอย่างในน้ำเสียงของมัน ทำให้ใจที่เต้นแรงของผมค่อยๆ สงบลง บางอย่างที่ผมคิดเอาเองว่าอาจจะซ่อนอยู่ลึกๆ ในน้ำเสียงของมัน ทำให้ผมรู้ว่าความรักของผม คงจะไม่ได้รับการตอบสนอง บางสิ่งบางอย่างจากคำพูดเพียงประโยคสั้นๆ นั้นของมัน บอกทุกคำตอบที่ผมเคยสงสัยมานาน ผมอาจจะคิดไปเอง... หรืออาจจะไม่ ผมก็ไม่รู้มันคืออะไร แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมยอมผ่อนคลายตัวเองลง และปล่อยให้มันกอดผมเอาไว้แบบนั้น

เสียงลมหายใจและเสียงชีพจรของไอ้ปิงดังชัดอยู่ในหูของผม ผมยกมือขึ้นวางลงบนต้นแขนของมันเบาๆ ก่อนจะลื่นขึ้นไปถึงที่มือของมัน เมื่อเห็นว่ามันไม่เลื่อนมือหลบ ผมก็กุมมือของมันเอาไว้อย่างทะนุถนอมราวกับมันคือกลีบกุหลาบที่ผมไม่อยากให้มันฟกช้ำหรือโรยราจากผมไป

“เราไม่เคยกอดกันแบบนี้มาก่อนเลยนะ... มึงไม่เคยกอดกูแบบนี้มาก่อนเลย”

“อืมมม...” ไอ้ปิงทำเสียงในลำคอตอบกลับมาเบาๆ

“และมึงก็ไม่เคยจับมือกู หรือกูจับมือมึงด้วย”

คราวนี้มันไม่ตอบ

“มึงว่ามันแปลกรึเปล่าวะ ที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่กลับกอดกันหรือจับมือกันแบบนี้น่ะ”

ยังคงไม่มีคำตอบ

“ไอ้ปิง...”

“มึงอึดอัดมั้ยวะ ไอ้โอบ”

ผมถอนหายใจเบาๆ “ไม่อะ กูชื่อโอบนะเว้ย มึงอย่าลืม ชื่อของกูมาจากอะไร ‘โอบกอด’ นะ เพราะงั้นเรื่องโอบเรื่องกอดเนี่ย กูถนัด”

ผมได้ยินเสียงของมันหัวเราะในลำคอเบาๆ “เกี่ยวเหรอวะ”

เออ ไม่เกี่ยวหรอก แต่อย่างน้อยคำพูดบ้าๆ บอๆ ของผมก็ทำให้บรรยากาศมันเปลี่ยนไปได้บ้าง

“กูนอนละนะ ฝันดีนะเว้ย คุณโอบกอด”

“เออ ฝันดีเหมือนกัน คุณชายปิง”

ผมบีบมือมันเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือออก ไอ้ปิงกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับซุกหน้าลงที่คอของผมมากขึ้นอีก ผมอยากจะกอดมันตอบกลับเหลือเกิน ผมอยากจะบอกว่าผมชอบมัน ผมรักมันมากกว่าคำว่าเพื่อน ผมอยากจะให้มันรู้ว่าผมทั้งมีความสุขและอึดอัดทรมานมากแค่ไหนกับสิ่งที่เป็นอยู่

แต่สุดท้ายความกลัวว่าสิ่งที่เรากำลังมีอยู่นี้จะพังทลายลงไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวและความคิดโง่ๆ ของผมก็เป็นฝ่ายเอาชนะ และทำให้ผมทนกล้ำกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงไปได้อีกคืน


........................................................................................

*สึ่งตึงเนาะ แปลว่า ปัญญาอ่อนเนาะ

........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: peppier ที่ 13-12-2014 01:28:25
โอ้ยยยยยย ลุ้นแทน
ทำไมไอ้ปิงมันขี้อ่อยจังวะห๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 13-12-2014 01:32:08
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกหน่วงๆ สงสารโอบ
ปิงคิดไรอยู่เนี่ย อยากรู้จัง..
เป็นกำลังใจให้คุณต้นนะ รอตอนต่อไป หุหุ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: Kcj ที่ 13-12-2014 02:03:52
รึจริงๆแล้วปิง ก็ชอบโอบเหมือนกัน ดูจากท่านะคิดว่าคงใช่แหละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 13-12-2014 10:23:49
 :mew4:ปิงทำท่าทีเหมือนชอบเลย แต่ก็นะ

อยากรู้จังว่า แท้จริงแล้วปิงคิดอะไรอยู่หนอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 13-12-2014 11:02:32
ตามมาจากเพจเลยยย
รอลุ้นว่าจะเป็นไงต่อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 13-12-2014 18:04:50
เข้ามาตามต่อครับ ลุ้นคำตอบๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-12-2014 18:16:08
ขอบคุณทุกคนครับ ส่วนมากคุ้นๆ หน้ากันซะทั้งนั้นเลย 5555

แล้วก็ขอบคุณทุกๆ คนที่มาอ่านด้วยนะครับ ไม่เม้นไม่เป็นไร ตามไปกดไลค์แฟนเพจกันได้นะครับ จุฟ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-12-2014 22:25:36
ซุกคอเลยเหรอ  :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 14-12-2014 08:32:05
ขัดใจปิงนะ และสงสารโอบด้วย แอบรักเพื่อนแต่เพื่อนดันทำแบบนี้

ปิงชอบหรือไม่ชอบโอบเนี่ย แสดงให้ชัดหน่อย :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-12-2014 10:04:41
(4)

คืนนั้นผมกับไอ้ปิงนอนกอดกันจนถึงเช้า ผมไม่รู้เลยว่าเผลอไปกอดมันตั้งแต่ตอนไหน ผมรู้แค่พอตื่นเช้ามาก็เห็นมันกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผม ส่วนหลังจากนั้นเราก็ออกไปเรียนพร้อมกัน คุยกันปกติ ยิ้มให้กันเหมือนที่ผ่านๆ มา ทุกอย่างระหว่างเรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และไม่มีอะไรน้อยลงไปกว่าเดิม หากจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ก็คงเป็นสายสัมพันธ์ของผมกับมันที่แลดูจะแน่นแฟ้นขึ้นนิดหน่อย ดูเราจะสนิทกันมากขึ้น พร้อมๆ กับคำถามในใจของผมว่าตกลงแล้วมันคิดอย่างไรกับผมกันแน่ที่ดังก้องอยู่ในใจของผมมากขึ้นยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก

มันอาจจะมองหน้าผมเหมือนเดิม ผมอาจจะยิ้มให้มันเหมือนเดิม แต่ความเจ็บปวดในใจผมมันกลับเพิ่มขึ้น... แค่นิดหน่อยนะ แต่ผมก็เจ็บมากขึ้นจริงๆ ว่ะ

เวลาผ่านไปจนใกล้เข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสไปทุกทีๆ โรงเรียนของเราก็มีงานเฉลิมฉลองกับเขาด้วย พวกเราหลายๆ คนต่างก็วุ่นกับกิจกรรมชมรม การเตรียมงาน ออกบูธ หรือทำกิจกรรมประจำห้อง โดยเฉพาะผมที่เป็นประธานนักเรียน ต้องคอยดูงบ ดูความเรียบร้อย จัดการคำร้องเรียนจากนักเรียน คำร้องขอ และคำสั่งจากอาจารย์ ต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ผมยุ่งจนถึงขีดสุดเลยก็ว่าได้

วันหนึ่ง ผมต้องเข้าไปคุยกับอาจารย์เรื่องงานจนสาย ทำให้ไปกินข้าวเที่ยงช้ากว่าคนอื่นๆ กว่าจะออกมาจากห้องพักครู ก็เหลือเวลาพักกลางวันอีกแค่ไม่ถึง 15 นาทีแล้ว

“ขอบคุณครับ อาจารย์” ผมยกมือไหว้อาจารย์ ก่อนจะเลื่อนประตูปิดและกำลังก้มลงใส่รองเท้านักเรียน

“แย่เลยนะมึง เลิกซะช้าเลยว่ะ อาจารย์เค้าไม่กะให้มึงต้องแดกข้งแดกข้าวมั่งเลยรึไงวะ” ไอ้ปิงที่ยืนอยู่หน้าห้องทักผม ผมไม่จำเป็นต้องถามแล้วด้วยซ้ำว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

“เออ หิวชิบหายเลยเนี่ย หิวจนจะแดกควายได้ทั้งตัวแล้ว” ผมนิ่วหน้าหงุดหงิด เพราะหิวก็ด้วยส่วนหนึ่ง แต่เพราะความเครียดก็ด้วยอีกส่วน

“อ้ะนี่” มันยื่นน้ำผลไม้กับขนมปังให้ผม “กินรองท้องหน่อยมั้ย”

“ไม่เป็นไรอะ กูอยากกินข้าว”

ไอ้ปิงหน้าเจื่อนลงทันที ทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นตงิดๆ “แล้วถ้าไม่มีของกินมึงจะกินไรวะ อย่างน้ำอะ เอาไว้กินตอนกินข้าวแล้วคอแห้งก็ได้ ขนมปังนี่ก็เก็บไว้กินหลังกินข้าวก็ยังได้นี่หว่า...”

“อ้ะๆ โอเคๆ แต๊งกิ้ว” ผมรับน้ำกับขนมปังมาถือไว้ในมือ “มึงแดกข้าวแล้วใช่มะเนี่ย”

“เออ แต่เดี๋ยวกูไปนั่งเป็นเพื่อนมึง แต่เตือนไว้ก่อน ป่านนี้แล้วจะเหลืออะไรให้มึงกินบ้างก็ไม่รู้นะ อย่างเมื่อกี้ตอนกูไปซื้อขนมปัง กูเห็นบางร้านก็เริ่มเก็บกันแล้ว ร้านเจ๊อ้อนก็ขายหมดแล้ว”

“จริงอะ เออๆ แต่ไม่เป็นไร ยังไงกูก็มีขนมปังอยู่นี่ไง เนอะ” ผมชูขนมปังในมือขึ้น ทำเอาไอ้ปิงยิ้มกว้างและหน้าแดงระเรื่อ นานๆ ทีผมถึงจะเห็นมันเขินแบบนี้แฮะ เพราะปกติมันหน้าด้านจะตายห่า

“พี่โอบคะ พี่โอบ!” เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อผม เธอคนนั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนอีกคน “พี่พอมีเวลามั้ยคะ พอดีหนูอยาก... เอ่ออ... อยาก...”

“อะไรเหรอครับ” ผมถาม

“มึงก็รีบๆ บอกพี่เค้าไปสิว่ามึงอยากได้ไลน์พี่เค้าน่ะ!” น้องคนที่มาด้วยกระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเอง

“อีแนน!! มึงอย่า!!” น้องคนที่เรียกชื่อผมหน้าแดงแปร๊ด

“ไลน์พี่เหรอครับ” ผมตกใจนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยชินกับการถูกจู่โจมแบบนี้เท่าไหร่

“อะแฮ่ม... โทษทีนะครับน้อง” ไอ้ปิงเดินเข้ามาโอบบ่าผม “พอดีเพื่อนพี่ยังไม่ได้กินข้าวเลย ไงพี่ขอตัวพาเพื่อนไปกินข้าวก่อนเนาะ” มันดันตัวผมออกเดิน ทิ้งน้องสองคนนั้นไว้ที่เดิม

“แม่งมีหวงด้วยว่ะ! กูว่าชัดเลยมึ๊งงง!” ผมได้ยินเสียงเพื่อนของน้องคนที่จะขอไลน์ผมดังตามหลังมาแว่วๆ และผมเชื่อว่าไอ้ปิงก็น่าจะได้ยินด้วยเหมือนกัน แต่มันกลับไม่มีท่าทีจะใส่ใจเลยสักนิดเดียว ตรงกันข้าม ผมว่าผมเห็นมันยิ้มมุมปากแปลกๆ อยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ

“สนุกนักรึไง”

“ฮะ อะไร” มันหันมามองหน้าผม

“กูถามว่าสนุกนักรึไง ทำให้คนอื่นเค้าเข้าใจผิดน่ะ” ผมไม่ได้ตั้งใจจะหงุดหงิดใส่มันหรอก แต่จู่ๆ ก็ดันเผลอโพล่งแบบนั้นออกไป บางทีอาจจะเป็นเพราะความเครียดที่สะสมมาหลายวันก็ได้ที่ทำให้ผมหงุดหงิดง่ายแบบนั้น

“มึงหมายถึงอะไร กูทำใครเข้าใจอะไรผิดวะ”

“ก็หมายถึงน้องคนเมื่อกี้ไง มึงอย่ามาทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่น้องมันพูด แล้วไหนจะการกระทำของมึงอีก ถ้ามึงไม่ได้จงใจทำให้คนอื่นเค้าเข้าใจผิด มึงจะมาทำแบบนี้กับกูทำไมวะ”

ไอ้ปิงมองหน้าผมเหมือนเพิ่งโดนตบหน้าไปหมาดๆ “ไอ้โอบ มึงคิดดีแล้วใช่มั้ยวะ สิ่งที่มึงพูดออกมาน่ะ”

ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็สวนมันกลับไป “แล้วมึงล่ะ คิดดีแล้วเหรอวะ สิ่งที่มึงทำและพูดกับกูมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องคืนนั้นน่ะ”

มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูโกรธ ช็อค สับสน และเสียใจ มันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูด ก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “มึงไปกินข้าวคนเดียวก่อนแล้วกัน กูคงไปกับมึงไม่ได้แล้ว” และเมื่อพูดจบ มันก็หันหลังกลับและเดินจากไปเลยทันที

“แม่งงงง!!” ผมสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเดินไปโรงอาหารคนเดียว

เวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็นโดยที่ผมกับไอ้ปิงไม่ได้คุยหรือเฉียดเข้าใกล้กันเลยแม้แต่นิดเดียว ความเย็นชาของมันทำให้ผมทั้งหงุดหงิดและทรมานไปพร้อมๆ กัน เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนี้กับผมมาก่อนเลย

“เฮ้ย... พวกมึงทะเลาะเชี่ยไรกันวะ” ไอ้นิคเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมที่กำลังนั่งดูเพื่อนๆ รวมทั้งไอ้ปิงเล่นฟุตบอลอยู่

“มึงหมายถึงใคร” ผมถามกลับโดยไม่ได้หันไปมองหน้าของมัน

“ตอบกลับมาแบบนี้อยากโดนด่ารึไงวะ หืออ นี่คือมึงต้องการอะไรจากกู มึงต้องการอะไรจากสังคมวะ ไอ้เชี่ยโอบ”

“ครวย มาเป็นชุด เออๆ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่งเริ่มได้ยังไง โอเคยัง” ผมยอมแพ้ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาถามอีกด้วยซ้ำว่ามันรู้ได้ยังไง เพราะไอ้หมอนี่มันย่อมดูออกอยู่แล้ว “บางทีคงเป็นเพราะกูเหนื่อย กูหิว กูเครียดสะสมมาหลายวันมั้ง เลยเผลอหงุดหงิดใส่มันไปก่อน”

“แล้วไง”

“แล้วไงอะไร”

“พอหงุดหงิดแล้วยังไงต่อ มึงทำรึพูดอะไรลงไป”

“กู... คงพูดอะไรไม่ค่อยดีออกไปว่ะ”

“ปกติกูไม่ค่อยเห็นพวกมึงทะเลาะกันนะ งอนกันนิดๆ หน่อยๆ ก็พอมีตามประสา แต่แป๊บๆ ก็ดีกันแล้ว แถมปกติไอ้เชี่ยปิงแม่งก็ใจเย็นปานแม่น้ำสมชื่อแม่ง และเท่าที่กูรู้ ปกติมันก็เป็นฝ่ายง้อมึงแทบทุกที แต่นี่มึงทะเลาะกันจนมันมึนตึงนานขนาดนี้เนี่ย กูเดาว่าคงเรื่องใหญ่แหง”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...”

“มึงผิดมะ”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้านับที่กูหงุดหงิดใส่มันก่อน ก็คงใช่อะ”

“งั้นก็ไปขอโทษมันซะ ไป๊ เชี่ย จะแยกย้ายกันอยู่แล้ว มามัวงอนกันอยู่ได้ รีบๆ ไป ง้อผัวมึงได้แล้ว บ่าควายนิ!”

“ผัวป้อคิงหยัง*!” ผมเหยียดขาออกถีบไอ้เพื่อนตัวดีของผมเต็มแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “เออๆ เดี๋ยวกูมา นั่งรออยู่นี่แหละ”

“จะไปไหน”

“ไม่ต้องเสือก นั่งรออยู่นี่แหละ ห้ามไปไหนนะมึง!” ผมรีบวิ่งไปที่ร้านค้าแล้วซื้อป๊อกกี้กับน้ำผลไม้มากล่องนึง ซึ่งเป็นน้ำฝรั่งแบบเดียวกับที่ไอ้ปิงซื้อมาให้ผมเมื่อตอนกลางวัน จากนั้นก็กลับมาที่สนามบอล และยื่นขนมกับน้ำให้ไอ้นิค “เอ้านี่”

“แต๊งกิ้วๆ ว่าแต่ซื้อมาให้กูทำไมวะ”

“ไม่ได้ให้มึงเว้ย เอาไปให้ไอ้ปิงให้กูหน่อย”

“เอ๊า! แล้วทำไมมึงไม่เอาไปให้เอง!”

“มันไม่ยอมคุยกับกูหรอก กูเดินไปหามันก็เดินหนี กูรู้ เพราะงั้นมึงแหละ เอาไปให้มันที” ไอ้นิคทำท่าจะเถียงอะไรกลับมาอีก แต่ผมรีบพูดดักมันเอาไว้ก่อน “ไหนมึงบอกให้กูไปขอคืนดีกับมันไง ก็นี่ไง ตกลงจะช่วยมั้ย เพื่อนกูรึเปล่า รึไม่ใช่ หวังดีกับกูมั้ยวะมึงน่ะ รึยังไง ต้องการอะไรจากกู ต้องการอะไรจากสังคมครับ คุณนิค”

“เออๆๆ โอเค ยอมก็ได้วะ เอาไปให้มันแค่นี้ใช่มั้ย งั้นรอทีมมันเล่นจบก่อนแล้วกัน”

“ไม่ได้ ต้องตอนนี้เลย”

“ตอนนี้เนี่ยนะ!”

“เออ เดินเข้าไปในสนามเลย ถ้ามึงรักกูจริง ต้องทำให้กูได้ดิวะ กูเคยขอร้องอะไรมึงเหรอวะ มีแต่ให้มึงลอกงาน ลอกข้อสอบ ช่วยทำการบ้าน ช่วยคุยกับอาจารย์ให้ ช่วย...” ผมนับนิ้ว

“พอ! สต็อป! โอเคๆ กูยอม แค่เอาไปให้มันแค่นี้ใช่มั้ย”

“ไม่ใช่”

“อ้าว แล้วเหี้ยอะไรอีก”

“ฝากบอกมันด้วยว่า...”

“ว่าอะไร”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรดีให้มันหายโกรธ ก่อนจะตัดสินใจได้ว่า คำสั้นๆ ง่ายๆ ที่สุดนี่แหละ น่าจะดีที่สุดแล้ว “...ง้อ”

ไอ้นิคทำท่าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก แต่สุดท้ายมันก็ยอมวิ่งเข้าไปในสนามแต่โดยดี มันวิ่งผ่ากลางสนามเข้าไปหาไอ้ปิงที่ยืนคุมกองหลังอยู่ ก่อนจะยื่นขนมกับน้ำให้พร้อมกับชี้มาทางผมและพูดอะไรด้วย 2-3 ประโยค เมื่อไอ้ปิงหันมาทางผม ผมก็โบกมือให้มัน แต่มันกลับรีบหันไปทางอื่นเสียฉิบ

อืมมม... แต่ผมคิดว่าผมเห็นมันยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะหันหนีไปนะ

ไอ้ปิงยัดขนมกับน้ำคืนใส่มือของไอ้นิคที่กำลังโดนเพื่อนคนอื่นๆ ลากออกจากสนาม เมื่อไปนั่งอยู่ริมสนามอีกฝั่งนึงแล้ว ไอ้นิคก็ทำท่ายักไหล่ให้ผมเป็นเชิงยอมแพ้ ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไรมัน

อีกไม่กี่นาทีถัดมา หลังจากหมดเวลาและทีมของมันเล่นเสร็จ ไอ้ปิงก็เดินตรงเข้ามาหาผม

“ง้อกูเหรอ”

“ป๊าว” ผมยักไหล่พลางมองไปทางอื่น

“โอเค” มันพูดห้วนๆ ก่อนจะหันกลับไป

ผมรีบคว้ามือของมันไว้ทันที “ล้อเล่นๆ กูง้อมึงคร้าบ กูง้อมึง กูขอโทษ เมื่อกลางวันกูคงโมโหหิวอะ เหนื่อยๆ เครียดๆ ด้วย ยกโทษให้กูนะ”

“แต่กูไม่อยากกินน้ำผลไม้”

“งั้นอยากกินอะไร”

“อยากกินโอวัลตินอุ่นๆ”

“เหี้ยเหอะ แบบนั้นที่ไหนจะมี”

“บ้านมึงมีปะ...” มันมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“เออๆ ก็ได้ จะไปเลยมั้ยล่ะ”

“เดี๋ยวกูต้องไปชมรมก่อน คุยเรื่องออกร้านนิดนึง รอได้ปะ” หลังจากมันแข่งบาสกับโรงเรียนคู่แข่งจบไปแล้ว ซึ่งทีมของเราเป็นฝ่ายชนะ พวกมันชมรมบาสเก็ตบอลก็ต้องมาเครียดกันต่อกับโจทย์ที่ว่างานเทศกาลโรงเรียนหนนี้ มันจะทำอะไรกันดี

“ได้ๆ มึงไปจัดการงานของมึงเหอะ”

“แต่วันนี้ถ้ากูไปบ้านมึง กูคงจะเหนื่อยว่ะ คงไม่มีแรงขี่รถกลับบ้านดึกๆ แน่ หนาวด้วย มืดด้วย น่ากลัวด้วย... หนาวด้วย”

ผมชักเขินๆ แฮะๆ “ชักได้ใจใหญ่แล้วนะมึง! เออๆ ไปๆ จะไปชมรมเหี้ยอะไรก็ไป เดี๋ยวกูไปนั่งรอ หลังจากนั้นค่อยว่ากัน” ผมผลักมันให้ออกเดิน

“เอาเสื้อแจ็คเก็ตกูไปใส่ด้วย กูไม่อยากให้มึงนั่งหนาวอีก” มันยื่นเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองให้ผม เพราะวันนี้ผมก็เอาเสื้อสเว็ตเตอร์ตัวบางๆ ตัวเดิมมาอีกแล้ว “แล้วก็น้ำกับขนมที่ซื้อมาอะ เอาไปนั่งกินรอกูก็ได้นะ เดี๋ยวจะหิว รึไม่งั้นก็ยกให้ไอ้นิคมันไปเลยแล้วกัน”

“ทำไมมึงไม่กิน”

“ก็กูอยากไปกินโอวัลตินบ้านมึงทีเดียวมากกว่า” ไอ้ปิงพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างและดวงตาเป็นกระกาย
 
เนี่ย แม่งก็เป็นซะแบบนี้ไง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมทั้งรักทั้งเกลียดมันได้ยังไง


........................................................................................

*ผัวป้อคิงหยัง แปลว่า ผัวพ่องสิ

........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-12-2014 10:12:24
 :mew1:   ได้เรียนภาษาคำเมืองด้วย ดีจัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 14-12-2014 10:23:18
อี๊ววววว!! ตอนแรกเหมือนจะงอนๆ กันนะ
ตอนหลังมาเนี่ย หวานซ๊ะ..
ไปบ้านรอบหน้าจะมีไรพัฒนาป่ะเนี่ย ลุ้นๆ
เป็นกำลังใจให้นะคุณต้น รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ 555555+
 :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 14-12-2014 12:28:27
ถ้าผมเป็นโอบ คงรู้สึกสอึดอัดแทบบ้าอะ ส่วนปิงก็ปากแข็งไม่ยอมพูดแอกไปสักที
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 15-12-2014 19:22:18
เนื้อเรื่องมันชวนให้ดูอบอุ่นแบบแปลกแปลกมั้ง
ไม่รู้คิดไปเองป่าวว 555+
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 15-12-2014 20:33:57
น้องๆเป็นสาววาย ฮ่าฮ่าฮ่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 15-12-2014 20:43:28
(5)

“อะนี่ โอวัลตินอุ่นๆ ตามที่มึงต้องการ”

“แต๊งกิ้ว” ไอ้ปิงรับถ้วยโอวิลตินไปจากมือของผม จากนั้นก็ยกขึ้นจิบ รอยยิ้มฉายขึ้นบนใบหน้าของมันอีกครั้งราวกับเด็กเล็กที่เพิ่งได้กินของอร่อย

“มึงนี่ชอบกินอะไรยังกะเด็กนะ”

“ก็มันอร่อยอะ” มันวางถ้วยลงบนโต๊ะหัวเตียง

ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆ มัน “มึง เรื่องเมื่อกลางวันอะ... กูขอโทษอีกทีนะเว้ย ไม่รู้ผีห่าอะไรเข้าสิงว่ะ กูเลยพูดออกไปแบบนั้น ลืมๆ มันไปซะนะมึง”

“เออ ช่างมันเหอะ จริงๆ กูก็พอจะเข้าใจมึงแหละ ยะก๋านยะงานหัวปุ๊สุ่นบุ่น* ก็คงเครียดคงหงุดหงิดบ้าง แต่ได้ยินแล้วก็ไม่สบายใจนะเว้ย คราวหลังอย่าพูดแบบนั้นอีกแล้วกัน”

“เออๆ” ผมถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่บนตัก ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ “แต่บางทีมันก็น่าอึดอัดนี่หว่า...”

ไอ้ปิงยกถ้วยโอวัลตินขึ้นดื่มอีกอึก “อะไรน่าอึดอัด”

“ก็เรื่อง...” ผมพูดต่อไม่ถูก กลัวว่าถ้าเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาแล้วจะปิดโดยไม่ทะเลาะกับมันอีกไม่ได้ “ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเหอะ กูไม่อยากทะลาะกับมึงอีกอะ”

“กำลังคิดเรื่องของกูอยู่เหรอ”

ผมโยกหัวเบาๆ ก่อนจะยักไหล่ “ก็คงงั้น...”

“แล้วทำไมถึงคิดว่าพูดแล้วเราจะต้องทะเลาะกัน”

“เรื่องนั้น...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี

“นี่ ไอ้โอบ...” จู่ๆ น้ำเสียงของไอ้ปิงก็เปลี่ยนไป

ผมหันไปมองหน้ามันแล้วก็เห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แววตาของมันแลดู... ไม่รู้ดิ บอกไม่ถูกว่ะ มันดูสับสน ดูกังวล แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนคนที่เพิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“อะไรวะ”

“กูว่ากูอะ... เรื่องของมึง สิ่งที่มึงพูดเมื่อกลางวันน่ะ... กู...”

ผมหันไปมองหน้าของมัน รู้สึกลำคอของตัวเองแห้งผากราวกับทะเลทราย ส่วนหัวใจก็เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอก นี่มันกำลังคิดเรื่องเดียวกับที่ผมกำลังคิดตอนนี้... และคิดมาตลอดหลายเดือนรึเปล่าเนี่ย

“มึง... ทำไม” ผมกลืนน้ำลาย

“พี่โอบ แม่เรียกให้ไปกินข้าว!” เสียงตะโกนของยัยอายจากหน้าประตูห้อง ทำเอาทั้งผมและไอ้ปิงสะดุ้งออกมาพร้อมๆ กัน

“เออๆ! เดี๋ยวลงไป!” ผมตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันกลับไปหาไอ้ปิงอีกครั้ง เรามองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจยืนขึ้น “ป... ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าว่ะ”

“เดี๋ยว” ไอ้ปิงคว้าข้อมือของผมไว้ “ขอเวลาอีกแป๊บได้มั้ยวะ”

ผมก้มลงมองมือของมัน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ดวงตากลมโตคู่นั้น บางอย่างในแววตาของมัน ทำให้ท้องไส้ของผมบิดมวน ส่วนหัวใจก็เบาหวิว แม้ว่ามันจะกำลังทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายของผมหนักกว่าเวลาปกตินับสิบๆ เท่าก็ตาม

“มึงเคยเป็นรึเปล่าวะ เวลาที่มึงอยากบอกความรู้สึกอะไรบางอย่างให้ใครสักคนฟัง แล้วแม่งแบบ... มึงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง จะคิดแบบเดียวกับมึงรึเปล่า มึงก็เลยกลัว แม้ว่าลึกๆ มึงจะคิดว่ามึงก็น่าจะมีหวังอะ แต่มึงก็กลัวว่ามึงจะแค่คิดอะไรไปเองฝ่ายเดียว มึงก็เลยไม่กล้าพูดออกไปน่ะ”

มือของมันที่ผมรู้สึกได้นั้นเย็นเฉียบ ผมกลืนน้ำลายและพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ แววตาของเราประสานกัน รอยยิ้มจางๆ ที่อบอุ่นและงดงามยิ่งกว่าแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าของวันหนึ่งในฤดูหนาวฉายขึ้นบนใบหน้าของมัน ไอ้ปิงเลื่อนมือลงเป็นจับมือของผมเอาไว้ แล้วจากนั้นมันก็ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

“ขอบใจนะ ไอ้โอบ สำหรับทุกๆ อย่าง ขอบใจที่ดูแลกูมาตลอดสามปี”

คำพูดของมันทำให้ผมนึกถึงเพลง ‘รักเธอสุดหัวใจ’ ของ ก้อง สหรัถ ขึ้นมา ท่อนที่ร้องว่า


‘เหลืออีกกี่วัน อีกกี่คืนที่จะมีเธอ
เหลืออีกกี่ลมหายใจ ที่จะได้เจอกับความสดใส

เวลามีน้อยเหลือเกิน ที่ให้ฉันได้เตรียมหัวใจ
ว่าภาพที่เคยเห็นไม่นาน จะเป็นแค่ความหลังไป...’


ผมรู้สึกว่าน้ำตามันเริ่มจะเอ่อขึ้นมาซะแล้วสิ

“หลับตาแป๊บซิ” ไอ้ปิงบอก

“ทำไมวะ”

“เหอะน่า”

ผมหลับตาลงตามที่มันบอก และจากนั้นก็รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มของมันที่จุ๊บปากของผมเบาๆ ร่างกายของผมแข็งเกร็งขึ้นทันที ไอ้ปิงใช้มือข้างหนึ่งประคองหัวของผมเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็โอบเอวผมเอาไว้ด้วย อีกอึดใจต่อมาผมก็ผ่อนคลายลงและเผยอปากออกเล็กน้อย กลิ่นอ่อนๆ ของโกโก้ ลอยเข้ามาแตะจมูกของผมพร้อมกับรสอันหอมหวาน

มันค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากออกพร้อมกับผมที่ลืมตาขึ้น

“ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กูขอทำแค่นี้ได้มั้ยวะ... อย่างน้อยกูก็ขอเก็บความรู้สึกดีๆ แบบนี้เอาไว้ในใจได้ใช่มั้ย”

ผมไม่ตอบ แต่ดึงตัวของมันเข้ามากอดอย่างแนบแน่น “ไอ้ปิง กูรู้ว่าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้เหลืออีกไม่นาน แต่ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหน อีกนานแค่ไหนก็ตาม กูจะไม่มีวันทิ้งมึงไปเด็ดขาดเลย กูสาบาน”

“กูก็เหมือนกัน ขาดมึงไปสักคน ชีวิตของกูคงเหมือนต้องหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียวว่ะ... ไม่ตายนะ แต่ทรมาน” ไอ้ปิงกอดผมตอบ

“กูก็เหมือนกัน...”

“ขอบใจนะ ไอ้โอบ” มันตบบ่าผมเบาๆ 3-4 ที “ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะโดนว่าเอา”

เราสองคนดันตัวออกจากกันและกัน ใบหน้าของไอ้ปิงแดงก่ำ ส่วนแววตาก็เป็นประกายไปด้วยหยดน้ำตาที่ถูกฝืนเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา มันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเช็ดหางตาของตัวเอง... ผ้าเช็ดหน้าของผม

“กูจะเก็บมันไว้อย่างดี กูสัญญา” มันส่งยิ้มให้ผม จากนั้นก็ใช้ผ้าผืนนั้นซับน้ำตาให้ผมด้วยเช่นกัน “ขี้แยนะมึงเนี่ย”

“ใคร อะไร กูไม่ได้ร้องไห้ซะหน่อย มึงนั่นแหละ” ผมสะบัดหน้าหนี

ไอ้ปิงชะโงกหน้ามาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ “ไปกินข้าวกันเถอะ”

ถ้าหากว่านี่เป็นความฝัน ผมก็ไม่อยากจะตื่น ผมขออยู่ในความฝันแบบนี้ไปนานๆ ได้ไหม อย่าให้ผมต้องพบกับความจริงที่ว่าอีกไม่กี่เดือน ภาพเหล่านี้ ความรู้สึกเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำของตัวผมในอนาคตเลย

ก็อย่างที่ผมบอก ผมไม่รู้หรอกว่าความชอบของผมแปรเปลี่ยนไปเป็นความรักตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็รักมันไปแล้ว และพอรู้สึกตัวอีกที... ผมก็เจ็บไปแล้วเหมือนกัน

‘เวลา’ พาเราสองคนมาพบเจอกัน แล้วทำไมเวลาต้องแยกเราจากกันด้วยล่ะครับ ทำไม


........................................................................................

*ยะก๋านยะงานหัวปุ๊สุ่นบุ่น แปลว่า ทำงานจนหัวฟู

........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 15-12-2014 23:52:19
อ๊ากกกก!! เค้าจุ๊บกันแล้ว..
เฮ้ย ปิงอะไรยังไง? เอาให้มันชัดเจนซิ
สัมผัสได้ว่า ความสัมพันธ์ของสองคนนี้พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว
แล้วมันจะพัฒนาไปมากกว่านี้รึเปล่านะ?
จะรอติดตามนะคุณต้น เป็นกำลังใจให้ ลุ้นจุง..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 16-12-2014 06:09:02

“กูก็เหมือนกัน ขาดมึงไปสักคน ชีวิตของกูคงเหมือนต้องหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียวว่ะ... ไม่ตายนะ แต่ทรมาน” ไอ้ปิงกอดผมตอบ

โอย, อ่านประโยคนี้แล้ว คุณป้าอย่างดิฉันได้แต่หยิบยาหอมยาลมมาสูดดม. พ่อคุณ, คำพูดช่างบาดลึกหวามเข้าไปถึงใจคนแก่. มันทั้งหวานทั้งเศร้าเลยค่ะ. แต่พอนึกถึงว่าฤดูหนาวเป็นฤดูกาลแห่งการหยุดนิ่ง--เพราะในคติของฝรั่งมังค่า ฤดูหนาวทำให้ทุกอย่างชะงักเหมือนถูกแช่แข็ง และอาจถือเป็นช่วงเวลาแห่งการลาจาก--ก็ยิ่งทำให้มันเข้าได้ดีจริงๆ กับระยะเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันซึ่งกำลังค่อยๆ ถูกตัดทอนลงไปให้เหลือน้อยลงทุกที.

ชอบฉากจุมพิตที่ริมฝีปากมากๆ ด้วยค่ะ. อากาศหนาวกับกลิ่นความหวานความหอมของช็อกโกแลต(ในโกโก้? โอวัลติน?)ในโพรงปาก. อุ้ย, นึกถึงบรรยากาศหนาวๆ บนดอยเลยค่ะ. (แม้ว่าตอนนี้ที่เชียงใหม่จะเหินห่างจากคำว่าหนาวไปมากโขก็ตามที, แต่ป้าก็จินตนาการตามได้เจ้าค่ะ).

จริงๆ แล้วดิฉันว่าทั้งปิงและโอบคงใจตรงกัน. เพียงแต่เหมือนมีอะไรบางอย่างเป็นม่านกั้น, เป็นตัวแปร, เป็นกำแพง, เป็นแรงผลักดัน, ให้ทั้งสองยังรั้งรอและไม่กล้ากระโจนเข้าไปในหลุมรักนั้น. อาจเป็นเรื่อง "ครอบครัว" ของปิงที่โอบเคยรำพึงไว้. ดิฉันว่าเรื่องนี้น่าคิด. คุณต้นคงมิได้ให้โอบเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างลอยๆ ดอกใช่ไหมคะ? เห็นจะต้องมีประเด็นอะไรบางอย่างที่จะมาเปลี่ยน/เพิ่มพูนความสัมพันธ์ของสองหนุ่มเป็นแน่. และดิฉันว่าน้องอาย(ซึ่งมีสิทธิ์เป็นสาววายกลายๆ)ก็คงจะแอบสังเกตพฤติกรรมพี่ชายตนกับเพื่อนของพี่ชายอยู่บ้าง, มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยประโยคคำถามที่น่าหยิกแกมหยอกเรื่องทำเลือดออกนั้นดอกเนาะ.

หนูโอบดูแพ้ทางหนูปิงเอามากๆ เลยนะคะ. ทั้งถูกกอดตอนนอนเอย, ถูกจูบปากเอย, ถูกหอมหน้าผากเอย. อุ้ย, นี่โอบจะไม่ทำให้ป้าเสียใจเลยใช่ไหมคะ. เอาเป็นว่า, ในท้ายที่สุด, ถ้าคุณต้นแกไม่ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไป, หนูก็คงได้เนื้อคู่ตุนาหงันเป็นนายปิงสุดหล่อแหละนะ.  :mew2:

...หรือถ้าปิงมันยังโอ้เอ้อยู่อย่างนี้, โอบก็พาไปดูแม่คะนิ้งบนดอย แล้วก็ถือโอกาสถีบตกดอยเลยเจ้า.  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-12-2014 10:58:38
อ้าว​ กลิ่นโกโก้กับช็อคโกแล็ตไม่เหมือนกัน​เหรอครับ​ 55555 แก้ๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 16-12-2014 16:35:48
อ้าว​ กลิ่นโกโก้กับช็อคโกแล็ตไม่เหมือนกัน​เหรอครับ​ 55555 แก้ๆๆ

เปล่าค่ะคุณต้น, ไม่ต้องแก้ก็ได้. พอดีตอนที่พิมพ์ตอบไป ดันลืมว่าที่คุณต้นอธิบายไว้นั้นมันเป็นโกโก้ หรือโอวัลติน ก็เลยใส่เครื่องหมายคำถามไว้, ไม่ใช่สงสัยที่คุณต้นเขียนนะคะ.

รออ่านตอนต่อไปนะคะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 16-12-2014 19:16:01
อ่านแล้วอยากกินโอวัลตินเลยย

ป.ล. ชอบประโยคนี้มากคับ

“มึงเคยเป็นรึเปล่าวะ เวลาที่มึงอยากบอกความรู้สึกอะไรบางอย่างให้ใครสักคนฟัง แล้วแม่งแบบ... มึงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง จะคิดแบบเดียวกับมึงรึเปล่า มึงก็เลยกลัว แม้ว่าลึกๆ มึงจะคิดว่ามึงก็น่าจะมีหวังอะ แต่มึงก็กลัวว่ามึงจะแค่คิดอะไรไปเองฝ่ายเดียว มึงก็เลยไม่กล้าพูดออกไปน่ะ”

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 16-12-2014 21:25:01
อย่าเศร้านะขอล่ะ  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-12-2014 18:43:49
(6)

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวราวโกหก เวลาเกือบเดือนที่ผมวุ่นวายมาตลอด ในที่สุดก็มาถึงโค้งสุดท้ายจนได้ งานประจำโรงเรียนเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ของพวกเราเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ ผมในฐานะประธานนักเรียนก็ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ของทุกบูธ รวมทั้งต้องคอยรับเรื่อง ประสานงาน แก้ปัญหา ตอบคำถาม และจิปาถะอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ไม่มีเวลาไปเดินเล่นอย่างคนอื่นๆ เขาสักเท่าไหร่ กว่าที่งานของผมจะเริ่มซาลงจนพอมีเวลาแวะเล่นนั่นเล่นนี่ได้บ้างก็ปาไปตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว

“เป็นไงวะมึง หาตัวไม่ค่อยเจอเลยนะวันนี้ งานยุ่งเหรอ” ไอ้ปิงเดินเข้ามาหาผมที่กำลังคุยอยู่กับเด็กรุ่นน้องที่บูธสอยดาวของพวกมัน

“เออ ยุ่งชิบหายยยย เหนื่อยจะตายแล้วเนี่ย ว่าแต่มึงเหอะ มาทำไรแถวนี้วะ ไม่เฝ้าบูธชมรมมึงเหรอ”

“บูธชมรมกูอยู่ตรงนี้เอง เห็นมึงเข้าพอดีเลยเดินมาหาเนี่ย เอ้า” มันยื่นกล่องโอวัลตินเย็นให้ผม “กินซะ จะได้มีแรง แบบเย็นๆ ก็อร่อยนะ”

ผมมองหน้ามันแล้วยิ้ม “เออ ขอบใจ”

ตั้งแต่วันนั้นที่บ้านของผม เราต่างก็ไม่ได้คุยเรื่องระหว่างเรากันอีก ถึงมันจะไม่ได้พูด ‘คำๆ นั้น’ ออกมาให้ชัดเจน และถึงผมจะไม่ได้พูดมันออกไป แต่ผมก็มั่นใจแล้วล่ะว่าไอ้ปิงมันคิดยังไงกับผม และมันเองก็คงรู้แล้วด้วยเหมือนกันว่าผมไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากมันเลย ตอนนี้เรารู้ความในใจของกันและกัน ปล่อยให้มันตกผลึกอยู่ข้างใน โดยไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องระหว่างเรามันยุ่งยากไปกว่าที่เป็นอยู่

ผมได้แต่บอกตัวเองว่า การที่เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้... คงจะดีที่สุดแล้วล่ะ สำหรับเวลาที่เหลืออยู่ไม่นานก่อนจะแยกย้ายกันไป มันคงต้องการแบบนั้น แล้วผมเป็นใคร ถึงจะไปเรียกร้องอะไรจากมันได้วะ

“แหมๆๆ มาสวีทอะไรกันอยู่ตรงนี้วะ มึงสองคนเนี่ยยย มีเวลาหน่อยไม่ได้เลยนะ” ไอ้นิคที่ในมือถือกล้องคู่ใจของมันเดินตรงเข้ามาหาเรา ที่คอของมันห้อยป้ายเขียนว่า “photographer” เอาไว้ด้วย เพราะวันนี้มันทำหน้าที่เป็นตากล้อง เพื่อถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์และนิตยสารของโรงเรียนนั่นเอง

“ไง ได้รูปดีๆ เยอะมั้ยวะ” ผมถาม

“ก็เยอะอยู่ แบ็ตกล้องกูจะหมดอยู่แล้วเนี่ย อีกเดี๋ยวคงต้องชาร์จก่อนวงดนตรีจะขึ้นเล่นว่ะ”

“เฮ้ย แล้วจะทันเหรอวะ ไอ้เหี้ย” ผมดูตารางเวลาที่ถืออยู่ในมือ “อีกแค่ประมาณ 20 นาทีก็จะเริ่มแล้วนะเว้ย นั่นไง มันเริ่มมาเซ็ทอุปกรณ์กันแล้ว” ผมชี้ไปทางเวทีที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย

“ป๊าดโซะ! แบบนี้กูต้องแจ้นไปเอากล้องสำรองกูมาใช้แล้วดิ!” เมื่อพูดจบ ไอ้นิคก็พุ่งตัวออกไปทันที

“นี่ ว่าแต่วันนี้ท่านประธานได้แวะบูธผมรึยังครับ” ไอ้ปิงถาม

“ยังอะ กูวุ่นทั้งวันเลย”

“งั้นมาเลย มาเสียตังค์ เอ๊ย มาอุดหนุนและร่วมเล่นเกมกับพวกกูซะดีๆ”

มันลากผมเดินไปยังบูธของมันที่อยู่ใกล้กับเวทีที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตจากวงดนตรีของนักเรียน โดยวงที่จะมาเล่นนั้นเป็นวงที่ดังที่สุดในโรงเรียนของเราและผ่านการคัดเลือกโดยพวกผมมาแล้ว ซึ่งนักร้องนำของวงนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้โต๊ะ เพื่อนของผมนั่นเอง

บูธของชมรมบาสเก็ตบอลไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลเลยสักนิด พวกไอ้ปิงสรุปกันว่าจะทำเกมยอดฮิตที่เจอได้บ่อยๆ ตามงานวัด นั่นคือเกมปาลูกดอกนั่นเอง โดยพวกมันปรับเปลี่ยนกฎกติกาและของรางวัลนิดหน่อย ซึ่งพวกมันตั้งชื่อเกมนี้ว่า ‘ปาลูกดอกลงทัณฑ์’ อุปกรณ์และกติกาก็ง่ายๆ ลองนึกถึงกระดานหมากฮอสดูนะครับ แต่กระดานของพวกมันใหญ่กว่านั้นมากๆ ปกติกระดานหมากฮอสจะมีช่องอยู่ที่ 8x8 แต่อันนี้สูงคูณยาวน่าจะสักราวๆ 40x100 ช่องได้มั้ง ผมเดาเอานะ พวกไอ้ปิงเอากระดานไม้อัดขนาดประมาณ 1 เมตร คูณ 2 เมตรกว่าๆ มาตีตาราง ในแต่ละช่องจะมีหมายเลขเขียนไว้ตั้งแต่ 1-20 คละๆ กันไป บางช่องก็ไม่มีเลขอะไรเลย มันบอกผมว่า ถ้าหากปาลูกดอกไปปักอยู่ที่หมายเลข 1-10 ก็จะได้ของรางวัลกลับบ้านไป โดยรางวัลยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็จะมีจำนวนหมายเลขนั้นบนกระดานยิ่งน้อยลงเท่านั้น เช่นรางวัลใหญ่สุด ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เกือบเท่าคนจริงที่มีอยู่ตัวเดียวนั้น คือหมายเลข 1 ซึ่งมีอยู่ในตารางแค่เพียงห้าช่องเท่านั้น ส่วนของรางวัลอื่นๆ ก็มีอีกมาก เช่นตุ๊กตัวตัวเล็กลดหลั่นกันลงมา กระเป๋าเป้ใบเล็ก กระเป๋าดินสอรูปคาแร็คเตอร์จากไลน์ ไปจนถึงของเล็กๆ น้อยเช่นดินสอ หรือสมุดโน้ต ไปจนถึงลูกอม

โดยรวมแล้ว ผมต้องยอมรับเลยนะว่าชมรมของมันดูลงทุนกับของรางวัลมากกว่าบูธอื่นๆ มากทีเดียว

“แล้วหมายเลข 11-20 คืออะไรวะ” ผมถาม

“ถ้าปาลูกดอกไปโดนหมายเลข 11-20 น่ะเหรอ ก็มีหลายแบบนะ ถ้าเป็น 11-15 ก็จะเป็นรางวัลปลอบใจ ไม่ได้ของ แต่ได้ความสะใจทางอารมณ์ ประมาณนี้น่ะ”

“อะไรของมึงวะ”

“ก็เกมลงทัณฑ์ไง แต่เป็นลงทัณฑ์พวกกูนะ”

“ยังไงวะ อธิบายดีๆ สิเว้ย”

“ก็เช่น หมายเลข 11 คือให้เลือกสามชิกชมรมบาสคนนึงมาเต้นไก่ย่างให้ดู แล้วพวกกูอาจจะแถมลูกอมให้หน่อย อะไรเงี้ย”

“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยยยย!! ใครจะอยากดูพวกมึงเต้นไก่ย่างวะ! ไอ้บ้า!” ผมขำจนตัวงอ

“อ้าววว มึงไม่รู้อะไร เด็กๆ ชมรมกูอะ ฮ็อทนะเว้ยยย เนี่ย อย่างไอ้เชี่ยป๋องแม่งโดนเต้นไก่ย่างไปห้ารอบแล้วตั้งแต่เช้าอะ ฮ่าๆๆ”

“แล้วมึงล่ะ โดนไปรึยัง โดนอะไรไปแล้วบ้าง”

“กูโดนเต้นไก่ย่างไปสองรอบ แล้วก็ถูกหอมแก้มไปรอบนึง” ไอ้ปิงหัวเราะ “แต่คนหอมแก้มกูเป็นตุ๊ดเด็กนะ แม่งเสือกปาได้เบอร์ที่เขียนไว้ว่า ‘หอมแก้มประธานชมรมบาส’ อะ แต่ก่อนนี้ก็มีน้องผู้หญิงกับน้องผู้ชายอย่างละคนที่ปาได้เลขนี้นะ แต่พวกมันสละสิทธิ์ว่ะ”

“ใครแม่งคิดเกมนี้วะ จัญไรจริงๆ” ผมยังคงหัวเราะอยู่ “แล้วเลข 16-20 ล่ะ คืออะไร”

“อันนั้นก็เกมลงทัณฑ์อีกเหมือนกัน แต่ลงทัณฑ์คนปานะ พูดง่ายๆ คือคนที่ปาได้เลขพวกนั้นต้องถูกลงโทษ แต่ไม่มีเหี้ยไรเยอะหรอก ก็แค่แบบ ถูกปะแป้ง ถูกล้อมวงแล้วบูมใส่ อะไรเงี้ย ขำๆ”

“เหรอๆ เออดีว่ะ น่าเล่นบ้าง เท่าไหร่วะ”

“ลูกดอกสามอัน 30 ถ้าห้าอันก็ 40 มึงลองเล่นดูบ้างดิ”

“โคะ! หยังมาแปงขน๊าดดด”

“แพงห่าอะไรแค่ แค่ 30-40 บาท เอง มึงดูของรางวัลของพวกกูซะก่อนนน”

“กูล้อเล่นนนน เออๆ มาเล่นๆ”

“ดีๆ มาเล่นกัน กูออกให้ตานึงก็ได้ เอาห้าดอกเลยมั้ย”

“ไม่ต้องๆ กูออกเอง แค่นี้ แต่เอามา 30 บาทพอก่อน ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูโดนอะไรพิลึกๆ”

“ฮ่าๆๆ มึงอย่าป๊อดดิ เอางี้ เอามาห้าดอกเลย กูช่วยออก 10 บาท มึงปาไปสามอัน อีกสองอันกูปาเอง ถ้าได้รางวัลอะไร กูยกให้มึงเลย ดีปะ”

“โอเค งั้นก็ตามใจมึง” ผมควักเงินให้มัน 30 บาท

“ไอ้บอม! เอามาให้พี่ห้าดอก นี่เงิน” ไอ้ปิงหันไปสั่งน้องชมรมของมันคนหนึ่งที่ประจำอยู่ในบูธ

“จัดไปเลยเลยลวกเพี่ย!”

“เอ้านี่” ไอ้ปิงยื่นลูกดอกให้ผมสามอัน “รางวัลใหญ่ยังไม่ออกนะมึง เล็งเลข 1 เลย”

“เล็งเหี้ยอะไรล่ะ ตรงเลข 1 แม่งล้อมไปด้วยเลข 11-20 ทั้งนั้น กูเล็งไปตรงอื่นดีกว่า”

“มึงแม่งป๊อดว่ะ ไม่มันส์เลยอะ”

ผมถองศอกใส่มัน จากนั้นก็เหยียดแขนออกและเหวี่ยงลูกดอกให้พุ่งออกไป เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้เล็งเลขอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่ปาๆ ออกไป กะให้มันไปโดนแถวๆ ที่มีเลข 1-10 เยอะๆ หน่อยเท่านั้นเอง สรุปว่าดอกแรกของผมไปตกที่หมายเลข 8 ผมได้สุดโน้ตทำมือเล่มเล็กมาเล่มนึง ส่วนดอกที่สอง ไปตกที่หมายเลข 5 ทำให้ได้พวงกุญแจตุ๊กตาโคนี่มาอีกอัน

“ไอ้เหี้ยนี่แม่งมือขึ้นว่ะ ได้รางวัลมาสองอันละ” ไอ้ปิงพูด

“ของมันแน่นอนว่ะ ระดับนี้แล้ว ฮ่าๆๆ” ผมพูดก่อนจะปาลูกดอกสุดท้ายออกไป แต่คงเพราะผมโม้และได้ใจมากเกินไปหน่อย ลูกดอกเลยเสือกไปปักลงที่ช่องหมายเลข 13 ซึ่งไม่ใช่ช่องที่ได้รางวัลอะไรเลย

“ไอ้เหี้ยยย เฉียดเลข 9 ไปนิดเดียวเองอะ!” ผมโวย

“เอาแล่วๆๆๆๆ” น้องๆ ที่อยู่ในบูธเริ่มส่งเสียงขึ้น “มึงงง!! พี่โอบปาได้เลข 13 โว้ยยยย!! ฮิ้วววววว!!”

น้องคนที่ถือกลองอยู่เริ่มตีและส่งเสียงเชียร์ เรียกความสนใจจากคนอื่นรอบข้างได้ดีนัก

“งานนี้ไม่มีมีสละสิทธิ์นะคร้าบบบบบ พี่โอบบบบบ!!” ไอ้น้องบอมทำหน้าทะเล้น

“อะไรวะ เลข 13 นี่ทำอะไร กูต้องโดนอะไรเนี่ย” ผมเริ่มใจไม่ดี

“ไม่ใช่มึงหรอกที่โดน หมายเลข 11-15 อะ พวกกูสิโดน แต่ถ้าเลข 13 เนี่ย... กูโดน” ไอ้ปิงพูด มันยิ้มแหยๆ ชอบกล

ผมกำลังจะอ้าปากถามว่ามันต้องโดนทำอะไร แต่แล้วผมก็ได้คำตอบจากเสียงเชียร์ของสมาชิกชมรมเกือบทุกคนที่อยู่ตรงนั้น พวกมันมาล้อมกรอบผมกับไอ้ปิงเอาไว้แล้วเริ่มปรบมือเป็นจังหวะพร้อมส่งเสียงเชียร์

“หอมแก้ม! หอมแก้ม! หอมแก้ม! หอมแก้ม! หอมแก้ม! หอมแก้ม!”

ผมยืนมองหน้าของไอ้ปิงด้วยความหวาดหวั่น ทั้งเขิน ทั้งอาย ทั้งเครียด และไหนจะรู้สึกกดดันจากไอ้พวกที่ส่งเสียงเชียร์อยู่รอบๆ นี่อีก สีหน้าของไอ้ปิงก็แลดูจะเขินและอายไม่แพ้ผม แต่แววตาของมันกลับบอกผมว่ามันไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างไรชอบกล

“ไอ้ปิง มึงอย่าบอกนะว่า...”

“ดูท่าทางงานนี้จะสละสิทธิ์ไม่ได้ด้วยนะ” ไอ้ปิงพูดพลางอมยิ้ม “พวกแม่งไม่ยอมแน่ๆ”

“แล้วทำไมกูต้องยอมวะ! กูไม่แคร์โว้ย!”

ไอ้ปิงชะโงกหน้าเข้ามาที่หูของผม ทำเอาคนอื่นๆ โห่ร้องเสียงดังด้วยความลุ้นระทึก แถมยังมีเสียงกรี๊ดเชียร์จากสาวๆ ที่กำลังมุงรอดูอยู่อีก “กูยังเคยจุ๊บมึงเลย จำไม่ได้เหรอ...”

คำพูดนั้นของมันทำเอาผมหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ไอ้ปิงเลื่อนตัวออกพร้อมกับเสียงโห่แสดงความผิดหวังจากคนรอบข้าง เมื่อกี้พวกมันคงคิดไอ้ปิงกำลังจะหอมแก้มผมล่ะมั้ง

“เดี๋ยวๆๆ งานนี้พี่โอบต้องเป็นคนหอมนะเว้ย ไม่ใช่พี่ปิงหอมพี่โอบ!” เสียงของคนในชมรมบาสคนหนึ่งตะโกนขึ้น

“เร็วๆ ดิพี่โอบ! หอมวันนี้นะคร้าบบบ ไม่ใช่ปีหน้า!”

ไอ้พวกเวร!

“พวกมึงหยุด!!” ผมยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้พวกมันเงียบ และเมื่อทุกคนหยุดโหวกเหวกแล้ว ผมก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับไอ้ปิงอีกครั้ง

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกลั้นใจและชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มมันอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ริมฝีปากของผมสัมผัสถูกแก้มอันเนียนนุ่มของมัน เสียงกลอง เสียงกรี๊ด และเสียงเชียร์ก็กู่ก้องขึ้นอีกครั้งจนโรงเรียนแทบแตก

ผมล่ะอยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี่ซะให้รู้แล้วรู้รอด!

“พอๆๆ พวกมึง พอแล้ว กลับไปประจำที่ ไปรับลูกค้าเหมือนเดิมได้แล้ว โชว์จบแล้วเว้ย!” ไอ้ปิงออกคำสั่งพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ไอ้โอบกับกูยังเหลือลูกดอกอีกสองอันนะ คราวนี้ตากูปาบ้าง”

“ปาเลยพี่ คราวนี้พี่ปาให้ได้เลข 13 บ้างนะ! จะได้ผลัดกันรุกผลัดกันรัก เอ๊ย รับบบบ” ไอ้บอมหัวเราะ

“มึงปาไปปักหัวแม่งได้มั้ยวะ กูยอมจ่ายค่ายาเอง”

“มาๆ กูจะปาแล้วนะ ให้กำลังใจกูด้วย” ไอ้ปิงตั้งท่า จากนั้นก็ปาลูกดอกแรกในมือออกไป

ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเล็งไปที่ตรงไหน แต่ผมเห็นลูกศรถูกที่ขว้างออกไป พุ่งตรงไปยังกระดาน และจากนั้นก็ปักลงบนช่องๆ หนึ่งที่มีหมายเลขสองหลักห้อมล้อมอยู่มากมาย ช่องที่มีหมายเลขตัวเดียว และเลขนี้มีจำนวนอยู่เพียงแค่หยิบมือบนกระดาน ถ้าจำไม่ผิดไอ้ปิงบอกผมว่ามีอยู่แค่ห้าช่องเท่านั้น

ช่องๆ นั้นคือช่องหมายเลข 1

“เฮ้ยยยย!!! รางวัลที่หนึ่งออกแล้วโว้ยยยยยย!!!” ไอ้บอมร้องตะโกนออกมา ตามมาด้วยเสียงกลอง เสียงโห่ร้อง และเสียงปรบมือแสดงความยินดีจากคนในบูธ

ผมอ้าปากค้าง ไม่คิดว่ามันจะปาได้รางวัลที่ 1 และดูเหมือนไอ้ปิงเองก็จะแปลกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน มันเดินไปยังตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตามที่เพื่อนๆ น้องๆ ชมรมของมันบอก จากนั้นก็กวักมือเรียกผมให้ไปถ่ายรูปกับมันด้วย ซึ่งตอนแรกผมก็ปฏิเสธ

“กูบอกแล้วไงว่ากูปาให้มึง รางวัลเป็นของมึง มานี่!” มันลากมือผมยืนกับมันด้วย จากนั้นน้องในชมรมของมันและไอ้นิคที่โผล่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ก็มาถ่ายรูปผมกับไอ้ปิงคู่กับตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ไปคนละ 2-3 รูป

“อีกดอกนึงนี่ไม่ต้องปาแล้วมั้งพี่ พอเห๊อะ” ไอ้บอมแซว “ชมรมตัวเองนะพี่ จะเจ๊งแล้วนะ”

“หุบปากเลยมึง” ไอ้ปิงชูนิ้วกลางให้รุ่นน้องของมัน ก่อนจะปาลูกดอกสุดท้ายออกไป

จึ้ก!

“โอเค ได้... หมายเลข 20 นะพี่” ไอ้บอมพูด น้ำเสียงของมันเองก็ดูจะเฉยๆ แล้วเหมือนกัน เพราะของแรงๆ ออกไปสองอันติดกันแล้วแบบนี้ ก็คงไม่เหลืออะไรให้ตื่นเต้นอีกแล้วล่ะมั้ง “หมายเลข ยี่... สิบ...” และทันใดนั้นเอง จู่ๆ ดวงตาของไอ้บอมก็เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง “หมายเลข 20 เว้ยยยยย!! พวกมึงงงง!! ประธานชมรมเราปาได้หมายเลขยี่สิบบบบ!!!”

ผมหันไปมองไอ้ปิงแล้วก็เห็นว่ามันกำลังยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองอยู่ “อ... อะไรวะมึง กูต้องทำอะไรอีก”

“ไม่ใช่มึง... แต่เป็นกูอีกแล้ว” ไอ้ปิงมองหน้าผมแล้วยิ้มแหยๆ แต่คราวนี้หน้าของมันแดงแป๊ดอย่างเห็นได้ชัด

“อ้าว อะไรอีกวะหนนี้”

“ก็กูเป็นคนปาไง ถ้าได้รางวัลอะไรมา กูก็จะให้มึง แต่ถ้าโดนลงทัณฑ์ กูจะทำให้เอง... รึหนนี้มึงจะรับไปทำแทนกูก็ได้นะ ไอ้โอบ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะว่ายังไง” มันเปลี่ยนรอยยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไม่เอา ไม่ทำ มึงทำเลย ต้องทำอะไรอีกวะหมายเลขนี้ พวกมึงนี่คิดเกมได้เหี้ยจริงๆ”

“หมายเลข 20 คนปาได้เลขนี้ต้อง...” ไอ้ปิงเว้นช่วง

“ตะโกนบอกชื่อคนที่ตัวเองรักคร้าบบบบ!” ไอ้บอมพูดต่อให้จบประโยค

เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้ง แต่หนนี้ส่วนมากจะมาจากคนในชมรมของพวกมันมากกว่า แต่ผมเห็นว่านอกจากคนในชมรมของมันที่ดูจะเชียร์มากเป็นพิเศษแล้วก็ยังมีไอ้เหี้ยนิคอีกคนที่กำลังเป่าปากสะใจโดยท่าทางจะลืมหน้าที่ตากล้องของตัวเองไปเสียสนิท

“มึงไม่ไปถ่ายรูปบรรยากาศงานรึไง ไอ้นิค! ไอ้หอกหัก!!” ผมหันไปด่ามัน

“ไม่!!” มันตอบเสียงหนักแน่นก่อนจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผม “ตรงนี้สนุกกว่าเย้อเลยยยย”

“ไอ้เพื่อนชั่ว!”

ไอ้ปิงฉวยโอกาสตอนผมกำลังทะเลาะกับไอ้นิค หันไปพูดบางอย่างกับไอ้บอม ก่อนที่ไอ้บอมจะพยักหน้าและวิ่งหายไปทางเวทีคอนเสิร์ต

“ไอ้โอบ” ไอ้ปิงเรียกผม “อยากทำแทนกูมะ”

“ท... ทำอะไร”

“ตะโกนชื่อคนที่มึงชอบอะ”

“ไม่เอาเว้ย!” ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมด

“กูอุตส่าห์ปาตุ๊กตาให้มึงนะ”

“มึงจะเอาตุ๊กตากลับบ้านไปก็ได้นะ กูไม่เอาก็ได้ อะหยังปะล้ำปะเหลือ!*”

“เขินเหรอ” มันยิ้มและหยิกแก้มผมเบาๆ “มึงน่ารักก็ตรงเนี้ยะ”

“เฮ้ย! เล่นเชี่ยไร อายเค้า ไอ้เหี้ย!” ผมสะบัดหน้าหลบ

“ทำไมอะมึง แค่ตะโกนชื่อคนที่ตัวเองชอบเอง”

ผมไม่กล้าสบตามัน รู้สึกเขินจนหูร้อนไปหมด “กูไม่ทำ!”

“มึงชอบใครอยู่ล่ะ ไหนบอกกูได้ป่าว”

“ไอ้เชี่ยปิง! ไอ้...!!”

“โอเคแล้วพี่ ตอนนี้ได้เลย!” ไอ้บอมที่เพิ่งวิ่งกลับมาพูดกับไอ้ปิง ขัดจังหวะด่าของผมได้พอดี แต่ก็ถือว่าช่วยชีวิตผมเอาไว้ด้วยเหมือนกัน

“โอเค... งั้นมึงรอกูตรงนี้นะ ไอ้โอบ ฝากตุ๊กตาหมีของเราไว้ด้วย” มันอุ้มตุ๊กตาหมีมาวางตรงหน้าผม จากนั้นก็เดินผ่านฝูงคนไปทางเวที

“มันจะไปไหนของมันวะ” ผมถามไอ้บอม แต่มันไม่ตอบ

อีกไม่กี่นาทีถัดมา ผมก็เห็นไอ้ปิงเดินขึ้นไปบนเวทีที่พวกไอ้โต๊ะกับเพื่อนในวงกำลังเซ็ทเครื่องดนตรีกันอยู่ มันคุยอะไรกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ไอ้โต๊ะจะยื่นไมค์ให้ไอ้ปิง

“ฮัลโหล เทสๆ” เสียงของไอ้ปิงดังออกจากลำโพง ทำให้พวกเราแทบทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นหันไปมองมันบนเวทีอย่างพร้อมเพรียงกันทันที “โอเค ใช้ได้ อะแฮ่ม...” มันกระแอมเคลียร์ลำคอ “สวัสดีทุกคนครับ ผมชื่อปิงนะ เรียนอยู่ ม. 6/3 เป็นประธานชมรมบาสเก็ตบอล ออกบูธปาลูกดอกอยู่ข้างหลังนั่นน่ะ ใครว่างๆ ก็อย่าลืมไปเล่นกันเนาะ ของรางวัลซะป๊ะ ซะเป๊ด**” ไอ้ปิงยิ้มกว้าง “แต่ที่มาพูดตรงนี้ไม่ใช่จะมาขายของหรอกครับ ขอยืมไมค์เขามาได้แค่แป๊บเดียว พอดีเมื่อกี้โดนลงทัณฑ์ ปาลูกดอกโดนเลขไหนไม่โดน ดันไปโดนเอาเลขเด็ด และเค้าสั่งว่าใครปาได้เลขนี้ ให้ตะโกนบอกชื่อคนที่ตัวเองฮัก” มันเคลียร์ลำคออีกครั้ง “แต่ไอ้ครั้นจะให้ตะโกนบอกชื่อคนฮักต่อหน้าเค้ามันก็ยังไงๆ อยู่เนาะ ไหนๆ ก็จะเรียนจบแล้ว ยังไม่เคยบอกเจ้าตัวมาก่อนซะด้วย งั้นก็ขอพูดดีๆ ชัดๆ เลยดีกว่า แต่ถ้าไม่พูดเสียงดังๆ เดี๋ยวเค้าก็จะหาว่าผิดกฎ ก็เลยหน้าด้านหน้าทนขอมาพูดใส่ไมค์ซะเลย”

เฮ้ย... เฮ้ยยย.. เฮ้ยยยยย!!

“ทุกคนมองไปตรงนู้นครับ นู่นๆ มองไปที่ไอ้โอบ ประธานนักเรียนของเรา คงไม่มีใครไม่รู้จักมันใช่มั้ย ไอ้คนที่กำลังกอดคอตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆ อยู่นั่นน่ะ” ไอ้ปิงพูดพลางชี้มาทางผม

คราวนี้ทุกสายตาเลยหันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียวกัน ผมรีบปล่อยตุ๊กตาที่กำลังกอดอยู่ออกทันที

“นี่... ไอ้โอบ” ชื่อของผมที่ออกจากลำโพงดังก้องไปทั่ว ทุกคนที่อยู่บริเวณหน้าเวทีจนถึงแถวบูธที่ผมยืนอยู่ต่างก็เงียบกริบ

ผมตั้งท่าจะเดินหนีไปที่อื่น แต่กลับถูกใครบางคนคว้าต้นแขนเอาไว้เสียก่อน... ไอ้เชี่ยนิค!

“ฮาฮักคิงหนา!”

เมื่อสิ้นเสียงของไอ้ปิง เสียงกรี๊ดและเสียงเชียร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิมจนโรงเรียนแทบแตกจริงๆ ผมไม่สามารถบรรยายได้เลยว่าบรรยากาศตอนนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างแลดูบ้ามาก ทุกคนปรบมือ กรี๊ด กู่ร้อง ส่งเสียงเชียร์กันดังกระหน่ำจนหูของผมแทบดับ

“นั่นไง!! กูว่าแล้วววววววว!!!” เสียงของไอ้นิคดังขึ้นตามมาด้วยคำพูดจากคนอื่นๆ รอบข้างมากมาย

“สักทีเว้ยพี่กู!!”

“กรี๊ดดดดดดด!! จริงเหรอแก!”

“เห็นมั้ยกูบอกมึงแล้ว ไอ้เชี่ยก้องงง!!”

และอื่นๆ อีกมายที่ผมเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์

ภาพของผู้คนที่อยู่รอบข้าง ทุกคนที่เข้ามากอดคอผม ตีหลังผม ตบหัวผม แลดูพร่ามัวราวกับเป็นความฝัน แต่ผมรู้ว่ามันคือความจริง เพราะความรู้สึกร้อนหน้าร้อนมือจนทำอะไรไม่ถูกนี้เป็นของจริง ความรู้สึกเจ็บที่ถูกเพื่อนๆ รุมทึ้งก็เป็นของจริง และสัมผัสจากมือของไอ้ปิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาลากผมออกไปจากกลางฝูงชนนั่นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะมึง” มันหันมาพูดกับผมในขณะที่กำลังเดินจูงมือผมหลบออกจากบรรดากองเชียร์เหล่านี้

........................................................................................

*อะหยังปะล้ำปะเหลือ แปลว่า อะไรกันนักกันหนา
**ซะป๊ะ ซะเป๊ด แปลว่า เยอะแยะมากมาย

........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 18-12-2014 19:45:47
น่าย๊ากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 18-12-2014 20:51:36
กรี๊ดดดด มันค้างยิ่งกว่าฉากเอ็นซีซะอีก

บอกรักแล้วไงกัน น้องโอบอย่าลืมโอเคน้า

อ่านไปแล้วเขิน เป็นประธานชมรมบาสที่บอกรักก่อนด้วย :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 18-12-2014 21:06:22
น่ารักขนาด......
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-12-2014 22:47:44
น่ารักมาก อ่านไปยิ้มไป
วัยนี้ก็รัก ๆ กันไปเถอะไม่ต้องคิดมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: fongbeer37 ที่ 18-12-2014 22:51:30
น่ารักกกกกอ่าาาาา ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 18-12-2014 23:41:53
ใครคิดเกมปาลูกดอกเนี่ย เข้าใจคิดดีเนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 19-12-2014 20:46:30
น่ารักมากกกอะ ฟินๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 19-12-2014 20:49:15
กรี๊สสสสสสสสส ฟินนนนน  :jul1:
นี่เค้ากล้าประกาศขนาดนี้เลยเหรอ
ไอ้เราก็ดันนึกว่า ปิงอาจจะออกแนวหวั่นไหวอยู่แต่ยังไม่ได้ชอบ
แต่นี้ประกาศว่าชอบเลย มันแบบบบบ  :m3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 19-12-2014 22:48:41
อ๊ากกกกก..เขาบอกรักกันแล้ว บอกรักแบบออกสื่อด้วย!!
โอบเขินตายเลย..
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 20-12-2014 10:44:04
น่ารักมากๆ เลย
ยิ่งอู้กำเมืองกันด้วย ยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
*พูดไม่เป็นอ่ะ แต่รู้ว่าชอบ ภาษาน่ารักดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 20-12-2014 15:58:41
เพิ่งได้มาอ่าน
บรรยากาศมัธยมปลาย ที่แสนเลือนลาง
สองคนนี้มันน่ารักจริงๆ
เหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่อกัน
แต่ทำไมน้องปิงไม่แคร์สื่อเลยล่ะคะ 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-12-2014 16:24:16
>///<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 20-12-2014 16:53:43
ชอบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 21-12-2014 06:41:34
เดี๋ยวกลับมาอ่านนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-12-2014 09:39:15
(7)

ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองมีเรื่องจะต้องอธิบายให้ยัยน้องสาวตัวดีฟัง ไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงเหมือนกัน ถึงจะแก้ตัวให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายได้ ผมนึกไม่ออกว่าจะทำยังไง ไม่ให้มันเข้าใจผิดเรื่องที่ไอ้ปิงเสือกบอกรักผมออกไมค์ไปขนาดนั้น ผมไม่อยากให้น้องรู้ เพราะกลัวเรื่องจะไปถึงหูพ่อกับแม่ และไหนจะเรื่องแฟนเก่าของไอ้ปิงที่เป็นเพื่อนยัยอายอีกล่ะ ผมใช้เวลาเกือบทั้งเย็นหาวิธีที่จะพูดกับอาย แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง และพูดสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงเลยสักนิดเดียว

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น อายรู้อยู่แล้วย่ะ!”

“ร... รู้อยู่แล้วอะไร”

อายกลอกตา “ก็รู้เรื่องพี่กับพี่ปิงน่ะสิ ใครตาไม่บอดก็ดูออกเหอะ แต่ไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่คงยังไม่รู้หรอก และอายจะไม่บอกพวกเค้าด้วย”

“เฮ้ย ดูออกว่าอะไร” ผมยังคงอึ้งอยู่

“โอ๊ยยยย! เค้าก็ลือกันมาตั้งนานแล้วน่ะ แถมอายเห็นเวลาพี่มองพี่ปิงบ่อยๆ อายก็รู้แล้ว และอีกอย่างนะ ตอนนี้รูปกับคลิปที่พี่หอมแก้มพี่ปิงก็แชร์กันเต็มเฟซแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ก็คงรู้กันทั้งโรงเรียนจริงๆ แล้วนั่นแหละ”

“เฮ้ย เต็มเฟซเลยเหรอ! แล้วที่สำคัญ ทำไมพี่เป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องวะว่ามัน...!”

“ไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่อยากรู้กันแน่” อายกลอกตาอีกหน

“แล้วเรื่องแฟนไอ้ปิงล่ะ ว่ายังไง แกไม่โกรธพี่เหรอวะ อาย” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“แฟนเก่าพี่ปิงต่างหาก” อายแก้คำพูดของผม “อย่าไปสนใจมันเลย อีนั่นมันกะหรี่เอง สนใจเรื่องของตัวเองเหอะ แฟนมานั่นแล้วน่ะ อายไปแล้วนะ แล้วเจอกันที่บ้าน” อายเริ่มวิ่งเหยาะๆ ออกไปได้ 2-3 ก้าว ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “อ้อ ลืมไป! ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ อายขอตุ๊กตานะ!” เมื่อพูดจบ มันก็วิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนทันที

“ไงบ้าง อายว่ายังไงเรอะ” ไอ้ปิงเดินกลับมานั่งข้างๆ ผมพร้อมน้ำเย็นขวดนึง

“มันมาขอกุญแจรถแล้วก็ขอตุ๊กตาอะ”

“ตุ๊กตาหมีอะเหรอ ก็ให้มันไปดิ ไม่เป็นไรหรอก กูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงมันสายโหด ไม่ใช่สายแบ๊วที่จะมาเล่นตุ๊กตาอะไร” มันหัวเราะ

เราสองคนเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ลมเย็นๆ ที่พัดพาเอาความหนาวเข้ามาปะทะร่างกาย ทำให้ผมต้องกอดอกและกระชับเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่อยู่เข้าหาตัวมากขึ้น

“หนาวเหรอ” ไอ้ปิงถามพร้อมเขยิบเข้ามาเบียดผมมากขึ้น

“เมื่อกี้อายบอกว่ารูปตอนกูหอมแก้มมึงมีคนแชร์ลงเฟซด้วย”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” ไอ้ปิงหัวเราะ

“แล้วตอนมึงขึ้นไปบนเวทีอะ กูว่ากูเห็นมีคนอัดคลิปไว้ด้วยนะ”

“เออ กูก็เห็น” มันพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“มึงไม่กลัวคนเอาไปแชร์รึไง”

“ถ้ากลัวจะทำแต่แรกเหรอวะ ก็ให้คนเค้ารู้กันไปดิ ไหนๆ ก็จะเรียนจบแล้ว กูไม่สนใจแล้วว่ะ การบอกรักของกู จะต้องเป็นตำนานของโรงเรียนไปอีกนาน มึงคอยดู” มันหัวเราะอีกครั้ง

“มึงนี่มันหน้าด้านจริ๊งงงง”

“วันนี้กูมีความสุขโคตรๆ เลยว่ะ มึงล่ะ มีความสุขมั้ย”

“ก็ดีนะ แต่เหนื่อยว่ะ”

“เหนื่อยเหรอ งั้นปิ๊กบ้านกั๋นก่อ”

“บ้านใคร”

“บ้านมึงดิ เดี๋ยวกูไปส่ง เมื่อกี้อายมันเพิ่งจะมาเอากุญแจรถมึงไปไม่ใช่รึไง”

“แล้วเราจะเอาตุ๊กตากลับกันยังไงวะ” ผมหันไปมองยังไอ้หมีตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ซ้อนสามซ้อนสี่ยังทำได้ นี่แค่สองคนบวกหมีอีกตัว ทำไมจะไม่ได้วะ” ไอ้ปิงยืนขึ้นพร้อมยื่นมือให้ผมจับ “ไปเหอะ หาไรกินกันก่อนแล้วค่อยกลับเนาะ”

ผมมองมือของมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมันเอาไว้แล้วยืนขึ้น

หลังจากกินข้าวเสร็จและกลับถึงบ้าน ผมก็เอาตุ๊กตาหมีไปวางไว้ที่ห้องของอาย แล้วจึงกลับลงมาหาไอ้ปิงที่กำลังยืนรอผมอยู่ที่รถของมัน

ยิ่งเห็นหน้าของมัน หัวใจของผมก็ยิ่งบีบรัดมากเท่านั้น คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ เปรียบได้กับมือล่องหนที่คอยกำและบีบหัวใจของผมแน่น แน่นจนบางทีก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกตาย

“เป็นไรวะ ทำหน้าหงอยๆ” มันถามผม

“หือ กูเหรอหน้าหงอย... คงเหนื่อยๆ มั้ง”

ผมไม่ได้โกหก เพราะผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ไหนจะงานทั้งวัน และยังจะเหตุการณ์ตื่นเต้นติดๆ กันหลายหนเมื่อตอนบ่ายนั่นอีก ผมเลยรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจทีเดียว แต่นอกเหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกเหงาๆ โหวงๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมากกว่า เพราะผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมทั้งหมดจะเป็นความจริงหรือความฝัน ท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องมีตอนจบด้วยกันทั้งนั้น

“ไอ้ปิง...”

“หือ”

“ตกลงเราสองคนเป็นอะไรกันวะ”

รอยยิ้มของมันจางลงไปเล็กน้อย เราต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน จนกระทั่งมันยื่นหมวกกันน็อคให้ผม และทำท่าบอกให้ผมขึ้นซ้อนท้าย “ไปนั่งรถเล่นกันหน่อยเถอะ”

“ไปไหน”

“ที่เงียบๆ”

“ที่ไหน”

มันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ขึ้นดอยกัน”

อีกประมาณ 40 นาทีถัดมา ไอ้ปิงก็พาผมเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติ บริเวณโดยรอบมืดหมดแล้ว มันจอดรถแล้วจูงมือพาผมเดินไปนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่บนทุ่งหญ้า มันจับมือของผมไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย เราต่างก็นั่งเบียดร่างกายเข้าหากันสู้ลมหนาวและอุณหภูมิที่น่าจะต่ำกว่า 10 องศา ความเงียบที่ปกคลุมเราทั้งสอง มีเพียงเสียงร้องของแมลงนานาพันธุ์ดังเบาๆ ช่วยผ่อนคลายและทำให้ให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง แต่ผมว่าสิ่งที่ช่วยมากที่สุดก็คือไออุ่นที่ผมได้รับจากมันต่างหาก

“บ่าโอบ...” ไอ้ปิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน “ฮาฮักคิงหนา คิงฮู้ก่อ”

“กูรู้แล้วไง”

“ถ้าบ่อมีคิง ฮาก็บ่อฮู้ว่าจะอยู่จะได...”

“ไอ้ปิง...” สิ่งที่มันพูดบาดเข้าไปในใจของผม เพราะอีกไม่นาน เราก็จะไม่มีกันและกันแบบนี้อีกแล้ว

“กูยังไม่รู้เลยนะว่ามึงล่ะ คิดยังไงกับกู” มันพูดขัดขึ้น

“ใครบอกว่ามึงไม่รู้... ที่จริงมึงก็รู้ดีไม่ใช่เหรอวะ”

“แต่กูอยากได้ยินให้แน่ใจสักครั้ง”

ผมสูดลมหายใจเข้า “กูก็รักมึงเหมือนกัน... ไอ้ปิง รักมาก... มากจนกูเจ็บ”

“กูขอโทษ กูไม่ได้อยากทำให้มึงต้องเจ็บเลย” มันพูดเสียงค่อย

“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก ผิดที่ใจกูเองต่างหาก แต่ที่จริงมันก็เป็นความเจ็บที่กูมีความสุขที่สุดในชีวิตแล้วนะเว้ย”

“แล้วมึงว่า... คนสองคนที่รักกัน จำเป็นต้องเป็นแฟนกันมั้ยวะ”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงไม่มั้ง... แต่การได้เป็นแฟนกัน มันก็คงทำให้อะไรๆ สมบูรณ์มากขึ้นว่ะ”

“ก็คงจริงของมึง...”

“นี่ ไอ้ปิง” ผมหันไปหามึง “ทำไมมึงถึงเพิ่งมาบอกกูเอาป่านนี้วะ”

มันก้มหน้าลง “กูก็กลัว... กลัวเหมือนที่มึงกลัวนั่นแหละ กลัวจะคิดไปเองและกลัวจะเสียมึงไป”

“ถ้าเรารู้ใจตัวเองและกล้ากันเร็วกว่านี้ก็คงดีเนอะ นี่แม่งเหลืออีกไม่กี่เดือนเราก็จะไม่ได้เจอกันทุกวันแบบนี้แล้ว” ผมปล่อยมือของมันออกและกอดเข่าทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ “กู... กูใจหายว่ะ ไอ้ปิง กูรักมึง กูอยากเป็นแฟนกับมึง ยิ่งตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงก็รักกู กูก็ยิ่งอยากอยู่กับมึงเข้าไปใหญ่ แม่ง... ทำไมมันเจ็บปวดขนาดนี้วะ” ผมพยายามต่อสู้กับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเสียงของผมก็สั่นเครือแบบควบคุมไม่ได้ “การรู้ว่าจะต้องแยกจากคนอันเป็นที่รักนี่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการแอบรักเค้าข้างเดียวอีกเหรอวะเนี่ย”

“กูรู้ ไอ้โอบ...” มันกอดผม เสียงของมันเองก็แตกพร่าเช่นกัน “กูก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละ...”

“แค่คิดว่ากูจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของมึงทุกๆ วัน จะไม่มีมึงมาคอยลูบหัวกู ไม่ได้คุยเรื่องไร้สาระกับมึงยันเช้า ไม่มีมึงมานั่งตัก ไม่ได้นอนกอดมึงแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว กูก็เจ็บหน้าอกแล้วว่ะ เจ็บมาก...” ผมยกมือขึ้นกำเสื้อที่หน้าอกแน่น “กูรักมึงจริงๆ ไอ้ปิง แต่เราคงเป็นแฟนกันไม่ได้ใช่มั้ย มันสายไปแล้วใช่มั้ยวะ”

ไอ้ปิงไม่ตอบ เราจึงต่างเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง

“นี่... ไอ้โอบ ถ้าให้มึงเลือกระหว่างเราเป็นเพื่อนกันแบบนี้จนเรียนจบ เก็บไว้แค่ความรู้สึกดีๆ รู้ว่าเรารักกัน กับเป็นแฟนกันแค่ช่วงสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปแล้วไปเสี่ยงดูอีกทีว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง... มึงว่าแบบไหนดีกว่ากันวะ”  มันวางหน้าผากลงบนไหล่ของผม

“มึงพูดเหมือนถ้าเราห่างกัน สุดท้ายเราก็ต้องเลิกกันอย่างนั้นแหละ”

“ก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอวะ คนเจอกันแทบทุกวันมันยังเลิกกันได้เลย นับประสาอะไรกับคนที่อยู่กันคนละจังหวัด” มันถอนหายใจ “แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็จะรักกันได้ตลอดไป มีกันและกันอยู่ในใจได้ตลอดไป... ใช่รึเปล่าวะ”

“กู... กูไม่รู้”

“มึงคิดว่าไง ไอ้โอบ ตกลงมึงอยากจะเลือกแบบไหน”

“กูไม่อยากเลือก...”

“โอบ...”

ผมก้มหน้าและหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้า “ถ้าเลือกได้...” ผมกำหมัดแน่น “กูอยากรักมึง และอยากให้มึงรักกู” ผมตอบออกไปแบบโง่ๆ “กูอยากให้เรารักกันไปนานๆ กูนึกออกแค่นี้ว่ะ...”

“ตอนนี้เราก็รักกันไง”

ผมพยักหน้า ไอ้ปิงนั่งกอดผมอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่ๆ โดยที่เราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย จนเมื่อถึงเวลา เราสองคนก็ตัดสินใจกลับบ้าน คืนนั้นไอ้ปิงนอนค้างกับผมที่บ้านอีกคืน เรานอนคุยกันตั้งแต่เรื่องที่ผมแอบมองมันตั้งแต่ ม. ต้น ไปจนถึงตอนที่มันคิดว่ามันชอบผมตอน ม. 5 เราแบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อกันอย่างเปิดเผยจนเกือบถึงเช้าถึงได้หลับลงไป

วันต่อมาซึ่งเป็นวันเสาร์ ผมตื่นขึ้นมาพบกับเตียงที่ว่างเปล่า ผมเดินลงไปชั้นล่างและมองหาไอ้ปิงแต่ก็ไม่เจอมัน รถของมันก็ไม่อยู่ แม่บอกผมว่ามันเพิ่งกลับบ้านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้อง มองดูเตียงนอนที่เคยมีมันแล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมนั่งลงบนเตียง นึกถึงคำพูดของมัน และความอบอุ่นของมันเมื่อคืน แล้วก็ร้องไห้เบาๆ อยู่คนเดียวอย่างนั้นครู่หนึ่ง จนเวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้จนพอใจแล้ว ผมก็ลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำ และในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

ผมหยิบขึ้นมาดูและก็เห็นเป็นลายมือของไอ้ปิงเขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า

“รักมานาน และจะรักตลอดไป”

ผมยิ้มให้กับตัวเองและพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋าสตางค์ จากนั้นก็ไปอาบน้ำ กินข้าว และตอนบ่ายๆ ก็ออกไปเจอไอ้ปิงและเพื่อนๆ

เมื่อเราเจอหน้ากัน เราก็ส่งยิ้มให้แก่กัน ผมรู้สึกว่าผมเจ็บในหน้าอกเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันผมก็มีความสุข เพราะอย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็รู้คำตอบแล้วว่ามันรักผมมากเพียงใด

ผมตัดสินใจแล้วว่าจะตักตวงเวลาที่เหลืออยู่ไว้ให้มากที่สุด หากว่าผมเคยรักโดยที่ไม่ได้ครอบครองมาได้ตั้งนาน มันจะยากอะไรกับการเก็บความรักที่มีและเกิดขึ้นครั้งนี้ไว้กับตัว โดยไม่จำเป็นต้องได้มันมาเป็นแฟนหรือได้เจอหน้ามันทุกวันไปตลอดชีวิต

สิ่งสำคัญที่สุดของความรักของผมคือการได้รักโดยไม่ต้องครอบครองเป็นเจ้าของ และผมก็ยินดีที่จะเก็บความรักของไอ้ปิงที่มันมีให้ผม และผมมีให้แก่มันไว้ในใจไปตลอด ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ตาม

.
.
.
.
.


(จบ)

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-12-2014 09:40:17
ขอบคุณทุกๆ คนที่ตามอ่านนะครับ จริงๆ ส่วนตัวก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ จะสนุกกว่าถ้าอ่านรวดเดียวจนจบนะ แต่ยังไง... อย่าเพิ่งลุกไปไหนนะครับ รอดูตอน end credit ด้วย

:)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lactobacillus_casei ที่ 21-12-2014 10:36:41
จะมี after story ต่อจากนี้ไหมครับ อย่ากอ่านมุ้งมิ้งๆต่อ อยากให้เค้าตกลงปลงใจเป็นแฟนกันเลย ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน มีช็อตหวานๆ น่ารักๆ ด้วยกัน งื้ดๆ สนุกมากครับ อินตาม เหมือนจะแฮปปี้แล้วแต่ก็ไม่เชิง  เค้ารักกันแต่ระดับความสัมพันธ์เหมือนจะยังไม่ขยับ ความรู้สึกตรงกันแต่ถูกแทรกกั้นด้วยเวลาที่เริ่มนับถอยหลังลง อ๊ากกกกก ต่ออีกๆ ส่งสองคนไปเรียนด้วยกันเถอะนะครับ #รักมานานและจะรักตลอดไป ชอบประโยคนี้ ที่สุด เลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 21-12-2014 15:25:24
ไหน end credit  :hao6: :hao6: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 21-12-2014 21:36:21
 :serius2: ขอตอนพิเศษโหน่ยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 22-12-2014 06:44:15
น้องอาย น้องเป็นสาววายสินะ
แอบสงสัยว่าปิงบอกว่าเริ่มชอบโอบตั้งแต่ม.5 แสดงว่ามีแฟนอยู่แล้วถึงมาชอบโอบใช่มั้ย แล้วน้องอายพูดว่าแฟนปิงเป็นกะหรี่ คืออะไร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [ตอนที่ 7 - จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 23-12-2014 01:28:25
จบแล้ววว

เรื่องนี้น่ารักก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-12-2014 19:10:48
(พิเศษ)

“ไอ้โอบ! ไอ้โอบบบบบ!!” เสียงของไอ้ปิงที่ร้องเรียกผมอยู่หน้าบ้านปลุกให้ผมตื่นขึ้นอย่างมึนๆ

นี่มันมาตะโกนเรียกหาผมที่บ้านทำไมแต่เช้าวะเนี่ย

“ไอ้โอบโว้ยยยยย! ตื่นได้แล้ววววว!! ตื่นนนนน!!”

“ตื่นแล้วว้อยยยยยย!! รอแป๊บนึง!!” ผมตะโกนตอบกลับไป ดีนะที่วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวเพราะคนอื่นๆ ไปเยี่ยมญาติของพ่อที่ชลบุรีกันหมด แต่ผมไม่ได้ไป ไม่อย่างนั้นมันคงโดนแม่ผมด่าแน่ๆ โทษฐานที่มาแหกปากโวยวายอยู่หน้าบ้านตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้าแบบนี้

ผมเดินลงไปปลดปล็อคและเปิดประตูบ้านให้มัน ไอ้ปิงรีบพุ่งตัวเข้ามาในบ้านผมทันที

“ทำไมช้านักวะ!”

“มาปลุกกูแต่เช้าแล้วยังเสือกมาโวยกูอีก มีเหี้ยอะไร ทำไมไม่ไลน์หรือโทรมาวะ มาแหกปากอยู่ได้” ผมอ้าปากหาว

“กูขอพ่อได้แล้วนะเว้ย!” มันพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตากลมโตของมันเป็นประกายราวหมู่ดาวในคืนเดือนมืด

“ขอพ่อ ขออะไร”

“ก็ขอไปเรียนที่เดียวกับมึงไง!”

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของผมเพิ่งประกาศ และผมก็สอบติดในที่ที่ผมต้องการ ซึ่งเป็นคนละมหาวิทยาลัยกับที่พ่อของไอ้ปิงอยากให้มันเรียนมาตลอด แต่ด้วยความที่มันไม่เคยอยากเรียนในสิ่งที่พ่อต้องการ และมันเองก็อยากไปเรียนที่เดียวกับผมเหมือนกัน มันจึงพยายามต่อสู้กับพ่อมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือน ที่จริงมันก็ทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้มาแทบจะตลอด ม. 6 นั่นแหละ มันมีปัญหาเรื่องนี้มานานจนถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ในที่สุด มันก็ตัดสินใจกลับไปพยายามคุยกับพ่ออีกหน และในวันนี้มันก็เป็นฝ่ายชนะจนได้!

“เฮ้ย จริงอะ! มึงได้ไปเรียนที่เดียวกับกูจริงๆ เหรอวะ!” ผมตื่นขึ้นเต็มตาเลยทีเดียว

“เออดิ! กูดีใจชิบหายยยยย!! เลยอยากรีบมาบอกมึงคนแรกเลยเนี่ย!” มันหัวเราะพลางดึงตัวของผมเข้าไปกอดแน่น

 ผมกอดมันตอบ “แล้วพ่อเค้าไม่โกรธอะไรมึงใช่ปะ มึงไม่โดนด่าอีกใช่มั้ยเนี่ย”

“เค้าก็ตึงๆ นิดหน่อย แต่หนนี้แม่กูยอมไฟท์กับกูด้วยเว้ย ปู่กับย่าก็ช่วยด้วย พวกเค้าคงเห็นกูเครียดอะ ทุกคนเลยรุมพ่อจนเค้ายอม แม่งงงง! กูโคตรดีใจเลยว่ะ!!”

“กูก็ดีใจเหมือนกัน” ผมโยกตัวมันเบาๆ รอยยิ้มกว้างฉายอยู่บนใบหน้าของผม รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองพองโต

มันดันตัวของผมออกแล้วมองหน้า “คราวนี้มึงก็หนีกูไปไหนไม่รอดแล้วนะ ไอ้โอบ”

“กูจะหนีมึงไปไหนวะ พูดหมาๆ นะมึงเนี่ย ไอ้ปิงเอ๊ยยยย กูดีใจจริงๆ นะเว้ย ไอ้ปิง ดีใจมากๆ”

“เห็นมึงยิ้มแบบนี้ กูก็รู้แล้ว” มันยิ้มกว้าง

เราสองคนยืนจับมือมองหน้ากันอย่างนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็ชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆ พร้อมกับลูบหัวผมไปด้วย “เฮ้ออ... ให้รอมาตั้งนาน เท่านี้กูก็ขอมึงได้แล้วสินะ”

“หือ ขออะไรวะ” ผมสงสัย

“ไอ้โอบ มึงเป็นคนรักของกูมาก็นานแล้ว แต่หลังจากนี้... มึงมาเป็นแฟนกูนะ” มันยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มมุมปากในแบบของมัน

.
.
.

คิดว่าผมจะตอบตกลงรึเปล่าล่ะ


........................................................................................
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 23-12-2014 21:49:44
กด F5 รัวๆ  :katai4:
รอตอนพิเศษ 2
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 23-12-2014 22:21:38
อ๊ากกกกก หวานได้อีก หวานๆๆเลย ไม่กลัวน้ำตาลขึ้น อิอิ มาอย่างด่วนเลยครับตอนพิเศษใหม่่่่่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 24-12-2014 01:22:26
อ๊ากกกกก.. จบไปแล้ว แล้วก็มีตอนพิเศษมาด้วย!!
อ่านไปเขินไป อ่านจบแล้วก็ยังอยากอ่านต่ออีก
มันค้างคามากเลยคุณต้น อยากฟินกับคู่นี้ต่อไปเรื่อยๆ
อ่านแล้วมีความสุขไปกับตัวละครของคุณต้น
ยังจะรอติดตามตอนพิเศษเรื่อยๆ นะคุณต้น เป็นกำลังใจให้..
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-12-2014 01:40:12
ดีใจด้วยที่ท้ายสุดแล้วทุกอย่างลงเอยด้วยดี ได้รักกัน ได้เรียนที่เดียวกัน หวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันและรักกันนาน ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 25-12-2014 02:24:46
น่ารัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [จบ - พิเศษ 23 ธค 57]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 25-12-2014 22:43:52
เย้~ ตอนแรกยังอ่านไม่ถึงตอนพิเศษ นี่เศร้าเลยเพราะทั้งคู่จะต้องห่างกัน

แต่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 1: 2 กพ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-02-2015 21:02:45
S p e c i a l  1

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ ผมขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ก่อนหน้าที่ไอ้ปิงจะขอพ่อไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้ ย้อนไปถึงสองวันหลังจากที่ไอ้ปิงประกาศออกไมค์ว่ามันชอบผม

หลังจากงานโรงเรียนจบลง โลกของผมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผมมีความสุขมากที่ได้บอกความในใจของตัวเองออกไปให้ไอ้ปิงได้รับรู้ และยิ่งมีความสุขมากกว่า เมื่อได้รู้ว่าไอ้ปิงเองก็รักผมมากเช่นกัน แต่ลึกๆ แล้วผมก็ยังเจ็บ เจ็บจากความคาดหวัง หวังที่จะได้เป็นแฟนกับมัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ ไม่ใช่ได้แต่คอยนับถอยหลังวันที่เหลืออยู่ก่อนที่เราจะต้องบอกลากันแบบนี้

“แต่ตอนนี้เรามีกันและกัน เรารักกันยิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา เราได้นั่งจับมือกันแบบนี้...” ไอ้ปิงบีบมือที่กำมือของผมเอาไว้อยู่ “มันก็ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

รอยยิ้มของมันทำให้ผมสบายใจขึ้นได้ทุกครั้งที่เห็น มันเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสมากที่สุดในโลกเลย ทุกครั้งที่มันหันมาสบตาและส่งยิ้มให้ผม โลกทั้งใบดูจะสดใสขึ้น ภายในใจของผมจะอบอุ่นขึ้น หัวใจรู้สึกราวกับพองโตขึ้นเล็กน้อย และมันก็ทำให้ผมเชื่อได้ทุกครั้งว่าผมโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักมันและมีมันอยู่ข้างกายอย่างทุกวันนี้

เมื่อวันนั้นผมร้องไห้จนพอใจแล้ว ดังนั้นผมต้องไม่ลืมที่สัญญากับตัวเองไว้ว่า ผมจะมีความสุขในทุกๆ วันที่เหลืออยู่ของผมกับมัน

“เฮ้ย การบ้านอะ การบ้านนนนนน” เสียงของไอ้นิคที่ดังขึ้น ทำให้ผมกับไอ้ปิงรีบปล่อยมือออกจากกันอย่างรวดเร็ว “เอามาลอกกกก ไวๆๆ”

ผมหันไปหาไอ้นิคที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเรา “ตูดยังไม่ทันจะนั่ง มึงก็ทวงแล้วนะ เหมือนจะขยันนะมึงเนี่ย... ขยันลอกการบ้าน”

“อย่าแซะกู! เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมากูมัวแต่วุ่นแต่งรูปให้อาจารย์ทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลาทำการบ้านเลย ไอ้ห่า ไม่ใช่ความผิดกูเลยนะ” ไอ้นิคนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมกับไอ้ปิง มันมองหน้าเราสองคนสลับกันก่อนจะยิ้มออกมา "ว่าแต่ก่อนกูเดินมาเมื่อกี้สวีทอะไรกันอยู่วะ กูเห็นน้าาา ที่มึงสองคนนั่งจับมือกันน่ะ แหมๆ เดี๋ยวนี้หวานออกหน้าออกตา"

ผมเขินจนหน้าแดง "หวานเหี้ยไร เพ้อเจ้ออะไรของมึง! เดี๋ยวกูเตะให้!"

"มึงสงสัยเรื่องของกูกับไอ้โอบมาตั้งแต่ตอนไหนวะ ไอ้นิค" ไอ้ปิงถาม

"ปีที่แล้วมั้ง จำไม่ได้ว่ะ" ไอ้นิคยักไหล่ "แต่ก็นานแล้วล่ะ พวกกูก็คิดๆ กันอยู่แหละว่ามึงสองคนน่าจะแอบกิ๊กๆ กันอยู่ แค่ไม่นึกว่าจะยังไม่เคยสารภาพรักห่าอะไรกันเลย... มึงนี่มันร้ายน้าา ไอ้ปิงงงง"

"ตกลงมึงจะลอกการบ้านมั้ย ไอ้นิค" ผมฟาดสมุดลงบนหัวของไอ้นิคดังป้าบ "ปากดีมากนักกูไม่ให้ลอกนะ"

"โอ๊ยย ไอ้เหี้ยยย มึงจะเขินก็เขินไปดิวะ ลงไม้ลงมือกับกูทำไมเนี่ย สาดดด" มันรีบคว้าสมุดไปจากมือของผม "สั่งสอนเมียมึงหน่อยนะ ไอ้เชี่ยปิง"

"เฮ้ย เมียเหี้ยไร ยังไม่ได้กัน" ไอ้ปิงหัวเราะ

"อ้าว! งั้นรอเหี้ยอะไรอยู่วะ ทำไมไม่เอาๆ กันสักที"

"ไอ้เชี่ยนิค!!"

"โอเคๆ กูหยุดแล้วๆๆ" ไอ้นิครีบยกมือขึ้นห้ามผมที่กำลังเงื้อมือ

"เอาน่าๆ มึงใจเย็นๆ เขินแล้วก็ชอบใช้ความรุนแรงตลอดนะมึงเนี่ย" ไอ้ปิงโอบบ่าผม จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด "มึงต้องเริ่มทำตัวให้ชินได้แล้วนะ"

"กับคนอื่นก็ไม่เท่าไหร่หรอก อย่างเมื่อวันเสาร์คนอื่นๆ แม่งก็ไม่ได้แซว ไม่ได้พูดมากขนาดไอ้นิคนี่หว่า มีไอ้เหี้ยนี่แหละ ปากดีเป็นพิเศษ มันน่าโดนตีนนัก" ผมดันตัวไปปิงออกแล้วลุกขึ้นยืน

“อ้าว มึงจะไปไหน” ไอ้ปิงเงยหน้าขึ้นมาถาม

“ห้องน้ำ”

“กูไปเป็นเพื่อน”

“โอ๊ยยยย มึงใช้รูเยี่ยวรูเดียวกันรึไง เว่อร์ชิบหาย ไอ้สองคนนี้ ตัวติดกันเป็นแฝดสยามเลยนะมึง” ไอ้นิคแซว

“เออ มึงไม่ต้องไปหรอก กูไปคนเดียวได้ นั่งเฝ้าหมาในปากไอ้นิคไว้ที่นี่แหละ”

ไอ้ปิงทำหน้าหงอยๆ นิดหน่อย แต่ผมรู้ว่ามันจงใจทำเพื่ออ้อน ผมจึงเขกหัวมันเบาๆ แล้วลุกออกจากม้านั่งเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังตึก

นาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือของผมบอกเวลา 7.15 นักเรียนเริ่มทยอยมาโรงเรียนกันหนาตา แต่ห้องน้ำที่อยู่หลังตึกก็ยังไม่มีคนมากนัก ผมเดินสวนกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังออกจากห้องน้ำ แล้วจากนั้นก็เดินไปยืนที่โถที่อยู่ริมสุด ซึ่งเป็นฝั่งที่อยู่ติดกับห้องน้ำหญิง และในตอนที่ผมกำลังยืนทำธุระอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงของนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งคุยกันดังทะลุผนังมา

“มึง! พูดถึงเรื่องนี้ มึงรู้ข่าวแล้วใช่มั้ย เรื่องเมื่องานโรงเรียนเมื่อวันศุกร์อะ”

“เรื่องอะไร”

“ก็นี่ไง! ที่เค้าแชร์กันเต็มเฟซเนี่ย มึงดู”

“อีฝน! ผัวมึงเค้าหันไปขุดทองแล้วเหรอวะ!”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็ถึงกับสะดุ้ง ทำเอาซิปเกือบจะหนีบโดนไอ้น้องชายเข้า

“อีดอกกกกก กูเสียดายมากกกก พี่ปิงออกจะหล่อ เท่ แถมยังเล่นกีฬาเก่ง เสือกไปได้กับพี่โอบซะงั้นนน”

“อีพี่โอบเองก็ด้วยเหอะ แม่งชอบผู้ชายเหรอวะ กูไม่เห็นรู้เลย เสียดายพันธุ์ชิบหาย”

“พวกมึงเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว กูจะอ้วก อุบาทว์”

ผมจำเสียงที่เพิ่งพูดขึ้นได้... ฝน แฟนเก่าไอ้ปิง

“ว่าแต่... รู้สึกยังไงบ้างคะ คุณฝน ที่สามีเก่าหันไปคบผู้ชายอะคะ ช่วยแชร์ความรู้สึกของการมีผัว... เป็น ‘ตุ๊ด’ หน่อยค่าาา”

“อีฟ้า! เดี๋ยวกูตบจริงๆ นะมึง!!”

ผมว่าผมทนฟังอีกต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ ผมเดินไปล้างมือและรีบเดินออกจากห้องน้ำทันที แต่แล้วเราก็ออกมาเจอกันที่ตรงหน้าห้องน้ำหญิงที่ผมจำเป็นต้องเดินผ่านเข้าจนได้

เมื่อเด็กรุ่นน้องทั้งสี่คนเห็นผม พวกเขาก็ดูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปซุบซิบบางอย่างและหัวเราะกันเบาๆ ส่วนฝนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดก็มองหน้าผมด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ... ไม่สิ ผมว่ามันเป็นสายตาที่ใช้สำหรับมองดูสิ่งสกปรกน่ารังเกียจบางอย่างมากกว่า

“อุบาทว์...” ฝนพูดพร้อมแววตารังเกียจและริมฝีปากที่เหยียดออก “ต่ำว่ะ”

ผมหันหลังให้กับเด็กกลุ่มนั้นและเริ่มออกเดิน แต่ก็ยังไม่วายจะมีเสียงไล่ตามหลังมา

“ล้างเหมืองดีๆ นะค้าา พี่โอบบบ อย่าไปแถมทองพี่ปิงเค้าล่าาา”

ผมกำหมัดแน่น แต่ก็เลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไรกลับไป สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงเดินหนีจากถ้อยคำดูถูก เย้ยหยัน และเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจเหล่านั้นไปให้ไกลและไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อกลับไปถึงที่โต๊ะที่เพื่อนๆ ของผมนั่งอยู่ ผมก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครแล้ว เสียงหัวเราะและถ้อยคำสกปรกเหล่านั้นมันยังคงดังก้องอยู่ในหู และทำให้ใจของผมขุ่นมัว ไอ้ปิงพยายามถามผมหลายครั้งว่าผมเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่รู้สึกอยากคุยกับมัน... แม่งงง ที่จริงผมไม่อยากแม้แต่จะมองหน้ามันด้วยซ้ำ

ตลอดช่วงเช้า เวลาที่ผมเดินไปไหน ผมก็จะเห็นว่าคนอื่นๆ รอบตัวจับตามองผมอยู่ตลอด บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็ยิ้มเยาะหรือหัวเราะ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยเสียงนินทาและแววตาอยากรู้อยากเห็น ความอึดอัดทับถมจนกลายเป็นความหงุดหงิดทุกๆ สิ่ง ทุกๆ คนรอบตัว... โดยเฉพาะไอ้ปิงที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

ในระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน ผมลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ในขณะที่ผมกำลังล้างหน้าอยู่นั้นเอง ไอ้ปิงก็เดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง

“ไอ้โอบ มึงเป็นอะไรของมึงวะ ดูอารมณ์บูดตั้งแต่เช้าแล้ว”

ผมมองหน้าของมันผ่านทางกระจก “ช่างกูเหอะ”

มันนิ่วหน้า “ทำไมมึงพูดแบบนั้นวะ ปกติมึงเป็นเหี้ยอะไรก็บอกกูตลอดไม่ใช่รึไง มีอะไรไม่สบายใจก็พูดมาสิวะ”

“ช่างมันเหอะ กูหงุดหงิดของกูเอง บอกมึงไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วอยู่ดี” ผมปิดก๊อกน้ำ และจากนั้นก็หันกลับและกำลังจะเดินผ่ายมันออกจากห้องน้ำ แต่ก็ถูกมันคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“กูทำอะไรผิดรึไง บอกกูสิ”

“กูบอกแล้วไงว่าช่างมันเหอะ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” ผมหันกลับไปมองหน้ามัน ใจของผมเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แววตาของมันทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดในตอนแรกจางลงไปเล็กน้อย

คือ... จะว่าไปที่จริงมันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดใช่มั้ยล่ะ มันก็แค่บอกรักผมด้วยวิธีที่โผงผางเกินไปหน่อยแค่นั้นเอง

“ล้างหน้าแล้วทำไมไม่เช็ดหน้าดีๆ ก่อน มานี่” มันดึงผ้าเช็ดหน้าออกไปจากกระเป๋าเสื้อของผม จากนั้นก็ใช้ซับหน้าผมเบาๆ “กูทำอะไรผิด ไหนลองบอกกูซิ ครั้งหน้ากูจะได้ไม่ทำอีก”

แววตาและน้ำเสียงอ่อนโยนของมัน ทำเอาใจผมสั่น

“มึง... มึงก็คงไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกมั้ง และมึงก็คงไม่มีทางทำแบบนั้นอีกครั้งได้อยู่แล้วด้วย”

“มันคืออะไรวะ”

“เรื่องนั้น...”

“เฮ้ย แหมๆๆ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งของเราดังขึ้นหน้าห้องน้ำ “พอบอกรักออกสื่อแล้วก็หวานกันออกหน้าออกตาเลยน้าาา สาดดดด” พอพูดจบ เพื่อนคนนั้นก็หันไปตะโกนและหวักมือเรียกคนอื่นๆ “เฮ้ยๆๆ พวกมึง มาดูไอ้โอบกับไอ้ปิงมันจะถ่ายหนังสดโชว์โว้ยยย!”

“เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว!” ผมตกใจและรีบปัดมือของไอ้ปิงออก ทำให้ผ้าเช็ดหน้าหล่นลงไปบนพื้น

“ไหนๆ ไอ้เชี่ยโอบกับไอ้เชี่ยปิงจะขุดทองโชว์เหรอวะ!” เพื่อนอีกคนที่อยู่ต่างห้องวิ่งเสนอหน้าเข้ามาในห้องน้ำอีกคน

คำพูดคำนั้น ทำให้ผมโมโหจนปรี๊ดแตก

“พวกมึงเลิกพูดเหี้ยๆ ได้แล้ว! กูกับไอ้ปิงไม่ได้เป็นเหี้ยอะไรกันเลยนะเว้ย!!” ผมพุ่งตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของเพื่อนคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “ขืนใครยังกล้าแซวหรือพูดหมาๆ แบบเมื่อกี้กับกูอีกล่ะก็ มึงเจอกูแน่!”

“เฮ้ยๆ ไอ้โอบ พวกกูแค่แซวเล่น มึงจะโกรธเหี้ยอะไรของมึงนักหนาเนี่ย!”

“มึงปล่อยคอเสื้อไอ้ต๊อบนะเว้ย ไอ้โอบ มึงเป็นประธานนักเรียนนะเว้ย มึงจะทำเหี้ยอะไรของมึง”

ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนสลับกันแล้วจึงยอมปล่อยมือลง “พวกมึงไม่ว่าหน้าไหน อย่ามาพูดเหี้ยอะไรแบบนั้นกับกูอีก กูไม่ชอบ”

“ครวยเหอะ ถือว่าเป็นประธานนักเรียนแล้วจะทำใหญ่ยังไงก็ได้เหรอวะ ไอ้ควาย!” ไอ้ต๊อบจับคอเสื้อของตัวเองแล้วเดินจากไป

“ไอ้โอบ” ไอ้ปิงที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเรียก “ปกติมึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะเว้ย”

“มึงยังไม่ต้องมายุ่งกับกูตอนนี้ ไอ้ปิง เรื่องทั้งหมดก็มาจากมึงนั่นแหละ เสือกทำเท่บอกว่าชอบกูต่อหน้าคนอื่นเยอะแยะ แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้กูกลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นนินทา ให้มันล้อกันเป็นเรื่องสนุก ไอ้เหี้ย มึงไม่รู้สึกอะไรมั่งเลยรึไงวะ!” ผมหันไปแหวใส่มัน

“มึงจะบอกว่ากูผิดที่กูบอกรักมึงสินะ...”

ผมอ้าปากจะพูดบางอย่างออกไป แต่ก็พูดไม่ออก

“กูเข้าใจแล้ว เมื่อกี้มึงเองก็พูดมาชัดเจนแล้วนี่หว่าว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เออ มันก็จริงของมึง” ไอ้ปิงเก็บผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋าเสื้อ “ทุกอย่างกูผิดเอง กูผิดตั้งแต่ที่เสือกแอบชอบมึงมาตั้งนานแล้ว ถ้ากูไม่พูดความรู้สึกของกูออกไปซะ มึงก็คงไม่ต้องรู้สึกอับอายคนอื่นเหมือนอย่างตอนนี้” แววตาของไอ้ปิงแลดูเจ็บปวด ผมไม่เคยเห็นมันมีสีหน้าแบบนี้มาก่อนเลย แต่แล้วจู่ๆ มันก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และนั่นก็เป็นรอยยิ้มที่ยิ่งทำให้ผมเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “มึงลืมๆ มันไปซะก็ได้นะเว้ย กูไม่ว่าอะไรหรอก”

“ลืม... อะไร”

“ลืมว่าเราเคยคุยอะไรกันเมื่อคืนก่อน และลืมไปซะเหอะ ว่ากูเคยรักมึง...” เมื่อพูดจบ มันก็เดินเลยผ่านตัวผมไป

“เดี๋ยว ไอ้ปิง” ผมคว้าข้อมือของมันไว้

ไอ้ปิงหยุดและมองมาที่มือของผมแค่เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดข้อมือออกและเดินออกจากห้องน้ำไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ลำพังพร้อมกับความเจ็บปวดในอกข้างซ้ายราวกับหัวใจเพิ่งจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 1: 2 กพ]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 02-02-2015 21:21:54
เย้ย มันมีดราม่าแบบนี้ ก่อนด้วยเหรอนี้ น่ารวมเอาไปเป็นตอนก่อน วันงานโรงเรียนอะผมว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 1: 2 กพ]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-02-2015 00:34:24
อะไรกัน มาม่าสเปเชี่ยล
แต่ก็อย่างว่า จะมีสักกี่คนที่รับมือกับกระแสการนินทาและสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนรอบข้างได้อย่างไม่เจ็บปวดชอกช้ำ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 1: 2 กพ]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 03-02-2015 23:57:57
ก.พ. เป็นเดือนแห่งความรักต้องหวานๆสิ
อย่าดราม่านานนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 1: 2 กพ]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 06-02-2015 23:52:13
รอติดตามคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 09-03-2015 21:50:53
S p e c i a l  2

ผมนั่งอยู่คนเดียวบนสแตนด์เชียร์ เหม่อมองไปยังสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่กำลังเล่นฟุตบอล บางคนในนั้นผมก็รู้จัก แต่ผมไม่มีอารมณ์ที่จะไปเล่นกับพวกมันด้วย... ไม่สิ ที่จริงผมไม่มีอารมณ์อยากคุยอยากเห็นหน้าใครเลยมากกว่า เพราะผมยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนน่ารังเกียจและแปลกแยกไปจากคนอื่น คำพูดที่ผมได้ยินเมื่อเช้ายังคงรบกวนจิตใจของผมจนทำให้ผมแทบเป็นบ้า

“เฮ้ย” เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ตัวผม

ผมมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าไอ้หมอนี่เดินเข้ามาหาผมตั้งแต่เมื่อไหร่

“จะคุยหรือไม่คุย ไอ้ตูดหมึก”

ผมก้มหน้าลง “มึงรังเกียจกูที่กูชอบผู้ชายรึเปล่าวะ ไอ้นิค”

“โอ๊ยยย จู่ๆ ก็ถามเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ไอ้...”

“มึงตอบกูมาตรงๆ ชัดๆ ไอ้นิค” ผมพูดขัด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปหามัน “กูซีเรียสนะเว้ย”

ไอ้นิคจ้องตาผมกลับ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเซ็งๆ “กูก็ซีเรียส มึงถามอะไรโง่ๆ วะ ไอ้เชี่ยโอบ กู-เป็น-เพื่อน-มึง!” มันเน้นคำ “พวกกูทุกคนคือเพื่อนของมึง เพื่อนกันมันจะรังเกียจกันเพราะเรื่องแค่นี้ได้ไงวะ!”

ผมมองหน้ามันอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของมันจริงจัง ดูจะหมายความอย่างที่มันพูดจริงๆ

“ถ้าใครรับสิ่งที่มึงเป็นไม่ได้ ไอ้เหี้ยนั่นไม่ใช่เพื่อนเว้ย อย่าไปเรียกพวกแม่งว่าเพื่อน อีกอย่าง มึงลืมไปรึเปล่าว่าพวกกูก็สงสัยเรื่องของมึงกับไอ้ปิงมาตั้งนานแล้ว ถ้าพวกกูรับสิ่งที่มึงเป็นไม่ได้ พวกกูยังจะคบยังจะคุยกับมึงทั้งสองคนปกติมาตลอดเหรอวะ”

ที่ไอ้นิคพูดมันก็จริง แต่...

“งั้นไอ้คนที่มันใช้คำพูดเหี้ยๆ กับกู มันคือไม่ใช่เพื่อนกูอีกต่อไปแล้วใช่มั้ยวะ”

“มึงเล่าให้กูฟังก่อนดิ๊ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ผมเริ่มเล่าทุกอย่างให้ไอ้นิคฟัง เริ่มตั้งแต่สิ่งที่ผมกับไอ้ปิงคุยกันหลังงานโรงเรียนวันนั้น ความสัมพันธ์ของเราสองคน ความรู้สึกทั้งหมดของผม ความเขินอายเวลาที่ถูกพวกมันแซว ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ผมเจอเข้ากับฝน และปากเสียงที่ผมมีกับไอ้ปิงและเพื่อนคนอื่นในห้องน้ำเมื่อเย็น ผมพูดทุกอย่างให้มันฟังอย่างหมดเปลือก ซึ่งไอ้นิคก็ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่พูดอะไรขัดผมเลยสักคำ

หลังจากที่ผมเล่าจนจบแล้ว เราสองคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ ไอ้นิคจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไอ้ควาย!!” มันพูดพร้อมกับตบหัวผมอย่างแรงจนผมหน้าคว่ำ

“โอ๊ยย!!! ทำเหี้ยอะไรของมึง!”

“มึงนั่นแหละ มัวทำเหี้ยอะไรของมึงอยู่ มานี่!” ผมคว้าข้อมือของผมแล้วดึงตัวผมให้ยืนขึ้น

“เฮ้ย! กูเจ็บ!”

“อย่ามาทำสำออย! ลุกมานี่ ตามกูมา” มันลากผมออกจากสแตนด์

“มึงจะลากกูไปไหน! กูเดินเองได้” ผมสะบัดข้อมือออก แต่ไอ้นิคเปลี่ยนเป็นคว้าแขนเสื้อของผมเอาไว้แทน

“หุบปากแล้วตามกูมาเงียบๆ” มันลากผมไปยังหน้าตึกเรียนของเรา ที่ม้าหินตัวหนึ่ง เพื่อนๆ ของเรากำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่หลายคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และพวกมันก็คือเพื่อนที่สนิทกับผมทั้งนั้น

เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ พวกมันทุกคนก็หยุดคุยและหันมามองผมกับไอ้นิคอย่างพร้อมเพรียงกัน การที่จู่ๆ มันก็เงียบกันลงไปแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและใจไม่ดีขึ้นเสียเฉยๆ

“พวกมึง กูมีอะไรจะถามหน่อย” ไอ้นิคพูดขึ้นพร้อมกับปล่อยมือออก “ไอ้เชี่ยโอบมันชอบผู้ชาย พวกมึงรู้กันรึยัง”

“เฮ้ย!!” ผมหันไปหาไอ้นิคด้วยความตกใจ คือ สิ่งที่มันพูดก็เรื่องจริงแหละ แต่ผมไม่คิดว่าจู่ๆ มันจะโพล่งออกไปแบบนั้น

จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากกลุ่มเพื่อนของผม “รู้มานานแล้ว ไอ้ควาย!”

“ในโรงเรียนนี้ยังจะมีใครไม่รู้อีกวะ!”

“ใครยังไม่รู้ก็โง่แล้ว”

“เออ รู้มาตั้งแต่ก่อนงานโรงเรียนอีก ไอ้ห่า!”

พวกมันต่างก็แย่งกันพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ ทำเอาผมเขินจนรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“เออ ดี แล้วมึงรู้ใช่มั้ย ว่าไอ้โอบมันชอบไอ้ปิงมาตลอด”

“รู้!” คราวนี้พวกมันทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เออ! คราวนี้กูซีเรียสจริงๆ ละ ไอ้โอบมันก็ซีเรียส กูอยากให้พวกมึงรู้ไว้เลยว่าสาเหตุที่วันนี้ไอ้เหี้ยนี่มันหน้าเป็นตูด อารมณ์ไม่ดีทั้งวันจนมันทะเลาะกับไอ้ปิง ก็เพราะเรื่องพวกนี้แหละ มันเครียด มันห่วงว่าพวกมึงจะรับมันไม่ได้ รังเกียจมันที่มันชอบผู้ชาย เวลาพวกมึงแซวเหี้ยอะไรมันมากๆ มันก็อึดอัด อันนั้นมุมมองของมันนะ คราวนี้กูขอถามพวกมึงตรงๆ เลย... พวกมึงรังเกียจไอ้โอบกับไอ้ปิงรึเปล่าวะ พวกมึงมองว่าการที่มันชอบกันรักกันเนี่ย เป็นเรื่องผิดปกติรึเปล่า”

คราวนี้ไม่มีเสียงหัวเราะอีกแล้ว ทุกคนต่างก็เงียบลงและมองหน้ากันไปมา จนสุดท้าย ก้อย รองหัวหน้าห้องของเราก็เดินเข้ามาคล้องแขนผม

“ทำไมจู่ๆ แกถึงคิดแบบนั้นวะ โอบ พวกเราไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกนะเว้ย”

“เออ ก็อย่างที่ไอ้ก้อยพูดนั่นแหละ จู่ๆ มึงจะไม่สบายใจไปทำไมวะ พวกกูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย ถ้าพวกกูรับกันไม่ได้ วันนั้นพวกกูจะเชียร์มึงกับไอ้ปิงกันขนาดนั้นเหรอวะ”

“ช่ายๆ อีกอย่าง กูก็บอกไปแล้วว่าพวกกูรู้กันมาตั้งนานแล้ว ที่ผ่านมาพวกกูเคยมีท่าทีรังเกียจพวกมึงสองคนรึไงวะ ไอ้เชี่ยโอบ”

“ชั้นว่าเวลาแกกับไอ้ปิงอยู่ด้วยกันอะ น่ารักกันดีออก” ก้อยหัวเราะเบาๆ

“ใกล้จะเรียนจบแล้ว มึงจะคิดมากไปทำไมวะ ไอ้เชี่ยโอบ” ไอ้โต๊ะลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาผมอีกคน มันพลักไอ้นิคออกและกอดคอของผมเอาไว้ “พวกกูรักมึงนะเว้ย และก็มีแต่คนเค้ารักมึงกันทั้งโรงเรียนนั่นแหละ”

“กูว่าไม่จริงอะ” ผมพูดเบาๆ

“อะไรวะ”

ไอ้นิคเดินมาดันตัวไอ้โต๊ะออกแล้วกอดคอผมแทน “ไอ้โอบมันหมายถึงเรื่องอื่นน่ะ พอดีมันเจอคนมาพูดจาเหี้ยๆ ด้วย มันก็เลยนอยด์แบบนี้ไง”

“พูดอะไรวะ” คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินถามขึ้น

“ช่างมันเหอะ แต่ที่แน่ๆ ก็มีเพื่อนเราที่แซวด้วยคำพูดเหี้ยๆ จนทำให้ไอ้โอบมันนอยด์ได้ขนาดนี้ด้วยนั่นแหละ” ไอ้นิคตอบ “กูก็เลยลากมันมาหาพวกมึงนี่ไง ช่วยบอกให้มันรู้ทีว่าเพื่อนๆ ของมันน่ะ คิดยังไงกับมันจริงๆ กันแน่ ไม่ใช่ปล่อยให้มันนอยด์และคิดไปเองว่าไม่มีใครรักมันอยู่แบบนั้น”

“โถๆๆ น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด” ก้อยยกมือขึ้นดึงแก้มทั้งสองข้างของผมเบาๆ

ผมเขินจนหน้าแดง เลยสะบัดหน้าออกหลบสายตาของทุกคน

“ว่าแต่... ไอ้ปิงไปไหนวะ” ไอ้นิคถาม

“เลิกเรียนได้แป๊บเดียวมันก็กลับบ้านไปเลย ไอ้นั่นก็ดูอารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน”

ไอ้นิคหันมาหาผม “กูว่ามึงรีบไปตามหาผัวมึงซะจะดีกว่านะ”

“ผัวพ่อง!!” ผมตบหัวมันคว่ำ “แต่ก็จริงของมึง ทั้งหมดนี่กูผิดเองอะ ขอโทษมึงและทุกๆ คนด้วยที่งี่เง่าว่ะ ต่อไปกูจะพยายามไม่คิดมากแล้ว”

“เออ รีบไปเหอะ ไปปรับความเข้าใจกันซะ อย่าปล่อยให้เรื่องเหี้ยๆ ของคนอื่นมาทำให้มึงมีปัญหากันเลย”

“ขอบใจมาก ไอ้นิค ขอบใจมากเว้ย พวกมึง แล้วเจอกันพรุ่งนี้ กูไปละ” ผมโบกมือลาพวกมันทุกคนก่อนจะเริ่มออกวิ่ง แต่หลังจากวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ถูกไอ้โต๊ะเรียกให้หยุด

“เดี๋ยวก่อน ไอ้โอบ!”

ผมชะงักฝีเท้าลงและหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง

“พวกกูรักมึงเว้ย และจะไม่มีวันคิดไม่ดีกับมึงเด็ดขาด บอกไอ้ปิงแบบนั้นด้วย” ไอ้โต๊ะตะโกน “ถ้าพวกกูจะปากไม่ดีแซวหนักไปบ้างก็ขอโทษแล้วกัน ส่วนคนอื่นๆ อะ ช่างแม่งเหอะ โอเคปะ”

ผมยิ้มมุมปากน้อยๆ “เออ โอเค”

“ไง เข้าใจอะไรขึ้นบ้างรึยังล่ะ” ไอ้นิคพูดตบท้าย

“เออ เข้าใจแล้ว ขอบใจเว้ย ไอ้โต๊ะ ไอ้นิค ขอบใจพวกมึงทุกคนด้วย” ผมยิ้มให้พวกมัน ในใจก็ตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรจะใส่ใจ และไม่ใส่ใจกับเรื่องอะไรบ้าง

ผมขี่รถไปหาไอ้ปิงที่บ้าน แต่แม่มันบอกว่ามันยังไม่กลับบ้านเลย แถมยังนึกว่าอยู่กับผมอีกด้วย ผมเลยไลน์ไปหามัน แต่มันก็ไม่อ่าน พอโทรไป ก็ดันโทรไม่ติด นี่มันโกรธผมขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ที่ผ่านมามันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ผมทั้งหงุดหงิดและก็เป็นห่วงมันมาก ผมขี่รถตามหามันจนทั่ว ไม่ว่าจะที่ตลาด ย้อนกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง ไปดูที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำของเรา สวนสาธารณะ สนามบาส สนามบอล ผมไปทุกที่แต่ก็ไม่เจออยู่ดี จนความกังวลเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจขี่รถกลับบ้านพลางก็คิดไปตลอดทางว่าจะไปตามหามันที่ไหนได้อีก

“หรือว่ามันจะไปที่นั่นวะ...” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะกำลังจอดรถที่บ้านของตัวเอง

“อ้าว ไปไหนมาน่ะ โอบ กลับซะมืดค่ำ” แม่เปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับผม

“ธุระนิดหน่อยน่ะ แม่ อีกอย่างนี่ก็ยังไม่ค่ำสักหน่อย เพิ่งจะทุ่มกว่าเอง”

“ยังจะมาเถียงอีก เจ้าปิงมันมานั่งรออยู่ตั้งนานแล้วนะ”

“ฮะ! ไอ้ปิง!?”

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่เห็นรถมันจอดอยู่หน้าบ้านรึไง” แม่มองหน้าผมตลกๆ

ผมหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นรถของไอ้ปิงจอดอยู่จริงๆ ด้วย นี่ผมมัวแต่คิดอะไรอยู่จนไม่ได้สังเกตขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

“แล้วนี่มันอยู่ไหนอะ”

“บนห้องน่ะ อีกสักพักก็ลงมากินข้าวกันได้แล้วนะ แม่ชวนเจ้าปิงไว้แล้ว”

ผมรีบขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและตรงไปยังห้องของตัวเอง เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นไอ้ปิงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมของผม มันหันมายิ้มให้ผมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไปไหนวะ กลับช้าเชียว”

“กูก็ไปตามหามึงน่ะสิ ไอ้ควาย! นึกว่าหายหัวไปไหน ที่แท้ก็มานั่งแป้นแล้นอยู่นี่!” ผมเดินกระทืบเท้าเข้าไปหามัน “มึงรู้มั้ยกูไปตามหามึงถึงไหนมาบ้าง นี่เมื่อกี้ตอนกำลังจะเลี้ยวเข้าบ้านกูก็คิดแล้วนะว่าจะต้องขี่รถขึ้นดอยไปตามหามึงรึเปล่าเนี่ย”

“แล้วมึงตามหากูทำไม”

“ก็...” ผมชะงัก ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี

ไอ้ปิงยิ้มก่อนจะยืนขึ้นและดึงตัวผมเข้าไปกอด “กูขอโทษนะ กูไม่โกรธมึงแล้ว กูรู้ว่าสุดท้ายแล้วยังไงมึงก็รักและเป็นห่วงกูอยู่เสมอว่ะ” มันดันตัวผมออกและจ้องเข้ามาในดวงตาของผม “มึงจะโกรธ จะเหวี่ยงกูยังไงก็ได้ กูไม่ว่าอะไรแล้ว มึงไม่พอใจอะไรก็ระบายออกมาเลย กูจะรับฟังและเข้าใจทุกอย่าง กูอยากให้เวลาที่เหลืออยู่ของเรามีแต่ความทรงจำดีๆ ก่อนที่เราต้องแยกย้ายกันไปว่ะ ไอ้โอบ”

ทำไมมันถึงเป็นคนดีและใจเย็นได้ขนาดนี้วะเนี่ย

ผมยกมือขึ้นกอดมันตอบ “ทำไมใครๆ ก็ชอบพูดกันจังวะ ไอ้คำว่า ‘แยกย้าย’ เนี่ย กูไม่เห็นชอบเลย”

“แต่มันคือความจริงนี่...” ไอ้ปิงเกยคางลงบนไหล่ของผม “ถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่... กูรักมึงมากนะไอ้ปิง มึงมีอะไรไม่สบายใจ มึงเล่าให้กูฟังได้มั้ย”

“กูขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าไปเมื่อตอนกลางวันนี้ ไอ้ปิง กูผิดเอง กูยอมรับ กูสัญญาว่าต่อจากนี้ไปกูจะเล่าให้มึงฟังทุกอย่างเลย แต่ก่อนอื่น...” ผมดันตัวของมันออกและตบหัวมันเบาๆ ทำเอาไอ้ปิงหน้าเหวอ “ทำไมมึงถึงปิดมือถือ!”

“กูไม่ได้ปิด แต่แบ็ตกูหมด! กูถึงได้มาหามึงที่บ้านไง เพราะกูก็นึกว่ามึงกลับบ้านไปตั้งนานแล้วอะ” มันพูดไปพลางลูบหัวตัวเองไปพลาง

“งั้นก็แล้วไป...” ผมยิ้มให้มัน “กูก็รักมึงนะ ไอ้ปิง รักมากด้วย กูจะไม่ให้ใครมาทำให้ใจของกูต้องหวั่นไหวอีกแล้ว กูสัญญา”

“ใครมาทำให้มึงหวั่นไหวอะไรวะ มึงมีคนอื่นเหรอ” ไอ้ปิงหน้าเสียทันที

“จะบ้าเหรอ! ไอ้ง่าว! เดี๋ยวกูมาเล่าให้ฟัง ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะรอ”

หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ผมกับไอ้ปิงก็ขึ้นมานั่งคุยกันบนห้อง ผมเล่าให้มันฟังทุกอย่างตามที่รับปากไว้ ถึงแม้นี่จะเป็นการเล่าซ้ำเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม แถมด้วยผมต้องเล่าสิ่งที่คุยกับไอ้นิคและเพื่อนคนอื่นๆ ให้มันฟังอีก ดังนั้นเมื่อเล่าจนจบแล้วผมจึงรู้สึกเหนื่อยจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ก็แบบนั้นแหละ แต่ตอนนี้กูก็ทำใจได้แล้วว่ะ กูไม่อยากให้ความคิดต่ำๆ ของใครมาทำให้ใจกูหวั่นไหวอีกแล้ว เพราะกูรู้แล้วว่ามึงรักกู และเพื่อนๆ ก็รักกู ถ้าใครคนอื่นนอกเหนือจากนั้นมันจะมองกูไม่ดี กูก็จะไม่สนใจแล้วว่ะ”

“ขอบใจมาก ไอ้โอบ ขอบใจที่เล่าให้กูฟัง และขอบใจที่มึงคิดแบบนั้นด้วย” มันจับมือผม “ต่อจากนี้เราอาจจะต้องเจอคนอื่นแซว หรือคนอื่นพูดไม่ดีใส่อยู่บ้าง แต่เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะเว้ย ถ้ามึงมีอะไรไม่สบายใจเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาบอกกู รู้ป่าว”

“เออ รู้แล้ว ก็กูสัญญากับมึงไปแล้วไง” ผมยิ้มให้กับมัน เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกเต็มใจยิ้ม และยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่ผมมีตลอดทั้งวันด้วย

“ไอ้โอบ กูขออะไรมึงอีกอย่างดิ นะๆๆ” มันทำหน้าอ้อน

“ขออะไร”

“ขอกูจูบมึงทีนะ จูบแบบ... จูบจริงๆ อะ” ไอ้ปิงพูด ก่อนที่จะโน้มเข้ามาหาผม

“เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆๆ” ผมรีบเอนตัวหลบริมฝีปากของมันทันที

“ทำไมอะ หลบทำไมวะ” มันนิ่วหน้า

“กูยังไม่ได้ทำใจเลย”

“โห่ ไรวะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยเหอะ”

“ครั้งก่อนมันแค่จุ๊บเบาๆ เองนะเว้ย แต่เมื่อกี้มึงบอกว่าจะจูบแบบ... จูบจริงๆ อะ กูยังไม่ได้เตรียมใจเลย”

“แล้วต้องเตรียมใจยังไงบ้าง จะใช้เวลานานมั้ยเนี่ย”

“ไม่... เอ่ออ... ไม่นานหรอก” ผมหลบตา “ขอแค่กูไปแปรงฟันแป๊บเดียวก็พอ”
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 10-03-2015 23:28:44
แหนะมีการเตรียมความพร้อมด้วย ขอ deep kiss หนักๆ จนกลายเป็น nc เลยได้มั้ยพี่ต้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-03-2015 02:32:51
น่ารัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 11-03-2015 22:13:15
แปรงฟันไม่พอ ต้องอาบน้ำด้วย //โดนตบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 20-03-2015 18:19:35
 :impress2: คู่นี้น่ารักจริงๆ มุ้งมิ้งกันเบาๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 05-05-2015 16:48:11
ปิง โอบ น่ารักมากครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: loveyous ที่ 08-06-2015 21:14:05
น่ารักมากครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Winter Love: ด้วยรักและโอวัลติน [Special 2: 9 มีค]
เริ่มหัวข้อโดย: มะฮอกกานี ที่ 24-12-2015 08:03:41
อ่านไป ได้กลิ่นหอมของช๊อกโกแลต ไปด้วย

ขอบคุณนะ