พิมพ์หน้านี้ - Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: ClearHeart ที่ 24-03-2016 23:48:46

หัวข้อ: Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 24-03-2016 23:48:46
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Until You

เรื่องย่อ : นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยเข้าใจความรักแต่ก็ดันต้องมาเจอกับสิ่งที่อาจจะเรียกว่ารัก เด็กหนุ่มคนนี้จะทำยังไงกับสิ่งที่ตัวเองพบเจอ จะตอบรับ? จะต่อต้าน? หรือจะปล่อยผ่าน? ลองค้นหาและติดตามไปด้วยกันนะครับ...

ตัวละครหลัก : ผม(แมค) - เด็กหนุ่มวัยละอ่อนหน้าใสๆหัวใจสีม่วง
                     พี่มาร์ท    - ชายหนุ่มลูกครึ่งฐานะดีมีอันจะกิน

สุดท้ายนี้ก็ขอฝากผลงานเรื่องแรกในไทยบอยเลิฟด้วยนะครับทุกท่าน ขอบคุณครับ

#####################################

Until You Content
(เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน คลิกลิงค์ตรงชื่อตอนได้เลยครับ)

Until You (ตอนที่ 1 - ตอนที่ 8 ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52708.msg3342328#msg3342328) หน้าที่ 1
Until You (ตอนที่ 9 - ตอนที่ 12 ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52708.msg3357864#msg3357864) หน้าที่ 2
#####################################
หัวข้อ: Until You - ตอนที่ 1 (1) - 24-03-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 25-03-2016 00:11:33

Until You


ตอนที่ 1 (1/2)

                "เข้ามาดูข้างในก็ได้นะค่ะ เชิญเลยค่ะ" พนักงานสาวหน้าตาดีแอบซ่อนลีลาพริตตี้เอ่ยทักทายเสียงใสส่งรอยยิ้มหวานพิฆาตใจชายมาให้ แต่โชคดีเหลือเกินที่ผมมีภูมิต้านทานสูงเลยรอดพ้นจากการโจมตีในระยะประชิดได้อย่างปลอดภัย “เข้ามาชมก่อน ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ เชิญค่ะ เชิญ”
                “เอ่อ...ยังไม่ดีกว่าครับ” ปากบอกปฏิเสธ แต่สายตาของผมกลับจับจ้องดวงตาโฉบเฉี่ยวของบางสิ่งผ่านกระจกหนาตรงหน้า ยิ่งมองยิ่งเคลิ้ม ยิ่งจ้องยิ่งใจเต้น ไม่ได้ๆผมต้องควบคุมจิตใจให้หนักแน่นเข้าไว้ ใช่ครับ มันต้องหนักแน่น ท่องไว้ลูก ท่องไว้ กระเป๋าตังค์มีแค่สองร้อยเอง เข้าไปนี่อาจหน้าแหกได้ไม่รู้ตัว
                “ทำไมละค่ะ หืม?” แหมสาวมีลูกอ้อน แถมโปรยเสน่ห์เรียกลูกค้าขนาดนี้ เป็นคนอื่นคงใจอ่อนยวบยามกันหมดละครับ แต่น่าเสียดายที่...ที่...ที่... ที่ผมแพ้ทรวดทรงองค์เอวของเธอ...น้องบีเอ็มแทนพี่พริตตี้วะ
                “อ่า...เข้าไปข้างในก็ได้ครับ” ผมบอกเสียงอ่อยเดินตามเธอต้อยๆพลางให้กำลังใจให้ตัวเองว่า ผมอาจจะตายลายมองเงินปอนด์ในกระเป๋าเป็นเงินบาทก็ได้ ว่าแต่ผมเคยแลกเงินปอนด์ซะที่ไหน?
                “งั้นเชิญที่ห้องรับรองเลยค่ะ ป้าๆเอาของว่างมารับลูกค้าหน่อยค่ะ เชิญเลยค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
                “ครับๆ” แอร์เย็นฉ่ำปะทะเข้ากับใบหน้าและชุดนักเรียนมัธยมปลายแทบจะในทันทีที่ผมก้าวเท้าผ่านประตูกระจกเข้าไปชมโฉมงามภายในซึ่งมีโชว์ตัวถึงห้าคันด้วยกัน เห็นแล้วอยากจะเอามือไปลูบไล้ชะมัดยาก แต่คงต้องสงบจิตสงบใจเดินไปรับการบริการพร้อมไมตรีจากเหล่าพนักงานของโชว์รูมแห่งนี้เสียก่อน
                “รับกาแฟ โอวันตินหรือน้ำพันซ์ดีค่ะ” แม่บ้านย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้าข้างโซฟาที่นั่ง ประคองจานคุ๊กกี้วางลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าผม
                “น้ำพันซ์ก็ได้ครับ” ผมบอกออกไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ความจริงอยากชูสามนิ้ว ขออย่างละแก้วเลยด้วยซ้ำ
                “สนใจรุ่นไหนอยู่ค่ะ”
                “ตอนนี้คงเป็นซีรีย์ 3 นะครับ เอาไว้ขับเอง แต่ถ้าซื้อใช้ในครอบครัวอยากเป็นซีรีย์ x นะครับ พ่อผมน่าจะเหมาะกับรถแบบนี้ อยากให้พ่อมาดูเองมากเลยครับ แต่ไม่ว่างสักที” พูดไปก็เสียงอ่อยไปประกอบท่าทางเสียดายอย่างสุดซึ้งจากความไม่จริงใจของผม ก็คิดดูสิครับกระเป๋าเงินผมมีสองร้อย แล้วพ่อผมจะมีสักเท่าไหร่?
                “ค่ะ จริงๆแล้วซีดานสำหรับครอบครัว พี่ว่าเป็นซีรีย์ 5 จะเหมาะกว่านะค่ะ แต่ถ้าเป็นซีรีย์ 3 รุ่นใหม่นี้ออกแบบห้องโดยสารกว้างขึ้น แล้วก็มีออฟชั่นพิเศษเพิ่มมาจากรุ่นก่อนอยู่หลายอย่าง ราคาอยู่ที่ 3 ล้านต้นๆนะค่ะ”
                “ครับๆ ราคาผมพอเห็นมาบางแล้ว”
                “เดี่ยวพี่คำนวณให้ดีกว่า สะดวกเป็นดาวน์สักกี่เปอร์เซ็นต์ดีค่ะหรือสนใจเป็นแบบบอลลูน”
                “ไม่เอาบอลลูนครับ เอาแบบปกติดาวน์สัก 30% - 40% เลยครับ ฝากคำนวณให้หน่อยได้ไหมครับ เดี่ยวผมขอไปดูรถตรงที่โชว์หน่อย”
                “อ๋อได้สิค่ะ เชิญเลยค่ะ” เธอยิ้มหวานส่งผม ก่อนจะหันกลับมาคำนวณค่างวดรถยนต์ให้ผมต่อ

             วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่ผมกล้าหาญชาญชัยเดินบุกเดี่ยวเข้ามายังโชวร์รูมใกล้บ้านเป็นครั้งแรก หลังจากต้องทนความอยากมานานถึงหนึ่งปีเต็มผ่านกระจกรถเมล์ปรับอากาศตอนแล่นผ่านขากลับบ้านทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมวันนี้ผมถึงมาที่นี่ตัวคนเดียวทั้งที่มีเงินไม่พอซื้อสักคัน แต่ไหนๆก็สุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาละ ขอยลโฉมของชอบใกล้ชิดติดตาหน่อยละกัน จำได้ว่าตอนมองมุมไกลจากด้านนอกดูสวยสะดุดตาแล้ว พอมาเห็นใกล้ๆนี่ดูสง่ากว่าสวยซะอีก อย่างไฟหน้าตาคู่รุ่นใหม่ตัดขอบมนเล่นลายโค้งนี่ก็ดูเข้ากันกับตัวรถดี ตรงกระจังหน้ามีการขยายช่องว่างรังผึ้งให้กว้างขึ้นแล้วก็มีช่องระบายอากาศด้านล่างเพิ่ม สงสัยเครื่องจะแรงเลยต้องทำให้อากาศถ่ายเทละมั้ง ตัวรถเหล็กหนากว่ารถญี่ปุ่นหลายเท่าเสียงไม่ก็องแก๊งลองดันแล้วไม่บุบด้วย ใช้ได้ๆ ประตูเปิดปิดได้หนึบมากพอควร ไฟท้ายทรงเหลี่ยมโค้งเล็กน้อยรับกับการออกแบบภายนอกลงตัวอยู่ ท่อไอเสียเป็นปลายเปิดท่อคู่ ภายในใช้หนังสีเทาทำเบาะตัดด้ายขาวดูเด่นกว่าใช้หนังดำรุ่นก่อนเยอะ มีที่วางแก้วเพิ่มขึ้นมาอีกสองจุด ส่วนเครื่องยนต์นี่คงต้องขอดูก่อน ว่าแต่เปิดฝากระโปรงหน้าตรงไหนหว่า หาไม่เจอ หันมองซ้ายขวาก็ไม่มีพนักงานยืนรอให้ผมถามเลยสักคน มีแต่หนุ่มลูกครึ่งหัวตั้งคนนึงมองผมอยู่นั่นละ คงเป็นลูกค้าอีกคนของที่นี่ละมั้ง แต่ไม่รู้จะมองทำไมบ่อยๆ เงยหน้าจากรถกี่ทีก็ต้องหันไปเจอ เอ๋...จะว่าไปหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนหว่า?

             คิดออกแล้ว! ผมจำเขาได้แม่นมากทั้งที่ไม่ได้คุยกัน แต่จะว่าไป อย่าใช้คำว่าจำได้เลย เรียกว่าคู่อริจะดีกว่า นึกถึงเรื่องไปมอเตอร์โชว์คราวก่อนแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ทุกครั้งที่ผมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องรถกับผู้จัดการโชว์รูมที่มาออกบูทอย่างออกรสทีไร พอเขาคนนี้เดินมา เหล่ากูรูทั้งหลายก็จะขอตัวไปจากผม เพื่อไปต้อนรับเขากับสาวที่มาข้างกายตลอด คิดแล้วยังแค้นไม่หายกับพวกคนรวยหน้าตาดีมีเงินล้นฟ้าซะจริง ได้นั่งรถยุโรปหรูโอบกอดสาวสวยข้างกาย นี่มันความฝันในอีกร้อยปีของผมชัดๆ แต่ถ้าอายุร้อยปีได้จริง ผมขอหน้าตาแบบสิบห้าหยกๆสิบหกหย่อนๆแบบนี้นะ ไม่เอาเหี่ยวเหนียงยานเด็ดขาด

             แต่เหมือนชีวิตผมจะอาภัพ เพราะคนที่ผมแสนจะไม่ชอบขี้หน้า กลับผละออกจากวงสนทนากับคนในเสื้อสูทเดินตรงรี่มาทางผมด้วยเสียด้วย ทำไงดี?หันซ้ายขวาก็ไม่มีใครอยู่รอบข้างเลยสักคน ผมไม่อยากรู้จักเขาเลยตอนนี้เลยครับ      “สนใจเรื่องรถเหรอครับ ชอบมานานยัง” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยทักผมขึ้นก่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเพียงเล็กน้อย จะว่าไป ทำนองการพูดก็ดูไม่หยิ่งเท่ากับท่าทางที่เห็นนี่หว่าหรือจะเป็นพวกนักสร้างภาพตัวยง

                “ตั้งแต่ ม.ต้นได้มั้งครับ” ผมเองเลยต้องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติเช่นกัน
                “ชอบรถแบบไหนละ”
                “รถสปอร์ตครับ!” กระตุกยิ้มมุมปากแบบนี้ กวนกันปะ?
                “มาคนเดียวเหรอ?”
                “ครับ ทางผ่านบ้านผม เห็นมาตั้งนานแล้ว ก็เลยอยากมาดูครับ”
                “ท่าจะชอบมากนะ” เขาพูดเสียงเบาเหมือนจะบ่นกับตัวเองมากกว่า ส่วนผมก็ทำได้แต่ขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา “คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งต้องรู้ไปทุกเรื่อง แค่เรามีความมุ่นมั่นตั้งใจเริ่มต้นค้นคว้าจากสิ่งใกล้ตัวหรือสิ่งที่ชอบก็นับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในอนาคตได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีน่าชื่นชมแล้ว”
                “ครับ” ผมพยักหน้าน้อยๆตามสไตล์ แปลกใจกับคำพูดเป็นหลักการของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะผมไม่คิดว่าหนุ่มสไตล์เพลบอยอายุน้อยเช่นเขาจะมีความคิดแบบนี้ในหัว
                “แต่อย่างน้อง ท่าจะมีความรู้มากอยู่แล้วละ พี่เห็นคุยกับพวกผจก.สนุกเลย”
                “เอ๋!?” เขาเห็นผมด้วย?
                “คงจำไม่ได้ละสิ พี่เคยเจอน้องอยู่ 2-3 ครั้งที่งานมอเตอร์โชว์ ช่วงประมาณปลายปี....”
                “ครับ ผมจำพี่ได้” ผมตอบไปตรงๆ แต่ดูท่าคำตอบผมจะทำเอาคนฟังตรงหน้าอึ้งไปเหมือนกัน เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบนามบัตรออกมาจดอะไรลงไปบางอย่างก่อนส่งให้ผม
                “มีอะไรสงสัยเรื่องรถ ก็โทรมานะ จะได้แชร์ประสบการณ์กัน พิ่จะยินดีมากเลยครับ ถ้าน้องโทรมา” เขาย้ำกับประโยคหลังสุด แต่ผมไม่ได้เอ๊ะใจอะไรมากมาย รับมาใส่กระเป๋ากางเกงไว้
                “อ่าครับ ขอบคุณครับ”
                “ถ้าสนใจรถที่นี่ก็บอกได้นะ โชวร์รูมเพื่อนพี่เองครับ มีส่วนลดให้ด้วย”
                “ขอฟรีเลยได้ไหมครับ” ผมฉีกยิ้มแก้มบุ๋มแกล้งปล่อยมุขไปเผื่อจะฟลุ๊คขึ้นมาบ้าง
                “เห็นที่จะไม่ได้” คนตรงหน้าว่ายิ้มๆเหล่มองนาฬิกาหรูบนข้อมือ ก่อนจะพูดขึ้นว่า  “พี่ไปก่อนนะ อย่าลืมโทรมานะครับ บายๆ”


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 1 (2)] - 26-03-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 26-03-2016 22:18:27

Until You


ตอนที่ 1 (2/2)

            นี่ก็ผ่านมาร่วมจะสองเดือนแล้ว ผมยังคงนั่งมองนามบัตรในมือสลับกับมือถือด้วยความรู้สึกลังเลสับสนปนหวาดหวั่นในจิตใจอยู่ตลอดทุกครั้งที่หยิบการ์ดแข็งขึ้นมามองตัวเลข บอกตามตรงว่าผมอยากกดเบอร์โทรตามที่เห็นใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าพอจะกดโทรออก ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของนามบัตรนี้อยากจะคุยกับผมจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา เขาว่ากันว่าพวกคนวัยทำงานมักแจกนามบัตรกันเป็นว่าเล่นเหมือนให้ตามมารยาทมากกว่า
               “พี่แมค!” เสียงน้องชายวัยห่างกับผมสี่ปีเอ่ยทักทายเรียกสติให้กลับมายังปัจจุบัน
               “อ้าวมาแล้วเหรอ เลิกเรียนนานยัง?”
               “เพิ่งเลิกไง วันนี้มีเรื่องในคลาสเรียนพิเศษจะเล่าให้ฟังด้วย แต่ไว้ถึงบ้านก่อน ไมซ์ขี้เกียจเล่าหลายรอบ” แล้วจะบอกให้อยากก่อนทำไมก็ไม่รู้?
               “เออๆ กลับเลยปะ”
               “แวะบีทูเอสก่อนกลับได้ไหม ไส้ดินสอหมด?" ผมพยักหน้ารับคำลุกขึ้นเดินตามน้องชายออกจากโรงเรียนกวดวิชาเพื่อข้ามถนนไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ “เดี่ยวแวะยามะด้วยได้ปะ อยากกิน”
               “อยากกิน? เงินใครวะ?”
               “ไม่น่าถาม อิอิ” หัวเราะคิกขุเสร็จ ก็เอาหูฟังเสียบหูฟังเพลงต่อไม่สนใจโลกอีกตามเคย จนผมต้องดึงหูฟังออกบอกต่อว่า
               “จดมาละกันอยากกินอะไรขี้เกียจจำ เดี่ยวแยกกันไปจะได้ไม่เสียเวลา”
               “เหมือนเดิม ซื้อมาฝากพ่อกับแม่ด้วยน้า”
               “เออๆ”

            ร้านขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นแห่งนี้เป็นร้านที่ครอบครัวของผมมักจะแวะเวียนมาทุกครั้งที่มาห้างสรรพสินค้า เพราะชื่นชอบในรสชาติและโปรโมชั่นของทางร้านเป็นพิเศษ แต่สำหรับผม ผมว่าผมเฉยๆออกจะแพงเสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับขนมปังที่มีขายทั่วไป ดีกว่าหน่อยตรงที่นิ่มและหอมมากกว่าคนเลยนิยม
               “210 บาทค่ะ”
               “แป็บนะครับ” ผมเปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้ไปสองใบ ก่อนจะล้วงหาเศษย่อยในกระเป๋าเสื้อจำได้ว่าเมื่อเช้านั่งรถเมล์ได้รับเงินทอนมายี่สิบบาทกับเหรียญสิบเหรียญนึงนี่ “เจอละ เอ๊ะ...ไม่ใช่ นี่ครับ” เจ้ากรรมดันหยิบนามบัตรส่งให้แทนธนบัตรไปซะได้
               “รับมาพอดีนะค่ะ ขอบคุณค่ะ”
               “ครับ” ผมรับถุงขนมปังมาถือไว้พลางเดินออกจากร้านตรงไปยังบันไดเลื่อน เพื่อขึ้นไปหาไมซ์ที่ร้านหนังสือชั้นบนสุดของห้าง คิดไปคิดมาผมว่า ผมตัดใจโทรออกดีกว่าครับ อยู่แบบนี้ก็ไม่จบไม่สิ้นสักที ใจอยากโทรแต่ยังไม่มีประโยคใดแล่นเข้ามาในหัวเลยตอนนี้ ไว้ค่อยด้นสดละกัน "สวัสดีครับ คุณภิมุข ใช่ไหมครับ"
               (ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อชาลิสา เป็นเลขาของคุณภิมุขค่ะ ไม่ทราบว่าจะเรียนสายด้วยเรื่องอะไรค่ะ)
               "เอ่อ..." ทำอะไรไม่ถูกเลยครับทีนี้ มีเลขาด้วย! วางสายเลยดีไหมวะ? สมองตายชั่วขณะ
               (ชื่อคุณอะไรค่ะ นัดไว้หรือเปล่าค่ะ)
               "ขอโทษครับ ผมคงโทรผิด" ความจริงโทรไม่ผิด แต่ทำไงได้ละครับ ใครจะกล้าต่อปากต่อคำกับเลขาของ'ท่านกรรมการบริหารบริษัท'ใหญ่โตกันละ ผมน่าจะเจียมตัวแต่แรก ไม่น่าพลาดเลย ผมว่าผมฉีกนามบัตรนี่ทิ้งขยะเลยดีกว่า จะได้จบๆไป แต่เอ๊ะ! ทำไมมีเบอร์มือถือข้างหลังด้วย หรือตอนนั้นเขาเขียนเอาไว้ให้? ลองอีกครั้งคงไม่หน้าแตกละมั้ง
               (สวัสดีครับ)
               "เออ สวัสดีครับ" เสียงทุ้มนุ่มฟังแปร่งๆทำเอาหน้าร้อนผ่าว ไม่เคยโทรหาคนแปลกหน้าแล้วรู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลย ครั้นจะวางสายหนีแบบเมื่อกี้คงโดนด่าแน่ๆ
               (ครับ?)
               "ครับ"
               (ครับ?)
               "อะครับ" ผมก็ไม่ได้อยากจะพวกกวนพูดวกไปวนมานะ แต่มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
               (ใครครับนั่น บอกชื่อด้วยครับไม่งั้นผมวางสาย)
               "อ่า..." คิดไม่ออกแค่นี้ต้องดุกันด้วย
               (ผมให้เวลาคุณถึงแค่นับสามเท่านั้น)
               "ผมชื่อ กรณ์ เคยเจอกับคุณที่ศูนย์บีเอ็มแถวฝั่งธนจำได้ไหมครับ"
               (อืมๆๆ น้องคนที่ใส่ชุดนักเรียนใช่ไหม?)
               "อ่าครับ จำไม่ได้ไม่เป็นไรนะครับ ขอโทษที่ผม...เอ๋ พี่จำผมได้เหรอ?"
               (จำได้สิ มีอะไรด่วนไหมครับ คือพี่ติดคุยกับลูกค้าอยู่นะ)
               "เออ งั้นผมไม่รบกวนพี่ดีกว่าครับ"
               (ไม่เป็นไร ไม่ถือว่ารบกวนอะไรหรอก เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้ว จะรีบโทรกลับนะครับ)
               "อะครับ แต่ถ้าไม่ว่างไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ ผมเกรงใจพี่"
               (ครับ แล้วเจอกัน)

           วางสายไปซะละ มาไวไปไวจริงเชียว แล้วนี่ผมอยู่ชั่นไหนแล้วเนี๊ยะ? เดินเข้าไปโซนพลาซ่าดีกว่าจะได้ไม่หลง วันเสาร์อาทิตย์คนมาเที่ยวห้างเยอะจนผมชักตาลายละหรือเมื่อคืนนอกดึกกันแน่หว่า? โอย...ง่วงบวกมึน เจอไมซ์แล้วชวนกลับเลยละกัน เดี่ยวหลับคารถเมล์อันตรายเกิน ว่าแต่ใครโทรมาอีกเนี๊ยะ?
"ฮ้าว...โหลครับ"
               (สวัสดีครับ พี่คนที่น้องโทรหาจำได้ไหม)
               "จ..จะ..จำได้ครับ พี่มีอะไรกับผมเหรอครับ!" ตาสว่างเด้งขึ้นมาทันใด
               (อ้าว ก็น้องโทรหาพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่านะ)
               "ไม่มีครับ ลืมไปแล้ว แฮะๆๆ" ผมตอบไปพลางเอาท้ายทอยแก้อาการขวยเขิน "พี่คุยงานเสร็จเร็วจังครับ"
               (น้องวางสาย พี่ก็เสร็จธุระพอดี นึกเรื่องจะถามออกยัง?)
               "ไม่ออกครับ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าครับ" ผมว่า "พี่ชื่อไรครับ ผมชื่อ กรณ์ ชื่อเล่นแมค นะครับ"
               (อ้าว คุยมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะถามชื่อพี่อะนะ เรียกพี่ว่า พี่มาร์ทก็ได้ครับ) เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะร่วนแว่วมาตามสายชอบกล
               "โอเค พี่มาร์ทสินะครับ ผมจะได้เรียกชื่อถูกซะที"
               (ครับ)
               “อ่า...ครับ”
               (น้องเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว)
               "ชั้น 4 อยู่ม. 5 ครับ"
               (ชั้นอาคารเรียนไม่ต้องบอกก็ได้ครับน้อง นี่ถ้าน้องบอกเลขห้องด้วย พี่คงว่าเรากวนพี่แน่ๆ)
               "เหรอครับ? แฮะๆ" รู้สึกขายหน้าชอบกล "งานหนักไหมครับ"
               (ก็อย่างนี้ละครับ แต่น้องนี่เปลี่ยนเรื่องเร็วจัง)
               "ครับ ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ... ผมไม่กวนพี่ดีกว่า ไว้พี่ว่างค่อยคุยกันใหม่ก็ได้ครับ"
               (เอางั้นก็ได้ครับ แล้วถ้าพี่โทรคุยเวลาไหนสะดวก?)
               "ตอนไหนก็ได้ครับ ผมเรียนเสร็จก็ 4 โมงเย็น ทำการบ้าน กว่าจะนอนประมาณเที่ยงคืนเกือบทุกวัน"
               (นอนดึกจังเลย ทำอะไรอยู่ครับ)
               "เรื่อยๆครับ เกมส์บ้างการ์ตูนบ้างแล้วแต่วัน"
               (อืมๆ)
               "พี่คุยเอ็มก็ได้ครับ ผมออนเอ็มคุยกับเพื่อนบ่อยๆ"
               (เอางั้นเหรอ แต่พี่ไม่มีเมล์น้องเลย)
               "เดี่ยวผมส่ง SMS ไปให้ครับ" ผมว่าเริ่มต้นด้วยการคุยผ่านเมล์กันก่อนน่าจะดีว่าคุยสายเลยนะ รู้สึกตัวเองข้ามขั้นไงชอบกล
               (ครับ แล้วพี่จะแอดไปนะ พี่มีสายเข้าพอดี บายๆ)
               "บายๆ หวัดดีครับ"

           ตั้งแต่บ่ายวันนั้นเป็นต้นมา ผมกับพี่มาร์ทก็โทรคุยกันตลอดเกือบทุกคืนช่วงก่อนผมจะล้มตัวลงนอนบนเตียงราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องคุยกันก่อนจะหลับตา หากวันไหนติดธุระโทรมาหาไม่ได้ เขาจะส่งข้อความมาบอกก่อนล่วงหน้าเสมอๆ แต่ถึงจะบอกแล้ว ผมก็ยังต้องคว้ามือถือมาตรวจดูทุกครั้งเพื่อความสบายใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ติดนิสัยห่วงมือถือมากกว่าห่วงเวลานอนเช่นนี้ ส่วนเมล์ที่ใช้คุย MSN Messenger ที่ได้แลกกันไว้นั้น เป็นอันต้องยกเลิกกันไป เพราะไลฟ์สไตล์ของพี่มาร์ทใช้มือถือบ่อยกว่าคอมพิวเตอร์ซึ่งตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง สำหรับเนื้อหาสาระที่สนทนากันก็จะเป็นเรื่องทั่วไปชนิดเล่าสู่กันฟังแบ่งปันสารทุกข์สุขดิบกับกิจวัตรหรือเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอกัน เรื่องดีๆก็ฟังไปยิ้มไป เรื่องไม่ดีก็มีโมโหแทนกันบ้าง เรื่องปกติก็เล่าไปแสดงความคิดเห็นถ่ายทอดจินตนาการเพี้ยนๆกันไป จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงใกล้ๆปลายภาค ผมกับพี่มารทก็พักช่วงติดต่อกันสักสองสัปดาห์ เพราะต่างฝ่ายต่างมีภาระส่วนตัวที่ต้องสะสาง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (1)] 29-03-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 29-03-2016 19:56:19

Until You


ตอนที่ 2 (1/3)
          เป็นธรรมดาของเด็กวัยเรียน เมื่อสอบปลายภาคเสร็จก็มักจะหาเรื่องไปเที่ยวพักผ่อน ผมก็เป็นคนนึงที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของวัยรุ่นเฉกเช่นคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงยินดีมากที่มีคนชวนไปเดินเล่นกินข้าวเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในวันเสาร์ที่กำลังจะมาถึง นับเป็นครั้งแรกเลยครับที่พี่มาร์ทนัดชวนผมออกมาเจอกันแบบสบายๆ ทั้งที่คุยโทรศัพท์กันมานานเกือบครึ่งปี
          เที่ยงตรงคือเวลานัดหมาย แต่ผมกลับไปถึงตอนพนักงานไขกุญแจเปิดประตูห้างให้ลูกค้าเข้าพอดิบพอดี อันที่จริงผมตั้งใจไว้ว่าอยากมาก่อนเวลาไม่นาน แต่ไม่รู้ทำไมการจราจรบนถนนถึงเป็นใจขนาดนี้ แม้จะนั่งรถโดยสารประจำทางมาต่อรถสองทอดยังถึงเร็วพอๆกับนั่งแท็กซี่เลยครับ เมื่อคนนัดยังมาไม่ถึง ผมจึงเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปร้านโปรดชั้นบนสุดรอเวลา ผมเป็นคนชอบเดินร้านหนังสือครับ เพราะมันเงียบสงบดีไม่วุ่นวายเหมือนที่ไหนๆในห้าง หยิบหนังสือเตรียมสอบพลิกอ่านทำโจทย์ไปบ้าง หันกลับไปมุมขายแผ่นซีดีบ้าง วกกลับไปโซนหนังสือต่างประเทศเปิดดูรูปภาพวิวสวยๆบ้าง จนกระทั่งมือถือดังขึ้นในตอน 11 โมงครึ่งพอดิบพอดี

                    “พี่มาร์ทมาถึงแล้วเหรอครับ พี่อยู่ตรงไหนอะครับ” ผมกดรับสายขณะที่วางหนังสือบนชั้นวางตามเดิม
                    (Starbucks ครับ พี่แวะมาซื้อกาแฟดื่ม)
                    “เอ่อ... ร้านอยู่ตรงไหนอะครับ” ถามแบบนี้จะโดนขำไหมวะ คนไม่ค่อยได้มานี่หว่า
                    (อยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์ชั้นล่าง)
                    “เอ่อ...ครับ” แล้วธนาคารอยู่ไหนละนั่น? บอกไม่รู้จะโดนว่าไหมนี่?
                    (มาถูกไหม? แมคอยู่ตรงไหนครับ)
                    “เดี่ยวผมมั่วหาเองดีกว่า ผมอยู่ชั้นบนครับ ยังไงก็ต้องไปร้านอาหารชั้นล่างอยู่ดี”
                    (เมื่อกี้พี่เดินผ่านร้านแมคโดนัลล์ตรงประตูทางเข้า เคยเห็นร้านนี้ไหม?)
                    “อ้อ...เคยครับเคย นึกออกแล้ว”
                    (งั้นเจอกันตรงนั้นแล้วกัน ไม่ต้องรีบนะ พี่รอได้ไม่ได้รีบไปไหน)
                    “ครับๆ ผมกำลังลงบันไดเลื่อนแล้วครับ ขอโทษจริงๆนะครับ ผมไม่ค่อยได้มาห้างนี้นะ มันไกลบ้านผม”


          นั่นไงร้านแมคโดนัลที่ว่าผมเห็นละ เดี่ยวลงบันไดเลื่อนไปเลี้ยวซ้ายไปทางนั้นก็ใช่เลย ทว่า...ผมกำลังภาวนาในใจไม่อยากให้หนุ่มเซตผมตั้งหน่อยๆภายใต้แว่นกันแดดเรย์แบรนด์สีชาในชุดเสื้อคอวีสีเทาขาวสวมทับด้วยแจ๊กเกตเชิ้ตสีดำเข้มคนนั้นเป็นพี่มาร์ทเลยครับ โดดเด่นเกินตาเกินตาผมมากมาย ใจอยากจะโทรไปยกเลิกนัดซะตอนนี้แต่ดูท่าจะคิดช้าเกินไปเสียละ เห็นมีโบกมือน้อยให้ผมด้วย มือข้างขวาเลยจำต้องโบกมือตอบพลางก้มมามองชุดตัวเองที่เป็นเพียงเสื้อยืดลายทางตัวละห้าสิบบาทคลุมด้วยเสื้อฮูทสีเนื้อแขนยาวตัวละสองร้อยห้าสิบบาทกับกางเกงยีนส์ตัวโคร่งที่เป็นมรดกตกทอดของน้าและผ้าใบขาวฉบับนักเรียนด้วยอาการปลงจิต เห็นแล้วอยากวกเข้าร้านเสื้อผ้าตรงนั้นก่อนไปเจอเลยครับ อนาจสุดใจขาดดิ้น

                    "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ตามมารยาทในขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มให้ ถอดแว่นตาเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อด้านใน ดูเท่ห์จนผมอิจฉาในใจตลอด
                    "มาถึงนานยัง"
                    "ก็ตั้งแต่ 11 โมงนะครับ พอดีว่ากลัวหลงทางเลยเผื่อเวลาไว้นะครับ"
                    "ใกล้เที่ยงละ แมคอยากทานไรละครับ"
                    "อะไรก็ได้ครับ ผมทานได้หมด"
                    "พี่ก็ไม่มีไอเดียเหมือนกันปกติก็ไม่ค่อยได้มาเดินห้างเท่าไหร่ งั้นไปทานร้านนี้ไหม" พี่มาร์ทส่งโปรชัวร์ในมือที่ได้รับมาส่งให้ ผมเองก็ได้มาเหมือนกันตอนลงเดินผ่านมา พิจารณาราคาและความคุ้มค่าแล้วจึงพยักหน้าตอบไป กินปุบเฟต์สุกี้ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมกินจุและยังไม่เคยกินร้านนี้เลย
                    "เอ่อ...ไปกันเลยไหมครับ"
                    "อืม ร้านอยู่ตรงไหนละ"
                    "มันเขียนว่าชั้นนี้ครับ แต่ตรงไหนคงต้องเดินหาก่อนครับ" ทางซ้ายหรือขวาดีหว่า มั่วทางไหนดีหนอ
                    "หิวยัง? ปกติเห็นทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน 11 โมงครึ่งนี่พี่จำได้"
                    "พี่มาร์ทความจำดีจังเลยครับ" ผมยิ้มกว้าง "ผมจำได้ว่าเคยบอกด้วย แต่จำวันไม่ได้ละ ผมบอกพี่มาร์ทตอนไหนอะครับ"
                    "พี่ว่าเราเดินไปคุยไปดีไหม ทานช้าเดี่ยวแมคจะปวดท้องเอา"
                    "ครับ จำได้ด้วยว่าผมเป็นโรคกระเพาะ พี่มารทจำทุกคำที่ผมเล่าได้เลยปะนี่ ฮ่าๆ เก่งเวอร์"
                    "ถ้าสนใจใครเป็นพิเศษ จะจำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนนั้นได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ จริงไหมครับ"
                    "ไม่รู้สิครับ อ๊ะ...โน่นไง ผมเห็นร้านแล้ว รีบเดินเถอะครับ ช้าเดี่ยวคนเยอะ"
                    "อืม"
                    "พี่มาร์ทเดินช้าอะ ขออนุญาตครับ" ผมยกมือไหว้คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายพาลากเดินไป แต่เหมือนลากแขนแล้วไม่ไป "อุ๊ย ขอโทษครับพี่ ผมลืมตัว" ผมบอกพลางเอามือปัดแขนเสื้ออีกฝ่ายทำความสะอาดให้ด้วยความเกรงใจ จนอีกฝ่ายถึงกับขำ
                    "ไม่เป็นไรๆ แค่ตกใจเล็กน้อย ไปกันเถอะครับ มีคนแซงหน้าเราแล้วนั่น หึๆ"
                    "จริงดิ ยอมไม่ได้ ผมไปจองที่ก่อนนะครับ พี่มาร์ทตามมานะ"


          หลังจากทานใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่ากับการกินชั่วโมงครึ่งจบลง ผมก็แบกพุงอันกลมเล็กน้อยแต่ยังไม่ล้ำหน้าเดินอาดๆก้าวออกจากร้านสุกี้ไปตามทางเรื่อยๆ มีแวะร้านหนังสือบ้าง ร้านเสื้อผ้าบ้าง ร้านอุปกรณ์กีฬาบ้าง จนพุงเริ่มยุบ ผมจึงออกปากชวนพี่มาร์ทที่เอาแต่เดินเรื่อยๆขนาบข้างผมพูดจาน้อยคำเข้าร้านไอศครีมสเว่นเซน

                    “เอาอันนี้ 1 ที่ครับ เอาไอศครีมช็อกโกแลตบราวนี่ 3 มะนาวเชอร์เบต 3 ครับ”
                    “ไอศครีม 6 ลูก ไม่น้อยเลยนะนั่น ตัวแค่นี้ทานเก่งไม่เบา?” พี่มาร์ทยิ้มขำน้อยๆ
                    “ร่างกายผมย่อยเร็วนะครับ อีกอย่างผมชอบไอศครีมม๊ากมาก พี่มาร์ทเอาอะไรไหม” เห็นอีกฝ่ายพลิกหน้ารายการอาหารแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ผมก็เลยพูดขึ้นว่า “งั้นเอาเท่านี้ละครับ”
                    “ไอศครีมพร้อมเสิร์ฟใน 5 นาทีนะค่ะ ขออนุญาตเก็บเมนูค่ะ”
                    “ครับ” ผมพยักหน้าน้อยๆส่งเมนูคืนให้ รอจนพนักงานสาวเดินห่างออกไปจึงพูดขึ้นว่า “พี่มาร์ทจะไปเดินเล่นตรงไหนเป็นพิเศษไหมครับ ผมเดินเป็นเพื่อนได้นะ”
                    “ตามใจแมคเถอะ พี่ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษหรอก”
                    “จริงๆพี่มาร์ทบ่นบ้างก็ได้นะครับ ถ้าผมทำพี่เบื่อนะ” ผมบอกออกไป เพราะตลอดทางที่เดินออกจากร้านสุกี้ พี่มาร์ทก็เดินตามผมต้อยๆชวนไปไหน ทำอะไรก็ไป ไม่มีบ่นสักคำ เรียกว่าตามใจผมตลอด
                    “ถ้าพี่ไม่พอใจอะไร พี่จะบอกละกัน”
                    “อืมครับ”
                    “ทานเสร็จแล้ว จะทำอะไรต่อไหม”
                    “ไม่มีเพลนแล้วครับ เดี่ยวสัก 5 โมงเย็นผมจะกลับเลย เย็นมากๆรถตู้แน่น รถติดอะ” ผมว่าจะกลับรถตู้โดยสารสาธารณะแทนนั่งรถประจำทาง เพราะน่าจะถึงเร็วกว่าและก็ไม่ต้องต่อหลายสายด้วยอะครับ
                    “จะกลับก็บอกพี่ละกัน เดี่ยวเดินไปส่ง”
                    “ครับๆ ว้าว ไอติมมาพอดี เอาสักหน่อยไหมครับ เขาให้ช้อนมาสองคันด้วย”
                    “ก็ดี พี่ไม่กินมานานแล้วเหมือนกัน” พี่มาร์ทรับช้อนไปจากมือของผมตักชิมเพียงสองคำก็วางช้อนลง หยิบน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นมาดื่มหมดแก้ว
                    “ชิมมะนาวไหมครับ ออกรสเปรี้ยวหน่อย จะได้ไม่เลี่ยน”
                    “แมคทานเถอะครับ พี่ไม่ชอบของหวานเท่าไหร่”
                    “งั้นผมทานละนะ” ใช้เวลาไม่นานไอศครีมทั้ง 6 ลูกลบสองช้อนชาก็หายวับลงไปในท้องของผมไม่เหลือแม้แต่น้ำก้นถ้วย
                    “น้ำเปล่าไหม พี่เรียกให้”
                    “เอาครับ แต่ครึ่งแก้วพอนะครับ ผมกลัวกินไม่หมด อิ่มมากมาย” ผมบอกหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเลือกหาธนบัตรที่สภาพเน่าสุดออกมาจ่ายใช้ก่อน เพราะว่าผมไม่ค่อยได้ใช้เงินซื้อของเท่าไหร่เก็บธนบัตรเก่าไว้นานๆเกิดฉีกขาดเปื่อยไปเสียราคาแย่ “ขอบคุณครับ” มีน้ำกลัวคอดีขึ้นมาหน่อย
                    “จะไปกินร้านไหนอีกไหม” พี่มาร์ทพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
                    “โอย ไม่ไหวแล้วครับ พุงจะแตกแล้ว” ถึงกับร้องโอดโอย “กลับกันเถอะครับ จะเย็นละ” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบสลิปเมนูเดินไปยังแคชเชียร์
                    “พี่เลี้ยงเอง” พี่มาร์ทพูดขึ้นรั้งมือของผมที่กำลังยื่นเงินไปให้พนักงานสาว ก่อนวางแบงค์ห้าร้อยลงแทนที่
                    “แต่พี่มาร์ทไม่ได้กินไอติมสักลูกเลยนะ”
                    “เมื่อกี้แมคก็แชร์ค่าสุกี้คนละครึ่งกับพี่แล้วไงครับ ออกแค่นั้นก็พอแล้วละ” แม้จะถูกขัดใจบ้าง แต่ผมก็ยอมเก็บเงินเข้ากระเป๋าด้วยความเต็มใจ เอ๊ะ...ยังไง? แหมมีคนใจดีเลี้ยงทั้งที คนงบน้อยอย่างผมจะปฏิเสธไปทำไมละครับ
                    “ขอบคุณครับ” สโลแกนอิ่มจังตังค์หายแค่สองร้อยนี่มันดีจริงๆ
                    “จะไปไหนต่อไหม?”
                    “ไม่ไปละครับ จะเย็นละผมกลับดีกว่า อ้อ...พี่มาร์ทไม่ต้องไปส่งหรอกครับ เดียวผมเดินไปท่ารถเอง”
                    “จะดีเหรอ?”
                    “ดีสิครับ พี่มาร์ทขับรถมาใช่ไหมละ” ผมบอก “ลานจอดรถกับวินรถตู้ คนละทิศเลย ไม่ต้องไปหรอกครับ เดินไปเดินมาเสียเวลาแย่”
                    “เอางั้นเหรอ?”
                    “อืม งั้นผมกลับก่อนนะครับ เดี่ยวไม่ทันวิน 5 โมง”
                    “ก็ได้ครับ กลับดีๆนะแมค ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วย”
                    “รับทราบ” ยกมือตะเบะรับคำเสร็จสรรพ ผมก็รีบเดินไปยังทางประตูข้างของห้างสรรพสินค้าเพื่อเดินลัดเลาะไปยังท่ารถตู้ที่จอดคอยอยู่ โอย...สงสัยเดินเร็วไปเลยจุก ไอติมจะทะลักออกทางปากไหมนี่?


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (2/3)] 01-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 01-04-2016 18:45:07

Until You


ตอนที่ 2 (2/3)

          วันนี้ผมพาฝรั่งลูกครึ่งมาไหว้พระที่พระอารามหลวงติดแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง เนื่องด้วยพี่มาร์ทอยากจะพักผ่อน จึงเสนอให้ผมจัดโปรแกรมพาทัวร์หนึ่งวัน แต่ผมค่อนข้างเบื่อที่จะไปทำกิจกรรมประเภทเดินเล่น ดูหนังฟังเพลง ช็อปปิ้งหรือไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุก ดังนั้นสิ่งที่คิดออกสำหรับการไปเที่ยวสถานที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา ก็คงจะเป็นชวนพี่มาร์ทตะลอนทัวร์เที่ยวรอบกรุง ซึ่งแน่นอนว่าโปรแกรมแรกช่วงเช้าต้องเริ่มด้วยการไปนมัสการหรือไหว้พระ สร้างเสริมบุญกุศลขอพรพระรับอรุณ เพื่อความเป็นสิริมงคลกันเสียก่อน

                    “พี่มาร์ทต้องจุดธูปสามดอกกับเทียนหนึ่งเล่ม พอจุดเทียนแล้วก็เอาเทียนปัก ถือธูปกลับมานั่งสวดมนต์ พอเสร็จก็เอาธูปในมือนี่ไปปักในกระถางตรงโน้นนะครับ”
                    “สวดมนต์?”
                    “เอาเป็นว่าจุดธูปเทียนให้เสร็จก่อน พอถึงตอนสวดมนต์ พี่มารท์ค่อยว่าตามผมนะครับหรือจะอ่านตรงแผ่นหินที่เขียนนั่นก็ได้ครับ”
                    “โอเค”
                    “เสร็จแล้วก็กราบพระสามครั้ง วิธีการกราบพระ ก่อนอื่นก็ต้องนั่งท่าเทพบุตรครับ ปลายเท้าตั้งนั่งทับส้น เอาปลายนิ้วจรดหน้าผาก...ก้มลงกราบแบมือด้วย เอาหน้าผากชนหลังมือครับ ทำแบบนี้สามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี สาธุ”
                    “สาธุ...โอเค เสร็จแล้วทำอะไรต่อ แค่กๆ”
                    “สำลักควันธูปอะสิ” ผมยิ้มขำเปิดกระเป๋าสะพายข้างหยิบขวดน้ำเปล่าส่งให้ดื่ม เห็นอีกฝ่ายทำหน้าตกใจตอนมองนิ้วมือเป็นสีแดงแล้วอดกลั้นขำไม่ได้ “ไม่เป็นไร เดี่ยวล้างมือสักพักสีก็จางแล้ว พี่มาร์ทไปเติมน้ำมันเทียนต่ออายุไหมครับ เคยทำยัง?”
                    “ก็ได้นะ แป็บนะแมค สายเข้านะ”
                    “งั้นผมเดินไปซื้อน้ำมันให้ก่อนละกัน พี่มาร์ทเกิดวันไหนครับ”
                    “วันเสาร์...Hi Smith, it’s great to hear you again. I…” ผมเดินเลี่ยงออกมา เพราะไม่ใช่ธุระอะไรของผมที่จะรับรู้เรื่องส่วนตัวของพี่มาร์ท แต่ถึงยังงั้น ผมก็ยังลอบมองอยู่ห่างๆ ขณะที่มือก็หยอดเงินทำบุญลงในตู้ไม้พร้อมหยิบน้ำมันมาสองขวดเดินกลับมายังที่เดิม “เสร็จแล้วมีไปไหนต่อไหม” พี่มาร์ทเอ่อยถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นเรียบตึงผิดกับเมื่อครู่
                    “เอ๋?...เอ่อ...ก็มีนั่งเรือข้ามฟากไปวัดอีกวัดนึง ทานข้าวกลางวันแถวนั้น เสร็จแล้วก็เดินตลาดนัด นั่งรถเมล์เอาพี่มาร์ทไปส่งที่ไหนสักที่มั้งครับแล้วก็กลับบ้าน นอกนั้นยังคิดไม่ออกครับ”
                    “คือพี่มีธุระด่วนต้องไปทำนะครับ เอาเป็นว่าพี่ขอยกยอดไปเที่ยววันหลังละกันนะ”
                    “อืมครับ แล้วพี่มาร์ทจะกลับยังไงอะ” ผมเอ่ยถามพลางดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามมา ไหนๆก็ซื้อน้ำมันมาละ ต้องใช้สักหน่อย
                    “เดี่ยวพี่ให้คนที่บ้านมารับครับ” คนที่บ้าน? คำนี้ทำผมนิ่งไปเลยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรถามอย่าไปสนใจรู้เลย
                    “ขออนุญาตถามได้ไหมครับ คือว่าพี่มาร์ทจะไปแถวไหนอะครับ ผมจะได้ช่วยบอกเส้นทางที่ใกล้ๆให้หรือไม่ก็นั่งรถเมล์ไปกันสักครึ่งทางก่อนก็น่าจะดี เพราะแถวนี้รถติดมาก กว่ารถบ้านพี่จะมาถึงนี่ คงใช้เวลาตั้งนาน”
                    “พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ?” พี่มาร์ทว่าเปลี่ยนประเด็นกระทันหัน ทำเอาผมขมวดคิ้วน้อยๆ “อยู่กับพี่อึดอัดมากไหมครับ?”
                    “เอ๋? ก็เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอ?”
                    “พี่ทำเราไม่สบายใจไหมเรื่องอะไรบ้างไหม?”
                    “ไม่นี่ครับ พี่มาร์ทกันเองกว่าที่ผมคิดตั้งเยอะ” ใช่ครับ ใครจะคิดว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่โตจะคุยกับผมแบบไม่ถือตัวเช่นนี้
                    “แล้วทำไมต้องขออนุญาติพี่ทุกครั้งด้วยละครับ หืม?”
                    “ก็พี่มาร์ทอายุมากกว่าผม ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ อีกอย่างพี่ก็ทำงานแล้วด้วยอะ ผมก็ให้เกียรติพี่สิครับ”
                    “ให้เกียรติ? พี่กลัวว่าคำนี้ จะทำให้เราห่างเหินกันมากกว่านะ” พี่มาร์ทพูดยิ้มๆ ยื่นมือมายีหัวผม“ไม่ต้องคิดมาก อยู่กับพี่ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง มีอะไรก็บอกพี่มาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจอะไรมากมาย เอาเหมือนตอนคุยมือถือกับพี่สิครับ แมคทำตัวห่างเหินตอนเจอกันแบบนี้ มันทำให้เราดูไม่สนิทกันซะเลย พี่อยากสนิทกับเรามากกว่านี้นะ เลยชวนมาเที่ยว”
                    “อ่าครับ จะดีเหรอครับ?”
                    “แล้วอะไรไม่ดีละ” พี่มาร์ทยิ้มรับ “ต่อไปไม่ต้องขออนุญาติพี่ไปซะทุกเรื่องก็ได้นะ อยากทำอะไร อยากจะพูดอะไร ก็บอกมาตรงๆเลย พี่ให้สิทธิ์แมคทุกอย่าง”
                    “อ่าครับ จะพยายามนะครับ งัมๆ”
                    “งัมๆ? คืออะไร?”
                    “เอ่อ...คำอุทานครับ อย่าใส่ใจเลย ตกลงพี่มาร์ทจะไปไหนอะ”
                    “ไปแถวๆพระราม 3 นะ แมครู้จักไหม”
                    “พระราม 3? วัดอยู่ฝั่งธนคนละทางเลย เจริญเถอะ ไปครับ ไปตะลุยรถเมล์กัน” พี่มาร์ทหน้าเหวอ เมื่อผมกระตุกชายเสื้อให้คนตัวโตกว่า วิ่งตามไปทางออกด้านหน้าวัด
                    “รอพี่ด้วย”
                    “เฮ้ย! รถเมล์มาพอดี เร็วเข้าพี่มาร์ท จอดด้วยครับ จอดด้วย”
                    “หืม?” จะยืนอึ้งทำไมละนั่น รถเมล์ไทยไม่เคยรอใครนะครับ ชักช้ารอคันหลังอีกเป็นชาติ
                    “ทางนี้ครับทางนี้ วิ่งเร็ว เดี่ยวไม่ทัน” หอบเล็กน้อยแต่ก็ขึ้นทันพอดี โชคดีที่มีเบาะว่าง ผมจึงชวนพี่มาร์ทเดินไปนั่ง พักยังไม่ทันหายเหนื่อย พนักงานเก็บเงินก็เดินมายืนคอย พี่มาร์ทรีบเปิดกระเป๋าเงินส่งธนบัตรให้ไป แต่ผมปัดมือที่กำลังจ่ายเงินให้พ้นทางและส่งแบงค์สีฟ้าให้กระเป๋ารถเมล์แทน พร้อมรอรับเงินทอน
                    “พี่จ่ายให้ไงครับ ตกลงกันแล้วนี่?” พี่มาร์ททักท้วงขึ้น เมื่อพนักงานเสื้อน้ำเงินเดินจากไป
                    “ไว้โอกาสหน้าละกันครับพี่มาร์ท ผมยังไม่อยากโดนตื๊บ” ตอบไปพลางส่งยิ้มแหย่ๆ ให้พี่มาร์ททีนึง แต่พี่มาร์ทกลับขมวดคิ้วมองหน้าผม
                    “ตื๊บ คืออะไร?” จะบ้าตาย!! จ่ายค่ารถเมล์ร่วมสาธารณะด้วยแบงค์พัน พี่ไปตายคนเดียวเถอะครับ ผมยังไม่อยากอายุสั้นตอนนี้นะเออ “ตกลงแปลว่าอะไร?”
                    “ก็คงถูกรุมกระทืบนะครับ เอิ่ม...ไม่เข้าใจใช่ไหมละ งั้นแปลง่ายๆก็คือ มีเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนเตะหรือกระแทกเข้าใส่ร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บบอบช้ำไปทั้งตัว แบบนี้พอเข้าใจไหมครับ”
                    “อืม เข้าใจครับ แต่แค่จ่ายเงินกับทอนเงิน ถึงขั้นต้องโมโหขนาดต้องตื๊บเลยเหรอ? พี่ไม่ได้เบี้ยวค่าโดยสารนะครับ ถ้าเป็นกรณีโกงเงินหรือไม่ชำระหนี้ก็ว่าไปอย่าง” พูดมาอย่างนี้ผมไปต่อไม่ถูกเลยครับ เงียบปากดีกว่า “แมค?”
                    “เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของคนอารมณ์ร้อนในสังคมแรงงานละกันครับ”
                    “โอเคๆ” พี่มาร์ทว่าสั้นๆไม่คิดจะถามอะไรผมอีก “รถเมล์คันนี้จะไปถึงพระราม 3 เลยไหม?”
                    “ไม่ถึงหรอกครับ เอางี้ดีกว่า พี่มาร์ทโทรถามคนที่จะมารับละกันครับว่า มาถึงถนนรัชดาภิเษกแถวๆเดอะมอลล์ท่าพระกี่โมง ผมเข้าใจว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดต่อรถที่เหมาะสุดละ”
                    “อืม” พี่มาร์ทพยักหน้ารับคำของผม ก่อนจะกดสายโทรออก

          ผมมองหน้าคนข้างกายพลางสลับกับมองวิวนอกหน้าต่างไปพลางแล้วก็รู้สึกน่าเสียดายขึ้นมาตะหงิดๆ ได้มาทำบุญด้วยกันทั้งทีทีดันมีอุปสรรคมาขวางซะได้ ทำเอาทริปที่ผมวางไว้ทั้งวันเป็นอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย แอบเซ็งเหมือนกันแต่ทำไงได้ในเมื่อพี่มาร์ทมีงานเข้ากระทันหัน เป็นคนวัยทำงานนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ ขนาดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ทั้งทียังจะมีงานเข้ามาแทรกอีก แต่เอาเถอะครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียวสักหน่อย ไว้โอกาสหน้าก็ยังไม่สาย
   
                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (3/3)] 02-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 02-04-2016 23:23:42

Until You


ตอนที่ 2 (3/3)


          ชีวิตผมเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความกังวลของครอบครัวอีกครั้ง เมื่อย่างเข้าสู่วัยเรียนชั้นปีที่สุดท้ายของมัธยมปลาย แน่นอนว่าโรงเรียนจัดการเรียนการสอนเน้นเนื้อหาหนักไปที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยและยังมีการจ้างอาจารย์สอนพิเศษชื่อดังมาติวให้อย่างเข้มข้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกสอบเอนทรานส์ติดร้อยเปอร์เซ็นต์ตามเป้าหมาย ฟังเหมือนเป็นนโยบายดีเด่นที่ออกมาสนับสนุนการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มที่ แต่ความเป็นจริงก็เพื่อสร้างชื่อให้ติดอันดับท็อปสิบของผลการจัดอันดับสถานศึกษายอดเยี่ยมในกรุงเทพก็เท่านั้นเอง แต่เอาเถอะครับ นโยบายว่าอย่างไรผมก็ว่าตามนั้น ดีซะอีกได้แนวข้อสอบแบบไม่ต้องไปเสียเงินค่าสมัครเรียนกวดวิชาตามที่ต่างๆให้เปลืองค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แต่แม้จะมีการติวเพิ่มให้ ก็ใช่ว่าจะได้รับความรู้ครบถ้วน ยังมีบางประเด็นที่แม้ผมอ่านเอง ทำข้อสอบเอง ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงมีแนวทางค้นหาติวเตอร์ส่วนตัวมาไขความกระจ่างในจุดนี้ หันซ้ายหันขวามองหาคนใจดีไม่นานก็เจอแล้วครับ พูดแล้วจะหาว่าคุย ติวเตอร์ส่วนตัวของผมนี่มีดีกรีจบปริญญามาด้วยนะครับ สอนได้หมดแทบทุกวิชาจนผมแอบยังแปลกใจว่าเป็นยอดมนุษย์แปลงกายมาหรือเปล่า แค่อ่านหนังสือของผมไม่กี่แผ่นก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองละ เก่งจนผมยังแอบอิจฉาในใจ
                    “วันนี้เอาวิชาไรดีครับ”
                    “ตามแต่คนสอนเลยครับ ผมยังไงก็ได้” ผมตอบรับคว้ากระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมากระดก สอดสายตาหาของกินอย่างอื่นบนโต๊ะต่อ
                    “แล้วจะเอาคะแนนยังไงก็ได้ไหม แมค” แซวแค่นี้ทำหน้าจริงใจใส่เลย
                    “อ่า... พี่มาร์ทดุจัง เอาอังกฤษก็ได้ครับ ผมยังไม่แม่นเท่าไหร่” นี่ละครับครูส่วนตัวผม รับสอนฟรีทุกวิชาเฉพาะวันเสาร์ตั้งแต่บ่ายโมงยันห้าโมงเย็น
                    “พี่ขอดูเนื้อหาหน่อย จะตั้งคำถามให้”
                    “ได้ครับ” ผมยิ้มแป้นเปิดกระเป๋าเป้หยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ อังกฤษ สังคม เศรษฐศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ขึ้นมาตั้งกองบนโต๊ะ
                    “เยอะขนาดนี้ พี่เก็บเงินเรากี่บาทถึงจะคุ้ม หึๆ”
                    “คำนวณหลายอย่างเกิน ผมว่าปัดๆฟรีไปละกันครับเนอะ” เรื่องมั่วได้ของฟรีขอให้บอก
                    “งั้นพี่ก็ขาดทุนสิครับ แต่... พี่ไม่เคยขาดทุนสักเรื่องเลยนะ ทำอะไรก็คิดถึงผลกำไรตลอด แมคจะไม่ตอบแทนอะไรพี่สักหน่อยเหรอครับ”
                    “อ่า...งั้นพี่มาร์ทจะเอาอะไรละครับ ผมบ่จี้ เงินน้อยอะ”
                    “นั่นสิ พี่จะขออะไรจากเราดีถึงจะคุ้มค่าแรงครั้งนี้” ผมตาฝาดปะวะ เห็นรอยยิ้มกริ่มกรุ่มนั่นบนใบหน้าของพี่มาร์ท ไม่น่านะ พี่มาร์ทออกจะเป็นคนดี ไม่น่าจะมีรอยยิ้มเช่นนั้นได้
                    “ไม่รู้อะ พี่มาร์ทคิดมาละกันครับ อะไรที่ผมทำได้ผมก็จะทำให้ อย่าโก่งค่าตัวเป็นพอ”
                    “ค่าตัวพี่ แมคจ่ายไม่ไหวหรอกครับ เชื่อเถอะ มาๆเรียนกัน” อะไรของเขา พูดแปลกๆหลายเรื่องละ สมองตามไม่ทันเลย ไม่รู้พี่มาร์ทพลิกหน้ากระดาษอ่านเข้าไปได้ไงนานๆ ผมนี่แค่เห็นตัวหนังสือหน้าปกก็เริ่มออกอาการหาวละ
                    “พี่มาร์ทว่างทุกวันเสาร์เลยไหมครับ”
                    “ช่วงนี้ก็ว่างนะ พอเคลียร์งานได้อยู่ แต่อีกสามเดือนพี่ต้องไปต่างประเทศ บอกแมคไว้ก็ดีเหมือนกัน ช่วงแมคสอบ พี่คงไม่ได้อยู่คุยเป็นเพื่อนเรานะ คราวนี้พี่ไปนานเลยอาจจะสักครึ่งปี”
                    “อืมครับ ไม่เป็นไร ยังไงผมก็คงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับพี่มาร์ทนานๆเหมือนกัน” ถึงตอนนั้นคงเป็นเวลาเทอมสองของมัธยมศึกษาปีที่หกพอดี ผมคงยุ่งกับการสอบน่าดู
                    “แต่ช่วงที่พี่ไม่อยู่ แมคมีคำถามอะไร ส่งเมล์หาพี่ได้ตลอดเวลานะครับ”
                    “รับทราบ” ผมยิ้มแป้นตอบรับ พลางหยิบขนมปังฟาร์มเฮ้าส์มาแกะกิน
                    “เมื่อเช้าทานข้าวมาแล้วนี่ ยังจะกินอีกเหรอ?”
                    “สิบโมงเวลาของว่างนะครับ กินเยอะๆจะได้โตไวๆไง”
                    “กินเยอะๆ ไม่กลัวอ้วนเหรอ?” ส่ายหน้าเป็นคำตอบเสร็จก็หยิบนมมาเจาะกินต่ออีกกล่อง “มัวแต่กินอยู่นั่นละ พร้อมเรียนยังครับ น้องแมค”
                    “โอเค พุงพร้อม ใจพร้อม แมคทำได้” เล่นมุขแค่นี้หัวเราะใส่ผมอีกละ “ขำอะไรผมอีกละ”
                    “งั้นเริ่มด้วยภาษาอังกฤษก่อนละกัน” สิ้นคำหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ก็มากองอยู่ตรงหน้าเล่นเอาผมรู้สึกเหมือนโดนสตั๊นหน้าเต็มๆ “พี่ซื้อมาอ่านฆ่าเวลาเมื่อเช้า เพิ่งอ่านจบก่อนแมคมานี่ละ เอาคอลัมภ์นี้ละกันครับ พี่ให้เวลาอ่าน 1 นาทีแล้วเดี่ยวพี่จะตั้งคำถามให้แมคตอบ”
                    “ห๊ะ! เอาจริงดิ” 
                    “ไม่ยากหรอกน่า ไม่ต้องกลัว” พูดมาได้แค่ศัพท์คำแรก ผมก็แปลไม่ออกละ อยากร้องไห้ชะมัด
                    “ไม่ยากน้อยแต่ยากมาอะดิ” ผมเบะปากทำเอาคนตรงหน้ากระตุกยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยชอบกล “อะไรเล่า ก็ศํพท์มันยากจริงนี่”
                    “ยากก็เปิดดิกสิครับ อันไหนไม่รู้ก็จดไว้แล้วก็ท่อง เดี่ยวก็จำได้เองแหละ” พี่มาร์ทดันพจนานุกรมเล่มหนามาให้ตรงหน้าทำเอาค้างไปหลายวิ “ท่องวันละ 10 20 คำ จำขึ้นใจ ไม่นานแมคก็จะเก่งขึ้นเองละ เชื่อพี่”
                    “ครับ ผมจะพยายามละกัน”
                    “ดีมาก” พี่มาร์ทว่ายิ้มๆเอื้อมมือมายีหัวผมตามสไตล์

          จะว่าไปมันก็จริงนะครับ เขาว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น ถ้าผมพยายามสู้ทำเต็มที่แล้ว เกิดพลาดหรือไม่ได้ขึ้นมา ผมคงไม่เสียใจเท่ากับตอนที่ท้อแท้ก่อนจะได้ลงมือสู้สุดกำลัง เอาวะ...แค่สอบเข้ามันจะไปยากอะไร สอบหมื่นคนเอาร้อยคน ผมก็ต้องเป็นหนึ่งในร้อยนั้นให้ได้ แต่ก่อนอื่น ขอดูดเป็นซี่สักอึกก่อนละกัน พูดมากแล้วคอแห้ง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (3/3)] 02-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 03-04-2016 09:47:50
เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ต้องห่างกันแล้วเหรอครับ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 03-04-2016 20:04:16

Until You


ตอนที่ 3


          และแล้วผมก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ได้สมความปรารถนาของตัวเองและครอบครัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ทว่า...ตอนสอบเข้าว่ายากละ ตอนเรียนนี่ยากกว่า เพราะผมสอบตรงเข้าเรียนในคณะทางด้านสายคอมพิวเตอร์ก็จริง แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อย ขนาด Microsoft Office ยังเพิ่งมารู้จักตอนเรียนมัธยมปลาย แล้วนี่มาเจออาจารย์สอนเขียนภาษา C++ เป็นอาจารย์ชาวอินเดียอีก คิดว่าผมจะไปรอดสักกี่คาบกัน นี่กว่าจะเรียนจบผมคงหัวหงอกทั้งหัวพอดี

                    "We've a quiz tomorrow. That's all for today. Good luck, guys" เสียงอาจารย์บอกเลิกคลาส ทำให้ผมรีบเก็บของลงกระเป๋า บอกลาเพื่อนฝูงและตรงดิ่งไปยังหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อขึ้นรถเมล์ไปธุระในเมืองทันที   


          สืบเนื่องจากสมัยเรียนมัธยมปลาย ผมได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียนค่อนข้างเยอะ ทั้งด้านดนตรี กีฬา และวิชาการ ทำให้พอมีชื่อเสียงรู้จักในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผู้ให้การสนับสนุนของรางวัลต่างๆในการแข่งขันอยู่พอสมควร จึงมักได้รับเชิญไปฟังสัมมนาในสถานที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง อย่างในวันนี้ผมก็ได้รับเชิญไปงานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับโครงการต่อต้านยาเสพติดที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวย่านรัชดาภิเษก งานเริ่มช่วงบ่ายโมงแต่กว่าผมจะไปถึงก็ปาเข้าไปบ่ายสองกว่าๆจดบรรยายอยู่สองชั่วโมงพร้อมทานของว่างกล่าวจบปิดงานก็ห้าโมงเย็นพอดี ถนนคงกำลังรถติดได้ที่แน่ๆ
 
          Trmmm….

                    “หวัดดีครับพี่มาร์ท”
                    (ครับ สวัสดี แมคอยู่ที่มหาลัยใช่ไหมวันนี้)
                    “เปล่าครับ วันนี้ผมมาฟังบรรยายอยู่ที่โรงแรมดิเอ็ม ตรงถนนรัชดาครับ” ผมกล่าวตอบรับไปพลางเก็บเอกสารที่ได้รับแจกมาเข้าแฟ้มยัดใส่ลงในกระเป๋าไปพลาง ได้ดินสอไม้มีตราโรงแรมตั้งสองแท่ง
                    (ดีเลยครับ รีบกลับไหม พี่ซื้อของมาฝากนะ แวะมาหาพี่ที่คอนโดได้ไหมครับอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่แมคไปพอดีเลย คอนโดสีขาวตึกสูงๆ เดินถัดจากโรงแรมมาทางทิศเหนือสัก 4-5 ตึกก็ถึงแล้วนะครับ)
                    “ครับๆ เดี่ยวผมแวะเข้าไปครับ”

          หลังจากรับขนมกับน้ำดื่มจากร้านที่มาออกบูทร่วมกับคณะผู้จัดงานและแวะทักทายพวกรุ่นพี่ที่รู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงจากบันไดชั้นสองของโรงแรมผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับออกไปยังด้านนอกมุ่งเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนตัวของรถบนท้องถนน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารหลังดังกล่าว จ้องมอง รปภ.ที่กำลังยืนโบกรถเข้าออกสลับกับชะเง้อคอมองไปด้านในพร้อมกับกดมือถือโทรออกไปด้วย เพราะไม่กล้าเดินเข้าไป พี่มาร์ทเองก็ดันตัดสายโทรเข้าของผมทิ้งซะอย่างนั้น บ่นอยู่สองสามประโยคก็เห็นพี่มาร์ทกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้าอาคาร ผมส่ายหน้าปฏิเสธไม่กล้าเดินเข้าไปในทันทีด้วยยังลังเลไม่แน่ใจว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยจะขอตรวจบัตรอะไรหรือเปล่า รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเขาจะหันมาสนใจ ผมจึงเดินเนียนๆเข้าไปด้านในราวกับเป็นผู้พักอาศัย

          พี่มาร์ทยิ้มรับทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปใกล้ ผมยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วจึงตามเข้าไปในลิฟท์อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นคนยืนข้างอยู่ในชุดวันสบายไม่ใช่ชุดทำงานทั้งที่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ แต่ผมก็ยังไม่คิดถามออกไปแต่อย่างใด มองเลขชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งลิฟท์หยุดลง เขาเดินนำผมไปยังห้องพักพร้อมกับไขกุญแจและเสียบคีย์การ์ดลงในช่องประตู ภายในห้องพักที่เห็นตรงหน้านั้น มีขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ถือว่ากำลังพอดีสำหรับการพักอยู่อาศัยเพียงไม่เกินสองคน เพราะมีเพียงห้องรับแขกที่ผมยืนอยู่ แยกออกไปทางซ้ายเป็นห้องนอน ซึ่งคาดว่าจะมีห้องน้ำอยู่ภายในกับเคาน์เตอร์บาร์ห้องครัวทางด้านขวามือเท่านั้น

                    "นิ่งเชียว เป็นอะไร?" พี่มาร์ทถามยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ดื่ม
                    "เรียบง่ายกว่าที่ผมคิดอะครับ เลยงงหน่อยๆ" ผมตอบรับกวาดตามองไปเรื่อย รู้สึกพอใจกับเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้นและโทนสีขาวสะอาดตาโดยรอบ ทั้งที่ก่อนมาผมคิดว่าห้องพี่มาร์ทจะดูหรูหรากว่านี้เสียอีก
                    "แล้วคิดว่าพี่อยู่คอนโดแบบไหนกันละ"
                    "ก็ไม่รู้อะครับ ผมนึกว่าจะเจอเฟอร์หลุยส์ แล้วก็พวกพรมปูพื้นห้องกับทีวีใหญ่ๆแบบในหนังละมั้ง เอ้า...ขำอะไรอะไรอะครับ ก็แบบพี่มาร์ทขับรถยุโรป ก็ต้องรวยไง ห้องนอนก็ต้องหรูๆไรงี้"
                    "อะนะ หึๆ" พี่มาร์ทยิ้มรับและพูดต่อว่า "พี่ตัวคนเดียว อยู่ห้องแบบนี้สบายใจกว่า ส่วนอันนี้ขนมครับพี่ซื้อฝากจากเยอรมัน ..." หืม? นั่นมัน... หนังสือที่ผมอยากอ่านมานาน ป๋าสตีฟคิงส์ของผมนี่?
                    "พี่มาร์ทๆ ขอยืมนะ นะครับ น้า" ผมบอกยื่นหนังสือนวนิยายชื่อดังที่คว้าจากชั้นติดมือมาส่งให้
                    "อืม อยากอ่านอะไรหยิบไปเลย"
                    "ขอบคุณครับ" ผมยิ้มแก้มปริ นั่งลงกับพื้นรื้อค้นชั้นหนังสือข้างทีวีอย่างชอบใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีหนังสือให้อ่านมากมายหลายเล่มเลยหลายประเภทขนาดนี้
                    "ตกลงเอาของฝากจากพี่มีค่าน้อยว่าสตีเฟ่น คิงส์ไหมใช่ไหมครับแมค แล้วขนมนี่ก็ไม่เอา?"
                    "แหมๆ เอาครับสิครับ ขอบคุณครับ" ผมพยักหน้ายกมือไหว้หันไปคว้าถุงมากอดไว้แนบอกด้วยมือซ้ายและลงมือค้นชั้นหนังสือต่อด้วยมือขวา
                    “หึๆ”
                    “หัวเราะอะไรเล่าพี่มาร์ทก็”
                    “ขำคนงก หึๆ”

          หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ส่งท้ายอีกครั้ง ก่อนจะวางขนมลงข้างกายพลางจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่า พี่มาร์ทจะไม่แกล้งหยิบขนมของผมคืนไป แล้วจึงหยิบหนังสือบนชั้นออกมาพลิกอ่านดูทั้งที่มือก็โอบถุงขนมไว้ด้วย ช่างเป็นวันที่คุ้มค่าอีกวันหนึ่งในชีวิตผมเลยครับ เพราะได้กินทั้งขนมต่างประเทศแล้วยังได้หนังสือนักเขียนในดวงใจกลับบ้านไปนอนกอดอีก คุ้มค่ากับการมาจริงๆ


++++++++++++++


          โดยปกติแล้วงานอบรมสัมมนาที่ผมมักได้รับเชิญจะใช้สถานที่ของโรงแรมย่านเจริญกรุงสลับกับรัชดาภิเษกเป็นส่วนมาก แต่มักจะเป็นย่านรัชดาภิเษกบ่อยกว่าเพราะการเดินทางสัญจรด้วยขนส่งมวลชนของภาครัฐเข้าถึงได้หลายช่องทางจึงสะดวกในแง่ของการเตรียมงานต่างๆ ทำให้ผมได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนพี่มาร์ทได้บ่อยขึ้นและทุกครั้งที่ผมไปก็จะมีขนมติดไม้ติดมือไปฝากด้วยเสมอๆ ทว่า...วันนี้กลับเป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน ผมไม่มีนัดสัมมนาที่ไหน แต่ก็ยังอยากจะมารัชดาภิเษก เพราะนี่เป็นวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ของพี่มาร์ทพอดิบพอดี หวังว่าของขวัญที่ผมอุตส่าห์โทรสั่งร้านทำให้ชิ้นนี้คนรับจะชอบนะครับ แต่ตอนนี้บ่ายสามโมงเข้าไปละ ผมเพิ่งจะได้นั่งรถไฟใต้ดิน อาจารย์ก็ดันปล่อยช้าแถมยังต้องไปแวะเอาของขวัญที่ร้านหน้ามหาวิทยาลัย รีบจนข้าวกลางวันยังไม่ได้ตกถึงท้อง รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เลย

                    "พบคุณภิมุขครับ พี่เขาบอกว่าโทรเข้ามาแล้วครับ" ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งบอกพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ไปเช่นนั้น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า
                    "ชื่อคุณอะไรค่ะ"
                    "กรณ์ ครับ" เธอตรวจสอบรายชื่ออยู่สักพักจึงส่งกระดาษแผ่นเล็กให้ผมพร้อมกับบอกว่า
                    "นี่กุญแจห้องนะคะ ส่วนนี่โน๊ตค่ะ"
                    "ขอบคุณครับ"   


พี่ติดธุระด่วน อาจถึงช้าเล็กน้อย
ถ้าแมครีบกลับฝากของไว้ที่เคาน์เตอร์ได้เลย
                              มาร์ท


          ผ่านไปชั่วโมงนึงก็แล้ว ชั่วโมงครึ่งก็แล้ว ผมว่า ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ถึงช้าเล็กน้อย ขึ้นมาบ้างแล้วสิครับ ทำไมห้องใหญ่โตขนาดนี้ถึงไม่มีขนมอะไรให้ผมกินแก้หิวได้บ้างเลย เหลือแค่ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ไส้ถั่วแดงในกระเป๋าแค่ก้อนเดียว กินรองท้องแล้วหลับรอ คงประทังความหิวไปได้ถึงเย็นละนะ งับ...


          แกร๊กๆ เสียงไขประตูทำให้ผมลืมตาเด้งตัวขึ้นนั่งในทันทีเล่นเอาเกือบหน้ามืด พอตั้งสติได้จึงยกนาฬิกาข้อมือดิจิตอลขึ้นกดส่องไฟตรงหน้าจอดูแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะไม่นึกว่าเวลาจะล่วงเลยไปถึงทุ่มกว่าแล้ว ทำเอาสองมือสองขาพันกันให้วุ่นโชคดีที่ไม่ล้มสะดุดขาโต๊ะกระแทกพื้นเสียก่อน

                    "แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู มี เฮ้ย! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู สุขสันต์วันเกิดครับผม"
                    “ม...แมค?”
                    “เป่าเค้กสักทีสิครับ ผมอายแล้วนะ” สบตามองจ้องผมอยู่ได้ เดี่ยวก็ไม่ให้ซะเลย
                    "เอ่อ....อืมๆ ฟู่ว์" พี่มาร์ทวางกระเป๋าถือลงกับพื้นก้มลงเป่าเทียนจนดับครบทุกเล่ม แล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่มบอกออกมาว่า "ขอบคุณครับ"
                    "ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ" ผมยิ้มออกในทันที เห็นทำหน้านิ่งตอนแรกเลยไปต่อไม่ถูก
                    "รอนานไหม? พี่ขอโทษนะครับ” อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะรับเค้กในมือของผมไปวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัว “พี่เองก็ลืมโทรหาเราด้วยสิ คราวหลังถ้าดึกมากฝากโน๊ตทิ้งไว้แล้วกลับไปก่อนก็ได้ กลับค่ำมืดมันอันตราย"
                    "ไม่เป็นไรครับ ผมก็รอเอาเค้กให้พี่นี่แหละ"
                    "รอพี่? รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดพี่"
                    "เอาเป็นว่ารู้ละกัน" ผมยิ้มตอบพลางนึกย้อนถึงวันก่อนๆที่มาเยี่ยมเยียน เห็นกรอบรูปตั้งโชว์ในตู้ระบุวันเวลาพร้อมข้อความยินดีของเพื่อนฝูงทำไมคิดว่าจะลอดสายตาผมไปได้ “ดึกแล้วอะ งั้นผมกลับก่อนนะครับ” รีบเก็บของกลับตอนนี้รถไฟฟ้าใต้ดินคงยังไม่ปิด แต่คนน่าจะเยอะอยู่ ถ้ากลับรถเมล์ก็คงไม่ต่างกันแถมถนนยังแน่นอีกต่างหาก งั้นนั่งรถไฟฟ้าไปลงครึ่งทางแล้วต่อรถเมล์น่าจะเหมาะกว่าละมั้ง แต่เดี่ยวแวะหาก๋วยเตี๊ยวกินข้างทางก่อนกลับดีกว่า หิวจะแย่ละ
                    "จะกลับแล้วเหรอ พี่ยัง..."
                    "มีอะไรปะครับ" ผมถามทั้งที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นสะพาย แต่พี่มาร์ทกลับเงียบไม่พูดอะไรต่อ สายตาคมจับอยู่ที่ใบหน้าผมด้วยอาการครุ่นคิดไม่ละไปไหน สีหน้าดูอิดโรยกว่าวันก่อนๆจนสังเกตได้ชัด ผมจึงขยับสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ถามด้วยความเป็นห่วงว่า "มีเรื่องที่ทำงานปะครับ เล่าให้ผมฟังก็ได้นะ"
                    "ไม่ใช่หรอกครับ" ตอบรับแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง คราวนี้สายตากลับผลุบลงต่ำเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตา พาลเอาผมรู้สึกกังวลตามไปด้วยจนกลัวจะพูดอะไรที่ทำลายบรรยากาศอันตรึงเครียดจนน่าวังเวงนี้เข้า มือข้างที่ว่างจึงยื่นออกไปตบเข้าที่ต้นแขนอีกฝ่ายเชิงให้กำลังใจเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างสูงกว่าสะดุ้งพูดโพล่งขึ้นมาว่า "พี่ขอกอดแมคได้ไหม?"
                    "ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ละ เรื่องแค่นี้เอง อุ๊บส์..." แรงโถมกอดจากคนตัวโตกว่าทำเอาร่างของผมเซถอยหลังไปเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวถูกรัดแน่นแต่ไม่ถึงกับอึดอัดจนขยับไม่ได้ แม้ผมจะรู้สึกเฉยๆไม่คิดมากกับการกอดครั้งนี้แต่ครั้นจะไม่เฉลียวใจกับอารมณ์ของอีกฝ่ายก็คงจะดูแปลกเกินไป สองแขนจึงยกขึ้นโอบแผ่นหลังของคนตรงหน้าไว้พลางลูบไปมาให้คลายทุกข์ พอจะเดาออกว่า อาการเช่นนี้คงไม่พ้นมีเรื่องหนักใจสักอย่างแต่ไม่พร้อมจะเล่าแน่ๆ "ถ้าผมทำอะไรให้พี่มาร์ทลำบากใจอะไร ผมขอโทษนะครับ" ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไปเช่นนั้นเหมือนกัน พี่มาร์ทเลยคลายอ้อมกอดออกมองใบหน้าของผมแทน
                    "เอ๋? ทำไมคิดงั้นละ"
                    "คือผมก็รบกวนพี่บ่อยๆ ไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะเวลาพี่ทำงาน ไหนจะรบกวนเวลาพี่พักผ่อน... อย่างวันนี้พี่ควรจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ต้องรีบกลับ"
                    "คิดมากน่า พี่โทรเลื่อนนัดหมดแล้ว อยากกลับมาคอนโดนี่แหละ"
                    "ก็นั่นแหละครับ ผมว่าผมกลับบ้านเลยดีกว่าพี่มาร์ทจะได้พักผ่อน วันนี้ไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ ถ้าผมถึงบ้านแล้วจะโทรบอก" บางทีตัวถ่วงที่ว่าอาจจะเป็นผมเอง สงสัยต้องลดความเอาแต่ใจของตัวเองลงหน่อยซะแล้วมั้ง ผมคงล้ำเส้นความสัมพันธ์มากเกินไป พี่มาร์ทเองก็คงคิดแต่คงไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจผมอยู่แน่ๆ “งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
                    "เดี๋ยว!!! อย่าเพิ่งไป" มือหนาคว้าเข้าที่ข้อแขนก่อนที่ผมจะเดินไปยังประตู "พี่เลื่อนนัด เพราะกลัวจะกลับมาเจอแมคที่คอนโดไม่ทัน"
                    "ผมเหรอ? งง?" หรือผมทำอะไรผิดจริงๆ เริ่มเครียดจนคิ้วขมวดเป็นปมขึ้นมาละ
                    "ขอพี่พูดอะไรตรงๆได้ไหมครับ"
                    "ซีเรียสไหม ถ้าใช่เอาวันอื่นได้ไหมอ่า" ผมแสร้งหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เพื่อลดความเครียดในจิตใจแต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
                    "พี่ชอบแมคนะครับ"
                    "ครับ ผมก็ชอบพี่มากๆเหมือนกัน" ผมยิ้มรับตอบกลับไปทั้งที่ในใจก็สงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกัน
                    "ไม่ใช่ชอบอย่างที่แมคคิด พี่ชอบแมคแบบที่แฟนเขาชอบกันนะ"
                    "ห๊ะ! ฟะ...แฟนชอบกัน" ถึงกับอ้าปากค้างพร้อมกระพริบตาปริบติดกันสามครั้งติด หูฟาดครั้งนี้ทำเอาร้อนจากแผ่นอกขึ้นหน้าเลย สงสัยคงต้องถามย้ำอีกครั้งมั้งครับเผื่อคำตอบจะเป็นอย่างอื่น "จริงเหรอ?"
                    "ครับ"
                    "ไม่จริงสินะ เอ๋...พูดว่าครับงั้นก็จริง งั้นก็...อ่า....เออ...เอ่อ...คือ....ร้อนอะ" เริ่มไปต่อไปไม่ถูกซะละ หันซ้ายขวาหาอะไรทำดีวะ
                    “ร้อน?”
                    “ไม่รู้สิครับ มันเพิ่งจะร้อน พี่มาร์ทไม่ร้อนเหรอครับ ไม่มีเหงื่อคงไม่ร้อนสินะ ผมคงร้อนคนเดียวเร่งแอร์หน่อยดีกว่าเนอะ อ๋อ...นั่นไงรีโมทแอร์ เอ่อ...รีโมททีวีนี่หว่า เอ่อ...ทำไงดีวะ?” ทำอะไรไม่ถูกเลยครับตอนนี้ อยากบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาบอกชอบผม แต่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายมาบอกชอบผม แล้วทำให้ผมหายใจติดขัดหน้าร้อนผ่าว มือเท้ากลับชาและเย็นเฉียบ พอเงยหน้าขึ้นมองสายตาที่ก้มลงมาแล้วมันพาลใจสั่นชอบกล สงสัยต้องกลับไปกินยาแก้ไข้ซะละ วูบวาบๆแบบนี้ไม่สบายชัวร์เลย เขาว่าเดี่ยวนี้หวัดเป็นกันง่ายๆแค่ชั่วพริบตา “ขอยาไทลินอลเม็ดสิครับ”
                    “หึๆ น่ารักกว่าที่คิด”
                    “อะไรนะครับ?” แว่วๆว่าน่ารักๆอะไรสักอย่างๆนี่แหละ
                    "เปล่าๆ พี่ไม่มียาแก้ไข้หรอก” พี่มาร์ทพูดขึ้น เอื้อมมือจะมาสัมผัสหน้าผาก แต่ผมกลับเอี้ยวตัวหลบกลัวอะไรก็ไม่รู้ “เซเว่นซอยข้างๆคอนโคน่าจะมี ให้พี่ไปซื้อไหมหรือแมคจะกลับเลย”
                    “อ่าใช่ครับ ขอบคุณที่เตือน งั้นกลับบ้านกัน เฮ้ย...ไม่ใช่ ผมกลับบ้านคนเดียว บ้านพี่มาร์ทอยู่นี่” เอาละชักอยากกุมขมับ สงสัยผมจะเพ้อพิษไข้ซะละ
                    “ดึกแล้ว พี่ไปส่งแมคดีกว่า"
                    “ไม่เอาๆ เดี่ยวพี่มาร์ทติดหวัดผมแย่เลย นอนพักเถอะครับ ทำงานหนักๆมาต้องนอนพักเยอะๆ”
                    “หึๆ ยังคิดว่าเป็นหวัดอยู่อีกเหรอ? พี่แข็งแรงจะตายไม่เป็นหรอกครับ แต่ตามใจเราละกัน พี่เดินไปส่งขึ้นแท็กซี่ละกันครับ ส่วนนี่ค่ารถ พี่ไม่รับคืนครับ เอาไป ถือว่าตอบแทนที่อุตส่าห์รอพี่ตั้งนาน"
                    “อืมครับ พี่มาร์ทอย่าลืมทานเค้กนะ เค้กส้มร้านนี้เปรี้ยวหวานอร่อยมากขอบอก” ผมหันมองเค้กอีกครั้งก่อนจะกระชับกระเป๋าเข้าที่รีบก้าวเดินนำไปก่อน ไม่อยากหันมองใครเลย แต่พี่มาร์ทโผเข้าโอบกอดผมจากทางด้านหลังอีกครั้งก่อนจะพูดว่า
                    “สัญญาครับว่าพี่จะกินไม่ให้เหลือเลย”
                    “อะครับ” ผมยิ้มรับตาหยีฉีกยิ้มกว้างทั้งที่หัวใจเต้นรัว ยามนี้แค่หันไปมองหน้าผมยังไม่กล้านับประสาอะไรกับจะขยับหนี ว่าแต่ว่ากินอะไร? “ห๊ะ...ว่าอะไรนะครับ”
                    “พี่ชอบแมค” ถึงกับชะงักค้าง ประโยคนี้มาไงกันละนี่ “จริงๆนะ” ขอร้องเถอะครับหยุดพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังได้แล้ว ก่อนผมจะทนปั้นหน้านิ่งไปกว่านี้ไม่ไหว
                    “อืม งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผละออกจากอ้อมกอดได้ ผมก็รีบยกมือไหว้ปรกๆท่วมหัววิ่งปราดเดียวไปยังประตูเบื้องหน้า ก่อนจะกระชากออกแล้วปิดกลับอย่างรวดเร็ว

          ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่มาร์ทต้องพูดคำนั้นออกมาด้วย? ทำไมผมไม่กล้ามองหน้า? ทำไมผมไม่ตอบโต้อะไรออกไปสักอย่างเอาแต่สั่นงันงก? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไมผมถึงรู้สึกอบอุ่นแปลกๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้? ใครก็ได้บอกผมที...ผมควรจัดการกับสภาพตัวเองต่อยังไงดี? ไม่รู้เว้ย เอาเป็นว่า กลับบ้านก่อนละกัน

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 03-04-2016 23:40:45
น้องแมคน่าร้าาาากกกกกกกก พี่มาร์ทดูเป็นผู้ใหญ่อบอุ่นมากๆเลย
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 03-04-2016 23:46:52
อ่านรวด แมคน่ารักมาก โดนบอกชอบถึงกับไปไม่เป็นเลย 5555

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (1/2)] 04-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 04-04-2016 20:20:42

Until You


ตอนที่ 4 (1/2)

          ผ่านวันนั้นมาก็หลายเดือนแล้ว ทำไมผมยังไม่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น? ทำไมผมถึงควบคุมใจให้สงบอย่างทุกครั้งที่เห็นเบอร์โทรคุ้นตานี้ไม่ได้? ทำไมแค่คิดจะกดรับกลับต้องทำใจตั้งสติมากกว่าสายอื่นๆที่โทรเข้ามา? ทำไมมือผมถึงสั่น หน้าร้อนผ่าว และพูดตะกุกตะกักทุกครั้งที่รับสายพี่มาร์ทด้วยก็ไม่รู้? ทำไมคำง่ายๆอย่าง ‘สวัสดีครับ’ ถึงเปล่งออกมาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน?

                    (เงียบเชียว ไม่สบายหรือเปล่า)
                    “ครับ เฮ้ย! ไม่ใช่ ผมสบายดี”
                    (พี่จะชวนไปดูหนังเสาร์นี้ว่างไหม)
                    “อ่า...คือ....”
                    (ไปไหมครับ เลือกโรงหนังแถวบ้านแมคก็ได้ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล)
                    “เอ่อ...ผม...”
                    (เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบๆไม่ค่อยพูดเลยนะเรา ให้พี่ไปหาที่บ้านเย็นนี้ไหม)
                    “เฮ้ย! ไม่ต้องมา แมคตกลงไปดูหนังเสาร์นี้ เจอกัน 10 โมงหน้าทางเข้า ดูแฮร์รี่ พ๊อตเตอร์ ซาวน์แทรก ไปเร็วๆจะได้ที่นั่งแถวบนๆ เอาที่ไม่นั่งติดใคร พี่มาร์ทออกเงินค่าตั๋วไปก่อน เดี่ยวแมคจ่ายคืนเอง ขอบคุณครับ ฝันดีครับ”
            ติ๊ด กดวางสายไปได้ ชักโล่งอกขึ้นมาหน่อย โอย เหนื่อยเลยพูดแทบไม่ได้หายใจ
                    “จ๊าก!! โทรเข้ามาทำไมอีกเนี๊ยะ”
                    (นี่เพิ่งบ่ายโมงเองนะครับ จะให้พี่รีบนอนไปไหน? หึๆ)
                    “อ้าว จริงด้วย ก็คนมันเบลอไม่ได้เหรอครับ” ผมถึงกับเบ้หน้าที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร้อ “เรื่องดูหนังก็ตามนั้นอะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว วางนะครับ”
                    (ทำไมถึงตัดสายพี่ละ)
                    “เอ่อ...คือ...ผมปวดห้องน้ำนะครับ”
                    (อืม งั้นก็ไปเถอะ เดี่ยวค่อยคุยกันใหม่)
                    “อ่าครับ...งั้นผมไปนะ งั้นผมวางละนะ” ทำไมถึงรู้สึกไม่อยากขึ้นมาซะแล้วละครับ ถอนหายใจ
                    (พี่ชอบที่แมคแทนตัวเองด้วยชื่อมากกว่าใช้ผมนะ)
                    “ทำไมละครับ”
                    (นั่นสินะ ทำไมกันนะ... ไม่ไปเข้าห้องน้ำแล้วเหรอ?)
                    “อ่า...ไปครับไป เดี่ยวผมรอฟังคำตอบวันเสาร์ก็ได้”




                    “แมค!”
                    “ครับ”
                    “เป็นอะไร กำมือถือแน่นเชียว”
                    “เอ๋? อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ จะถึงหน้าเคาน์เตอร์ขายบัตรแล้วนี่?” ผมเงยหน้าขึ้นมองซ้ายขวาพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ สงสัยผมคิดเรื่องอดีตมากจนเบลอ “เอาที่นั่งบนๆดีไหมครับ เห็นจอชัด มุมกว้างด้วย”
                    “แต่พี่ซื้อบัตรแล้วนะ แมคให้พี่ซื้อก่อนมาถึงไงครับ ลืมแล้วเหรอ”
                    “อ่า...เออ...” โอเค ผมกำลังหน้าแตกในสถานการณ์สุดเบลอยืนเอ๋ออยู่กับที่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนข้อมือถูกดึงไปจับไว้หลวมๆ ปลายนิ้วของอีกฝ่ายค่อยๆกางมือของผมออกทีละนิ้วบรรจุวางตั๋วหนังลงกลางฝ่ามือ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาสลับกับมองสิ่งของในมือแล้วรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จนต้องรีบยัดของในมือคืนไปถอยหลังห่างออกมา
                    “เป็นอะไร?
                    “เปล่าครับ ผมว่าจะไปซื้อป็อบคอร์น”
                    “พี่ไปด้วย” ถึงกับสะดุ้งตัวโยนจนต้องรีบเอามืออีกข้างลูบต้นแขนส่วนที่โดนพี่มาร์ทแตะเมื่อครู่ กระแสไฟช็อตแปล่บๆตอนโดนตัวกัน นี่มันคืออะไร! “แมค...แมครู้สึกเหมือนพี่...”
                     “เราไปกันดีกว่าเนอะ”

          ผมพูดตัดบทด้วยไม่อยากได้ยินอะไรต่อจากนี้ สองขาจ้ำอ้าวเดินมุ่งหน้ามาแต่เพียงผู้เดียว ผมไม่เข้าใจ เมื่อกี้มันอะไรกัน? เขาเรียกไฟฟ้าสถิตย์สปาร์กบึ้มใช่ไหม? โดนตัวไปนิ๊ดเดียวทำเอาหน้าจะไหม้ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก อากาศโดยรอบสูงขึ้นสามองศา ครั้นจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ พี่มาร์ทกลับโผล่มาเดินแนบข้างกายส่งยิ้มให้ซะอีก แล้วแบบนี้ผมจะกล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตาได้อย่างไร ผมทำหน้าทำตาไม่ถูกละครับตอนนี้? ถ้าผมยังไม่กล้าพอเอาแต่หลบสายตาอยู่แบบนี้ งั้นแบบนี้ความสัมพันธ์ผมกับพี่มาร์ทคงจะไม่เหมือนเดิม? แล้วความสัมพันธ์ต่อไปละจะเป็นยังไง? ทั้งที่... พี่มาร์ทออกจะเป็นคนที่ผมรู้สึกเป็นกันเองเวลาอยู่ด้วยกันที่สุด

                    "พี่ชอบแมคนะครับ...พี่ชอบแมคแบบที่แฟนเขาชอบกันนะ"
                    “อ่า...เอ่อ....ผม”
                    “แมคคิดยังไงกับพี่ครับ คิดตรงกับพี่ไหมครับ”
                    "ผมก็ชอบพี่มาร์ทครับ เอ๊ะ ยังไง? ไม่ใช่! ผมไม่ได้โมเอะขนาดนั้น ลบๆถือว่าไม่ได้พูด"


          นับวันผมชักจะแย่ คำว่า ชอบ ซะแล้วสิครับ มันดังก้องอยู่ในหัวผมตลอดจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ใครจะนึกว่าพี่มาร์ทจะกล้าบอกความรู้สึกตรงๆแบบนั้น ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกบอกว่าชอบ ยิ่งพอได้ยินคำว่าชอบ สัมผัสในอ้อมกอดอุ่นกลับชัดเจนติดแน่นตราตรึงยิ่งกว่าเดิม จะว่าไปผมก็ชอบอ้อมแขนนี่อยู่นะ ถ้าได้กอดบ่อยๆคงจะดีไม่น้อย เอ๋? ผมยิ้มอะไรนี่ ไม่ได้ๆ คิดไปก็ขมวดคิ้วสลับกับยิ้มอยู่คนเดียว อย่างกับคนบ้านะครับ

                    "พี่ชอบแมคนะครับ"



                    "แมค...แมคครับ"
                    "เฮ้ย ครับ ว่าไง?"
                    "เอาข้าวโพดคั่วรสอะไรครับ"
                    "หวานเค็มผสมกันครับ" ผมตอบรับด้วยความเขินเล็กน้อย คิดมากจนเพี้ยนจริงๆ ไปล้างหน้าล้างตาท่าจะดีขึ้น "เดี่ยวเจอกันหน้าโรงหนังเลยนะครับ ผมไปห้องน้ำแป็บ"
                    "รอไปพร้อมกันเลย ฝากถือแก้วน้ำหน่อยสิครับ"
                    “โอเค” เลิกคิดฟุ้งซ่านได้ละ ต้องมีสติๆ


          นี่ก็เป็นอีกวันในช่วงวันเสาร์ที่ผมกับพี่มาร์ทตกลงใจจะมาดูหนังร่วมกัน หลังจากเกิดเหตุสารภาพ 'ชอบ' แบบไม่ทันตั้งตัวสำหรับผมแต่ดูจะตั้งใจสำหรับคนพูดเหลือเกิน เพราะผมรู้สึกว่าถูกรุกหนักกว่าเดิมชอบกล เอ๋...หรือผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไป พอๆต้องเลิกคิดได้ละนี่มาดูหนังคลายเครียด ต้องไม่ให้เครียดสิ จ้วงป๊อบคอร์นมายัดปากกินของฟรีให้อิ่มพุงดีกว่า อ่า...อร่อยปานกลางแต่แก้หิวได้ชะงัดนะ ของฟรีนี่รสชาติดีอย่างนี้เอง ผมละชอบก็ตรงนี้ละ แต่มันจะเป็นการเสียมารทยาทกับคนซื้อไหมครับ ถ้าผมไม่แบ่งให้เจ้าของที่แท้จริงหม่ำเลย

          ว่าแล้วจึงเลื่อนมือที่กำลังจ่อตรงริมฝีปากยื่นไปตรงหน้าของคนข้างกายแทนด้วยท่าทีกล้ากลัวๆ พี่มาร์ทเหลือบสายตามามองผมเพียงแว่บเดียว แล้วก็เบนสายตากลับไปมองหน้าจอต่อ แบบนี้แสดงว่าไม่รับประทานความเค็มจากมือผมสินะ งั้นเสร็จผมละ
         
                    "อ้าม...เฮ้ย!!!" ผมมองตาค้างดูข้าวโพดคั่วในมือผลุบหายเข้าไปในปากของอีกฝ่าย รู้สึกถึงความนุ่มที่โดนริมฝีปากคู่นั้นเลย
                    "หึๆ อึ้งขนาดนั้นเชียว พี่ขอโทษครับ" เกิดมาไม่เคยให้ปากใครโดนนิ้ว วันนี้กลับเสียไปจนได้ คิดว่าผมจะทำหน้าระรื่นดูหนังต่อไปได้เหรอครับ ไม่กินมันแล้วป๊อบคอร์น ส่งให้เจ้าของมันถือไปกินเองเลย ผมจะไม่กินละ จะตั้งใจดูหนังดับความร้อนบนใบหน้าระงับอาการใจเต้นตุ๊บๆนี่ให้ได้เลย "เป็นอะไรครับแมค?"
                    "เปล่าครับ" ผมตอบรับเสียงห้วน
                    "ไม่สบายรึเปล่ามือเย็นเฉียบแต่ทำไมมีเหงื่อ" ไม่พูดเปล่ากลับคว้ามือผมไปกุม ความอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วฝ่ามือกลับส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายผมยิ่งสูงเข้าไปอีก แบบนี้ไม่ดีละ? ผมต้องเคลียร์ความรู้สึกตัวเองให้รู้เรื่องให้ได้เลย
                    "กลับกันเลยได้ไหมครับ" ผมหันไปถามด้วยสีหน้าจริงจัง พี่มาร์ทเองก็หรี่ตามองตอบกลับมาด้วยสายตาแน่วแน่เช่นกัน "ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่มาร์ทอะครับ"
                    “อืม พี่ก็เหมือนกัน”



                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (1/2)] 04-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 04-04-2016 20:52:24
น้องแมคอาการหนักมาก น่าร้าาากกกย :mew1:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (2/2)] 05-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 05-04-2016 21:21:58

Until You


ตอนที่ 4 (2/2)

          หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่มาร์ทก็เดินทางกลับมายังคอนโดมิเนียมย่านรัชดาภิเษก ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจว่าจะหาที่สงบนั่งคุยกันอย่างร้านกาแฟ แต่พอเดินเข้าไปกลับสัมผัสถึงความไม่เป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำธุระที่ผมอยากจะพูดก็ดูไม่ควรเปิดเผยในที่สาธารณะเท่าไหร่ สุดท้ายจึงต้องกลับมายังคอนโด แม้จะเดินทางไกลหน่อยแต่ก็เหมาะสมลงตัวที่สุดแล้ว
          เมื่อมาถึงผมก็จัดแจงเปิดแอร์และยื่นมือไปรับแก้วน้ำผลไม้จากพี่มาร์ทมาดื่มหมดไปครึ่งแก้วแล้วจึงนั่งลงกวาดสายตามองสำรวจสภาพสิ่งของโดยรอบภายในห้องคอนโดมิเนียม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เว้นแต่เจ้าของจะมีท่าทีเปลี่ยนไป พี่มาร์ทเอาแต่นั่งกุมมือมองพื้นสลับกับมองนาฬิกาแขวนผนังเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่จนผมเองชักเริ่มกังวลตามไปด้วย ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปเหมือนกันด้วยกลัวจะเป็นการรบกวน จนในที่สุดพี่มาร์ทก็เงยหน้าขึ้นมองสบตากับผมแล้วพูดขึ้นมาว่า

                    "เออ... แมคถามก่อนดีกว่า"
                    "อ้าว?" สงสัยผมจะอุทานในใจดังไปหน่อย คนตรงหน้าเลยทำหน้าตึงใส่
         
          ผมเองก็อึกอักไม่รู้จะเริ่มถามอะไรก่อนเหมือนกันจึงได้แต่เงียบมองหน้ากันสลับไปมาอีกเป็นเวลานานพอสมควร ใจจริงอยากจะถามออกไปตรงๆแต่ก็ชั่งใจเลือกไม่ได้ระหว่างคำถามสองข้อ ทำไมพี่ถึงชอบผม กับ ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบพี่ คิดไปคิดมานี่มันคำถามแบบคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า? งั้นถ้าเรียบเรียงคำถามใหม่ควรจะถามว่าอะไรดี คิดไม่ออก เครียด! บรรยากาศตึงเครียดอึมครึมนี่ทำเอาเส้นประสาทของผมชักเต้นตุบขึ้นมาละ เออ...บางทีฟังเพลงอาจจะดีขึ้นก็ได้ โฮมเธียเตอร์ตรงโน้นแล้วแผ่นซีดีเพลงเก็บอยู่ตรงไหนหว่า คงต้องเดินไปรื้อซะละ

                    "โธ่โว๊ย!!!" เสียงสบถทำเอาผมสะดุ้งเฮือกไม่กล้าขยับลุกขึ้นยืนเลย มองแล้วก็ไม่พูดสักที เดี่ยวพูดก่อนซะเลย
                    "แมค/พี่"
                    "พี่พูดก่อนดีกว่าครับ"
                    "แมคแหละ"
                    "อ่า...” สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งแล้วถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า อยู่แบบนี้ผมคงเครียดตาย ”ผมกลับละกันครับพี่มาร์ท จะสี่โมงแล้ว"


          ในที่สุดผมก็ไม่กล้าพอจะถามอะไรสักอย่าง ถึงปากจะบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ใจกลับคิดตรงกันข้าม สองแขนที่ควรจะหยิบกระเป๋ามาสะพายแข็งเกร็งไม่ขยับไปทำหน้าที่ ทั้งสองขาที่ควรจะเดินหนีก็ถูกตรึงไว้กับที่ไม่ได้ขยับไปทางประตูอย่างใจคิด ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับคำพูดของคนตรงหน้าแต่กลับไม่ได้ยินแม้เสียงห้ามไม่ให้ผมกลับ แล้วแบบนี้ผมควรทำอย่างไรต่อดี? บางทีผมควรจะถามไปตรงๆแบบไม่ต้องคิดมากอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

                    "คบกับพี่ได้.../ พี่ชอบผมจริง..."
                    "จริงครับ"
                    "อะไรจริง ผมงง" ผมถามออกไปทั้งที่สมองกำลังประมวลผลแบบสติไม่เต็มร้อย
                    "ก็ที่แมคถามไง"
                    "อ้าว ผมถามพี่ว่าไรครับ" ดันเป็นอัลไซเมอร์แบบกระทันหันซะงั้นเลย
                    "หึๆ....ฮ่าๆๆ" แทนที่จะได้คำตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะปิดปากแบบคนสงวนท่าทีมาแทน มองแล้วมันน่าแกล้งโมโหกลับไปมาก ไม่ช่วยคิดแล้วยังจะมาขำผมอีก
                    "อย่าหัวเราะผมสิ"
                    “โอเคๆ หึๆ” พี่มาร์ทเมินหน้าหนีปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง แววตาหยอกล้อแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังแน่วแน่ รอยยิ้มมุมปากคลายออกจนใบหน้าเปื้อนยิ้มกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉย ผมมองด้วยความอึ้งอยู่พักก่อนเสียงนุ่มจากริมฝีปากนุ่มจะขยับเอ่ยวาจาที่ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทันว่า "คบกับพี่ได้ไหมครับ?"
                    "เอ่อ ... ก็...” ถึงกับอึกอักไม่คิดว่าจะโดนคำพูดแสกเข้ากลางหน้าเล่นเอามึนไปหลายวินาที แต่พอทวนคำถามในหัว ผมกลับมีคำตอบตายตัวอยู่ก่อนแล้วจึงพูดออกไปว่า “ไว้อีกสักพักดีไหมครับ" ผมตอบรับพลางถอนหายใจ
                    "แมคไม่ชอบพี่เหรอ?"
                    "ไม่ใช่ๆ เอ่อ...ผมไม่รู้ ไม่รู้อะ ผมยังไม่รู้จักพี่ดีพอมั้ง? ก็เลยไม่อยากตอบรับ" มองแววตาเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าแล้ว ผมไม่อยากสบตาอีกฝ่ายเลยครับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
                    "ตกลงไม่ใช่หรือว่าไม่รู้!!"
                    "ผมไม่รู้ว่า ตัวเองชอบพี่แบบชอบแบบ แบบ..ชอบอะ" พูดเองยังสับสนในตัวเองเลย ทั้งที่อยากจะสื่อว่า ชอบแบบชอบไหมคืออะไร เอ๊ะ...งง แล้วมันแปลว่าไร นี่ผมจะพูดอะไรวะ ลืม
                    "เอ๋...?" คาดว่าคนฟังเองก็คงงงไม่ต่างกันกับผมเท่าไหร่ เล่นเบิกตากว้างจ้องมองแบบไม่เชื่อสายตามาที่ผมซะขนาดนั้น
                    "ช่างมันเถอะ เข้าใจว่า ผมไม่รู้ว่า ชอบมันเป็นยังไงละกัน" ผมตัดบทบอกไปไม่อยากใส่ใจอะไรมากละ คิดมากปวดหัวซะเปล่าๆ พี่มาร์ทเองก็นิ่งเงียบไปเช่นกันคงรอฟังผมพูดต่อ แต่ขอบอกเลยว่า ผมไม่มีไรจะพูด จะรัก จะชอบ จะเป็นแฟน ผมยังไม่อยากเข้าใจอะไรตอนนี้ ขอไปนอนสักตื่น คิดออกแล้วจะมาบอกละกัน
                    "เอ่อ...งั้นผมก...กลับ"
                    "แมคไม่เคยมีแฟนใช่ไหม?" เป็นคำถามที่ฟังแล้วเจ็บจึกอย่างกับโดนธนูอาบพิษพุ่งปักอก ใช่ครับผมยังไม่มีแฟน คนมันไม่คิดจะอยากมีภาระสนใจเพศตรงข้ามหรือเรื่องรักๆใคร่ๆนี่มันแปลกนักหรือไง ผ่านวัยประถมมัธยมมาแบบไร้ราคีดีจะตาย แต่ถามแบบนี้จะให้ผมเสียเชิงหนุ่มหรือไงกัน? คิดแล้วเริ่มมีเคือง
                    "ก็ใช่ แล้วทำไมเล่า"  ผมบอกปัดคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
                    "โอเค" แต่ผมไม่โอเค "งั้นถามต่อ เคยชอบใครจริงๆจังไหม"
                    "ก็คงมีหรือไม่ก็ไม่มี ผมไม่ได้ใส่ใจอะครับ" กิจกรรมของโรงเรียนมีมากมายเยอะแยะจนเวลาเรียนแทบไม่พออยู่แล้ว จะหาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพรรค์นี้
                    "ต้องเคยมีบ้างแหละ สมัยเรียนมัธยมนะ ไม่ชอบใครเลยเหรอ"
                    "ขอคิดก่อนนะครับ...อืม... อ๋อ... มีๆๆแต่คงแค่มากกว่าเพื่อนธรรมดา" เธอเป็นเพื่อนสาวคนหนึ่งในแก็งค์เด็กมัธยมปลายของผม เป็นสาวผมเปีย หน้าตาดีออกแนวหมวย บุคคลิกดูห้าวแต่ไม่ถึงขั้นทอม ผิวขาว สูงกว่ามาตราฐานหญิงสาววัยเดียวกันเล็กน้อย ถามว่าอะไรที่ทำให้ผมเคยชอบนะเหรอครับ ตอบเลยว่าไม่มี ก็แค่อารมณ์วัยรุ่นชอบของสวยงาม   
                    "ชอบขนาดอยากเป็นแฟนกับเขาเลยเปล่า?"
                    "โอย ไม่ขนาดนั้น ผมแค่เห็นแล้วสบายใจ" เหมือนกับว่าได้มองคนสวยแล้วสบายตาสบายใจ
                    "ถ้าไม่เห็น จะนอนไม่หลับ หงุดหงิดไปทั้งวัน?"
                    "ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรเลย" ตัวไม่ได้ติดกันสักหน่อย จะไปทำอะไรมันก็เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนนี่
                    "แล้วถ้าเกิดว่า คนๆนั้นเกิดมีแฟนละ?"
                    "อ้าว ก็เรื่องของเขาสิ มีแฟนก็เรื่องของเขา ผมไม่ได้เกี่ยวสักหน่อย" ผมชอบเธอ ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากครอบครองเธอสักหน่อย จริงไหมครับ?
                    "ไม่หึงเหรอ? คนที่ชอบมีแฟน"
                    "ไม่ครับ มันการตัดสินใจของเขา" หลายคนคงคิดว่า ถ้าอยากให้คนที่ชอบมีความสุขก็คงต้องปล่อยไป หรือหลายคนก็คงคิดต่างออกไปว่า ชอบแล้วก็ต้องหึงหวงอยากเก็บไว้กับตัวไม่อยากจากไปไหน แต่สำหรับผม ที่พูดออกไปเช่นนั้น ไม่ได้แปลว่า ผมเป็นคนดีอยากให้คนที่ชอบมีความสุขชู้ชื่นกับคนอื่น ผมหมายถึงว่า ตัวผมเองเป็นคนไม่ชอบผูกมัดใครไว้กับตัว ผมให้อิสระกับคนที่ผมใส่ใจเสมอ ผมกับเธอเป็นเพียงเพื่อน ยังไม่มีสถานะคนชอบกันมาค่ำคอ ดังนั้นต่างคงต่างก็มีชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว ผมยังสนุกกับวัยเรียนเฮฮาเรื่อยเปื่อยแบบคนไร้คู่มีความสุขกว่าตั้งเยอะ
                    "งั้นเปลี่ยนใหม่ เคยมีคนบอกชอบไหม"
                    "มีสิ ตั้งหลายคน" พูดแล้วภูมิใจสมัยเรียนผมเป็นทั้งสารวัตรนักเรียน ประธานชมรม นักดนตรีและนักกีฬาของโรงเรียนไปพร้อมกันๆ ความนิยมชมชอบในตัวผมเลยมีเยอะพอควร
                    "แล้วแมคทำไง เออ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย"
                    "ทั้งสองอย่างละครับ แต่กี่คนต้องนับก่อน..5-6 คนมั้ง"
                    "แล้วเขามาบอกชอบ แมคตอบว่าไง"
                    "ก็ปฏิเสธไป เพราะผมไมได้ชอบ"
                    "ยังไง?"
                    "บอกไปตรงๆเลยครับ ผมถามว่า ทำไมชอบผม เขาก็จะตอบมา ผมก็พูดต่อว่า ผมไม่ได้ชอบ จบแค่นั้น" ตามนั้นเป๊ะเลยครับ มีคนมาสารภาพรัก ผมไม่ได้รัก ผมก็ต้องตอบปัดเยื่อใยเป็นธรรมดา คิดแล้วออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำกว่าจะพูดว่าชอบงั้นงี้ได้ ทำผมเสียเวลาฟังไปนานหลายนาที จนเกือบโดนครูดุไปซ้อมไม่ทัน
                    "หืม?"
                    "ทำไมอะครับ ผมทำอะไรผิดเหรอ"
                    "ค่อยว่าทีหลัง แล้วเขาว่าไงกันบ้าง"
                    "ก็มีร้องไห้ วิ่งหนี ยืนนิ่งๆ แต่ที่แรงสุดคือ จับผมกด แม่ง...คิดแล้วแค้นไม่หาย" คือวันนั้นผมกำลังจะไปซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงยิมพอดี เดินลงมาใต้ตึกเรียนกะว่าจะใช้ทางลัดแคบๆระหว่างกำแพงโรงเรียนตัดโรงอาหารลัดเลาะไป จะได้ถึงไว เพราะคุณครูปล่อยช้ากว่าปกติตั้งสิบนาที แต่ดันเจอโจทย์เก่าดักรอ เพื่อนผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ออกไปทางท้วมแต่ไม่มากนัก ผิวคล้ำแต่ไม่ถึงกับดำ นิสัยเคยดี แต่พอเจอผมปฏิเสธไป แล้วตามตื้อเลยเริ่มนิสัยไม่ดีในสายตาผมละ
                    "โดนทำไรไปบ้าง!" พี่มาร์ทตะคอกเสียงดัง ฝ่ามือหนาบีบแขนผมซะแรงจนน่าจะเป็นรอยฝ่ามือ ถามคาดคั้นไม่พอ ยังจะจ้องด้วยสายตาดุดัน ทำอย่างกับสอบสวนผู้ต้องหา
                    "มีเหรอจะทำไรผมได้ ถ้าผมไม่สนซะอย่าง" เห็นพี่เขาขมวดคิ้ว ผมเลยว่าต่อ "คือผมโดนไอ้บ้าตัวนึงมันจับกระแทกผนังกำแพงทางเดิน ดูท่ามันกะจะปล้ำผมแต่แรก เพราะมาดักรอผมเลย แต่แรงมันเยอะกว่า ผมหนีไม่ได้ เลยยืนนิ่งๆ"
                    "แล้วยังไง...ต่อ"
                    "ก็ไม่ยังไงครับ มันอยากทำไรผมก็ให้มันทำไป เพราะผมไม่รู้สึกอะไรด้วย" ก็ทำตัวแบบเป็นรูปปั้นยืนเฉยๆ อยากไซร้คอผมนักก็ไซร้ไป กลับไปอาบน้ำถูกสบู่ก็จบละ
                    "พี่ผิดหวังมากจริงๆ" คำพูดนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วผูกปมหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันเลย
                    "เฮ้ย!!! พี่คิดอะไรเนี๊ยะ"
                    "อ้าว แมคไม่ได้โดนทำไปแล้วเหรอ"
                    "บ้าสิ ถ้าถึงขนาดนั้น ผมจะไปยอมเหรอ" ผมหรี่ตามองจงใจพูดเน้นทีละคำทีละประโยค ก่อนจะโดนมองเสียหายมากไปกว่านี้ "ถ้ามันเสียบผมจริง ผมตัดมันให้ด้วน ชำแหละทิ้งลงท่อ ไม่เหลือให้มันได้ใช้งานจนวันนี้หรอก แต่ถ้าแค่คลอเคลีย ผมก็จะเฉยๆ แต่แม่งคิดจะเอาผมทำตื๊ด... เลยยันเข่าแถมศอก กระทืบซ้ำเข้าให้"
                    "พี่ก็ว่าแล้ว แมคไม่น่ายอม" หัวเราะแถมท้ายพลางคลายแรงจากฝ่ามือลง ทำเอาผมมึนไปเลยกับท่าทีแปลกๆของคนตรงหน้า "โอเค พี่เข้าใจแล้วครับ"
                    "อะนะ แล้วพี่ถามผมทำไม"
                    "พี่ว่า พี่พอเข้าใจแมคแล้ว แต่เรื่องปฏิเสธนี่ พี่ว่าแมคทำแรงไปนะ"
                    "ครับ ผมก็ว่าผมปฏิเสธได้แย่มากๆ ไม่รักษาน้ำใจเลย ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง" พูดแล้วคอตกเป็นต้องถอนหายใจทุกที สิ่งนี้เหมือนเป็นบาปที่ติดใจผมมานาน เพราะทุกๆคนที่โดนผมไปพูดเช่นนั้น ต่างก็หลบหน้าผมกันหมด ขนาดย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนมหาลัยไปเลยก็มี เรียกว่าฐานะความเป็นเพื่อนและรุ่นน้องนี่หายไปพริบตา
                    "ยิ้มหน่อยๆ เรื่องดีๆกลายเป็นเรื่องเศร้าไปแล้ว"
                    "นั่นสิ" นึกถึงวันเก่าๆแล้วน้ำตาชักจะปริบๆซะแล้วสิครับ
                    "ฟังพี่นะครับ พี่ว่าเรานะ สร้างกำแพงให้ตัวเองสูงไปหรือเปล่า" พี่มาร์ทถามเสียงนุ่มอ่อนโยน "การที่แมคสร้างเกราะมาป้องกันตัวเอง จะเพื่อทำให้ไม่หลงเชื่อใจใครง่ายๆหรือไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าก็ตามที มันก็ดี แต่บางครั้งมันก็เป็นผลร้ายต่อตัวแมคได้นะครับ...กำแพงที่แมคสร้างขึ้น มันแข็งแกร่งจนใครก็ทำลายไม่ได้ และแมคเองก็ออกมาไม่ได้เช่นกัน พี่พูดนี่เข้าใจไหม?"
                    "ครับ" ผมพยักหน้ารับฟัง
                    "แมคอยู่บนโลกคนเดียวไม่ได้.."
                    "ผมอยู่ได้" ผมโต้กลับไปทันที แต่แค่จะเถียงกลับ พี่มาร์ทก็ยกมือขึ้นห้ามเชิงปรามผมแทน
                    "แมคแค่เชื่อว่า แมคอยู่ได้ แต่แมคอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก แมคเป็นมนุษย์พี่ก็เป็นมนุษย์ มีความคิดมีความรู้สึกเหมือนกับใครอีกหลายๆคนบนโลก..."
                    "คือพี่จะบอกผมแล้งน้ำใจ ว่างั้น"
                    "เปล่าๆ พูดยากจริงแฮะ" พี่มาร์ทว่า "พี่อยากให้แมคเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนะครับ อย่ามองแต่มุมเดียวด้านเดียวว่า เราคิดไงก็ทำตามใจเรา แมคต้องมองในมุมอื่นด้วยว่า การที่เราทำแบบนั้นหรือพูดอะไรออกไป มันไปกระทบถึงใครหรืออะไรบ้างหรือเปล่า"
                    "ครับ ผมจะจำใส่ใจ" ผมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณอบรมสั่งสอน แต่อีกนัยก็คือยุติบทสนทนา "งั้นผมกลับละ..."
                    "ดีมาก ที่นี้มาเข้าเรื่องกัน"
                    "ยังไม่จบอีกเหรอครับ!"
   

          พี่มาร์ทไม่ตอบรับคำใดทั้งสิ้น สาวเท้าเข้าใกล้จนผมต้องก้าวถอยไปด้านหลังด้วยความประหม่า รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด จำต้องยกสองมือขึ้นพักไว้ที่แผ่นอกคนตรงหน้าเว้นระยะห่างพอควร ดวงตาคมจับจ้องผมไม่วางตาราวกับคาดคั้นอะไรบางอย่าง และถ้าผมถอยไปมากกว่านี้หลังผมกระทบผนังแน่ เดาไม่ถูกว่าพี่เขาจะมาไม้ไหน หวั่นใจชอบกล

                    "แมคชอบพี่ไหม?"
                    "ไม่รู้" ผมตอบรับหน้าตาตื่นกับคำถามที่ได้ยิน "ค...คง...ชอบมั้ง"
                    "รู้สึกยังไงตอนนี้?"
                    "ไม่รู้" แต่ผมใกล้จะกลัวละ ถ้าหน้าพี่เข้าใกล้ผมมากกว่านี้
                    "ใกล้ขนาดนี้ คิดยังไง?"
                    "ไม่รู้" แต่ถอยไปเถอะครับ ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นอะตอนนี้ ยกแขนที่กั้นผมหนีออกไปเถอะ
                    "ตอนที่พี่จับมือในโรงหนัง รู้สึกเหมือนไฟ..."
                    "ไม่รู้ ผมไม่รู้" ส่ายหน้าผับๆปัดมือที่ยื่นเข้ามาตรงหน้าทิ้งไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว
                    "แล้วตอนที่พี่กอดวันนั้น..."
                    "ไม่รู้ วันไหนผมก็ไม่รู้ทั้งนั้น"
                    "ถ้าพี่ทำแบบนี้ละครับ" เสียงกระซิบข้างกกหูแผ่วเบาราวกับใบไม้ไหวกับสัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปาก เล่นเอาผมสะดุ้งโหย่ง เผลอกัดริมฝีปากจนเป็นรอยฟัน
                    "ไม่...อ๊ะ..."
                    "แมค..." ขอร้อง อย่าพูดชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่านี่ หยุดสักที หยุดคลอเคลียริมฝีปากของผมด้วยการไล้ไปมา จะจูบหรือจะทำอะไรก็ทำสักอย่างสิ ร้อนจนหน้าจะไหม้แล้ว
                    "...พี่...หยุด..."
                    "อืม ..."  เสียงครางในลำคอทุ้มต่ำเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ร่างจะถูกรวบเข้าไปกอดเต็มอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆนี่เป็นของใคร ผมหรืออีกคน รู้แต่ว่ามันเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก ยิ่งโดนสัมผัสตรงซอกคอเรื่อยไปยังไรผมยิ่งทำให้รู้สึกเคลิ้ม ไม่ได้ ผมต้องตั้งสติสิ   
                    "อ่า..." ทั้งที่ใจสั่งให้หลบ แต่ร่างกายกลับโอนอ่อนคล้อยตามเอียงรับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ซะได้
                    "ถ้าพี่สัมผัสตรงนี้..." ริมฝีปากน่าดึงดูดนั่นกำลังเผยอขึ้นโน้มเข้ามาใกล้จนเกือบจะแนบชิดตรงมุมปาก  รับรู้แต่เพียงลมหายใจอุ่นๆปะทะเข้าใบหน้าและสัมผัสร้อนระอุยามเมื่อปลายนิ้วที่ไล้ไปตามริมฝีปากของผม "ตรงริมฝีปากคู่สวยนี่ แมคจะรังเกียจพี่ไหม"
                    "ม...ไม่...อะ" ผมไม่รู้...ผมมองอะไรไม่ชัด ภาพตรงหน้าทับซ้อนกันจนเบลอราวกับมีม่านน้ำมากั้น แต่ทำไมผมกลับมองเห็นดวงตาสีเทาชัดขึ้นทุกขณะ เพิ่งรู้ว่าสีเทาอมฟ้านี่มันสวยขนาดนี้เชียว ร้อน ผมร้อน ร้อนมากจนละลายอยู่แล้ว สัมผัสผมมากกว่านี้อีกสิครับ พี่มาร์ท...
                    "แมค คงชอบพี่เข้าให้แล้วครับ"


          ตุ๊บ!!!
          แทบร่วงลงไปกองกับพื้น ดีที่ใช้เท้ายันกำแพงไว้ได้ทัน แต่พี่มาร์ทกลับถอยห่างจากผมไปก้าวนึง ยืนดูยิ้มๆ คงสะใจละสิที่แกล้งผมได้ ฮึ่ม

                    "งั้นเหรอ" ผมตอบสั้นๆหลบสายตา ปรับอารมณ์ที่ปั่นป่วนให้กลับเป็นปกติ
                    "ครับ" แต่คนตรงหน้าส่งยิ้มกว้างกลับมาให้
                    "คิดเองเออเองนะสิ ผม...ผมจะกลับแล้ว" ขืนอยู่นานกว่านี้ ผมคงอายไม่กล้ามองหน้าพี่เขาอีกแน่ นี่ขนาดทำหน้านิ่งใส่ยังจะมีหัวเราะในลำคอให้ได้ยินอีก
                    "ไปครับ พี่ไปส่ง"


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 5 (1/2)] 06-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 06-04-2016 22:43:15

Until You


ตอนที่ 5 (1/2)

          ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านผมกับพี่มาร์ทจะมีช่วงที่พบเจอกันราวครั้งสองครั้งต่อเดือน ซึ่งวันที่เจอนั้นก็ไม่แน่นอนเสมอไป อาจจะติดกันแล้วทิ้งช่วงไปเลยก็มี แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมรู้สึกว่าผมเจอพี่มาร์ทบ่อยมากขึ้น เรียกว่าถี่เกินด้วยซ้ำไป เป็นเดือนละสองครั้งบ้าง เรื่อยมาจนอาทิตย์ละครั้งและล่าสุดนี่ก็สองวันในหนึ่งอาทิตย์ เป็นช่วงเที่ยงทุกวันพุธกับวันศุกร์ จนผมชักสงสัยว่า ขาดงานบ่อยขนาดนี้บริษัทไม่เจ๊งไปแล้วเหรอ

                    "คราวหลังพี่ไปรอที่ร้านคอฟฟี่ช็อปตรงใกล้ๆหอสมุดก็ได้ จะได้ไม่ร้อน" ผมว่าหลังจากรับชามะนาวกระป๋องเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจพลางเหลือบสายตามองสำรวจการแต่งกายอีกฝ่ายไปพร้อมกันทีเดียว ดูแล้วเหมือนไอโซกับยาจกชัดๆเลยแบบนี้เพราะพี่มาร์ทมาในชุดเสื้อคอวีพื้นขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทเทาต่างกับผมที่อยู่ในชุดนักศึกษา ฟังเหมือนไม่ต่าง แต่ถ้าไปถึงงานแล้วผมหยิบเสื้อคอวีลายปลาการ์ตูนกับกางเกงยีนส์สีเทาซีดชนิดเก่าเก็บจากในประเป๋าเป้ขึ้นมาเปลี่ยนละก็ ได้เป็นต่างดาวแน่  "ขอบคุณครับ"
                    “อืม ไปกันเลยละกัน” พี่มาร์ทยิ้มรับพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถและผมเปิดประตูตามเข้าไปนั่ง
                    “ผมไม่ไปแล้วได้ไหมอะ” ผมเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อรถออกเคลื่อนตัวมาได้สักพัก ผมรู้นะครับว่าอาจจะดูผิดสัญญาแต่ทำยังไงได้ก็คนมันกลัวนี่ ตอนถูกเอ่ยชวนใจก็อยากไป แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึกกลัวๆยังไงไม่รู้
                    “ทำไมถึงเปลี่ยนใจ” พี่มาร์ทหันมามองชะลอความเร็วรถลง “พี่อยากรู้เหตุผลนะ”
                    “ก็พี่มาร์ทดูชุดผมกับชุดพี่สิครับ”
                    “หึๆ ถ้ากังวลเรื่องนั้น พี่จัดการให้ได้”
                    "เอ๋ ยังไงอะครับ?" ผมถามแต่ไม่มีคำตอบกลับมาซะงั้น แล้วยิ้มอะไรละนั่น “เดี่ยวๆ จะไปไหนอะครับ”
                    “แมคมีปัญหาที่อะไร พี่ก็จะพาไปแก้ตรงนั้นนั่นละครับ”
                    “อะไรยังไง ผมงง”


   
          หลังจากจอดรถดับเครื่องยนต์ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย พี่มาร์ทก็ออกเดินนำผมเข้าไปภายในตัวห้าง ปกติแล้วพี่มาร์ทในสายตาของผมจะเป็นหนุ่มพูดจาฉะฉานตัดสินใจอะไรรวดเร็วฉับไว แต่ก็ไม่ใช่คนที่เคลื่อนตัวทำอะไรกระฉับกระเฉงและดูกระตือรือร้นอย่างที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ สองขาที่ยาวกว่าถึงเกือบเท่าก้าวนำพลางพยักหน้าให้ผมรีบเดินตามมาให้ทัน จนผมแทบจะวิ่งแทนเดินก็ยังตามจับชายเสื้อนั่นไม่ทันสักที

                    “รอด้วยสิครับ”
                    “ขอโทษทีนะแมค แต่พี่ค่อนข้างรีบนะ” พี่มาร์ทว่า พร้อมกับจับมือผมพาเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง “ลองโทนสีมาตราฐานก่อนละกัน อ๊ะ นี่ครับ ลองให้พี่ดูหน่อย เอาไป 3 สีเลยดีกว่า คนละลาย แมคใส่มาให้พี่ดูละกัน เอาตัวที่ชอบมากที่สุด” ผมพยักหน้ารับถือเสื้อยืดคอกลมมาเดินเข้าไปในห้องลองชุด ผมชอบเสื้อสีดำพื้นเล่นลายสีสดใสเลยใส่ตัวนี้ออกมาให้พี่มารทชม แต่กลับถูกอีกฝ่ายส่ายหน้า พร้อมกับโบกมือให้เปลี่ยนออก เมื่อผมเปลี่ยนเสร็จ ก็เห็นพี่มาร์ทยืนดักรออยู่แล้ว ก่อนจะโดนลากแขนเดินออกจากร้านไปยังร้านฝั่งตรงข้าม รีบร้อนไปไหนก็ไม่รู้
                    “ผมชอบแบบหุ่นตัวนั้นนะครับ เอาแบบนั้นได้ปะ”
                    “เลือกได้ดีนี่” พี่มาร์ทยิ้ม พลางกระตุกแขนให้ผมเดินตามเข้าไปในร้าน “ผมขอแบบที่หุ่นใส่หน้าร้าน แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อคอวีสีขาวเบอร์ M ตัวกับเบอร์ S ตัว ส่วนเสื้อคลุมตัวนอก ผมขอเบอร์ M สีดำ เข็มขัดหนังสีน้ำตาลเส้นนั้น กางเกงผ้าตัวนี้แทน แมคใส่เบอร์นี้น่าจะได้นะ พี่ว่า”
                    “ได้ครับ ได้ พี่มาร์ทเดาไซน์ผมได้ไงอะ”
                    “เดี่ยวเรื่องนี้ค่อยว่ากัน ไป รีบไป” ทั้งที่พี่มาร์ทชมผมว่าเลือกได้ดี แต่เอาเข้าจริงผมว่าพี่มาร์ทเลือกเก่งกว่าผมเยอะอะครับ ผมมองคนในกระจกตรงหน้าที่เปลี่ยนจากเด็กชายเป็นหนุ่มเต็มตัวด้วยเสื้อผ้าที่ผมไม่คิดว่าจะใส่แล้วดูขึ้นขนาดนี้ เสื้อคอวีสีขาวเนื้อผ้าฝ้ายเล่นลายในตัว คลุมทับด้วยเสื้อผ้าไนลอนตัวหนาคอปกเชิ๊ตปักลายคล้ายบั้งทหารบนบ่าทั้งสองข้าง มีสายผ้าคล้ายเข็มขัดประดับตรงข้อแขนทั้งสองข้าง พร้อมด้วยเข็มขัดหนังสีตัดกันกับกางเกงผ้าที่ปักกระเป๋ามากมาย ทำให้ลุคของผมดูสบายๆไม่เป็นทางการมากนัก   
                    “อืม เข้ากันกว่าที่คิดไว้ซะอีก” พี่มาร์ทว่ายิ้มๆ หยิบเสื้อผ้าชุดเดิมของผมไปส่งให้พนักงาน “เอาชุดนี้ใส่ถุงให้ด้วยครับ”
                    “เท่าไหร่อะครับพี่มาร์ท เดี่ยวผมจ่ายคืนนะ”
                    “พี่ซื้อให้ ไม่ต้องคิดมาก เดี่ยวไปแวะดูรองเท้ากันต่อ”
                    “รองเท้าด้วยเหรอ?” ผมกำลังยืนงง แขนก็ถูกกระชากให้เดินตามไป “แมคจะสวมชุดที่ใส่อยู่นี่กับผ้าใบนักเรียนเหรอ?” อูย...ว่าเจ็บ
                    “ก็ไม่มีรองเท้าอื่นที่บ้านแล้วอะ รองเท้ากีฬาสีเทาเปียกฝนกลิ่นหึ่งเลย” ผมพูดขึ้นอย่างคนเซ็งๆ พลางหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดดู “ไม่ต้องซื้อแล้วครับพี่มาร์ท กลางคืนไม่มีใครมานั่งมองรองเท้าหรอก”
                    “ก็ไม่แน่เสมอไป ไปทั้งที่ก็ให้ดีที่สุดสิครับ”
                    “เงินผมจะไม่พอนะสิ”
                    “เดี่ยวพี่ซื้อให้ไงครับ หยุด อย่าพูดว่าเกรงใจ” เงียบปากเลยโดนรู้ทัน “ราคาเท่าไหร่อย่าไปคิดมาก ซื้อแล้วใส่ให้คุ้มก็พอ”
                    “แต่ว่า...”
                    “คิดซะว่า เป็นของขวัญชิ้นนึงให้ตัวเองละกันครับ แค่แมคไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน”
                    “ก็นั่นละ ผมว่ามัน...”
                    “คิดเยอะอีกละ เอาอย่างนี้ ถ้าหาที่ถูกใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องซื้อ โอเคไหมครับ” ผมพยักหน้ารับคำยอมทำตามที่สุด ผมเป็นคนเลือกของยากอยู่ละ คงไม่มีเรื่องให้เสียเงินง่ายๆหรอกมั้ง?
                    “พี่มาร์ทๆ บูทหนังคู่นั้นอะครับ สวยๆผมชอบ อุ๊บส์...” พลั้งปากบอกความคิดในใจไปจนได้ ก็แบบว่านานทีจะเจอของตรงใจที่นี่ครับ แถมรองเท้าที่หุ่นใส่โชว์ตรงหน้าดูเข้ากับกางเกงที่ผมซื้อมาด้วย แม้จะเป็นบูทสูงแค่หุ้มข้อ แต่ก็มีการตัดเย็บอย่างปราณีตเน้นรอยด้ายสีน้ำตาลตัดกับพื้นหนังสีดำ นอกจากนั้นก็มีการเล่นลายด้วยการใช้เข้มขัดหนังพาดเฉียงทางขวางตรงข้อเท้าด้วย เท่ห์ไม่เบา
                    “หึๆ ตกลงชอบคู่นี้?” รั้งแขนคนตัวโตกว่าไว้ไม่ทันละครับ เดินอ้าวเข้าไปในร้านละ “เบอร์ 42 สีน้ำตาลกับสีดำมีไหม ขอให้น้องคนนั้นลองหน่อย”
                    “ไม่เอาๆ มันแพงนะพี่มาร์ท”
                    “ลองก่อน ถ้าไม่เข้ากัน ก็ไม่ต้องซื้อโอเคไหมครับ”
                    “อ่า...” แม้ผมจะลังเลอยู่บ้าง แต่พอลองแล้วดันใส่พอดีซะได้ สุดท้ายแล้วก็เสียเงินซื้ออยู่ดีทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วแบบนี้ผมต้องหางานพิเศษทำกี่ที่นี่ถึงจะพอมาจ่ายคืนพี่มาร์ทกันละนี่ คิดแล้วกลุ้มใจจริงๆ   


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 5 (2/2)] 08-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 08-04-2016 16:48:14

Until You


ตอนที่ 5 (2/2)

          เบื้องหน้าคืออาคารสองชั้นใหญ่โตเต็มไปด้วยสีสันจากดวงไฟส่องสว่างและผู้คนที่แต่งตัวน่ากิน?ทั้งสาวน้อยสาวสาวใหญ่ รวมไปถึงหนุ่มๆมากหน้าหลายตาเรียงรายต่อแถวตรงหน้าบริเวณทางเข้าในเขตกั้นเชือก จำได้ว่าเคยไปผับกับเพื่อนมาก็หลายครั้ง ไม่เห็นมีครั้งไหนเลยที่ต้องรอคิวต่อแถวเช่นนี้ ผมแทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าข้างนอกแถวยาวขนาดนี้ ข้างในจะคนเบียดเสียดกันเยอะแค่ไหน เห็นดารา นักร้อง คนดัง คนมีเงิน เดินกันให้วุ่นขนาดนี้ ผมรู้สึกเกร็งๆขึ้นมาละ

                    “นิ่งเชียวเป็นอะไรครับ” พี่มาร์ทเอ่ยถาม
                    “ดูอาคารนะครับ สวยดี” ผมอ้างขึ้นมาลอยๆ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลกับความรู้สึกหมดสนุกของผมในตอนนี้
                    “พี่โทรให้เพื่อนมารับละ เราจะได้ไม่ต้องต่อแถว ไปครับ”
                    “เอ๋? ไม่ต้องเข้าแถวได้ด้วยเหรอ?” ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่พี่มาร์ทกลับยิ้มมุมปากกวักมือเรียกผมให้รีบเดินตามไป ซึ่งกว่าผมจะฝ่ากลุ่มคนที่เดินตัดหน้าไปได้ ก็ได้ยินชายในชุดสูทพูดประโยคเกือบจะจบแล้วว่า
                    “...รออยู่แล้วครับ เชิญครับ”
                    “อืม” พี่มาร์ทรับคำเสร็จก็ก้าวเดินตามชายหนุ่มหนึ่งในสองคนไป ส่วนอีกคนก็ก้าวมาหยุดตรงหลังผม พายมือเชื้อเชิญให้เดินนำไปก่อนเขาจะเดินปิดท้าย นี่ผมควรรู้สึกเหมือนมีคนคุ้มกันหรือโดนจับเป็นตัวประกันดี


          การตกแต่งภายในอาคารของที่นี่ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมชื่อดังที่ผมเคยไปมาเลย ทั้งลวดลายตามผนังที่ออกแบบมาให้ดูดซับเสียงและเล่นลวดลายไปในตัว ทั้งมุมของแสงไฟที่กระทบกับคริสตอลจนสะท้อนสลับกันไปมา ทั้งเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสฉูดฉาดทำให้ดูโดดเด่นมีชีวิตชีวาสุดๆ ทั้งบันไดโค้งวนที่ผมกำลังเหยียบอยู่นี่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นแบบเปิดโล่งมองแล้วเหมือนขั้นบันไดลอยได้เลยละครับ สุดยอดไปเลย

                    "แมค" เสียงหนึ่งกระชากผมออกจากภวังค์พลางกวักมือเรียกน้อยๆ ทำให้ผมต้องรีบก้าวขึ้นบันได ทั้งที่ตั้งใจจะหยุดเดินก้มลงไปมองเหล่านักเต้นเท้าไฟสักหน่อย "มานี่ๆ"
                    "หวัดดีครับ" ผมยกมือไหว้พี่ๆหลายคนที่นั่งรายล้อมกันอยู่รอบโซฟาตัวยู มีทั้งนั่งเก้าอี้เหมือนคนปกติและกึ่งนั่งกึ่งยืนตรงพนักพิง
                    "เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ๆ รุ่นเดียวกันทั้งนั้น" พี่ท่าทางเป็นกันเองคนหนึ่งรีบวางแก้วเหล้าโบกมือปัดๆบอก
                    "ใช่ๆ พวกพี่ยังไม่อยากแก่" ทั้งยังมีหลายเสียงสนับสนุนเอ่ยตามมา
                    “ขยับไปสิวะมึงนะ ให้น้องมันนั่ง”
                    “เอ่อ...” ถ้ามันลำบากขนาดที่ว่าพี่เสื้อส้มคนนั้นต้องยกเพื่อนเสื้อสีฟ้าขึ้นมานั่งตักตัวเองขนาดนั้น ผมยืนดื่มเหล้าก็ได้ครับ
                    "เข้ามาใกล้ๆก็ได้ พี่ไม่กัดหรอกค่ะ" เสียงพี่ผู้หญิงคนนึงที่รูปหน้าทรวดทรงจัดว่าสวยส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมต้องรีบก้าวเข้าไปหาเบียดไปนั่งข้างๆอย่างเนียนๆ ผมคงไม่ได้บอกสินะครับว่า ชอบของสวยงามน่ารักขนาดไหน?
                    "เห็นเด็กหนุ่มเป็นไม่ได้เลยนะจ๊ะ แพร"
                    "เอ็นดูเฉยๆ" พี่สาวคนสวยยิ้มรับในแบบที่ดูเหมือนนายร้ายในละครมากกว่านางเอก ทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองนั่งผิดมุมอยู่หรือเปล่า ครั้นเงยหน้าส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนคุ้นเคยข้างกาย พี่มาร์ทกลับเอาแต่ยืนเคียงข้างไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเอาผมหวั่นใจก้มหน้างุดด้วยรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
                    “ไม่มีไรน่าเป็นห่วงหรอก ทำตัวตามสบายเลย” พี่มาร์ทขยับปากพูดเสียงเบาบีบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจแทนพร้อมบอกต่อว่า “แมคจะสั่งอะไรก็เอาเลยนะ”
                    “พี่...” เสียงอินโทรเพลงขึ้นดังซะผมหูบอดเลย จะพูดสักหน่อยคงไม่ต้องฟังกันละ พี่มาร์ทเองแม้จะก้มลงมาฟังก็คงไม่ได้ยินหรอกมั้ง “คอกเทล...โอ๊ย...อะไร...อะไรก็ได้...พันซ์ก็ได้ ได้-ยิน-ไหม” ไม่ตอบแต่ส่งสัญลักษณ์โอเคให้ซะงั้น รู้เรื่องด้วยแฮะ
                    "เหมือนเดิมละกัน..." พี่ผู้ชายอีกคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามหันไปพูดกับพนักงานที่เดินมาสอบถาม ซึ่งผมไม่ค่อยได้ยินนักหรอก เสียงมันดัง


          ผมยกแก้วน้ำพันซ์ผลไม้ปราศจากแอลกอฮอล์ขึ้นจิบพลางมองพวกพี่ๆเขาคุยเฮฮากัน มีบางคู่นั่งแข่งงัดข้อโดยมีกลุ่มเพื่อนส่งเสียงเชียร์กันเซ็งแซ่ หันไปมองพี่อีกคนก็เห็นแกล้งสลับแก้วเติมน้ำสูตรพิเศษส่งให้เพื่อน คนไม่รู้ก็คว้าไปดื่มจนสำลักบ้วนเหล้าทิ้งและลุกขึ้นมาไล่เตะ บางคนมีร้องเพลงเคล้าไปกับเสียงที่ได้ยินสลับกันลุกขึ้นโยกตัวเต้นไปมาแบบไม่อายใคร และยังมีอีกกลุ่มที่แยกตัวออกมาพูดคุยกันตามประสาเพื่อนอย่างคนปกติ โดยหนึ่งในนั้นมีพี่มาร์ทรวมกลุ่มอยู่ด้วย แน่นอนว่าตลอดการสนทนานี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนข้างๆผมแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่พี่มาร์ทจะโดนแซวต่างๆนาๆถึงเรื่อง ห่างหน้าไปไหนนาน ไปกุ๊กกิ๊กกับใครมาบ้าง? เยอะแยะมากมายจนผมจำไม่หมด แต่ถึงจะแซวหนักแค่ไหน พี่มาร์ทก็ไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น เอาแต่จ้องมอง ยืนนิ่งๆและเงียบๆมากกว่าตามสไตล์คนเท่ห์มาดเข้ม จะมีก็แต่กระดกแก้วบ้างและตอบคำถามเฉพาะที่อยากตอบเท่านั้น ในที่สุดพวกพี่ๆจึงเลิกถามกันไปเอง

                    "น้องชื่อไรครับ พี่ชื่อติ๊กนะ"
                    "แมคครับ" ผมหันไปตอบพี่คนหนึ่งที่เดินเข้ามาชวนคุย คุ้นหน้าว่าอาจจะเป็นดีเจของผับแห่งนี้ เขาดูเป็นหนุ่มรูปร่างผอมที่แต่งตัวได้เจ็บแสบมาก เพราะมาในชุดเสื้อสีเทาดำสวมรองเท้าผ้าใบแบรนด์ดังสีแดงแปรดแถมยังมีพวกสร้อยแหวนอะไรก็ไม่รู้ห้อยเต็มตัวไปหมดสมกับอาชีพที่ทำสุดๆ
                    “พี่ชื่อติ๊กนะ ส่วนคนที่นั่งข้างน้องนั่นแพรวา” ผมหันไปส่งไปยิ้มให้พี่ผู้หญิงข้างกายที่เธอเองก็ส่งยิ้มมาให้ผมเช่นเดียวกัน “ไอ้คู่ผัวเมียนี่ ออฟกับออย... ชื่อติดเรทไม่พอยังจะมาติดสัดในผับกูอีก” พี่ติ๊กหันไปส่ายหน้าพร้อมกับโบกหัวพี่เสื้อส้ม “ เชี่ยออย ลงมานั่งดีๆได้ละ อีกคนนั่นที่สั่งเครื่องดื่มชื่อเป้ อายุน่าจะใกล้เคียงกับน้องที่สุดละ” ผมฟังอีกฝ่ายแนะนำตัวเองและร่ายชื่อเพื่อนในกลุ่มจนครบก่อนจะพยักหน้ารับไปตามเรื่องตามราว
                    "มาแล้วๆๆ" แก้วทรงสวยรูปร่างคล้ายกรวยปลายมนถูกนำมาวางตรงหน้าผม ภายในมีน้ำใสไร้สีและมีใส่สตอเบอรรี่ใส่อยู่ด้วยลูกหนึ่ง ผมหรี่ตามองอย่างชั่งใจ ในขณะที่พี่ติ๊กพยักเพยิดให้ผมลองชิมเรียกเสียงเฮรอบโต๊ะว่า "ตอนรับน้องใหม่ เอ้า...เชียร์!!"
                    "เล่นอะไรไร้สาระ" พี่มาร์ทว่าน้ำเสียงหน่ายๆ ดึงมือผมที่กำลังเอื้อมหยิบจับ "แมคไม่ไปต้องสนใจ"   
                    "แต่ว่า..." ผมอึกอักด้วยรู้สึกขัดใจอยากจะลองชิมสักอึกก็ยังดี อีกอย่างถ้าผมไม่ดื่มบ้าง พี่สองคนที่นั่งเกยกันคงได้ดูถูกผมในใจแน่ เพราะดูจากท่าทีแอบซุบซิบหันมามองผมสลับกับพี่มาร์ทแบบนี้ คงไม่พ้นเรื่องโดนนินทาว่า อ่อน! มีหรือผมจะยอมโดนว่า
                    "ลองดื่มดู ไม่แรงหรอก" พี่สาวข้างๆกระซิบบอกผม
                    "แพร" พี่มาร์ทเสียงดุ แต่ผมคว้าแก้วตรงหน้ากระดกทีเดียวหมดแก้ว แม้รสชาติมันก็เปร่งๆ ซ่าๆขมๆ แต่ผมว่าก็อร่อยดีนะครับ
                    “แก้วแช่เย็นเหรอครับ สุดยอดไปเลย” ถึงกับต้องยกแก้วขึ้นมาพลิกดูโดยรอบ เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ถ้าเทแอลกอฮอล์ใส่แก้วแช่เย็นจนน้ำแข็งเกาะ จะทำให้รสชาติอร่อยขึ้นขนาด
                    "เฮ้ย!" พี่มาร์ทคว้าแก้วไปจากมือผมทั้งที่มันหมดไปแล้ว จ้องมองมาด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนักดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืน "ไปๆ ลุกไปห้องน้ำ ล้างหน้าซะจะได้สร่างเมา"
                    “เอ๋?”
                    "ส่วนพวกเอ็งทุกตัว กลับมาโดน" ร่างสูงกว่าข้างกายผมชี้หน้าคนรอบโต๊ะ ในขณะที่พี่ๆทุกคนหลบหน้าหลบตากันเป็นแถวราวกับกลัวอะไรบางอย่าง  แต่จะให้ผมไปห้องน้ำทั้งที่ไม่ปวดฉี่นี่ผมไม่ไปเด็ดขาดจึงขืนตัวออกห่างจากอ้อมกอดที่ผมไม่เข้าใจเลยจะมาประคองทำไม ก็ผมไม่ได้เดินเซสักหน่อย
                    "ฮึ่ย" พี่ออยถึงกับนั่งหน้าซีดจับมือแฟนเสื้อฟ้าไว้แน่นเลยแค่เพียงพี่มาร์ทเหลือบมอง ตกลงคนข้างๆผมนี่ดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย เท่าที่ได้คลุกคลีรู้จักกันมาออกจะเป็นคนใจดีคนนึงนะนั่น
                    "โห พี่มาร์ท ผมไม่ได้เมาสักหน่อย จะให้ไปห้องน้ำทำไม?" ผมบอกแล้วจึงก้าวผละออกมา “ขออีกแก้วได้ไหมพี่ ขอเปลี่ยนผลไม้ด้วย มีอะไรบ้างอะครับ”
                    "เห็นไหม น้องเขาบอกว่า...เฮ้ย!!! ว่าไงนะ ขอชัดๆ" พี่เป้ที่นั่งเงียบอยู่นานถึงกับทำตาโตเบิกตากว้าง
                    "ผมไม่ได้เมา ไม่ได้รู้สึกมึนเลยด้วยซ้ำ" ผมบอกตรงๆ มันรู้สึกปกติที่สุด โลกยังคงหมุนตามเดิม ไม่ได้โอนเอนหรือโคลงเคลงแต่อย่างใด "แค่รู้สึกขมคอก็เท่านั้น"
                    "วอดก้าเพียวตั้ง..." ผมว่าผมเห็นนิ้วสามนิ้วตรงหน้านะครับ หรือว่าสี่จำไม่ได้?
                    "แมคเคยกินมาก่อนหรือเปล่า" พี่มาร์ทถาม ผมส่ายหน้าและพูดออกไปว่า
                    "ไม่นี่ครับ ถ้าแอลกอฮอล์แรงๆก็คงครั้งแรก แต่ถ้าเป็นพันซ์หรือไวน์ก็เคยมาบ้าง" ซึ่งผมชอบพันซ์ผลไม้หลากรสมากกว่าพวกไวน์แดง เพราะไวน์มีรสชาติขมนำ
                    "so cool"
                    "ยินดีต้อนรับเขากลุ่มครับน้องแมค" เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นรอบโต๊ะพร้อมฝ่ามือนับสิบยื่นมาจับแสดงความยินดีทำเอาผมงงได้แต่ยืนเอ๋อ "You’re Silver Knight. Cheer!!! "
                    "พวกบ้าเอ่ย ยังไม่เลิกเล่นกันอีก" พี่มาร์ทส่ายหน้าอย่างระอาเบียดตัวเข้ามานั่งข้างๆผมยกขาขึ้นนั่งไขว้ห้าง ยกแก้วในมือขึ้นจิบ
                    "น้องเขาจะเทียบเท่าแล้วนะ Death Knight ระวังไว้” พี่ผู้ชายรูปร่างผอมสูงเดินเข้าพร้อมแก้วเหล้าในมือเอ่ยขึ้นยกแขนขึ้นพาดไหล่พี่มาร์ทเหมือนจงใจแกล้ง
                    “คริส” พี่มาร์ทเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนอีกฝ่ายต้องยกมือออกชูขึ้นกลางอากาศ
                    “แหย่ หน่อยเดียวก็ไม่ได้ ไม่ได้เจอตั้งนาน กูคิดถึง” พี่คริสดัดน้ำเสียงทะเล้นจนคนข้างกายอย่างพี่ชายของผมถึงกับเอือม “เอาไรเพิ่มไหมน้อง เลือกเลยๆ"
                    "จริงอะครับ" ผมชักสนใจขึ้นมา อยากลองเครื่องดื่มแบบนี้มานานแล้วด้วย “เอาแบบเมื่อกี้นะครับ แต่ของเปลี่ยนผลไม้ได้ไหม มีอะไรบ้างครับพี่คริส”
                    “คงมีมะนาว แอปเปิ้ล ...”
                    “แอปเปิ้ลเขียวปะพี่ ผมชอบอะ”
                    “ชอบเหมือนพี่เลย” พี่ผู้ชายอีกคนลุกแหวกแทรกตัวมานั่งลงข้างๆผม พลางโอบคอกระซิบ “พี่แนะนำ ใส่โซดาผสมกับสะระแหน่ลงไปด้วย เหยาะบรั่นดีเพิ่มนิ๊ดหน่อย แหล่มเวอร์”    
                    “เอ่อ...มันมั่วไปนิ๊ดปะครับพี่...เอ่อ....” สูตรนี้กินเข้าไปคงได้ทำหน้าเหย่เกแน่
                    “พี่เอ..ครับน้องแมค” อีกฝ่ายยิ้มกว้างส่งมาให้ทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ้มไปก็ค่อยๆยกแขนอีกฝ่ายออกจากไหล่ไปด้วย แต่พอผมยกออกพี่คนนี้ก็ยกกลับมาพาดอย่างเนียนๆชวนคุยนั่นนี่ต่อจนผมชักจะไม่ไหวกับอาการนี้ละ   
                    “ครับ” รับปากแต่ใครจะอยากจำชื่อคนแบบนี้กัน ดูก็รู้ว่าเกย์ชัวร์ ผมยังไม่อยากโดนเปิดซิงในวัยนี้หรอกนะครับขอบอก ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าผมไม่อยากกระทืบคนแก่ตายจนตัวเองติดคุกหรอกนะครับ
                    “กลับกันเถอะแมค"   
 
          ผมพยักหน้ารับคำพร้มกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแทบจะติดตา เพราะแสงสลัวมองเห็นไม่ชัดเลย รู้งี้หยิบนาฬิกาดิจิตอลมีปุ่มกดส่องแสงมาใส่ดีกว่า ดูจากเวลาแล้วกลับเลยก็ดีครับ ครอบครัวผมน่าจะกลับจากไปงานศพที่ต่างจังหวัดละ
                    "อะไรวะ แค่ 4 ทุ่มเอง"
                    "ไปส่งน้องเขาก่อนแล้วค่อยมาว่ากันต่อ" เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นตัดบทสั้นๆ ดึงแขนผมให้ลุกขึ้นตาม
                    "ดูแลดีขนาดนี้ มากกว่าน้องชายละมั้ง" พี่แพรวายิ้มแป้นยกแก้วจรดริมฝีปากอมส้มพลางยักคิ้วส่งให้คนข้างกายผมที่ตวัดสายตาคมมองกลับไปในทันที
                    "มาร์ทมีน้องชายที่ไหน มั่วนิ่ม"
                    "อ้าว งั้นคนนี้ก็..." รู้สึกราวกับโดนสแกนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยอะ ทำไมต้องหันมามองผมพร้อมกันทั้งโต๊ะแบบนี้ ไหนจะมองไปกระซิบกระซาบกันไป แถมยังมีหัวเราะคิกคัก บางคนถึงกับตบเบาะโซฟาตีมือกันซะงั้นเลย ผมสะกิดคนข้างกาย พลางส่งสายตาเว้าวอนหาคำตอบไปยังพี่ชายข้างๆ แต่กลับเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแทน รู้สึกเหมือนมีไอเย็นปกคลุมอยู่รอบกายของพี่มาร์ทเลยครับตอนนี้
                    "งั้นวันหลังมาอีกนะน้องแมค"
                    "เออ ครับ" ผมว่า "หวัดดีครับ"
                    "ส่วนพวกผมจะรออยู่นี่นะครับ พี่มาร์ท ฮิ้ว..." เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบรับคำอะไรทั้งสิ้นกลับเดินลากแขนผมออกจากงานตรงกลับไปที่รถทันที ไม่แม้แต่จะสบตาเหล่าการ์ดคุมผับที่ยกมือไหว้กันเป็นแถว เมื่อปลดล็อกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ ขณะที่อีกฝ่ายบิดกุญแจสตาร์ทรถพูดขึ้นว่า
                    "พี่ไม่น่าพาแมคมาเลย" ผมหันไปมองตอบรับคำด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจในคำพูดที่ได้ยิน "เพื่อนพี่ทำเสียเรื่อง ขอโทษด้วยละกัน"
                    "ไม่นี่ครับ เพื่อนๆพี่ก็น่ารักดีออกคุยสนุกด้วย" ผมยิ้มรับ จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวแบบสนุกเฮฮากลุ่มใหญ่แบนนี้มานานละ คิดถึงวันเก่าๆดีเหมือนกัน แม้จะมีคนทำเสียอารมณ์อยู่บ้างก็เถอะ
                    "แมคไหวแน่นะ ให้พี่แวะซื้อยาแก้มึนให้ไหม" พี่มาร์ทเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ "แปลกดีนะ ร่างกายแบบนี้"
                    "หือ? พี่หมายถึงอะไรอะ"
                    "ไม่มีอะไร อย่าคิดมาก"
                    "จริงอะ" หรี่ตามองด้วยสัญชาติญาณคล้ายคนตรงหน้ามีเลศนัยชอบกล แต่แววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยยิ้มเช่นทุกทีหรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้
                    "จริงสิครับ" พี่มาร์ทหันหน้ามาตอบ อีกมือประคองพวงมาลัย “พี่เคยหลอกเราเหรอ?”
                    "ไม่เอา อย่าเล่นหัวสิ ผมยุ่งหมด" ผมท้วงพยายามปัดมือที่ยื่นมาแกล้งผมออกไป กว่าจะพี่มาร์ทจะยอมล่าถอยป่านนี้หัวผมคงฟูเป็นรังนกละ ถ้าจะยืหัวเล่นแบบนี้จะให้เซตผมมาทำไมก็ไม่รู้ “แล้วนี่มาส่งผมแล้วจะกลับไปดื่มต่อไหมครับ?”
                    “คงไม่ละ เดี่ยวส่งแมคเสร็จพี่กลับคอนโดเลยดีกว่า” ไม่พูดเปล่าด้วยครับ หยิบมือถือตรงแท่นวางใกล้ๆเกียร์ขึ้นมากดปิดเครื่องเฉยเลย ทำเอาผมมองตาปริบๆนี่คิดจะปิดเครื่องหนีจริงเหรอนี่ “ถ้าง่วงจะนอนพักก่อนก็ได้นะ ถึงบ้านแมคแล้วเดี่ยวพี่ปลุก”                   
                    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ง่วง นั่งเป็นเพื่อนพี่มาร์ทขับรถดีกว่า”

          ใช้เวลาไม่นานพี่มาร์ทก็ขับรถมาส่งผมถึงประตูหน้าบ้าน ผมยกมือไหว้กล่าวคำอำลาแล้วยื่นมองรถคันหรูเคลื่อนตัวออกไปสักพักจึงเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอนอาบน้ำแปลงฟันแล้วผมว่าจะนอนเลยครับ ตอนแรกไม่ง่วงนะแต่พอเห็นเตียงขึ้นมาพาลให้หนังตาตกทุกที


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (1/2)] 09-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 09-04-2016 07:11:59

Until You


ตอนที่ 6 (1/2)

          มาถึงอีกแล้วครับเดือนเกิดของผม เดือนที่ไม่มีวันหยุดพิเศษประจำปี เดือนที่อาจารย์สอนอัดแน่นทุกวิชาเพราะสอนไม่ทัน เดือนที่โปรเจ็คการบ้านท่วมหัว ซ้ำยังเป็นเดือนแห่งการสอบอีกตั้งหาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผมไม่ค่อยปลื้มกับเดือนนี้สักเท่าไหร่ แถมครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆเลยครับ นั่นก็คือ วันเกิดดันตรงกับวันสอบปลายภาควันสุดท้ายพอดีครับ ยอดแย่ไปเลยใช่ไหมละ?
          แต่ตอนนี้...ตีห้าสิบห้านาที... อีกเกือบสี่ชั่วโมงถึงจะเห็นข้อสอบตัดสินอนาคต ผมต้องไม่เครียดก่อนสอบ เพราะยังไม่ถึงเวลาจะมาคิดเรื่องนั้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มตาพร้อมทำบุญวันเกิดแต่เช้าตรู่เสียก่อน เกิดหน้าบึ้งบูดเบี้ยวเมาขี้ตาพบหน้าท่านเจ้าอาวาส รับคำอวยพรจากท่านแบบสติไม่เต็มร้อย เขาว่าชาติหน้าจะหมดความหล่อ หมดออร่าเปร่งปรั่ง ทั้งสติปัญญาจะถดถ่อยลงอีก ผมไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้น ดังนั้น ผมต้องสปริงตัวลืมตานั่งบิดขี้เกียจหมุนตัวไปมาให้กล้ามเนื้อคลาย แล้วกระโดดตีลังกาสักสามรอบ วิ่งรอบบ้านสองรอบครึ่ง วิดพื้นสิบครั้ง และปิดท้ายด้วยนั่งซดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน เพราะหักโหมเกินไป ไม่ใช่ละ ตื่นมาใครจะฟิตขนาดนั้น ผมเริ่มต้นกิจวัตรด้วยการบิดขี้เกียจจบละ พอ
          เสร็จจากแปรงฟันล้างหน้าตามกิจวัตร พร้อมโปะผ้าขนหนูลงบนหน้าซับไปเดินไปรับถาดอาหารคาวหวานจากมือแม่และเดินไปยังท่าน้ำที่ติดคลองทางหน้าบ้าน เพื่อรอใส่บาตรท่านสมภารวัดริมคลองแถวบ้าน ซึ่งท่านจะพายเรือมารับบาตรทุกเช้าเวลาตีห้าครึ่งเป็นประจำ ซึ่งถือเป็นพระเพณีเก่าแก่ของผู้คนที่ใช้ชีวิตริมคลองมาแต่ครั้นบรรพบุรุษ แต่สำหรับวันธรรมสาวณะ(วันพระ)และวันสำคัญทางศาสนาอื่นๆ จะพิเศษกว่าวันปกตินั่นก็คือ จะมีการทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ทั้งคณะที่ศาลาการเปรียญของวัดแทนการพายเรือมารับบาตรเฉกเช่นวันปกติ
                    “นิมนต์ครับ” ผมเอ่ยเสียงนุ่มยกมือไหว้ท่านสมภารแสดงความนอบน้อมเคารพท่าน ขณะที่มือก็เอื้อมไปช่วยท่านจับหัวเรือแจว เพื่อเทียบท่าน้ำหน้าบ้าน
                    “อ้าว วันนี้พ่อของโยมไปไหนซะละ” ท่านเอ่ยถาม
                    “อยู่ครับ แต่พ่อให้ผมมาใส่บาตรแทน วันนี้วันเกิดผมครับหลวงพ่อ”
                    “ดีแล้วละโยม”

          พอท่านพูดจบ ผมก็หยิบถ้วยข้าวสวยหอมมะลิขึ้นมาเทใส่บาตรพระ พร้อมทั้งหยิบเอาปิ่นโตบรรจงเครื่องคาวหวานและน้ำดื่มถวายท่านจนครบ ยกมือพนมรอรับศีลรับพรในเช้าเริ่มต้นของวันใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินผละจากท่าน้ำริมคลองกลับเข้าบ้าน
   


          เสร็จจากทำข้อสอบแล้ว ผมตั้งใจว่าจะแวะซื้อเค้กสักสองปอนด์เลี้ยงวันเกิดตัวเองและครอบครัวในตอนเย็นเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านนอนกลางวันสักหน่อย รู้สึกง่วงบ้างเพลียบ้างตามประสาแต่ก็ไม่ถึงกับสลบเหมือดเหมือนเพื่อนบางคน เพราะเมื่อคืนนอนตั้งแต่สามทุ่ม อ่านจบถึงแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่อยากไปซีเรียสอะไรมากมาย ห่วงสุขภาพตัวเองดีกว่า พอถึงเวลาทำข้อสอบ แน่นอนว่าก็ต้องมีบ้างที่จำเนื้อหาได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงงั้นผมก็อ่านแล้วก็เขียนคำตอบใส่ไปให้ครบทุกข้อไม่มีขาด เผื่อบางทีจะมั่วถูกได้คะแนนสักนิ๊ดหน่อยบ้างก็ยังดี ซึ่งตัวผมมันก็แปลก จะต้องทำให้เสร็จก่อนเวลาเสมอ ออกมาก่อนเพื่อนๆตลอดละครับแต่สอบเสร็จเพื่อนๆถามก็จำไม่ได้แล้วละว่าตอบอะไรไปบ้าง เรียกว่าความรู้มีมาเท่าไหร่ ผมก็จัดการโยนกองไว้ที่โต๊ะสอบซะหมด ออกมาจากห้องสอบ สมองโล่งเลย แต่ยังไงก็สอบเสร็จแล้วครับ สบายใจ

                    “พี่ค่ะ” เหมือนผมจะได้ยินเสียงแว่วๆของสาวผ่านหูมานะครับ แต่คงไม่ใช่หรอก ใครจะมาเรียกผมแบบในละครเกาหลีขนาดนั้น ผมรีบกวาดของในล็อกเกอร์ลงกระเป๋าดีกว่า ปิดเทอมจะได้ไม่ต้องแวะมาเอาอีก "พี่ๆ พี่ชื่อแมคปะค่ะ" คงต้องยอมรับว่าคงหมายถึงผมแล้วละครับ เล่นสะกิดประชิดตัวขนาดนี้
                    "อืม ใช่ครับ" แม้จะเรียกซะไพเราะแบบนี้ผมก็ไม่ยิ้มให้รุ่นน้องหรอกนะครับ คอนเซ็ปต์ผม เวลาเจอคนไม่รู้จักต้องขรึมเก็กไว้ก่อน เพราะขรึมแล้วมักจะหล่อ
                    "พี่แก้วฝากบอกว่า รออยู่หน้าคณะ นานแล้ว"
                    "เอ... อ่าครับ ขอบคุณ" นี่ผมมีนัดกับเพื่อนคนนี้ตอนไหนหว่า จำไม่เห็นได้


          รอจนน้องปริศนาเดินลับตาไปแล้ว ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่องยัดใส่กระเป๋ากางเกงและปิดล็อกกุญแจล็อกเกอร์ให้เรียบร้อย ป้องกันมือดีมาขโมยทิชชู่กับกระดาษเอสี่ใช้แล้ว ก็ช่องเก็บของผมไม่มีอะไรให้หยิบฉวยนอกจากของสองอย่างนี่ครับ แถมล็อกเกอร์อยู่ใกล้ห้องน้ำด้วย เกิดใครต้องการใช้ฉุกเฉิน ก็อาจจะเป็นไปได้ใช่ปะละ ฮ่าๆๆ ผมว่าผมรีบลงบันไดไปยังชั้นล่างคุยกับไอ้แก้วเสร็จ แล้วรีบกลับบ้านดีกว่า

                    "เซอร์ไพร์!!!"

          ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นเพื่อนๆร่วมคลาสยืนรอกันเพียบหน้าคณะ แถมยังรุมยัดของขวัญวันเกิดมาให้ผมด้วยครับ ปลื้มมาก แต่จะดีกว่านี้ถ้าจะมีคนช่วยหยิบกล่อง ขวด ถุง รวมกันเป็นอันเดียวแล้วค่อยส่งให้ผมอะ สูงจนจะท่วมหน้ากับร่วงลงพื้นอยู่แล้วนี่

                    "ขอบคุณๆๆๆๆ"
                    "แฮปปี้เบริ์ดเดย์วันเกิด ไอ้แมค" เสียงมาไม่พอ ยังมีตบหัวผมอีกนะ เดี่ยวก็งับมือขาดซะหรอก
                    "เออๆ" ผมตอบรับพยักหน้าหงึกๆ พยายามจะรวบของในมือใส่ถุงแต่ทำอะไรไม่ถนัดเอาซะเลย
                    "ส่วนนี่การ์ด เขียนๆกันครบทุกคนแล้วจ้า เอ้า..."
                    "ฝากถือไว้ก่อน ไม่มีมือหยิบแล้ว" ส่งยิ้มให้เพื่อนสาวเจ้าของไอเดียแกล้งผมไปหนึ่งที แต่เธอกลับอมยิ้มตอบกลับมาว่า
                    "ได้ไงๆ เจ้าของงานไม่ได้รับก็แย่สิ"
                    “อ๊ะ เฮ้ย!! งัม อือ...” ไอ้เพื่อนๆร่วมสถาบันมันจับการ์ดยัดปากผมอะ เถียงไม่ได้ "งืมๆ ฮึ่ยๆ ฮือๆ " กร่นด่ามันไม่ได้ครับ พวกมันเลยหัวเราะกันสนุกปาก ประจวบเหมาะกับมือถือของผมดันดังขึ้นมาตอนนี้ซะได้ เลยต้องกระแซะตัวกระทุ้งบุ๊ยใบ้ให้เพื่อนใกล้ๆตัว หยิบจากระเป๋ากางเกงออกมาให้
                    "ข้อความวะ" เออ รู้แล้ว แต่ไม่ต้องละเมิดสิทธิเพื่อน เปิดอ่านก็ได้นะเชี่ยเต้ "อะแฮ่ม...รออยู่ที่ลานจอดรถนะค่ะ รีบมานะดาร์ลิง รอนานๆหนูร้อนค่ะพี่แมค”
                    “เฮ้ย มึงมีแฟนแล้วเหรอ วู้ๆๆ"
                    “กรี๊ดดด อะค่ะ ข่าวใหญ่” ผมถึงกับเอือมในท่าสะดิ้งของเพื่อนไปสามวิ แต่มั่นใจได้ว่าไม่มีใครส่งข้อความหวานเลี่ยนขนาดนี้มาให้แน่ การ์ดในปากจึงถูกผมคายทิ้งอย่างไม่ใยดี ดีที่มันตกมาอยู่บนกองของขวัญเต็มแขนตรงหน้าแทน
                    "เฮ้ย เอามานี่" แต่ไม่มีใครฟังเลยครับ ผมเลยวางบวกกับโยนของลงกับพื้น รีบวิ่งไปคว้ามือถือ
                    "แฟนมึงน่ารักปะวะ"
                    "ไม่ใช่แฟน และก็ไม่ได้น่ารักด้วย" ผมโต้กลับไป เพราะเปิดอ่านข้อความดูมีเขียนแค่ว่า รออยู่ที่ลานจอดรถ รีบมานะ เดี่ยวไปไม่ทัน เขียนแค่นี้เองครับ ที่เหลือผมโดนใส่ไฟชัดๆ อย่าได้เชื่อเด็ดขาดเลยครับ ยังไงผมก็โสดอยู่ขอบอก แถมคนส่งข้อความประเภทนี้มาให้มีแค่คนเดียวละครับ ต้องรีบโทรกลับไปหน่อย พี่มาร์ทรอแย่แล้ว
      

                    “อยู่ไหนครับ
                    (ตอนนี้เดินออกจากร้านคอฟฟี่ช็อปแล้ว อีกแป็บคงถึงหน้าคณะแล้วละ)
                    “ไม่ต้องมา ผมเดินไปหาเอง” ขืนเดินมายุ่งแน่ๆ เอียงหูชูคอกันขนาดนี้ ส ใส่เกือก กันจริงๆ
                    (พ้นหัวมุมตึกก็ถึงแล้ว)
                    “เอ่อ...”
                    (ตรงหน้าตึกคณะมีจัดงานอะไรเหรอ คนมุงกันเต็มเลยเสียงดังมาถึงนี่ แมคอยู่ตรงไหน)      
                    “ตรงที่คนยืนกันเต็มนั่นละครับ เดินมาก็เห็นผมเอง”


          กดวางสายได้ไม่ถึงอึดใจ เสียงเพื่อนนับสิบที่แอบฟังก็ดังขึ้น ทั้งถามทั้งเขย่าแขนผมไม่พอ ยังมีแบ่งทีมช่วยกันชะเง้อหาคนปลายสายอีกครับ ไม่ไหวเลยจริงๆ

                    "ไหนๆ สาวผู้โชคร้ายคนนั้น"
                    "ไม่ใช่สาวหรอก นั่นไง คนที่เดินมาโน่นอะ" คิดแล้วก็ถอนหายใจ ไม่อยากจะให้เห็นก็เพราะแบบนี้ละ คนอะไรมาดแมนแฮนด์ซัมกว่าผมอีกอะ มองแล้วน้อยใจ
                    "เฮ้ย มึงเป็น..."
                    "ไม่ใช่โว๊ย!!" ไล่เตะเพื่อนชายทั้งหลายแหล่ที่จู่ๆก็เด้งตัวออกห่างไม่ทันครบคน ก็ต้องยกมือมาปิดหูให้กับเสียงกรี๊ดหนึ่งยกพร้อมตบหน้าผากเข้าไปฉาดนึงเต็มๆ เมื่อเพื่อนสาวอีกกลุ่มส่งเสียงอ๊ายบวกแทคมือกันเงียบๆ อะไรจะดีใจกันขนาดนั้นครับเพื่อน
                    “แกๆ มีโบกมือส่งสัญญาณกันด้วยอะ” ถ้าไม่โบกมือแล้วพี่มาร์ทจะเห็นผมไหมอะครับ ยืนบังกันขนาดนี้
                    “ส่งยิ้มให้กันด้วยอะ แก” คือผมก็ไม่ได้ว่านะครับถ้าเพื่อนจะกระซิบกันเบาๆ แต่นี่เล่นแอบคุยกันดังทะลุสองหูผมเลยนี่ ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับ ขอบอก กลุ้ม
                    "นี่...พี่มาร์ท ส่วนพวกนี้ก็เพื่อนๆ แนะนำตัวกันเองละกัน เยอะเกิน" ผมปรายตาบอกออกไปยังไม่ทันสิ้นคำ กลุ่มสาวทั้งแท้ทั้งเทียมพร้อมใจกันเด้งตัวไปยืนแทบจะซบตรงหน้ากันหมดแล้ว พร้อมร่ายสรรพคุณของตัวเองกันยาวเหยียด พี่มาร์ทยิ้มรับฟังตามสไตล์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
                    "เฮ้ย!แกมีพี่ด้วยเหรอ" แก้วกระซิบถาม "เห็นแต่น้องแก"
                    "ก็นะ" ผมยังไม่ได้ตอบ เพราะยังไม่มันใจสถานะในขณะนั้นเอาซะเลย
                    "ไม่น่าใช่ พี่ชายแกวะ ดูดีเกิน"
                    "ไอ้เวร" ผมประเคนคำชมให้ "พี่หล่อกว่าน้องมันผิดตรงไหน"
                    "แม่มึงหยิบลูกมาผิดชัวร์"
                    "เอาเข้าไป พี่มาร์ทไม่ใช่พี่ชายแท้ๆหรอก แค่รู้จักกันที่งานๆนึงเท่านั้น" ผมพูดความจริง แต่ทำไมหัวใจกลับเต้นแปลกๆหนักหน่วงเหมือนหินมาถ่วงเอาไว้ รู้สึกหดหู่ยากจะบรรยายชะมัด
                    “เฮ้ย! มึง เป็นไร นิ่งเชียว”
                    "เปล่าๆ ไปก่อนนะ ขอบใจมากๆ อุตส่าห์แบกมาให้" ผมยิ้มรับ “วันหลังจะเลี้ยงขอบคุณ”
                    “พรุ่งนี้กินฟรี?”
                    “ซูกัสสองเม็ด เอาปะละ” ร่ำลาผองเพื่อนเสร็จสรรพ ผมจึงก้มตัวลงหยิบสารพัดของขวัญที่วางกองอยู่มาถือไว้พร้อมกับจับยัดบางกล่องใส่ถุงรวมกันจะได้ถือสะดวก แต่แล้วจู่ๆพี่มาร์ทก็มาแย่งไปจากมือผมเกือบหมด เดินนำอ้าวไปทำเหมือนโกรธอะไรผมบางอย่าง ผมต้องรีบสาวเท้าวิ่งตามไปด้วยกลัวจะถูกทิ้งไว้ที่นี่แล้วต้องจ่ายค่าแท็กซี่เอง "พี่เป็นไร กินยาลืมเขย่าขวดเหรอ" ผมเอ่ยถามเสียงใสหยอกเล่นลองเชิง แต่อีกฝ่ายทำแค่เพียงตวัดสายตามามองปิดท้ายรถ แล้วจึงเดินไปเปิดประตูด้านคนขับเข้าไปนั่ง "วันนี้พ่อกับแม่ไปงานแต่งงาน คงจะกลับค่ำหน่อย เอ๋...ผมบอกพี่มาร์ทไปยังนะครับ”
                    "อืม" พี่มาร์ทพึมพำรับคำเบาๆด้วยท่าที่ไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าไหร่ ก่อนจะเข้าเกียร์ขับออกไป
   

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (1/2)] 09-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 09-04-2016 09:54:29
พี่มาร์ทโกรธปะเนี่ยย555555
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 09-04-2016 23:51:49

Until You


ตอนที่ 6 (2/2)

          อีกไม่ถึงห้ากิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าบ้าน แต่ผมกับพี่มาร์ทยังไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้เพียงประโยคเดียวตั้งแต่ขึ้นรถกลับออกมาจากมหาวิทยาลัย คิดแล้วชักหวั่นใจขึ้นมาเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาผมไม่เคยเห็นพี่มาร์ทเป็นแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกอึดอัดหน่วงแปลกๆแต่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงปั้นหน้านิ่งเงียบฟังเพลงไป ทั้งที่ภายในใจกำลังร้อนรุ่มเค้นสมองอย่างหนักพยายามคิดทบทวนว่า อะไรที่ผมทำผิดพลาดไปกันแน่?
                    "พี่มาร์ท ผมขอโทษ"
                    "เรื่องอะไร?" อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองคนถาม
                    "เมื่อเย็นที่ผมพูดไม่คิด"
                    "ตอนไหน?" พี่มาร์ทสวนขึ้นมาทันควันชะลอความเร็วรถลง
                    "คงเป็นตอนที่ผมบอกว่า พี่เป็นแค่คนที่ผมรู้จัก ใช่ไหมครับ?" ก้มหน้าก้มตางุบงิบตอบกลับไป ด้วยความไม่แน่ใจ เพราะหลังจากไตร่ตรองคิดทบทวนแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีสาเหตุอื่นอีก
                    "คิดว่าใช่ไหมละ?" แม้น้ำเสียงไม่ได้เรียบเฉยตามเดิมแต่ก็ไม่เชิงทำให้ผมมีความหวัง ยิ่งได้ยินยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบให้จนตรอกยิ่งกว่า
                    "ครับ ผมขอโทษ"
                    "แล้วพี่เป็นอะไรสำหรับแมคกันละ" เป็นอะไรดี? นั่นสิครับเป็นอะไรดี ในเมื่อผมยังหาศัพท์หรือนิยามมาบรรยายไม่ได้เลย ในใจของผมรู้สึกผูกพันกับพี่มาร์ทมากจนไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักธรรมดา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นรักชอบแบบคนอยากมีแฟนเสียด้วย เพราะผมรักความเป็นโสดที่สุด คิดว่างั้นมั้ง? หรือว่าไม่ใข่อีก?
                    "พี่อายุมากกว่าผม คงเป็นพี่ชายละมั้ง เหวอ...." ไม่ถึงกับหน้าคะมำ เพราะผมจับประตูทรงตัวไว้ได้ทัน แต่จะไม่เสียวเลยก็คงตายด้านเกินไป ในเมื่ออยู่ๆตัวรถถูกบังคับหักเลี้ยวปาดเข้าเลนซ้ายสุดกระทันหันเข้าไปจอดหน้าเซเว่นอีเลเวนในปั๊มน้ำมันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ทั้งยังเบรคตัวโก่งจนร่างกายเด้งไปด้านหน้าดีที่มีเข็มขัดนิรภัยคาดเอาไว้ ไม่งั้นคงพุ่งทะลุกระจก ผมหันขวับอ้าปากพร้อมต่อว่าในทันที “พี่ทำบ้า อะ...”
          ปัง!!!
          เสียงกระแทกประตูด้านคนขับปิดลงทันที เล่นเอาผมกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอแทบไม่ทัน กระพริบตาปริบนั่งงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คอยอยู่สักพักพี่มาร์ทก็เดินกลับมาพร้อมกาแฟกระป๋องโยนมาให้ ผมรับมาถือไว้ไม่ได้เปิดดื่มแต่อย่างใด และยังคงเป็นเช่นเดิม เพราะทั้งผมทั้งพี่มาร์ทต่างเงียบให้แก่กัน ทว่า...สิ่งที่แปลกไปจากเมื่อครู่ก็คือแววตาของพี่มาร์ทเปลี่ยนไปเหมือนคนอมทุกข์หนักใจมากกว่า สังเกตได้จากคิ้วขมวดแทบจะชนเข้าหากันบนใบหน้ายุ่ง
                    “พี่มาร์ทเป็นอะไรปะครับ” เป็นผมที่ต้องเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
                    “แมค พี่มีเรื่องที่ต้องบอก” ผมพยักหน้ารับฟังทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สีกลางสังหรณ์ตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนักเลยครับ  "งานแต่งงานจะมีขึ้นวันศุกร์หน้า" ซองสีชมพูอ่อนลายกลีบกุหลาบยื่นมาให้ผม ก่อนใบหน้าคมจะฟุบหน้ากับพวงมาลัย
                    "..." ช็อก!!! พี่มาร์ทจะแต่งงาน "จ...จริงเหรอครับ?" ไม่จริงใช่ไหม? ดูเหมือนจะเรื่องจริง งั้นผมควรพูดแสดงความยินดีกลับไปตามมารยาทสินะครับ แต่ทำไมริมฝีปากของผมถึงสั่นแบบนี้ คำพูดแสดงความดีใจที่ต้องเปร่งออกมากลับเงียบสนิทราวกับซึมเข้าไปในลำคอแห้งผาด แค่คำว่าแต่งงาน คำเดียว ทำไมถึงรู้สึกโหว่งเหวง ใจหายวาบได้ถึงขนาดนี้ เหมือนกำลังจะมีอะไรขาดหายไปและบางอย่างคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
                    "พี่ชายคนนี้ คงมาหาแมคไม่ได้ละครับ"
                    "พี่ชาย เหรอ...?" ผมอยากมีพี่ชายมาตลอด แต่ไม่ใช่พี่ชายในความหมายที่ได้ยินตอนนี้
                    “...แมค...” ผมเบนหน้าหันไปมองกระจกข้างไม่กล้าสบตาด้วยรู้สึกว่า อารมณ์ยังไม่เป็นปกติดีทำไมคำสั้นๆคำนี้ฟังดูใกล้ชิด แต่ความหมายช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน นี่ใจของผมอยากให้เป็นอย่างนี้จริงๆงั้นเหรอ? จะอยากหรือไม่อยาก คนอย่างผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อคำตอบผมยังให้ตัวเองไม่ได้เลย แล้วผมจะมั่นใจไปไขว้ขว้าอะไรได้
                    "เจ้าสาวสวยไหมครับ" อยากเปลี่ยนคำถาม แต่ปากดันไม่รักดี
                    "ก็สวย เป็นนางแบบระดับแถวหน้า แมคน่าจะรู้จักนะ"
                    "งั้นเหรอ... ครับ” ทอดเสียงยาวพาลให้จิตใจเหม่อลอยแบบนี้เขาเรียกว่าจุกอุกจนพูดอะไรไม่ออกใช่ไหม ผมไม่เคยเป็นแต่เดาว่าคงใช่”งั้นผมก็ได้เจอพี่แค่นี้สินะครับ"
                    "พี่จะมาหาบ่อยๆ ทุกครั้งที่ว่าง" เศร้าครับคงเป็นเรื่องเศร้าที่สุดในวันเกิดปีนี้ของผม ไหนใครว่าวันเกิดมักจะเจอเรื่องดีๆไงละ?
                    "อย่าเลยครับ อยู่กับครอบครัวพี่เถอะ" ผมเม้มปากตอบกลับไป ปลดเข็มขัดนิรภัยนิรภัยออกโผกอดคนข้างๆไว้แน่นราวกับกลัวคนในอ้อมแขนหายไป ผมคงทำได้ดีที่สุดแค่นี้ในตอนนี้
                    “แมค?” เสียงเรียกชื่อของผมดังแผ่วเหมือนกระซิบคล้ายต้องการเรียกสติให้ผมรู้สึกตัว พี่มาร์ทคงรู้สึกอึกอัดที่ผมกระชับแรงมากเกินไปแต่ผมอยากกอดคนตรงหน้าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ต้องการ ซึ่งนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำเช่นนั้นได้
                    "ผมจะจำทุกช่วงเวลาที่พี่มอบให้ผม...อึก...ผมจะไม่มีวันลืม... ขอให้มีความสุขนะครับ พี่ชาย... ผมไม่มีพี่ชาย แต่ก็อยากให้พี่เป็นพี่ชายของผม แม้ว่าพี่จะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ และผมเองก็ยังไม่ได้ตอบรับคำนั้น แต่ผมอยากจะบอกว่า พี่เป็นมากกว่าพี่ชายของผมนะครับ โชคดี..." ผมหยุดประโยคไว้แค่นี้ เพราะถ้าหากพูดต่อไป น้ำเสียงของผมต้องสั่นตะกรุกตะกรักจนพูดไม่รู้เรื่องแน่ๆ
                    "มากกว่าพี่ชาย แต่อนาคตก็พัฒนาใช้คำว่าแฟนได้สินะ" เสียงใสกระซิบข้างหูจนผมถึงกับสะดุ้งผละออก แต่กลับโดนสองแขนโอบรัดไว้แทน "แมค... น่ารัก"
                    "พี่มาร์ทปล่อยผมก่อน พี่พูดอะไรนะ เลิกล้อเล่นได้แล้ว ผมไม่ได้เป็นตัวแทนของใครนะ"
                    "ใครว่าแมคเป็นตัวแทน แมคเป็นตัวจริงต่างหาก"
                    "อ้าว แต่พี่มาร์ทจะแต่งงานแล้วนี่ครับ โอ้! พี่เป็นคนอย่างนี้เองเหรอ พี่คิดจะหว่านล้อมผมแกล้งผมใช่ไหม จะให้ผมเป็นตัวจริงแล้วฝ่ายหญิงเป็นตัวสำรอง โหย!! เลวมาก ชั่วสุดๆ นี่เคยคิดไหมว่าถ้าผู้หญิงเขารู้... อุ๊บ"   
                    "ชู่วร์ เงียบๆ อย่าโวยวายสิแมค"
                    "อืม อัมๆๆ" ถึงจะเอามือปิดปากผมได้ สายตาผมก็จะยังจะด่าพี่ต่อไป ทำงี้ได้ไงคิดจะเอาผมอยู่บ้านน้อย เวลาว่างเบื่อก็มาหามาเยี่ยมงี้? อย่างนี้ต้องทวงสิทธิ์ หนอย คนเจ้าชู้
                    “ถ้าพี่ปล่อยแล้ว อย่าร้องนะ โอ๊ย!!” พี่มาร์ทสะบัดมือทิ้ง “กัดพี่ทำไมนี่”
                    “ผมจะไม่ยอมเป็นภรรยาน้อยเด็ดขาด แล้วก็ไม่ยอมให้พี่มาร์ทแต่งงานแล้วทิ้งภรรยาหลวงไม่ดูแลด้วย!” 
                    “ใครภรรยาน้อย ใครภรรยาหลวง แมคเหรอ?” ยังมีหน้ามาถามอีก ดูทำหน้าเข้าแกล้งเบลอใช่ไหมเนี๊ยะ
                    “ใช่! เฮ้ย! ไม่ใช่!! ไม่รู้” ผมส่ายหน้าผับๆแบบงงงวย นี่ผมสับสนอะไรอยู่ปะหว่า “จะใครเป็นตัวจริงตัวสำรองก็ไม่ดีทั้งนั้น ยังไงพี่มาร์ทก็นิสัยแย่อยู่ดีวะ”
                    “อ้าว ทำไมมาลงที่พี่ละครับ พี่ว่าแมคเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ”
                    “เข้าใจผิดยังไงมิทราบ ก็พี่มาร์ทบอกตัวจริงอยู่เมื่อกี้ หรือจะกลับคำ?” ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมมองคนผิดไปหรือนี่ ปกติไม่เคยพลาดนี่หว่า
                    “เพื่อนพี่แต่งงานต่างหาก ไม่ใช่พี่"
                    “เอ่อ... หยุด ห้ามยิ้มขำผมก่อนผมจะเข้าใจเด็ดขาด ขอเปิดซองดูก่อน”


          พิธีมงคลสมรสระหว่างนายภงศกร ตัน.... นิ่งเงียบไว้อาลัยตัวเองสักห้านาทีทันไหมครับ เชี่ยเอ้ย! อยากมุดหัวลงบนผ้ายางรองพื้นรถมาก หน้าแตกไม่พอยังแหกแบบประกอบไม่ติด ตกลงผมเข้าใจผิด?

                    "หลอกกันเหรอ" ถามเสียงอ่อยพลางกรอกตาไปมาด้วยความอายขายหน้า
                    "นึกดีๆสิว่า พี่พูดตอนไหนว่าพี่จะแต่งงาน" มันก็จริงอยู่นะ งานแต่งงานจะมีขึ้นวันศุกร์หน้า
                    "ถึงงั้นก็เถอะ ยังไงพี่ก็แกล้งทำให้ผมเชื่ออยู่ดี เจตนาเข้าข่ายหลอกลวงผิดกฏหมายมาตราที่ 4210 " ผมชี้หน้าแต่พี่มาร์ทกลับเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ "ไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อนเลย รู้น่าว่าข้อนั้นไม่มี ไงผมก็ไม่ชอบอยู่ดีที่พี่ทำแบบนี้"
                    "อย่าโกรธเลยน่า ถือซะว่าพี่เอาคืนที่ทำให้พี่เกือบเสียเงินตั้งสองหมื่นกับค่าเรือสำราญ" เกือบเสียเงินแสดงว่ายังไม่ได้เสีย ดีนะนี่ที่ผมฟังอย่างตั้งใจไม่หลุดปากบอกให้ไปเอาเงินคืน ไม่งั้นเสียหน้าอีกแน่ๆ ว่าแต่มันค่าอะไรละนี่?
                    "งั้นข้อความที่เขียนมานั่น หมายถึงแบบนี้เองเหรอ"
                    "ใช่ แมคเปิดข้อความช้ามาก" พี่มาร์ทว่า “พี่จองเรือกับสั่งเซตดินเนอร์มื้อค่ำเอาไว้ ตั้งใจว่าจะทำเซอร์ไพร์พาแมคไปฉลองวันเกิดสักหน่อย”
                    "ก็ผมเพิ่งสอบเสร็จอะ มือถืออยู่ในล็อกเกอร์ด้วย” ผมบอก “งั้นเอางี้ไปกินพิซซ่าที่นารายพิซซาเรียกัน แถวๆบ้านผม ผมเลี้ยงเองก็ได้ ไม่...ไม่เลี้ยงแล้ว เพราะพี่มาร์ทแกล้งผม พี่นั่นละเลี้ยง"
                    "ยังไงก็ได้ครับ" ถึงจะไม่มีแซวเพิ่ม ผมก็ยังแอบเห็นอีกฝ่ายอ้อมแอ้มแอบขำผมอยู่เลย คิดแล้วน่าโมโห
                    “เดี่ยว อย่าเพิ่งออกรถ พี่มาร์ทต้องหยุดขำผมก่อน ห้ามขำในใจ ห้ามอมยิ้มด้วย”
                    “โอเคๆ หยุดละครับ หึๆ ไม่หัวเราะละ ไปกินพิซซ่ากันได้ยัง”
                    “ยัง เคลียร์มาก่อนเลยว่า ขำอะไรผมนักหนาอะ”
                    “แน่ใจว่าอยากฟัง?” ผมพยักหน้าทั้งที่ใจเริ่มลังเล “ถ้ารู้แล้วห้ามโกรธพี่นะ” นี่ผมต้องพยักหน้ารับคำอีกสองสามรอบไหม ลีลาเยอะจริงคนอะไร “ก็เมื่อกี้แมคให้พี่เป็นพี่ชาย สามนาทีให้หลังก็เลื่อนขั้นเป็นสามีภรรยาแล้ว ข้ามขั้นแฟนไหมครับ
          ฉ่า... แดดบ่ายนี่คงแรงนะครับ หน้าผมถึงร้อนได้ขนาดนี้ สงสัยแอร์ในรถพี่มาร์ทจะไม่เย็นพอต้องบอกให้ไปล้างไปซ่อมแอร์บ้างละ... โอเค เราเปลี่ยนเรื่องกันเถอะนะครับ อะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเนอะ

   



          เค๊กไม่พอปักเหรอครับ?
          โอยแค่คิดหน้าตอนพี่มาร์ทโดนแซวแล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วมันฮาจริงๆ ลองจินตนาการตามผมดูสิครับ ภาพหนุ่มพี่มาร์ทไฮโซแต่งตัวดีเดินประคองถาดพิซซ่าฮาวายเอี้ยนถาดใหญ่ มือนึงถือถาดอีกมืออังกันเทียนเกือบยี่สิบเล่มดับ ทั้งยังห่อปากสั่งเทียนอีกไม่ให้เอนอีก ทำเอาพนักงานในร้านกับลูกค้าคนอื่นแอบขำคิกคัก ผมสาบานชาตินี้จะไม่มีวันลืมภาพนี้แน่นอน
                    "อมยิ้มอะไรคนเดียวหืมเรา? ถึงบ้านแล้วไม่ลงเหรอ?"
                    "ลงครับลง" เพิ่งเข้าใจคำว่าหัวเราะทีหลังดังกว่าก็วันนี้ละครับ สุขขีจริงๆ
                    "แมค ลืมอะไรหรือเปล่า"
                    "ของขวัญเพื่อนนะเหรอ ลืมครับ พี่มาร์ทเปิดท้ายให้หน่อยสิ อ้อ...แล้วก็ขอบคุณสำหรับของฟรีแสนอร่อยครับผม" ลาภปากอิ่มทองยามเย็นแบบนี้ ต้องยกมือไหว้อย่างนอบน้อมสักหน่อยแล้วครับ “กราบขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ คุณพี่มาร์ท”
                    "จะเอาไหม ของขวัญพี่นะ" หยอกเล่นแค่นี้ถึงมาทำหน้าเพลียใส่ผมเลย งั้นเจอยิ้มหวานหน่อยเป็นไง
                    "เอาสิครับ ไหนๆ?" เห็นพี่มาร์ทพยักหน้ารับทราบแล้ว ผมจึงเปิดประตูรถออกตรงไปยังท้ายรถที่เปิดอ้า แต่ค้นจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเจอสักอย่าง จะมีก็แต่ของขวัญจากเพื่อนๆผมนะ เลยจำต้องเรียกเจ้าของรถออกมาหาให้เอง
                    "เอ้า บอกให้หยิบใส่ท้ายรถมาแล้วนี่" พี่มาร์ทบ่นอย่างหัวเสียจนผมต้องเอียงคอถามด้วยความสงสัย "พี่ให้แม่บ้านหยิบใส่ท้ายรถมาให้แล้ว สงสัยตอนเอาของไปเก็บที่คอนโด คงติดกับถุงอื่นไปด้วย"
                    "ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมหยุดแล้ว สายๆผมไปหาที่ตอนโดละกันครับ"
                    "แมคจะมา? ดีเลย พี่จะได้เก็บห้องรอ"
                    "เก็บทำไม มันก็ไม่ได้รกอะไรอยู่แล้ว"
                    "เมื่อวานพี่นัดทีมมาประชุมกัน ทำงานกันยันเช้ากระดาษกองเต็มไปหมด" พี่มาร์ทว่าพลางเดินเข้ารถไปนั่งประจำที่ปิดประตูลดกระจกลง “จะมากี่โมงละ”
                    “คงก่อนเที่ยงมั้งครับ ไปแถวนั้นช้าเดี่ยวรถติด” แถมยังร้อนอีกตั้งหาก อันนี้ผมแค่คิดไม่ได้พูดออกไป เพราะเดี่ยวถามอะไรยืดยาวอีก อยากกลับบ้านไปตากลมละนี่ หน้าฝนทำไมมันแล้งได้ขนาดนี้
                    “เข้ามาใกล้ๆมา พี่เช็ดเหงื่อให้” ผมรับคำเดินเข้าไปใกล้หวังจะได้ผึ่งแอร์เย็นๆสักชั่ววินาทีก็ยังดี แต่กลับได้ยินประโยคสั้นๆที่มาพร้อมการกระทำที่พาลให้หัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ "แฮปปี้เบริ์ดเดย์นะครับ คุณน้องชาย"

          ฟอด... แก้มผม...ก...กะ...แก้มข้างขวา... ไม่มีทาง พี่มาร์ทคงหันหน้าพลาดเอาปากมาชนผิดที่แน่ๆเลยครับ
          ...แต่ว่า...
          ฟอด... แก้มซ้าย สัมผัสนุ่มบนผิวแก้มเหมือนที่โดนเมื่อกี้นี้เลย เรื่องแบบนี้คงไม่มีพลาดกัน เว้นเสียแต่ว่า...ตั้งใจ!!
                    “พี่มาร์ท!!” แทบอยากตะโกนให้ลั่นปฐพีพร้อมกับอ้าปากกัดแขนล่ำๆนั้นอีกสักสองแผล ทำไมทำกับผมแบบนี้ หน้าร้อนจะไหม้ ผมไม่รู้ว่าทำหน้าแบบนั้นอยู่ รู้แต่ว่าอีกฝ่ายยิ้มกรุ้มกริ่มสีหน้าดีใจแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นครั้งแรกที่ผมโดนประทุษร้ายแก้มนับตั้งแต่รู้จักกันมาสามปี ทำไม? ทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆสบายๆอย่างนั้น หุบยิ้มสักทีสิครับ ขอร้องละ
                    “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ น้องแมค” พี่มาร์ทโบกมือเข้าเกียร์รถ “แล้วพี่จะรอ


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 10-04-2016 07:22:59
 o22 น่าร้ากกกก
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 10-04-2016 08:33:50
น่าร้ากกกกกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 10-04-2016 08:59:09
ช่วง : Talk to Writer

ขอบคุณสำหรับทุกการตอบรับนะครับ (^_^) เห็นจำนวนคนแวะเข้ามาชมแล้วดีใจมากๆเลยครับ

วันนี้ผมพอมีเวลาว่างอยู่บ้างก็เลยแวะเข้ามาทักทายนะครับ อันที่จริงแล้วก็อยากมาทักตั้งแต่เห็นคอมเม้นต์แรกๆละครับ แต่ก็หมดแรงกับงานเพลียไปซะก่อน ทำงานมา 10 วัน แต่ก็เล่นเอากลับค่ำแทบทุกวัน ผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเป็นมินิบอส(สมัยก่อนเป็น junior น้องๆในที่ทำงาน ผ่านมา 6 ปี ถูกจ้างออกเพราะพิษเศรษฐกิจตกงานมา 6 เดือน แล้วก็เพิ่งได้งานที่ใหม่ ก็ดันเป็น supervisor ซะงั้น) ทำให้รู้ว่าชีวิตคนใหญ่คนโตนี่มันเล่นเอาเพลียสมองกับร่างกายมากจริงๆ

ผมเห็นพี่มาร์ททำงานตำแหน่งใหญ่กว่าผมยังไม่เห็นบ่นอะไรเลย แถมบางวันยังกลับบ่ายซะอีก บางทีก็ไปทำงานสาย ไม่บ่นไม่ท้อ อึดทุกสถานการณ์ซะจริง เอ๊ะ ยังไง? ฮ่าๆ

จูน...สมองก่อน.... เวิ่นเว้อมานานสงสัยจะหลุดมาดเข้า อะแฮ่มๆ
เอาเป็นว่า วันนี้ผมขอตอบเม้นต์รวมๆไปเลยละกันนะครับ ตามนี้เลย...

Q: seaz >> เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ต้องห่างกันแล้วเหรอครับ
A : mac >> ไม่ต้องเศร้าไปครับ แมคกับพี่มาร์ทยังมีเวลาร่วมกันอีกเยอะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ
                 (จนวันนี้ก็ยังมีเวลาร่วมกัน ฮ่า)

Q: Ferin1A >> น้องแมคน่าร้าาาากกกกกกกก พี่มาร์ทดูเป็นผู้ใหญ่อบอุ่นมากๆเลย
A : mac >> o22 หน้าแมคตอนวินาทีที่ 1-6 (ยิ้มหวาน ขอบคุณครับ)
                 และหน้าแมคตอนวินาทีที่ 7 เป็นต้นไป (ไม่จริง!!!!! พี่มาร์ทนะเหรออบอุ่น?? ตัวจริงออกจะเจ้าเล่ห์ อันนี้ขอเถียง)

Q: mi22 >> อ่านรวด แมคน่ารักมาก โดนบอกชอบถึงกับไปไม่เป็นเลย 5555 ขอบคุณค่ะ
A : mac >> แหม ก็คนมันเขินนี่ครับ เย้ย ไม่ใช่ อะแฮ่มๆ เก็กขรึมก่อน อย่าชวนผมหลุดมาดดิ

Q: Ferin1A >> น้องแมคอาการหนักมาก น่าร้าาากกกย
A : mac >> ตอนนั้นวัยยังละอ่อน เลยยังไม่ชินนี่ครับ ฮ่าๆ

Q: panitanun >> พี่มาร์ทโกรธปะเนี่ยย555555
A : mac >> เขาไม่เรียกโกรธครับ เขาเรียก งอน อิอิ

Q: chaichan >>  o22 น่าร้ากกกก
A : mac >> น่ารักแต่ทำไมอีโมมีช่วงหลอนใส่ผมด้วยอะครับ ฮ่า


ตอบครบแล้วนะครับ แต่ขอเพิ่มเติมไรอย่างนึงนะครับ แบบกระซิบละกันว่า... อย่าชมผมว่า น่ารัก บ่อยๆนะครับ เดี่ยวคนข้างๆเขาจะงอนเอา คำนี้ขอสงวนไว้สำหรับคนโสดแบบมีเจ้าของละกันครับ ฮ่าาาา

สุดท้ายนี้ ถ้าผมพอมีเวลาจะแวะเข้ามาทักทายและพูดคุยให้บ่อยขึ้นนะครับ หากใครอยากคุยเล่น หรือ มีอะไรสงสัย พิมพ์ไว้ได้เลยครับ ผมจะมาเคลียร์ทุกประเด็นให้เอง

ขอบคุณมากๆเลยครับ บอร์ดนี้อบอุ่นมากๆเลย
แมค

ปล. ถึงเพือนที่ช่วยลงเรื่องแทนให้... เอ็งลงถี่ขนาดนี้ ฆ่ากูเลยดีกว่าวะ? (-*-) คนอ่านฟิน แต่คนปั่นเรื่องจะตายเอาโว้ย มีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้งจริงๆ ก็บอกอยู่ว่าถี่ได้แต่อย่าย้ำมาก???? กูหายใจหายคอไม่ทัน กร๊ากกก เห็นใจกูบ้างดิวะ ขอเวลาพักบ้างไรบ้าง แค่นี้เวลาให้พี่มาร์ทก็น้อยอยู่ละ คิกๆ (มุขนะครับ อย่าคิดลึก โมเม้นต์นี้พี่มาร์ทแอบหวง อิอิ)

หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 10-04-2016 22:20:00

Until You


ตอนที่ 7

          ทั้งที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะละว่า ผมจะมาพบพี่มาร์ทที่คอนโดมิเนียมในวันถัดมาหลังจากปิดภาคการศึกษาแล้ว แต่นั่นเป็นข้อตกลงก่อนผมโดนล่วงละเมิดทางแก้มนี่ครับ เจอเข้าไปแบบนั้นเป็นใครก็ต้องลังเลเหมือนผมตอนนี้แน่ๆ เรื่องของขวัญวันเกิดมันก็อยากได้ แต่ถ้าเข้าไปอาจจะมีเรื่องอื่นให้ลุ้นยิ่งกว่า คิดแล้วใจมันหนักชอบกล

                    “คุงข้าใน”
                    “ห๊ะ?” เดินคิดอยู่ดีๆสำเนียงประหลาดจากข้างหลังทำผมชะงักเลย
                    “เลาะบี้” พม่าหรือกระเหรี่ยงวะ? ทำไงดีผมไม่เก่งภาษาเพื่อนบ้าน “ปะไป”
                    “เฮ้ย! ไรวะ” ผมถึงกับโวยวายด้วยไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว
                    “โจ ไปที่ป้อมรับบัตรจอดรถ” ตกลงเป็นคนรู้จักของรปภ. ที่นี่งั้นเหรอ? “คุณแมคใช่ไหมครับ" ผมพยักหน้ารับ รู้สึกคุ้นหน้าตั้งแต่เห็นแกจะวิ่งตากแดดจากในตัวอาคาร
                    "ขอโทษแทนไอ้โจมันละกันครับคุณ มันเป็นคนซื่อๆสั่งอะไรมันก็ทำ ผมให้มันมาเชิญคุณแมคไปรอที่ล็อบบี้แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาลากคุณไปไหนมาไหนแบบนี้ เข้าข้างในเถอะครับ อยู่ตรงนี้นานๆโดนไปแดดจะไม่สบายเอา"
                    "ผมอยู่นานแล้วเหรอครับพี่"
                    "เกือบชั่วโมงแล้วครับ ดีที่ต้นไม้ใหญ่อยู่นะ" คงจริง ถ้าไม่ได้ร่มต้นไทรนี่ ผมคงหน้ามืดเพราะลมแดดไปแล้ว
                    "เดี่ยวผมเข้าไปละกันครับ ขอบคุณพวกพี่มากๆ พอดีผมกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่นะครับ"
                    "คุณพิมลฝากบอกว่า ถ้าลืมกุญแจห้อง มาเอาได้เลย ไม่มีชาร์จค่ากุญแจสำรองเพิ่มสำหรับห้องพักของคุณภิมุข"
                    "ทำไมละครับ พี่?" ปริ้นๆๆ เสียงแตรไม่คุ้นหูแต่บีบได้ลั่นสนั่นเมือง จนพี่ยามต้องวิ่งไปเข็นประตูกั้นออก ทำให้ผมอดที่จะหันไปมองไม่ได้ พิจารณารุ่นของรถและป้ายทะเบียนเด่นหลานั่นแล้ว บุคคลที่นั่งหลังพวงมาละคงเป็นใครอื่นไม่ได้แน่ๆ เอ่ยถึงก็มาเชียวนะเลี้ยงกุมารทองไว้กระซิบข้างหูหรือไง แล้วนั่นจะกระพริบไฟใส่ตาผมทำไมอีก เปิดกระจกกวักมือเรียกก็เห็นตั้งแต่สิบเมตรแล้ว
                    "มายืนทำไรใต้ต้นไม้"
                    "ซื้อขนมครกมั้ง" ผมตอบกวนไปที "ล้อเล่นนะครับ เพิ่งมาถึงกำลังจะเดินเข้าไปพอดี"
                    "งั้นก็ขึ้นรถมา ทานไรมายังบ่ายโมงละ" พี่มาร์ทว่า “ถ้าตอบว่าทานขนมครกมา เชิญลงจากรถแล้วขึ้นบันไดหนีไฟด้วยขาสองข้างเองเลยครับน้องแมค”
                    "แหม พี่มาร์ทก็ ผมก็มุขไปเรื่อยอะพี่ อย่าซีเรียสสิครับ"
   

          หลังจากหม่ำมาม่ารสต้มยำไปหนึ่งต่อด้วยรสหมูสับไปอีกซอง ยกน้ำอัดลมขึ้นซดหมดไปสองแก้ว ตามด้วยไอศครีมสี่ลูกแต่โดนแย่งตักกินไปลูกนึง ผมก็พร้อมสำหรับของขวัญชิ้นสำคัญแล้วละครับ
                    “ต้องหลับตาก่อนไหมครับ”
                    “ตามธรรมเนียมก็ต้องทำ” พี่มาร์ทพูดทิ้งท้าย ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องนอนและออกมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่าของขวัญเต็มข้อแขน อย่าคิดว่าเยอะนะครับ มันมีชิ้นเดียวแต่ถูกพี่มาร์ทหิ้วมาแบบหนีบคอลากพื้นมา เห็นแล้วหมดศรัทธากับของขวัญไปเลยละครับ ดูทำเข้า    
                    "ใหญ่ไปไหมครับ" ตุ๊กตาหมีขนสีครีมตัวสูงเท่าไหล่ถูกส่งต่อมาให้ตรงหน้า ผมรับมากอดเต็มสองแขน อดใจที่จะแขวะไม่ได้ "ไม่ห่อใส่กล่องมาให้เลยละ กล่องตู้เย็นน่าจะใส่ได้"
                    “เป็นความคิดที่ดี แต่พี่ยังไม่มีเพลนจะซื้อตู้เย็นใหม่นะ” พี่มาร์ทหัวเราะ ปล่อยผมทำหน้าบูดเบี้ยวหน้าเบี้ยวอยู่สักพัก คิดเหมือนผมไหมครับว่า วันนี้พี่มาร์ทดูอารมณ์ดีกวนขึ้นเยอะเลย


          ผมก็เหมือนผู้ชายส่วนมากที่ไม่ชอบตุ๊กตา อาจเป็นเพราะค่านิยมที่ผู้ใหญ่สั่งสอนมาว่า เด็กผู้ชายต้องเล่นหุ่นยนต์ เด็กผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตาละมั้งครับ แต่จะว่าไปหมียักษ์ตัวนี้ก็หน้าตามู้ทู้ทะเล่นดีเหมือนกันน่าตบให้หายซึนสักสองที เอาแก้มซ้ายก่อนแล้วค่อยแก้มขวา โดนฝ่ามือเข้าไปแล้วยังกล้าจ้องผมด้วยแววตาใสซื่ออีกเหรอ ถ้าไม่กลัวว่าจมูกสีน้ำตาลนี่ดึงบิดแล้วมันจะพังจะ ผมจะบี้ให้แบนยุบไปเลย อ่า...ขนสีครีมสวยนี่ก็นิ่มมือเชียว ดึงกระตุกไม่หลุดด้วยแสดงว่าของมีคุณภาพ แบบนี้ค่อยกล้าเอาหน้าไปซบหน่อย โอ้ว...หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้าซะด้วย แสดงว่าซักมาอย่างดีซุกแล้วหน้าไม่เป็นสิวแน่ๆ ว่าแล้วต้องเอาหัวโหม่งชนประเดิมก่อนสักสองจึก ต่อด้วยกอดรอบคอโอบได้เต็มแขนแถมยังอุ่นแล้วก็นุ่มนิ่มด้วยอะ ตัวใหญ่แบบนี้น่าจะเอามานอนทับได้สบายๆ คืนนี้ต้องเอาไปลองทับนอนดึ่งดั่งซักหน่อย อ่า...จะว่าไปเอามาทำเป็นเก้าอี้นั่งพิงตอนดูทีวีก็น่าจะเหมาะ แหมพอดีหลังของผมเลยครับความสูงความใหญ่ระดับนี้ คงแก้อาการเมื่อยหลังได้ดีทีเดียว ขย่มก็สบายก้นไม่เจ็บด้วยอะ เยี่ยมไปเลย ว่าแต่ว่า... มีใครจ้องผมอยู่หรือเปล่าครับ?
                    “Pretty boy”
                    “ฮัลโหลๆ พี่มาร์ท” ถามไม่ตอบดันแข็งทื่อไปซะละ ขนาดโบกมือไปตรงหน้าของอีกฝ่ายยังมองผมตาไม่กระพริบเลย คนอะไรอุทานประหลาดชะมัด “มองมือผมนะ นี่เลขอะไรเอ่ย?”
                    "เลข 3” ก็ตอบถูกแฮะ “Can I kiss you?"
                    “ห๊ะ! ว่าไรนะ!!!” สงสัยหูผมเพี้ยนรอบสอง แคะขี้หูออกหน่อยดีกว่า
                    "Can I kiss you, please?"
                    “จูบ?...ผมนะเหรอ? ผมนี่นะ?” ตอบกลับด้วยการพยักหน้าทั้งยังแอบขำที่ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอีก “ผมว่ามัน....เอิ่ม...เร็วไปนิ๊ดนะ...เอ่อ...” พูดไปยังตะขิดตะขวงใจอยู่เลย เกิดมาผมยังไม่เคยโดนใครเอ่ยปากขอตรงไปตรงมาชนิดไม่ทันให้ตั้งตัวเช่นนี้เลย ว่ากันตามตรงเหตุการณ์ในตอนนี้ผมก็เคยคิด เคยจินตนาการ เคยเก็บไปฝัน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไวขนาดนี้
                    “แมค”
                    “เอ่อ...ครับ?”
                    “Please” เอ่ยเสียงหวานจ้องมองมาด้วยสายตาเว้าวอนเช่นนี้ เป็นใครก็ต้องใจอ่อนกันทั้งนั้น ไม่ได้ๆต้องไม่มอง ต้องไม่คิด ต้องไม่เผลอใจโอนอ่อน ต้องไม่สบนัยต์ตาคมทรงเสน่ห์แพขนตายาวระยิบ ดวงตาสีเทาฟ้าชวนเคลิ้ม สันจมูกเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้าเนียนใสมีไรขนอ่อนตรงปลายคาง และริมฝีปากนุ่มชวนให้สัมผัสลิ้มรสชาติ... “Mac”
                    “อืม...ครับ” ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่กำลังกอดผมอยู่นี่จะมีกล้ามแขนฟิตแน่นขนาดนี้ ถ้าได้ซบก็คงจะดีไม่น้อย แต่เอ๊ะ...ผมอยู่ในอ้อมกอดงั้นเหรอ? “เฮ้ย เดี่ยว”
                    “Thank you” น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกราวกับเสียงกระซิบเอ่ยประชิดริมฝีปาก ทำให้ผมเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว “ชู่วร์...”

          ปลายนิ้วโป้งแตะเข้าตรงมุมปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยไล้คลึงลงบนกลีบปากของผมคล้ายสื่อความหมายบางอย่าง ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจพลางตวัดสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าทั้งที่ริมฝีปากกลับเม้มเข้าหากันสนิท พยายามควบคุมร่างกายให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ไม่อาจทำให้อาการหดเกร็งตรงหน้าท้องเบาลงแต่อย่างใด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดวงตาคู่นี้สะกดเอาไว้ด้วยหัวใจอันแน่วแน่และจริงจังเกินกว่าที่ผมจะต่อต้านไหว ยิ่งเมื่อใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจปะทะเข้ากับใบหน้ามากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นรัวถี่ขึ้นจนยากจะควบคุมทุกขณะ สายตาของผมผลุบลงต่ำเมินหน้าก้มลงในทันทีเพื่อหลบการจู่โจมที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวของอีกฝ่าย ยอมรับว่ากังวล ยอมรับว่าใจหาย ยอมรับว่าอยากให้อีกฝ่ายสัมผัส แต่เอาเข้าจริงมันกลับพูดไม่ออก รู้สึกสับสนปนเปไปหมด ใครก็ได้บอกผมทีว่าควรทำยังไงดี

                    “Please calm down. Don’t worry my bros” แค่เพียงสัมผัสจากฝ่ามือหนาวางแนบแก้มประคองใบหน้าของผมช้อนขึ้นเท่านั้น ความกังวลเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความต้องการที่มาจากส่วนลึกภายในใจของผมที่พร้อมรับสัมผัสบางเบาแสนนุ่มอ่อนละมุนตรงมุมปาก
                    “พี่...” ชื่อที่อยากจะเอื้อนเอ่ยออกไปถูกหยุดไว้เพียงปลายนิ้วกั้น ผมขมวดคิ้วรับแปลกใจกับท่าทีของคนตรงหน้า ทั้งที่ใจอยากจะเอ่ยถามแต่กลับเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ก่อนที่ผมจะลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคออีกครั้งเมื่อความอุ่นจากฝ่ามือหนาละจากริมฝีปากไล้ลงปลายคางมาหยุดตรงต้นคอ ไม่เคยคิดเลยว่าสัมผัสจากนิ้วอุ่นจะทำให้เกิดความรู้สึกวาบหวามปั่นป่วนระคนผ่อนคลายได้มากขนาดนี้ และเป็นอีกครั้งที่ผมยอมให้ใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้ในระยะประชิดถ่ายทอดความรู้สึกผ่านริมฝีปากที่ทาบทับลงมาข้างมุมปาก ส่งผ่านบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นรัวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันหนักอึ้งราวกับมีหินมาถ่วงให้จมมิดลงใต้ก้นมหาสมุทร ทั้งยังร้อนราวกับมีไฟมาสุ่มแผ่นอกให้มอดไหม้ จนผมไม่อาจคุมสติของตนให้มั่นคงหนักแน่นได้อีกต่อไป ผมอยากจะไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุดเท่าที่สองขาจะพาไปได้ แต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิ๊ด
                    “Look into my eyes!” ฝ่ามือหนาช้อนใบหน้าที่ก้มลงต่ำของผมขึ้นเกลี่ยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้า พลางเอ่ยเสียงกระซิบย้ำคำถามที่ผมยังไม่พร้อมแม้เสี้ยววินาทีที่จะคิดหาคำตอบ “Tell me what you see” ผมเห็นเงาของตัวเองสะท้อนในดวงตาคมนัยต์ตาสีเทาเป็นประกายอยู่ครู่เดียวก็ต้องละสายตาเลื่อนต่ำลงมาไล้ไปตามสันจมูกโครงหน้าเข้ารูปและหยุดตรงริมฝีปากได้รูปสีส้มสวย "It’s you – Mac. You are the light inside my eyes. I wanna kiss you. Kiss ...Love you"
                    “อ่า...” ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารอยสัมผัสแค่ตรงมุมปากจะทำให้ใจของผมวาบวาบได้ถึงขนาดนี้เชียว "นึกว่าที่ปากซะอีก...อุ๊บส์" ปิดปากแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว หากย้อนกลับไปได้ผมจะไม่หลุดปากออกมาเช่นนั้นเด็ดขาด ไม่น่าพลาดเลย บ่นขมุบขมิบแต่ดันพลาดพลั้งปากบอกความคิดออกไปซะได้ เขินชอบกล“ไม่มีไรครับ ไม่มีจริงๆ อย่ามองผมงั้นสิพี่มาร์ท”
                    "ได้ใช้ไหม?"
                    “ห๊ะ...ไม่รู้! ไม่ได้!!” ตะโกนใส่หน้ายกมือขึ้นปิดหน้าหลับตาปี๋หนีแล้วนะ ก็บอกแล้วไงว่าอย่ามาถามแกมบังคับ ผมตอบไม่ถูก ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
                    “น้องแมค...คร๊าบ” ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเรียกคำนำหน้าผมเลย ยังไงผมคนนี้ก็ไม่ใจอ่อนหรอกขอบอก แต่จะว่าไปผมอยากเห็นสีหน้าออดอ้อนของคนตรงหน้าเหมือนกันนะ แง้มนิ้วลอดดูดีกว่า
                    "เกะกะ!!" อะไร เกะกะ? ยังไม่ทันจะได้คิดว่าหมายความว่าอะไร น้องหมีในมือก็ถูกหยิบออกปาทิ้งลงกับพื้นห้อง พร้อมกับถูกรวบเอวเข้าไปกอดจนตัวของผมแทบแนบชิดร่างกายของอีกฝ่ายเรียกเลือดให้สูบฉีดขึ้นใบหน้ายากจนเกินควบคุม ยังดีที่ผมออกแรกดันร่างหนากว่าไว้ได้ทันก่อนเขาจะก้มลงมา
                    "เดี๋ยว! ห้ามใช้ลิ้นนะ" ไม่ใช่! ต้องพูดอย่าทำสิวะ โอย ตายห่า ไม่ทันซะละมั้ง
                    "อืม"
   

          ผมรู้ว่าสิ่งที่ประกบลงทาบทับริมฝีปากของผมจะเรียกว่าจูบ แต่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าสิ่งนี้จะให้ความรู้สึกตราตรึงเบาหวิว นุ่มนิ่ม อุ่นจนร้อนวูบไปทั่วใบหน้าและยังแผ่ขยายลามมายังแผ่นอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นไม่เป็นระส่ำ พี่มาร์ทถอนริมฝีปากออกไปแล้วก็จริง แต่ยังคงทิ้งรอยสัมผัสตราตรึงย้ำชัดในความรู้สึกไม่หายไปไหน แทบไม่อยากยอมเลยรับว่ายามนี้ผมละสายตาตาไปจากดวงตาสีเทาคู่สวยนี้ไม่ได้ เป็นดวงตาที่ดึงดูดอย่างประหลาดจนรู้สึกคล้ายกับว่าต้องมนต์สะกด นิ่งงันยอมรับริมฝีปากที่กดทาบทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนานกว่าจะถอนออกไป แล้วกดซ้ำลงมาอีกหลายรอบคล้ายจะปลุกอารมณ์ผม ก่อนปลายลิ้นจะสอดแทรกเข้ามาในปากเรียกสติสั่งให้แขนส่งแรงผลักอีกฝ่ายออกไป
                    "ไหนตกลงแล้วไง" ผมเช็ดปากเบาๆด้วยหลังมือ มองตาขวาง
                    "ก็นะ" พี่มาร์ทยิ้ม "อีกครั้งนะ"   
                    “พี่มาร์ทไม่....ด...ไ” อยากบอกว่า ไม่ได้ แต่ดูท่าว่าคงต้องได้ ในเมื่อริมฝีปากของผมถูกครอบครองทันทีที่เอวถูกแขนแกร่งดึงรั้งแนบชิดสนิทชนิดเป้าแนบเป้า แม้ว่าผมจะพยายามดีด(ดึงด้วยนิ้ว) สี(ด้วยท่อนแขน) ตี(ด้วยมือ) กัด(ด้วยฟัน) ก็ยังไม่เป็นผล ยิ่งต่อต้านกลับยิ่งถูกรุกไล่ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าร่างกายของผมผ่อนแรงต้านลงมือหนาก็ช้อนเข้าที่หลังคอออกแรงกดท้ายทอยของผมจนหน้าเงยขึ้นรับริมฝีปากที่ก้มลงมาบดขยี้สลับห่อปากดูดซะจนรู้สึกเจ็บราวกับสัตว์ป่าหื่นกระหาย ทั้งฝ่ามือหนายังเลื่อนเข้ามาในสาบเสื้อนัวเนียมั่วไปหมด ทำเอาผมหมดแรงจะต่อต้าน ได้แต่ตอบรับปลายลิ้นที่ตวัดเกาะเกี่ยวอย่างชำนาญในที่สุด ทว่า...ยิ่งผ่อนแรงขัดขืนก็เหมือนทำให้อีกฝ่ายได้ใจค่อยๆเลื่อนฝ่ามือไล้ไปตามส่วนคอดของลำตัวจนปะเข้าที่ก้น แรงบีบขยำทำเอาผมชะงักกึกเบิกตาโพลงเรี่ยวแรงที่หดหายฟื้นขึ้นต่อต้านอีกครั้ง ทำแบบนี้เอาแต่ใจเกินไปจนผมชักอยากสั่งสอนให้รู้ฤทธิ์บ้างซะแล้ว
          ว่าแล้วก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงกว่าออกไปจนกระเด็น พี่มาร์ทขมวดคิ้วแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รอให้อีกคนได้ตั้งตัวรีบสาวเท้าเข้าประชิดผลักอีกฝ่ายกระแทกผนังแล้วตามประกบปากอีกระลอก อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายตกใจเปิดปากอุทานสอดลิ้นเข้าไปคั่วขบฟันลงบนปลายลิ้นเบาๆก่อนถอนริมฝีปากออกมายิ้มยียวนส่งท้าย
                    "นึกว่าครั้งแรกของแมคซะอีก" พี่มาร์ทเอ่ยเสียงราวกระซิบปนหอบเล็กน้อยออกมา
                    "ครั้งแรกครับ แต่ผมเป็นพวกเรียนรู้เร็ว" ผมยกยิ้มมุมปากรับคำชม พยายามผ่อนลมหายใจแอบซ่อนอาการเหนื่อยหอบเอาไว้ทั้งที่ใจกำลังเต้นรัว ผู้ชายนะครับใครจะไปยอมเป็นรองกับเรื่องพรรค์นี้กัน
                    "งั้นเหรอ?" รอยยิ้มชั่วร้ายผุกขึ้นพร้อมฝ่ามือที่ยื่นมาหวังจะจับ แต่คนอย่างผมไม่มีทางพลาดรอบสองแน่ จึงอาศัยความไวเบี่ยงตัวหลบดึงเนคไทของคนตัวโตกว่าให้ก้มลงมาแล้วจุ๊บปากปิดท้าย ก่อนถอยออกมายืนในระยะปลอดภัยเอ่ยเสียงใสตอบกลับไปว่า
                    "ขอบคุณครับ น้องหมีน่ารักมาก"
                    “หืม? ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากคนที่กำลังยืนเสยผมตรงหน้าเล่นเอาผมมึนงงไปชั่วขณะ "สมกับเป็นคนที่พี่เลิอก มีเสน่ห์น่าสนใจและยังแอบร้ายในเวลาเดียวกัน"
                    "แน่ใจนะว่า นั่นคำชม"
                    “แล้วแมคคิดว่าอย่างไรละ?” เหมือนเกิดประกายไฟเปรี้ยงปร้างอยู่สองสามวิ แต่สุดท้ายแล้วผมกับพี่มาร์ทดันหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันซะงั้น


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: kkmm ที่ 11-04-2016 02:06:18
มาต่ออีกนะครับขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 11-04-2016 18:35:23
มาอ่านรวดเดียวเลยค่ะ ฮือออ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกก ไไม่รู้หลังจากนี้จะมีดราม่ารึเปล่า แต่ท่าที่อ่านมานี่น่ารักจนหุบยิ้มไม่ได้เลยค่ะ นี่พี่มาร์ทแอบมองน้องมาจากมอเตอร์โชว์หลายงานแล้วใข่ไหมคะ ไม่รู้ที่มาเจอที่โชว์รูมนี่บังเอิญหรือพี่แกแอบสืบแล้วตามมานะคะ แล้วแบบ ตะล่อมน้องมากอ่ะ เราว่าตอนแรกน้องแม็คหมั่นไส้ แต่ไปๆมาๆ เพราะพี่มาร์ทรู้เรื่องรถเยอะรึเปล่า น้องแม็คเลยติดกับเลย ตอนพี่มาร์ทไปต่างประเทศครึ่งปีรั่นก็เป็นแผนให้น้องคิดถึงตัเองมากๆและรักษาระยะห่างให้น้องไม่เผลอคิดไปว่าเป็นพี่ชายรึเปล่าคะ 5555555 แต่พอกลับมาก็ไม่ได้ดูห่างกันเลยนะคะ นี่คือทำให้มีช่วงที่คิดถึงแล้วก็ดีใจที่ได้เจออีกครั้งสินะคะ คืออ่านไปก็คดในใจตลอดเลยค่ะ พี่มาร์ทร้ายกาจ คนเจ้าเล่ห์ มีแผนอะไรอยู่แน่ๆ ฮืออออ แต่เราชอบนะคะ คือพี่มาร์ทมาช่วยติวหนังสือให้น้องแม็คด้วยอ่ะ เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่น่ารักค่ะ ให้อภัย ถือว่าคิดถึงอนาคตของน้อง พูดถึงตอนพี่แม็คกลับมา โอ๊ยยยยย คือชวนไปบ้าน บอกว่าชอบ ไปดูหนัง กินข้าว นี่แฟนรึเปล่าถามจริงๆ เหมือนมาก พี่มาร์ทไม่ต้องขอเป็นแฟนแล้วค่ะ นี่ก็เหมือนใช่แล้ว แต่ก็เนอะ ดูน้องไม่รู้ตัวอ่ะ เราก็ไม่รู้ว่าน้องแม็คคิดอะไร น้องคงอยากให้แน่ใจที่สุดอ่ะค่ะ ถ้าตกลงเลยน้องก็อาจจะกลัวว่าต้องเลิกกันสักวัน แต่ถ้าปฏิเสธก็กลัวพี่มาร์ทจะหายไป มันก็ตัดสินใจยากนะคะ แต่เราว่าพี่มาร์ทคงไม่ยอมเลิกหรอกค่ะน้องแม็ค น้องอย่ากังวลค่ะ เขาเอาเปรียบน้องขนาดนี้แ้วนะคะ ทั้งจับมือ หอมแก้ แล้วล่าสุดยังจูบอีกนะคะ โอ๊ยยยยย จำเป็นต้องระบุสถานะแล้วค่ะ แต่จริงๆ น้องแม็คอย่าไปจูบพี่เขามากนะคะ เดี๋ยวพี่เขาหน้ามืดจับน้องกดทำไงคะะะะ (น้องแม็คบอกก็ถีบแล้วกระทืบซ้ำไง 5555555) เรารอติดตามตอนต่อไปนะค้าาา ขอบคุณสำรับทุกตอนค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 12-04-2016 00:48:15

Until You


ตอนที่ 8 (1/2)

          แม้จะได้หยุดเดือนตุลาคมทั้งเดือนในช่วงปิดภาคเรียน แต่ใช่ว่าจะได้พักยาวอยู่กับบ้านตลอดสามสิบเอ็ดวันเฉกเช่นสมัยเรียนประถมมัธยมศึกษา เท่าที่เปิดปฏิทินนับวันดูรู้สึกว่าผมจะได้พักผ่อนเต็มที่แค่ราวหนึ่งอาทิตย์ครึ่ง ต่อจากนั้นก็มีเพลนทำโปรเจ็คกับเพื่อนๆยาวเลย โดยจะต้องทำให้เสร็จภายในอาทิตย์ที่สามของเดือน เพื่อให้ทันพรีเซ็นต์หลังจากหยุดวันปิยมหาราช นั่นก็หมายความว่าผมต้องใช้พลังกายและพลังสมองค่อนข้างมากจนอาจจะถึงขั้นเครียดเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนเวลาซีเรียสจะมาถึงจึงต้องเติมพลังให้เต็มอิ่มชดเชยความอิดโรยที่สูญเสียไปจากการสอบ พร้อมฟิตร่างกายให้พร้อมรับศึกหนักเริ่มต้นชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งโปรแกรมที่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก แค่กิจกรรมยามว่างของเด็กกรุงที่พยายามหาอะไรผ่อนคลายแต่ก็ยังไม่วายพ้นรูปแบบเดิมๆ อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง เดินห้าง เที่ยวผับ ตะเวนหาของกินอร่อยๆ ทำเต็มสามวันก็ครบหมดละครับ อีกวันก็นอนอยู่บ้าน และอีกวันก็นอนอีก อยู่กับบ้านนานๆชักขี้เกียจเหมือนกันครับ แต่ครั้นจะเอางานโปรเจ็คมานั่งออกแบบล่วงหน้าก็ไม่อยากทำสักเท่าไหร่ มองปฏิทินสลับนาฬิกาอยากเร่งเวลาใจจะขาดก็ไม่ห็นได้ผล ผมละอยากให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์มากๆเลยครับ นี่ก็รอ... ร้อ.... รอให้ถึงวันนัดหมายจะไปเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกกับพี่มาร์ทสักทีครับ ยะฮู้!! คิดแล้วมีแรงกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเลย แม้จะไปเช้ากลับเย็น แต่ผมว่าต้องมีอะไรสนุกรออยู่แน่ หรือไม่มันก็เน่ากลายๆละนะ เพราะตั้งแต่เหตุวันเกิดคราวนั้น ผมกลับรู้สึกว่า เราทั้งสองคนมีเหตุให้ได้คุยกัน เจอกัน ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น จนผมชักสับสนสถานะความสัมพันธ์ขึ้นมายังไงชอบกล แถมบรรยากาศตอนอยู่ด้วยกันรู้สึกเหมือนโลกเป็นสีชมพูแปลกๆประเภทที่นิยายความรักบรรญัติศัพท์ชวนสยองของคนสองคนเอาไว้เลย คิดแล้วรู้สึกเลี่ยนขนลุกพิลึกชะมัด

                    “หนาวเหรอ? ยืนกอดอกนะ” น้องชายตัวดีหันมาถาม ขณะสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าอยู่ในโรงจอดรถ “ไม่สบาย?”
                    “เปล่าๆ แล้วไมซ์เป็นไรตาคล้ำเชียว”
                    “อ่านการ์ตูนดึก” พูดไม่พอยังมียักคิ้วหลิ่วตากวนบาทาผมอีก พอผมจะเบิดกระโหลกสั่งสอนมันหน่อยก็วิ่งปรู๊ดเปิดประตูขึ้นรถพ่อไปละ หนีไวอย่างกับลิง
                    “แม่จะไปละนะ จะไปไหนก็ล็อกบ้านถอดปลั๊กให้เรียบร้อยละแมค”
                    “ครับๆ”

          ผมยืนโบกมือลาให้ทุกคนก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไปตอนเช้ามืด รอจนลับตาเรียบร้อยก็เดินไปปิดประตูโรงรถตั้งใจว่าจะกลับมาเอนนอนรอใครบางคน เพราะกว่าจะถึงเวลานัดก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ทว่าไฟหน้าของรถใครสักคนแยงตาซะจนผมเบลอ แสงแรงไม่พอยังจะมีกระพริบใส่จนต้องเอามือขึ้นมาบังแสงเพ่งมองดวงไฟประหลาดในความมืด แสงไฟออกแนวทรงกลมคล้ายวงรีคู่แบบนี้ ผมไม่คิดว่าจะเป็นรถญี่ปุ่นหรือรถยุโรปทั่วไปตามท้องถนนหรอก ดูไม่คุ้นตาเอาซะเลย

                    “ยืนบังหน้ารถพี่ทำไมเนี๊ยะ” เสียงคุ้นหูแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นละครับ
                    “อ้าว มาไวจัง เข้ามาๆ”
                    “ทำไมเปิดประตูช้าจังละ?”
                    “ก็คนมันไม่แน่ใจ...หืม?” เดี๋ยวนะครับ ผมว่ารถที่ขับผ่านหน้าไปจอดห่างจากตัวผมสักสามวานี่ชักคุ้นตาละนะ รถรูปทรงแบบนี้ สีรถแบบนี้ มันน่าจะเป็นรถหรูที่ไม่มีขายทั่วไปนี่ สงสัยจะตาฝาดเจอแสงสะท้อนของดวงไฟนานเกินตาผมคงเพี้ยนได้ที่ ไม่น่าใช่บีเอ็มดับบริวที่พี่มาร์ทเคยขับมานี่ครับ ขยี้ตาสักหน่อยคงชัดขึ้น
                    “เป็นไรละนั่น ยืนนิ่งเชียว” แม้เสียงเครื่องยนต์จะดับลงแล้วและเสียงพี่มาร์ทจะเอ่ยถามอะไร สมองผมก็ไม่ประมวลทั้งนั้น ยามนี้ขอหูบอดปิดการรับรู้ชั่วคราว เพราะสายตามันจับจ้องอยู่เพียงสิ่งเดียวตรงหน้า
                    “ป...ปั๊บ...” ถึงกับเสียงสั่นปากพะงาบ วิ่งตรงรี่เข้าไปลูบไล้สัมผัสแนบแก้มกันเลยทีเดียว
                    “แมค?”
                    “พี่ป๊อด!!!” ใช่ครับ มันคือ Porsche 911 สีดำขัดมันวาวทั้งคัน เคาะแล้วหลังคาเปิดไม่ได้นี่มันช่างน่าเสียดายจริงๆ เพราะผมชอบแบบสปอร์ตเปิดประทุนมากกว่า นี่ถ้าได้ขับเปิดหลังคาบนถนนคงเท่ห์โคตรๆแน่เลย นั่งหลังพวงมาลัยห้อมล้อมด้วยหนุ่มสาวอย่างละคน มันสุดแสนจะสำราญใจ พี่แมคค่ะ ดูดนมเย็นๆไหมค่ะ หรือไม่ก็ พี่แมคครับ ทานขนมไหมครับ ผมอยากป้อนด้วยปาก แหม คิดแล้วมันเสียวขึ้นมาเลย แต่ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของก็ช่างมันเถอะครับ ได้ลูบผิวเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ บุญตาบุญมือของผมมากแล้วอะ ผมละสุดแสนจะปลื่มมาก
                    "ไม่คิดจะทักกันเลยเหรอ?"
                    "อ่า พี่มาร์ท สวัสดีครับ" ถึงกับยิ้มแห้งหันไปยกมือไหว้ตามมารยาท ลืมไปซะสนิทเลยว่า รถมันต้องมีคนขับครับ ถึงจะมาถึงบ้านผมได้ "พี่จะเข้าบ้านก่อนไหมครับ"
                    "ไม่ดีกว่า เดี่ยวจะสาย" พี่มาร์มยกนาฟิกาขึ้นมาดู แต่ผมเห็นว่า มันแค่หกโมงเช้าเอง
                    "อะครับ"  แต่ไปก็ไป ผมพร้อมจะไปลุยอยู่ละ “งั้นผมไปเอากระเป๋าแป็บนะ”
                    “โอเค พี่กลับรถแล้วไปจอดรอข้างนอกละกัน แมคจะได้ปิดบ้าน”
                    “ครับผม” ยิ้มรับอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านจับของที่วางกองไว้ในห้องครัวลงในกระเป๋าเป้ที่ผมคว้าออกมาจากในห้องนอน แล้วจึงเดินออกมานอกตัวบ้านพร้อมกุญแจในมือ ปิดบ้านเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยผมก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งทันที
                    “พร้อมนะ”
                    “อืม” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง รอจนรถเคลื่อนตัวออกไปสักพักจึงเริ่มทำการสำรวจสิ่งสนใจรอบตัว “พี่มาร์ทๆ เบาะหนังสีดำตัดขอบด้ายเทาด้วยอะ เบาะข้างหน้าทรงสปอร์ตสองที่ ข้างหลังที่นั่งปกติสองมีเอาเข็มขัดนิรภัยเสียบตรงกลางด้วยอะ เท่ห์โคตรๆ”
                    “ครับ”
                    “เครื่อง 3.6 ใช่ปะพี่”
                    “ครับ”
                    “คอนโซลทำจากไรอะ ไม่น่าใช่พลาสติกนะ เคาะแล้วเสียงไม่เหมือน”
                    “อลูมิเนียมสีเงิน”
                    “สุดยอด! แล้วๆเปิดหลังคาได้ไหมครับ”
                    “เปิดทั้งหมดไม่ได้ แต่เปิดเป็นซันลูปได้”
                    “จริงสิครับ เปิดตรงไหนอะ ผมอยากลองยืนโผล่ไปนอกรถนานละ” ปุ่มอยู่ไหนน้า ไม่เห็นมีเขียนบอกเลย "อย่างตอนรถติดถ้าโผล่หัวออกไป รู้เลยถนนติดเพราะอะไร"
                    “แมค! อย่าซนสิครับ”
                    “โครงสร้างภายในนี่สีดำเหมือนข้างนอกอะปะ”
                    “ไม่เหมือนครับ สีภายนอกเป็นสีดำบะซอลล์ ซึ่ง...”
                    “หินบะซอลล์ด้วย ว้าว!! ถึงว่าเงาวับมากมาย พวงมาลัยมีปุ่มด้วยเหรอครับ ควบคุมอะไรได้บ้างอะ” ผมเอ่ยถามเสียงใส “หน้าจอนี่ใหญ่มากเลยอะ ผมไม่เคยนั่งรถคันไหนมีแบบนี้เลยอะครับ กดปุ่มนี้ปะวะ มีซีดีไรบ้างหว่า พี่มาร์ทกดปุ่มนี้ใช่ไหมครับ ใช่ปะๆ ผมกลัวกดผิดอะ”
                    "แมคครับ"
                    "สองปุ่มนี่อะปะ ปุ่มหมุนๆตรงนี้ใช้ทำอะไรอะ?"
                    "เลิกสนใจรถ แล้วหันมาสนใจคนขับบ้างได้ไหมครับ น้องแมค" พี่มาร์ทเอ่ยขัด ทำเอาผมหน้าเจือนพลิกตัวกลับมานั่งท่าปกติ ไว้จอดรถแล้วผมค่อยศึกษาอย่างละเอียดก็ได้ ก็คนมันตื่นเต้นนี่ครับ ใครจะไปคิดว่าจะได้นั่งรถราคาเป็นสิบล้านแบบไม่ทันตั้งตัว
                    "พี่มาร์ทหิวยัง"
                    "ก็ยังไม่เท่าไหร่ แมคหิวเหรอ? ให้พี่แวะซื้ออะไรรองท้องในปั๊มไหม"
                    "ไม่ต้องๆ ผมเตรียมขนมมาละ ออกนอกเขตเมืองไปก่อนดีกว่าแล้วค่อยแวะ"
                    "อืม"
                    “แต่จะว่าไปพี่มาร์ทพูด ผมก็ชักเริ่มหิว ทานด้วยกันปะ”
                    “อ้าว หิวซะละ หึๆ" นี่ก็แปลกคนชอบหัวเราะใส่ผมอะ เดี่ยวไม่แบ่งขนมให้เลย "มีอะไรมาแบ่งพี่บ้าง”
                    “ก็มีคุ๊กกี้ 2 กล่อง ขนมปังทาเนย 1 คู่ ทานม 1 คู่ มันฝรั่ง 1 กระปุก เวเฟอร์ 1 ถุง นม 2 กล่อง กับ ลูกอม 2 แพ็ก แค่นี้ อ้อๆ มีน้ำหนึ่งขวดด้วย”
                    “งั้นกินเถอะ พี่กลัวแมคไม่อิ่ม”
                    “แค่กินรองท้องไม่ต้องอิ่มหรอก กินคุ๊กกี้กันไหมครับ พี่มาร์ทแบมือมา”
                    “พี่ก็อยากทานนะ แต่ขับรถอยู่คงไม่สะดวก” ก็จริง? แต่ยิ้มมุมปากแบบนี้ชวนให้สงสัยชะมัด
                    “อ๊ะ อ้าปาก ให้แค่สองชิ้นก่อนนะ เดี่ยวหมด” อันที่จริงไม่หมดหรอกครับ กล่องนึงมีหลายชิ้น แต่ผมหวงของกินอะ ร้านนี้ทำคุ้กกี้เนื้อนิ่มผสมช็อกโกแลตชิพอร่อยมาก ผมชอบกินที่สุดแต่ซื้อเยอะไม่ได้ ราคาค่อนข้างสูงพอควร
                    “อืม รสชาติใช้ได้ ทำเองเหรอ?”
                    “ทำเป็นก็ดีสิครับ อีกอย่างบ้านผมไม่มีเตาอบด้วย” ผมเคยตั้งใจจะซื้อเตาอบถึงขนาดเดินเข้าไปในร้านขายเลยครับ แต่แค่เห็นราคาแล้วอยากหงายหลังขึ้นมาเลย
                    "มาใช้ที่คอนโดสิ พี่ไม่ค่อยได้ใช้"
                    "มีจริงอะ อยู่ตรงไหน? ผมไม่ยักกะเคยเห็น"
                    "แมคดูไม่ทั่วเองนี่ หึๆ" พูดแบบนี้ อย่ากินต่อเลย ไม่ให้กินละ
                    “พี่มาร์ทน่าจะอิ่มแล้วเนอะ ผมกินขนมปังทานมดีกว่า อ้าม...” แค่ทานมข้นหวานมาทำไมรสชาติอร่อยเป็นพิเศษก็ไม่รู้สิครับ หรือเพราะผมหิวก็ไม่รู้
                    “ตอนไหน พี่ยังไม่ได้พูดเลย”
                    “ตอน 7 โมง 16 นาที 32 วินาที 14 ฟิวินาที พี่มาร์ทแสดงเจตนาว่าอิ่ม” ยักคิ้วเสริมกันสักเล็กน้อยพร้อมกัดขนมปังอีกสองคำติด
                    “ฟิวินาที คืออะไร?”
                    “เอ้า ลิปดา ยังมีฟิลิบดาเลย วินาทีก็ต้องมีเหมือนกันสิครับ จริงปะ ฮ่าๆ”
                    “นี่แนะ!”
                    “โอ๊ย พี่มาร์ทอะ ไหนบอกมือไม่ว่าง ขับรถอยู่ไง” เจ็บนะนี่ เขกมาได้ ปูดเปล่าก็ไม่รู้
                    “พี่มือว่างละ เมื่อกี้นี้เอง”
                    “ไม่พูดด้วยละ กินขนมปังดีกว่า” แต่กินทั้งทีต้องมีนมมาควบ ว่าแต่เอาอะไรดีระหว่างนมช็อกโกแลตกับนมถั่วเหลือง ผมตั้งใจว่าจะกินแค่กล่องเดียวเหลืออีกกล่องไว้ตอนเย็นๆขากลับบ้านเผื่อหิว "พี่มาร์ทเอามือซ้ายหรือมือขวา?"
                    "ซ้าย ถามทำไม"
                    "งั้นกินนมช็อกโกแลต" นี่ละวิธีผมตอนเลือกของไม่ได้ คิดไม่ออกก็ให้คนอื่นช่วยสิครับ
                    "จะให้พี่กล่องนึง?"
                    "ไม่ให้ พี่มาร์ทตัวสูงแล้ว ไม่ต้องดื่มนมหรอก"
                    "เป็นงั้นไป" พี่มาร์ทว่า "แกะคุ้กกี้ให้พี่หน่อย พี่อยากกิน"
                    "ให้กินก็ได้ แต่ซื้อมาคืนด้วยนะ"
                    "ครับๆ"


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 12-04-2016 16:49:44
ทำไมเราขำ น้องแม็คคคคค นี่คือทำพี่มาร์ทน้อยใจไม่รู้ตัวอ่ะ แต่เราอยากบอก น้องแม็คอย่าไปบ้านพี่เขาบ่อยนะคะ เราว่าไว้ใจไม่ค่อยได้ 5555555555 ยิ่งอยู่กันสองต่อสองด้วยอ่ะ ถ้าน้องไปทำขนมให้เขาที่บ้านเขามันก็จะดูเป็นศรีภรรยาด้วยนะคะ อันตรายมากอ่ะ แต่ตอนนี้พี่มาร์ทก็มีของมาล่อน้องแม็คเพิ่มอีก 2 อย่างนะคะ ทั้งเตาอบทั้งรถ น้องแม็คไปปไหนไม่รอดแล้วค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 12-04-2016 17:14:34
ทำไมขำ555555เเมคคือกินเยอะมากจริงๆตกใจ5555555
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-04-2016 22:13:39
น่ารักอะ ชอบหนูแมค แมนๆ //หนูแมคตกะมากค่ะ หวงของกิน :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 12-04-2016 22:30:50

Until You


ตอนที่ 8 (2/2)

          ผมเห็นทะเลข้างหน้าอยู่ไวไวแต่แทนที่จะเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางไปหาดทราย พี่มาร์ทกลับขับเลยป้ายไปอีกราวสามร้อยเมตรตีไฟซ้ายเลี้ยวเข้าไปในเขตโรงแรมแห่งหนึ่ง พร้อมกับเปิดกระจกบอกที่หมายกับพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงป้อมยามหน้าทางเข้า อันที่จริงผมก็สงสัยอยากจะถามแต่รอจอดรถก่อนก็คงไม่สายเกินไป บางทีที่นี่เขาอาจจะมีหาดให้ลงเล่นโดยไม่ต้องเข้าพักเป็นแขกของโรงแรมก็ได้

                    "Deluxe room "
                    "ห๊ะ! เอ่อ ขอโทษครับ ไม่มีอะไร" เผลออุทานออกไปซะดังจนพนักงานต้อนรับทำหน้าตกใจตามไปด้วยเลย แต่จะไม่ให้ผมร้องได้ไง บอกเขาไปแบบนี้นี่มันแปลว่านอนโรงแรมเห็นๆ ตอนแรกชวนเดินเข้ามาก็นึกว่าจะมาถามห้องเปลี่ยนเสื้อซะอีก
                    "โอเค" พี่มาร์ทยื่นแผ่นกระดาษกรอกแบบฟอร์มส่งให้พนักงานเสร็จก็หันมามองผมแสดงสีหน้าสงสัย
                    "ผมไม่ได้เอาชุดมานะ ก็ไหนพี่บอกว่าจะไปเช้าเย็นกลับไงครับ"
                    "ใช่ แต่ตอนนี้สายแล้ว ลงทะเลคงไม่ได้ พี่เลยพามานั่งตากแอร์เย็นๆรอก่อน"
                    "เหรอครับ? แต่เรานั่งเล่นล็อบบี้รอก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องเปลืองเงินเลย"
                    "แมคจะนั่งล็อบบี้ยันเย็นเลยงั้นเหรอ?"
                    “เอ่อ...” โอเค ยกนี้ผมยอมแพ้ก็ได้


          ห้องพักที่พี่มาร์ทเลือกอยู่ตรงมุมสุดของชั้นพอดี เป็นห้องพักขนาดราว 21 ตารางเมตร มีเพียงอุปกรณ์จำเป็นสำหรับห้องประเภทนี้อย่าง ตู้เสื้อผ้า โซฟาเก้าอี้คู่ ทีวี โคมไฟและเตียงเดี่ยวสองเตียงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าผมโยนกระเป๋าเสร็จก็เอนกายนอนพักทดสอบความนุ่มของเตียงในทันที แล้วก็ต้องถอนหายใจกับเตียงสปริงนอนไม่นุ่มสบายเหมือนเตียงที่บ้านในทันทีอีกเช่นกัน แต่ก็นะโรงแรมระดับสามดาวจะเอาอะไรมากมาย อีกอย่างผมมาเล่นน้ำไม่ได้มาค้างสักหน่อย
                    “เป็นไงเตียงนอนสบายไหม?”
                    “ไม่อะ ไปดูวิวบ้างดีกว่า” พี่มาร์ทพยักหน้ารับเดินไปเปิดผ้าม่านตรงประตูเทอเรสออกก่อนที่ผมจะเดินไปถึง ขยับผ้าปุ๊บแสงแดดก็สาดเข้ามากระทบาเล่นเอาตาเบลอไปเลย แล้วนั่นแอบยิ้มอะไร
                    “พี่แกล้งผมปะเนี๊ยะ”
                    “หึๆ” พี่มาร์ทไม่ตอบรับอีกตามเคย เดินไปเปิดม่านออกจนสุดแล้วจึงปลดล็อกประตูก้าวออกไปยืนข้างนอกพร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ตามออกไป
                    “วิวสวยจัง พี่มาร์ทเห็นตรงนั้นปะ เขากำลังปูกระเบื้องสระกันอยู่เลย มีทั้งสระเด็กสระผู้ใหญ่น่าลงไปว่ายแต่เสียดายมาก่อนเขาสร้างเสร็จ”
                    “อืม คราวก่อนที่พี่มายังไม่มีการขุดสระเตรียมพื้นที่ทำสระว่ายน้ำเลย ดูท่าว่ากิจการเขาคงดีขึ้น” พี่มาร์ทว่า “ตอนนั้นมีแค่ชายหาดทอดยาวถึงโขดหินโน่น กับห้องพักโรงแรมบนตึกนี่เท่านั้น มาวันนี้พี่เห็นมีบังกะโลกับพื้นที่ขายสำหรับปลูกบ้านเดี่ยวด้วย” พูดถึงเรื่องห้องพักแล้วผมคิดขึ้นมาได้เลย
                    "เออจริงสิ ค่าห้องเท่าไหร่อะครับ ผมช่วยออกครึ่งนึง"
                    "ไม่ต้องจ่าย ถือซะว่าพี่พามาเที่ยว”
                    “ไม่ได้ๆ มาด้วยกันก็หารครึ่งสิครับพี่มาร์ท พี่อุตส่าห์พาผมมาเที่ยวทั้งที ทั้งค่าห้องค่าน้ำมัน เอาไป 2000 ก่อนพอไหมครับ”    
                    “แมคยังไม่มีงานทำ ไว้มีก่อนแล้วค่อยมาแชร์" พูดเข้าทางความคิดคนงกอย่างผมแบบนี้เดี่ยวไม่ให้คืนซะเลย
                    “รู้ได้ไงผมไม่มีงานทำ? เห็นแบบนี้ผมก็มีหารายได้พิเศษนะครับ”
                    “เอาไว้พูดทีหลังละกันเรื่องเงินๆทองๆนะ”
                    "เอางั้นก็ได้" ผมพยักหน้ารับแบบไม่เต็มใจ ดูจากสภาพห้องราคาคงราวหลักพันไม่แพงมาก ค่ากินค่าน้ำมันรวมกันสองสามพันน่าจะเอาอยู่ นี่ถ้าพี่มาร์ทเอาห้องสมกับราคารถที่ขับมา ผมคงรู้สึกหนักใจกว่านี้แน่ แต่ว่าขับปอร์เช่งั้นเหรอ ชักน่าสงสัยละ?
                    "คิดอะไรอยู่ครับ?" พี่มาร์ทเอ่ยถาม “ชอบที่นี่ไหม?”
                    “ครับ” ผมพยักหน้ารับพอดีกับสายลมเย็นๆพัดเข้าปะทะผิวกาย ต้องยอมรับว่าการได้มองท้องทะเลที่ตัดบรรจบกับท้องฟ้าอยู่นี่ดูแล้วสบายตาชื่นใจหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทีเดียวเชียว
                    "พี่ชอบนะ มองแล้วสบายใจ" พูดไปจ้องหน้าผมไปแบบนี้ จะหมายถึงผมหรือทะเลกันแน่?
                    "อืม"
                    "ถ้ามีเวลา พี่ก็จะมานั่งมองอะไรเรื่อยๆ หยุดนิ่งๆดูสิ่งต่างๆผ่านไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเวลาและผู้คน..”
                    "ครับ" น่าแปลกที่ผมไม่คิดว่า จะได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากคนข้างๆได้เลย ปกติแล้วพี่มาร์ทไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องส่วนตัวให้คนไม่สนิทฟังเท่าไหร่ นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งครับที่ผมได้ยินประโยคสื่อความจากในใจของเขา ผมหันไปมองใบหน้าคมที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสักครู่ ก็หันกลับมาทอดสายตามองผืนน้ำทะเลตามเดิม ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปเหมือนดั่งคลื่นซัดเข้าฝั่งบ้างก็ดี
                    "แมค"
                    "ครับ"
                    "ไปเล่นน้ำกันไหม"
                    "หา! เอาจริงอะ" เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าสายแล้วลงทะเลไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ
                    "อืม” พี่มาร์ทพยักหน้ารับคำเป็นมั่นเหมาะ “มากี่ทีพี่ก็ไม่เคยลงเลย ไป ไปกัน"
                    "ก็ได้ครับ" ผมรับคำพลางถอนหายใจ บทจะทำอะไรก็ทำในทันทีเลยครับพี่มาร์ทนี่ ดูท่าจะตื่นเต้นไม่น้อยรีบเดินแซงหน้าผมเข้าห้องไปเปิดกระเป๋ารื้อค้นเสื้อผ้าก่อนผมซะอีก
                    “เร็วสิแมค เปลี่ยนเสื้อกัน”
                    “ครับๆ เข้าไปแล้วครับ ปิดประตูก่อนดิ จะเปลี่ยนเสื้อไม่ปิดม่านเหรอไง” อันที่จริงผมก็ชอบมาเที่ยวทะเลนะครับ แต่ไม่ค่อยชอบจะลงเล่นน้ำทั้งตัวเท่าไหร่ จะลงน้ำก็แค่เข่าหรือกางเกงเท่านั้น เหตุผลนะเหรอครับ ก็น้ำทะเลมันเค็มไง ผมชอบความหวานไม่ชอบความเค็ม เว้นแต่เรื่องงก ใครเรียกผมว่าเกลือเดินได้ ผมพร้อมยิ้มรับ
                    “แมคเอากางเกงสีอะไรมาเปลี่ยน พี่จะได้เอาตัวที่สีใกล้เคียงกัน” ยังไม่ทันได้ขมวดคิ้วครบรอบกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วก็ถูกหยิบออกมาวางข้างกระเป๋าสองตัว ทำเอาผมตะลึงไปชั่วขณะ
                    "พี่มาร์ททำอะไร?" อย่าบอกเหมือนที่ผมคิดนะครับ ไม่งั้นเป็นลมแน่
                    "ก็ลงน้ำไง แมคไม่เปลี่ยนเหรอ"
                    "เปลี่ยนทำไม ผมจะลงชุดนี้" ใช่ครับ ลงทะเลใครก็ลงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ลงน้ำกันทั้งนั้นละ "โอเคๆ เปลี่ยนแค่กางเกงขาสั้นก็ลงได้แล้ว"
                    "งั้นก็ไม่ match กับพี่ละสิ ไม่เอาๆ เปลี่ยนๆ" 
                    "พี่จะบ้าเหรอ ใครเขาใส่ไอ้นั่นลงน้ำกันเล่า" ผมไม่อยากจะแตะหรอกนะครับชั้นในว่ายน้ำของผู้ชายด้วยกันเนี๊ยะ แต่มันอดไม้ได้จนต้องอานิ้วคีบมาส่องดู ตอนผมว่ายน้ำที่โรงเรียนยังไม่ใส่เว้าสูงทรงบิกินี่อย่างนี้เลย เห็นแล้วกุมขมับ
                    "ใส่กันทั้งหาดละ เพื่อนพี่ก็ใส่กัน ที่ฮาวายใส่กันทุกคน" พี่มาร์ทว่า "ไม่ใส่ก็มี"
                    "กรรม... พี่ครับ This is Thailand, not USA. Understand?" นี่ผมปล่อยมุขขำแกมประชดยังจะทำหน้างงใส่อีก "พี่มาร์ทเบิ่งสิครับพี่ เขาก็ใส่ชุดบ้านๆลงกันทั้งนั้นแหละ"
                    "บ้านๆแบบไหน"
                    "เสื้อยืด กับกางเกงขาสั้น หรือจะกางเกงยาวแค่เข่า หรือถ้าไม่ชอบจะสั้นระดับบ๊อกเซอร์ตัวเดียวก็ได้"
                    "แต่พี่ไม่มี"
                    “ห๊ะ! ไม่มี” ผมคว้าหมับรื้อค้นกระเป๋าของอีกฝ่าย ก็ไม่มีอย่างปากเขาว่าจริงด้วย จะมีก็แต่เสื้อยืดคอวี เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงขาวล้วนม้วนพับมาอย่างดีกับชั้นในอีกชุด คงเป็นชุดใส่กลับบ้าน เห็นแล้วหน่ายใจของแท้เลย
                    "ไหนบอกมาทะเลบ่อยไงครับ"
                    "ก็มา แต่ไม่เคยลงน้ำไง เมื่อกี้พี่ก็บอกอยู่"    
                    "เดินชายหาดละ พี่ต้องเห็นบ้างแหละ"
                    "มองจากหน้าต่างโรงแรม มันจะเห็นคนได้ไง" นี่จะบอกว่าไม่เคยเดินชายหาดคนเดียวเลยงั้นเหรอครับ โอย ยาดมอยู่ไหน ผมขอสองหลอดมาอุดจมูกด่วน
                    "โอเคๆ สรุปว่าครั้งแรกอีกแล้วเหรอ" ผมถามหน่ายๆ ครั้งก่อนก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์ทีละ
                    "กับแมคนี่ก็ครั้งแรก"
                    "อะไรครั้งแรก?" ถึงกับต้องหันขวับไปถามเลยครับ อะไรครั้งแรก พูดจากำกวมชักน่าสงสัย นี่ถ้าตอบไม่เข้าหูนะ มีวางมวยก่อนลงทะเลแน่ๆ
                    "ลงน้ำ หึๆ"
                    "อ๋อเหรอ? แล้วตกลงจะไปเล่นน้ำกันไหมครับ"
                    "ไปๆ พี่ไปซื้อชุดก่อน"
                    "ซื้อทำไมครับ เปลือง" จำได้ว่าเมื่อเช้าหยิบติดมือมาสองตัว เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเอาตัวไหน โชคดีเลยนะนี่ "อะนี่ครับ มันเป็นกางเกงเล พี่ใส่ได้อยู่แล้ว"
                    "อืม น่าจะได้" พี่มาร์ทหยิบกางเกงจากมือของผมพลิกไปมาพลางขมวดคิ้วเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็หยิบกางเกงขาสั้นพอดีเข่ามาสวมใส่สบายๆ “แมค”
                    “ครับๆ ว่าไง”
                    “แล้วมันใช้ยังไง ใช้ผูกเหรอครับ ผูกไง?” คือผมต้องย่อตัวผูกเอว สายตามองเป้าเพศเดียวกันแต่งตัวให้คุณชายมาร์ทจนเสร็จใข่ไหมนี่? ทัศนยีภาพมุมนี้มองแล้วกลุ้มใจชะมัด “มันจะไม่หลุดเหรอ”
                    “ไม่รู้เหมือนกัน” แกล้งหยอกกลับไปทีเล่นเอาคนตรงหน้าเหวอไปเลย “ไม่หรอกน่า ผมมัดแน่นอยู่ ถ้าพี่มาร์ทไม่แน่ใจ ผูกเองก็ได้นะครับ”


          หลังจากเสร็จภารกิจในห้องพักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่มาร์ทก็เดินนำผมไปยังทางเชื่อมมุ่งหน้าสู่ชายหาดทรายสีนวลโดยไม่มีท่าทีรีรอดูท่าคงอยากลงเล่นน้ำจริงๆ ผิดกับผมที่ตอนนี้ค่อยๆก้าวย่องลงบนพื้นทรายอย่างระแวดระวังด้วยกลัวเหยียบลูกสนที่ตกลงมาเกลื่อนอาณาบริเวณ พี่มาร์ทก็เอาแต่ยืนโบกมือหยอยๆเร่งผมยิกๆ พอผมตะโกนกลับไปให้รอ อีกฝ่ายก็ยืนหัวเราะร่วนซะอย่างนั้นไม่คิดจะเข้ามาช่วยแต่อย่างใด ใช่สิครับ ผมมันเดินเท้าเปล่านี่ใครจะไปรู้ละว่าต้องใส่รองเท้าแตะลงมาก่อนอะ กว่าจะเดินพ้นโซนอันตรายมาได้เล่นเอาเกือบเหนื่อย จ้องลูกสนสีน้ำจนตาลายไปหมดแล้วนี่ พี่มาร์ทหายไปไหนแล้วนี่?
                   
                    “อุ๊บส์ I’m sorry.” ผมผงกหัวให้กับหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งวัยใกล้เคียงกันที่เผอิญเดินไปชนตอนเขาก้มลงเก็บลูกวอลเลย์บอลพอดี เขาส่งยิ้มละมุนมาให้ก่อนเดินจากไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่ไม่รู้ทำไมนอกจากชอบตบลูกบอลกันแล้วยังชอบตบหัวเพื่อนเล่นกันเองก็ไม่รู้ เจ้าตัวก็ยิ้มเขินซะน่ารักเชียว นานทีจะเจอหนุ่มหน้าตาดีหุ่นโดนๆโผล่มาให้มองริมหาดสักคน เห็นเขายิ้มกว้างผงกให้ผมอีกครั้ง ผมจึงต้องยิ้มตอบกลับไป
                    “แมค”
                    “What?” บอกปัดไม่พอยังจะมีสะกิดผมอีกนะเนี๊ยะ คนกำลังมองแผ่นหลังใต้เสื้อกล้ามเพลินๆอยู่
                    “จะว่ายน้ำหรือจะเล่นบอล?” หันขวับไปมองต้นเสียง ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆให้
                    “ว่ายสิครับ แหม พี่มาร์ทก็...เหวอ....” ถึงกับขืนตัวไว้สุดกำลังเลยครับ แต่แรงผมหรือจะไปสู้แรงคนตัวโตกว่าได้ “ไม่เอาพี่มาร์ท ไม่เอาๆ ผมไม่ลงทั้งตัวนะ”
                    “หึๆ ทำไมละครับ” จ๊ากก จุ่มน้ำไปครึ่งขาแล้ว อย่าดึงผมลงน้ำไปลึกกว่านี้เลย
                    “ก็มันเค็มไงเล่า! พี่มาร์ทแค่เอวก็พอแล้ว นะน้า”
                    “ถ้าแมคกลัวยืนไม่ถึงก็เกาะพี่ไว้สิครับ” พี่มาร์ทส่งยิ้มให้ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเป็นยิ้มปีศาจชอบกล “ว่ายน้ำเป็นกลัวอะไรเล่า
                    “กลัวความเค็มเข้าตาไง แสบตาอะ” ผมบอกพร้อมจิกเท้าลงกับพื้นทรายใต้น้ำยึดเอาไว้สุดแรง “ปล่อยแขนผมได้แล้ว รู้นะว่าแกล้งผมอะ ผมจะขึ้นฝั่งแล้ว”
                    “เพิ่งจะลงมาในน้ำเองนะ จะขึ้นแล้วเหรอ ยังไม่ได้เล่นน้ำกันเลย”
                    “จะให้ผมเล่นอะไรเล่า ทะเลก็มีแต่น้ำกับคลื่น แถมยังเค็มอีก” ผมบ่นอุบให้ตายยังไงผมก็ไม่ยอมเดินต่อไปลึกกว่านี้แน่ๆ “พี่มาร์ทจะว่ายเล่นก็เอา ผมขอขึ้นไปเล่นทรายที่หาดละกัน”
                    “โอเค” ผมบอกมองคนตัวโตกว่าเดินลึกลงไปอีกครึ่งเมตรก็เห็นเขาดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงกวาดสายตามองไปรอบๆเดินฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งหน้าสู่หาดทราย เพิ่งรู้ว่าสายๆนี่ฝรั่งชอบลงว่ายน้ำกัน บางคนก็นอนอาบแดด บางคนก็เล่นกีฬาริมหาด ผิดกับคนไทยที่นิยมลงเล่นน้ำช่วงเย็นมากกว่า สงสัยจะกลัวแดดตัวดำ “แล้วจะก่อปราสาททรายยังไงนี่ ถ้วยไหกะละมังไม่มีให้ตักน้ำทะเลเลย” สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งขุดทรายขีดเขียนวาดตัวอักษรเล่นบนผืนทรายเท่านั้น เพราะไม่ได้พกอุปกรณ์เล่นทรายมาจากบ้าน แถมหาดทรายนี่ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแลดีเกินจนไม่เหลือเศษขยะอะไรให้ผมเอามาประยุกต์ใช้ได้เลย
                    “Sorry” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นทางด้านหลังพร้อมกับสัมผัสของลูกบอลที่เข้ามากระแทกตรงขา ผมหันขวับกลับไปทำให้ผมมองอีกฝ่ายได้ชัดยิ่งขึ้น หนุ่มฝรั่งผมหยักศกสั้นสีน้ำตาลเข้มนัยย์ตาสีเขียวใบหน้าคมกำลังมองก้มลงมา “Are you injured?”
                    “No, I’m ok.” ผมยิ้มรับไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย เพราะลูกบอลเหมือนจะกลิ้งมามากกว่าเตะอัดใส่ หนุ่มฝรั่งพยักหน้ารับอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวกลับไป แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักหันกลับมามองผม
                    “You can join us, if you bored.” คำชวนนี้ทำเอาผมอึ้งไปเลยได้แต่อ้ำอึ้ง
                    “Thank you but I’m ok to sit here.” ใจผมก็อยากไปเล่นนะครับ แต่หันไปมองกลุ่มเพื่อนเขาแล้วผมปฏิเสธดูจะเหมาะกว่า
                    “Why not?”
                    “Height” ตอบแค่นี้ทำไมต้องแอบกลั้นขำผมด้วยก็ไม่รู้ ขนาดตัวคนเอเชียหรือจะไปสู้คนต่างชาติ
                    “I see. I’m sorry” นี่ก็ยังไม่หุบยิ้มอีกนะ “We’ve some party so you…”
                    “แมค!” นี่ก็อีกคนไม่รู้จะตะโกนเรียกผมทำไม “ทำไรอยู่”
                    “เล่นทรายรอพี่มาร์ทไง ถามแปลกๆ”
                    “งั้นเหรอ?” พูดกับผมไหงไปมองหน้าอีกคน แถมครั้งนี้ยังพูดแต่ภาษาไทยอย่างเดียวด้วยมาแปลก
                    “Ok. My friend call me. Nice to meet you”
                    “Uhm…me too. Bye Bye”
                    “Bye. See ya.” โบกมือร่ำลาเป็นที่เรียบร้อยผมก็หันกลับมามองดูคนข้างกายต่อด้วยความสงสัย ไม่พูดอังกฤษแถมยังนั่งเงียบเขียนตัวอักษรเล่นอีก ว่าแต่เขียนอะไรหว่า? ลบไปซะละ
                    “ไปหาไรกินกัน พี่หิวละ”

          ผมพยักหน้ารับส่งมือให้พี่มาร์ทจับช่วยดึงผมขึ้นยืน พลางเดินตามอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปยังทางเข้าโรงแรม ตลอดทางผมก็ถามนั่นถามนี่ชวนคุยไปเรื่อย พี่มาร์ทเองก็ตอบชวนคุยตามปกติ แถมยังให้ผมเลือกร้านอาหารกลางวันเองอีกด้วย  แน่นอนว่าผมไม่เลือกอะไรให้มันยุ่งยากหรอกครับ เอาร้านอาหารริมหาดของโรงแรมนี่ละ กินไปชมวิวไปสุขใจดีออก กินอิ่มแล้วยังได้นอนตีพุงในห้องพักก่อนกลับเข้ากรุงเทพอีกตั้งสองชั่วโมง ช่างเป็นวันสบายๆอย่างที่ผมตั้งใจไว้ซะจริง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-04-2016 22:45:47
พี่มาร์ทเขาหึงไง เห็นแววรำไร แอบบริหารสเน่ห์นะเนี่ยหนูแมค ไม่เบาๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 13-04-2016 18:31:04
ช่วง : Talk to Writer

Q : kkmm >> มาต่ออีกนะครับขอบคุณมาก
A : ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันครับ

Q : Janny >> มาอ่านรวดเดียวเลยค่ะ ฮือออ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกก ไไม่รู้หลังจากนี้จะมีดราม่ารึเปล่า แต่ท่าที่อ่านมานี่น่ารักจนหุบยิ้มไม่ได้เลยค่ะ นี่พี่มาร์ทแอบมองน้องมาจากมอเตอร์โชว์หลายงานแล้วใข่ไหมคะ(เอ๋? อันนี้ไม่รู้สิครับ ต้องรอเจ้าตัวมาตอบเอง ฮ่าๆ)  ไม่รู้ที่มาเจอที่โชว์รูมนี่บังเอิญหรือพี่แกแอบสืบแล้วตามมานะคะ แล้วแบบ ตะล่อมน้องมากอ่ะ เราว่าตอนแรกน้องแม็คหมั่นไส้ แต่ไปๆมาๆ เพราะพี่มาร์ทรู้เรื่องรถเยอะรึเปล่า น้องแม็คเลยติดกับเลย(ใครติดกับใครกันแน่ครับ?? ^_^) ตอนพี่มาร์ทไปต่างประเทศครึ่งปีรั่นก็เป็นแผนให้น้องคิดถึงตัเองมากๆและรักษาระยะห่างให้น้องไม่เผลอคิดไปว่าเป็นพี่ชายรึเปล่าคะ 5555555(เอ่อ...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ อันนี้ผมไม่เคยคิดเลยแฮะ?) แต่พอกลับมาก็ไม่ได้ดูห่างกันเลยนะคะ นี่คือทำให้มีช่วงที่คิดถึงแล้วก็ดีใจที่ได้เจออีกครั้งสินะคะ คืออ่านไปก็คดในใจตลอดเลยค่ะ พี่มาร์ทร้ายกาจ คนเจ้าเล่ห์ มีแผนอะไรอยู่แน่ๆ(อ่า... พูดขนาดนี้พี่มาร์ทของผม?ได้ยินเข้าคงเสียใจแน่เลย จุ๊ๆ) ฮืออออ แต่เราชอบนะคะ คือพี่มาร์ทมาช่วยติวหนังสือให้น้องแม็คด้วยอ่ะ เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่น่ารักค่ะ ให้อภัย ถือว่าคิดถึงอนาคตของน้อง(ฟังเหมือนจะดี? ฮ่าๆ)  พูดถึงตอนพี่แม็คกลับมา โอ๊ยยยยย คือชวนไปบ้าน บอกว่าชอบ ไปดูหนัง กินข้าว นี่แฟนรึเปล่าถามจริงๆ เหมือนมาก พี่มาร์ทไม่ต้องขอเป็นแฟนแล้วค่ะ นี่ก็เหมือนใช่แล้ว(เดี๋ยวๆ ใจเย็นคร้าบบบ ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลย ต้องขอก่อนดิถึงเป็นแฟน ฮ่าๆ) แต่ก็เนอะ ดูน้องไม่รู้ตัวอ่ะ เราก็ไม่รู้ว่าน้องแม็คคิดอะไร น้องคงอยากให้แน่ใจที่สุดอ่ะค่ะ ถ้าตกลงเลยน้องก็อาจจะกลัวว่าต้องเลิกกันสักวัน แต่ถ้าปฏิเสธก็กลัวพี่มาร์ทจะหายไป มันก็ตัดสินใจยากนะคะ แต่เราว่าพี่มาร์ทคงไม่ยอมเลิกหรอกค่ะน้องแม็ค น้องอย่ากังวลค่ะ เขาเอาเปรียบน้องขนาดนี้แ้วนะคะ ทั้งจับมือ หอมแก้ แล้วล่าสุดยังจูบอีกนะคะ โอ๊ยยยยย จำเป็นต้องระบุสถานะแล้วค่ะ(ผมว่าไม่ระบุดีกว่าครับ เดี่ยวผมอดโสดกันพอดี ฮ่า) แต่จริงๆ น้องแม็คอย่าไปจูบพี่เขามากนะคะ (เห็นด้วยครับ จูบมากไม่ดี แต่จูบดีๆต้องจูบนานๆสินะ กร๊ากก) เดี๋ยวพี่เขาหน้ามืดจับน้องกดทำไงคะะะะ (น้องแม็คบอกก็ถีบแล้วกระทืบซ้ำไง 5555555  >> กระทืบพี่มาร์ทได้ไงละครับ งี้เรื่องผมก็ขาดพระรองกันพอดี) เรารอติดตามตอนต่อไปนะค้าาา ขอบคุณสำรับทุกตอนค่า(ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคร้าบบบ)
A : อ่านตรงสีแดงเอานะครับ

Q : Janny >> ทำไมเราขำ น้องแม็คคคคค นี่คือทำพี่มาร์ทน้อยใจไม่รู้ตัวอ่ะ แต่เราอยากบอก น้องแม็คอย่าไปบ้านพี่เขาบ่อยนะคะ เราว่าไว้ใจไม่ค่อยได้ 5555555555 ยิ่งอยู่กันสองต่อสองด้วยอ่ะ ถ้าน้องไปทำขนมให้เขาที่บ้านเขามันก็จะดูเป็นศรีภรรยาด้วยนะคะ อันตรายมากอ่ะ แต่ตอนนี้พี่มาร์ทก็มีของมาล่อน้องแม็คเพิ่มอีก 2 อย่างนะคะ ทั้งเตาอบทั้งรถ น้องแม็คไปปไหนไม่รอดแล้วค่ะ
A : ศรีภรรยา!!!! ใจเย็นครับ ใจเย็น ผมยังไม่พร้อม เฮ้ย ไม่ใช่ พี่มาร์ทต่างหากที่สมควรได้ตำแหน่งนั้น เพราะมีเตาอบในบ้าน กร๊ากก(มุขนะครับ แซวขำๆ)

Q : panitanun >> ทำไมขำ555555เเมคคือกินเยอะมากจริงๆตกใจ5555555
A : ก็กระเพาะผมมันย่อยเร็วนี่ครับ (เอานิ้วจิ้มกัน)

Q : lnudeel >> น่ารักอะ ชอบหนูแมค แมนๆ //หนูแมคตกะมากค่ะ หวงของกิน
A : คอนเม้นต์แรกเลยนะครับนี่ที่ชมว่า แมน ขอบคุณมากๆเลยครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ชมประโยคหลังต่ออะ ฮ่า

Q : lnudeel >> พี่มาร์ทเขาหึงไง เห็นแววรำไร แอบบริหารสเน่ห์นะเนี่ยหนูแมค ไม่เบาๆ
A : ผมเปล่าทำไรเลยนะครับ หนุ่มๆ?เขามากันเอง (ยักคิ้ว)


ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ
แมค
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 13-04-2016 18:46:25
ต่อไปพี่มาร์ทต้องประกบติดนะคะ มีคนมาจีบน้องแล้วววว 55555 :mew3:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (1/3)] 13-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 13-04-2016 23:21:17

Until You


ตอนที่ 9 (1/3)

          ครบรอบอาทิตย์นึงพอดีที่ผมมีสภาพไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ลืมหยอดน้ำมัน เวลาเดินมันรู้สึกฝืดชอบกล ดวงตาจะปิดไม่ปิดแหล่ อยากกินแต่ของหวานๆ และตอนนี้ผมกำลังหาวเป็นรอบที่สามสิบแปดของวันในตอนหกโมงเคารพธงชาติเย็นพอดี แล้วนี่ผมต้องบ้าตามเพื่อนที่ลุกขึ้นยืนตามเสียงเพลงชาติช่วยพี่ยามชักธงลงจากเสาด้วยไหมนี่?
                    “เฮ้ย พวกมึง กูแก้ได้แล้ว” ทุกคนในที่นั้นหันขวับมาทางผมคอแทบหักกันเป็นแถบ “คร่อก” ผมบอกทิ้งท้ายก่อนก้มลงฟุบหน้ากับโต๊ะ
                    “แก้ผ้าโชว์” ใครสักคนเอ่ยขึ้น จึงถูกเขวี้ยงขวดน้ำเข้าใส่เสียงดังปึ๊ก ผมก็เห็นด้วยนะ มุขแป่กสุดๆ
                    “จริงด้วยวะ แหม แสนรู้สมกับที่กูให้ข้าวให้น้ำทุกวัน” ผมผงกหัวขึ้นมามองต้นเสียง เห็นพวกมันมีลูบหัวลูบหางกันอย่างสนุก
                    “แต่เหลืองานอีก phase ไม่ใช่เหรอที่อาจารย์แนะให้เพิ่มนะ” ผมบอกอดทำหน้าเซ็งไม่ได้ “แล้ว UI ใหม่อะ แก้ยัง?”
                    “แก้อะไรยังไงอะ?”
                    “ส่งให้เมื่อคืนทางเมล์แล้วไง เปิดดูยัง” ถ้าไม่ได้เปิดดูนะ ผมจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายอาละวาดละ คืนก่อนโน้นผมก็ออกแบบแก้งานอยู่คนเดียวถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้นอน บอกจะอยู่หน้าคอมเป็นเพื่อนผมกันทั้งแก็งค์รอจนผมทำเสร็จ พอผมทำเสร็จทักกลับไปแม่งก็หายเงียบ ออฟไลน์บ้าง หนีไปเล่นเกมส์ออนไลน์กันบ้าง
                    “เห็นแล้วๆ กำลังทำอยู่ มึงอย่างเครียดดิวะ แมค”
                    “ใช่ นี่ก็เหลือแค่เอางานแต่ละส่วนมาประกอบกัน เทสต์ผ่านก็จบแล้ว”
                    “จบไร document อีกอะ” แม้จะถอนหายใจหลังบอกเสร็จเรื่องงานเอกสาร ผมก็ต้องเป็นคนร่างและพิมพ์เองอยู่ดี ใครแม่งจะเหนื่อยหัวสมองเท่าผมอีก ไม่มีละ
                    “พวกมึงๆ ทำงานๆ ทุ่มนึงไปร้านหลังมอกัน คลายเครียดๆ”

          ผมละส่ายหน้าให้กับพวกเพื่อนบ้าพลังกลุ่มนี้จริงๆ โปรเจ็คมีเวลาทำแค่สองอาทิตย์เร่งกันซะขนาดนี้ มันยังมีอารมณ์จะไปดื่มเหล้ากันอีกนะ แต่เอาเถอะครับ ก็ถือว่าคลายเครียดตามที่อ้างมา เพราะตอนนี้งานแต่ละส่วนก็ยังอยู่ในเพลนเวลาที่ได้วางเอาไว้ แม้จะมีเลทไปวันนึง เพราะเพิ่งแก้ bug ได้ ผมก็ถือว่ายังตามเพลนอยู่ดี เพราะงานออกแบบหน้าเว็ปe-commerce ทำเสร็จล่วงหน้าอยู่ก่อนหลายวัน แม้จะมีตามแก้บ้าง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในกรอบเวลาที่วางเอาไว้ ส่วนงานเอกสารที่เหลืออยู่ก็มีแค่แก้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกับแปะภาพที่ได้จากการรันโปรแกรมและเพิ่มเติมเนื้อหาอีกบทสองบท สำหรับงานเทสต์โปรแกรมตรวจทานเคสนั้น ผมก็คิดเคสเงื่อนไขต่างๆไว้เป็นแนวทางบ้างละ รอเพื่อนสองสามคนที่กำลังเขียนโปรแกรมอีกส่วนเสร็จก็เอามารวมกันแล้วเทสต์ตามเคสให้ครบก็เสร็จสมบูรณ์ละครับ คุ้มค่ากับการทุ่มเทจริงๆ เว้นแต่ว่า...

                    “แมคๆ พี่เราเอากล้องวีดีโอไปใช้ที่บ้านต่างจังหวัดอะ ทำไงดี”
                    “เอ่อ...” นั่นละครับ ปัญหามาเลย จะส่งงานอาทิตย์หน้ายังไม่ได้ถ่ายวีดีโอตัดต่อกราฟฟิคกันเลย ผมยิ่งไม่คล่องอยู่ด้วยสิงานมัลติมีเดียนี่ “เดี่ยวเรายืมที่ทำงานพ่อมาให้ ไว้วันศุกร์ค่อยถ่ายละกัน ตอนนี้พ่อคงถึงบ้านละ”
                    “งั้นระหว่างนี้ ให้พวกเราทำอะไรละ?” สิ้นคำถาม ผมก็หันมองเพื่อนอีกสองชีวิตที่ต้องการคำตอบ ใจนึงผมก็อยากตอบว่าไปดูดนมแม่รอมั้ง แต่ก็กลัวจะรุนแรงกับเพื่อนสาวๆจากตระกูลผู้ดีมากเกินไป จึงพูดออกไปว่า
                    “ก็ไปติดต่อขอคิวห้องถ่ายละกัน ได้เวลาไหนของวันศุกร์ก็โทรมาบอก แล้วก็ระหว่างนี้ศึกษาโปรแกรมตัดต่อภาพที่ให้ไปว่าใช้ยังไง? ถ้าทำเป็นแล้วก็สร้างแต่ละเฟรมรอไว้เลย เราส่งตัวอย่างกับแบบร่างแต่ละฉากให้แล้วอะทางเมล์ ได้ยัง?”
                    “อ้อ เห็นละ แค่นี้ใช่ไหม”
                    “อืม สู้ๆนะ” ผมยิ้มส่งให้เพียงเล็กน้อยพอ เพราะไม่เต็มใจจะพูดแบบพระเอกเท่าไหร่
                    “งั้นเรากลับก่อนนะ คนขับรถมารอละ”

          ถอนหายใจอีกรอบจะแก่ขึ้นอีกปะไหมนี่ โปรเจ็คทำเว็ปไซด์กำลังไปได้สวยจนน่าชื่นชม โปรเจ็คทำโฆษณาผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ลก็ทำท่าจะล่มอยู่ร่อมร่อ เพราะดันดวงซวยจับฉลากได้มาเจอคุณหนูถึงสองคน คิดแล้วเครียด ชักเห็นด้วยกับการไปดื่มคืนนี้ละ





                    “แมคๆ”
                    “เออว่าไง?” ผมเอ่ยถามไม่ได้หันไปมองหน้า เพราะกำลังจ้วงข้าวหมูแดงเข้าปากกลางวงเหล้า
                    “แม่กูโทรมาตามบอกว่าให้รีบกลับราชบุรีด่วนวะ เหมือนที่บ้านจะมีปัญหา”
                    “อืมๆ พรุ่งนี้เช้านะเหรอ ไปเถอะ งานเหลือไม่เยอะแล้วไม่ต้องห่วง”
                    “เปล่า คืนนี้”
                    “ห๊ะ!” ถึงกับต้องรวบช้อนข้าวหันไปมองหน้า “แล้วจะให้กูไปนอนไหนอะ กูไม่นอนห้องพวกมันนะ แออัดจะตาย 4 คนห้องนิ๊ดเดียว” เวรของกรรมจริงๆ คืนนี้ผมดันขออนุญาตที่บ้านว่าจะมาค้างหอเพื่อนสักระยะ เพื่อทำงานโปรเจ็คให้เสร็จ คืนแรกดันมีปัญหาซะละ
                    “นอนห้องกูเหมือนเดิมก็ได้ แต่มึงต้องอยู่คนเดียวนะ” ให้ใช้น้ำใช้ไฟทั้งที่เจ้าของห้องไม่อยู่นี่นะ มันเสียมารยาทชอบกลนะครับ ผมว่า
                    “ไม่เป็นไร” ผมยื่นกุญแจห้องคืนไป “เดี่ยวกลับไปนอนบ้านก็ได้ แต่...เอ๊ะ...แป็บนะ” ผมมีไอเดียดีๆแล้ว
                    (ว่าไงครับแมค)
                    "ฮัลโหลครับ พี่มาร์ทใช่ปะ คืนนี้ผมขอไปค้างคอนโดพี่นะครับ"
                    (เฮ้ย!!! ล้อเล่นเปล่า)
                    "จริงพี่ เพื่อนผมมันกลับบ้านด่วน คืนนี้ไม่มีที่นอนนะครับ นะน้าขอค้างคืนนึง" ทำไมผมต้องพูดเชิงอ้อนด้วยวะ สงสัยจะเมาหมูแดง
                    (ครับได้ ตอนนี้แมคอยู่ไหน)
                    "แถวๆมหาลัยครับ"
                   (พี่กำลังจะเลิกงานพอดี เดี่ยวไปรับ)
                    "ไม่ต้องๆ พี่จะย้อนมาทำไม เจอกันกลางทางสะดวกกว่า" ผมบอกออกไป อันที่จริงก็อยากให้มารับนะครับ ประหยัดเงินค่ารถเมล์ แต่ดูท่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่ พี่มาร์ทก็ทำงานเลิกดึกขนาดนี้ ผมไปขออาศัยนอน แค่นี้ก็รบกวนมากพอละ เกิดไม่พอใจขึ้นมา ผมคงได้นอนข้างทางแน่ๆ
                    (อืม ตามใจละกัน)
                    "ใกล้ๆแล้วผมโทรหานะครับ"
   

          พอกดวางสายแหงนมองท้องฟ้าก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากผืนฟ้าสีดำสนิทเป็นสีออกแดง หมู่เมฆลอยเกาะกลุ่มกันรวมตัวกันหนาขึ้นทุกทีๆ จนผมชักหวั่นใจว่า ฝนคงจะตกในไม่ช้า พอจ่ายเงินค่าอาหารมื้อดึกเสร็จผมจึงรีบชวนผองเพื่อนปั่นจักรยานกลับกัน ระหว่างทางก็แยกย้ายกันกลับเป็นสองคณะ พวกที่อยู่หอในมหาลัยก็ไปทางเดียวกัน ผมกับเพื่อนอีกสองคนก็มุ่งหน้าไปยังคอนโด ล็อกรถเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยก็รีบวิ่งกดลิฟท์ขึ้นไปเอากระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้ากับรีบคว้าเอากระเป๋าโน๊ตบุ๊คติดมือมาด้วย รีบตั้งหน้าตั้งตาออกจากมาให้ไว้ที่สุด เพราะลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆจนเห็นม่านปลิวสไว

                    “จะไปไหนกันอีกอะ ฝนมาแล้วนะโว้ย” ผมถามออกไป เมื่อเห็นพวกมันรีบวิ่งไปที่จักรยาน
                    “ไปส่งมึงหน้ามอไง เดินไปไม่ทันฝนแน่มึง”

          ผมพยักหน้ารับน้ำใจของเพื่อน รีบนั่งซ้อนท้ายในทันที หวังเป็นอย่างว่าลมแรงนี่จะหอบเอาฝนไปตกที่อื่นซะจะได้ไม่เปียกปอน แต่แรงขาหรือจะสู้แรงธรรมชาติ ฝนเริ่มหยดมาเม็ดสองเม็ด ผมก็รู้ได้ทันที่ว่ามันคงหนีไม่พ้นแน่ๆ จึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเอามาหุ้มกระเป๋าโน๊ตบุ๊คเอาไว้กันเปียก พลางเร่งคนขับจักรยานยิกๆ ซึ่งมันก็ทั้งด่ากลับทั้งเร่งถีบไปในตัว ปั่นเกือบจะถึงที่หมายอีกห้าสิบเมตรข้างหน้า สายฝนก็ถาโถมลงมาราวกับฟ้ารั่ว พอลงรถได้ผมรีบบอกขอบคุณวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ป้ายรถเมล์ ส่วนเพื่อนผมมันก็ปั่นหน้าตั้งฝ่าฝนกลับหอไป ทั้งที่ห่วงมันก็ห่วง แต่ดูท่าไอ้เพื่อนบ้าพวกนี้ มันขี่วนไปวนมาคล้ายจะเล่นกันมากกว่ากลัวเปียก
          รออยู่นานรถเมล์สายที่ต้องการก็ไม่โผล่มาซะที สายฝนก็ดูจะหนักขึ้นอีกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในเวลาอันสั้น ใจผมเองก็เร่งรีบเกินกว่าจะทนรอได้นานกว่านี้ ว่าแล้วจึงตัดสินใจฝ่าฝนออกไปโบกเรียกแท็กซี่ แต่พอรถจอดเทียบเท่านั้น รถเมล์ขสมก.แบบยูโรทูกลับดันมาจอดต่อท้าย ผมผงกหัวกล่าวขอโทษคนขับแล้ววิ่งขึ้นรถเมล์ไปด้วยความงก กว่าจะเดินหาที่นั่งได้ทำเอาสั่นขนลุกไปทั้งร่าง เพิ่งรู้ว่าแอร์รถเมล์ยูโรยามฝนตกนี่ มันหนาวสะท้านจริงๆ
          พอลงรถเมล์ตรงที่นัดหมายได้ก็มองซ้ายมองขวาเห็นรถจาร์กัวร์คันนึงเปิดไฟเลี้ยวซ้ายจอดคอยอยู่ ด้วยไม่แน่ใจผมจึงยืนรอแอบฝนที่ใต้ต้นไม่ใหญ่ เพราะไม่อยากไปยืนเบียดกันที่ในป้ายรถเมล์ร่วมกับคนอื่นๆ ทันใดนั้นเองรถคันดังกล่าวก็กระพริบไฟหน้าเหมือนจะเรียกผมพร้อมกับมือถือดังขึ้นและหน้าต่างฝั่งเบาะนั่งข้างคนขับเปิดออก ผมมองลอดเข้าไปเห็นเจ้าของรถลางๆจึงรีบตัดสินใจเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง วางของบนเบาะหลังรถในทันที ทั้งที่ในใจออกจะสับสนว่าควรจะทำอะไรระหว่างเอาชายเสื้อเช็ดหยดน้ำเปียกที่เบาะหนัง หรือโน้มตัวไปหยิบเสื้อในกระเป๋ามาเช็ดดีกว่ากัน

                    "เอ้า เช็ดซะ เดี๋ยวเป็นหวัด" พี่มาร์ทหยิบผ้าขนหนูส่งให้และขับรถออกไป พร้อมทั้งหรี่แอร์เบอร์เบาสุด
                    "ขอบคุณครับ"
                    "ให้พี่ไปรับก็หมดเรื่อง จะได้ไม่เปียกอย่างนี้"
                    "พี่ไป ผมก็เปียกอยู่ดี จะมาตกก็ตอนซ้อนจักรยานเพื่อนนี่แหละ เซ็งเลย" ซับผ้าตามผิวกายและยีผมพอมาดแล้ว ผมก็เอี้ยวตัวไปเปิดกระเป๋าออกมาเปิดดู โชคดีครับที่ของกระเป๋ากันน้ำได้ดีในระดับนึง ถ้าโน๊ตบุ๊คช๊อตไปผมคงรู้สึกแย่เลย
                    "อืม" พี่มาร์ทตอบรับในลำคอและส่งกระเป๋าพลาสติกใบย่อมมาให้ ผมจึงถือวิสาสะรูดซิบเปิดออกดูก็พบเสื้อยืดและเสื้อโปโลสำหรับใส่เล่นกีฬา แล้วยังมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่อีกผืน อันที่จริงผมอยากจะถอดเสื้อนักศึกษาออกเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวใหม่อยู่เหมือนกันครับ แต่ติดที่ยังมีสามัญสำนึกของความเขินอายอยู่บ้าง แม้จะรู้จักกันมาสักระยะ ผมก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ดี ดังนั้นจึงเลือกวิธีเอาผ้าห่มคลุมกันหนาวแทนจะเหมาะกว่า
                    "ให้พี่ปิดแอร์ไหม"
                    "ไม่อะ หายใจไม่ออกตายคารถจะว่าไง"
                    "เกินไปมั้ง" พี่มาร์ทหัวเราะ "กลับบ้านไหม พี่แวะไปส่งได้นะครับ"
                    "ไม่เอาอะ ไม่กลับบ้าน อยากนอนที่อื่นบ้าง นานๆจะได้ออกมาข้างนอกที" ผมบอกออกไป เห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยจึงเสริมต่อว่า "ถ้าไม่นับว่าต้องไปเข้าค่ายละก็ การได้มาค้างหอเพื่อนนี่ครั้งแรกเลยครับ"
                    "จริงเหรอ?"
                    "แล้วผมจะโกหกไปทำไม โกหกได้ตังค์ดิ จะทำ" เห็นพี่มาร์ทขมวดคิ้วแล้วผมก็อดยักคิ้วล้อเลียนไม่ได้
                    "มาค้างห้องพี่ ไม่กลัวพี่ทำอะไรเหรอครับ" ชะงักเลย? นั่นสิครับ ผมคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไปขอนอนด้วยแบบนั้น รู้สึกจุกในอกชอบกล “พี่ขอโทษ พี่แค่หยอกเล่นอย่าคิดมากเลยนะแมค” พี่มาร์ทยิ้มเจือนหันหน้าไปมองถนนต่อ
                    "คือผมก็...ก็มีคิดบ้างแหละ แต่ผมเชื่อใจพี่ละกัน" ผมยิ้มรับไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกล้าพูดจาหวานเลี่ยนแบบพระเอกในหนังออกไปได้ไงกัน แต่เอาเถอะครับ มันถอนตัวไม่ทันแล้วนี่มาซะขนาดนี้แล้ว
                    “ขอบคุณครับ ฟอดด”
                    “พี่... เอ่อ...ชิ” กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องหน้าร้อนตอนโดนหอมแก้มนี่ เมื่อไหร่ผมจะชินกับความรู้สึกนี่สักทีนะ อยากชินจังเลยครับ จะได้ไม่ต้องทำเมินหน้าหนีอยู่แบบนี้


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (2/3)] 14-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 14-04-2016 22:40:11

Until You


ตอนที่ 9 (2/3)


          มาค้างห้องพี่ ไม่กลัวพี่ทำอะไรเหรอครับ
          มาค้างห้องพี่ ไม่กลัวพี่ทำอะไรเหรอครับ
          มาค้างห้องพี่ ไม่กลัวพี่ทำอะไรเหรอครับ


          กลัว ถามมาได้ เผลอนึกย้อนทีไรพาลจะกินบัตเตอร์เค๊กตรงหน้าไม่ลงทุกที กินมาจนเหลือคำสุดท้ายเสียงนี่ดันโผล่มาก้องในหัวซะได้ แถมยังวนราวกับกลอเทปซ้ำซะอย่างนั้น พอวางช้อนเอนหลังหันไปมองรอบกายกลับยิ่งตระหนกหนักกว่าเดิมเสียอีก ผมกำลังอยู่ในห้องของพี่มาร์ท หมอนอิงที่หยิบมากอดในอ้อมแขนก็ยังคงเป็นของพี่มาร์ท เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของใช้ของกินทุกอย่าง แม้กระทั่งนมสดในแก้วกับขนมในท้องไม่พ้นเป็นของพี่มาร์ทอีก อยู่ในถิ่นของเขาแบบนี้ หากว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรไม่ซื่อกับผมขึ้นมาจริงๆ ผมจะหนีรอดไปได้อย่างไร? เอาละสิ คิดหนักเลย มองไปทางหน้าต่างโดดลงไปจากชั้นนี้มีแต่ตายกับเดี้ยง ครั้นมองไปทีประตูอาศัยจังหวะวิ่งหนี เกิดวิ่งเท้าเปล่าออกไปเหยียบพื้นถนนพยาธิได้ชอนไชฝ่าเท้าแน่ แถมไปตัวเปล่าจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าแท็กซี่ งั้นก่อนออกไป ผมต้องหยิบกระเป๋าเงิน มือถือ โน๊ตบุ๊ค สวมรองเท้าผูกเชือกอีก คิดแล้วไม่น่าจะหนีรอดเลย โอย...เครียด

                    “แมค”
                    “ครับ!!” น้ำเสียงฟังดูตกใจไปนิ๊ด กระแอมสักทีสองทีเปลี่ยนเสียงก่อน “ว่าไงครับ”
                    “คิดอะไรอยู่ เรียกทีสะดุ้งเชียว” คิดเรื่องพี่ปล้ำผมอยู่อะครับ บอกตรงๆได้ไหมอะ
                    “ก็แบบว่า...เอ่อ...น้ำฝักบัวตอนฝนตกเย็นจนผมขนลุกซู่เลย” ฉีกยิ้มอีกหนึ่งทีกันมีพิรุธ
                    “ไม่เปิดน้ำอุ่นอาบละ” พี่มาร์ทเอ่ยถาม “ทานยายัง พี่เตรียมไว้ให้แล้วเห็นไหม? อยู่ตรงแก้วน้ำอุ่นที่พี่เทไว้ให้ในครัว” ผมส่ายหน้าพึบพับ อีกฝ่ายส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วจึงหยิบมาส่งให้
                    “ขอบคุณครับ” รับยามาถือไว้ในมอง พลางมองอย่างชั่งใจอยู่ไม่นานผมก็ตัดสินใจกินไทลินอลเข้าไปเม็ดนึง ดูแล้วเป็นยามียี่ห้อไม่น่าใช่ยามอม ว่าแต่ว่าผมจะคิดอกุศลมากเกินไปไหม ไม่ไหวเลย
                    “เอาไดร์ฟเป่าผมไหม นอนผมเปียกๆเดี่ยวไม่สบายเอาจะยุ่ง”
                    “ก็ดีครับ งั้นผมไปล้างจานเก็บแก้วก่อนนะ”

          พออีกฝ่ายรับคำเดินเข้าห้องนอนไป ผมก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัวทำกิจที่บอกเมื่อครู่จนเสร็จก็เดินออกมาเห็นพี่มาร์ทกดรีโมทเปลี่ยนช่องจากข่าวภาคดึกมาดูบอลนัดอุ่นเครื่องแทน ผมเดินไปหยิบเอาไดร์ฟเป่าผมขึ้นมาถือไว้เดินหาเต้าเสียบปลั๊กอยู่ไม่นานก็เจอ ตลอดเวลาที่นั่งยีผมปัดไปมาให้แห้งสายตาของผมจับจ้องอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

                    “แมคมีไรกับพี่เปล่า?”
                    “ไม่มี! ไม่มีครับ” ถามมาทีใจหายใจคว่ำหมด ใครให้ถามคำถามแบบนี้ตอนคนกำลังคิดมากวะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า "พี่มาร์ทกินอะไรมายัง"
                    "เรียบร้อยแล้วครับ เมื่อเย็นมีเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นลูกค้านะ"
                    “อะครับ” ผมรับคำในลำคอไม่อยากเสริมอะไร เกรงจะเกิดเหตุตอบไม่ทันคิดแบบเมื่อกี้อีก ดีนะครับที่คำตอบของคำถามนี่ สามารถตอบได้เพียงอย่างเดียว
                    “ง่วงยัง?”
                    “ยังครับ แต่ผมว่าผมจะไปนอนละ วันนี้เพลียสมองมาทั้งวัน” ผมยิ้มรับ ถอดปลั๊กเตรียมเอาไดร์ฟเป่าผมไปเก็บ “พี่มาร์ทเห็นกระเป๋าเป้ของผมไหม ผมว่าก่อนอาบน้ำ ผมเอามาวางไว้ตรงโซฟานี่นะ”
                    "พี่เอาไปไว้ในห้องนอนแล้วครับ"
                    "เอาไปทำไมอะครับ ไว้ตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว เกิดดึกๆผมหิวขึ้นมาจะได้หยิบขนมกินสะดวก"
                    "พูดอย่างกับจะนอนนี่แหละ" ถามแปลกๆ ผมก็ต้องนอนโซฟาห้องรับแขกถูกแล้วไม่ใช่เหรอ ห้องพี่มาร์ทไม่ได้มีสองห้องนอนสักหน่อย “นี่เอาจริง?”
                    "ใช่สิครับ ผมจะนอนโซฟาตัวที่นั่งอยู่นี่แหละ" โซฟาตัวนี้ยาวพอจะพาดขาได้ จะนั่งหรือจะเอนนอนดูไม่น่ามีปัญหาออกจะรู้สึกสบายเสียด้วยซ้ำ แต่ก่อนนอนผมว่าจะตบเบาะปัดฝุ่นอีกรอบเพื่อความสะอาด “ผมขอยืมหมอนใบนึงนะครับ หมอนอิงหนุนไม่พอดีหัวเลย”
                    "เข้าไปนอนในห้องด้วยกันดีกว่า เตียงพี่ใหญ่พอ" ผมส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ตอบกลับไปด้วยความเกรงใจว่า
                    "ไม่เอาละครับ รบกวนพี่เปล่าๆ"
                    "รบกวนอีกแล้ว เมื่อไหร่แมคจะเลิกใช้คำนี้ซะที"
                    "ก็มันจริงนี่ครับ พี่อายุมากกว่าผม แถมยังทำงานแล้วด้วย ผมก็ต้องให้เกียรติพี่สิครับ..." นี่ก็แปลกคนทำไมต้องขึ้นเสียงใส่ผมด้วยก็ไม่รู้
                    "ทั้งที่เราจูบกันแล้วนี่นะ ยังจะคิดเล็กน้อยอยู่อีก"
                    "เฮ้ย!!! มันคนละเรื่องกันครับ" อุตส่าห์ทำลืมไปแล้ว ยังจะขุดคุ้ยให้สมองผมจินตนาการภาพแต่ละซ็อตอีกนะ
                    "คนละเรื่องเดียวกันสิไม่ว่า" ชักอยากจะยกมือขึ้นมาเกาหัวซะแล้วสิครับ ตกลงประเด็นที่เราเถียงกันนี่มันคืออะไรกันแน่ "แมคจะปฎิเสธเหรอว่า ที่จูบกันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น"
                    “พี่มาร์ท!” ฟังแล้วมันปึ๊ดครับมันปรี๊ด
                    “เอ่อ...แมค?”
                    “เรียกทำไม!” ยอมให้เพศเดียวกันจูบปากมันแค่เรื่องเล่นๆงั้นเหรอ? ต่อยสักหมัดให้เลือดกลบปากสักทีดีไหมนี่ แก่กว่าแล้วไง อย่าคิดว่าผมไม่กล้านะ ถ้าพูดไม่เข้าหูอีกรอบโดนเสยแน่
                    “พี่ว่าแมคกำลังเข้าใจความหมายของพี่ผิดอยู่ ฟังพี่อธิบายก่อนอย่าเพิ่งหงุดหงิดใส่พี่นะครับ” ผมพยักหน้ารับทั้งที่ในใจกำลังครุกรุ่น “พี่ไม่เคยคิดว่า เรื่องจูบเป็นเรื่องล้อเล่นเช่นกัน”
                    “อ้าว?” ตกลงจะเอาไงกันแน่วะนี่ ชักงง
                    “โอเค พี่ขอโทษที่พี่พูดไม่ชัดเจน พี่อยากจะบอกแมคว่า ทุกครั้งที่เราจูบกัน พี่ตั้งใจทุกครั้ง
                    “ห๊ะ! พี่นี่มัน ฮึ่ย!! ผมไม่พูดด้วยละ” บอกได้คำเดียวว่าเครียด ใครก็ได้เอาผู้ชายตรงหน้าผมไปเก็บที ผมเริ่มจะไม่ไหวกับเขาละ “กล้าพูดได้ไงเนี๊ยะ”
                    “แมค”
      “ครับ?”


          จุ๊บ... โดนเข้าให้ไม่ทันระวังตัวอีกตามเคย ผมถลึงตาใส่คนตรงหน้าเป็นการเตือนแต่กลับถูกริมฝีปากคู่นั้นทาบทับลงมาอีกสองทีติดๆ พออ้าปากจะตอบโต้ดันส่งยิ้มหวานกลบเกลื่อนความผิดมาให้ซะงั้น คนอะไรก็ไม่รู้แค่มองก็ชวนให้หงุดหงิดได้เลย แต่เอาเถอะครับผมเองก็ไม่อยากท้าวความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด เพราะเถียงไปก็แพ้อยู่ดีเสียเวลานอนเปล่าๆ ช่วงเวลาแบบนี้การพักผ่อนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผมเป็นอย่างมาก เดี่ยวแปรงฟันเสร็จแล้ว ต้องไปส่องกระจกดูว่าตาบวมหรือเปล่า ถ้าขอบตาคล้ำจะได้เอาแตงกวาฝานมาปิดตา ถ้าหมดหล่อสาวไม่แลหนุ่มไม่หันมอง นี่ยอมไม่ได้เลยนะครับ ว่าแต่ว่า...อีกนานไหมกว่าพี่มาร์ทจะปล่อยแขนผมนี่?

                    “ผมง่วงละอะ ขอไปนอนก่อนนะ... เย้ย ยื่นหน้ามาทำไม?” เล่นพุ่งเข้ามาประชิดติดตัวจนต้องผงะถอยหลังขนาดนี้ ผมจะกั้นท่าไหนต่อดีละนี่ “อะไรเล่า เอาหน้าไปห่างๆเลย ฮือ...อย่าเข้ามาไง”
                    "แมค?" หยุดเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแฝงความนัยแปลกๆเดี่ยวนี้เลยนะครับ แล้วก็เลิกจ้องปากของผมด้วย มองราวกับจะตรงเข้ามาดูดลิ้นชิมรสฟัดปากให้จมเขี้ยวด้วยความอยากขนาดนี้ ผมชักกลัวขึ้นมาละ
                    "อะ...อะไร๊?" พอแสร้งเบี่ยงตัวหลบซ้ายทีขวาทีอีกฝ่ายก็ยังตามมาไม่เลิก จนในที่สุดผมเลยโดนตะปบเข้าที่ไหล่ให้นั่งเฉยๆ แต่ใครจะทนนั่งนิ่งเป็นเหยื่อรอถูกตะครุบกันเล่า ลุกหนีดีกว่า
                    "จะไปไหนครับ? หืม?"
                    “ไม่ไปแล้วไง เลิกจ้องผมได้แล้ว” มองซะจนพรุนไปทั้งร่างแล้วมั้งนี่
                    “อืม?” อยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ ทำแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ร้อนตั้งแต่แผ่นอกไล่ขึ้นมาใบหน้าจนรู้สึกแดงไปหมดทั้งตัวแล้วเห็นไหม? ต้องเห็นแน่ๆ ดูรอยยิ้มมุมปากนั่นสิครับแล้วยังมีสายตาวิบวับนั่นอีก เห็นแล้วยังจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้อีกทำไม ถอยออกไปเลยนะ
                    "พ...พี่..."

          รู้ตัวอีกทีริมฝีปากล่างของผมก็ถูกครอบครองโดยสัมผัสนุ่มที่กำลังขบเม้มขยับไปมาอ้อยอิ่งอยู่นานสองนานก่อนถอนออกไป ผมสะบัดหน้าหนีแต่กลับถูกฝ่ามือหนาทั้งสองช้อนพวงแก้มดึงโน้มเข้าไปใกล้ทาบทับริมฝีปากลงมาบดขยี้อีกครั้งจนตัวโยน สิ่งที่ทำได้มีเพียงกระพริบตาปริบๆพยายามทำตัวนิ่งแสร้งไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆที่อีกฝ่ายอยากจะสื่อ แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนหลอกความรู้สึกตัวเอง ณ เวลานี้ สำหรับคนตรงหน้าแล้ว ไม่มีอารมณ์อื่นใดที่อยากสื่อออกมามากไปกว่าความต้องการจะสัมผัสผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว ผมมองออกและพร้อมเปิดปากตอบรับในทันทีที่ถูกรุกเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีแม้เสี้ยววินาทีที่ผมขัดขืน พี่มาร์ทงับริมฝีปากของผมอีกครั้งในขณะที่ผมเองก็ทำไม่ต่างจากเขามากนัก เราผลัดรุกผลัดกันรับดูคล้ายจะยั่วกันและกันมากกว่าจะเป็นการจูบที่อ่อนหวานอย่างทุกที ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมยิ้มทั้งที่ริมฝีปากเราแนบชิดกันอยู่หรือผมไปทำอะไรให้ เขาจึงกระตุกยิ้มให้ผมอยู่อย่างนี้

                    “ไม่เอาแล้ว พี่มาร์ท” ผมยกมือห้าม ตั้งใจว่าจะรอจนกว่าเสียงหอบของอีกฝ่ายแผ่วเบาจนเป็นปกติก่อน แล้วผมถึงจะพูด แต่ดูท่าคงจะรอไม่ไหว
                    “หึๆ โอเค” พี่มาร์ทหัวเราะในลำคอวางฝ่ามือประคองแก้มทั้งสองของผมไว้ พลางเลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดจนหน้าผากชนกันได้ยินแม้เสียงลมหายใจที่หอบรัว “I love you”
                    "อ๊ะ"

          ไม่อยากจะยอมรับว่า เขิน ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้ แต่อาการที่เป็นอยู่ก็แสดงออกชัดเจนจนยากจะปฏิเสธได้ เพราะหัวใจของผมมันเต้นแรงขึ้นทุกขณะที่ริมฝีปากนุ่มทาบทับลงมา แต่คราวนี้สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่ความหวาน หากแต่เป็นความเร่าร้อนจากการบดเบียดลงมาเต็มแรงพร้อมกับฝ่ามือที่ขยุ้มเส้นผมตรงด้านหลังต้นคอ ทำใจผมกระตุกวาบด้วยเป็นจุดอ่อนไหวที่ไม่มีใครได้สัมผัส เผลอชะงักเปิดปากรับปลายลิ้นที่สอดเข้ามาประสาน ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกต่อไป  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลิ้นที่เกาะเกี่ยวพันกันอยู่นี่จะดูดดึงหยอกล้อกันอย่างไร เสียงลมหายใจหอบถี่ทั้งร่างที่สั่นรัวนี่จะยุติลงเมื่อใด ผมรับรู้แต่เพียงว่าคนตรงหน้าก็รู้สึกไม่ต่างกันกับผมมากนัก สัมผัสได้จากแผ่นอกกว้างที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงถี่กว่าทุกครั้งจนอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าดูตื่นตระหนกร้อนรนกว่าทุกที สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอกดท้ายทอยอีกฝ่ายให้โน้มลงมาจนแนบชิด ทั้งฝ่ามือหนายังลากผ่านต้นคอไล้เข้าไปลูบไล้ผิวกายของผมผ่านชายเสื้อที่เปิดออก ทุกสัมผัสที่ได้รับกำลังมอมเมาให้ผมคล้อยตาม รู้ทั้งรู้ว่ากำลังโดนกล่อมให้เอนกายลงนอนราบลงกับโซฟาทั้งที่ริมฝีปากของเราไม่ได้ละห่างกันอาจจะเป็นกับดัก แต่ผมกลับไม่สนใจจะห้าม เผลอไผลยอมรับทุกอิริยาบทจนกระทั่งสัมผัสจากแผ่นหลังชักคล้อยมาตรงเอวหยุดลงที่ขอบกางเกง เหมือนมันกำลังถูกนิ้วเกี่ยวดึงลง ผมจึงออกแรงดันเขาออกไปในทันที

                    “เหวอ!”
                    “แมค!” แต่ดันกลิ้งหนีจนตกโซฟาซะเอง ขายหน้าชะมัด เจ็บหลังอีกตั้งหาก “เป็นอะไรไหม?”
                    “เจ็บอะดิ ถามมาได้”
                    “มาครับ พี่ช่วย” พี่มาร์ทก้าวขาคร่อมตัวผมไว้ยื่นมือมาให้จับเป็นหลัก แต่รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นจะออกแรงดึงผมขึ้นไปสักที เอาแต่ยืนนิ่งจ้องท่าเดิมไม่ขยับไปไหน ตกลงจะเอายังไงกับผม
                    "พี่มาร์ท...อึก...หยุดเลยนะ" ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายไว้เตือนสติไม่ให้เข้าใกล้มากกว่าที่เป็นอยู่ สองมือยกขึ้นดันไหล่กว้างรั้งไว้ให้หยุดแค่องศานี้ เพราะผมมองออกว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จะว่าผมเดาหรือกลัวไปเองก็ได้ แต่ผมยังไม่อยากแม้แต่คิดจะเตรียมใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
                    “น้องแมคครับ” ผมพยักหน้ารับคำ พยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ สบตามองอีกฝ่ายทั้งที่รู้สึกราวกับว่าลมหายใจใกล้จะขาดช่วงขนลุกชันไปทั้งร่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจยอมโอนอ่อนปล่อยให้ร่างที่ใหญ่โตกว่าดึงเข้าไปในอ้อมกอด เอ่ยเสียงกระซิบหนักแน่นด้วยความมั่นใจว่า 
                    “พี่ขอนะครับ ได้ไหม?”
   
         
          ทันที่คำขอสิ้นสุดลง สายตาของผมเสหลุบมองต่ำลงกับพื้นพรมในทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างหนักใจ ใช่ว่าผมจะไม่เคยคิดเรื่องนี้ ผมเคยคิด ผมยอมรับว่ามีบ้างที่คิดเกินเลยกว่าจูบ แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจว่า จะถูกขอกันโต้งๆแบบนี้ ในคืนแรกที่ผมจะค้างที่นี่เสียด้วย
                    “ได้ไหม ถ้าไม่พร้อม แมคจะปฏิเสธพี่ก็ได้นะครับ”
                    “เอ่อ...” ถ้าคำว่า ไม่ได้ มันพูดออกไปได้ง่ายๆ ผมคงพูดออกไปแล้วละครับ
                    “ค่อยๆคิดนะครับ คนดี” พี่มาร์ทพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นพลางลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน ยิ่งทำแบบนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกังวลเกินกว่าจะตัดสินใจอะไรได้ในตอนนี้ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆนะครับ หากว่าทำตามใจตัวเองไปแล้วนั้น ผมจะทำพลาดหรือไม่และอนาคตต่อจากนี้ ผมจะเป็นอย่างไร?
                    “พี่มาร์ท...ผม...คือผม...”
                    “พี่รักแมคนะครับ ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ก็รอได้ ถ้าแมคไม่อยากทำ พี่ก็ไม่อยากฝืนใจ”  อย่าครับ อย่าพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอีกเลยครับ แค่นี้หัวใจของผมมันก็หนักอึ้งราวกับยกภูเขามาไว้กลางอกแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าพี่มาร์ทแบบเต็มตา สีหน้านี้นี่ละที่ผมหนักใจ สีหน้าที่ยอมรับในการเลือกของผมทุกอย่าง
                    “พี่มาร์ท” ผมอยากบอกพี่เหลือเกินว่า ผมนะ รักพี่มากแค่ไหน ชอบทุกอย่างที่พี่ทำให้มากแค่ไหน และต้องการพี่มากแค่ไหน ผมอยากพูดออกไปให้ดังๆให้พี่รับรู้ หากว่าไม่รู้สึกเหมือนมีอะไรค้ำคออยู่แบบนี้
                    “ครับ?” แววตาที่มองก้มลงมาทั้งสัมผัสอุ่นที่กุมมือของผมไว้หมายให้กำลังใจ กำลังกัดกินหัวใจของผมทีละน้อย ค่อยๆคืบคลานเข้ามาต่อต้านความคิดขัดแย้งในหัวของผม

          ... ถอนหายใจ ...

          นั่นสินะ... จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาคู่นี้ ภาพที่สะท้อนออกมาก็มีเพียงผมคนเดียว พี่มาร์ทไม่เคยโกหก ไม่เคยผิดคำพูดแม้แต่ครั้งเดียว หากเขาบอกว่าทำได้ นั่นคือคำมั่นสัญญา ผมเชื่อว่า ไม่ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไร อีกฝ่ายก็พร้อมจะเคียงคู่ไปกับผมในทุกเรื่อง ในเมื่ออีกฝ่ายซื่อสัตย์จริงใจกับผมมากขนาดนี้ แล้วผมจะไม่เชื่อมั่นในตัวเขาได้อีกเหรอ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลร้อยแปดประการอะไรที่ค้ำคอผมอยู่ก็ตาม ตอนนี้ผมยอมละทิ้งได้ทุกอย่าง ขอเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน... ได้ใกล้ชิดกัน.... ได้เป็นของกันและกัน... และได้รักกัน... แค่ได้รู้ว่าคนที่รักเข้าใจเรามากกว่าใครๆ ผมก็มีความสุขแล้วละครับ ดูท่าคงแพ้ซะแล้วละ ก็ในเมื่อพี่มาร์ทอุตส่าห์ทุกกำแพงปราการหนาหลายชั้นที่เป็นเกราะกำบังหัวใจน้อยๆดวงนี้ จนพังทลายไม่เหลือชิ้นดีขนาดนี้แล้ว ผมควรจะเปิดประตูหัวใจสักทีสินะครับ... น่าขำนะครับ อุตส่าห์ทุบซะร้าวมาตั้งสองปีแล้วนี่

                    "อืม" ผมตอบรับเบาๆ สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของพี่ชาย ประทับริมฝีปากแทนคำสัญญา   ก่อนจะละริมฝีปากออกกอดพร่ำเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยเสียงสั่นๆ “ผม...ผมไม่เคยทำนะครับ”
                    "พี่รู้" รู้อะไร? "อนุญาตให้พี่ทำนะครับ"
                    “ขนาดนี้ แล้วยังจะถามอีก บ้าเปล่า” ผมมองค้อนเบินหน้าหนี แต่กลับถูกขโมยหอมแก้มอีกแล้ว "เดี๋ยวครับ เขาว่ามันเจ็บนะ จริงไหม"
                    "ไม่รู้ แต่คงจริง พี่จะทำเบาๆละกันครับ" พี่มาร์ทหัวเราะร่วน
                    "ไม่ต้องมาพูดเลย" ผมเบ้ปาก

          แม้จะไม่มีพระจันทร์มาเป็นพยานรัก แต่ก็มีดาวดวงน้อยนับร้อยนับพันดวงคอยส่องสว่างนำทางความรักของเรา... ผมเผลอมองหน้าต่างผ่านกระจกออกไปยังระเบียง ก่อนจะหันมายิ้มให้กับพี่ชาย...สุดที่รักของผม


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (2/3)] 14-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 15-04-2016 00:22:56
เหยยยอะไรยังไงอะเหยยยย
จิตตกถึงขนาดที่ไทลินอลก็สามารถทำให้ระเเวงได้55555
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (2/3)] 14-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 15-04-2016 01:13:47
โอ้โฮ่!!!~ น้องแมคผู้คิดจะขายอ้อย(?) ทำไมหนูซุ่มซ่ามขนาดนี้คะ สะดุดความหล่อมากของพี่มาร์ททำน้องแมค เอ้ย! อ้อยทั้งกระจาดกระเด็นกระดอนเข้าปากพี่มาร์ท. หวานปากพี่มาร์ทสิคะ น้องแมคป้อนอ้อยเข้าปากให้ด้วยความไม่ได้ตั้ง(จริงหรออออ~~~). อร่อยและฟินเลยสิคะพี่มาร์ท น้องแมคเอาตัว-เอ้ย! ผิดอีกและๆ(ตีปากแปะๆ) อ้อยมาให้แดกถึงที่~~~  ถถถถ~~แซะด้วยเอ็นดูหวังอ่านฉากดูเอ็- แค่กๆ :hao6:. #พี่มาร์ทคนรวยกับน้องคนแมน(?)
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (2/3)] 14-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 15-04-2016 18:31:04
รู้จักกันมาก็นาน ไว้ใจพี่มาร์ทเถอะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (2/3)] 14-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-04-2016 19:34:00
 :z1:     :hao6: 
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (3/3)] 15-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 15-04-2016 21:20:17

Until You


ตอนที่ 9 (3/3)

          เสื้อยืดตัวบางถูกถอดออกทางศีรษะเมื่อครู่ปลิวไปตกข้างๆโทรทัศน์ตามแรงเหวี่ยง ผมมองแล้วถึงกับอึ้ง เพราะนั่นไม่ใช่เสื้อของผม แต่เป็นเสื้อของพี่มาร์ท คนที่กำลังโน้มตัวลงมาคร่อมผมแบบเปลือยท่อนบน ไร้เสื้อผ้าสักชิ้นปกคลุม มีเพียงแผงอกล่ำผิวขาวเนียนเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนักกีฬาโชว์เต็มสองตาของผมอยู่ เคยคิดว่ามองแล้วคงชวนให้ใจเต้นตึกแบบในการ์ตูน แต่พอเอาเข้าจริงผมดันรู้สึกเหงื่อตกถึงขั้นวิกฤติในจิตใจมากกว่า สัมผัสจากปลายนิ้วเรียวที่ลากผ่านจากลำคอลงมายังแผ่นอกหยุกลงตรงหน้าท้อง ทำเอาผมเกร็งไปทั้งร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันทั้งร้อนเหมือนจะเป็นไข้ หนาววูบวาบจนขนลุกเหมือนจะแพ้อากาศ แถมหัวใจดันเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกร่าง ใครก็ได้ช่วยผมที บอกผมว่าผมเป็นอะไรกันแน่

                    “พี่มาร์ท ผม...ฮือ...ผมหายใจไม่ออก”
                    “ใจเย็นๆนะแมคนะ ใจเย็นๆ” พี่มาร์ทว่า “ค่อยๆผ่อนลมหายใจนะครับ หายใจเข้า หายใจออก...” ผมพยักหน้ารับพยายามทำอย่างที่ได้ยิน ควบคุมลมหายใจจนเป็นปกติ “ทีนี้ก็ลืมตามองพี่”
                    “ผมไม่...” โอเค ผมต้องทำให้ได้ เรื่องแค่นี้ผมทำได้ ต้องชนะความกลัวนี่ให้ได้
                    “ดีมาก อย่างนั้นละ” พี่มาร์ทยิ้มให้ ขณะที่ผมเองยังไม่ผ่อนแรงบีบมือของอีกฝ่าย “ทีนี้ แมคฟังพี่นะครับ พี่อยากให้แมคมองหน้าพี่ตอนทำ” ถึงกับอึ้ง คืออยากให้ผมมองตอนมีอะไรกัน? ผมทำไม่ได้ รับไม่ได้ๆ “ส่ายหน้าทำไมครับ หืม? พี่อยากให้แมคจดจำภาพของพี่แทนการสร้างภาพลวงในจินตนาการขึ้นเอง มองด้วยดวงตาคู่นี้ แล้วแมคจะเห็นเองว่า สิ่งที่ทำไม่ใช่สิ่งควรกลัวเลยแม้แต่น้อย”
                    “...” หรือผมควรเชื่อพี่มาร์ทดี? บางทีอาการที่เป็นอาจเกิดจากความคิดของผมเอง หากยิ่งกลัว ร่างกายก็ยิ่งต่อต้านอยู่แบบนั้น
                    “ปล่อยความคิดปล่อยใจให้สบาย อย่างนั้นละครับ” อีกฝ่ายยิ้มให้เอื้อมมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของผมออก “มองพี่ด้วยดวงตาคู่นี้และยอมรับมัน พี่เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เรื่องนี้พี่ทำคนเดียวไม่ได้ รู้ไหมครับ”

          เมื่อใจผมเปิดรับ ริมฝีปากจึงเปิดอ้ารับสัมผัสนุ่มที่ทาบทับลงมา เป็นจูบที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยได้รับ ไม่เคยคิดเลยว่ารสสัมผัสของคนตรงหน้าจะอ่อนหวานเย้ายวนถึงเพียงนี้ หากแต่ครั้งนี้พี่มาร์ทไม่ได้ลุกล้ำเข้ามา เขาทำเพียงแค่ประทับรอยจูบบนกลีบปากของผมเนิ่นนานกว่าจะละออก  กดริมฝีปากลงตรงปลายคางเรื่อยไปยังแอ่งชีพจรบริเวณต้นคอ ซุกไซไล้ลงมายังเนินไหล่กดซ้ำๆดูดเม้มจนผมอดคิดไม่ได้ว่า พี่มาร์ทอยากทำรอยคิสมาร์กบนตัวของผมหรือเปล่า?

                    “พี่รักแมคนะ” น้ำเสียงแหบพร่าตรงกกหูที่เล็ดลอดผ่านเข้ามา ทำให้ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายตัวเองสูงขึ้นอีกรอบ “ขอบคุณที่เชื่อใจพี่นะครับ”

          ผมเม้มปากตอบรับด้วยหัวใจโหยหาไม่แพ้กัน ยามนี้ผมอยากพูดออกไปเหมือนกันว่า ผมเองก็รู้สึกไม่ต่าง แต่มันคงยากที่จะเอ่ย เมื่อกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มห่างจากแผ่นอกอันเปลือยเปล่าของผมไม่กี่คืบ ใกล้ชนิดสัมผัสถึงลมหายใจของอีกฝ่าย นี่เสื้อผมถูกถลกขึ้นมาตอนไหน? อ๊ะ!...ร่างกายผมเด้งขึ้นทันทีที่ถูกปลายนิ้วเขี่ยโดนตุ่มนูนบนแผ่นอก ผมยกมือขึ้นปิดปากเบินหน้าหนีด้วยความเขินอายอย่างไม่เคยเป็น ใจอยากสั่งให้มือหนาหยุดการกระทำอันจาบจ้วง แต่ร่างกายตรงส่วนนั้นกลับตอบสนองปลายนิ้วจนแข็งเป็นไต ผมยกมือขึ้นปัดป้องอีกฝ่ายหมายให้ออกไป แต่ใบหน้าคมกลับเลื่อนเข้ามาแทนที่ ปลายลิ้นเรียวไล้เลียสลับกับดูดเม้มตรงแผ่นอกซ้าย ในขณะที่แผ่นอกขวาก็โดนดึงบีบเบาๆที่หัวนมไม่ต่างกัน ทำให้ร่างกายของผมร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุโดยเฉพาะส่วนล่าง ผมกำมือแน่นบิดกายอันร้อนเร่าหลีกหนีฝ่ามือหนาที่ไล้วนแถวเอวด้วยไม่อาจจะทนความร้อนจากฝ่ามือที่สัมผัสมาโดนผิวได้อีกต่อไป
          ร่างสูงกว่าเงยหน้าเลื่อนตัวขึ้นมาจุ๊บปากของผมทีนึงพลางลูบเส้นผมและส่งยิ้มให้คลายกังวล ผมมองสบตาด้วยความรู้สึกสับสนในหลายๆอย่าง ใจอยากสั่งให้ปากเอ่ยถามแต่น้ำเสียงกลับที่เล็ดลอดออกมากลับเป็นเสียงอุทานเมื่อริมฝีปากของคนด้านบนทาบประทับรอยจูบลงบนหน้าท้องพร้อมกางเกงนอนที่ถูกกระชากดึงออกจนพ้นข้อเท้าทั้งสองข้าง ผมผวาขึ้นมาดื้อๆคว้าชายกางเกงจับยึดไว้แต่ไม่ทันการณ์ สองมือจำต้องยกขึ้นปิดซ่อนไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าแดงก่ำอยู่ครู่ใหญ่ จนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศความเงียบที่เข้ามาปกคลุม นิ้วทั้งห้าจึงค่อยๆกางออกพอให้มองลอดมองผ่านไปได้ และนั่นทำให้ผมได้รู้ว่าสายตาคมจับจ้องอยู่ที่ใด? ฝ่ามือละจากดวงตาแทบจะในทันทีตะครุบลงกลางลำตัว รีบเขยิบออกห่างลุกขึ้นนั่งชันเข่าพิงกับโซฟากอดเอาไว้หลวมๆลอบมองด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ พี่มาร์ทมองเป้ากางเกงผมอะ? ฮือ...อยากร้องไห้

                    “ผมไม่ทำต่อแล้วได้ไหม?” ผมบอกออกไปก้มหน้างุด รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน “ผมอายอะ”
                    “มาถึงขั้นนี้แล้วนะครับ แมค” พี่มาร์ทพูดขึ้นในที่สุด “พี่ขอโทษที่ต้องบอกว่า พี่ถอยไม่ได้แล้ว”
                    “ฮือ...” ผมครางในลำคอเบะปากอย่างขัดใจ ผมรู้ ผมเองก็คงอึดอัดไม่ต่างกันถ้าต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้ “งั้นปิดไฟได้ไหมครับ”
                    “โอเคครับ” พี่มาร์ทว่าพลางเลื่อนมือมาแตะขอบกางเกงในของผม เล่นเอาสะดุ้งโหย่ง
                    “ผมขอถอดเองละกัน” อย่างน้อยทำเองคงเขินน้อยกว่า

          แสงสว่างในห้องดับลง กางเกงชั้นในชิ้นสุดท้ายก็ถูกปลดยออกจากตัวเสร็จพอดี ไอร้อนจากฝ่ามือใหญ่แตะเข้ายังต้นแขน ผมหลับตาปี๋อยู่ครู่รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองห่อตัวจนลีบเล็กลงกว่าเดิมสองเท่า พยายามทำตัวเป็นปกติไม่ใส่ใจสัมผัสจากคนที่โอบกอดตัวผมไว้จากทางด้านหลัง แต่ยิ่งคิดสัมผัสก็ยิ่งเด่นชัด แค่เพียงฝ่ามือหนาลากผ่านช่วงเอวขยับไปทางด้านหน้าตรงเข้ากุมน้องชายของผมเอาไว้เต็มฝ่ามือ ผมก็สะดุ้งตัวโยน เผลอเปิดปากส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ทำให้ปลายนิ้วกลางที่กำลังลูบไล้กลีบปากล่างสอดเข้าไปในโพรงปากหยอกล้อกับปลายลิ้นลึกขึ้นจนน้ำตาเล็ด ผมขบฟันลงบนนิ้วที่ถูกใส่เข้ามาเพิ่มเพราะรู้สึกเริ่มอึดอัดคล้ายสะอึก หันเสี้ยวหน้าไปมองอีกฝ่ายส่งสายตาอ้อนวอนให้เขาหยุด แต่ใบหน้าเนียนกลับก้มลงแนบริมฝีปากกับต้นคอทั้งที่ฝ่ามือเร่งจังหวะลูบไล้แท่งร้อนของผมไปมา ความเสียวเล่นวาบจากเบื้องล่างขึ้นมายังท้องน้อยเร็วเกินกว่าผมจะตั้งตัว ยิ่งถูกหยอกล้อขบเม้มติ่งหูพร้อมกับส่วนปลายที่ถูกเล็บจิก ผมยิ่งเสียวซ่านบิดเกร็งจนตัวงอไปหมดเผลอขบฟันเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่ปลายนิ้วทั้งสามชักออกจากไปได้ทัน
          ผมเฝ้ารอคำขอโทษอย่างทุกครั้งแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เว้นเสียแต่เสียงฮึดฮัดครางต่ำจากในลำคอราวกับถูกขัดใจ ฝ่ามือหนายึดปลายคางของผมไว้แน่นออกแรงบีบกรามจนต้องเปิดอ้ารับริมฝีปากที่ก้มลงมาบดเบียด ผมผวาเขยิบตัวถอยหนีแต่แขนกลับถูกยกขึ้นคล้องคอให้ร่างสูงกว่าโน้มลงมาตักตวงกอบโกยแย่งชิงลมหายใจของผมได้ถนัดขึ้นจนปริ่มแทบจะขาดใจตาย ฝ่ามือที่พอมีแรงจึงทุบแผ่นหลังแกร่งเชิงประท้วงระคนขอร้องให้อีกฝ่ายผ่อนแรงลง แม้สายตาคมจะรับรู้แค่เพียงแค่เหล่มอง แต่สุดท้ายก็ยอมเลื่อนใบหน้าออกพอให้ผมได้สูดลมหายใจเข้าทางปากทั้งที่ลิ้นยังเกี่ยวพันไล้ต้อนกันไม่ห่าง ก่อนจะประกบปากลงมาทาบทับอีกครั้งขยี้ซ้ำเต็มแรงฉุดให้ผมจมดิ่งสู่เพลิงอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำจนยากเกินทานทน เผลอใจยอมตอบรับการปรนเปลอทั้งบนล่างแทบแยกไม่ออกควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างทั้งร่างร้อนผ่าวอึดอัดระคนอัดอั้นจนแทบระเบิด อยากทึ้งจิกร่างกายนี้กระชากออกเป็นเสี่ยงๆรับสัมผัสที่มันร้อนแรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น รุนแรงขึ้น ดิบเถื่อนขึ้น จนในที่สุด... อือ...ซี๊ดส์สสสสส อึก... ร่างทั้งร่างของผมสั่นกระตุกเกร็งตัวเด้งเอวกระแทกเข้ากับฝ่ามือที่กำลังเกาะกุม เรียกกระแสไฟแล่นปลาบจากทั่วทุกส่วนพุ่งปรี๊ดไปรวมกันตรงจุดกลางของลำตัว ผมกัดฟันทนระงับเสียงร้องทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังปลดปล่อยของเหลวหนืดออกมาด้วยอาการหอบแฮก แต่ไม่ทันจะได้ผ่อนลมหายใจ ฝ่ามือหนาก็ขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งจนผมผวากัดฟันแน่นระงับความเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้น ปลายเล็บจิกลงกับพื้นขูดลากจนได้ยินเสียงครูดขณะที่ส่วนล่างกำลังถูกรีดน้ำเหนียวข้นของออกจนไม่มีอะไรให้ออก

                    “พ...พี่...อ๊า....”

          ปลายนิ้วที่กำลังลูบไล้ผ่านรอยแยกทางด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งอีกครั้ง รู้สึกถึงน้ำเหนียวๆตรงปากทางเข้า ผมรู้ได้ในทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ สองขาที่พอมีแรงเริ่มเขยิบหนีแต่คงช้าเกินไม่พ้นถูกยึดเอวไว้ในท่าคลานก้มตัว ก่อนบางอย่างจะสอดเข้ามารู้สึกลึกแค่เพียงข้อนิ้ว แต่ก็เจ็บจนต้องร้องออกมา

                    “พี่ขอโทษ! เจ็บมากไหม” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ผมกลับส่ายหน้า “พี่ไม่คิดว่าทำจริงจะแน่นขนาดนี้?”
                    “พี่มาร์ท!!!” ผมร้องประท้วงกับประโยคที่ได้ยิน ใครเขาให้พูดออกมากันนี่ ร้อนฉ่าไปหมด “อ๊ะ...”
                    “เดี่ยวพี่ไปหยิบเจลแป็บนะ” ถึงกับต้องเบ้หน้าหนี คนอะไรก็ไม่รู้ คิดจะสอดก็สอด คิดจะถอนก็ถอนออกไปง่ายๆนี้เลยเหรอ? ทำไมไม่คิดถึงร่างกายกับความรู้สึกของผมบ้าง แล้วแบบว่า...มีเจลในห้อง? เจลหล่อลื่นเพื่อเรื่องอย่างว่า? โอเค...ผมหนีตอนนี้ทันไหม? มีพร้อมขนาดนี้ เตรียมการณ์มาแล้วนี่หว่า?
                    “โว๊ย!” ลุกหนีไม่ไหวครับ ปลายเท้าชาจนไม่มีแรงพยุงตัวยืนเลย
                    “จะไปไหนละ? โอ๊ย! ตีพี่ทำไมนี่?” ผมเบินหน้าหนีไม่อยากจะพูดด้วยเลย หลวมตัวโดนหลอกซะได้ “อย่าทำงอนสิครับ ทำท่านี้ยิ่งน่ารักรู้ไหม” พี่มาร์ทว่า “ต่อกันเถอะ” 
                    “เฮ้ย!”

          ความเย็นวาบจากเนื้อเจลตรงช่องทางด้านหลังทำเอาผมเบิกตาโพลงพยายามคลานหนีอย่างลนลาน แต่เอวกลับถูกมือแกร่งยึดไว้แน่นสอดปลายนิ้วเรียวกดแทรกเข้ามาอีกครั้งรวดเร็วและรุนแรงกว่าเดิมจนต้องขบฟันลงบนริมฝีปากด้านในอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ รสชาติแปร่งของหยดเลือดที่ไหลซึมออกมาผสานการเคลื่อนไหวจากด้านล่างทำให้ร่างกายของผมร้อนรุ่มตอดตุ๊บๆบีบรัดสัมผัสนุ่มแข็งที่สอดลึกเข้ามาเต็มทุกข้อจนถึงโคนนิ้วเรียกหยดน้ำให้ไหลปริมซึมออกมาจากหางตา ก่อนจะต้องผวาขบกรามเข้าหากันแน่นป่ายมือควานหาหมอนที่ตกอยู่ใกล้เข้ามากอดจิกปลายเล็บลงไปเมื่อความรู้สึกเจ็บแทบฉีกถาโถมเข้ามาซ้ำตรงช่องทางเดิมยัดเยียดความอึดอัดคับแน่นจากสองนิ้วที่กำลังควงสว่านสลับชักเข้าออกเร่งจังหวะถี่ขึ้นจนผมหายใจหอบแฮกทิ้งกายลงนอนขดกับพื้นด้วยสภาพหมดแรงเกินกว่าจะขยับอวัยวะส่วนใดไหว
          ร่างสูงก้มลงจูบซับรอยเปียกชื้นตรงหางตาปลอบโยนผมด้วยคำพูดสารพัดกล่อมให้ใจของผมโอนอ่อนผ่อนตามซ้ำยังกระซิบเสียงนุ่มตรงข้างหูเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานประชิดปลายคาง จนผมต้องเม้มปากเข้าหากันสนิทหลบสายตาคมที่ก้มมองลงมาพยายามปรับอาการเกร็งมวลท้องให้อึดอัดน้อยลงทั้งที่ใจกำลังสับสนหวาดหวั่น เมื่อนิ้วเรียวถูกดึงออกไปขาซ้ายก็ถูกยกสูงขึ้น ผมสะดุ้งเฮือกรู้ได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่ใหญ่กว่าเตรียมจ่อเข้ามาตรงทางเข้าด้านหลัง สมองสั่งการให้เขยิบหนีแต่ยิ่งดิ้นน้องชายของอีกฝ่ายก็ยิ่งเด้งสั่นสู้เสียดสีกับผิวหนังมากยิ่งขึ้น ไอร้อนแผ่ซ่านขึ้นทั่วใบหน้าทันทีที่ท่อนแข็งภายใต้ถุงยางผิวเรียบบางถูไถเข้ากับช่องทางเล็กแคบเบื้องล่างของผม นิ้วชี้และนิ้วกลางแตะเข้าที่ส่วนลับจับแยกออกกว้างพร้อมสอดส่วนแข็งขืนเข้ามาเริ่มจากส่วนปลายค่อยๆกดลึกดันเพิ่มมาทีละน้อยๆ ขณะที่ผมทำได้เพียงกัดฟันกรีดร้องทุบกำปั้นลงพื้นระงับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นส่งเสียงสะอื้นซ่อนน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อระคนเจ็บช้ำ ใจอยากตะโกนต่อว่าแต่ริมฝีปากล่างกลับถูกเม้มงับกั้นเสียงที่กำลังเล็ดลอด ร่างสูงกว่าส่งปลายลิ้นเรียวสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากไล่ต้อนลิ้นเล็กของผมที่พยายามหลบหลีกดูดดึงนัวเนียจนหมดทางสู้ ได้แต่ยอมให้อีกฝ่ายปลนเปลอทั้งบนล่างทั้งที่น้ำตาไหลลงอาบแก้ม
          ใบหน้าคมผละออกเพียงครู่ไล้สายตาลงต่ำลากปลายนิ้วแตะตรงส่วนปลายที่กำลังชูชันกุมท่อนแข็งของผมไว้ในกำมือหลวมๆรูดขึ้นลง ก่อนขยับเอวเสียดสีภายในกายเด้งกระแทกผนังแคบจนเจ็บจุกปลุกไอร้อนในตัวผมให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นวาบไปรวมกันตรงจุดที่ถูกเสียดสีกระตุ้นจุดกระสันภายในกายจนร่างทั้งร่างงบิดเกร็งส่ายไปมาสอดประสานบีบรัดเป็นจังหวะเดียวกันจนต้องร้องคราง ฉีกทึ้งหมอนนุ่มในกำมืออ้าปากฝังคมเขี้ยวกัดลงไประงับความเสียวซ่านที่แผ่ขยายไปตามจุดตื่นตัวของร่างกาย พยายามข่มใจอดทนต้านความรู้สึกวูบวาบวาบหวามที่กำลังแล่นปราบไปทั้งร่าง อ้าปากกอบโกยสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนลมหายใจนี้จะขาดช่วง

                    “พ...พี่...อือ...มาร... ฮือ... อ๊ะ...อ้า...”
                    “That’s great! Call my name.”
                    “ฮือ... ไม่...ผมไม่...อ๊ะ...ไหว” ใจอยากร้องบอกความต้องการ แต่เสียงที่เปร่งออกมากลับฟังไม่ได้ศัพท์ “ฮือ...พี่มาร์ท”
                    “ซี๊สส์...Mac...” ผมกำหมัดแน่นส่งแรงที่ผมมีอยู่ต่อยเข้าตรงต้นแขนเตือนอีกฝ่ายที่กำลังมัวเมา ให้อีกฝ่ายลดแรงที่กำลังถาโถมลงบ้าง พี่มาร์ทก้มลงมองหน้าผมกดจูบลงฟัดทาบทับริมฝีปากที่กำลังบวมเจ่ออีกครั้งเร่งจังหวะขึ้นอีกเป็นเท่าตัวจนร่างของผมถึงกับสั่นไปตามแรงโยก พร่ำบอกคำภาษาอังกฤษมากมายข้างหูผม ผมไม่อยากแปล ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ฮือ...พอแล้ว อ๊ะ... ใกล้แล้วๆ อืม...
                    “พี่มาร์ท!!!!!!!” ผมร้องลั่นเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างยั้งตัวเองไม่อยู่ จิกปลายเล็บลงบนแผ่นอกแน่นทั้งที่ฝ่ามือหดเกร็งชาวาบกระตุกสั่นไปทั้งร่างปลดปล่อยน้ำเหนียวข้นล้นทะลักออกเต็มฝ่ามือ ปรือตามองภาพเบลอตรงพื้นห้องผ่านม่านน้ำตาที่กำลังสั่นไหวเหล่มองใบหน้าคมที่ก้มลงมาจูบปิดปากด้วยแววตาอันเหม่อลอย
                    “You’re so sexy boy.”
                    “อือ...พี่มาร์ท” ผมเอ่ยเสียงแหบในสภาพรู้สึกหมดแรงพยายามเรียกสติบอกความต้องการออกไป “ผมหิวน้ำ?”
                    “ค่อยๆดื่มนะครับ เดี่ยวสำลัก” พี่มาร์ทส่งขวดน้ำเปล่าที่ไม่รู้ว่าหยิบมาจากไหนส่งให้ดื่มแล้วบอกน้ำเสียงเปร่งๆว่า “ง่วงก็หลับไปเลย พี่ไปห้องน้ำแป็บ”
                    “อืม” ผมพยักหน้ารับหันมองตามร่างสูงกว่าเดินห่างออกไปและหลับลงในที่สุดด้วยความเพลียอ่อนแรง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (3/3)] 15-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-04-2016 21:35:41
 o13.  โอ๋เดํกน้อยน่ารัก.  กู้ดจ้อบนะเนี่ย
ฟินกำลังดี
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (3/3)] 15-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 15-04-2016 21:54:41
 :katai2-1:  :impress2:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 9 (3/3)] 15-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 16-04-2016 00:46:23
พี่มาร์ททททททททท~~~!!!! ไหนแกบอกน้องว่าทำเบาๆอ่อนโยนไง แล้วไอ้ที่กระแทกเอาๆซะน้องน้ำตาพรากนี่คืออะไร!!  จะร้อนแรงอะไรขนาดนั้น เบาๆหน่อยซี่ นั่นครั้งแรกของน้องแมคนะ เคืองๆ :hao3: #ตะโกนเรียกพี่มาร์ทดังๆ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 16-04-2016 21:35:10

Until You


ตอนที่ 10 (1/2)


          7 โมงครึ่ง

          ไม่รู้ว่าผมจะผงกหัวเพ่งสายตามองนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะหัวนอนทำไม ในเมื่อเช้านี้ผมคงลุกไปช่วยเพื่อนทำโปรเจ็คที่มหาวิทยาลัยไม่ไหวอยู่ดี คิดแล้วก็รู้สึกปวดหัวเพลียกายชะมัดยาก ถ้ารู้ว่ายินยอมพร้อมใจแล้วร่างกายโทรมขนาดนี้ รอไว้ใจอ่อนหลังจากนี้อีกสักสิบปีข้างหน้าดีกว่า โอย...ขยับทีระบมไปหมดทั้งตัว ตาลายหน้ามืด แถมยังหิวน้ำอีกต่างหาก ดีนะที่เตียงนอนนุ่มอยู่ ผมเลยไม่เจ็บมากมายตอนพลิกมานอนหงาย เอิ่ม...เตียงนอน? เตียงใครวะ? คิดก่อนๆเมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้านเพราะทำเรื่องอย่างว่า แล้วจะย้ำทำไม ข้ามๆฉากนี้ไปดิ โอย มึน คิดถึงไหนแล้ววะ? เตียงนอน? อืม... เตียงนอนงั้นเหรอ? งั้นนี้ก็เป็นห้องนอนของ...ของ...ของ?

                    “พี่มาร์ท! โอ๊ย!” ใครจะไปคิดละว่า ตื่นมาจะเจอคำตอบนั่งจ้องหน้าอยู่แบบนี้
                    “เป็นอะไรไหม? ค่อยๆลุกสิครับร่างกายยังไม่หายดีเลย” ฟังพูดเข้า นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมตอบโต้กลับไปหน้าหงายละ แต่เสียดายใจจะขาด เพราะสังขารไม่อำนวย “จะลุกไปห้องน้ำเหรอ?"
                    "เปล่าๆ แค่อยากลุกนั่งเปลี่ยนท่า" พี่มาร์ทพยักหน้ารับหยิบหมอนมาสอดรองตรงช่วงเอว เข้าใจว่าคงให้ผมพิงหลังตอนขยับขึ้นนั่ง ก่อนเอ่ยถามเรื่องโปรเจ็คแล้วจึงส่งแก้วน้ำให้ดื่ม “อึก... ก็ปกติครับ ทำอยู่เรื่อยๆ”
                    “งั้นหยุดพักสักวันได้ไหมครับ พี่ไม่อยากให้แมคฝืนร่างกายไปไหนมาไหนเลย"
                    "คงไม่ไปอะครับ เดี่ยวกินข้าวเสร็จจะโทรบอกเพื่อน แล้วพี่ไม่ไปทำงานเหรอ? "
                    "ลาวันนึง" พี่มาร์ทตอบรับสั้นๆ รับแก้วเปล่าจากมือผผ เอี้ยวตัวไปวาบนโต๊ะเขยิบตัวมานั่งข้างๆ "แมคเป็นขนาดนี้ จะให้อยู่คนเดียวได้ไง พี่ต้องรับผิดชอบการกระทำของพี่สิครับ" ไม่พูดเปล่ายังกุมมือผมยกขึ้นไปจรดริมฝีปากอีก เล่นเอาขนลุกซู่จนต้องรีบสะบัดมือทิ้งเลยครับ
                    “พี่มาร์ททำอะไรนี่?”
                    “แสดงความรัก” ฟังแล้วอยากร้องจ๊ากให้ได้ยินไปถึงเขตปริมณฑลซะจริง
                    “ออกไปห่างๆเลย พูดไรหวานเลี่ยนแต่เช้าก็ไม่รู้”
                    “เขินพี่เหรอครับ หืม?”
                    "ใครเขิน? พี่มาร์ทมั่ว" ผมโวยวายลั่น แต่กลับได้รอยยิ้มมาแทน "ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ ถ้ารู้ว่าพี่จะกลายร่างเป็นหมาป่าสุดโฉดแบบนี้ ผมปฏิเสธซะก็ดี แล้วนี่จ้องอะไรผมนักหนาห๊ะ!" ถามครับถาม เห็นมองตั้งแต่เส้นผมยันพุงแฟ่บๆไม่เลิกสักที เอิ่ม...หรือเพราะผมไม่ได้ใส่เสื้อวะ ดึงผ้าห่มมาปิดหน่อยดีกว่า เพื่อความปลอดภัย
                    "แมค"
                    "อะไร?"
                    "น่ารัก!"
                    "หา!!!"


          พูดยังไม่ทันขาดคำ คนตัวโตกว่าโถมทับคร่อมร่างของผมไว้เกือบทั้งตัว สองแขนกั้นคร่อมคล้ายจะกลัวผมลุกหนี ทั้งที่ความเป็นจริง แค่ขยับก็เสียวแปล่บซะขนาดนี้แล้ว คงกระโดดหนีทันหรอก เอามองเข้าไป จ้องเข้าไป จะทำไรก็ทำสักอย่างสิครับ อยู่แบบนี้ผมอึดอัด...อึดอัดใจ ไม่ใช่อึดอัดอย่างอื่นนะครับ อย่าช่วยผมจิ้นไกลสิ เดี่ยวคิดไปไกลอะไรที่ควรล้มมันจะลุกขึ้นมาละก็ ซวยแน่ๆ

                    "อืม" ได้ยินพี่มาร์ทพึมพำเบาๆในลำคอ แต่ก็ยอมลุกออกไปเสียที
                    “พี่...อุ๊บส์” ผมเบ้ปากหลบสายตาไปมองข้างเตียงแทน คนอะไรเอาเปรียบได้ทุกเวลา คิดจะจุ๊บก็จุ๊บเฉยเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ย กะจะทำให้ผมอายไปถึงไหน ถึงจะพอใจก็ไม่รู้ สงสัยต้องลองปั้นหน้าหงิกบ้างละ
                    “อย่าขมวดคิ้วสิครับ เดี่ยวหน้าย่นนะ”
                    “พี่มาร์ท!”
                    “หืม?” ตอบรับทีไซร้คอสองที มันจะเกินไปละนะ
                    “พอได้แล้วพี่มาร์ท”
                    “อืมๆ ฟอด...” บอกตกลง แต่ทำไมยังจะหอมแก้มผมไม่เลิกอีก “พี่ไปอุ่นโจ๊กมาให้ทานดีกว่า แมคคงหิวแย่ละ จุ๊บๆ”

                    ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเลยครับ บอกจะไปแต่ก็ยังไม่วายทิ้งรอยบนริมฝีปากของผมอีกสองทีติด ตรงกับสำนวนที่ว่า ข้าวใหม่ปลามันซะจริงนะครับ แต่มาคิดๆดู คงใช้กับผมไม่ได้เต็มปากหรอก เพราะต่อจากนี้คงไม่มีครั้งที่สองในเร็ววันนี้แน่ ไข้ขึ้นซะขนาดนี้

                    “ฝากหยิบมือถือให้หน่อยได้ไหมครับ ผมจะโทรบอกเพื่อน”
                    “เอาอะไรอีกไหม?” พี่มาร์ทเอ่ยถาม พร้อมจะพุ่งตัวเข้ามาหาอีกรอบ แต่ผมยกแขนขึ้นกั้นไว้ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
                    “ผมอยากอาบน้ำแล้วอะครับ เหนียวตัวละ”
                    “เมื่อคืนพี่เช็ดตัวให้แล้วนะ ทำไมยังเหนียวตัวได้ละ คราบเหงื่อไคล ไม่มีแล้วนะ”
                    “เช็ดตัว เช็ดตรงไหน?” ผมถึงกับต้องเอ่ยถามยกแขนขึ้นมาดม จะว่าไปก็ไม่ได้เหม็นหึ่งอย่างพี่มาร์ทว่าก็จริง แต่ผมว่า เช้ามาคนเราก็ต้องตื่นมาอาบน้ำชำระร่างกาย แค่เอาผ้าชุบน้ำเช็คตัวให้ ความรู้สึกต่างกันมากมาย
                    “ถามแปลกๆ ก็เช็ดทั้งตัวสิครับ”
                    “ห๊ะ!” พระเจ้าช่วยกล้วยทอด หมดกันชีวิตอันใสสะอาดในวัย 19 ปีของผม โดนเห็นจนหมดซะได้
                    “ตกใจอะไรนักหนา เมื่อคืนตอนมีเซ็กส์กัน พี่ก็เห็นหมดแล้ว” ตรงมากจนอยากเอาหัวเตียงตายให้รู้แล้วรู้รอดมากๆ แล้วนี่อมยิ้มอะไรไม่ทราบ
                    “พี่มาร์ทอย่ามามั่ว ตอนนั้นไฟปิดอยู่ จะเห็นได้ไง คิดจะหลอกให้ผมอายใช่ไหมครับ”
                    “พี่พูดจริง คลำเอาเห็นชัดกว่ามองด้วยตาซะอีก”
                    “โอเค” ผมบอกหน้าตาย “ฝากเปิดน้ำอุ่นลงอ่างด้วยนะครับ ขอบคุณ” ยามนี้ขอมุดหน้าเข้าผ้าห่มก่อนละครับ ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ

          รอจนเสียงปิดประตูห้องนอนดังขึ้น ผมจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ค่อยๆเขยิบเลื่อนตัวยกขามาวางพาดข้างเตียง ด้วยความรู้สึกแสนทรมานราวกับมีหินมาถ่วงแขนขาเอาไว้ ยิ่งเมื่อก้มมองตัวเองแล้วยิ่งรู้สึกอนาจใจยิ่งกว่า เพราะทั้งตัวไม่มีอะไรปกคลุมร่างกายสักอย่าง ครั้นจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวก็ไกลแสนไกล จะให้เดินโทงๆผ่านหน้าต่างมันก็กระไรอยู่ แม้จะอยู่คอนโดโซนสูงก็เถอะ

                    "แล้วตูจะเดินไปห้องน้ำไหวไหมนี่ ม่านก็ไม่ปิดอีกนะ" บ่นไปเรื่อยละครับตอนนี้
                    “แมค ใส่ขิงไหม?” นี่ก็อีกคน อยู่ๆก็เปิดประตูผลัวะเข้ามาเฉยเลย แต่ก็นะ ห้องนอนเขานี่ ใครจะไปห้าม
                    "ยังไงก็ได้ครับ" ผมตอบสบสายตากับเจ้าของห้องที่ยืนพิงประตูมองตรงมาที่ผมไม่พูดอะไรต่อ “แล้วไม่ไปดูอาหาร ป่านนี้โจ๊กไหม้หมดละมั้ง”
                    “พี่ยังไม่ได้เปิดเตา”
                    “อ่า...” จะทำไงให้พี่มาร์ทออกไปจากห้องดี จ้องอยู่แบบนี้ใครจะกล้าเดินเปลือยไปห้องน้ำกันเล่า “ขอผ้าเช็ดตัวผืนนึงสิครับ”
                    "นึกว่าจะไม่พูดซะแล้ว หึๆ" พี่มาร์ทกระตุกยิ้มเดินอาดๆเข้ามาใกล้ ช้อนแขนเข้าที่แผ่นหลังและใต้หัวเข่าทั้งสองข้างยกขึ้นแนบอก พาเดินก้าวมุ่งหน้าไปห้องน้ำ
                    "เฮ้ย! ปล่อยๆ เดี๋ยวก็หลังหักหรอก ผมเดินเองได้ ถ้าจะช่วยแค่ยืมไหล่ก็พอแล้ว"
                    "รอให้แมคเดินเอง กว่าจะถึงคงบ่ายพอดี" พี่มาร์ทพูดขึ้นพร้อมกับประคองตัวผมวางลงในอ่างอาบน้ำอย่างเบามือ หันหลังเดินไปปิดประตูกดล็อกห้อง เล่นเอาผมตาโตเกาะขอบอ่างด้วยอาการลนลาน
                    "ไม่เอาแล้วนะ ผม... ผม..."
                    "คิดไรนี่?" สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี่ ไม่ใช่ว่าส่ออยู่หรอกเหรอครับ "แค่จะอาบน้ำให้เฉยๆ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร"
                    "ผมอาบเองได้น่า โตขนาดนี้แล้ว ขืนให้พี่มาช่วยก็เปียกหมดพอดี"
                    "เปียกก็อาบใหม่ได้" สิ้นคำ พี่มาร์ทก็พร้อมถอดเสื้ออวดหุ่นเฟริ์มออกในทันที "พี่ช่วยจะได้สะอาดๆ"
                    "ไม่เอาๆ"
                    "อย่าดื้อสิครับ พี่ช่วยดีแล้ว จะได้ไปทานโจ๊กกันไวๆ" พี่มาร์ทยิ้มปิดท้าย "รู้เหรอว่า ต้องล้างตรงไหนบ้าง"
                    "รู้ดิ ผมไม่ได้เวอร์จิ้นสักหน่อย บ้าเปล่า"

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-04-2016 21:48:53
 :z1:   สะอาดแน่ๆ.  :impress2:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 17-04-2016 00:17:47
ไม่ได้เวอร์จิ้นคือไรอะเดี๋ยวๆ555555
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: membermind ที่ 17-04-2016 00:57:02
ประโยคสุดท้ายพี่มาร์ทมีสะเทือนนะคะอย่างนี้5555 :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-04-2016 10:10:37
ประโยคสุดท้ายคืออะไร  55
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 17-04-2016 11:09:47
เราเผลอแป๊บเดียว... น้องแมคโดนกินไปล้าวววว แต่เดี๋ยวนะคะ ไม่เวอร์จิ้นคือไรร แต่ 2 ตอนก่อนน้องบอกว่าน้องไม่เคยนะคะ 555 แต่เราว่าตอนนี้พี่มาร์ทสติหลุดไปแล้ว ว่าไปก็สงสารเขานะคะ แต่น้องแมคไม่ปล่อยพี่มาร์ทกังวลนานหรอกค่ะ น้องออกจะรักพี่มาร์ทขนาดนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะค่ะ มาค้างคืนแรกก็โดนจับกินเลยอ่ะ พี่มาร์ทคะ เดี๋ยวน้องไม่กล้ามาค้างอีกนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 17-04-2016 14:17:51
หนูแมคไม่จิ้น!??  ครั้งแรกตอนไหน พี่มาร์ท?  หรือไง ท้ิงระเบิดลงไปตุ้ม!เลย :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (1/2)] 16-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 17-04-2016 15:38:38
ช่วง : Talk to Writer

Q : Janny >> ต่อไปพี่มาร์ทต้องประกบติดนะคะ มีคนมาจีบน้องแล้วววว 55555
A : เขามาแล้วก็จากไปนะสิครับ เศร๊าเศร้า

Q : panitanun >> เหยยยอะไรยังไงอะเหยยยย จิตตกถึงขนาดที่ไทลินอลก็สามารถทำให้ระเเวงได้55555
A : ก็ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย เอานิ้วจิ้วกัน

Q : lnudeel >> โอ้โฮ่!!!~ น้องแมคผู้คิดจะขายอ้อย(?) ทำไมหนูซุ่มซ่ามขนาดนี้คะ สะดุดความหล่อมากของพี่มาร์ททำน้องแมค เอ้ย! อ้อยทั้งกระจาดกระเด็นกระดอนเข้าปากพี่มาร์ท. หวานปากพี่มาร์ทสิคะ น้องแมคป้อนอ้อยเข้าปากให้ด้วยความไม่ได้ตั้ง(จริงหรออออ~~~). อร่อยและฟินเลยสิคะพี่มาร์ท น้องแมคเอาตัว-เอ้ย! ผิดอีกและๆ(ตีปากแปะๆ) อ้อยมาให้แดกถึงที่~~~  ถถถถ~~แซะด้วยเอ็นดูหวังอ่านฉากดูเอ็- แค่กๆ :hao6:. #พี่มาร์ทคนรวยกับน้องคนแมน(?)
A : ว่าพี่มาร์ทเป็นช้างเหรอครับ (ฮา ตบโต๊ะ)

Q : donutnoi >> รู้จักกันมาก็นาน ไว้ใจพี่มาร์ทเถอะ
A : คำแนะนำนี้เริ่มคิดหนักเลย

Q : ❣☾月亮☽❣ >> :z1:     :hao6:
A : อีโมดูสะใจชอบกลนะครับ

Q : ❣☾月亮☽❣ >> โอ๋เดํกน้อยน่ารัก.  กู้ดจ้อบนะเนี่ย ฟินกำลังดี
A : กรอกตา ขอบคุณครับ

Q : donutnoi >> :katai2-1:  :impress2:
A : ขอบคุณครับ

Q : lnudeel >> พี่มาร์ททททททททท~~~!!!! ไหนแกบอกน้องว่าทำเบาๆอ่อนโยนไง แล้วไอ้ที่กระแทกเอาๆซะน้องน้ำตาพรากนี่คืออะไร!!  จะร้อนแรงอะไรขนาดนั้น เบาๆหน่อยซี่ นั่นครั้งแรกของน้องแมคนะ เคืองๆ :hao3: #ตะโกนเรียกพี่มาร์ทดังๆ
A : อย่าใช้คำว่า แก สิครับ ไม่สุภาพเลย(#ออกรับแทน) ขอบคุณที่เคืองแทนนะครับ#น้ำตาไหลพราก

Q : ❣☾月亮☽❣ >>  :z1:   สะอาดแน่ๆ.  :impress2:
A : ผมรักความสะอาด? เป็นปกติอยู่ละ

Q : panitanun >> ไม่ได้เวอร์จิ้นคือไรอะเดี๋ยวๆ555555
A : ก็ความหมายตามนั้นละครับ

Q : membermind >> ประโยคสุดท้ายพี่มาร์ทมีสะเทือนนะคะอย่างนี้5555 :hao7:
A : ตอนที่พูดออกไป ไม่เห็นมีอะไรสะเทือนกลับมาเลยครับ

Q : insomniac >> ประโยคสุดท้ายคืออะไร  55
A : ก็ความหมายตามนั้นละครับ

Q : Janny >> เราเผลอแป๊บเดียว... น้องแมคโดนกินไปล้าวววว แต่เดี๋ยวนะคะ ไม่เวอร์จิ้นคือไรร แต่ 2 ตอนก่อนน้องบอกว่าน้องไม่เคยนะคะ 555 แต่เราว่าตอนนี้พี่มาร์ทสติหลุดไปแล้ว ว่าไปก็สงสารเขานะคะ แต่น้องแมคไม่ปล่อยพี่มาร์ทกังวลนานหรอกค่ะ น้องออกจะรักพี่มาร์ทขนาดนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะค่ะ มาค้างคืนแรกก็โดนจับกินเลยอ่ะ พี่มาร์ทคะ เดี๋ยวน้องไม่กล้ามาค้างอีกนะคะ
A : สงสารผมบ้างสิครับ? ใครบอกผมรัก ไม่มี ไม่เคยพูด (กอดอกเชิดหน้า)

Q : lnudeel >> หนูแมคไม่จิ้น!??  ครั้งแรกตอนไหน พี่มาร์ท?  หรือไง ท้ิงระเบิดลงไปตุ้ม!เลย :hao7:
A : ก็ก่อนเที่ยงคืนก็...ครั้งแรก ผ่านมาก็เช้าวันถัดไป มันจะไปเวอร์จิ้นได้ไงละครับ


จบการตอบคำถามละครับ

สุดท้ายนี้ก็อยากฝากบอกคนอ่านและคนเม้นต์ทุกท่านว่า

ชีวิตจริงกับชีวิตจิ้นมันก็ต่างกันแค่เชือกเส้นบางๆ
มองให้ลึก มองให้เข้าใจ ไตร่ตรองด้วยเหตุผล และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ผมเชื่อว่า...หากคุณยอมรับและพร้อมจะปรับเปลี่ยนในจุดนี้ได้ ไม่ว่าชีวิตจริงหรือชีวิตจิ้น คุณก็จะมีอิสระไม่ต่างกันหรอกครับ
ชีวิตจริงไม่ได้โหดร้ายจนต้องหลีกหนีไม่กล้าเผชิญหน้า ชีวิตจิ้นก็ไม่ได้หลอกลวงจนต้องยอมเชื่อไปซะทุกเรื่อง
จงใช้ชีวิตทั้งสองโลกอย่างสงบสุขด้วยการมองและคิดอย่างเป็นกลางดีกว่าครับ
แล้วคุณจะพบว่า ความรักและความใคร่ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันจนย่างเข้าปีที่สิบเพียงอย่างเดียวหรอกครับ
สิ่งที่ทำให้เกลียวเชือกรัดเกาะเกี่ยวพันกันแน่นยิ่งขึ้นนั้น เป็นมากกว่าคำสองคำที่ผมได้เอ่ยออกไป
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แฝงเอาไว้ในเรื่องที่ผมอยากบอกในทุกตัวอักษรที่สื่อความออกไป...

ขอบคุณสำหรับการติดตามเรื่องนี้นะครับ
แมค
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (2/2)] 17-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 17-04-2016 20:50:05

Until You


ตอนที่ 10 (2/2)

          11 โมงครึ่ง

          หลังจากหลับไปอีกรอบด้วยฤทธิ์ยาเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่า ผมก็ตื่นขึ้นในเวลาใกล้เที่ยง พร้อมกับเสียงท้องร้องโครกครากเป็นสัญญาณความหิว คงต้องยอมรับนะครับว่าการได้นอนพักเต็มอิ่มนี่ทำให้ร่างกายของผมฟื้นตัวดีขึ้นมาก เรียกว่าตอนเดินนี่ไม่มีอาการเดินเซให้เห็นละ ทว่า...พอผมเปิดประตูเดินออกมานอกห้องสบตากับพี่มาร์ทตรงหน้าทีวีไม่ถึงสามวินาทีก็เป็นอันต้องสะดุ้ง เพราะคนตัวโตกว่ารีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้โอบเอวพาดแขนช่วยพยุงเฉยเลย

                    "เป็นไงบ้าง ดีขึ้นยัง" พี่มาร์ทวางมือเบาๆบนหน้าผากผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "ไม่มีไข้แล้วนี่"
                    "ครับ" ผมตอบรับพยายามแกะมืออีกฝ่ายออกอย่างสุภาพ แต่ไม่ออกแถมยังโดนมองเหมือนจะดุด้วย “ผมเดินเองได้จริงๆนะครับ เกือบหายแล้ว”
                    “ระวังไว้ก่อนดีกว่า พี่ไม่อยากเสี่ยงให้แมคเป็นอะไรไปในตอนนี้”
                    “อืมๆ” บางทีพี่มาร์ทก็ดูห่วงผมมากไป ผมคิดว่านะ
                    “พี่ซื้อผัดไทมาให้ทานกำลังร้อนๆเลย" ผมพยักหน้ารับคำยอมให้พี่มาร์ทพยุงไปนั่งตรงโซฟาแทนที่จะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับสองคนอย่างทุกที “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งนั่ง” ถึงกับชะงักร้องซะผมตกใจเลย ครั้นพอจะถามพี่มาร์ทกลับเดินออกไปยังนอกชานและหยิบหมอนรองนั่งติดมือมาด้วย “นั่งได้ละ” ถึงกับอึ้งเมื่อหมอนใบโตถูกวางไว้บนพื้นโซฟาอีกทีเพื่อให้ผมนั่งทับ ทั้งที่โซฟาก็นุ่มอยู่แล้ว เรียกว่าดูแลดีซะจนผมทึ่งไปเลย “รอนี่ก่อนนะ เดี่ยวพี่ไปหยิบจานกับส้อมมาให้ จะได้ทานพร้อมกัน”

          ผมนั่งมองเจ้าของห้องเดินไปมาสลับระหว่างห้องครัวกับโซนรับแขกแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน พี่มาร์ทหยิบจานมาแล้ว แต่กลับลืมช้อนส้อม พอเอามาครบเทผัดไทลงจานเสร็จก็ดันหาถังขยะใบย่อมไม่เจอ จึงต้องเดินไปทิ้งในครัว หย่อนก้นลงนั่งยังไม่ทันถึงพื้นก็ลุกเดินไปหยิบแก้วน้ำ ตักน้ำแข็งเปิดฝาเทน้ำอัดลมมาสองแก้ววางตรงหน้า ครั้นพอมองหน้าผมสลับกับนาฬิกาดันเกิดเปลี่ยนใจเอาแก้วน้ำเย็นมาให้แทน แต่พอผมคว้าแก้วตั้งใจหยิบน้ำขึ้นมาดื่มกลับมีมือปริศนาคว้าแก้วตัดหน้าผมไปซะงั้น ทั้งยังพูดขึ้นว่า

                    “ไม่สบายต้องทานน้ำอุ่น”
                    “เดี่ยวครับพี่มาร์ท” ผมร้องขึ้นดึงชายเสื้ออีกฝ่ายให้ลงนั่งตามเดิม “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ กว่าผมจะกิน น้ำก็หายเย็นละ”
                    “อืม”
                    “พี่มาร์ทเป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมตั้งใจถามออกไป ดูจากปฏิกริยาแล้ว วันนี้พี่มาร์ทดูลนลานเป็นพิเศษจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ “ถ้าเป็นเรื่องต้องดูแลผม พี่มาร์ททำปกติเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรมากจริงๆนะ ดูผมสิ เดินได้แล้ว ขยับได้ด้วย พี่มาร์ทไม่ต้องกังวลหรอกครับ อีกไม่กี่วันก็หายละ”
                    “ถึงแมคจะว่างั้น แต่พี่ก็อดห่วงไม่ได้ เมื่อคืนพี่ก็เอาแต่ใจตัวเองเกินไปด้วย”
                    “อย่าคิดมากสิครับ ผมเป็นผู้ชายนะ เรื่องแค่นี้ฟื้นตัวเร็วจะตาย ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ จะได้ต้องมาห่วงอะไรมากมายเกินเหตุ”
                    “ถ้าเป็นผู้หญิง พี่จะไม่ห่วงเลย แต่เพราะแมคเป็นแมค พี่เลยกังวล” ประโยคที่ได้ยินทำเอาผมแสดงสีหน้าไม่ถูกเลย “ถ้าไม่สบายหรือเจ็บตรงไหนบอกพี่นะครับ พี่จะได้ให้หมอมาตรวจ”
                    “เอ่อ...ครับ ทานกันเถอะครับ เดี่ยวผัดไทเย็นหมด พี่มาร์ทดูสิ กุ้งตัวโต๊โต”
                    “ชอบทานเหรอ พี่ให้”
                    “อ่าครับ ขอบคุณ” ทำไรไม่ถูกเหมือนกันครับตอนนี้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่ามีฟิลล์หวานอบอวลอยู่รอบตัวตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ผมว่าทานเงียบๆดีกว่านะครับเวลานี้

          เสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน ผมก็ไม่มีอะไรทำต่อจึงได้เปิดคอมพิวเตอร์คุยสไกล์กับเพื่อนสอบถามเรื่องงานที่ทำกันอยู่ ส่วนพี่มาร์ทก็เปิดคอมพิวเตอร์สลับกับอ่านเอกสารอยู่ไม่ห่างเช่นเดียวกัน ทำอยู่สักพักก็มักจะหันมาถามเรื่องอาหารการกินและกิจวัตรประจำวันต่างๆที่ฟังดูแล้วเหมือนจะอยากทำให้ผมซะมากกว่า เช่น ทานผลไม้ไหม? จะไปห้องน้ำให้บอกพี่นะ? หิวยัง ดื่มน้ำแอปเปิ้ลเปล่า? เย็นนี้ทานอะไรดี? เบื่อไหม ดูทีวีเปล่า? เมื่อยตรงไหนบ้าง ให้พี่นวดให้ไหม?และอีกต่างๆมากมายจนผมบรรยายไม่หมด ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงเย็น พี่มาร์ทก็ละมือจากงานที่ทำอยู่แวะเข้าครัวทำพาสต้าซอสมะเขือเมศง่ายๆมาเสิร์ฟเป็นมื้อเย็น ก่อนจะพาผมไปอาบน้ำหลังจากมื้ออาหารเย็นจบลง

                    "พี่มาร์ท ไม่เบื่อบ้างหรืออไงครับ" ผมเอ่ยถามขึ้นมองเจ้าของห้องที่กำลังเช็ดผมไป หยิบรีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนช่องนั่งลงข้างๆ
                    "เรื่อง?"
                    "ไอ้นี่อะ" ผมเอานิ้วจิ้มๆไปที่มือที่กำลังโอบไหล่ผมเข้าไปใกล้ นี่ไม่ใช่ครังแรกหรอกนะครับ แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งอันที่จริงพี่มาร์ทก็ทำหลายอย่างมากทั้ง...โผเข้ามากอดเอวตอนผมล้างจาน หอมแก้มซ้ายขวาก่อนจะส่งผมไปอาบน้ำ ให้ยืมแขนหนุนนอนเล่นพักผ่อนยามกลางวันหลายครั้ง แถมจะเดินไปไหนมาก็เข้ามาโอบเอวโอบไหล่พาเดิน และสุดท้ายก็คงเป็นเรื่องป้อนข้าวป้อนน้ำนี่ละครับ เรียกได้ว่าประคบประหงมอย่างกับลูกแกะ
                    "ไม่เบื่อ ทั้งกอดทั้งหอมทั้งจุ๊บ ได้ทั้งวันแหละ" พี่มาร์ทพูดและทำตามที่ประโยคก่อนหน้าอีกครั้ง "แมครำคาญเหรอ"
                    "เปล่านิ แต่จริงๆพี่ไม่ต้องดูแลกันดีขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมหายแล้ว"
                    "ถ้าแมคไม่รำคาญ พี่อยากดูแลแมคไปชั่วชีวิต" คำพูดทำเอาผมค้างนิ่งไปสามวิ มองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะเมินหน้าหนีไปอีกทาง
                    "น้ำเน่า...เอาไว้ไปพูดกับภรรยาพี่ในอนาคตเถอะครับ ไม่ใช่ผมสักหน่อย"
                    "แม่หนูงอนพ่อนะลูก บอกให้แม่เขายิ้มซะบ้างสิ" พี่มาร์ทพูดขึ้นพลางลูบท้องของผมว่ากระทบ
                    "บ้าเหรอ ใครเป็นแม่เป็นพ่อ พูดให้ดีๆนะ" ผมมองจ้องดึงมืออีกฝ่ายออกไปให้พ้นตัว "ทำแค่นี้ไม่ถึงกับท้องหรอก ผมเป็นผู้ชายนะ"
                    "งั้นจะทำจนกว่าจะท้องเลยดีไหม"
                    "เฮ้ย!!"
                    "หึๆ"
                    "ไม่พูดด้วยแล้ว นอนดีกว่า" เถียงไม่เคยชนะเลย เซ็งตัวเอง
                    "เดี๋ยว กินอิ่มแล้วอย่าเพิ่งไปนอน เดี๋ยวกรดไหลย้อน เข้าใจไหม" นี่ก็ไม่ว่าเปล่า มีดึงรั้งไม่ให้ผมล้มตัวไปไปนอน คนอะไรก็ไม่รู้ดุชะมัด

          แต่ครั้นจะให้ผมนั่งดูข่าวเฉยๆมันก็ไม่ใช่นิสัยของผม งั้นต้องลองมองหากิจกรรมอย่างอื่นทำแทน ซึ่งพอมองไปรอบตัวแล้วก็เจอแต่กิจวัตรเดิมๆเช่น ดูทีวี เล่นคอม อ่านหลังสือ เล่นมือถือ ทำบ่อยจนเบื่อแล้ว อยากจะออกไปข้างนอกนั่งชมวิวก็คงไม่ได้ เพราะหัวค่ำแบบนี้คงไม่พ้นโดนยุงหาม พอหันกลับไปมองคงข้างๆดันนั่งเงียบฟังข่าวซะงั้น โอยเซ็งและเบื่อเป็นอันมาก งั้นผมควรทำไรดีครับ แกล้งคน? เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เบา งั้นต้องเริ่มด้วยการเขยิบตัวเอนหลังพิงกับไหล่ของคนตัวโตกว่าก่อน แต่เหมือนอีกฝ่ายยังนิ่ง ผมก็เลื่อนๆไปนั่งบนตัก คราวนี้ละครับ หันกลับมามองในทันใด

                    "เล่นไรนี่"
                    "ควานหาความอบอุ่น" ตอบพร้อมยิ้มหวานอยู่เลยครับ
                    "เหรอ...ลุกไปนั่งดีๆไป” ไล่กันซะงั้น นึกว่าจะชอบซะอีก แต่จะให้ผมเลิกลาในยามนี้ คงยาก
                    "ไม่เอาๆ เค้าคิดถึงพี่ชายนี่หน่า" ต้องดัดเสียงเป็นเด็กๆด้วยจะได้สมจริง
                    "แมค"
                    "ให้เค้านั่งนี่นะ นะน้า” เพิ่มออฟชั่นกอดคอแถมด้วยครับ ดูสิว่าพี่มาร์ทจำยังไงต่อ
                    "อ้อนขนาดนี้ อยากได้อะไรละ"
                    "พี่มาร์ท" ผมบอกออกไปด้วยสีหน้าและแววตาระดับดาราออสการ์มาสิงร่าง ฮ่าๆ
                    "พูดแบบนี้พี่คิดลึกนะครับ" แค่คิดเองเหรอครับ ดูท่าจะไม่แค่นั้นซะละมั้ง เพราะแขนแกร่งดันมาโอบเอวผมเข้าให้แบบนี้เขาเรียกว่าหื่นไม่ตรงกับปากซะละมั้ง
                    "ก็พูดให้คิดนะสิ พี่มาร์ทไม่ชอบผมเหรอครับ"
                    "ชอบสิ รักมากด้วย" ได้ฟังแบบนี้ตรงหน้า พร้อมแรงกระชับกอดที่มากขึ้น ทำให้ผมชักรู้สึกเขินเองอยู่รึเปล่า? "แต่พี่ไม่อยากทำแมคเจ็บอีก..."
                    "..." คำพูดทำเอาผมอึ้งถึงขั้นจุกขึ้นมาถึงลำคอไม่พอ ยังรู้สึกเหมือนโดนกำปั้นแสกเข้าจังตรงสันจมูก ผมเม้มปากรับก้มมองมือของตนแทนที่จะเป็นใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความกังวลระคนหนักใจก่อนจะเลื่อนตัวลงมานั่งตามเดิมด้วยอาการสุภาพ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาคนนั่งข้างกาย ผมไม่คิดว่าพี่มาร์ทจะจริงจังและเป็นห่วงผมขนาดนั้น ทั้งที่ความจริงผมแค่เห็นเป็นเรื่องเล่นๆ
                    "เป็นอะไร หงอยเชียว"
                    "ขอโทษนะครับ" ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างเบาอย่างคนสำนึกผิด
                    "คิดมากน่า พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราสักหน่อย" แม้จะลูบผมด้วยความเอ็นดูกับถูกดึงเข้าไปกอดจรดริมฝีปากลงกลางขมับ ผมก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย "แมคทำหวานใส่ พี่ก็ชอบนะครับ เมื่อกี้เกือบเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เลย” พูดจบยังมีหัวเราะร่วนอีก “แต่ถึงงั้นพี่อยากให้แมคหายดีซะก่อน"
                    "แล้วถ้าหาย พี่มาร์ทจะทำอะไรอะ"
                    "จัดให้ไม่ยั้ง เอาให้ลุกไม่ขึ้นเลย ทบของเก่าวันนี้ด้วย"
                    "เหวอ..."
                    "ล้อเล่นน่า" สาธุ ขอให้เป็นตามนั้นจริงเถอะครับ  เพราะถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ผมคงได้ถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (2/2)] 17-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 17-04-2016 21:07:35
แล้วตกลงเรื่องเวอร์จิ้นไม่เวอร์จิ้นนี่ยังไงค้าาา มองตาแล้วรู้ทันมุกกันเลยป่ะ ไม่ต้องพูด 55555555 แต่พี่มาร์ทนี่ดีนะคะ ได้น้องแล้วก็ดูแลดีถึงพี่มร์ทจะมีจุดประสงค์แอบแฝงว่าพอหายจะได้...ต่อก็ตาม มองเห็นอนาคตว่าน้องแมคได้มีคนดูแลตลอดชีวิตแล้วล่ะค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (2/2)] 17-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-04-2016 22:25:19
ละมุนมาก ยินดีกับแมคด้วยนะเจอคนรักจริง
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 10 (2/2)] 17-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 17-04-2016 22:52:30
เกือบได้โดนจนท้อง(?)และหนูแมค :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 11 (1/2)] 18-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 18-04-2016 22:18:30

Until You


ตอนที่ 11 (1/2)

   โอ๊ะโอ...มองนาฬิกาข้อมือแล้วถึงกัต้องอุทานคำนี้ออกมาเลย ปกติแล้วคลาสพวก coding กว่าจะเลิกก็ปาไปเที่ยงกว่า บางทีลากยาวไปเกือบบ่ายโมง แต่เช้าวันนี้ผมสุขขีสุขโขเป็นที่สุด เพราะอาจารย์ปล่อยคลาสตั้งแต่สิบโมงเช้าไปประชุมด่วน แบบนี้จะให้ไม่ให้ร้องเสียงประหลาดได้ที่ไหน แต่ในเมื่อเช้านี้ผมว่าง ไม่ติดงานอะไร และไม่ต้องรีบกลับบ้าน งั้นผมควรทำอะไรดีหว่า?

                    “สวัสดีครับ คนหล่อน้อยกว่าผม” เอ่ยเสียงใสไปหรือเปล่าหว่า เดี่ยวรู้หมดว่าผมจะแกล้งอะไร
                    (“อืม สวัสดี”) แปลกแฮะ ปกติพี่มาร์ทรับสายได้เฮฮากว่านี้นี่ แถมถ้าผมกวนแบบนี้มีตอกกลับละ
                    “เป็นอะไรอะครับพี่ ทำไมเสียงไม่ซู่ซ่าเลย”
                    (“พักแล้วเหรอ ยังไม่ 10 โมงครึ่งเลย”)
                    “เปล่าครับ อาจารย์ปล่อยคลาสเร็ว มีธุระ”
                    (“อืม”)
                    “ว่างปะครับ ไปหาไรกินแก้เครียดไหม ผมเลี้ยงก็ได้น้า”
                    (“อืม ไปสิ ลงมาไวๆละกัน")
                    “พูดอย่างกับว่ารออยู่หน้าตึกคณะผม”
                    (“ไม่เชิง พี่อยู่ลานจอดหลังอาคารเรียนแมคนะ”)
                    “ห๊ะ!! พี่มาทำอะไรแต่เช้า? มานานยัง”
                    (“ตั้งแต่ 9 โมงได้ละมั้ง”)
                    “โอเคๆ เดี่ยวผมเก็บของเสร็จ จะรีบลงไป” คนอะไรทำผมตกใจได้ไม่เว้นวันเลยครับ ดูท่าน้ำเสียงอ่อยๆแบบนี้ คงมีเรื่องให้ทุกข์ใจแน่นอน มารอเช้าแบบนี้คงไม่ได้ไปทำงานแน่ๆ ผมเองก็ไม่เก่งเรื่องปลอบคนซะด้วยสิครับ ไม่รู้จะทำได้ดีแค่ไหนเหมือนกัน

          ทว่า...พอได้เจอหน้าและฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น กลับเป็นผมเองที่รู้สึกอยากร้องไห้ยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่พี่มาร์ทบอกดันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรงเสียได้ ซึ่งนั่นก็คือ คุณแม่ของพี่มาร์ทเชิญผมไปพบที่บ้านของครอบครัว เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นละครับ ถามว่าเคยเจอกันไหม ก็ไม่? เคยได้ยินชื่อไหม ก็ไม่อีก? ยิ่งถามว่ารู้จักผมได้ไง อันนี้ยิ่งตอบไม่ได้ใหญ่เลยครับ เพราะผมเองก็ไม่เคยถามเรื่องครอบครัวพี่มาร์ทเลยสักครั้ง สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับพี่มาร์ทมีเพียงคอนโดมิเนียม รถยนต์ สถานที่ทำงานและตัวตนของเขาเท่านั้นเอง ดังนั้นการที่คุณแม่ของพี่มาร์ทไปเอ่ยชื่อผมออกมา เริ่มทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาซะแล้วสิครับ
    
                    “ตกลงว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงอะครับ”
                    "น่าจะเริ่มจากเมื่อวานตอนแม่พี่ไปเยี่ยมที่คอนโด เห็นบางอย่างในห้องเข้าก็เลยถาม?"
                    “เห็นอะไรอะ?” ขอคำตอบดีๆนะครับ ผมจะเตรียมตัวถูก
                    “พูดยาก พี่เล่าตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า” ผมพยักหน้ารับตั้งใจฟัง “แมคคงยังไม่รู้เหตุผลที่พี่ย้ายมาอยู่ข้างนอกใช่ไหม? ส่วนนึงก็มาจากแม่ของพี่ด้วย แต่พี่ขอเล่ารายละเอียดอีกทีวันหลังนะครับ ปกติแล้วพี่ไม่ค่อยได้เจอกับแม่ เพราะกว่าพี่จะเลิกงานกลับถึงคอนโดก็มืดค่ำ แต่เมื่อคืนแม่มาดักรอพี่อยู่ที่ลานจอดรถ จะเลี่ยงก็คงยาก พี่เลยต้องพาขึ้นไปบนห้องตามมารยาท มาถึงก็แบบเดิมๆ เอาแต่ถาม เอาแต่พูด จนพี่หงุดหงิด อย่างเรื่องทำไมไม่กลับมาอยู่บ้านสักที พี่ก็ตอบไปว่า อยู่คอนโดสบายใจกว่า" พี่มาร์ทเล่าราวกับเป็นเรื่องทั่วไป ทั้งที่ผมพยายามทำความเข้าใจ เพราะพื้นฐานครอบครัวของผมดูจะให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่กว่านี้
                    “อืมครับ”
                    "นอกนั้นก็มีถามว่า อยู่นี่กินอะไร ทำกับข้าวเป็นแล้วเหรอ มีของสดเต็มตู้เลย..."
                    "ครับ แล้วไงอีก"
                    "พี่ก็บอกว่า ก็ทำได้เรื่อยๆ ทำเองบ้างซื้อทานบ้าง ส่วนผักผลไม้นี่มีคนซื้อมาให้ พอพูดแบบนั้น แม่ก็ถามขึ้นมาเลยว่าใคร? พี่เลยตอบไปตามตรงว่าเป็นรุ่นน้องชื่อแมค" แล้วทำไมไปตอบแบบนั้นเล่า จริงอยู่ว่าผมแนะนำให้ซื้อมาทำทานเองดีกว่าซื้อสำเร็จรูปมาทาน เพราะมีแต่ผงชูรส แต่พี่มาร์ทก็ไม่น่าไปตอบอย่างนั้นเลย "แล้วแม่ก็เดินมาตรงโซฟาถามว่า ใครจัดดอกไม้ พี่ก็บอกว่าแมค"
                    "...เอ่อ..." ผมเห็นช่อดอกไม้ที่พี่มาร์ทได้รับมาจากตอนไปงานเลี้ยงวางกองไว้ก็อดสงสารไม่ได้ ครั้นจะปล่อยให้เหี่ยวแห้งไปก็ใช่ที่ ผมเลยยกมาปักแจกันซะเลย วันนั้นหาแก้วทรงสูงอยู่ตั้งนานเลยกว่าจะหาอันที่พอดีมาใส่ได้
                    "นอกนั้นก็มีเรื่องความสะอาดในห้อง พี่เลยตอบไปว่า แมคปัดกวาดให้ เพราะแม่บ้านมาอาทิตย์ละครั้ง"คิดแล้วก็คงเป็นดวงซวยของผมหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ เพราะเมื่อสองวันก่อน ผมเกิดขยันระหว่างรอพี่มาร์ทกลับห้องมาผมก็ทำความสะอาดห้องฆ่าเวลา รู้ตัวอีกทีก็สะอาดเอี่ยมอ่องทั้งห้องเลย "หลังจากนั้นแม่ก็เดินไปเทอร์เรส ถามต่ออีกว่า คิดจะปลูกต้นไม้แต่เมื่อไหร่ ใครซื้อมาให้ พี่ตอบไปว่า ผมซื้อ แต่แมคแนะนำ" ถูกต้องที่สุด ตึกมันต้องมีสีเขียวบ้างจะได้สดชืนมองไปทางไหนก็รื่นรมณ์จริงไหมละครับ มองต้นไม้มองวิวทำให้ใจเย็นขึ้นเยอะ
                    "สรุปว่าแม่พี่ถามอะไร ผมก็มีส่วนร่วมไปทุกงานว่างั้น"
                    "จริงๆก็แปลกอยู่นะ ของที่แมคไม่ได้มีส่วนรวม แม่ไม่เห็นถามเลย"
                    "เออ ผมมันคงดวงตกสินะครับ" ดูท่าคงเป็นคราวเคราะห์ของผมเอง "พี่มาร์ทนัดแม่ไว้กี่โมง"
                    "แม่อยากให้ไปทานข้าวเที่ยงด้วย แต่พี่เลี่ยงไปว่า แมคเรียนเช้า ดังนั้นเราก็ไปช่วงบ่ายละกันครับ แมคจะได้มีเวลาเตรียมตัวด้วย"
                    "งั้นไปทานข้าวห้างแล้วแวะซื้อชุดใหม่กันก่อนละกัน ช่วยผมเลือกชุดด้วยนะ ไม่รู้ว่าแบบไหนจะถูกใจแม่พี่บ้าง"
                    “ขอบคุณที่ทำเพื่อพี่นะครับ” พี่มาร์ทว่ายิ้มๆกดริมฝีปากลงข้างแก้มของผม

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 11 (2/2)] 19-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 19-04-2016 23:54:33

Until You


ตอนที่ 11 (2/2)

          หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยความทุกข์และได้สวมชุดใหม่ด้วยความหนักใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พี่มาร์ทก็พาผมเดินทางทางไปยังบ้านของเขา ซึ่งผมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าลักษณะบ้านที่ผมกำลังจะไปเยือนนี้ต้องสวยหรูและดูเลิศเลอกว่าทุกแบบบ้านที่จินตนาการอยู่ในหัวของผมตอนนี้แน่ๆ นั่นก็เพราะพี่มาร์ทได้บอกผมกับผมว่า คุณแม่ของเขานั้นท่านมีศักดิ์เป็นหม่อมหลวงหรือหม่องราชวงศ์สักอย่าง แค่ได้ฟังก็ยิ่งทำให้ผมตระหนกเครียดกับการเผชิญหน้าครั้งนี้เข้าไปใหญ่ แต่ถึงยังไงผมก็คงจะเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าต่อแต่นี้ ผมจะเรียกคุณแม่ของพี่ชายคนนี้ของผมว่า คุณหญิงแม่ละกันครับ
                    "เป็นไรเปล่า ดูเงียบๆ" พี่มาร์ทเอ่ยถามขึ้น ขณะขับรถ
                    "บอกตามตรงเลย ผมรู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้ครับ"
                    "พี่ก็เกร็งอยู่เหมือนกันว่า คราวนี้แม่จะมาไม้ไหนอีก" ฟังพูดเข้า นี่กะจะแกล้งให้ผมกลัวเพิ่มใช่ไหม?


          เมื่อรั้วอัลลอยบานใหญ่เปิดออกเพื่อให้รถเคลื่อนตัวเข้าไป ผมถึงกับต้องอ้าปากค้างในความใหญ่โตอลังการเกินกว่าที่จินตนาการไว้สามเท่า แม้พี่มาร์ทจะบอกล่วงหน้าก่อนมาแล้วว่าเปลี่ยนสถานที่นัดพบมาเป็นบ้านแถบชานเมืองหลังเล็ก เพื่อให้ผมรู้สึกเกร็งน้อยลง แต่คำว่า เล็ก ของพี่มาร์ทนี่ใช้อะไรเป็นมาตราฐานการวัดขนาดครับ ผมละอยากจะถามเสียจริง เพราะดูจากพื้นที่ตัวบ้านขนาดสองชั้นครึ่งกับสนามหญ้านี่ก็มีขนาดไม่ต่ำกว่า 400 ตารางวา มองแล้วก็อยากได้แบบนี้สักหลังเหมือนกัน แต่คงสู้ราคาเลขศูนย์ต่อท้ายไม่ไหว ดูนั่น! มีโรงรถไว้เก็บรถด้วยครับ

                    “เชิญครับคุณผู้ชาย” คุณพระ!! ผมได้เลื่อนขั้นเป็นคุณชายแล้วเหรอครับนี่
                    “อ่าครับ...” ถึงกับนิ่งค้างไปสักเล็กน้อย ก่อนจะรีบบอกขอบคุณและก้าวออกจากรถอย่างรีบเร่ง เมื่อประตูรถด้านข้างถูกเปิดออกรอผมลงอยู่ครู่ใหญ่
                    "กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอครับ” ประโยคนี้ชายวัยใกล้หกสิบไม่ได้ถามผมหรอกครับ เขาถามบุคคลที่ยืนเลยผมไปโน่น
                    "เปล่า แค่จำเป็นต้องแวะมา" นี่ก็ตอบตีหน้านิ่งจนผมยังอดแปลกใจไม่ได้เลย "คุณแม่อยู่ข้างในใช่ไหม"
                    "ครับ" น้ำเสียงแผ่วลงผิดกับคำทักทายแต่แรกเมื่อได้ยินคำตอบของคนข้างกายผมเข้า "ท่านให้เรียนว่า ถ้าคุณมาร์ทมาแล้ว ให้ไปรอที่ห้องรับแขกด้านริมสวนครับ"
                    "อืม" รับคำในลำคอเสร็จสรรพก็จับข้อศอกผมพาลากเดินไปเฉยเลย ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน ผมยังสอดส่ายสายตาหามุมสวยของบ้านหลังนี้ไม่ทั่วถึงเลย ว่าจะจำไปวาดแปลนบ้านในอนาคตสักหน่อย


          ห้องรับแขกริมสวนเป็นห้องขนาดกลางตกแต่งสไตล์ยุโรปตะวันตกกึ่งโมเดิร์นโทนสีชมพูอ่อนดูต่างออกไปจากตัวบ้านที่เห็นผ่านตาเมื่อครู่ โซฟาหลุยส์กึ่งนอนขอบทองปักลายนูนบุลายกุหลาบกึ่งร่วมสมัยในเนื้อผ้าถูกตั้งวางตรงกลางห้องขนาบข้างด้วยเก้าอี้หลุยส์เข้าเซตฝั่งละสองตัวเยื้องกันหันด้านข้างออกคงตั้งใจให้แขกผู้มาเยี่ยมเยียนได้ชมสวนสวยติดสระว่ายน้ำทางด้านนอก เหนือขึ้นไปบนผนังเป็นภาพเขียนสีน้ำมันแสดงถึงทิวทัศน์อันสวยงามของยุโรปตะวันออกที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและฝูงแกะรับกับโคมระย้าชินเนอเรียลายดอกกุหลาบซ้อนเป็นพุ่มเรียงขึ้นไปสูงถึงสามชั้นไล่สีแดงสลับชมพูอ่อน ดูสวยงามและหรูหราราวสมกับเป็นคฤหาสน์หลังโตเสียจริง

                    "แมค?" เสียงเรียกเบาราวกระซิบทำให้ผมละสายตาหันไปมองร่างสูงกว่าที่กำลังชักชวนผมให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ราคาแพงตรงหน้าข้างกายเขา แต่ผมกลับยิ้มรับแล้วค่อยๆก้าวเท้าย่ำลงบนพรมปูพื้นสีขาวประดุจไข่มุกขนยาวนุ่มด้วยอาการเก้กังๆกลัวจะเปื้อน ซึ่งดูท่าจะช้าเกินจนร่างสูงกว่าต้องเอื้อมแขนมาดึงให้นั่งลง ทว่า...ร่างของผมกลับเซเล็กน้อยจนชนเข้ากับตู้ไม้ลายสลักที่ตั้งวางโคมไฟขนาดเล็กข้างเก้าอี้เบาะนั่ง ผมรีบสะบัดตัวออกจากฝ่ามือหนาตรงเข้าตะครุบโคมไฟหลังคาผ้าสีชมพูอ่อนตัดลายสีหวานด้วยโครงเหล็กยึดกลางสีชมพูเข้มคล้ายโดมเครื่องเล่นม้าหมุนในสวนสนุกก่อนมันจะเอนล้มลงแตกเป็นเสี่ยงๆ
                    "เกือบไปแล้ว" ผมถึงกับพ่นลมออกมาจากปากอย่างโล่งอก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกันส่งรอยยิ้มให้กับแม่บ้านที่ยกย้ำดื่มเย็นมาบริการ
                    "น...น้ำค่ะ คุณ...คุณมาร์ท" แม่บ้านเอ่ยเสียงสั่นเครือ เมื่อเจ้าของชื่อตวัดสายตามามอง จนผมอดไม่ได้ที่จะแอบถองศอกไปทีนึง ก็ดูสิครับใครๆต่างก็อยากพูดดีทักทายด้วยความคิดถึงดันทำนิสัยเสียใส่ซะได้
                    "คุณแม่มาถึงนานแล้วใช่ไหม ไปเร่งให้ที ผมไม่ว่างมานั่งคอยทั้งวัน"
                    "เอ่อ...คือ..." ฟังแล้วอยากตบมือกลางหน้าผาก  คิดได้ไงให้ลูกจ้างเร่งนายจ้าง? ตกงานกันพอดี "คือว่า...คือ... เอ่อ...."
                    "ผมรอได้ครับพี่มาร์ท บ่ายนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน?"
                    "แต่พี่..."
                    "อยู่ๆจะมารีบร้อน ไม่ดูตื่นตูมไปหน่อยเหรอมาร์ท" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมทางเข้าห้องเอ่ยทำลายความอึดอัด ซึ่งผมคิดว่า น่าจะเรียกชวนอึดอัดขึ้นซะมากกว่าดูจากการเปลี่ยนท่านั่งของพี่มาร์ทจากสบายๆมาเป็นวางขาลงตามปกติ ส่วนผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาทพร้อมเอ่ยสวัสดี แต่ได้รับการตอบกลับเพียงการพยักหน้ารับคำเท่านั้น
                    "การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง?"
                    "ดีครับ รถไม่ติด" พี่มาร์ทตอบ
                    "ชื่อแมคใช่ไหมเรานะ"
                    "ครับ" ผมตอบรับพลางหยักหน้าสำทับอีกรอบ รู้สึกอยากจะนั่งพับเพียบตอบให้สมฐานะของตัวเองมากเลยครับยามนี้ แต่ดูท่าว่าหากทำลงไปจริงๆ ผมคงได้โดนตะเพลิดไล่กลับบ้านก่อนได้พูดคุยอะไรแน่ๆ เพราะดูแล้วคุณหญิงแม่น่าจะเป็นคนเจ้าระเบียบใช่เล่น สังเกตเอาจากทรงผมรวบเกล้าซ้อนขึ้นถักเปียรวบเก็บซ่อนปลายเรียบร้อยชนิดไม่มีผมหลุดลงมาสักเส้น โครงหน้าเรียวงดงามได้รูปถูกแต่งแต้มเครื่องสำอางค์โทนสีอ่อนทำให้ดูเด่นขึ้น ผิวพรรณนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ขาวเนียนใสมีออร่ามากเลยครับ ยิ่งมาปรากฏกายในชุดเดรสยาวครึ่งเข่าแขนกุด คลุมไหล่ด้วยผ้าสีเทาดำมีพู่ห้อยประดับชายทั้งผืน ยิ่งทำให้ดูงามขึ้นไปอีก      
                    "เป็นรุ่นน้องมาร์ทสมัยเรียนที่ Berkeley Munich ..." ถึงกับอึ้ง? ผมรู้จักเมืองเหล่านี้เพราะชอบดูสารคดีกับข่าว แต่ไม่มีวาสนาได้ไปเหยียบให้เป็นบุญเท้าหรอกครับ ค่าเครื่องบินมันแพงกว่าเงินพาร์ทไทม์ของผมมากโขและอีกประการคือ พี่มาร์ทจบมากี่สถาบันครับนี่
                    "ไม่ใช่ครับ"
                    "หืม แล้วรู้จักกันได้ไงละ? มาร์ทบอกว่าเป็นรุ่นน้อง...หรือว่าไม่ใช่?" คำว่าไม่ใช่ ทำไมต้องหรี่ตามองกันด้วยละครับ ตอบยากเลยงานนี้
                    "รุ่นน้องไม่จำเป็นต้องจบที่เดียวกันนี่ครับ แมคเป็นเพื่อนน้องชายเพื่อนผม" คำตอบนี้เล่นเอาสายตาของคุณหญิงแม่ละจากผมไปจับจ้องใบหน้าของลูกชายแทนละครับ
                    "คนไหน?"
                    "คุณแม่ไม่จำชื่อเพื่อนผม แล้วจะทราบไปทำไมละครับ" ฟังแล้วอยากจะกลับขึ้นมาก่อนสงครามจะเกิดเลยครับ แม้ยามนี้จะไม่มีฝ่ายใดเอ่ยปากแต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่า บรรยากาศรอบตัวร้อนขึ้นมาหลายองศาทีเดียว ยิ่งเห็นอาการกระตุกยิ้มบนใบหน้างามของคุณหญิงแม่ ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังแทนพี่มาร์ทขึ้นมาชอบกล แต่ดูท่าพี่ชายของผมคนนี้จะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ทั้งยังคงเอ่ยคำถามออกไปอีกว่า "คุณแม่จะเริ่มเวลา Tea Time ยังครับ"
                    "อีกกว่าครึ่งชัวโมง แม่ยังทักทายรุ่นน้องไม่เรียบร้อยเลย" แล้วจะย้ำทำไมละครับ คำว่า รุ่นน้อง นี่
                    "บ้านนี้สวยดีนะครับ เอ่อ...ออกแบบเองเหรอครับ"
                    "จ๊ะ พวกของประดับในห้องรับแขกนี่ซื้อมาจากเวนิชบางชิ้นเป็นของเก่าแก่มากสมัยช่วงสงครามที่เหลือรอดมาได้"
                    "..." หมดคำถามในบัดดล ไม่รู้ จะชวนคุยอะไรต่อดีเลยครับ เลยต้องส่งยิ้มให้ทุกท่านๆแทน
                    "เรียนอยู่หรือว่าทำงานแล้ว"
                    "เรียนอยู่ปี1ที่มหาวิทยาลัยMครับผม" เรื่องนี้ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจเลย เพราะสอบตรงเข้ามาได้
                    "เก่งนะ"
                    "คุณแม่เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ" พี่มาร์ทพูดขัดอีกครั้ง แต่ดูท่าคราวนี้คุณหญิงแม่จะไม่ถือสาหาความอะไร กลับเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นเอ่ยคำถามที่ผมเองยังมองไม่เห็นคำตอบเลยว่า
                    "คิดว่ามาร์ทเป็นยังไง" เป็นผู้ชาย? ยัง...ยังไม่ได้ตอบออกไปครับ ถ้าตอบไปนี่ดูท่าคงจะโดนไล่ตะเพิดออกจากคฤหาสน์หลังงามนี้แน่ๆ ครั้นพอหันไปหาตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวกลับกดมือถืออยู่ไม่เงยหน้าหันมาสบตาเลย แล้วผมจะพูดอะไรออกไปดีหว่า? เป็นคนดี อันนี้ก็ตอบหลอกลวงเกินไป เป็นคนหล่อ อันนี้ก็ตอบเข้าข้างไปนิ๊ด เป็นคนไทย อันนี้ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะดูจากหน้าตาแล้วมีเค้าต่างชาติหน่อยๆ เป็นคนรวย อันนี้คงรู้ๆกันอยู่ เป็นคนอะไรดีน้า? คิดๆๆ
                    "เออ...คงเป็นคนแปลกมั้งครับ อุ๊ย" จ้องทำไมกันละนี่ หันมามองพร้อมกันอีกตั้งหาก "คือผมหมายถึงว่าพี่มาร์ทเป็นคนโดดเด่นมากครับ แล้วก็ไม่ค่อยจะเหมือนใคร" แล้วนี่จะแอบอมยิ้มทำไม ไม่ได้คิดจะชมจากใจสักหน่อย
                    "งั้นรึ?"
                    "ครับ"
                    "ตอนอยู่คอนโดด้วยกันเป็นไงบ้าง" นี่แค่คำถามธรรมดาหรือจะลองเชิงผมกันแน่?
                    "ผมไมได้ไปบ่อยขนาดนั้นครับ นานๆจะแวะไปที ไปไม่นานก็กลับละครับ"
                    "เห็นว่า ช่วยทำอะไรหลายอย่างเลยนี่ อะไรบ้าง?"
                    "ก็มีจัดของที่ไม่เป็นระเบียบ ปัดกวาดอะไรเล็กน้อยๆนะครับ" นอกเหนือกว่านั่น ผมยังไม่อยากเอ่ยถึงในสถานการณ์ตอนนี้ ซึ่งผมชักไม่แน่ใจประเด็นที่โดนเรียกมาแล้วละครับ? ตอบอะไรกลางๆไว้จะดีกว่า
                    "นั่นมันงานแม่บ้านไม่ใช่เหรอ" พูดงี้มีขึ้นเลย!
                    "จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรแบ่งแยกหรอกครับ ว่างานนั้นงานนี้ควรอยู่ในงานรับผิดชอบของใคร ผมคิดเสมอว่า บ้านเราเราเป็นคนอาศัย เราเป็นคนอยู่ เราก็ควรจะทำเอง การหวังพึ่งพาคนอื่น ไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ เหมือนกับเราเอาชีวิตเราไปผูกกับเขามันก็เสียเวลาเปล่า อย่างพระท่านว่า มนุษย์เราเกิดมาก็ตัวคนเดียวจะตายก็ตายคนเดียว" ถามอีกดิ ถามมาเลย จะตอบให้ฟังทุกข้อสงสัย แล้วนี่จะทำหน้าอึ้งกันทำไม?
                    "ทำอาหารเก่งเหรอ"
                    "พอทำได้ครับ คุณแม่ผมสอนทำ"
                    "ปกติอยู่บ้านทำอะไร"
                    "ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานทั่วๆไป ถ้าว่างแล้วก็ชอบอ่านหนังสือหรือไม่ก็ดูหนังครับ"
                    "หนังประเภทไหน"
                    "ซีรีย์ต่างประเทศ และก็มีหนังพวกสืบสวนสอบสวนและไซไฟครับ"
                    "อ้าว เห็นกระแสหนังไทยมาแรง ไม่สนใจบ้างเลยเหรอ"
                    "ก็ต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาและสาระด้วยครับ อะไรดี ผมก็ดู อะไรไม่ดี(เสื่อม)ผมก็ไม่แลครับ" เรื่องนี้ถูกต้องที่สุดครับ ถ้าของไม่ดี จะเสียเงินแพงไปดูทำไม ใช่ว่าราคาตั๋วหนังจะห้าบาทสิบบาทสักหน่อย
                    "คุณแม่ครับ ผมว่า..."
                    "มาร์ท แม่ยังไม่คุยไม่เสร็จดี อย่าเพิ่งแทรก" / "ใช่ครับพี่มาร์ท"
                    "รู้เรื่องการแต่งสวนบ้างไหม"
                    "ไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่เคยอ่านจากนิตยสารมาบ้างครับ"
                    "ต้น..."
                    "ขออนุญาตครับ" พี่มาร์ทพูดเสียงดัง พร้อมกับยื่นมือถือให้ "สายจากคุณพ่อครับ"
                    "อะ ทำไมไม่บอกแม่ละ" เจอคำพูดนี้เข้าไป พี่มาร์ทถึงกับเผลอหลุดสีหน้าเพลียออกมา แต่เพียงครู่ก็กลับเป็นหน้านิ่งสงวนท่าทีตามสไตล์  "ขอตัวไปคุยธุระสักครู่นะจ๊ะ"
                    "อะครับ" โล่งอกขึ้นมาราวกับยกเทือกเขาออกจากอก ผมรอจนคุณหญิงแม่เดินลับตาไปจึงได้หันไปบอกพี่มาร์ทว่า “ขอน้ำอีกแก้วได้ไหมอะ คอแห้ง”
                    “หึๆ” เรียกแม่บ้านมาเติมน้ำให้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มออฟชั่นหัวเราะลำคอใส่ผมหรอก ขำอะไรก็ไม่รู้แปลกคน ใช้เสียงมากก็หิวน้ำเป็นธรรมดานี่ “ดื่มน้ำเสร็จแล้วไปทานของว่างกันเลยไหม พี่จะได้ให้แม่บ้านตั้งโต๊ะรอ”
                    “มีขนมด้วยเหรอครับ ไปครับไป”





          ชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นสำหรับสี่คนนั่งในสวนสวยที่ตอนแรกมีเพียงกระถางต้นเฟิร์นประดับบนโต๊ะ บัดนี้เต็มไปด้วยขนมมากมายหลายชนิดและเซดน้ำชาสีขาวสะอาดดูหรูหราเกินกว่าที่ผมจะเคยพบเห็นในชีวิต Afternoon Tea Set ประกอบไปด้วยขนมหวานน่ารับประทานเต็มไปหมด ประกอบไปด้วยมาการองต์ชาเขียวสอดไส้ด้วยครีมช็อกโกแลต สโคนลูกเกดเสิร์ฟพร้อมแยมสตอเบอรี่สีสัดสดใส แซนวิชแซลมอนรมควันพันเบคอนราดซอสเพรสโต้ บัตเตอร์เค๊กวัลนิลลาผสมช็อกโกแลตชิพในเนื้อหั่นชิ้นเล็กพอดีคำ มาพร้อมกับคุ๊กกี้อัลมอนโรยหน้าด้วยเลมอนครีม และปิดท้ายด้วยพุดดิ้งผลไม้รวมในแก้วใบเล็กจัดวางเรียงมาในจานสองชั้นคล้ายเชิงเทียน ที่เห็นแล้วอดน้ำลายไหลไม่ได้ ข้างกันมีชุดน้ำชาสไตล์วินเทจรอยัลสลักลายขอบทองวิจิตรสวยงามสำหรับสองคนดื่มวางตั้งไว้คู่กัน

                    "ขอบคุณครับ" แต่ช่วยรินไวกว่านี้ได้ไหมครับคุณแม่บ้าน ผมละอยากจิบชามะลิเต็มแก่ละ รู้ได้ไงว่าชาชนิดนี้เหรอครับ ก็กลิ่นลอยมากระทบจมูกนั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ไม่ใช่ชาอื่นใดแน่นอน
                    "ขอไซรัปกับนมด้วย" พี่มาร์ทที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น ช่างรู้ใจผมเป็นที่สุด
                    “ขอบคุณครับ” รอจนแม่บ้านถอยห่างออกไป ผมจึงหันไปยิ้มให้พี่ชายข้างกายที่พยักหน้าให้ผมลองลิ้มชิมรสชาติชาอุ่นๆจากแก้วชาในมือได้ กลิ่นหอมชวนจิบจากใบชาลอยอบอวลขึ้นแตะจมูกตอกย้ำว่า ผมเดาไม่ผิด ยิ่งเมื่อยามแนบริมฝีปากเข้ากับถ้วยชาขอบบางสลักลายสีทองมุก ผมบอกได้คำเดียวครับว่า มัน...อืม...รสชาติมัน...อ่า...
                    “เป็นไงบ้าง พี่ว่าแมคน่าจะชอบชารสอ่อนมากกว่าชา....”
                    “ร้อน!!” จนอยากจะบ้วนทิ้ง แต่บ้วนไม่ได้เลยต้องกลืนลงคอ ก่อนจะลิ้นจะพอง “โอย คอผมๆ เอ้า พี่มาร์ทขอน้ำหน่อยครับ มัวแต่ขำผมอยู่นี่ละ แค่กๆ”
                    “เอาน้ำเปล่ามาแก้ว ไป” กว่าจะพูดได้ผมปากพองห้อยยันคางแล้วมั้ง
                    “น...น้ำค่ะ คุณผู้ชาย" แม่บ้านสาวยื่นแก้วน้ำให้ออกอาการมื่อสั่นอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าจะตกใจไม่น้อย เห็นรีบลนลานเติมน้ำส่งมาให้
                    “ไม่ต้องละครับ ค่อยยังชั่วละ” ผมบอก หยิบแก้วชามาเป่าก่อนจิบอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าเป็นชากลิ่นหอมที่รสชาติดีทีเดียว
                    “ชอบไหม?” ผมพยักหน้าหยิบขนมปังมากัดไปคำสลับกับดื่มน้ำชาเงียบๆ ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พี่มาร์ทเองก็ทำไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่เขามีมาดคุณชายมากกว่าผมตรงที่ สองมือยกแก้วชาพร้อมจานรองขึ้นมาประคองไว้ขณะขานั่งไขว้ห้าง รอจนอุ่นได้ที่จึงจรดปากลงจิบด้วยอาการสุภาพนุ่มนวล จนผมอดที่จะจิกกัดทางสายตาด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรหล่อดูดีทุกระเบียดนิ้วซะจริง
                    "ออกไปก่อนไป มีอะไรแล้วจะเรียก"
                    "ครับ / ค่ะ"
                    "เป็นไง สบายใจขึ้นยัง"
                    "ผมนะเหรอ ทำไม? ก็ปกตินี่"
                    "แน่ใจ?" พี่มาร์ทกระตุกยิ้มมุมปากวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ "นั่งเกร็งซะขนาดนั้น"
                    "เมื่อกี้พี่มาร์ทก็เงียบนะครับตอนเจอคุณแม่นะ" พูดจบต้องยิ้มหวานส่งให้ปิดท้ายด้วย
                    "ยอกย้อนนัก นี่แนะ"
                    "โอ๊ย ดีดปากเค้าทำไมอะ เจ็บนะ"
                    "มีคนมา"

          พี่มาร์ทเอ่ยขึ้นเบาๆพลางกระทุ้งศอกเตือนผม ให้นั่งเรียบร้อยตามมารยาท ผมพยักหน้ารับพลางหันมองตรงประตูทางเข้าที่เปิดออกพร้อมร่างสูงระหงส์เดินนวยนาดเข้ามา คุณหญิงแม่โบกมือให้สัญญาณกับแม่บ้านสาวคนนึงที่ยืนห่างออกไปช่วงตัว เธอโค้งรับพร้อมสั่งให้คนยกเซตน้ำชาส่วนตัวเข้ามา

                    "เมื่อครู่คุยกันถึงเรื่องสวนใช่ไหมจ๊ะ"
                    "ค...ครับ" ผมเอ่ยรับ ไม่คิดว่าคุณหญิงแม่จะมีความจำดีขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงลืมไปก็ได้นะครับ เพราะอันที่จริงแล้วผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย
                    "ต้นไม้...."
                    "คือ...ขอโทษนะครับ" ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทำเอาหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องชะงักคงตกใจที่ผมไหว้ พี่มาร์ทเองก็แสดงอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่ "คือผมขออนุญาตเปลี่ยนเรื่องคุยได้ไหมครับ คือผมไม่ถนัดเรื่องสวนเลยจริงๆครับ"
                    "ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้" คุณหญิงแม่ยิ้มขำถึงขั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก "ขอโทษที่เสียมารยาทนะจ๊ะ แต่อดไม่ได้จริงๆ มาร์ทไปเจอเราได้ยังไง คำพูดคำจาทั้งกริยามารยาทช่างน่ารักจริงๆ ผิดกับมีทเลยนะ ทั้งที่เป็นสาวแต่แก่นแก้วน่าดูน้องสาวมาร์ทนะจ๊ะ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ England” ผมยิ้มรับ คุณหญิงแม่จึงพูดต่อว่า "มีอะไรขอให้พูดออกมาตรงๆเลยนะจ๊ะ ดูจริงใจดี... ชอบชาไหม ชิมหรือยัง?"
                    "อร่อยและหอมมากเลยครับ ซื้อมาจากไหนหรือครับ"
                    "ไม่ได้ซื้อหรอก ชามะลิที่ให้ชิม มาจากสวนทางเหนือของน้าเอง ถ้าชอบเติมได้นะ"
                    "ชามะลิกับชาใบหม่อนต่างกันยังไงครับ?"


          เสร็จจากการพูดคุยยามบ่าย ทำให้ผมรู้สึกว่าแท้จริงแล้ว คุณหญิงแม่ท่านไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมหรือน่ากลัวเจ้าเล่ห์อย่างที่พี่มาร์ทเล่าแม้แต่น้อย ผมกลับคิดว่าการที่ท่านดูเหมือนจะดุหรือเคร่งมารยาทเป็นเพราะการวางตัวของท่านมากกว่า

                    "เสียดาย คุณพ่อมาไม่ได้นะมาร์ท ไม่งั้นคงสนุกกว่านี้" พี่มาร์ทยิ้มรับ แต่เป็นยิ้มไม่สดใสเท่าไหร่ "วันหลังมาทานข้าวนะจ๊ะ แมค"
                    "ครับ" กลับเป็นผมเองที่ยิ้มได้ร่าเริงมากกว่าเสียอีก
                    "ขับรถกลับคอนโดดีๆละลูก"
                    "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ แต่คุณแม่ท่านกอดผมไว้หลวมๆ
                    "มาร์ท ส่งน้องถึงบ้านดีๆละ... อย่าให้ผิดหวัง"

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 11 (2/2)] 19-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 22-04-2016 01:12:46
ผ่านด่านคุณหญิงแม่แล้วววว
 o18
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 11 (2/2)] 19-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 22-04-2016 07:47:45
โอ้วววว~~~ ฉลุยเลย :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 11 (2/2)] 19-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-04-2016 14:20:59
 :katai2-1:   :mew1:  แมคสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 23-04-2016 21:18:51

Until You


ตอนที่ 12 (1/2)

          แผ่นหลังกว้างที่เคยแอบมองไม่ต่ำว่าวันละสองครั้ง ต้นแขนล่ำที่เคยแอบซบยามเอนกายลงนอน แผงอกอุ่นที่เคยแอบลูบตีเนียนเผลอไปจับตอนดูหนังและริมฝีปากนุ่มที่มากกว่าคำว่าเคยสัมผัส บัดนี้อยู่ตรงหน้าเต็มตาชนิดกระแทกเข้าไปในใจเลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องเข้ามาใกล้ชนิดได้กลิ่นหอมกรุ่นจากโคโลญน์ขนาดนี้ก็ไม่รู้ด้วย?

                    "เหม่ออะไรครับ? พี่เหรอ?"
                    “อะไรๆ ไม่ได้มองสักหน่อย แบร่” ผมอดแลบลิ้นปลิ้นตาส่งกลับไปไม่ได้ “แล้วมายืนทำไมตรงนี้ ไปยกเวทตรงโน้นเลย”
                    “มายืนให้แมคมองใกล้ๆจะได้ไม่ต้องเพ่งสายตาไงครับ หึๆ”
                    “ใครมองอะไร พี่มาร์ทมั่ววะ ผมปั่นจักรยานอยู่ไม่เห็นเหรอครับ เสียสมาธิชะมัด” ผมตะโกนบอกสองขาก็ยังคงออกแรงปั่น spin bike ต่อไป "โน่นมุมโน้นเลย ไม่ต้องมาแซวผม ชิ"
                    “พี่ว่าพี่ยกดัมเบลตรงนี้ดีกว่า จะได้คอยดูแลแมคด้วย”
                    "จะมาดูแลอะไรผม แค่ปั่นจักรยานนี่นะ" ผมร้องขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแทน "ก็ตามใจ"


          พี่มาร์ทว่าจบก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ม้านั่งสำหรับบริหารร่างกายช่วงท้อง หยิบถุงมือผ้าสีดำเสริมซิลิโคนชนิดนุ่มตัดลายหนังสีเทาเข้มตรงหลังมือของแบรนด์ดังอย่าง Nike Elite ขึ้นมาสวมใส่ตรงหน้าแท่นวางเซตดัมเบลหลายขนาด ร่างสูงกางนิ้วทั้งห้าออกและขยับมือไปมาเพื่อความกระชับก่อนพิจารณาเลือกขนาดและน้ำหนักที่พอดีกับฝ่ามือ เขาชั่งใจอยู่สักพักแล้วจึงหยิบดัมเบลขนาดเท่าต้นแขนออกมาลองยกเล่นๆสองสามที แล้วจึงวางลงที่เดิมเปลี่ยนมาเป็นขนาดใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย

                    “ถามได้ปะครับว่า มันหนักกี่กิโลอะ”
                    “นี่นะเหรอ? อึบ... 10 กิโลกรัม วันนี้พี่จัดเบาๆก่อนไม่ได้ซ้อมมาพักนึงละ” พี่มาร์ทเอ่ยตอบรับสั้นๆ ขณะที่ฝ่ามือหนาจับดัมเบลไว้แน่นออกออกแรงยกงอศอกจนข้อพับแนบชิดลำตัวสลับข้างกันไปเรื่อยๆจนผมนับได้ห้ารอบ เอ๊ะ แล้วผมรู้ได้ไงหว่า? ว่านับไปเท่าไหร่กัน เดี่ยวนะ...ตะกี้พี่มาร์ทบอกว่าเท่าไหร่นะครับ?
                    “10 โล!!!” ถึงกับร้องเสียงหลง ขนาดถุงข้าว 5 โลยกมือเดียวยังไม่ขึ้นเลย คิดแล้วอนาจใจได้แต่ก้มมองท่อนแขนของตัวเอง
                    “สนใจเหรอ? สำหรับแมค ลองสัก 3 กิโลก่อนดีกว่ามั้งครับ พี่ว่านะ”
                    “เห็นด้วยครับ แต่วันนี้ไว้ก่อนละกัน” ผมบอกเริ่มหายใจหอบถี่ เพราะปั่นไปร่วมห้านาทีจนครบรอบเครื่องส่งสัญญาณเตือนตามที่ได้ตั้งไว้ “ผมยังมีลู่วิ่งไฟฟ้าอีกอันอะ”
                    “อืม เสร็จแล้วนั่งพักรอพี่ละกันนะ พี่ขอไปซ้อมตรงเครื่อง Strength ก่อน” ผมพยักหน้ารับคำ ขณะที่พี่มาร์ทเองก็เดินไปยังเครื่องรูปร่างเหมือนที่จับโยกสองแขนอะไรสักอย่างและมีเบาะนั่งตรงกลาง ดูแล้วท่าจะหนักไม่เบาเพราะด้านหลังมีแท่งเหล็กวางเป็นชั้นเลย ส่วนผมก็เดินไปยังลู่วิ่งไฟฟ้าที่วางอยู่ใกล้ๆกัน


          แผงอกล่ำได้รูปภายใต้เสื้อคอวีแขนกุดสีเทาแนบลำตัวขยับขึ้นลงช้าๆเป็นจังหวะตามการหายใจเข้าออกของเจ้าของร่างสูง ไหล่กว้างค่อยๆกางออกและหุบเข้าตามวงรอบของการโยกแท่นจับจนเห็นกล้ามเนื้อแน่นช่วงแขนและหลังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตรงต้นแขนแกร่งที่มองเห็นมัดกล้ามเนื้อสวยรับกับลำคอและแผ่นหลังกว้างชวนสัมผัสจนอยากเอาหน้าไปซบคลายความเหนื่อยล้าเสียจริง นี่ถ้าพี่มาร์ทจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า คงได้เห็นวิวเชิญชวนกว่านี้แน่ๆ พูดละอยากกัดริมฝีปากระงับความอยากยามได้มองกล้ามเนื้อสวยได้รูปตรงช่วงท้องของพี่มาร์ท ตอนกำลังซิทอัพโชว์ซิกแพ็กซะจริงๆ

                    “เฮ้ย!”
                    “คุณแมคระวังด้วยครับ”
                    "อุ๊บส์" ผมกระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วปล่อยขาลงในท่ากางออกด้านข้าง ก่อนที่เทรนส์เนอร์หนุ่มจะกดหยุดเครื่องกระทันหัน “ขอโทษครับ คุณบอม” ผมยิ้มรับแห้งๆให้กับเทรนส์เนอร์หนุ่มอารมณ์ดีที่คว้าผมเอาไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะไถลลื่นหน้าขะมำไหลไปตามพื้นลู่วิ่งกองท่าทุเรศกับพื้น
                    “ต่อไหวไหมครับ อีก 3 นาทีก็ได้พักละ”
                    “ไหวครับไหว ตะกี้ผมเผลอคิดเรื่องอื่นเพลินไปหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นไรละครับ ขอบคุณคุณบอมนะครับที่ช่วยตะกี้”
                    “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้ามีอะไรเรียกนะครับ ผมขอไปดูลูกค้าท่านอื่นก่อน” ผมพยักหน้ารับ “ถ้าครบเวลาแล้ว คอร์สวันนี้สำหรับคุณแมคก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”


          ผมพยักหน้ารับรอปั่นจนครบเวลาแล้วจึงเดินไปยังเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อน เปิดฝาขวดน้ำออกยกขึ้นกรอกปากปล่อยให้น้ำไหลเปรอะลงมาตามคางแบบไม่คิดจะเช็ด พร้อมกับคว้าขนหนูสีขาวเนื้อละเอียดขึ้นมายีหัวอย่างไม่ไหวจะเคลียร์กับสภาพน่าอนาจของตัวเองในวันนี้มากๆ คิดแล้วก็น่าถอนหายใจ คนแมนๆอย่างผมต้องมาจิ้นเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างหุ่นผู้ชายล่ำๆจนเกือบทำตัวเองบาดเจ็บนี่นะ? คนที่เคยบอกว่าชอบได้ทั้งหญิงชายเป็นไบโอเช็กส์ชัวอย่างผมกำลังล้ำเส้นความเป็นกลางอยู่รึเปล่า? หรือผมกำลังจะกลายเป็นเกย์เต็มตัว ไม่มีทางเด็ดขาด แค่เสียความบริสุทธ์ไปครั้งสองครั้งทำเอาผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิวะ ไม่ใช่และไม่มีทางจะเป็นไปได้ด้วย

                    "โธ่เว้ย!"
                    "เกือบโดนพี่นะแมค" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นติดอารมณ์ค่อนข้างไม่พอใจ เพราะผมปาขวดน้ำเกือบไปโดนเขาอย่างจัง โชคดีที่รับไว้ได้ "เมื่อกี้เป็นอะไรมากเหรอเปล่า?"
                    "ไม่ครับ ปกติ" ผมตอบพร้อมกับดึงผ้าขนหนูที่คลุมหัวออกเผยให้เห็นใบหน้าหงุดหงิด
                    "ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แค่พลาดเล็กน้อยไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก" พี่มาร์ทว่ายื่นมือมายีหัวผมเล่น แต่ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองมากขึ้นเท่านั้น แต่จะโทษอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ไม่ถูก ในเมื่อคนก่อเรื่องก็คือตัวผมเอง "ไปอาบน้ำกันเถอะ"
                    "เสร็จแล้วไปไหนต่อเหรอเปล่าครับ"
                    "พี่ว่าจะพาแมคไปยิงปืน" ผมถึงกับเบ้หน้า แต่พี่มาร์ทกลับหลุดขำ "มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกน่า ฝึกไปเรื่อยๆเดี่ยวก็เก่งเอง"
                    "กว่าจะเก่ง ผมคงหูแตกตาย" ก่อนหน้านี้พี่มาร์ทเคยชวนผมไปสนามยิงปืนและให้ผมลองยิง แค่ครั้งแรกเสียงก็ดังสนั่นลั่นแก้วหูแถมยังยิงพลาดเป้าไปตั้งไกล ใครจะไปคิดละว่า ตอนยิงแรงอัดจะมากขนาดนี้ อุตส่าห์เก็กท่าหล่อตามหนังแต่ยิงไม่ถูก มันน่าขายหน้าสุดๆ "อีกอย่างลูกปืนก็แพง กว่าจะยิงเก่ง ผมคงต้องไปทำพาร์ทไทม์ 7-11 เก็บเงินมาจ่ายพี่"
                    "หึๆ โอเค ถ้าไม่ชอบปืน แมคอยากเล่นอะไร"
                    "ผมอยากยิงธนู จะทำเท่ห์แบบโรบินฮู๊ด" พูดแล้วก็หัวเราะ "ธนูน่าสนใจกว่าอีก เงียบกว่าด้วยครับ"
                    "แต่คันธนูไม่ได้หาง่าย ราคาสูง แถมสนามยังหาซ้อมยากกว่าปืนอีก"
                    "งั้นไม่เล่นละ กลับบ้านไปนอนดีกว่า" ผมบอกออกไปประจวบเหมาะกับมือถือสั่นในกระเป๋ากางเกงพอดี "อ้าวแม่ หวัดดีครับ"
                    (กลับมากินข้าวบ้านตอนเย็นไหม)
                    "กินๆ นี่ก็ว่าจะกลับละ" ผมตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่อยู่ๆเกิดจับข้อศอกผมไว้แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
                    (ออกกำลังกายเสร็จแล้วเหรอ?)
                    "ครับ"
                    (งั้นแค่นี้นะแมค)
                    "เดี่ยวแม่ๆ ถ้าแมคชวนรุ่นพี่ไปกินข้าวเย็นด้วยได้ไหม" ไม่รู้ทำไมผมถึงถามออกไปก็ไม่รู้ อ้าว เฮ้ย แล้วพี่มาร์ทเดินหนีไปไหนแล้วนี่?
                    (ทำไมจะไม่ได้ มากันกี่คน แม่จะได้หุงข้าวเผื่อ)
                    "คนเดียวครับ แต่ตัวโตคงจะกินเยอะ" ผมยิ้มกริ้มกรุ่มเมื่อจินตนาการภาพใครบางคนเติมข้าว
                    (อืม แม่วางนะไม่รู้ใครโทรเข้าโทรศัพท์บ้าน)
                    "ครับๆ" กดวางสายเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็วิ่งจั๊มอ้าวไปขวางทางประตูห้องน้ำที่กำลังจะถูกมือหนาผลักเข้าไป "เมื่อกี้จะพูดอะไรทำไมไม่พูดละครับ"
                    "ก็ไม่มีอะไรนี่" พี่มาร์ทเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับผลักผมออกให้พ้นทาง
                    "เดี่ยวสิครับ ตกลงพี่มาร์ทไปกินข้าวบ้านผมนะ"
                    "ไม่ไป" ผมถึงกับหวอไม่คิดว่าจะได้รับคำปฏิเสธ "แมคมีคนกินข้าวด้วยแล้ว พี่จะไปทำไม"
                    "ใครอะ? ไหนก่อนมาบอกสัญญาจะกินข้าวเย็นด้วยกันไงครับ? ผมอุตส่าห์บอกแม่ว่าให้ทำเผื่อแล้วด้วย" ไม่รู้ทำไมพี่มาร์ทเกิดเปลี่ยนใจก็ไม่รู้สิครับ สงสัยจะติดธุระสำคัญ "งั้นถ้าไม่กินบ้านผม พี่มาร์ทจะไปกินที่ไหน"
                    "ก็คงทำอะไรทานที่คอนโด แมคไม่ต้องใส่ใจพี่หรอก กลับบ้านไปกินข้าวแม่เถอะ"
                    "อ้าว ตกลงว่าพี่มาร์ทมีหรือไม่มีธุระกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว"
                    "ไม่มี" พี่มาร์ทเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับผลักผมออกให้พ้นทาง แต่ผมรั้งเขาไว้
                    "งั้นก็ไปกินข้าวบ้านผมสิครับ จะได้ไม่ต้องทำ นี่อุตส่าห์ชวนเลยนะนี่" ผมบอก "ขนาดเพื่อนผมยังไม่เคยชวนใครไปบ้านเลย" หรือชวนแล้วไม่มีใครไปหว่า เพราะบ้านผมอยู่แถบชานเมือง
                    "แล้วรุ่นพี่?"
                    "ก็พี่มาร์ทนั่นละ จะให้ผมไปชวนใครอีกเล่า เล่นกล้ามจนเบลอเหรอครับ ฮ่าๆ"
                    "แซวพี่เหรอ? มานี่เลย"
                    "อะไร ไม่ไป ไม่เข้า อ้าวเฮ้ย ถอดเสื้อออกทำไม"
                    "อาบน้ำ ฝากล็อกประตูให้ด้วย" ไม่พูดเปล่ายังเปิดน้ำจากฝักบัว พร้อมกับถอดกางเกงออกจนผมปิดตาแทบไม่ทัน เหลือบเห็นขนอ่อนที่ต้นขาขาวรำไรด้วย
                    "อาบไปคนเดียวเลย ผมจะไปอาบห้องข้างๆ"
                    "กลัวอะไรพี่เหรอครับ น้องแมค" มีท้าๆ งี้ต้องชนซะละ
                    "ผมนะเหรอกลัว? อาบก็อาบสิ แต่ต่างคนต่างอาบนะ" แค่อาบน้ำทั้งเสื้อผ้ากลัวอะไร?
                    "ไม่ถอดแล้วจะอาบสะอาดเหรอครับ?"
                    "เรื่องของผม" ตอบไปงั้น แต่สองเท้ากับสองแขนเตรียมผลักประตูออกในทันที จะอยู่ทำไมให้ซวยละครับจริงไหม?

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-04-2016 21:28:39
 :z1:    ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะยกให้พี่มาร์ทไปหมดแล้วอะดิน้องแมค

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 23-04-2016 22:37:22
น้องแมคผ่านด่านคุณแม่ไปได้แล้ววว ต่อไปก็เป็นพี่มาร์ทต้องไปผ่านด่านคุณแม่ของน้องแล้วค่ะ 5555 สู้ๆนะค้าา
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 24-04-2016 07:25:02
โถ่ หนูแมคสับสนตอนนี้น่ะไม่ทันแล้วนะ พี่มาร์ทพาไปดูตัวมาแล้วนะ พาด้วย!! :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 24-04-2016 10:52:25
ต้องร้องว่าน่ารักกี่ครั้งกันให้กลับเรื่องนี้
น่ารัก น่ารัก น่ารัก
 :-[
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 24-04-2016 11:09:45
ช่วง : Talk to Writer

Q : Janny >> แล้วตกลงเรื่องเวอร์จิ้นไม่เวอร์จิ้นนี่ยังไงค้าาา มองตาแล้วรู้ทันมุกกันเลยป่ะ ไม่ต้องพูด 55555555 แต่พี่มาร์ทนี่ดีนะคะ ได้น้องแล้วก็ดูแลดีถึงพี่มร์ทจะมีจุดประสงค์แอบแฝงว่าพอหายจะได้...ต่อก็ตาม มองเห็นอนาคตว่าน้องแมคได้มีคนดูแลตลอดชีวิตแล้วล่ะค่ะ  :mew3:
A : เวอร์จิ้นตอนที่พูดก็เป็นมุข แต่ก็สามารถตีความได้สองแง่ แล้วแต่คนอ่านจะตีความด้านไหนนะครับ สำหรับเรื่องมีคนดูแลตลอดชีวิตไหมนั้น ผมขอตอบว่า ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะครับ (ฮ่าๆ พี่มาร์ทหลบไป พระเอกแมคมาแล้วกับโมเม้นต์นี้) เอาเป็นว่าตอนนี้ก็ดูแลกันและกันอยู่ครับ

Q : ❣☾月亮☽❣ >> ละมุนมาก ยินดีกับแมคด้วยนะเจอคนรักจริง
A : ขอบคุณครับ ละมุนและนุ่มนวลอยู่ตลอดละครับ เอ๊ะ ยังไง?

Q : lnudeel >> เกือบได้โดนจนท้อง(?)และหนูแมค :hao7:
A : นี่ก็แซวแรงไปนิ๊ดนะครับ เบากว่านี้หน่อยจะดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ

Q : Ferin1A >> ผ่านด่านคุณหญิงแม่แล้วววว :o18
Q : lnudeel >> โอ้วววว~~~ ฉลุยเลย :hao7: :hao7:
A : แค่ไปทานข้าวเฉยๆเองครับ อย่าใช้คำว่าผ่านด่านเลย ดูไม่ค่อยเข้ากับสถานการณชอบกล คุณหญิงแม่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร พูดด้วยเหตุผลท่านก็เข้าใจละครับ และที่สำคัญ...ผมก็ไม่ได้ไปในฐานะที่จะให้คุณหญิงแม่ต้องมากีดกันกับความสัมพันธ์ของลูกชายด้วยนะครับ ผมก็แค่น้องชาย?คนนึงของพี่มาร์ทเท่านั้นเอง

Q : ❣☾月亮☽❣ >> :katai2-1:   :mew1:  แมคสู้ๆนะ
A : ไฟต์โตะ!!

Q : ❣☾月亮☽❣ >>  :z1:    ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะยกให้พี่มาร์ทไปหมดแล้วอะดิน้องแมค ขอบคุณค่ะ
A : ยกให้ทำไมละครับ พี่มาร์ทต้องยกให้ผมต่างหากละ ฮ่าๆ

Q : Janny >> น้องแมคผ่านด่านคุณแม่ไปได้แล้ววว ต่อไปก็เป็นพี่มาร์ทต้องไปผ่านด่านคุณแม่ของน้องแล้วค่ะ 5555 สู้ๆนะค้าา
A : ไม่หรอกครับ พี่มาร์ทเองก็มาในฐานะพี่ชาย? เช่นเดียวกัน

Q : lnudeel >> โถ่ หนูแมคสับสนตอนนี้น่ะไม่ทันแล้วนะ พี่มาร์ทพาไปดูตัวมาแล้วนะ พาด้วย!! :hao7:
A : ไปไกลแล้วครับ กลับมาก่อน สินสอดยังไม่ได้เตรียมเลย เอ๊ะ ยังไง?

Q : Ferin1A >> ต้องร้องว่าน่ารักกี่ครั้งกันให้กลับเรื่องนี้ น่ารัก น่ารัก น่ารัก :-[
A : ไม่ต้องร้องบ่อยนะครับ เดี่ยวคอแห้ง เอาเป็นว่า แค่พูดว่า น่ารัก ทุกวัน วันละครั้งแบบพี่มาร์ทก็พอแล้วละครับ ปีนึงก็ได้ 365 คำละ ฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะครับ อ่านแล้วมีสีสันกับชีวิตดีจริง
แมค
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (1/2)] 23-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 24-04-2016 18:41:22
พี่มาร์ทขี้หึงขี้หวง5555
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 27-04-2016 22:21:03

Until You


ตอนที่ 12 (2/2)

          นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดก็ไม่รู้ครับที่เอ่ยปากชวนใครบางคนมากินข้าวบ้าน เพราะตั้งแต่ออกมาจากฟิตเน็ต พี่มาร์ทก็ถามถึงความชอบของครอบครัวผมว่า ใครชอบทานอะไรบ้าง พอผมบอกไปเขาก็พาผมตะลอนทัวร์แวะห้างสรรพสินค้า วนไปวนมานี่ก็ปาไปสี่ห้างละครับ ไม่รู้จะทุ่มเทอะไรนักหนากับแค่ของฝากนี่

                    "ปกติที่บ้านทานข้าวกี่โมง"
                    "5 ครึ่งบ้าง 6 โมงบ้าง"
                    "ยังพอมีเวลา งั้นพี่ไม่รีบขับละกัน" ร่างสูงเอ่ย "หิวก็หยิบอะไรมาแกะกินละกัน"
                    "ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่หิว" ผมตอบพลางหันหน้าออกนอกหน้าต่างมองวิวไปเรื่อย ขณะที่สมองกำลังคิดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ว่า ผมกำลังหาเรื่องให้ตัวเองอยู่รึเปล่าในเมื่อสถานะผมกับคนพาไปยังคลุมเครืออยู่เลย ไม่น่าพลาดบอกแม่ว่าจะพาพี่มาร์ทไปกินข้าวบ้านเลย ให้ตายเถอะครับ แล้วนี่จะแนะนำที่บ้านว่ายังไง ไม่ค่อยอยากโกหกครอบครัวเท่าไหร่เลย แต่ครั้นจะบอกว่า เป็นเพื่อนมันก็ดูไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าบอกรุ่นพี่ คงมีคนสงสัยเพิ่ม แล้วถ้าบอกความจริง บ้านแตกแน่ๆ แม้จะมีคนบอกว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ผมว่ากรณีนี้ความจริงเป็นสิ่งที่จะทำให้ผมตายได้แน่นอน ใครจะกล้าบอกว่า ผมกับพี่มาร์ทซัมติงกันไปแล้ว....เสร็จกันไปแล้ว.... คิดแล้วเครียดหนักกว่าเดิมอีกกู ผมแม่งยอมได้ไงวะวันนั้นอะ มีอะไรกับเพศเดียวกันแถมยังเผลอมองหุ่นพี่มาร์ทอีก ผมเป็นเกย์ไปแล้วปะนี่ ไม่น้า!
                    "ยีหัวทำไมละนั่น?"
                    "พี่มาร์ทครับ ผมมีอะไรจะบอก แต่ก็ไม่แน่ใจนักอะนะ" พี่มาร์ทหันมาพยักหน้าเพียงครู่ก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อ "สงสัยว่าผมจะชอบผู้ชายอะครับ"
                    "หืม?" เบรคทีเกือบหน้าทิ่ม แล้วนี่จะเบรคอะไรตั้งไกล ไฟแดงอยู่ตั้งโน่น "แมคพูดอะไร พี่ไม่เข้าใจ"
                    "ก็ความหมายตรงตัวไง พี่มาร์ทว่าผมเป็นเกย์ปะ"
                    "อะไรที่คิดว่าเป็น"
                    "ผมมีความรู้สึกกับหุ่นผู้ชายด้วยกันอะสิ อย่าให้เล่าเลยครับ เครียด" อนาจจิตขั้นสุดยอด มีบอดี้เหมือนกันแท้ๆแต่ดันชอบเข้าไปได้
                    "ห๊ะ!" คราวนี้พี่มาร์ทถึงกับร้องออกมาในทันที "ใคร? ที่ไหน? ตอนไหน? บอกพี่มา"
                    "ที่ฟิตเน็ตเมื่อกี้ไงครับ" พูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
                    "ใคร?" พี่มาร์ทเอ่ยถามเสียงเข้ม "คนไหน? เทรนเนอร์นั่นใช่ไหม"
                    "ตลกละ รู้จักกันไม่ถึงเดือนจะชอบได้ไง อีกอย่างผมไม่ได้ชอบกล้ามหนาหุ่นล่ำพวกนั้นหรอก ใหญ่เกิน เกิดวันดีคืนดีโกรธผมขึ้นมาทุบหัวเบะ ตายกันพอดี ยังไม่ได้ทำประกันชีวิตเลย"
                    "แล้วตกลงใคร?"
                    "อ่า...ไม่มีไรหรอก ช่างมันเถอะครับ" ผมบอก จะให้พูดได้ไงว่าผมรู้สึกอะไรยังไงกับเขา อายตายห่า
                    "แมค...บอกมา" แล้วนี่จะลากเสียงยาวเรียกชื่อผมอีกนานไหม
                    "ก็พี่มาร์ทนั่นละ ไม่ต้องถามแล้ว ขับรถไปเลย"
                    "ห๊ะ!" นี่ก็ตกใจหลายรอบจังนะครับวันนี้ อุทานเสียงแปลกออกมาไม่พอยังจะหัวเราะผมอีก "หึๆ พี่เข้าใจละครับ ไม่ต้องอธิบายก็ได้ หึๆ"
                    "เข้าใจอะไรครับ ผมงง"
                    "แบบนี้ไม่เรียกชอบผู้ชายหรอกครับ เรียกแมคชอบพี่คนเดียวต่างหาก ทำตัวน่ารักอีกแล้วนะ" พี่มาร์ทยิ้มหวานส่งให้ซะงั้นเลย แยกเขี้ยวใส่ยังไม่หยุดอีกนะ "ก็แมคน่ารักจริงๆนี่ครับ"
                    "อะนะ" ชมแบบนี้อย่าคิดเลยว่าจะเห็นท่าผมเขิน บอกเลยว่ายาก เพราะมันชินซะละ "พี่มาร์ทๆ เรามาเตี๊ยมคำพูดกันหน่อยไหมครับ" ผมบอกออกไป แต่คนข้างกายกลับขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย "ก็เรื่องของเราไงครับ เผื่อที่บ้านผมถาม"
                    "เรื่องของเราสินะ หึๆ"
                    "พี่มาร์ทอะ ผมซีเรียสนะครับเรื่องนี้นะ ตอบมั่วๆก็โดนสงสัยเอาสิ"
                    "จะเครียดไปทำไม เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ใครถามก็ตอบความจริงไปสิครับ ไม่เห็นต้องโกหกอะไรเลย"
                    "ความจริงจะทำผมซวยนะสิ"
                    "คิดมาก"
                    "ไม่รู้ละ มาช่วยกันคิดก่อนเลย รถติดๆอยู่" ผมว่าหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาจด "พี่มาร์ทแนะนำตัวได้ตามปกติ ผ่าน ข้อต่อไป เรื่องอายุ พี่มาร์ทดูจะแก่กว่าผมงั้นก็เป็นรุ่นพี่ แล้วถ้าเป็นรุ่นพี่ เราจะรู้จักกันได้ไงครับ เรียนคณะเดียวกันเหรอ อืม...ไม่เหมาะชอบกล เกิดไมซ์ถามไอที พี่มาร์ทตอบไม่ได้แย่เลย"
                    "รู้จักกันที่งานอีเว็นต์ไหม? แมคชอบไปบ่อยๆไม่ใช่เหรอ"
                    "ความคิดดี งั้นเจอกันที่งานสัมมนาก็ได้ครับ แล้วสนิทกันได้ไงอะ" จะบอกว่าไปเข้าค่ายต่างจังหวัดทำกิจกรรมฝ่าฐานกิจกรรมด้วยกันเหมือนที่ผมเคยไปก็ดูไม่เหมาะกับท่าทางของพี่มาร์ทเลย เอาอันไหนดีหว่า? คิดๆ
                    "พอละ เลิกคิดๆ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดละครับ มาช่วยพี่ดูทางดีกว่า แยกหน้ามีทางลัดเข้าซอยไปหรือจะวิ่งถนนใหญ่เหมือนเดิมดี"




          นี่คงเป็นครั้งที่สองแล้วที่พี่มาร์ทมาเยี่ยมเยียนบ้านผม แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกก็ตรงที่ในบ้านตอนนี้มีสมาชิกอยู่กันครบเลยนะสิครับ พูดแล้วก็อดหนักใจในชะตาต่อจากนี้ไม่ได้

                    "สวัสดีครับคุณพ่อ" อะหืม พ่อได้เต็มปากเต็มคำจนผมแอบสั่นในใจไม่ได้
                    "อ้าวมาแล้วเหรอ สวัสดีๆ" พ่อของผมยกมือรับไหว้ วางหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ไว้บนโต๊ะตัวใกล้ๆ ลุกขึ้นมารับของฝากเต็มไม้เต็มมือที่พี่มาร์ทพร้อมจะส่งให้ด้วยรอยยิ้มทุกเมื่อ
                    "เห็นแมคบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ชอบทาน เลยซื้อมาฝากครับ" พี่มาร์ทว่าอย่างเอาใจ ผมรู้ได้ไงเหรอครับก็น้ำเสียงกับท่าทางมันบอกชัดเจนซะขนาดนี้ "คุณแม่ สวัสดีครับ"
                    "คราวหลังไม่ต้องซื้อมาเยอะแยะนะ แม่เกรงใจ เข้าบ้านมาลูก"
                    "นี่พี่มาร์ทครับคนที่เคยเล่าให้ฟังไงแม่ แล้วไมซ์ไปไหนอะ" แนะนำตามมารยาทเสร็จสรรพ ผมก็เบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินเข้าไปวางของในบ้าน
                    "น่าจะทำคอมอยู่ในห้อง เดี่ยวแม่ตามให้ ใกล้จะได้เวลาทานข้าวพอดี" แม่หันมาพูดกับผมเพียงครู่ ก่อนจะตะโกนเสียงดังออกไปว่า "ไมซ์ เอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟแขกหน่อย ตั้งโต๊ะกับข้าวด้วย"
                    "เดี่ยวแมคตั้งโต๊ะเองก็ได้ แม่ทำไรกินบ้างอะ"
                    "เยอะแยะ พ่อก็กลัวไม่พอกินตะกี้ออกไปซื้อไก่ย่างสุพรรณมาอีกตัว"
                    "แมคนะเหลือเฟือ แต่พี่มาร์ทไม่แน่" ว่าแล้วก็หัวเราะสักหน่อย "อันนี้แกงจืดเต้าหู้หมูสับใส่สาหร่ายจีนส่วนนี่ผัดบล็อกโครี่ใส่กุ้ง ปลาทูราดพริก ไข่ตุ๋นสูตรอาม่า แกงเลียง และผัดหอยลายน้ำพริกเผาจากตลาดแถวบ้าน ทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก อร่อยทุกอย่างของบอก"
                    "ไปแซวพี่เขา มาๆกินข้าวกัน ไมซ์ตักข้าวสิ"
                    "อ้อ ลืมแนะนำ นี่ไมซ์ น้องชายของผมครับ" บอกเสร็จสรรพเจ้าของชื่อก็ยกมือไหว้อย่างงาม พี่มาร์ทเองจึงต้องยกมือรับไหว้กลับ
                    "กินช้าๆสิคุณ" แม่เอ็ดเสียงดังแต่ไม่จริงจังมากนัก เพราะพ่อชอบเคี้ยวข้าวไม่ละเอียด ไม่กี่นาทีหมดไปครึ่งจานแล้ว
                    "แหม ก็กับข้าวอร่อยนี่จ๊ะ แม่"
                    "พ่อๆ มิลานเมื่อคืนเป็นไง" นี่มาละครับประเด็นฟุตบอลคุ่เด็ด ขาดไม่ได้เลยกีฬากับน้องชายของผม
                    "1 – 0 กว่าจะยิงได้จะหมดเวลาอยู่ละ สูญสีๆ" พ่อผมตอบไปกินข้าวไป "หนังเมื่อกี้ถึงไหนละ เล่าต่อๆ"
                    "เอ้า พ่อไปตอนไหนอะ ดูถึงไหนละ?"
                    "หนังไร?" ผมถามบ้าง
                    "กิบส์ไง กิบส์" ไมซ์หันมาตอบ ก่อนจะหันไปมองพ่อบ้าง "ถึงตอนดั๊กกี้ผ่าศพยัง?"
                    "น่าจะยัง พ่อดูถึงตอนมีศพในสวน" 
                    "ตักข้าวเพิ่มให้พี่เขาหน่อยสิ แมค" ผมพยักหน้ารับเปิดหม้อคดข้าวตักใส่จานเป็นรอบที่สามของมื้อนี้ อะไรจะกินแก่งขนาดนั้น
                    "อิ่มยังอะ ข้าวจะหมดหม้อแล้ว" ผมเอ่ยแซว
                    "ก็คุณแม่ทำกับข้าวอร่อยนี่" พี่มาร์ทพูดขึ้นพร้อมตักผัดผักมาใส่จาน
                    "ชอบก็ทานเยอะๆเลย แม่มีอีกเยอะ" พี่มาร์ทยิ้มรับและหันไปตักแกงจืดเต้าหู้ใส่จานของแม่ผมบ้าง
                    "พ่อๆ รีโมทอะ"

          สุดท้ายแล้วช่วงรับประทานอาหารเย็นก็ไม่มีใครเอ่ยถามเรื่องพี่มาร์ทสักคนในวงสนทนาเลย มีแต่เสียงหัวเราะของทุกคนในบ้านมากกว่าจะเป็นเสียงยิงคำถามตามที่ผมคาดการณ์เอาไว้ ดูท่าว่าภาพยนตร์ต่างประเทศในจอทีวีที่ดูอยู่นี่ช่วยชีวิตผมเอาไว้เลย

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 27-04-2016 23:31:59
ความรักแบบค่อยเป็นค่อยไปเนอะ
น้องแมคหลงรักพี่มาร์ทเต็มตัวแล้วค่ะ55
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 27-04-2016 23:52:45
 :z1:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 02-05-2016 09:49:50
คิดถึงแมคจังเลยค่ะ
เคยติดตามเรื่อง the revenge project
ที่แมคเคยลงใน เด็กดี
ตอนเห็นชื่อผู้แต่งนี่แทบหุบยิ้มไม่ได้แน่ะ
คิดในใจว่าดีจังที่แมคมาลงที่เพจนี้ (เพราะเราเข้าเพจนี้บ่อยกว่า อิอิ)
ยินดีต้อนรับนะคะ
เรื่องนี้เาจะติดขอบเช่นเดิมค่ะ
ปล.1 คงจำกันได้เนอะ กับ A nice day
ปล.2 พี่มาร์ทน่ารักนะคะ ^^
ปล.3 จะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-05-2016 10:14:02
 :L1:   
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 12 (2/2)] 27-04-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 02-05-2016 15:07:02
พี่มาร์ทคะ กลมกลืนมากประหนึ่งอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ เอ๊ะ หรือความจริงทุกคนเมินพี่มาร์ท 55555555 แต่น้องแมคสบายใจก็ดีค่ะ ถ้ามีใครถามเราว่าพี่มาร์ทจะตอบไปตามตรงว่าผมได้น้องแล้วครับ มากกว่าจะบอกว่าเป็นคนที่เจอกันที่งานสัมนานะคะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 02-05-2016 21:00:43

Until You


ตอนที่ 13 (1/2)

          เป็นธรรมเนียมของบริษัทเอกชนน้อยใหญ่รวมไปถึงข้าราชการและรัฐวิสาหกิจที่โดยปกติแล้วจะต้องมีการจัดอบรมสัมมนาเพื่อกระชับมิตรภาพของคนภายในองค์กรเฉลี่ยปีละประมาณสองครั้งและงานเลี้ยงปีใหม่อีกหนึ่งครั้งทุกปี ซึ่งงานเลี้ยงปีใหม่นี้ บางบริษัทเป็นองค์กรขนาดเล็กงบประมาณมีจำกัดก็จะจัดเพียงเลี้ยงสรรสสรค์กันที่ร้านอาหาร โดยอาจจะจัดหลังหรือก่อนปีใหม่นั่นก็ตามแต่สะดวก แต่สำหรับหน่วยงานเอกชนขนาดใหญ่ที่มีพนักงานหลักร้อยหลักพันคนอย่างบริษัทของพี่มาร์ท เขาก็จัดงานอย่างยิ่งใหญ่โดยมีนโยบายพาพนักงานไปพักผ่อนหย่อนใจกันที่พัทยาสามวันสองคืน พร้อมครอบครัว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นคือ ผมเป็นอะไรกับพี่มาร์ทกันนะครับ ถึงพาไปด้วยได้ หา?...
          ดังนั้นผมจึงนั่งเท้าคางพลางมองนาฬิกาข้อมือด้วยอาการจับเจ่ารอพี่มาร์ทมารับในบ่ายแก่ๆของวันศุกร์วันหนึ่งที่มหาวิทยาลัย พร้อมกระดกโอวันตินปั่นหมดไปเป็นแก้วที่สองของวัน หลังจากนั่งรอไปได้สองชั่วโมงเต็ม เพราะมีเรียนแค่ช่วงเช้า

                    "สวัสดีค่ะ คุณแมคใช่ไหมค่ะ" ผมถีงกับสะดุ้ง รีบวางแก้วน้ำและหยิบหลอดที่กำลังเป่าฟองฟู่ในแก้วออกจากปาก แต่พอหันมาถึงกับตกใจกว่าเดิม เพราะเจอสาวหน้าตาดีผมยาวเป็นลอนดัดปลายในชุดเดรสกระโปรงบานสีเทาอ่อนแซมลายก้อนเมฆสีขาวบนผืนผ้าโดยมีเสื้อสูทสีขาวโทนเดียวกันสวมทับแขนกุดเอาไว้ อยากบอกว่าเป็นสาวใหญ่ที่แต่งตัวดูดีมากเลยครับ "ดิฉันชื่อ ชาลิสา เป็นเลขาของคุณภิมุขนะค่ะ จำได้ไหมค่ะ ที่เราเคยคุยสายกันก่อนหน้านี้นะค่ะ"
                    "อ๊ะ... สวัสดีครับ" ผมรีบลุกขึ้นยืนยกมือไหว้อย่างงามตามแบบผู้ดีไทย เคยแต่โทรเข้าบริษัทพี่มาร์ทบ้างบางทีแต่ก็ไม่เคยคิดว่าเลขาของพี่มาร์ทจะดูสวยกว่าที่คิด
                    "อุ๊ย ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ ไม่แก่ขนาดนั้น" เธอยิ้มหวานให้ "ไปกันเลยไหมค่ะ บอสรออยู่ที่รถติดสายสำคัญไม่สะดวกลงมานะค่ะ เลยให้ดิฉันมารับแทน" พอผมบอกไม่เป็นไร เธอก็เดินนำผมไปยังรถตู้ Mercedenz Benz Vito สีดำมันวาว ที่จอดรออยู่
                    "ขอโทษที พี่ติดงานที่ออฟฟิคนะ" พี่มาร์ทว่าพร้อมกับกดวางสายวางมือถือไว้ข้างลำตัว
                    "อะครับ ไม่เป็นไร" บอกพร้อมกับถอดกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าไว้ข้างตัว ขณะที่ผู้เริ่มเดินทางอีกคนก้าวขึ้นมานั่งเบาะด้านหลัง ก่อนจะพูดต่อว่า "ผมนึกว่าพี่มาร์ทให้พนักงานหยุดวันนี้ซะอีก" ผมเอ่ยถามขึ้นด้วยเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้พี่มาร์ทบอกผมว่า อนุญาตให้หยุดงานหนึ่งวันเพื่อไปพักผ่อน รวมเสาร์อาทิตย์ ก็ 3 วัน 2 คืนพอดิบพอดีครับ แต่จะมีบางส่วนที่ต้องอยู่เฝ้าออฟฟิค ก็คล้ายๆกับเข้าเวรละครับ ซึ่งน่าจะได้ค่าล่วงเวลาเพิ่มด้วย
                    "ใช่ แต่เมื่อเช้าพี่ว่าง พี่ก็เลยไปสะสางวางแผนงานล่วงหน้าไว้ก่อน วันจันทร์จะได้ไม่ยุ่งมาก"
                    "อ้อ...ครับ"
                    "ขออนุญาตออกรถนะครับ" เสียงคนขับรถดังขึ้นขัด ทำให้พี่มาร์ทต้องพยักหน้ารับทราบตามระเบียบ
                    "นี่คุณชาลิสา แมครู้จักแล้วใช่ไหม" ผมพยักหน้ารับ พี่มาร์ทจึงหันหลังไปยิ้มให้คุณเลขาสาวพร้อมกับพูดว่า "นี่ละ น้องชายที่ผมเล่าให้ฟังบ่อยๆ เจอตัวจริงแล้วเป็นยังไงบ้าง"
                    "น่ารักอย่างที่บอสบอกเลยค่ะ" พูดแล้วก็มีอมยิ้ม "อุ๊ย อย่างเพิ่งโมโหนะค่ะคุณแมค ดิฉันหมายถึงท่าทางการแสดงออกน่ะค่ะ เมื่อกี้คุณแมคยกมือไหว้ด้วยค่ะบอส สา ตกใจแทบแย่ กลัวหน้าแก่เกินวัยเกิน"
                    "เป็นปกติของแมคนะครับ นี่ถ้ากราบได้กราบไปละ"
                    "พี่มาร์ทเวอร์เกิน พอเลย" ถ้าไม่หยุดแซวผมจะเมินละนะ "แล้วเราไปพักโรงแรมไหนกันอะครับ?" พี่มาร์ทไม่ตอบคำถามแต่บอกอยากให้ผมเองกับตา ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ยอมอดทนรอดูผลงานการคัดสรรของผู้บริหารใหญ่ขี้เก็กข้างๆผมนี่อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าให้เดาผมก็พอมีอยู่ในใจบ้างละ เพราะว่าโรงแรมระดับ 3-4 ดาวที่สามารถรองรับคนได้เป็นร้อยๆมีเพียงไม่กี่แห่งในพัทยาหรอกครับ

          ทว่า...พอไปถึงกลับเป็นผมเองที่รู้สึกว่าคิดผิดถนัด ด้วยไม่คิดว่าข้อมูลที่ผมอุตส่าห์เตรียมหามากลับใช้ไม่ได้เลย เพราะชื่อโรงแรมตรงหน้าผมนี่ไม่มีอยู่ในรายการที่จดมา โรงแรมนี่ตกสำรวจของผมไปได้ไงกัน? ประตูรั้วอัลลอยบานใหญ่เปิดออกกว้างเพื่อให้รถตู้คนที่ผมนั่งอยู่ผ่านเข้าไป พนักงานรักษาความปลอดภัยในชุดเครื่องแบบสีขาวสวมหมวกเอ่ยต้อนรับเมื่อคนขับรถแจ้งชื่อของพี่มาร์ทและงานสัมมนาออกไป
          เบื้องหน้าของผมคือลานคอนกรีตกว้างขีดเส้นแดงแบ่งช่องเลนจอดรถได้ฝั่งละสิบคันหันหน้าเข้าหากันสองแถว ด้านซ้ายมือเป็นอาคารสูงสไตล์โคโลเนียนกึ่งโมเดิร์นหกชั้นตั้งเรียงกันขนาบข้างสามตึกและอาคารสไตล์เดียวกันสองชั้นอยู่เยื้องกันไปทางด้านข้างของตึกตรงกล้างคล้ายรูปตัวทีในภาษาอังกฤษพร้อมสวนสวยและสระว่ายน้ำพร้อมน้ำตกทางด้านหลัง ซึ่งคุณชาลิสาแอบกระซิบมาว่าอยากพาผมไปชมมากๆหากผมยินดีให้เธอพาทัวร์ ทั้งยังบอกอีกว่าเธอเคยมากับสามีแล้วยังปราบปลื้มกับโรงแรมนี้ไม่หาย จึงแนะนำที่นี่ให้พี่มาร์ทได้รู้จัก

                    "ให้ขนกระเป๋าไปไว้ที่ล็อบบี้เลยไหมครับ" คนขับรถเอ่ยถามอย่างใจดี เมื่อดับเครื่องยนต์
                    "ไม่ต้องค่ะลุงชาติ สาโทรบอกรีเซพชั่นของที่นี่แล้วค่ะ เดี่ยวส่งบอสกับคุณแมคเสร็จ ลุงแดงขับรถไปจอดใต้อาคาร A ตรงนั้นนะค่ะ เห็นไหมค่ะ สาให้เขาสำรองที่ไว้ให้แล้วค่ะ พวกสัมภาระเดี่ยวทางนั้นจัดการให้เองค่ะลุง"
                    "ดีเลย จะได้ไม่ต้องจอดรถตากแดด"
                    "บอสจะลงไปเดินเล่นก่อนไหมค่ะ หรือจะรอที่รถก่อน สาจะไปเอากุญแจห้องให้ค่ะ"
                    "ผมรอ..." / "พี่มาร์ทไปเดินเล่นกัน ผมอยากถ่ายรูป อุ๊บ...ขอโทษครับ"
                    "ตกลงว่าจะเดินไปเองใช่ไหมค่ะ" เธอยิ้มสวยส่งให้ ส่วนผมก็หน้าหุบเหลือสองนิ้ว เพราะดันพูดตัดหน้าบอสใหญ่ที่สุดในรถอย่างลืมตัว แต่เหมือนพี่มาร์ทจะพยักหน้าไม่ถือสาหาความอะไรกลับยีหัวผมและเปิดประตูลงไปยืนรอด้านล่าง "ล็อบบี้อยู่ตรงอาคารข้างหน้านั่นนะค่ะคุณแมค ส่วนสระว่ายน้ำกับสวนเดินเลยไปจนถึงอาคารสุดท้ายเลยค่ะ อยู่ขวามือ ไกลหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มค่ะ"
                    "ครับ"
                    "ถ้าได้เลขห้องแล้ว สาจะเมล์ไปบอกนะค่ะบอส พักผ่อนตามสบายเลยค่ะ"
                    "อืม ขอบใจมาก" พี่มาร์ทพูดขึ้นเบี่ยงตัวหลบให้คุณเลขาสาวเดินผ่านไปก่อนแล้วจึงหันมาพูดกับผมว่า "เชิญครับคุณน้องชาย หึๆ"
                    "พี่มาร์ท! ล้อเลียนผมเหรอ" น่าเอาฟันกัดซะจริง แต่น่าเสียดายผมเป็นคน ทำไปคงไม่เหมาะ จึงได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดไปตามทางที่ได้ยินมา เดินไปหลายก้าวเหมือนกันครับกว่าใครจะบางคนจะเดินตามมาทัน
                    "ไม่รอพี่บ้างเหรอ?"
                    "ขายาวก็น่าจะเดินไวไม่ใช่เหรอครับ" ผมหันไปตอบยกกล้องคอมแพคที่คล้องแขนไว้ขึ้นมาเก็บภาพตามทางไว้เป็นที่ระลึก พลางกดเช็ครูปที่ถ่ายไปแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ภาพต้นไม้ดัดรูปกระต่ายนี่เบลอแฮะ ลบทิ้งแล้วกลับไปถ่ายใหม่ดีกว่า
                    "แมคระวัง!" ถึงกับหยุดกึกก้มมองพื้นคอนกรีต ไม่เห็นจะมีอะไรเลย พื้นก็เท่ากันไม่เห็นจะต่างระดับตรงไหน พี่มาร์ทเมารถสายตาเพี้ยนปะ แต่...เฮ้ย!! "เบาๆสิครับ เดี่ยวชาวต่างชาติกลุ่มนั้นก็ตกใจหมดหรอก" นั่นมันไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นมันอยู่ที่แก้มผมโดนล่วงละเมิดอีกแล้ว 
                    "ไหนเราตกลงกันแล้วไงว่า ถ้าอยู่ในที่สาธารณะพี่มาร์ทต้องขออนุญาตผม ทำแบบนี้ได้ไงกัน"
                    "ไหนๆก็ไหนๆละ อีกข้างละกัน ...ฟอด...ขออนุญาตครับ" ดูทำเข้า?ยังมีหน้ามายิ้มกริ่มอีก ไม่ต้องไปดูมันละสระว่ายน้ำอลังการงานสร้างนั่น กลับลูกเดียวครับ ล็อบบี้อยู่ตึกไหนนะ ผมจะนอนยันเย็นเลย หมดอารมณ์
                    "เดี่ยวสิแมค จะรีบไปไหน"

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 02-05-2016 22:07:45
ที่พี่มาร์ทบอกให้ระวังอะ ระวังสะดุดมดใช่มั้ย หวานเน๊อะ :hao7: :mew3: :mew1:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 03-05-2016 20:42:23
ช่วง : Talk to Writer

Q : MaRiTt_TCL >> พี่มาร์ทขี้หึงขี้หวง5555
A : เป็นปกติครับเรื่องนี้ แต่พี่เขาไม่ค่อยแสดงออกชัดเจนหรอกครับ สังเกตยากนิ๊ดนึง (^_^)

Q : NuNam >>  :z1:
A : น้ำลายยืดเปรอะจอแล้วครับ ฮ่าๆ

Q : klaew >> คิดถึงแมคจังเลยค่ะ
เคยติดตามเรื่อง the revenge project
ที่แมคเคยลงใน เด็กดี
ตอนเห็นชื่อผู้แต่งนี่แทบหุบยิ้มไม่ได้แน่ะ
คิดในใจว่าดีจังที่แมคมาลงที่เพจนี้ (เพราะเราเข้าเพจนี้บ่อยกว่า อิอิ)
ยินดีต้อนรับนะคะ
เรื่องนี้เาจะติดขอบเช่นเดิมค่ะ
ปล.1 คงจำกันได้เนอะ กับ A nice day
ปล.2 พี่มาร์ทน่ารักนะคะ ^^
ปล.3 จะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
A : โอ้ว สวัสดีครับ คิดถึงเหมือนกัน แฟนคลับยุคดั้งเดิมแต่วัยยังเอ๊าะ ฮ่าๆ เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับที่เคยลงในเด็กดีนะครับ แต่ผมมีรีไรต์ใหม่ ทั้งเนื้อหา ฉาก ตัวละคร ให้เข้มข้นและเข้าถึงอารมณ์ยิ่งขึ้นประหนึ่งดู นิยาย HD กร๊ากกก ฝากผลงานชิ้นนี้ด้วยนะครับ ยืนยันว่าเนื้อหาหลักยังคงเดิมครับ แต่มีการเพิ่มบางส่วนให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น หวังว่าจะถูกใจนะครับ ขอบคุณครับผม ปล. ขอแก้หน่อยครับ สำหรับ ปล.2 ข้อนี้ผมน่ารักกว่าพี่มาร์ทครับ ฮ่าๆ

Q : ❣☾月亮☽❣ >> :L1:   
A : ขอบคุณสำหรับดอกไม้ ฟรุ้งฟรุิ้งมากๆ

Q : Janny >> พี่มาร์ทคะ กลมกลืนมากประหนึ่งอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ เอ๊ะ หรือความจริงทุกคนเมินพี่มาร์ท 55555555 แต่น้องแมคสบายใจก็ดีค่ะ ถ้ามีใครถามเราว่าพี่มาร์ทจะตอบไปตามตรงว่าผมได้น้องแล้วครับ มากกว่าจะบอกว่าเป็นคนที่เจอกันที่งานสัมนานะคะ  :mew3:
A : ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ

Q : lnudeel >> ที่พี่มาร์ทบอกให้ระวังอะ ระวังสะดุดมดใช่มั้ย หวานเน๊อะ :hao7: :mew3: :mew1:
A : สะดุดขี้ฝุ่นอะสิไม่ว่า เหอๆ (มองค้อน)

ตอบครบถ้วนทุกข้อความแล้วนะครับ หากมีอะไรสงสัยอยากถามอะไรเพิ่มเติม จัดมาได้เลยครับ รอฟังทุกความเห็นนะครับ
ขอบคุณครับ
แมค
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 03-05-2016 22:36:04
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 05-05-2016 02:54:42
เรื่องอุ่นๆละมุนมากค่ะ แม้พี่มาร์ทจะกลายเป็นหมาป่าในตอนนั้นก็ตามที 5555+ ขอติดตามเรื่อยๆนะคะ


ปล.อ่าน comment แล้วขอถามได้มั้ยคะ คุณผู้แต่งชื่อแม็ค=แม็คใน until you หรือเปล่าคะ? Is it real?  :-[ แล้ว the revenge project นี่ยังตามอ่านได้อยู่หรือเปล่าคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (1/2)] 02-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 07-05-2016 10:38:42
เรื่องอุ่นๆละมุนมากค่ะ แม้พี่มาร์ทจะกลายเป็นหมาป่าในตอนนั้นก็ตามที 5555+ ขอติดตามเรื่อยๆนะคะ


ปล.อ่าน comment แล้วขอถามได้มั้ยคะ คุณผู้แต่งชื่อแม็ค=แม็คใน until you หรือเปล่าคะ? Is it real?  :-[ แล้ว the revenge project นี่ยังตามอ่านได้อยู่หรือเปล่าคะ  :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เรื่องก่อนๆเลยครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่านักอ่านเพจเด็กดีมาอ่านไทยบอยเยอะเหมือนกัน ฮ่าๆ รู้งี้มานานละ เอ๊ะ ยังไง?

สำหรับเรื่อง the revenge project คงยุติเพียงเท่านั้นนะครับ ไม่มีเพลนเขียนต่อแต่อย่างใดนะครับ แต่ถ้าเป็นเรื่อง until you ผมก็เริ่มมีคิดๆเหมือนกันว่าหากจบภาคแรกแล้ว อาจจะ(ย้ำนะครับว่า อาจจะ)มีเพลนสำหรับภาคสองต่อ เพราะว่าเรื่องราวของแมคกับพี่มาร์ทยังมีอีกเยอะครับที่ยังไม่ได้แบ่งปันให้น้องๆพี่ๆได้อ่านกัน ฮ่าๆ

และสำหรับคำถามที่อยากรู้ที่สุด... ผมขอตอบเพียงสั้นๆว่า แมคเป็นคนเล่าเรื่องไงครับ ก็เลยชื่อแมค ฮ่าๆ  :laugh: งงอะดิ งั้นเอาใหม่นะครับ
...เรื่องนี้เขียนจากมุมมองของแมค ดังนั้นแมคก็คือคนเล่าเรื่อง
และถ้า...ผมเป็นคนบรรยายเรื่อง ดังนั้น...ผมก็คือคนเขียนเรื่องใช่ปะ?

ฝากไว้เพียงเท่านี้ละกันครับ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะครับ ขอบคุณครับ
แมค
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (2/2)] 08-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 08-05-2016 16:44:51

Until You


ตอนที่ 13 (2/2)

          ตลอดทางที่ขึ้นลิฟท์มายังห้องพัก ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าคนข้างกายเลยด้วยซ้ำ ถามว่าโกรธไหม ไม่ครับ เขินไหม ก็ไม่อีก เพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่สมควรทำให้ใครเห็นก็แค่นั้น ยังไงเราก็ดูเป็นผู้ชายเหมือนๆกัน แม้โลกจะเปิดกว้างแต่ใช่ว่าทุกคนจะรับได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สักหน่อย พี่มาร์ทเองก็ไม่ระวังตัวเลย รู้ทั้งรู้ว่าพนักงานอยู่กันเต็มโรงแรมอาจจะมีใครเห็นก็ได้ น่าจะคิดเยอะและห่วงชื่อเสียงตัวเองมากกว่านี้
                    "โมโหพี่มากไหม" ยังมีหน้ามาถามคำนี้อีกนะ
                    "ไม่ได้โมโห ไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบครับ" ผมยอมพูดออกมาในที่สุด
                    "ถ้าแมคกังวลเรื่องพี่ พี่อยากบอกว่า มุมนั้นไม่มีใครเห็นหรอก ต้นไม้ใหญ่บังอาคารด้านบนอยู่ ส่วนฝรั่งตรงสระน้ำก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเห็น พี่แน่ใจแล้วถึงทำนะ อย่าคิดมากสิครับ"
                    "มันก็อาจจะมีเล็ดลอดบ้างก็ได้นี่"
                    "เชื่อพี่เถอะ พี่ไม่มีวันทำให้แมคเสียหายหรอกครับ"   
                    "มันไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย พี่มาร์ทนี่...."
                    "มากันแล้วเหรอค่ะ สา เพิ่งเปิดห้องตะกี้เองค่ะ เชิญค่ะๆ"   

          ประตูไม้สีดำสนิทเปิดออกกว้างมากพอจะให้ผมเดินผ่านเข้าไปด้านในและพบกับความอลังการของห้องพักที่ผมจะนอนในคืนนี้ เริ่มด้วยผนังขวามือสีครีมที่ไม่มีอะไร อ้าวแล้วผมจะบรรยายทำไม ฮ่าๆ โอเค งั้นถอยหลังกลับมาที่ประตูเหมือนเดิมแล้วเอียงคอไปทางด้านซ้ายก็จะพบกับห้องครัวบิวต์อินขนาดย่อมติดผนังที่ประกอบไปด้วยไมโครเวฟและหม้อต้มน้ำไฟฟ้าวางอยู่ข้างอ่างล้างจานบนชุดครัวปูนซีเมนต์บอร์ดเคลือบผิวลามิเนตคล้ายพลาสติกกึ่งเงาสีขาว เหนือขึ้นไปน่าเป็นตู้สำเร็จรูปสำหรับเก็บอุปกรณ์ทำครัวต่างๆพร้อมลิ้นชักด้านล่างตู้ และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นครับว่า พื้นห้องทำจากไม้ลามิเนตลายเหมือนกับไม้จริงเสียด้วย

          ครั้นพอเดินลึกเข้ามาในห้องด้านในก็จะเป็นห้องรับแขกผสมกับห้องนั่งเล่นในตัว มีทีวีจอแบนขนาดสามสิบสองนิ้ววางบนตู้ขนาบข้างด้วยมินิโฮมเทียเตอร์และมีพัดลมระบายอากาศวางไว้คู่กัน ถัดมาจะเป็นเก้าอี้โซฟาตัวยาวเบาะกำมะหยี่สีน้ำตาลพร้อมหมอนอิงสามใบไล่สีครีมเข้มไปอ่อนวางเรียงกันในแนวตั้ง แม้จะใช้สีโทนเดียวกันแต่เล่นระดับสีแบบนี้ ผมว่าเป็นอะไรที่ดูน่าสนใจมากจนต้องกดแชะถ่ายรูปเก็บเอาไว้อีกสักช็อต ข้างกันเป็นโคมไฟตั้งพื้นสูงและโซฟาเบดตัวยาวข้างประตูที่เชื่อมกับเทอร์เรสด้านนอก โอ้ว...มีต้นไม้ในกระถามด้านนอกระเบียงด้วยครับ แอบเห็นตอนม่านปลิวไสวตะกี้ ไว้ไปกันหมดห้องก่อนผมจะเก็บภาพไว้ทั้งห้องเลย คอยดูสิ

                    "หลังโซฟานี่เป็นห้องนอนใหญ่นะค่ะ ส่วนอีกห้องอยู่ตรงข้ามกันค่ะ" คุณชาลิสาอธิบายต่อ ส่วนผมก็เดินตรงไปยังประตูที่ปิดอยู่ "ปกติแล้วห้องนอนเล็กเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงนะค่ะ แต่ดิฉันให้ทางโรงแรมเปลี่ยนเป็นควีนไซด์ให้ละ คุณแมคจะได้นอนสบายขึ้น อ้อ...แล้วก็มีห้องน้ำในตัวทั้งสองห้องเลยนะค่ะ แต่จะมีแต่ห้องใหญ่เท่านั่นที่มีอ่างอาบน้ำ"
                    "อ้อ...ขอบคุณครับ" ดีเลยแบบนี้ผมจะได้แผ่หลาได้สบายหน่อย
                    "บอสค่ะ เมื่อกี้ทางฝ่ายมัลติมีเดียโทรมาว่ามีปัญหาเรื่องติดตั้งเครื่องเสียง ดิฉันขอไปเคลียร์กับทางโรงแรมก่อนนะค่ะ บอสมีอะไรให้..."
                    "ไม่มีละ ขอบใจมาก คุณไปเถอะ จัดการได้ตามเห็นสมควรเลยถือว่าผมอนุญาตแล้ว"
                    "ได้ค่ะบอส ไว้เจอกันที่งานนะค่ะ คุณแมค" ผมพยักหน้ารับพลางเอ่ยขอบคุณอีกครั้งและเดินไปเช็คกระเป๋าสัมภาระที่พนักงานโรงแรมขนมาวางไว้ให้ เมื่อนับจำนวนครบแล้วพี่มาร์ทจึงยื่นทิปให้ไป พนักงานหนุ่มกล่าวอวยพรสั้นๆแล้วจึงเดินตามคุณเลขาออกไปเช่นเดียวกันและประตูก็ปิดลงในที่สุด
                    "พี่มาร์ทครับ ผมว่าเราเอากระเป๋าไปวางในห้องนอน...."
                    "อะไรนี่? ในภาพดูกว้างกว่าที่เห็นแถมการวางเฟอร์นิเจอร์ยังไม่เหมือนในรูปด้วย" พี่มาร์ทบอกพร้อมกับเดินสำรวจไปรอบห้อง ในขณะที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงเดินยกกระเป๋าทั้งหมดตรงหน้าห้องมาวางในห้องรับแขกตรงหน้าโซฟา "แมคคิดว่าไง"
                    "ก็ตามปกติมันก็ไม่ได้เหมือนอยู่แล้วนี่ครับ ในภาพคงเป็นมุมกล้องละมั้ง" ผมเปิดกระเป๋าออกหยิบเสื้อผ้าที่จะใส่เย็นนี้ขึ้นใส่ไม้แขวนที่เอามาจากบ้าน สงสัยพ่อผมจะยัดใส่กระเป๋ามาให้ ดีเหมือนกันครับจะได้ไม่ต้องลำบากเดินไปหยิบในตู้ ซึ่งบางโรงแรมก็แขวนตัวล็อกเอาไว้ด้วยราวกับกลัวลูกค้าขโมยกลับบ้าน
                    "Executive 2 Bedrooms Suite ทั้งทีน่าจะทำได้ดีกว่านี้" คนนี้ก็ยังไม่เลิกบ่นเลยครับ หยิบโปรชัวร์มาพลิกเปิดอ่านสลับกับเดินเข้าเดินออกทะลุทุกห้องทั้งห้องนอนซ้ายขวา ห้องครัว ห้องรับแขกและจบที่ห้องน้ำสองรอบติด ไม่รู้จะซีเรียสอะไรนักหนาพักแค่ไม่กี่คืนก็กลับละ สมัยรู้จักกันใหม่ๆ ไม่เห็นจะขี้บ่นเรื่องหยุมหยิมเลยนี่
                    "นี่ก็น่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุดของที่นี่แล้วนะครับ ผมว่าหรูหราดีออก ตกแต่งสวยอยู่แถมยังกว้างจะตาย นอนค้างได้ตั้งหลายคน ผมเพิ่งมาพักครั้งแรกยังชอบเลยครับ" ผมละมือจากการรื้อการรื้อของตรงหน้าเดินเข้าไปใกล้  "เลิกบ่นได้แล้วครับ เก็บกระเป๋าเข้าห้องของตัวเองกันเถอะ"
                    "นอนด้วยกันที่ห้อง Master นี่ละ" ไม่ใช่แค่พูดแต่รวบกระเป๋าที่วางอยู่ขึ้นมาถือเดินเข้าไปในห้องนอนทางขวามือเฉยเลย ในขณะที่ผมต้องรีบเดินตามไปให้ทันเพื่อจะถามว่า แล้วจะจองทำไมตั้งสองห้องนอน "เลขาพี่จัดให้ คงเห็นว่าแมคเป็นน้องชายของพี่ละมั้ง"
                    "อะนะ 4 โมงกว่าละพี่มาร์ทจะอาบน้ำหรือจะ... เฮ้ย! อะไรนี่!! กอดผมทำไม"
                    "รักนะครับ" สั้นและพูดออกมาจากปากได้ง่ายมากเกินไปหรือเปล่าครับ แต่แค่พูดมันคงไม่พอใช่ไหมถึงได้แถมทายด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาครบเซตอีก
                    "ปล่อยก่อน ผมร้อน" อันที่จริงก็ร้อนไม่มาก ทั้งที่เพิ่งเปิดแอร์ได้ไม่นาน สงสัยพนักงานโรงแรมจะเร่งแอร์เบอร์แรงสุดเอาไว้ แต่นี่คงเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว
                    "ร้อนก็ถอดเสื้อออกสิ" ยิ้มหื่นไม่พอยังมือไวปลดกระดุมเสื้อผมหลุดไป 2 เม็ดแล้วด้วย ดีที่กุมคอเสื้อไว้ได้ทันพยายามดันตัวออกห่าง แม้จะทำได้สำเร็จแต่พี่มาร์ทก็ยังมือเหนียวจับแขนผมไว้แน่นพาเดินไปนั่งตรงขอบเตียง เอ่อ...สถานการณ์มันเข้าเค้าที่เคยอ่านการ์ตูนมาชอบกลแฮะ
                    "เตรียมตัวกันเถอะครับ งานเริ่ม 6 ครึ่งไม่ใช่เหรอ?"
                    "ใช่ แต่กว่าจะเปิดงานก็ตั้งทุ่มครึ่ง อีกหลายชั่วโมง" พูดไปก็หอมแก้มผมไปแล้วยังไซร้คออีก ชักยังไงๆแล้วนะครับนั่น
                    "ไม่เอาๆ ไปให้ตรงเวลาสิครับ ไปช้าของกินจะเหลือเหรอ"
                    "เขาจัดเฉพาะสำหรับโต๊ะ VIP อยู่แล้ว" แขนขวาพี่มาร์ทเริ่มจะเลื่อนมากอดเอวผมประคองไว้แล้วด้วยครับ "แมค...อืม...ไม่ต้องห่วงหรอก" มือครับมือ อยู่เฉยๆสิครับ แล้วนี่ผมจะหาข้ออ้างอะไรอีกวะนี่
                    "พี่มาร์ท แมคอยากไปว่ายน้ำ"
                    "แทนชื่อตัวเองด้วย...น่ารักจัง" ถึงกับต้องหดคอหนี มันไม่ใช่แล้วครับแบบนี้ "ใกล้จะ 5 โมง คนเยอะ แมคไม่ชอบไม่ใช่เหรอครับ"
                    "แต่ผมอยากว่ายน้ำอะ นะครับๆ"
                    "ไม่เอาๆ" พี่มาร์ทพูดขึ้นเงยหน้าจากต้นคอของผมแล้วมาหยุดที่ริมผีปาก จุ๊บเบาๆก่อนจะผละออกไป "พี่ไม่อยากให้ใครเห็นแมคแบบนั้น ของๆพี่ พี่หวง ไว้ว่ายในสระส่วนตัวดีกว่า"
                    "แต่ๆ ผมหิวขนมแล้วอะ"
                    "ขอพี่หอมให้ชื่นใจก่อน เดี๋ยวสั่งรูมเซอร์วิสให้ทาน" ทำไงดีครับ ไม่รู้จะวกไปมุขไหนแล้วนี่ "ไม่ได้เจอกันตั้งหลายสัปดาห์ พี่คิดถึงแมคจะแย่"
                    "ผมต้องเรียนแล้วก็ทำโปรเจ็คส่งอาจารย์นี่ครับ พี่มาร์ทหยุดก่อน" ออกแรงดันร่างหนาออกไปพ้นตัว ยังจะโผกลับมาได้อีก ชักเมื่อยแขนแล้วนะนี่ "มาเหนื่อยๆ เหม็นเหงื่อ ผมขออาบน้ำก่อนนะครับ"
                    "ไหนเหม็น?" ไม่เชื่อผมขนาดต้องก้มลงมาทำมูกฟุตฟิตแถวคอและแขนของผมเลยเหรอครับ จั๊กจี๋นะนี่ "ไม่เห็นเหม็นเลย แต่มีกลิ่นอะ"
                    "จริงดิ กลิ่นไรๆ" เริ่มไม่มั่นใจตัวเองชอบกลละแบบนี้ ดมแล้วไม่เห็นมีกลิ่นอะไรเลย ตั้งแต่บ่ายยันมานี่ไม่มีเหงื่อเลยนะจะเหม็นได้ไง อยู่ในที่ๆมีแอร์ตลอด หลอกผมอีกปะนี่
                    "กลิ่นสเปร์ยของแมคไงครับ ยั่วพี่ดีจริง"
                    "งะ" อย่าตบหน้าผาก พูดแบบนี้หมดมุขเลยครับ จะทำไรก็ทำมาเลยละกัน เหนื่อยจะดิ้นเหนื่อยจะหาทางรอดละ
                    "เป็นอะไรละ นั่งนิ่งเชียว" พี่มาร์ทเองพอเห็นผมไม่ตอบโต้ก็หยุดมือกับปากเช่นกัน เออดีแฮะ รู้งี้ผมน่าจะทำแบบนี้นานละ "ไหนบอกพี่มาสิครับเป็นอะไร แมคอยากได้อะไร"
                    "อืม?" นั่นสิครับอยากได้อะไรดี พิจารณาคนข้างๆก่อนสักแป็บ อ้อ..คิดออกละ "อยากกดพี่มาร์ท" ผมสวนกลับไปแบบยิ้มๆ ผลักอีกฝ่ายที่ไม่ทันระวังลงกับเตียงพร้อมกับขึ้นคร่อมในทันที แต่ดูท่าคนข้างใต้กลับนอนนิ่งให้ผมทำ จนชักจะแปลกใจ "พี่ไม่ขัดขืนสักหน่อยเหรอครับ"
                    "ไม่อะ มันไม่ใช่นิสัยพี่" พี่มาร์ทตอบเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าให้กลับเข้าที่พลางยกยิ้มอย่างยียวน "อีกอย่างพี่ไม่อยากขัดใจแมค อยากทำก็เอาสิ พี่รออยู่"
                    "..."  อึ้งครับ แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก แปลกใจว่าทำไมจู่ๆกลับรู้สึกเช่นนั้นได้


          สองมือกำคอเสื้อของร่างข้างใต้ไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดบนหลังมือ สายตาของผมจบจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสนทั้งหงุดหงิดทั้งต้องการไปในคราวเดียว ทั้งที่อยากให้ร่างหนารู้สึกคล้อยตามไปกับผมแต่เขากลับนิ่งไม่มีท่าทีจะคิดหนีอย่างที่พูด แม้ผมจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าคมจนริมฝีปากแทบจะแนบชิด เขาก็ยังไม่ขยับไปไหนทั้งยังรั้งเอวของผมให้แนบชิดกับลำตัวจนใบหน้าของเราห่างกันเพียงอากาศกั้น ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจที่ทำเอาผมเริ่มใจหายและหวาดหวั่นเกินหัวใจของผมจะยับยั้ง มันเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมารู้สึกราวกับว่า ผิวกายของผมเริ่มร้อนรุ่มจากใบหน้าแผ่ซ่านลงยังคอและลามลงมาเรื่อยๆ ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเข้าไปทุกขณะเมื่อสายตาคมตรึงความรู้สึกของผมไว้ราวกับสะกดจิตและทำในสิ่งที่ผม...ต้องการ?

                    "อ๊ะ" กลับเป็นผมที่ร้องออกมา เพราะพี่มาร์ทยกตัวขึ้นขึ้นจูบริมฝีปากของผม ทั้งที่ควรเป็นผมที่ต้องเริ่มก่อน ช้ากว่าอีกแล้ว "โธ่โว๊ย!!"
                    “แมค?”
                    “ปล่อย!” ผมสะบัดข้อมือทิ้งทันทีที่พี่มาร์ทรั้งแขนผมไว้ รีบก้าวเดินลงจากเตียงตรงไปห้องน้ำอย่างหัวเสีย ไม่เข้าใจเลยทำไมกระดุมเสื้อมันได้แกะยากแกะเย็นขนาดนี้ เดี่ยวดึงขาดทั้งแถบซะเลย ร้อนโว๊ยอยากอาบน้ำ
                    "แมคเป็นอะไร" เสียงทุบประตูปังๆและเสียงแกร่งๆเหมือนคนพยายามบิดลูกบิดประตูนี่ทำให้ผมยิ่งเครียด "บอกพี่มาสิ โกรธอะไรพี่งั้นเหรอ"
                    "เปล่า" ผมตะโกนฝ่าเสียงน้ำจากฝักบัวที่กำลังไหลรดศีรษะ “ผมไม่ได้เป็นอะไร ได้ยินไหม เลิกทุบสักที”
                    "ให้พี่เข้าไปนะ อย่าเงียบสิ พูดกับพี่"
                    "ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่ แค่หงุดหงิด... ขอผมอยู่คนเดียวสักพัก" เพิ่งรู้ว่าการถอนหายใจภายใต้สายน้ำ มันไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย กลับยิ่งทำให้แย่เข้าไปอีก
                    "แมค!!" ดูท่าว่าถ้าผมไม่ตอบอะไร พี่มาร์ทคงต้องกระแทกประตูจนพังแน่ๆ
                    "พี่มาร์ท ให้เวลาผมอยู่คนเดียวบ้าง...นะครับ" ผมพูดเสียงเย็นลงกว่าตอนแรกมาก จนพี่มาร์ทยอมถอยในที่สุดสังเกตจากเสียงที่เงียบลง


          สายน้ำเย็นฉ่ำที่ราดลงบนหัวไม่ได้ช่วยดับความร้อนในกายอย่างที่ผมคาดหวังไว้เลยแม้แต่น้อย มันยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกหนักหัวมากกว่าเดิม ผมคนนี้เป็นคนขี้ขลาดกลัวจะฝ่ายรุกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เท่าที่จำได้ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้งแค่เสนอผมก็สนอง ให้ตายเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมคนนี้กันแน่? กลัวอะไรกับเรื่องพรรค์นี้? ทั้งที่อีกฝ่ายยอมนอนรอนิ่งๆแค่ผมต้องลงมือทำ มันก็แค่เรื่องง่ายๆเท่านั้นแต่สมองผมกลับไม่สั่งการให้ทำอะไรสักอย่าง แค่โดนจ้องผมก็ใจฟ่อไม่กล้าทำ? ไม่ใช่ ไม่มีทาง ยังไงผมก็ไม่เชื่อ งั้นเพราะอะไร มันเพราะอะไรผมถึงหยุดอยู่อย่างนั้น ... รัก... รักงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้ คำๆนี้ผุดเข้ามาในหัวผมได้อย่างไร ผมไม่ได้อนุญาตให้มันเด้งขึ้นมาสักหน่อย ออกไปให้พ้นจากหัวเดี่ยวนี้เลย รัก? ผมแค่ชอบพี่มาร์ทมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นรู้สึกรักอะไรนั่นหรอก ต้องใช่สิ มันต้องเป็นแบบที่ผมสรุปสิ แต่ถ้าไม่ใช่รักแล้วมันคืออะไร ความเกรงใจงั้นเหรอ ตลกละ ทำไมผมต้องเกรงใจกับเรื่องพวกนี้ด้วย ไม่รู้เว้ย ไม่คิดละ หนาว เลิกสนใจดีกว่า คิดไปตอนนี้ก็ไม่รู้คำตอบอยู่ดี รีบอาบน้ำสระผมดีกว่า หนาวสั่นแปลกๆ ชอบกล

          ทว่า...ผมกลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาดเพราะอ้อมกอดของใครบางคนที่โผเข้ามาเกือบจะในทันทีที่ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำ

                    "แมคเป็นอะไรบอกพี่มา" ร่างของผมถูกดึงเข้าไปหาซุกหน้าลงกับไหล่ผมกอดแน่นจนผมรู้สึกเจ็บไหล่อยู่ไม่น้อย "พี่เป็นห่วงแมคแทบตายรู้บ้างไหม ไหนดูมือสิ ซีดเลยเห็นไหม?"
                    "ครับ ผมขอโทษ"
                    "แมคมีอะไรไม่สบายใจบอกพี่มาตรงๆ ถ้าพี่ทำอะไรให้แมคไม่สบายใจ พี่ขอโทษนะครับ" พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆขนาดนี้ ทำเอาผมรู้สึกหน่วงในใจขึ้นมาชอบกล "อย่าเงียบอีกละ พี่ทำอะไรไม่ถูกรู้ไหม"
                    "อือ...ครับ" ผมพยักหน้ารับยันตัวออกมาในขณะที่พี่มาร์ทเองก็ยอมคลายอ้อมกอด ผมจึงได้มองเห็นพี่มาร์ทชัดขึ้น เขายังอยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตทำงานแต่ค่อนข้างยับกว่าปกติ "พี่ยังไม่เปลี่ยนชุดอีกเหรอ อย่าบอกนะว่า..."
                    "ตั้งแต่แมคเข้าห้องน้ำไป พี่ก็ยืนรอแมคตรงนี้ตลอด ไม่ได้ขยับไปไหน" พี่มาร์ทยิ้มเจือนถอนหายใจเบาๆพลางหัวเราะในลำคออย่างคงปลงตก "แมคอาบน้ำนานมาก ตั้งครึ่งชัวโมงกว่าๆ"
                    "หา!!!" ผมไม่ได้ตกใจเรื่องอาบน้ำนาน แต่ผมตกใจเรื่องที่พี่มาร์ทรอผมมากกว่าครับ "พี่มาร์ทนั่งรอผมก็ได้ ผมอุตส่าห์ตะโกนออกมาว่า ไม่ได้เป็นอะไรแล้วหรือไม่ได้ยิน?"
                    "ได้ยิน แต่พี่ทนนั่งเฉยๆไม่ได้ พี่อยากให้แมคเห็นพี่เป็นคนแรก" พี่มาร์ทยิ้มละมุน "พี่อยากให้แมครู้ว่าแมคเป็นคนที่พี่แคร์มากแค่ไหน" ผมถึงกับอึ้งไม่คิดว่าคำจริงใจนี้จะออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้าได้ ทำเอาความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีเพียงความรู้สึกตื้นตันเข้ามาแทนที พี่มาร์ทลูบผมน้อยๆจับมือพาผมไปนั่งที่ปลายเตียงแล้วเดินหายไปทางห้องน้ำหยิบผ้าขนหนูแห้งอีกผืนเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้า ทำเอาผมรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาเฉยเลย
                    "ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองก็ได้"
                    "ให้พี่ทำนะครับ" ผมยังไม่ทันได้ตอบรับอะไร ผ้าเช็ดผมก็โปะลงมาทีศีรษะแรงขยี้ผมเบาๆราวกับนวดหนังศรีษะทำเอาเคลิ้มไปอยู่เหมือนกัน ซับอยู่ไม่นานก็หมาดจนเกือบแห้ง ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูอีกผืนที่พี่มาร์ทหยิบติดมือมาเช็ดไปตามลำตัว แต่พี่มาร์ทกลับคว้าไปถือไว้ซะเองพร้อมกับจับข้อมือของผมขึ้นนวางผ้าในมือลงอย่างเบามือลูบไล้ไปตามผิวพลางมองใบหน้าของผมไม่กระพริบตา
                    "เลิกจ้องได้แล้ว"
                    "ทำไม? อายหรือว่าเขิน" ผมไม่ตอบทำเป็นเมินหน้าหนี แต่อีกฝ่ายกลับไวกว่ายันตัวขึ้นนั่งข้างกดริมฝีปากลงบนกลีบปากของผม "แมคน่ารัก เห็นแล้วอยากจูบ"
                    "บ้าเปล่า มาพูดอะไรซ้ำๆย้ำๆอยู่ได้" แถมไม่พูดเปล่ายังกุมมือผมไว้หลวมๆจรดริมฝ่าปากลงกลางฝ่ามือ ทำเอาหน้าร้อนวูบวาบ
                    "น่ารักแบบนี้ตลอดไปนะ"
                    "..." แล้วผมจะพูดอะไรได้ละครับนั่น
                    "แมค"
                    "อืม?" ผมไม่อยากจะมองหน้าคนเรียกตอนนี้เลย ดึงมือกลับแล้วยังรู้สึกหวิวไม่หาย
                    "พี่ตื่นอะ" ตื่นที่ว่ามันคือเรื่องอย่างว่าใช่ไหมครับ อะหืม เบนสายตาก้มมองแล้วชัดขึ้นมาถนัดตา ตอนนี้ผมยังสวมแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวอยู่ด้วยดูล่อแหลมไม่น้อย แถมชายผ้ายังร่นขึ้นมาเหลือแค่คืบครึ่งซ้ำยังผ่าข้างขึ้นมาอีก เรียกว่าเห็นต้นขาข้างซ้ายรำไรๆคิดแล้วผมลุกไปใส่เสื้อผ้าดีกว่า

          แต่ไม่ทัน...ร่างของผมถูกผลักล้มลงไปบนเตียงนอน ดีที่ยันข้อศอกเท้าไว้กับพื้นผยุงตัวก่อนจะล้มลงไปนอนราบ สองแขนพี่มาร์ทโน้มลงมากั้นไม่ให้ผมขยับลุกหนีได้ นัยต์ตาคู่สวยทรงอำนาจจ้องมองมาจนเห็นเงาร่างของตัวผมเองในแววตาคู่นั้น ผมแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยไม่รู้จะหาหนทางรอดได้ยังไง เพราะรู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวที่กำลังลากผ่านผืนผ้าเพียงชิ้นเดียวไล้วนอยู่ตรงต้นขา แต่แล้วพี่มาร์ทกลับก้มลงมาช่วงชิงริมฝีปากของผมอีกครั้ง คราวนี้ฟัดลงมาเต็มแรงสองครั้งติดก่อนจะลุกเดินหนีไปทางห้องน้ำเสียดื้อๆ ทิ้งให้ผมมองตามด้วยความงงงวย


 TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (2/2)] 08-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 08-05-2016 17:03:57
บวก10คะแนนให้พี่มาร์ทเลยค่ะตอนนี้
ไม่อยากกดน้องเพราะกลัวว่าน้องยังไม่พร้อมสินะ
หนีเข้าห้องน้ำเฉยเลย
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 13 (2/2)] 08-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-05-2016 17:06:43
โถ่~ น้องแมคแต่งออกมาอ่อยมากอะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 14 (1/2)] 15-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 15-05-2016 20:58:19

Until You


ตอนที่ 14 (1/2)

   ห้องประชุมใหญ่ตั้งอยู่ตรงชั้นสองของโรงแรมอาคารเดียวกันกับที่ผมและพี่มาร์ทพักอยู่ ทำให้ไม่ต้องเดินไปไกลทั้งที่ท้องของผมใกล้จะส่งเสียงร้องเตือนเรียกหามื้อเย็นให้เจ้าของร่างขายหน้า พี่มาร์ทผายมือให้ผมเดินออกจากลิฟท์ไปก่อนเมื่อประตูเปิดออกในขณะที่เขาเองยังคงแนบหูพูดสายต่อไม่มีพักเหนื่อยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก แต่พอผมถามกลับยิ้มให้อย่างเคยจนผมเองยังงง

                    "ครับ เข้าใจแล้วครับ" พี่มาร์ทกดวางสายในที่สุดลอบถอนหายใจ
                    "มาไม่ได้เหรอครับ" ผมเอ่ยถาม เพราะได้ยินมาว่างานนี้ประธานบริษัทจะลงเปิดงานด้วยตัวเอง
                    "ใช่ เพิ่งบินไปฮ่องกงกระทันหัน...วุ่นวายชะมัด"
                    "ก็นะ" ผมเองก็คนนอกครับเลยไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้
                    "เดี่ยวพี่ต้องขึ้นไปเปลี่ยนชุดใหม่ แมคจะไปด้วยกันไหม ถ้าหิวจะรอในงานก่อนก็ได้ครับ"
                    "ไม่อะ รอเข้าพร้อมพี่มาร์ทดีกว่า ผมรอแถวๆลิฟท์นี่ละกัน" ผมยิ้มรับพร้อมโบกมือลา ก่อนประตูลิฟท์จะปิดลง "เดี๋ยว?" ลืมถามไปเลยครับว่าจะเปลี่ยนชุดทำไม เสื้อโปโลที่ใส่อยู่ก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ช่างเถอะครับสงสัยเป็นประธานในพิธีคงต้องใส่ชุดพิธีการละมั้งครับ ผมเดา
                    "เดี๋ยวครับ รอผมด้วย" แล้วนี่ใครกันมาวิ่งมายืนข้างๆไม่พอยังใช้คำซ้ำกับผมอีก สูงใหญ่ใช้ได้แต่ดูขนาดตัวยังบึกน้อยกว่าพี่มาร์ทของผม ของผมงั้นเหรอ? ไม่ใช่สักหน่อย "แล้วจะรู้ไหมนี่ว่าคุณภิมุขพักอยู่ห้องไหน ถามสาคงไม่ได้"
                    "..." ผมควรบอกหมายเลขห้องให้คนแปลกหน้าไหมครับ ดูเขาจะมีธุระสำคัญกับพี่มาร์ทด้วย
                    "น้องอยู่แผนกไหน? มางานเย็นนี้ด้วยใช่ไหม?" อึ้งดิครับ อยู่ๆหันมาคุยกับผมซะงั้นเลย "เป็นพนักงานใหม่เหรอครับถึงไม่รู้จักผม ไม่เป็นไรบอกชื่อกับแผนกก็พอ ผมตามตัวคุณถูก"
                    "..." ค้างไปแล้วครับ ไม่รู้จะตอบอะไรดีเลยครับ คงไม่ได้คิดว่าผมเป็นพนักงานบริษัทใช่ไหม
                    "รู้จักคุณภิมุขไหม" ผมพยักหน้ารับ "ดีเลย ไม่รีบเข้างานใช่ไหม" พยักหน้ารับอีกรอบ "ผมฝากของนี่ให้คุณภิมุขหน่อย รอหน้าลิฟท์ละ ห้ามหาย ห้ามขโมย ห้ามทำพัง และห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด สัญญาสิ"
                    "อ่า...ครับ"
                    "พูดว่า สัญญา ด้วยเกียรติลูกผู้ชายด้วย"
                    "สัญญาด้วยเกียรติลูกผู้ชายของผมครับ"
                    "ดีมาก ขอบคุณครับ ผมไปละ" ง่ายๆงี้เลย "อีกรอบ ห้ามหายเด็ดขาด" ผมพยักหน้ารับคำกำกล่องสี่เหลี่ยมในมือไว้แน่น "สาธุ ขอให้สำเร็จด้วยเถอะ" ไปซะละ ยังไม่ได้ทันถามสักประโยคเดียวเลยอะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น ว่าแต่ผมถือของสำคัญอะไรอยู่ในมือครับนี่ อยากรู้แต่คงแกะดูไม่ได้มันไม่สุภาพเกิน แต่คนเมื่อกี้ก็แปลกนะครับ อยู่ๆมาฝากของกับคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกได้ไง แม้บริษัทพี่มาร์ทจะจองทั้งโรงแรมไว้ก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนนอกเข้ามาปะปนสักหน่อย แต่เอาเถอะครับ ผมเองก็ไม่มีธุระที่ไหน ยังไงผมก็ต้องนั่งรอพี่มาร์ทอยู่ดี รับฝากของไว้ก็ไม่เสียหาย แถมยังได้ช่วยคนอีกถือว่าได้บุญ แม้เหตุการณ์เมื่อครู่ออกจะแปลกไปหน่อยก็เถอะ

          ทว่า...พอส่งของให้เป้าหมายเป็นที่เรียบร้อย พี่มาร์ทกลับยิ้มและฝากผมไว้จนกว่าจะถึงเวลาใช้ เป็นงั้นไปซะอีก ก่อนจะเดินนำผมไปยังห้องประชุมที่ว่า ซึ่งแค่พี่มาร์ทเดินไปยังทางเข้าแสงไฟก็สาดส่องมาตามทางเดินพร้อมเสียงแฟรชและเสียงฮือฮาภายในห้อง ผมคงลืมบอกใช่ไหมครับว่าพี่มาร์ทเปลี่ยนเป็นชุดสูทสามชิ้นแล้วดูหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง ส่วนผมนะเหรอครับ ก็มีเสื้อคลุมมีฮูทสีน้ำเงินที่พี่มาร์ทยื่นให้ตอนออกจากลิฟท์สวมทับเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นอีกตัว คงดูน่ารักขึ้นมากกว่าหล่อตามเคยอะสิ คิดแล้วเซ็งจิตจริงๆ



          ห้องจัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องทั้งสามที่ผมเดินผ่านมา เดาว่าคงเป็นห้องแกรนด์บอลลูม ภายในงานตกแต่งตามสไตล์ห้องจัดเลี้ยงโรงแรมทั่วไป มีเวทีสีขาวล้วนพร้อมป้ายชื่องาน ล้อมรอบพื้นที่ด้วยอาหารแบบปุฟเฟต์นานาชนิดวางเรียงไว้ตรงด้านข้างทั้งสองฝั่ง ตรงกลางมีโต๊ะจีนสำหรับคนนั่งแปดถึงสิบตัวต่อโต๊ะวางเรียงกันเป็นแถวหลายสิบชุด และมีพื้นที่ว่างตรงหน้าเวทีสำหรับจัดงานกิจกรรม ซึ่งตอนนี้คุณชาลิสากำลังกำกับให้ทีมงานเสื้อสีดำนำของขวัญมาวางเรียงกันไว้บนโต๊ะ ประจวบเหมาะกับที่เธอหันมาเห็นพี่มาร์ทพอดี จึงรีบเดินเข้ามาหาและพาไปยังโต๊ะวีไอพีด้านหน้าสุดที่จัดเอาไว้
          เมื่อเดินไปถึงโต๊ะเหล่าผู้บริหารหลากหลายสาขาต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนต้อนรับ พี่มาร์ทเองก็พยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวผูกโบว์สีทอง ผมก็นั่งลงด้านข้างเช่นเดียวกันพร้อมกับส่งยิ้มให้บุคคลรอบโต๊ะอย่างเป็นมิตร ก่อนพิธีจะเริ่มต้นขึ้นด้วยมุขตลกของพิธีกรชายหญิงที่ไล่นักดนตรีลงจากเวที เพราะผิดคิว

                    "คุณพิชัย ไปไหนซะละ" พี่มาร์ทเอ่ยถามคนนั่งข้างในเสื้อโปโลสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเข้ม เขากระชับเสื้อให้เข้ารูปก่อนจะตอบว่า
                    "เห็นว่าไปคุยธุระกับลูกน้องนะครับ อีกเดี่ยวคงตามเข้ามา"
                    "งั้นเหรอ" รับคำเสร็จก็ยิ้มกริ้มกรุ่มก่อนจะบอกต่อว่า "นี่แมค น้องชายของผม"
                    "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมรอบโต๊ะด้วยวัยวุฒิอ่อนกว่า พลางแอบกระซิบกับคนข้างกายเมื่อเห็นคนแปลกหน้าในระยะไกลถัดออกไปอีกสามโต๊ะทางซ้าย "พี่มาร์ทๆ คนนั่นอะครับที่ฝากของไว้กับผม"
                    "อืม พี่รู้ละ นั่นคุณพิชัย เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล"
                    "ขอประทานโทษค่ะ" คราวนี้เป็นคุณเลขาสาวสวยครับที่เดินเลียบเคียงเข้ามาหา "บอสจะกล่าวเปิดงานก่อนหรือจะให้จัดอาหารลงมาก่อนดีค่ะ"
                    "ทานอาหารกันก่อนดีกว่า จะทุ่มละ คงหิวกันแย่" พี่มาร์ทพูดขึ้น "พวก Salad Appetizers ที่ผมสั่งให้ลงก่อนหมดไปนานยัง"
                    "เติมรอบสองเมื่อกี้ค่ะ เด็กๆเลยมีอะไรรองท้องกัน" เธอยิ้มให้ ส่วนผมหูพึ่งรอฟังเมนู "แต่น่าจะหมดแล้ว" แป่วเลยครับ อดกิน ท้องเริ่มร้องจ็อกๆแล้วด้วย
                    "อืม งั้น Main dish ต่อเลยเรื่องพิธีการต่างๆไว้ทีหลังก็ได้"
                    "ค่ะบอส"

          ผมเพ่งสายตามองฝาหม้อที่กำลังปิดลงสามฝา ก่อนพนักงานจะยกออก เห็นเด็กกับผู้ปกครองนั่นได้สองชิ้นสุดท้ายของแต่ละเมนูไปแล้วอดเจ็บใจไม่ได้ มีแต่ของชอบผมทั้งนั้น ปอเปี๊ยะทอดเอย สาคูไส้หมูเอย แถมยังมีขนมปังหน้ากุ้งโรยงาอีกนะ เห็นแล้วอยากชิมสักชิ้น ปกติเห็นแต่หน้าหมูอันนี้หน้ากุ้งด้วย แต่ช่างเถอะครับ เดี่ยวไปซื้อกินที่กรุงเทพก็ได้ รอดูเมนูใหม่ที่กำลังยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะดีกว่า
          ผักลวกจิ้มน้ำพริก แกงส้มชะอมทอด แกงเขียวหวานทะเลกับขนมจีน หมูผัดพริกไทดำ เต้าหู้ทรงเครื่อง ปีกไก่ทอดซอสเม็กซิกัน ยำถั่วพลู ข้าวสวยร้อน นี่คือเมนูสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ครับ มองแล้วอาจจะโดนใจไปทุกจาน เพราะผมไม่นิยมรับประทานของเผ็ด แต่ยามนี้ขอชิมทุกจานเลยละกันครับ หิวมากๆแล้วนี่

                    "ขนมหวานเป็นเมนูอะไรครับ" ผมแอบกระซิบถามเสียงเบา
                    "ของคาวยังไม่หมด ถามของหวานซะละ" พี่มาร์ทยิ้มมุมปาก
                    "ก็ถ้าเมนูน่าสน ผมจะได้เก็บท้องไว้ชิมเยอะๆไง"
                    "งก" พูดงี้ผมเลยแอบเอามือตีหน้าขาใต้โต๊ะไปที "ผลไม้รวม ทาร์ตผลไม้ ขนมไทย พาร์นาคอตต้า กับไอศครีมมะนาวเชอร์เบต ไอศครีมนี่สั่งมาเผื่อเด็กๆ ไม่รู้ชอบรสนี้กันหรือเปล่า"
                    "เด็กๆชอบช็อกโกแลตมากกว่าครับ พวกไอศครีมรสเปรี้ยว ผู้ใหญ่ชอบมากกว่า" พี่มาร์ทเลิกคิ้ว "เรื่องขนมขอให้บอก ผมนี่เชี่ยวชาญสุดๆ"
                    "นั่นสินะ หนูแมค" อะโห มีล้อผมด้วย เหยียบเท้าซะเลยดีไหมนี่
                    "พี่มาร์ทจะขึ้นพูดตอนไหนอะ"
                    "คงให้ทานอาหารกันเสร็จก่อน แล้วพี่ค่อยพูด"
                    "ถึงตอนนั้นผมค่อยออกไปเข้าห้องน้ำดีกว่า" พี่มาร์ทพยักหน้ารับทราบ เพราะรู้ว่าผมเป็นพวกไม่ชอบพิธีการเป็นทางการเท่าไหร่


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 14 (1/2)] 15-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 15-05-2016 21:53:22
คุณพิชัยนี่ผ่านมาแล้วผ่านไปหรือมีบทอะ :hao7: o13
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 14 (1/2)] 15-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 22-05-2016 21:08:24
เจอเรื่องนี้จากที่Dek-dอ่ะค่ะ เห็นว่ามีลงที่นี่ก่อนที่แรกเลยแว๊บมาอ่านที่นี่ด้วย อิอิ

เป็นคู่ที่สมกันดีนะคะ น่ารักมากเลย การเจอกันแล้วได้คุยกันก็พรหมลิขิตชัดๆ ฟินสุดๆ!

มาต่อไวๆน๊าาาาา ^^
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 14 (2/2)] 24-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 24-05-2016 21:46:21

Until You


ตอนที่ 14 (2/2)

          เมื่อได้เวลาพอเหมาะผมก็ขอตัวออกมาจากห้องเดินไปยังห้องน้ำ ตั้งใจว่าเสร็จแล้วจะเดินไปยังบาร์ชั้นล่างเพื่อจิบค็อกเทลสักแก้วแล้วจึงขึ้นมาร่วมงานต่อ แต่คิดไปคิดมาราคาเครื่องดื่มคงจะไม่ต่ำกว่าร้อยบาท แล้วผมก็ไม่ได้อยากกินมากขนาดนั้น เปลี่ยนใจไปเดินเล่นแถวสระว่ายน้ำที่ผมพลาดเมื่อกลางวันดีกว่า ในโปสเตอร์โปรโมทโรงแรมมีภาพเปิดไฟยามค่ำคืนตรงสระด้วย สวยไม่ใช่เล่น ถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกสักรูปสองรูปน่าจะยังทัน แต่แค่ก้าวยังไม่ทันพ้นล็อบบี้มือถือผมก็ดังขึ้น เป็นมิสคอลจากพี่มาร์ทซะด้วย มีอะไรปะหว่า ว่าแล้วคงอดได้ถ่ายภาพอีกตามเคย ผมชักสงสัยซะแล้วสิครับว่า สระว่ายน้ำโรงแรมที่นี่มีอาถรรพ์หรือเปล่า ผมจึงได้พลาดตั้งสองครั้งสองคราแล้ว

                    "กรี๊ดดดดดดด" เกิดอะไรขึ้น? ยังไม่ได้เปิดประตูเข้าไป เสียงก็ลอดออกมาละ
                    "ขอทางหน่อยครับ" ผมสะกิดบอกพนักงานโรงแรมสองคนที่ยืนบังประตูแอบลอบมองผ่านช่องว่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ซะด้วย ข้างในมีอะไรกันหว่า?
                    "ขอโทษครับ เชิญครับๆ"
                    "...แต่ผมไม่มีของที่คุณฝากไว้นะครับ" เสียงพี่มาร์ทพูดผ่านไมค์แถมยังหันมายิ้มให้ผมที่เพิ่งเดินเข้ามา
                    "อ้าว หมดกันๆ พนักงานคนนั้นไปไหนแล้วนี่?" ดูท่าคนที่ชื่อคุณพิชัยจะหัวเสียมากนะครับนั่น
                    "มีอะไรกันอะ สาเปิดตาได้ยัง" นั่นสิครับ แกล้งอะไรคุณเลขาก็ไม่รู้ครับ สาวๆเอาผ้ามาปิดตาไม่พอยังล้อมหน้าล้อมหลังกันให้วุ่นแถมหัวเราะคิกคักกันสนุกสนานใหญ่เลย
                    "อีกแป็บค่ะพี่สา คนสำคัญของงานกำลังหัวฟู"
                    "ใครอะ ยัยติ๋ม"
                    "อะโห พี่สาเรียกนามเดิมแบบนี้ หนูจะขายออกไหมอะค่ะพี่"
                    "นั่นไง!!" แล้วไฟสปอร์ตไลท์ก็สาดส่องมาที่ผม พร้อมกับเจ้าของชื่อคุณพิชัยก้าวย่างสามขุมเข้ามาหน้าตาดุดันเชียว "อยู่ไหม?" ผมล้วงมือในกระเป๋ากางเกงหยิบของที่ฝากไว้ออกมา "บอกให้คุณภิมุขไง ไม่รุ้จักอีกละสิ ช่างมัน มานี่เลย เอ้า... ตามมาสิครับ เดี่ยวฤกษ์เสียหมด"
                    "ครับๆ" ผมแทบจะวิ่งไปเลยครับ พอไปถึงเขาก็จับผมไปยืนข้างๆหน้าเวทีท่ามกลางเสียงโฮ่ฮิ้วดังขึ้นรอบห้องและแน่นอนว่า พี่มาร์ทที่ยืนอยู่บนเวทีกำลังกลั้นขำทั้งที่หน้านิ่ง ทันใดนั้นเองหนุ่มใหญ่นามคุณพิชัยก็นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าคุณชาลิสา พร้อมกับผ้าผูกตาร่วงลงกับพื้นและเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังอย่างต่อเนื่อง
                    "สา แต่งงานกับผมนะ"
                    "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด" ส่วนผมนะเหรอครับ ค้างไปแล้ว อึ้งสุดๆไปเลย เพิ่งได้เห็นคนคุกเข่าขอแต่งงานครั้งแรกในชีวิต
                    "แหวน...แหวนพี่อะ" กระตุกแขนจนผมลนลานเลยครับ "กล่องที่ฝากไว้ไง ทำตัวเป็นว่าที่เพื่อนเจ้าบ่าวหน่อยครับ"
                    "อ๊ะ... อ้อ.... นี่ครับ"
                    "สา แต่งงานกับผมนะ" แหวนทองคำขาวประดับเพชรเม็ดเล็กเรียงกันเป็นรูปโบว์ตรงหัวแหวน ฉลุร่องตรงกลางโดยรอบตัวแหวนถูกหยิบออกมาจากหมอนสีขาวในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน "ว่าไง ผมอายนะ ตอบเร็วๆสิ"
                    "ขนาดนี้แล้วยังจะมาอายอีกเหรอ" สาวผู้โชคดีคนเดียวในงานเอ่ยแซว ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เธอยกมือข้างที่ว่างขึ้นปาดน้ำตา ยอมให้ฝ่ายชายประคองอีกมือไว้หลวมๆ "ถ้าสาตอบปฏิเสธละ"
                    "ผมก็จะเก็บแหวนนี้เอาไว้ ขอสาแต่งงานคราวหน้า" แค่เอ่ยประโยคนี้ เสียงเกรียวกราวก็ดังรอบห้องราวกับเป็นลูกคู่เลยครับ ผมเองยังอดยิ้มไปด้วยไม่ได้เลย
                    "มั่นใจจังนะว่า จะแต่งงานด้วย"
                    "ตกลงแต่งงานกับผมไหม"
                    "ตกลง แต่งค่ะ"



          ปังๆ เสียงจุดพลุแบบโคน ดังขึ้นรอบงานพร้อมเพลงบรรเลงงานแต่งงาน ทำเอาว่าที่เจ้าสาวอย่างคุณชาลิสาเขินจนหน้าแดง ส่วนคุณพิชัยก็ชี้นิ้วสั่งวงดนตรีให้หยุดเล่นเพลงงานวิวาห์ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟัง แถมยังมีบางคนเอาสายรุ้งกับพวงมาลัยมาห้อยคอทั้งสองอีก พี่มาร์ทเองก็เดินลงจากเวทีรับช่อดอกไม้จากมือพนักงานคนหนึ่งส่งให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีให้กับเลขาสาวคนเก่ง เธอยิ้มรับจนแก้มปริหันไปกอดขอบคุณว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ

                    "แมคหยิบกล่องของขวัญตรงโต๊ะนั่นให้หน่อย กล่องสีเงิน 2 กล่อง"
                    "นี่เหรอ" ผมตะโกนถามและหยิบของขวัญออกมาจากกองของรางวัลและของขวัญที่ไว้สำหรับจับฉลาก
                    "ผมให้คนละกล่องนะ ถือเป็นของรับขวัญจากผมกับแมค ขอให้มีความสุขและยินดีด้วยอีกครั้ง"
                    "ขอบคุณค่ะ / ครับ ขอถามหน่อยครับ นี่ไม่ใช่พนักงานบริษัทเราเหรอครับ"
                    "บ้าสิ คุณแมคเป็นน้องชายบอส ถามอะไรอย่างงั้นเล่า เสียมารยาท" คุณชาลิสาตอบแต่คุณพิชัยถึงกับหน้าเหวอ
                    "แกะเลยได้ไหมพี่สา พวกเราอยากเห็น"
                    "ได้ไหมค่ะ บอส"
                    "ตามใจครับ สิทธิ์ของคุณ" พี่มาร์ทว่าด้วยรอยยิ้ม "ยังมีอีก 2 กล่อง ผมให้เป็นของรางวัลพิเศษ ไม่เกี่ยวกับของขวัญปีใหม่ของผู้บริหาร"
                    "ว้าว ชั้นจองนะแก"
                    "ใครดีใครได้ยะ"
                    "เบาเสียงกันหน่อย เกรงใจคุณภิมุขกันบ้าง" คุณพิชัยเอ็ดเสียงดัง
                    "ไม่เป็นไรๆ ผมกำลังจะไปละ สนุกกันเต็มที่เลย" พี่มาร์ทว่าพาผมเดินออกจากงานไปยังลิฟท์
                    "ถามได้ไหมครับว่า พี่มาร์ทให้อะไรอะ"
                    "หึๆ"
                    "กรี๊ดดดดดดดดด" เสียงดังมากจากห้องอีกแล้วครับ โอย หูจะแตก พนักงานที่นี่กินนกหวีดเป็นอาหารหรือไงเสียงถึงได้ดีไม่มีตกขนาดนี้
                    "ไอโฟนนะ"
                    "ห๊ะ!" งั้นไม่แปลกละครับที่จะได้ยินเสียงดังซะขนาดนี้ เครื่องนึงก็หลายหมืนแถมยังลงทุนตั้ง 4 เครื่อง หล่อซะไม่มีพี่ชายผมนี่

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 15 (1/2)] 30-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 30-05-2016 08:00:39

Until You


ตอนที่ 15 (1/2)

          เคยรู้สึกไหมครับเวลามีใครจ้องยามนอน ไม่ใช่ดวงตาอาฆาตมาดร้ายอะไร แต่ถึงยังไงก็ไม่ชอบที่มีคนมองอยู่ดีและนี่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมาก่อนเวลาตื่นตามปกติ พอหันไปมองด้านข้างถึงกับอึ้งกระพริบตาถี่ๆหลายครั้งภาพพี่มาร์ทเท้าแขนกับหมอนข้างจ้องผมอยู่ยังไม่หายไปเลย
                    "แมค"
                    "หือ?" ผมตอบรับในลำคอ พยายามตั้งสติให้ไวที่สุด ในขณะที่พี่มาร์ทส่งยิ้มละมุนให้ใจเต้นแต่เช้า
                    "น่ารัก"
                    "อืม...น่ารัก เฮ้ย! อุ๊บส์" โวยวายยังไม่ทันได้ออกลีลาก็ถูกปิดปากด้วยริมฝีปากของคนที่ผมไม่รู้ว่าพลิกร่างมาคร่อมผมเอาตอนไหน ปลายลิ้นเรียวไล้เกลี่ยริมฝีปากล่างขบเม้มราวกับเห็นเป็นของอร่อย ผมออกแรงดันอีกฝ่ายออกไปเท่าที่แขนจะมีพื้นที่ว่าง แต่กลับถูกพี่มาร์ทโถมทับเข้ามาทั้งตัวจนไม่เหลือช่องว่าง ซ้ำยังลุกล้ำเข้ามาในโพรงปากดุนดันลิ้นของผมให้คั่วไปตามจังหวะของเขาจนพอใจ ก่อนจะยอมปล่อยผมเป็นอิสระ "อาบน้ำไปกินข้าวกัน" พี่มาร์ทว่าสั้นๆกดปลายจมูกลงกับแก้มผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                    "จะให้ไปอาบน้ำก็ลุกออกไปสิครับ"
                    "ฟอด.... นั่นสินะ"

          อาหารเช้าในวันนี้เป็นปุฟเฟต์แบบอเมริกันชนอย่างที่เคยเห็นกันทั่วไปตามโรงแรมต่างๆ เมื่อผมเดินดูไลน์อาหารครบแล้วจึงเดินไปสั่งไข่ดาวสองฟองกับเชพแล้วจึงเดินไปตักโกโกครั้นนมสดและหยิบขนมปังทาแยมติดมือมาสองแผ่น พี่มาร์ทเองก็แยกกันเดินไปหาอะไรทานในส่วนของเขา รู้สึกว่าพี่มาร์ทจะปลุกผมเร็วนะครับ เช้านี้เลยมีคนมาร่วมทานอาหารด้วยไม่ถึงสิบคนเอง สายๆคงจะทยอยกันมา
                    "เรื่องที่สั่งได้เรียบร้อยแล้วนะค่ะ" เสียงของคุณชาลิสา เลขาของพี่มาร์ทดังขึ้นจากด้านหลังของผม ดูท่าจะเดินตามผมมาที่โต๊ะ
                    "อรุณสวัสดิ์ครับ" ผมเองจึงเอ่ยทักทายออกไปบ้างตามมารยาท
                    "ค่ะ" เธอยิ้มรับ
                    "ขอบใจมาก" พี่มาร์ทกล่าวสั้นๆ ลงมือทานอาหารเช้าต่อไป ผมรอจนคุณเลขาสาวสวยเดินลับตาไปจึงพูดขึ้นว่า
                    "พี่มาร์ทมีธุระเหรอครับ"
                    "ใช่ สำคัญมากด้วย"
                    "บอกได้ไหมว่าอะไรนะครับ" ไม่ตอบเอาแต่ยิ้มแบบนี้ผมไม่อยากรู้ก็ได้

          หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จแล้ว ผมจึงได้ฤกษ์เดินสำรวจโรงแรมตามที่ตั้งใจไว้สักทีแต่ผมเดินเล่นคนเดียวนะครับ เพราะพี่มาร์ทมีธุระต้องไปทำเกี่ยวกับงานสัมมนาที่จัดขึ้น จนนาฬิกาเดินมาถึงเวลาราวสิบโมงครึ่ง ผมจึงได้ขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักพร้อมกับโทรหาพี่มาร์ทไปด้วย เพราะไม่มีกุญแจห้อง โชคเข้าข้างตรงที่พี่มาร์ทเองก็นั่งดูทีวีอยู่ในห้องพักพร้อมกับคุยสายไปด้วย ผมเองก็ไม่อยากกวนจึงเดินเลี่ยงไปยังห้องนอน จัดการพับเสื้อผ้าที่ใช้แล้วลงทุนแพ็กใส่กระเป๋าเอาไว้ จะได้ไม่ยุ่งยากตอนขากลับ
                    "พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่า จะย้ายโรงแรม แมครู้ได้ไง?"
                    "ย้ายโรงแรม? วันไหน วันนี้นะเหรอ?"
                    "ตกลงยังไม่รู้? แล้วเก็บของทำไม?"
                    "ก็เห็นมันรก" ผมตอบ "ตกลงจะย้ายไปไหนอะครับ"
                    "ไว้ถึงแล้วก็รู้เองละน่า" พี่มาร์ทตอบพลางลากกระเป๋าออกมาจากตู้เสื้อผ้า นี่เก็บของเสร็จแล้วเหรอ? "อีก 10 นาทีเก็บเสร็จไหม พี่จะได้ให้พนักงานมายกของ"

          พอออกมาจากลิฟท์ชั้นล่างสุด ผมก็เห็นคุณชาลิสารออยู่ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ล็อบบี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่มาร์ทเดินไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับเธอ ก่อนจะเดินแยกมาสมทบกับผมที่ยืนดูแลกระเป๋าเดินทางทั้งหมดตรงประตูทางออก
                    "เอาให้เข้าท้ายรถหมดเลยไหมครับ"
                    "หมดเลยครับ เว้นแต่เป้นี่อย่างเดียว" ผมบอกพร้อมกับสะพายเป้ขึ้นบ่าไว้ข้างนึง ยืนมองไปรอบๆ   
                    "ลืมอะไรไหม?" พี่มาร์ทเอ่ยถามแต่ผมส่ายหน้า "งั้นขึ้นรถกัน"
                    "ครับ" เมื่อเข้าไปนั่งในรถด้านหลังและฝากระโปรงท้ายปิดลง คนขับก็ออกรถในทันที
                    "แล้วเราจะไปไหนกันครับ"
                    "ตอนแรกพี่ก็ว่าจะไปภูเก็ตนะ แต่คิดไปคิดมาไว้ทริปหน้าดีกว่า ไปถึงที่นั่นอยู่แค่คืนสองคืนไม่คุ้มค่าเท่าไหร่" ผมพยักหน้ารับ "พี่เลยให้คุณสาหาโรงแรมแถวๆนี้ให้ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวและคนไม่พลุกพล่านหน่อย"
                    "คือที่ย้ายโรงแรม เพราะพี่มาร์ทนัดคนมาคุยธุระอีกที่และเรื่องนี้คุยต่อหน้าพนักงานไม่ได้?"
                    "นี่ยังคิดว่าพี่มาทำงานอีกเหรอ?" พี่มาร์ทยิ้มขำ แต่ผมกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วถ้าไม่ใช่จะเปลี่ยนโรงแรมให้มันเปลืองเงินทำไม?
                    "ก็ใช่สิครับ ไม่งั้นจะเปลี่ยนโรงแรมทำไม มีเหตุผลอื่น?"
                    "ใกล้เที่ยงละ แมคหิวยัง" เปลี่ยนเรื่องไวตลอดเชียวนะ "พี่ไม่ได้มาพัทยาบ่อย ไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อยเหมือนกัน"
                    "ผมก็ไม่ได้หาข้อมูลมาครับ เพราะพี่มาร์ทไม่ยอมบอกแผนการเดินทาง" พูดงี้ออกไปกลับโดนมองด้วยหางตากลับมาเลยครับ ก็แค่ประชดกลับบ้านจะข้องใจอะไรไม่ทราบ "โรงแรมอีกที่ไกลไหมครับ อยู่นอกเมืองรึเปล่า ถ้าใช่หาทานนอกเมืองก็ได้ครับ แถวๆข้างทางน่าจะมี ในเมืองรถติดแถมยังจอดยาก"
                    "ได้ แต่ปวดท้องขึ้นมาอย่ามาร้องให้พี่หายาให้กินนะ"
                    "ผมมีขนมกับยาเตรียมมาพร้อมหรอก"

          และแล้วก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันสักทีครับกว่าจะได้กินก็เที่ยงครึ่ง ไม่รู้ว่ารถในตัวเมืองจะติดอะไรกันนักหนากว่าจะออกมาถึงถนนสุขุมวิทได้เล่นเอาคนนั่งอย่างผมลุ้นจนตัวโก่ง
                    "หมูทอดแดดเดียวคลุกงาได้แล้วค่ะ" เสียงพนักงานร้านอาหารอีสานดังขึ้น ผมจึงหันไปรับจานมาวางบนโต๊ะ
                    "เอาแบบนี้อีกจาน" พี่มาร์ทพูดขึ้นตักลาบหมูมาใส่จาน "เอาข้าวเหนียวมาอีก 2"
                    "ใครหิวกันแน่วะ" ผมกระซิบบ่นขำๆ เพราะตอนเลือกร้านพี่มาร์ททำท่าเหมือนไม่อยากกินร้านข้างทางนี่เท่าไหร่ ทั้งที่จริงควรเป็นผมเองที่ไม่อยากกิน เพราะอย่างที่รู้กันว่าร้านอาหารอีสานรสชาติจัดจ้านขนาดไหน แต่ในเมื่อเวลาใกล้บ่ายมากทุกที ท้องผมก็ร้องครวญจนไม่อยากจะเรื่องมากแล้วละครับ "พี่มาร์ทอย่ากินลาบของผมหมดดิ กินจานของพี่ดิ"
                    "มันก็ลาบเหมือนกัน"
                    "ไม่เหมือน ของผมไม่เผ็ดนะ"
                    "อืมๆ งั้นเอาน้ำตกมาจาน แมคกินคอหมูย่างเป็นไหม"
                    "เป็น แต่ไม่เอามันนะ"
                    "โอเค คอหมูย่างไม่เอามันจาน ปลาดุกย่างตัว ข้าวเหนียวอีกห่อ ส้มตำไทยไม่ใส่ปูจาน" ตะโกนสั่งเสร็จ พี่ชายผมก็ลงมือโซยอาหารต่ออย่างไม่ปราณีสายตาคนมองอย่างผมเลย
                    "ทานอาหารอีสานเป็นด้วยเหรอครับ" ผมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ นึกว่าคนรวยกินแต่อาหารหรูกับของไม่เผ็ดซะอีก
                    "ก็เห็นพี่กินอยู่ไม่ใช่เหรอ" ตอบกวนไม่พอยังยิ้มกวนอีก "กินได้แต่ไม่บ่อย เคยกินกับพวกพนักงานที่โรงงาน"
                    "อะนะ" เปลี่ยนคนถามดีกว่าครับคุยกับพี่มาร์ทมากๆผมเหนื่อย "ลุงชาติสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ เดี่ยวผมสั่งให้"
                    "ซุปหน่อไม้ได้ไหมครับคุณแมค" ผู้นั่งร่วมโต๊ะอีกคนเอ่ยปากบอกความต้องการออกมาในที่สุด ดูลุงแกจะเกร็งตอนกินจนผมต้องชวนแกคุย สงสัยจะกลัวเจ้านายอย่างพี่มาร์ท
                    "ได้สิครับลุง ลุงจะเอาอะไรบอกผมเลย ไม่ต้องเกรงใจ" เพราะผมไม่ได้จ่ายไง ฮ่าๆ
                    "มัวแต่ห่วงคนอื่น กินเองบ้างสิ" พี่มาร์ทเอ็ด "ข้าวยังไม่ลดเลย"
                    "รู้แล้วน่า"


                TBC
                 ------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 15 (1/2)] 30-05-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-05-2016 08:22:37
 :L2:  ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
น่ารักกันอย่างต่อเนื่องเลยคู่นี้
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 15 (2/2)] 04-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 04-06-2016 23:35:35

Until You


ตอนที่ 15 (2/2)

          เมื่อคุณลุงชาติคนขับรถดับเครื่องยนต์และลงมาเปิดประตูฝั่งคนนั่งออก ชายหนุ่มออกท่าทางตุ๊งติ๊งเล็กน้อยรีบก้าวออกมาจากล็อบบี้ตรงเข้ามายังรถของผมที่จอดคอยอยู่ เขาปัดผมเรียบแปร่กระชับเสื้อสูทเข้ารูปและเอ่ยทักทายพี่มาร์ทที่ก้าวลงจากรถเป็นคนแรก พร้อมกับแนะนำตัวว่าเป็นผู้จัดการโรงแรมอันใหญ่โตและหรูหราแห่งนี้ ด้วยสายตาแทบจะกลืนกินพี่ชายของผมไปทั้งตัว

                    “สวัสดีครับคุณภิมุข ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมของเราครับท่าน” นึกว่าจะพูดค่ะขาซะอีก “โรงแรมของเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง...”
                    “ร้อน” พี่มาร์ทพูดแสกหน้ากลับไปตรงๆทำเอาคนฟังเหวอ แต่ผมกลับแอบหัวเราะสะใจ เพราะไม่ถูกชะตากับเกย์สาวเป็นทุนเดิม “รถกอล์ฟอยู่ไหน”
                    “อะ...อยู่นั่นครับ ให้ผมนำไปไหมครับ นายช้างมารับกระเป๋าแขกสิ ให้ไวๆ”
                    “ไม่ต้อง” พี่มาร์ทพูดสั้นๆ หันมาบอกผมว่า “แมคไปรอที่รถกอล์ฟก่อนก็ได้ครับ เดี่ยวพี่เช็คอินท์แล้วจะตามไป"
                    “ครับผม” ยิ้มหวานส่งให้พี่ชายหนึ่งที เพราะน้ำเสียงอ่อนละมุนผิดกับที่พูดกับอีกคน อ้าว แล้วจะจิกสายตามองผมทำไมละครับนั่น “ไม่ตามคุณภิมุขไปเหรอครับ คุณผู้จัดการ”
                    “อืม...ห๊ะ....รอด้วยครับ คุณท่าน” โอยวิ่งสี่คูณร้อยก็ไม่ทันหรอกครับ โน่นพี่มาร์ทก้าวฉับๆไปถึงเคาน์เตอร์แล้ว
 "ลุงชาติพักที่นี่กับเราด้วยไหมครับ"
                    "เดี่ยวผมกลับไปนอนโรงแรมเดิมนั่นละครับ ไว้คุณมาร์ทกลับเมื่อไหร่ผมค่อยมารับเข้ากรุงเทพ"
                    "นี่ลุงไม่รู้กำหนดการเหรอครับ" ผมถามออกไปตรงๆ แต่ผู้ฟังทำเพียงยิ้มเจือนส่ายหัว ผมว่าชักยังไงๆแล้วนะครับพี่ชายผมคนนี้
                    "ลุงชาติกลับได้เลย นี่เอาไว้ใช้ช่วงที่พักโรงแรมนะ" พี่มาร์ทเปิดกระเป๋าเงินหยิบแบงค์ม่วงส่งให้จำนวนหนึ่ง "ไว้ผมจะโทรบอกคุณสา ถ้าผมจะใช้บริการจากลุง ขอบใจมาก"
                    "ขอบคุณครับ"
                    "แมคพร้อมแล้วใช่ไหม ไปกัน พี่เริ่มร้อนละ"


          รถกอล์ฟขนาดสามตอนขับพาผมกับพี่มาร์ทมาตามทางเส้นเล็กขนาดรถมอเตอร์ไซด์วิ่งสวนกันได้ด้วยความเร็วไม่มาก เข้าใจว่าคงจะให้แขกเข้าพักชื่นชมกับบรรยากาศรอบข้างที่ตกแต่งประดับดาสวนและก้อนหินใหญ่ไปตลอดทาง ผมสอดสายตามองโดยรอบด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาพักในโรงแรมที่มีแต่บ้านเดี่ยวภายในรั้วรอบขอบชิด ทั้งที่ปกติจะได้พักแต่ในห้องโรงแรมบนตึกสูงเท่านั้น
          ไม่นานรถกอล์ฟก็จอดหยุดลงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีป้ายชื่อเขียนว่า Villa ตามด้ายชื่อต้นไม้มงคลและตัวเลข ผมชอบแนวคิดนี้ครับใช้ไม้สลักดูคลาสสิคไม่น้อย ว่าแล้วก็จัดภาพเก็บไว้ในกล้องอีกสักช็อต

                    "เชิญครับคุณผู้ชาย" ศัพท์หรูหรามาอีกแล้วครับ สงสัยจะเป็นถูกอบรมมาแบบนี้ "ระวังพื้นไม่เท่ากันด้วยครับ" เขาเอ่ยเตือนเพราะพื้นถนนที่นี่เป็นพื้นปูนใช้การแต่งแบบเล่นระดับทำให้ดูแตกต่างจากที่อื่นๆ
                    "แล้วกระเป๋า?" ผมถามขึ้นลอยๆ
                    "เดี่ยวผมดูแลให้ครับ เชิญเข้าวิลล่าเลยครับ" เขาผลักประตูไม้สองบานเปิดเข้าไปภายในวิลล่า ซึ่งทำเป็นทางเดินขั้นบันไดสามขั้นสลับกับทางเดินยาว ขนาบข้างด้วยต้นไม้ประดับตลอดสองข้างทาง ซึ่งแน่นอนว่ามันดูร่มรื่นมาก แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจการออกแบบเท่าไหร่ว่า จะทำทางให้มันโค้งไปมาให้ผมสับสนทำไม นี่จากประตูบ้านตรงเข้ามาสุดทางนึกว่าจะถึง เปล่าเลย ผมต้องเดินเลี้ยวขวาหนึ่งแยกก่อนจะเดินตรงไปถึงประตูทางเข้าที่พักอีกบาน  ณ. ที่ตรงนี้มีพนักงานสาวในชุดล้านนาสองคนยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้มพร้อมน้ำพันซ์และขนมชิ้นเล็กสามอย่างรอคอยอยู่แล้ว แอบว้าวในใจไปแล้วนะครับนี่ บริการดีเลิศประเสริฐศรีจริงๆที่นี่
                    "ยินดีต้อนรับค่ะท่าน เชิญทางนี้เลยค่ะ" เมื่อพนักงานสาวรับหน้าที่ต้อนรับแทนแล้ว พนักงานขับรถหนุ่มจึงได้ขอตัวเดินไปจัดการยกสัมภาระต่อ "รับเครื่องดื่มที่ไหนดีค่ะท่าน ในห้องรับแขกหรือสระว่ายน้ำ"
                    "ในบ้านละกัน ผมร้อนละ" พี่มาร์ทตอบอย่างไว ในขณะที่ผมอยากตอบว่าสระว่ายน้ำมากกว่า สระว่ายน้ำแบบส่วนตัวครั้งแรกในชีวิตผมเลยนะครับ พลาดได้ไง? พี่มาร์ทก็ไม่บอกว่าวิลล่ามีสระว่ายน้ำด้วย อ้าว เดินกันไปไม่รอผมอีกละนะ เดี่ยวแอบกินน้ำพันซ์แก้วพี่มาร์ทแก้แค้นซะเลย ทว่า... พอเข้ามาในตัวบ้านโซนห้องรับแขก ผมถึงกับผงะกับลมแอร์ที่เป่ามาปะทะใบหน้าเย็นฉ่ำสมใจผมจริงๆ งั้นผมไม่แกล้งคืนแล้วก็ได้
                    "น้ำพันซ์กับขนมเค๊กโฮมเมดจากทางโรงแรมค่ะท่าน" ทั้งสองพูดขึ้น "ชิ้นนี้เป็นเค๊กมะพร้าว ชิ้นนี้เป็นบราวนี่ช็อกโกแลต ส่วนชิ้นนี้เป็นคุ๊กกี้อัลมอนค่ะ หวังว่าท่านจะชื่นชอบกับการคัดสรรของทางเรานะค่ะ หากไม่มีอะไรให้รับใช้แล้ว ขอตัวนะค่ะ ขอให้ท่านทั้งสองมีความสุขและผ่อนคลายการต้อนรับจากโรงแรมของเราค่ะ"
                    "อืม" พี่มาร์ทรับปากสั้นๆ ก่อนจะหันไปบอกชายหนุ่มที่ยกกระเป๋ามาให้ "ไม่ต้องจัดเข้าตู้ เดี่ยวผมจัดการต่อเอง เสร็จแล้วใช่ไหม"
                    "ครับ / ค่ะ" ทั้งสามเดินมารับทิป ก่อนจะออกไปพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย ผมเหลือบตามองรอจนทุกคนออกไปหมดจึงหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาเบดรีบใช้นิ้วคีบเค้กเข้าปากในทันที แต่กลับโดนพี่มาร์ทตีมือดังเพี๊ยะ นั่งเก้าอี้ตัวเดียวแถมยังมีโต๊ะไม้กั้นกลางยังเอื้อมมือมาตีผมได้อีกนะ คิดดู
                    "ใช้ส้อมสิ มือไม่สะอาด" เซ็งเลย ขี้บ่นระวังจะแก่เร็วนะครับ
                    "รู้แล้วน่า แค่แกล้งหยิบเล่นลองเชิงพี่มาร์ทเฉยๆเอง" ผมบอกอย่างคนกระล่อนพลางฉีกยิ้ม
                    "พี่ไม่เชื่อ" ตอกกลับไม่พอยังจะหัวเราะใส่ผมอีก "ชอบขนมขนาดนี้ พี่สั่ง Afternoon Tea Set ให้เอาไหม?"
                    "จริงสิครับ" ตาลุกวาวเลยครับงานนี้ "แต่ไม่เอาดีกว่า เดี่ยวผมกินนานแล้วแขกพี่มาร์ทมาเห็น มันดูไม่สุภาพเท่าไหร่ ว่าแต่นัดใครมาเหรอครับ เลือกซะหรูเชียว"
                    "ยังคิดว่าพี่มาทำธุระอยู่เหรอ" ผมพยักหน้ารับ แต่พี่มาร์ทกลับถอนหายใจเบาๆ "ถ้าพี่บอกว่า พี่ไม่ได้มาเรื่องงานละ แมคจะเชื่อไหม"
                    "หือ?" เป็นงงเลยครับทีนี้
                    "พี่พามาพักผ่อนนะ ที่เลือกที่นี่ก็เพราะสงบและเป็นส่วนตัวดี" ง่ายๆงี้เลยเนอะ เหตุผลของคนเรา
                    "โอเค สรุปว่าพี่มาร์ทจะนอนที่นี่และไม่มีแขกมาเยือนใช่หรือไม่?" อีกฝ่ายผงกศีรษะรับคำน้อยๆยกน้ำพันซ์ขึ้นจิบ "ถ้าใช่ งั้นผมไปโดดน้ำแล้วนะครับ"
                    "เดี๋ยว!" เรียกไม่พอยังรั้งแขนผมไว้อีก "แดดแรงขนาดนี้ อย่าเพิ่งออกไปว่ายน้ำเลย เดี่ยวไม่สบายเอา"
                    "งั้นเดินรอบๆสระได้ไหมอะ" ผมชะเง้อมองออกไปตามรอยแยกของม่านพับคล้ายบานเกล็ด เห็นสระว่ายน้ำกระทบแสงแดดส่องประกายอยู่รำไร มีเก้าอี้อาบแดดสองตัวทางด้านซ้ายและโต๊ะดินเดอร์หนึ่งชุดสำหรับสองคนนั่งในศาลาขนาดเล็กทางด้านขวาด้วย อยากไปทัศนาจะแย่ละ
                    "ไม่ได้ ข้างนอกไม่มีร่มเลยเห็นไหม รอเย็นกว่านี้ก่อน"
                    "งั้นเดินสำรวจบ้านได้ไหมอะ ตรงสวนหย่อมอะ มีต้นไม้บังแดดด้วยนะ ผมอยากถ่ายรูป"
                    "ไม่ได้ เจอไอแดด เดี่ยวไข้ขึ้น"
                    "งั้นเดินในบ้านก็ได้ ปล่อยสิ" หลังบานประตูตรงหน้าน่าจะเป็นห้องนอน ดูท่าน่าจะมีประตูกระจกเชื่อมจากห้องนอนไปข้างนอกได้เหมือนกัน หรือจะวกเข้าไปทางประตูห้องน้ำซ้ายมือผมดี เท่าที่เคยดูพวกรายการทีวีมา ผมว่าโรงแรมหรูพวกนี้มันมีประตูเชื่อมกันหลายบาน เข้าทางนั้นออกทางนี้ก็ได้เหมือนกัน
                    "ไม่ได้"
                    "อะไรๆก็ไม่ได้ พี่มาร์ทจะอ้างอะไรอีก ในบ้านไม่มีแดดสักหน่อย" ผมสะบัดแขนออกจนหลุดยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง แต่จ้องนานเมื่อยขาละ ผมนั่งกอดอกจิบน้ำรอดีกว่า
                    "เงียบเชียว" ไม่อยากพูดด้วยละ ทำหูทวนลมดีกว่า "แมคอย่าดื้อสิครับ ไว้เย็นกว่านี้ก่อนพี่จะไม่ห้ามเลย พี่พาแมคมาเที่ยวนะครับอย่าทำหน้าบูดสิ แบบนี้ไม่น่ารักเลย"
                    "ก็พี่มาร์ทไม่ให้ผมทำอะไรสักอย่างอะ จะให้นั่งเฉยๆยัน 5 โมงเย็น ผมเบื่อแย่"
                    "ทนหน่อยน่า ตากแดดนานๆ ไม่สบายอดเที่ยวไม่รู้ด้วย"
                    "ถึงผมจะบึกน้อยกว่าพี่มาร์ท แต่ผมก็ถึกพอควรนะ" ถ้าบอกไม่เชื่อเดี่ยวเบ่งกล้ามให้ดูซะเลย "ไม่ให้ทำอะไร งั้นผมนอนก็ได้"

          พูดจบผมก็ลุกขึ้นยืนเดินไปยังกระเป๋าเดินทางของตัวเองหิ้วขึ้นสะพานบ่า ก้าวฉับๆไปยังประตูที่ผมคาดว่าจะเป็นห้องนอน และเมื่อเปิดเข้าไปผมถึงกับผงะกับภาพที่แสนคุ้นเคย ใช่ว่าจะเคยมาที่นี่หรอกนะครับ ผมหมายถึงว่าเตียงนอนขนาดคิงส์ไซด์ปูด้วยผ้าปูเตียงสีขาวนี่มีมุ้งที่ถูกรวบเอาไว้ด้านข้างด้วยครับ มองแล้วคิดถึงตอนเป็นเด็กชะมัด ได้นอนในมุ้งกันยุงเปิดพัดลมปลิวไสวอากาศถ่ายเทกำลังดี นอนแล้วเย็นสบายมากๆเลย

                    "ชอบไหม?" พี่มาร์ทเอ่ยเสียงเบากระซิบข้างใบหู
                    "ชอบ" ผมตอบเบินหน้าหันข้างไปมองฟูกและหมอนสามเหลี่ยมบนพื้นตรงปลายเตียง
                    "ชอบพี่เหรอ พูดจาน่ารักอีกละนะ" พี่มาร์ทว่าพลางกดริมฝีปากลงข้างแก้มผม
                    "พี่มาร์ทมั่ว ผมบอกตอนไหนว่าชอบพี่ ผมหมายถึงห้องนอนต่างหาก"
                    "เหรอครับ พี่ก็นึกว่าแมคบอกรักพี่ซะอีก"
                    "โว๊ย ไม่คุยด้วยละ งงบวกงอน" ดูดิครับ ผมว่าแล้วยังมีหัวเราะเยาะผมอีก นิสัยแย่วะพี่ชายผมนี่
                    "ไหนบอกจะนอนเล่นไง"
                    "เก็บกระเป๋าก่อนสิครับ เดี่ยวเสื้อผ้ายับ ตู้อยู่ไหนนี่" เข้ามาในห้องนี้มีแต่เตียง โต๊ะโคมไฟกับโซฟายาวตัวนึง ไม่เห็นมีตู้เสื้อผ้าเลย
                    "เอาน่าๆ มาเอนกัน เสื้อผ้าเรียงมาดีแล้วไม่ยับหรอก" พี่มาร์ทพูดขึ้นพลางจับมือผมพาไปยังเตียงนอน แต่ผมว่า อารมณ์นี้มันชักยังไงๆแล้วนะครับ "วันว่างทั้งทีมานอนคุยเล่นกันดีกว่า"
                    "แค่นอน?"
                    "หรือจะทำอย่างอื่น? พี่ไม่ขัดนะครับ" ยิ้มได้เจ้าเล่ห์มากๆ
                    "งั้นนอนกัน" บอกเสร็จก็หยิบหมอนมากั้นกลางครั้บ ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพื่อความปลอดภัยในหัวใจและร่างกายของผมเอง
                    "หลับจริง?"
                    "หลับตาอยู่นี่ไง"
                    "แล้วพูดตอบพี่ได้ไง" เอ๊ะ...ตกลงจะให้ผมนอนปะนี่ พูดจากกวนชะมัด
                    "มัวแต่พูดแล้วผมจะหลับได้ไง เงียบๆสิครับ"   
                    "ก็จริง" พี่มาร์ทขำน้อยๆ "พี่ชอบการตกแต่งและการบริการของที่นี่นะ สงบดีเหมาะสำหรับพักผ่อนคิดอะไรเงียบๆคนเดียว..."
                    "คนเดียวจริงอะ" ผมแกล้งถาม
                    "หรือแมคอยากมาด้วย พี่ก็ไม่ขัดนะครับ ที่สำหรับเรา รู้กันแค่สองคนก็พอแล้ว"
                    "น้ำเน่า" ผมลืมตามองด้วยหางตาก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง "อย่างพี่มาร์ทนะเหรอจะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้คนเดียว"
                    "ทำไมพี่จะมาคนเดียวไม่ได้ละ หืม?" มีหางเสียงตลอดนะครับช่วงนี้
                    "บรรยากาศเหมาะกับการฮีนนีมูนขนาดนี้ มาคนเดียวเสียดายแย่" ผมพูดขึ้นเลย แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะลอดเข้าหู "ขำอะไรละนั่น วิลล่าสวยขนาดนี้ มาคนเดียวจะให้นอนเล่นเฉยๆเหรอครับ?"
                    "ฮันนีมูนเหรอ ฮ่าๆๆ" พี่มาร์ทว่า "พี่ยังไม่ได้แต่งงานนะครับ จะมีช่วงเวลาฮันนี่มูนได้ไง"
                    "คือผมหมายความว่า พาแฟนมาเที่ยว มาเดทไรงี้"
                    "พี่ยังไม่เคยคบใครนาน ขนาดต้องพาไปเปิดตัวที่ไหนหรอก" พูดงี้ผมหันขวับเลยครับ แล้วสาวๆที่ผมเห็นควงไปไหนมาไหนนั่นอะ "อีกอย่าง พี่ยังไม่มีแฟน แล้วพี่ก็ไม่เคยคบใครจริงจังขนาดต้องใช้คำศัพท์นี้"
                    "ถามแค่นี้ ทำไมต้องทำเสียงจริงจังด้วยละ"
                    "พี่ไม่อยากให้แมคเข้าใจผิด"
                    "ผมจะเข้าใจอะไรผิดมิทราบครับ" ถามแค่นี้ทำไมต้องพลิกมานอนตะแคงจ้องหน้าผมด้วยก็ไม่รู้ "ไม่คุยด้วยละ นอนดีกว่า" นอนหันหลังให้ดีกว่าครับ คุยกับพี่มาร์ทมากๆไม่ได้หลับกันพอดี
      

          ทันใดนั้นเองผมกลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างประหลาดจนต้องแขม่วพุงถดหนีต้นแขนที่โผเข้ามากอดรัด แต่ไม่พ้นทั้งยังถูกรวบเอวเข้าไปกอดเต็มอ้อมแขนอีก สายตาของผมจ้องมองไปยังกลางลำตัวค่อยๆออกแรงดึงต้นแขนล่ำออกอย่างเบามือ แต่ยิ่งแกะกลับยิ่งแน่น ซ้ำฝ่ามือหนายังเอื้อมมาบิดคางผมให้หันกลับไปรับริมฝีปากที่จรดมาแนบชิด
                   
                    "เรื่องอดีตมันจบไปแล้ว ตอนนี้พี่มีแมคคนเดียว"
                    "ไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย" ผมตอบเสียงอ่อยก้มหน้างุด
                    "ไม่ต้องถาม พี่มองตาเราก็รู้ละว่าคิดอะไร"
                    "มั่วชัดๆ งั้นตอนนี้ผมคิดอะไร?" จ้องมาเลยครับ หันมองให้เต็มตาเลย ตาใสๆสีน้ำตาลเข้มของผมบอกอะไร บอกมาเลย "ว่าไงครับพี่ชาย"
                    "อืม?...พี่ควงสาวกี่คน?"
                    "เฮ้ย รู้ได้ไง? อุ๊บส์!" ปิดปากแทบไม่ทัน "คือไม่ได้จะถามตรงแบบนั้น ผมสงสัยว่าอยู่ๆพี่มาร์ทมาชอบผมได้ไง สาวๆมีตั้งเยอะ อย่างคนที่เจอกันที่มอเตอร์โชว์สวยออก"
                    "ก็แมคไม่สวยไง"
                    "ครับ ผมมันหล่อ หล่อกระแทกใจพี่จนไม่มองคนอื่นเลยใช่ไหมละ" ผมพูดย้อนกลับไปบ้างอย่างคนหมั่นไส้
                    "ช่างพูดเกินไปแล้ว" พี่มาร์ทว่ายิ้มๆฝังจมูกแรงๆลงกับแก้มผม "พี่ชอบแมค เพราะเหตุผลอย่างอื่น"
                    "พอเลย" ผมยกมือห้าม บางทีการไม่รู้ความจริงอาจจะทำให้ผมนอนหลับได้สนิทมากกว่า "มัวแต่คุยอยู่นี่เมื่อไหร่จะได้นอน นอนกันเถอะครับ"

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 15 (2/2)] 04-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 05-06-2016 07:55:58
น้องแม็คน่ารักกก~~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 15 (2/2)] 04-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-06-2016 08:22:02
 :man1:  น่ารัก   :L2:  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 16 (1/2)] 13-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 13-06-2016 21:26:06

Until You


ตอนที่ 16 (1/2)

          สระว่ายน้ำส่วนตัวภายในวิลล่าเป็นสระขนาดยาวสิบเมตรและลึกราวหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร เป็นสระว่ายน้ำที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวบ้านที่ผมพักอาศัยอยู่ในขณะนี้ โครงสร้างสระว่ายน้ำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าลึกเท่ากันทุกด้านปูพื้นด้วยกระเบื้องหินสีเทาเข้มยาวตลอดจนถึงขอบสระ พื้นโดยรอบทำเป็นไม้ระแนงเรียงกันเป็นซี่ๆ และที่สำคัญมีระบบไอน้ำพ่นอยู่ในสระด้วยครับ เป็นอะไรที่สุดยอดมากเลย

                    "ไม่ลงมาว่ายน้ำเหรอครับ" ผมโผล่หน้าขึ้นมาจากน้ำยกมือขึ้นลูบหยดน้ำที่บดบังม่านตาออกเอ่ยถามเสียงดัง "น้ำเย็นน่าว่ายมากๆเลยครับ"
                    "พี่วอร์มแป็บ เดี่ยวตามลงไป" พี่มาร์ทพูดขึ้นค่อยๆปลดสายรัดชุดคลุมอาบน้ำออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ดูเป็นหุ่นนักกีฬาที่เฟิร์มสุดๆ "มองอะไรครับ พี่อุตส่าห์เลือกชุดปกติมาแล้วนะ ไม่โอเคอีกเหรอ"
                    "โอครับโอ" ผมตอบหน่ายๆ มองกางเกงว่ายน้ำสามส่วนสีน้ำเงินที่อีกฝ่ายสวมมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะว่ายน้ำไปอีกทาง นึกว่าคราวนี้จะใส่บิกินี่มาซะอีก "พี่มาร์ทมาว่ายน้ำแข่งกัน"
                    "เดี่ยวนี้กล้าท้าพี่แล้วเหรอ?"
                    "เขาไม่เรียกท้า เรียกเชิญชวน" ขยิบตาวิบวับส่งให้ประกอบคำพูดซะหน่อย แต่กลับโดนน้ำสาดใส่หน้าแทน น้ำเข้าตาเลยไม่ทันระวัง "แกล้งเค้าเหรอ"
                    "คิดว่าไงละ?"
                    "เหรอครับ นี่แนะๆ" ตีน้ำใส่ซะเลย สมน้ำหน้าเปียกครึ่งตัว เฮ้ย พี่มาร์ทลงน้ำมาแล้ว หนีสิครับจะอยู่ให้โดนแกล้งหรือไร
                    "มาให้พี่จับซะดีๆ"
                    "เรื่องดิ บุ๊งๆ" แต่ด้วยแขนขาที่ยาวกว่าผมเริ่มเสียเปรียบละ ว่ายหนีมาหลายรอบ มุดหนีก็หลายตลบ ผมชักเหนื่อยละคาดว่าถ้าว่ายต่อไปผมต้องเป็นลมหรือไม่ก็โดนจับแน่ๆ หนีขึ้นบกดีกว่า รู้งี้ออกกำลังกายบ่อยกว่านี้ก็ดี
                    "พักก่อน" ผมตะโกนบอกเสียงหอบ ดันตัวขึ้นจากขอบสระว่ายน้ำตรงไปหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ตรงเก้าอี้อาบน้ำขึ้นมาดื่ม "พี่มาร์ทเอาปะ เดี่ยวผมไปหยิบให้ ขวดนี้ผมกินหมดละ"
                    "เอาครับ" ผมพยักหน้ารับ หยิบผ้าขนหนูที่วางพาดไว้มาซับหยดน้ำ ก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้านเปิดตู้เย็นหยิบมาขวด แต่พอกลับออกมา สระว่ายน้ำกลับโล่ง "อ้าว ไปไหนซะละ"
                    "แบร่"
                    "เฮ้ย!!” ไม่ทันระวัง ลื่นพรืดหัวเกือบฟาดขอบเก้าอี้ โชคดีที่พี่มาร์ทเอื้อมมาจับไว้ได้ทัน
                    "ไม่นึกว่า จะตกใจง่ายๆ"
                    "ก็พี่อะ เล่นไร บ้าๆ" ผมมองค้อน แต่อีกฝ่ายกลับเชยคางผมขึ้นไปจูจุ๊บ กดซะแรงเลย
                    "โอมเพี้ยง หายยัง"
                    "แมคไม่ใช่เด็กนะ บ้าเปล่า" ว่าแล้วยังยิ้มมุมปากอีกนะ "น้ำครับ จะดื่มไหม"
                    "อะ"
                    "เปิดกินเองดิ" คนอะไรอ้าปากรออย่างกับลูกนก จะให้ผมป้อนเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
                    "หึๆ เล่นงมเหรียญกันไหมครับ" พี่มาร์ทว่า "สลับกันโยน ใครหยิบได้ก่อน ต้องทำตามที่อีกคนขอนะ"
                    "ได้เลย" วิธีการเล่นก็แสนง่าย ดำลงไปหยิบที่ก้นสระ ใครหยิบได้ก็โดนอีกคนเข้ามาแย่ง ต้องกันและหลบหลีกพอดู กว่าจะรอดมาเหนือน้ำได้ รวมๆก็สนุก แต่เหนื่อยใช่ย่อยเลย ด้วยพละกำลังที่ต่างกัน"พอๆ ขอเวลานอก" ผมหอบแฮ่กๆ แทบจะคลานขึ้นจากสระว่ายน้ำ ไปนอนแปะแผ่สามสลึงบนเก้าอี้ ถอดหมวกว่ายน้ำกับแว่นตาโยนทิ้งข้างๆ
                    "อะไรเหนื่อยแล้วเหรอ พี่ยังไม่เหนื่อยเลย" พี่มาร์ทที่กำลังเกาะขอบสระพูดขึ้น
                    "ไม่ต้องมาแกล้งเลย ถ้าจะนอน ไปๆไปนอนเตียงโน้น" ผมยกแขนชี้ไปเตียงข้างๆ เริ่มหายใจหอบพูดตระกุดตระกักละ
                    "ได้ไงเล่า มาด้วยกันก็ต้องนั่งด้วยกันสิครับ" ไม่พูดเปล่า เพราะตอนนี้พี่มาร์ทเดินเข้ามาใกล้หย่อนก้นลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างกันพร้อมกับดึงผมไปนั่งตรงหว่างขา สองแขนประสานกอดเอวผมไว้จากด้านหลัง รู้สึกถึงน้ำหนักจากคางที่วางบนไหล่ของผมเลย เราสองคนหันมาสบตากันแล้วผละออกในชั่วเวลาอันสั้น ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นอีกเลย มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านไป จนขนเริ่มตั้งชันผมจึงได้พูดขึ้นว่า
                    "อาบน้ำกันเถอะครับ ผมเริ่มหนาวละ"
                    "อาบด้วยกัน?"
                    "คือผมชวนอาบน้ำ ไม่ได้บอกว่าต้องอาบด้วยกันสักหน่อย"
                    "ก็นะ" พี่มาร์ทยิ้มหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นบนโต๊ะมาส่องดู "จะ 5 โมงเย็นละ รีบอาบน้ำกันดีกว่า"
                    "พี่มาร์ทอาบก่อนก็ได้นะครับ เดี่ยวผมค่อยอาบต่อก็ได้"
                    "อืม ฟอดดด"
      
                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 16 (1/2)] 13-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 13-06-2016 21:45:05
มีเชิญชวนด้วย :hao7:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 16 (1/2)] 13-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-06-2016 21:51:58
 :impress2:   อยากฟินยาวๆอ่า.  :pig4:
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 16 (1/2)] 13-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 14-06-2016 10:01:17
มาต่อเร้ววว จะได้ฟินกันต่อ  :-[
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 16 (2/2)] 22-06-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 22-06-2016 22:51:18

Until You


ตอนที่ 16 (2/2)


          เมื่อประตูห้องน้ำเยื้องกับเตียงนอนเปิดออก ผมจึงเดินสวนเข้าไปในห้องน้ำบ้าง แสงสีส้มภายในห้องส่องสว่างทำให้ผมเห็นการตกแต่งภายในที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขวามือของห้องน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกจัดสรรเป็นพื้นที่สำหรับทำธุระส่วนตัว มีบานกระจกกั้นโซนห้องอาบน้ำฝักบัวและชักโครกเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีประตูบานหนาอีกบานสำหรับให้แขกที่มาพักเปิดออกไปอาบน้ำฝักบัวแบบ Open Air ทางด้านนอกห้องในสวนติดกำแพงได้อีกด้วย ออกแบบได้น่าสนใจมากเลยครับ แต่ผมขอผ่านก่อนดีกว่า ออกไปอาบน้ำข้างนอกตอนนี้โดนยุงหามแน่ ดังนั้นผมจึงเลือกเดินไปทางซ้ายมือเพื่อไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำจาร์กุซซี่สีขาวมุกทรงรีดูจะเหมาะกว่า ก่อนอื่นเลยต้องเปิดน้ำอุ่นรอก่อน ระหว่างรอผมล้างหน้าและปิดม่านอาบน้ำเป็นการส่วนตัวดีกว่า


          อาบน้ำเสร็จสรรพหอมฉุยด้วยครีมอาบน้ำแบบสปาของทางโรงแรมแล้ว ผมก็ออกมาแต่งตัวสวมชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดใส่สบายที่ติดเอามาจากบ้าน สอดส่ายสายตามองหาพี่ชายผู้ร่วมห้อง ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหนแล้วละครับ ที่สำคัญท้องผมร้องครวญครางแล้วละครับ พี่มาร์ทอยู่ไหนนี่จะได้ออกไปหาอะไรกิน

                    "Stop!" ถึงกับหยุดกึก ไม่กล้าก้าวเดินพ้นประตูห้องนอนเลยเชื่อมไปยังห้องรับแขกเลย
                    "ทำไมอะ เดี่ยวค่อยกลับมาแกล้งผมได้ไหมอะ ผมหิวแล้ว ออกไปหาข้าวกินกันเถอะ"
                    "หิวแล้วเหรอ? งั้นหลับตาก่อน"
                    "งง?"
                    "ทำสิครับ เร็วเข้า หิวไม่ใช่เหรอไง"
                    "ก็ได้ๆ ทำอย่างกับจะเสกอาหารออกมาให้กินตรงหน้าได้งั้นละ"
                    "หึๆ" พี่มาร์ทหัวเราะในลำคอตามสไตล์ ก่อนจะเดินมาจับมือผมพาเดินไปไหนสักที่ "ข้างหน้าพื้นไม่เท่ากันค่อยๆก้าวละ อืม อย่างนั้นละ เดินไปอีกนิ๊ดถึงแล้วละครับ"
                    "เล่นอะไรเนี๊ยะพี่มาร์ท"
                    "ลืมตาได้"


          อย่างกับภาพในหนังเพราะตรงหน้าผมคือศาลาริมสระถูกเนรมิตเป็นสถานที่สำหรับดินเนอร์สุดหรู ถามว่าหรูยังไง มันก็หรูแบบไปกินโรงแรมไงละครับ เริ่มจากเนรมิตศาลาไม้ธรรมดาเป็นศาลาที่มีม่านสีขาวห้อยระย้าย้อยมาตากเสาค้ำ โต๊ะไม้ถูกคลุมด้วยผ้าเนื้อดีสีขาวล้วน มีชุดแก้วน้ำ จานชามและช้อนส้อมวางเรียงกันตรงหน้า ดอกกุหลาบสีแดงแซมด้วยดอกสแตติสสีม่วงและดอกคัตเตอร์สีขาวท่ามกลางใบเล็บครุฑและใบเฟิร์นในแจกกันทรงเตี้ย ทำให้โต๊ะอันแสนเรียบง่ายมีสีสันขึ้นมาถนัดตา

                    "เชิญครับ" พี่มาร์ทเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งเสร็จ ก็เดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม "ชอบไหม พี่ให้ทางโรงแรมเตรียมให้เมื่อครู่นี้เอง
                    "ถึงว่าอาบน้ำก่อนผม" ไม่อยากจะยิ้มหรอก แต่มันอดไม่ได้ "ชอบไหมไม่รู้ ขอกินก่อนแล้วจะบอก"
                    "รับไวน์แดงเลยไหมครับ" เสียงหนึ่งแทรกขึ้นข้างกาย ผมหันไปมองจึงได้เห็นเชพหมวกสูงในชุดสีขาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม มาตอนไหนครับนี่ ผมไม่ยักกะเห็นตะกี้เลย แต่พี่มาร์ทกลับพยักหน้ารับคำแทนผม เชฟหนุ่มจึงหยิบไวน์จากในถีงแช่เปิดออกรินใส่แก้ว
                    "เสิร์ฟคอร์สได้เลย" พี่มาร์ทเอ่ยสั้นๆ รอเพียงอึดใจ พนักงานหนุ่มในชุดสูทจึงเข็นรถเดินเข้ามาจากทางหน้าวิลลาที่พัก ผมเองจึงหยิบผ้ากันเปื้อนแกะออกวางบนตักอย่างที่พี่มาร์ททำบ้าง
                    "เมนูสำหรับค่ำคืนนีจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 คอร์สและปิดท้ายด้วยขนมหวานนะครับ" เชฟหนุ่มแนะนำและผายมือให้กับผู้ช่วย "อะโวคาโดสลัดเสิร์ฟพร้อมกั้งและ...คาเวียร์ครับ" นี่ตักกันสดๆให้เห็นตรงหน้าเลยครับ เม็ดเล็กสีน้ำผึ้งแกมทองนี่นะที่เขาว่าแพงนักแพงหนา "ส่วนอีกท่านเป็นการ์ลิคครีมซุปนะ พร้อมขนมปังอบกรอบครับ" แม้เมนูผมจะดูธรรมดากว่ามากแต่แค่เห็นผมก็แทบจะน้ำลายหกลงไปในถ้วยซุปแล้วนะครับ กลิ่นหอมชวนทานมาก
                    "ทานเลยได้ไหมครับพี่มาร์ท"
                    "เอาสิ" หิวแต่ก็ต้องจ้วงอย่างสุภาพหน่อย เพราะดูท่าเชฟจะรอพวกผมทานเสร็จก่อนจะยกจานออกเปลี่ยนเมนูใหม่มาให้แทน
                    "สำหรับ Second course วันนี้ผมได้คัดสรรเมนูขึ้นชื่อของทางโรงแรมให้กับคุณผู้ชายท่านนี้ นั่นก็คือริซอตโต้ฟัวกราส์กับหน่อไม้ฝรั่งขาว" เคยได้ยินมานานละครับชื่อตับห่านนี่ ของจริงเล็กกว่าที่คิดแฮะ "และสำหรับอีกท่านเป็น ราวิโอลี่บีทรูทไส้เนื้อปู" ว้าว พาสต้าของโปรดผมเลยครับ หม่ำๆอีกจาน
                    "รสชาติเป็นไงบ้าง"
                    "อืม อร่อยครับพี่มาร์ท"
                    "ปลาหิมะย่างซอสทรัฟเฟิล สเต็กเนื้อริบอายราดซอสไวน์แดงกับสเต็กกุ้งแม่น้ำอบเนยกระเทียม เป็น Main Dish ในวันนี้นะครับ เชิญทานให้อร่อยนะครับ"
                    "ทรัฟเฟิลเป็นขื่อเห็ดใช่ไหมครับ" ผมหันไปถามเชฟหนุ่มด้วยความอยากรู้ ทั้งที่จานตัวเองไม่ได้มีเห็ดที่ว่านี่เลยครับ
                    "ใช่แล้วครับ ทรัฟเฟิลที่ใช้สำหรับปรุงอาหารในจานนี้เป็นทรัฟเฟิลสีดำหั่นบางๆแทรกในเนื้อสเต็ก"
                    "Dessert เป็นอะไร?" พี่มาร์ทเอ่ยถามแทรกขึ้นมา
                    "ช็อกโกแลตมูส กับ สตอเบอรี่เชอร์เบสครับ"
                    "ถ้าพร้อมแล้วก็เสิร์ฟได้เลย อีกสักชั่วโมงค่อยมาเก็บละกัน ขอบใจมาก" พี่มาร์ทบอกตัดบทและรอเชฟหนุ่มพร้อมพรรคพวกเดินจากไป จึงได้ลงมือรับประทานต่ออย่างเงียบๆสักพัก ก่อนจะเอ่ยว่า "อยากให้แมคมานั่งตักจัง" พี่พูดแล้วท้าวคางมองผมง่ายๆงี้เลย
                    "เมื่อบ่ายก็นั่งแล้วไงครับ"
                    "นั่นนั่งหว่างขา ไม่ใช่นั่งตักสักหน่อย"
                    "มันก็โดนขาพี่มาร์ทเหมือนกันละน่า" ผมบอกปัด ใช้ส้อมจิ้มพาสต้าเข้าปาก
                    "ใจร้ายชะมัด ทำเพื่อพี่หน่อยก็ไม่ได้"
                    "บ่นเป็นหมีกินผึ้งเชียวนะครับ" ผมยิ้มขำแต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้ว "สุภาษิตไทยไงครับ แปลว่า ขี้บ่นมาก"
                    "..." พี่มาร์ทมองผมหน้านิ่ง ผมเองก็มองกลับไปหน้านิ่งเช่นกัน ดูซิว่าใครจะจบเกมส์จ้องตานี่ได้ก่อนกัน แต่ของผมไม่ได้มองอย่างเดียวนะครับ มองไปจิ้มอาหารเข้าปากไปด้วย มองอย่างเดียวมันเสียเวลาแถมท้องก็ไม่อิ่ม ทันใดนั้นเอง กุ้งตัวโตที่กำลังโดนผมเล็งเป็นคำต่อไปกลับถูกส้อมปริศนาจิ้มหายไปต่อหน้าต่อตา
                    "เฮ้ย อันนั้นไม่ได้นะ ของชอบผม เอาคืนมา"
                    "หึๆ ตัวประกัน" พี่มาร์ทว่ายิ้มๆค่อยๆเอามีดจ่อเปลือกกุ้งเตรียมชำแหละ แค่เห็นหัวใจผมก็สะท้านแล้วครับ "จะมานั่งไหม ให้เวลาคิด 5 วิ เริ่มนับ 5 4 3..."
                    "ไปแล้วๆ" แทบวางส้อมไม่ทันกันเลยทีเดียว นั่งปุ๊บก็ใช้ช้อนตักกุ้งคืนจานตัวเองเรียบร้อยก็ลุกขึ้นสิครับ ช้าอยู่ใย "เฮ้ย พี่มาร์ทปล่อยผม"
                    "แสบนักนะ" เซ็งเลยครับดิ้นไม่หลุดจากแขนล่ำที่กอดเอวผมอยู่ "ดีที่พี่ไหวตัวทัน"
                    "ปล่อยได้แล้ว กอดแน่นแบบนี้ผมจะกินได้ไงเล่า"
                    "อะ นั่งตรงนี้ละ" พี่มาร์ทพูดขึ้นเอี้ยวตัวไปคว้าจานพาสต้าของผมมาวางให้ตรงหน้า ผมหันข้างไปมองตาขวางแต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกอะไร ยังคงจิ้มชิ้นสเต็กเข้าปากได้ตามปกติด้วยมือข้างเดียวด้วยครับ "หิวไม่ใช่เหรอ ทานสิ"
                    "ชิ"
                    "ขอพี่ชิมบ้างได้ไหม?" ไม่ให้ได้ปะละ
                    "อะ" ผมตักราวิโอลีชิ้นโตด้วยช้อนยื่นไปตรงปากของคนตรงหน้า พี่มาร์ทยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากรับ "ไม่ให้ละนะ เดี่ยวหมด"
                    "หมดก็สั่งใหม่ได้" พี่มาร์ทว่าใช้นิ้วปาดซอสออกจากมุมปากของผม 
                    "ไม่เอาอะ แค่นี้ก็พอละครับ ของแพงแถมยังน้อยอีก เปลืองเงินเปล่าๆ"
                    "อืม ครับ" ทำไมประโยคสั้นๆนี่ลากเสียงยาวจัง น้ำเสียงชักแหม่งๆแล้วนะครับผมว่า "... แมค"
                    "ฮึ่ย..." สะดุ้งโหย่งเลยครับ เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แถมมือที่กอดเอวผมอยู่เลื่อนลงไปตรงต้นขาด้านใน ดีที่ผมหุบขาไว้ได้ทัน  "ไม่เอา ไม่เล่นน่าพี่มาร์ท"
                    "พี่คิดจริงจังตั้งหาก" ไม่ว่าเปล่า มีก้มลงจุ๊บต้นคอผมด้วยละ เล่นเอาขนลุกซู่จนต้องหดคอหนี
                    "กินกันก่อนสิครับ"
                    "อืม พี่ก็กินอยู่นี่ไง" มันกินความหมายไหนครับนั่น ไล้ริมฝีปากไปตรงไหล่ผมแล้วเนี๊ยะ
                    "ม...เมาไวน์ปะครับ" ผมบอกดันตัวลุกขึ้นยืนเดินห่างออกมา "เอาน้ำเปล่าไหม ผมจะได้เดินไปเอาให้" พี่มาร์ทไม่ตอบเอาแต่จ้องผมไม่วางตา เล่นเอารู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกล "ผ...ผมไปเอาให้ดีกว่า ร..รอ รอแป็บนะครับ"
                    "ไม่ต้อง พี่ไปเอาเอง" พี่มาร์ทลุกขึ้นยืนรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที ปล่อยให้ผมทานอาหารคนเดียวต่อจนหมดด้วยความสงสัย

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 17 (1/2)] 02-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 02-07-2016 22:54:25

Until You


ตอนที่ 17 (1/2)


   ผมจำได้ว่าผมเปิดไฟในห้องนอนเอาไว้ก่อนจะออกมาทานข้าวเย็น ทำไมตอนนี้ตัวบ้านเว้นโซนสระว่ายน้ำมันถึงได้มืดสนิทขนาดนี้ก็ไม่รู้ ชักยังไงๆแล้วนะครับ ลองเดินอ้อมไปดูตรงทางเข้าวิลล่าประตูก็ปิดสนิทดี ซ้ายขวาเป็นพุ่มไม้ทรงเตี้ยยากจะมีใครซ่อนตัวได้ แต่ถึงยังไงระวังไว้ก็ไม่เสียหาย ดังนั้นผมจึงค่อยๆเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารคว้าช้อนส้อมที่ยังไม่ได้ใช้มาคู่นึงติดมือไว้เป็นอาวุธก่อนจะเข้าบ้าน อย่างน้อยปลายส้อมก็พอเจาะคอหอยได้ ส่วนช้อนเอาไว้ปาหัวกับง้างปากเป็นอาวุธสำรอง
          แอ๊ด...
          ประตูไม้ที่ไหนไม่ดังบ้างครับ ผมจะได้ไปซื้อมาใช้บ้าง ดังขนาดนี้เกิดมีโจรมาคงรู้ทันผมหมด
          ปัง...
          แล้วประตูกระจกนี่ทำไมไม่ทำบานเลื่อนให้มันดีๆ ตกร่องแล้วไม่ซ่อมแซมอีก ป่านนี้โจรมันคงไหวตัวแล้ว
   
                    "ไฮ..." เหวออ ใครอุ้มผมตัวลอยเลยวะ หรือโจรจะมีจริง!
                    "นี่แนะ ย๊ากกก" เอาส้อมจิ้มตาแม่งเลย
                    "เฮ้ย แมค"
                    "โอ๊ย!" ทำไมโจรมันรู้ชื่อผมด้วย? ยังทิ่มไม่ทันโดนเลย ปล่อยผมร่วงลงพื้นได้ไง เจ็บก้นเลย
                    "พี่เองๆ" ไฟสว่างขึ้นพร้อมข้อมือผมที่ถูกจับเอาไว้แน่นพร้อมอาวุธสามง่ามในมือ "สอนเทคนิคป้องกันตัวให้ ไม่ได้จะให้ใช้กับพี่หรอกนะ"
                    "ก็นึกว่าโจร"
                    "มันจะมีได้ไงเล่าโจร โรงแรมนี้ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยมาก ดูหนังมากไปแล้ว" พี่มาร์ทบ่นอุบ
                    "แล้วจะปิดไฟทำไมเล่า" ผมสะบัดข้อมือออกจากการถูกจับกุมได้สำเร็จ
                    "ก็อยากทำหวานบ้าง ไม่นึกว่าจะกลายเป็นฉากฆาตกรรมซะได้"
                    "หวานยังไงอะ?" จุดเทียนเป่าเค้กวันเกิดก็ยังไม่ถึงวันสักหน่อย
                    "แบบในละครไง นางเอกโดนผีหลอก ตกใจกลับเลยหันไปซบพระเอก" พี่มาร์ทพูดไปยิ้มไป มองแล้วหมั่นไส้เลยสวนหมัดชกไปกลางแผ่นอกเบาๆ
                    "ว่าผมดูหนังมาก พี่มาร์ทก็ดูละครมากไปเหมือนกัน" ว่าแล้วยังหัวเราะอีกนะคนเรา "อีกอย่างใครนางเอกใครพระเอก?"
                    "เปิดเจอเมื่อวันก่อนตอนช่องกีฬาพักครึ่ง ว่าละต้องไม่ได้ผล"
                    "มันต้องไม่ได้ผลอยู่ละ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ"
                    "อืม พี่รู้ละแมคไม่ใช่ผู้หญิง" แค่พูดก็ได้ ทำไมต้องเลื่อนสายตามาโฟกัสกลางลำตัวผมด้วย ทะลึ่ง "แล้วเข้ามาทำอะไรตั้งนานสองนานในบ้านละครับ"
                    "อิ่มแล้วเหรอ?" ประจำเลยชอบเลี่ยงคำถามผมอะ ผมถามอย่างกลับถามมาอีกอย่าง
                    "อิ่มแล้ว พี่มาร์ทยังไม่ตอบผมเลยนะ" มองหน้าผมแล้วหวยขึ้นหน้าผากเหรอไง เย็นมานี้เอาแต่จ้องผมทำหน้าครุ่นคิดหลายครั้งละนะ ไม่พูดงั้นผมไปเองก็ได้ "ออกไปทานต่อก็ได้นะ ผมไปล้างหน้าแปรงฟันละ"
                    "อย่าเพิ่งไปได้ไหม?" ถึงกับชะงักเท้าหยุดกึกในทันใด ปกติแล้วจะต้องรั้งแขนผมไว้หรือจับผมไว้อะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอไง น้ำเสียงดูอมทุกข์ชอบกลแถมยังพูดขึ้นลอยๆอีก
                    "โอเคครับ" ผมหันกลับไปมองแววตาของผู้พูดพลางถอนหายใจ ในขณะที่อีกฝ่ายมองเสี้ยวหน้าของผมแล้วหลบสายตา "พี่มาร์ทมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆดีกว่าครับ ผมเห็นพี่เลี่ยงมาตั้งแต่เมื่อวานละ"
                    "แมครู้?"
                    "ผมไม่ได้ตาบอดนี่จะได้ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนะ" ทำไมผมต้องให้ผมเป็นคนเริ่มพูดด้วยก็ไม่รู้ "เมื่อวานตอนหลังผมอาบน้ำเสร็จ พี่มาร์ทก็เดินหนีผมไปเฉยๆ ทั้งที่ปกติแล้วพี่มาร์ทต้อง...เอ่อ...อืม? ต...ตอดผม"
                    "ตอด? ปลา?"
                    "ไม่ใช่ๆ คำเปรียบเทียบต่างหาก ใช้คำว่าไรดี อืมๆ แทะเล็ม"
                    "เล็ม?"
                    "โว๊ย!" อยากยีหัวตัวเองมากๆวินาทีนี้ ทำไมภาษาไทยตรงตัวมันพูดยากจังวะ "คือแปลว่าพี่มาร์ทต้องปู้ย่ำปูยีผมอะ เฮ้ย ไม่ใช่ ลวนลามผมนะ"
                    "ห๊ะ! โทษที พี่กลั้นไม่ไหวละ" นั่นไงเอามือปิดปากกุมท้องเลยวุ๊ย "ขอพี่ขำเต็มสตรีมหน่อยเถอะ ฮ่าๆๆๆ"
                    "ไม่ลงไปกลิ้งซะเลยละ" หรี่ตามองแล้วยังไม่หยุดอีก "พอได้แล้ว ตกลงพี่เป็นอะไรกันแน่"
                    "อะแฮ่มๆ ขอโทษๆ หึๆ" ถ้าไม่เลิกหัวเราะเจอกำปั้นแน่ "สงสัยต้องให้แมคสอนภาษาไทยเพิ่มซะละ"
                    "ว่างๆจะสอนให้ แต่อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะครับ" ผมบอก "พูดมาเลยครับ แมนๆ ผมรอฟัง"
                    "โอเค ตั้งใจฟังนะ" พยักหน้ารับเป็นหมั้นเหมาะเรียบร้อย พี่มาร์ทเองก็บีบไหล่ผมทั้งสองข้างไว้แน่น "พี่อยากมีเซ็กส์กับแมคอีกครั้ง แต่พี่กลัวแมครับไม่ได้... พี่กลัวแมคปฏิเสธ... พี่กลัวว่าแมคไม่พร้อม... พี่...เฮ้ย! แมค"


          เข่าอ่อนเลยครับนาทีนี้ ได้แต่นั่งเอามือปิดหน้า รุ้สึกมือผมมันเล็กไปปิดไม่มิดเลยต้องนั่งกอดเข่าเอาหน้าซุกขาแทน ไม่ไหวแล้วครับ ใครก็ได้เอาผมออกไปจากอาณาบริเวณนี้ทีหรือไม่ก็เอาพี่มาร์ทไปยัดตู้เสื้อผ้าที่ไหนก็ได้ ผมไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้นบนโลกใบนี้ ให้ตายเถอะอายุจะยี่สิบปีแล้วเพิ่งรู้สึกไม่กล้าพูดกับใครวันนี้วันแรก ประโยคแรกประโยคเดียวทำเอาผมร้อนหูดับตับไหม้แดงเถือกไปทั้งหน้าจนผมสีดำสนิทของผมอาจจะเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้วก็ได้

                    "แมคเป็นอะไร" เลิกเขย่าผมสักทีสิครับ ตาจะลายละ
                    "เปล่าๆ" ผมยื่นมือออกไปมั่วซัวข้างนึงเพื่อดันร่างสูงออกห่างจากตัว ส่วนมืออีกข้างจะทำอะไรได้ละครับ นอกจากมีไว้ปิดจมูกปิดปากตัวเองเบินหน้าหนี แต่พี่มาร์ทกลับประคองมือข้างที่ปะเข้ากับแผงอกล่ำไว้บีบเบาๆให้กล้ามเนื้อคลายตัวลดความเย็นก่อนกดริมฝีปากลงกลางฝ่ามือกุมไว้แน่น ชิบลอสซะแล้ว!!! ใครให้ใช้ท่านี้แอ๊กแท๊กผม
                    "ไม่ต้องคิดมากนะครับ พี่เคยบอกละไงว่า ถ้าแมคไม่อนุญาต พี่ก็จะไม่ทำ"
                    "ไม่ใช่เรื่องนั้นแล้ว"
                    "อะไรนะครับ พี่ได้ยินไม่ชัด" พูดอย่างเดียวก็ได้ครับ ไม่ต้องเชยคางผมไปสบตาก็ได้ ใจมันสั่นแล้ว "เอามือออกสิ พี่ไม่ทำอะไรแล้ว จริงๆ"
                    "อืมๆ เรื่องนั้นผมรู้" ผมบอกปัดนิ้วเรียวที่เลื่อนเข้ามาใกล้ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาทั้งที่ใบหน้าร้อนผ่าว
                    "แมค...หน้าแดง"
                    "ไม่ใช่สักหน่อย" ลุกหนีดีกว่าครับแบบนี้อันตรายเกินไปแล้ว "ผมจะไปห้องน้ำแล้ว พี่มาร์ทไปกินข้าวต่อละกัน อาหารเย็นหมดแล้ว ไปดิ จะมายืนรออะไรผมเล่า"
                    "อืม"


          รับปากผมแล้วแทนที่จะเดินไปข้างนอกกลับเดินไปที่โทรศัพท์สายในเฉยเลย แต่ช่างเถอะครับ ผมไม่อยากสนใจละ ไปทำให้หน้าเย็นก่อนดีกว่า ยามนี้ผมรู้สึกทำหน้าไม่ถูกชอบกลคนอะไรพูดมาได้ไม่อายปากแถมพูดไม่รู้ตัวอีก รู้ตัวนี่หว่างั้นต้องใช้คำว่าหน้าฉาบซีเมนต์ละ ไม่คิดต่อดีกว่าแปรงฟันล้างหน้านอนจะได้ผ่านอีกคืนไป พรุ่งนี้จะไปไหนยังไม่รู้เลยครับ เดี่ยวก่อนนอนผมโทรคุยกับแม่ดีกว่า จะได้ไม่ห่วง มีแต่เรื่องจบลืมโทรไปรายงานเลย

          ซ่า...ซ่า... น้ำเย็นนี่หว่า ลืมหมุนก็อกน้ำอุ่นได้ไง เขาว่าล้างหน้าต้องใช้น้ำอุ่นนี่นะ มาโรงแรมหรูทั้งทีต้องใช้ของเขาให้คุ้ม ว่าแต่ว่าผ้าขนหนูอยู่ในกระเป๋าเป้นี่หว่า แล้วจะเดินออกไปเอายังไง ช่างเถอะ เอาแขนเสื้อเช็ดก็ได้เดี่ยวก็นอนละ

                    "อะ" ผ้าขนหนูผืนสีเนื้อถูกยื่นมาตรงบ่า ผมรับมาซับหน้าพลางเอ่ยขอบคุณ แต่ผ้ามันมาได้ไง?
                    "เฮ้ย!!" ผมไม่ได้กลัวผี แต่ผมกลัวคนนี่ละ "มาตอนไหน กินเสร็จแล้วเหรอ"
                    "อืม" นี่ก็ยังไม่เลิกประหยัดคำพูดอีก แล้วอืมคือกินเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จ
                    "พนักงานมาเก็บจานไปแล้วเหรอครับ ผมยังไม่ได้ยินเสียงเลย"
                    "พี่ให้เขามาเก็บตอนเช้าแทน" พูดอย่างเดียวก็ได้ ทำไมต้องโน้มตัวมาคร่อมผมกับขอบอ่างล้างมือจนเห็นเงาสะท้อนในกระจกเลย เสียวๆชอบกลแฮะ "แปรงฟันแล้วเหรอ?"
                    "อืมดิ จะนอนแล้ว" ยิงฟันใส่แล้วยังไม่ยอมเอาหน้าออกไปห่างๆหน้าผมอีก ผลักออกแล้วยังเข้ามาใกล้อีกนะ "อือๆ พี่มาร์ทก็แปรงฟันนอนได้แล้ว"
                    "อยากให้พี่แปรงฟัน แมคก็แปรงให้พี่สิครับ"

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 17 (2/2)] 09-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 09-07-2016 23:24:49

Until You


ตอนที่ 17 (2/2)


          ยังไม่ทันได้ถามอะไรกลับ ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างเปลี่ยนจากขอบอ่างมาเป็นซ้อนทับมือของผมเอาไว้หลวมๆ บังคับให้มือซ้ายของผมเอื้อมไปหยิบหลอดยาสีฟันออกแรงกดปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งตรงกลางหลอดให้ครีมข้นล้นทะลักออกมาหยดลงบนขนแปรงนุ่มที่มือขวาของผมยกขึ้นไปรับไว้ได้ทันพอดิบพอดี ผมเอียงคอหันกลับไปมองอีกฝ่ายทางด้านหลังด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นักที่โดนทำเหมือนกับเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิด แต่ทว่าพี่มาร์ทกลับมีท่าทีไม่สนใจทั้งยังแอบอมยิ้มเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แก้มแนบชิดกัน ผมเบี่ยงตัวหลบเพราะกลัวผิวหน้าสกปรกอีกทั้งที่เพิ่งจะล้างหน้าไปหมาดๆ แต่ยิ่งเสออกข้างเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ตามมาจนผมอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้ากลับไปเป็นการเตือน

                    "โอ๊ย!" ร้องเสียงได้น่าหมั่นไส้มากๆ ทั้งที่ผมยังไม่ได้ขยี้เท้าเต็มแรงสักหน่อย "แค่ช่วยพี่แปรงฟันหน่อยเดียวเองนะครับ น้า"
                    "มีมือก็ทำเองสิครับ"
                    "แต่มือพี่ไม่ว่าง แมคก็เห็นอยู่ นี่ไง" มียกมือผมชูใส่กระจกอวดอีกนะ
                    "งั้นก็ปล่อยมือสิ"
                    "แมคก็รู้ว่า พี่ปล่อยมือไปจากแมคไม่ได้" รู้สึกเหมือนผมไหมว่า คำพูดนี้มันสองแง่สองง่ามชอบกล
                    "เออๆ แปรงก็แปรง ยิงฟันสิ...อ้าปากด้วย...ลิ้นหดเข้าไปสิ จะยื่นออกมาทำไม"
                    "อ๊ะๆ ได้ยัง"
                    "ไม่ถนัดเลย แปรงเองละกัน" เหนื่อยใจจริงๆมีมือก็ไม่ทำเองนะคนเรา ลำบากผมไม่พอยังมียื่นหน้าเปื้อนยาสีฟันมาแหย่ผมอีก เดี่ยวสิวก็ขึ้นหน้าพอดี "ไม่เอาไม่เล่นน่าพี่มาร์ท"
                    "หึๆ" ก็บ้วนน้ำไปสิจะเงยหน้ามองผ่านกระจกทำไม
                    "เสร็จแล้วก็ปล่อยมือผมสักทีสิครับ"
                    "ก็บอกแล้วไงว่า พี่ไม่อยากปล่อย" ยิ้มเข้าไปแกล้งผมเข้าไป
                    "แต่ผมจะฉี่ ปล่อยได้ยัง!!!"
                    "มาๆ พี่รูดซิบให้"
                    "เฮ้ย!" สะดุ้งโหย่งสุดตัวรีบกุมเป้าในทันใด หันไปเผชิญหน้าแล้วยังไม่ยอมถอยไปอีกนะ มัวแต่ขำผมอยู่นั่นละ "ไม่ต้องเลย ถอยไป ผมจะไปโถอะ"
                    "แมคช่วยพี่ พี่ก็อยากช่วยแมคตอบแทนบ้างสิครับ"
                    "เรื่องพรรค์นี้ใครเขาขอให้ช่วยกัน" ละเหี่ยใจกับคนตรงหน้าซะจริง "ถ้าอยากช่วยจริงๆ งั้นก็ทำหน้าหื่นให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่หน่อยก็ดี"
                    "ตรงไหน ไม่มี" มีจับคางตัวเองหมุนไปมากับกระจกอย่างกับสำรวจหนวดเคราบนหน้าไม่พอ ยังมีเก็กหล่อให้กระจกอีกนะ
                    "ก็ตรงที่ยิ้มมุมปากนั่นละครับ" ดูท่าว่าจะเถียงอีกนานกว่าจะจบ ผมไปนอนรอเดี่ยวกว่า ไว้ปวดกว่านี้ค่อยตื่นมาเข้ากลางดึก "ไม่คุยกับพี่มาร์ทละ เหนื่อย"
                    "เดี่ยวสิครับ"


          ทันใดนั้นร่างของผมก็ถูกยกขึ้นนั่งบนพื้นที่ว่างใกล้อ่างล้างหน้าจนเท้าไม่ได้สัมผัสกับพื้นห้องน้ำ ผมผวาพยายามดันตัวลงแต่กลับถูกร่างหนากว่าโน้มตัวลงเท้าแขนกับอ่างหินกั้นไม่ให้ผมขยับไปไหนได้ แต่ใช่ว่าจะขยับไม่ได้สักทีเดียวเพราะด้านหลังผมยังมีพื้นที่ให้ถอยอีกเกือบเมตรก่อนจะชนกระจก แต่ไม่รู้จะถอยไปให้จนมุมทำไม มุดออกช่องว่างใต้รักแร้ไปแค่ส่วนหัวอีกฝ่ายก็ยกแขนลงกั้นช่วงตัวก่อนจะลอดพ้น ผมเม้มปากเข้าหากันสนิทอย่างใช้ความคิดพลางเบี่ยงตัวหลบไปพร้อมๆกัน แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ ยิ่งหนีเหมือนจะยิ่งถูกต้อนให้จนมุมกับใบหน้าคมที่โน้มเข้ามาใกล้ทุกขณะ พยายามดันเท่าไหร่ร่างหนาก็ไม่ขยับเคลื่อนไปไหน งั้นผมควรจะ....โน้มคอพี่มาร์ทมาจูบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

                    "ฮึ.." ไม่ใช่เสียงใครอื่นนอกจากเสียงคนตรงหน้าที่ดูอึ้งไปชั่วครู คงไม่คิดว่าจะถูกผมรุกก่อนละสิ ดูถูกผมคนนี้เกินไปละ ผ่อนแรงลงเมื่อไหร่ผมจะผลักให้กระเด็นไปติดขอบชักโครกโน่นเลย นี่ถ้ารู้ว่าปากชนปากทำให้อีกฝ่ายเคลิ้มได้ขนาดนี้ ผมทำไปนานละไม่อยู่เถียงให้เสียเวลาหรอก โอ๊ะ...โอกาสมาละครับ
                    "อืม...อ่า...." เปิดปากออกเมื่อไหร่โกยหนีเมื่อนั้น
                    "อัม..." เฮ้ยๆแบบนี้ผิดแผนละ ผ่อนแรงแล้วก็ต้องเอาแขนที่กั้นออกไปสิ ไม่ใช่เปลี่ยนมาลูบเอวผมพร้อมกับขยี้ปลายคางให้ต้องอ้าปากตอบรับปลายลิ้นที่พยายามสอดเข้ามาแบบนี้ แต่ยอมหน่อยคงไม่เสียหายละมั้ง ก็แค่ยอมเผลอใจตามทำไมร้อนผ่าวตั้งแต่ริมฝีปากลามไปทั้งใบหน้าแบบนี้ ลีลาเด็ดไม่มีใครเกินจริงๆ ให้ตายเถอะ อืม...จะว่าไปลิ้นก็นุ่ม ก็ตอด ดูดกับลิ้นผมเหมือนเดิม แต่รสชาติแปร่งๆแฮะ
                    "ด...เดี่ยว" ผมออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไป ทั้งยังดันลิ้นที่เข้ามาสอดสำรวจโพลงปากของผมออกไปด้วย แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เพราะพี่มาร์ทไล่ต้อนเอาซะทุกมุม จนผมชักทนไม่ไหวออกแรงดันสุดตัวจนกระเด็นออกไปเกือบวา  พร้อมกับบอกออกไปว่า "แหวะ!!!"
                    "แมค!!!!" ถึงกับตะโกนใส่หน้าผมด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะผมเล่นโก่งคออ๊วกให้เห็นกันจะๆตรงหน้านี่ละ สุดจะทนกับรสชาติในปากนี่ละ
                    "ขอโทษครับ แต่ไม่ไหวจริงๆ" บ้วนน้ำทิ้งจะหายไหมนี่
                    "จูบพี่มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ" พี่มาร์ทบอกเสียงแข็งทั้งแววตาดุดันที่จ้องลงมา
                    "ใช่" ผมเองก็ตอบออกไปทันควันเหมือนกัน จนถูกดึงแขนขึ้นจากอ่างล้างหน้าให้หันมาสบตา "แต่ก็ไม่"
                    "แมค!!" เรียกชื่อผมบ่อยจังแต่ก็ยังดีที่ลดเลเวลน้ำเสียงดุลงมาหน่อย ดูท่าว่าถ้าผมไม่อธิบายให้ชัดเจน คงไม่พ้นถูกงับหัวแน่ๆ
                    "คือลีลาพี่นะไม่แย่ แต่รสจูบพี่มันห่วยมาก" จ้องได้จ้องดีนะคนเรา "คือผมหมายความว่า รสชาติยาสีฟันผสมกับน้ำยาบ้วนปากคนละแนว แถมยังรสมินต์ที่ผมแสนจะเกลียดเพิ่มมาอีก ถามจริงพี่ไม่รู้สึกไรเลยเหรอครับ"
                    "ไม่ มันก็คล้ายๆเดิม" พี่มาร์ททำหน้าฉงนขณะที่ผมเองแอบอมยิ้มในใจ ตอนเข้าเอามือป้องปากทดสอบกลิ่น หลอกง่ายเหมือนกันแฮะ
                    "ลิ้นชาหมดแล้วละสิ"
                    "หึ แสบนักนะ"
                    "อะไร ตรงไหน ไม่มี" ผมยิ้มแฉ่งเพราะงานนี้ได้ทั้งด่าทั้งแขวะสมใจอยาก ทั้งที่ความจริงรสชาตินี้มันก็พอทนได้นะครับ "นอนกันเถอะเนอะ ดึกละ"
                    "งั้นพี่จะพาไปส่งเอง แมคจะได้ไม่ต้องเดิน" ปรายตามองผมเพียงครู่ก็ออกแรงยกตัวผมขึ้นพาดบ่า
                    "เฮ้ย!! ปล่อยผมลง"
                    "อยู่เฉยๆ ไม่เงียบเดี่ยวตีก้นซะเลย" อยู่เฉยๆผมก็เสร็จดิครับ อย่างน้อยขอต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีหน่อยก็ยังดี แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลเลยก็ตาม
                    "อย่าทำไรน้องน้า" กระพริบตาปริบๆทันทีที่ก้นสัมผัสเตียงนอน
                    "เปลี่ยนท่าที่เชียวนะ หึๆ" ผมลอบยิ้มในใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะได้ผล "แต่พี่ไม่เชื่อแมคแล้ว"
                    "งั้นจะให้ทำไงเล่า แหย่แค่นี้ทำโกรธ"
                    "อืม... งั้นทำอะไรดี" จะไปรู้เหรอ? เอาหน้าออกไปห่างๆผมเลย "พี่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วนะครับ แมคจะอ้างไรอีกไหนว่ามาสิ"
                    "ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นละ จะนอนแล้ว" ผมเบหน้าหันข้างพร้อมกับคว้าหมอนที่วางอยู่มากอดซุกหน้าลงแนบด้วยความรู้สึกเขินเล็กน้อย ย้ำว่าแค่เล็กน้อยเท่านั้น
                    “แมค?” เรียกอีกละ ไม่รู้จะเรียกชื่อผมทำไมนักหนา
                    “ว่าไง... เฮ้ย อย่านะ ไม่เอาไม่เล่น” อยู่ๆคิดพิเรนทร์อะไรไม่รู้ ก้าวมาคร่อมไม่พอ ยังมีแสยะยิ้มทำนิ้วยุกยิกด้วยครับ ราวกับว่าจะลงมือจี้เอวผมงั้นละ
                    “หึๆ ช้าไปละ”
                    “จ๊ากก... อุ๊บส์” กัดฟันเต็มที่เลยครับ ผมจะทำเฉยนิ่งๆ พุทโธๆ ไม่บ้าจี้ๆ
                    “อ้าว ไม่เป็นเหรอ” ผมพยักหน้ากลั้นขำเอาไว้เต็มที่ จี้เอวนิ้วสองนิ้วแค่นี้ ผมทนได้สบาย แต่แล้วพี่มาร์ทกลับกระตุกยิ้มแทน ทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยรู้สึกเหมือนจะโดนรู้ความลับเข้าให้ 
   

          ปลายนิ้วยาวไล้ไปตามรอยตะเข็บด้านข้างจากช่วงอกลงมายังเอวสอดแทรกผ่านรอยแยกของผืนผ้าที่เปิดออกโดยไม่ได้ตั้งใจตอนที่พลิกตัวเมื่อครู่ ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนตรงหน้าของแสยะยิ้มร้ายกาจส่งมาให้แนบริมฝีปากเข้ากับใบหูของผมและเอ่ยเสียงราวกับกระซิบว่า เสร็จแน่ ยังไม่ทันได้ออกแรงดันร่างใหญ่โตกว่าให้พ้นทาง ร่างของผมก็ดันถูกจู่โจมด้วยนิ้วเรียวทั้งสิบที่ขยับยุกยิกราวกันเป็นแมงมุมตัวโตนับสิบไต่ยั้วเยี่ยะไปตรงเอวเรื่อยไปยังหน้าท้องขึ้นลงจนนับจำนวนครั้งไม่ได้ ผมกัดฟันทนจนขนลุกชันไปทั้งตัวอยากจะขำก็กลัวเสียฟอร์มแต่จะทนอยู่ก็ดูจะไม่ได้นานไปกว่านี้ เพราะต่อมอดทนใกล้จะพุ่งถึงขีดสุดแล้ว ซ้ำร้ายยังถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากนุ่มยุกยิกยุบยับไปทั่วทั้งคอ
                    "ฮ่าๆๆ พอแล้ว ไม่เอา ฮ่าๆ" แพ้ทางอีกจนได้
                    "หึๆ นี่แนะๆ"
                    "อย่า... หยุดดิ... อ๊ะ....ฮ่าๆๆ เอิ๊กๆๆ ฮ่าๆๆ" หัวเราะจนน้ำตาไหลออกทางหางตาแล้วนะ หยุดสักทีสิ "อุ๊ๆ เอิ๊ก ฮ่าๆ พอๆ ไม่เล่น ฮ่าๆ" จะตกเตียงแล้ว เหวออ
                    "แมค!" โอย หยุดสักที เกือบตาย "จะดิ้นไปไหนเล่า เดี่ยวก็ตกเตียงหรอก"
                    "ก็พี่มาร์ทอะ... อึก" ผมตัดพ้อปาดน้ำตาออกจากใบหน้า มองอีกฝ่ายทั้งที่ยังมีหยาดน้ำตาเหลืออยู่ "แกล้งอยู่ได้ ร้องไห้เลยเห็นไหม"
                    "...หน้าแดงด้วย..."
                    "ก็คงใช่มั้ง" มองแล้วก็ไม่พูดอีกละ "พ...พี่มาร... อือ...."


          อยู่ดีๆริมฝีปากของผมก็ถูกแนบประกบปิดทั้งที่ยังไม่ได้ทันได้เตรียมใจ ลิ้นเรียวสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมแตะเข้าตรงโคนลิ้นส่งผ่านความรู้สึกวาบหวามจนร่างกายช่วงท้องของผมเกร็งตัวขึ้น สองมือแปะเข้าที่ต้นแขนล่ำยามที่โน้มตัวลงมาแนบร่างกายของผมจนชิด ท่อนแขนแกร่งตวัดเอวของผมเข้าไปใกล้จนรู้สึกราวกับถูกนาบด้วยไฟร้อนยามเมื่อส่วนกลางลำตัวของผมปะทะกับของอีกฝ่าย ผมรู้ได้ในทันทีว่ามันมีอะไรบางอย่างกำลังคับแน่นๆพอๆกับที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ต้องการเติมเต็มกันและกันมากไปกว่านี้ ทั้งที่รู้ว่าใจอยากแต่ผมไม่มีทางยอมให้ราคะมาเหนือสติของผมแน่ๆ

                    "พ..." ผมพยายามดันลิ้นของอีกฝ่ายออกไปจากการถูกล่วงล้ำและปิดริมฝีปาก พี่มาร์ทมีท่าทีฮึดฮัดแต่ก็ยอมรอฟังคำที่ผมจะเอ่ย "ผมรู้ว่าพี่อยาก แต่ปิดไฟก่อนได้ไหม"
                    "แค่ไฟ ไม่ต้องสนใจหรอกน่า" พูดสั้นๆก่อนจะก้มลงมางับใบหูของผมลากลิ้นลงต่ำคงหมายจะหยอกล้อกับติ่งหูของผม แต่ไม่โดน เพราะผมเบินหน้าหนีได้ทัน "พี่ล็อกประตูแล้วน่า อืม....อ่า..."
                    "ไม่เอา พี่มาร์ทปิดไฟก่อนสิครับ แบบนี้ผมทำหน้าไม่ถูก" อีกฝ่ายจ้องมา ผมก็จ้องตอบไป "ถ้าจะทำ ก็ต้องปิดไฟ...นะครับ"
                    "โอเค" พี่มาร์ทยอมตอบรับในที่สุด เดินไปปิดไฟนีออนสีขาวในห้อง ก่อนจะเดินกลับมาเตียงและกดเปิดสวิทซ์ตรงหัวเตียง ทำให้หลอดไฟสีส้มบนเพดานสามหลอดโดยรอบติดขึ้น "พี่รับปากแค่ปิดไฟ อย่าลืมสิ"
                    "ขี้โกง" ผมโต้ทั้งที่ในใจเผลอเขิน "จะเปิดให้มันเปลืองทำไมเล่า"
                    "ก็พี่อยากเห็นแมคเซ็กซี่บ้างนี่" พูดงี้เอาฝ่ามือไปกินสักสามป๊าบเลย "ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ มองหน้าหล่อๆของพี่ดีกว่า" อะโห พูดได้ไม่อายปากเลย
                    "หลงตัวเอง"   
                    "อืม หลงคนนี้ด้วย" กดจูบลงบนปลายจมูกผมด้วยรอยยิ้มแบบนี้ ผมจะไปไหนรอดละครับ....

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 18 (-/-)] 17-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 17-07-2016 10:45:48

Until You


ตอนที่ 18 (-/-)


์NC  ขอติดไว้ก่อนนะครับ กลัวเลือดทะลักท่วมหน้าจอ ฮ่าๆๆ

ช่วงที่ผ่านมาผมติดงานเลยไม่ค่อยมาอัพนิยายให้นะครับ เพือนก็งามท่วมจะตัวบวม?ตาโหล?พอกัน เลยทำให้ไม่ได้อัพนิยายตามเวลา ซึ่งผมก็ขอโทษในเรื่องนี้ด้วยนะครับ

หลังจากนี้ก็จะพยายามยามมาอัพให้ได้ตามปกตินะครับ

ขอบคุณนะครับ
แมค

ปล. เรื่องตอบคำถามคอมเม้นต์ ไว้จะมาตอบย้อนหลังให้นะครับ
หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 19)] 17-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ClearHeart ที่ 17-07-2016 11:02:15

Until You


ตอนที่ 19


                    ("ไปเที่ยวสนุกไหม?")
                    "ก็ดีพ่อ แต่ร้อนไปหน่อย พ่ออะทำไรอยู่ แม่ทำกับข้าวอยู่เหรอ?"
                    ("อ่านหนังสือพิมพ์ จะคุยกับแม่ไหม? กำลังทอดปลานิลอยู่ เธอๆลูกจะคุยด้วย")
                    "ไม่ต้องพ่อ ไม่เป็นไร พอดีแมคจะโทรมาบอกพ่อว่า แมคอาจจะกลับถึงกรุงเทพค่ำหน่อยนะพ่อ"   
                    ("เย็นจะกินข้าวมาเลยใช่ไหม")
                    "ใช่ครับ แล้วพ่อจะเอาของฝากไรบ้าง ก่อนกลับพี่มาร์ทแวะร้านของฝากให้นะ"
                    ("เอากระปิ กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้งตัวเล็กๆ อะไรนะ? มาคุยเองเลยมา เร็วๆลูกรออยู่") สงสัยจะออเดอร์แม่ผมซะละมั้ง
                    "แม่ฝากซื้อของฝาก จดให้หน่อยครับ" ผมป้องมือถือกันเสียงคุยเล็ดลอด สะกิดบอกให้คนตรงหน้ารับหน้าที่แทน พี่มาร์ทหยักหน้ารับหยิบทิชชู่และปากกาในกระเป๋าเสื้อออกมาเตรียมพร้อม “ขอบคุณครับ”


          เสร็จจากชิมของว่างยามบ่ายของทางโรงแรมที่จัดมาต้อนรับแล้ว ผมกับพี่มาร์ทก็ไม่มีกิจกรรมอื่นใดให้ทำอีก เราสองคนจึงนั่งคุยกันสบายๆในห้อง Executive Lounge พร้อมเครื่องดื่มค็อกเทลผสมแอลกอฮอล์ อืม...พูดถึงเครื่องดื่มนี่ขอผมติหน่อยเถอะครับ นี่ถ้าพี่มาร์ทไม่ใช้ให้ผมหยิบกางเกงส่งให้แม่บ้านซักเพราะเปื้อนซ๊อสมะเขือเทศ ผมคงไม่รู้ว่ามีวอชเชอร์เครื่องดื่มฟรีในกระเป๋ากางเกงอยู่ด้วย พอผมทักท้วงออกไป พี่มาร์ทกลับยักไหล่บอกเพียงแค่ว่า ลืม คิดแล้วมันน่าให้เลี้ยงค็อกเทลอีกสักแก้วสองแก้ว

                    “เย็นนี้กินไรอะ”
                    “เพิ่งจะ 4 โมงกว่าถามถึงมื้อเย็นละ หึๆ”
                    “ทำไม ถามไม่ได้อะ? จะทำอะไรเราต้องคิดล่วงหน้าสิครับ”
                    “อืม พี่ว่าจะพาไปร้านที่เพื่อนพี่แนะนำ เป็นร้านอาหารริมทะเลเพิ่งเปิดได้ไม่นาน”
                    “จริงดิ อยากกินซีฟู๊ดพอดีเลย ไปกันเลยไหมครับ เดี่ยวต้องแวะซื้อของฝากอีก”
                    “วางแผนเสร็จสรรพเลยนะ ถามพี่ยัง? หึๆ” ยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีก  นี่ถ้าไม่อยู่ในที่สาธารณะผมจะกัดต้นแขนล่ำๆนั่นให้เป็นรอยฟันเลย มองแล้วน่าหมั่นไส้ปนอิจฉาชะมัด ผมเองก็อยากมีกล้ามแน่นๆจนคับแขนเสื้อบ้างจัง ยิ่งตอนหยิบมือถือยกมากดแป้นพิมพ์ยิ่งชวนมอง “ไปกันเลยไหม รถมารอแล้ว”
                    “ไปครับ...โอ๊ย!”
                    “แมค!” พี่มาร์ทรีบถลามารับ แต่ผมยกมือห้ามไว้ก่อน สงสัยว่าจะลุกขึ้นเร็วไปหน่อยเจ็บแปลบร้าวไปทั้งเอวเลย
                    “ไหวครับ ไม่เป็นไร” ส่งยิ้มให้พี่มาร์ทไปทีเพื่อเบรคให้เขายืนอยู่กับทีด้วยกลัวจะมีพิรุธ แม้ในห้องจะไม่มีใครแต่เพื่อความปลอดภัย ฝึกไว้ให้ชินกับภาพลักษณ์จะดีกว่า “แล้วไม่เดินนำผมไปเหรอครับ ผมจะรู้หรอกว่ารถจอดอยู่ไหนอะ”
                    “คงเป็นตรงล็อบบนี้” ผมพยักหน้ารับรอให้อีกฝ่ายออกเดินไปก่อนอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่ขยับ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายล่วงหน้าไปก่อนเองทั้งที่ใจก็ยังกังวลว่าพี่มาร์ทจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะออกมาจากห้องว่า
ห้ามแสดงอาการหวงและห่วงจนเกินเหตุ   



          ทันทีที่ประตูรถ Mercedes Benz Vito คันเดิมเปิดออกและผมก้าวออกมายืนนอกรถข้างพี่มาร์ทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็หันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัยว่าในสถานที่นี้จะมีห้องอาหารระดับเพื่อนพี่มาร์ทมากินได้อย่างไร เพราะตลอดทางที่เลี้ยวเข้ามาจากถนนสุขุมวิทไม่มีแม้แต่ไฟทาง ถนนในซอยเป็นถนนเลนเดียว พื้นถนนยังเป็นกรวดหินขนาดรถวิ่งยังมีฝุ่นขลุ้ง ลานจอดเหมือนแค่เอาหินมาเทเป็นหลุมบ่อประปรายแถมยังจอดกันไม่เป็นระเบียบอีกด้วย สองข้างทางมีแต่ป่าโดยรอบถ้ากลางคืนคงดูน่ากลัวพิลึก
                     “มาผิดที่ปะครับพี่มาร์ท”
                    “คิดว่าไม่ผิด ก่อนมาพี่ถามโรงแรมละ เขาก็บอกว่าที่นี่ พิกัดก็ตรงกัน”
                    “แน่ใจ?”
                    “เดินไปดูข้างในก่อนดีกว่า เห็นป้ายทางเข้าอยู่ตรงโน้น”

          เมื่อก้าวขึ้นไปตามบันไดไม้ที่พาดเอาไว้เป็นทางเดินจนถึงขั้นบนสุด แสงสว่างก็ปรากฏแก่สายตาทำให้ผมมองภาพและบรรยากาศเบื้องหน้าตาลุกวาว หลอดไฟนับร้อยถูกประดับประดาไว้บนกิ่งไม้โดยรอบเหมือนหมู่ดาวดวงเล็กส่องประกายระยิบระยับรับกับชุดเก้าอี้ไม้สีขาวนับสิบที่วางเรียงรายเป็นแถวตรงพื้นที่ส่วนกลางของร้าน ขนาบข้างด้วยชุดโซฟารูปตัวแอลลายทางขาวน้ำเงินติดริมระเบียงใต้ต้นสนสูงใหญ่ นอกจากนั้นยังมีเรือนกระจกขนาดย่อมที่เคยเห็นบ่อยๆในสารคดีพันธุ์พืชถูกย่อส่วนลงและปรับเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ขนมหวานที่พรั่งพร้อมไปด้วยเค้กและไอศครีมหลากหลายรสเต็มตู้โชว์ มีชุดโต๊ะเก้าอี้สองชุดสำหรับลูกค้าที่อยากจะใช้เวลาสองต่อสองแบบคู่รักท่ามกลางบรรยากาศหวานสุดโรแมนติกที่ดูอบอุ่นเคล้ากลิ่นหอมของเค้กอบใหม่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ
                    “ขอไปดูเค้กตรงไหนได้ไหมครับ” ผมกระตุกแขนเสื้อคนข้างกายให้หันมามองพร้อมกับชี้นิ้วไปยังสถานที่เป้าหมายแต่พี่มาร์ทกลับบอกว่า
                    “หาโต๊ะนั่งทานข้าวกันก่อนดีกว่า เดี่ยวค่อยมาดู” แม้จะถูกขัดใจแต่ผมก็ยอมพยักหน้ารับมองไปรอบร้านหามุมที่อยากนั่งแต่ไม่พบ “ตรงโซฟาลายทางนั่นไหม?”
                    “ตรงใต้ต้นสนนะเหรอครับ? ไม่เอาอะ เดี่ยวมดกับใบไม้ตกใส่จานข้าว”
                    “งั้นเอาเก้าอี้ไม้ตรงกลางไหม?” พี่มาร์ทเอ่ยถามผมอีกครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกไม่ชอบ แม้เก้าอี้ไม้สีขาวทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้จะดูน่านั่งกว่า แต่แสงแดดก็ยังคงส่องลงมาลอดช่องว่างของกิ่งไม้ใหญ่ได้อยู่ดี ครั้นจะเอาข้างๆมุมก่อนหน้าที่มีระเบียงไม้ระแนงทำเป็นเพดานบังแดด ก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินมานั่งตรงพื้นที่ว่างไปโต๊ะนึงละ
                    “สวัสดีค่ะ สองท่านนะค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานสาวในชุดเครื่องแบบผ้ากันเปื้อนผูกเอวลายทางคาดน้ำตาลสลับขาวกล่าวต้อนรับพร้อมกับผายมือออกให้เดินตามเธอไปยังโซนโซฟายาวบนระเบียงริมหาดที่ผมปฏิเสธในใจไปเมื่อครู่
                    “พี่มาร์ทๆ เรานั่งโซฟาด้านนอกนั่นดีไหมครับ” ผมเดินนำพลางชี้นิ้วเลยระเบียงพื้นไม้ออกไปยังพื้นที่ว่างซึ่งยังไม่มีใครจับจอง เป็นพื้นที่ริมหาดบนพื้นทราย มีชุดเก้าอี้โซฟาผ้าสีสันสดใสตั้งวางอยู่ แม้จะไม่มีแอร์ มีแสงแดดส่องบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าโซนบนระเบียงต้นสนที่เธอเสนอ เพราะคู่รักมาใหม่นั่นกำลังสวีทเกิดหน้าเกินตาแล้ว
                    “ผมขอนั่งข้างนอกละกัน” พี่มาร์ทพูดสำทับความคิดผมเป็นการตัดบท ก่อนจะเดินนำผมไป ผมเสตามองลูกค้ามาใหม่ของร้านก็พลางคิดในใจว่า ถ้าต้องมานั่งข้างๆโต๊ะนั่น ผมคงกินไรไม่ลงแน่ นั่งจีบกันจนแทบจะเกยตักกันอยู่ละ แถมฝ่ายหญิงยังใส่เสื้อเกาะอกอวดคัพซีที่แทบจะล้นออกมานอกเสื้ออีก นี่ถ้าสั่งฝ่ายชายสั่งมะพร้าวอ่อนมากินแทนเบียร์สด คงแยกไม่ออกว่าอันไหนที่ควรดื่ม ฮ่าๆ “ขำอะไรอะแมค?”
                    “อ้อ...ฮึๆ เปล่าครับไม่มีอะไร”
                    “นี่เมนู” พี่มาร์ทพูดขึ้น “สั่งน้ำก่อนไหม”
                    “เอาสตอเบอร์รี่ปั่นครับ ไม่เอาๆ ขอมะนาวโซดาดีกว่า แล้วก็แพนเค้กเนยสด เพิ่มไซรัปด้วยนะครับ” เห็นของหวานแล้วอยากขึ้นมาทันใด กว่าอาหารจะมา ผมจะได้มีอะไรกินรอ แต่พี่มาร์ทส่ายหน้าอมยิ้มทำไมมิทราบ
                    “ผมเอาน้ำแร่เย็นขวด ไม่เอาน้ำแข็ง กับผัดไทห่อไข่ แมคเอา Seafood Plattler ไหม เป็นเซตอาหารทะเลเผารวมๆนะ”
                    “ไหนๆ หน้าไหนครับ” มีจริงด้วยแฮะ แต่ดูไม่คุ้มชอบกล “เอาแค่กุ้งกับปลาหมึกได้ไหมอะครับ”
                    “กุ้งเผาจาน ปลาหมึกย่างจาน เอาไรอีกไหม?”
                    “ข้าวผัดปูจานเล็ก ผมเอาแค่นี้ก่อนครับไม่พอค่อยสั่งใหม่”

          รออยู่ไม่นานแพนเค้กถูกยกมาเสิร์ฟเป็นจานแรกพร้อมเครื่องดื่มเย็นสองแก้ว ผมรอจนพนักงานหนุ่มเดินจากไปแล้วจึงลงมือตัดแบ่งแพนเค้กทั้งสองแผ่นเป็นสี่ส่วนได้ทั้งหมดแปดชิ้น แล้วจึงใช้ส้อมจิ้มชิ้นนึงยื่นไปให้คนตรงหน้า พี่มาร์ทอ้าปากยิ้มรับไปทานพร้อมรอยยิ้มแค่สองชิ้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ สงสัยโรคแขยงของหวานของคนวัยนี้จะแก้ไม่หายนึกแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้จนโดนมะเหวกเข้ากลางหน้าผาก เจ็บเหมือนกันแต่ใครจะสน ยามนี้ของหวานสุดโปรดวางอยู่ตรงหน้ารอผมลิ้มรสจนจะเย็นหมดละ ว่าแล้วก็ได้ฤกษ์หยิบน้ำผึ้งด้วยมือซ้ายและไซรัปด้วยมือขวาเทราดพร้อมกันจนเนื้อแป้งเปียกชุ่มไปทั้งแผ่น ท่ามกลางความตกตะลึงของอีกฝ่าย
                    "เคยตรวจเบาหวานบ้างไหม?" พี่มาร์ทเอ่ยแซวทำหน้าปุเลี่ยน
                    "เคยแต่ไม่เป็น ฮ่าๆ ชิมไหมครับ อร่อยน้า"
                    "เชิญเถอะ" ขนมนะครับไม่ใช่ไส้เดือนทำหน้าแหยงซะ
                    "พี่มาร์ทไม่สู้?" ผมยักคิ้ว
                    "เคสนี้พี่ขอยอมแพ้" ดูทำหน้าเข้ามองอย่างกับเห็นผี ชุ่มๆหวานๆอร่อยจะตาย "ผัดไทพี่มาพอดีเลย"
                    “อืม” พี่มาร์ทรับคำของผมแล้วจึงหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมพร้อมรับประทาน ในขณะที่ผมหันหน้าออกทะเล สายลมเย็นหอบพัดกลิ่นเกลือมาตามเกลียวคลื่นเคล้าบรรยากาศยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม้จะไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคยและสดชื่นมากนักสำหรับคนเมืองกรุงอย่างผม แต่ก็พอจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย อยู่พัทยามาก็หลายวันเพิ่งรู้สึกเหมือนได้พักกับธรรมาชาติเอาก็วันนี้ กินไปชมธรรมาชาติไปไม่นานอาหารตรงหน้าก็หมดจาน พี่มาร์ทเองก็เงยหน้าขึ้นมองผมพลางยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบเลื่อนจานผัดไทกับข้าวผัดของผมที่ไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวสักเม็ดออกห่างจากตัวไปวางไว้ขอบโต๊ะรอพนักงานมาเก็บไป ผมเองก็วางส้อมที่เพิ่มจิ้มกุ้งเข้าปากลงกับโต๊ะมองหน้าอีกฝ่ายตอบกลับไปเช่นกันด้วยไม่รู้จะมองไปไหน
                    “เอ่อ...พี่มาร์ทมีตาสีเทามานานยัง?” ถามออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เป็นการชวนคุยที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมจำความได้
                    “คงมีมาตั้งแต่เกิด หึๆ”
                    “ขำอะไรเล่า ก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้นเอง” ผมบอกพลางก้มลงดูดน้ำในแก้วดูท่าว่าน้ำแข็งละลายจนมะนาวจะกลายเป็นน้ำเปล่าแทนโซดาซะละ หมดแก้วนี้แล้วสั่งใหม่ดีกว่า
                    “หายเจ็บตูดยัง”
                    “ห๊ะ! แค่กๆ” เกือบสำลักน้ำ ดีที่กลืนลงไปก่อน “ถามบ้าอะไรอะพี่มาร์ท”
                    “Butt ก็หมายถึงตูดไม่ใช่เหรอ หรือมีคำสุภาพกว่านี้” พูดได้หน้าตาเฉยมากจนผมต้องเป็นฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆเอง กลุ้มใจจริงให้ตายเถอะ “ดีขึ้นไหม ถ้าไม่หายจะได้ให้ชาติแวะซื้อยา?”
                    “ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งนั้นละ ผมดีขึ้นแล้ว” แม้จะรู้สึกแสบตอนโดนน้ำบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บอย่างคราวก่อน
                    “แต่พี่เห็นแมคเจ็บตอนลุกจากเก้าอี้นี่?”
                    “นั่นมันเอว ไม่ใช่ก..กะ...ก้น เออ อะไรนั่นละ เลิกถามได้แล้วพี่มาร์ท”
                    “แน่ใจนะว่าไม่ต้องทายาหรือกินยานะ”
                    “ถ้าไม่หยุด ผมจะโป้งพี่ละนะครับ” ผมบอกด้วยสีหน้าจริงจัง จนอีกฝ่ายลอบถอนหายใจและไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่ออีก ผมเองก็นั่งเงียบๆใช้ส้อมกับช้อนค่อยๆแงะเปลือกกุ้งออกด้วยไม่อยากเปรอะมือ ทันใดนั้นเองกุ้งในจานของผมก็ถูกใครบางคนหยิบไป สงสัยจะทนเห็นท่าแกะพิศดารของผมไม่ไหว พี่มาร์ทเลยใช้มือแกะใส่จานให้แทน "ขอบคุณครับ"
                    "เอาอีกไหม?"
                    "พี่มาร์ทแกะตัวในมือเสร็จก็พอละครับ เดี่ยวอีกสองตัวผมแกะเองก็ได้” พี่มาร์ทพยักหน้ารับตามคำผมบอก “ไปล้างมือเถอะครับ อีกเดี่ยวผมก็กินหมดละ จะได้เช็คบิลกลับกรุงเทพกัน” คนนั่งตรงข้ามถึงกับชะงักหยิบกระดาษชำระบนโต๊ะมาเช็ดมือที่เปื้อนแล้วเอ่ยถามคำถามว่า
                    “พี่พาแมคมาลำบากหรือเปล่า?” ผมส่ายหน้าในทันควันเป็นคำตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
                    “ลำบากอะไรตรงไหนละครับ กินอิ่มนอนสบายจะตาย หรูกว่าโรงแรมที่ผมเคยไปกับเพื่อนอีก”
                    “แล้วทำไมรีบร้อนจะกลับ?”
                    “อ้อ ขับรถดึกๆอันตรายนะครับ เผื่อรถติด มีด่านตรวจอีก อะไรมันก็ไม่แน่นอนนะครับ” จิ้มกุ้งตัวสุดท้ายเข้าปากหมดจานพอดี อร่อย “หรือพี่มาร์ทมีเพลนจะไปไหนต่อ? ถ้ามีจะได้รีบเช็คบิล แล้วรีบไปกันต่อ”
                    “Check Bill” น้ำเสียงพี่มาร์ทดูแข็งกร้าวชอบกลจนผมนิ่วหน้า
                    “ได้ค่ะ รอสักครู่นะค่ะ” พนักงานสาวที่เดินผ่านโต๊ะผมไปเสิร์ฟน้ำโต๊ะข้างๆถึงกับสะดุ้ง เธอรับคำเสร็จก็เดินไปยังเคาน์เตอร์
                    “จะเข้าห้องน้ำก่อนกลับไหม ต้องนั่งรถอีกนาน”
                    “เข้าสิครับ งั้นผมไปก่อนนะ อึก...” จะลุกขึ้นยืนทั้งทียังต้องจับเอวไม่ต่างกับคนแก่เลย “อ่อย” ผมบอกเสียงหน่ายๆจะขยับทีเดินทีรู้สึกติดขัดชะมัด
                    “มาๆพี่ช่วย?” พี่มาร์ทลุกขึ้นเดินมาหาโอบแขนรอบเอวของผมช่วยพยุงตัวขึ้น แต่ผมกลับอีกฝ่ายออกไปเบาๆไม่คิดว่าจะทำให้ร่างหนาเซไปทางด้านหลังได้ พอผมเอ่ยปากขอโทษกลับได้ยินคำพูดสวนกลับมาว่า “นอนคอนโดพี่ไหม สภาพนี้แมคไม่น่าไหวนะครับ”
                    “ผมไหว พี่มาร์ทไม่ต้องห่วง” ผมบอกปฏิเสธอีกครั้ง พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าในใจของผมชักเริ่มครุกรุ่นขึ้นมาเหมือนกัน
                    “ขอพี่พูดตรงๆนะครับ ถึงแม้แมคจะพยายามเดินตัวตรงยังไง คนมันก็มองออกอยู่ดี กลับคอนโดกับพี่ดีกว่า พักอีกวันพรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้น เรื่องที่บ้านเดี่ยวพี่โทรบอกพ่อแม่ให้ก็ได้ ถ้าแมคไม่สะดวกใจจะพูดเอง”
                    “มันเรื่องของผม พี่มาร์ทไม่ต้องยุ่ง ผมบอกว่าไหวก็ไหวสิ” ผมบอกเสียงกร้าว
                    “อย่าขึ้นเสียงกับพี่ พี่ไม่ชอบ”
                    “ผมไม่ได้ขึ้นเสียง แต่พี่มาร์ทพูดไม่รู้เรื่องเอง” ผมตอบกลับทันควันจ้องอีกฝ่ายไม่ละสายตา “กลับกันเถอะครับ ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่นะ”
                    “บางครั้งแมคก็ดื้อเกินไป” หันขวับไปมองต้นเสียงในทันที พูดงี้หมายความว่าไง? “ทำเยอะจนลุกไม่ขึ้นมาต่อปากต่อคำซะก็ดี”
                    “พี่มาร์ท!” ผมกัดฟันแน่นจ้องอีกฝ่ายตาลุกวาว “เลิกพูดเรื่องพวกนี้ซะที ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่า ผมไม่ใช่ผู้หญิงเลิกห่วงเลิกหวงผมซะที แล้วก็หยุดดูถูกผมได้ละ ผมก็ไม่ชอบที่พี่มาร์ททำอย่างกับว่าผมอ่อนแอเหมือนกัน” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวเดินออกมาจากบริเวณนั้นตรงไปห้องน้ำด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เพื่อล้างหน้าล้างตาปรับสภาพอารมณ์ก่อนจะเดินไปที่รถ แต่พอออกมาก็สวนเข้ากับอีกฝ่ายที่เข้ามาล้างมือเช่นกัน ผมเองทำเป็นมองผ่านแต่ถูกฝ่ามือหนาจับแขนไว้บอกว่า ให้รอไปพร้อมกัน
                    “อ้าว คุณมาร์ท คุณแมค ให้ลุงสตาร์ทรถรอเลยไหมครับ” ลุงชาติเองก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกห้องทักขึ้น พี่มาร์ทจึงพยักหน้ารับบังคับให้ผมยืนรอใบหน้าบูดบึ้ง พอทำธุระเสร็จสรรพผมจึงเดินตามไปขึ้นรถและไม่มีอะไรจะพูดต่อจากนั้นอีกเลยจนกระทั่งหลับไป



                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-07-2016 14:41:21
น้องนอยแล้ว