Until You
ตอนที่ 3
และแล้วผมก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ได้สมความปรารถนาของตัวเองและครอบครัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ทว่า...ตอนสอบเข้าว่ายากละ ตอนเรียนนี่ยากกว่า เพราะผมสอบตรงเข้าเรียนในคณะทางด้านสายคอมพิวเตอร์ก็จริง แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อย ขนาด Microsoft Office ยังเพิ่งมารู้จักตอนเรียนมัธยมปลาย แล้วนี่มาเจออาจารย์สอนเขียนภาษา C++ เป็นอาจารย์ชาวอินเดียอีก คิดว่าผมจะไปรอดสักกี่คาบกัน นี่กว่าจะเรียนจบผมคงหัวหงอกทั้งหัวพอดี
"We've a quiz tomorrow. That's all for today. Good luck, guys" เสียงอาจารย์บอกเลิกคลาส ทำให้ผมรีบเก็บของลงกระเป๋า บอกลาเพื่อนฝูงและตรงดิ่งไปยังหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อขึ้นรถเมล์ไปธุระในเมืองทันที
สืบเนื่องจากสมัยเรียนมัธยมปลาย ผมได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียนค่อนข้างเยอะ ทั้งด้านดนตรี กีฬา และวิชาการ ทำให้พอมีชื่อเสียงรู้จักในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผู้ให้การสนับสนุนของรางวัลต่างๆในการแข่งขันอยู่พอสมควร จึงมักได้รับเชิญไปฟังสัมมนาในสถานที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง อย่างในวันนี้ผมก็ได้รับเชิญไปงานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับโครงการต่อต้านยาเสพติดที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวย่านรัชดาภิเษก งานเริ่มช่วงบ่ายโมงแต่กว่าผมจะไปถึงก็ปาเข้าไปบ่ายสองกว่าๆจดบรรยายอยู่สองชั่วโมงพร้อมทานของว่างกล่าวจบปิดงานก็ห้าโมงเย็นพอดี ถนนคงกำลังรถติดได้ที่แน่ๆ
Trmmm….
“หวัดดีครับพี่มาร์ท”
(ครับ สวัสดี แมคอยู่ที่มหาลัยใช่ไหมวันนี้)
“เปล่าครับ วันนี้ผมมาฟังบรรยายอยู่ที่โรงแรมดิเอ็ม ตรงถนนรัชดาครับ” ผมกล่าวตอบรับไปพลางเก็บเอกสารที่ได้รับแจกมาเข้าแฟ้มยัดใส่ลงในกระเป๋าไปพลาง ได้ดินสอไม้มีตราโรงแรมตั้งสองแท่ง
(ดีเลยครับ รีบกลับไหม พี่ซื้อของมาฝากนะ แวะมาหาพี่ที่คอนโดได้ไหมครับอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่แมคไปพอดีเลย คอนโดสีขาวตึกสูงๆ เดินถัดจากโรงแรมมาทางทิศเหนือสัก 4-5 ตึกก็ถึงแล้วนะครับ)
“ครับๆ เดี่ยวผมแวะเข้าไปครับ”
หลังจากรับขนมกับน้ำดื่มจากร้านที่มาออกบูทร่วมกับคณะผู้จัดงานและแวะทักทายพวกรุ่นพี่ที่รู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงจากบันไดชั้นสองของโรงแรมผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับออกไปยังด้านนอกมุ่งเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนตัวของรถบนท้องถนน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารหลังดังกล่าว จ้องมอง รปภ.ที่กำลังยืนโบกรถเข้าออกสลับกับชะเง้อคอมองไปด้านในพร้อมกับกดมือถือโทรออกไปด้วย เพราะไม่กล้าเดินเข้าไป พี่มาร์ทเองก็ดันตัดสายโทรเข้าของผมทิ้งซะอย่างนั้น บ่นอยู่สองสามประโยคก็เห็นพี่มาร์ทกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้าอาคาร ผมส่ายหน้าปฏิเสธไม่กล้าเดินเข้าไปในทันทีด้วยยังลังเลไม่แน่ใจว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยจะขอตรวจบัตรอะไรหรือเปล่า รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเขาจะหันมาสนใจ ผมจึงเดินเนียนๆเข้าไปด้านในราวกับเป็นผู้พักอาศัย
พี่มาร์ทยิ้มรับทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปใกล้ ผมยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วจึงตามเข้าไปในลิฟท์อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นคนยืนข้างอยู่ในชุดวันสบายไม่ใช่ชุดทำงานทั้งที่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ แต่ผมก็ยังไม่คิดถามออกไปแต่อย่างใด มองเลขชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งลิฟท์หยุดลง เขาเดินนำผมไปยังห้องพักพร้อมกับไขกุญแจและเสียบคีย์การ์ดลงในช่องประตู ภายในห้องพักที่เห็นตรงหน้านั้น มีขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ถือว่ากำลังพอดีสำหรับการพักอยู่อาศัยเพียงไม่เกินสองคน เพราะมีเพียงห้องรับแขกที่ผมยืนอยู่ แยกออกไปทางซ้ายเป็นห้องนอน ซึ่งคาดว่าจะมีห้องน้ำอยู่ภายในกับเคาน์เตอร์บาร์ห้องครัวทางด้านขวามือเท่านั้น
"นิ่งเชียว เป็นอะไร?" พี่มาร์ทถามยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ดื่ม
"เรียบง่ายกว่าที่ผมคิดอะครับ เลยงงหน่อยๆ" ผมตอบรับกวาดตามองไปเรื่อย รู้สึกพอใจกับเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้นและโทนสีขาวสะอาดตาโดยรอบ ทั้งที่ก่อนมาผมคิดว่าห้องพี่มาร์ทจะดูหรูหรากว่านี้เสียอีก
"แล้วคิดว่าพี่อยู่คอนโดแบบไหนกันละ"
"ก็ไม่รู้อะครับ ผมนึกว่าจะเจอเฟอร์หลุยส์ แล้วก็พวกพรมปูพื้นห้องกับทีวีใหญ่ๆแบบในหนังละมั้ง เอ้า...ขำอะไรอะไรอะครับ ก็แบบพี่มาร์ทขับรถยุโรป ก็ต้องรวยไง ห้องนอนก็ต้องหรูๆไรงี้"
"อะนะ หึๆ" พี่มาร์ทยิ้มรับและพูดต่อว่า "พี่ตัวคนเดียว อยู่ห้องแบบนี้สบายใจกว่า ส่วนอันนี้ขนมครับพี่ซื้อฝากจากเยอรมัน ..." หืม? นั่นมัน... หนังสือที่ผมอยากอ่านมานาน ป๋าสตีฟคิงส์ของผมนี่?
"พี่มาร์ทๆ ขอยืมนะ นะครับ น้า" ผมบอกยื่นหนังสือนวนิยายชื่อดังที่คว้าจากชั้นติดมือมาส่งให้
"อืม อยากอ่านอะไรหยิบไปเลย"
"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มแก้มปริ นั่งลงกับพื้นรื้อค้นชั้นหนังสือข้างทีวีอย่างชอบใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีหนังสือให้อ่านมากมายหลายเล่มเลยหลายประเภทขนาดนี้
"ตกลงเอาของฝากจากพี่มีค่าน้อยว่าสตีเฟ่น คิงส์ไหมใช่ไหมครับแมค แล้วขนมนี่ก็ไม่เอา?"
"แหมๆ เอาครับสิครับ ขอบคุณครับ" ผมพยักหน้ายกมือไหว้หันไปคว้าถุงมากอดไว้แนบอกด้วยมือซ้ายและลงมือค้นชั้นหนังสือต่อด้วยมือขวา
“หึๆ”
“หัวเราะอะไรเล่าพี่มาร์ทก็”
“ขำคนงก หึๆ”
หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ส่งท้ายอีกครั้ง ก่อนจะวางขนมลงข้างกายพลางจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่า พี่มาร์ทจะไม่แกล้งหยิบขนมของผมคืนไป แล้วจึงหยิบหนังสือบนชั้นออกมาพลิกอ่านดูทั้งที่มือก็โอบถุงขนมไว้ด้วย ช่างเป็นวันที่คุ้มค่าอีกวันหนึ่งในชีวิตผมเลยครับ เพราะได้กินทั้งขนมต่างประเทศแล้วยังได้หนังสือนักเขียนในดวงใจกลับบ้านไปนอนกอดอีก คุ้มค่ากับการมาจริงๆ
++++++++++++++
โดยปกติแล้วงานอบรมสัมมนาที่ผมมักได้รับเชิญจะใช้สถานที่ของโรงแรมย่านเจริญกรุงสลับกับรัชดาภิเษกเป็นส่วนมาก แต่มักจะเป็นย่านรัชดาภิเษกบ่อยกว่าเพราะการเดินทางสัญจรด้วยขนส่งมวลชนของภาครัฐเข้าถึงได้หลายช่องทางจึงสะดวกในแง่ของการเตรียมงานต่างๆ ทำให้ผมได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนพี่มาร์ทได้บ่อยขึ้นและทุกครั้งที่ผมไปก็จะมีขนมติดไม้ติดมือไปฝากด้วยเสมอๆ ทว่า...วันนี้กลับเป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน ผมไม่มีนัดสัมมนาที่ไหน แต่ก็ยังอยากจะมารัชดาภิเษก เพราะนี่เป็นวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ของพี่มาร์ทพอดิบพอดี หวังว่าของขวัญที่ผมอุตส่าห์โทรสั่งร้านทำให้ชิ้นนี้คนรับจะชอบนะครับ แต่ตอนนี้บ่ายสามโมงเข้าไปละ ผมเพิ่งจะได้นั่งรถไฟใต้ดิน อาจารย์ก็ดันปล่อยช้าแถมยังต้องไปแวะเอาของขวัญที่ร้านหน้ามหาวิทยาลัย รีบจนข้าวกลางวันยังไม่ได้ตกถึงท้อง รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เลย
"พบคุณภิมุขครับ พี่เขาบอกว่าโทรเข้ามาแล้วครับ" ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งบอกพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ไปเช่นนั้น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า
"ชื่อคุณอะไรค่ะ"
"กรณ์ ครับ" เธอตรวจสอบรายชื่ออยู่สักพักจึงส่งกระดาษแผ่นเล็กให้ผมพร้อมกับบอกว่า
"นี่กุญแจห้องนะคะ ส่วนนี่โน๊ตค่ะ"
"ขอบคุณครับ"
พี่ติดธุระด่วน อาจถึงช้าเล็กน้อย
ถ้าแมครีบกลับฝากของไว้ที่เคาน์เตอร์ได้เลย
มาร์ท
ผ่านไปชั่วโมงนึงก็แล้ว ชั่วโมงครึ่งก็แล้ว ผมว่า ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ถึงช้าเล็กน้อย ขึ้นมาบ้างแล้วสิครับ ทำไมห้องใหญ่โตขนาดนี้ถึงไม่มีขนมอะไรให้ผมกินแก้หิวได้บ้างเลย เหลือแค่ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ไส้ถั่วแดงในกระเป๋าแค่ก้อนเดียว กินรองท้องแล้วหลับรอ คงประทังความหิวไปได้ถึงเย็นละนะ งับ...
แกร๊กๆ เสียงไขประตูทำให้ผมลืมตาเด้งตัวขึ้นนั่งในทันทีเล่นเอาเกือบหน้ามืด พอตั้งสติได้จึงยกนาฬิกาข้อมือดิจิตอลขึ้นกดส่องไฟตรงหน้าจอดูแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะไม่นึกว่าเวลาจะล่วงเลยไปถึงทุ่มกว่าแล้ว ทำเอาสองมือสองขาพันกันให้วุ่นโชคดีที่ไม่ล้มสะดุดขาโต๊ะกระแทกพื้นเสียก่อน
"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู มี เฮ้ย! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู สุขสันต์วันเกิดครับผม"
“ม...แมค?”
“เป่าเค้กสักทีสิครับ ผมอายแล้วนะ” สบตามองจ้องผมอยู่ได้ เดี่ยวก็ไม่ให้ซะเลย
"เอ่อ....อืมๆ ฟู่ว์" พี่มาร์ทวางกระเป๋าถือลงกับพื้นก้มลงเป่าเทียนจนดับครบทุกเล่ม แล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่มบอกออกมาว่า "ขอบคุณครับ"
"ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ" ผมยิ้มออกในทันที เห็นทำหน้านิ่งตอนแรกเลยไปต่อไม่ถูก
"รอนานไหม? พี่ขอโทษนะครับ” อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะรับเค้กในมือของผมไปวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัว “พี่เองก็ลืมโทรหาเราด้วยสิ คราวหลังถ้าดึกมากฝากโน๊ตทิ้งไว้แล้วกลับไปก่อนก็ได้ กลับค่ำมืดมันอันตราย"
"ไม่เป็นไรครับ ผมก็รอเอาเค้กให้พี่นี่แหละ"
"รอพี่? รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดพี่"
"เอาเป็นว่ารู้ละกัน" ผมยิ้มตอบพลางนึกย้อนถึงวันก่อนๆที่มาเยี่ยมเยียน เห็นกรอบรูปตั้งโชว์ในตู้ระบุวันเวลาพร้อมข้อความยินดีของเพื่อนฝูงทำไมคิดว่าจะลอดสายตาผมไปได้ “ดึกแล้วอะ งั้นผมกลับก่อนนะครับ” รีบเก็บของกลับตอนนี้รถไฟฟ้าใต้ดินคงยังไม่ปิด แต่คนน่าจะเยอะอยู่ ถ้ากลับรถเมล์ก็คงไม่ต่างกันแถมถนนยังแน่นอีกต่างหาก งั้นนั่งรถไฟฟ้าไปลงครึ่งทางแล้วต่อรถเมล์น่าจะเหมาะกว่าละมั้ง แต่เดี่ยวแวะหาก๋วยเตี๊ยวกินข้างทางก่อนกลับดีกว่า หิวจะแย่ละ
"จะกลับแล้วเหรอ พี่ยัง..."
"มีอะไรปะครับ" ผมถามทั้งที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นสะพาย แต่พี่มาร์ทกลับเงียบไม่พูดอะไรต่อ สายตาคมจับอยู่ที่ใบหน้าผมด้วยอาการครุ่นคิดไม่ละไปไหน สีหน้าดูอิดโรยกว่าวันก่อนๆจนสังเกตได้ชัด ผมจึงขยับสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ถามด้วยความเป็นห่วงว่า "มีเรื่องที่ทำงานปะครับ เล่าให้ผมฟังก็ได้นะ"
"ไม่ใช่หรอกครับ" ตอบรับแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง คราวนี้สายตากลับผลุบลงต่ำเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตา พาลเอาผมรู้สึกกังวลตามไปด้วยจนกลัวจะพูดอะไรที่ทำลายบรรยากาศอันตรึงเครียดจนน่าวังเวงนี้เข้า มือข้างที่ว่างจึงยื่นออกไปตบเข้าที่ต้นแขนอีกฝ่ายเชิงให้กำลังใจเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างสูงกว่าสะดุ้งพูดโพล่งขึ้นมาว่า "พี่ขอกอดแมคได้ไหม?"
"ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ละ เรื่องแค่นี้เอง อุ๊บส์..." แรงโถมกอดจากคนตัวโตกว่าทำเอาร่างของผมเซถอยหลังไปเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวถูกรัดแน่นแต่ไม่ถึงกับอึดอัดจนขยับไม่ได้ แม้ผมจะรู้สึกเฉยๆไม่คิดมากกับการกอดครั้งนี้แต่ครั้นจะไม่เฉลียวใจกับอารมณ์ของอีกฝ่ายก็คงจะดูแปลกเกินไป สองแขนจึงยกขึ้นโอบแผ่นหลังของคนตรงหน้าไว้พลางลูบไปมาให้คลายทุกข์ พอจะเดาออกว่า อาการเช่นนี้คงไม่พ้นมีเรื่องหนักใจสักอย่างแต่ไม่พร้อมจะเล่าแน่ๆ "ถ้าผมทำอะไรให้พี่มาร์ทลำบากใจอะไร ผมขอโทษนะครับ" ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไปเช่นนั้นเหมือนกัน พี่มาร์ทเลยคลายอ้อมกอดออกมองใบหน้าของผมแทน
"เอ๋? ทำไมคิดงั้นละ"
"คือผมก็รบกวนพี่บ่อยๆ ไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะเวลาพี่ทำงาน ไหนจะรบกวนเวลาพี่พักผ่อน... อย่างวันนี้พี่ควรจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ต้องรีบกลับ"
"คิดมากน่า พี่โทรเลื่อนนัดหมดแล้ว อยากกลับมาคอนโดนี่แหละ"
"ก็นั่นแหละครับ ผมว่าผมกลับบ้านเลยดีกว่าพี่มาร์ทจะได้พักผ่อน วันนี้ไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ ถ้าผมถึงบ้านแล้วจะโทรบอก" บางทีตัวถ่วงที่ว่าอาจจะเป็นผมเอง สงสัยต้องลดความเอาแต่ใจของตัวเองลงหน่อยซะแล้วมั้ง ผมคงล้ำเส้นความสัมพันธ์มากเกินไป พี่มาร์ทเองก็คงคิดแต่คงไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจผมอยู่แน่ๆ “งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
"เดี๋ยว!!! อย่าเพิ่งไป" มือหนาคว้าเข้าที่ข้อแขนก่อนที่ผมจะเดินไปยังประตู "พี่เลื่อนนัด เพราะกลัวจะกลับมาเจอแมคที่คอนโดไม่ทัน"
"ผมเหรอ? งง?" หรือผมทำอะไรผิดจริงๆ เริ่มเครียดจนคิ้วขมวดเป็นปมขึ้นมาละ
"ขอพี่พูดอะไรตรงๆได้ไหมครับ"
"ซีเรียสไหม ถ้าใช่เอาวันอื่นได้ไหมอ่า" ผมแสร้งหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เพื่อลดความเครียดในจิตใจแต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
"พี่ชอบแมคนะครับ"
"ครับ ผมก็ชอบพี่มากๆเหมือนกัน" ผมยิ้มรับตอบกลับไปทั้งที่ในใจก็สงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกัน
"ไม่ใช่ชอบอย่างที่แมคคิด พี่ชอบแมคแบบที่แฟนเขาชอบกันนะ"
"ห๊ะ! ฟะ...แฟนชอบกัน" ถึงกับอ้าปากค้างพร้อมกระพริบตาปริบติดกันสามครั้งติด หูฟาดครั้งนี้ทำเอาร้อนจากแผ่นอกขึ้นหน้าเลย สงสัยคงต้องถามย้ำอีกครั้งมั้งครับเผื่อคำตอบจะเป็นอย่างอื่น "จริงเหรอ?"
"ครับ"
"ไม่จริงสินะ เอ๋...พูดว่าครับงั้นก็จริง งั้นก็...อ่า....เออ...เอ่อ...คือ....ร้อนอะ" เริ่มไปต่อไปไม่ถูกซะละ หันซ้ายขวาหาอะไรทำดีวะ
“ร้อน?”
“ไม่รู้สิครับ มันเพิ่งจะร้อน พี่มาร์ทไม่ร้อนเหรอครับ ไม่มีเหงื่อคงไม่ร้อนสินะ ผมคงร้อนคนเดียวเร่งแอร์หน่อยดีกว่าเนอะ อ๋อ...นั่นไงรีโมทแอร์ เอ่อ...รีโมททีวีนี่หว่า เอ่อ...ทำไงดีวะ?” ทำอะไรไม่ถูกเลยครับตอนนี้ อยากบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาบอกชอบผม แต่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายมาบอกชอบผม แล้วทำให้ผมหายใจติดขัดหน้าร้อนผ่าว มือเท้ากลับชาและเย็นเฉียบ พอเงยหน้าขึ้นมองสายตาที่ก้มลงมาแล้วมันพาลใจสั่นชอบกล สงสัยต้องกลับไปกินยาแก้ไข้ซะละ วูบวาบๆแบบนี้ไม่สบายชัวร์เลย เขาว่าเดี่ยวนี้หวัดเป็นกันง่ายๆแค่ชั่วพริบตา “ขอยาไทลินอลเม็ดสิครับ”
“หึๆ น่ารักกว่าที่คิด”
“อะไรนะครับ?” แว่วๆว่าน่ารักๆอะไรสักอย่างๆนี่แหละ
"เปล่าๆ พี่ไม่มียาแก้ไข้หรอก” พี่มาร์ทพูดขึ้น เอื้อมมือจะมาสัมผัสหน้าผาก แต่ผมกลับเอี้ยวตัวหลบกลัวอะไรก็ไม่รู้ “เซเว่นซอยข้างๆคอนโคน่าจะมี ให้พี่ไปซื้อไหมหรือแมคจะกลับเลย”
“อ่าใช่ครับ ขอบคุณที่เตือน งั้นกลับบ้านกัน เฮ้ย...ไม่ใช่ ผมกลับบ้านคนเดียว บ้านพี่มาร์ทอยู่นี่” เอาละชักอยากกุมขมับ สงสัยผมจะเพ้อพิษไข้ซะละ
“ดึกแล้ว พี่ไปส่งแมคดีกว่า"
“ไม่เอาๆ เดี่ยวพี่มาร์ทติดหวัดผมแย่เลย นอนพักเถอะครับ ทำงานหนักๆมาต้องนอนพักเยอะๆ”
“หึๆ ยังคิดว่าเป็นหวัดอยู่อีกเหรอ? พี่แข็งแรงจะตายไม่เป็นหรอกครับ แต่ตามใจเราละกัน พี่เดินไปส่งขึ้นแท็กซี่ละกันครับ ส่วนนี่ค่ารถ พี่ไม่รับคืนครับ เอาไป ถือว่าตอบแทนที่อุตส่าห์รอพี่ตั้งนาน"
“อืมครับ พี่มาร์ทอย่าลืมทานเค้กนะ เค้กส้มร้านนี้เปรี้ยวหวานอร่อยมากขอบอก” ผมหันมองเค้กอีกครั้งก่อนจะกระชับกระเป๋าเข้าที่รีบก้าวเดินนำไปก่อน ไม่อยากหันมองใครเลย แต่พี่มาร์ทโผเข้าโอบกอดผมจากทางด้านหลังอีกครั้งก่อนจะพูดว่า
“สัญญาครับว่าพี่จะกินไม่ให้เหลือเลย”
“อะครับ” ผมยิ้มรับตาหยีฉีกยิ้มกว้างทั้งที่หัวใจเต้นรัว ยามนี้แค่หันไปมองหน้าผมยังไม่กล้านับประสาอะไรกับจะขยับหนี ว่าแต่ว่ากินอะไร? “ห๊ะ...ว่าอะไรนะครับ”
“พี่ชอบแมค” ถึงกับชะงักค้าง ประโยคนี้มาไงกันละนี่ “จริงๆนะ” ขอร้องเถอะครับหยุดพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังได้แล้ว ก่อนผมจะทนปั้นหน้านิ่งไปกว่านี้ไม่ไหว
“อืม งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผละออกจากอ้อมกอดได้ ผมก็รีบยกมือไหว้ปรกๆท่วมหัววิ่งปราดเดียวไปยังประตูเบื้องหน้า ก่อนจะกระชากออกแล้วปิดกลับอย่างรวดเร็ว
ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่มาร์ทต้องพูดคำนั้นออกมาด้วย? ทำไมผมไม่กล้ามองหน้า? ทำไมผมไม่ตอบโต้อะไรออกไปสักอย่างเอาแต่สั่นงันงก? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไมผมถึงรู้สึกอบอุ่นแปลกๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้? ใครก็ได้บอกผมที...ผมควรจัดการกับสภาพตัวเองต่อยังไงดี? ไม่รู้เว้ย เอาเป็นว่า กลับบ้านก่อนละกัน
TBC
-----------------------------------------------------------------------------------------
ช่วง : Talk to Writer
Q : Janny >> ต่อไปพี่มาร์ทต้องประกบติดนะคะ มีคนมาจีบน้องแล้วววว 55555
A : เขามาแล้วก็จากไปนะสิครับ เศร๊าเศร้า
Q : panitanun >> เหยยยอะไรยังไงอะเหยยยย จิตตกถึงขนาดที่ไทลินอลก็สามารถทำให้ระเเวงได้55555
A : ก็ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย เอานิ้วจิ้วกัน
Q : lnudeel >> โอ้โฮ่!!!~ น้องแมคผู้คิดจะขายอ้อย(?) ทำไมหนูซุ่มซ่ามขนาดนี้คะ สะดุดความหล่อมากของพี่มาร์ททำน้องแมค เอ้ย! อ้อยทั้งกระจาดกระเด็นกระดอนเข้าปากพี่มาร์ท. หวานปากพี่มาร์ทสิคะ น้องแมคป้อนอ้อยเข้าปากให้ด้วยความไม่ได้ตั้ง(จริงหรออออ~~~). อร่อยและฟินเลยสิคะพี่มาร์ท น้องแมคเอาตัว-เอ้ย! ผิดอีกและๆ(ตีปากแปะๆ) อ้อยมาให้แดกถึงที่~~~ ถถถถ~~แซะด้วยเอ็นดูหวังอ่านฉากดูเอ็- แค่กๆ :hao6:. #พี่มาร์ทคนรวยกับน้องคนแมน(?)
A : ว่าพี่มาร์ทเป็นช้างเหรอครับ (ฮา ตบโต๊ะ)
Q : donutnoi >> รู้จักกันมาก็นาน ไว้ใจพี่มาร์ทเถอะ
A : คำแนะนำนี้เริ่มคิดหนักเลย
Q : ❣☾月亮☽❣ >> :z1: :hao6:
A : อีโมดูสะใจชอบกลนะครับ
Q : ❣☾月亮☽❣ >> โอ๋เดํกน้อยน่ารัก. กู้ดจ้อบนะเนี่ย ฟินกำลังดี
A : กรอกตา ขอบคุณครับ
Q : donutnoi >> :katai2-1: :impress2:
A : ขอบคุณครับ
Q : lnudeel >> พี่มาร์ททททททททท~~~!!!! ไหนแกบอกน้องว่าทำเบาๆอ่อนโยนไง แล้วไอ้ที่กระแทกเอาๆซะน้องน้ำตาพรากนี่คืออะไร!! จะร้อนแรงอะไรขนาดนั้น เบาๆหน่อยซี่ นั่นครั้งแรกของน้องแมคนะ เคืองๆ :hao3: #ตะโกนเรียกพี่มาร์ทดังๆ
A : อย่าใช้คำว่า แก สิครับ ไม่สุภาพเลย(#ออกรับแทน) ขอบคุณที่เคืองแทนนะครับ#น้ำตาไหลพราก
Q : ❣☾月亮☽❣ >> :z1: สะอาดแน่ๆ. :impress2:
A : ผมรักความสะอาด? เป็นปกติอยู่ละ
Q : panitanun >> ไม่ได้เวอร์จิ้นคือไรอะเดี๋ยวๆ555555
A : ก็ความหมายตามนั้นละครับ
Q : membermind >> ประโยคสุดท้ายพี่มาร์ทมีสะเทือนนะคะอย่างนี้5555 :hao7:
A : ตอนที่พูดออกไป ไม่เห็นมีอะไรสะเทือนกลับมาเลยครับ
Q : insomniac >> ประโยคสุดท้ายคืออะไร 55
A : ก็ความหมายตามนั้นละครับ
Q : Janny >> เราเผลอแป๊บเดียว... น้องแมคโดนกินไปล้าวววว แต่เดี๋ยวนะคะ ไม่เวอร์จิ้นคือไรร แต่ 2 ตอนก่อนน้องบอกว่าน้องไม่เคยนะคะ 555 แต่เราว่าตอนนี้พี่มาร์ทสติหลุดไปแล้ว ว่าไปก็สงสารเขานะคะ แต่น้องแมคไม่ปล่อยพี่มาร์ทกังวลนานหรอกค่ะ น้องออกจะรักพี่มาร์ทขนาดนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะค่ะ มาค้างคืนแรกก็โดนจับกินเลยอ่ะ พี่มาร์ทคะ เดี๋ยวน้องไม่กล้ามาค้างอีกนะคะ
A : สงสารผมบ้างสิครับ? ใครบอกผมรัก ไม่มี ไม่เคยพูด (กอดอกเชิดหน้า)
Q : lnudeel >> หนูแมคไม่จิ้น!?? ครั้งแรกตอนไหน พี่มาร์ท? หรือไง ท้ิงระเบิดลงไปตุ้ม!เลย :hao7:
A : ก็ก่อนเที่ยงคืนก็...ครั้งแรก ผ่านมาก็เช้าวันถัดไป มันจะไปเวอร์จิ้นได้ไงละครับ
จบการตอบคำถามละครับ
สุดท้ายนี้ก็อยากฝากบอกคนอ่านและคนเม้นต์ทุกท่านว่า
ชีวิตจริงกับชีวิตจิ้นมันก็ต่างกันแค่เชือกเส้นบางๆ
มองให้ลึก มองให้เข้าใจ ไตร่ตรองด้วยเหตุผล และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ผมเชื่อว่า...หากคุณยอมรับและพร้อมจะปรับเปลี่ยนในจุดนี้ได้ ไม่ว่าชีวิตจริงหรือชีวิตจิ้น คุณก็จะมีอิสระไม่ต่างกันหรอกครับ
ชีวิตจริงไม่ได้โหดร้ายจนต้องหลีกหนีไม่กล้าเผชิญหน้า ชีวิตจิ้นก็ไม่ได้หลอกลวงจนต้องยอมเชื่อไปซะทุกเรื่อง
จงใช้ชีวิตทั้งสองโลกอย่างสงบสุขด้วยการมองและคิดอย่างเป็นกลางดีกว่าครับ
แล้วคุณจะพบว่า ความรักและความใคร่ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันจนย่างเข้าปีที่สิบเพียงอย่างเดียวหรอกครับ
สิ่งที่ทำให้เกลียวเชือกรัดเกาะเกี่ยวพันกันแน่นยิ่งขึ้นนั้น เป็นมากกว่าคำสองคำที่ผมได้เอ่ยออกไป
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แฝงเอาไว้ในเรื่องที่ผมอยากบอกในทุกตัวอักษรที่สื่อความออกไป...
ขอบคุณสำหรับการติดตามเรื่องนี้นะครับ
แมค