High School Neighbor
มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
เปิดเรื่อง 19-06-17
บทนำ
“อยู่ได้แน่เหรอแปง”เสียงหญิงสาวที่มาช่วยผมขนของพูดอย่างหวาดๆ ตามประสาของคนที่ไม่เคยลำบาก และไม่เคยอยู่บ้านหลังเล็กแบบนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ ซึ่งสำหรับผมมันก็ไม่ได้ดูแย่นะครับ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทุกอย่าง มันออกจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับการอยู่คนเดียวของผม
“ทำไมแกไม่ไปอยู่คอนโดสะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ ชั้นละไม่เข้าใจจริงๆ ตังค์ก็มี แล้วดูสิเนี่ย ต้องมาใช้กำแพงบ้านร่วมกับใครก็ไม่รู้ เกิดเป็นพวกนิสัยไม่ดี ปีนข้ามมาทำมิดีมิร้ายแกเข้า แกจะทำยังไง แกดูซิ ดูซิ!!!”ผมแทบจะต้องเอามือปิดหูกับเสียงแปดหลอดของเพื่อนผม ไม่รู้จะขึ้นเสียงทำไม แล้วความโอเวอร์ของนางอีก ผมเป็นผู้ชาย แม้จะไม่ใช่แมนทั้งแท่ง แต่ก็คงไม่ต้องกลัวใครมาทำมิดีมิร้ายอะไร อีกอย่างบ้านข้างๆ เนี่ยก็เจ้าของเดียวกันกับหลังที่ผมอยู่ พี่เจ้าของบ้านแกคงไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เลยเอามาซื้อบ้านทิ้งไว้เล่นๆ และจากที่ผมถาม หลังที่ติดกับหลังที่ผมอยู่เนี่ย แกยังไม่มีแพลนจะปล่อยเช่า เพราะเอาไว้เผื่อญาติๆ หรือคนในบ้านของแกเองอยากจะมาพัก เพราะงั้นเนี่ยปลอดภัยหายห่วงมากๆ
“คุณหนูข้าวหอมครับ อย่าเยอะ”ผมส่ายหน้าให้กับแม่เพื่อนสาวของผม เราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่เราเป็นเพื่อนกัน ทำธุรกิจร่วมกัน ผมกับเธอก็เลยรู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัยก็ยังที่เดียวกันเพียงแต่คนละคณะ เรียกว่าตัวติดกันจนจะรวมร่างก็ว่าได้ แถมพ่อแม่เรา ยังอยากให้เราสองคนตกลงปลงใจกันอีกต่างหาก แต่ผมดันไม่ได้พิศวาสผู้หญิงนี่สิครับ แล้วอีกอย่างยัยข้าวหอมเสียงแปดหลอดนี่ก็มีหวานใจแล้วด้วยครับ
“นั่นสิหอม พี่ว่าแปงเค้าอยู่ได้แหละ อีกอย่างที่นี่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”เสียงพี่โตแฟนหนุ่มของข้าวหอมที่กำลังช่วยยกลังข้าวของของผมเข้าบ้าน แสดงความคิดเห็น คู่นี้คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ พี่โตอยู่ปี 3 ตอนมาจีบยัยข้าวหอมที่เป็นเฟรชชี่ แล้วก็รักกันมาจะเข้าปีที่ 7 แล้วละครับ ไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากผมแล้ว จะมีคนที่ทนความมีดีเทลของยัยข้าวหอมนี่ได้
ส่วนผมนะเหรอครับ เกิดมาจนจะเบญจเพศอยู่แล้ว ยังไม่เคยมีแฟนเลยครับ ก็จะให้ไปมีแฟนได้ยังไงละครับ ชีวิตตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่กับข้าวหอมมาตลอด ขนาดตอนแรกพี่โตยังเกือบจะไม่กล้าจีบข้าวหอม เพราะเข้าใจว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน แต่พอข้าวหอมกับพี่โตเป็นแฟนกัน ชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากหรอกครับ เพราะเวลาไปไหนมาไหนกันก็กลายเป็นว่าพี่โตกับข้าวหอมต้องหอบผมติดไปด้วย ไม่ว่าผมจะปฏิเสธอยากให้เค้าไปกันสองคนยังไง สุดท้ายผมก็ขัดยัยหอมจอมเยอะไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่างที่ผมไม่คิดมีแฟน เพราะไม่อยากมีปัญหากับที่บ้านด้วยแหละครับ พ่อแม่ผู้มีหน้ามีตาในสังคมของผม แทบจะรับสมอ้างทุกครั้งที่มีคนเข้าใจว่าผมกับข้าวหอมเป็นแฟนกัน ทั้งที่เรื่องการเป็นเกย์ของผมทั้งคู่ก็ทราบดี ทราบดีตั้งแต่ผมเรียน ม.ต้น เสียด้วยซ้ำ เพราะพอผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ผมก็รับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจในเพศตรงข้าม หากแต่มีความชอบในเพศเดียวกัน แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติในแบบเด็กผู้ชายทั่วไป มีเพื่อนทั้งหญิงและชายปกติ
ผมคิดว่าผมโชคดีที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น ผมเลือกที่จะปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นของผมในตอนนั้น และท่านก็ยังเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือมาจนถึงทุกวันนี้ อาจารย์ท่านนี้อธิบายในสิ่งที่ผมเป็น ให้ผมได้เข้าใจตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าเราไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เราแค่มีรสนิยมทางเพศอีกแบบนึงที่ไม่ได้ตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง
และอาจารย์ท่านนี้อีกเช่นเดียวกันที่ช่วยพูดกับพ่อแม่ผม ว่าสิ่งที่ผมเป็นมันไม่ได้ผิด ในตอนแรกที่ผมเปิดใจคุยเรื่องนี้กับพ่อและแม่ ทั้งคู่ไม่ยอมรับ และให้ผมพยายามเปลี่ยน ถึงขั้นจะหมั้นหมายผมกับข้าวหอมเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้อาจารย์ท่านนี้มาช่วยพูดกับพ่อแม่ผม จนเหมือนเกือบจะเข้าใจ แค่เกือบนะครับ เพราะจนทุกวันนี้พ่อกับแม่ถึงจะไม่ได้มาบังคับผมเรื่องการมีความรัก แต่ก็ยังถามผมเสมอว่าเคยคิดอยากแต่งงานมีลูกไหม
“ถ้าจะมีแฟน แม่ขอให้เรียนจบก่อนค่อยมีนะลูก”นี่คือสิ่งที่ส่งผลให้ผมไม่มีแฟนมาจนถึงทุกวันนี้ แม่ได้ห้าม แต่แม่อยากให้เรียนจบก่อน ซึ่งผมว่ามันก็แค่การยื้อเวลานั่นแหละครับ ยื้อเวลาให้ผมไม่ต้องคบกับผู้ชายคนไหน ให้ท่านทั้งสองลำบากใจ เพราะประโยคนี้แม่ย้ำกับผมตั้งแต่มัธยม จนจบปริญญาตรี และนี่ผมก็เพิ่งจะจบปริญญาโทมาหมาดๆ
“รอให้ทำงาน เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วกันนะ ค่อยคิดเรื่องแฟน”และนี่คือคำพูดใหม่ของแม่ผมครับ พอเรียนจบก็จะให้ผมเข้าไปช่วยบริหารธุรกิจของที่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่พ้นการควบคุมผมไม่ให้มีใครอีกตามเคย ผมรู้ครับว่าทั้งคู่ก็คงยังมีหวังว่าวันนึงผมอาจจะเปลี่ยนใจ ผมเลยตัดสินใจที่จะขอออกมาใช้ชีวิต ลำพังดูบ้าง
“ไปสิ ไปเลยก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กอย่างแกที่มีพ่อกับแม่คอยดูแลช่วยเหลือมาตลอด มันจะไปได้สักกี่วัน คอยดูแล้วกันว่าวันนึงแกก็ต้องซมซานกลับมาที่นี่เหมือนเดิม”นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับผม แต่ผมไม่โกรธหรอกนะครับ จริงๆ พ่อกับแม่ผมก็ใจดีแหละ เพียงแต่ยังยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นไม่ได้ และเพิ่งเคยเห็นผมไม่ทำตามสิ่งที่ทั้งสองวางไว้ ตั้งแต่เด็กจนโตผมทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอด จะมีอะไรที่ตามใจตัวเองบ้าง มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ทั้งสองยังยอมรับได้ แต่ครั้งนี้ทั้งคู่ก็คงทั้งโมโหและทั้งห่วงด้วยนั่นแหละครับ
“ปีนึงพอไหม กับการลองใช้ชีวิต”เสียงจากผู้เป็นพี่สาว เข้ามาตบไหล่ผม พี่ปอแก่กว่าผม 3 ปี แต่ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนโต และมีน้องชายที่ไม่ได้มีความพร้อมจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เลยทำให้พี่สาวผมต้องดีดตัวเองขึ้นไปเป็นหญิงเก่งและแกร่งในคนเดียวกัน นี่ถ้าพี่สาวผมเป็นพี่ชายซะ ชีวิตผมมันอาจจะง่ายกว่านี้
“ขอมากกว่านั้นได้ด้วยเหรอเจ้”ผมย้อนถามด้วยรอยยิ้ม เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่พี่สาวผมพูด มันไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำสั่ง และนั่นทำให้ผมเซนต์สัญญากับบริษัทที่สมัครงานไว้แค่ 1 ปี ถ้าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อก็ค่อยว่ากันอีกที
“แกนี่น้า...อยู่บ้านสบายๆ ก็ไม่ชอบบอกเลยว่าหอมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”เสียงข้าวหอมดังขึ้นอีกรอบพร้อมกับร่างของเธอที่ทรุดลงตรงโซฟา เหมือนเหนื่อยเสียเต็มประดา ทั้งที่เพิ่งช่วยหยิบถุงเข้าบ้านมาแค่ถุงเดียว
“พี่โต หอมร้อนอยากได้น้ำส้มเย็นๆ”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มคั้น ที่เตรียมไว้มาให้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมผมมีน้ำส้มคั้น เพราะคบกับยัยนี้มานานครับ จับทางได้หมดแล้วว่านางจะเยอะไปทางไหนบ้าง และผมก็พยายามจะช่วยลดภาระพี่โตบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวพี่แกจะทนยัยนี่ไม่ไหว ได้โสดกันคู่แน่ๆ
“Thanks แต่เดี๋ยวก่อนนะคะเพื่อน แกชื่อโตเหรอ ไปเอามาทำไมชั้นจะอ้อนแฟนชั้น คราวหลังไม่เผือกนะคะเพื่อนแปง”อยากจะบอกเหลือเกินว่าดูสภาพแฟนคุณเพื่อนสักนิดไหม นี่ก็แทบจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว เพราะช่วยผมขนของเนี่ย
“พี่โตพักก่อนก็ได้ครับ ที่เหลือทิ้งไว้ข้างนอกแหละเดี๋ยวผมจัดการเอง”ตอนนี้ข้าวของชิ้นใหญ่ๆ ที่ผมยกคนเดียวไม่ไหวก็เข้ามาในบ้านหมดแล้ว เหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆที่อยู่หน้าประตู ผมเริ่มคิดว่านี่ผมขนของมาเยอะเกินไปหรือเปล่า เวลา 1 ปีจะว่านานก็นาน แต่จะว่าไม่นานก็ได้อยู่เหมือนกัน ผมเริ่มคิดว่า หรือบางทีต่อให้ครบ 1 ปีตามที่เจ้ผมยอมให้ออกมาอยู่ข้างนอก ผมก็อาจจะเช่าที่นี่ทิ้งไว้ต่อไปก็ได้ ดูๆ ไปที่นี่ก็เงียบสงบดี ไว้เบื่อๆ ก็แวะมาที่นี่ก็คงจะดี
“คุณเพื่อนแปงคะ จะปล่อยข้าวของไว้นอกบ้านได้ยังไง ขนเข้ามาให้หมดแหละดีแล้ว อีกอย่างพี่โตของชั้นเนี่ย ไหวอยู่แล้ว ใช่ไหมคะพี่โตขา”ผมกำลังจะห้ามแต่ก็คงไม่เป็นผล ไม่รู้ว่าพี่โตนี่มาเป็นแฟนหรือเป็นทาสให้ยัยข้าวหอมนี่กันแน่
และแล้วของทุกอย่างก็เข้ามาแออัดในห้องรับแขกแคบๆ ของผม คือจริงๆ กะว่าบางอย่างกะว่าปล่อยไว้ตรงประตูก่อน เพราะจะได้จัดข้างในให้เป็นที่เป็นทางก่อน แล้วไอ้ที่ผมบอกนี่ก็ประตูเข้าบ้านนะครับ ไม่ใช่ประตูรั้ว ที่จะต้องกังวลเรื่องปล่อยทิ้งไว้ แถมข้าวของก็ไม่ใช่ของอะไรที่ สำคัญหรือมีราคาขนาดนั้น ทีนี้พอขนเข้ามาทุกอย่างมันก็เลย...
“แกเห็นไหม แกดูสิ ว่าที่มันคับแคบขนาดไหน แกกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมเถอะนะ”เอาอีกแล้วครับ ยัยข้าวหอมนี่ตั้งแต่รู้ว่าจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว ก็ทั้งหว่านล้อม ทั้งบังคับผมต่างๆ นานา หรือพยายามหาที่ให้ผมอยู่ ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ ตอนแรกเห็นว่าจะยกคอนโดให้ผมอยู่ฟรีด้วย จริงๆ เราสองคนก็สนิทกันจนเหมือนคนในครอบครัวแล้วแหละครับ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง
“ไม่”ผมยังคงยืนยันหนักแน่นกับคำตอบเดิมที่บอกเหมือนทุกครั้ง
“แกไม่กลัวเหงาเหรอมาอยู่คนเดียวแบบนี้”เหตุผลร้อยแปดมักจะตามมาแบบนี้เสมอครับ ถ้าเราสองคนเริ่มเปิดบทสนทนาในเรื่องนี้
“ไม่”
“ชั้นละแก ไม่กลัวชั้นเหงาเหรอ”และบางเหตุผลก็ดูข้างๆ คูๆ ที่แถจนสีข้างแทบถลอก ยัยนี่จะไปเหงาอะไรละครับ แฟนก็มี
“แกมีพี่โต”ผมตอบพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่ยอมแพ้ ปกติผมไม่ค่อยเถียงหรอกนะครับ อะไรยอมยัยนี่ได้ก็ยอม แต่พอยอมบ่อยๆ ชักจะเคยตัว จนสงสัยเข้าใจไปแล้วว่าผมต้องยอมเธอทุกครั้ง
“ชั้นหมายถึงเพื่อนอ่ะ ยูโนวว เพื่อนค่ะเพื่อน แกคิดว่านอกจากแกแล้วชั้นมีเพื่อนสนิทที่อื่นอีกไหม”นี่ยิ่งแล้วใหญ่ครับ แม้เราสองคนจะสนิทกันมากๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีกลุ่มเพื่อนอื่นๆ อีก ข้าวหอมก็มีเพื่อนผู้หญิงไว้เม้าท์มอย เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมตามประสาผู้หญิงบ้าง ผมเองก็มีเพื่อนกลุ่มอื่นอีกเช่นกันแหละครับ
“แก...จากบ้านแกมานี่ไม่ถึง 30 นาทีเลยมั้ง ทำยังกะชั้นย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เราก็ยังนัดเจอกันได้ปกติ”กับยัยนี่ต้องเอาเหตุผลอ้อมๆ มาหักล้างครับ เพราะบางทีถ้าไปค้านเธอตรงๆ เธอก็จะยิ่งไม่ยอมแพ้ครับ
“งั้นไปดูหนังกันป่ะ ของค่อยมาจัดอีกทีไม่ต้องรีบ”แต่ก็นั่นแหละครับ พอเปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จก็จะพยายามให้ การย้ายบ้านผมล่าช้าไปอีก ขนาดวันนี้กว่าจะยอมมาช่วยนี่ก็บ่ายเบี่ยงแล้วบ่ายเบี่ยงอีก
“แกพาพี่โตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม”ผมดักคอด้วยความรู้ทันครับ เพาะสภาพแฟนของข้าวหอมตอนนี้ ไม่น่าจะพร้อมไปโรงหนังสักเท่าไหร่
“นั่นแหละ เราก็เจอกันที่โรงหนังเลย ดูหนังจบก็ไปหาอะไรกิน นั่งฟังเพลงชิลๆ ถ้ากลับมาจัดของที่นี่ไม่ทัน ก็ค้างที่บ้านเหมือนเดิม ค่อยมาจัดที่นี่ใหม่ วันหลัง”โดยไม่ได้ทันให้ผมปฏิเสธ ข้าวหอมก็รีบลากแฟนหนุ่มออกไปทันที ปล่อยให้ผม มองกองข้าวของเครื่องใช้ ที่ไม่รู้จะเริ่มจัดอะไรก่อน รู้งี้ผมน่าจะค่อยๆ ขนมาทีละนิดก็ดี แต่แบบนั้นก็ต้องเข้า-ออก ที่บ้านบ่อยๆ อีก หรือผมจะปล่อยไว้แบบนี้ แล้วไปดูหนังกับยัยข้าวหอมซะดีไหมเนี่ย ยังไม่ทันตัดสินใจว่าผมจะเอายังไงดี โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
“ครับพี่ปุ๊ก ครับใช่ครับเนี่ยกำลังจัดของอยู่เลย”เป็นพี่เจ้าของบ้านที่โทรมาสอบถามว่าผมย้ายเข้ามาหรือยัง แต่นี่ผมว่าโทรมาเช็คหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะพี่ปุ๊ก เจ้าของบ้านเนี่ยแกเป็นลูกค้าที่ติดต่องานกับพี่สาวผมอยู่ คือเรียกง่ายๆ ว่าที่บ้านผมก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเต็มที่นั่นแหละครับ ขนาดปีนี้ผมก็อายุ 25 แล้วแท้ๆ ทำยังกับผมไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็โอเคครับ ถือว่าพบกันครึ่งทาง ผมยอมให้เค้าตามดูห่างๆ แลกกับการได้ออกมาลองใช้ชีวิตของตัวเอง
“คืองี้นะน้องแปง พอดีว่าพี่สาวพี่เนี่ยอยากจะจับลูกชายแยกกับเพื่อนๆ เพราะติดเพื่อนจนเสียการเรียน เลยจะให้ลูกชายไปอยู่บ้านข้างๆ น้องแปง เลยว่าจะรบกวนน้องแปงนิดนึงว่าถ้าไอ้หลานชายพี่มันไม่ไปเรียน พาเพื่อนมามั่วสุม หรือพาผู้หญิงมาบ้าน น้องแปง สายตรงหรือไลน์มาบอกพี่หน่อย พี่จะได้จัดการ คงไม่เป็นการรบกวนน้องแปงมากไปใช่ไหมคะ พี่ละเกรงใจ๊ เกรงใจ”แหม พูดมาขนาดนี้ยังจะกล้าเกรงใจอีกเหรอครับ ถ้าขนาดนี้แล้วให้ผมถ่ายทอดสดชีวิตหลายชายพี่แกให้ดูทุกวันเลยไหมละครับ
ผมตบปากรับคำอย่างเสียไม่ได้ครับ แต่ฟังกิตติศัพท์จากพี่ปุ๊กแล้ว หลานชายแกนี่คงแสบไม่เบา แต่ก่อนเห็นว่าพ่อแม่เช่าคอนโดให้อยู่ แต่พอปล่อยอยู่คนเดียวก็พาเพื่อนไปปาร์ตี้บ่อย จนคนในคอนโดนั้นร้องเรียน อีกอย่างเห็นว่านี่จะขึ้น ม.6 เป็นปีสุดท้ายชีวิตมัธยม ทางบ้านก็อยากให้ตั้งใจเรียนจะได้เข้ามหาวิทยาลัยแถวหน้าได้ ฟังๆ แล้ว นี่ชีวิตผมจากนี้จะสงบสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้
บทที่ 11
อกหักมันเป็นยังไง
“พี่ชอบผู้ชาย”
“ก็กะอยู่แล้ว”หลังได้ยินคำตอบของผม เค้าก็ตอบกลับมายิ้มๆ มองผมสบายๆ เหมือนไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เค้าดื่มเบียร์ที่ซื้อมาจนหมด เค้าก็ขอตัวกลับบ้านไป พอตอนเช้าเค้าก็มาทำอาหารเช้า ปกติเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เค้าไม่พูดถึงเมื่อวานที่มีเรื่องไม่สบายใจ หรือไม่พูดถึงสิ่งที่เค้าถามผมอีก เค้าทำตัวปกติเหมือนทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้มันดันยังติดอยู่ในหัวผม จนตามมาถึงที่ทำงานแบบนี้ ผมนั่งคนแก้วกาแฟนตัวเองคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งกับใครคนนึงที่เรียกผม
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่เรียกตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวเลย”หญิงสาวที่น่าจะอายุมากกว่าผมนิดหน่อย ซึ่งผมไม่คุ้นหน้าเลยว่าเป็นลูกค้าบริษัทเราหรือเปล่า จะว่าเป็นพนักงานใหม่ก็คงไม่ใช่อีก แต่นี่ผมคงคิดนานเกินไปทำให้หญิงสาวตรงหน้าสะกิดเรียกผมอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ
“โทษที พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมถามกลับพร้อมยิ้มอย่างอายๆ ที่ทำตัวเปิ่นๆ ออกไป
“อ้าวกุ้ง มาทำอะไร”เป็นพี่ฟ่างที่เดินเข้ามาทักก่อนโดยที่พี่กุ้งตามที่พี่ฟ่างเรียก ยังไม่ทันได้ตอบอะไรผม ดูจากการพูดคุยแล้วดูท่าพี่ฟ่างและพี่กุ้งคงสนิทกันไม่น้อยทีเดียวครับ
“พอดีเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ แล้วไม่มีกุญแจบ้านเลยแวะมา กะว่าเอาของฝากมาให้ด้วย อีกอย่างก็มาดูว่าพ่อตัวดีของเรามีนอกลู่นอกทางบ้างหรือเปล่า”จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าพี่กุ้งคงเป็นแฟนใครสักคนในออฟฟิศแน่ๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่เค้ามาที่นี่มาก่อนเลย
“น้องฟ่าง ใครอ่ะ”เจ้โอ๋ที่โผล่เข้ามาเพิ่ม เอ่ยถามด้วยความสงสัย นี่ขนาดผู้กว้างขวางในออฟฟิศอย่างเจ้โอ๋ ยังไม่รู้จัก แต่รู้จักพี่ฟ่างงั้นเหรอ
“นี่กุ้งแฟนไอ้ต้าร์มันครับเจ้ กุ้งนี่พี่โอ๋ แล้วก็น้องแปง”พี่ฟ่างแนะนำพวกเราทุกคนให้รู้จักกัน เจ้โอ๋มีอาการแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมนะเหรอครับ มันก็รู้สึกงงๆ หน่อยๆ หวิวๆ นิดๆ โหวงๆ ด้วยประมาณนึง เรียกว่าอธิบายไม่ถูกดีกว่าครับ คือก็คิดไว้อยู่เหมือนกันว่าพี่ต้าร์แกคงมีแฟนแล้ว อีกส่วนนึงก็ยังแอบสงสัยว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างจะสนิทเกินเพื่อนหรือเปล่า แต่พี่ต้าร์เองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟนเลยด้วยแหละครับ
“พี่คิดว่าต้าร์กับฟ่างเป็นแฟนกันใช่ไหมคะ กุ้งเองทีแรกก็คิดนะคะ”พี่กุ้งหันไปคุยกับเจ้โอ๋ อย่างอารมณ์ดี ผมเองก็แกล้งฝืนๆ ยิ้มอยู่ที่เดิม แล้วก็มองอีกคนที่เข้ามาใหม่ นั่นคือพี่ต้าร์ พี่เค้ายิ้มกว้างเข้ามาหาแฟนของเค้าทักทายอย่างสนิทสนม ผมบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง แต่มันไม่เห็นเจ็บ หรือรู้สึกเศร้าอะไรเลยกับสิ่งที่ได้รับรู้ตรงหน้า
“น้องแปง ไม่ต้องเศร้าไปนะจ๊ะ ถึงพี่จะมีแฟนแล้ว แต่อยู่ที่นี่เราก็ยังเป็นผัวเมียกันเหมือนเดิม”พี่ต้าร์เดินเข้ามากอดคอผม ผมก็น่าจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า แกแค่แกล้งผมเล่นๆ แบบนี้ รวมทั้งกับพี่ฟ่างเองก็ด้วย ผมแกล้งยิ้มขำๆ ไปกับการกระทำของพี่ต้าร์
“พี่บอกเลยนะคะน้องกุ้ง เห็นแบบนี้ทุกวันไม่กลัวไอ้เนี่ยมันเปลี่ยนใจจริงๆ เหรอ”เจ้โอ๋แกล้งทำท่าแขยง ก่อนจะหัวเราะออกมา ทุกคนพูดคุยกันต่ออีกสักพักอย่างสนุกสนาน ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน และพี่กุ้งก็กลับออกไป ส่วนผมก็กลับมานั่งทำงานด้วยความรู้สึกแปลกๆ เรียกว่าวันนี้ผมทำงานแทบจะไม่มีสมาธิเลย พอถึงเวลาเลิกงานผมก็กลับบ้านด้วยอาการมึนๆ
“วันนี้ลุงอยากกินอะไรเป็นพิเศษเปล่า”สายประจำจากพ่อครัวส่วนตัว โทรเข้ามาแทบจะเวลาเดิม แต่ผมเพียงตอบไปว่าอะไรก็ได้ เพราะรู้สึกเหมือนไม่ค่อยหิวด้วย
“วันนี้เหนื่อยเหรอลุง ทำไมเสียงเนือยๆ”น้ำเสียงเจือด้วยความสงสัยเอ่ยถามผมออกมาตามสายโทรศัพท์
“เปล่าหรอก ไว้เจอกันที่บ้านละกัน”ผมปฏิเสธพร้อมตัดบทสนทนา ผมว่าผมไม่เป็นไร ไม่น่าจะรู้สึกอะไรกับเรื่องที่ได้รับรู้วันนี้ แต่ทำไมมันเหมือนบางอย่างกลับติดอยู่ในหัวของผม ผมไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลย มันคืออะไรกันนะ ผมขับรถเรื่อยๆ ด้วยอาการจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน สายตาเหลือบเห็นบางอย่าง ทำให้ผมหยุดรถ
“10 กระป๋องครับ”ผมบอกกับพี่คนขาย มือชี้ที่กระป๋องรูปทรงและหน้าตาแบบเดียวกับที่ภู่ซื้อไปวันก่อน แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมผมต้องซื้อไป แต่ผมว่าการที่ภู่เองเอามันไปดื่มในวันที่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความรัก มันก็คงช่วยได้บ้างแหละ แม้ระหว่างผมกับพี่ต้าร์มันจะยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคนรักเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้เป็นไรเนี่ยลุง ตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์แล้ว ดูเนือยๆ แล้วนี่ดูหน้าตาเข้าอกหักหรือไงเนี่ย”คำพูดเหมือนแซวเล่นๆ จากอีกคนที่เข้าบ้านมาก่อนผมแล้วทักทายผม แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเดินหิ้วของมาวางที่โต๊ะ และสิ่งที่ผมซื้อมาก็คงทำให้เค้าสังเกตเห็นแล้ว เค้าเดินมาหยุดตรงหน้าผม จ้องมองผมโดยไม่ได้พูดอะไร
“เค้ามีแฟนแล้วใช่ไหม คนที่พี่แอบชอบนะ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า กำลังงงว่าเค้ารู้ได้ยังไง
“ถึงผมจะอายุน้อยกว่า แต่ประสบการณ์รักของผมเยอะกว่าพี่แน่ๆ อีกอย่างพี่ไม่เคยบ่นเรื่องงานเลย อาการที่พี่เป็นมันเดาไม่ยากหรอกครับ”เค้าอธิบายเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร
“ก็แค่เค้าไม่ชอบเรา ไม่ได้แปลว่าเราไร้ค่า เราไม่มีใครเอา ชีวิตเรามันไม่ได้จะพังลงหรอกพี่”เดี๋ยวนะนี่อาการผมมันแย่ขนาดนั้นเหรอ ผมก็ว่าผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ แม้มันจะรู้สึกนอยด์ๆ ไปบ้างแต่ผมว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น แล้วเค้าก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอด
“อกหักครั้งแรกก็งี้แหละพี่”เค้าลูบหัวผมเหมือนปลอบเด็กจนผมเผลออมยิ้มออกมา ผมว่าไอ้ผมนะไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ไอ้เด็กตรงหน้านี่แหละ เล่นใหญ่เหลือเกิน สงสัยตอนตัวเค้าเองอกหักคงอาการหนักสินะ
“ภู่...ปล่อยก่อนพี่ไม่เป็นไร”ผมพยายามขืนตัวออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังกอดผมไว้แน่น ตกลงนี่เค้าหรือผมกันแน่ที่แย่ หรือตัวเค้าเองที่เฮิร์ทต่อเนื่องมาจากวันก่อน
“ไม่ต้องเกรงใจพี่ผมรู้ว่าเวลาเจ็บมันต้องการอ้อมกอดจากใครสักคน ยังไงพี่ก็ยังมีผมนะ”ไปกันใหญ่แล้วไหมเนี่ย ผมว่าผมยังไม่เสียใจอะไรขนาดนั้นนะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เสียหลักหรือชีวิตพังอะไรขนาดนั้น
“ปล่อยก่อนภู่ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”ผมออกแรงดันเค้าอีกครั้งพร้อมบอกอย่างจริงจัง เค้ายังคงมองหน้าผมด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่แต่ผมก็ย้ำแล้ว ย้ำอีกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“ไม่เป็นไรแล้วซื้อเบียร์มาทำไม”เค้าชี้ที่เบียร์ 10 กระป๋องที่ผมหอบหิ้วมา เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองหรอกนะครับ อาจจะแค่คิดแบบเด็กๆ ว่าอยากเมาดูบ้างเวลาคิดว่าตัวเองอกหัก แต่นี่ผมอกหักหรือเปล่ายังไม่เข้าใจตัวเองเลย
“อยากทำตัวเฮิร์ทดูบ้าง แต่ทำไมมันไม่เห็นรู้สึกจะเป็นจะตายเหมือนในละคร ซีรี่ส์ หรือตาม MV เลยอ่ะ”ผมบอกขำๆ แต่ก็คือสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ผมไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยถูกทิ้ง ไม่เคยโดนบอกเลิก แต่เท่าที่เคยเห็นคนที่เป็นฝ่ายถูกทิ้งตามหนังละคร อะไรต่างๆ ดูเค้าทุรนทุราย ร้องไห้เสียใจฟูมฟาย กินไม่ได้นอนไม่หลับกันเหลือเกิน ทำไมผมไม่ยักกะรู้สึกแบบนั้น
“อะไรของลุงนิ ตกลงอกหักจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามด้วยน้ำเสียงออกจะหมั่นไส้ผมหน่อยๆ แต่จะมาโทษผมก็ไม่ได้นะครับ ตัวเค้าเองแหละมาถึงผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย ดันมาเล่นใหญ่ใส่ผมเองซะงั้น
“ไม่รู้สิมันก็รู้สึกนิดๆ นะ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นจะตายเลย”ผมฉีกยิ้มกว้างบอกเค้าไปตามตรง เอาจริงๆ ก่อนกลับมาเตอเค้าก็รู้สึกแย่หน่อยๆ แหละครับ แต่อ้อมกอดจากเค้าเมื่อสักครู่มันก็ช่วยผมไว้ด้วยแหละมั้ง จังหวะนึงที่เค้ากอดผม มันก็ทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอยู่เหมือนกัน
“นี่ตกลงใช่เรื่องคนที่ลุงแอบชอบมีแฟนอยู่แล้วอย่างที่ผมว่าป่ะ”ผมพยักหน้าตอบรับ ว่าเค้าไม่ได้เจ้าใจผิด
“นี่ชอบเค้าจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามผมกลับด้วยท่าทีที่คงเริ่มไม่เข้าใจว่าจริงๆ ผมจะเสียใจ เศร้าหรืออะไรกันแน่
“มันก็ชอบนะ แต่ก็คิดอยู่แล้วไงว่าเค้าไม่ได้จะมาชอบคนอย่างเรา”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะมันดูเป็นไปได้ยากอยู่แล้วที่พี่เค้าจะมาชอบผม
“เผื่อใจแล้วว่างั้น”
“งั้นมั้ง”ผมย่นจมูก ทำท่าคิด ส่วนอีกคนก็เอื้อมมือดึงถุงเบียร์ลากไปหาตัวเอง ก่อนจะหยิบขึ้นมากระป๋องนึง
“งั้นเบียร์นี่ก็ไม่ต้องกิน ไม่จำเป็น ไม่ดีด้วย”เค้ายื่นกระป๋องเบียร์มาเคาะเบาๆ ที่หัวผม นี่ตกลงใครเป็นผู้ใหญ่ใครเป็นเด็กกันแน่เนี่ย ดูผมจะถูกปฏิบัติเหมือนตัวเองเป็นเด็กมาหลายครั้งแล้ว
“ไม่ดีแล้ววันก่อนดื่มทำไม”ผมย้อน เพราะหมั่นไส้ทำมาเป็นพูดดี ทำยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทั้งที่ตัวเองอายุยังไม่ถึง 18 ปีด้วยซ้ำ ตามกฎหมายนี่ทั้งเหล้าทั้งเบียร์อายุเท่านี้เข้ายังห้ามขายให้อยู่เลย แต่เด็กนี่จากที่เห็นก็ทั้งดื่ม ทั้งสูบ เป็นผมเสียอีกที่โตจนป่านนี้แต่เรื่องพวกนี้แทบจะไม่เคยลองเลย
“ผมโตแล้วดื่มได้ ส่วนลุงอ่ะเด็กน้อยอย่าดื่มเลย”ดูครับดู คำพูดคำจาของไอ้เจ้าเด็กนี่ ที่จริงประโยคนี้ผมควรเป็นคนบอก คนสอนเค้าไหม นี่อะไร แล้วไอ้นิ้วที่เอามาจิ้มหน้าผากผมนี่อีก
“เล่นด้วยหน่อยเอาใหญ่นะเรา ใครเด็กใครผู้ใหญ่พูดให้ดี”ผมปัดมือเค้าออก ก่อนจะบอกอย่างเคืองๆ
“ลุงดื่มไม่ค่อยเป็นไม่ใช่ไง ดื่มไปเดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มอีก”เค้าพูดเสียงอ่อนลง จนผมเผลอเข้าใจไปว่าเค้านึกเป็นห่วงผม แต่เห็นสายตาที่มองประป๋องเบียร์นี่แล้ว ชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วนะครับ
“งั้นเอาทิ้งแล้วกันเนอะ”ผมแย่งเอาถุงเบียร์ในมือเค้ามา แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“เฮ้ยๆทิ้งทำไมลุง เสียดาย ลุงไม่ควรดื่มแต่ผมดื่มได้ เอามานี่แช่ตู้เย็นไว้ก่อน”แล้วในที่สุดเค้าก็แย่งเบียร์ทั้งถุงไปจากผม ผมยิ้มขำๆ กับท่าทางของเค้า ทำยังกะกลัวผมจะเอาไปทิ้งจริงๆ งั้นแหละ ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเค้าอีก จนเราทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ช่วยเค้าเก็บถ้วยจากมาที่อ่างล้างจาน
“ทำไมดื่มเหมือนมันไม่ขมเลย”ตอนนี้พ่อครัวของผมเก็บจานไปก็ถือกระป๋องเบียร์ติดมือมาด้วย แล้วก็ดื่มเหมือนมันอร่อยนักหนา ทั้งที่เท่าที่ผมเคยชิม ผมว่ามันขมและไม่อร่อยเลย ยกเว้นไอ้ตอนที่ผมดื่มผสมกับสไปรท์นั่น มันก็หวานดีแต่เมาทีก็ไม่รู้ตัวเลย
“แรกๆ มันก็ขมแหละมั้ง แต่พอดื่มไปนานๆ มันก็จะค่อยๆ หวาน นุ่ม ลื่นคอไปเองแหละลุง”ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่อีกคนบอกสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ยืนอยู่ใกล้ตู้เย็น เลยลองหยิบมาเปิดดูสักป๋อง กลั้นใจยกขึ้นจิบๆ
“แหวะ ก็ขมอยู่ดี มันจะหวานไปได้ยังไง”ผมทำท่าจะโยนทิ้ง แต่อีกคนก็รีบเข้ามาแย่งกระป๋องในมือผมไป อย่างกับว่ามันเป็นของสำคัญ จะปล่อยทิ้งไม่ได้งั้นแหละ แล้วเค้าก็ยกกระป๋องที่แย่งจากมือผมไป ดื่มเหมือนไม่ได้รู้สึกว่านั่นผ่านริมฝีปากผมมาก่อน นี่เค้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ
“นี่ถามหน่อยสิ เวลาอกหักมันต้องเจ็บแบบในพวกหนังรักรันทดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”ผมยังคงคาใจกับเรื่องของความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก เค้ายกยิ้มเล็กน้อยหันหลังยืนพิงกับผนังแถวที่ล้างจาน ส่วนผมก็ยังยืนอยู่แถวๆ ตู้เย็นในครัวนี่
“ก็ถ้ามีรักจริงๆ นะลุง คนเรารักใครมันก็ต้องหวังอยากให้เค้ารักตอบทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ความรักตอบกลับมามันก็ต้องเจ็บ ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก”ผมพยายามคิดตามสิ่งที่เค้าอธิบาย หรือความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์มันจะไม่ใช่ความรัก เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรขนาดนั้นอย่างที่บอก
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะรักใคร”เค้าหยุดคิดนิดนึงก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผม เค้าเข้ามาหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้าผม
“ก็ถ้าเวลาเราอยู่ใกล้ๆ ใครพอเค้าทำแบบนี้”เค้าใช้มือของเค้ากุมมือผมไว้ข้างนึง ส่วนอีกข้างใช้หลังมือแตะเกลี่ยไปบริเวณข้างแก้มผม เค้าค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม จนจมูกเราแทบจะแตะกันอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ห้ามหรือขัดในสิ่งที่เค้ากำลังทำ
“ถ้ามีใครทำแบบนี้แล้วมันทำให้เรา”เค้ากระซิบเบาๆ ข้างๆ หูผม
“ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ”ผมเผลอหลุดปากออกไป อาจจะดูเหมือนผมพูดต่อประโยคกับเค้า แต่ความจริงผมแค่หลุดพูดในอาการที่ผมกำลังเป็นต่างหาก เค้ายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะถอยออกจากผม
“ใช่แล้ว...แล้วนี่ผมทำให้ใจลุงเต้นไม่เป็นจังหวะบ้างหรือเปล่า”เค้ายังคงยิ้มเหมือนคนกำลังสนุก จนผมชักจะหงุดหงิดและเริ่มทำตัวไม่ถูก ผมผลักให้เค้าถอยห่างจากผมออกไปอีก
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย”
TBC
ลุงก็โดนเด็กมันแกล้งตลอดด
o22
บทที่ 17
ว่าด้วยเรื่องการจูบ
“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ออกมาพร้อมคำพูดนั้น แต่แล้วผมก็ไม่ได้รับรู้แค่กลิ่นอีกต่อไป เมื่อริมฝีปากที่ขยับตรงหน้าประกบลงมาที่ปากผม ด้วยความตกใจทำให้ปิดปากแน่น และกำลังจะถอยออกแต่เหมือนมือของอีกคนจะไวกว่า มือขวาเค้าสอดอ้อมไปด้านหลังรั้งตัวผมไว้
“อือ”ผมกำลังจะอ้าปากถาม ว่าเค้าทำอะไร แต่มันกลับกลายเป็นการเปิดปากให้เค้าสอดลิ้น เข้ามาในปากของผม ด้วยความทั้งตกใจและไม่เคย มันทำให้หัวใจผม เต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะ เค้าที่เป็นเด็กมัธยมดูช่ำชองกว่าคนวัยเบญจเพสอย่างผม จากที่ผมจะต่อต้านในทีแรกเพราะความตกใจ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นความหวาบหวาม จนผมเผลอปล่อยตัวไปตามอารมณ์กับเค้า
“ขม”คือความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นเบียร์ที่รสชาติยังค้างอยู่ในปากของเค้า แต่มันก็ผสมกับความ “หวาน” ของเค้กในปากของผมเอง มันเป็นรสชาติที่แปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับผม แม้จะไม่เข้าใจว่าเค้าทำแบบนี้กับผมทำไม แต่ผมกลับรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่ได้รับ สองมือผมเอื้อมขึ้นรั้งคอของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างมันโถมเข้ามารวดเร็วเสียผมตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลง
“แฮ่กๆ”ผมหอบหายใจ สูดอากาศที่ถูกตัดไปเมื่อสักครู่ เค้าค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เราสบตากันนิ่งก่อนที่ต่างคนต่าง ถอยห่างออกจากกัน ต่างคนต่างเหมือนทำตัวไม่ถูก
“เมื่อกี้มันอะไร”ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ตาก้มลงมองพื้นเป็นที่เรียบร้อย ใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดิม
“ผมคง...เมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ”ผมหันหน้าขึ้นมองอีกคน แต่เค้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านผมไปเลย ทิ้งให้ผมที่ยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
“จูบแรก”ไอ้เด็กบ้านี่ผมเสียจูบแรกให้กับเด็กบ้านั่นเหรอเนี่ย ผมรีบเอามือขึ้นจับริมฝีปากตัวเอง แต่พอจับมันกลับยิ่งเหมือนว่ากดปุ่มรีเพลย์เหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้เล่นวนในหัวของผมอีกรอบ
“นี่คือการลงโทษผม ของเด็กนั่นเหรอเนี่ย”ผมทิ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แล้วไอ้เด็กนั่นก็อะไร มาทำแบบนี้แล้วก็ชิ่งหนีไปดื้อๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง ไม่สิ เด็กบ้านั่นบอกว่าเมา “เมา” แล้วยังไงละ เมาแล้วมีสิทธิ์มาขโมยจูบแรกของคนอื่นแบบนี้เหรอ ว่าแต่จะเรียกขโมยได้ไหมเพราะผมเองก็ไม่ได้ดูตั้งใจจะขัดขืนสักเท่าไหร่กัน
“โอ้ย”ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวครับ นี่มันเรื่องอะไรกันแล้วนี่คืนนี้ผมจะนอนหลับไหมครับเนี่ย ผมเดินเบลอๆ เข้าห้องนอนทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ชุดทำงานก็ยังไม่ได้เปลี่ยน แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติจะทำอะไรทั้งนั้น ผมล้มตัวลงนอนอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่ด้วยความเพลียที่ทำงานมาทั้งวัน จากที่คิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ ก็ทำให้รู้ว่าไอ้เรื่องในหัวของผมยังต้านทานความอ่อนเพลียของผมไม่ได้
“ชิบหาย 7 โมง”ผมมองดูนาฬิกาทันทีที่สะดุ้งตื่น นี่ปกติเวลานี้ผมแทบจะทานข้าวเสร็จเตรียมออกจากบ้านแล้วนะครับ อีกอย่างทุกครั้งถ้าเด็กบ้านั่นทำกับข้าวเสร็จแล้วและผมยังไม่ตื่น ก็ต้องมาเคาะเรียกปลุกแล้วนี่นา ยิ่งช่วงหลังๆ บางทีผมไม่ล็อคห้องก็เข้ามาปลุกผมถึงเตียงเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่วันนี้ทำไมเค้าไม่มาปลุกผม หรือว่าเค้าไม่ได้มาทำกับข้าวเช่นเคย ไวเท่าความคิดเมื่อเหตุการณ์เมื่อคืนช่วยกระตุ้นความจำผม
“พี่แปงตื่นแล้วเหรอครับ”เค้าที่อยู่ในชุดนักเรียนและเหมือนทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทีท่าตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมพรวดพราดออกมา ผมก็เพิ่งจะระลึกได้ว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้อาบน้ำ แถมหลับไปทั้งชุดทำงานชุดเดิมของเมื่อวาน เรียกว่าสภาพผมตอนนี้น่าจะดูไม่จืดเลยทีเดียว
“ทำไมไม่ปลุก”แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้มันดูอึดอัดแปลกๆ แต่ผมก็ยังพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จะไม่นึกถึงว่าเมื่อคืนเราสองคนจูบกัน จะไม่นึกว่ารสจูบนั้นเหมือนเบียร์ผสมเค้ก นี่คือผมจะไม่นึกถึงจริงๆ นะครับ
“ไม่อยากรบกวนพี่แปงนะครับ เห็นว่าเมื่อคืนกลับดึก”เค้าตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้หันมามองผม แล้วเค้าก็เดินเอาชามข้าวต้มที่กินเสร็จแล้ว เข้าครัวไปล้างเก็บ ทำไมผมว่าวันนี้เค้าทำตัวแปลกๆ กันนะ เพราะเรื่องเมื่อคืนงั้นเหรอ
“ผมไปเรียนก่อนนะครับ พี่แปงก็รีบละเดี๋ยวจะไปทำงานสาย”นิ่ง นี่เค้านิ่งเกินไปจนผิดปกติแล้ว เค้าแทบไม่หันมาสบตาผมเสียด้วยซ้ำ นี่เห็นผมเป็นอากาศธาตุหรือไงกัน
“ภู่”ผมเรียกเค้าไว้ก่อนที่เค้าจะเดินออกไป เค้าเพียงหยุดแต่ไม่ได้หันกลับมามองผม
“ไม่รอไปพร้อมกันเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมไปเองสะดวกกว่า”เค้าตอบทั้งที่ไม่หันกลับมามองผมด้วยซ้ำ ไอ้เด็กบ้านี่เมินผม งั้นเหรอ เมินผมเพราะเรื่องไหน ไม่พอใจเรื่องที่ผมให้รอนาน ก็ไม่น่าใช่เพราะผมว่าเมื่อคืนเราก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว หรือจะมาเมินผม เพราะเรื่องที่เราจูบกันเมื่อคืน ถ้าเรื่องนั้นมันความผิดผมเมื่อไหร่กัน
ผมไม่ใช่คนเริ่มเสียหน่อย ผมต่างหากไหมที่เป็นคนที่ควรจะรู้สึกอะไรมากกว่าเค้า ได้ถ้าจะเล่นแบบนี้ก็ได้เลยไอ้เด็กบ้าเอ้ย แหมทำมาเป็นเรียกพี่แปงอย่างนั้น พี่แปงอย่างนี้ ทั้งที่เดียวนี้ก็เห็นเรียกผมลุงมาตลอดอยู่แล้ว ผมรีบสลัดไอ้เด็กบ้านั่นออกจากความคิด รีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวให้เร็วที่สุด
แต่ว่าแม้จะรีบยังไงพอออกผิดเวลาแบบนี้ ด้วยการจราจรแบบนี้มีหวังก็สายอยู่ดีแหละครับ จากที่หงุดหงิดไอ้เด็กบ้านั่นที่มาทำเมินผม ก็ยังต้องมาหงุดหงิดกับรถติดนี่อีก ทำไมชีวิตผมมันรันทดได้ขนาดนี้เนี่ย ก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในรถคนเดียวนั่นแหละครับ สุดท้ายกว่าจะฝ่ารถติดมาถึงที่ทำงานได้ ก็เกือบ 9 โมงครึ่ง ดีที่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่สาย เพราะนี่เล่นสายกันยกเซต พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ 3 คนนั้นดูสภาพแล้วไม่น่ามีใครมาครบ 100% นี่คงฝากไว้ที่ร้านเหล้าคนละนิดละหน่อยแน่ๆ
“ไหวไหมพี่”ผมถามพี่ต้าร์ที่เดินกาแฟนสวนไป แต่เหมือนพี่แกจะไม่พร้อมทักทายผมสักเท่าไหร่ นี่คงอาการหนักสุดสินะ ถ้าผมไปด้วยนี่อาจจะน็อคแล้วมั้งครับ แต่ถ้าเมื่อคืนผมไปกับพี่ๆ เค้า ผมกับไอ้เด็กบ้านั่นอาจจะไม่ต้องจูบกันก็เป็นได้
“แปง เป็นไรเนี่ยดูเหม่อๆ นอนไม่พอเหรอ”พี่ฟ่างที่ยังชงกาแฟอยู่ในห้องครัวทักผม ที่ยังคงยืนเอ๋อๆ จับแก้วกาแฟอยู่ ไม่ใช่ว่าผมนอนไม่พออย่างที่พี่ฟ่างว่าหรอกนะครับ แต่ผมแค่ยังคิดไม่ตกเรื่องผมกับไอ้เด็กบ้านนั่นแหละครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะครับว่าทำไมเค้าต้องเมินผม จะว่าเขินก็ไม่น่าใช่
“พี่ฟ่างเคยจูบไหม...ครับ”ด้วยความที่สมองผมยังคิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมา จากจะทักทายพี่ฟ่างก็ดันเป็นพูดเรื่องจูบเสียอย่างนั้น แล้วเพื่อไม่ให้ตัวเองปล่อยไก่ไปมากกว่านี้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ไม่แก้ไขมันละ พี่ฟ่างก็ดูงงๆ หน่อยๆ กับสิ่งที่ผมถามและก็เหมือนจะกลั้นขำเอาไว้ด้วย แล้วการถามเรื่องจูบนี่มันน่าขำตรงไหนกันเล่า หรือว่าไม่มีใครเค้าถามกัน หรือผมควรถามคนอื่น แต่จะให้ผมถามใครละ ข้าวหอมเหรอ รายนั้นได้ซักผมจนซีดแน่ งั้นก็ถามพี่ฟ่างนี่แหละ
“ไปจูบกับใครมาละ”หรือผมเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม ไม่ถามมันยังจะดีกว่าหรือเปล่า แต่พี่ฟ่างไม่รู้จักภู่นิ ต่อให้เล่าไปถ้าผมแค่ถามเป็นเรื่องสมมติ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรนี่เนอะ อีกอย่างพี่ฟ่างก็ไม่ใช่คนขี้เม้าท์เหมือนเจ้โอ๋กับพี่ต้าร์ ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะขยับเข้าหาพี่ฟ่าง
“ตกลงพี่ฟ่างมีแฟนแล้ว...เหรอครับ”ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ถึงพี่ฟ่างไม่ได้ตอบว่าเคยจูบมาไหม แต่อาการมันก็ฟ้องว่าเคย อีกอย่างพี่ฟ่างเองก็คงประสีประสากว่าผมเยอะแน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องแฟนพี่ฟ่างเลย แล้วพี่ฟ่างจะไปจูบกับใคร
“เรียกว่าแฟนไหม...ก็คงไม่ใช่แหละ”พี่ฟ่างทำท่าคิดนิดนึงก่อนจะตอบออกมา ไม่ใช่แฟนแต่ก็เคยจูบกันงี้เหรอ แต่เอะ พี่ฟ่างก็ไม่ได้บอกนิว่าเคยจูบ แต่เอะหรือว่าการจูบกันมันไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้
“คนเราไม่ต้องเป็นแฟนกัน ไม่ต้องเป็นคนรักกันก็จูบกันได้เหรอครับ”ผมถามอย่างสงสัย เพราะคิดมาตลอดว่าจูบแรกของผมจะเก็บไว้ให้คนที่ผมจะรักเค้าอะไรแบบนั้น หรือผมคิดอะไรที่น้ำเน่าเกินไป
“คนบางคนรู้สึกดีต่อกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้นิ”ถ้ารู้สึกดีต่อกันแล้วทำไมถึงไม่คบกันเป็นแฟนละ ความคิดผมขัดแย้งกับสิ่งที่พี่ฟ่างกำลังพูด หรือแค่รู้สึกดีแต่มันยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะ
“หรือบางคนก็จูบกันเพราะมีบางอย่างที่ต้องการเหมือนกัน”ผมยังคงเงียบรับฟังสิ่งที่พี่ฟ่างบอก แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตามที เอาจริงๆ ผมไม่นึกว่าพี่ฟ่างจะมีมุมมองอะไรแบบนี้ หรือมาอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยซ้ำ
“บางอย่างที่ต้องการเหมือนกันนี่คืออะไรเหรอครับ”นี่ขนาดตั้งใจฟัง คิดตามผมยังไม่เข้าใจเลยครับ พี่ฟ่างหันมามองผม เหมือนแปลกใจที่ผมไม่เข้าใจถึงขั้นต้องถามแบบนี้ พี่ฟ่างหรี่ตามองผม เหมือนจะถามว่านี่ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าผมแค่อำแกเล่นกรือเปล่า แต่หน้าผมคงกำลังเหมือนคนโง่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พี่ฟ่างเลยช่วยชี้ทางสว่าง
“ก็...เซกส์ไง”คำตอบของพี่ฟ่างทำเอาผมแทบทำกาแฟในมือร่วง นอกจากจูบแล้ว คนเรายังมีเซกส์กันโดยไม่ได้รักกันได้ด้วยเหรอ เป็นผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ หรือเพราะคิดแบบนี้ผมถึงยังซิงมาจนเบญจเพศแบบนี้
“แปงนี่อินโนเซนส์กว่าที่พี่คิดนะเนี่ย”อะไรกันเนี่ยพี่ฟ่าง ทำไมต้องมาทำเสียงเอ็นดูผมอะไรขนาดนี้ ก็คนมันไม่เคยนี่นา อยากจะบอกไปแบบนั้นนะครับ แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งดูน่าเอ็นดูกว่าเดิม
“ตกลงไปแอบชอบใคร หรือมีใครมาทำให้หวั่นไหวหรือเปล่านิ”ชอบใครงั้นเหรอ หรือหวั่นไหว กับไอ้เด็กบ้านั่นนะเหรอ ไม่ใช่มั้ง เห็นมีแต่เรื่องทำให้ผมหงุดหงิด ออกจะน่ารำคาญสิไม่ว่า
“สมมตินะพี่ สมมติจริงๆ นะครับ”ผมย้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ดูว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวผมนัก หรือว่านี่จะยิ่งทำให้พี่แกปักใจว่าคือเรื่องของผม แต่ช่างมันเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงซะพี่ฟ่างก็คงไม่ได้เจอกับไอ้เด็กบ้านั่น คงไม่มีทางได้รู้จักกันหรอก เพราะงั้นเรื่องนี้มันก็จะจบแค่ที่ห้องชงกาแฟนี่แหละ
“โอเค มันเป็นเรื่องสมมติ ที่คือใครก็ไม่รู้ซึ่งพี่ไม่รู้จัก และไม่ใช่เรื่องของแปงด้วย”โคตรจะไม่เนียนเลย ไม่ใช่พี่ฟ่างนะครับ ผมเองนี่แหละ ผมยิ้มแห้งๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้
“คือถ้าอยู่ๆ มีคนมาจูบเรา โดยที่เค้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่พอมาอีกวันเค้าก็ทำเมินเรา เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้มันหมายความว่ายังไงอะพี่ เค้าคิดอะไรทำไมถึงทำแบบนี้”พี่ฟ่างนิ่งเงียบไปเหมือนใช้ความคิด ส่วนผมก็นิ่งรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน
“ที่จริงในความรู้สึกพี่ มันก็แค่จูบอะเนอะ แต่พี่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น งั้นเอางี้ดีกว่า ก่อนที่เราจะอยากรู้เค้าทำแบบนี้เพราะอะไร เราตอบตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่า ว่าตัวเราเองรู้สึกยังไงกับเค้า”
TBC
บทที่ 21
ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ
“ใจ้ต้นแรงเลยนะลุง”เค้าบอกยิ้มๆ ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าลงหลบสายตาของเค้า ตกลงที่เค้าทำกับผมนี่มันหมายความว่ายังไง มันจะยังหมายถึงการอยากแกล้งผมเหมือนที่เค้าเคยบอกหรือเปล่า
“พี่ไม่เล่นแล้วดีกว่า”ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืน
“อ้าวเดี๋ยวดิ ละลุงจะไปไหนอ่ะ”เค้าถามเหมือนว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แม้ครั้งนี้เค้าจะไม่ได้เมินผมเหมือนครั้งก่อนแต่การที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงละเนี่ยเรื่องพวกนี้คนไม่ประสีประสาอย่างผมต้องคิดเอาเองหรือยังไง ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้ผมโง่จริงๆ
“กลับบ้านดีกว่าเกมนี้คงไม่เหมาะกับพี่หรอก”ผมบอกไปตามตรง เพราะทั้งเกมที่ก็เล่นไม่เป็น แล้วไหนจะไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ของผมนี่อีก ไหนจะเด็กบ้านี่ที่มาจูบผมแล้วก็ทำยังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่อีก หรือว่าการจูบนั่นแค่จะเอาคืนที่มือผมไปโดนเป้ากางเกงของเค้า
“อยู่ก่อนดิ”เค้าลุกขึ้นตามมาคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันมองเค้าอย่างไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำแบบนี้ทำไม ก็เห็นอยู่ว่าเกมนั่นผมก็คงเล่นไม่ได้หรอก เล่นไปเค้าก็ไม่น่าจะสนุก
“ไม่เอาจะกลับบ้าน”ผมยังยืนยันคำเดิมว่าอยากกลับบ้านตัวเองมากกว่า
“กลับไปแล้วจะทำอะไร”เค้าถามต่อเหมือนน้ำเสียงจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ แล้วจะมาไม่พอใจอะไรผมกันละเนี่ย ก็เห็นๆ อยู่ว่าผมก็ไม่ได้ชอบเกมที่เค้าเสนอนี่สักนิด แถมสถานการณ์ตอนนี้อีกมันยิ่งทำให้ผมอึดอัด
“ดูหนัง ฟังเพลง ไม่ก็นอน”ผมตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ทุกอย่างที่ว่ามานั่นทำที่นี่ได้หมดเลย”เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อยผมกลับบ้านง่ายๆ
“ก็แล้วทำไมต้องทำที่นี่”ผมเองก็ยังไม่ยอมแพ้เค้าด้วยเช่นกัน
“ผมอยากให้ลุงอยู่กับผมด้วยไง”อะไรกันอีกละเนี่ยทำไมต้องมาพูดกับผมแบบนี้ แล้วใจผมนี่ก็เหมือนกันช่วงนี้ดูจะทำงานหนักเป็นพิเศษ เรียกว่านี่เต้นผิดจังหวะไปแล้วไม่รู้กี่รอบ
“อะไรเนี่ย”ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเค้าดึงแขนผม บังคับให้นั่งลงที่โซฟาหน้าทีวี ผมมองหน้าเค้าอย่างรอคำอธิบายว่ากำลังทำอะไรของเค้าอยู่ จะมาอยากให้ผมอยู่ด้วยทำไม เหตุผลอะไรก็ไม่มี
“ดีวีดี อยู่นั่นถ้าลุงจะดูหนังก็เลือกมาเลย ผมดูดบุหรี่แป๊บ”แล้วนี่คือคำอธิบายของเค้าเหรอ อะไรของเค้าเนี่ย พูดจบก็เดินออกไปปล่อยให้ผมงงอยู่คนเดียว ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่จะปั่นหัวผมเล่นหรือไงเนี่ย
“เดี๋ยวดิ”ผมเรียกเค้าไว้เพราะยังคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เค้าจะตัดบทเดินออกไปสูบบุหรี่แล้ว
“ขอสูบบุหรี่แป๊บ”เค้าเพียงหันมายิ้มให้ผม แล้วก็เดินออกไปไม่ฟังผมอยู่ดี ไอ้ผมก็ได้แต่นั่งกระวนกระวายใจอยู่นี่ เพราะความรู้หลากหลาย ผมค่อยๆ ทบทวนทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กนี่เข้าในชีวิตของผม วันแรกที่เจอกันก็มาถอดเสื้อโชว์ผม แถมมาแหย่เรื่องผมเป็นเกย์อีก
จากนั้นเค้ายังมาเป็นคนแรกที่ไม่ใช่คนในครอบครัวที่หอมแก้มผม ตอนที่มีสองสาวมาตบกันแย่งเค้า แล้วไหนจะเป็นคนที่จับผมเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นผมโป๊ ไหนจะยังมาโชว์ของตัวเองให้ผมดู แล้วที่จูบผมนั่นอีก ตอนแรกก็คงตามที่เค้าบอกว่าอยากแกล้งผม แล้วตอนนี้ละ
“คิดไรอยู่อ่ะลุง หน้าเครียดเชียว”เพราะคิดอะไรอยู่ผมเลยไม่ทันสังเกตว่าอีกคนเข้ามานั่งลงข้างๆ แต่พอเค้าเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นบุหรี่ที่เหมือนจะยังไม่จางจากตัวเค้า ทำให้ผมต้องย่นจมูกเพราะไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ถึงจะไม่ขนาดว่าเกลียดกลิ่นบุหรี่หรือแพ้อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่ค่อยอยากได้กลิ่นสักเท่าไหร่
“เหม็นบุหรี่เหรอ”เค้ายกเสื้อยกแขนขึ้นดมตัวเอง
“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่ค่อยชิน”ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้แต่ก็ขยับตัวออกจากเค้า ที่จริงถ้ามีใครสูบแล้วทิ้งช่วงสักพักให้กลิ่นจางๆ แล้วผมก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่หรอกครับ แต่นี่อาจจะเพราะเค้าเพิ่งสูบเข้ามาหมาดๆ กลิ่นมันเลยค่อนข้างแรง หรือจะเป็นเพราะยี่ห้อบุหรี่อันนี้ผมก็ไม่ค่อยสันทัดหรอกนะครับ แต่เหมือนเคยได้ยินพี่ต้าร์พูดว่า ต้องสูบยี่ห้อที่ไม่มีกลิ่นเพราะเพื่อนสนิทอย่างพี่ฟ่างไม่ชอบกลิ่นบุหรี่
“ถ้าลุงไม่ชอบคนสูบบุหรี่ เดี๋ยวผมเลิกก็ได้นะ”เค้าบอกผมเสียงทะเล้น แล้วจะมาเลิกเพราะผมทำไมละ นี่แกล้งผมเล่นอีกหรือเปล่าเนี่ย บางทีการที่เค้าชอบกวน ชอบพูดเล่นมันก็ทำให้ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเค้าคิดยังไงกันแน่เพราะทุกอย่างเหมือนจะเป็นการเล่นสนุกไปเสียหมด อย่างครั้งก่อนที่เค้าแกล้งแหย่ผมเรื่องแกล้งเป็นแฟนกันให้ที่บ้านผมเห็นนั่นอีก
“ถ้าเลิกได้มันก็ดี ดีต่อสุขภาพ แถมไม่เปลืองตังค์ด้วย บุหรี่ซองนึงก็หลายตังค์ด้วยนิ”ผมบอกอย่างไม่ได้จริงจังนัก เพราะถึงแม้จะคิดว่ามันดีกว่าถ้าจะเลิกสูบ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเค้าขนาดนั้น
“งั้นผมจะพยายามเลิกบุหรี่แล้วหันมาดูด...”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ๆ ผม มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จนผมต้องเขยิบตัวถอยหนีจากเค้าเพิ่ม
“อะไร”เป็นคำถามที่อยากจะสื่อทั้งว่าเค้ากำลังทำอะไร กับไอ้ที่เค้าหยุดคำพูดไปนั่น เค้าจะพูดอะไรต่อ
“ก็ผมจะเลิกดูดบุหรี่ แล้วหันมาดูดบุรุษอย่างลุงแทนไงละ”เค้าโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมใช้มือยันเค้าไว้ได้ทัน ไอ้ประโยคเมื่อสักครู่ทำไมผมฟังแล้วถึงไม่ค่อยชอบใจยังไงก็ไม่รู้ เค้าทำเหมือนกับว่ากำลังหยอดผมอยู่อย่างนั้นแหละ แม้ผมจะไม่ค่อยฉลาดเรื่องพวกนี้ แต่ก็พอจะเริ่มมองออกแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องปกติในสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้
เค้ารู้ว่าผมเป็นเกย์ ที่จริงมันก็ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ที่เค้าถามผมว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้ตอบและเค้าก็พูดเองว่าเค้าจะหาทางพิสูจน์ แต่ตอนหลังผมก็ยอมรับกับเค้าไปแล้วนี่นาว่าผมชอบผู้ชาย แล้วไอ้การที่เค้าทำอะไรต่างๆ กับผมนี่ละ เค้ากำลัง “จีบ” ผมอยู่เป็นแค่การเล่นสนุกของเค้ากันนะ
เท่าที่ประเมินเค้า แม้เค้าจะไม่ได้มีท่าทีที่รังเกียจอะไรกับการที่ผมชอบผู้ชาย แต่ตัวเค้าเองผมก็ไม่นึกว่าเค้าจะชอบผู้ชายหรอกนะครับ ก็ทั้งแม่สองสาวที่มาตบกันแย่งเค้านั่น หรือคนที่มีอิทธิพลกับเค้าจนนอยด์ๆ นั่นอีกก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น พอคิดๆ ดูแล้วมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เค้าจะชอบผู้ชายอย่างผม
สิ่งที่เค้าทำตอนนี้มันอาจจะเพราะความนึกสนุกบางอย่าง หรือเพราะความสนิทสนมที่เราสองคนมี หรือเพราะความเหงาที่เค้าเองอาจจะไม่ได้มีใคร และผมเองก็ไม่ได้มีใครมันเลยทำให้เค้าทำกับผมแบบนี้ ผมควรจะหยุดความรู้สึกของตัวเองที่กำลังจะมีให้เค้าหรือเปล่า
ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะก่อตัวขึ้นในใจผม ความรู้สึกที่ผมว่ามันแตกต่างจากที่ผมเคยรู้สึกกับพี่ต้าร์ แล้วนี่ถ้าวันนึงกลับกลายเป็นว่าเค้าเองไปมีแฟนผู้หญิงเหมือนกับพี่ต้าร์ ผมคงไม่แค่ใจหายนิดหน่อยอย่างที่รู้สึกตอนรู้ว่าพี่ต้าร์มีแฟนแน่ๆ ถ้าผมยังปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับเค้าไปมากกว่านี้
“อย่าทำแบบนี้...พี่ไม่ชอบ”ผมผลักเค้าให้ถอยห่างออกไป และน้ำเสียงที่บอกก็บ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจเค้านัก
“ไม่ชอบที่ผมพูด...หรือไม่ชอบที่ผมจะจูบ”เค้าสบตาผมนิ่งบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรียบจนผมเดาไม่ออกว่าเค้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ผมจ้องมองเค้ากลับโดยที่ไม่รู้จะตอบเค้าว่ายังไง ผมควรถามเค้าให้มันชัดเจนไปเลยไหม
“ว่าไงละครับ”เค้าถามย้ำอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรผมก็ต้องสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์ของตัวเองที่ดังขึ้น เป็นพี่สาวผมที่โทรเข้ามานี่ผมนึกว่าจะมีแต่ในละครที่เวลาเหมือนมีอะไรสำคัญกำลังจะพูดก็มักจะถูกขัดจังหวะด้วยอะไรแบบนี่ แต่มันก็ดีเหมือนกันเพราะผมก็รู้สึกยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเค้าตรงๆ สักเท่าไหร่ มันเหมือนยังมีความกลัวอยู่ลึกๆ กับการที่จะได้รับรู้ความรู้สึกจริงๆ ของอีกฝ่าย อีกอย่างผมเองอาจจะได้ทบทวนตัวเองเพิ่มเติมด้วยว่าที่จริงสำหรับผมเองรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่
“พี่ขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะ”ผมหยิบโทรศัพท์ เตรียมจะออกไปคุยนอกบ้านและก็กะว่าคุยจบผมคงหนีกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน เค้าไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เพียงเท่านั้น
“ครับเจ้”ผมรับสายเนือยๆ ไม่ใช่เพราะเป็นที่พี่สาวโทรมาหรอกนะครับแต่เพราะไอ้เด็กที่อยู่ในบ้านนั่นแหละ นี่ขนาดพ้นจากสายตามาแล้วก็ยังตามมารบกวนจิตใจผมอีก
“อะไร ทำไมทำเสียงรำคาญใส่พี่สาวสุดที่รักได้ยังเนี่ย เดี๋ยวปั๊ดให้กลับมาอยู่บ้านเลยนิ”น้ำเสียงทีเล่นทีจริงจากพี่สาวทำให้ผมพอจะยิ้มออกบ้าง ที่จริงเจ้ของผมก็เป็นคนนึงที่เข้าอกเข้าใจผมนะครับ
“กำลังคิดถึงเจ้เลย ว่าแต่โทรมามีไรเปล่าครับ”ผมปรับน้ำเสียงให้ดูกระตือรือร้นขึ้นเพื่อให้พี่สาวไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวที่อยู่ในใจของผมด้วยอีกคน
“ไม่ต้องเลย จะถามว่าวันนี้สะดวกกลับมาทานข้าวที่บ้านหรือเปล่า กว่าจะเลิกงานน้ำคงลดแล้ว น่าจะมาที่บ้านได้ไม่ยากหรอกมั้ง อีกอย่างแถวบ้านเราก็ไม่ได้อินเทรนด์น้ำท่วมอะไรกับเค้าเลย”นั่นพี่สาวผมดูจะยังมีอารมณ์ขันกับสภาพดินฟ้าอากาศอีก จะรู้ไหมเนี่ยว่าน้องชายเกือบแย่กับฟ้าฝนเมื่อคืน
“ที่จริงวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปทำงานนะครับ”ผมตอบออกไปตามตรง ที่จริงก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะหาเวลากลับไปทานข้าวที่บ้าน วันนี้ก็คงเหมาะแล้วละมั้ง
“งั้นก็มาเลยก็ได้”พี่สาวผมออกความเห็นเพราะด้วยสภาพการจราจรวันนี้ผมอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางจากนี่ไปบ้าน
“มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยเจ้”ผมหยั่งเชิงนิดหน่อย เพราะจากที่คุยกับแม่เมื่อหลายวันก่อน ก็คิดว่าอาจจะต้องเตรียมตัวไปตั้งรับอะไรหรือเปล่า เพราะเอาจริงๆ ที่บ้านผมก็ไม่ได้พูดเรื่องรสนิยมทางเพศของผมตรงๆ มานานแล้วเหมือนกัน อาจจะมีอ้อมๆ บ้างที่แม่มักจะเปรยๆ ว่ายังไม่อยากให้ผมมีแฟน
“พ่อกับแม่เค้าอยากคุยด้วย”คำตอบของพี่สาวทำให้ผมว่าคงมีเรื่องนี้เกี่ยวข้องด้วยนั่นแหละ ผมรับปากกับพี่สาวไปว่าเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไป และเตรียมชุดทำงานออกไปด้วยเลย เผื่อว่าต้องค้างที่บ้าน
“ไปไหนอะลุง”ผมลืมอีกคนไปเลยว่าคุยกับเค้าค้างอยู่ นี่ผมก็จะเดินกลับไปบ้านอีกหลังแล้วถ้าเค้าไม่เดินออกมาเรียกผมไว้
“พี่ต้องกลับไปทานข้าวกะที่บ้าน”ผมบอกออกไปตามตรง ดูเค้าจะมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“ไปตอนนี้เลยเหรอ”ผมพยักหน้าให้เค้ารู้ว่าคงไปเลย
“แล้วลุงจะกลับมานอนนี่หรือเปล่า”เค้าก็ยังเดินตามมายืนตรงหน้าผม มองเหมือนกับว่าไม่อยากให้ผมไปอย่างนั้นแหละ ทำหน้ายังกะลูกหมาถูกเจ้าของทิ้ง
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”ผมตอบอย่างไม่ชัดเจนนักทั้งที่ค่อนข้างมั่นใจว่าอาจจะต้องค้างที่โน่น เค้าเอื้อมมือมาจับไหล่ผม สบตานิ่งโดยที่ผมเองก็ไม่ได้หลบสายตานั้น กำลังรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไรกับผม
“งั้นคุยกันก่อนค่อยไปได้ไหมครับ”
TBC
วันนี้เกือบลืมอัพ
:z6:
ยังไงมาเอาใจช่วยลุงกันต่อนะฮ่ะ o13
บทที่ 24
กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง
“ลุงจะไปไหน”ผมต้องทรุดตัวลงเหมือนเดิมเมื่อโดนแขนของอีกคนรั้งตัวไว้ ตอนนี้ผมได้สติกลับคืนมาครบถ้วนแล้ว หลังจากที่ผมผ่านกิจกรรมกับเด็กนี่บนโซฟา เสร็จเราก็เข้าไปอาบน้ำ แล้วผมก็โดนเด็กนี่ขืนใจอีกรอบในห้องน้ำ ไม่ผิดหรอกครับผมโดนขืนใจจริงๆ ก็ทีแรกผมไม่ยอมนี่นา แม้ตอนหลังผมจะไม่ขัดขืน แต่นั่นมันเพราะผมสู้แรงเด็ดบ้านี่ไม่ได้ต่างหาก อีกอย่างตอนนั้นผมยังโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำอยู่ มาตอนนี้พอได้นอนพักจนหายแล้ว ผมก็คิดว่า ผมไม่ควรจะอยู่บนเตียงกับเด็กนี่อีก
“จะกลับบ้าน”ผมตอบโดยไม่หันไปมองเค้า พยายามแกะมือที่เกี่ยวรั้งผมไว้ออก ในหัวก็คิดแต่ว่านี่พรุ้งนี้ผมจะมองหน้าเด็กนี่ยังไง ผมทำอะไรลงไปเนี่ย แถมเป็นคนเริ่มยั่วเค้าก่อนอีกต่างหาก ผมจำได้นะครับว่าผมทำอะไรลงไป แต่ตอนนั้นผมแค่คุมตัวเองไม่อยู่
“ดึกแล้ว นอนนี่แหละอย่าดื้อ”เค้าออกแรงดึงผมอีกครั้งให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะฝังจมูกลงที่ซอกคอของผม
“ไม่เอาจะกลับไปนอนบ้าน”ผมยังมีความพยายามจะลุกอีกรอบ ทั้งที่แทบจะไม่มีแรงแล้ว แถมตอนนี้ช่วงล่างผมก็ระบมไปหมดแล้ว ช่องทางด้านหลังนี่ก็เจ็บแปล๊บทุกครั้งที่ขยับ
“บอกว่าอย่าดื้อไง ถ้ายังดื้อเดี๋ยวจับกดอีกนะ”แม้จะคิดว่าเค้าอาจจะแค่ขู่ผมแต่ผมว่าผมไม่เสี่ยงจะดีกว่า เพราะถ้าเกิดเด็กบ้านี่ลุกขึ้นมาทำจริงๆ ผมได้นอนซมแน่ๆ แค่นี้ก็เพลียจนร่างจะแหลกอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจที่จะนอนนิ่งๆ หลับตาลงในอ้อมกอดของเค้า
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้ามืด ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าดี อีกคนยังไม่รู้สึกตัวผมค่อยๆ แกะมือเค้าออกและลุกจากเตียงอย่างทุลักทุเล เพราะทั้งกลัวเค้าตื่น แถมยังปวดเนื้อปวดตัว โดยเฉพาะช่วงล่างนี่แหละ พาลจะโมโหให้ไอ้คนที่ยังนอนไม่รู้เรื่องนั่น แต่จะมัวมาฟึดฟัดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ต้องรีบออกไปก่อนที่เด็กบ้านี่จะตื่นขึ้นมา
ผมรีบกลับบ้าน เตรียมตัวอาบน้ำพอยืนมองตัวเองในกระจกก็พบว่าร่องรอยจากเมื่อคืนแทบจะชัดทั่วตัวผมอยู่เลย ยิ่งเห็นร่องรอยพวกนี้ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็เหมือนยิ่งวนเวียนในหัวผม นี่ผมเสียซิงให้เด็กเหรอเนี่ย
“โอ้ย”ผมทึ้งหัวตัวเอง ระบายอารมณ์ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะรู้สึกยังไม่อยากเผชิญหน้ากับอีกคน บอกตรงๆ ว่าผมทำตัวไม่ถูกครับ เพราะมันไม่ใช่แค่จูบเหมือนครั้งก่อน
ผมรีบบึ่งออกจากบ้านทันทีที่แต่งตัวเสร็จ ไม่รอกินข้าว หรือรออกพร้อมอีกคนเหมือนทุกวัน นี่ผมกำลังจะเมินเค้าเหมือนครั้งเค้าเมินผมตอนจูบแรกนั่นหรือเปล่านะ ไม่สิไอ้ที่ผมทำนี่ไม่เรียกเมิน มันเรียกหลบหน้าชัดๆ เลยครับ แล้วนี่ผมจะไปไหนละเนี่ย ถ้าไปทำงานก็ดูจะไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่ กลับบ้านก็เพิ่งทะเลาะกับพ่อมา เอาไงดีเนี่ย
“ข้าวหอม ใช่แล้วข้าวหอม”ผมรีบควานหาโทรศัพท์ ต่อสายถึงเพื่อนสนิท แม้นี่จะยังเช้าอยู่คาดว่าคุณนายตื่นสายอย่างข้าวหอมน่าจะยังไม่ตื่น แต่ถ้าไม่รับผมก็คงบุกเข้าบ้านข้าวหอมเลยนั่นแหละครับ ซึ่งก็ตามคาดครับ ข้าวหอมไม่รับโทรศัพท์ผม ว่าแต่บ้านข้าวหอมนี่ก็รั้วติดกับบ้านผมนั่นแหละครับ นี่ก็ไม่รู้พ่อผมอารมณ์เย็นลงหรือยัง แถมตอนนี้เหมือนผมจะเป็นอย่างที่พ่อว่าไปแล้วหรือเปล่า
เพราะยังเช้าอยู่ทำให้ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการขับรถมาถึงบ้านข้าวหอม ตอนนี้ผมว่าผมต้องการใครสักคนที่จะรับฟังเรื่องราวของผม แม้ตอนที่เสียจูบแรกให้ผู้ผมยังรู้สึกอายและกลัวโดนล้อเลยเลือกที่จะคุยกับพี่ฟ่างแทนที่จะเป็นข้าวหอม หากแต่เรื่องนี้ผมคงไม่กล้าที่จะไปคุยกับพี่ฟ่างหรอกครับ
“เดี๋ยวป้าไปตามคุณหอมให้นะคะ”แม่บ้านที่ให้ผมเข้ามารอในบ้านบอกก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป ทีจริงผมก็เข้านอกออกในบ้านนี้ตั้งแต่เด็กแล้วแหละครับ แถมแต่ก่อนก็เข้าถึงห้องนอนของกันและกันทั้งคู่ เพราะเราทั้งสองบ้านก็ทราบดีแล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่พอข้าวหอมคบพี่โตเลยต้องเว้นเรื่องห้องนอนไว้สักนิดแหละครับ เพราะพี่โตเองขอไว้และบอกว่า ยังไงผมก็ยังดูเป็นผู้ชายคนนึงอยู่ดี
“มาทำไมแต่เช้าเนี่ยแก”ข้าวหอมลงมาหาผมด้วยสภาพที่ยังหัวฟูๆ หน้าก็คงยังไม่ล้าง ฟันก็คงยังไม่แปรง เสื้อคลุมก็ใส่มาลวกๆ เรียกว่าดูไม่จืดกันเลยทีเดียวแหละครับ
“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนไหม”มองหัวจรดเท้าแล้วผมว่าแม้จะอยู่ในบ้านแต่ก็ควรให้มันดูเป็นคนปกติสักนิดนึงก็ยังดี ข้าวหอมมองผมอย่างเคืองๆ ที่มาทำลายเวลานอนตอนเช้าๆ แบบนี้
“เรื่องสำคัญไหม ถ้าไม่สำคัญนะ ชั้นจะไปนอนต่อ”หญิงสายทำท่าหาวอย่างไม่สนใจอะไรผม มองเหมือนผมเป็นแค่คนมารบกวนการนอนของเธอ
“มาเช้าขนาดนี้คิดว่าไง”ผมกดเสียงต่ำบอก เพื่อเน้นว่าผมเนี่ยเพื่อนสนิทเธอ และกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ คิดไม่ตก กลุ้มใจอย่างมากแล้วด้วย หรือนี่สีหน้าผมยังดูเครียดไม่พอ
“ไม่สำคัญ งั้นไปนอนต่อละ”
“คุณเพื่อนหอมสุดสวย ตื่นก่อนตื่น”ผมรีบคว้าแขนของเพื่อนสนิท จับเขย่าตัวดึงสติให้ แต่ข้าวหอมก็ยังทำหน้าตาเบื่อโลก และพร้อมหลับเช่นเดิม แต่มีเหรอที่ผมจะปล่อยไป ผมรีบลากข้าวหอมออกจากบ้านเดินตรงไปศาลา ในสวนนอกบ้าน
“คือ...เอ่อจะเริ่มยังไงดี”พอออกมานั่งกันสองคน ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี ข้าวหอมก็เริ่มจะทำหน้าเอือมระอากับผมแล้ว เอาวะ ยังไงเราทั้งคู่ก็เพื่อนสนิทกันที่เล่าและคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนเรื่องผมปลื้มพี่ต้าร์ผมก็เล่าให้ข้าวหอมฟัง หรือเรื่องระหว่างข้าวหอมกับพี่โต ยัยหอมนี่ก็เล่าให้ผมฟังเสียละเอียดยิบเช่นกัน
“คือชั้นกับภู่...”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดมากไปกว่านั้น โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น ชื่อของคนที่ผมกำลังจะพูดถึงโชว์อยู่ที่หน้าจอ นี่เค้าคงตื่นแล้วสินะ ผมลังเลที่จะรับแต่พอเห็นสีหน้ารำคาญของข้าวหอมทำให้ต้องตัดสินใจที่จะรับ
“แป๊บนึงนะแก อย่าเพิ่งหนีชั้นไปนอนละ”ผมกำชับพร้อมเตรียมที่จะลุกไปคุยโทรศัทพ์
“โน โน โน นั่งแล้วรับตรงนี้ค่ะยู หอมจะฟังด้วย ถ้าลุกนี่กลับไปนอน โอเคไหมยู”ผมจำใจต้องนั่งลงตามเดิม แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงขนาดให้ผมเปิดลำโพงคุย เพราะถ้าขนาดนั้นผมคง ยอมไม่รับสายเสียยังจะดีกว่า
“ลุงหายไปไหน”น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ฟังน่าหมั่นไส้จนถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเบ้ปากใส่ไปแล้ว แต่นี่ผมอยู่ต่อหน้าข้าวหอมเลยต้องยังทพหน้านิ่งๆ ไว้ก่อน
“พอดีพี่ต้องมาบ้านพ่อนะ”ผมไม่ได้โกหกนะครับเพราะพอมาถึงนี่แล้วก็เริ่มคิดว่า ผมควรเข้าไปขอโทษพ่ออยู่เหมือนกันที่เมื่อวานพูดจาไม่ค่อยดีออกไป แต่ขอตั้งหลักที่บ้านข้าวหอมนี่ก่อน
“มีไรทำไมต้องออกไปแต่เช้าขนาดนี้ แถมไม่ยอมปลุกผมด้วย”ผมอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาเพราะน้ำเสียงตัดพ้อของเค้า ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ตัวโตๆ อย่างเค้ามาทำเสียงอ้อนมาทำเป็นงอนแบบนี้มันดูไม่เข้ากันเลยครับ
“เมื่อวานพี่มีปัญหากับพ่อนิดหน่อยนะเลยว่าจะมาเคลียร์นี่แหละ”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะคิดว่ามันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง จริงๆ กับครอบครัวเสียทีไม่ใช่ปล่อยให้มันจริงจังแบบปลอมๆ เรื่อยมาจนเป็นอย่างตอนนี้
“แล้วนี่พี่โอเคหรือเปล่า”น้ำเสียงเค้าเปลี่ยนมาเหมือนเป็นห่วงผมอยู่ในที แล้วผมเองก็รู้สึกดีแปลกๆ กับคำพูดของเด็กบ้านี่เสียด้วยสิ ถ้าไม่ติดว่ามียัยข้าวหอมนั่งจ้องและเงี่ยหูฟังขนาดนี้ ผมคงยิ้มกว้างออกไปแล้ว
“ก็ไม่รู้สิ เพิ่งมาถึงถึงยังไม่ได้คุยกันเลย”ที่จริงต้องบอกว่า ผมยังไม่เข้าบ้านเลยจะถูกกว่า แต่ก็นั่นแหละผมไม่อยากอธิบายให้มันยืดยาวหรือมากความไปมากกว่านี้ เพราะถ้าจะเล่าจริงๆ มันคงไม่จบง่ายๆ แถมเรื่องที่ผมมีปากเสียงกับพ่อเมื่อวาน ก็มีส่วนเกี่ยวกับตัวเค้าอีกด้วย
“เปล่า...ผมหมายถึงเมื่อคืนพี่โอเคหรือเปล่า”ผมคงประเมินเด็กบ้านี่ดีเกินไปสินะครับ ไอ้เด็กกวนประสาท ไอ้เด็กทะลึ่ง ผมได้แต่ด่าอยู่ในใจ และพยายามเก็บอาการแต่ก็รู้สึกแล้วว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อนผ่าวเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา นี่หน้าผมคงไม่แดงจนข้าวหอมสังเกตได้หรอกนะ
“ไอ้เด็กบ้า มาถามอะไรเนี่ย”ผมพยายามทำเสียงดุ แต่ตีสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด ก็ข้าวหอมจากที่ง่วงๆ ทีแรกตอนนี้เหมือนตื่นเต็มที่จ้องผมแทบไม่กระพริบแล้วครับ
“เขินเหรอลุง”นี่ก็ยังไม่หยุดอีกครับ ทำมาเป็นรู้ทันผม นี่ผมว่าเด็กบ้านี่ต้องกำลังยิ้มกว้างอย่างพอใจอยู่แน่นอนเลยที่แกล้งผมได้
“หยุดพูดเลยนะ”ผมแกล้งทำเสียงดุ เพราะไม่อยากให้เค้าพูดมากไปกว่านี้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะครับ ถ้าผมอยู่คนเดียวผมก็คงปล่อยเค้าพูดไปนั่นแหละ
“ก็ผมตื่นมาไม่เจอลุง ผมก็กลัว”ไอ้เสียงอ่อยๆ นี่ผมก็ว่าเค้าแสร้งทำเหมือนกันนั่นแหละครับ อย่างเด็กนี่ไม่มีสลดจริงๆ หรอกครับ รู้จักกันมาสักพักขนาดนี้แล้ว หลอกผมไม่ได้หรอก
“กลัวอะไร”ผมถามอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะคงไม่ได้มีสำคัญนักหนาหรอกครับที่โทรมาหาผมเนี่ย
“กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง”
“ไอ้...สรุปนี่ไม่ได้มีธุระอะไรใช่ไหม พี่จะได้วาง”ผมกำลังอ้าปากจะด่าแล้วนะครับ เล่นพูดอะไรมาของเค้าเนี่ย ใครฟันใครกันแน่ยังมาทำเป็นพูดอีก นี่ผมต้องปรับสีหน้ากับน้ำเสียงลงแทบไม่ทัน เพราะสายตาของข้าวหอมก็คมกริบเหลือเกิน
“แหมลุงก็ ไม่ต้องมาทำโมโหกลบเกลื่อนหรอกครับ เขินผมอะดิ”เสียงหัวเราะอย่างพอใจเจือมาในน้ำเสียงของเค้าด้วย จนตอนนี้ผมอยากจะสามารถทะลุผ่านสัญญาณโทรศัพท์แล้วลากคอเค้ามาบีบตรงหน้านี่ให้หายหมั่นไส้สักหน่อยก็ยังดี
“พี่วางละนะ”ผมบอกอย่างไม่สบอารมณ์จริงๆ ครับรอบนี้ เพราะเริ่มเหนื่อยที่จะต้องรับมือทั้งคนในสายแล้วก็คนตรงหน้านี่อีกครับ เรียกว่าศึกหนักสองด้านกันเลยทีเดียวเชียวครับ คนนึงก็กวนประสาท อีกคนก็เตรียมจับผิดสายตายิ่งกว่าตาเหยี่ยว
“เดี๋ยวสิลุงแซวนิดแซวหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปได้ แค่จะบอกว่าคิดถึง เย็นนี้รีบกลับมานะครับ”เค้าเรียกไว้ก่อนที่จะวางสาย นี่ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะครับ ทำไมรู้สึกดีกับคำที่เค้าบอกให้รีบกลับนั่น นี่ต้องพยายามกลั้นยิ้ม ไม่ให้มันกว้างมากนัก ก่อนจะบอกให้เค้าวางสายไปจริงๆ สักที
“นี่คือคุยกับแฟน หรืออะไร ใครยังไง รีบเหลามาเลย”บอกแล้วครับว่าทางนี้ก็ศึกหนักสำหรับผมเหมือนกัน แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะมาเล่าให้ฟัง แต่ผมก็ยังทั้งเขิน ทั้งอายไปหมดนั่นแหละครับ ก็มันเพิ่งครั้งแรกของผมนี่ครับ อะไรๆ มันก็ดูยุ่งยากไปหมดเลยสำหรับผม ทั้งความรู้สึก ทั้งการจะทำตัวยังไง
“คุยกับภู่”ผมบอกไปตามตรง ทำให้คนตรงหน้า ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นเดินมาจ้องหน้าผม อย่างพิจารณาใกล้ๆ จนผมต้องเอนตัวเบี่ยงหนี
“น้องภู่สุดหล่อนั่นอะนะ นี่แกคุยกันมุ้งมิ้ง งุ้งงิ้งขนาดนี้แล้วเหรอ ฟังๆ ดูนึกว่าได้กันแล้วเหอะ”นั่นไงครับ บอกแล้วว่าเพื่อนผมตาเหยี่ยว นี่ขนาดแค่ฟังผมคุยโทรศัพท์แค่นี้ยังคาดเดาได้แม่นขนาดนี้
“ก็ได้แล้ว”ผมพึมพำบอกไปเสียงเบา อย่างอายๆ
“อะไรนะ”ข้าวหอมถามทันควันแต่เหมือนยังไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน เลยถามย้ำอีกรอบ
“ก็นั่นแหละ”ผมเองก็ยังรู้สึกกระดากอายที่จะพูดซ้ำอีกแหละครับ
“นั่นแหละอะไร”ข้าวหอมก้มมาจ้องหน้าผมจนหน้าเราจะชิดกันอยู่แล้ว เหมือนบังคับว่ายังไงผมก็ต้องพูดอีกรอบ
“ก็ได้กันแล้วไง”ผมกลั้นใจบอกอย่างตัดรำคาญ
“แปง!!! ไอ้เพื่อนแรดดด ฮ่าๆ”
TBC
ใครฟันใครกันแน่ ภู่จะมากลัวอะไร
:hao7:
บทที่ 25
คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย
“แปง!!! ไอ้เพื่อนแรดดด ฮ่าๆ”เสียงเพื่อนตัวดีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จนผมต้องมองตาขวาง เพราะทั้งที่ผมคิดมากอยู่ แต่เพื่อนอย่างยัยนี่ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ
“เสียงดังทำไมเล่า เครียดอยู่เนี่ย”ผมบอกอย่างเคืองๆ เพราะเอาจริงๆ ถึงผมจะยอมรับว่ารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับภู่ แต่ผมก็ยังรู้ดีว่าสถานะระหว่างเราสองคน มันก็ยังเป็นแค่พี่น้องข้างบ้านเท่านั้นเอง
“ดูปากข้าวหอมนะคะ แรดดดด”ดูเอาเถอะครับเพื่อนผม ก็ยังจะพูดเล่นอยู่นั่น นี่ดูไม่ออกเลยใช่ไหมว่าผมกำลังคิดมากอยู่ หรือเพราะที่เห็นผมคุยกับเด็กบ้านั่นอย่างปกติ เลยคิดว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมก็แปลกใจนะครับที่ก็ยังคุยกับเด็กนั่นได้อย่างปกติ อาจเพราะมันเป็นการคุยโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากัน นี่ถ้าต้องคุยต่อหน้าผมว่าผมอาจจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ เลย
“แกแรดมาก ไปทำอีท่าไหน ได้กันยังไง เป็นแฟนกันตอนไหนทำไมไม่เล่าเลยละยู”นี่ก็ถามหน้าระรื่น รัวมาเป็นชุดเลยครับ
“ก็ไม่ได้เป็นไง”ผมหลบตาตอบเสียงเบา ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหลายๆ อย่างในหัวผมมันตีกันไปหมด ผมกับภู่เองจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ มันจะเหมือนเรื่องจูบที่ก็ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“เดี๋ยวนะ ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ได้กันแล้ว มันคืออะไรกันนี่หอมงงไปหมดแล้ว OMG”ผมต้องรีบส่งสัญญานให้ข้าวหอมเบาเสียงลงเพราะเล่นพูดเสียดังจนแทบจะข้ามกำแพงไปให้บ้านผมได้ยินแล้ว
“ก็ถึงเครียดมาคุยกับแกนี่ไง”จริงๆ นอกจากความรู้สึกของผมกับภู่ก็เรื่องที่บ้านนี่อีกด้วยแหละครับ ผมจะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจในตัวผม
“เครียดอะไรไหนเล่ามาค่ะ”น้ำเสียงข้าวหอมดูจริงขึ้นมาหน่อย
“ก็ชั้นกับภู่ ไม่ได้เป็นอะไรกัน พอทำอะไรแบบนี้ลงไปมันก็ไม่รู้วะบอกไม่ถูก เวลาเจอกันชั้นต้องทำหน้า ทำตัวยังไง อีกอย่างเมื่อคืนนั่นชั้นก็ดื่มเบียร์ไปด้วย”ผมเริ่มจากเรื่องความรู้สึกในใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“อย่าบอกนะว่านี่แกเผลอตัวไปเพราะเมา”ข้าวหอมเริ่มมีสีหน้ากังวลเมื่อรับฟังในสิ่งที่ผมบอก
“มันก็ไม่ได้เมามาก แต่ก็ยอมรับว่าที่กล้าทำอะไรลงไปขนาดนั้นในตอนแรกก็เพราะดื่มเบียร์ไปนี่แหละ”ภาพที่ผมเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนรีรันมาอีกรอบจนผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ต้องรีบเบือนหน้าทำทีเป็นมองทางอื่น ไม่อยากให้ข้าวหอมสังเกตเห็นอาการของผมสักเท่าไหร่
“แล้วน้องภู่เมาด้วยไหม”นั่นสินะ นี่อีกคนเองทำไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นเหมือนอย่างผมหรือเปล่า
“ก็ดื่มนะ แต่ไม่น่าจะเมาเพราะเด็กนั่นคอแข็งกว่าชั้นเยอะ”ผมค่อยๆ ทบทวนและเหมือนเป็นการตอบตัวเองไปด้วย แต่อีกคนนั่นไม่น่าจะเมาเลยสักนิด แต่ผมก็คงตอบแทนตัวเค้าได้ไม่เต็มปากอยู่แล้ว
“อารมณ์พาไปด้วยกันทั้งคู่หรือเปล่าเนี่ย”ข้าวหอมเหมือนพูดทบทวนกับตัวเอง เหมือนเป็นการวิเคราะห์อย่างผู้มีประสบการณ์ที่มากกว่าผม
“แกคิดยังไงกับน้องภู่”สายตาคมกริบจ้องมาที่ผมอย่างคาดคั้น จนผมเองไม่กล้าจะสบตา
“มะ...ไม่รู้”ผมปฏิเสธการตอบคำถามเพราะ ถ้าผมตอบได้ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้
“เอ้า จะไม่รู้ได้ยังไง อยู่ใกล้ๆ แล้วใจเต้นไหม รู้สึกดีหรือเปล่าเวลาอยู่ด้วยกัน”ไอ้ใจเต้นมันก็เต้นอยู่หรอก เขินมันก็มี เวลาที่อยู่ด้วยกันผมก็ไม่ได้อึดอัดอะไร นอนเตียงเดียวกันก็อบอุ่นดี อาการพวกนี้คือผมชอบเด็กนั่นเหรอ
“แล้วก็เมื่อคืนชอบหรือเปล่า แต่ชั้นว่าแกต้องชอบแหละ น้องภู่งานดีขนาดนั้น แล้วลีลาเป็นไง แซ่บเปล่า”จากที่เหมือนจะจริงจังอยู่ๆ มันกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ยังไงกัน แล้วไอ้จินตนาการของผมนี่ก็เป็นอะไรนักหนา ใครพูดอะไรมาต้องคิดตามภาพผุดมาในหัวตลอดเลย
“ถามอะไรของแกเนี่ย”คำถามของแม่เพื่อนสนิทนี่ทำเอาผมไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ แต่ถ้านั่นทำผมไปไม่เป็นแล้ว ไอ้คำถามต่อมานี่ทำเอาผมอ้าปากค้างเลยทีเดียว
“อีกคำถามนึงอันนี้อยากรู้ส่วนตัว ใหญ่ไหม”อย่างที่บอกว่าจินตนาการผมมันดีเกินไป ไอ้สิ่งที่ข้าวหอมถามผมมันเลยมาทั้งตอนสงบนิ่ง และตอนขยายตัวแทบจะชัดระดับเอชดีเลยแหละครับ
“หอม! แกเป็นผู้หญิงไหม มาถามอะไรแบบนี้”ผมรีบสลัดความคิดและ ออกเสียงดุเพื่อนสนิท ทำเป็นไม่พอใจกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจของตัวเอง
“ฮ่าๆ เห็นท่าทางแกแล้ว แสดงว่าน้องภู่ก็คงพอตัวสินะ”นี่ผมหรือเพื่อนกันครับที่ผิดปกติ มันควรเป็นผู้หญิงไหมที่จะเขินอายกับเรื่องนี้มากกว่า แต่เราสองคนดันเหมือนสลับตำแหน่งกันเสียได้
“พอเลยแก เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรเนี่ย”ผมรีบห้ามไม่ให้ข้าวหอมพูดอะไรมากไปกว่านี้
“แหมๆ เขินใหญ่เชียว แกไม่ใช่หญิงสาววัยแรกรุ่นไม่ต้องมาสนิมสร้อยให้มาก อีกอย่างตอนนี้แกก็ไม่เวอร์จิ้นอีกต่อไปแล้ว แถมได้กินเด็กอีก โอ้ยอิจฉา”ดูเหมือนการห้ามปรามของผมก็ยังดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ เพราะข้าวหอมก็ยังคงจ้อไม่หยุด นี่ผมชักอยากให้เพื่อนคนนี้เข้าบ้านไปนอนต่อให้รู้แล้วรู้รอดละครับเนี่ย
“บ้า”ผมบ่นเบาๆ เมื่อไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว แต่รอบนี้เหมือนข้าวหอมจะหยุดคิดบางอย่างก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง
“เออ ว่าแต่แกสองคน อยู่ๆ ก็ก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้กันเลยเหรอ มันไม่มีแบบสัญญานอะไรล่วงหน้ามาบ้างเลยเหรอ”เอาแล้วไง นี่ผมต้องเริ่มเล่าไอ้พวกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกหรือเปล่าเนี่ย
“มันก็...”ผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะจริงๆ มันก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่ส่งผลมาจนถึงตอนที่ผมกล้าเป็นฝ่ายเริ่มอะไรแบบนั้น มันอาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เค้าก็มาถอดเสื้อโชว์ผม หรือเหตุการณ์เล็กๆ อย่างเค้าซื้อปาท่องโก๋ให้ผม หรือจะเรื่องที่เค้าจุ๊บแก้มผม โชว์สองสาวนั่น การที่เค้ามากอดผม ในวันที่รู้สึกนอยด์
“อะไรเล่ามา”เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไปก็คงขี้เกียจรอเลยต้องเร่งผมอีกครั้ง
“จริงๆ ภู่ก็เคยมานอนห้องชั้น 2 ครั้ง เคยถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนให้ชั้นตอนเมา แล้วก็เคย...จูบ”ผมเลือกที่จะเล่าบางส่วนที่มันดูชัดเจน พอจะเป็นสัญญานอย่างที่ข้าวหอมถามถึง
“แรด พูดเลยว่าเพื่อนชั้นแรดมาก นี่แกไม่เคยเล่าให้ชั้นฟังเลย”ก็ดูเอาเถอะว่าพอเล่าก็จะเป๋นแบบนี้ ใครจะไปอยากเล่า เดี๋ยวก็ทั้งแซวทั้งแกล้งล้ออีก
“ก็กลัวแกล้อ อีกอย่างเด็กนั่นมันก็แค่แกล้งชั้นเล่น”ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับว่าเด็กนั่นแกล้งผมเล่นเพราะเค้าเคยพูดเอง ว่าทุกอย่างที่เค้าทำมันเริ่มจากการที่อยากจะแกล้งผมเล่น แค่นั้นเอง พอมาถึงตรงนี้ใจผมมันก็เหมือนจะหน่วงๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละครับ
“แกคิดว่าที่เค้าทำนั่นคือการแกล้งเล่นเหรอ โอ้ยตายแล้วเพื่อนชั้น ไอ้พ่อคนอินโนเซนส์ พ่อคนใส ไอ้น้องแปงสองขวบครึ่ง”ผมโดนพูดใส่หน้าเหมือนกับว่าผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยงั้นแหละ
“ก็แล้วมันจะหมายความว่ายังไงเล่า”ผมถามกลับอย่างเคืองๆ
“หมายความว่าเค้าชอบแกไง เค้าชอบแกเข้าใจไหม”ข้าวหอมชะโงกหน้ามาตะโกนใส่ผมจนผมต้องรีบผลักใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นออก นี่ทำไมทั้งข้าวหอมหรือทั้งภู่เอง ดูจะสนุกเวลาได้แกล้งผมแบบนี้ ผมหันมองเพื่อนอีกครั้งอย่างเคืองๆ
“ใช่เหรอที่แกพูดนั่นนะ”แม้จะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูดแต่ผมก็แอบลอบยิ้มจางๆ โดยไม่ให้ข้าวหอมเห็น อยู่เหมือนกันนะครับ
“โอ้ยแกนี่มันยังไง กลัวโดนเด็กหลอกหรือไง แต่ชั้นว่าเอาจริงๆ ต่อให้เสียซิงเพราะโดนเด็กหลอกก็คุ้มนะแก คิดเสียว่าหาประสบการณ์ กินเด็กเป็นกำไรชีวิตงี้”มันก็ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะครับ แค่มันยังไม่อยากคิดอะไรไปไกล ผมเองแค่รู้สึกว่ามันยังไม่มีอะไรให้มั่นใจสักอย่างเท่านั้นเอง
“เออๆ เลิกเครียด ชั้นว่าแกก็ต้องพอรู้นั่นแหละว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับน้องภู่ และก็คงพอสัมผัสได้ว่าน้องภู่รู้สึกยังไงกับแก เพียงแต่พวกแกอาจจะยังไม่ได้คุยกันให้ชัดเจน เพราะงั้นกลับไปก็เคลียร์กันให้เรียบร้อย จะได้มีผัว เอ้ยมีแฟนกับเค้าสักที”แฟน ผมจะมีแฟนงั้นเหรอ พอได้ยินคำนี้ จากที่กำลังจะหายเครียดลงบ้างจากการฟังข้าวหอมอภิปราย แต่คำว่าแฟน ก็ทำให้นึกถึงคำพูดของแม่ที่พยายามที่จะยังไม่ให้ผมมีแฟน แต่หนักสุดคงประเด็นที่ผมเกือบทะเลาะกับพ่อเมื่อวานมากกว่า
“อะไร นี่ยังเครียดอะไรอีกละเนี่ย”สีหน้าอาการผมคงแสดงออกชัดเจนจนข้าวหอมต้องถามอีกรอบ
“ก็เรื่องพ่อด้วยแหละแก เมื่อวานแกไม่เห็นหรือไง”ผมบอกอย่างเซ็งๆ ก่อนที่ข้าวหอมเองจะถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกันกับผม
“นี่ถ้าไม่ติดว่าชั้นยังคิดจะแต่งงานกับพี่โตนะ ชั้นจะลงทุนแต่งกับแกบังหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”แม้จะพูดให้ดูขำ แต่บอกตรงๆ ว่าทั้งผมและข้าวหอมเองก็เหนื่อยหน่ายกับประเด็นนี้เต็มทน
“เดี๋ยวว่าจะเข้าไปขอโทษเค้าเรื่องเมื่อวานอยู่เนี่ย แล้วก็คงคุยเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ให้เด็ดขาดแล้วละ”ผมพูดออกไปอย่างมุ่งมั่น จะได้เลิกปวดหัวกับเรื่องนี้เสียที อีกอย่างถ้าภู่คิดกับผมอย่างที่ข้าวหอมคาดเดาจริงๆ ผมก็ยิ่งที่ควรจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้
“ก็ดีแก แต่ก็ไม่ต้องคุยละเอียดถึงขนาดเล่าเรื่องว่าที่แฟนให้ฟังเหมือนเล่าให้ชั้นฟังก็ได้นะ พ่อกับแม่แกคงยังรับไม่ทัน”คำพูดที่พยายามปลอบใจพูดให้ตลกขึ้นมาเพื่อคลายความกังวลของผม พอจะช่วยได้บ้างนิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ ข้าวหอมให้กำลังใจผมอีกนิดหน่อยก่อนจะ ขอตัวกลับไปนอนต่อ ส่วนผมก็เข้าบ้านตัวเองครับ
“พ่ออยู่ใช่ไหมเจ้”คนแรกที่เจอคือพี่สาวของผม ที่ดูมีสีหน้าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมที่บ้าน
“นึกว่าจะเตลิดไปมากกว่านี้เสียอีก น้องเจ้เริ่มโตแล้วมั้งเนี่ย”เจ้ปอเดินมาสวมกอดผม อย่างให้กำลังใจ เพราะอย่างที่พี่สาวผมบอก ทุกทีเวลาคุยเรื่องนี้กันแล้วเริ่มจะมีปากเสียงกันรุนแรง ผมก็มักจะไม่เข้าบ้าน แต่ปกติก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ บ้านข้าวหอมบ้าง คอนโดเพื่อนคนอื่นบ้าง ครั้งนี้ทุกคนก็คงคิดว่าผมจะหายไปนานเพราะตอนนี้ผมเองก็พักที่อื่นด้วย
“ก็ไม่ใช่เด็กแล้วไหมละเจ้”ผมกอดพี่สาวเพื่อรับกำลังใจ ก่อนจะเดินตามหลังตรงเข้าบ้านไปยังห้องนั่งเล่นที่ทั้งพ่อและแม่ผมนั่งอยู่ด้วยกันทั้งคู่ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสองท่านก็ดูจะแปลกใจเหมือนกันที่เห็นผม
“ขอโทษที่เมื่อวานทำตัวแบบนั้นนะครับ”ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน แม่หันมายิ้มให้ผมเหมือนรับรู้และไม่ได้ติดใจอะไรอีก แต่พ่อผมนิ่งเงียบไป เหมือนขบคิดบางอย่าง ก่อนจะหันมายิ้มจางๆ ให้กับผม
“อืม ไม่เป็นไร พ่อเองก็คงพูดแรงเกินไปด้วยแหละ”ผมงงนะครับเนี่ย ทำไมดูทั้งพ่อและแม่เข้าใจผมง่ายๆ ขนาดนี้
“ตกลงพ่อกับแม่ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมคครับ”ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจซึ่งทั้งพ่อและแม่รวมทั้งเจ้ปอก็พยักหน้ารับ ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ทำให้ผมตัดสินใจนั่งลงข้างๆ พ่อ
“งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนเลยได้ไหมครับ ว่าผมไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงได้”ผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะอยากให้เรื่องนี้มันสิ้นสุดลงสักที
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พ่อเข้าใจ ที่จริงก็เข้าใจมานานแล้ว เพียงแค่ยังไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วสินะ ที่จะต้องยอมรับมันจริงๆ เสียที”ผมหันมองหน้าทุกคนอย่างประหลาดใจ ทำไมอะไรๆ มันลงเอยง่ายๆ แบบนี้ไปได้ละเนี่ย
“ทำไมมันต่างจากเมื่อวานจัง นี่ผมชักงงๆ นะครับเนี่ย”
“ก็เมื่อวานพอเราออกไปพ่อเค้าได้คุยกับว่าที่ลูกเขยคนโปรดนะสิ”เจ้ปอกล่าวถึงแฟนหนุ่มที่เหมือนว่าเมื่อวานแกก็พยายามจะพูดอะไรกับผมแหละ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะฟัง
“ต๊าฟเค้าเล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง ว่าครอบครัวเค้ายอมรับในตัวน้องชายที่ชอบเพศเดียวกันตั้งนานแล้ว เพราะสิ่งที่คนในครอบครัวมีความสุข เราก็ควรให้เค้าได้เจอความสุข ไม่ใช่กีดกันให้เจอความทุกข์ แต่ครอบครัวฝั่งแฟนน้องชายต๊าฟ ก็มีบททดสอบมากมายกว่าจะยอมรับความรักของทั้งคู่ได้”ถ้ารู้ว่าพ่อจะรับฟังว่าที่ลูกเขยคนโตง่ายๆ แบบนี้ผมให้พี่ต๊าฟช่วยพูดนานแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละผมก็ไม่ได้รู้เรื่องน้องชายพี่ต๊าฟสักเท่าไหร่ เรียกว่ายังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ
“พ่อฟังแล้วก็เลยมาลองทบทวนดู ว่าอะไรที่มันเป็นความสุขของลูกชายพ่อก็ควรจะยินดีด้วย จริงไหม”ผมขยับเข้าไปกอดพ่อ นี่สินะที่เค้าบอกว่า ยังไงพ่อกับแม่ก็รักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง
“ขอบคุณ ขอบคุณครับพ่อ”ผมบอกพร้อมกับน้ำตาที่มันออกมาเพราะความตื้นตัน
“เอ้าจะร้องทำไม หยุดได้แล้ว”พ่อลูบหัวผมอย่างเอ็นดู แล้วทุกคนก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจริงๆ สำหรับทุกๆ คน ผมว่าผมสัมผัสได้
“แม่เองก็คงไม่ห้ามเรื่องแปงจะมีแฟนอีกแล้วละ”ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลง เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง และเปลี่ยนไปของผู้เป็นพ่อ
“แต่พ่อขออีกนิด นิดเดียวจริงๆ”สีหน้าขรึมนั้นทำเอาผมลุ้นแทบแย่ ซึ่งก็ไม่ใช่ผมคนเดียวเพราะแม่ผมเองก็มองพ่อตาขวางไปแล้วเช่นกัน คงกำลังรู้สึกเช่นเดียวกันว่าพ่อจะเป็นฝ่ายห้ามอะไรผมอีกหรือเปล่า
“ไม่ต้องมองแบบนั้น คุณก็แหม ผมไม่ได้จะห้ามลูกมีแฟน ผมก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกเราโดนใครมาหลอกเอาได้”ทำไมทุกคนดูจะกังวลเรื่องผมโดนหลอกกันจังเลย นี่ผมดูหลอกง่ายขนาดนั้นหรือไง แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กบ้าที่น่าจะเป็นคนเดียวที่เข้าข่ายคนจะมาหลอกผมได้ ผมก็ยิ้มออกมา เพราะผมไม่กลัวเค้าสักนิดเลยครับ
“น้องชายของต๊าฟเนี่ย แฟนเค้าเป็นถึงนักเรียนนอก จบมาก็เปิดธุรกิจของตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวช่วยกันทำมาหากิน แบบนั้นมันถึงทำให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย วางใจให้เค้าคบหากันได้ แพราะงั้นแปงเอง พ่อก็อยากให้เลือกนิดนึงนะลูก จะคบใครก็ต้องหาที่มันเหมาะสมกับเรา พ่อไม่ได้หมายความว่าลูกพ่อต้องไปเลือกคนมีเงิน คนรวยอะไรแบบนั้น แต่พ่ออยากให้เลือกคนที่เราจะฝากผีฝากไข้ได้ เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ดี จะได้ดูแลลูกชายตัวน้อยของพ่อได้”จากที่ตอนแรกผมยิ้มกว้าง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ
“ครับ”ผมเลือกที่จะรับคำโดยไม่ถามอะไรอีก แต่ในใจกำลังนึกถึงอีกคนว่าคุณสมบัติเค้าตรงตามที่พ่อผมวางไว้หรือเปล่า ว่าแต่นี่ผมกับเด็กนั่นก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเสียหน่อย ผมจะรีบพิจารณาคุณสมบัติเค้าตามที่พ่อตั้งไว้ทำไมละเนี่ย
TBC
เอ้าน้องภู่จะผ่านเกณฑ์ไหม
o13
บทที่ 26
เพราะคิดถึงจึงมาหา
ผลจากการหยุดงานไปสองวัน ทำให้วันนี้ผมแทบจะไม่มีเวลาหายใจหรือทำอะไรอย่างอื่นเลยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าการที่หยุดงานแค่ 2 วันแบบนี้งานมันจะสุมมากองจนท่วมหัวได้ขนาดนี้ นี่ทำให้ผมแทบลืมเรื่องที่คั่งค้างในใจ วางทิ้งไว้ข้างหลังก่อนแล้วกันครับ นี่ตั้งแต่เมื่อวานผมค้างที่บ้าน ภู่โทรมาผมก็ไม่ได้รับมาวันนี้ผมก็งานยุ่งจนแทบไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย นี่เค้าคงไม่ได้คิดมากที่ผมไม่รับสายเค้าใช่ไหม
“ฟิต ฟิต”เสียงแซวจากพี่ต้าร์ดังมา นี่สงสัยงานตัวเองเสร็จแล้วสินะ ส่วนงานผมนะเหรอครับจะว่าเหลือเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย จริงๆ ก็ต้องส่งภายในพรุ่งนี้นั่นแหละครับ แต่จะให้ดองไว้ทำทีเดียวพรุ่งนี้ก็คงไม่ใช่ ผมทำเป็นไม่สนใจพี่ต้าร์ แต่ทางพี่ต้าร์ก็ดูไม่ได้แคร์ปฏิกิริยาของผม เพราะพี่แกเล่นมานั่งแหมะลงเบียดเก้าอี้ตัวเดียวกับผม
“ทำตัวรุ่มร่ามกะน้อง จะฟ้องพี่กุ้ง”ผมหันไปขู่ แม้ช่วงนี้เราจะสนิทกัน เล่นกันถึงเนื้อถึงตัวได้ ผมเองก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไรกับพี่แกแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังยุ่งและไม่ว่างที่จะเล่นด้วย
“เดี๋ยวนี้ทำมาเป็นหวงเนื้อหวงตัว ไหนดูสิมีร่องรอยได้เสียกับใครมาหรือเปล่า”ผมรีบเบี่ยงตัวหลบเพราะพี่ต้าร์เล่นจะมาส่องในเสื้อผมเลย แม้จะไม่รู้ว่าตามตัวผมเองจะยังหลงเหลือร่องรอยอะไรไหม แต่ก็ควรกันไว้ก่อนถ้าเกิดยังมีอยู่เนี่ย ผมคงโดนซักฟอกทั้งออฟฟิศเป็นแน่
“ไม่เอาพี่ต้าร์เล่นไรเนี่ย จะทำงาน”มือผมยันพี่ต้าร์ไว้อย่างสุดกำลัง แต่ไอ้พี่ต้าร์นี่ก็ไม่ยอมแพ้ยังจะยื้อเข้าหาตัวผมให้ได้
“มีพิรุธ มีพิรุธ”ตอนนี้เหมือนฝ่ามือเราทั้งคู่ต่างดันหน้าอีกคนอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่นี่ผมใกล้จะเพลี้ยงพล้ำแล้วเพราะสู้แรงควายจากไอ้พี่ต้าร์ไม่ได้ สุดท้ายผมก็โดนไอ้พี่ต้าร์จับล็อคคอจนได้ นี่พอสนิทกันก็ชักเล่นแรงขึ้นเรื่อยๆ นะครับเนี่ย
“พิรุธอะไรเล่า เห็นไหมเนี่ยว่างานสุมหัวอยู่ ถ้าไม่ช่วยก็อย่าเพิ่งกวน”ในเมื่อสู้แรงไม่ได้ผมก็ต้องเก็บอาการทำเป็นนิ่ง เอาเรื่องงานขึ้นมาอ้าง แต่จริงๆ ผมก็ทำงานอยู่แล้ว ทำไมผมไม่พูดเรื่องงานตั้งแต่แรกวะเนี่ยจะได้ไม่ต้องสู้กันให้เมื่อยเปล่าๆ แต่ก็นั่นแหละครับพูดไปไอ้พี่ต้าร์นี่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี
“แปง”ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดพ่อพระของผมก็มาโปรด นี่ถ้าพี่ฟ่างมาช้าอีกนิดเดียวผมคงโดนไอ้พี่ต้าร์เลิกเสื้อขึ้นดูจริงๆ เป็นแน่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้ว่าไอ้พี่ต้าร์จะยังไม่ยอมปล่อยผมก็ตามที
“ครับพี่ฟ่าง”ผมรีบรับคำพี่ฟ่าง พยายามดันตัวพี่ต้าร์ออกแต่ก็ยังไม่เป็นผล แถมยิ่งดิ้นไอ้เชี่ยพี่ต้าร์นี่ก็ยิ่งรัดผมแน่นเข้าไปอีก อย่าให้ผมเจอพี่กุ้งนะ จะฟ้องให้จัดการเสียให้เข็ด
“มีคนมาหาแนะ”ผมนิ่วหน้ากับสิ่งที่พี่ฟ่างพูด เพราะเหมือนแกจะมองมาที่ผมไม่ใช่พี่ต้าร์ แต่ใครจะมาหาผม ที่บ้านผมก็ไม่น่าจะใช่ ข้าวหอมถ้าจะมาก็น่าจะโทรมาหรือบอกผมล่วงหน้า แต่ที่จริงผมก็ยุ่งจนไม่ทันได้ดูโทรศัพท์ด้วยแหละครับ
“มาหาผมเหรอพี่”ผมชี้หน้าตัวเองเพื่อยืนยันอีกครั้งเพราะยังไม่มั่นใจว่าจะมีใครมาหาผม
“อือ พอดีพี่มาจากข้างนอกเห็นรออยู่ข้างล่าง”พี่ฟ่างยืนยันกับผมพร้อมเข้ามาชี้หน้าไอ้พี่ต้าร์ให้ปล่อยผม ผมรีบสลัดพี่ต้าร์ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พ่อพระอย่างพี่ฟ่างจะแยกตัวไป
“ขอบคุณครับ”ผมรีบบอกตามหลังพี่ฟ่างไป ขอบคุณทั้งเรื่องมาบอกว่ามีคนมาหา และที่สำคัญขอบคุณที่มาช่วยไม่ให้ไอ้พี่ต้าร์นี่จับผิดผม
“นัดใครไว้เนี่ย”พี่ต้าร์ยังจ้องมาที่ผมอย่างจับผิด
“ผมยังไม่รู้เลยว่าใครพี่”ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะก็ไม่รู้จริงๆ ว่าใครมาหา ตอนนี้รู้แต่ว่าต้องรีบสลัดไอ้พี่ต้าร์ออกให้เร็วที่สุดผมรีบเดินอย่างเร็วเพื่อลงลิฟต์ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังประตูลิฟต์ปิดลง พอประตูลิฟต์เปิดออกสายตาผมก็เริ่มมองหาคนที่ผมน่าจะรู้จักจนสายตาหันไปเจอหนี่งคนที่หันหลังอยู่ หนึ่งคนที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน
“มาได้ไง”ผมเดินเข้าไปสะกิดหลังเค้า เมื่อแน่ใจแล้วว่าเค้าน่าจะคือคนที่มาหาผม
“ลุง”เค้าหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ผม แม้จะรู้ดีใจแปลกๆ ที่เค้ามาหา แต่มันก็มีความกังวลนิดๆ เพราะไอ้การเจอเค้าด้วยชุดนักเรียนนอกบ้านครั้งก่อนมันคือการที่ผมต้องไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้กับเค้า
“ภู่มีอะไร ไม่ได้มีเรื่องที่โรงเรียนอีกใช่ไหม”น้ำเสียงเจือด้วยความกังวลของผมถามออกไปเพราะเป็นห่วง แต่อีกคนกลับหุบยิ้มลง แล้วส่งสายตาเคืองๆ มาให้ผมแทน
“โหลุง ผมจะมาเพราะคิดถึงลุงเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”เค้าเข้ามาประชิดจนผมต้องถอยออก มองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครดูเราอยู่ เพราะถึงแม้ที่ทำงานผมจะอยู่ชั้นบน แต่แถวนี้ก็คงไม่เหมาะที่ผมกับเค้าจะใกล้ชิดหรือถึงเนื้อถึงตัวกันสักเท่าไหร่
“พูดอะไรเนี่ย”ผมเดินนำเค้ามาที่มุมนึงที่ผมมองเห็นว่ามีโซฟาว่างอยู่ และน่าจะเหมาะกว่าการที่เรายืนคุยกันอยู่แบบนี้
“ก็ลุงไม่กลับบ้าน”น้ำเสียงตัดพ้อของเค้าทำให้ผมที่เดินนำอยู่ต้องหันกลับไปมองคนที่ทำหน้าหงิกเดินตามผม ไอ้เด็กบ้าเอ้ยมาทำพูดจาเสียงอะไรแบบนี้ที่นี่กันละ คิดมากหรือไงเนี่ย
“ก็พี่ไปค้างที่บ้านพ่อแม่ไง”ผมนั่งลงที่โซฟา ส่วนเค้าก็นั่งลงอีกด้านโดยที่ยังทำหน้างอไม่พอใจผมอยู่ เค้าก็รู้นี่นาว่าผมแค่กลับไปนอนบ้าน ไปเคลียร์ปัญหากับพ่อ ซึ่งเอาจริงๆ จะว่าไปเรื่องพ่อผมก็ยังติดอยู่หน่อยๆ ตรงคุณสมบัติแฟนผมนี่แหละครับ
“โทรมาลุงก็ไม่รับ”เค้ายังคงหน้างอ ตัดพ้อผมอย่างต่อเนื่อง นี่ผมต้องแก้ต่างให้ตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้ทำผิดอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย
“หยุดงานไปตั้งสองวัน งานสุมหัวฟูจนไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย”อันนี้ที่จริงส่วนนึงผมก็ยังสับสนด้วยแหละครับ ว่าระหว่างผมกับเค้ามันจะเป็นยังไงต่อ
“ผมนึกว่าลุงจะทิ้งผม”อันนี้ผมว่าเด็กบ้านี่เริ่มแกล้งผมแล้วครับ นั่นไงสายตาเค้าเริ่มวาววับ ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก แล้วไอ้ประโยคนี้อีก ทำไมชอบพูดจังว่าผมจะทิ้งเค้า แล้วเรื่องทิ้งนี่เราต้องเป็นอะไรกันก่อนไหมถึงจะทิ้งได้ แต่ระหว่างเราสองคน แม้จะเอ่อ...เกินเลยกันไปบ้างแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมานิว่ามันคืออะไร ยังไง
“ทิ้งบ้าอะไร พี่ติดงานจริงๆ”ว่าแต่ตกลงทำไมผมต้องมาอธิบายให้เค้าเข้าใจทุกอย่างแบบนี้ด้วยเนี่ย
“งั้นวันนี้ผมรอกลับบ้านด้วย”เดี๋ยวครับเดี๋ยว ถ้าขืนผมปล่อยเค้าไว้นี่แล้วทุกคนในออฟฟิศผมลงมาเจอตอนกลับบ้านนี่ผมไม่อยากจะคิดสภาพสักเท่าไหร่นะครับ พี่ฟ่างที่เจอนั่นคงจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไอ้พี่ต้าร์กับเจ้โอ๋มาเจอนี่ แค่คิดผมก็สยองแล้วครับ
“วันนี้นัดกับที่บ้านไว้แล้วว่าจะไปค้าง”อันนี้ที่จริงก็ไม่เชิงหรอกนะครับ คือที่บ้านก็อยากให้ผมค้างอีกสักคืนนั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้ตอบตกลงแน่นอน ขอดูก่อนว่าเลิกงานช้าหรือเปล่าถ้างานเสร็จช้าอาจจะไม่เข้าบ้าน แต่ตอนนี้ผมว่าผมกลับไปนอนบ้านอีกสักคืนน่าจะดีกว่า อีกอย่างผมจะได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรอีกสักนิด
“หลบหน้าผมปะเนี่ย”เค้ายื่นหน้ามาหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แต่รอบนี้ผมจ้องกลับเพราะผมว่าผมก็ไม่ได้ตั้งใจหลบเค้านะ
“ไม่มีอะไรจริงๆ พรุ่งนี้พี่ก็กลับไปปกติแหละ”ผมบอกออกไปตามตรง แต่สีหน้าเค้าดูนิ่งๆ แล้วก็พูดออกมาเสียงจริงจัง
“เรื่องคืนนั้น...”เค้าเว้นวรรคไว้แค่นั้น และผมเองก็ไม่พูดอะไร เราต่างคนต่างเงียบไปทั้งคู่ แม้จริงๆ ผมเองก็อยากจะคุยเรื่องนี้กับเค้าอย่างจริงจัง แต่มันคงยังไม่ใช่คุยที่นี่
“เอาไว้คุยกันอีกทีนะ พี่ยังต้องทำงานต่อ”ผมปฏิเสธเพราะคิดว่าเรื่องนี้เราควรไว้คุยกันในที่ที่มันส่วนตัวมากกว่านี้ พอปฏิเสธที่จะคุยเรื่องนี้ผมก็เตรียมที่จะกลับขึ้นไปทำงานเพราะนี่ก็ยังอยู่ในเวลางานของผมอยู่
“เดี๋ยวสิครับ”เค้าคว้าข้อมือผมยื้อไว้ ไม่ยอมให้ลุก
“คือที่จริงวันนี้ที่ผมมา...”ทำไมวันนี้เค้าชอบพูดค้างแล้วเว้นวรรคหยุดไว้แบบนี้จังเลย ทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ นี่ดูไม่เป็นตัวเค้าสักเท่าไหร่เลย ปกตินี่พูดอะไรออกมาไม่เห็นจะกระมิดกระเมี้ยนแบบนี้เลยสักนิด
“มีอะไรหรือเปล่า”จะว่าถามตัดรำคาญให้จบๆ ไปก็ได้นะครับ คือถึงจะยังเกร็งๆ กับเค้าอยู่บ้างแต่นี่ผมก็ลงมานานแล้วและงานผมเองก็ยังไม่เสร็จ จะมามัวโอ้เอ้แบบนี้ มันคงไม่ใช่ผลดีกับผมแน่ๆ
“พรุ่งนี้ที่โรงเรียนผมมีงานเปิดโลกกิจกรรม”เค้าบอกก่อนจะเหมือนรอดูปฏิกิริยาของผม แล้วก็เงียบไปพักนึงจนผมเองที่รอไม่ไหว ถามออกไปด้วยความสงสัย
“แล้ว???”คิ้วผมเลิกขึ้นด้วยความสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าการที่โรงเรียนเค้ามีงานเปิดโลกกิจกรรมเนี่ย มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย
“ก็เค้าเปิดให้ผู้ปกครองเข้าไปดูด้วยไง”เค้าทำหน้าเซ็งๆ ใส่ผม แล้วนี่จะมาทำเซ็งใส่ผมทำไมละเนี่ยไอ้เด็กบ้านิ
“พี่ต้องไปด้วย?”ผมชี้ที่ตัวเอง เป็นการย้ำแม้จะเริ่มรู้แล้วว่าเค้าคงมาบอกให้ผมไปร่วมงานด้วยนั่นแหละ แต่อยากแกล้งเค้าอีกสักหน่อย
“ก็ใช่สิครับลุง ไปดูผมเล่นดนตรีไง”เค้าบอกอย่างภูมิอกภูมิใจ จนผมชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้ว
“ให้เล่นให้ดูที่บ้านไม่เล่น ต้องตามไปดูถึงโรงเรียนอีก”ผมแกล้งทำเป็นบ่น แต่จริงๆ ก็อยากเห็นเค้าเล่นเหมือนกันแหละครับ ลีลามาตั้งนาน
“มันก็ต้องเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่หน่อยสิครับ”
“สรุปที่มาหานี่คือจะมาชวนให้ไปดูเล่นดนตรีว่างั้น”เอาจริงๆ ทีแรกผมก็นึกว่าเค้าจะอยากมาคุยกับผมเพราะเรื่องคืนนั้นเฉยๆ นะครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนั้นผมยังไม่พร้อมจะคุยที่นี่ แล้วยิ่งมาเจอพ่อพูดกับผมแบบนั้นอีก พอมองคนตรงหน้านี่ดีๆ อีกครั้ง มันไม่น่าจะมีตรงไหนให้พ่อผมยอมรับเลยนะเนี่ย
“แล้วลุงจะไปเปล่า”เค้าถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ
“ดูก่อนได้ไหม”
“ไปเถอะครับ อยากให้พี่ได้ดูผมเล่น”ผมอมยิ้มกับท่าทีคะยั้นคะยอของเค้า
“ขนาดนั้นเชียว”
“ผมมีเซอร์ไพรส์ให้ลุงด้วย”สุดท้ายผมก็รับปากเค้าจนได้แหละครับ แต่ไอ้ที่บอกว่ามีเซอร์ไพรส์อะไรให้ผมนี่คงไม่ใช่ให้ผมได้อายคนในงานหรอกนะ เราจบบทสนทนากันแค่นั้นเพราะผมต้องกลับขึ้นไปทำงานต่อ ส่วนเค้าก็ต้องกลับบ้านไป
“ลุง”เค้าเรียกผมอีกครั้งในขณะที่เรากำลังจะแยกกัน ผมหยุดรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไรกับผม มองใบหน้าที่ยิ้มกวนๆ ของเค้า เห็นแล้วก็รู้ว่านี่จะแกล้งพูดอะไรกับผมอีกหรือเปล่า
“รีบกลับบ้านเรานะครับ ผมคิดถึง”เจ้าของรอยยิ้มหมุนตัวเดินออกไปแล้ว แต่ผมเพิ่งจะค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากตามหลังเค้ากับคำว่า “บ้านเรา”
TBC
สต็อคหมดแล้ว
จากนี้อาจไม่ได้ลงทุกวันแล้วนะฮ่ะ
:z3:
บทที่ 47
ความในใจที่ไม่เคยรู้
พาร์ทของภู่
—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�
“เหม่ออะไรของมึงเนี่ย”เสียงของเพื่อนมาพร้อมกับฝ่ามือที่เบิดกะโหลกผมเบาๆ ถ้าเป็นปกติผมคงตบหัวมันสวนไปแล้ว แต่ครั้งนี้ผมกลับนิ่ง นิ่งเสียจนเพื่อนของผมเองก็ต้องหยุดมอง
“เป็นไรป่ะวะ”น้ำเสียงที่ถามประโยคต่อมาของไอ้ยิวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลง
“เปล่า แค่คิดอะไรนิดหน่อย”ผมบอกปัดเพราะอยากจะตัดบทสนทนาจบเพียงเท่านั้น แม้ในใจจะอยากเปิดใจคุยกับเพื่อนสนิท 2 คนนี้แต่ผมก็ยังสับสนเกินไปที่จะเข้าใจตัวเองว่านี่ผมเองเป็นอะไรกันแน่
“นิดหน่อยนี่เกี่ยวกับพี่แปงด้วยหรือเปล่า”ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลังจากคำพูดของไอ้ยิว พยายามประเมินพวกมันว่านี่มันสองคนกำลังคิดอะไรอยู่ แม้สิ่งที่พวกมันคาดเดาจะถูก แต่ในใจผมกลับรู้สึกว่าควรปฏิเสธและโกหกพวกมันออกไป
“ไม่ใช่สักหน่อย”ผมปฏิเสธอย่างใจคิด แต่มันคงเป็นการโกหกที่ไม่เนียนที่สุดในโลกก็ว่าได้ มันเลยไม่แปลกเท่าไหร่ที่เพื่อนสนิททั้งสองของผม ต่างส่ายหน้าหน่ายๆ อย่างไม่เชื่อในคำพูดของผม
“มึงคิดว่าพวกกูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ”ไอ้สอถามกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่เหมือนกำลังเย้ยผมอยู่ในทีว่าผมโกหกมันไม่ได้หรอก อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะโกหกเพื่อนนะครับ แต่ผมแค่กำลังสับสนกับความรู้สึกตัวเอง ก็เมื่อวานผมดันเผลอไปจูบกับ “ลุง” ข้างบ้านมานี่สิ ไม่ต้องแปลกใจกับสรรพนามหรอกครับ ลุงนั่นแหละถูกแล้ว
แม้ลุงแกจะดูอินโนเซนต์ อายุก็ยังไม่จัดว่าแก่ แต่ทีแรกผมอยากแกล้งเรียกแหย่เล่นนิดหน่อย แต่ไปๆ มาๆ เรียกแล้วมันก็ติดปาก แถมหลังๆ มานี่เราสองคนก็ดูสนิทกันมากแล้ว มากจนบางทีผมก็แปลกใจว่าทำไมเวลาเลือกเรียนผมต้องรีบกลับบ้านไปทำกับข้าวให้ลุงนั่นทานด้วย
จนมาถึงเมื่อวาน วันเกิดของผมแทนที่ผมจะไปเมากับเพื่อนตัวเอง ผมดันเลือกที่จะซื้อเค้กไปรอฉลองกับลุงนั่น แต่ลุงก็ทำเอาผมรอเก้อ ดื่มเบียร์รอจนเผลอหลับไป ผมอาจจะเริ่มเคยชินกับการมีอีกคนที่ทานข้าวด้วยกันทุกเย็น มันเลยเหมือนเป็นวันแรกที่ผมดันรู้สึกเหงา แล้วยิ่งในวันเกิดของผมเอง มันเลยยิ่งย้ำว่ามันไม่มีใครให้ความสำคัญกับผมเลย
“ลุงงงง”ผมเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัวเมื่อรู้ว่าเค้ากลับมา และอาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกๆ กับคนตรงหน้า ผมลุกพรวดขึ้นไปกอดเค้าโดยไม่ได้มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย เค้าถามผมถึงวันเกิดคงเพราะเห็นเค้กที่ผมเตรียมมาแล้ว แค่เห็นสีหน้า แววตาที่รู้สึกผิดของเค้า นั่นกลับทำให้ผมดีใจว่ายังทีเค้าอีกคนที่สนใจผมอยู่บ้าง เพราะนี่คนอื่นๆ ในครอบครัวผมคงลืมกันหมดว่าวันนี้วันเกิดผม
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”เอาแล้วไงละ ผมจะน้ำตาไหลทำไมละเนี่ยก็เสียฟอร์มกันพอดี หมดกันลุคเท่ห์ๆ ของผม ว่าแต่ผมจะมาอยากเท่ห์ให้ลุงเค้าเห็นทำไมละเนี่ย
“ก็ลุงมาช้า ผมกลัวลุงไม่มา”ผมทรุดตัวลงซุกหน้ากับพุงของลุง เริ่มรู้สึกว่านี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ นี่ผมอ้อนคนตรงหน้านี้อย่างนั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันละเนี่ย ทำไมผมต้องมาอ้อนผู้ชายด้วยกันแบบนี้
“เดี๋ยวนี่มันบ้านพี่ไหม ทำไมพี่จะไม่กลับมานี่”เจ้าของน้ำเสียงคงกำลังขำกับคำพูดของผมอยู่แน่ๆ แต่ผมจะตีมึนว่าตัวเองเมาแล้วกันครับ คนเมาทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก
“ไม่รู้ แต่ลุงมาช้าลุงผิดสัญญา”ผมบอกอย่างเอาแต่ใจ และยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดเอวนั้นไว้
“หยุดร้องได้แล้ว มาเป่าเค้กกันดีกว่า”แรงผลักเบาๆ ทำให้ผมต้องยอมคลายอ้อมกอดออกก่อนจะค่อยๆ เงยหน้ามองอีกคน
“ใครร้องไห้ ไม่มีสักหน่อย”ผมปฏิเสธทั้งที่หลักฐานยังคงอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มรู้ทันฉายชัดขึ้นจากอีกคน แล้วยังนิ้วเรียวที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ผมนั่นอีก นี่มันวันซวยอะไรของผมเนี่ย เสียฟอร์มสุดๆ เลยไม่เหลือแล้วภาพความเท่ห์ของผม ผมรีบถอยตัวออกแก้เขินด้วยการหยิบเค้กวันเกิดตัวเอง มาสั่งให้อีกคนร้องอวยพรวันเกิดให้ผม
“อวยพรผมก่อนดิลุง”หลังจากเป่าเทียนเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้
“ก็ขอให้ภู่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดหวังอะไรให้สมปรารถนา ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้”เป็นคำอวยพรที่ดูเชยมาก แต่มันกลับทำเอาผมหุบยิ้มไม่ลง แถมดูอีกคนจะสังเกตุเห็นแล้วว่าผมมองเค้าอยู่ และสายตาผมมันคงไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
“กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย ไหนขอชิมหน่อยสิ”ผมรีบไปเปิดไฟก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เค้ามองมาที่ผมไม่รู้ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ หรือตาเยิ้มเพราะเมากันแน่ แต่สายตานั้นก็ทำให้ผมหัวใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว เราทั้งคู่เหมือนจะเกร็งๆ กันสักพักก่อนจะทานอาหารที่ผมทำไว้ แม้มันจะเย็นชืดหมดแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อย นี่สินะที่เค้าว่ากันว่าทานข้าวมันจะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับว่าทานกับใคร
“กินยังไงเนี่ยลุง เค้กติดปากเลอะหมดแล้ว”ผมทักท้วงคนที่กำลังกินเค้ก แต่การกระทำของอีกคนกลับทำเอาผมเกิดความรู้สึกแปลกๆ เค้าแลบลิ้นเลียริมฝีกปากตัวเอง มันช่างเป็นภาพที่ดึงดูดผม จนต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้นิ้วเช็ดที่ริมฝีปากนั้น “หวาน” คือสิ่งที่ผมรับรู้ได้หลังชิมนิ้วตัวเองที่เช็ดมาจาดปากของอีกคน
ให้ตายสิทำไมผมรู้สึกอยากจูบปากบางๆ นั่น อยากรู้ว่ารสชาติมันจะหวานแค่ไหน ผมช้อนตาขึ้นมองอีกคนที่เหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อยที่ผมดันเงยหน้ามาเห็นว่าเค้ามองผมอยู่ ผมนึกสนุกอยากแกล้งคนแก่ เลยขยับเข้าใกล้เค้าไปเรื่อยๆ กะว่าอยากเห็นหน้าตื่นๆ ของอีกคน
“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”
จากที่ทีแรกกะว่าจะแกล้งแหย่เล่นๆ แต่กลับเป็นผมเองที่หยุดตัวเองไม่อยู่จู่โจมเค้าไปอย่างกะทันหัน แขนผมรีบโอบหลังอีกคนไว้เมื่อเห็นว่าเค้ากำลังจะขยับถอยหนี แม้เค้าจะยังคงปิดปากแน่นแต่มันก็ยังมีสัมผัสนุ่มนิ่มจนผมยังอยากได้มากกว่านั้น
“อือ”
จังหวะที่ผมยอมขยับริมฝีปากนิดหน่อยให้อีกคนได้มีโอกาสหายใจ ซึ่งดูเหมือนอีกคนกำลังจะอ้าปากถาม และนั่นทำให้ผมรีบสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ “หวาน” มันเป็นรสจูบที่หวานไม่ได้ต่างจากเค้กที่ผมเพิ่งได้ชิมเลย แม้อีกคนจะดูไม่ประสีประสา แถมออกจะตกใจประหม่าจนผมรู้สึกได้ แต่ทั้งหมดนั่นกลับสร้างความพอใจให้ผมอย่างมาก มากเสียจนผมลืมตัวว่ากำลังจูบกับผู้ชายด้วยกัน
“แฮ่กๆ”เสียงหอบหายใจของอีกคนเมื่อผมได้สติ และยอมถอนริมฝีปากของจากเค้า
“เมื่อกี้มันอะไร”เสียงเอ่ยถามแผ่วเบา เบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ แถมเจ้าของเสียงยังก้มหน้ามองพื้นไปเรียบร้อย ส่วนผมนะเหรอครับ ตอนนี้ก็กำลังงงกับตัวเองอยู่เหมือนกันนั่นแหละครับว่าทำอะไรลงไป เราต่างเงียบกันไปทั้งคู่ จนบรรยากาศมันชวนอึดอัดใช้ได้เลยแหละครับ งานนี้เดดแอร์จนแทบได้ยินเสียงแมลงวี่บินกันเลยทีเดียว
“ผมคง...เมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ”ผมตัดสินใจเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดนี่ ขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน โดยทำเป็นไม่สนใจว่าอีกคนก็คงกำลังทั้งงง ทั้งไม่เข้าใจการกระทำของผม
“โธ่โว้ย มันอะไรกันวะเนี่ย”ผมตีอกชกลมกับตัวเองทันทีที่กลับมาถึงบ้านของตัวเองที่อยู่ข้างๆ กัน ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรกับผม ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น เรียกว่ายังมีสติเกิน 75% เลยแหละครับ แล้วนี่ลุงจะคิดอะไรมากหรือเปล่าละเนี่ย ทั้งที่ผมเองก็ทราบอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายด้วยกัน และความสำพันธ์ของเรามันก็แค่พี่น้องข้างบ้าน ผมไม่ควรทำอะไรแบบนั้นลงไปเลย
ผมนอนคิดทั้งคืน ว่าตกลงที่ผมทำลงไปนั่นมันเพราะอะไร แถมด้วยความกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของอีกคนจะเป็นยังไงบ้าง ทีแรกก็คิดไปต่างๆ นานาว่าจะคุยให้รู้เรื่อง คิดไม่ตกจนผมนอนไม่หลับ พอเช้าเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวมาทำกับข้าวรออีกฝ่ายที่บ้านกะว่าพอตอนทานข้าวจะได้คุยกันให้เคลียร์
แต่ผมรอแล้วรอเล่าตามเวลาปกติ อีกคนก็ไม่ออกมาเสียที จะให้ผมถือวิสาสะปลุกเหมือนทุกทีก็ไม่รู้อีกฝ่ายจะโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไหม หรืออีกฝ่ายอาจจะยังไม่พร้อมเจอผม ความตั้งใจแรกที่จะเปิดอกคุยกันเลยถูกพับเก็บ แต่สุดท้ายพอผมทานข้าวกำลังจะเสร็จลุงแมร่งก็ออกมาพอดี ทำเอาผมชะงักไปเหมือนกัน จนทำตัวไม่ถูก แต่อีกคนดันทำตัวเหมือนปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกทีเวลาผมแหย่ ผมแกล้งมีแต่ลุงที่เขิน ที่ทำตัวไม่ถูกนี่นา แล้วพอมาจูบกันจริงๆ แบบนี้ทำไมลุงแมร่งดูไม่เป็นไรเลย นี่มีแต่ผมหรือเปล่าที่คิดมากเนี่ย เลยกลายเป็นว่าผมรู้สึกเฟลๆ นิดหน่อย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องรู้สึกไม่ดีที่เห็นอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
“ไม่รับละมึง”เสียงของไอ้สอเรียกสติให้ผมหยุดคิดเรื่องของอีกคน แต่สิ่งที่ผมได้รับรู้คือสายเรียกเข้าจากอีกคน เห็นไหมละครับว่าเค้ายังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เราจูบกันแล้ว แล้วทำไมผมต้องมาคิดมากกับอะไรพวกนี้กันละวะครับ จูบแรกหรือก็ไม่ใช่ หรือผมจะเสียเซลฟ์ที่คนประสบการณ์มากกว่าอย่างผมกลับไม่ทำให้ลุงอินโนเซนส์นั่นรู้สึกอะไรเลย
“หยุดก่อน”การเล่าเรื่องในอดีตของผมถูกขัดด้วยเสียงของคนในอ้อมกอด ผม ใช่แล้วละครับตอนนี้คือคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์ เราสองคนก็เพิ่งผ่านกิจกรรมบนเตียงกันมา 1 ยก สุดที่รักของผมก็มีข้อเสนอแลกเปลี่ยนให้ผมเล่าความรู้สึกในอดีตให้ฟัง 1 เรื่องแลกกับการยอมให้ผมกดเพิ่มอีก 1 ยก
“ไม่ฟังแล้วงั้นเรามาต่อกันเลยนะครับที่รัก”ผมตีมึนไม่สนใจว่าที่จริงอีกฝ่ายต้องการจะถามอะไรกันแน่ แต่เลือกที่จะพลิกตัวขึ้นคร่อมเค้าแทน
“นี่เมื่อก่อนภู่เรียกพี่ว่าลุงอินโนเซนส์เหรอ”
“อะๆ ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่แทนตัวเองว่าพี่”
“ก็มันยังติดปากนี่นา ว่าแต่สรุปคือตอนนั้นเมินพี่เพราะคิดว่าพี่ไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ”ถึงจะไม่ค่อยชอบให้เค้าแทนตัวเองว่าพี่ เพราะมันจะทำให้ผมดูไม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ก็นั่นแหละครับ ผมมันคนรักแฟน ไม่อยากบังคับแฟนมาก
“แล้วที่จริงวันนั้นพี่แปงรู้สึกยังไงละคร๊าบบบ”ผมแกล้งทำเสียงอ้อนๆ ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของเค้า
“ก็ทั้งงง ทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าภู่มาจูบทำไม แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ไง เลยพยายามทำตัวให้ปกติ”อีกแล้ว ได้ทีเอาใหญ่เลยนะครับแฟน ไอ้เรื่องความเป็นผู้ใหญ่เนี่ย
“คร๊าบลุง แต่สุดท้ายลุงก็เสร็จผมอยู่ดี มาเสร็จอีกสักรอบแล้วกันเนอะ”ผมหัวเราะอย่างคนเหนือกว่า พร้อมมือที่ไม่อยู่สุขของตัวเองที่เริ่มแปะป่ายเกาะแกะกับร่างเนียนของคนด้านล่างอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆ ยังเล่าไม่จบเลย อย่าเพิ่งดิ”
“เดี๋ยวได้ฟังแน่ครับ แต่ตอนนี้ต้องช่วยภู่น้อยให้สงบลงก่อน ไม่งั้นมันเล่าไม่สะดวก”
TBC
—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�
หายนานมากกกกกกกกก
พอดีช่วงนี้ภารกิจเยอะเหลือเกิน
แต่เอาจริงๆ คู่นี้ก็ใกล้จบเต็มที ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก
แค่เอามาลงให้พอหายคิดถึงกันสั้นๆ ยังไงจะรีบจบ
เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดละคร๊าบบ จะได้เคลียร์ที่ค้างๆ อยู่
แหะๆ
บทที่ 49
การเดินทางของสองเรา
พาร์ทของภู่
“น้องชายพี่ไปฟ้องว่าไงละเนี่ย”
เหมือนพี่ปอจะรู้ว่าผมโทรหาด้วยเหตุผลอะไร เลยเป็นฝ่ายพูดดักมาแบบนี้
“โถ่พี่อย่าเรียกว่าฟ้องเลยครับ เรียกว่าระบายให้ฟัง แล้วแปงเค้าก็ไม่ได้ให้ผมโทรหาพี่ปอหรอกครับ เพียงแต่ผมเห็นเค้าเครียดๆ เลยโทรมาถามว่าเรื่องมันร้ายแรงขนาดไหน ผมจะได้ปลอบได้ตรงจุดไงครับ”
“เบื่อคนหลงแฟนจริงๆ เลย”
น้ำเสียงบ่นอย่างไม่จริงจัง แถมออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผมเริ่มเบาใจว่าที่จริงเรื่องราวที่สุดที่รักผมโดนตำหนิมันก็คงไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก
“ที่จริงพี่ก็ว่าจะโทรบอกภู่เหมือนกันแหละ แต่พี่ก็ช้ากว่าคนหลงแฟนอ่ะเนอะ”
“…”
“คือพี่ก็แค่อยากให้แปงได้พักนั่นแหละ เลยสั่งพักงานไปโดยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างด้วย”
“แล้วต้องทำแฟนผมคิดมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”
ผมแกล้งทำเสียงเคืองๆ เล็กน้อย แต่อย่าหาว่าผมปีนเกลียวนะครับ ที่ผมกล้าเล่นกล้าแซวพี่ปอเพราะพี่แกก็ให้ความสนิทสนมกับผมจนผมเองก็เหมือนน้องชายแกอีกคนแล้วแหละครับ
“แหม ยังกะถ้าพี่บอกให้พักตรงๆ แปงมันจะยอมพักงั้นแหละ”
“ช่วงนี้แปงเค้าโหมงานหนักไปเหรอครับ พี่ปอถึงอยากให้พัก”
“จะว่ายังไงดีละ คือเอาตรงๆ พี่ก็ได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว อีกสักพักพี่ก็คงยุ่งเรื่องเตรียมงาน ไหนจะไปฮันนีมูนตามใจต๊าฟอีก แปงก็เลยเครียดๆ แหละกลัวว่าถ้าพี่ไม่อยู่แล้วตัวเองจะทำไม่ได้”
“แล้วพี่ปอคิดว่าตอนนี้วางใจในการทำงานของแปงเค้าเต็มร้อยหรือยังครับ”
เสียงของพี่ปอเงียบไปพักใหญ่เหมือนกำลังใช้ความคิด ผมเองก็เงียบ รอฟัง เพราะเอาจริงๆ ผมเองก็ถือว่ารู้ในเนื้องานแค่บางส่วนของแปงกับพี่ปอเท่านั้นแหละครับ เวลางานผมก็ไม่ค่อยได้ไปก้าวก่ายสักเท่าไหร่ด้วย
“จะว่าไปก็…”
“…”
“ก็ได้แหละ ที่ยังขาดอีกนิดหน่อยก็เรื่องความเด็ดขาดกล้าตัดสินใจ ที่บางทีพี่ยังต้องตัดสินใจให้ ทั้งๆ ที่บางทีที่เค้าคิดมันก็แบบเดียวกับที่พี่คิดนั่นแหละ ส่วนไอ้เรื่องทำงานผิดพลาดนี่พี่ก็ว่าดีแล้วที่ได้เจอตอนนี้ มันจะได้เป็นบทเรียน คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ แต่พอผิดพลาดแล้วจะนำมาปรับปรุงได้หรือเปล่า ตรงนี้แหละที่พี่อยากให้แปงได้เรียนรู้”
“ทำไมพี่ปอไม่บอกกับแปงเค้าตรงๆ ละครับ ถ้าบอกเหมือนที่บอกผม ผมว่าแปงก็ต้องเข้าใจ แถมคงรักพี่ปอเพิ่มขึ้นไปอีก”
“ทำยังกับไม่รู้จักน้องชายพี่งั้นแหละ ไหนลองตอบใหม่สิ ถ้าพี่ทำแบบที่ภู่บอกคิดว่าแปงจะเป็นยังไง”
นี่เป็นคำถามตัดสินชีวิตหรือเปล่าครับเนี่ย ถ้าผมตอบผิดนี่จะโดนพี่เมียกีดกันไหมละ ผมค่อยๆ คิดตามสิ่งที่พี่ปอถาม คือถ้านิสัยส่วนตัวของแฟนผม ผมก็รู้แหละครับ แต่เรื่องบุคลิคในการทำงาน ผมก็คงไม่สันทัดสักเท่าไหร่นี่สิ แต่ถ้าฟังจากสิ่งที่พี่ปอเล่ามันก็น่าจะ…
“แปงก็จะยังไม่โต คอยให้พี่ปออุ้มไว้เหมือนเดิม แบบนั้นใช่ไหมครับ”
“ใช้ได้นิ นึกว่าพี่จะต้องเปลี่ยนน้องเขยซะแล้ว”
“โหพี่ ตำแหน่งนี้ผมจองคนเดียวตลอดชีวิตครับ ไม่ปล่อยให้ใครแน่นอน”
“จ้า พ่อคนหลงแฟน เอาเป็นว่าพี่ฝากดูแลพาน้องชายพี่ไปพักผ่อนที เพราะหลังจากนี้ไปต้องกลับมารับบทหนักแทนพี่แล้ว แกล้งพาไปไกลๆ กลับไม่ทันกำหนดตามที่โดนพักงานก็ได้นะ พี่อนุญาต”
“ได้ครับผม”
เปิดทางมาขนาดนี้ เรียกว่ายิ่งกว่าชี้โพรงให้กระรอกแล้วครับ มีหรือคนอย่างผมจะไม่รีบตักตวงเอาไว้ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหนกันละครับ แถมนี่เท่าที่ฟังหลังจากนี้แปงคงงานหนัก และอาจมีเวลากุ๊กกิ๊กกับผมน้อยลงแน่ๆ เลย ถ้าเค้างานหนักมากๆ ผมเองก็คงไม่กล้ากวนเค้าหรอกครับ สงสาร
“เออภู่ ไหนๆ ก็คุยกันแล้ว พี่มีอีกเรื่อง”
“ครับ”
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าพี่แต่งงานแล้วคงย้ายไปอยู่บ้านต๊าฟ”
“แปงเคยบอกแล้วครับ”
“แล้วแปงบอกไหมว่าเค้าต้องย้ายกลับเข้ามาอยู่บ้านกับพ่อแม่”
“ก็มีเกริ่นๆ ไว้เหมือนกันครับ”
“แล้วภู่ละ จะมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”
คำถามของพี่ปอ มันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมเคยพูดไว้กับแปงว่าถ้าวันนึงพี่ปอแต่งงาน ย้ายออกไปผมจะแต่งงานเข้าบ้านแปง แม้ผมอาจจะไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการ และผมก็ไม่รู้ว่าแปงจะคิดว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้หรือเปล่า แต่แน่นอนว่าผมคงต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งอาจจะต้องขอยืดเวลาออกไปหน่อย เพราะผมไม่แน่ใจว่าเงินเก็บของผมตอนนี้มันจะพอหรือยัง
“ที่จริงก็ตกลงกับแปงไว้แบบนั้นแหละครับ”
“ก็ดี ว่าแต่ทางบ้านภู่ก็โอเคใช่ไหม”
“ครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา พ่อกับแม่ผมมีพี่บึ้งอยู่ด้วยแล้ว แต่ผมมีอีกเรื่องนึงที่อาจต้องขอให้พี่ปอช่วยหน่อยนะครับ”
“ได้สิ ว่ามาเลย”
ผมรีบคุยในสิ่งที่ต้องการให้พี่ปอฟังคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว เพราะคาดว่าอีกสักพักสุดที่รักผมจะตื่นแล้ว ดีที่พี่ปอตอบตกลงช่วยผมเต็มที่ เลยสบายใจไปเปราะนึง ที่เหลือผมเองก็คงต้องค่อยๆ เตรียมการไประหว่างรองานแต่งพี่ปอนี่แหละครับ
“โอเคพี่เอาใจช่วย งานแต่งพี่ก็อีกตั้งเกือบ 5 เดือน พี่เชื่อว่าภู่ทำได้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
ผมบอกขอบใจพี่ปออีกครั้งก่อนจะวางสายไป ผมกลับเข้าไปในห้องนอนและก็พบว่ายังมีคนขี้เซามุดอยู่ใต้ผ้าห่ม จนผมอดที่จะเผลออมยิ้มไม่ได้ คนอะไรอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ทำตัวน่าเอ็นดูเหลือเกิน มีแฟนเด็กอย่างผมนี่มันจำเป็นต้องทำตัวเด็กกว่าแฟนไหมเนี่ย
“ตื่นได้แล้วครับ”
ผมก้มลงไปกระซิบข้างๆ หู ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหอมแก้มนิ่มๆ นั่นฟอดใหญ่ เจ้าของแก้มขมวดคิ้วอย่างขัดใจพร้อมกับยื่นมือมาดันผมออก แต่มีเหรอครับที่จะสู้แรงผมได้
“จะตื่นหรือจะให้ลักหลับ”
ผมกระซิบอีกรอบด้วยเสี่ยงหื่นๆ และดูเหมือนคราวนี้จะได้ผลดีเสียด้วยครับ คนขี้เซารีบลืมตามองผมด้วยความไม่พอใจ
“ยังเช้าอยู่เลย รีบปลุกทำไม”
“ต้องรีบครับเดี๋ยวสาย วันนี้เราจะไปออกทริปกัน”
“ทริปอะไร”
เจ้าของคำถามพยายามดันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทำให้ผมต้องขยับตัวให้เค้านั่งสบายขึ้น แล้วค่อยๆ ขยับชิดเข้าไปนั่งข้างๆ โดยที่ยังไม่ตอบคำถามของเค้า
“รีบไปอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว จะได้รีบไป กระเป๋าผมก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“จะไปไหน ไม่เห็นถามเลยว่าอยากไปหรือเปล่า”
“ไปซ้อมฮันนีมูนไงครับ”
“ไม่ตลก”
“ก็ไม่อยากให้เครียด”
“…”
“โอเคๆ ผมยอมแพ้ ก็แค่เห็นว่าไม่สบายใจ แล้วไหนๆ ก็หยุดแล้วเลยอยากพาไปพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ พาไปสวีทค้างคืนสัก 2-3 คืน ก็นึกว่าแฟนจะขอบคุณที่ทำให้ แต่…”
“ก็ไม่บอกดีๆ ตั้งแต่แรก”
“ตกลงไปใช่ไหมครับ”
ได้แกล้งแหย่แฟนตัวเองนี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ว่าแต่นี่เค้าก็ดูไม่เครียดเท่าเมื่อวานแล้ว หวังว่าการไปเที่ยวครั้งนี้ของเราจะช่วยให้เค้าสบายใจขึ้นนะครับ อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันสองต่อสอง ถึงผมจะพูดเล่นๆ ว่าเป็นการไปซ้อมฮันนีมูน แต่ในใจนี่ผมคิดจริงนะครับ ถึงเราจะใช้ชีวิตด้วยกันมาระยะนึงแล้ว แต่ชีวิตเรามันก็มีแค่บ้าน ที่ทำงาน ไปเดินห้างกินข้าว ดูหนังกันบ้าง ครั้งนี้มันคงเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น แล้วภาพในหัวผมก็เริ่มจะคิดดีไม่ได้แล้วครับ เหอๆ
“ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย แล้วถามว่าจะพาไปไหนเนี่ย ทำไมไม่ยอมบอก”
“เซอร์ไพรส์ไง ไม่ชอบเซอร์ไพรส์เหรอ”
แววตาสงสัยยังคงมองผมอย่างจับผิด แต่ก็ยอมลุกเดินไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ช่วงระหว่างรอเค้าอาบน้ำผมก็จัดแจงทั้งเสื้อผ้าไว้รอ อาหารเช้าก็เตรียมไว้พร้อม กระเป๋าเดินทางสำหรับเราสองคน ที่ผมจัดไว้แล้วถูกนำไปไว้หลังรถเป็นการเตรียมพร้อม หลังทานข้าวเสร็จ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันทันที สุดที่รักผมก็ไม่อิดออดแล้วครับ ดูจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วด้วย
พาร์ทของปาแปง
“เขาใหญ่?”
“ใช่ครับ ช่วงนี้เห็นว่าอากาศเย็นลงมากแล้ว ผมอยากพาแปงไปเจออากาศดีๆ จะได้สบายใจขึ้น”
ได้ยินแบบนี้ผมแทบจะไม่อยากเครียดเลยครับ ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ กลัวเค้าเป็นห่วงมากเกินไปนี่แหละ แค่นี้ก็จัดเต็มทั้งยอมหยุดงานเตรียมทุกอย่างพาผมมาเที่ยว ผมเลยต้องรีบหายเครียดครับเค้าจะได้ไม่ต้องมากังวลกับผมด้วยอีกคน แต่มันก็คงหายทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ
เพราะตอนนี้ผมทั้งกดดัน ทั้งอะไรอีกหลายอย่าง ยิ่งรู้ว่าเจ้ปอจะแต่งงานมันยิ่งทำให้ผมกังวลไปต่างๆ นานา ไหนจะเรื่องดูแลงานแทนพี่สาวได้ไหม แล้วนี่ยังมาทำงานพลาดจนโดนพักงานนี่อีกไม่รู้เจ้ปอจะวางใจให้ผมดูแลงานอย่างหายห่วงหรือเปล่า ตอนนี้อาจจะกำลังปวดหัวกับผมอยู่ก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละครับผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว อะไรที่มันพลาดไปแล้วผมก็คงต้องเก็บมาเป็นบทเรียน ความผิดพลาดบางทีมันก็แค่อุปสรรคที่เข้ามาให้เราแกร่งขึ้น เก่งขึ้น บอกกับตัวเองแบบนี้ก็พอสบายใจขึ้นมาหน่อยแหละครับ
“เดี๋ยวผมลงไปซื้อขนมอะไรไว้กินระหว่างทาง เอาอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไปด้วยดิ”
อีกคนทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมยิ้มแย้ม และขอลงรถไปกับเค้าด้วย ตอนนี้เราเพิ่งออกมานิดเดียวแวะเติมน้ำมันที่ปั้ม และเค้ากำลังจะลงไปหาสเบียงมาตุนในรถ แต่ในเมื่อเค้าเองก็คงอยากมาใช้เวลากับผมในช่วง 2-3 วันนี้ และเค้าก็ทำอะไรให้ผมหลายอย่างแล้ว ผมจะทำตัวน่ารักใส่เค้าบ้างจะเป็นไรไปจริงไหมครับ เราช่วยกันหยิบขนมขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มอีกนิดหน่อย ก่อนจะออกเดินทางต่อ
“ถ้าง่วงก็หลับไปเลยนะ”
“เพิ่งตื่นเอง ไม่ง่วงหรอก นั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนแฟนดีกว่า”
“มาแปลกนะเนี่ย วันนี้”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบสิ ชอบมาก แต่ว่า…”
“ว่าอะไร”
“กลัวจะต้องแวะรีสอร์ทข้างทาง ไม่ถึงเขาใหญ่สักทีนี่สิ”
“…”
พอจะเข้าโหมดหวานหน่อยก็ดึงไปทางหื่นตลอดครับแฟนผม แล้วดูยิ้มเข้า ยิ้มแบบนี้ผมรู้เลยว่าไม่ได้คิดดีแน่ๆ นี่เขื่อได้เลยว่าชวนผมออกต่างจังหวัดแบบนี้ นอกจากจะอยากให้ผมหายเครียด คลายกังวลมันต้องมีหวังผลอย่างอื่นด้วยแน่ๆ
“อะ อะ เพลงนี้ก็มา”
ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเสียงเพลงในรถเป็นเพลงที่เราสองคนต่างคุ้นกันดี มันเป็นเพลงเก่าเพลงเดิมที่เหมือนกลายมาเป็นเพลงระหว่างเราสองคนไปเสียแล้ว ก็เพลงที่เค้าเอามาขอผมเป็นแฟนนั่นแหละครับ
“… love is a word that explains
How I feel for you
And when you’re in my arms
All my dreams come true
And when you’re not around
You can’t hardly see
These tears that i’m crying
Now are for you to be with me…”
“ซึ้งๆ ซึ้งอะดิ”
“ก็เคยมีคนเอามาร้องขอเป็นแฟน”
“ต้องเขินไหมเนี่ย”
เสียงเพลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ดังสลับกันไปตลอดเส้นทาง มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ดูจะพิเศษมากขึ้น จริงอยู่ที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่นี่อาจจะเป็นการนั่งในรถนานที่สุดสองต่อสองของเราสองคนแล้วมั้ง ไม่นับเวลารถติดในกรุงเทพฯ นะครับ อันนั้นออกจะเรียกว่ามีความทุกข์ร่วมกัน มากกว่าจะมีความสุขด้วยกัน
“แล้วนี่ภู่จองที่พักของที่ไหนไว้”
“ยังไม่ได้จองเลยครับ”
“อ้าว”
“ใจเย็นสิครับแปงครับ นี่มันไม่ใช่วันหยุด ไม่ใช่เทศกาล เราไปถึงเจอที่ไหนน่าพักค่อยตัดสินใจก็ได้”
“…”
“เอาน่า ลองทำอะไรที่มันไม่มีแบบแผนดูบ้าง”
“งั้นเปลี่ยนจากเขาใหญ่ไปวังน้ำเขียวแทนได้ไหม”
“ตัดไปสิครับ แฟนอยากไปไหน ภู่จัดให้หมดครับ”
ผมก็แค่พูดเล่นๆ แต่อีกคนนี่สิจริงจังไปแล้ว ทีแรกผมก็เกือบจะโมโหแบ้วนะครับเรื่องที่พักเนี่ย แต่พอฟังเหตุผลเค้า ถ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นมุมดีๆ มันก็โอเคหมดแหละ จริงไหมครับ ที่จริงแค่ได้มากันสองคนแบบนี้มันก็ดีมากแล้ว และนั่นทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมคือเขาใหญ่ กลายเป็นวังน้ำเขียวซะงั้น แต่ทั้งสองที่มันก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก จากการที่แวะนั่นนี่ ตลอดทาง แบบเห็นอะไรน่าสนใจอยากจอดเราสองคนก็จอด
สุดท้ายเราก็ถึงวังน้ำเขียวจนได้ครับ เราตัดสินใจเลือกพักที่รีสอร์ทเล็กๆ แห่งนึง อากาศที่นี่เย็นสบายอย่างที่เค้าบอกไว้จริงๆ ครับ หลังเข้าที่พัก นอนเอาแรงนิดหน่อยก็เย็นพอดี เกือบจะเป็นปัญหาในการหาที่ทานมื้อเย็นเพราะเราทั้งคู่ไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ว่าจะเลือกไปทานข้าวที่ไหนกัน ทางรีสอร์ทเองก็เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ไม่ได้มีบริการอาหารให้สั่ง แต่ดีที่เค้าแนะนำร้านอาหารให้เราได้
หลังมื้อเย็นเราก็หอบหิ้วเบียร์กันมาเต็มที่ ไอ้ผมนะไม่เท่าไหร่ แต่อีกคนนั่นกะมอมผมแน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าผมเมาแล้วชอบทำอะไรน่าอายก็ยังจะแกล้ง
“มานั่งนี่มา”
เราอยู่ที่ระเบียงของห้องพัก ตอนนี้เพิ่งจะ 1 ทุ่ม แต่บรรยากาศก็เงียบตามประสาต่างจังหวัด แถมอากาศเย็นจนเกือบจะหนาวแบบนี้อีก ผมเลยไม่อิดออดที่จะเดินไปนั่งชิดกับอีกคน
“ดีใจนะที่ได้มาซ้อมฮันนีมูนกันแบบนี้”
“พูดเล่นอีกละ”
“ถ้าไม่พูดเล่นล่ะ”
“…”
“เงียบ ไม่ตอบแบบนี้ต้องให้ดื่มเยอะๆ แล้วละ เผื่อจะพูดมากขึ้น”
“พอแล้ว”
“…”
“ขอบคุณนะที่พามา ขอบคุณที่ดูแลกัน และก็ ดูแลกันแบบนี้ไปตลอดเลยนะ”
ผมขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของเค้า ถึงอากาศตอนนี้จะเย็นขนาดไหนแต่พอได้อยู่ในอ้อมกอดของเค้ามันก็ทำให้ผมยังอบอุ่นใจอยู่เสมอ เราเงียบกันไปพักใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน นี่ผมคงต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมทำงานผิดพลาด ขอบคุณเจ้ปอที่สั่งพักงานผม และขอบคุณเจ้าของอ้อมกอดนี้ที่พาผมมา เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผมก็คงไม่ได้มาใช้เวลากับเค้าที่นี่แน่นอน
แม้นี่จะเป็นเพียงการเดินทางด้วยกันครั้งแรกของเราสองคน แต่จากนี้ไปเราก็คงจะได้เดินไปด้วยกันตลอดไป
“เราเข้านอนกันเลยไหม”
“เพิ่งทุ่มนึงเองนะ”
“ก็ไม่ได้จะให้นอนจริงๆ แค่จะให้ไปที่เตียง”
เกือบแล้วครับ มันเกือบจะซึ้งอยู่แล้ว ถ้าไอ้คนหื่นนี่ไม่ลากไปที่เตียงแบบนี้ แต่ถามว่าผมยอมไหม ก็ไม่ “ไม่ปฏิเสธ” นั่นแหละครับ แล้วนี่จะลากผมขึ้นเตียงตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ ผมจะโดนอีกกี่รอบกันละครับเนี่ย
“…”
TBC
มาสั้นๆ พอให้หายคิดถึงเนอะ เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก
และตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย
ส่งท้าย จบแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
Norita_Boy
norita_boyV2
ฝากนิยายด้วยนะครับ
เรื่องที่จบแล้ว
เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ
เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย
เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง
เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ
เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ
เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย
เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท
เรื่องที่กำลังออนแอร์
เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน
เรื่องที่ 2 : Drunk in Love
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์
ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
o13
[/b]
“เจ้ไอ้นั่นเมียเก่า เบื่อแล้วผมยกมันให้เจ้ไปเคลมรับช่วงต่อได้เลย ตอนนี้ผมจะขอมีเมียใหม่ ใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า มาขอจุ๊บเหม่งทีนึง”และโดยไม่ทันตั้งตัวพี่ต้าร์ก็ดึงผมเข้าไปกอด ก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมแทบจะตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกคือไม่คิดว่าพี่ต้าร์จะเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ เรียกว่าช็อคก็ได้ครับงานนี้ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคนที่เราแอบปลื้มมานานอยู่ๆ มาจูบ ถึงมันจะแค่จูบแบบเล่นๆ มันทั้งตกใจ ดีใจ ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อ่านมาเป็นเรื่องที่สองแล้วยิ่งรู้สึกรังเกัยจนิสัยพฤติกรรมไอ้ต้าร์ที่ไร้มารยาทไม่รู้กาละเทศะ กับไอ้เด็กภู่ที่นิสัยเสียปากสุนัขเหมือนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน
เฮ้ออออ เราอินเกินไปป่ะเนี่ย