พิมพ์หน้านี้ - [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: norita_boyV2 ที่ 19-06-2017 23:07:23

หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-06-2017 23:07:23
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-06-2017 23:09:59
High School Neighbor
มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
เปิดเรื่อง 19-06-17

บทนำ



“อยู่ได้แน่เหรอแปง”เสียงหญิงสาวที่มาช่วยผมขนของพูดอย่างหวาดๆ ตามประสาของคนที่ไม่เคยลำบาก และไม่เคยอยู่บ้านหลังเล็กแบบนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ ซึ่งสำหรับผมมันก็ไม่ได้ดูแย่นะครับ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทุกอย่าง มันออกจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับการอยู่คนเดียวของผม

“ทำไมแกไม่ไปอยู่คอนโดสะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ ชั้นละไม่เข้าใจจริงๆ ตังค์ก็มี แล้วดูสิเนี่ย ต้องมาใช้กำแพงบ้านร่วมกับใครก็ไม่รู้ เกิดเป็นพวกนิสัยไม่ดี ปีนข้ามมาทำมิดีมิร้ายแกเข้า แกจะทำยังไง แกดูซิ ดูซิ!!!”ผมแทบจะต้องเอามือปิดหูกับเสียงแปดหลอดของเพื่อนผม ไม่รู้จะขึ้นเสียงทำไม แล้วความโอเวอร์ของนางอีก ผมเป็นผู้ชาย แม้จะไม่ใช่แมนทั้งแท่ง แต่ก็คงไม่ต้องกลัวใครมาทำมิดีมิร้ายอะไร อีกอย่างบ้านข้างๆ เนี่ยก็เจ้าของเดียวกันกับหลังที่ผมอยู่ พี่เจ้าของบ้านแกคงไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เลยเอามาซื้อบ้านทิ้งไว้เล่นๆ และจากที่ผมถาม หลังที่ติดกับหลังที่ผมอยู่เนี่ย แกยังไม่มีแพลนจะปล่อยเช่า เพราะเอาไว้เผื่อญาติๆ หรือคนในบ้านของแกเองอยากจะมาพัก เพราะงั้นเนี่ยปลอดภัยหายห่วงมากๆ

“คุณหนูข้าวหอมครับ อย่าเยอะ”ผมส่ายหน้าให้กับแม่เพื่อนสาวของผม เราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่เราเป็นเพื่อนกัน ทำธุรกิจร่วมกัน ผมกับเธอก็เลยรู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัยก็ยังที่เดียวกันเพียงแต่คนละคณะ เรียกว่าตัวติดกันจนจะรวมร่างก็ว่าได้ แถมพ่อแม่เรา ยังอยากให้เราสองคนตกลงปลงใจกันอีกต่างหาก แต่ผมดันไม่ได้พิศวาสผู้หญิงนี่สิครับ แล้วอีกอย่างยัยข้าวหอมเสียงแปดหลอดนี่ก็มีหวานใจแล้วด้วยครับ

“นั่นสิหอม พี่ว่าแปงเค้าอยู่ได้แหละ อีกอย่างที่นี่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”เสียงพี่โตแฟนหนุ่มของข้าวหอมที่กำลังช่วยยกลังข้าวของของผมเข้าบ้าน แสดงความคิดเห็น คู่นี้คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ พี่โตอยู่ปี 3 ตอนมาจีบยัยข้าวหอมที่เป็นเฟรชชี่ แล้วก็รักกันมาจะเข้าปีที่ 7 แล้วละครับ ไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากผมแล้ว จะมีคนที่ทนความมีดีเทลของยัยข้าวหอมนี่ได้

ส่วนผมนะเหรอครับ เกิดมาจนจะเบญจเพศอยู่แล้ว ยังไม่เคยมีแฟนเลยครับ ก็จะให้ไปมีแฟนได้ยังไงละครับ ชีวิตตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่กับข้าวหอมมาตลอด ขนาดตอนแรกพี่โตยังเกือบจะไม่กล้าจีบข้าวหอม เพราะเข้าใจว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน แต่พอข้าวหอมกับพี่โตเป็นแฟนกัน ชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากหรอกครับ เพราะเวลาไปไหนมาไหนกันก็กลายเป็นว่าพี่โตกับข้าวหอมต้องหอบผมติดไปด้วย ไม่ว่าผมจะปฏิเสธอยากให้เค้าไปกันสองคนยังไง สุดท้ายผมก็ขัดยัยหอมจอมเยอะไม่ได้อยู่ดี

อีกอย่างที่ผมไม่คิดมีแฟน เพราะไม่อยากมีปัญหากับที่บ้านด้วยแหละครับ พ่อแม่ผู้มีหน้ามีตาในสังคมของผม แทบจะรับสมอ้างทุกครั้งที่มีคนเข้าใจว่าผมกับข้าวหอมเป็นแฟนกัน ทั้งที่เรื่องการเป็นเกย์ของผมทั้งคู่ก็ทราบดี ทราบดีตั้งแต่ผมเรียน ม.ต้น เสียด้วยซ้ำ เพราะพอผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ผมก็รับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจในเพศตรงข้าม หากแต่มีความชอบในเพศเดียวกัน แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติในแบบเด็กผู้ชายทั่วไป มีเพื่อนทั้งหญิงและชายปกติ

ผมคิดว่าผมโชคดีที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น ผมเลือกที่จะปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นของผมในตอนนั้น และท่านก็ยังเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือมาจนถึงทุกวันนี้ อาจารย์ท่านนี้อธิบายในสิ่งที่ผมเป็น ให้ผมได้เข้าใจตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าเราไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เราแค่มีรสนิยมทางเพศอีกแบบนึงที่ไม่ได้ตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง

และอาจารย์ท่านนี้อีกเช่นเดียวกันที่ช่วยพูดกับพ่อแม่ผม ว่าสิ่งที่ผมเป็นมันไม่ได้ผิด ในตอนแรกที่ผมเปิดใจคุยเรื่องนี้กับพ่อและแม่ ทั้งคู่ไม่ยอมรับ และให้ผมพยายามเปลี่ยน ถึงขั้นจะหมั้นหมายผมกับข้าวหอมเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้อาจารย์ท่านนี้มาช่วยพูดกับพ่อแม่ผม จนเหมือนเกือบจะเข้าใจ แค่เกือบนะครับ เพราะจนทุกวันนี้พ่อกับแม่ถึงจะไม่ได้มาบังคับผมเรื่องการมีความรัก แต่ก็ยังถามผมเสมอว่าเคยคิดอยากแต่งงานมีลูกไหม

“ถ้าจะมีแฟน แม่ขอให้เรียนจบก่อนค่อยมีนะลูก”นี่คือสิ่งที่ส่งผลให้ผมไม่มีแฟนมาจนถึงทุกวันนี้ แม่ได้ห้าม แต่แม่อยากให้เรียนจบก่อน ซึ่งผมว่ามันก็แค่การยื้อเวลานั่นแหละครับ ยื้อเวลาให้ผมไม่ต้องคบกับผู้ชายคนไหน ให้ท่านทั้งสองลำบากใจ เพราะประโยคนี้แม่ย้ำกับผมตั้งแต่มัธยม จนจบปริญญาตรี และนี่ผมก็เพิ่งจะจบปริญญาโทมาหมาดๆ

“รอให้ทำงาน เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วกันนะ ค่อยคิดเรื่องแฟน”และนี่คือคำพูดใหม่ของแม่ผมครับ พอเรียนจบก็จะให้ผมเข้าไปช่วยบริหารธุรกิจของที่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่พ้นการควบคุมผมไม่ให้มีใครอีกตามเคย ผมรู้ครับว่าทั้งคู่ก็คงยังมีหวังว่าวันนึงผมอาจจะเปลี่ยนใจ ผมเลยตัดสินใจที่จะขอออกมาใช้ชีวิต ลำพังดูบ้าง

“ไปสิ ไปเลยก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กอย่างแกที่มีพ่อกับแม่คอยดูแลช่วยเหลือมาตลอด มันจะไปได้สักกี่วัน คอยดูแล้วกันว่าวันนึงแกก็ต้องซมซานกลับมาที่นี่เหมือนเดิม”นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับผม แต่ผมไม่โกรธหรอกนะครับ จริงๆ พ่อกับแม่ผมก็ใจดีแหละ เพียงแต่ยังยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นไม่ได้ และเพิ่งเคยเห็นผมไม่ทำตามสิ่งที่ทั้งสองวางไว้ ตั้งแต่เด็กจนโตผมทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอด จะมีอะไรที่ตามใจตัวเองบ้าง มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ทั้งสองยังยอมรับได้ แต่ครั้งนี้ทั้งคู่ก็คงทั้งโมโหและทั้งห่วงด้วยนั่นแหละครับ

“ปีนึงพอไหม กับการลองใช้ชีวิต”เสียงจากผู้เป็นพี่สาว เข้ามาตบไหล่ผม พี่ปอแก่กว่าผม 3 ปี แต่ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนโต และมีน้องชายที่ไม่ได้มีความพร้อมจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เลยทำให้พี่สาวผมต้องดีดตัวเองขึ้นไปเป็นหญิงเก่งและแกร่งในคนเดียวกัน นี่ถ้าพี่สาวผมเป็นพี่ชายซะ ชีวิตผมมันอาจจะง่ายกว่านี้

“ขอมากกว่านั้นได้ด้วยเหรอเจ้”ผมย้อนถามด้วยรอยยิ้ม เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่พี่สาวผมพูด มันไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำสั่ง และนั่นทำให้ผมเซนต์สัญญากับบริษัทที่สมัครงานไว้แค่ 1 ปี ถ้าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อก็ค่อยว่ากันอีกที

“แกนี่น้า...อยู่บ้านสบายๆ ก็ไม่ชอบบอกเลยว่าหอมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”เสียงข้าวหอมดังขึ้นอีกรอบพร้อมกับร่างของเธอที่ทรุดลงตรงโซฟา เหมือนเหนื่อยเสียเต็มประดา ทั้งที่เพิ่งช่วยหยิบถุงเข้าบ้านมาแค่ถุงเดียว

“พี่โต หอมร้อนอยากได้น้ำส้มเย็นๆ”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มคั้น ที่เตรียมไว้มาให้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมผมมีน้ำส้มคั้น เพราะคบกับยัยนี้มานานครับ จับทางได้หมดแล้วว่านางจะเยอะไปทางไหนบ้าง และผมก็พยายามจะช่วยลดภาระพี่โตบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวพี่แกจะทนยัยนี่ไม่ไหว ได้โสดกันคู่แน่ๆ

“Thanks แต่เดี๋ยวก่อนนะคะเพื่อน แกชื่อโตเหรอ ไปเอามาทำไมชั้นจะอ้อนแฟนชั้น คราวหลังไม่เผือกนะคะเพื่อนแปง”อยากจะบอกเหลือเกินว่าดูสภาพแฟนคุณเพื่อนสักนิดไหม นี่ก็แทบจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว เพราะช่วยผมขนของเนี่ย

“พี่โตพักก่อนก็ได้ครับ ที่เหลือทิ้งไว้ข้างนอกแหละเดี๋ยวผมจัดการเอง”ตอนนี้ข้าวของชิ้นใหญ่ๆ ที่ผมยกคนเดียวไม่ไหวก็เข้ามาในบ้านหมดแล้ว เหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆที่อยู่หน้าประตู ผมเริ่มคิดว่านี่ผมขนของมาเยอะเกินไปหรือเปล่า เวลา 1 ปีจะว่านานก็นาน แต่จะว่าไม่นานก็ได้อยู่เหมือนกัน ผมเริ่มคิดว่า หรือบางทีต่อให้ครบ 1 ปีตามที่เจ้ผมยอมให้ออกมาอยู่ข้างนอก ผมก็อาจจะเช่าที่นี่ทิ้งไว้ต่อไปก็ได้ ดูๆ ไปที่นี่ก็เงียบสงบดี ไว้เบื่อๆ ก็แวะมาที่นี่ก็คงจะดี

“คุณเพื่อนแปงคะ จะปล่อยข้าวของไว้นอกบ้านได้ยังไง ขนเข้ามาให้หมดแหละดีแล้ว อีกอย่างพี่โตของชั้นเนี่ย ไหวอยู่แล้ว ใช่ไหมคะพี่โตขา”ผมกำลังจะห้ามแต่ก็คงไม่เป็นผล ไม่รู้ว่าพี่โตนี่มาเป็นแฟนหรือเป็นทาสให้ยัยข้าวหอมนี่กันแน่

และแล้วของทุกอย่างก็เข้ามาแออัดในห้องรับแขกแคบๆ ของผม คือจริงๆ กะว่าบางอย่างกะว่าปล่อยไว้ตรงประตูก่อน เพราะจะได้จัดข้างในให้เป็นที่เป็นทางก่อน แล้วไอ้ที่ผมบอกนี่ก็ประตูเข้าบ้านนะครับ ไม่ใช่ประตูรั้ว ที่จะต้องกังวลเรื่องปล่อยทิ้งไว้ แถมข้าวของก็ไม่ใช่ของอะไรที่ สำคัญหรือมีราคาขนาดนั้น ทีนี้พอขนเข้ามาทุกอย่างมันก็เลย...

“แกเห็นไหม แกดูสิ ว่าที่มันคับแคบขนาดไหน แกกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมเถอะนะ”เอาอีกแล้วครับ ยัยข้าวหอมนี่ตั้งแต่รู้ว่าจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว ก็ทั้งหว่านล้อม ทั้งบังคับผมต่างๆ นานา หรือพยายามหาที่ให้ผมอยู่ ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ ตอนแรกเห็นว่าจะยกคอนโดให้ผมอยู่ฟรีด้วย จริงๆ เราสองคนก็สนิทกันจนเหมือนคนในครอบครัวแล้วแหละครับ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง

“ไม่”ผมยังคงยืนยันหนักแน่นกับคำตอบเดิมที่บอกเหมือนทุกครั้ง

“แกไม่กลัวเหงาเหรอมาอยู่คนเดียวแบบนี้”เหตุผลร้อยแปดมักจะตามมาแบบนี้เสมอครับ ถ้าเราสองคนเริ่มเปิดบทสนทนาในเรื่องนี้

“ไม่”

“ชั้นละแก ไม่กลัวชั้นเหงาเหรอ”และบางเหตุผลก็ดูข้างๆ คูๆ ที่แถจนสีข้างแทบถลอก ยัยนี่จะไปเหงาอะไรละครับ แฟนก็มี

“แกมีพี่โต”ผมตอบพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่ยอมแพ้  ปกติผมไม่ค่อยเถียงหรอกนะครับ อะไรยอมยัยนี่ได้ก็ยอม แต่พอยอมบ่อยๆ ชักจะเคยตัว จนสงสัยเข้าใจไปแล้วว่าผมต้องยอมเธอทุกครั้ง

“ชั้นหมายถึงเพื่อนอ่ะ ยูโนวว เพื่อนค่ะเพื่อน แกคิดว่านอกจากแกแล้วชั้นมีเพื่อนสนิทที่อื่นอีกไหม”นี่ยิ่งแล้วใหญ่ครับ แม้เราสองคนจะสนิทกันมากๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีกลุ่มเพื่อนอื่นๆ อีก ข้าวหอมก็มีเพื่อนผู้หญิงไว้เม้าท์มอย เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมตามประสาผู้หญิงบ้าง ผมเองก็มีเพื่อนกลุ่มอื่นอีกเช่นกันแหละครับ

“แก...จากบ้านแกมานี่ไม่ถึง 30 นาทีเลยมั้ง ทำยังกะชั้นย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เราก็ยังนัดเจอกันได้ปกติ”กับยัยนี่ต้องเอาเหตุผลอ้อมๆ มาหักล้างครับ เพราะบางทีถ้าไปค้านเธอตรงๆ เธอก็จะยิ่งไม่ยอมแพ้ครับ

“งั้นไปดูหนังกันป่ะ ของค่อยมาจัดอีกทีไม่ต้องรีบ”แต่ก็นั่นแหละครับ พอเปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จก็จะพยายามให้ การย้ายบ้านผมล่าช้าไปอีก ขนาดวันนี้กว่าจะยอมมาช่วยนี่ก็บ่ายเบี่ยงแล้วบ่ายเบี่ยงอีก

“แกพาพี่โตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม”ผมดักคอด้วยความรู้ทันครับ เพาะสภาพแฟนของข้าวหอมตอนนี้ ไม่น่าจะพร้อมไปโรงหนังสักเท่าไหร่

“นั่นแหละ เราก็เจอกันที่โรงหนังเลย ดูหนังจบก็ไปหาอะไรกิน นั่งฟังเพลงชิลๆ ถ้ากลับมาจัดของที่นี่ไม่ทัน ก็ค้างที่บ้านเหมือนเดิม ค่อยมาจัดที่นี่ใหม่ วันหลัง”โดยไม่ได้ทันให้ผมปฏิเสธ ข้าวหอมก็รีบลากแฟนหนุ่มออกไปทันที ปล่อยให้ผม มองกองข้าวของเครื่องใช้ ที่ไม่รู้จะเริ่มจัดอะไรก่อน รู้งี้ผมน่าจะค่อยๆ ขนมาทีละนิดก็ดี แต่แบบนั้นก็ต้องเข้า-ออก ที่บ้านบ่อยๆ อีก หรือผมจะปล่อยไว้แบบนี้ แล้วไปดูหนังกับยัยข้าวหอมซะดีไหมเนี่ย ยังไม่ทันตัดสินใจว่าผมจะเอายังไงดี โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

“ครับพี่ปุ๊ก ครับใช่ครับเนี่ยกำลังจัดของอยู่เลย”เป็นพี่เจ้าของบ้านที่โทรมาสอบถามว่าผมย้ายเข้ามาหรือยัง แต่นี่ผมว่าโทรมาเช็คหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะพี่ปุ๊ก เจ้าของบ้านเนี่ยแกเป็นลูกค้าที่ติดต่องานกับพี่สาวผมอยู่ คือเรียกง่ายๆ ว่าที่บ้านผมก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเต็มที่นั่นแหละครับ ขนาดปีนี้ผมก็อายุ 25 แล้วแท้ๆ ทำยังกับผมไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็โอเคครับ ถือว่าพบกันครึ่งทาง ผมยอมให้เค้าตามดูห่างๆ แลกกับการได้ออกมาลองใช้ชีวิตของตัวเอง

“คืองี้นะน้องแปง  พอดีว่าพี่สาวพี่เนี่ยอยากจะจับลูกชายแยกกับเพื่อนๆ เพราะติดเพื่อนจนเสียการเรียน เลยจะให้ลูกชายไปอยู่บ้านข้างๆ น้องแปง  เลยว่าจะรบกวนน้องแปงนิดนึงว่าถ้าไอ้หลานชายพี่มันไม่ไปเรียน พาเพื่อนมามั่วสุม หรือพาผู้หญิงมาบ้าน น้องแปง สายตรงหรือไลน์มาบอกพี่หน่อย พี่จะได้จัดการ คงไม่เป็นการรบกวนน้องแปงมากไปใช่ไหมคะ พี่ละเกรงใจ๊ เกรงใจ”แหม พูดมาขนาดนี้ยังจะกล้าเกรงใจอีกเหรอครับ ถ้าขนาดนี้แล้วให้ผมถ่ายทอดสดชีวิตหลายชายพี่แกให้ดูทุกวันเลยไหมละครับ

ผมตบปากรับคำอย่างเสียไม่ได้ครับ แต่ฟังกิตติศัพท์จากพี่ปุ๊กแล้ว หลานชายแกนี่คงแสบไม่เบา แต่ก่อนเห็นว่าพ่อแม่เช่าคอนโดให้อยู่ แต่พอปล่อยอยู่คนเดียวก็พาเพื่อนไปปาร์ตี้บ่อย จนคนในคอนโดนั้นร้องเรียน อีกอย่างเห็นว่านี่จะขึ้น ม.6 เป็นปีสุดท้ายชีวิตมัธยม ทางบ้านก็อยากให้ตั้งใจเรียนจะได้เข้ามหาวิทยาลัยแถวหน้าได้ ฟังๆ แล้ว นี่ชีวิตผมจากนี้จะสงบสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้




หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-06-2017 23:13:28
บทที่ 1
ลุงข้างบ้าน




เข้าวันที่ 2 แล้วสำหรับการออกมาใช้ชีวิตคนเดียวของผม วันนี้ผมตื่นมาแต่เช้าเพราะยังจัดข้าวของในบ้านไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ แถมพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปเริ่มงานวันแรกแล้วด้วย จะว่าไปก็ตื่นเต้นเหมือนกันแหละครับ นี่เป็นทำงานวันแรกและครั้งแรกของผม ผมจะได้เจอชีวิตจริงๆ เสียที

ผมหยิบแผ่นซีดีเพลงที่อยู่วางซ้อนกันอยู่ในกล่อง ขึ้นมาจัดเรียงไว้บนชั้นเรียงลำดับตามแบบที่ผมคุ้นเคย คือวางเรียงชื่อศิลปินตามตัวอักษร ข้าวหอมมักบอกว่าผมทำตัวถดถอย โลกเราเข้าสู่ยุคดิจิตอลหมดแล้ว แต่ผมยังจะมาฟังซีดีอยู่อีก เดี๋ยวนี้ใครๆ เค้าฟังเพลงจากแอพพลิเคชั่น สตรีมเพลงกันหมดแล้ว แบบนั้นผมก็ฟังครับ แต่เวลาอยู่บ้านผมชอบเสียงที่เปิดจากแผ่นซีดีมากกว่า ผมว่ามันให้ความเพราะที่ต่างกัน อีกอย่างผมก็คงติดมาตั้งแต่ก่อนยุคดิจิตอลแล้ว และแผ่นซีดีเพลงพวกนี้ก็เหมือนของสะสมของผมด้วยแหละครับ

อันที่จริงผมอิจฉาคนเกิดในยุคเทปคลาสเซตด้วยซ้ำครับ เพลงในยุคนั้นการจะฟังก็คงต้องฟังไปทีละเพลง กดข้ามไม่ได้ มันน่าจะทำให้เราได้รู้จัก และได้ฟังทุกเพลงวนไปเท่าๆ กันในทุกเพลง ผมว่าเพลงทุกเพลงมันมีความหมายและความเพราะในตัวของมันทุกเพลง เพียงแต่เราจะเข้าถึงมันหรือเปล่าเท่านั้นแหละครับ ผมหยิบแผ่นซีดี แผ่นนึงใส่เครื่องเล่น ก่อนจะหันไปจัดของต่อ

“ลุง เฮ้หวัดดีลุง”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจ อยู่ๆ ก็มีคนมายืนถอดเสื้ออยู่ในบ้านผม ชายหนุ่มที่น่าจะอายุไม่ถึง 20 ใส่กางเกงบอลขาสั้นสีขาว เสื้อกล้ามถูกพาดไว้ที่บ่า ตามตัวมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่เต็มไปหมด แต่เดี๋ยวก่อนผมจะมามัวพิจารณารายละเอียดพวกนี้ทำไมเนี่ย

“นะ...นายเป็นใครเนี่ย แล้ว...แล้วเข้ามาได้ยังไง”คำพูดของข้าวหอมผุดขึ้นมาในหัวของผมแทบจะทันที นี่ผมจะโดนปล้นไหม เค้าจะทำอันตรายอะไรผมหรือเปล่า ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหยิบไม้กวาดที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาง้างไว้รอเป็นการป้องกันตัว แต่นอกจากไอ้คนตรงหน้าจะไม่กลัวผมแล้ว ยังหัวเราะเยาะผมอีกต่างหาก

“ทำอะไรของลุงเนี่ย ไหนน้าปุ๊กบอกว่าจะมีคนให้พึ่งพาได้ แล้วนี่อะไรของลุงดูทำท่าเข้า ติงต๊องป่ะเนี่ย แก่ซะเปล่า”อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กโย่งนี่คือหลานพี่ปุ๊ก ชัดเลยครับพอไอ้เด็กโย่งนี่พูดไม่ทันขาดคำพี่ปุ๊กเจ้าของบ้านก็โทรมาเลยครับ

“น้องแปง เจอหลานชายพี่ไหม เนี่ยเห็นว่าจะเข้าไปวันนี้ ที่บ้านก็มีข้าวของครบแหละ แต่บ้านมันก็ไม่มีใครเข้าไปอยู่นานแล้ว ยังไงถ้าน้องภู่มันขาดเหลืออะไร ก็ช่วยดูน้องมันให้พี่หน่อยแล้วกันนะ แลกกับการที่พี่จะไม่เอาเรื่องความเคลื่อนไหวของน้องแปง ไปบอกกับคุณปอ”นี่ไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้พูดอะไรสักคำจริงๆ ครับ แถมพูดจบแล้วชิงวางสายไป ตกลงนี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่มาอยู่นี่ แล้วไอ้เด็กโย่งนี่ก็มายืนมองผมทำไมเนี่ย

“สรุปนายคือหลานพี่ปุ๊ก”ผมตั้งคำถามกับเด็กโย่ง ที่ตอนนี้ถือวิสาสะ นั่งลงบนโซฟาบ้านผมเป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากเชิญสักคำ ช่างเป็นเด็กที่มารยาทดีเหลือเกิน

“ใช่แล้วครับลุง”นี่อีกอย่าง ได้ยินตั้งแต่แรกแล้ว คำก็ลุง สองคำก็ลุง นี่ผมไปเป็นพี่ชายพ่อเด็กนี่หรือไงห๊ะ

“เดี๋ยว เรียกใครลุง”ผมหันไปมองไอ้เด็กโย่งอย่างเอาเรื่อง

“ก็คุยกันอยู่สองคน ลุงจะให้ผมเรียกใครละครับ”ดูมันครับ ดูมัน ผมละอยากกระโดดถีบขาคู่ให้ไอ้เด็กโย่งนี้กระเด็นออกไปติดรั้วบ้านเสียจริงครับ ผมก็ยังไม่ได้แก่ขนาดเป็นลุงเสียหน่อย ถ้าเป็นเด็ก 5-6 ขวบมาเรียกลุงผมจะไม่ว่าเลย แต่ไอ้เด็กโย่งนี่มันใช่ไหมที่จะมาเรียกผมแบบนี้ ผมเองก็ออกจะยังหน้าละอ่อนอยู่เลย

“ไอ้...”อยากจะด่านะครับ แต่คิดอีกทีเราก็เป็นผู้ใหญ่กว่า จะให้ไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กก็ไม่น่าใช่เรื่องสักเท่าไหร่

“พี่ เรียกว่าพี่ก็พอ”พยายามจะตั้งสติ สงบจิตสงบใจครับ ยิ่งหงุดหงิดไปก็ไม่น่าจะได้อะไร ยิ่งกับคนกวนบาทาแบบนี้ แถวบ้านผมเรียก เล่นกับหมา หมาเลียปากครับ ปล่อยให้เจ้าตัวเค้าเห่าไปละกันน่าจะดีกว่า

“เรียกพี่ได้ไง ลุงน่าจะแก่กว่าผมตั้งหลายปี”ยังครับ ยังไม่จบ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแทบจะท่องพุทธโทอยู่แล้วครับเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าเช่าบ้านน้าเค้าอยู่ คงได้เอาไม้กวาดแพ่นกะบาลไอ้เด็กโย่งนี่แล้วครับ กวนเหลือเกิน

“อายุเท่าไหร่ละเรา”ผมยังพยายามจะพูดดีๆ ครับ เราเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ไม่ควรมาทะเลาะกับเด็ก แต่คิดอีกทีไอ้เด็กนรกแบบนี้ มันก็น่าจะไม่ควรโตไปกว่านี้หรือเปล่า อีกนิดความอดทนของผมมันก็ใกล้จะหมดแล้วครับ

“16 ย่าง 17 ครับ ส่วนลุงถึงจะดูหน้าเด็กแต่ริ้วรอย โห หน้าผากก็ย่น ตีนกาก็ยับ ลุงน่าจะสัก 35 แล้วไหม”ไอ้เด็กนรก ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กเปรต ผมรีบเอามือจับหน้าตัวเอง ไม่โกรธ ไม่โกรธ ถ้าโกรธหน้าจะยิ่งยับ แม้จะมั่นใจว่าหน้าตาผมยังอ่อนเยาว์ แต่การโกรธอาจทำให้แก่กว่าวัยได้

“25 เพราะงั้นเรียกพี่ จบนะ”ผมหลับตาสูดลมหายใจตั้งสติอีกเป็นครั้งที่ 10 แล้วมั้งครับเนี่ย นี่ถ้าผมเป็นคนความอดทนต่ำ คงได้ต่อยกับไอ้เด็กโย่งนี่ไปแล้ว ดีที่ผมถือคติว่าเรามันระดับปัญญาชน แต่เอาเข้าจริงถ้าต่อยกันจริงผมจะสู้ไอ้เด็กโย่งนี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ผมว่าผมสูงแล้วนะครับ ตั้ง 178 แต่ไอ้เด็กโย่งนี่สูงกว่าผมอีกเยอะเลย

“โห ก็ห่างกันตั้ง 9 ปีนะครับลุง”จบคำพูดไอ้เด็กโย่งนี่ ผมแทบอยากจะพุ่งไปบีบคอมันให้รู้แล้วรู้รอดไปครับ ตอนนี้สายตาผมคงปิดบังความไม่พอใจไว้ไม่มิดแล้วละครับ นี่ผมมองตาขวางแทบจะกินเลือดกินเนื้อไอ้เด็กนี่แล้วครับ จะว่าไปเพิ่งเจอกันมันกะควรเคารพกันบ้าง ผมก็แก่กว่าตั้ง 9 ปี แต่ไอ้คำว่าเคารพนี่กะคงไม่ต้องมาเรียกผมลุง อย่างที่เจ้าเด็กนี่กำลังทำหรอกนะครับ

“ครับคุณ...พี่”เหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วครับ ว่าผมไม่พอใจ ซึ่งจริงๆ คงรู้นานแล้วแหละครับว่าผมไม่พอใจ แต่คงตั้งใจจะกวนผมนี่แหละครับ ผมกะลังจะอ้าปากด่าแล้วครับ ทว่าโดนแทรกขึ้นมาก่อน

“ก่อนจะพูดอะไรอีก พอจะมีน้ำให้ผมดื่มหน่อยไหมครับ นี่จัดบ้านร้อนแทบตาย แต่ดันลืมซื้อน้ำเข้ามา”

“ในตู้เย็นอ่ะ ไปหยิบเองละกัน ชื่อพู่ใช่ไหมเรา”ผมชี้ไปทางห้องหัว ก่อนจะถามชื่อ ที่เพิ่งได้ยินพี่ปุ๊กพูดถึง พี่ปุ๊กก็เรียกซะน่ารักเชียว น้องพู่งี้ แต่ดูปากคอหลานสักนิดไหมเนี่ย

“อ่าฮ่ะ”ขนาดแค่ท่าขานรับชื่อตัวเองยังสัมผัสได้ถึงความกวนครับ หลังเดินไปเปิดตู้เย็นบ้านผมเสร็จ ก็ถือขวดน้ำมากระดกดื่ม พรวดๆ เลยครับ กะว่าจะหยิบแก้วให้ดื่มอย่างผู้มีอารยะซะหน่อย แต่คงไม่ทันละครับ

“พี่ชื่อปาแปง เรียกแปงเฉยๆ ก็ได้ แต่ห้ามเรียกลุง พี่ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้น มีอะไรให้ช่วยก็บอก เราคงต้องเจอกันไปอีกนานจริงไหม”ผมแนะนำตัวเอง เพราะเจ้าเด็กนี่คงไม่รู้จักมารยาทพอจะทำความรู้จักผมเท่าไหร่ แต่ผมว่าพยายามเป็นมิตรกันไว้จะดีกว่าครับ ถึงไอ้เด็กโย่งนี่จะดูกวนๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร

“ครับลุง”ดูครับดู ดูจะสนุกเหลือเกินที่ได้เรียกผมว่าลุงเนี่ย

“เดี๋ยวเหอะๆ แล้วนี่จะมาเดินถอดเสื้อเดินไปเดินมาในบ้านคนอื่นแบบนี้ทำไมเนี่ย”นี่ก็อีกเรื่องครับ แม้ผมจะมีเพื่อนผู้ชาย เจอเพื่อนถอดเสื้อเล่นกีฬาด้วยกันบ้าง แต่กับคนเพิ่งรู้จักแบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันแหละครับ มันออกจะเกร็งๆ อยู่เหมือนกัน

“ก็มันร้อน ถอดเสื้อแค่นี้จะเป็นไรไป ผู้ชายเหมือนกัน หรือว่า...นั่นแน่”สายตาจับผิดหันมามองผม พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นี่หรือว่าเจ้าเด็กนี่รู้แล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ต่อให้ผมจะคิดมองผู้ชายสักคนจริงๆ คนนั้นคงไม่ใช่ไอ้เด็กโย่งปากคอเราะร้ายที่อยู่ตรงหน้าผมนี่หรอกครับ

“หรือว่าอะไร”

“พี่เป็นเกย์เหรอ แนะๆ หน้าแดงด้วย”ผมรีบเอามือจับหน้าตัวเอง นี่ผมหน้าแดงจริงเหรอ แล้วดูคำพูดคำจาไอ้เด็กโย่งนี่สิครับ คำก็ลุงสองคำก็เกย์ นี่เห็นผมเป็นเกย์แก่หรือไงเนี่ย

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาอะไรให้เกียรติกันบ้าง”แม้จะไม่ปฏิเสธว่าตามคำจำกัดความผมก็คงเป็นเกย์ ตามความรู้สึก หรือความชอบนะครับ แต่ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องมาบอกรสนิยมทางเพศให้คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงอย่างเจ้าเด็กโย่งนี่จริงไหมครับ

“อยากจะให้ผมเคารพกะต้องยอมเป็นลุงนะ เอาเปล่า”นี่ชักจะเริ่มเสียความมั่นใจแล้วนะครับเนี่ย ปกติมีแต่คนชมว่าผมหน้าเด็ก หน้าอ่อนกว่าวัย แต่นี่เจอเด็กหาว่าหน้าแก่เป็นลุง เถียงไปกะไม่เต็มปาก ก็ไอ้ผมดันแก่กว่าเด็กนี่ตั้ง 9 ปีนี่สิครับ

“ได้น้ำดื่มแล้วจะไปไหนก็ไปไป๊”เมื่อเถียงไม่ได้ก็ถือโอกาสไล่เลยแล้วกันครับ จะได้ไม่ต้องอึดอัดด้วยที่มีคนมาเดินถอดเสื้อไปมาอยู่ในบ้านแบบนี้

“เดี๋ยวดิ ตกลงพี่เป็นเกย์ป่ะ หรือไบ พี่มีแฟนผู้หญิงหรือผู้ชาย”แล้วนี่จะมาอยากรู้อะไรในรสนิยมทางเพศของผมละเนี่ย ผมชี้นิ้วไปที่ประตูบ้าน พร้อมผายมือเป็นการบอกว่านี่ผมขอเสียมารยาทไล่ให้เค้าออกไปได้แล้ว กับคนกวนประสาทแบบนี้ผมคงไม่ต้องรักษามารยาทอะไรอีกแล้วละครับ แต่อย่างว่าคนมันจะกวนประสาทมันก็คงต้องกวนให้ถึงที่สุด เพราะดูยังนั่งยิ้มไม่สะทกสะท้านกับการไล่ตรงๆ ของผมสักนิดเลย

“ไม่ตอบงั้นผมพิสูจน์เอง”พอจบประโยคไอ้เจ้าเด็กโย่งก็ลุกพรวดเข้ามาหาผม จนผมต้องถอยหลังโดยอัตโนมัติ ตอนนี้หลังผมชนผนังไปเรียบร้อย ส่วนคนที่ต้อนผมเข้าชิดผนังก็กางแขนคร่อมผมไว้ ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

“ทะ...ทำอะไรเนี่ย”ผมถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาก็พยายามมองอีกฝ่ายอย่างฝืนๆ ว่าไม่ได้ตกใจอะไรกับการกระทำของเค้า

“พิสูจน์ไงพี่”เค้าก้มลงมากระซิบ เบาเบาที่ข้างหูผม

“พิสูจน์อะไร เป็นเกย์หรือไงเรา แล้วนี่จะมาสนใจเรื่องพี่ทำไมนักหนา กลับบ้านตัวเองไปได้แล้ว”ผมผลักคนตรงหน้าให้ถอยออก พร้อมกับรีบเดินไปเปิดประตูบ้าน ยืนรอให้อีกคนเดินออกมาเสียที แล้วดูมันครับ ยังจะมายิ้มกวนประสาทใส่ผมอีก กว่าจะยอดเดินมานี่ก็ลีลาเสียเหลือเกิน ทั้งที่ประตูบ้านก็ไม่ได้ไกลเลย

“พี่นี่ตลกดีเนอะ คิดอะไรก็เหมือนจะออกมาทางสีหน้าทั้งหมดเลย”นี่ขนาดเปิดประตูรอขนาดนี้ก็ยังจะลีลาไม่ยอมออกนะครับเนี่ย

“เชิญ”ผมย้ำอีกครั้งให้รู้ตัวว่าผมไม่ต้อนรับแล้ว

“ขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ ไว้จะมารบกวนบ่อยๆ”ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง

“ไปได้หรือยัง...จะจัดบ้านต่อ เสียเวลามาเยอะแล้วเนี่ย”นี่ผมไล่ไม่ตรงพอหรือไงเนี่ย ทำไมเด็กนี่ยังไม่ยอมไปสักที

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...คุณลุงข้างบ้าน ฮ่าๆๆ”

“ไอ้...”ผมไม่ทันได้ด่าสักคำเพราะคิดคำด่าไม่ทัน ไอ้คนเรียกผมว่าลุงก็หันมายักคิ้วใส่ผมแล้วเปิดประตู้รั้วออกไป ไม่รอให้สมองผมคิดคำด่าสักประโยคบ้างเลย



TBC



เปิดเรื่องใหม่คร๊าบบบบ

ยังไงฝากติดตามติชมกันด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 1 ลุงข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-06-2017 23:40:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 1 ลุงข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-06-2017 23:54:21
เด็กพู่ เพิ่งพบแปง
แต่กวนตีน แหย่แปงซะแล้ว
เพื่อให้แปงโกรธล่ะสิ
ถ้าไม่คิดไรกับแปงก็ต้องเฉยๆ ไม่กวนใช่มั้ย
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 1 ลุงข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-06-2017 00:20:27
เริ่มมาได้น่ารักดีครับ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 1 ลุงข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 20-06-2017 01:00:48
เด็กคือน่าจะแสบไม่เบาแหละ ปาแปงระวังหวั่นไหวนะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 1 ลุงข้างบ้าน 19-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 20-06-2017 09:57:53
บทที่ 2
เริ่มงาน




วันนี้ผมตื่นแต่เช้าทำธุระส่วนตัวเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานวันแรก จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้นนะครับเพราะนี่เป็นชีวิตทำงานที่แท้จริงของผมวันแรกเลยก็ว่าได้ มันคงต่างจากการฝึกงานสมัยเรียนแน่ๆ ก็ได้แต่หวังแหละครับว่าจะเจอเพื่อนร่วมงานดีๆ ขอให้งานมันออกมาราบรื่นทีเถอะ แม้ผมจะอยู่ที่นี่แค่ปีเดียวแต่ขอให้มันเป็น 1 ปีที่มีแต่ความทรงจำดีๆแล้วกัน

“excited ไหมคะยู”เสียงคุณเพื่อนสนิทของผมตะโกนออกมาจากโทรศัพท์ จนผมรีบลดเสียงแทบไม่ทัน นี่ก็อีกคนดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าผมอีกมั้งเนี่ย โทรมาแต่เช้าเลย ทั้งที่ปกติยอมตื่นเช้าที่ไหนกัน

“สบายๆ”ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่คิดว่าวันแรกคงยังไม่มีอะไรมาก ผมก็แค่ยิ้มเอาไว้ก่อน จากตอนสัมภาษณ์คนที่มาสัมภาษณ์ผมก็ดูใจดีออก

“งั้นก็สู้ๆ ขอให้ไปทำงานวันแรกมีแต่ความราบรื่น แต่ถ้าไม่รื่นก็ลาออกกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมนะจ๊ะ”นี่แน่ใจนะครับว่าโทรมาอวยพรการทำงานวันแรกของผม

“เอาดีๆ ดิ”ผมบอกกลับไปเสียงหน่ายๆ

“งั้นขอให้เจอเนื้อคู่ที่ทำงานจะได้ลงจากคานเสียที ฮ่าๆ”ตกลงเพื่อนผมจะไม่มีสาระอะไรเลยใช่ไหมครับ

“ไม่คุยด้วยแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย”ผมบอกพร้อมรีบชิงกดวางสาย กลัวจะจะไปทำงานวันแรกสายเข้าจริงๆ ผมรีบหยิบกระเป๋าคว้ากุญแจรถ ถึงจะเข้างาน 9 โมงเช้า แต่วันแรกแบบนี้ไปเร็วหน่อยแล้วกัน กลัวกะเวลาไม่ถูกแล้วสายครับ ผมขับรถออกจากบ้านได้เพียงนิดเดียวก็เห็นร่างสูงของไอ้เด็กโย่งที่อยู่ข้างบ้านเดินอยู่ในชุดนักเรียน เสื้อลอยชายไม่มีการเอาเข้าข้างใน นี่คงเดินออกไปขึ้นรถปากซอยสินะ

“ติดรถออกไปด้วยกันไหม”ยังไงเสียผมก็ต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นปี สร้างมิตรไว้น่าจะดีกว่า ไอ้เด็กโย่งหยุดเดินหันมองเข้าในรถผ่านช่องที่ผมลดกระจกลง ที่แรกก็ทำหน้านิ่งแต่พอเห็นว่าคือผมก็ยิ้มกวนๆ เดินเข้ามา ก้มวางแขนที่รถผมโน้มหน้าเข้ามา

“นี่อ่อยผมป่ะเนี่ย”ผมถอนคำพูดที่บอกว่าอยากสร้างมิตรเมื่อสักครู่ทันไหมครับ คำพูดคำจาที่ออกมาพร้อมท่าทางของไอ้เด็กนี่มันกวนประสาทเสียเหลือเกิน

“ไม่ไปก็ถอย”แต่พอผมพูดยังไม่ทันจบประโยคดีเด็กโย่งนี่ก็เปิดประตูเข้ามานั่งในรถผมทันที พร้อมรอยยิ้มที่ดูน่าหมั่นไส้เหลือเกิน

“ลงปากซอยนะคร๊าบ”เจ้าตัวบอกหน้าระรื่น ก่อนจะมองไปมองมารอบๆ รถของผม นี่ผมไว้ใจคนที่เพิ่งรู้จักมากเกินไปหรือเปล่านะ

“เออพี่นี่เบอร์ผมนะ”อยู่ๆ เค้าก็พูดขึ้นพร้อมชูโทรศัทพ์ให้ผมดู และไม่นานเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น

“ไม่ต้องงง ผมรู้ว่าพี่อยากได้เบอร์ผมไง แต่พี่คงไม่รู้จะขอยังไง ผมเลยให้พี่ไปเลยนี่ไง”รอยยิ้มที่ดูขี้เล่นยังฉายชัดบนใบหน้าของเด็กนี่ ถ้าลงไล่ลงเค้าลงตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมจะดูใจร้ายไปไหมครับ

“ไปเอาเบอร์พี่มาจากไหนละเราอ่ะ ทำเป็นมาว่าคนอื่นอ่อยตัวเอง นี่ถึงขนาดมีเบอร์พี่เนี่ยคิดอะไรกับพี่ป่ะเนี่ย”ในเมื่อมากวนผมก่อน ก็ขอกวนกลับหน่อยแล้วกัน

“ถ้าผมคิดละครับ”ผมเบรคแทบจะหัวทิ่ม ไม่ใช่เพราะคำพูดของเด็กนี่นะครับ เพราะไอ้คำพูดเนี่ยผมรู้ว่าเค้าพูดเล่น แต่ไอ้มือของเค้าที่เอื้อมมาลูบต้นขาผมจนแทบจะเลยลงไปที่หว่างขาผมแล้วนี่แหละครับ

“ฮ่าๆ พี่นี่ตลกชะมัดแกล้งแค่นี้ก็ไปไม่เป็นแล้ว”ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมหันไปมองตาขวางก็ผมเคยโดนใครทำอะไรหรือไปทำอะไรแบบนี้ที่ไหนกันละ

“ถ้าจะมากวนประสาทกันก็ลงไปเลย”ผมบอกไปอย่างฉุนๆ ไม่ได้โกรธหรอกนะครับ แค่อาย อายที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนหัดในเรื่องนี้จนโดนเด็กมันมาแหย่ได้

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเองพี่ เบอร์พี่อ่ะน้าปุ๊กให้มา บอกว่าเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แล้วนี่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย เขินผมเหรอ”ผมหันมองถนนและออกรถโดยไม่พูดอะไรอีก ให้ตายสินี่ผมเขินไอ้เด็กนี่จริงๆ หรือไงแถมตอนโดนลูบที่ต้นขาผมดันขนลุกขึ้นมาเสียด้วยสิ

“ปากซอยแล้ว รีบลงไปสิเดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก”ผมรีบบอกทันทีที่ถึงหน้าปากซอย จะได้หลุดจากสถานการณ์บ้าๆ นี่เสียที

“ขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วย แล้วก็ตั้งใจทำงานนะครับ”ยังไม่วายมาทำเป็นส่งจูบให้ผมอีก ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมรีบออกรถด้วยความหงุดหงิด ผมต้องพยายามปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ไม่อยากให้วันแรกของการทำงานจิตใจไม่ปลอดโปร่ง ผมสูดหายใจลึกๆ หลังจากจอดรถถึงที่ทำงานเรียบร้อย ยกข้อมือดูนาฬิกา นี่ผมมาก่อนเวลาเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว แสดงว่าแต่ละวันผมคงออกช้ากว่านี้ได้อีกนิดหน่อย

แต่ผมว่าผมคงมาเช้าเกินไปสำหรับออฟฟิศนี่ ตอนนี้ผมนั่งรออยู่ตั้งแต่มาถึง จนนี่เหลือเวลาอีกแค่สัก 10 นาทีเองมั้งยังไม่เห็นมีใครมาเลยครับ ออฟฟิศยังดูเงียบกริบไร้ผู้คน จนเวลาขยับมาอีกนิดก็มีคนเดินเข้ามา ผมพยักหน้ายิ้มทักทายก่อนหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาจะตรงมาหาผม

“น้องปณต ที่จะมาเริ่มงานวันนี้ ใช่ไหมคะ”ผมรีบยกมือไหว้คนที่เข้ามาทัก

“โทษทีที่รอนานพอดีเค้าฝากให้พี่เป็นคนดูแลน้องเรื่องการเริ่มงานวันนี้แต่พี่ดันลืม มาๆ ตามพี่มานี่”หญิงสาวที่เดินนำผมไปดูคล่องแคล่ว มั่นใจและจากการแต่งตัวคงเป็นคนที่เปรี้ยวไม่น้อยเลย แม้จะดูเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าพี่เค้าแก่นะครับ แต่ดูเป็นคนที่น่าจะมีอายุแล้วยังหน้าเด็กอยู่

“พี่ชื่อโอ๋นะ หรือจะเรียกพี่โอ๋สุดสวยก็ได้ แต่ขออย่างเดียว ห้ามเรียกเจ้ ถึงพี่จะวัยใกล้ลข 4 แต่หัวใจพี่ยัง 25 ถ้าเรียกเจ้พี่จะเคืองมากและอาจขอใช้เรือนร่างในการขอขมาพี่”ผมแทบจะเอ๋อแดกกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่ทำไมพี่เค้าดูจะให้ความสนิทสนมกับผมเร็วขนาดพูดทีเล่นทีจริงขนาดนี้

“พี่พูดเล่น อย่าเพิ่งทำหน้ากลัวพี่แบบนั้นสิ ที่นี่เราไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร ก็อยู่กันแบบครอบครัว แบบพี่น้อง แล้วนี่มีชื่อเล่นไหมละเรานะ”ผมก็ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้แกหรอกนะครับ แต่แค่ไม่คุ้นกับความสนิทสนมที่เจ้เค้าให้กับผมเร็วเกินไปทั้งที่เพิ่งเจอกัน นี่ผมแอบเรียกพี่เค้าว่าเจ้แค่ไหนใจ เจ้เค้าคงไม่ว่าอะไรผมใช่ไหม

“ชื่อปาแปงครับ”ผมตอบออกไปอย่างเกร็งๆ

“เจ้ น้องใหม่มายังอ่ะ”เสียงตะโกนเข้ามาในห้องทำเอาผมเกือบหลุดขำ ก็ไปเจ้แกบอกว่าไม่ให้ผมเรียกว่าเจ้ แล้วนี่คนที่ตะโกนเข้ามานี่คืออะไร

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวให้น้องเค้ารับฟังกฎระเบียบอะไรอีกนิดหน่อยก่อน เดี๋ยวเจ้พาไปส่งถึงโต๊ะเอง”ผมหันไปมองคนที่คุยกับเจ้โอ๋ แต่เหมือนจะหันหลังเดินออกไปแล้ว แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ กับแผ่นหลังนั่นกันนะ ผมรับฟังอะไรกับเจ้โอ๋อีกสักพัก เจ้เค้าก็พาผมไปแนะนำกับแต่ละแผนก แน่นอนว่าสมองผมยังจำทุกคนได้ไม่หมด

“ส่วนนี่ก็แผนกที่น้องแปงต้องอยู่ ก็อยู่แผนกเดียวกับพี่นี่แหละ ส่วนคนที่จะช่วยเทรนน้องแปงก็โน่นเลย ที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันนั่นแหละ”ผมมองไปตามที่เจ้โอ๋ชี้ ภาพชายหนุ่มสองคนที่คนนึงผลักอีกคนออก และอีกคนก็พยายามจะกอดอีกคนเอาไว้ ทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหว่ะ ที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะไม่ใช่เพราะภาพที่เห็นนะครับ แต่มันเพราะผมรู้จักคนทั้งคู่นั่นแหละครับ แม้ทั้งคู่อาจจะไม่รู้จักผมก็ตามที

“น้องแปงอาจต้องปวดหัวกับการทำงานร่วมกับผัวเมียคู่นี้นิดนึงนะ”คำพูดของเจ้โอ๋ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมสักเท่าไหร่ สองคนนี้คือใครนะเหรอครับ ทั้งสองเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของผมตอนเรียนปริญญาตรี และหนึ่งในนั้นคือคนที่ผมเคยแอบมอง

“เจ้ก็ไปอำน้อง เดี๋ยวน้องเค้าก็เข้าใจผิดกันพอดี”เข้าใจผิดงั้นเหรอ แม้ตอนเรียนจะมีคนพูดแบบนี้เช่นกัน แต่ผมก็เห็นทั้งคู่สนิทสนมกันจนรู้สึกว่ามากกว่าเพื่อนอยู่ดี แถมนี่ทั้งคู่ยังสนิทกันมาจนถึงตอนนี้อีก

“พี่ฟ่างนะครับเห็นว่าเป็นรุ่นน้องพวกพี่ด้วยนิ คุ้นๆ หน้าอยู่เหมือนกันนะชื่อไรนะ”ผมแนะนำตัวทำความรู้จักกับทั้งคู่ ที่จริงก็แนะนำให้เค้ารู้จักผมนี่แหละครับ  เพราะผมรู้จักพวกเค้าอยู่แล้ว

พี่ฟ่างหรือพี่ข้าวฟ่างกับพี่ต้าร์รุ่นพี่ของผมเอง ถึงผมจะบอกว่าไม่เคยมีแฟนเลย แต่ผมก็เคยมีคนที่แอบชอบนะครับ ก็พี่ต้าร์นี่แหละครับคือคนที่ผมเคยแอบชอบ แต่ก็แค่แอบชอบและจบแค่นั้นนะครับ เพราะผมเข้าใจมาตลอดว่าพี่ทั้งสองคนนี้เป็นแฟนกัน แม้ทั้งคู่ไม่เคยยอมรับออกมา แต่ผมก็ไม่เคยเห็นทั้งคู่คบคนอื่นเลยในตอนที่ยังเรียนอยู่ แม้พี่ต้าร์จะจีบผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่แกคบใครจริงจังเลย

“ยังไงวันนี้ก็ดูงานเก่าๆ ไปก่อนละกันนะจะได้พอเห็นภาพว่างานส่วนใหญ่ของเราเป็นแนวไหน แล้วก็เรื่องพี่กับไอ้นี่ไม่มีอะไรอย่างที่เจ้โอ๋แกอำ ย้ำอีกทีว่าไม่ใช่แบบนั้น เห็นสายตาแล้วพี่ว่าน้องเชื่อเจ้โอ๋ไปแล้วใช่ไหมเนี่ย”มันไม่ใช่แค่เชื่อเจ้โอ๋นี่สิครับ แต่มันเพราะผมเชื่อแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว และมันก็น่าจะจริงเสียด้วยนะสิ

“ฟ่างงอนเค้าอีกแล้วเหรอ”พี่ต้าร์เดินเข้ามาหาพี่ฟ่างอย่างอ้อนๆ

“ไอ้นี่ก็เล่นไม่เลิก เดี๋ยวน้องก็เข้าใจผิดพอกันพอดี แล้วนี่อย่ามาทำตัวติงต๊อง ทำตัวให้น้องมันเคารพหน่อย”พี่ฟ่างดุพี่ต้าร์ซึ่งยิ่งผมดูก็ยิ่งชวนคิดว่าคู่นี้เป็นคนรักกันจริงๆ

วันแรกของการทำงานผมก็ไม่มีอะไรมากครับ คงเพราะเพิ่งเริ่มเลยยังไม่มีอะไรให้ ทำมากนัก แต่จากการดูงานเก่าๆ ก็ไม่น่ายากเท่าไหร่แหละครับ พอถึงเวลาเลิกงาน ผมก็เก็บของกลับบ้าน

“แปงกลับไงเนี่ย”พี่ต้าร์หันมาถามผม

“ผมเอารถมาครับ”ตอบเสร็จพี่ต้าร์ก็ชวนผมไปลานจอดรถด้วยกัน ส่วนพี่ฟ่างก็แยกไปอีกทาง เพราะพี่ฟ่างกลับด้วยด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย

“นึกว่าพี่กับพี่ฟ่างอยู่ด้วยกันเสียอีก”ผมถามออกไปอย่างสงสัย พี่ต้าร์หัวเราะก่อนจะหันมามองผมยิ้มๆ

“แล้วทำไมพี่ต้องไปอยู่กับไอ้ฟ่างมันด้วย นี่อย่าบอกนะว่าเชื่อเรื่องที่พวกพี่อำกันจริงๆ ฮ่าๆ”พี่ต้าร์หัวเราะเสียงดัง เล่นเอาผมงงไปหมดว่าตกลงมันยังไงกันแน่

“แต่ผมก็เห็นพวกพี่สวีทกันแบบนี้ตั้งแต่เรียนแล้วนี่ครับ”ผมยังถามด้วยความสงสัยว่านี่ผมเข้าใจผิดหรือพี่ต้าร์แกล้งหลอกอำผมอีกชั้น

“พี่สองคนเป็นเพื่อนกันนี่แหละ แต่แค่สนิทกันเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวกันไปหน่อย คนก็ชอบเข้าใจผิดแบบนี้แหละ แต่ก็ขำๆ ดี อีกอย่างไอ้ฟ่างมันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว และคนนั้นก็ไม่ใช่พี่ อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ชอบมันแบบนั้นด้วยเช่นกัน คนในออฟฟิศเค้าก็แซวพวกพี่เล่นขำๆ นี่แหละ พี่เองก็รับมุกเค้าบ้างเพื่อเพิ่มสีสัน”ผมยังขมวดคิ้วฟัง รู้สึกเรื่องราวมันค้านกับสิ่งที่เคยฝังในหัวผมมาตลอดหลายปี ว่าสองคนนี้ต้องเป็นแฟนกัน

“สีหน้าเราบอกว่าไม่เชื่อนะเนี่ย”

“แล้วพี่ต้าร์มีแฟนหรือยังครับ”เพราะความอยากรู้ทำให้ผมกล้าที่จะถามออกไป ถ้าพี่ต้าร์ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่างจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดีจริงไหมครับ

“พี่ไม่บอก ไปละเจอกันพรุ่งนี้นะ”พูดจบก็ปล่อยผมยืนงงอยู่คนเดียว นี่ผมกำลังทำอะไรเนี่ย ต่อให้เค้าจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนแล้วผมจะมีโอกาสงั้นเหรอ ความเพ้อของคนไม่เคยมีแฟนก็แบบนี้แหละครับ





TBC


แวะมาต่อครับ

เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่มีอะไรมากก็คงเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไปก่อน

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 2 เริ่มงาน 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ppapple ที่ 20-06-2017 10:38:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 2 เริ่มงาน 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-06-2017 23:16:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 2 เริ่มงาน 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-06-2017 02:56:11
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 2 เริ่มงาน 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-06-2017 06:28:45
บทที่ 3
คาสโนว่าหลบภัย




“เห็นไหมแก บอกแล้วว่าคำพูดชั้นศักดิ์สิทธิ์มาก แกถึงได้เจอเนื้อคู่ที่ทำงาน พี่ต้าร์สุดหล่อที่แกเคยปลื้ม แต่แกแน่ใจนะว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ”เพื่อนสาวสุดที่รักของผมขับรถมากินข้าวเย็นกับผมถึงที่เลยครับวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าห่วง คิดถึง เพื่อนอย่างผม หรือว่าอยากเม้าส์เรื่องที่ผมไปเจอพี่ต้าร์มาก็ไม่รู้ครับ

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อาการหนักเหมือนสมัยเรียนแล้วละครับ เพราะก็ผ่านจุดที่อกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มมาแล้ว ก็ไอ้ตอนสมัยเรียน ข้าวหอมนี่แหละครับร่วมยืนยันฟันธงกับผมว่ายังไงพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างก็คือแฟนกัน แต่สิ่งที่พี่ต้าร์บอกกับผมในวันนี้มันคนละเรื่องกับที่พวกผมเคยเข้าใจกันมาเลยก็ว่าได้

“ว่าไงละแก แกว่าพี่ต้าร์จะโกหกไหม เรื่องที่พี่เค้าไม่ได้เป็นมากกว่าเพื่อนกับพี่ฟ่าง หรือพี่ต้าร์จะชอบพี่ฟ่าง แต่พี่ฟ่างมีคนอื่นอีก หรืออะไรยังไงแก โอ้ย...หอมสับสน หอมงงไปหมดแล้ว”เรื่องทำตัวปัญญาอ่อนนี่ขอให้บอกครับเพื่อนผม นี่นึกว่าตัวเองอายุ 14 หรือไงเนี่ย

“ว่าแต่ถ้าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นแฟนกัน แบบนี้แกก็มีสิทธิ์อ่ะดิ”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับความเพ้อเจ้อของเพื่อน ผมยอมรับนะครับว่ารู้สึกดี และหวั่นไหวกับพี่ต้าร์ แต่ผมก็รู้จักอยู่กับความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าเค้าไม่น่าจะมาคิดอะไรกับผมได้

“เพ้อเจ้อ”ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปพูดกับเพื่อนสาวตัวดี

“wait! ก็แกบอกเองว่าพี่เค้าเดินมาส่งแก แถมบอกแกอีกว่าไม่มีแฟน”นี่มันฟังที่ผมเล่าไม่หมดหรือฟังแล้ว อยากตัดเติมส่วนไหนตามใจชอบโดยไม่สนข้อเท็จจริงหรือเปล่าครับเนี่ย

“ชั้นบอกแค่ว่า เดินกลับออกมาพร้อมกันไม่ใช่เดินมาส่ง แล้วก็พี่เค้าบอกแค่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่าง ไม่ได้บอกว่ามีแฟนหรือไม่มี”ผมอธิบายซ้ำ แต่แม่เพื่อนสาวของผมก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่รับฟังอยู่ดี

“แกจะอะไรนักหนา นี่เพื่อนอุตส่าห์ช่วยบิ้วให้แกมีแรงฮึด ดักตีหัวพี่ต้าร์ลากกลับมาบ้าน รวบหัวรวบหางเลย แกจะได้ลงจากคานไง เอาม่ะๆ เดี๋ยวชั้นช่วย”ผมยกช้อนขึ้น ก่อนจะชี้ลงที่จานกับข้าวที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหาร เพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้เพื่อนตัวดีหยุดพูดและทานข้าวได้แล้ว

“อะ..อะ ทานข้าว”ผมยกมือขึ้นห้ามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้าวหอมเตรียมจะอ้าปากพูดต่อ เรากินข้าวและเปลี่ยนเป็นคุยกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องพี่ต้าร์อีก จนผมเริ่มอิ่ม เพราะเหมือนกินอยู่คนเดียว ส่วนแม่เพื่อนตัวดีที่หอบกับข้าวมาเนี่ยกินยังกะแมวดม บอกว่าไดเอท ก็ไม่รู้ว่าจะไดไปทำไมหรอกครับ ก็ผอมจนจะไม่มีไส้อยู่แล้ว แต่ยังสะกดจิตตัวเองว่าอ้วนอยู่นั่นแหละ

“เดี๋ยวชั้นเก็บเอง แกก็รีบกลับเถอะเดี๋ยวจะดึก ที่บ้านจะเป็นห่วงเอา”จริงๆ ก็ยังไม่ดคกหรอกครับ แต่ผมรีบให้เพื่อนกลับเพราะไม่อยากให้วกมาคุยเรื่องพี่ต้าร์กับผมอีก

“เรื่องเก็บถ้วยจานชาม กับข้าว นั่นหน้าที่แกอยู่แล้วชั้นไม่เคยคิดจะแย่งทำ แต่ถ้าแกอยากรวบหัวรวบหางจับพี่ต้าร์ทำสามีเมื่อไหร่บอกชั้นได้เลย เดี๋ยวเจ้จัดให้เอง”ผมแทบอยากจะมองบนให้กับเพื่อนตัวเองสัก 88 รอบครับให้สมกับความคิดบ้าๆ บอๆ ที่ออกมาจากปากเล็กๆ นั่น

“กลับไปได้แล้ว ไปๆ”ผมรีบไล่อย่างไม่อ้อมค้อม เพราะอย่างข้าวหอมก็คงไม่มาถือสาว่าผมไม่มีมารยาทหรอกครับ

“อย่าลืมนะแก ถ้าจะดักตีหัวพี่ต้าร์เมื่อไหร่บอกชั้น ชั้นยังมีผู้ช่วยอย่างพี่โตอยู่ด้วยอีกคน”สุดท้ายผมก็อดขำกับท่าทีต๊องๆ ของเพื่อนไม่ได้ครับผมโบกมือไล่ ให้ขึ้นรถขับออกไปได้แล้ว ผมเดินขำเบาๆ ตามออกไปเพื่อจะปิดประตู แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีคนพรวดพราดวิ่งเบียดผมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ลุงอย่าเพิ่งถาม ขอหลบในบ้านก่อนแปบนึง แฮ่กๆ แล้วถ้า...ถ้า แฮกๆ ใครมาถามหาผม บอกไม่รู้ไม่เห็นนะ”ไม่ต้องสืบครับไอ้เด็กโย่งข้างบ้านนี่แหละครับ วิ่งหอบลิ้นห้อยเหมือนหมาหนีอะไรมาไม่รู้ครับ คือจริงๆยังไม่รู้ว่าหนีอะไรมาก็พอช่วยได้นะครับ แต่เริ่มจะไม่อยากช่วยก็ตรงเรียกผมว่าลุง อีกแล้วนี่สิครับ แล้วนั่นไม่ได้รอคำอนุญาตจากผมเลย วิ่งจากประตูรั้ว เข้าไปในบ้านผมหน้าตาเฉย คือนี่บ้านผมไง รอผมอนุญาตสักนิดก่อนไหม ถึงจะเป็นหลานเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ผมเช่าอยู่แล้วไง

“ชั้นคบมาก่อนแกอีก อิหน้าด้าน พี่พู่ พี่พู่อยู่ไหนมาบอกอินี่สิว่าเราคบกันอยู่ จะได้เลิกหน้าด้านมาแย่งผัวชาวบ้านสักที”ผมแทบสำลักน้ำลายกับคำพูดที่ได้ยิน มันจะไม่แปลกมากนักถ้าคำพูดไม่ได้ออกมาจากเด็กสาวที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม คนที่กำลังพูดอยู่นี่หน้าตาก็สะสวยจิ้มลิ้มพิมพ์นิยมตามสมัยนี้นะครับ แม้จะแต่งหน้าจัดไปนิด ก็ยังเห็นว่าหน้าตาน้องเค้าจัดว่าดีทีเดียว แต่ไอ้ประโยคที่น้องเค้าพูดออกมาเมื่อสักครู่ ผมว่ามันลดความสวยของน้องไปกว่า 90% เลยทีเดียว

“อย่างแกมันก็แค่น้ำพริกถ้วยเก่าค้างปี พี่พู่เค้าไม่สนจะกลับไปกินอีกแล้วละ”อื้อหือนึกว่าฝ่ายแดงจะโดนฝ่ายน้ำเงินน็อคเอ้าท์ไปแล้ว แต่เปล่าเลยครับ ฝีปากดีกันทั้งสองฝ่ายเลยครับ แล้วนี่ก็เลือกสมรภูมิรบได้เหมาะเจาะเหลือเกิน หน้าบ้านผม เสาไฟส่องสว่างพร้อม ตอนนี้ก็เริ่มจะมีมนุษย์เผือกแถวนี้โผล่ออกมาแล้วครับ

แต่จะโทษมนุษย์เผือกอย่างเดียวไม่ได้ ก็สองสาวนี่เล่นมาตะโกนภาษาดอกไม้ใส่กันเสียงไพเราะขนาดนี้ มันก็คงไปรื่นหูทุกคนเข้าจังๆ นั่นแหละครับ ส่วนไอ้ตัวต้นเรื่องเหรอครับ โน่นเลยครับ มุดหัวอยู่หลังผ้าม่านในบ้านผมโน่น มันน่านักดูๆ แล้วผมว่าคนที่สมควรโดนมากสุดน่าจะไอ้คนหลบหลังผ้าม่านนั่นมากกว่า นี่คงไปทำตัวคาสโนว่าคบซ้อนละซิเนี่ย

“มึงจะเอาไง ตบกับกูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยไหม จะได้จบๆ”

“ได้มึงเข้ามาเลย”

เอ่อนี่ผมว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมว่าจริงๆ ไอ้ตัวต้นเรื่องนั่นควรออกมาเคลียร์ให้เรียบร้อยน่าจะดีกว่าการปล่อยให้สองคนนี้ฟัดกันหน้าบ้านผม

“เอ่อน้อง...น้องครับ น้องครับ!!!”ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อเรียกเบาๆ แล้วทั้งสองสาวไม่ให้ความสนใจผมเลย

“มีปัญหาอะไรลุง”อ้าวๆ อิเด็กพวกนี้มันเป็นอะไรนักหนา ผมอายุแค่ 25 นี่ทำให้หน้าเหมือนพี่ของพ่อแม่พวกแกรึไง ผมสูดสายใจลึกๆ พยายามจะไม่โกรธ เพราะอยากให้เรื่องจบๆ สักทีไม่อยากให้มาตบกันตายหน้าบ้านผม

“พี่แค่จะบอกว่าพี่พู่ของน้องๆ อยู่นี่จะเข้ามาคุยกันดีๆ ในนี้ไหม แต่ขอย้ำก่อนว่าต้องคุยดีๆ ถ้าคุยไม่ดีหรือมีตบตีในบ้านพี่ พี่เรียกตำรวจ”สองสาวทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ยอมลดมือที่ง้างไว้ 135 องศานั้นลงก่อน

“แล้วไหนละพี่พู่”ไม่อยากจะสอนน้องเลยว่ากริยามารยาทเนี่ยปรับให้มันสวยเหมือนหน้าตาหน่อยก็ดี

“พู่...ออกมา เร็วๆ”ผมเรียกย้ำเมื่อเห็นว่าไอ่เจ้าเด็กโย่งยังไม่ยอมออกมา

“พี่พะ...”ผมยกมือห้ามไม่ให้สาวๆ ส่งเสียงดัง ส่วนพ่อคาสโนว่าก็ยอมเดินออกมาแต่โดยดีแล้วครับ

“ลุงนะลุง ไม่ช่วยแล้วยังจะมาแกล้งกันอีก”เด็กโย่งเดินมาพูดลอดไรฟันให้ผมได้ยิน

“น้องมิ้นท์ น้องแจน พี่ว่าเราสองคนกลับไปก่อนดีกว่าเนอะ ไว้อารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่าเนอะ”ดูท่าแล้วสองสาวจะไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของพ่อคาสโนว่าตัวโย่งสักเท่าไหร่นะครับ ดูๆ แล้วทั้งคู่คงต้องการความชัดเจน ว่าพี่พู่กันของพวกเธอจะเลือกใคร

“พี่พู่เลือกมาเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมันหน้าด้านคิดมาแย่งของคนอื่น แต่ก็เป็นได้แค่ส่วนเกิน”

“ใช่ค่ะพี่พู่เลือกมาเลย จะได้รู้ว่าใครมันของเก่าค้างปี เก่าเก็บจนเหม็นบูดไปหมดแล้ว”

สองคนนี้นี่น่าจับไปเล่นละครน้ำเน่านะครับเนี่ย ผมว่านี่นางร้ายช่อง 7 คงต้องหลั่งน้ำตาให้กับความเล่นใหญ่ของทั้งคู่ สีหน้า แววตา ปากเปิกไปหมดทุกส่วน นี่ถ้าลูกตาหลุดออกมาได้คงวิ่งชนกันแล้วครับ

“ได้ ในเมื่อมิ้นท์กับเจนอยากให้พี่เลือก พี่ก็จะเลือก แต่ถ้าพี่เลือกแล้วต้องเคารพการตัดสินใจของพี่นะ”โหนี่ก็พระเอกเหลือเกินพ่อคาสโนว่า พ่อหล่อเลือกได้  แต่เดี๋ยวก่อน ตัวเลือกที่มีนี่เด็กโย่งมันตัดสินใจเลือกได้จริงๆ ใช่ไหม

“พี่ขอประกาศไว้เลยว่านี่เมียพี่”อะไรนะ อะไรคือสัมผัสยุ่นๆ ที่แก้มของผมแล้วยังวงแขนที่กระชับไหล่ผมเข้าหานี่อีก ผมเห็นสองสาวตาเบิกโพลงด้วยความตกใจมองมาทางผม แต่อย่าว่าแต่สองสาวเลย ผมเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองสาวสักเท่าไหร่หรอกครับ

“กรี๊ด พี่พู่ กรี๊ดๆ”เป็นครั้งแรกที่สองสาวจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ร้องกรี๊ดออกมาจนผมที่สติหลุดได้สติขึ้นมา

“เฉยไว้ลุง”เด็กโย่งพูดลอดไรฟันและยังคงไม่ปล่อยวงแขนที่โอบผมไว้

“เพี๊ยะ”ฝั่งซ้าย

“เพี๊ยะ”ฝั่งขวา

หน้าของพ่อคาสโนว่าตัวโย่งหันซ้ายที ขวาทีด้วยอิทธิฤทธิ์ฝ่ามือของน้องมิ้นท์และน้องแจน หลังฝากฝ่ามือไว้แล้ว สองสาวก็กอดคอกันกรีดร้อง น้ำตาร่วงออกไป เหลือทิ้งไว้แค่ผมและเด็กโย่งที่ลูบแก้มตัวเองอยู่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน เด็กโย่งนั่นไม่เจ็บก็ชา ส่วนผมช็อคสิครับ เกิดมาเคยมีผู้ชายคนไหนมาหอมแก้มแบบนี้ที่ไหนกัน

“เป็นไรเนี่ยลุงลูบแก้มทำไม ผมนี่ต้องเจ็บลุงเจ็บที่ไหนกันเล่า”แล้วใครบอกละว่าผมเจ็บไอ้เด็กบ้าเอ้ย เอาความบริสุทธิ์ของแก้มผมคืนมา

“สมน้ำหน้า อยากเจ้าชู้ดีนัก”ผมบอกก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าตัวบ้าน

“ไม่ต้องมาพูดเลย เพราะลุงแหละจะบอกสองคนนั้นทำไมว่าผมอยู่นี่”แล้วนี่มันจะเดินตามผมเข้ามาทำไมอีกละเนี่ย เรื่องจบแล้วทำไมไม่กลับบ้านตัวเอง แล้วนี่ทำไมหัวผมดันนึกถึงแต่สัมผัสยุ่นๆ ที่ตรงแก้มนี่ด้วย แถมยิ่งเห็นริมฝีปากไอ้เด็กโย่งนี่ ผมยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก

“บอกแล้วไงว่าอย่ามาเรียกลุง”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ให้รู้ว่าไม่พอใจกับสรรพนามที่เรียกผมอยู่ และที่ไม่พอใจมากกว่าคือที่บังอาจมาจุ๊บแก้มผมนี่แหละ

“อะ..อะ ไม่เรียกลุงแล้วก็ได้ เรียกเฮียพอได้ไหมคร๊าบ”ยังมีหน้ามายื่นหน้ายื่นตาทำทะเล้นใส่ผมอีก แล้วที่สำคัญสายตาผมดันโฟกัสที่ริมฝีปากนั่นอีกแล้วนี่สิ โอ้ยทำไงดีเนี่ย

“จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ ไอ้พู่กันเอ้ย”ผมรีบผลักหน้าไอ้เด็กโย่งนี่ให้ออกมา และเหมือนจะได้ผมเจ้าเด็กนี่ชะงักกับเสียงตวาดของผมด้วย

“ตะกี้เรียกผมว่าอะไรนะ ฮ่าๆ”อ้าวแล้วมันจะขำทำไมละครับเนี่ย โดนตบจนประสาทกลับไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย

“พู่กันไง”อ้าวพอบอกไปยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก

“ฮ่าๆ ใครบอกพี่เนี่ยว่าชื่อภู่ของผมเนี่ยมาจาก พู่กัน แม่งจี้วะพี่ พู่กันอะไรหน่อมแน้มเกิ้น”อ้าวสรุปพู่นี่ไม่ได้มาจากพู่กันหรอกเหรอเนี่ย

“ภู่ของผมเนี่ย มาจากแมลงภู่อ่ะพี่ รู้จักเปล่า”โหบอกว่าพู่กันหน่อมแน้ม แมลงภู่นี่ไม่หน่อมเลยว่างั้น

“คนบ้าอะไรชื่อแมลงภู่”ผมบ่นพึมพำ อย่างไม่ได้จริงจังนัก ก็ไม่คิดนี่ครับว่าใครจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกด้วยชื่อหลายพยางค์แบบนี้ ตอนเล็กๆ ต้องเรียกน้องแมลงภู่แบบนี้เหรอ ฟังดูน่ารักจนขนลุกเลยครับเนี่ย

“ไม่ใช่คนบ้านะพี่ นี่คนหล่อ อีกอย่างพี่สาวผมชื่อผึ้ง พี่ชายชื่อบึ้ง ไม่ใช่หน้าบึ้งอะไรแบบนั้นนะ ตัวบึ้งอ่ะพี่รู้จักเปล่า นี่แหละเหตุผลที่ผมต้องเป็นแมลงภู่ น่ารักใช่ไหมล่ะ แถมหล่ออีกต่างหาก”นี่การโดนตบมันทำให้คนหลงตัวเองได้ด้วยหรือไงเนี่ย

“แล้วตกลงเป็นไรนิพี่ เห็นลูบอยู่นั่นแหละแก้มเนี่ย”ผมรีบลดมือลงแทบจะทันที

“อย่าบอกนะว่าไม่เคยโดนผู้ชายหล่อหอมแก้ม”เอาจริงๆแค่คำว่าผู้ชายก็พอแล้วนะครับรู้สึก ยังจะมาเพิ่มหล่อทำไมอีก แล้วประเด็นจะมาขยี้อีกเพื่ออะไร ผมอุตส่าห์เกือบจะลืมอยู่แล้วเชียว

“ก็ไม่เคยไง”ผมหลุดปากออกไป

“อ้าวตกลงนี่พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายเหรอ เฮ้ยอย่าบอกนะว่า นะว่า”นี่ก็เล่นใหญ่รัชดาลัยมาเองอีกล่ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างสุดจะทน

“สาวสวยที่ขับรถออกไปตอนผมเข้ามานั่นแฟนพี่เหรอ โหร้ายไม่เบานะเราเนี่ย”นี่ก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่ละ แต่ก็ช่างมันเถอะครับขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เด็กนี่แล้ว

“งั้นวันนี้ผมไม่กวนพี่แล้วดีกว่า พี่จะได้พักผ่อน”ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จะได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที

“อ๋อลืมบอก...แก้มที่จุ๊บไปเนียนนุ่มมากเลยนะครับเมีย”

“ไอ้...”ไม่ทันครับ คิดคำจะด่าไอ้เด็กนี่ไม่ทันสักที ว่าแต่นี่จะไปก็ยังมาจี้ให้ผมนึกถึงอีกแล้วสิเนี่ย มือผมยกขึ้นลูบแก้มโดยอัตโนมัติอีกแล้ว





TBC

แวะมาแปะอีกตอนคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 3 คาสโนว่าหลบภัย 21-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 21-06-2017 06:50:17
 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 3 คาสโนว่าหลบภัย 21-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-06-2017 00:46:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 3 คาสโนว่าหลบภัย 21-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-06-2017 11:04:57
บทที่ 4
ดนตรีในหัวใจ




“ตื๊บๆ ตื๊บๆ ตึงๆ”นี่มันเสียงอะไรกันครับเนี่ย แม้ตาผมจะยังลืมไม่ขึ้น แม้จะพยายามเอาผ้าห่มคลุมโปง เอาหมอนปิดหู ก็ไม่มีอะไรช่วยลดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวนี่ได้ กระจกตรงประตูหน้าต่างตอนนี้ก็เริ่มส่งเสียงแข่งกับดนตรีแล้วครับ ใครมันมาเปิดคอนเสิร์ตแต่เช้าวะเนี่ย แล้วในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ คงต้องลุกไปตามหาต้นตอของเสียงเสียแล้ว

แค่เดินออกจากบ้านมาก็ไม่ต้องเสียเวลาหาแล้วครับ ข้างบ้านผมนี่แหละ นี่มันวันหยุดทั้งทีจะขอหลับยาวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ผมต้องตื่นเช้ามาทั้งสัปดาห์แล้ว อยากจะตื่นสายๆ สักวันไม่ได้หรือไง นี่ตาผมยังลืมได้ไม่เต็มที่เลยนะเนี่ย

“ภู่!”ผมเกาะรั้วตะโกนแทบจะสุดเสียง

“ภู่โว้ย”ชักเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะครับ แต่คิดว่าตะโกนไปยังไงถ้าเสียงเพลงดังขนาดนี้ก็คงจะไม่มีผลอะไร จะให้เดินข้ามไปบ้านนั้นก็ดูสูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ อีกอย่างสภาพผมตอนนี้ก็ไม่น่าจะเหมาะออกจากบ้านสักเท่าไหร่ สมองที่ยังมึนๆ ของผมรีบตั้งสติว่าจะทำยังไงดี แล้วนี่บ้านอื่นๆ เค้าไม่มีใครรำคาญกันหรือไงเนี่ย หรือเพราะว่าบ้านไอ้เด็กโย่งนี่มันอยู่สุดซอย มันเลยมีบ้านผมบ้านเดียวที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ผมเดินกลับเข้าบ้านเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ เพราะจำได้ว่ามีเบอร์ของไอ้คนข้างบ้านนี่แล้ว พอหาได้ผมก็รีบกดหารายชื่อทันที เหมือนผมจะยังไม่ได้บันทึกเบอร์ด้วยซ้ำ แต่ก็พอจำได้ว่ามันคือเบอร์ไหนครับ ตอนนี้เสียงเพลงก็ยังดังสนั่นหวั่นไหว ผมต้องแนบหูกับโทรศัพท์จนโทรศัพท์จะหลุดเข้าไปในหูอยู่แล้ว เพราะแทบไม่ได้ยินเสียงรอสายเลย

“ว่า$&@¥£*€ลุง”ผมแทบจับใจความที่เค้าตอบกลับมาไม่ได้เลย เพราะเสียงเพลงที่เค้าเปิดมันดังกลบทุกอย่าง แถมเสียงจากฝั่งเค้าก็ลอดเข้าในโทรศัพท์อีกด้วย

“ปิดเพลงหรือเบาเสียงก่อนได้ไหม”ผมตะโกนใส่โทรศัพท์

“ว่าไงนะ”เสียงตะโกนกลับมาจากอีกฝั่ง

“บอกว่าปิดเพลงก่อนได้ไหม”ผมตะโกนจนแทบจะไม่มีเสียงอยู่แล้ว นี่จากสลืมสลือตื่นไม่เต็มตา มาตอนนี้ความหงุดหงิดมันมีมากกว่าจนคาดว่าให้ไปนอนอีกคงหลับไม่ลงแล้วละครับ เหมือนจะได้ผลครับ เสียงเพลงเบาลงจนเกือบไม่ดังมาถึงบ้านผมแล้ว แต่ยังได้ยินเสียงเพลงดังเข้ามาตามสายโทรศัพท์

“คิดถึงผมแต่เช้าเลยเหรอครับลุง”ยิ่งหงุดหงิดอยู่ยังจะมาเรียกลุง แบบนี้ก็ปรี๊ดสิครับ

“ถ้าเรียกลุงอีกที เอาขี้หมามาปาบ้านแน่ ไม่เชื่อก็ลองดู ออกมาเจอข้างรั้วหน่อยดิ”ผมบอกอย่างเหลืออด ไอ้เด็กนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ว่าการปลุกคนกำลังนอนฝันหวานอยู่ให้ตื่นมาแบบนี้ อารมณ์คนโดนปลุกมันจะหงุดหงิดขนาดไหน ผมพยายามสงบสติอารมณ์สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่อยากโกรธมากเดี๋ยวรอยตีนกาถามหาอีก ไม่นานนักเจ้าตัวต้นเหตุก็เปิดประตูยิ้มหน้าระรื่นออกมาอย่างไม่มีความสลดสักนิด ผมกดวางสายโทรศัพท์ ยืนกอดอกรอ

“ว่าไงครับคุณลุ...เอ้ยคุณพี่”ดูครับดู ผมรู้ว่าเด็กนี่มันจงใจแกล้งพูดยั่วโมโหผม แถมยังทำท่าเอามือปิดปากอย่างกวนๆ นั่นอีกเห็นแล้วมันยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดจริงๆ สิ

“เช้าขนาดนี้ไม่คิดว่าเปิดเพลงดังขนาดนี้จะรบกวนคนอื่นบ้างหรือไง”ผมบอกออกไปอย่างไม่ปกปิดความไม่พอใจ จะว่าบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความเกรงใจก็ว่าได้ แต่จะมามัวเกรงใจทำไมกันจริงไหมครับในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีความเกรงใจกับผมเลย

“โหพี่ 7 โมงกว่าก็ควรตื่นแล้วไหม จะมัวนอนกินบ้านกินเมืองไปทำไมตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างสิ”เด็กโย่งนี่ยังไม่สลดครับ ยังคงยืนยิ้มตอบผมอย่างไม่สทกสะท้าน

“จะเวลาไหนมันก็ไม่ควรเปิดเพลงดังขนาดนี้หรอก มีใครเค้าขอว่าอยากฟังด้วยหรือไง”ผมยังคงบอกพร้อมชักสีหน้าให้รู้ว่าไม่พอใจอยู่

“อะไรอ่ะพี่ไม่เห็นต้องทำท่าหงุดหงิดขนาดนี้เลย ทำเป็นคนไม่มีอารมณ์สุนทรี ไม่มีดนตรีในหัวใจไปได้”

“เพลงแหกปากขนาดนี้มันสุนทรีตรงไหนไม่ทราบ”อยากให้ทุกคนมาได้ยินครับว่าไอ้ที่เด็กนี่เรียกว่าเพลงเนี่ย มันสุนทรีขนาดไหน น่าจะแนวพวกเฮฟวี่ เมทัลอะไรพวกนั้นแหละครับ รู้นะครับว่าก็มีคนชอบรวมไอ้เด็กโย่งนี่ด้วย แต่คนที่ชอบก็ต้องรู้ไหมว่ามันมีคนไม่ชอบด้วยเช่นผมนี่แหละคนนึงที่เข้าไม่ถึงอย่างรุนแรงกับการร้องตะโกนว๊ากๆ ร้องเพลงแบบนี้

“อะไรวะพี่ไม่เข้าใจวิถีชาวร็อคเลยเหรอเนี่ย แล้วนี่พี่ใส่ชุดนี้นอนเหรอนี่”สายตากวนๆ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไอ้ผมก็ลืมไปเลยมัวแต่หงุดหงิด นี่สภาพผมคงดูไม่จืดทีเดียว เท่าที่พอจะจำได้ผมใส่บอกเซอร์ตัวเก่าที่ยืดจนย้วยแล้ว ส่วนเสื้อก็เสื้อยืดตัวโปรดในการนอนของผมที่ใส่มานานจนคอยืด แถมยังผุจนขาดเป็นรูหลายจุดแล้ว รู้ครับว่าสภาพแบบนี้มันไม่ควรออกมาเจอใคร ปกติผมก็ใส่อยู่ในบ้านคนเดียวแหละครับตอนนอนใส่แบบนี้มันก็สบายดีไม่อึดอัด แต่ตอนนี้ไอ้สายตาที่เด็กนี่มองผมมันชวนอึดอัดมากเชียวแหละครับ

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”ผมขยับถึงชายเสื้อประหนึ่งว่ามันจะยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ บอกตรงๆ ว่าพอเจอสายตามองแบบนี้จากความหงุดหงิดโมโหในทีแรก มันกลายเป็นผมเริ่มรู้สึกอายกับสภาพตัวเองแล้วครับตอนนี้ ถ้ารู้ว่าจะต้องมาให้ไอ้เด็กโย่งนี้มองด้วยสายตาแบบนี้ผมคงหยิบเสื้อคลุมใส่มาด้วยแล้ว

“นี่ผมชักเริ่มคิดแล้วนะ หรือว่าจริงๆ พี่โทรตามผมมาเจอแล้วแต่งตัวมายั่วผมใช่ไหมเนี่ย แต่หน้าตาตอนเพิ่งตื่นนอนของพี่กับชุดเยินๆ นี่มันก็...น่ารักดีนะพี่”โอ้ยไอ้เด็กนี่ แล้วผมดันคิดคำจะแย้งจะสวนไม่ออกด้วยสิเนี่ย

“พูดอะไรไร้สาระ แค่จะบอกว่าคราวหลังเพลงอ่ะเปิดให้มันเบาๆ หน่อย”ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะมาว่าเค้าแต่ทำไมตอนนี้มันกลายเป็นว่าผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปได้ละเนี่ย เรียกว่าตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกก็ว่าได้ครับ เอาจริงๆ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะครับว่าทำไมบางครั้งคำพูดกวนประสาทของไอ้เด็กตรงหน้านี่ถึงมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

“อะอะเขินเหรอครับคุณลุง..เอ้ยคุณพี่”

“อย่าเปิดเพลงเสียงดังอีกเข้าใจไหม”ผมพยายามปั้นหน้านิ่งไว้และควบคุมไม่ให้รู้สึกอะไรกับคำพูดของไอ้เด็กนี่อีก ผมหันหลังกลับเดินเข้าบ้านเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำอีก สรุปการนอนพักผ่อนในวันหยุดของผมก็คงหมดแล้วสินะ จะให้ไปนอนต่อตอนนี้ก็ไม่น่าจะหลับแล้ว

“เดี๋ยวดิพี่”ผมหันกลับไปมองไอ้เด็กโย่งอีกครั้งเพราะเสียงร้องเรียกเหมือนจะมีอะไรอีก

“ผมทำอาหารเช้าให้ทานไหม ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ทำพี่ตื่นก่อนวัยอันควร เอ้ยเวลาอันควร”ผมมองอย่างจับผิดนี่เด็กโย่งมันจะกวนอะไรผมอีกหรือเปล่า แล้วจะมาอยากวุ่นวายอะไรกับผมทำไมเนี่ย

“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็นพี่หากินเองได้”ผมตอบอย่างสงวนท่าทีแม้ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรตอนไหนก็เถอะครับ แต่การกินคนเดียวน่าจะเป็นการปล่อยให้ชีวิตผมราบรื่นมากกว่าการกินกับเด็กนี่แน่ๆ ครับ

“อย่าเล่นตัวน่าลุง นี่น้อยคนนะที่จะมีโอกาสได้ชิมฝีมือคนหล่ออย่างผม”แหมงั้นก็ไปให้โอกาสคนอื่นชิมเหอะไอ้เด็กหลงตัวเอง นี่ผมบอกสักคำหรือก็เปล่าว่าอยากกิน

“ลุงรีบไปล้างหน้าแปรงฟันเลย เดี๋ยวผมตามไปใน 5 นาทีห้ามปฏิเสธด้วย เพราะถ้าลุงปฏิเสธผมจะฟ้องน้าปุ๊กว่าลุงอ่อยผม”ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่พอคิดดูอีกที ถ้าไอ้เด็กนี่บอกกับพี่ปุ๊กจริงๆ แล้วพี่ปุ๊กจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าพี่ปุ๊กเกิดไปเผลอพูดให้พี่สาวหรือที่บ้านผมได้ยิน ผมว่ามันคงมีปัญหาตามมาแน่ๆ

“อยากทำอะไรก็ทำ”ผมตอบอย่างเสียไม่ได้ ส่วนไอ้ตัวต้นคิดนั่นก็ยืนยิ้มอย่างผู้มีชัยครับ

ผมเดินเข้าบ้านล้างหน้าแปรงฟัน ทีแรกก็กะจะอาบน้ำนะครับ แต่คิดดูอีกทีถ้าไอ้เด็กนั่นมาแล้วผมอาบน้ำ เด็กนั่นต้องหาเรื่องพูดกวนประสาทผมอีกแน่ๆ ตอนนี้ผมเริ่มได้ยินเสียงเครื่องครัวกระทบกันแว่วๆ มาเข้าหูนี่คงเข้ามาแล้วสินะ ที่จริงผมก็ไม่ใช่คนชอบทำกับข้าวกินเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ก็พอมีของสด อะไรติดไว้ทำอะไรง่ายๆ อยู่บ้างแหละครับ นี่ไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารของนายแมลงภู่นี่จะกินได้หรือเปล่า ผมรีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จก่อนจะหาเสื้อคลุมมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่อีกที

“กินได้แน่เหรอ”ผมเดินเข้าห้องครัวยืนพิงประตูมองดูอีกคนที่กำลังทอดไข่ดาวอยู่

“ไม่รู้อะไรซะแล้วนี่เชฟภู่นะครับ”ทำเป็นอวดที่เห็นวางอยู่ในจานนั่นนอกจากไข่ดาวก็ขนมปังปิ้งแล้วก็ฮอทดอก ไอ้ของแค่นี้ใครๆ เค้าก็ทำได้หรอกผมเองก็ทำได้ มันไม่ใช่เมนูยุ่งยากหรือต้องใช้ฝีมืออะไรมากมายเลยสักนิด

“แล้วจะเสร็จยังเนี่ย หิวจนน้ำย่อยจะกัดกระเพาะละเนี่ย”ผมแกล้งเร่งด้วยความหมั่นไส้ แต่ดูๆ ไปมันก็ไม่เข้ากับบุคลิคของเด็กนี่เท่าไหร่นะครับ ออกจะดูกวนๆ แถมเจ้าชู้ไม่น่าจะมีมุมมาทำอาหารอะไรแบบนี้

“โหลุงไม่ช่วยแล้วยังจะมาเร่งอีก”เค้าตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้หันมามอง ยังคงวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหารต่อ แม้คำพูดจะออกแนวตัดพ้อแต่น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก

“อาสาทำเองไม่ใช่เหรอ จะมาบ่นว่าคนอื่นไม่ช่วยทำไม อีกอย่างบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกลุง”ผมตอบกลับเค้าด้วยน้ำเสียงสบายๆ จริงๆ นี่ผมก็เริ่มจะชินกับการโดนเรียกลุงแล้วแหละครับ แต่ถ้ามาบ่อยๆ มากก็ไม่ดีหรอกนะครับ ไม่อยากเสียความมั่นใจ แม้จริงๆจะยังมั่นใจในหนังหน้าตัวเองก็เถอะ

“คร๊าบบบพี่แปง แบบนี้พอได้ปะพี่”เค้าหันมาเรียกผมเสียงอ้อนพร้อมทำหน้าทะเล้น ถ้าแค่เรียกพี่เฉยๆ นี่มันลำบากมากหรือไงไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“เรียกพี่นะดีแล้ว แต่สีหน้าเวลาพูดไม่ต้องกวนจะได้ไหม”กลิ่นอาหารโชยมาเตะจมูกจนผมแทบจะลืมความหงุดหงิดที่ทำให้ตื่นก่อนเวลาไปเสียสนิทแล้ว ก็คงอย่างที่เด็กนี่บอกแหละครับถือเสียว่าอาหารเช้ามื้อนี้เป็นการไถ่โทษจากเค้า การที่เด็กรู้จักสำนึกผู้ใหญ่อย่างผมก็ควรให้อภัยจริงไหมครับ

“โอเคครับผม ตอนนี้น้องภู่ว่าพี่แปงไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนดีกว่าเดี๋ยวน้องภู่ทำเสร็จจะยกไปเสิร์ฟนะครับ”ผมถอนคำพูดทันไหมครับ เพราะคำพูดเค้า นี่คือไม่กวนแล้วถูกไหมครับ ตอนอายุเท่าเค้าผมว่าผมก็ไม่ได้ไปทำตัวกวนประสาทใครแบบนี้ แล้วทำไมผมต้องมาเจอเด็กกวนประสาทแบบนี้ละเนี่ย

“มาแล้วครับ เชฟภู่ชวนชิม”จานอาหาร 2 จานถูกวางลงบนโต๊ะทั้งสองจากหน้าตาไม่ต่างกัน มีไข่ดาว ฮอทดอก ขนมปังปิ้ง คนถือมาวางทำท่าภูมิใจกับฝีมือตัวเองเสียเหลือเกิน

“กินได้แน่นะ”ผมแกล้งใช้ซ่อมจิ้มๆ อย่างหวาดๆ ขวดซอสมะเขือเทศและซอสพริกถูกส่งมาให้ผมเลือก แต่ผมรับทั้งสองอย่างมาเทผสมกันลงในจาน ก่อนจะเริ่มชิมแต่ละอย่างทีละนิดทีละหน่อย ก็อย่างที่บอกครับอาหารพวกนี้ใครๆ ก็ทำได้ แถมอาจจะด้วยความหิวของผมด้วย ก็เลยส่งผลให้เวลาเพียงไม่นานนักจานของผมก็ว่างเปล่า คนที่นั่งทานตรงข้ามผมจ้องมองผมยิ้มๆ ด้วยความพอใจ แต่ผมชักจะหมั่นไส้รอยยิ้มนี้ขึ้นมาบ้างแล้วครับ

“อร่อยใช่ไหมละ”เค้าถามผมอย่างภูมิใจ แต่มีเหรอครับผมจะชมให้เค้าได้ใจ ไม่มีทางซะหรอก

“เอางี้ไหม เดี๋ยวผมมาทำอาหารเช้าให้พี่กินทุกวัน”ผมเงยหน้าจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ จะมาอยากทำอาหารเช้าให้ผมกินทุกวันทำไม หรือเด็กนี่คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย แล้วนี่ผมดันนึกถึงสัมผัสหยุ่นๆ ที่เด็กนี่เคยฝากไว้บนแก้มผมขึ้นมาเสียนี่

“คิดไรปะเนี่ยลุง ผมไม่ได้คิดไรกะลุงหรอกน่าแต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน”

“งั้นพี่ขอปฏิเสธ”ไม่ต้องฟังข้อเสนอให้เสียเวลาเพราะมันคงต้องไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่นอนครับผมมั่นใจ

“โหพี่แปงคนใจดีของน้องภู่ ฟังข้อเสนอน้องภู่ก่อนสิครับ”นี่คือคำขอร้องจริงๆ ใช่ไหมครับเนี่ยแค่เริ่มต้นผมก็ว่าชีวิตผมมันเริ่มวุ่นวายแล้ว ถ้าผมตกลงตามเงื่อนไขของเด็กนี่ชีวิตผมจะยิ่งไม่ป่วนไปกว่านี้เหรอครับเนี่ย

“น้องภู่ดูปากพี่แปงนะครับ ไม่ฟัง”ผมน้ำเสียงดังฟังชัดก่อนจะรีบหยิบจานเปล่าที่ทานอาหารเสร็จแล้วเดินตรงเข้าครัวเพื่อเอาไปล้าง

“งั้นพี่ยังไม่ต้องตกลงหรือปฏิเสธคำขอของผมก็ได้ แต่พี่รับฟังผมก่อนแล้วกันนะครับ”เค้าเดินตามผมเข้าในห้องครัวพร้อมพูดด้วยเสียงหม่นๆ แวบนึงผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วเค้าเหมือนจะมีความเหงาอยู่ในน้ำเสียงนั้น ดูชีวิตเค้ากับผมนี่มีทั้งส่วนคล้ายและต่างกันนะครับ ผมอยากมาใช้ชีวิตคนเดียวมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง แต่เค้าเพิ่งจะอายุแค่นี้กลับต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง

“ไหนลองว่ามาสิ”ผมหลุดปากออกไป คิดว่าแค่รับฟังก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่เนอะ

“คือผมจะซื้อกีตาร์อ่ะพี่ แต่ตังค์ไม่พอเลยต้องเก็บตังค์เพิ่ม”ผมหันไปมองเค้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่าการเก็บตังค์เพิ่มสำหรับซื้อกีตาร์นี่มันเกี่ยวอะไรกับการมาทำอาหารเช้าให้ผมทานทุกวัน

“จะให้พี่จ้างเราทำอาหารเช้าหรือไง”ผมลองเดาในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้

“มันก็ไม่เชิงหรอกพี่ แค่ผมเป็นคนมาทำให้พี่ทาน ผมก็ทานกับพี่ด้วย ผมลงแรงกายพี่ออกวัตถุดิบ จานชามเดี๋ยวผมจัดการให้หมดเลย ผมก็จะได้เก็บค่าข้าวตอนเช้าไว้สมทบทุนการซื้อกีตาร์ไง ผมรู้ว่าพี่เป็นคนจิตใจดีพี่ต้องช่วยเหลือเด็กดีอย่างผมจริงไหมครับ”หือกล้าพูดว่าตัวเองเป็นเด็กดี

“ทำไมไม่ขอตังค์ที่บ้านซื้อ”เท่าที่รู้บ้านเค้าก็มีฐานะไม่น้อยนะครับ แค่กีตาร์ตัวไม่กี่บาทไม่น่าจะต้องมาลำบากทำอะไรแบบนี้นี่นา

“เค้าไม่สนับสนุนผมนี่ดิพี่เอะอะก็บอกแต่เสียการเรียน ใจคอจะให้แต่ผมเรียนอย่างเดียวไม่ให้ทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย”ผมชะงักกับคำพูดของเค้าเล็กน้อย เพราะนี่มันก็คล้ายๆ กับชีวิตผมตอนสมัยเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ผมอาจจะไม่กล้าคิดทำอะไรเองแบบเด็กตรงหน้านี้ ตัวผมก็แค่เดินตามกรอบที่พ่อกับแม่วางไปเรื่อยๆ

“งั้นลองดูก็ได้ แต่ถ้ารสชาดอาหารไม่ถูกปากพี่เมื่อไหร่ ข้อตกลงเราเป็นอันยกเลิกโอเคไหม”เห็นแก่ความตั้งใจของเด็กหรอกนะครับ ทีแรกนึกว่าจะเป็นเด็กเกเรไปวันๆ ไม่นึกว่าจะมีมุมคิดอะไรแบบนี้ ถึงจะเป็นความคิดที่ประหลาดไปบ้างแต่ก็จัดว่ายังคิดดีแล้วกันครับ อยากได้ของก็ไม่ใช่สักแต่ว่าขอพ่อแม่ เก็บเงินซื้อด้วยตัวเองแบบนี้ก็นับว่าใช้ได้ครับ

“จริงดิพี่ พี่ตกลงแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะ พี่อยากทานอะไรบอกผมได้เลย ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ นะพี่”นี่มันจำเป็นต้องดีใจขนาดนี้ไหม เค้าเดินเข้ามาจับมือผมพร่ำบอกว่าขอบคุณอย่างดีใจ ก่อนผมจะต้องตกใจเมื่อเค้าดึงผมเข้าไปกอด

“ขอบคุณมากนะพี่ ไว้ผมได้กีตาร์เมื่อไหร่จะมาเล่นให้พี่ฟังคนแรกเลย”แม้จะตกใจที่เค้ามากอดแต่ก็อดจะยิ้มไม่ได้ครับ เพราะรู้สึกเอ็นดูเด็กนี่ขึ้นมาบ้างแล้ว แม้จะตัวโตกว่าผม แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กแหละครับ ยิ่งท่าทางดีใจของเค้านี่ยิ่งชัดเลยเหมือนเด็กที่กำลังรอของเล่น หรือรอรางวัลจากผู้ใหญ่

“แต่ถ้าเพลงเหมือนเมื่อเช้าก็ไม่ไหวนะ”ผมบอกขำๆ ก่อนจะค่อยๆ ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเค้า เค้าหัวเราะเบาๆ พร้อมจ้องมองมาที่ผม

“พี่นี่มองใกล้ๆ แล้วน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย”





TBC
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 4 ดนตรีในหัวใจ 22-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-06-2017 22:12:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 4 ดนตรีในหัวใจ 22-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 23-06-2017 06:45:57
บทที่ 5
ประทับใจ




“ขอบคุณครับลุง”เสียงคนที่นั่งมากับผมหันมาบอกอย่างทะเล้น ก็ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนาว่าผมอายุมากกว่า แต่ผมก็เริ่มปลงแล้วละครับ โมโหไปก็เท่านั้น แถมยิ่งถ้าผมฮึดฮัดไม่พอใจ เด็กโย่งนี่ยิ่งเหมือนสนุก ถึงเค้าจะกวนๆ ไปบ้างแต่การมีเด็กนี่ก็ช่วยให้ไม่เหงาดีเหมือนกันนะครับ แถมมีคนทำอาหารเช้าให้กินอีกด้วย

“วันนี้ไม่เถียงแฮะ ตกลงผมเรียกลุงได้แล้วใช่ไหมครับ”ผมหันไปแกล้งทำเป็นมองตาขวางพร้อมชี้ให้ลงจากรถ จริงๆ ก็ไม่ใส่ใจแล้วแหละครับ อยากเรียกอะไรก็เรียกไป ช่วงนี้เหมือนเราสองคนสนิทกันมากขึ้นคงเพราะกินข้าวด้วยกันทุกเช้า แล้วผมก็ให้เค้าติดรถมาลงปากซอยทุกวัน ก่อนจะต่อรถไปโรงเรียนอีกทาง นี่ถ้าที่ทำงานผมไปทางเดียวกันกับโรงเรียนเค้าก็คงนั่งไปด้วยกันแล้วมั้งครับเนี่ย

“เออ พี่แปงรอแป๊บนึงดิ”เค้าหันกลับมาพูดกับผมอีกทั้งที่เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว ผมพยักหน้ารับอย่างงงๆ เจ้าตัวคนพูดก็วิ่งหายไป ไม่นานก็กลับมาเคาะกระจกให้ผมลดกระจกลง

“อะไร”ผมถามอย่างงงๆ เมื่อเค้ายื่นถุงปาท่องโก๋เข้ามาให้ผม

“อะไรกันลุง โตจนป่านนี้ไม่รู้จักปาท่องโก๋เหรอ”นี่ก็จะกวนให้ได้ทุกเรื่องสินะ

“รู้จัก แต่จะมาให้ทำไมข้าวเช้าก็กินแล้ว อีกอย่างไหนบอกเก็บตังค์ซื้อกีตาร์ ใกล้ครบแล้วเหรอค่ากีตาร์อ่ะ”พูดเรื่องกีตาร์นี่ก็ทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน คือไอ้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีอะไรสักเท่าไหร่ เป็นแค่ฟังอย่างเดียว พวกเครื่องดนตรีอะไรก็ไม่สันทัดหรอกครับ ได้ยินทีแรกว่าเด็กนี่จะซื้อกีตาร์ไอ้ผมก็นึกว่าตัวละ 7-8 พัน หรือเต็มที่ก็คงสักหมื่นสองหมื่น แต่ที่ไหนได้ ไอ้กีตาร์ที่เด็กนี่อยากได้ราคาตั้งครึ่งแสน

“อันนี้ 20 บาทเองพี่ผมให้ แล้วนี่ผมก็ลดค่าวินมอ’ไซต์ได้จากการติดรถพี่มาลงปากซอยนี่ไง เมื่อเช้าเห็นพี่ทานข้าวไปนิดเดียวเอานี่ติดไปด้วยเผื่อหิว แล้วร้านนี้อร่อยมาก พี่ต้องลอง”ผมรับมาพร้อมยิ้มให้เค้าอย่างเอ็นดู

“ขอบใจ ไปได้แล้วเดี๋ยวก็เข้าเรียนสายพอดี”นี่ผมว่าผมเริ่มจะกลายเป็นลุงอย่างเจ้าเด็กนี่ว่าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย ดูๆ ไปผมก็เหมือนผู้ปกครองมาส่งลูกหลานไปโรงเรียนจริงๆ นั่นแหละครับ

“โอเคครับ ลุงก็ตั้งใจทำงานล่ะ”มันใช่ไหมละเนี่ย มีเด็กที่ไหนมาบอกผู้ใหญ่ให้ตั้งใจทำงานกันละเนี่ย ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ก้มมองถุงปาท่องโก๋ที่ผมวางไว้ ก่อนจะขับรถมุ่งตรงไปยังที่ทำงาน บรรยากาศยามเช้าของกรุงเทพฯ ก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นทุกวันครับ การจราจรที่เริ่มจะหนาแน่น ผู้คนควักไขว่ รีบเร่งเพื่อไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ผมโชคดีหน่อยตรงที่มีเส้นทางหลบเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด อาจมีบางช่วงที่ต้องเจอติดบ้างนิดหน่อย แต่ก็เพียงไม่นาน

ผมถึงออฟฟิศก่อนเวลาเริ่มงานเหมือนทุกๆ วัน และบรรดาพี่ๆ เพื่อนร่วมงานผมก็ยังไม่มากันเช่นเดิม ปกติพวกพี่ๆ เค้ามักจะมากันแบบฉิวเฉียดนั่นแหละครับยิ่งพี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง สองคนนั้นนี่แทบจะวินาทีสุดท้ายกันทั้งคู่ แต่ในเรื่องงานผมก็ต้องชื่นชมทั้งคู่นะครับ นี่ขนาดผมเพิ่งได้ร่วมงานด้วยไม่นานผมยังสัมผัสได้ว่าทั้งสองทำงานออกมาได้ดีมากจริงๆ ยิ่งพี่ต้าร์ จากที่ผมปลื้มพี่เค้าเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ยิ่งได้มาทำงานร่วมกันผมก็ยิ่งปลื้มเข้าไปใหญ่

“ยิ้มไรอยู่คนเดียวนิ”คำพูดของคนที่เพิ่งเข้ามาทำเอาผมเกือบหัวใจวาย ที่จริงแค่คำพูดมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่คนที่พูดประโยคนี้คือคนที่ผมกำลังนึกถึง แล้วพี่แกไม่ได้เข้ามาพูดแบบทำธรรมดา แกเล่นยื่นหน้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หน้าแกแทบจะชนกับหน้าผมอยู่แล้ว ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ใจผมมันคงรัวเป็นตีกลองไปแล้ว

“ปะ...เปล่าพี่”ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พี่ต้าร์ยักคิ้วกวนๆ ให้ผม ก่อนจะเอื้อมมือไปทางด้านหลังของผมโดยที่สายตายังจ้องมองผมอยู่ในระยะประชิดเหมือนเดิม

“ขอหน่อยนะ เมื่อเช้าสายไม่ทันได้กินอะไรเลย”ปาท่องโก๋ที่วางอยู่ด้านหลังผมถูกหยิบเข้าปากพี่ต้าร์อย่างถือวิสาสะ ผมพยักหน้าพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ไม่ใช่ว่าหวงของอะไรหรอกนะครับ แต่สเตปการขอกินของพี่แกนี่มันทำเอาผมใจเต้นนี่สิ

“หืออร่อยนะเนี่ย แปงชิมยังเนี่ย อ่ะๆ ชิมดู”ปาท่องโก๋ที่พี่ต้าร์กัดไปแล้วถูกดึงส่วนปลายขนาดพอดีคำยื่นมาให้ผม พี่ต้าร์พยักหน้าเร่งให้ผมอ้าปากรับปาท่องโก๋ที่จ่อรอที่ปากผม ทำให้ผมต้องอ้าปากรับอย่างไม่กล้าปฏิเสธ และดูเหมือนคนป้อนผมจะยิ้มพอใจเหลือเกินที่ป้อนผมสำเร็จ ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับอีกคน เพราะเค้าโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมอีกแล้ว

“อิต้าร์ นี่แกนอกใจเมียมาสวีทกับน้องแปงของเจ้เหรอ”เสียงของเจ้โอ๋ เหมือนระฆังช่วยชีวิตผม ที่กำลังทำตัวไม่ถูก

“น้องฟ่างมาดูเลย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ใส่ร้ายมัน ต้าร์มันกำลังจะนอกใจฟ่าง”เจ้โอ๋หันไปดึงแขนพี่ข้าวฟ่างเข้ามาในวงสนทนาอีกคน ตกลงนี่ผมก็ยังชักงงๆ กับความสัมพันธ์ของพี่ๆ เค้าเหมือนกันนะครับ ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเล่น บางทีก็ทำเอาใจหายใจคว่ำเหมือนกัน

“เจ้ไอ้นั่นเมียเก่า เบื่อแล้วผมยกมันให้เจ้ไปเคลมรับช่วงต่อได้เลย ตอนนี้ผมจะขอมีเมียใหม่ ใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า มาขอจุ๊บเหม่งทีนึง”และโดยไม่ทันตั้งตัวพี่ต้าร์ก็ดึงผมเข้าไปกอด ก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมแทบจะตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกคือไม่คิดว่าพี่ต้าร์จะเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ เรียกว่าช็อคก็ได้ครับงานนี้ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคนที่เราแอบปลื้มมานานอยู่ๆ มาจูบ ถึงมันจะแค่จูบแบบเล่นๆ มันทั้งตกใจ ดีใจ ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“น้องฟ่างดูสิ เราจะน้อยหน้าเค้าไม่ได้นะ น้องฟ่างมาให้เจ้จุ๊บเหม่งบ้างดิ”เจ้โอ๋รีบบอกด้วยเสียงสูงปรี๊ด ส่วนอุณหภูมิที่ใบหน้าผมก็คงเล่นขึ้นสูงปรี๊ดไปแล้วเช่นเดียวกัน

“หยุดครับเจ้ ช่วงนี้ผมยังไม่ขาดของ คงยังไม่ได้ใช้บริการเจ้เร็วๆ นี้แน่ๆ ส่วนมึงไอ้ต้าร์ เลิกแกล้งน้องได้แล้ว ดูแปงเค้าหน้าแดงหมดแล้วเห็นไหม”ว่าแล้วไหมละว่าหน้าผมคงแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว

“มึงอย่ามาห้ามกูไอ้ฟ่าง มึงมันก็แค่เมียเก่าปลดระวาง น้องแปงของกูสดใหม่ เร้าใจกว่า”ตอนนี้ถ้ามุดโต๊ะลงไปได้ผมคงทำไปแล้วครับ พี่ต้าร์นี่ก็โอบผมเสียแน่นเชียวครับ

“ต้าร์ ฟ่าง ตามมาพบผมที่ห้องด้วย”เสียงเฉียบ ขรึมดังขึ้นทำให้พวกเราทั้ง 4 คนเงียบไปตามๆ กัน ไม่ใช่ใครหรอกครับที่เป็นเจ้าของคำพูดนั้น เจ้านายของพวกเราเองนี่แหละครับ พี่ต้าร์กับพี่ฟ่างมองหน้ากันพร้อม ขยับปากโดยไม่มีเสียงถามกันไปมาว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะลุกเดินตามนายไปทั้ง 2 คน ส่วนเจ้โอ๋ก็ให้กำลังใจทั้งคู่ด้วยการยกนิ้วขึ้นทำท่าปาดคอ

“นี่จะโดนดุเรื่องที่เล่นกันหรือเปล่าพี่”ผมถามอย่างไม่ได้จริงจังนักเพราะเห็นออฟฟิศนี้ก็เล่นกันสบายๆ อยู่แล้ว จากที่อยู่มาก็เห็นทุกคนว่าขอให้งานเสร็จ งานออกมาดี จะเล่นจะอะไรก็ให้อยู่ในขอบเขตทำได้หมดแหละครับ

“ดูเครียดขนาดนี้เจ้ว่า เรื่องงาน แล้วเรียกแพคคู่แบบนี้คงงานไหนสักงานที่สองคนนั้นรับผิดชอบอยู่ แล้วจากสถิติการเรียกเข้าห้องเย็นแบบนี้ งานมีปัญหาชัวร์ สองผัวเมียนั่นหัวฟูแน่นอนงานนี้ เจ้ไปดีกว่า เจ้ไม่อยากโดนหางเลข”เจ้โอ๋ไม่รอให้ผมถามต่อเลยว่าสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้คืออะไร เจ้แกหายวับไปแค่ชั่วพริบตาเลยก็ว่าได้ครับ

จากที่คิดเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง หรือการที่พี่ต้าร์เล่นแกมหยอกผมอยู่นี้มันหมายความว่ายังไง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมมีความกังวลร่วมไปกับพี่เค้าทั้งสองคน จากที่มองผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่ ท่าทางดูเครียดกันทุกคนเลย

“แปงน้องรักพี่ขอกำลังใจหน่อย”ทันทีที่ออกมาพี่ต้าร์ก็เดินเข้ามาสวมกอดผม โดยไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัวเลย เล่นเอาผมเกร็งจนทำอะไรไม่ถูกเลยแหละครับ

“พอเลยไอ้ต้าร์ มึงนี่เวลายิ่งเหลือน้อยก็ยังจะเล่นอีก”พี่ฟ่างฟาดกระดาษลงมาที่หัวของพี่ต้าร์ ทำให้พี่ต้าร์ผละออกจากผม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่ถ้าพี่ต้าร์เล่นแบบนี้บ่อยๆ ผมชักจะเริ่มคิดจริงๆ แล้วนะครับ

“ไรวะมึง อย่าลืมสิว่าแปงคือความหวังของพวกเรา”พี่ต้าร์หันไปคุยกับพี่ฟ่างที่ดูเหมือนจะเข้าใจกันอยู่แค่ 2 คน ปล่อยผมเอ๋อรับประทานไม่รู้เรื่องรู้ราวกระพริบตาปริบๆ มองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความหวังว่าจะมีใครอธิบายผมสักหน่อย

“เอาแบบย่อๆ นะน้องแปงคือโปรเจกต์ที่พี่สองคนทำอยู่เนี่ย ลูกค้าขอเลื่อนกำหนดส่งงาน จากเดิมคือส่งสัปดาห์หน้า เป็นส่งภายในวันนี้”นี่สินะสาเหตุที่ดูทุกคนเครียดกัน ลูกค้านี่ก็เหลือเกินเห็นว่าเป็นลูกค้าแล้วจะเอางานตอนไหนก็ได้หรือไง ว่าแต่แล้วผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง

“แปงต้องช่วยพี่สองคนทำให้เสร็จก่อน 4 ทุ่มคืนนี้ รายละเอียดเดี๋ยวพี่จะบรีฟให้พร้อมเริ่มทำ อันดับแรกคงต้องแบ่งส่วนงานที่เหลือออกก่อน แล้วรับผิดชอบของแต่ละคน แล้วค่อยเอามารวมกันอีกที”พี่ต้าร์หันมาอธิบายผมด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังกว่าปกติ ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ

“เอาน่าอย่าเพิ่งถอนหายใจ ยังไงนายก็ยังต่อรองเวลาจาก 5 โมงเย็นเป็น 4 ทุ่มได้ก็ยังดี”พี่ฟ่างตบไหล่เหมือนปลอบใจเพื่อน

“ก็ลองเอา 5 โมงสิยังไงมันก็ไม่ทัน นี่ทำ 3 คนให้ทัน 4 ทุ่มนี่ก็คงลุ้นแบบหืดขึ้นคอกันทีเดียว”พี่ต้าร์ยังคงบ่นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

“อย่าเพิ่งขู่มาก เดี๋ยวแปงก็กลัวพอดี แปงไม่ต้องเครียดตามไอ้ต้าร์มันละ ค่อยๆ ทำไปจุดไหนไม่เข้าใจหรือไม่มั่นใจก็ถามพวกพี่สองคนได้ แล้วก็จริงๆ เวลาส่งงานลูกค้าให้ถึง เที่ยงคืนแหละ แต่นายอยากขอรันดูก่อน เผื่อต้องแก้อะไรจะได้แก้ไขทัน ยังไงคงต้องเหนื่อยสักนิดแหละนะวันนี้”พี่ฟ่างหันมาให้กำลังใจผม จริงๆ ผมก็เครียดแหละครับ เพราะเพิ่งมาทำงานไม่นาน แล้วงานนี้ผมก็ไม่ได้ดูตั้งแต่แรก แถมต้องทำในเวลาจำกัดขนาดนี้แต่ก็คงต้องทำให้เต็มที่แหละครับ

“มา เริ่มกันดีกว่าจากนาทีนี้ไปเราคงไม่ได้คุยภาษามนุษย์กันแล้ว”นั่นคงเป็นภาษามนุษย์ประโยคสุดท้ายจากปากของพี่ต้าร์ แล้วเราทั้ง 3 ก็หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ประจำตัวของแต่ละคน เราต่างคนต่างรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง ผมพยายามทำความเข้าใจกับงานตรงหน้าให้ได้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้ทั้งพี่ต้าร์และพี่ฟ่างต้องสะดุดกับงานที่กำลังทำมาอธิบายกับผมอีกรอบ

เวลาที่ทำอะไรแข่งกับเวลานี่ เวลามันมักจะเดินเร็วเสมอ ผมว่านี่ผมคงยังทำในส่วนที่รับผิดชอบไปไม่ถึงครึ่ง แต่มองนาฬิกาตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายสองแล้ว เรียกว่าเห็นนาฬิกานี่ทั้งตกใจที่เวลาน้อยลงทุกที แถมนี่ทำงานจนลืมเวลากินข้าวไปแล้วครับ

“แปงไปพักกินข้าวก่อนไหม ต้าร์มันฝากเจ้โอ๋ซื้อข้าวกล่องมาให้แล้ว”พี่ฟ่างพูดกับผมโดยที่สายตรยังคงจ้องที่หน้าจอเหมือนเดิม ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่หิวหรอกนะครับ แต่พอรู้เวลาปุ๊ปมันหิวขึ้นมาทันทีเลย แต่พอเห็นพี่ทั้งสองที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานแล้วจะให้ผมไปกินก่อนได้ไงละเนี่ย

“ไม่ต้องเกรงใจ หิวก็กินก่อนเลย กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง หิวแล้วไม่กินเกิดปวดท้องขึ้นมาทำงานต่อไม่ได้อีกมันจะแย่เอา”พี่ต้าร์หันมาบอกพร้อมส่งยิ้มให้ผม

“เอางี้ถ้าแปงกินเสร็จกลับมาเดี๋ยวพี่ไปกินต่อเลย โอเคไหม”เมื่อเห็นผมยังลังเลพี่ต้าร์เลยยื่นข้อเสนอเพิ่มมาให้ นี่สรุปยังไงผมก็คงต้องไปกินก่อนสินะ เป็นอันว่าผมก็ลุกออกมากินข้าวเป็นคนแรก จริงๆสำหรับผม เอาไปวางหน้าจอทำไปกินไปก็ยังได้นะครับ แต่พี่ๆ ว่าควรมีช่วงเบรกบ้างไม่งั้นจะล้าจนเกินไป ผมก็รีบทำเวลาให้เร็วที่สุดแหละครับไม่อยากเป็นตัวถ่วง เพราะนี่ผมคงทำงานได้ช้ากว่าพี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว นี่ขนาดว่าเค้าแบ่งส่วนน้อยให้ผมแล้วนะครับ

“อ้าวมาแล้วเหรอ พอดีพี่ช่วยดูว่ามันเป็นไงบ้าง”ผมต้องแปลกใจนิดหน่อยเพราะพอกลับมาที่โต๊ะ พี่ต้าร์ก็นั่งแทนที่ผมอยู่ แต่พอผมมาแกก็ลุกบอกจะไปทานข้าวทันที

“พี่ฟ่างยังไม่ไปทานข้าวเหรอครับ”ผมหันไปถามอีกคนที่ยังคงนั่งจ้องหน้าจอ

“อีกนิดนึงจะไปละ ไม่เกิน 5 นาที”ผมไม่ได้เซ้าซี้พี่เค้าอีก หันมาสนใจงานของตัวเองต่อ แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเพราะเหมือนงานผมจะเสร็จเพิ่มอีกเยอะเลย ผมอมยิ้มก่อนจะหันมองไปตามทางที่อีกคนเดินไปทานข้าว ผมรีบตั้งใจทำงานต่อด้วยรอยยิ้มที่แทบหุบไม่ว่าพี่เค้าช่วยทำเพราะกลัวงานไม่เสร็จ หรือช่วยเพราะอะไรอย่างอื่นก็เถอะ แต่สิ่งที่พี่เค้าทำ มันทำให้ผมประทับใจ

“ขอบคุณทั้ง 3 คนมากเลยนะ เสร็จก่อนเวลาอีกเนี่ย”หลังจากที่นายตรวจสอบงานเรียบร้อย ไม่มีจุดไหนที่ต้องแก้ไขอีก ทั้งผมและพี่ๆ ก็ยิ้มแก้มปริกันแหละครับ แม้วันนี้จะเหนื่อยทั้งวันที่ต้องนั่งอยู่กับหน้าจอไม่ได้ขยับไปไหนเลยก็ตาม

“งานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปหาไรกินกันเติมพลังงานที่สูญเสียกันดีกว่า”พี่ต้าร์เดินมาบอกพร้อมกอดคอผมอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ได้เกร็งเหมือนครั้งก่อนๆ แล้ว

“ไปด้วยกันนะแปง ห้ามปฏิเสธด้วย เดี๋ยวพวกพี่เลี้ยงเอง”พี่ฟ่างเข้ามาย้ำอีกคนเมื่อเห็นผมยังไม่ยอมตกลง งานนี้จะให้ผมปฏิเสธได้ยังไงละครับ แถมนี่ก็ 3 ทุ่มแล้วด้วย อยากบอกว่าหิวจนจะกินช้างได้อยู่แล้วครับ ยิ่งการอยู่กับภาษาคอมพิวเตอร์มายาวนานทั้งวันแบบนี้ มันเหนื่อยกว่าการทำงานปกติเพิ่มไปอีกสัก 2 เท่าแล้วครับ เป็นอันว่าเราทั้ง 3 คนรีบเก็บข้าวของเพื่อมุ่งตรงไปยังร้านประจำของพี่ๆ เขาแหละครับ แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากออฟฟิศ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วนิดนึงเมื่อเห็นชื่อว่าใครโทรเข้ามา แต่ก็บอกให้พี่สองคนล่วงหน้าไปเลย ก่อนผมจะกดรับสาย

“ลุงจะกลับบ้านตอนไหนคร๊าบบ”น้ำเสียงกวนๆ ครั้งนี้ทำไมผมรู้สึกว่าน่าเอ็นดู เหมือนเด็กๆ รอผู้ปกครองกลับบ้านยังไงไม่รู้

“พี่เพิ่งเสร็จงาน กำลังจะไปกินข้าวกับพี่ๆ ที่ทำงาน ภู่มีอะไรหรือเปล่า”ผมถามพร้อมหยิบเป้ขึ้นสะพายเพื่อตามพี่สองคนที่เดินนำไปแล้ว

“ไม่มีอะไรครับ แค่เห็นบ้านยังเงียบๆ อยู่เลยโทรมาถามดู ว่าแต่ทำไมวันนี้ลุงดูน้ำเสียงเหมือนมีความสุขจัง มีอะไรดีๆ หรือเปล่า”สายตาผมมองไปยังคนที่เดินนำหน้าผมอยู่ นั่นละมั้งเรื่องดีๆ ของผมในวันนี้

“ไม่มีอะไรหรอก ยังไว้เจอกันพรุ่งนี้ตอนมื้อเช้าละกันนะ”ผมบอกทั้งที่ยังยิ้มอยู่ วันนี้ต่อให้เจ้าเด็กโย่งนี่จะกวนประสาทผมก็จะไม่ถือสาครับเพราะมันเป็นวันดีๆ ของผม แต่จะว่าไปวันนี้เด็กโย่งนี่ก็ไม่ค่อยกวนเท่าไหร่นะครับ ออกจะผิดวิสัยอยู่สักหน่อย แต่ช่างเถอะ

“งั้นพรุ่งนี้ผมทำข้าวต้มกุ้งให้กินละกันนะครับลุง แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ แก่แล้วเดี๋ยวตามองไม่เห็นทาง”นั่นไง ยังไม่ทันขาดคำก็กวนมาอีกแล้ว ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ นี่ผมสนิทกับเด็กนี่แล้วเหรอก็ยังงงๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมวางสายจากภู่ก่อนจะรีบตามพี่ๆ อีกสองคนให้ทัน ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงที่หมาย เป็นร้านที่ตกแต่งให้ดูเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ นี่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีร้านแบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย

“แปงไม่ลองสักหน่อยเหรอ เบียร์วุ้นร้านนี้เด็ดอย่าบอกใครเลยนะ ต้องโดนสักหน่อยรับรองสดชื่นหายเหนื่อยเลย”พี่ต้าร์ทำท่าแปลกใจที่ผมปฏิเสธว่าแทบไม่เคยดื่มเลย แถมยังพยายามเกลี้ยกล่อมผมให้ลองอีกต่างหาก แต่ผมก็ยังปฏิเสธเพราะไม่ถนัดจริงๆ กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนี่ย

“ขอตัวรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ”พี่ฟ่างหยิบโทรศัพท์พร้อมเตรียมลุกออกไป

“นี่ชู้โทรมาอีกแล้วเหรอตัวเอง เค้าหึงนะ”พี่ต้าร์จงใจแกล้งพูดให้เสียงตัวเองลอดเค้าไปให้อีกฝั่งที่โทรมาหาพี่ฟ่างได้ยิน เลยโดนพี่ฟ่างหันกลับมาชูนิ้วกลางกลับมาให้ ซึ่งดูเหมือนพี่ต้าร์เองก็ไม่ได้จะสะทกสะท้านอะไร เหมือนจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ ผมเองมองทั้งคู่ด้วยความไม่เข้าใจ ความคิดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผุดขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง

“มองไรเนี่ยเรา อย่าบอกนะว่ายังคิดว่าพี่กับไอ้ฟ่างเป็นมากกว่าเพื่อนกันอยู่”ผมไม่ได้ตอบแต่แค่ยิ้มแห้งๆ ให้ไปเท่านั้น

“คนที่โทรมานั่น คนสำคัญของฟ่างมันแหละ”ผมหันมองพี่ต้าร์อย่างสนใจครับเพราะเท่าที่เคยรู้จักพี่ฟ่างมา ผมก็ไม่เคยเห็นแกมีใคร แถมไอ้ผมก็ปักใจเชื่อมาตลอดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน

“แฟนพี่ฟ่างเหรอครับ”ผมถามด้วยอาการที่ปิดความอยากรู้ไว้ไม่มิด

“อยากรู้เหรอ”พี่ต้าร์โน้มหน้ายื่นข้ามโต๊ะมาพร้อมกวักมือเรียกให้ผม ยื่นหน้าเข้าไปด้วย แต่ผมเพียงแค่พยักหน้าแล้วนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม พี่ต้าร์เลยเอนตัวกลับแล้วหันไปหยิบแก้วเบียร์ที่รินน้ำสีอำพันใส่จนเต็มก่อนจะเลื่อนมาไว้ตรงหน้าผม

“หมดแก้วแล้วจะเล่าให้ฟัง”บอกพร้อมกับยักคิ้วให้กับผม ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธและตอบกลับว่าไม่อยากรู้แล้วก็ได้

“อะไรวะ โตมายังไงเนี่ยเหล้าเบียร์ก็ไม่แตะ”พี่ต้าร์บอกขำๆ แล้วดึงแก้วเบียร์กลับไปดื่มเอง ส่วนผมก็ดื่มน้ำอัดลมของตัวเองต่อ พร้อมตัดสินใจบางอย่าง

“แล้วแฟนพี่ต้าร์ละครับ”ผมตัดสินใจถามออกไป



TBC
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 5 ประทับใจ 23-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-06-2017 13:17:14
พี่ตาร์ หยอกเรื่อย ถึงเนื้อถึงตัวแปงตลอด
อย่างนี้ แปงก็แย่สิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 5 ประทับใจ 23-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-06-2017 17:59:53
  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 5 ประทับใจ 23-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-06-2017 20:51:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 5 ประทับใจ 23-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-06-2017 07:57:13
บทที่ 6
สเปค




“แล้วยังไงต่ออ่ะแก เล่ามาๆ กำลังลุ้นเลย”ข้าวหอมรีบเร่งให้ผมเล่าต่อถึงเหตุการณ์วันก่อนที่ผมไปทานข้าวกับพี่ต้าร์และพี่ฟ่าง นี่ผมก็เล่าถึงตอนที่ผมถามพี่ต้าร์ว่าแกมีแฟนหรือเปล่านั่นแหละครับ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่ข้าวหอมหรอกครับที่อยากรู้ผมเองก็อยากรู้มากเหมือนกัน

“ก็แค่นั้นแหละ พอถามจบพี่ฟ่างก็ถือโทรศัพท์กลับมา บอกว่าน้องชายอยากคุยกับพี่ต้าร์ พอคุยโทรศัพท์จบก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กันอีกแล้ว”ผมบอกไปตามตรง

“น้องชายใคร น้องชายพี่ฟ่างอยากคุยกับพี่ต้าร์หรือน้องชายพี่ต้าร์ที่คุยกับพี่ฟ่าง ยังไง หอมงงไปหมดแล้ว”อย่าว่าแต่ข้าวหอมที่งงเลยครับ ผมเองก็งงที่อยู่ๆ พี่ฟ่างที่แยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์เดินกลับเข้ามายื่นโทรศัพท์ให้พี่ต้าร์ ทั้งที่ทีแรกพี่ต้าร์บอกว่าคนในสายคือคนสำคัญของพี่ฟ่าง

“น้องชายมึงจะคุยด้วย”พี่ฟ่างยื่นโทรศัพท์มาพร้อมบอกกับอีกคน

“น้องชายกูเหรอ”พี่ต้าร์ที่ตอบรับยิ้มๆ อย่างมีลับลมคมนัยซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับว่ามันหมายความว่ายังไง ผมเพียงยิ้มให้พี่ฟ่างที่นั่งลง ส่วนพี่ต้าร์ก็ลุกออกไปด้วยท่าทางไม่เต็มใจสักเท่าไหร่

“ว่ายังไงครับไอ้น้องชายสุดที่เลิฝจะว่าอะไรกูอีก”นั่นคือเสียงแว่วๆ ที่ผมได้ยินก่อนที่พี่ต้าร์จะเดินห่างออกไป

“จริงๆ แกน่าจะหัดดื่มบ้างนะแปง ถ้าแกดื่มตามที่พี่ต้าร์เสนอป่านนี้แกรู้อะไรดีๆ เยอะแล้วเนี่ย”ตัดกลับมาที่ข้าวหอมผู้ซึ่งกำลังทำเสียงหน่ายๆ ใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์

“มันเรื่องส่วนตัวพวกพี่เค้าไหมละแก”ผมรีบเบรคอารมณ์ของเพื่อนตัวดีให้ลดความเผือกลงก่อน

“แกนี่ก็ชักช้า แอบปลื้มพี่เค้ามาตั้งนาน มัวแต่ลีลาอยู่นั่นแหละ ถ้ามั่นใจว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นอะไรกันแกก็คว้าพี่ต้าร์ไว้เลย จะได้มีผัว โอ้ย!”ดูเอาเถอะครับคำพูดคำจาของเพื่อนผม ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะฟาดเบาๆ ไปที่ต้นแขนของอีกฝ่าย แต่คุณเธอก็ทำท่าเจ็บเสียเต็มประดา

“แฟน แกจะได้มีแฟนสักทีไง แถมยังเป็นคนที่แกปลื้มมาตั้งนานแล้วด้วย แค่คิดชั้นก็ฟินแทนแกแล้วเนี่ย”เอาเข้าไปครับเหมือนตอนนี้เพื่อนผมจะหลุดเข้าโลกจินตนาการไปแล้ว แต่ผมเองยังไม่อยากจะคิดไปไกลหรอกครับ เพราะต่อให้พี่ต้าร์จะไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่าง ก็ไม่ได้แปลว่าพี่เค้ายังไม่มีใครเสียหน่อยจริงไหมครับ

“เมื่อไหร่พี่โตจะมารับแกเนี่ย”ผมเปลี่ยนเรื่องโดยไม่สนข้าวหอมที่เหมือนจะยังอยากพูดประเด็นของพี่ต้าร์ต่อ วันนี้ข้าวหอมไปหาผมที่ทำงานตอนที่กำลังจะเลิกงาน แล้วก็เลยกลับมากับผม ส่วนตอนกลับก็ค่อยให้แฟนมารับอีกทีนั่นแหละครับ

“ทำเป็นมาเปลี่ยนเรื่อง พี่โตอ่ะเดี๋ยวก็ถึงช่วงนี้รถติด ชั้นเองก็ไม่ได้รีบอะไร กลับมาเรื่องแกกับพี่ต้าร์อีกนิดนะ ชั้นว่าจากที่ฟังแกเล่า ชั้นว่าพี่เค้าก็เหมือนจะอ่อยแกอยู่นะ”หืม ตรงไหนที่ทำให้ข้าวหอมคิดว่าพี่เค้าอ่อยผมกันละเนี่ย

“กลับมาแล้วคร๊าบ ลุง”เสียงตะโกนพร้อมเด็กตัวโย่งที่เดินเข้าประตูมาทำให้ทั้งผมและข้าวหอมหันไปมอง ส่วนเจ้าของเสียงก็ชะงักอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว ที่เจ้าตัวกล้าเข้ามาอย่างถือวิสาสะขนาดนี้ เพราะช่วงนี้ทั้งมื้อเช้าและเย็นของผมแทบจะเป็นฝีมือของเด็กนี้เกือบทุกมื้อแล้วละครับ

“ขอโทษครับ ไม่นึกว่าพี่แปงมีแขก ว่าแต่พี่สาวคนสวยนี่ชื่ออะไรครับ ผมชื่อภู่นะครับ”ไอ้ประโยคแรกก็เหมือนจะดีอยู่นะครับ แต่ไอ้หลังๆ นี่คืออะไร แล้วเพื่อนผมนี่อีกพอเด็กชมว่าสวยหน่อย หน้าบานยิ้มจนปากจะฉีกแล้วเนี่ย

“พี่ชื่อข้าวหอมจ๊ะน้องสุดหล่อ นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่มีแฟนแล้ว ก็อยากจะถามน้องภู่สักหน่อยว่าชอบคนอายุมากกว่าบ้างไหม”แหม นี่เพิ่งเจอกันไม่ถึง 2 นาทีตกลงนี่จะดีลกันแล้วหรือไง

“อะแฮ่ม”ผมแกล้งทำเสียงให้ทั้งสองละสายตาจากกันก่อน

“ภู่กลับไปเปลี่ยนชุดก่อนไหมจะได้มาเข้าครัว หิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย”ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนการสั่งกลายๆ

“ครับผม”เด็กโย่งหันมาทำท่าตะเบ๊ะใส่ผมอย่างกวนๆ ก่อนจะหันหลังออกไป

“ใคร เล่ามาเลย”ทันทีที่เจ้าเด็กโย่งออกไปสายตาจับผิดจากเพื่อนตัวดีของผมก็จ้องเขม็งมาที่ผมอย่างคาดคั้น นี่ถ้าผมไม่เล่าอาจโดนแหกอกสินะครับเนี่ย ที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผมจะต้องปิดบังข้าวหอมหรอกนะครับ อีกอย่างผมกับเด็กนี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพื่อนบ้าน โอเคผมอาจจะเอ็นดูเด็กนี่อยู่บ้าง แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนี่แน่ๆ กวนประสาทก็เป็นที่หนึ่ง

“น้องข้างบ้านนี่แหละ เป็นหลานเจ้าของบ้านที่เช่าอยู่นี่แหละ เขาก็ฝากว่าช่วยๆ ดูแลให้ด้วยแค่นั้นแหละ ชั้นก็แค่เอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่งเท่านั้นเอง”ผมรีบอธิบายทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องกลัวยัยข้าวหอมนี่เข้าใจผิด

“จริงอ่ะ”และแม้จะบอกไปขนาดนั้นแม่เพื่อนตัวดีของผมก็ยังทำท่าจะแซวไม่เลิกครับ

“จริงดิ”ผมต้องทำเสียงต่ำ สีหน้าจริงจังเพื่อยืนยันให้เพื่อนเข้าใจ

“แล้วทำไมต้องเขินด้วยอ่ะ”สายตาจับผิดของข้าวหอมยังคงจ้องมาจนผมต้องหลับตาและรีบปฏิเสธ

“บ้า ใครเขิน ไม่ได้เขิน”ผมว่าผมไม่ได้เขินจริงๆ นะครับ แค่รู้สึกไม่อยากสบตากะยัยนี่เวลาพูดเพราะสายตาดูเหมือนจ้องแต่จะจับผิดผม แล้วผมก็แค่ไม่รู้จะทำตัวยังไงแค่นั้นเอง มือไม้ก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนทำไมรู้สึกตัวเองเก้ๆ กังๆ ไปหมดเนี่ย  ผมว่าผมไม่ได้เขินจริงๆ นะครับ

“ไม่เขินก็ไม่เขิน ว่าแต่เมื่อกี้อะไร เปลี่ยนชุดเข้าครัวคืออะไร น้องสุดหล่อนั่นมาเป็นพ่อครัวส่วนตัวแกงี้เหรอ คือยังไง”ผมหันกลับมายิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ที่จริงด้วยความที่เราสนิทกันมากมีอะไรก็ต่างคนต่างเล่าให้กันฟังทุกเรื่อง แต่อาจเพราะช่วงนี้ผมแยกออกมาอยู่คนเดียวที่นี่แถมยังวุ่นๆ กับการเริ่มทำงาน เลยไม่ค่อยมีเวลาคุยกับข้าวหอม ผมก็เลยลืมเล่าเรื่องนี้ไปเลย พอโดนจี้ถามแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะครับเนี่ย

“ก็ไม่มีอะไร ต่างคนก็อยู่คนเดียวไง เลยมาทำกับข้าวกินด้วยกัน”ผมแอบอมยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งผมและเด็กข้างบ้านนั่นต้องมาทานข้าวด้วยกันแทบจะทุกเช้าเย็น นี่ถ้าเด็กนั่นเก็บเงินซื้อกีตาร์ได้ครบตามจำนวนเค้ายังจะมาทานข้าวกับผมแบบนี้อีกไหมนะ

“เกลียด นี่ชั้นกับพี่โตยังไม่มีโมเม้นต์อะไรแบบนี้เลย นี่แกย้ายมาอยู่ข้างนอกแปปเดี๋ยวมีทั้งหนุ่มในฝันอย่างพี่ต้าร์ แถมหนุ่มน้อยกางเกงขาสั้นวัยกรุ๊บกรอบนี่อีก แกไปทำเสน่ห์อาจารย์ไหน บอกชั้นมาเลยนะแปง”เสียงข้าวหอมพุ่งสูงปรี๊ดตะโกนใส่ผมด้วยความหมั่นไส้ แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การแหย่ผมเล่น  แต่ไอ้เสียงแหลมขนาดนี้ผมเองก็ต้องรีบเอามืออุดหูเหมือนกันแหละครับ

“เสียงดังไปถึงปากซอยแล้วหอม ทำไรเนี่ย”พี่โตที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง หรืออาจจะมีเสียงแต่เราสองคนมัวแต่คุยกันก็เป็นได้

“หวัดดีครับพี่โต”ผมทักทายตามปกติ ส่วนคุณเพื่อนตัวดีของผมนะเหรอครับ พอแฟนมาก็รีบไปสิง เอ้ย ไปคล้องแขนประกบยังกับกลัวใครจะแย่งงั้นแหละครับ ทั้งที่ก็อยู่กันแค่นี้

“ก็แปงอะพี่โต มีแฟนแล้วปิดเพื่อน แถมไม่มีธรรมดาด้วยนะมีทีเดียวสองคน”เอาเข้าไปครับเพื่อนผม นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาได้ยินคงตกใจแล้วคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีแน่ๆ ที่คบทีเดียวสองคน แต่โชคดีที่นี่คือพี่โตที่เข้าใจธรรมชาติของข้าวหอมผู้ซึ่งพูดทุกอย่างได้เกินจริงเกือบสิบเท่า และพี่โตเองก็รู้จักผมว่าเป็นคนยังไง

“นี่มีคนมาจีบแปงถึง 2 คนเลยเหรอ”นี่ขนาดว่าพี่โตพยายามตีความลดลงจากที่แฟนสาวของแกพูดแล้วนะครับ ก็ยังคลาดเคลื่อนอยู่ดี

“ไม่มีใครจีบหรอกพี่ หอมก็พูดไปเรื่อย”ผมรีบบอกก่อนที่พี่โตเองจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“อย่างพี่ต้าร์นั่นไม่เรียกจีบแล้วเรียกอะไรดี อ่อยแกงี้เหรอ”แต่ดูเพื่อนผมนี่จะไม่ยอมแพ้ครับ ทั้งที่ผมว่าที่จริงแล้วพี่ต้าร์เค้าก็คงเอ็นดูผมเหมือนรุ่นน้องคนนึงนั่นแหละครับ อีกอย่างผมเองก็เพิ่งเข้าทำงานใหม่ด้วย แถมเป็นน้องเล็กสุดในแผนก พี่ๆ เค้าก็ต้องเอ็นดูกันเป็นธรรมดาแหละครับ

“แต่จริงๆ พี่ว่าแปงมีแฟนก็ดีนะ จะได้ไม่เหงายิ่งออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ รีบมีแฟนอะดีแล้ว”พี่โตพูดพร้อมกับเอาถุงที่แกหอบพะรุงพะรังมา ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะเป็นกับข้าวเสียส่วนใหญ่ เอาละสิผมก็ลืมไปเลยว่าให้พี่โตซื้อกับข้าวมาทานด้วยกัน เอาไงดีละผมทีนี้ แต่พี่โตซื้อมาเยอะขนาดนี้แค่ชวนเด็กโย่งนั่นกินด้วยอีกคนไม่น่าจะเป็นไรหรอกมั้ง

“พี่โตไม่น่าซื้อกับข้าวมาเยอะแยะขนาดนี้เลย เดี๋ยวนี้แปงเค้ามีพ่อครัวส่วนตัวแล้วนะรู้หรือเปล่า”นั่นไงครับ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร คุณเพื่อนตัวดีผมก็วกมาแซวผมอีกแล้ว

“มาแล้วครับ”นี่ก็ตายยากเหลือเกินครับ ทั้งผม ข้าวหอม พี่โต หันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ส่วนเจ้าของเสียงก็ชะงักไปเพราะคงไม่คิดว่าจะมาเจอใครเพิ่มอีกนอกจากข้าวหอม

“พี่แปงมีแขกแบบนี้...”นี่ก็จะมาแสดงอาการสงบเสงี่ยมอะไรตอนนี้ ทุกทีออกจะกวนสารทผมได้ตลอด แล้วคู่รักตรงหน้าผมนี่อีก พี่โตทีแรกก็ดูนิ่งๆ ไม่อะไรทีแบบนี้พร้อมใจกันหันมาจ้องผมด้วยรอยยิ้มล้อเลียนนี่อีก

“แขกที่ไหนเข้ามา นี่ก็ข้าวหอมไงรู้จักแล้ว นี่ก็พี่โตแฟนข้าวหอม”แล้วเจ้าเด็กโย่งนี่ก็ปรับสีหน้าเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าครับ ยิ้มแป้นเลยทีเดียว พอผมบอกให้เข้าบ้านมา เค้ายกมือไหว้พี่โตพร้อมกับแนะนำตัว

“เออมาๆ พี่ซื้อกับข้าวมาเยอะเลย มาทานด้วยกัน”พอบอกน้องมันเสร็จทำไมพี่โตต้องหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยละเนี่ย นี่ชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ให้คู่รักคู่นี้มาบ้านวันนี้

“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้ครับ”นี่ก็เหมือนรู้งานรีบรับถุงกับข้าววิ่งเข้าห้องครัวไปเลย ทั้งหอมทั้งพี่โตมองตามจนเค้าลับตาไปแล้วก็หันมาจ้องผมต่อ

“ยังไง ยังไง”แล้วนี่ทำไมสองคนนี้ต้องมาถามเหมือนผมทำความผิดหรือปิดบังอะไรไว้ละเนี่ย

“เดี๋ยว...ไปช่วยน้องแกะกับข้าวก่อนนะ”ผมตัดบทโดยไม่สนใจสีหน้าเซ็งๆ และเสียงถอนหายใจหน่ายๆ ของทั้งคู่

“โอเคหรือเปล่า”ผมถามทั้งที่มือก็หยิบจานช้อนไปด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงถามออกไปแบบนั้น หรืออาจแค่เพราะจะหาเรื่องคุยกับเค้า

“โอเคอะไรพี่”เค้าหยุดมือที่กำลังเทกับข้าวใส่จาน หันมามองผมด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็ที่ต้องมากินข้าวกับเพื่อนๆ พี่นี่ไง”ผมอธิบาย เพราะเกรงว่าเค้าจะเกร็งหรือเปล่าที่ต้องมาทานข้าวกับคนที่ไม่ได้สนิท เพิ่งจะรู้จักผมก็กลัวว่าเค้าจะอึดอัดหรือเปล่า แต่ที่ผมชวนเค้าทานข้าวด้วยก็เพราะรู้สึกว่าอยากให้ทั้งเค้าและข้าวหอมรวมทั้งพี่โตเนี่ยรู้จักกันไว้ คู่นั้นจะได้ไม่ต้องมาแซวผม ให้รู้จักกันไว้แบบนี้อ่ะดีแล้ว ว่าเป็นพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกันแค่นั้น

“โหโอเคสิพี่ ดีเสียอีกไม่ต้องทำเอง”ดูแล้วคงผมเองนี่แหละครับที่คิดมากไปเอง เด็กนี่ออกจะสบายๆ สบายจนน่าหมั่นไส้แล้วครับเนี่ย

“เพื่อนแปง ไม่ต้องแอบเติมน้ำตาลนะ ช่วงนี้ชั้นลดความหวานอยู่”ภู่หันมามองหน้าผมงงๆ ว่าหมายความว่าไง ผมเลยบอกไปว่าอย่าสนใจเพื่อนผมก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ เพราะจริงๆ ก็รู้แหละครับว่าข้าวหอมจงใจแกล้งแซวผม ผมกับภู่จัดกับข้าวใส่จานไม่นานก็เรียบร้อย พร้อมยกออกมาวางที่โต๊ะกินข้าว ที่มีสองคนคู่รักมองผมกับภู่ด้วยสายตาและรอยยิ้มแปลกๆ

“ส่งจานมาเดี๋ยวผมตักข้าวให้ครับ”หลังจากตักข้าวให้ผมเสร็จ จะตักข้าวให้ข้าวหอมต่อ แต่เห็นรอยยิ้มกับท่าทางของเพื่อนแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เดี๋ยวต้องมีอะไรแซวผมอีกแน่ๆ

“อุ้ยๆ บริการทุกระดับประทับใจ”นั่นไงครับ แถมไม่พูดเปล่า สายตานี่มองผมแบบตั้งใจล้อตั้งใจแซวสุดๆ ครับ แต่พอเริ่มทานข้าว ก็เหมือนจะเลิกสนใจผมไปบ้าง ข้าวหอมก็หันไปอ้อนพี่โตให้ตักนั่นตักนี่ให้บ้างตามประสา แต่ก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องมาจ้องแต่จับคู่ให้ผมกับไอ้เจ้าเด็กโย่งนี

“พี่กินปลาไหมเดี๋ยวผมตักให้”แต่แล้วไอ้คนที่หางานให้ผมก็คือคนข้างๆ นี่แหละครับ เข้าใจว่าไอ้ปลาทอดมันวางห่างผม แต่แขนผมก็ไม่ได้สั้นขนาดจะเอื้อมตักเองไม่ถึง แถมถามจบไม่ได้รอให้ผมตอบ ตักมาใส่จานผมเรียบร้อย จะปฏิเสธก็ไม่ทัน ส่วนคู่รักสองคนฝั่งตรงข้ามนะเหรอครับ รีบสะกิดกันดูเต็มที่ เดี๋ยวคงมีแซวอะไรอีกแน่ๆ

“น้องภู่นี่มีแฟนหรือยังจ๊ะ”นั่นไงละ นี่เริ่มจะดึงเข้าเกมชงมาใส่ผมอีกใช่ไหมเนี่ย

“ก็”

“มีแล้ว แถมวันก่อนยังมาตบแย่งกันถึงหน้าบ้านนี่เลย”ผมรีบชิงตอบตัดหน้า ก่อนที่เด็กนี่จะหลวมตัวไหลไปตามเกมของยัยหอมครับ

“โหพี่ก็เล่าซะผมเสียหมดเลยเนี่ย”แหมนี่ก็ทำมาเป็นโวยวาย ผมพูดผิดเสียที่ไหนละครับ ก็วันก่อนมีสองสาวมาตบกันหน้าบ้านจริงๆ แถมเรียกผมลุงอีกต่างหาก

“ก็มันจริง แล้วนี่เลือกได้หรือยังว่าคนไหน”ผมรีบพูดต่อก่อนที่ยัยหอมกับพี่โตจะหาช่องแซวผมอีก

“สองคนนั้นผมไม่สนแล้วพี่ ตอนนี้ผม...”แล้วนี่จะหันมามองผมทำไมละเนี่ย

“แค่กๆ”แต่ยังไม่ทันที่ภู่จะพูดจบเสียงข้าวหอมที่สำลักกับข้าวก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนเสียก่อน

“น้ำๆ อ่ะนี่แฟนซื้อกับข้าวมาถูกปากแค่นี้ถึงขั้นสำลักเลยเหรอหอม”ผมยื่นแก้วน้ำให้พร้อมแกล้งแหย่เพื่อนกลับไปนิดหน่อย

“หยุดเลยแปง เพราะเดี๋ยวเราคงต้องคุยกันยาว”อ้าว แล้วไหงมันย้อนกลับมาลงที่ผมอีกละเนี่ย สายตาจับผิดนั่นอีกทำอย่างกับว่าผมมีอะไรปิดบังอีกอย่างนั้นแหละ

“เออพี่ ทีแรกนะผมนึกว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันเสียอีก”เสียงของไอ้น้องภู่ดังขึ้นขัดจังหวะการส่งสายตาโต้ตอบของผมกับข้าวหอม

“พี่กับไอ้แปงเนี่ยนะ โอ้ยแค่คิดก็ขนลุกแล้ว”แหม ทำมาเป็นทำท่ารังเกียจเพื่อนนะยัยเพื่อนตัวแสบ

“น้อยๆ หน่อยหอม ชั้นก็ไม่ได้พิศวาสแกนักหรอก”มีเหรอครับที่ผมจะยอมแพ้ความเล่นใหญ่ของแม่เพื่อนตัวดี งานนี้ผมก็แสดงท่าทางรังเกียจกลับไปไม่แพ้กันครับ

“ฮ่าๆ”สุดท้ายทุกคนก็หัวเราะออกมากับท่าทางของพวกผมสองคน จะว่าไปนี่ก็ชักจะอายน้องมันเหมือนกันนะครับ โตกันจนป่านนี้ยังมาเล่นอะไรอย่างกับเด็กๆ อีก

“แปงยังไม่มีแฟนหรอก พวกพี่ก็ลุ้นอยู่เนี่ยกลัวแก่ไปจะไม่มีใครเอา ภู่อยู่ใกล้ๆ แบบนี้ก็ช่วยหาแฟนให้แปงบ้างสิ”โหพี่โต เห็นเงียบมาพักใหญ่ พอเปิดปากพูดทีนี่ เล่นผมแบบนี้เลยเหรอครับเนี่ย ดูทุกคนจะมีปัญหากับการที่ผมโสดเสียเหลือเกินครับ

“พี่โตนี่น้องเอง อย่าเล่นน้องแรง”ผมแกล้งพูดกดเสียงต่ำเผื่อพี่โตจะเอ็นดูและไม่แกล้งผมมากไปกว่านี้

“แล้วสเปคพี่แปงเป็นแบบไหนเหรอครับ”ผมหันควับมองคนข้างๆ ทันที ตกลงนี่ผมโดนรุมถูกไหมครับ บทสนทนาตอนนี้ดูมันกลายเป็นเรื่องของผมล้วนๆ เสียแล้ว

“สเปคแปงเหรอ พี่บอกเองๆ แปงชอบคนอายุน้อยกว่า น้อยกว่าหลายๆ ปีเลยก็ไม่เกี่ยงนะ แล้วก็ทำกับข้าวเป็น แค่นี้แหละมั้ง ใช่ไหมพี่โต”นั่นไง พูดมาขนาดนี้ไม่บอกไปเลยไหมว่าสเปคผมเนี่ยมันไอ้น้องที่นั่งข้างๆ นี่แหละ นี่กะชงให้ได้กันวันนี้เลยหรือไงเนี่ย

“ตกลงนี่สเปคแกหรือสเปคชั้นเนี่ยยัยหอม รู้ดีกว่าชั้นอีก”ผมเบรคยัยหอมไว้พร้อมส่งสายตาอาฆาตให้เลิกเล่น แล้วกินข้าวต่อ แต่บรรยากาศก็ยังคึกครึ้น ดูไอ้น้องภู่นี่ก็พูดคุยถูกคอกับทั้งข้าวหอมและพี่โต จากทีแรกที่ผมกลัวเค้าจะอึดอัด ก็กลายเป็นว่ารู้ไม่น่าให้พวกนี้รู้จักกันเลย ไปๆ มาๆ ดูทุกคนจะรุมผมเสียมากกว่า

“ต้องรีบกลับเลยไม่ได้ช่วยเก็บจานล้างจานเลยอะน้องภู่”เสียงข้าวหอมพูดอย่างสำนึกผิด แต่ผมว่าแกล้งทำเป็นพูดดีมากกว่า

“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าอย่าลืมมาชิมฝีมือผมด้วยนะครับทั้งสองคนเลย”นี่ก็ร่ำลายังกะเป็นบ้านตัวเอง ถึงนี่จะเป็นบ้านน้าเค้าก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเป็นคนเช่า ถือว่าเป็นบ้านของผม

“ไปแหละไม่อยากอยู่เป็นก้าง”ก่อนกลับยัยข้าวหอมยังไม่วายมากระซิบข้างหูผมอีก แต่ช่างเถอะครับ ผมจะไม่ถือสาแล้วกัน

“เพื่อนพี่นี่ก็คุยสนุกดีนะครับ”ผมหันมองอีกคนที่เหลือ ถ้าไม่ติดว่าจะให้ช่วยล้างจาน ก็อยากจะไล่กลับบ้านไปเหมือนกันแหละครับ เวลาอยู่กันสองคนประสิทธิภาพการกวนประสาทของเด็กนี่ก็ใช่ย่อยที่ไหนละ

“อะไรที่เพื่อนพี่พูดก็อย่าเก็บมาถือสามาก”ผมรีบออกตัวเพราะถึงข้าวหอมกับพี่โตจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ทั้งคู่ก็ชงไอ้น้องภู่นี่ให้ผมเหลือเกิน

“เรื่องอื่น ผมไม่ติดใจนะแต่เรื่องสเปคลุงนี่ มันผมชัดๆ ลุงชอบผมอ่อ”นั่นไงไอ้เด็กบ้านี่ ก็รู้ทั้งรู้ไหมว่าสองคนนั้นพูดเล่นยังจะมาแซวผมอีก

“กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวจานนี่ล้างเองก็ได้ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่ว่าลุงสักที อีกอย่างพี่ไม่ได้ชอบเด็ก จบไหม”ผมรีบผลักเค้าออกจากบ้าน

“นี่เขินจนต้องโมโหกลบเกลื่อนหรือเปล่าเนี่ยลุง”ยังครับยังจะเล่นอีก

“ไปเลยกลับบ้านไปได้แล้ว รำคาญ”ผมรีบย้ำก่อนที่จะปวดหัวกับไอ้น้องภู่นี่มากไปกว่านี้

“งั้นผมไปละ ฝันดีนะครับลุง”



TBC
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 6 สเปค 24-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 25-06-2017 07:48:52
บทที่ 7
ผู้ปกครองจำเป็น




“นี่พี่ไม่รบกวนน้องแปงมากไปใช่ไหม”พูดมาขนาดนี้แล้วผมมีสิทธิ์ตอบปฏิเสธไหมละครับเนี่ย วันนี้อยู่ๆ พี่ปุ๊กเจ้าของบ้านก็โทรมาขอร้องผมว่ามีเรื่องอยากให้ช่วย ไอ้ผมก็คนมีน้ำใจ ตบปากรับคำทั้งที่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเลย แถมบรรดาพี่ๆ ที่ทำงานของผมก็แสนจะเป็นกันเองให้ผมออกก่อนเวลาได้อีก

“ไม่เป็นไรครับพี่ปุ๊กไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไว้เดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกทีนะครับว่าทางโรงเรียนสรุปว่ายังไง”ผมกดวางสายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองประตูทางเข้าโรงเรียนอย่างเหนื่อยใจ นี่ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมยังไม่แก่ขนาดจะมีลูกเรียนโรงเรียนมัธยมแบบนี้สักหน่อย ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์นี้ด้วย

“มาติดต่อฝ่ายปกครองครับ”ผมติดต่อแลกบัตรผ่าน เจ้าหน้าที่ก็สอบถามอะไรอีกนิดหน่อย แต่ดูเจ้าหน้าที่ก็รู้อยู่แล้วแหละครับว่าผมจะมา สงสัยกันใช่ไหมละครับว่าผมมาที่โรงเรียนแห่งนี้ทำไม

โรงเรียนนี้ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ ก็โรงเรียนไอ้เจ้าเด็กโย่ง นายแมลงภู่เด็กข้างบ้านผมนั่นแหละครับ ซึ่งวันนี้ผมได้รับสายด่วนจากพี่ปุ๊กว่าหลานชายตัวแสบก่อเรื่องอีกแล้ว จะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่มันก็คงพูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปาก การที่ใครถูกเชิญผู้ปกครองมาพบที่โรงเรียนนี่สำหรับผม ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะครับ

หลังแลกบัตรเรียบร้อยผมก็มุ่งตรงไปยังตึกที่ทางเจ้าหน้าที่บอก จากที่ทราบคร่าวๆ จากพี่ปุ๊ก ก็เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยนั่นแหละครับ แล้วทีนี้ญาติๆ ของนายแมลงภู่นี่ก็ไม่มีใครอยู่ในกรุงเทพฯ เลย ผมเลยถูกขอร้องแกมไม่ให้ปฏิเสธนั่นแหละครับ แค่ดูพี่ปุ๊กเองก็ไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้เลย สงสัยจะชินกับพฤติกรรมแบบนี้ของหลานชายไปแล้ว

“ขออนุญาตครับ”ผมเคาะประตู พร้อมเปิดเข้าไปตามคำแนะนำที่เจ้าหน้าบอกตอนแลกบัตร แต่พอก้าวเข้าห้องผมก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะรู้สึกบรรยากาศมันตึงเครียดเหลือเกิน ตรงกลางห้องมีผู้ชายหน้าตาขึงขังหนึ่งคน ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่เหลือก็เป็นบรรดานักเรียนและผู้ปกครอง ผมเห็นเด็กในปกครองจำเป็นของตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ สภาพนี่ดูไม่จืดเลยทีเดียวเชียวครับ

“เชิญครับเชิญ คุณลุงของนายภู่ใช่ไหม” ผมแอบเห็นว่าภู่แอบยิ้มมุมปากที่ผมโดนเรียกว่าลุง ใจจริงผมก็อยากปฏิเสธนะครับ ว่าผมยังไม่แก่พอจะเป็นพี่ชายพ่อของเด็กนี่ แต่จากสถานการณ์ที่ตึงเครียดขนาดนี้ผมว่าผมคงต้องตามน้ำไปก่อน

“ครับ”ผมจำต้องตอบรับ ก่อนจะเดินไปรวมฝั่งเดียวกับภู่ เพราะเหมือนในห้องตอนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ก็คงแยกตามฝ่ายที่ทะเลาะกันนั่นแหละครับ

“เอาเป็นว่า ตอนนี้ผู้ปกครองก็มาครบกันทุกคนแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทางโรงเรียนเชิญทุกท่านมาในวันนี้ ทุกท่านก็น่าจะทราบกันทุกคนแล้วว่าบุตรหลานของพวกท่านได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้”นี่บรรยากาศห้องปกครองมันเป็นอย่างนี้เองเหรอครับเนี่ย ไอ้ตอนสมัยเรียนชีวิตผมนี่ราบเรียบเกินกว่าจะได้เฉียดเข้าห้องปกครองแบบนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ทำเอาผมตื่นเต้นจนไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์กำลังพูดสักเท่าไหร่แล้วครับ

“ทำไมลุงมาช้าจัง”เสียงพูดลอดไรฟันจากคนที่ยืนข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยสายตาดุๆ เพราะนอกจากไอ้นายน้องภู่จะไม่มีทีท่าสำนึกแล้ว ยังจะไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังพูดอีกด้วย ผมทำปากบุ้ยใบ้ให้เค้าสนใจฟังสิ่งที่อาจารย์กำลังบอก ตอนนี้ทุกคนในห้องกำลังตั้งใจฟัง ก็ไม่รู้ว่าทุกคนเห็นด้วย หรือไม่มีจังหวะให้แย้งกันแน่เลยทำให้มีแค่อาจารย์ฝ่ายปกครองเพียงคนเดียวที่พูดทุกอย่าง

“แล้วนี่ลูกผมเจ็บขนาดนี้ อาจารย์จะบอกว่ามีความผิดเท่ากันอย่างนั้นเหรอครับ มันยุติธรรมแล้วเหรอ”ผู้ปกครองอีกฝ่าย ที่สภาพลูกชายเค้าก็ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้ว และดูแทบจะกลายเป็นมัมมี่ ไอ้ผมก็ไม่รู้จะสงสารหรือขำดี

“ผมชี้แจงไปแล้วไงครับว่ามันคือการทะเลาะวิวาท นั่นหมายความว่าผิดทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นเด็กทุกคนจะถูกตัดคะแนนความประพฤติเท่ากันทุกคน ทำทัณฑ์ไว้เหมือนกันทุกคน อ๋ออีกอย่าง จากการสอบสวนลูกชายคุณก็ยอมรับนะครับว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”หลังจบคำพูดของอาจารย์ ผมว่าผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของบรรดาผู้ปกครองฝั่งเดียวกับผมนะครับ

“เอาเป็นว่าสรุปตามนี้นะครับ แล้วก็ขอฝากทางผู้ปกครองทุกท่านช่วยอบรมบุตรหลานของพวกท่านเพิ่มเติมด้วยนะครับ แล้วทางโรงเรียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”ก็ดูไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่นี่นา หรือเพราะผมเองไม่ใช่ผู้ปกครองจริงๆ เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่อย่างคุณพ่อคนที่ท่าทางไม่พอใจกับคำตัดสินของอาจารย์ฝ่ายปกครองนั่น ดูเค้าหัวเสียไม่น้อยทีเดียวที่ต้องมาในวันนี้

เด็กทั่มีปัญหาชกต่อยกันวันนี้รวมนายภู่ด้วยก็ 6 คนฝั่งละ 3 คนนั่นแหละครับ ซึ่งดูเหมือนทางฝั่งผมหรือเพื่อนๆ ของภู่จะดูสบายๆ กันทุกคน แต่อีกฝ่ายดูจะไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะครับผมเองก็ถือว่าเรื่องวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีแล้วกันครับ หลังออกจากห้องฝ่ายปกครอง แต่ละคนก็แยกย้าย โดยที่ทั้ง 6 คนได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมผู้ปกครองได้เลย เพราะสภาพแต่ละคนไม่น่าจะกลับไปนั่งเรียนต่อได้ นั่นหมายความว่าผมต้องพาภู่กลับบ้านด้วยสินะ

“กลับยังอ่ะลุง อยากกลับจะแย่แล้วเนี่ย”ผมส่ายหน้าให้กับเด็กในปกครองชั่วคราวของตัวเองอีกครั้ง ทำไมดูไม่มีทีท่าสลดอะไรเลย

“ไอ้ยิว ไอ้สอ ไว้เจอกันพวกมึง”ดูครับดูยังบอกลาเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูจะชิลเกินไปแล้วมั้งครับเนี่ย ทำไมเด็กพวกนี้ทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติกันแบบนี้ หรือผมแก่เกินไปที่จะเข้าใจอะไรแบบนี้

“ดูลุงของภู่ยังไม่แก่เลยเนอะ วันหลังฝากให้ภู่ถามลุงเค้าให้หน่อยสิว่ามีวิธีดูแลตัวเองยังไง”เดี๋ยวนะครับ ประเด็นแรกผมยังไม่ได้เป็นลุงใครและผมยังไม่ได้แก่ ผมไม่ใช่คนอายุมากที่หน้าเด็ก และประเด็นที่สอง คือทำไมต้องมาพูดถึงผมในระยะเผาขนแค่ทำเหมือนกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้กันละครับเนี่ย ผมกำลังจะหันไปอธิบายทุกอย่างให้คุณพ่อของเพื่อนภู่ฟัง แต่ว่า

“กลับบ้านกันเถอะครับคุณลุง”นี่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แก้ตัวเลย เล่นรีบคว้ามือผมเดินนำไปอีกทาง ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่ตัวเองมีความผิดอยู่แท้ๆ ยังจะมากวนประสาทผมอีก ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมต่อสายถึงผู้ปกครองจริงๆ ของเค้า

“พี่จะโทรหาน้าปุ๊กเหรอ”พอเห็นชื่อที่ผมกำลังจะต่อสายถึงเค้าก็รีบแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปทันที

“แย่งของจากมือผู้ใหญ่แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ แล้วนี่ตัวเองทำผิดอยู่ยังจะมาทำเป็นเล่น”จริงๆ ก็ไม่อยากจะดุหรอกนะครับ แต่พอยิ่งเราไม่ว่าอะไรก็เหมือนจะยิ่งได้ใจ ผมหันไปมองเค้าด้วยสายตาที่จริงจัง แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจในสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่

“ขอโทษครับ แต่ผมขอเป็นคนโทรบอกน้าปุ๊กเองแล้วกันนะครับ”เค้าส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผม พร้อมบอกเสียงอ่อยๆ ผมยังคงทำหน้านิ่งไม่พูดอะไรอีก จนขึ้นรถเรียบร้อย

“โทรสิ”เมื่อเห็นว่าเค้ายังไม่ติดต่อผู้เป็นน้าตามที่บอก ผมเลยย้ำไปอีกรอบ

“ตอนนี้เลยเหรอพี่”ผมพยักหน้าช้าๆ พร้อมด้วยสายตากดดันทำให้อีกฝ่ายต้องหยิบโทรศัพท์มากดอย่างไม่เต็มใจนัก ที่จริงก็พอจะเข้าใจแหละครับ ว่าเวลาทำผิดแล้วต้องบอกผู้ใหญ่มันก็จะไม่อยากบอกสักเท่าไหร่ ตอนเด็กๆ ผมเองก็เป็นแต่ผมก็ไม่ค่อยทำอะไรผิดที่รุ่นแรงแบบนี้หรอกครับ

“อย่าเพิ่งดุสิน้าปุ๊ก นี่จะไม่ฟังผมก่อนเหรอ”แทบไม่ต้องเดาครับว่าปลายสายจากอีกฝั่งพูดอะไร ก็คงดุตามประสาผู้ใหญ่นั่นแหละครับ แถมดูๆ แล้วระดับความไม่พอใจก็คงไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดว่าผมยังได้ยินเสียงแว่วๆ ออกมา ทีแรกที่พี่ปุ๊กโทรหาผม ผมยังนึกว่าเค้าชิลๆ กับเรื่องนี้ แต่ที่จริงอาจเพราะผมเป็นคนอื่นแกเลยไม่อยากมาอารมณ์เสียใส่ผม แต่พอคุยกับไอ้ตัวก่อเรื่องนี่ก็คงโดนจัดเต็มแหละครับ

“ไม่ต้องเอามือถือออกจากหูนะ ยกขึ้นมาเลย”นี่ยิ่งกว่าตาเห็นอีกครับ เพราะไอ้น้องภู่กำลังเอาออกจากหูจริงๆ แต่ขนาดไม่แนบหูเสียงยังแว่วออกมาขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมผมกลับอดที่จะอมยิ้มกับเรื่องที่เห็นนี้ไม่ได้ ผมว่ามันก็น่ารักดีนะครับ น้ากับหลานแม้จะดุ จะบ่น แต่จริงๆ มันก็แสดงให้เห็นว่าเค้ายังรักและเป็นห่วงนั่นแหละครับ

“ครับ สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่ตัดค่าขนมได้ไหมครับ”เสียงอ่อนขนาดนี้ โดนคาดโทษด้วยสินะเนี่ย

“พี่เค้าขับรถอยู่ มีอะไรฝากผมบอกก็ได้ครับ”เค้าหันมามองผม นี่น้าเค้าคงอยากคุยกับผมสินะ เค้าตั้งใจฟังอยู่พักนึงก่อนจะวางสายไป มองสภาพเค้าตอนนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ปากแตก รอยฟกช้ำที่เริ่มจะบวมแล้ว

“หูชาหมดแล้วเนี่ย พี่ไม่น่ารีบให้ผมโทรเลย”เค้าบ่นเล็กน้อย พร้อมส่องกระจกดูแผลบนใบหน้าตัวเอง

“เจ็บไหมละนั่น”อดที่จะถามออกไปไม่ได้ครับ จะว่าเป็นห่วงก็ห่วงแหละครับ คนเรารู้จักกันแถมช่วงหลัง ผมกํบเค้านี่เรียกว่าเจอหน้ากันทุกวัน ทานข้าวด้วยกันทุกวัน จะให้ผมไม่รู้สึกเป็นห่วงเลยก็ดูจะใจดำไปหน่อย แถมนี่เค้าก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยมคนนึงเท่านั้นเอง แล้วยังต้องใช้ชีวิตคนเดียวอีก

“แค่นี้เล็กน้อย ลูกผู้ชายมันก็ต้องมีบาดแผลเป็นธรรมดา”แหม พอจะรู้สึกเป็นห่วงก็ไม่ค่อยอยากจะห่วงเต็มที่สักเท่าไหร่หรอกครับ ก็ดูเจ้าตัวเค้ายังทำเป็นภูมิอกภูมิใจในวีรกรรมของตัวเองเสียจริง นี่รู้สึกบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองทำผิด

“ทำเป็นปากเก่ง แล้วนี่ที่บ้านมีอุปกรณ์ทำแผลบ้างหรือเปล่า”แม้จะรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องถามไถ่สักหน่อยครับ ดูๆ แล้วกะคงไม่ต้องถึงขนาดว่าต้องไปโรงพยาบาลหรือคลินิค ก็คงใช้พวกยาสามัญประจำบ้าน แต่บ้านผมนี่ไม่มีไงครับ เลยต้องถามเค้าก่อน ถ้าไม่มีจะได้แวะซื้อ

“ที่ถามนี่ลุงจะช่วยทำแผลให้ผมเหรอ”แล้วดูปากแบบนี้ ใครมันจะอยากช่วย แม้บางทีจะไม่สนใจไอ้การเรียกลุงเนี่ย แต่บางทีมันก็อดหมั่นไส้ จนพาลไม่อยากช่วยนะครับ

“พอดียังไม่มีหลาน และยังไม่ได้เป็นลุงใคร ต้องอธิบายอีกไหม”ผมบอกออกไปเสียงเรียบให้เค้ารู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในโหมดพร้อมจะล้อเล่นกับเค้า

“แหมพี่แปงคนมีน้ำใจ คนน่ารัก อย่าถือสาน้องภู่เลยนะครับ น้องภู่แค่ล้อเล่น”ทำเป็นมาจีบปากจีบคอ แบบนี้ยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิมอีกครับ

“แล้วสองสาวที่มาตบกันแย่งนั่น สรุปยังไม่เลิกหรือยังไง ถึงมามีเรื่องอีกแบบนี้”จากที่รับฟังมาในห้องปกครอง เหมือนว่าสาเหตุต้นเรื่องจริงๆ มาจากสองสาวที่เคยมาตบตีกันที่หน้าบ้านผมนี่แหละครับ

“เลิกแล้วแหละพี่ พวกที่มีเรื่องนี่ก็กำลังคบกับสองคนนั้นแหละ ก็ไม่รู้จะมาหาเรื่องทำไม”

“เค้ามาหาเรื่อง เลยต้องตีกับเค้า”ผมเริ่มใช้น้ำเสียงตำหนิหน่อยๆ เพราะเท่าที่ฟังเจ้าตัวเค้าเองยังไม่ทันคิดว่าการตัดสินใจไปต่อยกับอีกฝั่งมันส่งผลอะไรบ้าง

“แล้วจะปล่อยให้มันเห่าฝ่ายเดียวเหรอพี่ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ใครจะไปยอม”พูดไปก็คงเท่านั้นครับ แต่ผมเองก็คงไม่เข้าใจมุมมองของเค้าหรอกเพราะถึงผมจะอายุมากกว่าเค้าหลายปี แต่ชีวิตผมมันราบเรียบมาตลอด ไม่ได้โลดโผนอะไรเลย ยิ่งเรื่องท้าตีท้าต่อยนี่ไม่เคยเฉียดเข้ามาในวงโคจรชีวิตของผมเลย

“ก็คิดดูดีๆ แล้วกันว่าที่ทำลงไปวันนี้ มันส่งผลยังไงบ้าง ภู่อาจจะมองว่าภู่ไม่ผิด แต่มันจำเป็นเหรอที่พอมีคนมาหาเรื่องเราแล้วต้องตอบโต้แบบนี้ ลองคิดดูดีๆ ลองนึกถึงสิ่งที่น้าของภู่พูดด้วย”แม้จะไม่ได้ยินในสิ่งที่น้าของเค้าพูดทั้งหมด แต่ก็พอเดาได้นะครับว่าเค้าก็คงดุ และสอนในสิ่งที่มันดีให้หลานตัวเองอยู่แล้ว เค้าเงียบไปเหมือนหยุดคิดบางอย่าง

“ที่น้าปุ๊กฝากผมบอกกับพี่...”หลังจากที่เราต่างเงียบกันไปพักใหญ่ เค้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ผมหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ายังไงต่อ

“น้าปุ๊กขอบคุณที่พี่แปงช่วยมาเป็นธุระให้วันนี้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้พี่ต้องเสียเวลา ต้องลางานอีก”น้ำเสียงของเค้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด นี่คงเริ่มคิดได้บ้างแล้วสินะ ว่าการกระทำของเค้าวันนี้มันส่งผลกระทบกับคนอื่นด้วย

“ขอโทษนะครับ ที่วันนี้ต้องทำให้พี่ลำบาก”นี่สำนึกจริงหรือเปล่าเนี่ย ผมชักระแวงครับ เลยยังคงตีหน้านิ่งๆ อยู่ แค่ตอบรับเค้าสั้นๆ ให้็รู้ว่าผมรับทราบแล้ว

“อือ”แล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ขับรถต่อจนถึงที่หมาย

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ”เค้าหันมาบอกผมก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

“ภู่”ผมตัดสินใจเรียกให้เค้าหันกลับมา ทั้งที่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ ว่าผมจะเรียกเค้าไว้ทำไมอีก จริงๆ สิ่งที่ผมรับปากกับพี่ปุ๊ก ก็แค่ไปเป็นผู้ปกครองที่โรงเรียนให้เค้า และผมก็ทำหน้าที่เรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว

“ครับ”เค้าหันกลับมามองด้วยสีหน้าสงสัย

“ตกลงที่บ้านมีอุปกรณ์ทำแผลแล้วใช่ไหม”ผมก็แค่กังวลว่าเค้าจะยังไม่มีอุปกรณ์ทำแผล เพราะระหว่างทางที่เอ่ยถามเค้าก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้ของผม รอบนี้เค้าพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับผม

“เอามานี่ดิ เดี๋ยวพี่ช่วยทำแผลให้”ผมก็แค่เป็นห่วง เห็นว่าเค้าอยู่คนเดียว แค่นั้นจริงๆ แต่รอยยิ้มกว้างที่อีกคนส่งกลับมามันก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เช่นกัน








TBC
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 7 ผู้ปกครองจำเป็น 25-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-06-2017 08:29:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 7 ผู้ปกครองจำเป็น 25-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-06-2017 23:30:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 7 ผู้ปกครองจำเป็น 25-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-06-2017 01:38:15
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 7 ผู้ปกครองจำเป็น 25-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-06-2017 07:50:59
บทที่ 8
เมาแรก





“พี่ไม่ได้กลับไปทานข้าวด้วยนะ วันนี้ที่บริษัทจะพาไปเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ”ผมบอกกับปลายสาย ตอนนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติที่ทั้งผมและเค้าจะบอกกล่าวกันถึงเวลากลับบ้านของแต่ละคน

“นี่ลุงทำงานมาเป็นเดือนแล้วเปล่าไมเพิ่งจะมาเลี้ยงตอนนี้ แบบนี้ผมก็ไม่พ้นกินมาม่าอยู่บ้านคนเดียวสิ”น้ำเสียงเชิงตัดพ้อถูกส่งผ่านมาแต่ผมก็รู้แหละครับว่าอีกฝ่ายไม่ได้จริงจัง

“จะกินมาม่าทำไม กุญแจบ้านพี่ก็อยู่ที่เดิม เข้าไปทำอะไรกินก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”ด้วยความสนิทสนมระหว่างเราที่ดูเหมือนจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจด้วยความที่ผมไม่เคยมีน้องมาก่อน การได้มีอีกคนเข้ามา แถมยังเป็นคนที่มีหลายๆ อย่างคล้ายๆ ผม แต่เค้ามีความขบถที่ผมไม่เคยกล้าทำมาก่อนมันยิ่งทำให้ผมเองรู้สึกสนุกกับการได้รับรู้เรื่องราวของอีกคน

“ไม่ได้เกรงใจลุง แค่ไม่อยากกินคนเดียว”ผมเผลออมยิ้มอย่างลืมตัวกับคำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่าย ผมรู้สึกว่าแม้ภายนอกเค้าจะดูกวนประสาทไปบ้างแต่ก็ยอมรับว่าเค้าเป็นเด็กน่ารักคนนึง ที่รู้จักอ้อน รู้จักเอาอกเอาใจ เรียกว่าจากแรกๆ ที่ผมหมั่นไส้เค้าตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูขึ้นมามากกว่าแล้วละครับ

“เยอะ แค่นี้แหละ อย่าลืมทายาด้วย แผลจะได้หายไวๆ”ผมยังคงยืนยิ้มอยู่กับตัวเอง ในขณะที่กำลังจะจบบทสนทนา แต่ก็ไม่ลืมกำชับไปด้วยความเป็นห่วง จากที่เค้าไปมีเรื่องมีราวชกต่อยมา นี่ก็พูดย้ำไปเยอะมากแล้วไม่รู้ฟังบ้างหรือเปล่า ไอ้ผมก็เข้าไม่ค่อยถึงอยู่แล้วด้วยไอ้เรื่องศักดิ์ศรีกับการชกต่อยเนี่ย แต่เค้าก็รับปากนะครับว่าจะพยายามไม่ไปมีเรื่องมีราวอีก

“เดี๋ยวลุง”เค้าเรียกผมไว้ก่อนที่จะกดวางสาย ตอนนี้เหมือนผมยอมรับสรรพนามนี้จากเค้าไปแล้ว จริงๆ การโดนเรียกลุงมันก็ไม่ได้เลวร้ายตรงไหนจริงไหมครับ

“ว่า”ผมตอบรับสั้นๆ พร้อมรอฟังว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะพูดกับผมเพิ่มอีก

“รีบกลับนะครับ”ผมขมวดคิ้ว ด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันก็บอกไม่ถูกนะครับที่คนอายุน้อยกว่าตัวเองตั้ง 8-9 ปีมาบอกให้รีบกลับบ้าน นี่ผมต้องให้เด็กมาเป็นห่วงหรือไงกันเนี่ย

“อือ”ผมรับคำสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย ในหัวก็ยังนึกขำกับบทสนทนาเมื่อสักครู่ไม่หาย นั่นทำให้ผมยังคงอมยิ้ม นึกถึงใบหน้ากวนๆ ของอีกฝ่ายจนเดินกลับเข้ามาในแผนกของตัวเอง เลยทำให้โดนแซวเข้าจนได้ครับ

“นั่นแน่แอบคุยกับใคร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”พี่ฟ่างที่แซวผมพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย ทีแรกผมก็นึกว่าแซวแล้วจะผ่านเลยไปแต่เปล่าครับ พี่แกเล่นมาหยุดจ้องผม เหมือนรอคำตอบว่าผมเพิ่งวางสายจากใคร

“น้องชายนะพี่ โทรบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้กลับไปกินข้าวด้วย จะได้ไม่ต้องรอ”ผมตอบออกไปตามตรง

“ไม่ยักรู้ว่าแปงมีน้องชายด้วย นึกว่ามีแค่พี่สาวแค่คนเดียว”เออเนอะ ผมก็ลืมไปว่าเคยเล่าประวัติให้พี่ๆ เค้าฟังแล้ว แล้วนี่อย่างภู่นี่ผมจะบอกกับพวกพี่ๆ เค้าว่ายังไงดีละเนี่ยว่าเป็นน้องชายจากไหน

“น้องแปง...น้องแปงของเจ้”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่ฟ่าง เจ้โอ๋ก็ส่งเสียงมาแต่ไกล ก่อนจะพุ่งมาด้วยความเร็วสูงดึงแขนผมไปคล้องด้วยความรวดเร็ว

“เจ้ ของเจ้ที่ไหนนี่แปงเมียผม”พี่ต้าร์ที่พุ่งตามมาอีกคน คว้าแขนอีกข้างของผมไปเรียบร้อย ผมหันมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจว่าจะเล่นอะไรกันอีก กับพี่ต้าร์แม้ตอนนี้เราจะสนิทกันมากขึ้น แต่ผมก็ยังประหม่าอยู่บ้างทุกครั้งที่แกเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือการเรียกผมว่าเมีย แบบนี้ ก็อย่างว่าแกคือคนที่ผมปลื้มมาตั้งนาน พอมาทำแบบนี้กับผม จะให้ไม่หวั่นไหวเลยมันก็ไม่ได้ แต่ด้วยความที่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรไปไกล ก็เลยสงวนท่าทียั้งตัวเองไว้

“น้องแปงเลือกมาเลย ว่าวันนี้จะควงใครระหว่างพี่โอ๋สุดสวยคนนี้ กับไอ้กีตาร์คอร์ดพังนี่”เล่นอะไรกันอีกละเนี่ยผมหันไปหาพี่ฟ่างเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พี่ฟ่างก็แค่ทำหน้าเอือมๆ ส่ายหน้าหน่าย บอกให้ผมเลือกๆ ไปเถอะจะไปจบๆ

“แปงเลือกพี่อยู่แล้วจริงไหม”พี่ต้าร์ที่โน้มศีรษะลงมาพิงที่ไหล่ผม บอกเสียงอ้อน แม้จะลำบากใจในการเลือกแต่ผมก็ควรรีบตัดสินใจเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนดึงไปดึงมาเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันแบบนี้

“ผมเลือก...พี่โอ๋แล้วกันครับ”ผมบอกก่อนหันไปมองพี่ต้าร์ด้วยความรู้สึกผิดเพราะรู้ว่าการเลือกของผมคงมีผลอะไรบางอย่าง อย่างแน่นอน

“ทำไมแปงทำกับพี่แบบนี้ แปงไม่รักพี่แล้วเหรอ แล้วยัยป้านี่มีอะไรดีถึงต้องเลือกป้าเค้า”ดูจากอาการเล่นใหญ่นี่แล้วคาดว่าคงไม่ได้มีอะไรมากมายสินะ ปกติพวกพี่ๆ เค้าก็ชอบเล่นพนันอะไรกันแปลกอยู่แล้วครับ ที่ดูจริงจังก็มีเจ้โอ๋กับพี่ต้าร์นี่แหละครับ จะมีพี่ฟ่างเล่นด้วยบางครั้ง ส่วนใหญ่ก็พนันของกินเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ ใครแพ้ เลี้ยงข้าว เลี้ยงกาแฟ เลี้ยงเบียร์ เป็นต้น

ถ้าให้ผมเป็นคนเลือกผมก็จะเลือกสลับๆ กันไปนั่นแหละครับ แต่ดูรอยยิ้มผู้มีชัยอย่างเจ้โอ๋ในวันนี้ ก็ชักอยากจะรู้แล้วแหละครับว่าสองคนนี้พนันอะไรกันไว้

“จ่ายมาตามตกลงเลยไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ชูนิ้วทำท่านับตังค์ พร้อมยิ้มอย่างผู้มีชัยรอพี่ต้าร์ นี่ถึงขั้นพนันตังค์กันแล้วเหรอครับเนี่ย ปกติไม่ค่อยเห็นพวกพี่ๆ เค้าพนันกันด้วยเงินสดแบบนี้เลย ดูจะจริงจังกันมากแล้วนะครับเนี่ย ดูๆ ไปนี่ราศีการพนันจับด้วยกันทั้งคู่แล้วมั้งครับ

“ไอ้ฟ่างยืม 2 พันดิ”ผมตาโตเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ทั้งสองคนพนันกันกับการที่ผมเลือกว่าไปกับใคร จริงๆ ไอ้เงินสองพันจะว่าน้อยมันก็น้อย แต่จะว่าเยอะมันก็เยอะนะครับ ที่เอามาพนันขันต่อกันแบบนี้ แล้วพี่ต้าร์นี่อีก ต้องลำบากยืมเพื่อนอีก ต่อไปผมว่าผมจะไม่ร่วมในเกมของสองคนนี้อีกจะดีกว่าครับ ไม่อยากให้ต้องมาเสียเงินอะไรกันแบบนี้อีก ไอ้ตอนเลี้ยงข้าวกันสักมื้อ เลี้ยงกาแฟสักแก้ว อันนั้นผมยังมองว่าขำๆ นะครับ แต่ตอนนี้มันชักจะไปไกลแล้ว

“กูเหรอ ทำไมต้องเป็นกูละเนี่ย”พี่ฟ่างทำหน้าเซ็งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเล่น แต่ต้องมาควักตังค์จ่ายแทนพี่ต้าร์แบบนี้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องแหละครับที่ผมยังคาใจในความสัมพันธ์ของคู่นี้ เพราะดูเหมือนใช้จ่ายแทนกันได้เสียแทบทุกอย่าง ผมเลยยังลังเลว่าสองคนนี้อาจจะมีอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อนหรือเปล่า แม้ทั้งคู่จะต่างยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ก็เถอะ

“เอาน่า มายืมก่อน สงครามนี่ยังไม่จบง่ายๆ หรอก”พี่ต้าร์คว้าเงินจากมือพี่ฟ่าง มาส่งให้เจ้โอ๋อย่างไม่เต็มใจนัก สายตาพี่ต้าร์นี่บ่งบอกว่าต้องการเอาคืนเจ้โอ๋อย่างโจ่งแจ้งเหลือเกินครับ นี่แหละที่ผมมองว่าทั้งคู่กำลังโดนความหอมหวานของการพนันเล่นงานเข้าให้แล้ว

“ป่ะน้องแปง เรารีบไปเตรียมปาร์ตี้กันดีกว่า วันนี้เจ้พร้อมเปย์มาก”เจ้โอ๋ที่ยังคล้องแขนผมอยู่คว้าเงินสองพันมาพัดเยาะเย้ยอย่างผู้มีชัย ผมยังทำอะไรได้ไม่มาก ก็ได้แต่ตามน้ำโดนเจ้โอ๋ลากไปนี่แหละครับ ผมทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศเพราะร้านไม่ได้ไกลจากออฟฟิศนัก แล้วขากลับมาค่อยติดรถมากับพวกพี่เค้านี่แหละครับ ทางกลับบ้านของทุกคนก็ต้องย้อนกลับมาทางนี้อยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ นี่ไม่ใช่ความคิดของผมหรอกนะครับ แต่พวกพี่ๆ ว่าแบบนี้ดีผมก็เลยไม่อยากขัด

“วันนี้เต็มที่เลยนะน้องแปง นั่งนี่ๆ นั่งข้างเจ้นี่แหละวันนี้เจ้บริการเต็มที่ เพราะน้องแปงทำให้เจ้ได้ตังค์ไอ้ต้าร์”เสียงหัวเราะของเจ้โอ๋ ทำให้พี่ต้าร์ที่เพิ่งเดินตามเข้ามา มองด้วยสายตาเรียกว่าอาฆาตเลยทีเดียวครับ แต่ก็นั่นแหละครับทำเป็นกัดกันขนาดนี้ พอเมานี่ผมเห็นกอดคอกันด้วยความสนิทสนมทุกครั้ง

“วันนี้ห้ามปฏิเสธ”พี่ต้าร์ที่ตามมานั่งประกบผมอีกข้าง วางแก้วเบียร์ตรงหน้าผม ผมมองแก้วตรงหน้าด้วยความลำบากใจ ก็ผมว่ามันไม่อร่อยเอาเสียเลยนี่แหละครับ แต่วันนี้พี่ๆ เค้ามาเลี้ยงต้อนรับผม ถ้าไม่ดื่มเลยก็อาจจะดูเสียมารยาทหรือเปล่านะ

“แล้วจะบังคับน้องทำไมละต้าร์ น้องเค้าไม่ดื่มก็อย่าบังคับสิ”เจ้โอ๋นี่พอได้สองพันไปนี่ดูจะช่วยผมเต็มที่เลยนะเนี่ย ผมหันไปยิ้มขอบคุณเจ้โอ๋ก่อนจะหันกลับมาหาพี่ต้าร์

“ขอกินข้าวก่อนนะพี่”ผมบอกเลี่ยงๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว กะว่ายังไงเสียก็ฝืนๆ กินสักแก้วก็ไม่น่าจะเป็นไรมากหรอกมั้ง พี่ต้าร์ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก คนอื่นๆ ก็ทยอยมาจนครบ บรรยากาศการทานอาหารเย็นวันนี้ก็ดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะเป็นการเลี้ยงต้อนรับผม แต่มันก็เหมือนการมาสังสรรค์ภายในบริษัทเสียมากกว่า เพราะผมเองก็เข้ามาทำงานได้สักระยะจนสนิทสนม คุ้นเคยกับทุกคนแล้ว อาจจะด้วยความที่บริษัทเราอยู่กันแบบพี่น้องด้วยก็เป็นได้ครับ

“น้องๆ เก็บแก้วนี้ไปเลยแล้วพี่ขอแก้วใหม่ด้วย”ผมพูดคุยกับคนอื่นๆ จนแทบจะลืมเรื่องแก้วเบียร์ไปแล้ว เพราะเห็นพี่ต้าร์ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ตอนนี้พี่ต้าร์สั่งเด็กเสิร์ฟเปลี่ยนแก้วให้ผมแล้ว

“อ้าวไอ้ต้าร์ น้องมันไม่ชอบก็ยังจะตื้อน้องให้ดื่มจนได้ใช่ไหม”เจ้โอ๋ที่เหมือนจะปรามๆ พี่ต้าร์ที่ตอนนี้ลุกไปรินเบียร์ด้วยตัวเองแล้วครับ สงสัยเด็กเสิร์ฟจะบริการไม่ทันใจเสียแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ จิบๆ ดูสักนิดก็ได้”ผมหันมาบอกกับเจ้โอ๋ ดูเจ้โอ๋จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผม แต่พอผมมองสายตาอ้อนๆ ของพี่ต้าร์แล้วก็คิดว่าคงต้องดื่มให้แกสักนิดแหละครับ วันนี้ผมทำแกเสียตังค์ด้วย เลยหยิบแก้วเบียร์ที่พี่ต้าร์ส่งมาให้ พยายามกลั้นใจยกขึ้นจิบนิดนึง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจในรสชาติของเบียร์ที่ผมเพิ่งได้ลิ้มรส

“อร่อยละสิ”พี่ต้าร์อมยิ้มบอกกับผม แต่ผมกำลังงงกับรสชาติที่ได้รับ เพราะเบียร์ที่ผมเคยชิม มันขมมากเลย แต่แก้วนี้ที่ผมถืออยู่มันมีความหวานอยู่ด้วย คือผมก็บอกไม่ถูกว่ามันเหมือนอะไรเพราะมันก็ยังมีรสชาติของเบียร์ในแบบที่ผมเคยชิมนั่นแหละ แต่มันมีความหวานจนลื่นคอไม่มีความขมอย่างที่ผมคิด ผมค่อยๆ พยักหน้ายอมรับกับพี่ต้าร์ว่าแก้วที่ถืออยู่รสชาติมันใช้ได้ทีเดียว

“แกเอาอะไรให้น้องแปงกินไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ก็เบียร์ไงเจ้”พี่ต้าร์บอกอย่างไม่ได้สนใจก่อนจะหันมาบอกให้ผมลองดื่มอีก ผมยกแก้วให้มือขึ้นดื่มเข้าไปมากกว่าเดิม พอรู้สึกว่ามันก็ดื่มได้ไม่ได้ลำบากอะไรเลยยกทีเดียวหมดแก้วเลยครับ

“เยส เจ้จ่ายมาๆ”พี่ต้าร์ตะโกนบอกเจ้โอ๋แทบจะทันทีที่ผมวางแก้วเปล่าลงตรงหน้า นี่อย่าบอกนะว่าการดื่มเบียร์ของผมก็เป็นเรื่องให้พวกพี่เค้าพนันกันอีกแล้ว เจ้โอ๋หยิบแบงค์พัน 1 ใบยื่นให้พี่ต้าร์อย่างไม่เต็มใจนัก

“ไอ้ต้าร์เงินกูเอามานี่”พี่ฟ่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอื้อมมาแย่งเงินคืนไป ส่วนผมก็นั่งงงๆ อยู่ท่ามกลางพวกพี่เค้า

“แล้วก็เลิกใช้น้องมันเป็นการพนันอะไรกันสักที เจ้ก็ด้วย ไม่คิดว่าน้องมันจะรู้สึกไม่ดีบ้างหรือไงที่ต้องมาเป็นหมากให้เล่นพนันกันเนี่ย”ที่จริง อย่างที่พี่ฟ่างพูด ผมเองก็คงไม่ปฏิเสธว่าไม่ค่อยชอบการที่พวกพี่เค้าพนันอะไรกันแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขนาดถึงกับว่าจะโกรธพวกพี่เค้าหรอกนะครับ

“ไม่เป็นไรพี่ แต่คราวหลังเอาแค่ขำๆ เลี้ยงข้าวเลี้ยงกาแฟ กันเหมือนแรกๆ ดีกว่า แบบพนันตังค์กันแบบนี้อย่าเลยนะครับ”ผมบอกออกไปอย่างที่รู้สึก ทั้งเจ้โอ๋และพี่ต้าร์ก็รับปากแต่โดยดี ส่วนพี่ฟ่างก็บ่นอะไรพี่ต้าร์อีกนิดหน่อย

“ขออีกแก้วดิพี่ แต่เอารสชาติแบบเดิมนะครับ”ผมบอกกับพี่ต้าร์เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเครียดมากจนเกินไป

“ติดใจละซิ”พี่ต้าร์หันมาบอกผมยิ้มๆ คราวนี้ผมมองตามเลยครับว่าแกผสมอะไรในเบียร์หรือเปล่ารสชาติมันถึงได้ออกมาหวานๆ ไม่ขมอย่างที่ผมเคยชิม

“สไปรท์เหรอพี่”ผมถามย้ำแม้จะเห็นแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่พี่เค้าผสมลงไปในเบียร์ให้ผมดื่ม

“ผมจะไม่ท้องเสียใช่ไหมพี่”ผมถามขำๆ ก่อนจะรับแก้วมายกขึ้นดื่ม จากแก้วที่ 2 กลายเป็นแก้วที่ 3 และ 4 ตามมาด้วยความที่มันเหมือนดื่มน้ำอัดลม เลยกลายเป็นว่าผมดื่มเพลินจนหยุดไม่ได้ แถมตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองพูดเยอะขึ้นมากกว่าปกติ ผมอยากจะหยุดพูดแต่เหมือนผมควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ แต่ยิ่งพูดยิ่งดื่มผมกลับยิ่งรู้สึกว่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ

“ไอ้ต้าร์พอแล้ว น้องมันเมาแล้วเห็นไหม”พี่ฟ่างรีบส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นว่าพี่ต้าร์จะรินเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผมอีกแก้ว

“เมาที่ไหน ยังไม่เมาหรอกใช่ไหมแปง”เป็นเจ้โอ๋ที่หันมาตอบแทนพี่ต้าร์ ซึ่งดูเหมือนทั้งเจ้โอ๋และพี่ต้าร์จะความเห็นตรงกันแล้วครับตอนนี้

“ผมยังไหวครับ พี่ฟ่างไม่ต้องห่วง แต่เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปป”ผมบอกยืนยันกับพวกพี่ๆ ว่าผมยังปกติดี แต่แล้วพอลุกจากเก้าอี้มันก็เหมือนโลกเอียงๆ จนผมเซไปชนกับเก้าอี้ของพี่ต้าร์

“ไหวป่ะเนี่ย”พี่ต้าร์ที่ช่วยประคองผมให้ยืนเอ่ยถาม แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าวันนี้พี่ต้าร์แกดูน่าหลงใหลกว่าทุกวันอีกนะ สายตาผมจ้องมองใบหน้า ดวงตา จมูก ไล่ลงมาจนริมฝีปาก นี่ทำไมผมถึงละสายตาจากใบหน้านี้ไม่ได้ละเนี่ย

“แปง เป็นไรเนี่ย ไหวหรือเปล่า”ฝ่ามือหนาตบเบาๆ ลงที่แก้มของผม เหมือนเป็นการเรียกสติ

“ไหวครับไหว”

“พี่ว่าแปงไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าจะได้ดีขึ้น”เป็นพี่ฟ่างที่เข้ามาบอกพร้อมช่วยประคองผมอีกคน

“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังไหว”ผมผละออกจากทั้ง 2 คนแล้วพยายามยืนให้ตรง เริ่มเดินตรงไปห้องน้ำ แต่ยิ่งเดินกลับยิ่งรู้สึกว่าโลกมันหมุนๆ ยังไงไม่รู้ ในหัวก็ชักจะมึนๆ แล้วเหมือนกัน ผมรีบจัดการพาตัวเองให้ถึงห้องน้ำอย่างรวดเร็ว หลังฉี่เสร็จตั้งใจว่าจะล้างหน้าตามคำแนะนำของพี่ฟ่าง แต่พอเดินมาถึงอ่างล้างหน้าผมก็ต้องใช้ผนังเป็นตัวช่วยพยุงให้ผมยืน เพราะการทรงตัวของผมเริ่มจะแย่เสียแล้ว

นี่ผมเมาหรืออะไรกันเนี่ย นี่คืออาการเมาหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าผมเริ่มรู้สึกยืนไม่ไหว เลยต้องพาตัวเองออกมายืนหน้าห้องน้ำก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงนั่งพิงกับผนัง ผมชันเข่าขึ้นฟุบหน้าลงเพราะตาก็เหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าผมฟุบอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน

“แปง แปง”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ค่อยๆ หรี่ตาให้ชินกับแสง เป็นพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างที่ช่วยพยุงผมลุกขึ้น

“มึงเห็นไหม น้องก็บอกแล้วว่าไม่เคยดื่มยังจะให้ดื่มเสียเยอะอีก”พี่ฟ่างบ่นให้พี่ต้าร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ช่วยพยุงผมที่จริงก็อยากจะช่วยพี่ต้าร์แก้ต่างนะครับ ว่าเป็นผมเองนี่แหละที่อยากดื่มเอง แต่เหมือนผมพูดไม่ออก ตอนนี้เหมือนอะไรสักอย่างมันมาจุกที่คอของผม

“มึงไปเหอะ รีบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกูไปส่งน้องมันเอง”ผมไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยถามทั้งคู่ว่าคนอื่นๆ กลับไปหรือยัง รู้แค่ตอนนี้ผมถูกพามาถึงรถ น่าจะรถของพี่ต้าร์ และพี่ฟ่างกำลังเช็ดหน้าให้ผมอยู่ ซึ่งเหมือนพี่ฟ่างน่าจะมีธุระต่อ พี่ต้าร์จะเป็นคนไปส่งผม

“แปปนะพี่”หลังจากพี่ฟ่างไปแล้วและพี่ต้าร์กำลังจะออกรถ ผมก็ต้องรีบบอกแล้วเปิดประตูลงจากรถเพราะความพะอืดพะอมมันพุ่งขึ้นมาถึงคอหอยผมแล้ว และในวินาทีต่อมา เรียกว่าทุกอย่างที่ผมกลืนลงไปในวันนี้ มันจะแย่งกันออกมาจากกระเพาะของผม

“โทษที พี่ก็ไม่รู้ว่าเราจะคออ่อนขนาดนี้ อ่ะบ้วนปากอีกทีแล้วนี่ก็ห้อยหูไว้ซะ”ผมรับขวดน้ำมาล้างปากล้างหน้าอีกรอบ พยายามไม่มองกองปะติมากรรมที่ผมเพิ่งสร้างไว้ เพราะมันอาจเป็นตัวนำให้เพิ่มปะติมากรรมขึ้นมาอีก ถุงพลาสติกถูกห้อยที่หูทั้งสองข้างของผม ปากถุงถูกกางออกรองรับปากผมที่อาจมีอะไรย้อนออกมาอีกได้

ผมบอกชื่อหมู่บ้านที่ผมอยู่ให้กับพี่ต้าร์ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แม้จะไม่หลับแต่มันก็พอช่วยให้ผมไม่ต้องเวียนหัวมากนัก เหมือนระยะทางมันช่างยาวไกล ทั้งที่ตอนนี้ถนนน่าจะโล่งและระยะทางบ้านผมก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น แต่ในที่สุดพี่ต้าร์ก็พาผมมาถึงหน้าหมู่บ้านจนได้

“เข้าไปสุดซอยเลยครับ”ผมบอกทางให้กับอีกคน รถวิ่งตามซอยจนมาหยุดอยู่หน้าบ้านอีกหลังที่ถัดจากบ้านผมอยู่

“ลุกไหวไหม ขอโทษอีกทีที่พี่คะยั้นคะยอให้แปงดื่มขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าจะเมาขนาดนี้ คงไม่ให้ดื่มแล้ว”ผมส่ายหน้าพร้อมยิ้มจางๆ ให้รู้ว่าไม่เป็นไร แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรอีกเสียงเคาะกระจกรถข้างผมก็ดังขึ้น ภาพลางๆ ของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนปรากฏอยู่ด้านนอก ดึกป่านนี้ทำไมเค้ายังใส่ชุดนักเรียนอยู่ แล้วทำไมยังไม่นอน ผมเอื้อมมือกดลดกระจกที่กั้นเราไว้ลง

“ไหนว่าจะรีบกลับไงลุง ทำไมกลับเอาดึกป่านนี้”



TBC

ช่วงแรกๆ ก็จะยังไม่มีอะไรมากนะครับ

จะเหมือนๆ ปูความสัมพันธ์ของตัวละครไปก่อน

ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้นะคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-06-2017 09:11:05
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-06-2017 10:10:01
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-06-2017 16:57:34
อื้อ เราชอบอะ ดูเรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้อืดอะไร ทำความรู้จักแต่ละคนไป
ลงให้อ่านเรื่อยๆแบบนี้ ดีมากๆเลย รออ่านทุกวันอะ
ขอบคุณคนเขียน
 ..ลุงแปงเมา ทำไมเราเหมือนจะลุ้น :katai1: :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 26-06-2017 20:32:51
แหม่ รถไฟชนกัน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-06-2017 20:56:00
นึกว่าจะหลุดพูดอะไรออกมาสะแล้ว 55
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-06-2017 21:04:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-06-2017 23:20:44
อ้าว งานเข้าแล้วไหมละแปง อย่าเลยอย่าบอกให้ฉันเลือกเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-06-2017 00:12:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-06-2017 06:52:07
แปง คิดน้อยไปมั้ย ตัวเองก็คออ่อน ไม่คุ้นชิน
ไม่รู้เลยหรือว่า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วมีรสหวานยิ่งมึนเมาง่าย

ยังดีที่พี่ตาร์ ไม่คิดล่วงเกินทำไรกับร่างกายแปง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แต่ช่วงที่ฟุบที่ห้องน้ำก็อาจเจอคนพาไปทำเรื่องไม่ดี
ตัวเองก็เมา ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ ใครจะมาช่วยได้  :fire:

แปง วางใจ เชื่อคนง่ายไปปะ แค่นี้เหมือนถูกใช้เป็นอุปกรณ์การพนันไปและ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 8 เมาแรก 26-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 27-06-2017 07:32:13
บทที่ 9
ดูแล




ปวดหัว ทำไมผมถึงได้รู้สึกปวดหัวขนาดนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมือก็ควานหาโทรศัพท์มือถือตรงที่ประจำที่เคยวางไว้  แต่ก็ไม่เจอ ผมพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างของห้อง แสงแดดที่ลอดม่านเข้ามาแสดงให้เห็นว่าที่คงสายแล้ว ผมกวาดสายตาไปยังนาฬิกาที่แขวนไว้กับผนังห้อง

“สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะ 11 โมงแล้ว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้ทั้งปวดหัวแล้วก็ปวดฉี่มากด้วย ผมรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ หลังทำธุระเสร็จออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าตัวผมเองอยู่ในชุดคลุ่มอาบน้ำโดยที่ภายใต้ชุดคลุม ผมไม่ได้มีเสื้อผ้าชุดอื่นเลย แม้กระทั่งชั้นใน แล้วผมมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง ด้วยสติที่เหมือนจะเพิ่งฟื้นมาแค่ 12% ทำให้ผมยิ่งปวดหัวเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนผมจะมาถึงห้องนอนแห่งนี้

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับลุง”เสียงเปิดประตู ตามด้วยคำทักทายและร่างของอีกคนที่เดินเข้าในห้องนอนของผมอย่างถือวิสาสะ ผมว่าผมเริ่มจะได้คำตอบลางๆ แล้วว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องนี่ได้ยังไง แต่ไอ้เรื่องที่ผมเข้ามาอยู่ในห้องได้ยังไงเนี่ยมันไม่คาใจผมเท่า ใครเป็นคนถอดเสื้อผ้าผมจนเหลือแต่เสื้อคลุมแบบนี้ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีแค่ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ทำให้ผมต้องรีบคว้าหมอนมากอดไว้ตรงหน้าอีก 1 ใบ

“เข้ามาทำไมเนี่ย”ถึงผมจะให้เค้าเข้านอกออกในบ้านผมได้ แต่ก็ยังไม่สนิทใจเท่าไหร่นะครับที่ให้เค้าเข้ามาถึงห้องนอนขนาดนี้นะครับ

“เอ้า ก็เข้ามาดูไงว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม กะว่าจะมาปลุกไปกินข้าวด้วยแหละ สายจนจะเที่ยงอยู่แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ผมกลัวลุงจะเป็นโรคกระเพาะ ยิ่งเมื่อคืนอ๊วกออกไปหมดไส้หมดพุงขนาดนั้นคงหิวแย่แล้วมั้ง”ผมแทบไม่ได้ฟังในสิ่งที่อีกคนพูด เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำถามว่าใครถอดเสื้อผ้าผม ใครถอดเสื้อผ้าผม คำถามที่วนเวียนในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา

“ไม่หิว”ผมบอกออกไปเสียงแข็ง เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอายที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้

“คร๊อกแคร๊ก”ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่เป็นใจ แถมทำผมขายหน้าเพิ่มอีกเสียด้วยนี่สิครับ แล้วไอ้รอยยิ้มของไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผมเพิ่มเข้าไปอีก

“ลุงไม่หิวแต่กระเพาะลุงคงหิวแล้วมั้ง”น้ำเสียงล้อๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมอยากจะลุกไปถีบคนตรงหน้านี่ระบายอารมณ์เสียจริง ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ชุดไม่มิดชิดนี่ผมลุกไปเอาเรื่องแล้ว

“อือ ออกไปก่อนเดี๋ยวตามออกไป”แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่รับคำเสียงอ่อยๆ ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าตกลงใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม เท่าที่พอจะจำได้ลางๆ คือผมอ๊วกและพี่ต้าร์เป็นคนมาส่งผมที่บ้าน แล้วคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องผมไปนี่ก็ยังไม่นอนตอนที่ผมกลับมา

“เดี๋ยวก่อนภู่”ผมเรียกให้เค้าหยุดก่อนที่จะออกจากห้องไป เค้าหันกลับมามองหน้าผมเลิกคิ้วเป็น รอฟังว่าผมเรียกเค้าไว้ทำไม แต่แล้วก็เป็นผมเองที่พูดไม่ออก แต่อีกใจก็อยากรู้ แล้วนี่ทำไมผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย นี่เบียร์มันทำให้ผมเป็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ตอนดื่มมันก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่นะครับ แต่ตอนตื่นมานี่สิครับ ทั้งปวดหัวทั้งจำอะไรไม่ได้อีก

“คือ...เอ่อ...คือ”ผมยังคงอ้ำอึ้ง ลังเลที่จะถามออกไป

“ว่าไงละลุง”อีกคนคงเริ่มรำคาญอาการอ้ำๆ อึ้งๆ ของผม เลยถามย้ำด้วยเสียงเริ่มแข็งๆ หน่อยๆ และทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องไป

“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่”ผมหลับตากลั้นหายใจถามออกไปตรงๆ พร้อมรอลุ้นคำตอบ แต่อีกคนกลับทำท่าประหลาดใจกับคำถามของผม เหมือนกับว่าไม่ใช่คำถามสำคัญอะไร

“ก็ผมไง”เค้าตอบกลับมาเหมือนประมาณว่า มันมีอะไรพิเศษเหรอกับการที่เค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเนี่ย มันอาจไม่มีอะไรสำหรับเค้า แต่สำหรับผมเนี่ย ผมยังมีความอายอยู่นะ

“งั้นภู่ก็...”แม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงเห็นผมไปทุกซอกทุกมุม จากสภาพชุดที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ แต่ผมก็ยังอยากจะถามย้ำ เผื่อว่าจะได้คำตอบอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้

“เห็น...”

“ลุงจะพูดอะไรเนี่ยอ้ำๆ อึ้งๆ”แล้วเค้าก็ดูใจร้อนอีกครั้ง แสดงออกมาชัดเจนว่ารอให้ผมทำใจก่อนจะพูดไม่ได้เลย

“คือแบบนี้ภู่ก็เห็นพี่โป๊หมดเลยสิ”ผมกลั้นใจถามออกไปชัดๆ

“แล้วไงอ่ะ  ลุงเล่นอ๊วกซะเละเทะ เปื้อนขนาดนั้น อยากนอนจมกองอ๊วกตัวเองหรือไง ไม่ต้องอายหรอกผมก็มีเหมือนลุงทุกอย่างแหละ คิดไรมาก”เค้าอธิบายเหตุผล ตอบกลับมาอย่างสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น

“จะไม่คิดมากได้ไง เกิดมาไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูนิ”ผมก้มหน้าพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกอายอย่างมาก มันควรจะเป็นเรื่องปกติเหรอครับกับการที่จะเปลือยให้คนอื่นเห็นเนี่ย แล้วแบบนี้ผมจะทำตัวต่อหน้าเด็กโย่งนี่ยังไงละทีนี้

“แต่จะว่าไปพี่แปงเองก็...ขาวไปทุกส่วนเลยเนอะ”เค้าเดินกลับมาหาผม พูดเสียงล้อๆ พร้อมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนผมต้องกระชับชุดคลุมอาบน้ำให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

“ไอ้บ้า ออกไปเลย”ผมรีบทำโมโหกลบเกลื่อนความรู้สึกตอนนี้ แค่คิดสภาพว่าอีกคนคงเห็นทุกซอกทุกมุมของผมหมดแล้ว มันก็ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ทั้งปวดหัวกับอาการเมาค้างนี่อีก

“เอาน่าพี่ รีบอาบน้ำออกมากินข้าวเหอะ”ผมหันมองอีกคนที่กำลังจะออกจากห้องด้วยสายตาขวางๆ แต่เจ้าตัวดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้เนี่ย ออกไปนี้ ผมได้แต่ตีอกชกลมกับตัวเอง ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดสบายๆ ผมก็ออกมานั่งกินข้าวต้มเงียบๆ บอกตามตรงว่ายังเกร็งๆ อยู่ไม่น้อยเลย แล้วยิ่งสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองผม มันยิ่งทำให้รู้สึกว่า เค้าจะคิดเลยไปถึงไหนต่อไหนหรือเปล่า ตั้งแต่โตมาผมยังไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูแบบล่อนจ้อนเลยนะครับเนี่ย แล้วไอ้คนตรงหน้านี่ก็ยังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรอีก

“เป็นไรเนี่ยพี่ ยังปวดหัวอยู่เหรอทำไมไม่ค่อยกินเลย”เค้าเอื้อมมือมาแตะลงที่หน้าผากผม แต่ผมเองรีบถอยออกเพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสัมผัสจากอีกคน

“ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย นอนพักอีกนิดหน่อยก็คงดีขึ้นแหละ กินเสร็จแล้วภู่กลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถ้วยชามไว้พี่ลุกมาจัดการเองตอนเย็นๆ”ผมบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากให้อีกคนกลับบ้านตัวเองไปเสีย โดยที่ผมเองยังคงก้มหน้าก้มตาเขี่ยๆ ข้าวต้มในชามอยู่อย่างเดิม

“แปลกๆ นี่อย่าบอกว่ายังเขินที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่อีกนะ”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมหยุดการเขี่ยข้าวต้ม และเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยิ้มมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่ออกจะจับผิดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“เปล่าซะหน่อย”ผมปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าในหัวมันเริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องความกระอักกระอ่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่าง ผมกับไอ้เด็กโย่งนี้ แล้วไหนจะอาการปวดหัว ที่เมาค้างนี่อีก

“หน้าแดงขนาดนี้ เขินอยู่ละสิ”ผมแทบจะยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่อีกคนมองมาที่ผม ผมก็รีบลดมือลง และพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“บอกว่าเปล่าไง กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเลย พี่จะพักผ่อน”ผมยังคงแสดงความต้องการออกไปอย่างชัดเจนว่าให้อีกคนกลับไปก่อน

“โหลุง สมัยเรียนไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนบ้างหรือไง โตมายังไงเนี่ย”แต่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมบอกเลย ยังคงพยายามบอกกับผมว่าการแก้ผ้าให้คนอื่นดูเนี่ยมันเป็นเรื่องปกติ

“ก็แล้วทำไมต้องแก้ผ้าอาบน้ำกับคนอื่นด้วยเล่า”ผมพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ และทำเหมือนไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้อีก

“โอเคๆ ไม่ต้องคิดไรมาก เดี๋ยวผมจะลบภาพต่างๆ เมื่อคืนออกจากสมองให้หมดเลย ลบภาพผิวขาวๆ หัวนมชมพู แล้วก็ดอกจำปีตะมุตะมินั่น”เดี๋ยวนะ ถ้าใครเห็นหน้าผมตอนนี้ก็คงจะเหวอไม่น้อย ก็ไอ้ต้นประโยคที่ได้ยินมันก็เหมือนจะดูดีและทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่ไอ้ประโยคท้ายๆ มันทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวจนเผลอลืมที่จะปรามอีกคนให้หยุดพูด

“หยุดๆ พอเลยถ้าบอกจะลืมก็ลืมเซ่จะมาสาธยายอะไรอีก”กว่าจะตั้งสติได้ ผมก็รีบทำเสียงแข็ง มองดูเค้าด้วยสายตาเคืองๆ แต่ก็นั่นแหละครับ อาจจะด้วยความที่ผมให้ความสนิทสนมเค้ามาในระดับนึงแล้ว มันทำให้เค้าก็คงไม่ได้กลัวอะไรผมแล้ว

“หรือลุงจะดูของผม จะได้หายกัน เอาไหมผมไม่ถือ”ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวเค้ามีการลูกขึ้นจะถอดเสื้อโชว์ผมจริงๆ เสียด้วย ผมต้องรีบห้ามเพราะไม่รู้ว่านี่จะบ้าถอดขึ้นมาจริงๆ หรือเปล่า

“บ้าเหรอ เลิกพูดแล้วจะไปทำอะไร จะไปไหนก็ไป จะนอนพักแล้วไม่ต้องมารบกวนด้วย”ผมย้ำอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่านี่รอบที่เท่าไหร่แล้วที่ผมไล่เค้าทางอ้อมให้กลับบ้านไปเนี่ย แต่ก็นั่นแหละครับ เข้ายังดูสบายๆ เดินหยิบถ้วยจานเข้าครัวไป

“เพิ่งกินเสร็จอย่าเพิ่งนอนเลยนะพี่ เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อน นั่งสักแปปหรือเดินย่อยหน่อยก็ได้”เดินออกจากห้องครัวมาก็พูดสั่งสอนยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แล้วต้องมาดูแลเด็กอย่างผม นี่จะทำตัวแก่แดดเกินไปละ

“อ่ะนี่ยาพารานะพี่ สักหน่อยจะได้ดีขึ้น แล้วคออ่อนขนาดนี้ยังจะดื่มเข้าไปทำไม เห็นว่าดื่มไปไม่ถึง 5 แก้วเลยไม่ใช่เหรอ”ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดถูกส่งมาให้ผม พร้อมกับแก้วน้ำเปล่า ผมก็ต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้ ว่าแต่เค้ารู้ได้ยังไงว่าผมดื่มอะไรไปเท่าไหร่ หรือว่าเมื่อคืนเค้าได้พูดคุยกับพี่ต้าร์ด้วย

“จะมาบ่นทำไมเนี่ย”ผมทำท่าแยกเขี้ยวตามหลังเค้า ที่เดินเอาแก้ว กลับเข้าไปเก็บในครัว

“อ่ะ นี่น้ำมะพร้าว ช่วยได้ระดับนึง จะได้อาการดีขึ้น”เค้าเดินกลับออกมาจากห้องครัวพร้อม มะพร้าว 1 ลูกที่ใส่หลอดพร้อมมาให้ผม ผมมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ว่าน้ำมะพร้าวเนี่ยจะช่วยให้หายจากอาการเมาได้ แล้วนี่บ้านผมมีมะพร้าวเป็นลูกๆ นี่ได้ยังไงกันเนี่ย

“ดื่มไปเหอะพี่ เวลาเมาค้างอ่ะ ร่างกายเราจะขาดน้ำ ดื่มน้ำผลไม้เข้าไปมันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ไม่ก็ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เชื่อผมดิผมผ่านการเมามาเยอะกว่าพี่อยู่แล้ว”เดี๋ยวเรียกผมลุง เรียกผมพี่ แต่พี่หรือลุงคนนี้กลับต้องมาให้เด็กสอนการแก้อาการเมาค้าง ทำไมชีวิตผมมันน่าสมเพช ขนาดนี้ ผมดูดน้ำมะพร้าวรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงบนโซฟา อย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆ ละพี่”เค้าเก็บโต๊ะไปพลาง ถามผมไปพลาง ผมว่าบางทีเค้าก็ทำให้ผมนิสัยเสีย ที่มีคนทำให้กินมีคนเก็บให้จนผมเหมือนคนขี้เกียจไปแล้ว แต่ถึงจะไปแย่งทำ เค้าก็ไม่ยอมให้ผมทำอยู่ดี ก็บอกแต่ว่าเกรงใจที่มากินข้าวบ้านผมทั้งที่จริงๆ เราก็ตกลงไว้แล้ว

“มันก็ยังเพลียๆ นะ แต่นอนไปก็คงไม่หลับหรอก สู้นอนโง่ๆ เปืดเพลงฟังอยู่ตรงนี้จะดีกว่า”ตอนนี้ผมพยายามตีมึนให้ได้อย่างเค้า ในเมื่อเค้าเองยังทำว่ามันเป็นเรื่องปกติได้ กับการเห็นผมเปลือย ผมเองก็จะทำมึนๆ แกล้งๆ ลืมมันไปให้ได้เหมือนเค้าแล้วกัน ผมพยายามทำตัวปกติเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับเค้า ไหนๆ ก็คงหลบหน้ากันไม่ได้แล้ว ก็เผชิญหน้าไปเลยนี่แหละ

“นอนเฉยๆ ไม่ได้เหรอพี่ ทำไมต้องนอนโง่ๆ ด้วย”เค้าถามผมกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ หลังได้ยินศัพท์ที่ผมใช้

“ก็นอนแบบไม่ต้องคิดอะไร พักสมองไงเล่า ไม่ต้องพูดมาก เข้าไปหยิบแผ่นซีดีเพลงในห้องนอนให้หน่อย”ผมออกคำสั่งใช้เค้า ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปก็ใช้งานซะให้เข็ดเลย ทีนี้อยากอยู่ก็อยู่ไปละกัน

“อ้าวไม่ไล่ผมแล้วเหรอ”นั่นไงครับ ก็ทั้งที่รู้นิว่าผมไล่ แต่ก็ไม่เห็นจะสะทกสะท้านอะไรเลย

“ไล่ตั้งหลายรอบ แล้วไปไหม”ผมบ่นไล่หลังเค้าที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปหยิบแผ่นซีดีให้ผม นี่ก็กะว่าจะเปิดเพลงคลอๆ นอนนิ่งๆ มันอยู่ตรงนี้แหละครับ ส่วนไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่อยากจะทำอะไรก็ปล่อยเค้าทำไปเถอะครับ

“เออว่าจะถามพี่หลายทีละ ว่าทำไมมีซีดีเพลงเยอะจัง สมัยนี้ผมไม่ค่อยเห็นใครเค้าเปิดแผ่นแบบนี้ฟังเลย”เค้าหยิบแผ่นซีดีประมาณ 4-5 แผ่นออกมายื่นให้ผมเลือก ผมหยิบ 1 แผ่นส่งให้เค้าใส่เข้าไปในเครื่องเล่นซีดี อย่างที่เค้าบอกนั่นแหละครับ ผมยังชอบฟังเพลงจากแผ่นมากกว่าฟังจากมือถือ สมาร์ทโฟนอย่างที่คนสมัยนี้นิยมกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ใช้นะครับ ผมก็ใช้แหละครับ เพียงแต่เวลาอยู่บ้านผมจะชอบเปิดเพลงจากแผ่นซีดีพวกนี้มากกว่า เพลงเก่าๆ มันก็เหมาะกับเทคโนโลยีเก่าๆ นี่แหละครับ

“ก็แค่ชอบ”ผมตอบออกไปสั้นๆ ซึ่งดูเหมือนคนฟังจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบของผมสักเท่าไหร่ เค้าหยิบกล่องซีดีที่ใส่แผ่นเข้าเครื่องเล่นไปแล้ว ถือเดินมานั่งลงกับพื้นหน้าโซฟานี่ผมนอนอยู่ เค้าเอนหลังพิงกับโซฟา ซึ่งพิงมาช่วงกลางๆ ลำตัวเยื้องๆ ขึ้นมาจะถึงช่วงอกผมอยู่แล้ว

“Chapter I : A New Beginning แปลว่าไรอ่ะพี่”ผมขมวดคิ้วกับคำถามของคนตรงหน้า นี่เค้าถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งถามผมเล่นๆ กันแน่

“ก็ บทที่ 1 การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไง”ผมบอกออกไปพร้อมสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายที่ยังพลิกดูด้านหลังกล่องซีดีที่เป็นชื่อเพลง พร้อมพยักหน้าว่าเข้าใจ ผมเริ่มแปลกใจว่าไอ้ทุกคำที่เค้าถามเมื่อสักครู่ มันเป็นศัพท์พื้นฐานมากๆ เลยนะ นี่เค้าแปลไม่ออกจริงๆ เหรอ

“แล้วบทที่ 1 เค้าไม่ใช้คำว่า Lesson 1 เหรอพี่มันก็แปลว่าบทที่ 1 เหมือนกันนิ”จากที่รู้เกรดเฉลี่ยของเค้าก็ดูกลางๆ เวลาเห็นทำการบ้านพวกคำนวณ เค้าก็ดูหัวไวอยู่นี่นา

“Lesson เค้าใช้กับ บทเรียน ส่วน Chapter มันเหมือน บท ตอน ที่เป็นเรื่องราว เหมือนบทของนิยายอะไรพวกนั้นอ่ะ”ผมอธิบายไปพร้อมสังเกตท่าทีไปว่าไม่ได้กำลังโดนเด็กอำ ซึ่งดูอาการแล้วเหมือนเค้าจะอ่อนด้านภาษาจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกนะครับ ก็คงแค่พอกลางๆ สื่อสารได้นิดหน่อย

“แล้วทำไมพี่รู้”เค้าหันมาถามด้วยความประหลาดใจเหมือนเป็นเรื่องแปลกที่ผมอธิบายให้เค้าฟังได้

“ก็เรียนมาไง พี่ก็เรียนเหมือนภู่นั่นแหละ”ตอนแรกว่าจะแกล้งข่มว่าผมเก่งกว่าแล้ว แต่ยั้งตัวเองทัน เพราะไม่อยากให้เค้ารู้สึกไม่ชอบเรื่องของภาษาไปเสียก่อน เพราะผมเองก็เคยมีเพื่อนที่พอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้านภาษาก็จะไม่ชอบไม่อยากเรียน แทนที่จะตั้งใจพัฒนาขึ้น กลับกลายเป็นไม่ใส่ใจปล่อยเลยตามเลย

“แต่ฟังดู พี่น่าจะเก่งภาษาอังกฤษกว่าผมเยอะเลย ผมงี้โคตรโง่เลยรู้ป่ะ ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยได้เกรด 2 ภาษาอังกฤษเลย เกรด 1 ล้วนๆ”ได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า ถ้าได้เกรดขนาดนี้ก็คงย่ำแย่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“จริงไหมเนี่ย”ผมถามย้ำ

“จริงดิพี่ไว้ พี่ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ผมมั่งดิ”ที่จริงถ้าเค้าไม่เอ่ยปากทีแรกผมก็คิดว่าจะเสนอตัวเองเสียด้วยซ้ำ อย่างที่บอกแหละครับ ผมก็เอ็นดูเค้าเหมือนน้องคนนึง อะไรที่จะส่งเสริมเค้าให้มันดีขึ้นผมก็อยากจะช่วย

“เอาดิ”ผมตอบรับไป แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบกันไปสักพัก ทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วในแผ่นนี้พี่ชอบเพลงไหนมากที่สุด”เค้าเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ ถามผม ผมเอื้อมมือไปหยิบกล่องซีดีจากเค้ามาพลิกดูรายชื่อเพลง ก่อนจะหยิบรีโมทกดเปลี่ยนเพลงเป็นคำตอบ

“If life is so short แปลว่าไรอ่ะพี่ ถ้าชีวิตสั้นงี้เหรอ เนื้อเพลงมันเกี่ยวกับอะไร จะฆ่าตัวตายงี้เหรอ”เดี๋ยวๆ ฟังจากทำนองดนตรีนี่เพลงมันควรมีความหมายแบบนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย นี่ก็ช่างจินตนาการไปได้

“มันใช่ที่ไหนกันเล่า เนื้อเพลงมันแบบประมาณว่าชีวิตคนเรามันก็สั้นนะ ในตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมเธอไม่ปล่อยให้ฉันได้รักเธอละ อะไรประมาณนั้นต่างหาก”ผมพยายามดึงให้เค้ากลับเข้ามาอินกับเนื้อเพลง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่

“ฟังดูเพ้อๆ น้ำเน่าเหมือนกันเนอะ”นั่นแหละครับ พอเราเล่าความหมายให้ฟังก็เป็นงั้นไปอีก

“เนื้อเพลงนี่เหรอ”ผมถามพร้อมนึกย้อนไปถึง เพลงที่เค้าชอบเปิด นั่นผมก็เข้าไม่ถึงเหมือนกันแหละครับ

“พี่อ่ะแหละ นี่ชอบเพลงนี้เพราะแอบชอบใครแล้วอยากให้เค้ารับรักป่ะเนี่ย”คำถามของเค้าทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อย แอบชอบ แอบรักงั้นเหรอ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่กำลังพูดถึงเนี่ย กับความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์ คนที่พอภู่พูดผมก็ดันนึกถึงขึ้นมาเนี่ย ผมมีความรู้สึกแบบไหนให้พี่เค้ากันแน่

“เมื่อคืน ตอนที่มีคนมาส่งพี่ พี่ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ หรือพูดอะไรแปลกๆ ออกไปใช่ไหม”ผมถามเพื่อความชัวร์ว่าผมไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าต่อหน้าพี่ต้าร์มากไปกว่าที่ผมพอจะจำได้

“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอคนที่มาส่งพี่นี่เค้าเป็นใครเหรอ”





TBC

เรื่องนี้ใสใสนะครับ อย่าเพิ่งคิดไม่ดีกับคู่นี้

ปล่อยลุงเค้าเวอร์จิ้นไปนานๆ ละกัน  :bye2:

หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 9 ดูแล 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-06-2017 09:46:24
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 9 ดูแล 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-06-2017 10:51:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 9 ดูแล 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 27-06-2017 17:06:39
หืมมมมม
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 9 ดูแล 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-06-2017 01:23:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 9 ดูแล 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-06-2017 07:32:36
บทที่ 10
ความหลัง



“วันนื้ทำไมกลับช้า”ผมเอ่ยถามคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้าบ้านมา แต่ดูสีหน้าเค้าไม่สู้จะดีนัก ช่วงหลังๆ เราต่างคนต่างเคยชินไปแล้วว่าอีกฝ่ายจะกลับถึงบ้านตอนกี่โมง วันนี้แม้จะเห็นแล้วว่าเค้ากลับช้ากว่าปกติ แต่ไม่เห็นว่าเค้าจะโทรมาบอกอะไร ผมเลยคิดไปเองว่าเค้าอาจจะแวะอะไรระหว่างทาง หรือเจอรถติด พอมาเห็นสีหน้าหงอยของเค้าแบบนี้เลยรู้สึกว่าคงมีอะไรไม่สบายใจเป็นแน่

“ลุง...ขอกอดหน่อยดิ”พูดจบเค้าก็ไม่ได้รอคำอนุญาตหรือไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมเข้าใจ เค้าพุ่งเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง คางเค้าวางเกยลงที่ไหล่ของผม สองแขนโอบผมไว้หลวมๆ เล่นเอาผมตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะครับ”เสียงที่ดังอยู่ข้างๆ หูทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ดีที่เค้ากอดผมมาจากด้านหลัง เพราะถ้าเค้าอยู่ด้านหน้าผมตอนนี้ คงจับได้แล้วว่าหัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ ผมรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความอบอุ่นก่อตัวขึ้นภายในใจที่เต้นรัวของผม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เมื่อผมพยายามสงบใจได้และเห็นว่าเค้ายังคงนิ่งอยู่ เลยเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ผมขยับมือขึ้นมาลูบแขนเค้าเบาๆ ให้เค้ารับรู้ว่าผมเองรู้สึกเป็นห่วงเค้าจริงๆ

“ถ้าวันนี้ผมไม่ทำอาหารเย็น พี่จะโกรธผมไหม”เค้าถามด้วยเสียงเหนื่อยๆ ทั้งที่คางยังเกยไหล่ผมอยู่ ผมหยุดคิดนิดนึงเพราะจริงๆ ตอนนี้เช้าเย็น ผมแทบติดฝีมือทำกับข้าวของเค้าไปแล้ว แต่ดูสภาพเค้าแล้ววันนี้คงมีเรื่องไม่สบายใจมากสินะ ถึงได้มีอาการแบบนี้

“ไม่โกรธเรื่องทำกับข้าว แต่จะโกรธที่ไม่ยอมปล่อยสักทีนี่แหละ อึดอัด”ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก ที่จริงถ้าเค้าบอกเร็วกว่านี้ก็ดีจะได้ซื้อจากข้างนอกเข้ามา หรือโทรสั่งอะไรมากิน แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ แค่มาม่าๆ จริงๆ ก็อยู่ได้แล้ว

“แหมนึกว่าชอบเสียอีกเห็นยืนนิ่งให้กอดเลย”แม้เค้าจะพยายามทำเสียงร่าเริง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเค้ากำลังฝืนๆ อยู่ ถึงผมจะไม่เห็นสีหน้าของเค้าเพราะเค้าเองยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดออกจากตัวผม แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสีหน้าเค้าคงไม่ได้ดีกว่าที่ผมสังเกตเห็นตอนแรกหรอก

“ปล่อยเลย จะไปต้มมาม่าละ วันนี้ไม่มีใครทำกับข้าวให้กิน”ผมย้ำอีกครั้งให้เค้าปล่อยผม เพราะไอ้สิ่งที่เราทำอยู่นี่ผมว่ามันเริ่มแปลกๆ แล้วแหละครับ

“ทำให้ด้วยดิ นะครับพี่แปงค้าบบ”เค้าทำเสียงอ้อนๆ พร้อมเอียงคอเอาหัวกระแทกเบาๆ ที่หัวของผม

“ก็ปล่อยสักทีสิจะได้ไปทำให้”ผมผละออกจากผมแต่เหมือนจะด้วยความรีบมากเกินไป ทำให้จมูกเค้าเหมือนจะเฉียดเอาแก้มผมไปด้วย ซึ่งเค้าเองก็น่าจะรู้ตัว เราต่างคนต่างชะงักกันไปทั้งคู่

“ภู่เอารสอะไรละ”ผมที่ตั้งสติได้ก่อนถามขึ้น สถานการณ์เมื่อสักครู่มันคืออะไรกันนะ ช่วงหลังๆ นี่ระหว่างผมกับเค้ามักจะมีช่วง dead air เกิดบ่อยขึ้นแม้มันจะช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างความอึดอัดได้เหมือนกัน แถมเราสองคนก็ยังต่างฝ่ายต่างปล่อยเลยตามเลย แต่อย่างเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เราไม่ควรรู้สึกอะไรด้วยซ้ำเพราะจริงๆ ตอนมี 2 สาวมาตบกันหน้าบ้านแย่งเค้า เค้าก็เคยแกล้งหอมแก้มผมไปแล้ว มันควรจะเป็นเรื่องขำๆ ระหว่างเราเสียด้วยซ้ำ

“พี่กินอะไรผมก็กินแบบนั้นแหละครับ”เค้าบอกผ่านๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟา ผมก็เดินแยกเข้าครัว จัดการเปิดตู้เย็นว่าพอจะมีอะไรใส่เพิ่มกับมาม่าบ้าง จะได้ไม่ต้องกินแค่เส้น รื้อๆ ดูก็พอจะมีผัก หมูบด ลูกชิ้น ไข่ นับว่าดีเกินคาดด้วยซ้ำ จริงๆ ผมเองเป็นคนซื้อมาใส่แหละครับ แต่ผมไม่ได้เป็นคนเอาออกมาทำ เลยไม่ค่อยรู้ว่าเหลืออะไรบ้าง ปกติก็จะไปซื้อช่วงวันหยุด สัปดาห์ละครั้ง ซื้อมาให้พอสำหรับ เราทั้งคู่แหละครับ

ไม่นานมาม่าชามใหญ่ ฝีมือผมก็ส่งกลิ่นหอม น่ากิน ไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าทำไมผมทำเองได้ แต่ให้เด็กโย่งข้างนอกนั่นมาทำกับข้าวให้กินทุกวัน ก็ผมมันทำเป็นแค่อะไรง่ายๆ แค่นั้นแหละครับ อีกอย่างมาม่าชามนี้ก็แค่ใส่ทุกอย่างลงไป รอสุกแค่นั้นเอง เครื่องปรุงก็ฉีกในซองนั่นแหละครับใส่ๆ ไป ไม่ได้อยากเลย

“แล้วตกลงเป็นอะไร อยากเล่าไหม”หลังยกมาม่าชามใหญ่ออกมาวางที่โต๊ะ ผมก็หยั่งเชิงถาม เผื่อว่าเค้าจะอยากระบายบ้าง เพราะบางทีการได้พูดออกมามันอาจทำให้สบายใจขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเค้าไม่อยากเล่า ผมก็คงไม่เซ้าซี้อะไรหรอกครับ ถึงเราจะเริ่มสนิทกันแล้วมันก็ยังต้องเว้นพื้นที่ส่วนตัวให้กันและกันไว้บ้าง อย่างวันก่อนเค้าถามผมเรื่องพี่ต้าร์ ผมปฏิเสธที่จะเล่าเค้าก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก

“น่ากินเหมือนกันนะเนี่ย ไหนชิมซิว่ารสชาติเป็นไง”เค้าเดินตรงมาแย่งช้อนจากมือผม แค่นี้ก็รู้แล้วแหละครับว่าเค้าบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดถึง สิ่งที่ทำให้เค้าต้องไม่สบายใจ ผมมองเค้ายิ้มๆ อย่างเอ็นดู ที่จริงปัญหาบางอย่างด้วยวัยของเค้าก็ควรให้ลองผิดลองถูกตัดสินใจเองบ้างแหละเนอะ อีกอย่างการที่ครอบครัวเค้ายอมปล่อยให้ใช้ชีวิตเองขนาดนี้ แสดงว่าเค้าเองก็คงทำให้ที่บ้านไว้ใจได้ในระดับนึงแหละครับ แต่เรื่องการเรียนที่เห็นว่าแย่ลงนี่ก็คงทำให้ที่บ้านเค้าเข้มงวดขึ้นมาหน่อยแหละมั้ง

“ฝีมือใช้ได้ แบบนี้ผมจะหมดประโยชน์หรือเปล่านา”เค้าเงยหน้ามองผมเผยยิ้มกว้าง ทำเหมือนผู้ใหญ่ชมเด็กหัดทำกับข้าว นี่ตกลงผมกับเค้านี่ใครอายุมากกว่ากันแน่ ผมต้องให้เด็กที่อายุน้อยกว่าตัวเองเกือบ 10 ปีเป็นคนมาชมเหรอเนี่ย

“ไม่หรอกพี่ขี้เกียจทำเอง ให้ภู่ทำพี่รอกินอย่างเดิมแหละ สบายออก”ผมแกล้งบอกยอเค้าไป คิดว่าคุยเล่นแบบนี้กับเค้าก็คงช่วยให้เค้าคลายกังวลไปได้บ้างแหละ แม้ผมจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ก็เถอะ

“มาๆ กินกันดีกว่าหิวแล้ว”ตะเกียบที่ผมถือมาสำหรับเราสองคน ถูกเค้าฉวยหยิบไปคู่นึง พร้อมตั้งท่าเตรียมจะกินอย่างตั้งใจ ทำเหมือนเด็กๆ เจอของโปรดยังไงอย่างนั้น ผมส่ายหน้าขำๆ ยังไงเค้าก็ยังเป็นแค่เด็ก 17 แหละเนอะ

“หยิบถ้วยแบ่งก่อนสิ”ผมบอกพร้อมจะลุกไปหยิบถ้วยใบเล็กมาเพิ่ม เพราะนี่มาม่าก็อยู่ในชามใหญ่ใบเดียว แต่ข้อมือผมก็ถูกฉวยคว้าไว้โดยอีกคน ผมหันกลับมามองเค้าอย่างไม่เข้าใจ เค้าพยักหน้าให้ผมนั่งลงตามเดิม

“ไม่ต้องหรอกพี่กินถ้วยเดียวกันนี่แหละ”สายตาเค้าจ้องมองมาที่ผม ดูเป็นสายตาที่ผมไม่เคยเห็นจากเค้าเลย ปกติเค้าจะมีแววกวนๆ ขี้เล่นในนั้นเสมอ แต่ครั้งนี้แววตาเค้าดูแปลกไป ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเค้าอยากจะสื่ออะไร

“เอางั้นเหรอ”หลังที่มองกันอยู่สักพักผมก็ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากมือของเค้า เราทั้งคู่เกิดอาการเดิมอีกแล้ว ผมชักแปลกใจว่าไอ้อาการเก้ๆ กังๆ ในบางครั้งระหว่างเราสองคนนี่มันชักจะมาบ่อยเกินไปแล้ว แถมมันเกิดหลังจากวันที่เค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมนั่นแหละครับ และผมเองก็มักจะนึกถึงเรื่องนี้ทุกครั้งที่เราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

“รออะไรละ ช้าหมดอดนะครับลุง”เค้าเป็นฝ่ายหลบสายตาผมก่อน และดึงชามมาม่าให้เลื่อนเข้าหาฝั่งเค้า ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากคำโต ผมจ้องมองท่าทีของเค้าที่ทำเหมือนหวงของกิน ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ

“เฮ้ย แบ่งมั่งดิ”ผมแย่งชามมาม่ามาฝั่งตัวเองบ้าง เราผลัดกัดกิน แย่งกันบ้าง เกี่ยงกันกินอะไรที่ไม่อยากกินบ้าง เรียกว่าอหารมื้อนี้แม้มันจะธรรมดามากๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยมากอย่างบอกไม่ถูก

“อ่าอิ่มแปล้เลย”ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ลูบท้อง เพราะรู้สึกกินเข้าไปเยอะมากเกินปกติ เราหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมว่าเค้าเองก็คงขำในสิ่งที่เหมือนกับผมขำ ก็อยู่ดีๆ ดันมองหน้ากันอยู่ได้

“เฮ้ยๆ พี่เก็บเอง วันนี้พี่ทำต้องให้พี่เก็บสิ”ผมรีบลุกแย่งชามเมื่อเห็นว่าเค้าจะเก็บไปล้าง เค้ายอมให้ผมเก็บจานโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเดินเข้าครัวแล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าผมเริ่มจะไม่รู้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน พื้นที่ตรงนี้มันเป็นของเค้าไปแล้ว ผมมองหาอุปกรณ์ล้างจาน ดีที่มันยังอยู่ที่เดิม แต่พอกดน้ำยาล้างจานปรากฏว่ามันน่าจะหมดแล้ว

“ภู่ น้ำยาล้างจานที่จะซื้อมาเติมวันก่อน อยู่ตรงไหนอ่ะ”ผมตะโกนถามพร้อมพยายามเปิดหาตามที่เก็บ แต่ก็ยังไม่เจอ

“บนชั้นนั่นไงพี่”เค้าเดินเข้ามายืนประกบด้านหลังผม เอื้อมหยิบน้ำยาล้างจานแบบเติมลงมาจากชั้นที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะผม นี่ผมว่าผมก็เขย่งดูแล้วนี่นา ทำไมไม่เจอละเนี่ย เค้าชูให้ผมดูก่อนจะยื่นให้แล้วถอยไปยืนพิงกับตู้เย็นมองผมที่พยายามฉีกถุงน้ำยาล้างจาน

“เอามานี่ เดี๋ยวผมทำให้ พี่นี่โตแล้วจริงป่ะเนี่ย”เค้าเข้ามาแย่งถุงน้ำยาล้างจานจากมือผมไปตัดแล้วเทลงถุงอย่างคล่องแคล่ว บางทีผมก็คิดนะครับว่าเค้าที่ก็จัดว่าเป็นเด็กเกเรมีเรื่องชกต่อย มีความกวนประสาท แต่ทำไมยังทำงานบ้านงานครัวอะไรพวกนี้ได้อีก แต่ทำได้แล้วไม่ต้องมาทำบ่นผมแบบนี้ก็ได้นะ

“แล้วทำไมต้องบ่นด้วยเล่า พี่แก่กว่าภู่ตั้งหลายปีนะไม่ต้องมาทำเหมือนพี่เป็นเด็กเลย”ผมรับน้ำยาล้างจานมาอย่างเคืองๆ ก็พักหลังนี่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย

“ก็ดูดินี่ก็ทำหน้างอเป็นเด็กอีกแล้วเนี่ย”นี่ผมหน้างอเหรอ ผมว่าผมก็แค่รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย นี่มันออกไปทางสีหน้าด้วยเหรอนี่

“ก็ถ้าพี่เหมือนเด็ก แล้วจะมาเรียกพี่เป็นลุงทำไมเล่า”ผมถามกลับออกไปอย่างพาลๆ ปกติเห็นชอบเรียกผมลุงบอกผมแก่กว่าตั้งหลายปีทีแบบนี้มาหาว่าผมเหมือนเด็ก ตัวเองก็ยังเรียนมัธยมอยู่แท้ๆ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“ก็เป็นเฒ่าทารกไงครับลุง”เค้าเดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มแก้มผม จนผมต้องเบี่ยงหน้าหนี เล่นอะไรก็ไม่รู้เนี่ย

“ออกไปเลย ไม่ต้องมากวน เดี๋ยวก็ไม่เสร็จสักทีเนี่ย”เค้าถอยกลับไปยืนพิงที่ตู้เย็นตามเดิมเงียบๆ ไม่ได้ออกจากครัวไปอย่างที่ผมบอก

“พี่แปง”เค้าเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่ออกจะหม่นๆ หน่อยๆ

“หือว่าไง”สีหน้าเค้าดูเศร้าลง แสดงว่าคงฝืนไว้ไม่ไหวแล้วสินะ อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าผมก็รู้สึกว่าวันนี้เค้าไม่ปกติ แต่ก็นึกว่าจะดีขึ้นได้บ้าง จากการที่เค้ากวนผมเนี่ย แต่นี่คงยังไม่ช่วยเท่าไหร่สินะ

“พี่แปงเคยอกหักไหม”ผมหันกลับไปมองเค้า พร้อมขมวดคิ้ว เค้าไม่ได้หันมามองผมแต่เหมือนสายตามองไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เค้าอกหักอย่างนั้นหรือ นี่ตั้งแต่เรื่องแม่ 2 สาวที่มาตบกันหน้าบ้านเพื่อแย่งเค้าในวันนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าเค้าจะพูดถึงสาวๆ ที่ไหนอีกเลย จะว่าอกหักเพราะ 1 ในสองสาวนั้นก็คงไม่ใช่

“ไม่เคยอ่ะ เคยแต่แอบรักเค้าข้างเดียวมั้ง”ผมตอบออกไปตามตรง แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ต้าร์มันคือความรักหรือเปล่า

“การแค่ได้แอบรักมันก็คงมีความสุขมากกว่าสินะครับ”จะมาโหมดไหนเนี่ย อย่าเศร้ามากละกัน ผมเองก็ปลอบไม่เป็น แฟนก็ไม่เคยมี อกหักก็ยังไม่เคย เพื่อนอกหักมาให้ปลอบก็ไม่เคยมีอีกเหมือนกัน

“พี่อาจจะไม่มีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้ แต่ถ้าอยากระบายพี่ยินดีรับฟังเสมอ”เค้าหันมายิ้มให้ผมแล้วเดินหันหลังเดินออกไป ผมรีบล้างจานให้เสร็จ เพื่อเดินตามเค้าออกไป แต่พบว่าเค้ากำลังจะเปิดประตูออกจากบ้านผมไป

“เดี๋ยวมานะพี่”เค้าบอกโดยที่ไม่ได้รอให้ผมถาม ผมเลยได้แค่อ้าปากค้าง เดินตามไปที่ประตูมองแผ่นหลังเค้าเดินห่างออกไป เค้าคงไม่ได้เป็นไรมากหรอกมั้ง ผมคงทำได้เพียงนั่งรอสินะ แต่กลับกลายเป็นว่าผมรอด้วยความกระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ ก็เล่นมาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น แล้วอยู่ๆ ก็เดินออกไปดื้อๆ แบบนี้ แล้วเดินไปไหนก็ไม่รู้ ผมรออยู่พักนึงกำลังว่าจะเดินออกไปตามเค้า ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปตามเค้าที่ไหน

“จะไปไหนเหรอพี่”พอเปิดประตูกลับกลายเป็นว่า ผมกับเค้ายืนเผชิญหน้ากันพอดี จนผมต้องเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังให้เค้าเข้ามาในบ้าน

“ปะ..เปล่าไม่ได้จะไปไหน”ผมรีบปฏิเสธ

“แล้วนี่ไปไหนมา”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยตั้งคำถามกับเค้าแทน เค้าไม่ได้ตอบแต่ชูถุงที่หิ้วมาให้ผมดู ผมมองตาโต เพราะที่เค้าหิ้วมามันคือเบียร์ 5-6 กระป๋อง

“อะไร นี่อกหัก ต้องทำตัวเศร้า ดื่มเหล้าร้องไห้งี้เหรอ”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงตำหนิหน่อยๆ ก็ไม่ได้แปลกใจหรอกนะครับที่เค้าดื่มแอลกอฮอล์ บุคลิคอย่างเค้าเนี่ย ไม่ดื่มสิแปลกกว่าอีก แต่มันก็อดที่จะอยากดุหน่อยๆ ไม่ได้

“เบียร์แค่นี้มันไม่เมาหรอกลุง อีกอย่างวันนี้ผมก็ไม่ได้อกหักสักหน่อย ผมกับเค้ามันจบไปตั้งนานแล้วต่างหาก”นี่ขนาดพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรแล้วนะครับ แต่ยังต้องออกไปซื้อเบียร์มา แถมอาการหงอยๆ วันนี้อีก

“คนที่พูดถึงนี่เค้าไม่มีอิทธิพลกับเราแล้วว่างั้น”ผมบอกออกไปอย่างหมั่นไส้ ทีแรกก็อยากจะช่วยปลอบนะครับ แต่มาทำวางฟอร์มปากแข็งอยู่แบบนี้ จากอยากช่วยเลยเป็นหมั่นไส้แทน

“เค้าก็แค่คนที่เคยบอกว่ารักผม แล้ววันนึงก็ทิ้งผมไป จนมาวันนี้วันที่ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเค้าแล้ว เค้าก็จะกลับเข้ามาในชีวิตผม บอกว่าอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม”จากอารมณ์หมั่นไส้กลายเป็นเริ่มห่วงเค้าแล้วครับ นี่ผมว่าผมเองก็อารมณ์แปรปรวนเหมือนกันนะเนี่ย ผมปล่อยให้เค้าได้ระบายออกมา พร้อมกับเบียร์ที่เค้ายกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดกระป๋อง

“แล้วภู่ยังรักเค้าไหมละ”เมื่อเห็นเค้าเอาแต่เงียบแล้วสนใจแค่กระป๋องเบียร์ตรงหน้า เค้าบีบกระป๋องเบียร์เปล่าจนยับคามือ ก่อนจะเปิดกระป๋องใหม่

“ผมยังจำวันที่ผมถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี จนผมเกือบไม่เป็นผู้เป็นคน ผมอาจจะบ้าเองก็ได้มั้งพี่ที่คิดว่าความรักครั้งแรก ความรักแบบเด็กๆ ของผมมันจะกลายเป็นรักที่ยั่งยืน แต่ว่าตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจ ย้ายจากเชียงใหม่มาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็บอกกับตัวเองแล้วว่าจะไม่กลับไปจุดนั้นอีก”ผมพอจะจับใจความได้แล้วครับ ว่าคนตรงหน้าที่คงเคยถูกแฟนทิ้งตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่เชียงใหม่ แล้ววันนี้คงได้รับการติดต่อจากอีกฝ่ายสินะ

“แล้ว ยังไงไหนว่าไม่คิดจะกลับไปอะไรกับเค้า แต่ยังต้องมานั่งดื่ม ให้ความสำคัญกับเค้าอยู่แบบนี้เหรอ”บอกถามกลับด้วยเสียงแข็งๆ หน่อย เพราะรู้สึกขัดใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ดูมันสวนทางกับสิ่งที่เค้าทำอยู่เหลือเกิน

“นั่นสินะ งั้นมาพี่ดื่มเป็นสักขีพยานกับผมสักป๋อง ว่าจากนี้ไปคนๆ นี้จะไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผมอีก”เค้าหัวเราะ เหมือนเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที แล้วก็ยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ผม อย่างที่บอก

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเมา”ผมรีบปฏิเสธ นึกถึงสภาพตัวเองวันที่เมาแล้ว ผมว่าอย่าจะดีกว่า เค้ายิ้มจางๆ แล้วเอาป๋องเบียร์กลับไปเปิดดื่มเอง

“การที่เคยได้มีแฟน ได้มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมันก็ดีแล้วแหละ แม้วันนึงจะเลิกรากันไปก็เก็บช่วงเวลาดีๆ นั้นไว้เถอะ คนบางคนเค้าก็อาจแค่ผ่านเค้ามาใช้เวลากับเราแค่ไม่นาน แต่เค้าก็เคยทำให้เรามีความสุขไม่ใช่เหรอ”ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

“ภู่ยังดีกว่าพี่ตั้งเยอะที่เคยมีแฟน ดูพี่สิอยู่มาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยมีแฟนเลย”พูดไปก็เริ่มรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วละครับ

“แล้วทำไมพี่ไม่หาใครสักคนละครับ ผมว่าอย่างพี่ใครอยู่ด้วยก็ต้องชอบพี่อยู่แล้ว ผมเองยังชอบพี่เลย”ผมชะงักกับคำพูดเค้า ก่อนจะเผลอยิ้มขำออกมา นี่ผมคิดอะไรนะ คำว่าชอบของเค้ามันได้หมายความไปในทางลึกซึ้งเสียหน่อย

“แล้วที่บอกว่ามีคนที่แอบชอบละ ทำไมพี่ไม่บอกเค้าไปตรงๆ บางทีเค้าอาจจะชอบพี่อยู่เหมือนกันก็ได้นะ”เค้าหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

“ช่างเหอะ”ผมบอกปัดๆ พร้อมนึกถึงคนที่ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเค้า

“แล้วคนที่พี่แอบชอบเนี่ย ผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะพี่”ผมหันไปมองคนถาม เค้าเองก็หันมามองผมอยู่แล้ว เค้าหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม แต่สายตาก็ยังมองผม เหมือนเป็นการรอคำตอบ ที่จริงเค้าเองก็เคยแซวผมหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมชอบผู้ชาย แล้วจนมารู้จักสนิทสนมขนาดนี้ ผมนึกว่าเค้าปักใจไปแล้วเสียอีก แต่ผมว่าผมก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่บอกเค้าตามตรงนะครับ

“พี่ชอบผู้ชาย”




TBC

ยังไงต่อละทีนี้ :bye2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-06-2017 09:07:53
เอละสิ แปงบอกภู่ไปแล้ว
ว่าคนที่แอบชอบน่ะเป็นผู้ชาย  :z3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-06-2017 10:23:43
เอาแล้ววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-06-2017 10:50:58
 :katai1: :katai1:

โอ๋ย โอ๋ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-06-2017 11:14:38
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-06-2017 19:06:50
อร๊ายยย แล้วๆๆๆๆๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 28-06-2017 21:53:36
นั่นๆๆๆๆเดี๋ยวก็เมาอีก 5555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-06-2017 23:39:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 10 ความหลัง 28-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-06-2017 07:35:16
บทที่ 11
อกหักมันเป็นยังไง





“พี่ชอบผู้ชาย”

“ก็กะอยู่แล้ว”หลังได้ยินคำตอบของผม เค้าก็ตอบกลับมายิ้มๆ มองผมสบายๆ เหมือนไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เค้าดื่มเบียร์ที่ซื้อมาจนหมด เค้าก็ขอตัวกลับบ้านไป พอตอนเช้าเค้าก็มาทำอาหารเช้า ปกติเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เค้าไม่พูดถึงเมื่อวานที่มีเรื่องไม่สบายใจ หรือไม่พูดถึงสิ่งที่เค้าถามผมอีก เค้าทำตัวปกติเหมือนทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้มันดันยังติดอยู่ในหัวผม จนตามมาถึงที่ทำงานแบบนี้ ผมนั่งคนแก้วกาแฟนตัวเองคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งกับใครคนนึงที่เรียกผม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่เรียกตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวเลย”หญิงสาวที่น่าจะอายุมากกว่าผมนิดหน่อย ซึ่งผมไม่คุ้นหน้าเลยว่าเป็นลูกค้าบริษัทเราหรือเปล่า จะว่าเป็นพนักงานใหม่ก็คงไม่ใช่อีก แต่นี่ผมคงคิดนานเกินไปทำให้หญิงสาวตรงหน้าสะกิดเรียกผมอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ

“โทษที พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมถามกลับพร้อมยิ้มอย่างอายๆ ที่ทำตัวเปิ่นๆ ออกไป

“อ้าวกุ้ง มาทำอะไร”เป็นพี่ฟ่างที่เดินเข้ามาทักก่อนโดยที่พี่กุ้งตามที่พี่ฟ่างเรียก ยังไม่ทันได้ตอบอะไรผม ดูจากการพูดคุยแล้วดูท่าพี่ฟ่างและพี่กุ้งคงสนิทกันไม่น้อยทีเดียวครับ

“พอดีเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ แล้วไม่มีกุญแจบ้านเลยแวะมา กะว่าเอาของฝากมาให้ด้วย อีกอย่างก็มาดูว่าพ่อตัวดีของเรามีนอกลู่นอกทางบ้างหรือเปล่า”จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าพี่กุ้งคงเป็นแฟนใครสักคนในออฟฟิศแน่ๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่เค้ามาที่นี่มาก่อนเลย

“น้องฟ่าง ใครอ่ะ”เจ้โอ๋ที่โผล่เข้ามาเพิ่ม เอ่ยถามด้วยความสงสัย นี่ขนาดผู้กว้างขวางในออฟฟิศอย่างเจ้โอ๋ ยังไม่รู้จัก แต่รู้จักพี่ฟ่างงั้นเหรอ

“นี่กุ้งแฟนไอ้ต้าร์มันครับเจ้ กุ้งนี่พี่โอ๋ แล้วก็น้องแปง”พี่ฟ่างแนะนำพวกเราทุกคนให้รู้จักกัน เจ้โอ๋มีอาการแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมนะเหรอครับ มันก็รู้สึกงงๆ หน่อยๆ หวิวๆ นิดๆ โหวงๆ ด้วยประมาณนึง เรียกว่าอธิบายไม่ถูกดีกว่าครับ คือก็คิดไว้อยู่เหมือนกันว่าพี่ต้าร์แกคงมีแฟนแล้ว อีกส่วนนึงก็ยังแอบสงสัยว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างจะสนิทเกินเพื่อนหรือเปล่า แต่พี่ต้าร์เองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟนเลยด้วยแหละครับ

“พี่คิดว่าต้าร์กับฟ่างเป็นแฟนกันใช่ไหมคะ กุ้งเองทีแรกก็คิดนะคะ”พี่กุ้งหันไปคุยกับเจ้โอ๋ อย่างอารมณ์ดี ผมเองก็แกล้งฝืนๆ ยิ้มอยู่ที่เดิม แล้วก็มองอีกคนที่เข้ามาใหม่ นั่นคือพี่ต้าร์ พี่เค้ายิ้มกว้างเข้ามาหาแฟนของเค้าทักทายอย่างสนิทสนม ผมบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง แต่มันไม่เห็นเจ็บ หรือรู้สึกเศร้าอะไรเลยกับสิ่งที่ได้รับรู้ตรงหน้า

“น้องแปง ไม่ต้องเศร้าไปนะจ๊ะ ถึงพี่จะมีแฟนแล้ว แต่อยู่ที่นี่เราก็ยังเป็นผัวเมียกันเหมือนเดิม”พี่ต้าร์เดินเข้ามากอดคอผม ผมก็น่าจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า แกแค่แกล้งผมเล่นๆ แบบนี้ รวมทั้งกับพี่ฟ่างเองก็ด้วย ผมแกล้งยิ้มขำๆ ไปกับการกระทำของพี่ต้าร์

“พี่บอกเลยนะคะน้องกุ้ง เห็นแบบนี้ทุกวันไม่กลัวไอ้เนี่ยมันเปลี่ยนใจจริงๆ เหรอ”เจ้โอ๋แกล้งทำท่าแขยง ก่อนจะหัวเราะออกมา ทุกคนพูดคุยกันต่ออีกสักพักอย่างสนุกสนาน ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน และพี่กุ้งก็กลับออกไป ส่วนผมก็กลับมานั่งทำงานด้วยความรู้สึกแปลกๆ เรียกว่าวันนี้ผมทำงานแทบจะไม่มีสมาธิเลย พอถึงเวลาเลิกงานผมก็กลับบ้านด้วยอาการมึนๆ

“วันนี้ลุงอยากกินอะไรเป็นพิเศษเปล่า”สายประจำจากพ่อครัวส่วนตัว โทรเข้ามาแทบจะเวลาเดิม แต่ผมเพียงตอบไปว่าอะไรก็ได้ เพราะรู้สึกเหมือนไม่ค่อยหิวด้วย

“วันนี้เหนื่อยเหรอลุง ทำไมเสียงเนือยๆ”น้ำเสียงเจือด้วยความสงสัยเอ่ยถามผมออกมาตามสายโทรศัพท์

“เปล่าหรอก ไว้เจอกันที่บ้านละกัน”ผมปฏิเสธพร้อมตัดบทสนทนา ผมว่าผมไม่เป็นไร ไม่น่าจะรู้สึกอะไรกับเรื่องที่ได้รับรู้วันนี้ แต่ทำไมมันเหมือนบางอย่างกลับติดอยู่ในหัวของผม ผมไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลย มันคืออะไรกันนะ ผมขับรถเรื่อยๆ ด้วยอาการจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน สายตาเหลือบเห็นบางอย่าง ทำให้ผมหยุดรถ

“10 กระป๋องครับ”ผมบอกกับพี่คนขาย มือชี้ที่กระป๋องรูปทรงและหน้าตาแบบเดียวกับที่ภู่ซื้อไปวันก่อน แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมผมต้องซื้อไป แต่ผมว่าการที่ภู่เองเอามันไปดื่มในวันที่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความรัก มันก็คงช่วยได้บ้างแหละ แม้ระหว่างผมกับพี่ต้าร์มันจะยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคนรักเลยแม้แต่น้อย

“วันนี้เป็นไรเนี่ยลุง ตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์แล้ว ดูเนือยๆ แล้วนี่ดูหน้าตาเข้าอกหักหรือไงเนี่ย”คำพูดเหมือนแซวเล่นๆ จากอีกคนที่เข้าบ้านมาก่อนผมแล้วทักทายผม แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเดินหิ้วของมาวางที่โต๊ะ และสิ่งที่ผมซื้อมาก็คงทำให้เค้าสังเกตเห็นแล้ว เค้าเดินมาหยุดตรงหน้าผม จ้องมองผมโดยไม่ได้พูดอะไร

“เค้ามีแฟนแล้วใช่ไหม คนที่พี่แอบชอบนะ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า กำลังงงว่าเค้ารู้ได้ยังไง

“ถึงผมจะอายุน้อยกว่า แต่ประสบการณ์รักของผมเยอะกว่าพี่แน่ๆ อีกอย่างพี่ไม่เคยบ่นเรื่องงานเลย อาการที่พี่เป็นมันเดาไม่ยากหรอกครับ”เค้าอธิบายเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร

“ก็แค่เค้าไม่ชอบเรา ไม่ได้แปลว่าเราไร้ค่า เราไม่มีใครเอา ชีวิตเรามันไม่ได้จะพังลงหรอกพี่”เดี๋ยวนะนี่อาการผมมันแย่ขนาดนั้นเหรอ ผมก็ว่าผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ แม้มันจะรู้สึกนอยด์ๆ ไปบ้างแต่ผมว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น แล้วเค้าก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอด

“อกหักครั้งแรกก็งี้แหละพี่”เค้าลูบหัวผมเหมือนปลอบเด็กจนผมเผลออมยิ้มออกมา ผมว่าไอ้ผมนะไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ไอ้เด็กตรงหน้านี่แหละ เล่นใหญ่เหลือเกิน สงสัยตอนตัวเค้าเองอกหักคงอาการหนักสินะ

“ภู่...ปล่อยก่อนพี่ไม่เป็นไร”ผมพยายามขืนตัวออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังกอดผมไว้แน่น ตกลงนี่เค้าหรือผมกันแน่ที่แย่ หรือตัวเค้าเองที่เฮิร์ทต่อเนื่องมาจากวันก่อน

“ไม่ต้องเกรงใจพี่ผมรู้ว่าเวลาเจ็บมันต้องการอ้อมกอดจากใครสักคน ยังไงพี่ก็ยังมีผมนะ”ไปกันใหญ่แล้วไหมเนี่ย ผมว่าผมยังไม่เสียใจอะไรขนาดนั้นนะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เสียหลักหรือชีวิตพังอะไรขนาดนั้น

“ปล่อยก่อนภู่ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”ผมออกแรงดันเค้าอีกครั้งพร้อมบอกอย่างจริงจัง เค้ายังคงมองหน้าผมด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่แต่ผมก็ย้ำแล้ว ย้ำอีกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

“ไม่เป็นไรแล้วซื้อเบียร์มาทำไม”เค้าชี้ที่เบียร์ 10 กระป๋องที่ผมหอบหิ้วมา เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองหรอกนะครับ อาจจะแค่คิดแบบเด็กๆ ว่าอยากเมาดูบ้างเวลาคิดว่าตัวเองอกหัก แต่นี่ผมอกหักหรือเปล่ายังไม่เข้าใจตัวเองเลย

“อยากทำตัวเฮิร์ทดูบ้าง แต่ทำไมมันไม่เห็นรู้สึกจะเป็นจะตายเหมือนในละคร ซีรี่ส์ หรือตาม MV เลยอ่ะ”ผมบอกขำๆ แต่ก็คือสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ผมไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยถูกทิ้ง ไม่เคยโดนบอกเลิก แต่เท่าที่เคยเห็นคนที่เป็นฝ่ายถูกทิ้งตามหนังละคร อะไรต่างๆ ดูเค้าทุรนทุราย ร้องไห้เสียใจฟูมฟาย กินไม่ได้นอนไม่หลับกันเหลือเกิน ทำไมผมไม่ยักกะรู้สึกแบบนั้น

“อะไรของลุงนิ ตกลงอกหักจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามด้วยน้ำเสียงออกจะหมั่นไส้ผมหน่อยๆ แต่จะมาโทษผมก็ไม่ได้นะครับ ตัวเค้าเองแหละมาถึงผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย ดันมาเล่นใหญ่ใส่ผมเองซะงั้น

“ไม่รู้สิมันก็รู้สึกนิดๆ นะ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นจะตายเลย”ผมฉีกยิ้มกว้างบอกเค้าไปตามตรง เอาจริงๆ ก่อนกลับมาเตอเค้าก็รู้สึกแย่หน่อยๆ แหละครับ แต่อ้อมกอดจากเค้าเมื่อสักครู่มันก็ช่วยผมไว้ด้วยแหละมั้ง จังหวะนึงที่เค้ากอดผม มันก็ทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอยู่เหมือนกัน

“นี่ตกลงใช่เรื่องคนที่ลุงแอบชอบมีแฟนอยู่แล้วอย่างที่ผมว่าป่ะ”ผมพยักหน้าตอบรับ ว่าเค้าไม่ได้เจ้าใจผิด

“นี่ชอบเค้าจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามผมกลับด้วยท่าทีที่คงเริ่มไม่เข้าใจว่าจริงๆ ผมจะเสียใจ เศร้าหรืออะไรกันแน่

“มันก็ชอบนะ แต่ก็คิดอยู่แล้วไงว่าเค้าไม่ได้จะมาชอบคนอย่างเรา”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะมันดูเป็นไปได้ยากอยู่แล้วที่พี่เค้าจะมาชอบผม

“เผื่อใจแล้วว่างั้น”

“งั้นมั้ง”ผมย่นจมูก ทำท่าคิด ส่วนอีกคนก็เอื้อมมือดึงถุงเบียร์ลากไปหาตัวเอง ก่อนจะหยิบขึ้นมากระป๋องนึง

“งั้นเบียร์นี่ก็ไม่ต้องกิน ไม่จำเป็น ไม่ดีด้วย”เค้ายื่นกระป๋องเบียร์มาเคาะเบาๆ ที่หัวผม นี่ตกลงใครเป็นผู้ใหญ่ใครเป็นเด็กกันแน่เนี่ย ดูผมจะถูกปฏิบัติเหมือนตัวเองเป็นเด็กมาหลายครั้งแล้ว

“ไม่ดีแล้ววันก่อนดื่มทำไม”ผมย้อน เพราะหมั่นไส้ทำมาเป็นพูดดี ทำยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทั้งที่ตัวเองอายุยังไม่ถึง 18 ปีด้วยซ้ำ ตามกฎหมายนี่ทั้งเหล้าทั้งเบียร์อายุเท่านี้เข้ายังห้ามขายให้อยู่เลย แต่เด็กนี่จากที่เห็นก็ทั้งดื่ม ทั้งสูบ เป็นผมเสียอีกที่โตจนป่านนี้แต่เรื่องพวกนี้แทบจะไม่เคยลองเลย

“ผมโตแล้วดื่มได้ ส่วนลุงอ่ะเด็กน้อยอย่าดื่มเลย”ดูครับดู คำพูดคำจาของไอ้เจ้าเด็กนี่ ที่จริงประโยคนี้ผมควรเป็นคนบอก คนสอนเค้าไหม นี่อะไร แล้วไอ้นิ้วที่เอามาจิ้มหน้าผากผมนี่อีก

“เล่นด้วยหน่อยเอาใหญ่นะเรา ใครเด็กใครผู้ใหญ่พูดให้ดี”ผมปัดมือเค้าออก ก่อนจะบอกอย่างเคืองๆ

“ลุงดื่มไม่ค่อยเป็นไม่ใช่ไง ดื่มไปเดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มอีก”เค้าพูดเสียงอ่อนลง จนผมเผลอเข้าใจไปว่าเค้านึกเป็นห่วงผม แต่เห็นสายตาที่มองประป๋องเบียร์นี่แล้ว ชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วนะครับ

“งั้นเอาทิ้งแล้วกันเนอะ”ผมแย่งเอาถุงเบียร์ในมือเค้ามา แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“เฮ้ยๆทิ้งทำไมลุง เสียดาย ลุงไม่ควรดื่มแต่ผมดื่มได้ เอามานี่แช่ตู้เย็นไว้ก่อน”แล้วในที่สุดเค้าก็แย่งเบียร์ทั้งถุงไปจากผม ผมยิ้มขำๆ กับท่าทางของเค้า ทำยังกะกลัวผมจะเอาไปทิ้งจริงๆ งั้นแหละ ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเค้าอีก จนเราทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ช่วยเค้าเก็บถ้วยจากมาที่อ่างล้างจาน

“ทำไมดื่มเหมือนมันไม่ขมเลย”ตอนนี้พ่อครัวของผมเก็บจานไปก็ถือกระป๋องเบียร์ติดมือมาด้วย แล้วก็ดื่มเหมือนมันอร่อยนักหนา ทั้งที่เท่าที่ผมเคยชิม ผมว่ามันขมและไม่อร่อยเลย ยกเว้นไอ้ตอนที่ผมดื่มผสมกับสไปรท์นั่น มันก็หวานดีแต่เมาทีก็ไม่รู้ตัวเลย

“แรกๆ มันก็ขมแหละมั้ง แต่พอดื่มไปนานๆ มันก็จะค่อยๆ หวาน นุ่ม ลื่นคอไปเองแหละลุง”ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่อีกคนบอกสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ยืนอยู่ใกล้ตู้เย็น เลยลองหยิบมาเปิดดูสักป๋อง กลั้นใจยกขึ้นจิบๆ

“แหวะ ก็ขมอยู่ดี มันจะหวานไปได้ยังไง”ผมทำท่าจะโยนทิ้ง แต่อีกคนก็รีบเข้ามาแย่งกระป๋องในมือผมไป อย่างกับว่ามันเป็นของสำคัญ จะปล่อยทิ้งไม่ได้งั้นแหละ แล้วเค้าก็ยกกระป๋องที่แย่งจากมือผมไป ดื่มเหมือนไม่ได้รู้สึกว่านั่นผ่านริมฝีปากผมมาก่อน นี่เค้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ

“นี่ถามหน่อยสิ เวลาอกหักมันต้องเจ็บแบบในพวกหนังรักรันทดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”ผมยังคงคาใจกับเรื่องของความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก เค้ายกยิ้มเล็กน้อยหันหลังยืนพิงกับผนังแถวที่ล้างจาน ส่วนผมก็ยังยืนอยู่แถวๆ ตู้เย็นในครัวนี่

“ก็ถ้ามีรักจริงๆ นะลุง คนเรารักใครมันก็ต้องหวังอยากให้เค้ารักตอบทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ความรักตอบกลับมามันก็ต้องเจ็บ ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก”ผมพยายามคิดตามสิ่งที่เค้าอธิบาย หรือความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์มันจะไม่ใช่ความรัก เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรขนาดนั้นอย่างที่บอก

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะรักใคร”เค้าหยุดคิดนิดนึงก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผม เค้าเข้ามาหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้าผม

“ก็ถ้าเวลาเราอยู่ใกล้ๆ ใครพอเค้าทำแบบนี้”เค้าใช้มือของเค้ากุมมือผมไว้ข้างนึง ส่วนอีกข้างใช้หลังมือแตะเกลี่ยไปบริเวณข้างแก้มผม เค้าค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม จนจมูกเราแทบจะแตะกันอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ห้ามหรือขัดในสิ่งที่เค้ากำลังทำ

“ถ้ามีใครทำแบบนี้แล้วมันทำให้เรา”เค้ากระซิบเบาๆ ข้างๆ หูผม

“ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ”ผมเผลอหลุดปากออกไป อาจจะดูเหมือนผมพูดต่อประโยคกับเค้า แต่ความจริงผมแค่หลุดพูดในอาการที่ผมกำลังเป็นต่างหาก เค้ายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะถอยออกจากผม

“ใช่แล้ว...แล้วนี่ผมทำให้ใจลุงเต้นไม่เป็นจังหวะบ้างหรือเปล่า”เค้ายังคงยิ้มเหมือนคนกำลังสนุก จนผมชักจะหงุดหงิดและเริ่มทำตัวไม่ถูก ผมผลักให้เค้าถอยห่างจากผมออกไปอีก

“เล่นบ้าอะไรเนี่ย”



TBC

ลุงก็โดนเด็กมันแกล้งตลอดด
 o22
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-06-2017 08:10:19
 :hao6: :hao6: :hao6:
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-06-2017 09:25:26
 :L2: :pig4:

เราอ่านๆแล้วกลับไปมองชื่อผู้แต่ง แล้วไปค้นอ่านเรื่องก่อนๆ โฮกกกกกกก!
สนุกทุกเรื่องนะ เราชอบมากเลย ว่าแต่ว่าโทนเรื่องนี้ จะใสใส ไหมมมม ดราม่าหรือป่าว(กลัววว) :hao4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-06-2017 09:40:43
:L2: :pig4:

เราอ่านๆแล้วกลับไปมองชื่อผู้แต่ง แล้วไปค้นอ่านเรื่องก่อนๆ โฮกกกกกกก!
สนุกทุกเรื่องนะ เราชอบมากเลย ว่าแต่ว่าโทนเรื่องนี้ จะใสใส ไหมมมม ดราม่าหรือป่าว(กลัววว) :hao4:


อุ่ย ขอบคุณมากฮ่ะ ที่ไปตามอ่านเรื่องเก่าๆ แต่ผลงานเก่าๆ ก็นะบางเรื่องดราม่าหนักหน่วง 555

เรื่องนี้ไม่ต้องกลัวฮ่ะ ตั้งใจจะไม่ม่า แต่ถ้ามีก็นิดๆ หน่อยๆ

ขอบคุณอีกทีนะฮ่ะที่ชอบ  o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-06-2017 10:14:36
น้องภู่นี่น่ารักจริงๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-06-2017 10:31:51
ว่าและ พี่ตาร์ หมาหยอกไก่ ไปเรื่อย :fire:
เอาแปง มาท้าพนันกันคนในสำนักงานหน้าตาเฉย
ลูกเล่นแพรวพราว เจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ ต้องมีแฟนแล้ว แล้วก็ใช่จริงๆ
แต่ทำเป็นลอยชาย ใครไม่รู้ก็ไม่บอกว่ามีแฟนแล้ว

ตีสนิท กอดคอ ถึงเนื้อถึงตัวแปง หว่านเสน่ห์
แบบถ้าแปงหลงเสน่ห์ ก็ยินดีสานต่อ
แปง รีบตัดใจ เขาไม่ใช่คนที่ใช่ของแปงเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-06-2017 14:46:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-06-2017 17:25:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-06-2017 19:29:44
้ด็กนี่มันชุ่มชวยดีจริง
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 11 อกหักมันเป็นยังไง 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 07:37:58
บทที่ 12
หากว่าใจเต้นแรง





“ไม่เห็นเป็นไรเลยแก ถึงพี่ต้าร์จะมีแฟนแล้ว แกก็ยังเหลือน้องภู่สุดหล่ออีกทั้งคน ทำกับข้าวก็เก่ง หน้าตาก็ดี อัธยาศัยก็ดี พ่อของลูกชัดๆ เลยแก”คือผมว่านี่ผมไม่ได้มาหาคำปลอบใจหรือคำแนะนำนะครับ ผมแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ว่าพี่ต้าร์แกมีแฟนแล้ว ยัยหอมนี่จะได้เลิกแซวผมเรื่องพี่ต้าร์สักที

“กวนประสาทเป็นที่หนึ่ง และที่สำคัญ เด็กขนาดนั้นใครจะไปคิดอะไรเหมือนลูกเหมือนหลานซะมากกว่า”ผมรีบบอกปฏิเสธเมื่อเห็นว่าหลุดจากพี่ต้าร์ ข้าวหอมก็ยังจะพยายามจับคู่ผมกับรุ่นน้องข้างบ้านอีก แต่ถึงผมพูดออกไปแบบนั้น ในใจก็อดที่จะนึกถึงเรื่องวันก่อนไม่ได้ ที่อยู่ๆ ผมดันใจเต้นกับเด็กนั่น แล้วแถมเค้ายังบอกอีกว่าการที่เราใจเต้นกับใครหมายถึงเราชอบคนนั้น

“ถามจริง เวลาอยู่ สองต่อสองกับน้องภู่ แกไม่มีแบบหวั่นไหวใจเต้นแรงงี้บ้างเหรอ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้หรี่ตามองผมอย่างจับผิด ผมหยุดคิดในสิ่งที่ข้าวหอมพูด เพราะทั้งข้าวหอมทั้งภู่พูดเรื่อง ใจเต้นแรงนี่เหมือนกัน หรือว่าเวลาเรารักเราชอบใคร แล้วได้อยู่ใกล้ๆ นี่เราจะใจเต้นแรงจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

“การที่เราใจเต้นแรงกับใครนี่มันคือเราชอบคนนั้นเหรอ”ผมถามออกไปอย่างสงสัย นึกย้อนไปถึงตอนพี่ต้าร์ มันก็มีตื่นเต้นบ้างนะครับ เวลาเจอกัน แต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ได้มาทำงานร่วมกัน มันก็ไม่ค่อยรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่านั่นอาจจะเพราะผมชอบพี่เค้า พอหลังๆ สนิทกันมากขึ้นผมว่ามันเหมือนผมเลิกเกร็งเลิกประหม่าเพราะสนิทกันมากกว่า

“แกใจเต้นกับใคร อาการมันเป็นยังไงไหนเล่ามาซิ”ผมรีบปฏิเสธ ซึ่งข้าวหอมก็ยังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก่อนผมไม่เคยมีความลับกับเพื่อนคนนี้นะครับ แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมยังไม่อยากเล่า เอาจริงๆ ตั้งแต่ย้ายออกมาอยู่นี่ เหมือนกลายเป็นว่าเวลาระหว่างผมกับข้าวหอม ถูกเข้ามาแทนโดยภู่ หลายๆ เรื่องผมเลยไม่ได้เล่าหรือคุยให้ข้าวหอมฟัง จนวันนี้ข้าวหอมต้องเป็นฝ่ายลากผมออกมาทานข้าวกันสองคนนี่แหละครับ

“ไม่ได้เต้นกับใคร แค่สงสัยว่าถ้าเต้นแรงมันเพราะคนที่ใช่เหรอ แล้วแบบแกกับพี่โตงี้เวลาอยู่ด้วยกันมันเป็นยังไง”ผมรีบอธิบายกลบเกลื่อน เพราะปล่อยไว้นาน ข้าวหอมที่สนิทกับผมขนาดนี้ต้องจับได้แน่ๆว่าผมมีอะไรปกปิด

“กับพี่โตเหรอ เวลาปกติก็ไม่อะไรนะ แต่เวลาจู๋จี๋กัน ก็นั่นแหละ”ผมมองด้วยสายตาหมั่นไส้ ทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน ทุกทีเห็นพูดไม่เคยเขินอาย อันนี้ไม่ใช่วิสัยข้าวหอมหรอกครับ อันนี้แค่อยากแกล้งผมนี่แหละ

“สนิมสร้อย”ผมบอกอย่างหมั่นไส้

“แกสิสนิมสร้อย อ้อยอิ่งอยู่นั่นละ เป็นชั้นหน่อยไม่ได้จะรวบหัวรวบหางน้องภู่ เรียบร้อยไปแล้ว”นี่ละมั้งครับที่ผมเลือกจะไม่เล่าให้ฟังทั้งหมดเพราะขนาดยังไม่รู้อะไรยังยุยงส่งเสริมผมขนาดนี้ นี่ถ้ารู้ไปถึงว่าเด็กนั่นเคยเปลี่ยนเสื้อผ้าผม เคยเห็นผมเปลือย หรือผมเคยใจเต้นแรงกับเด็กนั่น ป่านนี้คงจับผมส่งตัวเข้าหอไปแล้ว

“เพ้อเจ้อ”ผมพูดตัดบทก่อนจะหันความสนใจมาที่อาหารตรงหน้า และเสียงเพลงในร้าน วันนี้ข้าวหอมลากผมมาลองร้านใหม่ที่เห็นว่าพี่โตชอบพามา ก็เหมือนเป็นร้านกึ่งๆ pub & resterant บรรยากาศก็โอเคแหละครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้มาสถานที่ลักษณะนี้บ่อยเท่าไหร่ เมื่อก่อนจะมาก็มากับพี่โตและข้าวหอมนี่แหละครับ ผมมองไปรอบๆ ที่วันนี้เหมือนคนจะเต็มร้านเลยทีเดียว คงเพราะเป็นคืนวันศุกร์สิ้นเดือน ที่ทุกคนมาสังสรรค์กันก่อนวันหยุด

“เพ้อเจ้อะไรกันแก  มีเด็กหนุ่มกรุบกรอบมาให้กระชุ่มกระชวยขนาดนี้ กินเด็กเป็นอมตะนะแก”ส่วนเพื่อนผมก็ยังไม่หยุดครับยังคงยัดเยียดจะให้ผมกินเด็กให้ได้

“กินข้าวไปเลยแกนิ หิวไม่ใช่เหรอ”ผมตักกับข้าววางให้เพื่อนสนิท พร้อมมองด้วยสายตาเอือมระอา แต่เจ้าตัวก็ยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจ จะว่าไปการได้มาเจอข้าวหอมก็ทำให้ผมสบายใจดีเหมือนกันนะครับ

“นี่ๆ แก วงนี้จะเล่นแล้วชั้นชอบวงนี้ เล่นดี ร้องเพราะ”ข้าวหอมชี้ให้ผมดูว่ากำลังจะมีนักดนตรีขึ้นเล่นดนตรีสด นี่ก็คืออีกส่วนหรือเปล่านะที่ช่วยเรียกลูกค้า แม้จะไม่ใช่นักร้องที่มีชื่อเสียง แต่ดูๆ ไปก็คงมีลูกค้าประจำที่ชื่นชอบวงนี้เหมือนข้าวหอมอยู่ไม่น้อยทีเดียวละครับ

“แกรู้เรื่องดนตรีด้วยเหรอถึงรู้ว่าเค้าเล่นดีไม่ดี”ผมแกล้งแซวเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ครับ ข้าวหอมค้อนผมกลับแทบจะทันที ก่อนเราทั้งคู่จะขำออกมา

“แกๆ ที่กำลังเดินเข้ามานั่น ใช่น้องภู่ของแกไหม”หลังจากเราทานข้าวกันเงียบๆ สักพัก ข้าวหอมก็สะกิดเรียกพร้อมชี้ให้ผมดู ผมหันมองไปตามที่ข้าวหอมชี้ ก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น 3 คน นี่ถ้าผมไม่รู้จักทั้งหรือเคยเห็น 3 คนนี้มาก่อนผมก็คงนึกว่าน่าจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย พอแต่งตัวด้วยชุดที่ไม่ใช่นักเรียนทำไมทุกคนดูโตขึ้นกว่าอายุจริงจังเลย 3 คนนั้นก็ไม่ใช่ใครหรับ เด็กข้างบ้านผม หนึ่งละ อีกสองคนเท่าที่จำได้น่าจะเป็นเพื่อนที่ผมเคยเห็นตอนไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นของภู่นั่นแหละครับ

ว่าแต่นี่ทั้ง 3 มานั่งร้านนี้เหมือนกันเหรอนี่ นี่ยุคสมัยมันคงเปลี่ยนไปแล้ว ตอนผมนี่จำได้เลย กว่าจะไปไหนมาไหนเองได้ก็มหาวิทยาลัยแล้ว แถมตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะไปไหนกลางคืนก็ต้องบอกเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่อยากไปไหนก็ไป

“ก็ใช่แหละ”ผมตอบอย่างไม่ได้สนใจนักเพราะรู้สึกหมั่นไส้คนที่เพิ่งเข้าร้านมานั่นแหละครับ ก่อนมาผมยังบอกเค้าว่าผมจะมาทานข้าวกับ ข้าวหอม แต่เค้าไม่เห็นจะบอกผมเลยว่าจะออกมากินข้าวหรือมาสังสรรค์กับเพื่อนแบบนี้

“ใช่แล้วไง แกไม่เห็นเหรอว่าโต๊ะมันเต็มหมดแล้ว โต๊ะเราเนี่ยที่ยังว่าง แกก็ชวนน้องๆ เค้าเข้ามานั่งด้วยสิ อย่าให้พี่ต้องสอนสิคะน้องแปง ถ้ามีโอกาสทอดสะพานให้ผู้ชายแบบนี้ เราต้องรีบเปิดทางนะคะ”จะมาทอดสะพานสร้างโอกาสอะไร ผมกับภู่นี่ก็เจอกันเรียกว่าทุกวันอยู่แล้ว

“เค้าอาจจะอยากมากันเองกรือเปล่า แกจะไปยุ่งอะไรกับเค้า ปล่อยเค้าไปกันส่วนตัวเถอะ”แต่เหมือนคำพูดผมจะไม่เข้าหูของคุณหนูข้าวหอมแม้แต่น้อย

“น้องภู่ ทางนี้ๆ”ผมหันมองเพื่อนตัวเองตาขวาง แต่มีเหรอครับว่าข้าวหอมจะสะทกสะท้าน แม่คุณเค้าก็หันมายักไหล่ ใส่ผมอย่างไม่แคร์เลยสักนิดแหละครับ

“หวัดดีครับพี่หอมสุดสวย หวัดดีลุง”นี่ก็รวดเร็วเหลือเกิน เรียกปุ๊บนี่เดินสองก้าวถึงหรือไง ภู่แนะนำผมกับข้าวหอมให้เพื่อนๆ รู้จักซึ่งอีกสองคนก็เคยเจอผมแล้ว และเรียกผมว่าลุงตามภู่ด้วยนี่สิ

“มากัน 3 คนเหรอ มีที่นั่งยัง นั่งกับพวกพี่ไหม”ผมส่งสายตาพิฆาตใส่ข้าวหอม แต่ก็อีกนั่นแหละครับ คุณหนูเค้าสนใจผมเสียที่ไหน

“ได้เหรอครับ งั้นดีเลยเพราะนี่โต๊ะเต็มหมดเลย ยังไงรบกวนด้วยนะครับ”เป็นอันว่านี่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการชวนตามมารยาทสินะ ผมถูกจัดแจงเรียกให้มานั่งข้างข้าวหอม ส่วนหนุ่มรุ่นน้องทั้ง 3 ก็นั่งอีกฝั่งนึง แต่ทว่าแม้มันจะเป็นเก้าอียาว ที่พอจะนั่ง 3 คนได้ เมื่อเจอขนาดตัวของทั้ง 3 เข้าไปก็ดูจะเบียดกันไม่น้อย ผมเลยเป็นคนขอเก้าอี้เพิ่มจากเด็กเสิร์ฟ แต่ยังไม่ทันที่เด็กเสิร์ฟจะไปหาเก้าอี้ตามที่ผมขอ ข้าวหอมก็ขัดขึ้น

“จะขอเก้าอี้ทำไมให้วุ่นวาย แปงแกขยับมานี่ น้องภู่มานั่งฝั่งนี้กับพวกพี่ก็ได้ พวกพี่ตัวเล็ก ไม่เบียดกันมากหรอก”แล้วมันใช่เรื่องไหมเนี่ยที่ผมจะต้องมาทนนั่งเบียดแบบนี้

“ไหนบอกเก็บตังซื้อกีต้าร์ แล้วนี่ตังค์พอแล้วเหรอถึงมาเที่ยวได้แบบนี้”ผมหันมาพูดเบาๆ กับคนที่ย้ายมานั่งข้างผม ให้ได้ยินกันแค่ผมกับเค้าสองคน

“อยู่กันตั้งหลายคนซุบซิบไรกันสองคนจ๊ะ”นี่ก็ไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาทุกอริยาบทเลยสินะ ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ อย่างเซ็งๆ เพราะนี่ดูเหมือนผมจะโดนจ้องจับผิดไปแล้ว ยิ่งภูมานั่งด้วยแบบนี้ข้าวหอมคงยิ่งจ้องอาการผมมากขึ้นกว่าเดิม

“พี่แปงดุผมครับพี่หอม”อะไรผมไปดุอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่

“ว่าอะไรน้อง”นี่ก็มือไวเหลือเกินตีแขนผมมาแทบจะทันที นี่เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนตัวเองไปแล้วใช่ไหม

“ไม่ได้ว่าไรสักหน่อย แค่ถามว่าเก็บเงินที่จะซื้อกีตาร์ครบแล้วเหรอถึงมาเที่ยวแบบนี้”ถึงจะเป็นคำที่อธิบายให้ข้าวหอมฟัง แต่น้ำเสียงและสายตาผมก็จงใจตำหนิคนที่นั่งข้างๆ นี่แหละครับ

“จะไปว่าน้องทำไม เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีปัญหาอะไรบอกเจ้นี่ เอางี้วันนี้เจ้เลี้ยงเองเด็กๆ อยากกินอยากดื่มอะไร จัดมาเต็มที่”แล้วนี่ผู้ใหญ่อย่างเพื่อนผม ก็แทนจะช่วยกันปรามเด็ก ยังจะมายุยงส่งเสริมกันอีก

“ขอบคุณครับเจ้”นั่นไงเด็กๆ นี่ก็ดูพร้อมเพรียงประสานเสียงตอบกันเหลือเกิน แล้วพอแอลกอฮอล์มา บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นราวกับทุกคนสนิทกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ข้าวหอม และน้องๆ อีกสองคน ดูจะพูดคุยกันถูกคอเป็นพิเศษแล้วครับตอนนี้

“แกสักแก้วสิ”ข้าวหอมส่งแก้วเครื่องดื่มน้ำสีอำพันมาให้ผม แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะว่าไหนจะต้องขับรถกลับ ไหนจะความรู้สึกเมาจากครั้งก่อนยังฝังใจ

“สักนิดสิครับพี่แปง”สองหนุ่มเพื่อนของภู่ ก็ออกแรงเชียร์ให้ผมดื่มอีกแรง พอคะยั้นคะยอมากๆ ผมก็กะว่าจะจิบๆ สักหน่อยเพื่อตัดรำคาญ แต่พอจะหยิบแก้ว ก็มีคนฉวยเอาแก้วของผมไปเสียก่อน

“พี่เค้าดื่มไม่ได้ เดี๋ยวกูดื่มแทนเอง”ภู่ยกแก้วของผมไปดื่มรวดเดียวจนหมด

“น้องสอ น้องยิว เพื่อนน้องนี่ยังไงๆ มีดื่มแทนเพื่อนพี่ด้วย กิ๊วๆ”นั่นไง แค่นี้ก็เป็นประเด็นให้ร่วมด้วยช่วยกันแซวอีกจนได้ แต่การกระทำของภู่ที่ดื่มแทนผม จะกลายเป็นภาระหนักเสียแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่แก้วนั่น นี่เล่นตามมาอีกหลายแก้วเลย จากที่เค้าต้องดื่มแก้วตัวเองแล้วยังต้องมารับผิดชอบแก้วผมอีกนี่ผมว่าอีกไม่นานเค้าคงเมาแน่ๆ

“ไม่ไหวก็พอได้แล้ว พวกนี้เค้าก็แซวเล่นๆ ไม่ต้องดื่มจริงจังขนาดนั้นก็ได้”ผมแย่งแก้วในมือของเค้า เพราะไม่อยากให้เค้าดื่มมากเกินไป นี่ก็เริ่มหน้าแดงหูแดงหมดแล้วเนี่ย

“ลุงเป็นห่วงผมเหรอ ผมไม่เป็นไรหรอกน่า”สิ้นคำพูดเค้าก็ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมด ก็อยากจะห่วงนะครับ แต่เจ้าตัวดูไม่ได้ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้ ก็ช่างเค้าเถอะครับ

“หลบหน่อยสิ จะออก”ผมขอทางเพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงกลาง การจะลุกออกถ้าไม่ให้ข้าวหอมลุกหลีกทางให้ก็ต้องเป็นภู่ และดูๆ แล้วภู่จะลุกได้สะดวกกว่าข้าวหอม

“ลุงจะไปไหนอ่ะ”เค้าลุกขึ้นแต่ยังไม่หลบให้ผมออก

“ไปห้องน้ำ ขออนุญาตไปปัสสาวะนะครับ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงประชดหน่อยๆ ไม่เข้าตัวเองอีกแล้วว่าทำไมต้องหงุดหงิดด้วย

“พอดีเลยผมก็กำลังปวดเหมือนกัน”เค้าถอยหลบ ให้ผมออกก่อนจะเดินตามหลังผมมา

“ลุงเป็นไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี”เค้าถามผมระหว่างทางที่เราเดิน ผมเป็นอะไรงั้นเหรอ ผมก็แค่รู้สึกหงุดหงิดที่เค้ามาที่นี่ หงุดหงิดที่เค้าดื่มเยอะเกินไป แล้วก็หงุดหงิดตัวเองที่ไม่เข้าใจว่ากำลังเป็นอะไร ผมส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของเค้าว่าไม่ได้เป็นไร

 “แล้วก็ขอโทษด้วยที่วันนี้ ไม่ได้บอกก่อนว่าวันนี้จะมานี่ พอดีสองคนนั้นมันชวนหลังจากที่ผมคุยกับลุงแล้ว”เหมือนผมจะเผลอยิ้มออกมาตอนที่เค้าอธิบาย แล้วผมจะยิ้มทำไมละเนี่ย ดีที่เค้าเดินเยื้องๆ อยู่ข้างหลังทำให้คงมองไม่เห็นสีหน้าผม

“ก็ไม่ได้ว่าไรสักหน่อย แล้วเรื่องกีต้าร์ไปถึงไหนแล้ว”ผมถามด้วยน้ำเสียงสบายก่อนจะเดินผ่านประตูห้องน้ำ ตรงมาหยุดที่หน้าโถฉี่ตัวริมด้านในสุด

“ก็ใกล้ครบแล้วละครับ ตอนนี้ก็ยืมของเพื่อนซ้อมมือเล่นๆ รออยู่”ผมไม่ได้ข้องใจเรื่องคำตอบ แต่ข้องใจว่าทำไมเสียงตอบมันอยู่ใกล้ๆ พอหันมาก็เจอว่าเค้ายืนทำธุระอยู่ที่โถข้างๆ

“โถมีตั้งเยอะ ทำไมต้องมายืนข้างๆ ด้วย ผมรีบยกมือขึ้นบังแปงน้อยโดยอัตโนมัติ”แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเหมือนชอบใจในการกระทำของผม

“ลุงจะอายอะไร จำปีตะมุตะมินั่นผมก็เคยเห็นหมดแล้ว”ไอ้บ้าเอ้ยแล้วจะมารื้อฟื้นทำไมอีกละเนี่ย ผมอุตส่าห์ลืมๆ ไปแล้วนะว่าเด็กนี่เคยเห็นผมเปลือย

“อ่ะ ดูของผมจะได้หายกัน”แล้วก็ทำเอาผมพูดไม่ออกก็จังหวะที่ผมจะหันมาต่อว่าเค้า เจ้าตัวดันถอยห่างออกจากโถ เบี่ยงตัวมาทางผมเล็กน้อย ไอ้สายตาเจ้ากรรมผมก็ดันมองต่ำลงไปอย่างลืมตัว เต็มๆ สองตาเลยครับ แม้รูปร่างมันจะไม่ต่างจากที่ผมมี แต่ขนาดน่าจะใหญ่กว่าของผม ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่เกิดมาผมไม่เคยเห็นของสงวนใครมาก่อนในชีวิต และไม่คิดว่าจะมีใครบ้ามาโชว์ให้ดูแบบนี้

จากที่จะพูดอะไรเลยกลายเป็นคำพูดมันหายลงลำคอกลับไปหมด ผมกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากลำบาก รีบเบือนสายหน้าหนี และรีบทำธุระตัวเองให้เสร็จ รู้สึกว่าตอนนี้หัวใจผมมันคงรัวไม่เป็นจังหวะไปเรียบร้อยแล้วครับ ผมล้างมือด้วยความเร่งรีบและไม่คิดจะรอไอ้เด็กบ้านั่น

“อ้าวน้องภู่ละ”ข้าวหอมถามทันทีที่ผมกลับมาถึงโต๊ะ แต่ก็ไม่น่ารีบถาม เพราะอีกคนก็เดิมตามผมมาจากนั้นไม่นาน

“เออแก สงสัยต้องกลับก่อนแล้ว พี่โตมารอรับแล้วเนี่ย ส่วนค่าอาหารเครื่องดื่ม ชั้นเคลียร์ไปแล้ว รวมทั้งที่สั่งมาเพิ่มนี่ด้วย แกก็นั่งกับน้องๆ ก่อนนะอย่าเพิ่งชิ่งกลับล่ะ”ผมแทบยังไม่ทันตั้งตัวอะไรสักอย่าง แค่ไอ้ที่เพิ่งเจอในห้องน้ำก็ยังใจ้เต้นไม่หาย ออกมาก็ถูกเพื่อนทิ้ง หนีกลับก่อนอีก แถมพูดจบก็ไม่รอความเห็นอะไรจากผมเลย ปัดตูดวิ่งฉิวไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวพวกผมไปสูบบุหรี่แป๊บนะครับ ไอ้ภู่ไปด้วยเปล่า”สองหนุ่มลุกขอตัวออกไป ส่วนที่นั่งข้างๆ ผมนี่ส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อน ผมขยับตัวออกห่าง จากอีกคนเพราะตอนนี้ที่นั่งก็ว่างแล้ว ไม่ต้องเบียดอย่างตอนที่ข้าวหอมยังอยู่

“เป็นไรอ่ะลุง กลัวผมหรือไง”ยังจะมีหน้ามาถามอีก เค้าทำท่าจะขยับตามผมมาแต่ผมยกมือห้ามเอาไว้ เพราะถ้าเค้าขยับเข้ามาอีกผมต้องหัวใจวายแน่ๆ นี่ก็พยายามจะลืมภาพที่เพิ่งเห็น แต่เหมือนมันจะติดตาเหลือเกิน

“ถ้ารู้ว่าโรคจิตชอบโชว์ แบบนี้ก็ชักจะกลัวขึ้นมาบ้างแล้วแหละ”ผมบอกออกไปอย่างหมั่นไส้ แต่อีกคนกลับหัวเราะชอบใจ นี่ภูมิใจที่โดนด่าว่าโรคจิตหรือไงกัน

“โรคจิตที่ไหนกันละลุง ก็ผมเคยเห็นของลุง นี่ก็เลยให้ลุงดูคืนไง จะได้หายกัน ผมไม่อยากติดค้าง”นี่มันตรรกะอะไรกันครับ

“ใครไปอยากดูกันเล่า”ผมรีบบอกเสียงขุ่น

“ขนาดไม่อยากดูยังจ้องจนตาโตขนาดนั้น”แล้วนี่มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมานั่งคุยกันเรื่องนี้ แล้วแบบนี้แทนที่ผมจะได้ลืมๆ ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้ผมจำสิเนี่ย

“เลิกทะลึ่งแล้วไปสูบบุหรี่กับเพื่อนโน่นไป”เมื่อยิ่งคุยมันจะยิ่งเข้าตัวเลยเปลี่ยนเป็นไล่ให้ไปกับเพื่อนจะดีกว่าครับ ผมจะได้พักหายใจหายคอบ้าง

“ไม่ไปอ่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนลุงมากกว่า ไม่อยากให้ลุงนั่งเหงาคนเดียว”


TBC


สงสัยลุงต้องระวังตัวให้มากแล้วละครับ

เด็กนี่มันร้าย  :-[
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-06-2017 10:25:53
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-06-2017 10:39:23
 :L2: :pig4:

55 โชว์มาต้องโชว์กลับ
แฟร์ๆไงลุง

เราสงสารลุงแปงจุงเบย :hao3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-06-2017 11:16:54
จำปีตะมุตะมิ 55555555555555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-06-2017 11:53:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 12:02:15
ขอฝากผลงานอีกเรื่องนะคร๊าบบบ


GRAIN BROTHERS พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.msg3663068#msg3663068

เป็นเรื่องของพี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด ตัวละครจากเรื่องของ ภู่กับลุง ก็ ยกขบวนกันไปหมด

ทั้งพี่ต้าร์ เจ้โอ๋ จริงๆ เป็นเรื่องที่แต่งก่อน ภู่xแปง แต่ว่าแต่งๆ ไปละแตกเรื่องแปงออกมา แล้วประเด็นเรื่องพี่ต้าร์

มันสปอยล์อีกเรื่อง เลยเพิ่งเอามาลง

ทั้งสองเรื่องจะแยกเนื้อหากันชัดเจน แต่อาจมีคาบเกี่ยวกันนิดหน่อย

ไทม์ไลน์ในเรื่องของ พี่ฟ่าง จะเป็นหลังจากที่ แปงไม่ได้ทำงาน ที่บริษัทแล้ว ประมาณนั้นนะครับ

ยังไงฝากติดตามอีกสักเรื่องนะคร๊าบบบ ตอนนี้ปั่นอยู่ 2 เรื่องนี้

 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-06-2017 12:28:47
ขยันนะเนี่ย ลงสม่ำเสมอด้วย ดีต่อใจ

เรื่องที่ผ่านๆมา มีทำเล่มไหม ถ้าทำบอกเราด้วยนะ อยากได้
ปล คิดถึงโอเล่ อยากฝากนักเขียนไปตบหัวมันสักที

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-06-2017 16:38:20
แปง หวั่นไหว ใจเต้นกับภู่แล้ว  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 12 หากว่าใจเต้นแรง 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-07-2017 09:01:22
บทที่ 13
ความจริงของคนเมา



“ลุง ลุงคร๊าบ”เสียงใครเนี่ย นี่มันวันหยุดนะ ผมดึงหมอนข้างกอดกระชับแน่นขึ้น แต่เดี๋ยวนะครับคนที่เรียกผมว่า “ลุง” ก็มีอยู่คนเดียวนี่นา ผมพยายามคิดทั้งที่ยังไม่ลืมตา แต่เริ่มแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว เพราะเมื่อคืน

“ถึงบ้านแล้วภู่ ลงเข้าบ้านไปได้แล้ว”หลังจากที่ข้าวหอมกลับได้พักใหญ่ ทั้ง 3 หนุ่มที่เหลือก็เหมือนจะชนแก้วกันถี่ขึ้น และคนที่ดูท่าจะไม่ไหวสุดก็ไอ้คนอวดดีดื่มแทนผมนี่แหละ พอเมาก็ลำบากผมนี่แหละพากลับมาบ้าน

“ลุงไม่เชื่อเหรอว่าผมแค่มาดูวงนี้เล่นดนตรีเฉยๆ”แล้วพอเมาก็เป็นทั้งโรคย้ำคิดย้ำทำ โรคพูดไม่รู้เรื่องครับ เพราะนี่เค้าย้ำประโยคนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วผมก็จำไม่ได้ คือแรกๆ ผมก็นึกว่าแค่จะเล่าให้ผมฟังว่าที่เค้ากับเพื่อนไปร้านนั้น เพราะนักดนตรีในร้านนั้นเคยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน เคยสอนพวกเค้าเล่นดนตรี อะไรประมาณนั้น ซึ่งเล่ารอบเดียวผมก็เข้าใจแล้วละครับ

“เชื่อครับเชื่อ พี่บอกแล้วไงว่าพี่เชื่อภู่ แต่ตอนนี้เราถึงบ้านแล้ว ลงจากรถแล้วเข้าบ้านนอนเข้าใจไหม”ผมเอาฝ่ามือประกบสองแก้มเค้า ให้มองหน้าผม และพยายามพูดช้าๆ ชัดๆ ให้เค้าเข้าใจ เพราะนี่เราก็มาถึงบ้านสักพักแล้ว แต่ไอ้คนเมานี่แหละไม่ยอมลงจากรถสักที นี่กะว่าถ้าพูดรอบนี้ยังไม่ยอมลงอีกจะปล่อยให้นอนในรถนี่แหละ

“โอเคครับ...อึก...เข้าบ้าน...อึก...กัน”เอ้าไหวไหมละครับนั้น พูดไปสะอึกไป แถมรีบเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็วเลยทีนี้ อะไรของเค้าเนี่ย นี่วันที่ผมเมาผมทำตัวแบบนี้ด้วยหรือเปล่าเนี่ย

“ลุงเปิดประตู ภู่จะเข้าบ้าน”อะไรอีกละเนี่ย พอลงรถก็มาเกาะประตูบ้านผมเร่งให้ผมเปิดประตูซะงั้น

“กุญแจบ้านภู่อยู่ไหน เอามาพี่เปิดให้”ผมนึกว่าเค้าเข้าใจสิ่งที่ผมถามนะครับ แต่เค้ากลับแย่งกุญแจในมือของผม ไปเปิดประตูรั้ว เดินเข้าไปเปิดบ้าน จนผมต้องรีบตามให้ทัน นี่ถ้าจะเมาแล้วดูแลยากขนาดนี้ต่อไปจะไม่ให้เมาแล้ว พรุ่งนี้คงต้องคุยกันยาว

“ลุง ปวดฉี่ ปวดฉี่”เอาเข้าไป ปวดฉี่แล้วยังไง ห้องน้ำบ้านผมเค้าก็รู้จักไหม ยังจะเดินมาหาผมอีกทำไมเนี่ย อ้าวๆ จะมาทำท่าปลดเข็มขัดต่อหน้าผมทำไมเนี่ย

“เดี๋ยวๆ ทำอะไรเนี่ย”ผมรีบห้าม เพราะยังไม่อยากดูไอ้ที่อยู่ใต้กางเกงนั่นอีกรอบหรอกนะครับ

“ถอดไม่ออก”ผมเกือบหลุดขำ คือนี่เมาถึงขั้นถอดเข็มขัดไม่ได้ โอ้ยนี่ไม่รู้จะเอ็นดูหรือสมเพชดีครับ ผมรีบดันตัวเค้าให้ไปยังห้องน้ำ ก่อนจะช่วยปลดเข็มขัด และต้องรีบ ดึงมือเค้าไว้ก่อน เพราะนี่เล่นจะถกกางเกงลงต่อหน้าต่อตาผมอีกแล้ว

“อย่าเพิ่งนะ นะขอพี่ออกไปก่อน พี่ขอร้อง”นี่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดกับคนบ้าแล้วครับ เพราะเค้าทพตาปรือ ยิ้มพยักหน้าดุกดิกๆ ใส่ผม จนคอจะหลุดแล้วมั้ง ผมรีบตั้งสติดันเค้าไปหาชักโครกแล้วตัวผมเองก็ถอยออกมา

“ลุง...ไปไหน”ข้อมือผมถูกคว้าไว้ ตามด้วยสายตาเค้าที่หันมามองผม นี่เรียกตาเยิ้มหรือตาลอยเพราะเมากันละครับเนี่ย ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“โอเค ฉี่ไปสิ จะยืนอยู่นี่แหละ”เค้ายิ้มจนตาหยีก่อนจะหันกลับไปฉี่ ผมก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนีแหละครับ สาบานเลยว่าผมจะไม่ให้เหล้าทำผมเป็นแบบนี้แน่ๆ นี่ผมว่าวันที่ผมเมา ผมเองก็คงทำอะไรบ้าๆ ไปเยอะเหมือนกันแน่ๆ แค่คิดภาพจิตนาการว่าเด็กนี่เป็นคนถอดเสื้อผ้าผมก็ผุดมาอีกแล้ว

“ลุงอย่าทิ้งผมไปนะ ผมไม่มีใครแล้ว”ผมนิ่วหน้าขมวดคิ้ว กับสิ่งที่ได้ยิน น้ำเสียงหม่นๆ นี้ผมไม่นึกว่าจะได้ยินจากเค้า แม้ที่จริงจะพอรู้ว่า ลึกๆ เค้าคงไม่ได้กวนๆ บ้าๆ บอๆ อย่างเดียว เพราะจากที่เห็นตอนแฟนเก่าเค้าติดต่อมา นั่นผมว่าลึกๆ แล้วเค้าคงเป็นคนที่อ่อนไหว และคงขาดความอบอุ่นมากทีเดียว

“ก็อยู่นี่แล้วไง”ผมบอกออกไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองเค้า เพราะเสียงน้ำที่ไหลลงชักโครกยังคงดังอยู่ สงสัยอั้นไว้นานแล้ว เพราะนี่ก็ฉี่ยังกะเขื่อนแตกเชียว

“ลุงรู้เปล่า ว่าผมเก็บเงินซื้อกีต้าร์ครบแล้ว แต่ผมไม่บอกลุง เดี๋ยวลุงไม่ให้ผมมากินข้าวด้วย”ผมไม่รู้จะแปลกใจ ขำ เอ็นดู หรือตกใจดี เค้าคิดอะไรของเค้าเนี่ย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่วันนี้เค้าทำให้ผมเผลอยิ้มออกมากี่รอบแล้วเนี่ย นี่สินะที่เค้าว่าคนเมามักจะพูดความจริง และแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา

“ถ้าผมซื้อกีต้าร์แล้ว ลุงยังจะอยากกินกับข้าวฝีมือผมอยู่หรือเปล่า”ผมแทบสะดุ้ง ไม่สิต้องเรียกว่าสะดุ้งไปแล้ว เพราะอยู่ๆ เสียงเค้าก็มาอยู่ข้างๆ หู แถมคางเค้าก็มาวางเกยอยู่ที่ไหล่ผม ผมขยับถอยออกห่าง เพื่อดูสภาพเค้า ดีหน่อยที่เค้ารูดซิบกางเกงเก็บอะไรเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังไม่รัดเข็มขัดก็เถอะ ผมประคองร่างที่โซเซของเค้าออกมาพิงผนังไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดชักโครกให้

“สัญญาสิลุง ว่าเราจะกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม”ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ หรือทำอะไรเรียบร้อยดี เค้าก็ดึงผมมาเผชิญหน้า จ้องผมเขม็ง พยายามทำหน้าจริงจัง แต่ผมว่าทำยังไงสีหน้าเมาของเค้าก็กลบทุกอารมณ์ไปหมดแล้วละครับ

“ถ้าสัญญาแล้ว ต้องไปนอนนะ”ผมต่อรอง เพราะเริ่มง่วง และเหนื่อยกับอิทธิฤทธิ์ในความเมาของเค้าแล้ว เค้ารีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว จนผมอดจะยิ้มออกมาอีกไม่ได้

“งั้นพี่สัญญา ว่าเราจะกินข้าวด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม”เค้ายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะดึงผมไปกอดอย่างแรง จนผมตกใจ แต่ก็เพียงไม่นานเค้าก็ผละออก

“ลุงสัญญาแล้ว ไปนอน ไปนอน”เค้าเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจผม ที่ยัง งงๆ กับท่าทีของเค้า ทีแรกนึกว่าเค้าจะเดินกลับบ้าน แต่เปล่าเลยครับ เปิดประตูเดินเข้าห้องนอนผม ผมยืนมองห่างๆ ยังไงเสียคงบังคับให้เค้ากลับไปนอนบ้านตัวเองไม่ได้แล้ว

“เฮ้ยๆ”ผมร้องเสียงหลงเมื่อเค้าเริ่มถอดเสื้อ ถอดกางเกง กำลังจะรีบห้าม แต่ผมคงช้าไป เพราะเค้าทิ้งตัวลงนอนที่เตียงของผมเรียบร้อยแล้ว

“ก็ยังดีที่เหลือบอกเซอร์ไว้”ผมพึมพำกับตัวเอง เพราะเมื่อกี้ทำเอาใจหายใจคว่ำอยู่เหมือนกัน ผมเดินเข้าไปดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเค้า ก่อนจะรีบ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอนบ้าง

“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”ผมมองเค้าที่นอนหลับตาพริ้มไปเรียบร้อยแล้ว นี่ผมก็ง่วงเต็มทีแล้วเลยล้มตัวลงนอนที่อีกฝั่งของเตียง

ชัดเลยครับว่าตอนนี้ผมไม่ได้นอนอยู่คนเดียว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพยายามภาวนาให้ผมคิดผิด ขอให้ไอ้ที่ผมกอดอยู่ รวมทั้งเอาขาเกี่ยวไว้เนี่ย เป็นแค่หมอนข้าง แต่พอลืมตาขึ้น ก็พบว่าใบหน้าของอีกคนที่ตะแคงหันเข้าหาผม จ้องผมอยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มซึ่งหน้าเราห่างกันแค่คืบนึงได้

“ตื่นนานแล้วเหรอ”ผมถามออกไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร

“ผมปวดฉี่”เค้าบอกพร้อมยิ้มแหยๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องทำหน้าแบบนั้น

“ก็ไปสิ”

“ลุงจะปล่อยผมได้ยังอ่ะ”นั่นไง ผมว่าแล้วเชียวว่านี่ต้องไม่ใช่หมอนข้าง อายนะครับเนี่ยแทบจะอยากมุดใต้เตียง แต่ก็ต้องทำหน้านิ่งๆ ไว้ครับ แล้วก็ค่อยๆ คลายมือ แขน ขา ตัวเอง แล้วพลิกตัวกลับถอยมาอยู่ขอบเตียงจนแทบจะตกเตียงอยู่แล้ว

“ลุง คือ”เห็นว่าปวดฉี่ไอ้ผมก็นึกว่าถ้าผมปล่อยเค้าจะลุกไปห้องน้ำเลย แต่นี่ทำไมยัง ก้มๆมองๆ ตรงที่เค้านอนอยู่อีก ผมก็หันมองหน้ารอฟังว่าเค้าจะพูดอะไร

“คือผมปวดฉี่มาก เดี๋ยวค่อยมาอธิบายนะ”ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าอธิบายอะไร แต่ผมก็ต้องกลายเป็นอ้าปากค้าง เมื่อเค้ายืนขึ้น เพราะไอ้ที่มันดันบอกเซอร์ออกมานั่นแหละ แน่นอนแม้ผมจะตกใจแต่ก็รับรู้ว่าการมีอะไรดันบอกเซอร์ตุงออกมาขนาดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องอธิบาย แต่ไอ้รอยเปียกเป็นวงที่อยู่นูนออกมานั่นมากกว่า ผมรีบเลิกผ้าห่มดูตรงที่เค้านอน ชัดเลยครับรอยเปียกเป็นดวงๆ เลย

“ไอ้ทะลึ่ง เข้าห้องน้ำไปเซ่ ยังจะยืนโด่อยู่ทำไม”ผมรีบตะโกนไล่อีกคนที่ยังยืนเอาเป้าชี้ มาทางผมอยู่ เค้าเข้าห้องน้ำไปส่วนผมก็ก้มลงมองเป้าตัวเองที่มันก็ตั้งขึ้นมาเหมือนกัน อันนี้ผมเข้าใจเพราะมันเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้ชายอยู่แล้ว แต่ไอ้รอยเปียกกับคราบบนที่นอนนี่มันอะไรกัน อย่าบอกว่าเด็กนี่มาช่วยตัวเองบนเตียงผมนะ

“ผมแค่ฝันเปียกนะลุง อย่าเพิ่งคิดไปไกล แล้วก็ความผิดลุงด้วย”เหมือนคนในห้องน้ำจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่เลยรีบตะโกนออกมา ฝันเปียกก็เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นอย่างเค้า ผมเองก็เคยเป็น ว่าแต่จะมาโทษว่าเป็นความผิดผมได้ยังไงกัน

“ขอโทษ เดี๋ยวผมเอาผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนไปซักให้”เค้ากลับมาพร้อมกับบอกเสียงอ่อยๆ

“ไอ้เรื่อง อะไรเนี่ยพี่ไม่โกรธหรอก เข้าใจว่ามันเป็นกลไกธรรมชาติ แต่ไอ้บอกว่าผิดที่พี่นี่มันคืออะไร”ผมถามอย่างสงสัย

“พี่เคยฝันเปียกไหมละ”เดี๋ยวนะ นี่มันชั่วโมงเพศศึกษาหรือไงเนี่ย นอกจากเห็นอะไรของกันและกันแล้วผมกับเด็กนี่ยังต้องมาแลกประสบการณ์ฝันเปียกกันอีกหรือไงเนี่ย

“ก็เคย และก็เรียนมาว่าร่างกายคนเรามันมีการผลิตสเปิร์ม น้ำอสุจิ ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้งาน เมื่อถึงจุดนึงมันก็ต้องขับออกมาแบบนี้”ผมชี้ไปที่รอยบนผ้าปูเตียง

“แต่ลุงก็ต้องรู้สิ ว่าก่อนมันจะออกมา มันก็ต้องมีเรื่องราวเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น เค้าถึงเรียกฝันเปียกไง”นี่มันใช่เวลามาถกกันเรื่องนี้ไหมเนี่ย

“แล้วเมื่อคืนผมก็ฝันว่าโดนทั้งกอด รัด ฟัด เหวี่ยง ลูบคลำ”เค้าทำท่าลูบไล้ตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหันมามองทางผม นี่จะหาว่าที่ผมกอดเค้าจนทำให้เค้าฝันเปียกงั้นเหรอ แต่มันก็คงเป็นไปได้นั่นแหละครับ ผมเริ่มไม่อยากจะเถียงกับเค้าต่อ เพราะสภาพตอนนี้ก็ล่อแหลมกันมากแล้ว

“พอๆ กลับบ้านไปอาบน้ำ มาทำกับข้าว แล้วก็ซักผ้าห่มผ้าปูที่นอนนี่ด้วย นี่พี่ยังไม่ชำระความเรื่องที่เมาเมื่อคืนอีกนะ”ผมรีบดักคอก่อนที่เค้าจะพูดอะไรอีก และดูเหมือนจะได้ผลด้วยสิ เค้าชะงักไปนิดนึง

“เมื่อคืนผมทำไรไปบ้างเนี่ย จำไม่ได้เลย”เค้าพึมพำพูดกับตัวเองพร้อมเดินหา เสื้อหากางเกงของตัวเอง แล้วไอ้สายตาผมเนี่ย จะมองต่ำทำไมเนี่ย แล้วถึงบอกเซอร์เค้ามันจะไม่ตุงแล้ว แต่พอเดิน ด้วยความที่ผ้ามันคงบางหรือยังไงไม่รู้ ผมดันเห็นบางอย่างเป็นเงาแกว่งไปมาด้วยนี่สิ

“รีบไปสักทีสิ”ผมเร่งเค้า ส่วนอีกคนนะเหรอ ยังหันมายักคิ้วลิ่วตาใส่ผมอีก กว่าจะยอมออกไปนี่ทำผมใจหายใจคว่ำอีกหลายรอบเหมือนกัน ผมละไม่เข้าใจว่าเข้าไม่รู้สึกเขินอายบ้างหรือไง ทั้งเรื่องอะไรที่โชว์ให้ผมดู หรือพูดคุยอะไรทะลึ่งๆ อะไรแบบนั้น หรือผมมันดันคิดมากไปเอง ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆ อาบน้ำแต่งตัว พอเสร็จ อีกคนก็มาทำกับข้าวรอผมจนเกือบเสร็จแล้ว น่าแปลกที่เค้าเมาขนาดนั้น ตืนมาทำไมยังดูปกติ ต่างกับผมที่ตื่นมาก็ทรมานไปเกือบทั้งวัน

“เก็บตังค์ซื้อกีตาร์ไปถึงไหนแล้ว”เค้าชะงักหันมามองผมอย่างประเมินสถานการณ์สินะ แต่ผมก็จะยังไม่บอกหรอกว่ารู้แล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าเค้าจะบอกกับผมว่ายังไง

“จริงๆ ก็น่าจะครบแล้วครับ”ผิดคาดแฮะ นึกว่าจะยังไม่บอกเสียอีก เพราะเห็นตอนยังไม่เมาที่อยู่ร้าน ยังตอบเลี่ยงๆ ผมอยู่เลย

“ครบแล้วแบบนี้ จะยังมาทำกับข้าวให้พี่กินอยู่หรือเปล่านา”ผมแกล้งพูดลอยๆ นึกถึงคำพูดเค้าเมื่อคืน ก่อนจะอมยิ้มออกมา

“ก็ลุงสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะกินข้าวกับผมทุกวัน”


TBC

ทั้งลุงทั้งเด็ก

 :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 01-07-2017 09:57:55
จำได้นี่นาา
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-07-2017 10:19:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-07-2017 10:42:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-07-2017 12:14:53
ดูเป็นความสัมพันธ์แบบเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ขยับเข้าหากัน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 01-07-2017 12:25:10
มีความตะมุตะมิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-07-2017 14:14:15
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-07-2017 16:45:48
อ้าวๆ........ตกลงใครกอดใครละเนี่ย

แต่สุดท้าย ลุงเป็นคนกอดก่ายภู่ ภู่เลยฝันเปียกสินะ  :o8: :-[ :-[
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-07-2017 18:52:03
งื้ออออ
เรื่องนี้มันคือวัวอ่อน กินหญ้าแก่ไหม
ลุงแปงจะโดนหลอกกินตับ 55

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 13 ความจริงของคนเมา 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-07-2017 08:42:15
บทที่ 14
นั่งรอแฟน?




“ห้าหมื่น”ผมอุทานออกมาเสียงดังจนภู่ต้องบอกให้ผมเบาๆ เพราะตอนนี้คนในร้านกีต้าร์แทบจะหันมามองผมหมด แต่จะไม่ให้ผมเสียงดังได้ยังไงกันครับ ก็ไอ้กีต้าร์ที่ภู่บอกเก็บตังค์ซื้อ และวันนี้เค้าให้ผมมาเป็นเพื่อนในการซื้อ ราคามันอยู่ที่ 5 หมื่นกว่าบาท แล้วใครจะไปคิดกันละครับว่าเด็กมัธยมจะเก็บเงินครึ่งแสนมาซื้อกีต้าร์เนี่ยนะ ไอ้ผมก็ไม่ใช่สายดนตรีก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะครับว่าราคาเครื่องดนตรีอะไรพวกนี้มันราคาเท่าไหร่ แต่เคยมองผ่านๆ แบบราคาไม่กี่พันมันก็มีนี่นา มันจำเป็นต้องซื้อแพงขนาดนี้เลยเหรอ

“แบบนี้ไงลุง ผมถึงต้องเก็บตังค์ซื้อเอง ขืนขอที่บ้านนะ นอกจากจะไม่ให้ซื้อแถมคงโดนบ่นหูชาแน่ๆ”ผมมองกีต้าร์ราคาครึ่งแสนอีกครั้ง มันก็คงแล้วแต่คนชอบอ่ะเนอะ บางทีผมเองอาจจะเคยซื้ออะไรแพงๆ แบบที่คนอื่นมองว่าไม่คุ้มแบบนี้บ้างก็ได้ อันนี้ก็จะพยายามเข้าใจเค้าแล้วกันครับ ว่าเค้าก็คงชอบของเค้า แล้วนี่มีการบ่นผมอีกนะครับว่าเคยเล่าแล้วว่ากีต้าร์ราคาเท่าไหร่ แต่ผมแก่เลอะเลือนเลยไม่รู้จักจำ ไอ้เด็กบ้านี่ได้ทีชักเอาใหญ่ครับ

ภู่จับกีต้าร์มาสะพาย ลองจับนู่นนี่นั่น ดูแววตาเค้ามีความสุขที่กำลังจะได้เป็นเจ้าของกีต้าร์ตัวนี้ ว่าแต่ไอ้การมาทานข้าว ทำกับข้าวบ้านผม การติดรถผมออกไปปากซอยนี่ มันช่วยเค้าประหยัดได้ จนเก็บเงินได้ขนาดนี้เหรอ ผมว่าไอ้ค่าข้าว ค่ารถมันไม่น่าจะสูงขนาดพอตัดออกแล้ว ได้เงินเก็บเยอะขนาดนี้นี่นา

“พี่บอกแล้วว่ากีต้าร์ มันเลือกเจ้าของ ถ้ามันเลือกเราแล้วยังไงก็ต้องเป็นของเรา”พี่เจ้าของร้านเข้ามาคุยกับภู่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนฟังเงียบๆ และครับ เค้าคุยเรื่องอุปกรณ์อะไรกันแต่ละตัว ผมก็ไม่เข้าใจกับเค้าหรอกครับ นี่มันเหมือนเป็นอีกโลกนึงที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ของผมปกติจะเป็นคนเสพผลงานคนฟัง แต่ผมไม่เคยคิดจะเป็นคนเล่นเองเลย เคยเห็นเพื่อนๆ ตอนเรียนทั้งมัธยม มหาวิทยาลัย เล่นดนตรีมาบ้าง แต่เราก็ไม่เคยสนใจว่าอุปกรณ์เครื่องเล่นอะไรพวกนี้ มันเป็นยังไงมายังไง

“แล้วนี่จะสะพายติดตัวไปแบบนี้เลยเหรอ”หลังจากได้กีต้าร์สมใจเค้า ผมบอกให้เอาไปเก็บที่รถก่อนก็ไม่ยอม นี่จะไปหาอะไรทานกันในห้างนี้ก่อนกลับ ก็ยังจะแบกไปด้วย ดูแล้วไม่ค่อยจะเห่อเลยจริงๆ ครับเนี่ย

“เอาน่าผมก็รักของผม แล้วนี่วันนี้ลุงอยากกินอะไรว่ามาเลย ผมเลี้ยงเอง”แหมเพิ่งจ่ายเงินไปครึ่งแสนแล้วยังจะมาทำป๋าอีกนะครับเนี่ย

“ไม่ต้องเลี้ยงหรอก หาเงินเองยังไม่ได้เลยจะมาอยากเลี้ยงพี่ทำไม”ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านเค้าเองก็มีฐานะระดับแหละครับ แต่ยังไงเสียตัวเค้าเองก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยม ที่ไม่ได้มีรายได้อะไร ยังขอเงินที่บ้านใช้ ไอ้คนทำงานแล้วอย่างผมจะมาให้เค้าเลี้ยง มันก็จะรู้สึกว่าแปลกๆ หน่อยแหละครับ

“โห ไม่เอาดิลุงผมกินข้าวบ้านลุงบ่อยแล้ว ก็อยากเลี้ยงขอบคุณลุงบ้างไง”เค้าดูยังคงดื้อดึง แต่การยกเรื่องนี้มาอ้างนี่ผมว่ามันไม่น่าใช่เหตุผลเท่าไหร่ การที่เค้ามากินข้าวบ้านผม แต่เค้าเป็นคนทำทุกอย่างนี่ผมว่า ผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณเค้า แล้วไอ้เรื่องวันก่อนอีกกับการสัญญาจะกินข้าวอะไรด้วยกันนั่น นี่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมวันนั้นเค้าพูดแปลกๆ ทีแรกนึกว่าเวลาเมาเค้าจะจำอะไรไม่ได้อย่างผมเสียอีก แต่นี่เค้าบอกเค้าจำได้เกือบหมดแต่ตอนนั้นเค้าควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าพูดหรือทำอะไรแปลกๆ ไปก็ให้ผมอย่าไปถือสามาก ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ไม่ถืออยู่แล้ว ก็เค้าเมานี่นา

“พี่ทำงาน หาเงินของตัวเองได้แล้ว จะมาให้ภู่เลี้ยงได้ยังไง ส่วนเรื่องทานข้าวที่บ้านนั่นเราก็ตกลงกันแล้วไง ว่าภู่เป็นคนทำ พี่เป็นคนจ่าย แต่ถ้าจากนี่ไม่ได้ต้องเก็บเงินซื้ออะไรแล้ว อยากซื้ออะไรไปเองบ้าง แบบนั้นดีกว่า ต่อไปพี่เองก็จะพยายามช่วยทำด้วย ตกลงไหม”คือจะปฏิเสธทั้งหมดเลย เค้าคงไม่ยอม เลยต้องเสนอทางออกแบบนี้แหละครับ ก็จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก

“งั้นเดี๋ยววันนี้ตอนลุงไปส่งผมที่สนามบอล ผมเลี้ยงกาแฟแก้วนึง ห้ามปฏิเสธด้วย ตกลงไหม”ก็ยังจะหาทางอยากเลี้ยงอะไรผมอีกเนอะ ผมพยักหน้าตกลง พร้อมยิ้มขำๆ กับที่เค้าพยายามทำ แล้วก็นี่อีกอย่างวันนี้เสร็จจากที่นี่เค้าจะแวะไปเตะบอลกับเพื่อนที่สนามหญ้าเทียม ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่เราอยู่ มากนักเลยว่าจะให้ผมแวะไปส่งก่อนที่ผมจะเข้าบ้าน
หลังจากทานข้าวอะไรเสร็จเรียบร้อย ผมก็ขับรถมาส่งเค้าที่สนามฟุตบอลหญ้าเทียมตามที่ตกลงกันไว้ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัส เรียกได้ว่าในชีวิตผม ไม่เคยเล่นกีฬาอะไรจริงๆ จังๆ เลย จะมีก็แต่ตอนที่ยังเรียน ถ้ากีฬาอะไรที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน ผมก็จะได้แค่เคยสัมผัสในห้องเรียนแค่นั้นแหละครับ

“ลุงนี่มันสุดยอดจริงๆ เลย นี่ที่บ้านเลี้ยงมาให้เป็นคุณหนูหรือไงเนี่ย กีฬาก็เล่นไม่เป็นสักอย่าง อะไรห่ามๆ ก็ไม่เคยทำ เหล้า เบียร์ บุหรี่ก็ไม่เคยแตะ แฟนก็ไม่เคยมี นี่ชีวิตวันรุ่นของลุงไม่จืดชืดแย่เลยเหรอ”นี่ก็พูดยังกะผมแก่เลยวัยรุ่นไปไกลแล้ว ผมได้แต่มองอีกคนอย่างเคืองๆ ก่อนหน้านี้ชีวิตผมก็อาจจะจืดชืดอย่างที่เค้าว่ามาจริงๆ นั่นแหละครับ ผมถึงอยากออกมาใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ไง แต่ตั้งแต่ไอ้เด็กบ้าอย่างเค้า เข้ามาในชีวิตผมเนี่ย ผมว่ามันก็ออกจะเพิ่มสีสันให้ชีวิตผมมากเกินไปสักหน่อยละนะ คนอะไรจะมีเรื่องมาให้ผมรู้สึกใจหายใจคว่ำได้ตลอดขนาดนี้

“ลงไปได้แล้ว ป่านนี้เพื่อนรอแล้วมั้ง อย่ามามัวแต่วิจารณ์ชีวิตคนอื่นอยู่เลย”ผมรีบไล่อย่างหมั่นไส้ครับ คำพูดคำตาแต่ละอย่าง ทำยังกะผมเป็นคนที่เกิดทีหลังเค้างั้นแหละ ไอ้เด็กกร้านโลกเอ้ย

“อ้าว แล้วลุงจะกลับเลยเหรอ ไหนว่าจะให้ผมเลี้ยงกาแฟไง เนี่ยลงไปจิบกาแฟก่อนดิค่อยกลับ”แหมไอ้ผมก็อุส่าห์แกล้งทำเป็นลืมๆ ไปแล้ว นี่ก็ความจำดีเหลือเกิน ก็ไม่ใช่ว่าจะกลัวว่าเค้าเปลืองตังค์ที่จะเลี้ยงอะไรหรอกนะครับ แต่มันเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูกนี่สิครับ ก็ไอ้ผมเองก็ไม่เคยมาที่อะไรแบบนี้ ดูสถานที่มันไม่ค่อยจะเข้ากับผมสักเท่าไหร่ ผมมองดูคร่าวๆ ที่นี่นอกจากสนามฟุตบอลแล้ว ก็มีคอฟฟี่ชอปเล็กๆ อยู่อีกด้านนึงไว้คอยบริการ เท่าที่เห็น ทำไมในคอฟฟี่ชอปนั่นมีแต่ผู้หญิงหว่า

“ต้องลงใช่ไหม”ผมถามย้ำอีกทีเผื่อว่าผมจะได้รับทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ เค้าลงจากรถหยิบกระเป๋าสำหรับเปลี่ยนชุดของตัวเอง ยืนกดดันผม เลยต้องเดินตามเค้าไปครับ นี่ชีวิตผมต้องโดนเด็กบังคับเหรอเนี่ย

“ฝากของแป๊บนะลุง เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่ากาแฟก็เอาตังค์ในเป๋าตังค์ผมจ่ายเลย”เค้าส่งกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือมาให้ผม ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด ผมก็รับมาอย่างงงๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ลาเต้ปั่นแก้วนึงครับ”ผมเดินมาสั่งที่เค้าเตอร์ เลือกกาแฟแบบอ่อนๆ หน่อยเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าดื่มเข้มๆ ไปเดี๋ยวคืนนี้จะหลับยากอีก พนักงานบอกราคา ทีแรกผมจะหยิบตังค์ตัวเองแล้วแต่นึกดูอีกที ถ้าอีกคนเห็นว่าตังค์เค้าไม่ได้ลดลงเลย คงต้องโวยวายผมอีกเป็นแน่ เลยเลือกที่จะหยิบแบงค์ที่อยู่ในกระเป๋าตังค์ของเค้าแทน จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยผมก็เลือกนั่งโต๊ะริมด้านนอก ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศในสนามได้

ตอนนี้เหมือนหลายๆ คนกำลังวอร์มร่างกาย ก่อนเริ่มเล่น ทีแรกเค้าบอกผมว่านัดเพื่อนไว้ผมก็นึกว่าคนที่มาเตะบอลกับเค้าจะมีแต่น้องๆ มัธยมเสียอีก แต่ที่เห็นนี่ก็มีหลากหลายวัย แสดงว่าคงเป็นเพื่อนต่างวัยที่มาออกกำลังกายด้วยกันสินะครับเนี่ย สายตาผมมองเลยไปมองคนที่มาพร้อมกับผม ตอนนี้เค้าเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักบอลเรียบร้อยแล้ว ก็ดูทะมัดทะแมง เข้ากับเค้าดีนะครับ นี่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหลืออะไรที่เค้ายังทำไม่ได้อีกบ้างเนี่ย

กีฬาก็เล่น ดนตรีก็เล่น ทำกับข้าวก็เป็น จะว่าไปเค้าก็ไม่ได้เห็นจะเกเร ไรสักเท่าไหร่อย่างที่พี่ปุ๊ก น้าของเค้าเคยบอกนี่นา แต่จะว่าไม่มีเลยก็คงไม่ถูกสินะ เพราะผมเองก็เคยเห็นวีรกรรมของเค้ามาบ้าง ทั้งเรื่องสองสาวที่เคยมาตบกันแย่งเค้าถึงหน้าบ้าน หรือมีเรื่องชกต่อยจนผมต้องไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้นั่นอีก จะว่าไปถ้าในมุมมองของญาติผู้ใหญ่ก็คงมองว่าแย่แล้วแหละมั้ง เพราะถ้าเป็นผมเอง ถ้ามีเรื่องขนาดนั้นคงโดนทั้งดุ ทั้งว่าอย่างหนักไปแล้ว ยิ่งถ้ามาใช้เวลากับกีฬาดนตรีอะไรพวกนี้ บ้านผมอาจจะมองว่าไร้สาระเสียด้วยซ้ำ เพราะงั้นมุมมองพ่อแม่เค้าก็อาจไม่ต่างจากบ้านผมสักเท่าไหร่สินะ

“ไอ้ภู่เร็วดิวะ จะเริ่มแล้วเนี่ย”เพื่อนเค้าที่ผมเคยเจอตะโกนเรียกให้เค้าหันกลับไป ทำให้จากที่เค้าจะเดินมาหาผมต้องชะงักเปลี่ยนทิศทางไป ผมพยักหน้าบอกเค้าว่าให้ไปเถอะ ไม่ต้องอะไรกับผมอีก เพราะนี่ผมนั่งอีกสักนิดก็คงกลับแล้ว แต่ผมก็ลืมไปว่า ทั้งโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าตังค์ของเค้า อยู่ที่ผมนี่นา ถ้าผมจะกลับก่อนแล้วเค้าจะทำยังไงหว่า

มองซ้ายมองขวาไอ้ผมก็ไม่รู้จักใครสักคน ที่พอจะฝากของไว้ให้เค้าได้เลย มองไปในสนามเค้าก็เริ่มเกมส์กันแล้ว สายตาผมเผลอมองตามเค้าอย่างลืมตัว ทำไมผมรู้สึกว่าเวลาเค้าอยู่ในสนามแล้วเท่ห์จัง แม้ผมจะเล่นฟุตบอลไม่ค่อยเป็น ดูก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่เค้ากลับทำไมผมมองดูการแข่งขันในสนามได้อย่างน่าสนใจ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น จนผมตกใจเพราะมัวแต่มองภาพในสนาม

“ฮายย เฟรนด์ อยู่ไหนคะ”เสียงเพื่อนสนิทของผมแทงละลุแสบแก้วหู ส่งเสียงมาตามสายโทรศัพท์ จนผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู

“อยู่สนามบอล”ผมตอบไปตามจริง แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของเพื่อนผมนี่สิครับผมต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูมากกว่าเดิมเสียอีก

“วอท? อะไร ยังไง แกเนี่ยนะ ไปสนามบอล ไปทำอะไร กับใคร แกเตะบอลเป็นเหรอ ดูบอลแกก็ไม่ได้ชอบนิ รู้จักแกมาทั้งชีวิตนี่อเมซิ่งมากนะ ที่แกไปสนามบอล”นั่นแหละครับ ถามด้วยน้ำเสียงเลเวลสูงปรี๊ด แถมไม่เว้นช่วงให้ผมตอบเลยขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบจริงๆ หรือเปล่า

“แปลกตรงไหน จำได้ว่าแกก็เคยไปรอพี่โตเตะบอลไม่ใช่เหรอ”แม้มันจะแปลกจริงๆ สำหรับผมที่ชีวิตดูไม่น่าจะมีอะไรให้เฉียดมาที่สนามบอลแบบนี้ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องตกใจโอเวอร์อย่างที่เพื่อนผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้มั้งครับ

“เดี๋ยวๆ นั่นมันแค่ครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายที่พี่โต บังคับชั้นได้ ก็พอรู้นะว่าพี่โตอยากอวดเพื่อนว่ามีแฟนสวยอย่างชั้นไปนั่งรอข้างสนาม แต่พอได้ไป ชั้นนี่รู้เลยว่าทำไมชั้นต้องไปนั่งรอให้เสียเวลาชีวิตขนาดนั้น สู้เอาเวลาไปช้อปปิ้งรอยังจะดีเสียกว่า”นี่ผมไปสะกิดต่อมอะไรของแม่คุณเค้าอีกไหมครับเนี่ย ดูฝังใจกับการไปนั่งรอแฟนครั้งเดียวครั้งนั้นเหลือเกิน

“นี่พี่โตรู้จะเสียใจไหมเนี่ย ที่อยากให้แฟนไปนั่งรอแต่แกดันมาคิดแบบนี้เนี่ย”

“โอ้ยแก พี่โตเค้าจะว่าอะไร แต่เดี๋ยวก่อนนะ แกเตะบอลไม่เป็น ไม่ได้ชอบดูบอล แล้วแกไปรอใคร นี่อย่าบอกนะว่าแกไปรอแฟนเหรอ โอ้วมายก้อด โอ้วมายก้อด เพื่อนชั้นมีแฟนแล้ว”นี่ก็ช่างจินตนาการ ตรรกะอะไรของแม่คุณเค้าละครับเนี่ย

“รอแฟนอะไร ก็แค่แวะมาส่งภู่เตะบอล”

“แกกะน้องภู่เป็นแฟนกันแล้ว”มันมีประโยคไหนกันเหรอครับที่สื่อให้เพื่อนผมเข้าใจแบบนั้น นี่นับวันเพื่อนผมก็จะยิ่งอยากให้ผมมีแฟนจนเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่าครับเนี่ย

“เลิกพูดจาเพ้อเจอได้แล้ว ละนี่โทรมามีอะไรหรือเปล่า”ผมรีบดึงเข้าเรื่องก่อนที่เพื่อนตัวดีของผมจะลากออกทะเลไปมากกว่านี้

“ก็แค่ว่าจะหาเพื่อนไปกินส้มตำ กินกันสองคนกับพี่โตมันก็เบื่อ แต่แกคงไม่ว่างแล้ว ต้องรอแฟนที่สนามบอล งั้นแค่นี้แหละแก บาย”แล้วแม่คุณก็ชิงวางสายจากผมไปเลย ปล่อยให้ผมงงอยู่คนเดียวว่าตกลงที่โทรมาหาผมนี่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไรเลยสักนิด ผมดูเวลาที่หน้าจอมือถือ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ในสนาม เหมือนหยุดพักเกมแล้ว และคนที่มากับผมก็กำลังวิ่งออกจากสนามตรงมาหาผม

“โทษทีนะลุง เลยต้องนั่งรอผมยาวเลย”เค้านั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามผม แล้วก็ดึงแก้วกาแฟของผมที่เริ่มละลายแล้ว ไปดูดโดยไม่ได้ขออนุญาตเลยสักคำ ไม่ได้หวงหรอกนะครับ แต่งงว่าเค้าไม่ถือหรือเห็นว่าเป็นปกติแล้วใช่ไหมที่จะดูดต่อจากหลอดที่ผมกินก่อนแล้ว นี่เราสนิทกันถึงขั้นใช้หลอดเดียวกันได้แล้วเหรอเนี่ย

“ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่ได้มีธุระจะไปไหนอยู่แล้ว อีกอย่างนั่งดูก็เพลินดีเหมือนกัน”ผมบอกไปตามตรงอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เค้าส่งแก้วกาแฟ กลับมาให้ผม แต่ผมก็เพียงรับกลับมาวางไว้ตามเดิม ไม่ได้กินต่อ

“ผมเท่ห์อะดิ ลุงเลยมองซะเพลินใช่ไหม”นี่ไม่ได้หลงตัวเองเลยใช่ไหม ผมส่ายหน้ายิ้มขำๆ กับความหลงตัวเองของเค้า

“เออลุง ไหนๆ ก็รอแล้วรอผมต่ออีกหน่อยดิ เดี๋ยวเล่นครึ่งหลังอีก 25 นาทีก็กลับแล้ว”นี่ผมเลยจะกลายมาเป็นคนนั่งรอเค้าอย่างที่ข้าวหอมว่าหรือเปล่าเนี่ย นี่ในร้านกาแฟตรงนี้สาวๆ ที่นั่งอยู่แทบทุกคนก็คงรอแฟนที่อยู่ในสนามกันทั้งนั้นมั้งเนี่ย

“เอาดิ ไม่ได้รีบอยู่แล้ว”ไหนๆ ก็ไหนๆ อยู่รอเค้าต่ออีกสักนิดก็คงไม่แปลกหรอกจริงไหมครับ

“ขอบคุณคร๊าบ ลุงนี่ใจดีกับผม เหมือนเป็นแฟนมานั่งรอกลับพร้อมกันเลยเนอะ”เค้าบอกยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ

“พูดบ้าอะไรเนี่ย รีบไปได้แล้ว เค้าจะเริ่มเตะกันแล้วเห็นไหมนะ”



TBC

แวะมาต่ออีกตอนคร๊าบ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 02-07-2017 11:13:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-07-2017 13:40:22
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-07-2017 15:26:50
อืม ข้อสันนิษฐานของแปงก็เป็นไปได้ (ตอนแรกที่บอกว่ามีแต่ผู้หญิง เราก็นึกว่าสาว ๆ เขามาส่องหนุ่มกัน ฮา)
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-07-2017 16:13:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-07-2017 16:15:28
 :L2: :pig4:

มันคือธรรมชาติที่เข้ากันดี
หรือความเนียนของภู่อะ

 :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-07-2017 16:34:58
ติดว่าสาวมาส่องหนุ่มๆนักบอลเหมือนที่แปงคิด
แต่พอฟังหอมก็เออใช่ พวกนี้มารอแฟน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-07-2017 16:57:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-07-2017 17:54:46
อ่านแล้วแอบเขิลล
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 14 นั่งรอแฟน? 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-07-2017 09:31:46
บทที่ 15
แรงบันดาลใจ




“พักก่อนได้ไหมอ่ะลุง ผมไม่ไหวแล้ว”เสียงโอดโอยต่อรองมาอีกแล้วครับ ช่วงนี้อีกหนึ่งกิจกรรมที่เพิ่มเข้ามาระหว่างผมกับเค้า คือการติวภาษาอังกฤษ เนื่องจากว่าน้องชายข้างบ้านผมผู้นี้ จริงๆ แล้วเกรดเค้าไม่ได้แย่อะไรเลย ในวิชาอื่นๆ ยิ่งพวกวิชาคำนวณเรียกว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ที่แย่สุดๆ อย่างที่เค้าเคยบอกก็คือวิชาภาษาอังกฤษนี่แหละครับ

“ไม่ไหวอะไร ถ้าจะให้พี่ช่วยติวเราก็ต้องช่วยพี่ด้วยสิ นี่พี่ก็รับปากพี่ปุ๊กเค้าไว้แล้วด้วยว่าปีนี้เกรดภาษาอังกฤษของภู่ต้องดีขึ้น”ที่จริงทางบ้านเค้าก็จะบังคับให้ไปเรียนพิเศษเพิ่มนั่นแหละครับ แต่ไอ้เด็กดื้อแบบภู่มีหรือจะยอมละครับ แล้วไม่ยอมเฉยๆ ก็คงไม่มีอะไรยุ่งยากหรอกนะครับ ถ้าเค้าไม่ลากเอาชื่อผมไปการันตี ว่าจะช่วยเค้าพัฒนาภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเสียตังค์เรียนพิเศษเพิ่ม

อีกอย่างจะได้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนผมก็จะได้รับค่าจ้างเป็นอาหารการกินที่ดีเยี่ยม เรียกว่าเกิดผลประโยชน์กันทุกฝ่าย แต่ทางบ้านของโพดก็หารู้ไม่ ว่าจริงๆ แล้วไอ้ที่ไม่ยอมไปเรียนพิเศษจริงๆ จังๆ ก็เพราะถ้าไปเรียนมันก็จะต้องมีเวลาเรียนที่แน่นอน ซึ่งกระทบต่อทั้งการซ้อมดนตรี หรือเล่นกีฬาที่เค้าชอบนั่นแหละครับ

“งั้นตอบคำถามที่พี่ถามให้ได้ก่อนจะให้พัก โอเคไหม”แม้จะไม่อยากเคี่ยวเข็ญเค้ามากแต่ถ้ายังปล่อยไว้ ทักษะทางภาษาของเค้าจะยิ่งแย่ เพราะตอนนี้แค่แยกประธานของรูปประโยคที่เป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ เค้ายังไม่แม่นเลย ทั้งที่เรื่องนี้มันเป็นพื้นฐานมากๆ สำหรับภาษาอังกฤษ จากที่ประเมินดู ตอนนี้เค้าอาศัยการเดาในการทำข้อสอบมาตลอด ซึ่งมันก็ทำให้เค้าผ่านมาได้ฉิวเฉียดทุกครั้ง แต่เค้ากลับไม่มีความรู้ในหัวเค้าเลย พอมันเป็นแบบนี้ก็เลยสะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นไม่ใส่ใจและปล่อยผ่านและเป็นปัญหา

ผมตั้งคำถามง่ายๆ แค่ว่าประธานของประโยคที่ผมถามต้องใช้คู่กับกริยาช่วยตัวไหน ซึ่งสำหรับหลายๆ คนมันคงเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ แต่สำหรับคนที่ได้ตั้งอคติกับการเรียนภาษาไปแล้วแบบภู่คงยากสักหน่อย แต่ผมว่ามันก็คงไม่เกินความพยายามของเค้าหรอกครับ

“ผิด เริ่มใหม่”ผมตั้งกฎกับเค้าว่าต้องตอบถูก 20 คำถามติดต่อกันถึงจะยอมให้เค้าพัก เค้าพยายามอยู่อีกหลายรอบกว่าจะผ่านได้ในที่สุด

“ตอนลุงเรียน ลุงมีแรงบันดาลใจบ้างไหมอ่า กับภาษาอังกฤษเนี่ย”ผมย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำให้ผมสนใจในภาษาอังกฤษงั้นเหรอ จริงๆ ผมก็เคยมีความฝันนะครับ ว่าอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ มันเลยส่งผลให้ผมเริ่มอยากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และอาศัยเพลง หนังมาช่วยให้มันน่าสนใจมากขึ้น

“พี่ก็คงเป็นติ่งนักร้องมั้ง เลยใช้ศิลปินที่ชอบเป็นแรงบันดาลใจ”ผมบอกติดตลก แม้จะไม่ใช่ความจริงเสียทั้งหมดแต่ผมก็พอจะอ้างได้และเค้าเองก็คงเคยเห็นบรรดาแผ่นซีดีเพลงต่างๆ ของผม

“งั้นผมติ่งลุงได้ไหม เอาลุงเป็นแรงบันดาลใจงี้ได้ป่ะ”เค้าเข้ามาถามพร้อมจ้องหน้าผมยิ้มแปลกๆ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ ทั้งที่คนตรงหน้านี่ก็ออกแนวกวนประสาทผมเหมือนๆ เคย แต่ผมกลับทำตัว ทำหน้าไม่ถูก จนต้องเบือนหน้าหนี แล้วลุกออกมาหาน้ำดื่มที่ตู้เย็น

“พี่จะไปเป็นแรงบันดาลใจให้ได้ไง”ผมตอบออกไปโดยไม่ได้หันไปมองเค้าเพราะรู้ว่าอีกคนยังมองมาที่ผมอยู่

“ก็ผมอยากให้ลุงภูมิใจในตัวผม”น้ำเสียงที่ฟังดูกระตือรือร้นนั้น ทำเอาผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ อีกอย่างมันจะมาเกี่ยวอะไรกับผม ถ้าเค้าทำได้ดีมันก็เป็นผลดีกับตัวของเค้าเอง

“ขนาดนั้นเลย”ผมกลับมานั่งตรงข้ามกับเค้า บอกออกไปอย่างสบายๆ ไม่ได้จริงจังนัก ผมว่าผมรู้แล้ว เวลาที่ผมเกิดรู้สึกแปลกๆ หรือทำตัวไม่ถูกที่อยู่ใกล้เค้า ผมต้องถอยออกไปตั้งหลักสักนิด ตัวผมก็จะรู้สึกสงบขึ้น

“ลุงคอยดูละกัน”เค้ายังคงบอกอย่างมาดมั่น ก็ดีเหมือนกันครับ คนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรอย่างจริงจังผมว่ามันต้องสำเร็จแหละครับ ภู่เองก็เหมือนกัน ที่จริงแค่เห็นว่าเค้าพยายามผมว่ามันก็ดีแล้ว ถึงมันอาจจะไม่ได้ดีขึ้นทันทีทันใด แต่สักวันมันก็ต้องดีกว่าเดิมแหละน่า 

“งั้นถ้าคะแนนภาษาอังกฤษรอบนี้ออกมาดี พี่ให้รางวัล 1 อย่าง”วิธีที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจอีกอย่างที่ยังคงได้ผลเสมอ เห็นแก่ความตั้งใจจริงของเค้า การให้อะไรเล็กๆ น้อยมันก็ไม่ลำบากอะไรที่ผมพอจะทำได้

“ผมเลือกเองได้ไหม”เค้ายิ้มกว้างบอกกับผม

“ได้สิ แต่ขออะไรที่มันเป็นไปได้นะ”ผมบอกติดตลก แต่ถ้าเค้าขออะไรที่ผมให้ไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเปลี่ยนให้อย่างอื่นทดแทนแหละครับ

“งั้นไว้ผมทำได้ก่อนค่อยคิดละกันครับว่าอยากได้อะไร แต่ลุงเตรียมตัวไว้เลย ผมทำได้แน่นอน มีลุงเป็นแรงบันดาลใจขนาดนี้”เค้ายื่นมือมาบีบจมูกผม จนผมต้องปัดออก ย่นจมูกอย่างเคืองๆ ไอ้การทำแบบนี้มันมีแต่ผู้ใหญ่ทำกับเด็กที่รู้สึกเอ็นดูไม่ใช่หรือไง หลายทีแล้วนะเนี่ยที่เค้าทำเหมือนผมเป็นเด็กเนี่ย

“ทำไรเนี่ย”ผมบอกอย่างเคืองๆ

“อีกอย่างแค่เป็นกำลังใจก็พอไหม แรงบันดาลใจดูลิเกไปนิด”แต่แทนที่จะคล้อยตามผมเค้ากลับหัวเราะชอบอกชอบใจเสียอย่างนั้น หลังจากเห็นว่าปล่อยเค้าพักได้พอสมควรแล้ว ผมก็เริ่มปฏิบัติการติวเข้มเค้าอีกรอบ แต่ผ่านไปไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะ พอหยิบมาดูผมก็ต้องถอนหายใจยาว

“อ่านทบทวนไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”ผมบอกอีกคนก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเดินออกมาที่หน้าบ้าน

“ครับแม่”ผมกดรับสาย เสียงเรียบที่จริงก็รู้สึกผิดเหมือนกันแหละครับที่ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็ไม่โทรติดต่อที่บ้านเลย อาจจะเพราะปกติที่อยีบ้านก็เจอกันทุกวันเลยไม่ค่อยได้โทรหากัน พอมาอยู่นี่ก็อาจจะยุ่งๆ ด้วยหลายๆ อย่างจนผมก็ลืมไปเลย

“เป็นไงบ้างลูก เห็นเงียบไปเลย แม่เลยโทรมาถามดูว่าสบายดีไหม”นี่ผมจะบาปไหมเนี่ยที่ต้องทำให้แม่เป็นห่วงขนาดนี้ หรือผมจะเห็นแก่ตัวมากไปที่อยากออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง และนี่ผมก็เหมือนจะสนใจแค่ชีวิตตัวเองจนลืมคนในครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า

“สบายดีครับแม่ โทษทีนะครับที่ไม่ได้โทรหาแม่เลย พอดียุ่งๆ นิดหน่อย”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร แล้วทำงานสนุกไหม”ก็แปลกดีเหมือนกันนะครับ ทั้งที่จริงๆ บ้านผมก็ไม่ได้อยู่ไกลอะไรมากมายแต่กลับต้องมาถามสารทุกข์สุกดิบกันผ่านโทรศัพท์ ยังกับว่าอยู่ห่างกันจนไปมาหาสู่กันลำบาก

“วันไหนว่างๆ หรือวันหยุดก็กลับมาทานข้าวที่บ้านบ้างสิ”ทำไมผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของแม่ดูมีความกังวลอะไรบางอย่าง คือปกติถ้ามันมีเรื่องอะไรสักอย่าง ผมว่าเราทุกคนก็คงเป็นที่เซนส์บางอย่างจะสะกิดเราว่ามันต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่นอน

“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ เหมือนอยากจะถามอะไร”ผมตัดสินใจถามตรงๆ ให้หายข้องใจ

“ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึง อยากชวนมากินข้าวที่บ้านบ้างแค่นั้นแหละ”ผมกำลังจะตอบกลับว่าจะรีบหาวันกลับไปทานข้าวที่บ้าน แต่เสียงของผู้เป็นพ่อที่ลอดเข้ามาตามสายโทรศัพท์ ทำเอาผมชะงัก

“คุณก็ถามไปสิ ว่าลูกเราเนี่ยเลี้ยงเด็กผู้ชาย พากันไปซื้อกีต้าร์จริงหรือเปล่า”นั่นคือสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของผมส่งเสียงแทรกเข้ามา ผมเดาเรื่องราวได้แทบจะทันที นี่เพื่อนของพ่อกับแม่สักคน คนเห็นวันที่ผมไปซื้อกีต้าร์กับภู่สินะ แล้วคนเราจำเป็นต้องคิดอะไรแบบนั้นด้วยหรือไง ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าใครเป็นคนไปพูด และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าคนๆ นั้นจะคิดยังไง เพราะเรื่องจริงมันเป็นยังไง ผมรู้ดีอยู่แล้ว

“ก็บอกแล้วไงคุณ ว่ารอลูกกลับมาบ้านค่อยถามก็ได้”ผมอยากที่จะอธิบายให้พ่อกับแม่เข้าใจนะครับว่าอะไรเป็นอะไร แต่เสียงปลายสายตอนนี้เหมือนจะไม่ได้สนใจแล้ว พอความเห็นไม่ลงรอยกันก็คงลืมไปแล้วว่าผมยังอยู่ในสาย แต่ไม่นานนักสายก็โดนตัดไป

“ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นก็แค่น้องข้างบ้าน เป็นหลานพี่ปุ๊ก ไม่ได้มีอะไรอย่างที่พ่อกับแม่กังวลเลย”ผมพิมพ์ข้อความส่งให้พี่ปอผู้เป็นพี่สาว นี่เรื่องนี้มันก็ยังต้องเป็นแบบนี้ต่อไปเหมือนเดิมสินะทั้งที่พ่อกับแม่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ที่ผมจะคบกับผู้ชาย นี่ขนาดว่าเรื่องที่รับรู้มาไม่ใช่เรื่องจริง ยังเป็นกันขนาดนี้ นี่ถ้าสมมติวันนึงผมมีโอกาสได้คบกับใครสักคนจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเนี่ย

ผมหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ยาว ที่ตั้งอยู่ ทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด นี่ผมคิดว่าการที่เค้ายอมปล่อยให้ผมออกมาใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ ไอ้เรื่องนี้มันจะดีขึ้นแล้วนะ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนเดิม

“เป็นไรหรือเปล่าลุง”เสียงถามไถ่จากอีกคน ที่นั่งลงข้างๆ ผม เค้ายื่นหน้ามาจ้องผมอย่างรอคำตอบ ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มให้เค้านี่เจ้าตัวรู้ว่าตัวเองกลายเป็นเด็กที่มีผู้ชายเลี้ยง เค้าจะรู้สึกยังไงนะ

“ผีเข้าเหรอลุง ทีแรกยังทำหน้าอมทุกข์อยู่เลย ทีนี้มายิ้ม”ใครจะเอาคนบ้านแบบนี้มาเลี้ยงเป็นแฟนเด็กกันละครับ กวนประสาทก็เท่านั้น หลงตัวเองอีกต่างหาก

“ไปติวกันต่อดีกว่าเนอะ”ผมตัดบทเพราะเรื่องของผมคงไม่เหมาะจะเล่าให้เค้าฟังสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเค้าจะกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ถูกพาดพิงก็เถอะ

“เดี๋ยวสิลุง”เค้าดึงแขนผมให้นั่งลงตามเดิม ผมมองการกระทำของเค้าอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็เล่ามาเถอะ ถึงผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ผมก็ยินดีรับฟังนะ อีกอย่างถ้าได้ระบายออกมาลุงก็น่าจะสบายใจกว่าเก็บไว้คนเดียวนะครับ”เค้าบอกทั้งที่ยังจับข้อมือผมอยู่ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจอีกครั้ง นี่ช่วงนี้ผมจะถอนหายใจบ่อยไปแล้วมั้งเนี่ย

“เรื่องไม่เป็นเรื่องนะ บางทีพี่ก็คิดนะทำไมคนในครอบครัวเราเอง ต้องแคร์คำพูด แคร์ความคิดคนอื่นด้วย”ทั้งที่ตั้งใจจะไม่เล่าให้เค้าฟังในทีแรก แต่สุดท้ายผมก็เริ่มเล่าอยู่ดี

“เรื่องที่ลุงไม่ได้ชอบผู้หญิงอะเหรอ”

“อือ”ผมตอบรับสั้นๆ แต่จะว่าไปตัวภู่เองก็ไม่เห็นมีท่าทีแปลกไป หรืออะไรเลยหลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากผมแล้วว่าผมชอบผู้ชาย แต่อย่างว่าแหละครับ คนรุ่นใหม่ๆ ก็คงเข้าใจอะไรๆ ง่ายขึ้นแล้ว แต่ครอบครัวผมแม้จะดูเป็นครอบครัวสมัยใหม่ แต่หลายๆ เรื่องก็ยังยึดติดกับขนบเดิมๆ

 “เค้าคิดว่าพี่เลี้ยงต้อยเด็กผู้ชาย”เค้าทำหน้างงนิดนึง ก่อนจะชี้ที่ตัวเอง พอผมพยักหน้าเค้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“คงมีคนเห็นตอนที่พี่ไปซื้อกีต้าร์กะภู่แหละ แล้วเอาไปบอกที่บ้านพี่”ผมอธิบาย แต่เหมือนอีกคนจะยังหยุดขำไม่ได้ มันมีอะไรน่าขำนักหนาหรือไงเนี่ย

“ตลกวะลุง ข้อแรกเลยนะผมไม่ใช่เด็ก 5 ขวบเสียหน่อยจะเรียกเลี้ยงต้อยได้ไง ผมโตแล้ว อะไรๆ ก็โตพอใช้งานได้แล้วลุงก็เคยเห็น”มันใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ไหมละครับเนี่ย

“ข้อสอง ผมดูไม่มีตังค์ขนาดนั้นเลยเหรอ อีกอย่างวันก่อนผมต่างหากที่เป็นคนเลี้ยงกาแฟลุง”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ กับแต่ละความเห็นของเค้า นี่ก็คงอย่างที่เค้าบอกทีแรกนั่นแหละว่าช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก นอกจากอาจจะทำให้สบายใจขึ้นบ้าง หรือปวดหัวกว่าเดิมก็ไม่รู้สิเนี่ย

“พอๆ เลิกพูดไร้สาระแล้วไปติวกันต่อ”ผมพยายามตัดบทอีกรอบ

“ลุงหายเครียดยังอะ”เค้ายังคงรั้งข้อมือผมไว้ ไม่ให้ผมลุก

“มั้ง”ผมฉีกยิ้มกว้าง ให้เค้ารู้ว่าผมไม่เป็นไรแล้ว แม้ในใจจะยังรู้สึกเซ็งๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนักหรอกครับ

“เอางี้ไหม เราก็แกล้งเป็นเป็นกันไปเลย ที่บ้านลุงจะได้เปิดใจ มีลูกเขยหล่ออย่างผมเนี่ย รับรองพ่อตาแม่ยายชอบแน่ๆ”รอบนี้ผมต้องทำหน้าเอือมระอาขั้นสุดละ เพราะดูเค้าจะมองเป็นเรื่องสนุกเสียหมด

“ไม่ตลก”ผมสบตาเค้าบอกอย่างจริงจังว่าไม่เล่นแล้ว เค้าหุบยิ้มลง แล้วสบตาผมกลับมาด้วยแววตาจริงจัง เราสบตากันนิ่งจนผมเริ่มจะรู้สึกว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว แล้วยิ่งคำพูดของเค้าที่พูดออกมาทำให้ผมยิ่งชะงักนิ่งไปอีก

“หรือเราจะเป็นแฟนกันจริงๆ ละครับ”เค้าค่อยๆ ขยับโน้มหน้าเข้ามาหาผมจนจมูกของเราแทบจะชนกัน

“นี่เคลิ้มจริงใช่ไหมลุง”เค้าฉีกยิ้มกว้างก่อนจะผละออกจากผมแล้วหัวเราะชอบใจ

“ไอ้เด็กบ้า กลับบ้านไปเลยไม่ต้องติวแล้ว”



TBC





ลุงก็ใสใส ให้เด็กแกล้งตลอด
 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 15 แรงบันดาลใจ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-07-2017 10:19:00
หัวใจลุงแปงทำงานหนักตลอด

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 15 แรงบันดาลใจ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-07-2017 10:48:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 15 แรงบันดาลใจ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-07-2017 21:03:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 15 แรงบันดาลใจ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-07-2017 01:03:12
 :z1:
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 15 แรงบันดาลใจ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-07-2017 11:44:01
บทที่ 16
รอ



“ไม่ วันนี้กินข้าวไปคนเดียวเลย”ผมบอกไปอย่างไม่ใยดี เพราะยังรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กบ้านี่อยู่ อยากชอบแกล้งผมดีนัก วันนี้ก็เชิญกินข้าวไปคนเดียวเลย

“อะไรกันลุง แหย่เล่นแค่นี้ทำเป็นงอนไปได้”ยังจะมีหน้ามาพูดอีกครับ ดูเอาเถอะทำผมใจหายใจคว่ำขนาดนั้น แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธไม่ได้งอนอะไรหรอกนะครับ แค่วันนี้ผมต้องอยู่เคลียร์งานต่อเท่านั้นเอง เลยกลับตามเวลาปกติไม่ได้ แล้วก็คงหาไรกินกับพวกพี่ๆ ที่ออฟฟิศนี่แหละครับ

“แค่นี้แหละ ขอให้สนุกกับความเหงานั่งเฝ้าบ้านคนเดียวนะ”แม้จะคิดว่าเค้าเองก็คงไม่ได้เหงาอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ ปกติถ้าไม่มากวนผมที่บ้านก็เห็นเล่นเกมส์ได้แบบลืมวันเวลาโน่น แล้วกีต้าร์ที่เห็นซื้อนั่น ทั้งที่บอกจะเล่นให้ผมฟัง แต่นี่ยังไม่เคยได้ยินสักครั้งเลยครับ

“เดี๋ยวสิลุง ผมรอนะ รีบกลับด้วย”ยังไม่ทันที่ผมจะกดวางสาย เค้าก็รั้งผมไว้ ทำไมวันนี้มาแปลกจังแฮะ ทุกทีถึงแม้จะแกล้งพูดทับถมกันบ้าง แต่สุดท้ายพอบอกว่าไม่ว่างจริงๆ ก็จบนี่นา แล้ววันนี้เป็นอะไรของเค้า แถมนี่มาซะเสียงอ้อนเชียว

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ วันนี้เลิกดึก”ผมเลิกพูดเล่น แล้วบอกไปตามตรง เพราะวันนี้ผมน่าจะเสร็จงานดึกจริงๆ วันนี้ผม พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ โดนอิทธิฤทธิ์ของลูกค้าเรื่องเยอะอีกแล้ว จากที่นัดส่งงานกันสัปดาห์หน้า ก็ดันเปลี่ยนใจขอร้องแกมบังคับ อีกแล้วว่าจะขอดูงานพรุ่งนี้เช้า เจ้านายพวกผมก็บ้าจี้รับปาก อีกแล้วเช่นกัน ก็ต้องลำบากมนุษย์ลูกน้องอย่างพวกผมนี่แหละครับ

“ก็บอกว่าจะรอไง รีบๆ กลับแล้วกันลุง”มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ หรือว่าแฟนเก่าเค้าติดต่อมาอีกแล้ว นี่เฮิร์ทอย่างวันนั้นอีกหรือเปล่านะ แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดูไม่ได้เศร้าอะไรแบบนั้นนี่นา แต่ผมก็ยังพอจับเสียงได้ว่ามันไม่ปกติสักเท่าไหร่

“งั้นถ้าเสร็จงานแล้วจะรีบกลับละกันนะ”แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็ชักอยากจะรีบกลับไปดูแล้วสิว่ามันมีอะไร หรือเค้าเป็นอะไรของเค้ากันแน่

“สัญญานะลุง ว่าจะรีบกลับ”แนะมีมาขอให้สัญญิงสัญญาอีก นี่ผมนึกย้อนไปถึงวันที่เค้าเมาแล้วให้สัญญาว่าจะยังทานข้าวด้วยกันเหมือนเดิมนั่น ทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ

“อือ เสร็จงานปุ๊บจะรีบกลับเลยนะครับน้องภู่”ผมแกล้งทำเสียงเหมือนพูดกับเด็กตัวเล็กที่รอผู้ปกครองกลับบ้าน ไอ้เด็กบ้านี่บทจะกวนก็กวนจนน่าโมโห แต่พอจะอ้อนก็ทำตัวเด็กมาเชียว แต่อย่างว่าแหละครับ ความจริงเค้าก็อายุน้อยกว่าผมตั้งเกือบ 10 ปี แม้บางทีจะชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ยังไงเสียเค้าก็ยังเป็นเด็กมัธยมอยู่ดี

“ลุงสัญญาแล้วนะ”นี่น้องภู่วัย 3 ขวบครึ่งหรือไงเนี่ยทำไมวันนี้ทำเสียงอ้อนจังเลย ผมรับปากอย่างขำๆ ก่อนจะวางสายจากเค้า และนี่ผมคงเผลออมยิ้มมากเกินไป พี่ๆ ที่กำลังรอผมช่วยงานเลยหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ไอ้ผมก็ลืมไปว่านี่ผมคุยโทรศัพท์อยู่ในออฟฟิศ ที่ที่ซึ่งทั้งเจ้โอ๋ พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ ยังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานกันอยู่

“นี่คุยกับแฟนหรือคุยกับหลานคะน้องแปง มุ้งมิ้งเสียจนเจ้อยากจะเห็นหน้าคนที่คุยกับน้องแปงเลย”เจ้โอ๋เป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาหลังจากที่ผมลดโทรศัพท์ลงจากข้างหู

“เจ้ครับ สั้นๆ นะ อย่าเผือกเรื่องชาวบ้าน”ไม่ใช่ผมนะครับที่เป็นคนพูดคู่ปรับตลอดกาลของเจ้โอ๋ต้องยกให้พี่ต้าร์เค้าแหละครับ แล้วพอสะกิดต่อมกันนิดนึง ทั้งคู่ก็ขุดคำพูดอันไพเราะ ภาษาสัตว์ ภาษาดอกไม้ มาคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

“หยุด!!!”และคนห้ามทัพก็คือพี่ฟ่างเจ้าเก่าคนเดิม

“อย่าเพิ่งเถียงกัน ขอให้งานเสร็จก่อนได้ เสร็จแล้วอยากจะตีกันก็เชิญ”คำพูดพี่ฟ่างนี่เหมือนจะมีอิทธิพลกับทุกคนครับ เพราะพวกเราอีกทั้งสามคน ต่างหมุนตัวหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จากนั้นพวกเราทั้งสี่ก็แทบจะอยู่ในโลกของใครของมัน ยกเว้นมีจุดไหนที่ต้องปรึกษาหารือกัน ค่อยละสายตาจากจอมาถาม-ตอบกันบ้าง

“เสร็จแล้ว มีส่วนของใครเหลือเยอะ อยากให้ช่วยตรงไหนไหม”พี่ฟ่างเป็นคนแรกที่ทำส่วนรับผิดชอบของตัวเองเสร็จคนแรก ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่ม งั้นผมคงไม่ต้องให้แกช่วย เพราะของผมน่าจะใช้เวลาอีกสัก 30 นาทีก็เสร็จ เจ้โอ๋เองก็เหมือนนิ่งไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ พี่ฟ่างเลยลุกเดินไปหาพี่ต้าร์ที่เป็นคนรับผิดชอบส่วนงานหลัก แล้วทุกคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

“โอเค ส่งแล้วเรียบร้อยไปหาอะไรชื่นใจๆ ฉลองกันดีกว่า”พี่ต้าร์ผู้เป็นคนอัพโหลดงานส่งเสร็จเรียบร้อย บอกกับทุกคนผมก้มดูเวลาที่หน้าจอมือถือนี่ 5 ทุ่มหน่อยๆ แล้วไม่รู้ไอ้เด็กบ้าที่บ้านนั่นจะยังรอผมอยู่ไหม แต่ดึกขนาดนี้แล้ว แถมก็ไม่เห็นจะโทรมาหรือส่งข้อความอะไรมาอีก คงหลับไปแล้วละมั้ง แต่ในใจผมกลับเหมือนหวังลึกๆ ว่าเค้าน่าจะยังรอผมอยู่

“ผมขอตัวนะครับ พอดีเหนื่อยๆ อยากพักมากกว่า”ทั้งสามคนหันมามองผมเป็นตาเดียวแทบจะทันที ที่ผมบอกออกไปแบบนั้น สีหน้าทุกคนเหมือนแบบอะไรวะไอ้เด็กน้อยนี่ต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวผู้ปกครองว่า อะไรแบบนี้ อย่างว่าแหละครับในที่ทำงานนี่ผมอายุน้อยสุด ทุกคนเลยมองผมเหมือนเด็กเป็นน้องเล็กของบ้าน

“น้องแปงก็ไปกินข้าวด้วยกันก่อน ไม่อยากดื่มก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ขี้เหล้า 1 ตัว 1 คนนี่ดื่มกันไป”เจ้โอ๋ยังพยายามอยากให้ผมไปด้วย ผมก็ได้แค่ยิ้มแห้งๆ อย่างลำบากใจ คือใจหนึ่งก็เกรงใจพี่เค้านะครับ แต่อีกใจก็เหมือนกังวลกับไอ้เด็กบ้าที่ไม่ยอมออกไปจากหัวผมนี่แหละ

“เดี๋ยวๆ เจ้เรื่องแปงเอาไว้ก่อน  นี่เจ้ว่าไอ้ฟ่างเป็นตัวเหรอ”พี่ต้าร์ครับผมว่าถ้าพี่อยู่เฉยๆ มันน่าจะดีกว่าให้เค้าขยี้ต่อนะครับเนี่ย และก็จริงครับ ที่ไอ้คำสรรพนาม “ตัว” นี่เจ้โอ๋แกตั้งใจว่าพี่ต้าร์นั่นแหละ แล้วสงครามน้ำลายของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว

“ถ้าแปงไม่สะดวกก็ไว้คราวหน้าค่อยไปด้วยกันเนอะ ยังไงก็ขับรถกลับบ้านดีๆ ละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่พี่ฟ่างกับพี่ต้าร์ถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ทั้งที่ผมว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันมากเลย แต่มันกลับเหมือนว่าความต่างนั้นมาปรับสมดุลให้พอเหมาะพอดี ผมบอกลาทั้งสาม ขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก

ทำไมผมรู้สึกลุ้นกับสิ่งที่จะพบเมื่อถึงบ้าน เค้าจะยังรอผมอยู่ไหม หรือเข้านอนไปแล้ว เค้าเป็นอะไรหรือเปล่าถึงอยากให้ผมรีบกลับ หรือเค้าจะโกรธผมไหมที่กลับดึกขนาดนี้ นี่ก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะถึงบ้านก็คงเกือบๆ เที่ยงคืนพอดี ในหัวผมคิดอะไรต่างๆ นานาวนเวียนเต็มไปหมด จนผมเริ่มคิดว่านี่ผมบ้าไปแล้วหรือเปล่า แค่เด็กนี่บอกจะรอ ทำไมต้องตื่นเต้นอะไรด้วยเนี่ย

“ไอ้เด็กบ้า ไหนบอกจะรอ”ผมหุบยิ้มลงอย่างห่อเหี่ยวเมื่อกลับมาถึงและจอดรถที่หน้าบ้าน ไฟจากบ้านทั้งสองหลังมืดสนิท บ่งบอกว่าไม่มีใครทำกิจกรรมใดๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนอยู่ก็คงหลับไปแล้ว

“แล้วจะมาให้เราสัญญาทำไม”ผมบ่นอุบอิบขณะที่เปิดรั้วบ้าน แล้วออกไปบ้านก็ไม่ล็อคให้ จากตอนแรกที่อารมณ์ดี ทำเอาผมกลายเป็นหงุดหงิดไปเสียได้ ทั้งที่ก็รู้นะครับว่าผมเองก็กลับช้า แต่เค้าเองไม่ใช่เหรอที่ว่าจะรอ ถึงขั้นให้ผมสัญญา

“ยังอยู่เหรอ”ผมพึมพำเมื่อเห็นรองเท้าของอีกคนที่วางอยู่ และประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อค พอเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ผมก็อมยิ้มอีกครั้ง นี่ผมเป็นไบโพลาร์หรือเปล่า เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวหงุดหงิด นี่เค้ารอผมจนหลับไปหรืออะไรเนี่ย ผมเริ่มคิดอีกครั้ง แต่พอเข้าบ้านมาเปิดไฟ ภาพที่เห็นทำเอาผม มีหลายๆ ความรู้สึกที่แปลกไป

อาหารหลายอย่างบนโต๊ะถูกจัดวางอย่างดี ซึ่งดูแล้วคนทำคงตั้งใจมากๆ มันไม่เหมือนมื้อทั่วๆ ไปที่เราเคยกินกันประจำ มันบ่งบอกว่าวันนี้มันพิเศษ แต่ตอนนี้อาหารทั้งหมดคงเย็นชืดหมดแล้ว กระป๋องเบียร์เปล่าๆ น่าจะเกือบ 10 กระป๋อง วางอยู่ข้างๆ ตัวของคนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ถัดมาอีกนิดนึงมีเค้กก้อนพอประมาณบรรจุอยู่ในกล่อง

“แมลงภู่18+”คือข้อความที่อยู่บนหน้าเค้ก วันนี้วันเกิดเค้างั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกผมตรงๆ

“ภู่ ภู่”ผมเขย่าตัวเค้าเบาๆ ไอ้เด็กน้อยเอ้ย อยากจะให้อวยพรวันเกิดก็แทนที่จะบอกดีๆ กะทำเซอร์ไพรส์หรือไง แล้วนี้วันเกิดตัวเองแท้ๆ แทนที่คนอื่นจะได้ทำเซอร์ไพรส์ให้ ดันมาทำเป็นมีลับลมคมใน

“อืม”เค้าค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ นี่คงดื่มเข้าไปเยอะแล้วสิเนี่ย แล้วนี่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดเสียหน่อย เค้าเองก็ยังต้องไปเรียน ผมเองก็ยังต้องไปทำงาน นี่ผิดที่เค้าไม่ยอมบอกหรือผิดที่ผมกลับช้ากันเนี่ย

“ลุงงงง”เค้าเรียกเสียงดีใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นผม แล้วผมก็แทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อเค้าลุกพรวดขึ้นมากอดผม

“ทำไมไม่บอกว่าวันนี้วันเกิด”ผมตบหลังเค้าเบาๆ แทนการกอดตอบ แต่อีกคนนี่กอดผมแน่นเสียจนเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปอย่างนั้นแหละ

“ลุงมาช้า”เค้าทำเสียงอ้อนๆ เหมือนเด็ก แต่ทำไมเสียงเค้าดูสั่นๆ แปลกๆ

“แล้วไม่ไปฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ เหรอ”ความจริงวัยนี้มันก็ต้องออกไปสนุก สังสรรค์กับเพื่อนๆ นะครับเนี่ย แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่ผมเองก็แอบดีใจลึกๆ นะครับที่เค้าอยากฉลองกับผม ผมค่อยๆ ดันเค้าออกรู้สึกอยากเห็นหน้าของเค้าที่ตอนนี้กำลังเผยออกมาให้เห็นว่าเค้าก็ยังมีมุมเด็กๆ ตามอายุของเค้าอยู่ แต่แล้วผมก็ต้องตกใจ

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”นี่ไม่นึกว่าเด็กกวนๆ บุคลิคภายนอกออกจะแข็งๆ แบบเค้าจะมีน้ำตาให้ผมเห็นแบนี้ เค้าทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปหา เค้าเอาหน้าซุกกับพุงของผม นี่อย่าบอกนะว่าไม่อยากให้ผมเห็นเค้าร้องไห้ เพราะมันไม่น่าจะทันแล้ว

“ก็ลุงมาช้า ผมกลัวลุงไม่มา”เค้าบอกเสียงอู้อี้เพราะหน้าซุกกับพุงของผมอยู่

“เดี๋ยวนี่มันบ้านพี่ไหม ทำไมพี่จะไม่กลับมานี่”ผมงงกับตรรกะของคนตรงพุงนี่จริงๆ นี่เมาแล้วใช่ไหมถึงอ้อนแบบนี้ ครั้งก่อนที่เมาก็ออกมาแนวๆ นี้เหมือนกันเลย

“ไม่รู้ แต่ลุงมาช้าลุงผิดสัญญา”ไอ้เด็กบ้าเอ้ย บทจะงอแงเอาแต่ใจนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับเนี่ย

“หยุดร้องได้แล้ว มาเป่าเค้กกันดีกว่า”เค้าค่อยๆ คลายมือที่รั้งเอวผมไว้พร้อมกับเงยหน้ามองผม

“ใครร้องไห้ ไม่มีสักหน่อย”ผมเหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้ ทำเป็นพูดดี น้ำตายังไม่แห้งเลยไหม ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้เค้ายิ้มๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เค้ารีบถอยหนี หันไปคว้าเค้กมาแกะกล่องออกปักเทียนตัวเลข 1 กับ 8 ลงไป

“ลุงไปปิดไฟดิ ร้องเพลงเบิร์ธเดย์ผมด้วย”ดูเจ้าของวันเกิดออกคำสั่งผมครับ แต่ก็ยกให้เค้าวันนึงละกันครับ วันนี้มันวันของเค้านิครับ ห้องทั้งห้องมืดลง ก่อนเปลวไฟเล็กๆ จะสว่างขึ้น ผมเริ่มร้องเพลงตามที่เค้าขออย่างไม่ค่อยคล่องนัก ก็เขินๆ ยังไงบอกไม่ถูกแหละครับที่ต้องร้องอยู่คนเดียว

“อธิษฐานสิ”พอเพลงที่ผมร้องจบลง เค้าก็ทำท่าตั้งใจอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนให้ดับลง ผมกำลังจะเดินกลับไปเปิดไฟ แต่ถูกเค้าคว้าขอมือไว้

“อวยพรผมก่อนดิลุง”นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินในความมืด ทำให้ผมต้องหยุดคิดนิดนึง

“ก็ขอให้ภู่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดหวังอะไรให้สมปรารถนา ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้”แม้จะดูเป็นคำอวยพรธรรมดาไปนิดแต่ผมก็หวังให้ชีวิตเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นะครับเพราะถ้าเป็นตามนั้นชีวิตเค้าก็คงมีความสุขแล้ว

“กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย ไหนขอชิมหน่อยสิ”ผมรีบไปเปิดไฟก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เค้ามองมาที่ผมไม่รู้ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ หรือตาเยิ้มเพราะเมากันแน่ แต่สายตานั้นก็ทำให้ผมหัวใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว

“มันเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมไปอุ่นให้ใหม่”เค้าทำท่าจะลุกเอาอาหารไปอุ่นตามที่บอก แต่ผมห้ามไว้ก่อน แล้วผมก็ตักกินโชว์ว่ามันยังอร่อย ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว วันนี้วันเกิดเค้าแค่ปล่อยให้เค้ารอแบบนี้ก็มากพอแล้ว แค่กับข้าวเย็นๆ ไม่ทำให้รสชาติมันแย่ลงมากนักหรอก สุดท้ายเราก็จัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง

“ไม่บอกก่อน พี่เลยไม่ได้เตรียมของขวัญให้เลย”ผมบอกพร้อมกับเดินมานั่งข้างเค้าที่ตอนนี้ย้ายมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว  หลังจากที่เก็บกวาดจานข้าวแล้ว พอกลับมาก็เห็นจานเค้กที่เค้าตัดแบ่ง วางไว้รอให้ผมชิม

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้ฉลองกับลุงผมก็ดีใจแล้ว”นี่มันเรียกฉลองแล้วเหรอ ถ้าไม่นับว่ามีเค้กมันก็แทบไม่ต่างจากวันอื่นๆ ของเราเลย แถมวันเกิดเค้าแต่เค้ายังต้องเป็นคนทำเองทุกอย่างอีก

แม้จะไม่ค่อยชอบทานเค้กสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเค้าตักให้แล้ว ผมก็เลยต้องชิมสักหน่อย แต่เห็นหน้าเค้กแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ อายุครบ 18 แถมมีการใส่ 18+ อีกนี่ไม่บ่งบอกเลย ว่าเจ้าตัวเป็นคนทะลึ่ง

“กินยังไงเนี่ยลุง เค้กติดปากเลอะหมดแล้ว”ผมรีบแลบลิ้นตรงส่วนที่คิดว่าเลอะ แต่อีกคนกลับบอกว่ามันยังไม่ออก จนเค้าต้องขยับเข้ามาเอานิ้วหัวแม่มือเช็ดที่ริมฝีปากของผม ผมมองตามนิ้วของเค้าที่ถูกนำเข้าปากของตัวเค้าเอง เอาอีกแล้ว ทำไมช่วงนี้ผมใจเต้นกับเค้าบ่อยจัง และเหมือนเค้าจะรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่ เค้าช้อนสายตามองกลับมาที่ผม มุมปากนั่นถูกยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ผมจนสายตาเราห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย และเหมือนเค้ายังไม่ได้หยุดการเคลื่อนใบหน้ามาทางผม หัวใจผมเองก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”




TBC

ลุงจะโดนทำโทษยังไงละเนี่ย

 :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-07-2017 12:47:40
 

:katai1:

ใจร้ายยยยยยยย ทำมายตัดจบตอนนี้ ฮื่ออออออ

:L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-07-2017 13:27:01
คิดๆก็น่าสงสารภู่ อยู่คนเดียว ห่อเหี่ยว
เฝ้ารอลุงให้รีบกลับมาฉลองวันเกิด
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-07-2017 13:39:58
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-07-2017 17:44:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 04-07-2017 20:15:31
จะทำโทษลุงเขายังไงเนี่ยยน้องภู่
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-07-2017 23:29:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 16 รอ 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-07-2017 09:58:36
บทที่ 17
ว่าด้วยเรื่องการจูบ




“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ออกมาพร้อมคำพูดนั้น แต่แล้วผมก็ไม่ได้รับรู้แค่กลิ่นอีกต่อไป เมื่อริมฝีปากที่ขยับตรงหน้าประกบลงมาที่ปากผม ด้วยความตกใจทำให้ปิดปากแน่น และกำลังจะถอยออกแต่เหมือนมือของอีกคนจะไวกว่า มือขวาเค้าสอดอ้อมไปด้านหลังรั้งตัวผมไว้

“อือ”ผมกำลังจะอ้าปากถาม ว่าเค้าทำอะไร แต่มันกลับกลายเป็นการเปิดปากให้เค้าสอดลิ้น เข้ามาในปากของผม ด้วยความทั้งตกใจและไม่เคย มันทำให้หัวใจผม เต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะ เค้าที่เป็นเด็กมัธยมดูช่ำชองกว่าคนวัยเบญจเพสอย่างผม จากที่ผมจะต่อต้านในทีแรกเพราะความตกใจ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นความหวาบหวาม จนผมเผลอปล่อยตัวไปตามอารมณ์กับเค้า

“ขม”คือความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นเบียร์ที่รสชาติยังค้างอยู่ในปากของเค้า แต่มันก็ผสมกับความ “หวาน” ของเค้กในปากของผมเอง มันเป็นรสชาติที่แปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับผม แม้จะไม่เข้าใจว่าเค้าทำแบบนี้กับผมทำไม แต่ผมกลับรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่ได้รับ สองมือผมเอื้อมขึ้นรั้งคอของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างมันโถมเข้ามารวดเร็วเสียผมตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลง

“แฮ่กๆ”ผมหอบหายใจ สูดอากาศที่ถูกตัดไปเมื่อสักครู่ เค้าค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เราสบตากันนิ่งก่อนที่ต่างคนต่าง ถอยห่างออกจากกัน ต่างคนต่างเหมือนทำตัวไม่ถูก

“เมื่อกี้มันอะไร”ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ตาก้มลงมองพื้นเป็นที่เรียบร้อย ใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดิม

“ผมคง...เมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ”ผมหันหน้าขึ้นมองอีกคน แต่เค้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านผมไปเลย ทิ้งให้ผมที่ยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

“จูบแรก”ไอ้เด็กบ้านี่ผมเสียจูบแรกให้กับเด็กบ้านั่นเหรอเนี่ย ผมรีบเอามือขึ้นจับริมฝีปากตัวเอง แต่พอจับมันกลับยิ่งเหมือนว่ากดปุ่มรีเพลย์เหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้เล่นวนในหัวของผมอีกรอบ

“นี่คือการลงโทษผม ของเด็กนั่นเหรอเนี่ย”ผมทิ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แล้วไอ้เด็กนั่นก็อะไร มาทำแบบนี้แล้วก็ชิ่งหนีไปดื้อๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง ไม่สิ เด็กบ้านั่นบอกว่าเมา “เมา” แล้วยังไงละ เมาแล้วมีสิทธิ์มาขโมยจูบแรกของคนอื่นแบบนี้เหรอ ว่าแต่จะเรียกขโมยได้ไหมเพราะผมเองก็ไม่ได้ดูตั้งใจจะขัดขืนสักเท่าไหร่กัน

“โอ้ย”ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวครับ นี่มันเรื่องอะไรกันแล้วนี่คืนนี้ผมจะนอนหลับไหมครับเนี่ย ผมเดินเบลอๆ เข้าห้องนอนทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ชุดทำงานก็ยังไม่ได้เปลี่ยน แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติจะทำอะไรทั้งนั้น ผมล้มตัวลงนอนอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่ด้วยความเพลียที่ทำงานมาทั้งวัน จากที่คิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ ก็ทำให้รู้ว่าไอ้เรื่องในหัวของผมยังต้านทานความอ่อนเพลียของผมไม่ได้

“ชิบหาย 7 โมง”ผมมองดูนาฬิกาทันทีที่สะดุ้งตื่น นี่ปกติเวลานี้ผมแทบจะทานข้าวเสร็จเตรียมออกจากบ้านแล้วนะครับ อีกอย่างทุกครั้งถ้าเด็กบ้านั่นทำกับข้าวเสร็จแล้วและผมยังไม่ตื่น ก็ต้องมาเคาะเรียกปลุกแล้วนี่นา ยิ่งช่วงหลังๆ บางทีผมไม่ล็อคห้องก็เข้ามาปลุกผมถึงเตียงเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่วันนี้ทำไมเค้าไม่มาปลุกผม หรือว่าเค้าไม่ได้มาทำกับข้าวเช่นเคย ไวเท่าความคิดเมื่อเหตุการณ์เมื่อคืนช่วยกระตุ้นความจำผม

“พี่แปงตื่นแล้วเหรอครับ”เค้าที่อยู่ในชุดนักเรียนและเหมือนทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทีท่าตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมพรวดพราดออกมา ผมก็เพิ่งจะระลึกได้ว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้อาบน้ำ แถมหลับไปทั้งชุดทำงานชุดเดิมของเมื่อวาน เรียกว่าสภาพผมตอนนี้น่าจะดูไม่จืดเลยทีเดียว

“ทำไมไม่ปลุก”แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้มันดูอึดอัดแปลกๆ แต่ผมก็ยังพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จะไม่นึกถึงว่าเมื่อคืนเราสองคนจูบกัน จะไม่นึกว่ารสจูบนั้นเหมือนเบียร์ผสมเค้ก นี่คือผมจะไม่นึกถึงจริงๆ นะครับ

“ไม่อยากรบกวนพี่แปงนะครับ เห็นว่าเมื่อคืนกลับดึก”เค้าตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้หันมามองผม แล้วเค้าก็เดินเอาชามข้าวต้มที่กินเสร็จแล้ว เข้าครัวไปล้างเก็บ ทำไมผมว่าวันนี้เค้าทำตัวแปลกๆ กันนะ เพราะเรื่องเมื่อคืนงั้นเหรอ

“ผมไปเรียนก่อนนะครับ พี่แปงก็รีบละเดี๋ยวจะไปทำงานสาย”นิ่ง นี่เค้านิ่งเกินไปจนผิดปกติแล้ว เค้าแทบไม่หันมาสบตาผมเสียด้วยซ้ำ นี่เห็นผมเป็นอากาศธาตุหรือไงกัน

“ภู่”ผมเรียกเค้าไว้ก่อนที่เค้าจะเดินออกไป เค้าเพียงหยุดแต่ไม่ได้หันกลับมามองผม

“ไม่รอไปพร้อมกันเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมไปเองสะดวกกว่า”เค้าตอบทั้งที่ไม่หันกลับมามองผมด้วยซ้ำ ไอ้เด็กบ้านี่เมินผม งั้นเหรอ เมินผมเพราะเรื่องไหน ไม่พอใจเรื่องที่ผมให้รอนาน ก็ไม่น่าใช่เพราะผมว่าเมื่อคืนเราก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว หรือจะมาเมินผม เพราะเรื่องที่เราจูบกันเมื่อคืน ถ้าเรื่องนั้นมันความผิดผมเมื่อไหร่กัน

ผมไม่ใช่คนเริ่มเสียหน่อย ผมต่างหากไหมที่เป็นคนที่ควรจะรู้สึกอะไรมากกว่าเค้า ได้ถ้าจะเล่นแบบนี้ก็ได้เลยไอ้เด็กบ้าเอ้ย แหมทำมาเป็นเรียกพี่แปงอย่างนั้น พี่แปงอย่างนี้ ทั้งที่เดียวนี้ก็เห็นเรียกผมลุงมาตลอดอยู่แล้ว ผมรีบสลัดไอ้เด็กบ้านั่นออกจากความคิด รีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวให้เร็วที่สุด

แต่ว่าแม้จะรีบยังไงพอออกผิดเวลาแบบนี้ ด้วยการจราจรแบบนี้มีหวังก็สายอยู่ดีแหละครับ จากที่หงุดหงิดไอ้เด็กบ้านั่นที่มาทำเมินผม ก็ยังต้องมาหงุดหงิดกับรถติดนี่อีก ทำไมชีวิตผมมันรันทดได้ขนาดนี้เนี่ย ก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในรถคนเดียวนั่นแหละครับ สุดท้ายกว่าจะฝ่ารถติดมาถึงที่ทำงานได้ ก็เกือบ 9 โมงครึ่ง ดีที่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่สาย เพราะนี่เล่นสายกันยกเซต พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ 3 คนนั้นดูสภาพแล้วไม่น่ามีใครมาครบ 100% นี่คงฝากไว้ที่ร้านเหล้าคนละนิดละหน่อยแน่ๆ

“ไหวไหมพี่”ผมถามพี่ต้าร์ที่เดินกาแฟนสวนไป แต่เหมือนพี่แกจะไม่พร้อมทักทายผมสักเท่าไหร่ นี่คงอาการหนักสุดสินะ ถ้าผมไปด้วยนี่อาจจะน็อคแล้วมั้งครับ แต่ถ้าเมื่อคืนผมไปกับพี่ๆ เค้า ผมกับไอ้เด็กบ้านั่นอาจจะไม่ต้องจูบกันก็เป็นได้

“แปง เป็นไรเนี่ยดูเหม่อๆ นอนไม่พอเหรอ”พี่ฟ่างที่ยังชงกาแฟอยู่ในห้องครัวทักผม ที่ยังคงยืนเอ๋อๆ จับแก้วกาแฟอยู่ ไม่ใช่ว่าผมนอนไม่พออย่างที่พี่ฟ่างว่าหรอกนะครับ แต่ผมแค่ยังคิดไม่ตกเรื่องผมกับไอ้เด็กบ้านนั่นแหละครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะครับว่าทำไมเค้าต้องเมินผม จะว่าเขินก็ไม่น่าใช่

“พี่ฟ่างเคยจูบไหม...ครับ”ด้วยความที่สมองผมยังคิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมา จากจะทักทายพี่ฟ่างก็ดันเป็นพูดเรื่องจูบเสียอย่างนั้น แล้วเพื่อไม่ให้ตัวเองปล่อยไก่ไปมากกว่านี้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ไม่แก้ไขมันละ พี่ฟ่างก็ดูงงๆ หน่อยๆ กับสิ่งที่ผมถามและก็เหมือนจะกลั้นขำเอาไว้ด้วย แล้วการถามเรื่องจูบนี่มันน่าขำตรงไหนกันเล่า หรือว่าไม่มีใครเค้าถามกัน หรือผมควรถามคนอื่น แต่จะให้ผมถามใครละ ข้าวหอมเหรอ รายนั้นได้ซักผมจนซีดแน่ งั้นก็ถามพี่ฟ่างนี่แหละ

“ไปจูบกับใครมาละ”หรือผมเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม ไม่ถามมันยังจะดีกว่าหรือเปล่า แต่พี่ฟ่างไม่รู้จักภู่นิ ต่อให้เล่าไปถ้าผมแค่ถามเป็นเรื่องสมมติ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรนี่เนอะ อีกอย่างพี่ฟ่างก็ไม่ใช่คนขี้เม้าท์เหมือนเจ้โอ๋กับพี่ต้าร์ ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะขยับเข้าหาพี่ฟ่าง

“ตกลงพี่ฟ่างมีแฟนแล้ว...เหรอครับ”ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ถึงพี่ฟ่างไม่ได้ตอบว่าเคยจูบมาไหม แต่อาการมันก็ฟ้องว่าเคย อีกอย่างพี่ฟ่างเองก็คงประสีประสากว่าผมเยอะแน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องแฟนพี่ฟ่างเลย แล้วพี่ฟ่างจะไปจูบกับใคร

“เรียกว่าแฟนไหม...ก็คงไม่ใช่แหละ”พี่ฟ่างทำท่าคิดนิดนึงก่อนจะตอบออกมา ไม่ใช่แฟนแต่ก็เคยจูบกันงี้เหรอ แต่เอะ พี่ฟ่างก็ไม่ได้บอกนิว่าเคยจูบ แต่เอะหรือว่าการจูบกันมันไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้

“คนเราไม่ต้องเป็นแฟนกัน ไม่ต้องเป็นคนรักกันก็จูบกันได้เหรอครับ”ผมถามอย่างสงสัย เพราะคิดมาตลอดว่าจูบแรกของผมจะเก็บไว้ให้คนที่ผมจะรักเค้าอะไรแบบนั้น หรือผมคิดอะไรที่น้ำเน่าเกินไป

“คนบางคนรู้สึกดีต่อกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้นิ”ถ้ารู้สึกดีต่อกันแล้วทำไมถึงไม่คบกันเป็นแฟนละ ความคิดผมขัดแย้งกับสิ่งที่พี่ฟ่างกำลังพูด หรือแค่รู้สึกดีแต่มันยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะ

“หรือบางคนก็จูบกันเพราะมีบางอย่างที่ต้องการเหมือนกัน”ผมยังคงเงียบรับฟังสิ่งที่พี่ฟ่างบอก แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตามที เอาจริงๆ ผมไม่นึกว่าพี่ฟ่างจะมีมุมมองอะไรแบบนี้ หรือมาอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยซ้ำ

“บางอย่างที่ต้องการเหมือนกันนี่คืออะไรเหรอครับ”นี่ขนาดตั้งใจฟัง คิดตามผมยังไม่เข้าใจเลยครับ พี่ฟ่างหันมามองผม เหมือนแปลกใจที่ผมไม่เข้าใจถึงขั้นต้องถามแบบนี้ พี่ฟ่างหรี่ตามองผม เหมือนจะถามว่านี่ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าผมแค่อำแกเล่นกรือเปล่า แต่หน้าผมคงกำลังเหมือนคนโง่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พี่ฟ่างเลยช่วยชี้ทางสว่าง

“ก็...เซกส์ไง”คำตอบของพี่ฟ่างทำเอาผมแทบทำกาแฟในมือร่วง นอกจากจูบแล้ว คนเรายังมีเซกส์กันโดยไม่ได้รักกันได้ด้วยเหรอ เป็นผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ หรือเพราะคิดแบบนี้ผมถึงยังซิงมาจนเบญจเพศแบบนี้

“แปงนี่อินโนเซนส์กว่าที่พี่คิดนะเนี่ย”อะไรกันเนี่ยพี่ฟ่าง ทำไมต้องมาทำเสียงเอ็นดูผมอะไรขนาดนี้ ก็คนมันไม่เคยนี่นา อยากจะบอกไปแบบนั้นนะครับ แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งดูน่าเอ็นดูกว่าเดิม

“ตกลงไปแอบชอบใคร หรือมีใครมาทำให้หวั่นไหวหรือเปล่านิ”ชอบใครงั้นเหรอ หรือหวั่นไหว กับไอ้เด็กบ้านั่นนะเหรอ ไม่ใช่มั้ง เห็นมีแต่เรื่องทำให้ผมหงุดหงิด ออกจะน่ารำคาญสิไม่ว่า

“สมมตินะพี่ สมมติจริงๆ นะครับ”ผมย้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ดูว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวผมนัก หรือว่านี่จะยิ่งทำให้พี่แกปักใจว่าคือเรื่องของผม แต่ช่างมันเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงซะพี่ฟ่างก็คงไม่ได้เจอกับไอ้เด็กบ้านั่น คงไม่มีทางได้รู้จักกันหรอก เพราะงั้นเรื่องนี้มันก็จะจบแค่ที่ห้องชงกาแฟนี่แหละ

“โอเค มันเป็นเรื่องสมมติ ที่คือใครก็ไม่รู้ซึ่งพี่ไม่รู้จัก และไม่ใช่เรื่องของแปงด้วย”โคตรจะไม่เนียนเลย ไม่ใช่พี่ฟ่างนะครับ ผมเองนี่แหละ ผมยิ้มแห้งๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้

“คือถ้าอยู่ๆ มีคนมาจูบเรา โดยที่เค้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่พอมาอีกวันเค้าก็ทำเมินเรา เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้มันหมายความว่ายังไงอะพี่ เค้าคิดอะไรทำไมถึงทำแบบนี้”พี่ฟ่างนิ่งเงียบไปเหมือนใช้ความคิด ส่วนผมก็นิ่งรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน

“ที่จริงในความรู้สึกพี่ มันก็แค่จูบอะเนอะ แต่พี่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น งั้นเอางี้ดีกว่า ก่อนที่เราจะอยากรู้เค้าทำแบบนี้เพราะอะไร เราตอบตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่า ว่าตัวเราเองรู้สึกยังไงกับเค้า”



TBC
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2017 10:17:33
 :L1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-07-2017 11:02:01
ค้างง  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 05-07-2017 18:05:23
พี่ฟ่างกะใคร อยากรู้มากกกกก
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-07-2017 23:53:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 06-07-2017 00:15:12
น้องภู่ ทำไมทำกับพี่แปงแบบนี้ครับ พี่แปงคิดมากเรื่องน้องภู่แล้วนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-07-2017 00:39:01
 :katai2-1:
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-07-2017 07:27:32
บทที่ 18
เมิน



“แล้ววันนั้นเค้าเมาหรือเปล่า”พี่ฟ่างที่ยังช่วยผมวิเคราะห์ ถามรายละเอียดเพิ่มเติม ผมนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ภาพกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ไม่น้อย และรสจูบที่ผมได้รับก็เจือด้วยแอลกอฮอล์อีกต่างหาก

“เค้าก็ดื่มไปประมาณนึงแหละพี่”ผมตอบกลับไปอย่างไม่มั่นใจนักเพราะไม่รู้ว่าดื่มขนาดนั้น ไอ้เด็กบ้านั่นจะเมาหรือยัง ว่าแต่นี่ผมยอมรับกับพี่ฟ่างแล้วเหรอว่า มันคือเรื่องของผมเอง

“งั้นพี่มีอยู่สองสมมติฐาน แต่มันก็แค่การคาดเดาของพี่นะ”ขนาดแค่ฟังผมเล่าพี่แกยังคิดไปได้ 2 แบบเลยเหรอ แล้วทำไมผมที่เป็นเจ้าของเรื่องนึกไม่ออกสักทางเลยละ ว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ นี่ผมคงอินโนเซนส์อย่างที่พี่ฟ่างว่าจริงๆ สินะ

“อย่างแรก ก็อาจจะแค่อารมณ์มันพาไป เพราะเมาด้วยก็เลยทำแบบนั้นลงไป แค่พอสร่างเมาขึ้นมาก็คงคิดว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย ก็เลยอาจจะไม่อยากพูดถึง แกล้งลืมๆ ไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”พอฟังไปแล้วคิดตาม ทำไมใจผมมันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาละครับเนี่ย

“อย่างที่สอง เค้าอาจจะคิดอะไรด้วยอยู่แล้ว แต่อาจยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง แล้วพอเมา เผลอทำลงไปแล้ว ก็เลยยิ่งสับสนในใจ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ”สับสนอย่างนั้นเหรอ ผมว่าผมเองก็สับสน และน่าจะเป็นคนที่มีความรู้สึกแบบนี้มากกว่าไอ้เด็กบ้านั่นอีก

“แล้วนี่ผมควรทำยังไงต่อดีครับ”พี่ฟ่างมองผมยิ้มๆ ก่อนจะทำท่าคิด แล้วนี่พี่ฟ่างจะไม่ล้ออะไรผมใช่ไหมเนี่ย ที่มาถามอะไรกับแกแบบนี้

“แปงอยากให้มันเป็นยังไงละ ถ้าแปงไม่ได้คิดอะไรกับเค้าก็ปล่อยมันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เค้าเงียบเราก็เงียบตอบ ทำตัวเหมือนเดิม”ถ้าทำแบบนั้นมันจะไม่อึดอัดกันพอดีเหรอครับเนี่ย อีกคนนั่นผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดยังไง แต่ผมนี่อึดอัดแน่นอน

“แต่ถ้าอยากชัดเจน หรือเคลียร์ให้จบ ก็ถามตรงๆ เลย”

ถามตรงๆ งั้นเหรอ ผมนั่งทบทวนคำแนะนำจากพี่ฟ่างมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ผมเลิกงานกลับถึงบ้านตามปกติ นั่งรออีกคน แต่นี่เลยเวลากลับบ้านของเค้ามาพักใหญ่แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าเค้าจะกลับมา และไม่มีการส่งข้อความ โทรมาบอกอะไรทั้งนั้น นั่นยิ่งทำให้ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งกระวนกระวาย

“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”ผมบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กนี่ต้องมาวนเวียนในหัวผมตลอดเวลาแบบนี้ สลัดยังไงก็ไม่หลุด ผมโทรไปดีไหม ปกติผมก็โทรหาเค้าได้นิ ทั้งถามเรื่องเวลากลับบ้านอะไรพวกนี้ เราก็โทรหากันได้อยู่แล้วนี่นา ทำไมครั้งนี้ผมต้องคิดมากด้วยละ

ผมกดโทรศัพท์หาเบอร์ของเค้า ชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะกดโทรออก รู้สึกใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกกับการรอสายในครั้งนี้ แต่ทว่ารอสายจนตัดไป เค้าก็ไม่รับสาย อะไรของเค้าวะเนี่ย นี่ผมชักจะเริ่มโมโหหน่อยๆ แล้วนะครับเนี่ย แถมนี่ก็ชักจะเริ่มหิวแล้วด้วย

ผมลุกจากโซฟา เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็น มองของสดที่ยังมีอยู่เต็มตู้เย็น แต่จะให้ผมทำกินเองตอนนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ นี่ขนาดแค่เมนูง่ายๆ อย่างต้มมาม่า ผมยังรู้สึกไม่อยากทำเลยครับตอนนี้ ผมกวาดสายตามองหาทุกสิ่งอย่างว่ามันมีอะไรประทังชีวิตผมได้บ้างโดยที่ไม่ต้องลงมือทำ

“ปลากระป๋อง”นั่นคือสิ่งที่ผมประเมินแล้ว ว่ามันเปิดเทแล้วก็น่าจะกินได้เลย แม้ผมจะยังไม่เคยเปิดกินเปล่าๆ แบบนี้ มาก่อนก็เถอะผมหยิบออกมาจากชั้นวาง 3 กระป๋อง เปิดเทออกมา สีส้มๆ ของซอสมะเขือเทศกับปลาไม่มีหัวไม่มีหางอีกหลายชิ้น อยู่ในชามใบพอเหมาะ มันดูหยืยๆ ยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ผมจิ้มนิ้วชี้ลงไปแตะๆ ก่อนจะนำเข้าปากชิม

“ก็ไม่แย่เท่าไหร่”พูดปลอบใจตัวเองครับ ถึงจะหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดียังไง ตอนนี้ผมก็ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างครับ ผมยกชามมาตั้ง เริ่มตักกิน คำแรกรู้สึกมันก็ออกจะปะแล่มๆ อยู่ไม่น้อย แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กบ้านั่นแล้วผมต้องมานั่งรอให้เค้าทำกับข้าวให้ในวันนี้ ผมยอมกินแบบนี้ดีกว่า แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตักปลากระป๋องเข้าปากอย่างเมามัน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

“ไม่รับหรอกไอ้เด็กบ้า”พอเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา ผมก็ปล่อยโทรศัพท์ให้ดังอยู่แบบนั้น อยากเมินผมดีนักใช่ไหม ได้เลย เดี๋ยวผมจะเมินกลับบ้าง เมินมาเมินกลับครับงานนี้ ไม่มีโกง หน้าจอดับไป แต่ก็ไม่นานนักชื่ออีกคนก็ปรากฏขึ้นอีก ผมปล่อยให้โทรศัพท์อย่างนั้นจนดับไปเช่นเคย ผมหันมาตักปลากระป๋องเข้าปากอีกรอบ อย่างกับว่ามันอร่อยเสียนักหนา

ผมเก็บชามล้าง อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แต่ก็ยังนั่งอยู่หน้าทีวี กดเปลี่ยนช่องเรื่อยเปื่อย ไม่ได้รอใครนะครับ แค่มันยังไม่ง่วง นี่ขนาดผมทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังแค่ 3 ทุ่มเอง และไอ้เด็กบ้านั่นก็ยังไม่กลับมา ยืนยันอีกทีนะครับว่าผมไม่ได้รอเค้า ผมแค่ยังไม่ง่วง แต่ทีวีนี่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเอาเสียเลย ผมเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางไว้ห่างๆ ซึ่งไม่ได้จับมาดูอีกเลยตั้งแต่เค้าโทรเข้ามาครั้งที่สอง

“พี่แปงยังไม่นอนเหรอครับ”อยู่ๆ ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ประตูบ้านที่ผมยังไม่ได้ล็อคก็ถูกเปิดขึ้น ชายหนุ่มที่ทำผมหงุดหงิดมาทั้งวัน ยืนสะพายกีต้าร์อยู่ แม้จะแปลกใจว่าเมื่อเช้าผมไม่เห็นเค้าถือมันนี่นา ทำไมกลับมาพร้อมกีต้าร์แบบนี้ แล้วนี่ก็เห็นอยู่ว่าผมยังนั่งตาแป๋วอยู่นี่ แถมยังไม่ดึก ก็ยังจะมาถามอีกว่าผมยังไม่นอน

“ก็ยังไม่ง่วง”ผมตอบเสียงเรียบ โดยหันกลับมาสนใจรายการทีวีตรงหน้า เหมือนมันน่าสนใจมากๆ ทั้งที่จริงผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่รายการอะไร ภาพบนหน้าจอแทบไม่ได้เข้าไปในหัวผมเลยด้วยซ้ำ

“กินข้าวหรือยังครับ”เค้าเดินผ่านหน้าผมเอากีต้าร์ไปวาง ก่อนจะหันมาถาม

“กินแล้ว”ผมยังคงตอบเรียบๆ โดยที่สายตายังจ้องมองที่จอทีวี

“กินกับอะไร”ผมขมวดคิ้ว หันไปมอง แล้วเค้าจะมาสนใจผมทำไม อยากเมินผมนักก็ไม่ต้องมาสนใจผมสิ

“ก็ของที่มีในบ้านนี่แหละ”ผมตอบเหมือนตัดรำคาญ ก่อนจะหันมาทำเป็นสนใจทีวีตรงหน้าต่อ

“แล้วมันคืออะไรละครับ”

“จะมาสนใจทำไมนิ ก็บอกว่ากินแล้วไง ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเลย อีกเดี๋ยวจะนอนแล้ว”ด้วยความหงุดหงิดผมเลยเผลอเสียงแข็งใส่เค้านิดหน่อย ที่จริงตอนแรกเลย ก่อนที่จะโทรหาเค้า แล้วเค้าไม่รับนั่น ผมตั้งใจจะคุยเรื่องที่เราจูบกัน กับเค้าตรงๆ มันจะได้ไม่คาใจและติดในหัวผมแบบนี้ แต่พอเค้าไม่รับมันเลยรู้สึกอยากเมินใส่เค้าบ้างนี่แหละ เลยเปลี่ยนใจไม่ถามดีกว่า ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ

“พี่เป็นไรหรือเปล่าครับ ผมโทรมาก็ไม่รับ”ผมไหมละที่ต้องถามประโยคนี้ เค้าเองไม่ใช่เหรอที่เมื่อเช้าก็เมินใส่ผม แล้วเค้าก็เป็นคนที่ไม่รับสายผมก่อนด้วย นี่กลับมาก็ยังทำท่าทางเรียบๆ นี่อีก ทั้งที่ปกติเค้ามักจะร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ เพราะงั้น ผมต่างหากที่ต้องถามเค้า ว่าตกลงเค้าเป็นอะไร

“เปล่า”ผมตอบสั้นๆ แค่นั้นเหมือนเดิม และยังคงนั่งจ้องทีวี เค้าไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เดินเข้าไปทางห้องครัว ผมมองตามนิดนึงก่อนจะหันกลับมาทำเป็นมองทีวีเหมือนเดิม ไม่นานนักจากการมองด้วยหางตาผมก็เห็นว่าเค้าเดินกลับออกมา

“ผมจะต้มมาม่า พี่แปงจะให้ทำเผื่อไหมครับ กินปลากระป๋องเปล่าๆ แบบนั้นเดี๋ยวกลางดึกก็หิวอีกนะครับ”นี่แค่เข้าครัวไปก็รู้แล้วเหรอว่าผมกินอะไรไป ที่จริงอยากจะปฏิเสธนะครับว่าไม่ต้องทำอะไร แต่ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกแล้วละครับ ว่าไอ้ปลากระป๋องที่กินเข้าไปมันคงย่อยไปหมดแล้ว

“อยากทำไรก็ทำไปสิ”ต้องยั้งฟอร์มไว้ก่อนครับ เค้าหายเข้าครัวไปอีกรอบ ไม่นานนักกลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกผม เค้าเดินถือชามใบใหญ่มีควันลอยฟุ้งออกมาวางบนโต๊ะ น้ำย่อยในกระเพาะของผมก็เหมือนจะรับรู้แล้วว่ามีของกิน ผมเดินไปโดยไม่รอเค้าเรียก แต่ก็แค่นั่งเงียบๆ รับตะเกียบจากเค้าเงียบๆ และก็ตักเข้าปากโดยไม่พูดอะไรกับเค้า หลังจากกินไปหลายคำแล้วเพิ่งสังเกตว่าเค้าไม่ได้กินเลย ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเค้ามองผมอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการมองที่นิ่งเฉยจนผมไม่รู้ว่าคนมองกำลังคิดอะไรอยู่

“ผมมาช้าเพราะไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน”เค้าเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน แม้จะไม่อยากรู้ในสิ่งที่เค้ากำลังบอกแต่ผมก็ยอมรับว่ารู้สึกหายหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยนึงที่ได้ยินแบบนั้น

“แล้วไง”ผมเองก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยังคงวางท่าไม่สนใจเค้า

“ก็เผื่อพี่แปงอยากรู้ไงครับ แล้วที่ไม่ได้รับสายพี่ ก็เพราะเสียงในห้องซ้อมมันดัง ผมเลยไม่รู้ตัวว่าพี่โทรมา”ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อน ตั้งแต่แรกละ ว่าจะอยู่ซ้อมดนตรี ผมแค่คิดในใจนะครับไม่ได้ถามออกไป

“บอกทำไม”ผมก้มลงกินมาม่าต่อ และยังทำไม่สนใจเค้าเช่นเดิม

“ก็เห็นเมินผม นึกว่าพี่โกรธเรื่องนี้”รอบนี้ผมเงยหน้าขึ้นมองตาขวางเลยครับ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ตัวเองเมินผมก่อนแท้ๆ ยังจะมาว่าผมเมินตัวอีก แล้วไอ้เรื่องพวกนี้ออกจะมีส่วนอยู่บ้างก็จริง แต่ประเด็นหลักที่ผมกำลังเป็นตอนนี้ มันเพราะ “จูบแรก” ของผมนั่นต่างหากละ แล้วนี่ยังไม่เห็นเด็กนี่พูดถึงสักคำเลย เมาจนจำไม่ได้รึไง ซึ่งก็ไม่น่าใช่ อีตอนคราวก่อนเมามากกว่านี้ ยังจำได้เลยว่าผมสัญญาอะไรกับเค้า

“ไม่กินเหรอ”ผมไม่ตอบคำถามเค้า แต่เปลี่ยนประเด็นแทน

“ไม่หิวครับ”ผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่หิวแล้วทำมาทำไม”ผมวางตะเกียบแทบจะทันที เพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ทำให้พี่กินไงครับ”นี่ผมใกล้จะหมดความอดทนแล้วนะครับ ทำไมต้องมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียง ท่าทางที่ไม่เหมือนเดิมขนาดนี้ แต่ก่อนเรียกผมลุงทุกคำ กวนตีนทุกช็อต แล้วตอนนี้มาทำสุภาพเรียบร้อย โคตรจะไม่ปกติ และผมเองก็โคตรจะอึดอัดเลย

“อิ่มแล้ว เก็บให้ด้วย เสร็จแล้วก็รีบกลับไปเลยนะ พี่จะนอนแล้ว”ผมลุกจากโต๊ะกินข้าว เดินไปนั่งที่โซฟา หน้าทีวีตามเดิม คำพูดของพี่ฟ่าง ดังวนเวียนมาในหัวผมรอบแล้วรอบเล่า

“ถ้าอยากชัดเจน หรือเคลียร์ให้จบ ก็ถามตรงๆ เลย”

“ถ้าอยากชัดเจน ถ้าอยากชัดเจน ถ้าอยากชัดเจน”

“เคลียร์ให้จบ เคลียร์ให้จบ เคลียร์ให้จบ”

“ถามตรงๆ เลย”

“ถามตรงๆ เลย”

“ถามตรงๆ เลย”

ประโยคเดิมๆ ดังก้องๆ วนไปวนมาในหัวผม จนผมอยากให้ความคิดผมดังออกมาเองให้รู้แล้วรู้รอด เค้าเดินกลับออกมาจากครัว หยิบกีต้าร์ขึ้นสะพาย เดินมาผ่านหน้าผม

“กลับแล้วนะครับ”นั่นไง ถ้าปกติมันต้อง “กลับแล้วนะครับลุง” ตามด้วยรอยยิ้มกวนๆ สิ แต่นี่อะไรทั้งคำพูดสีหน้าแววตา เย็นชาสุดๆ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมทนไม่ไหวแล้ว

“ทำไมไม่เรียกลุงเหมือนทุกที”


TBC

เมินลุงเค้าทำไมละภู่  :z6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 06-07-2017 07:36:18
 :-[
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 18 เมิน 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-07-2017 09:15:45
ลุงขึ้นน 5555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องการจูบ 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-07-2017 09:25:24
พี่ฟ่างกะใคร อยากรู้มากกกกก

พี่ฟ่างกับน้องข้าวโพดละมั้งคะ จากเรื่องใหม่ของไรท์ค่ะ เป็นเรื่องของพี่ฟ่าง อิอิ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 18 เมิน 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-07-2017 09:37:59
ลุงแปง จัดการไอ้เด้กจอมป่วนเลย :katai1: :z6: :z6:

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 18 เมิน 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-07-2017 11:49:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 18 เมิน 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-07-2017 12:20:35
 :serius2:
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 18 เมิน 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-07-2017 23:44:14
มันก็น่าโมโหอย่างแปงคิดนะ มันยังไงกันแน่ :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 19 กลัว 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 07-07-2017 08:49:15
บทที่ 19
กลัว





“ทำไมไม่เรียกลุงเหมือนทุกที”ผมถามออกไปเสียงดัง จนอีกคนต้องหันกลับมามองผม ส่วนผมเองตอนนี้คงมองเค้าด้วยสีหน้าท่าทางพร้อมหาเรื่องเต็มที่

“ก็พี่แปงไม่ชอบให้ผมเรียกไม่ใช่เหรอครับ”เค้ายังคงตอบด้วยท่าทางเหมือนเดิม มันก็ใช่ที่ตอนแรกผมไม่ชอบกับการที่เค้าเรียกผมว่าลุง แต่ตอนนี้มันชินไปแล้วไง

“แล้วทำไมยังเรียกทั้งที่รู้ว่าไม่ชอบ”พออยากเรียกก็มาเรียก ไม่อยากเรียกแล้วก็เลิกหรือไงเล่า ทำอะไรก็ให้มันสม่ำเสมอไม่ได้หรือไง อยากจะพูดออกไปตามสิ่งที่คิดนะครับ แต่ปากผมมันดันพูดไม่ค่อยตรงกับที่คิดสักเท่าไหร่

“ตอนแรกผมก็แค่อยากแกล้งพี่”อะไรนะ แค่อยากแกล้งแค่นั้นเองเหรอ คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

“แล้วตอนนี้ละ”ผมเริ่มถามเสียงแข็ง

“ตอนนี้ผมก็แค่...”ยังไม่ทันที่เค้าจะพูดจบ

“เปรี้ยง!!!”/ “เชี่ย”ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง สองมือผมรีบอุดหู หลับตาปี๋ ทรุดลงแทบจะมุดใต้โซฟา เรียกว่าเลิกสนใจทุกอย่างไปชั่วขณะ แล้วนี่อยู่ๆ ฝนฟ้ามันเทลงมาได้ยังไงกัน ทั้งที่ไม่เห็นมีวี่แววอะไรกันมาก่อนเลย หรือว่าผมอยู่แต่ในบ้านเลยไม่เห็นฟ้าฝนที่ตั้งเค้ามา

“เป็นไรหรือเปล่าพี่”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตกใจ คงมาจากการที่เห็นอาการของผมนั่นแหละครับ ผมยังคงเอามือขึ้นปิดหูและหรี่ตามองไปทางนอกบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เปรี้ยง/พรืบ”

“เชี่ยปิดไฟทำไมเนี่ย”พอผมหลับตาตามเสียงฟ้าร้อง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีกลับพบเพียงความมืดทำให้ผมเริ่มโวยวาย เพราะตอนนี้สติผมเริ่มไม่อยู่กับตัวแล้วครับ รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสั่น จนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่ได้

“ไฟมันดับไหมละลุง”ผมแทบไม่สนใจในสิ่งที่อีกคนตอบ แทบจะลืมสังเกตุว่าน้ำเสียงหรือคำพูดเค้าปกติหรือเปลี่ยนไปหรือเปล่า

“เปรี้ยง/โอ๊ยจะร้องทำไมนักหนา”ผมทรุดลงกับโซฟา รู้สึกอยากมุดเข้าไปในพื้นโซฟาให้รู้แล้วรู้รอดไปครับ ไม่ต้องแปลกใจไปครับ ผมแค่เป็นโรคกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่า เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยกลัวกัน หรือพอจะมีคนกลัวบ้างก็อาจจะอาการไม่หนักหนาบ้าบอเท่ากับผม คือถ้ารู้ก่อนว่าจะมีฝนตกและเตรียมตัวตั้งรับทัน อาการผมก็จะไม่รุนแรงสักเท่าไหร่

แต่ถ้าเจออย่างตอนนี้บอกเลยว่าผมพังครับ ไม่เหลือสติใดๆ ทั้งสิ้นเห๋นอะไรมุดได้แอบได้ผมแทบจะมุดเข้าไปทุกอย่าง เพราะงั้นที่บ้านผม พ่อกับแม่เลยสั่งบุผนังให้เก็บเสียงแทบทุกห้อง แต่ขนาดไม่ให้ได้ยินเสียงแล้วผมก็ต้องไม่เห็นฟ้าแลบด้วย แถมถ้าปกติอยู่บ้านถ้ารู้ว่าฝนตก ตอนเด็กๆ ผมจะนอนคนเดียวไม่ได้เลย วุ่นวายร้องไห้ทั่วบ้านประจำเลย โชคดีมาหน่อยที่พอโตขึ้น ผมจะพอคุมตัวเองได้บ้างถ้ารู้ก่อนว่าฝนจะตก

“เป็นไรเนี่ยลุง”ถึงจะอยากอธิบาย แต่ตอนนี้ผมคงพูดอะไรไม่ถูกหรอกครับ

“อยู่ไหน”ผมตะโกนถามทั้งที่ยังเอามือปิดหู หลับตา พยายามเอาหัวมุดโซฟา

“อะไร อยู่ไหนละลุง”แต่เหมือนอีกคนจะยังไม่เข้าใจที่ผมถาม

“ภู่อยู่ไหนมานี่หน่อย”ผมต้องตะโกนเสียงแข็งย้ำอีกรอบ ทั้งที่ตัวก็อยู่ในสภสภาพเดิม

“ตกลงเป็นไรเนี่ยลุง”ตอนนี้ชักจะเริ่มโมโหอีกคนแล้วละครับ ทำไมต้องมาเข้าใจอะไรยากเอาตอนนี้ เค้าน่าจะรู้ไหมว่าอาการผมตอนนี้ควรให้เค้าเซ้าซี้หรือเปล่า

“บอกให้มาก็มาเซ่”น้ำเสียงผมโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ความกลัวผมมันอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

“มาแล้ว อยู่นี่แล้ว”ผมรีบคว้ามือเค้ามาเกาะแน่นๆ กลัวว่าเค้าจะหายไป และเค้าคงเริ่มสัมผัสได้ว่าผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว แถมเหงื่อก็ออกจนเปียกโชค มือไม้ตอนนี้ของผมคงเย็นไปหมด

“ไม่เป็นไรลุง ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้วไง”เค้าดึงผมลุกขึ้น ก่อนจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ลูบหลังผมเหมือนเป็นการปลอบเพราะคงรู้แล้วว่าผมกลัว แม้ที่เค้าทำจะช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง แต่ความกลัวที่มีก็ยังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยครับ

“พาเข้าห้องนอน พาเข้าห้องนอนหน่อย”ผมบอกทั้งๆ ที่ยังกอดเค้าแน่น และก็ยังคงพยายามหลับหูหลับตาอยู่

“ปล่อยก่อนสิครับ ผมจะได้พาไป”ผมส่งเสียงปฏิเสธทันที วินาทีนี้ผมจะไม่ปล่อยแหล่งยึดเหนี่ยวเดียวของผมให้หลุดดไปไหนได้อย่างเด็ดขาด

“ไม่ปล่อยแล้วเราจะไปกันยังไงละครับ”เสียงเค้าออกจะเหมือนกำลังอยากดุผมหน่อยๆ

“งั้นหันหน้าไป”ผมสั่งอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งตอนนี้ผมไม่สนหรอกว่าอีกคนจะคิดยังไง ผมจับตัวเค้าให้พลิกหันหลังมาทางผม แล้วก็คว้าหมับเข้าที่เอวของเค้า ก่อนจะออกแรงดันให้เค้าเดินนำ

“ใจเย็นๆ ผมอยู่ด้วยทั้งคน”ผมรู้สึกได้ถึงมือของเค้าที่สัมผัสเบาๆ มาที่แขนผมซึ่งกอดเค้าไว้ เราค่อยๆ ขยับได้ทีละนิดเพราะคนเดินนำที่คงเดินไม่สะดวกสักเท่าไหร่ กับการที่มีผมเกาะแจแบบนี้

“เร็วอีกนิดดิ”ผมยังคงเร่งโดยไม่สนใจอะไร คิดแค่ว่าตอนนี้อยากคลุมโปงอยู่บนเตียงนอนให้ได้เร็วที่สุด

“ถึงแล้วคร๊าบเปิดประตูแล้ว”เค้าทำเสียงล้อๆ จนผมนึกอยากทำร้ายเค้าสักอย่าง แต่ตอนนี้ทั้งมือก็ต้องกอดยึดตัวเค้าไว้ เท้าก็ต้องเดิน คิดไปคิดมาเลยเลือกที่จะเอาหัวของตัวเอง กระแทกกับหลังของเค้า แต่เหมือนมันจะแรงเกินไป

“เฮ้ยลุง ทำไร”ดูเหมือนว่าด้วยการเดินที่ติดขัดอยู่แล้ว และแรงกระแทกที่ผมทำ มันเลยทำให้อีกคนเสียการทรงตัว แถมเหมือนจะสะดุดอะไรบางอย่างด้วย ผมที่หลับตาอยู่แล้วยิ่งหลับตาปี๋เข้าไปอีก เพราะรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังล้มหน้าคะมำลง สองแขนผมยิ่งกอดเค้าแน่นขึ้น ตอนนี้ทั้งกลัวเสียงฟ้าร้อง ทั้งกลัวเจ็บด้วย

“ตุ๊บ”ไม่เจ็บแฮะ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เลยนึกขึ้นได้ว่าผมจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อผมมีอีกคนรองอยู่ข้างล่าง

“ลงก่อนได้ไหมลุง ผมจุก”คนที่อยู่ด้านล่างผมบอกเสียงอ้อแอ้ เพราะเหมือนผมจะทับเค้าอยู่ โชคดีที่เราทั้งคู่ล้มลงบนเตียงนอนของผม นี่ถ้าล้มลงพื้น คนข้างล่างนี่คงมีเลือดตกยางออก หรือฟกช้ำบ้างแน่ๆ ผมค่อยๆ เลื่อนตัวลงข้างๆ เค้าแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเสียทีเดียว มือนึงยังคงดึงเสื้อเค้าอยู่

“ตกลงนี่กลัวเสียงฟ้าร้องขนาด..”เค้าชะงักคำพูดไป เพราะขณะที่เค้ากำลังพลิกตัวจะลุก ผมดันดึงเค้าด้วยสัญชาตญาณกลัวว่าเค้าจะหนีหายไป ไม่ต้องถามผมนะครับว่าทำไมผมคิดแบบนั้น เพราะตอนนี้ผมไม่มีสติ ไม่มีตรรกะใดๆทั้งสิ้นครับ มีแต่ความกลัวจนหลุดจากทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

แต่สภาพตอนนี้กลายเป็นว่าอีกคนพลิกขึ้นมาคร่อมผมอยู่ แม้ภายในห้องจะมืดจนมองอะไรไม่ค่อยชัด ผมก็ยังสัมผัสได้จากลมหายใจว่าตอนนี้ใบหน้าของเราใกล้กันมากขนาดไหน ทุกอย่างเงียบลง ฝนเริ่มซาและยิ่งพอเข้ามาในห้องนอน เสียงของสายฝนก็เบาลงไปกว่าเดิมด้วย จนตอนนี้ผมรู้สึกได้

“ลมหายใจของอีกคนกำลังใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ”นั่นคือเสียงที่ดังขึ้นในหัวของผม มือผมที่กำชายเสื้อเค้าอยู่เผลอกำมันแน่นเข้าไปอีก

“เปรี้ยง”ผมสะดุ้งสุดตัว สองมือรีบคว้าคนตรงหน้าและซุกเข้ากับอกเค้า ผมกอดแน่นจนสัมผัสได้ถึงหัวใจของเค้า หัวใจของเค้าที่เต้นแรงพอๆ กับผม นี่เค้าตกใจผมหรือไงกันถึงได้ใจเต้นขนาดนี้ หรือเค้ากลัวเสียงฟ้าคำรามนี่เหมือนผม แต่ไม่น่าจะใช่นี่นา

“ผ้าห่ม ดึงผ้าห่มมาคลุมหน่อย”ผมเริ่มออกคำสั่ง หรือร้องขอก็ไม่แน่ใจ แต่ผมต้องให้เค้าช่วยดึงผ้าห่มคลุมเราทั้งคู่เพราะผมไม่สามารถปล่อยมือที่กอดเค้าอยู่เพื่อดึงผ้าห่มมาคลุมเองได้

“พรืบ”ผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงถูกอีกคนที่ผมยังเกาะอยู่ เอื้อมไปหยิบพร้อมดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

“เฮ้อ”ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อยเมื่อได้มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี่แล้ว และยิ่งอุ่นใจขึ้นด้วยว่ามีอีกคนที่มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี้กับผมด้วย ตอนนี้ผมพักเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับคนข้างๆ นี่เอาไว้ก่อนครับตอนนี้ เค้าจะเคยเมินผม หรือผมจะอยากเมินเค้า นาทีนี้พักให้หมดครับ

“หาหมอไหมลุง ถ้าจะกลัวขนาดนี้ มันน่าจะไม่ปกติแล้ว”ผมยังเบียดตัวเข้าหาเจ้าของคำพูดอย่างไม่สนใจอะไร

“หาแล้ว”ผมตอบออกไปอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“เฮ้ย ผมแค่พูดเล่นนี่ตกลงถึงขั้นต้องหาหมอจริงๆ เหรอเนี่ย”เค้าถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจ

“อือ เด็กๆ หนักกว่านี้อีก พอพบจิตแพทย์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย”นี่เค้าจะมองผมอ่อนแอ ปัญญาอ่อนมากไหมเนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นักหรอกแต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมกลัวอะไรแบบนี้มากขนาดนี้ คุณหมอก็เคยอธิบายนะครับ ว่าคนเรามันมีสิ่งที่กลัวแตกต่างกันไป สิ่งที่คนๆนึงกลัว อาจจะเป็นอะไรธรรมดาๆ สำหรับคนอื่นอะไรประมาณนั้นแหละครับ

“นี่ดีขึ้นแล้วเหรอ”พอตัวผมเองเริ่มสงบลงทำให้เริ่มสังเกตแล้วว่าเค้าดูกลับมาเป็นภู่คนเดิมที่ชอบกวนประสาทผมแล้ว

“อือ”ผมตอบรับสั้นๆ เพราะพอเริ่มมีสติก็เริ่มจะคิดได้ว่าตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันแนบชิดเกินไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับถ้าไม่แน่นขนาดนี้ผมก็จะยังไม่อุ่นใจ

“นี่ลุงโตมาในปราสาท หอคอยอะไรแบบนั้นหรือเปล่าเนี่ย ดูยังกะไม่เคยเจอโลกภายนอก”เหมือนเป็นคำพูดล้อเลียนผม แต่ผมกลับหลุดยิ้มออกมา เพราะเข้าใจว่านี่เค้ากำลังพูดให้ผมผ่อนคลายขึ้น

“แล้วนี่เราต้องนอนคลุมโปงแบบนี้กันอีกนานแค่ไหนอะลุง”เค้าพลิกตัวตะแคงหันหน้าหาผม

“คืนนี้นอนเป็นเพื่อนหน่อยสิ”เพราะความกลัวทำให้ผมบอกออกไปแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย

“ผมยังไม่ได้อาบน้ำนะ ทนกลิ่นเหงื่อผมได้เปล่า”เค้าบอกขำๆ

“กลิ่นเหงื่อภู่ไม่น่ากลัวเท่าเสียงฟ้าร้อง”ผมบอกเสียงอ้อนๆ คืออันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มันชินเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งปกติคนที่ผมอ้อนขอนอนด้วยก็มีแค่พ่อกับแม่และพี่สาว แค่นั้น ใครจะไปคิดว่าวันนึงต้องมาอ้อนเด็กบ้านี่ด้วย

“ลุงนี่เหมือนเด็กเลยเนอะ”เค้าบอกกลั้วเสียงหัวเราะ

“เปรี้ยง”นั่นไงละครับ ถ้าผมไม่ขอให้เค้านอนเป็นเพื่อน ผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไงกันละ แล้วนี่ผมก็แทบจะกระโจนเข้ากอดเค้าทันทีที่เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น แต่ดูเหมือนเค้าเองก็ตกใจไม่น้อย แต่คงไม่ได้ตกใจเสียงฟ้าร้อง คงตกใจผมนี่แหละ แถมนี่ผมรู้สึกว่าเค้าตัวแข็งทื่อไปแป๊บนึงด้วย ผมคงทำให้เค้าตกใจสินะ

“กอดผมแน่นขนาดนี้ ไม่กลัวผมหวั่นไหวเหรอครับลุง”ถ้าผมเห็นหน้าเค้าตอนนี้ผมว่าเค้าต้องกำลังยิ้มกวนประสาทผมอยู่ตามที่เค้าชอบทำประจำแน่ๆ เลยครับ ได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะไอ้เด็กบ้า แล้วนี่ผมต้องยอมฝ่ายเดียวหรือไงเนี่ย

“แล้วตอนที่จูบกันวันก่อนนั่นไม่ใช่เพราะหวั่นไหวแล้วเหรอ”




TBC

ยังไงดีละภู่ ตกลงลุงหวั่นไหว หรือภู่หวั่นไหว
 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 19 กลัว 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-07-2017 09:48:51
นั่นสิ  ตกลงลุงหวั่นไหว หรือภู่หวั่นไหว

สรุป น่าจะหวั่นไหวทั้งคู่  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 19 กลัว 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-07-2017 09:50:41
 :L2: :L1: :pig4:

ฟ้าฝนช่างป็นใจ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 19 กลัว 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-07-2017 11:19:06
เอาแล้วววว  :hao7:  :hao6:  o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 19 กลัว 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-07-2017 20:01:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-07-2017 10:08:11
บทที่ 20
เตะบอลกัน



“แล้วตอนจูบกันวันก่อนนั่นไม่ใช่เพราะหวั่นไหวแล้วเหรอ”ประโยคที่ผมพูดออกไปเหมือนจะถูกกลบด้วยเสียงฟ้าคำราม แล้วก็ตามด้วย ตัวผมที่กอดเค้าแน่นขึ้นมากกว่าเดิม เค้าไม่ได้พูดอะไรตอบผมมาอีก แต่มีสัมผัสแผ่วเบาลูบที่ท้ายทอยของผม ทั้งที่ผมกลั้นใจถามออกไปขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเค้าไม่ได้ยิน หรือว่าได้ยินแล้วไม่อยากตอบกันแน่

ส่วนผมที่ตอนนี้กลายเป็นซุกในอ้อมกอดเค้าไปแล้ว ไอ้ เด็กบ้าที่กอดผมอยู่นี่ ก็ทำให้ผมมีความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นเกิดขึ้นหลายอย่างเหลือเกิน ผมเองก็ไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน แฟนก็ไม่เคยมี มันเลยกลายเป็นไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมขอผ่านคืนนี้ไปก่อนแล้วกันนะครับ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

เมื่อเราทั้งคู่ต่างเงียบ ทำให้ผมเลือกจะปิดเปลือกตาลง พยายามหลับทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของอีกคน อ้อมกอดที่ช่วยให้ผมคลายความกังวล และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

“ไม่ต้องกลัวนะครับ คืนนี้ผมจะอยู่กับลุงทั้งคืน”เสียงพูดนั้นหายไปพร้อมกับความรู้สึกหยุ่นๆ ที่หน้าผากของผม แม้จะแผ่วเบาและแค่แป๊บเดียว แต่ผมก็จำได้ว่ามันเป็นสัมผัสเดียวกันกับตอนที่มีสองสาวจะมาตบกันหน้าบ้านแย่งเค้า แล้วเค้าจุ๊บแก้มผมโชว์สองสาวนั่น นี่เค้าจุ๊บหน้าผากผมงั้นเหรอ เค้าทำไปทั้งที่คิดว่าผมหลับหรือยังไม่หลับกันนะ

ผมคิดเรื่องนั้นจนหลับไปและตื่นมาอีกทีในตอนเช้า เค้าก็ยังอยู่เป็นหมอนข้างให้กับผมในท่าเดิม ไม่รู้ว่าเค้าจะโดนเหน็บกินไปบ้างหรือเปล่า แต่ผมหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้า และเช้านี้ทั้งผมและเค้าก็เจอพิษจากการที่ฝนตกอย่างหนักเมื่อคืน จนตอนนี้ก็ยังมีปรอยๆ มาประปราย ฟ้าก็ยังไม่เปิด โรงเรียนของเค้าต้องประกาศหยุด เพราะน้ำขังรอการระบาย เรียกว่าระดับน้ำสูงมากเลยทีเดียว ส่วนผมได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ว่าอย่าเสี่ยงไปทำงานเลย เพราะคงติดอยู่บนถนนทั้งวัน และเจ้านายเราก็อนุญาตให้หยุดกันได้ แต่ถ้าใครโดนตามงานก็ต้องทำส่งจากบ้านนี่แหละครับ

“เสร็จแล้วลุง มากินกัน”น้ำเสียงเรียกผมตามแบบฉบับภู่คนเดิม เพิ่มเติมคือสองเรื่องแล้วที่เค้าทำให้ผมคิดไม่ตก ส่วนตัวเค้ากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยรอบนี้เค้าก็ไม่ได้เมินผมอย่างครั้งแรก

“อ้าว เรียกลุงไม่ลุก ต้องเรียกน้องแปงหรือเปล่านา น้องแปงไม่ต้องกลัวนะครับเดี๋ยวพี่ภู่ดูแลเอง”แต่พอทำตัวปกติ ผมก็ต้องเข้าโหมดปวดประสาทอีกแล้วสินะครับเนี่ย แล้วนี่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องให้เค้าเอามาล้อผมได้อีกนานแน่ๆ เลยครับ

“ไอ้เด็กลามปาม”ผมลุกเดินมาที่โต๊ะมองเค้าตาขวางๆ อยากจะหยิบอะไรเขวี้ยงหน้าสักหน่อยนะครับ แต่บนโต๊ะก็มีแต่ของกิน เอามาเขวี้ยงใส่เด็กบ้านี่ก็เสียดายแย่ แถมนี่เค้าก็ตื่นแต่เช้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทำให้ผมกินด้วย แต่เดี๋ยวก่อนนี่ตกลงผมจะว่าหรือจะชมเค้ากันแน่ครับเนี่ย

“แล้วหยุดแบบนี้ทำไรกันดีอะลุง”ผมเงยหน้าขึ้นมอง เพิ่งตักข้าวเข้าปากแท้ๆ ยังจะรีบมาถามอะไรอีก แล้วนี่น้ำก็ยังรอการระบาย ออกไปไหนไม่ได้ ฟ้าก็ยังครึ้ม อยู่ในบ้านมันจะมีอะไรให้ทำนักหนาเชียวครับ

“ขอนอนโง่ๆ ฟังเพลงสบายๆ บรรยากาศแบบนี้น่านอนเป็นที่สุด”ผมบอกอยากขี้เกียจ

“แหม น่านอน ถ้าฟ้าถล่มลงมาอีกรอบ อยากจะรู้นักว่าจะนอนหลับลงหรือเปล่า ทีเมื่อคืนละกอดผมซะแน่นเชียว”เหมือนเค้าจะชะงักไปนิดถึงเมื่อพูดถึงไอ้การที่เราสองคนถึงเนื้อถึงตัวกันเมื่อคืน ทำมาเป็นล้อผม ผมแค่กอดแค่นั้น ตัวเองจุ๊บเหม่งผม ผมยังไม่ว่าไรเลย

“ไม่ได้กลัวขนาดนั้นเสียหน่อย”ผมบ่นอุบอิบ อย่างเคืองๆ

“เหรอครับ...น้องแปง”นั่นไง ได้ทีนี่ล้อใหญ่เชียวนะ อย่าให้ผมรู้บ้างละกันว่าเด็กบ้านี่กลัวอะไร เดี๋ยวจะเอาคืนให้หลาบจำเลยคอยดูเถอะ

“เออๆ เลิกล้อได้แล้ว ละมีอะไรที่มันน่าสนใจกว่าการนอนหรือไงกันเล่า”ผมพยายามจบเรื่องฝนตกฟ้าร้องนี่เอาไว้ก่อน เพราะถ้ายังขืนพูดต่อมันต้องเข้าตัวผมอีกเป็นแน่แท้

“ขอคิดแปป”ผมหันมาสนใจกินข้าวต่อ ส่วนอีกคนก็ทำท่าหยุดคิด เหมือนต้องมีกิจกรรมอะไรสักอย่างให้ได้ ทั้งที่ผมว่าวันหยุดก็นอนพักผ่อน ดูทีวี ฟังเพลง เปิดหนังดูอะไรไปก็จบแล้ว จะมาคิดให้วุ่นวายทำไม แต่เดี๋ยวก่อนผมว่าผมนึกออกแล้ว

“งั้น...เล่นกีต้าร์ให้ฟังบ้างสิ ไอ้ที่ซื้อมาตั้งครึ่งแสนนั่น เอามาเล่นให้ดูหน่อย ว่าฝีมือเป็นไงมั่ง”นี่ตั้งแต่ซื้อมาก็ยังไม่เห็นเอามาเล่นให้ฟังบ้างเลย

“ยังไม่ถึงเวลา”เค้ายักไหล่ อย่างไม่สนใจในข้อเสนอของผม เด็กบ้านี่ถ้าจะเสนออะไรไปก็ค้านมาทุกอย่างแบบนี้ ก็รีบคิดมาเองสักทีสิ แต่ไอ้เรื่องกีต้าร์นี่ผมก็ยังข้องใจอยู่นะครับ

“หมายความว่าไง”

“ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ลุงจะได้เห็นฝีมือผมไง”คือการเล่นให้ผมฟังนี่มันต้องรอเวลาด้วยหรือไง หรือยังเล่นไม่เป็น ก็ไม่น่าใช่ ชักจะหมั่นไส้แล้วละครับ ทำมาเป็นลีลา ต้องรอจังหวะ รอโอกาสไรอีกละเนี่ย

“อยากดูตายละ”ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“น่าลุง อดใจรออีกนิดเดี๋ยวได้รับฟัง รับชมแบบเต็มๆ แน่นอน”ดูทำยังกะจะเปิดคอนเสิร์ตใหญ่อย่างนั้นแหละครับ แค่ให้ลองเล่นให้ดูแค่นี้ก็ไม่ได้

“สรุป แล้ววันนี้จะทำไร นอนก็ไม่นอน กีต้าร์ก็ไม่โชว์”ผมมองอีกคนอย่างหน่ายๆ แต่เค้าก็ยักคิ้วใส่ผมอย่างไม่สะทกสะท้าน ดูไม่ได้ใส่ใจเลยว่าผมกำลังหมั่นไส้เค้าอยู่

“เตะบอลม่ะ”

“เตะบอล???”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ อะไรอยู่ๆ จะมาชวนเตะบอลอะไรของเค้า

“อือ”เค้ายังคงยิ้มระรื่น พยักหน้ายืนยันกับผม

“ไม่เอาอะ เตะไม่เป็น”เกิดมาเคยเตะบอลแค่ตอนเรียน ซึ่งก็ไม่เรียกว่าเตะเป็นหรอกครับ เรียกว่าเรียนให้รู้มากกว่า อีกอย่างดูสภาพดินฟ้าอากาศ ตอนนี้ มันควรออกไปเล่นเหรอ หรือจะให้ไปสนามหญ้าเทียมอย่างที่เค้าเคยไป ก็ไม่น่าจะเหมาะ ถนนหนทางเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ดีไม่ดีไอ้แถวสนามบอลนั่นก็น้ำยังระบายไม่หมดหรือเปล่าเหอะ

“ไม่ยากเดี๋ยวสอน”แล้วนี่ก็ดูไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของผมเลย ไอ้เด็กเผด็จการ พอเราเสนอละไม่เอาพอเรื่องที่ตัวเองเสนอมาแล้วเราปฏิเสธก็ไม่ฟังเราอีก แล้วนี่บอลเค้าเล่นกันสองคนหรือไง

แต่ก็นั่นแหละครับ สุดท้ายพอทานอาหารเช้าเสร็จ ผมก็ต้องตามเด็กบ้านี่มาบ้านเค้า แม้ผมจะบ่นตามเรื่องตามราวไปบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ว่าทำไมถึงยอมตามเด็กนี่มา นี่ผมว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ผมได้เข้ามาในบ้านที่เค้าอยู่ ปกติมีแต่เค้าที่ไปอยู่บ้านผม

“ไหนบอกชวนเตะบอล”ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเค้าเข้ามาเปิดทีวี หยิบนู่นนี่นั่นอยู่กับอุปกรณ์อะไรอีกหลายอย่าง

“นี่ไงวินนิ่งอะรู้จักเปล่าลุง”สรุปที่ชวนเตะบอลนี่คือชวนเล่นเกม ผมส่ายหน้าเพราะอย่าว่าแต่เคยเล่นเลยครับ ชื่อเกมผมยังไม่รู้จักเลย แต่จากที่ฟังมันคงหมายถึงเกมเตะบอลสินะครับ ชีวิตผมนี่เกิดมานี่เรียกว่ารู้จักเกมน้อยมากเลยครับ แล้วนี่จะเล่นเป็นไหมละครับเนี่ย

“ไม่รู้จัก เล่นไม่เป็นด้วย”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ตามด้วยสีหน้าไม่สนใจเลยสักนิดกับกิจกรรมที่เค้าดูภูมิใจนำเสนอขนาดนี้

“อะไรกันเพลย์สเตชั่นไงลุง อ่ะนี่จอยสติ๊กรู้จักป่ะ”ผมชักสีหน้า ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักว่านี่มันอะไร แต่ก็เล่นไม่เป็นไง

“ภู่ก็เล่นไปเถอะ พี่เล่นไม่เป็น”ผมยื่นจอยที่เค้าส่งให้คืน เพราะไม่คิดว่าผมจะสนุกกับไอ้ที่เค้าจะให้ผมเล่นนี่ อีกอย่างผมว่ามันคงไม่ได้เล่นง่ายๆ

“เล่นคนเดียวมันไม่หนุกดิลุง เล่นเป็นเพื่อนหน่อย”เค้ายังคงคะยั้นคะยอ พร้อมดึงผมให้นั่งลงข้างๆ ซึ่งสุดท้ายผมก็ยอมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ เค้ากดนู่นนี่นั่น หน้าจอก็ขึ้นอะไรมาบ้างไม่รู้ เค้ากดอย่างคล่องแคล่ว มีแต่ผมที่นั่งมองอย่างไม่เข้าใจ

“เอาทีมไหนดีลุง”ผมหันมองเค้าอย่างไม่เข้าใจ นี่ก็มาถามคนไม่เคยเล่น ผมจะรู้ไหมละครับ

“บอลโลกหรือบอลลีกดี”ผมส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบยังไง คือนอกจากจะเตะบอลไม่เป็น เล่นเกมบอลไม่เป็น ผมยังดูบอลไม่เป็นอีกด้วยนั่นแหละครับ คือผมว่าผมไม่น่าจะเข้าถึงไอ้ที่เค้าพยายามกำลังจะทำเนี่ย

“ภู่เล่นไปเลย”ผมเริ่มบ่ายเบี่ยง แม้จะกำลังคิดว่าหรือเวลาเล่นมันต้องเล่น 2 คนเพราะใช้ 2 ทีมอะไรแบบนั้นหรือเปล่า

“เสร็จละ มาๆ เดี๋ยวผมสอน”เหมือนกับว่าเค้าก็ไม่ได้สนใจคำพูดผมสักเท่าไหร่ ยังคงยื่นจอยสติ๊กให้ผมถือเช่นเดิม ผมรับมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ พร้อมฟังเค้าอธิบายปุ่มแต่ละอันว่าใช้ทำอะไร

“ลูกศรเอาไว้บังคับทิศทาง ส่วนอันนี้เวลาส่งลูกกด 2 ปุ่มนี้”ไอ้ที่เค้าอธิบายไปมันไม่เข้าหัวผมสักนิด แต่สิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้อยู่ใกล้ๆ เค้าอีกแล้ว ใจผมก็เริ่มเต้นแรงขึ้นตามไปด้วยนี่สิ ตอนนี้เรานั่งเบียดกัน ขาเราก็แทบจะเกยกันอยู่แล้ว ตัวเค้าก็โน้มเค้ามาจับจอยสติ๊กอันเดียวกันกับผม ผมหันมองใบหน้าเค้าที่ตอนนี้ใกล้เค้ามาจนจะชิดกันอยู่แล้ว

“เดี๋ยวลองเริ่มดูเลยแล้วกันนะลุง”ผมรีบละสายตาและตั้งสติ เพราะเผลอจ้องหน้าเค้ามากไป ทำไมวันนี้ผมรู้สึกว่าเด็กนี่มันหล่อขึ้นกันนะ จมูกที่ดูได้รูป ใบหน้าที่ดูสมส่วน แถมริมฝีปากนั่นที่ผมเคยสัมผัสทำไมผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้นะ

“ลุง ลุง เขี่ยลูกดิ”เค้าต้องเรียกผมอีกครั้งเพราะผมเหมือนจะยังเรียกสติกลับมาไม่ได้

“หา ยังไงนะ”พอตั้งสติได้ผมก็ยังคงงงๆ กับแต่ละปุ่มว่าต้องเริ่มจากอะไรยังไง เพราะตอนเค้าอธิบายนั่นมันไม่ได้เข้าหัวผม

“นี่ไง กดนี่”เค้าเอื้อมมือมากดให้ ก่อนจะชี้ให้ผมดูที่หน้าจอ ภาพที่เห็นก็เหมือนๆ กับที่เคยเห็นผ่านๆ เวลาเค้าเตะบอลนั่นแหละครับ มีคนวิ่งๆ ตามลูกฟุตบอล แล้วมันสนุกตรงไหนเนี่ย

“ส่งลุงส่ง”เค้ารีบแย่งจอยจากมือผมไป ทำให้ผมเสียจังหวะ เอียงตัวตามเค้าไปด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมเหยียดแขนไปจะค้ำเพราะกลัวตัวเองจะล้ม แต่ปรากฏว่ามือผมดันวางลงไปตรงเป้ากางเกงของเค้าพอดี แล้ววันนี้เค้าใส่กางเกงบอลสบายๆ แถมคาดว่าข้างในคงเป็นแค่บอกเซอร์แน่ๆ เพราะมือผมมันสัมผัสเข้าไปแบบ... ภาพที่เคยเห็นแทบจะผุดขึ้นมาในหัวของผมทันที

ทั้งผมและเค้าต่างหันมองหน้ากันนิ่ง ใจผมนี่เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา เค้าก้มมองที่มือผมทำให้ผมต้องรีบชักมือกลับ ก่อนจะค่อยๆ ถอยตัวออกเค้าหันมามองผมนิ่ง พร้อมกับการที่โน้มตามผมมา ผมมองเค้าอย่างระแวง ด้วยความที่ทั้งไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำอะไร แถมในใจผมก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะกับไอ้ที่มือเพิ่งไปโดนตะกี้ด้วย

แต่แล้วผมก็ต้องใจเต้นแรงกว่าเดิมเพราะเค้าวาดวงแขนดึงตัวผมเข้าหา ประกบริมฝีปากลงมาที่ปากของผม ครั้งนี้ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากครั้งก่อนนิดหน่อย ที่มันไม่มีรสเค้ก หรือรสชาติของแอลกอฮอล์ แต่มันก็ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้ผมเช่นเดิม แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงกันที่เค้าทำแบบนี้กับผม ครั้งก่อนเค้าอาจจะเมา แล้วครั้งนี้

“ใจเต้นแรงเลยนะลุง”



TBC

ใกล้ละคู่นี้
 :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-07-2017 10:30:52
 :L2: :L1: :pig4:

อ่านๆ
ไอ้น้องภู่นี่  :katai1:
,,ใกล้อะไร นี่เป็นรายการลุ้นรายวัน :ling1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-07-2017 10:44:18
 :z1:
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-07-2017 13:19:19
 :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-07-2017 00:36:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 20 เตะบอลกัน 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 09-07-2017 17:47:49
เพิ่งมาติดตาม ชอบบบ ลุงแพ้ทางน้องสุดๆ ฮ่าๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-07-2017 18:31:54
บทที่ 21
ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ



“ใจ้ต้นแรงเลยนะลุง”เค้าบอกยิ้มๆ ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าลงหลบสายตาของเค้า ตกลงที่เค้าทำกับผมนี่มันหมายความว่ายังไง มันจะยังหมายถึงการอยากแกล้งผมเหมือนที่เค้าเคยบอกหรือเปล่า

“พี่ไม่เล่นแล้วดีกว่า”ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืน

“อ้าวเดี๋ยวดิ ละลุงจะไปไหนอ่ะ”เค้าถามเหมือนว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แม้ครั้งนี้เค้าจะไม่ได้เมินผมเหมือนครั้งก่อนแต่การที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงละเนี่ยเรื่องพวกนี้คนไม่ประสีประสาอย่างผมต้องคิดเอาเองหรือยังไง ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้ผมโง่จริงๆ

“กลับบ้านดีกว่าเกมนี้คงไม่เหมาะกับพี่หรอก”ผมบอกไปตามตรง เพราะทั้งเกมที่ก็เล่นไม่เป็น แล้วไหนจะไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ของผมนี่อีก ไหนจะเด็กบ้านี่ที่มาจูบผมแล้วก็ทำยังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่อีก หรือว่าการจูบนั่นแค่จะเอาคืนที่มือผมไปโดนเป้ากางเกงของเค้า

“อยู่ก่อนดิ”เค้าลุกขึ้นตามมาคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันมองเค้าอย่างไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำแบบนี้ทำไม ก็เห็นอยู่ว่าเกมนั่นผมก็คงเล่นไม่ได้หรอก เล่นไปเค้าก็ไม่น่าจะสนุก

“ไม่เอาจะกลับบ้าน”ผมยังยืนยันคำเดิมว่าอยากกลับบ้านตัวเองมากกว่า

“กลับไปแล้วจะทำอะไร”เค้าถามต่อเหมือนน้ำเสียงจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ แล้วจะมาไม่พอใจอะไรผมกันละเนี่ย ก็เห็นๆ อยู่ว่าผมก็ไม่ได้ชอบเกมที่เค้าเสนอนี่สักนิด แถมสถานการณ์ตอนนี้อีกมันยิ่งทำให้ผมอึดอัด

“ดูหนัง ฟังเพลง ไม่ก็นอน”ผมตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“ทุกอย่างที่ว่ามานั่นทำที่นี่ได้หมดเลย”เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อยผมกลับบ้านง่ายๆ

“ก็แล้วทำไมต้องทำที่นี่”ผมเองก็ยังไม่ยอมแพ้เค้าด้วยเช่นกัน

“ผมอยากให้ลุงอยู่กับผมด้วยไง”อะไรกันอีกละเนี่ยทำไมต้องมาพูดกับผมแบบนี้ แล้วใจผมนี่ก็เหมือนกันช่วงนี้ดูจะทำงานหนักเป็นพิเศษ เรียกว่านี่เต้นผิดจังหวะไปแล้วไม่รู้กี่รอบ

“อะไรเนี่ย”ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเค้าดึงแขนผม บังคับให้นั่งลงที่โซฟาหน้าทีวี ผมมองหน้าเค้าอย่างรอคำอธิบายว่ากำลังทำอะไรของเค้าอยู่ จะมาอยากให้ผมอยู่ด้วยทำไม เหตุผลอะไรก็ไม่มี

“ดีวีดี อยู่นั่นถ้าลุงจะดูหนังก็เลือกมาเลย ผมดูดบุหรี่แป๊บ”แล้วนี่คือคำอธิบายของเค้าเหรอ อะไรของเค้าเนี่ย พูดจบก็เดินออกไปปล่อยให้ผมงงอยู่คนเดียว ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่จะปั่นหัวผมเล่นหรือไงเนี่ย

“เดี๋ยวดิ”ผมเรียกเค้าไว้เพราะยังคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เค้าจะตัดบทเดินออกไปสูบบุหรี่แล้ว

“ขอสูบบุหรี่แป๊บ”เค้าเพียงหันมายิ้มให้ผม แล้วก็เดินออกไปไม่ฟังผมอยู่ดี ไอ้ผมก็ได้แต่นั่งกระวนกระวายใจอยู่นี่ เพราะความรู้หลากหลาย ผมค่อยๆ ทบทวนทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กนี่เข้าในชีวิตของผม วันแรกที่เจอกันก็มาถอดเสื้อโชว์ผม แถมมาแหย่เรื่องผมเป็นเกย์อีก

จากนั้นเค้ายังมาเป็นคนแรกที่ไม่ใช่คนในครอบครัวที่หอมแก้มผม ตอนที่มีสองสาวมาตบกันแย่งเค้า แล้วไหนจะเป็นคนที่จับผมเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นผมโป๊ ไหนจะยังมาโชว์ของตัวเองให้ผมดู แล้วที่จูบผมนั่นอีก ตอนแรกก็คงตามที่เค้าบอกว่าอยากแกล้งผม แล้วตอนนี้ละ

“คิดไรอยู่อ่ะลุง หน้าเครียดเชียว”เพราะคิดอะไรอยู่ผมเลยไม่ทันสังเกตว่าอีกคนเข้ามานั่งลงข้างๆ แต่พอเค้าเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นบุหรี่ที่เหมือนจะยังไม่จางจากตัวเค้า ทำให้ผมต้องย่นจมูกเพราะไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ถึงจะไม่ขนาดว่าเกลียดกลิ่นบุหรี่หรือแพ้อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่ค่อยอยากได้กลิ่นสักเท่าไหร่

“เหม็นบุหรี่เหรอ”เค้ายกเสื้อยกแขนขึ้นดมตัวเอง

“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่ค่อยชิน”ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้แต่ก็ขยับตัวออกจากเค้า ที่จริงถ้ามีใครสูบแล้วทิ้งช่วงสักพักให้กลิ่นจางๆ แล้วผมก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่หรอกครับ แต่นี่อาจจะเพราะเค้าเพิ่งสูบเข้ามาหมาดๆ กลิ่นมันเลยค่อนข้างแรง หรือจะเป็นเพราะยี่ห้อบุหรี่อันนี้ผมก็ไม่ค่อยสันทัดหรอกนะครับ แต่เหมือนเคยได้ยินพี่ต้าร์พูดว่า ต้องสูบยี่ห้อที่ไม่มีกลิ่นเพราะเพื่อนสนิทอย่างพี่ฟ่างไม่ชอบกลิ่นบุหรี่

“ถ้าลุงไม่ชอบคนสูบบุหรี่ เดี๋ยวผมเลิกก็ได้นะ”เค้าบอกผมเสียงทะเล้น แล้วจะมาเลิกเพราะผมทำไมละ นี่แกล้งผมเล่นอีกหรือเปล่าเนี่ย บางทีการที่เค้าชอบกวน ชอบพูดเล่นมันก็ทำให้ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเค้าคิดยังไงกันแน่เพราะทุกอย่างเหมือนจะเป็นการเล่นสนุกไปเสียหมด อย่างครั้งก่อนที่เค้าแกล้งแหย่ผมเรื่องแกล้งเป็นแฟนกันให้ที่บ้านผมเห็นนั่นอีก

“ถ้าเลิกได้มันก็ดี ดีต่อสุขภาพ แถมไม่เปลืองตังค์ด้วย บุหรี่ซองนึงก็หลายตังค์ด้วยนิ”ผมบอกอย่างไม่ได้จริงจังนัก เพราะถึงแม้จะคิดว่ามันดีกว่าถ้าจะเลิกสูบ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเค้าขนาดนั้น

“งั้นผมจะพยายามเลิกบุหรี่แล้วหันมาดูด...”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ๆ ผม มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จนผมต้องเขยิบตัวถอยหนีจากเค้าเพิ่ม

“อะไร”เป็นคำถามที่อยากจะสื่อทั้งว่าเค้ากำลังทำอะไร กับไอ้ที่เค้าหยุดคำพูดไปนั่น เค้าจะพูดอะไรต่อ

“ก็ผมจะเลิกดูดบุหรี่ แล้วหันมาดูดบุรุษอย่างลุงแทนไงละ”เค้าโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมใช้มือยันเค้าไว้ได้ทัน ไอ้ประโยคเมื่อสักครู่ทำไมผมฟังแล้วถึงไม่ค่อยชอบใจยังไงก็ไม่รู้ เค้าทำเหมือนกับว่ากำลังหยอดผมอยู่อย่างนั้นแหละ แม้ผมจะไม่ค่อยฉลาดเรื่องพวกนี้ แต่ก็พอจะเริ่มมองออกแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องปกติในสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้

เค้ารู้ว่าผมเป็นเกย์ ที่จริงมันก็ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ที่เค้าถามผมว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้ตอบและเค้าก็พูดเองว่าเค้าจะหาทางพิสูจน์ แต่ตอนหลังผมก็ยอมรับกับเค้าไปแล้วนี่นาว่าผมชอบผู้ชาย แล้วไอ้การที่เค้าทำอะไรต่างๆ กับผมนี่ละ เค้ากำลัง “จีบ” ผมอยู่เป็นแค่การเล่นสนุกของเค้ากันนะ

เท่าที่ประเมินเค้า แม้เค้าจะไม่ได้มีท่าทีที่รังเกียจอะไรกับการที่ผมชอบผู้ชาย แต่ตัวเค้าเองผมก็ไม่นึกว่าเค้าจะชอบผู้ชายหรอกนะครับ ก็ทั้งแม่สองสาวที่มาตบกันแย่งเค้านั่น หรือคนที่มีอิทธิพลกับเค้าจนนอยด์ๆ นั่นอีกก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น พอคิดๆ ดูแล้วมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เค้าจะชอบผู้ชายอย่างผม

สิ่งที่เค้าทำตอนนี้มันอาจจะเพราะความนึกสนุกบางอย่าง หรือเพราะความสนิทสนมที่เราสองคนมี หรือเพราะความเหงาที่เค้าเองอาจจะไม่ได้มีใคร และผมเองก็ไม่ได้มีใครมันเลยทำให้เค้าทำกับผมแบบนี้ ผมควรจะหยุดความรู้สึกของตัวเองที่กำลังจะมีให้เค้าหรือเปล่า

ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะก่อตัวขึ้นในใจผม ความรู้สึกที่ผมว่ามันแตกต่างจากที่ผมเคยรู้สึกกับพี่ต้าร์ แล้วนี่ถ้าวันนึงกลับกลายเป็นว่าเค้าเองไปมีแฟนผู้หญิงเหมือนกับพี่ต้าร์ ผมคงไม่แค่ใจหายนิดหน่อยอย่างที่รู้สึกตอนรู้ว่าพี่ต้าร์มีแฟนแน่ๆ ถ้าผมยังปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับเค้าไปมากกว่านี้

“อย่าทำแบบนี้...พี่ไม่ชอบ”ผมผลักเค้าให้ถอยห่างออกไป และน้ำเสียงที่บอกก็บ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจเค้านัก

“ไม่ชอบที่ผมพูด...หรือไม่ชอบที่ผมจะจูบ”เค้าสบตาผมนิ่งบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรียบจนผมเดาไม่ออกว่าเค้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ผมจ้องมองเค้ากลับโดยที่ไม่รู้จะตอบเค้าว่ายังไง ผมควรถามเค้าให้มันชัดเจนไปเลยไหม

“ว่าไงละครับ”เค้าถามย้ำอีกครั้ง

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรผมก็ต้องสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์ของตัวเองที่ดังขึ้น เป็นพี่สาวผมที่โทรเข้ามานี่ผมนึกว่าจะมีแต่ในละครที่เวลาเหมือนมีอะไรสำคัญกำลังจะพูดก็มักจะถูกขัดจังหวะด้วยอะไรแบบนี่ แต่มันก็ดีเหมือนกันเพราะผมก็รู้สึกยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเค้าตรงๆ สักเท่าไหร่ มันเหมือนยังมีความกลัวอยู่ลึกๆ กับการที่จะได้รับรู้ความรู้สึกจริงๆ ของอีกฝ่าย อีกอย่างผมเองอาจจะได้ทบทวนตัวเองเพิ่มเติมด้วยว่าที่จริงสำหรับผมเองรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่

“พี่ขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะ”ผมหยิบโทรศัพท์ เตรียมจะออกไปคุยนอกบ้านและก็กะว่าคุยจบผมคงหนีกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน เค้าไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เพียงเท่านั้น

“ครับเจ้”ผมรับสายเนือยๆ ไม่ใช่เพราะเป็นที่พี่สาวโทรมาหรอกนะครับแต่เพราะไอ้เด็กที่อยู่ในบ้านนั่นแหละ นี่ขนาดพ้นจากสายตามาแล้วก็ยังตามมารบกวนจิตใจผมอีก

“อะไร ทำไมทำเสียงรำคาญใส่พี่สาวสุดที่รักได้ยังเนี่ย เดี๋ยวปั๊ดให้กลับมาอยู่บ้านเลยนิ”น้ำเสียงทีเล่นทีจริงจากพี่สาวทำให้ผมพอจะยิ้มออกบ้าง ที่จริงเจ้ของผมก็เป็นคนนึงที่เข้าอกเข้าใจผมนะครับ

“กำลังคิดถึงเจ้เลย ว่าแต่โทรมามีไรเปล่าครับ”ผมปรับน้ำเสียงให้ดูกระตือรือร้นขึ้นเพื่อให้พี่สาวไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวที่อยู่ในใจของผมด้วยอีกคน

“ไม่ต้องเลย จะถามว่าวันนี้สะดวกกลับมาทานข้าวที่บ้านหรือเปล่า กว่าจะเลิกงานน้ำคงลดแล้ว น่าจะมาที่บ้านได้ไม่ยากหรอกมั้ง อีกอย่างแถวบ้านเราก็ไม่ได้อินเทรนด์น้ำท่วมอะไรกับเค้าเลย”นั่นพี่สาวผมดูจะยังมีอารมณ์ขันกับสภาพดินฟ้าอากาศอีก จะรู้ไหมเนี่ยว่าน้องชายเกือบแย่กับฟ้าฝนเมื่อคืน

“ที่จริงวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปทำงานนะครับ”ผมตอบออกไปตามตรง ที่จริงก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะหาเวลากลับไปทานข้าวที่บ้าน วันนี้ก็คงเหมาะแล้วละมั้ง

“งั้นก็มาเลยก็ได้”พี่สาวผมออกความเห็นเพราะด้วยสภาพการจราจรวันนี้ผมอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางจากนี่ไปบ้าน

“มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยเจ้”ผมหยั่งเชิงนิดหน่อย เพราะจากที่คุยกับแม่เมื่อหลายวันก่อน ก็คิดว่าอาจจะต้องเตรียมตัวไปตั้งรับอะไรหรือเปล่า เพราะเอาจริงๆ ที่บ้านผมก็ไม่ได้พูดเรื่องรสนิยมทางเพศของผมตรงๆ มานานแล้วเหมือนกัน อาจจะมีอ้อมๆ บ้างที่แม่มักจะเปรยๆ ว่ายังไม่อยากให้ผมมีแฟน

“พ่อกับแม่เค้าอยากคุยด้วย”คำตอบของพี่สาวทำให้ผมว่าคงมีเรื่องนี้เกี่ยวข้องด้วยนั่นแหละ ผมรับปากกับพี่สาวไปว่าเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไป และเตรียมชุดทำงานออกไปด้วยเลย เผื่อว่าต้องค้างที่บ้าน

“ไปไหนอะลุง”ผมลืมอีกคนไปเลยว่าคุยกับเค้าค้างอยู่ นี่ผมก็จะเดินกลับไปบ้านอีกหลังแล้วถ้าเค้าไม่เดินออกมาเรียกผมไว้

“พี่ต้องกลับไปทานข้าวกะที่บ้าน”ผมบอกออกไปตามตรง ดูเค้าจะมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

“ไปตอนนี้เลยเหรอ”ผมพยักหน้าให้เค้ารู้ว่าคงไปเลย

“แล้วลุงจะกลับมานอนนี่หรือเปล่า”เค้าก็ยังเดินตามมายืนตรงหน้าผม มองเหมือนกับว่าไม่อยากให้ผมไปอย่างนั้นแหละ ทำหน้ายังกะลูกหมาถูกเจ้าของทิ้ง

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”ผมตอบอย่างไม่ชัดเจนนักทั้งที่ค่อนข้างมั่นใจว่าอาจจะต้องค้างที่โน่น เค้าเอื้อมมือมาจับไหล่ผม สบตานิ่งโดยที่ผมเองก็ไม่ได้หลบสายตานั้น กำลังรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไรกับผม

“งั้นคุยกันก่อนค่อยไปได้ไหมครับ”



TBC



วันนี้เกือบลืมอัพ

 :z6:

ยังไงมาเอาใจช่วยลุงกันต่อนะฮ่ะ  o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2017 18:35:42
 :L2: :L1: :pig4:

รอมาทั้งวันเลย
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-07-2017 18:57:39
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-07-2017 19:41:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-07-2017 20:04:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 09-07-2017 22:08:46
หืออ จะคุยไรหว่าา
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 21 ดูดบุหรี่/ดูดบุรุษ 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-07-2017 23:11:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-07-2017 08:35:41
บทที่ 22
พ่อลูกไม่เข้าใจ



กว่าผมจะฝ่ารถติดมาถึงบ้านได้ก็เย็นพอดีซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียด้วยสิครับ ทั้งพ่อ แม่ เจ้ปอพี่สาวคนเก่งของผม ที่จริงตอนผมอยู่บ้านเราก็ทานข้าวพร้อมกันแบบนี้แทบทุกวัน แต่วันนี้ผมว่าบรรยากาศมันออกจะอึมครึมแปลกๆ อยู่สักหน่อย

“วันนี้ป้าทำแต่ของโปรดคุณแปงทั้งนั้นเลยนะคะ นี่ดูสิไปอยู่คนเดียวผอมลงตั้งเยอะ”ป้าแม่บ้านที่ทยอยยกกับข้าวออกมา พูดคุยทักทายกับผม พอจะช่วยให้บรรยากาศมันผ่อนคลายขึ้นมาได้หน่อย ผมยิ้มตอบรับบางๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบไป

“อยู่คนเดียวก็คงมีแต่ซื้ออาหารสำเร็จรูปกินสิใช่ไหมเรา”พี่ปอเป็นคนหันมาตั้งคำถามเพิ่มกับผม แต่เหมือนจะเป็นคำตอบกลายๆ ให้กับป้าแม่บ้านด้วย

“ก็ทำกินเองบ้างแหละครับ”ผมตอบออกไป ทำให้นึกถึงอีกคนที่เป็นคนทำกับข้าวให้ผมกินทุกวัน ก็ไม่รู้ฝีมือเค้าดีหรือ เพราะมันทำให้ผมไม่ต้องกินข้าวคนเดียวหรือเปล่า มันถึงทำให้ผมเหมือนจะติดรสมือของเค้าไปแล้ว ไม่ว่าจะไปทานที่ไหนพักหลังๆ มานี่ผมก็มักจะนึกย้อนถึงรสชาติอาหารของเค้าเสมอ

“งั้นคุยกันก่อนค่อยไปได้ไหมครับ”ประโยคที่เค้าพูดกับผมก่อนจะออกมานี่ ผุดเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ท่าทางจริงจังของเค้าทำเอาผมใจสั่นไม่น้อย ใจนึงก็อยากรู้ว่าเค้าจะคุยอะไร แต่อีกใจผมก็ยังไม่พร้อมที่จะรับฟังสักเท่าไหร่

“ค่อยคุยตอนกลับมาได้ไหม”ผมเป็นฝ่ายต่อรอง เพราะชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมว่าผมขอยื้อเวลาเพื่อทำใจอีกสักหน่อยจะดีกว่า

“งั้นถ้ากลับมาตอนไหนก็เรียกผมได้เลยนะครับ”มือที่จับไหล่ผมอยู่ค่อยๆ ยกขึ้นมาเอาหลังมือถูที่แก้มของผม จนผมต้องเป็นฝ่ายคว้ามือนั้นให้หยุดเพราะกลัวว่าอาจจะมีอะไรให้ผมต้องเก็บมาคิดมากเกิดขึ้นอีก

“ว่าไงละแปง”เสียงของพี่ปอเรียกสติผม

“ครับ”ผมรับคำอย่างงงๆ เพราะไม่ได้ฟังที่พี่สาวตัวเองพูดเลย

“พี่เค้าถามว่าทำกับข้าวเองเป็นด้วยเหรอ”แม่ผมเป็นคนถามย้ำ บรรยากาศก็ดูจะค่อยๆ ผ่อนคลายหายตึงเครียดมาอีกนิด แต่ก็ยังมีพ่อผมที่แทบยังไม่พูดกับผมเลยตั้งแต่มาถึง เหมือนจะแค่รับไหว้ตอนผมมาถึงแค่นั้นละครับ

“ก็หัดๆ ลองทำ กินได้บ้างต้องฝืนกินบ้างประมาณนั้นแหละครับ”ผมเลือกที่จะโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้มีประเด็นอะไรอีก ถ้าขืนบอกออกไปตามตรงว่าผมมีภู่เป็นคนทำกับข้าวให้กินทุกวันนี่ คงต้องอธิบายกันอีกยาวเหยียด ขนาดแค่มีคนเห็นผมไปซื้อกีต้าร์กับภู่ยังทำบรรยากาศอึมครึมได้ขนาดนี้ นี่ผมแทบไม่ต้องเดาแล้วมั้งว่าที่อยากให้ผมกลับมาวันนี้เพราะอะไร

“เออปอ แล้วนี่เมื่อไหร่แฟนเราจะมาละเนี่ย”เสียงของพ่อผมเพิ่งดังขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่พูดกับผมหรอกนะครับ ยิ่งพอเห็นแบบนี้แสดงว่าพ่อคงมีเรื่องไม่พอใจผมอยู่มากทีเดียวแหละครับ

“วันนี้มันวันน้ำรอการระบายนะคะ ต้องให้เวลาเค้าฝ่าการจราจรมหาโหดบ้างสิคะ”พี่สาวผมดูจะยังพูดติดตลกได้ หรือว่าผมคิดมากเกินไปละเนี่ย

“วันนี้พี่ต๊าฟมาด้วยเหรอเจ้”ผมถามถึงคนรักของพี่สาว คนที่ทีแรกพี่สาวผมบอกหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่คบ เพราะเจ้าชู้มาก แต่แปลกที่พอมาตามจีบเจ้ของผมพี่แกกลับเลิกนิสัยเจ้าชู้ๆ นั่นหมดจนเจ้ของผมยอมใจอ่อนนี่แหละครับ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่พี่สาวผมจะใกล้ได้สร้างครอบครัวเสียที ไม่งั้นพ่อกับแม่คงกลับมาคิดเรื่องให้ผมมีครอบครัวอีกแน่ๆ คิดเรื่องนี้ทีไรก็ทำผมมึนทุกรอบนั่นแหละครับ บางทีก็เหมือนจะไม่อะไรกับผม แต่อยู่ๆ นึกครึ้มอกครึ้มใจก็จะมาเลียบๆ เคียงๆ ผม เหมือนยังมั่นใจว่าต้องมีวันที่ผมจะชอบผู้หญิงสักคน

“คุณพ่อคุณแม่สวัสดีค่ะ พี่ปอหวัดดีค่ะ”เสียงสูงยิ่งกว่าคีย์ปลาโลมาขนาดนี้ไม่ต้องสืบหรอกครับ ข้าวหอมเจ้าเดิมอย่างที่บอกว่าบ้านเราอยู่ติดกันครับ และนี่แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนชวนเจ้าตัวมา ก็คนในบ้านผมนี่แหละมั้งครับ นี่ขนาดว่าข้าวหอมก็มีแฟนอย่างพี่โตเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็ยังเหมือนจะอยากให้ผมกับข้าวหอมเป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อนอยู่นั่นแหละครับ

“ทำไมวันนี้แกกลับบ้านมาได้เนี่ย”ข้าวหอมที่เดินมานั่งลงข้างๆ เอ่ยถามผมอย่างสงสัย เราสองคนหันมาคุยกันเอง 2 คนอยู่พักนึงพี่ต๊าฟแฟนเจ้ปอก็มา กับข้าวก็ถูกทยอยมาเสิร์ฟแทบจะเต็มโต๊ะ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี พอว่าที่ลูกเขยอย่างพี่ต๊าฟมาพ่อผมก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา แต่ก็แทบจะยังไม่คุยกับผมเลยนั่นแหละ

“แปง ดูพี่สาวเรากับต๊าฟเค้าเป็นแบบอย่างบ้างก็ดีนะ”แต่บทจะเปิดบืสนทนากับผมก็ลากมาทางนี้อีกแล้ว ผมนี่ต้องลอบถอนหายใจเบาๆ เลยแหละครับ ข้าวหอมแอบกระซิบเบาๆ ให้ผมได้ยินอย่างเข้าใจ “อีกแล้วเหรอแก” สำหรับผม ข้าวหอม เจ้ปอ ก็คงจะเข้าใจดีว่าตอนนี้พ่อผมจะพูดเรื่องอะไร แต่พี่ต๊าฟน่าจะยังไม่เคยได้ยินแน่ๆ

“คุณพ่อคะ หนูมีแฟนแล้วนะคะ แล้วก็ยังไม่มีแพลนจะเลิกกันในเร็วๆ นี้ด้วย”ข้าวหอมชิงออกตัวก่อนเพราะไม่อย่างนั้น เรื่องการจับคู่ผมกับข้าวหอมอาจจะยังวนเข้ามาในบทสนทนาอีกแน่ๆ ทั้งแม่ผมและเจ้ปอต่างก็ยิ้มขำๆ อย่างเอ็นดูในคำพูดของข้าวหอม ส่วนพี่ต๊าฟดูจะยังงงๆ คงไม่เข้าใจว่าทำไมหอมต้องพูดแบบนั้น

“งั้นเพื่อนผู้หญิงสวยๆ โสดๆ ของข้าวหอมก็แนะนำให้แปงเค้าบ้างสิลูก”ผมแทบจะวางช้อนลงทันที คือจะว่าชินมันก็ชิน จะว่าเบื่อมันก็เบื่อนะครับกับประเด็นนี้ คือจริงๆ ผมว่าผมก็อธิบายไปหลายรอบจนอยากให้มันจบไปสักที ยอมรับนะครับว่าผมคงดึงสีหน้าออกไปแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะพ่อก็หันมามองผม ด้วยสายตาที่จะไม่พอใจอยู่เช่นกัน

“ไม่มีแฟนสักที ก็เป็นขี้ปากชาวบ้านเค้าอยู่นั่นแหละ โดนเด็กหนุ่มๆ มันหลอกบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”นี่ผมว่ามันชักจะเกินไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย รอบนี้ผมมองพ่อตาขวางอย่างไม่พอใจ ปกติผมก็โดนพูดอ้อมๆ เรื่องนี้บ่อยนะครับ แต่ครั้งนี้ทำไมผมต้องรู้สึกไม่พอใจขนาดนี้กันนะ

“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลยคุณ”แม่เอื้อมมือแตะแขนพ่อไว้ เช่นเดียวกับข้าวหอมที่จับมือผมไว้ เพราะคงสังเกตเห็นว่าผมเองก็จะคุมสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน

“พูดแล้วก็พูดมันตรงนี้แหละ หรือคุณรับได้ที่ลูกเรามันเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแบบนี้”สิ้นคำพูดของพ่อผมแทบจะสวนขึ้นทันควันเลยครับ

“พ่อ”รู้ตัวเลยครับว่าผมคงแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมแล้ว แต่ครั้งนี้ผมก็รู้สึกนะครับ ว่าพ่อพูดกับผมแรงไป

“ถ้าที่ผ่านมาผมยังเป็นลูกที่ดีไม่พอ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วละครับ”ความโมโหความน้อยใจ มันพุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียวแค่นั้นแหละครับ ผมลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากบ้าน เพราะไม่อยากจะให้เรื่องมันบานปลายกว่านี้ ผมว่าถ้าผมยังอยู่ผมคงมีปากเสียงกับพ่อมากกว่านี้แน่ๆ

“ใช่สิ เดียวนี้ปีกกล้าขาแข็ง ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว คงจะได้ทำตามใจคบผู้ชายได้ง่ายขึ้นละสิ”ขาที่กำลังจะก้าวออกจากโต๊ะของผมหยุดกึกทันที ผมไม่ค่อยคิดจะทำอะไรแบบที่พ่อพูดเลย แล้วเค้าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก เค้าพูดเหมือนไม่รู้จักผมเอาเสียเลย

“ผมไม่เคยทำ แต่ถ้าพ่อเห็นผมเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะทำตัวแบบนั้นดูบ้างนะครับ”พูดจบผมก็หันหลังเดินออกจากบ้านทันที ไม่ฟังแม้แต่เสียงเรียกของใคร ไม่สนด้วยว่าใครจะมองผมยังไงในตอนนี้

“แปง แปง เดี๋ยวสิแกใจเย็น”เป็นข้าวหอมที่วิ่งตามผมออกมา แต่ตอนนี้ใครก็คงรั้งผมไม่อยู่ละครับ ผมขอออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วกันครับ

“น้องแปง”เป็นพี่ต๊าฟที่ตามออกมาอีกคน ส่วนเจ้ปอก็คงกำลังพูดกับพ่อแม่นั่นแหละมั้งครับ

“คือพี่ก็ไม่รู้รายละเอียดในครอบครัวเราเท่าไหร่อะเนอะ แต่พี่แค่จะบอกว่า น้องชายพี่มันก็มีแฟนเป็นผู้ชาย กว่าทั้งสองคนจะฝ่าฟันมาด้วยกันได้ ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน แต่เชื่อพี่เถอะสุดท้าย พ่อแม่ทุกคนก็รักลูกและพร้อมจะรักคนที่ลูกเลือกอยู่แล้ว”เข้าใจสิ่งที่พี่เค้าจะสื่อนะครับ แต่หนึ่งเลยผมยังไม่ได้มีใครจะมาให้ร่วมฝ่าฟันอะไรทั้งนั้น และผมก็มั่นใจว่าพ่อผมคงไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้ได้หรอก

“ขอตัวไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วกันนะพี่”ผมบอกกับพี่ต๊าฟเหมือนแค่ตัดรำคาญ

“ไปนะแก”หันไปบอกข้าวหอมอีกคน ก่อนจะขับรถออกจากบ้านมา ใช้เวลาไปไม่น้อยทีเดียวกว่าผมจะฝ่ารถติดกลับมาถึงที่บ้านเช่า ก่อนเข้ามาบ้านผมยังดันซื้อเบียร์มาเสียยกแพค นับดูเหมือนน่าจะ 24 กระป๋อง ทั้งที่ตัวผมเองก็ดื่มไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้มันรู้สึกอยากเมา อยากทำอะไรระบายอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองตอนนี้ ผมหอบเบียร์ที่ซื้อมาทั้งหมด มายืนกดกริ่งที่หน้าบ้านข้างๆ เด็กบ้านั่นก็มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ออกมาเปิดสักที

“อ้าวลุง ทำไมกลับมาเร็วจัง”เค้ายิ้มกว้างรีบเดินมาเปิดประตูเมื่อเห็นว่าเป็นผม พร้อมมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่ผมหอบหิ้วมาด้วย ผมยื่นให้เค้าเป็นคนถือก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำเข้าบ้าน อย่างกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง

“อารมณ์ไหนเนี่ย หอบเบียร์มาขนาดนี้”เค้าถามผมยิ้มๆ ก่อนจะหยิบเบียร์มาวาง 2 กระป๋องให้ตรงหน้าผมที่นั่งลงบนโซฟา ส่วนที่เหลือเค้าก็เอาเข้าไปแช่ในตู้เย็น

“อยากเมา”ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่ยังหงุดหงิดอยู่ พร้อมกับเปิดเบียร์ขึ้นกระดกอึกใหญ่ แม้จะยังรู้สึกว่ามันขมอยู่ แต่ลองกลั้นใจตอนดื่มมันก็ไม่ได้ดื่มยากอะไรอีกแล้วละครับ

“เฮ้ยๆ ใจเย็นลุง ยกดื่มพรวดๆ แบบนี้เดี๋ยวจะลำบากผมนะเนี่ย”เค้ารีบเข้ามาดึงกระป๋องเบียร์ในมือผมลง แต่ผมก็ยังยื้อเอามาถือไว้เหมือนเป็นของรักของหวง

“เป็นไรเนี่ย”เค้าถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ นั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับเปิดเบียร์อีกกระป๋องขึ้นดื่ม พอผมไม่ตอบก็หันมาจ้องผม แถมยักคิ้วกวนๆ ใส่ผมอีกผมได้แต่นึกในใจไหนว่ามีเรื่องจะคุยกับผม ผมมานี่แล้วไง ไม่เห็นคุยอะไรกับผมละ ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะยกเบียร์ที่เหลือในกระป๋องรวดเดียวจนหมด

“หยิบเบียร์ให้หน่อย”ผมวางกระป๋องเปล่าลงก่อนจะออกกำสั่งกับอีกคน เค้าส่ายหน้ามองผมเหมือนกำลังเอ็นดูเด็ก เด็กงั้นเหรอ เด็กนี่มองยังกับว่าผมเด็กกว่าเค้างั้นแหละ

“เล่าก่อนว่านี่เป็นอะไร”เค้าเดินไปหยิบเบียร์มาเพิ่ม แต่ยังไม่ยอมส่งให้กับผม

“เบื่อ คือพี่ก็โตขนาดนี้แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ยังจะต้องมาอยากบงการชีวิตพี่ด้วย”ผมบอกอยากไม่ค่อยจะสบอารมณ์ มือก็แย่งกระป๋องเบียร์ มาเปิดดื่มอีกกระป๋อง และก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตอนนี้เลือดลมผมคงสูบฉีดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วครับ ตอนนี้

“ก็ดูพี่ยังทำตัวเด็กๆ แบบนี้เค้าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา”

“ใครเด็กพูดให้มันดีๆ”ผมหันไปตวาดเสียงดุ เพราะไอ้คนที่กำลังบอกว่าผมทำตัวเด็กนี่ เกิดทีหลังผมตั้ง 9 ปี

“โอเคๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก แต่ผมว่าชีวิตพี่กับชีวิตผมนี่มันเหมือนสลับกันเลยเนอะ พี่อยากให้เค้าเลิกยุ่งกับพี่ แต่ผมนี่สิ ผมกลับอยากให้เค้ามายุ่ง วุ่นวายกับผมบ้างสักนิดก็ยังดี”ผมหันมองอีกคนข้างๆ ที่เหมือนเสียงเค้าจะดูหม่นๆ ลงไป ใบหน้าที่ดูหงอยๆ ตามน้ำเสียง เค้ายกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม จนหกออกมานิดหน่อย เค้าวางกระป๋องเบียร์ลง แล้วใช้นิ้วเรียวนั้นเช็ดที่ริมฝีปากของตัวเอง ตามด้วยการแลบลิ้นออกมาเลียที่ริมฝีปาก

ผมเผลอมองการกระทำนั้นอย่างละเอียดจนลืมละสายตา และมีความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นมา ผมขยับตัวชิดเข้าหาเค้า ก่อนจะเอื้อมมือคว้าใบหน้าของเค้าให้หันมาทางผม เค้ามีสีหน้าไม่เค้าใจแต่ก็ยอมหันมาตามที่ผมทำ ผมสบตาเค้านิ่งก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวยืดขึ้นพร้อมกับมือที่ดึงให้เค้าโน้มตัวมาหา

“อือ”เสียงครางในลำคอของเค้า และเหมือนยิ้มอย่างพอใจ เมื่อผมประกบริมฝีปากไปที่ปากของเค้า รสชาติของเบียร์ในปากของเราทั้งคู่เหมือนจะถูกส่งผ่านไปมา แต่แปลกที่ครั้งนี้ผมไม่รู้สึกว่ามันขมสักนิดเลย

“อ่อยผมป่ะเนี่ยลุง”เค้าบอกผมยิ้มๆ ทั้งที่จมูกของเค้ายังเขี่ยจมูกของผมไปมาและใบหน้าเรายังอยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

“ใช่สิ เดียวนี้ปีกกล้าขาแข็ง ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว คงจะได้ทำตามใจคบผู้ชายได้ง่ายขึ้นละสิ”คำพูดของพ่อที่ดังเข้ามาในหัว มันเหมือนเชื้อไฟให้ผมกล้าจะตัดสินใจทำบางอย่าง ในเมื่อเค้าก็มองผมแบบนั้นอยู่แล้ว ผมจะทำตัวแบบนั้นจริงๆ มันก็คงไม่แปลกอะไรจริงไหม มือผมค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไป จนถึงขอบกางเกงของอีกคน ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวเอาไว้ พร้อมกระตุ๊กเบาๆ ทำให้เค้ามองการกระทำของผมอย่างแปลกใจ

“ทำมากกว่าจูบได้หรือเปล่า”


TBC

ลุงงงงงง
อ่อยเด็กขนาดนี้ ลุงจะรอดไหม
 :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-07-2017 08:43:42
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-07-2017 09:05:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-07-2017 11:59:48
ลุงงง  :hao6:  :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-07-2017 12:20:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 22 พ่อลูกไม่เข้าใจ 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-07-2017 19:09:50
พ่อ พูดแรงไปไหม
พูดแบบนี้ แม้จะมาจากความห่วงลูก
แต่ยิ่งทำให้ลูกเตลิดไปเลย ไม่พูดจะดีกว่านะ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-07-2017 09:28:30
บทที่ 23
ผมเก่งหรือเปล่า



“ทำมากกว่าจูบได้หรือเปล่า”ผมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอน ตอนนี้ความรู้สึกผมมันตีกันไปหมด แต่หลักๆ คงเพราะไอ้เบียร์ 2 กระป๋องนั่นแน่ๆ มันทำให้ผมมีความรู้สึกปั่นป่วนขึ้นอย่างที่ผมเองก็เริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ แม้ความรู้สึกอยากทำเพราะประชดพ่อจะมีอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ใช่ว่าผมจะไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนก็ได้

ภาพอะไรต่อมิอะไรของคนตรงหน้านี่ก็เหมือนร่วมจัดขบวนพาเหรด แห่กันเข้ามาในหัวผมอย่างพร้อมเพรียงกันเหลือเกิน ผมค่อยๆ ขยับปากไปงับริมฝีปากอีกคนเบาๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้มันจะเป็นยังไง แต่ความอยากรู้ อยากลองของผมตอนนี้มันมีมากเสียจนไม่สนใจอะไรแล้ว

“ไหนว่าไม่เคยไงลุง แต่นี่เหมือนลุงยั่วผมมากเลยนะนิ”เค้าดึงตัวผมให้ชิดเข้าจนผมเกือบจะกลายเป็นนั่งคร่อมบนตักของเค้าแล้ว สายตาของเราประสานกันนิ่ง ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันต้องทำอะไรยังไง แต่เหมือนการกระทำของผมมันดำเนินไปเองตามความรู้สึก

เค้าประกบปากลงมาที่ปากผมอีกครั้ง มันให้ความรู้สึกร้อนแรง ดุดันกว่าครั้งก่อนๆ แต่นั่นกลับยิ่งเหมือนกระตุ้นให้ความรู้สึกของผมปะทุขึ้นไปอีก สองมึงผมขยับขึ้นมาสอดเข้าไปที่เส้นผมของเค้า ริมฝีปากของเค้าผละออกจากริมฝีปากของผม ลากวนลงมาที่ซอกคอ มือของเค้าสอดเข้ามาเลิกเสื้อของผมขึ้น

“อ๊ะ”ผมหลุดร้องออกมาเพราะตกใจเล็กน้อยที่เค้าดันผมให้ล้มลงนอนหงายกับโซฟายาวที่เรานั่งอยู่ เค้าส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาที่ผม ก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่นนั่น ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างลืมตัว

“ลุงนี่มันน่ากดกว่าที่ผมคิดนะเนี่ย”เค้าก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ จนผมต้องตีแขนเค้าด้วยความหมั่นไส้

“ตรงนี้เลยเหรอ”ผมเอ่ยถามอย่างสงสัยทั้งที่ตอนนี้อารมณ์ผมเองก็กระเจิดกระเจิงแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกตึงเขม็งหน่วงๆ ที่ช่วงล่างก็เหมือนพร้อมจะออกมาแล้ว

“ก็ตรงนี้ก่อน แล้วค่อยย้ายไปที่อื่นต่อ”น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ตอบกลับมาพร้อมมือที่ขยับถอดเสื้อผ้าผมออก จากเสื้อก็เป็นกางเกงของเราทั้งคู่ แม้ผมจะเคยเห็นแกนกลางลำตัวของเค้าแล้ว แต่ไอ้ตอนที่เห็นนั่นมันยังไม่ตื่นตัวเต็มที่แบบนี้ แม้ผมจะยังไม่เคยก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่รู้หรอกนะครับ ว่าไอ้ที่ผมเห็นมันจะต้องเข้าไปที่ไหน ผมเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า ด้วยความรู้สึกทั้งเขิน ทั้งอาย สองขาผมหุบเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ

แม้เค้าจะเคยเห็นผมเปลือยมาก่อน แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกตัวนี่นา การที่ต้องมาเปลือยต่อหน้าต่อตาเค้าแบบนี้ ถึงแม้ผมจะมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยก็เถอะ มันก็ทำเอาผมรู้สึกกระดากอายขึ้นมาได้เหมือนกันนะครับ

“ลุงยั่วผมเองนะ จะมามัวเขินอายตอนนี้มันไม่ทันแล้วละลุง”เค้าเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมให้หันกลับมามองเค้า ก่อนจะแยกขาผมออก มองสำรวจผมอย่างกับจะกลืนกินผมยังไงยังงั้น นั่นทำให้ผมทั้งอายทั้งตื่นเต้น แต่มันก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของผมขึ้นไปอีก ผมขยับตัวยันตัวขึ้น โดยการใช้ตัวเค้าเป็นที่ยึดเหนี่ยว ผมรีบคว้าตัวเค้าก่อนจะกอดไว้แน่น เพื่อนลดความอายของตัวเอง

“จะทำอะไรก็รีบทำสิ”ผมบอกอย่างอายๆ พร้อมซุกหน้าลงกับแผงอกของเค้า

“หึหึ ใจร้อนจังลุง”เค้าบอกพร้อมกับมือที่ขยำบั้นท้ายผมอย่างหมั่นเขี้ยว ผมว่าใจผมมันไม่ร้อนเท่าส่วนล่างของเค้าหรอกครับ ตอนนี้มันเหมือนผมนั่งคร่อมอยู่บนตัวเค้า แล้วแท่งร้อนๆ นั้นก็เหมือนจะขยับสายไปมาสัมผัสกับบั้นท้ายของผม เค้าค่อยๆ ดันตัวผมออก ให้เลื่อนผ่านส่วนกลางลำตัวเค้าลงไป

“ทักทายมันหน่อยสิครับ”เค้าดึงมือผมเข้าไปกอบกุมแท่งร้อนนั้นไว้ พร้อมกับบังคับมือผมให้ค่อยๆ เลื่อนขึ้นลงช้าๆ

“อืม อย่างนั้น อ๊า”เค้าส่งเสียงออกมาอย่างพอใจ โดยปล่อยให้ผมบังคับมือตัวเองที่สัมผัสได้ถึงความร้อนที่เหมือนจะอยากหลอมละลายมือของผม ใจผมเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เพราะกำลังตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่เป็นครั้งแรก

“ใช้ปากให้ด้วยได้ไหมครับ พี่แปง”น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ส่งมาทำเอาผมใจสั่นเงยหน้ามองหน้าเจ้าของเสียงที่เริ่มตาปรือ มองผมเสียหยาดเยิ้ม ผมอยากจะหมั่นไส้ใบหน้านั้น แต่ความรู้สึกภายในกลับแย้งผมว่ามันช่างเย้ายวนชวนมองเสียเหลือเกิน

“ทำ..ไม่เป็น”ผมหันกลับมาสนใจกับเจ้าแท่งร้อนตรงหน้า บอกเค้าไปด้วยเสียงเบาอย่างอายๆ ก็ผมไม่เคยนี่นา แต่เค้ากลับมองผมอย่างเอ็นดูซะงั้น เอาเถอะสำหรับเรื่องนี้ผมคงต้องยอมรับจริงๆ นั่นแหละครับว่าอ่อนหัด

“ลองชิมดู ทำเหมือนกินไอติมแท่งใหญ่”มือเค้าเอื้อมมาแตะที่ใบหน้าผม ก่อนจะดึงเบาๆ ให้ใบหน้าผมขยับใกล้เข้าไป ผมค่อยก้มลงแลบลิ้นออกมาชิมส่วนปลายสุดตามที่เค้าบอก และก็ต้องชำเลืองมองเจ้าของมันอย่างเคืองๆ เพาะเค้าเล่นแกล้งให้เจ้าแท่งร้อนนี้ไม่อยู่นิ่ง

ผมค่อยๆ ครอบปากลงไปช้าๆ อย่างตื่นเต้นสัมผัสร้อนในช่องปากและความรู้สึกที่ได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรก มันสร้างความหวาบหวามให้ผมอย่างยิ่ง ผมค่อยๆ ดูดตามที่เค้าบอก ตอนนี้เหมือนเค้าเป็นคนคุมเกมบงการผมไปแล้ว ผมเหมือนต้องมนต์ที่เค้าสั่งให้ทำอะไรก็ทำ

“อ๊า ช้าๆ นะครับคนดี นี่พี่จะทำผมทนไม่ไหวอยู่แล้ว”เค้าบอกก่อนจะยื้อดึงศีรษะผมให้หยุด ผมมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ขยับตัวตามเค้าที่ดึงผมขึ้นไปประกบปากจูบอีกครั้ง มือของเค้าเริ่มลูบไล้ไปทั่วตัวผมก่อนจะจับที่ตรงแกนกลางของผมไว้

“ผมเองก็ไม่เคยทำแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อนหรอกนะครับ แต่รับรองได้เลยว่าครั้งแรกของลุงนี่ ลุงจะลืมไม่ลงเลย”เค้าค่อยๆ ผลักผมล้มลงก่อนจะก้มลงไปทักทายกับเจ้าจำปีตะมุตะมิของผมอย่างที่เค้าเคยเรียก

“ขนาดกำลังพอดีคำเลยนะครับ”เค้าครอบปากลงไปดูดอย่างแรง ทำเอาผมต้องจิกมือที่ไหล่ของเค้า สองขาผมรู้สึกแทบจะอยากหนีบรัดศีรษะเค้าเอาไว้ ผมต้องบิดตัวเพราะความหวาบหวามที่เค้ามอบให้

“อ๊ะ...จะออก...จะออกแล้ว ภู่ หยะ...หยุด”ผมบอกพร้อมดันศีรษะเค้าออก แต่ก็ไม่เป็นผล ผมต้องจิกมือลงกับโซฟา ปลายนิ้วเกร็งพับจนนิ้วหัวแม่เท้าพับเสียงนิ้วชี้ดังแกร๊ก

“แห่กๆ”ผมหอบหายใจอย่างสุขสม มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับเวลาที่ผมช่วยตัวเอง บอกได้แค่ว่ามันดีกว่า มันดีกว่ามากจริงๆ ว่าแต่เค้ากลืนกินน้ำของผมไปหรือนี่ ผมมองเค้าที่แลบลิ้นทั้งที่สายตายังมองผมอยู่ เค้าทำให้ผมจนเสร็จแล้ว ทำไมตอนที่ผมใช้ปากกับเค้า เค้าไม่ปล่อยให้ผมทำให้จนเสร็จละ

“นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น”เค้าบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะลุกไปหยิบบางอย่างที่หน้าทีวี โดยปล่อยให้ผมยังนอนเปลือยเปล่าอยู่ที่โซฟา

“อะไรอะ”ผมถามอย่างสงสัยเค้าชูขวดโลชั่นให้ผมดู

“ลุงยังไม่เคย ต้องหาตัวช่วย แต่ในบ้านผมคงมีดีสุดแค่นี้”ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีแต่เค้าก็บีบโลชั่นชะโลมที่นิ้วของเค้าก่อนจะเข้ามาเบียดกับผมที่โซฟาตามเดิม

“ผมช่วยลุงแล้ว คราวนี้ถึงตาลุงต้องช่วยผมบ้างแล้วนะครับ”เค้าก้มลงมาจนใบหน้าเราชิดกัน ผมกำลังจะถามว่าจะให้ช่วยยังไง แต่แล้วก็สะดุ้งจนต้องถดตัวถอยหนีเมื่อเค้าแยกขาผมออกและสอดนิ้วที่ชะโลมด้วยโลชั่นนั้นเข้ามาในช่องทางด้านล่างของผม

“ไม่ต้องกลัว อย่าเกร็งนะครับ ผมจะไม่ทำให้ลุงเจ็บแน่นอน”อยากจะเชื่อนะครับกับคำพูดของเค้าแต่ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ตรงกับที่เค้าบอกนี่สิ แม้มันจะไม่ได้เจ็บถึงขนาดทนไม่ได้ แต่มันก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ ที่มีอย่างอื่นเข้ามาในร่างกายแบบนี้

“อย่าเกร็งสิครับ”เค้าก้มลงมาจูบผมที่ซอกคอ ลากมาที่ยอดอก จนผมเหมือนจะเผลอลืมนิ้วของเค้าที่ขยับอยู่เบื้องล่าง พอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ผมก็เริ่มชินกับการที่เค้าขยับนิ้วเข้า ออกนั้น จาก 1 นิ้ว เค้าเพิ่มเป็น 2 นิ้ว และ 3 นิ้วในที่สุด

“พร้อมไหมครับ นี่ผมจะทนไม่ไหวแล้ว”ผมพยักหน้าอย่างหวาดๆ เพราะรู้สึกว่าแกนกลางลำตัวของเค้าที่ยังชี้โด่อยู่นั่นขนาดมันน่าจะมากกว่า 3 นิ้วที่เปิดทางเข้ามาก่อนนั้น เค้าถอนนิ้วมือออกก่อนจะก้มมาจูบผมอีกครั้ง โลชั่นขวดเดิมถูกนำมาป้ายที่ช่องทางด้านล่างของผม ตามมาด้วยท่อนแกนกลางของเค้าที่ค่อยๆ กดเข้ามา

“เจ็บ”ผมหายใจติดขัดบอกกับเค้า พร้อมด้วยสองมือที่ยันตัวเค้าไว้ ก้มมองเบื้องล่างที่เหมือนเพิ่งเข้าไปได้แค่ส่วนหัวนิดเดียว นี่มันเจ็บกว่าตอนที่เค้าสอดนิ้วเข้ามาเมื่อกี้อีกครับ

“อย่าเกร็งสิครับ”เค้าบอกผมเสียงกระเซ่า โน้มมาจูบเบาๆ ที่หน้าผากของผม เค้ายังคงแช่อย่างนั้นอยู่พักนึงและคงเริ่มจะทนไม่ไหวเลยดันพรวดเข้ามาอย่างแรงจนสุด ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่ ผวากอดเค้าแน่นมือจิกลงที่แผ่นหลังของเค้า เจ็บจนน้ำตาไหล

“ไม่ไหว...เจ็บ ไม่ไหวแล้ว เอาออกได้ไหม”ผมบอกทั้งที่ยังเกาะเค้าแน่น แต่ผมรู้สึกว่าทนต่อไม่ไหวจริงๆ มันเจ็บจนเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“ทนอีกนิดสิครับคนดีของผม”เค้าพรมจูบลงที่ซอกคอของผม

“ทนไม่ไหว”ผมบอกเสียงแผ่วเพราะตอนนี้มันเจ็บจนความรู้สึกอื่นๆ มันหายไปหมดแล้ว

“ลุงนี่มันน่าตีจริงๆ”เค้าบอกเหมือนจะเอ็นดูแต่ก็ดูจะผิดหวังหน่อยๆ เค้าค่อยๆ ผละจากผมเตรียมจะถอนแก่นกายออก แต่แล้วผมก็ต้องดึงเค้าไว้

“หยุด หยุดก่อน”ผมกอดเค้าแน่นอีกครั้งเพราะพอเค้าขยับมันก็ยิ่งเจ็บ

“ว่าไงครับ”เค้ากอดผมไว้พร้อมกระซิบถาม

“มันเจ็บ”ผมบอกเสียงอ่อยๆ ไม่รู้จะให้เค้าทำยังไงต่อ

“ไหนว่าจะไม่ทำให้เจ็บไง”ผมเริ่มโทษเค้าที่โกหกผม

“ถ้าไม่อยากเจ็บก็ต้องให้ทำต่อ”เค้าบอกพร้อมกัดเข้าที่ซอกคอของผม หรือผมจะลองเชื่อเค้าดูอีกครั้ง ผมค่อยๆ ขยับตัวเงยหน้ามองเค้า มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้าเองก็ช่วยให้ผมเสร็จไปแล้วด้วย ผมควรอดทนเพื่อเค้าอีกสักนิดสินะ

“งั้นทำต่อเลย”ผมกัดฟันแน่น ในขณะที่เค้าเองเริ่มขยับเอว แล้วความเจ็บก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง ผมหลับตาปี๋ แต่สัมผัสได้ว่ามือหนาของเค้าพยายามช่วยปลุกเร้าเจ้าจำปีตะมุตะมิของผม

“นี่เหมือนผมกำลังข่มขืนคนแก่เลยนะเนี่ย”เค้าบอกเสียงแหบพร่าเป็นการแหย่ผม

“รีบๆ ทำให้เสร็จสักทีเซ่”ผมเร่งอีกคน ทำให้เค้าเริ่มขยับสะโพกเร็วขึ้น ผมยังคงหลับตาปี๋หวังให้เค้ารีบๆ ทำให้เสร็จๆ ไปเสียที แต่พอผ่านไปสักพัก ผมไม่รู้ว่านี่ผมเจ็บจนชาหรืออย่างไร

“อ๊า แน่นดีเหลือเกิน ซี๊ดอ๊า”เค้าส่งเสียงพร้อมกระแทกเข้ามาแรงขึ้น ผมเหมือนจะไม่เจ็บแล้ว มันแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่เหมือนจะทั้งทรมาน แต่ผมกลับต้องการมัน ผมเม้มปากแน่น กัดริมฝีปากตัวเอง จนคงห้อเลือดแล้ว ไม่อยากให้มีเสียงลอดออกจากปากของตัวเอง แต่แล้วก็...

“อ๊ะ เฮือก”ผมต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเหมือนเค้าจะกระแทกเข้าไปโดนบางอย่างในตัวผมที่สร้างความรู้สึกเสียวซ่าน จนทนไม่ไหวผมกอดเค้าแน่น และสัมผัสได้ว่าจำปีของผมแข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว

“โดนแล้วสินะ”เค้าบอกในลำคอก่อนจะกระแทกเข้ามาตรงจุดเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าจนผมแทบขาดใจ แต่ดูอีกคนจะพอใจกับการได้แกล้งผม เค้าเร่งจังหวะเร็วขึ้นไปอีก

“จะไม่ไหวแล้ว อ๊ะ..อ้า”ผมจับจำปีน้อยของผมรูดขึ้นลงอย่างเร็ว เพราะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว แล้วผมก็ปลดปล่อยออกมาเป็นรอบที่ 2 พร้อมๆกับสัมผัสได้ถึง ของเหลวอุ่นๆ ฉีดเข้ามาในตัวของผม เค้ากระตุกเกร็ง 2-3 ทีก่อนจะเอนหลังลงกับโซฟาและดึงผมให้ทับลงบนตัวเค้าด้วย

“ผมเก่งเปล่า”เค้าถามเสียงหอบ แต่ผมตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าผมทำอะไรลงไปเนี่ย แถมความอายที่มีก็พุ่งขึ้นไปสูงเสียจนไม่กล้าขยับตัวแล้วครับเนี่ย

“ไม่ตอบนี่ต้อง จัดอีกรอบหรือเปล่านา”ไอ้เด็กบ้านี่จะมาถามอะไรตอนนี้เล่า

“ใครจะไปตอบได้ ไม่รู้จะเอาไปเปรียบกับใครนิ”ผมบ่นทั้งที่หน้ายังซบอยู่กับแผงอกของเค้า

“ฮ่าๆ ลุงนี่มันเด็กน้อยจริงๆ เลย”


TBC

ในที่สุดลุงก็โดนเด็กเปิดซิง  :hao6:

หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-07-2017 09:57:31
 :-[ :-[


 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-07-2017 10:40:34
ในที่สุดลุงก็โดนกดดด 555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-07-2017 16:05:46
แปง ตอบดี  :katai2-1:
ภู่เก่งมั้ย ไม่รู้ ก็ไม่รู้จะเอาไปเปรียบกับใคร
ก็แปงเพิ่งเคยครั้งแรกนี่
ภู่ ต้องรอให้แปงไปมีอะไรกับคนอื่นก่อน แล้วแปงตอบได้แน่ๆ
รอตอนใหม่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-07-2017 17:07:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 23 ผมเก่งหรือเปล่า (nc ง่อยๆ) 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 11-07-2017 21:07:12
น่ารักก  :hao5:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 24 กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-07-2017 09:44:28
บทที่ 24
กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง




“ลุงจะไปไหน”ผมต้องทรุดตัวลงเหมือนเดิมเมื่อโดนแขนของอีกคนรั้งตัวไว้ ตอนนี้ผมได้สติกลับคืนมาครบถ้วนแล้ว หลังจากที่ผมผ่านกิจกรรมกับเด็กนี่บนโซฟา เสร็จเราก็เข้าไปอาบน้ำ แล้วผมก็โดนเด็กนี่ขืนใจอีกรอบในห้องน้ำ ไม่ผิดหรอกครับผมโดนขืนใจจริงๆ ก็ทีแรกผมไม่ยอมนี่นา แม้ตอนหลังผมจะไม่ขัดขืน แต่นั่นมันเพราะผมสู้แรงเด็ดบ้านี่ไม่ได้ต่างหาก อีกอย่างตอนนั้นผมยังโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำอยู่ มาตอนนี้พอได้นอนพักจนหายแล้ว ผมก็คิดว่า ผมไม่ควรจะอยู่บนเตียงกับเด็กนี่อีก

“จะกลับบ้าน”ผมตอบโดยไม่หันไปมองเค้า พยายามแกะมือที่เกี่ยวรั้งผมไว้ออก ในหัวก็คิดแต่ว่านี่พรุ้งนี้ผมจะมองหน้าเด็กนี่ยังไง ผมทำอะไรลงไปเนี่ย แถมเป็นคนเริ่มยั่วเค้าก่อนอีกต่างหาก ผมจำได้นะครับว่าผมทำอะไรลงไป แต่ตอนนั้นผมแค่คุมตัวเองไม่อยู่

“ดึกแล้ว นอนนี่แหละอย่าดื้อ”เค้าออกแรงดึงผมอีกครั้งให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะฝังจมูกลงที่ซอกคอของผม

“ไม่เอาจะกลับไปนอนบ้าน”ผมยังมีความพยายามจะลุกอีกรอบ ทั้งที่แทบจะไม่มีแรงแล้ว แถมตอนนี้ช่วงล่างผมก็ระบมไปหมดแล้ว ช่องทางด้านหลังนี่ก็เจ็บแปล๊บทุกครั้งที่ขยับ

“บอกว่าอย่าดื้อไง ถ้ายังดื้อเดี๋ยวจับกดอีกนะ”แม้จะคิดว่าเค้าอาจจะแค่ขู่ผมแต่ผมว่าผมไม่เสี่ยงจะดีกว่า เพราะถ้าเกิดเด็กบ้านี่ลุกขึ้นมาทำจริงๆ ผมได้นอนซมแน่ๆ แค่นี้ก็เพลียจนร่างจะแหลกอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจที่จะนอนนิ่งๆ หลับตาลงในอ้อมกอดของเค้า

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้ามืด ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าดี อีกคนยังไม่รู้สึกตัวผมค่อยๆ แกะมือเค้าออกและลุกจากเตียงอย่างทุลักทุเล เพราะทั้งกลัวเค้าตื่น แถมยังปวดเนื้อปวดตัว โดยเฉพาะช่วงล่างนี่แหละ พาลจะโมโหให้ไอ้คนที่ยังนอนไม่รู้เรื่องนั่น แต่จะมัวมาฟึดฟัดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ต้องรีบออกไปก่อนที่เด็กบ้านี่จะตื่นขึ้นมา

ผมรีบกลับบ้าน เตรียมตัวอาบน้ำพอยืนมองตัวเองในกระจกก็พบว่าร่องรอยจากเมื่อคืนแทบจะชัดทั่วตัวผมอยู่เลย ยิ่งเห็นร่องรอยพวกนี้ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็เหมือนยิ่งวนเวียนในหัวผม นี่ผมเสียซิงให้เด็กเหรอเนี่ย

“โอ้ย”ผมทึ้งหัวตัวเอง ระบายอารมณ์ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะรู้สึกยังไม่อยากเผชิญหน้ากับอีกคน บอกตรงๆ ว่าผมทำตัวไม่ถูกครับ เพราะมันไม่ใช่แค่จูบเหมือนครั้งก่อน

ผมรีบบึ่งออกจากบ้านทันทีที่แต่งตัวเสร็จ ไม่รอกินข้าว หรือรออกพร้อมอีกคนเหมือนทุกวัน นี่ผมกำลังจะเมินเค้าเหมือนครั้งเค้าเมินผมตอนจูบแรกนั่นหรือเปล่านะ ไม่สิไอ้ที่ผมทำนี่ไม่เรียกเมิน มันเรียกหลบหน้าชัดๆ เลยครับ แล้วนี่ผมจะไปไหนละเนี่ย ถ้าไปทำงานก็ดูจะไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่ กลับบ้านก็เพิ่งทะเลาะกับพ่อมา เอาไงดีเนี่ย

“ข้าวหอม ใช่แล้วข้าวหอม”ผมรีบควานหาโทรศัพท์ ต่อสายถึงเพื่อนสนิท แม้นี่จะยังเช้าอยู่คาดว่าคุณนายตื่นสายอย่างข้าวหอมน่าจะยังไม่ตื่น แต่ถ้าไม่รับผมก็คงบุกเข้าบ้านข้าวหอมเลยนั่นแหละครับ ซึ่งก็ตามคาดครับ ข้าวหอมไม่รับโทรศัพท์ผม ว่าแต่บ้านข้าวหอมนี่ก็รั้วติดกับบ้านผมนั่นแหละครับ นี่ก็ไม่รู้พ่อผมอารมณ์เย็นลงหรือยัง แถมตอนนี้เหมือนผมจะเป็นอย่างที่พ่อว่าไปแล้วหรือเปล่า

เพราะยังเช้าอยู่ทำให้ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการขับรถมาถึงบ้านข้าวหอม ตอนนี้ผมว่าผมต้องการใครสักคนที่จะรับฟังเรื่องราวของผม แม้ตอนที่เสียจูบแรกให้ผู้ผมยังรู้สึกอายและกลัวโดนล้อเลยเลือกที่จะคุยกับพี่ฟ่างแทนที่จะเป็นข้าวหอม หากแต่เรื่องนี้ผมคงไม่กล้าที่จะไปคุยกับพี่ฟ่างหรอกครับ

“เดี๋ยวป้าไปตามคุณหอมให้นะคะ”แม่บ้านที่ให้ผมเข้ามารอในบ้านบอกก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป ทีจริงผมก็เข้านอกออกในบ้านนี้ตั้งแต่เด็กแล้วแหละครับ แถมแต่ก่อนก็เข้าถึงห้องนอนของกันและกันทั้งคู่ เพราะเราทั้งสองบ้านก็ทราบดีแล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่พอข้าวหอมคบพี่โตเลยต้องเว้นเรื่องห้องนอนไว้สักนิดแหละครับ เพราะพี่โตเองขอไว้และบอกว่า ยังไงผมก็ยังดูเป็นผู้ชายคนนึงอยู่ดี

“มาทำไมแต่เช้าเนี่ยแก”ข้าวหอมลงมาหาผมด้วยสภาพที่ยังหัวฟูๆ หน้าก็คงยังไม่ล้าง ฟันก็คงยังไม่แปรง เสื้อคลุมก็ใส่มาลวกๆ เรียกว่าดูไม่จืดกันเลยทีเดียวแหละครับ

“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนไหม”มองหัวจรดเท้าแล้วผมว่าแม้จะอยู่ในบ้านแต่ก็ควรให้มันดูเป็นคนปกติสักนิดนึงก็ยังดี ข้าวหอมมองผมอย่างเคืองๆ ที่มาทำลายเวลานอนตอนเช้าๆ แบบนี้

“เรื่องสำคัญไหม ถ้าไม่สำคัญนะ ชั้นจะไปนอนต่อ”หญิงสายทำท่าหาวอย่างไม่สนใจอะไรผม มองเหมือนผมเป็นแค่คนมารบกวนการนอนของเธอ

“มาเช้าขนาดนี้คิดว่าไง”ผมกดเสียงต่ำบอก เพื่อเน้นว่าผมเนี่ยเพื่อนสนิทเธอ และกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ คิดไม่ตก กลุ้มใจอย่างมากแล้วด้วย หรือนี่สีหน้าผมยังดูเครียดไม่พอ

“ไม่สำคัญ งั้นไปนอนต่อละ”

“คุณเพื่อนหอมสุดสวย ตื่นก่อนตื่น”ผมรีบคว้าแขนของเพื่อนสนิท จับเขย่าตัวดึงสติให้ แต่ข้าวหอมก็ยังทำหน้าตาเบื่อโลก และพร้อมหลับเช่นเดิม แต่มีเหรอที่ผมจะปล่อยไป ผมรีบลากข้าวหอมออกจากบ้านเดินตรงไปศาลา ในสวนนอกบ้าน

“คือ...เอ่อจะเริ่มยังไงดี”พอออกมานั่งกันสองคน ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี ข้าวหอมก็เริ่มจะทำหน้าเอือมระอากับผมแล้ว เอาวะ ยังไงเราทั้งคู่ก็เพื่อนสนิทกันที่เล่าและคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนเรื่องผมปลื้มพี่ต้าร์ผมก็เล่าให้ข้าวหอมฟัง หรือเรื่องระหว่างข้าวหอมกับพี่โต ยัยหอมนี่ก็เล่าให้ผมฟังเสียละเอียดยิบเช่นกัน

“คือชั้นกับภู่...”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดมากไปกว่านั้น โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น ชื่อของคนที่ผมกำลังจะพูดถึงโชว์อยู่ที่หน้าจอ นี่เค้าคงตื่นแล้วสินะ ผมลังเลที่จะรับแต่พอเห็นสีหน้ารำคาญของข้าวหอมทำให้ต้องตัดสินใจที่จะรับ

“แป๊บนึงนะแก อย่าเพิ่งหนีชั้นไปนอนละ”ผมกำชับพร้อมเตรียมที่จะลุกไปคุยโทรศัทพ์

“โน โน โน นั่งแล้วรับตรงนี้ค่ะยู หอมจะฟังด้วย ถ้าลุกนี่กลับไปนอน โอเคไหมยู”ผมจำใจต้องนั่งลงตามเดิม แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงขนาดให้ผมเปิดลำโพงคุย เพราะถ้าขนาดนั้นผมคง ยอมไม่รับสายเสียยังจะดีกว่า

“ลุงหายไปไหน”น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ฟังน่าหมั่นไส้จนถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเบ้ปากใส่ไปแล้ว แต่นี่ผมอยู่ต่อหน้าข้าวหอมเลยต้องยังทพหน้านิ่งๆ ไว้ก่อน

“พอดีพี่ต้องมาบ้านพ่อนะ”ผมไม่ได้โกหกนะครับเพราะพอมาถึงนี่แล้วก็เริ่มคิดว่า ผมควรเข้าไปขอโทษพ่ออยู่เหมือนกันที่เมื่อวานพูดจาไม่ค่อยดีออกไป แต่ขอตั้งหลักที่บ้านข้าวหอมนี่ก่อน

“มีไรทำไมต้องออกไปแต่เช้าขนาดนี้ แถมไม่ยอมปลุกผมด้วย”ผมอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาเพราะน้ำเสียงตัดพ้อของเค้า ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ตัวโตๆ อย่างเค้ามาทำเสียงอ้อนมาทำเป็นงอนแบบนี้มันดูไม่เข้ากันเลยครับ

“เมื่อวานพี่มีปัญหากับพ่อนิดหน่อยนะเลยว่าจะมาเคลียร์นี่แหละ”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะคิดว่ามันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง จริงๆ กับครอบครัวเสียทีไม่ใช่ปล่อยให้มันจริงจังแบบปลอมๆ เรื่อยมาจนเป็นอย่างตอนนี้

“แล้วนี่พี่โอเคหรือเปล่า”น้ำเสียงเค้าเปลี่ยนมาเหมือนเป็นห่วงผมอยู่ในที แล้วผมเองก็รู้สึกดีแปลกๆ กับคำพูดของเด็กบ้านี่เสียด้วยสิ ถ้าไม่ติดว่ามียัยข้าวหอมนั่งจ้องและเงี่ยหูฟังขนาดนี้ ผมคงยิ้มกว้างออกไปแล้ว

“ก็ไม่รู้สิ เพิ่งมาถึงถึงยังไม่ได้คุยกันเลย”ที่จริงต้องบอกว่า ผมยังไม่เข้าบ้านเลยจะถูกกว่า แต่ก็นั่นแหละผมไม่อยากอธิบายให้มันยืดยาวหรือมากความไปมากกว่านี้ เพราะถ้าจะเล่าจริงๆ มันคงไม่จบง่ายๆ แถมเรื่องที่ผมมีปากเสียงกับพ่อเมื่อวาน ก็มีส่วนเกี่ยวกับตัวเค้าอีกด้วย

“เปล่า...ผมหมายถึงเมื่อคืนพี่โอเคหรือเปล่า”ผมคงประเมินเด็กบ้านี่ดีเกินไปสินะครับ ไอ้เด็กกวนประสาท ไอ้เด็กทะลึ่ง ผมได้แต่ด่าอยู่ในใจ และพยายามเก็บอาการแต่ก็รู้สึกแล้วว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อนผ่าวเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา นี่หน้าผมคงไม่แดงจนข้าวหอมสังเกตได้หรอกนะ

“ไอ้เด็กบ้า มาถามอะไรเนี่ย”ผมพยายามทำเสียงดุ แต่ตีสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด ก็ข้าวหอมจากที่ง่วงๆ ทีแรกตอนนี้เหมือนตื่นเต็มที่จ้องผมแทบไม่กระพริบแล้วครับ

“เขินเหรอลุง”นี่ก็ยังไม่หยุดอีกครับ ทำมาเป็นรู้ทันผม นี่ผมว่าเด็กบ้านี่ต้องกำลังยิ้มกว้างอย่างพอใจอยู่แน่นอนเลยที่แกล้งผมได้

“หยุดพูดเลยนะ”ผมแกล้งทำเสียงดุ เพราะไม่อยากให้เค้าพูดมากไปกว่านี้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะครับ ถ้าผมอยู่คนเดียวผมก็คงปล่อยเค้าพูดไปนั่นแหละ

“ก็ผมตื่นมาไม่เจอลุง ผมก็กลัว”ไอ้เสียงอ่อยๆ นี่ผมก็ว่าเค้าแสร้งทำเหมือนกันนั่นแหละครับ อย่างเด็กนี่ไม่มีสลดจริงๆ หรอกครับ รู้จักกันมาสักพักขนาดนี้แล้ว หลอกผมไม่ได้หรอก

“กลัวอะไร”ผมถามอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะคงไม่ได้มีสำคัญนักหนาหรอกครับที่โทรมาหาผมเนี่ย

“กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง”

“ไอ้...สรุปนี่ไม่ได้มีธุระอะไรใช่ไหม พี่จะได้วาง”ผมกำลังอ้าปากจะด่าแล้วนะครับ เล่นพูดอะไรมาของเค้าเนี่ย ใครฟันใครกันแน่ยังมาทำเป็นพูดอีก นี่ผมต้องปรับสีหน้ากับน้ำเสียงลงแทบไม่ทัน เพราะสายตาของข้าวหอมก็คมกริบเหลือเกิน

“แหมลุงก็ ไม่ต้องมาทำโมโหกลบเกลื่อนหรอกครับ เขินผมอะดิ”เสียงหัวเราะอย่างพอใจเจือมาในน้ำเสียงของเค้าด้วย จนตอนนี้ผมอยากจะสามารถทะลุผ่านสัญญาณโทรศัพท์แล้วลากคอเค้ามาบีบตรงหน้านี่ให้หายหมั่นไส้สักหน่อยก็ยังดี

“พี่วางละนะ”ผมบอกอย่างไม่สบอารมณ์จริงๆ ครับรอบนี้ เพราะเริ่มเหนื่อยที่จะต้องรับมือทั้งคนในสายแล้วก็คนตรงหน้านี่อีกครับ เรียกว่าศึกหนักสองด้านกันเลยทีเดียวเชียวครับ คนนึงก็กวนประสาท อีกคนก็เตรียมจับผิดสายตายิ่งกว่าตาเหยี่ยว

“เดี๋ยวสิลุงแซวนิดแซวหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปได้ แค่จะบอกว่าคิดถึง เย็นนี้รีบกลับมานะครับ”เค้าเรียกไว้ก่อนที่จะวางสาย นี่ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะครับ ทำไมรู้สึกดีกับคำที่เค้าบอกให้รีบกลับนั่น นี่ต้องพยายามกลั้นยิ้ม ไม่ให้มันกว้างมากนัก ก่อนจะบอกให้เค้าวางสายไปจริงๆ สักที

“นี่คือคุยกับแฟน หรืออะไร ใครยังไง รีบเหลามาเลย”บอกแล้วครับว่าทางนี้ก็ศึกหนักสำหรับผมเหมือนกัน แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะมาเล่าให้ฟัง แต่ผมก็ยังทั้งเขิน ทั้งอายไปหมดนั่นแหละครับ ก็มันเพิ่งครั้งแรกของผมนี่ครับ อะไรๆ มันก็ดูยุ่งยากไปหมดเลยสำหรับผม ทั้งความรู้สึก ทั้งการจะทำตัวยังไง

“คุยกับภู่”ผมบอกไปตามตรง ทำให้คนตรงหน้า ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นเดินมาจ้องหน้าผม อย่างพิจารณาใกล้ๆ จนผมต้องเอนตัวเบี่ยงหนี

“น้องภู่สุดหล่อนั่นอะนะ นี่แกคุยกันมุ้งมิ้ง งุ้งงิ้งขนาดนี้แล้วเหรอ ฟังๆ ดูนึกว่าได้กันแล้วเหอะ”นั่นไงครับ บอกแล้วว่าเพื่อนผมตาเหยี่ยว นี่ขนาดแค่ฟังผมคุยโทรศัพท์แค่นี้ยังคาดเดาได้แม่นขนาดนี้

“ก็ได้แล้ว”ผมพึมพำบอกไปเสียงเบา อย่างอายๆ

“อะไรนะ”ข้าวหอมถามทันควันแต่เหมือนยังไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน เลยถามย้ำอีกรอบ

“ก็นั่นแหละ”ผมเองก็ยังรู้สึกกระดากอายที่จะพูดซ้ำอีกแหละครับ

“นั่นแหละอะไร”ข้าวหอมก้มมาจ้องหน้าผมจนหน้าเราจะชิดกันอยู่แล้ว เหมือนบังคับว่ายังไงผมก็ต้องพูดอีกรอบ

“ก็ได้กันแล้วไง”ผมกลั้นใจบอกอย่างตัดรำคาญ

“แปง!!! ไอ้เพื่อนแรดดด ฮ่าๆ”


TBC

ใครฟันใครกันแน่ ภู่จะมากลัวอะไร
 :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 24 กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-07-2017 09:55:17
 :hao3:

อย่าทิ้งเขานะลุง
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 24 กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-07-2017 10:19:34
ใครฟันใครกันแน่นังภู่ 555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 24 กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-07-2017 12:01:13
แปง เขิน ไม่มั่นใจในสถานภาพ  :mew5:
และไม่กล้ามองหน้าภู่ หลังมีอะไรกันสินะ  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 24 กลัวโดนฟันแล้วทิ้ง 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-07-2017 18:41:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 13-07-2017 08:44:19
บทที่ 25
คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย




“แปง!!! ไอ้เพื่อนแรดดด ฮ่าๆ”เสียงเพื่อนตัวดีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จนผมต้องมองตาขวาง เพราะทั้งที่ผมคิดมากอยู่ แต่เพื่อนอย่างยัยนี่ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ

“เสียงดังทำไมเล่า เครียดอยู่เนี่ย”ผมบอกอย่างเคืองๆ เพราะเอาจริงๆ ถึงผมจะยอมรับว่ารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับภู่ แต่ผมก็ยังรู้ดีว่าสถานะระหว่างเราสองคน มันก็ยังเป็นแค่พี่น้องข้างบ้านเท่านั้นเอง

“ดูปากข้าวหอมนะคะ แรดดดด”ดูเอาเถอะครับเพื่อนผม ก็ยังจะพูดเล่นอยู่นั่น นี่ดูไม่ออกเลยใช่ไหมว่าผมกำลังคิดมากอยู่ หรือเพราะที่เห็นผมคุยกับเด็กบ้านั่นอย่างปกติ เลยคิดว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมก็แปลกใจนะครับที่ก็ยังคุยกับเด็กนั่นได้อย่างปกติ อาจเพราะมันเป็นการคุยโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากัน นี่ถ้าต้องคุยต่อหน้าผมว่าผมอาจจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ เลย

“แกแรดมาก ไปทำอีท่าไหน ได้กันยังไง เป็นแฟนกันตอนไหนทำไมไม่เล่าเลยละยู”นี่ก็ถามหน้าระรื่น รัวมาเป็นชุดเลยครับ

“ก็ไม่ได้เป็นไง”ผมหลบตาตอบเสียงเบา ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหลายๆ อย่างในหัวผมมันตีกันไปหมด ผมกับภู่เองจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ มันจะเหมือนเรื่องจูบที่ก็ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

“เดี๋ยวนะ ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ได้กันแล้ว มันคืออะไรกันนี่หอมงงไปหมดแล้ว OMG”ผมต้องรีบส่งสัญญานให้ข้าวหอมเบาเสียงลงเพราะเล่นพูดเสียดังจนแทบจะข้ามกำแพงไปให้บ้านผมได้ยินแล้ว

“ก็ถึงเครียดมาคุยกับแกนี่ไง”จริงๆ นอกจากความรู้สึกของผมกับภู่ก็เรื่องที่บ้านนี่อีกด้วยแหละครับ ผมจะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจในตัวผม

“เครียดอะไรไหนเล่ามาค่ะ”น้ำเสียงข้าวหอมดูจริงขึ้นมาหน่อย

“ก็ชั้นกับภู่ ไม่ได้เป็นอะไรกัน พอทำอะไรแบบนี้ลงไปมันก็ไม่รู้วะบอกไม่ถูก เวลาเจอกันชั้นต้องทำหน้า ทำตัวยังไง อีกอย่างเมื่อคืนนั่นชั้นก็ดื่มเบียร์ไปด้วย”ผมเริ่มจากเรื่องความรู้สึกในใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“อย่าบอกนะว่านี่แกเผลอตัวไปเพราะเมา”ข้าวหอมเริ่มมีสีหน้ากังวลเมื่อรับฟังในสิ่งที่ผมบอก

“มันก็ไม่ได้เมามาก แต่ก็ยอมรับว่าที่กล้าทำอะไรลงไปขนาดนั้นในตอนแรกก็เพราะดื่มเบียร์ไปนี่แหละ”ภาพที่ผมเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนรีรันมาอีกรอบจนผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ต้องรีบเบือนหน้าทำทีเป็นมองทางอื่น ไม่อยากให้ข้าวหอมสังเกตเห็นอาการของผมสักเท่าไหร่

“แล้วน้องภู่เมาด้วยไหม”นั่นสินะ นี่อีกคนเองทำไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นเหมือนอย่างผมหรือเปล่า

“ก็ดื่มนะ แต่ไม่น่าจะเมาเพราะเด็กนั่นคอแข็งกว่าชั้นเยอะ”ผมค่อยๆ ทบทวนและเหมือนเป็นการตอบตัวเองไปด้วย แต่อีกคนนั่นไม่น่าจะเมาเลยสักนิด แต่ผมก็คงตอบแทนตัวเค้าได้ไม่เต็มปากอยู่แล้ว

“อารมณ์พาไปด้วยกันทั้งคู่หรือเปล่าเนี่ย”ข้าวหอมเหมือนพูดทบทวนกับตัวเอง เหมือนเป็นการวิเคราะห์อย่างผู้มีประสบการณ์ที่มากกว่าผม

“แกคิดยังไงกับน้องภู่”สายตาคมกริบจ้องมาที่ผมอย่างคาดคั้น จนผมเองไม่กล้าจะสบตา

“มะ...ไม่รู้”ผมปฏิเสธการตอบคำถามเพราะ ถ้าผมตอบได้ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้

“เอ้า จะไม่รู้ได้ยังไง อยู่ใกล้ๆ แล้วใจเต้นไหม รู้สึกดีหรือเปล่าเวลาอยู่ด้วยกัน”ไอ้ใจเต้นมันก็เต้นอยู่หรอก เขินมันก็มี เวลาที่อยู่ด้วยกันผมก็ไม่ได้อึดอัดอะไร นอนเตียงเดียวกันก็อบอุ่นดี อาการพวกนี้คือผมชอบเด็กนั่นเหรอ

“แล้วก็เมื่อคืนชอบหรือเปล่า แต่ชั้นว่าแกต้องชอบแหละ น้องภู่งานดีขนาดนั้น แล้วลีลาเป็นไง แซ่บเปล่า”จากที่เหมือนจะจริงจังอยู่ๆ มันกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ยังไงกัน แล้วไอ้จินตนาการของผมนี่ก็เป็นอะไรนักหนา ใครพูดอะไรมาต้องคิดตามภาพผุดมาในหัวตลอดเลย

“ถามอะไรของแกเนี่ย”คำถามของแม่เพื่อนสนิทนี่ทำเอาผมไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ แต่ถ้านั่นทำผมไปไม่เป็นแล้ว ไอ้คำถามต่อมานี่ทำเอาผมอ้าปากค้างเลยทีเดียว

“อีกคำถามนึงอันนี้อยากรู้ส่วนตัว ใหญ่ไหม”อย่างที่บอกว่าจินตนาการผมมันดีเกินไป ไอ้สิ่งที่ข้าวหอมถามผมมันเลยมาทั้งตอนสงบนิ่ง และตอนขยายตัวแทบจะชัดระดับเอชดีเลยแหละครับ

“หอม! แกเป็นผู้หญิงไหม มาถามอะไรแบบนี้”ผมรีบสลัดความคิดและ ออกเสียงดุเพื่อนสนิท ทำเป็นไม่พอใจกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจของตัวเอง

“ฮ่าๆ เห็นท่าทางแกแล้ว แสดงว่าน้องภู่ก็คงพอตัวสินะ”นี่ผมหรือเพื่อนกันครับที่ผิดปกติ มันควรเป็นผู้หญิงไหมที่จะเขินอายกับเรื่องนี้มากกว่า แต่เราสองคนดันเหมือนสลับตำแหน่งกันเสียได้

“พอเลยแก เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรเนี่ย”ผมรีบห้ามไม่ให้ข้าวหอมพูดอะไรมากไปกว่านี้

“แหมๆ เขินใหญ่เชียว แกไม่ใช่หญิงสาววัยแรกรุ่นไม่ต้องมาสนิมสร้อยให้มาก อีกอย่างตอนนี้แกก็ไม่เวอร์จิ้นอีกต่อไปแล้ว แถมได้กินเด็กอีก โอ้ยอิจฉา”ดูเหมือนการห้ามปรามของผมก็ยังดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ เพราะข้าวหอมก็ยังคงจ้อไม่หยุด นี่ผมชักอยากให้เพื่อนคนนี้เข้าบ้านไปนอนต่อให้รู้แล้วรู้รอดละครับเนี่ย

“บ้า”ผมบ่นเบาๆ เมื่อไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว แต่รอบนี้เหมือนข้าวหอมจะหยุดคิดบางอย่างก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง

“เออ ว่าแต่แกสองคน อยู่ๆ ก็ก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้กันเลยเหรอ มันไม่มีแบบสัญญานอะไรล่วงหน้ามาบ้างเลยเหรอ”เอาแล้วไง นี่ผมต้องเริ่มเล่าไอ้พวกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกหรือเปล่าเนี่ย

“มันก็...”ผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะจริงๆ มันก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่ส่งผลมาจนถึงตอนที่ผมกล้าเป็นฝ่ายเริ่มอะไรแบบนั้น มันอาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เค้าก็มาถอดเสื้อโชว์ผม หรือเหตุการณ์เล็กๆ อย่างเค้าซื้อปาท่องโก๋ให้ผม หรือจะเรื่องที่เค้าจุ๊บแก้มผม โชว์สองสาวนั่น การที่เค้ามากอดผม ในวันที่รู้สึกนอยด์

“อะไรเล่ามา”เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไปก็คงขี้เกียจรอเลยต้องเร่งผมอีกครั้ง

“จริงๆ ภู่ก็เคยมานอนห้องชั้น 2 ครั้ง เคยถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนให้ชั้นตอนเมา แล้วก็เคย...จูบ”ผมเลือกที่จะเล่าบางส่วนที่มันดูชัดเจน พอจะเป็นสัญญานอย่างที่ข้าวหอมถามถึง

“แรด พูดเลยว่าเพื่อนชั้นแรดมาก นี่แกไม่เคยเล่าให้ชั้นฟังเลย”ก็ดูเอาเถอะว่าพอเล่าก็จะเป๋นแบบนี้ ใครจะไปอยากเล่า เดี๋ยวก็ทั้งแซวทั้งแกล้งล้ออีก

“ก็กลัวแกล้อ อีกอย่างเด็กนั่นมันก็แค่แกล้งชั้นเล่น”ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับว่าเด็กนั่นแกล้งผมเล่นเพราะเค้าเคยพูดเอง ว่าทุกอย่างที่เค้าทำมันเริ่มจากการที่อยากจะแกล้งผมเล่น แค่นั้นเอง พอมาถึงตรงนี้ใจผมมันก็เหมือนจะหน่วงๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละครับ

“แกคิดว่าที่เค้าทำนั่นคือการแกล้งเล่นเหรอ โอ้ยตายแล้วเพื่อนชั้น ไอ้พ่อคนอินโนเซนส์ พ่อคนใส ไอ้น้องแปงสองขวบครึ่ง”ผมโดนพูดใส่หน้าเหมือนกับว่าผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยงั้นแหละ

“ก็แล้วมันจะหมายความว่ายังไงเล่า”ผมถามกลับอย่างเคืองๆ

“หมายความว่าเค้าชอบแกไง เค้าชอบแกเข้าใจไหม”ข้าวหอมชะโงกหน้ามาตะโกนใส่ผมจนผมต้องรีบผลักใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นออก นี่ทำไมทั้งข้าวหอมหรือทั้งภู่เอง ดูจะสนุกเวลาได้แกล้งผมแบบนี้ ผมหันมองเพื่อนอีกครั้งอย่างเคืองๆ

“ใช่เหรอที่แกพูดนั่นนะ”แม้จะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูดแต่ผมก็แอบลอบยิ้มจางๆ โดยไม่ให้ข้าวหอมเห็น อยู่เหมือนกันนะครับ

“โอ้ยแกนี่มันยังไง กลัวโดนเด็กหลอกหรือไง แต่ชั้นว่าเอาจริงๆ ต่อให้เสียซิงเพราะโดนเด็กหลอกก็คุ้มนะแก คิดเสียว่าหาประสบการณ์ กินเด็กเป็นกำไรชีวิตงี้”มันก็ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะครับ แค่มันยังไม่อยากคิดอะไรไปไกล ผมเองแค่รู้สึกว่ามันยังไม่มีอะไรให้มั่นใจสักอย่างเท่านั้นเอง

“เออๆ เลิกเครียด ชั้นว่าแกก็ต้องพอรู้นั่นแหละว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับน้องภู่ และก็คงพอสัมผัสได้ว่าน้องภู่รู้สึกยังไงกับแก เพียงแต่พวกแกอาจจะยังไม่ได้คุยกันให้ชัดเจน เพราะงั้นกลับไปก็เคลียร์กันให้เรียบร้อย จะได้มีผัว เอ้ยมีแฟนกับเค้าสักที”แฟน ผมจะมีแฟนงั้นเหรอ พอได้ยินคำนี้ จากที่กำลังจะหายเครียดลงบ้างจากการฟังข้าวหอมอภิปราย แต่คำว่าแฟน ก็ทำให้นึกถึงคำพูดของแม่ที่พยายามที่จะยังไม่ให้ผมมีแฟน แต่หนักสุดคงประเด็นที่ผมเกือบทะเลาะกับพ่อเมื่อวานมากกว่า

“อะไร นี่ยังเครียดอะไรอีกละเนี่ย”สีหน้าอาการผมคงแสดงออกชัดเจนจนข้าวหอมต้องถามอีกรอบ

“ก็เรื่องพ่อด้วยแหละแก เมื่อวานแกไม่เห็นหรือไง”ผมบอกอย่างเซ็งๆ ก่อนที่ข้าวหอมเองจะถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกันกับผม

“นี่ถ้าไม่ติดว่าชั้นยังคิดจะแต่งงานกับพี่โตนะ ชั้นจะลงทุนแต่งกับแกบังหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”แม้จะพูดให้ดูขำ แต่บอกตรงๆ ว่าทั้งผมและข้าวหอมเองก็เหนื่อยหน่ายกับประเด็นนี้เต็มทน

“เดี๋ยวว่าจะเข้าไปขอโทษเค้าเรื่องเมื่อวานอยู่เนี่ย แล้วก็คงคุยเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ให้เด็ดขาดแล้วละ”ผมพูดออกไปอย่างมุ่งมั่น จะได้เลิกปวดหัวกับเรื่องนี้เสียที อีกอย่างถ้าภู่คิดกับผมอย่างที่ข้าวหอมคาดเดาจริงๆ ผมก็ยิ่งที่ควรจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้

“ก็ดีแก แต่ก็ไม่ต้องคุยละเอียดถึงขนาดเล่าเรื่องว่าที่แฟนให้ฟังเหมือนเล่าให้ชั้นฟังก็ได้นะ พ่อกับแม่แกคงยังรับไม่ทัน”คำพูดที่พยายามปลอบใจพูดให้ตลกขึ้นมาเพื่อคลายความกังวลของผม พอจะช่วยได้บ้างนิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ ข้าวหอมให้กำลังใจผมอีกนิดหน่อยก่อนจะ ขอตัวกลับไปนอนต่อ ส่วนผมก็เข้าบ้านตัวเองครับ

“พ่ออยู่ใช่ไหมเจ้”คนแรกที่เจอคือพี่สาวของผม ที่ดูมีสีหน้าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมที่บ้าน

“นึกว่าจะเตลิดไปมากกว่านี้เสียอีก น้องเจ้เริ่มโตแล้วมั้งเนี่ย”เจ้ปอเดินมาสวมกอดผม อย่างให้กำลังใจ เพราะอย่างที่พี่สาวผมบอก ทุกทีเวลาคุยเรื่องนี้กันแล้วเริ่มจะมีปากเสียงกันรุนแรง ผมก็มักจะไม่เข้าบ้าน แต่ปกติก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ บ้านข้าวหอมบ้าง คอนโดเพื่อนคนอื่นบ้าง ครั้งนี้ทุกคนก็คงคิดว่าผมจะหายไปนานเพราะตอนนี้ผมเองก็พักที่อื่นด้วย

“ก็ไม่ใช่เด็กแล้วไหมละเจ้”ผมกอดพี่สาวเพื่อรับกำลังใจ ก่อนจะเดินตามหลังตรงเข้าบ้านไปยังห้องนั่งเล่นที่ทั้งพ่อและแม่ผมนั่งอยู่ด้วยกันทั้งคู่ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสองท่านก็ดูจะแปลกใจเหมือนกันที่เห็นผม

“ขอโทษที่เมื่อวานทำตัวแบบนั้นนะครับ”ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน แม่หันมายิ้มให้ผมเหมือนรับรู้และไม่ได้ติดใจอะไรอีก แต่พ่อผมนิ่งเงียบไป เหมือนขบคิดบางอย่าง ก่อนจะหันมายิ้มจางๆ ให้กับผม

“อืม ไม่เป็นไร พ่อเองก็คงพูดแรงเกินไปด้วยแหละ”ผมงงนะครับเนี่ย ทำไมดูทั้งพ่อและแม่เข้าใจผมง่ายๆ ขนาดนี้

“ตกลงพ่อกับแม่ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมคครับ”ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจซึ่งทั้งพ่อและแม่รวมทั้งเจ้ปอก็พยักหน้ารับ ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ทำให้ผมตัดสินใจนั่งลงข้างๆ พ่อ

“งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนเลยได้ไหมครับ ว่าผมไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงได้”ผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะอยากให้เรื่องนี้มันสิ้นสุดลงสักที

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พ่อเข้าใจ ที่จริงก็เข้าใจมานานแล้ว เพียงแค่ยังไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วสินะ ที่จะต้องยอมรับมันจริงๆ เสียที”ผมหันมองหน้าทุกคนอย่างประหลาดใจ ทำไมอะไรๆ มันลงเอยง่ายๆ แบบนี้ไปได้ละเนี่ย

“ทำไมมันต่างจากเมื่อวานจัง นี่ผมชักงงๆ นะครับเนี่ย”

“ก็เมื่อวานพอเราออกไปพ่อเค้าได้คุยกับว่าที่ลูกเขยคนโปรดนะสิ”เจ้ปอกล่าวถึงแฟนหนุ่มที่เหมือนว่าเมื่อวานแกก็พยายามจะพูดอะไรกับผมแหละ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะฟัง

“ต๊าฟเค้าเล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง ว่าครอบครัวเค้ายอมรับในตัวน้องชายที่ชอบเพศเดียวกันตั้งนานแล้ว เพราะสิ่งที่คนในครอบครัวมีความสุข เราก็ควรให้เค้าได้เจอความสุข ไม่ใช่กีดกันให้เจอความทุกข์ แต่ครอบครัวฝั่งแฟนน้องชายต๊าฟ ก็มีบททดสอบมากมายกว่าจะยอมรับความรักของทั้งคู่ได้”ถ้ารู้ว่าพ่อจะรับฟังว่าที่ลูกเขยคนโตง่ายๆ แบบนี้ผมให้พี่ต๊าฟช่วยพูดนานแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละผมก็ไม่ได้รู้เรื่องน้องชายพี่ต๊าฟสักเท่าไหร่ เรียกว่ายังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ

“พ่อฟังแล้วก็เลยมาลองทบทวนดู ว่าอะไรที่มันเป็นความสุขของลูกชายพ่อก็ควรจะยินดีด้วย จริงไหม”ผมขยับเข้าไปกอดพ่อ นี่สินะที่เค้าบอกว่า ยังไงพ่อกับแม่ก็รักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง

“ขอบคุณ ขอบคุณครับพ่อ”ผมบอกพร้อมกับน้ำตาที่มันออกมาเพราะความตื้นตัน

“เอ้าจะร้องทำไม หยุดได้แล้ว”พ่อลูบหัวผมอย่างเอ็นดู แล้วทุกคนก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจริงๆ สำหรับทุกๆ คน ผมว่าผมสัมผัสได้

“แม่เองก็คงไม่ห้ามเรื่องแปงจะมีแฟนอีกแล้วละ”ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลง เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง และเปลี่ยนไปของผู้เป็นพ่อ

“แต่พ่อขออีกนิด นิดเดียวจริงๆ”สีหน้าขรึมนั้นทำเอาผมลุ้นแทบแย่ ซึ่งก็ไม่ใช่ผมคนเดียวเพราะแม่ผมเองก็มองพ่อตาขวางไปแล้วเช่นกัน คงกำลังรู้สึกเช่นเดียวกันว่าพ่อจะเป็นฝ่ายห้ามอะไรผมอีกหรือเปล่า

“ไม่ต้องมองแบบนั้น คุณก็แหม ผมไม่ได้จะห้ามลูกมีแฟน ผมก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกเราโดนใครมาหลอกเอาได้”ทำไมทุกคนดูจะกังวลเรื่องผมโดนหลอกกันจังเลย นี่ผมดูหลอกง่ายขนาดนั้นหรือไง แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กบ้าที่น่าจะเป็นคนเดียวที่เข้าข่ายคนจะมาหลอกผมได้ ผมก็ยิ้มออกมา เพราะผมไม่กลัวเค้าสักนิดเลยครับ

“น้องชายของต๊าฟเนี่ย แฟนเค้าเป็นถึงนักเรียนนอก จบมาก็เปิดธุรกิจของตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวช่วยกันทำมาหากิน แบบนั้นมันถึงทำให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย วางใจให้เค้าคบหากันได้ แพราะงั้นแปงเอง พ่อก็อยากให้เลือกนิดนึงนะลูก จะคบใครก็ต้องหาที่มันเหมาะสมกับเรา พ่อไม่ได้หมายความว่าลูกพ่อต้องไปเลือกคนมีเงิน คนรวยอะไรแบบนั้น แต่พ่ออยากให้เลือกคนที่เราจะฝากผีฝากไข้ได้ เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ดี จะได้ดูแลลูกชายตัวน้อยของพ่อได้”จากที่ตอนแรกผมยิ้มกว้าง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ

“ครับ”ผมเลือกที่จะรับคำโดยไม่ถามอะไรอีก แต่ในใจกำลังนึกถึงอีกคนว่าคุณสมบัติเค้าตรงตามที่พ่อผมวางไว้หรือเปล่า ว่าแต่นี่ผมกับเด็กนั่นก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเสียหน่อย ผมจะรีบพิจารณาคุณสมบัติเค้าตามที่พ่อตั้งไว้ทำไมละเนี่ย



TBC


เอ้าน้องภู่จะผ่านเกณฑ์ไหม

 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 13-07-2017 10:55:46
น่ารักน่าติดตาม
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-07-2017 12:38:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-07-2017 13:27:00
คุยกับพ่อแล้ว
แปง จะยิ่งคิดมากกกกก ขึ้นอีกล่ะสิ
ก็ภู่ดูไม่เข่าข่ายที่พ่อพูดคุณสมบัติของแฟนแปงเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-07-2017 14:06:25
 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-07-2017 14:21:03
 :เฮ้อ:   หนักใจเลยสิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 25 คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-07-2017 15:51:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-07-2017 08:33:06
บทที่ 26
เพราะคิดถึงจึงมาหา



ผลจากการหยุดงานไปสองวัน ทำให้วันนี้ผมแทบจะไม่มีเวลาหายใจหรือทำอะไรอย่างอื่นเลยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าการที่หยุดงานแค่ 2 วันแบบนี้งานมันจะสุมมากองจนท่วมหัวได้ขนาดนี้ นี่ทำให้ผมแทบลืมเรื่องที่คั่งค้างในใจ วางทิ้งไว้ข้างหลังก่อนแล้วกันครับ นี่ตั้งแต่เมื่อวานผมค้างที่บ้าน ภู่โทรมาผมก็ไม่ได้รับมาวันนี้ผมก็งานยุ่งจนแทบไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย นี่เค้าคงไม่ได้คิดมากที่ผมไม่รับสายเค้าใช่ไหม

“ฟิต ฟิต”เสียงแซวจากพี่ต้าร์ดังมา นี่สงสัยงานตัวเองเสร็จแล้วสินะ ส่วนงานผมนะเหรอครับจะว่าเหลือเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย จริงๆ ก็ต้องส่งภายในพรุ่งนี้นั่นแหละครับ แต่จะให้ดองไว้ทำทีเดียวพรุ่งนี้ก็คงไม่ใช่ ผมทำเป็นไม่สนใจพี่ต้าร์ แต่ทางพี่ต้าร์ก็ดูไม่ได้แคร์ปฏิกิริยาของผม เพราะพี่แกเล่นมานั่งแหมะลงเบียดเก้าอี้ตัวเดียวกับผม

“ทำตัวรุ่มร่ามกะน้อง จะฟ้องพี่กุ้ง”ผมหันไปขู่ แม้ช่วงนี้เราจะสนิทกัน เล่นกันถึงเนื้อถึงตัวได้ ผมเองก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไรกับพี่แกแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังยุ่งและไม่ว่างที่จะเล่นด้วย

“เดี๋ยวนี้ทำมาเป็นหวงเนื้อหวงตัว ไหนดูสิมีร่องรอยได้เสียกับใครมาหรือเปล่า”ผมรีบเบี่ยงตัวหลบเพราะพี่ต้าร์เล่นจะมาส่องในเสื้อผมเลย แม้จะไม่รู้ว่าตามตัวผมเองจะยังหลงเหลือร่องรอยอะไรไหม แต่ก็ควรกันไว้ก่อนถ้าเกิดยังมีอยู่เนี่ย ผมคงโดนซักฟอกทั้งออฟฟิศเป็นแน่

“ไม่เอาพี่ต้าร์เล่นไรเนี่ย จะทำงาน”มือผมยันพี่ต้าร์ไว้อย่างสุดกำลัง แต่ไอ้พี่ต้าร์นี่ก็ไม่ยอมแพ้ยังจะยื้อเข้าหาตัวผมให้ได้

“มีพิรุธ มีพิรุธ”ตอนนี้เหมือนฝ่ามือเราทั้งคู่ต่างดันหน้าอีกคนอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่นี่ผมใกล้จะเพลี้ยงพล้ำแล้วเพราะสู้แรงควายจากไอ้พี่ต้าร์ไม่ได้ สุดท้ายผมก็โดนไอ้พี่ต้าร์จับล็อคคอจนได้ นี่พอสนิทกันก็ชักเล่นแรงขึ้นเรื่อยๆ นะครับเนี่ย

“พิรุธอะไรเล่า เห็นไหมเนี่ยว่างานสุมหัวอยู่ ถ้าไม่ช่วยก็อย่าเพิ่งกวน”ในเมื่อสู้แรงไม่ได้ผมก็ต้องเก็บอาการทำเป็นนิ่ง เอาเรื่องงานขึ้นมาอ้าง แต่จริงๆ ผมก็ทำงานอยู่แล้ว ทำไมผมไม่พูดเรื่องงานตั้งแต่แรกวะเนี่ยจะได้ไม่ต้องสู้กันให้เมื่อยเปล่าๆ แต่ก็นั่นแหละครับพูดไปไอ้พี่ต้าร์นี่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี

“แปง”ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดพ่อพระของผมก็มาโปรด นี่ถ้าพี่ฟ่างมาช้าอีกนิดเดียวผมคงโดนไอ้พี่ต้าร์เลิกเสื้อขึ้นดูจริงๆ เป็นแน่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้ว่าไอ้พี่ต้าร์จะยังไม่ยอมปล่อยผมก็ตามที

“ครับพี่ฟ่าง”ผมรีบรับคำพี่ฟ่าง พยายามดันตัวพี่ต้าร์ออกแต่ก็ยังไม่เป็นผล แถมยิ่งดิ้นไอ้เชี่ยพี่ต้าร์นี่ก็ยิ่งรัดผมแน่นเข้าไปอีก อย่าให้ผมเจอพี่กุ้งนะ จะฟ้องให้จัดการเสียให้เข็ด

“มีคนมาหาแนะ”ผมนิ่วหน้ากับสิ่งที่พี่ฟ่างพูด เพราะเหมือนแกจะมองมาที่ผมไม่ใช่พี่ต้าร์ แต่ใครจะมาหาผม ที่บ้านผมก็ไม่น่าจะใช่ ข้าวหอมถ้าจะมาก็น่าจะโทรมาหรือบอกผมล่วงหน้า แต่ที่จริงผมก็ยุ่งจนไม่ทันได้ดูโทรศัพท์ด้วยแหละครับ

“มาหาผมเหรอพี่”ผมชี้หน้าตัวเองเพื่อยืนยันอีกครั้งเพราะยังไม่มั่นใจว่าจะมีใครมาหาผม

“อือ พอดีพี่มาจากข้างนอกเห็นรออยู่ข้างล่าง”พี่ฟ่างยืนยันกับผมพร้อมเข้ามาชี้หน้าไอ้พี่ต้าร์ให้ปล่อยผม ผมรีบสลัดพี่ต้าร์ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พ่อพระอย่างพี่ฟ่างจะแยกตัวไป

“ขอบคุณครับ”ผมรีบบอกตามหลังพี่ฟ่างไป ขอบคุณทั้งเรื่องมาบอกว่ามีคนมาหา และที่สำคัญขอบคุณที่มาช่วยไม่ให้ไอ้พี่ต้าร์นี่จับผิดผม

“นัดใครไว้เนี่ย”พี่ต้าร์ยังจ้องมาที่ผมอย่างจับผิด

“ผมยังไม่รู้เลยว่าใครพี่”ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะก็ไม่รู้จริงๆ ว่าใครมาหา ตอนนี้รู้แต่ว่าต้องรีบสลัดไอ้พี่ต้าร์ออกให้เร็วที่สุดผมรีบเดินอย่างเร็วเพื่อลงลิฟต์ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังประตูลิฟต์ปิดลง พอประตูลิฟต์เปิดออกสายตาผมก็เริ่มมองหาคนที่ผมน่าจะรู้จักจนสายตาหันไปเจอหนี่งคนที่หันหลังอยู่ หนึ่งคนที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน

“มาได้ไง”ผมเดินเข้าไปสะกิดหลังเค้า เมื่อแน่ใจแล้วว่าเค้าน่าจะคือคนที่มาหาผม

“ลุง”เค้าหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ผม แม้จะรู้ดีใจแปลกๆ ที่เค้ามาหา แต่มันก็มีความกังวลนิดๆ เพราะไอ้การเจอเค้าด้วยชุดนักเรียนนอกบ้านครั้งก่อนมันคือการที่ผมต้องไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้กับเค้า

“ภู่มีอะไร ไม่ได้มีเรื่องที่โรงเรียนอีกใช่ไหม”น้ำเสียงเจือด้วยความกังวลของผมถามออกไปเพราะเป็นห่วง แต่อีกคนกลับหุบยิ้มลง แล้วส่งสายตาเคืองๆ มาให้ผมแทน

“โหลุง ผมจะมาเพราะคิดถึงลุงเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”เค้าเข้ามาประชิดจนผมต้องถอยออก มองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครดูเราอยู่ เพราะถึงแม้ที่ทำงานผมจะอยู่ชั้นบน แต่แถวนี้ก็คงไม่เหมาะที่ผมกับเค้าจะใกล้ชิดหรือถึงเนื้อถึงตัวกันสักเท่าไหร่

“พูดอะไรเนี่ย”ผมเดินนำเค้ามาที่มุมนึงที่ผมมองเห็นว่ามีโซฟาว่างอยู่ และน่าจะเหมาะกว่าการที่เรายืนคุยกันอยู่แบบนี้

“ก็ลุงไม่กลับบ้าน”น้ำเสียงตัดพ้อของเค้าทำให้ผมที่เดินนำอยู่ต้องหันกลับไปมองคนที่ทำหน้าหงิกเดินตามผม ไอ้เด็กบ้าเอ้ยมาทำพูดจาเสียงอะไรแบบนี้ที่นี่กันละ คิดมากหรือไงเนี่ย

“ก็พี่ไปค้างที่บ้านพ่อแม่ไง”ผมนั่งลงที่โซฟา ส่วนเค้าก็นั่งลงอีกด้านโดยที่ยังทำหน้างอไม่พอใจผมอยู่ เค้าก็รู้นี่นาว่าผมแค่กลับไปนอนบ้าน ไปเคลียร์ปัญหากับพ่อ ซึ่งเอาจริงๆ จะว่าไปเรื่องพ่อผมก็ยังติดอยู่หน่อยๆ ตรงคุณสมบัติแฟนผมนี่แหละครับ

“โทรมาลุงก็ไม่รับ”เค้ายังคงหน้างอ ตัดพ้อผมอย่างต่อเนื่อง นี่ผมต้องแก้ต่างให้ตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้ทำผิดอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย

“หยุดงานไปตั้งสองวัน งานสุมหัวฟูจนไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย”อันนี้ที่จริงส่วนนึงผมก็ยังสับสนด้วยแหละครับ ว่าระหว่างผมกับเค้ามันจะเป็นยังไงต่อ

“ผมนึกว่าลุงจะทิ้งผม”อันนี้ผมว่าเด็กบ้านี่เริ่มแกล้งผมแล้วครับ นั่นไงสายตาเค้าเริ่มวาววับ ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก แล้วไอ้ประโยคนี้อีก ทำไมชอบพูดจังว่าผมจะทิ้งเค้า แล้วเรื่องทิ้งนี่เราต้องเป็นอะไรกันก่อนไหมถึงจะทิ้งได้ แต่ระหว่างเราสองคน แม้จะเอ่อ...เกินเลยกันไปบ้างแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมานิว่ามันคืออะไร ยังไง

“ทิ้งบ้าอะไร พี่ติดงานจริงๆ”ว่าแต่ตกลงทำไมผมต้องมาอธิบายให้เค้าเข้าใจทุกอย่างแบบนี้ด้วยเนี่ย

“งั้นวันนี้ผมรอกลับบ้านด้วย”เดี๋ยวครับเดี๋ยว ถ้าขืนผมปล่อยเค้าไว้นี่แล้วทุกคนในออฟฟิศผมลงมาเจอตอนกลับบ้านนี่ผมไม่อยากจะคิดสภาพสักเท่าไหร่นะครับ พี่ฟ่างที่เจอนั่นคงจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไอ้พี่ต้าร์กับเจ้โอ๋มาเจอนี่ แค่คิดผมก็สยองแล้วครับ

“วันนี้นัดกับที่บ้านไว้แล้วว่าจะไปค้าง”อันนี้ที่จริงก็ไม่เชิงหรอกนะครับ คือที่บ้านก็อยากให้ผมค้างอีกสักคืนนั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้ตอบตกลงแน่นอน ขอดูก่อนว่าเลิกงานช้าหรือเปล่าถ้างานเสร็จช้าอาจจะไม่เข้าบ้าน แต่ตอนนี้ผมว่าผมกลับไปนอนบ้านอีกสักคืนน่าจะดีกว่า อีกอย่างผมจะได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรอีกสักนิด

“หลบหน้าผมปะเนี่ย”เค้ายื่นหน้ามาหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แต่รอบนี้ผมจ้องกลับเพราะผมว่าผมก็ไม่ได้ตั้งใจหลบเค้านะ

“ไม่มีอะไรจริงๆ พรุ่งนี้พี่ก็กลับไปปกติแหละ”ผมบอกออกไปตามตรง แต่สีหน้าเค้าดูนิ่งๆ แล้วก็พูดออกมาเสียงจริงจัง

“เรื่องคืนนั้น...”เค้าเว้นวรรคไว้แค่นั้น และผมเองก็ไม่พูดอะไร เราต่างคนต่างเงียบไปทั้งคู่ แม้จริงๆ ผมเองก็อยากจะคุยเรื่องนี้กับเค้าอย่างจริงจัง แต่มันคงยังไม่ใช่คุยที่นี่

“เอาไว้คุยกันอีกทีนะ พี่ยังต้องทำงานต่อ”ผมปฏิเสธเพราะคิดว่าเรื่องนี้เราควรไว้คุยกันในที่ที่มันส่วนตัวมากกว่านี้ พอปฏิเสธที่จะคุยเรื่องนี้ผมก็เตรียมที่จะกลับขึ้นไปทำงานเพราะนี่ก็ยังอยู่ในเวลางานของผมอยู่

“เดี๋ยวสิครับ”เค้าคว้าข้อมือผมยื้อไว้ ไม่ยอมให้ลุก

“คือที่จริงวันนี้ที่ผมมา...”ทำไมวันนี้เค้าชอบพูดค้างแล้วเว้นวรรคหยุดไว้แบบนี้จังเลย ทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ นี่ดูไม่เป็นตัวเค้าสักเท่าไหร่เลย ปกตินี่พูดอะไรออกมาไม่เห็นจะกระมิดกระเมี้ยนแบบนี้เลยสักนิด

“มีอะไรหรือเปล่า”จะว่าถามตัดรำคาญให้จบๆ ไปก็ได้นะครับ คือถึงจะยังเกร็งๆ กับเค้าอยู่บ้างแต่นี่ผมก็ลงมานานแล้วและงานผมเองก็ยังไม่เสร็จ จะมามัวโอ้เอ้แบบนี้ มันคงไม่ใช่ผลดีกับผมแน่ๆ

“พรุ่งนี้ที่โรงเรียนผมมีงานเปิดโลกกิจกรรม”เค้าบอกก่อนจะเหมือนรอดูปฏิกิริยาของผม แล้วก็เงียบไปพักนึงจนผมเองที่รอไม่ไหว ถามออกไปด้วยความสงสัย

“แล้ว???”คิ้วผมเลิกขึ้นด้วยความสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าการที่โรงเรียนเค้ามีงานเปิดโลกกิจกรรมเนี่ย มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย

“ก็เค้าเปิดให้ผู้ปกครองเข้าไปดูด้วยไง”เค้าทำหน้าเซ็งๆ ใส่ผม แล้วนี่จะมาทำเซ็งใส่ผมทำไมละเนี่ยไอ้เด็กบ้านิ

“พี่ต้องไปด้วย?”ผมชี้ที่ตัวเอง เป็นการย้ำแม้จะเริ่มรู้แล้วว่าเค้าคงมาบอกให้ผมไปร่วมงานด้วยนั่นแหละ แต่อยากแกล้งเค้าอีกสักหน่อย

“ก็ใช่สิครับลุง ไปดูผมเล่นดนตรีไง”เค้าบอกอย่างภูมิอกภูมิใจ จนผมชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้ว

“ให้เล่นให้ดูที่บ้านไม่เล่น ต้องตามไปดูถึงโรงเรียนอีก”ผมแกล้งทำเป็นบ่น แต่จริงๆ ก็อยากเห็นเค้าเล่นเหมือนกันแหละครับ ลีลามาตั้งนาน

“มันก็ต้องเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่หน่อยสิครับ”

“สรุปที่มาหานี่คือจะมาชวนให้ไปดูเล่นดนตรีว่างั้น”เอาจริงๆ ทีแรกผมก็นึกว่าเค้าจะอยากมาคุยกับผมเพราะเรื่องคืนนั้นเฉยๆ นะครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนั้นผมยังไม่พร้อมจะคุยที่นี่ แล้วยิ่งมาเจอพ่อพูดกับผมแบบนั้นอีก พอมองคนตรงหน้านี่ดีๆ อีกครั้ง มันไม่น่าจะมีตรงไหนให้พ่อผมยอมรับเลยนะเนี่ย

“แล้วลุงจะไปเปล่า”เค้าถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ

“ดูก่อนได้ไหม”

“ไปเถอะครับ อยากให้พี่ได้ดูผมเล่น”ผมอมยิ้มกับท่าทีคะยั้นคะยอของเค้า

“ขนาดนั้นเชียว”

“ผมมีเซอร์ไพรส์ให้ลุงด้วย”สุดท้ายผมก็รับปากเค้าจนได้แหละครับ แต่ไอ้ที่บอกว่ามีเซอร์ไพรส์อะไรให้ผมนี่คงไม่ใช่ให้ผมได้อายคนในงานหรอกนะ เราจบบทสนทนากันแค่นั้นเพราะผมต้องกลับขึ้นไปทำงานต่อ ส่วนเค้าก็ต้องกลับบ้านไป

“ลุง”เค้าเรียกผมอีกครั้งในขณะที่เรากำลังจะแยกกัน ผมหยุดรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไรกับผม มองใบหน้าที่ยิ้มกวนๆ ของเค้า เห็นแล้วก็รู้ว่านี่จะแกล้งพูดอะไรกับผมอีกหรือเปล่า

“รีบกลับบ้านเรานะครับ ผมคิดถึง”เจ้าของรอยยิ้มหมุนตัวเดินออกไปแล้ว แต่ผมเพิ่งจะค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากตามหลังเค้ากับคำว่า “บ้านเรา”




TBC

สต็อคหมดแล้ว

จากนี้อาจไม่ได้ลงทุกวันแล้วนะฮ่ะ

 :z3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-07-2017 08:57:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-07-2017 09:12:25
 :mew1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-07-2017 13:56:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2017 14:27:01
 :L2: :L1: :pig4:

ลุงจะโอเคไหม
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-07-2017 14:29:44
"บ้านเรา" คำนี้มันดูอบอุ่นจริงๆ :-[
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-07-2017 19:31:47
แอ่ะ......บ้านเรา ของเรา ......รออยู่

คนอ่าน ก็รอ รอ....ไรท์อยู่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 14-07-2017 19:40:02
อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 15-07-2017 01:30:48
น่ารักดี  ตามอ่านด้วยคน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 26 เพราะคิดถึงจึงมาหา 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 15-07-2017 08:14:07
แก้มจิปริ..เง้ออออ...รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 27 ขอคำตอบ 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-07-2017 17:48:34
บทที่ 27
ขอคำตอบ




ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างร้อนรน เพราะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว งานก็ยังไม่เสร็จแบบนี้ผมจะไปทันไหมเนี่ย แล้วไอ้เด็กบ้านั่นก็ส่งข้อความมากดดันผมจัง ก็บอกแล้วว่าผมจะไปช่วงบ่าย ยิ่งมาเร่งผมแบบนี้ผมยิ่งไม่มีสมาธิในการทำงาน แล้วงานเลยยิ่งจะเสร็จช้าเข้าไปอีก ผมรีบมาตั้งสมาธิกับงานตรงหน้าต่อ

“น้องแปงเที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน แล้วนี่ไอ้ต้าร์กับน้องฟ่างไปไหน”เที่ยงแล้วสินะเนี่ย ผมต้องเร่งมือกับงานให้เร็วขึ้นอีกเสียแล้ว

“พี่ฟ่างกะพี่ต้าร์ไปพรีเซนต์งานให้ลูกค้าดูครับ”ผมตอบโดยไม่หันไปมองเจ้โอ๋

“อ๋อ ป่ะๆ วางมือไปกินข้าวกัน”เจ้โอ๋เดินเข้ามาตีมือผมเบาๆ จนผมต้องหันมามอง

“คือพี่โอ๋ไปก่อนเลยครับ พอดีบ่ายนี้ผมลาต้องเคลียร์งานต่ออีกนิด”ผมก็ลืมไปว่าเรื่องลางานยังไม่ได้บอกเจ้โอ๋ แถมนี่พี่ฟ่างพี่ต้าร์ก็ไม่อยู่ด้วยสิเนี่ย

“ไปไหนอ่ะ”ผมมองหน้าเจ้โอ๋อย่างไม่รู้จะตอบเจ้แกว่ายังไง เพราะไอ้เหตุผลว่าลางานไปดูเด็กบ้านั่นเล่นดนตรีก็อาจจะฟังดูไร้สาระไป แถมถ้าบอกไปเจ้โอ๋อาจซักผมต่อแน่ๆ ว่าทำไมผมต้องไป ผมเลยกลายเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

“มองขนาดนี้บอกเจ้เลยก็ได้นะว่าอย่าเผือก”เอ้าเจ้แกก็ดันตีความไปนั่นอีก แต่ดูเจ้แกก็กัดตัวเองขำๆ คงไม่ได้คิดจริงจังอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมว่าเจ้มาขนาดนี้ ผมบอกไปตรงๆ เลยแล้วกันครับ

“เปล่าๆ ผมไม่กล้าว่าเจ้หรอกครับ ผมลาไปงานโรงเรียนของน้องชายนะครับ”บอกแค่นี้คงไม่น่ามีอะไรให้เจ้แกอยากเผือกต่อแล้วมั้งครับ

“โอเคๆ เจ้ไปกินข้าวก่อนละกัน”นั่นไง ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าเจ้แกไม่ซักไซร้อะไรผมอีก

“เดี๋ยวก่อน น้องแปงมีน้องชายด้วยเหรอ”เจ้โอ๋ก็ยังเป็นเจ้โอ๋ครับ ขนาดว่าหันหลังไปแล้วยังพุ่งกลับมาถามผมอีก เล่นเอาผมตกอกตกใจหมด เชื่อเจ้แกเลยครับ

“อุ่ยเจ้ว่าเจ้เผือกเกินไปอีกแล้ว เจ้ไปดีกว่าเนอะ”ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรเจ้โอ๋ก็เหมือนจะเบรคตัวเองเสียก่อน แกยิ้มแก้เก้อให้ผมก่อนจะออกไปจริงๆ ส่วนผมก็ปั่นงานต่อ จนในที่สุดก็เสร็จเสียที ผมมองนาฬิกาอีกครั้งเหลืออีก 15 นาทีจะบ่ายโมง

“วงผมเริ่มเล่นบ่ายโมงนะลุง ถ้ามาไม่ทันผมโกรธลุงจริงๆ ด้วย”ข้อความสุดท้ายที่เด็กบ้านั่นส่งมา ทำให้ผมต้องรีบดีดตัวเองออกอย่างเร็ว แล้วก็เรียกว่าแทบจะวิ่งไปที่จอดรถเลยทีเดียว โชคดีที่ช่วงนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แต่กว่าผมจะมาถึงโรงเรียนก็ปาเข้าไปเที่ยง 15 นาทีแล้ว ผมรีบหาที่จอดรถ แล้วเดินตามเสียงเพลงที่ได้ยิน จนในที่สุดผมก็เดินมาถึงหอประชุมที่มีการจัดงาน นี่ก็บ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว นี่ปกติ วงดนตรีในโรงเรียนแบบนี้เค้าเล่นกี่เพลงกันละครับเนี่ย

ไอ้ผมก็ผ่านวัยมัธยมมาหลายปีแล้วด้วยนี่สิ แต่ไม่เป็นไรยังไงเสียผมก็มาทันแหละน่า นั่นไงผมเห็นเค้าแล้ว ไอ้เด็กบ้าของผม เอ๊ะ “ของผม” งั้นเหรอ ไม่ใช่ละนี่ผมคงบ้าไปเองแล้วเนี่ย ผมหันมองรอบๆ ดูหน้าเวทีก็มีแต่นักเรียนหญิงที่เกาะขอบเวที เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยตัวเองเรียนบ้างเหมือนกันนะครับ ว่าแต่นี่ผมแก่ขนาดต้องนึกถึงความหลังแล้วเหรอเนี่ย นี่วันนี้ผมคงโดนเด็กๆ เหมารวมว่าเป็นพ่อของใครสักคนในโรงเรียนนี้ไปแล้วแน่ๆ

ผมหยุดความคิดไร้สาระของตัวเอง โฟกัสสายตาไปยังอีกคนที่จับๆ หมุนๆ กีต้าร์อยู่ จะว่าไปเค้าก็ดูเท่ห์ไม่เบาเหมือนกันนะครับ เวลายืนอยู่บนเวทีนั่น ผมส่งยิ้มบางๆ ให้เค้าเมื่อเห็นว่าเค้าหันมาเจอผมแล้ว ผมยกมือขึ้นโบกเบาๆ แม้จะอยู่ไกลหน่อย แต่ผมว่าตอนนี้ผมเห็นสายตาเคืองๆ ของเค้าส่งมานะ

“ลุง มา ช้า”ผมว่าผมอ่านปากเค้าไม่ผิดนะ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ยังจะมาทำท่างอนผมอีก นี่ผมก็มาแล้วไง เค้าชี้ตรงมาที่ผมก่อนจะทำท่าปาดคอ นี่ขู่กันเหรอ แต่ตอนนี้ไอ้คำขู่เค้านั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ ไอ้ที่สำคัญตอนนี้น่าจะแฟนคลับสาวๆ หน้าเวทีของเค้ามากกว่าที่ต่างพากันหันกลับมามองว่าพี่ภู่ของพวกเธอชี้มาที่ใคร ผมก็ได้แค่ทำไม่รู้ไม่ชี้

“แล้วก็มาถึงเพลงสุดท้ายของพวกเราแล้วนะครับ และเพลงนี้พิเศษตรงที่ มือกีต้าร์ของเราจะเป็นคนร้องครับ เอ้าขอเสียงกรี๊ดดังๆ ให้มือกีต้าร์สุดหล่อของเราหน่อยครับ”เสียงกรี๊ดพร้อมเรียกชื่อของเค้าดังจนแทบจะแสบแก้วหูครับ แต่ภายใต้เสียงกรี๊ดนั่นคำพูดที่เค้าบอกกับผมเมื่อวาน กลับดังก้องขึ้นมาในหัวของผม

“ผมมีเซอร์ไพรส์ให้ลุงด้วย”

หรือนี่จะเป็นเพลงที่เค้าจะร้องเซอร์ไพรส์ผม ไม่หรอกมั้ง ผมคงไม่ได้สำคัญอะไรกับเค้าขนาดนั้นมั้งแต่ทำไมสายตาของเค้าที่กำลังเดินไปกลางเวทีนั่นมันมองตรงมาที่ผมละเนี่ย

“ผมอาจจะร้องไม่เพราะ เพลงอาจจะไม่คุ้นหู แต่ผมก็อยากมอบเพลงๆ นี้ให้ใครคนนึงครับ”ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ไอ้ที่เค้าบอกให้ผมมา แล้วก็สายตาที่จ้องมาทางผมตอนนี้มันก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ครับ แถมตอนนี้ผมแทบจะทำตัวไม่ถูกแล้วครับ มันเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูก นี่ถ้าเค้าหมายถึงผมจริงๆ ก็หวังว่าคงไม่มีใครรู้นะครับว่าผมคือคนนั้น เพราะผมคงต้องแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอายเป็นแน่

“พี่ภู่จะร้องให้หนูใช่ไหมคะ”เสียงนักเรียนหญิงคนนึงตะโกนออกมา เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาคนที่อยู่รอบๆ ได้เป็นอย่างดี เค้าหันไปส่งยิ้มให้กลุ่มนั้น ก่อนที่มือกลองจะเคาะจังหวะเป็นการเริ่ม

“แล้วในแผ่นนี้ พี่ชอบเพลงไหนมากที่สุด”คำพูดที่เค้าเคยถามผมผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีที่เสียงดนตรีเริ่ม ผมแทบไม่ต้องเดาเลยว่ามันคือเพลงอะไร

“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”นี่ขนาดเค้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็ยังต้องหลุดปากต่อว่าเค้าเพื่อเป็นการแก้อาการเขินของตัวเอง

Isn’t it funny
How times seems to slip away so fast
One minute you’re happy the other you’re sad
But if you give me one more chance to show my love for you is true
I’ll stand by your side your whole life through

แม้เสียงร้องของเค้าจะไม่ได้เพราะอะไรมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงมันเพราะเสียเหลือเกิน นี่ผมคงบ้าไปแล้ว แต่ไอ้คนที่กำลังร้องเพลงอยู่นั่นคงบ้ายิ่งกว่า เพราะไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจความหมายของเพลงนี้จริงๆ หรือเปล่า หรือเลือกเพลงนี้มาเพียงเพราะแค่รู้ว่าผมชอบ แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ชอบนะ ที่เค้าร้องเพลงนี้ให้ผมเพราะนี่มันคงเป็นครั้งแรกที่มีใครทำอะไรแบบนี้ให้ผม แม้อาจจะดูเด็กๆ ไปบ้าง แต่คนวัยเบญจเพสแบบผมที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนก็ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วครับ

If life is so short
Why won’t you let me love you
Before we run out of time
If love is so string
Why won’t you take the chance
Before our time has come
If life is so short
If life is so short

เค้าจะรู้หรือเปล่าว่าเพลงนี้มันเพลงสารภาพรัก แทบจะเหมือนการขอเป็นแฟนด้วยซ้ำ รู้หรือเปล่าว่าคนแก่อย่างผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง กำลังจะลืมเหตุผล หรืออะไรต่างๆ ที่ผมเคยตั้งกำแพงเอาไว้ในใจ

Love is a word that explains how I feel for you

ตอนนี้ผมคงยิ้มแก้มแทบแตกแล้ว นี่หรือเปล่านะที่เค้าเรียกกันว่า puppy love ถึงเข้าจะเอาไว้ใช้กับความรักวัยแรกรุ่น แต่สำหรับผมที่เพิ่งจะเคยได้สัมผัสความรู้สึกนี้ก็คงใช้คำนี้ได้แหละน่า ผมยืนมองคนบนเวทีต่อจนเสียงร้องจบลง ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด ดอกไม้และอะไรอีกมากมายถูกยื่นขึ้นไปให้กับเค้า

ผมมองภาพที่กำลังเกิดขึ้นก่อนรอยยิ้มของผมจะค่อยๆ หุบลง บางทีความหมายในเพลงเมื่อสักครู่มันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกของเค้าก็ได้ ดูๆ แล้วเค้าเองมีตัวเลือกตั้งมากมาย แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอที่เค้าจะมารู้สึกอะไรกับผมจริงๆ ถึงเราจะเกินเลยทางกายไปแล้วก็เหอะ แต่นั่นมันอาจจะเกิดขึ้นเพียงเพราะความเมาและอารมณ์ที่พาไปของเราทั้งคู่

“รอ กลับ บ้าน ด้วย”ผมพยักหน้าให้เค้าที่ทำปากให้ผมเห็น แต่ผมก็ค่อยๆ หันหลังกลับจะเดินไปที่รถเพราะไม่ค่อยอยากเห็นภาพที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ หลังจากที่เค้าและเพื่อนๆ ลงจากเวที คงมีนักเรียนหญิงอีกหลายคนที่มีของขวัญอะไรมอบให้เค้า ขอถ่ายรูปกับเค้า ส่วนผมก็คงแค่ผู้ปกครองจำเป็นของเค้าที่มารอรับกลับบ้านสินะ ผมกลับมานั่งรอที่รถ คาดว่าพอเค้าเสร็จธุระก็คงโทรหาผมเอง

“อยู่ไหนคร๊าบบบ”ผมรออยู่พักใหญ่ สายจากเค้าก็มา

“เอ่อ...”ผมมองไปรอบๆ เพื่อบอกว่าผมอยู่แถวไหนของโรงเรียนเค้า รอไม่นานนักก็เห็นเค้าและเพื่อนหอบของพะรุงพะรังตรงมาที่ผม

“พี่แปงสวัสดีครับ”ผมรับไหว้น้องสอกับน้องยิว เพื่อนของเค้าที่ผมเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว ทั้งคู่แค่ช่วยหอบของมาส่งเพราะดูเหมือนว่าอีกคนจะเสน่ห์แรงแฟนคลับเยอะ ได้ของมาเพียบเสียจนขนเองไม่หมด

“ขอบใจมากพวกมึงไว้เจอกัน”เค้าบอกลาเพื่อนก่อนจะหันมาหาผม

“วันนี้ผมเท่ห์ป่ะลุง”เค้ายิ้มกว้างถามผมอย่างน่าหมั่นไส้ ที่จริงผมก็หมั่นไส้ไปแล้วแหละครับ

“แฟนคลับเยอะขนาดนี้คงไม่ต้องถามแล้วมั้ง”น้ำเสียงผมคงจะปิดความหมั่นไส้ไว้ไม่อยู่แล้วละครับ ยิ่งเห็นของที่เค้าหอบมานี่ ผมยิ่งหงุดหงิด ผมเบือนหน้าไม่สนใจเปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่คนขับ เค้าเองก็อ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง

“ลุงเป็นไรเนี่ย หึงเหรอ”เค้ายื่นหน้าเข้ามาหาผม แต่ผมยังคงมองตรงไปข้างหน้าแม้จะยังไม่ออกรถ ไม่อยากเห็นหน้าระรื่นของเค้าครับ หมั่นไส้ แล้วนี่มาหาว่าผมหึงอะไรอีกเนี่ย มันใช่ที่ไหนกันละ

“บ้าไม่ใช่สักหน่อย”

“งั้นทำไมหน้าบูด มาช้าแล้วยังมาทำหน้าบูดแบบนี้อีก เดี๋ยวไม่น่ารักนะลุง”พอได้ยินเค้าพูดแบบนั้นผมก็ค่อยลดอาการดึงหน้าตัวเองลง ไม่ใช่ว่ากลัวไม่น่ารักอย่างที่เค้าว่าหรอกนะครับ ผมแค่เมื่อยหน้าอยากเปลี่ยนอิริยาบทแค่นั้นเอง

“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องรักสิ คนน่ารักๆ ที่นี่ก็มีเยอะแยะแล้วนิ”ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมพูดประชดออกไปแบบนั้น

“ไม่เอาสิครับลุง เป็นอะไรครับเนี่ย”เค้าเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของผม พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมก็ยังคงนิ่ง เพราะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังเป็นอะไร ความรู้สึกกงุดหงิด ว้าวุ่นในใจที่มีอยู่ตอนนี้มันเกิดจากอะไรกัน

“ผมอุตส่าห์ เลือกเพลงมาเซอร์ไพรส์ลุงเลยนา ชอบเปล่า”แม้เค้าจะพยายามพูดดีๆ กับผม แต่ผมก็ยังคงนิ่งเช่นเดิม

“เลือกเพลงมานี่รู้ความหมายมันหรือเปล่า”นี่ก็อาจเป็นส่วนนึงที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่นี่ด้วยก็ได้ ก็เท่าที่รู้สกิลภาษาอังกฤษของเค้าก็ยังไม่ได้เก่งมาก แม้เพลงนี้เนื้อหามันจะไม่ได้ยากอะไรก็เถอะ ผมก็ยังกังวล กังวลว่าเค้าจะแค่ฝึกเพลงนี้มาเพียงเพราะผมเคยบอกว่าชอบแค่นั้น มันไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรสำหรับเค้า

“รู้สิครับ แล้วนี่ผมก็รอคำตอบจากลุงอยู่นะครับ”ผมหันควับไปมองเค้าแทบจะทันที ทั้งต้องการจับผิดว่าเค้าไม่ได้โกหกว่ารู้ความหมาย และสงสัยด้วยว่าเค้ารอคำตอบอะไรจากผม

“คำตอบอะไร”ผมถามออกไปตามที่สงสัย

“เอ้าก็ในเพลงนั่นก็ถามแล้วนิ ว่าลุงจะให้โอกาสผมรักลุงหรือเปล่า”ผมจ้องมองให้ลึกลงไปในแววตาของเค้า ว่าสิ่งที่เค้าพูดออกมามันจริงจังแค่ไหน คำว่า “รัก” ที่เค้าพูดออกมามันหมายความว่ายังไง คำที่ผมเองยังไม่เคยสัมผัส และเข้าใจ

“รักเหรอ”ผมทวนคำที่ข้องใจ

“ใช่ไง ลุงอย่ามาทำไก๋ ลุงก็รู้ความหมายเพลงนิ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ ผมก็เขินเป็นนะ”หน้าอย่างนี่เหรอเขินเป็นด้วยเหรอ เห็นพูดออกมาไม่ได้มีส่วนไหนที่ดูว่าเค้าเขินเลยสักนิด ทำเป็นมาพูด ผมนี่สิต้องเขิน นี่เค้าชอบผมจริงๆ งั้นเหรอ

“ตกลงว่าไงลุงจะเป็นแฟนกับผมเปล่า”อะไรนี่ผมมีคนมาขอเป็นแฟนงั้นเหรอ แถมขอได้ไม่มีความโรแมนติกสักนิดแถมหน้าตาคนถามนี่ดูจะบังคับผมมากกว่าขอคำตอบนะเนี่ย

“ไม่รู้ มาถามอะไรตอนนี้เล่า”ผมบอกปัด เพราะกำลังอึ้งปนงงกับสิ่งที่เค้าถาม เล่นมาถามอะไรไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้ สมองผมจะไปคิดทันได้ยังไงกันละ

“อ้าวลุง นี่ได้ผมแล้วจะไม่รับผิดชอบผมเหรอ”



TBC

รู้สึกหมั่นไส้คู่นี้ละ  :z2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 27 ขอคำตอบ 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-07-2017 18:31:56
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 27 ขอคำตอบ 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-07-2017 18:44:14
 :mew1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 27 ขอคำตอบ 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-07-2017 18:49:10
อ๊ากกก เขิลลแทนลุง น้องภู่น่าร้ากกก  :o8:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 27 ขอคำตอบ 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-07-2017 21:26:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-07-2017 20:23:13
บทที่ 28
แฟนเด็ก





“ชอบพี่จริงๆ เหรอ”หลังจากที่ผมบ่ายเบี่ยงการตอบเรื่องเป็นแฟนกับเค้ามาตลอดทางที่กลับมาบ้าน ตอนนี้เค้าก็ดูจะไม่ยอมไปไหนถ้าผมไม่ให้คำตอบที่เค้าพอใจ แถมข้าวของที่บรรดาแฟนคลับเค้าให้มาก็ยังหอบมากองไว้ที่บ้านผมด้วย บอกให้เอาของไปเก็บก่อนก็ไม่ยอม

“ลุงครับ ผมขอเป็นแฟนขนาดนี้แล้ว ถ้าผมไม่ชอบ ผมจะขอทำไมละครับ เป็นแฟนภู่วันนี้แถมฟรีคนดูแลตอนแก่นะครับ”ก็ดูพูดจากวนประสาทแบบนี้ คิดว่าผมควรเชื่อคำพูดเค้าไหมละครับ

“ก็พูดเล่นเป็นเด็กๆ แบบนี้ใครจะไปเชื่อกันเล่า”ผมพึมพำเบาๆ แต่ก็น่าจะดังพอให้เค้าได้ยิน ภู่ขยับมานั่งชิดกับผมที่โซฟา มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูผม

“งั้นถ้าพี่แปงไม่ชอบอะไรแบบเด็กๆ เรามาพิสูจน์กันแบบผู้ใหญ่ดูไหมครับ”พูดจบก็งับเข้าที่ติ่งหูผมด้วย จนผมต้องรีบยันตัวเค้าออกเพราะเพิ่งจะเข้าใจว่าไอ้ที่ทำแบบผู้ใหญ่ของเค้าเนี่ยมันคืออะไร เด็กบ้าเอ้ยนี่มันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้ไหม

“ทะลึ่ง”ผมรีบขยับถอยห่างออกจากเค้าจนชิดขอบโซฟา แต่อีกคนก็ยังขยับตามมา

“ทะลึ่งอะไร ก็ลุงอยากได้แบบผู้ใหญ่เอง ผู้ใหญ่ก็ต้องคุยกันตัวตต่อตัว เสื้อผ้าไม่ต้องไงครับ”แล้วนี่พูดเฉยๆ ไม่ได้หรือไง ไหนจะสายตาหื่นๆ นี่อีกแถมผมเองดันเผลอคิดถึงไอ้ตอนเราไม่มีเสื้อผ้าพร้อมกันด้วยนี่สิ ผมไม่ได้ทะลึ่งนะครับแค่ภาพมันวิ่งเข้ามาในหัวเอง

“เลิกเล่นก่อนได้ไหม เอาแต่เล่นแบบนี้จะให้พี่เชื่อได้ยังไงว่าไม่ได้จะมาแกล้งพี่เล่นเฉยๆ”ผมเบี่ยงหน้าหลบเค้า ที่ยื่นหน้ามาจนจะชิดกับหน้าผมอยู่แล้ว

“โหลุง ขนาดนี้แล้วนี่ยังคิดว่าผมแกล้งอีกเหรอ”แล้วไอ้ที่ทำอยู่นี่มันไม่ใช่การแกล้งรึไงเล่า ผมได้แต่ฟึดฟัดกับตัวเองในใจ

“ก็ภู่เคยบอกเองนิ ว่าแค่อยากแกล้งพี่”ผมยังคงหลบตาบอกเค้าเสียงเบา ก็เท่าที่จำได้เค้าเคยบอกกับผมแบบนั้นนี่นา เค้านิ่งไปนิดนึงก่อนใบหน้าผมจะค่อยๆ หันตามแรงของมือเค้าที่มาประคองใบหน้าผม เค้าสบตาผมนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาโดยที่มือก็ยังประคองใบหน้าผมอยู่

“ที่จริงตอนแรกผมก็แค่อยากแกล้งพี่นั่นแหละครับ แต่พอนานๆ เข้าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหนที่มันเกิดความรู้สึกมากกว่านั้น รู้ตัวอีกที พี่ก็เหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่ทิ้งผมไปไหน การได้ทานข้าวด้วยกันทุกเช้า ทุกเย็นมันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากๆ เลยนะครับ”ผมรับฟังเค้าเงียบๆ พร้อมคิดตามรู้สึกตอนนี้เราอยู่ใกล้กันจนผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ใจผมก็เต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้วครับเนี่ย

“แล้วสุดท้ายผมก็เผลอจูบพี่ ตอนนั้นขอโทษนะครับที่เมินพี่ แต่ตอนนั้นผมกำลังงงกับตัวเองว่าจริงๆ ผมรู้สึกยังไงกับพี่กันแน่ ทั้งที่ตอนนั้นทำอะไรผมก็นึกถึงพี่ตลอดอยู่แล้วแท้ๆ ก็ไม่รู้ทำไมยังต้องคิดอะไรอีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าพี่อ่ะต้องชอบผม”เดี๋ยวนะครับ ทำไมลงท้ายประโยคมันแปลกๆ กันละครับเนี่ย แถมท่าทางมั่นอกมั่นใจนี่อีก รอยยิ้มกว้างที่อยู่ตรงหน้าทำเอาผมต้องเหลือกตามองบนอย่างหมั่นไส้

“ไม่รู้ละพี่ยังติดรางวัลผมอยู่ 1 อย่าง”เค้าบอกอย่างอารมณ์ดีตามด้วยการดึงแก้มของผมด้วยท่าทางหมั่นเขี้ยว

“รางวัลอะไร”ผมปัดมือเค้าออกลูกแก้มตัวเอง พร้อมถามเค้าอย่างไม่เข้าใจว่าผมไปติดค้างอะไรเค้าไว้ตอนไหน

“ก็ถ้าคะแนนภาษาอังกฤษผมดีขึ้น พี่สัญญาว่าจะให้รางวัลผมไง”รางวัลนี่เองเหรอ แล้วนี่คะแนนเค้าขึ้นจริงๆ แล้วเหรอไม่เห็นเคยบอกผมเลยว่าคะแนนเป็นไงบ้าง ว่าแต่แล้วไอ้ผมติดให้รางวัลเค้าไว้นี่ มันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้ละครับเนี่ย

“แล้ว...มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง”ผมถามตาใส นี่เริ่มรู้สึกว่าทั้งที่ผมอายุมากกว่าเค้า แต่ทำไมดูกลายเป็นผมที่โดนเค้าดึงให้คล้อยตามตลอด ทั้งที่ผมควรเป็นคนที่ผ่านอะไรมาเยอะกว่าเค้า แต่เอาจริงๆ ถึงผมจะเกิดก่อนเค้าเกือบ 10 ปีแต่ดูเค้าก็ได้เจออะไรมาเยอะกว่าผมนั่นแหละครับ

“ลุงนี่มันลุงจริงๆ เลย ก็แค่ผมขอใช้สิทธิ์จากรางวัลนั้นให้ลุงตกลงเป็นแฟนกับผมไง”จมูกผมถูกเค้าบีบเหมือนเวลาผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ผมหันหน้าหลบอย่างเคืองๆ และกำลังจะหันหลังลุกเดินหนีเค้า

“แบบนี้ก็ได้เหรอ”ผมบ่นอย่างไม่อยากจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อตัวผมถูกเค้าดึงเข้าหาจนกลายเป็นว่าผมขึ้นมาอยู่บนตักของเค้า กลายเป็นว่าเค้าซ้อนอยู่ด้านหลังของผม

“ได้สิครับ ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ”เค้ากอดกระชับผมแน่น เอาคางเกยมาที่ไหล่ของผม เล่นเอาผมไปไม่เป็นอีกแล้ว นี่ผมต้องเป็นแฟนกับเด็กนี่จริงๆ เหรอครับเนี่ย แม้จะรู้สึกแปลกๆ และตั้งตัวไม่ค่อยทันไปบ้าง แต่ผมก็ลอบยิ้มออกมาอย่างอายๆ และพยายามเบี่ยงหน้าไม่ให้คนที่อยู่ด้านหลังเห็นสีหน้าของผม

“ดีใจจังที่ได้เป็นแฟนคนแรกของลุง แล้วก็จะเป็นแฟนคนเดียว แฟนคนสุดท้ายของลุงด้วย”เค้าบอกอย่างเอาแต่ใจ แต่เป็นความเอาแต่ใจที่ผมรู้สึกหัวใจพองโตจนซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ แถมคนที่กอดอยู่นี่ก็กดจมูกลงมาที่แก้มของผมอย่างถือวิสาสะด้วย

“พี่ยังไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย”ผมไม่ได้เล่นตัวนะครับ ผมแค่กำลังเขินอยู่ เลยบอกออกไปแบบนั้น

“ถ้าไม่ตกลงผมก็จะกอดลุงอยู่แบบนี้แหละ”เด็กบ้าเอาแต่ใจเอ้ย นี่เหรอแฟนคนแรกของผม อยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วก็ไม่คาดคิดว่าบทจะมีมันก็มีง่ายๆ แบบนี้เลย

“อือ”ผมบอกเบาๆ ในลำคอและพยายามไม่ขยับหรือดิ้นมากเพราะยิ่งผมดิ้น เค้ายิ่งกอดผมแน่นขึ้น แล้วหน้าเค้าก็ยิ่งซุกเข้ามาทั้งแก้มทั้งซอกคอผม

“อืออะไรครับ บอกชัดๆ สิครับผมอยากได้ยิน”ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดคอผมจนรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด

“ปล่อยก่อนสิ”ผมต่อรองเพราะจะให้ผมเขินอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ดูจะเสียเปรียบมากไป อีกอย่างผมเริ่มรู้สึกว่ามือของเค้าชักจะอยู่ไม่สุขแล้วมันยุกยิกๆ แทบจะล้วงเข้าไปใต้เสื้อผมอยู่แล้ว เหมือนจะได้ผลอ้อมกอดเค้าค่อยๆ คลายออกผมกำลังกะว่าจะรีบวิ่งหนีเข้าห้องนอนไปตั้งหลักเสียหน่อย แต่ผมคงประเมินเค้าต่ำไป

“นี่คิดจะหนีเหรอครับลุง”แค่พอผมลุกเค้าก็ยืนตามอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือผมดึงเข้าหาตัวเค้า กลายเป็นว่าเรายืนเผชิญหน้ากันอย่างใกล้ชิด ชิดขนาดที่ว่าจมูกแตะกันไปแล้ว

“ก็เออ ออไปแล้วขนาดนั้น พี่ปฏิเสธอะไรได้ละ”ผมบ่นอย่างหมั่นไส้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนคนตรงหน้านี่จะชอบใจในคำตอบของผม เพราะเห็นยิ้มกว้างเชียว แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาริมฝีบากผมที่หมดทางหนีแล้ว มาถึงขนาดนี้แล้วผมก็คงไม่มีสิทธิ์ขัดขืนแล้วสินะ ลิ้นอุ่นๆ ของเค้ากำลังพยายามดันให้ผมเปิดปาก แล้วผมก็ถูกเค้าชักนำอีกจนได้ ความหวาบหวามที่เกิดขึ้นทำเอาผมต้องเกาะตัวเค้า เพราะเหมือนเรี่ยวแรงผมจะหายไปจนยืนไม่อยู่ ลิ้นของเค้าก็ยังคงกวาดไปจนทั่วโพรงปากของผม

“อืม”ผมส่งเสียงครางออกมา เมื่อเค้าถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

“บอกผมหน่อยสิครับว่าพี่ชอบผมหรือเปล่า”แล้วทำไมต้องมาส่งสายตาอ้อนๆ ใส่ผมแบบนี้ด้วย โอเคผมยอมก็ได้ ไม่ต้องมาต้อนผมเสียจนมุมขนาดนี้ก็ได้

“ชอบ...พี่ชอบภู่ พอใจหรือยังครับ”ผมกลั้นใจบอกออกไปให้มันจบๆ เพราะรู้ว่าถ้ายังบ่ายเบี่ยงผมก็คงโดนเค้าต้อนให้พูดออกมาอยู่ดี นี่ผมคงต้องรีบชินกับการมีแฟนสินะครับเนี่ย แต่ไอ้อาการเขินนี่สิครับ ผมจะทำยังไงดีให้ไม่เขินเวลาต้องอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้

“ชอบตรงไหนครับ”เค้าดึงผมเข้าไปกอด กระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูผม

“ไม่รู้ ก็บอกแล้วทำไมต้องเซ้าซี้อีกละ”ผมบอกพร้อมซุกเข้าที่แผ่นอกกว้างของเค้า บอกไปแล้วยังจะมาถามอะไรอีก แล้วนี่ดูสิยังจะมาหัวเราะชอบใจอีก ก็น่าจะรู้ว่าผมเขินก็ยังจะแกล้งกันอีก เค้าค่อยๆ ดันตัวผมออก มือของผมถูกเค้ากุมเอาไว้ และยกขึ้นไปแตะที่แก้มของเค้า ลากลงมาที่หน้าอก แล้วก็...

“ชอบตรงนี้แน่เลย”มือผมถูกดึงไปวางลงตรงเป้าของเค้า แถมเหมือนมันจะดันสู้มือผมด้วยนี่สิ ผมต้องรีบชักมือจะดึงออกแต่เค้ากลับกดไว้อย่างชอบใจ

“บ้า ทำอะไรเนี่ย”ผมพยายามดึงมือออกสุดแรง สุดท้ายก็หลุดครับ ผมผลักอกคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ เค้ายังคงหัวเราะชอบใจ ไอ้เด็กบ้าบ้าลามกเอ้ย

“ก็เวลาลุงเขินมันน่ารักดีนี่นา”เค้าดึงผมไปกอดอีกรอบ นี่เราจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างนี้หรือไงเนี่ย ผมใจหายใจคว่ำจนเหนื่อยไปหมดแล้วเนี่ย นี่การมีแฟนมันต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยหรือไงครับ

“ลุงรู้เปล่า นี่ผมถึงขั้นลองดูหนังโป๊ผู้ชายกับผู้ชายเลยนะ เพื่อเช็คตัวเอง แต่ดูแล้วแบบขนลุกไปหมดเลย คิดแล้วก็ตลกดีที่ทนดูไปตั้งหลายเรื่อง แต่ก็ดีนะดูไปแล้วก็ได้เก็บมาใช้กะลุง”นี่มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย แต่ก็คงธรรมดาสินะครับ ที่เค้าเองคงชอบผู้หญิงมาตลอด นี่ผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเค้าจะชอบผม

“เลิกกันตอนนี้ทันไหม ไม่อยากมีแฟนทะลึ่ง”ผมบอกอย่างหมั่นไส้

“ไม่ทันละครับ ผมไม่ปล่อยลุงง่ายๆ หรอก”วงแขนเค้ารัดตัวผมเข้าหาแน่นขึ้น พร้อมๆ กับที่จมูกของเค้าก้มลงมา กดลงที่หน้าผากของผม

“แล้วนี่เราต้องยืนกอดคุยกันแบบนี้เหรอ”ผมถามออกไปแก้เขินเพราะนี่เราก็เหมือนจะนัวเนียกันมาพักใหญ่แล้วนะครับเนี่ย

“หรือลุงอยากนอนคุยกันละครับ”แล้วดูแฟนเด็กของผมตอบสิครับ ว่าแต่นี่ผมเริ่มจะหมั่นไส้ตัวเองไปด้วยแล้วนะครับเนี่ย ที่จะเรียกเค้าว่าแฟนเด็กเนี่ย แต่เค้าก็เด็กกว่าผมจริงๆ นี่นา ตั้งหลายปีด้วย ผมก็ไม่ผิดนิที่จะเรียกเค้าว่า “แฟนเด็ก”

“ปล่อยได้แล้ว หิวข้าว”ผมขอเบรกอาการหื่นของแฟนเด็กผมสักนิดนะครับ ดูท่าแล้วนอกจากเด็กแล้วคงจะหื่นผสมด้วยนี่สิครับ แบบนี้ผมจะรับมือไหวไหมละครับเนี่ย

“แต่ผมอยากกินลุงอ่ะ”นั่นไงอุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องก็ยังลากกลับมาอีก

“มันใช่เวลาไหม”ผมตีแขนเค้าเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

“ก็ฉลองที่เราได้เป็นแฟนกันไง เราก็ต้องจู๋จี๋กันนิดนึง”โอ้ย นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดครับที่จะเป็นแฟนกับเด็กหื่นนี่

“ดูปากพี่นะ หิวข้าว”ผมบอกออกไปอีกครั้งอย่างเอือมระอา

“งั้นถ้าผมทำกับข้าวให้กินแล้ว ผมขอกินลุงเป็นข้อแลกเปลี่ยนนะ”




TBC

ตอนนี้อาจจะไม่ยาวมากนะฮ่ะ

แต่อยากให้ได้เหม็นความรักของสองคนนี้กัน  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-07-2017 20:32:31
 :L2: :L1: :pig4:

ยี้ ยี้ ยี้
ลุง ชีวิตจะดีไหม มีแฟนเด็ก
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-07-2017 20:45:01
อยากมีแฟนเด็กแบบน้องภู่บ้างง 555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-07-2017 23:49:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-07-2017 06:11:29
น่ารักกกมากกกกก โอ้ยย เขินเด็กเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 28 แฟนเด็ก 17-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-07-2017 16:27:19
คิดถึงลุงแปง กับเด็กของเขา
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 23-07-2017 23:07:04
บทที่ 29
หิว



“แล้วทำไมภู่ต้องย้ายมานอนนี่ด้วยละ”ผมมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนมายืนกดดันผมอยู่ที่หน้าประตู บอกว่าจากนี้ไปเค้าจะมานอนค้างกับผมทุกคืน

“ก็จะได้ประหยัดค่าน้ำค่าไฟไง”เค้ายิ้มกว้าง ดันตัวเข้ามาในห้องนอนผมโดยไม่สนใจสายตาที่ผมมองเลย ผมยังไม่ได้อนุญาตด้วยซ้ำ แต่เด็กบ้านี่ก็ไปนอนแผ่หราที่เตียงผมเรียบร้อย

“ทำยังกะจ่ายเอง”ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้จะปฏิเสธยังไงแล้วละครับ

“นี่ลุงไม่อยากอยู่กับผมเหรอ”ดูฟังพูดเข้า แล้วตีหน้าเศร้าอีก คิดว่าผมจะหลงเชื่อมารยาเค้าเหรอครับ ถ้าเค้าจะสนใจเค้าพูดผมจริงๆ ป่านนี้จะกล้ามาลุกนั่งลุกนอนที่เตียงผมแบบนี้เหรอครับ

“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น”ผมกอดอกพูดที่ปลายเตียง ยืนมองเค้าที่ขยับมานั่งที่ปลายเตียงเอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปประชิดเค้า เค้าเอาหน้ามาซุกตรงพุงผมแล้วแกล้งส่ายหน้าไปมาเหมือนเล่นกับเด็ก จนผมต้องใช้มือดันให้เค้าหยุดเพราะเริ่มจะจั๊กจี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

“หรือลุงถือคติไม่อยากชิงสุกก่อนห่าม แต่เราก็ได้กันแล้วนิ”นั่นไงไอ้ใบหน้าแกล้งเศร้าๆ ตะกี้หายไปหมดเลยครับ แล้วผมก็ถูกเค้าดึงให้ลมลงบนเตียง

“ไม่เกี่ยวกะเรื่องนั้น แต่พี่ชินกับการนอนคนเดียวมากกว่า”ผมขยับออกจากการเกาะกุมของเค้าแล้วยันตัวขึ้นนั่งอยู่บนเตียง เลยกลายเป็นว่าเหมือนเปิดโอกาสให้เค้าทิ้งศีรษะลงมาบนตักผม สายตาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัดบนใบหน้าของเค้า ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากนอนคนเดียวอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ เพียงแต่ผมรู้ว่า ถ้ายอมให้เค้ามานอนด้วยผมต้องไม่ได้นอนอย่างสงบเป็นแน่

“แต่ตอนนี้ลุงมีผมที่ต้องรับผิดชอบแล้วไง”มาอีกแล้วครับมุกนี้ ก็ไอ้มุกนี้นี่แหละ ยิ่งทำให้ผมนึกถึงวันที่เรามีอะไรกันครั้งแรก ผมยังจำได้ดีว่าวันนั้นสูญเสียพลังงานไปขนาดไหน

“ลุงจะปล่อยผมนอนเหงาคนเดียวไม่ได้นะครับ”ว่าแต่นี่ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าหน้าเค้ามันใกล้เป้ากางเกงผมขนาดนี้ อีกอย่างนี่ผมก็เตรียมจะนอนก็ไม่ได้ใส่เกงในด้วยสิครับเนี่ย ไอ้คนหนุนตักนี่ก็ขยับทีเฉียดไปเฉียดมาเหลือเกิน

“มีคนนอนกอดมันดีกว่านอนคนเดียวนะลุง”

“คือยังไงก็จะย้ายมานอนบ้านนี้ให้ได้ใช่ไหม”ผมดันศีรษะเค้าให้ลุกขึ้นตกลงกันดีๆ ก่อน เพราะเริ่มจะหมดทางปฏิเสธเค้าแล้วก็คงต้องยอมตามที่เค้าต้องการนั่นแหละครับ

“ก็เราเป็นแฟนกันนิครับ”พูดมาขนาดนี้ผมจะขัดได้ยังไงละจริงไหมครับ แต่มันก็ต้องมีข้อต่อรองกันบ้าง

“โอเค ย้ายมานอนด้วยกันก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”แหมพอตกลงนี่ระริกระรี่เป็นปลากระดี่ได้น้ำเชียวนะครับ เห็นละหมั่นไส้จริงๆ เลย

“ว่ามาเลยครับ ขอแค่อย่าห้ามกอด ห้ามจูบ ห้ามหอม ห้ามหื่น พวกนี้ผมทำไม่ได้”ให้ผมบอกข้อแม้ แต่ดูที่เค้าพูดสิครับ เหลืออะไรให้ผมห้ามได้อีกบ้างไหมละครับ แล้วยังมีหน้ามายิ้มหื่นใส่ผมอีก

“กำลังจะบอกว่าห้ามหมดนั่นเลย”ผมบอกไปอย่างหมั่นไส้ แต่เหมือนอีกคนจะยิ่งชอบใจแถมพลิกตัวหันมากดผมให้นอนลงกับเตียงและเค้าก็พลิกขึ้นมาคร่อมอย่างรวดเร็ว

“โหลุงเราไม่เจอกันตั้งหลายวัน คนมันคิดถึงห้ามกันได้ที่ไหน จัดเลยแล้วกันเนอะ”และไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวริมฝีปากเจ้าเล่ห์นั่นก็ประกบลงมาปิดริมฝีปากของผม จากที่คิดจะต่อต้านในที่แรก แต่เหมือนพอโดนเค้าจู่โจมมาเรี่ยวแรงก็แทบไม่เหลือให้ขัดขืนเค้าเลยครับ

“อือ”ผมส่งเสียงเบาๆ เบี่ยงหน้าหลบเพราะความเขิน ทันทีที่เค้าถอนริมฝีปากออก ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่ซอกคอผมจะโดนจู่โจมด้วยจมูกโด่งของเค้า ความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจของผมเหมือนถูกปลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัมผัสจากอีกคนจะกระตุ้นผมได้มากมายขนาดนี้ เสียงหอบหายใจแรงๆ ของเค้าที่เหมือนกำลังข่มความต้องการดังวนอยู่ข้างหูผม เค้าค่อยๆ ผละจากซอกคอแล้วประคองใบหน้าผมให้มองเค้า รอยยิ้มหื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของเค้า

“แค่ไม่เจอวันเดียวผมก็แทบบ้าแล้ว ลุงยังจะใจร้ายไม่ให้ผมนอนด้วยอีกเหรอ”พูดจบก็ไม่รอให้ผมตอบ เพราะก้มลงมาจูบผมแทบจะทันที แถมมือไม้ก็อยู่ไม่สุข แม้ทุกอย่างจะค่อยเป็นค่อยไปและนุ่มนวลแต่เพียงไม่นานเสื้อผ้าผมก็หายไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกอายเกิดขึ้นทันทีที่รู้สึกตัวจนต้องเบี่ยงหน้าหลบ

แม้จะไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้อารมณ์ผมก็กระเจิดกระเจิงและต้องการคนต้องหน้านี่อยู่เหมือนกัน แต่นี่มันคือครั้งแรกที่ผมจะทำแบบนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนร่างกายผมเองจะตอบรับทุกอย่างที่อีกคนชักนำ ผมบิดตัวไปมาด้วยความรู้สึกดี เมื่อเค้ากัดเบาๆ ที่หน้าอกทั้งสองข้างของผม ลิ้นสากๆ ของเค้าค่อยๆ ลากต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมต้องเม้นปาดแน่นกัดริมฝีปากตัวเองไม่อยากที่จะส่งเสียงออกมาเพราะรู้สึกอาย ทว่าอีกคนกลับเหมือนสนุกกับการได้แกล้งผมเค้าใช้ปากกับแกนกลางลำตัวของผมอย่างคล่องแคล่ว ผมได้แต่เกร็งตัวมือกำผ้าปูที่นอนแน่น

“อ๊ะ...อ้า”แล้วผมก็กลั้นเสียงเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเค้ากลืนส่วนนั้นผมเข้าใปจนสุดแล้วดูดอย่างแรง ผมถึงกับผวางอตัว เอื้อมมือจับที่กลุ่มผมของเค้าเป็นการยึดเหนี่ยว สติผมค่อยๆ หลุดลอยไปเรื่อยๆ ไม่นานนักผมก็เกร็งตัวกระตุกปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเปรอะเต็มหน้าท้องของตัวเอง ผมเผลอร้องออกมาจนเกือบสุดเสียง ไม่คิดมาก่อนว่าตัวผมเองจะร้องออกมาแบบนั้นได้ อีกคนดูพอใจกับผลงานของตัวเองมาก แต่ผมเองหอบหายใจแทบไม่ทัน

“อย่าเพิ่งหมดแรงนะครับ คืนนี้มันเพิ่งเริ่มต้น”เค้าขึ้นมากระซิบบอกและก็ไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจนาน น้ำสีขาวขุ่นที่อยู่แถวหน้าท้องผมถูกเค้าใช้นิ้วกวาดไปชะโลมจนชุ่ม ผมถูกจับให้พลิกตัวหันหลังให้เค้า นิ้วเรียวของเค้าค่อยๆ สอดเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังของผม

“อึ๊ก...เจ็บ”ผมร้องออกมา แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ผมว่าช่องทางด้านหลังของผมก็คงยังไม่ชินขนาดนั้น แค่เสียงร้องของผมเหมือนไม่ได้ทำให้อีกคนคิดจะหยุดแต่อย่างใด นิ้วของเค้ายังคงสอดลึกเข้ามา คว้านวนในช่องทางคับแคบของผม และเหมือนนิ้วนั้นจะกดเข้ามาโดนจุดบางอย่างในตัวผม

“อื๊อ...อย่า...ลึกไปแล้ว”แม้ปากผมจะเหมือนห้าม แต่ความรู้สึกตอนนี้กลับมีความสุขปนทรมานนิดๆ นี่ถ้ามีกระจกตรงหน้าผมคงเห็นใบหน้าตัวเองกำลังบิดเบี้ยวแน่ๆ ผมพยายามดิ้นหนีด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไปหมด ซึ่งดูเหมือนอีกคนเองก็จะไม่ปล่อยผมง่ายๆ ผมถูกผลักจนติดหัวเตียง ขาสองข้างของผมถูกแยกออกจากกัน ผมกำลังจะกลั้นใจรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิด แต่ทุกอย่างมันรวดเร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน

เค้ากดเข้ามาอย่างรวกเร็ว ผมร้องเสียงหลงแต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้เมื่อด้านหลังก็โดนอีกคนดันเข้ามา ด้านหน้าก็เป็นหัวเตียง ผมพยายามผ่อนลมหายใจช้าๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อยเมื่อสัมผัสได้ถึงจูบที่พรมลงมาที่ไหล่ หลัง ขึ้นมาที่ท้ายทอย และจบที่แก้มของผม เสียงครางต่ำในลำคอของอีกคน เหมือนกำลังสะกดอารมณ์ตัวเองส่งเสียงเบาๆ ให้ผมได้ยิน

“ผมไม่อยากรุนแรงกับลุงเลย แต่ลุงผิดเองนะที่ทำผมห้ามใจไม่ไหว”แม้สิ่งที่คนด้านหลังนี่ทำมันจะสร้างความเจ็บปวดให้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ร้องขอให้เค้าหยุด ผมปล่อยให้เค้าขยับตัวเข้า ออกตามอำเภอใจจากช้าๆ กลายเป็นเร็วและแรงขึ้น จนความเจ็บค่อยๆ หายไป ผมปลดปล่อยตัวเองให้ส่งเสียงออกไปตามความรู้สึกไม่พยานามกลั้นอีก สองแขนผมเอี้ยวกลับไปคล้องคออีกฝ่าย เพื่อหาจุดยึดเหนี่ยวอีกครั้ง เพราะตอนนี้ผมอ่อนระทวยจนเหมือนเรี่ยวแรงจะไม่เหลือ

“แบบนี้ดีหรือเปล่าครับ”ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนเค้ากระแทกเข้ามาอย่างแรง แถมเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบเค้าก็กรแทกเข้ามาอีกหลายครั้ง เหมือนอยากเอาชนะผมให้ได้ ผมถูกจับให้หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเค้า ใบหน้าอีกคนที่ผมเห็นเหมือนยิ่งปลุกความต้องการของผมให้มากขึ้น และถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง ผมว่าเค้าเองพอเห็นสีหน้าผม ก็เหมือนจะไปจุดประกายความดิบเถื่อนในตัวเค้าเพิ่มขึ้น

ตอนนี้เหมือนทุกการกระทำของเราสองคนต่างเหมือนการยั่วยวนอีกฝ่าย เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงครางดังสลับกัน กลิ่นกลายที่คละคลุ้งอยู่ สร้างความสุขให้เราทั้งคู่ เราต่างกอดก่ายสอดประสานตักตวงความสุขจากกันและกันอย่างไม่รู้จักพอ กว่าทุกอย่างจะสงบลงเรี่ยวแรงของผมก็แทบไม่เหลือ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมปลดปล่อยน้ำแห่งความสุขออกไปกี่ครั้ง หรือเค้าปลดปล่อยเข้ามาในตัวผมกี่ที รู้แต่ว่าผมเพลียจนหลับไปในที่สุด

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็น่าจะสายๆ ของอีกวันแล้วผมไม่รู้ว่ามันคือกี่โมง ดีที่มันคือวันหยุดเพราะผมเหมือนปวดไปทั้งตัว เรี่ยวแรงไม่มีเหลือเด็กบ้านี่ก็ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน “เด็ก” ใช่สินะก็เค้ายังเด็กกว่าผมนี่นา แต่ผมก็ยังไม่แก่ขนาดนั้นนี่นาผมก็ยังวัยรุ่นอยู่ เด็กบ้านี่แหละที่แข็งแรงผิดปกติ นี่ผมก็ยังซุกอยู่ที่แผงอกของเค้า ไม่รู้ว่าเค้าตื่นหรือยังแต่ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยหยิกที่หน้าอกของเค้าอย่างแรง

“โอ้ย หยิกผมไมอะลุง”เค้าร้องลั่น แต่ผมหัวเราะสะใจก่อนจะผลักเค้าออกและลุกขึ้นซึ่งพอลุกขึ้นยืนผมก็ต้องทรุดลงกับพื้น เพราะเหมือนขาผมมันไม่มีแรง แถมความรู้สึกขัดๆ ที่ช่วงล่างนี่อีก

“ค่อยๆ ลุกสิครับ”เค้ารีบผุดลุกตามมาประคองผม แล้วนี่ทำไมผมกับเค้าอยู่ในสภาพเปลือยแบบนี้ละเนี่ย จริงสินะเมื่อคืนผมเองเพลียมากจนไม่สนใจจะใส่อะไรอีกแล้ว แต่ไอ้คนที่มาประคองผมนี่สิ เมื่อคืนก็ปลดปล่อยไปตั้งเท่าไหร่ ทำไมตื่นมายังมีหน้ามาชี้โด่ ชี้เด่แบบนี้อีก

“มองขนาดนี้อยากช่วยให้มันสงบเหรอครับ”นั่นไงละ ผมรีบเอาศอกกระทุ้งอีกคนด้วยความหมั่นไส้ อะไรจะมาทำหื่นได้ตลอดเวลาขนาดนี้

“ปล่อยเลยจะไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ”ผมรีบออกตัวและจะชิ่งหนี เพราะคาดว่าถ้ายังปล่อยให้เค้าประคองอย่างใกล้ชิดแบบนี้ชีวิตผมน่าจะไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่

“นี่ไงผมช่วย เดี๋ยวเราก็เข้าพร้อมกันเลย”ผมกำลังตั้งท่าจะปฏิเสธแต่โดนดันหลังให้เดินเข้าห้องน้ำโดยที่มีเค้าตามประกบเข้ามาในห้องน้ำด้วย

“ประหยัดเวลาไงครับ เราก็ทำธุระพร้อมกันไปเลย มาผมบีบยาสีฟันให้”เค้าอธิบายเมื่อผมมองอย่างไม่เข้าใจว่าเค้าจะเข้าห้องน้ำมากับผมทำไม อีกอย่างถึงเราจะตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แต่ไอ้การมาอยู่ในสภาพเปลือยด้วยกันทั้งคู่ในห้องน้ำแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมองว่าปกติสักเท่าไหร่นะครับ

“แล้วทำไมห้องน้ำพี่มีแปรงสีฟันภู่ด้วย”ผมอดที่จะถามไม่ได้เพราะเท่าที่จำได้เมื่อวานผมยังไม่เห็นว่ามันมีอยู่ แต่พอมองดีๆ ตอนนี้มันไม่น่าจะแค่แปรงสีฟัน เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่มันไม่ใช่ของผมมาวางเพิ่มไว้

“ผมเอามาไว้เมื่อคืนไง ตอนลุงหลับแล้ว อย่าสงสัยเยอะสิลุงผมความอดทนต่ำนะ ยิ่งเราอยู่กันในนี้นานเท่าไหร่ ผมยิ่งไม่รับรองความปลอดภัยของลุงนะครับ"”ผมหันไปถลึงตาใส่เค้าทันทีเมื่อมีแรงฟาดเบาๆ มาที่แก้มก้นของผม นี่ผมควรต้องชินกับเรื่องพวกนี้สินะครับเนี่ย เราต่างแปรงฟันไป มองหน้ากันไปก่อนจะหัวเราะออกมาโดยไม่มีสาเหตุ

การอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันของเราทั้งคู่ดูจะผ่านไปอย่างทุลักลุเล และแน่นอนว่าสุดท้ายทั้งที่ผมเองยังรู้สึกระบบช่องทางด้านหลังอยู่ แต่ไอ้เด็กความอดทนต่ำนี่ก็ยังจะซ้ำให้ผมระบมเพิ่มไปอีกจนได้ แถมหลังจากผ่านกิจกรรมใต้ฝักบัวมาแล้ว แทนที่จะได้ลุกจากเตียงไปกินข้าวกินปลา ผมก็ดันยอมจมอยู่บนเตียงกับเค้าอีกรอบจนได้

“นี่กะจะไม่ให้เหลือแรงทำอย่างอื่นเลยใช่ไหม”ผมบอกอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมใช้นิ้วจิ้มเล่นที่ตัวเค้า ทำไมเด็กอายุแค่นี้ถึงได้ตัวโตกว่าผมขนาดนี้แถมมีแต่กล้ามเนื้อแกร่งอีก ต่างจากผมที่เนื้อตัวดูนุ่มนิ่มไปเลยเมื่อเทียบกับเค้า

“ก็ผมหิว”

“หิวก็ลุกไปทำกับข้าวสักทีสิ”ผมรีบบอกเพราะนี่น้ำย่อยในกระเพาะของผมก็เริ่มทำงานแล้วเช่นกัน

“ผมไม่ได้หิวข้าวสักหน่อย ผมหิวลุง”



TBC



มาต่อครับ
ห่างหลายวันเลย T_T

ยังไงขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามกันนะครับ

ช่วงนี้ก็ปล่อยข้าวใหม่ปลามันเค้าสวีทกันไปก่อนเนอะ :hao7:

เนื้อเรื่องก็จะยังไม่เดินไปไหนมากนัก
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-07-2017 23:09:18
 :L2: :pig4:

จาก1ถึง10 เรื่องนี้จะดราม่าอยู่ช่วงไหนอะ เราอยากรู้ไว้ทำใจ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 23-07-2017 23:19:45
 :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-07-2017 23:48:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-07-2017 07:17:27
ข้อตกลงที่ลุงจะห้าม กลายเป็นข้อยกเว้นหมดไปเลยของภู่
ภู่ให้ลุงได้ทั้งนั้น ขอแค่อย่าห้ามกอด ห้ามจูบ ห้ามหอม ห้ามหื่น

ภู่ รุกลุงซ้า  :z1: :pighaun: :haun4:
กำลังดีไม่มีตก แฟนเด็กของลุง  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: 
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-07-2017 07:38:35
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 29 หิว 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-07-2017 08:22:15
น้องภู่สายหื่น  :laugh:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-07-2017 14:44:27
บทที่ 30
เดทแรก





“หิว ไม่ใช่เหรอครับทานดิมัวแต่จ้องผมแบบนี้มันไม่อิ่มนะครับ”ผมส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก็จะไม่ให้เอือมได้ไงครับ ไอ้ที่ผมจ้องหน้าเค้านี่ไม่ใช่ว่าจะคิดอะไรอื่นไกลนะครับ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอาเก้าอี้มาติดผมและนั่งข้างๆ กันแบบนี้ด้วย เราทานข้าวด้วยกันมาตั้งกี่ครั้ง ทุกครั้งก็นั่งตรงข้ามกันคนละฝั่งแล้วทำไมวันนี้มันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้

“ทำไมต้องมานั่งข้างเดียวกันด้วย”

“ก็อยากอยู่ใกล้ๆ”ตอบมาแบบหน้าระรื่น เสียจนผมต้องถอนหายใจใส่อย่างเหนื่อยหน่าย หรือนี่มันคือสิ่งที่แฟนกันเค้าทำเป็นปกติ เอาตรงๆ เลยว่าคนไม่เคยมีแฟนอย่างผมไม่ชินสักนิดเลยครับ

“แค่กินข้าว ลุกไปนั่งฝั่งนู้นเลยมานั่งชิดกันขนาดนี้มันอึดอัด”ปกติผมก็อยู่แต่กับเพื่อน และเพื่อนก็ไม่มาแนบชิดขนาดนี้ หรือแม้แต่ไอ้พี่ต้าร์ที่เดี๋ยวนี้ชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัว แต่มันก็แค่เล่นกัน มันไม่ได้ดูจริงจังเหมือนเด็กบ้านี่

“งั้นป้อนผมก่อนคำนึงแล้วจะลุก”เค้าอ้าปากยื่นหน้ามาหาผม

“ลุกไปก่อนเดี๋ยวจะป้อน”ผมต่อเริ่มต่อรองเพราะจากที่รู้จักมาถ้าผมยอมป้อนเดี๋ยวเด็กนี่ก็ลีลาไม่ยอมลุกอยู่ดีนั่นแหละครับ

“หอมแก้มก่อน เดี๋ยวลุกเลย”ว่าแล้วไงพอไม่ป้อนก็จะมาให้หอมแก้มอีก ความเจ้าเล่ห์นี่คงไม่น้อยหน้าใครแน่ๆ ครับ แล้วดูครับดูยื่นแก้มมาจนจะชนผมอยู่แล้ว ผมผลักเบาๆ ให้เค้าถอยห่างออกแล้วนี่ผมผลักเบาๆ ทำเป็นเซเสียแรงเชียวดูเอาเถอะครับ

“จะลุกไม่ลุก ถ้าไม่ลุกก็ไม่ต้องมานอนบ้านพี่อีก”ผมชี้นิ้วขู่เค้าซึ่งแม้เค้าจะดูไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของผมสักเท่าไหร่แต่ก็ยอมลุกไปอย่างเสียไม่ได้ นั่นทำให้ผมไม่ทันระวังตัว

“ใจร้าย”เค้าทำเป็นบ่นกระปอดกระแปด และจะเดินไป แต่แล้วก็หันกลับมาขโมยหอมแก้มอย่างรวดเร็ว ผมก็ได้แต่อึ้งอยู่ กว่าจะรู้ตัวเค้าก็ไปยืนยิ้มระรื่นที่อีกฝั่งของโต๊ะแล้ว

“ทำอะไรเนี่ย”

“หอมแก้มไงครับ”ดูพอใจกับการได้ขโมยหอมแก้มผมเสียเหลือเกินครับ

“กินข้าวได้แล้ว มัวแน่เล่นอยู่ได้”ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเขินๆ บอกอีกคนเสียงดุหน่อยๆ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ เค้ากลัวผมที่ไหนกันละขนาดย้ายไปนั่งอีกฝั่งแล้วก็จะยื่นหน้า อ้าปากข้ามโต๊ะมาหาผมอีก

“ป้อนก่อนดิ ไหนลุงว่าผมย้ายมานั่งฝั่งนี้แล้วจะป้อนไง”ผมยกยิ้มเล็กน้อย ตักอาหารใส่ช้อนขนาดพอดีคำ ยื่นไปให้เค้า แต่ก่อนที่เค้าจะอ้าปากงับไว้ทันผมก็ดึงมือกลับมา ส่งช้อนเข้าปากตัวเองอย่างสะใจที่ได้แกล้งเค้ากลับบ้าง

“ตักกินเองได้ยังจะให้ป้อนทำไมอีก”ผมลอยหน้าลอยตาบอกอย่างไม่สนใจเค้า

“ก็อยากอ้อนแฟน ไม่ได้เหรอ”เค้าทำหน้างอใส่ผม โถพ่อเด็กน้อยมาทำเป็นงอน หลอกผมไม่สำเร็จหรอกแกล้งแค่นี้คนอย่างเค้าไม่สะทกสะท้ายหรอกครับ

“ตอนคบแฟนคนก่อนๆ นี่ทำตัวแบบนี้ไหม”ผมถามเค้ากลับโดยไม่สนใจท่าทีงอนปลอมๆ ของเค้า ดูเหมือนเจ้าตัวก็รู้นะครับว่างอนหลอกๆ นั่นใช้กับผมไม่ได้ผล

“ไม่นะครับ”

“อ้าว แล้วทำไมมาทำแบบนี้กับพี่”คำปฏิเสธของเค้าเรียกความสนใจจากผมไม่น้อยทีเดียว เพราะทีแรกผมนึกว่าเค้าทำแบบนี้กับแฟนทุกคนเสียอีก

“ก็แฟนเก่าผมแต่ละคน เค้าเป็นฝ่ายอ้อนผมทั้งนั้น ส่วนลุงอะทำเป็นเย็นชาใส่ผม ทั้งที่จริงๆ อยากให้ผมอ้อนใช่ไหมละ”ดูทุกคำตอบของเค้าจะเอาเข้าประตูตัวเองให้ได้หมดเลยนะครับเนี่ย

“ใครว่า พี่โตแล้วต่างหากจะให้มาทำตัวงุ้งงิ้งมุ้งมิ้งอะไรแบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก”ผมบอกออกไปตามตรง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ อาจจะด้วยวัยก็ส่วนนึงที่ผมรู้สึกไม่อยากทำแบบนั้น ส่วนประเด็นหลักจริงๆ คือผมอ้อนแฟนไม่เป็นมากกว่าครับ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนมาก่อนนี่นา

“ก็จริงนะครับ ลุงก็แก่แล้ว แบบนี้ผมต้องทำตัวแก่ด้วยหรือเปล่านา ถึงจะเหมาะกัน”ถึงจะเป็นคำพูดแซวผมเล่นๆ แต่มันก็คือความจริงที่ผมอายุห่างกับเค้าเกือบ 10 ปีความต่างนี้มันจะเป็นปัญหาระหว่างเราบ้างหรือเปล่านะ

“ไม่ต้องหรอก ภู่ก็เป็นภู่นั่นแหละไม่ต้องมาเปลี่ยนอะไรเพื่อพี่หรอก”ผมยิ้มบางๆให้เค้า แม้ในใจจะมีความกังวลอยู่บ้างแต่ในเมื่อมันยังไม่มีอะไรผมก็ไม่ควรคิดมากให้มันมีอะไรสิเนอะ

“โห ลุงนี่พูดจาแบบนี้ก็เป็นเนอะ พูดบ่อยๆ นะครับผมชอบ”นั่นรอยยิ้มแบบนี้มาอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทั้งดูเจ้าเล่ห์ ทั้งดูมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ นี่อีกนิดจะรวมรอยยิ้มหื่นเข้าไปด้วยแล้วครับ

“พูดอะไร”แม้จะพอเดาทางได้ว่าเค้าต้องดึงไปทางเข้าข้างตัวเองอีกแน่ๆ แต่ไม่อยากจะให้เค้าได้ใจนัก ผมต้องตีมึนไม่รู้ไม่ชี้ไว้ก่อนนี่แหละดีที่สุดแล้ว

“ก็ที่ลุงพูดนั่นเหมือนบอกว่าลุงชอบผมที่ผมเป็นแบบนี้”นั่นไง ผิดคาดเสียที่ไหน

“คิดเองเออเองนะเราเนี่ย”ผมหันกลับมาสนใจกินข้าวตรงหน้าต่อเพราะขืนคุยด้วยต่อ ก็คงมีแต่จะยิงเข้าประตูตัวเองเป็นแน่

“แต่ผมว่าผมก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่แหละ เพราะอีกหน่อยต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องดูแลแฟนสูงวัยด้วย”นี่ว่าจะไม่คิดแล้วนะครับไอ้เรื่องอายุเนี่ยแต่เค้าก็ชอบย้ำเสียจริง ขนาดที่เรียกลุงนี่กว่าผมจะชินก็ใช้เวลาพักใหญ่อยู่นะ

“เพ้อเจ้อ...เรียนให้จบก่อนไหม”ด้วยความฉุนที่มาบอกว่าผมสูงวัย ผมเลยพูดกลับไปอย่างเคืองๆ เสียเลย

“งั้นพี่แปง รอผมนะครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำพูด สีหน้าแววตาที่มุ่งมั่นนั่นทำเอาผมอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

“รออะไร พี่ก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”ผมก้มหน้าลงเขี่ยข้าวตามเดิม เพราะมันออกจะเขินๆ หน่อยกับการที่โดนเค้าจ้องไม่กระพริบตาขนาดนี้

“ก็ถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ พี่จะไม่เปลี่ยนใจจากผมใช่ไหม”

“พูดเหมือนจะไปไหนไกลเลย”ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเค้าอีกครั้งเพราะคิดว่ามันเหมือนมีความหมายแฝงอยู่ในคำพูดของเค้า แต่เค้าก็ยังมีสีหน้าเช่นเดิม หรือผมคิดมากเกินไป

“เปล่าหรอกครับ แต่พี่แหละออกมาอยู่คนเดียวได้แค่ปีเดียวไม่ใช่เหรอ”จริงสินะ ผมเองต่างหากที่เหลือเวลาอยู่ที่นี่กับเค้าอีกไม่เท่าไหร่ ระยะเวลา 1 ปีมันไม่ได้นานอะไรเลย แถมนี่ก็หลายเดือนเข้าไปแล้ว

“ชีวิตพี่จะไปเจอใคร พอกลับไปอยู่บ้านชีวิตก็คงมีแต่งานกับที่บ้านแหละมั้ง ว่าแต่ภู่เถอะ ยังต้องไปเจอสังคมอีกเยอะ ไม่ใช่พอไปเจอสาวๆมหา’ลัย แล้วเปลี่ยนใจละ”แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ความกังวลในใจจริงๆ ของผมกลับเป็นเรื่องครอบครัวของเราทั้งสองฝั่งเสียมากกว่า ฝั่งผมแม้จะอนุญาตกลายๆ ว่าให้ผมมีแฟนเป็นผู้ชายได้ แต่คุณสมบัติที่พ่อผมตั้งไว้ ภู่อาจยังไม่เข้าใกล้เลยสักนิด แล้วครอบครัวของภู่เองละ ผมว่าก็คงยังไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าเค้าจะมีแฟนเป็นผู้ช้าย แถมอายุห่างกันเกือบทศวรรษขนาดนี้อีก

“ไม่เอาๆ เราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่า เราเพิ่งเป็นแฟนกันเองจะมาคุยเรื่องใครเปลี่ยนใจทำไมกันเนอะ”เค้าเป็นฝ่ายหยุดบทสนทนาซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าเราไม่ควรเอาเรื่องที่มันยังไม่เกิดมาคิดให้บั่นทอนความสัมพันธ์ของเรา

“ผมว่าวันนี้ เราไปเดทกันดีกว่า”หลังจากทานข้าวกันเสร็จเค้าก็เสนอไอเดียบางอย่าง ไอเดียที่ผมยังไม่เคยมาก่อน

“เดท?”

“เป็นแฟนกันก็ต้องไปเดทกันสิครับ”เค้าเดินเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังพร้อมกระซิบบอกเบาๆ

การออกเดทครั้งแรกในชีวิตของผม ทำไมมันดูง่ายจังเลย บทจะมีอะไรแบบนี้มันก็มีมาง่ายๆ ดีเหมือนกันนะครับ ไม่เคยมีแฟนอยู่ๆ ก็มี ไม่เคยออกเดทก็ได้มาออกเดท เมื่อก่อนมีแต่ติดสอยห้อยตามไปกับข้าวหอมและพี่โต ตอนนี้ผมได้มาเดินอยู่กับ “แฟนเด็กของผม” เด็กบ้าที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะชอบเค้าได้ แต่ตอนนี้ผมกำลังโดนเค้าจูงมือเข้าห้าง อย่างไม่แคร์สายตาใคร

“หยุดทำไมอ่ะลุง”เค้าหันมาถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อผมที่เดินตามหลังเค้าหยุดเสียดื้อๆ

“ปล่อยก่อน”ผมดึงมือกลับจากเค้าทันทีที่เค้าคลายมือออก

“ไม่ชอบเหรอ”สีหน้าเค้าสลดลงเล็กน้อย แม้จะไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิดแต่ผมคงไม่มีเวลาอธิบายมากนักว่าจริงๆ ผมก็ไม่ได้อายอะไรที่จะจับมือกับเค้าในที่สาธารณะแบบนี้ แต่สองคนที่กำลังเดินตรงมาทางเรานั่นต่างหากที่ทำให้ผมต้องรีบปล่อยมือจากเค้า

“แค่ไม่ชิน”ผมรีบตอบเพราะตอนนี้สองคนที่ผมมองเห็นนั่นเหมือนจะเห็นผมกับภู่แล้วเช่นกัน

“พี่ปอ พี่ต๊าฟ สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พี่สาวและว่าที่พี่เคยที่เดินมาหยุดยืนยิ้มมองผมกับภู่ ภู่เองก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนตามผม แล้วพี่ๆ ทั้งสองนี่ก็เล่นมองผมกับภู่สลับกันไปมาอย่างจับผิดขนาดนี้ จะให้ผมตอบยังไงละเนี่ย

“ภู่นี่พี่ปอ พี่สาวพี่เอง แล้วก็พี่ต๊าฟแฟนพี่ปอ”ทั้งสามยิ้มทักทายให้กันอีกรอบ

“แล้วนี่คือ...”พี่ต๊าฟหันมาถามผมด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง


“อ๋อนี่ภู่ครับ รุ่นน้องข้างบ้านที่ผมไปเช่าอยู่ พอดีสนิทกันวันนี้ว่างๆ เลยชวนกันมาดูหนังครับ”ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดออกไปแบบนั้น แถมคนข้างๆ ผมก็หน้าเปลี่ยนสีไปเลยอย่างเห็นได้ชัด แม้เค้าจะยังยิ้มอยู่ แต่แววตาเค้าเหมือนกำลังไม่พอใจกับสิ่งที่ผมพูด แต่จะให้ผมตอบยังไงได้ละ บอกพี่ปอออกไปตรงๆ เรื่องก็คงถึงหูพ่อกับแม่ผมแน่ๆ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกเพียบ

“งั้นเหรอ แบบนี้พี่ต้องฝากน้องภู่ดูแปงมันหน่อยละกัน โตจนทำงานแล้วแต่ยังไม่ค่อยทันใครเค้าหรอก”นี่เจ้ปอรู้หรือเปล่านะว่าภู่เป็นหลานของพี่ปุ๊กเนี่ย

“แล้วนี่ภู่ยังเรียนอยู่เหรอ”พี่ต๊าฟนี่จะอยากทำความรู้จักอะไรขนาดนั้นละเนี่ย แค่การบังเอญเดินมาเจอกันเนี่ยมันควรทักทายนิดหน่อยแล้วต่างคนต่างไปไหม ไม่เห็นต้องมาสัมภาษณ์กันขนาดนี้เลย

“ครับยังเรียนอยู่”นี่ก็ดูมีสัมมาคารวะขึ้นมาเชียว

“เรียนปีไหนแล้วละ”คำถามของพี่สาวผมทำเอาผมชะงัก คือทำไมมันดูลงลึกต้องการรายละเอียดขนาดนั้น นี่เจ้แกเชื่อหรือเปล่าว่าผมกับภู่เป็นพี่น้องข้างบ้านกันเฉยๆ

“อะไรนิเจ้ จะรับน้องมันไปทำงานด้วยหรือไง มาซักประวัติอะไรขนาดนี้ มาเดทกันไม่ใช่ จะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเถอะ นี่ผมก็กำลังรีบ หนังจะเข้าแล้ว”ผมรีบตัดบทไม่อยากให้ทั้งเจ้ปอและพี่ต๊าฟ ซักฟอกภู่มากไปกว่านี้ แต่ก่อนจะแยกย้ายเจ้ปอก็ยังวางระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ผมเก็บกู้อีก 1 ลูก

“เออแปง ว่างๆ ก็ไปทานข้าวที่บ้านนะชวนน้องภู่ไปด้วยละ พ่อกับแม่คงอยากรู้จักเพื่อนบ้านของแปงบ้าง ว่าออกไปอยู่คนเดียวแล้วไปสร้างปัญหาให้ใครบ้างหรือเปล่า”มันอาจจะไม่ใช่ประเด็นอะไร ถ้าคนที่มากับผมนี่ไปรับปากพี่สาวผมเสียดิบดี ว่าอยากไปทานข้าวบ้านผมมากๆ

“โกรธเหรอ”พอคล้อยหลังพี่สาวผม เค้าก็เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด คือก็พอรู้แหละครับว่าเค้าคงไม่พอใจบางอย่างแน่ๆ ถึงได้เงียบแบบนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าประเด็นไหนมันเป็นประเด็นหลัก ที่ผมบอกว่าเราแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง หรือจะเป็นเรื่องที่ผมยังไม่พร้อมจะให้เค้าเจอพ่อกับแม่ผม

“เปล่าครับ”

“เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ว่าไม่พอใจ ไม่ชอบตรงไหนก็บอกมาสิพี่จะได้อธิบาย ทุกอย่างที่พูดออกไปเพราะพี่มีเหตุผลของพี่นะ”ผมพยายามใช้น้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมจะชวนทะเลาะ

“เหตุผลเหรอครับ”

“ใช่”เค้าหันมามองผมสบตานิ่ง เห็นสีหน้าเค้าแล้วทำไมผมเห็นแววเดทแรกของเรากำลังจะพังไม่เป็นท่าละครับเนี่ย

“เหตุผลของพี่มันก็คงเพราะผมเด็กเกินไปจนพี่ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกันสินะครับ”






TBC


เห็นเค้ารางมาม่ามาแต่ไกล

แต่อย่ากลัวไปครับ เรื่องนี้ไรท์จะไม่ม่า (จริงๆ นะ)

หรือถ้าจะม่า (อ้าว) ก็เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่เคยแต่ง  :z2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-07-2017 15:20:07
โอ๋ๆ น้องภู่อย่าน้อยใจไปเลยนะ มามะกอดปลอบๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 24-07-2017 15:39:46
 :mew3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-07-2017 16:15:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-07-2017 16:19:41
 :เฮ้อ:

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 30 เดทแรก 24-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-07-2017 16:35:40
มาละ น้อยใจ ภู่ เด็กน้อย
ที่แปงไม่บอกเป็นแฟน
นี่เล็กๆ นะ ใหญ่ๆตามมาแน่
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 31 เรียนรู้ 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-07-2017 16:12:13
บทที่ 31
เรียนรู้



“เหตุผลของพี่มันก็คงเพราะผมเด็กเกินไปจนพี่ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกันสินะครับ”นี่เค้าโกรธขนาดนั้นเลยหรือไงเนี่ย โอเคคนเป็นแฟนกันอาจจะอยากให้ยอมรับกับคนอื่น แต่กรณีนี้มันก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะให้พูดตรงๆ ทั้งหมดมันก็ยังไงดีละ

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะภู่”ผมพยายามคิดหาคำอธิบายที่จะไม่ให้เรื่องมันไปไกลกว่านี้ แล้วนี่เด็กบ้านี่ก็เหมือนจะไม่ฟังผมเสียด้วย ปกติผมก็เห็นเค้าออกจะมีเหตุผลมากกว่านี้ แล้วนี่เป็นอะไรละเนี่ย

“ไม่ใช่แล้วทำไมพี่ต้องทำเหมือนไม่อยากให้พี่สาวพี่รู้ว่าผมเป็นแค่เด็กมัธยม”เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นนะครับ แต่ส่วนนึงก็ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ที่จะให้พี่ปอมารับรู้เรื่องนี้ คือใจจริงผมก็อยากยอมรับตรงๆ แต่ผมไม่มั่นใจว่าทางบ้านผมจะพร้อมเข้าใจเรื่องนี้มากแค่ไหน ขนาดกว่าที่เค้าจะยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้มันก็นานไม่น้อย อยู่ๆ จะให้เค้ายอมรับอีกว่าผมตัดสินใจคบเด็กที่อายุน้อยกว่าเกือบ 10 ปี มันคงยอมรับยากเหมือนกันแหละครับ ยิ่งถ้าจะให้มองไปถึงอนาคต ผมเองยังไม่มั่นใจเลย ว่าเราจะคบกันไปได้นานขนาดไหน

“พี่พูดแบบนั้นที่ไหนกันละ”ดูแล้วผมอธิบายออกไปตรงๆ มันก็คงยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกมั้งครับ

“งั้นพี่บอกผมสิครับ ว่าไม่ได้คิดปกปิด ทั้งเรื่องเป็นแฟนกับผม หรือเรื่องผมเป็นแค่เด็กข้างบ้านที่เด็กกว่าพี่เกือบ 10 ปี”ผมเคยคิดว่าเค้ามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้นะครับ แต่ผมคงคิดผิด ยังไงเค้าก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยมสินะ

“มีเหตุผลหน่อยสิภู่ อย่าทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้”และแล้วผมก็ยั้งปากไว้ไม่ทัน รู้เลยว่าผมไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น เพราะดูเค้าจะไม่พอใจในคำพูดของผมอย่างมาก

“โอเคครับผมมันก็แค่เด็กไม่มีเหตุผล งั้นพี่บอกผมมาสิครับว่าเหตุผลจริงๆ ของพี่คืออะไร”

“กลับบ้านกันเถอะ”ผมตัดบทเพราะคงคุยกันที่นี่ไม่รู้เรื่องแน่ๆ อีกอย่างพอกลับบ้านไปอารมณ์เค้าอาจจะเย็นลงบ้างก็เป็นได้ เค้าไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของผม ทำให้เดทแรกของเราในวันนี้พังไม่เป็นท่า ระหว่างทางกลับบ้าน เราทั้งคู่ก็แทบไม่คุยกันสักคำ

“ไปไหน”พอถึงบ้านแทนที่เค้าจะเข้าบ้านผมอย่างทุกครั้ง กลับกลายเป็นว่าเค้าเดินไปทางบ้านเค้าโดยไม่ได้มองผมเลยด้วยซ้ำ

“ผมขออยู่คนเดียวสักพักนะครับ”แล้วก็เดินไปไม่รอให้ผมได้พูดอะไรอีก นี่มันอะไรกันนักหนาเนี่ย ถ้าการเป็นแฟนกันแล้วต้องมาทะเลาะแบบนี้ สู้เป็นพี่น้องกันแบบเดิม กวนประสาทกันแบบเดิมจะดีกว่าไหมละ ผมเดินเข้าบ้านอย่างเซ็งๆ

กำลังคิดจะโทรปรึกษาเพื่อนสนิทอย่างข้าวหอม แต่แม่เพื่อนตัวดีของผมก็เหมือนจะรู้งานครับ โทรเข้ามาเสียก่อนผมกดรับสายอย่างเนือยๆ เพราะเริ่มรู้สึกเซ็งๆ

“ไปเดทมาเหรอจ๊ะ”คำทักทายแบบนี้แสดงว่าเจ้ปอคงไปถามอะไรกับข้าวหอมแล้วแน่นอน

“เจ้ปอว่าไงบ้างละ”ผมถามไปอย่างรู้ทัน

“ก็แค่มาถามว่าแกกับน้องภู่สุดหล่อนั่น มีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าที่จะปิดเจ้ปอ เพราะลืมไปว่าถ้าเจ้แกสงสัยก็คงหาทางรู้ให้ได้อยู่แล้ว

“แล้วแกบอกไปว่าไง”

“ก็ไม่ว่าไง แค่บอกว่าแกได้กันแล้ว”

“อะไรนะ”ผมตะโกนใส่โทรศัพท์ดังลั่น ไม่คิดว่าข้าวหอมจะไปวางระเบิดลูกใหญ่ให้ผมขนาดนั้น

“โอ้ย จะตะโกนทำไม ล้อเล่นไหมละ ใครจะไปบ้าบอกแบบนั้น ก็บอกแค่ว่าพวกแกสนิทกัน แต่ความสัมพันธ์จะพัฒนาไหมก็ไม่รู้”ผมเริ่มลังเล ว่าจะเชื่อประโยคไหนดี แต่ถ้าข้าวหอมบอกอย่างแรก ป่านนี้พี่สาวผมคงมาถึงนี่แล้ว

“แน่นะ”ผมถามย้ำอย่างไม่วางใจ

“แน่ค่ะยู Don’t worry ว่าแต่ตกลงจริงๆ แกกับน้องภู่นี่ยังไง”ข้าวหอมเปลี่ยนประเด็นมาที่เรื่องระดับความสัมพันธ์ของผมอีกรอบ

“ยังไงอะไรละ เพิ่งทะเลาะกันไปเนี่ย”จะเรียกว่าทะเลาะก็คงไม่ผิดหรอกมั้งครับ แม้มันอาจจะไม่ได้มีปากเสียงกันรุนแรงก็ตามที

“ตกลงคบกันแล้ว”น้ำเสียงที่ดูจะไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก ถามกลับมา

“อืม”

“โอ้วมายก้อด โอ้วมายก้อด เพื่อนชั้นขายออก”แล้วข้าวหอมก็พูดน้ำไหลไฟดับ ไม่เว้นช่องว่างให้ผมพูดอีกเลย จนเจ้าตัวเหนื่อยนั่นแหละครับผมถึงได้มีโอกาสได้พูดบ้าง

“ถามไรหน่อยสิ”

“ว่ามา”

“ถ้าพี่โตพาแกไปเจอคนรู้จักเค้า แล้วแนะนำแกว่าเป็นแค่รุ่นน้อง แกจะโกรธไหม”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงโกรธ แต่ถ้าตอนนี้คงไม่แต่ต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น ซึ่งชั้นคิดว่าพี่โตไม่น่าจะกล้าแนะนำว่าชั้นเป็นแค่น้อง เพราะพี่โตกลัวว่าคนอื่นจะมาจีบแฟนสาวคนสวยอย่างชั้น”ฟังทีแรกมันก็ดูจริงจังหรอกนะครับ แต่ไอ้ประโยคหลังนั่น มันชักจะน่าหมั่นไส้มากกว่า

“เหมือนภู่จะโกรธที่ชั้นแนะนำกับพี่ปอว่าเค้าเป็นแค่น้องข้างบ้าน”ที่ปรึกษาข้าวหอมนี่ไม่ใช่อะไรนะครับ เพราะข้าวหอมนี่ก็จัดว่าเป็นคนงี่เง่าอันดับต้นๆ ในบรรดาคนรู้จักของผม ถ้าอย่างที่ข้าวหอมบอกว่าถ้าในวัยที่อายุน้อยกว่านี้ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัย ที่พี่โตเริ่มคบข้าวหอม และข้าวจะโกรธในประเด็นที่ผมถาม นั่นแสดงว่าภู่เองก็คงไม่แปลกที่จะโกรธหรือไม่พอใจผม

“ก็ไปง้อสิจ๊ะ คบแฟนเด็กก็ต้องหมั่นเอาใจ”ผมผิดจริงๆ สินะแต่แล้วยังไง ผมต้องไปง้อ ง้อยังไงละ เกิดมาเคยต้องง้อแฟนที่ไหนกัน

“มันจะไปรอดจริงๆ เหรอแก อายุห่างกันขนาดนี้”แม้จะเคยคิดประเด็นนี้มาแล้ว แต่ตอนนี้มันเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าบางทีความต่างระหว่างวัยมันก็สร้างปัญหาให้ความสัมพันธ์ได้จริงๆ

“หยุดค่ะ อย่ามามัวคิดมากกว่าแกจะมีแฟนสักคนชั้นลุ้นแทบแย่ พอมีแล้วจะมาคิดเลิกง่ายๆ ไม่ได้ คนเป็นแฟนกัน มันก็ต้องมีทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน ต้องเรียนรู้กันไปแก”นั่นสินะในเมื่อผมตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องพยายามให้มันออกมาดีที่สุด อีกอย่างถ้าผมอยากที่จะให้ครอบครัวยอมรับในตัวภู่ ผมเองก็คงต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าจะไม่มองว่าเค้าเป็นแค่เด็กยังไม่โต

แล้วนี่ผมควรไปหาเค้าที่บ้านนั้น หรือรอเค้าอยู่นี่กันนะ นี่ก็บ่ายแก่ๆ แล้วเค้าจะมาทำกับข้าวมื้อเย็นไหม หรือจะยังมานอนกับผมหรือเปล่า ผมตัดสินใจนั่งรอ พยายามคิดหาคำพูด หรืออะไรที่จะอธิบายให้เค้าฟัง ตอนนี้ผมอาจจะมองแค่มุมของผมเอง ผมกังวลแต่เรื่องทางฝั่งครอบครัวผม ลืมที่จะคิดถึงตัวเค้าด้วย

“ผมไปเตะบอลนะครับ เสร็จแล้วจะรีบกลับมาทำกับข้าวให้กิน”อยู่ๆ เค้าก็โผล่เข้ามาบอกผมด้วยสภาพพร้อมชุดและอุปกรณ์สำหรับไปเตะบอล ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเค้ายังเคืองผมอยู่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยการที่เค้ามาบอกผมและยังจะมาทานข้าวเย็นกับผม มันก็ถือเป็นลางดีแล้วสินะ

สรุปผมก็ต้องแกร่วอยู่บ้านคนเดียว รอเค้ากลับมาสินะ แล้วไอ้การรอคอยนี่เวลามันก็ดูจะเดินช้าเหลือเกิน หรือผมจะมองนาฬิกาบ่อยเกินไป มันเลยไม่ถึงไหนสักที จะหาอะไรทำรอมันก็ดูไม่มีกะจิตกะใจสักเท่าไหร่ นี่ครั้งก่อนโน้นที่เค้ารอผมตอนวันเกิดนั่น เค้าต้องอยู่อย่างกระวนกระวายอย่างผมไหมนะ

เวลาผ่านไปจนบรรยากาศด้านนอกมืดสนิทแล้ว นาฬิกาบอกเวลาว่า 2 ทุ่มกว่าแล้ว เสียงรั้วบ้านดังเป็นสัญญาณว่าอีกคนกลับมาแล้ว ผมสูดลมหายใจยาว เพื่อเตรียมตัว ยังไงเสียผมก็คงต้องเป็นฝ่ายขอโทษก่อนสินะ เค้าเปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย กระเป๋าอุปกรณ์เค้าถูกวางลงตรงมุมประจำ เค้าเดินมาหยุดตรงหน้าผมที่ยืนรอเค้าอยู่

“ขะ...ขอ”คำพูดผมถูกสกัดด้วยริมฝีปากของเค้า เพราะอยู่ๆ เค้าก็ดึงผมเข้าไปจูบอย่างแรงโดยไม่ให้ผมตั้งตัว นี่มาอารมณ์ไหนเนี่ย ผมไม่ได้ขัดขืนอะไรปล่อยให้เค้าทำตามอำเภอใจ กลิ่นเหงื่อจางๆ จากตัวเค้ากลับยิ่งเหมือนจะทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนขึ้นไปอีก แต่แล้วอยู่ๆ พอผมกำลังเคลิ้ม เค้าก็ผละออกจากผม แล้วก็เดินเข้าครัวไปเลย ทำเอาผมงง ว่านี่มาอารมณ์ไหนกันแน่

“ถ้ายังคิดจะกินข้าว ก็อย่าก้าวเข้ามานะครับลุง ไม่งั้นคืนนี้เราอาจได้แค่กินกันเองวนห้องครัวนี่”ผมชะงักฝีเท้าทันทีที่จะตามเข้าไปคุยกับเค้า แต่การที่เค้ามาพูดทะลึ่งกับผมแบบนี้ก็แสดงว่าคงหายโกรธผมแล้วสินะ

“งั้นถ้าพี่ยืนคุยตรงหน้าประตู ไม่ก้าวเข้าไปก็ได้สินะ”ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเพราะคิดว่าเค้าน่าจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

“เดี๋ยวคืนนี้ลุงจะโดนมิใช่น้อย”เค้าหันมาทำท่าคาดโทษผม แต่มีหรือครับที่ผมจะต้องกลัว ผมยักไหล่ให้เค้าอย่างท้าทาย ก่อนเราจะยิ้มให้กันเหมือนเป็นสัญญาณสงบศึก

“ขอโทษ”ผมบอกออกไปในที่สุด

“ก็อย่างที่ภู่พอจะรู้อยู่บ้าง ว่าครอบครัวพี่ไม่ได้เห็นด้วยในสิ่งที่พี่เป็นตั้งแต่แรก เพราะงั้นสำหรับพี่มันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย”เค้าวางมือจากอุปกรณ์ที่กำลังจะเตรียม แล้วเดินออกมาหาผม

“แล้วอีกอย่าง พี่ก็ไม่เคยมีแฟน อย่ามาโกรธมางอนบ่อยๆ ละ พี่ง้อไม่เป็น”เค้ายิ้มกว้างยืนฟังสิ่งที่ผมกำลังบอก

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะผมเองก็ทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กน้อยด้วยแหละ จากนี้ไปผมจะมีเหตุผลมากกว่านี้ เพราะสุดท้ายแล้ววันนึงผมก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว”ไปไกลอีกแล้วครับ นี่คบกันไม่ทันไรยังทะเลาะกันแล้ว ยังจะกล้าคิดไกลไปถึงไหนอีก

“เรามาค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะครับ”เค้าก้มลงมาจูบเบาๆ ที่หน้าผากผมก่อนจะหันกลับไปจะเตรียมทำกับข้าวต่อ

“ลุง”เค้าหันมามองผมยิ้มๆ

“อะไรอีก”สีหน้าทะเล้นๆ แบบนี้ผมต้องตั้งการ์ดไว้ก่อนครับ

“ผมจะรีบโตนะครับ แต่ลุงก็อย่ารีบแก่ละเดี๋ยวผมตามไม่ทัน”นั่นไงไอ้เด็กบ้าเอ้ย พออารมณ์ดีก็กวนตลอด

“กินข้าวเสร็จแล้วกลับไปนอนบ้านนู้นเลย”ผมว่าอย่างหมั่นไส้

“ไม่ไปหรอก กลัวคนแก่แถวนี้จะนอนเหงา”



TBC



บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ม่าหรอกครับ  o13


หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 31 เรียนรู้ 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 26-07-2017 17:54:39
แอบหวานนนน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 31 เรียนรู้ 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-07-2017 18:15:23
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 31 เรียนรู้ 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-07-2017 19:11:53
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 31 เรียนรู้ 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-07-2017 00:09:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-08-2017 15:24:32
บทที่ 32
Top 10




“ทำไมต้องเอางานมาทำที่บ้านด้วยอ่ะ”น้ำเสียงเหมือนจะงอแงหน่อยๆ ดังอยู่ด้านหลังของผม ผมไม่ได้หันกลับไปมองเค้าด้วยซ้ำเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า

“ก็งานมันจะไม่ทันไง”วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมหอบเอางานกลับมาทำด้วยที่จริงมันก็ไม่ได้เยอะมากหรอกนะครับ เพียงแต่วันนี้ทุกคนดันทำงานตัวเองเสร็จเร็วกันหมด ไอ้ครั้นจะให้ผมอยู่ทำต่อที่ออฟฟิศคนเดียวผมก็ไม่อยากอยู่ เลยกะว่าเอามาทำต่อที่บ้านนี่แหละครับ

“งานหนักขนาดนี้ ลุงเหนื่อยไหม”น้ำเสียงจากตอนเรียกที่เหมือนจะงอแงฟังดูอบอุ่นขึ้นจนผมต้องวางมือและหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เค้าส่งยิ้มให้ผมอย่างห่วงใย ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบเค้า

“ไม่หรอก แต่ขอเวลาพี่สักพักนะ หิวก็กินข้าวก่อนเลย ไม่ต้องรอ พอดีงานมันกำลังติดพัน”เค้าพยักหน้าให้ผมก่อนจะเดินแยกออกไปผมหันกลับมาสนใจงานต่อ กะว่าจะรีบทำให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลาร่วมกับเค้ามากขึ้น จะว่าผมหลงเด็กก็ได้นะครับแต่ช่วงนี้รู้สึกอยากใช้เวลาร่วมกับเค้าให้มากจริงๆ

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่างานที่เอามาทำจะเรียบร้อยทั้งที่ตอนแรกไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้ ผมบิดขี้เกียจไปมาเล็กน้อย สายตาก้มดูเวลาอีกรอบ นี่เกือบจะสี่ทุ่มอยู่แล้ว แล้วภู่ไปไหน คือผมเอางานเข้ามานั่งทำในห้องนอนนะครับทีแรกก็คิดว่าเค้ากินข้าวเสร็จคงเข้ามาในห้อง นี่สงสัยคงกลัวรบกวนผมสินะ เด็กบ้าเอ้ย

พอเปิดประออกมาเด็กบ้าของผมก็นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา เหมือนจะหลับไปแล้วด้วยนะครับเนี่ย สงสัยคงเพลียสินะเหนื่อยมาทั้งวันยังต้องมาเหนื่อยเข้าครัวให้ผมอีกทีแรกกะจะปลุกให้เข้าไปนอนดีๆ นะครับแต่พอมองเค้าหลับแบบนี้ ไม่อยากปลุกเลย น้อยครั้งมากที่ผมจะได้เห็นเค้าหลับ เพราะเวลานอนด้วยกันเค้าแทบจะตื่นก่อนผมทุกครั้งเลย

“งานเสร็จแล้วเหรอลุง”สงสัยเพราะเสียงเดินของผมทำให้เค้ารู้สึกตัว เค้างัวเงียขยี้ตาลุกขึ้นนั่งยื่นมือมาหาผม ผมขยับเข้าไปใกล้ก็โดนดึงเบาๆ ให้นั่งลงที่ตักของเค้า จมูกโด่งของเค้ากดลงมาที่ท้ายทอยของผม

“ง่วงแล้วก็ไปอาบน้ำ เข้าไปนอนในห้องดีๆ ไป”ผมบอกพร้อมตีมือเค้าที่ยุกยิกๆ อยู่แถวหน้าท้องผม

“ไม่ง่วงแล้ว หิวมากกว่า”

“อ้าว ยังไม่กินข้าวเหรอ”ผมถามอย่างสงสัยเพราะก็ย้ำไปแล้วว่าให้เค้าทานข้าวไปก่อนเลย

“หิวลุง”โหไอ้เด็กหื่นเอ้ย ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วงนึกว่าหิ้วท้องรอ ที่แท้ก็เอาแต่คิดทะลึ่งนี่แหละ

“ปล่อยเลย จะไปกินข้าวแล้ว”ผมพยายามขืนตัวออกแต่เค้ากลับยิ่งกอดผมแน่นขึ้น เสียงหัวเราะในลำคอนั่นแสดงให้รู้ว่าเค้ากำลังแกล้งผมอยู่

“จุ๊บก่อนเดี๋ยวปล่อยเลย”อ้อมกอดเค้าค่อยๆ คลายออกให้ผมขยับตัว ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ผมลุกนะครับ แค่ให้ผมหันหน้ามาเผชิญเค้าผมว่าท่านั่งของเราทั้งคู่ตอนนี้มันเริ่มจะล่อแหลมขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับถ้ายิ่งผมไม่ทำตามที่ขอผมว่ามันจะยิ่งไปไกลกว่านี้

“แค่จุ๊บนะ จะไปกินข้าวแล้ว”เค้ายิ้มกว้างพยักหน้า แล้วก็ทำปากยื่นออกมารอจนน่าหมั่นไส้ คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก 3 ขวบหรือไงเนี่ย แต่ก็นั่นแหละครับ เป็นผมที่รีบเอาริมฝีปากตัวเองไปแตะอย่างรวดเร็วแล้วลุก ก่อนที่อีกคนจะทำให้อะไรมันเกินเลยไปมากกว่านี้

“ไหนว่ากินข้าวแล้ว”พอผมเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวก็ต้องแปลกใจอีกรอบเพราะอาหารบนโต๊ะมันดูยังไม่ได้พร่องลงไปเลยสักนิด แสดงว่าเค้าเองต้องยังไม่ได้ทาน

“ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าทานแล้ว”เค้าเดินตามผมมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ตอบคำถามผมสบายๆ ส่วนผมก็เริ่มคิดทบทวนคำพูดของเค้าที่บอกว่า หิวผม ไอ้ผมก็ทึกทักไปเองสินะว่าตัวเค้าทานข้าวไปแล้ว

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอให้กินก่อนเลย”ผมบอกเค้าเสียงดุ

“กินพร้อมกันนี่แหละ มาๆ กินข้าวกันดีกว่า”ดุไปก็เท่านั้นสินะครับ เด็กบ้านี่ฟังผมเสียเมื่อไหร่กัน

“ไม่ต้องมายิ้มเลย”แล้วบรรยากาศการกินข้าวของเราก็มีเสียงบ่นของผม สลับกับเสียงระรื่นของเค้าจนในที่สุดผมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ให้เค้าอีกตามเคย

“ลุง ผมสอบเสร็จเราไปเที่ยวกันไหม”หลังจากกินข้าวเก็บถ้วยจานเสร็จเรียบร้อย เค้าก็ถามขึ้นมา

“สอบเมื่อไหร่นิ”พักหลังมานี้ไม่ค่อยเห็นเค้าพูดเรื่องเรียนสักเท่าไหร่ ส่วนภาษาอังกฤษก็เหมือนว่าเค้าจะพัฒนาไปเยอะมากจนผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่เค้าก็บอกว่าช่วงนี้มีติวที่โรงเรียนเยอะ แล้วเค้าเองก็ตั้งใจเรียนกว่าแต่ก่อน อย่างว่าแหละครับที่จริงเค้าเป็นคนหัวดี เพียงแต่ติดจะขี้เกียจเท่านั้นเอง

“ช่วงปลายเดือนนี้แหละ”ปลายเดือนก็อีกแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์เต็มนี่นา นี่อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่าเนี่ย

“งั้นใกล้สอบแล้ว ไม่ต้องทำกับข้าวเองก็ได้มั้ง ตั้งใจอ่านหนังสือดีกว่า”อยากให้เค้าตั้งใจกับการเรียนบ้างแหละครับ ไม่อยากให้มาอยู่กับผมแล้วการเรียนแย่ลง มันก็คงไม่ต่างจากที่ทางบ้านเค้าให้ย้ายออกมาจากคอนโดมั้งครับเนี่ย

“ไม่เอาอ่ะ ผมอยากทำให้ลุงกิน หนังสือผมทบทวนนิดเดียวก็ได้แล้ว”ก็ไม่ค่อยจะถ่อมตัวเลยนะแฟนใครเนี่ย

“งั้นถ้าทำกับข้าวก็งดมีอะไรกันจนกว่าจะสอบเสร็จ”

“ได้ไงอะลุง”ยังไงผมก็ยังอยากให้เค้าได้มีเวลาทบทวนบทเรียนเพิ่มขึ้นแหละครับ ถึงจะแค่ช่วงสอบนี่ก็ตามที แต่เจ้าตัวดูจะไม่ถูกใจข้อเสนอผมสักเท่าไหร่

“โน่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา เรื่องเยอะเชียวนะเราเนี่ย”ผมว่าอย่างหมั่นไส้

“ปกติเค้ามีแต่จะให้รางวัลเป็นแรงจูงใจในการสอบไม่ใช่เหรอ นี่อะไรมีแต่จะขัดขวางความสุข”

“ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่”ทำเป็นมาพูดเสียงเศร้าครั้งนี้ผมไม่หลงกลหรอกครับ เรื่องอื่นผมอาจจะยอมเค้าบ้าง แต่เรื่องเรียนนี่ต้องใจแข็งหน่อยครับ

“แล้วรางวัลจูงใจนี่เค้าก็ต้องให้หลังสอบนิ เอางี้ถ้าสอบได้คะแนนดีพี่ยอมภู่ทุกอย่างเลย แต่ช่วงก่อนสอบภู่ต้องฟังพี่”เหมือนข้อเสนอผมอันนี้จะดึงความสนใจเค้าได้บ้าง

“คำว่าคะแนนดีของลุงนี่ต้องดีขนาดไหนละครับ”นั่นสินะขนาดไหนถึงจะเรียกว่าดี จะให้ที่จริงก็ไม่ได้จะกดดันอะไรเค้ามากหรอกนะครับ แต่ถ้าเค้าทำได้ดีมันก็เป็นผลดีกับเค้าเองนั่นแหละ

“เทอมที่แล้วสอบได้ที่เท่าไหร่”คงต้องประเมินจากจุดเดิมเค้าด้วยแหละครับ

“27 ครับ”หืมผมก็ว่าวิชาอื่นๆ คะแนนเค้าไม่ได้แย่ ที่มีไม่ค่อยดีก็แค่วิชาภาษาอังกฤษนี่นา

“เทอมที่แล้วผมติดเพื่อน เที่ยวเล่นด้วย ผมถึงโดนคำสั่งย้ายมาอยู่นี่ไง แต่ก็ต้องขอบคุณคะแนนห่วยของผมนะเนี่ย เพราะมานี่เลยได้มาเจอลุง”ก็ยังจะวนเวียนมาเรื่องเดิมจนได้สินะ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วนี่เค้าก็ไม่ได้คะแนนแย่แบบตอนนั้นแล้ว ผมควรตั้งเป้าให้เค้าตรงไหนดีละ

“อันดับดีสุดที่เคยได้ละ”

“12 มั้งแต่นั่นมันตั้งแต่ ม.4 เทอมแรกตอนนั้นผมยังตั้งใจเรียนกว่านี้ไง”ตั้งใจกว่านี้งั้นเหรอ แสดงว่าตอนนี้ยังตั้งใจให้มากขึ้นไปอีกได้สินะ

“งั้นพี่ขอ Top 10”เค้ามีสีหน้าลำบากใจ แต่เอาจริงๆ สำหรับผมแค่จาก 27 ขึ้นมา 10 กว่าๆ ได้ผมก็ยินดีกับเค้าแล้วครับอย่างน้อยๆ ทางบ้านเค้าเองก็จะได้เห็นว่าเค้าเองก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว

“ตกลงครับ แต่ถ้าผมทำได้ลุงต้องตามใจผม เราจะมีอะไรกันทุกวัน วันละกี่รอบลุงก็ห้ามปฏิเสธ”เดี๋ยวนะครับนี่มันเป็นข้อเรียกร้องบ้าบออะไร ตอนนี้ผมชักจะอยากให้เค้าทำไม่ได้ขึ้นมาตงิดๆ เสียแล้วสิ เค้ายักคิ้วให้ผมอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม

“ได้ แต่ก่อนสอบเราจะไม่มีอะไรกันเลย และถ้าภู่ทำไม่ได้ตามที่ตกลง เราจะงดมีอะไรกันเพิ่มอีก 1 เดือน”คราวนี้เค้าหน้าเหวอไปนิดนึงแต่ก็กลับมามีสีหน้ามุ่งมั่นอีก มุ่งมั่นเสียจนผมเริ่มคิดว่าถ้าเกิดเค้าทำได้ขึ้นมาจริงๆ ผมจะรอดไหม

“แต่กอด จูบ หอมแก้ม อาบน้ำด้วยกัน ยังทำได้ใช่ไหมครับ”นั่นไงสายตาเจ้าเล่ห์มาอีกแล้ว เชื่อได้เลยว่าถ้าผมเผลอปล่อยตัวไปตามอารมณ์เค้าต้องยกผมมาอ้างแน่ๆ เพราะงั้นอะไรที่สุ่มเสี่ยงผมคงต้องตัดออกสินะ

“ยกเว้นอาบน้ำด้วยกัน ที่เหลือได้หมด”

“โอเคครับ”เค้าพุ่งเข้ามากอดผมจนเซไปนิดนึงเพราะไม่ทันตั้งตัว ว่าแต่จะมีแฟนคู่ไหนไหมเนี่ยเอาเซ็กซ์มาเป็นข้อตกลงในการสอบ อีกนิดนี่ผมจะคล้ายให้เด็กเอาตัวแลกเกรดแล้วนะครับเนี่ย

“เออภู่ สอบแล้วแบบนี้ก็เหลืออีกแค่เทอมเดียวสิใช่ไหม”อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เค้าก็จะจบมัธยมแล้ว ทำไมไม่เคยเห็นเค้าพูดเรื่องเรียนต่อเลย จำได้ว่าสมัยผมเรียนนี่บางคนได้ที่เรียนตั้งแต่ยังไม่สอบเทอมแรกเลยมั้ง แล้วนี่เค้าจะเรียนที่ไหน มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ไหม หรือจะกลับไปเรียนที่เชียงใหม่

“ตั้งใจจะเรียนต่อที่ไหน”ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยของตัวเองค้างคาอยู่นาน เค้าเงียบไปเล็กน้อยจนผมต้องผละออกเพื่อดูปฏิกิริยาของเค้า

“ก็คงมหา’ลัยในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ ติดที่ไหนก็เรียนที่นั่น ไม่ติดก็เรียนเอกชน”ผมขมวดคิ้วให้กับคำตอบของเค้าเพราะฟังดูมันไม่ใช่คำตอบที่คิดทบทวนมา คือถึงเค้าจะกวนๆ ไปบ้างแต่ผมว่าที่จริงเค้าน่าจะมีจุดมุ่งหมายนะครับ

“เอาดีๆ สิ อยากเรียนอะไร”

“ที่จริงก่อนเจอลุง ผมก็เคยคิดจะกลับไปเรียนที่เชียงใหม่นะครับ แต่ที่บ้านผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหรอก สงสัยไม่อยากให้ไปก่อเรื่องใกล้ๆ บ้าน ตอนนั้นก็ยอมรับนะครับว่าอยากกวนที่บ้านเลยกะว่าจะดันทุรังกลับไปเรียนเชียงใหม่ให้ได้”เค้าพูดติดตลก แต่ผมว่าก็ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่นะครับ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของเค้ากับที่บ้าน หรือเรื่องการตัดสินใจเรื่องเรียนของเค้า

“แล้วตอนนี้ละ”จริงๆ ถ้าเค้าไปเรียนที่เชียงใหม่ผมก็คงใจหายเหมือนกัน แต่ถ้าเค้าได้เรียนในสิ่งที่ชอบจริงๆ ผมว่ามันก็คงดีกว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเลือกเรียนที่ผมชอบแน่นอน แล้วมันก็อีกตั้งนาน อย่าเพิ่งกังวลไปเลยลุงไปเตรียมรับศึกหนักหลังจากผมได้ Top 10 ไว้ดีกว่าครับ”





TBC

สั้นไปหน่อย แต่แวะมาให้หายคิดถึง กลัวจะลืมลุงกับภู่กันเสียก่อน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-08-2017 16:19:54
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-08-2017 17:13:28
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-08-2017 19:13:08
 :z1:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-08-2017 20:12:03
มีแรงจูงใจสท้านสเทิ้นแบบนี้ ภู่ทำได้แน่ๆ Top Ten  o18
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 04-08-2017 20:28:25
 :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 04-08-2017 21:09:16
อย่ามีดราม่ามากนะครับ หัวใจเราอ่อนแอ T^T
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 32 Top 10 (04-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-08-2017 01:45:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 33 สอบเสร็จ (09-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-08-2017 09:53:03
บทที่ 33
สอบเสร็จ






“สอบเสร็จแล้ว ป่ะเข้าห้องกัน”ทันทีที่ผมเปิดประตูบ้านเข้ามาผมก็โดนกระโดดกอดทันทีแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วไอ้ที่ชวนเข้าห้องนี่คืออะไรกันครับ ไหนจะการฝังจมูกลงมาที่แก้มผมนี่อีก เล่นอะไรของเค้าละเนี่ย

“ปล่อยก่อนได้ไหมภู่ มาชวนเข้าห้องอะไรกัน”ผมขืนตัวแกะมือเค้าออกอย่างทุลักทุเลเพราะในมือก็ยังถือข้าวของพะรุงพะรัง แล้วไอ้คนกอดผมนี่ก็เหมือนคนหื่นโรคจิตเข้าไปทุกที อะไรมันจะขนาดนั้น

“ก็สอบเสร็จแล้วไงครับ เราก็จู๋จี๋กันได้เต็มร้อยสักที”ตัวผมถูกกึ่งดึงกึ่งลากจนมาล้มลงที่โซฟา นี่แกล้งผมเฉยๆ หรือหื่นจริงๆ กันครับเนี่ย

“เดี๋ยวนะเราจะไม่มีอะไรกันจนสอบเสร็จ แล้วถ้าผลสอบออกค่อยมีผลตามที่ตกลงไง”ผมรีบคว้ามือซนๆ ของเค้าไว้ก่อนที่จะล้วงเข้าไปในกางเกงผม นี่ผมเพิ่งกลับบ้านมาน้ำท่าก็ยังไม่อาบเลยนะเนี่ย อย่าเพิ่งคิดไปไกลครับ ใช่ว่าถ้าอาบแล้วผมจะยอมเค้านะครับตามข้อตกลงมันไม่ใช่แบบนี้

“ก็ใช่ไงครับ”เค้าตอบเสียงระรื่น มือก็ยังซุกซนไม่หยุด

“แล้วนี่ผลสอบออกแล้วเหรอ”ผมผลักเค้าออกได้สำเร็จ พยายามถอยห่าง ขยับนั่งให้ห่างเค้าเพื่อความปลอดภัย

“ยังครับ”ทำไมสีหน้าเค้ายังมาสลด ก็ไหนถ้าผลสอบยังไม่ออกเค้ากับผมก็ยังจะไม่มีอะไรกันไม่ใช่เหรอ หรือผมพลาดตรงไหนไปหว่า

“อ้าวแล้วนี่จะมาชวนพี่เข้าห้องทำไม”

“เอ้าลุง ก็ระหว่างรอผลสอบเราไม่ได้มีข้อตกลงกันนิ แล้วผมก็ต้องอดทนมาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้ว ลุงยอมผมเหอะ”ผมค่อยๆ นึกตามที่เข้าพูด นี่ผมพลาดอีกแล้วสินะ แล้วนี่ผมก็ลืมถามก่อนสินะว่าตกลงผลสอบเค้าจะออกเมื่อไหร่

“เรามาคุยเรื่องเที่ยวกันก่อนดีกว่า ไหนว่าปิดเทอมจะชวนพี่ไปเที่ยว”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะดูอาการเค้าไม่น่าจะแค่แกล้งผมเล่นๆ ดูแล้วนี่น่าจะกะลากผมเข้าห้องนอนจริงๆ

“ลุงอยากไปไหนละครับ”แม้ท่าทีจะอ่อนลง แต่ผมกะยังไม่วางใจเลยยังต้องตั้งการ์ดป้องกันไว้ก่อน

“ภู่ปิดเทอม พี่ให้ภู่เลือกเลยฉลองที่สอบเสร็จไง แต่ว่าขอไปช่วงเสาร์อาทิตย์นะ พ่วงวันธรรมดาได้สัก 2-3 วัน พี่ลาเยอะมากไม่ได้”ผมต้องทำเป็นตามใจเค้าก่อนครับ จะได้ไม่มาโฟกัสแค่เรื่องจะลากผมเข้าห้อง

“นี่อยากไปเปลี่ยนบรรยากาศกับผมละสิ”ผมรีบตะปบมือเค้าที่วางลงมาบนขาผมและเริ่มลูบเบาๆ ตกลงนี่การที่ผมไม่ยอมมีอะไรกับเค้าหลายวันนี่มันทำให้เค้าอัดอั้นขนาดนี้เลยหรือไงเนี่ย

“หยุดหื่นสักนาทีแล้วคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม”ผมบอกเสียงดุมองเค้าตาขวาง แต่เค้ากลับส่งยิ้ม ทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่ผมอย่างน่าหมั่นไส้ คนอะไรมันจะหื่นได้ขนาดนี้ อีกนิดนี่ผมจะเข้าใจว่าเค้าโรคจิตอยู่แล้วนะครับเนี่ย

“ผมไม่ได้หื่น แต่ผมแค่จะลงแดงลุงคิดดูดิ ผมได้แค่นอนกอดแล้วต้องหักห้ามใจอยู่ทุกคืนลุงไม่เห็นใจผมเหรอ”ตกลงนี่จะได้คุยเรื่องอื่นไหมเนี่ย ทำไมสุดท้ายมันก็วกกลับมาเรื่องบนเตียงอีกจนได้เนี่ย

“หยุด พอเลย”ผมรีบร้องห้ามเมื่อเค้าขยับจะขึ้นมาคร่อมบนตัวผม

“ติ๊งหน่อง”เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิต เมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านผมดังขึ้น เค้าหยุดชะงักขมวดคิ้วมองผมก่อนจะถามด้วยเสียงขุ่นๆ ว่าผมนัดใครไว้ แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละครับว่าใครมา ผมรีบผลักเค้าออกก่อนจะรีบลุกเดินออกไปดูหน้าบ้าน

“น้องแปง เป็นไงบ้าง”เสียงคนที่อยู่หน้าประตูบ้านส่งเสียงทักทาย คนที่ผมไม่คาดคิดว่าจะมาตอนนี้ คนที่คือน้าของไอ้คนหื่นที่อยู่ในบ้านผมนั่น แล้วนี่พี่ปุ๊กจะคิดยังไงที่ภู่มาอยู่มนบ้านผม เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับผมและภู่บ้างหรือเปล่า

“สวัสดีครับพี่ปุ๊ก ไปไงมาไงครับเนี่ย”ผมพยายามทักทายให้ดูปกติที่สุด ทั้งที่ในใจกำลังกังวลกับเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหลานชายของพี่ปุ๊ก

“พอดีแวะมาหาน้องภู่แต่ไม่รู้ไปไหนเนี่ย เลยแวะมาทักทายน้องแปงด้วย”

“ใครมาอะลุง”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร หรือพี่ปุ๊กจะถามอะไรต่อ ไอ้คนที่อยู่ในบ้านก็เดินออกมาซึ่งเค้าเองก็ดูจะชะงักไปนิดนึงเหมือนกันที่เจอน้าตัวเองอยู่หน้าบ้าน ส่วนพี่ปุ๊กเองก็ดูแปลกในไม่น้อยที่มาเจอหลานชายอยู่ในบ้านผม

“น้าปุ๊กมาไงอะ”เหมือนจะเป็นภู่ที่ปรับอาการให้ปกติได้ก่อน

“มาอยู่นี่ได้ไง แล้วเมื่อกี้เรียกพี่เค้าว่าอะไร”นั่นไง ดีนะที่เด็กนี้ติดเรียกผมว่าลุง ถ้าเกิดเรียกอย่างอื่นที่มันดูเป็นแฟนกันนี่พี่ปุ๊กจะว่าไงเนี่ย ผมเองก็ไม่รู้ว่าทางบ้านของภู่เองมีความเห็นยังไงกับการที่ภู่จะคบกับคนเพศเดียวกันแถมนี่อายุห่างกันเกือบสิบปีอีก

“นี่น้องภู่มากวนอะไรน้องแปงมากหรือเปล่าคะเนี่ย หลานชายพี่ยิ่งกวนประสาทชาวบ้านเก่งอยู่ด้วย”ผมอมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะคุณสมบัติหลานพี่ปุ๊กนี่ผมว่าผมเองก็พอจะรู้ดีแล้วแหละครับ

“โถ่น้าปุ๊ก ผมออกจะน่ารักน่าเอ็นดู”เค้ารีบเดินเข้ามาอ้อนน้าสาว พออยู่กับญาติผู้ใหญ่เค้าก็ยังดูเป็นเด็กคนนึงแหละครับ แวบนึงผมก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าอายุเราต่างกันขนาดนี้มันจะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหม

“แล้วเมื่อกี้ไปเรียกพี่แปงเค้าว่าลุงทำไม”พี่ปุ๊กบอกเสียงดุ ตีแขนเค้าเบาๆ ด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ ผมมองภาพตรงหน้าพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ความกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของเราทั้งคู่เริ่มก่อตัวในใจผม แม้จะเคยได้ยินว่าความรักมันไม่ต้องการเวลา และอายุก็ไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับผมกับเค้าเรียกว่าเราทั้งรู้จักกันได้ไม่นาน อายุก็ต่างกันเกือบ 10 ปี

“ก็พี่แปงอายุเยอะกว่าภู่ตั้งเกือบ 10 ปี”หัวใจผมกระตุกวูบนิดนึงที่ได้ยินเค้าพูดแบบนั้น ถึงมันจะคือความจริงก็เถอะ เค้าหันมามองผมนิดนึงคงสังเกตเห็นว่าผมชะงักไปสินะ ผมพยายามยิ้มแย้มให้เหมือนปกติ

“แต่เค้าก็ไม่ได้แก่กว่าพ่อแม่เราเสียหน่อย อีกอย่างพี่เค้าก็ยังไม่ได้แก่ เรียกพี่ก็พอ ป่ะกลับไปคุยกันที่บ้านมารบกวนอะไรพี่เค้าที่นี่”

“ไปนะคะน้องแปง”ผมเพียงยิ้มตอบรับให้ทั้งคู่ที่เดินออกไป ภู่หันกลับมาทำปากส่งจูบให้ผม จนผมต้องใช้สายตาดุๆ ว่าทำตัวดีๆ หน่อย เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่อยากให้คนรอบข้างหรือครอบครัวของเราทั้งสองฝั่งรู้เรื่องระหว่างเราสองคนสักเท่าไหร่หรอกนะครับ ยอมรับว่าการที่เคยโดนครอบครัวไม่เห็นด้วยกับความรักแบบนี้ทำให้ผมค่อนข้างกังวลไม่น้อยเลย

แล้วนี่ผมเอายังไงต่อละทีนี้กับข้าวก็เหมือนภู่จะยังไม่ได้ทำกับข้าวด้วย นี่ก็ไม่รู้ว่าพี่ปุ๊กเองจะพาภู่ไปไหน หรือจะมาค้างด้วยหรือเปล่า เพราะนี่ก็จะค่ำแล้ว คงไม่ใช่แวะมาเฉยๆ แน่นอน ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนมื้อเย็นถ้าภู่ไม่มานี่อีก ผมก็คงไม่พ้นมาม่า


หลังจากอาบน้ำอะไรเสร็จทีแรกผมคิดว่าจะต้มมาม่าโง่ๆ ตามความสามารถผมนี่แหละครับ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับไม่อยากทำเสียดื้อๆ ได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่ตรงโซฟา สงสัยผมคงเคยชินกับการที่มีอีกคนทำให้กินตลอดเสียแล้ว แล้วนี่ภู่เองก็กลับบ้านไปกับพี่ปุ๊กเกือบชั่วโมงแล้ว ถ้าผมทักอะไรไปจะเหมาะหรือเปล่านะ ผมจ้องหน้าจอมือถือจนแทบจะทะลุเข้าไปแล้วครับ ใจนึงก็อยากถามว่าเค้าจะกลับมานี่ไหม แต่อีกใจก็ว่ามันอาจไม่เหมาะ พี่ปุ๊กอาจมีธุระอะไรสำคัญมาคุยกับหลายเค้า หรือบางทีอาจจะค้างด้วยหรือเปล่านะ

“ลุงทานไรยัง”ผมที่ยังนอนจ้องมือถืออยู่แทบจะทำมือถือร่วงใส่หน้าตัวเอง ก็อีกคนเล่นโผ่เข้ามาแบบกะทันหัน เล่นเอาผมสะดุ้งเลย

“น้าภู่ละ”ผมถามกลับแทนที่จะตอบคำถามเค้า

“กลับไปแล้ว ตกลงลุงยังไม่ทานไรใช่ไหม รอแป๊บนึงเดี๋ยวผมทำไข่เจียวสูตรเร่งรัดให้ทาน”แทบไม่รอให้ผมพูดอะไรต่อ เค้าฉีกยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะหายเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว

ผมไม่ได้ตามเค้าเข้าไป แต่ก็ลุกขึ้นนั่งอมยิ้มอยู่ที่โซฟา แต่รู้ว่าเค้าเป็นห่วงที่ผมยังไม่ทานข้าว แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ ไม่นานนักกลิ่นไข่เจียวก็ลอยออกมาเตะจมูกผม จนน้ำย่อยในกระเพาะผมทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว

“ไข่เจียวแหนมร้อนๆ มาแล้วครับ”ข้าวไข่เจียว 2 จานถูกยกมาวางที่โต๊ะกินข้าว พร้อมกับพ่อครัวส่วนตัวของผมที่ฉีกยิ้ม ก้าวยาวๆ มาฉุดแขนผมให้ไปนั่งด้วย ผมก็เดินตามเค้าอย่างว่าง่ายแหละครับ

“แล้วนี่พี่ปุ๊กมาทำไรเหรอ”ผมพยายามถามเหมือนพูดคุยทั่วๆ ไป เพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมล้ำเส้นกับเรื่องส่วนตัวของเค้ามากเกินไป แต่ในใจก็มีความอยากรู้เหมือนกันแหละครับ แหมก็ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่จากโทรมานิดหน่อยก็ไม่เคยเห็นพี่แกมาเลยนี่นา มันก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดาว่ามีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า

“อ๋อ พอดีน้าปุ๊กมาธุระที่กรุงเทพฯ พอดีแล้วรู้ว่าผมสอบเสร็จจะปิดเทอม เลยจะมารับกลับเชียงใหม่พร้อมกันนะครับ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้าแทบจะทันที ก็ถ้าเค้าไปเชียงใหม่ช่วงปิดเทอมผมคงเหงาแย่ เล่นมาทำผมเคยตัวกับการมีเค้าขนาดนี้ แต่ถ้าเค้าไปจริงๆ ผมก็คงไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้าม ปิดเทอมตั้งหลายวันครอบครัวเค้าก็คงอยากให้ไปอยู่บ้านเป็นเรื่องธรรมดา

“แล้วจะไปวันไหน อยู่กี่วัน แบบนี้ที่เราคุยกันว่าจะไปเที่ยวก็ไม่ได้ไปแล้วสิ”เหมือนกับว่าคำพูดของผมมันจะหลุดถามออกไปไวกว่าความคิดเสียอีกครับ

“ทีจริงน้าปุ๊กจะให้ไปวันนี้เลย”เค้ายังคงบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ผมนี่รู้สึกใจหายขึ้นมาแทบจะทันที

“แต่ผมบอกไปว่าต้องไปช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียนอีกนิดหน่อย ค่อยนั่งเครื่องกลับไปวันหลัง ก็คงอยู่บ้านสักอาทิตย์แค่นั้นแหละ แล้วเราค่อยไปเที่ยวกันหลังจากนั้น”ผมขมวดคิ้ว ปิดเทอมตั้งหลายวันจะอยู่บ้านแค่อาทิตย์เดียว ที่บ้านเค้าคงไม่ชอบเท่าไหร่มั้ง ขนาดให้พี่ปุ๊กมารับขนาดนี้ ที่บ้านเค้าก็คงอยากให้อยู่บ้านตลอดปิดเทอมนั่นแหละมั้งครับ

“เรื่องเที่ยวนี่ หรือภู่จะพาพี่เที่ยวเชียงใหม่ดี เดี๋ยวพี่ดูวันหยุดแล้วบินเชียงใหม่ก็ได้นะ ภู่จะได้มีเวลาอยู่บ้านนานๆ”ผมเสนอ

“อยากให้ผมพาไปให้พ่อแม่ดูตัวเหรอ”แทบจะอยากเอาส้อมในมือทิ่มตาครับ ไอ้เราก็กำลังจริงจังยังจะมาพูดเล่นทำหน้าทะเล้นใส่อีก

“ไม่ไปแล้วก็ได้”บอกอย่างเคืองๆ ไปด้วยความหมั่นไส้ครับ

“อย่าเพิ่งงอนสิครับ ถ้าลุงอยากไปเชียงใหม่ก็เอาตามนั้นก็ได้ครับ แต่ตอนนี้เรารีบกินข้าวให้เสร็จแล้วเข้านอนกันดีกว่าครับ”เค้าชี้มาที่จานข้าวเร่งให้ผมรีบทาน

“ง่วงแล้วเหรอ”ผมถามพร้อมหันไปดูนาฬิกาที่ก็ยังไม่ได้ดึกมาก

“ไม่ง่วงแต่ต้องรีบทำเวลาครับ”

“เวลาอะไร”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็อีกไม่กี่วันผมต้องกลับเชียงใหม่ ไม่ได้เจอลุงตั้งหลายวัน”

“แล้ว”ผมยังคงถามซื่อๆ ด้วยความไม่รู้ แต่พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ส่งมา ก็เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวผมคงไม่ปลอดภัยเสียแล้ว

“ให้ผมแสดงให้ดูตรงนี้เลยไหมครับ”ผมรีบห้ามเมื่อเข้าใจแล้วว่าไอ้ที่เค้าพูดนั้นสื่อถึงอะไร ไอ้ผมก็ลืมไปว่าวันนี้เค้าจะเริ่มตั้งแต่ผมเข้าบ้านมาแล้วนี่นา

“เรียกพี่ปุ๊กกลับมารับไปเชียงใหม่ด้วยตอนนี้เลยทันไหม”ผมแกล้งแหย่อย่างหมั่นไส้

“ทำเป็นพูดดีไป เดี๋ยวคืนนี้จะจัดให้จนลุงต้องร้องขอให้ผมอยู่ต่อ ไม่ต้องกลับเชียงใหม่เลยคอยดู”



TBC


มาต่อครับ

ก็อาจจะทิ้งช่วงหน่อยๆ แต่จะพยายามมาให้ได้ทุกวีค

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนา  :bye2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 33 สอบเสร็จ (09-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-08-2017 11:42:10
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 33 สอบเสร็จ (09-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-08-2017 13:09:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-08-2017 15:30:24
บทที่ 34
ใครเซอร์ไพรส์ใคร




“แค่นี้นะพี่ต้องทำงานต่อแล้ว”สัปดาห์นึงแล้วสินะที่เค้ากลับเชียงใหม่ไป ถามว่าผมเหงาไหมที่ไม่มีเค้าคอยกวนตอนกลับถึงบ้าน มันก็นิดหน่อยแหละครับ กับข้าวที่ซื้อกินเองก็ไม่ค่อยถูกปากเอาเสียเลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้ก็ไอ้การรับโทรศัพท์จากเค้านี่แหละครับ เช้าโทรมาปลุก เที่ยงโทรมาย้ำให้ทานข้าว เย็นก็โทรมาส่งเข้านอนทุกวัน

“คิดถึงลุงจังเลย อยากกลับไปนอนกอดลุงแล้ว”น้ำเสียงติดจะงอแงหน่อยๆ เหมือนยังไม่อยากวางสาย ทั้งที่ก็คุยกับผมตั้งแต่เที่ยงจนจะบ่ายแล้วเนี่ย

“ก็เดี๋ยวไปเจอกันที่เชียงใหม่ไง”ผมอมยิ้มบอกออกไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะเดินทางไปเชียงใหม่

“อีกตั้งหลายวันกว่าลุงจะมา ลุงมาวันนี้เลยไม่ได้เหรอครับ”

“พี่ต้องทำงานไงครับ เด็กดีอย่างอแงสิ”ช่วงนี้ต้องโอ๋เค้าหน่อยครับ ตั้งแต่กลับเชียงใหม่ไปนี่ดูเค้าอ้อนเก่งมากๆ เลย แต่ตอนนี้ผมต้องรีบวางสายจริงๆ แล้วละครับ ก่อนที่ผมจะหลุดปากออกไป ว่าจริงๆ แล้วผมจะเดินทางไปเชียงใหม่วันนี้แหละครับแต่ไม่บอกเค้ากะว่าจะไปเซอร์ไพรส์ นี่เค้าก็ยังเข้าใจว่าอีก 3-4 วันผมถึงจะบินไป

หลังจากวางสายไปผมก็รีบปั่นงานอย่างด่วนเลยครับ เพราะพรุ่งนี้ก็ลางานแล้ว ดีที่ทั้งพี่ฟ่างพี่ต้าร์บอกว่าจะช่วยถ้ามีงานด่วนเข้ามา ก็เกรงใจพี่ๆ เค้านะครับแต่ก็ไว้ซื้อของฝากมาเซ่นพวกพี่ๆ แกละกันครับ

การทำงานของผมวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นพอเลิกงานผมก็ตรงไปสนามบินทันที เพราะเตรียมพร้อมมาแล้วรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะครับที่จะได้ไปเจอเค้า นี่ทำยังกะว่าไม่ได้เจอกันเป็นปีเลยนะเนี่ย ผมหัวเราะขำๆ กับตัวเอง โชคดีที่วันนี้รถไม่ติดมากนักเพียงไม่นานผมก็เดินทางมาถึงสนามบิน

“ถึงหรือยังคะคุณเพื่อน”ผมกดรับสายจากข้าวหอม เพื่อนสนิทที่โทรเข้ามาพอดี ไม่ต้องแปลกใจครับ งานนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว ข้าวหอมกับพี่โตไปด้วย คือพอคุณเพื่อนสนิทผมรู้ว่าผมจะไปเชียงใหม่ก็มาขอไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผมก็บอกภู่ไปแล้วนะครับว่าข้าวหอมจะไปด้วย ทีแรกนึกว่าจะโดนโวยวายอยากอยู่กับผมสองคนแต่ดันไม่ว่าอะไร

“เจอกันข้างในเลย”ผมมองนาฬิกาว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ดีหน่อยที่ผมไม่ได้เอาอะไรไปมากไม่ต้องโหลดกระเป๋า แล้วก็เช็คอินมาเรียบร้อย

ผมเจอและทักทายกับพี่โตข้าวหอมนิดหน่อยเมื่อเจอกัน แล้วเราก็ต้องรีบขึ้นเครื่อง ใช้เวลาเพียง ชั่วโมงเดียวเราก็ถึงเชียงใหม่ พี่โตเป็นคนจัดการเรื่องเช่ารถกับจองโรงแรมไว้ การที่มาถึงค่ำๆ แบบนี้แม้จะอยากไปเจอภู่หรือให้เค้ามาเจอคงจะยังไม่เหมาะเท่าไหร่เลยกะว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเซอร์ไพรส์เค้าจะดีกว่า

“แบตหมดเหรอลุง โทรหาตั้งหลายทีไม่ติดเลย”ทันทีที่ผมเปิดโทรศัพท์มือถือข้อความจากเค้าก็ส่งก็เด้งขึ้นมาที่หน้าจอทันที ผมต้องรอขึ้นรถก่อนถึงจะโทรหาเค้าได้เพราะเดี๋ยวเค้าจะผิดสังเกตกับเสียงรอบๆ ตัวผม

“ไมปิดเครื่องอะลุง”ทันทีที่ผมต่อสายถึงเค้าก็โดนยิงคำถามด้วยเสียงแข็งๆ ทันที เด็กบ้าเอ้ยนี่ต้องกำลังหน้าบึ้งอยู่แน่ๆ เลย

“พี่ต้าร์แกล้งปิดนะสิ พี่ก็มัวแต่ทำงานเลยลืมดู”ขอโทษนะครับพี่ต้าร์ แต่ไม่มีใครจะเหมาะเป็นข้ออ้างให้ผมเท่าพี่อีกแล้ว

“แล้วนี่กินข้าวยังครับ”น้ำเสียงเค้าเริ่มอ่อนลง

“กำลังจะไปหาไรกินกับข้าวหอมแล้วก็พี่โต”อันนี้คือเรื่องจริงครับไม่ได้โกหก แค่ไม่บอกว่าไปทานที่ไหนเท่านั้นเอง

“รีบกลับมาเลยนะน้องภู่ นี่เพื่อนพี่จะตรอมใจอยู่แล้วที่แฟนไม่อยู่”ข้าวหอมที่แอบฟังการคุยของผมอยู่ตะโกนแทรกเข้ามาจนผมต้องผลักข้าวหอมเบาๆ เอามือปิดมือถือไม่ให้เสียงเข้ามามากกว่านี้

“ฮ่าๆ ฝากบอกพี่หอมด้วยนะครับว่าให้รีบพาลุงมาหาผมดีกว่า”เค้าบอกอย่างอารมณ์ดี

“พี่แปง...วันนี้ผมขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนนะครับ”ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน ปกติผมก็ไม่ได้ห้ามอะไรเค้าเสียหน่อย จะมาขอผมทำไมเนี่ย

“นี่เห็นพี่เป็นแฟนแก่ขี้บ่นเหรอ จะไปกับเพื่อนก็ไปเลยพี่ไม่ว่าหรอก”

“แต่คือว่า...”

“ไปเถอะพี่ไม่ว่าอะไรหรอก แต่อย่าดื่มหนักมากแล้วกัน”ผมบอกออกไปให้เค้าสบายใจ ที่จริงก็ดีนะที่ผมไม่เซอร์ไพรส์เค้าวันนี้

“เดี๋ยวตอนกลับผมไลน์บอกนะครับ วันนี้ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ส่งเข้านอน”ทำมาพูดเสียงเศร้า ที่จริงก็คงอยากไปสนุกกับเพื่อนละสิ

“ไม่เป็นไรอีกไม่กี่วันก็เจอกันแล้ว เออเกือบลืมเลยพรุ่งนี้สักสายๆ ว่างหรือเปล่า”เกือบวางสายไปแล้วครับ แต่นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องตีเนียนให้เค้าออกมาหา เพราะถ้าให้ผมเข้าไปบ้านเค้าก็คงไม่สะดวก บอกเลยว่าผมนี่แหละครับที่ยังไม่พร้อม

“ว่างทั้งวันเลยครับ”

“งั้นวานไปที่โรงแรม...หน่อยสิพอดีมีเพื่อนพี่เค้าจะฝากของไว้ให้”ผมเริ่มชักนำเค้าให้มาตามแผนการเซอร์ไพรส์ นี่ก็ชักอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ แล้วสิเนี่ยเค้าจะดีใจไหมนะที่ผมมาก่อนวันที่ตกลงกันไว้ เราคุยอะไรกันอีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย

“ถ้าจะยิ้มขนาดนี้ บอกเค้ามาเจอวันนี้เลยไหมละคะ หมั่นไส้”เสียงของเพื่อนสนิทส่งมาแหย่ผม ทำมาเป็นจะแซวผมทีตัวเองตัวติดกับพี่โตขนาดนั้นผมไม่เห็นจะแซวอะไรเลย ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรข้าวหอมอีก เราบึ่งตรงเข้าโรงแรมเช็คอิน และกะว่าจะออกไปทานมื้อเย็นกันก่อน ค่อยกลับมาพักผ่อน

ข้าวหอมเป็นคนเลือกร้านสำหรับมื้อค่ำของเราทั้งสามในวันนี้ ผมเองยังไงก็ได้อยู่แล้วละครับ เพราะเอาจริงๆ ก็ไม่ได้มาเชียงใหม่นานมากแล้ว เรียกว่าไม่รู้จักร้านเลยจะถูกกว่า ส่วนข้าวหอมกับพี่โตนี่มาบ่อยเสียจนผมว่าควรซื้อบ้านที่นี่จะดีกว่าครับ

ร้านที่ข้าวหอมเลือกจัดว่าโอเคทีเดียวครับ บรรยากาศดูสบายๆ แขกในร้านส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ พูดง่ายๆ ว่ามีแต่ฝรั่งมากกว่าครึ่งร้านทีเดียวเชียวครับ

“แก กินข้าวเสร็จไปดื่มต่อกันไหม”ข้าวหอมถามขึ้นขณะที่อาหารกำลังทยอยออกมาเสิร์ฟ

“ไม่เอาอ่ะ ถ้าจะไปแกไปกับพี่โตสองคนเลย”ผมบอกปัดเพราะผมก็ไม่ใช่คอดื่มอยู่แล้ว แถมคืนนี้ผมก็นอนคนเดียวด้วย คออ่อนๆ อย่างผมเกิดเมาขึ้นมาใครจะดูแล อีกอย่างพรุ่งนี้ผมจะเซอร์ไพรส์ภู่ให้มาหาแต่เช้าด้วย ข้าวหอมไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก เราก็ทานข้าวกันจนเสร็จเรียบร้อย จ่ายเงินอะไรเสร็จ ผมก็เข้าใจว่าเดี๋ยวคงกลับโรงแรม ถ้าข้าวหอมจะไปไหนต่อก็คงแวะไปส่งผมก่อน แต่เปล่าครับ เพื่อนตัวดีของผมเล่นมัดมือชกผมเอาเสียดื้อๆ

“ก็นั่งด้วยกันก่อนสักแป๊บไงแก นะๆ ไม่ดึกหรอก ถ้าแกไม่อยากดื่มก็ไม่ต้องดื่ม แต่เอาจริงๆ นะแกมาเที่ยวทั้งทีจะมัวไปอุดอู้อะไรอยู่แต่ในห้อง ไว้พรุ่งนี้น้องภู่สุดหล่อแกมาค่อยกกกันอยู่ในห้องก็ได้ แต่ตอนนี้สนุกกับเพื่อนก่อนนะคะ นี่ค่ะสั่งเครื่องดื่ม”เมนูเครื่องดื่มถูกยื่นใส่มือผม

ผมถอนหายใจส่ายหน้า ทำทุกอย่างที่แสดงให้คุณเพื่อนเห็นว่าผมไม่อยากอยู่ต่อ แต่ก็เท่านั้นแหละครับมีหรือที่ข้าวหอมจะยอม ทำให้ผมต้องนั่งอ่านเมนูในมืออย่างเสียไม่ได้ ดูแล้วผมก็มึนสิครับ นี่มันอะไรบ้าง อ่านชื่อแล้วผมแทบไม่รู้จักเลย จนสายตาไปสะดุดกับรูปแก้วเครื่องดื่มแก้วนึง ที่มีใบมิ้นต์วางอยู่ด้านบนในแก้วเป็นน้ำสีขาว ด้านล่างเหมือนมีอะไรบางอย่างอีกแต่มองแล้วทำให้รู้สึกว่าถ้าดื่มเข้าไปมันน่าจะสดชื่นแน่ๆ

“มันคืออะไรเหรอครับ”ผมชี้ที่แก้วถามพนักงาน สายตาก็มองชื่อเครื่องดื่มที่ปรากฏอยู่ “Mojito”

“โมฮิโต้ เป็นคอกเทลเหล้ารัมครับ”แล้วไอ้เหล้ารัมนี่มันคืออะไรละครับเนี่ย ถ้าผมถามเพิ่มอีกนี่จะดูโง่ไปไหมครับเนี่ย

“อร่อยครับ ดื่มง่าย คล้ายๆ น้ำมะนาวแต่จะมีกลิ่นมิ้นต์ร่วมด้วยครับ”เหมือนพนักงานจะรู้ว่าผมต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม ผมตัดสินใจเลือกเครื่องดื่มแก้วที่ถามไป พี่โตเหมือนจะไม่ดื่มครับเพราะต้องข้บรถ ซึ่งที่จริงทั้งสองคนดื่มแล้วให้ผมขับน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมขัดข้าวหอมได้ที่ไหน

“มาค่ะเพื่อนแปง ชนแก้ว”ผมไม่รู้ว่าแก้วของข้าวหอมเรียกว่าอะไรแต่ก็สีสันสวยดีครับ ส่วนโมฮิโต้ของผมก็อร่อยดีครับ ผมว่ามันไม่เหมือนน้ำมะนาวเท่าไหร่ แต่ก็เปรี้ยวๆ หวานๆ จิบเพลินดีเหมือนกันนะครับ จิบไปจิบมาก็ปาไป 4 แก้วแล้วผมเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นกว่าเดิมอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ในตอนแรกผมไม่ชอบร้านกว้างๆ นี่เลยถึงร้านจะดูกว้างแต่คนก็เยอะจนเรียกว่าแน่นจนอึดอัด ทีแรกก็ยังไม่แน่นมากนะครับ แต่เหมือนยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะ

“กลับเหอะแก”ผมบอกกับข้าวหอมเพราะเริ่มรู้สึกแล้วว่าถ้าดื่มต่อผมอาจจะไม่ไหวก็เป็นได้

“พี่ว่าก็ดีนะหอม วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อน ยังอยู่อีกหลายวันค่อยเที่ยววันหลังอีกทีเนอะ”อย่างน้อยก็ยังมีพี่โตที่จะช่วยปรามยัยข้าวหอมนี่บ้าง สรุปเราเลยได้ฤกษ์กลับเสียที

“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะแก เสร็จแล้วเจอกันที่รถ”ผมลุกแยกตัวออกมาเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมมาถึงห้องน้ำมีคนเข้าค่อนข้างเยอะพอสมควร คงเพราะการดื่มทำให้คนเราเข้าห้องน้ำบ่อย นี่ถ้าไม่ปวดมากผมก็จะไม่มาหรอกนะครับ ทนได้นี่กลับไปเข้าที่โรงแรมแล้วครับ ผมรออยู่พักนึงก็ทำธุระเสร็จเรียบร้อย

“รอด้วยสิภู่”เสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องหันไปมอง ตอนนี้ผมเดินออกมาตามทางเชื่อมจากตัวร้านเพื่อจะออกไปลานจอดรถ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างสวยสมวัยทีเดียว ส่วนเจ้าของชื่อหันหลังกลับไปมองคนที่เรียก แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังผมก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้คือภู่คนเดียวกันกับ “ภู่ของผม”

ทั้งคู่คงเพิ่งจะมาถึงและคงยังไม่ทันมองเห็นผม ผมกำลังจะเรียกให้คนที่หันหลังอยู่นั่นมองมาที่ผม เพราะรู้สึกไม่ค่อยชอบเลยที่เห็นเค้ามาพร้อมผู้หญิงสวยแบบนี้ แม้เค้าจะบอกผมแล้วว่าวันนี้จะออกมาเที่ยวกับเพื่อน ทีแรกผมก็นึกว่าจะมากันกลุ่มใหญ่ แล้วไหงกลายเป็นว่ามาสองคนแบบนี้ ไอ้เด็กบ้าเอ้ยไหนบอกคิดถึงกัน แล้วนี่มาทำสวีทกับผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง ปากที่อ้าจะเรียกชื่อของอีกคนของผมต้องค้างอยู่แบบนั้น เมื่อสองคนที่ผมมองอยู่และทั้งคู่ไม่รับรู้ในการมีตัวตนของผมกำลังจูบกัน

ใช่ครับ “จูบ” แม้ภู่จะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ทำไมเค้าไม่ปฏิเสธละเนี่ย ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโกรธแล้ว ทั้งที่กะจะมาเซอร์ไพรส์ เค้าแต่ดันมาเจอฉากเซอร์ไพรส์กว่าแล้วนี่ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

“ทำอะไรเนี่ยฝ้าย บอกแล้วไงว่าเรามีแฟนแล้ว”จากตอนแรกผมตั้งใจจะหลบฉากแล้วจากไปอย่างเงียบๆ แต่พอได้ยินประโยคนั้นทำให้ผมเปลี่ยนใจเดินเข้าไปแสดงตัว

“ลุง”น้ำเสียงตกใจ แถมดูลนลานของอีกฝ่ายทำเอาผมนึกขำ นี่ถ้าเป็นปกติผมอาจจะวิ่งหนีไปตั้งแต่เห็นเค้าจูบกันและคงกลับโรงแรม ดีไม่ดีพรุ่งนี้เช้าคงหนีกลับกรุงเทพฯ เป็นแน่ แต่เพราะไอ้ “โมฮิโต้” ที่คงทำให้ผมรู้สึกอยากทำอะไรแผลงๆ บ้าง ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของภู่ หันมองหน้าน้องผู้หญิงคนนั้นนิดนึงก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปคล้องคอคนตรงหน้าดึงก้มลงมาให้พอดีกับริมฝีปากผมที่ตั้งท่ารออยู่แล้ว ผมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วผละออกจากภู่ เอียงหน้าหันไปมองหญิงสาวคนเดิมที่กำลังอ้าปากค้างอยู่

“ขอโทษนะครับน้อง คนนี้แฟนพี่”





TBC

ไม่เอามาม่าเนอะ  o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-08-2017 15:49:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-08-2017 18:38:38
 :hao4:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2017 18:45:08
ภู่ ทำไมยอมให้เขาจูบล่ะ  :m16: :m16: :m16:
แค่บอกไม่พอ ต้องกัน ดันตัวเขาห่างๆไปเลย  ไม่ใช่แบบนี้
 
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 10-08-2017 20:03:54
 :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 10-08-2017 20:24:09
#ทีมลุง  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-08-2017 22:36:44
มีแฟนเด็กต้องหมั่นฟิตร่างกายนะจ๊ะลุง    :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 34 ใครเซอร์ไพรส์ใคร (10-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-08-2017 23:43:33
ไม่มีมาม่าหรอ ไม่หนุกเลอะ  :hao6: :hao6: :hao6: ล้อเล่นนะ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-08-2017 12:42:46
บทที่ 35
คนขี้หึงกับผลสอบ





“ขอโทษนะครับน้อง คนนี้แฟนพี่”

หลังจากบอกออกไปแบบนั้นผมก็ลากคนของผม ใช่ครับเค้าเป็นของผม ผมไม่ได้สนใจมองน้องผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำว่ามีสีหน้าท่าทาง หรือแสดงอาการยังไง แต่เธอก็ไม่ได้โวยวายหรือตามมาแต่อย่างใด ส่วนไอ้คนที่เดินตามผมนี่ก็ยังจะมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ ก็ไอ้ที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้นแหละ ถึงตอนหลังเค้าจะปฏิเสธ แต่ทีแรกก็ยอมให้เค้าจูบอยู่ตั้งนาน

“ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่พร้อมคุย ไม่พร้อมตอบ”ทันทีที่ผมลากภู่มาถึงรถ ผมก็บอกกับข้าวหอมที่กำลังจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย ก็แน่ละอยู่ๆ ผมลากภู่มาด้วยแบบนี้เป็นใครก็คงต้องงง ต้องสงสัยเป็นธรรมดา ยกเว้นพี่โตที่เหมือนจะรู้งานและออกรถโดยไม่ถามอะไรสักคำ ส่วนคนที่ผมลากมาด้วยนี่ผมก็ชี้คาดโทษให้เค้านิ่งเงียบไว้ตลอดทาง

“อย่าหักโหมนะคะเพื่อน เผื่อแรงไว้ไปเที่ยวพรุ่งนี้บ้าง”เสียงข้าวหอมแซวไล่หลังมาทันทีที่เราจะแยกย้ายไปห้องพัก ผมไม่ได้หันไปตอบหรือสนใจอะไร เพราะตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างจะทั้งหงุดหงิด ทั้งความต้องการทำบางอย่าง เรียกว่าตอนนี้ไม่พร้อมคุยกับใครทั้งนั้นแหละครับ

“ฝ้ายคือแฟนเก่าผม”พอเปิดประตูเข้าห้องมาเค้าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้น รู้สึกไม่ชอบใจยิ่งกว่าเดิมที่รู้สถานะของน้องผู้หญิงคนนั้น

“ใครอนุญาตให้พูด”ผมบอกเสียงเคืองๆ แหงนมองหน้าเค้าที่เดินเข้ามาประชิดด้วยความไม่พอใจ

“นี่ลุงเมาใช่ไหมครับ”เค้าเหมือนไม่ได้สนใจอาการฮึดฮัดของผม ยังคงทำตัวสบายๆ ก้มลงมาใช้จมูกดมกลิ่นตามตัวผมเหมือนกำลังสนุก จมูกเค้าทำเสียงฟุดฟิดๆ ยังกับว่ากลิ่นจากตัวผมมันเหม็นเสียเต็มประดา ด้วยความหมั่นไส้สองมือผมจึงตะบบเข้าที่ใบหน้าของเค้าจับจนแน่นแล้วดึงให้มาอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าผม

ก็ไม่เข้าใจตัวเองหรอกนะครับว่าทำไมรู้สึกอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ไง แต่พอนึกถึงภาพที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมก็อยากจะจูบซ้ำ ลบร่องรอยนั้นออกไปให้หมด เค้าตกใจในทีแรกที่ผมประกบริมฝีปากเข้าหาเค้า แต่เพียงไม่นานปฏิกิริยาตอบกลับของเค้าก็ดีเสียจนผมแทบลืมหายใจ ลิ้นของเราทั้งคู่เหมือนกำลังหยอกเย้า และเข้าไปสำรวจในโพรงปากของกันและกัน

“เมาแล้วทำตัวน่ารักนะเราเนี่ย”รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเค้า แต่ผมกลับยังไม่คลายความหงุดหงิดในใจลงไปเลย

“พี่กับแฟนเก่าภู่ใครจูบเก่งกว่ากัน”แม้จะรู้ว่าคำตอบมันคงไม่ใช่ผมที่เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเค้าจะโกหกสักนิดผมก็จะไม่ว่าอะไรเค้าสักคำ

“ลุงสู้เค้าไม่ได้หรอก”ละนี่ทำไมต้องมาตอบแบบเยาะเย้ยกันขนาดนี้ด้วย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ใช่สิผมไม่เคยจูบกับใครนอกจากเค้านิจะให้ไปเก่งกาจ ช่ำชองได้ยังไงกัน ไม่เห็นต้องตอกย้ำกันขนาดนี้เลยแต่คิดเหรอว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะไล่เค้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ฝันไปเถอะ ผมดึงเค้าเข้ามาจูบอีกรอบ และครั้งนี้มันออกจะรุนแรงกว่าครั้งแรกสักหน่อย แถมเหมือนผมจะเผลอกัดปากเค้าเข้าไปด้วย กลิ่นเลือดจางๆ กับรสชาติความปะแล่มๆ ทำให้ผมต้องรีบผละออกจากเค้า

“ถึงฝ้ายเค้าจะจูบเก่งกว่า แต่ผมก็ชอบจูบกับลุงมากกว่านะครับ”เค้าแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ มีน้ำสีแดงๆ ซึมออกมาเล็กน้อย พูดกับผมด้วยเสียงที่อ่อนลง สองมือเค้าประคองใบหน้าผมที่กำลังเบือนหนีให้มองเค้า

“ชอบมากกว่า แต่ก็ยังจูบกับเค้าตั้งนาน”ผมพึมพำกับสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

“ขอโทษนะครับ แต่เชื่อผมเถอะว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมสัญญา”คำพูดที่ฟังดูหนักแน่นทำให้ผมบอกกับตัวเองว่าคงต้องเชื่อเค้า แม้ในใจจะยังมีคำถามอยู่บ้าง แต่คงต้องเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ผมว่าผมคงโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์กระตุ้นบางอย่างเข้าให้แล้ว อีกอย่างคงเพราะทั้งผมและเค้าห่างกันมาสักพักแล้วด้วย

“พี่เชื่อก็ได้ แต่ภู่ทำผิดภู่ต้องโดนลงโทษ”นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่ๆ ผมเป็นฝ่ายดึงแขนเค้าไปที่เตียงนอน แถมผลักเค้าให้ล้มลงนอนหงายบนเตียงอีกด้วย

“นี่ถ้ารู้ว่าลุงหึงแล้วเป็นแบบนี้ ผมแกล้งให้หึงบ่อยๆ ดีกว่า”เค้าบอกยิ้มๆ เมื่อผมตามขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวเค้าสองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเค้าทีละเม็ดๆ จนเผยให้เห็นแผงอกแกร่ง

“ใครหึง ไม่ได้หึงเลยสักนิด”ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเค้าก่อนจะยันตัวขึ้นถอดเสื้อตัวเองออกขว้างไปอย่างไม่สนใจทิศทาง เค้าจ้องมองมาที่ผมอย่างพอใจ เค้ายันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมสองแขนที่รั้งตัวผมไว้ ทำให้ตอนนี้เหมือนผมนั่งบนตักเค้าหันหน้าเข้าหากันในระยะประชิดจนเนื้อแนบเนื้อ

“ไม่หึงก็ไม่หึงครับ”ริมฝีปากเค้าพรมไปทั่วใบหน้า ต่ำลงมาที่ซอกคอ ไหนว่าทีแรกผมจะลงโทษเค้าทำไมตอนนี้มันคล้ายๆ จะกลายเป็นผมที่ถูกทำโทษอีกแล้วละครับเนี่ย แต่ช่างเถอะครับมาถึงขนาดนี้แล้ว กางเกงของเราทั้งคู่ก็ไม่รู้ถอดไปตอนไหน ใครจะลงโทษใครผลสุดท้ายมันก็คงไม่ต่างกันหรอกน่าจริงไหมครับ พอคิดได้แบบนั้นระหว่างเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก มีเพียงภาษากายที่สอดประสานกัน




“ขอบคุณนะครับ”หลังจากผ่านสงครามบนเตียงกันไปอย่างยาวนาน และผมก็น่าจะเริ่มสร่างเมาแล้วทำให้ตอนนี้ผมได้แต่ก้มหน้าซุกกับแผงอกของเค้า นี่ผมว่าผมไม่ควรจะเมาที่ไหนอีกแล้วถ้ายังเป็นแบบนี้อีก

“ขอบคุณที่มาเซอร์ไพรส์ครับลุง”เค้าจรดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากผม ผมค่อยๆขยับตัวออกเพื่อมองหน้าเค้า ทีแรกก็กะว่าจะแกล้งหลับๆ ไป แต่เหมือนเค้าจะรู้ทันเลยคิดว่ามาคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไอ้เรื่องแฟนเก่าเค้าที่ยังคาใจผมอยู่จะได้หมดไปสักที

“นี่ พี่ถามหน่อยสิ”ผมขยับตัวให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน

“ครับ”เค้ายิ้มทำหน้าทะเล้นตามสไตล์ของเค้า ก่อนใบหน้าจะค่อยๆ ราบเรียบลงเมื่อได้ยินคำถามของผม

“น้องผู้หญิงคนนั้น กับคนที่ภู่เคยบอกว่าทิ้งภู่ไปและคิดจะกลับมาคือคนเดียวกันไหม”

“คนเดียวกันครับ”ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ผมคาดไว้สักเท่าไหร่ เค้าถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ ว่าจะเปิดโอกาสให้ผมถามต่อหรือเปล่า แค่ผมเองก็ไม่ปล่อยให้เค้ามีเวลาคิดนานหรอกครับ

“แล้วตอนนี้ ภู่รู้สึกยังไงกับเค้า”ผมเองก็ไม่อยากต้องมานั่งคิดเองว่าที่จริงแล้ว ภู่ยังคิดอะไรกับน้องคนนั้นหรือเปล่า คือไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้ภู่ก็เลือกผมแล้ว แต่สิ่งที่เห็นเมื่อคืนก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เกิดความกังวลในใจของผมอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าภู่ยังเหลือเยื่อใย และอาจยังย้อนกลับไปได้

“ก็เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”เค้าบอกด้วยน้ำเสียง สีหน้าแววตาที่หนักแน่น ผมพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตานั้นว่าผมเชื่อเค้าได้จริงๆ หรือเปล่า

“เรื่องจูบนั่นผมแค่ไม่ทันตั้งตัว และผมคงเคยชินกับสัมผัสของเค้า และเค้าเองก็คงอยากพิสูจน์ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับเค้าแล้วจริงๆ หรือเปล่า”เหมือนเค้าจะอ่านใจผมออกว่าหลักๆ ที่ผมคาใจที่สุดก็คงเป็นเรื่องนี้

“และผมก็ไม่ได้ไปกับเค้าสองคน มีเพื่อนๆ รออยู่ในร้านด้วย มีอะไรสงสัยอีกไหมครับ”ผมยังคงรับฟังเงียบๆ ปล่อยให้เค้าได้อธิบาย เพราะพอได้ฟังจากปากของเค้า ผมจะมั่นใจได้ว่าเค้าจะไม่โกหกผม

“ผมเคยบอกแล้วไงครับว่าผมรู้สึกยังไง จากนี้ไปผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากลุงหรอกครับ”จากตอนแรกๆ มันก็ซึ้งดีนะครับ แต่ภู่ก็ยังเป็นภู่ ไอ้ท่าทางกวนๆ ที่มาตอนหลังนี่มันทำเอาผมอดจะหมั่นไส้ไม่ได้อีกแล้ว

“มั่นใจขนาดนั้นเลย”

“ก็เหมือนจะมีแฟนขี้หึง ใครจะกล้าไม่มั่นใจละครับ”เค้าขยับเข้ามาเอาจมูกชนกับจมูกผม ก่อนจะเขี่ยไปมาเบาๆ รอยยิ้มกว้างของเค้าทำเอาผมเขินเหมือนกันนะเนี่ย

“ใครขี้หึง ไม่เคยหึงสักนิด”ผมตีมึนเพื่อกลบความเขินและอาย นี่ยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองทำอะไรต่างๆ ลงไปได้ยังไง

“ไม่ได้หึงเลย แต่ไปจูบโชว์เค้า แถมประกาศอีกว่าผมเป็นแฟน กลับมายังมาพยายามจูบเอาชนะเค้าอีก ไม่ได้หึงเลยเนอะ”นั่นไงดูสิครับ ยิ่งรู้ว่าเราอายก็ยังจะมาล้ออีก นี่เรื่องนี้คงทำให้ผมโดนล้อไปอีกนานเลยแน่ๆ

“พอเลย หยุดพูดเดี๋ยวนี้”

“ทำไมละครับ น่ารักจะตายไป ผมชอบนะเวลาแฟนหึงแบบนี้ แถมหึงแล้วทำตัวแบบลุงนี่ผมยิ่งชอบเข้าไปใหญ”ตัวผมถูกเค้าดึงกระชับเข้าหาด้วยวงแขนของเค้า เค้ากอดผมไว้หลวมๆแล้วกดจมูกลงดมที่หัวของผม นี่หัวผมเหม็นหรือเปล่าเนี่ย วันนี้ยังไม่ได้สระผมเลย

“เพราะเมาหรอก”ผมขืนศีรษะออกเล็กน้อยเพราะไม่มั่นใจในความเน่าของหัวตัวเอง

“งั้นก็เมาบ่อยๆ นะครับผมชอบ”ผมถูกดึงเข้าไปดมศีรษะอีกรอบ แสดงว่ากลิ่นคงยังไม่เน่าสินะ

“แต่เมาแล้วอย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ มาทำกับผมคนเดียวพอ”แหม ไอ้ที่ผมทำลงไปเนี่ยยังกับว่าผมจะไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนได้นอกจากเค้างั้นแหละ

“ไม่คุยด้วยแล้ว นอนดีกว่า”เหมือนยิ่งคุยทุกอย่างจะยิ่งเข้าตัว แล้วนี่ก็ดึกจนเรียกว่าจะใกล้เช้าแล้ว ผมกับเค้าควรนอนกันสักทีครับ เปลือกตาผมค่อยๆ ปิดลงและสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ของอีกคน






เราทั้งคู่ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ของอีกวัน และผมก็พบว่าพี่โตกับข้าวหอมออกไปเที่ยวกันสองคนโดยไม่รอผม แต่จะโทษข้าวหอมก็คงไม่ถูกเพราะกว่าผมจะตื่นกันก็ลากยาวมาจนจะบ่ายอยู่แล้ว แต่ยังดีที่พี่โตเช่ารถเพิ่มอีกคันแล้วทิ้งกุญแจไว้ให้ผมที่เค้าท์เตอร์ ไม่งั้นผมคงลำบากในการใช้ชีวิตแน่ๆ

“พี่หอมกับพี่โตเค้าก็คงอยากสวีทกันแหละ เอางี้เราไปทานข้าวบ้านผมกันไหม”คือเรื่องข้าวหอมกับพี่โตนี่ผมก็บ่นไปงั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรนะครับ แต่ไอ้เรื่องไปทานข้าวบ้านเค้าเนี่ย มันมาได้ยังไงกัน

“ตกใจอะไร แค่ไปทานข้าวที่บ้านไม่ได้บอกให้ลุงไปขอผมกับพ่อแม่สักหน่อย”ผมตีแขนเค้าไปเบาๆ ทีนึง ก็ดูสิครับเนี่ยเค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ แถมพูดเล่นนี่อีก แต่ผมนี่สิความกังวลมาเพียบเลย การที่ผมบอกว่าจะมาหาเค้าที่เชียงใหม่นี่ทั้งตามแผนเดิม หรือมาเซอร์ไพรส์ก่อนกำหนด มันไม่ได้มีโปรแกรมการไปบ้านเค้าบรรจุอยู่เลย

“ถ้าลุงไม่พร้อมที่จะให้ผมบอกที่บ้านว่าเป็นแฟนผม เราก็บอกแค่ว่าเราสนิทกันเพราะอยู่บ้านติดกันก็ได้ ตกลงว่าไปนะครับ”

แม้จะบ่ายเบี่ยงไปก็ไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่เพราะสุดท้ายเค้าก็บังคับผมมาถึงบ้านเค้าจนได้ แม้บรรยากาศภายในบ้านจะร่มรื่น แต่ใจผมตอนนี้กลับกระวนกระวายเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ก็ใครจะไปคิดละครับว่าจะต้องมาเจอครอบครัวภู่แบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่คิดจะให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย

“อ้าวมากันแล้วเหรอลูก”ผมรีบยกมือไหว้หญิงสาววัยกลางคนที่จัดว่ายังดูสวยอยู่เลย แม้จะดูออกว่ามีอายุแล้วแต่ก็ยังสวยสมวัย หน้าตาของคุณแม่ไม่ต่างจากพี่ปุ๊กมากนัก เราแนะนำตัวกันพอประมาณก็ถูกนำตัวมาที่โต๊ะอาหาร อาหาร 2-3 อย่างถูกจัดวางไว้อย่างดี แน่นอนว่าจัดไว้สำหรับผมสองคนโดยเฉพาะ เพราะนี่มันก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ทุกคนในบ้านก็ทานกันเรียบร้อยหมดแล้ว

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันแบบนี้นะครับ”ผมบอกอย่างเกรงใจ ทีแรกก็บอกกับภู่ไปแล้วว่าหาอะไรกินเองดีกว่า ถ้าจะมาบ้านค่อยมาทานมื้อเย็น แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม

“ไม่เป็นไรหรอก นี่แม่เองก็ได้ยินทั้งปุ๊ก ทั้งภู่พูดถึงพี่แปงกันจนอยากเจอบ้างนี่แหละ พอเห็นภู่เค้าบอกพี่แปงจะมาเที่ยวเชียงใหม่ เลยให้เค้าชวนมาบ้าน”ผมหันมองอีกคนที่ทำเป็นตักกับข้าวทานอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ครับ แต่ไม่ยักรู้เลยนะครับเนี่ยว่าภู่เอาผมมาเผาให้คุณแม่ฟัง”ผมพูดอย่างสบายๆ แต่ก็แอบกัดอีกคนบ้างนิดหน่อย นี่ไปแอบเอาเรื่องผมมาเล่าให้แม่ตัวเองฟังได้ยังไงกันเนี่ย ดีที่คุณแม่ดูเป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุกเลยทำให้ผมลดอาการเกร็งๆ กังวลในทีแรกลงไปได้เยอะ ถือว่าเห็นแก่คุณแม่ผมจะคาดโทษคนพาผมมาเอาไว้ก่อน

ดีที่พอได้ฟังคุณแม่พูดแล้ว ภู่เองก็คงจะเล่าแต่อะไรดีๆ ให้แม่เค้าฟัง ทีแรกผมนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างภู่กับครอบครัวจะไม่ค่อยดีเสียอีก ถึงถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวแบบนั้น แต่วันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าที่บ้านเค้าก็แค่อยากให้ภู่ได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าแรกๆ ภู่คงไม่ค่อยเข้าใจเลยทำตัวแย่ไปบ้าง

“เสียดายวันนี้พ่อเค้าไม่อยู่ เลยอดเจอพี่แปงเลย”ผมยิ้มแห้งๆ แค่เจอคุณแม่คนเดียวผมก็ตื่นเต้นแทบแย่ ถ้าต้องเจอทุกคนขอเวลาผมทำใจมากกว่านี้ก่อนแล้วกัน ว่าแต่ทำไมคุณแม่มาเรียกผม “พี่แปง” กันละครับเนี่ย หรือติดจากภู่เพราะเห็นเวลาภู่อยู่ต่อหน้าแม่เค้านี่ ไม่มีหลุดเรียกผมลุงสักคำครับ พี่แปงๆ จนบางทีก็นึกขำเพราะหลังๆ ผมก็ชินกับการโดนเรียกลุงไปแล้ว

“ทีแรกแม่ก็กังวลเรื่องการเรียนของน้องภู่ ว่าจะไหวหรือเปล่า จะจบมัธยมอยู่แล้วกลัวว่าจะไปเรียนต่อไม่ไหว”ผมกำลังจะคุยกับคุณแม่ต่อเรื่องการเรียนหลังจากจบมัธยมของเค้า เพราะเหมือนเค้ายังไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้กับผม และยิ่งตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจว่ามันคงมีอะไรบางอย่าง

“แม่ให้พี่แปงกินข้าวก่อนสิครับ มัวแต่ชวนคุยจนพี่แปงจะไม่ได้กินแล้วเนี่ย”นั่นไงครับ เหมือนเค้าจะไม่อยากพูดถึงเรื่องเรียนต่อนี่เอาเสียเลย

“ขอแม่ขอบคุณพี่แปงอีกนิดละกันนะ ก็ตั้งแต่ภู่มาเจอพี่แปง การเรียนก็ดีขึ้น เห็นว่าพี่แปงช่วยติวให้น้องภู่ด้วย ยังไงแม่ฝากดูน้องด้วยนะ”ผมอมยิ้มแก้มแทบแตก เพราะดูคุณแม่จะเอ็นดูผมเหลือเกิน นี่ถ้าคุณแม่รู้ว่าผมไม่ใช่แค่พี่ข้างบ้าน คุณแม่จะยังเอ็นดูผมไหมนะ

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่อยู่บ้านติดกันมีอะไรก็ช่วยๆ กันครับ”ผมบอกอย่างถ่อมตัว ก็ไอ้ที่ผมติวหนังสือนั่นน่าจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับการใช้ลูกชายเค้าทำกับข้าวให้กินทุกวัน

“ไม่ขนาดนั้นอะไรละพี่แปง นี่เทอมนี้น้องภู่สอบได้ตั้งที่ 11 แนะ เพราะพี่แปงช่วยติวแท้ๆ เลย”คำพูดของคุณแม่ทำเอาผมหูผึ่งกันเลยทีเดียวครับ ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองอีกคนที่หน้าเจื่อนไปแล้ว

“อ้าวนี่ผลสอบออกแล้วเหรอครับ”ผมถามพร้อมหันไปยิ้มหวานให้ภู่ แม้จะดีใจกับเค้าที่ทำได้ดีเกินคาด ก็ไอ้ Top 10 นั่นผมก็ไม่ได้จริงจังมากนะครับ แค่หวังให้เค้าทำดีที่สุดก็พอ

“ผลอย่างไม่เป็นทางการออกเมื่อวานครับ เพื่อนส่งมาให้ดู”หึหึ ผมหัวเราะในลำคอผลออกแล้ว และรู้ตั้งแต่เมื่อวาน สงสัยงานนี้คงต้องมีเคลียร์กันยาว จากทีแรกคิดว่าถึงเค้าทำไม่ได้ผมก็คงไม่ใจร้ายกับเค้า ทว่าตอนนี้ผมเลี่ยนใจแล้วครับ ก็ถ้าเค้ารู้ผลเมื่อวานข้อตกลงระหว่างเรามันก็ต้องใช้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วสิ หึหึ “ไอ้เด็กขี้โกง” เตรียมตัวไว้เลย





TBC


มาแรกๆ เหมือนจะมี NC แต่แล้วก็ตัดไปเพดาน โคมไฟคงไม่ว่ากันเนอะ :z6:

ส่วนผลสอบก็ต้องเสียใจกับน้องภู่ด้วยที่พลาดTop 10 ไปอย่างน่าเสียดาย :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 14-08-2017 13:36:19
น่าร้าคคคคคคคค
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-08-2017 16:39:31
 :laugh:

ผลสอบแบบนี้เหมือนซื้อหวย 37 แล้วมันออก 38
555

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-08-2017 18:24:00
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-08-2017 19:28:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-08-2017 19:34:03
ดีที่เคลียร์กันได้ แต่แน่หรือ  :katai1:
ที่ฝ้ายยอมลามือ
ฝ้ายเป็นฝ่ายเลิกลาภู่ ทำไมมาอี๋อ๋อ
ทดลองเสน่ห์ดูว่าภู่ยังอยู่ในกำมือตัวเองหรือเปล่าสินะ
หรือไม่ก็ กับคนรักใหม่ไม่เวิร์กเท่าภู่

ฮึ่ย....เวลาลุงหึงหวง เมา เซ็กซี่ไม่เบา
มีจะลงโทษภู่ซะด้วย
แต่คนอ่านไม่รู้ไม่เห็นเลย  :z3: :z3: :z3:
ไรท์ ใจร้าย  :ling1: :ling1: :ling1:
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 15-08-2017 05:34:15
สนุกดีครับ อ่านวันเดียว ยาวเลย
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-08-2017 22:42:17
อยากรู้จังว่าพี่แปงจะลงโทษหรือจะให้รางวัลน้องภู่กันน้อ อิ อิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 35 คนขี้หึงกับผลสอบ (14-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 18-08-2017 12:46:45
งดยาวๆไปพี่แปง555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 23-08-2017 20:09:04
บทที่ 36
แน่ใจ




แสงแดดยามเช้าที่สาดเข้ามากระทบใบหน้าผม ทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นและพยายามปรับสายตาที่เพิ่งลืมขึ้นให้ชินกับแสง วันหยุดแบบนี้ผมไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกครับ เลยเปิดม่านแง้มๆ ไว้ให้รู้สึกตัวยามเช้าแบบนี้ แต่ที่จริงก็ไม่น่าจะเช้าแล้วละครับ ผมกำลังจะขยับตัวลุกแต่ก็ดันขยับไม่ได้

ก็ไอ้คนตัวโตที่ตามผมกลับมาจากเชียงใหม่นี่แหละครับกอดผมไว้เสียแน่นเลย พูดถึงการไปเชียงใหม่นี่ผมก็แทบจะไม่ได้เที่ยวไหนเลยครับ เพราะหลังจากวันที่ผมไปเจอคุณแม่ของภู่ ที่บริษัทดันงานมีปัญหา ถึงเค้าจะไม่ได้เรียกให้ผมกลับมาช่วยแต่มันดันเป็นจุดที่ผมรับผิดชอบพอดี จะให้พี่ๆ เค้าทำแทนทั้งหมดผมก็เกรงใจ เลยตัดสินใจกลับมาทำเอง อีกเหตุผลหนึ่งที่กลับก็อยากจะแกล้งคนสอบได้ที่ 11 นี่ด้วยแหละครับ

“ก็ผมได้ตั้งที่ 11 ลุงก็หยวนๆ ให้ผมหน่อยสิ นะครับ”ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะยอมโอนอ่อนให้เค้าแหละครับ แม้จะไม่ถึงขนาดว่ายอมมีอะไรกับเค้าทุกวันอย่างที่เค้าต้องการ ซึ่งก็คงไม่ห้ามเค้าถึงเดือนนึงอะไรแบบนั้น แต่พอเห็นท่าทางเค้าแล้วเลยหมั่นไส้ กะว่าหนีกลับก่อน ค่อยมาบอกเค้าตอนเค้ากลับมาเรียน ที่ไหนได้ดันบินตามผมมาด้วย นี่ไม่รู้พ่อแม่เค้าจะคิดยังไง ปิดเทอมทั้งทีกลับไปอยู่บ้านไม่กี่วัน

“ไม่รู้ละ ในเมื่อไม่ได้ห้ามกอด จูบ หรือถ้าลุงเป็นฝ่ายเริ่มเองผมก็ไม่ผิดกติกาเพราะงั้นผมจะทำให้ลุงเริ่มก่อนให้ได้คอยดูเถอะ”นี่แหละครับที่มาของการที่ผมโดนกอดเสียแน่นขนาดนี้ แล้วนี่ผมก็ไม่รู้จะทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้อีกนานขนาดไหนนะครับเพราะพ่อแฟนเด็กของผมนี่ก็ถึงเนื้อถึงตัวเหลือเกิน ไอ้แค่กอดนั่นมันคงไม่เท่าไหร่ ไอ้ที่อยู่ใต้บอกเซอร์เค้านั่นต่างหากที่ชอบจงใจให้มาโดนตัวผม

“ตื่นแล้วก็ปล่อยเลย”ผมบอกโดยไม่ได้หันไปมอง เพราะสัมผัสที่แก้มฟอดใหญ่นี่คงมาจากคนข้างๆ นี่แหละครับไม่ใช่ใครอื่นอีกแล้ว แล้วนี่บอกเลยนะครับว่ากลับมาจากเชียงใหม่แค่ผมก้าวเข้าบ้านปุ๊บจะได้รับการวอแวจากเค้าทันที ก็ตอนนี้เค้ายังไม่เปิดเทอม เวลาของเค้าเลยค่อนข้างเยอะ บอกให้ไปหาเพื่อนบ้าง ก็เห็นว่าไปแล้วตอนเวลาผมไปทำงาน

“ขอนอนอีกนิดสิครับ”ผมรีบสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติเพราะการจู่โจมหลังการแกล้งเอาภู่น้อยมาโดนผมแล้ว มักจะตามมาด้วยรอยจูบที่พรมมาแทบจะทั้งหน้าผม ลากมาซอกคอ และที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ...

“หยุด”ผมรีบตะครุบมือเค้าที่กำลังจะล้วงเข้าไปใต้กางเกงผม

“ใจร้าย”น้ำเสียงตัดพ้อทั้งที่หน้ายังซุกอยู่กับซอกคอผม แต่เอาจริงๆ ไอ้มือเค้าที่ผมจับไว้เนี่ยถ้าเค้าจะล้วงจริงๆ ผมก็สู้แรงเค้าไม่ได้หรอกครับ ก็ยังดีที่เค้ายังทำตามข้อตกลง ซึ่งความลำบากก็มาตกที่ผมนี่แหละ ที่อีกไม่นานคงตบะแตกตามเกมของเค้าแน่ๆ

“คราวหน้าก็ตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้สิครับหนู”ผมแกล้งบอกอย่างเด็นดูพร้อมกับขยับตัวเอื้อมมือไปลูบหัวเค้าทันทีที่เค้าคลายอ้อมกอดออก เค้าทำหน้างออย่างไม่พอใจ แต่ก็ติดที่มีข้อตกลงค้ำคอนี่แหละครับ เค้าเลยได้แค่ทำท่าฮึดฮัดไปอย่างนั้น แต่แล้วพอผมกำลังจะลุกขึ้นก็โดนกระชากอย่างแรงจนผมตกใจ

“งั้นให้ผมสักครั้งสิครับ แล้วจะตั้งใจเรียน”เค้าเหวี่ยงผมให้กลับไปนอนหงายกับเตียงส่วนตัวเค้าก็ขึ้นมาคร่อมพร้อมสองมือที่กดข้อมือผมไว้ มุมปากยิ้มเยาะผมอย่างเป็นต่อ ใบหน้าเค้าค่อยๆ ก้มลงมาลมหายใจร้อนๆ เป่ารดซอกคอผม ก่อนความรู้สึกเจ็บนิดๆ ที่ซอกคอเพราะคมเขี้ยวของเค้าจะตามมา

“อือ”ผมส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอเมื่อเค้าเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ริมฝีปากของผม นี่ก็เป็นอีกข้อตกลงนึงของผมที่ผมค่อนข้างจะเสียเปรียบ เพราะถ้าไม่อยากเลยเถิดตามเกมเค้าผมต้องดึงสติขั้นสุดในการต่อต้านเค้า

“ก็ลองดูนะครับว่าลุงกับผม ใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน”ผมยังคงนอนสูดลมหายใจเข้าปอดแฮ่กๆ ในขณะที่อีกคนผละจากผมทันทีที่พูดจบและเข้าห้องน้ำไป ทำมาเป็นพูดดีไป อย่าคิดว่าผมไม่รู้เชียวว่าที่รีบเข้าห้องน้ำไปนั่น รีบไปทำอะไร นี่มันตัดช่องน้อยแต่พอตัวชัดๆ แล้วผมละทีนี้ยิ่งตอนเช้าแบบนี้ ไอ้ที่ตึงเขม็งอยู่นี่เมื่อไหร่จะสงบละทีนี้

 ผมต้องสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่เลยครับ นี่ถึงขั้นคิดเลยนะครับว่าหรือผมจะตีเนียนแกล้งยอมๆ เค้าไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ถ้าแบบนั้นผมต้องโดนล้อแน่ๆ เอาไงดีละครับเนี่ย โอ้ยเครียด

แล้วในระหว่างที่ผมกำลังต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเองอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมาดูพร้อมขมวดคิ้ว “แม่” ชื่อคนที่ปรากฏทำเอาผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะแม่ไม่ค่อยโทรมาเช้าๆ แบบนี้

“วันนี้หยุดใช่ไหมแปง”น้ำเสียงของแม่ผมถามไถ่มาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งไอ้อารมณ์ดีแบบนี้เนี่ยมันทำให้ผมเริ่มระแวงเพราะมันมักจะตามมาด้วยเรื่องยุ่งๆ สำหรับผมเสมอ

“งั้นชวนแฟนมาทานข้าวที่บ้านหน่อยสิ”

“แฟน?”ผมแทบจะตะโกนใส่โทรศัพท์ ก่อนจะรีบตั้งสติ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

“แฟนใครครับแม่”ผมพยายามปรับเสียงให้ปกติ ถามกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ และตีมึนแอบหวังลึกๆ ว่าแม่จะไม่ได้หมายถึงผม แม้บทสนทนานี้จะมีแค่เราสองคนก็ตามที

“ก็แฟนเรานั่นแหละ”ชัดเลยครับ น้ำเสียงที่ยังอารมณ์ดีนี่ผมควรดีใจไหมที่เหมือนว่าแม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการมีแฟนของผม แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครไปบอกแม่กันว่าผมมีแฟนแล้ว คนที่รู้ก็มีแค่ข้าวหอมนี่นา ถึงเจ้ปอจะมาถามตรงๆ กับข้าวหอม แต่ยัยหอมก็ปฏิเสธไปนี่นา

“คะ...ใครบอกแม่ว่าผมมีแฟน”คือก็พอเข้าใจว่าที่บ้านผมก็ยอมให้ผมมีแฟนแล้วแหละ แต่ระหว่างผมกับภู่นี่ เราก็เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน แถมอายุเราที่ต่างกันค่อนข้างเยอะนี่อีก มันอดจะหวั่นใจไม่ได้จริงๆ ครับว่าทั้งพ่อและแม่ผมจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือเปล่า

“เอาเป็นว่ามาให้ทันมื้อเที่ยงนะ จะได้บอกให้พ่อเค้าอยู่ทานมื้อเที่ยงด้วย”นี่คุณแม่ผมจะไม่สนใจฟังสิ่งที่ผมถามสักนิดเลยหรือไงครับเนี่ย แล้วนี่ผมคงต้องยอมรับไปตามตรงสินะครับว่ามีแฟนแล้วจริงๆ และไม่ทันให้ผมได้ถามอะไรเพิ่ม แม่ผมก็ชิงวางสายไปอย่างรวดเร็วหลังจากกำชับผมว่ายังไงก็ต้องไปทานมื้อเที่ยงที่บ้าน

“เป็นไรครับลุง”คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมาคงเห็นสีหน้าที่แสดงความกังวลของผมแล้ว เพราะมันคงชัดเสียจนมองจากดวงจันทร์ก็ดูออก แต่จะไม่ให้กังวลได้ยังไงละครับ ตั้งแต่เด็กจนโตผมแทบจะเดินตามกรอบของที่บ้านมาตลอด เพิ่งจะได้มีโอกาสออกมาทำอะไรเองก็แค่ไม่นาน แถมเรื่องมีแฟน ล่าสุดที่พ่อเคยพูดกับผม ถึงจะไม่ขนาดบังคับเสียทีเดียว แต่ภู่นี่แทบจะยังไม่มีคุณสมบัติที่พ่อผมพูดมาในวันนั้นเลย

“แม่พี่ให้ชวนภู่ไปทานข้าวที่บ้าน”ผมบอกออกไปตามตรงด้วยเสียงที่ยังคงกังวลอยู่

“วันไหนครับ”เค้ายังคงถามผมกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมเดินเช็ดผมตรงมาที่ผมนั่งอยู่

“เที่ยงนี้เลย”

“แล้วที่ดูเครียดๆ นี่เพราะยังไม่อยากบอกที่บ้านพี่ว่าเราคบกันเหรอครับ”เค้านั่งลงข้างๆ ผมเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตากับเค้า ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อระบายความกังวล เพราะตอนนี้เรื่องราวมันเลยจุดที่เค้ากำลังพูดถึงไปแล้ว

“ที่บ้านพี่รู้แล้วแหละว่าเราคบกัน”เค้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจทันทีที่ได้ยินผมบอกออกไปอย่างนั้น

“แล้วยังกังวลอะไรอีกละครับ ถ้าเค้ารู้แล้วจากนี้เราสองคนก็แค่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราพร้อมจะเดินไปด้วยกันจริงๆ เรื่องอายุที่ห่างกัน หรือเรื่องอนาคตของผม ลุงไม่ต้องห่วงหรอก แต่คงต้องรออีกสักหน่อยให้ผมเรียนจบ รับรองว่าผมจะยกขันหมากไปขอแน่นอนครับ”ตอนประโยคแรกๆ มันก็ซึ้งหรอกนะครับ แต่ไอ้ช่วงท้ายๆ นี่ก็ลากมาพูดเล่นอีกแล้ว

“อือ งั้นพี่ไปอาบน้ำละ”แม้ในใจจะยังไม่ค่อยคลายกังวล แต่ผมก็ฝืนยิ้มออกมาเพราะไม่อยากให้เค้ามากังวลกับผมอีกคน อะไรมันจะเกิดก็คงต้องเกิดแหละครับ อย่างเลวร้ายที่สุดถ้าพ่อกับแม่ของผมไม่เห็นด้วยในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ผมก็คงต้องขอโอกาสให้เราทั้งสองได้พิสูจน์ก่อนแหละครับ นี่การจะมีแฟนสักคนนี่มีใครเค้าเป็นเหมือนผมไหมครับเนี่ย ไหนจะต้องผ่านด่านครอบครัวก่อน แล้วนี่ยังเหลือครอบครัวภู่อีกนะครับเนี่ย นั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเค้ารู้ จะว่ายังไงกันบ้าง

หลังจากเราทั้งคู่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ทานมื้อเช้ากันแบบง่ายๆ ครับเพราะเห็นตรงกันว่าถ้าต้องทำกับข้าวเป็นเรื่องเป็นราว เราทั้งคู่จะไปไม่ทันมื้อเที่ยงตามที่ผมตกลงกับแม่ไว้แน่นอน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมกับภู่มาก่อนเวลามากพอสมควรทีเดียวละครับ

“มากันแล้วเหรอ”แค่เดินลงจากรถปุ๊บ พ่อผมที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นสนใจจะทำสวน แต่วันนี้มาเตรียมดินเหมือนจะเอาต้นไม้มาลงเพิ่ม และมันจะไม่ดูจงใจขนาดนั้นถ้าพื้นที่เตรียมดินนี่มันจะไม่เป็นจุดสังเกตชัดเจนเมื่อผมมาถึงแบบนี้ ทั้งผมและภู่ต่างยกมือไหว้พ่อของผมพร้อมๆ กัน

“ทำสวนเป็นไหมละเรา”หลักจากแนะนำตัวกันเสร็จพ่อผมก็เดินเข้ามาตบไหล่ภู่เบาๆ ผมชักเริ่มระแวงขึ้นมาแล้วนะครับเนี่ย แล้วอยู่ๆ ความทรงจำตอนพี่ต๊าฟมาจีบเจ้ปอก็แว๊บเข้ามาทันที ใช่แล้วครับนี่วันนี้พ่อกับแม่ผมคงกะให้ผมพาภู่มาเพื่อสกรีนสินะครับเนี่ย

“ก็พอได้ครับ”นี่ก็ยังตอบรับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

“งั้นมาช่วยทางนี้หน่อย”

“เดี๋ยวสิพ่อ”ผมรีบเรียกไว้ เพราะเท่าที่จำได้ สภาพพี่ต๊าฟ ในวันแรกที่มาบ้านผมเรียกว่าตอนมาอย่างหล่อเนี๊ยบ แต่พอจะกลับนี่ คำว่าเละมันคงยังน้อยไป จนตอนนั้นผมคิดว่าพี่แกจะถอดใจแล้วเสียอีก

“แปงเข้าไปหาแม่ข้างในไป ทำอะไรไม่เป็นมีแต่จะมาเกะกะเปล่าๆ”และนี่ผมคงถูกกันออกไม่ให้ยุ่งสินะครับ ผมมองหน้าภู่อย่างเป็นห่วง แต่เค้ากลับส่งสายตามาประหนึ่งว่าไม่เป็นไร

แม้จะถูกไล่ให้เข้าบ้านไป แต่ผมก็ยังมองทั้งสองคนที่เดินไปยังแปลงต้นไม้นั่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อผมคิดจะเอาอะไรมาปลูก ผมมองอย่างชั่งใจอีกสักพัก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน นึกถึงคำพูดของภู่ที่บอกว่าเค้าพร้อมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเรารักกันได้จริงๆ อีกอย่างนี่ถ้าพ่อผมทำแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นการเปิดโอกาสรับมาพิจารณาแล้ว

“ไงละ แฟนเด็กโดนพ่อเรากักตัวไปสอบปากคำแล้วสิ”นั่นไง ทำไมผมไม่คิดได้ตั้งแต่ก่อนมาจะได้บอกให้ภู่เตรียมรับมือไว้บ้าง ยิ่งมาได้ยินเจ้ปอพูดแบบนี้ผมว่าผมพอจะรู้แล้วละครับ ว่าที่บ้านผมรู้เรื่องระหว่างผมกับภู่ได้ยังไง ผมไม่น่าลืมเลยว่าตอนพี่ต๊าฟกับเจ้ปอนี่ พ่อกับแม่ผมสืบเสียจนแทบจะรู้จักกิ๊กเก่าของพี่ต๊าฟ ทุกคนเสียอีก แล้ววันที่ผมเจอเจ้ปอวันก่อน ก็คงไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วว่าผมกับภู่ไม่ได้เป็นอะไรกัน

“แม่ละเจ้”ผมแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจในคำพูดของพี่สาว

“อย่าเพิ่งมาทำเฉไฉ เล่ามาเลยว่าไปถึงไหน ยังไงกันแล้ว ได้ข่าวว่าตามเด็กไปถึงเชียงใหม่เลยไม่ใช่เหรอ”น้ำเสียงหยอกล้อจากพี่สาวทำให้ผมต้องหันกลับมามอง เพราะเท่าที่ได้ยินนี่แสดงว่าทั้งบ้านคงรับรู้ไปกันไม่น้อยแล้วแน่ๆ ครับ

“เจ้...พูดมาขนาดนี้นี่ไม่น่าเหลืออะไรให้ผมต้องเล่าแล้วมั้ง”ผมตอบกลับไปอย่างหมั่นไส้

“มาแล้วเหรอลูก”ไม่ทันที่ผมกับเจ้ปอจะได้ต่อปากต่อคำกัน แม่ก็เข้ามาได้จังหวะเหมือนเป็นการห้ามทัพพอดี ผมเข้าไปกอดทักทายแม่พอเป็นพิธี เพราะยังงอนๆ นิดหน่อยที่ไม่บอกผมก่อนว่าวันนี้ที่มาจะต้องเจอสอบสวนแบบนี้

“ดูทำหน้าเข้า ของแม่นะไม่มีอะไรหรอก ก็เคยบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้ลูกแม่รักใครแม่ก็รักด้วย”หรือนี่ผมจะกังวลมากไป เพราะที่จริงตั้งแต่ครั้งก่อนทั้งพ่อและแม่ผมก็ยอมรับกันแล้ว คงต้องขอบคุณพี่ต๊าฟอีกรอบจริงๆ จังๆ ละครับเนี่ยที่ครั้งนั้นช่วยพูดกับพ่อแม่ผมจนทุกอย่างมันดูง่ายแบบนี้ ส่วนเรื่องความต่างของอายุระหว่างผมกับภู่คาดว่าตอนนี้ทุกคนก็คงรู้กันหมดแล้ว มันก็ดูไม่เป็นปัญหานิเนอะ คงเป็นผมจริงๆ นั่นแหละครับที่คิดมากไป

ผม แม่ เจ้ปอ พูดคุยกันอีกพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของสองคนที่ทำสวนอยู่ข้างนอกหัวเราะอย่างถูกคอกำลังเดินเข้ามาด้านใน

“ไว้ผมไปดูที่ร้านต้นไม้ให้แล้วกันนะครับคุณพ่อ”อะไรนะครับ ปล่อยให้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวนี่ถึงขั้นเรียกคุณพ่อเต็มปากเต็มคำแล้วเหรอครับ เนี่ย พอมาถึงก็เหมือนมองผมแค่ผ่านๆ แต่แม่กับพี่สาวผมนั่นแหละครับกลายที่แย่งกันทักทายเค้า

“ภู่ไปล้างไม้ล้างมือก่อน ไปลูก จะได้มาทานข้าวกัน”คนนึงเรียกพ่อ อีกคนก็เรียกลูก นี่มันครอบครัวตัวจริงผมหรือเปล่าเนี่ยอะไรมันจะดูง่ายไปหมดขนาดนี้ แล้วไอ้ที่ผมอุตส่าห์กังวลมาทั้งหมดนั่นละครับ

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเลือกคนนี้”พอคล้อยหลังภู่พ่อผมก็หันมาถามผมเสียงเรียบ จนทุกคนต่างก็เงียบลง






TBC

หายไปหลายวันมากๆ

ขอโต๊ด  :z3:

ช่วงนี้ยุ่งเหลือเกิน ยังไงรอติดตามกันด้วยนะคร๊าบ

เนื้อเรื่องก็อย่างที่บอกว่าตอนนี้ยังไม่ม่า แต่ตอนหน้าไม่แน่  :hao3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-08-2017 22:02:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 24-08-2017 00:02:36
ดูท่าน้องภู่คงจะผ่านแรกมาได้แล้วสินะ   :katai2-1:

เหลือแต่ความมั่นใจของลุงแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-08-2017 22:25:47
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-08-2017 03:10:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :hao6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-08-2017 04:48:10
ภู่น่าจะผ่านนะ  :hao3:
ก็พ่อแปง ยอมให้ภู่เรียกคุณพ่อ
แม่แปง ก็เรียกภู่ว่าลูกอีกด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-08-2017 11:26:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-08-2017 12:31:45
พี่แปงตอบพ่อกับแม่เลย ภู่รอฟังอยู่
ภู่มันขี้อ้อน
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 26-08-2017 16:44:13
พลิกล็อกจ้าาาา
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 36 แน่ใจ (23-08-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-09-2017 13:42:15
บทที่ 37
ยังบอกไม่ได้





วันนี้ผมเลิกงานกลับบ้านมาตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ วันนี้บ้านดูเงียบผิดปกติ เพราะถึงช่วงนี้ภู่จะเปิดเทอมแล้ว แต่เค้าก็กลับถึงบ้านก่อนผมแทบทุกวัน ยกเว้นวันไหนที่เค้าไปกับเพื่อนก็จะบอกไว้ก่อนเสมอ แต่วันนี้เค้าก็ไม่ได้บอกอะไรไว้นี่นา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชั่งใจอยู่ครู่นึงว่าจะโทรถามดีไหม หรือไม่ควรดี คือก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมตามเค้ามากไป ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจ ชื่อเค้าก็ปรากฏบนหน้าจอมือถือของผมแทน

“กำลังกลับนะครับ อาจถึงช้าหน่อยพอดีคำนวณเวลาผิดนึกว่าจะเสร็จเร็วกว่านี้เลยไม่ได้โทรบอกลุงก่อน หิวยังครับเนี่ย ถ้าหิวก็ทนก่อนนะครับ โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”

“อือ”เค้าร่ายยาวเสียจนผมไม่รู้จะตอบประโยคไหนของเค้าก่อน เลยได้แค่รับคำสั้นๆ และยกยิ้มนิดๆ กับการรายงานตัวของเค้า เพราะเหมือนรู้ว่าผมต้องกำลังสงสัยว่าทำไมเค้าถึงบ้านช้ากว่าผม

“อ้าว แล้วไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมไปไหนมา”น้ำเสียงตัดพ้อดังมาตามสายจนผมนึกหมั่นไส้ เพราะคงแกล้งพูดมางั้นเองแหละครับ คงไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรหรอก

“ไม่อยากรู้”ผมบอกอย่างอารมณ์ดี

“โหไรอ่ะ นี่อุตส่าห์เอาต้นไม้ไปเอาใจพ่อตามานะเนี่ย”คำตอบของเค้าทำเอาผมต้องหุบยิ้มลง เมื่อรู้ว่าเค้าไปไหนมา แม้ว่าเค้าจะเป็นที่รู้จักของครอบครัวผมแล้วว่าคือใคร แต่คำพูดที่พ่อพูดกับผมในวันนั้นก็ยังทำให้ผมเกิดความกังวลขึ้นมาอีก

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเลือกคนนี้”คำถามที่จะว่าซีเรียสก็คงซีเรียส เพราะพ่อผมก็ถามด้วยสีหน้า น้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังทีเดียว ทั้งที่ผมเองก็เคยคิดมาแล้วว่าจะไม่กังวลหรือลังเลในความสัมพันธ์ของผมกับภู่ แต่พอโดนถามตรงๆ แบบนี้มันก็ชักไม่มั่นใจเหมือนกันแหละครับ

ผมไม่ได้ตอบคำถามพ่อในทันที เพราะภู่กลับเข้ามาเสียก่อน แล้วการทานข้าวร่วมกันในมื้อนั้น พ่อ แม่ พี่สาวของผม ทุกคนก็ดูให้ความเป็นกันเองกับภู่ไม่น้อย ทว่าก่อนที่จะกลับออกมาพ่อก็ขอคุยส่วนตัวกับผมอีกรอบ

“พ่อจะไม่ห้าม แต่อยากให้ทบทวนดูดีๆ ว่ามันจะไปกันรอดจริงๆ ไหม เค้าอายุยังน้อย ยังต้องเจอสังคมอีกมาก กว่าเค้าจะเรียนจบ หรือเค้าจะเลือกเรียนที่ไหน เค้าจะยังมั่นคงแค่ไหน”ผมรับฟังสิ่งที่พ่อพูดเงียบๆ พร้อมกับคิดตาม

“ไม่รู้สิครับพ่อ ผมกับเค้าอาจจะรู้จักกันได้ไม่นาน หรือท้ายที่สุดผมกับเค้าอาจจะไปไม่รอด แต่มันก็เหมือนบทเรียนชีวิต ที่ผมต้องเรียนรู้และอยู่กับมันจริงไหมครับ”ก็ต้องยอมรับครับว่าผมเองก็เคยมีความคิดเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน

“มันก็จริง และก็คงผิดที่พ่อกับแม่ด้วย ที่ไม่ปล่อยให้แปงได้เรียนรู้เร็วกว่านี้”พ่อผมหันมายิ้มอย่างเป็นห่วง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเห็นในมุมนี้ของพ่อสักเท่าไหร่นะครับเนี่ย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ได้เรียนรู้ตอนโตก็ดีจะได้ไม่อ่อนแอมาก เอาเป็นว่าแค่รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ห้าม ผมก็ดีใจแล้วครับ ถ้าวันนึงผมต้องเสียใจ ก็แค่คิดเสียว่าคนเราก็ไม่ได้เกิดมามีแฟนคนเดียวนี่ครับ บางคนกว่าจะเจอคู่ชีวิตก็แฟนคนที่เท่าไหร่แล้ว”ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้าวันนึงผมกับภู่ต้องเลิกรากันไป มันจะเป็นยังไง และถึงไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างมันไม่แน่นอน

“เอาๆ ก็ลองดู แต่ถ้ามีอะไรก็อย่าลืมว่ายังมีพ่อ แม่ พี่สาวเราอีกที่จะคอยเป็นกำลังใจ แล้วนี่แฟนเราเค้าบอกหรือยังละว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนยังไง”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันเพราะก็คงอีกไม่กี่เดือนที่เค้าจะเรียนจบ และผมเองก็ต้องกลับมาทำงานกับที่บ้าน เราคงไม่ได้เจอกันทุกวันแบบนี้

“ไม่ได้คุยเลยครับ”

“แล้วเรื่องทางบ้านเค้าละ ฝั่งโน้น พ่อแม่เค้าโอเคหรือเปล่า”แทนที่ผมจะสบายใจกับการที่ครอบครัวผมไม่ได้กีดกันความสัมพันธ์ครั้งนี้ กลายเป็นว่าผมดันเก็บเรื่องครอบครัวของอีกฝั่งมาเป็นกังวลแทนเสียได้ ซึ่งที่จริงก็จะหาจังหวะคุยกับภู่เรื่องนี้หลายทีแล้วละครับ แต่ก็ไม่สบโอกาสสักที วันนี้คงต้องคุยจริงจังแล้ว

“ลุง ลุง ยังอยู่ไหมเนี่ย”เสียงจากอีกฝั่งเรียกสติผมกลับมาจากความคิดที่แทรกคั่นจังหวะสนทนา ผมคุยกับภู่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป รออยู่พักใหญ่ภู่ก็มาถึงบ้าน พร้อมกับข้าวมากมาย ที่เค้าหิ้วมาจากบ้านผม

“คุณแม่ฝากมา บอกกลัวลูกเขยเหนื่อยทำเอง”เค้ายื้มแป้นอย่างน่าหมั่นไส้ เดินถือกับข้าวเข้ามาโชว์ให้ผมดู ผมส่งยิ้มให้เค้าตามปกติ เราทานข้าวด้วยกันเหมือนทุกวัน ผมยังคงทำตัวปกติ แต่ในหัวก็คิดอยู่ตลอดว่าจะใช้จังหวะช่วงไหนในการคุยกับเค้า ที่จริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ ก็แค่ถามเรื่องเรียนต่อเรื่องครอบครัว แต่ผมดันรู้สึกเกร็งๆ ไม่กล้าถามยังไงไม่รู้สิครับ หรือเพราะเค้าเองก็แทบไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลย นั่นยิ่งทำให้บางทีผมก็คิดว่าหรือบางทีผมก็ยังไม่ควรไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเค้า

“ทำไมวันนี้ดูลุงใจดีแปลกๆ กันนา”เค้าถามทีเล่นทีจริง ตอนนี้เราทานข้าวเรียบร้อย หลังเก็บจานไปล้างผมเป็นคนอาบน้ำก่อน และเค้าที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ หัวก็ยังเช็ดไม่แห้งดี เลยเป็นผมเองที่มายืนเช็ดให้เค้า ทั้งที่ปกติถ้าเค้าไม่อ้อนหรือตื้อให้ทำผมก็แทบไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ให้เค้าเลย

“ไม่ชอบเหรอ ถ้าไม่ชอบจะได้ไม่ทำให้อีก”

“ชอบสิครับแหมแฟนน่ารักแบบนี้ใครจะไม่ชอบ”เค้ารีบดึงมือผมไว้ทันทีที่ผมแกล้งจะหยุดทำให้และเดินหนี ผมอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะเช็ดผมให้เค้าต่อ แถมด้วยการแกล้งเขย่าหัวเค้าแรงๆ ไปสองสามที

“ภู่ ถามอะไรหน่อยสิ”หลังแกล้งเค้าไปสักพักผมก็ปรับน้ำเสียงจริงจังขึ้น เพราะคิดว่านี่น่าจะเป็นเวลาเหมาะแล้วที่จะถามเค้าในเรื่องที่ผมสงสัยอยู่

“ได้สิครับ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”เค้ายังทำเป็นเล่นหันมาส่งสายตาหื่นๆ ใส่ผมจนผมต้องตีหน้านิ่งส่งสายตาปรามๆ ให้เค้ารู้ว่ากำลังจะคุยอะไรที่จริงจัง แต่จริงๆ มันก็แค่เรื่องเรียนของเค้ามันไม่น่าจะกลายเป็นเรื่องเครียดๆ อะไรแบบนี้นี่นา

“นี่ซีเรียสเหรอครับเนี่ย”เค้าขยับดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ ผมพยักหน้าจ้องมองเค้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“นี่ก็ใกล้จะจบมัธยมแล้ว ภู่จะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอ”อาการของเค้าหลังจากที่ได้ยินคำถามของผม ทำเอาผมรู้สึกใจหายเพราะดูเหมือนมันจะมีอะไรสักอย่าง เค้าหลบตาผมแทบจะทันที ทั้งที่ปกติเค้าไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย

“ยังไม่ได้คิดเลยครับ”เค้าหันกลับมาตอบผมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ และน้ำเสียงที่ฟังดูชัดมากว่าไม่ได้พูดความจริง

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองโกหกไม่เนียน”เค้าหุบยิ้มลงทันทีที่เห็นทีท่าของผม อาการของเค้ามันยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่ามันยังไงกันแน่ ทำไมเค้าถึงดูไม่กล้าที่จะพูดกับผมตรงๆ กับแต่เรื่องเรียนต่อ

“เรายังไม่คุยเรื่องนี้กันได้ไหมครับ”

“ทำไมละ”ผมขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย หรือนี่ผมก้าวก่ายชีวิตเค้ามากไป แต่เรื่องการเรียนต่อของเค้าผมก็มีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอ เราเป็นแฟนกันแล้ว หลังจากนี้พอผมเองต้องกลับไปอยู่บ้านตามที่ตกลงกับพ่อแม่ไว้ เค้าจะยังอยู่ที่นี่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หรือเค้าจะไปที่ไหน มันก็ควรเป็นสิ่งที่ผมน่าจะต้องรู้ไม่ใช่เหรอ

“อย่าทำตัวเป็นเด็กสิภู่ เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์รู้เลยหรือไงว่าแฟนตัวเองจะเรียนต่อที่ไหน”ผมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเค้ายังคงเงียบไม่อธิบายอะไร

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว”ก็พอรู้นะครับว่าเค้าไม่ชอบให้พูดว่าเค้าเด็ก แต่มันก็คือความจริงนิ เค้ายังเป็นแค่เด็กมัธยม แล้วนี่ก็กำลังทำตัวเป็นเด็กเต็มๆ เลยกับการที่มาขึ้นเสียงใส่ผมแบบนี้ ตกลงนี่มันอะไรกัน แค่เรื่องการเรียนต่อของเค้า ทำไมมันจะลามปามจนเราจะทะลาะกันเลยหรือไงเนี่ย

“โอเค ไม่เด็กก็ไม่เด็ก งั้นไหนขอฟังเหตุผลแบบผู้ใหญ่ได้ไหมว่าทำไมถึงบอกพี่ไม่ได้ว่าจะเรียนต่อที่ไหน”ผมพยายามจะปรับอารมณ์ตัวเองลง ไม่พูดให้ไปในทางชวนทะเลาะ แต่มันก็ยอมรับว่ายังแอบประชดประชันเค้าอยู่

“มันไม่ใช่บอกไม่ได้ครับ เพียงแต่ผมกำลังตัดสินใจ”น้ำเสียงเค้าดูอ่อนลง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจที่จะบอกกับผม

“แล้วสิ่งที่กำลังตัดสินใจนั่น มันเล่าให้พี่ฟังไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ”ตอนนี้มันเหมือนความรู้สึกหลายๆ อย่างในใจผมมันตีกันไปหมด ทั้งความไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงไม่อยากบอกผม ผมไม่สำคัญพอสำหรับเค้า ผมก้าวก่ายเค้ามากเกินไป รวมทั้งอาการที่เริ่มจะน้อยใจที่เค้าไม่ยอมเล่า

“ผมแค่เคยตัดสินใจไปแล้วว่าจะเรียนอะไร ที่ไหน แต่พอวันนึงมีลุงเข้ามาในชีวิตผม มันทำให้ผมต้องคิดใหม่”เค้าดึงมือผมเข้าไปกุมไว้ จ้องมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย

จากคำพูดของเค้ามันทำให้ผมพอจะเดาได้ว่า ก่อนหน้านี้เค้าคงไม่ได้คิดที่จะเรียนต่อในกรุงเทพฯ แน่นอน แล้วผมควรจะรู้สึกยังไงกับการที่ผมไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเค้า ดีใจงั้นเหรอ เปล่าเลยครับ ออกจะโกรธเค้าเสียด้วยซ้ำ คนที่ต้องเดินตามกรอบที่พ่อแม่ขีดไว้มาตลอดอย่างผม เมื่อก่อนแทบจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ แต่เค้าที่คงรู้ว่าตัวเองรักหรือชอบที่จะอยากทำอะไรในอนาคต กลับจะมายอมทิ้งสิ่งนั้น เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ผมอย่างนั้นหรือ

“เด็ก”ผมหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมยอมรับว่าก็ยังไม่อยากอยู่ห่างจากเค้า แต่ถ้าแลกกับการที่ห่างกับเค้าแค่ช่วงระยะนึงเพื่อให้เค้าได้เลือกในสิ่งที่อยากทำและติดตัวเค้าไปตลอด ผมก็ยอม

“ทำไมต้องย้ำด้วย คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่เด็กแล้ว”

“หึ”ผมหัวเราะในลำคอ แม้รู้ว่านี่จะยิ่งทำให้เค้าไม่พอใจ แต่ผมเองก็คุมอาการตัวเองไม่อยู่ด้วยแหละครับ

“ตอนพี่อายุเท่าภู่ พี่เหมือนไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเรียนอะไร ไม่สิเรียกว่าพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไร แต่ถ้าภู่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหรืออยากเรียนอะไร แล้วจะมาเปลี่ยนใจ เพราะเหตุผลเด็กๆ แบบนี้”ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้นอยากให้เค้าได้ลองทบทวนเอง ซึ่งดูจากอาการแล้ว เค้าน่าจะยังคิดไม่ได้ และดูจะติดใจกับคำว่าเด็กที่ผมพูดออกไปเสียมากกว่า

“ผมยังไม่อยากทะเลาะกับลุง เพราะงั้นวันนี้ผมกลับไปนอนบ้านโน้นแล้วกันนะครับ”เค้าสูดลมหายใจยาวๆ เหมือนกำลังคุมสติตัวเอง ซึ่งผมว่าที่เค้าเสนอมานั่นก็ดีเหมือนกัน เลยเลือกที่จะไม่คัดค้านอะไร ปล่อยให้เค้าออกจากห้องไปทั้งๆ ใส่แค่ผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว

ผมถอนหายใจยาวๆ ด้วยความงงๆ ว่านี่มันอะไรกัน ผมทิ้งตัวลงนอนที่เตียงค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือจะเป็นผมที่ผิด แต่เรื่องเรียนที่ผมถามเค้าผมว่าผมไม่ผิดนะ แต่เรื่องที่ผมไปว่าเค้าเด็กนั่น โอเคผมอาจจะมีส่วนผิดอยู่บ้างที่รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่ชอบ แล้วผมยังจะพูดแบบนั้นอีก

“เปรี้ยง/เฮ้ย”

ผมสะดุ้งหัวใจแทบวาย เพราะอยู่ๆ เสียงฟ้าก็ร้องดังสนั่นหวั่นไหว แถมยังดังคำรามตามมาเรื่อยๆ ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองโดยอัตโนมัติ สองมือรีบปิดหู นี่มันอะไรกัน เวลามีคนอยู่ด้วยดันไม่คิดจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนอะไร แต่พอผมอยู่คนเดียวนี่ดันจะมาฝนฟ้าคะนองอะไรเอาตอนนี้

“เอาวะ”ผมเอาสองมืออุดหูรีบผุดลุกขึ้น เป็นไงเป็นกันผมต้องรีบหาที่พึ่งก่อนที่ฝนฟ้ามันจะมาแรงกว่านี้ แน่นอนว่าเป้าหมายของผมคืออีกคนที่อยู่บ้านข้างๆ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนแล้วกันตอนนี้ขอใช้เค้าเป็นที่พึ่งให้ผมก่อนละกัน

“ลุงจะไปไหน”จังหวะที่ผมเปิดรั้วบ้านออกมาก็พบว่าอีกคนยืนอยู่หน้าบ้านแล้วเช่นกัน

“เปรี้ยง”เสียงฟ้าคำรามทำให้ผมพุ่งเข้าไปกอดเค้าแน่นพร้อมหลับตาปี๋

“กลัวขนาดนี้ยังจะออกมาอีก รีบเข้าบ้านเถอะครับ”เค้ารีบดันตัวผมให้เปิดประตู ผมรีบเดินทั้งที่ยังเกาะเค้าแน่น ตัวแทบจะสิงอีกคนเสียให้ได้ พอเข้าบ้านได้ถึงห้องนอนผมรีบดึงตัวเค้าให้มุดใต้ผ้าห่มกับผมอย่างรวดเร็ว

“กะแล้วเชียวว่าลุงต้องกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่คิดว่าจะกล้าออกไปแบบนั้นนะครับเนี่ย จะไปง้อผมเหรอ”น้ำเสียงล้อๆ ดังขึ้นมาในความมืดของผ้าห่มที่คลุมเราทั้งคู่

“ก็ไม่อยากนอนคนเดียวนี่นา”

“แล้วคิดว่าฟ้าร้องขนาดนี้ ผมจะปล่อยให้ลุงนอนคนเดียวหรือไง”จะว่าไปไอ้ฟ้าฝนนี่ก็เป็นใจดีเหมือนกันนะครับ เพราะพอฟ้าฝนมา ไอ้ที่เราสองคนตึงๆ ใส่กันนั่นก็แทบจะลืมกันไปเลย

“เลิกพูดมากได้แล้ว”ผมบอกพร้อมขยับตัวซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเค้า





TBC
------------------------------------------------
หายไปนานมาก T_T
ช่วงนี้วุ่นๆ จริงๆ แถมด้วยอาการป่วยอย่างยาวนาน
เลยหายไปพักใหญ่
ขอโทษทุกคนที่ปล่อยให้รอนะฮ่ะ

ตอนนี้ก็แอบมาสุมไฟให้ลุงกับน้องภู่หน่อย เดี๋ยวชีวิต
ของทั้งคู่จะราบรื่นไป
ก็อาจจะมีนิดนึงให้ทั้งคู่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน
และนี่ก็เข้าสู่ช่วงปลายๆ ของเรื่องแล้ว
จากที่วางไว้เรื่องนี้จะมีจำนวนตอนประมาณ 40 กว่าๆ

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะฮ่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-09-2017 14:21:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-09-2017 14:39:30
เหมือนภู่ จะทำให้เป็นเรื่องซะและ  :z3:
ยิ่งฟังจากพ่อลุงเรื่องภู่ยังเด็ก มาแล้ว
ภู่มาทำให้เห็นถึงความไม่ชัดเจน ไม่กล้าพูด หลบหน้าหลบตา
แค่เรื่องที่เรียนต่อ กลิ่นมาม่ามาเลย  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 11-09-2017 23:27:20
มีแฟนเด็กมันชุ่มชื่นหัวใจ :hao3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-09-2017 23:52:12
มีอะไรก็เปิดใจคุยกันซะนะ  ฟ้าฝนเป็นใจขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-09-2017 00:08:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 37 ยังบอกไม่ได้ (11-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-09-2017 17:51:02
บทที่ 38
ปิดบัง



จากวันนั้นที่ผมถามภู่ไปเรื่องการเรียนต่อ จนวันนี้ก็ผ่านมาจะเป็นเดือนเราก็ยังใช้ชีวิตปกติเดิมๆ โดยที่ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้อีก แม้มันจะยังคาใจผมอยู่แต่ในเมื่อเค้าบอกเหมือนกับว่าจะเล่าให้ผมฟังเองเมื่อตัวเค้าพร้อม ผมก็ได้แต่รอ รอแล้วรออีกจนผมเริ่มคิดว่าผมจะถามเค้าอีกรอบดีไหม

“แปง แปงโว้ย”ผมหันมองหน้าพี่ต้าร์ที่มาตะโกนใส่หน้าผม

“ว่าไงพี่ อยู่แค่นี้ตะโกนทำไม”แล้วก็ก็ได้รับการส่ายหน้าหน่ายๆ เป็นคำตอบ

“เรียกตั้งกี่รอบแล้ว เป็นไรเนี่ย นั่นโทรศัพท์ดังตั้งนานแล้ว ทำไมไม่รับ”ผมหันไปตามที่พี่ต้าร์ชี้ นี่ผมคิดอะไรเพลินจนไม่รู้สึกเลยเหรอเนี่ยว่ามีสายเข้า

“โทษทีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”ผมบอกขอโทษที่ปล่อยให้โทรศัพท์ส่งเสียงรบกวน ก่อนจะหยิบมาดูสายที่โทรเข้ามากดรับ

“ครับพี่ปุ๊ก”ผมกดรับสายอย่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้คุยอะไรกันบ่อยแต่ทุกครั้งที่คุยกับพี่ปุ๊ก ก็รู้สึกเหมือนคุยกับพี่สาวคนนึง

“เย็นนี้น้องแปงว่างไหม พอดีมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ทำไมผมรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรไม่ปกติกันนะ

“ก็ว่างนะครับ มีปุ๊กมีอะไรหรือเปล่าครับ”ปกติผมกับพี่ปุ๊กแทบไม่เคยได้เจอกันสักเท่าไหร่ แล้วการที่เปิดมาแบบนี้แสดงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะคุยผ่านโทรศัพท์

“งั้นตอนเย็นเลิกงานแล้วมาเจอพี่หน่อยแล้วกันเนอะ ส่วนรายละเอียดค่อยคุยกันทีเดียว”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับภู่หรือเปล่าครับ”ถ้าให้ผมเดามันคงไม่น่าจะพ้นเรื่องของอีกคน ที่ทำให้พี่ปุ๊กต้องเรียกผมไปคุยแบบนี้ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันละ หรือว่าพี่ปุ๊กรู้แล้วว่าผมกับหลานเค้า “เป็นแฟนกัน”

“อ๋อ อีกอย่างไม่ต้องบอกน้องภู่นะว่าพี่นัดกับน้องแปง”ชัดเลยครับ นี่ทำเอาผมเครียดเลยนะเนี่ย แล้วนี่ก็ใกล้เวลสเลิกงานแล้วด้วย ทำไมไม่นัดผมล่วงหน้านานกว่านี้หน่อย จะได้มีเวลาให้ผมทำใจ แต่สุดท้ายผมก็ต้องรับปากไปตามนัดของพี่ปุ๊กอย่างเสียไม่ได้ เรานัดแนะสถานที่กันอีกนิดหน่อยก็วางสายไป

“เป็นไรแปง ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น”พี่ฟ่างที่เพิ่งกลับเข้ามา ทักทายผมพร้อมยิ้มขำ แต่ผมนี่สิขำไม่ออก มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสิให้ตาย แล้วแถมพี่ปุ๊กก็ทิ้งปริศนาไว้บอกก่อนอีกว่าจะคุยเรื่องอะไร หรือผมควรถามภู่ก่อนดี ว่าตกลงเค้าไปสร้างเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า ไม่ได้สิผมรับปากพี่ปุ๊กไปแล้วว่าจะไม่บอกภู่นี่นา

“อ้าวคุยด้วยก็ไม่คุย เป็นไรเนี่ย”พี่ฟ่างหันกลับมาถามย้ำกับผมอีกรอบเมื่อเห็นผมไม่มีปฏิกิริยาตอบ

“โทษทีพี่ พอดีคิดอะไรนิดหน่อย”ผมรีบกล่าวขอโทษ เพราะเหมือนกลายเป็นเสียมารยาทที่รุ่นพี่คุยด้วยแล้วดันไม่ตอบ

“หมู่นี้เป็นไรวะ ทำไมดูมีอะไรในใจตลอดเวลาเลย”พี่ต้าร์เข้ามาสมทบ เหมือนเตรียมจะซักฟอกผมอีกคน แต่ผมจะไม่ยอมบอกพี่ๆ พวกนี้เด็ดขาดว่าผมมีแฟนแล้ว เพราะถ้ารู้ขึ้นมา ผมคงโดนล้ออยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ นี่ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ครั้งนั้นภู่มาหาผมแล้วเป็นพี่ฟ่างที่ได้เจอ เพราะถ้าเป็นพี่ต้าร์หรือเจ้โอ๋ ป่านนี้ผมโดนเค้นเอาคำตอบไปแล้วว่าภู่คือใคร

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ พอดีช่วงนี้ใกล้จะต้องกลับไปอยู่บ้านแล้ว ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแหละครับ ยังไม่อยากกลับเท่าไหร่”ถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ประเด็นหลักที่อยู่ในหัวผม แต่มันก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะนี่ก็ใกล้ครบกำหนดที่ผมต้องกลับเข้าบ้านเต็มทีแล้ว ส่วนภู่ก็ยังไม่เปิดปากพูดกับผม เรื่องเรียนต่อสักที

“ถึงสัญญาจ้างจะหมด แต่นายก็ยังอยากให้แปงอยู่ต่อนิ ไม่ลองขอที่บ้านอีกที”พี่ฟ่างเสนอแนวทางให้ผม แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะผมก็ตกลงกับที่บ้านไว้แล้ว แถมกลับไปกว่าจะเรียนรู้งานอะไรอีกก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อย ตอนนี้ก็เห็นว่าเจ้ปอของผมนี่แทบตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอยู่แล้ว

“ไม่ได้หรอกครับ”ผมตอบเลี่ยงๆ เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายเคลียร์งานที่ค้างอยู่ แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เข็มนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลา ว่าหมดเวลาทำงานแล้ว แต่ละคนก็ต่างเตรียมตัวกลับบ้านบ้าง ไปสังสรรค์ต่อบ้าง เพราะนี่คือเย็นวันศุกร์ สุดสัปดาห์ ที่พรุ่งนี้ทุกคนจะได้พักผ่อน แต่สำหรับผมแน่นอนว่าคงต้องไปพบพี่ปุ๊กตามนัด ผมไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความบอกกับภู่ไว้ ว่าวันนี้โดนพี่ๆ ที่ทำงานบังคับให้ไปนั่งชิลๆ ด้วย

แน่นอนว่าวันนี้พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ 3 คนนี้มีจุดนัดพบแน่นอน ผมเลยอาศัยตรงนี้เป็นข้ออ้างโกหกภู่ ส่วนการโกหกปกติผมก็ไม่ทำนะครับ อันนี้เรียนรู้มาจากพี่ต้าร์ล้วนๆ แต่ผมต้องยังไม่คุยอะไรกับภู่เยอะเพราะเดี๋ยวจะโดนจับได้เสียก่อนว่าโกหกเค้า ผมรีบเก็บของออกจากที่ทำงาน โชคดีที่สถานที่นัดหมาย ไม่ได้ไกลจากที่ทำงานของผมมากนักทำให้ผมมาก่อนเวลาเล็กน้อย นั่งรอไม่นาน พี่ปุ๊กก็มาถึง ทว่าไม่ได้มีแค่พี่ปุ๊กคนเดียวนี่สิครับ

“สวัสดีครับพี่ปุ๊ก สวัสดีครับคุณแม่”ตอนนี้รู้ตัวเลยครับว่าผมเองคงกำลังสั่น แต่ต้องพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แม้เม็ดเหงื่อแทบจะผุดมาทุกรูขุมขนแล้ว ก็จะไม่ให้ตื่นเต้น ตกใจได้ไงละครับ การที่คุณแม่มาแบบนี้ แถมพี่ปุ๊กไม่ให้ผมบอกภู่ มันจะมีเรื่องอะไรอีกถ้าไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภู่

“ไม่ต้องเกร็ง แม่ไม่ได้จะมาบอกให้พี่แปงเลิกกับน้องภู่หรอก”

“คุณแม่...ว่าไงนะครับ”นี่ผมคงหน้าตาตื่นมองพี่ปุ๊กกับคุณแม่ของภู่เป็นแน่ นี่มันหมายความว่ายังไง ทุกคนรู้งั้นเหรอว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภู่เป็นอะไรกัน แล้วทำไมภู่ไม่เห็นเคยเล่าอะไรเลย มันตั้งแต่ตอนไหนกันละ แล้วตอนที่ผมไปเจอคุณแม่ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นคุณแม่รู้หรือยัง ตอนนี้มีแต่คำถามวิ่งในหัวผมเต็มไปหมด

“แม่ไม่อ้อมค้อมแล้วกันเนอะ เอาเป็นว่าทั้งปุ๊ก แม่ แล้วก็พ่อของน้องภู่ ทุกคนรู้เรื่องพี่แปงกับน้องภู่แล้ว”ยิ่งคุณแม่พูดผมยิ่งไม่เข้าใจ คือทุกคนรู้จากไหน จากภู่หรือจากใคร ถ้ารู้จากภู่ทำไมภู่ไม่เล่าให้ผมฟัง หรือว่าพี่ปุ๊กรู้จากเจ้ปอ ผมพยายามเดาสุ่มไปเรื่อย เพราะยังไม่อยากเสียมารยาทถามออกไปตรงๆ

“ไม่ต้องตกใจ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ได้จะมาขอให้เลิกกัน”

“ครับ”คุณแม่ยื่นมือมาจับมือผมเพื่อให้ผ่อนคลายเพราะตอนนี้อาการผมคงเหมือนกำลังลนลานอยู่แน่ๆ พี่ปุ๊กเองก็เหมือนยิ้มให้กำลังใจผมอยู่ ผมพยายามสูดหายใจลึกๆ เรียกสติให้กับตัวเองก่อนจะตัดสินใจถามในสิ่งที่กำลังสงสัย

“คุณแม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ”ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ บอกตรงๆ นะครับคือทีแรกก็มีคิดอยู่นิดหน่อยว่าพี่ปุ๊กไปรู้อะไรมาหรือเปล่า ก็เตรียมใจไว้ประมาณนึง แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคุณแม่ของภู่แบบนี้ แถมการที่คุณแม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราด้วยแล้ว เรียกว่าตั้งรับไม่ทันจริงๆ ครับงานนี้

“น้องภู่เล่าให้ฟังตอนกลับบ้านช่วงปิดเทอมนั่นแหละ”ภู่เป็นคนเล่าเอง แล้วทำไมเค้าไม่บอกผมละเนี่ย ทำไมกันนะ

“แสดงว่าตอนที่ผมไปเชียงใหม่คุณแม่ก็...”ผมจบประโยคไว้แค่นั้นเพราะคุณแม่ก็พยักหน้าตอบรับให้ผมเข้าใจแล้วว่าท่านรับรู้สถานะของผมแต่แรกแล้วในตอนที่พบกันครั้งนั้น

“ทีแรกพวกพี่ก็ตกใจแหละ แต่พอฟังน้องภู่พูดถึงในสิ่งที่ น้องแปงเองช่วยเหลือหรืออะไรต่างๆ ที่ทำแล้ว แม้จะยังไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ครั้งนี้เต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะคัดค้าน”พี่ปุ๊กเป็นฝ่ายอธิบายเพิ่มเติม

“แม่แองก็ว่ายังไง พี่บึ้งกับพี่ผึ้ง ก็คงมีหลานให้แม่อยู่แล้ว น้องภู่จะไม่มีหลานสักคนก็คงไม่เป็นไร”เอาจริงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงนะครับ เพราะก็ยังไม่มั่นใจว่าจุดประสงค์ที่ทั้งคู่มาหาผมวันนี้คืออะไร อีกอย่างเรื่องนี้ถ้าที่บ้านของภู่ไม่คัดค้านอะไรจริงๆ ทำไมภู่ถึงไม่เล่าทั้งหมดนี่ให้ผมฟัง

“แล้วนี่ที่นัดผมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”ผมรีบเข้าประเด็นเพราะมันยิ่งฟังคุณแม่พูด ผมยิ่งมีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ คุณแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างตัดสินใจหันไปมองพี่ปุ๊ก ก่อนจะหันกลับมาที่ผม

“คือคุณพ่อของน้องภู่เนี่ย ถึงจะไม่ได้ห้ามน้องภู่คบกับพี่แปง แต่คุณพ่อก็ยังเชื่อว่า เรื่องระหว่างพี่แปงกับน้องภู่เนี่ย มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ สักวันนึงมันก็คงจบลง”ผมนิ่งเงียบรับฟัง เพราะคงต้องยอมรับตามตรงว่าตัวผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลย ว่าระหว่างผมกับภู่มันจะยั่งยืนขนาดไหน แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่มันก็คงต้องคิดเป็นห่วงอยู่แล้ว ขนาดพ่อผมเองก็คงยังคิดไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่

“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ ว่าตกลงทางคุณแม่ต้องการให้ผมทำอะไร”จากที่คุณแม่บอกว่าจะคุยกับผมแบบไม่อ้อมค้อม แต่ตอนนี้ผมว่าเหมือนทุกอย่างที่พูดมา มันยังไม่เข้าจุดประสงค์ที่นัดผมมาในวันนี้เลย

“พี่แปงรู้ใช่ไหมว่า อีกไม่นานน้องภู่ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัย”เรื่องนี้สินะ แสดงว่ามันคงเกี่ยวกับที่ภู่เองไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับผมสักทีด้วยสินะ

“ครับ”ผมรับคำ รอฟังรายละเอียดอีกว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง

“น้องภู่เคยบอกว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกา”จริงสินะผมลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิท ลืมไปเลยว่าทั้งพี่สาว พี่ชายของเค้าก็ไปเรียนต่อเมืองนอกกันหมด แต่ทุกคนที่ไปคือไปตอนเรียนปริญญาโท ผมเลยคิดแค่ว่าที่เค้าไม่ยอมบอกผมเพราะแค่อาจจะอยากเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด

“ตอนแรกแม่กับคุณพ่อก็ไม่เห็นด้วยหรอก เพราะเรื่องภาษาเอย อะไรอีกหลายอย่าง ก็เคยคิดว่าจะให้ไปตอนเรียนปริญญาโท เหมือนพี่ๆ เค้าแหละ แต่รายนี้ก็รั้นเหลือเกิน พ่อกับแม่เลยส่งมาลองให้ใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพฯ นี่แหละ เพื่อดูความเป็นไปได้ จนเห็นว่าก็น่าจะไปรอดส่วนภาษาก็คงต้องไปลงเรียนเพิ่มให้แน่น นี่พ่อกับแม่ก็เตรียมทุกอย่างตามที่เค้าเคยขอไว้หมดแล้ว แต่มาวันนี้...”

“เค้าเปลี่ยนใจจะไม่ไปใช่ไหมครับ”ผมเดาเรื่องทุกอย่างได้อย่างไม่ยากนัก บอกตรงๆ ว่าใจหายนะครับที่รู้ว่าวันนึงเค้าอาจต้องไปเรียนในที่ที่ห่างจากผมไปครึ่งค่อนโลก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธเค้ามากกว่า โกรธที่จะยอมทิ้งอนาคตตัวเอง ทิ้งสิ่งที่ตัวเองเคยเลือก เพียงเพราะเราต้องห่างกัน

“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงเค้าต้องไปตามแผนเดิมแน่นอน เดี๋ยวผมจัดการเอง”ผมบอกอย่างจริงจังและมั่นใจ แม้ความจริงจะยังหวั่นๆ ก็ตามทีเพราะจากที่ฟังภู่เองก็ดื้อพอสมควร ไม่สิจากที่ผมสัมผัสมาเรียกว่ามีความดื้ออยู่มากทีเดียว

“เห็นไหมแม่ว่าแล้วเชียวว่าพี่แปงต้องช่วยได้ แม่จะได้ไปบอกให้คุณพ่อคิดใหม่เสียทีว่าน้องภู่ตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกคบพี่แปง”นี่คงเป็นอีกบททดสอบสินะ ที่จะทำให้พ่อของภู่ยอมรับในความสัมพันธ์นี้ ผมตกปากรับคำกับคุณแม่อีกนิดหน่อย ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ในรถนานแค่ไหน เพราะพอแยกกับคุณแม่และพี่ปุ๊กสมองผมมันก็ตื่อไปเสียหมด มันเหมือนทุกอย่างจุกอยู่ที่อก ผมไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน มันมีทั้งน้อยใจที่เค้าไม่บอกผมตามตรงว่าที่บ้านรู้เรื่องของเราแล้ว

“ที่น้องภู่ยังไม่บอกพี่แปงก็คงเพราะอยากให้คุณพ่อยอมรับจริงๆ ก่อน เค้าบอกไม่อยากให้พี่แปงคิดมาก”แต่เรื่องนี้ก็โกรธเค้าไม่ลงหรอกครับเพราะคงทำไปด้วยความเป็นห่วงผม

ที่ยังหนักใจก็เรื่องที่เค้าต้องไปเรียนต่อต่างประเทศนี่แหละครับ แล้วไหนจะต้องทำให้เค้ายอมไปอีก โดยที่ผมเองก็ต้องไม่ให้เค้ารู้ว่าคุณแม่กับน้าของเค้ามาหาผม

“ลุงจะกลับหรือยังครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้ ก็เป็นเค้าเองที่โทรเข้ามา

“กำลังจะโทรหาเลย จะบอกว่าวันนี้พี่ต้องเข้าบ้านพ่อกับแม่นะ”ผมว่าผมยังทำตัวปกติต่อหน้าเค้าตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ




TBC
------------------------------------------------
ถือว่ายังไม่ม่าเนอะ
แต่เค้าลางมาแล้วววว

ถือว่าพอเป็นสีสันนิดนึงแล้วกันเนอะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามและติชมให้กำลังใจนะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 38 ปิดบัง (12-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-09-2017 18:13:51
ระยะห่างเริ่มมาและ  :z3: :z3: :z3:
เป็นบททดสอบของคู่รัก ที่ยากกกกกกยิ่งจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 38 ปิดบัง (12-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 12-09-2017 21:09:26
คิดถึงเรื่องนี้จุง :impress2:

หลังจากนี้คงต้องเผชิญกับรักทางไกลสินะ :hao5:

หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 38 ปิดบัง (12-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 12-09-2017 22:47:03
ถึงทางแยกที่ต้องเลือก หรือจะเรียกว่าบทพิสูจน์ความรักดีนะ  พี่แปงเข้มแข็งกว่าที่คิดนะ สู้ สู้ ค่า
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 38 ปิดบัง (12-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-09-2017 23:14:33
เอาใจช่วยทั้งน้องภู่และพีแปงนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 38 ปิดบัง (12-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-09-2017 00:02:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 39 ลองห่าง (13-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 13-09-2017 10:13:57
บทที่ 39
ลองห่าง






“ลุงอยู่เป็นกำลังใจให้ผมไม่ได้เหรอครับ”เสียงอ้อนๆ พร้อมเจ้าของเสียงเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ

“พี่บอกแล้วไงว่าช่วงนี้พี่ต้องเรียนงานกับเจ้ปอ เพราะใกล้จะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านแล้ว อีกอย่างภู่เองก็กำลังจะสอบ เอาไว้ถ้าสอบเสร็จเราค่อยมาฉลองกันเนอะ”ทั้งหมดมันคือข้ออ้างทั้งนั้นแหละครับ ผมรู้ว่าถึงเป็นช่วงสอบแล้วเรายังอยู่ด้วยกันเค้าก็น่าจะยังทำคะแนนได้ดี เพราะตอนสอบมิดเทอมเค้าก็ทำให้เห็นแล้วว่าเค้าทำได้

ส่วนไอ้เรื่องให้เจ้ปอสอนงานนั้นบอกเลยว่าที่บ้านผมก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น เพราะหลังหมดสัญญากับงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้ พ่อกับแม่ก็ยังพอมีเวลาให้ผมได้เรียนรู้อยู่แหละครับแม้เจ้ปอจะยุ่งเอามากๆ แต่ผมว่าเจ้ก็ยังไหวแหละ ยังไงพอผมเข้าไปช่วยเต็มตัวผมค่อยทุ่มให้เต็มที่ชดเชยที่ปล่อยให้พี่สาวทำมาเสียนาน

“แม่ก็เห็นด้วยนะ ที่จะรอให้น้องภู่สอบเสร็จก่อน จะได้ไม่กระทบกับการสอบมากนัก แต่พี่แปงมั่นใจใช่ไหมว่าจะทำให้น้องภู่ยอมไปได้จริงๆ”นี่ต่างหากครับ เหตุผลจริงๆ ที่ผมอยากห่างๆ เค้าในช่วงนี้ เพราะผมว่าถ้ายังอยู่ด้วยกันผมนี่แหละที่จะเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดคุยเรื่องนี้กันไประหว่างนี้ดันกลายเป็นไม่เข้าใจกัน เกรงว่าจะส่งผลกระทบกับการสอบในช่วงนี้ของเค้าผมเลยเลือกที่จะห่างจากเค้าสักพักน่าจะดีกว่า

“แต่ลุงต้องให้ผมโทรหาได้ตลอดนะครับ”เค้ายังทำเสียงอ้อนๆ และไม่ยอมปล่อยแขนที่กอดผมไว้หลวมๆ นั่น ตอนนี้ผมชักเริ่มหนักใจในสิ่งที่รับปากกับแม่ของเค้าไว้เสียแล้วละครับ แต่ก็ยังหวังนะครับว่าถ้าคุยด้วยเหตุผลแล้ว เค้าน่าจะยอมรับฟัง

“พี่ห้ามภู่ได้ไหมละ”ผมตอบกลับอย่างหมั่นไส้

“ทำไมจะไม่ได้ ลุงบอกอะไรผมเชื่อฟังลุงจะตายไป”ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะครับ เพราะหวังว่าพอผมขอให้เค้าไปเรียนตามที่เค้าตั้งใจแต่แรก มันจะได้ไม่มีปัญหาอะไรมาก

“ไปอ่านหนังสือได้แล้ว เดี๋ยวพี่เก็บของไม่เสร็จสักทีเนี่ย”ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดหันมาเผชิญหน้าเค้า ที่ยังคงยืนนิ่งทำหน้ายู่ไม่ยอมขยับ

“ขอกำลังใจก่อน”ไอ้คำว่าขอของเค้าเหมือนไม่คิดที่จะรอให้ผมอนุญาตเพราะเล่นโน้มหน้ามาหอมแก้มผมทันทีที่พูดจบ ผมไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำของเค้า แต่กลับมองเค้ายิ้มๆ ในใจคิดถึงวันข้างหน้าถ้าถึงวันที่เค้าต้องจากไปเรียนจริงๆ ผมกับเค้าจะเป็นยังไง ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน เค้าทำหลายอย่างให้ผมจนผมเคยตัว

“มองผมแบบนี้อยากจู๋จี๋กับผมก่อนกลับแน่เลย”ผมไม่ได้ขัดขืนที่เค้าดันผมให้ล้มลงบนเตียง

“ภู่”ผมเรียกชื่อเค้าเสียงแผ่ว

“ครับ”เค้าที่ขยับขึ้นมาคร่อมร่างของผมโน้มหน้าลงมากระซิบตอบรับเสียงเรียกจากผม

“พี่รักภู่นะ”ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าพูดอะไรแบบนี้นะครับ แต่วันนี้กลับรู้สึกอยากบอกคำนี้กับเค้า อยากให้เค้ารับรู้ว่าหากเรื่องที่ผมตัดสินใจลงไป มันไม่ตรงกับความคิดเค้าก็ยังอยากให้เค้ารู้ว่าที่ผมทำไปไม่ใช่เพราะผมไม่รักเค้า แค่นึกว่าวันนึงเราต้องห่างกันมันก็ทำผมเจ็บจี๊ดข้างในแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้มาแปลก”เค้าประทับริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผมก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวลงไปข้างๆ ดึงให้ผมหันข้าง นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน นิ้วเรียวของเค้าเกลี่ยไปบนใบหน้าของผมอย่างพอใจ

“ก็เราจะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน อยากจะบอกรักแฟนบ้างไม่ได้หรือไง หรือถ้าไม่ชอบวันหลังไม่พูดอีกแล้วก็ได้”ผมแกล้งทำเป็นงอน และทำท่าจะลุกขึ้นหันหน้าหนี แต่ก็ไม่ไวเท่าเค้าที่คว้าตัวผมไว้แล้วดึงเข้าไปกอดก่อนที่ผมจะทันได้ลุกจริงๆ

“ชอบสิครับ แต่ลุงทำแบบนี้ผมยิ่งไม่อยากให้ลุงกลับ ไม่เจอลุงตั้งหลายวันผมต้องเหงามากเลยแน่ๆ”เค้าขยับหน้าเข้ามาให้ใกล้กับหน้าผมแล้วใช้จมูกตัวเองเขี่ยไปมาที่จมูกของผม นี่เกิดเค้าไม่ยอมไปเรียนต่อเมืองนอกจริงๆ ผมจะไม่ใจอ่อนเหรอครับเนี่ย

“ถ้าพี่กลับไปทำงานกับที่บ้านยังไงเราก็คงต้องห่างกันแบบนี้แหละ”ผมบอกออกไปยิ้มๆ แต่ในใจนี่มันหวิวอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ

“งั้นผมจะรีบเรียนจบให้เร็วที่สุดนะครับ เราจะได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยกัน”พูดจบเค้าเองก็ชะงักไปนิดนึง คงเพิ่งจะนึกได้ว่าเค้าเองยังไม่เล่าอะไรให้ผมฟังเลย เรื่องการจะเรียนต่อของเค้า ผมแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจกับท่าทีนั้น แต่ดูเหมือนอีกคนกำลังชั่งใจบางอย่าง

“คือ...เรื่องเรียนต่อของผม”

“ไว้สอบเสร็จค่อยคุยเรื่องนี้ก็ได้”ผมเลือกที่จะตัดบทสนทนาไว้แค่ตรงนั้น และลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง

“ไปอ่านหนังสือเถอะ อีกเดี๋ยวพี่ก็จะไปแล้ว”ตอนนี้ผมต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่จะหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ หลังจากผมเลือกหยิบของจำเป็นครบ ก็ออกมาเลย ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาถึงบ้านพ่อกับแม่ ทุกคนแปลกใจนิดหน่อยที่ผมกลับมาบ้าน

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”เป็นเจ้ปอที่ตามผมออกมาที่ศาลาในสวนหน้าบ้านนี่ เมื่อก่อนผมชอบมานั่งคิดอะไรตรงนี้เป็นประจำจนทุกคนในบ้านทราบดีว่าถ้าหาผมไม่เจอในบ้าน ให้มาตามตัวได้ตรงนี้

“ตอนนี้ยังหรอกเจ้”ผมบอกออกไปอย่างไม่จริงจังนัก เพราะตอนนี้มันก็ยังไม่ได้มีอะไรจริงๆ

“แสดงว่าในอนาคตจะมี”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากพี่สาวของผม พร้อมกับการนั่งลงข้างๆ ผมและยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เห็นแล้วผมก็นึกอิจฉาพี่สาวตัวเองที่ดูเก่งไปเสียทุกอย่าง ทั้งเรื่องงาน ไหนจะความรักที่ก็ดูไปได้ดีกับแฟนอย่างพี่ต๊าฟ ทำไมชีวิตผมมันไม่ราบรื่นอย่างของเจ้ปอบ้างนะ

“ไม่รู้สิครับ”ผมตอบอย่างที่คิดก่อนจะค่อยๆ เอียงตัวไปซบไหล่พี่สาว ทั้งที่ตัวผมเองก็โตกว่าพี่สาวคนนี้ แค่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าคนข้างๆ นี่เข้มแข็งกว่าผมเสียอีก

“เป็นอะไรละหือ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”เจ้ปอกางแขนออกมาโอบผม ตบไหล่เบาๆ อย่างให้กำลังใจทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีอะไรในใจ

“เจ้เหนื่อยไหมที่ต้องทำงานคนเดียว”ผมยังคงบ่ายเบี่ยงที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้พี่สาวฟัง เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มจากตรงไหน ที่จริงตอนเด็กๆ ทั้งผม ข้าวหอม ก็จะมีเจ้ปอเป็นไอดอลเสมอ เจ้ปอเหมือนฮีโร่ของพวกเรา แต่พอโตขึ้น จนพอเจ้ทำงานเต็มตัว พวกเราก็ค่อนข้างจะได้คุยหรือปรึกษาอะไรกันน้อยลง

“มันก็เหนื่อยนะ แต่ก็สนุกดี ยิ่งเวลาเห็นกราฟ ผลประกอบการของบริษัทแต่ละที เจ้ก็แฮปปี้ขึ้นมาจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”น้ำเสียงเล่าอย่างมีความสุขจนผมเองก็รู้สึกดีไปด้วย แต่มันก็จริงแหละมั้ง เพราะขนาดผมเองทำงานกับพวกพี่ฟ่าง พี่ต้าร์ บางทีมันก็เหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่พองานออกมาลูกค้าพอใจ มันก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันแหละครับ

“แล้วทำงานหนักขนาดนี้เจ้มีเวลาให้เฮียต๊าฟเค้าเหรอ”อดไม่ได้ที่จะถามไถ่เรื่องความรักของพี่สาวครับ เพราะเท่าที่รู้เจ้ของผมเนี่ยเรียกว่าเรื่องงานมาก่อนทุกสิ่งอย่างเหลือเกิน แล้วแบบนี้คนรักอย่างพี่ต๊าฟ เค้าจะไม่น้อยใจแย่เหรอที่มัวแต่ห่วงงานแบบนี้

“มันไม่ใช่แค่เจ้หรอกที่ทำงานหนัก เฮียต๊าฟเองก็ต้องทำงานเหมือนกัน แล้วเราสองคนก็คบกันแบบผู้ใหญ่ ที่ต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรต้องรับผิดชอบ ถึงเวลาจะเจอกันมันน้อยก็ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แฟนกันมันอาจไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวันหรอก ไว้รอแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ตอนนั้นค่อยเจอกันทุกวันให้เบื่อกันไปข้างนึงเลย”เจอกันทุกวันแล้วมันจะเบื่อเหรอ ผมว่าไม่นะ ขนาดผมกับภู่ที่อยู่ด้วยกันขนาดนั้น พอไม่เจอกันต่างหากที่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป

นึกมาถึงตรงนี้ ว่าวันนึงเราต้องห่างกันนานๆ อยู่ๆ น้ำตาผมมันก็เอ่อขึ้นมาเสียได้ ผมต้องรีบเบี่ยงหน้าหลบ ไม่อยากให้ผู้เป็นพี่สาวเห็น แต่มีเหรอครับที่จะหลบได้จริง แค่ผมยกมือขึ้นมาเช็ดแค่นั้นก็ปิดไม่อยู่แล้ว

“เอ้าร้องทำไมเนี่ย ตกลงมีอะไร เล่ามาเผื่อเจ้จะได้ช่วย”ผมยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อผู้เป็นพี่สาวพยายามปลอบ และยื่นมือมาเช็ดน้ำตาผมด้วยอีกคน

“เจ้ว่าความรักระยะไกล มันยังจะมั่นคงอยู่ไหม”ผมตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด

“นี่น้องภู่ไม่ได้เลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เหรอ”นี่สินะคนที่ผ่านอะไรมามากกว่าคงไม่ต้องรอให้เล่ารายละเอียดอะไรเยอะ ก็คงพอเดาเรื่องราวออกได้ แต่จะว่าไปผมพูดมาขนาดนี้มันก็เดาไม่ยากนักหรอก ผมพยักหน้าตอบผู้เป็นพี่สาวว่าสิ่งที่คาดเดามานั้นถูกต้อง แต่นั่นก็คงไม่ถูกทั้งหมดเสียทีเดียว

“ก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย ทุกวันนี้อะไรๆ มันสะดวกจะตาย คนไกลก็เหมือนคนใกล้ อีกอย่างถ้าคิดถึงกันวันหยุดก็ไปหากันได้นิ”ก็ถ้ามันแค่กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ผมก็คงจะไม่อะไรมากหรอกครับ แต่นี่มันคือการไปไกลคนละซีกโลก

“หรือว่าน้องภู่เลือกที่จะไปเรียนต่างประเทศ”หลังเห็นสีหน้าผมผู้เป็นพี่สาวก็คาดเดาได้อีกครั้ง

“ที่จริงไอ้ที่ผมกำลังเครียดอยู่ คือเค้าจะไม่ยอมไปต่างหากละครับ”คิ้วของเจ้ผมขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่ผมบอก มันก็น่าแปลกใจอยู่หรอกเพราะผมก็กำลังพูดในสิ่งที่ดูย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อย

“ตกลงนี่คืออยากให้เค้าไปหรือไม่อยากให้ไปกันแน่เจ้ชักจะงงๆ”

“บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ที่จริงตัวเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรู้ เรื่องที่เค้าเคยแพลนจะไปเรียนต่างประเทศ แล้วก็ยกเลิกไปเนี่ย”

“ก็ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของเค้า แปงเองก็ต้องเคารพการตัดสินใจของน้องเค้าสิ”มันก็จริงอย่างที่เจ้ปอว่า แต่ในมุมผมก็ยังเห็นว่าการที่เค้าจะได้ไปตามที่ต้องการในทีแรกมันก็คงจะดีกว่า มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่ใกล้ๆ เค้านะครับ แต่มันเพราะผมก็หวังดีอยากให้เค้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

“แล้วถ้าที่เค้าตัดสินใจแบบนั้นมันเป็นเพราะผมเป็นสาเหตุร่วมด้วย เจ้จะไม่ให้ผมคิดมากบ้างเลยเหรอ”อาจจะเป็นการสำคัญตัวเองไปหน่อย แต่เค้าก็พูดเองนี่นาว่าพอมีผมเข้าไปในชีวิตเค้า ทำให้เค้าเริ่มคิดที่จะตัดสินใจใหม่ในเรื่องการเรียนต่อ

“เดี๋ยวก่อนที่ว่าน้องภู่ยังไม่รู้ ว่าแปงรู้เรื่องแพลนการไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วแปงไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน”

“จากคุณแม่ของภู่นะครับ”เจ้ปอทำท่าครุ่นคิดอยู่พักนึง พร้อมกับเคาะนิ้วกะที่นั่งไปด้วย ก่อนจะดีดนิ้วเหมือนเพิ่งคิดอะไรออก

“แต่จากที่เล่าคือแปงเองก็ยังไม่ได้คุยกับน้องภู่ตรงๆ ใช่ไหมว่าที่จริงเรื่องราวมันเป็นยังไง งั้นเจ้ว่าไปคุย ไปถามกับเจ้าตัวเค้าให้รู้เรื่องดีกว่าไหม ไม่ใช่มาคิดเองฝ่ายเดียวแบบนี้”

“ก็จะคุยแหละครับ แต่พอถามเรื่องนี้ครั้งก่อน ก็เหมือนจะทะเลาะกัน นี่เลยกะว่ารอให้เค้าสอบเสร็จก่อนค่อยคุย”นี่ผมก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวอีกหลายวันกว่าเค้าจะสอบเสร็จ นี่ผมเองก็คงทบทวนดูอีกหลายๆ ด้านว่าถ้าเค้ายืนยันการตัดสินใจของตัวเค้าเอง ผมจะทำยังไงให้เค้าเปลี่ยนใจ ในเมื่อรับปากคุณแม่ของเค้าไปแล้วว่าจะเปลี่ยนใจเค้าให้ได้






TBC
------------------------------------------------
และนี่คือการชะลอเนื้อเรื่อง 555

ตอนหน้า เค้าจะต้องเคลียร์กันแล้ว

จะม่า ไม่ม่า ออกมายังไง รอติดตามนะฮ่ะ

ปล.มาติดกันหลายๆ ตอนแบบนี้ มักจะหายยาววว 555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 39 ลองห่าง (13-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-09-2017 10:47:46
นี่ถ้าภู่ เป็นฝ่ายเปลี่ยนใจ ไม่ไปเรียนต่างประเทศเอง
ทางแม่ภู่ คงไม่มาโทษแปงนะ
     
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 39 ลองห่าง (13-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 13-09-2017 18:50:47
เข้าข้างน้องภู่ครับ FC เลย

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 39 ลองห่าง (13-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 13-09-2017 19:38:45
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วว ไปไม่ไปอ่าาา :z3:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 40 ตัดสินใจ (14-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-09-2017 16:20:20
บทที่ 40
ตัดสินใจ





“ไหนแกกว่าวันนี้แฟนเด็กแกสอบเสร็จจะไปฉลองด้วยกันไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไมถึงมาชวนชั้นกินข้าวแบบนี้”ข้าวหอมมองผมอย่างจับผิด ซึ่งมันก็ผิดปกติจริงๆ นั่นแหละครับ วันนี้ตามแผนเดิมคือผมจะไปหาภู่ที่บ้าน ทานข้าวด้วยกันและจะเปิดประเด็นคุยในเรื่องการเรียนต่อของเค้า แต่ทุกอย่างมันผิดแผนเพียงเพราะ...

“พี่จำฝ้ายได้ใช่ไหมคะ”หญิงสาวที่มาดักรอผมหลังเลิกงาน แน่นอนว่าผมจำเธอได้ เพราะเธอคือแฟนเก่าของภู่ ที่จูบกันให้ผมเห็นตอนไปเชียงใหม่ครั้งนั้น

“จำได้ครับ ว่าแต่น้องมีอะไรหรือเปล่า”ลางสังหรณ์บอกกับผมว่าเธอคงไม่ได้บังเอิญผ่านมาทักทายแน่นอน และถ้าให้เดามันก็คงเรื่องเกี่ยวกับภู่แน่นอน แล้วนี่ทำไมทุกคนจะต้องพุ่งเป้ามาที่ผมด้วย

“ทำไมพี่ไม่ยอมปล่อยให้ภู่เค้าได้ทำตามความฝันของตัวเอง คนเป็นแฟนกัน คนรักกันมันก็ต้องหวังดีต่อกันไม่ใช่เหรอคะ”น้ำเสียงเหยียดๆ ที่เปล่งออกมาเห็นได้ชัดเลยว่าเธอคงจะไม่ได้ชอบผมสักเท่าไหร่

“หมายความว่ายังไง”แม้จะพอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดมันคือเรื่องการเรียนต่อของภู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาแบบไหน หรือใครเล่าอะไรให้เธอฟัง

“ก็เพราะพี่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ภู่เค้าต้องทิ้งความฝันของตัวเอง”ผมเริ่มชักสีหน้าใส่อีกคน เพราะสิ่งที่เค้าพูดเหมือนกำลังสื่อว่าผมเป็นคนที่ไม่ยอมให้ภู่ไปเรียนต่ออย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงผมเองก็ตั้งใจจะพูดให้ภู่เปลี่ยนใจ ยอมไปอยู่แล้ว

“น้องครับ พี่ไม่รู้ว่าน้องไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ต่อให้ไอ้เรื่องที่น้องรับรู้มามันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พี่ว่าน้องก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะมาเสียมารยาทกับพี่แบบนี้ ที่มาทำแบบนี้นี่คือน้องมาทำในฐานะอะไร หรือว่าต้องการอะไรกันแน่”ด้วยความไม่ค่อยพอใจเลยทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น

“ฝ้ายก็แค่ หวังดีกับภู่ในฐานะเพื่อนคนนึงก็แค่นั้น”หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าแววตาที่มองผมกลับไม่ได้ดูราบเรียบเหมือนคำพูด ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้กำลังท้าทายผมอยู่

“ถ้าแค่นั้นจริงๆ พี่ก็คงต้องขอบคุณแทนภู่เค้าด้วย ที่มีเพื่อนดีๆ หวังดีกับเค้าขนาดนี้ แต่น้องฝ้ายไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องของภู่ ทุกอย่างเค้าเป็นคนตัดสินใจเองตามความต้องการของเค้าอยู่แล้ว พี่ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายสักนิด”ถึงครั้งนี้ผมกำลังคิดจะก้าวก่าย แต่เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ว่าผมถือไพ่เหนือกว่า ผมขอเลือกที่จะบอกออกไปแบบนั้น

“งั้นฝ้ายจะรอดูแล้วกันนะคะ ยังไงวันนี้คงต้องขอตัวก่อน”นี่ตกลงคือจะมาแค่กวนประสาทผมแค่นี้งั้นเหรอ สมองผมเริ่มประมวลผล ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องการให้ภู่ไปเรียนต่างประเทศ ถ้าแค่ไอ้ความหวังดีอย่างที่เธอบอก คงไม่ลงทุนมาหาผมถึงที่นี่แน่นอน

“เดี๋ยวครับน้องฝ้าย”ผมรีบตามออกไปเรียกเธอไว้ได้ทัน

“คะ”เธอหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าดูไม่พอใจสักเท่าไหร่

“น้องฝ้ายเองก็จะไปเรียนต่อที่อเมริกาใช่ไหมครับ”

“ค่ะ”เธอตอบผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดว่าเหนือกว่าผมมากๆ และเพราะการคาดเดาของผมได้รับการยืนยัน นั่นเป็นสาเหตุที่ผมรู้สึกสับสนจนยังไม่พร้อมจะไปเจออีกคน

จากทีแรกที่มั่นใจอยากให้เค้าไปเรียนต่อตามที่เคยอยากไป แต่ตอนนี้พอได้รับรู้ว่าถ้าไป เค้าต้องไปพร้อมกับใคร ใจผมมันก็ไม่อยากให้เค้าไปเสียดื้อๆ แต่สิ่งที่ค้ำคอผมอยู่มันคือการรับปากกับแม่ของเค้าแล้วว่าจะหว่านล้อมให้เค้ายอมไปเรียนต่อต่างประเทศ

“จะเล่าเองหรือจะให้เพื่อนถามจากหนุ่มหล่อที่โทรเข้ามานี่คะ”ข้าวหอมหันหน้าจอโทรศัพท์ เรียกสติให้ผม ชื่อบนหน้าจอที่ปรากฏคือคนที่ผมกำลังหลบหน้า และโทรศัพท์ของผมตอนนี้ก็ปิดเครื่องไว้ตั้งแต่นัดแนะกับข้าวหอมเรียบร้อย

“บอกไปว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”ผมบอกก่อนจะเงียบให้ข้าวหอมรับโทรศัพท์

“ค่ะน้องภู่...เอะติดต่อไม่ได้เหรอคะ...พี่ก็ไม่รู้สิ นี่ก็ไม่ได้อยู่บ้านพอดีออกมาทำเล็บ ถ้าอยู่บ้านจะไปดูที่บ้านแปงให้เลยเนี่ย...สงสัยคงแบตหมดมั้ง...ไม่เป็นไรๆ งั้นพี่ทำเล็บต่อนะ”เรื่องแบบนี้นี่ไว้ใจข้าวหอมได้จริงๆครับ

“เล่ามาให้หมดค่ะคุณเพิ่อน”

ผมเริ่มเล่าทุกอย่างให้ข้าวหอมฟังตั้งแต่ประเด็นที่ภู่ไม่ยอมคุยเรื่องเรียนต่อกับผม จนแม่ของภู่กับพี่ปุ๊กมาหาผม และล่าสุดวันนี้ที่น้องฝ้ายแฟนเก่าของภู่ที่เหมือนต้องการมาปั่นหัวผม

“แกอย่าไปยอม เอางี้แกก็ตามไปเรียน ป.โท ที่อเมริกากับน้องภู่ด้วยเลย”หลังฟังที่ผมเล่าจบ ข้าวหอมก็ออกความเห็นอย่างออกรสออกชาติทันที

“ลืมไปหรือเปล่าว่าเพื่อนแกจบโทแล้ว”ผมเบรกคำแนะนำของข้าวหอมเพราะมันฟังดูเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

“โหนี่แกแก่กว่าน้องภู่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย คนนึงกำลังจะจบมัธยม แต่อีกคนนึงจบปริญญาโทไปแล้ว”

“ไม่ต้องมาย้ำ”ผมสวนกลับอย่างเซ็งๆ จะว่าไปเรื่องความห่างของอายุนี่มันก็...จะว่าเป็นปัญหามันก็เป็นนะครับเพราะดูแนวทางการดำเนินชีวิตของเราทั้งคู่มันก็เดินไปพร้อมกันยากอยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดๆ ก็ช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้นี่แหละครับ

“งั้นจากที่ฟังแกเล่า น้องภู่ก็ไม่ได้อยากไปเรียกต่อเมืองนอกนิแก ก็สรุปว่าแกไม่ต้องทำไรไง อยู่เฉยๆ ผู้ชายไม่หนีไปไหน”นี่เพิ่อนผมเข้าใจที่ผมพูดไปบ้างไหมครับเนี่ย ก็บอกอยู่ว่าที่จริงภู่ก็คงอยากไป หรือว่าที่จริงเหตุผลที่จะไปนี่ตัดสินใจไว้พร้อมกับน้องฝ้ายนั่นตั้งแต่ตอนยังคบกัน

“อ้าวหงอยทำไมละเนี่ย เป็นอะไรอีกคะคุณเพื่อน”ข้าวหอมที่สังเกตเห็นอาการของผม ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ผมกำลังจะหันไปตอบ ข้าวหอมก็ยกมือห้าม แล้วหยิบโทรศัพท์มาให้ผมดูอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ของพี่สาวผม

“ให้รับเลยไหม”ผมพยักหน้ารับ เพราะถ้าเป็นพี่สาวผมก็ไม่น่าจะมีอะไร อีกอย่างภู่เองก็น่าจะไม่ถึงขนาดมีเบอร์พี่สาวผม หรือว่า...คงไม่ใช่ว่าภู่บุกไปถึงบ้านผมหรอกนะ แต่ไม่น่าใช่เพราะตอนคุยกับข้าวหอมก็มีการกล่าวถึงบ้านผมอยู่เหมือนกัน

“เจ้ปอจะคุยกับแก”ทันทีที่ข้าวหอมรับสาย ก็ส่งต่อมาให้ผมแทบจะทันที

“ปิดเครื่องทำไมเนี่ย”เปิดฉากมาก็เสียงดุใส่ผมเลยครับ แถมยังมาทำเป็นรู้ทัน ไม่คิดว่าผมจะแบตหมดกันบ้างหรือไงเล่า

“มีอะไรด่วนเหรอครับเจ้ นี่น้องกินข้าวเสร็จอีกสักพักก็จะกลับแล้ว หรือคิดถึงจนทนไม่ไหว”ผมแกล้งทำเสียงพูดทีเล่นทีจริง เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าเจ้ผมอยู่ในอารมณ์ไหน แต่แค่ดุๆ ยังไม่ถึงกับด่านี่แสดงว่าผมยังล้อเล่นกับเจ้ได้อยู่ครับ

“น้องภู่โทรหาเจ้”แต่แล้วผมก็ต้องสงบปากสงบคำลง

“เค้ามีเบอร์เจ้ได้ยังไง”ผมรีบถามอย่างสงสัย

“ขอพี่ปุ๊กมานะสิ แล้วนี่มีอะไรกัน เห็นเค้าบอกว่าวันนี้นัดกัน แล้วไปเบี้ยวนัดน้องเค้า แถมติดต่อไม่ได้อีก ไหนจะยังให้ข้าวหอมช่วยกันโกหกอีก”ไอ้เรื่องอื่นๆ นี่เข้าใจนะครับ แต่เรื่องให้ข้าวหอมโกหกนี่ เจ้ผมจะรู้ได้ไงเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไว้เดี๋ยวผมโทรไปคุยกับเค้าเอง”ใจหนึ่งก็อยากคุยกับเค้าต่อหน้านะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จริงๆ ว่าจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเค้าไหม จะว่าไปผมก็ควรโทรไปบอกเค้าว่าผมยังไม่พร้อมเจอหรือไม่พร้อมคุย ไม่ควรจริงๆ ที่จะหายเงียบไปเฉยๆ แบบนี้

“มีอะไรก็คุยกันดีๆ แปงนะเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ควรทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กแล้วหนีปัญหาแบบนี้”โดนบ่นจนได้สินะครับเนี่ย ผมตกปากรับคำผู้เป็นพี่สาวและโดนบ่นอีกนิดหน่อยก็วางสายไป ผมค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง และยังไม่ทันจะตั้งตัว ว่าจะโทรหาอีกคนไหมชื่อเค้าก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมแล้ว

“รับสิแก ลีลาทำไมเนี่ย จะได้คุยได้เคลียร์”ข้าวหอมเร่งเหมือนผมทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจเธอสักอย่าง นี่ดีนะครับที่เราเป็นเพื่อนกัน ถ้าเป็นแฟนกันนี่ไม่อยากจะคิดสภาพ เอาเป็นว่าชะตากรรมนั้นให้พี่โตรับไปแล้วกันครับ

“ลุง”

“อย่าเพิ่งพูด”ผมรีบห้ามอีกฝ่ายที่เหมือนกำลังจะร่ายยาวผ่านสายโทรศัพท์ เพราะถ้าจะคุยกันระหว่างผมกับเค้ามันคงต้องคุยกันยาว เพราะงั้นผมว่าไปคุยกันต่อหน้าให้เคลียร์ไปเลยดีกว่า ที่จริงปัญหามันก็มาจากผมเองนี่แหละที่ไม่ยอมไปเจอเค้าตั้งแต่แรก

“เดี๋ยวพี่ไปหาที่บ้าน”มันคงถึงเวลาที่ต้องหันหน้าคุยกันอย่างจริงจังแล้วสินะ

“รีบมานะครับ ผมรออยู่”ทำไมน้ำเสียงของเค้ามันถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้ละเนี่ย

“อือ”

ผมวางสายไปแล้วหันมองข้าวหอมที่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมอีกครั้ง ก่อนจะไล่ให้ผมรีบไปเพราะเธอเรียกพี่โตให้มานั่งเป็นเพื่อนแล้ว ผมเลยต้องรีบเพราะคาดว่าออกไปตอนนี้ รถคงกำลังติด และอีกคนคงต้องรอผมอีกพักใหญ่แน่นอน ผมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะถึงที่หมาย ดูจากแสงไฟในบ้านแล้ว แม้ผมจะไม่อยู่ แต่เค้ายังอยู่บ้านหลังฝั่งผมสินะ

“ผมนึกว่าลุงจะไม่มา”ผมยังไม่ทันจะก้าวเข้าตัวบ้านด้วยซ้ำ เหมือนพอรู้ว่าผมมาเค้าก็รีบออกมาหาผม ร่างของผมถูกดึงเข้าไปกอดเสียแน่น แน่นจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ นี่เค้าเองก็คงกำลังคิดไม่ตก เหมือนผมเช่นกันสินะ

“ปล่อยก่อนสิภู่ จะได้เข้าไปคุยกันในบ้านดีๆ”เค้าคลายวงแขนออก เปลี่ยนมาเป็นจับมือผมเดินนำเข้าไปในบ้าน เรานั่งลงที่โซฟา ข้างๆ กัน ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างตัดสินใจ

“วันนี้ฝ้ายมาหาพี่”ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ซึ่งดูเค้าเองก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นั่นแสดงว่าเค้ารู้แล้วว่าน้องฝ้ายมาหาผม

“แม่ผมก็เคยมาหาพี่ด้วยใช่ไหมครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนอึดอัดยังไงบอกไม่ถูกเลยครับ

“พี่ยังอยากให้ภู่เลือกในสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกนะ”ตลอดทางที่ขับรถมาความคิดผมมันตีกันไปหมดทั้งอยากให้เค้าไป และไม่อยากให้เค้าไป แต่ท้ายที่สุดที่ผมเลือกแบบนี้ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างเราสองคน มันไม่ใช่แค่ความหลงใหล เพียงชั่วคราว ผมเองที่ไม่เคยมีใครมาก่อน หรือเค้าเองที่อายุยังน้อย ระยะทางมันอาจจะช่วยพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้

“แสดงว่าพี่ ก็ไม่ต้องการผมเหมือนๆ กับทุกคนในครอบครัวผมสินะ”น้ำเสียงตัดพ้อและใบหน้าที่ผิดหวังของเค้า ทำเอาผมไม่เข้าใจ นี่เราแค่ห่างกันเพราะเค้าจะไปเรียน ทำไมพูดซะเหมือนเราจะเลิกกันงั้นแหละ

“หมายความว่ายังไง”

“พี่ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าผมไม่ไปเรียนต่อเมืองนอก ที่บ้านผมจะไม่ส่งเสียผมอีก”เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ก็ไหนวันนั้นที่ผมคุยกับคุณแม่ของเค้า ก็แค่อยากให้ผมช่วยทำให้เค้ายอมไปเรียนเมืองนอกไม่ใช่เหรอ

“เรื่องนี้พี่ไม่เห็นรู้เลย”เค้ามองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยเขื่อสักเท่าไหร่

“แต่พี่ว่า ที่บ้านภู่เค้าก็คงแค่ขู่ เพราะหวังดีกับภู่นั่นแหละ”ผมพยายามระวังน้ำเสียงและคำพูดให้มากที่สุดเพราะตอนนี้ดูเหมือนภู่กำลังจะเครียดมากอยู่ทีเดียว

“หวังดีเหรอ ผมว่าเค้าก็แค่อยากให้ผมแยกกับพี่เท่านั้นแหละ”

“แต่เท่าที่พี่คุยกับคุณแม่ภู่ คุณแม่ก็”แม้จะเริ่มเอนเอียงไปตามคำพูดของเค้าแต่ผมว่าที่เจอคุณแม่วันนั้นมันก็ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำดีกับผมนะครับ

“แม่ผมอาจจะเอ็นดูพี่นะครับ แต่คนที่ยังอยากให้ผมเลิกกับพี่คือพ่อ ถึงพ่อจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ผมก็รู้”ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าพูดเต็มร้อย เพราะรู้สึกว่าจากที่ฟังคุณแม่ของเค้ามา คุณพ่อก็อาจไม่ได้จะกีดกันขนาดนั้น และถ้าให้ผมประเมินผมว่าคุณพ่อเองอาจจะอยากใช้ระยะทางที่ห่างกันแบบนี้มาพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นได้

“งั้นถ้าที่บ้านภู่ไม่ได้มีใครบอกให้เราเลิกกัน ออกมาตรงๆ ก็แสดงว่าเราก็ยังคบกันได้ การไปเรียนตามที่พ่อแม่ของภู่อยากให้ไปมันก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างมันคือสิ่งที่ภู่เลือกเองตั้งแต่ต้นเลย ไม่ใช่เหรอ เราสองคนก็จะได้พิสูจน์ ความสัมพันธ์ด้วยว่าระยะทางทำอะไรเราทั้งคู่ไม่ได้”ผมกุมมือพร้อมอธิบายเค้า แน่นอนว่าสำหรับผมเองมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ผมว่านี่มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“แต่เราจะไม่ได้เจอกันเลยนะครับ”เค้ายังคงไม่เห็นด้วย

“มันก็แค่ไม่กี่ปี”ผมพยายามโน้มน้าว แม้ว่าที่จริงผมก็รู้สึกไม่ต่างจากเค้านักหรอก

“ทำไมพี่ดูอยากให้ผมไปจังเลย”อะไรละเนี่ย ทีแรกกะดูอ่อนลงแล้วแท้ๆ ทำไมนี่เหมือนจะโมโหขึ้นมาละเนี่ย

“พี่ก็แค่แนะนำให้มันออกมา กระทบทุกฝ่ายน้อยที่สุด”ผมยังคงพยายามไม่อารมณ์ร้อนไปตามเค้าเพราะดูตอนนี้เค้าเริ่มจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลแล้ว

“พี่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ เหรอว่าการที่พ่อผมอยากให้ไปเรียนเมืองนอกเพราะอยากให้เราสองคนห่างกัน ให้ผมกลับไปใกล้ชิดกับฝ้าย เค้าต้องการให้เราเลิกกัน”คำพูดรอบนี้ทำเอาผมเองก็ชักสีหน้าเหมือนกัน เพราะฟังแล้วเหมือนเค้ากำลังว่าผมว่าโตแล้ว แต่คิดไม่ได้

“ก็ไหนบอกว่าตัวเองโตแล้วไง เรื่องแค่นี้จะผ่านมันไปไม่ได้เหรอ ถ้าเราสองคนมั่นคงซะอย่าง มันก็จะเป็นการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นด้วยไง ว่าเราจริงจังกันแค่ไหน”แม้จะพยายามข่มอารมณ์แล้วแต่ผมก็ยังอดที่จะประชดเค้าไม่ได้

“คือยังไงก็จะให้ผมไปให้ได้ใช่ไหม”อะไรกันเนี่ยทำไมเหมือนยิ่งคุยกันกลับยิ่งไม่เข้าใจ

“คุยกันด้วยเหตุผลสิภู่ อย่าเพิ่งงี่เง่าเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้”ตกลงนี่คือเราต้องทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย

“ถ้าพี่ว่าผมเด็ก ว่าผมงี่เง่า ก็เลิกกันไปเลยก็ได้”ไปกันใหญ่แล้ว อะไรของเค้าละเนี่ย

“ภู่ มีสติหน่อยสิ”ผมว่าตอนนี้เค้าเริ่มสติแตกแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้าเก็บเรื่องนี้มานานแค่ไหน หรือจริงๆ ครอบครัวเค้าพูดะไรมาบ้าง ผมก็คงไม่ได้รับรู้มาทั้งหมด แต่ผมไม่อยากให้เค้าเอาอารมณ์มาคุยกันแบบนี้เลย

“ผมมีสติดีครับ และผมก็ตัดสินใจแล้วว่ายังไงผมก็จะเรียนต่อที่นี่”

“ถ้าพี่อยากให้ผมไปนักเราก็เลิกกัน พี่กล้าเลิกกับผมไหมละ”



TBC
------------------------------------------------

ตอนหน้ามาลุ้นให้เค้าเลิกกัน

เอ้ย ปรับความเข้าใจกันสิเนอะ

หึหึ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 40 ตัดสินใจ (14-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-09-2017 16:43:29
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 40 ตัดสินใจ (14-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 14-09-2017 17:39:59
 :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-09-2017 14:24:38
บทที่ 41
บททดสอบ






“น้องแปง น้องแปงคะ”

“ครับ”ผมรีบเงยหน้ามองคู่สนทนา เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเหม่ออีกแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาทำงานกับที่บ้านแล้ว ซึ่งผมเองก็ยังทำอะไรไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ ก็คงต้องเรียนรู้อีกเยอะแหละครับ วันนี้เจ้ปอเลยให้ผมมาเจอลูกค้าที่ผมพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างเพื่อที่หากมีอะไรติดขัดจะได้คุยกันง่ายหน่อย

“งั้นเอาตามที่ตกลงกันนะคะ ล็อตนี้เยอะหน่อยยังไงคงต้องฝากทางน้องแปงดูให้หน่อยนะคะ”ใช่แล้วครับ ที่เห็นเรียกผมอย่างสนิทสนมนี่เพราะลูกค้าหรือจะเรียกพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ผมมาคุยในวันนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพี่ปุ๊กน้าสาวของภู่นั่นเอง

“น้อง...แปงโอเคนะคะ”นี่ผมดูแย่มากเลยเหรอ คนถามถึงได้มีน้ำเสียงกังวลขนาดนี้

“ก็ยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะครับ ช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อย แต่อีกสักพักคงเริ่มเข้าที่เข้าทาง”ผมบอกพร้อมยิ้มจางๆ

“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน”เสียงถอนหายใจตามมาหลังจากจบประโยค ที่จริงผมเองก็พอรู้แหละครับว่ามันเรื่องอะไร เพียงแค่ไม่ค่อยอยากพูดถึง ทั้งที่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และอีกคนก็อยู่ห่างออกไปครึ่งค่อนโลกแล้ว ก็ได้แต่รอเวลาแหละครับ แล้วก็หวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น

“พี่เองก็ไม่คิดว่าพ่อน้องภู่จะมาแบบนี้ พี่เองก็เป็นแค่น้าจะไปก้าวก่ายมากก็ไม่ได้”ผมยังคงเอาแต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ครับ ก็ได้แต่คิดว่านี่มันคงเป็นบททดสอบของชีวิต บทนึงที่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้

“ถ้าพี่อยากให้ผมไปนักเราก็เลิกกัน พี่กล้าเลิกกับผมไหมละ”คำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเค้า และนั่นทำให้ผมรู้ว่า จริงๆ เค้าก็แค่เด็กที่กำลังจะจบมัธยมคนนึง หลายๆ อย่างเค้าเองก็คงยังไม่ได้มีเหตุผลเพียงพอ

“พี่เคยคิดว่าภู่จะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ แต่ถ้าภู่พูดแบบนี้ เราก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก เอาไว้วันไหนที่ภู่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอ และยังอยากที่จะคบกันต่อ ก็ค่อยมาคุยกับพี่แล้วกัน”ผมผุดลุกขึ้น เพราะตัวผมเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าเรื่องระหว่างเรามันจะยังไปต่อได้จริงๆ

“อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปนะครับ ผมไม่ได้อยากเลิก พี่แปงอย่าเลิกกับผมนะครับ”เค้ารีบลุกตามมากอดผมไว้แน่น ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นกลั้นน้ำตาให้มันไหลย้อนกลับเข้าไป ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะเข้มแข็ง แต่มันก็ทำไม่ได้

“ผมไม่รู้ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ”เค้าซบหน้าลงบนแผ่นหลังของผม แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นออกมาแต่ผมก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นของตัวเค้า และความเปียกชื้นที่แผ่นหลังของผม ผมค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้าเค้า มือผมยกขึ้นปาดน้ำตาเค้า

“ถ้าผมไม่ไป พ่อก็จะไม่ให้เงินผมใช้ ไม่ให้อยู่บ้านน้าปุ๊ก ทีแรกผมก็คิดว่าผมยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่มันคงไม่พอสำหรับการที่จะให้ผมเรียนจนจบ ผมก็แค่ยังหวังว่าถ้าพี่อยากให้ผมอยู่ ผมก็จะหาทางอยู่ให้ได้ ผมจะหางานทำส่งเสียตัวเองเรียน”แน่นอนว่าผมเองคงไม่ให้เค้าเลือกทางนี้แน่นอน หรือต่อให้ผมจะรับเป็นคนส่งเสียเค้าเรียนนั่นอาจจะยิ่งทำให้ทางบ้านเค้าไม่พอใจ หรือบ้านผมเองก็คงไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่

“แต่ถ้าผมไปเรียนต่างประเทศ พ่อก็ห้ามไม่ให้เราติดต่อกันอีก จนกว่าผมจะเรียนจบ”มันก็ไม่ต่างกับการเลิกกันสินะ เป็นผมเองที่ดึงเค้าเข้ามากอด

“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่”ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“เค้าให้เวลาภู่เท่าไหร่ ถ้าเลือกที่จะไป”มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสินะ

“เดินทางเดือนหน้าครับ ทุกอย่างเค้าเตรียมไว้หมดแล้ว”แสดงว่าเรื่องราวทั้งหมดภู่คงรู้มาล่วงหน้าแล้วสินะ นี่เค้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวมาตลอดสินะ

“งั้นเราก็มาใช้เวลาช่วงนี้ด้วยกันให้มากที่สุด”ผมคลายอ้อมกอดค่อยๆ ขยับตัวออกก่อนจะรั้งใบหน้าเค้าลงมาประกบปากลงไปแผ่วเบา

“ลุงจะรอผมกลับมาใช่ไหม”เค้าถามด้วยน้ำเสียงงอแง เหมือนเด็กที่กำลังโดนขัดใจ

“ภู่ฟังพี่นะ ถ้านี่คือการที่พ่อของภู่อยากจะพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเราสองคน เราก็จะผ่านบททดสอบนี้ไปด้วยกัน แต่สำหรับพี่ พี่เองก็ไม่อยากจะเห็นแก่ตัว ถ้าสมมติว่าภู่มีใครอื่นเข้ามา ก็ขอแค่บอกให้พี่รู้ตกลงไหม”แม้ความจริงผมจะรู้สึกปวดใจถ้าวันนึงมันจะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าเค้าบอกผมแต่เนิ่นๆ ถ้าเค้าเปลี่ยนไป มันคงจะดีกว่าการรอแล้วพอถึงเวลาที่เราคิดว่ามันสิ้นสุดลง ดันกลายเป็นว่าเค้าจะไม่กลับมาแล้ว มันไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในตัวเค้านะครับ เพียงแต่เค้าเพิ่งอายุเท่านี้ และยังต้องไปพบเจอคนอีกมาก

“ผมถามว่าลุงจะรอผมไหม และผมไม่ยอมให้ลุงไปมีใครด้วยระหว่างที่ผมไม่อยู่”เค้าถามย้ำอย่างเอาแต่ใจ จนผมต้องยิ้มอย่างเอ็นดู

“ก็ถ้ากลับมาแล้วเป็นผู้ใหญ่ ค่อยมาคุยกัน แต่ถ้ากลับมาแล้วยังเป็นเด็กงี่เง่าอยู่พี่ก็จะหาคนรุ่นราวคราวเดียวกันคบแล้วละ”ผมแกล้งบอกเพื่อให้บรรยากาศระหว่างเรามันดีขึ้น

“พอกลับมาผมจะเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้นะครับ ลุงก็อย่าเพิ่งรีบแก่นำผมมากสิ ทำตัวลดอายุลงมาบ้างผมจะได้ตามทัน”เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีที่เราต้องแยกกัน แต่มันก็ยังเป็นสุขที่เราจะได้เฝ้ารอการกลับมาเจอกันอีกครั้ง

“ผมรักพี่แปงนะครับ”คำพูดที่ผมคงไม่ได้ยินอีกนาน ใบหน้าที่ผมคงไม่ได้เห็นเช่นกัน ภาพเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไป วันเดินทางของเค้าผมก็ไม่ได้ไปส่ง และหลังจากเค้าไปแล้ว เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยจริงๆ มันก็ทั้งเหงาทั้งเศร้านะครับ แต่ผมก็พยายามใช้งานนี่แหละเข้ามาดูดเวลาผมไปให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเวลาให้ตัวเองฟุ้งซ่านมากนัก

“เดือนหน้าพี่จะบินไปเมกา น้องแปงมีอะไรอยากฝากบอกน้องภู่บ้างไหม”เสียงของพี่ปุ๊ก เรียกสติผมกลับมา ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้เค้าต้องมาพะวงกับผม เห็นว่าช่วงแรกเค้าต้องเรียนภาษาค่อนข้างหนักเหมือนกัน นี่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีที่เค้าจะได้กลับมา หรือถึงวันนั้นเค้ายังจะอยากกลับมาอยู่หรือเปล่า

“น้องแปงไม่ต้องกังวลมากนะคะ อยู่นั่นหลานชายพี่ไม่มีวอกแวกแน่นอน เห็นว่าตั้งใจเรียนอย่างเดียว สงสัยกะให้จบเร็วๆ”พี่ปุ๊กเหมือนพยายามอยากให้ผมสบายใจขึ้น ที่จริงคุณแม่ของภู่เองก็เคยโทรมาขอโทษผม จนผมเองเสียอีกต้องขอโทษท่านที่ทำให้คิดมาก คือคุณแม่บอกว่าไม่คิดว่าคุณพ่อจะถึงขั้นไม่ให้ติดต่อกันขนาดนี้

“งั้นฝากบอกเค้าดูแลตัวเองด้วยแล้วกันนะครับ อย่าหักโหมมาก”หลังคุยกันเสร็จเรียบร้อยผมก็ออกมาส่งพี่ปุ๊ก ก่อนจะดูเวลานี่ก็เย็นมากแล้ว จะให้เข้าบริษัทอีกก็คงไม่ทันแล้ว ก็คงต้องกลับบ้านเลยสินะ ชีวิตผมช่วงนี้ก็วนเวียนอยู่แบบนี้แหละครับ ซึ่งก็คงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน มีแค่บ้านกับที่ทำงาน จะมีออกไปกับข้าวหอม พี่โต บ้างนานๆ ที

“ครับเจ้”ขณะที่ผมเพิ่งสตาร์ทรถยังไม่ทันได้ออกตัว พี่สาวผมก็โทรมาเสียก่อน เจ้ปอของผมก็โทรหาผมทั้งวันแบบนี้แหละครับ เหมือนก็ยังห่วงว่าผมจะคุยกับลูกค้าผ่านไปได้ด้วยดีไหม นี่แหละครับ แต่สงสัยลืมไปว่ารอบนี้ผมมาคุยกับพี่ปุ๊ก

“วันนี้อย่าเพิ่งรีบเข้าบ้านนะ”

“ทำไมละครับ”ถามไปอย่างสงสัยเพราะเจ้ปอแทบไม่ค่อยให้ผมได้ทำงานอะไรต่อหลังเลิกงานเลยนี่นา เวลาไปเลี้ยงลูกค้าหรืออะไรส่วนใหญ่ก็จะมีคนที่รับผิดชอบอยู่แล้ว

“ไม่มีอะไร แค่จะชวนไปกินข้าว”ผมขมวดคิ้ว ปกติก็เห็นกลับไปทานที่บ้านตลอด หรือจะชวนผมไปบ้านเฮียต๊าฟ ผมเคยได้ไปบ้านว่าที่พี่เขยอยู่บ้างนะครับ ก็ดูเป็นครอบครัวที่เฮฮาดี

“ไปบ้านเฮียต๊าฟเหรอ”ผมคาดเดาอย่างที่เคยเป็น

“ไม่เชิง จะชวนไปทานข้างนอกแต่ก็ไปกับเฮียต๊าฟแหละ”นี่ก็ทำเหมือนข้าวหอมอีกคนสินะ จะไปสวีทกันสองคนผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ไม่ต้องอยากลากผมไปด้วย ดูทุกคนจะเป็นห่วงการอยู่คนเดียวของผมเสียเหลือเกิน

“จะไปสวีทกันก็ไปเถอะเจ้ น้องกลับไปกินข้าวกะพ่อกับแม่ก็ได้”ผมบอกปัดเพราะเห็นว่าทั้งเจ้ปอกับเฮียต๊าฟจะได้เจอกันแต่ละที ก็ยากแล้ว ต่างคนต่างทำงาน ก็อยากให้ทั้งคู่มีเวลาด้วยกันบ้าง

“ไม่ต้องมาปฏิเสธ เดี๋ยวส่งโลเคชั่นให้ ไปเจอกันที่ร้าน ทำแต่งานอย่างเดียวชีวิตก็อับเฉาพอดี ออกไปผ่อนคลายบ้างก็ได้ พรุ่งนี้ก็วันหยุดมีเวลาอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ต้องรีบกลับไปหรอก เจ้บอกพ่อกับแม่แล้วด้วย”แบบนี้เรียกมัดมือชกหรือเปล่าครับ แต่ถามว่าผมขัดพี่สาวได้ไหม ก็ไม่ เป็นอันว่าผมต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านเป็นจุดนัดพบกับพี่สาวแทนสินะ

พอถึงที่หมายตามที่เจ้ปอให้ผมมา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ไหนบอกมาทานข้าว นี่มันก็ร้านข้าวแหละครับเพียงแต่มันก็กึ่งๆ เป็นสถานที่มานั่งดื่มเสียมากกว่า ไอ้ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดดื่มสักเท่าไหร่นี่สิครับ แต่ไหนๆ มาแล้วก็คงต้องเข้าไปแหละครับ ผมสอบถามกับพนักงานว่าโต๊ะที่เจ้ปอบอกไว้อยู่ทางไหน พอถึงก็แปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่ได้มีแค่เจ้ปอกับเฮียต๊าฟ

“เฮียต๊าฟ หวัดดีครับ เฮียเชษฐ์เฮียตี๊ฟหวัดดีครับ”ผมยกมือไหว้ทักทายทุกคนเพราะผมก็เด็กสุดอยู่แล้ว อีกสองคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ น้องชายกับน้องเขยเฮียต๊าฟนั่นแหละครับ ผมไม่ค่อยได้เจอทั้งสองคนบ่อยนักเพราะทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่บ้านเหมือนเฮียต๊าฟ ทั้งคู่แต่งงานกันและแยกออกไปใช้ชีวิตต่างหาก ฟังไม่ผิดหรอกครับทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว และคู่นี้ก็เป็นคู่ที่ทำให้ผมยังมีกำลังใจว่าระหว่างผมกับภู่คงเป็นเช่นนี้ได้ในสักวัน

“บอกกี่ทีแล้ว ว่าไม่ให้เรียกเฮีย เรียกเฮียฟังดูเป็นผู้ชายเถื่อนๆ ยังไงไม่รู้ เก็บไว้เรียกสองคนนี้ก็พอ”พี่ตี๊ฟ ผมต้องเรียกแบบนี้สินะ หันมาบอกผมอย่างไม่ได้จริงจังนักก่อนจะไล่ให้เฮียเชษฐ์ขยับไปนั่งหัวโต๊ะ แล้วให้ผมนั่งข้างๆ พี่เค้า

“เถื่อนแล้วรักไหมละครับเมีย”พี่ตี๊ฟรีบฟาดมือไปที่แขนของเฮียเชษฐ์อย่างแรง ทันทีที่เฮียเชษฐ์พูดมาแบบนั้น ก็แน่ละครับขนาดผมฟังยังรู้สึกเขินแทน ประสาอะไรกับพี่ตี๊ฟนั่นยิ่งคงเขินมากทีเดียว ดูจากสีหน้าที่แดงระเรื่อนั่นอีก มองคู่นี้เค้าก็น่ารักดีนะครับ เหมือนเพื่อนกัน เหมือนคู่กัดกัน แต่ก็ดูออกว่ารักกันมาก

“ไงละเรา ยิ้มอย่างที่ยิ้มตอนนี้บ่อยๆ นะ ไม่ใช่เห็นทีไรก็ตีหน้าเศร้าตลอด คนเราถ้ามันคู่กันแล้วมันไม่มีอะไรมาแยกได้หรอกเชื่อเฮีย ดูอย่างสองคนนี้สิ คู่นี้ก็เคยโดนจับแยก ยังผ่านจุดนั้นกันมาได้ เพราะงั้นแปงเองก็ต้องผ่านไปได้ มีอะไรก็ปรึกษาตี๊ฟมันได้ มันอาบน้ำตามาก่อน”ผมยิ้มรับกำลังใจจากทุกคน พอได้มาเจอทุกคนในวันนี้มันก็ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแหละครับ

“อย่าไปเชื่อต๊าฟมันมากเรื่องอาบน้ำตาอะไรเนี่ย อย่างพี่อ่ะสบายๆ ไม่ร้องสักนิด”พี่ตี๊ฟหันมาแย้งให้ผมฟัง

“แหมมึงไม่ร้องเลยนะตี๊ฟ กูเห็นน้ำตาไหลตั้งแต่ตอนไปส่งเชษฐ์มันที่สนามบินแล้ว”แล้วเสียงหัวเราะ ตามด้วยการลับฝีปากของสองพี่น้องก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนานครับ โดยมีเฮียเชษฐ์อีกคนเป็นกองเสริม ผมก็ได้แต่ฟังพี่ๆ เค้าแหละครับ ก็ทานกันไปดื่มกันไป พูดคุยกันไปอย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ต้องเหงามากแล้วละ

“ใครแสบกว่าใคร เอาดีๆ ตอนเอามันส์มาหลอกนั่น เจ็บแสบมากพูดเลย”พอเริ่มดื่มได้สักพักบทสนทนาก็เริ่มวนมาถึงวีรกรรมของคู่รักข้างๆ ผมนี่แหละครับ เห็นว่ากว่าจะรักกันนี่ต่างคนต่างอำกันจนใจหายใจคว่ำกันมาแล้ว

“พี่ตี๊ฟกับเฮียเชษฐ์นี่เป็นคู่ที่น่าอิจฉาจังเลยนะครับ”ผมหยิบแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบนิดหน่อย พร้อมหันไปคุยกับคนข้างๆ ผมไม่ได้ดื่มมากเหมือนคนอื่นๆ นะครับ เพราะดูแต่ละคนดื่มเก่งกันจริงๆ ผมคงไม่กล้าสู้

“ไม่ต้องมาอิจฉาพี่หรอก พี่สิต้องอิจฉาแปง มีแฟนเด็กน่าจะกระชุ่มกระชวยจะตายไป”พี่ตี๊ฟหันมากระซิบผมอย่างอารมณ์ดี แต่ไอ้การกระซิบนั่นก็น่าจะดังพอให้อีกคนที่นั่งถัดไปได้ยิน

“ทีรักครับ จะมาอยากมีแฟนเด็กอะไรตอนนี้ มันไม่ทันแล้ว และอีกอย่างก็รู้ไว้ด้วยว่าสามีคนนี้ขี้หึงมาก”เสียงแทรกจากเฮียเชษฐ์ ทำเอาทุกคนในโต๊ะส่งเสียงแซวอย่างสนุกสนาน จะมีก็แต่พี่ตี๊ฟแหละครับ ที่หันไปชี้คาดโทษเฮียเชษฐ์ไว้

“เห็นปากอย่างนี้ ยังจะอิจฉาพี่ไหม”พี่ตี๊ฟส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ แต่ผมรู้แหละครับว่าพี่แกก็แค่แกล้งทำไปงั้นแหละ ที่จริงแกรักเฮียเชษฐ์จะตายไป

“แปง ฟังพี่นะ ความรักอย่างเรามันก็คือความรักปกติทั่วไปนี่แหละ มันอาจจะมีอุปสรรค มีบททดสอบเข้ามาบ้าง ก็ถือเสียว่าเป็นสีสันของชีวิต วันนึงพอมันผ่านไป มองกลับมาเราอาจจะนึกขอบคุณบททดสอบพวกนี้ ที่ทำให้เรายิ่งรักกันมากขึ้น เพราะงั้นพี่เอาใจช่วยนะ มีอะไรคุยกับพี่ได้ตลอด”มันก็รู้สึกดีนะครับที่ได้ยินพี่ตี๊ฟพูดแบบนี้ แต่ยิ่งได้ยินแบบนี้ ผมก็ยิ่งคิดถึงอีกคนนี่สิครับ

“แค่รู้ว่ายังห่วง แค่เท่านั้นก็รู้สึกดี”ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือของผมที่ถูกส่งมาจากโปรแกรมแชท โดยเพื่อนสนิทอย่างข้าวหอม ทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู

“อะไร”ผมพิมพ์ถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจเพราะอยู่ๆ ก็พิมพ์ส่งมาถึงผมลอยๆ แบบนี้

“โพสต์ของใครก็ไม่รู้ แต่เห็นว่ามีคนฝากบอกให้เค้าดูแลตัวเอง ก็เลยเพ้อๆ มาแบบน่าหมั่นไส้นี่แหละ”ผมค่อยๆ ประมวลผลอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า สิ่งที่ผมพูดกับพี่ปุ๊กมันคงถึงอีกคนแล้ว ทั้งที่พี่ปุ๊กยังไม่ได้บินไป ผมไม่ได้มีช่องทางโซเชียลใดๆ ติดต่อกับเค้าได้ก็จริง แต่ก็ยังมีข้าวหอมนี่แหละครับ ที่เหมือนจะมีทุกช่องทางการติดต่อ






TBC
------------------------------------------------
ก็เรียกว่าไม่ม่ามากเนอะ

แค่เค้าไม่ได้เจอกันแค่นั้นเอง

ตอนนี้ เอา เชษฐ์xตี๊ฟ จาก 45 วันพนัน(ไม่)รัก

มารับเชิญให้กำลังใจแปงนิดนึง

ใครยังไม่เคยอ่านคู่ตี๊ฟก็ลองไปอ่านดูนะฮ่ะ (ขายของ)

เป็นคู่ที่ชิลมาก ไม่ม่านะรู้สึก 555 แค่เพื่อนสองคนที่ต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะการพนันของเพื่อน

#แนบลิงค์ขายของ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-09-2017 15:09:41
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 15-09-2017 17:29:09
ไม่ให้ติดต่อกันเลยก็โหดเกินนน  :hao5:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 15-09-2017 17:41:36
อยาอ่านต่อออออิ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 15-09-2017 20:05:07
 :hao5:  เศร้าแพล่บ  มันหน่วงจัง
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-09-2017 20:27:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 41 บททดสอบ (15-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-09-2017 02:03:36
ต้องเข้มแข็ง ฝ่าฟันจุดนี้ไปให้ได้ แล้วเมื่อวันที่จะได้เจอกันมาถึง ความสุขคงล้นหัวใจ และรักกันมากขึ้นนะทั้งคู่
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-09-2017 14:18:11
บทที่ 42
คนพิเศษ



“ไม่ได้มีแผนอะไรใช่ไหม”ผมถามอย่างระแวง เนื่องจากตอนนี้ผมโดนข้าวหอมกับพี่โตลากมาเชียงใหม่ เพราะข้าวหอมอยากมาดูสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้ง ใช่แล้วครับคู่นี้ใกล้จะแต่งกันแล้ว แต่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้เสียทีเดียวหรอกครับ แล้วนี่ก็ไม่รู้คนอย่างข้าวหอมไปชอบ วิวทิวทัศน์ทางเหนือตั้งแต่เมื่อไหร่

ส่วนที่ผมต้องถามว่ามีแผนอะไรไหม นั่นมันก็เพราะว่าวันนี้ก็เป็นวันแต่งงานของผึ้ง พี่สาวของภู่นั่นเอง ผมไม่ได้รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวหรอกนะครับ แต่ในฐานะที่ครอบครัวเราทำธุรกิจร่วมกัน เลยได้รับเชิญมางานด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้รับเชิญไปงานคือเจ้ปอ และเจ้ปอก็ไปงานนี้กับเฮียต๊าฟนั่นแหละครับ

ที่ผมกังวลอีกอย่างคือ ผมคิดว่างานนี้ภู่ก็น่าจะบินกลับมาด้วย ถามว่าผมอยากเจอเค้าไหม แน่นอนว่าอยากเจออยู่แล้วเพราะนี่ ก็ตั้ง 2 ปีเข้าไปแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่ถ้ามาเจอกัน นั่นมันก็เท่ากับว่าผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับพ่อเค้า ผมเลยทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอเค้าในเวลาเดียวกัน

“ว่าไงครับพี่โต”ผมถามจี้เอากับพี่โต เพราะถ้าถามข้าวหอม ผมรู้ว่าสกิลการโกหกของข้าวหอมนั้นผมจับผิดไม่ได้แน่นอน ที่ต้องย้ำขนาดนี้เพราะผมเองก็ไม่อยากให้ที่เราพยายามมาทั้งหมด มันพังลงไป

“ก็มาดูที่ถ่ายพรีเวดดิ้งไงครับ เนี่ยเดี๋ยวไปเจอตากล้อง ไปดูสถานที่ พี่กับหอมมาด้วยเรื่องนี้จริงๆ”นี่พี่โตคงไม่ได้เรียนรู้สกิลการโกหกมาจากข้าวหอมหรอกนะ อีกอย่างพี่โตก็คงไม่ลงทุนขนาดจ้างคนมาเป็นตากล้อง ยอมเสียเวลาไปดูสถานที่ เพียงเพื่อหลอกให้ผมมาที่นี่หรอกมั้ง

“แค่นั้นจริงๆ ใช่ไหมครับ”ผมย้ำอีกรอบ แต่ก็พอโล่งใจได้บ้างว่าที่พักเราก็ห่างจากบ้านของภู่เยอะอยู่ อีกอย่างผมก็กำชับเจ้ปอไปแล้วด้วยว่าถ้าเจอภู่ก็อย่าให้เค้ารู้ว่าผมอยู่ที่เชียงใหม่นี่ ที่จริงก็มีแอบคิดนะครับว่า อยากไปแอบมองเค้าโดยไม่ให้เค้ารู้ตัว ก็คนมันคิดถึงนี่ครับ แต่ถ้าทำแบบนั้น กลัวว่าจะเป็นผมเองนี่แหละที่จะทนไม่ไหว วิ่งเข้าไปกอดเค้าเสียเอง

“แล้วทำไมต้องลากผมมาด้วย”ถึงจะบอกว่าถือโอกาสชวนผมมาพักผ่อน มันก็ยังดูน่าสงสัยอยู่ดีครับ วันอื่นมีตั้งมากมายทำไมถึงเลือกมาช่วงนี้

“ก็แกเป็นเพื่อนสนิทชั้นไง วันพิเศษหรืออะไรพิเศษก็อยากให้แกมาด้วย จะได้ช่วยชั้นตัดสินใจไง”

“อ่ะๆ ไปๆ ไปไหนก็ไป”ผมบอกปัดอย่างปลงๆ กับทั้งคู่ก็นี่มาถึงเชียงใหม่แล้วนิ ผมยังจะปฏิเสธอะไรได้อีกละครับ เราตระเวนกันไปหลายจุด ตากล้องก็ถ่ายแบคกราวน์ไว้ก่อน ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่เห็นความจำเป็นของทั้งคู่เลยที่ต้องมาวันนี้ คือแค่ให้ตากล้องส่งรูปให้ดูก็ได้ หรือกลัวว่ารูปมันไม่จริงอย่างตาเห็น นั่นแหละครับมันไม่ใช่งานผม อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรี ค่าใช้จ่ายข้าวหอมเป็นคนจัดการ หรือพี่โตเป็นคนจัดการก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

“ร้านนี้ เขาว่าเด็ดมากเลยนะแก”ข้าวหอมบอกผมอย่างอารมณ์ หลังจากเราไปตระเวนดูสถานที่ต่างๆ มาจนเกือบทั่วทุกทิศของเชียงใหม่ ก็ได้กลับไปพักที่โรงแรมนิดหน่อย ก่อนจะพากันออกมาหาอะไรทานในช่วงหัวค่ำ

“เขานี่คือใคร”ผมแกล้งถามแหย่กลับไป เพราะนี่มันก็ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าทั่วๆ ไป แต่ดูภาพรวมก็บรรยากกาศดีนะ มีดนดรีโฟล์คซอง แบบไม่อึกทึกครึกโครมมาก เน้นเพลงสบายๆ

“ชั้นอ่านรีวิวมา อาหารอร่อยชัวร์หอมคอนเฟิร์มค่ะ”ข้าวหอมอวดอ้างอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำแล้ว เลยเลือกที่จะเปิดเมนูอาหารแทน รายการอาหารก็เป็นแบบไทยๆ ตามปกตินี่แหละครับ แต่ก็มีอาหารเหนือเพิ่มมาบ้าง

ไม่นานนักอาหาร เครื่องดื่มก็วางเต็มโต๊ะของพวกเรา ก็ทานกันไปแต่ยิ่งทานผมกลับยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับรสชาติของอาหาร ทำไมมันถึงได้คล้ายกันขนาดนี้ มันคงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมอาจจะคิดมากไปเองหรือไม่ก็คงคิดถึงเค้ามากไป นี่มันก็แค่อาหารทั่วๆ ไปใครทำมันก็ต้องออกมารสชาติใกล้เคียงกันนี่แหละ

“เอาละครับ บทเพลงต่อไป วันนี้ผมมีแขกรับเชิญพิเศษ ที่จะขึ้นมาร้องเพลงพิเศษให้กับคนพิเศษของเค้า ยังไงรอฟังกันนะครับว่าจะโรแมนติกขนาดไหน”ผมหันไปมองทางหน้าเวทีก่อนจะหันกลับมามองที่พี่โตกับข้าวหอม นี่นักร้องคงไม่ได้หมายถึงสองคนนี้ใช่ไหม ถ้าใช่นี่ผมว่าแขกในร้านคงต้องทนแสบแก้วหูแน่ๆ เพราะข้าวหอมร้องเพลงได้เพี้ยนสุดยอดแถมเสียงแหลมปรี๊ดอีก ส่วนถ้าเป็นพี่โต ก็ไม่น่าจะใช่คนจะทำอะไรแบบนี้

“อย่าบอกนะว่าเค้าหมายถึงพี่โต”ผมต้องถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าพี่โตกำลังขยับลุกอย่างอายๆ แต่ถ้าเป็นพี่โตจริงๆ ก็ยังดีกว่าเป็นข้าวหอมแหละครับ

“โอ้วมายก็อด ตัวเองจะเซอร์ไพร์สเค้าเหรอ”แทบจะอยากมองบนใส่เพื่อนตัวเองครับ ถ้าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่เตรียมตากล้องมาถ่ายวีดิโอไว้ใช้เป็นพรีเซนเทชั่นในงานแต่งเลยละ

“สาบานว่าไม่ได้เตี้ยมกันมาก่อน”ถ้าให้ผมประเมินคนที่อยากให้มีเหตุการณ์นี้ น่าจะเป็นข้าวหอมบังคับพี่โตทำเสียมากกว่า

“เล่นไปตามเกมสิแก”นั่นไงล่ะ ยิ่งคนในร้านส่งเสียงแซวพร้อมปรบมือให้ ยัยข้าวหอมยิ่งแกล้งทำเป็นเขินเข้าไปอีก

“ที่จริงผมกับแฟนกำลังจะแต่งงานกันครับ และนี่คือสิ่งที่แฟนผมขอร้องให้ช่วยทำ ยังไงต้องขอโทษทุกคนในร้านด้วยนะครับที่รบกวนเวลา”พี่โตเริ่มพูดจนหลายๆ คนในร้านคงเริ่มงง ว่าตกลงนี่มันคือการเซอร์ไพร์สหรือเปล่า

“ที่จริงผมกับแฟนแค่มีหน้าที่หลอกคนๆ นึงมาที่นี่ให้กับคนคนที่จะมาร้องเพลงๆ นี้ครับ”ผมหันควับมองข้าวหอมที่ยิ้มระรื่นอยู่ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร  เสียงกีตาร์ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องหันกลับไปทางเวที ผมว่าตอนนี้แขกในร้านทุกคนคงรู้แล้วว่าคนที่พี่โตหมายถึงคือผม และหลายคนก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยเมื่อเห็นคนที่กำลังเริ่มร้องเพลง

…Isn’t it funny
How times seems to slip away
So fast…

“ทำแบบนี้ทำไม”ผมหันไปต่อว่าข้าวหอมอย่างไม่พอใจ พร้อมกับผุดลุกขึ้น รีบเดินออกนอกร้านโดยไม่ได้สนใจเสียงฮือฮาของคนในร้าน แต่ผมคงลืมไปว่าที่นี่คือเชียงใหม่ และร้านนี้ก็อยู่ลึกพอควรที่ผมจะหาทางออกไปด้วยตัวเอง

“หนีผมทำไม”คนที่น่าจะอยู่บนเวที แต่กลับวิ่งตามผมออกมา

“ทำแบบนี้ทำไม”ผมถามสวนกลับไปอีกรอบพร้อมยกมือห้ามไม่ให้เค้าเดินเข้ามาหาผม แม้ตัวผมเองต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต้องทำแบบนี้ แต่ผมก็ต้องทำ เพราะมันจะได้เป็นการพิสูจน์ว่าเราทั้งคู่จริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ให้มันเป็นไปตามข้อตกลงที่คุณพ่อของเค้าตั้งไว้

“ไม่เจอกันตั้งนานนี่พี่ไม่คิดถึงผมเลยเหรอครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูผิดหวังฉายชัดอยู่ในคำพูดของเค้า แต่ผมว่าคนที่ควรผิดหวังมันควรเป็นผมเองหรือเปล่า ผมยอมรับนะครับว่าผมคิดถึงเค้า คิดถึงมากด้วย ทว่าการที่เค้าทำแบบนี้เค้าคิดบ้างไหมว่ามันจะส่งผลยังไง ถ้าพ่อเค้ารู้เรื่องนี้ละ สิ่งที่เราพยายามมาทั้งหมดมันจะมีประโยชน์อะไร

“พี่ผิดหวังนะที่ภู่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเลย”ผมบอกด้วยเสียงสั่นๆ พยายามกลั้นน้ำตาที่มันกำลังจะเอ่อล้นออกมา เค้าจ้องมองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจ สองขาเค้าค่อยๆ ขยับเหมือนจะก้าวมาหาผม ทำให้ผมเองต้องก้าวถอยหลังเตรียมห่างออกเช่นกัน

“ผม…”เค้าหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นผมตั้งท่าจะถอยห่างเค้า

“ก่อนภู่จะไปเรียนเรามีข้อตกลงอะไรกัน ภู่ลืมแล้วเหรอ”ผมสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนเป็นการสะกดอารมณ์ต่างๆ ในตอนนี้

“เราไม่ควรแอบมาเจอกันแบบนี้ เพราะงั้นภู่กลับไปเถอะ ถือว่าพี่ขอร้อง”ผมกลั้นใจบอกกับเค้า สายตาค่อยๆ สำรวจและจดจำภาพของเค้าเพราะหลังจากนี้เราก็คงไม่ได้เจอกันอีกนานเหมือนเดิม เค้าดูจะซูบไปเล็กน้อย ที่จริงในใจก็อยากจะถามนะครับว่าเค้าเรียนหนักไหม อยู่สบายดีหรือเปล่า แต่ทุกอย่างมันก็จุกอยู่แค่ที่ลำคอ ไม่สามารถพูดออกมาได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอโทษที่มารบกวนนะครับ พี่แปงกลับเข้าไปหาเพื่อนเถอะ ผมกลับเลยก็ได้”เค้าบอกเสียงเศร้าๆ ก่อนจะเบี่ยงตัว ก้าวหลบเปิดทางให้ผม ผมชั่งใจอยู่นิดนึงก่อนจะตัดสินใจก้าว เพื่อกลับเข้าไปหาข้าวหอมกับพี่โต เพราะถ้าจะกลับก่อนผมก็ไม่รู้จะไปยังไงเหมือนกัน

ผมหลบตาไม่มองเค้าตรงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเค้าคงยังจ้องมองผมอยู่ ผมต้องแข็งใจเข้าไว้ แม้ความรู้สึกส่วนลึกในใจของผมตอนนี้มันจะพยายามจะบอกให้ช่างทุกสิ่งอย่าง ลืมมันไปก่อนแล้วดึงอีกคนเข้ามากอด ทั้งที่เค้าอยู่ใกล้ๆ ผมแค่นี้ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่เดินผ่านเค้ามาอย่างเงียบๆ ทั้งที่ระยะทางที่เดินผ่านเค้ามันไม่ถึง 5 ก้าว ผมกลับรู้สึกว่าแต่ละก้าวมันยาวไกลเหลือเกิน

“พี่แปงครับ”เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังเมื่อผมเดินผ่านเค้ามาได้แค่ 2-3 ก้าว ผมหยุด ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปตามเสียงเรียกของเค้า

“ว่างะ…”ไม่ทันที่ผมจะได้ถามถึงเหตุผลที่เค้าเรียกผม ตัวผมก็ถูกดึงเข้าปะทะกับแผงอกของเค้า ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเค้าทั้งตัว ผมได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จะดันเค้าออกก็โดนกอดแน่นเข้าไปอีก

“ขอนาทีเดียว นะครับ ผมขอแค่นาทีเดียว”เค้ากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูของผม ผมลังเลที่จะยกแขนขึ้นกอดตอบเค้า แต่มันมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมหยุดการขัดขืนยืนยิ่งให้เค้ากอด ค่อยๆ ขยับมือขึ้น แน่สุดท้ายผมก็ไม่กล้า

“คิดถึง ลุงรู้ไหมว่าผมคิดถึงลุงมากขนาดไหน”เค้ายังคงกระซิบมาที่ข้างหูผม ในขณะที่ผมเอาแต่ยืนนิ่งเงียบๆ และลดแขนลงแนบลำตัวตามเดิม ผมไม่ได้อยากเย็นชาใส่เค้าแบบนี้ หากแต่ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนเราทั้งคู่กำลังทำผิดข้อตกลงที่ได้เคยให้ไว้ ผมกลัว กลัวว่าถ้าเกิดคุณพ่อของเค้ารู้ขึ้นมา เค้าจะเอามาใช้ปฏิเสธไม่ให้เราคบกันต่อหรือเปล่า ผมกลัว กลัวไปหมดทุกอย่าง น้ำตาที่กลั้นไว้มันค่อยๆ ไหลออกมา

แรงสะอื้นเบาๆ ของผมทำให้อีกคนรู้ตัวว่าผมร้องไห้ เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเลื่อนมือมาจับที่ไหล่ผมขยับให้ตัวผมห่างออก ในขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเค้า นิ้วเรียวของเค้าขยับมาเชยคางให้ผมเงยหน้าขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของผม

“รอผมนะครับ”เค้าค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงมาแผ่วเบาที่ริมฝีปากผม ครู่ใหญ่กว่าเค้าจะถอนริมฝีปากออกไป เค้าส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินไปขึ้นรถที่ห่างออกไป ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นจนรถของเค้าลับตาไป

“แกโอเคไหม”เสียงข้าวหอมที่มายืนอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทีแรกผมก็กะว่าจะโกรธเพื่อนสนิทคนนี้อยู่เหมือนกันนะครับที่รวมหัวกันทำอะไรแบบนี้ แต่สภาพจิตใจผมตอนนี้ทำให้ผมพักความรู้สึกนั้นไว้ก่อน ผมเดินเข้าไปซบลงที่ไหล่ของข้าวหอมอย่างหาที่พึ่ง ทั้งที่ผมพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่เพียงได้เจอเค้าแค่ไม่กี่นาทีแค่นี้ นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทนต่อไปได้อีกนานขนาดไหน กับการที่จะไม่ได้ติดต่อกับเค้า





TBC
------------------------------------------------
อีกนิด

อีกนิดจะให้เค้าสมหวังละ

555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-09-2017 14:25:04
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-09-2017 15:27:47
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-09-2017 18:16:52
 :o12:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-09-2017 19:32:18
 :mew1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-09-2017 20:08:08
ลุง ซื่อตรงมากกับคำสัญญา  :katai2-1:
แม้คิดถึง อยากเจอ อยากกอดภู่   :z3: :z3: :z3:
ก็ตัดใจ แม้ภู่กอดลุง ลงก็ไม่ยอมกอดตอบ  :mew2:
ซี่อสัตย์ เถรตรงสุดๆไปเลย
เพราะกลัวพ่อภู่รู้   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-09-2017 22:03:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-09-2017 08:27:23
พี่แปงยึดมั่นกับคำสัญญา เพราะคิดว่าอนาคตจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปใช่มั๊ย

สงสารทั้งคู่เลยอ่า  ทั้งที่คิดถึงแทบตาย แต่ก็ต้องยั้งใจเพื่อไม่ให้ผิดคำสัญญา   :mew6:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-09-2017 11:24:32
 :man1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 24-09-2017 16:43:13
อ่านตอนนี้น้ำตาซึมเลย แงๆ :o12:
เสิร์ฟของหวานด่วน พลีสสส
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 42 คนพิเศษ (22-09-17)
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 28-09-2017 06:42:44
ทั้งเสียใจกับภู่  ทั้งสงสารแปง  ตีกันไปหมด

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 43 นัดสำคัญ (02-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-10-2017 21:16:20
บทที่ 43
นัดสำคัญ




“อะไรนะ นี่ถ่อมาถึงนี่เพื่อจะให้พาไปกินส้มตำเนี่ยนะ”ผมมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ท้องโตเดินอุ้ยอ้ายเข้าถึงโต๊ะทำงานผม ตามมาด้วยผู้เป็นสามีอย่างพี่โต ตอนนี้ข้าวหอมกับพี่โตแต่งงานกันมาได้ปีกว่าแล้วแหละครับ และข้าวหอมก็กำลังท้องลูกชายคนแรก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะถึงกำหนดคลอดแล้ว

“พี่บอกแล้วว่าพี่พาไปเองก็ได้ ไม่อยากให้มารบกวนแปงก็ไม่ยอม”พี่โตบอกอย่างเกรงใจ แต่ผมก็พอจะรู้ฤทธิ์เดชของเพื่อนสนิทของผมคนนี้ดีแหละครับ แล้วไหนจะกำลังท้องนี่อีก จากที่เป็นคนเอาแต่ใจอยู่แล้ว ยิ่งหนักขึ้นไปอีกเห็นแล้วก็เหนื่อยแทนพี่โตไหนจะทำงาน ไหนจะดูแลภรรยาจอมเยอะนี่อีก

“พี่โต ก็หอมบอกแล้วไงว่ากินกับพี่โต 2 คนมันไม่อร่อยส่วนแกนะแปง ชั้นยิ่งหิวๆ อยู่แกจะไปดีๆ หรือต้องให้คนท้องอาละวาด”นั่นไงเอาเข้าไป ผมได้แต่หันสบตากับพี่โต ยิ้มแห้งๆ ให้กันอย่างปลงๆ

“ขอเวลา 5 นาทีในการถ่ายโอนงานเพราะจริงๆ บ่ายนี้เพื่อนมีนัดกับลูกค้านะครับแม่หอม”ผมบอกด้วยน้ำสียงหยอกแกมประชดหน่อยๆ เพราะคงขัดใจคนท้องนี่ไม่ได้แน่ๆ ส่วนงานของผมวันนี้ที่จริงก็แค่ออกไปเจอลูกค้าประจำอย่างพี่ปุ๊กนั่นแหละครับ ผมกดเบอร์หาพี่ปุ๊ก แต่กลับโดนตัดสาย

“วันนี้พี่ติดธุระ ยังไงจะมีตัวแทนจากทางพี่ไปหาน้องแปงแทนนะคะ”คล้อยหลังไม่นานผมก็ได้ข้อความตอบหลับจากพี่ปุ๊ก แบบนี้ผมเองก็คงไม่ต้องกังวลอะไรมั้งที่จะให้คนอื่นไปแทน เพราะจริงๆ เราก็ทำธุรกิจด้วยกันมานานแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรผิดพลาดสักเท่าไหร่ ผมรีบจัดแจงมอบหมายหาคนรับผิดชอบแทนอย่างด่วนเพราะเกรงว่าคนท้องที่จ้องผมอยู่จะโมโหหิวจนอาละวาดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ชินสักทีกับการที่แกต้องทำงานแบบนี้”เสียงบ่นตามประสาดังมาเรื่อยๆ ครับเรื่องนี้ผมโดนคุณเธอบ่นประจำ เมื่อเราสองคนมีเวลาว่างให้กันเสมอ แต่ช่วงหลังยิ่งตั้งแต่ตอนที่ผมเข้ามาช่วยงานเจ้ปอ ก็เรียกว่าเวลาที่จะได้เจอกันก็น้อยลงไปอีก ซึ่งไอ้คนที่ไม่ว่างมันก็แค่ผม ส่วนข้าวหอมไม่ต้องพูดถึง ว่างตลอด แล้วนี่แต่งงานแล้วพี่โตยิ่งประคบประหงม แต่อีกเดี๋ยวหลังคลอดก็คงไม่ว่างแล้ว คงยุ่งกับการเลี้ยงลูกจนอาจลืมเพื่อนอย่างผมก็เป็นได้

“ไหนบอกว่าหิวไงครับคุณแม่ รีบสั่งสิ”ผมเปลี่ยนประเด็นโดยไม่สนใจในสิ่งที่ข้าวหอมบ่นมาสักเท่าไหร่ พอผมพูดจบข้าวหอมก็ร่ายยาวบอกน้องพนักงานที่มารับออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว เพราะรายการอาหารในหัวนี่คงไม่ต้องคิดมันแทบจะออกมาเองโดยอัตโนมัติ

ผมมองภาพสองสามีภรรยา ที่นั่งตรงข้ามอย่างขำๆ พร้อมกับค่อยๆ ยิ้มออกมามันรู้สึกเป็นสุขนะครับ ที่เห็นคนที่เรารักมีวันนี้คนสองคนรักกันแต่งงานสร้างครอบครัว กำลังจะมีลูกน้อยตัวเล็กๆ แต่พอมองย้อนกลับมาที่ตัวผมเองผมก็ต้องค่อยๆ หุบยิ้มลง นี่ก็ครบ 4 ปีแล้ว ที่ใครอีกคนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

ที่จริงมันเกิน 4 ปีมาหลายเดือนแล้วด้วยซ้ำแต่ผมก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเค้า ไม่รู้ว่าเค้าเรียนจบหรือยัง จะกลับมาเมื่อไหร่ยังไง หรือเค้ายังเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลย

“แปง เป็นไรหรือเปล่า”ผมรีบปรับสีหน้าและส่งยิ้มให้กับข้าวหอมเพราะนี่คงจับสังเกตสีหน้าผมได้สินะ

“ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดภาพแกเลี้ยงลูกว่าจะออกมาเป็นยังไง”ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนมาคิดมากอะไรกับผมมากนัก อีกอย่างเรื่องของภู่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ข้าวหอมกับพี่โต วางแผนให้ผมไปเจอกับภู่ที่เชียงใหม่ ผมก็สั่งห้ามทั้งคู่เด็ดขาดว่าไม่ต้องเอาเรื่องของผมไปบอกกับภู่ แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องของภู่มาบอกกับผมด้วยเช่นกัน

ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าวันนั้นเรื่องมันไปถึงครอบครัวของภู่หรือเปล่า แต่ในเมื่อทุกครั้งที่ผมเจอพี่ปุ๊กก็ยังไม่เห็นมีการบอกอะไรว่าข้อตกลงมีการเปลี่ยนแปลงไป เพราะงั้นทุกวันนี้ผมก็ทำได้แค่รอ และหวังว่าอีกคนจะยังเหมือนเดิมเมื่อเค้ากลับมา

อีกคนที่ช่วยผมได้เยอะในเรื่องนี้ก็คือพี่ตี๊ฟครับ เวลาที่ผมรู้สึกท้อหรือเหนื่อย คนที่มีคำแนะนำ ให้กำลังใจและก็ดูเป็นคนที่ผมระบายความรู้สึกให้ฟังได้อย่างเต็มที่ ส่วนนึงที่ผมชอบจะปรึกษาพี่แกก็คงเพราะพี่ตี๊ฟเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับผม แม้ของผมจะดูแย่กว่าก็เถอะ

บางครั้งก็กลัวแกรำคาญหรือเบื่อผมเหมือนกันนะครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็มีบ้างที่พี่ตี๊ฟเองมาบ่นเรื่องเฮียเชษฐ์ให้ผมฟัง พอผมเองได้ฟังเรื่องของทั้งคู่ มันก็ยิ่งทำให้ผมมีกำลังใจที่จะรออีกคน รอว่าวันนึงผมเองคงได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกับพี่ตี๊ฟและเฮียเชษฐ์

“เอาจริงๆ นะแกชั้นเองยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะเลี้ยงลูกยังไง”ข้าวหอมบอกอย่างไม่ได้จริงจัง ก่อนจะลงมือจัดการความแซ่บตรงหน้า ผมเองปรับอารมณ์ให้ดูร่าเริงไปกับบรรยากาศของเพื่อน ยิ่งตอนนี้เพื่อนผมท้องอยู่ก็ไม่อยากให้เค้ามากังวลอะไรกับความรู้สึกผมมากนัก ผมว่าผมยังไหว ยังรอเค้าได้

“ครับ ว่าไงครับ”หลังจากทานส้มตำกันไปได้สักพักคนที่ผมฝากให้ไปติดต่องานแทนก็โทรเข้ามา

“คือว่าลูกค้าที่คุณแปงให้ผมมาเจอวันนี้นะครับ…”จากน้ำเสียงที่ได้ยิน ผมว่าคงไม่ใช่สัญญานที่ดีแน่ๆ ผมขอตัวลุกจากโต๊ะที่ทานอยู่เพื่อหามุมที่คุยสะดวกกว่าเดิม

“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”เมื่ออีกฝ่ายมัวแต่อ้ำอึ้ง เลยเป็นผมเองที่ต้องจี้ให้เข้าประเด็นเสียที ผมพยายามนึกว่ามันจะมีปัญหาอะไร ในเมื่อผมคุยตกลงกับพี่ปุ๊กไว้แทบจะทุกอย่างแล้ว อีกอย่างวันนี้พี่ปุ๊กเองก็ส่งตัวแทนมา ไม่น่าจะมาขอแก้ไขอะไรนี่นา

“คือลูกค้ายืนยันว่าจะให้คุณแปงมาเองนะครับ ผมอธิบายยังไงก็ไม่ยอม”ยังไงละเนี่ย แต่อย่างว่าผมเองก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ปุ๊กด้วยสินะว่าจะให้คนไปแทน ผมวางสายแล้วกดหาพี่ปุ๊กแทน แต่ก็เหมือนเดิมครับพี่ปุ๊กไม่รับสายผม สงสัยจะติดธุระอยู่

“สงสัยต้องขอตัวก่อนวะแก เหมือนงานจะมีปัญหา”ผมกลับเข้ามาบอกกับข้าวหอม โชคดีที่พอได้รับการเยียวยาจากปลาร้าแล้ว ข้าวหอมเลยอารมณ์ดี ไม่เหวี่ยงวีน ยอมให้ผมปลีกตัวไปพบลูกค้าได้

“คุณแปงอีกนานไหมครับกว่าจะถึง”ผมถูกโทรตามอีกครั้ง จนเริ่มชักอยากรู้แล้วว่าวันนี้พี่ปุ๊กส่งใครมา ทำไมดูมันเหมือนจะวุ่นวายได้ขนาดนี้

“น่าจะไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะครับ”ผมกะเวลาจากสถานที่ตอนนี้ถึงจุดที่นัดพบ ก็ถือว่าไม่ไกลมาก ยังดีที่นี่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนอะไร แต่ผมก็คงต้องรีบทำเวลาสักหน่อย เพราะถ้าทางนั้นจะรอพบผมจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้คงต้องเรียกว่าเค้ารอผมอยู่นานแล้วเหมือนกัน ทีแรกผมก็คิดว่าฝั่งผมไม่ผิดนะครับ ที่ให้ตัวแทนไป

พอคิดดูอีกที ปกติก็มีแค่ผมไปเอง แถมครั้งนี้ก็ไม่ได้แจ้งทางนั้นไว้เป็นกิจลักษณะ ผมเองก็ลืมไปว่าเรื่องของธุรกิจ มันไม่ใช่จะมาอาศัยความสนิทสนมส่วนตัวอะไรมาก บางอย่างมันก็คงต้องยังให้เป็นทางการอยู่

“ขอโทษนะครับ ที่เคลียร์ไม่จบ ยังต้องให้คุณแปงลำบากตามมาแบบนี้”คนที่มาแทนผมออกมารับผมด้วยความร้อนใจ แถมดูกังวลว่าผมจะตำหนิ

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงเดี๋ยวผมลุยต่อเอง พี่กลับออฟฟิศเลยก็ได้ครับ”ผมบอกให้เค้าผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะถามถึงลูกค้าว่ารออยู่ตรงไหน ปกติผมกับพี่ปุ๊กก็นัดกันร้านนี้ประจำแต่เพราะค่อนข้างมีความส่วนตัว สามารถคุยรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล

หลังจากรู้หมายเลขโต๊ะแล้วผมก็เดินเข้าร้านอย่างคุ้นเคย เพราะมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนแล้วละครับ ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่หยุดโค้งต้อนรับในขณะที่เดินสวนกัน พอเข้าไปใกล้โต๊ะที่นัดสายตาผมก็เห็นแผ่นหลังของคนที่รออยู่ไม่ไกลนัก

“ไม่ใช่หรอกมั้ง”ผมหยุดเดินพึมพำกับตัวเอง

ผมค่อยๆ ก้าวช้าๆ พร้อมใจที่เต้นระรัว เพราะแผ่นหลังที่เห็นมันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน ประกอบกับที่อะไรหลายๆ อย่างในวันนี้ทั้งพี่ปุ๊กไม่มาเอง และไม่รับโทรศัพท์ผม รวมถึงเจ้าของแผ่นหลังนี่อีกที่ยืนยันจะเจอผมให้ได้ เพราะงั้นผมขอเข้าข้างตัวเองไปก่อนแล้วกันนะครับว่าคนตรงหน้านี้

“นึกว่าลุงจะไม่มาซะแล้ว”

ยังไม่ทันที่ผมจะเดินอ้อมไปด้านหน้าของเค้า กลับกลายเป็นเค้าเสียเองที่หันมา และลุกมายืนเผชิญหน้ากับผม ผมแทบจะยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเค้า

“คิดถึง”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว เหมือนแค่ละเมอออกมาเสียมากกว่า คนตรงหน้าทำหน้ายู่เมื่อเห็นอาการนิ่งๆ ของผม มันไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจหรือไม่ยินดีที่เจอเค้านะครับ แต่ผมกำลังดีใจจนบอกไม่ถูกมากกว่า อยากจะมองเค้าให้เต็มตามากกว่านี้ว่าหลายปีที่ไม่ได้เจอกันเค้าเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่น้ำใสๆ ก็กำลังจะไหลมาปิดดวงตาของผมแล้ว

“ไม่ดีใจเหรอที่ผมกะ…”

“คิดถึง คิดถึงมากๆ เลย”ผมโผเข้ากอดเค้าแน่นอย่างไม่อาย ไม่ปล่อยให้เค้าพูดอะไรอีก สองแขนของผมโอบเค้าไว้เหมือนกลัวว่าที่กอดอยู่นี่ไม่ใช่ของจริง หรือถ้าผมคลายอ้อมกอดออก เค้าจะให้ไปหรือเปล่า

“ไม่ร้องสิครับ คนเก่งของผม ผมอยู่นี่แล้วไง”ฝ่ามือที่ยีเบาๆ บนหัวผมช่วยยืนยันว่าที่ผมกอดอยู่นี่คือของจริง ไม่ใช่ความฝัน เค้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริงๆ สินะ

“จะไม่หนีไปไหนอีกแล้วใช่ไหม”อาจจะดูเป็นคำถามงี่เง่าปัญญาอ่อน แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าไปไหนอีกแล้ว แม้จะบอกตัวเองเสมอว่าผมรอไหว ผมยังเข้มแข็งได้อีก แต่จริงๆ แล้วผมว่าผมโคตรจะอ่อนแอเลย

“กลัวผมหายไปเหรอครับ”เสียงกระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเอ็นดูนั้น ทำเอาผมเขินจนต้องซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเค้าอย่างลืมตัว ลืมว่านี่เรายังอยู่ในร้านอาหาร

“สัญญาสิว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”ผมยังคงกอดเค้าแน่น จนอีกฝ่ายต้องหลุดขำออกมาเบาๆ กับสิ่งที่ผมทำตอนนี้ แม้ปีนี้อายุผมใกล้จะเฉียดเข้าเลข 3 แล้วแต่กลายเป็นว่าผมเหมือนกำลังทำตัวเด็กกว่าคนตรงหน้านี่แล้ว

“น่าจะยังมีที่ต้องไปอยู่นะครับ”

“ไปไหน”ผมผละออกจากเค้าอย่างรวดเร็ว มองหน้าอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ แต่เค้ากลับยิ้มชอบอกชอบใจ ก้มลงมากระซิบข้างหูผม

“ไปหาที่คุยกันให้หายคิดถึง”





TBC
—————————————————————————————
เจอกันแล้ว

ตอนนี้ก็สั้นไปนิดอีกแล้ว

แต่ยังไงเค้าก็ได้เจอกันแล้วเนอะ

จากนี้ก็รอดูต่อว่าจะมีอะไรอีกหรือเปล่า

พ่อแม่ของภู่โอเคหรือยัง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจกันมานะฮ่ะ

นี่ก็โค้งสุดท้ายของเรื่องนี้แล้ว อีกไม่กี่ตอนก็คงจบแล้ว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 43 นัดสำคัญ (02-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-10-2017 21:41:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 43 นัดสำคัญ (02-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-10-2017 00:14:10
สั้นได้อีก  จิลงแดงแล้วค่า    :katai1:

รอมา 4 ปี เพิ่งจะเจอกันก็วันนี้ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น ได้อยู่ด้วยกันซะทีนะ 
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 43 นัดสำคัญ (02-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2017 10:57:25
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 43 นัดสำคัญ (02-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-10-2017 20:51:51
รุ้สึกพลาดมากที่ไม่ได้กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้
คือเรื่องสนุก เราชอบมากๆๆๆๆๆๆ
เสียดายอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-10-2017 14:47:08
บทที่ 44
ด้วยความคิดถึง





“ย้ายมาอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”เค้ารับแก้วน้ำจากผมไปพร้อมกับเอ่ยถาม เพราะตอนนี้เราออกจากร้านอาหารที่เจอกันในตอนแรกแล้ว และมาอยู่ที่คอนโดของผมแทน

“ก็ไม่ได้อยู่ประจำหรอก แค่ถ้าวันไหนเหนื่อยๆ ขี้เกียจกลับบ้าน หรือวันไหนมีงานเช้ามากก็มาค้างที่นี่”ผมนั่งลงที่โซฟา มองดูอีกคนที่เดินสำรวจห้องผมอย่างสนอกสนใจ

“เคยมีผู้ชายคนไหนมาที่นี่ก่อนผมหรือเปล่า”

“ก็มีนะ”แต่เดี๋ยวนะครับ นี่มันคำถามอะไรของเค้าครับเนี่ย แอบหึงผมละสิ อดที่จะอมยิ้มกับปฏิกิริยาของเค้าไม่ได้

“ใคร”เค้าวกกลับมายืนคร่อมผม ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แค่บอกว่าเคยพาผู้ชายมาคอนโดแค่นี้ทำเป็นหึง แล้วดูทำท่าทางเข้าผมต้องรีบยกมือขึ้นยันไว้เพราะนี่เค้าก้มมาจนหน้าเราจะชิดกันอยู่แล้ว ไหนว่ามีเรื่องจะคุยกันเยอะแยะ แต่ถ้ามาใกล้มากๆ แบบนี้ผมกลัวมันจะไม่ได้คุยเสียมากกว่าแหละครับเนี่ย

“คอนโดมันก็ไม่เชิงของพี่คนเดียว บางทีเจ้ปอกับเฮียต๊าฟก็มาค้างบ้าง โน่นนะห้องเจ้ปอ ส่วนนี่ห้องพี่”ผมอธิบายพร้อมชี้บอกรายละเอียดก่อนที่อีกคนจะเข้าใจผิดอะไรไปอีก

“แล้วไป”

“มาคุยเรื่องภู่ต่อดีกว่า ตกลงกลับมาทำไมไม่บอกกันมั่ง”ผมถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อนิดหน่อย ก็จะไม่ให้น้อยใจได้ไงละครับ ที่จริงเค้ากลับมาตั้งเกือบสัปดาห์แล้ว เพิ่งจะมาเจอผมเนี่ย คนนับวันรออย่างผมนี่ก็รอไปเถอะ

“อย่าน้อยใจไปสิครับ ผมก็แค่อยากเซอร์ไพรส์ อยากให้เราสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ เลยคิดว่าทำธุระอะไรให้เสร็จแล้วค่อยมาเจอดีกว่า”ผมพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่เค้าบอก แต่ที่ไม่เข้าใจคือการที่นั่งลงข้างๆ ผมแล้วดึงจะให้ผมไปนั่งตักเนี่ยแหละครับ

“ทำไรเนี่ย”

“ทำให้แปงหายคิดถึงผม”เค้าตัวโตขึ้นหรือผมตัวเล็กลงเนี่ย รู้สึกตั้งแต่ตอนกอดเค้าแล้วว่านอกจากเค้าจะสูงขึ้นแล้วตัวยังหนากว่าเดิมอีก นี่ตัวผมก็แทบจะปลิวตามแรงดึงของเค้าให้ขึ้นมานั่งตักหันหน้าชนกันแล้วครับเนี่ย จมูกของเค้ากดลงมาที่ซอกคอของผม

“คะ…คุยกันก่อน”ผมบอกเสียงตะกุกตะกักเพราะเหมือนเราจะอยู่ในท่าที่หมิ่นเหม่ไปในทาง 18+ แล้วแถมมือไม้เค้าก็ดูจะหลุดเข้าไปข้างในเสื้อผมเรียบร้อยแล้ว

“ทำอย่างอื่นให้หายคิดถึงก่อน ค่อยคุยทีหลังนะครับ…นะ…นะ”ไอ้น้ำเสียงอ้อนๆ กับไอ้การเอาจมูกเค้ามาเขี่ยจมูกผมเนี่ยเกือบทำผมเคลิ้มไปกับคนเจ้าเล่ห์นี่แล้วครับ แต่นี่มันเพิ่งจะกี่โมง และผมเองก็ยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากถาม อยากคุย อยากเล่าให้ฟัง ถ้าเกิดผมยอมเค้าตอนนี้ผมรู้เลยว่าอย่างผู้ชายตรงหน้าเนี่ย คงไม่ใช่รอบเดียวแน่ๆ และมันคงทำผมหมดแรง จนไม่สามารถคุยอะไรได้แน่ๆ เพราะงั้นเราสองคน ควรคุยกันก่อนครับ

“เมื่อกี้เรียกพี่ว่าไง”คุ้นๆ ว่าเค้าไม่เรียกผมลุงไม่เรียกผมพี่แล้วนะครับ ถามจบผมก็ผละเอนตัวออกจากเค้าเล็กน้อย เกลี่ยนิ้วไปบนริมฝีปากของเค้า นี่ไม่รู้เป็นการถ่วงเวลาของผม หรือจะเป็นการเร่งให้เค้าหมดความอดทนกันแน่ ผมเองก็ชักไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกัน

“แปงครับ แปงของภู่”ผมขมวดคิ้วกับการย้ำในคำตอบของเค้า

“ไม่ชอบเหรอครับ”

“มันก็ไม่ใช่ แต่มันไม่คุ้น มันไม่ชิน”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะแต่ก่อนก็เรียกผมลุงบ้าง พี่บ้าง อยู่ๆ จะมาเรียกชื่อกันเฉยๆ มันก็รู้สึกแปลกๆ แหละครับ อีกอย่างอายุเราก็ไม่ได้ไล่เลี่ยกันขนาดนั้น

“ก็ไม่อยากเรียกลุงหรือเรียกพี่แล้ว”แหนะมาทำหน้างอใส่ผมอีก ผมไหมละที่ต้องเคืองเค้าบทจะอยากเรียกลุงก็เรียกทั้งที่เราไม่เต็มใจ แต่พอเราชินไปแล้ว ก็จะมาหักดิบเปลี่ยนเองเสียดื้อๆ ทีคำทักทายคำแรกที่เจอกันยังเรียกผม “ลุง” อยู่เลย

“ทำไมกลัวคนมองว่าคบคนแก่เหรอ”ประชดไปก็เจ็บจี๊ดเองครับ ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแก่ แต่ความจริงที่ว่าผมอายุมากกว่าเค้าตั้งหลายปีมันก็คือเรื่องจริง และผมก็คงวิ่งเข้าหาคำว่าแก่ได้ก่อนเค้าแน่นอน

“เปล่า…ก็แค่ไม่อยากเป็นน้อง ไม่อยากเป็นหลาน ก็เลยจะเลิกเรียกพี่ เลิกเรียกลุง”แหมพูดชงมาขนาดนี้ ผมต้องรับมุกสินะครับเนี่ย จะบอกว่าอยากเป็น “แฟน” ละสิ

“แล้วอยากเป็นอะไร”ผมแกล้งถามเหมือนรู้ไม่ทัน ส่วนอีกคนนะเหรอครับ ทำเป็นยิ้มกริ่มกะว่าผมจะเขินละซิ ฝันไปเถอะไม่ได้แอ้มผมหรอกครับ

“อยากเป็นผัว”อ้าวเฮ้ย เล่นงี้เลยเหรอนี่ แล้วไหนจะสองมือที่เอื้อมมาบีบสะโพกผมด้วย เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลยทีนี้ ก็ใครจะไปคิดว่าจะมาเสียฮาร์ดคอร์ขนาดนี้

“ทะลึ่ง”ผมตีแขนเค้าเบาๆ

“เขินอะดิ เขินอะดี๊”ยังครับยัง ยังจะมาแซวอีก สรุปนี่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยใช่ไหมเนี่ย โอเคผมยอมแพ้ เรื่องคุยคงต้องพักไว้ก่อนผมตอนนี้คงต้องหาอะไรทำให้เราทั้งคู่หายคิดถึงกันเสียก่อน ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้าก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา และมันคงเป็นรอยยิ้มออกจะเอ่อ…ยั่วยวนไปสักนิด แต่ก็นั่นแหละครับ ไหนๆ นี่มันคือครั้งแรกในรอบ 4 ปีของเราทั้งคู่ มันก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าจดจำสักหน่อย

“ยิ้มแบบนี้นี่ บอกไว้เลยนะครับว่าอาจจะไม่ได้ออกจากคอนโดนี้ หึหึ”แล้วเราทั้งคู่ก็เหมือนมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ริมฝีปากบดเบียดกันประหนึ่งว่าต่างคนต่างโหยหา แต่จะว่าไปตอนนี้เราสองคนเหมือนพวกอดอยากมานานเสียมากกว่า นี่ผมเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ว่าไม่ควร เล่นตัวอยู่เสียตั้งนาน

“อื้อ…คิดถึงรสจูบนี้ อ่าห์”ผมบอกเสียงกระเซ่า หอบหายใจถี่เพราะต้องรีบสูดอากาศเข้าปอดหลังถอนริมฝีปากออกจากกัน เสื้อผ้าของเราทั้งคู่ต่างถูกถอดทิ้งอย่างไม่ใยดี มือผมถูกจับลากไปตามแผงอกของเค้า ลากต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง

“แล้วคิดถึงนี่ด้วยไหมครับ”มือของผมสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง และร้อนรุ่ม แต่แทนที่จะดึงมือกลับ  ผมก็หันไปส่งสายตาให้เค้าแบบที่คิดว่าหวานเยิ้มมากที่สุด และครอบปากลงไปที่แกนกลางลำตัวของเค้า แทนคำตอบที่เค้าเอ่ยถามมา

“อืม…อ่าห์”เค้าส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจ นั่นยิ่งทำให้ผมเองก็มีความรู้สึกต้องการเพิ่มมากขึ้นไปอีกด้วยเช่นกัน ผมใช้ปากให้กับเค้าอยู่พักนึง ก่อนจะถูกเค้าดึงตัว เลื่อนขึ้นไปจูบกับเค้าอีกครั้ง ผิวหนังของเราทั้งคู่ที่เสียดสีกันแทบทุกสัดส่วนนั้น เหมือนยิ่งเพิ่มความกระสันของเราทั้งคู่มากขึ้นไปอีก

แกนกลางลำตัวของเราทั้งคู่ ถูกมือหนาของเค้ากอบกุมไว้ด้วยกัน ค่อยๆ รูดขึ้นลงช้าๆ แล้วเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องบิดตัว เม้มปากพยายามไม่ส่งเสียงออกมา แม้จะรู้สึกเสียวซ่านมากก็ตามที แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกระหว่างเรา แม้ผมจะตั้งใจว่าครั้งนี้จะให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายให้เต็มที่ แค่สุดท้ายผมก็ยังเขินอายอยู่ดี

“ถ้า แฮ่ก เสียวก็ร้อง แฮ่ก ออกมา”เสียงแหบพร่าที่กระซิบมาแบบกระท่อนกระแท่น ทำให้ผมคล่อยๆ ผ่อนคลายอาการพยายามกลั้นเสียงนั้น แล้วก็หลุดครางเสียงต่ำออกมาจนได้

“อ๊ะ อ๊า”อีกฝ่ายเหมือนจะพออกพอใจที่ได้ยินเสียงของผม

“ร้องอีกสิ ผมชอบเสียงร้องของแปงนะ”เสียงกระซิบที่ข้างหูยังคงส่งเสียงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างกับมือของเค้าที่เร่งจังหวะขึ้น และคงเพราะผมเองไม่ได้ปลดปล่อยมาเสียนาน ทำให้การที่โดนเค้าจู่โจมเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ผมก็จะปล่อยออกมาเสียแล้ว ผมพยายามแล้วที่จะกลั้นไว้ก่อน แต่อีกคนก็เหมือนจงใจแกล้งเร่งมือขึ้นไปอีกจนในที่สุด

“อ๊ะ..อ๊ะ…อ้าห์”ผมโผเข้ากอดอีกคนแน่น ก่อนจะกระตุกตัวอีกหลายครั้ง ขาเกร็งปลายเท้าจิกเข้าหากัน รับรู้ได้จากความรู้สึกว่าผมปลดปล่อยออกมา มากมายเหลือเกิน แถมตอนนี้มันเปรอะเปื้อนไปหมด ทั้งบนตัวผมและตัวเค้า แถมมีกระเด็นลงโซฟาอีกด้วย หวังว่าเจ้ปอคงยังไม่มีแพลนมาค้างที่นี่ในช่วงนี้นะครับเนี่ย

“แฮ่ก แฮ่ก”ผมหอบหายใจ ทั้งที่ก็ยังเกาะร่างอีกฝ่ายเอาไว้เสียแน่น

“นี่แค่เริ่มต้น วันนี้ผมจะทำให้แปงปลดปล่อยออกมาจนหมดตัวเลยคอยดู”มันช่างเป็นคำขู่ที่น่ากลัว แต่มีเหรอครับที่วันนี้ผมจะกลัว ผมรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอด  แม้จะยังหอบหายใจอยู่ ก็ต้องรีบเตรียมรับมือกับคนตรงหน้านี่เสียก่อนครับ แน่นอนอยู่แล้วว่าเค้าไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจหายคอหรอกครับ ก็เจ้าตัวเค้ายังไม่ได้ปลดปล่อยออกมาเลยนี่สิ

เค้าผละจากผมไปควานหาบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของเค้า สิ่งที่เห็นทำเอาผมเกือบหลุดขำ นี่เค้าถึงขั้นพกเจลหล่อลื่นติดตัวมาตั้งแต่วันแรกที่จะมาพบผมเลยใช่ไหมเนี่ย

“หื่น”ผมพูดหยิกแกมหยอกตอนที่เค้ากลับมาประกบปากจูบผมอีกครั้ง

“ก็ไม่อยากให้เจ็บไงครับ”น้ำเสียงที่ตอบกลับผมมานี่ผมว่าอีกไม่นานผมคงต้องรับศึกหนักแน่ๆ เพราะดูเค้าจะอดทนไม่ไหวแล้ว เร็วยิ่งกว่าความคิดผมเสียอีกครับ เพราะนิ้วเรียวของเค้าเหมือนจะป้ายเจลไปที่ช่องทางคับแคบของผมแล้ว

“อ่ะ”เมื่อรับรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย แม้มันเพิ่งจะเป็นเพียงนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวของเค้าก็เถอะ แต่การร้างลาเรื่องนี้มานาน ทำให้ผมต้องบิดตัวผ่อนลมหายใจ เพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองเกร็งมากจนเกินไป จากหนึ่งนิ้ว กลายเป็นสองและสามในเวลาเพียงไม่นานแม้มันจะไม่ได้เจ็บสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องใช้เวลาสักนิดให้ผมได้รับความคุ้นเคย

จากความรีบร้อนของอีกคน นี่คงอดใจไม่ไหวแล้วละครับ นิ้วมือของเค้าถูกถอนออกไปกดวนอยู่ที่ปากทางแป๊บเดียว เสียงฉีกซองถุงยางก็ดังมาเบาๆ นี่ดูเค้าเตรียมพร้อมมาทุกอย่างเหลือเกินนะครับเนี่ย ช่างมั่นใจเสียเหลือเกินว่าวันนี้จะเผด็จศึกผมได้ แต่มันก็ได้จริงๆ นั่นแหละเนอะ

“ช้าๆ ก่อนนะ”มือผมยกขึ้นมาดันตัวเค้าไว้เล็กน้อย เจลหล่อลื่นถูกเทลงมาที่ปากทางเพิ่มอีก จากนั้นแท่งแกนกลางของเค้าก็ค่อยๆ กดเค้ามาทีละนิด นี่ขนาดว่ามีการช่วยเปิดช่องทางบ้างแล้ว มันก็ยังเหมือนเข้ามายากอยู่ดี

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว อยากกระแทกแปงเหลือเกิน”เค้าสอดใส่เข้ามาจนสุดแล้ว แต่โดนสองขาของผมเกี่ยวรัดลำตัวเค้าไว้ยังไม่ให้ขยับมากนัก จนผมเริ่มรู้สึกว่าคุ้นชิ้นแล้ว จึงค่อยๆ คลายขาที่รัดตัวเค้าไว้ เค้ากดสะโพกเบียดเข้ามาช้าๆ แล้วถอดกลับไปเป็นจังหวะ จากเนิบนาบ อ่อนโยนมันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงและเร็วขึ้น

“ภะ…ภู่ เบา เบาหน่อย”เมื่อความเสียวซ่านเล่นงานผมอย่างหนักตอนแรกมันก็เป็นความเสียว แต่พอมันเริ่มรุนแรงขึ้นผมก็ต้องร้องปรามเพราะเริ่มจะรับไม่ไหว แถมนี่ผมว่าตัวเค้าโตขึ้นกว่าเดิมมากเลยทีเดียว เรี่ยวแรงก็คงอยู่ในวัยหนุ่มเต็มตัวแล้วสินะ เค้าไม่ใช่แค่เด็กมัธยมอีกแล้ว

“โทษทีครับ มันยั้งอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ”เค้าผ่อนจังหวะลง แต่เหมือนหลอกให้ผมตายใจ เพราะพอตั้งใจโดนจุดกระสันของผมแล้ว เค้าก็กระแทกใส่ผมมาแรงกว่าเดิมเสียอีก กลายเป็นว่าผมเองก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามสัญชาตญานแล้ว ก็ตอนนี้สมองผมมันแทบจะขาวโพลนไปหมดแล้ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังระงมไปหมด เหงื่อของเราทั้งคู่ที่ผุดขึ้นมาแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน

มือที่เอื้อมมารูดรั้งแกนกลางของผม ทำให้ผมกำลังจะปลดปล่อยออกมาอีกแล้ว

“รอก่อน รอพร้อมกัน”อีกคนที่เหมือนจะรู้ว่าผมใกล้ถึงเต็มที บอกพร้อมเร่งจังหวะขึ้น เพียงไม่นานผมก็กลั้นไว้ไม่อยู่ปลดปล่อยออกมาเป็นรอบที่สอง และก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกคนเองถึงตามมาติดๆ แถมเหมือนมันจะออกมามากมายจนผมยังรู้สึกได้ เค้าขยับอีกสองสามครั้งแล้วดึงผมเข้าไปกอดแน่น เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ดังแข่งกันจนแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนเสียงใครกันแน่

“ขอพักก่อนนะ”ผมร้องขอเมื่อเห็นว่าเค้าไม่ยอมถอนกายออกไป ผมไม่ได้จะขัดถ้าเค้าจะยังไม่พอเพียงเท่านี้ แต่แค่จะขอผ่อนปรนให้ผมได้เว้นช่วง หายใจหายคอบ้าง แล้วก็อีกอย่างผมจะได้ถามถึงข้อตกลงของพ่อเค้าด้วย ว่านี่ยอมรับในตัวผมหรือยัง

“พักได้ แต่วันนี้คงมีต่อกันอีกหลายยกนะครับกว่าจะหายคิดถึง”เค้าพรมจูบลงมาที่หน้าผากของผม ก่อนจะค่อยๆ ถอนกายออกไป














 
TBC
————————————————————————————
จั่วหัวมา NC แต่กะอาจจะไม่ค่อยถึงใจ

ยังไงขออภัยไว้ก่อนเลย

และแน่นอนว่าพอตอนนี้เป็น NC

เนื้อเรื่องกะเลยยังไม่เดิน ฮา

ยังไงรอตอนหน้า แปงคงจะได้เคลียร์เรื่องฝั่งครอบครัวภู่แล้ว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-10-2017 15:28:04
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-10-2017 15:45:21
 :z1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-10-2017 16:05:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-10-2017 17:36:05
ให้สาสมกับที่ห่างกันไปตั้งนาน ให้หายคิดถึงกัน  :z1: :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 04-10-2017 21:45:08
อยากอ่านตอนหน้าเเล้สวววว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-10-2017 22:22:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 44 ด้วยความคิดถึง NC (04-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-10-2017 07:06:52
ต่อไปคงไม่มีอุปสรรคแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-10-2017 15:26:25
บทที่ 45
ข้อตกลง






“ตกลงกันไว้ว่ายังไง ก็ตามนั้นงั้นเหรอ”ผมทวนในสิ่งที่ได้ฟัง นั่นคือคำบอกเล่าจากภู่เมื่อผมถามว่าตกลงตอนนี้คุณพ่อของเค้ายอมรับเรื่องระหว่างเราแล้วหรือยัง

“ใช่แล้ว จากนี้ไปเราก็ใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่มีใครมาขัดขวางอีกแล้ว”ทำไมผมไม่คิดแบบนั้นละเนี่ย คือฟังดูผมว่าคุณพ่อของภู่ออกจะอยู่ในภาวะจำยอมเสียมากกว่า เพราะตอนนี้เรียกว่าผมยังไม่เคยเจอคุณพ่อของภู่ตัวจริงเลยสักครั้ง และผมก็คิดว่าคุณพ่อคงยังไม่ได้ยอมรับคนที่ยังไม่เคยแม้แต่จะเจอหน้ากันอย่างผมหรอกนะครับ

“แล้วนี่คุณพ่อรู้หรือเปล่าว่าเรามาเจอกัน”ผมคว้ามือของเค้าที่ลากวนบนหน้าอกผมให้หยุดก่อน คือตอนนี้ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าครอบครัวเค้าเปิดรับผมขนาดไหนแล้ว ถ้าเป็นพี่ปุ๊กกับคุณแม่เค้าผมก็ไม่กังวลเท่าไหร่หรอกนะครับ ก็เหลือแต่คุณพ่อเค้านี่แหละครับ

“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมอยู่นี่แล้วไง ดึกแล้วนอนเถอะครับคนดี พรุ่งนี้ค่อยคุยเรื่องนี้กันต่อ”มันก็ยังดูเป็นคำตอบที่ฟังดูบ่ายเบี่ยงอยู่ดี แต่ด้วยความที่เราทั้งคู่เพิ่งผ่านสมรภูมิกันมาอย่างหนักหน่วง และยิ่งผมเองที่เหมือนจะฝืนสังขารต่อไม่ไหว เลยต้องทำตามที่เค้าบอก ผมขยับเข้าซุกที่หน้าอกเค้า สัมผัสสุดท้ายที่รู้สึกคือการจูบเบาๆ ที่หน้าผากก่อนผมจะหลับไป

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนสาย ข้างๆ ผมไม่มีอีกคนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนข้าวของเค้าจะยังอยู่ ผมค่อยๆ ประคองร่างตัวเองลุกเพราะเหมือนคืนที่ผ่านมาผมจะใช้ร่างกายหนักเกินไป ตอนนี้เรียกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยทีเดียวเชียวครับ ผมเดินตามหาเค้าจนมาเจอว่ากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่ห้องครัว

“ไปเอาของสดมาจากไหน”ผมถามออกไปด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าเค้ากำลังทำอาหารอยู่ ก็จะไม่ให้แปลกใจได้ไงละครับ ทั้งผมทั้งเจ้ปอ เคยซื้ออะไรมาทำที่ไหนกันละ แต่ข้าวของที่เค้ากำลังทำนี่สิ เครื่องครัวบางอย่างผมยังไม่รู้เลยว่ามี อย่างว่าแหละครับ ผมกับเจ้ปอก็แค่แวะมานอนเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง

“ตื่นแล้วเหรอครับ ไปล้างหน้าแปรงฟันรอก่อน ใกล้จะเสร็จแล้วจะได้มาทานพร้อมกัน”เค้าไม่ได้ตอบคำถามผม แต่ไล่ให้ผมไปจัดการธุระตัวเอง แถมส่งสายตาห้ามไม่ให้ผมเข้าไปข้างในอีกต่างหาก แล้วผมจะทำอะไรได้ละครับก็ต้องทำตามที่เค้าบอก พอผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จออกมา อาหาร 2-3 อย่างก็จัดวางรอผมเรียบร้อย

“ตกลงออกไปซื้อมาแต่เช้าเลยเหรอ”ผมคาดเดา พร้อมส่งยิ้มให้เค้า นึกถึงบรรยากาศเมื่อก่อนที่เราได้อยู่ด้วยกัน

“ก็ไม่ได้ทำให้ทานตั้งนาน นี่ฝีมือผมพัฒนาไปมากแล้วนะ รับรองว่าติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ยังเหมือนเดิม”ผมเดินเข้าไปสวมกอดเค้า มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ดีจนผมกลัว กลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่รสชาติอาหารที่ผมจะถอนตัวไม่ขึ้น แต่มันคือทุกอย่างที่เป็นเค้า ตอนนี้ผมทุ่มทั้งตัวและใจไปที่เค้าจนไม่เผื่ออะไรไว้อีกแล้ว

“กินข้าวดีกว่า ก่อนที่ผมจะอดใจไม่ไหว”เค้าหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ก่อนจะดันตัวผมให้นั่งลง และเริ่มทานมื้อแรกของวันด้วยกัน เราแทบจะกินไปมองหน้ากันไป แอบขำกันเองกับท่าทีของกันและกัน ทุกอย่างมันดูดีไปหมด จนกระทั่งผมนึกถึงครอบครัวเค้า

“เรื่องที่บ้านภู่…”ผมตัดสินใจถามเค้าอีกครั้ง แต่เค้าก็เพียงยิ้มสบายๆ กลับมาให้ผม

“เดี๋ยววันนี้พ่อกับแม่ผมจะมาจากเชียงใหม่ จะมาเจอแปง”เดี๋ยวนะครับ

“แล้วทำไมเพิ่งบอก”ผมถามหน้าตาตื่น ก็เมื่อคืนผมก็ถาม นี่ไม่กะให้ผมเตรียมตัวทำใจอะไรเลยใช่ไหม ใช่อยู่ว่าผมก็คิดว่าคงต้องเผชิญหน้ากันสักวัน แต่ไม่นึกว่าจะกะทันหันขนาดนี้ ทีแรกก็กะว่าจะโทรไปสวัสดีก่อนไรงี้ แต่นี่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ลงมาจากเชียงใหม่เพื่อเจอผมเนี่ยนะ มันจะดูไม่ค่อยดีไหมเนี่ย ที่จริงให้ผมไปเจอพวกท่านที่เชียงใหม่ยังจะดูเหมาะกว่าอีก

“ฮ่าๆ ผมล้อเล่น”เค้าหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกของผม ผมมองเค้าตาขวางอย่างเคืองๆ

“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งโกรธนะครับ คืองี้วันนี้พ่อกับแม่มาธุระที่กรุงเทพฯ พอดี เลยบอกพวกท่านไปว่าจะพาแปงไปไหว้”ถ้าแบบนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ดีแหละครับ เอาน่าไหนๆ ถ้าทั้งคุณพ่อคุณแม่ยอมให้ผมไปเจอขนาดนี้ เรื่องระหว่างผมกับภู่ก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่แล้วมั้ง

“ไม่ต้องกังวล ผมบอกแล้วไงว่าทุกคนโอเคแล้วที่จะให้เราคบกัน”มันก็อยากจะสบายใจไม่คิดอะไรมากนะครับ แต่มันก็ยังอดคิดมากไม่ได้อยู่ดี

“แล้วนี่ภู่นีดคุณพ่อคุณแม่ไว้กี่โมงละ”มาถึงขั้นนี้มันก็คงต้องลุยต่อแหละครับ จากนี้ไประหว่างผมกับเค้าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นเสียที

“คงสัก 3-4 โมงเย็นแหละครับ”ผมถอนหายใจ อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาให้ผมตั้งตัวบ้าง แต่บอกตามตรงว่าผมตื่นเต้นไปหมดเลยครับตอนนี้ จะไม่ให้ตื่นเต้นยังไงไหว ก็การที่ผมก็รับรู้มาตลอดว่าคุณพ่อของภู่ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเรา มาวันนี้ถึงภู่จะยืนยันว่าท่านโอเคแล้ว ผมก็ยังเกร็งอยู่ดีแหละครับ

พอถึงเวลานัด สิ่งที่ทำเอาผมแทบช็อคอีกอย่างคือ การที่ภู่เพิ่งบอกกับผมว่าเค้าแค่พาผมมาส่ง และจะปล่อยผมไว้กับคุณพ่อ คุณแม่ผมตามลำพัง

“แล้วทำไมภู่ไม่อยู่ด้วยกัน”ผมถามอย่างลนลาน นี่อาการผมเหมือนเด็กโดนผู้ปกครองทิ้งเข้าไปทุกทีแล้วครับ

“ใจเย็น มันไม่มีอะไรหรอก แปงก็เคยเจอแม่แล้วนิ แม่ใจดี ส่วนพ่อก็เก๊กดุไปงั้นแหละอย่าไปกลัว”เค้าปลอบพร้อมจูงมือผมเดินเข้าร้ทนที่นัดกันไว้ ส่วนผมนี่แทบไม่อยากก้าวขาเลย

“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะทิ้งกันแบบนี้”ผมบ่นอย่างเคืองๆ เพราะดูผมจะโดนเซอร์ไพร์สเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องกันเลยทีเดียว

“พ่อเพิ่งบอกก่อนมานี่เองว่าอยากคุยกับแปงโดยที่ไม่มีผมด้วย ยังไงถ้าเสร็จแล้ว แปงไปเจอผมที่บ้านเดิมของเรานะครับ”ผมถอนหายใจอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แทบจะไม่ฟังที่เค้าพูดด้วยซ้ำ

“บ้านเดิม…ของเราคือที่ไหน”

“ก็บ้านที่แปงเช่าจากน้าปุ๊กไงครับ แก่แล้วขี้ลืมนะเราเนี่ย”ผมไม่ได้สนใจสิ่งที่เค้าพูดสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ผมมองเห็น คุณแม่ของภู่แล้ว และที่นั่งข้างๆ นั่นคงเป็นคุณพ่อเค้าสินะครับ

ผมยกมือไหว้ทั้งคู่ทันทีที่ถึงโต๊ะ คุณแม่รับไหว้พร้อมส่งยิ้มกลับมาอย่างเป็นมิตร แต่คุณพ่อรับไหว้ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย เล่นเอาใจแป้วไปเหมือนกันนะครับเนี่ย

“คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากเนอะ”ผมได้แต่ยืนยิ้มเก้ๆ กังๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ปกติผมก็เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีนะครับ แล้วก็ไม่ใช่คนจะประหม่ากับอะไรง่ายๆ แต่ครั้งนี้ เหมือนผมคุมสติตัวเองไม่ได้จริงๆ

“งั้นผมไปนะ หวัดดีครับ ไว้เดี๋ยวโทรหานะครับแม่”เค้าบอกลาพ่อกับแม่เค้า ก่อนจะหันมากระซิบย้ำกับผมเรื่องนัดเจอกันหลังจากนี้ นี่ตกลงจะทิ้งกันแบบนี้จริงดิ

“พี่แปงนั่งสิลูก”

“ครับ”แม้คุณแม่จะเชิญนั่งด้วยท่าทีสบายๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมหายเกร็งขึ้นสักเท่าไหร่หรอกนะครับ ตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มสู้อย่างเดียวแหละครับ

“ได้เจอกันสักทีเนอะ”น้ำเสียงจากคุณพ่อ ดูนิ่งจนผมเดาไม่ออกว่าตกลงคุณพ่ออยู่ในโหมดไหนกันแน่ แต่บอกเลยว่าฟังแล้ว เสียงดุไม่ใช่เล่นเลยแหละครับ

“ครับ”เหมือนผมจะพูดเป็นอยู่คำเดียวแล้วครับตอนนี้

“ไม่ต้องเกร็งลูก คุณก็อย่าทำท่าดุมาก ดูพี่แปงเกร็งหมดแล้ว”คุณแม่ตีแขนคุณพ่อเบาๆ จนผมเผลออมยิ้มไปด้วย ผมพยายามตั้งสติ พยายามคิดว่าที่ทั้งคู่นัดผมมาวันนี้มันก็คงเป็นเรื่องดีๆ แหละครับ เพราะถ้าให้คิดดูดีๆ ถ้ามีอะไรจะกีดกันผมกับภู่อีก คงไม่จำเป็นต้องมามีพิธีรีตองอะไรขนาดนี้

“งั้นก็เอาตรงๆ เลยแล้วกันเนอะ ที่พ่อกับแม่มาเจอวันนี้ก็จะมาขอโทษที่ ต้องทำให้แปงกับภู่ต้องห่างกันเสียนาน พ่อผิดเองแหละ”

“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ ไม่ต้องขอโทษ”แม้จะยังเหวอๆ อยู่แต่ก็ต้องรีบห้าม เพราะผมเองก็ไม่ได้นึกโทษอะไรทางครอบครัวของภู่เลย

“พ่อผิดเองแหละ ที่ยังยึดติดกับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งที่ควรรู้ว่าอะไรที่ลูกๆ ทำแล้วมีความสุข ก็ควรมีความสุขกับลูกด้วย ของภู่เนี่ยยังดี ที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป แต่ของผึ้งนี่สิ”คำพูดของคุณพ่อสะดุดลงแค่นั้น เพราะคุณแม่สะกิดไม่ให้พูดต่อ ซึ่งผมเองก็คงไม่ละลาบละล้วงต่อหรอกครับ แต่ถ้าให้เดา ชีวิตหลังแต่งงานของพี่สาวภู่มันคงจะไม่โอเคสักเท่าไหร่

“ไม่หรอกครับ ผมสิต้องขอบคุณ คุณพ่อที่ทำข้อตกลงนี้กับภู่ อย่างน้อยมันก็ดีกับเค้าที่ยอมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อีกอย่างมันจะได้ทำให้เค้าโตขึ้นด้วยครับ”ผมยิ้มให้ทั้งคู่อีกครั้ง ตอนนี้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก บรรยากาศมันดูผ่อนคลายขึ้นเยอะเลยครับ

“ไม่ผิดจากที่แม่เค้าพูดไว้จริงๆ ว่าภู่มันเลือกคนไม่ผิด”จากที่ตอนแรกเกร็งๆ กลายเป็นว่าเราทั้งสามคนพูดคุยถูกคอ และมีแต่เสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะๆ ส่วนนึงคงเพราะครอบครัวเราก็มีธุรกิจที่ทำร่วมกันอยู่แล้ว มันเลยเหมือนเป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่ยาก

“ยังไงเรื่องงานก็ช่วยสอนน้องมันหน่อยแล้วกัน จะได้เก่งๆ เหมือนพี่แปง”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่ทำไมวันนี้ไม่ให้ภู่อยู่ด้วยตอนที่เราคุยกันนี่ละครับ”ผมถามอย่างสงสัย เพราะดูๆ แล้วมันก็เหมือนการมาพูดคุย ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภู่ ทำไมถึงไม่ให้ภู่มารับรู้ด้วยละ

“ก็พ่อนะสิ เขิน ไม่อยากให้ภู่มาเห็น ปกติมีแต่ทำขรึมดุลูกๆ เลยอายลูกกลัวหลุดคาแรกเตอร์”คุณแม่พูดจบก็หัวเราะชอบใจ จนคุณพ่อทำท่างอนๆ คุณแม่เลยต้องง้อ ดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

“เออแปงลูก แล้วนี่เรื่องสินสอด เอายังไงดี ภู่คุยหรือยัง”

“อะไร…นะครับ สินสอดอะไร”ผมงงกับคำถาม แล้วที่ว่าภู่คุยหรือยังนี่คือ ผมก็ไม่เห็นว่าจะคุยอะไร อีกอย่าง สินสอดนี่เค้าไว้สำหรับคนจะแต่งงานกัน แล้วผมกับภู่มันคงไม่ต้องมีอะไรแบบนั้นหรอกมั้งครับ

“เอ้าไอ้ลูกคนนี้ ไม่ทันใจเลย พ่ออุตส่าห์บอกว่าถ้ารักกันจริงก็คุยอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว พ่อพร้อมไปสู่ขอ สินสอดเท่าไหร่ไม่เกี่ยงเลย”นี่คุณพ่อจะมองการไกลมากไปหรือเปล่าครับเนี่ย

“คงไม่ต้องยุ่งยากหรอกครับ แค่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ยอมรับในความสัมพันธ์ของพวกผมสองคนให้ใช้ชีวิตด้วยกันแค่นี้ มันก็ดีมากแล้วครับ”

“งั้นแม่ว่าเอางี้ ไหนๆ อีกเดี๋ยวก็คงย้ายไปอยู่ด้วยกัน ยังไงพ่อกับแม่ก็คงต้องไปคุยกับญาติผู้ใหญ่ฝั่งแปงไว้แหละเนอะ ส่วนจะมีอะไรเป็นทางการไหมก็ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันเนอะ”ฟังแล้วก็ทำเอาเครียดเลยสิครับงานนี้ ไม่คิดว่าอะไรมันจะดูเป็นทางการขนาดนี้ เดี๋ยวงานนี้ผมคงต้องรีบดักทางพ่อแม่ผมก่อนว่า ไม่ต้องเล่นใหญ่เหมือนฝั่งพ่อแม่ภู่

“งั้นขอผมตกลงกับภู่ก่อนแล้วกันนะครับ”ผมแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ก่อน

“ได้ๆ แต่บอกเลยนะว่าสินสอดพ่อสู้เต็มที่ นี่พ่อน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่าธุรกิจเราก็มีด้วยกัน ลูกๆ ได้กันเองก็ดีจะตายไป เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน”เอ่อ คือคุณพ่อครับ อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้น





TBC
————————————————————————————-
ก็ถือว่าคลี่คลายแล้วเนอะ คงไม่มีอุปสรรคอะไรอีกแล้ว

ให้เค้าลงเอยกันเสียที

ตอนหน้าก็เหมือนตอนจบกลายๆ

แต่คงมีตอนพิเศษอีกสัก 2-3 ตอน แล้วแต่ความขยัน

และปิดท้ายด้วยบทสรุปอีกสัก 1 ตอน

ก็คาดว่าถ้าไม่ผิดพลาดก็จะปิดเรื่องนี้ที่ ตอน 50 พอดี

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนอีกทีที่ติดตามให้กำลังใจกันมานะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 05-10-2017 15:34:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-10-2017 17:21:42
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-10-2017 20:07:51
 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 05-10-2017 21:46:22
น่ารักๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-10-2017 22:16:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-10-2017 00:01:17
น้องภู่กลับมาแล้ว เป็นผู้ใหญ่มากๆ  คุณพ่อเหมือนจะดุ แต่ก็แอบใจร้อนไม่เบา  ดีใจแทนคู่นี้จะสมหวังกันซะที   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 06-10-2017 21:03:59
น่ารักก คุณพ่อขรึมมานาน  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 45 ข้อตกลง (05-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 06-10-2017 21:32:54
โอยยย ดีงามมากค่ะ
คนอ่านชอบเรืีองhappy ^^
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-10-2017 16:11:03
บทที่ 46
ผูกมัด





“จะโทรมาบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับบ้านอีกละสิ”เสียงของผู้เป็นแม่ดักคอผม ก็เห็นว่าจะต้องไปเจอภู่ที่บ้านเช่าที่เราเคยอยู่ ซึ่งผมก็กะว่าภู่ไม่น่าจะปล่อยผมกลับแน่ๆ เลยกะว่าจะโทรบอกที่บ้านไว้ก่อน นี่ผมก็เพิ่งจะแยกกับคุณพ่อคุณแม่ของภู่เมื่อสักครู่นี่เอง

“พอดีมีธุระนิดหน่อยครับแม่”ผมจำต้องยอมรับออกไปเพราะสิ่งที่แม่ผมคาดเดามันดันถูกนี่แหละครับ

“ใช่ซี้ แฟนมาก็ลืมบ้านเลยนะ”ใครคาบข่าวไปบอกแม่ผมละครับเนี่ย ผมว่าผมยังไม่ได้บอกใครเลยนะว่าผมเจอภู่ หรือวันนี้มีนัดกับภู่ เจ้ปอน่าจะยังไม่รู้แน่นอน ส่วนข้าวหอมอันนี้ไม่แน่

“ใครนินทาอะไรผมให้ฟังอีกละครับเนี่ย”ถามกลับไปอย่างไม่ได้จริงจังนักหรอกครับ

“เปล๊า ก็แค่พอดีลูกเขยคนเล็กเอาของฝากมาให้แม่”หืมลูกเขยคนเล็ก ลูกเขยคนเล็ก นี่ผมจะทวนคำพูดแม่ในหัวตัวเองทำไมเนี่ย

“ภู่ไปที่บ้านมาเหรอครับ”แม่ผมนี่ก็ใช่เล่นนะครับ แทนที่จะบอกมาตรงๆ มีแอบแซวผมอีก แล้วนี่ภู่ก็ไม่บอกผมมั่งเลยว่าจะแวะไปหาพ่อแม่ผม กลับมานี่ชักเอาใหญ่แล้วนะเนี่ย ทำอะไรไม่บอกกันมั่งเลย ผมคุยกับแม่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย และก็ได้รู้ว่าภู่เอาของฝากไปให้ทุกคนที่บ้านผม แล้วของผมละไม่เห็นได้มั่งเลย

ผมถึงบ้านเช่าที่เราเคยอยู่ตอนมืดแล้ว ผมยืนยิ้มมองที่ๆ คุ้นตา ที่ๆ เราสองคนได้รู้จักกัน ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาช่วงนึง มันดูไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ เรื่องราวมากมายเหลือเกินที่เคยได้เกิดขึ้นที่นี่ ใครจะไปคิดละครับว่าเด็กตัวสูงๆ ท่าทางกวนๆ ในวันนั้นจะกลายมาเป็นคนรักของผมจนถึงวันนี้ ทุกอย่างมันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่นี่ก็ 5 ปีเข้าไปแล้วมั้งครับ

“มาแล้วเหรอครับ ไปล้างไม้ล้างมือก่อนแล้วมานั่งนี่นะครับ”พอผมก้าวเข้าบ้าน อีกคนก็รีบสั่ง ผมส่งยิ้มให้เค้าอย่างเป็นสุข บรรยากาศเก่าๆ กำลังจะกลับมาสินะครับ

“นี่จัดเต็มขนาดนี้ มีอะไรพิเศษหรือเปล่าน้า”ผมแกล้งแซวนิดหน่อยเพราะโต๊ะอาหารนี่ ถูกจัดออกมาอย่างกับภัตราคาร เป็นใครก็มองออกแหละครับว่ามันต้องมีอะไรพิเศษๆ แน่นอน

“อยากให้มีไหมละครับ”เค้าบอกกลับมายิ้มๆ นี่ตกลงจะเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์กันแน่ครับเนี่ย ชักจะทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสิ

“เห็นว่าเอาขอบฝากไปให้ที่บ้านพี่”แต่ผมเองก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ ครับงานนี้

“อ่ะๆ พูดใหม่ครับ”คำพูดผมถูกขัดจังหวะ เหมือนกับว่าผมพูดอะไรผิด

“ตกลงกันแล้วไงครับ ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีลุงแล้วด้วย”นี่ผมตกลงด้วยแล้วเหรอทำไมผมไม่ยักกะจำได้

“ก็มันไม่ชิน แล้วถ้าไม่ให้แทนตัวเองว่าพี่จะให้พูดว่าไงละ”ผมเริ่มบ่น แต่ก็บ่นไปงั้นแหละครับที่จริงก็ไม่ติดหรอกถ้าสรรพนามระหว่างเราจะเปลี่ยนไป ต่อให้เค้าจะให้เรียกอะไรแปลกๆ ก็ยอมครับ แต่ต้องสงวนท่าทีไว้ก่อนนิดนึง

“ก็เรียกชื่อไปเลยไงครับ”ผมทำท่าคิดนิดนึง ก่อนพยักหน้าตกลง

“แล้วไหนของฝากแปงละ เห็นแม่บอกว่ามีของฝากให้ทุกคนที่บ้าน แต่แปงไม่เห็นได้เลย”พอพูดแบบนี้แล้วผมว่ามันไม่ค่อยจะเข้ากับผมสักเท่าไหร่เลยอายุผมก็ไม่ใช่น้อยแล้วด้วย เอาเป็นว่าไว้ค่อยตกลงกันอีกทีดีกว่า ว่าตอหน้าคนอื่นผมคงขอไม่มุ้งมิ้งอะไรกับเค้ามาก แต่ถ้าอยู่กันตามลำพังนี่จะยอมตามใจเค้าเต็มที่

“โหเล่นทวงกันแบบนี้เลยเหรออุตส่าห์ว่าจะทำซึ้งเสียหน่อย มันจะซึ้งไหมละเนี่ย”เค้าทำท่าเซ็ง แต่ผมว่าน่าเอ็นดูเชียวแหละครับ

“ทำไมนี่กะทำซึ้งขอแต่งงานหรือไง”ผมแกล้งแซวต่อเนื่อง เพราะนึกถึงคำที่คุณพ่อเค้าพูดขึ้นมาพอดี แต่เหมือนผมจะเล่นผิดเวลาหรือเปล่า เพราะอีกคนสีหน้าเปลี่ยน จากที่ยิ้มแย้มกลายเป็นหน้าเครียดเอาเสียดื้อๆ

“แปงอยากแต่งเหรอครับ แต่ผมยังไม่พร้อม แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากแต่งนะ แปงอย่าเพิ่งโกรธผมนะ นะครับ”เค้ารีบละล่ำละลักเข้ามาบอกกับผม จนผมเองต้องรีบปราม

“เดี๋ยวๆ ภู่ ใจเย็น แค่แซวเล่นเฉยๆ ทำไมต้องซีเรียสขนาดนั้น”เค้ายังคงมองหน้าผมนิ่งอย่างเหมือนไม่ค่อยเชื่อ นี่คิดว่าผมอยากแต่งงานจริงๆ เหรอเนี่ย

“คือวันนี้คุณพ่อของภู่พูดเล่นๆ ขำๆว่าจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ท่านสู้เต็มที่ เลยกะเอามาแซวภู่เฉยๆ ไม่ได้อยากแต่งอะไร จริงๆ”ผมรีบย้ำ แต่ดูอีกฝ่ายจะยังไม่พอใจในคำตอบของผมสักเท่าไหร่

“แล้วแปงไม่อยากแต่งกับผมเหรอ”อ้าว เป็นงั้นไปอีกไหนเพิ่งบอกผมว่าไม่พร้อม กะนึกว่ากลัวผมไม่พอใจที่ไม่พร้อมแต่ง พอบอกผมยังไม่ได้อยากแต่งก็มามุมนี้อีก แฟนใครเนี่ยเอาใจยากจริงวุ้ย

“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่คือแค่เราอยู่ด้วยกันมันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ส่วนเรื่องอะไรพวกนี้ ถ้าวันนึงภู่อยากให้มี พี่ก็จะไม่ขัด แต่ไม่มีพี่ก็ไม่ได้ซีเรียส”แม้จะรู้ว่าพอแทนตัวเองว่าพี่แล้วเค้าอาจจะไม่พอใจ แต่ผมก็ยังทำ อาจเพราะอยากให้เค้ามองในมุมที่โตขึ้นด้วยแหละครับ

“โอเคครับ วันนี้แปงอาจจะยังไม่ยอมรับเต็มร้อยว่าผมโตแล้ว แต่ไม่นานหรอกครับผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมจะเป็นหัวหน้าครอบครัวให้ได้ ส่วนเรื่องแต่งงาน สักวันนะครับ สักวันมันจะต้องมีงานของเรา ที่จริงพ่อผมก็ยินดีจ่ายให้ก่อนแหละ แต่ผมมองว่าถ้าจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และจะดูแลคนรักได้ ทุกอย่างผมก็ควรจะรับผิดชอบมันด้วยตัวเอง จริงไหมครับ”จริงสินะ ถ้ามองในมุมเค้ามันก็คงกดดันไม่น้อย

“งั้นพักเรื่องอื่นไว้ก่อน ตอนนี้กลับมาที่ภู่เตรียมไว้วันนี้ดีกว่าเนอะ ไหนมีอะไรจะทำซึ้งบ้าง รอจะซึ้งแล้วเนี่ย”ผมยิ้มให้เค้า ไม่อยากให้เค้าเก็บเรื่องพวกนี้มาเครียด อยากให้เค้ารู้ว่าที่จริงผมดีใจมากที่มีคนอย่างเค้าจะมาเดินเคียงข้างไปด้วยกัน

“แปงรักภู่นะ จากนี้ไปไม่ว่ามันจะมีปัญหา หรืออุปสรรคอะไร อยากให้ภู่รู้ไว้ว่าแปงพร้อมจะสู้ไปด้วยกัน”เมื่อเห็นว่าเค้ายังดูกังวลอยู่ ผมเลยบอกความในใจออกไปอีก เค้าค่อยๆ คลี่ยิ้ม และเข้ามาสวมกอดผม

“ขอบคุณ ขอบคุณที่รักกันนะครับ”แค่นี้แหละ แค่นี้ที่ผมต้องการจากเค้า

“ขอบคุณเหมือนกัน ขอบคุณที่เข้ามาทำให้แปงได้มีแฟน”พูดจบ เราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน เราต่างมองหน้ากัน นี่อาหารบนโต๊ะคงจะน้อยใจแล้วที่เราสองคนไม่สนใจเลย เป็นอันว่าเราเลยตกลงว่าทานอาหารกันก่อน ก่อนที่มันจะเย็นชืดเสียหมด

“ที่จริงวันนี้ที่นัดมา เพราะผมมีเรื่องสำคัญ แต่อย่างที่บอกว่าผมเองยังไม่พร้อมในหลายๆ อย่างแต่ก็อยากจะขอ ขอให้แปงมาใช้ชีวิตด้วยกัน ที่นี่”ผมจ้องมองเค้าด้วยรอยยิ้ม แต่ยังไม่ตอบอะไรออกไป ที่จริงเรื่องการจะใช้ชีวิตด้วยกันนี่ ถ้าเค้าไม่พูดออกมาก่อน ผมก็อาจจะเป็นคนพูดก็ได้

“ถ้าแปงตกลง ผมจะพาพ่อกับแม่ไปคุย ขออนุญาตกับคุณพ่อคุณแม่ของแปง นะครับ”

“แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่”ที่จริงผมก็ไม่ได้ติดขัดอะไรนะครับ แต่คือถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้ปอแต่งงานไปตอนนั้นผมอาจจะต้องกลับเข้าไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นถ้าผมจะชวนเค้าไปอยู่ที่บ้านด้วย เค้าจะโอเคหรือเปล่า

“ก็ผมเพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะไปซื้อที่ดีๆ สำหรับอยู่ด้วยกัน แล้วที่นี่น้าปุ๊กก็ยกให้ผมแล้ว อีกอย่างที่นี่มันก็มีความทรงจำของเราสองคนด้วยไง ไว้ถ้าผมเก็บเงินได้พอแล้วเราค่อยย้ายไปอยู่ที่ดีๆ กว่านี้นะครับ”อย่างที่บอกว่าผมไม่ติดอะไรหรอกครับ ทั้งการจะย้ายออกมาอยู่กับเค้า หรือจะอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้อยากแกล้งเค้านิดหน่อย

“ถ้ายังไม่มีตังค์ก็หากู้มาก่อนสิ จะได้ไปอยู่ที่ดีกว่านี้”ผมแกล้งตีหน้านิ่งบอกออกไป แต่ดูว่าผมจะเล่นไม่ถูกกาลเทศะอีกแล้ว เค้ามองผมด้วยสายตาค่อนข้างผิดหวัง สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“แปงต้องการแบบนั้นเหรอ”เค้าบอกเสียงหม่น จนผมหมดสนุกที่จะเล่นต่อ

“เฮ้ย นี่เชื่อจริงๆ เหรอ แค่ล้อแล่นเฉยๆ ทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยกันเลยเดี๋ยวก็งอนเสียเลยนิ”

“ใจหายหมดเลย นี่นึกว่าต้องไปขอเงินพ่อแล้วนะเนี่ย โม้กับพ่อไว้ตั้งเยอะว่าจะสร้างทุกอย่างเอง ถ้ากลับไปขอนี่เสียหน้าแย่”สองพ่อลูกนี่อะไรกันครับเนี่ย ต่างคนต่างกลัวเสียหน้ากันหรือไงเนี่ย

“งั้นต่อไปถ้าลำบากเรื่องเงินก็บอกนะ”ผมบอกไปอย่างไม่ได้จริงจังนักเพราะคิดว่าขนาดพ่อเค้าจะให้ยังไม่รับ แล้วกับผมมีเหรอที่เค้าจะรับ

“อย่าเพิ่งปฏิเสธ แค่บอกเผื่อไว้ ถ้าวันไหนมันจำเป็นจริงๆ อีกอย่างไม่ได้จะให้ฟรีๆ สักหน่อย”ผมส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับเค้า

“พูดแบบนี้จะเป็นสายเปย์ แล้วให้ผมชดใช้ด้วยเรื่อนร่างหรือเปล่าน้า”นี่ก็รับมุกแถม จะเล่นใหญ่กว่าผมเสียอีกครับ

“ก็ไม่ขนาดนั้น แค่จะให้อยู่ดูแลไปตลอดชีวิตแค่นั้นแหละ”สายตาของเราประสานกัน ก่อนเค้าจะลุกไปหยิบบางอย่างออกมา

“ไหนบอกไม่ได้จะขอแต่งงาน”ผมแกล้งแซวอีกครั้งเมื่อเห็นเค้ายื่นกล่องกำมะหยี่มาให้ผม แต่มองจากขนาดก็รู้แล้วละครับว่ามันไม่ใช่แหวนหรอก

“พูดบ่อยๆ แบบนี้ผมต้องรีบเก็บเงินไปสู่ขอแล้วมั้งเนี่ย”ผมค่อยๆ เปิดกล่องเล็กๆ นั่นออกดู

“ชอบไหมครับ ผมทำมา 2 เรือนไว้ใส่เหมือนกัน”มันคือนาฬิกาครับ ดูจากราคาก็คงแพงเอาเรื่องอยู่ แถมด้านในมีสลัก P&P ที่เป็นชื่อย่อของเราทั้งคู่ด้วย เค้าเป็นคนแกะออกมาสวยให้ผมก่อน แล้วยื่นแขนมาให้ผมเป็นคนสวมให้เค้า

“มัดจำไว้ก่อนนะครับ ให้นาฬิกานี้เป็นสื่อว่าผมเป็นเจ้าของกันและกันแล้ว จากนี้ไปก็ห้ามไปทำตัวน่ารักกับใครเด็ดขาด ทำกับผมได้คนเดียว ใครมาจีบก็ต้องบอกไปด้วยว่ามีแฟนแล้ว แฟนหวงมากด้วย”

“ขอบคุณนะ ที่จริงแปงก็เตรียมของไว้ให้ตอนภู่กลับมาเหมือนกัน  แต่พอดีมันอยู่ที่บ้านแม่ ไว้ค่อยเอาแล้วกันเนอะ”ผมรีบบอกเพราะกลัวเค้าจะน้อยใจว่าเค้าเรียนจบกลับมาแล้วผมไม่มีอะไรให้เค้า

“ได้ครับ แล้วนี่ตกลงว่าแปงจะย้ายมาอยู่กับภู่ที่นี่ใช่ไหม”อ้าวนี่ผมยังไม่ได้ตอบเค้าใช่ไหมครับเนี่ย

“ก็ต้องมาอยู่แล้ว แต่ว่า…”ผมหยุดคิดเมื่อนึกถึงว่าหากวันนึงเจ้ปอแต่งงานออกไป ภู่มองผมอย่างรอฟังคำอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าผมเว้นช่วงไปนาน

“คือถ้าวันนึง เจ้ปอแต่งงานไป แล้วน่าจะย้ายไปอยู่บ้านเฮียต๊าฟ ตอนนั้นอาจจะต้องย้ายกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ที่บ้าน ภู่สะดวกไปอยู่ด้วยกันไหม”เค้านิ่งคิด คงเพราะอาจยังไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้

“แบบนี้ผมก็ต้องแต่งเข้าบ้านแปงสินะครับ”

“ไม่ได้พูดเรื่องแต่งเลยนะเนี่ย วนไปวนมาถ้าเก็บตังค์ช้านักจะเป็นฝ่ายไปขอเองเสียเลยดีไหม”ผมบอกกลับไปขำๆ

“ไม่เอาสิครับ ผมเป็นสามีผมต้องเป็นคนไปขอ แต่ว่าสงสัยคงต้องไปแอบกระซิบเจ้ปอ ว่าอย่าเพิ่งยอมเฮียต๊าฟ”ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องทำแบบนั้น

“ไม่ต้องงงครับ ก็ถ้าพี่ปอแต่งงานเร็ว ผมก็ยังเก็บตังค์ไม่พอไปขอแปงสิครับ”นี่ผมไม่น่าแซวเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเลยนะครับ ไปๆ มาๆ เลยเหมือนจะกลายเป็นกดดันเค้าไปเลย

“สรุปว่าอย่าเพิ่งคิดอะไรเลย แค่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนก็พอแล้ว”ผมตัดบทเพราะไม่งั้นเดี๋ยวได้ตกลงอะไรกันยาวเหยียดอีกแน่

“งั้นวันนี้เราซ้อมเข้าหอกันไว้รอเลยแล้วกันนะครับ”นี่เมื่อผลจากเมื่อวานยังทำเอาผมเพลียๆ อยู่เลย นี่วันนี้ผมก็ยังจะไม่ได้พักเหรอเนี่ย แต่ไม่เป็นไรถือว่าชดเชยที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเสียนาน






TBC
—————————————————————————————

มาต่อให้อีกนิด ว่าเค้าตกลงปลงใจจะไปอยู่ด้วยกันแล้ว
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-10-2017 17:37:06
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-10-2017 18:15:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-10-2017 21:42:26
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 09-10-2017 23:11:19
ใครจะไปสู่ขอใครก็รีบหน่อยนะจ๊ะ
อยู่ด้วยกันช่วยกันเก็บเงินก็ได้จ้า
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 46 ผูกมัด (09-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-10-2017 23:42:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-10-2017 19:58:31
บทที่ 47
ความในใจที่ไม่เคยรู้



พาร์ทของภู่

—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�

“เหม่ออะไรของมึงเนี่ย”เสียงของเพื่อนมาพร้อมกับฝ่ามือที่เบิดกะโหลกผมเบาๆ ถ้าเป็นปกติผมคงตบหัวมันสวนไปแล้ว แต่ครั้งนี้ผมกลับนิ่ง นิ่งเสียจนเพื่อนของผมเองก็ต้องหยุดมอง

“เป็นไรป่ะวะ”น้ำเสียงที่ถามประโยคต่อมาของไอ้ยิวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลง

“เปล่า แค่คิดอะไรนิดหน่อย”ผมบอกปัดเพราะอยากจะตัดบทสนทนาจบเพียงเท่านั้น แม้ในใจจะอยากเปิดใจคุยกับเพื่อนสนิท 2 คนนี้แต่ผมก็ยังสับสนเกินไปที่จะเข้าใจตัวเองว่านี่ผมเองเป็นอะไรกันแน่

“นิดหน่อยนี่เกี่ยวกับพี่แปงด้วยหรือเปล่า”ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลังจากคำพูดของไอ้ยิว  พยายามประเมินพวกมันว่านี่มันสองคนกำลังคิดอะไรอยู่ แม้สิ่งที่พวกมันคาดเดาจะถูก แต่ในใจผมกลับรู้สึกว่าควรปฏิเสธและโกหกพวกมันออกไป

“ไม่ใช่สักหน่อย”ผมปฏิเสธอย่างใจคิด แต่มันคงเป็นการโกหกที่ไม่เนียนที่สุดในโลกก็ว่าได้ มันเลยไม่แปลกเท่าไหร่ที่เพื่อนสนิททั้งสองของผม ต่างส่ายหน้าหน่ายๆ อย่างไม่เชื่อในคำพูดของผม

“มึงคิดว่าพวกกูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ”ไอ้สอถามกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่เหมือนกำลังเย้ยผมอยู่ในทีว่าผมโกหกมันไม่ได้หรอก อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะโกหกเพื่อนนะครับ แต่ผมแค่กำลังสับสนกับความรู้สึกตัวเอง ก็เมื่อวานผมดันเผลอไปจูบกับ “ลุง” ข้างบ้านมานี่สิ ไม่ต้องแปลกใจกับสรรพนามหรอกครับ ลุงนั่นแหละถูกแล้ว

แม้ลุงแกจะดูอินโนเซนต์ อายุก็ยังไม่จัดว่าแก่ แต่ทีแรกผมอยากแกล้งเรียกแหย่เล่นนิดหน่อย แต่ไปๆ มาๆ เรียกแล้วมันก็ติดปาก แถมหลังๆ มานี่เราสองคนก็ดูสนิทกันมากแล้ว มากจนบางทีผมก็แปลกใจว่าทำไมเวลาเลือกเรียนผมต้องรีบกลับบ้านไปทำกับข้าวให้ลุงนั่นทานด้วย

จนมาถึงเมื่อวาน วันเกิดของผมแทนที่ผมจะไปเมากับเพื่อนตัวเอง ผมดันเลือกที่จะซื้อเค้กไปรอฉลองกับลุงนั่น แต่ลุงก็ทำเอาผมรอเก้อ ดื่มเบียร์รอจนเผลอหลับไป ผมอาจจะเริ่มเคยชินกับการมีอีกคนที่ทานข้าวด้วยกันทุกเย็น มันเลยเหมือนเป็นวันแรกที่ผมดันรู้สึกเหงา แล้วยิ่งในวันเกิดของผมเอง มันเลยยิ่งย้ำว่ามันไม่มีใครให้ความสำคัญกับผมเลย

“ลุงงงง”ผมเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัวเมื่อรู้ว่าเค้ากลับมา และอาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกๆ กับคนตรงหน้า ผมลุกพรวดขึ้นไปกอดเค้าโดยไม่ได้มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย เค้าถามผมถึงวันเกิดคงเพราะเห็นเค้กที่ผมเตรียมมาแล้ว แค่เห็นสีหน้า แววตาที่รู้สึกผิดของเค้า นั่นกลับทำให้ผมดีใจว่ายังทีเค้าอีกคนที่สนใจผมอยู่บ้าง เพราะนี่คนอื่นๆ ในครอบครัวผมคงลืมกันหมดว่าวันนี้วันเกิดผม

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”เอาแล้วไงละ ผมจะน้ำตาไหลทำไมละเนี่ยก็เสียฟอร์มกันพอดี หมดกันลุคเท่ห์ๆ ของผม ว่าแต่ผมจะมาอยากเท่ห์ให้ลุงเค้าเห็นทำไมละเนี่ย

“ก็ลุงมาช้า ผมกลัวลุงไม่มา”ผมทรุดตัวลงซุกหน้ากับพุงของลุง เริ่มรู้สึกว่านี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ นี่ผมอ้อนคนตรงหน้านี้อย่างนั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันละเนี่ย ทำไมผมต้องมาอ้อนผู้ชายด้วยกันแบบนี้

“เดี๋ยวนี่มันบ้านพี่ไหม ทำไมพี่จะไม่กลับมานี่”เจ้าของน้ำเสียงคงกำลังขำกับคำพูดของผมอยู่แน่ๆ แต่ผมจะตีมึนว่าตัวเองเมาแล้วกันครับ คนเมาทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก

“ไม่รู้ แต่ลุงมาช้าลุงผิดสัญญา”ผมบอกอย่างเอาแต่ใจ และยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดเอวนั้นไว้

“หยุดร้องได้แล้ว มาเป่าเค้กกันดีกว่า”แรงผลักเบาๆ ทำให้ผมต้องยอมคลายอ้อมกอดออกก่อนจะค่อยๆ เงยหน้ามองอีกคน

“ใครร้องไห้ ไม่มีสักหน่อย”ผมปฏิเสธทั้งที่หลักฐานยังคงอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มรู้ทันฉายชัดขึ้นจากอีกคน แล้วยังนิ้วเรียวที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ผมนั่นอีก นี่มันวันซวยอะไรของผมเนี่ย เสียฟอร์มสุดๆ เลยไม่เหลือแล้วภาพความเท่ห์ของผม ผมรีบถอยตัวออกแก้เขินด้วยการหยิบเค้กวันเกิดตัวเอง มาสั่งให้อีกคนร้องอวยพรวันเกิดให้ผม   

“อวยพรผมก่อนดิลุง”หลังจากเป่าเทียนเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้

“ก็ขอให้ภู่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดหวังอะไรให้สมปรารถนา ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้”เป็นคำอวยพรที่ดูเชยมาก แต่มันกลับทำเอาผมหุบยิ้มไม่ลง แถมดูอีกคนจะสังเกตุเห็นแล้วว่าผมมองเค้าอยู่ และสายตาผมมันคงไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่

“กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย ไหนขอชิมหน่อยสิ”ผมรีบไปเปิดไฟก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เค้ามองมาที่ผมไม่รู้ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ หรือตาเยิ้มเพราะเมากันแน่ แต่สายตานั้นก็ทำให้ผมหัวใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว เราทั้งคู่เหมือนจะเกร็งๆ กันสักพักก่อนจะทานอาหารที่ผมทำไว้ แม้มันจะเย็นชืดหมดแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อย นี่สินะที่เค้าว่ากันว่าทานข้าวมันจะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับว่าทานกับใคร

“กินยังไงเนี่ยลุง เค้กติดปากเลอะหมดแล้ว”ผมทักท้วงคนที่กำลังกินเค้ก แต่การกระทำของอีกคนกลับทำเอาผมเกิดความรู้สึกแปลกๆ เค้าแลบลิ้นเลียริมฝีกปากตัวเอง มันช่างเป็นภาพที่ดึงดูดผม จนต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้นิ้วเช็ดที่ริมฝีปากนั้น “หวาน” คือสิ่งที่ผมรับรู้ได้หลังชิมนิ้วตัวเองที่เช็ดมาจาดปากของอีกคน

ให้ตายสิทำไมผมรู้สึกอยากจูบปากบางๆ นั่น อยากรู้ว่ารสชาติมันจะหวานแค่ไหน ผมช้อนตาขึ้นมองอีกคนที่เหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อยที่ผมดันเงยหน้ามาเห็นว่าเค้ามองผมอยู่ ผมนึกสนุกอยากแกล้งคนแก่ เลยขยับเข้าใกล้เค้าไปเรื่อยๆ กะว่าอยากเห็นหน้าตื่นๆ ของอีกคน

“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”

จากที่ทีแรกกะว่าจะแกล้งแหย่เล่นๆ แต่กลับเป็นผมเองที่หยุดตัวเองไม่อยู่จู่โจมเค้าไปอย่างกะทันหัน แขนผมรีบโอบหลังอีกคนไว้เมื่อเห็นว่าเค้ากำลังจะขยับถอยหนี แม้เค้าจะยังคงปิดปากแน่นแต่มันก็ยังมีสัมผัสนุ่มนิ่มจนผมยังอยากได้มากกว่านั้น

“อือ”

จังหวะที่ผมยอมขยับริมฝีปากนิดหน่อยให้อีกคนได้มีโอกาสหายใจ ซึ่งดูเหมือนอีกคนกำลังจะอ้าปากถาม และนั่นทำให้ผมรีบสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ “หวาน” มันเป็นรสจูบที่หวานไม่ได้ต่างจากเค้กที่ผมเพิ่งได้ชิมเลย แม้อีกคนจะดูไม่ประสีประสา แถมออกจะตกใจประหม่าจนผมรู้สึกได้ แต่ทั้งหมดนั่นกลับสร้างความพอใจให้ผมอย่างมาก มากเสียจนผมลืมตัวว่ากำลังจูบกับผู้ชายด้วยกัน

“แฮ่กๆ”เสียงหอบหายใจของอีกคนเมื่อผมได้สติ และยอมถอนริมฝีปากของจากเค้า
 
“เมื่อกี้มันอะไร”เสียงเอ่ยถามแผ่วเบา เบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ แถมเจ้าของเสียงยังก้มหน้ามองพื้นไปเรียบร้อย ส่วนผมนะเหรอครับ ตอนนี้ก็กำลังงงกับตัวเองอยู่เหมือนกันนั่นแหละครับว่าทำอะไรลงไป เราต่างเงียบกันไปทั้งคู่ จนบรรยากาศมันชวนอึดอัดใช้ได้เลยแหละครับ งานนี้เดดแอร์จนแทบได้ยินเสียงแมลงวี่บินกันเลยทีเดียว

“ผมคง...เมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ”ผมตัดสินใจเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดนี่ ขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน โดยทำเป็นไม่สนใจว่าอีกคนก็คงกำลังทั้งงง ทั้งไม่เข้าใจการกระทำของผม

“โธ่โว้ย มันอะไรกันวะเนี่ย”ผมตีอกชกลมกับตัวเองทันทีที่กลับมาถึงบ้านของตัวเองที่อยู่ข้างๆ กัน ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรกับผม ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น เรียกว่ายังมีสติเกิน 75% เลยแหละครับ แล้วนี่ลุงจะคิดอะไรมากหรือเปล่าละเนี่ย ทั้งที่ผมเองก็ทราบอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายด้วยกัน และความสำพันธ์ของเรามันก็แค่พี่น้องข้างบ้าน ผมไม่ควรทำอะไรแบบนั้นลงไปเลย

ผมนอนคิดทั้งคืน ว่าตกลงที่ผมทำลงไปนั่นมันเพราะอะไร แถมด้วยความกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของอีกคนจะเป็นยังไงบ้าง ทีแรกก็คิดไปต่างๆ นานาว่าจะคุยให้รู้เรื่อง คิดไม่ตกจนผมนอนไม่หลับ พอเช้าเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวมาทำกับข้าวรออีกฝ่ายที่บ้านกะว่าพอตอนทานข้าวจะได้คุยกันให้เคลียร์

แต่ผมรอแล้วรอเล่าตามเวลาปกติ อีกคนก็ไม่ออกมาเสียที จะให้ผมถือวิสาสะปลุกเหมือนทุกทีก็ไม่รู้อีกฝ่ายจะโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไหม หรืออีกฝ่ายอาจจะยังไม่พร้อมเจอผม ความตั้งใจแรกที่จะเปิดอกคุยกันเลยถูกพับเก็บ แต่สุดท้ายพอผมทานข้าวกำลังจะเสร็จลุงแมร่งก็ออกมาพอดี ทำเอาผมชะงักไปเหมือนกัน จนทำตัวไม่ถูก แต่อีกคนดันทำตัวเหมือนปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทุกทีเวลาผมแหย่ ผมแกล้งมีแต่ลุงที่เขิน ที่ทำตัวไม่ถูกนี่นา แล้วพอมาจูบกันจริงๆ แบบนี้ทำไมลุงแมร่งดูไม่เป็นไรเลย นี่มีแต่ผมหรือเปล่าที่คิดมากเนี่ย เลยกลายเป็นว่าผมรู้สึกเฟลๆ นิดหน่อย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องรู้สึกไม่ดีที่เห็นอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร








“ไม่รับละมึง”เสียงของไอ้สอเรียกสติให้ผมหยุดคิดเรื่องของอีกคน แต่สิ่งที่ผมได้รับรู้คือสายเรียกเข้าจากอีกคน เห็นไหมละครับว่าเค้ายังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เราจูบกันแล้ว แล้วทำไมผมต้องมาคิดมากกับอะไรพวกนี้กันละวะครับ จูบแรกหรือก็ไม่ใช่ หรือผมจะเสียเซลฟ์ที่คนประสบการณ์มากกว่าอย่างผมกลับไม่ทำให้ลุงอินโนเซนส์นั่นรู้สึกอะไรเลย







“หยุดก่อน”การเล่าเรื่องในอดีตของผมถูกขัดด้วยเสียงของคนในอ้อมกอด ผม ใช่แล้วละครับตอนนี้คือคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์ เราสองคนก็เพิ่งผ่านกิจกรรมบนเตียงกันมา 1 ยก สุดที่รักของผมก็มีข้อเสนอแลกเปลี่ยนให้ผมเล่าความรู้สึกในอดีตให้ฟัง 1 เรื่องแลกกับการยอมให้ผมกดเพิ่มอีก 1 ยก


“ไม่ฟังแล้วงั้นเรามาต่อกันเลยนะครับที่รัก”ผมตีมึนไม่สนใจว่าที่จริงอีกฝ่ายต้องการจะถามอะไรกันแน่ แต่เลือกที่จะพลิกตัวขึ้นคร่อมเค้าแทน

“นี่เมื่อก่อนภู่เรียกพี่ว่าลุงอินโนเซนส์เหรอ”

“อะๆ ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่แทนตัวเองว่าพี่”

“ก็มันยังติดปากนี่นา ว่าแต่สรุปคือตอนนั้นเมินพี่เพราะคิดว่าพี่ไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ”ถึงจะไม่ค่อยชอบให้เค้าแทนตัวเองว่าพี่ เพราะมันจะทำให้ผมดูไม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ก็นั่นแหละครับ ผมมันคนรักแฟน ไม่อยากบังคับแฟนมาก

“แล้วที่จริงวันนั้นพี่แปงรู้สึกยังไงละคร๊าบบบ”ผมแกล้งทำเสียงอ้อนๆ ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของเค้า

“ก็ทั้งงง ทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าภู่มาจูบทำไม แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ไง เลยพยายามทำตัวให้ปกติ”อีกแล้ว ได้ทีเอาใหญ่เลยนะครับแฟน ไอ้เรื่องความเป็นผู้ใหญ่เนี่ย

“คร๊าบลุง แต่สุดท้ายลุงก็เสร็จผมอยู่ดี มาเสร็จอีกสักรอบแล้วกันเนอะ”ผมหัวเราะอย่างคนเหนือกว่า พร้อมมือที่ไม่อยู่สุขของตัวเองที่เริ่มแปะป่ายเกาะแกะกับร่างเนียนของคนด้านล่างอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆ ยังเล่าไม่จบเลย อย่าเพิ่งดิ”

“เดี๋ยวได้ฟังแน่ครับ แต่ตอนนี้ต้องช่วยภู่น้อยให้สงบลงก่อน ไม่งั้นมันเล่าไม่สะดวก”



TBC


—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�—�

หายนานมากกกกกกกกก

พอดีช่วงนี้ภารกิจเยอะเหลือเกิน

แต่เอาจริงๆ คู่นี้ก็ใกล้จบเต็มที ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก

แค่เอามาลงให้พอหายคิดถึงกันสั้นๆ ยังไงจะรีบจบ

เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดละคร๊าบบ จะได้เคลียร์ที่ค้างๆ อยู่
แหะๆ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-10-2017 20:11:42
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2017 20:38:17
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-10-2017 21:21:26
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 31-10-2017 21:26:00
ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ ^^
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 31-10-2017 23:52:09
เปิดใจคุยกัน ก็เป็นการเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างหนึ่งสินะ
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 13:06:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-11-2017 19:39:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 47 ความในใจที่ไม่เคยรู้ (31-10-17)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 05-11-2017 00:13:43
จะจบแล้วหรอเนี่ย ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คงคิดถึงลุงแย่เลยย :hao5:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-11-2017 10:51:56
บทที่ 48
ปลอบ






พาร์ทของภู่









“ว่าไงครับ พ่อหนุ่มนักเรียนนอก”เสียงทักทายพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เดินเข้ามากอด ฝ่ามือตบที่หลังผมเบาๆ สองที ใช่แล้วครับวันนี้ผมมางานเลี้ยงรุ่น จะว่างานเลี้ยงรุ่นมันก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ ที่จริงมันก็แค่การนัดดื่มของเพื่อนๆ นี่แหละเพื่อนๆ มัธยมที่พอเรียนจบต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง จนตอนนี้ทุกคนก็มีการมีงานทำกันหมดแล้ว

ก็ตามปกติของสมัยนี้ที่มักจะมี line group โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นของพวกผมนี่แหละครับ มันก็เลยมีคนเสนอว่าน่าจะออกมาเจอตัวเป็นๆ กันบ้างไม่ใช่ทักทายกันแค่ในโลกออนไลน์ การนัดรวมตัวกันกลุ่มใหญ่ในวันนี้เลยเกิดขึ้น

“ก็สบายดีแหละมึง แต่ช่วงนี้งานหนักนิดนึง กำลังเร่งสร้างตัว”ผมตอบกลับเพื่อนไปอย่างยิ้มแย้ม ผมทักทายทุกๆ คนที่อยู่ด้านหน้าพักนึงก่อนจะรีบตามไปสมทบกับเพื่อนสนิทอย่างไอ้ยิวและไอ้สอ

“อ้าว มาๆ นั่งนี่มึง”ผมมองสองเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ทำไมนะเหรอครับ ก็งานนี้จริงๆ เค้าก็ไม่ได้ห้ามพาแฟนมาหรอกนะครับ แต่ไอ้สองตัวนี้เล่นควงสาวหน้าอกตู้มมา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แฟนของพวกมัน เพราะถ้าเอาตามจริง พวกมันยังไม่คบใครจริงจังเลย

“อุ้ย เพื่อนพี่สอนี่หล่อจังเลยนะคะ นี่ถ้าไม่ติดว่าแคทมีพี่สออยู่แล้ว แคทจะรีบคว้าเลยนะคะเนี่ย”นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่มางานนี้ครับเนี่ย ทำไมแค่มาถึงก็เริ่มรู้สึกว่าจะไม่สนุกแล้ว

“น้องแคทอย่าไปยุ่งกับมันเลย ไอ้นี่มันชอบคนแก่”อ้าวๆ ไอ้นี่ชักจะลามปามมาหาว่าสุดที่รักผมแก่ แก่ที่ไหน แปงของผมยังหน้าใสไร้ริ้วรอย ถึงจะอายุมากไปหน่อย แต่ผมแซวเรื่องนี้ได้คนเดียว คนอื่นห้าม

“แล้วนี่น้องฟ้า ที่เจอกันวันก่อนไปไหนแล้วละไอ้สอ”ผมวางระเบิดลงไปก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

“ฟ้าไหนพี่สอ”

นั่นแหละครับปล่อยให้เพื่อนได้ง้อสาวบ้างชีวิตจะได้มีสีสัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้กลัวทั้งคู่จะทะเลาะกันใหญ่โตหรอกครับ เพราะเท่าที่ดู ต่างฝ่ายก็คงไม่น่าจะจริงจังอะไร

“แล้วไม่ชวนพี่แปงมาด้วยวะ”เป็นไอ้ยิวที่ถามถึงสุดที่รักของผมอีกรอบ เพราะตอนคุยกันพวกนี้ก็ให้ผมชวนเค้ามาด้วย แต่เจ้าตัวนั่นแหละครับไม่ยอมมากับผม

“พี่ดื่มไม่ค่อยเก่ง”
“ไปก็ไม่ค่อยรู้จักใคร”
“เดี๋ยวภู่มัวแต่ห่วงพี่แล้วจะไม่สนุกเอานะสิ”
“ไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะ”


นั่นแหละครับสาระพัดเหตุผลที่จะยกมา แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากให้เค้ามาหรอกครับ กลัวเค้าอึดอัด แถมเพื่อนๆ ผมก็ปากดีๆ กันทั้งนั้น

“เค้าไม่สะดวก นี่กูก็ว่าจะมาสักพักก็คงกลับแล้ว ไม่อยากให้เค้าอยู่คนเดียว”ผมตอบออกไปตามตรง เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อนึกถึงอีกคน นี่เค้าจะทานข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ นั่งรอผมกลับอยู่หรือเปล่า

“มึงนี่แววกลัวเมียมาแต่ไกลเลยนะเนี่ย”

“พวกพี่อย่าไปว่าพี่ภู่สิคะ ผู้ชายแบบนี้สิน่ารักจะตายให้เกียรติแฟน ให้เกียรติผู้หญิง”ผมเกือบสำลักเครื่องดื่มที่กำลังยกขึ้นจิบ สองสาวนี่คงคิดว่าแฟนผมเป็นผู้หญิงสินะ ส่วนไอ้เพื่อนสองตัวของผมนั่นหัวเราะออกมาเสียงดัง จนสองสาวต่างรีบถามด้วยความสงสัยว่าหัวเราะอะไรกัน

ก็คงไม่แปลกหรอกครับที่สองสาวนี่จะคิดว่าแฟนผมเป็นผู้หญิง ก็ขนาดผมเองยังไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ทั้งไอ้สอและไอ้ยิวไม่ทันได้อธิบายถึงการหัวเราะชอบใจเมื่อสักครู่ เพราะมีกลุ่มเพื่อนเข้ามาสบทบเพิ่มเสียก่อน บทสนทนาถูกปรับเปลี่ยนเป็นเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งส่วนใหญ่ก็พวกวีรกรรมที่ทำกันตอนเรียนนั่นแหละครับ ผมอยู่สังสรรค์กับเพื่อนๆ พักนึงจนเวลาปาเข้าไปเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว เลยแอบชิ่งกลับโดยแอบกระซิบบอกแค่สองเพื่อนซี้ ซึ่งทั้งคู่ก็รั้งผมไม่ได้อยู่แล้ว

ที่จริงก็มองว่ายังไม่ดึกหรอกนะครับ แต่อย่างที่บอกว่าผมไม่อยากปล่อยให้คนแก่ของผมอยู่คนเดียว ยิ่งวันนี้จะไปค้างที่คอนโดด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วง ไหนจะอาหารการกิน นี่ถามไปว่ามื้อเย็นทานอะไรไปก็ตอบอ้ำๆ อึ้งๆ ทั้งๆ ที่ผมย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้หาอะไรกินให้เรียบร้อย ค่อยเข้าคอนโด ไม่ก็ซื้อจากข้างนอกติดไป หรือแม้กระทั่งทีแรกที่ผมอาสาจะไปทำอะไรไว้ให้ก่อนจะออกมาหาเพื่อนก็ไม่เอาอีก บอกไม่อยากให้ผมเสียเวลา

ผมใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาถึงคอนโดของเค้า คอนโดที่เราทั้งคู่ก็สลับไปๆ มาๆ กับบ้านที่น้าปุ๊กยกให้ผม ช่วงนี้เราก็ต่างคนต่างทำงาน แต่ของแปงจะดูหนักกว่าผมหน่อย จนเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ คือตอนนี้พี่ปอเองอยากจะถ่ายงานส่วนใหญ่มาไว้ที่แปงของผม เพราะแพลนแต่งงานของพี่ปอกับพี่ต๊าฟก็เริ่มมีคุยๆ กันแล้ว แถมถ้าแต่งงานไป ก็คงมีน้องเลย งานนี้คนที่ต้องรับภาระหนักก็แฟนผมนี่แหละครับ

“ทำไมมานอนตรงนี้”

ภาพที่ผมเห็นเมื่อเปิดประตูเข้ามาคืออีกคนที่งัวเงียบนโซฟา หันมามองหน้าผมเหมือนลูกแมวรอเจ้าของกลับบ้าน นี่แหละครับจะไม่ให้ผมรีบกลับได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ ง่วงก็นอนก่อนได้เลย แต่คนดื้อก็ยังเป็นคนดื้ออยู่วันยังค่ำแหละครับ

“มากอดหน่อย”

น้ำเสียงอ้อนๆ จนผมนึกแปลกใจแต่ก็รีบเดินไปหาเจ้าของเสียงที่ขยับตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในรัศมีวงแขนของคนแก่ขี้อ้อนนี่ก็คว้าเอวผม ซุกหน้ามาที่หน้าท้องของผมพร้อมส่ายไปมา นี่เดี๋ยวนี้ชักจะขี้อ้อนเกินไปแล้ว

“ขอโทษที่กลับช้า”

“จุ๊บหัวเหม็นที”

เหมือนเค้าจะไม่ได้สนใจการที่ผมจะมาช้าหรือเร็ว แต่ท่าทีที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไอ้สองมือที่พยายามรั้งให้ผมกดจมูกลงบนหัวเค้านี่…คือมันก็ไม่ได้เหม็นอย่างที่เค้าว่าหรอกนะครับ แต่ผมเองนี่แหละที่ชอบแซวเพราะบางทีเค้าก็ไม่ค่อยชอบสระผมเท้าไหร่

“เป็นอะไรครับ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

ที่เค้าทำตอนนี้เหมือนกำลังอ้อนให้ผมปลอบ แสดงว่าคงมีอะไรที่ไม่สบายใจอยู่แน่ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนถึงจะถามเค้าก็คงไม่ค่อยยอมบอกยอมเล่าให้ผมฟังหรอกครับ แต่ตอนนี้เรามีข้อตกลงกันแล้วว่าทุกเรื่องต้องแชร์ให้กันและกันรับรู้ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องแย่ ผมนั่งลงข้างๆ เค้าก่อนจะดึงให้อีกคนซบเค้ามาหา

“ภู่อยู่นี่แล้ว มีอะไรก็เล่าให้ภู่ฟังได้นะครับ”

ที่จริงถ้าให้ผมเดาก็คงไม่พ้นเรื่องงานแหละครับ ใจนึงก็อยากมาช่วยงานเค้านะครับ แต่ติดที่ผมเองก็ยังไม่ได้เก่งหรือมีประสบการณ์ในการทำงานจนช่ำชองขนาดนั้น ตอนนี้ที่ทำได้ก็คงมีแค่ให้กำลังใจไปแบบนี้แหละครับ

“โดนเจ้ปอดุ”

“ร้ายแรงไหม”

“ดีลงานผิด งานใหญ่ด้วย”

“มันแก้ไขได้ไหมครับ”

ผมอื้อมฝ่ามือไปลูบเบาๆ ที่ศีรษะของเค้า นี่ดีนะที่ผมรีบกลับมา ถึงจะดึกไปหน่อยก็เถอะ แล้วสุดที่รักของผมนี่ก็ยิ่งเป็นคนคิดมากเสียด้วยสิ เค้าพยักหน้า ตอบรับว่าสิ่งที่เค้าทำผิดพลาดนั่นมันก็ไม่ได้ถึงกับขนาดว่าแก้ไขไม่ได้ แต่อย่างว่าแหละครับ บางทีการโดนคาดหวังมาก มันก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา

“ผมรู้ว่าถ้าบอกให้ไม่คิดมากมันคงไม่ช่วยอะไร งั้นเรามาทำอะไรแก้เครียดกันไหม”

“ทะลึ่ง”

เค้าผละออกจากตัวผมทันที ด้วยท่าทางฮึดฮัด ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มอย่างพอใจ ก็แฟนผมปลอบธรรมดาได้ที่ไหนละครับ พูดดีๆ ไปยังไงสุดท้ายเค้าก็ไม่คลายกังวลอยู่ดี หลังๆ ผมเลยต้องแหย่ให้หงุดหงิด โมโห รวมถึงเขินผมนี่แหละ จะได้ลดความกังวลลงบ้าง

“ผมล้อเล่น แค่จะบอกว่าในเมื่อมันพลาดไปแล้วก็เก็บมันไว้เป็นบทเรียน แล้วถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้แฟนคนนี้ยินดีช่วยเสมอนะครับ”

ผมเอื้อมมือไปจับมือเค้า อยากให้เค้ารู้ว่าจากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเค้ายังมีผมอยู่ตรงนี้ข้างๆ เค้าเสมอ

“กอดหน่อย แต่ห้ามหื่นนะ”

“อ้อนขนาดนี้ มันก็จะห้ามใจอยากอยู่หน่อยๆ นะครับ”

ผมบอกออกไปขำๆ ดึงอีกคนเข้ามาในอ้อมแขน มีแฟนน่ารักขนาดนี้จะมาห้ามไม่ให้หื่นยังไงไหวละครับ แต่ตอนนี้แฟนกำลังคิดมากก็คงทำได้แค่กอดเฉยๆ นี่แหละครับ เอาไว้ถึงเตียงก่อนค่อยว่ากันอีกที

“เจ้ปอให้พักงานด้วย ตั้ง 3 วันแหนะ ครั้งนี้รู้สึกแย่จริงๆ นะ”

ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้รับรู้ ปกติพี่ปอก็เป็นคนจริงจังกับงานแหละครับ แต่เท่าที่ฟังในเมื่องานมันก็สามารถแก้ไขได้ แม้มันจะผิดพลาดก็เถอะ ถ้าถึงขนาดต้องสั่งพักงานนี่ผมว่า มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า เพราะช่วงนี้แปงเองก็ต้องรีบรับถ่ายงานจากพี่ปออยู่นี่นา ไว้ผมคงต้องถามพี่ปอสักหน่อยแล้วแหละครับ ไม่ได้จะก้าวก่ายอะไรนะครับ แค่จะได้ปลอบสุดที่รักของผมให้ถูกจุดก็เท่านั้นเองครับ

“เอางี้ไหม ไหนๆ ก็ไม่ได้ทำงานแล้ว เราไปพักผ่อนกันไหม ไปต่างจังหวัดใกล้ๆ เผื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไง”

“จะดีเหรอ แบบนี้เจ้ปอจะยิ่งไม่คิดว่า งานการไม่สนใจไปเที่ยวเล่นอย่างสบายใจอีกงี้”

“บางอย่างช่างมันบ้างก็ได้นะครับ คิดแค่ว่าเราสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”

“…”

“เรายังไม่เคยไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันเลยนะครับ”

เมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบ ผมเลยต้องเป็นฝ่ายต้องอ้อนกลับบ้าง งานนี้ต้องมีเพิ่มสกิลตีหน้าเศร้าเข้าไปอีกสักหน่อย

“แล้วภู่ไม่ต้องทำงานหรือไง”

“ช่วงนี้งานผมก็ยังไม่มีอะไรมาก อีกอย่างเห็นแฟนเป็นแบบนี้ #คนรักแฟน2017 อย่างผมจะทนอยู่เฉยๆ ได้ยังไงกัน”

“…”

ผมแอบลุ้นเพราะใจนึงก็อยากให้เค้าไปจะได้ผ่อนคลาย ส่วนอีกใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคิดไม่ดีไว้แล้ว ไหนจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน 2-3 วันเต็มๆ ได้เปลี่ยนบรรยากาศอีก แค่คิดบางอย่างของผมก็ตื่นตัวจนต้องพยายามเบี่ยงหลบไม่ให้มันไปโดนอีกคน เพราะเดี๋ยวจะโดนหาว่าหื่นแล้วเสียเรื่องอีก

“นะ…นะครับ ถือว่าซ้อมฮันนีมูนของเราก็ได้”

“ฮันนีมูนอะไรเล่า เราไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย”

เขินแล้วบ่ายเบี่ยงทุกทีสิแฟนผมเนี่ย

“สรุปว่าไปนะครับ”

“อือ ไปก็ไป”

“งั้นรีบนอนพักผ่อนกันดีกว่าครับ พรุ่งนี้จะได้รีบเดินทางแต่เช้า”

ผมรีบดึงอีกคนให้ลุกเข้าห้องนอน น้ำท่ายังไม่ต้องรีบอาบครับ เดี๋ยวคุณแฟนเปลี่ยนใจ เอาไว้นอนคุยกันไป เนียนๆ ไปยังไงก็คงได้อาบน้ำอีกรอบอยู่แล้ว

“แล้วจะไปไหนละ”

“เรานอนปรึกษากันก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียเวลาพักผ่อน”

ผมต้องรีบเก็บอาการให้มิดชิดที่สุดแม้มันอาจจะไม่ทันแล้วก็ตามที เพราะอีกคนก็ยอมเดินตามผมด้วยสายตารู้ทันแล้วแหละครับ









TBC
————————————————————————————






มาสั้นๆ อีกแล้ว พอให้หายคิดถึงแล้วกันเนอะ
ใจหายเหมือนกันที่เรื่องนี้ใกล้จบแบบนี้
แต่ก็ต้องรีบจบ เพราะต้องไปสะสางเรื่องที่ค้างไว้
555
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-11-2017 11:43:25
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2017 13:22:23
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 06-11-2017 19:00:31
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-11-2017 21:46:00
แปง ไปพักผ่อนก็ดีนะ
จะได้คลายเครียดๆกับงาน

ภู่ คุยกับเจ้ปอ ก็ดีจะได้รู้เหตุผล
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-11-2017 23:26:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 48 ปลอบ (06-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-11-2017 07:48:27
น่ารักมากค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-11-2017 23:13:25
บทที่ 49
การเดินทางของสองเรา



พาร์ทของภู่




“น้องชายพี่ไปฟ้องว่าไงละเนี่ย”

เหมือนพี่ปอจะรู้ว่าผมโทรหาด้วยเหตุผลอะไร เลยเป็นฝ่ายพูดดักมาแบบนี้

“โถ่พี่อย่าเรียกว่าฟ้องเลยครับ เรียกว่าระบายให้ฟัง แล้วแปงเค้าก็ไม่ได้ให้ผมโทรหาพี่ปอหรอกครับ เพียงแต่ผมเห็นเค้าเครียดๆ เลยโทรมาถามว่าเรื่องมันร้ายแรงขนาดไหน ผมจะได้ปลอบได้ตรงจุดไงครับ”

“เบื่อคนหลงแฟนจริงๆ เลย”

น้ำเสียงบ่นอย่างไม่จริงจัง แถมออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผมเริ่มเบาใจว่าที่จริงเรื่องราวที่สุดที่รักผมโดนตำหนิมันก็คงไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก

“ที่จริงพี่ก็ว่าจะโทรบอกภู่เหมือนกันแหละ แต่พี่ก็ช้ากว่าคนหลงแฟนอ่ะเนอะ”

“…”

“คือพี่ก็แค่อยากให้แปงได้พักนั่นแหละ เลยสั่งพักงานไปโดยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างด้วย”

“แล้วต้องทำแฟนผมคิดมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ผมแกล้งทำเสียงเคืองๆ เล็กน้อย แต่อย่าหาว่าผมปีนเกลียวนะครับ ที่ผมกล้าเล่นกล้าแซวพี่ปอเพราะพี่แกก็ให้ความสนิทสนมกับผมจนผมเองก็เหมือนน้องชายแกอีกคนแล้วแหละครับ

“แหม ยังกะถ้าพี่บอกให้พักตรงๆ แปงมันจะยอมพักงั้นแหละ”

“ช่วงนี้แปงเค้าโหมงานหนักไปเหรอครับ พี่ปอถึงอยากให้พัก”

“จะว่ายังไงดีละ คือเอาตรงๆ พี่ก็ได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว อีกสักพักพี่ก็คงยุ่งเรื่องเตรียมงาน ไหนจะไปฮันนีมูนตามใจต๊าฟอีก แปงก็เลยเครียดๆ แหละกลัวว่าถ้าพี่ไม่อยู่แล้วตัวเองจะทำไม่ได้”

“แล้วพี่ปอคิดว่าตอนนี้วางใจในการทำงานของแปงเค้าเต็มร้อยหรือยังครับ”

เสียงของพี่ปอเงียบไปพักใหญ่เหมือนกำลังใช้ความคิด ผมเองก็เงียบ รอฟัง เพราะเอาจริงๆ ผมเองก็ถือว่ารู้ในเนื้องานแค่บางส่วนของแปงกับพี่ปอเท่านั้นแหละครับ เวลางานผมก็ไม่ค่อยได้ไปก้าวก่ายสักเท่าไหร่ด้วย

“จะว่าไปก็…”

“…”

“ก็ได้แหละ ที่ยังขาดอีกนิดหน่อยก็เรื่องความเด็ดขาดกล้าตัดสินใจ ที่บางทีพี่ยังต้องตัดสินใจให้ ทั้งๆ ที่บางทีที่เค้าคิดมันก็แบบเดียวกับที่พี่คิดนั่นแหละ ส่วนไอ้เรื่องทำงานผิดพลาดนี่พี่ก็ว่าดีแล้วที่ได้เจอตอนนี้ มันจะได้เป็นบทเรียน คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ แต่พอผิดพลาดแล้วจะนำมาปรับปรุงได้หรือเปล่า ตรงนี้แหละที่พี่อยากให้แปงได้เรียนรู้”

“ทำไมพี่ปอไม่บอกกับแปงเค้าตรงๆ ละครับ ถ้าบอกเหมือนที่บอกผม ผมว่าแปงก็ต้องเข้าใจ แถมคงรักพี่ปอเพิ่มขึ้นไปอีก”

“ทำยังกับไม่รู้จักน้องชายพี่งั้นแหละ ไหนลองตอบใหม่สิ ถ้าพี่ทำแบบที่ภู่บอกคิดว่าแปงจะเป็นยังไง”

นี่เป็นคำถามตัดสินชีวิตหรือเปล่าครับเนี่ย ถ้าผมตอบผิดนี่จะโดนพี่เมียกีดกันไหมละ ผมค่อยๆ คิดตามสิ่งที่พี่ปอถาม คือถ้านิสัยส่วนตัวของแฟนผม ผมก็รู้แหละครับ แต่เรื่องบุคลิคในการทำงาน ผมก็คงไม่สันทัดสักเท่าไหร่นี่สิ แต่ถ้าฟังจากสิ่งที่พี่ปอเล่ามันก็น่าจะ…

“แปงก็จะยังไม่โต คอยให้พี่ปออุ้มไว้เหมือนเดิม แบบนั้นใช่ไหมครับ”

“ใช้ได้นิ นึกว่าพี่จะต้องเปลี่ยนน้องเขยซะแล้ว”

“โหพี่ ตำแหน่งนี้ผมจองคนเดียวตลอดชีวิตครับ ไม่ปล่อยให้ใครแน่นอน”

“จ้า พ่อคนหลงแฟน เอาเป็นว่าพี่ฝากดูแลพาน้องชายพี่ไปพักผ่อนที เพราะหลังจากนี้ไปต้องกลับมารับบทหนักแทนพี่แล้ว แกล้งพาไปไกลๆ กลับไม่ทันกำหนดตามที่โดนพักงานก็ได้นะ พี่อนุญาต”

“ได้ครับผม”

เปิดทางมาขนาดนี้ เรียกว่ายิ่งกว่าชี้โพรงให้กระรอกแล้วครับ มีหรือคนอย่างผมจะไม่รีบตักตวงเอาไว้ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหนกันละครับ แถมนี่เท่าที่ฟังหลังจากนี้แปงคงงานหนัก และอาจมีเวลากุ๊กกิ๊กกับผมน้อยลงแน่ๆ เลย ถ้าเค้างานหนักมากๆ ผมเองก็คงไม่กล้ากวนเค้าหรอกครับ สงสาร

“เออภู่ ไหนๆ ก็คุยกันแล้ว พี่มีอีกเรื่อง”

“ครับ”

“รู้ใช่ไหมว่าถ้าพี่แต่งงานแล้วคงย้ายไปอยู่บ้านต๊าฟ”

“แปงเคยบอกแล้วครับ”

“แล้วแปงบอกไหมว่าเค้าต้องย้ายกลับเข้ามาอยู่บ้านกับพ่อแม่”

“ก็มีเกริ่นๆ ไว้เหมือนกันครับ”

“แล้วภู่ละ จะมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”

คำถามของพี่ปอ มันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมเคยพูดไว้กับแปงว่าถ้าวันนึงพี่ปอแต่งงาน ย้ายออกไปผมจะแต่งงานเข้าบ้านแปง แม้ผมอาจจะไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการ และผมก็ไม่รู้ว่าแปงจะคิดว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้หรือเปล่า แต่แน่นอนว่าผมคงต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งอาจจะต้องขอยืดเวลาออกไปหน่อย เพราะผมไม่แน่ใจว่าเงินเก็บของผมตอนนี้มันจะพอหรือยัง

“ที่จริงก็ตกลงกับแปงไว้แบบนั้นแหละครับ”

“ก็ดี ว่าแต่ทางบ้านภู่ก็โอเคใช่ไหม”

“ครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา พ่อกับแม่ผมมีพี่บึ้งอยู่ด้วยแล้ว แต่ผมมีอีกเรื่องนึงที่อาจต้องขอให้พี่ปอช่วยหน่อยนะครับ”

“ได้สิ ว่ามาเลย”

ผมรีบคุยในสิ่งที่ต้องการให้พี่ปอฟังคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว เพราะคาดว่าอีกสักพักสุดที่รักผมจะตื่นแล้ว ดีที่พี่ปอตอบตกลงช่วยผมเต็มที่ เลยสบายใจไปเปราะนึง ที่เหลือผมเองก็คงต้องค่อยๆ เตรียมการไประหว่างรองานแต่งพี่ปอนี่แหละครับ

“โอเคพี่เอาใจช่วย งานแต่งพี่ก็อีกตั้งเกือบ 5 เดือน พี่เชื่อว่าภู่ทำได้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

ผมบอกขอบใจพี่ปออีกครั้งก่อนจะวางสายไป ผมกลับเข้าไปในห้องนอนและก็พบว่ายังมีคนขี้เซามุดอยู่ใต้ผ้าห่ม จนผมอดที่จะเผลออมยิ้มไม่ได้ คนอะไรอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ทำตัวน่าเอ็นดูเหลือเกิน มีแฟนเด็กอย่างผมนี่มันจำเป็นต้องทำตัวเด็กกว่าแฟนไหมเนี่ย

“ตื่นได้แล้วครับ”

ผมก้มลงไปกระซิบข้างๆ หู ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหอมแก้มนิ่มๆ นั่นฟอดใหญ่ เจ้าของแก้มขมวดคิ้วอย่างขัดใจพร้อมกับยื่นมือมาดันผมออก แต่มีเหรอครับที่จะสู้แรงผมได้

“จะตื่นหรือจะให้ลักหลับ”

ผมกระซิบอีกรอบด้วยเสี่ยงหื่นๆ และดูเหมือนคราวนี้จะได้ผลดีเสียด้วยครับ คนขี้เซารีบลืมตามองผมด้วยความไม่พอใจ

“ยังเช้าอยู่เลย รีบปลุกทำไม”

“ต้องรีบครับเดี๋ยวสาย วันนี้เราจะไปออกทริปกัน”

“ทริปอะไร”

เจ้าของคำถามพยายามดันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทำให้ผมต้องขยับตัวให้เค้านั่งสบายขึ้น แล้วค่อยๆ ขยับชิดเข้าไปนั่งข้างๆ โดยที่ยังไม่ตอบคำถามของเค้า

“รีบไปอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว จะได้รีบไป กระเป๋าผมก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

“จะไปไหน ไม่เห็นถามเลยว่าอยากไปหรือเปล่า”

“ไปซ้อมฮันนีมูนไงครับ”

“ไม่ตลก”

“ก็ไม่อยากให้เครียด”

“…”

“โอเคๆ ผมยอมแพ้ ก็แค่เห็นว่าไม่สบายใจ แล้วไหนๆ ก็หยุดแล้วเลยอยากพาไปพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ พาไปสวีทค้างคืนสัก 2-3 คืน ก็นึกว่าแฟนจะขอบคุณที่ทำให้ แต่…”

“ก็ไม่บอกดีๆ ตั้งแต่แรก”

“ตกลงไปใช่ไหมครับ”

ได้แกล้งแหย่แฟนตัวเองนี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ว่าแต่นี่เค้าก็ดูไม่เครียดเท่าเมื่อวานแล้ว หวังว่าการไปเที่ยวครั้งนี้ของเราจะช่วยให้เค้าสบายใจขึ้นนะครับ อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันสองต่อสอง ถึงผมจะพูดเล่นๆ ว่าเป็นการไปซ้อมฮันนีมูน แต่ในใจนี่ผมคิดจริงนะครับ ถึงเราจะใช้ชีวิตด้วยกันมาระยะนึงแล้ว แต่ชีวิตเรามันก็มีแค่บ้าน ที่ทำงาน ไปเดินห้างกินข้าว ดูหนังกันบ้าง ครั้งนี้มันคงเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น แล้วภาพในหัวผมก็เริ่มจะคิดดีไม่ได้แล้วครับ เหอๆ

“ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย แล้วถามว่าจะพาไปไหนเนี่ย ทำไมไม่ยอมบอก”

“เซอร์ไพรส์ไง ไม่ชอบเซอร์ไพรส์เหรอ”

แววตาสงสัยยังคงมองผมอย่างจับผิด แต่ก็ยอมลุกเดินไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ช่วงระหว่างรอเค้าอาบน้ำผมก็จัดแจงทั้งเสื้อผ้าไว้รอ อาหารเช้าก็เตรียมไว้พร้อม กระเป๋าเดินทางสำหรับเราสองคน ที่ผมจัดไว้แล้วถูกนำไปไว้หลังรถเป็นการเตรียมพร้อม หลังทานข้าวเสร็จ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันทันที สุดที่รักผมก็ไม่อิดออดแล้วครับ ดูจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วด้วย








พาร์ทของปาแปง





“เขาใหญ่?”

“ใช่ครับ ช่วงนี้เห็นว่าอากาศเย็นลงมากแล้ว ผมอยากพาแปงไปเจออากาศดีๆ จะได้สบายใจขึ้น”

ได้ยินแบบนี้ผมแทบจะไม่อยากเครียดเลยครับ ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ กลัวเค้าเป็นห่วงมากเกินไปนี่แหละ แค่นี้ก็จัดเต็มทั้งยอมหยุดงานเตรียมทุกอย่างพาผมมาเที่ยว ผมเลยต้องรีบหายเครียดครับเค้าจะได้ไม่ต้องมากังวลกับผมด้วยอีกคน แต่มันก็คงหายทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ

เพราะตอนนี้ผมทั้งกดดัน ทั้งอะไรอีกหลายอย่าง ยิ่งรู้ว่าเจ้ปอจะแต่งงานมันยิ่งทำให้ผมกังวลไปต่างๆ นานา ไหนจะเรื่องดูแลงานแทนพี่สาวได้ไหม แล้วนี่ยังมาทำงานพลาดจนโดนพักงานนี่อีกไม่รู้เจ้ปอจะวางใจให้ผมดูแลงานอย่างหายห่วงหรือเปล่า ตอนนี้อาจจะกำลังปวดหัวกับผมอยู่ก็เป็นได้  แต่ก็นั่นแหละครับผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว อะไรที่มันพลาดไปแล้วผมก็คงต้องเก็บมาเป็นบทเรียน ความผิดพลาดบางทีมันก็แค่อุปสรรคที่เข้ามาให้เราแกร่งขึ้น เก่งขึ้น บอกกับตัวเองแบบนี้ก็พอสบายใจขึ้นมาหน่อยแหละครับ

“เดี๋ยวผมลงไปซื้อขนมอะไรไว้กินระหว่างทาง เอาอะไรเป็นพิเศษไหม”

“ไปด้วยดิ”

อีกคนทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมยิ้มแย้ม และขอลงรถไปกับเค้าด้วย ตอนนี้เราเพิ่งออกมานิดเดียวแวะเติมน้ำมันที่ปั้ม และเค้ากำลังจะลงไปหาสเบียงมาตุนในรถ แต่ในเมื่อเค้าเองก็คงอยากมาใช้เวลากับผมในช่วง 2-3 วันนี้ และเค้าก็ทำอะไรให้ผมหลายอย่างแล้ว ผมจะทำตัวน่ารักใส่เค้าบ้างจะเป็นไรไปจริงไหมครับ เราช่วยกันหยิบขนมขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มอีกนิดหน่อย ก่อนจะออกเดินทางต่อ

“ถ้าง่วงก็หลับไปเลยนะ”

“เพิ่งตื่นเอง ไม่ง่วงหรอก นั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนแฟนดีกว่า”

“มาแปลกนะเนี่ย วันนี้”

“ไม่ชอบเหรอ”

“ชอบสิ ชอบมาก แต่ว่า…”

“ว่าอะไร”

“กลัวจะต้องแวะรีสอร์ทข้างทาง ไม่ถึงเขาใหญ่สักทีนี่สิ”

“…”

พอจะเข้าโหมดหวานหน่อยก็ดึงไปทางหื่นตลอดครับแฟนผม แล้วดูยิ้มเข้า ยิ้มแบบนี้ผมรู้เลยว่าไม่ได้คิดดีแน่ๆ นี่เขื่อได้เลยว่าชวนผมออกต่างจังหวัดแบบนี้ นอกจากจะอยากให้ผมหายเครียด คลายกังวลมันต้องมีหวังผลอย่างอื่นด้วยแน่ๆ

“อะ อะ เพลงนี้ก็มา”

ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเสียงเพลงในรถเป็นเพลงที่เราสองคนต่างคุ้นกันดี มันเป็นเพลงเก่าเพลงเดิมที่เหมือนกลายมาเป็นเพลงระหว่างเราสองคนไปเสียแล้ว ก็เพลงที่เค้าเอามาขอผมเป็นแฟนนั่นแหละครับ



“… love is a word that explains
How I feel for you
And when you’re in my arms
All my dreams come true
And when you’re not around
You can’t hardly see
These tears that i’m crying
Now are for you to be with me…”





“ซึ้งๆ ซึ้งอะดิ”

“ก็เคยมีคนเอามาร้องขอเป็นแฟน”

“ต้องเขินไหมเนี่ย”

เสียงเพลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ดังสลับกันไปตลอดเส้นทาง มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ดูจะพิเศษมากขึ้น จริงอยู่ที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่นี่อาจจะเป็นการนั่งในรถนานที่สุดสองต่อสองของเราสองคนแล้วมั้ง ไม่นับเวลารถติดในกรุงเทพฯ นะครับ อันนั้นออกจะเรียกว่ามีความทุกข์ร่วมกัน มากกว่าจะมีความสุขด้วยกัน

“แล้วนี่ภู่จองที่พักของที่ไหนไว้”

“ยังไม่ได้จองเลยครับ”

“อ้าว”

“ใจเย็นสิครับแปงครับ นี่มันไม่ใช่วันหยุด ไม่ใช่เทศกาล เราไปถึงเจอที่ไหนน่าพักค่อยตัดสินใจก็ได้”

“…”

“เอาน่า ลองทำอะไรที่มันไม่มีแบบแผนดูบ้าง”

“งั้นเปลี่ยนจากเขาใหญ่ไปวังน้ำเขียวแทนได้ไหม”

“ตัดไปสิครับ แฟนอยากไปไหน ภู่จัดให้หมดครับ”

ผมก็แค่พูดเล่นๆ แต่อีกคนนี่สิจริงจังไปแล้ว ทีแรกผมก็เกือบจะโมโหแบ้วนะครับเรื่องที่พักเนี่ย แต่พอฟังเหตุผลเค้า ถ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นมุมดีๆ มันก็โอเคหมดแหละ จริงไหมครับ ที่จริงแค่ได้มากันสองคนแบบนี้มันก็ดีมากแล้ว และนั่นทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมคือเขาใหญ่ กลายเป็นวังน้ำเขียวซะงั้น แต่ทั้งสองที่มันก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก จากการที่แวะนั่นนี่ ตลอดทาง แบบเห็นอะไรน่าสนใจอยากจอดเราสองคนก็จอด

สุดท้ายเราก็ถึงวังน้ำเขียวจนได้ครับ เราตัดสินใจเลือกพักที่รีสอร์ทเล็กๆ แห่งนึง อากาศที่นี่เย็นสบายอย่างที่เค้าบอกไว้จริงๆ ครับ หลังเข้าที่พัก นอนเอาแรงนิดหน่อยก็เย็นพอดี เกือบจะเป็นปัญหาในการหาที่ทานมื้อเย็นเพราะเราทั้งคู่ไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ว่าจะเลือกไปทานข้าวที่ไหนกัน ทางรีสอร์ทเองก็เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ไม่ได้มีบริการอาหารให้สั่ง แต่ดีที่เค้าแนะนำร้านอาหารให้เราได้

หลังมื้อเย็นเราก็หอบหิ้วเบียร์กันมาเต็มที่ ไอ้ผมนะไม่เท่าไหร่ แต่อีกคนนั่นกะมอมผมแน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าผมเมาแล้วชอบทำอะไรน่าอายก็ยังจะแกล้ง

“มานั่งนี่มา”

เราอยู่ที่ระเบียงของห้องพัก ตอนนี้เพิ่งจะ 1 ทุ่ม แต่บรรยากาศก็เงียบตามประสาต่างจังหวัด แถมอากาศเย็นจนเกือบจะหนาวแบบนี้อีก ผมเลยไม่อิดออดที่จะเดินไปนั่งชิดกับอีกคน

“ดีใจนะที่ได้มาซ้อมฮันนีมูนกันแบบนี้”

“พูดเล่นอีกละ”

“ถ้าไม่พูดเล่นล่ะ”

“…”

“เงียบ ไม่ตอบแบบนี้ต้องให้ดื่มเยอะๆ แล้วละ เผื่อจะพูดมากขึ้น”

“พอแล้ว”

“…”

“ขอบคุณนะที่พามา ขอบคุณที่ดูแลกัน และก็ ดูแลกันแบบนี้ไปตลอดเลยนะ”

ผมขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของเค้า ถึงอากาศตอนนี้จะเย็นขนาดไหนแต่พอได้อยู่ในอ้อมกอดของเค้ามันก็ทำให้ผมยังอบอุ่นใจอยู่เสมอ เราเงียบกันไปพักใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน นี่ผมคงต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมทำงานผิดพลาด ขอบคุณเจ้ปอที่สั่งพักงานผม และขอบคุณเจ้าของอ้อมกอดนี้ที่พาผมมา เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผมก็คงไม่ได้มาใช้เวลากับเค้าที่นี่แน่นอน

แม้นี่จะเป็นเพียงการเดินทางด้วยกันครั้งแรกของเราสองคน แต่จากนี้ไปเราก็คงจะได้เดินไปด้วยกันตลอดไป

“เราเข้านอนกันเลยไหม”

“เพิ่งทุ่มนึงเองนะ”

“ก็ไม่ได้จะให้นอนจริงๆ แค่จะให้ไปที่เตียง”

เกือบแล้วครับ มันเกือบจะซึ้งอยู่แล้ว ถ้าไอ้คนหื่นนี่ไม่ลากไปที่เตียงแบบนี้ แต่ถามว่าผมยอมไหม ก็ไม่ “ไม่ปฏิเสธ” นั่นแหละครับ แล้วนี่จะลากผมขึ้นเตียงตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ ผมจะโดนอีกกี่รอบกันละครับเนี่ย

“…”




TBC


มาสั้นๆ พอให้หายคิดถึงเนอะ เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก

และตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย

ส่งท้าย จบแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ




หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2017 23:31:43
บรรยากาศดีดี
กับน้องภู่ที่หื่นเสมอต้นเสมอปลาย
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-11-2017 00:05:33
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-11-2017 09:04:32
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-11-2017 09:27:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-11-2017 10:10:00
ซ้อมฮันนีมูนเหรอภู่  o18
ก็ซ้อมๆมานานแล้วไม่ใช่เหรอ
เพียงแต่ไม่ได้ออกจากบ้านเท่านั้น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-11-2017 23:17:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 49 การเดินทางของสองเรา (14-11-17)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 17-11-2017 06:47:05
น่ารัก อบอุ่น อ่านแล้วมีความสุข ^^
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2017 16:13:09
บทที่ 50
งานแต่ง
[ตอนจบ]





ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมได้เห็นคนในครอบครัว ยิ้มอย่างมีความสุข และครอบครัวเราดูจะกลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นไปอีก วันนี้ดูพ่อกับแม่ของผมจะยิ้มจนหุบไม่ลงแล้ว ส่วนคนสำคัญของงานในวันนี้อย่างเจ้ปอ พี่สาวของผมนะเหรอครับ

“เหนื่อยจะตายแล้วเนี่ย ร้อนก็ร้อน ชุดก็อึดอัด หิวก็หิว จะกินก็ไม่ได้เดี๋ยวถ่ายรูปออกมาไม่สวย”

นั่นแหละครับพี่สาวผม ขนาดวันสำคัญของตัวเองแท้ๆ ดูไม่เหมือนสาวๆ คนอื่นเลย อย่างข้าวหอมเพื่อนสนิทผมนี่ตอนวันงานแต่งดูจะแฮปปี้มากๆ แถมวันนี้เพื่อนสนิทของผมก็มีลูกชายตัวน้อยมาร่วมงานด้วยแล้วครับ

“พี่ปอสวยมากเลยแก เห็นแล้วอยากแต่งงานอีกรอบเลย แต่แกดูสภาพชั้นสิ ตั้งแต่คลอดไข่เจียวมาก็เผละเอาๆ อยากกลับไปสวยเช้งเหมือนเดิมจัง”

“แค่นี้ก็สวยจนพี่ไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว”

นี่ก็หวานกันตั้งแต่เริ่มจีบยันลูกหนึ่งจริงๆ ผมหันไปหยิกแก้มน้องไข่เจียวลูกชายตัวน้อยของข้าวหอมกับพี่โต ตอนนี้ก็ขวบกว่าแล้ว กำลังหัดพูดได้เป็นคำบ้างแล้ว ไข่เจียวนี่ข้าวหอมยกให้ผมเป็นพ่อทูนหัวนะครับ แต่เจ้าตัวเล็กจะไม่ชอบผมเท่าไหร่ เพราะผมชอบหยิกแก้มนี่แหละ

“อ่ะพี่โต ดูไข่เจียวด้วย ขบวนขันหมากจะมาแล้ว ส่วนแกแปง เร็วสิไปกั้นประตูกัน”

ผมถูกลากกึ่งวิ่ง อย่างไม่ทันตั้งตัวตรงไปยังทางเข้าที่ตอนนี้หลายคู่เริ่มจับจองพื้นที่เพื่อกั้นประตูเงินประตูทอง งานนี้ดูๆ แล้วพี่ต๊าฟคงลำบากไม่น้อยกว่าจะผ่านแต่ละประตูไปได้ บรรยากาศก็ดูจะเต็มไปด้วยความชื่นมื่น เสี่ยงโห่ร้องดังมาเป็นระยะด้วยความครึกครื้น

เมื่อขบวนใกล้เข้ามาผมก็ได้เห็นใครอีกคนที่อยู่ในขบวนด้วย วันนี้เค้าบอกจะไปอยู่ฝั่งเจ้าบ่าวครับ เพื่อให้ฝั่งนั้นคนเยอะหน่อย อีกอย่างเค้าเองก็เรียกว่าสนิทกับทั้งเจ้าบ่าวอย่างเฮียต๊าฟ รวมทั้งพี่เชษฐ์พี่ตี๊ฟที่อยู่ในขบวนนั้นด้วย เราสบตายิ้มให้กันเล็กน้อย ก่อนจะสนใจขบวนตรงหน้าต่อ แต่ก็มีนิดนึงนะครับ ที่ผมแอบคิดถึง เรื่องที่เค้าเคยบอก

เรื่องระหว่างเราสองคนหลังจากนี้ ที่เค้าเคยพูด พอถึงวันที่เจ้ปอแต่งงานจริงๆ แบบนี้ เค้ากลับไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย แต่ก็นั่นแหละครับ ยังไงเสียเราก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พิธีการอะไรสำหรับผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกครับ แค่มันบังเอิญนึกถึงแค่นั้นเอง

“แกๆ เราให้พี่ต๊าฟทำอะไรดี เอาแบบยากๆ ไม่ให้ผ่านง่ายๆ”

“แล้วแต่แกเลย”

“แปง แกเป็นน้องเจ้าสาวนะมันต้องมีแบบพีคๆ สิ พีคๆ อ่ะมีไหม”

“…”

ผมได้แต่ยิ้มขำๆ ให้ข้าวหอม เพราะผมเองไม่ได้กะจะอะไรมากมาย อีกอย่างเราสองคนอยู่กั้นท้ายๆ ต้องรักษาเวลาไม่ให้เลยฤกษ์ด้วย ดีไม่ดีเจ้าบ่าวอาจจะไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เพราะพวกผมต้องรีบปล่อยไปให้ทันฤกษ์

“อ้าวๆ นี่ด่านน้องเจ้าสาวเสียด้วย คงเป็นด่านยากละมั้งเนี่ย”

“ฮิ้ว”

เสียงโห่ร้องเชียร์อย่างสนุกสนาน ทำเอาผมกับข้าวหอมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนกำลังคาดหวังจะเห็นอะไรพีคๆ จากการกั้นประตูของเราสองคนหรอกนะครับเนี่ย

“น้องแปง น้องหอม พี่ขอผ่านเข้าไปนะครับ”

ซองสีชมพูถูกยื่นมาให้ผมกับข้าวหอมเป็นค่าผ่านทาง ตามด้วยสายตาของกองเชียร์ อย่างพี่เชษฐ์ พี่ตี๊ฟ และอีกหลายคนที่รอดูว่าผมกับหอมจะให้ผ่านไปง่ายๆ ไหม นอกจากนี้อีกคนที่ยืนยิ้มกดดันอยู่ข้างหลังนั่นอีก ผมต้องรีบหันไปมองข้าวหอมเพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ

“ผ่านง่ายๆ มันก็ไม่ใช่หอมสิคะพี่ต๊าฟ”

“น้องหอมจะให้พี่ทำอะไร ว่ามาเลยครับ”

“พี่ต๊าฟก็แค่หอมแก้ม แปงกับข้าวหอม คนละฟอดค่ะ แล้วหอมจะให้ผ่าน”

“ฮิ้ว”เสียงโห่ร้องอย่างชอบใจจากคนที่รอฟัง มันก็โอเคนะครับที่ด่านเรามีอะไรให้เล่น แต่ผมแทบจะหันมองข้าวหอมตาขวาง ก็เล่นอะไรเนี่ย

“ต้องหอมสองคนเลยเหรอ”

“ไม่กล้าเหรอคะพี่ต๊าฟ”

“หอมเลยๆ หอมเลยๆ”

เดี๋ยวครับเสียงเชียร์นี่มันต้องใช้กับบ่าวสาวไม่ใช่เหรอครับ จะมาเชียร์ให้เจ้าบ่าวหอมแก้มบรรดาน้องๆ เจ้าสาวนี่มันใช่ไหม

“เดี๋ยวๆ พี่ว่าอันนี้พี่ว่าพี่ทำไม่ได้ เพราะถึงพี่จะเคยเจ้าชู้ แต่ตอนนี้พี่รักปอคนเดียว ริมฝีปากพี่มีไว้จูบ ไว้หอม ว่าที่ภรรยาพี่คนเดียวครับ”

พอพี่ต๊าฟ พูดจบเสียงโห่ร้องด้วยความชอบใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจโดยเฉพาะบรรดาทีมงานที่ตามหลังเจ้าบ่าวมานั่นแหละครับ

“งั้นพี่ต๊าฟเลือกตัวแทนมาเลยค่ะ หอมอยากโดนลวนลาม”เสียงเฮดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบรรดาเพื่อนๆ พี่ต๊าฟแย่งกันอาสา เอ่อคือพี่ๆ เค้ารู้ไหมว่าข้าวหอมนี่ลูกกะสามีก็ยืนอยู่ไม่ไกลนะครับ ไม่ต้องแย่งกันก็ได้

“พี่ว่าคนนี้เลยเหมาะสุด”

“แอร๊ยยย”เสียงกรี๊ดของข้าวหอมดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าใครคือคนที่พี่ต๊าฟดึงออกมา ซึ่งตอนนี้ผมว่าคนที่น่าจะซวยมันน่าจะเป็นผมแล้วละครับ

“ถ้าเป็นน้องภู่แบบนี้ พอดีพี่ก็ไม่ชอบแย่งของเพื่อนขอยกภาระนี้ให้แปงแบบรับไว้เองแล้วกันนะคะ”นั่นไงละ ทำไมอยู่ๆ หวยมันมาออกที่ผมได้ละครับเนี่ย

“หอมเลย หอมเลย”เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกพร้อมกับที่อีกคนเดินขยับเข้ามาหยุดตรงหน้าผม

“เขินเหรอครับ”

“อายไหมละ คนเยอะขนาดนี้”ผมบ่นอุบอิบ แต่จะให้ปฏิเสธ ก็โดนกดดันทางสายตาจากทุกทิศทุกทาง เอาวะ ยังไงแทบทุกคนตรงนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าผมกับภู่เป็นอะไรกัน ว่าแต่นี่มันจะไม่เป็นการแย่งซีนบ่าวสาวใช่ไหมครับเนี่ย เพราะตอนนี้ดูทักคนยกมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปแล้ว

“เร็วดิ จะได้จบๆ ไป”ผมรีบเร่งอีกคนที่เอาแต่ยืนยิ้มมองผม เค้าค่อยๆ โน้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากที่แก้มผม แล้วกระซิบเบาๆ

“นี่แค่ซ้อมนะครับ”

ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรเพราะเค้าเองก็ถอยออกไป ตามด้วยเสียงโห่ร้องชอบอกชอบใจ ส่วนผมกับข้าวหอมเองก็ต้องเปิดทางให้ขบวนขันหมากผ่านเข้าไปแบบงงๆ

“ถ้าจะขนาดนี้แต่งพร้อมพี่ปอเลยไหมแก”ข้าวหอมแซวผมหลังจากทีมของพี่ต๊าฟผ่านเข้าไป

“แกกหละเล่นบ้าอะไรไ ม่รู้”

ผมบ่นข้าวหอมอีกนิดหน่อย แต่เจ้าตัวดูจะยิ่งสนุกที่ได้แกล้งผม ส่วนคนมาหอมแก้มผมโชว์นั่นก็รวมกลุ่มอยู่กับพวกพี่เชษฐ์พี่ตี๊ฟแหละครับ พิธีการต่างๆ ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จริงๆ พิธีช่วงเช้านี่ก็จะมีแค่ญาติๆ กับเพื่อนๆ ของบ่าวสาวเสียเป็นส่วนใหญ่แหละครับ ส่วนแขกอื่นๆ ก็คงไปร่วมงานเย็นที่โรงแรมอีกทีนึง

ช่วงพิธีการผมก็ได้แต่นั่งเล่นกับไข่เจียว ลูกชายข้าวหอมแหละครับ ไม่ได้มีส่วนอะไรในพิธีการเค้าหรอกครับ จนถึงช่วงรดน้ำสังข์นั่นแหละครับ ถึงได้มาถ่ายรูปบ้าง อวยพรให้พี่สาวตัวเอง จนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทีนี้ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาถ่ายรูปของบรรดาเพื่อนๆ ของบ่าวสาวแหละครับ เห็นแล้วก็นึกขำเจ้ปอ ที่ตอนนี้ฉีกยิ้มค้างตลอดเวลา แต่ผมดันนึกถึงคำพูดบ่นๆ ของแกเสียมากกว่า

“แปงมานี่ๆ”ผมเดินเข้าไปตามเสียงเรียกของพี่สาว

“พยุงหน่อย จะเดินไม่ไหวแล้วเนี่ย”

“ไม่ไหวก็พักไหมละเจ้”

“อีกนิดนึง เดี๋ยวไปถ่ายรูปที่สวนหน้าบ้านก็พอแล้วเนี่ยเหนื่อย”

“เหนื่อยแต่ก็ยิ้มไม่หุบเลยนะ”

“แหมงานแต่งตัวเองทั้งทีจะให้หน้าเป็นตูดหรือไง แต่ไม่เอาอีกแล้วนะ แต่งครั้งเดียวพอแล้ว” ดูพูดเข้าสิครับพี่สาวผม เราสองคนก็เดินคุยไปโดยผมต้องเป็นฝ่ายให้เจ้แกเกาะ พยุงแหละครับ แถมนี่รองเท้าส้นสูงก็ถอดให้ผมหิ้วแล้ว นี่สินะภาพเบื้องหลังงานแต่งที่เรามักจะเห็นแค่ภาพสวยๆ แต่กว่าจะได้ภาพมามันคงทุลักทุเลไม่น้อย

“แล้วนี่เจ้าบ่าวเจ้ไปไหนเนี่ย”เมื่อมาถึงสนามหน้าบ้านก็มีแค่บรรดาเพื่อนๆ ของพี่ปอที่แต่งชุดมาสีเดียวกันตามธีมที่เลือกกันมา

“เดี๋ยวผมไปเรียกให้ครับ”พี่เชษฐ์ที่เหมือนจะมารออยู่แล้วอาสาออกไปเรียกให้

“อ่ะๆ ระหว่างรอไหนขอถ่ายรูปกับน้องชายสุดที่รักหน่อย”พอบอกว่าถ่ายรูปนี่เหมือนทุกคนจะพร้อมเสมอเลยครับ บรรดาเพื่อนเจ้าสาวนี่ล้อมวงเข้ามาเลย ตอนนี้ผมเลยเหมือนเป็นตัวแทนเจ้าบ่าวไปโดยปริยาย ถ่ายรูปกันอยู่พักใหญ่ พี่ต๊าฟก็มา บรรดาเพื่อนๆ เจ้าสาวก็ตีวงออกเหมือนล้อมผมกับพี่ปอไว้ ผมกำลังจะเดินออกจากวงให้พี่ต๊าฟเข้ามาแทนที่ แต่กลับถูกดึงไว้

“แปงอยู่ตรงนี้แหละ”

พี่สาวผมบอกยิ้มๆ พร้อมเป็นคนเดินออกไปหาพี่ต๊าฟ ทิ้งให้ผมยืนงงๆ อยู่กลางวงล้อมเพียงลำพัง แต่แล้วด้านหลังที่พี่ต๊าฟยืนบังอยู่ก็ปรากฏร่างใครอีกคนที่สะพายกีตาร์ ยืนยิ้มมองมาที่ผม นิ้วเรียวนั้นเริ่มขยับ พร้อมๆ กับเสียงร้องที่ออกมาจากใบหน้ายิ้มแย้มนั้น

“…It’s a beautiful day, we’re looking for something dumb to do
Hey baby, I think I wanna marry you
Is it the look in your eyes, or is it this dancing juice
Who cares baby, I think I wanna marry you…”


เสียงกีตาร์จังหวะสนุกสนาน เสียงปรบมือเข้าจังหวะของทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เสียงร้องเพลงที่ออกจากปากของคนที่กำลังเดินตรงมาหาผมนั้น เหมือนทุกอย่างมันเกิดเร็วมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน เรียกว่าตอนนี้ผมหูอื้อตาลายไปแล้วละครับตอนนี้ เราไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังสักครั้ง นั่นทำให้ผมไม่คิดว่าวันนึงเค้าจะทำอะไรแบบนี้ แต่ถามว่าผมดีใจไหม ก็ต้องบอกเลยว่ามาก

ทว่าตอนนี้มันทั้งตกใจ ดีใจ เขินอีกด้วยที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ มันทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว น้ำตาแห่งความสุขมันเอ่อล้นขึ้นมา แต่ผมก็พยายามกลั้นมันเอาไว้ สายตามองสบกับอีกคนที่มายืนอยู่ตรงหน้า



“…Just say I do
Tell me right now baby
Tell me right now baby, baby

…I think I wanna marry you”




เสียงเพลงจบลง ตามมาด้วยบรรยากาศความเงียบเข้ามาแทนที่ แต่แล้วก็มีเสียงซุบซิบด้วยความเอ็นดูเมื่อไข่เจียว ลูกชายตัวน้อยของข้าวหอม วิ่งเอากล่องใบจิ๋วมาส่งให้กับคนตรงหน้าผม เค้าผลักกีตาร์ไปสะพายด้านหลังก่อนจะก้มลงรับแหวนจากไข่เจียว พอเสร็จภารกิจเด็กน้อยก็รีบวิ่งกลับไปหาพ่อกับแม่ ผมอมยิ้มน้อยๆ กับภาพนั้น ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้า เค้าค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าผม

“แต่งงานกันนะ”

ทั้งที่ก็คิดว่าอะไรแบบนี้มันไม่ได้พิเศษอะไร ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่อยากให้ใครมาทำอะไรแบบนี้ให้ พอวันนี้ วันที่มันเกิดกับตัวเองจริงๆ ผมกลับปฏิเสธไม่ได้เลย ว่ามันรู้สึกดี ดีมากจนผมเองอธิบายไม่ถูก

“แต่งอยู่แล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ อายคนอื่นเค้า”

“เดี๋ยวสิ”

เค้าหยิบแหวนที่อยู่ในกล่องออกมาสวมที่นิ้วของผม ริมฝีปากเรียวนั้นประทับลงเบาๆ ที่หลังมือของผม

“เฮ”เสียงเฮดังลั่นขึ้นทันที ภู่ลุกขึ้นยืนและดึงผมเข้าไปสวมกอด

“โอ้ย เหม็นความรัก”

“ไม่แต่งพร้อมกันสองคู่ไปเลยล่ะ”

และอีกมากมายคำพูดที่ถูกส่งเสียงออกมาหยอกเย้าเราสองคน แต่มันก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู และยินดีกับเราสองคน บรรยากาศดูครึกครื้นอยู่สักพัก ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไป ผมกับภู่หลบมุมมานั่งคุยกันส่วนตัวที่ศาลาในสวนหน้าบ้าน

“ผมลุ้นมากๆ เลย กลัวแปงปฏิเสธ”

“อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ ยังกล้าคิดว่าจะปฏิเสธอีกเหรอ”

“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ทุกวันนี้เราเป็นแค่แฟน แต่จากนี้ไปเราจะเป็นคนๆ เดียวกัน เป็นทุกอย่างของกันและกัน”

“…”

“อย่าเขินมากนะครับ”

“ทำไม”

“เดี๋ยวผมอดใจไม่ไหว”

ทั้งที่ก็เป็นแฟนกันมานาน อยู่กันมาก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังทำผมเขินได้ตลอดสิเนี่ย ถึงจะดูรีบไปหน่อย แต่เราก็คุยวางแผนต่างๆ คร่าวๆ กันอย่างไม่มีใครยอมใคร แน่นอนว่าทุกอย่างเราค่อนข้างเห็นตรงกัน ทั้งการจัดงานที่คงมีแค่ญาติๆ เพื่อนสนิท จัดเป็นงานเล็กๆ ก็พอ และชีวิตหลังจากนี้ผมและเค้าคงย้ายกลับมาอยู่กับพ่อแม่ผมที่นี่

“ขอบคุณนะ”ผมบอกพร้อมกับมองเค้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นคนแรก และเป็นคนสุดท้าย ขอบคุณที่ทำให้รู้จักคำว่ารัก ขอบคุณที่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ในวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”

“…”เค้ามีเพียงรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากผมส่งกลับมา

“ขอบคุณที่รักกัน แปงรักภู่นะครับ”

“ภู่ก็รักแปงครับ แต่ว่า…”

“…”

มือเรียวของเค้าค่อยๆ ขยับมากุมมือผม นิ้วชี้และนิ้วกลางค่อยๆ ขยับ เคลื่อนที่ไต่มาตามแขนของผม สายตาเจ้าเล่ห์ในแบบที่ผมเห็นประจำกลับมาอีกครั้ง

“ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณที่แปงว่ามาทั้งหมดเป็น…”

“ไม่ให้”ผมรีบดึงแขนกลับด้วยความหมั่นไส้ กำลังจะซึ้งอยู่แล้วเชียว

“รู้เหรอว่าผมจะขอเปลี่ยนเป็นอะไร”

“ไอ้ทะลึ่ง”ผมรีบลุกเตรียมตัวจะเดินหนี แต่ก็ยังโดนเดินตามมาวอแวอีกเหมือนเดิม

“ไม่ใช่แค่ทะลึ่งนะครับ หื่นด้วย”นั่นแหละครับ ไม่มีคำว่าสลดเลยสักนิด แต่เค้าก็คือคนที่ผมเลือก คนที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตของผม จากนี้ไปมันจะสุข เราก็คงสุขร่วมกัน ทุกข์ก็คงต้องทุกข์ด้วยกัน ไม่ว่าวันข้างหน้ามันจะมีอุปสรรคปัญหาอะไรเข้ามา อย่างนึงที่จะไม่เปลี่ยนไป คือเราจะยังมี “กันและกัน” ตลอดไป























END






จบแล้วคร๊าบบบบ

ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามให้กำลังใจกันมาตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้ตั้งแต่แรกก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้ออกมาสบายๆ ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาอยู่แล้ว จนบางช่วงก็อาจจะราบเรียบเกินไป 555

จุดไหนผิดพลาดก็ขออภัยอีกรอบเนอะ น่าจะยังมีอีกหลายจุดที่ต้องปรับปรุงต่อไป

ตอนพิเศษคาดว่าคงมี แต่ไม่กล้ารับปากว่าเมื่อไหร่ แหะๆ

เพราะตอนนี้แต่งค้างดองไว้อีก 2 เรื่อง ก็คงถึงเวลาเคลียร์ อีก 2 เรื่องที่เหลือก่อน ก็ฝากเป็นกำลังใจกับเรื่องอื่นๆ ของไรท์ด้วยนะครับ

รักรีดเดอร์ทุกคน ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆ ครับ แค่เห็นว่ามีคนอ่าน มีคนชอบ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วครับ



หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2017 16:17:22
Norita_Boy
norita_boyV2

ฝากนิยายด้วยนะครับ

เรื่องที่จบแล้ว

เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ

เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย

เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง

เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ

เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ

เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย


เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท



เรื่องที่กำลังออนแอร์


เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน

เรื่องที่ 2 : Drunk in Love

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์




ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
 o13
[/b]
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-11-2017 16:21:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 17-11-2017 16:24:51
แปะไว้ก่อนนะจ้ะ  o13
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-11-2017 16:33:49
น่ารักๆๆๆคะ
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-11-2017 21:43:07
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-11-2017 22:53:07
 :mc4:  o13 o13 o13 :mc4:


 :กอด1: :L2: :pig4:  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-11-2017 23:04:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-11-2017 09:11:19
จบแบบโม้นต์หวานๆ แฮปปี้เอ็นดิ้ง    :กอด1:
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-11-2017 10:27:26
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 21-11-2017 16:11:22
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ

เป็นนิยายที่อ่านเพลินมาก ชอบบบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 24-11-2017 22:19:16
หวาน เลี่ยน อิจฉาข้าวใหม่ปลามัน
ขอบคุณคนแต่งน้าาา จะตามเป็นติ่งต่อไป :katai5:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: basza2x ที่ 20-12-2017 20:51:18
 :hao5: เพิ่งได้เข้ามาอ่านตอน อ่านทีเดียว 50ตอนเลย สนุกมากๆๆครับ feel good ไม่หน่วงเกินไป มันลงตัวมากๆ น่ารักด้วย อยากมีแฟนเด็กเลย 55555 ขอบคุณมากๆๆนะครับ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 25-12-2017 21:00:22
"สนิมสร้อย" เป็นคำที่เราอ่านแล้วแบบ... :a5:
โดนว่าแบบนี้คืออะไร?? google ด่วน!! 555
ไม่พอ~ไปถามแม่อีก ขำข้ามวันไปอีก
เป็นคำที่อายุ(24)สัมผัสไม่ทันจริง ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 4 ดนตรีในหัวใจ 22-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 17-11-2020 02:10:28

“เจ้ไอ้นั่นเมียเก่า เบื่อแล้วผมยกมันให้เจ้ไปเคลมรับช่วงต่อได้เลย ตอนนี้ผมจะขอมีเมียใหม่ ใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า มาขอจุ๊บเหม่งทีนึง”และโดยไม่ทันตั้งตัวพี่ต้าร์ก็ดึงผมเข้าไปกอด ก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมแทบจะตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกคือไม่คิดว่าพี่ต้าร์จะเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ เรียกว่าช็อคก็ได้ครับงานนี้ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคนที่เราแอบปลื้มมานานอยู่ๆ มาจูบ ถึงมันจะแค่จูบแบบเล่นๆ มันทั้งตกใจ ดีใจ ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อ่านมาเป็นเรื่องที่สองแล้วยิ่งรู้สึกรังเกัยจนิสัยพฤติกรรมไอ้ต้าร์ที่ไร้มารยาทไม่รู้กาละเทศะ กับไอ้เด็กภู่ที่นิสัยเสียปากสุนัขเหมือนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน
เฮ้ออออ เราอินเกินไปป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 15-12-2020 22:54:09
แปง  น่ารักมาก  โคตรชอบเลยครับ
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 07-01-2021 18:50:56
 ชอบๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 08-01-2021 20:06:42
 :z13:
หัวข้อ: Re: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: SeventeenCarat ที่ 24-01-2022 22:07:11
เรื่องนี้แรกๆ รำคาญภู่มากเอาจริง ดูเป็นเด็กไร้มารยาท

แล้วก็เพื่อนของแปงก็คือยังไงไม่รู้ คนเขามาขอคำปรึกษา เอะอะจะล้อตลอด ไม่ชอบเลย

ยังดีที่ตอนหลังๆ มีพัฒนาการของพระเอกขึ้น

แล้วก็ชอบที่เขามีความรักมั่นคงต่อกัน

 :pig4: :pig4: