ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
******************************************************************************************
"ถ้าเปรียบเขาเป็นพระจันทร์ ตัวผมนั้นคงจะเป็นกระต่าย
กระต่ายที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะให้ได้พระจันทร์มาครอง....ผมมันกิ๊กก๊อกชะมัด"
--------------------------------------------------------------------------------------------------
MASCOT....คือสถานที่ที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน
ชุด White Bunny ที่ผมต้องสวมมันก็ยิ่งทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
และทั้งหมดนั่น....มันคือความสุขของผม
-------------------------
(https://cdn-th.tunwalai.net/files/story/244138/636674217801985369-story.jpg)
M A S C O T
-------------------------
ผมชื่อ 'ดั้นเมฆ' เป็นเด็กหลังห้องที่ใครๆ ก็บอกว่าเกเร
ส่วนเขาชื่อ 'ช่อม่วง' เป็นหัวหน้าห้อง เรียนเก่งและเป็นที่รักของเพื่อนๆ เรื่องมันแย่ตรงที่เขาไม่ค่อยชอบผมสักเท่าไหร่
และมันยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ตรงที่....
ผม 'ชอบ' เขานี่แหละ
เฮ้อ....
-------------------------
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านจ้า
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis (https://twitter.com/Chaleeisis)
#ดั้นเมฆช่อม่วง
[/b]
บทที่ 3 วันดีดีของดั้นเมฆ
"มึงจะบอกกูได้รึยังดั้นเมฆว่าเมื่อวานมึงไปไหน"
“เออ หายหัวไปเลยตั้งแต่กลับบ้าน ติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็เพิ่งมาอ่านตอนเช้า มันยังไงกันหืม”
“จริง โคตรผิดปกติอะ มึงไปทำอะไรมา”
“กูไม่ได้ทำอะไร”
“มึงโกหก!!!!”
ไอ้พวกนี้นี่มัน
ผมกรอกตามองเพื่อนๆ ก่อนจะเบ้ปากใส่ คือว่าพวกมันไล่เค้นถามผมว่าเมื่อวานหายไปไหนมาตั้งแต่เช้าละ ซึ่งตอนนี้ก็บ่ายกว่าๆ แต่มันยังไม่เลิกถามเลย ไม่รู้ว่าจะอยากรู้อะไรขนาดนั้น รู้สึกตลกเหมือนกันที่ถูกมองด้วยสายตาที่จ้องจับผิดน่ะ ผมว่าในหัวของพวกเพื่อนๆ คงจะคิดไปต่างๆ นานาเพื่อหาเหตุผลมาตอบว่าผมไปไหน
ปล่อยให้คิดไปอย่างนั้นแหละ
เมื่อวานที่ร้านเปิดเป็นวันแรก ผมทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างที่จะรับโทรศัพท์หรือตอบใครทั้งนั้น อีกอย่างคือดันปล่อยให้แบตฯ หมดด้วยนี่สิ กว่าจะมาเปิดโทรศัพท์ก็ตอนเช้าแล้ว จำได้เลยว่าตอนที่เปิดดูแจ้งเตือนคือโทรศัพท์ค้างไปประมาณล้านรอบได้ ใจผมอยากจะปาอัดกำแพงมากเลย มันน่าหงุดหงิดนะเวลาที่โทรศัพท์ค้างน่ะ ผมมักจะหัวร้อนเพราะเรื่องนี้เสมอ ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาภาวะทางอารมณ์ตรงส่วนนี้ยังไงด้วย
ผมนี่มันเป็นดั้นเมฆที่งี่เง่าจริงๆ
“ยัง ยังเงียบอีก” ยักษ์ตีไหล่ผมพลางทำหน้าขึงขัง “บอกมาซะดีดีนะ”
“เอ๊ะมึงนี่ กูบอกว่าไม่มีอะไรไง”
“เอ้ออออ กูจะทำเป็นเชื่อมึงก็ได้ นี่เพราะว่ากูเป็นเพื่อนที่ดีหรอกนะ เลยจะไม่ฝืนใจเพื่อน” จ๋ายบอกพลางยักคิ้วให้ คือมึงเลยแหละจ๋ายที่เป็นคนเปิดประเด็นถามน่ะ
ยังจะมาทำหน้าทำตา.....น่าตบชะมัด
“เสียดายที่มึงไม่บอก แต่ไม่เป็นไร มึงคงมีเหตุผลของมึง อยากบอกวันไหนค่อยบอกละกันนะ” กรีซยิ้มหวานให้ผมก่อนจะทาสีลงบนไม้ต่อ แหม่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าซะเหลือเกิน
นี่คนหรือพระอาทิตย์อะ
ผมหยิบไม้แผ่นใหม่ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “เขาจะเอาไม้พวกนี้ไปทำอะไรวะ”
“ปิดข้างสแตนด์อะ ความจริงกูว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลยนะแต่พวกรุ่นพี่เขาดันขอมาว่าให้ม.5 ทาให้หน่อย” จ๋ายบ่นพร้อมกับหยิบไม้แผ่นใหม่ไปทา
“เขาจะเอาเท่าไหร่”
“เอา 90 แผ่น”
“ตอนนี้เสร็จไปแล้วกี่แผ่น”
“เสร็จแล้ว 5 แผ่น” ผมรู้สึกสลดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินยักษ์บอกแบบนั้น มันเหลืออีกเยอะมากเลยนะ เอาจริงๆ ถ้ามีคนมาช่วยกันทามากกว่านี้มันก็น่าจะเสร็จเร็วขึ้น
เร็วขึ้นเยอะเลยแหละ
ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ กำลังนั่งทาสีแผ่นไม้อยู่ที่ใต้ตึก 2 ครับ มันกำลังจะเข้าสู่ช่วงเตรียมงานกีฬาสีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หน้าที่ของพวกม.5 คือไปดูแลส่วนของขบวนพาเหรดนะ แต่นี่ก็งงใจเหมือนกันที่พี่ม.6 เขามาขอให้ทาสีให้ ครั้นจะบอกปัดไปเขาก็เอาเรื่องทำเพื่อสีมาอ้าง ไม่น่ารักเลยอะ หน้าที่ใครก็ควรหน้าที่มันรึเปล่า คือถ้าพวกผมไม่มีหน้าที่ต้องจัดการมันก็ไม่ลำบากหรอกเรื่องที่จะช่วยน่ะ
แต่นี่พวกผมก็มีหน้าที่ต้องทำไง
เรื่องขบวนพาเหรดทั้งขบวนเนี่ยะพวกม.5 จะต้องจัดการตั้งแต่หาคนมาเดิน เสนอคอนเซ็ปต์สี ซ้อมน้องๆ ม.2 ให้เดินร่วม ทำพร็อพถือต่างๆ ซึ่งมันเยอะมาก แล้วไหนจะงานที่ต้องเร่งทำส่งอีก โคตรหัวปั่นเลย มันลำบากตรงที่คณะยูงทองของผมมีอยู่แค่ 2 ห้อง และแต่ละห้องก็มีกันอยู่ไม่ถึง 30 คน คือน้อยมากอะ
ทีมทำพาเหรดมีกันอยู่แค่นี้เอง
เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบช่วงกีฬาสีเท่าไหร่เพราะมันเป็นเหมือนสถานการณ์กดดันและสร้างสงครามภายในซะมากกว่า เมื่อตอนช่วงมัธยมฯ ต้นก็คิดว่ามันสนุกอยู่หรอก แต่พอโตมาเรื่อยๆ ก็เริ่มไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ผมรู้ว่าบางทีมันก็ต้องมีการไม่ลงรอยกันบ้างแต่ถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องใหญ่โตมันก็เกินไป หลายครั้งละที่ผมเคยเห็นมา ไม่ทะเลาะกับสีอื่นก็ทะเลาะกันเองในสี
น่าปวดหัวเนอะ
พอเป็นแบบนั้น แทนที่มันจะสนุกมันก็ไม่สนุก แถมยังทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าปกติอีกต่างหาก ผมรู้ว่าผลงานที่ทำกิจกรรมก็ถือว่าดีในการนำไปใส่แฟ้มสะสมผลงานตอนเข้ามหา’ ลัยแต่ถ้าส่วนตัวผมนะ ผมคิดว่าอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ ผมก็ไม่อยากจะฝืนใจทำ ต่อให้ไม่มีภาพกิจกรรมประดับไว้ในแฟ้มสะสมผลงานเท่าคนอื่นแต่ถ้าเรามีสิ่งๆ นึงติดตัวเอาไว้ มันก็พอจะไปสู้กับภาพผลงานพวกนั้นได้นะ
สิ่งที่เรียกว่า ‘ไหวพริบในการเอาตัวรอด’
เรื่องนี้พี่อินสอนผมมาด้วยนะครับ
เจ้าตัวบอกว่าตอนที่เขาสัมภาษณ์เข้ามหา’ ลัย เขาไม่ได้ใช้แฟ้มสะสมผลงานเลย ใช้แค่ใจและคำพูดกับไหวพริบในการตอบคำถามของคนที่สัมภาษณ์เขาเท่านั้น ผมว่าพี่อินเป็นคนที่ไหวพริบดีอะ ในหลายๆ อย่างเลย ผมจะต้องเก่งให้ได้สักครึ่งของเขา มันจะได้เอาตัวรอดได้ ไม่ใช่แค่เฉพาะการสัมภาษณ์เข้ามหา’ ลัยหรอกนะ เรื่องนี้เราสามารถเอามาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
นี่คิดจริงจังเลยนะเนี่ย
“ดั้นเมฆ”
ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบร่างโปร่งของหัวหน้าห้องตัวเอง “ชะ....ช่อม่วง”
“ว่างรึเปล่า มีอะไรจะให้ช่วยหน่อยน่ะ”
“ว่างแหละ มีอะไรเหรอ” ผมส่งแปรงทาสีให้จ๋ายก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าเขา
“อยากให้ไปซื้อของมาทำพร๊อพด้วยกันหน่อยน่ะ” ช่อม่วงมองไปทางเพื่อนๆ ผม “เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ เราจะมาช่วยนะ ประชุมสภาฯ เสร็จแล้วน่ะ ส่วนพวกที่เหลือก็ให้ไปซ้อมน้อง โอเคนะ”
“โอเคเลย” ยักษ์ขานรับคำ
“เราไปล้างมือแป๊บนึงนะ” พอเห็นเขาพยักหน้ารับผมก็เดินไปล้างมือที่อ่างน้ำใกล้ๆ รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้ที่เขามาชวนผมไปซื้อของทั้งๆ ที่เพื่อนเขาก็มีตั้งเยอะ
จะห้ามปากไม่ให้ยิ้มยังไงดีล่ะเนี่ย
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จสรรพผมก็เดินกลับมาหาเขา ร่างโปร่งเดินนำไปทันที ช่อม่วงในตอนนี้กับช่อม่วงที่ผมเจอเมื่อวานที่ร้านดูเหมือนเป็นคนละคนเลยนะครับ ปกติแล้วเวลาอยู่ที่โรงเรียนเขาจะไม่ค่อยยิ้มแม้ว่าจะเป็นกับกลุ่มเพื่อนตัวเองก็ตาม แต่เมื่อวานที่เขาอยู่ต่อหน้าผมที่สวมชุดไวท์บันนี่ สีหน้าเขาดูสดใส ยิ้มเก่ง ดูก็รู้ว่ากำลังมีความสุขอยู่ซึ่งผมอยากเห็นอะไรแบบนั้นบ่อยๆ นะ
เห็นโดยไม่ต้องผ่านชุดมาสคอตกระต่ายน่ะ
เอาจริงๆ ก่อนที่จะทำให้เขายิ้มให้บ่อยๆ ผมควรจะทำให้เขาเลิกไม่ชอบหน้าผมซะก่อน นี่คิดว่าที่ชวนมาซื้อของด้วยกันมันก็น่าจะเป็นเพราะผมเป็นพวกใช้แรงงาน ตัวใหญ่แบบผมคงจะแบกของได้เยอะ ในหัวของช่อม่วงจะต้องคิดอะไรแบบนี้อยู่แน่ๆ
อืม....คิดเองแล้วทำไมปวดใจจัง
“ขับมอเตอร์ไซค์เป็นใช่ไหม” เจ้าตัวเอ่ยถามก่อนจะส่งกุญแจรถมาให้ “เรายืมของเพื่อนมา แต่ว่าขับรถไม่เป็นน่ะ”
“เราขับเป็น เดี๋ยวเราขับให้ก็ได้ ว่าแต่ช่อม่วงจะไปซื้อร้านไหนเหรอ” ผมรับกุญแจมาก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์
“ร้านที่เลยสวนสาธารณะไปน่ะ ร้านนั้นถูกดี เราลองไปถามราคามาแล้ว” เขาบอกก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายผม พอเป็นแบบนั้นผมก็จัดการออกรถทันที
นี่ถือว่าดีนะที่เราสองคนสามารถออกมาจากโรงเรียนได้ก่อนเวลาเลิกเรียนน่ะ นั่นมันก็เป็นเพราะเส้นของสภาฯ ที่ช่อม่วงอยู่ เขาจะมีบัตรผ่านประตู แต่ว่าก็ต้องให้เหตุผลนะว่าออกมาทำไม แล้วถ้าคิดโดดเรียนหายไปเลยนี่จะโดนลงโทษหนักมาก
บุหลันเคยโดน
น้องชายตัวดีของผมก็เป็นหนึ่งในสภาฯ นะครับ แล้วก็เป็นประธานแผนการเรียนอังกฤษ – ญี่ปุ่นด้วย เมื่อคืนตอนที่เขากลับมาบ้าน ก็บ่นให้ผมฟังเรื่องงานวัฒนธรรมที่ต้องจัดหลังงานกีฬาสี มันก็เหนื่อยหน่อยอะสำหรับงานของประธานแผนฯ แล้วอีกอย่างพวกงานวัฒนธรรมก็ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่ต้องทำให้มันออกมาดีที่สุดซะด้วย ผมก็คงทำได้แค่ตบไหล่ปลอบใจบุหลันเบาๆ ล่ะนะ
เพราะก็ทำได้แค่นั้นแหละ
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงร้านขายของ ร่างโปร่งลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในร้านโดยมีผมเดินตามอยู่ด้านหลัง สองมือถือของที่ช่อม่วงหยิบส่งมาให้ไปเรื่อย บรรยากาศค่อนข้างเงียบมากเลย ใจคอจะไม่คุยกันสักคำเลยเหรอครับคุณ หรือว่าต้องให้ผมเป็นคุณกระต่ายเท่านั้นถึงจะยอมคุยกับผม คิดแล้วมันน่าน้อยใจจัง
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” สายตาคมเหลือบมองผมนิ่งๆ “ลำบากใจเหรอที่มาช่วยเราน่ะ”
ผมส่ายหัวทันที “เปล่านะ เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
“ไม่ได้คิดก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“หน้าที่ว่ามันคือหน้าแบบไหนอะ”
“ก็แบบนี้” ว่าแล้วช่อม่วงก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผม “เข้าใจรึยัง”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นแบบนั้น “เราเข้าใจแล้ว”
“หัวเราะเราเหรอ เดี๋ยวจะโดน”
“ช่อจะทำอะไรเราได้” ผมพึมพำในลำคอ
“เราได้ยินนะ” มือเรียวดึงคอเสื้อผมเข้าไปใกล้จนหน้าเราห่างไม่ถึงคืบ “ห้าวเหรอดั้นเมฆ”
ตึกตัก
สถานการณ์นี้มัน....
“หึ.....” ผมยกยิ้มพลางเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ “ถ้าเราห้าว ช่อจะทำยังไง”
“เราก็จะทุบแบบนี้” มือเรียวทุบเบาๆ ที่ไหล่ผม
“ไม่เห็นจะเจ็บเลย”
“นี่ถือว่าปรานีไง ตามมาถือของได้แล้ว” สิ้นเสียงร่างโปร่งก็ผละออกไปก่อนจะเดินนำไปเลือกของต่อ เหตุการณ์เมื่อกี๊ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่รู้สึกว่ามันดีต่อใจผมเหลือเกิน
หน้าร้อนไปหมดเลยว่ะ
ผมเดินตามช่อม่วงมาเรื่อยๆ เสียดายที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาด้วยไม่งั้นผมคงแอบถ่ายรูปเขาไปแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเก็บเขาไว้ในความทรงจำแทนรูปถ่ายละกัน หื้มม...ม...พูดจาเหมือนจะตายวันนี้เลยว่ะ
บ้าบอ
เราสองคนใช้เวลาสักพักใหญ่ในการซื้อของ ของที่ใช้ทำพร็อพค่อนข้างเยอะเลยครับ ส่วนมากเป็นกระดาษ แต่ผมคิดว่าอาจจะต้องมาซื้ออีกก็ได้นะ มันคงมีของขาดเหลือบ้างแหละ หวังว่าถ้ามาซื้อของอีก ช่อม่วงจะชวนผมมาด้วยนะ อย่างน้อยมาในฐานะคนแบกของก็ได้
พร้อมเป็นทุกอย่างให้คุณแล้ว
“ดั้นเมฆ”
“หืม....”
“เราหิว เรายังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เที่ยง” มือเรียวถือถุงของก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย “พาเราไปหาอะไรกินหน่อย”
“ช่ออยากกินอะไรอะ”
“อยากกินข้าวมันไก่ซอย 17 อะ พาไปหน่อย”
“ได้เลย” ผมรับคำก่อนจะออกรถพาคุณหัวหน้าห้องไปหาข้าวมันไก่กิน จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมกับเขานั่งกินข้าวด้วยกันน่ะ
โชคดีเกินไปป้ะวะวันนี้
ใช้เวลาสักแป๊บผมก็พาร่างโปร่งมาจนถึงร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อย ร้านป้าแป๊ดซอย 17 นี่ถือว่าเป็นที่เลื่องชื่อลือชามาในแถบโรงเรียนผม ดีว่าเรามาช่วงที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้ามาช่วงที่เลิกเรียนคือจะไม่มีนั่งเลย ผมกับพวกเพื่อนๆ เคยซื้อเป็นห่อแล้วนั่งกินริมฟุตปาธมาแล้ว คือของอร่อยเนี่ยะ กินที่ไหนก็อร่อยน่ะนะ ดูทรงแล้ววันนี้อาจจะอร่อยเป็นพิเศษ
เพราะได้กินกับคนที่ชอบ
อื้มมม....ม....หุบยิ้มไม่ได้เลยบ้าจริง
“ผมเอาข้าวมันไก่ต้มพิเศษ ขอหัวไชเท้าเพิ่มด้วยนะครับ” ช่อม่วงสั่งก่อนจะเหลือบมองผม “กินอะไรก็สั่งสิ มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นแหละ”
ผมยิ้มแห้งให้เจ้าตัวทันที “ของผมเอา....เหมือนเขาครับ”
“กินตาม”
“ก็จะกินอะ”
“หนิ เดี๋ยวเถอะ ชักเอาใหญ่แล้วนะ” ช่อม่วงทำหน้านิ่งใส่ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาพลางมองใบหน้าขาวอยู่อย่างนั้น
ขนาดทำหน้านิ่งยังดูน่ารักเลยอะ....คนมีเสน่ห์มันก็จะประมาณสินะ
“เอ่อ....ช่อ ที่เมื่อวานช่อบอกว่าไปจะร้านขนมที่เปิดใหม่ ช่อได้ไปมาไหม”
เขาพยักหน้ารับเบาๆ “ถามทำไม”
“ก็ถามเฉยๆ อะ อยากรู้”
“เราว่านายน่าจะรู้นะว่าเราไปมารึเปล่า” ช่อม่วงเท้าคางมองผม “เราหมายถึง นายน่าจะรู้ว่าเราเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น”
“นั่นสินะ แล้ว....เป็นไงอะ ร้านนั้นดีป้ะ เผื่อว่าเราจะได้ไปบ้าง”
“ก็ดีนะ ขนมอร่อยมากเลยล่ะ ในร้านมีพนักงานคนเดียว สวมชุดมาสคอตกระต่ายขาวด้วย น่ารักมากเลย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาจนตาหยี
ตึกตัก
น่ารักจนใจสั่นเลยว่ะ
รอยยิ้มนี้ผมเห็นมันลางๆ ผ่านช่องมองของหัวกระต่าย นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางน่ะ รู้สึกดีจัง ช่อม่วงดูชอบไวท์บันนี่จริงๆ นั่นแหละ พอเห็นแบบนี้แล้วผมคงไม่อิดออดอีกแล้วถ้าจะต้องสวมชุดไวท์บันนี่ทำงานต่อ มันก็จริงอยู่ว่าช่อม่วงไม่ได้ไปที่ร้านทุกวัน แต่ว่าการที่ผมต้องสวมชุดนั้นเพื่อรอเขา มันก็ไม่ได้หนักเกินไป เพราะยังไงมันก็คือการทำเพื่อคนที่ตัวเองชอบ
อีกอย่างคือเพื่อช่วยพี่อินด้วยล่ะนะ
“เราไม่ค่อยเห็นช่อยิ้มเท่าไหร่เลยอะ นี่แปลว่าชอบมาสคอตกระต่ายจริงๆ สินะ”
“ใช่ เราชอบมากๆ เลย” ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผมนิ่งๆ “เราชอบขนมที่ชื่อว่า บุหลันดั้นเมฆ ด้วยนะ มันเป็นครั้งแรกที่เราได้กินมันเลยน่ะ”
“ขนมบุหลันดั้นเมฆ”
“ใช่ นายคงจะรู้จักสินะ เพราะมันเป็นชื่อนายหนิ”
ผมพยักหน้ารับ “ใช่ เราทำเป็นด้วยนะ”
“จริงอะ อ๋อ ใช่สิ เพื่อนนายเคยบอกอยู่ว่านายทำได้”
“อื้ม ทำได้ มันไม่ยากหรอก” เพราะอย่างขนมบุหลันดั้นเมฆที่ช่อม่วงเป็นคนกิน ผมก็เป็นคนเตรียมของทั้งหมด พี่อินมีหน้าที่แค่เอาไปนิ่งเท่านั้นเอง
“วันหลังเมฆทำให้เรากินบ้างสิ” ช่อม่วงมองผมก่อนจะยิ้มบางๆ “เราเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“ได้สิ เรียกอะไรก็ได้”
“โอเค อย่าลืมคำที่พูดด้วยนะ” มือเรียวยื่นมาตรงหน้าผมก่อนจะชูนิ้วก้อยขึ้นมา “สัญญากันก่อน”
ผมเลื่อนนิ้วไปเกี่ยวกับนิ้วเรียวนั่น “สัญญาครับ”
“อื้ม....พรุ่งนี้เราจะไปที่ร้าน MASCOT อีก ความจริงวันนี้ก็อยากไปแต่ว่ามีนัดกับที่บ้านแล้ว”
“ไว้เดี๋ยวเราไปมั่งดีกว่า”
“หึ.....” ช่อม่วงยกยิ้ม “เอาสิ แต่ว่าวันที่เมฆไปกับวันที่เราไป มันคงไม่มีวันไหนตรงกันเลยสินะ”
“ก็อาจจะ....” มันจะไปตรงกันได้ไงวะ ผมต้องอยู่ที่ร้านตลอดอยู่แล้วอะ นี่ถ้าช่อม่วงรู้ว่าผมโกหกเขา ผมต้องโดนโกรธแน่ๆ เลย เพราะงั้นเราจะไม่ให้เขารู้เรื่องนี้เด็ดขาด
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้แหละวะ
“กินข้าวดีกว่า จะได้กลับโรงเรียนกัน”
“อื้ม....”
รอยยิ้มแปลกๆ ของคนตรงหน้านี่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังยังไม่รู้ว่ะ
อื้มมม....คิดมากน่ะดั้นเมฆ
คิดมาก
TBC.
สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
บทที่ 4 กระต่ายจอมเพ้อเจ้อ
ตอนนี้นายดั้นเมฆกำลังเผชิญกับมนุษย์บันนี่ยักษ์ทั้ง 3 ตัวอยู่
ฮืออออ.....มาจากไหนเนี่ย
ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับเหล่าบันนี่ยักษ์ที่ยืนประจันหน้ากับผมอยู่ ค่อนข้างตกใจมากนะที่เดินเข้ามาในร้านแล้วต้องเจออะไรแบบนี้ คือใส่ชุดมาสคอตแล้วตัวใหญ่ขนาดนี้ คนที่อยู่ในนั้นก็แน่นอนว่าไม่ใช่คนตัวเล็กแน่ๆ พี่อินเขาไปหาพนักงานเพิ่มมาจากไหนวะ แล้วทำไมถึงหาได้เร็วขนาดนี้ เหมือนเขาบอกกับผมเมื่อวานเองว่าจะหาพนักงานมาเพิ่มให้ อย่าว่าแต่เรื่องหาพนักงานเร็วเลย หาชุดให้พนักงานใส่ก็เร็วมากเหมือนกัน
งงไปหมดแล้วเอาจริงๆ
“ใช่น้องเมฆรึเปล่าครับ” พี่แบล็คบันนี่เอ่ยถามผม เสียงนุ่มเชียว ผมว่าคนที่จะเป็นเจ้าของเสียงนุ่มละมุนหูแบบนี้ต้องเป็นคนที่ใจดีมากแน่ๆ
“ใช่ครับ พวกพี่คือพนักงานใหม่ของร้านสินะ”
พี่บราวน์บันนี่พยักหน้ารับ “ใช่ครับ พวกพี่เป็นรุ่นน้องของพี่อินที่กำลังว่างงานและหาอะไรทำเรื่อยเปื่อยเพื่อรอวันรับปริญญา พวกพี่เห็นว่างานนี้น่าสนุกก็เลยมาลองทำดู”
“อย่างงี้นี่เอง” ผมรับคำก่อนจะมองไปรอบๆ ร้าน “แล้วนี่พี่อินอยู่ไหนเหรอครับ”
“ครัวด้านหลังร้านครับ” พี่เกรย์บันนี่ตอบผมแทน พี่คนนี้เสียงเรียบๆ แฮะ ต่างจากพี่บราวน์ที่เสียงจะดูสดใสหน่อย ใจผมคิดอยากจะถอดหัวมาสคอตของทุกคนออกมากเลย อยากเห็นหน้าครับไม่ใช่อะไร
แต่เดี๋ยวไว้ดูตอนเลิกงานก็ได้
“งั้นผมไปหาพี่อินก่อนนะครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ร่างสูงกำลังยืนจัดขนมใส่ถ้วยอยู่โดยมีเจ้าน้องชายตัวแสบยืนอยู่ข้างๆ ในสภาพที่มีที่คาดผมเป็นหูกระต่ายคาดหัวอยู่
คิ้วท์ไม่เหมาะกับหน้าเลย
“กลับช้านะดั้นเมฆ” บุหลันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด “แอบไปทำไรมาหืม”
“ก็งานกีฬาสีนั่นแหละ อีกอย่างเมฆไม่ได้กลับช้าขนาดนั้นซะหน่อย เหลือเวลาเปิดร้านอีกตั้งเยอะ”
“กลับช้าก็คือกลับช้า”
ผมเบ้ปากใส่คนขี้จับผิด “ทีเมื่อวานหลันไม่อยู่ทำงาน เมฆยังไม่ว่าอะไรสักคำ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ” ว่าแล้วเขาก็แลบลิ้นใส่ผม หึ้ยย...ย....มันน่านักนะ เอาจริงๆ เรื่องกางเกงของผมที่บุหลันขโมยไปใส่ยังไม่ได้เคลียร์เลยด้วย ไว้เผลอก่อนเถอะ จะตีให้แขนช้ำ
“พอแล้วทั้งสองคน ง้องแง้งใส่กันเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ก็ยังเด็กอยู่นะครับ” เจ้าตัวดียิ้มหวานก่อนจะเอียงหัวไปไถไหล่พี่อิน “เด็กอายุ 17 ไง”
“หูมันทิ่มหน้าพี่เนี่ยะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบพลางเหลือบมองผม “ไปเปลี่ยนชุดซะดั้นเมฆ เดี๋ยวพี่จะพาเราไปแนะนำกับพวกพี่ๆ พนักงานใหม่”
“ค้าบบบบ” ผมรับคำก่อนจะเดินไปที่ห้องแต่งตัว เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงร้านก็จะเปิดแล้ว เสียดายที่วันนี้ช่อม่วงจะไม่ได้มาที่ร้าน มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขามีนัด แต่ไม่เป็นไร เจ้าตัวบอกเองว่าจะมาพรุ่งนี้นี่นะ
แค่คิดก็ตื่นเต้นจะแย่
คนเราจะตื่นเต้นข้ามวันเลยเหรอวะ
ผมลูบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะปลดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วหยิบยูนิฟอร์มที่แขวนอยู่มาใส่ พี่อินเขาซักแล้วก็รีดให้ซะเรียบเลยล่ะ แต่หลังจากที่มีพนักงานเพิ่มก็อาจจะเหนื่อยขึ้น ปกติแล้วพี่ชายผมไม่ค่อยบ่นหรอกว่าตัวเองเหนื่อย บางทีผมก็อยากให้เขาพูดออกมาบ้างนะ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยแบ่งเบาในหลายๆ อย่าง ผมคิดมาตลอดว่าเขาเท่ที่สุดและคือที่หนึ่งในใจของผมเลย
งานอวยพี่ชายตัวเองก็มา
ลองคิดดูสิ พี่อินต้องรับผิดชอบการดูแลพวกเราทั้งสองคนเพราะว่าป่ะป๊ากับหม่าม้าไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย คือตอนนี้พวกท่านดูแลธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ฮ่องกงแล้วก็จะกลับไทยนานๆ ครั้ง แต่ว่าพวกเราสามพี่น้องวิดีโอคอลหาพวกท่านทุกอาทิตย์เลยนะ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยพี่อินเรียนมหา’ ลัยแล้ว ตอนนั้นที่ผมยังเป็นเด็ก ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาก็เข้าใจแล้วล่ะครับ
เพราะทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองต้องรับผิดชอบ....มันก็เท่านั้นเอง
ทุกวันนี้ผมก็เลยพยายามทำทุกอย่างที่จะสามารถช่วยพี่อินได้ เอาจริงๆ การไม่สร้างเรื่องให้เขาปวดหัวหนักๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มากเกินพอแล้ว ตัวเขาเองก็คงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้
“ทำไมแต่งตัวนานจัง” บุหลันโผล่หัวเข้ามาในห้อง “ดูดีเหมือนกันนะเนี่ยดั้นเมฆ”
“แน่นอน”
“มันจะดูหน้าหมั่นไส้เพราะแบบนี้นี่แหละ” เจ้าตัวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะจัดเสื้อให้ มันตลกเหมือนกันนะที่หูกระต่ายยาวๆ นั่นปักอยู่ที่หัวบุหลันน่ะ
“แล้วนี่หลันไม่ต้องสวมหัวมาสคอตเหรอ”
“ใช่ พี่อินบอกว่าให้หลันใส่แค่ที่คาดผมพอ หน้าที่ของหลันคือคิดเงินตรงเคาน์เตอร์ ก่อนที่เมฆจะมาพี่อินแจงงานทั้งหมดว่าให้พี่กระต่ายสีดำกับสีน้ำตาลคอยจัดขนมให้ลูกค้า พี่กระต่ายสีเทาคอยเก็บจานและก็ทำความสะอาด ส่วนเมฆก็คอยดูแลและต้อนรับลูกค้า”
“งี้นี่เอง แล้วนี่หลันเห็นหน้าพวกพี่ๆ กระต่ายแล้วสิ” ผมถามก่อนจะหยิบหัวมาสคอตของตัวเองมาสวม
“เห็นแล้ว พี่กระต่ายเทาอะชื่อพี่อ้าย กระต่ายน้ำตาลคือพี่ป๊อบ ส่วนพี่กระต่ายดำคือพี่บิ๊วท์ หลันว่าพวกพี่เค้าดูดีมากเลยนะ น่าเสียดายอยู่ที่ต้องสวมหัวมาสคอตปิดหน้าตัวเองเอาไว้”
“งานนี่นะ ไปกันดีกว่า ใกล้ได้เวลาเปิดร้านละ” ผมบอกกับเจ้าน้องตัวแสบก่อนจะเดินนำเขามาที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า พวกพี่ๆ กระต่ายก็กำลังช่วยพี่อินเรียงขนมใส่ตู้อยู่
“เมฆมาแล้วครับ” ผมบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ทุกคน แต่เดี๋ยวนะ ถึงจะยิ้มไปเขาก็มองไม่เห็นหน้าผมอยู่ดีนี่หว่า บ้าบอจริงๆ เลยดั้นเมฆ
“หลันได้บอกรึยังล่ะว่าใครเป็นใครแล้วจะทำงานกันยังไง”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ “บอกแล้วครับ แต่ว่าในเวลางานเมฆขอเรียกพวกพี่ตามสีของหัวมาสคอตละกันนะครับ พวกพี่ๆ ก็เรียกเมฆว่าไวท์นะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” พี่บิ๊วท์รับคำ ทำไมเหมือนผมเห็นรอยยิ้มเขาทะลุผ่านหัวมาสคอตมาเลยวะ เนี่ยะ พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อยากเห็นหน้าเข้าไปใหญ่
จะมีมาดอบอุ่นขนาดไหนกันนะ
“ไปเปิดร้านได้แล้วเมฆ ได้เวลาแล้ว” พี่อินสั่งก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ส่วนผมก็เดินมาพลิกป้ายร้านให้เป็น Open เอาล่ะวันนี้ก็ต้องตั้งใจทำงานนะดั้นเมฆนะ
ผมคิดว่าวันนี้น่าจะเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อวานเพราะพนักงานในร้านเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย จากการทำงานเมื่อวานคือมีคนไม่น้อยที่ถ่ายรูปผมไป มันจะเป็นการดีนะครับถ้าพวกเขาแชร์กันลงโซเชียล มันเป็นการโปรโมทร้าน ผมคิดว่าจะเสนอให้พี่อินทำเพจเฟซบุ๊กของร้านขึ้นมาเพื่อการโฆษณา มันน่าจะดีนะถ้ามีคนเช็คอินที่ร้านเราเยอะๆ น่ะ
คิดการไกลตั้งแต่ร้านเปิด 2 วันแรกเลยครับ
กริ่งงงง
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ” ผมเอ่ยบอกกับกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงที่เดินเข้ามา พวกเธอดูตื่นเต้นมากที่ได้เห็นเหล่ากระต่ายยืนกันให้เต็มไปหมด
“เหมือนในรูปของแจมจริงๆ ด้วยอะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยบอกกับเพื่อนๆ ที่พากันไปดูขนมที่หน้าตู้
“รับอะไรดีครับ” พี่บิ๊วท์เอ่ยถาม
“เอาอันนี้ๆ ๆ ๆ ค่ะ” เด็กผมเปียบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “หนูขอถ่ายรูปพี่ๆ ได้ไหมคะ น่ารักมากเลยอะ”
“ได้สิครับ” พี่ป๊อบตอบรับก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเพื่อให้กลุ่มนักเรียนถ่ายรูปกันได้อย่างเต็มที่ เห็นแบบนี้มันก็ดูคึกคักดีนะ อย่างน้อยคนที่มาร้านเราก็ต้องได้รูปกลับไปหลายรูป
“คุณกระต่ายขาวคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ” ผู้หญิงผมบ๊อบยิ้มบางๆ ให้ผม พอเห็นแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับ เธอขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะให้เพื่อนถ่ายรูปให้
ปกติแล้ว....การเป็นดั้นเมฆค่อนข้างจืดชืดนะครับ เอาจริงๆ ไม่เคยมีใครมาขอผมถ่ายรูปบ่อยๆ แบบนี้เลย คือถ้าไม่ใช่ไวท์บันนี่ ผมก็คงจะอยู่แบบจืดๆ ต่อไปซึ่งมันต่างกับบุหลันมาก รายนั้นค่อนข้างจะฮอตอยู่พอตัว ถึงเราจะเป็นฝาแฝดกันแต่ว่าเราเกิดมาจากไข่คนละใบเพราะงั้นหน้าตาเราก็เลยไม่เหมือนกันและก็เป็นผมด้วยที่ดูเห่ยอะ ไม่ดิ ความจริงต้องเรียกว่าแค่เห่ยมากกว่าบุหลันนิดหน่อย
ก็แค่นิดหน่อยเองป้ะวะ
“ทั้งหมด 275 บาทครับ” เสียงหวานของคนที่ผมเพิ่งนินทาในใจไปเมื่อกี๊เอ่ยบอกกับลูกค้า ดูเหมือนว่าพวกเธอจะชอบใจพนักงานคนนั้นเป็นพิเศษเลยนะครับ
น่าหมั่นไส้ซะจริงๆ
กริ่งงงง
“พี่กาต่ายยยยยขา” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งมาเกาะขาผมก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก “ทำไมพี่ตัวใหญ่จังคะ”
ผมแกะมือเล็กออกก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งยองๆ ตรงหน้า “เพราะพี่กินข้าวเยอะไงคะ ถ้าหนูอยากตัวใหญ่แบบพี่กระต่าย หนูก็ต้องกินข้าวเยอะๆ นะคะ”
“หนูกินขนมด้วยได้ไหมคะ”
“กินได้ค่ะ ร้านนี้มีขนมเยอะแยะเลยนะ หนูลองไปดูตรงหน้าตู้ที่มีพี่กระต่ายสีน้ำตาลกับสีดำอยู่นะคะ” ว่าแล้วผมก็ชี้นิ้วให้น้องดู ร่างเล็กวิ่งไปทางตู้ขนมทันที ด้านหลังก็มีคุณแม่ของเธอที่เดินตามเข้ามาด้วย
ผมยืนให้บริการลูกค้าไปเรื่อย ทุกคนดูมีความสุขกันมากเลยนะครับ ขนมที่อยู่ในตู้ก็ลดลงเรื่อยๆ จนต้องช่วยกันเอาออกมาเติมเป็นระยะๆ แปลว่าพี่อินคิดถูกจริงๆ ที่ทำขนมเยอะกว่าเมื่อวานน่ะ ไม่งั้นมันต้องหมดก่อนที่จะถึงเวลาปิดร้านแน่ๆ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้พี่อินจะเพิ่มจำนวนขนมด้วยรึเปล่าเพราะว่าเป็นวันเสาร์ คนน่าจะมาเยอะ เดี๋ยวผมก็ต้องช่วยพี่อินทำขนมนี่แหละ รู้สึกว่าจะไม่มีธุระอะไรต้องทำนะ
หรือว่ามีวะ
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องไปทาสีแผ่นไม้ต่อ แต่ไม่รู้ครับเดี๋ยวต้องดูก่อน ต้องถามเพื่อนๆ ด้วย ยังไม่ได้มีการนัดกันอย่างเป็นทางการไงเพราะงั้นก็ถือว่าว่างไว้ก่อน เอาจริงๆ ถ้าพรุ่งนี้ผมลงมือทำขนมล่ะก็ มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขมากแน่ๆ เพราะว่าช่อม่วงจะมาที่ร้าน ผมเชื่อนะว่าเขาจะมาเพราะเจ้าตัวบอกไว้เองและอย่างเขาคือคำไหนก็คำนั้น
อยากเจอหน้าเร็วๆ จัง
อา....ผมนี่ชอบช่อม่วงมากจริงๆ นั่นแหละ
กริ่งงงง
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”
***
“ชุดสุดท้ายแล้วนะเมฆ” บุหลันส่งถ้วยเช็ตสุดท้ายมาให้ผม “วันนี้ขายหมดเกลี้ยงเลยเนอะ คนเยอะมากจริงๆ ”
“ยังดีว่ามีพนักงานหลายคน ไม่งั้นแย่แน่ๆ แล้วนี่พวกพี่ๆ ที่เหลืออยู่ไหนล่ะ”
“ก็ช่วยกันเก็บร้านอยู่นั่นแหละ ส่วนพี่อินก็จัดการเรื่องบัญชีอยู่”
“อ๋อ ตอนนี้กี่โมงแล้วอะหลัน”
“จะ 4 ทุ่มครึ่งแล้วแหละ ถ้ากลับถึงบ้านนะจะนอนให้เต็มอิ่มเลย”
“เดี๋ยวก็เล่มเกมอีกตามเคย”
“อย่ามาทำเป็นรู้มากสิ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “หลันไปหาพี่อินละ” ว่าแล้วเจ้าน้องตัวแสบก็เดินหนีผมไปทันที
ก็เป็นซะอย่างเนี้ยะ
ผมคว่ำถ้วยใบสุดท้ายก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดมือ รู้สึกล้ามากเลยนะครับจากการยืนแล้วก็เดินไปมาหลายชั่วโมงน่ะ ผมแทบไม่ได้นั่งเลย ตอนทำงานอยู่มันก็สนุกนะแต่พอเลิกงานแล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น วันนี้คนมาที่ร้านเยอะมากเลย เยอะจนช่วงนึงไม่มีโต๊ะว่างและลูกค้าก็ต้องนั่งรอหน้าร้าน ระหว่างนั้นผมก็ไปนั่งเป็นเพื่อนนั่นแหละ ไวท์บันนี่ตัวนี้นอกจากจะเป็นพนักงานแล้วยังเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตชาวบ้านด้วยนะ
คิดแล้วก็ขำแฮะ
มีพี่ผู้ชายคนนึงเขามานั่งคุยกับผมตอนที่รอโต๊ะว่าง ปัญหาที่เขาเอามาเล่าให้ผมฟังมันคือความรักของเขาครับ คือพี่เขาหลงรักเพื่อนตัวเองแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ผมยังจำน้ำเสียงซึมๆ นั่นได้เลย เขาคงชอบเพื่อนเขามากจริงๆ และก็คงลำบากใจกับอะไรหลายๆ อย่างมากเลยล่ะ เรื่องของเขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกันนะ ผมเองก็ชอบช่อม่วงไงซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนของผม
ช่อม่วงนี่เป็นเพื่อนผมใช่ไหม
ก็คงใช่แหละ....เพื่อนร่วมห้อง
มันโอเคอยู่ที่ช่วงนี้เราคุยกันมากขึ้นและมันยิ่งโอเคที่เขาคิดจะพึ่งพาผมในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นให้ช่วยแบกของ พาไปซื้อของหรืออะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับงาน มันดีนะครับเพราะก่อนหน้านั้นระหว่างเรามันติดลบมาตลอดเลย ผมดีใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นะ ที่เขาเรียกชื่อผมทั้งๆ ที่ปกติเขาจะเรียกว่านาย สิ่งเหล่านี้มันให้ความรู้สึกเหมือนเราก้าวเข้าใกล้กันมากขึ้น....รึเปล่า
หรือผมคิดไปเอง
คิดแล้วทำไมเศร้าอะ
“เพ้อเจ้อจริงๆ เลยดั้นเมฆ”
ครืดดด.....ครืดดดด
ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย โทรผิดงั้นเหรอ แต่เรื่องนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรากดรับสายครับ “....ฮัลโหลครับ”
(.....)
“ฮัลโหล”
(เราเองนะเมฆ)
เสียงนี้มัน.....
“ชะ....ช่อม่วงเหรอ”
(ใช่ แล้วจะทำเสียงสั่นทำไมอะ)
ตึกตัก
ช่อม่วงโทรหาผมครับ
ช่อม่วงโทรหาผมด้วยล่ะทุกโคนนนนนนนนนน
“เปล่าสักหน่อย” ผมอมยิ้มให้โทรศัพท์พลางลูบแก้มตัวเองเบาๆ “แล้วช่อเอาเบอร์เรามาจากไหน”
(เราเป็นหัวหน้าห้อง เราต้องมีเบอร์ทุกคนอยู่แล้ว)
“งี้นี่เอง ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า โทรมาดึกเลยนะ”
(เรารบกวนเมฆเหรอ ถ้าแบบนั้น.....)
“เปล่าช่อเปล่า ช่อไม่ได้กวนอะไรเราเลย” ผมรีบพูดทันควัน อย่าคิดแบบนั้นสิครับหัวหน้าของดั้นเมฆ ขืนเขาคิดแบบนั้นแล้วนอยด์จนวางสายผมไปนี่จะบัดซบมากเลยนะ
(หึ....เสียงลนลานขนาดนั้นเชียว)
“ก็เรา....ไม่อยากให้ช่อเข้าใจผิดหนิ” ผมเอ่ยบอกเสียงอ่อน “เอาจริงๆ เรารู้สึกดีใจนะที่ช่อโทรหาเราอะ”
(ดีใจอะไรกันเล่า เออที่เราโทรหาเมฆเพราะว่ามีเรื่องอยากจะให้ช่วยหน่อย คือของที่ซื้อมามันไม่พอน่ะแล้วก็ต้องซื้อเพิ่ม พรุ่งนี้เมฆพอจะว่างไหมตอนเช้า)
“ว่างสิ” ผมรับคำทันทีโดยไม่ต้องคิด เรื่องที่จะช่วยพี่อินทำขนมคือเอาไว้ก่อนละกัน อีกอย่างตอนนี้พี่อินมีลูกมือเพิ่มขึ้นแล้วด้วยเพราะงั้นถ้าผมหายไปสักพักมันคงไม่เป็นอะไรหรอก
ใช่ครับ....ช่อม่วงต้องมาก่อน
(งั้นเจอกันที่โรงเรียนนะตอน 10 โมง รีบไปนอนด้วยล่ะ เรารู้ว่าเมฆเหนื่อย)
แค่ได้ยินเสียงคุณผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ
“ครับ ช่อก็รีบนอนล่ะ”
(อื้ม ฝันดีนะดั้นเมฆ)
“ฝันดีครับช่อม่วง” ผมบอกเขาก่อนที่สายจะตัดไป ในใจมันพองโตมากเลยอะ ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะมีวันนี้ด้วย อื้มมมม...ม...คนเราจะมีความสุขจนตายได้ไหมนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมอาจจะเป็นคนแรกในโลก
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าต่าง บนท้องฟ้ามีพระจันทร์ดวงโตกำลังส่องแสงอยู่ มันสวยมากเลยครับ พอเห็นพระจันทร์สวยๆ แบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงสำนวนที่ว่ากระต่ายหมายจันทร์เลยนะ เจ้ากระต่ายบ๊องที่เพ้อเจ้อเก่ง อยากจะคว้าพระจันทร์มาเป็นของตัวเองทั้งๆ ที่พระจันทร์ก็อยู่ห่างไกลจากตัวมันเหลือเกิน แต่การได้เฝ้ามองอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ นั่นแหละ
ยังไงมันก็ต้องลองไขว่คว้าดูสักครั้ง
ถึงไม่ถึงไม่รู้แต่สิ่งที่รู้คือต้องลองทำ ไม่มีใครรู้ว่าตอนจบของเจ้ากระต่ายกับพระจันทร์จะเป็นยังไง แต่ผมคิดว่ากว่าจะถึงตอนนั้นเจ้ากระต่ายคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ ตัวผมเองก็คงจะเป็นแบบนั้น ผมจะต้องเป็นกระต่ายที่คว้าพระจันทร์อย่างช่อม่วงมาเคียงข้างกายให้ได้สิน่า ถ้าผมทำได้จริงๆ มันจะรู้สึกมีความสุขขนาดไหนกันนะ
แค่คิดมันก็....
TBC.
มาส่งมาสคอตค่า
สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
บทที่ 7 ความโชคดีของกระต่ายกาก
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”
“พี่กระต่ายขา”
“ว่าไงคะ”
“หนูชอบพี่กระต่ายมากเลยค่ะ ถ้าหนูโตขึ้น หนูเป็นเจ้าสาวของพี่กระต่ายได้ไหมคะ”
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะน้องอิม”
“ก็หนูอยากเป็นเจ้าสาวของพี่กระต่ายนี่นา”
ถึงหนูจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ....แต่ว่าพี่เองก็มีเจ้าสาวที่อยู่ในใจแล้วล่ะ
เรียกว่าเจ้าสาวได้เหรอวะ
ผมยืนมองเด็กหญิงตัวน้อยที่อยากจะมาเป็นเจ้าสาวของผมอย่างเอ็นดู ถ้ามีลูกสาวล่ะก็ ผมอยากได้ลูกหน้าตาจิ้มลิ้มแบบนี้แหละ แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ล่ะนะ ผมจะมีลูกกับผู้หญิงได้ยังไงในเมื่อใจผมไปหลงรักผู้ชายอยู่ ว่าแล้วก็คิดถึงจัง เจ้าของใบหน้านิ่งๆ ที่ยิ้มทีแล้วโลกละลายนั่นน่ะ
ป่านนี้ช่อม่วงกำลังทำอะไรอยู่นะ
ผ่านไปได้ 2 อาทิตย์กว่าๆ แล้วครับสำหรับงานกีฬาสี ผมกลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม กลางวันเรียน ตกเย็นก็เป็นไวท์บันนี่ทำงานที่ MASCOT มันวนลูปอยู่แบบนี้จริงๆ วันไหนที่ช่อม่วงมากินขนมที่ร้าน วันนั้นผมจะมีความสุขขึ้นมาหน่อยนึง รอยยิ้มที่เขาส่งมามันทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พูดจาเหมือนจะเว่อร์แต่นี่คือความจริงนะ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมารึเปล่า นี่เกือบ 2 ทุ่มแล้วด้วย
ปกติเขาต้องมาเวลาประมาณนี้นี่แหละ
“ฮอตจังเลยนะคุณกระต่ายเผือก”
“กระต่ายขาวไหมล่ะ” ผมมองเจ้าน้องชายสุดแสบที่ทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงแคชเชียร์ ไม่มีวันไหนเลยที่บุหลันจะไม่เรียกผมว่ากระต่ายเผือก โอเค สีขาวกับสีเผือกมันไม่ได้ต่างกันนักหรอก แต่ว่ายังไงผมก็เป็นกระต่ายสีขาวไง
ไอแอมไวท์บันนี่ ยูโน้ว??
“กระต่ายเผือกก็น่ารักออก” ว่าแล้วบุหลันก็ดึงหูกระต่ายของผม ใช่สิ ตัวเองใส่แค่ที่คาดผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าการโดนดึงหูแบบนี้มันรั้งหัวน่ะ ผมนี่อยากถอดหัวมาสคอตออกแล้วเอาฟาดหน้าเขาจริงๆ
“เจ็บ” ผมจับมือเจ้าตัวออกก่อนจะเดินหนีมาทางพี่อ้ายที่กำลังเก็บจาน พอเห็นแบบนั้นผมก็ไปช่วยเขาเก็บ
“ขอบใจนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกับผม
“ไม่เป็นไรครับ” ว่าแล้วผมก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้เขา ยิ้มทั้งๆ ที่สวมหัวมาสคอตอยู่ ใช่ พี่อ้ายเขาก็ไม่เห็นหรอกว่าผมยิ้มให้และผมก็ลืมตัวตลอดว่ายิ้มไปก็ไม่มีใครเห็น
เป็นดั้นเมฆที่เด๋อจริงๆ
“เดี๋ยวพี่ยกไปเก็บหลังร้านเอง”
“ครับ” ผมขานรับก่อนจะมองพี่อ้ายเดินถือถาดจานเข้าไปด้านใน ลูกค้ายังเข้ามาซื้อขนมกันอยู่เรื่อยๆ
ร้าน MASCOT เปิดมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว กระแสตอบรับดีเกินคาดเลยล่ะ มีลูกค้าชอบขนมของพี่อินเยอะแยะเลย และที่ทำให้ร้านของเราดูโดดเด่นก็น่าจะเป็นเพราะบรรดาพนักงานที่สวมมาสคอตบันนี่นี่แหละ ตัวผมจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเหล่าลูกค้ามากที่สุดเพราะอยู่งานนอกเคาน์เตอร์และต้องคอยดูแลลูกค้า แต่อย่างพี่อ้ายที่อยู่งานนอกเหมือนกันเขากลับไม่ค่อยได้พูดคุยกับลูกค้ามากเท่าไหร่นะเพราะงานเขาคือทำความสะอาดไง
เป็นเกรย์บันนี่ที่เงียบขรึม
ส่วนพี่บิ๊วท์กับพี่ป๊อปอยู่ในเคาน์เตอร์ คอยพูดคุยกับลูกค้าเรื่องขนม พี่อินก็จะคอยทำขนมเพิ่มอยู่หลังร้าน บุหลันคอยคิดเงินและแจกรอยยิ้มที่สดใสให้กับลูกค้า เอาจริงๆ ผมสังเกตเห็นเวลาที่ช่อม่วงมาที่ร้าน บุหลันมักจะยิ้มหวานแล้วหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่ที่คิดเอาไว้น่าจะเพราะอยากทำผมเสียอาการ
ร้ายกาจที่สุด
ผมไม่รู้ว่าช่อม่วงเอะใจไหมที่เห็นบุหลันเป็นแคชเชียร์ของร้านนี้ เขารู้ว่าผมมีฝาแฝดและผมคิดว่าเจ้าตัวคงรู้ว่าบุหลันเป็นแฝดของผม จะว่าไปมันก็ดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้เนอะ มีบุหลันอยู่ที่นี่แต่ไม่มีผมน่ะ แต่ช่อม่วงอาจจะคิดว่าบุหลันทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ก็ได้แต่ผมไม่ได้ทำ เอาจริงๆ การที่เขาไม่สงสัยมันอาจจะดีก็ได้
ผมยังไม่พร้อมจะความลับแตกตอนนี้เหมือนกัน
“คุณกระต่ายคะ”
ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับร่างบางของผู้หญิงคนนึง “มีอะไรให้รับใช้ครับ”
“คือว่าฉันชอบขนมของร้านนี้มากๆ แล้วอยากจะจ้างให้ทำขนมเพื่อเป็นของที่ระลึกในวันแต่งงานน่ะค่ะ ฉันต้องติดต่อใครดีคะ”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะบอกเจ้าของร้านให้นะครับ แล้วก็ยินดีด้วยนะครับที่กำลังจะแต่งงาน”
“ขอบคุณค่ะ ต้องรบกวนคุณกระต่ายด้วยนะคะ” เธอยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร ผมก็ผงกหัวรับเบาๆ ก่อนจะเดินมาหลังร้านเพื่อหาพี่อิน แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือพี่อ้ายกำลังกอดพี่อินอยู่
นี่มันอะไรกันเนี่ย
ผมแอบมองพี่ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ พี่อ้ายกอดพี่อินจากด้านหลังพร้อมกับพูดอะไรก็ไม่รู้ ส่วนพี่อินเองก็ยืนฟังเงียบๆ ทำไมพี่เขาถึงยืนกอดกันแบบนั้นล่ะ มีอะไรที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ เลย พี่อ้ายตอนนี้คือถอดหัวมาสคอตออกด้วยนะครับ ใบหน้าเข้มๆ นั่นแสดงออกถึงความรู้สึกผิด เนี่ยะ พอเห็นแบบนี้แล้วต่อมความสงสัยยิ่งทำงาน อยากจะพุ่งเข้าไปถามแต่มันก็ไม่ใช่เวลาไง
ผมควรทำไงดี
“เดี๋ยวมีคนเห็น” พี่อินบอกก่อนจะแกะมือพี่อ้ายออก “เธอยังอยู่ในเวลางานนะ”
“ก็พี่งอนผมอะ”
“มันสมควรไหมล่ะ”
“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะพี่อิน”
“เธอบอกพี่แบบนี้กี่รอบแล้วอ้าย” เขาเอ่ยอย่างรำคาญ “พี่ไม่อยากฟังอีกแล้ว”
“.....โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้” พี่อ้ายหยิบหัวมาสคอตสวมไว้เหมือนเดิมก่อนจะเดินออกมา “ดั้นเมฆ”
“เอ่อ....อยู่นี่เหรอครับพี่อ้าย แล้วพี่อินอยู่ไหม” ผมแถไปเรื่อย จะทำให้เขารู้ไม่ได้ว่าผมแอบดูอยู่
“อยู่ข้างในน่ะ พี่ไปทำงานก่อนนะ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปทันที ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ผมเดินเข้ามาหาพี่อินด้านใน ร่างโปร่งเหลือบมองผมก่อนจะวางมือจากขนมที่ทำอยู่
“ได้ยินหมดเลยไหม”
“ไม่หมด” ผมบอกก่อนจะถอดหัวมาสคอตออก “ทะเลาะกับพี่อ้ายเหรอ”
“นั่นเป็นสิ่งที่เมฆอยากถามพี่เป็นอย่างแรกรึไง”
“พี่เป็นอะไรกับเขาอะ”
“นั่นสิ” เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกับอ้ายเป็นอะไรกัน”
ผมมองสีหน้าเศร้าๆ ของพี่ชายตัวเอง ไม่เคยเห็นเขาทำหน้าแบบนี้เลย ปกติพี่อินจะทำหน้านิ่งๆ เรียบๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาทางสีหน้าอยู่แล้ว นับว่าแปลกมากเลยที่เขาทำหน้าแบบนี้น่ะ พี่อ้ายน่าจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเขาพอสมควร ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นพี่อินทำหน้าเศร้า คือมันไม่ควรเป็นแบบนี้ไง
อื้ออออ....พี่อินของน้องงงง
“ไม่เศร้านะ”
“พี่ชินแล้วล่ะ ว่าแต่เมฆมาหาพี่ทำไม มีอะไร”
“มีลูกค้าอยากได้ขนมของเราไปเป็นของที่ระลึกน่ะ คือเขาจะแต่งงาน”
“อ๋อ เขารออยู่ข้างนอกใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปหาเขาเอง” เขาบอกก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออก “เรื่องของพี่ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจนะ แล้วก็ยังไม่ต้องบอกบุหลันล่ะ” สิ้นเสียงพูด พี่อินก็เดินออกไปโดยทิ้งให้ผมที่ยังสับสนมึนงงเอาไว้
คือยังไงนะ
พี่อินบอกกับผมว่าอย่าใส่ใจเรื่องของเขาแล้วก็บอกว่าอย่าเพิ่งให้ผมบอกบุหลัน เรื่องใส่ใจผมคิดว่าเขาคงไม่อยากให้ผมไปคิดมากแทนแน่ๆ ส่วนเรื่องของบุหลันนี่น่าจะเป็นเพราะว่าถ้าบอกไปมันจะต้องวุ่นวาย เดี๋ยวถ้าเลิกงานแล้วผมค่อยถามพี่อินอีกรอบดีกว่าว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง ถ้าไม่รู้เรื่องราวก็จะคาใจมากเลยนะ
ครืดดด....ดดด
ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล”
(ว่างรึเปล่าน่ะดั้นเมฆ)
“ตอนนี้ไม่ว่างอะ คือเราออกมาซื้อของ ช่อมีอะไรรึเปล่า”
(เราหิวข้าว)
หิวข้าว
“แล้วยังไงต่อ พูดแบบนี้คือจะชวนเราไปกินข้าวเหรอ”
(ใช่ คือที่บ้านเราไม่มีใครอยู่เลยแล้วก็ไม่มีรถอะ ออกไปเองไม่ได้ เราโทรหาเพื่อนๆ แล้วแต่ไม่มีใครว่างเลย)
“งั้นขอสัก 3 ทุ่มได้ป้ะ ทนหิวอีกหน่อยไหวไหม”
(ได้แหละ เมฆจะมาหาเราใช่ไหม)
“อื้ม เดี๋ยวไปรับ”
(งั้นเดี๋ยวเราแชร์โลฯ ไปให้)
“ได้เลย แล้วเจอกันนะช่อ” ผมบอกก่อนจะกดวางสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว โว้ยยยยยยยยยยย ช่อม่วงโทรมาชวนไปกินข้าวด้วยว่ะ อื้อออ...ดีใจอะ
ถ้าลอยได้นี่คือลอยไปแล้ว
ฟังจากที่เขาบอกคือไม่มีคนอยู่ที่บ้าน ไม่มีรถด้วย ก็ออกจากบ้านมาไม่ได้ นี่อาจเป็นเหตุผลก็ได้นะว่าทำไมวันนี้เขาไม่มาที่ร้าน มันเป็นแบบนี้นี่เอง คือวันนี้เป็นวันเสาร์ไงครับ ผมไม่ได้เจอช่อม่วงอยู่แล้ว ใจก็หวังว่าเดี๋ยวมาเจอกันที่ร้าน รอจนร้านจะปิดเขาก็ยังไม่มา ผมนึกว่าหมดหวังที่จะเห็นหน้าเขาแล้วล่ะ นี่ดีนะที่เจ้าตัวชวนไปกินข้าว นับว่าแต้มบุญของผมยังพอเหลืออยู่
กระต่ายกากไม่ได้เจอเรื่องแย่ๆ เสมอไปนะครับ
เดี๋ยวผมรีบทำงานดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ไปหาช่อม่วง ต้องบอกพี่อินด้วยว่าจะออกไปข้างนอก เขาได้ไม่ต้องเป็นห่วง พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินออกมาทำงานตามปกติ อีกไม่กี่อึดใจจะปิดร้านแล้ว ช่อม่วงคงหิวอยู่พอตัวเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะพาเขาไปหาอะไรอร่อยๆ กินเอง หื้ออออ....แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
อยากเจอเขาเร็วๆ จัง
***
“อิ่มจัง”
กินเย็นตาโฟไปตั้งสามชาม
ไม่อิ่มก็แปลกแล้วล่ะ
“อร่อยป้ะล่ะเจ้านี้”
“อร่อย เราไม่เคยมากินเลย นี่ถ้าเมฆไม่พามาเราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามีเย็นตาโฟร้านอร่อยๆ แบบนี้อยู่ด้วย”
“ชอบไหม”
“ชอบ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มหวานให้ผม อา.....ใจสั่นไปหมดแล้วครับคุณช่อม่วง อย่าส่งดาเมจมาแรงขนาดนั้นได้ไหม ดั้นเมฆรู้สึกเหมือนจะตายเลยอะ
งื้อออ....
ผมมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างมีความสุข ผมพาช่อม่วงมากินเย็นตาโฟเจ้าอร่อยครับ เขาดูชอบมากเลยล่ะ สั่งกินไปตั้งสามชาม ผมใช้เวลาอยู่กับเขาประมาณชั่วโมงกว่าๆ จนตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว นี่ถ้าเสร็จแล้วผมก็จะไปส่งเขาที่บ้าน เออวันนี้มีเรื่องพิเศษเกิดขึ้นกับกระต่ายกากนั่นก็คือได้รู้แล้วว่าบ้านของคนที่ตัวเองชอบอยู่ที่ไหน ขอบอกเลยว่าบ้านของช่อม่วงเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก เปลี่ยวมากแล้วยังเข้าไปในซอยลึกมากๆ ด้วย
วังเวงสุดๆ อีกต่างหาก
ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไปส่งเขาแล้วเนี่ยะ ตัวเองจะกลับออกมาถูกทางที่เข้าไปรึเปล่า บ้านหรือเขาวงกตอะเอาตรงๆ แต่เอาน่ะ ตอนไปหายังเข้าไปได้ถูกเลย ทำไมตอนออกผมจะออกมาไม่ได้ล่ะจริงไหม หรือถ้าออกมาไม่ได้จริงๆ ผมก็จะโทรหาช่อให้เขาบอกทางให้ ไงล่ะ เจ้าแผนการสุดก็ดั้นเมฆคนนี้นี่ล่ะ
แผนชั่วด้วยนะบอกเลย
“ขอบคุณนะเมฆที่พาเราออกมาหาอะไรกินน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กลับเลยเนอะ ดึกแล้วอะ”
“เอาสิ” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เดินนำช่อม่วงมาที่รถของตัวเองทันที ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันชั่วโมงกว่าๆ นี่ก็สุขใจมากละเอาจริงๆ
“แล้วนี่ช่อก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวใช่ป้ะ”
“อื้อ กว่าอาชัชจะกลับมาก็วันพุธแน่ะ เราต้องลำบากเพื่อนฝูงอีกหลายวันอยู่” เขาบอกก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายรถผม
“ถ้าหิวดึกๆ ก็บอกเราได้นะ เราพร้อมจะพาช่อมาหาอะไรกิน”
“ใจดีจังอะ”
“ไม่ดีเหรอ”
“ดีสิ” มือเรียวจับชายเสื้อผมเอาไว้ “ขอบใจนะเมฆ”
“ค้าบ” ผมยิ้มหวานก่อนจะออกรถเพื่อไปส่งช่อม่วงที่บ้าน ชอบโมเม้นท์นี้จริงๆ เป็นไปได้ผมก็อยากให้มันเกิดขึ้นทุกวันนะ
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงมีความสุขมาก
ขับรถมาได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรหยดใส่ ฝนตกเหรอวะ ตอนนี้เนี่ยนะ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงรีบเร่งเครื่องทันที ฝนที่ตกปรอยๆ ตอนแรกเริ่มกระหน่ำลงมาหนักขึ้น บ้าเอ๊ย ตอนแรกอากาศยังดีอยู่แท้ๆ เชียว ไม่คิดเลยว่าฝนจะเทลงมาแบบนี้ โหยยยย นี่ต้องขับรถฝ่าฝนกลับบ้านเหรอวะเนี่ยะ
พี่อินเป็นห่วงตายเลย
ผมจอดรถที่หน้าบ้านของช่อม่วง “รีบเข้าบ้านนะช่อ เดี๋ยวเรารีบไปก่อนที่มันจะตกหนักกว่านี้”
“เดี๋ยวเมฆ”
“หืม....”
“ฝนตกหนักขนาดนี้ อย่าเพิ่งไปเลย” ช่อม่วงเปิดประตูรั้วบ้าน “รอให้ฝนหยุดก่อนดีกว่านะ”
“เอางั้นเหรอ”
“อื้ม ถ้าเมฆฝ่าฝนแล้วดันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราต้องรู้สึกผิดมาก เอาจริงๆ ถ้าให้บอกตรงๆ ก็คือ.....เราเป็นห่วง”
ตึกตัก
ช่อม่วงเป็นห่วงผมด้วยว่ะ
“โอเค งั้นเราจะรอฝนหยุดก็ได้” ว่าแล้วผมก็เข็นรถเข้ามาจอดในรั้วบ้านของเขา เจ้าของบ้านเปิดไฟก่อนจะเดินนำเข้าไป ตื่นเต้นว่ะ ได้เข้าบ้านช่อม่วงด้วย
ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ
ผมมองซ้ายมองขวาก็พบแต่ความว่างเปล่า ก็นะ ไม่มีใครอยู่บ้านเลยหนิ บ้านของช่อม่วงอารมณ์คล้ายๆ บ้านผมนะ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทรงบ้านเป็นทาวส์เฮ้าส์สองชั้น ตกแต่งแบบเรียบง่ายคุมโทนออกสีเทาๆ เห็นแล้วสบายตา ผมเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เรียงกันอยู่ในตู้ มันเป็นรูปของช่อม่วงตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กเลยครับ ไล่มาจนถึงตอนปัจจุบันเลย น่ารักจัง อยากขโมยกลับบ้านด้วยอะ
ผมแอบจิ๊กกลับไปด้วยได้ไหม
“ฝนตกหนักเลยแฮะ” ช่อม่วงบอกก่อนจะส่งผ้าขนหนูมาให้ผม “ขอโทษนะ เราทำเมฆลำบากเลยอะ”
“ไม่หรอก ไม่มีใครคิดว่าฝนจะตกนี่นะ”
“ไม่รู้เลยว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ ถ้ามันดึกเกินไป.....เมฆนอนที่นี่ก็ได้นะ”
นอนที่นี่
นอนที่นี่!!!!
“จะ....จะดีเหรอช่อ”
“ไม่ดีเหรอ”
ดีสิ ทำไมจะไม่ดี
“เรา....เกรงใจช่ออะ” แต่ความจริงในใจตอนนี้คือภาวนาให้ฝนตกแรงกว่าเดิมอีก พายุเข้าไปเลยก็ได้อะ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้ก็วันหยุดด้วย ถ้าเมฆจะนอนที่นี่ก็โทรบอกที่บ้านด้วยล่ะ เดี๋ยวเขาเป็นห่วง”
ผมยกมือขึ้นลูบคอตัวเองอย่างประหม่าพลางสบตาคนตรงหน้า ไม่คิดเลยว่ากระต่ายกากๆ อย่างผมจะได้มีโอกาสนอนบ้านของช่อม่วง ได้นอนบ้านของคนที่ตัวเองชอบเลยนะเห้ย เกินไปอะ มันจะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบนี้ ตอนนี้ในใจผมคิดเอาไว้แล้วล่ะว่าจะทำอะไรตอนที่เขาหลับบ้าง ก็ไม่ได้มีความคิดหื่นกามหรืออะไรหรอกนะ แต่แบบ....โอกาสดีดีมันมีครั้งเดียว
ใครจะพลาดวะ
“โอเค งั้นคืนนี้เราคงต้องรบกวนช่อละนะ”
“มาสิ.....ห้องเราอยู่ทางนี้”
TBC.
สวัสดีค้าบ ชัลมาส่งมาสคอตให้อีกตอนนึงนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันคับ
สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis และเพจ Fiction Yaoi Th น้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
บทที่ 18 ผิดตรงที่ไม่ถูกใจ
[บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]
อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัวเลยแฮะ
สงสัยต้องต้มกินแบบที่ดั้นเมฆเคยบอกเอาไว้
ผมนั่งมองชีทบนโต๊ะด้วยความรู้สึกที่ปวดขมับ หรือเพราะว่าอ่านเยอะเกินไปนะ ก็อาจจะใช่ ผมนั่งอ่านหนังสือมาค่อนวันแล้ว คงถึงเวลาต้องพักแล้วล่ะ เหลือสอบอีกสองวิชาของวันพรุ่งนี้ก็จะปิดเทอมแล้วครับ มีเวลาให้หายใจหายคอพักใหญ่ก่อนจะไปเรียนพิเศษช่วงปิดเทอม ผมต้องพร้อมมากพอสำหรับการสอบเข้าคณะแพทย์ฯ และผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้นะเพราะว่ากำลังใจที่มีอยู่มันถือว่าดีเอามากๆ เลย
พูดแล้วก็คิดถึงเขาจัง
ตอนนี้เกือบ 5 โมงแล้วครับ ช่วงก่อนสอบเราติวกันทุกวัน มีวันนี้นี่แหละที่แยกกันอ่านหนังสือ ผมชอบเวลาได้ติวกับดั้นเมฆมากเลย ชอบเวลาที่ได้อธิบายให้เขาฟัง สีหน้าเจ้าตัวดูตลกเวลาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด เวลาที่เขางอแงแล้วโยนชีททิ้งนั่นก็น่าเอ็นดูยังไงไม่รู้ แต่ถึงมันจะน่ารักแค่ไหนผมก็ตีเขาไปนะเพราะว่าหนังสือหรือชีทมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรโยนเล่นน่ะ พอเป็นแบบนั้นแล้วกระต่ายเด๋อก็สงบเสงี่ยมนั่งหูลู่ทันทีเลย
ใจช่อม่วงบางไปหมดแล้ว
จากวันงานโรงเรียนก็ผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะครับ มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกได้ว่าดั้นเมฆฮ็อตมาก มีรุ่นน้องเอาขนมมาให้เขาแทบทุกวันเลย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ได้กินขนมพวกนั้นหรอก มีแต่ผมนี่แหละที่กิน เอาจริงๆ ผมค่อนข้างหึงเขามากเลยนะ นั่นแฟนทั้งคนอะ จะไม่ให้หึงก็ยังไงอยู่ เด๋อเมฆชอบใจไม่น้อยเลยล่ะที่เห็นผมหึงจนประสาทแดก แต่เอาเถอะ มันไม่ได้มีแค่ผมที่หึงเขาอยู่ฝ่ายเดียว
เขาก็หึงตัวเองอยู่เหมือนกัน
เวลาที่ผมไปร้าน MASCOT แล้วเล่าโน่นเล่านี่ให้คุณกระต่ายฟัง เขาก็ดูปกตินะ ไม่มีปัญหา แต่พอเอาเรื่องคุณกระต่ายมาเล่าให้ดั้นเมฆฟังเท่านั้นแหละ เขาหึงจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ยิ่งถ้าผมบอกว่าคุณกระต่ายน่ารักนะ คนเด๋อจะโวยวายขึ้นมาทันที บ๊องจริงๆ เชียว ไม่รู้เลยครับว่าเมื่อไหร่ที่ดั้นเมฆจะบอกกับผมว่าตัวเองคือคนที่สวมชุดมาสคอตไวท์บันนี่ เนี่ยะ ถ้าเขาบอกผม เขาน่าจะสบายใจมากขึ้นรึเปล่า
อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาหึงตัวเองแบบนี้
โครกคราก
ถ้าท้องจะร้องดังขนาดนี้น่ะนะ
ผมวางปากกาก่อนจะเดินออกมาจากห้องตัวเอง น้าชัชทำสปาเก็ตตี้ไว้ให้แล้วครับแต่เขาออกไปทำธุระข้างนอก อีกสักพักก็คงกลับ ผมหยิบสปาเก็ตตี้เข้าไมโครเวฟเพื่ออุ่น ได้ยินเสียงประตูนอกบ้านแว่วเข้ามา น้าชัชกลับมาแล้วงั้นเหรอ ไวเหมือนกันนะเนี่ย งั้นเดี๋ยวผมอุ่นสปาเก็ตตี้เพิ่มดีกว่าเผื่อเขาจะทานด้วย พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบจานอีกใบทันที เห็นเงาสะท้อนจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง
ไม่ใช่น้าชัชว่ะ
“พะ....พ่อ”
“ยังจำได้อยู่สินะว่าฉันเป็นพ่อ”
ผมวางจานลงก่อนจะมองเขานิ่งๆ “พ่อมาหาช่อ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“มีสิ” มือหนากระชากคอเสื้อผม “แกทำเรื่องทุเรศอะไรเอาไว้ล่ะ”
“ช่อไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ”
“งั้นเหรอ”
เพี้ยะ
หน้าผมสะบัดไปตามแรงตบก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกระชากหัว “พ่อ ช่อเจ็บ”
“เจ็บสิดี แกจะได้จำไง” เขาเอ่ยก่อนจะดันให้หน้าผมแนบกับผนัง “ฉันไม่น่าปล่อยแกไว้กับไอ้ชัชเลย เพราะแกอยู่กับมัน แกถึงได้เป็นแบบนี้ ชอบมากสินะผู้ชายน่ะ”
“นิดาบอกพ่อแล้วสินะครับ”
“ใช่ ถ้าน้องดาไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีลูกชั่วแบบนี้น่ะ”
ลูกชั่ว....อย่างนั้นเหรอ
ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย ทำไมอะ แค่ผมชอบผู้ชายเท่านั้นเอง มันผิดมากเลยเหรอ ทำไมพ่อต้องมาทำแบบนี้กับผม หัวใจผมเจ็บมากกว่าหน้าที่เขาตบอีก มันมีความไม่เข้าใจเต็มไปหมด ผมควรจัดการกับความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ยังไงดี ทำไมเรื่องแย่ๆ แบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย
ผมไม่เข้าใจเลย
“ปล่อยช่อ”
“แกกล้าสั่งฉันงั้นเหรอไอ้ช่อ” พ่อกดหัวผมมากกว่าเดิม “อยากโดนดีใช่ไหม ห้ะ!!!!”
“ช่อไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้กับช่อด้วย”
“แกอย่ามาพูดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิดนะ” เขาตวาดใส่ก่อนจะจับผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า “แกผิดตั้งแต่เป็นสาเหตุให้ช้องนางตายแล้ว ถ้าไม่มีแก ผู้หญิงที่ฉันรักก็คงไม่ตายหรอก!!!!”
“....ฮึกกก....งั้นพ่อจะทำให้ช่อเกิดมาทำไมล่ะ” ผมเถียงกลับไปทั้งน้ำตา เขาทำให้ผมเกิดมา มันเป็นความผิดของผมเหรอ พอแม่จากไปเขาก็มีครอบครัวใหม่ ถ้าเขารักแม่จริงๆ ทำไมเขาถึงต้องมีครอบครัวใหม่ด้วยล่ะ
ฮึกกก....คนที่เขารักที่สุดก็คือตัวเองนั่นแหละ
เพี้ยะ
“ฉันไม่ได้อยากให้แกเกิดมาหรอกนะไอ้ช่อ” มือหนาจิกหัวผมอย่างแรง “พอแกเกิดมาช้องนางก็เริ่มอ่อนแอลงจนจากฉันไป พอแกโตมาก็เป็นพวกวิปริตอีก”
“ช่อไม่ได้วิปริต!!!! น้าชัชเลี้ยงช่อมาอย่างดีที่สุด เขาทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่โดยไม่บ่นสักคำ แล้วพ่อล่ะ ตลอดเวลาพ่อทำอะไรอยู่ พ่อให้ช่อแค่เงิน พ่อไม่เคยเลี้ยงช่อด้วยซ้ำ สายตาของพ่อที่มองช่อมันมีแต่ความเกลียดชัง”
“ก็ฉันเกลียดแก แกทำให้ช้องนางตาย!!!!”
“แม่ร่างกายอ่อนแอลงตอนที่มีช่อ เพราะแม่ให้ความสุขพ่อไม่ได้ ฮึกกกก....พ่อถึงต้องไปหาความสุขเอานอกบ้าน พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าแม่เสียใจแค่ไหนที่พ่อทำแบบนั้น ที่แม่จากไปก็เพราะเขาตรอมใจที่พ่อเป็นแบบนี้นั่นแหละ!!!!”
“ไอ้ช่อ....” พ่อตบผมอีกครั้งก่อนจะผลักให้ล้มลงไปกับพื้นแล้วเตะเข้ามาที่สีข้างอีกที ฮึกกกก....ผมเจ็บ ทำไมผมต้องถูกทำร้ายด้วย
“ฮืออออ....อออ ช่อเจ็บ”
“ไอ้ลูกชั่ว”
ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก
ฮึกกกก....ผมยกมือขึ้นผลักขาพ่อก่อนจะรีบพาตัวเองหนีออกมาจากตรงนั้น เจ็บไปทั้งตัวเลย ใจคอเขาทำด้วยอะไรกัน ผมวิ่งออกมานอกบ้านก็พบกับรถของน้าชัชที่ขับมาจอดพอดี ร่างสูงของเพื่อนที่น้าชัชพามาบ้านบ่อยๆ ลงมาจากรถก่อนจะรีบเข้ามาประคองผมเอาไว้ ฮืออออ....น้าชัชกลับมาแล้ว ผมไม่ต้องทนเจ็บอีกแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นช่อม่วง” น้าชัชรีบปรี่เข้ามาดูผม “รอยพวกนี้มันคืออะไร”
“ฮึกกก....ก พ่อทำร้ายช่อ”
“ไอ้ชัช”
“พี่วัตร” ร่างโปร่งหันไปมองคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่ ทำไมต้องทำร้ายช่อม่วงขนาดนี้ นี่ลูกพี่นะ”
“เพราะมันเป็นลูกกูไง ในเมื่อมันไม่รักดี กูจะทำอะไรกับมันก็ได้”
“ไม่!!!! ช่อม่วงไม่ใช่สิ่งของที่พี่จะทำอะไรได้ตามใจนะ ชัชเลี้ยงหลานมาชัชยังไม่เคยตีหลานสักครั้ง ชัชยังสอนหลานดีดีได้เลย ทำไมพี่ถึงพูดกับลูกดีดีไม่ได้ล่ะ”
“มึงไม่ต้องมาเสือกเลยไอ้ชัช เพราะลูกกูอยู่กับมึงนี่แหละ มันถึงได้ผิดเพศเหมือนมึงน่ะ”
“พี่ควรเคารพในสิ่งที่คนอื่นเป็นนะครับพี่วัตร” น้าชัชผ่อนลมหายใจออกมา “ไหนๆ ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว ชัชอยากจะบอกพี่ว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้ช่อม่วงแล้วนะครับ ต่อจากนี้ชีวิตของเขา ชัชจะดูแลเองทุกอย่าง”
“น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอไอ้ชัช แค่เงินเดือนพนักงานกระจอกๆ นั่นจะมีปัญญาส่งมันเรียนได้ยังไง แล้วอีกอย่าง....ถ้ามึงยังจำได้ คนที่ฝากให้มึงทำงานที่นั่นคือกูนะ”
“ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาทั้งหมดครับ ชัชจะลาออกจากที่นั่นและไปทำงานที่อื่น อะไรก็ตามที่พี่วัตรเคยช่วยเหลือชัชไว้ ถ้ามีโอกาสได้ตอบแทนเมื่อไหร่ ชัชจะคืนให้ทั้งหมด ส่วนเรื่องของช่อม่วง ชัชก็ขอบคุณที่พี่ส่งเสียเขามาตลอดแต่หลังจากนี้ไม่ต้องแล้วครับ ชัชอยากให้ช่อม่วงได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนและมีชีวิตในแบบที่ตัวเองตั้งใจ”
“ปีกกล้าขาแข็งดีนะมึงน่ะ” พ่อมองคนที่ประคองผมอยู่ “ได้ผัวรวยน่าดูสิท่าถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา”
“หยาบคายจังเลยนะครับคุณ” ร่างสูงมองอย่างหงุดหงิด “ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะครับ”
“นี่มึง....”
“พีเจมาร์เก็ตติ้งของคุณกำลังจะทำสัญญาซื้อขายกับเพิร์กซึ่งเป็นบริษัทลูกของผม คุณลองคิดเอานะคุณวัตร ถ้าผมโทรไปบอกเลขาฯ ผมให้ลอยแพบริษัทของคุณซะ มันจะเสียหายสักเท่าไหร่ อืม....จะว่าไปผมลืมแนะนำตัวเอง ผมชื่อเชน เป็นประธานบริษัทเอชทีซีซึ่งคุณน่าจะรู้จักดี”
สิ้นเสียงเรียบเอ่ย หน้าของพ่อซีดไปในทันที จากสิ่งที่ผมได้ยินก็คือคนที่ประคองผมอยู่ในตอนนี้มีอำนาจมากในระดับนึงเลยล่ะ คำพูดของเขาทำให้พ่อทำหน้าแบบนั้นออกมาได้ด้วย ตอนที่น้าชัชเคยพาผู้ชายคนนี้มาบ้าน ผมก็นึกว่าจะเป็นแค่พนักงานในบริษัทเดียวกันซะอีก แต่ที่ไหนได้....เขาเป็นถึงประธานบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านโลจิสติกส์อันดับต้นๆ ของเอเชีย
ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“นี่มึงคิดจะขู่กูเหรอ”
“เปล่าหนิครับ ผมแค่พูดให้คุณฟังเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจในสิ่งที่คุณกำลังจะทำเท่านั้น เอาจริงๆ การที่คุณทำร้ายร่างกายลูกชายตัวเองมันถือว่าผิดกฎหมายนะครับ มันเกินคำว่าสั่งสอนแล้วเพราะเขาเลือดตกยางออกแบบนี้”
“มึงมันแค่คนนอก อย่ามายุ่งเรื่องในครอบครัวกู”
“งั้นในฐานะที่ชัชเป็นน้าของช่อม่วงแล้วก็เลี้ยงเขามาตลอด ชัชขอให้พี่วัตรเลิกยุ่งกับเขา ตัดพ่อลูกกันไปเลยก็ได้เพราะยังไงทุกวันนี้ช่อม่วงคงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพ่ออยู่แล้ว”
“ไอ้ชัช”
“พี่จะให้เรื่องนี้ถึงโรงพักก็ได้นะครับ ถึงศาลไปเลยก็ได้เรื่องขอสิทธิ์เลี้ยงดูน่ะ แต่ถ้าถามช่อม่วงแล้ว ยังไงเขาก็ต้องอยากอยู่กับชัชมากกว่า” ร่างโปร่งมองอย่างจริงจัง “ชัชจะไม่ให้พี่ทำร้ายเขาอีกแล้ว”
“หึ....มันไม่จบแค่นี้หรอกนะไอ้ชัช” พ่อมองน้าชัชอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะจ้องผมตาเขม็ง “แกอย่าคิดว่าชีวิตจะมีความสุขเลย รวมถึงแฟนของแกด้วย”
ผมมองพ่อที่กำลังจะขึ้นรถ “พ่อจะทำอะไร”
“เดี๋ยวแกก็รู้” สิ้นเสียงเขาก็ขับรถออกไปทันที รู้สึกใจไม่ดีเลยที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ทำให้ผมเจ็บคนเดียวยังไม่สาแก่ใจรึไงนะ
ใจร้ายที่สุด
น้าชัชเข้ามาช่วยประคองก่อนจะพาผมเข้าบ้าน เจ็บตัวน่ะเจ็บ เจ็บใจก็เจ็บเหมือนกัน ผมทำอะไรไม่ได้เลย แล้วตอนนี้กำลังจะทำให้คนที่ตัวเองรักลำบากอีก เรื่องนี้ผมต้องบอกดั้นเมฆ อย่างน้อยเจ้าตัวต้องรับรู้เอาไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พ่อเอาจริงแน่กับสิ่งที่พูด ทุกอย่างไม่ควรเป็นแบบนี้เลย แต่ละคำที่ออกมาจากปากเขาทำให้ผมเสียใจจริงๆ เขาบอกว่าผมไม่ควรเกิดมา เขาเรียกผมว่าลูกชั่ว เขาพูดว่าผมวิปริต ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
ผิดตรงไม่ถูกใจเขาเท่านั้นเอง
“ไปหาหมอไหมช่อ ไหวรึเปล่า”
“ช่อ....ไม่เป็นไรแล้วครับ มันเจ็บแต่เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“เดี๋ยวน้าทำแผลให้นะ” ร่างสูงเดินไปหยิบกล่องยามา “พ่อเราทำร้ายร่างกายบ่อยไหม”
“ก็ตั้งแต่ที่ช่อบอกว่าจะเรียนหมอนั่นแหละครับ เขาไม่อยากให้ช่อเรียน”
“แบบนี้นี่เอง” น้าเชนเริ่มทำแผลให้ผม “ไม่เป็นไรนะ หลังจากนี้น้ากับน้าชัชจะไม่ให้พ่อเรามาทำอะไรแบบนี้ได้อีก”
น้าชัชลูบหัวผมเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะช่อ เรื่องอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ น้าจะจัดการเอง ช่อทำหน้าที่ของช่อให้ดีที่สุดเท่านั้นพอ”
“ครับ” ผมรับคำพลางยิ้มบางๆ ให้ “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกๆ อย่างเลย”
“มันเป็นหน้าที่ของน้าอยู่แล้ว น้ารักช่อมากนะ”
“ช่อก็รักน้าชัชเหมือนกันครับ” ผมขยับเข้าไปกอดเขาเอาไว้ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีน้าชัช ผมจะเป็นยังไงบ้าง
ผมต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้มันดีที่สุด อย่างน้อยพ่อจะต้องมาดูถูกผมไม่ได้อีก ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ผมเลือกมันดีแล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างเดียวที่ผมกังวลใจที่สุดก็คือเรื่องของดั้นเมฆนี่แหละ อยากไปหาเขาจัง วันนี้เป็นวันหยุดของเขาด้วย พี่อินให้หยุดเพราะเป็นช่วงสอบ ผมขอน้าชัชไปหาดั้นเมฆดีกว่า อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ผมก็อยากเล่าให้เขาฟังกับตัวจริงๆ
ถ้าได้พูดออกไปแล้ว....ผมอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้
“น้าชัชครับ....ช่อขอไปหาเมฆนะครับ”
[จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]
การที่ได้เห็นช่อม่วงเจ็บ
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่า
ผมนั่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของเขาจ้องมองแม่น้ำที่กำลังไหลผ่านเบื้องหน้า เราสองคนอยู่แถวใต้สะพานแขวนข้ามแม่น้ำซึ่งไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ผมค่อนข้างตกใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานมีรอยช้ำอีกแล้ว มันเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิดเลยที่เขามาหาผมที่ MASCOT น่ะ สาเหตุก็เหมือนกันเลยครับ เขาโดนพ่อทำร้ายร่างกายเพราะรู้ว่าเจ้าตัวมีแฟนเป็นผู้ชาย ส่วนตัวผมแล้วมันไม่น่าจะต้องรุนแรงกันถึงขนาดนี้เลย
เกินไปอะ
ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกข้างในของช่อม่วงจะเป็นยังไงบ้าง ตอนที่เขาเล่าให้ฟังผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกุมมือเขาไว้นิ่งๆ อย่างน้อยให้เขารู้สึกว่าเขายังมีผมอยู่ เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าน้าชัชบอกพ่อของช่อไปว่าให้ตัดขาดกันไปเลย แล้วหลังจากนี้เขาจะดูแลและรับผิดชอบชีวิตของช่อม่วงเอง ยังถือว่าเป็นโชคดีของแฟนผมที่มีน้าชัชอยู่ ไม่งั้นเขาต้องแย่มากแน่ๆ อีกอย่างคือช่อบอกผมว่าพ่อเขาจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้
หวั่นใจเหมือนกันนะ
พ่อช่อคงรู้แล้วแหละว่าเขาคบกับผม เรื่องนี้ผมควรบอกพี่อินเอาไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะได้พอหาทางแก้ได้บ้าง ตอนนี้คงต้องคอยระวังตัวเอาไว้ให้ดีเพราะว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ห่วงก็แต่ช่อม่วงนี่แหละ ผมไม่อยากให้เขารู้สึกเป็นทุกข์แบบนี้เลย อยากเห็นเขายิ้มมากกว่าทำหน้าเศร้าอะ ดั้นเมฆควรจะทำอะไรดีนะ มีอะไรที่ผมพอทำได้บ้าง
คิดไม่ออกเลยว่ะ
“ช่อม่วงครับ”
“หืม....”
“เล่นเกมจ้องตากัน”
“อารมณ์ไหนเนี่ยะ”
“เอาน่านะ เล่นกัน” ผมหันหน้าตรงเข้าหาเขา “ใครกระพริบตาหรือหลุดยิ้มก่อน แพ้นะ เอาเลยนะครับ สาม....สอง....หนึ่ง”
“....” คนตรงหน้ามองผมนิ่งๆ เห็นแบบนี้แล้วเขินเหมือนกันนะเนี่ย แต่เชื่อได้เลยว่าเกมนี้คนแพ้จะไม่ใช่ดั้นเมฆแน่นอน
ผมทำเป็นพองแก้มให้ป่องขึ้น “....”
“....” ช่อม่วงทำหน้าเหวอทันที ตลกว่ะ อยากขำเหมือนกันแต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อน บอกแล้วไงครับว่าเกมนี้ผมจะไม่แพ้เด็ดขาด พอคิดได้แบบนั้นผมก็ทำตาเหล่ให้เขามองทันที
“....”
“ดั้นเมฆ” ร่างโปร่งหลุดขำออกมาพลางตีแขนผม “ขี้โกง”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ เมฆชนะเฉยเลยอะ”
“เมฆโกงเรา เมฆไม่บอกว่าทำหน้าอย่างอื่นได้ด้วย” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม น่ารักจนอยากจะบีบแก้มจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาเจ็บอยู่ล่ะก็นะ
“โอ๋ๆ น้า” ผมยิ้มแฉ่งก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าช่อม่วงออก “เมฆดีใจนะที่ช่อยิ้มได้น่ะ ถึงมันจะแค่แป๊บเดียวแต่อย่างน้อยมันก็คงทำให้ช่อดีขึ้น”
“เอาจริงๆ แค่เราได้มานั่งเล่าเรื่องทุกอย่างให้เมฆฟัง เราก็รู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “ขอบใจนะที่ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเรา”
“เมฆต้องทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ อะไรก็ตามที่ทำให้ช่อมีความสุขหรือยิ้มได้ เมฆจะทำ” ผมยกมือขึ้นโอบไหล่เขาพลางจับหัวช่อม่วงมาพิงไหล่ตัวเอง “ในวันที่ช่อเหนื่อยหรือหมดแรง เมฆจะเป็นที่พักพิงให้ช่อเอง”
“เราโชคดีจริงๆ ที่มีดั้นเมฆ”
“เมฆจะทำให้ช่อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีทุกวันเลย” ผมยิ้มหวานให้เขาพลางลูบหัวเจ้าตัวอยู่อย่างนั้น
เรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องซีเรียสมากและผมคิดว่านี่แหละที่อาจจะเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่และเป็นอุปสรรคครั้งแรกในความรักของเราด้วย แต่ผมเชื่อว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีเอง เราต้องคิดในแง่ดีไว้ก่อนครับ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีสติ เพราะถ้ามีสติก็จะหาทางแก้ไขปัญหาที่จะตามมาได้ไม่ยาก อีกอย่างคือพรุ่งนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เราควรเคลียร์เรื่องวุ่นวายออกจากหัวดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกแต่มันต้องทำให้ได้ สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น....มันไม่คณามือกระต่ายกากอย่างผมหรอก
ก็มาดิครับ
TBC.
สวัสดีค่า ชาลมาส่งมาสคอตแล้วน้า สำหรับบทนี้ก็คือสงสารช่อม่วงเลยนะ นี่เป็นดราม่าที่หนักสุดแล้วในเรื่องนี้นะคะ เป็นเรื่องดราม่าของครอบครัว รอดูกันต่อไปว่าทั้งดั้นเมฆและช่อม่วงจะผ่านช่วงเวลานี้ไปยังไง รอติดตามค้าบ
สามารถติดตามข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
บทที่ 23 วันสุดท้ายของการเรียน
.....หลายเดือนผ่านไป
.
.
ผมรู้ดีว่าเวลามักจะผ่านไปไวเสมอ
ชีวิตช่วงม.ปลายใกล้จะจบลงแล้วล่ะ
ผมนั่งมองไวท์บอร์ดที่ตอนนี้มีคำอำลาเขียนอยู่เต็มไปหมด วันนี้เป็นวันเรียนวันสุดท้ายแล้วครับ รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ ผมคิดว่าชีวิตช่วงมัธยมฯ ปลายมันคือการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น ขอบอกเลยว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามันโคตรสาหัสจริงๆ การลงสนามสอบเพื่อเก็บคะแนนต่างๆ การรักษาเกรดเฉลี่ยหรือรับผิดชอบงานกิจกรรมของโรงเรียนมันเป็นอะไรที่สูบพลังชีวิตเอามากๆ
โล่งใจที่ผ่านช่วงนั้นมาได้โดยไม่ตาย
ความจริงผมคิดนะว่าช่วงมัธยมฯ ที่ว่าหนักหนาอาจจะไม่ได้ครึ่งกับสิ่งที่ต้องเจอในรั้วมหา’ลัยเลยด้วยซ้ำ ยิ่งโตก็ต้องยิ่งอดทน มันเป็นสิ่งแน่นอนที่เราต้องยอมรับน่ะนะ ผมหวังว่าความพยายามและความทุ่มเทที่เราตั้งใจในการทำอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมา มันจะส่งผลให้เราสมหวังในสิ่งที่เราต้องการ แต่ผมก็คิดทางออกไว้เพิ่มเติมนะถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจน่ะ ก็นะ....ไม่มีอะไรสมดั่งใจเราตลอด
การเตรียมรับความผิดหวังนั่นคือสิ่งที่เราควรคิดเอาไว้เสมอ
อีกเกือบ 2 เดือนที่ผลคะแนนสอบต่างๆ จะออก จนถึงตอนนั้นก็แค่ทำใจร่มๆ และตั้งใจทำงานที่ร้านไปเรื่อยๆ ช่วงรอผลสอบต่างๆ คือตกลงกับพี่อินแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นไวท์บันนี่คอยเสิร์ฟขนมให้ลูกค้าเหมือนเดิม ส่วนช่อม่วงก็อาจจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พี่อินช่วยทำขนม ไม่รู้ว่าจะช่วยทำหรือจะพังครัวกันแน่ เรื่องนั้นก็ต้องมารอลุ้นอีกที นี่ถ้าแฟนผมรู้ความคิดเมื่อกี๊นะ เขาต้องทุบผมจนตายแน่ๆ
อย่าไปบอกช่อม่วงนะครับ
“เมฆ”
“หืม....”
“ไหนเสื้อมึงอะ”
“โน่น ไอ้ยักษ์ถือว่อนไปทั่วเลย” ผมมองไอ้ตัวแสบที่เอาเสื้อผมไปให้คนโน้นคนนี้เขียน ไม่เข้าใจเลย เสื้อมันก็มี จะเอาเสื้อผมไปให้คนอื่นเขียนทำไมนักหนา ใจนี่อยากจะเออ อยากให้ใครเขียนก็ค่อยบอกเขา
แต่ไอ้ยักษ์คือเอาไปให้คนทั้งโรงเรียนละมั้ง
“รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันเนอะมึง วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการเรียน เหลือสอบอีกแค่ 2 วันแล้วก็รอปัจฉิมฯ พอถึงตอนนั้นชีวิตมัธยมฯ ของเราก็จะจบโดยสมบูรณ์”
ผมพยักหน้ารับคำที่จ๋ายพูด “ไหนเสื้อมึงอะ เดี๋ยวกูเขียนให้”
“อยู่กับกรีซ แล้วช่อม่วงไปไหนวะ”
“อยู่ห้องสภานั่นแหละ แต่เดี๋ยวก็คงมาแหละมั้ง เออแล้วนี่เราต้องไปรวมตัวที่สนามบาสฯ หลังตึกสามตอนไหนนะ”
“บ่ายสาม ”
“มึงว่าน้องๆ จะทำอะไรให้เรา”
“น้องๆ จะให้เราเข้าแถวและปิดตาเดินไปหลังตึก กูว่าต้องมีล้มเหยียบกันบ้างแหละ”
“มึงก็พูดเป็นเว่อร์” เพื่อนรักเอียงหัวมาใกล้ผม “กูถามไรหน่อยดิ”
“อะไร”
“มึงก็คบกับช่อม่วงมาปีกว่าแล้วนะ เคยแบบ....” ยังไม่ทันที่จ๋ายจะพูดจบผมก็ส่ายหน้ารัว คือไม่ต้องพูดก็รู้แล้วว่ามันจะถามเรื่องอะไร
ผมกับช่อม่วงคบกันมาปีกว่าก็จริง แต่ระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ เต็มที่ก็ได้แค่กอด จับมือ แค่นั้นเอง ถามว่าอยากทำไหมมันก็ต้องอยากอยู่แล้ว ดั้นเมฆไม่ใช่พระอิฐพระปูนน่ะที่จะไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองรัก ผมสารภาพด้วยความจริงใจเลยว่าบ่อยครั้งที่ผมต้องจัดการตัวเองด้วยวิธีที่หลากหลาย แฟนผมเขารู้เรื่องพวกนี้ด้วยนะ และทุกครั้งที่เขาเห็นผมแสดงท่าทีแปลกๆ ออกไป เขาก็จะ.....
หึ้ยยยย....นึกถึงสีหน้าเขาในตอนนั้นแล้วมันคุกรุ่นจริงๆ
“เมื่อไหร่กูจะโตวะ”
“นี่ยังไม่โตอีกเหรอ”
“ยังโตไม่พอ ไม่เป็นไร กูจะรอให้ตัวเองโตอีกนิดหน่อย ถึงตอนนั้นคือช่อม่วงเสร็จกูแน่” ผมต้องพร่ำบอกตัวเองทุกวันว่าอดทนนะดั้นเมฆ อดทนเอาไว้ก่อน เหมือนอดเปรี้ยวไว้กินหวานไง แต่เอาจริงๆ ผมเป็นคนชอบกินเปรี้ยวมากกว่าหวานนะ
เฮ้อ....
เจ็บปวดหัวใจจัง
“มึงเคยบอกกูว่าเพราะมึงสัญญากับน้าช่อม่วงไว้ด้วยป้ะ”
“เอออะดิ ถึงจะอยากทำเรื่องแบบนั้นแค่ไหนก็ต้องอดทนว่ะ กูไม่อยากผิดสัญญา” คนเรา...ถ้ารับปากอะไรเอาไว้ก็ควรทำให้ได้ตามนั้น เอาน่ะ อดทนมาได้ตั้งเท่าไหร่ ให้อดทนอีกหน่อยจะเป็นไรไป
“เสื้อกูอะ” จ๋ายถามกรีซที่เพิ่งเดินเข้ามา มือเรียวส่งเสื้อนักเรียนให้ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นเสื้อของตัวเองให้ผม
“เขียนให้หน่อย แล้วเสื้อมึงอะ”
“อยู่กับไอ้ยักษ์โน่น แล้วมันก็เดินออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้เนี่ยะ เจออีกทีจะตบให้หัวสั่นเลย” ผมบ่นก่อนจะเดินไปหยิบของที่เตรียมไว้ให้เพื่อนๆ ออกมา
มันเป็นรูปของผมเองครับ ด้านหลังเขียนช่องทางการติดต่อต่างๆ เอาไว้ เผื่อใครอยากจะยังอยากติดต่อหลังจากที่แยกย้ายกันไปแล้ว เพื่อนๆ ส่วนมากในห้องก็จะทำของแบบนี้มาให้กันนะ ช่อม่วงก็ทำ ของเขาจะเป็นสมุดจดเล่มเล็กๆ ด้านหน้าเขียนชื่อโรงเรียน ชื่อรุ่น ชื่อห้องและก็รหัสนักเรียนของเขา ด้านหลังเป็นช่องทางการติดต่อเหมือนผมนี่แหละ พวกเพื่อนๆ ก็ทำเป็นรูปมาเหมือนกันแล้วก็มีพร้อพกิ๊กก๊อกเอาไว้ถ่ายรูปเล่นกันนิดหน่อย
ไม้คาดผมหูกระต่าย
คงตลกดีไม่หยอกเลยที่คนอื่นเขาใส่มงกุฎ หรือของสวมหัวเท่ๆ แต่ของกลุ่มผมคือไม้คาดผมหูกระต่าย ไอเดียนี้เป็นของไอ้ยักษ์ครับ มันซื้อมาให้และแจกจ่ายพวกผมเรียบร้อย แถมบอกว่าตอนที่ไปรวมตัวใต้ตึกต้องใส่หูกระต่ายไว้บนหัวด้วย ลองนึกถึงภาพรุ่นน้องที่เห็นพวกเราสิ ฮือฮาแน่ๆ คือช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายม.5 จนถึง ม. 6 เนี่ยะ กลุ่มพวกเราค่อนข้างเป็นที่รู้จักพอสมควร มากกว่าตอนสมัยม.4 นั่นก็เป็นเพราะเราเป็นหนึ่งในวงดนตรีของโรงเรียนไง
มีงานอะไรก็ดั้นเมฆ
อาจารย์ใช้งานจนแฟนผมหึงหน้ามืดไปหมด
“ดั้นเมฆ”
ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับแฟนตัวเองที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงขนมและตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่ มองจากของต่างๆ ที่ตัวเขาแล้ว ช่อม่วงนี่เป็นที่รักของบรรดาน้องๆ ที่สภานักเรียนมากเลยนะครับ
“ของเยอะจังอะ” ผมเดินไปรับของจากมือเรียว “แบบนี้จะใส่ของที่เมฆเตรียมมาให้ได้ไหมเนี่ย”
“ใส่ได้เพราะเดี๋ยวเราถอดพวกขนมออก มันใหญ่เกิน”
“เดี๋ยวน้องๆ ก็เสียใจหรอก”
“ไม่หรอก เราใส่ของแฟนตัวเอง ถ้าพวกมันเห็น พวกมันต้องเข้าใจแหละ”
“นี่อะไรเนี่ยะ” ผมเลื่อนมือไปจับสายสะพายที่คาดอยู่บนตัวเขา “ขวัญใจชาวสภานักเรียน ฮ่าๆ ๆ ๆ น่ารักจัง”
“อย่าขำนะ เขินจะตายอยู่แล้ว” ช่อม่วงทำหน้ามุ่ยก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ ผมขยี้หัวเขาก่อนจะเดินไปหาเพื่อนๆ ในห้องแล้วไล่แจกรูปของตัวเอง บรรดาเพื่อนๆ ก็ให้ของผมเหมือนกัน
อีกแป๊บนึงก็จะได้เวลาเขาเรียกไปรวมที่สนามบาสฯ แล้วแหละเพราะงั้นรีบแจกให้หมด ช่อม่วงเองก็เอาสมุดที่ตัวเองเตรียมมาแจกเพื่อนๆ เหมือนกัน วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วด้วยสำหรับการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องของเขา หวังว่าถ้าขึ้นมหา’ลัยแล้ว แฟนผมคงไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรที่มันเป็นผู้นำคนอื่นหรอกนะ ให้ช่วยงานน่ะได้อยู่หรอก แต่ให้รับผิดชอบโน่นนี่ผมกลัวว่าเขาจะเหนื่อยเกินไป
ยิ่งชอบทำอะไรฝืนตัวเองอยู่บ่อยๆ
“มองหน้าเราทำไม” เจ้าตัวเดินเข้ามาหาพร้อมกับไม้คาดผมหูกระต่ายสีขาว คือหยิบไปจากบนโต๊ะผมแน่ๆ ล่ะ นี่ไม่คิดจะห้ามไม่ให้ใส่หน่อยเหรอครับแฟน
“ช่อจะใส่เหรอ มา เดี๋ยวเมฆใส่ให้”
“เมฆต่างหากที่ต้องใส่” มือเรียวสวมไม้คาดให้ก่อนจะยิ้มหวานออกมาจนตาหยี “น่ารัก”
ผมกดหัวเขาลงมาจมอกตัวเองอย่างมันเขี้ยว “ยิ้มแบบนี้ได้ไงล่ะเดี๋ยวคนอื่นเห็น”
“อะไรเล่า หวงรึไง”
“หวงสิ น่ารักขนาดนี้จะไม่หวงได้เหรอ” ผมเอื้อมมือไปหยิบมงกุฎดอกไม้ที่ตัวเองเตรียมมาก่อนจะปล่อยช่อม่วงออก “เมฆเตรียมของมาให้ช่อด้วย”
“มงกุฎดอกไม้เหรอ งื้อออ....เราเป็นผู้ชายนะดั้นเมฆ”
“ดูบนหัวเมฆสิ เมฆก็ผู้ชายเถอะ เนี่ยะ เหมากับช่อมากเลยนะ ใส่แล้วน่ารัก” ผมสวมมงกุฎดอกไม้สีม่วงขาวลงบนหัวเขา ตอนนี้ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ เขินแน่ล่ะอาการแบบนี้ อยากดึงเข้ามากอดแต่เดี๋ยวเพื่อนจะแซวกันหนักกว่านี้
เมื่อกี๊ที่กดมาซบอกก็โดนไปหลายดอกอยู่
“ขอบคุณนะ ส่วนอันนี้ของเรา” ว่าแล้วช่อม่วงก็หยิบพวงมาลัยช่อดาวเรืองพวกใหญ่มาคล้องคอผม ไม่ได้มีแค่นี้หรอก มีพวงมาลัยอันเล็กอันน้อยด้วย
นี่ถ้ามีผ้าสามสีนะ ดั้นเมฆคือศาลพระภูมิแล้ว
“คิดยังไงถึงเอาพวงมาลัยมาคล้องเมฆอะ”
“ก็ยักษ์บอกว่าเมฆน่าจะชอบ เราก็เลย....”
ไอ้เวรยักษ์....มึงเจอกูแน่ไอ้สันขวาน
“งั้นเองสินะ”
“ทำไมอะ ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบสิ ช่อให้อะไร เมฆก็ชอบทั้งนั้นแหละ ไปกันเถอะ ได้เวลาละ เดี๋ยวรุ่นน้องจะพาเราไปสนามบาสฯ ” หลังจากที่บอกไปแบบนั้น ผมก็ลากช่อม่วงออกมาหน้าห้องที่มีรุ่นน้องมายืนรอพวกเราอยู่ บรรดาเพื่อนๆ ก็ออกมาเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
ช่อม่วงยืนอยู่ด้านหน้าของผม เหล่าสหายก็เรียงกันอยู่ด้านหลัง ไอ้ยักษ์มันกลับมาพร้อมกับเสื้อนักเรียนผมที่ไม่มีที่เหลือว่างเลยสักนิด สะเหล่อที่สุดเลยมันน่ะ ไว้จบงานต่างๆ ก่อนเถอะ มีเรื่องต้องจัดการไอ้ตัวดีด้วย กล้ามากที่มาบอกให้แฟนผมซื้อพวงมาลัยมาคล้องคอให้เป็นของปัจฉิม เมื่อกี๊ที่มันเห็นผมถูกคล้องด้วยพวงมาลัยเต็มไปหมดมันก็ขำออกมา เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวจะทำให้ขำไม่ออกเลยไอ้แสบ
“พี่ๆ ผูกผ้าปิดตาเลยนะคะ แล้วก็จับไหล่เดินตามกันมาเป็นขบวนเลยเนอะ”
“เดี๋ยวเมฆผูกให้” ผมจัดแจงผูกตาให้คนตรงหน้า “แน่นไปไหม”
“ไม่แน่น”
“โอเค” หลังจากที่ผูกผ้าให้ช่อม่วงเสร็จผมก็มาผูกของตัวเองบ้าง ลุ้นเหมือนกันนะว่าพวกน้องๆ เขาจะทำอะไรให้เรา ปีนี้ย้ายสถานที่ซะด้วย ตรงสนามบาสฯ ก็ดีเหมือนกันนะ แดดไม่ค่อยส่องเท่าไหร่ เมื่อปีก่อนไปทำกิจกรรมกันตรงสนามบอล ร้อนอย่างกับอยู่ทะเลทราย ดีนะไม่มีใครเป็นลมตายไปซะก่อน ผมว่าน้องๆ สภาฯ ปีนี้เขาคงเห็นปัญหาของปีก่อน มารุ่นผมก็เลยย้ายสถานที่ซะเลย
เนี่ยะ เด็กในสังกัดช่อม่วงทั้งนั้น
“เดินเลยนะพวกพี่ๆ ”
“จับไหล่เราแน่นๆ นะดั้นเมฆ”
“เมฆจะจับแน่นๆ เลย”
[ บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง ]
ถึงผมจะพอรู้ว่าสภาฯ จะทำอะไรให้เด็กม.6 บ้าง
แต่ก็....อดตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกันนะ
ตอนนี้มืดไปหมดเลยครับเพราะพวกเราโดนผูกผ้าปิดตาอยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยกันเจื้อยแจ้วเลยล่ะ นอกจากเสียงคุยก็ยังได้ยินเสียงเพลงด้วย เป็นเพลงมาร์ชของโรงเรียน ในฐานะที่ผมทำงานสภาฯ และเรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้น ก็ผูกพันเหมือนกันนะ โรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองของผม ให้อะไรตั้งมากมาย ทั้งความรู้ ช่วงเวลาดีดีที่เกิดขึ้น ไหนจะมีเพื่อนที่ดี มีรุ่นน้องที่เคารพผม สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงมัธยมฯ ผมจะไม่ลืมมันเลย
“อยากเอาผ้าผูกตาออกแล้วอะ” ผมบ่นกับเพื่อนรักที่นั่งอยู่ด้านหน้า “แบ๋มไม่รู้สึกเคว้งคว้างบ้างเหรอโดนปิดตาแบบนี้”
“เคว้งสิแต่ยังเอาออกไม่ได้ไหมล่ะ เราต้องรอน้องบอกก่อน”
“ช่อบ่นเหรอแบ๋ม”
“ใช่ งอแงใหญ่เลย มีนจัดการซิ”
“อย่าดื้อนะเจ้าช่อม่วง” เสียงมีนที่อยู่ห่างออกไปแว่วเข้ามาในหู งืม...ตรงนี้ไม่มีใครดื้อสักหน่อย ก็แค่ไม่อยากปิดตาแล้วเท่านั้นแหละ
“เราเปล่าดื้อ”
“สวัสดีพี่ๆ รุ่น 31 ทุกคนนะครับ ผมเป็นประธานนักเรียนของปีการศึกษานี้ มีอะไรอยากพูดในฐานะที่พวกพี่ๆ กำลังจะจบการศึกษาออกไปนะครับ”
เสียงไอ้เปา....บทจะจริงจังก็ทำได้แท้ๆ แต่ชอบทำตัวติ๊งต๊อง
“ขอขอบคุณพวกพี่ๆ ที่ทำอะไรต่างๆ เพื่อรุ่นน้องอย่างพวกผมนะครับ เรื่องอาสาต่างๆ ที่เราทำร่วมกัน กิจกรรมต่างๆ ที่พวกพี่ให้ความร่วมมืออย่างไม่มีตกบกพร่อง พวกเราขอขอบคุณจริงๆ นะครับ”
“เสียงหล่อเนอะ ใครอะ ช่อรู้จักป้ะ” แบ๋มเอ่ยถาม
“ไอ้เปาไง ไม่เอาแบ๋มอย่าไปยุ่ง มันไม่เต็ม”
“ช่อก็ไปว่าน้อง”
“ผมขอให้พวกพี่ๆ ติดในมหา’ลัยที่ตัวเองต้องการในคณะที่ตัวเองเลือกนะครับ ขอให้ประสบความสำเร็จกับการเรียนครับผม”
สิ้นเสียงไอ้เปาพูด เด็กม.6 ทั้งหลายก็พากันปรบมือแปะๆ หลังจากนั้นเพลงยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของไอ้เปาที่ให้พวกเราถอดผ้าผูกตาออก ผมเลื่อนมือขึ้นไปแกะผ้าผูกตา ภาพแรกที่เห็นคือพวกสภาฯ ขึ้นไปอยู่ตรงระเบียงชั้น 4 แล้วช่วยกันโปรยลูกโป่งกับกลีบดอกไม้ลงมาด้านล่าง สวยมากเลยล่ะ ปีก่อนที่รุ่นผมทำให้พี่ม.6 มันไม่ใช่แบบนี้เลย เด็กปีนี้มันก็คิดอะไรที่มันสร้างสรรค์ดีเหมือนกันนะ
สวยแบบนี้ต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้แล้วล่ะ
“สวยเนอะ”
ผมหันไปตามเสียงพูดด้านหลังก็ต้องตกใจเพราะเขายกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายพอดี “หน้าเราเหวอแน่เลย ดั้นเมฆ”
“ไม่เหวอเลย น่ารัก”
“รู้ไหมว่าวันนี้บอกเราน่ารักไปกี่รอบแล้ว”
“พูดความจริงทั้งนั้น เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ต้องเลย” ผมเอนตัวไปพิงคนด้านหลัง “ตลกเนอะ ปีเราก็ใช้เพลงยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ”
“นั่นสิ เหมือนเพลงนี้เป็นเพลงที่ควรเปิดในวันเรียนจบ วันแต่งงาน หรือวันครบรอบอะไรแบบนี้มั้ง”
“ขอเชิญตัวแทนพี่ม.6 ขึ้นมากล่าวอะไรกับน้องๆ หน่อยได้ไหมครับ” ไอ้เปาหันมองมาทางผม “พี่ช่อม่วงห้อง 3 ละกันครับ เชิญเลย”
“ไอ้เปานะไอ้เปา” ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปยังเวทีเล็กด้านหน้าแล้วขึ้นไปด้านบน ไอ้เด็กแสบก็ส่งไมค์มาให้ รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่อาจเพราะมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับที่ตรงนี้
“เอาเลยพี่”
“ก็ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเพื่อนๆ ม.6 นะครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณรุ่นน้องของเรา ทั้งแผนการเรียนหรือสภานักเรียนที่จัดกิจกรรมตรงนี้เพื่ออำลาพวกเรา ส่วนตัวของผมคือชอบนะ คิดว่าเพื่อนๆ ก็น่าจะคิดเหมือนกัน แล้วก็ขอให้น้องๆ รุ่นต่อๆ ไป ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีค่าของชีวิตมัธยมให้ได้เพราะเราจะมีมันแค่ครั้งเดียว ขอบคุณครับ”
หลังจากที่พูดจบทุกคนก็พากันปรบมือ ผมเดินลงจากเวทีก่อนจะมานั่งที่เดิม หน้าที่ของผมในโรงเรียนนี้คงสมบูรณ์แล้วล่ะนะ หลังจากนี้ขอให้มีแต่เรื่องดีดีเกิดขึ้นด้วยเถอะ พยายามในหลายสิ่งหลายอย่างมามากขนาดนี้ หวังว่ามันจะสมดั่งใจผมนะ
“ขอบคุณพี่ช่อม่วงมากเลยนะครับ อีกคนที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ นักร้องคนดังของเรานั่นเอง ขอเชิญพี่ดั้นเมฆมาร้องเพลงด้วยครับ เชิญทั้งวงเลยดีกว่า พี่ยักษ์ พี่กรีซ พี่จ๋าย เชิญเลยครับ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่ไอ้เปาพูดจบ หน้าแฟนผมคือเหวอเลยล่ะ คงไม่รู้ตัวแน่ๆ ว่ารุ่นน้องจะให้ขึ้นไปร้องเพลง เสียงเชียร์ดังออกมาทั้งจากพวกเพื่อนๆ และรุ่นน้อง พอเป็นแบบนั้น ดั้นเมฆจึงเดินขึ้นไปบนเวทีเล็กนั่น พวกเพื่อนๆ เขาก็จัดแจงอยู่ประจำตำแหน่งเครื่องดนตรีที่ตัวเองเล่น ความจริงวันนี้มีมินิคอนเสิร์ตด้วยครับ แต่วงที่เล่นไม่ใช่วงของดั้นเมฆไง ไม่รู้ว่าจะโอเครึเปล่านะ ร้องสดแบบไม่ซ้อมกันก่อนแบบนี้
คงไม่เป็นไรหรอก....แฟนผมเก่งอยู่แล้วอะ
“ก็....สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนและขอบคุณน้องเปาด้วยที่อัญเชิญพวกพี่ขึ้นมาโดยยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย”
“เหมือนเมฆอยากจะทุบน้องประธานนักเรียนเลยอะช่อ”
“ก็ใช่น่ะสิ อยู่ดีดีไอ้เปาก็ให้เมฆขึ้นไปร้องเพลง บอกก่อนก็ไม่ได้บอก สมควรแล้ว”
“เป็นห่วงแฟนนนน”
“ก็มีแฟนนนน”
“เดี๋ยวจะโดน”
“สำหรับเพลงที่จะร้องในวันนี้ก็มีความหมายที่ดีนะ คือต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน พวกเราก็ยังคงมีกันอยู่อย่างนี้” ร่างสูงเอ่ยพลางมองไปรอบๆ “เพลงข้อความ ของพอสครับ”
เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้น เพลงนี้ผมไม่เคยฟัง เพลงของพอสเนี่ยะ ผมรู้จักแค่เพลงความลับที่เขาเคยร้องให้ฟังเท่านั้น จะว่าไปจากตอนนั้นมันก็ผ่านมาเป็นปีเลยนะ ช่วงจีบกันมันเป็นอะไรที่แสนหวานจริงๆ แต่ตอนนี้ ความรู้สึกแบบตอนนั้นมันก็ยังเหมือนเดิม แฟนผมน่ะ....ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ผมรักเขาจริงๆ
“จะอยู่ไกลห่างสักเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่ยึดใจเราอยู่ ไว้ไม่ให้เราห่างกัน
คือความห่วงใยที่เธอให้ฉัน คำพูดเหล่านั้น ที่เธอคอยส่งมา
ให้ฉันได้รับรู้ ให้ฉันนั้นได้มั่นใจ ไม่มีสิ่งไหนที่จะลึกซึ้งถึงคุณค่า
ผ่านมาจากถ้อยคำนั้น ผ่านมาจากสายตาฉัน และสิ่งๆนั้นบอกฉันให้รู้ตลอดมา
ฉันและเธอจะเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะทุกข์หรือว่าจะสุขสันต์ ฉันจะมีเธอข้างกาย
วันเวลาจะนานสักเพียงไหน เพื่อนฉันคนนี้นั้นไม่มีวันห่าง และไม่มีวันจากไปไหน”
[ จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง ]
“เพลงที่เมฆร้องวันนี้เพราะมากเลยนะ”
“ชอบป้ะล่ะ”
“ชอบดิ เราชอบทุกเพลงที่เมฆร้องนั่นแหละ”
“เหมือนวันนั้นเลยเนอะ”
“วันนั้น....”
“วันงานโรงเรียนเมื่อปีที่แล้วไง เราอยู่ด้วยกันตรงนี้ มองคอนเสิร์ตข้างล่างแบบนี้”
“แล้วเมฆก็บอกว่ารักเราครั้งแรก”
“ช่อก็ด้วย” ผมยิ้มหวานให้เขาพลางมองไอ้ยักษ์ที่เกาะขอบเวทีคอนเสิร์ตเหมือนวันงานโรงเรียนเมื่อปีก่อนเลย เนี่ยะ เวลาเปลี่ยนแต่เพื่อนผมไม่เปลี่ยนนะครับ
สะเหล่อเหมือนเดิม
ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่หน้าห้องม.4/3 ที่เดิมซึ่งผมบอกรักช่อม่วงครั้งแรก ตอนนั้นที่อยู่ม.5 มันก็ความรู้สึกนึงนะ ตอนนี้ม.6 มันก็โหวงๆ ยังไงไม่รู้ พวกเราคงไม่มีโอกาสได้กลับมาตรงนี้บ่อยๆ หรอก เพราะงั้นวันนี้ที่เป็นวันเรียนวันสุดท้าย ผมก็จะใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ จนกว่าจะถึงเวลาปิดตึกละกัน ผมชอบการได้นั่งมองแฟนตัวเองในเวลาแบบนี้จริงๆ เขาน่ารัก ยิ่งมีมงกุฎดอกไม้อยู่บนหัวนั่นยิ่งน่ารัก
ผมจะไปไหนได้อะถ้าเขาเป็นแบบนี้
“เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะเมฆ แป๊บเดียวพวกเราก็จะจบมัธยมฯ แล้ว”
“ถึงจะเรียนจบ แต่ความรักเราไม่จบนะ”
“มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
“ไหนมาให้เมฆแสดงความยินดีกับช่อก่อนเร็ว” พอบอกไปแบบนั้น เขาก็ละจากการดูคอนเสิร์ตก่อนจะหันมาประจันหน้ากับผม มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้
“ว่ามา เรารอฟังอยู่”
“เมฆภูมิใจในตัวช่อแทนน้าชัชมากๆ ที่ช่อทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีจนถึงวันสุดท้าย และเมฆก็ยินดีที่ช่อจะเรียนจบช่วงมัธยมฯ หลังจากนี้เมฆขอให้ช่อมีความสุขมากๆ ขอให้ได้เรียนหมออย่างที่ตั้งใจ”
“ขอบคุณนะ” เจ้าตัวยิ้มหวานออกมา “เราก็ยินดีกับเมฆด้วยที่เรียนจบและขอให้ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ เป็นแฟนที่ดีของเราไปเรื่อยๆ อยู่กับเราไปนานๆ มีความสุขมากๆ นะ”
“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือช่อม่วงขึ้นมาจุ๊บเบาๆ ก่อนจะยิ้มหวานให้ ใบหน้าใสเลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาคมมองผมอยู่อย่างนั้น ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยอยู่ข้างแก้มเบาๆ
นี่เขา....
“ดั้นเมฆ”
ริมฝีปากบางทาบทับลงมา ความอุ่นที่ผมสัมผัสได้นั่นมันดีเหลือเกิน ช่อม่วงจูบผม ถึงมันจะเป็นแค่การเอาปากมาแตะกันแต่มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ เพียงไม่นานเจ้าตัวก็ละริมฝีปากออกไป แก้มใสนั่นขึ้นสีแดงจัด ผมทำตัวไม่ถูกเลย เงอะงะอะ ได้แต่หัวเราะออกไปเบาๆ แค่นั้นเอง เขินจนหูร้อนไปหมดแล้วเนี่ย คนตรงหน้ามีอิทธิพลกับชีวิตผมจริงๆ
“เรา.....คือ”
“เขินจัง” ช่อม่วงยกมือลูบคอตัวเองแก้เก้อก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนกัน “ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้”
“นั่นสิ แต่ก็....ขอบคุณนะ สำหรับจูบแรก”
ร่างโปร่งขยับเข้ามากอดผมเอาไว้ “ขอบคุณเหมือนกัน....เรารักเมฆนะ”
“เมฆก็รักช่อเหมือนกันนะครับ”
มีความสุขจัง....มีความสุขในช่วงเวลาที่ดีแบบนี้มันเหมือนเป็นพลังบวกให้กับชีวิตเลย เราสองคนจบชีวิตมัธยมฯ ด้วยความประทับใจจริง ที่ตรงนี้เราเคยบอกรักกันครั้งแรก จูบกันครั้งแรก คิดแล้วเขินอะ ทุกอย่างนี้มันมีความหมายสำหรับผมมากเลย ดีใจที่ได้เจอกันในวันนั้น ดีใจที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน ดีใจที่ได้มีเวลาและทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน ผมโชคดีจริงๆ ที่เขาเข้ามาในชีวิต
กระต่ายกากในวันนั้นได้พระจันทร์มาเคียงข้างแล้วล่ะครับ
และเจ้ากระต่ายกากก็จะเคียงข้างกับพระจันทร์....ตลอดไป
“.....เดี๋ยวไปกินข้าวบ้านเมฆนะ พี่อินทำกับข้าวไว้เตรียมฉลองไว้ให้พวกเราเยอะเลย”
“อื้ม....”
TBC.
สวัสดีค่ะชาลมาส่งมาสคอตแล้ว ในที่สุดคิสซีนก็มาถึงนะคะ จูบแรกของเรื่องเลยนะ ก็บทหน้า เป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ จะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า
สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Ficion Yaoi Th นะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
บทส่งท้าย
กริ่งงงง
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”
“พี่กระต่ายขา” สาวน้อยตัวเล็กเดินเข้ามากอดขาผมทันที “ทำไมวันนี้แต่งตัวแปลกๆ ล่ะคะ”
ผมนั่งลงเพื่อคุยกับเธอ “เพราะว่าวันนี้พี่กระต่ายไปมหา’ลัยมาไงคะ”
“แล้วนี่คือ....อะไรเหรอคะ”
“ป้ายชื่อค่ะ อ่านออกไหมคะว่าพี่ชื่ออะไร”
“ดัน....ดันอะไรเหรอคุณแม่ขา ช่วยอ่านหน่อย”
“อ่านว่าดั้นเมฆค่ะลูก”
“คืออะไรเหรอคะ”
“ชื่อพี่คือขนมค่ะ ทางนี้เลย” ผมจูงมือคนตัวเล็กมาที่หน้าตู้ขนมก่อนจะชี้ให้เธอดู “ขนมสีน้ำเงินที่มีจุดเหลืองๆ แต้มอยู่ นั่นชื่อขนมบุหลันดั้นเมฆ น้องชายของพี่ชื่อบุหลัน ส่วนพี่ชื่อดั้นเมฆ”
“งั้นหนูเอาอันนั้นแหละค่ะ คุณแม่ขา น้องแอนท์จะเอาอันนั้นค่ะ”
“ได้ค่ะ งั้นพี่เอาบุหลันดั้นเมฆชุดนึง แล้วก็ลูกตาลลอยแก้วอีก 2 ชุดจ่ะ”
“ทานที่นี่ไหมครับ”
“ทานที่นี่จ่ะ ไปค่ะน้องแอนท์ ไปนั่งรอพี่เขาที่โต๊ะกันเร็ว” ว่าแล้วคุณแม่ของเธอก็เดินพาไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนผมก็รอพี่บราวน์บันนี่จัดขนมให้
ตอนนี้เกือบ 6 โมงแล้วครับ ผมเพิ่งกลับมาจากมหา’ลัย แต่วันนี้พิเศษหน่อยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม ก็สวมหัวมาสคอตแล้วก็ใส่ชุดนักศึกษาเหมือนเดิม ดั้นเมฆเป็นเฟรชชี่ของคณะคหกรรมแล้วนะ ทั้งผมและช่อม่วงก็ติดในคณะที่ตัวเองเลือก ในมหา’ลัยเดียวกัน แล้วก็กำลังเหนื่อยกับกิจกรรมรับน้องใหม่ต่างๆ มากเลย วันที่ประกาศผลเข้ามหา’ลัยอะ แม่งโคตรสุด พอรู้ว่าติดก็คือดีใจที่ความพยายามไม่ทรยศเรา
แฟนผมเขาดีใจจนน้ำตาคลอเลยล่ะ
อีกสักพักเฟรชชี่ของคณะแพทย์ก็คงจะโผล่มาที่ร้าน วันนี้เขาไลน์มาหาผมแล้ว บอกว่าอาจจะมาที่ร้านช้าหน่อย คณะทำกิจกรรมอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยววันนี้ผมจะไปนอนค้างที่บ้านช่อม่วงด้วย ขอพี่อินเรียบร้อย คือวันนี้เป็นวันศุกร์ แล้วปกติผมมักจะไปค้างกับเขาเป็นประจำไง อีกอย่างพรุ่งนี้น้าชัชจะกลับมาไทยด้วย ผมก็เลยอาสาพาช่อม่วงไปรับเขาที่สนามบิน ไฟท์ลงช่วงสายๆ หน่อย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่น้าชัชกลับไทยหลังจากที่ไปสิงคโปร์น่ะ
ตั้งปีกว่าๆ แน่ะ
การที่น้าชัชไปทำงานที่โน่นมันก็ทำให้การเงินต่างๆ ดีขึ้นเยอะเลยนะครับ อย่างช่อม่วง เขาก็สามารถทุ่มเทกับการเรียนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงถึงเรื่องเงินอีก เป็นแบบนั้นก็ดีแล้วนะ ส่วนเรื่องครอบครัวเขาก็เรียกได้ว่าตัดขาดอย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ พ่อของช่อม่วงไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรอีก ผมไม่ค่อยรู้ข่าวคราวเหมือนกันนะตั้งแต่ที่ตัดสินคดีน่ะ เคยได้ยินมาว่าธุรกิจมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
ต่างคนต่างอยู่ไปเถอะ
แบบนั้นน่ะดีแล้ว
“ขนมที่สั่งได้แล้วครับ” ผมยกขนมมาเสิร์ฟที่โต๊ะของคุณแม่น้องแอนท์ “ทานให้อร่อยนะครับ”
“ขอบใจจ่ะ”
กริ่งงงง
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ รับอะไรดีครับ” ผมเอ่ยถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน “วันนี้ขนมที่แนะนำของทางร้านคือขนมบุหลันดั้นเมฆนะครับ”
“สวัสดีครับ คือผมเป็นผู้จัดการของโรงแรมรินธาราครับ ทางเราอยากได้ขนมสำหรับงานจัดเลี้ยงน่ะครับ”
“งั้นเดี๋ยวผมแจ้งเจ้าของร้านให้นะครับ สักครู่ครับ” ว่าแล้วผมก็เดินเข้าไปหลังร้านเพื่อหาพี่อิน “มีคนจากโรงแรมรินธารามาติดต่อเรื่องขนมสำหรับงานจัดเลี้ยงครับ”
“โอเคเดี๋ยวพี่ล้างมือก่อนแป๊บนึง เดี๋ยวดั้นเมฆมาติดทองคำเปลวให้พี่หน่อยนะ เดี๋ยว 2 ทุ่มจะเอาไปส่งลูกค้า” ร่างโปร่งบอกพลางเดินไปล้างมือแล้วออกมาด้านนอก ส่วนผมก็ไปจัดแจงติดทองคำเปลวบนขนมแทนพี่อิน
ขนมที่พี่อินกำลังทำอยู่คือขนมทองเอกครับ ตัวขนมนี้จะทำมาจากไข่แดง กะทิ แป้ง และน้ำตาลเท่านั้น วิธีการทำก็คือเราเคี่ยวกะทิกับน้ำตาลให้ข้นก่อน พักให้อุ่นแล้วค่อยใส่ไข่แดงลงไปทีละฟอง เราต้องระวังเรื่องอุณหภูมิเพราะว่าถ้ากะทิยังร้อน เวลาที่เราใส่ไข่ลงไปอาจจะทำให้ไข่สุกได้ พอเราผสมส่วนกะทิกับไข่เสร็จก็ใส่แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันไปจึ๋งนึง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนด้วยนะ ที่ผมเคยทำคือไข่แดง 6 ฟอง ก็จะใช้แป้งข้าวเจ้า 1+1/4 ถ้วยตวง แล้วก็แป้งมัน 20 กรัม
การทำขนมเป็นอะไรที่สัดส่วนต้องพอดีจริงๆ
หลังจากที่เราใส่ส่วนผสมทุกอย่างครบแล้วก็เอาไปกรองครั้งนึงก่อนจะเอาไปกวนต่อ กวนไปเรื่อยๆ จนขึ้นสีใสเลยครับ แล้วค่อยเอามาใส่แป้นพิมพ์ขนม จากนั้นเราก็จะได้ขนมทองเอกแบบนี้ แล้วค่อยนำมาติดทองคำเปลวก็เป็นอันเสร็จ ปกติแล้วขนมทองเอกจัดว่าเป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานมงคล ความหมายของมันคือการเป็นที่หนึ่ง ที่ร้านมักจะจัดชุดรวมกับขนมอื่นเป็นชุดขนมมงคล ทำแยกขายเดี่ยวๆ พี่อินก็ไม่ค่อยทำนะ็
ความจริงขนมที่วางขายในร้านก็คือแล้วแต่พี่อินอยากกินนั่นแหละ
หลังจากที่ผมติดทองคำเปลวลงบนขนมสักพัก พี่อินก็เดินกลับเข้ามาก่อนจะหยิบกระดาษมาจดอะไรยุกยิกๆ ก็ไม่รู้ น่าจะเป็นเรื่องงานนั่นแหละ จะว่าไปถ้าทำขนมส่งโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงก็ถือว่าเป็นงานใหญ่เหมือนกันนะ
“เขาว่าไงบ้างพี่อิน”
“ก็ทำขนมมงคลให้เขาน่ะ อีก 2 อาทิตย์ ไม่แน่ว่าพี่อาจจะต้องปิดร้านวันนึง ขนมมันค่อนข้างเยอะ พี่กลัวจะทำไม่ทัน เดี๋ยวอาจจะต้องหาคนช่วยเพิ่ม เมฆช่วยเคลียร์เวลาตัวเองให้พี่ด้วยนะ พี่ต้องพึ่งเมฆจริงๆ ”
“ไม่มีปัญหาเลยพี่อิน เออ แล้วเรื่องที่จะขยายร้านอะ ป๊าว่าไง”
“ไม่มีปัญหา ก็เงินพี่ทั้งนั้นอะที่ทำร้าน เขาบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำไป แต่ยังไงพอเมฆเรียนจบก็ต้องช่วยงานร้านอาหารเราที่จะเปิดสาขาที่ไทย เขาบอกพี่แค่นี้”
ดีจัง เรียนยังไม่ทันจบก็มีงานรอละ
“เรียกเงินเดือนสักแสนสาม”
“ขนาดนั้นเชียว”
“อัปค่าตัวไว้ก่อน เผื่อร้านอื่นมาซื้อจะได้แพงขึ้นอีก” ผมเดินไปล้างมือ “เดี๋ยวเมฆไปดูแลลูกค้าหน้าร้านก่อนนะ”
“อื้ม” หลังจากที่พี่อินรับคำ ผมก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อต้อนรับลูกค้า
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าร้านขนมไทยเล็กๆ ที่เปิดในวันนั้นเพราะความชอบของพี่อินจะมาได้ถึงวันนี้ ผมไม่คิดเลยว่าร้านเราจะมีลูกค้าประจำเยอะมากมายขนาดนั้น เอาจริงๆ ผมคิดว่าการที่ร้าน MASCOT เป็นที่นิยม อย่างแรกเลยเพราะสถานที่และการบริการ ส่วนตัวผมคิดว่าร้านเราตกแต่งสวย เหมาะกับการถ่ายรูป ส่วนการบริการก็พนักงานของร้านเรามียูนิฟอร์มที่ต่างจากที่อื่นคือทุกคนสวมหัวมาสคอตกระต่ายแถมยังพูดจาไพเราะน่ารักโดยเฉพาะไวท์บันนี่
อวยตัวเองนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก
อีกอย่างก็คงไม่พ้นรสชาติของขนมฝีมือพี่อิน ผมกล้าพูดได้เลยว่าขนมทุกอย่างที่ร้านอร่อย พี่อินคือสุดยอดมากที่ถ่ายทอดสูตรขนมของคุณย่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงตอนเป็นเด็ก คุณย่าจะสอนเราเหมือนๆ กัน แต่ก็มีขนมบางอย่างที่ผมยังทำไม่ได้ รสมือมันไม่ถึงขั้นนั้นสักที แต่พี่อินคือทำได้ทุกอย่างที่ท่านสอน เนี่ยะ พี่ชายของผมเก่งจริงๆ ทำอาหารก็อร่อย ทำขนมก็อร่อยมากๆ
ดั้นเมฆนี่ไม่ได้ครึ่งเขาเลย
เอาน่ะ อาจเพราะว่าตอนนี้ผมยังเด็ก เดี๋ยววันนึงที่ผมโตขึ้น ผมอาจจะเป็นคนที่เก่งกว่าในตอนนี้ก็ได้ เราทุกคนย่อมต้องอาศัยเวลาในการเจริญโตทั้งทางร่างกายและทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็เท่านั้น อย่างน้อยวันนึงข้างหน้าที่ย้อนมากลับมาคิดถึงช่วงเวลานี้ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายทีหลัง พอคิดได้แบบนั้นก็ตั้งใจทำงานดีกว่า ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นละ
กริ่งงงง
“ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”
***
2 ชั่วโมงผ่านไปและร้านกำลังจะปิด
ช่อม่วงยังไม่มาเลย
ผมกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ ตอนนี้เกือบ 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ขนมที่โชว์อยู่หน้าเคาน์เตอร์หมดทุกอย่างแล้วครับ เดี๋ยวจะเก็บร้านแล้วล่ะ ผมติดต่อช่อม่วงไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ป่านนี้แล้วยังทำกิจกรรมของคณะไม่เสร็จอีกรึไงก็ไม่รู้ หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาวะ โทรหาก็ไม่รับ ไลน์ไปหาก็ไม่ตอบ ผมเป็นห่วงเขา แต่อีกใจก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ใจเย็นๆ ไว้ก่อน บางทีการที่เราตื่นตูมเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้
ใจร่มๆ ไว้ก่อนแล้วกันนะดั้นเมฆ
ถ้าสมมุติว่าช่อม่วงไม่เป็นอะไร ปลอดภัยดี ผมอาจจะต้องถามเหตุผลก่อนว่าเพราะทำไมเขาถึงไม่รับสายและไม่ตอบไลน์ ถ้าเหตุผลเขาฟังขึ้นผมก็จะไม่อะไร แต่ถ้าเหตุผลเขาฟังไม่ขึ้นก็อาจจะต้องมีดุกันหน่อย เราสัญญากันเอาไว้แล้วไงว่าจะไม่ทำตัวให้อีกฝ่ายเป็นห่วงจนเกินไป
กริ่งงงง
ร่างโปร่งเดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าที่หงุดหงิด “เรามาแล้วเมฆ”
“ทำไมมาช้าอะ”
“โทรศัพท์โดนขโมยอะดิ เราไปแจ้งความมา”
“แล้วช่อจำได้รึเปล่าว่าหายที่ไหน”
“น่าจะบนรถเมล์ต่อแรกอะ เราเอาโทรศัพท์ไว้ในช่องเล็กของกระเป๋า แล้วเนี่ยะ กระเป๋าโดนกรีด” มือเรียวส่งกระเป๋าที่มีรอยขาดเป็นทางมาให้ผมดู “ดีนะที่กระเป๋าสตางค์อยู่อีกช่อง ตอนนั้นบนรถเมล์คนเยอะมาก”
“แล้วตำรวจเขาว่าไง”
“ก็รับเรื่องแล้วก็ถามโน่นถามนี่นั่นแหละ เขาบอกว่าช่วงนี้มีโจรกรีดกระเป๋าระบาดอยู่ เราไม่ใช่รายแรกที่โดน” ช่อม่วงเบะปากน้อยๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าผม “เราอยากได้โทรศัพท์คืนอะดั้นเมฆ”
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรหรอก โทรศัพท์เครื่องเดียวเอง”
“ไม่ได้ ในนั้นมีรูปเมฆเยอะมาก ยังไงเราก็อยากได้คืน” เจ้าตัวผละออกมามองผมแบบเศร้าๆ “บางรูป เรามีโอกาสถ่ายมันได้แค่ครั้งเดียวเองนะ”
“คือเมฆมีอะไรจะสารภาพด้วย แต่เดี๋ยวช่อนั่งก่อนละกัน” ผมจับเจ้าแฟนมานั่งรอที่ที่โต๊ะก่อนจะเดินไปด้านหลังเพื่อหยิบขนมที่แบ่งเอาไว้ให้เขาออกมา
ทุกวันเลยนะที่ผมจะแบ่งขนมเก็บไว้ให้เขาส่วนนึง จนถึงตอนนี้ช่อม่วงก็ยังจ่ายค่าขนมเหมือนเดิมเป็นปกติ ขนาดพี่อินบอกให้กินได้ฟรีๆ เขายังไม่ยอมเลย ตั้งแต่เปิดร้านมาเนี่ยะ เขาเสียเงินให้ที่นี่เป็นแสนแล้วมั้ง แต่ช่างเถอะ อะไรที่เขาทำแล้วคิดว่ามันดี ทำแล้วสบายใจก็ปล่อยให้เขาทำไป คือคนอย่างแฟนผมอะ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ทำอะไรได้ไง ขนาดพี่อินพูด เขายังรั้นไม่ยอมฟังเลย
เหมือนรู้ว่าผมกำลังนินทาเลยว่ะ
“จ้องหน้าเราขนาดนั้น” ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา “มีอะไรรึเปล่า”
“คุณกระต่ายมีอะไรจะบอกผม”
“ก็เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เมฆไปค้างบ้านช่อ แล้วตอนนั้นช่อหลับไปแล้วแต่เมฆยังไม่หลับ”
“อื้อ แล้วมันทำไมอะ” เจ้าตัวถามพลางตักขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“เราแอบเอาโทรศัพท์ช่อมาเล่น”
คนตรงหน้ามองผมตาโตทันที “ดั้นเมฆ”
“อย่าเพิ่งทำเสียงดุซี่ ก็นั่นแหละ แล้วตอนนั้นโทรศัพท์ช่อก็ดับไปต่อหน้าตาเมฆเลย พอเห็นแบบนั้นเมฆก็เลยคิดว่าโทรศัพท์ช่อใกล้พังแล้วแน่ๆ เมฆก็เลยแบ็กอัพข้อมูลไว้ให้ใน iCloud อะ”
“แปลว่าทุกอย่างยังอยู่ใช่ไหม”
“ก็น่าจะแบบนั้นนะ” ผมหยิบทิชชู่ไปเช็ดมุมปากเขาที่เลอะขนม “ขอโทษนะที่แอบเล่นโทรศัพท์ช่อน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมเมฆต้องแอบเล่นโทรศัพท์เราล่ะ คือเช็กเหรอว่าเราคุยกับใครรึเปล่า”
“เปล่าสักหน่อย เมฆก็แค่อยากดูว่าช่อแอบถ่ายรูปเมฆตอนไหนบ้างเท่านั้นแหละ”
“ดั้นเมฆ” แฟนผมทำหน้าดุทันที แต่ถึงเขาทำหน้าแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวเลยสักนิด หึ....ก็น่ารักซะขนาดนั้น ใครเขาจะกลัวกัน
ช่อม่วงคือที่สุดของการแอบถ่ายรูปผมเก็บเอาไว้เป็นร้อย มีหลายท่าทาง หลายเหตุการณ์อีกต่างหาก ถ่ายตอนผมหลับ ตอนกินข้าว ตอนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาถ่ายตอนผมโป๊อะ เนี่ยะ เป็นแบบนี้ก็ต้องให้น้าชัชยกขันหมากมาขอดั้นเมฆแล้วป้ะ แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่แอบถ่ายรูปผม ตัวกระต่ายกากเองก็แอบถ่ายรูปช่อม่วงเอาไว้เหมือนกัน เรื่องนี้เขาไม่รู้ครับ เพราะปกติเราไม่ยุ่งโทรศัพท์ของกันและกันไง
ถ้าแฟนผมเห็นรูปในโทรศัพท์ล่ะก็....
“คุณกระต่าย”
“หืม....ว่าไงครับคุณแฟน”
“เอาโทรศัพท์มา” มือเรียวยื่นมาด้านหน้าผม “เดี๋ยวนี้”
“ช่อจะเอาโทรศัพท์เมฆไปทำไม”
“....เราจะได้เจ๊ากันไง”
คำว่าชิบหายคงเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ที่สุดแล้วล่ะ
ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองส่งไปให้เขาอย่างจำยอม “เดี๋ยวเมฆไปเคลียร์ข้างหลังแป๊บนึงนะ” ว่าแล้วผมก็ลุกมาจากตรงนั้นทันที ตายแน่ๆ คุณกระต่ายกาก ความลับที่สั่งสมมาเป็นปีกำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
ไม่เป็นไร ยังไงซะวันนึงเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดีแหละ จะว่าไปผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้าช่อม่วงเห็นรูปที่ผมแอบถ่ายเขา สีหน้าแบบไหนกันที่เจ้าตัวจะแสดงออกมา จะเขินไหม แก้มจะแดงรึเปล่า เดี๋ยวอีกแป๊บนึงผมค่อยออกไปหาเขาแล้วกัน ตอนนี้ขอเก็บหลังร้านก่อน แล้วเนี่ยะ ไม่มีลูกค้าแล้วแต่ก็ยังสวมหัวมาสคอตกระต่ายกากอยู่ เหมือนตัวเองชอบความลำบากยังไงก็ไม่รู้ว่ะ
ถอดออกก็ได้แหละความจริงอะ
“ดั้นเมฆ”
“ครับพี่อ้าย” ผมหันมองร่างสูงที่ถือถาดขนมบุหลันดั้นเมฆอยู่ในมือ “ขนมบุหลันดั้นเมฆ หมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“พี่อินทำเพิ่มน่ะ ให้ช่อม่วง”
“ขอบคุณนะครับ” ผมรับขนมบุหลันดั้นเมฆมา “วันนี้บุหลันดั้นเมฆขายดีมากจริงๆ เมฆเองก็แบ่งไว้ให้ช่อไม่ทัน ปกติเขาชอบกินมากเลย”
“ก็เอาไปให้เขาเถอะ แล้วเดี๋ยวด้านหลังตรงนี้พวกพี่จัดการเอง เมฆรอเอาขยะไปทิ้งให้ก็พอแล้ว”
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ผมรับคำก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์แล้วจัดขนมใส่จาน ตอนนี้แฟนผมกำลังนั่งกุมแก้มตัวเองอยู่ อาการเขินแน่นอนแล้วล่ะ เดี๋ยวคิดคำพูดหวานๆ ไปหยอดใส่เขาดีกว่า
หลังจากที่วางแผนการหยอดช่อม่วงไว้ในใจแล้วผมก็เดินไปทางโต๊ะของเขาก่อนจะวางจานขนมบุหลันดั้นเมฆไว้ด้านหน้า ดวงตาคมจ้องผมอยู่อย่างนั้น ใบหน้าแดงก่ำเพราะเขิน พอเห็นแบบนี้แล้วผมยิ่งอยากทำให้เขาเขินมากขึ้นไปอีกจริงๆ
“ในโทรศัพท์นี่มันอะไรกันหืม....”
“ก็ไม่มีอะไรนะครับคุณลูกค้า” ผมหยิบโทรศัพท์คืนกลับมา “บุคคลที่อยู่ในรูปพวกนั้นเป็นแฟนผม เพราะเขาน่ารัก ผมก็เลยชอบที่จะแอบถ่ายรูปเขาเก็บเอาไว้”
“ดั้นเมฆ” มือเรียวตีแขนผมพร้อมกับทำหน้าให้ดูดุที่สุดในชีวิต “เลิกพูดเลยนะ อยากเห็นเราเขินจนเป็นบ้ารึไง”
“เขินขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เขินสิ ก็เมฆอะ....” ช่อม่วงทำแก้มป่องก่อนจะหยิบขนมบุหลันดั้นเมฆกิน “....นั่งสิ”
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เหมือนวันนั้นเลยเนอะ วันที่ช่อมาที่นี่ บอกให้เรานั่งเป็นเพื่อนหน่อยเพราะช่อเป็นลูกค้าคนสุดท้าย”
“ตอนนั้นเมฆเด๋อมากเลยอะ เรานึกถึงทีไรก็ตลก”
“เดี๋ยวเถอะ”
“ก็จริงนี่นา แต่นอกจากตลกแล้วก็มีความสุขนะ ดั้นเด๋อในวันนั้นกลายมาเป็นแฟนเราแล้วในวันนี้”
“แล้วก็จะเป็นแฟนของช่อไปทุกวันด้วย” พอผมพูดแบบนั้นออกไป คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มหวานออกมา
เรื่องราวระหว่างเราที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกผมยังจำได้ดี หรือจะวันนั้นที่เราเจอกันที่นี่ในร้านนี้ ผมไม่เอะใจเลยสักนิดว่าช่อม่วงจะรู้ว่าคนที่อยู่ในชุดไวท์บันนี่คือผม มันก็เด๋อจริงแบบที่เขาว่านั่นแหละ คิดแล้วโคตรเขินเลย ถ้าวันนั้นเขาไม่มาที่นี่ และถ้าผมไม่ต้องสวมชุดกระต่ายกากแทนบุหลัน เรื่องของเราอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ดั้นเมฆคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขามากนักหรอก
สำหรับผมแล้ว....เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันช่างดีจริงๆ
“คุณกระต่ายกินด้วยกันไหม” ช่อม่วงจิ้มขนมก่อนจะยื่นมาทางผม “หรือว่าคุณกระต่ายต้องกินแต่แครอต”
“.....น่ารัก”
“ชมผมแบบนี้” เจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “คิดอะไรกับผมแน่เลย”
“ใช่ครับ ผมคิด” ผมใช้มือนึงจับข้อมือเขา ข้างที่ถือขนมอยู่ ส่วนอีกมือนึงก็ถอดหัวมาสคอตของตัวเองออก “คิดว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่มีคุณมาป้อนขนมให้แบบนี้” พอพูดจบผมก็กินขนมบุหลันดั้นเมฆที่ช่อม่วงป้อน
“ถ้าอยากให้ผมป้อนขนมให้กินไปตลอดทั้งชีวิต....คุณกระต่ายก็ต้องอยู่กับผมไปตลอดทั้งชีวิตนะครับ”
ตึกตัก
พูดแล้วยิ้มแบบนั้นมันโคตรโกงเลย
“ผมไปไหนจากคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะอะไรรู้ไหม”
“เพราะอะไรครับ”
“เพราะว่ารัก....” ผมยกมือเขาขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “กระต่ายกากตัวนี้รักคุณพระจันทร์มากเลยนะครับ รักมากๆ ”
“เราไปเป็นพระจันทร์ตอนไหนกัน”
ผมหลุดยิ้มออกมาที่เขาเอ่ยแบบนั้น จริงสิ ช่อม่วงไม่รู้เลยว่าผมเปรียบเขาเป็นพระจันทร์ พระจันทร์ที่อยู่ไกล ไกลมากๆ จากตรงที่กระต่ายกากอย่างผมอยู่ เมื่อก่อนผมทำได้แค่มอง มองอย่างเจียมตัว ในหัวคิดแค่ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เคยมีกระต่ายตัวไหนที่หลงรักพระจันทร์แล้วจะได้ครอบครองหรอก แต่มันคงเป็นโชคดีของผมที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระจันทร์ และคว้าพระจันทร์มากอดเอาไว้ได้
ผมจะไม่มีวันปล่อยพระจันทร์ไป
ไม่มีวัน
“ช่อเคยฟังเรื่องของกระต่ายที่หลงรักพระจันทร์ไหมล่ะ มันมีกระต่ายตัวนึงที่หลงรักพระจันทร์ มันทำได้แต่เฝ้ามอง และหวังว่าสักวันนึงพระจันทร์จะหันมารักมันบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เจ้ากระต่ายตัวนั้นก็ไม่สมหวัง”
“....ดั้นเมฆ”
“เมฆเปรียบช่อเป็นพระจันทร์ และตัวเมฆก็เป็นกระต่าย ตอนนั้นเมฆไม่รู้ว่าตอนจบเรื่องของเราจะเป็นยังไง แต่....” ผมเลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มใสเบาๆ “เมฆมีความสุขเสมอที่ได้อยู่ใกล้กับพระจันทร์ที่เมฆหลงรัก”
“ความจริงอาจจะไม่ใช่แค่กระต่ายที่หลงรักพระจันทร์ก็ได้นะ พระจันทร์อย่างเรา....หลงรักกระต่ายตัวนึงอยู่ตั้งนาน แต่กว่าเขาจะรู้ตัวก็ทำให้พระจันทร์เหนื่อยไม่ใช่น้อย”
“เด๋อมากเลยเนอะกระต่ายตัวนั้นน่ะ”
“คงงั้นแหละ” มือเรียวตัดแบ่งขนมบุหลันดั้นเมฆชิ้นสุดท้ายออกเป็นสองซีก “เห็นแบบนี้แล้วก็เหมือนวันนั้นจริงๆ ” ช่อม่วงจิ้มขนมมาจ่อที่ปากผม
ผมจิ้มขนมซีกสุดท้ายไปจ่อที่ปากเขาบ้าง “....คุณพระจันทร์ช่วยอยู่กับกระต่ายกากไปนานๆ นะครับ”
“คุณพระจันทร์จะอยู่กับกระต่ายกาก.....ตลอดไปเลยครับ”
คำสัญญากับขนมบุหลันดั้นเมฆชิ้นสุดท้ายที่ผลัดกันป้อนนี่มัน....ดีจริงๆ
ร้าน MASCOT สำหรับผมแล้วมันเป็นสถานที่ที่มีความหมายมากจริงๆ ร้านขนมไทยที่พี่ชายผมทำให้เกิดขึ้น มันเป็นความฝันของเขา ผมได้มาทำงานที่นี่และได้ใกล้ชิดกับคนที่ผมชอบ ภายใต้ชุดมาสคอตไวท์บันนี่ทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น กล้าที่จะพูดคุย กล้าที่จะสานความสัมพันธ์และทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นจนเรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้
MASCOT ไม่ใช่แค่ร้านขนม....แต่มันคือความทรงจำ
และไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมและเขา มีกันมาจนถึงตอนนี้ได้ ผมอยากขอบคุณจากใจเลย มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะสำหรับการที่เราชอบใครสักคนและเขาก็รู้สึกแบบนั้นกับเราเหมือนกัน ผมรู้ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีเยอะแยะทั้งดีและไม่ดี แต่ผมมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมากๆ ผมจะไม่เปลี่ยนใจไปจากคนคนนี้ และผมก็หวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจไปจากผมเหมือนกัน ขอให้เรามีกันและกันไปเรื่อยๆ
มีความสุขด้วยกันแบบนี้....ตลอดไป
‘ขอบคุณนะ....MASCOT’
---------- END ----------
สวัสดีค่ะชาลมาส่งมาสคอตแล้วนะคะ
จบแล้วนะคะสำหรับความรักของกระต่ายกากกับพระจันทร์ของเขา ความรักมัธยมฯ ที่ใครหลายๆ คนอาจะเคยเจอกับตัวเอง
ใครที่อ่านแล้วชอบ อ่านแล้วรัก อยากเก็บเล่ม ยังเปิดพรีอยู่น้า ติดตามได้ที่ทวิต Chaleeisis หรือเพจ Ficion Yaoi Th ได้เลย
ชาลหวังว่านิยายเรื่องนี้จะให้อะไรกับบี๋ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ขอบคุณจริงๆ นะคะ