พิมพ์หน้านี้ - บ้านพักอลเวง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: stayingpower ที่ 22-10-2006 20:36:44

หัวข้อ: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 22-10-2006 20:36:44
**********************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขอนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------

(http://i.creativecommons.org/l/by-nc-nd/3.0/th/88x31.png) (http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/3.0/th/)
บ้านพักอลเวง(เรื่องเล่า) โดย stayingpower
อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง

----------------------------------------------------------

Story-Part1
บ้านพักอลเวง

เรื่องเป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากประสบการณ์จริงบางส่วน
และเนื้อเรื่องส่วนใหญ่มีการผูกขึ้นมาและเขียนเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้กระทบ
ต่อบุคคลจริงๆ


โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน






เช้านี้เป็นเช้าที่ค่อนข้างขมุกขมัวในชีวิตเด็กนักเรียนม.4 ตาดำๆคนนึงที่มีอัน
ต้องหันเหเปลี่ยนทิศทาง

"ปริ้นไม่ไป … ปริ้นจะอยู่ที่นี่ !"! ผมตะโกนเถียงแม่ทันทีที่รู้แน่ๆว่าต้องย้าย
โรงเรียนแบบกลางอากาศ

"จะไม่ไป ก็ได้ แต่ปริ้นต้องหาที่อยู่ใหม่เองนะ !! พ่อเค้าจะขายบ้าน" แม่ผม
ตอบแบบเอือมระอาเต็มทีพลางแพ็คของกล่อง

"ผมจะไปอยู่กะไอ้อ้นมันก็ได้" (อ้นเป็นเพื่อนสนิทผมครับ มันอยู่หอแถวโรงเรียน)
ผมตอบ

"แล้วค่ากิน ค่าอยู่ ก็ต้องหาเองด้วยนะ" แม่หันไปหยิบแจกันใบโปรดบรรจงใส่ลง
อีกกล่อง

"แม่ … แกล้งปริ้นเหรอ" ผมชักเริ่มเดือด ผมไม่อยากย้ายโรงเรียนโว้ย โรงเรียน
ที่ผมอยู่มาเกือบ 5 ปี ผมไม่อยากไปเริ่มใหม่ที่ไหนนี่

แม่หันมาด้วยสีหน้าถมึงทึงทันที

"ไม่ได้ว่าแกล้งปริ้น แต่แม่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ แม่ให้ปริ้นตัดสินใจเอาเอง
ว่าจะไปอยู่กับยาย หรือ จะขนของย้ายไปอยู่กับเจ้าอ้น …
แล้วแกก็ไม่มีสิทธิมาตะคอกใส่ ชั้น แบบนี้ … ชั้นเป็นแม่แกนะ !!"

"แม่อ่ะ ….". ผมโอดครวญ เงินเดือน partime ของเด็ก ม. ปลายที่ไหนจะพอกับ
ค่ากินค่าอยู่ในเมืองกรุงแบบนี้ล่ะวะครับ

* * * * * * * * * * * *

"อ้ายยยยอ้น มึงช่วยกูคิดหน่อยดิ กูไม่อยากย้ายไปบ้านนอกอ่ะ" ผมรีบโทร
ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนยามยาก

"แล้วมันไกลจากกรุงเทพมากเหรอวะ กร๊อบ" ไอ้อ้นถามผม แว่วได้ยินเสียงขนม

"ก็ไม่ไกลมาก 2 ชม ถึง … ว่าแต่ สัดดด มึงตั้งใจฟังกูพูดป่าววะ"

"เออ ฟังอยู่ แต่แม่มึงก็จัดการทีเรียนใหม่มึงเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ มึงก็บอกกูอยู่ - -"


กร๊อบบ

"แล้วมึงจะเอาไงต่อ ?"

"ยังไม่รู้วะ เออๆ มึงแดกต่อไปล่ะกัน กูไม่กวนมึงล่ะ" ผมชักเริ่มโกรธและ
มันไม่เข้าใจความรู้สึกของผมบ้างเลย


* * * * * * * * * * * *

ไปๆมาๆ ผมก็ต้องยอมจำนนกับทุกๆเรื่อง ผมจำเป็นต้องพรากจากสถานที่
ผูกพันมาถึงเกือบครึ่งทศวรรศ มาปักหลักและเริ่มต้นอยู่ ณ โรงเรียนต่างจังหวัด
แห่งใหม่ กับผู้เป็นยาย เนื่องมาจาก พ่อของผมจำเป็นต้องย้ายไปรายการอยู่
จังหวัดทางภาคเหนือ แม่ก็ต้องตามไปด้วย

แต่ … ทำไมเค้าไม่พาผมไปด้วยก็ไม่รู้ เค้าคงมีเหตุผล และนี่ก็เป็นสาเหตุที่
ทำให้ผมต้องมาเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่น ณ ที่แห่งนี้

ผมเป็นคนที่ติดเพื่อนมากครับ ใครๆก็รู้ (แต่คุณอาจจะพึ่งรู้ตอนนี้ แฮะๆ)
เพื่อนเฮไปไหน ผมก็เฮตาม เพื่อนมีอะไร
ใช้ ผมก็พยายามทำให้ อันเนื่องจากผมพอจะมีหัวสมองที่ดีกว่าคนอื่น
นิดหน่อย

"เฮ้ย … ไว้วันเสาร์ อาทิตย์ มึงก็นั่งรถมาหาพวกกูก็ได"้ ไอ้อ้นบอกผมก่อนจะ
เดินทาง

"แค่ 2 ชั่วโมงเองนิมึง …."

"เออ "

ผมตอบได้แค่นั้นครับ เพราะเอาเข้าจริงๆ ใจมันก็แป้วๆเหมือนกัน ไปอยู่ที่โน่น
มันต้องไม่มีอะไรให้ทำแน่เลย ไม่มี เจเจ ให้ซื้อเสื้อแนวๆ ไม่มีพันทิพย์ให้ซื้อ
เอ็มพี 3 ไม่มีสะพานพุทธให้ซื้อของมือสอง =*=

เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็เดินทางมาถึงบ้านหลังใหม่โดยสวัสดิภาพ
จริงๆแล้วบ้านหลังนี้ ผมก็เคยมาค้างบ้างแล้ว เพราะทุกเดือนเมษา หรือปีใหม่
พ่อแม่ก็จะพามาเยี่ยมยายเป็นประจำ แต่นั่นมันก็แค่ชั่วคราว แต่นี่ ผมต้องมา
อยู่ประจำแล้ว

ไม่รู้ว่าจะเป็นเหตุผลนี้เหรอป่าว จากที่รู้สึกคุ้นเคยบ้านหลังนี้ กลับรู้สึกแปลกออกไป
สภาพบ้านผม ขออธิบายก่อนว่า บริเวณของบ้าน จะมีบ้านใหญ่ กะบ้านเล็ก
ซึ่งมองเห็นกันได้ บ้านหลังใหญ่ ก็จะมียาย แล้วก็พี่เลี้ยงสองคน คนงานอีก 4 – 5 คน
อาศัยอยู่ ปกติแล้วผมกับที่บ้านจะพักที่บ้านใหญ่ แต่พอผมต้องมาอยู่ที่นี่ คุณยาย
ท่านก็เมตตาให้ผมไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กคนเดียว บ้านเล็กนี้ คุณตา
ผมจะชอบมานั่งมานอนประจำ ท่านเสียไปได้ก่อนผมมาประมาณ 2 ปีแล้ว

"ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอยาย ขี้เกียจไปจัดบ้านใหม่อ่ะ" ผมตอแหลสุดๆ เพื่อจะได้ไม่
ต้องไปอยู่คนเดียว

"ยายให้คนงานทำความสะอาดแล้วเรียบร้อยแล้ว ปริ้นไม่ต้องจัดอะไรใหม่หรอก
แค่เอาเสื้อผ้ายัดใส่ก็แค่นั้นเอง"
ยายผมบอกด้วยความเอ็นดู … แล้วก็ไม่ต้องกลัวตาเค้านะลูก เค้าไม่มาทำอะไรเอ็ง
หรอก

อ้าว สมกะเป็นแม่ของแม่กรูจริงๆ รู้ทันซ้า



* * * * * * * * * * * *


เหอ ผมครางในลำคอเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในบ้าน

มันก็ไม่ได้มีอะไรแย่อย่างที่คิดหรอกครับ ทุกอย่างดูลงตัว เรียกว่า น่าจะอยู่
สบายๆด้วยซ้ำ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัวไม่ต้องเพราะต้องไปกินกับยาย
แล้วที่ไฮโซที่สุด ระหว่างที่ผมเดินๆสำรวจ ก็คือมีห้องใต้ดินครับ
(โอ้ว ออกแนวไซไฟมากๆ) อยู่ในห้องที่ผมนอนด้วย !?

"ลุงสนๆ มีห้องใต้ดินด้วย !?" ผมถามลุงคนงานที่ขนของมาให้ ตรงพื้นที่ผมจับอยู่มันมีเหมือนตะขอจับ (คงพอนึกออกนะคับ)

"อืมม มีมานานแล้วครับ มีตั้งแต่คุณทวดคุณหน่ะ เป็นหลุมหลบภัยสมัยสงคราม
โลกครั้งที่ 2 โน่น" ลุงสนพูดไปก็จัดของไปด้วย ต่างจากผม ซึ่งยืนฟังอยู่เฉยๆ
(กินแรง)

"คุณตาคุณเห็นว่าไม่ได้ใช้ทำอะไร ก็เลยทำมาเป็นห้องเก่าของหน่ะ แต่อย่าเข้า
ไปเลยครับ ฝุ่นเยอะ … ตัวอะไรต่ออะไรมีมั่งก็ไม่รู้ ลุงก็ไม่ได้ไปทำความสะอาด
ข้างในเป็นปีแล้ว"

ลุงแกก็บ่นไปตามประสาคนแก่ แต่วัยเลือดร้อนอย่างผม กลับกระหายใคร่รู้ครับ
เหอๆ

พอจัดของเสร็จ ลุงแกก็แนะนำอะไรรอบๆบ้านอีกนิดหน่อย พร้อมกับบอกเวลา
ที่จะต้องไปกินข้าวกี่โมง อะไรยังไง โห กฎระเบียบเยอะชิบหาย

พอลุงสนเดินลับตาไป ผมก็เข้ามาในบ้าน คงไม่ต้องสงสัยหรอกว่า อยากจะ
ทำอะไรเป็นอันดับแรก

แกร็ก แกร็ก ….. แอ๊ดดดดดดดด

แปลกแฮะ ไม่ได้เปิดเข้ามาเป็นปี แต่ทำไมมันเปิดง่ายจังวะ ผมคิดในใจ
แล้วค่อยๆยกให้ประตูเปิดมากขึ้น เพื่อจะได้สอดตัวลงไปได้

ข้างในมืดมากครับ ผมมองไม่เห็นบันไดที่ทอดยาวลงไป จึงได้แต่เอาเท้า
ค่อยๆแตะทีละขั้น ทีละขั้น ทีละ - -

"เชี่ยยยยยยย" ผมอุทานได้ไม่ถึงครึ่งคำ ตัวผมก็เสียหลัก ล้มกลิ้งลงไป

"อั๊กกก" ตัวผมกระแทกลงบนพื้นไม่เป็นท่า

"โอยยย" ผมค่อยๆยันตัวขึ้น สายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้เล็กน้อย
จนพอมองเห็นอะไรลางๆ มือเริ่มคลำสะเปะสะปะ จนรู้สึกว่าไปปัดของ
บางอย่างเข้า

เพล้งงงงงงงงงงงง … เสียงดังกังวานมากจนผมตกใจ

คุณตาจ๋า อย่ามาหลอกหลานเลยนะ พ้มมไม่ได้ตั้งใจง่ะ ว่าแล้วผมก็รีบเผ่นขึ้นบน
ห้องด้วยความทุลักทุเล

แอ๊ดดด ปึ้งง ผมค่อยๆงับบานประตู แล้วก็มาสำรวจตัวเอง

"ก็อีกประมาณอาทิตย์นึงคับ เปิด 15 นี้อ่ะ"

"เดี๋ยวอีก วันสองวัน ยายจะให้คนพาไปดูโรงเรียนนะ"

"ทำไมต้องไปดูด้วยล่ะยาย "

"แล้วปริ้นไปถูกเหรอป่าวล่ะ ?"

"ไม่ถูกครับ =_='' ’’ ผมนึกว่าจะมีคนไปส่งซะอีก

"ที่นี่ไม่มีคนขับรถ เวลาหลานจะไปโรงเรียน ก็ต้องนั่งรถไปเรียนเอง"
ยายผมเน้นเสียงคำว่า ไม่มีคำขับรถ และ คำว่า ไปเรียนเอง

ผมมีคำว่า - เอ๋ - ในใจ

"โรงเรียนไม่ได้อยู่แถวบ้านเหรอครับ" ถามด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

ยายมองผมแว่บนึง แล้วก็บ่นอะไรออกมาซักอย่างที่จับใจความไม่ได้

"โรงเรียนอยู่ในเมืองหลาน "

แม่จ้าววววว แล้วพ่อแม่ผมให้มาอยู่กับยายทำมายยยย อันนี้ผมคิดนะ
หน้าเริ่มงอหน่อยๆ

"แล้วผมต้องไปยังไงล่ะ"

"ขึ้นรถ ป 2 หน้าบ้านนี่ล่ะ ประมาณชั่วโมงนึง" ยายบอกผม

"ผมต้องไปเองเหรอยาย" ผมถามอีกรอบ เสียงขุ่น

"หลานเอ้ย ที่นี่ไม่สะดวกสบายเหมือนในกรุงเทพหรอก" ยายผมบอก
แล้วก็เดินกลับเข้าไปที่ห้อง งั้นก็ถึงคราวผมไปสงบสติอารมณ์บ้างแล้ว
เลยตั้งท่าจะกลับไปบ้านเล็ก ลุงสนก็เดินเข้ามาบอกผมว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้
จะให้แกมารับผมไปดูโรงเรียนใหม่

"ครับลุง แล้ว - - - " ผมว่าจะถามอะไรบางอย่าง ลุงแกก็ชิ่งเดินหลบไปก่อน
เออ คนบ้านนี้แมร่งเป็นไรวะ เย็นชากะกูจริง


* * * * * * * * * * * *

"เออ กูเซงวะ ไอ้อ้น กูเบื่อๆๆๆ" ผมได้ทีบ่นให้ไอ้เพื่อนรักฟังทางโทรศัพท์
ถ้าไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ ผมว่าผมตายแน่

"เฮ้ย มึง ยังไม่เปิดเทอมก็เงี้ยล่ะ เด๋วพอเปิดเทอม มีเพื่อนใหม่ มึงก็ซ่าเหมือนเดิม "

"กูเคยซ่าเหมือนมึงตอนไหนวะ"

"เออๆๆ มึงอ่ะมันเด็กเรียน ในกลุ่มเด็กเลว"

"สาดดด กูยิ่งกลุ้มๆอยู่ ยังมากวนตีนกูอีก"

"เอาน่ามึง พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว .. มึงคิดไรมาก เด๋วมึงก็ชิน" มันคงเป็นคำปลอบใจ
ที่ดีที่สุดแล้วล่ะ สำหรับผมในตอนนี้

เพื่อนๆคงจะเป็น ว่าเวลาไปนอนแปลกที่ มักจะนอนไม่ค่อยหลับ
ยิ่งบรรยากาศบางอย่างรอบๆตัว ยิ่งดึกเท่าไร ก็ยิ่ง
น่าขนลุกมากขึ้นเท่านั้น บริเวณบ้านต้นไม้จะเยอะมากคับ เยอะจนบางทีก็รู้สึกว่า
เหมือนมีตัวอะไรโยกไปโยกมาอยู่ เมื่อมองผ่านหน้าต่าง

ตี้ดดด ตี้ดดด

"ฮาโหลลล ครายยยย ว้า" เสียงไอ้อ้นดูเหมือนมันหลับแล้ว

"เฮ้ย อ้น คุยเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ"

"คูยย เหี้ยอาไร ป่านนี้ "

"เออ คุยกะกูก่อนให้กูหลับก่อน นะ นะ" ผมบอก

"สัดดดดด" แล้วมันก็ตัดสายไปครับ ไอ้เพื่อนเชี่ยเอ้ยยย ไม่ช่วยกูเล้ย
แต่ผมก็ทนความกลัวไปได้ซักพัก แล้วก็ผล่อยหลับไป

"อือออ อืออออ"

ในพะวัง หรือจะเรียกว่าอะไรซักอย่าง ผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครจ้องมองอยู่
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมากมาย

จนรู้สึกว่า ไอ้สิ่งๆนั้นมันเหมือนเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อยๆ

"อือออออ …". พยายามจะปัดเป่าความงัวเงียออกจากตัวผม
แต่สงสัยเพราะการเดินทางตลอดวัน ทำให้รู้สึกอ่อนเปลี้ยไปหมด

"ครายยยยยวะ …"

ผมพูดได้แค่นั้น แล้วก็รู้สึกเจ็บจี้ดที่ใบหน้า

"โอ๊ะ !?!?"

ในห้วงความฝัน ผมคิดไปว่า สงสัยวิญญาณตาผม คงจะมาเล่นงานที่ผมทำ
ของที่ห้องใต้ดินแตกแหง่มๆ
แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเหอะ กรูง่วงมาก..

ตื่นมาเช้าวันนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องตกใจคับ

หน้าผมมีรอยแดงเป็นปื้นเลย รอยมือคนนี่หว่า ? ใครทำกรูว้า……แสดดดด


*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-10-2006 20:38:45
“หน้าไปโดนอะไรมาห่ะ” ยายดันสังเกตเห็นรอยแดงในระหว่างการกินมื้อเช้า

“ไม่รู้เหมือนกันคับ สงสัยตอนนอนหน้ามันไปกดกับหมอน มั้ง .. ” ผมตอบ แต่มันเจ็บด้วยนี่ซิ อธิบายด้วยเหตุผลไม่ถูก

“เดี๋ยวนายสนเค้าจะให้เจ้าโอ้ตพาปริ้นไปดูโรงเรียนนะ” ยายผมบอก โอ้ตนี่คงเป็นลูกลุงสนล่ะมั้ง ว่าแต่ทำไมพ่อชื่อสน ลูกชื่อโอ้ตวะ ช่างมันๆ ซักพักผมก็กลับมาที่บ้านเล็ก สายตาก็เหลือบไปมองประตูลงไปในห้องใต้ดิน

ว้า ผมกะว่าวันนี้ตั้งใจจะลงไปสำรวจดูซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้วะ ว่าแล้วผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีแต่ชุด นร เก่านี่หว่า แล้ว รร ใหม่ก็ใช้กางเกงสีน้ำตาลด้วย ฮ่วยๆๆ ไม่ชอบเล้ยยย (ความคิดตอนนั้นนะ ฮะๆ อย่าพี่งด่าผม)

ผมรอไปประมาณครึ่งชั่วโมง กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้อง พี่แกก็ไม่ยอมมาซะที ผมก็เลย …. หลับ เหอๆ

“คุณปริ้น ….”

“ฮ้ะ … คร๊าบบบ” ผมงัวเงียตอบไป

“คุณปริ้น คือผมมารับคุณไปโรงเรียนครับ - - - เออ ผมว่าล้างหน้าก่อนไปดีกว่านะ” ผมลืมตาขึ้นก็เห็นหนุ่มน้อยหน้าเข้มคนนึงยืนยิ้มอยู่ที่หน้าห้อง

“เออ ครับ” รู้สึกอายๆ ที่มีคนมาเห็นสภาพที่ดูอนาถตอนนอน แล้วก็รีบเอามือไปปาดน้ำลายที่ปาก

เวนนน นอนน้ำลายยืดด้วยกู

หลังจากไปจัดตัวเองให้เข้าที่เข้าทางใหม่อีกรอบ คนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่โอ้ต ก็เดินนำผมไปที่รถ

“พี่เป็นลูกลุงสนเหรอ ? ” ผมถามอะไรโง่ๆเพื่อความแน่ใจ เพราะผมนึกว่า ลูกลุงน่าจะดูแก่กว่านี้อ่ะ ดูคนๆนี้น่าจะอายุไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ

“ครับ”

“เออ พี่ไม่ต้องพูดว่า ครับ ก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่า คุณ หรอก มันแปลกๆอ่ะ ”

“ไม่ได้หรอกครับ ก็คุณเป็นหลานเจ้านายของพ่อผมนี่ครับ” ว่าแล้วพี่แกก็ส่งยิ้มแบบมีมารยาทให้ผม แล้วก็ออกรถ พี่โอ้ตจะค่อนข้างจะพูดเหน่อครับ เหน่อแบบเป็นเอกลักษณ์ของคนจังหวัดนี้อ่ะ ฟังแล้วแปลกๆดี

“แล้วตอนนี้พี่เรียนอยู่ป่าวคับ”

“ผมก็เรียนอยู่ที่เดียวกับที่คุณปริ้นจะเรียนนี่ล่ะคับ แต่ผมเรียน ม.6 ”

“อ้าว … จริงดิ งั้นก็ห่างกันแค่ปีเดียวอะดิ งั้นเราเรียกนายว่าโอ้ตเฉยๆล่ะกัน ได้ป่ะ” น่าน ได้ทีผมปีนเกลียวคับ หุหุ

“ก็แล้วแต่คุณครับ แต่ - - -”

“แล้วนายก็ต้องเรียกเราว่า ปริ้น เฉยๆด้วย” ผมรีบพูดขัด

“คิดดูเด๊ะ อยู่โรงเรียนเดียวกัน แล้วนายมาเรียกเราว่า คุณปริ้น ไรงี้ เราอายตายชัก เราไม่ใช่คุณหนูนะเว้ย”

พี่โอ้ตแสดงความรู้สึกลำบากใจออกมานิดหน่อย

“แต่ว่า ถ้าคุณ - - - ”

“ก็ถ้าอยู่ที่บ้าน นายจะเรียกยังไงก็แล้วแต่นาย แต่อยู่ที่โรงเรียน ก็เรียกตามนี้ล่ะกัน” ผมพูดตัดบท

“เครนะ”

“อะไรเครครับ ? ”

“หมายถึง โอเค”

“อ่อ โอเค ”

โอ้ตเอานิ้วเกาแก้มตัวเองเบาๆ แสดงอาการเขิน เออ น่ารักดีแฮะ ……………….. ว่าแต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าการกระทำม่ะกี้ของโอ้ตมันดูน่ารักว้า


* * * * * * * * * * * *

ประมาณครึ่งชั่วโมงเอง โอ้ตก็พาผมขับรถมาจอดอยู่ด้านข้างโรงเรียน เพราะว่า เค้าไม่อนุญาตให้นักเรียนขับรถเข้าไปได้ฮะ แล้วโอ้ตก็พาเดินไปดูรอบๆโรงเรียน ว่าตึกไหน เป็นตึกไหนแบบคราวๆ ซึ่งปกติแล้ว ถ้าผมเข้ามาช่วง ม 1 หรือ ม 4 เนี่ย เค้าก็จะมีปฐมนิเทศแล้วพี่ๆ ก็จะพาแนะนำ แต่ผมดันมาเข้ากลางอากาศตอน ม 5 เลยต้องมาพึ่งโอ้ตนี่ล่ะ

“โรงเรียนเก่าปริ้นเป็นโรงเรียนชายล้วนใช่ป่ะ” โอ้ตถามผมหลังจากเดินมาถึงที่ที่เรียกว่า ตึก 5

“อือ มีแต่ผู้ชาย” (ก็ต้องงั้นอยู่แระ)

“ที่นี่ก็เคยเป็นชายล้วน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสห หมดแล้ว ”

โห เสียดายแย่เลย เอ้ย ม่ายช่าย

แต่ที่นี่ยังพิเศษกว่าโรงเรียนอื่นอีกนิดหน่อย .. โอ้ตยิ้ม แล้วก็เดินนำไปด้านหลังอาคาร มันเป็นสวนป่าครับ แล้วก็มีน้ำตกที่สร้างขึ้น แล้วก็ …. ภูเขา

“เฮ้ยยย มีภูเขาติดโรงเรียนด้วยอ่ะ ไฮโซโคดๆ” ผมออกอาการดี๊ด๊า เพราะไม่เคยเห็น

“ช่ายยยย” โอ้ตมันพูดแบบภูมิใจ จะลองปีนขึ้นไปดูมั้ย


“เค้าให้ปีนขึ้นไปได้ด้วยเหรอ ? ”

“เวลาปกติก็ห้ามอยู่แล้ว แต่นี่มันปิดเทอมอยู่น่ะ แต่เวลาเปิดเรียน เด็กมันก็โดดออกทางนี้ประจำล่ะ” อ่าเป็นข้อดีของการมีเขาติดหลังโรงเรียน แล้วโอ้ตก็นำผมไปเจอขุมทรัพย์ของชีวิตนักเรียน (โดดเรียน) มันเป็นพื้นชันๆขึ้นไปบนเขา แต่ดูแล้วมีรอยถากถาง แล้วก็เหมือนถูกใช้มาหลายรุ่นแล้วล่ะ

“รู้ทางกะเค้าด้วยแฮะ”

“55 ก็เคยขึ้นไปเหมือนกันนี่นา - - -” โหย เห็นหน้าแบบนี้ โดดกะเค้าด้วยนี่หว่า

“- - - แต่ว่าขึ้นไปจับไอ้พวกเด็กที่มันโดดนะ พอดีโอ้ตเป็นกรรมการนักเรียน”

แป่ว หน้าแหก

“แล้วงี้ ถ้าเราโดดบ้าง โอ้ตจะจับป่ะ ? ”

โอ้ตทำหน้าเจ้าเล่ห์ ซึ่งไม่ค่อยจะเคยเห็น “จับดิ”

ผมแกล้งทำหน้างอใส่

“ป่ะขึ้นไปดูข้างบน” โอ้ตบอกพลางเดินนำขึ้นไปบนทางชัน

“แน่ใจนะเราขึ้นไปแล้วมันจะไม่ร่วงลงมา” ผมถามเพราะว่าไม่เคยปีนเขามาก่อน

“ถ้าร่วงเดี๋ยวโอ้ตรับเอง ไม่ต้องกลัว” โอ้ตบอก แล้วก็ยื่นมือมาหาผม

หงึบ

อึ้งไปแว่บนึง พร้อมกับความผะผ่าวที่ใบหน้า แต่ก็ยื่นมือไปจับมือโอ้ตไว้ พยุงตัว

“ขะ ขอบใจ” ผมยิ้มให้ แล้วก็โอ้ตก็ยิ้มตอบกลับมา

อะไรบางอย่างที่ซับซ้อนมากกว่าคำว่ามิตรภาพกำลังจะเริ่มขึ้น(เหรอป่าว ?)


* * * * * * * * * * * *

“อีกนิดเดียวปริ้น” โอ้ตบอก พร้อมกับดึงมือผม ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่า อยากจะนอนมันอยู่แถวๆนั้น แทนที่จะปีนขึ้นไปด้านบนแล้ว (ถ้าเป็นตอนนี้ แค่ 10 นาทีคงถึง)

“คุณพี่ค๊าบ ผมขอพักตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวอีกนิดก็ถึงแล้ว” พลางฉุดมือผมขึ้นมาด้วยความยากเย็น

ซักพัก ด้วยความพยายามของผม (และโอ้ต) ก็ทะลุออกมาเป็นถนนที่ทำไว้ให้รถยนต์ขึ้นไปจอดบนเขาได้

“ทางเรียบแล้ว เดี๋ยวเดินไปอีกนิดก็จะถึงแล้ว” โอ้ตว่า

“เหนื่อย” ผมบอก

“ว่าแล้ว .. เด็กกรุงเทพก็เงี้ย สู้เด็กตจว อย่างโอ้ตก็ไม่ได้ ”

แล้วโอ้ตก็เดินขึ้นไปต่อ โดยไม่คอยผมครับ ใจร้ายมากกก

ผมพยายายามตะเกือกตะกายเดินต่อ จนออกมาเห็นเป็นลักษณะของพระราชวังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาครับ โอ้ตพาผมซื้อน้ำที่มีขายอยู่ข้างบน แล้วก็พาขึ้นไปนั่งพักอยู่บนที่ๆเค้าใช้เป็นหอดูดาวสมัยก่อน อยู่บนนี้ ลมพัดเย็นมากจนหายเหนื่อยไปเลย โอ้ตชี้ให้ดูนั่นดูนี่อีกหลายอย่าง ดูท่าทางมีความสุขมาก ผมก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่ไม่แบบอธิบายไม่ถูก แฮะๆ

เราพี่น้องเดินวนไปวนมาจนกระทั้งเกือบเย็น เพราะว่าอะไรๆก็ดูประทับใจผมไปซะทั้งหมดบนนี้ แล้วก็ดูเหมือนว่า ขาลงก็ง่ายดายกว่าขาขึ้นมาก ผมแค่ระวังไม่ให้ตัวดิ่งลงไปเร็วจนเกินไป จนทำให้หน้าทิ่มดินแล้วก็กลิ้งๆลงมา แค่นั้นเอง

“หนุกมั้ย” โอ้ตถาม ผมรู้สึกว่าโอ้ตเริ่มจะคุ้นเคยกับการไม่พูด คุณ กับ ครับ กับผมแล้ว

“มากๆอ่ะ ”

“แต่ตอนเรียน ห้ามโดดขึ้นไปเลยนะ” โอ้ตรีบปราม เพราะไม่งั้น - - -

“คุณพี่โอ้ตก็จะจับผมไปขึ้นห้องปกครองใช่ป่าว”

โอ้ตหันกลับมายิ้มกริ่ม ใบหน้าแสดงความพอใจ

“อยากรู้ น้องปริ้นก็ลองดิครับ ”
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-10-2006 20:39:26
หลังจากวันที่โอ้ตพาผมไปโรงเรียนวันนั้น เกือบทุกวัน โอ้ตมันก็จะมารับผมไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นทะเลครับ หัวหินเอย สวนสนเอย สนุกสนานมาก ตอนเช้าตื่นมา ก็เตรียมตัวมีหนุ่มมารับออกไปเที่ยว กลับมาตอนเย็น ก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรแล้ว .. เป็นอย่างนี้มาจนพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดเทอมแล้ว ผมก็มีอันนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเลย

“โอ้ต เรายังไม่ได้ซื้อเสื้อเลยวะ”

“ทำไมพึ่งมาบอกตอนนี้เนี่ย” โอ้ตมันทำเสียงประณาม

“เอาน่า เป็นครายกันจะมาเทศนาเรา” ผมหลุดปากออกไปโดยไม่ทันได้คิด โอ้ตดูซึมไปเลย

“เออ เราขอโทษ คือ เราพูดเล่น” ผมเดินไปกอดคอโอ้ต ทำทีเป็นล้อเล่น แต่โอ้ตมันกลับจับมือผมออก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แล้วมันก็เดินไปที่รถ

อ้าวเว้ยเห้ย งอนซะงั้น กรูขอโทษแล้วงายย

“ผมก็แค่ลูกคนใช้ในบ้าน คุณจะพูดยังไง ผมจะไปโกรธคุณได้ไง - - ขึ้นรถซิครับ จะพาไปซื้อ”

โอ้ตมันพูดยืดยาว แถมขัดจังหวะตอนที่ผมทำท่าจะอธิบาย ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มากๆครับ ที่พูดอะไรแล้วไม่ทันคิด เป็นโรคปากไวแต่กำเนิด ทำไงได้อ่ะ - -‘

“เราขอโทษนะ หายโกรธยัง” ผมหันไปถาม เพราะแน่ใจว่ามันยังโกรธอยู่แน่นอน แมร่ง เล่นไม่พูดไม่คุยตลอดระยะเวลาที่มากับผมเลย

“ไม่ได้โกรธ” โอ้ตตอบแบบไม่หันมา “ - - - ครับ”

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องพูดครับ กับเรา แล้วดูทำหน้าดิ๊ อย่างกับตูด แล้วบอกว่าไม่ได้โกรธ” อ่า ผมชักเหลืออดครับ เพราะว่ารู้สึกชักจาเล่นตัวกะกรูแล้วนะมรึง


* * * * * * * * * * * *

“โอ้ตตต ”

ผมหันไปหาเสียงเรียก ก็พบว่า มีกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามาทักทายโอ้ต คงเป็นเพื่อนเค้าล่ะ (แหงล่ะซิมึง) เป็น หญิง 1 ชาย 2

“ว่าไง” โอ้ตทักแบบไม่ค่อยสบอารมณ์

“มาทำไรวะ”

“มาซักผ้ามั้งมึง ”

โหกวนตีน

“เออ กูนึกว่ามึงมาชักว่าว ไอ้สาด ”

กวนตีนพอกัน

ผมยืนฟังเพื่อนๆเค้าทักทายกันซักพัก ก็มีคนหันมาสนใจผมซะที

“ใครอะโอ้ต” เสียงพี่ผู้หญิงถาม

“อ่อ เป็น - - -” โอ้ตเหมือนจะตอบไม่ออก

“ปริ้นคับ เป็นลูกพี่ลูกน้องพี่โอ้ตอ่ะครับ” ผมยิ้มตอบไป วิญญาณสะตอเข้าสิง “จะมาเรียนโรงเรียนพี่โอ้ตครับ”

“จริงดิโอ้ต พี่ผู้หญิงหันไปถามโอ้ต เอ้า ก็กรูพึ่งบอกไปหยกๆเนี่ย ม่ะเชื่อกรูเหรอ

“เออ”

“ฝน เห็นน้องเค้าน่ารักหน่อยนี่ ต่อมแรดออกเลยนะมึง” เสียงพี่ผู้ชายคนนึงแซว ผมก็หันไปมอง แล้วจากนั้นผมก็รู้จักทั้ง 3 คนครับ พี่ท็อป พี่ฝน พี่กล้า พี่ท็อปจะออกแนวเถื่อนๆ ตัวใหญ่โคตร ผมว่าโอ้ตตัวใหญ่แล้ว พี่ท็อปยังใหญ่กว่า ประมาณใหญ่และตัน พี่ท็อป ตัวพอๆกะผมครับ ขาวกว่า เป็นอาตี๋เลย แต่ก็พูดเหน่อเหมือนกะโอ้ต ดูดีเวลาทำหน้าเฉยๆ แต่เวลาพูดแล้วจาปากหมา ส่วนโอ้ตของผม(ตั้งแต่ม่ะไร)จะผิวสีแทนๆ ไม่ดำ ไม่ขาว ตัวสูง แต่ไม่ล่ำเท่าพี่ท็อป ที่สำคัญ น่ารัก ^^

คุยกันได้ซักพักนึง ก็แยกย้ายครับ เพราะเย็นพอควรแล้ว พวกเพื่อนโอ้ตอยู่ในเมือง แต่เราสองคน อยู่นอกเมืองคับ ต้องเสียเวลาเดินทางกลับอีก

กลับมาถึง ยายก็เรียกผมไปให้โอวาท พร้อมกะเทศอีกนึงดอก เพราะรู้ว่าผมพึ่งมาจัดหาของเอาวันสุดท้าย พร้อมกับบอกให้รีบนอน เพราะต้องรีบตื่นด้วย

“ทำไมนายต้องบอกยายด้วยอ่ะ แค่ไปซื้อเสื้อก่อนเปิดเรียนแค่นี้อีก” ผมพูดฉุนๆกะโอ้ต เพราะนึกว่ามันไปบอกยาย

“ผมไม่ได้บอกซะหน่อย” โอ้ตเหมือนจะอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง “ยายคุณถามพ่อผมต่างหากว่าจะผมพาคุณไปไหนวันนี้ ”

ว่าพลางกระแทกประตูใส่หน้าจ๋อยๆของผม หลังจากได้ไปกล่าวว่าโอ้ตไว้อย่างงั้น จะพูดขอโทษมันก็ไม่ทันซะแล้ว


* * * * * * * * * * * *


“คุณปริ้น ปริ้น ตื่นได้แล้ว”

เสียงโอ้ตดังเข้ามาในจิตสำนึก พร้อมกับแรงเขย่าตัว

“ขออีก 5 นาที” ผมว่าพลางซุกตัวเข้ากับผ้าห่ม

“ถ้างั้นผมจะบอกยายคุณให้มาปลุกเอง” มันพูดพร้อมทำท่าเดินออกจากห้องไปจริงๆ ท่าทางยังไม่หายโกรธจากมะวานแฮะ

“เง้ยย ตื่นแล้ว” ผมว่าพลาง ลุกขึ้นมาเกาหัว กี่โมง

“จะหกโมงเช้าแล้ว”

“โห จะรีบตื่นทำมายยย ขับรถไปแป็บเดียวก็ถึง”

“ขับไปไม่ได้ ต้องนั่งรถไปครับ”

“โห .. ” ผมโอดครวญ ที่ยายพูดไว้ตั้งแต่ตอนมาก็จริงอะดิ นึกว่าไม่ต้องนั่งรถเมล์กรุงเทพแล้วนะเนี่ย ต้องมานั่งรถเมล์ต่างจังหวัดอีก กำของกรู

ผมก็รีบพุ่งเข้าไปอาบน้ำทันที เพราะว่า ต้องนั่งรถไปใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน ยายทำไมชอบทำไรให้ยุ่งยากด้วยว้า ผมวิ่งผ่านน้ำออกมา ก็พบว่ามีเสื้อนักเรียนใหม่เอี่ยม แขวนไว้บนตู้เสื้อผ้า แต่โอ้ตไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว

อ่ะ ผมเข้าไปสังเกตเห็นตรงหน้าอก มีชื่อโรงเรียน แล้วก็ชื่อผมปักไว้แบบหยาบๆ

“โอ้ต” ผมคราง มันปักชื่อให้เราเหรอเนี่ย งั้นม่ะคืนก็ไม่ได้นอนเลยอะดิ ความรู้สึกผิดม่ะวานยังไม่หาย แต่เช้านี้มันยิ่งมากขึ้นมาอีกครับ ระหว่างรอรถป 2 ผมกะโอ้ตก็ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ก็แอบสังเกตคับ ว่าโอ้ตมันหาวบ่อยมาก ผมจะพูด ก็ปากหนัก ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี จนได้ขึ้นรถ รถก็แบบว่า โคตรเต็มครับ ทั้งคนทำงาน ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งเด็กเทคนิค เด็กอาชีวะ เด็กราชภัฏ โอ้ว จนผ่านไปเกือบ 30 นาที ก็มีที่นั่งว่างอยู่

“ปริ้นไปนั่งซิ”

ผมส่ายหน้า แล้วก็รีบดันตัวโอ้ตให้ไปนั่งแทน มันก็ทำหน้างงๆ

“นายนั่งไปเถอะ ม่ะคืนไม่ได้นอนทั้งไม่ใช่เหรอ ? ” ผมพูดแบบจับผิดครับ ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน แต่โอ้ตก็แบบหลบตา ทำหน้าแดงๆ

“อือ งั้นพอเห็น เด็กลงกันแล้วก็ปลุกด้วยนะ” ว่าพลางชี้ไปที่ นร ที่เห็นว่าอยู่โรงเรียนเดียวกัน

“ได้” ผมยิ้มตอบ คงเป็นสิ่งผมตอบแทนได้ดีที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะ ไม่ถึง 5 นาทีคับ มันหลับไปจริงๆเลยอ่ะ หัวก็โงกเงกไปเกือบจะชนคนที่นั่งข้างๆ ดูเค้าทำสีหน้ารำคาญชอบกล ผมก็เลยค่อยๆจับหัวโอ้ตไว้ มาซบที่พุงของตัวเอง ลมหายใจของโอ้ตสัมผัสกับนิ้วผมเบาๆ

อ๊างงงง ทำไมผมรู้สึกมีความสุขแบบนี้วะ ไม่เข้าใจเลย แต่ที่ทำให้ผมตกใจ ก็คือ ผมเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆที่มือของโอ้ตคับ เลยจับเบาๆ ปรากฏว่า เป็นรอยเข็มทิ่มคับ นาทีนั้น ผมรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นรอบๆดวงตา

ไม่น่าไปพูดดูถูก ไม่น่าจะเอาแต่ใจ ไม่น่าเถียงโอ้ตเลย ทั้งๆที่เค้าทำดีกับผมขนาดนี้

“โอ้ต” ผมกระซิบเหมือนให้ตัวเองได้ยินคนเดียว

“ขอบคุณนะคับ”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเปล่า แต่โอ้ตมันกระตุกตัวนิดนึง ก่อนที่จะนิ่งไปเหมือนเดิม ( ไม่ได้แน่นิ่งนะว้อย)

* * * * * * * * * * * *

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

เสียงสัญญาณดังไกลๆ ว่าผมกะโอ้ตต้องรีบวิ่งเข้าโรงเรียนแล้ว ระยะห่างระหว่างหน้าประตูโรงเรียนกะที่เข้าแถวมันไกลกันพอสมควร ประมาณเกือบ 2 สนามบอล

“แล้วเราต้องไปเข้าแถวตรงไหนอ่ะ” ผมดูว้าวุ่นใจเมื่อเห็นว่า นร แต่ละคนก็มีจุดหมายที่วิ่งไปทั้งนั้น แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน

“เออ …” เฮ้ย อย่าบอกนะว่ามึงก็ไม่รู้

“เดี๋ยวพาไปฝากอาจารย์ไว้ก่อนล่ะกัน ”

อ้าวเวร

ซักพักหลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จ สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศล แล้วก็มีคนมาพูดๆ จนเด็กเหงื่อตกเสร็จ ก็ได้เวลาแยกย้ายไปเรียนคาบ 1 แต่ผมยังอยู่ที่ห้องวิชาการอยู่เลย มีปัญหานิดหน่อย

“ตอนผมสมัครไว้ ผมเลือกสายศิลป์นะคับ ผมบอกกับอาจารย์หลังจากที่รู้ตัวว่าต้องไปเรียนห้องสายวิทย์ ”

“ตอนเธอสมัครน่ะ เค้ามีใบสีชมพู กับสีเขียว เธอเขียนใบไหน” อาจารย์ถามผม

“สี ไหน” ผมก็เริ่มต้นคิด

“เอ้า สีไหนยังจำไม่ได้เลย ครูว่าเธอเขียนใบสีเขียวล่ะซิ แย่จัง” ว่าพลางหันไปปรึกษากับเพื่อนครูคนอื่น ที่ยังดูยุ่งวุ่นวายเหมือนกัน

“เอางี้ เธอไปเรียนห้องนี้ก่อน แล้วถ้าย้ายห้องได้แล้ว จะให้คนไปบอกนะ” ครูคนนั้นรีบตัดบท ซึ่งผมก็ไม่ค่อยพอใจเอามากๆอ่ะ ตอนโรงเรียนเก่า ผมไม่ได้เรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มานี่หว่า แล้วจะให้มาเรียนกะห้องวิทย์ได้ไงวะ แถมวิชาแรกวันนี้ มันคือ เคมี !!

ผมเดินแบบเกร็งๆไปอยู่ที่หน้าห้องเรียน ซึ่งตอนนี้ก็ทำการเรียนการสอนไปได้เกือบครึ่งคาบแล้ว

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น เธอ” ครูในห้องเหลือบมาเห็นผมเข้าพอดี พร้อมๆกับสายตาคนในห้องก็หันมามองที่ตัวผม โอ้ว พระเจ้าจอร์จ อาย

“คะ คือ ผมเป็นนักเรียนใหม่ครับ จะมาอยู่ห้องนี้” ผมบอกอาจารย์ คนในห้องก็ซุบซิบๆคับ ยิ่งทำให้ผมตื่นตระหนกเข้าไปอีก ผมลืมขึ้นไปเลยว่า สังคมเด็กในกรุงเทพก็อีกอย่างนึง สังคมเด็กต่างจังหวัดก็คงจะเป็นอีกอย่างนึง พึ่งจะมาบรรลุเอาตอนนี้อ่ะคับ แล้วจากนั้น คาบชีวะในตอนแรก ก็เปลี่ยนมาเป็นคาบแนะนำตัวผมหน้าชั้น ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเกลียดอย่างแรง

“มาจากไหนอ่ะ ”

“กรุงเทพคับ”

“จบจากไหนมาอ่ะ”

“สวนกุหลาบ

“ฮิ้ววววว สวนกุหลาบด้วย” จะฮิ้วห่าไรพวกมึง

“ทำไมขาวจัง ”

“เออ …” เอ้า ขาวก็ผิด

“มีแฟนยังอ่ะเธอ”

“เออ…” ถามเพื่อราย

จนหมดคาบ ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก โรงเรียนเก่าผมไม่มีผู้หญิงคับ ยิ่งทำให้วางตัวไม่ถูกหนักเข้าไปใหญ่ อะไรๆก็ดูแปลกไปหมด พอหมดคาบเรียนแรก ก็ต้องย้ายไปเรียนที่ห้องอื่น ที่นี่จะเป็นแบบเดินเรียนครับ มองไปมองไปในห้องผมก็ดูเหมือนเค้าจะสนิทกันเป็นกลุ่มดีอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้น (พวกเข้ามาตอน ม5 ม6 ก็จะรู้สึกประมาณนี้อ่ะ)

วันนี้เรียนไปจบหมดวันคับ ก็ยังไม่มีเพื่อนสนิท หรือรู้จักใครมากเป็นพิเศษ ตอนเช้าโอ้ตมันก็นัดผมให้มาคอยอยู่ที่หน้าห้องปกครอง เพราะว่ามันเป็นกรรมการนักเรียนคับ แล้วตลอดทั้งวันนี่ ผมก็ไม่ได้เจอโอ้ตมันเลย ยิ่งเหมือนหลุดมาอีกโลกนึงอ่ะ (เว่อร์ม่ะ)

ผมก็รอไปเรื่อยเปื่อยที่หน้าห้องปกครอง ซักพักก็มองเข้าไป ก็เจอพวกอาจารย์ปกครอง ที่แค่ดูหน้าก็ยกตำแหน่งให้ได้เลย กะลังเหมือนจะทำโทษเด็กครับ

“มึงจะมาเรียน หรือมึงจะมาต่อยกันห่ะ พ่อแม่มึงส่งมาให้เรียนดีๆไม่ชอบ เป็นห่าไรวะ” เสียงอาจารย์ดังจนผมได้ยิน อดนึกในใจไม่ได้ว่า ถ้าเป็นผมเข้าไปอยู่แบบนั้น มีหวังซีด จากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียง เปี้ยยยยยะ ประมาณ 6 -7 ทีได้

โอ้ โอ้ โอ้ตอยู่ไหนว้า ให้กรูมานั่งเหมือนแดนประหารแบบนี้ อ้ายโอ้ตตตตต

ผมพึมพำอยู่ในใจ ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อไอ้คนที่พึ่งโดนตีมาหมาดๆ เดินลงมาจากห้องปกครองพร้อมกับเพื่อนอีกคน และเสียงสบถออกมามากมาย

“ไอ้เหี้ย เอ้ย เจ็บชิบหาย กูไม่น่าช่วยมึงเลย ไอ้สัด”

“ห่าคิว มาโทดกู ทีตอนต่อยอ่ะ ซัดเอาซัดเอา แมร่ง” พูดมาพร้อมกับเอามือจับตูดกันทั้งสองคนคับ ผมก็มองๆ ไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ยเลยนะ

“มองเหี้ยอะไร” ไอ้คนที่เพื่อนเรียกว่าคิว หันมามองผมพอดี เลยเป็นเรื่องเลย และด้วยอะไรไม่ทราบ สันดานการชอบเถียงของผมตอนนี้อยู่ในโหมดออฟไลน์

“ป่าวมอง” ผมพูดพลางหลบตา

“ก็ม่ะกี้มึงมองเนี่ย” มันย่างสามขุมเข้ามาหาผม เอ้ย จะหาเรื่องกูเหรอ

“เฮ้ย มึงคุยไรกะน้องกูวะ” อ่า พระเอกของโพ้มมมม โอ้ตมันเดินลงมาจากห้องปกครองพอดี แล้วก็คงเห็นไอ้คนที่ชื่อคิว กะลังเดินมาใส่ผม

“น้อง .. ” ไอ้คิวว่าพลางหันมองผมอีกรอบ “เออ ”

แล้วมานก็เดินไปคับ โอ้ตก็ถามว่ามันมาทำไรป่าว ผมก็บอกป่าว โอ้ตมันบอกว่า ไอ้คิวเนี่ย อยู่ชั้นเดียวกับผมล่ะ แต่ไอ้นี่มันก็ไม่ได้กลัวพวกรุ่นพี่อะไรเท่าไร มันกลัวคนเดียว คือหมูหยองคับ (ชื่อเรียกครูปกครองคนนึง) แล้ววันนี้มันก็ไปหาเรื่องต่อยกะน้อง ม 4 มา เลือดอาบอ่ะ หมายถึงน้องนะ มันไม่เป็นไรเลย

โหดโคตร
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-10-2006 20:40:18
พอโอ้ตมันจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พาผมเดินออกมาหาอะไรกินหน้าโรงเรียน มันเป็นคล้ายๆกับตลาดนัดอ่ะ ของขายเยอะดี โดยเฉพาะของกิน หุหุ ระหว่างเดินไปเดินมา โอ้ตมันก็ทักคนนั้นที คนโน้นที ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง รู้จักคนเยอะมากๆอ่ะ แต่เวลามันจะแนะนำผมทีไร มันก็ทำท่าอ้ำอึ้งๆ

โถ ก็บอกว่าให้แนะนำว่ากรูเป็นน้องก็หมดเรื่องแระ คิดไรมาก เดินไปเดินมา ก็มานั่งรอรถกลับกันที่ป้ายรถหน้าโรงพยาบาลครับ

“แล้วโอ้ตรู้จักมันเหรอ ไอ้คิวเนี่ย”

“ไม่มีใครไม่รู้จักมันหรอก ไอ้นี่น่ะครูเค้าจะเชิญให้ออกกันทั้งโรงเรียนแล้ว”

“เลวขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามทำหน้าเลิกลั่ก

โอ้ตมองหน้าผมประมาณว่า อยากรู้ไปทำไม แต่ก็บอกคร่าวๆว่า ไอ้คิวเนี่ย ตอนม ต้นมันเป็นเด็กดีมากๆนะ จากนั้นพอมันขึ้นม ปลาย ก็เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน เพราะมันไปคบเพื่อนเหี้ยๆ แล้วเพื่อนมันแต่ละคนก็หวังจะจับมันเพราะว่าบ้านมันรวย พอมันขึ้นม 5 บ้านมันก็มีปัญหาเพราะว่าพ่อตาย แม่มันก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ มันก็ยิ่งเสียศูนย์ไปใหญ่เลย

“ไอ้นี่นะ เป็นพวกที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของตัวเอง เป็นพวกดันทุรัง แล้วก็มาระบายออกในสิ่งที่เลวๆไง” โอ้ตว่า

“อ่าหะ ….. ว่าแต่หายโกรธแล้วดิ ”

โอ้ตมันดูเหมือนไมได้ทันตั้งตัวกับคำถามนี้ เลยทำหันหน้าไปทางอื่นซะงั้น แฮ่ๆ หายโกรธแล้วละซิ ผมก็แกล้งเอานิ้วไปจิ้มเอวมันคับ

“เฮ้ย ทำไร มันเอามื”อมาปัดคับ แต่หน้ามันยิ้มแระ

“บ้าจี้เด๊ะ” ผมได้ทีครับ เลยจิ้มอีก 555 (เลวม่ะ)

“เฮ้ย … ไม่เล่น เอ้ยยย เดี๋ยว เอ้ยย” มันร้องใหญ่เลยคับ ตลกดี “หยุดได้แล้วววววว ”

แล้วโอ้ตก็เอามือมาจับผมไว้ทั้งสองมือเลย ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ มือไอ้โอ้ตอุ่นมากๆอ่ะ

“ทำไมคุณปริ้นมือนิ่มจังอ่ะ” ซะงั้น หลอกจับมือกู

“ก็บอกแล้วไง ม่ะต้องเรียกว่าคุณ” ผมบอกพลางรีบทำทีสะบัดมือด้วยความเหนียมอาย เอาปากกัดนิ้วชี้ทำท่าเขิล หุหุ แค่สะบัดมือเฉยๆเฟร้ย !!

“นิ่มแล้วผิดตรงไหนฟะ ไหนๆ ของตัวเองอ่ะ” ว่าแล้วผมก็ไปจับมือมัน แต่ … แฮ่ม ผมเผลอพูดคำว่า ตัวเอง กับไอ้โอ้ตไปแบบลืมตัว แต่มันก็ดูไม่ได้ติดใจอะไร เออ เกือบไปแระ

ผมก็เอามือลูบไปลูบมา เพลินดีครับ มือสากๆกว่าผมนิดหน่อย มันดูท่าทางจั๊กจี้ครับ โชคดีนะที่ที่เรานั่งพลอดรัก … เอ้ย คุยกันมันเป็นช่วงที่มืดนิดหน่อย เลยไม่เป็นที่สังเกต แล้วมันก็เย็นพอควรแล้วล่ะ แล้วผมก็ไปเห็นรอยแดงเป็นจุดๆที่มือโอ้ต

“เจ็บมากป่าว” จริงๆอยากบอกว่า ขอโทษ

โอ้ตมันก็ส่ายหน้า “ไม่เจ็บ แค่นี้เอง ”

โห มันทำแมน

ตอนนั้นรถที่พาเรากลับบ้านได้มันผ่านไป 3 คันแล้วครับ แต่ผมก็แบบว่าอ้างไปเรื่อยล่ะว่า ไม่อยากนั่งรถคนเยอะ ไม่อยากเบียดอะไรเทือกนี้ โอ้ตมันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็นั่งคอยกันไป โอ้ตตอนอยู่โรงเรียน ดีกว่าตอนอยู่ที่บ้านมากอะฮะ เพราะว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร อยากให้มันเป็นพี่ผมจริงๆเลย ให้ตายดิโรบิ้น ผมไม่มีพี่ชายไง

จนเกือบ สองทุ่มแล้วครับ ปริ้นมันก็เลยบอกว่าถ้าไม่ขึ้นรอบนี้ก็ไม่มีแล้วนะ ผมก็เลยต้องเออออ ขึ้นไป คนก็ยังพอมีนิดหน่อย พอมีที่นั่ง พอรถออกจากตัวเมืองได้พักนึง รถก็ปิดไฟมืดทั้งรถเลย

“ง่วงอ่ะ นอนนะ” ผมว่า พลางปรับเบาะให้มันเอนลง

“เอากระเป๋ามานี่ก็ได้ จะได้นอนสะดวก” โอ้ตมันพูดแล้วดึงกระเป๋าที่ตักไปโดยไม่รอคำตอบ

“ขอบใจ ”

“อะไรนะ ? ”

“ป่าว” แล้วผมก็หันหน้าไปทางหน้าต่างครับ ชิส์ ทำหูทวนลมนะคุณโอ้ตตต

นั่งไปนั่งมา ผมก็ไม่หลับอ่ะ ไม่รู้เป็นไร ก็พลิกกลับตัวมา แล้วก็เหลือบไปทางโอ้ตคับ เห็นมันก็นั่งสัปหงกอยู่

หงึก

หงึก

หงึก

มันลืมตาคับ ผมก็แกล้งฟอร์มหลับตา ตอนนั้นคิดไรม่ะรู้ครับ อยากแกล้งด้วยมั้ง ช่วงที่รถมันสะเทือนๆ หัวผมก็เลื่อนไปทีละนิด ทีละนิด จนรู้สึกว่าไปพิงอยู่กับต้นแขนโอ้ตมัน อ่า นิ่มๆ แข็งๆ ตบท้ายความเนียนอย่างสมบูรณ์ เมื่อช่วงที่รถมันเลี้ยวโค้ง ตัวเราสองคนก็เรียกว่าเกือบแนบชิดกันเลยอ่ะ หุหุ น้องเนียนมากกู

โอ้ตมันก็หันมาทางผมครับ รู้สึกได้ตอนที่ลมหายใจมันมากระทบกับหัว และผมก็ได้ยินเสียง ….

- ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก –

เสียงหัวใจโอ้ตฮะ แต่มันก็เต้นแบบปกตินะ ไม่ได้แบบสูบฉีดอะไรมากมาย แอบผิดหวังเล็กๆ 555 นี่กูคิดไรกะพี่กูวะเนี่ยยย ม่ะเข้าใจจิตใจตัวเองเลย แต่ตอนนี้ …


ผมรู้สึกอบอุ่นมาก จนอยากให้รถมันวิ่งลงไปถึงนราธิวาสเลย ^^


* * * * * * * * * * * *

“ปริ้น …”

“หือ”

“ใกล้แล้ว ”

“หือ อีกนิดน่า”

“ปริ้น มันแฉะ”

“หือ ลามกวะ” ผมยังงัวเงียตอนที่โอ้ตปลุก แล้วก็ได้ยินมันว่าผมอะไรแฉะๆนี่ล่ะ แมร่ง ม่ะได้ทำไรกันนะจะน้ำแตกได้ไง (เหอๆ คิดไปโน่น)

“อะไรลามก ? ” แล้วมันก็หันเสื้อที่เปียกน้ำลายให้ดู

“เอ๊ะ น้ำอารายอ่ะ” ผมแกล้งทำเสียงปัญญาอ่อน แล้วก็ยิ้มแฮะๆ โอ้ตมันก็พึมพำว่า คนไรวะ นอนน้ำลายไหลได้ทุกวัน

กลับมาถึงบ้าน ผมก็เห็นเค้าลางไม่ดีแล้วอ่ะ เมื่อเห็นป้าเล็กมายืนรออยู่หน้าบ้านป้าเล็กหรือแม่โอ้ตนั่นล่ะ ผมหันไปมองหน้าพี่โอ้ต ก็เสียเหมือนกัน

“ไอ้โอ้ต ทำไมพาน้องกลับดึกๆดื่นๆแบบนี้ รู้มั้ยเค้าเป็นห่วงกันขนาดไหน” แม่โอ้ตมันตวาดลั่นบ้านเลย


“ขอโทษครับ” โอ้ตยกมือไหว้แม่ตัวเอง

“แล้วแบบนี้จะให้แม่ไว้ใจ ไปไหนมาไหนกับน้องได้ไง !! ดูซิ แค่วันแรกก็พากันไปตะลอนกลับเอาป่านนี้ ข้าวปลาจะได้กินกันเมื่อไร เกิดใคร บลาๆๆๆ อีกยาวโดยมี ผมยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างพี่โอ้ต

“เออ ป้า - - -” ผมกะลังจะพูดบ้าง

“คุณปริ้นก็เหมือนกัน ทำแบบนี้คุณยายเป็นห่วงรู้มั้ยคะ อ้าว กูโดนบ้างแระ ป้าจัดกับข้าวไว้บนเรือนแล้ว คุณปริ้นรีบไปกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด

“โอ้ต เข้าบ้าน ต้องฟาดกันบ้างแล้ว” ป้าเล็กพูด โอ้ตก็หันมาทางผมแป็บนึง แล้วก็เดินเข้าไปที่บ้านเค้าเลย บริเวณบ้านยายมี 4 หลังครับ มีบ้านใหญ่ บ้านที่ผมอยู่ แล้วก็บ้านของคนที่บ้านอีก 2 หลัง โห ทำไมต้องฟาดกันด้วยอ่ะ โตขนาดนี้แล้ว ผมมองหน้าป้าเล็ก คิดในใจ

ผมก็ขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ยายผมก็นั่งดูทีวีอยู่

“ยาย กลับมาแล้ว - - คับ”

“กลับมาแล้วก็รีบกินข้าวกินปลาซะ เย็นหมดแล้ว” ยายผมบอก ไม่มีท่าทีโกรธเหมือนป้าเล็กเลยแฮะ “แล้วเจ้าโอ้ตไปไหน”

“ป้าเล็กเรียกไปที่บ้านอ่ะยาย ท่าทางโกรธมากด้วย”

“เล็กเค้าก็เป็นแบบนี้ล่ะ เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง ”

“เค้าจะตีพี่โอ้ต” ผมรีบฟ้องยายทันที หวังว่ายายคงจะช่วยได้

“แล้วทำไมปริ้นถึงกลับมาช้าล่ะลูก” ยายผมถามอย่างใจเย็น ตาก็ดูทีวีไป

“คือ คือ …คือปริ้นต้องทำเรื่องย้ายห้องอ่ะครับ ครูเค้าให้ปริ้นเรียนห้องสายวิทย์อ่ะ” ผมนึกคำตอแหลได้แบบสดๆร้อนๆ

“เลยต้องอยู่เย็น ? ” ยายผมส่งสายตามา

เฮือก

“ครับ” ผมตอบแบบเสียไม่ได้

แล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วยคับ ยายลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ ได้ยินเหมือนคุยกับป้าเล็ก คือ โทรศัพท์ที่บ้านมันจะแบบพ่วงต่อกันหมดเลย ไม่ต้องเดินไปเดินมาให้เหนื่อย ผมก็ลุ้นๆอยู่ แล้วยายก็วางโทรศัพท์แล้วก็เดินมาปิดทีวี

“แม่เค้าฟาดลูกไป 3 ทีแล้ว นี่ก็จะไม่ให้มากินข้าวด้วย แต่ยายบอกว่า ให้มากินเถอะ” ยายบอกผม

“ปริ้น เดี๋ยวยายเข้านอนก่อนนะ พอเจ้าโอ้ตมากินข้าวแล้วก็ให้ปิดประตูด้วย”

“ครับ”

“- - เออ แล้วเมื่อกี้แม่เจ้าโอ้ตเค้าบอก เจ้าโอ้ตสารภาพว่า มัวแต่ซ้อมบอลจนลืมเวลา ก็เลยกลับดึก ทีหน้าทีหลัง จะซ้อมฟุตบอล หรือ ทำเรื่องย้ายห้อง ก็ทำให้มันเร็วๆหน่อยนะลูกปริ้น ”

ว่าแล้วยายก็เดินไปในห้องด้วยสีหน้าเหมือนจับผิดหลานได้แบบนั้นล่ะ


* * * * * * * * * * * *

ลงจากเรือนปั๊บ ผมก็วิ่งแจ้นไปทางบ้านโอ้ตเลย ป่านนี้จะเป็นไรมากป่าวน้า มันเจ็บเพราะผมอีกแล้ว อยากจะขอโทษเป็นพันครั้ง เดินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน แต่ก็ไม่กล้าจะเคาะอ่ะ ก็เดินวนๆ รอ แต่ก็ไม่ยักออกมาซะที พอดีกับเห็นเงาคนลางๆ นั่งอยู่ที่ม้านั่ง

“โอ้ต…” ผมทัก เจ้าของเงาสะดุ้งตัว แล้วก็เอามือปาดที่ใบหน้า ถึงมันมืดไม่เห็นอะไร ก็พอรู้ว่าโอ้ตมันร้องไห้

“ว่าไง” น้ำเสียงมันแกล้งทำเป็นปกติ

“ป่ะ ไปกินข้าวกัน ”

“ไม่ล่ะ ผมไม่หิว”

“เฮ้ย ไม่หิวได้ไง ก็ยังไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน ป่ะ” ว่าแล้วผมก็เดินไปจูงมือมันออกจากเงามืด แอบเหลือบมอง ก็เห็นเป็นคราบน้ำตาจริงๆครับ

“ไม่หิว จริงๆนะ” โอ้ตตอบผมเบาๆ

ผมอยากจะเอาอะไรที่ผมมีอยู่แลก เพียงเพราะแค่ให้อ้าปาก แล้วบอกคำว่าขอโทษกับโอ้ต แต่ทำไมมันถึงพูดไม่ออกวะ ไอ้เชี่ย

“แต่เราหิวหว่ะโอ้ต” ผมพูดแกมบังคับ

โอ้ตมันก็มองหน้าผมครับ

“ขอโทษครับ แต่ว่า ….. เลิกบังคับผมซะทีเหอะ” สีหน้าโอ้ตพูดแบบจริงจังมาก จนผมกลัว

“- - -”

เฮ้ยๆ มึง หยุดเลย กูบอกให้หยุด หยุด หยุด หยุด อย่านะว้อยยยยย

ถึงแม้ว่าสมองผมจะสั่งแบบนั้น แต่ก็มีของเหลวใสๆ หยดลงมาจนได้ ทำไมผมถึงเสียใจกับคำพูดของโอ้ตขนาดนี้วะ

“อืม …. ขะ ขอโทษ - - - ขอโทษที่เราชอบสั่งนาย บังคับนาย ทำสิ่งที่นายไม่ชอบ ”

หยดที่สองไหลก็ไหลตามมา

“ขอโทดที่ต้องให้เสียเวลาไปซื้อนั่นซื้อนี้ ขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อน ฮึก… ตะ แต่ตอนนี้ เราดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องรบกวนนายแล้ว ”

พูดเสร็จ ผมก็เอามือปาดน้ำตา แล้วก็จ้ำพลวดๆกลับเข้าบ้านเลย ข้าวปลาไม่กินแล้วคับ อารมณ์มันน้อยใจง่ะ แต่เราจะน้อยใจไปทำไมวะ เค้าไม่ใช่ญาติเรา ไม่ใช่พี่เรา ไม่ได้เป็นอะไรกับเราซะหน่อย เรามันก็เป็นแค่หลานของเจ้านายเค้าเท่านั้น แหม ทำไมยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลวะ กูอ่อนแอจังวะ แค่นี้เอง

ปั้งๆ เสียงเคาะประตู

ปั้งๆๆ

แอ๊ดด

“ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ?” โอ้ตมันเปิดประตูเข้า หน้าแมร่งโคตรโหดเลย .. จะตามมาฆ่ากูเหรอเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:34:15
“ทำไมต้องร้องไห้ด้วย !!” โอ้ตถามเสียงเครียด

“…………”

“ถามแล้วทำไมไม่ตอบ ไอ้คนเห็นแก่ตัว” โอ้ตมันตะคอกใส่อีกชุด แล้วก็เดินเข้ามาเขย่าตัวผม

“เจ็บ ….. ”

“ทำสำออยเหรอ … โอ้ตโดนหนักกว่านี้ ยังไม่พูดซัก หือออ !! ” มันจับจนแขนชาไปหมด ผมตัวสั่นน้อยๆ

“จากนี้ไปก็ต่างคนต่างอยู่เหอะ ปริ้น” โอ้ตตะโกนใส่หน้า

“ปล่อยยยยยยยยยยย” ผมตะโกนสุดเสียง

พลั๊กก …

แหง่ก แหง่ก

ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองลงมานอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง พยายามยันตัวขึ้นพร้อมกับสะบัดหัวให้หายงัวเงีย นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาตี 5 กว่าแล้ว

โอ้ตมันไม่ได้มาหาผมหรอก โอ้ตไม่ได้เข้ามาอาละวาดใส่ ผมแค่คิดมากแล้วก็ผล่อยหลับไปเท่านั้นเอง ตอนนี้สภาพตัวเองดูไม่ได้สิ้นดี หลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น แถมเสื้อที่จะใส่ไปวันนี้ก็ยังไม่ได้ปักชื่ออีกต่างหาก เฮ้อ …

ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็รีบจัดการตัวเองให้เสร็จ เสื้อก็ใส่แบบไม่ได้ปักชื่ออะไรทั้งนั้น รู้สึกเซ็งมากมายครับ เหงาแบบบอกไม่ถูก ตั้งแต่มาที่นี่ ผมพึ่งรู้สึกตัวเองอยู่คนเดียวจริงๆ ก็ตอนนี้หล่ะ อยากกลับบ้าน แต่ ผมก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว

ก็ที่นี่ เป็นบ้านของผม


* * * * * * * * * * * *

“อ้าว แล้วไม่รอไปพร้อมเจ้าโอ้ตหรือปริ้น” ยายผมตะโกนถามเมื่อเห็นผมเดินอย่างเงียบๆ ไปทางประตูบ้าน โหย เรียกซะดัง

“ชู่ ชู่ เบาๆก็ได้ยาย” ผมทำท่าจุ๊ๆ ไม่อยากให้ไอ้โอ้ตรู้ว่าแอบไปก่อน ทำไงได้ง่ะ ผมไม่อยากเจอหน้ามันนี่นา …อืม อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละ

“แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” สงสัยยายจะไม่เข้าใจรหัสมอสของผม บอกให้เบ้า เบา ผมก็หันไปทางบ้านโอ้ต ก็เงียบคับ ตอนนี้ก็พึ่งจะ 6 โมงเอง เช้ามากมาย

“งั้นผมไปก่อนนะยาย หวัดดีคับ ”

“ไปดีๆนะลูก ”

“คับ”

ระหว่างทาง เกือบชั่วโมงของผม ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย ในหัวก็คิดไปต่างๆนาๆ ว่าจะทำไงต่อดีวะเรื่องทะเลาะกะโอ้ต ไหนจะเรื่องเปลี่ยนห้องเรียน ไหนจะต้องวางตัวกะคนในห้องอีก เครียดๆๆๆๆ พอถึง โรงเรียนก็โดนยามกักตัวไว้คับ แบบว่าเสื้อ นร ไม่เรียบร้อยไง มีแต่ตราโรงเรียนโผล่มา

ตอนนั้นเรื่องโอ้ตผมไม่เครียดแล้วล่ะ มาเครียดเรื่องโดนเรียกขึ้นห้องปกครองเพราะว่าเสื้อไม่เรียบร้อยแทน เซ็งมาก เรื่องมาก กรุงเทพไม่เห็นต้องมาปักชื่อให้วุ่นวายเลย วุ้ย แล้วก็มีพวกแต่งตัวไม่เรียบร้อยจริงๆ ขึ้นมาอีก 4 -5 คนอ่ะ อาจารย์เค้าก็ไล่ถามทีล่ะคน พอดีว่าผมเป็นเด็กใหม่ ก็เลยอ้างโน่นนี่ ประกอบกับผมหน้าตาเรียบร้อยไง 55 เลยแบบว่ารอดตัวไปอย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องถูกจดชื่อให้พรุ่งนี้มาตรวจใหม่ = =’’

“ฮัลโล ยายเหรอคับ ยายแถวบ้านมีที่ปักเสื้อป่ะ คือ” บลาๆๆๆ ผมก็โทรไปให้ยายช่วยจัดการหาร้านปักให้ (ซึ่งน่าที่จะทำตั้งแต่แรกแล้วล่ะ) ยายก็บ่นให้ฟังอีก 1 กัณฑ์ พอผมวางปั๊บ ก็ได้เรื่องปุ๊บ

“เฮ้ย ไอ้ซีดนั่นน่ะ ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน !! ” อาจารย์ปกครองตะโกนมาหลังจากผมก้าวออกจากห้องได้ไม่ถึง 3 ก้าว คือ ผมโทรหายายหน้าห้องปกครองเลย อ้าว กูไม่รู้นี่หว่า แล้วมาเรียกกูว่าไอ้ซีด โห โคตรเคือง

“ตอนเย็นมาเอาคืนล่ะกัน” อาจารย์เค้าว่าแบบนั้น แล้วก็ตะเพิดให้ผมรีบไปขึ้นเรียน

วันนี้เปิดเทอมวันที่ 2 ผมก็เข้าสายครั้งที่ 2 แถมโดนเรียกขึ้นห้องปกครองด้วย เสียเครดิตหมดเลยตู วันนี้โหดกว่าวันแรก เพราะว่าคาบก่อนพักเป็นวิชาฟิสิกส์ !! ผมก็นอนฟังอาจารย์สอนไป หลับไป เพราะดันตื่นแต่เช้า ไม่รู้เรื่องเร้ยยยย แล้วผมก็คิดถึงโอ้ตขึ้นมาคับ แมร่ง … ไม่รู้ตอนนี้ทำไรอยู่ เรียนวิชาไรอยู่ว้า แล้วทำไมกูออกมาก่อน ไม่คิดจะโทรถามกูบ้างเลยเหรอไง เหอะ แต่มันจะคิดถึงเราทำไมวะ เอ๊ะ - - ออดแล้วว้อยย เย้ เย้

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

“เออ เธอ เธอ” มีคนมาสะกิดผม ตอนที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า

“ไปกินข้าวกับพวกเรามั้ย” คนที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั้นเอง รู้สึกว่าจะชื่อ แอน อะไรนี่ล่ะ (ผู้หญิงไม่ค่อยอยากจำชื่อ แฮะๆ ก็ไม่ได้ขนาดน้านนนน)

“อ่อ เอาดิ” ผมยิ้มตอบให้ ก็ยังดีคับ ผมไม่ต้องมานั่งกินคนเดียวเหมือนเมื่อวาน ตอนที่นั่งกินข้าวไป แอนกะเพื่อนๆอีกสองสามคนก็ชวนคุยกันหลายเรื่อง แต่ส่วนมากก็จะพูดเรื่องในโรงเรียนนี่ล่ะ ผมก็ฟังไป กินไป แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะว่าเหมือนมีอะไรเย็นๆมาอังที่แก้ม

“เฮ้ยยย” ตกกะใจสุดขีด

“ไง มาไม่ทันไร ก็มีสาวๆมาตอมแล้ว” ไอ้พี่ท็อปนั่นเอง

“ไม่ใช่ขี้ วู้” ผมพูดแบบอารมณ์เสียที่โดนแกล้ง แล้วก็มาแซวด้วย ม่ะชอบๆ

“เออ นั่งด้วยดิ ไม่มีโต๊ะแล้ว” ว่าแล้วก็มานั่งข้างๆผม

“แล้วไม่เห็นยกอะไรมาเลยอ่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย ก็พี่แกมีแต่น้ำขวดเดียว

“ฝากไอ้โอ้ตซื้ออยู่ เดี๋ยวมันยกมา”

“เหรอ ….” เวน ในใจตอนนี้บอกไม่ถูกว่าดีใจ หรือว่า หนักใจกันแน่ครับ อยากเจอหน้านะ แต่ทำหน้าไม่ถูก โอ้ยงง แล้วก็ไม่ต้องให้ผมงงนาน เพราะว่า พี่ท็อปก็ยกมือเป็นโบกให้โอ้ตมันเห็น ผมก็แกล้งทำของตกคับ แล้วก็แอบเหลือบตามองจากข้างล่าง (เรื่องเนียนยกให้กรู)

โอ้ตมันก็เดินมา สาบานได้ว่าผมเห็นมันชะงักไปแว่บนึง ก่อนที่จะทำหน้าตายเดินมานั่งฝั่งตรงกันข้าม เยื้องกันเล็กน้อย ผมก็ไม่ทำไรคับ นั่งจ้วงๆข้าวในจาน

แอนมันก็เห็นผมกินแปลกๆ

“หิวมากเหรอปริ้น ทำไม - - -”

“หิวดิ … ก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืน” ผมจงใจเน้นเสียงนิดหน่อย แต่ไอ้โอ้ตก็กินหน้าตาเฉยคับ สายตาก็ไม่ได้มองมาทางผมเลย แล้วอยู่ๆมันก็พูดกะพี่ท็อป

“เออ ข้าววันนี้เป็นไรวะ ไม่อร่อยเลย สู้ผัดมาม่าที่กูกินเมื่อคืนก็ไม่ได้” แล้วมันก็ส่งสายตามาทางผม

โห จี้ดดดดดด

“เด๋วปริ้นไปห้องสมุดก่อนนะ” ผมหันไปบอกทางแอน แล้วก็ลุกออกไปเอาจานวางที่ราง ในใจตอนนั้นโคตรเจ็บใจอ่า ไม่รู้ทำไม ว่าแต่ห้องสมุดมันอยู่ไหนวะ กูไม่รู้จัก =*=


* * * * * * * * * * * *

ตอนผมดูตารางสอนครั้งแรก ก็รู้ว่า โรงเรียนนี้ดีอยู่อย่างคับ เพราะว่ามันมีคาบว่างด้วย แล้วก็มีเยอะพอควร เพราะว่าเริ่มเรียนตั้งแต่ แปดครึ่ง กว่าจะเลิกก็ สี่โมงเย็น ไม่เหมือนในกทม มันก็เลยมีเวลาให้มีคาบว่างไง ก่อนจะหมดเวลาพักเที่ยงแป็บนึง

“นายxxxxxx มาพบอาจารย์ที่ห้องวิชาการในเวลานี้ด้วย ”

อ่า เป็นไปตามคาดคับ อาจารย์ที่วิชาการเรียกผมไปเพราะว่า ตอนนี้สามารถเปลี่ยนให้ผมไปลงห้องสายศิลป์-คำนวณได้แล้ว อาจารย์ก็ส่งตารางสอนมาให้ แล้วก็บอกว่าวันนี้ให้ผมกลับไปเรียนที่ห้องเก่าก่อน แล้วค่อยย้าย หุหุ เด็กดีอย่างผม มีเรอะจาเข้า 55 โดดซิคับ ว้าว ตั้งครึ่งวัน

ข้อดีของโรงเรียนนี้ดีอีกอย่างคือ เพราะมีคาบว่างนี่ล่ะ เกือบตลอดทั้งวันก็จะมีนร เดินไปเดินมา คับ ไม่ได้แบบว่าเหมือนบางโรงเรียนที่ขึ้นตึกกันหมด ผมก็เลยเนียนเดินไปเดินมา ไปห้องโน้น ห้องนี้ได้ แถมยังไม่ค่อยมีคนคุ้นหน้าเท่าไร เค้าก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

ผมก็หลบไปนั่งอยู่หลังอาคาร 5 ซึ่งมันจะเป็นสวนป่าแดงข้างหลังโรงเรียน ที่มันติดๆกะภูเขานั่นล่ะ หมดคาบ 5 ผมก็ย้ายที่คับ ไปนั่งอยู่หลังตึก 1 แทน ตรงนี้มันจะมีต้นไทร (หรือต้นอะไรซักอย่าง) ใหญ่มากๆอยู่ มีม้านั่งพร้อม ก็ได้เวลานอนของผมแระ ^^ (เหี้ยมาก)

หลับไปได้แป็บนึง ก็รู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงคนพูดคับ

“เฮ้ย เฮ้ย ไอ้ตี๋ ที่กู ”

โอ้ว ทำไมไม่มีใครคิดจะเรียกชื่อกรูเลยเหรอวะ

“ไหนที่ใครวะ” ผมงัวเงียๆลืมตาขึ้นมา ก็เจอไอ้คิวนั่งโด่อยู่ตรงม้านั่งอีกข้างนึง

“ที่กู” มันก็ชี้ไปที่ตัวมันคับ เชี่ย กรูจะโดนต่อยมั้ย ดันไปพูดหาเรื่องมัน

“โดดเรียนเหรอมึง” มันว่าพลางหยิบซอง Mild seven ขึ้นมา

“ไม่ได้โดด ”

“เชี่ยมากนะมึง โดดแล้วโกหกอีก ม่ายไหวๆ” มันก็พูดไป แกะซองไป ห่า แล้วมึงม่ะโดดเหรอเนี่ย เลวกว่ากูอีกสูบบุหรี่ด้วย

ดูท่าทางเหมือนมันจะพูดหาเรื่องผมแฮะ เออ กูไปก็ได้วะ ผมทำท่าจะลุก

“จะไปไหนวะ นั่งเป็นเพื่อนก่อนเด๊”

“จะไปห้องน้ำ” แล้วก็ส่งสายตาเหยียดหยามไปทีนึง ประมาณว่าครายเพื่อนมรึงว้า แต่ก็แป็บเดียวจริงๆ เพราะกลัวมันต่อย แฮะๆ แล้วผมก็เดินไปฉี่ในห้องน้ำ ซึ่งตรงนี้มันจะอับคนมากๆแต่ตอนนั้นไม่ได้ทันสังเกตว่ามันก็เดินตามหลังมาด้วย ผมเข้าซอง มันก็เข้าซองด้วยคับ แต่ยืนไม่ติดกันนะ

“มองไร ”

“มองไร ยังไม่ได้มองเชี่ยไรเลย” ผมชักรู้สึกรำคาญคับ คนไม่ได้มอง หาว่ามองมันเฉยเลย ไอ้บ้า

“โห พูดเชี่ยเป็นด้วย ? อ่ะ ดูดป่ะ”

“ดูดไร ”

“เอ๊ะ …ดูดKกรูม๊าง สาดดด” เออก็จริงคับ มันยื่นบุหรี่ให้ ก็ไม่น่าถามแบบนั้นเนอะ นี่ล่ะนิสัยคนไทย

ผมก็ส่ายหน้าคับ “ไม่เอาดีกว่า ไม่เคย”

“ก็เคยซะเซ่ะ ไม่เหม็นหรอกน่า ไม่ใช่กรองทิพย์” แล้วมันก็ยื่นอันที่มันดูดอยู่ให้ผมลอง

“เอ้า … ผู้ใหญ่ให้ของก็ร๊าบบบบบบบ”

โอ้ว อาจจะมีคนคิดว่า ทำไมผมไม่ปฏิเสธ มันยากคับ มันยากมาก ในที่แบบนั้น แล้วท่าทีมันไม่น่าไว้ใจเลยอ่ะ ถ้าผมเกิดทำอะไรให้ไม่พอใจ กลัวมันจะไม่ปล่อยให้ผมลอยนวล ก็เลยยอมๆไปก่อน

ฟืดดดดดด

“แค๊กๆๆๆๆๆๆๆ”

“555 ใครเค้าดูแบบไหนว้า ไม่เป็นเลยไอ้นี่” ไอ้คิวมันขำใหญ่เลยคับ สาดดด แกล้งกูนี่หว่า เลือดขึ้นหน้าแล้วผม ฆ่าได้หยามไม่ได้ว้อย

“มานี่ ต้องทำงี้” แล้วมันก็สาธิตแบบช้าๆ สูดยาพิษเข้าปอด

ฟืดดดดด แล้วก็คายสารพิษออกมาทำร้ายคนรอบข้าง

“เอ้า ลองๆ”

ผมก็บ้าจี้รับมาลองอีกคับ เหอๆ = =’’

“เออ เก่งๆๆ - - -”

“เฮ้ย ใครดูดบุหรี่ในห้องน้ำ”

เชี่ยแล้วคับ เสียงอาจารย์ปกครอง ไอ้คิวทำหน้าตื่นบอกให้ผมหลบไปในห้องน้ำ

“ล่ะ แล้วนายอ่ะ” ทำไมผมต้องเป็นห่วงใครด้วยวะ จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว

“ช่างกูเหอะ” แล้วมันก็ถีบส่งผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็ปิดประตูล็อกจากด้านนอกคับ จะได้เหมือนกะว่าไม่มีใครเปิดใช้ ซักพักก็มีเสียงโหวกเหวก ข้างนอก

“มีใครสูบกับมึงอีกป่าวเนี่ย” เสียงอาจารย์ดังขึ้น

“คนเดียวจาน” พอดีเคียดๆ ก็เลยลงมาสูบ

ป๊าบบ เสียงไอ้คิวโดนฟาดด้วยมือคับ ตอบกวนตีน

“มาปากดีนะไอ้คิว มึงจะโดนให้ออกอยู่แล้ว เฮ้ย ไปดูในห้องน้ำดิว่ามีใครหลบอยู่ป่าว” แย่แหล่วววว

เสียงเปิดห้องไล่มาทีละห้อง ทีละห้องคับ ใจผมเต้นไม่เป็นจังหว่ะเลย แก้ตัวไม่ออกด้วย เพราะว่ากลิ่นบุหรี่ติดตัวผมเลยอ่ะ แง๊ๆๆๆ

โดนยายฆ่าแน่

จนผมได้ยินเสียงเปิดกลอนจากด้านหน้าห้องที่ผมหลบอยู่ เหงื่อหยดเป็นทาง แต่ตัวผมกลับเย็นเฉียบ

แกร๊กกก

“ปริ้น ….?” กลายเป็นไอ้โอ้ตคับ เปิดประตูมาเจอผม ดูสีหน้าก็รู้ว่ามันตกใจมากเลย

“เออ …” ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ตอนนี้ผมยอมให้อาจารย์เปิดมาเจอดีกว่าให้โอ้ตมาเจอผมในสภาพแบบนี้

“ดูดบุหรี่เหรอ” ไม่ต้องรอให้ผมต้องตอบคับ มันก็กระชากตัวผมออกมาจากห้องน้ำเลย ออกมาข้างนอก พวกอาจารย์ก็พาไอ้คิวเดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“เออ … โอ้ต คือ ไม่ใช่”

“ดูดบุหรี่เหรอ ? ” มันถามซ้ำคับ ตอนนี้สีหน้ามันเรียบเฉยมาก เหมือนอาจารย์ที่ห้องปกครองเลย มันไม่ใช่พี่ชายพ๋มแล้ว

“เออ ก็ไอ้นั่นมันให้ลอง ก็ - - -”

“ไอ้เหี้ยนั่นให้ลอง ก็ลองเหรอ !!!!!! ไอ้เด็กไม่มีหัวคิด” เจ็บคับ เจ็บโคด โอ้ตมันตะโกนใส่ อารมณ์คงสุดๆแล้วอ่ะ เออ จาด่าอาไรก็ด่าเลย

“ขอโทษ” ผมจ๋อยคับ ไม่มีอะไรนอกจากจ๋อยสนิท ยืมก้มหน้าเงียบ

“พ่อแม่ให้มาเรียนหนังสือ ก็โดด - - -” ตัวผมหดไป สองนิ้ว

“โดดไม่พอยัง หัดสูบบุหรี่ อะไรนะเนี่ย อาไร อ่อ เซเว่นด้วย - - -” ตัวผมหดไปอีก สี่นิ้ว

ผมก็เงียบคับ มันก็โกรธจนเหนื่อยแล้วมั้ง รู้สึกว่าสงบได้บ้าง

“จะให้ทำยังไง บอกมา ”

“- - -”

“เอ้า !!!! พูดเซ่ !!!!! ” โอย มึงไม่ต้องตะโกนก็ได้ กรูรู้สึกผิดจนจะร้องอยู่แล้ว

“…ก็ เรา เราทำผิด จะทำอะไร ก็ทำเถอะ ”

โอ้ตฟังผมพูดแล้วก็เงียบไปพักนึง เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมคาดเดาไม่ได้เลย ใจเต้นตึกตักๆ

“ไปเอากระเป๋ามาไป” โอ้ตบอกผมเสียงเฉียบ

ผมก็วิ่งไปตามคำสั่งเลยคับ ไม่มีบิดพลิ้ว เหอๆ แล้วมันก็เดินนำไปห้องปกครองฮะ

อ้าว นึกว่าจาปล่อยกรูซะอีก แหง่มๆ

แต่ผิดคาดคับ โอ้ตมันบอกว่าให้ผมรออยู่ที่หน้าห้อง ไม่ต้องขึ้นไป ในห้องผมได้ยินเสียงฟาดเพี้ยะๆ สงสัยจาเป็นไอ้คิวแน่ ซักพัก โอ้ตก็เดินถือกระเป๋าออกมา

“ป่ะ กลับบ้าน”

โห ตอนนั้นนะ เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปครึ่งลูก อยากจาโดดกอดมันเลยคับ หุหุ แต่ก็ต้องสงบจิตสงบใจนิดส์นึง เราก็ไปนั่งรอรถเหมือนกะวันแรก เพียงแต่คราวนี้ พอรถมาปั๊บ โอ้ตมันก็ลากขึ้นรถเลย วันนี้โชคดีมากๆคือไม่เบียดเท่าไร แต่ก็ต้องยืนอยู่ดี

“จะได้ไม่โดนด่าอีก …” มันพูด “โดนฟาดก็โดนฟาดคนเดียว ไม่ยุติธรรมเล้ย” คราวนี้มันพึมพำๆให้ผมได้ยิน ก็แอบยิ้มนิดนึง เลวม่ะ 55

“แล้วเจ็บมากป่ะ เมื่อคืน”

“เจ็บดิ” แล้วมันก็เอามือไปลูบก้นมันเบาๆ

“ไหนดูหน่อยดิ๊ เป็นรอยป่าว” ว่าแล้วผมก็เนียนทำเป็นจับที่สะโพกมันคับ ไม่ได้ไปจับตูดมันหรอก เหอๆ ไม่ลามกขนาดนั้น

“ทะลึงแล้ว ลามปามๆ เดี๋ยวปั๊ดไม่คืนให้ซะนี่” แต่มันพูดก็ไม่ได้ปัดป้องอะไรผมนะ

“คืนอะไร ? ”

“อ้าว ก็นี่ไง” แล้วมันก็ล้วงไปหยิบมือถือที่ผมโดนริบไปเมื่อเช้า

“หรือว่าไม่อยากได้คืน จะได้เก็บไว้เอง”

“เป็นเล่น แพงเฟ้ย แพง” แล้วผมก็แย่งกลับมาจนได้คับ มันก็ยิ้มๆ

“ขอบใจนะโอ้ต”

“อือ ….”

“ที่ทำเนี่ย” ผมอ้อมแอ้ม “เพราะว่า เป็นหน้าที่ป่ะ ”

อ่ะนะ ผมถามหาเรื่องไปมั้ยเนี่ย = =’’ แต่มันดูไม่โกรธแฮะ

“น้องทั้งคน เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้องดิ” แล้วก็เอามือมายี้ๆหัวผม จนเป๋ไปเลย เอ๊ะ รู้สึกแปร๊บเล็กๆ

“เฮ้ย เด๋วผมเสียทรง”

“555 มีผมอยู่แค่เนี้ย ”

จ๊อกๆๆ อ่ะ เสียงท้องผมร้องขัดจังหว่ะ เสียมู้ดหมด แสดดด

“หิวอีกแล้วเหรอ” โอ้ตยิ้มหวานถาม

“อะดิ ว่าแต่ ….” ผมทำหน้าทะเล้นใส่ “อยากกินมาม่าผัดหว่ะ ว่ามันอร่อยจิงป่าว”

ได้ผลคับ ไอ้โอ้ตเขิลลลล หันหน้าไปทางอื่น แล้วก็ตอบมาเบาๆ

“โด่เอ้ย ไม่มีบุญได้กินหรอก”
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:34:50
ครึก ครื่นนนนนนนนนนนนน …… เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มมาแต่ไกล พร้อมกับหยาดฝนแรกที่ตกลงมาต้อนรับกับวสันตฤดู

เวลาประมาณเกือบหกโมงเช้า ผมยังนอนอุดอู้อยู่ในผ้าห่มอันแสนสบาย

ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยง่ะ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับเสียงฝนตกที่ดังเซ็งแซ่อยู่ภายนอก

หน้าฝนแล้วดิเนี่ย ฤดูของคนอกหักรักคุด

ปั้งๆๆๆ

“ปริ้น ตื่นยัง เสียงโอ้ตที่รักมาปลุกแล้ว”

“ตื่นแล้ววววววว” เอ้ย เซ็ง อยากนอนต่อเจงๆ

วันนี้ยายให้โอ้ตขับรถไปโรงเรียนได้คับ เพราะเนื่องจากฝนตกหนักมากถึงมากที่สุด ออกไปรอรถมีหวังเปียกแน่ๆ หุหุ ดีจัง ไม่ต้องยืนเบียดเป็นปลากระป๋อง

“เอารถไปจอดในโรงเรียนไม่ได้ไม่ใช่เรอะ” ผมถามพลางกัดบิ๊กเปาไส้หมูแดงอย่างอร่อยเหาะ

“ไม่ได้อะดิ ต้องจอดเลยไปอีกหน่อย” ว่าแล้วโอ้ตมันก็หักรถเลี้ยวเข้าไปในโรงพยายาบาลที่ปกติเราต้องมานั่งคอยขึ้นรถกัน

“นี่ เดี๋ยวแวะกินไรก่อนนะ” โอ้ตมันว่า สงสัยจาหิวอะเด๊ะ หุหุ กรูก็กินม่ะแบ่งเลยคับ เหอๆ

“กินด้วยๆ ”

“จะกินอีกอะไรอีกวะ เมื่อกี้ก็พึ่งยัดเข้าไปนิ” มันว่าด้วยเสียงเหน่อๆของมันคับ เด๋วนี้มีว้ง มีวะ -*-

แล้วก็เข้าไปหาไรกินในโรงบาลคับ จะว่าหลายคนอาจจะรู้สึกแปลกๆนะคับ แต่โรงบาลแห่งนี้ล่ะ ที่เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ แหล่งพักพิง(ท้อง) แล้วก็แหล่งเก็บยานพาหนะ(รถยนต์ มอไซต์) ผัดมักกะโรนีที่นี่อร่อยมากมาย ขอโบก

ว่าแต่ว่า ตกลงมันเป็นโรงพยาบาลแน่เหรอป่าววะ !?

พอหาไรกินเสร็จ ก็เกือบจะ 8 โมงแล้วคับ ต้องรีบวิ่งกันอ่ะ แต่ฝนก็แมร่งไม่ยอมหยุดเลย แถมยังตกหนักกว่าตอนมาอีก

“โอ้ตกลับไปเอาร่มที่รถมาดีกว่า ไม่งั้นเปียกแน่”

“โห เราว่า ร่มแมร่งก็ไม่อยู่หว่ะ วิ่งฝ่าไปเหอะ แป็บเดียวก็ถึง จาเข้าแถวแล้วด้วย” ผมชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือราโด้สุดเกร๋(ของปลอม) = =’’

“เอาจริงอ่ะ ”

“เออดิ ไป …” ว่าแล้วก็วิ่งตากฝนกันข้ามถนน รถแมร่งเบรกกันตัวโก่ง แต่ก็ปลอดภัยมาได้ เพราะข้ามทางม้าลาย (เกี่ยวม่ะ) แต่ที่ผมคาดว่า วิ่งนิดเดียวก็ถึง มันไม่ใช่คับ ไอ้ระยะที่ว่าเนี่ย มันก็ไกลพาสมควร แค่วิ่งข้ามถนน ตัวก็เปียกม่ะล่อกม่ะแล่กจะแย่อยู่แล้ว แต่ผมก็เห็นว่ามีบางคนมันโชว์เหนือวิ่งปู๊ดเดียวเข้าไปที่อาคารเลย

“แล้วนี่ปริ้นเรียนตึกไหน ? ” โอ้ตมันถาม น้ำไหลเป็นสาย แต่ ดูมานเซ็กซี่มากคับ เสื้อนร ที่มันรัดอยู่แล้ว พอเปียกน้ำก็ เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน ระหว่างที่กะลังเมามันกะการแทะโลมสายตาพี่ชายตัวเองอยู่ ไอ้โอ้ตก็ทักขึ้นมา

“ปริ้น !! ”

“เออ เออ ตึกไหน” แล้วผมก็ทำมึนควักตารางสอนขึ้นมาดู

ตึก 1 แว๊ก มันเป็นตึกที่อยู่ในสุดเลย คือต้องวิ่งฝ่าฝนไปอีก

“งั้นก็เลาะๆไปแล้วกัน โอ้ตเรียนตึก นี้พอดี” มันว่า ตอนเย็นเจอกันที่หน้าปกครองนะ แล้วมันก็วิ่งไปเลย

วันนี้วันที่ 3 แล้วคับ ที่ผมเข้าห้องเรียนสาย เพราะว่า กว่าจะวิ่งไปตึก 1 กว่าจะหาห้องเจอ ห้องที่ย้ายมาเป็นห้อง 10 คับ คือต้องมาเริ่มปรับตัวกับเพื่อนใหม่อีกแล้ว ทั้งๆที่ 2 วันที่ผ่านมาก็เกือบจะอยู่ตัวแระ แล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไร เมื่อผมเดินเข้าไปในห้อง(ด้วยสภาพตัวเปียกโชก) ไอ้คนในห้องก็หันมามองเป็นตาเดียว

แล้วก็มีเสียงโห่ ฮา อะไรกันเล็กน้อยพอเป็นกระสัยคับ ประมาณว่าเป็นเด็กใหม่ไง จริงๆก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนน่าตาดีอะไรนะคับ ออกจาจืดชืดด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า ไอ้พวกผู้ชายในห้องมันจะออกแนวเถื่อนๆกว่าผมหน่อย ผมก็เลยได้ความขาวเข้าสู้

เท่าๆที่กวาดสายตาดู ห้องนี้มีผู้ชายกว่า 80 เปอร์เซ็นต์คับ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็ผู้หญิง อืม ดีซะอีก ผมค่อยรู้สึกไม่แปลกแยกเท่าไร เพราะเคยเรียนแต่ชายล้วนนี่หว่า ผมยังไม่ทันหายงงดี ก็ยังยื่นเงอะงะอยู่หน้าห้อง อาจารย์ก็เข้ามาพอดี

“เธอมายืนอะไรหน้าห้อง” อาจารย์เค้าไม่รู้คับ ว่าเด็กใหม่

“เออ คือ .. ผม” ตอบไม่ถูกซิกรู

“เด็กเทบ เด็กเทบ มานั่งนี่ ”

ใครวะ ดูคุ้นตามากมาย ……………….. เฮ้ย ไอ้คิว ว่าแต่ เด็กเทบเชี่ยรายเมิง

ผมก็จำยอมเดินไปนั่งคับ แต่ไม่ได้นั่งติดกับมันหรอกนะ คือมันชี้ที่ว่างตรงหน้ามันล่ะ

“เรียนห้องนี้ด้วยเหรอ” ผมก็ยื่นหน้าไปถามคับ

“ป่าว กรูเสนอหน้ามานั่งเอง” เออ ก็จริงของมัน แว๊กกก เย็สเข้ แมร่งกวนตรีนกรู

ผมหน้าเจือนนิดหน่อย แล้วก็หันมาทักทายคนที่นั่งข้างๆแทน

“หวัดดี นั่งด้วยนะ”

“ตามสบาย” มันก็ยิ้มให้คับ ใส่เหล็กดัดฟันด้วย แต่หน้าตาก็งั้นๆล่ะคับ หุหุ

“นายชื่อไรอ่ะ เราปริ้น ”

“ซังคับ” ว้าว พูดคับ ด้วยอะ สุภาพโคตรๆ (ว่าแต่ไอ้โอ้ตก็พูดกับผมนี่หว่า ทำไมไม่รู้สึกวะ 55)

“น้อยๆ หน่อยอิ๊กคิวซัง ตีสนิทเด็กเทบเลยนะเมิง”

“อิ๊กคิว พ่อเมิงเหอะ ไอ้สัด” มันหันหน้าไปด่าไอ้คิว อาจารย์ก็เลยเดินมาเบิร์ดกระโหลกมันสองตัวเลย แต่ผมอ่ะ กลั้นหัวเราะตัวงอเลย กับคำว่า อิ๊กคิวซัง คือ ซังมันตัดผมคล้ายๆสกินเฮดอะคับ 55 เอาเป็นว่า ขำแต่พองามเพราะว่า ไม่อยากเสียมิตรภาพที่ดี

ตกลงว่า ผมย้ายมาห้องใหม่แล้ว ถึงแม้ว่าจาดูเถื่อนๆ ไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่ก็ดูสบายๆดี ไม่ต้องแข่งขันอะไรมากมาย แต่ไอ้คิวเนี่ย อย่างที่โอ้ตมันบอกจริงๆ คือ เรียนคาบเว้นคาบ แถมคาบที่เรียน ก็เอาแต่เล่น ไม่ค่อยสนใจ ท่ำสำคัญ มันก็จาชวนผมไปดูดบุหรี่อีก

“วันนี้เอาอีกตัวป่ะวะ” มันก็ทำหน้ากวนๆถามตามสไตร์

“โดนม่ะวานยังไม่เข็ดเหรอ ”

“ตูดกรูด้านแล้วเมิง แค่นี้จิ๊บๆ - - เฮ้ย คิวซัง เอาการบ้านมาลอกหน่อย” ไม่พูดปล่าว มันก็ไปคว้าแบบฝึกหัดอังกฤษที่ซังมันพึ่งทำเสร็จไปมาเก็บใส่กระเป๋ามันเลย

“เหี้ยยยย กรูพึ่งทำเสร็จ จะไปส่งแล้ว” ไอ้ซังมันบ่นคับ คืองานเค้าให้ส่งในคาบจริงๆแล้ว ไอ้ซังมันก็รีบปั่นเพื่อจะรีบไปส่ง แต่แมร่งไอ้คิวดันแย่งไปหมักไว้ก่อน ส่วนผมเสร็จเรียบโร้ย ปลอดภัย

“เออ เด๋วกรูไปส่งให้ - - อาไร อาไร ทำหน้าๆ”

“ไอ้คิว มึงก็แบบนี้ทุกที บอกว่าจะส่ง มึงก็ไม่ส่ง เอาไปดองไว้” อ่าแสดงว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก

“แค่นี้ทำบ่น แหมทีขอกรูจับK กรูยางให้มึงจับได้เลย สัด” ไอ้คิวมันพูดขึ้นมาลอยๆคับ คงลืมไปว่ามีผมนั่งหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างๆไอ้ซัง

ได้ยินแค่นั้น ก็เอ๋อแดกเลยผม หันหน้าหาไปซังประมาณว่า เมิงขอมันจับKเจงเหรอ ?

“เหี้ย คิว พูดไรวะ” แล้วมันก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงขำของไอ้คิวไล่ตามหลังไป


* * * * * * * * * * * *

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


อ่า เสียงสวรรค์เสียงสุดท้าย เป็นอันว่าวันนี้ก็เลิกเรียนแล้วคับ ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าจาสนิทกะอิกคิว .. เอ้ย ซังมากที่สุดในห้องแล้วคับ ไอ้คิวไม่นับเพราะไม่ได้อยากสนิท แต่ก็แปลกใจนิดหน่อยว่า ซังมันก็เข้าคุยกะทุกกลุ่มได้ แบบว่าเป็นคน friendly มากๆ แต่ทำไมมันถึงมาอยู่กลุ่มเดียวกะไอ้คิวได้ กลุ่มคิวจะมีอีก 2-3 คนที่แบบว่า เถื่อนพอๆกะมันเลย

“แล้วนี่บ้านอยู่ไหนอ่ะ ”

“อ่อ อยู่ชะอำ”

“โห โคตรไกลเลย แล้วมารถประจำเหรอ”

“ป่าว ก็ปกติมานั่งรถ ป2 มา แต่วันนี้ฝนตก ก็เลยมากับรถยนต์กะพี่อ่ะ ”

“พี่นายใครวะ ”

“พี่โอ้ตที่เป็นประธานนักเรียนอ่ะ แบบว่า คือ … เป็นญาติๆกัน”

ระหว่างนั่งรอโอ้ต ซังมันก็มานั่งเป็นเพื่อน แล้วก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย คุยเรื่องคนโน้นที คุยเรื่องคนนี้ที แต่ซังมันจะบ่นเรื่องไอ้คิวให้ฟังมากที่สุดคับ มันเหมือนเป็นลูกไล่ไอ้คิวเลย

“อ้าว มาคอยนานยัง”

“นานอย่างมากอ่ะ ทำไรอยู่” ผมได้ทีรีบแขวะไปตามเรื่อง

“หวัดดีคับพี่โอ้ต ”

“เออ ดีซัง เป็นไง ”

“ก็เหมือนเดิมหล่ะพี่”

“เออ กีฬาสีปีนี้ ห้องซังอยู่สีเดียวกับพี่นี่นา ว่าจะเรียกมาคุยเหมือนกัน”

“อีกตั้ง 3 เดือนเนี่ยนะพี่ เร็วไปป่าว”

“เออ แล้วห้องเราอยู่สีอา - - -” ผมพยายามจะเข้าไปมีส่วนร่วมคับ แต่ก็โดนเบรก

“โห ดูอย่างปีที่แล้วซิ มันเตรียมตัวกันตั้งแต่ปิดเทอม ยังเกือบล่ม”

“พี่โอ้ตก็ต้องจัดการดีๆแล้วอ่ะ จะได้ไม่ต้องโดนพวกรุ่นน้องประณาม”

“เออ - -” ผมไม่รู้จะพูดไรคับ ก็ยืนฟัง ในใจก็คิดประมาณว่า กรูกลายเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักไปแระ

“งั้นเดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ ”

“ครับ งั้นไปก่อนนะปริ้น” ซังมันยิ้มให้ผมก่อนจะแยกไปทางใครทางมัน

“อืม” ม่ายสบอารมณ์คับผม ม่ายสบอารมณ์อย่างมาก

“เป็นไรไป เงียบเชียว” โอ้ตมันคงพึ่งสังเกตได้มั้งคับ ว่าตั้งแต่เดินออกจาก รร แล้วก็ขึ้นรถ ผมไม่พูดซักคำเดียว

“- - -”

“เป็นไร”

“ป่าว” แข็งคับ แข็ง ปากแข็ง

“เช้ยยยยยย ….. ”

“อ้าว เป็นไงล่ะ ตากฝน เป็นหวัดแล้ว” โอ้ตว่าพลางเลื่อนมือไปเบาแอร์

“ก็ตากเหมือนกันน่ะล่ะ ”

“เอ้า มาเทียบกันได้ไง โอ้ตแข็งแรงกว่าปริ้นตั้งเยอะ ”

“เออ ใครจะไปถึกสู้คุณโอ้ตได้ล่ะคร๊าบบบบ” แล้วผมก็หันหน้าไปทางหน้าต่าง ทำมองดูวิว แต่ในใจ ทำไมมันรู้สึกหงุดหงิดๆวะ เวลาเห็นโอ้ตมันหัวร่อ ต่อกระซิกกับอ้ายซัง คุยกานไม่สนใจกรูเล้ย

โอ้ตมันก็ไม่ว่าอะไรต่อคับ เห็นว่าผมเริ่มแบบใช้อารมณ์แล้ว

“นี่ …. ”

“หื้อ”

“รู้จักกับซังมันนานแล้วเหรอ ”

“ก็ … ตั้งแต่มันเข้ามา ม.1 แล้ว มีไรเหรอ ? ”

“ป่าว ก็เห็นเหมือนจะสนิทกัน”

“เออ ก็สนิทหล่ะ ก็เจอกันมาตั้ง 3 ปี มีไรป่าว ? ”

“ม่ะมีรายย ….. นอนก่อนล่ะกาน ปวดหัวๆ” ผมก็ว่าไปงั้นล่ะ แต่จริงๆคือเกียจคุย แต่มันดันหลับไปจริงๆนี่ดิ มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบถึงแล้วคับ แต่ตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองมีไข้แล้วง่ะ

“โอ้ต แวะซื้อยาก่อนเข้าบ้านได้ป่ะ เหมือนมีไข้หว่ะ”

“จริงอ่ะ ”

อ้าว แล้วกรูจาตอแหลเพื่อ ?

แล้วมันก็จอดรถตรงข้ามกับตลาด แล้วก็เอามือมาอังที่หน้าผาก

“ไหน ไข้สูงป่าว” ไม่ทันคาดคิด มันก็ก้มเอาหน้าผากมันมาแตะกับหน้าผากผมคับ โอ่ว ความร้อนพุ่งปี้ดๆๆๆๆ

“งั้นรอแป็บนะ โอ้ตข้ามไปซื้อยาก่อน”

ระหว่างรอ ภาพที่ผมที่มันเอาหน้าผากมาแตะ ทำเอาจิ้นไปได้ต่างๆนาๆเลยทีเดียว

“ปริ้นคับ กินยานะ เด๋วโอ้ตป้อนให้ อ้าว อ้าปากดิคับ คนดี อ่า อย่างงั้นแหละ ”

“ถ้าคืนนี้ไข้ไม่ลด โอ้ตต้องจับปริ้นฉีดยาแล้วนะ ห้ามขัดขืนด้วย”

“อ่า อยู่นิ่งๆดิคับปริ้น ไม่เจ็บหรอกน้า หันก้นมาดิคับ - - - เจ็บนิดนึงนะคับ แล้วเด๋วก็จะสบาย”

“อึกกก อ๊า ~*”

“ปริ้น - - ปริ้น”

“เห้อะ เหออ เจ็บๆ เบาๆ”

“อะไรเบาวะ ตื่นมาเร็วกินยา” โอ้ตมันดูหัวเสีย ที่ผมพูดอะไรแปลกๆ

“เออ อ่า ขะ ขอบใจ ”

นี่ผมฝันไปอีกแล้วเหรอเนี่ย โหยยย ฝันว่า มีอะไรกะไอ้โอ้ตด้วย !? เวนกำ

“อือง่วงอ่ะ ถึงบ้านแล้วปลุกด้วยนะ” แล้วผมก็พลิกตัวหันไปซุกทางหน้าต่างคับ แอร์มานก็ไม่เบาให้วุ้ย -*-

“อืม ปลุกแน่”

“ขอบจาย”

ก่อนที่ผมจะเคลิ้มๆไป เหมือนมีอะไรบางอย่างอุ่นๆ มาแตะที่แก้มด้านขวาเบาๆ แต่ตอนนั้นไม่อยากคิดอะไรแล้วคับ กรูง่วงและปวดหัวมากมาย


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:35:39
“ซื้ดด ซื้ดดดด” โอย น้ำมูกไหล

คืนนั้นพอกลับมาถึง ยายก็เรียกให้ไปกินข้าวบนเรือนใหญ่ก่อน แล้วก็ไม่พ้นโดนว่าเรื่องไม่ดูแลสุขภาพ

“เอาเหอะๆ ยาย ปริ้นก็เป็นแล้วอ่ะ เด๋วรีบเข้านอนพรุ่งนี้ก็หายแล้ว” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด

“แล้วก็รีบไปอาบน้ำอาบท่าเข้าล่ะ ตากฝนมาแต่เช้า ตัวชื้นไปหมด” ได้ยินดังนั้นผมก็ทำท่าสั่นหัวไปทางโอ้ต ประมาณว่า ให้ตายกรูก็ม่ายอาบหรอกคืนนี้

“โอ้ต กินข้าวเสร็จแล้วตามไปในครัวด้วยนะ” ยายผมว่าพลางเดินออกไปนอกห้อง

“ครับ” ว่าพลางรวบช้อนส่อมเข้าที่

“จะไม่อาบน้ำจริงๆเหรอ”

“เออดิ เป็นหวัดอยู่นะ จะให้อาบน้ำตอนกลางคืนเนี่ย” ผมพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่บ้านตัวเอง ตอนนี้เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกรอบแล้วคับ สงสัยยามันหมดฤทธิ์แล้ว ช่วงนี้ผมกะลังล้างหน้าแปรงฟัน (แต่ไม่อาบน้ำ)อยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

“ปริ้นอยู่ในห้องน้ำเหรอ”

“อือออออ ”

“คุณยายให้เอาของมาให้ โอ้ตวางไว้บนหัวนอนน่ะ ”

“อืออออ ออบไอ (ขอบจาย) ”

ก๊อกๆ โอ้ตมันเคาะประตูห้องน้ำ

“อือ อ้าไอ (ว่างาย) ”

“แล้ว……. ตอนนอน ห่มผ้าด้วย”

หลังประตูห้องน้ำผมรู้ไม่รู้ว่าโอ้ตมันทำหน้ายังไงครับ แต่ที่รู้ก็คือ หน้าผมบานที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น

“อ๊าบบ (ค๊าบ) ”

ซักพัก ผมออกมาก็ไม่เห็นโอ้ตมันอยู่แล้ว ว้า เซ็งนิดๆ แต่เอาเหอะ กรูไม่สบายอยู่นี่หว่า ถึงแม้จะรู้สึกว่าเหนียวตัวเล็กๆ แต่ผมก็ทนกับอาการปวดหัว แล้วก็อ่อนเพลียไม่ไหว ขอกรูหลับก่อนเหอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

“คร่อก …… Zzzzzzzz”

กึก กึกก

แอ๊ดดดดดดด

ผมได้ยินเสียงฝนเริ่มตกกระหน่ำลงมาอีกรอบ ในช่วงกลางดึก แล้วก็รู้สึกสัมผัสอุ่นๆ มาอังบริเวณซอกคอ หน้าอก แล้วก็ตามลำตัว สุดท้าย มันก็มาโปะเข้าที่หน้าผาก

“อืออออ”

“อาไรวะเนี่ย ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงข้างหน้าสะดุ้งเฮือก ผมรับรู้ได้เท่านั้น ม่านตาก็ค่อยๆปิดเข้าสู่ภวังค์อีกรอบ (นี่ถ้าคนร้ายเข้ามากรูโดนฆ่าแน่)


* * * * * * * * * * * *

ตี้ดด ติ้ดดดด ติ้ดดดดดดดด

เสียงมือถือดังจนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“โหล” เสียงผมตอบไปงัวเงียโคตรๆ

“ตื่นได้แล้ว” เสียงไอ้โอ้ตคับ คราวนี้มาแปลกโทรสับมาปลุก

“อือๆ รู้แล้ว”

“เออ เดินมาเอาเสื้อที่เรือนใหญ่ด้วย เมื่อวานก็รีบลงมาไม่ทันได้บอก”

“อืออ” โอ้ตเอามาให้หน่อยดิ ผมเริ่มใช้งาน

“อ้าวกำลังจะอาบน้ำเนี่ย อีกนานเลยกว่าจะเสร็จ” เอ๊ะ ไอ้โอ้ตอาบน้ำนานเหรอวะ

“แน่ใจ๋ว่าอาบน้ำ ? ”

“เออดิ คิดว่าทำอะไรเล่า”

“อือๆ แค่นี้ก็ไปหยิบมาให้หน่อยไม่ได้” แล้วผมก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ สายตาก็เหลือบไปชามใส่หอมใหญ่ไว้เต็มชามเลย สงสัยยายจะให้โอ้ตหยิบมาให้เมื่อคืนนั่นเอง - - - แต่ ผ้าอะไรหว่า ?

ผมแอบสังเกตเห็นว่ามีผ้าผืนเล็กตกอยู่ข้างหมอนตัวเอง

“เอ๋ !? ”

แล้วผมก็งงกะตัวเองอีกรอบว่า เสื้อที่ผมใส่มะคืน กับวันนี้มันคนล่ะตัวกันนี่หว่า ระหว่างที่กำลังเง็ง โอ้ตมันก็โทรสับมาอีกครับ

“ทำอะไรอยู่ จะสายแล้วนะ” เสียงมันโมโหๆ

“เออๆ ” แล้วก็รีบวิ่งไปเปิดล็อกประตู ห้อไปเอาเสื้อที่ปักชื่อเสร็จเรียบร้อยที่เรือนใหญ่

“เป็นยังไงปริ้น ค่อยยังชั่วเหรอยัง ” ยายทักผมระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ

“ครับ ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังน้ำมูกไหลอยู่อ่ะ”

“ดีแล้ว ยังไงวันนี้ก็อย่าไปตากฝนอีกล่ะ” โอ้ตเค้าพูดอะไรก็เชื่อบ้าง

“ครับยาย แต่คงไม่ตกแล้วมั้ง ตกไปม่ะคืนแล้วหนิ”

“หน้าฝนแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก อย่าลืมติดร่มไปด้วยล่ะกัน”

“ค๊าบบบ - - - เออ ยาย ขอบคุณนะเรื่องหอมใหญ่อ่ะ”

ยายผมก็ยิ้มให้ครับ แต่ตอนนี้ผมว่าผมสายแล้วล่ะ เพราะว่าเห็นมันยืนโด่ทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่หน้าบ้านผม

“มัวทำอะไรอยู่เนี่ย”

“เออๆๆ ดุจางว้อย” ผมพูดพลางรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้ามาอีกที ไอ้ผ้าผืนนั้นก็หายไปแล้วครับ O_o’’

แว๊กก ผีหลอกกรูอีกแระ


* * * * * * * * * * * *

วันที่ 4 ของการมาเรียน ผมก็มาสายอีกตามเคย ไม่รู้เป็นแมร่งอาไร จนยามมันจำหน้าผมได้แระ

“ซื้ดด ซืดดดดด”

พรืดดด พรื้ดดดดดดดดด

“โห เด็กเทบเป็นหวัด” ไอ้คิวปากเสีย


“อ่า กรูเป็นคนนะ ไม่ใช่มึงหนิ ถึงไม่เป็นหวัด” ผมพูดแดกดันมันไป

“อ้าวสาดดด แล้วกรูไม่ใช่คนซะงั้น” แล้วมันก็เดินไปตบหัวไอ้ซัง

“อิ๊กคิว ดูเด็กมึงเด๊ะ เด๋วนี้ปากกล้าขาแข็ง”

“เกี่ยวไรกะกรูอีกเนี่ย” ซังบ่นหลังจากโดนลูกหลง

“เออ แล้วไปตบหัวซังมันทำไมอ่ะ” ผมพูดจบ ไอ้คิวมันก็มองผมเขม็งเลย แล้วก็เดินกลับไปที่ที่ ไม่พูดไม่จา

“เป็นเหี้ยไรมันน่ะ” ผมกระซิบถามซัง

“ไม่รู้มัน ช่างมันเหอะ เรียนๆ” ไอ้ซังมันก็ทำท่าทางโกรธๆเหมือนกัน เอ้าเป็นไรวะทั้งคู่เลย

ครับ ชีวิตในช่วงแรกๆ ของการมาเรียน ก็ไม่ได้มีอะไรผาดโผนมากเท่าไร ก็คล้ายๆ กับที่เรียนที่โรงเรียนเก่าอ่ะล่ะ เพียงแต่ว่า ตอนนี้จะมีเพื่อนผู้หญิงเข้ามาในชีวิตด้วย ได้รู้จักการจีบหญิง แซวนั่นแซวนี่ ก็ได้มาจากไอ้คิว แล้วก็เพื่อนๆในกลุ่มอ่ะล่ะ แต่ในเรื่องการเรียนของผมก็เรียกว่าฉลุยอ่ะ ไม่ใช่เก่งอะไรมากมาย แต่ในเรื่องวิชาการบางที มันก็ง่ายกว่าโรงเรียนเดิมมาก ยกเว้นวิชาเดียวคือ เลข ที่ผมต้องคอยพึ่ง ซังมันตลอด

“เฮ้ย นี่มันจะสอบกลางภาคแล้วนะ มึงไม่คิดจะอ่านหนังสือมั่งเลยเหรอ” ซังมันเดินไปคว้าหนังสือการ์ตูนที่ไอ้คิวกะลังอ่านอย่างเมามันส์

“สาดด เอาคืนมา” ไอ้คิวมันทำท่ากินเลือดกินเนื้อ แต่ซังมันก็โยนหนังสือมาให้ผม

“ไปเอาคืนที่ปริ้นมันโน่น” เอ้า โยนบาปให้กรูแระ

“เออ คิว กรูก็ว่างั้นล่ะ มึงผ่านม 4 มาได้ไงวะ โดดตลอด” พร้อมๆกับเปลี่ยนหนังสือจากมือซ้ายไปมือขวา ไม่ให้ไอ้คิวมันหยิบได้ แถมผมตัวสูงกว่ามัน มันก็เลยเอื้อมาหยิบไม่ถึง

“เหี้ยยยยย พวกเมิง แกล้งกรู เด๋วต่อยคว่ำหรอก” ไอ้คิวมันโมโห แต่พวกผมก็ชินกับคำขู่ฟ่อๆ แล้วครับ มันเอาจริงเฉพาะคนอื่นๆ แต่กับเพื่อนมันเนี่ย ผมยังไม่เคยเห็นมันทำร้ายใครซักคน นี่เป็นข้อดีของมันอ่ะ

“คืนหนังสือกูมาไอ้ปริ้น” มันว่าแล้วก็ทำหน้าเอาจริงเอาจัง

ผมก็มองไปที่ซังที่กำลังปั่นงานอยู่ มันก็ทำหน้าแบบไม่ต้องคืน

เมื่อเห็นผมไม่คืน ไอ้คิวมันก็ทำท่าโกรธมากๆ แล้วก็คว้าหนังสือเรียน(ที่มีอยู่น้อยนิด) เดินไปทางโรงอาหาร

“เฮ้ยมึง จะเข้าเรียนแล้วนะ” ซังมันตะโกนบอก แต่ดูเหมือนคิวมันจะโกรธคับ ไม่ยอมพูดจา เดินตรงแน่วๆไป

“ไอ้คิวมันจะรู้มั้ยวะ ว่าเพื่อนจะช่วยมันไปตลอดไม่ได้หรอก สัด” แล้วมันก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

“มึงก็เหมือนกัน ปริ้น เลขง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้อ่ะ” อ้าว มาพาลกรู

“แค่เลขวิชาเดียวเอง หยวนๆหน่อย อังกฤษก็ให้เมิงหรอกม่ะใช่เหรอ” ผมทวงบุญคุณ

แล้ววิชาต่อมา ไอ้คิวมันก็ไม่เข้าครับ ทำให้ซังมันหงุดหงิดมากขึ้น

“ไปไหนของมันวะ”

“เฮ้ย ซังใจเย็นๆหว่ะ” คบกันมาเกือบครึ่งเทอม พึ่งรู้ว่าซังมันไม่ค่อยหงุดหงิดอะไรง่ายๆแบบนี้นี่นา

ซักพัก มือถือผมก็สั่น ก็ค่อยๆก้มรับแบบไม่ให้อาจารย์เห็น

“คับ”

“ปริ้น เรียนอยู่หรือป่าว” เสียงโอ้ตครับ

“อือ มีไร”

“เพื่อนปริ้นมันไปต่อยเด็ก ม.5 เข้า”

“ไอ้คิวอ่ะนะ ” ผมโพล่งขึ้นมาเสียงดัง จนอาจารย์หันมาหาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ?

“ป่าวครับ” ผมพูดแล้วมองไปที่ซัง

“ไอ้คิวเป็นไรวะ” ซังมันถาม

“มีเรื่องกะเด็ก ม.5 หว่ะ ตอนนี้อยู่ห้องปกครอง”

“แม่ม เอ้ยยยยย” เสียงซังสบถเบาๆ แล้วมันก็ลุกขึ้นขออนุญาตลงไปห้องน้ำ ด้วยความงุนงงของผมและเพื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรมันหรอก คิดว่าคงห่วงเพื่อนซี้มันอ่ะนะ

ทีนี้ก็เหลือผมกะเพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคนที่ต้องนั่งกระวนกระวายใจ จนหมดคาบล่ะครับ ก็เลยวิ่งไปที่ห้องปกครอง ก็ปรากฏว่าไม่เห็นใครแล้ว ก็เลยกดมือถือไปหาไอ้โอ้ต

“เฮ้ย บอกว่าห้ามใช้มือถือในเวลาเรียน” อยู่ๆ พ่อ ก็โผล่มาจากไหนม่ะรู้ ผมเลยวิ่งกระโดดจากบันไดวิ่งปรี้ด ไปหาที่โทรสับใหม่

“โอ้ต”

“เรียนอยู่”

“เออ ขอโทด แต่ไอ้คิวมันอยู่ไหน”

“ไม่ได้อยู่ห้องปกครองเหรอ”

“ป่าว”

“งั้นก็คงไปห้องพยาบาลมั้ง”

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงอ่ะ”

“ไม่รู้น่ะ แต่รู้สึกว่า คิวมันไปหาเรื่องกะน้องมันก่อน แล้วทีนี้ก็เลยพวกรุมเอา”

“โหย แล้วเป็นไรมากป่ะ”

“ก็ปากแตก แล้วก็ ..- - - ว่าแต่ ทำไมห่วงมันจัง”

“อ้าวทำไมถามแบบนั้นอ่ะ ก็เพื่อนทั้งคน” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด แค่นี้ล่ะกาน

“ว่าไงปริ้น คิวมันอยู่ไหน” เพื่อนคนนึงที่ตามมาด้วยถาม

“เออ สงสัยอยู่ห้องพยาบาลหว่ะ แต่มันคงไม่เป็นไรมากอ่ะ”

“อ้าว เชี่ย กรูก็ไปหามันไมได้อะดิ” เพื่อนคนนั้นบอก

“ทำไมวะ”

“ก็กรูไม่ถูกกะครูในห้องพยาบาล”

“เออ งั้นมึงขึ้นเรียนเหอะ เด๋วกรูไปดูมันเอง”

“เออ ฝากดูด้วย ไอ้ซังก็ไปไหนก็ไม่รู้”

“อยู่กับไอ้คิวมั้ง” ผมว่า ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ ก็มันซี้กันนี่นา จะห่วงกันมากก็ไม่แปลก

ผมก็เดินไปห้องพยาบาล ที่อยู่ใต้อาคาร 3 ปกติก็ไม่ค่อยได้มาหรอก รู้แต่ว่าอาจารย์เฮี้ยบมากๆอ่ะ ไม่สมกะเป็นพยาบาลเลย แต่พอไปถึงก็ปรากฏว่า ห้องมันปิดประตูไปบานนึงแล้ว เดินเข้าไปในห้อง ก็ไม่มีใครอยู่ซักคน

“ไปไหนหมดกันวะ” ผมพึมพำเบาๆ แล้วก็เดินไปที่ห้องที่เอาไว้ให้นักเรียน นอนพักครับ ซึ่งมันจะแยกเป็นสองห้อง ชายหญิง ทางเข้าจะมีผ้าม่านกั้นไว้อ่ะ

“กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามีเรื่องกับคนอื่นอีกไอ้คิว มึงก็ไม่เคยเชื่อกูอ่ะ” เสียงซังดังออกมาจากในห้อง

อ่าอยู่ในห้องนี่เอง กรูหาตั้งนาน ผมว่าพลางเดินดิ่งไปที่ห้อง

“… จะทำอะไรก็เรื่องของกู” เสียงไอ้คิวดังลอดออกมา

“เออ มึงจะทำอะไรก็ช่างมึง กูโง่เองที่เสือกเรื่องของมึง” ซังพูดเสียงสั่น

อ่ะ มันทะเลาะกันอีกแล้ว เสียงเริ่มดังขึ้น โชคดีที่ไม่มีคนอยู่ในห้อง ยกเว้นกระผม

“มึงจะไปไหน เสียงไอ้คิวดังขึ้น พร้อมๆกันกับเสียงซังมันร้องโอ้ย เหมือนโดนกระชากแขน

เท้าผมหยุดกึกที่หน้าห้องครับ แบบนี้มันแปลกๆแล้วนะนี่

“ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีมึงอยู่ไง - - - ปล่อยกูไอ้สัดด” เฮ้ย มึงคุยอะไรกัน ช่วยเบาๆหน่อยได้มั้ย กรูกลัวเค้าได้ยินกันหมดว้อยยยย

คราวนี้ไอ้คิวมันพูดเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ซังมึงไม่รัก กูแล้วใช่ป่าว มึงถึงจะทิ้งกูไป”


วิ้ว วิ้ววว (นึกถึงฉากห้องพยาบาลว่างๆ แล้วมีใบไม้ปลิว พร้อมกับเสียงลมแผ่วๆ)

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองแดงซ่าน ถ้าให้เลือกได้ ผมยอมที่จะไม่เข้ามาในห้องนี้ แล้วก็ได้ยินสิ่งที่เพื่อนสองคนมันพูดกันหรอก ไม่ใช่รังเกียจ ไม่ใช่อิจฉา แต่เป็นเพราะ มันควรที่จะเป็นความลับของคนสองคนที่จะรับรู้กันแค่นั้นมากกว่า

เสียงในห้องพักเงียบไป จนผมใจหาย เลยค่อยๆแหวกผ้าม่านออกทีละนิดทีละนิด

ให้ตายซิโรบิ้น ผมไม่ได้ตอแหลนะ ไม่ว่าตอนนี้ผมจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไม่เป็นก็ตาม สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นภาพที่เพื่อนผมสองคนกะลังจูบกันอย่างดูดดื่ม โดยไม่รู้ว่ามีสายตาคนๆนึงมองอยู่

ผมเห็นไอ้คิวมันค่อยๆจับซังพลิกตัวไปด้านล่าง แล้วก็ขึ้นทับไปบนตัว

“เอื๊อกกกกกก ……….”ผมกลืนน้ำลาย กล้องวีดีโอ กล้องวีดีโออยู่หน่ายยยยยยยยย กรูจะถ่ายไปขาย เอ้ย ไม่ใช่ ผมยืนนิ่งเหมือนโดนหนัง x สะกด

จนต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อซังมันเหลือบมาเห็นผ้าม่านมันแหวกอยู่พร้อมกับคงเห็นมีคนแอบมองอยู่

“เฮ้ยยย … ใคร”

ตัวผมรีบถอยหนีโดยอัตโนมัติ จนก้าวพลาดล้มลงเสียงดังตึง

“อะ ไอ้ปริ้น” เสียงไอ้คิวแหวกผ้าม่านมาเจอผมล้มอยู่

ชิบบบหายยยยย


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:35:56
หะ เห็นมึงหายไปนาน ก็เลยมาตามหาอ่ะ” ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว หน้าไอ้คิวก็แดงพอกัน (แดงจนดำ 555)

“เออ มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เด๋วกูกลับก่อน เด๋ว เด๋ว พี่โอ้ตเค้ารอกูอยู่” ผมรีบร้อนจนพูดผิดพูดเถิก เอ้ย ถูก แล้วก็เผ่นแผล่วออกมาจากห้องพยาบาลทันที ไอ้คิวมันก็ไม่คิดจะตามผมมาคับ เห็นยืนนิ่งอยู่แบบนั้น

“แฮ่กก ๆๆๆๆๆ”

“โดนหมาที่ไหนวิ่งไล่มาเนี่ย” โอ้ตมันว่าที่เห็นสภาพผมหอบมาที่หน้าห้องปกครอง

“หมาที่ไหนเล่า ไอ้คิวตะหาก …. ”

“คิวมันทำไม ? ”

“- - เออ ก็มันโดนต่อยมาไง” ผมรีบแก้ตัว

“ก็โอ้ตเป็นคนบอกปริ้นเองหนิ” โอ้ตมันมองหน้าผมแบบสงสัย

“เออ นั่นแหละ จะกลับบ้านยังอ่ะ เร็วเข้า”

“หนีใครมาเหรอป่าว” โอ้ตมันพูดแบบจับผิด เข้าตรงกลางใจดำ

ติ้ด ติดดด ติ้ดดดดดดดดดดดด

ผมมองมือถือ ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ซังโทรมาครับ แว๊ก มันจะโทรมาด่าผมเหรอป่าวเนี่ย แล้วผมก็ตัดสินใจปล่อยให้มันดังไป จนโอ้ตมันทักว่าใครโทรมา

“เพื่อนอ่ะ ”

“แล้วทำไมไม่รับล่ะ ? ”

“ขี้เกียจคุยกะมาน มันจะขอลอกการบ้านอ่ะ” ผมแถไปโน่น

“ป่ะ กลับเหอะ” พร้อมกับกดตัดสัญญาณแล้วก็ปิดเครื่องเลย

- กูขอโทดหว่ะ ซัง แต่กูไม่รู้จะคุยอะไรกะมึงตอนนี้อ่ะ - ผมคิด


* * * * * * * * * * * *

พอกลับถึงบ้าน ในหัวผมก็คิดภาพไอ้คิวมันกะลังนัวเนียกะซังอยู่ ถึงผมจะเคยอยู่ รร ชายล้วนมาก็เหอะ มันก็มีเห็นพวกคู่เกย์คบกันตั้งเยอะแยะ แต่ทำไมคราวนี้ผมถึงตกใจวะ สงสัยเป็นเพราะว่า มันเป็นเพื่อนสนิทของผม (อีกคนเกือบสนิท) โดยเฉพาะ เถื่อนๆอย่าไอ้คิว ไม่คิดหรอกคับ ว่ามันจะเป็นเกย์ เลยแอบตกใจหน่อย ที่เห็นหนังสดต่อหน้าต่อตา

มันจะคิดว่าผมรังเกียจมันป่าวนี่ ?

ผมคิดในใจวนแล้ววนอีก ผมไม่ได้รังเกียจมันนะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรก็เหอะ แต่ … แต่ทำไมผมดันไปวิ่งหนีมันแบบนั้นล่ะวะ

- ดันไม่รับโทรสับมันแบบนั้น -

- กดตัดสายซังมันแบบนั้น -

ความรู้สึกผิดพลาดมันกดให้ผมจมอยู่กับที่นอน ไม่อยากจะลุก อยากจะขยับไปไหน ผมรีบกดเปิดมือถือ แล้วก็รอ แล้ว รอเล่า ให้ซัง หรือไอ้คิวโทรกลับมา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย ผมชักเริ่มเครียดเมื่อโทรไปหาซังแล้วมันก็ปิดมือถือ เหมือนกัน

มันคงเครียดกว่าผมร้อยเท่า มันยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย (พอกันกับผม) ว้อยยย ทำไมกูทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเลยวะ

“ปริ้น นอนยัง”

“ยัง ….. เข้ามาดิโอ้ต ”

โอ้ตมันก็เปิดประตูเข้ามา แล้วก็เดินมานั่งปลายเตียง

“เป็นไร มีอะไรอยากจะบอกโอ้ตมั้ย”

“มีอะไร ? … ไม่มีอ่ะ” ผมปากแข็งคับ

โอ้ตมันดูไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน ที่ได้ยินผมพูดแบบนี้

“งั้นถ้าปริ้นไม่มีอะไรจะบอก แต่โอ้ตมีเรื่องจะบอกปริ้นอยู่อย่างนึง” ว่าแล้วมันก็ลุกขึ้นเดินมาจับไหล่ผมไว้

“… คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาแค่วันสองวันแล้วถึงเรียกว่าเพื่อนหรอกนะ - - -” ผมรู้แล้วคับ ว่าโอ้ตจะพูดเรื่องอะไร

“- - - ถ้าเพื่อน ไม่ยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเป็น …….. สิ่งที่เพื่อนรัก ……….. สิ่งที่เพื่อนทำ เค้าไม่เรียกว่าเป็นเพื่อนกันหรอก” แล้วมันก็เอามือมาลูบหัวผมแบบปลอบๆ
“ ม่ะ ม่ะ ไม่ใช่นะโอ้ต” ผมเริ่มรู้สึกว่า มีก้อนสะอึกอยู่ที่คอ กว่าจะพูดแต่ละคำมันช่างยากเย็น

“เราอ่ะ เรา - - -” น้ำตาผมหยดลงบนหัวเข่าตัวเอง ไม่เคยเกียดอะไรพวกมันเลยนะ ไม่เคยเลย ฮึก ฮึก

“อือ …” มันพูดแค่นั้น แต่ภาษากายที่มันทำอยู่ ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก

“แค่ .. ทำตัวไม่ถูก …. แค่นั้นเอง … โอ้ตเชื่อเรานะ ปริ้นไม่ได้เกียดอะไรมันเลย” ผมจับแขนโอ้ตเขย่าๆ แล้วก็มองหน้ามัน ให้มันรู้ว่า สิ่งที่ผมพูดมันจริงใจแค่ไหน

“อือ ไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนี้ก็ดีแล้ว” โอ้ตมันยิ้มบอกผม แล้วก็เอามือสองมือมาปาดน้ำตา

“พรุ่งนี้ก็ไปคุยกะสองคนนั่นให้รู้เรื่องล่ะกัน …. แล้วร้องไห้ทำไมฟ่ะ เรื่องแค่นี้เอง”

“ร้องที่ไหนวะ วู้” ผมว่าพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างไว ยางอายเริ่มเข้ามาครอบงำแระ


* * * * * * * * * * * *

วันรุ่งขึ้น ใจผมก็ยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวครับ โอ้ตมันบอกว่า เมื่อวาน ซังโทรมาหา แล้วก็ปรึกษาเรื่องที่ผมปิดมือถือ ไม่ยอมคุยกะมัน โอ้ตบอกว่า รู้ว่าซังเนี่ย มันมีความสัมพันธ์อะไรกะไอ้คิวตั้งนานแล้ว ซังมันก็เลยให้โอ้ตมาคุยกะผมว่า จะเอายังไง มันไม่สบายใจมาก

“ก็คุยกันให้รู้เรื่องล่ะกัน” โอ้ตบอกผมก่อนที่จะแยกไปเข้าแถวห้อง พอมาถึงแถวห้องผม ก็ปรากฏว่าไอ้คิว กะซังไม่ได้มาเข้าแถวคับ เอาแล้วดิกู ใจไม่ดีแระ

พอขึ้นคาบ 1 พวกมันก็หายหัวไม่มาเรียนเหมือนเดิม ไอ้คิวอะ ปกติ แต่ซังนี่ดิ มันไม่เคยขาดเรียนเลย ใจผมแป้วไปถึงตาตุ่ม โทรหาซังมันก็ไม่ติด ส่วนไอ้คิวไม่มีมือถือคับ เลยติดต่อมันไม่ได้

จนเวลาล่วงมาตอนกลางวัน ก็ไม่เห็นเงาหัวของไอ้สองตัวนั่นเลย เพื่อนคนอื่นๆก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

“เฮ้ย โป้ง กูไม่เรียนคาบต่อไปนะ” ผมพูดแบบเสียไม่ได้

“อ้าว เป็นอะไร”

“กูเซ็งไงไม่รู้วะ ไปนอนหลังเขาดีกว่า ”

“เออ ระวังพ่อมาตรวจล่ะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เดินลงจากอาคารเรียน มองซ้ายมองขวาปลอดคน ก็เลยหามานั่งที่ม้านั่งยาว บ้าชะมัด ไอ้เวลาที่อยากเจอ มันก็หายไปไหนวะ เซงเลยกู แล้วหัวสมองผมก็แล่นกลับไปที่ห้องพยาบาลกับเหตุการณ์ม่ะวานอีกรอบ

“ซังมึงไม่รักกูแล้วใช่ป่าว มึงถึงจะทิ้งกูไป”

สลับกับภาพที่มันสองคนกำลังจูบปากกันอยู่ อ่า จะว่าไป มันก็ดูเหมาะสมกันดีคับ อีกคนดูเถื่อนๆแมนๆ อีกคนขาวใส หน้ารัก

มโนภาพผมกลับค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ว่าถ้าเหตุการณ์ที่เหลือต่อจากนั้นคืออะไร

“ไอ้คิว นี่มันห้องพยาบาลนะมึง เดี๋ยวคนมาเห็นเข - - -” คิวมันค่อยๆบรรจงประกบปากกับซังอย่างแผ่วเบา จนตัวมันกระตุกหน่อยๆ ก่อนจะค่อยผ่อนคลายลงตามลำดับ

“อือ คิว …”

คิวมันค่อยๆจับซังพลิกตัวไปด้านล่าง แล้วก็ขึ้นทับไปบนตัว ท่อนล่างของมันเริ่มบดเบียดกันอย่างรุนแรง

“ไหนว่าไม่มีอารมณ์ไง” ไอ้คิวถามเสียงกระเส่า “แข็งเชียวมึง” พร้อมกับโน้มตัวไปดูดปากกับซังอีกรอบ


ปากข้างนึงของมันก็จัดการไล้ลิ้นไปบนหัวนมของไอ้ซังจนมันสั่นสะท้าน มืออีกข้างก็เลื้อยไหล่ไปบริเวณกลางลำตัวของซัง

“ซี้ดดดด คิว กูเสียววว”

เสียงนั่นกลับทำให้ไอ้คิวฮึกเหิมชอบกล พลางขบกัดบริเวณหน้าอกจนร่างหนุ่มตี๋สั่นสะท้าน

“ปริ้น มึงเสียวมากป่าว” เสียงคิวถามผมพลางรูดเล่นไอ้ตัวเขื่องที่อยู่ด้านล่างด้วยความถนุถนอม

“อือ กูจะไม่ไหวแล้ว ไอ้คิว” ผมว่า พลางเอามือโอบคอไอ้คิวลงมาจูบอย่างรุนแรง

“จะทำอะไรก็รีบทำเหอะมึง กูจะ - - - อ๊อกกก”

“อยู่นี่เองมึงไอ้ปริ้น” เสียงไอ้คิวตัวจริงทำเอาผมสะดุ้งกับภาพจินตนาการล้ำลึก เฮ้ย ทำไมคิดถึงไอ้คิวกะซังอยู่ดีๆ กับกลายเป็นไอ้คิวกับผมไปได้ไงวะ

“เออ หายไปไหนมาทั้งวัน” ผมพูดกับมัน แล้วค่อยๆยกตัวขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก (ไอ้น้องชายมันกะลังเคารพธงชาติอยู่)

“คือ เรื่องเมื่อวาน - - -” ผมกะมันพูดเกือบพร้อมกัน

“เออ เรื่องเมื่อวาน กูขอโทษนะ” ผมพูดขึ้นมา แล้วจากนั้น คำพูดของผมก็พล่างพลูออกมา เหมือนเขื่อนแตก จนไอ้คิวทำหน้าเหวอแดก เพราะมันคิดว่าผมคงจะรับไม่ได้ ถึงได้วิ่งตูดเปิดไปม่ะวาน

“เออ มึงก็เล่นปิดมือถือแบบนั้น ไอ้ซังมัน กลุ้มใจตายห่า ”ไอ้คิวบ่นใส่ผมหน้าเครียด “ เนี่ย เมื่อคืนมันร้องไห้กะกูทั้งคืนเลย ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน กลัวว่ามึงจะไม่เข้าใจมัน”

ผมหน้าเสียขึ้นมาอีกรอบนึง คิดแล้ว ไอ้ซังมันต้องคิดมาก

“แล้วมีใครรู้เรื่องมึงกะมันป่ะวะ” ผมถาม ไอ้คิวมันก็บอกว่า มีแค่ไอ้โอ้ต แค่นั้นที่รู้ เพราะว่า ซังมันสนิทกะโอ้ตมานาน มันเลยเครียด

“แล้วนี่ซังมันอยู่ไหนอ่ะ”

“นอนอยู่บ้านกู จริงๆมันอยากจะคุยกะมึงด้วยซ้ำ แต่กูบอกว่า กูจะมาดูลาดเลาก่อน”

“ดูลาดเลาทำเหี้ยไรวะ” ผมสงสัย

“อ้าว ก็เผื่อมึงรับไม่ได้จริงๆ กูจะทำให้มึงรับได้ก่อนไง” มันพูดแล้วก็หัวเราะมีเลศนัย

“ไอ้สาดดด มึงจะทำไรกูได้วะ” ผมพูดหัวเราะแบบเจือนๆ

“กูก็ - - -” มันพูดไม่ทันจบ มันก็เดินมาข้างหลังที่นั่งที่ผมนั่งอยู่

“ทำงี้ไง” ว่าแล้วมันก็เข้ามากอดผมทางด้านหลัง แล้วเอาหน้ามันมาคลอเคลียๆอยู่ตรงคอผมอะ โคตรสยิวกิ้วเลย

“เหี้ยย กูขนลุก ไอ้สัดดดดด” ผมพูดพลางดันหน้ามันไปให้ห่างๆ แต่แรงมันเยอะกว่าผมคับ มันก็เล่นของมันต่อ

“ขนลุก แล้ว Kลุกป่าววะ” มันก็เอื้อมมาจะจับKผมคับ แต่ผมเอามือบังทันก่อน ไม่งั้นมันได้จับอนาคอนด้าแน่ๆ

“เชี่ย มึงเล่นของสูง” แล้วมันก็ผละออกจากตัวผม หัวเราะชอบใจ เย็สสสสเข้เจงๆ

“เออ งั้นเด๋วพรุ่งนี้กูค่อยคุยกะซังล่ะกัน ฝากบอกมันด้วยอ่ะ ว่าไม่ต้องกังวล กูรับพวกมึงได้

“เหรอ กูก็อยากลองเหมือนกานหว่ะ ตูดเมิงจารับได้เจงๆป่าว” อ่ะ ไอ้นี่ยังไม่เลิก

“เชี่ยล่ะมึง ควายอย่างมึงกูไม่เอาหรอกว้อยยย” ผมตอกกลับให้มันรู้สถานภาพตัวเอง

“อย่างกูไม่ได้ แล้วอย่างไอ้โอ้ตได้ป่าววะ”

เชี่ย จุก …. กว่าเดิมอีกกู !?
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:36:28
หลังจากที่ผมได้ล่วงรู้ความลับแบบแอบๆของเพื่อนทั้ง 2 คน บางทีมันทำให้ผมรู้สึกว่า กูโชคดีหรือโชคร้ายวะ โชคดีตรงที่ว่า เรายังคบกันเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แถมยังซี้ปึ๊กกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะซังกับผม แต่โชคร้ายคงจะเป็นพักหลัง มันมักจะให้ชวนผมไปโน่นมานี่กัน 3 คน เพราะว่า จะทำให้คนอื่นไม่ต้องสงสัย ผมก็เลยต้องทนดูมันอี๋อ๋อกัน 2 คนซะงั้น ….

“เฮ้ย มึงสองคนอ่ะ จะละเลียดแดร่กข้าวกันอีกนานมั้ย บ้านกูอยู่ไกลนะ”

ผมด่าใส่ไอ้สองตัวนั่นที่กำลังนั่งกินสปาเก็ตตี้จานเดียวกัน แต่แมร่ง แดร่กยังไม่ถึงครึ่งจาน วันนี้นัดกันติวหนังสือสอบที่บ้านไอ้คิวคับ สะดวกสุด เพราะว่าอยู่ซอยตรงกันข้ามกับโรงเรียนเลย ส่วนบ้านไอ้ซังไม่สะดวกเพราะว่า ทั้ง อากง อาม่า บลาๆ อยู่กันเต็มบ้าน ส่วนบ้านผมไม่ต้องพูดถึง .. บ้านนอกอ่ะ

“เมิงจารีบไปทำไมวะ บ้านกูก็อยู่แค่นี้ ”ไอ้คิวมันว่า พลางทำท่าใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ แล้วก็อมมันไปทั้งอัน

“สาดด บ้านกูไม่ได้อยู่แถวนี้เหมือนมึงหนิ เด๋วอ่านแป็บเดียวก็หมดเวลา แล้วให้กูเสียเวลามาทำไมฟร่ะ” ผมหวุดหงิดคับ เพราะว่ามันไม่มีท่าทีจะสะทกสะท้าน

“เฮ้ย คิว กูว่ารีบกินเหอะ เกรงใจปริ้นมัน” ซังบอก

“เออ ก็ได้วะคับ …” ไอ้คิวว่า แล้วก็หันไปมองหน้าซัง “ … ที่ร๊ากก”

แล้วมันก็รีบโซ้ย ปล่อยให้ไอ้ซังกะผมหน้าแดง ไอ้ซังมันคงเขิลผมล่ะ แต่ผมนี่ดิ แดงเพราะว่าอิจฉาว้อยยย เหม่ มาหวีตอะไรต่อหน้าต่อตาวะ สาดดดดดดด

พอกินเสร็จ ก็ไปบ้านไอ้คิวคับ มันอยู่กับพ่อมันแค่ 2 คน แม่มันไปมีบ้านใหม่อยู่ต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าบ้านมันจะดูใหญ่ก็ตาม แต่พอเข้ามา ก็แทบที่จะหาที่เดินไม่ได้คับ รกโคตรๆๆๆๆ ไม่รู้ไอ้ซังมันทนมาบ้านนี้ได้ไงวะ

“อ้าว พ่อมึงไม่อยู่เหรอ ผมถามเพราะจะได้ไปหวัดดีก่อน”

“ไม่รู้หว่ะ เด๋วเดินดูก่อน” อ้าว …. พ่อตัวไปไหนก็ไม่รู้

“เออ สงสัยไม่อยู่วะ แต่เด๋วก็คงกลับ เข้ามาๆๆ” ไอ้คิวมันก็เดินนำไปที่ห้องมัน ซึ่งก็แบบว่า กว้างแล้วก็รกน้อยกว่าห้องอื่นพอควร เดินเข้าไป ไอ้ซังก็บ่นเบาๆว่า “รกอีกแระ” อ่อ สงสัยที่มันรกน้อยนี่ ซังมันคงมาจัดให้หลายรอบแล้วล่ะ

“งั้นกรูขออ่านการ์ตูนก่อนนะ พวกเมิงติวกันไปก่อน” ว่าแล้วมันก็โดดขึ้นเตียง แล้วก็อ่านการ์ตูนสบายใจเฉิบ

“ไรวะ ? ”

“เออ ช่างมันเหอะ เดี๋ยวปริ้นติวให้ซัง แล้วเดี๋ยวสอนมันเอง ดีกว่าให้มันมานั่งกวนสมาธิ” ซังมันบอก พร้อมกับที่ไอ้คิวมันยกขึ้นมาถีบตูด

“อือๆ ผมละเซ็ง แล้วก็เดินไปนั่ง กางหนังสือ แล้วก็ บลา บลา บลาๆๆๆ กันไปประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ (กูก็ทรหดเหมือนกันนี่นา) ก็ถึงตาซังมันเก็งข้อสอบเลขให้บ้างแล้ว ผมเหลือบไปมองเห็นไอ้คิวเอาหนังสือวางพาดหน้า สงสัยหลับไปแล้ว ไอ้เลววววว

“ปริ้น ไม่เข้าใจตรงไหนอ่ะ”

“ก็ เกือบหมดอ่ะ ”

“เป็นเล่น !! ”

“เจงๆ ”

“อ้าว แล้วตอนเรียนที่ สวนฯอ่ะ ”

“ก็ไม่รู้เรื่องนั่นแหละ”

“ต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐาน ม 4 เลยอะดิ” ซังมันส่ายหัวคับ แล้วก็ไปค้นๆ หนังสือ ม 4 ของไอ้คิวมาเริ่มติว แบบคนเก่งเลขคับ หลังจากนั้น เวลาผ่านไปเท่าใด ผมก็จำไม่ค่อยได้ แต่รู้ว่ามันนานมากๆ เป็นชาติเศษเลย

“เด๋ว พอก่อน ไม่หวายแล้วววววว” ผมร้อง แล้วก็ฟุบหน้าลงไปกะโต๊ะ

“พึ่งถึงความน่าจะเป็นเองปริ้น อีกเยอะเลยหว่ะ” ซังมันพูดแล้วก็เดินไปหยิบขวดน้ำมาดวดอึ๊กๆๆๆๆ

“เอ้ย ลุกมาต่อเลย เร็วๆ” ซังมันบอก แล้วก็เอามือมาโยกหัวไปมา

“โน่นๆๆ ไปปลุกแฟนตัวเองเหอะ แม่มมม นอนกินแรงคนอื่น” แต่ไอ้ซังมานก็ยังไม่ยอมเลิกเล่นหัวผมซะที

“ผมคิวแม่งแข็งหว่ะ ไม่เหมือนผมปริ้น” มันพูดขึ้นมา ทำเอาผมรู้สึกชอบกล

“อะดิ ก็มานเรียน รด มันก็ต้องตัดผมบ่อยอะ ก็เลยแข็ง ไม่เหมือนปริ้น ไม่ได้เรียนนี่หว่า” ผมตอบแก้เขิน

“แล้วทำไมปริ้นไม่เรียน รด ล่ะ ” พูดไปมันก็เล่นหัวผมไป เมิงจาหาเห็บไรให้กูเหรอไง ไอ้ซัง

“ขี้เกียจอ่ะ ม 4 ก็เรียนนะ แต่พอย้ายมา ก็ขี้เกียจทำเรื่อง ยุ่งยาก”

“เดี๋ยวก็ได้จับใบแดง เหอะๆ ”

“กลัวรายว้า อย่างมากก็เป็นทหาร 2 ปี” ผมว่า แต่บอกตามตรงว่า ยังไม่ได้คิดอะไรไกลถึงขั้นนั้นเลย

“ครืดดดดดดดดดด” เสียงไอ้คิวกรนคับ ซังมันสะดุ้ง เอามือออกจากหัวผม

“ไรว้า กะลังเพลินๆ กลัวแฟนทำโทษเหรอไง” ผมแซวไอ้ซัง

“ไอ้บ้า พูดไรไม่รู้เรื่องวุ้ย มาต่อเหอะ” ซังมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ลากให้ผมกลับลงสู่นรกทางตรรกะศาสตร์อีกหลายรอบ

กู - เกลียด – เลข


* * * * * * * * * * * *

“อืมมมม อืออออ ”

ผมผุดลุกขึ้นมาอีกที ห้องก็มืดตื๋อไปหมด พร้อมกับเสียงฝนตกพร่ำๆ เฮ้ย กูติวเลขจนสลบไปเลยเหรอวะ แล้วมานหายไปไหนกันหมด

พลั้กกกกกกก

ผมพยายามเดินหาสวิตท์เปิดไฟจน ขาไปกระแทกเข้ากับขอบอะไรบางอย่าง เจ็บชิบหายยยย ห้องก็แบบว่าของวางระเกะระกะไปหมด

กี่โมงแล้ววะเนี่ย กูโดนด่าแน่ ผมชักเริ่มกลุ้มจิต เนื่องจากมืดขนาดนี้คงไม่ต่ำกว่าทุ่ม สองทุ่มแล้ว ฝนก็ดันตกอีก จนสายตาพอจะชินกับความมืด ก็คลำไปจนเจอกับลูกบิดประตู ก็เลยถือวิสาสะเดินลงมาด้านล่าง (ห้องไอ้คิวอยู่ชั้น 2 คับ) พอดีกับชายวัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา

สิ่งที่เข้ามาพร้อมกับคน ก็คือกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งเลยคับ หง่ะ

“ครายยยยยยยวะ” เสียงพูดอ้อแอ้ๆ จะคุยรู้เรื่องเหรอวะ ถ้าคิดว่ากูเป็นโจรนี่ซวยแน่

“ปริ้นคับ เป็นเพื่อนคิว คือวั - - -” ผมพูดยังไม่ทันจบ พ่อมันก็สวนขึ้นมา

“อ่ออออออ เพื่อนนนนนนนอ้ายยคิว แลวววนี่มานนนไปอยู่ไหนนนนเนี่ย ปล่อยยให้ อ๊อกกกก” พูดไม่จบ ก็อ๊วกพุ่งเป็นที่น่าสยดสยองยิ่งนัก

แล้วบิดาไอ้คิวก็นั่งฟุบลงไปกะพื้นคับ ผมไม่รู้ทำไง ก็เลยพยายามลากตัวแกเข้ามาในห้องรับแขก แล้วก็วางไว้บนโซฟา ตัวแมร่งใหญ่พอๆกับลูกมันเลย

“เอ้า พ่อ มาตั้งแต่ม่ะไร ”ไอ้คิวมันเดินออกมาจากอีกฟากนึง นุ่งผ้าเช็ดตัวสั้นจู๋ ตัวก็ไม่ยอมเช็ด แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์อะไรกะมันนอกจากอารมณ์เสียคับ ก็เลยด่ามันไปก่อนเลย

“เฮ้ย มึงไปไหนมาวะ ปล่อยให้กูลากพ่อมึงมาเนี่ย แถมอ๊วกอีกตะหาก” ผมกล้าพูดเพราะว่าพ่อมันเมาหลับไปแล้นคับ เหอๆ

“เชี่ยย กรูต้องนั่งเช็ดอ๊วกอีกแล้ว พึ่งอาบน้ำมานะเนี่ย” มันว่า พลางเหล่มาที่ผม

“เฮ้ย มึงไม่ต้องมองมาที่กูเลย พ่อมึงนะ ไม่ใช่พ่อกู” ผมแห้วใส่ ให้ลูกสะใภ้มาเช็ดให้ไป

“ไอ้ซังมันกลับบ้านไปแล้ว ”

“เย้สแม่ม แล้วเสือกให้กูนอนอยู่ได้ ไม่ปลุก” ผมด่าใส่ ทิ้งกูนี่นา

“เออ ก็ฝนมันทำท่าจะตก มันเลยรีบกลับโว้ย มึงก็ไม่ต้องกลับหรอก นอนบ้านกรูก็ได้” คิวมันพูดแล้วก็เดินไปเช็ดอ๊วกพ่อมัน

“ม่ายเอาอ่ะ” ผมรีบพูดระรัว

“กลัวเหี้ยไรวะ ”

“กลัวเหี้ยไรล่ะ ยายกูได้ด่าเปิง ” ผมว่าพลางหยิบโทรสับขึ้นมากะว่าจะโทรไปเช็คสภาพที่บ้านก่อน แต่แบตหมดคับ หมดตอนไหนวะ

“ชิบ .. กูว่าแล้ว ยายกูถึงไม่โทรมาจิก แบตหมด สาดดดดดดด”

“เออ บ้านกรูก็มีโทรสับ ก็ไปโทรดิ ”

“เออ งั้นกูขอยืมก่อน ”

“ยืมแล้วเมิงต้องคืนด้วยนะ”

“สาด ไอ้งก เพราะมึงหล่ะ” ผมฉุน แล้วก็กดโทร ปรากฏว่าเป็นป้าเล็กรับคับ

“นี่มันจะ 2 ทุ่มแล้วนะคะ คุณปริ้นยังไม่ขึ้นรถอีก” ป้าเล็กทำเสียงตำหนิ

“อือ จะกลับแล้วล่ะคับ ”

“เดี๋ยวคะ คุณปริ้น …. ป้าว่าคุณปริ้นค้างบ้านเพื่อนก่อนดีกว่า ฝนตกหนักมากเลยนะ” ผมได้ยินก็เหลือบไปมอง เออ ก็เจง

“แล้วยายจะไม่ว่าเหรอ”

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวป้าเรียนท่านเอง แต่ว่า บ้านเพื่อนคุณปริ้นคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ ”

“ก็.. ดีคับ คิดว่าพ่อเค้าก็คงไม่ว่าอะไรหรอก” ผมพูด แล้วก็คิดภาพพ่อไอ้คิวคงไม่ว่าอะไรจริงๆ เพราะว่า เมาขาดไปแล้ว

“คะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า จะให้โอ้ตไปรับนะ”

“เฮ้ยย ไม่เป็นไรป้า วันอาทิตย์ให้โอ้ตเค้าพักเหอะคับ” ผมละกลัวใจไอ้โอ้ตมันจัง

“เอางั้นเหรอคะ งั้นพรุ่งนี้ก็รีบกลับนะคะ ”

“คับ ขอบคุณคับป้า”

“ว่าไง ตกลงว่าจะนอนบ้านกรูม่ะ” ไอ้คิวเดินปาดเข้ามาทักคับ มันแอบฟังผมคุยแน่ๆ

“สาดด มึงฟังกูคุยโทรสับเหรอ ”

“โห ใช้โทรสับบ้านเค้า แล้วยังมาด่าอีก เด๋วต่อยเลย ”

“เออ นอนๆ ว่าแต่มึงไปอาบน้ำป่ะ เหม็นอ๊วกพ่อมึง ” ผมพูดแล้วก็ทำท่าเอามือปิดจมูก จริงๆก็ไม่ได้เหม็นไรมากหรอก แต่อยากให้มันไปๆซะที

“เออ แม่ง ทำรังเกียจ เด๋วจาโดนเหนี่ยว”


* * * * * * * * * * * *

สรุปแล้วผมก็เลยต้องนอนบ้านมันคับ แถมคืนนี้ฝนตกแบบกระหน่ำสุดๆ นี่ก็ปาไปสี่ทุ่มแล้วนะเนี่ย

“ฮ้าวววววววว”ไอ้คิวหาวเสียงดังบนเตียง ในขณะที่ตอนนี้ผมก็นั่งอยู่บนพื้นข้างล่าง ทำอ่านหนังสือทบทวนไปมา มันไม่มีสมาธิไงบอกไม่ถูก รู้สึกแปลกๆคับ แบบว่าไอ้คิวผมไม่ได้สนิทกับมันเหมือนซังไง นิสัย อะไรหลายๆอย่างมันก็แตกต่าง ที่ผมพอมาสนิทกับมันก็เพราะว่า มันเป็นแฟนไอ้ซัง

“เฮ้ย เลิกอ่านได้แล้ว กรูจานอน ง่วง” มันบอก พลางเอาหมอนปิดหน้า

“เออ มึงนี่ก็ดีเนอะ วันๆ กิน ขี้ ปี้ นอน” ผมกัดมันเล็กน้อยที่ไม่เห็นมันจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่พึ่งเพื่อน โดยเฉพาะไอ้ซังเนี่ย ทำงานงกๆ

“กิน ขี้ แล้ว เหลือ ปี้ ยังไม่ได้ทำวะ” แน่ะกวนส้น

“แหม วันนึง มึงจะทำให้ครบเลยนะ ไอ้คิว … ไม่รู้ไอ้ซังมันคิดไงมาคบกะมึงเนี่ย”

“กรูคงน่ารักมั้ง ” มันพูดอุบอิบอยู่ภายใต้หมอน

“พูดไม่ดูหนังหน้าเลยนะมึงอ่ะ” แสดดด พูดออกมาได้ แทบอ๊วกพุ่ง

ดูเหมือนผมพูดแรงไปป่าวไม่รู้ แต่มันก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินกระแทกเท้าไปปิดไฟ ทั้งๆที่ผมยังนั่งอ่านหนังสืออยู่อ่ะ

“เฮ้ยยยยย กูยังอ่านหนังสืออยู่” ผมตะโกนใส่มัน

“กรูจานอนแล้ว” มันพูดแล้วก็เดินผ่านหน้าผมกระโดดขึ้นเตียง ทีนี้จะทำไรได้อ่ะ เออ นอนก็นอนวะ แปลกมากคับ ผมพึ่งมารู้ตัวว่า มันเกร็งๆยังไงบอกไม่ถูกหลังจากที่ตัวสัมผัสกับที่นอน ไอ้คิวมันเป็นผู้ชาย ที่ชอบผู้ชายนะว้อยยย ในใจผมคิดสับสนวนไปวนมา แล้วก็พลิกตัวหันข้างให้มัน

ตึก ตึก ตึก (ทำไมกูต้องใจเต้นโครมคราม)

……………………. 

………………..

………..

……

….

..


“ปริ้น มึงเสียวมากป่าว” เสียงคิวถามผมพลางรูดเล่นไอ้ตัวเขื่องที่อยู่ด้านล่างด้วยความถนุถนอม

“อือ กูจะไม่ไหวแล้ว ไอ้คิว” ผมว่า พลางเอามือโอบคอไอ้คิวลงมาจูบอย่างรุนแรง

..

……

อึ๊ก อยู่ๆหัวสมองผมก็คิดไปถึงตอนที่ฝันวันก่อน เป็นเชี่ยอารายของเมิงงงฝันอะไรอุบาทย์โว้ยยยย ผมพยายามข่มตาข่มใจให้ฝันตาโดยไว อาจเป็นเพราะว่าผมหลับไปแล้วเมื่อตอนค่ำ ทำให้หนังตามันค้าง

“เป็นเหี้ยไร” พลิกไปพลิกมา เสียงไอ้คิวดังขึ้น

“กูนอนไม่หลับไง สงสัยแปลกที่ ”

“แปลกกลิ่นด้วยป่าว” สาดดด นั่นมันคือสิ่งที่อยู่ในปากมึงแล้ว

“เออ …” ตอบไปแค่นั้นเพราะว่า กูขี้เกียจเถียงกะมึง

“เมิงกลัวกูอะดิ” อ่ะ ถามแบบนี้อีกแระ

“กลัวทำติ่งอะไร”

“อ้าววว ก็กลัวกรูจาฆ่าเมิงงาย ไม่รู้เหรอว่า กรูเห็นนะว่า เมิงสองคนแอบจู๋จี๋อะไรกัน ตอนกรูหลับอ่ะ ”

ผมแอบตกใจนิดหน่อยคับ เฮ้ย มันเห็นเหรอวะ งั้นมันก็ไม่ได้หลับอะดิ ไอ้เวน แล้วตอแหลว่าหลับ

“กูจะกลัวทำไม ไม่ได้ทำห่าอะไรกันซะหน่อย” ผมว่าแต่ก็ไม่ได้หันไปมองหน้ามันหรอก ว่ามันพูดเล่นๆ หรือพูดเอาจริง

“แล้วที่ลูบหัวกันหนุกหนานนั่น” คราวนี้มันทำเสียงเข้มคับ แล้วก็เอามือมาจับหัวผมอ่ะ “ห่ะ ว่าไง”

“กะ กูไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย ไอ้คิว มึงไม่เชื่อใจซังมันเหรอ” ผมเริ่มพูดตะกุกตะกักคับ (แหง่มๆ แอบกลัว)

แล้วคิวมันก็เอาปากมากระซิบใกล้ๆหู

“อย่า ให้ กรู จับ ได้ ล่ะ กัน” โหหหห เสียงแบบมันโหดมากอ่ะ ผมนอนนิ่งอึ้งเลยคับ กลัวเลยล่ะ ด้วยความที่ผมไม่ได้สนิทอะไรมันใกล้ชิดแค่ไหน โอ้วว มันแสดงธาตุแท้ออกมาแล้วเหรอเนี่ย อ้ายเถื่อน

ผมรีบพลิกตัวกลับ กะว่า เมิงเอาไงเอากันวะ สาดด ดูถูกกูแล้วยังดูถูกแฟนตัวเองด้วย แต่พอหันกลับไป ก็เห็นหน้าไอ้คิวมันเหมือนกลั้นหัวเราะอยู่ในความมืด

“555 ไอ้ปริ้นนนนนน เมิงกลัวกรูจริงๆล่วยยย อ้ายตี๋น้อยเอ้ยยยย”

จากหน้าที่เหมือนจะซีดของผม กลับเหมือนแดงสว่างอยู่ในความมืด เอาผ้าห่มคลุมโปง หลบความอายไปในบัดดล ไอ้คิวมันก็รู้ว่าผมบ้าจี้ เลยเอานิ้วจิ้มใหญ่เลย

“เด็กเทบเอ้ย เด็กเทปปป”

“เด็กเทป พ่อ มึงเหอะ สาดดดดดดด” ผมด่ามันทีนึง โอ้ย กูจาหลับได้มั้ยเนี่ย

ไอ้คิวมันขำอีกแป็บนึง แล้วมันก็พูดขึ้นมา

“เฮ้ย ปริ้น เมิงกะซังนี่ มีอะไรคล้ายๆกันเลยวะ เจงๆนะ”

แล้วมันก็ขยับเข้ามากอดผมคับ ดีนะมีผ้าห่มกันอยู่ แต่มันก็ทำให้ผมเหวอแดก

“มะ มากอดกูทำเหี้ยไร”

“ไอ้ซังม่ะอยู่ กรูขอกอดเมิงแทนก่อน แก้หนาว” อะนะ ไอ้หน้าด้านน

“ปล่อยเหอะ กูร้อนจะตายห่า” (กูร้อนใจ เพราะซังมันเผาพริกเผาเกลือให้กูอยู่ป่าวม่ะรู้)

“เมิงก็เอาผ้าห่มออกดิวะ” มันพูดแล้วก็ดึงผ้าออกจากตัวผมไปเลย แล้วมันก็ดึงตัวผมไปกอดอีก คราวนี้ ถึงขั้นประชิดกำแพงเมืองแล้วคับ

“ตอนกรูกอดซังมันครั้งแรกนะ มันก็สั่นแบบนี้หว่ะ” ไหนๆ ใครสั่น กูไม่ได้สั่นว้อยย

“มึงจะเล่นอีกนานม่ะไอ้คิว กูง่วงแล้วนะ” ผมพูดหวังให้มันเลิกแกล้งซะที ผมก็คนนะ มีอารมณ์ๆ

“ม่ะได้เล่นว้อยยยย เออ ไอ้ปริ้น……”

มันจะถามแล้วมันก็เงียบไปคับ ว้าโว้ย จะพูดไม่พูด อึดอัดหว่ะ

“เงียบทำซอกตึกอะไร จะพูดไรก็พูด กูจะนอนแล้ว”

เหมือนมันกอดผมแน่นขึ้น แล้วก็ถามว่า “มึงเคยมีอะไรกะใครมั่งยังวะ ? ”

อ้า ไอ้นี่ดูถูก … มีเหรอที่กูจะเคยมี 555

“ไม่เคยอ่ะ ถามไมวะ”

“ป้าว ก็กรูเห็นว่าเด็กกรุงเทพ แมร่ง มีเมียกันตั้งแต่ ม ต้น” มันบอกงุบงิบ เมิงอายเหรอ เมิงอายใช่มั้ยไอ้คิววววว

“เออออ ถ้ารีบมีแล้วสมองกูมันดีขึ้น หรือว่าจะทำให้กูเรียนเก่งขึ้น กูก็อยากมีหว่ะ … แต่แมร่งเพื่อนกูแต่ละคน มีแฟนแล้ว ก็ทำตัวงี่เง่า กูว่ากูรอให้พร้อมก่อนดีกว่า ค่อยมี กูไม่รีบ (เหมือนมึง) ” ผมพูดแบบแอบประชดมันตอนท้าย

“อ้าว แล้วงี้เวลาเมิงหงี่ขึ้นมา ทำไงอ่ะ”

“ถามเหี้ยไรวะ พูดเหมือนมึงเป็นเด็กสามขวบ” คราวนี้มันก็เงียบอีกแล้วคับ แต่มันก็หน้าด้านไม่ยอมปล่อยตัวผมนะ ทำไงดีวะ

“ไอ้ปริ้น …..” เฮ้ย ทำไมมันเสียงแปร่งๆ สิ้นเสียงมันก็เอาหน้ามาไซร้ที่หลังคอผมคับ

“คิว มึงจะทำอะไร” ผมยังพูดแบบใจดีสู้เสือคับ แต่มันก็ไม่ยอมหยุด มือมันก็พยายามจะพลิกตัวให้ผมนอนหงายให้ได้เลย

“ไอ้คิว กูถามว่ามึงจะทำอะไร” ผมถามรอบสอง แต่คราวนี้ เสียงแบบสั่นอย่างเห็นได้ชัด ยอมรับคับ ว่าไอ้คิวนี่ ไซร้าแบบโคตรเซียน แถมไรหนวดของมันที่คาดว่าพึ่งโกนมาหมาดๆ ถูเนื้อกับเนื้อ โอ้ว พระเจ้าจอร์จ น้ำจาแตกให้ได้เลยทีเดียว

ตอนนี้ผมโดนพลิกให้นอนหงาย สายตาประสานกันปิ๊งๆ ผมหวั่นไหวมากคับ หวั่นไหวจนเกือบเผลอตัวเองไป
ผมกลั้นใจถามครั้งสุดท้ายคับ ในขณะที่มันค่อยๆเริ่มไซร้ที่ใบหน้า

“คิว ซังมันไม่ผิดอะไรนะ .. อย่าให้มันต้องมาเสียใจเพราะแค่ …. มึงเจอคนที่คล้ายมันแค่นั้น”

ได้ผลคับ ไอ้คิวหยุดกึกเลย มันหยุดค้างอยู่แบบนั้นนานพักใหญ่เลยล่ะ แล้วมันก็ค่อยๆถอยกลับไปนอนข้างๆเหมือนเดิม มือข้างนึงยังคงโอบตัวผมไว้อยู่

“ปริ้น ….. ”

“เออ นึกถึงเมียได้ หายเงี่ยนแล้วดิมึง” ผมแซวมัน ในใจบางส่วน ผมรู้สึกเสียดายเล็กๆนะ (ฮา)

“กรูขอบใจเมิงนะ” ไอ้คิวพูดเขินๆ

“ไม่เป็นไร กูรู้ว่ากูน่ารักจน มึงห้ามใจไม่ไหว 555”

“สัดนี่ ชมตัวเอง 555” มันก็ร่วมหัวเราะไปด้วยคับ “… อือ กรูขอโทดเมิงด้วยนะ ที่ดันไม่เชื่อใจเมิง ”

มันพูดไปก็เอามือมันเขี่ยวนที่หน้าผมไปด้วย ส้นตรีนหนิ เห็นหน้ากูเป็นไรฟร่ะ

“เออ .. ไม่เป็นไร แต่ไอ้ซังมานก็น่ารักนะ” ผมพูดแบบหื่นๆ ไอ้คิวหันมาจ้องผมเขม็งเลยคับ เหอๆ

“ปากเด ”

“แน่นอนอ่ะ ”ผมบอก แล้วก็ทำหน้ากวนตรีนหน่อยๆ

“แม่มมม ไหนนะที่ว่าดีอ่ะ” พูดจบมันก็เอาปากมันมาจ๊วบที่ปากผมคับ แบบว่าไวมากๆ แล้วก็ถอนออกไป

“555 ปากเมิงเสียความบริสุดให้กรูแล้ว ไอ้ปริ้น ….. เออ กรูเชื่อแล้วล่ะ ว่าเมิงอ่ะ น่ารักกว่าไอ้ซัง 555 ”

จ๊ากกกก จูบแรกช๊านนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:36:57
…… จะเอาดวงใจฉัน ค้นใจ เธอ ให้เจอสิ่งที่เธอ นั้น เก็บ ไว้
ถ้าเธอมีคำนั้นไว้ในใจ เธอทำไมไม่พูดมันออกมา

เสียงเพลงดังแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นคิวมันนอนคว่ำหลับตาฟังเพลงอยู่

…… ฉันรู้เหมือนที่เธอรู้ ว่าความรัก ต้องใช้วันเวลา
ไม่ห่วง ว่าจะนานเพียงไหน พอเพียงได้ใจที่เธอให้มา

อ้ายเถื่อนเอ้ย ไม่อยากเชื่อเลยว่ามึงจะฟังเพลงแนวนี้ได้ ผมนอนคิดอยู่ในใจ พร้อมกับอมยิ้มอยู่ในที แหม ก็ตรงข้างหน้าเรา มีไอ้เถื่อนนอนหลับตา ฟังเพลงอยู่แบบเคลิบเคลิ้ม เป็นภาพที่หาดูได้ยากเจงๆ

มองเพลินๆ จนเพลงจบ ไอ้คิวดันเสือกลืมตาขึ้นมาเปลี่ยนเพลง ผมก็แกล้งฟอร์มหลับ

เพี้ยะ …!? ง่า มันตบหน้าผมเบาๆ แต่เสียงเน้นๆ

“เหี้ย …. ตบหน้ากู” ผมค่อยลืมตามาด่ามัน

“มาแอบมองหน้ากรูนะ เด๋วเหอะกรูจับปล้ำหรอก ไอ้นี่” มันว่าพลางเอามือเอื้อมไปกดเปลี่ยนเพลง แล้วมันก็ทะลึ่งตัวมาขึ้นคร่อมแบบไม่ทันตั้งตัว

“ไอ้คิว มึงงงงง กูไม่เล่นนนนนนนน”

แต่มันก็ไม่ฟังเหี้ยไรเลย จับมือผมกางสองข้าง แล้วก็ก้มมาดูดคอผมดังจ๊วบๆ เจ็บนะไม่ได้เสียวเลย

“เหี้ยยยย กูเจ็บบ” ผมด่ามันแล้วก็เอาเท้าไปหนีบKมันคับ

“โอ้ยยยยย ปล่อยไอ้ปริ้นนนน” ได้ผลคับ มันเงยหน้าขึ้นมาหน้าเขียวเลย ผมได้ทีก็ผลักมันตกเตียงเสียงดังโครม 555 มาเล่นกะกู เด๋วเหอะ

“เล่นเหี้ยไรไม่รู้จักกาลเทศะ เด๋วเหอะมึง หมันแดก” ผมลุกขึ้นบ่น แล้วก็เดินอ้อยสร้อยเข้าไปในห้องน้ำ

“คิว กูขอแปรงด้วย” ผมลืมไปเมื่อคืนก็ไม่ได้แปรงฟัน ซกมกมากกู

“คิว กูขอยืมเสื้อด้วย ”

“คิว พ่อมึง!! เอากางเกงมาให้กูด้วยดิ สัด”

“เออ เกงในกูไม่เอาอ่ะ ”

แต่งตัวเสร็จ ผมก็รีบเก็บเสื้อผ้า แล้วก็หนังสือ ใส่เป้ทันที เพราะเหลือบดูนาฬิกามันจะเก้าโมงเช้าแล้ว ไอ้คิวมันก็เดินเข้ามาในห้องพอดี

“จารีบไปไหนเนี่ย ยังไงเมิงก็โดนด่าอยู่แล้วล่ะ อย่าเครียด” มันยักคิ้วหลิวตาให้ผม แมร่ง ……

“เอาเหอะ เพราะมึงอะล่ะ” ผมแห้วใส่ แล้วก็เดินไปกระแทกมัน แล้วก็เดินลงมาข้างล่างก็ปรากฏว่า เห็นซังกับ กับ กับ โอ้ตมานั่งรออยู่ในห้องรับแขกคับ

“เมิงนี่ดีเนอะ มีคนมารับมาส่ง” ไอ้คิวมันเดินมาประกบผมด้านหลัง แล้วก็กอดคอทำเดินลงมาคับ โหยย ซังมันก็มองผมแปลกๆ แต่โอ้ตนี่ดิ ผมแทบไม่มองหน้ามันอ่ะ ว่าแต่ทำไมผมต้องกลัวมันด้วยล่ะนี่

“โทดที เมื่อวานเรารีบกลับ เลยไม่ได้ปลุกปริ้น” ซังมันบอก ผมก็เออออ

“เออ ไม่เป็นไรหรอก ฝนตกหนักด้วยอ่ะ ถึงจะกลับก็ .. ก็คงกลับไม่ได้มั้ง” ผมบอกซัง แต่ใจจริงต้องการพูดให้โอ้ตมันได้ยินว่า กูมีเหตุผลนะว้อยยยย ที่ต้องค้างเนี่ย

“ม่ะเช้าพี่โอ้ตโทรมาหา ให้ช่วยพามารับปริ้นที่นี่” ซังมันรีบอธิบายให้ไอ้คิวกับผมเข้าใจ

“พวกมึงจากินไรกันก่อนป่ะ” คิวมันพูดขึ้นมา แบบว่ามันไม่ค่อยเคารพโอ้ตเลยอ่ะ ทั้งๆที่เป็นรุ่นพี่มัน (รู้ทีหลังว่า โอ้ตเนี่ย มันเป็นประธาน นร ก็เลยต้องคอยดูแล ควบคุมไอ้พวกเด็กเลวๆ ที่ทำตัวไม่ค่อยดี และไอ้คิวก็เป็นหนึ่งใน แบล็กลิส ก็เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้ากัน)

ยังไม่ทันบอกอะไร โอ้ตมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านคิวเลยคับ โห .. ท่าจะแย่แล้วกู

“งั้นกลับก่อนล่ะกัน” ผมว่า แล้วก็แบกเป้วิ่งตามไอ้ขี้งอนโอ้ตไปห่างๆ พอถึงรถมันก็ปิดประตูเสียงดังเลยอ่ะ ผมก็กล้าๆกลัวๆ นั่งยังไม่ทันจะปิดประตูดี ไอ้โอ้ตมันก็เร่งเครื่องคับ แต่ยังไม่ออกรถหรอก ประมาณว่า เร่งผมว่าให้ทำไรไวๆหน่อย

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมกลัวโอ้ตมันคับ หลังจากที่ครั้งแรก มันจับได้เรื่องแอบสูบบุหรี่ แต่ครั้งนี้ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนะ แต่ผมกลัวว่ามันเข้าใจอะไรผิดไม่รู้

“โอ้ต” ผมเริ่มแย้บๆ เรียกชื่อ

“………..”

แล้วมันก็เหยียบเพิ่มสปีดความเร็วรถเข้าไปอีก

“เออ จริงๆก็แบบว่า …”

“จริงๆ ม่ะคืนก็บอกยายแล้วนะ ว่าไม่ต้องให้มารับก็ได้ คือ - - -” ผมกะลังจะบอกว่า ไม่อยากรบกวนโอ้ต มันก็เหยียบเบรกซะหน้าหงาย โชคดีนะผมคาดเบลไว้

“เฮ้ยย เป็นไรเนี่ย” ผมโกดขึ้นมาเลยคับ แมร่ง เบรกหัวกูทิ่มเรย

“ไม่พอใจอะไรก็บอกดิ นั่งบื้ออยู่ได้” ผมฉุนคับ โอ้ตมานชอบทำตัวแบบ พอไม่พอใจก็อะไรก็ไม่พูด แต่ชอบแสดงความไม่พอใจแบบอื่นออกมา แบบนี้มันน่ารำคาญหว่ะ เบื่อพวกชอบประชด -*-

“ทำไมต้องชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” นั่นเป็นคำแรกที๋โอ้ตมันพูดกับผม แต่มันไม่ได้พูดธรรมดาๆนะ แต่มันเป็นเสียงคำรามคับ

“อ้าว - -” ผมจะพูดต่อแต่นึกคำพูดไม่ออกคับ แต่ก็นึกไปว่า แค่ไปค้างบ้านเพื่อนแค่นี้ มันจะเป็นไรมากมายวะ

“รู้ว่าแบตฯมือถือหมดก็ไม่เอาที่ชาร์ตไป” มันพูดต่อ

“แล้วใครจะไปรู้วะ ว่ามันจะหมด ไม่ได้ตั้งใจจะค้างบ้านมันซะหน่อย” ผมก็เถียงกลับคับ เดือดเหมือนกันนะ ถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะผิดก็เหอะ แต่ก็ไม่เห็นต้องมาโกดกูอะไรมากมายขนาดนี้หนิ

“ก็รู้ว่าหน้าฝน ก็ยังไม่รีบกลับอีก เมื่อแต่เออระเหยอยู่นั่น” มันหันหน้ามาด่าผมต่อ ขับรถก็เร็วขึ้นทุกครั้งที่มันพูด

“ .. ก็แค่มาค้างบ้านเพื่อนมันผิดอะไรมากมายขนาดนั้นวะ”

“แน่ใจ ว่าแค่ค้าง ? ” เสียงมันอ่อนลง แต่ชัดเจน

“เออซิ จะให้ทำอะไรกันวะ”

ไอ้โอ้ตมันก็หันมามองหน้าผม แล้วก็ล้วงมือไปควานหาอะไรบางอย่างตรงคอนโซล แล้วก็โยนกระจกมาให้

“แล้วไอ้ตรงคอมันรอยยุงกัดเหรอ ?! ”

อ่า ผมเถียงไม่ออกเลยคับ ซีดเลย แล้วก็รีบคว้ากระจกขึ้นมาเบิ่ง ก็ปรากฏว่า ตรงคอมันเป็นรอยคล้ำๆอะคับ ด้วยความที่ผมผิวขาวไง ก็เลยเห็นเป็นรอยค่อนข้างชัด

“อ่า …”เสียงออกมาแค่นั้นคับ แล้วก็แก้ตัวไม่ถูกจริงๆ

“คะ คิดบ้าไรอยู่เนี่ย สงสัยว่าเราจะไปมีไรกะไอ้คิวมันเนี่ยนะ ? ”

“จะไปรู้เรอะ !!! ” มันพูดเสียงกระแทก

ตอนนี้คับ เรื่องที่ผมกลัว มันเป็นแล้วจริงๆ ตอนแรกก็แค่คิดว่าโอ้ตมันคงเป็นห่วงเฉยๆ ถ้าแค่อธิบายความจริงไป มันก็คงหาย แต่นี่ รอยไอ้คิวที่มันแกล้งผมเมื่อเช้า ทำให้ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบายให้มันฟังตั้งแต่ตอนไหนดี

“เราไม่ได้มีอะไรกะไอ้คิวมันจริงๆ” ผมตอบตามความจริง เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว

“จะบอกว่าแกล้งกันเล่นๆซิ” โอ้ตมันพูดประชด

“อืม ใช่ ”

“หึ ”

“ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้น”

“เสียงไง” มันทำเสียงเย็นชามากๆๆๆๆ

“โธ่เอ้ย ทำยังไงถึงจะยอมเชื่อวะ ว่าไม่ได้เป็นแบบที่โอ้ตคิดอ่ะ ”

โอ้ตมันก็หันมามองหน้าแบบผู้ใหญ่จับผิดเด็กได้คับ

“ก็เชื่อแล้วไง ปริ้นพูดอะไรมา โอ้ตก็เชื่อหมดล่ะ” มันตอบ โห ประชดกูอย่างแรงงงง

ผมก็รู้สึกไม่ไหวแล้วอ่ะ เคยรู้สึกป่าวคับว่า เวลาที่เราโดนเข้าใจผิด โดยเฉพาะคนที่เรารัก เข้าใจเราผิด แล้วสถานการณ์แวดล้อมมันก็เอื้อให้เค้าเข้าใจไปแบบนั้นจริงๆ แล้วเราก็ไม่สามารถอธิบายอะไรใดๆได้เลย มันโคตรทรมานเลยคับ

ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มันไม่ได้โกรธโอ้ตนะที่เข้าใจไปแบบนั้น ก็เลยหันหน้าไปทางหน้าต่าง

“เออ เรามันก็เหี้ยแบบนี้ล่ะ - - -” ผมพูดไปเสียงสั่นๆ

“- - - แต่ถึงเหี้ยยังไง เราก็ไม่เคยคิดจะไปแย่งแฟนเพื่อน จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ”

“…………….”

“ถ้าใช้ชั่วคราว ก็คงทำได้มั้ง ”

เสียงโอ้ตพูดขึ้นมา มันไม่ได้ดังอะไรหรอก แต่ผมได้ยิน แล้วมันก็ดังที่สุดเท่าที่โอ้ตเคยพูดให้ผมได้ยิน มันไม่ได้ดังเข้ามาผ่านแค่หูอย่างเดียว แต่มันดังเข้ามาในหัวสมอง แล้วมันก็ดังเข้ามาในใจของผมด้วย

น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเจ็บแบบบอกไม่ถูก เจ็บจนไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะเถียงอะไร ผมได้แต่นั่งหันข้างให้กับโอ้ต มองไปนอกหน้าต่าง โอ้ตมันไม่เชื่อเราก็ไม่เห็นต้องแคร์นี่หว่า ไม่ต้องไปแคร์มัน แต่ทำไมน้ำตากูต้องไหลแบบนี้วะ

เสียงข้างในหัวใจผม มันตอบความจริงอะไรบางอย่างออกมา ภาพที่ผมเล่นหัวอยู่กับไอ้อ้นที่โรงเรียนเก่า ภาพที่ผมนอนอยู่ข้างมัน ในช่วงที่ไปค้างที่หอ มันรู้สึกอบอุ่น ภาพที่ผมเห็นไอ้คิวกำลังจูบกับซัง มันทำผมรู้สึกหวิวๆ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่รู้สึกชอบด้วยซ้ำ ภาพไอ้คิวที่ขึ้นอยู่บนตัวผม แล้วค่อยๆไซร้ซอกคอ แทนที่จะรู้สึกรังเกียจ แต่ผมกลับรู้สึกชอบ จนเกือบห้ามใจไม่ได้ จนภาพสุดท้ายที่คิดออกมา โอ้ตกำลังขยี้หัวผม ภาพโอ้ตกอดคอผมเดินเล่นไปทั่วห้าง ภาพโอ้ตยิ้มให้ตอนที่มันเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างบนรถเมล์

ผมคงเป็นแบบเดียวกับไอ้คิว ไอ้ซัง และ …. และผมก็คงชอบไอ้โอ้ตเข้าแล้ว ถึงกลัว … กลัวมันจะเข้าใจผิด แล้วก็เสียใจที่มันพูดแบบนี้กับผม มันไม่เคยเชื่อใจผมเลยใช่ป่าว เสียงหัวใจผมบอกแบบนั้น มันชัดเจนขึ้นจนถึงตอนนี้

ผมพยายามคุมเสียงไว้ให้เป็นแบบเดิม ผมไม่ต้องการให้โอ้ตมันรู้ว่าผมเสียใจแค่ไหนที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น ผมจะปล่อยให้มันเข้าใจว่า ผมเหี้ยแบบนั้นล่ะ แล้วผมก็พูดขึ้นมาจนได้

“โอ้ต …. เราเกลียดนาย !? ”

ผมพูดออกไป โดยที่ไม่ยอมหันไปมองหน้าโอ้ต ซึ่งก็เงียบไปจนตลอดทางกลับถึงบ้าน

************************************************************************************************************************
************************************************************************************************************************
ความมึนตึงของผมกับโอ้ตไม่มีท่าทีที่จะผ่อนคลายลง บนโต๊ะกินข้าว ต่างคนก็ต่างกิน ไม่มีใครปริปากพูดซักคำ
มันอาจจะดีแล้วก็ได้ที่เป็นแบบนี้ มันจะได้ทำให้ผมไม่ไขว้เขว ผมกลับเข้ามาในห้องนอน เตรียมยกหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนจะสอบพรุ่งนี้ และเพื่อจะลืมๆอะไรที่เกิดขึ้นด้วย

“โหล ว่าไงไอ้ปริ้น หายหน้าไปเลยนะมึง” เสียงไอ้อ้นรับโทรสับผมคับ

“อืม ก็ยุ่งๆอยู่” ผมตอบเสียงไม่สู้ดีนัก

“มึงเป็นไรวะ”

“เหงาหว่ะ” ผมบอก อารมณ์ตอนนี้เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง ไม่รู้จะคุยกับใคร รอบๆตัวตอนนี้ไม่มีใครให้ผมคุยได้ซักคน

“เหงาเหี้ยไร มึงหายไปเป็นชาติ อยู่ๆมึงก็มาบอกว่าเหงาเนี่ยนะ” ไอ้อ้นมันหัวเราะแล้วก็ด่าผม

ผมก็หัวเราะแฮะๆ มันรู้ล่ะคับ ว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ แต่มันก็ไม่คาดคั้นที่จะถาม มันก็ชวนผมคุยโน่นคุยนี่ คุยเรื่องเพื่อนเก่า ทำให้ผมยิ่งโคตรคิดถึงบรรยากาศที่สวนฯมากเลย

“กูว่ากูสอบเสร็จคงจะขึ้นกรุงเทพวะ”

“เจงดิ เออดีๆ ไม่ได้เจอมึงตั้งนานแระ กี่เดือนวะ ”

3 เดือน ไรวะแค่นี้จำไม่ได้”

“ไอ้ห่า ใครจะมานั่งนับวันคืน แล้วตกลงมึงขึ้นมาแน่ป่าว กูจะได้บอกพวก”

“เออ ขึ้นดิ อาทิตย์นี้กูสอบ เด๋วกูขึ้นวันเสาร์นี้แหละ”

หลังจากนั้นมันก็เล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่ผมห่างหายจากพวกมัน ฟังแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นคับ อยากกลับไปเรียนที่เดิมจังว้อยยยยย

“เออ สงสัยกูต้องนอนก่อนแล้ว เด๋วพรุ่งนี้กูไม่ตื่น” ผมว่าพลางหาวหวอด

“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ เนี่ยมึงไม่อยู่พวกกูตกกันระนาว สอบกลางภาคอ่ะ”

“555 มึงก็ตั้งใจเรียนหน่อยเด๊ะ ”

“สัด.. ไปนอนไป แล้ว มึงขึ้นมาก็โทรมาหากูละกัน”

“เออ ขอบใจมึงหว่ะ ”

“แล้วมึงมีเหี้ยไรก็บอกกูนะ” มันพูดย้ำขึ้นมาแบบรู้ทัน สมกับเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้ง สาม สี่ปีจริงๆ ไม่เหมือนคนบางคนที่พึ่งรู้จักกันแค่สามเดือน จะมาเข้าใจอะไรล่ะ ผมคิดประชดหน่อยๆ ก่อนที่จะปิดหนังสือที่ว่าจะอ่าน พร้อมกับผลอยหลับไปด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น 10%


* * * * * * * * * * * *

พอมาตอนเช้า ผมก็ไม่ลังเลที่จะรอโอ้ตคับ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่รู้สึกอยากเจอหน้า ไม่อยากคุยอะไรคับ ไม่อยากจะต้องทนดูสายตาของคนที่ไม่เคยเชื่อใจผม

“เฮ้ย ถึงว่าวันนี้ฝนตกแต่เช้า ไอ้ปริ้นมา รร เร็ววะ ” ไอ้โป้งเพื่อนที่ห้องแซว เมื่อเห็นผมมาถึงรร ยังไม่ เจ็ดโมงครึ่งเลย ซึ่งก็เป็นการดี เพราะว่าละอองฝนเริ่มร่วงโปรยปรายลงมา จากนั้นพอถึงเวลาเข้าห้องสอบ ฝนก็ตกลงมาไม่ขาดสาย และด้วยความที่วิชาเลขเป็นวิชาที่ผมโง่มากอย่างที่ได้เกริ่นๆไปแล้ว ผมก็เลยออกแมร่งเกือบคนแรกเลย (ไอ้คิวออกก่อนคนแรก) ข้อดีของการออกก่อน จะได้มีเวลาอ่านวิชาต่อไปไง หุหุ

- เฮ้อ ป่านนี้ไอ้โอ้ตมันจะทำอะไรอยู่น้า มันจะทำข้อสอบได้ป่าว …. มันคงจะทำได้ล่ะ มันเก่งจะตาย ไม่โง่เหมือนเรา -

“ไงที่รัก ทำเสร็จเร็วเจง” เสียงไอ้คิวมันเรียกผมว่าอะไรนะ ?

“ที่รักพ่องมึงดิ” ผมทำหน้าถมึงทึงใส่มัน ไอ้นี่มันเล่นไม่เลิกแฮะ ถ้าซังมันมาได้ยินเข้าจะว่าไงวะ กูโดนโกดอีกคนดิ

“โฮ่ กรูแค่พูดเล่นแค่ - - ”

“กูไม่อยากเล่นกะมึง” ผมยื่นคำขาด พร้อมกับเดินไปนั่งห่างจากมัน ซึ่งก็เป็นเวลาที่เพื่อนส่วนมากทำข้อสอบเสร็จแล้ว ไอ้คิวมันก็ไม่เดินตามมาคับ ซักพัก ซังมันก็ออกมาซะที ทำหน้าเครียดไงม่ะรู้ ผมก็ชักหวั่นใจนิดหน่อย เพราะถ้าโอ้ตมันเห็นรอยรักที่ไอ้คิวมันทำไว้กับผม ซังมันก็น่าจะเห็นเหมือนกัน

ไอ้คิวมันเดินไปแซวคนโน้นที แกล้งคนนี้ที ตามนิสัยสันดานๆของมัน แล้วก็เดินไปกระซิบกระซาบอะไรกะซังซักอย่าง โธ่ กูก็แอบดูมันอยู่ได้ หนังสือกูทำมายไม่อ่านว้า -*-

“ว่าไงปริ้น” ซังเดินมาทักด้วยสีเครียดยิ่งกว่าเดิม เอาแล้วดิ

“อือ” ผมตอบไม่เต็มปากเต็มคำ ทั้งๆที่กูก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า แบบว่ากลัวไปก่อน

“ทำได้มั่งป่าว ”

“อือ ก็ไม่ได้อะดิ ออกมาก่อนเห็นป่าว” ผมพูดอ้อมแอ่ม เพราะว่ามันก็เป็นคนติวให้ผมเองวันที่เกิดเรื่อง

“ตอนติวให้นี่ ใจลอยไปอยู่ไหนอะดิ” ซังมันถามแต่หน้าตาก็ปกติๆ

“จะลอยไปไหนว้า พูดไรแปลกๆไอ้นี่” ผมว่า พลางยกหนังสือขึ้นมาปิดหน้า (ทำแบบนี้มันมีพิรุจชัดๆ)

ซังมันก็เอามือมาจับหนังสือออกไป

“เรามีเรื่องอยากคุยกะปริ้นอะ” มันพูดขึ้นมา แล้วก็เดินนำผมไปตรงทางเชื่อมระหว่างอาคาร 1 กะ อาคาร 2 ซึ่งมันก็ไม่มีคนอยู่แถวนั้น ผมก็ก้มมองเวลาคับ เหลือเวลาอีก ประมาณ 15 นาทีกว่าจะเริ่มสอบวิชาต่อไป หันไปหาไอ้คิว มันก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยซังมันคงอยากจะคุยเรื่องคืนนั้นแน่ๆ ช่างมานเว้ย อะไรมันจะเกิดก็เกิด กูไม่ผิดนี่หว่า ผมคิดปลอบใจตัวเอง อีกใจนึงก็รู้สึกมีอารมณ์โกรธขึ้นมานิดๆ

“ว่าไง มีอาไรเหรอ” ผมถามแบบหงุดหงิด

“ซังจะคุยเรื่องคิวกับปริ้นอ่ะ จริงๆแล้ว - - -” มันก็ก้มหน้าลงไป ดูหน้ามันออกสีแดงๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ งั้นเด๋วผมพูดเองเลยล่ะกัน

“ซังจะคิดว่า ปริ้นมีอะไรกะคิวคืนนั้นใช่ป่ะ ? คิดแบบนี้เหมือนกันอะดิ - - -” ผมตอบเสียงกระแทกกระทั้น

“- - - ถ้าซังคิดว่าปริ้นเป็นคนแบบนั้น ซังก็ต่อยหน้าปริ้นตรงนี้เลยซิวะ ให้เค้ารู้ความเลวไปทั่วก็ดีเหมือนกัน” ผมพูดชักเสียงสั่นเองคับ ทั้งมะโหทั้งน้อยใจ

“เง้ยย ปริ้นใจเย็นก่อนได้ป่าว พูดค่อยๆดิ” ซังมันก็ทำเสียงจุ๊ปาก โหยไอ้ซังกูไม่ค่อยแล้ววววว โชคดีนะ ที่ฝนมันตกเสียงเลยกลบไปหมด

“ซังยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ซังเชื่อใจเพื่อนน่า” มันพูดแล้วก็ยิ้มเขิลๆ

“ซังเชื่อใจคิวมันด้วย” (โหยมึงเชื่อมัน แต่มันเกือบปล้ำกูนะ)

เพล้ง !!! เสียงหน้าผมแตกเล็กๆ ก็เลยใช้วิธีการหันหน้าไปทางอื่นกันซังมันเห็นรอยแตกที่ใบหน้า

“เออ งะ งั้น กูก็ร้อนตัวไปเองล่ะ ”

“โถ โถ อย่าพึ่งน้อยใจไปดิ หันมานี่” มันพูดแล้วก็เอื้อมมาจับหัวให้หันไปทางมัน

“ที่จะคุยเรื่องนี้เนี่ย คือคิวมันอยากจะขอโทดปริ้นที่มันทำคืนนั้นอ่ะ แต่มันไม่กล้าบอกปริ้นเอง เข้าใจ๋ ”ซังมันบอกด้วยท่าทีปกติมากๆ

“อ้าววววว” ผมแปลกใจคับ คิวมันเล่าเรื่องแบบนั้นที่มันทำกะผมแบบนั้นกะซังด้วยเหรอเนี่ย

“แล้วซังไม่โกรธมันบ้างเหรอไง ที่มันทำแบบนั้น” ผมถาม ซังมันจะใจกว้างไปเหรอป่าว

“โกรธดิ ตอนที่มันเล่าให้ฟังตอนแรกน่ะ” สีหน้าซังเปลี่ยนคับ แต่แค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง “- - - แต่ก็ …. ไม่เป็นไรหรอก คนเรามันทำพลาดกันได้หนิ แล้วอีกอย่าง มันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก ….” เสียงมันกลายเป็นเสียงกระซิบไปแล้ว

“จูบ ไม่ใช่เหรอ ? ”

“อ่า” คราวนี้กลายเป็นผมที่หน้าแดงซ่านไปแทนคับ

“ม่ะ ม่ะ ม่ะ ช่ายยย แค่ปากแตะปากเอง ไม่ได้จูบ” ผมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“555 เขินซะงั้นอ่ะปริ้น ไม่เคยเหรอ ? ” เอ้ามันถามอะไรนิ

ผมก็กระซิบตอบมันบ้าง

“จะเคยได้ไงฟะ”

“ฮืมมมมมม มันทำเสียงไม่ค่อยเชื่อผมคับ รอดมาได้ไงเนี่ย ”

“เอาเหอะๆ ไปสอบป่ะป่ะ” วุ้ย แทนที่จะเอาเวลามาทบทวน ดันมาคุยเรื่องไรนี่ ไม่หวายๆ

“แล้วทะเลาะกับพี่โอ้ตเหรอ” เสียงซังถาม ทำเอาผมแทบสะดุดขาตัวเองล้ม

“ป่าว” แต่เสียงผมเข้มขึ้นมาเฉียบพลัน

“พี่โอ้ตก็คง เออ .. หวงปริ้นอ่ะแหละ อย่าโกรธพี่แกเลย” ซังมันว่า ผมมีความรู้สึกว่า มันเลือกที่จะพูดคำว่า หวง มากกว่าคำว่า หึง

“เออ ช่างเค้าเหอะ งี่เง่า” ผมรอโอกาสที่จะด่าโอ้ตอ่ะคับ เพราะไม่รู้จะด่ามันในทางไหนดี

“อ้าว ไหนว่าไม่ได้โกรธกันไง” เสียงซังมันพูดแบบตำหนิผม

อึ๊ก …

“โอ้ตมันคงปากดีไปเล่าให้ซังฟังอะดิ” ผมเริ่มพาลใส่ไอ้โอ้ต

ซังมันก็สั่นหน้า “พี่โอ้ตไม่ได้โทรมาหรือว่ามาเล่าอะไรให้ซังฟังหรอก แค่เดาสถานการณ์อ่ะ ”

อุ๊ก …

“ไปสอบเหอะ อีกสองนาทีจะเข้าห้องสอบแล้ว” ผมว่า พลางเดินไป ผมไม่อยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไอ้โอ้ตมันแล้วคับ ไม่ว่ามันจะคิดอะไรยังไงก็เหอะ

ซังมันก็เดินตามมา

“ปริ้น .. พี่โอ้ตอะ เค้าห่วงนายมากรู้ป่าว กะคนอื่นอะ- - จริงๆแล้ว เค้าไม่เคยทำแคร์ใครเท่าปริ้นเลย รู้ป่าว เรารู้จักเค้าดี ” ซังมันก็เดินพูดไป เสียงก็หอบไป เพราะว่าตัวมันเล็กกว่าผม จังหว่ะการเดินก้าวมันก็ต้องซอยถี่กว่าผม

หงุดหงิดคับ หงุดหงิด ความริษยามันพุ่งปี้ดๆ กับคำสุดท้ายที่ซังมันพูด ผมคิดได้ทีหลังว่า มันก็คงไม่ได้ตั้งใจจะพูดในลักษณะนั้นหรอก แต่…..

“เออซิ เรามันไม่รู้จักไอ้พี่โอ้ตดี เท่านายหรอก ”

ผมตระหนักดีว่าผมพลาดคับ ไม่น่าจะพูดแบบนั้นออกไปกับซังที่มันหวังดีกับผมเอง แล้วก็กับโอ้ต สีหน้าตอนที่มันได้ยิน ดูสลดไปเล็กน้อย แล้วก็ดูเหวอๆด้วยล่ะ ตอนนั้นผมกลับรู้สึกสะใจอยู่เล็กๆ ทำไมวะ กูจะสะใจทำไม หรือว่ากูทนไม่ได้ที่เห็นซังมันสนิทกับโอ้ตเหรอ ?

ผมเดินปึงๆ เลี้ยวเข้าไปในห้องสอบ

“เฮ้ย เป็นไง คุยกันเป็นไง” ไอ้คิวเสือกมาถามตอนอารมณ์มาคุแบบนี้อีก ด้วยหน้าตาที่มันยังทำทะเล้น ก็ยิ่งกวนมะโหผมยิ่งขึ้น

“คุยเหี้ยไร เสือกทุกเรื่องอะมึง” ผมด่ามันแล้วก็เดินหน้านิ่วเข้าห้องสอบไปด้วยใจที่อยากจะพาลทุกๆคนที่อยู่ใกล้เลยทีเดียว วู้ ไม่มีอารมณ์ทำข้อสอบเลย ข้อสอบแมร่งก็ยากชิหาย

(วิชาที่สอบเป็นวิชาอังกฤษวิชาที่มั่นใจที่สุดว่า ท็อปแน่ๆ แต่ผลกับออกมาว่ากูผ่านครึ่งไปแค่คะแนนเดียว สาดดด)

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:37:27
**************************************************************************************************



ดูเหมือนว่าการพูดคุยวันนั้นของผมกับซัง เป็นจุดที่ทำให้ความมีเหตุมีผลของผมมันมลายหายสิ้นไป ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าควรทำยังไง แต่ร่างกายกับทำตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เหตุการณ์หลังจากที่สอบเสร็จในวันแรก ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสอบกลางภาควันสุดท้าย ผมไม่ได้คุยกับโอ้ตอีกเลย ตอนเช้าผมก็ออกมาก่อน สอบเสร็จก็กลับ เราจะเจอกันก็ตอนกินข้าวเย็น แต่ผมก็ทำเหมือนโอ้ตเป็นอากาศธาตุ และผมก็มั่นใจว่าโอ้ตมันก็คิดแบบเดียวกัน เนื่องจากมันก็ไม่มีท่าทีจะเข้ามาพูดคุยกับผมแม้แต่นิดเดียว

กับซัง … ไม่รู้ดิ หลังจากวันนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า มันเข้าข้างโอ้ตอย่างเต็มที่ ผมก็เลยพาลไม่อยากคุยกับมันไปเลย ฮ่วย …. ส่วนไอ้คิวไม่ต้องพูดถึงคับ เลิกคุยกับมันไปเลย

หลังสอบเสร็จ เสาร์อาทิตย์ จากที่ผมจะขึ้นกรุงเทพไปหาไอ้อ้น ก็ดันมาอุปสรรคขวากหนามอีก เพราะว่าฝนตกหนักมากตั้งแต่คืนวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ ก็ไม่ทีท่าว่าหยุดเลย

ติ๊ดติ๊ดด ตี๊ดดดด

“อ้นเหรอ”

“เออ มึงจะขึ้นมากี่โมง” เสียงมันงัวเงียๆ

“กูคงไม่ได้ขึ้นไปแล้วหว่ะ ฝนตกโคตรหนักเลย” ผมบอกเสียงเซ็งจัด

“เสียงแย่เลยมึง”

“เออ สงสัยเป็นหวัด เครียดด้วยหวะ พึ่งสอบเสร็จเนี่ย

“อย่างมึงจะกลัวไรวะแค่สอบ” มันพูดหาวไปหาวมา

“คุยกะกูนี่ง่วงมากใช่ป่ะอ้น” อยู่ๆผมก็พูดแบบหาเรื่องมันซะก่อน

“อ้าว มึงเป็นไรเนี่ย” เสียงมันแบบงงๆ

“เออ ไม่มีอะไรอ่ะ ช่วงนี้กูอารมณ์ไม่ดี …. แค่นี้ก่อนล่ะกัน ”

แล้วผมก็วางหูโทรสับไป ทิ้งตัวลงกับที่นอน มองไปนอกหน้าต่าง ฝนยังตกอยู่อย่างไม่ขาดสาย …. มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมนะนี่ ทำไมผมต้องไปหงุดหงิดใส่อ้นมันด้วย ทำไมอยู่ๆผมก็ไม่ชอบขี้หน้าซังมันขึ้นมาได้ …. แล้ว ทำไม ผมถึงคิดถึงโอ้ตมันตลอดเวลา ตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน จนถึง ณ วินาทีนี้ ผมกลับอยากไปคุยกับโอ้ตเหมือนเก่า อยากไปไหนมาไหนกับโอ้ตอีก

ผมค่อยๆยันตัวขึ้นมา พลางลูบกระจกที่มีละอองน้ำฝนบนหน้าต่าง บ้านโอ้ตยังมีแสงไฟเปิดอยู่ไกลๆ

“เหงาจัง โอ้ต …. เราคิดถึงนายอ่ะ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ


* * * * * * * * * * * *

ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เหลือบไปมองเวลา ตายห่า … จะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว ว่าแต่ใครมาเคาะประตูเรียกวะ หรือว่า ….

- โอ้ตมาเรียกผมเหรอ ? -

คิดได้ดังนั้นเหมือนลิงโลดคับ ผมรีบกระโดดจากเตียงวิ่งไปเปิดประตู แต่ก็พบลุงสนยืนกลางร่มอยู่ข้างหน้า

“อ้าว ”ผมทำสีหน้าผิดหวังจนลุงแกสังเกตเห็น

“อ้าวอะไรคุณปริ้น” ลุงสนพูดทำให้ผมคิดได้ว่า แกยืนกางร่มตากฝนอยู่นี่หว่า จึงบอกให้แกเข้ามาในบ้าน

“ไม่เป็นไรครับ คือลุงจะมาบอกว่า โอ้ตมันขับรถไปคว่ำ - - -”

“เชี่ย .. โอ้ตรถคว่ำเหรอ” ผมรู้สึกว่าควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ เข้าใจคำว่า หัวใจมันหล่นไปที่ตาตุ่มมันเป็นยังไง

“ละ ละ แล้วโอ้ตเป็นยังไงบ้าง” ผมล่ำล่ำละลักถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน นี่อยู่รพ จอมเกล้าครับ นี่ลุงกำลังจะไป คุณปริ้นจะด้วยเหรอ - - -”

“ไปดิลุง” ผมพูด แล้วก็รีบวิ่งพลวดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ตอนลุงสนขับไป ผมก็นั่งตัวสั่นไปด้วย หนาวมันไม่เท่าไรคับ แต่อาการตกใจนี่ดิ สุดยอดอ่ะ ลุงสนเล่าให้ฟังว่า ตอนกลางวัน ป้าเล็กให้โอ้ตมันขับรถไปหาเพื่อนเค้าที่ อ เมือง แต่พอมาถึง ก็มีคนบ้าวิ่งตัดหน้ารถ มันก็เลยหักหลบไปชนเกาะกลางถนน แล้วรถก็พลิกคว่ำไปอีกเลนนึงเลย

“โหย คว่ำเลยเหรอลุง” ผมถาม

“ใจเย็นๆ คุณปริ้น คงไม่เป็นไรมากหรอกครับ” ลุงสนตอบแบบใจเย็นมาก เฮ้ย เมียกะลูกลุงนะ ไม่ใส่ใจเลย -*-

“แม่เล็กเค้าโทรมาบอกกับลุงเอง แค่ฟกช้ำนิดหน่อย ”

“แล้วทำไมลุงไม่บอกผมแต่แรกอ่ะ ว่าไม่เป็นอะไรมาก” ผมบอกแบบฉุนๆ ลุงสนส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็เงียบ ไม่ต่อปากต่อคำกับผมอีกต่อไป


* * * * * * * * * * * *


พอมาถึง รพ ผมไม่รอให้ลุงสนแกหาที่จอดรถ ก็วิ่งเข้าไปใน รพ ทันที ท่ามกลางฝนที่ยังตกหนักอยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก เพราะว่าผมไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทั้งป้าเล็ก ทั้งโอ้ต อยู่ที่ตึกไหน ผมวิ่งรอกอยู่ซักพัก ก็เหมือนพระเจ้าเมตตาคับ ได้ยินเสียงป้าเล็กแว่วๆ ก็หันไป ก็เห็นป้าแกกำลังออกมาจากช่องจ่ายยา มีผ้าก๊อตแปะที่หน้าผากอยู่

“ป้าเล็ก เป็นไรมากป่าว” ผมวิ่งเข้าไปกอดแกคับ แกก็กอดตอบ เหมือนกะว่าแกก็ยังตกใจอยู่ไม่หายเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรลูก ” พูดเสร็จก็ลูบหัวผมเบาๆ

“แล้วโอ้ตล่ะป้า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าไม่เห็นมันอยู่แถวนี้เลย

“โอ้ตมันต้องนอน รพ คืนนึง รอ รพ เค้าเช็คสมองก่อน” ป้าเล็กบอก แล้วก็เดินนำผมไปที่ห้องพักรวม ซึ่งห้องนี้ก็จะมีคนป่วยนอนอยู่เป็น สิบๆเตียง

“แล้วทำไมต้องเช็คสมองอ่ะ ”

“ตอนหักหลบ รู้สึกว่าหัวมันไปกระแทกกับพวงมาลัย ก็เลยต้องเช็คสมองหน่อย” ป้าเล็กบอก แล้วตาสนล่ะคุณปริ้น

“ลุงเค้าหาที่จอดรถอยู่อ่ะป้า” ผมเลยลงมาก่อน

“โถ ดูซิ เปียกหมดเลย เดี๋ยวก็เป็นหว๋ง เป็นหวัดอีกหรอก” ผมได้ยินดังนั้น อยากจะตะโกนบอกป้าแกไปจริงๆว่า เป็นห่วงลูกชายตัวเองก่อนเหอะ

พอมาถึงเตียงที่โอ้ตมันนอนอยู่ ลุงสนก็เดินมาพอดี รู้สึกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงหน่อยๆแฮะ

“คุณปริ้น ทำไมอยู่ๆก็เปิดประตูลงมาก่อนนะ จะรอให้ลุงจอดรถก่อนก็ไม่ได้ บลาๆๆๆๆ” ผมก็ไม่ได้ฟังอะไรอ่ะคับ เพราะว่าใจตอนนี้อยู่ที่ไอ้โอ้ตหมดแล้ว

“ป้าคับ โอ้ตหลับไปนานยังอ่ะ” ผมเป็นห่วง พลางคิดไปว่ามันจะเป็นแบบเจ้าชายนิทราอะไรเทือกนี้ป่าววะ

“อ้อ สงสัยพึ่งหลับตอนที่ป้าลงไปรับยานะ” ป้าเล็กบอก แล้วก็หันไปคุยอะไรกับลุงสนอยู่นาน ผมก็นั่งเฝ้าอยู่ที่เตียงโอ้ตอ่ะคับ มันก็นอนนิ่งเลย เห็นมีแผลปูดๆที่หัวมัน แล้วก็รู้สึกว่า ต้องเย็บ สี่ห้าเข็ม หน้ามันมีรอยช้ำอยู่สองสามรอย

มีอยู่ช่วงนึง ป้าเล็กก็พูดประมาณว่า ให้ลุงสนขับรถกลับชะอำไปส่งผมที่บ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการกับตำรวจเรื่องรถที่พังยับ

“ป้าเล็ก เด๋วผมอยู่เฝ้าโอ้ตก็ได้คับ ป้าไปทำธุระกับลุงเถอะ” ผมว่า เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วง ให้ลุงต้องไปๆกลับๆ ฝนยิ่งตกหนักแบบนี้ เด๋วเป็นไรอีกคนจะยิ่งแย่

“ไม่ได้หรอก คุณปริ้นจะนอนยังไง” ป้าเล็กรีบโวยวายคับ เพราะดูสภาพแล้วคือ ห้องนอนรวม ก็จะไม่มีพื้นที่ให้คนเยี่ยมไข้นอนมากนัก จะมีแต่โต๊ะเล็กข้างๆ แล้วก็มีม้านั่งยาว เอาไว้ให้นอนอีกตัวนึงแค่นั้นเอง

“โหย ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะป้า แล้วป้าก็เจ็บอยู่ จะมาอยู่ได้ไงอ่ะ” ผมก็เถียงไป เถียงมา สรุปแล้ว ป้าเค้าก็ยอมให้ผมนอนเฝ้าโอ้ตมันได้ หึหึ (เถียงกะไอ้ปริ้นก็แพ้โหมดดดแหละ)

“คุณปริ้นถ้ามีอะไรก็โทรมาเลยนะคะ จะรีบมารับเลย” ป้าเล็กบอกแบบห่วงหน้าพะวงหลัง มีลุงสนทำหน้าแบบยังไงบอกไม่ถูกอยู่ข้างๆ

“ฮะ - - คับ - - โอเคเลยป้า - - บ๊าย บาย” หลังจากบอกลาเสร็จ ผมก็เดินไปหาอะไรตุนไว้สำหรับคืนนี้ โอ้ตมันชอบกินอะไรวะ นมรสกาแฟๆ ขนมปังหมูหยอง ผมก็เลือกซื้อของไปแบบมีความสุข ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นทุกข์นี่หว่า

กลับขึ้นมา โอ้ตมันก็นอนอยู่ไม่ตื่นซะทีคับ พยาบาลก็มาตรวจซักพัก แล้วก็ยาอาหารเย็นมาให้ ตอนนี้เกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว

“โอ้ต …”ผมเรียกเบาๆ มันก็ยังไม่รู้สึกตัว

“โอ้ต …” ผมเรียกเสียงดังขึ้นอีก พลางเอามือไปหยิกแก้มมันเบาๆ (แกล้งคนป่วยซะงั้น) ไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อตอนเช้า ผมพึ่งรู้สึกว่าคิดถึงมันโคตรๆ อยากเจอมันจัง แล้วตอนนี้ มันก็มานอนให้ผมเล่นอยู่ตรงหน้า

มันพิศ ดูที่ใบหน้าของโอ้ต แม้ว่าผิวมันจะดูสีแทนๆไปหน่อยเนื่องจากโดนแดดประจำ แต่คิวเข้มๆของโอ้ตก็เป็นส่วนที่ดึงดูดที่สุด

ระหว่างที่กะลังเล่นหน้ามันอยู่เพลินๆ โอ้ตมันก็รู้สึกตัว เอามือมาจับที่มือผม

“แม่ … ทำอะไรนะ โอ้ตรำคาญนะ” โอ้ตมันพูดขึ้นมาทั้งๆที่หลับตาอยู่ นึกว่าป้าเล็ก โห ไม่คิดเหรอว่าแม่เอ็งจะมาเล่นอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้

ผมก็พยายามจะดึงมือออกนะ แต่มันก็ยังจับอยุ่อ่ะ แล้วพอมันลืมตาขึ้น มันก็เป็นฝ่ายสะดุ้งปล่อยมือซะเอง เหอๆ

“อ้าว นึกว่าแม่” มันพูดขึ้นมา

ผมก็มองๆมันคับ ยังไม่กล้าพูดอะไร คือ จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรมากกว่า มันเขิลห่าไรม่ะรู้

“เป็นไงบ้าง” เป็นคำแรกที่ผมคิดออกแล้วพูดออกไป

“… แล้วแม่ล่ะ” มันพูด โดยไม่สนใจตอบที่ผมถามไป

“ก็ไปกับลุงสน จัดการเรื่องรถอ่ะ” ผมตอบหน้าเจือนเล็กน้อย สงสัยมันยังไม่หายโกรธผมแฮะ ไอ้นี่

“อือ กินข้าวเหอะ พยาบาลเค้ายกมาให้ตั้งนานแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็ยกถาดอาหารขั้นมา

“… ยังไม่หิว กินไปก่อนเหอะ” มันพูดแล้วก็พลิกตัวไปอีกด้านนึงคับ

“ปริ้นลงไปกินมาแล้วอ่ะ” ผมพูดปด พร้อมกับสูดหายใจเข้า หายใจออก ลึกๆ ลึก ลึกกกกกกกก

“ไม่หิวก็ยัดๆเข้าไป มันจะได้ไม่ปวดท้อง” ผมว่า แล้วก็ขยับตัวไปไขเตียงให้หัวนอนมันยกขึ้น (ที่ไขเตียงจะอยู่ปลายเตียงของคนป่วย เวลาคนป่วยจะนั่งหรือจะกินอะไรเงี้ย ก็จะไขให้มันยกขึ้น จะได้สะดวกไม่ต้องลุกมานั่งเองคับ)

โอ้ตมันก็ทำท่าไม่พอใจ หันกลับมาว่าผม

“ก็บอกว่ายังไม่หิวไง เดี๋ยวก็กินเองล่ะ”

“นี่ ก็บอกแล้วไง ไม่หิวก็ต้องกิน ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ ”ผมตอกกลับ

ไอ้โอ้ตมันเหมือนจะพูดอะไรออกมาแรงๆซักอย่าง แต่ผมรีบตักข้าวต้มใส่ปากมันก่อนจะได้ทันพูดอะไรออกมา โดยที่ลืมไปว่า ปากมันเจ็บอยู่

“โอ๊กกก - - แค๊ก แค๊กๆ” ไม่รู้ว่ามันจะเลือกร้องเจ็บ หรือสำลักดีคับ แต่ผมสะจาย เหอๆ

“บอกแล้วว่าอย่าดื้อ เด๋วเจ็บ” ผมขู่มันคับ ตอนนี้เหมือนถือไพ่อยู่เหนือกว่าเล็กน้อย มันก็คงกลัวเจ็บด้วยล่ะ ก็เลยว่าง่ายปล่อยให้ผมป้อนข้าวป้อนน้ำจนเสร็จ

“อ่ะ กินนมปิดท้าย จะได้นอนหลับสบาย” ผมว่าพลางยื่นนมโฟโมสรสกาแฟให้ ชอบไม่ใช่เหรอ เห็นกินอยู่บ่อยๆอ่ะ

มันมองแบบลังเลๆ แล้วก็เอื้อมมาหยิบไปดูด (ผมสงสัยว่า ตอนนี้มือมันก็ใช้ได้ แล้วทำไมปล่อยให้กูป้อนข้างมึงอยู่ได้วะ) ผมรอให้มันอารมณ์นิ่งๆก่อนแล้วก็ถามในสิ่งที่อยากจะถาม

“ยังโกรธปริ้นอยู่เหรอ” ผมถามพลางทำหน้าอ้อนสุดชีวิตที่จะทำได้

“ป่าว จะโกรธไปทำไมล่ะ” มันพูดประชดอีกแล้ว

“โกรธก็บอกโกรธดิ จะพูดประชดให้ได้ถ้วยอะไรล่ะ” ผมว่าฉุนๆ

“เออ โกรธ !!! ” มันพูดเสียงดัง จนเตียงข้างๆหันมามอง

“ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองตลอด - - - จะไปไหนมาไหนก็ไม่บอกก่อน คิดจะออกก่อนก็ออก (มันหมายถึงผมไปโรงเรียนโดยไม่คอยมัน) คิดจะกลับก็กลับ” คำพูดมันพลั่งพรูออกมาแหลกเลยคับ แหม แล้วบอกกูว่าไม่โกรธ

“เออ ค๊าบบ กูเอาแต่ใจตัวเองอ่ะคับ” ผมบอกมัน

“เออ อะซิ ”

“แล้วโอ้ตจะเป็นห่วงอะไรปริ้นมากมากขนาดนั้นอ่ะ ขนาดยายปริ้นยังไม่อะไรเลย” ผมบอก

โอ้ตมันทำหน้าถมึงทึงคับ นี่ถ้ามันสบายดีอยู่ มันคงเดินหนี หรือไม่พูดไม่จากับผมไปแล้วล่ะ แต่นี่คือมันนอนอยู่ไง แล้วผมก็นั่งอยู่ตรงหน้าด้วย ไม่รู้จะหนีไปไหน

“ก็ถ้าไม่อยากให้ห่วง ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไง” มันพูดกัดฟัน หน้าแดงด้วยโทสะ แล้วก็พลิกตัวหันหนีผมไปเลย

เออ เอาไงดีวะกู ดันไปยั่วมะโหเค้าอีกแระ = =’’

ซักพัก พยาบาลก็ประกาศปิดไฟห้องรวม ทำให้ตอนนี้ก็จะมีแค่แสงสลัวๆในห้องเท่านั้น ผมก็เดินไปเอาผ้ากั้นเตียงบ้างบน เลื่อนมากั้น พลางก็เหลือบไปมองไอ้โอ้ต มันก็ไม่ได้หลับหรอก แต่หน้ามันบูดมากเลยอ่ะ พอผมกั้นเสร็จ ก็มานั่งที่เดินต่อ

“โอ้ต …” ผมเรียกเบาๆ ไม่อยากรบกวนเตียงอื่น

มันก็นอนนิ่งไม่ไหวติง

“โอ้ตคับ … ”

นิ่ง

“โอ้ตค๊าบบบบ …” แต่คราวนี้ผมเอื้อมมือไปพาดไว้บนตัวมันทั้งๆที่นอนตะแคงแบบนั้นล่ะ ผมก็เลื่อนตัวให้มาอยู่ใกล้ๆมัน แล้วก็กระซิบบอก

“โอ้ต ขอโทษนะ …. เราคิดว่า ถะ ถ้า ไม่มีโอ้ต เราคงไม่มีใครแล้ว” พูดเสร็จ ผมก็เลื่อนตัวไปอยู่บนเตียงเดียวกะโอ้ต แล้วก็สวมกอดมันจากด้านหลัง

“ปริ้นไม่ได้มีอะไรกับคิวมันจริงๆนะ ไม่มีจริงๆ” ผมพูดแล้วก็เอาหน้าซบลงบนแผ่นหลังโอ้ต น้ำตามันไหลมาอีกจนได้ มันไหลมาจนเปียกเสื้อไปหมด

และวินาทีใดวินาทีนึง ผมก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของมือโอ้ต ที่เลื่อนมาจับมือของผมที่โอบกอดมันไว้อยู่ แม้ว่ามันจะไม่ได้หันหน้ามาหาผม แต่ผมก็รับรู้ได้ว่า มันยอมยกโทษ และก็เชื่อ ในสิ่งที่ผมได้บอกออกไป

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของผมเต้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้มันเชื่อผมแล้ว ผมควรจะเลิกกอดมันได้ซะที แต่ทำไมร่างกายกับไม่ยอมตอบสนองกับความคิดวะ ผมอยากจะนอนกอดมันไปเรื่อยๆแบบนี้ อยากให้เวลามันหยุดนิ่งอยู่แบบนี้

แกร๊กกกกก ครืดดดด

เสียงเตียงสั่น พร้อมๆกับไอ้โอ้ตมันพลิกตัวหันมาทางผม


…. ใกล้มากคับ ใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยอยู่ใกล้ไอ้โอ้ตขนาดนี้เลย ปากมันกับปากผมแทบจะชนกันอยู่แล้ว ลมหายใจโอ้ตมันร้อนมากจนผมรู้สึกได้ แล้วมันก็พูดขึ้นมา

“ปริ้น …. โอ้ตปวดฉี่”

= =’’

แสดดดดดด เยสสสเข้ หมดมู๊ดเลยกู

ผมได้สติขึ้นมาก็รีบเลื่อนตัวลงมาจากเตียงไอ้โอ้ตคับ มือ ก็ควานหา คอมฟอร์ต 100 ใต้เตียง

“ไปเข้าห้องน้ำดีกว่าปริ้น ไม่อยากใช้ไอ้นั่นน่ะ” มันพูดพลางค่อยๆพยุงตัวลงมาจากเตียง แต่ดูเหมือนว่า ยังมึนไม่หาย

“เฮ้ยๆ ค่อยๆดิ เด๋วก็ล้มหรอก” ผมว่าพลางเข้าไปพยุงตัวมัน

“อือ” มันพูดแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปห้องน้ำ

“ปริ้นรออยู่นอกห้องล่ะ” มันว่าอายๆคับ แต่ดูมันโงนเงนอยู่เลย

“อายไรวะ เด๋วก็ล้มในห้องน้ำหรอก มานี่” ผมว่าพลางพยุงมันเข้าไปในห้องน้ำเลย (จริงๆคืออยากแกล้งมันมากกว่า หุหุ)

“ก็ฉี่ไปเหอะ เด๋วหันหลังให้” ผมว่า แล้วก็ทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นให้ แต่มือก็ยังพยุงตัวมันอยู่ล่ะ

“อือ” มันรับคำแล้วก็ แก้กางเกง ซึ่งกางเกง รพ เนี่ย มันแก้ง่ายมากคับ แค่แกะปมหน่อยนึงก็หลุดแระ

“ปริ้น ….”

“ไร ”

“ฉี่ไม่ออก” มันว่า

“ทำไมอ่ะ”

“ก็มีคนอยู่ด้วยนี่หว่า ”

“เอาน่า ทำตัวตามสบายๆ แล้วเกร็งดิ ”ผมพูดให้มันผ่อนคลาย เออ น่ารักดีฟร่ะ 555

ซักพัก ก็ได้ยินเสียง ซู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสร็จ มันก็สะบัดๆหน่อยนึง ด้วยความที่อยากแกล้งมันต่อ

“เด๋ว โอ้ต ล้างจู๋ก่อน สกปรก” แล้วก็ทำเอามือแกล้งจะไปจับ โอ้ยย นี่กูติดนิสัยขี้แกล้งนี่มาจากไอ้คิวแหง่เลย

“เฮ้ย จะบ้าเรอะ ไม่เอา” มันก็ปัดมือผมออก แล้วก็ก้มหน้างุดๆรีบผูกกางเกงเลย

หุหุ กูนี่เล้ว เลว แกล้งคนป่วยซ้า ….

“โอ้ตนี่เป็นคนดีจังน้า” ผมพูดขึ้นมาหลังจากที่พามันมาขึ้นเตียงเหมือนเดิมแล้ว

“ฮื้มม ดียังไง ”

“ก็ …ไม่มีไร แฮะๆ” ผมบอก โอ้ตมันคงจะหักหลบคนซินะ ทั้งๆที่สถานการณ์แบบนี้ คนบ้าวิ่งตัดหน้าแบบนี้ …. มันยังยอมเลือกให้ตัวเองเจ็บ

“ไม่อยากเป็นคนดี เพราะเป็นคนดีแล้วไม่มีที่อยู่ เหอๆ” มันพูดมุกเสี่ยวแดก

“อ่าๆ เครๆ ไม่ดีก็ได้ งั้นเป็นคนน่ารักเป็นไง น่าร๊ากกกกก” ผมแกล้งแซวมันเล่นคับ แต่ใจจริงก็คิดแบบนั้นอยู่ล่ะ

“555 เหรอ” มันหัวเราะอารมณ์ดีเชียว ชมแค่นี้

“เหรออาไร ”

“ก็ ถ้าน่ารัก ……………………………….. ก็รักดิ”

O_o’’’
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:38:28
“ก็ ถ้าน่ารัก ……………………………….. ก็รักดิ”

“ก็รักดิ ….”

“รักดิ …”

“ดิ …”

….

ซ่า …… ซ่า ……ซ่า

ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คำพูดของโอ้ตมันก็ดังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเสียงเอ๊กโค่ มันชอบผมเหมือนกันเหรอ ? เหมือนกับที่ผมก็รู้สึกแบบเดียวกะโอ้ต ..

ไม่ใช่อ่ะ .. ไม่เหมือนกันหรอก

ผมยังไม่ได้รู้สึกรักโอ้ต ผมแค่รู้สึกดีๆ … ไม่ใช่เหรอไงวะ แค่รู้สึกเหงาเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วย รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่มันทำตัวหนิดหนมกะซัง แค่ แค่ แค่ บลาๆๆๆ

อ่า ….

ผมเริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเองมากขึ้นทุกที นึกย้อนไปตอน ม ต้น จนมาถึงตอนนี้ ผมไม่เคยรู้จัก หรือ ให้คำว่ารัก กับใคร ไม่เคยมีแฟน ชีวิตในรั้วโรงเรียนก็มีแต่เพื่อน เคยคิดเหมือนกันคับ ว่า พอเข้ามหาลัยแล้ว ก็คงจะเริ่มสนใจผู้หญิงเหมือนกับคนอื่นๆเค้าล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ผมก็อยู่ รร สห แล้วมันก็ยังเฉยๆ อาไรกันนี่


* * * * * * * * * * * *

“ที่รัก .. เป็นไรนั่งเหม่อเชีย ข้าวเข้วไม่แดก” เสียงไอ้คิวพูดจนทำให้ผมสะดุ้ง มันก็ยังกวนตีนเรียกผมแบบนี้อยู่ได้ ซังมันก็นั่งกินอยู่ข้างมันแท้ๆ ที่สำคัญ กูอายชาวบ้านเค้าว้อยยย

“เหี้ย …” ผมด่ามันคำเดียวจบ

“เป็นไรป่าวปริ้น วันนี้เอาแต่เหม่อ” ซังถามเพราะว่าคงเห็นผมท่าไม่ค่อยดี

“อ่อ กรูรู้แล้ว คิดถึงไอ้โอ้ตอยู่ใช่ป่าว” คิวพูดขึ้นมาแล้วก็ทำตาแบบรู้ทัน

- เออดิ - ผมตอบในใจ ถึงแม้ว่าผลการสแกนสมองมันจะไม่เป็นอะไร แต่พอมันออกจาก รพ แม่มันก็อยากให้นอนพักอีกวันนึงก่อน เลยไม่ต้องมาโรงเรียนวันจันทร์สบายใจเฉิบ

“เฮ้ย ซัง มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย” ผมบอกกับมันเสียงค่อนข้างซีเรียส

“เรื่องอะไร ”

“กินข้าวเสร็จ แล้วขึ้นห้องเรียนก่อน เด๋วบอก” ผมว่าพลางจ้วงข้าวอีกไม่กี่คำแล้วก็พากันขึ้นห้องเรียน คาบนี้เรียนวิทยาศาสตร์กายภาพคับ คุยได้สะดวก แฮะๆ ขึ้นไปก่อน ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่เท่าไร คิวมันก็ยังไม่ขึ้นมา ไปแรดเตะบอลอยู่ข้างล่าง

“มีอะไรว่ามา”

“เออ .. อืม ไงดี”

“อ้าว แล้วจาไงล่ะวะ” ดูซังมันหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะมันก็คงอยากจะไปเตะบอลเหมือนกัน แต่โดนผมลากขึ้นมาก่อน

“เออ คือ ซังเป็น กะ เกย์ ใช่ป่ะ ? ”

ซังมันมองหน้าผมคับ แบบว่า ไม่คิดว่าผมจาถามมันแบบนี้

“อะ ก็คงงั้นล่ะมั้ง” มันบอกทำท่าทางเก้ๆกังๆ คือตั้งแต่วันที่ผมรู้ความลับของพวกมันวันนั้นเนี่ย เราก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ไม่เคยถามกันเรื่องนี้อีกเลย เหมือนกะว่าเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น

“เออ งั้นก็ต้องดูออกใช่ป่ะว่าใครเป็นเกย์ ไม่เป็น ไรเงี้ย ….” ผมก็อ้อมแอ้มถามแบบไม่มองหน้ามัน ใจนึงก็กลัวนะคับ ไม่รู้มันจะตอบว่าไง มันจะโกรธมั้ย

“อืม เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน” มันตอบแบบไม่ค่อยแน่ใจ ว่าแต่ถามทำไมล่ะ

“คือ .. คือ ”

“คือรายว้า”

ผมจากที่เดินไปเดินมาอยู่ ก็ลงไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ก้มหัวแบบคนคิดไม่ตกเลย

“… แล้วซังดูออกป่าว ว่าปริ้นเป็นหรือไม่เป็น” แล้วผมก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ รอฟังคำตอบมันด้วยใจระทึก ซังมันก็เงียบคับ ทั้งๆที่พัดลมแขวนบนหัวเราก็เปิดไว้นะคับ แต่ตอนนั้นเหงื่อผมออกมาเต็มตัวเลย ผมอยากจะคิดว่า ที่ผมรู้สึกแบบนั้นกะโอ้ตเนี่ย มันก็เป็นอะไรที่ผู้ชายทั่วไปก็รู้สึกได้เหมือนกัน

“ซังไม่รู้ว่าปริ้นเป็นเหรอป่าวหรอก - - -” มันตอบเสียงแผ่ว เพราะว่าตอนนี้เริ่มมีพวกผู้หญิงเดินเข้ามาในห้องกันแล้ว

“แต่ซังรู้สึกว่า ที่ปริ้นกับพี่โอ้ตทำให้กันอ่ะ มันไม่เหมือนเพื่อนที่ทำให้กันนะ” อ่า ซังมันก็ดูออกเหรอเนี่ย

“ก็ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันซ้าหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบซัง

“- - เราก็เป็นเหมือนญาติกัน อยู่บ้านเดียวกัน ก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน” ผมพูดเหมือนกับจะอธิบายย้ำให้ตัวเองฟังมากกว่าที่จะพูดให้ซังฟังซะอีก

“ตกลงว่าปริ้นไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรเหรอ ”

“อือ ”

เสียงซังมันถอนหายใจ

“ปริ้น …. ซังว่า ให้เวลามันตัดสินเองดีกว่า ให้ปริ้นรู้ด้วยตัวเองดีกว่า ให้คนอื่นมาบอกว่า ตัวเองเป็นแบบนั้น แบบนี้ … จะดีกว่ามั้ย ”

ผมก็มองหน้าซัง แบบค้นหาคำตอบ

“ยะ ยังงั้นเหรอ ”

ซังมันก็พยักหน้า แล้วก็เอามือตบบ่าผม

“สำคัญอยู่แค่ พอถึงเวลาที่เรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว …… อย่าคิดมากน่า” แล้วมันก็ยิ้มให้อีกรอบ น่ารักจริงๆ

“คุยอาไรกันอยู่” เสียงไอ้คิวมันแว่วมาแต่ไกลเลยคับ เหงื่อโซกเต็มตัวเลย ซกมกมาก แล้วมันก็หน้าด้านมานั่งตากพัดลมที่บนโต๊ะผมอีกนะ

“เหี้ย มึง เหม็นหว่ะ” ผมกัดมัน จริงๆแล้วม่ะเหม็นหรอกคับ ได้แต่กลิ่นโรลออน

“มึงลอกงานวิทย์เสร็จยัง กูจะส่งแล้วนะไอ้คิว” ซังมันทวงงานจากไอ้คิวแล้วคับ

“เออ กรูลืมมมมมมมมมม” มันพูดเสร็จ มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

“แล้วนั่งทำซากไรอยู่ล่ะ ก็เอาขึ้นมาทำดิ” เสียงไอ้ซังมันแข็งขึ้น ได้ผลคับ คิวมันก็ทำหน้าบูด แต่ก็ยอมลงมานั่งที่เก้าอี้ แล้วก็เริ่มเอางานขึ้นมาลอก ปากมันก็บ่นไปเรื่อย อาไรของมันก็ม่ะรู้

“เออ ซัง แล้ว ซังกะไอ้คิวเนี่ย ใครเป็นยังไงเหรอ” ผมกระซิบถามไม่ให้คิวมันได้ยิน

“เป็นยังไง นี่คืออะไร” ซังมันก้มหน้ามาแล้วก็ขมวดคิ้ว

“ก็ใครเป็น … เออ เค้าเรียกว่าไรนะ รับ รุก เหรอ ?! ”

เท่านั้นล่ะคับ ไอ้ซังก็หัวเราะร่วนเลย

“หัวเราะอาไรของเมิงวะ เสียงดัง กรูไม่มีสมาธิลอก” ไอ้คิวมันเกาหัวแกร่กๆ แล้วก็บ่นต่อ โดยไม่รู้ว่าเราสองคนนินทามันแบบเผาขน

“ให้ทาย …” ซังมันยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ๆ

มันก็เงยหน้าไปมองไอ้คิวทีนึง แล้วก็หันมามองซังทีนึง ในใจก็คิดว่า ซังมันต้องเป็นเมียไอ้คิวแหง่ๆ ไอ้คิวก็ไซร้ซะสุดยอดแบบนั้น

“เออ…. - - -” ผมยังไม่ทันตอบอะไร ซังมันก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์คับ โดยมันยื่นนิ้วกลาง แล้วก็ชี้มาที่มัน แล้วมันก็ทำมือเป็นวงกลมๆ แล้วก็ชี้ไปที่ไอ้คิว

O_o

“555555555” แล้วมานก็หัวเราะเสียงดังเลย จนเพื่อนโต๊ะอื่นมันหันมามอง

“555555 เจงดิ โอ๊ย กูม่ะอยากเชื่อเรยยยย” ผมก็สมทบหัวเราะไปกะมันด้วย ไอ้คิวมานก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงกะสัยว่า ไอ้สองตัวนี่มันหัวเราะห่าเหวอะไรของมันอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ถามเพราะว่ามันต้องปั่นงานของตัวเองให้เสร็จก่อนอาจารย์จะเข้ามา หุหุ

สรุปแล้ว ผมก็แอบสืบรู้มาจนได้ล่ะ (แท้จริงแล้วก็ถามไอ้ซังอะนะ) ว่าม่ะก่อนเนี้ย ไอ้คิวมันก็เป็นกระทำซังมันอย่างที่คิดจริงๆล่ะคับ แต่แค่ทีสองที ซังมันอยากจะเป็นฝ่ายกระทำไอ้คิวบ้าง แต่คิวมันก็ยืนกรานไม่ยอมอย่างเดียว มีอยู่วันนึง มันไปเลี้ยงวันเกิดเพื่อน แล้วก็แดกเหล้ากัน ก็ได้ที่ไอ้ซังมันก็มอมไอ้คิวคับ (ร้ายจริงๆ)

คืนนั้น ไอ้คิวก็กลายเป็นเมียซังไปแบบสมยอม หุหุ ที่บอกว่าสมยอมเนี่ย เพราะว่า มันมอมแบบว่ากึ่มๆ คิวมันก็พอให้รู้สึกตัวล่ะ แต่พออารมณ์หื่นมันบังเกิด รุกก็รุกเหอะคับ มันก็กลายเป็นรับได้เหมือนกัน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้คิวมันติดจายอ่ะป่าว เวลาซังมันขอเอามัน มันก็ยอมซะงั้น จนหลังๆ ซังมันก็ได้ใจ ไม่ยอมให้ไอ้คิวมันรุกอีกเลย

เป็นซะงั้นไป = =;;

จริงๆผมก็อยากรู้เรื่องของมันสองคนมากกว่านี้ล่ะ แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากละลาบละล้วงอะไรมันมากไป มันเปิดใจกับผมแค่นี้มันก็ถือว่ามากแล้วล่ะ


* * * * * * * * * * * *

ชีวิตที่ดูเหมือนจะสับสนกับตัวเองของผม ในตอนนั้น ก็ไม่ได้รับการคลี่คลาย หรือว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นหรอกคับ โอ้ตก็เหมือนกัน หลังจากคืนวันที่มันพูดหยอกผมที่ รพ วันนั้น มันก็ไม่มีทีท่าจะมาอะไรกับผมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ผมก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับความสับสนในตัวเองได้อย่างสุขสบายใจ เพราะว่าตอนนี้มีเรื่องทุกข์ใจเรื่องใหม่มาให้เครียดแทน

คืองี้คับ ช่วงกลางเดือนสิงหาคม จะเป็นช่วงที่ทางโรงเรียนผมจัดกีฬาสีกันขึ้น อย่างที่เคยบอกกันไว้แล้วว่า ห้องโอ้ตกะห้องผมเนี่ย อยู่สีเดียวกัน ม หกจะรับผิดชอบเกี่ยวกะสีทั้งหมด ส่วน ม ห้า จะรับผิดชอบขบวนพาเหรด ซึ่งมันก็น่าจะมีแค่นั้น

“ปริ้นอยากเป็นลีดป่าว ” ไอ้พี่ท็อปอยู่ๆเดินเข้ามาถามผม ระหว่างที่สีเรากำลังประชุมกันอยู่ (เวลาเค้าให้ประชุมก็จะประชุมกันหมดเลย ตั้งแต่ม 1 ยัน ม 6 )

“ไม่เคยคิดอ่ะ” ผมทำหน้าแปลกใจที่ทำไมพี่เค้ามาถามผมวะ

“แต่พวกพี่ๆ เค้าอยากให้เราเป็นน่ะ” พี่ท็อปบอก แล้วก็ลากผมให้เข้าไปคุยในกลุ่มพวกเด็ก ม.6 แว๊ก ไม่เป็นนะ ไม่อ้าวววววว ผมก็หันรีหันขวางหวังหาไอ้โอ้ตให้มาช่วยคับ แต่โอ้ตมันก็ใช้โทรโข่งคุยกะน้องม 1 ที่ต้องขึ้นสแตนด์เชียร์อยู่

“สีเราไม่มีลีดผู้ชายเลยนะน้อง” พี่ผู้หญิงที่ผมไม่เคยรู้จักบอกให้ฟัง

“เออ แต่ผม - - -”

“เนี่ย แล้วถ้าไม่มีลีดผู้ชาย มันก็จะลำบากเวลาเล่นท่า” พี่อีกคนเข้ามาเสริม

“แต่ผมเต้นไม่ - - -”

“น้องเต้นไม่เป็นไม่เป็นไรคะ เพราะยังไงก็มีพี่เค้ามาสอนให้อยู่แล้ว” อีกคนก็เข้ามาอีก โอ้ย อาไรกัน

“ตกลงเป็นนะปริ้น” เสียงพี่ท็อปพูดสรุปเอง

“แว๊ก ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ผมโอดใส่

“ช่วยสีแค่นี้ไม่ได้เหรอน้อง” เสียงโคตรโหดของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นมาคับ ก็คงจะเห็นผมพยายามปฏิเสธอยู่นานแล้วอ่ะ

“ถ้าน้องเค้าไม่เต็มใจ พวกมึงจะไปอ้อนวอนเค้าทำไม” ผมก็หันไปมองต้นเสียง เท่านั้นล่ะ เพื่อนๆอาจจะเคยกันบ้างนะคับ เวลาเราเจอคนที่ไม่ถูกชะตาเนี่ย ไม่ต้องทำอะไรหรอก ก็เหม็นขี้หน้าแระ แล้วยิ่งอีพี่คนนี้พูดประชดแบบนี้อีก กูยิ่งเกลียดไปกันใหญ่

“เฮ้ย ขวัญมึงเงียบๆไปเหอะ” พี่ท็อปเดินเข้ามาพูดน้ำเสียงไม่พอใจ อ่า ….

“ป่าว ก็เห็นว่าน้องเค้าไม่อยากเป็น แล้วจะไปตอแยอะไรเค้า” พี่ขวัญทำหน้าแบบกวนตีนๆ ใส่พี่ท็อป

“เรื่องนี้กูคุยกะน้องเค้าเอง มึงอยู่ส่วนสวัสดิการ อยู่ส่วนกีฬา มึงก็ไปจัดการเหอะ” พี่ท็อปพูดตอกกลับ

“อ้าว พูดงี้ว่ากูเสือกเหรอท้อป” เสียงอีพี่ขวัญไม่พอใจ เดินเข้ามาหา “กูก็เป็นรองประธานสีคนนึงนะ”

“เฮ้ย พวกมึงงงงงงงง” เสียงพระเอกมายอีกแล้วคับ โอ้ตมันก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาเชียว

“อยู่สีเดียวกัน จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย ”

“ถามมันดูเด๊ะ พี่ขวัญชี้ไปที่พี่ท็อป” แล้วก็เดินกลับไปหาพวกห้องเค้าแบบมีน้ำโห ท่ามกลางความงุนงงของน้องๆ

โอ้ตมันก็หันมาทางพี่ท็อป

“ท็อปกูบอกแล้วใช่ม่ะ ว่า อย่าไปมีเรื่องกับเค้า”

“ก็กูไปหาเรื่องเค้าก่อนที่ไหนล่ะ กูแค่มาถามปริ้นว่าจะเป็นลีดมั้ย มันก็เข้ามาเสือก” พี่ท็อปตอบโกรธๆ

“มึงจะให้ใครเป็นลีดนะ” โอ้ตมันร้องเสียงหลง

“น้องปริ้น” พี่ผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์บอกแทน เพราะดูว่าพี่ท็อปไม่สบอารมณ์ที่จะพูด

“ไม่ให้เป็น …” โอ้ตมันพูดเสียงหนัก จนพี่ท็อปหันไปมองหน้าโอ้ตเลย

“มึงให้กูรับผิดชอบเรื่องลีดไม่ใช่เหรอไง”

“ก็ใช่ไง แล้วกูก็อยากให้มึงหาคนที่เค้ามีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่มาควานหาคนใกล้ตัวแบบนี้” ทั้งโอ้ตทั้งพี่ท็อปเถียงกันแบบไม่ลดราวาศอก พี่ในห้องเค้าไม่มีใครกล้าไปขัดหรือว่าไปห้ามสองคนนี่เลยอ่ะ

“ถ้ามึงคิดว่ากูทำงานไม่ได้ กูก็ขอไม่ยุ่งเหี้ยไรแล้วกัน” พี่ท็อปพูดแบบโกรธจัดจนเสียงสั่น แล้วก็เดินออกไปจากที่ประชุมเลย ผมเห็นโอ้ตสั่นหัว แล้วก็กลับไปคุยกะพวกน้องๆต่อ พี่คนอื่นก็ไม่มีใครมีท่าทีจะไปตามพี่ท็อปเลย

- งั้นกูไปเองก็ได้วะ - ผมคิดได้ดังนั้น ก็เลยเดินเนียนออกมา แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพี่ท็อปไปไหน เฮ้อ … ทำไมขี้น้อยใจกันจังวะ

“แป่ม เห็นพี่ท็อปป่ะ” ผมถามเพื่อนคนนึง

“เมื่อกี้เดินสวนกันตรงตึก 2 นะ ”แป่มบอก ก็คิดออกแล้วคับว่าไปไหน พวกเด็ก 6 ห้อง 1 นี่มีที่สถิตอยู่ที่เดียว ห้องพยาบาล (แล้วรุ่นต่อๆมา ก็เอาไว้เป็นที่สถิตกันสืบมาเนืองๆ)

ผมเดินเข้าไป เห็นพี่ท็อปกำลังเปิดตู้เย็นอยู่

“พี่ท็อปคับ” พูดซะเพราะเลยกู สงสัยกลัว

“ว่าไง ปริ้น” พี่ท็อปหันมา ตาดูแดงๆ

“เออ ขอโทดนะพี่ ที่ผมเป็น - - - ”

“เฮ้ย ไม่เกี่ยวกับปริ้นหรอก คนมันจะหาเรื่อง ” พี่ท็อปว่า แต่ผมไม่รู้ว่าเค้าหมายถึงใครระหว่างไอ้โอ้ต กะ พี่ขวัญ

“พี่ว่า ผมจะเป็นลีดได้เหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม

พี่ท็อปก็เงยหน้าขึ้นมา “ได้ดิ ไม่งั้นไม่ถามหรอก”

“แต่ถ้าปริ้นไม่อยากเป็น พี่ก็คงบังคับไม่ได้หรอก” น่าน เหมือนพูดประชดกูนิดๆ

“งั้นผมขอลองดูก่อนได้ป่าวพี่” ผมว่าแบบลองเชิง

คราวนี้พี่ท็อปยิ้มเฉ่งเลยคับ แล้วก็เดินเข้ามากอดคอ “เจงป่าววววว ขอบใจมากน้องรัก” แล้วมานก็มาจูบหัวผมแบบทีเล่นทีจริงอ่ะ

“ผมบอกว่าลองดูนะ ไม่ได้จะเป็นจริงๆ” ผมเขินเลยคับ เล่นเหี้ยไรเนี่ย

“แล้วพี่จะให้ผมเป็นคนเดียวเนี่ยนะ นอกนั้นผู้หญิงหมด ”

“ถ้ามันหาไม่ได้จริงๆ เด๋วพี่เป็นเองก็ได้วะ” พี่ท็อปพูดแบบมั่นใจ คือมึงล่ำมากนะไอ้พี่ท็อป ถึงจะขาวก็เหอะ

“เออ เอางั้นเลยนะ ว่าแต่พี่เป็นผมก็ดับเด๊ะ”

“ดับอะไรกันวะ มาม่ะ ไปลงชื่อเร็ว กูอยากเห็นหน้าไอ้โอ้ตเวลาเห็นลีดเจงๆ” พี่ท็อปพูดแล้วก็ลากผมกลับไปที่ประชุมทันที

แม่มมมม ให้มันได้อย่างนี้เซ่ะวะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:39:02
แล้วทำไมต้องทำหน้าเป็นตูดแบบนั้นด้วยวะ” ผมถามแบบฉุนๆ เมื่อเห็นหน้าโอ้ต
ระหว่างทางกลับบ้าน จริงๆแล้วเนี่ยมันตูดมาตั้งแต่ตอนที่พี่ท็อปพาไปลงชื่อแล้วล่ะคับ

พอมันขึ้นรถมันก็เดินไปนั่งไม่ยอมพูดยอมจา …….. เบื่อคนขี้งอนเจงๆ

“โอ้ต - - -” ผมชะงักเมื่อเห็นมันหันมามองตาขวาง

“อยู่ๆคิดยังไงถึงอยากเป็นขึ้นมาล่ะ ”

“อ้าว ก็พี่ท็อปเค้าขอให้ช่วยหนิ” ผมพูดเสียงเบา เหมือนทำอะไรผิดเลยกู

“แล้วรู้หรอป่าว จะเป็นลีดเนี่ย มันต้องรับผิดชอบอะไรเยอะแยะ ตัวเองจะทำได้เหรอป่าวก็ไม่รู้”
มันก็บ่นของมันเรื่อยไป ผมก็พยายามทนฟังอ่ะนะ ขี้เกียจเถียง อีกอย่างรำคาญด้วย จามายุ่งอาไร
กะชีวิตกูมากมาย

“โอ้ตรับผิดชอบเรื่องเชียร์ม่ะใช่เหรอ ใครจะทำอะไรมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับโอ้ตเลย” ผมว่า

“เออ เสือกเองล่ะ” มันพูดเบาๆ แต่ผมได้ยิน แล้วมานก็หันหน้าไปทางหน้าต่างคับ ทำเสียงฟึดฟัด

“โอ้ต …” ผมเรียก

“โอ้ต …. คิดว่าปริ้นเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบเลยเหรอ ? ” ผมเลยแสดงอาการน้อยใจทาง
คำพูดแล้วล่ะ แม่ง ทำมายวะ กลัวกูทำสีพังเหรอไง

มันก็เงียบ

ผมก็เงียบ …. ไม่คุยกะมันแล้วคับ หันหน้าออกมาอีกข้างเหมือนกัน

เชอะ !!!!!

รู้สึกเบื่อกันมั้ยคับ แมร่ง งอลกันไปมาอยู่ได้ เหอๆ ผมเองยังเบื่อเลย


* * * * * * * * * * * *

วันต่อมาก็ดีขึ้นมาหน่อยคับ โอ้ตมันก็ทำตัวตามปกติ แบบเหมือนมันพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องผม
เป็นลีด หรือประเด็นอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกะเรื่องนี้ แต่พอมีคนพูดถึงปั๊บ มันก็จะออกอาการหงุดหงิด
ทันที

“แค่เราจะเป็นลีดแค่เนี้ย ปัญญาอ่อนหว่ะ ” ผมบ่นให้ซังฟัง ขณะเรียนวิชาพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอะไร
ที่สามารถคุยกันได้อย่างเพลิดเพลิน

“พี่โอ้ตก็คงห่วงปริ้นอ่ะแหละ ”

“ไม่รู้เด๊ะ แต่แมร่งช่วงนี้ชอบมายุ่งกะชีวิตเราอ่ะ เซง” ผมพูดพลางโยกเก้าอี้ไปมา

ซังมันก็มองหน้าผม

“แล้วปริ้นชอบป่าวล่ะ ”

“เฮ้ย - - - ชะ ชอบอะไร ” ผมเกือบล้มไปพร้อมเก้าอี้ ม่ะชอบบบบบบเฟ้ย

“อืมมม ซังว่า ปริ้นเป็นก็ดีอ่ะ เกิดแน่ๆ หึหึ” ซังมันบอก

“แล้วซังไม่อยากเป็นบ้างเหรอ” ผมก็เกิดไอเดียอยากชวนเพื่อนไปตาย มันก็สั่นหน้าทันที

“ไม่อ่ะ ไม่แนว .. ”

“เมิงจะแนวเหี้ยราย ไม่เป็นเพื่อนกูเร้ย”

เย็นวันเดียวกัน ไอ้พี่ท็อปก็เรียกคนที่สมัครไว้มาประชุมคับ เหอๆ ทำไมมันฟิตจังวะ (ตูดก็ฟิต) ไปถึง
ก็เห็นพวกพี่ๆ แล้วก็คนที่อยู่ ม.5 เหมือนกับผมอีกรวมเป็น 6 คนอ่ะ (จริงๆต้องมี 7 คน)

“มีแค่เนี้ย !! ” ผมร้อง

“อีกคนก็หาอยู่ แต่คิดว่าน้องเค้าน่าจะตกลงนะ” พี่ผู้หญิงที่ผมมารู้จักทีหลังว่าชื่อ ต่าย บอก

พี่ท็อปมานก็แนะนำสต๊าฟของลีดคับ ว่ามีใครบ้าง ส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิงล่ะ ส่วนลีดไม่ต้องพูดถึงครับ
มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลยตอนนี้ มีผมเป็นตัวผู้คนเดียวนั่งโด่อยู่

“พี่ๆ พี่ชื่อไรนะ” ผมถาม

“ชื่อต่ายคะ”

“อืม พี่ต่ายแล้วใครเป็นคนสอนท่าอ่ะ ผมเต้นไม่เป็นนะ ม้วนตัวก็ไม่ได้ ตีลังกายิ่งไม่ดีเลยพี่”
ผมพยายามโปรโมตสรรพคุณตัวเองสุดริด

“น้องไม่ต้องห่วง เพราะว่าเดี๋ยวจะมีพี่ที่เป็นรุ่นพี่เรามาสอน” พี่ต่ายว่า ซึ่งพี่ที่มาสอนก็เป็นแบบว่า
พี่กาเทยอ่ะคับ แต่มีประสบการณ์สูง แล้วก็เรียนที่ ราชภัฏในเพชรฯนั่นล่ะ สีอื่นๆเค้าก็แนวเดียวกัน
ครับ เอารุ่นพี่จากที่อื่นมาสอนทั้งนั้น ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าความเก๋าของใครจะมีมากกว่ากัน

แต่ว่าวันนี้พี่ที่สอนเค้ายังไม่มาหรอกครับ พี่ท็อปแค่เรียกว่าคุยก่อนว่าต้องทำอะไรกันบ้าง แล้ว
พี่ท็อปก็ให้พี่ต่ายคอยดูแลผมอ่ะ แบบว่าลีดสองคนจะมีสต๊าฟคอยดูแล เหมือนนักมวยม่ะนั่น = =’

“พี่ต่ายๆ แล้วอีกคนนึงเค้าจะเป็นมั้ยครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้มีผมเป็นไข่แดงอยู่คนเดียว
ไม่งั้นกูไม่เป็นนะ

“มาซิ ก็ไอ้ - - เอ้ย พี่ท็อปเค้าไปบังคับ แกมขู่ขนาดนั้น” พี่ต่ายบอก แล้วก็แจกแผ่นเพลงเชียร์มา
ให้ผมอ่าน ซึ่งมันมีอยู่เป็นสิบๆเพลงเลยอ่ะที่ต้องจำให้ได้ เพลงบางเพลงมันก็เคยร้องบ้างแล้ว
แต่บางเพลงมันเอามาดัดแปลงใหม่นี่ดิ

“นี่ผมต้องร้องได้หมดทุกเพลงเลยเหรอ !! ” ผมโพล่งถามเสียงดัง

“ใช่แล้วน้อง ถ้าจำเพลงไม่ได้ก็เต้นไม่ได้นะซิ ”

- ง่า ……. ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยตู น่าจะเชื่อไอ้โอ้ตนะนี่ - - - - - พอคิดได้แค่นั้น ก็รีบสะบัด
หัวไปมา

- ไม่ได้ๆๆๆๆ จาให้ไอ้โอ้ตมันมาดูถูกดูแคลนตูไม่ได้ เราต้องทำให้ด้ายยยย ต้องทำให้มานเห็น -

ผมก็เลยคว้าเอามานั่งท่องนั่งอ่าน คนอื่นๆก็คุยกันโขมงโฉงเฉง ซักพัก ก็ปล่อยให้แยกย้ายกัน
กลับบ้านครับ

“ปริ้นเอาไปอ่านที่บ้านดิ แล้วพอสัปดาห์หน้าเริ่มซ้อมแล้วต้องร้องได้ทุกเพลงนะเว้ย ” พี่ท็อปมัน
เดินมาขู่คับ

“โหย .. ”

“โหยอาไร ”

“ง่า - - -” ผมยังไม่ทันจะบ่นอาไร พี่ท็อปก็ชำเลืองไปเห็นเด็กที่มันจะต้องเต้นเป็นคนสุดท้าย
วิ่งกระหืดกระหอบมาพอดี

“เฮ้ย !!! โค้ก อยู่นี่ๆๆ” แมร่ง ตะโกนเบาๆก็ด้าย อยู่กันแค่นี้ (มาคิดทีหลังว่า ตะโกนแล้วมัน
จะเสียงเบาได้ไง เหอๆ แอบโง่คับ)

ผมก็หันไปมองไอ้คนมาสายคับ

เท่านั้นแหละ ทำให้เลือดเกย์ผมตื่นขึ้นมาเลย !! น่าร๊ากมากกกกกก 555

มันเป็นเด็ก ม.4 ครับ แต่ตัวเสือกสูงแบบ 180 เลย สูงกว่าผมตั้ง 5 – 6 เซนฯ (คนที่เรียน รร เดียวกัน
รุ่นผมมีไม่กี่คน คงพอนึกออก เหอๆ) ตัวไม่ขาวมาก ออกแทนๆครับ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่า สายตา
มันคับ ตาแป๋วมากมาย เห็นแล้วจาละลาย ตอนที่ไอ้พี่ท็อปมันแนะนำให้น้องเค้ารู้จักกะผม มันก็จา
แบบสบตากันนิโหน่ยยยย

สายตามันเหมือนแบบมองทะลุทะลวงไปถึงไส้ติ่งได้เลยครับ แล้วมันเป็นคนที่ยิ้มค่อนข้างยากนะ
แต่พอมันยิ้มเนี่ย โอ่ เห็นสวรรค์รำไร จึ๊กๆๆๆ (เป็นรายของกูเนี่ย)

ร่ายความดีของมันมา 5 บรรทัด ให้เปลืองเนื้อที่เล่นๆ หุหุ สรุปก็คือมันน่ารักครับ แต่ไม่หล่อหรอก
ผมว่าคนน่ารักอ่ะ ดีกว่าคนหล่อเยอะครับ แต่ข้อเสียของมันคือ ค่อนข้างโง่มากๆ แบบว่า ตอน ม ต้นเนี่ย
กว่าจะผ่านก็ติด 0 กันหลายตัวทีเดียว

“ปริ้น นี่น้องโค้ก เป็นลีดคู่กับเรา” พี่ท็อปบอกผม แล้วก็บลาๆๆๆ แต่ผมไม่ได้สนใจฟังครับ เหอๆ
มองน้องเค้าอย่างเดียว แต่ก็แอบๆมองนะ

“ดีคับพี่ - - ปริ้น” มันพูดเสียงแบบแปล่งๆ

“ชื่อแปลกดีนะ”

อุ๊ก มาหาว่าชื่อกูแปลก เด๋วปั๊ด !

“อ่ะ น้องโค้กเนื้อเพลง อย่าลืมไปท่องมานะ” พี่ต่ายยื่นกระดาษส่งให้มัน มันก็รับ คับๆ แล้วมันก็
บอกว่าจะกลับไปเล่นบาสต่อ

“ปริ้น แล้วไงก็อย่าลืมทำการบ้านมาให้ดีๆอ่ะ เวลาเต้นจะได้ไม่เหนื่อยมาก” พี่ท็อปบอก แล้วก็ไล่ให้
ผมกลับบ้านได้แล้ว เพราะมันก็เย็นมากแล้วล่ะ

“ค๊าบพี่” ผมตอบด้วยเสียงที่บ่งบอกว่า อารมณ์ดี เหอๆ ไม่ต้องสงสัยนะว่าเรื่องอาไร ตอนนั้นผมลืม
ไปเลย ว่าเคยกังวลเรื่องความเป็นเกย์ของตัวเอง รู้แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอาไรมากไปกว่า จะได้ร่วม
ทีมกะไอ้น้องโค้กแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดีอ่าไรเงี้ย

ผมก็เดินกลับกะลังจะออกจากประตู รร อยู่แล้วล่ะ ก็รู้สึกว่ามีมวลอากาศมาคุอยู่ด้านหลัง

อ่า โอ้ตครับ เดินตามมาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก ….. ผมลืมไปเลยว่าต้องกลับพร้อมมัน
มัวแต่เดินใจลอยอยู่ หน้าตามันไม่ต้องพูดถึงคับ พักนี้ หน้ามันบูดได้ทุกวัน สงสัยมันคงเครียดเรื่องกีฬาสี

“อ้าว ขอโทดโอ้ต ลืมคอย แฮะๆ” ผมตอบเสียงเจือนๆ แต่หน้ายังยิ้มแย้มอยู่

“ทีหลังถึงบ้านแล้วค่อยนึกออกก็ได้” มันบอก แล้วก็เดินมาชนไหล่ผมแบบจงใจกระแทกสุดๆ

- อารายของมานเนี่ย …- ผมเกาหัวแกร๊กๆ


* * * * * * * * * * * *

ผมกลับถึงบ้านด้วยอาการมึนๆนิดหน่อย เพราะว่าตลอดทางเนี่ย โอ้ตมันก็บ่นเรื่องปัญหาโน่น ปัญหานี่
ตลอดทาง ทะเลาะกะคนโน้น ต้องเครียกะคนนี้ ดูมันเครียดกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

ตกลงว่า เค้าจัดกีฬาสีขึ้นมา เพื่อให้เด็กมาสนุกสนาน เชื่อมความสามัคคี หรือว่า ทำให้เด็กต้องมาแข่งขัน
มาเครียด มาทะเลาะกันหว่า ?

พอกินข้าวที่บ้านยายเสร็จ ผมก็รีบกลับมากะว่าจะรีบท่องเนื้อเพลงให้จำได้โดยเร็ว (ทีการบ้านไม่ค่อยแตะ)
น้ำท่า เสื้อผ้านักเรียนก็ยังไม่ได้ถอด

“รีบนอนนะปริ้น พรุ่งนี้ต้องรีบไปแต่เช้า” โอ้ตมันตะโกนข้ามมาบอกผม

“เออออออ ผมก็รับคำไปงั้นแหละ ”

2 ชั่วโมงผ่านไป เกือบ 5 ทุ่มแล้ว ไฟห้องผมก็ยังเปิดสว่างไสวอยู่ ง่วงก็ง่วงครับ แต่ก็จำเนื้อยังไม่ค่อย
ได้เลยตู

ติ๊ดดๆๆๆๆๆๆๆ เสียงมือถือดังขึ้นมา

“ว่าไงโอ้ต เสียงออกงัวเงียๆ

“บอกให้รีบหลับไง ทำไมยังไม่นอนอีก” เสียงมันออกฉุนๆ เพราะว่ามันคงเห็นแสงไฟออกมาจาก
บ้านผมแหละ

“อือๆ เด๋วจะนอนแระเนี่ย อีกแป๊บนึง”

“รีบๆนอนนะ” มันบอกแล้วก็วางหู โหย คุณจานอนก็นอนดิคับคุณพี่โอ้ต

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงครับ ไม่ไหวแระว้อยยย พรุ่งนี้ค่อยต่อแระกัน ผมคิดแล้วก็เอากระดาษมา
ปิดหน้าปิดตา แบบพักสายตาก่อน

“ดีคับพี่ - - ปริ้น”

“ชื่อแปลกดีนะ”

อยู่ๆผมก็คิดถึงหน้าน้องโค้กขึ้นมาครับ พร้อมกับเสียงที่มันคุยกับผมแค่ไม่กี่ประโยค

“ฮืออออ” ผมครางขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกว่า เจี้ยวผมมันเริ่มแข็งตัวขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้
(ใช้คำว่าเจี้ยวนี่เด็กไปป่าวฟร่ะ 555 )

“พี่ปริ้นครับ” ผมเริ่มจินตนาการไปไหนต่อไหนเลยเถิด

“พี่ปริ้นน่ารักจัง” โค้กในจินตนาการบอกพร้อมกับดึงใบหน้าแล้วก็เอาปากนุ่มๆ
มาประกบกับปากผม ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าดูดปาก กระชากลิ้นกันยังไง แต่เท่าที่ดูในหนังโป๊
มันก็พอจะนึกออกล่ะนะ

โค้กกับผมยังคงประกบปากกันอย่างเร่าร้อน ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของเจ้าโค้กมันพยายามเข้ามา
ชอนไชในปากของผม จนแทบหายใจไม่ออก

“โค้ก …” ผมครางขึ้นมาเบาๆ แล้วกับเลื่อนมือไปกุมที่เจ้าน้องชายที่แข็งปั๋งอยู่ภายในกางเกง
สีกากี แล้วก็รูดขึ้น รูดลงเบาๆ

ไอ้โค้กในจินตนาการมันทำเอาตัวผมล่องลอยแล้วก็เตลิดไปถึงไหนต่อไหน ทั้งๆที่ผมเวลาว่าว
เนี่ย ก็ไม่เคยจินตนาการว่ามีกับผู้ชายเลย

“….. เสียวมั้ยคับพี่ปริ้น” โค้กถอนปากออกมา แล้วก็เอาสายตาหวานมาจ้องมอง
สายตาที่ยากที่จะลืมเลือน มันน่ามองมากๆๆ

“โค้ก พี่เสียวคับ …” ผมครางกับตัวเองอีกรอบ แล้วก็ค่อยๆ ปลดเข็มขัดนร ออก แล้วก็รูดซิบ
ลงมา เพื่อปลดปล่อยพันธนาการ มืออีกข้างผมก็ปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก แล้วก็ล้วงไปสัมผัส
กับหัวนมที่ตอนนี้มันแข็งเป็นไตแล้ว

“นมพี่น่าดูดจังคับ” เจ้าโค้กมันก็เลื่อนหน้าลงไปไซร้ที่ซอกคอผมนึงทีเป็นการกระตุ้น
ต่อมหงี่ให้บังเกิด แล้วก็บรรจงครอบปากที่หน้าอกผม แล้วก็ดูดเบาๆ ความเสียวซ่านแม้ใน
จินตนาการก็เหอะ ทำให้เท้าผมถึงกับต้องเกร็ง

มือด้านที่ทำหน้าที่รูดซิบออกเรียบร้อย ก็พยายามที่จะปลดปราการด่านสุดท้ายเพื่อให้หนอน
ชาเขียวของผมที่บัดนี้กลายร่างเป็นปลาช่อนตัวเขื่องให้ออกมาสูดอากาศข้างนอกซะที

“อ่า … โค๊ก เสียวจังคับ” ผมยังคงเพ้อกะตัวเองไปเรื่อย ราวกับมีน้องโค้กตัวเป็นๆมานอนดูด
ไซร้ให้งั้นแหละ

ผมเหวี่ยงขาตัวเองเพื่อให้กางเกงมันหลุดออก แล้วก็นอนเปลือยท่อนล่างล่อนจ้อน มือด้านนึง
ก็ลูบไล้หน้าอกตัวเอง อีกด้านก็กำไอ้ช่อนตัวเขื่องไว้แน่น แล้วก็ค่อยๆสาวเป็นจังหว่ะ

“ฮืออ อ่า ….”

โค้กมันดูดจนพอใจ ผมก็ดึงตัวมันขึ้นมาแล้วก็เอาปากไปประกบกับปากของน้องโค้กอีกรอบ
แล้วก็ฉกลิ้นเข้าไปจนโค้กมันผงะเหมือนกันเมื่อเจอผมรุกไปขนาดนี้ แต่ท้ายสุดก็เต็มใจ
แลกลิ้นกับผม อย่างดูดดื่ม เสียงดูดปาก ดัง จ้ววบจ๊าบ แมร่ง ยิ่งเพิ่มความอารมณ์กำหนัด
ให้กับตัวเองมากมาย ลิ้นน้องโค้ก นุ่มมากกกก (จิ้นเอาเอง)

“ ซี้ดดด พี่ครับ ดูดเบา ๆ ”

“โค้ก ดูดให้พี่หน่อยดิ” ผมว่า พลางเลื่อนหน้าน้องโค้กลงไปที่แท่งทวน

“ผม .. ไม่เคย” มันว่าแบบนั้น แต่ก็ค่อยๆครอบปากลงไปแบบนุ่มนวล

“ซี้ดดดด โค๊ก …” ผมแอ่นตัวไปแบบลืมตัวคับ เสียงสาวว่าวดัง แชะๆๆเลย (ม่ะใช่เสียง
ไฟแช็คนะเมิง) เสียงเตียงลั่นเอี้ยดอ๊าด ใกล้แล้ว ผมรู้สึกได้แบบนั้น พร้อมๆกับหน้าน้องโค้ก
ที่ปากก็ยังอมเคผมอยู่ เงยหน้ามามองประสานกัน

มือขวาก็จับเคผมเอาไว้แถมยังรูดซะเสียจนสุดโคน ปากก็รูดหัวเคผม ขึ้นลง แบบโม้ค เลย

“อ่า พี่โคตรเสียวเลยคับ โค้ก อ่า … ม่ะ ม่ายไหวแล้ว เพ่จะ จะ ……” ผมรู้สึกว่า
อีกไม่กี่วินาที มันจะระเบิดออกมาแล้ว

แกร็ก แกร็กกกก

“เฮ้ย บอกว่าให้นอนได้แล้ว ทำอะไรอยู่ - - -” ไอ้โอ้ตมันเสือกเปิดประตูเข้ามาคับ
ปกติมานจะเคาะประตูก่อนนี่หว่า !!

แค่ผมได้ยินเสียงมัน ไม่ต้องเห็นหน้าหรอก เพราะว่าตอนทำ ผมเอากระดาษเนื้อเพลงปิดหน้า
ไว้อยู่ไง ก็แบบกระเด้งตัวขึ้นมาเลยอ่ะ แต่ก็หาไรปิดส่วนล่างไม่ได้คับ เพราะว่า ผมดีดกางเกง
ไปทิศไหนแล้วม่ะรู้ มีแต่เสื้อ นร อ่ะที่ใส่อยู่ แต่มันก็ไม่ยาวพอที่จะปิดอะไรๆได้หรอก

หน้าไอ้โอ้ตมันอึ้งอ่ะคับ ผมก็อึ้งอ่ะ อายโคตรรรรพ่อ อยากเอาหน้าไปซุกหว่างขาไอ้โค้ก
เฮ้ย ซุกแผ่นดินหนีหมดกาน โอ้ตมันเห็นผมกะลังชักว่าวแบบว่า …. แบบว่าเต็มๆตาคับ
ตอนเด้งตัวขึ้นมา มือยังจับเคตัวเองอยู่เลย แฮะๆ แต่พอรู้ตัวอีกที ก็รีบปล่อยคับ ควานไป
หยิบกกนมาปิด (ซึ่งก็แน่นอน ปิดม่ายมิด แต่กูขอปิดไว้ก่อน)

“ทะ ทำไม... ยังไม่นอนอีก” มันพูดไป แต่หน้ามันแดงมาก โถ่ว้อย ยังมาถามกูอีก เห็นขนาดนี้

“ทำไมเปิดประตูห้องคนอื่นแล้วม่ะเคาะประตูก่อนว้า” ผมพูดขึ้นมา แล้วก็ลุกขึ้นไปเพื่อหนี
เข้าห้องน้ำคับ ไม่รู้ว่าร้อนเพราะว่าโกรธ หรือเพราะว่าอายชิบหายกันแน่

ผมกะว่า วิ่งร้อยเมตรภายในสองวินาทีถึงห้องน้ำ แต่ไอ้โอ้ตมันดันเอามือมาคว้าตัวผมไว้ได้ก่อน

“เฮ้ย โอ้ต อายว้อยยย ไม่เล่น จาไปเข้าห้องน้ำ” ผมอับอายแบบบอกไม่ถูก ยังจะมาแกล้งไรกูอีกว้า

“… ก็ ปริ้นยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ ….. ก็ทำต่อให้เสร็จซิ” โอ้ตมันเข้ามากระซิบที่ข้างหูผม
ทำเอาตัวผมเลิกดิ้นเลย ตกใจนะว้อย ไม่ใช่เงี่ยน

“พะ พูดบ้า บ้ - - - ”ไม่ทันพูดจบ ไอ้โอ้ตมันก็เอามือเอื้อมไปดับไฟตรงผนังห้องคับ

“เฮ้ย ….. !!!! ”


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:39:28
แสงไฟดับลงพร้อมกับไอ้โอ้ตมันดึงตัวผมให้เข้าไปประชิดตัวมัน รู้สึกว่ามือมันเย็นเจี้ยบเลยคับ แต่พอด้านหลังไปแน่บกับตัวมันเนี่ย ร้อนผ่าวเลย

“อะ โอ้ต ระ ระ ระ เรา เป็นพี่น้องกันนะ !!!! ” ผมก็พูดแต่ร่างกายมันยังยืนแข็งทื่ออยู่แบบนั้นล่ะ ตกใจก็ตกใจ ที่โอ้ตมันก็รู้สึกแบบนี้กับเราเหรอวะ …..

ผมไม่รู้เลยว่าโอ้ตมันทำหน้ายังไง เพราะว่ามันยืนกอดอยู่ด้านหลัง พอผมพูดไปมันก็เงียบ แต่แทนที่มันจะคลายวงแขน ดันกลับกอดกระชับแน่นเข้าหาตัวอีก แล้วผมก็รู้สึกว่า โอ้ตมันเอาหน้ามาแตะที่หลังคอ แล้วก็ค่อยๆใช้จมูกเลื่อนไล้ไปที่ซอกคอ

“แต่โอ้ต ไม่ได้อยากเป็นแค่พี่ของปริ้นนะ …” โอ้ตกระซิบที่ข้างหู แล้วก็เลื่อนปากมาขบเบาๆ จ๊ากกกก จุดอ่อนกูเลย เสียงหายใจผมขาดๆหายๆ ติดๆขัดๆยังไงบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนตอนที่ผมโดนไอ้คิวปล้ำแบบคืนนั้น มันไม่มีความรู้สึกอยากขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ไอ้ตอปิโดของผมด้านล่างมันก็เริ่มคึกขึ้นมาอีกรอบด้วยดิเนี่ย เวน

“โอ้ต .. มันเสียว” ผมไม่ได้ตอแหลครางออกมานะ แต่มันก็เหมือนเป็นสัญญาณให้โอ้ตมันเข้ารุกมากขึ้น แล้วก็ต้องตกใจคับ เพราะผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างมันดันสะโพกผม ความแข็งอ่ะมันมีอยู่แล้ว แต่ความใหญ่นี่ดิ แม้ว่ามันจะอยู่ภายใต้กางเกงก็เหอะ แมร่ง ไม่ธรรมดาโว้ยยย

“ตกลงว่า … ให้โอ้ตช่วยนะ ” มันพูดเสร็จก็เลื่อนมาหอมแก้มผมทีนึง อะโห่ เป็นครั้งแรกครับที่โดนคนหอมแล้วมันจิตฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ เขิลลลลลหว่ะ ถ้าสว่างอยู่กูคงแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้วอ่ะ แล้วผมก็รู้สึกว่ามือไอ้โอ้ตมันเลื่อนลงมาจับมือที่ปิดป้องของสงวนออก ผมขัดขืนนิดหน่อยตามสัญชาติญาณคับ เพราะว่าเกิดมาไม่เคยมีใครมาชักว่าวให้นี่หว่า

หมับ …

แค่มันจับก็เสียวแล้วอ่า รู้สึกได้ว่าท่อนลำของผมเนี่ยมันแข็งสู้มือไอ้โอ้ตจังวะ

“จะ .. ทำจริงเหรอ” ผมถามเสียงกระเส่า ตอนนี้โอ้ตมันค่อยๆรูดมือไปช้าๆเนิบๆแล้ว มือนุ่มมากกกก

“ปริ้นไม่อยากให้ทำ โอ้ตก็จะไม่ทำ” มันพูดอยู่ตรงซอกคอผม พร้อมกับเอามือมาบี้ตัวหัวเคอ่ะ แม่มมมมม ผมร้องอ่ะ เบาๆ

“ถ้าไม่ตอบ .. งั้น” มันพูดแบบสงวนท่าที แล้วก็ดันตัวผมไปที่เตียง โอ้ตค่อยๆเอามือลูบไล้ไปบนใบหน้าผมเบาๆ จากนั้นก้มลงดอมดมข้างแก้ม ริมฝีปากบางๆของโอ้ต ทำให้ตัวผมสั่นมากมาย อยากก็อยาก แต่กลัวก็กลัว ตอนนั้นผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมต้องกลัวด้วย … คงกลัวที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่ไอ้ซังมันบอกไว้มั้ง

โอ้ตมันดันให้ผมนอนลง แล้วก็แกะกระดุมเสื้อที่เหลือของผมออก

“ไหนว่าแค่ชัก - - -” ผมเงยหน้าขึ้นมาจะบอก

“เฉยเหอะน่า” เสียงไอ้โอ้ตพูดหื่นๆครับ แล้วมันก็ก้มลงสูดดมหัวนมเบาๆใช้ปลายลิ้นเลีบสะกิดเล่น จนมันตั้งชูชันเป็นไตแข็งขึ้นมา

“อ่ะ” ผมสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับจับหัวผลักออกไป แต่มันก็ขืนไว้ อะ เสียวววว โอ้ต พอก่อน ผมร้องออกมา แล้วก็เริ่มดิ้นพล่าน ไอ้โอ้ตก็แกล้งผมซะไม่ยอมหยุดเลีย ซ้ำยังเอาลิ้นดันแล้วก็มีขบเบาๆด้วย ไอ้เหี้ยยยยยย …

ตอนนี้ผมเริ่มจะชินกับความมืดแล้ว ทำให้มองเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนขึ้น โอ้ตมันเหมือนรู้ว่าผมมองมันอยู่ มันก็หยุดกิจกาม แล้วก็เงยหน้ามามอง ผมเห็นมันยิ้มทำให้ต้องหลบสายตา มันจัดการถอดเสื้อตัวเอง แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมาทับตัวผม

“อ๋อยยย โอ้ต หนักวะ” ผมบ่น ตัวโอ้ตกับตัวผมตอนนี้ไม่มีเสื้อมาปิดกั้น ทำให้เข้าใจคำว่า หนาวเนื้อห่มเนื้อเลยคับ ตัวอุ่นๆ ของมันสัมผัสแนบชิดอยู่บนตัวผม สายตามันประสานกันเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ปริ้นนี่คุณหนูเนอะ …. ตัวนิ่มจัง” มันพูดแล้วก็ก้มมาหอมแก้มผมนึงที จาหลบก็หลบไม่ได้คับ ได้แต่หลบสายตา เหอๆ

“โกรธป่าว ที่ทำแบบนี้” มันถาม เสียงเปลี่ยนเป็นความกังวล

ผมไม่ตอบครับ ไม่รู้จะพูดอะไร บอกถึงอารมณ์ไม่ถูกครับ แต่ไม่โกรธแน่ๆอ่ะ (จะโกรธถ้าเมิงเลิก 55)

มันเห็นว่าผมไม่ตอบ ก็เลยเลื่อนหน้าใกล้เข้ามา

“จะทำอะไรง่ะ” ผมถามเสียงตื่นๆ

“ตอบดิ ไม่งั้นปากเสียความบริสุทธิ์นะ” ปากมันเข้ามาใกล้มากพูดที ผมได้กลิ่นยาสีฟันคอตเกตไวเทนนิ่งเลย แต่มันหารู้ไม่ว่า จูบแรกผมตกไปให้กะไอ้คิวแล้ว เหอๆ

“ตกลงว่าโกรธ เหรอไม่โกรธล่ะ” มันถามกวนผม แหม มาขนาดนี้แล้ว ถ้าโกรธก็ต่อยฟร่ำไปแระ

“คงไม่อ่ะ” ผมพูด พลางใช้มือขวายันหน้ามันไม่ให้ใกล้กว่านี้คับ ยังตื่นเต้นอยู่

“ทำไมต้องมีคง .. ” มันถาม แล้วก็จับมือผมออกจากหน้ามัน เลื่อนหน้าเข้ามาแทบประชิด

“โกรธป่าว …” มันถามแค่นั้น ผมก็ตอบอะไรไม่ออกแล้วคับ เพราะสิ้นเสียง ก็โดนประกบปากซะ มือมันก็ล้วงลงไปจนถึงส่วนล่างของผม แท่งเนื้อซึ่งมันก็ได้ขยายตัวเกือบเต็มที่แล้ว แล้วโอ้ตก็ค่อย ๆ จับแท่งเนื้อ รูดขึ้น รูดลงอย่างช้า ๆ แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนผมครางในปากไอ้โอ้ต

“ชักเอง กับคนอื่นชักให้เสียวต่างกันป่าว” มันถอนปากขึ้นมาแซว ตาเยิ้มเชียว

“อือ …” ผมยิ้มตอบ แปลกแฮะ ผมรู้สึกอยากจะ ………

“เอ้ยย !! ” เสียงโอ้ตมันร้องแปลกใจ เมื่อผมใช้แรงดันพลิกตัวในจังหว่ะที่มันมัวรูดน้องผมเพลินอยู่ ตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนมันมั่ง อะไรซักอย่างในตัวผมมันพลุ่งพล่าน อยากจะจัดการโอ้ตมันเต็มแก่ ผมก็เริ่มขึ้นไปนั่งคร่อมบบหน้าท้องมันแล้วเริ่มไซร้หู ลงมา ซอกคอมัน

“ซี้ดดดด …” โอ้ตมันครางเบาๆ ทำให้ผมได้ใจมากขึ้น (ว่าอย่างน้อยกูก็พอเป็นมั่งวะ) ผมเริ่มเลื่อนมาถึงหน้าอกคับ ผมลองเอามือมาสัมผัสที่นมโอ้ตก่อน มันแข็งเป็นไตเลยอ่ะ ผมก็ไม่รีรอก้มลงไปดูดเลีย เหมือนจะเอามันคืนคับ ได้ผล ไอ้โอ้ตมันเริ่มดิ้นแล้วก็บิดตัวไปมาคับ เพราะว่าผมกัดด้วยอ่ะ 555 ซาดิสซะงั้นกู

“โอ้ยย กัดเหรอปริ้น” เสียงโอ้ตมันบอก แต่มันก็ไม่ได้ผลักไสอะไร สงสัยชอบด้วยม๊าง เพราะว่ามันเอามือมาลูบหัวผมไปมาเหมือนจะเพลิน ซักพักเริ่มเมื่อยแล้วคับ ด้วยประสามือใหม่หัดกาม ก็เลยลุกขึ้นมา ตอนนี้ท่าผมก็แบบว่านั่งอยู่บนตัวมันอ่ะ ปาดเหงื่อ

“ปริ้นจะนั่งเทียนให้โอ้ตเหรอ” มันถามหน้าทะเล้น พร้อมกับเด้าเอวขึ้นลงๆ แบบแกล้งๆ แต่ผมก็รู้คับว่ามันอยากจริงๆล่ะ เพราะว่าไอ้น้องของโอ้ตมันแข็งซะแทบทะลุกางเกงมาชนตูด

“ไอ้บ้าโอ้ต” ผมเขิล แล้วก็กำกำปั่นต่อยที่เจี้ยวมันเบาๆ มันร้องโอ้ยเลยคับ เหอๆ

“เจ็บ ………”

“ก็ทำให้เจ็บเด๊ะ จะได้เลิกแข็งข้อ”

“เดี้ยยยยะเหอะ” มันพูดแล้วก็ผุดลุกขึ้นมาทำให้ผมเสียหลักล้มลงไปอีกด้านของเตียงอ่ะ โอ้ตมานก็ไม่รีรอคับ ขึ้นมาประกบผมอีกจนได้ เอากะมันดิ

“แกล้งดีนัก เดี๋ยวจับทำ ………… พันระยาเลย” มันไม่กล้าพูดคำว่าเมียกะผมคับ เหอๆ แล้วผมก็ตกใจคับ เพราะว่าไอ้โอ้ตมันก็เลื่อนหน้าก้มลงไปด้านล่าง

“เฮ้ย โอ้ต ไม่ต้อง …” แต่ไม่ทันแล้วคับ ผมเปลือยอยู่หนิ

โอ้ตถอยตัวลงมานั่งที่ต้นขาแล้วก้มลงไปงับเคผมที่มันตั้งชัน รู้สึกถึงความอุ่นของปากและลิ้น ครอบลงบน เค แค่นี้ผมก็จะแตกซะให้ได้แล้วครับ

“เฮืออกกกกกก” ผมสะดุ้งสุดตัวคับ มือผมก็พยายามจับหัวไอ้โอ้ตไม่ให้ดูดอ่ะ แต่แรงมานเยอะกว่า แถมมันไม่ได้ใช้แค่ปากคับ มือมันก็มาคลึงไข่ผมไปด้วย หว่า โคตรเสียวอ่า

โอ้ตมันใช้ลิ้นเก่งมากคับ(ไม่รู้เคยทำกับใครรู้ป่าววะ) เลียบริเวณหัวเค ที่พ้นหนังหุ้มออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะของผมไม่ได้ขลิบ ก่อนที่จะใช้ปากค่อยๆครอบ ดันลงมาจนส่วนหวัเคผมเปิดหมด เจ็บแน่นๆ นิดหน่อย แต่เสียวมากกว่า แล้วเริ่มโยกหัวเบาๆ จนผมครางออกมาจนไม่รู้จะครางยังไงแล้วอ่ะ ได้แต่นอนบิดไปมา

“เสียวมั๊ย ” ตาจ้องหน้าผมแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ๆ ผมก็มองหน้าไอ้โอ้ต ถึงแม้ไม่เห็นถนัดก็เหอะ เหี้ย โคตะระเซ็กเลยคับ ปากโอ้ตมันก็จะมันๆ แบบว่าน้ำที่มันเยิ้มออกมาของผมมันก็เลอะที่หน้ามันหมดอ่ะ มันพูดเสร็จ มันก็ก้มลงไปต่อ

“โอ้วววววว …ซี๊ด..”

มันได้ยินผมร้อง มันก็ยิ่งทำแรงขึ้นคับ ได้ยินเสียงจ๊วบๆ เตียงสั่น กึ๊กๆๆๆเลย ผมเห็นเคตัวเองผลุบเข้าออกในปากโอ้ตแล้ว มันสุดจะทนทานคับ ซักพักดูท่ามันจะเมื่อย ก็เลยเปลี่ยนมาเลียที่เฉพาะส่วนหัวแทน มือมันก็กระทอกเร็วขึ้น

“อ่า โอ้ต สะ เสียว จะ จะ ไม่ไหวแล้วววววววว” ผมจับหัวมันจะให้ออกไป แต่มันก็ขืนไว้

“น้ำจะ ตะ แตกแล้วโอ้ต” ผมเสียวจัดลืมตัว จากมือที่ดันออก กลับจับหัวโอ้ตให้อยู่เฉยๆ แล้วก็เด้งเอวสวนแทน ไอ้โอ้ตมันเหวอเลยคับ เหมือนจะสำลัก แต่ผมม่ะสนแล้วอ่ะ เสียวววโว้ยยยยยย

แล้วผมก็เสียวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แปร๊บบบเลยคับ แล้วก็รู้สึกว่าน้ำมันพุ่งออกมาแรงมากอ่ะ แต่มันไม่ได้พุ่งลงพื้นคับ มันพุ่งลงคอไอ้โอ้ตแทน

ไอ้น้องผมมันกระตุกถี่ประมาณ แปดเก้าครั้งแล้วก็เริ่มจะสงบลง แต่โอ้ตมันก็ยังครอบปากไว้อยู่อะ แล้วก็เม้มที่หัวเป็นการปิดท้าย ก่อนจะถอนปากออกมา แต่มันก็เสือกแกล้งเอามือสาวว่าวผมไม่ยอมเลิก ใครที่น้ำแตกคงพอรู้นะคับว่า ถ้าแตกแล้วยังสาวอีกนะ มันจะโคตรเสียวกว่าตอนแตกอีก

ผมก็ดิ้นหนีอ่ะ เหี้ย พอแล้ววววววว ไม่ไหว โอ้ตมันก็หัวเราะคับ แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมานอนข้างๆ

“เสียวขนาดไหนฟร่ะ ไม่ยอมให้หายใจหายคอเลย” มันพูด กลิ่นน้ำว่าวผมมันติดมากะปากมันอ่ะคับ แต่ไม่เหม็นนะ ออกคาวๆนิดหน่อย555

“กินไปหมดเลยเหรอ” ผมถามแบบเป็นห่วง เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกว่าน้ำว่าวมันโคตรคาวเลย แดร่กไปได้ไง ไม่บ้วนทิ้ง

“อือ ก็อร่อยดี” มันพูดแล้วก็ทำท่าเลียปาก

“แล้วโอ้ตอ่ะ” ผมถามแบบไม่อยากให้มันค้าง เผื่อจาช่วยไรมานได้บ้าง 55

“ปริ้นอยากช่วยโอ้ตเหรอ” มันถามยิ้มๆคับ เหอๆ

ผมก็ทำหน้าเขินๆ ไม่กล้าสบตามัน แต่ก็เลื่อนมือไปที่เป้ามันอ่ะคับ มันยังไม่ได้ถอดกางเกง แต่Kมานอ่ะเด่ออกมาเป็นลำคับ ผมลองจับๆคลำๆดู ว่ามันต่างจากกูมากแค่ไหนวะ

“โห เยิ้มเชียว” ผมพูด แล้วก็เริ่มเอามือรูดในกางเกง โอ้ตมันตัวเกร็งเลยคับ ผมก็พยายามแบบสุดๆอ่ะ เคยว่าวแล้วตัวเองเสียวไง ก็เอามาประเคนให้ไอ้โอ้ตสุดฝีมือ แต่ยังไม่กล้าใช้ปากอ่ะ มันไงม่ะรู้

“ถอดกางเกงดิ เด๋วเลอะ” ผมว่า มันก็ดันเอวขึ้น ให้ผมรูดกางเกงมันลง เท่านั้นแหละ มังกรยักษ์อนาคอนด้า ก็โผล่พลวดขึ้นมาตั้งตระหง่าน ผมก็ชักให้มานไป โอ้ตมานก็ครางฮือ อ่า เสียงเซ็กโคตร พี่กู

“จูบปากหน่อยดิ” โอ้ตพูดเสียงกระเส่า พร้อมกับเลื่อนมามาเกาะกุมที่มือผมเหมือนเป็นการเร่งเครื่อง ผมก็สนองคับ ผมชักชอบการจูบแล้วดิ มันส์ดี กั๊กๆ

“อืออออออ” เสียงโอ้ตมันครางในลำคอ เพราะว่าปากมันโดนผมประกบแล้ว ลิ้นเราเหมือนงูพันกันอ่ะคับ เสียงจูบจ๊วบๆ เสียงกระทอกเค ก็ดังเพราะว่าน้ำหล่อลื่นไอ้โอ้ตนี่ยอมรับว่า มันไหลออกมาเยอะเหลือเกิน ไอ้ขี้เงี่ยนเอ้ย

จนในที่สุด …. เหมือนโอ้ตมันจะเสียวจัด เอาปากออกแล้วก็มากัดที่คอผมแทน ประหนึ่งหาที่ยึดเหนี่ยว

“โอ้ยยย … ไอ้โอ้ตตต เจ็บ”

“อ่า …… ปริ้นนนน สะ เสียวววว” ตัวมันกระตุกถี่พอกับผม แล้วก็ค่อยสงบนิ่งลง ผลปรากฏว่า เตียงผมคับ เตียงโผมมมมม เลอะน้ำไอ้โอ้ตหมดเลย

“ขะขอโทด เด๋วโอ้ตไปซักให้” มันว่า พลางรีบลุกขึ้น

“ไม่เป็นไร ”ผมบอกแล้วก็รีบบอกให้โอ้ตแต่งตัว เพราะว่ามันดูเหมือนจะมานานแล้วอ่ะ เด๋วป้าเล็กสงสัย

“อือ แล้ว พรุ่งนี้เจอกัน …” มันบอกเสียงเพลียๆ

“เหอๆ จะตื่นไหวป่าวก็ไม่รู้” ผมแซวคับ เพราะว่าน้ำมันออกเยอะเจงๆ

“ตื่นดิ ไม่ตื่นเดี๋ยวโอ้ตจะมาปลุกเอง” มันพูดแล้วก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์

“อาราย ”

“ปริ้น …” มันเรียกชื่อผม แล้วก็เดินเข้ามากอด

“ฮื้อออ” ผมขานแล้วก็เอาหน้าซุกไว้ที่หน้าอกมัน ตัวโอ้ตห้อมหอม ทำไมผมก็อยุ่ใกล้ชิดมันก็มากนะ แต่คืนนี้ มันหอมกว่าทุกวันคับ

“คบกับโอ้ตนะ” มันพูดพอที่ผมจะได้ยิน วงแขนมันกระหวัดรัดแน่นอยู่ที่กลางหลัง

ผมไม่พูดอะไร แต่ก็เอามือโอบกอดมันกลับ เอาหน้าซุกแน่นเข้ากับอกโอ้ต รู้สึกว่าเหมือนน้ำตามันจะไหล เสียงสะอื้นเบาๆ ทำให้โอ้ตเอามือมาลูบหัวผม

“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นหรอกน่า” เสียงไอ้โอ้ตแซวแทงใจดำคับ ไอ้หอก

“ไอ้บ้า ใครดีใจ ไม่มีอ่ะ” ผมรีบพูดแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้คับ แล้วก็ต่อยแขนมันทีนึง

“เจอกันตอนเช้านะคับ ที่รักของโอ้ต” มันพูดแล้วเลื่อนหน้ามาจูบหน้าผาก ก่อนปิดประตูเดินกลับบ้าน

มะ มันจะรู้มั้ย ว่าที่มันพูดเนี่ย ทำเอาผมนอนเกือบไม่หลับเลยนะวะคับ …. ไอ้ที่รักของปริ้น
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:40:04
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย” ไอ้โอ้ตเดินหน้าชื่นมื่นผิดปกติกว่าทุกวันเข้ามาทัก

“อะ อือ ก็ดี” ผมอ้อมแอ้มตอบ เหตุการณ์ม่ะคืนทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ได้รู้จักตัวเองขึ้นมาขั้นนึง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกกลัว

แล้วผมก็นึกถึงคำพูดของซังที่คุยกันวันก่อน

“สำคัญอยู่ที่ พอถึงเวลาเรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว ……”

“เป็นอะไร มีอะไรไม่สบายใจเหรอ” โอ้ตถามผมด้วยความเป็นห่วงในระหว่างที่นั่งรถไป รร เพราะว่าผมเอาแต่คิดนั่นคิดนี่ คิดไม่ตก ไม่สบายใจอะไรก็ไม่รู้ คิดไปถึงว่า ถ้าโตขึ้นไปแล้วผมเป็นแบบนี้ รู้สึกชอบผู้ชายแบบนี้ อนาคตผมจะเป็นยังไงวะ (คิดแบบเด็กๆในตอนนั้นอะคับ)

“………..”

“ปริ้นไม่สบายใจเรื่องเมื่อคืนเหรอ” โอ้ตมันถามเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

“โอ้ตขะ ขอโทษ โอ้ตนึกว่าปริ้ - - -” โอ้ตมันพูดยังไม่ทันจบ ผมก็ทำมือแบบให้มันหยุดพูดก่อน

ผมไม่ตอบอะไร ยิ่งโอ้ตมันคาดคั้นผมมากขึ้น มันก็ยิ่งทำให้ผมลำบากใจ ผมไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้นอ่ะ

“ป่าว …ไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามจะตอบคำพูดที่ทำให้โอ้ตมันรู้สึกสบายใจกว่านี้นะ แต่มันพูดออกมาได้แค่นั้นเอง

โอ้ตมันก็แบบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้คับ แล้วก็หันกลับไปนั่งตามปกติ

- โอ้ต มันไม่ใช่เพราะโอ้ตนะ - ผมอยากจะบอกคำๆนี้ให้มันได้ยินเหลือเกิน แต่ผมก็ได้เพียงคิดในใจเท่านั้น

บางที คนเราก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันครับ ทั้งๆที่ใจอยากทำอย่างนึง แต่ทำไมการกระทำถึงต้องลงไปอีกแบบนึงก็ไม่รู้


* * * * * * * * * * * *

พอมาถึง รร ผมค่อยดีขึ้นหน่อยครับ เพราะว่าได้เจอเพื่อนๆ ได้คุยเรื่องอื่น ได้เรียนโน่นนี่ ทำให้ไม่ต้องมานั่งคิดถึงเรื่องเมื่อคืนมากนัก ผมยังยอมรับที่จะคบกับโอ้ตแบบแฟนไม่ได้หรอก

เรามันเป็นแค่พี่น้องกัน … เรื่องม่ะคืนอ่ะ มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ

ผมท่องไว้ในใจ

“พี่ท็อป หวัดดี” ผมหันไปเจอพี่ท็อปที่เอามือมาตบบ่า ทำเอาสะดุ้งเรย

“เย็นนี้เริ่มซ้อมแล้วนะ ไปเจอกันที่บ้านพี่ต่าย สี่โมงครึ่ง …”

“อ้าวพี่ แล้วทำไมไม่ซ้อมที่ รร ง่ะ” ผมขี้เกียจไปคับ ยิ่งมีเรื่องให้คิดอยู่แบบนี้อีก

“ซ้อมที่ รร ก็มีหวังโดนแอบซุ่มดูอ่ะดิ เด๋วมันลอก” พี่ท็อปว่า ถ้าไปไม่ถูก ก็มารอที่หน้าห้องพยาบาลล่ะกัน เดี๋ยวมีพี่เค้าพาไป

“ก็ได้คับ” ผมตอบเสียงอ่อยๆ แล้วก็เดินไปเรียนวิชาอื่นต่อ

ในระหว่างวิชาเรียน ซังมันก็มากระซิบผม

“ปริ้น เย็นนี้ว่างป่ะ”

“วันนี้พี่ท็อปนัดซ้อมลีดบ้านพี่ต่ายอ่ะ ไม่รู้เลิกกี่โมง” ผมตอบ

“งั้นคงเย็นแน่เลย …. ไม่เป็นไร” มันทำเสียงผิดหวังนิดๆ แล้วก็หันไปจดงานบนกระดานต่อ

“ทำไมเหรอ ? ”

“พอดีจะให้ไปช่วยเลือกซื้อของ”

“ของไร ? ”

ไอ้ซังมันก็ทำหน้าแปลกใจ “วันศุกร์วันเกิดพี่โอ้ตหนิ”

“เฮ้ย เจงอ่ะ” ไม่เห็นบอกกันเลย ผมกระซิบตอบ “เฮ้ยๆๆๆ วันศุกร์ งั้นก็พรุ่งนี้แล้วดิ” ผมว่า พลางนึกโกรธในใจ แมร่งม่ะบอกกูเลยนะ เด๋วก็มางอนกรุอีกว่าไม่รู้วันเกิด

“ปริ้นไม่รู้ …เหรอ” ซังทวนคำถาม

“เออดิ ไม่รู้” ผมย้ำเสียงเคืองๆ แล้วก็พึมพำอีกนิดหน่อยพอเป็นกระสัย เหอๆ

“เนี่ย ก็ว่าจะถามปริ้นว่า พี่โอ้ตเค้าชอบอะไร จะได้ซื้อให้ แบบว่าปีก่อนโน่นก็ซื้อ บลาๆๆๆๆๆๆๆ”

“แล้วจะรู้มั้ยล่ะว่าโอ้ตมันชอบอะไร” ผมตอบ

“อ่า ก็เห็นอยู่ด้วยกัน”

“ก็อยู่ด้วยกัน ก็………..” ผมตั้งท่าจะเถียง แต่เถียงไม่ออกครับ จริงดิ ผมรู้จักกับโอ้ต อยู่บ้านเดียวกับโอ้ต(แม้ว่าจะอยู่คนละหลังก็เหอะ) แต่ผมแทบจะไม่ค่อยรู้ว่ามันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เลย เพราะทุกวัน โอ้ตมันจะมาทำโน่นทำนี่ให้ ผมรู้เพียงแต่ว่า ถ้าผมทำอะไรไม่ดี มันก็จะทำให้โอ้ตหงุดหงิด ก็เท่านั้นเอง

ผมรู้อะไรเกี่ยวกับโอ้ตบ้าง ……… ขนาดวันเกิดมันแท้ๆ ยังไม่รู้เลย

ซังมันเห็นผมคิดหนัก เลยเอามือมาเขย่าตัวอย่างแรง

“เป็นไร เฮ้ย ปริ้น ”

“ปะ เปล่าๆ เออ ซื้ออะไรก็ได้มั้ง เราว่าโอ้ตมันก็ดีใจหมดล่ะ ” ผมตอบตัดปัญหาไป ดูไอ้ซังมันก็ทำหน้ามุ่ยแบบว่า ไม่ได้ช่วยอาไรกูเลย ประมาณนั้น เหอๆ ก็กรุไม่รู้เจงๆนี่หว่า

พอหมดคาบปั๊บ ผมก็กะว่าจะไปหาโอ้ตคับ เพราะนึกได้ว่าม่ะเช้าเนี่ย ผมทำกริยาบางอย่างให้โอ้ตมันเสียใจ … แต่จริงๆก็คือจาไปต่อว่ามันนี่แหละ ว่าทำไมวันเกิดแล้วไม่บอกมั่งเลย หุหุ (สรุปเมิงจาไปง้อ หรือว่าไปทะเลาะกะเค้ากันแน่วะ)

แต่ก็หาไม่เจอคับ ไอ้โอ้ตตามหาตัวยากมาก เพราะกิจกรรมมันเยอะ แล้วผมก็ไม่ได้มีตารางสอนห้องโอ้ตด้วย

- ไว้ตอนเย็นก็ได้วะ - ผมคิดในใจ แล้วก็รีบวิ่งไปเรียนคาบสุดท้าย เนื่องจากเลยเวลามาแยะ

พอตกเย็นปั๊บ ผมก็ว่าจะไปรอโอ้ตที่หน้าห้องปกครอง ก็ดันเจอพี่ท็อปที่หน้าห้องพยาบาล

“เฮ้ย ปริ้น ไปซ้อมลีดด้วยวันนี้” พี่ท็อปทัก

เออ ผมลืมไปเลยว่าต้องไปซ้อมลีด โอ้ยยยยย กรูจาบ้า

“คับพี่ เด๋วผมตามไปนะ”

“อ้าว แล้วรู้จักบ้านต่ายเหรอ” พี่ท็อปขมวดคิ้ว

“เออ …”

“งั้นเด๋วก็ไปพร้อมกันนี่ล่ะ จะได้ไม่ต้องหากันอีก ไอ้พี่ท็อปสั่ง” เอาแล้วดิ ผมก็นะ ตัวเองมีมือถือก็จริงอยู่ โอ้ตมันก็มีนะครับ แต่ว่ามันไม่ค่อยเอามาโรงเรียนอ่ะ มันให้เหตุผลว่า ถ้าประธานนร เอามาเป็นตัวอย่าง คนอื่นมันก็เอามาได้ดิ มันว่าแบบนี้ เด็กนร ส่วนมากมีแต่เพจอ่ะ เพราะว่ามันแอบเข้ามาได้ อีกอย่างคือ ช่วงนั้นมือถือมานแพงโคตร เพจจาได้รับฟามนิยมมากกว่า

“แล้วนี่รอใครอีกล่ะ” ผมพูดเสียงหงุดหงิด

“รอไอ้โค้กอยู่” พี่ท็อปบอก นั่นไง เห็นหัวมันแล้ว

พี่ท็อปมันก็รีบกวักมือเรียก แล้วก็บอกให้ผมถือกระเป๋าตามไป

“หวัดดีคับ พี่ท็อป พี่ปริ้น” โค้กเห็นเราสองคนก็ยกมือไหว้ หน้าใสมาเชีย น่ารักชิหายไม่เสื่อมคลาย

“เออ แล้วเอามอไซต์มาใช่ป่าว ขี่ตามมาล่ะกัน” พี่ท็อปว่า แล้วก็เดินนำไปที่รถมอไซต์พี่แก

“พี่ท็อป เด๋วผมไปปกครองบอกโอ้ - - - เอ้ย พี๋โอ้ตแป็บนะ ว่าจะกลับเอง” ผมพูดแล้วก็วิ่งไปอย่างเร็ว เพราะกลัวมันด่าอีก

ถึงหน้าปกครองปุ้บ ก็หามีไอ้โอ้ตไม่ มันไปไหนของมันวะ ผมก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา ปกติมันก็จะเสร็จกิจกรรมเวลาประมาณนี้นี่หว่า ผมก็หันรีหันขวาง พอดีไอ้คิวก็เดินมากะซัง

“ซังๆๆๆ” ผมรีบเรียกมัน

“เห็นโอ้ตป่ะ” ผมถาม พลางเหลือบไปเห็นหน้าไอ้คิวผิวปาก (ทำป๊ะเมิงเหรอ)

“ผิวปากเหี้ยไร” ผมตอบแบบไม่สบอารมณ์

“ป้าวววว” ไอ้คิวมันตอบเสียงกวนตรีนสาดดดดด

“ไม่เห็นอ่ะปริ้น ” ซังมันบอก

“เด๋วรอโอ้ตอยู่แป็บได้ป่ะ ฝากบอกด้วยว่าเราต้องไปซ้อมลีดอ่ะ เด๋วกลับเอง” ผมบอกซัง

“อ่อ ก็ได้ ถ้าเจอนะ ”

“ขอบใจๆ” ผมพูดเสร็จ พี่ท็อปก็เดินจูงรถผ่านมาถึงพอดี พร้อมกับน้องโค้ก

“หวัดดีคับพี่ท็อป …..” ซังทัก แล้วก็เหล่ไปมองไอ้โค้ก สายตากรุ้มกริ่ม

“ลีดสีเราเหรอครับ”

“ถูกแล้วน้องเอ๋ย” พี่ท็อปบอก แล้วก็หันไปคุยกะไอ้คิวเรื่องลงกีฬาคับ ไอ้คิวมันก็ดูไม่ค่อยอยากลงหรอก แต่แบบว่ามันคงเกรงใจพี่ท็อปด้วยหล่ะ เลยรับปากไปก่อน

“งั้นไปก่อนนะ” พี่ท็อปบอกลา

“ฝากด้วยนะซัง หวัดดี” ผมไม่ลืมเตือนซัง

“ไปแล้วนะไอ้สัด” แล้วผมก็ไม่ลืมที่จะด่าไอ้คิวอีกเช่นกัน


* * * * * * * * * * * *

“เด๋วพี่ แล้วจะซ้อน 3 กันไปเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นโค้กมันให้เพื่อนอีกคนขี่รถออกไปแล้ว

“ครือ เพื่อนผมเค้าขอยืมรถไปซื้อของทำรายงานอ่ะคับ” โค้กมันรีบอธิบาย “พี่ท็อปก็บอกว่าเด๋วไปกัน 3 คนก็ได้ ก็เลย - - -”

“เออๆๆ ไม่ต้องสาธยายอยู่หรอก” พี่ท็อปพูดแบบขอไปที แล้วก็ขึ้นไปขี่

“เอ้า ไอ้ปริ้นขึ้นมาดิ ”

“พี่ มันผิดกฎหมายนา ซ้อน 3 อ่ะ” ผมรีบเตือน แต่ก็ต้องรีบขึ้นตามไป

“แค่นี้ตำรวจไม่อะไรมากหรอกพี่ปริ้น” เสียงไอ้โค้กดังอยู่ข้างหลังผม หลังจากซ้อนเรียบร้อย พี่ท็อปก็เบิ้ลเครื่องเลยอ่ะ กรูยังไม่ทันตั้งตัว เตรียมใจเลยนะวะคับ

ใครจาว่าไงก็เหอะ แต่แมร่งพี่ท็อปมันขี่เฟี้ยวฟ้าวมากมาย ขนาดนั่งมา 3 นะครับ แต่ดูเหมือนไอ้โค้กมันไม่กลัวเท่าไร มีแต่ผมนี่แหละ ขนาดนั่งกลางนะ แทบขาสั่น กลัวตกง่ะครับ นั่งไปได้ซักพัก พี่ท็อปมันก็ขี่มาเส้นทางที่เลียบคลองชลฯ ซึ่งรถใหญ่น้อยมากครับ ก็ยิ่งเร่งเครื่องเข้าไปใหญ่ คราวนี้โค้กมันก็เลื่อนตัวมาชิดกับผมอีก แล้วก็เอามือพาดมาเกาะเอว

ชิหาย ….. ใจผมเต้นโครมครามเลยครับ เพราะหน้าอกไอ้โค้กมันมาแนบติดกับแผ่นหลังของผม จนรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจมันเลย

“พี่ปริ้น เกาะดีๆนะ เด๋วผมร่วง” มันพูดใกล้ๆหูผมเพราะว่าเสียงลมตีแรงมาก

“เออๆ” ผมตอบ แล้วก็คิดว่า ผมหน้าแดงหว่ะ 555

ซักประมาณ 10 นาที ก็ถึงบ้านพี่ต่ายครับ เห็นแล้วก็ทำให้รู้ว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ เพราะว่าบ้านพี่แกมีลานเป็นสนามหญ้ากว้างเลยอ่ะ เวลาม้วนตัว หรือว่าตกลงมา มันจะได้ช่วยเซฟ (แต่หัวลงก็คงเซฟไม่ได้น้อ) คนอื่นๆก็มากันครบแล้ว สรุปก็คือ มีลีด 7 คนครับ มีผมกะไอ้โค้กเป็นผู้ชาย อยู่ 2 คน นอกนั้นก็ หญิงหมด ….. แปลกดีหว่ะ

ส่วนพี่ที่มาซ้อมให้ก็เป็นพี่ที่รู้จักกันครับ เรียนมหาลัยแล้วล่ะ เริ่มแรก ก็สอนแบบท่าตีวงก่อน ประมาณ 500 ทีครับ โหยยยยยย แต่จริงๆคือมากกว่านั้น เพราะว่า ต้องทำให้พร้อมกัน ได้มุมที่เหมือนกัน จะอยู่คนล่ะระนาบไม่ได้

วันแรกก็แบบว่า โคตรเหนื่อยเลยครับ ขนาดแค่ตีวงนะเนี่ย …… แล้วพี่แกก็ให้กลับไปซ้อมแบบนี้นะแหละ เป็นแค่พื้นฐาน พร้อมกับสอนเพลง 1 เพลงครับ เป็นยางไงเหรอครับ ไอ้ปริ้นก็มั่วแหลกดิครับ เหอๆ ห่วยสุดในบรรดา 6 คน

ซ้อมกันจนเพลิน จนเวลาผ่านไปเกือบ ทุ่มแล้ว

“พี่ซายคับ (คนสอนลีด) คือผมต้องรีบกลับไปเฝ้าร้านอ่ะครับ” เสียงโค้กมันพูดขึ้นมา เพราะเห็นว่าพี่แกยังบ้าพลังให้ซ้อมอยู่ซะงั้น

“เอ้าเหรอ ….” พี่แกพูดแบบตกใจ “ต๊าย จะทุ่มนึงแล้ว ยังไม่ได้ถึงไหนเลย”

เค้าก็หันไปทางพี่ท็อปขอความเห็น ผมก็หันไปมองบ้าง เพราะว่า กรูอยากกลับบ้านแย้ววว

“งั้นเดี๋ยวโค้กไปก่อนก็ได้ แล้วไงก็อย่าลืมท่าที่ซ้อมล่ะ ” พี่ซายบอก “ที่เหลือยังอยู่ซ้อมได้ใช่มั้ย ….”

- ม่ายด้ายยยยย - ผมคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูด

“ปริ้น เดี๋ยวกลับกับโค้กมันเลยล่ะกัน บ้านไกลไอ้โอ้ตจะมาด่าพี่อีก” พี่ท็อปบอก โอ้วว สวรรค์

“ค๊าบบบ” ผมพูดเสียงใส แล้วก็รีบไปหยิบกระเป๋า เดินไปหาโค้ก

“แล้วจะกลับยังไงอ่ะโค้ก”

“เพื่อนผมเอารถมาคืนแล้วพี่” มันว่าพลางชี้ไปที่ ฮอนด้า แดช ของมัน

“รถแต่งสวยดี” ผมชม (ผมม่ะได้ตอแหลชมนะ อย่าคิดอกุศลแบบน้านน)

“เจงเหรอพี่ เจ๋งป่ะ” มันก็ดูบ้ายอใช่ย่อย แต่บ้าไงก็น่ารักฮะ หุหุ

“ป่ะเหอะพี่ มืดแล้ว” มันบอกแล้วก็ขึ้นคล่อม (มอไซต์)

“ขับดีๆนะ” เสียงพี่ท็อปบอก “แล้วระวังอย่าให้คุณหนูหล่นกลางทางอ่ะ”

“ง่ะ … ” ผมทำหน้าเขียวปั๊ดใส่ไอ้พี่ท็อปทันที มาแซวหอกอาไรแบบนี้

“ค๊าบพี่ จะส่งให้ปลอดภัยไม่มีตำหนิเลย” มันว่า แล้วก็ส่งสายตาที่อ่านไม่ออกมา

“เฮ้ย ไอ้บ้า ไปเหอะ” ผมว่าพลางรีบขึ้นซ้อนอย่างรวดเร็ว

ถ้าว่าพี่ท้อปขี่เร็วแล้ว ไอ้โค้กมันเร็วกว่าอีกง่ะ เลี้ยวผ่านรถคันโน้น คันนี้ที แบบว่า หัวจายจะวาย มือผมต้องกอดเอวมันอย่างช่วยไม่ได้เลยครับ

“เฮ้ย ขับช้าๆหน่อย เด๋วตก” ผมตะโกนบอกมัน เพราะว่าถ้าใครเคยขี่แดช มันจะเป็นแบบท้ายยกขึ้นอ่ะครับ นั่งยาก ยิ่งพอเวลามันเบรกทีเนี่ย ตัวผมก็เลื่อนไปติดกับหลังมันเลย (ไม่ใช่อาไรหรอก น้องผมมันไปชนกะก้นมันเข้าอะดิ)

แล้วผมก็นึกขึ้นได้

“โค้กๆ .. ”

“คับ”

“พาพี่ไปร้าน xxx หน่อยดิ ไม่รู้ปิดยัง”

“อ่อ น่าจะยังไม่ปิดครับ” มันบอก แล้วก็หักเลี้ยวแบบฉับพลัน ทะลุเข้าซอยโน่นนี่ อย่างคล่องแคล่ว


* * * * * * * * * * * *

ผมออกจากบ้านพี่ต่าย หนึ่งทุ่ม ไปธุระกับโค้กกว่าจะเสร็จขึ้นรถก็สองทุ่ม กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่มครึ่งแล้วครับ อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่า ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา ปรากฏข้อความ miss call กว่า 50 ที ทุกเบอร์ล้วนแต่เป็นเบอร์ ไอ้โอ้ต

มันโทรสับมาได้แสดงว่ามันกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ไปไหนมา” เสียงไอ้โอ้ตกร้าวมาก เดินพลวดๆเข้ามาหาผม ซึ่งพึ่งปิดประตูบ้านหมาดๆ

“ก็ไปซ้อมลีดมาไง” ผมรีบแก้ตัว

“ไอ้ท็อปบอกว่า ให้ออกมาตั้งแต่ ทุ่มนึงแล้ว ไปไหนมา !!! ”

“เออ โอ้ตอย่าพึ่งตะโกนดิ ฟังก่อน” ผมว่า แล้วก็เดินไปหาโอ้ต

โอ้ตมันถอยหลังหนี สายตามันแบบว่า ผิดหวังกะตัวผมสุดๆ

“โอ้ตมันก็แค่เด็กในบ้านหนิ …” มันเริ่มพูดขึ้นมา

“โอ้ตตตต !! ” ผมตกใจที่มันพูดแบบนั้นนะ

“ปริ้น … โอ้ต โอ้ต …… โอ้ตรักปริ้นนะ” มันพูด แล้วน้ำตาของโอ้ตก็เริ่มไหลออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก โอ้ตมันปาดน้ำตา แล้วก็ค่อยๆนั่งลงไปกับพื้น

“ปริ้นเข้าบ้านเหอะ” มันว่า

“โอ้ต ลุกขึ้นมาเถอะ” ผมรีบเดินไปลากมันให้ลุกขึ้น

“โอ้ตแต่อยากรู้ … ว่าปริ้นคิดยังไงกับโอ้ต” มันพูดแล้วก็จ้องมาที่ตาของผม ดวงตาของโอ้ตเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่มันก็ยังดูเข้มแข็งเหมือนเดิม แม้จะเป็นเวลาที่มันแสดงความอ่อนแอก็เหอะ

“พอถึงเวลาเรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว ……”

ผมค่อยๆโน้มหัวโอ้ตมาใกล้ๆ แล้วก็บรรจงประทับความรู้สึกที่มีทั้งหมด ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ปัจจุบันคือสิ่งที่ผมเลือก แม้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ผมประกบปากกับโอ้ตอยู่นานพอสมควร แล้วก็ค่อยๆผละออกจากกัน

“ปริ้นก็รักโอ้ต” ผมบอกมัน โอ้ตมันพยายามอ่านสีหน้าผมให้ชัดเจนขึ้น มันไม่เชื่อผมเหรอไงหนิ

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ”

เสียงหัวเราะของโอ้ต พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าผม มันดูซื่อใส สดใส แล้วก็จริงใจที่สุดที่ผมเคยเห็น แล้วโอ้ตก็โผเข้ามากอด ตัวสั่นๆ

“ปริ้น … ปริ้นอย่าทิ้งโอ้ตไปไหนนะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไรนัก

- มีคนเคยทิ้งโอ้ตมาแล้วเหรอ –

“ค๊าบโอ้ต โอ้ตก็ห้ามทิ้งปริ้นเหมือนกันนะ” ผมก็กอดมันตอบ

ก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อกินข้าว ผมก็หยิบกล่องๆนึงส่งให้โอ้ต

“อะไรนะ” มันถามเสียงแปลกใจ

“เปิดดูดิ ”

โอ้ตมันก็เปิดขึ้นมา แล้วก็ทำหน้าแปลกใจกว่าเก่า เพราะว่า มันเป็นเพจเจอร์เครื่องจิ๋วเครื่องนึง

“อะไรเนี่ย”

“ไม่รู้จักเพจเหรอไง วู้ บ้านนอกเจง”

“ไม่ใช่ หมายถึง … ปริ้นซื้อมาให้โอ้ตเหรอ” มันหันมาถาม

“ก็ของขวัญวันเกิดไงคับที่รัก” ผมพูดไปเขิลไป เหอๆ

มันได้ยินคำๆนั้น มันก็คงเขินเหมือนกัน เพราะว่าเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไร

“มือถือก็มี ไม่ยอมเอาไป ก็เอาเพจไปใช้ล่ะกัน” ผมว่า

“ห้ามเอาเบอร์ไปแจกใครนะเฟ้ย ไม่งั้น …”

“ไม่งั้นอะไรครับ” มันถามเย้ย

“เออ ไม่บอก ….”

“แล้วแพงมากมั้ยเนี่ย” มันหยิบเพจขึ้นมาพิศ

“ไม่เป็นไรหรอก เด๋ววันเกิดปริ้น จาบอกว่าอยากได้อาไร ”

ไอ้โอ้ตทำหน้าปั้นยากทีนึง แล้วก็แอบอมยิ้มทะแม่งๆ แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมอีกแล้ว

“เฮ้ย เด๋วผมเสียทรงงงง”

“ผมมีแค่นี้ จะเสียไรวะ 55” มันพูดแล้วก็เตะตูดผมทีนึง


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:40:57
กินอะไรมาหรือยังปริ้น” ยายผมทักเมื่อเห็นกำลังเดินขึ้นบ้าน

“ยังเลยอ่า ม่ะงั้นจะขึ้นมาเหรอ” ผมย้อนกลับ เหอๆ ยายทำหน้าค้อนผมทีนึง

“นั่นสิ ถ้าไม่มากิน ก็คงไม่มาบนเรือนให้ยายเห็นหน้าหรอก” ง่า ยายผมมีแอบ
งอนคับ แล้วก็บอกว่าเตรียมข้าวไว้แล้ว ให้ไปอุ่นเอา

“มาเดี๋ยวทำให้ โอ้ตเดินตามหลังมา แล้วก็จัดการเดินเข้าไปในครัว” ผมก็เลยเดิน
ไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว ซักพักโอ้ตมันก็ยกของกินมาให้คับ หุหุ สบายจังกรู

“ขอบคุณค๊าบ” ผมว่า แล้วก็เริ่มต้นแดร่กด่วน เพราะว่าหิวสาดดดดด โอ้ตมานก็นั่ง
มองผมกินข้าวคับ ซึ่งปกติก็แบบว่าต่างคนต่างกินอ่ะ

“มองไร” ผมถามแต่ก็ไม่มองตามันหรอกนะ กลัวกินข้าวม่ะลง ด้วยฟามเขิลล

“ทำไมเหรอ มองไม่ได้ ? ”

“ก็ด้ายยย แต่กำลังกินข้าวอยู่ไง” ผมอ้อมแอ้มตอบ เขิลลลว้อย

“อือ งั้นก็กินไปเหอะ” มันว่า แล้วก็นั่งมองผมตาแป๋วอยู่แบบนั้นล่ะ

ง่ะ กินม่ะลงเลยผม ก็เลยหาเรื่องคุยเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“วันนี้ซ้อมลีดโคตรเหนื่อยเลย” ผมบ่นให้มันฟัง มันก็ทำทีท่าสมน้ำหน้า “ก็บอกแล้วไม่เชื่อ”

“โห แทนที่จะเห็นใจ … แล้วทางโอ้ตเป็นไงมั่งอ่ะ” ผมถามพลางซดน้ำแกงดังโฮก

“ก็เรียบร้อยไปหลายอย่างแล้วล่ะ ซ้อมน้องก็มีคนดูแลแล้ว กีฬาก็ให้ห้องขวัญเค้าแบ่ง
ทีมหากัน”

“พี่ขวัญเค้าดูดุๆจังวะ”

“นิสัยเค้าก็แบบนั้นล่ะ แต่ยังไงก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องทำให้มันเสร็จไปได้ล่ะ”
โอ้ตมันว่า ความคิดเป็นพ่อพระเจงๆ แฟนกรู ไม่เหมือนพี่ท็อปเร้ยยย

“… ว่าแต่ตัวเองเถอะ อยากจะเป็นก็ต้องตั้งใจ รู้ป่าว” โอ้ตมันบอกพลางตบหัวผมเบาๆ
ทีนึง

“เออ ”

“พูดไม่เพราะ พูดใหม่” มันดุ

“ค๊าบบบ คุณโอ้ต ผมจาตั้งใจสุดชีวิตเลยคับ” ผมพูดพลางตะเบ๊ะทีนึง เป็นการประชด
แต่ไอ้โอ้ตมันทำหน้าพอใจ ชิส์

ผมก็กินไปคุยกะไอ้โอ้ตไปคับ เป็นมื้ออาหารที่แสนธรรมดา แต่ว่า พอมีคนที่รู้ใจอยู่เคียงข้าง
อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดล่ะ

“งั้นเด๋วเจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมบอกพลางหาวหวอด

“อือ ฝันดีนะ ” แล้วมันก็ก้มมาหอมแก้มทีนึง

“เฮ้ยยยย เด๋วมีคนมาเห็นเข้า” ผมรีบผลักมันออกโดยเร็ว มันก็ทำท่าทางน้อยใจนิดๆ

“จะมีคนเห็นได้ไง ก็อยู่ในบ้านตัวเอง”

“อ้าว ทั้งยาย ทั้งป้าเล็ก นี่เป็นเพื่อนข้างบ้านเหรอ ? ….. ไปแล้วว บะบาย” ผมพูด
แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน ทั้งๆที่อยู่มา 3 – 4 เดือน ไม่เคยมาบะบายอะไรแบบนี้มาก่อน
ทำไปได้ฟร่ะตู

พอเข้าห้องก็จัดการล้างหน้าแปรงฟัน รอเวลาให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ แปลกจริงคับ ทั้งที่พึ่งห่างกันม่ะ
ตะกี้นี้เอง ผมก็รอเวลาที่จะเจอกับโอ้ตอีกแล้ว นี่กรูเป็นไรว้า นอนไม่หลับว้อยยยยยยย

“เอ๊ะ …”

ผมฉุกใจนึกอะไรบางอย่างออกครับ ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านเล็กหลังนี้ ผมยังไม่ได้กลับเข้าไป
ดูห้องใต้ดินอีกเลย ว่าจะเข้าๆก็มีเหตุการณ์ทำให้ลืมทุกที แต่มันมีผีคุณตาอยู่นี่หว่า …..

“เอื้อกกกก” ผมกลืนน้ำลายทีนึง แล้วก็เดินไปฉวยไฟฉายมา

งืมมมมมมม เอาวะ อย่างน้อยเผื่อจาเจอหนังสือโป๊รุ่นลายครามซ่อนไว้อยู่ก็ได้วะ ผมนึกข้อดี
ข้อนี้ในใจ พลางค่อยๆยกพื้นส่วนที่เป็นประตูขึ้นมา มันยกได้ง่ายดายเหมือนเดิมครับ ทั้งๆที่ผม
ไม่เคยเปิดลงไปดูเลยนะนั่น เป็นไปได้ไง ?

เท้าผมค่อยสัมผัสในส่วนของบันได ตัวผมค่อยๆเดินลงไปท่ามกลางความมืดสนิท ไฟฉายใน
มือผมเปิดส่องสว่างขึ้นมาส่องหาสวิตท์ไฟ (ที่คิดไปก่อนว่าน่าจะมี) ผมเดินลงไปเรื่อยๆ
จนรู้สึกว่าเท้แตะในส่วนของพื้นล่าง แล้วก็จึงกราดแสงไฟไปตามกำแพง ก็พบสิ่งที่หาอยู่

อ่า นี่เอง ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดสวิตท์ไฟ

ฉับพลันที่แสงไฟสาดส่องไปทั่วห้อง ผมถึงกะอึ้งๆๆๆๆๆ

"คุณตาคุณเห็นว่าไม่ได้ใช้ทำอะไร ก็เลยทำมาเป็นห้องเก็บของหน่ะ แต่อย่าเข้าไปเลยครับ
ฝุ่นเยอะ …

ตัวอะไรต่ออะไรมีมั่งก็ไม่รู้ ลุงก็ไม่ได้ไปทำความสะอาดข้างในเป็นปีแล้ว"

ลุงสนบอกกับผมตอนที่มาใหม่ๆ แต่สภาพของห้องมันไม่เหมือนห้องเก็บของเลยครับ
ในห้องมีเตียงอยู่เตียงนึง วางอยู่ริมห้อง ข้างๆเตียงมีตู้หลังใหญ่ พร้อมกับกล่องอะไรต่อ
อะไรวางอยู่ข้างบน สภาพโดยรวมแล้วเหมือนมีคนมาคอยทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ
- - - หรือเหมือนมีคนเข้ามาใช้ห้องนี้อยู่ประจำ

ผมเดินสำรวจไปทั่วห้อง พร้อมกับหาเศษสิ่งของที่ผมเคยเตะโดนครั้งก่อน ก็ไม่พบร่องรอย
ดังกล่าว

อ่า …. ใครมาอยู่ที่นี่วะ - - - ผมยังคิดไม่ทันเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นกล่องๆนึงตั้งอยู่
ด้านบนหัวเตียง เลยทีวิสาสะลองแกะดู (ก็บ้านกรูนี่หว่า)

อึบบ อึบ อึบบบบบ

ผมพยายามจะเปิดกล่องมันออกมา แต่ดูคนที่ปิดจะไม่ประสงค์จะให้คนนอกเปิด เพราะจะเปิด
ยังไงก็เปิดไม่ขึ้นครับ ก็เลยมองสำรวจที่กล่อง ก็ปรากฏเห็นเป็นรอยที่เอาไว้เลื่อนอยู่นิดหน่อย
ตกลงว่าถ้าจะเปิดมันก็ต้องเลื่อนฝามันขึ้น ม่ะได้ยกเปิดฝาออกคับ เหอๆ โง่จังกรู

แกร่กกก

แค่กๆๆๆๆๆ

ในกล่องนี่มีฝุ่นจับอยู่เต็มเลย แสดงว่าคนที่ปิดไว้ ไม่เคยเปิดออกมาเป็นปีๆ ต่างจากสภาพห้อง
ที่คอยมาดูแลสม่ำเสมอ ในกล่องผมเห็นสมุดเล่มนึงนอนอย่างสงบอยู่ก้นกล่อง พลิกเปิดไปเปิดมา
ดูเหมือนจะเป็นไดอารี่ครับ
ผมพลิกไปเรื่อยๆ จนถึงเกือบหน้าสุดท้าย ทำให้รู้ถึงเจ้าของไดฯเล่มนี้

โอ้ตเขียนไดอารี่ด้วยเหรอเนี่ย ผมออกจะแปลกใจหน่อยๆครับ เพราะว่าตั้งแต่รู้จักกันมา
ก็ไม่เห็นท่าทีมันจะเป็นคนชอบเขียนอะไรนี่หว่า ผมค่อยๆพลิกกลับไปกลับมา ก็พบว่าวันสุดท้าย
ที่เขียนมันเป็นช่วงกลางเดือนเมษายนของเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

ไดอารี่นี่โอ้ตเขียนตั้งแต่ตอนอยู่ม.4 แล้วหลังจากปิดเทอม ม. 4 โอ้ตก็ไม่ได้เขียนมันอีกเลย

ผมพลิกกลับไปที่หน้าสุดท้ายอีกทีนึง ก็ต้องสะอึกนิดหน่อย โอ้ตเขียนคำว่า “รักตลอดไป”
แล้วก็ลงชื่อ “โอ้ต”

โอ้ตมันเขียนถึงใครวะ หรือว่าเป็นแฟนเก่าของมันเนี่ยยยยย อารมณ์ผมตอนนั้นไม่ได้หึงอะไรหรอกคับ
เพราะว่ามันนานมากแล้วล่ะ แล้วถ้าโอ้ตคบกับใครตอนนี้จริงๆ ผมก็ไม่เห็นว่าเป็นไปได้ วันๆมันเอา
แต่เรียน กลับมา ก็เข้าบ้านเลย เสาร์อาทิตย์ ก็พาผมไปโน่นไปนี่

อย่างน้อยที่สุด ถ้าคำว่า รักตลอดไป นี่เขียนถึงแฟนโอ้ตเจงๆ ป่านนี้ก็คงเลิกกันไปแล้วชัวว์

ผมชักนึกอยากรู้ว่าโอ้ตมันเป็นคนแบบไหน ยังไงขึ้นมาตะหงิดๆ เอาเป็นว่าตอนนี้รู้แล้วล่ะ
ว่าห้องใต้ดินอันนี้ โอ้ตมันเคยเข้ามานอน หรือเข้ามาทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วโอ้ตมันก็คงเข้ามา
ทำความสะอาดอยู่เสมอ …

อ่ะ

ผมใคร่ครวญนึกถึงวันที่ผมไม่สบายมากๆ จำได้ว่ามีคนมาเช็ดตัวให้ - - - ผมไม่ได้ฝันไป
อะดิ โอ้ตมันเข้ามาเช็ดตัวให้ผมแน่ๆ แล้วพอผมตื่น มันก็หลบเข้าไปในห้อง แล้วก็โทรสับมาปลุกผม
….. พอผมออกจากบ้าน มันก็ค่อยออกตามผมมา ไม่ให้รู้ตัว

ถ้าลำดับเหตุการณ์ที่ผมคิดเป็นจริง ทำไม … ทำไมโอ้ตต้องปกปิดด้วยล่ะ ว่าโอ้ตอยู่ในนี้ … หรือว่า
โอ้ตมันไม่อยากให้ผมรู้ ว่ามีอะไรอยู่ในห้องนี้วะ คิดแล้วกรูงง

เมื่อผมคิดไตร่ตรองอยู่นานแสนนาน (รอบเดียว) ก็เลยตัดสินใจ อยากรู้ว่าโอ้ตมันเขียนอะไร
ไว้ในไดฯเล่มนี่มั่ง เผื่อผมจะได้รู้จักมันมากขึ้น

แกรกก

มีแผ่นอะไรซักอย่างร่วงหล่นลงมา ผมหยิบมาดูก็พบว่าเป็นรูปโอ้ตเมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง ยังเอ๊าะๆอยู่เรย
หุหุ ยืนกอดคออยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนนึง ยิ้มกันหวานชื่นเชีย ….

มานเป็นใครกันว้า ผมล่ะอยากรู้เจงๆ


* * * * * * * * * * * *

ตื่นเช้ามา ผมก็ลืมเรื่องเมื่อคืนไปเกือบหมดแล้วล่ะ จนมาเห็นไดอารี่ที่ผมหยิบขึ้นออกมาด้วย
ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าจะถามโอ้ตเรื่องคนในภาพ แต่… ถ้าถามมันก็ต้องรู้ดิ ว่าผมแอบหยิบของๆ
มันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต มันคงโกดตายหองแน่

“งืมมมมม”

“เป็นไรปริ้น เสียงไอ้โอ้ตดังขึ้นมาข้างๆ ระหว่างผมใช้ความคิดอยู่ระหว่างยืนรอรถหน้าบ้าน

“ก็คิดว่าจะถามว่าไง - - - เฮ้ยยยยยย มาเมื่อไรเนี่ย ” ผมใช้ความคิดเพลินๆอยู่ ก็ต้อง
สะดุ้งเมื่อโอ้ตมันก็โผล่พลวดพลาดมาจากไหนก็ไม่รู้

“ถามอะไร เกี่ยวอะไรกะโอ้ตป่าว” มันทำท่าทางสงสัย

“ม่ะ - - - อ่อว่าจะถามเรื่องการบ้านอ่ะ ทำไม่ได้”

“วิชาไรล่ะ เลขอะซิ” มันบอกพลางหัวเราะในความโง่ของผม

“เออ”

“พูดไม่เพราะอีกแล้ว” มันว่าพลางจะเขกหัวผม

“ค๊าบๆๆๆ” ผมรีบเอามือป้องกันตามสัญชาติญาณ แหม ไอ้นี่เนี่ยะ

ผมเห็นท่าทีโอ้ตมันอารมณ์ดีๆอยู่ก็เลยตัดสินใจถาม

“เอ่อ โอ้ต ถามไรหน่อยดิ

“รอให้ถึง รร ก่อนก็ได้

“ม่ายช่าย .. เรื่องอื่น - - - อ่ะ แต่สัญญาก่อนนะว่าห้ามโกรธ ผมไม่ลืมพูดดักคอมัน
ไว้ก่อน

“อะ อะ ไม่โกรธครับ” มันพูดแบบว่าง่าย ผมเห็นดังนั้นก็เลยล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วก็หยิบ
รูปใบนั้นขึ้นมาส่งให้โอ้ต

โอ้ตมันทำหน้างงๆ แล้วก็รับไปดู เท่านั้นล่ะครับ ….

“………..”

“รูปนี้ของโอ้ตป่าว ”

“…………”

“คะ ครือ เห็นมันตกอยู่ในห้องอ่ะ” ผมรีบพูดปดคับ เมื่อเห็นโอ้ตมันยืนเหม่อมองดูรูปนั้น อย่างกับ
ว่าไม่ได้เห็นคนๆนั้นมานานแสนนาน

“โอ้ต .. ”

ผมเอื้อมมือไปสะกิดพี่ชาย ไอ้โอ้ตสะดุ้ง แล้วก็หันมาถามผมเสียงสั่น

“ปริ้น … ไปเอารูปนี้มาได้ไง”

“อ้าว ก็บอกแล้วว่าเจอมันตกอยู่ในห้องเรา” ผมตอบเสียงเบา เพราะว่าโกหกมันนั่นล่ะ

“คะ คนข้างๆโอ้ตนี่เพื่อนเหรอ ? ” ผมลองแย็บถาม

“อือ .. ”

“ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลยอ่ะ เรียน รร เราม่ะใช่เหรอ” ผมถามโดยสังเกตดูจากชุดนักเรียนนั่นแหละ

“เค้าไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะ” โอ้ตตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนที่จะพูดคุยอะไรมากกว่านี้ รถก็มาพอดีคับ
ตลอดทางโอ้ตนั่งเงียบ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอคาดเดาได้ว่า เป็นเพราะรูปใบนี้แน่ๆ

คนในรูปนี้ เป็นใครกัน … สายตาของโอ้ตที่มองดูคนๆนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนแค่นั้นหรอก

ไม่ใช่…ไม่ใช่แค่เพื่อน เสียงบางอย่างร้องก้องอยู่ในหัวใจของผม อาการลมเพชรหึงมันผุดออกมาในใจ
ดวงน้อยตั้งแต่ม่ะไรก็ไม่รู้


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 22-10-2006 22:43:25
อิอิ พอก่อนหมดแรง ใครยังไม่อ่านรีบตามให้ทันนะครับ ปัจจุบันกำลังมันถึงพริกถึงขิง
 :yeb:
หัวข้อ: [story] บ้านพักอลเวง2 diary is โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:03:53
บ้านพักอลเวง2 diary is  โดย staying power
ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

เสียงออดคาบสุดท้ายดังขึ้นมาพร้อมกับนักเรียนในทุกระดับชั้น ค่อยทยอยเดินออกมา
สีหน้าที่แช่มชื่นของแต่ละคนแสดงให้เห็นภาระที่ต้องแบกในแต่ละวันได้หมดลง บางกลุ่ม
รีบวิ่งลงไปจองสนามเตะบอล บางคนก็เร่งรีบที่จะกลับบ้าน

ต่อก ต่อก ต่อก ต่อก

เสียงฝีเท้าของผมเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยลงบันไดของอาคาร 1 ที่อยู่ด้านหลังสุดของโรงเรียน
เดินย่ำต้อกอย่างเชื่องช้า จนมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าพระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างหอประชุม
เท้าผมเดินตรงเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ หยุดมองได้ซักพัก จึงค่อยทอดตัวลงนั่ง สองมือผม
ประนมพร้อมกับกราบลงกับพื้น

ตลอด 6 ปีที่ผมได้พักพิงในโรงเรียนนี้มา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องคิดมาก มีความทุกข์
และทุกครั้ง เมื่อมาถึงที่สุดแล้ว ผมก็มักพาตัวเองเข้ามานั่งพักอาศัยอยู่บริเวณนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้
ช่วยให้ปัญหามันคลี่คลายลง แต่มันก็ช่วยทำให้จิตใจค่อยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ผมค่อยยกศีรษะที่ก้มลงไปกราบท่านขึ้นมา นักเรียนหลายคนเดินผ่านด้านข้างผมไป
บางคนหันมามองแล้วก็เดินผ่าน ผมดันตัวเองไปนั่งพิงกับเสาด้านข้าง พลางถอนหายใจ
ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ปวดมวนท้อง มันเริ่มแผ่ครอบคลุมความรู้สึกมาตั้งแต่เช้า
สิ่งที่ผมเคยฝังมันเอาไว้ บัดนี้มีใครบางคนขุดมันขึ้นมา ใครคนนั้นที่ผมคิดว่าทำให้ผม
ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว

อาจเป็นเพราะหน้าฝน ทำให้บรรยากาศเริ่มมืดเร็วกว่าปกติ ความอึมครึมในใจมันช่าง
มากมายเหมือนกับพายุที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ หยดน้ำหยดนึงร่วงลงมาโดนที่ข้างแก้ม
มันไม่ใช่น้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

ผมกำลังร้องไห้ ?

กะ… กำลังร้องไห้ให้กับคนในอดีตบางคน คนที่เป็นรักแรก ของผม ?

“โอ้ต …. - - - ไอ้โอ้ตตตตตตต”

ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง ไม่รีบที่จะปาดเครื่องหมายที่แสดงความอ่อนแอออกไป
เห็นไอ้ท็อปยืนเรียกอยู่อีกฟากของหอประชุม

“ว่าไง”

“วันนี้จะไปดูซ้อมลีดด้วยกันป่าว ถ้าไปก็ไปกะกู” ไอ้ท็อปบอกพลางกวักมือเร่ง
เห็นน้องโค้ก แล้วก็ปริ้นเดินมาด้วยกัน..

ผมรู้สึกขัดหูขัดตาโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เดี๋ยวค่อยไปวันอื่นแล้วกัน วันนี้กูยังทำธุระไม่เสร็จ” ผมอ้างไปแบบนั้น
เพราะต้องการที่จะจัดการกับความรู้สึกแย่แบบนี้ให้หมดไปก่อน มันไม่ดีเลย ที่เราจะพกพา
อารมณ์ที่ไม่ปกติของเราเอง ไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ที่มีคนอื่นร่วมรับผิดชอบด้วย

ผมเห็นปริ้นเอาของฝากโค้กไว้ แล้วก็เดินถือสมุดที่คุ้นตาเดินมาหา

“ว่าไง …” ผมยิ้มให้สุดที่รักแล้วก็เอามือยีหัวตามแบบฉบับที่ผมชอบทำกับปริ้น

“ง่ะ ทำไมชอบเล่นหัวอยู่เรื่อยเลยหนิ ” ปริ้นมันต่อว่า แต่ความรู้สึกลึกในใจบอก
กับผมว่า ปริ้นมันไม่โกรธผมหรอกที่ทำแบบนี้

“ขยันซ้อมล่ะ เดี๋ยววันหลังจะตามไปดู ทำไม่ดีโดนแน่” ผมทำเป็นขู่ ปริ้นมัน
ก็ทำหน้ากวนๆตามประสา แล้วก็กลับทำหน้าจริงจังขึ้นมาในทันที

“คะ คือ รูปที่ให้โอ้ตดูเมื่อเช้าอ่ะ เราเจอมันอยู่ในสมุดเล่มนี้” ปริ้นมันทำหน้า
เศร้าสารภาพออกมา

ผมรู้สึกมึนตึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าสมุดนั่นเป็นไดอารี่ที่เขียนไว้เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน
แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ ปริ้นก็อาศัยจังหวะบอกทำให้ผมใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

“- - - แต่ปริ้นยังไม่ได้อ่านอะไรหรอกนะ จริงๆ” มันทำหน้ากระเง้ากระงอด
ผมมองเข้าไปในตาของปริ้น ก็รู้สึกได้ว่า มันไม่ใช่สายตาของการโกหก ก็เลยได้แต่แสร้งยิ้ม

“อือ ถ้าจะอ่านก็อ่านได้ มันไม่ได้มีอะไรหรอก ” ผมปดออกไป ปริ้นสายตาเปลี่ยนไป
เล็กน้อยเหมือนจะไม่เชื่อ แต่สายตานั่นก็แสดงแค่แว่บเดียว ก่อนที่จะขอตัวตามไอ้ท็อปกับ
โค้กซึ่งเดินจูงมอไซต์ไปล่วงหน้าแล้ว

เมื่อเห็นปริ้นเดินลับตาไป จึงค่อยหย่อนตัวลงกับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบอีกครั้ง มือผมลูบที่
หน้าอกแล้วค่อยๆหยิบรูปถ่ายที่ปริ้นให้เมื่อตอนเช้าออกมาด้วยความทนุถนอม

ทนุถนอม ?!

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

มีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปากเล็กๆ ทำไมผมต้องทนุถนอมอดีตถึงเพียงนี้นะ ผมคิดในใจ
พร้อมกับเปิดสมุดเพื่อที่จะเอามันเก็บไว้ที่เดิม

สายลมอ่อนๆ พัดมา แรงพอที่จะทำให้หน้ากระดาษเปิดพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย จนผมได้
เห็นสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

“รักตลอดไป ..”

คำๆนี้ ทำให้จิตใจผมเริ่มล่องลอยหวนให้นึกถึงวันวานที่มีทั้งความสุข ความสนุกสนาน
ความเศร้า แล้วก็ความผิดหวัง

“ปิง … ทำไมกูถึงลืมมึงไม่ได้ซะที ”

ความว้าวุ่นในใจเริ่มก่อตัวเสมือนมรุสุมขนาดเขื่อง พร้อมที่จะพัดพาเอาอดีตให้ฟื้นขึ้นมา

* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด 

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้
กับฝาบ้าน พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้น
นิดหน่อย ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก 5 นาที ...
ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่
ช่วยให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย
ก็ต้องมานั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมด
เวณหมดกรรม และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน
ไล่มาตั้งแต่ ผอ. ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ “เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

พูดไปก็เหมือนดูถูกตัวเองแหะ ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมต้องมานั่งอาบเหงื่อต่างน้ำแบบนี้
จริงแล้วใครๆก็เห็นว่าผมเป็นเด็กเรียนด้วยกันทั้งนั้น แต่ผมได้เกรดดีต่างจากคนอื่นนิด
หน่อยเอง ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกว่าเป็นเด็กเรียนหรอก อึดอัดจะตายหอง แต่ข้อดี
ของการที่ใครๆก็มองผมว่าเป็นเด็กเรียน เวลาโดนลงโทษ ผมจึงเหมือนมีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ
ไม่เหมือนพวกที่ถูกขนานนามว่า เด็กเก(เร)

“เออ เป็นไงว่ะ วันนี้มาสายได้ โอ้ต” “ เพื่อนผมถามเมื่อแยกแถว

“ดูบอลดึก” ผมพูดพลางหาวหวอด

“แหม กูก็ดู ไม่เห็นสายเหมือนมึงนี่”

“.. บ้านมึงมีทั้งพ่อ แม่ ป้า น้า อา อะไรมึงอยู่หมด นี่ นี่ บ้านกูอะ 3 คนนะมึง”
ผมบ่นให้ฟัง

“อ้าวแล้วแม่มึงไม่ปลุกล่ะ”

“เออ เมื่อก่อนก็ปลุกเว้ย แต่พักหลัง แกขี้เกียจมั้ง เนี่ย กูบอกให้เค้าปลุกกูหน่อยเดียว
ว่าไงรู้ป่ะ ... เค้าบอกว่ากูโตจนอยู่ม ปลาย เป็นควาย ลุกเองได้แล้ว”

“เออ จริง ... ” ว่าแล้วเพื่อนผมก็ทำท่ามาปัดไหล่ผม

“ทำไรของมึง” ผมถาม

“อ้าว ก็ปัดนกเอี้ยงให้อยู่นี่ไง” มันว่าพลางวิ่งหลบผม ซึ่งตามเตะมันอย่างสุดแค้น

“หลอกด่ากูเหรอ”

ไม่รู้เป็นอะไร วันแรกผมก็ต้องมีงานทำซะแยะเยอะ วันนี้ผมต้องเป็นเวรเซ็นสมุดรายชื่อ
ที่ห้องปกครองตอนเย็นซะด้วย ถึงผมจะไม่ได้มีอะไรกับห้องปกครองเหมือนอย่างพวกเด็กเก
ก็เหอะ แต่บรรยากาศมาคุแบบนั้น มีใครอยากจะไปอยู่มั่งละท่าน

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของใครคนนึงอยู่

- โอ้ ถ้าก้นผมโดนไม้นั่นเข้า คงถ่ายไม่ออกไปหลายวัน - ผมคิด

“วันหลังอย่าคิดโดนเรียน (กำแพง) อีก ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน” อ.ปกครองที่เป็น
คนหวดบอกตามหลัง ไอ้คนนั้นมันก็เดินผ่านผมไป

- อ้อ ไอ้เหี้ยนี่เอง - ผมนึก มันก็อยู่ชั้นเดียวกับผม แต่อยู่ห้องท้ายๆเลยตอนอยู่
ม. ต้น ผมไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับมันซักเท่าไร เพราะมันต่างขั้วกันอยู่แล้ว หึหึ
(หัวเราะอะไร ??)

รู้สึกว่าผมจะจ้องมันนานเกินไปหน่อย จนรู้สึกตัว

“มึงมองอะไรวะ”

“ขอโทษที” ผมบอกแล้วจึงไปที่โต๊ะเขียนรายชื่อ

ผมก้มหน้าลงไปเขียน แต่ความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงสายตาใครบางคนที่มองมาจากหน้าประตู
ห้องปกครอง

ไอ้เจ้านั่น มันยังยืนมองผมอยู่... จนนานเข้าผมทนไม่ได้จึงเดินไปเปิดประตูคุยกับมันว่า
จะเอายังไง

“มีอะไรเหรอเปล่าครับ” ผมถามแบบสุภาพโคตรๆ ทั้งที่ในใจอยากจะบอกว่า หน้ากูเหมือน
พ่อมึงเหรอ ?

“เมื่อกี้มึงมองกูอะ มึงอยากมีเรื่องใช่ม่ะ” ซวยแล้วผม ไอ้นี่มันจะหาเรื่องเรอะ นี่หน้า
ห้องปกครองนะ....

“มึงสมน้ำหน้ากูใช่ป่ะ” มันยังโบ่ยผมไม่เลิก

“ทำไมมึงไม่ตอบวะ มีปากป่าว” มันขู่ผมอีกระลอก

“เราไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมตอบแบบขอไปที

“ขอร้องไม่ต้องมาสุภาพกะกูเลย !! v อ้าว กูสุภาพก็ผิดอีก

“มึงชื่ออะไร” มันถามผม

“……………..”

“กูถามว่ามึงชื่ออะไร” ผมรีบเดินถอยตัวออกห่างแต่มันเร็วกว่าดึงคอเสื้อผม

“กูถามก็ตอบดิ จะไปไหนวะ”

“โอ้ต” ผมตอบ

มันกระหยิ่มนิดหน่อย

“ชื่อแม่งโหลวะ”

คำๆนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนยังไงชอบกล แต่ก็ยังทำเฉยไว้ คิดในใจว่า ไงก็ไม่โง่
เหมือนมึงหรอก

“ไปได้ยัง” ผมถามมัน

“อะไรนะ มึงกล้าไล่กูเหรอ !! ” มันทำท่าจะชกผม

“ไม่ใช่ๆ เราหมายถึงว่า เราอะ ไปได้เหรอยัง” โอ้ ทำไมผมถึงพูดแบบนี้นะ

มันทำท่าเหมือนจะขำ ทำให้ผมชักฉุนกับความหงอของตัวเอง...

“เออ ไปได้แล้ว” มันว่า

ผมพยักหน้า แล้วรีบเดินจะไป มันก็มากระชากเสื้อข้างหลังผมอีก

“กูชื่อ เต้ย จำชื่อกูให้ดีๆ แล้วทีหลังอย่ามองกูแบบนั้นอีกนะ กูไม่ชอบ” มันส่งผมก่อน
จะเดินผิวปากเดินจากไป

“ไอ้เต้ย ตั้งแต่วันนี้ไปมึงกะกูเป็นศัตรูกัน” ผมตั้งปณิธานไว้เงียบๆในใจ


* * * * * * * * * * * *

หลังจากเปิดเทอมมาได้หลายอาทิตย์ ผมก็ไม่ได้เจอหน้าไอ้เต้นอะไรนั่นอีกเลย และถึงเจอก็
ไม่ได้เฉียดมาใกล้กัน จนผมเกือบลืมมันไปแล้ว 

“ เรื่องนี้กูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้หรอกไอ้ปิง” ผมกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งกับคนๆนึง

“ ทำไมวะ แค่ลงเล่นให้กูหน่อยเดียวเอง ครั้งนี้ครั้งเดียวละเพื่อน” ไอ้ปิงอ้อนวอนผม

จริงๆแล้วผมอยากจะช่วยมันใจแทบขาด แต่ไอ้กีฬง กีฬาอะไรเทือกนี้ ผมไม่ค่อยถนัดเอา
ซะเลย ผมเป็นพวกใช้สมองซะด้วย แถมวันนี้ มันยังดึงดันให้ผมช่วยลงแข่งบาสให้ทีมมัน
อีกตะหาก เพราะเพื่อนในทีมมันเจ็บ

“ กูเล่นไม่เก่งจริงๆ มึงก็รู้นี่หว่า” ผมพยายามหาเหตุผล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงแหละ

“ กูรู้ แต่มันไม่มีใครแล้วจริงๆนะเว้ย ไม่งั้นกูจะมาขอมึงเหรอไง” มันบอก

อ้าว ตกลงกูจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย แต่ผมก็ยังยืนกรานคำตอบเดิม

“ กูไม่เอาหรอก”

“ คือมึงเข้าใจป่ะ กูแค่อยากให้ตัวเล่นมันครบแค่นั้นเอง มึงลงสนามไป ไม่ต้องทำอะไรเลย
มึงวิ่งหลบได้ตามใจชอบเลย โอเคป่ะ” ไอ้ปิงยื่นข้อเสนอให้ผม แต่เมื่อเห็นไม่ค่อยถูกใจเท่าไร
ข้อเสนอต่อมาคือ...

“ แค่มึงลงให้กู เย็นนี้กูเลี้ยงหมูกระทะมึง” มันยืนมาอีกข้อเสนอ พร้อมยืนมือมาเตรียมทำ
สัญญา

ผมคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะจับมือมันตอบ

“ โอเค เพื่อน” ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยผม

“ไม่มีเสื้อที่ตัวใหญ่กว่านี้เหรอวะ” ผมบ่น เพราะเสื้อที่ได้มา มันไซ้เล็กกว่าผมพอสมควรเลย

“ เออ โทษทีหว่ะ กูลืมไปว่าไอ้วินมันตัวเล็กอะ ใส่ของกูละกัน” มันยื่นเสื้อให้ผม

“ ซักมั่งป่าววะ โคตรเหม็นตืดเลย”

“เด๋วปั้ด” มันทำมือจะมาซัดผม

“ กูพูดเล่น” ว่าแล้วก็จัดการสวมเสื้อ ใส่กางเกงเสร็จสรรพ เตรียมลงสนาม วันนี้นักเรียน
มาดูกันเยอะจัง ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผมชักเริ่มปอดแล้วดิ รู้สึกได้ว่าขาสั่นพับๆ

“ กูไม่เคยเล่นแล้วคนดูมากขนาดนี้หว่ะ ไอ้ปิง” ผมกระซิบให้เพื่อนฟัง

“ เอาเหอะน่า มึงก็คิดว่าเป็นนก เป็นกาไปเหอะ เด๋วก็ชิน” ไอ้ปิงว่า

“ เออ แล้วมึงไม่ต้องมากะจะโชว์สาวเลยนะ กูจะพยายามบอกพวกไอ้ท็อป ไอ้วินว่าไม่
ต้องส่งมาให้มึง หรือว่า ถ้ามึงได้ลูกแล้วเนี่ย มึงก็รีบโยนต่อให้คนอื่นเลย เข้าใจป่าว”

มันบอกแผนการ

“ มึงเก่งแต่ทฤษฎี แต่วันนี้มึงต้องปฏิบัติแล้วนะไอ้โอ้ต” เพื่อนรักบอกผม

“ กูจะพยายามหว่ะ” ผมตอบ ก่อนจะได้ยินสัญญาณให้ลงสนาม

- เป็นไงเป็นกันว่ะ - ผมภาวนาในใจ ขณะที่ยืนเรียงแถวหันหน้าประสานกัน พวกมันก็
ตัวไม่ได้ใหญ่อะไรไปกว่าผมมากนัก เพียงแต่ว่าความบึกผมสู้ไม่ได้เท่านั้น สายตาผมก็มองข้าม
ไปด้านหลัง เห็นต่ายกับเพื่อนสาวๆนั่งเชียร์อยู่ข้างสนาม ผมกวาดสายตาไปรอบเพื่อหาทางหนี
ทีไล่ไว้ก่อนล่วงหน้า

อี๊ ... ผมรู้สึกจุกเล็กๆ เมื่อเห็นไอ้เต้ยนั่งอยู่ในเต้นพักนักกีฬา

มันอยู่ทีมนี้ด้วยเหรอไงวะ ดูท่าทางมันยังไม่เห็นผม แต่ตอนนี้ไม่เห็น แต่อีกไม่กี่วินาที มันคง
เห็นผมแน่ ..... แต่

- ถึงมันจะเห็นผมแล้วจะเป็นอะไรละ- ผมคิดพลางเรียกสมาธิให้กลับคืนมา

-ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซะหน่อยนี่หว่า- คิดได้ดังนั้น ก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นติ๊ดนึง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............

ซวบ

เฮ

การแข่งขันเริ่มไปได้อย่างราบรื่น ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก ผมก็ทำตามแผนที่วางไว้
ซึ่งก็ทำให้พวกมันไม่ได้สนใจอะไรผมมากเท่าไร เพราะได้ลูก ก็โยนอย่างเดียว วิ่งทางโน้นที
ทางนี้ที เรื่องวิ่งผมถนัด หึหึหึ

จนพวกมันคงคิดว่า ประกบไอ้เหี้ยนี่ไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา ก็นับได้ว่า แผนที่ไอ้ปิงบอกไว้
ก็ใช้ได้ด้วยดี จนจบควอเตอร์แรก ทีมพวกผมนำอยู่ 5-6 แต้ม

“ ดีโอ้ต” เพื่อนในทีมชมผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะชมไปทำบ้าอะไร ยังชู๊ตไม่ได้ซักลูก

“ แต่กูรู้สึกว่าพวกมันจะจับทางได้แล้วหวะ ว่าเราเล่นแบบไหนอะ” หนึ่งในสมาชิกบอก

“แล้วแม่-งมันตามประกบกูตลอดเลยอะ โคตรเหนื่อยเลย” ไอ้ท็อปว่า แต่ผมดูมันแล้ว
มันจะเหนื่อยน้อยกว่านี้ ท่ามันไม่ทำโชว์ออฟอยู่ แต่ก็ได้ผล สาวๆกรี๊ดอย่างใจนึก
(ไม่รู้เพราะว่าเบื่อมันหรือว่าชื่นชมจริง)

“ เออ กูก็ว่างั้นแหละ” ไอ้ปิงบอก “งั้นต้องเปลี่ยนแผน” ว่าแล้วมันก็จ้องมาที่ผมกัน

“ หมายความว่าไง” ผมถาม

“ โอ้ต มึงต้องทำอะไรมากกว่าโยนลูกแล้ว” ว่าพลางตบบ่าผม

“เฮ้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นผมหน้าจ๋อยขึ้นมา

“ มึงอยู่ใกล้ๆไอ้วินไว้ ใต้แป้นอะ ถ้ามันส่งมาแล้วเห็นโอกาสดี มึงก็จัดการเลย กูรู้ว่า มึงอะทำได้ ”

“ มึงรู้ได้ไง”

“เอาเหอะ กูเชื่อใจ” มันพูดทำตาเป็นประกาย ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 แล้วล่ะ
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ถือว่าสนิทกันมากพอควร ตอนที่ได้รู้ว่าได้มาอยู่ห้องเดียว
กันในระดับ ม. ปลาย ผมก็แอบดีใจเล็กน้อยถึงปานกลาง

“ เอาตามนี้ละกัน” ไอ้ปิงสรุป

และแล้วการแข่งควอเตอร์ 2 ก็เริ่มขึ้น

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............ เฮ

ดูเหมือนว่าแผนที่เตรียมไว้จะได้ผลนิดหน่อย เพราะผมได้โอกาสรับลูกจากไอ้วิน ทันทีที่จับ
ลูกได้ผมก็รีบเล็งไปที่ห่วงทันที และก็ ...

ซวบบบ .....

2 แต้มแรกของผมครับ 2 แต้มที่ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น รู้สึกสนุกกับเกมส์มากขึ้น

นั่นสิ เมื่อเราได้ทำประโยชน์กับทีมได้อย่างแท้จริง ได้เห็นว่า เราก็มีความสามารถเหมือนกัน
เลือดในตัวผมก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

เกมส์ตอนนี้ผลัดกันรุกกันรับ (แข่งบาสนะครับ อย่าคิดเรื่องอื่น ขอที) แต่ทีมเราก็ยังนำอยู่
1 แต้ม ถ้าเราเสียลูกนี้ไป ก็แปลว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายตามแทน และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด

ไอ้ทีมโน้นมันเปลี่ยนตัวครับ มันก็ไม่ค่อยเท่าไร เพราะก็เปลี่ยนมาหลายคนแล้ว แต่ไอ้คนนี้นี่แหละ
เป็นคนที่ผมตั้งปณิธานไว้ในห้องปกครอง ไอ้เต้ย !! นี่แหละ มันลงมาแล้ว

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเปล่า ว่าเห็นมันยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย เหมือนกะว่า เวลาของกูมาถึงแล้ว

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังรับลูกเตรียมชู้ต ...

พลั๊ก .........

“อั๊กก ”

ผมรู้สึกเจ็บที่ชายโครงสุดๆ เพราะ ไอ้เต้ยนี่ล่ะ มันเข้ามากระแทกผมเต็มแรง เหมือนจะจงใจซะงั้น
จนผมนอนลงไปจุกอยู่กับพื้น ถึงแม้ว่าจะฟาวส์ แต่ผมก็ชู้ตลูกไม่ลง เพราะมันเจ็บชายโครงมากๆ

ผมมองหน้ามัน มันก็ทำเป็นไม่สนใจ

และแล้ว เมื่อเริ่มเกมส์อีกครั้ง ไม่ทันถึง 2 นาที ผมก็โดนอีก คราวนี้มันเอาตัวมากระแทกกับ
ตัวผมจังๆ ทั้งที่ตัวมันก็พอๆกับผม แต่อย่างที่บอก ความบึ๊กมันปานหมีควาย ผมจะไปมีแรงต้าน
ไหวได้ไง ก็ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน คราวนี้มันมองหน้าผมแบบว่าหาเรื่องเลยอะ ผมก็ …. ไอ้สัด
แต่อีกใจนึงก็เตือนไว้

- มึงสู้มันไม่ได้แน่ อย่านะมึง - คิดได้ผมก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ

- มึงชนได้ชนไป - จนมันทำแบบนี้กับผมไปเกือบ 10 ที ฟาวส์ไม่รู้กี่รอบ ตัวผมก็ชักช้ำใน
แล้วซิ แต่ก็ดีกำไรทีมผม ได้ชู้ตเอาคะแนนฟรีๆ ผมรู้สึกได้แล้วว่ามันเหมือนกับลงมาหาเรื่องผมเลย
นะเนี่ย เพื่อนๆในทีมมันก็ชักไม่พอใจกับตัวไอ้เต้ยแล้ว แต่ทำไมไม่ยักเปลี่ยนออกก็ไม่รู้เว้ย

จนมาครั้งสุดท้ายนี้ ......

ระหว่างที่มันพยายามแย่งลูกไปจากผม แม้จะรู้ว่าไม่ดี แต่ก็เป็นโอกาสของผม

พลั๊ก .................

“ อ๊อกกกกก ” ผมกระแทกศอกไปใต้ลิ้นปี่ไอ้เต้ยนั่นเต็มแรง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

“ มันอะไรกันนักหนาวะไอ้คู่นี้ ” กรรมการบ่นเสียงดัง

ผมทำหน้าสะใจ ที่ได้แก้แค้นคืน ไม่รู้หรอกว่ามันทำหน้ายังไง แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็หมดเวลา
สรุปทีมผมชนะไปฉิวเฉียด 51 – 48 สบายใจชะมัดยาด
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:06:20
“ เบาๆ ปิง กูเจ็บ ” ผมบอกไอ้เพื่อนตัวการที่นั่งนวดให้ผมอยู่ อาการช้ำในที่เกิดจากการเล่นบาส
คงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันบีบไปตรงไหน ก็ปวดตรงนั้น 

“ โอ้ยยยยยย !? ” ผมร้องเสียงหลง เมื่อมันมานวดตรงที่ศอกไอ้เต้ยมันกระแทกพอดี

“ พอแล้ว มึงไม่ต้องมานวดกูแล้ว ” พร้อมกับผลักไสมันออกไปห่างๆ มองไปเห็นไอ้ปิงทำหน้าปั้นยาก

“ ไอ้โอ้ต มึงนี่เรื่องมากเจงๆเลย นวดยามันก็ปวดหน่อยดิวะ ไม่ทนแบบนี้มันจะหายมั้ยเนี่ย ”
ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะเข้ามาทำผมอีก

“ นี่ มึงไม่ต้องเข้ามาเลยนะ ” ผมถอยตัวหนีมัน ...

“ มึงจะหนีกูทำไมวะ กูไม่ได้จับมึงปล้ำนะว้อย ” มันพูดทีเล่นทีจริง

“ สัดนี่ กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ” ผมบอก

“ อ้อ กูรู้แล้ว มึงจะเก็บรอยช้ำในไปให้เมียมึงนวดใช่ป่ะ หึหึ แล้วก็ไม่บอกกู ” ไอ้ปิงแซว

“ เมียป๊ะ มึงดิ เดี๋ยวกูต่อยลืมเตี้ยเลย ” ผมขู่ไปแบบนั้นแหละ ถ้าต่อยจริงๆผมคงแพ้ เพราะถึงปิงมันเตี้ย
กว่าผมก็ไม่มาก

“ กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบมัน มึงก็ไม่เชื่อกู ”

ไอ้ปิงเข้ามานั่งกอดคอผม

“ อ้าว ก็ไม่เห็นมึงจะปฏิเสธเค้านี่หว่า ”

“ มึงก็รู้ว่ากูปฏิเสธคนไม่เป็น จะให้กูทำไงล่ะ ” พูดเสร็จผมก็นั่งเงียบ เค้าที่ผมกับปิงพูดถึงอยู่นี่
คือเพื่อนที่อยู่อีกห้องนึง แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน พึ่งมาบอกชอบผมทำเอาโดนแซวไปทั้งวัน จากวันนั้น
ผู้หญิงที่ชื่อ เมย์ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งที่ผมออกจะรำคาญด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังทำตัวเฉยๆ
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยหวังว่า ท่าทีที่เฉยเมยจะทำให้คุณเธอเลิกตามซะที

“ โอ้ต มึงทำไม่เป็น มึงก็ต้องหัดทำ เรื่องแบบนี้ ถ้าปล่อยไว้มันจะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆนะ
ว่ามึงก็ชอบมันจริงๆ ”

“ กูรู้ แต่ ..... ” ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้ปิงดูเหมือนจะรู้ว่าผมคิดยังไง รู้ว่าผมไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ
ความรู้สึกดีๆ ของคนๆนึงไป

เสียงปิงถอนหายใจ

“ ถ้างั้นมึงก็คิดซะว่า รักคนที่เค้ารักเรา อะดีที่สุด ” ไอ้ปิงว่า

“ถ้าเค้ารักมึงจริง ไม่นานเวลาจะทำให้มึงรักเค้าเองล่ะ ” ไอ้ปิงบอก ผมแปลกใจจริงๆที่วันนี้มัน
พูดซะเน่าแบบนี้

“ปิง มึงคิดว่าเวลา ทำให้ความรู้สึกคนเปลี่ยนได้เหรอ ?”

“กูก็ไม่รู้ … ”

“ รักเค้าข้างเดียว มันเจ็บปวดนะเว้ย ” มันพูดแล้วยิ้มให้ผม “ เพราะฉะนั้น มึงพยายามอย่า
ให้ใครรักมึงข้างเดียวมากไปกว่านี้ เข้าใจป่ะ ”

ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่มันพูดมากนัก แต่ก็รับคำมันไว้

“ เออ มึงพูดให้กูฟังอีกทีได้ป่าว แบบแปลไทยเป็นไทยอะมึง กูยังไม่ค่อยเข้าใจ ” ผมถาม

“ กูไม่พูดแล้ว ของดีมีหนเดียวเว้ย ” มันพูดแบบฉุนๆใส่ แล้วก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ เออ ขอบใจหว่ะ ที่แนะนำกู เวลากูมีปัญหาก็มีแต่มึง ที่อยู่ข้างๆกู ” ผมพูดแบบซาบซึ้งสุดๆ

“ มึงพูดอะไรนะ เมื่อกี้กูใส่เสื้ออยู่ฟังไม่ถนัด ” มันถาม

“ ของดีมีหนเดียวเหมือนกันโว้ย ” ผมแกล้งมันคืน

“ ปากดีนะมึงเนี่ย เดี๋ยวกู .... ” มันเอาข้อมือปิดปากไว้ทัน เลยไม่ได้ยินที่มันพูดเมื่อกี้

“ อะไร ปากกูดีแล้วจะทำไรกู ”

“ จะต่อยปากมึงไง ไอ้เชี่ย ” ว่าแล้วมันก็วิ่งไล่จะต่อยผม ผมก็วิ่งหนีซิครับ ใครจะยืนอยู่ให้ต่อยล่ะ ...

* * * * * * * * * * * *

รุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้าด้วยอาการเพลียสุดขีด พร้อมกับรอยฟกช้ำ มันปวดไปหมดทั้งตัวเลย 

โอ้ยย !? ผมพยายามก้าวขาออกจากเตียง ชาตินี้จะไม่เล่นบาสแบบซาดิสแล้ว

วันนี้กว่าผมจะอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ เรียกได้ว่าระบมไปทั้งตัว ช่างเป็นเช้าที่รันทดอย่างแรง
แน่นอนสภาพร่างกาย ความเพลีย ทำให้ผมนั่งรถเกือบเลยโรงเรียนซะงั้นล่ะ

“มาสายอีกแล้วเหรอเรา ”อาจารย์เวรทักผม

ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนเดินไปเซ็นชื่อมาสาย และไหนๆก็เข้าคาบ 1 ไม่ทันแล้ว ผมก็เลยถือโอกาส
โดดซะเลย โดยไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด สวรรค์น้อยๆของผม ไม่มีที่ไหนในโรงเรียนที่ผม
จะชอบเท่าห้องนี้ ไม่ใช่เพราะมีหนังสือเยอะอย่างเดียวหรอก มันมีแอร์ และที่สำคัญมันเงียบ
ด้วย ผมชอบที่เงียบๆครับ เพราะมันช่วยทำให้ผมคิดอะไรอะไรได้หลายอย่าง ได้กลับมามอง
ตัวเอง แต่ที่สำคัญวันนี้ผมมาเพื่องีบหลับโดยเฉพาะฮะ ^^; เพลียมาก

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบเดินไปตามล็อกเก็บหนังสือ

ผมมองหาหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านอยู่บ่อยๆ ผมวางไว้ชั้นในสุด เพื่อที่คนอื่นจะได้หา
ไม่เจอ ฮ่ะ ฮ่ะ

“ อยู่นี่เอง ” ผมเอามือปัดฝุ่นที่หนังสือ เนื่องอ่านตั้งแต่ม. 3 ผ่านตั้งเทอมนึง แต่ก็ยังอ่านไม่จบซะที...

ว่าแล้วผมก็ไปนั่งที่โต๊ะว่าง พร้อมกับเปิดหนังสืออ่าน ไม่ทันไร ด้วยความเพลียหรืออะไรก็ตาม
ตาผมชักหรี่ลง หรี่ลง แล้วก็ปิดในที่สุด

………..ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzzzzzzzzzzzzzzz

………………………Zzzzzzzzzzzzzzzz

พลั๊กก ... !??

อุ๊ก !!

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองไปนอนกองอยู่บนพื้นห้อง

“ อะไรวะเนี่ย ” ความสะลึมสลือ ทำให้มองไม่เห็นไอ้ตัวการที่มันดันผมให้ตกจากเก้าอี้

“ 5 5 5 มึงหาใครอยู่เหรอ ” ไอ้เชี่ยเต้ยนี่เอง

“ ทำอะไรของนายวะ ” ผมพูดด้วยความโกรธ ปนง่วง

“ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เข้ามาก็เห็นมึงกองอยู่บนพื้นแล้วนะ อย่าโทษกันเด๊ะ
มันไม่มีหลักฐานว่ากูทำมึงนะ ” ไอ้เต้ยตอบทำหน้ากวนตีน

ในเมื่อมาไม้นี้ ผมก็เถียงมันไม่ออก แต่ทำเสียงฮึดฮัดเดินออกจากห้องสมุดไป
โดยผมเห็นไอ้เต้ยมันก็เดินตามออกมาด้วย

“ ตามมาทำไม ”ผมถาม

“ ใครตามวะ จะไปโรงอาหารต่างหาก ถอยๆ ” ว่าแล้วมันก็เดินมาผลักอกผมให้หลีกทาง
กวนตีนจริงๆ แม่งเอ้ย ซักวัน ซักวัน !!!

ปิ้ง ป่อง ปอง ป่อง ป่อง ปอง ป้อง ป่อง

อ่า เสียงออดเข้าคาบ 2 ซะที ผมรีบเดินหิ้วกระเป๋าเข้าห้องเรียนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

“ ไง โดดไปไหนวะ แต่เช้า ” ไอ้ปิงเข้ามาทักผม

“ ไปหาที่งีบมาหว่ะ แต่ดวงซวยเจอหมาเข้า ” ผมบอกเพื่อนเกลอ

“ ใครวะ ”

“ มึงรู้จักไอ้เต้ยที่อยู่ห้อง 9 ป่าวล่ะ วันก่อนกูไปมองหน้ามันเท่านั้นแหละ
จากนั้นมันก็ตามมารังควานกูตลอดเลย ซวย ”

ปิงหัวเราะ “ เออ เพื่อนกูเองแหละ ”

ได้ยินดังนั้นผมก็ทำหน้าเหวอ

“ อ้อ มึงคบคนแบบนี้เหรอ จะได้รู้ไว้ ” ผมกัด

“ เฮ้ย มันก็ไม่มีอะไรหรอก วันๆก็กวนตีนเค้าไปเรื่อยเปื่อยอะ แต่เนื้อแท้มันเป็นคนดีนะ
เออ กูหมายถึงว่า อย่างน้อยที่สุดอะ น้อยยยย น้อยมั๊กมากกก” ไอ้ปิงเหมือนจะปกป้องเพื่อน

“ เออ ช่างมึงเหอะ แต่กูดูจากการกระทำของมันที่ทำกะกู มากกว่าฟังจากคนอื่นหว่ะ
ว่ามันเป็นคนยังไง ” ผมบอก

“ อ้าว แล้วมึงเห็นกูเป็นคนอื่นเหรอไง ”ไอ้ปิงถามผมอย่างฉุนๆ

“ แหม มึงก็รู้ว่า กูไม่ได้หมายความว่ายังงั้นซะหน่อย มึงอะ เพื่อน LOVE กูเลยนะ ”
ผมค่อนขอด

“ พอเหอะ กูรู้ว่ากูอะ ไม่สำคัญเท่าน้องเมย์ อะไรนั่นของมึงหรอก ไม่ต้องมาชื่นชมให้เปลืองน้ำลาย ”

“ไอ้นี่ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ” ผมว่ามัน แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อก็เดินเข้ามาหาเราทั้งสอง

ไอ้ปิงกระซิบกับผม “ แม่-ง ... ตายยาก แค่พูดชื่อก็มาเลย ไม่ต้องจุดธูปเชิญ ”

“ ไอ้ปิง แกนินทาไรชั้นยะ ” เมย์เดินเข้ามาพูดกับเพื่อนผม

ผมยิ้ม แล้วกำลังจะบอก แต่ไอ้ปิงเอามือมาอุดปากผมไว้ “ ป่าว ไม่ได้นินทาไร
เลยนะเจ๊ ”

“ อ้าว นายก็ไปดิ ช้านมีเรื่องคุยกับโอ้ต ” ว่าแล้วเธอก็ทำท่ากระมิดกระเมี้ยน ซึ่งผมไม่รู้เป็นอะไร
เวลาที่เมย์ชอบพูดยานคาง มันทำให้รู้สึก รู้สึก …..

“ มีอะไรจะคุยกะเราเหรอ ” ผมถาม

“ โอ้ตจะไป English Camp ด้วยกันป่าว เมย์อยากให้โอ้ตไปนะ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน ”

“ อืม ” ผมทำท่าเกาหัว “ ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คิดอะไรเลยเนี่ย แต่ก็คง ... ”

ผมกำลังจะบอกว่าคงไม่ไป แต่น้องเมย์เค้าส่งสายตารัญจวนใส่ซะก่อน จึงพูดอะไรไม่ออก

“ ก็ ... คงคิดอีกทีนะ ” ผมกระออมกระแอมตอบ

“ ฮู้ย ไปนะโอ้ต เมย์อยากให้โอ้ตไปด้วยจริงๆอะ” เมย์ยังคงอ้อนวอนผม

“ เราว่า ค่อยคุยกันอีกทีดีป่าว เดี๋ยวเราเข้าเรียนไม่ทันนะ วิชาลีลาศด้วย ” ผมบอก
เพราะวันนี้ดูเหมือนจะท่ายาก

“ ก็ได้ๆ แต่สัญญานะว่าจะไป” เมย์รวบรัด (ฆ่า) ตัดตอน

“ อืมๆ” ผมตอบแบบขอไปที พลางเดินจะเข้าห้อง

“ไอ้โอ้ต เร็วๆ จารย์ มาแล้ว” ปิงวิ่งมาบอกผม เมย์ก็เดินมาคล้องแขนผม ตอนนั้นไม่รู้ทำไม
ใจผมก็ไม่อยากให้ปิงมาเห็นภาพผมกะเมย์ควงกันอยู่เลย ผมเลยดันมือเค้าออกไป จนเมย์
ทำหน้าไม่พอใจ

แล้วนี่คาบว่างเหรอ ผมถาม

ก็ป่าว แต่เมย์อยากเห็นโอ้ตเต้นลีลาศ เธอพูดพลางยิ้มเฉ่ง

-ไม่นะ- ผมคิดในใจ

เราว่าไปเรียนเหอะ เราไม่ชอบคนชอบโดดเรียน ผมว่า ไม่ได้นึกถึงตัวเองว่าตอนเช้ากูก็พึ่งกระทำการณ์นั้นมาหยกๆ

เมย์ทำหน้างอยิ่งกว่าเดิม แล้วก็เดินบิดจากผมไป

“ อ้าวทำไมพูดกับเค้าแบบนั้นละ ” ไอ้ปิงถามผม “เด๋วเค้าเสียใจนะ”

“ กู ไม่ชอบ ” ผมหันไปบอกไอ้ปิงด้วยน้ำเสียงโกรธๆ เหมือนกะว่า มึงนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกกูเลยนะ

“ เอ้าๆๆๆๆ เข้าแถว จัดแถวเป็นวงกลมนะ ผู้ชายอยู่วงนอก ผู้หญิงอยู่วงใน” เสียงอาจารย์ตะโกนด้วยเสียง
แปดหลอด และด้วยความที่มีผู้ชายมากเกินไป ทำให้ไอ้ปิงต้องไปอยู่วงใน

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

หัวเราะเหี้ยไร

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ ทำไมกูต้องอยู่ข้างในด้วยวะ โอ้ตเปลี่ยนที่กะกูที ”

“ ไม่เอา กูเต้นแบบผู้หญิงไม่เป็นนี่หว่า” ผมว่า “เอาน่า หมดคาบนี้ไป ก็รอดแล้ว” ผมล้อมัน

“ จำไว้นะมึง ” ไอ้ปิงบ่นกระปอดกระแปด แล้วยืนก้มหน้ารับกรรม ...ที่มันล้อผมไว้ตะกี้

“เอ้า ตรงนั้นนะ เข้าที่” จารย์บอก พลางตบมือให้จังหวะเปิดเพลง

(ถ้าอยากฟังเพลงโปรดก๊อปไป url ดังกล่าวไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/ost.swf )

ปิงมันค่อยๆเลื่อนมือมาแตะไว้ที่บ่า ส่วนผมก็เอามือไปวางไว้ที่เอวมัน ฮ่ะ ฮ่ะ ตลกดี

ก่อนที่เราสองคนเอามือที่ว่างอยู่จับเข้าหากัน สายตาของผมกับปิงก็มาชนกันอย่างช่วยไม่ได้
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:08:52
“ เฮ้ย !! อย่าเกาะกูแบบนั้นปิง” ผมบอกมันพร้อมทำท่าจักกระเดี๋ยม  

“ คิดว่าอยากเกาะมึงเหรอไง ” มันว่า พลางพาหมุนตัวนึงรอบ

“ เป็นไง กูเต้นใช้ได้ม่ะ ” มันชมตัวเอง

“ โห มึงเต้นเป็นหญิงได้เก่งมากเลย ” ผมกระซิบใกล้ๆหูมันในระหว่างเต้น

“เด๋วจะโดนใช่น้อย ไอ้โอ้ต” มันว่า ทำหน้าแดง พอดีกับเสียงเพลงหยุดลงพอดี

“ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน อาทิตย์หน้าจับคู่กันมาเลยนะ จะสอบแล้ว ” อาจารย์บอก
พวกเราก่อนจะปล่อยหมดคาบ

“ วันนี้ซวยชิบเป๋ง ” ปิงมันบ่นงึมงำ

“ กูนึกว่ามึงจะชอบซะอีก ” ผมแซวมันอารมณ์ครื้นเครง

“ เหม่ มึงทำพูดดี …. เออ ว่าแต่ มึงจะไปแคมป์ป่ะ ”

“ ยังไม่รู้ มันอีกนาน ตั้งเทอมหน้าโน่น ” ผมบอก

* * * * * * * * * * * *

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นวิกฤติการณ์ทางการสอบของเทอม 1 ผ่านไปได้อย่าง
หวุดหวิด โดยมีไอ้ปิงได้คะแนนเกือบรั้งท้ายเพื่อน ผมก็ถือโอกาสเตือนมันเป็นครั้งที่
100 กว่าๆ  

“ มึงควรจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้นะเว้ย ” ผมเฝ้าเตือนมันตั้งแต่ก่อนสอบ จนเปิด
เทอมใหม่แล้ว ก็ยังพูดอยู่คำเดิม

“ กูจะพยายาม ” แล้วมันก็พูดประโยคเดิมเหมือนเมื่อเทอมที่แล้วเด๊ะ

สิ่งที่แปลกไปของเทอมนี้ นอกจากอากาศที่หนาวเย็นเร็วกว่าปกติแล้ว ยังมีอาจารย์ปกครอง
คนใหม่เข้ามาคนหนึ่ง ซึ่งจากนี้ไป อาจารย์สุดโหดคนนี้จะทำให้ชีวิตของนักเรียนที่แสนสงบสุข ….
เปลี่ยนไป

“ กูไม่ชอบรองฯปกครองคนใหม่เลยฟระ โอ้ต - -”

“เค้าทำอะไรมึงเหรอ ? ”

“ตั้งแต่เข้ามาก็ออกกฎบ้าบออะไรเยอะแยะ ชอบสั่งโน่นสั่งนี่”

“เค้ามาใช้มึงเหรอไง ? ”

“อะไรวะ โอ้ต … มึงไม่เข้าข้างเลยนี่หว่า” เสียงมันชักฉุน ผมพอจะรู้สาเหตุที่ปิงมันไม่ค่อย
ชอบรองฯคนใหม่ เพราะว่าเค้าจะทำโทษคนมาสายด้วยการให้ใส่เหมือนเสื้อวินมอไซต์ แล้วก็ติด
ป้าย “ผมมาสาย” บำเพ็ญประโยชน์ทั่วโรงเรียนในคาบแรก แล้วไอ้ปิงก็เป็นพวกเจ้าชายสาย
เสมอน่ะซิ …

“มึงก็หัดมาให้เร็วๆซิ จะได้ไม่ต้องใส่เสื้อวิน” ผมพูดขำๆ

“เออ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก” มันพูดแก้ตัว เพื่อนๆกูนะ ก็บ่นไม่ชอบยายนี่ทุกคนล่ะ

อ๋อ สงสัยเพื่อนแสนดีทีทำแหกกฎโรงเรียนทุกข้ออะไรพวกนี้ป่าว ผมพูดประชดแรงไปนิด
จนดูปิงมันหน้าเจือนไปเล็กน้อย

“ แล้วมันคือเพื่อนพวกไหนหว่า ? ” ผมก็ถึงบางอ้อว่า ตอนที่ผมกำลังว่าเมื่อกี้นี้ พวกไอ้เต้ย
มันเดินมาด้านหลังพอดี แล้วก็คงได้ยินที่ผมพูดนั่นล่ะ แล้วดูท่าทางมันจะรู้ว่าผมกำลังจะว่ามัน

“ ก็พวกมึ - - โอ้ย ” ผมร้อง เพราะไอ้ปิงเอาฝ่าเท้ามาเหยียบเต็มแรง

“ พวกโน้น ” ไอ้ปิงมันทำท่าชี้นกชี้ไม้

“ก็ … แล้วไป ” ไอ้เต้ยบอก แต่สายตามันยังคงแสดงความเคืองอยู่ ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
มันนิดหน่อย ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกไป แต่ปิงกะไอ้เต้ย มันก็ยังคุยอะไรกันอยู่

“ เฮ้ย ปิง เข้าคาบมานานแล้วนะมึง รีบไปเหอะ เดี๋ยวโดน ” ผมเร่ง

“ เออๆ รอแป้บ กูคุยกับมันก่อน ” แล้วมันก็เดินไป ซุบซิบกันไป ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า
มันคุยไรกัน แต่ไว้ค่อยถามไอ้ปิงทีหลัง แต่ …

“ เธอ 3 คนตรงนั้นน่ะ ทำไมไม่เข้าห้องเรียน มานี่ซิ ” เสียงอาจารย์ที่ผมไม่ค่อยคุ้นหูนัก
(เพราะไม่ค่อยมีเรื่องอะไรกะแก) แต่เหมือนว่าไอ้เต้ยกับปิงจะรู้จักดี พวกเราหันกลับมาต้นเสียง
เจออาจารย์หญิงคนนึง เจ๊อาจารย์คนใหม่นั่นเอง ซวยแล้วผม

“ พวกเธอรู้มั้ย นี่มันคาบอะไรแล้ว และที่สำคัญที่โรงเรียนนี้ ไม่อนุญาตให้เด็กทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย
ออกมาเดินเรี่ยราด โดยเฉพาะตอนเข้าคาบเรียนแล้ว ” เธอพูดต่อไปด้วยเสียงอันแหลมปี้ด จนผมชัก
รู้สึกรำคาญ

ดูเหมือนไอ้เต้ยจะไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไรกับคำพูดของเจ๊แก ผิดกับผมกะไอ้ปิงที่ยืนก้มหน้านิ่งฟัง
คำเทศนา จนเหมือนว่าจะสะใจแล้ว

“ ถ้าชั้นยังเห็นว่าพวกเธอยังยืนยืนด้อมๆมองๆอะไรในขณะที่คนอื่นเค้าเรียนหนังสือกันอยู่นะ ได้เจอ
กันแน่เสียเวลามากพอแล้ว ไป - - ”

“ ก็ที่เสียเวลาเพราะต้องฟังใครบ่นล่ะ ” เต้ยพูดแทรกขึ้นมาในประโยคสุดท้าย จนผมรู้สึกว่ามันเป็น
การราดน้ำมันบนกองไฟชัดๆ

อาจารย์คนใหม่อี้งไปพักนึง รวมทั้งผมกับปิงด้วย เพราะว่านอกจากเถียงเค้าไปแล้ว ไอ้เต้ยมันยังจ้องหน้า
อาจารย์เค้าแบบท้าทายอีกต่างหาก

แบบนี้มันโยนระเบิดแถมขี้เข้าไปด้วยนี่หว่า ?

“ ไอ้ – ตู๊ดๆ - เมื่อวานสิ่งที่สั่งสอนไปที่ห้องปกครอง คงจะไม่ได้แทรกซึมลงสมองเลยซิ ” อาจารย์
ตะโกนด้วยความโกรธลั่นถนน พลางหันมาทางผมสองคน

“ เธอสองคนไปได้แล้ว - - - ส่วนเธอ ตามไปห้องปกครอง เดี๋ยวนี้ .. ”
พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าห้องไป

“ มึงไม่น่าพูดแบบนั้นกับเค้า ” ปิงบอกเต้ยที่ยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ โดนแบบนี้ยังทำหน้าแบบนั้นอีกนะ ” ผมพูดลอยๆ แต่ดูท่าทางมันจะสนใจ

“ ทำไมล่ะ กูพูดเรื่องจริงมั้ยล่ะ ถ้าเค้าไม่มัวบ่นยืดอยู่แบบนี้ ก็ได้เข้าเรียนกันแล้ว ”
มันพูดกับไอ้ปิงเสร็จ แล้วก็หันมาทางผม

“ ที่พูดแบบนั้น เป็นห่วงเหรอ ” มันทำหน้าแบบกวนตีนใส่ผมอีก พลางเดินกะหย่อง
กระแหย่งไปที่ตึกเรียน

“ อ้าว ไอ้เต้ย ห้องปกครองอยู่ทางนี้ ” ปิงเตือน

ไอ้เต้ยหันมาทางผมสองคน แล้วเอามือแตะปาก เชิงให้พวกผมเงียบไว้ แล้วจะดีเอง

วันรุ่งขึ้นไม่แปลกที่ผมจะได้ยินเสียงเรียกไอ้เต้ยตามระเบียบ ระหว่างทำกิจกรรมเคารพธงชาติ
และก็เห็นไอ้แสบเดินเข้าไปที่ห้องปกครอง โดยมี อาจารย์ใหม่ เดินยิ้มอย่างมีชัยตามหลังไป

“ กูไม่ชอบขี้หน้าวะ ” ไอ้ปิงบอกกับผม ขณะที่เรากำลังเดินเข้าเรียน

รู้มั้ย ยายป้านั่นเค้าจะยุบชมรมยูโดแล้วด้วย ” ไอ้ปิงทำหน้านิ่ว

“ เอ๋ .. !? ทำไม ”

“ เพราะเค้ารู้ว่าไอ้เต้ย มันเป็นรองฯชมรมอะดิ - - หยุดทำหน้าประหลาดใจแบบนั้นซะ
ทีเถอะ ขอที” ไอ้ปิงบอกผม

“ ไอ้เต้ยเนี่ยนะ” ผมถาม

“ อืมดิ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับว่า มีสติปัญญาอย่างเดียวนี่หว่า เค้าดูที่ความสามารถ”
ไอ้ปิงบ่นใส่ผม

“ เหรอ ” ผมว่าอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร “ ยุบก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ”

ไอ้ปิงหันมาหาผมด้วยสีหน้าโกรธๆ “ มึงจำไม่ได้ใช่ม่ะ … กูก็อยู่ชมรมนี้ด้วย (โว้ย) ”

แล้ววันนั้นทั้งวัน มันไม่เข้ามาคุยกับผมอีกเลย …

* * * * * * * * * * * *

“ โอ้ต เนี่ยเค้าให้ไปลงชื่อคนที่จะไปแคมป์กันแล้วนะ ” เมย์เดินมาบอกผม ตั้งแต่ปล่อยแถว
วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้ลงชื่อไปแคมป์ที่ประจวบฯ

ผมทำสีหน้าอ้ำอึ้งเล็กน้อย แล้วหันไปมองเพื่อนรัก ที่ทำหน้าตาว่า ไปเหอะ

“ ขอเราคิดดูอีกหน่อยได้มั้ย ” ผมว่า สีหน้าแสดงถึงความไม่อยากไปที่สุด

“ ไม่ได้แล้วโอ้ต” เธอแห้วใส่ผม รอนานกว่านี้ เดี๋ยวคนก็เต็มกันพอดี

“ โอ้ตสัญญากับเราไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไปด้วย” เธอทำเสียงอ่อน จนผมเห็นว่าไม่มี
ทางเลี่ยง

“ไปก็ไป ” ผมพูดแบบสั่วๆ “ แต่มึงต้องไปกะกูด้วยนะไอ้ปิง” ผมรีบหันไปลากมันมา

ไอ้ปิงทำหน้าตาเหลอหลาชี้มือไปที่หน้ามัน

“ เกี่ยวไรกะกูอะ กูไม่ได้อยาก - - ” ผมรีบเอามือไปอุดปาก พลางบอกเมย์

“ งั้นเมย์ไปใส่ชื่อเรา กะปิงได้เลยนะ ” ผมบอกพร้อมกับกดล็อกคอไอ้ปิง ไม่ให้พูดอะไรไปพลาง

เมย์ดูท่าทางหน้างอนิดหน่อย เพราะเธอคงไม่อยากให้เพื่อนผมไปด้วยเท่าไร แต่ก็ทำตามที่บอก
เมื่อผมยืนยันว่า จะไม่ไปไหนถ้าไอ้ปิงไม่ไปกับผมด้วย

“ มึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยมีตังค์ ” ไอ้ปิงแห้วใส่ผม “แล้วกูต้องอ่านหนังสืออีกนะ ”

“ มึงตอแหลมาก คิดเหรอว่าจะมีใครเชื่อว่ามึงจะอ่านหนังสือ” ผมบ่นกับมัน “ ถ้ากูไปกูก็ต้อง
ไปนอนกะไอ้คนไม่สนิทดิ กูไม่ชอบ”

“ มึงก็นอนคนเดียวดิ เดี๋ยวเมย์มันมุดเข้าเต้นมึง กูขี้เกียจออกไปนอนที่อื่น”

“ มุดป้ามึงดิ ” ผมชักเคืองที่มันล้อผมกับเมย์บ่อยไปแล้ว

“ ไปคราวนี้ กูจะบอกเมย์ว่ากูไม่ได้ชอบเค้า ” ผมบอกด้วยความมาดมั่น

ไอ้ปิงผิวปากเบาๆ แล้วพูดเหมือนกับคำว่า แล้วกูจะคอยดู

เหมือนกับว่าวันเวลาที่ไม่อยากให้มันถึง มันมักถึงก่อนที่เราจะรู้ตัวเสมอ วันก่อนออกเดินทางไป
แคมป์ ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็ก เพราะยังไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรเลย ไอ้ปิงซะอีกที่ดูเหมือนจะ
เตรียมพร้อมกว่าผม จนเมื่อผมพูดว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย พร้อมกับถามมันว่าจะเอาอะไรไปดี
มันก็ทำหน้าปั้นยาก พร้อมกับจดอะไร
ขยุกขยุกใส่มือผม ผมตั้งหน้าอ่าน

“ มึงจะให้กูเอาถุงยางไปทำไมวะ ” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ เอากันไปไว้ก่อนไงมึง เผื่อว่ามันจะมีอะไร - - ”

“ มันไม่มีอะไรทั้งนั้นละ ” ผมพูดตัดบท

“ มึงไม่เอาไป แต่กูเอาไปนะ เผื่อฟลุค แล้วไงเจอกันพรุ่งนี้ ”

“ เออ …” ผมว่า

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนด้วยความเพลียจัด อาจเป็นเพราะผมเกือบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน
เพราะมัวแต่กังวลอะไรบ้าบอ ซึ่งเป็นนิสัยผมก่อนจะเดินทางไปไหนเสมอๆ

“แม่ผมไปนะครับ” ผมพูดพลางยกมือไหว้

“ไปไหว้คุณท่านบนเรือนก่อนไปนะโอ้ต ”

“ครับ” ผมรับคำ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนใหญ่ กว่าจะได้รับการประสาตพรเสร็จก็นานโข

พอมาถึงโรงเรียนปั๊บ ก็ต้องขึ้นเรียนก่อนครับ เพราะว่ารถไฟจะออกตอนเที่ยง ตอนเช้าว่าง ก็เลย
ต้องให้ขึ้นเรียน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นคำสั่งการของเจ๊รองฯปกครองนั่นแหละ

ถึงเวลาเที่ยง ก็มีประกาศให้นักเรียนที่จะไปเข้าค่ายลงมาเข้าแถว เพื่อเตรียมตัว เดิน ไปที่สถานีรถไฟ
พูดไม่ผิดหรอกครับ เดินไปจริงๆ หนนี้เราเดินทางโดยรถไฟ เพราะว่ามันสะดวกกว่า แล้วก็ได้
อรรรสด้วยครับ ส่วนสถานีรถไฟกับโรงเรียน ก็ไม่ห่างกันมากมาย ประมาณ กิโล สองกิโล ส่วน
ไอ้ปิงมันโดดคาบเช้า พึ่งเดินหอบของเข้ามาในโรงเรียนกับไอ้เต้ย เพื่อมาเช็คชื่อก่อน

“ นี่ไปแค่ 2 คืนนะ มึงจะย้ายบ้านเหรอ ” ไอ้ปิงแซวผมเมื่อเห็นผมหิ้วของเยอะกว่ามัน
นิดหน่อยเอง

“ ถ้ามึงหนาว ไม่ต้องมาขอผ้าห่มกูเลยนะ ” ผมชักสีหน้า

ตุ๊บบบบบ

มีใครมาตบหลังผมอย่างแรง จนต้องงหันกลับไปกำลังจะซักหมัด

“ดี จะย้ายบ้านไปอยู่ประจวบฯเหรอไง ” ไอ้ – เต้ย – เข้ามาทักผม โอ้ว นี่ผมอุตสาห์มาเที่ยว
ต่างจังหวัดแล้ว
มันยังตามมาราวีไปด้วยเหรอเนี่ย !?

หึหึ มันหัวเราะพอใจในท่าที

รองฯ ก็ไปด้วยนะเฟ้ย มันว่าพลางชี้นิ้วไปที่เด็กนักเรียนที่กำลังแบกสัมภาระมากมายของรองฯ
ปกครองขึ้นรถ (รองฯมีรถของโรงเรียนไปส่งที่สถานี) ก่อนท่านจะก้าวขึ้นบนรถ ก็กล่าวโอวาท
ซักเล็กน้อย

“ หวังว่า พวกเจ้าปัญหาทั้งหลาย คงไม่ก่อเรื่องอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอีกล่ะ ไม่อย่างนั้น …. ”
เธอเว้นช่วงทีนึง

“ จะโทษว่าโหดร้ายไม่ได้นะ ” พูดเสร็จก็หันหลังกลับไป ไอ้เต้ยทำท่าเหมือนจะแกล้งถีบหลัง แต่เมื่อ
ท่านรู้สึกผิดปกติ หันกลับมา ไอ้เต้ยก็กลับไปในท่าเตรียมพร้อมเหมือนเดิมเรียบร้อย

เราใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเดินไปที่สถานี รวมถึงจัดแถวเพื่อเตรียมรอขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึง
เมื่อเด็กนักเรียนขึ้นรถไฟด้วยความรีบร้อนเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทาง จากอำเภอเมือง ผ่านอำเภอ
ต่างๆของจังหวัด ผ่านชะอำบ้านผม แล้วก็เรื่อยมาจนถึงสถานีหัวหิน … สถานีนี้เอง พวกผมเกือบตกรถไฟ
เพราะรีบสั่งผัดไท แล้วยื่นตัวออกนอกรถขณะเริ่มแล่น

“ เกือบตายแล้วมั้ยกู เพราะความอยากกินแท้ๆ - - ไอ้เต้ย มึงไม่ต้องมาแย่งกูเลย ” ปิงว่าพลาง
ถองไอ้เต้ยไปไกลๆ ผัดไท

สนิทกันจังนะพวกมึงเนี่ย ผมคิดในใจ หูก็ฟังซาวอเบ้าส์ที่เอาด้วย สายตาก็ทำทีมองออกไปทาง
หน้าต่างรถ พอเห็นพวกมันคุยเล่นหัวอะไรกันเฮฮา ก็อดอยากจะร่วมแจมไม่ได้ ถ้าไม่มีไอ้เต้ยล่ะ
ก็ ……

พอมาถึงสถานีนึง ก็มียายคนนึงเดินเข้ามาในตู้ของพวกผม

“ ยายๆ จะไปไหนเหรอครับ ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นแกเริ่มกระวนกระวาย

จนเมื่อรู้ว่ายายผู้น่าสงสารขึ้นรถขบวนผิด โชคยังดีที่รถยังไม่ออก เพียงแต่ยังหาตู้ที่จะต้องขึ้น
นั้นไม่เจอ

“ ยาย เดี๋ยวไปกับผมดีกว่า ” เต้ยว่า พลางลุกขึ้นจูงเหมือนหิ้วยายลงจากขบวน

“ เฮ้ย ไอ้เต้ย รถไฟจะออกแล้วนะเว้ย ” ไอ้ปิงเตือน พลางทำหน้าไม่สบายใจ

“ เออ กูไปแป็บเดียว เด๋วมา มึงบอกอาจารย์ด้วยล่ะกัน ” ว่าแล้วก็เดินหายไปเลย

* * * * * * * * * * * *


ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน .......  

เสียงหวูดรถไฟร้องออกมา พร้อมกับใจที่กระวนกระวายของผมสองคน (จริงๆก็คือไอ้ปิงคนเดียว)
ถ้ามันกลับมาไม่ทันจะทำยังไง ถ้าอาจารย์รู้เข้า ทั้งๆที่มีกฎไม่ให้นักเรียนลงจากรถไฟ อะไรจะเกิดขึ้น

“ โอ้ต กูว่ากูลงไปตามมันดีกว่า” ปิงมันทนไม่ได้พูดขึ้นมา พร้อมทำท่าจะลง

“ เฮ้ย อย่านะเว้ย “ ผมรีบห้าม “ ถ้าไปอีกคนแล้ว เกิดสวนกันจะว่าไงวะ รออยู่นี่แหละ ”

“ แต่ระ รถ ไฟมันจะออกแล้วนะ “ ปิงบอก “ อย่างน้อย กูว่าไปบอกอาจารย์ก่อนดีป่ะ เผื่อว่า - - ”

“ รู้สึกว่านักเรียนกลุ่มนี้จะก่อเรื่องอีกแล้วซินะ ” เสียงแหลมปี้ดดังขึ้นด้านหลังผม เป็นใครไปไม่ได้
นอกจาก เจ๊รองฯสุดโหด ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเค้าชอบมายุ่งกับพวกไอ้เต้ยนัก

“ ไหนว่ามาซิ ใครก่อเรื่องอะไร - - ”

“ ไม่มีใครก่อเรื่องอะไรเลยครับ ” ไอ้ปิงชิงพูดขึ้นก่อน คนอื่นๆที่อยู่ในตู้ก็พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน

สายตาอาจารย์หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด ว่าไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนผม พลางกวาดสายตาไปรอบตู้โดยสาร

“ นาย - ติ๊ด - ไม่อยู่ ” เธอพูดเสียงดัง เหมือนจะจ้องจับผิดไอ้เต้ยอยู่ก่อนแล้ว

“ มันไปไหน !? ” อาจารย์ถามย้ำ

พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ภายในตู้เกิดความตึงเครียดขึ้นทันที

“ เออ มันไปหาเพื่อนตู้อื่นครับ ” ผมบอก

“ไม่ได้แจ้งเหรอว่า ในระหว่างเดินทาง ไม่ให้ใครก็ตามย้ายก้นออกจากตู้ของตัวเอง ” ว่าพลาง
หันมามองผม ซึ่งกำลังจะอ้าปากเถียง “ หรือว่าเธอมีอะไรจะบอก “

“ เออ ... ไม่มีอะไรครับ ” ผมตอบ แต่สายตาผมยังคงจ้องมองเธอด้วยความโกรธ ผม
เชื่อว่าถ้าผมบอกความจริงว่าไอ้เต้ยพาคนแก่ที่พลัดหลงมาขึ้นตู้เราไปส่ง คงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่
จะไม่ให้อาจารย์ไร้เหตุผลคนนี้ลงโทษมัน

“ แล้วมันไปไหน ” อาจารย์หน้าคางคกยังคงถามย้ำ

“ ก็บอกว่าเค้าไปหาเพื่อนตู้อื่นไง - -” ผมตอบเสียงขุ่น “ - - ครับ”

อาจารย์มองหน้าผมที่ทำเสียงแบบนั้นใส่

“ เธอรู้มั้ยว่าการโกหก เพื่อปกป้องเพื่อนเนี่ย โทษที่ได้รับมันก็มากพอๆกันนะ ” เธอขู่

“ แต่ถ้าไม่ได้ทำ ทำไมผมต้องใส่ใจด้วยล่ะครับ ” ผมตอบ พลางรู้สึกไม่ค่อยเชื่อตัวเองที่กล้า
เถียงอาจารย์ไร้สาระคนนี้

“ ถูกต้องแล้วเพื่อนเอ๋ยยย .. ” เสียงไอ้เต้ยดังขึ้นมา พร้อมกับตัวมันกำลังเดินมาจากตู้ด้านหน้า

“ เห็นไหมครับ อาจารย์ บอกแล้วว่ามันไปตู้อื่นมา ” ไอ้ปิงพูดขึ้นสำทับ

“ ใครให้เธอเดินไปตู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ” เธอถามด้วยอารมณ์ออกจะโกรธๆ เมื่อรู้สึกว่า
ตนเองจนมุม

“ ก็จะขออนุญาตใครละครับ ก็ในตู้ก็มีแต่นักเรียน ไม่มีอาจารย์คุมซะหน่อย ” ไอ้เต้ยบอกเสียงใส

ริมฝีปากอาจารย์กลายเป็นเส้นบางๆ พร้อมกับถามคำถามสุดท้าย

“ แล้วเธอมีธุระจำเป็นอะไรถึงต้อง ฝ่าฝืนคำสั่ง !! ” เธอถามเสียงแหลมปี้ด เหมือนกับต้องการ
เอาความผิดให้ได้

“ ของส่วนตัวครับ ” ไอ้เต้ยตอบหน้ากวนตีน “ ผมคิดว่า อาจารย์คงเข้าใจคำว่า – ส่วนตัว-
นะครับ ”

ริมฝีปากอาจารย์บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ พร้อมกับความรู้สึกสะใจของนักเรียนที่ได้ยิน

“ แล้วเก็บคำตอบของแก ไปพูดให้หัวหน้าระดับฟังแล้วกัน ” ว่าพลางเดินลงส้น
กลับไป เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ถึงขั้นเรียกนักเรียนว่า –แก- แต่ความ
รู้สึกสะใจในชัยชนะของพวกเราทำให้ไม่ได้แคร์หยาบคายคำนั้นเท่าไร

“ ยายเป็นไงมั่งไอ้เต้ย ” ปิงถาม

“ ส.บ.ม.ย.ห. กูระดับไหนแล้ว ” ไอ้เต้ยคุยโว

“ แล้วก็ทำให้คนอื่นเกือบเดือดร้อนด้วยนะ ” ผมบอก พลางเดินไปนั่ง

ไอ้เต้ยทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมพูด พลางเดินไปคุยกับไอ้ปิง พร้อมกับหันมามองผมเป็นระยะๆ
เป็นอันแน่นอนแล้วว่า สิ่งที่ผมเถียงกับอาจารย์ไปเมื่อครู่นี้ ไอ้เต้ยมันได้ยินมาตลอด

ผมกลับมาคิดว่า กูไม่น่าไปปกป้องกันคนห่าแบบนี้เลย ให้ตายซิ

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:09:21
**************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
**************************************************************************************************

บรรยากาศกลับสู่ความสงบอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ที่เริ่มเคลื่อนที่ พาเราไปสู่จุดหมาย ...

“มึงสองคนอะ เคยฟันหญิงมามั่งป่ะ” อยู่ๆไอ้เต้ยก็พ่นคำถามไร้สาระออกมาให้ผมกับไอ้ปิงตอบ
ระหว่างที่เราสามคนกำลังนั่งรถไฟผ่านสถานีหัวหิน

“เหอะ มึงคิดไงถามแบบนี้วะ”

“ไม่มีอะไรจะคุยแล้วเหรอไง - - ” ผมกำลังจะแขวะมัน แต่ไอ้ปิงมันดันสะกิดผมไว้ก่อน

“กูยังไม่เคย” ไอ้ปิงบอก ส่วนผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“โห พวกมึงอะ อ่อนหว่ะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน เหมือนจะโชว์พาวฯ “ม.ปลาย แล้วนะพวกมึงอะ
ยังจะเก็บความบริสุทธิ์กันไว้อีกเหรอวะ” ได้ทีมันรีบข่มใหญ่

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงลองมาแล้วอะดิ” ไอ้ปิงถามแบบอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

ไอ้เต้ยทำหน้าตากวนตีนแทนคำตอบ พลางยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ครั้งแรกอะ หยั่งงี้เลยมึงเอ้ย .... ”

“มันยังไงวะ ไอ้หยั่งงี้ของมึงเนี่ย ”

“ไอ้เชี่ยปิง จะให้กูพูดได้ไง มึงต้องลองเองเว้ย มันถึงจะเข้าใจ”

“กูได้ยินมาว่า ครั้งแรกของผู้ชาย มันก็เจ็บเหมือนกัน แล้วมันจริงป่าววะ” ไอ้ปิงยังคงใคร่รู้ต่อ

“เฮ้ย จ่ง เจ็บห่าไร ไม่เห็นมันเจ็บไรเลย” ไอ้เต้ยตอบแบบอวดรู้ “กูอะ เสียวอย่างเดียวโว้ย”

“อ้าว เหรอวะ”

“เออ แต่กูเคยลองเสียวอีกแบบนะเว้ย มันส์กว่าอีกว่ะ” ไอ้เต้ยพูดพลางลูบมือไปมา จ้องหน้า
ไอ้ปิง

“อะไรวะที่มึงว่าเสียวกว่าเอาเมียมึงเนี่ย”

“ปิง มึงจะเอาคำพูดเพ้อเจ้อไปใส่หัวมึงทำไมวะ กูว่ามันตอแหลชัวว์” ผมด่ามัน

“อะไรนะ !! มึงว่ากูตอแหลเหรอเนี่ย” ไอ้เต้ยทำท่าจะเอาเรื่องผม

“มึงอิจฉากูใช่ม้า ... มึงไม่เคยเรื่องแบบนี้ เลยชอบจับผิดกูเนี่ย”

“กูไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องของมึงเลยนะ” คราวนี้ผมลุกไปยืนประจันหน้ากับมันบ้าง
(เอาซิมึง กูก็สู้คนนะ)

“เฮ้ย พวกมึงสองคนอะ จะทะเลาะกันทำซากไรวะ เพื่อนกันทั้งนั้น” ไอ้ปิงเป็นกรรมการ
แยกเราสองคนให้ออกห่างกัน

“ถ้ามึงขืนต่อยกันตรงนี้นะ เด๋วแม่มึงก็ได้มาเฉ่งเอาหรอก เรื่องเมื่อกี้ยังไม่ทันไรเลยมึง...ไอ้เต้ย”
ว่าแล้วมันก็หันไปว่าอริผม ผมก็ยิ้มเย้ยไอ้เต้ยซะเลย

“มึงด้วยโอ้ต ” มันหันมาด่าผมอีกคน

“นี่มึงจะว่ากูด้วยเหรอ” ผมถาม

“มึงอะ ชอบไปยั่ว กวนประสาทมัน กูขอเหอะ เลิกซะทีได้ป่ะ” มันว่าแกมขอร้องผม

“เฮ้ย พวกมึงเสียงดังกันจัง เตรียมเก็บของกันได้แล้วโว้ย จะถึงสถานีหน้าแล้ว” ไอ้ท็อปที่อยู่อีก
ตู้นึง วิ่งมาบอกพวกเรา และในเมื่อรถไฟหยุดสนิทที่สถานี ผมก็รีบกุลีกุจอก้มลงหยิบกระเป๋าลง
จากรถ ไอ้เต้ยคงเห็นผมงุ่มง่ามอยู่ จึงได้เข้ามาชนข้างหลังผม

“ไอ้นี่ หาเรื่องกูอีกแล้วนะ” ผมสบถออกไป พร้อมกับพยายามทรงตัวยืนขึ้น

“เฮ้ย พวกมึงอะ รีบๆเดินลงดิวะ อย่าขวางทางอยู่” ไอ้พวกที่ยังไม่ได้ลงรถไฟบ่นใส่ผมสองคน
ที่ทำท่าจะออกศึกกันอีกแล้ว

“เออ ลงแล้ว” ผมก็ต่อแถวพวกเดินลงมา ไอ้เต้ยก็เข้ามาต่อข้างหลังผม ไม่มาต่อเปล่า ดันเบียด
เข้ามาอีก

“มึงจะดันมาทำไมวะ” ผมเริ่มไม่พอใจมัน เพราะมันไม่ยอมเลิกซะที และมันก็ยังดันๆเข้ามาจน
ผมไปติดกับไอ้คนข้างหน้า

“มึง - - จะ - - ดัน - - มา - - ทำ - - ห่า - - อะ - - เฮ้ยยย”

มันดันมาจนผมก้าวพลาดตกจากบันไดรถไฟมากองอยู่กับพื้นสถานี

“อุ๊กก ... ” เสียงผมร้อง และ

“แอ๊กกกก ... ” แล้วก็ต้องร้องอีกครั้ง เมื่อร่างไอ้เต้ยหล่นลงมาทับผม

“ไอ้รัญ ตัวมึงโคตรนิ่มเลยหว่ะ กูหล่นลงมาเลยไม่เจ็บอะ ”ไอ้เชี่ย มันพูดจีบปากจีบคอเฉยเลย
ทั้งๆที่ตัวมันทับผมอยู่ มันแกล้งผมอีกแล้ว ไอ้สัด

ผมพยายามจะลุกขึ้น เพราะความอายเริ่มถาโถมเข้ามาในจิตใจแล้ว แต่ด้วยแรงกดทับของไอ้เต้ย
ทำให้ยกตัวขึ้นได้นิดเดียว และไม่ทันคาดคิด !! ในขณะที่มันยังไม่ได้ลุกจากที่ทับผมอยู่
แว่บเดียวก็ขยับปากมันมาขบที่ต้นคอจนผมสะดุ้ง แล้วมันก็ฝากคำพูดเอาไว้

“ชอบยั่วกูดีนัก อย่าให้กูจับได้นะมึง ไม่รอดแน่ !! ” แล้วมันก็ลุกออกจากตัวผม

“อ้าว มึงลงไปกองทำไมอยู่ตรงนั้นอะ” ไอ้ปิงเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งมือให้ผมจับ
พยุงตัวขึ้นมา ผมลูบที่คอเบาๆ ไอ้เต้ยหลังจากที่ลุกขึ้นแล้วก็เดินไปสมทบกับที่ห้องของมัน

“ทะเลาะกันอีกเด๊ะเนี่ย” ไอ้ปิงว่า

“ทะเลาะกันเหมือนผัวเมียกันเลยนะมึงสองคนเนี่ย”

“มึงเก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า ... ไอ้ปิง มึงเข้าข้างแต่เพือนมึง ไม่เคยเข้าข้างกูเลย ”
ผมด่า มันพลางกับทำท่าไม่พอใจอย่างแรง เดินไปขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางต่อ

* * * * * * * * * * * *

มีเพลงเปิดประกอบฮะ สนใจก็ก๊อป url นี้ปายเปิดอีกหน้าต่างโลด โหลดนานนินึงนะคับประมาณ
600 กว่า k www.swn.ac.th/be.swf


กว่าจะถึงแคมป์ ชาวคณะยังต้องเดินเลาะเขาไปอีกนึงลูก ก่อนจะถึงบริเวณที่พัก (ไอ้ปิงปลอบว่า
ให้นึกว่า นี่กำลังซ้อมย่อย ตอนไปเข้าค่ายร.ด.) ตอนเราไปเป็นช่วงกลางเดือนธันวาพอดี
ประกอบกับแดดที่ไม่ร้อนมาก ทำให้การเดินทางเป็นไปได้โดยไม่มีใครเป็นลม (จะมีก็แต่อาจารย์
เน่าๆ บางคนที่บ่นตลอดการเดินทางและสาบานว่า ครั้งหน้าหรือครั้งไหนก็จะไม่มาอีกแล้ว
ทำให้เด็กๆยินดีปรีดาอย่างยิ่ง) 

“เฮ้ย ทะเลสวยจังหว่ะ ดูเด๊ะ ” ปิงชี้ไปที่อาณาเขตที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สีเทาของท้องฟ้าใน
ฤดูหนาว ตัดกับสีน้ำทะเล พร้อมกับเกลียวคลื่นกำลังม้วนเข้ามาหาฝั่ง

“กูเห็นแล้ว” ผมตอบกลับ พลางสูดอากาศเข้าเต็มปอด ในเมืองไม่มีทางที่จะได้รับความรู้สึก
แบบนี้แน่นอน

“ข้างหน้ามีทะเล ข้างหลังมีภูเขา สุดยอดเลยอะ” ถ้าใครเคยไปหาดประจวบ มีอยู่สถานที่นึง
ที่เป็นแบบนี้ ถูกกกก ผมหมายถึงถ้ำพญานครนั่นเอง

“มึงพูดเหมือนกับว่า มึงไม่เคยมาทะเลงั้นแหละ ปิง” ผมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นทราย

“มึงก็เว่อร์ไป กูแค่ชอบทะเลเป็นพิเศษก็เท่านั่นแหละ” ว่าแล้ว มันก็วิ่งไป หัวเราะไปที่ริม
ชายหาด แล้วก็ก้มลงไปเก็บอะไรซักอย่างขึ้นมาดู แล้วก็เอามาแนบหู พร้อมกุลีกุจอเข้ามาหาผม

“อะนี่” มันยืนเปลือกหอยอันใหญ่ให้ผม

“หอย ?? ” ผมกำลังสงสัยว่ามันเอามาให้ทำไม

“มึงลองเอาแนบหูดิวะ - - ไม่ใช่แนบแบบนั้น มานี่ กูถือให้” ว่าแล้วมันก็เอา (เปลือก)
หอยมาแนบที่หูผม

“คราวนี้มึงก็ลองหลับตาดู”

“หลับตาแล้วจะดูได้ไง ไอ้บ้า”

“เด๋วกูต่อยสลบ เออ มึงหลับตาเร็วเด๊ะ” อะ ผมก็ลองหลับตา

“มึงได้ยินเสียงอะไรม่ะ ... ” มันถามผม

“ กำลังฟังอยู่” ผมบอกมัน พลางจับมือมันให้แนบ(เปลือก)หอยให้ชิด จนมืออุ่นๆ ของ
มันมาจับแก้มผม

“เสียงอะไรกูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันหว่ะ แต่กูรู้สึก .... อืมม” ผมพยายามอธิบายเสียง
ที่ได้ยิน

ผมยืนหลับตาซักพักโดยมีไอ้ปิงซึ่งกำลังถือเปลือกหอยแนบหูผมอยู่ข้างๆ …เวลาในขณะนั้นเหมือน
กับหยุดลงชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่ง เสียงลมหายใจของผม และเสียงลมหายใจ
ของไอ้ปิง อะไรบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ในส่วนลึกของผมกำลังกระซิบบอกบางสิ่ง ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา
เมื่อปิงชักมือกลับ แล้วบอกกับผม

“แม่กูบอกว่า มันเป็นเสียงของทะเล มึงฟังซิ เหมือนมึงได้ยินเสียงคลื่นป่าว ”

มันยิ้มเมื่อผมทำหน้างงกับคำว่า เสียงของทะเล

“มึงไม่ต้องทำหน้างั้นหรอก กูก็บอกไม่ถูกว่า มันแปลว่าอะไรอะนะ แต่ถ้าลองเอาเปลือกหอยมา
ฟังแบบนี้.. ”แล้วมันก็ทำท่าฟัง แล้วหลับตา

“กูก็จะได้ยินเสียงของทะเล” มันยิ้มแบบเขินๆ เมื่อผมจ้องมัน

“โห โรแมนติก”

“กูก็เป็นของกูแบบนี้มานานแล้ว มึงไม่รู้เหรอไง” มันบอกผมเหมือนกับว่ามันกำลัง - -

“แล้วก็ขี้น้อยใจด้วยนะมึงอะ ทำไมกูจะไม่รู้” ผมยิ้มแซวมัน

“คา-รวย มึงอะ ก็รู้แต่ข้อเสียของกูทั้งนั้นแหละ ไอ้โอ้ต”

“ก็มึงน่าจะดีใจนะ ที่กูรู้ข้อเสียของมึงแล้วคบกะมึง ไม่ใช่เพราะว่าเห็นแต่ข้อดีจึงคบมึงอะ ”

ผมบอกพลางคว้าสัมภาระ วิ่งไปที่แคมป์ หลังจากได้ยินเสียงอาจารย์เรียกรวมพล เพื่อทำกิจกรรมกัน
ในคืนนี้

กิจกรรมภายในแคมป์คืนแรก หลังจากที่แบ่งที่พักให้พวกผู้ชาย นอนในเต้น และผู้หญิงได้นอนใน
บ้านพักแล้ว (ลำเอียงโคดๆ) ก็ตามมาด้วยการกินข้าวเย็น และมาลงท้ายที่กลางสนาม พร้อมกับ
อากาศที่พอเริ่มดึก ก็ยิ่งหนาว

“โอ้ต มีเรื่องคุยด้วยหน่อย” ปิงวิ่งมากระซิบกับผม (ผมกะมันไม่ได้อยู่กลุ่มซึ่งแบ่งเป็นประเทศๆ
เดียวกัน)

“นี่ มึงพูดภาษาอังกฤษซิ เดี๋ยวอาจารย์เค้ามาหักคะแนนกลุ่มกูหรอก” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ภาษาไทยนี่แหละมึง” ไอ้ปิงพูดไปหอบไป

“มึงจะทำอะไรก็ทำไปเลยละกัน ตอนนี้กูกำลังยุ่งกับกลุ่มกูไม่เห็นเหรอไง” ว่าพลางชี้ไปในกลุ่มซึ่ง
มีคนอยู่ประมาณ 9-10 คน กำลังขะมักเขม้นเตรียมคนขึ้นไปประกวดบนเวที

“เออ ตามใจมึงแล้วกัน อย่ามาว่ากูทีหลังละกันมึง” แล้วมันก็วิ่งกลับกลุ่มตัวเอง

กิจกรรมในคืนนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากการประกวดมิสเตอร์หรือว่ามิสซิสประจำ
ประเทศนั้นแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็นความสามารถแปลกๆของเพื่อนร่วมก๊วนอีกหลายคน เกมส์การ
แทนตัวเองโดยให้ผู้ชายมีค่าเท่ากับ 1 บาท และหญิงเท่ากับ 50 สตางค์ ถึงแม้จะเป็นเกมส์รุ่นป้า
ซึ่งมีทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ทำให้กิจกรรมในคืนนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“ไง มีแต่หญิงรุมแย่งตัวนะมึง” ปิงวิ่งมาหาผมในช่วงที่ปล่อยให้นักเรียนเข้านอน “ได้ข่าวว่าเมย์
ไม่ปล่อยมึงเลยนี่หว่า” มันกระเซ้าผม

“เออ แค่เกมส์มึงอย่าคิดมาก ยังไงกูก็จะบอกเลิกกับเค้าอยู่แล้วแหละ” ผมบอกด้วยเสียงไม่ค่อย
แน่ใจ

“แน่ใจเหรอ ว่ามึงจะกล้าบอกจริงๆ” ไอ้ปิงมองตาผมเหมือนจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่

“แน่ดิวะ”

“มึงก็เล่นตัวจังเลยนะ มีคนมาชอบก็รับๆเค้าไปเหอะ เด๋วก็จะแห้วเหมือนกูนี่หรอก - -
อีกอย่างตอนนี้มึงก็ยังไม่มีคนที่ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ปิงถามผม

“……. ” ผมอึ้งไปซักพักนึง ก่อนจะตอบไปเล่นๆ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูยังไม่มีคนที่ชอบฮ่ะ”

ไม่รู้ทำไมพอผมพูดประโยคนั้นออกไป ไอ้ปิงทำเหมือนท่าทางจะน้อยใจผมอีกแล้ว

“ทำไมมึงทำท่าจะงอนกูอีกแล้วละนั่นอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ “อ๋อ มึงงอนที่กู
ไปชอบใครแล้ว ไม่บอกมึงใช่ป่ะ โหเรื่องแค่นี้เองอะ” ผมยังสนุกที่ได้อำมันต่อว่ามีคนที่
ชอบอยู่แล้ว

“ป่าวทำไมกูต้องงอนมึงด้วยอะ มึงจะไปมีใครที่ไหนคนใหม่ก็เรื่องของมึงดิ กูเกี่ยวไรกะมึงอะ”
น่านมาเป็นชุดเลยครับมันพูดมาเป็นชุดเลย

“เฮ้ย กูไม่ได้หมา - -” ผมกำลังจะพูดว่าไม่ได้หมายความว่างั้น มึงเข้าใจผิด มันก็ได้
หลบผมกลับไปที่เต้นท์นอนซะแล้ว และก่อนที่มันจะเข้าใจผิดไปใหญ่ ผมก็ตัดสินใจรีบ
สารภาพว่าผมอำมันจะดีกว่า

“เฮ้ย มึงเข้ามาในเต้นท์กูได้ไงอะ ” ผมตกใจที่อยู่ๆก็เห็นไอ้เต้ยมานั่งหน้าใสอยู่ในเต้นท์
ผมกะไอ้เต้ย (ซึ่งมันนอนคุมโปงไม่รับรู้อะไรไปแล้ว)

“อ้าว ปิงมันไม่ได้บอกเหรอไง ว่าเต้ยจะนอนที่นี่อะ” มันพูดพลางหาวหวอด คำพูดแทน
ตัวเองว่าเต้ยพอมันพูดออกมาแล้วเสนียดจะขึ้นหูผมพิลึก มันลืมกินยาเขย่าขวดป่าววะเนี่ย

“กูไม่ให้มึงนอนในนี้นะ” ผมรีบไปกระชากผ้าห่มหลังจากที่มันเตรียมลงนอน

“ทำไมใจร้ายกะเค้าจังอะ ตะเอง” เวรกรรม ผมได้ยินคำแสลงรูหูนั่นอีกแล้ว

“มึงอย่ามากวนตีนกูนะไอ้เต้ย กูบอกว่าให้มึงไปนอนที่อื่น” ผมยืนกรานคำเดิม แล้ว
เสียงไอ้ปิงก็ดังขึ้น…

“มึงนอนที่นี่แหละเต้ย” ผมได้ยินเสียงปิงบอก

“ทำไมมึงทำแบบนี้อะ” ผมชักเคืองเพื่อนรักของผมซะแล้ว

“ก็กูไปบอกมึงแล้ว มึงก็บอกว่าตามใจกูไม่ใช่เหรอไง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม

“มึงนอนที่นี่แหละไอ้เต้ย ใครไม่อยากนอนก็ไปนอนที่อื่นละกัน”

โอ้ยย … เชื่อป่ะ ไอ้ปิงพูดคำนี้ออกมา ความโกรธผมขึ้นไปจุกที่คอ อารมณ์ผมตอนนี้
มันเต็มที่พร้อมที่จะปล่อยออกมาแล้วมันก็ ตูม…….ในหัวกลายเป็นความมึนชาความ
รู้สึกน้อยใจเหมือนกับเด็กที่ไม่มีใครเข้าข้างกลับเกิดขึ้นกับผมโดยไม่รู้ตัว แล้วสิ่งที่ตาม
มาที่เรียกว่า – อาการประชด- ก็เกิดขึ้นกับผม

“เออมึงนอนกันให้มีความสุขละกัน กูไปนอนที่อื่นก็ได้ คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากโว้ย
ไอ้เหี้ยเอ้ย” ผมด่าในสิ่งที่ไม่สมควรจะด่าออกมา แต่อารมณ์ตอนนั้นมันยากที่จะเก็บอยู่
ไม่พูดปล่าวผมรีบเข้าไปคว้าเป้แล้วเดินออกมาทันที เพราะรู้สึกว่าตาผมเริ่มแดงเพราะ
ไอ้น้ำตาบ้าๆมันชักปริ่มขอบตาแล้ว ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอเพราะเรื่อง
ขี้ปะติ๋วพรรณนี้หรอก

ผมเดินออกจากเต้นท์ได้พักนึง มือไอ้ปิงก็โผล่มาล็อกคอผมไว้แล้วพยายามลากกลับไปที่เก่า

“มึงทำเหี้ยอะไรวะ กูไม่อยากนอนเต้นท์เดียวกะมึงเข้าใจมั้ย” ผมกัดฟันพูดพอให้มันได้ยิน
และก็ไม่เข้าใจว่าที่พูดไปมันมาจากใจเหรอเปล่า แต่มันก็ไม่สนใจหรือพูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตา
ลากผมกลับอย่างเดียว

“บอกให้ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมพูดอีกครั้งค่อนข้างดังพร้อมกับพยายามดันตัวให้หลุดจากล็อก
แต่ยิ่งดันมันก็ยิ่งเพิ่มแรงรัดมากขึ้นจนผมชักหายใจไม่ออก แล้วมันก็ตัดสินใจปล่อยผม
เมื่อมาถึงหน้าเต้นท์

“มึงเกลียดกูเหรอ” มันถามผมเบาๆ

“…………”

“มึงเกลียดกู โกรธกูเพราะเรื่องเท่านี้เองเหรอ”

“…………”

“ตอนที่กูจะบอกมึงมึงก็ไม่สนใจกู ให้กูคิดเอง แล้วมาตอนนี้ - -” เสียงมันตอนนี้
กลายเป็นเสียงสะอื้นชัดเจน

“มึงยังจะมาโกรธกูอีกเหรอไง มะ มันจะมากไปแล้วนะมึง แล้วมึงยังจะมาประชดกูแบบ
นี้อีก กูก็มีความรู้สึกนะไอ้โอ้ต”

ก้อนสะอึกกลับขึ้นมาที่คอผมอีกครั้ง ใช่ผมกำลังใส่อารมณ์กับเพื่อนของผม กำลังทำในสิ่งที่
ไร้สาระ ประชดบ้าๆบอๆ แล้วตอนนี้ยังจะทำให้เพื่อนรักของผมเสียใจในการกระทำของผมอีก

“กะ กู” ผมเอ่ยคำด้วยความลำบากยากเย็นคำว่า ทิฐิ ยังคงค้ำคอผมอยู่ แต่แล้ว...

“กูขอโทษปิง” พร้อมกับเข้าไปกอดมันไว้ (แบบมิตรภาพ) มันก็กอดผมกลับ
(แบบมิตรภาพ) กูขอโทษนะที่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้อะ”

ปิงผละจากผมแล้วพูดขึ้นมา

“กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูถึงออกมาง้อมึงนี่ไง”

“นี่มึงมา ง้อ กูงั้นเหรอไง กูไม่ใช่ - -”

“เพื่อนกันก็ง้อกันได้มึง อย่าคิดมากเด๊ะ” ไอ้ปิงรีบพูดแก้ตัว ตอนนี้ความหวั่นไหวชัก
เกิดขึ้นในใจผมยังไงบอกไม่ถูก แค่ความห่วงใยความรู้สึกเพื่อนรักของผมคนนี้ มันดู
มากมายจนพิเศษไปกว่าคนอื่นจนรู้สึกได้

“สรุปว่ามึงนอนได้ใช่ป่ะ”

“ก็คงได้” ผมตอบ

ผมก้าวเข้ามาในเต้นท์อีกครั้ง ก็เห็นไอ้เต้ยนั่งหน้าสล่อนอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน

“ปิงมึงนอนริมด้านโน้นนะ กูนอนริมขวาเอง” แน่ะมันเป็นใครมาจัดแจงที่นอนคนอื่นเค้าวะ

“แล้วทำไมกูต้องนอนกลางด้วย” ผมตอบฉุนๆแต่เพราะรับปากกะไอ้ปิงแล้วว่าจะไม่มีเรื่อง ..

ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียวกับความ
หนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:10:04
ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียว
กับความหนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม โชคดีที่แม่เตือนให้เอาผ้าห่มมาด้วย
ถึงแม้ว่าตอนเดินทางจะลำบากซักหน่อย แต่ตอนนอนก็จะอุ่นสบายกว่าชาวบ้านเค้า 

“ปิง จะเอาผ้าห่มป่าว ” ผมกระซิบ

“ไม่เป็นไรอะ มึงห่มไปเหอะ” มันบอกผม “กูมีมาเหมือนกันแต่ผืนเล็กหน่อย” มันว่า
ผมก็ตามใจมัน นอนกันไปได้พักใหญ่ จนเกือบจะเคลิ้มๆอยู่แล้ว เท้าเต้ยมันก็มาชนกับ
เท้าผมโดยที่คิดว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจ

- เท้าเย็นชิบ –

ผมหันไปทางมัน ด้วยความที่สายตาชินกับความมืดแล้ว เห็นมันขดตัวงอหลับอยู่ได้ยินเสียง
กรนเบาๆ พร้อมกับตัวที่สั่นน้อยๆ ผมตัดสินใจเขย่าตัวเรียกให้มันเข้ามาห่มผ้ากับผมก็ได้ มัน
สลึมสลือหัน มา

“อืมมม … ขอบใจ” แล้วก็เขยิบตัวเข้ามาซุกในผ้าห่ม

“เฮ้ย อย่ามากอดแบบนี้”

แต่มันไม่ได้ยินเสียงเพราะได้ยินแค่เสียงงึมงำ ฟังไม่รู้ภาษาของมัน จนทำให้ต้องปล่อยเลยตามเลย
รุ่งเช้าตื่นมาค่อยถีบมันออกจากผ้าห่มก็ยังทัน ผมคิดในใจแล้วก็หลับไปในที่สุด …

* * * * * * * * * * * *


ประโยคที่ว่าหนาวจนจับขั้วหัวใจ ผมเคยได้ยินคำนี้มาหลายหนแล้ว แต่เพิ่งมาประสบเอง
ก็เช้ามืดของอีกวันหนึ่ง ขนาดว่าห่มผ้าแล้วยังหนาวขนาดนี้ หลังคาเต้นท์มีน้ำค้างเกาะอยู่
เต็มไปหมดเหมือนกับพึ่งผ่านฝนตกหนักมา ว่าแต่ว่าปิงมันหายไปไหนนะ 

ผมยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาตี 4 ครึ่ง

ไอ้เต้ยยังนอนหันหน้ามาทางผมอยู่ สงสัยจริงๆว่ามันไม่เปลี่ยนท่านอนเลยเหรอไง คิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อยผมก็พลิกตัวตะแคงข้างให้ เห็นหน้ามันแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย มันเป็นต้นเหตุ
ให้ผมกะปิงทะเลาะกันแท้ๆ ทำไมมันต้องมายุ่งย่ามกับผมด้วยนะ ไม่เข้าใจ …

“ฮือออ อืมม” เสียงครางเบาๆของมันยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดซ้ำซ้อน พร้อมกับเสียงขยับของคน
ที่อยู่ด้านหลัง

“อะ..!! ” ตัวผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าไอ้เต้ยมันขยับตัวเข้ามาแนบชิดด้านหลังจนสัมผัส
ได้ถึงเสียงลมหายใจที่กำลังรดต้นคอ

ผมกำลังตัดสินใจว่าจะทำเงียบต่อไปหรือว่าจะหันไปผลักมันให้ออกไปดี เพราะคิดว่ามันคง
ละเมอหันมา แต่ไม่ใช่หยั่งงั้นนะซิ เมื่อรู้สึกว่ามันเอามือมาเขย่าไหล่ผมเบาๆ

“จะทำไรของมันฟะ” ผมคิดในใจ เมื่อเห็นว่าผมไม่ขยับเขยื้อน มือมันก็เริ่มแทรกเข้ามาทางแขน
ผมทั้งสองข้าง จนตอนนี้มันเหมือนกะว่ามันกอดผมเข้าไปเต็มๆ

ประสาทของผมตอนนี้เริ่มมึนชานิดหน่อย รู้สึกร่างกายชักร้อนผะผ่าวขึ้น ผมไม่เข้าใจตัวเอง
ว่าทำไมยังปล่อยให้ศัตรูอย่างมันนอนกอดอยู่ได้

“อือออ” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ พร้อมกับขยับตัวเข้ามาแนบด้านหลังจนชิดตัวผม
แขนมันชักกอดผมแน่นขึ้น แน่นขึ้น และมะ…มัน มัน (เสียงสั่นเพราะตื่นเติ้น) มันกำลัง
เลิ้กเสื้อผมขึ้นมา พร้อมกับบรรจงลูบหน้าท้องผมเบาๆ แล้วค่อยๆไล้ขึ้นมาเรื่อยจนมันเกือบ
จะถึงหน้าอกอยู่แล้ว

“จะ จะ จะ จะ จะ ทำอะไรเนี่ย” ผมเหมือนจะพูดออกไปแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรอกนะ
ว่าไอ้ที่กำลังโดนทำเนี่ยมันคืออะไร แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันเหมือนกะอยากรู้อยากลองมากกว่า

ผมกำลังจะโดนไอ้เต้ยลักหลับ … (เหรอเนี่ย)

ไอ้เต้ยยังคงไม่หยุดลุกล้ำอาณาเขตส่วนตัวของผม และที่แน่ๆตอนนี้อาการอารมณ์กระเจิง
ก็เกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ผมยังคงนอนนิ่ง แต่ที่ควบคุมไม่ได้คือลมหายใจของผมที่มันชัก
เริ่มแรงขึ้น แรงขึ้น พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นตามลำดับการลูบของมัน

“อ่าาา …” เสียงมันมาครางอยู่ข้างหู เมื่อมันขยับตัวแนบกับตัวผมอีกครั้ง จนคราวนี้ผมรู้สึกถึง
อะไรบางอย่างที่แข็งเป็นท่อนมาทิ่มที่ก้นผม

“อ่า โอ้ต ” คราวนี้มันครางพร้อมกับเรียกชื่อผม

“อะ อือ” เสียงครางมันชักรุนแรงกว่าเดิม พร้อมกับเอาไอ้น้องชายมันถูอยู่ข้างหลังผม แรงกอด
มันตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นแรงรัดซะมากกว่า จนชักอึดอัด.. มันยังคงบดเบียดไอ้นั่นของมันแบบ
ค่อยเป็นค่อยไป ผมละจะทำไงได้นอกจากนอนนิ่งรับชะตากรรมอย่างเดียว

–ขึ้นหลังเสือแล้วลงมาไม่ได้-

ผมคิด จนในที่สุด …

“อือออ โอ้ต กูโคดเสียวเลยอะ กูรู้ว่า มึงตื่นแล้วใช่ป่ะ” เสียงไอ้เต้ยพูดประมาณว่ามันจับได้
เอาละซิคับ คราวนี้ผมทั้งอึ้งทั้งอาย ผมเริ่มดิ้นไม่ยอมมันแล้ว

“มึงดิ้นทำไมอะ” ไอ้เต้ยพูดพลางกอดฟัดผมไปพลาง

“ปะ ปล่อยกูนะเต้ย” ผมร้องไปดิ้นไป

“เมื่อกี้มึงยังนอนให้กูสำรวจเลย แล้วนะ นี่ - - เฮ้ย มึงอย่าดิ้นดิ”

มันไม่ยอมปล่อย

“กูไม่ใช่ .. ไม่เอาแล้ว บอกให้ปล่อยไง”

แซก .. แซก ..

“เฮ้ย ไอ้เชี่ยมีคนมา” ผมบอกมันเมื่อได้ยินเสียงเดิน ได้ผลไอ้เต้ยรีบปล่อยผมทันที
พอดีกับที่ไอ้ปิงโผล่หน้าเข้ามาในเต้นท์นอน

“อ้าว มึงตื่นกันแล้วเหรอ” มันว่า

“มึงไปไหนมา” ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ทำหน้าให้ปกติที่สุด

“ไปดูของดีมาอะ” มันตอบ เอ๊ะ มึงนี่อย่ามาตอบสองแง่สองง่าม

“กูไปดูด้วย” ว่าแล้วก่อนที่ไอ้เต้ยมันจะพูดอะไรผมก็รีบดันให้ไอ้ปิงพาผมไปดูของดี
ของมันข้างนอก

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ย ปิง ของดีที่มึงว่านี่อะไรวะ” ผมถามหลังจากที่เดินมาจนเกือบถึงชายทะเลอยู่แล้ว
ที่สำคัญมันมืดมากๆเลย

“เออ ตามมาเหอะน่า - - ระวังสะดุด เดินระวังหน่อยดิวะ โอ้ต” ปิงเตือนผม

“กูมองไม่ค่อยเห็นนี่หว่า ใครจะตาดีเหมือนมึงล่ะ” ผมว่า พร้อมกับเดินช้าลง

“เดินช้าแบบนี้เด๋วก็หายไปหมด” ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนมาจูงมือผม ลากให้เดินเร็วขึ้น

“ชะ ช้าๆก็ได้ กูยังไม่หายตื่นเต้นเลย” ผมลืมตัวโพล่งออกไป

“ตื่นเต้นไร” ไอ้ปิงหันมาถามผม มือมันยังกำมือผมแน่น

“ป่าว ไม่มีไร กูแค่เหนื่อย”

ปิงพาผมเดินเข้ามาใกล้ชายทะเลเดินมาถึงโขดหินก้อนนึง

“มึงก้มไปดูตรงแอ่งตรงนั้นเด๊ะ”

ผมมองไปตรงที่มันว่า พลันก็เห็นแสงสีน้ำเงินเป็นประกาย อยู่ตรงพื้นทรายที่มีน้ำทะเลขังอยู่

“เฮ้ย อะไรวะ ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือไปสัมผัส แต่เมื่อโดนพวกมันก็แตกกระจาย
กันไป

“ไม่รู้เหมือนกัน” ไอ้ปิงว่า พลางกอบทรายให้พอมีพื้นที่ให้ไอ้กลุ่มแสงประหลาดถูกยกขึ้นมา
ส่องใกล้ๆได้

“เออ แปลกอะ มีแสงด้วย” ผมเพ่งมองด้วยความฉงน

“แล้วมึงคิดว่ามันคือไรวะ มึงอย่าบอกนะว่ามีใครมาปล่อยอสุจิเรืองแสงแถวนี้อะ”

“มึงนี่ชักบ้ากามขึ้นทุกวันนะไอ้โอ้ต คิดได้ไงวะ กูว่ากูปล่อยให้มึงอยู่กับไอ้เต้ยมาก
ไปป่าว” มันทำหน้าหยะแหยง

“กูพูดเล่น”

“โอ้ยยยยย โคดเมื่อยเลยหว่ะ” ผมพูดพลางเอนตัวลงนอนกับโขดหิน สายตาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่มืดมิด

“ปิง ปิง มึงมองบนฟ้าซิ” ผมเรียกมันซึ่งกะลังพะวนอยู่กับสัตว์เรื่องแสงอะไรของมัน

“โห ..... ” มันอุทาน

สิ่งที่ผมเห็นคือความคุ้มค่าที่ได้ตื่นขึ้นมายามฟ้าไม่สางแบบนี้ หมู่ดาวกระจัดกระจายอยู่
เต็มท้องฟ้า ทั้งน้อยใหญ่ กลุ่มดาวส่องสว่างในคืนเดือนมืดช่างสวยงามอย่างบอกไม่ถูกเลย

“เขยิบไปหน่อย ให้กูนั่งมั่ง” ว่าแล้วมันก็ปีนขึ้นมานั่งบนหัวผมซึ่งนอนดูดาวอยู่อย่างประทับใจ
อากาศตอนเช้ามันก็ยังหนาวอยู่ เพียงแต่ผมลืมไปชั่วขณะ เมื่อลมทะเลพัดเข้ามาอีกระลอก
ผมก็ชักสั่น

“หนาวเหรอ” ปิงถามผมในขณะที่สายตามันก็นั่งมองขึ้นไปข้างบนฟ้า แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามันเอามือ
มากุมมือผมไว้อีกครั้ง ผมทำท่าชักกลับ แต่มันก็ไม่ยอม ก็เลยปล่อยไป... มันเป็นครั้งที่อบอุ่นกว่าครั้งไหน
ลองคิดดูซิคับ

อากาศหนาว ริมทะเล ดาวเต็มท้องฟ้า มืออุ่นๆกำลัง 2 เมื่อโมเลกุลความโรแมนติก
ครบสมบูรณ์แบบนี้ มีเหรอที่จะไม่ทำให้เคลิ้ม แต่แล้ว...

“โอ้ต กูมีอะไรจะบอก” อยู่ๆ ปิงมันก็พูดขึ้นมา

ตึก ตึก ตึก .... ผมเงียบรอฟัง แต่หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหว่ะ

ไอ้ปิงชี้ไปที่ดาวกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง พลางว่า

“มึงรู้ป่ะ ว่าดาวนั่นมันชื่อว่าไร”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะถ้าพูดออกไปคงเสียงสั่นแน่เลย (ตอนนั้นเรื่องความรักยังเบบี้)

“อืม ... ” มันเงียบ เหมือนกำลังใช้ความพยายามจะพูดออกมา แต่มันไม่ออกซะที

”แล้วมันชื่อว่าไรล่ะ” ผมถามเมื่อมันไม่ยอมพูดไรซะที

“เออ ... กูก็ไม่รู้เหมือนกันหว่ะ ไม่งั้นจะถามมึงเหรอ” -_- ! มันตอบ

โพล๊ะ ....

“แล้วมึงจาถามทำแป๊ะอะไรวะ” ผมชักเคือง เมื่อมันไม่ได้พูดเรื่องที่ผมคิดเอาไว้ แต่ดันเล่นมุขควาย
ออกมาแทน

“เออ แต่กูว่านะ ไอ้ดาวกลุ่มเนี้ย มันไม่ค่อยเห็นกันหรอกนะเว้ย” มันเห็นผมฉุนก็เลยกลับเข้าเรื่องใหม่
ด้วยท่าทีขึงขัง

” อะไร ทำไมอีกละ” ผมดีใจที่มันจะเข้าเรื่องอีกที

“อืม ... เออ - - เพราะว่าที่เห็นได้เนี่ย มึงนอนทำมุมอาซิมุสพอดีอะดิ เลยเห็นพอดีเลยอะ ” O_o

โห คราวนี้มันมาแนววิทยาศาสตร์นะ ไอ้หอก !!

“ เออ ทีหลังมึงอยากเห็นอีก คราวหน้ามึงอย่าลืมเอาแผนที่ดาว มาหามุมอาซิมุสเชี่ยของมึงด้วยนะ
ไอ้บ้า - - กูว่ากูกลับดีกว่า ปวดหัวหว่ะ” ผมนี่งี่เง่าจริงๆ คิดว่ามันจะพูดอะไรออกมาซะที ไร้สาระ

“เด๋วเด๊ะ ดูเป็นเพื่อนอีกแป็บนะ หาดูไม่ได้ง่ายๆนะ ... ”

เรานั่งๆนอนๆดูดาวซักพัก จนพระอาทิตย์ของวันใหม่เริ่มเห็นขอบลางๆ จึงตัดสินใจเดิน
กลับบริเวณที่พัก ตอนนี้นักเรียนเริ่มทยอยกันออกมาล้างหน้าแปรงฟันกันแล้ว

“อะ” ผมพึ่งรู้สึกตัวว่า มือผมยังจับมือไอ้ปิงอยู่ จึงรีบชักกลับ หางตาผมเห็นมันยิ้มที่มุมปาก

“แหม แค่จับมือแค่นี่ ทำเป็นเล่นตัว ” มันแซวผม

“อ้าว มึงไม่กลัวเค้าหาว่าเป็นคู่เกย์กันเหรอไง” ผมอธิบาย

ไอ้ปิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับเข้าเต้นท์ไปเอาอุปกรณ์ล้างหน้า

“อ้าว ทำไมไม่เข้าไปเอาแปรงอะ จะหมักเชื้อโรคเหรอไง ”

“เออ เข้าซิ กำลังจะเข้า ” ผมละล่ำละลักตอบ ค่อยๆแหวกผ้าเข้าไป แล้วก็เจอไอ้เต้ย
ยังนอนห่มผ้าห่มผมอยู่ ปิงเดินไปห้องน้ำไม่คอยผมเลย

ผมค่อยๆหยิบของอย่างเงียบที่สุดไม่อยากให้ไอ้เต้ยมันตื่น แต่เหมือนกับว่ามันคอยผมอยู่งั้นล่ะ

“เฮ้ย มึงอะ ปล่อยให้กูอารมณ์ค้างแบบนี้ได้ไงวะ” มันบอกผมแบบไม่ค่อยพอใจ

“แม่ง ถ้ามึงเงี่ยนนักก็ไปชักว่าวเองซิวะ มือมึงก็มี” ผมบอกแบบอารมณ์เสีย

“กูอยากให้ช่วยกูหนิ” มันพูดเสียงอ้อน

ผมรีบส่ายหัว ปฏิเสธพัลวัน “มึงจะบ้าเหรอไอ้เต้ย มึงเห็นกูเป็นไรวะ”

“กูก็เห็นมึงเป็นคนน่ารักอะดิ ”

โหย มันพูดแค่นั้น ผมรู้สึกหน้าร้อนว่าบบบ มันชมผมทำไมต้องเขินด้วยเนี่ย
อารามตกใจผมเลยถามมันไป

“มะ มึงเป็นเกย์เหรอวะ ”

“ปกติกูชอบผู้หญิงหว่ะ แต่ก็มีบางที กูก็ เอ่อ ... มีอะไรกะผู้ชายก็ได้ ” มันพูดพลางส่งสายตาหื่นกาม
มาทางผม

“เฮ้ย มึงอย่ามาบ้านะ กูไม่เล่นด้วยหรอก” ผมว่าพลางลนลานรีบพุ่งออกมาจากเต้นท์ทันที

* * * * * * * * * * * *


“มึงเป็นไร โอ้ต”

“เฮือก ...!? ” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือใครมากระชากหัวผมขึ้นมาในขณะล้างหน้าอยู่

“เป็นอะไรไป” ปิงมันดึงขึ้นมานั่นเอง สงสัยผมคงจะแช่ล้างหน้านานไปหน่อย
จนมันคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายในห้องอาบน้ำ

“ฮึ .. ป่าว ไม่ได้เป็นไร” ผมสั่นหัวไล่คำพูดที่พึ่งได้ยินมาจากปากเต้ย

“รีบไปเหอะ เค้าออกไปกันหมดแล้ว

“ป่าวแล้วทำไมหน้าซีดอะ” ปิงมันเริ่มสังเกตอาการที่ผิดไปของผม พลางยื่นมือมาจับหัวผม
ไปทาบที่หน้าผากมัน

“เอ ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า” มันพูดจนผมได้กลิ่นลมหายใจหอมที่พึ่งแปรงฟันมาหยกๆ

“เฮ้ย ทำไม ปล่อย” ผมตกใจพยายามดันหัวตัวเองให้หลุดจากมือ

“วิธีวัดไข้แบบได้ผลเว้ย - - อยู่นิ่งๆ ดิ เห็นมั้ยอะ ตัวแม่งร้อนแล้ว ไม่สบายแน่มึง”

มันพยายามกดหน้าผมให้ชิดที่สุด ไม่อยากจะบอกว่าที่มันร้อนอะ เพราะแกอะแหละ...
แล้วมันก็ปล่อยหัวผมไป

“ที่เต้นท์มียาแก้ปวดหัวอะ กินเม็ดนึงนะ” มันบอกผม

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้เป็นอะไร” ผมท้วงมัน เพราะไม่ได้ปวดหัวจริงๆ

“มึงนี่ดื้อจัง ทำตัวงอแงอยู่ได้”

“งอแงอะไรอะ ก็กูไม่ได้ปว.. - -”

“ก็ – บอก – ให้ – กิน – ไง” มันพูดใส่ผมเสียงดัง ทำไมต้องตะคอกด้วยวะแค่นี้เองงะ
ผมทำหน้าบูดใส่มัน แล้วเดินออกจากห้องน้ำมาที่เต้นท์ ก็ปรากฏว่าเต้ยมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

ผมมุดเข้ามาในเต้นท์ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเตือนให้เข้าแถวที่สนามแล้ว ปิงมันก็เข้าตามมาแล้วก็งุดๆ
หยิบยาให้ผมกินเม็ดนึง

“ไม่สบายขึ้นมาจะมาโทษ หาว่ากูชวนออกไปเดินกินน้ำค้างแต่เช้า” มันพูดอ้อมแอ้มยกเหตุผล
ซะโน่นเลย

ผมหยิบมากินแล้วก็รีบวิ่งมาที่กองของตัวเอง พอดีกับครูควบคุมแถวก็กำลังจะประกาศกำหนดการ
ที่เราจะต้องทำกันในวันนี้

“วันนี้ 8 โมงจะปล่อยให้ไปทานข้าวกันนะ .. ”

จากนั้นกลับมารวมกันตรงนี้ตอน 9 โมง เตรียมเข้าฐานแต่ละฐาน ... ต่อจากนั้นอาจารย์ก็
พล่ามแล้วอธิบายเวลาที่ต้องใช้ทำกิจกรรมแต่ละฐาน เรื่อยไปจนกว่าจะเสร็จก็ บ่าย 2 พอดี

“หลังจากเข้าฐานเสร็จ จะปล่อยอิสระให้ซ้อมการแสดงรอบกองไฟคืนนี้ นะ ตอนนี้
ข้าวเช้าพร้อมแล้ว เข้าแถวให้เรียบร้อย ....” อาจารย์พูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยให้
พวกเราไปอิ่มกับมื้อเช้า

“หนาวเนอะโอ้ต” เมย์ซึ่งผมพึ่งจะได้คุยกับเธอก็เช้านี้เอง โชคดีที่เราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
เธอเลยไม่ได้มาวอแวผมเท่าไร

“อืม หนาว” ผมพูดเสียงแข็ง อย่างที่บอกเหตุผลที่มาเข้าค่ายครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะบอกไม่ให้เธอ
มาคิดกับผมเป็นแฟนอีก

“เนี่ย ใส่เสื้อกันหนาวกันทุกคนเลย บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยเนอะ ... ” เธอบอก
พร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ยาวด้านหน้าผม ส่วนเพื่อนเธอ 2 -3 คน นั่งอยู่ถัดออกไปหน่อยนึง

“โห จินตนาการล้ำเลยนะแม่คุณ” ปิงซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆพอดี พูดขึ้น

“ต่างประเทศนี่ เขมร หรือ พม่า อะ” ผมเกือบสำลักกับข้าว

ปิงมันทำหน้ากวนส้นใส่เมย์

“อ๋อ แต่เราว่าอะ อย่างคุณเมย์อะ ลา - - ”

มันยังพูดไม่ทันจบก็ต้องรีบลุกออกไป เพราะเห็นหมัดของเมย์ลอยมาแต่ไกล โหดเหลือหลาย

“ มันก็พูดเล่นไปงั้นแหละ” ผมแก้ต่างให้เพื่อน

“โอ้ตไม่ต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเองเลยนะ” เมย์ทำท่าทางไม่พอใจผม ซึ่งก็พอเข้าใจ

“เราไม่ค่อยชอบปิงเลยนะ จะบอกให้” เธอพูดเสียงเริ่มมีอารมณ์

“ทำไมโอ้ตถึงไปคบกับคนพวกนี้ได้นะ” เมย์ถอนหายใจ

“คนพวกนี้ หมายถึงอะไรเมย์” ผมชักเริ่มไม่พอใจบ้าง

“ก็อย่างไอ้ปิง แล้วยังมีไอ้เต้ยอีกคนนะซิ โอ้ตไปคบกับคนพวกนี้มันจะดีเหรอ”

เธอพูดเหมือนจะสอน

“เมย์รู้จักปิงมันดีจริงๆเหรอไง มันเป็นเพื่อนสนิทของโอ้ตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำ - -”

เมย์รีบพูดขัดขึ้นมา

“ไม่ใช่ว่าที่เค้ามาคบกับโอ้ตเพราะว่า เค้าจะได้มีที่พึ่งเวลาทำงานหรอกเหรอ ”

“ทำไมเมย์ดูถูกเพื่อนเราแบบนี้ล่ะ” ผมขึ้นเสียงใส่

“อย่างน้อยโอ้ตก็คิดเหมือนกันว่า เมย์ ดูถูกไม่ได้ดูผิดไปเท่าไรใช่มั้ยล่ะ”
เมย์เถียงใส่ผมอย่างไม่ลดลาวาศอก

“เมย์” เสียงผมชักเหลืออดกับคำพูดของเธอ จนข้างๆเริ่มสนใจกับบทสนทนาของเรา

“เราจะคบกับใครมันเรื่องอะไรของเมย์ด้วยล่ะ พูดแบบนี้มันดูถูกเรามากเลยนะ
ถ้าเมย์คิดว่าพวกมันไม่ดี เราก็ต้องไม่ดีเหมือนมันนะแหละ ใช่มั้ยล่ะ ”

“เมย์ถึงได้เป็นห่วงโอ้ตนี่ไง” เธอก็เริ่มเอาสีข้างเข้าถู

“ถ้าโอ้ตยังขืนคบกับพวกนี้อยู่คิดว่าจะมีอนาคตเหรอเปล่าละ”

ผมไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า เมย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้ถึงขนาดนี้ การที่คนเราแสดง
อะไรออกมาภายนอกนั้น มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป ผมเชื่อแบบนั้น และตอนนี้
ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเชื่อนั้นมันถูกต้อง

“หยุด – พูด เลิกพูดเหอะ” ผมตะคอกใส่เธอเต็มเสียง

และดูเหมือนว่าเธอจะทนไม่ไหวเหมือนกัน ลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวเสียงดัง

“เมย์ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเห็นเพื่อนแบบนั้นสำคัญกว่าแฟนตัวเองนะ”

ได้ยินคำนี้ ความอดทนที่มีอยู่ของผมก็ทลายลง ผมลุกพลวดขึ้นมาประจันหน้า

“แล้วเราเป็นแฟนเมย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน มีแต่เมย์นั่นแหละ ที่ตามเราตลอดไม่ใช่เหรอไง”
ผมโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจใครแล้วตอนนี้

เงียบชั่วครู่กันทั้งโรงอาหาร อายคับ ผมว่าเธออายมาก ผมเห็นตัวเธอสั่น ความรู้สึกผม
เหมือนกับถูกปลดปล่อยออกมา

เพี้ยยยยะ ........

เธอใช้ฝ่ามือพิฆาตลงบนแก้มผมแบบเน้นๆ เสียงแบบดังกังวานเลยล่ะ

……………………. ........

ตอนนี้ความโกรธผมพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว แถมมากกว่าเดิม ผมยกแขนตัวเองขึ้นเต็มเหนี่ยว
พร้อมจะพุ่งไปที่หน้าเธอเป็นการตอบแทน

“เฮ้ย อย่าโอ้ต” ปิงมันวื่งเข้ามาจับตัวผมไว้ได้ก่อนที่ผมจะตบเธอคืน

“ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมยังพยายามยื้อกับปิงเพื่อจะแก้แค้นให้ได้ ปิงพยายามลากผมออกมา
ให้ห่างจากที่เกิดเหตุ แต่เพื่อนเธอสองสามคนซึ่งเห็นว่าผมกำลังจะทำร้ายเธอกับเดิน
เข้ามาหวังจะตบผมซ้ำ (ทำไมเวลาทีเพื่อนตัวเองทำคนอื่นถึงไม่ยอมห้ามก็ไม่รู้มัน)

ผมยังไม่ทันตั้งตัวที่เพื่อนเมย์สองคนที่เดินเข้ามา ไอ้เต้ยมันโผล่เข้ามาขวางข้างหน้าเอาไว้

“พวกมึงเข้ามาอีกก้าว กูกระทืบจมดิน แน่จริงเข้ามา ”

ได้ผลพวกเจ้าหล่อนถึงกับชะงัก ก็ตัวไอ้เต้ยอย่างกับควาย นักบาสโรงเรียนนี่นะ

“ไอ้เต้ยพอ อาจารย์เดินมาโน่นแล้ว” ปิงตะโกนบอกก่อนที่เต้ยมันจะทำอะไรไปมากกว่านี้
และแล้วเหตุการณ์ก็สิ้นสุดลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว พวกครูต้องเรียกพวกผมและพวกเมย์ไป
คุยกันอยู่นาน จนได้ข้อยุติว่าจะไม่เอาเรื่องกัน ถึงแม้จะดูไม่ค่อยแฟร์ก็เหอะ แต่ก็ถือว่าการ
เลิกของผมกับเธอจบลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ไม่ซิ ผมไม่เคยคิดอะไรกับเค้าตั้งแต่แรก ไม่เรียก
ว่าเลิกกันซิ

“โห แดงเลยหว่ะ” ปิงบอกผมในขณะที่เอาผ้าชุบน้ำประคบให้

“อะ โอ้ย โอ้ย เจ็บ ไอ้ปิง ไอ้แรงควาย แข่งบาสครั้งก่อนก็ทีแล้วนะ บอกให้เบาๆ” ผมโอดครวญ

“จริงด้วยอะ เป็นปื้นเลย ไอ้โอ้ต” คราวนี้เต้ยส่งเสียงสำทับ

“โดนผุ้หญิงตบแบบนี้ถือว่าผ่านได้ใบรับรองเกียรติคุณเลยนะโว้ย” มันว่า

“หยุดๆ อย่ามาชื่นชมแบบนี้ กูขอ” ผมว่า พลางปัดมือไอ้ปิงออก เพราะมันไม่ยอมเอาออก
จากหน้าผมซะที

“อยู่เฉยๆ ดิวะ” ปิงดุผม แล้วค่อยประคบอีกรอบนึง ผมไม่รู้ตาฝาดเหรอเปล่า เมื่อเห็นสายตา
ไอ้เต้ยมันมองผมสองคนแบบแปลกๆไงก็ไม่รู้

“งั้นเด๋วกูกลับเข้ากลุ่มก่อนละกัน พวกมึงก็รีบเข้าละ อย่ามาอ้อยอิ่งอยู่” มันพูดเสียงหงอยๆ
แล้ววิ่งไปที่ฐาน

“มึงเห็นแล้วใช่ป่ะ ว่าไอ้เต้ยมันก็ไม่ได้เป็นคนเลวอะไรอะ” ปิงบอกผม
ซึ่งผมก็คิดยังงั้นแล้วละตอนนี้

“แต่มันมีข้อเสียอยู่อย่างนึง” ผมบอก

“อะไรวะ”

“ข้อเสียของมันก็คือ มันไม่ใช่คนดีไง”

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:10:28
หลังจากที่พวกเราจบภารกิจตะลุยฐานภาคบ่ายเสร็จสิ้น ผมเดินมาเจอกับมันตรงบริเวณชายหาด
ห่างจากโขดหินที่เห็นพลายเรืองแสงเมื่อเช้าไม่มาก พวกเด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลือกจะเดินเล่น
บริเวณชายหาดมากกว่าจะลงเล่นน้ำทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้

“ขอโทษนะ ที่ต้องเป็นต้นเหตุให้ต้องเลิกกับเมย์” ปิงบอกกับผม

“จะขอโทษเรื่องอะไร มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับมึงซะหน่อย” ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทรายขาวสะอาด
แล้วก็เริ่มโกยทรายมาก่อเป็นปราสาท

“ทะเลาะกันเรื่องที่มึงมาคบกูไม่ใช่เหรอไง กูรู้” มันบอกเสียงเบา สายตายังคงจับจ้องไปที่
เส้นสุดขอบฟ้า

ผมมองมันแล้วถอนหายใจ

“แล้วมึงเป็นแบบที่เค้าว่าจริงเหรอเปล่าล่ะ - - ที่เค้าบอกว่ามึงคบกูเพราะอยากให้กูฉุดมึง
เรื่องเรียนน่ะ”

มันหันมาแล้วจ้องผม สายตามันมีแววน้อยใจที่ผมยังถามย้ำเรื่องนี้อยู่

“กูไม่รู้ว่ามึงคิดยังไง ไม่ได้อยากให้มึงเชื่อในคำพูดของกู” มันเว้นช่วงพูด

“แต่การกระทำที่ผ่านมา มันจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง” มันว่าพลางสูดหายใจลึก

“- - ว่ากูรักมึงแค่ไหน...”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของปิง สมองผมเริ่มประมวลผลออกมาว่า รัก ที่มันหมายถึง
คือความรักแบบไหน แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม คำตอบก็ปรากฏออกมา เมื่อมันค่อยโน้มตัว
เอามือมาลูบที่หน้าผม รอยมือจางๆยังคงประทับอยู่ที่แก้ม แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

“ปิง -” ผมกำลังจะกล่าวอะไรออกไป แต่ก็ต้องเงียบเมื่อดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ามาใกล้
สายตาผมมากขึ้น แล้วก็รู้สึกร้อนผ่าว เมื่อเพื่อนรักของผมประทับจูบที่แก้มอย่างนุ่มนวล
ขนของผมลุกซู่เมื่อสัมผัสถึงความสากของลิ้นไอ้ปิงที่อยู่ที่ข้างแก้ม แล้วค่อยๆเลียเรื่อยมา
จนถึงริมฝีปากผม แล้วจู่ๆมันก็ผละออกไปนั่งก้มหน้าก้มตา เหมือนพึ่งทำอะไรผิดมหันต์ลงไป

“ปิง” ผมเรียกชื่อเสียงเบา มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาหวาดวิตก

“โอ้ต กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ - - เอ้ย คือ กูตั้งใจที่จะทำ เฮ้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่” มันโบกมือวุ่นไปหมด
เหมือนกำลังสับสนและหาทางอธิบายไม่ถูก

ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเหมือนเดิม รู้สึกสับสนเหมือนกัน ที่อยู่ๆ เพื่อนรักรู้สึกแบบเดียวกับที่ผม
รู้สึกกับมัน ตั้งตัวไม่ติดงั้นเหรอไง ... ??

ไม่ใช่ ใจจริง ผมรู้สึกเสียใจมากกว่า ผมไม่ได้อยากให้มันมาเป็นแบบผม รู้สึกแบบเดียวกันเลย
ความรู้สึกที่ผมต้องเก็บกดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับไอ้ปิง ผมไม่อยากคิดว่า มันก็ต้องเก็บความ
รู้สึกแบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่า ถ้าบอกให้อีกฝ่ายรู้แล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไง ...

แต่ตอนนี้ มันแสดงชัดเจนแล้ว .... ว่ามันรู้สึกยังไงกับผม แล้วผมล่ะ รู้สึกยังไงกับมันกันแน่

“กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องลำบากใจ” ไอ้ปิงเอ่ยคำขอโทษมาเป็นครั้งที่ 3

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมกูถึงรักมึงแบบนี้ได้” มันก้มหน้างุดบอกผมเสียงสั่น

“กูอยากบอกกับมึงมาตลอด กูอึดอัด อึดอัดที่อยู่ใกล้ อึดอัดที่กูเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น”

เสียงมันสั่นมากขึ้นทุกที ผมเห็นตามันแดงๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากผมเท่าไร

“ไอ้ปิง คือ กู - -” ผมกำลังจะบอกมัน แต่มันก็ผลุนผลันวิ่งหนีผมไปก่อน

“โอ้ต ลืมเรื่องที่กูพูดให้หมด กูขอร้อง ไม่ต้องบอกอะไรกูทั้งนั้น” มันตะโกนบอกผม

“มะ มันพูดง่ายนี่ มึงมาสารภาพรักกะกู แล้วจูบกู แล้วจะให้กูลืมเนี่ยนะ ง่ายตายห่าเลย ”

ผมมองดูรอบตัวแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครเห็นผมกับไอ้ปิงสารภาพรักกันแน่นอนแล้ว
ก็รีบจ้ำกลับทันที แต่ผมก็เห็นไอ้เต้ยวิ่งนำไอ้ปิงกับพวกอีก 2-3 คนลงเล่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง
ปกติปิงมันไม่ได้เป็นคนชอบโหวกเหวกโวยวายเท่าไร แต่ในช่วงที่มันเล่นน้ำเนี่ย ดูท่ามันเอา
เรื่องเหมือนกัน เหมือนกับว่าต้องการทำอะไรบ้าๆกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายเมื่อกี้ก็เป็นได้


* * * * * * * * * * * *


]หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่ละกลุ่มก็เตรียมตัวการแสดงในคืนนี้ สมาธิผมไม่อยู่
กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าปิงมันจะเหมือนกับผมเหรอเปล่า

จนกระทั่งถึงตากลุ่มมันแสดง ดูท่าทางมันจะได้เป็นตัวเอกของเรื่องซะด้วย

“Sinderla And the Miracle worker”

“เอ๋ ซินเดอเรล่า กับ รุกขเทวดา เหรอวะ” คนคิดแม่งครีเอตสุด

การเดินเรื่องก็สไตย์เดิมๆ แต่พอถึงตอนเจ้าชายออกตามหารองเท้าแก้วที่นางซินฯสะดุดตอไม้แล้ว
เกือกดันกระเด็นตกน้ำไปเนี่ยซิ

ไอ้ปิงก็ออกมาในบทของรุกขเทวดาประจำบ่อน้ำ ตอนแรกมันหยิบรองเท้าคัทชูออกมาให้เลือกดู
ว่าใช่ข้างที่ตกลงไปเหรอไม่ ต่อมาก็เป็นรองเท้าบูท รองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าแก้วตามลำดับ

แต่เรื่องจบลงแบบสุดกร่อย เมื่อเจ้าชายดันไปเลือกรองเท้าฟองน้ำให้นางซินฯ ด้วยเหตุผลที่ว่า
ใส่ง่ายดีและตกก็ไม่แตกด้วย

นางซินฯตบหน้าเจ้าชายหนึ่งที แล้วก็โดดลงบ่อน้ำ ไปเป็นเมียของรุกขเทวดาแทน
เป็นอันจบเรื่อง แต่ตอนจบนี่ซิ มีฉากที่เจ้ารุกขเทวดาต้องหอมแก้มนางซินฯทีนึง ซึ่ง
ไอ้คนที่แสดงเป็นนางซินฯเนี่ย เป็นเกือบถึงดาวเด่นของโรงเรียนเลยล่ะ

หอมลงฟอดนึง เสียงกรี๊ดก็ดังทีนึง

“แสดงกันถึงกึ๋นน่าดูเลยซินั่นนะ” ผมพึมพำด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก

พอหอมกันเสร็จ สายตาไอ้ปิงเหลือบมาทางผมทันที เหมือนจะดูว่าผมมองมันอยู่เหรอเปล่า
ดังนั้นผมจึงรีบหลบตาไปในบัดดล

จากนั้นก็เป็นตาของกลุ่มไอ้เต้ย และกลุ่มผมปิดท้าย การแสดงรอบกองไฟในคืนนี้จบลง
ด้วยการเต้นกันสะบัดจนถึงเกือบเที่ยงคืน จึงแยกย้ายกันเต้นท์ใครเต้นท์ คืนนี้ไอ้เต้ยก็ยัง
ไม่วายมานอนเต้นท์ผม

“กูไม่ทำอะไรมึงหรอก วางใจเหอะคืนนี้ ง่วง ปวดหัว” เต้ยบอกผม

“มึงลองมาโดนตัวกูดิ กูถีบกระเด็นแน่” ผมขู่มัน

“พ่อเนื้อทอง โดนนิดโดนหน่อยไม่ได้ แล้วอย่าทำเป็นแกล้งหลับอีกก็แล้วกันนะ” มันแซวผม
พลางวิ่งจู้ดไปแปรงฟันก่อนนอนที่ห้องน้ำ เป็นจังหว่ะที่ปิงมันเปิดเต้นท์เข้ามาพอดี เราสองคน
สบตากันแว่บนึง แล้วก็ต่างคนต่างเงียบ จัดแจงที่นอนตนไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดเหลือเกิน
จนผมต้องพูดอะไรแล้ว

“ปิง” “โอ้ต”

อ้าว ดันเผอิญเรียกพร้อมกันอีกตะหาก (เน่าจิงจิ้งงง)

“มึงพูดก่อน” ผมบอก พลางหันหน้าไปทางอื่น

“อ้าว มึงแหละ จะพูดไรก็พูด” มันย้อนผม แล้วก็หันหน้าไปอีกทาง เป็นว่าตอนนี้เราหันหลัง
ให้กันทำไมก็ไม่รู้

“คะ คือ อืมมม .... ” ผมพยายามอ้าปากพ่นคำพูดออกมา แต่ละคำมันช่างยากเย็นเหลือหลาย

“ระ เรื่องเมื่อเย็น ”

“ระ เรื่องเมื่อเย็น” ไอ้ปิงทวนคำพูด

“วะ วะ ว่าไง” สีหน้ามันดูซีดๆไงก็ไม่รู้

“อืม .... ” ผมเงียบกริบ

“กะ ก็บอกแล้วไง ว่า หะ ให้ลืมให้หมด” มันบอกเสียงสั่น

ผมหันไปหามันด้วยความเคือง

“มึงจะให้กูลืมได้ไงอะ มึงมาจูบกู ”

ผมเห็นมันทำท่าจุ๊ปากให้พูดเบาๆ

“แล้วมึงมาบอกรักกู ”

มันทำท่าจะปิดปากผม

“แล้วจะให้ลืมง่ายๆกันแบบนี้เหรอไง”

“กะ กูไม่อยากให้มึงคิดมากอะ” มันพูดเสียงแหบ “ไม่อยากให้มึงรู้สึกไม่ดีกับกู”

ผมมองดูแววตาสีน้ำตาลของมันที่ออกแนวซีดลงไปบ้าง แล้วก็ทำเป็นมองไปทางอื่น

“กูก็ ..... อึ๊ก”

“ก็....” ผมก้มหน้า

“ไม่ได้โกรธอะไรซะหน่อย” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุด แต่ไอ้ปิงก็ได้ยิน

“มึงไม่โกรธกูจริงๆเหรอ”

ปิงรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบลืมตัว ผมตกใจนะเนี่ย

“ตกลงเป็นแฟนกับเราแล้วใช่ป่าว” มันเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมซะแล้ว ไอ้นี่

“ไอ้ห่า กูไม่ได้หมายความว่างั้นซะหน่อย อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น” ผมเตือนมันอายๆ

“อ้าว ถ้ามึงไม่โกรธกู ก็แสดงว่า มึงก็ต้องมีใจให้กูบ้างซิ ไม่งั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ
ถ้าเค้าไม่เล่นด้วยง่ะ” มันบอกเหตุผล

“ขอเวลาซักพักก่อนได้มั้ยเล่า” ผมบอกเสียงเครียด

“แล้วก็ปล่อยกูได้แล้ว เด๋วไอ้เต้ยมาเห็นเข้าจะเป็น - - เฮ้ยเดี๋ยว ตัวมึงร้อนนี่หว่า”

ผมก็ว่ามันรู้สึกร้อนอะไร

“เออ จริงด้วย” มันบอกพลางพ่นลมหายใจร้อนๆออกจากตัว

ผมไปจับหน้าผากมัน ก็รู้แล้วว่า ไข้ขึ้นสูงแน่คืนนี้ ยิ่งอากาศหนาวๆอยู่ด้วย

“แล้วเสือกไปเล่นน้ำทะเลนะมึง” ผมว่าพลางหยิบกระปุกยาให้มันกิน

“แค่มึงไม่โกรธกู แค่ไข้แค่นี้อะ สบายมาก” แหม ปากหวานเชียวนะไอ้ตูด

“เอาเหอะ กูไม่โกรธหรอก มึงรีบนอนหลับดีกว่า จะได้ดีขึ้น เดี๋ยวกูรอไอ้เต้ยกลับเข้ามาเอง
อะ มึงเอาผ้าห่มกูไปห่ม” ผมว่าพลางยกผ้าให้มัน

“ห่มด้วยกันไม่ได้เหรอ” มันอ้อนผม นี่ๆ ยังไม่ทันไรเลยนะมึง อย่ามาด่วนจะได้กู

“ไม่อะ กูไม่อยากติดไข้มึง - - รีบๆนอนเร็ว” ผมว่าพลางกดตัวมันลงไปกับที่นอน
แล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้มัน

“ปิดที่คอไว้ จะได้อุ่น” ผมบอก แล้วรีบๆหลับนะ

“เค้าบอกว่า ถ้าจะให้หายเร็วๆอะ ต้องหอมแก้มคนป่วยก่อนนอน- -” มันบอกผม

“อืม นะ มึงอยากจูบหมัดกูมั้ยละ หายแน่ ..... ” ผมว่ามัน ได้ผลดูเหมือนว่า
มันนอนหลับตาปี๋เลย ซักพักผมก็ได้ยินเสียงกรน ผมมองหน้ามัน

“น่ารักขนาดนี้เลยเหรอว่ะ ไอ้ปิง มึงเนี่ย” ผมพึมพำ แล้วก้มลงไปหอมแก้มมันทีนึง

“หอมแล้วก็หายเร็วๆนะมึง”

ผมกำลังจัดหมอนเตรียมตัวจะนอน ก็เอะใจว่าทำไมไอ้เต้ยมันไม่ยอมเข้ามาซะที ก็เลย
เปิดเต้นท์โผล่หน้าออกมาดู

“เฮ้ย มานอนอะไรข้างนอกวะ” ผมตกใจที่เห็นมันมานั่งคุดคู้อยู่นอกเต้นท์ นี่ไม่รู้มานั่งนาน
แค่ไหนแล้ว ผมก็ไม่ได้คิด แล้วก็รีบลากมันเข้ามา

“เต้ยๆ ตื่น ” ผมพูดพลางตบหน้ามันเบาๆ

“หือ ... ว่าไง” มันพยายามลืมตา “กูปวดหัวหว่ะ โอ้ต ”

“กินยาเหรอยัง”

มันบอกว่าเมื่อกี้วิ่งไปขอยาที่อาจารย์มาแล้ว พอเดินมาถึงหน้าเต้นท์ก็หมดแรง ล้มไปกองเลย

“เฮ้ย เป็นไข้อีกคนแล้วไง” ผมว่าพลางจับตัวมันอีกคน คราวนี้มันร้อนกว่าไอ้ปิงอีก

“มึงนอนนี่เลย แล้วห่มผ้าซะ”

“อีกคนเหรอ” มันทวนคำถาม

“เออ ไอ้ปิงก็ไข้ขึ้นเหมือนมึงอะ ดีสม เสือกเล่นน้ำจนได้เรื่องเลยเป็นไง” ผมว่ามัน
พลางจะเดินออกไปข้างนอก

“จะไปไหน”

“เรื่องของกูอะ มึงนอนเหอะ เด๋วจะตายซะก่อน” ผมว่า พลางมุดออกไป เจตนาผมจะไป
ขอกระป๋องใส่น้ำ กับผ้าขนหนูจากอาจารย์มาเช็ดตัวให้พวกมันนะแหละ ขืนเป็นแบบนี้ไม่ไหว
แน่ โดยเฉพาะไอ้เต้ย เป็นมากโขเลย หาเรื่องให้กูไม่ได้นอนอีกละ พวกมึงเนี่ย....

ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน หลายครั้งที่ผมสงสัย บางสิ่งซึ่งมันต้องสมควรเป็นไปตามนั่น
กลับตรงกันข้าม การที่ปิงมาบอกชอบผม ทั้งที่คนอย่างมันสามารถหาผู้หญิงดีๆซักคนนึงมาเป็น
คู่ชีวิตได้ แต่มันกลับเลือกผม ... มันเป็นเพราะอะไร ??

อย่าว่าแต่ความคิดของคนอื่นเลย แม้แต่ความความรู้สึกของผมในตอนนี้ ก็ยังเดาไม่ออก ผมกำลัง
ดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความสับสน ในห้วงความคิดนั้น ผมเห็นตัวเองกำลังปลดโซ่ตรวน โซ่ซึ่งพันธนาการ
ความรู้สึกที่แท้จริงอย่างช้าๆ แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าแคมป์ที่ค่อนข้างทุลักทุเลที่สุดครั้งนึง จะอะไรซะอีก ก็ไอ้เพื่อนร่วม
เต้นท์ของผมสองตัวดันมาไม่สบายพร้อมกันทีเดียว หน้าที่พยาบาลจึงตกเป็นของผมอย่างช่วยไม่ได้

ผมยันตัวขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย เสียงกรนเบาจากไอ้คนป่วย 2 คนที่ผมดูแลเมื่อคืน อาการคงดีขึ้น
แต่สิ่งที่ดูขัดใจมากที่สุดตอนนี้ จนรู้สึกอยากจะชกไอ้คนนอนก็ภาพที่ ไอ้เชี่ยเต้ยมันนอนกอดไอ้ปิง
ของผม (ตั้งแต่เมื่อไร) อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทันไรอาการหึงผมก็เกิดอีกแล้วเหรอเนี่ย ไม่นับเรื่อง
เมื่อคืนที่มันไปหอมแก้มดาว รร.อีก

ติ๊ก ... ติ๊ก ... ติ๊ก

ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงนาฬิกาที่กำลังเดิน

ความรู้สึก กำลังตีกันพัลวันในหัว

ผมหันไปมองหน้าปิง มันยังคงนอนหลับสบาย เนิ่นนานเท่าไรไม่ทราบ แต่ตอนนี้
ผมรวบรวมความกล้า และได้ตัดสินใจยอมรับความรู้สึกของเพื่อนรักของผม ... ซะที

* * * * * * * * * * * *

“เป็นไง ดีขึ้นมั่งป่าว” ผมถามปิงในระหว่างที่ออกกำลังตอนเช้า

“อือ ไม่ดีขึ้นได้ไง ก็มีพยาบาลดีขนาดนี้อะ” มันว่า

“แถมใครก็ไม่รู้ .. มาแอบหอมแก้มอีก งี้ไม่หายได้งไง”

“งั้นมึงก็ละเมอแล้วล่ะ ใครจะมาหอมมึง” ผมแกล้งหันหน้าไปทางอื่น รู้สึกเหมือนโดน
จับได้ยังไงก็ไม่รู้

“เหรอ .. เราจะเชื่อหว่ะ” มันพูดแล้วยิ้มที่มันคิดว่าหล่อสุดแล้วของมันมาทางผม

“มึงอย่ามายิ้มแบบนี้กะกูได้ม่ะ ขนลุก” ผมแสดงท่าทางหยะแหยงใส่มัน

“แล้วทำไมต้องมาพูดเราๆ นายๆ กะกูด้วยวะ พูดแบบเดิมเหอะ เป็นไรของมึงเนี่ย
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” ผมบอกมันเพราะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งที่มันพูดกับผม แต่กับ
คนอื่นก็เห็นมันพูดเหมือนเดิม

หลังจากเลิกกิจกรรมตอนเช้า ก็เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้า ไอ้ปิง
ก็ชวนผมเดินเล่นแถวชายหาดเป็นการส่งท้ายก่อนกลับ

“ก็ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันเหมือนกันที่ไหนเล่า” ไอ้ปิงเดินไปบอกไป

“แล้วมันไม่เหมือนกันยังไงฟะ”

“กะ ก็ ... ”

มันมองหน้าผมแดง แล้วทำสายตาเรียกร้องอะไรบางอย่าง

“ก็ตอนนี้ เอ่อ เอ่อ ปิงบอกความรู้สึกของปิงให้ เอ่อ โอ้ตรู้แล้วนิ ว่ารู้สึกไง”

ดูท่าทางมันก็ยังไม่ค่อยชินกับการพูดดีๆอย่างนี้เท่าไรเหมือนกัน

“เอ่อ ก็รู้แล้ว” ผมอ้อมแอ้มตอบ

“ละ แล้วไง” สายตามันดูคาดคั้นคำตอบผมยิ่งกว่าเดิม

“ไม่รู้ .. ” ผมตอบอย่างเฉยเมย

“งี้ได้งายยยอะ .... ” ดูมันท่าทางจะผิดหวังกับคำตอบ

“ก็จะงี้ล่ะ”

“ไม่ - ได้” แน่ะมันชักขึ้นเสียงกะผม ไอ้ผมก็โรคจิตชอบแกล้งคนอยู่แล้ว

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มันสิทธิของกูไม่ใช่เหรอไง ที่จะชอบใครหรือไม่ชอบใครก็ได้”
ผมยังคงแกล้งปากแข็ง

“อ้าว พูดงี้ก็สวยเด๊ะ ขี้โกงนี่หว่า ... ” ไอ้ปิงชักมีอารมณ์

กลับกลายเป็นว่าเถียงกันไปเถียงกัน เมื่อเห็นว่ามันชักเริ่มโกรธแล้ว ผมได้ทีเลยเอา
มือโกยทรายเต็มฝ่ามือ ปาไปที่ตัวไอ้ปิง แต่พลาดไปหน่อย

ฝุบบ อ่า เต็มหน้ามันเลย

“โห เถียงไม่ขึ้นแล้วเล่นแบบนี้เหรอ ด้ายยยยย” มันตบะแตก แล้วสงครามย่อยๆก็เกิดขึ้น
ที่ริมหาดนั่นเอง

“แฮ่ก แฮ่ก ”

“มึงอะ ปามาได้ งี้ต้องไปอาบน้ำใหม่อีกแล้วอะ แม่งยิ่งหนาวๆอยู่” ผมต่อว่ามัน

“อ้าว แล้วใครเริ่มก่อนล่ะโว้ย” มันชี้หน้าทั้งๆที่รู้ว่า ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาชี้หน้า
ผมเลยปัดออก แต่มันได้ทีคว้ามือผมไว้แทน

“เฮ้ย ปล่อย” ผมพยายามดึงมือออก

“เด๋วก่อนดิ” มันบอกผมพลางส่งสายตาขี้อ้อนเป็นประกายมาทางผมอีกแล้ว ผลให้สายตา
ผมหลบไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ

“แน่ะ คนเราถ้าไม่รู้สึกอะไรกัน เค้าไม่หลบตากันหรอก”

ผมไม่พูดไม่จา พยายามดึงมือกลับอย่างเดียว

“ฟังปิงนะ ... ” ปิงพูดพลางสูดลมหายใจลึก

“เราจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว .. แล้วปิงจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไม่คอยถามอีก”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกรอบ พลางนึกในใจว่าอย่ามาเล่นมุข
มุมอาซิมุสอีกนะมึง

ปิงมองหน้าผมซักพัก มองตาผม และเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในจิตใจ

“ปิง ระ .. รักโอ้ตนะ ไม่ใช่แค่ชอบเฉยๆ ... ”

คราวนี้จังๆต่อหน้าต่อตา ผมรู้สึกหูตัวเองแดงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้วันมามาก (เฮ้ย ไม่ใช่)

“.. ไม่ว่าโอ้ตจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่ คิดให้ดีก่อนจะบอกเรานะ...”

“ ไม่ต้องสงสาร...”

“ไม่ต้องเห็นใจ...” ปิงจับมือผมแน่นมากกว่าที่เคยจับครั้งไหนๆ

“เพราะปิงไม่อยากได้ความรู้สึกพวกนั้นจากโอ้ต ... ”

ปิงพูดไปมือสั่นไปเบาๆ เค้าพยายามควบคุมเต็มที่แล้ว ผมรู้สึกได้

“ปิงทำได้แค่เดินมามอบความรักให้โอ้ต แล้วจะยืนอยู่เฉยๆ เพื่อรอรับมันจากโอ้ต ...
ปิงบอกทุกอย่างที่อยากจะบอกแล้ว ที่เหลือก็ ... ”

“ที่เหลือ ก็แล้วแต่โอ้ต …”

ผมยกมือขึ้นไปปิดปากไอ้ปิง พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อท้น

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ปิง ที่จริง กูตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมบอกเสียงสั่นเครือ
เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้า

“หมายความว่า ... ” ไอ้ปิงทำหน้าสลด

ผมเห็นหน้าจ๋อยของมันแล้ว ก็ยิ้มกลับไปให้ มันเป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่จะให้คนๆนึงได้

“การถูกคนๆนึงรัก มันมีความสุขนะ ... แต่การให้ความรักนั้นกลับคืนไป มันมีความสุข
กว่ามากเลย ว่ามั้ย ... ไอ้ปิง” ผมกล่าวสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป

ต่อจากนี้ สิ่งที่ผมได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ....ผมจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
แต่ในความเป็นจริง ในอีกมุมนึง ในห้วงรัก การถูกรักมันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม
และคนที่ได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน

บนรถไฟ ตลอดการเดินทางกลับกรุงเทพฯ แม้ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจะยังฝังลึกอยู่ในตัว
แต่เมื่อผมเห็นไอ้เต้ย ซึ่งนั่งคุยกับปิงอยู่ข้างๆ พร้อมกับพวกเพื่อนอีกหลายคน ผมอดไม่ได้
ที่จะคิดถึงคำพูดของมันในคืนนั้น ท่าทีของมันเหมือนจะชอบผม แต่ถ้าคิดอีกแบบ มันก็ไม่ใช่
ไอ้เต้ยต้องการทดสอบอะไรผมบางอย่างเหรอเปล่า และถ้ามันชอบผมขึ้นมาจริงๆ ถ้ามันเล่าเรื่อง
ที่มันทำเมื่อคืนก่อนให้ปิงฟัง อะไรจะเกิดขึ้น
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:11:09
“ปิง ตั้งแต่มึงกลับมาจากประจวบฯนี่ มีความสุขอะไรนักหนาวะ”

ไอ้ท็อปบอกขึ้นมา ในระหว่างกินข้าวในโรงอาหารวันจันทร์

“เอ่อ กูว่างั้นแหละ วันๆเอาแต่นั่งยิ้มแป้นแล้น” เพื่อนอีกคนนึงสำทับ พลางหันมาถามความเห็นผม

“มึงรู้ป่ะ ว่ามันเป็นไรวะ โอ้ต ”

“เฮ้ย กูไม่รู้ อย่ามาถาม” ผมรู้สึกตื่นตูมเป็นพิเศษยังไงไม่ทราบ นี่ถ้าพวกมันรู้ว่าผมกับไอ้ปิงคบกัน
ฉันแฟนแล้ว ไม่อยากจะคิด ...

“มันก็บ้างี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอไง” พวกเราหันกลับไปที่ต้นเสียง เห็นไอ้เต้ยเดินถือข้าวมันไก่
เดินมานั่งที่โต๊ะของพวกเรา

“ไอ้เต้ยไอ้เหี้ย ถึงกูจะบ้า ก็บ้ารักเว้ยยยย” ไอ้ปิงตอบเสียงดังกังวาน

วี้ดดดดวิ้วววว

กูจะอ๊วก

เสียงผิวปากและเสียงด่าส่งของพวกที่โต๊ะดังขึ้นทันที เมื่อมันพ่นเอาสิ่งเลี่ยนๆออกมาจากปาก
และท่ามกลางเสียงผิวปากของพวกนั้น มีเสียง “ไอ้เหี้ย” ของผมผสมอยู่ด้วย เพียงแต่มันเบา
พวกเลยไม่ได้ยิน

“แหม ไอ้ปิง ปากดีนะมึง” เต้ยยิ้มหันไปหามัน เหมือนจะคาดคั้นว่า ไอ้คำว่าบ้ารักของมันหมายความ
ว่าไง

“ไหนบอกกูมาเด๊ะ ว่ามึงไปเจออะไรดีๆในค่ายวะ หน้าถึงบานเป็นจานดาวเทียมแบบเนี้ย”

“มึงอยากรู้ไปทำไมวะ ”

“เพื่อนสุข พวกกูก็อยากรู้มั่งอะดิ” มันว่าไปโน่นเลย ผมพยายามมองตาไอ้ปิงประมาณว่า
ถ้าพูดมึงตายด้วยมือกูแน่

“เออ จะว่าไป ไปค่ายกลับมากูก็ได้เจออะไรดีๆ เหมือนกันหว่ะ” ไอ้เต้ยบอกปิง แล้วหันมาทางผม
แสยะยิ้มเป็นนัยๆ

- อุ๊ก ... ซวยแล้วกู - ผมคิดในใจ

“เออๆ กูบอกก็ได้ .... คือกูไปค่ายครั้งนี้ กูได้แฟนกลับมาด้วยเว้ยยยยย” ปิงมันพูดแบบอวดๆ
แค่นี้ก็ทำให้ผมสำลักน้ำไปเรียบร้อยแล้ว

วี้ดดดดวิ้วววว เสียงผิวปากของพวกดังขึ้นอีกระลอก จนไอ้โต๊ะข้างๆ มันเริ่มส่งเสียงประนาม
แล้วสารพัดคำถามก็ถาโถมใส่ไอ้ปิงทันที และเป็นโชคดีของผม เพราะว่ามันไม่หลุดปากว่าแฟน
ที่ได้กลับมาของมันคือใคร

เฮ้ย พรุ่งนี้มีรายงานชีวะนะมึง เตรียมรายงานกันยังวะ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

………………….

ก็มึงทำไงโอ้ต

สัด บ้านกูก็อยู่ไกล ไม่ใกล้เหมือนพวกมึงนะ

เด๋วพรุ่งนี้ปิงมาช่วย ไอ้ปิงบอกผม พวกไอ้ท็อปออกจะงงๆนิดหน่อยว่าทำไมอยุ่ๆไอ้ปิง
ก็มาพูดดีกับผม เพราะแต่ก่อน ก็พูดกูๆมึงๆกันประจำ

ผมเหลือบไปสังเกตไอ้เต้ย พอปิงบอกไปว่าได้แฟนกลับมา จากนั้นจนกินเสร็จ ไอ้เต้ยไม่พูดกับใคร
แม้แต่คนเดียว และคิดว่ามันพอจะรู้แล้ว ว่าแฟนของปิงที่พูดถึง หมายถึงผมนั่นเอง

“กูอิ่มแระ ไปก่อนนะ” พูดเสร็จมันก็กระแทกจานลงบนโต๊ะ

“ใครมีน้ำใจเก็บให้กูหน่อย” พูดเสร็จมันก็เดินพลวดๆ ออกจากโรงอาหารไปเลย

ผมมองหน้าปิง เห็นมันสบตากับผมเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง และหลังจากที่จบการเรียนในวันจันทร์
เราต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยผมไม่ได้เห็นไอ้เต้ยอีกตลอดทั้งวัน คืนนั้นปิงโทรมาหาผม

“โทรมาทำไมวะ พึ่งเจอกันทั้งวัน” ผมบอก

“อ้าว ก็โทรมาหาแฟนมันผิดตรงไหนอะ” ไอ้ปิงหยอดคำหวานเน่าๆออกมา

“นี่ๆ เวลามึงมีแฟนนี่ มึงเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังตีนแบบนี้ทุกคนเปล่าวะ” ผมแกล้งถาม

“เปล่าซะหน่อย เคยมีแฟนซะที่ไหนกันเล่า ... ” มันแก้ตัว

“ก็มีโอ้ตคนแรกนี่แหละ”

“แหวะ แหวะ” ผมทำเสียงล้อมัน

“แหวะราย แพ้ท้องเหรอไง ยังไม่ทันมีไรกันเลย แค่มองตา ก็ ... ”

“หยุดๆ พอเลยมึง คิดอกุศล เออ กูมีเรื่องถาม” ผมรีบวกเข้าเรื่อง

“นี่ ขอไรอย่างนึงได้ป่ะ เป็นแฟนกันแล้วอะ พูดกันให้สมกับเป็นแฟนกันหน่อย
เด๊ะ อย่าพูด กู – มึง ... ”

“กูจะพูดแบบนี้ จะทำไม จะเลิกก็ได้นะ” ผมบอกอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

“ขี้โกงอะ ... ”

“ไอ้ปิง กูมีเรื่องจะถาม มึงตอบมาตรงๆนะ” ผมรีบบอกก่อนจะเสียเวลามากกว่านี้

“อือ มีเรื่องไร”

“คือ เรื่อง เรื่อง ไอ้เต้ยน่ะ คือ ... ”

“อ่อ เมื่อกลางวันใช่ป่ะ อืม ... อย่าคิดมากนะ เด๋วเราจัดการเอง”

“จะจัดการอะไร” ผมละล่ำละลักถาม เพราะไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องเดียวกะที่ผมรู้เหรอปล่าว

“เอาเหอะ ไม่ต้องห่วงอะ เด๋วปิงจัดการเอง ไอ้เต้ยมันก็เพื่อนปิง อืม แล้วมันก็เป็นเพื่อนโอ้ตด้วย
ไม่มีปัญหาหรอก”

“เดี๋ยวซิ จะจัดการอะไร” ผมชักเป็นห่วง

“น่า ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้ว แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน”

ผมยังไม่ทันได้รู้ว่ามันจะจัดการอะไร ก็วางหูไปซะแล้ว แน่นอน คืนนั้นผมนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะจัดการของมันเนี่ย มันเรื่องเดียวกะที่ผมจะบอกเหรอเปล่า ไอ้เต้ยมันจะพูด
อะไรเหรอเปล่า .... ใจจริง ผมไม่อยากให้ไอ้เต้ยเสียใจเลย ผมไม่น่าไปให้ความหวังอะไรเล็กๆ
น้อยๆเมื่อคืนนั้น มันจะคิดว่าผมมีใจให้มันเหรอเปล่าหนอ

* * * * * * * * * * * *


เช้าวันต่อมา ผมรีบตื่นแต่เช้า เพราะว่าต้องรีบไปจัดห้องเตรียมนำเสนองาน

“เฮ่อ ไอ้ปิงเอ้ย กูนัดกูโมง แม่งไม่เคยมาตามนัด ให้กูทำคนเดียว ผมบ่นไปเตรียมงานไปคนเดียว”

“เฮ้ย .... ”

ผมตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาอยู่ข้างหลัง

ผมกำลังจะหันไป แต่ไม่ทันเมื่อไอ้คนที่ว่ามันจับผมเข้าที่ด้านหลัง ผมพยายามดิ้น แต่ก็ไม่หลุด
ซักพัก ผมได้กลิ่นลมหายใจที่คุ้นเคยเข้า คล้ายๆกับตอนไปเข้าค่าย

“ไอ้เต้ย ปล่อย” ผมบอก

“รู้ด้วยเหรอ ว่าเป็นกู” มันพูดใกล้ๆหูผม

“ปล่อย เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” ผมพยายามพูดกับมันดีๆ เพราะถ้ามีคนเข้ามาเห็นเข้า เป็นเรื่องแน่

“ทำไมเหรอ กลัวไอ้ปิงมันมาเห็นเข้าเหรอไง” มันพูดแทงใจผม

“เห็นว่าเป็นแฟนกันแล้วนี่นา”

“ไม่ใช่ซะหน่อย เข้าใจผิด” ผมโกหกคำโตออกไป แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ไม่ควรเอ่ยให้ไอ้เต้ย
ได้ยินซะด้วย

ไอ้เต้ยได้ยินเท่านั้น มันก็ไม่พูดอะไร แต่ค่อยๆมาไซร้ต้นคอ ผมขนลุกซู่ มันจะล่อกันตอนเช้า
แบบนี้เลยเหรอไง ผมพยายามดิ้น แต่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล จึงอยู่เฉยๆ รอให้มันเบื่อไปเอง ใจจริง
ตอนนี้ผมไม่ได้มีอารมณ์แบบนั้นกับไอ้เต้ยเลย เพียงแต่รู้สึกผิดกับมันเท่านั้นเอง

เมื่อเห็นว่าผมไม่ขัดขืนอะไร มันก็พลิกตัวผมให้หันไปหามัน

“ทำไมไม่ขัดขืนวะ” มันพูดเสียงแข็งกับผม จนเริ่มงงกับคำพูดของมัน

“มึงรู้สึกยังไงกันแน่ ไอ้โอ้ต” มันด่าผมแล้วก็ผลักอย่างแรงจนผมไปกองกับพื้น

“มึงพูดอะไรไอ้เต้ย กูไม่เข้าใจ”

“มึงไม่เข้าใจเหรอ” มันหลิวตาดูถูกผม

“มึงรู้สึกยังไงกับไอ้ปิงกันแน่ บอกกูมา”

เมื่อมันเล่นถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ผมก็ชักเคือง

“กูจะรู้สึกยังไงกับใคร แล้วมันเรื่องอะไรของมึง ไอ้เต้ย โอ้ย !! - - ” ผมพยายามจะลุกขึ้นมา
แต่ก็โดนมันผลักลงไปกองอีก

สายตามันมองผมอย่างโกรธเคือง

“มึงคบกับไอ้ปิงเป็นแฟนแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“เออ กูเป็นแล้วยังไง” ผมโพล่งออกไปด้วยความโกรธเช่นกัน

ผมเห็นเต้ยยืนนิ่ง มือกำแน่น ตอนนี้ผมกลัวมันจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ความรู้สึกประหม่า
และหวั่นเกรงเกิดขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

แล้วหน้าผมก็สัมผัสถึงของเหลวใส หยดลงมา

1 หยด …

2 หยด ...

ไอ้เต้ยกำลังร้องไห้ จากเสียงสะอื้นเบาๆ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจอย่างรุนแรง ทำเอาผมใจเสีย
แม้มันจะรู้อยู่แล้ว ว่าผมคบกับปิง แต่เมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเสียใจ

“ไอ้ ... เต้ย ” ผมค่อยๆเรียกมัน ทั้งที่ยืนค้ำหัวอยู่

“ตอบกูมา โอ้ต มึงรู้สึกยังไงกับปิงมันกันแน่ ” มันถามผมเสียงเบา แต่หนักแน่น

“กะ กู .... ”

“อย่ามาอ้ำอึ้งกับกูนะ” มันตะคอกใส่

ผมไม่ยอมตอบอะไรมันทั้งนั้น น้ำตาไอ้เต้ยหยดลงมาโดนผมอีกครั้ง

“มึงคบกะไอ้ปิง ..แล้วมึงยังปล่อยให้กูทำอะไร ....- - ทำกับมึง ” ไอ้เต้ยยังพูดไม่จบ
แต่ผมรู้ว่าจะพูดอะไร

“กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับมึงนะ ไอ้เต้ย กูแค่ .... ”

“มึงไม่ต้องแก้ตัว .. กูไม่อยากฟัง แค่นี้ก็พอรู้อะไรบางอย่างแล้ว ว่ามึงน่ะยังรักไอ้ปิงได้ไม่เท่ากับ
ที่มันรักมึงหรอก”

ผมนิ่งอึ้ง สิ่งที่ผมสงสัยมันค่อยๆชัดเจนมากขึ้น

“จำไว้นะ ถ้ามึงยังทำตัวแบบนี้ต่อไป ... ” มันก้มลงมาต่ำ

“กูก็ยังมีสิทธิ จำไว้ ... ” เต้ยมันพูดพร้อมกับกัดลงบนบ่าผมจนเจ็บ

“ไอ้เต้ย มึงทำอะไรโอ้ต” ผมได้ยินเสียงปิงดังขึ้นมาจากหน้าประตู

เต้ยหันหน้าไปหาต้นเสียง พร้อมกับโดนหมัดไอ้ปิงสวนเข้ามาเต็มๆ จนผมได้ยินเสียง พลั๊ก

“ปิง อย่า ... พอได้แล้ว” ผมรีบห้ามไอ้ปิงเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะต่อยไอ้เต้ยเป็นหมัดที่ 2 แล้ว
มันก็ยังยอมโดนต่อยอยู่ได้

“จำที่กูพูดไว้นะ ไอ้โอ้ต” เต้ยบอกผมก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป ข้าวของในห้องตอนนี้
กระจัดกระจายจนผมกับปิงต้องมานั่งเก็บใหม่

“ไอ้เหี้ยนั่นมันทำอะไรโอ้ต” ปิงถามผมด้วยความเป็นห่วง

ผมสั่นหน้า แล้วมองปิงด้วยความรู้สึกน้อยใจ ปนลำบากใจ

“ปิง ... มึงน่าจะบอกกูนะ” ผมพูดออกมาด้วยความยากเย็น ปิงไม่มองผมเหมือนจะหลบสายตา

“มึง ... รู้ใช่มั้ย ....................”

ปิงนั่งนิ่งเงียบ มือแทบไม่กระดิก

“…. ว่าไอ้เต้ยมันชอบมึง” ผมถามปิงทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

บางครั้งความรักก็เข้ามาหาเราเพื่อให้เราได้เรียนรู้ มิใช้ให้เราครอบครอง ...ไม่ผิดหากจะ
รักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้อนคนอีกคน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กำลังทำ
หน้าที่ซ้อนกับใคร แต่สิ่งนึงที่ผมรู้สึกได้และทำให้เจ็บปวด ผมคงไม่ได้แย่งปิงมาจากไอ้เต้ยใช่มั้ย ....

* * * * * * * * * * * *

เมื่อก่อนผมมักคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอน ทำไมผมถึงไม่เคยคิด
เรื่องจะมีคนรัก มีแฟนอะไรทำนองนี้กับเค้าเลย สมัยม.ต้น ผมต้องพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อน
ใหม่ สังคมใหม่ที่กว้างขึ้นกว่าเมื่อประถม ผมสนุกสนานกับการได้นั่งเล่นเกมส์เพลสเตชั่น
ได้เล่นบอลกับเพื่อน(ในบางครั้ง) มา ม.ปลาย ความที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การที่จะมานั่ง
เล่นเกมส์เหมือนก่อนคงจะไม่ดี ผมจึงต้องตั้งหน้าตั้งตา และตั้งใจเรียน พร้อมกับปรับตัวอีกครั้ง
เพื่อให้เข้ากับสังคมที่โตขึ้น

แต่สิ่งที่ผมยังคงอยู่ คือการได้อยู่กับพวกเพื่อนฝูง ได้เฮฮา สนุกสนาน และได้เที่ยวมากขึ้น
แน่นอนผมก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกของการมีความรัก ต่างจากเพื่อนๆหลายคน
ที่จะเข้ามาจ้อเรื่องเด็กใหม่ที่อยากจีบ เข้ามาอวดเมื่อได้เป็นแฟน และเข้ามา ฟูมฟายเมื่อต้องเลิกกัน
หลายต่อหลายคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ... ผมยังเคยคิด ในวัยมัธยมนี้คงไม่มีโอกาสได้รู้จักคำว่ารักหรอก
ว่ามันเป็นแบบไหน

แต่แล้ววันนึง ผมก็ได้รับความรักโดยไม่ทันตั้งตัว และที่ไม่คาดคิด คนๆนั้นเค้าอยู่ข้างกายผมตลอด 4 ปี
ที่ได้รู้จักมันมา ถึงแม้ว่าจะพึ่งได้มาอยู่ใกล้ชิดกันก็ตาม ผมน่าที่จะสดชื่น รับความรู้สึกนั้น
มาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ ... ผมกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าการที่ผมตอบรับ
ความรักนั้นมา จะทำให้คนอีกคนนึงเจ็บปวด ...

ตั้งแต่เมื่อเช้า วันนี้ผมเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย หรือถ้าพูดให้ถูก มันไม่มีสมาธิจะเรียนมากกว่า
ในตอนกลางวัน ผมไม่ได้ลงมากินข้าวที่โรงอาหาร ด้วยเหตุผลว่า ผมไม่อยากเจอหน้าไอ้เต้ยอีก
จนโรงเรียนเลิก ผมก็รีบเดินจ้ำออกจากโรงเรียน โดยมีปิงเดินกึ่งวิ่งตามมาแต่ไกล

“โอ้ต .. ” ผมได้ยินเสียงปิงเรียก แต่เสียงนั้นฟังเหมือนจะห่างไกลเหลือเกิน

“เป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง คงจะเห็นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อตอนเช้า
ผมกลับกลายเป็นโอ้ตเหมือนเมื่อสมัยตอนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ใหม่ๆ ที่เอาแต่นั่งซื่อเซ่อ ไม่พูดไม่จากับ
เพื่อน เงียบขรึม

“ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบเสียงเรียบ ในใจซ่อนความครุกรุ่นอะไรบางอย่างเอาไว้

“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ปิงยังคงเซ้าซี้ผม พร้อมกับเข้ามายืนชิดตัวผมมากขึ้น
แต่ยิ่งเข้ามา ผมก็ยิ่งเอาตัวออกห่าง จนมันรำคาญเลยคว้าคอผมกอดไว้

“ทำอะไรวะ ปล่อย” ผมพูดพอให้ปิงได้ยิน ไม่อยากให้เสียงดังจนคนอื่นที่รอรถโดยสารกลับอยู่ได้ยิน

“แค่กอดคอเฉยๆ ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า” ปิงหันมาบอกผม

“ทำไมต้องทำท่าทางไม่พอใจแบบนี้ด้วยล่ะ ”

ผมไม่ยอมพูดอะไรออกมา เอาแต่ชะเง้อมองดูรถกลับบ้านอย่างเดียว

“หึง – ล่ะ - ซิ” ปิงพูดขึ้นมา 3 พยางค์ แทงใจผมนักเชียว

“นั่นแน่ แล้วมาปากแข็ง ไม่ยอมพูดยอมจากับเค้า ที่แท้ก็ หึง นี่เอง” ปิงว่าพลางหัวเราะคิกคัก
แล้วก็ต้องหยุดไปเมื่อผมหันหน้าไปมองมัน

“พูดบ้าอะไรอยู่ได้วะ ”

ผมว่าพลางดึงมือมันที่กอดคอออก เพราะเห็นรถปอ 2 สีส้มวิ่งมาแต่ไกล

ปิงเห็นดังนั้นจึงคว้าแขน ดึงผมไว้ไม่ยอมให้ไป

“อะไรอีก เดี๋ยวกูขึ้นรถไม่ทันคนอื่นเค้า ”

“ไปหาอะไรกินกับเราหน่อยดิ แป็บเดียวเท่านั้นแหละ” ปิงส่งสายตาอ้อนวอนผม
อีกนึงระลอก ทำให้ผมจำเป็นต้องเดินตามมันไปแบบเงียบๆ

ปิงมันพามาที่ร้านขนมปัง เนยสด หน้าโรงเรียน

ปิงเดินนำหน้าไปหาที่นั่งในร้าน ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเป็นตอนเย็นๆแบบนี้ ไม่ค่อยจะมีที่นั่ง
เท่าไรหรอก แต่วันนี้โชคดี หลังจากที่สั่งขนมปังเนยนม กับ นมสด เรียบร้อยแล้ว ปิงมัน
ก็เริ่มชวนผมคุย ผมก็เอ่อๆ อ่าๆ ไปตามนั้น ก็คนมันไม่มีกระจิตกระใจจะคุยอะไรนี่หว่า

“นี่ เมื่อไรจะเลิกโมโหหึงปิงซะที” มันพูดขึ้นมาหลังจากที่เห็นผมนั่งกินอยู่อย่างเดียว
ไม่พูดไม่จา

“ใครโมโหหึงฟ่ะ” ผมพูดเคืองๆ

“งั้นทำไม .... ” ปิงพูดพลางใช้สมองคิด

“งั้นเหรอว่า ... โอ้ตก็ชอบไอ้เต้ยมัน ถึงทำหน้าหงิกแบบนี้อยู่ทั้งวันแบบนี้ ”

ปิงคาดคั้นผม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันใด

“ป่าววววว” ผมร้องเสียงหลง จนโต๊ะข้างๆหันมามอง

ไอ้ปิงทำหน้าโล่งอก กลับมายิ้มได้แบบเก่า

“แล้วทำไมโอ้ตต้องมานั่งกลุ้มใจด้วยอะ ไอ้คนที่ต้องกลุ้มอะ นั่งอยู่ตรงนี้
เนี้ยะ” ปิงพูดพลางพยักหน้าไปมา

“คนรูปหล่อเนื้อหอมก็เงี้ย มีแต่คนรัก”

“ไอ้บ้า พูดได้ไม่อายปากเลยนะมึง” ผมพูดไป ขำไป

“555 ยิ้มได้ซะทีนะแฟนเรา มัวแต่นั่งหน้างอ ไม่หน้ารักเลยน้า” ปิงยิ้ม
แล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผมอย่างรวดเร็ว

“ทำไรวะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะคนในร้านก็ไม่ใช่น้อยๆ

“หยิบเศษอะไรที่ติดหน้าออกให้ตะหาก” มันแก้ตัว

“อย่ามาแก้ตัว จะมีอะไรมาติดหน้าได้ไง” ผมบอก

“ก็เสี้ยวหัวใจของปิงอะ มันกระเด็นไปติดที่หน้าไง” มันพูดพลางหัวเราะ ที่พูดประโยค
ชวนหดหู่ออกมาได้

“แหวะ กูจะอ๊วก แสดงว่าที่บอกว่ารักหมดกูหมดหัวใจเนี่ย ก็ไม่จริงเด๊ะ เห็นมีแค่เสี้ยวเดียวเนี่ย”
ผมบอก

“โอ๊ ม่ายใช่ ม่ายใช่ หัวใจปิง ให้โอ้ตหมดแล้วรู้ป่าว” มันพูดพลางหั่นขนมปังจนป่นคาจานไป
หน้าก็แดงไป

“แต่หัวใจมันมีหลายห้องไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดประชดขึ้นมา

“ห้องไหนมีไอ้เต้ยซ่อนอยู่ล่ะ”

“อะไรเนี่ย ทำไมต้องพูดถึงคนอื่นด้วยล่ะเนี่ย” ปิงมองผมด้วยสายตาขุ่นเคือง

“คนที่เค้าชอบเนี่ยนะ เรียกว่าคนอื่น”

“อ๋อ รู้แล้ว ที่ทำหน้าซังกะตายอยู่ทั้งวันนี่ เพราะหวงว่าปิงจะไปชอบไอ้เต้ยอีกคนล่ะซิ”
ปิงบอกเหมือนรู้ทันผม

ผมนั่งเงียบ พลางหันหน้าไปดูทางอื่น

“ฟังนะ ถ้าปิงชอบไอ้เต้ยอะ ป่านนี้ปิงเป็นแฟนมันไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ใครบางคนมาพูด
กระทบกระแทก ประชดประชันอยู่แบบนี้หรอกนะ - - แล้วเวลาคนพูดด้วยอะ หันมามองเด้”

ผมยอมหันไปหามัน

“กู - - -”

“ถ้าไม่พูดดีๆกับเราอะ จับจูบกลางร้านแน่” ไอ้ปิงสวนกลับมาก่อนที่ผมจะด่ามัน

“เอ่อ ก็ได้ ... แล้วนายไม่สงสารมันเหรอไง”

ปิงยกแก้วนมขึ้นมาดื่ม แล้วถอนหายใจ

“ความสงสาร มันก็เปลี่ยนเป็นความรักไม่ได้หรอก” ปิงบอกผม สีหน้าขมขื่น

“โอ้ตรู้มั้ย วันที่เต้ยมันบอกชอบปิงน่ะ ปิงเสียใจแค่ไหน”

ปิงทำหน้าเศร้าขึ้นมาจริงๆ ผมเลยเอื้อมไปจับมือเอาไว้

“ขอโทษนะ เราขอโทษ” ผมไม่สามารถสรรหาคำอื่นใดมาพูดได้อีกต่อไป

ปิงมองหน้าผม แล้วยิ้ม “โอ้ตเป็นผู้ชายคนแรกที่เรารักนะ ... .. แล้ว- - -”

“แล้ว ... อะไร” ผมมองหน้ามันเขินๆ

“แล้ว ... นายจะเป็นคนสุดท้ายที่เรามอบความรักให้ ”

“ปิง อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนหรอก ซักวันเราจะต้องแยกย้ายกัน ไม่ใช่เหรอไง”

ปิงทำคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะบอกผม

“ต่อไปข้างหน้า มันจะเป็นยังไงก็ช่างเหอะ ขอแค่วันนี้ ... เราแค่เชื่อใจซึ่งกันและกันก็พอ ”

ปิงบอกผมพลางเอามืออีกข้างกุมมือผมไว้อย่างแนบแน่น เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มได้
ผมยิ้มด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ความรู้สึกที่ไม่ต้องปิดบังหัวใจตัวเองอีกต่อไป หัวใจที่มี
คนช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ...

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ออออ จบม.4 ซ้าที” ปิงเดินเข้ามาทักผมในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน 

“อือ แล้วไงอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“วันพวกไอ้ท็อปบอกว่า จะไปกินหมูกระทะกัน ไปป่ะ” ผมมองปิง แล้วก็ตอบตกลง

“สัญญาแล้วนะ”

“เออ รู้แล้ว งั้นเดี๋ยวเอาสมุดเซ็นไปเก็บห้องปกครองล่ะกัน ” ว่าแล้วผมก็วิ่งไปผ่านหอประชุม
ก็เจอใครบางคนที่เหมือนจะดักรอผมอยู่นานแล้ว

“ว่าไง” ไอ้เต้ยเป็นคนทักผมก่อน

ผมตกใจพอควรกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมัน แต่ก็พยักหน้ากลับไป

“ทำธุระเสร็จแล้ว มาหาที่หลังหอประชุมหน่อย มีเรื่องคุยด้วย” มันบอกผม พอดีกับที่ปิงวิ่งตาม
เข้ามาพอดี ไอ้เต้ยก็เดินเลี่ยงออกไป

“มันมาหาเรื่องอะไรกับโอ้ตอีกเหรอเปล่า” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก” ผมบอกปิงพลางตบไหล่เบาๆ จากนั้นก็เอาสมุดเซ็นไปเก็บ แล้วก็
เซ็นอะไรอีกนิดหน่อย

“ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆกันป่ะ” ปิงเดินเข้ามาทำท่าจะจูงผม

“เฮ้ย ไม่ต้อง .. เออ คือ เดี๋ยวเราไปหาอาจารย์ก่อนแป็บนึง เดี๋ยวตามไป ปิงไปก่อนเหอะ” ผมบอกมัน

“อาจารย์คนไหนอะ เดี๋ยวปิงไปด้วย” ปิงทำท่าจะตามผมไปให้ได้ จนผมต้องงัดกลยุทธพูดจาหว่าน
ล้อมสารพัด จนมันให้เวลาผม 20 นาที ผมรับคำ แล้วก็รีบไปที่นัดหมายทันที

“ทำไมนานจังวะ” เต้ยหันมาว่าผมพลางชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือ

“ไม่ต้องมาว่า มีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมา กูมีเวลาน้อย” ผมบอกอารมณ์เสียๆ

“เออเนอะ คนเรามันมีแฟนแล้ว ก็ต้องเอาเวลาให้แฟนหมดล่ะ” ไอ้เต้ยเริ่มกวนประสาทผม

“ถ้าจะเรียกมาจะพูดแดกดันกันแบบนี้ กูไปล่ะนะ” ผมว่าพลางหันหลังกลับ ไอ้เต้ยมันก็รีบ
ดึงเสื้อผมไว้

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ แหม พูดแค่นี้ทำเป็น .... - - เออ จะพูดล่ะ” มันว่าพลางทำท่าทางเหมือนจะกล่าว
สุนทรพจน์ บรรยากาศมาคุในตอนแรกเริ่มจางหายไป แต่ผมก็ยังไม่วางใจ เมื่อมันหันมาทำ
สีหน้าจริงจัง

“สองสามวันที่ผ่านมา กูพยายามโทรฯไปหาไอ้ปิง - - ”

“อือ”

“แต่มันก็ไม่เสือกรับโทรฯกูเลย - - ”

“เออ”

“กูพยายามโทรหามันจนมันรับสาย กูถามว่า ทำไมมันถึงไม่ยอมรับโทรฯกู - - ”

“อืม”

“รู้ม่ะ มันว่ากูว่าไง - -”

ผมสั่นหน้า ก็ใครมันจะรู้ฟ่ะ ถามแปลกๆ ไอ้นี่

“มันบอกว่า มันคิดว่ากูเป็นคนมีเหตุผลพอ มันไม่นึกว่ากูจะมาหาเรื่องมึง ไม่นึกว่า
กูจะใช้กำลังกับเพื่อนได้ - - โดยเฉพาะกะมึง” มันชี้มาที่ตัวผม

เต้ยหยุดพูด พลางทำหน้าเศร้าๆ

“เชื่อม่ะ มันพูดแค่นั้น กูก็นั่งร้องไห้กับมัน - - คนหยั่งกูเนี่ย” เต้ยเริ่มพูดเสียงสั่น
แต่พยายามควบคุมอารมณ์ไว้

“กูไม่รู้หรอกนะ ว่ามันกลัวว่ากูคิดจะทำอะไรโง่ๆเหรอเปล่า มันถึงได้รีบขี่มอไซต์มาหาที่บ้าน
ก็กูเสือกร้องไห้ซะขนาดนั้น - -”

“- - พอกูเจอหน้ามัน ก็ด่ามันว่ามันอะ ไม่รักเพื่อน เห็นแก่ตัว แถมทำท่าจะชกมันอีกนะ ...
เลวจริงๆ กู ”เต้ยว่าพลางจับหัวตัวเอง เหมือนรู้สึกผิด

“แล้วไอ้ปิง ก็เดินเข้ามากอดกู ทั้งที่กูทั้งด่า ทั้งจะชกมัน ทั้งเกือบจะทำร้ายแฟนของมัน”
พอพูดถึงตรงนี้ ไอ้เต้ยหันมามองผม

“แต่มันก็เข้ามาปลอบคนอย่างกู” เต้ยตบหน้าอกตัวเองแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“มันบอกว่า มันไม่เคยนึกเกลียดกูเลย ถึงแม้ว่ากูจะทำอะไร - - เพราะว่ากูเป็นเพื่อนที่มันรักที่สุด”
ผมมองผ่านสายตาของไอ้เต้ยที่มีน้ำใสๆเอ่อท้นมาอีกครั้ง

“แล้วทุกสิ่งที่ทำลงไป มันทำให้รู้ว่า กูต่างหากที่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด” เต้ยมองผม

“กูควรจะดีใจ ที่เห็นคนที่กูรักมีความสุขใช่มั้ย”

ผมไม่รู้จะตอบเต้ยว่ายังไง แต่รู้ว่าเค้าพยายามจะขอโทษผม ทั้งๆที่ผมไม่สมควรที่จะได้รับ
คำขอโทษนี้เลยจริงๆ

“กูก็ต้องขอโทษมึงนะ เต้ย กูไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย” ผมบอกไปด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด

“แต่กูเชื่อนะ ว่าวันนึงมึงต้องเจอคนที่ดีๆไม่แพ้ ไอ้ปิงหรอก”

เต้ยยิ้มเล็กๆให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้ว

“กูรู้ ว่าทำไมไอ้ปิงถึงชอบมึง .. โอ้ต ขอให้มึงสองคนโชคดีนะ” พูดเสร็จเต้ยมันก็เดินเข้ามากอดผม
ผมรับกอดมันไว้ และค่อนข้างแน่ใจว่า เต้ยมันต้องการส่งผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นครั้งนี้ฝากถึงปิงแน่

“ขอบใจนะ เต้ย แล้วจะไม่เจอปิงมันก่อนเหรอ อย่างน้อยจะ - -”

เต้ยสั่นหน้า

“กูว่า ไม่เจอมันอะดีที่สุดแล้ว .... จริงๆ กูมีเรื่องจะบอกมึงอีกเรื่องนึง”

เรื่องอะไร

กูโดนปกครองให้ออกวะ เหอๆ มันพูดหน้าเป็น แต่ทำเอาผมตกใจสุดๆ

เฮ้ย ทำไม - - -

ก็กูเก ซะขนาดนี้ เค้าให้อยู่จนจบ ม.4 ก็ดีถมไปแล้ว มันว่า แล้วก็เอามือมาแตะบ่าผมอีกครั้ง

กูฝากปิงด้วยนะ

มึงจะไม่บอกปิงมันหน่อยเหรอ

ไม่ล่ะ กูไม่รู้จะบอกมันยังไง มันต้องด่ากูแน่ๆเลย

“ตามใจ โชคดีละกัน เต้ย”

“มึงก็เหมือนกันโอ้ต .... ” เต้ยเดินผละจากผมมา พร้อมกับบอกคำพูดสุดท้าย

“ฝากไอ้ปิงด้วยนะ”

“อือ” ผมรับคำ ยิ้มให้มันก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:13:28
มีคนบอกว่าหลังฝนตก ฟ้ามักจะสดใสเสมอ แต่คำนิยามนี้ คงใช้กับผมไม่ได้ คืนนี้สายฝน
เริ่มตกมาปรอยๆ และหนักขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งที่พึ่งหยุดเทอมเข้าหน้าร้อนได้ไม่ทันไร
ผมนั่งมองฝนตกอยู่ภายในบ้านด้วยความเบื่อหน่าย และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  

“ สวัสดีครับ” ผมรับโทรศัพท์เสียงหง่อย

“ทำอะไรอยู่ ว่างเหรอเปล่า” เสียงปิงดังผ่านเข้ามา

“ว่าง นั่งดูฝนตกอยู่ ”

“นั่งทำมิวสิควีดีโออยู่ ? ”

“ไอ้บ้า มิวสิคบ้าไร คนยิ่งเซ็งๆอยู่ ”

“แล้วจัดของเสร็จเรียบร้อยยังงง” ปิงมันทำเสียงอ้อนแบบเด็กๆลอดผ่านสายโทรศัพท์

“ยังเลย ของโคตรเยอะเลยหว่ะ สงสัยพรุ่งนี้ไม่ได้ไปแน่เลย” ผมลองแหย่มันดู ทั้งๆที่ก็จัด
ของทุกอย่างเรียบร้อย

“โห จัดของอะไรมากมาย ไม่ได้จะย้ายบ้านซะหน่อย แค่ไปเชียงใหม่แค่ 3-4 วันเองนะ”
ปิงแขวะ

“อีกอย่างขืนแบกของไปเยอะ กว่าจะไปขึ้นรถที่กรุงเทพ กว่าจะต่อรถไปเชียงใหม่อีก เหนื่อยตาย ”
มันบรรยาย

“ไรเล่า ก็ช่วยแบกดิ บ่นไปได้ ”ผมบอก

“แต่ฝนยังตกหนักแบบนี้อีกตะหาก อดไปแน่ ”

“โห นั่งรถไฟไปกลัวอะไร ที่โน่นฝนอาจไม่ตกเหมือนเพชรฯก็ได้นิ แล้วอีกอย่าง ไม่เคยได้ยิน
เหรอไง ว่าหลังฝนตก ฟ้าจะสดใส เด๋วก็หายตกแล้วคืนนี้” ปิงบอกผมท่าทางเชื่อมั่น

“เอ ... แล้วทำไมต้องมี จะด้วยล่ะ มันจะสดใสเลยไม่ได้เหรอไง” ผมถาม

“จะรู้มั้ยล่ะ เอาเป็นว่า เผื่อมันไม่สดใสขึ้นมา จะได้ไม่มาว่าปิงไง แฮะ แฮะ” มันตอบแก้ขวย

“แต่ที่แน่ๆอะ ถึงฟ้าไม่สดใส แต่จะมีใครบางคนฟ้าเหลืองแน่” มันพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้ลามก เก็บไว้เหลืองคนเดียวเหอะมึง ... ไม่มีไรแล้วใช่ป่ะ จะนอนแล้ว” ผมบอกพลาง
หาวหวอด

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ รีบขึ้นรถมาอย่าตกขบวนล่ะ” ปิงย้ำกับผม

“อือ... ”ผมรับคำ

“โอเค แล้วจะไม่บอกที่บ้านก่อนจะดีเหรอ ว่าจะไปเที่ยวอะ” ปิงถามด้วยความกังวลเล็กๆ

“บอกไปแม่กูเอาตายแน่ ไปเชียงใหม่นะ ”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้ที่รัก .. หุหุ ” แม่งไม่วายหยอดปิดท้าย

หยุดเทอมหน้าร้อน ม.4 ของเราสองคน ปิงมันอยากจะไปเที่ยวที่ไหนซักที่นึง แล้วมันก็เสนอ
อยากจะไปเชียงใหม่ขึ้นมา ผมได้ยินตอนแรกก็รีบปฏิเสธมันทันทีเลย เชียงใหม่ เป็นอะไรที่ไกล
ในความรู้สึกผมมากแต่จนแล้วจนรอด มันก็คะยั้นคะยอให้ผมไปจนได้ .. ผมก็ไม่กล้าขัดใจ
มันหรอก เพราะใจจริงก็อยากไป
เที่ยวอยู่เหมือนกัน ฮ่ะฮ่ะ

วันต่อมา มันก็รีบไปจองรถไฟทันที แต่นับว่าลำบากนิดนึง เนื่องจากว่าพวกเราต้องนั่งรถไฟ
ไปหัวลำโพง
ก่อนที่จะสับขบวนไปขึ้นรถไฟที่จะไปเชียงใหม่

“ปิงเคยไปมาก่อน ไม่ต้องห่วงหรอก”

“เจงซิ ไปรถไฟอ่ะนะ”

“ปล่าว ไปรถยนต์ พ่อขับ”

“อ้าว ไอ้เวร”

มันว่าแบบนี้ … สงสัยมีหลงชัวว์

* * * * * * * * * * * *


เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมยกสัมภาระขนขึ้นรถไฟจากสถานีชะอำ โดยที่ปิงมันจะขึ้นที่สถานีเพชรบุรี  

“ไปกรุงเทพแค่นี้ ทำไมหอบของไปเยอะแยะแบบนี้” เสียงแม่บ่นพึมพำ ผมบอกที่บ้านว่า
มาค้างบ้านเพื่อนที่กรุงเทพ เพื่อนที่ว่าก็ไอ้ปิงน่ะละ

“โห ก็เหลือดีกว่าขาดน่าครับแม่” ผมแก้ตัว

ไม่นานเกินรอ ขบวนรถไฟก็ค่อยๆมาจอดเทียบชานชรา

“ถ้ามีอะไร แม่ก็โทรมาที่เบอร์มือถือเพื่อนโอ้ตนะ” ผมว่า พลางโบกมือบ้ายบายหยอยๆ

รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน พร้อมกับผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ผมเดินเลือกหาที่นั่งอย่างสบายใจ
ความจริงอีกใจนึงผมก็อดกังวลไม่ได้ที่เดินทางไกลแบบนี้เป็นครั้งแรก หน่ำซ้ำยังไปกันแค่
เด็กๆ 2 คนอีกต่างหาก

ไม่นานนัก ขบวนรถไฟก็เคลื่อนมาจอดถึงสถานีเพชรบุรี สายตาผมก็กวาดไปรอบๆหาตัวไอ้ปิง
ให้เจอ เพราะถ้ามันเกิดพลาดขบวนนี้ไป ผมก็คงต้องไปกรุงเทพคนเดียวละซิ ตายแน่ครับ

“มองใครอยู่จ๊ะ …สุดหล่อ”ไอ้ปิงเดินเข้ามาอีกด้านนึงที่ไม่ได้อยูในระยะสายตาของผม

“ควายเอ้ย นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” ผมด่ามันทีทำเอาใจหายใจคว่ำ

“โห ดูพูดกับแฟนดิ” มันพูดพลางโน้มตัวมาในระยะสายตา

“เด๋วปั๊ด .. บอกแล้วไงว่า พูดไม่เพราะเด๋วมีจูบ” มันพูดพร้อมกับเลื่อนปากมาประทับที่
ปากผมด้วยความไวแสง

“ไอ้ ….” ผมยังไม่ทันถีบมันก็เผ่นไปเอาสัมภาระวางไว้ด้านบน แล้วก็วิ่งมานั่งด้านข้างผม

“กว่าถึงเชียงใหม่นานป่ะ” ผมถามแบบไม่รู้จริงๆ เพราะไม่เคยไปเลยในชีวิต

“2 วันถึง ”ปิงตอบหน้าเรียบ

“2 วันนนน ”

“5555 พูดเล่น แต่ว่าจาไม่ไปเชียงใหม่เลยนะ”

“อ้าว ไมล่ะ”

ไอ้ปิงยิ้มน้อยๆ ให้ผม แล้วพูดขึ้นมา ว่าจะไปแวะลงพิษณุโลกก่อน แล้วก็ต่อรถไฟไปเชียงใหม่
ผมมองเหล่ๆไปทางมัน

“รู้เส้นทางดีจังนะ”

ไอ้ปิงส่ายหน้า “ดูตามแผนที่เอา ”

ว่าแล้ว มันก็ชูแผนที่อันมหึมาขึ้นมา

“เนี่ย ดูแผนที่ 2 วัน 2 คืน เต็มๆ เกือบไม่ได้นอนเลย เป็นไง” มันพูดไปยิ้มไปเหมือนจะภูมิใจ
ซะงั้น แต่สำหรับผมความคิดในตอนนี้คือ พวกกูหลงชัวว์

ประมาณ เกือบเก้าโมงเช้า ผมก็มาถึงสถานีหัวลำโพงครับ คนไม่ค่อยแน่นเท่าไรครับ อาจเพราะว่า
เลือกมาวันธรรมดาด้วย จากนั้นก็นั่งรถด่วนพิเศษไปพิษณุโลกถึงก็เกือบประมาณ บ่ายสี่โมงเลย
นั่งแบบโคตรเมื่อยตูด พวกผมก็เดินทางเข้าตัวเมืองพิษณุโลก อย่างที่บอกว่า ตอนจองโรงแรม
เราจองเฉพาะที่เชียงใหม่ ส่วนที่นี่ดันไม่เสือกจอง ก็เลยต้องมานั่งรถตระเวณหาโรงแรมกันจนเกือบมืด

“ไปไหว้พระกัน”ปิงชวนผมหลังจากที่ขนสัมภาระเข้ามาเสร็จแล้ว

แล้วมันก็ชวนขึ้นรถไปไหว้พระพุทธชินราชกัน เรามาถึงวัดก็เกือบจะปิดพอดี ทั่วบริเวณก็พอมี
นักท่องเที่ยวอยู่บ้าง หลังจากที่เราไหว้พระกันเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ท้องกัน กว่าจะถึงที่พักก็
เกือบเที่ยงคืน

“ง่า ได้นอนซะที” ปิงบอกพลางล้มตัวลงนอนบนฟูกนิ่มๆ

“ไอ้ปิง อย่าซกมกไปอาบน้ำได้แล้ว ไป… ”ผมว่าพลางเดินออกจากห้องน้ำ

“ไม่อะ ไม่มีคนอาบให้นี่นา ” แล้วก็ส่งสายตามาทางผมเป็นนัยๆ

“มีมือ มี … เท้า ก็อาบเอง ”ผมว่า พลางเช็ดหัวพลางไม่สนใจ

“โห ใจร้ายหว่ะ พูดกับแฟนตัวเองแบบนี้ได้งาย” มันก็ลุกขึ้นมานั่งกอดข้างหลังผม

“เฮ้ย เหนียวตัวเว้ย พึ่งอาบน้ำเสร็จ ไปอาบบเลยไป้” ผมเริ่มไล่ไอ้ตัวแสบ

“ไม่อะ ง่วงง”

“ไปอาบเด๋วนี้ ไม่งั้นเจอถีบ” ผมลองขู่มัน

“โห แรงหว่ะ” มันว่าพลางเดินก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องน้ำไป พอออกมาก็ไม่พูดไม่จา
ล้มตัวลงนอนกรนคร๊อกฟี้ … อืม สงสัยมันคงจะนอนดูแผนที่ทั้งคืนจริงๆอะแหละนะ

* * * * * * * * * * * *


“อืออ …. จะทำอะไรอะ อย่านะไอ้ปิง” ผมรู้สึกเสียวแปลกๆ จึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือ
ปิงกำลังลูบไล้ตัวผมอยู่ พร้อมกับค่อยๆเลื่อนมือลงไประหว่างขา  

“อย่า … ปะ ปิง เรามาเที่ยวกันนะ” ปิงไม่ได้พูดอะไรกลับมา แต่มันค่อยๆไล้ริมฝีปาก
ไปทั่วหน้าผม จนในที่สุดก็มาหยุดที่ปาก ลิ้นสากๆของมันก็ควานเข้ามาพันจนผมรู้สึกอึดอัด
จะดิ้นก็ไม่มีแรง เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืนอะไรเท่าไร มือของมันที่อยู่ด้านล่าง ก็ค่อยๆ
ล้วงเข้าไปในกางเกงผม พร้อมกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่กำลังแข็งตัวอย่างรวดเร็วของผม

“อะ อ่า ……” ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือปิงเข้ามาจับของสงวนของผม
พร้อมค่อยๆรูดขึ้นรูดลงอย่างช้าๆ ปากก็ทำงานด้านบน แล้วค่อยไซร้ลงมาเรื่อย จากซอกคอ
มาจนถึงหน้าอก เรื่อยลงมาจนถึงด้านล่าง

“ปิง .. อย่า ” .ผมกำลังจะห้ามเมื่อเห็นปิงมันกำลังจะครอบริมฝีปากชมพูดอ่อนๆของ
มันลงบนน้องชายของผม ปิงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะก้มลงไปดูดแท่งไอติมของผม

“เฮือก …. อ่าา เสียว” ผมหลับตาปี๋ พร้อมกับครางดังลั่นห้อง ดูท่าทางปิงคงจะชอบรสชาติ
ไอติมแท่งนี้มาก ทั้งดูด ทั้งเลีย จนผมหายใจแทบไม่ทัน แฮ่ก แฮ่ก โอ่วววว ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ให้คนอื่นดูดให้มันจะมันส์ขนาดนี้ ผมคิดพร้อมกับใช้มือจับหัวไอ้ปิงไว้ พร้อมกับโยกไปตามจังหว่ะ

“ปิง ปิง ม่ะ ไม่ไหวแล้ว จะ จะ …… แล้ว” ผมครางออกมาด้วยความเสียว เพราะใกล้จะแตก
เต็มทน แล้วปิงก็ถอนปากออกมา ท่านี้มันดูเซ็กส์มากครับอยากจะบอก พร้อมกับยิ้มให้ผมจน
เห็นเขี้ยวยาวของมัน

เอ๊ะ …. เขี้ยว !?

ยังไม่ทันได้คิดต่อ ปิงก็ก้มลงไปใช้ปากกับน้องชายของผมอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิม
ทั้งกระแทกกระทั้นจนผมรู้สึกเจ็บ (แต่ก็ยังมันส์อยู่)

“อะ อ๋ออยยย อะ โอ้ย จะ เจ็บ เจ็บ ไอ้ปิง เจ็บ” ผมชักรู้สึกไม่ดีซะแล้วเมื่อมันชักรุนแรง
จนต้องพยายามผลักหัวมันออกไปจากแท่งเนื้อ แต่มันก็ยังไม่ยอมหลุดซะที ท้ายที่สุด มันเงยหน้า
มาอีกรอบ ผมแทบช็อค เมื่อเขี้ยวที่เห็นเมื่อกี้ มันงอกยาวจนเหมือนมีดสปาต้าร์ แล้วไม่ทันคาดคิด
มีดยาวก็ฟันฉับที่น้องชายของผม กระเด็นคาปากของมัน

“ไอ้เชี่ยปิง กัด Kกรู ไอ้สาดดดดดด” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับลุกขึ้นจะชก แต่มันไวกว่า
ขึ้นมาคร่อมผม พร้อมกับตบหน้า ซ้ายที ขวาที จนผมคอพับคออ่อน มันก็ยังไม่เลิกตบ ….

“อะ โอ้ย เจ็บ เจ็บ เลิกตบซะทีได้มั้ยยย” ผมจับมือมัน พร้อมกับลืมตาตะโกนใส่มันสุดเสียง
ไอ้ปิงถึงกับหน้าเหวอ

“ขอโทษ ก็เห็นไม่ยอมตื่นนี่ แล้วยังละเมออะไรเสียงดังซะ …” ปิงพยายามอธิบาย เพราะระหว่าง
ที่มันกำลังเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ ผมก็ละเมอดังลั่น ประมาณว่า อย่า อย่า ….

“นี่ ถามจริงเหอะ เมื่อคืนฝันอะไรอะวะ เช้าขึ้นมาไม่พูดกับปิงซักคำ” ปิงซักผมระหว่างที่เรากำลัง
เดินทางกันต่อ

“ป่าว ไม่ได้ฝัน” ผมยังคงรู้สึกเคืองๆ มันนิดหน่อย คงเป็นอารมณ์ที่ยังค้างติดอยู่กับความฝันเมื่อเช้านี้

“อย่าให้จับได้นะ ว่าฝันอะไรแผลงๆอะ” ปิงยั่วผม จนรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงตะหงิดๆ บ้าชะมัด
ผมฝันบ้าบออะไรเมื่อคืน สงสัยคงไม่ถูกับอาหารพิษณุโลกแหง่มๆ

เราเดินทางกันต่อกันตอนบ่าย มาถึงเชียงใหม่ก็ช่วงค่ำ รถไฟพาหนะแสนหรูก็พามาจอดเทียบ
ชานชราจังหวัดเชียงใหม่ มาถึงมันก็นำผมไปเรียกรถแดงไปส่งที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ผมก็
ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก แต่ก็คิดว่า มันก็พอจะพึ่งพาได้เหมือนกัน มาอาบน้ำกันเสร็จ ไอ้ปิงมันก็
ยังอยากไปเดินไนท์บาซา

จากที่พักจนถึงไนต์บาร์ซาผมก็นั่งหัวสั่นหัวคร่อนไปเป็นระยะๆ ผมสังเกตุดูรู้สึกว่า ทีนี่จะค่อนข้าง
คึกคัก ไม่เหมือนแถวโรงแรมเลยทีเดียว คนโคตรเยอะเลย ของก็โคตรเยอะ อะไรก็เยอะไปหมด
แต่คนน่ารักไม่ค่อยเยอะแฮะ (ซะม่ะไหร่ล่ะ ตรึมครับตรึม ฮ่ะฮ่ะ)

“พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปดอยสุเทพกัน” ปิงบอกแผนการ

“แล้วก็ไปน้ำพุร้อนกัน”

“แล้ววันกลับก็ค่อยไป บ่อสร้างกัน” มันว่า ผมก็พยักหน้าเออออ ตาม เพราะไม่รู้อะไรนี่นา
แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า รถสามล้อที่นี่ขับรถเร็วโคตรเลย ระหว่างที่เราตัดสินใจโบกกลับที่พักในคืนนั้น

เช้าวันต่อมา อากาศสดชื่น สดใส ทำให้ผมรู้สึกมึนหัวแปลกๆ ทั้งที่บรรยากาศดีแบบนี้น่าจะรู้สึก
กระตือรือล้นที่จะทำกิจกรรม ไม่เหมือนไอ้ปิงที่ดูจะสดชื่นทุกวินาที

“ไปกันยัง เร็วเหอะ เดี๋ยวคนจะเยอะ” ปิงว่า พลางคะยั้นคะยอ

“ปวดหัวหว่ะ ไม่รู้เป็นไร” ผมนั่งบ่นอยู่บนเตียง

“โห ไรอะ” มันทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เดินเข้ามา นั่งข้างหลังผม

“มาเดี๋ยวปิงนวดให้ รับรองหาย” ว่าแล้วก็ค่อยๆกดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ

ลมหายใจของปิงแทรกผ่านลำคอผมแผ่วเบา จนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมค่อยๆ
เอนหลังไปพิงที่ตัวของปิง มือปิงจากที่นวดไหล่ผม เปลี่ยนมาเป็นโอบกอด พร้อมกับซุกหน้าไว้
บนบ่าผม

“ไม่อยากลุกไปไหนเลยหว่ะ” ผมเผลอพูดความรู้สึกออกไปโดยไม่รู้ตัว

ปิงหอมแก้มผมนึงที

“ทำไมวันนี้รู้สึกพูดเอาใจจัง”

“ไม่ได้พูดเอาใจซะหน่อย แต่มันรู้สึกแบบนี้นี่หว่า” ผมบอกไปเขินไป ปิงมองมาซักพัก
ก่อนที่จะโน้มตัวมาด้านหน้า พร้อมกับประกบริมฝีปากด้วยความแผ่วเบาแต่อ่อนโยน
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ขัดขืน พร้อมกับเอื้อมมือลูบท้ายทอยเบาๆ ปิงถอนปากออก ยิ้มหวาน

ผมเห็นปิงที่อยู่ตรงหน้า ช่างเป็นภาพที่ผมไม่ลืมเลือน รอยยิ้มที่สดใส อบอุ่น มีเสน่ห์ในแบบ
ของเค้า ผมเอื้อมมือไปลูบไล้ที่ใบหน้าของปิง เจ้าตัวไม่ได้ปัดป้องอะไร แต่กลับหลับตา
ปากก็ยังอมยิ้มให้ผมอยู่ ผมพยายามจดจำใบหน้าของคนที่ผมรักไว้ให้มากที่สุด โดยที่ไม่รู้สึก
ตัวเองว่า ทำลงไปทำไม …

“คิก เล่นอะไร เสียวนะเว้ย” ปิงจับมือผมออกจากหน้าของเค้า

“ถ้ารู้ว่าเล่นด้วยแบบนี้ เมื่อคืนไม่ปล่อยให้รอด มาลูบแบบนี้ร๊อกก” มันพูดยั่วผมอีก พลาง
จับมือผมฉุดให้ลุกขึ้น

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวันนี้”

“ม่ายด้ายย อุตสาห์มาเชียงใหม่ทั้งที ถ้าไม่ได้ไปดอยสุเทพ ก็เหมือนไม่ได้มาอะดิ ไปเร็ว อย่าดื้อ”
ปิงบอกผม พร้อมกับใช้กำลังบังคับมาขึ้นรถจนได้

* * * * * * * * * * * *


“โอ้ตไหวเหรอป่าว” ปิงถามผมขณะที่ต้องนั่งรถขึ้นมาบนดอยสุเทพ  

“เวียนหัวนิดหน่อย แถมหูมันอื้อๆด้วย” ผมตอบ

“ก็งี้แหละ ทนหน่อยนะ ขึ้นมาบนดอย”

ผมมองหน้ามันแล้วยิ้ม

“ยิ้มอา – ไร” ปิงถามทำหน้าเขิน

“อือ ... เก่งวิทย์นี่นะ คราวก่อนก็มุมอาซิมุส คราวนี้ก็แรงดันอากาศ” ผมแซว

“แต่มีอีกวิชาเก่งกว่านี้อีก” ปิงหันหน้ามาทำเสียงหื่น

“เพศศึกษาไง”

“ไอ้บ้า ..หันหน้าไปเลยป่ะ”

หลังจากที่รถพาเราวนขึ้นไปถึงดอยด้วยความยากลำบาก เพราะนอกจากทางเป็นภูเขาแล้ว
รู้สึกว่าคนที่มาเที่ยวก็มากพอสมควร มาถึงจุดหมายในเวลาบ่ายแก่ๆ

“อธิฐานอะไรล่ะ” ผมถามปิง เพราะเห็นมันนั่งสวดอยู่เป็นนานสองนาน

“ไม่บอก ... ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่

“เด๋วรู้ .. ”มันตอบกวนตีน

พวกเราใช้เวลาในการเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจขับรถลงเข้าตัวเมือง ซึ่ง
กว่าจะถึงโรงแรม ก็เกือบค่ำแล้ว

“คืนนี้ไปกินข้าวไหนดีอะ”ปิงถามผมเสียงเพลีย

“กินในโรงแรมนี่แหละ ขี้เกียจออกไปข้างนอก” ผมตอบ

“โห ไปเหอะ เดี๋ยวมะรืนก็กลับแล้ว นะ นะ” ปิงอ้อนผม

สรุปว่า ค่ำนี้ หลังจากที่เราปล่อยให้โชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก แนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ก็ได้มานั่งอยู่ที่
ร้านอาหารร้านหนึ่งแถวคูเมือง

“รู้ป่าว ในบรรดาอาหาร 4 -5 ภาคเนี่ย ปิงชอบอาหารเหนือที่สุดเลย” มันว่าพลางตัก
แกงฮังเลซดเฮือก

“เฉยๆหว่ะ มันไม่ค่อยคุ้นลิ้นด้วยล่ะมั้ง แล้วมันก็โคตรเผ็ดเลย” ผมบ่น

ลมเย็นๆพัดผ่านมาวูบใหญ่ ผมเห็นปิงเงยหน้าสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าเปื้อนยิ้มของปิง
ดูมันช่างน่าหลงใหล

“รู้มั้ย ทำไมปิงอยากมาเชียงใหม่” ปิงถามผมพลางเอาหลอดวนในแก้วเหมือนเด็กๆ ไม่ทันที่
จะรอให้ผมตอบคำถาม มันก็ชิงตอบก่อน

“ปิงอยากมีความทรงจำดีๆกับคนที่ปิงรัก .. ที่นี่ ”

“อยากพาโอ้ตมาเห็นบ้านเกิดของปิง” เค้าบอกผมพลางเอื้อมมากุมมือผมเบาๆ

“ปิงเกิดที่นี่ ?? ”

ผมถามด้วยความฉงน เพราะปิงไม่เคยบอกผมเลย และก็แน่ใจว่าไม่เคยบอกใครๆในห้องด้วย

“แล้วไม่เอะใจเหรอไงว่า ทำไมเราถึงชื่อ – ปิง-” มันพูดยิ้มๆ

“... อ๋อ ก็เพราะ เพราะ เออ เพราะ ....เชียงใหม่ มีแม่น้ำ ปิง ไหลผ่าน ใช่ป่ะ ” ผมบอก

“แม่เห็นแม่น้ำปิงช่วงที่มาเที่ยวเมืองเชียงใหม่กับพ่อ ตอนกำลังท้องปิงได้เกือบ 8 เดือน ...
คิดดูท้องขนาดนั้นแล้วยังพามาเที่ยวไกลขนาดนี้ ไม่ห่วงลูกตัวเองมั่งเล้ยยย ” มันเล่าไปยิ้มไป

“แต่ก็รอดมาได้ถึงป่านนี้นี่นา” ผมบอก

“ช่าย ... แล้วอีกวันสองวัน แม่ก็คลอดปิงก่อนกำหนดที่นี่ ... ทันทีที่แม่รู้สึกตัว
แม่บอกกับพ่อว่า ขอตั้งชื่อลูกว่า.. ”

“ปิง .. ” ผมตอบแทน พร้อมกับเห็นปิงทำท่าทียืดอกอย่างภาคภูมิใจ จนผมอยากจะ
กัดมันซักดอกสองดอก แต่ก็ได้แต่อดกลั้นไว้

- แม่น้ำแห่งความทรงจำยังงั้นเหรอ แม่น้ำที่ทอดผ่านตัวเมืองที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน
ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมถึงเป็นที่มาของชื่อเด็กชายคนนึง ซึ่งตอนนี้เค้านั่งอยู่
ข้างตัวผมเอง ผมชักอยากเห็นแม่น้ำสายนี้จัง -

* * * * * * * * * * * *


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:13:51
“มืดแล้ว รีบกลับเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ต้องไปที่อื่นต่อ” ผมคะยั้นคะยอปิงให้กลับโรงแรมได้แล้ว
เพราะยิ่งนานไป ก็ยิ่งหารถยากขึ้นเท่านั้น 

“อือ กลับก็กลับ ตอนนี้แรกว่าจะไปไนต์บาซาอีกคืนนะเนี่ย” ปิงบ่นกระปอดกระแปด

“ป่านนี้แล้วมันจะยังมีรถแดงอีกเหรอไง” ปิงว่า

“เราว่าขึ้นรถตุ๊กตุ๊กเหอะ เร็วดีด้วย”

“จะดีเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล

“อือ ”ปิงพยักหน้า พลางโบกรถตุ๊กตุ๊กคันนึงที่เห็นอยู่ไวๆ

ชั่ววินาที ผมรู้สึกถึงลางบอกเหตุบางอย่าง รถกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ

- ทำไม? - ผมนึกในใจพร้อมกับจิตใจที่เริ่มรู้สึกถึงพะว้าพะวนอย่างบอกไม่ถูก
รถเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทุกที จนในที่สุดก็มาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าเราสองคน

ผมเห็นปิงตรงเข้าไปบอกสถานที่พักของเรากับคนขับรถ ผมพยายามสังเกตท่าทางของคนขับ
พร้อมหันไปทางปิงซึ่งกำลังก้มตัวเข้าไปในรถ ผมอ้าปากตั้งใจจะบอกให้รอคันต่อไปจะดีกว่ามั้ย ....
ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา ปิงฉุดมือผมขึ้นไปนั่งข้างหลังรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น

คนขับแรงเครื่องยนต์ทะยานออกจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว

“ปิง บอกให้เค้าขับช้ากว่านี้เหอะ” ผมกระซิบบอกปิง แต่ปิงก็ทำหน้าบู้บี้

“ไปเรื่องมากกับเค้า ระวังโดนขวดเหล้าตีหัวหรอก ไม่เห็นข้างหน้ารถเหรอไง” เมื่อเจอไม้นี้
เข้าผมก็เงียบกริบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“.......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เฟี้ยววววววววววววววววว

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เอี้ยดดดดดด

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคนขับรถที่บิดเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วขึ้น มันไม่ดีเลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้ กับสภาพคนขับรถที่ผมเห็นก่อนขึ้น ... ถ้ามีอะไร อ๊ะ ไม่ซิ เราจะคิด
เรื่องแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ผมภาวนาอยู่ในใจ

ในระหว่างที่กำลังจะถึงเลี้ยวทางแยกไฟแดง คนขับหันมามองดูข้างหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ ....
ช่วงจังหว่ะนั้น รถมอเตอร์ไซต์คันนึงพุ่งออกมาจากอีกด้านของถนน

“เฮ้ยยย ไอ้เหี้ย” คนขับรถสบถออกมาด้วยท่าทีตกใจสุดขีด

“เฮือก ... ” ผมได้ยินเสียงหายใจตัวเองหยุดลง

ชั่ววินาทีต่อมา รถโดยสารพยายามเบรกตัวเอง ในขณะที่คนขับอยู่ในอาการตื่นตกใจ แต่พยายาม
หักพวงมาลัยให้ไปอีกด้าน รถเสียการทรงตัวทันทีพร้อมกับแรงที่เกิดจากความเร็วมหาศาลก่อนหน้านั้น
รถตุ๊กตุ๊กแฉลบออกผ่านเส้นเลน แล้วปะทะเข้ากับขอบทางกั้นถนน ตัวรถครูดเข้ากับขอบที่กั้น
เกิดเป็นสะเก็ดไฟร่วงลง

“หวา หวา!!!! ”

แรงกระแทกทำให้ตัวรถกระเด็นมาอีกด้านนึงของถนน ตอนนี้รถเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง และถลา
ตรงไปด้านหน้าแล่นตรงเข้าหาเสาไฟฟ้าคอนกรีต

ชั่ววินาที ผมสัมผัสได้ถึงร่างของปิงเข้ามาโอบกอดผมไว้ พร้อมๆกับเสียงโครมใหญ่ และแรงสั่นสะเทือน
มากมายที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่า ร่างของตัวเองกระเด็นออกมาจากนอกรถ
พร้อมๆกับปิง ซึ่งบัดนี้ถูกแรงกระแทกกระเด็นหลุดจากตัวผมไปอีกด้านนึง

ครืด ครืด ครืด

“อือ อือ ” ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่เจ็บปวดทั่วร่างกาย ก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเห็นล้อรถ
หมุนคว้างด้วยความมึนงง ดวงตาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างพล่าเลือน พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง
รู้สึกถึงของเหนียวเหลวๆตรงฝ่ามือ

เลือด !?

“อะ โอ๊ยย” ผมเริ่มร้อง แต่ก็นึกในใจถึงปิง ไม่ได้ยินเสียงปิงเลย ผมพยายามเงยหน้า เลือดเริ่มไหล
ลงมาด้านข้างศีรษะ มาที่แก้ม จนมาหยดลงที่คาง แต่ผมไม่สนใจ...

“ปะ ปิง ... ปิง ”

ผมพึมพำเรียกชื่อคนรักซ้ำไปมา ในขณะที่เริ่มมองไปที่รอบๆ ผมเห็นคนขับรถติดอยู่กับตัวรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น
ปิงไม่ได้อยู่ในรถ !?

“อา ปิง ปิง” ผมเริ่มเพ่งมองไปรอบๆอีกครั้ง ผมเจ็บ ปวด ทรมาน แต่ผมอยากเจอปิง - -
บนพื้นถนนด้านข้างถัดออกไปเล็กน้อย - - แสงไฟฟ้ากระพริบถี่ ติดๆดับๆ ผมเห็นร่างอันชุ่มไปด้วย
เลือดของปิงนอนกลิ้งอยู่

“ปะ ปิง ปิง ปิง” ผมพยายามพยุงตัวด้วยแรงทั้งหมดเข้าไปหาเค้า มันยากลำบากเหลือเกิน ผมคิดในใจ

-ไม่ - ผมได้แต่คิด ไม่มีเสียงอะไรเปล่งออกมาจากตัวผม .... และตัวปิง

ผมพยุงร่างตัวเองมาถึงตัวเค้า จับแขนเขย่าไปมาด้วยความอ่อนแรง ผมไม่มีแรงเหลือแล้ว ...

ไม่มีแล้ว

“ปิง ได้ยินมั้ย ปิง ” ผมเริ่มเขย่าแรงขึ้น เลือดของผมหยดลงบนร่างของปิง รอยด่างดวงที่เกิดจากเลือด
ของปิงเริ่มขยายวงกว้างขึ้นบนพื้นถนน

“ปะ ปิง อย่าเป็นอะ อะ อะ ไร นะ ... ” ผมเริ่มร้องไห้ น้ำตาผมไหลออกมา ผสมกับเลือด
เหนียวข้นของตนเอง .....และทุกสิ่งก็ดับวูบลง

* * * * * * * * * * * *


(ดนตรีประกอบก๊อป url ไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/76.swf )


ในห้องคนไข้อุบัติเหตุนอก ผมรู้สึกตัวขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะได้กลิ่นฉุนของยา
ในโรงพยาบาล ผมเกลียดกลิ่นนี้ ผมคิดว่า ถ้าได้กลิ่นนี้ มันจะนำความทุกข์มาให้ มันไม่มีอะไรดีเลย
ผมคิดในใจ ในระหว่างที่สติสัมปชัญญะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก 

- ที่นี่ที่ไหน ? -

ผมมานอนทำอะไรที่นี่กัน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ แล้วจึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรุกล้ำเข้ามาทันที
ผมเห็นพยาบาลที่อยู่ใกล้ตัวเดินเข้ามาหาผม

“อย่าพึ่งขยับเขยื้อนค่ะ น้องตอนนี้น้องได้รับบาดเจ็บอยู่ ยังเคลื่อนไหวไม่ - -”

“แล้วเพื่อนผมล่ะ”ผมโพล่งออกมา ผมนึกออกแล้ว รถโดยสารที่ผมนั่งมา เกิดอุบัติเหตุ รถหักหลบไป
ชนกับเสาไฟฟ้า แล้วจากนั้น .....

“ปิง .. ปิง เพื่อนผมอยู่ไหน” ผมละล่ำละลักถามพยาบาลที่มีท่าทีตกอกตกใจ

“ตอนนี้เพื่อนน้องอยู่ในห้องไอซียูคะ หมอกำลังรักษาอยู่ ใจเย็นๆนะคะ ตอนที่น้องสลบอยู่ทาง
โรงพยาบาลติดต่อกับญาติของน้องได้แล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมาเชียงใหม่นะคะ”

พยาบาลพยายามอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ตอนนี้ใจผมยังพะวักพะวนอยู่ที่ห้องไอซียู

- ปิง ... ไม่นะ ... ทำไมตอนนั้น ถ้าเราไม่ยอมขึ้นรถตอนนั้น มันคงไม่ .....-

- ปิง เราขอโทษ ปิง ... ถ้าเรา ...........- ผมเฝ้าโทษแต่ตัวเอง

ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

“พี่คับ พาผมไปห้องฉุกเฉินนะคับ” ผมอ้อนวอนพยาบาลอยู่เป็นเวลานาน ในทีแรก เธอไม่ยอมอยู่ท่าเดียว
จนผมทรุดตัวลง แล้วยกมือไหว้พี่เค้าท่วมหัว

“พี่ครับ ได้โปรด พาผมไป - -” ผมเริ่มสะอึกสะอื้น แล้วในที่สุดพยาบาลสาวก็พาผมไปที่ห้องๆนั้น
ตอนนี้ไฟสีแดงที่ขึ้นว่าฉุกเฉินดับลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้ารักษาปิงเสร็จแล้วหรือยัง ย้ายปิงออกไปหรือยัง
แล้วหมอยังอยู่มั้ย เมื่อพยาบาลทำสัญญาณให้ผมเข้าไปได้ ผมจึงค่อยเดินเข้าไป

ตึก ตึก ...

ผมเดินอ้อมผ่านผ้าขาวที่ขึงปิดร่างปิงเอาไว้ มองให้เห็นคนรักผมชัดเจนยิ่งขึ้น ........

ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากเงยหน้าไปมองเครื่องตรวจระดับการเต้นของชีพจรภายในห้อง บัดนี้
เส้นสีเขียวนั้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความมีชีวิตอยู่ของคนที่นอนอยู่

“ปิง” ผมเรียกชื่อเบาๆ ไม่จริง สมองผมเริ่มสั่งการณ์ขัดแย้งกับภาพที่เห็น

- มันเกิดอะไรขึ้น -

ผมเริ่มเบลอ พร้อมกับพึมพำชื่อคนรัก เท้าผมไม่มีแรงแม้กระทั่งเดินไปหาปิงที่เตียง

“ ปิง ยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ยังมีชีวิตอยู่ - - ฮึก .... - - ฮึก - - ฮึก ”

ผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป แม้ว่าหยาดน้ำตาที่กำลังหยาดหยดลงบนพื้น หยดแล้วหยดเล่า จะมากแค่ไหน
แต่ผมก็ไม่รู้สึก ทุกอย่างชาและเงียบสงัด

- ปิงยังมีชีวิตอยู่ ............... ใช่มั้ย -

ผมตั้งคำถามในใจ เท้าผมเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า แม้จะอ่อนแรงเต็มที ผมเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน

ชายในชุดขาวของโรงพยาบาลนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ผมมองไปที่ใบหน้าของปิง มีร่องรอยที่
เกิดจากแรงกระแทกตามตัวของปิง แต่ใบหน้าของปิง ไม่มีร่องรอยบอบช้ำ ดวงตาปิดสนิทเหมือนกำลัง
หลับอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ

ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ใบหน้าของปิง สัมผัสอุ่นๆ ที่เริ่มจะลดระดับลงเรื่อยๆ ความร้อนในร่างของปิง
เริ่มหายไปทีละนิด ทีละนิด ผมสัมผัสไปทั่วไปหน้า หน้าผาก ตา จมูก แก้ม ริมฝีปากบางสีชมพูเริ่มซีดลง

แม้ว่าร่างกายจะอิดโรยซักเพียงไหน แต่จิตใจที่แหลกสลายของผมตอนนี้ มันสร้างความเจ็บปวดและ
ทุกข์ทรมานแสนสาหัสนัก ผมไม่เคยต้องสูญเสียใคร ผมไม่ต้องการ .....แม้ว่าผมจะร้องไห้
จะทุรนทุรายแค่ไหน บัดนี้คนรักของผม จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ...

ร่างของผมทรุดลงไปกับพื้น เสียงร้องไห้ของผมดังขึ้น ดังขึ้น ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ไม่มีอีกแล้วคนที่ผมคอยดูแลผม ไม่มีอีกแล้วคนที่ห่วงหา คนที่เฝ้าบอกรัก เคยมีคนบอกว่า
การที่เราได้เลิกรักกับใครซักคนนึงมันเจ็บปวด แต่มันก็ยังรักษาหายได้ แต่ความทุกข์ทรมาน
ที่ต้องทนอยู่กับความรักที่ยังมีอยู่นั้น มันเจ็บปวดยิ่งกว่า ... ทั้งๆที่ความรักกำลังดำเนินอยู่
มันยังไม่ได้สิ้นสุดลงไป แต่มันจบลงด้วยความตายของอีกฝ่าย

แม่น้ำแห่งความทรงจำของปิง ผมอยากเห็นมันเหลือเกิน แต่บัดนี้ ผมคงจะต้องกลับไปชื่นชมมัน
แต่เพียงผู้เดียว เพียงลำพัง เพราะคนอีกคนนึง ได้จากไปแล้ว....

* * * * * * * * * * * *

รูปที่มีภาพผมถ่ายกับปิงร่วงหลุดมือโดยไม่รู้ตัว น้ำตาผมหยดแหมะลงไปบนหน้าสุดท้ายของบันทึกที่
ผมเขียนเอาไว้หลังจากที่กลับมาที่บ้าน สมุดบันทึกความรักที่ผมตั้งใจเขียนความทรงจำทุกๆอย่างเกี่ยว
กับผมกับมัน ผมตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่กลับมาเปิดมันอีก เพราะทุกครั้งที่เปิด ทุกครั้งที่ผมเห็นรูป
ไอ้ปิง อดีตที่ฝั่งใจมันย้อนกลับมาหาผม เหมือนเกลียวคลื่นที่พัดเข้าฝั่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ปกติแล้ววันนี้ ผมคงต้องตามเจ้าปริ้นไปดูมันซ้อมลีดด้วย แต่ผมกลับอยากลงไปอุดอู้อยู่ในห้องใต้ดิน
ที่อยู่ใต้ห้องนอนปริ้นมากกว่า

ก่อนหน้าที่ปริ้นจะมาอยู่ที่นี่ ผมแอบเข้ามาปัดฝุ่น จัดตู้เตียงที่ห้องข้างล่างนี้ โดยไม่ให้ใครรู้ พร้อมกับ
วางสมุดบันทึกไว้ ผมอยากให้ปิงหลับอยู่ที่นี่ อยู่ข้างใต้นี้ เวลาที่ผมคิดถึงมันจนทนไม่ได้ ก็มักจะลงมา
ข้างใต้นี้ นอนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า … ทำไม มัจจุราชต้องพรากคนที่ผมรักไปด้วยวิธีการที่โหดร้ายถึง
เพียงนี้ ?

คืนนี้ ก็เช่นกัน ผมค่อยเดินผ่านความมืด ไขประตูด้วยกุญแจสำรอง พร้อมกับเดินลงไปห้องใต้ดินด้วย
ความคุ้นเคย เวลานี้ ผมน่าจะคิดถึงปริ้นนี่นา ผมต้องคอยดูแลปริ้นนี่นา ทำไมผมถึงต้องมานั่งขลุกอยู่ในนี้

เพราะตลอดเวลา .. ผมยังลืมปิงไม่ได้ใช่มั้ย

ร่างกายผมค่อยๆนอนแผ่ลงบนเตียง ผมกลับมาเป็นคนขี้แย่ อ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สายตาผมค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆ จิตใจผมมันช่างเปราะบางซะเหลือเกิน


* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้กับฝาบ้าน
พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้นนิดหน่อย
ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก

5 นาที ...

ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่ช่วย
ให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย ก็ต้องมา
นั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมดเวงหมดกรรม
และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน ไล่มาตั้งแต่ ผอ.
ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ

“เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

นั่นเป็นคำพูดแก้ตัวของผมซึ่งชอบใช้อยู่บ่อยๆ และมันก็ได้ผลซะด้วยซิ ผมยังคงรู้สึกงงๆ กับ
บรรยากาศที่คุ้นตา และพยายามหาอะไรบางอย่าง แล้วเสียงแรกที่ได้ยินก็คือ

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของเด็กเก(เร) คนนึงอยู่ ผมหัน
ไปมองว่าเป็นใคร อ้าว ไอ้เหี้ยเต้ยนี่เอง

“โดนตีอีกแล้วเหรอไงวันนี้” ผมถามด้วยความสมเพชหน่อยๆ

“ที่ถามนี่ เป็นห่วงกูเหรอว่า สมน้ำหน้ากู” ไอ้เต้ยถามผมเสียงเขียว

“ทั้งสองอย่างปนๆกันหว่ะ หนักไปอย่างแรก” ผมตอบหน้าชื่น

“ไอ้เวร เด๋วโดนต่อยเปรี้ยง” มันทำหน้ากำหมัดมาต่อย แล้วก็ตะคอกใส่ผม

“แย่งไอ้ปิงไปไม่พอ ยังทำให้มันตายอีก สาดดด” เต้ยพูด

“มึง โดนกูต่อยซะดีๆ เหอะ กูอยากมานานแล้ว” พูดไม่พูดปล่าว ผมเห็นไอ้เต้ยกำหมัดแน่น
พุ่งมาที่ผมด้วยความเร็ว

พลั๊กก ...

มีแขนของคนๆนึง รับหมัดของเต้ยเอาไว้ ผมหันไปมอง

“ปิงงงง” ผมตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ ระคนแปลกใจ

ปิงยิ้มให้ผม แล้วพูดต่อ

“ไม่เห็นต้องตะโกนขนาดนั้นเลย อยู่ใกล้แค่นี้เอง ปิงได้ยินแล้ว .... ” ปิงว่า

“ม่ะไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีห่ะโอ้ต”

“ก็ ... ก็ เราฝันไปอะดิ ฝันว่า นาย .... นาย ตาย” ผมพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก

“นายทิ้งเราไป แถมยังผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย”

ปิงยังคงยิ้มให้ผม พลางพูดขึ้นมา

“ก็ปิงก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา ก็ยังอยู่เนี่ย เห็นป่ะ แล้วก็ไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ”

“แต่มีคนบางคนนี่ดิ ไปแอบมีแฟนเด็กแล้วไม่ใช่เหรอไง” ปิงถามผมเสียงขุ่น

“หมายความว่ายังไง” ผมตอบแบบงงๆ

“ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้ไปเที่ยวกันเหอะ อยากเที่ยวหว่ะ” ปิงชวนผมพลางดึงมือ

“เฮ้ย เที่ยวได้ไง เรียน เรียน นี่อยู่ในโรงเรียนนะ” ผมแหวใส่

“โดดเหอะ วันนี้ ไม่ต้องเรียนมันหรอก ”

ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไร ผมเลยตัดสินใจโดดเรียนเป็นครั้งแรกไปกับปิงมัน และก็ถือว่าเป็นวันแรก
ที่ผมได้เที่ยวกับมันแบบหัวราน้ำเลยทีเดียว รู้สึกสนุกยังไงบอกไม่ถูก ทั้งเดินบิ๊กซี ดูหนัง หาอะไรกิน
เหมือนกับเวลามันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว จนเราสองคนเดินกลับเข้ามาในโรงเรียนอีกครั้ง ก็พลบค่ำแล้ว

“หนุกป่ะ วันนี้” ปิงถามผม

“หนุกดีหว่ะ ฮ่ะฮ่ะ ไม่เคยโดดเรียนแล้วสนุกแบบนี้”

“อืมม หนุกก็ดีแล้ว” ปิงว่า พลางมองดูนาฬิกา

“จะมืดแล้ว เราแยกกันตรงนี้ล่ะกัน” ปิงบอกแล้วมองหน้าผม

ผมจับมือปิงไว้ เหมือนกับไม่อยากให้มันหนีไปไหนอีก

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” ผมถามเสียงสั่น

ปิงส่ายหน้า พยายามดึงตัวออกห่างผมไป

ตาผมทั้งสองข้างปริ่มไปด้วยน้ำตา ภาพปิงข้างหน้าเริ่มพล่ามัว แต่มือผมยังคงจับมือเค้าไว้มั่น

“ปิง ... ถ้านายรักเราจริงๆ ทำไมนายต้องจากเราไปด้วย อยู่กับโอ้ตที่นี่เถอะ ... ฮึก ... ”
ผมเริ่มสะอื้นไห้ เพียงหวังว่าคนรักจะเห็นใจและไม่หนีไปไหนอีก

รอยยิ้มที่อบอุ่นเปื้อนหน้าปิงอีกครั้ง แต่ในแววตา ผมเห็นความเศร้าโศกที่ไม่อาจมองทะลุผ่าน

“ปิงสัญญาว่าจะอยู่กับโอ้ตตลอดไป ...... เวลาที่โอ้ตเหงา ปิงจะคอยอยู่ข้างๆ .....
เวลาที่โอ้ตไม่สบาย เราจะคอยดูแล ..... เวลาที่โอ้ตเสียใจ เราจะคอยปลอบโยน .....
แล้วเวลาโอ้ตมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วยกัน เข้าใจใช่มั้ย”

ปิงบอกผม พลางเดินเข้ามากอดตัวผม ที่กำลังสะอื้นไห้ กี่ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้ร้องไห้กับใครแบบนี้
กี่ปีที่ผมต้องทนทุกข์กับความทรงจำอันโหดร้าย ความรู้สึกนี้ไม่มีใครที่จะมาทดแทนได้ หลังจาก
ที่ปิงจากไป ผมพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น กลับเป็นคนที่เงียบขรึม ผมไม่อยากที่จะรักใครอีก

ผมรู้สึกเหมือนกับเค้าจะรับรู้ความรู้สึกนี้

“โอ้ต ... ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยต้องสูญเสีย ไม่เคยมีใครสมหวังหมดทุกอย่าง ไม่มีใครมีความสุข
ได้ตลอดเวลา ”ปิงเอามือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตาเค้า

“ปิงอยากให้โอ้ตใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ตอนนี้โอ้ตมีคนที่ต้องคอยดูแล มีคนที่ต้องรัก ...
และที่สำคัญที่สุด เพื่อตัวเอง .... ” ปิงพูดทั้งน้ำตา พร้อมกับผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ ต่อไปโอ้ตจะต้องผ่านอะไรอีกมาก ... มากจนเกินกว่าจะคิดถึงแต่อดีต ปิงดีใจนะ
ที่โอ้ตไม่เคยลืมปิง ”

ปิงหยุดพูดพลางปาดน้ำตาตัวเอง

“ปิงจะรออยู่ตรงนี้ ... จะรอโอ้ตอยู่ตรงนี้นะ วันใดวันนึง เมื่อโอ้ตเหนื่อย เมื่อโอ้ตอยากพักผ่อน
เมื่อหมดสิ้นภาระทุกอย่าง .... ”

ปิงยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย

“เราสองคนจะได้เจอกันอีกแน่นอน ”

ปิงลูบหัวผมเหมือนกับที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ความรู้สึกที่ผมสามารถจับต้องได้ ค่อยๆพร่ามัว ไปทีละนิด
ทีละนิด ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

นาทีแล้วนาทีเล่า ผมลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกชื้นแฉะบนเตียงที่กำลังนอนอยู่

ผมดันตัวขึ้นไปหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง ภาพที่บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตของผม เรื่องราวที่
สนุกสนาน รอยยิ้ม มิตรภาพ และความโศกเศร้า ผมบรรจงวางรูปถ่ายนั้นลงในกล่อง แล้วเปิดตู้ เก็บไว้ใน
ลิ้นชักที่ลึกที่สุด รอวันที่จะหยิบมันขึ้นมาดูอีก และเมื่อถึงวันนั้น ... เมื่อหยิบมันขึ้นมาดู ผมคงจะนั่ง
หัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับนึกถึงคนรักคนแรก .... คนที่รักผมสุดหัวใจ และมีผมเป็นคนรัก ...
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:17:22
part3
บ้านพักอลเวง รักหายไป..แต่หัวใจยังอยู่.#1

*เครดิตชื่อตอนมาจากชื่อจากหนังสือของคุณดอกไม้สีขาว สำนักพิมพ์ the book lover ครับ*


“เฮ้ยยย โค้กกก ขี่ช้าๆกว่านี้ก็ได้” ผมพยายามตะโกนให้เสียงมันทะลุเข้าไปในรูหูของไอ้โค้ก

“ว่าไรนะพี่ ไม่ได้ยิน ”

“บอกให้ขี่ช้าๆหน่อย” คราวนี้ผมโน้มตัวเองให้ใกล้หูมันที่สุด จนหน้าอกแนบชิดกะแผ่นหลังของมัน
เลย ทำไมรู้สึกเขิลจังวะกรุ

ไอ้โค้กมันบิดเบาลง แต่ก็ยังขี่ฉะเวิ้บฉะว้าบอยู่ดี

โอ้ตมันจะโกรธผมเหรอป่าววะ ที่เอาของๆมันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนั้น ?

ผมคิดในใจ แล้วก็เป็นความกังวลใจหนึ่งเดียวที่ตามราวีผมมาตั้งแต่ออกนอกโรงเรียน โอ้ตมันจะเชื่อ
เหรอป่าวนะ ว่าผมยังไม่ได้เปิดอ่านอะไรหนังสือเล่มนั้นเลย ผมเกือบจะหลุดปากถามเพื่อนที่อยู่ใน
รูปที่ถ่ายคู่กันกะโอ้ต แต่พอเห็นสีหน้าของมันตอนเห็นหนังสือเล่มนั้น ผมก็รู้สึกว่า โดนดีดออก
มาเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้

“พี่ปริ้น … พี่ - -”

“ห่ะ ห่ะ ว่าไง” ผมตกใจเสียงเรียกไอ้น้องโค้ก

“ลงรถได้ยังพี่ ถึงแล้ว หนักนะเนี่ย” โค้กมันบ่นไล่ผมลงจากมอไซต์มัน โอ่ว นี่ถึงโดยไม่ทันรู้ตัว

ผมรอให้โค้กมันล็อกคอมอไซต์เสร็จก็เดินเข้าไปในบ้านพี่ต่ายพร้อมกัน พอเข้ามาบริเวณที่พวกลีดซ้อมกัน
อยู่ๆ น้องโค้กมันก็หยุดเดินคับ

“เหี้ยเอ้ย …” มันสบถออกมาเบาๆ ผมได้ยินก็เลยหันไปหา ก็พบว่าสายตามันมองตรงไปที่ใครบางคน
ผมก็เลยหันมองตามไป ก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายหน้าไม่คุ้นกำลังยืนเก๊กท่าซ้อมท่าอยู่กับพี่ๆผู้หญิงที่เป็นลีดกันอีก
4 คน

“หวัดดีพี่ท็อป พี่ต่าย พี่ บลาๆๆๆ” ผมไล่ไหว้พี่แต่ละคนไปจนทั่วก่อนที่จะมาจบลงที่พี่ซาย คนสอนท่าเต้น

“มาช้านะเราสองคน .. ที่หลังรับผิดชอบให้มากกว่านี้ อย่าให้พี่คนอื่นๆเค้าต้องคอย” พร้อมกับเทศนาผมกะ
ไอ้น้องโค้กอีกหลายคำ

“เออ .. ปริ้น โค้ก มานี่” พี่ท็อปมันก็เรียกไปหาพวกลีดที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดวางท่าทางอยู่ ดูเหมือน
ไอ้โค้กมันอิดออดไม่ยอมเดินไปไงม่ะรู้

“นี่ไอ้กั๊ก (?) มาเป็นลีดแทนตาล (พี่ผู้หญิงคนที่ออกไป) ” ผมมองหน้าไอ้กั๊ก คนชื่อแปลก พร้อมที่
พี่ท็อปอธิบายว่ามันเรียนอยู่ ม. 4 ก็ชั้นเดียวกะไอ้โค้กอะล่ะ แล้วก็บอกสาเหตุที่พี่ตาลมาเป็นลีดไม่ได้
ไอ้น้องกั๊ก นี่บอกตรงๆว่ามองแบบผ่านๆแล้วเป็นพวกขี้เก๊กเลยล่ะ ดูแมร่งหยิ่งมากๆ

“หวัดดี ” ผมยิ้มทักมันแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“ครับ” มันตอบหน้าตาย ทำให้รู้สึกว่ารอยยิ้มที่ใบหน้าผมหุบลงไปในทันใด ผมเลยเหลือบไปหา
ไอ้โค้ก (ดีกว่า)มันก็ทำหน้าเซ็งๆฮะ ผมว่าไอ้สองคนนี้มันต้องมีอะไรเบื้องลึกกันแน่ๆ หรือว่ามาน
ไม่ถูกกันวะ

ไอ้พี่ท็อปนี่แมร่ง ตอนเรื่องกีฬาก็ไปมีเรื่องกะอีกห้องนึง พอเรื่องลีด ก็ไปพาคนม่ะถูกกันมาอยู่ด้วยกันอีก ..
รู้สึกสงสารไอ้โอ้ตขึ้นมาทันใด เหอๆ

ที่ว่าวันแรกว่าหนักแล้ว วันนี้ยิ่งหนักกว่าเก่าอีกครับ เพราะอีเจ๊พี่ซายมันดันรีบให้ขึ้นเพลงแรกเลย แถม
มีบังคับให้ทำให้ได้ภายในวันนี้ด้วย … กว่าจะพอผ่านมาตรฐานแก ก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง

“พอใช้ได้ อย่าลืมไปซ้อมล่ะกันที่บอกไว้ บลาๆๆๆๆๆ” พี่ซายแกก็พ่นอีกราวยี่สิบนาที ก็ปาเข้าไป
เกือบสองทุ่มพอดี หมดกัน … หมายถึงรถป2 ที่นั่งกลับบ้าน มันหมดแล้ว

“พี่ปริ้น รีบกลับป่าว ไปหาไรกินป่ะ ? ” น้องโค้กมันชวนมีเหรอจะพลาด

“เออ ก็ดี กลับตอนนี้ก็ไม่ทันรถแล้ว” ผมว่า

“อ้าวแล้วกลับไงอ่ะ”

“ก็ต้องรอรถสายยาวอ่ะดิ” (หมายถึงรถสายที่จะลงไปใต้ประมาณหัวหิน ประจวบ อะไรเทือกนี้อ่ะคับ)

“กินไรอ่ะพี่” มันว่าพลางขึ้นคล่อมมอไซต์พลางสตาร์ต

“อยากกินผัดไท”

“กินไรบ้านๆอีกแระ - - - อ่ะๆ ขึ้นรถ” มันรีบบอกเมื่อเห็นผมทำท่าจะเบิร์ดกะโหลกมัน

* * * * * * * * * * * *


ไอ้น้องโค้กมันก็พามากินผัดไทตรงสี่แยก *** อ่ะ วันนี้คนน้อยโชคดีไป

“ถามไรหน่อยดิ” ผมอดสงสัยไม่ไหว

“อ้าอะไออั้บ ”

“โห เมิงมารยาททรามอย่างแรง จะแดกหรอจะพูด ก็เอาซักอย่างก่อน” ผมไม่พอใจเล็กๆ หน้าตาก็ดี
แมร่งอย่ามาซกมก

โค้กมันก็รีบกินน้ำอัดๆเข้าไป แล้วก็ทำท่าทางเรียบร้อย แกล้งรอฟังผมถามตาแป๋ว…..

สาดดด น่ารัก

ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนๆ ดูมานเปล่งประกายยังไงก็ไม่รู้ มันทำให้คนที่พบเห็นต้องหัวใจอ่อนยวบยาบ

“เออ ทำไมต้องจ้องขนาดนั้นวะ” ผมบอกเขินๆ ตอนนั้นม่ะได้ใส่ใจหรอกคับ ว่าพูดออกไปแบบนั้น
มันจะรู้ป่าววะว่าทำไมผมต้องเขิน

“เอ้า ไรเนี่ย จะถามไรก็รีบถามพี่ หิว” มันพูดพร้อมกับคีบเส้นผัดไทขึ้นมาเตรียมส่งเข้าปาก

“เรากะไอ้กั๊กนี่มีอะไรกันเหรอป่าว ”

แกร็งงง เสียงตะเกือบมันหลุดลงมาข้างนึง

“ม่ะ มีอะไรกันนี่คืออะไรพี่” เสียงมันเปลี่ยนเป็นเครียดแทน

อ้าว มันถามแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกทะแม่งๆ

“ก็พี่รู้สึกว่าทำไมเราม่ะค่อยชอบหน้ามันนี่ ไม่ใช่หรอ”

ไอ้โค้กมันหยิบตะเกียบคู่ใหม่ขึ้นมา แล้วก็ทำวนๆเส้นให้พันรอบตะเกียบ

“ก็เออ…”

“ทำไมวะ ทะเลาะกันเรื่องไร” ผมเริ่มเสือกเรื่องของชาวบ้านเค้าอีกแระ ป่าวหรอก
จริงๆคืออยากรู้ว่ามันมีอะไรกันป่าว เพราะผมม่ะชอบเป็นเหมือนไม้กันหมาเหมือน
อย่างวันนี้

เป็นใครก็ต้องสงสัยคับ เพราะว่าไอ้โค้กมันไม่เข้าไปใกล้กะไอ้น้องกั๊กเลย ทั้งๆที่ตำแหน่งของ
โค้กมันอยู่กลาง ประกบด้วยผมกะไอ้น้องกั๊ก แต่นี่มันเปลี่ยนที่กะผมเฉยเลย แถมทำท่าทาง
หงุดหงิดบ่อยๆอย่างที่มันไม่เคยเป็น (เท่าที่พึ่งได้รู้จักกันมาอ่ะนะ)

“ว่าไง .. ”

“……. ม่ะมีไรหรอกพี่ จะรู้ไปทำไมว้า” มันหลีกเลี่ยงที่จะตอบ

“งั้นเด๋วพรุ่งนี้ไปถามไอ้กั๊กเองก็ได้วะ มีอะไรจะได้เคลียๆกันไปเลย” ผมแกล้งหลอกมัน

“บ้าป่าว ขืนไปถามมันนะ ผมเอาพี่ตายแน่ ” แน่ะมันมีขู่โว้ย

“เออ เล่าก็ได้วะ” มันทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมเล่าโดยดี ผมทำท่าทีกระหยิมในชัยชนะ (ที่ได้สอดรู้
เรื่องชาวบ้านอีกเรื่อง นับจากเรื่องไอ้คิวกะไอ้ซัง หุหุ) พลางดูดน้ำนึงทีเป็นการฉลองชัย

“ที่ผมไม่ชอบมัน ก็เพราะว่ามันมาชอบผมอ่ะ” มันเหมือนหน้าแดงหน่อยๆ

“อุ๊ก อุ๊กๆๆ” ผมแทบจะสำลักน้ำกันเลยทีเดียว

“ห่ะ ว่าไรนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ มาชอบเมิง”

“ทำไมล่ะ ก็คนมันมีเสน่ห์อ่ะคับ” มันพูดพลางยืดอก

“ไอ้บ้า ไอ้หลงตัวเอง” ผมด่ามัน แต่ในใจก็ยอมรับว่ามันจริง 555 กรุยังรู้สึกหลงๆเลย

เอ๋ … งั้น ก็แปลว่า ไอ้น้องโค้กเนี่ย เป็นพวกเกลียดเกย์อะดิวะ …..ซวยแล้วกรุ

“อ้าว งั้นเมิงก็เป็นพวกเกลียดเกย์ เกลียดตุ๊ดอ่ะดิ” ผมแสร้งถามแบบลอยๆเนียนๆ

“โห พี่ ผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้นนนนนน …. ห้องผมอะ ตุ๊ด กาเทยตั้ง 4 – 5 คน ผมยังไม่เกลียดเลย
ไม่เกี่ยวๆ”

“อ้าวแล้วทำไม - - - ”

“ก็พี่คิดดูดิ ไอ้เหี้ยนั่นนะ พอมันมาบอกชอบผมปั๊บ มันก็แบบคาดคั้นอยากให้ผมเป็นแฟนมันอ่ะ
แล้วพอผมบอกว่าเป็นเพื่อนกันเหอะ มันก็ทำเป็นไม่พูด ไม่คุยกะผมอีกเลย ผมเคยทักมันนะ แต่
มันก็ทำเป็นไม่เห็นผมอ่ะ คิดดู”

โค้กมันพูดไปมะโหไป เออ ถ้าเป็นผมก็คงม่ะโหอ่ะล่ะ

ความรักมันไม่ได้ต้องจบด้วยคำว่าต้องเป็นแฟนกันนี่หว่า ความรักมันเป็นอะไรได้มากกว่านั้นตั้งเยอะ

“แต่ดูๆไปแล้ว กั๊กมันก็ไม่เห็นจะแสดงอาการอะไรกะเมิงเลยนี่นา ” ผมเริ่มรู้สึกสนิทกะไอ้โค้กพอสมควรแล้ว
ก็เลยเริ่มเปลี่ยนสรรพนามเพื่อเพิ่มความแมน เอ้ย เพื่อความหนิดหนม

“โห พี่ หน้ามันตายขนาดนั้น ขี้เก๊กขนาดนั้น มันไม่แสดงให้รู้หรอกพี่ ว่ามันคิดอะไรยังไง” ไอ้โค้กเริ่มแฉ

“ถ้าผมไม่บอก พี่ก็คงม่ะรู้ใช่ม่ะล่า ว่ามันจะเป็นเกย์ ”

“เออดิ”

“เปลี่ยนเรื่องๆ เหอะพี่ เออ แล้วห้ามไปบอกใครเรื่องนี้ล่ะ ”

“เออ ไม่บอกหรอก - - - เลี้ยงด้วยล่ะกัน ค่าปิดปาก ”

“โห ไรวะ” มันทำหน้างอเลยคับ แต่สุดท้ายผมก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ ให้น้องสุดน่ารักออกได้ไงล่ะ ผมก็
เลยเป็นฝ่ายเลี้ยงมันแทน พร้อมกับบอกมันให้ใจเย็นๆ ไงก็ต้องร่วมงานกันอยู่ดี

“แล้วพี่จะกลับเข้าบ้านไง รถมันไม่ผ่านหน้าบ้านพี่หนิ”

“ไม่เป็นไร เด๋วเพจให้ไอ้ - - ให้พี่โอ้ตมารับ” ผมบอกมันโดยไม่ทันนึกว่ามันไม่รู้ว่าผมกะโอ้ตอยู่
บ้านเดียวกัน

“พี่โอ้ตเนี่ยนะ ? ” มันทำหน้างง

“อ่อ พี่กะโอ้ - - พี่โอ้ตเป็นญาติกัน”

“ไมหน้าไม่เห็นเหมือนกันเลยล่ะ ”

“ว้อย…!! จะสงสัยอะไรมากมาย ”

ว่าไปไอ้น้องโค้กมันก็ดีนะคับ รอจนรถที่ผมจะขึ้นมาก็เกือบจะสี่ทุ่ม แล้วก็แยกกัน โชคดีที่มีมอไซต์รับจ้าง
ผ่านมาพอดี เลยไม่ต้องเพจรอให้โอ้ตมันมารับ พอผมกลับมาถึงบ้านความคิดแว่บเลยคือ ต้องโดนด่าอีก
แน่นอน แต่ผิดคาดคับ ยายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าโอ้ตมันบอกเรียบร้อยว่า
จะกลับดึก

“วันหลังก็กลับพร้อมกับนะปริ้น … เจ้าโอ้ตมันดูซึมๆยังไงบอกไม่ถูก” ยายผมพูดเป็นนัยๆ

“คับ” ผมรับปาก แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน

แกร๊กก

อ้าว กรุไม่ได้ล็อกประตูบ้านเหรอวะเนี่ย

ผมคิดในใจ แล้วก็เดินเข้ามา ว่าจะรีบไปอาบน้ำนอนเพราะรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

“เฮ้ยย ..!! ”

ผมสะดุ้งเมื่อเห็นโอ้ตมันเปิดประตูออกมาจากห้องนอนผม ดูมันก็หน้าเสียเหมือนกันล่ะ

“โอ้ตขอโทษ คือ โอ้ต - - -”

ตอนแรกผมก็รู้สึกฉุนเล็กน้อยนะ ที่ทำไมมันเข้ามาในบ้าน ในห้องผมได้ไง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าโอ้ตมัน
คงลงไปที่ห้องใต้ดินเพื่อเอาของที่ผมเอาขึ้นมาลงไปเก็บแน่ๆ แล้วที่สำคัญ โอ้ตมันคงมีกุญแจหรือ
อะไรซักอย่างที่สามารถเข้าออกบ้านได้ แล้วที่สำคัญ … โอ้ตดูท่าทางซึมมากเลยครับ

เหมือนกับพึ่งผ่านเรื่องไม่ดี เรื่องเศร้าๆมางั้นล่ะ หรือว่ามันโกรธผมวะ

“โอ้ต… เป็นอะไร” ผมรีบคว้าข้อมือมันไว้ เมื่อเห็นมันกะลังเลี่ยงเดินออกไป

“ปล่าว ไม่ได้เป็นอะไร”

“โอ้ต … อย่าทำแบบนี้ดิ มีอะไรก็ - - -” ผมยังพูดไม่ทันขาดคำ โอ้ตมันก็หันมากอด ตัวผมกะตัวโอ้ต
ก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไร หน้าโอ้ตมันก็พิงที่ไหล่ได้พอดี

“โอ้ต” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเป็นแบบนี้ แต่ผมรู้สึกว่าโอ้ตตอนนี้มีความทุกข์
เกินกว่าที่ผมจะรับรู้ได้

“โอ้ต … ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ผมปลอบ แล้วก็เอื้อมมือลูบหัวโอ้ต พลางกับตบหลังเบาๆเป็นการปลอบ

โอ้ตยืนกอดผมอยู่นานพอดู แถมบางทีก็มีช่วงที่ตัวมันสั่นๆ ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันกำลังร้องไห้
มันก็คงไม่อยากให้ผมเห็นความอ่อนแอมากนักหรอก

“ขอโทษนะ โอ้ตขอโทษนะปริ้น …” มันกระซิบแผ่วเบาข้างหูผม แล้วก็ผล่ะออกมาจับที่บ่าของผม

“ต่อไปนี้ โอ้ตจะมีปริ้นแค่คนเดียวนะ โอ้ตจะไม่คิดถึงใครอีกแล้ว ” โอ้ตมันพูดไปมือก็เกาะกุมบ่าผมไว้
แน่นเลย

งงอ่ะ โคตรงงเลย มันหมายถึงอะไรหว่า ?

“อะ อืมม ขะ ขอบใจ” ผมตอบได้แค่นั้นล่ะ

“โอ้ต ร้องไห้เหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม มันก็คงรู้ตัวล่ะ เพราะยังเห็นคราบน้ำตาอยู่ชัดเลย

“ฮ่ะฮ่ะ ร้องให้กับเรื่องเด็กๆน่ะ” มันยิ้มได้ซะที ผมค่อยโล่งอก

“โดนใครขมขื่นมาเหรอป่าว ถึงได้ร้องขนาดนี้เนี่ย” ผมแซว

“เดี๋ยวปั๊ดโดน พูดจา”

“โดนอาราย ”

มันไม่พูดอะไร แต่ก็เอื้อมมือมาคว้าคอผมไว้ ไม่ให้หนี แล้วก็ประกบปากจูบซะงั้น แฮะๆ ผมก็ไม่ได้ขัดขืน
ไรหรอก 55

“ไม่คิดจะขัดขืนหน่อยเหรอไงครับคุณปริ้น” โอ้ตมันถอนปากออกมาพูด

“ไม่อะ ขี้เกียจ 555” ผมหัวเราะ แต่หน้าตัวเองนี่คงแดงเถือก พูดไม่อายเลยกรุ

“นะ ไอ้นี่บ้ากามจริงๆ แล้ว - - ป่านนี้ยังไม่อาบน้ำอีก” โอ้ตมันเริ่มดุแบบเก่าอีกแล้ว เซงเรย

“โหย ก็พึงกลับง่ะ” ผมบ่นพลางค่อยๆจะถอดเสื้อออก โอ้ตมันก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วก็ลากผมเข้าไป
ในห้องน้ำอ่ะ

“เฮ้ย เข้ามาทามมาย”

“จะอาบให้ไงเล่า ” มันพูดพลางทำท่าจะถอดเสื้อผม

“ไม่ต้อง !!! อาบเองได้ โตแล้ว” ผมพูดแล้วก็รีบผลักมันให้ออกไปจากห้องน้ำโดยไว มันก็ทำขืนตัวไว้คับ

“งั้นแค่สระผมให้ก็ได้ นะ” มันพูดพร้อมทำสายตาเว้าวอน

“เออๆ ก็ด่ะ” ผมยอมแพ้คับ ไม่งั้นไม่ได้อาบแน่คืนนี้

“ถอดเสื้อออกซิ” ผมมองหน้ามันแบบ โห สั่งเลยน้า พอถอดไม่ทันไร มันก็เอามือมาลูบที่หน้าอกหน้าใจ
ผมซะอย่างงั้น

เสียวว้อยยยย

“เฮ้ย ไม่เล่น …” ผมพูดพลางเอามือปัดมือมันออก อารมณ์ไหนของมานฟร่ะ ม่ะกี้ยังเศร้าๆอยู่เลย

“เอ้า นั่งลงดิ เดี๋ยวก็เปียกหรอก แล้วทำไมไม่ถอดกางเกง เดี๋ยวก็เปียกอีก” มันว่า พลางเปิดฝักบัว

“ไม่ถอดอ่ะ เด๋วค่อยถอดตอนอาบ” ผมว่าพลางนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กแล้วก็ก้มหัว ให้ตายดิ เกิดมานอกจาก
พ่อแม่ผมยังไม่เคยให้ใครมาสระผมให้เลยนะ (ไปตัดผม ก็กลับมาสระเอง)

ซู่ ………

มือไอ้โอ้ตมันก็วนไปวนมาบนหัวผมคับ รู้สึกแปลกๆอ่ะ จักจี้ๆ ผมรู้แล้วอ่ะ ว่าทำไมหลายๆคนถึงชอบ
ให้แฟนสระผมกันจัง มานเป็นอะไรที่กุ๊กกิ๊กกันดี เหอๆ

ซักพัก มันก็เทแชมพูลงบนหัว แล้วก็แกล้งยีๆให้มันเละๆ

“โอ้ยยย เบาๆเด๊ ”

“555” แต่มันก็เบามือลงครับ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนวดแทน อ่า สบายโคดๆ ระหว่างที่กำลังเคลิ้มๆอยู่
นั้นโอ้ตมันก็จับหัวผมให้เงยหน้าขึ้น ฟองสบู่แทบจะเข้าตากันเลยทีเดียว

“มีรายยย”

โอ้ตมันก็จ้องตา ผมก็แบบโคตรแสบตาเลย แต่ก็แบบมองตอบ เด๋วมันโกรธอีกหาว่าไม่มองหน้า

“ปริ้น …”

“หือ”

“โอ้ตรักปริ้นนะ” มันว่า ทำหน้าตาจริงจัง จนผมต้องหลบตาอ่ะ ว้อยยย มาพูดไรกันตอนนี้ว้า

“อือ”

“แล้วปริ้นรู้สึกไงกับโอ้ต โอ้ตยังไม่รู้เลย โอ้ตมันถามผม พร้อมกับปาดเอาฟองแชมพูที่กำลังจะไหล
เข้าตาผมออกไป

“ก็ …. ก็”

ตอนนี้มือไอ้โอ้ตข้างนึงมันเลื่อนมาที่ติ่งหูผมอ่ะ แล้วก็คลึงๆ เหมือนมันก็ลืมตัว อ๋อยยยยย ….

“ปริ้นก็ชอบโอ้ต ”

“แค่ชอบเหรอ” มันทำหน้าเจือนเล็กน้อย

“โอ้ต ขอเวลาปริ้นอีกนิดได้ป่าว - - - ปะ ปริ้น ไม่เคยรักใครมาก่อน ”

ผมพยายามจะอธิบายความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้กับโอ้ตมันเรียกได้ถึงขนาดว่ารักเหรอป่าว คำว่ารัก
ของแต่ละคนมันมาตรฐานไม่เหมือนกันนี่นา แล้วผมก็แน่ใจว่าที่ผมยังให้คำตอบว่ารักไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่า
มีไอ้น้องโค้กเข้ามาเป็นประเด็นซักนิด ความรู้สึกที่ผมมีกับโอ้ตมันมากกว่าแล้วก็ไม่เหมือนกับน้องโค้กแน่นอน

โอ้ตมันก็ยิ้มให้ผม

“ไม่เป็นไร โอ้ตจะรอนะ ตอนนี้แค่ชอบก็พอแล้ว” มันว่าแล้วก็จับหัวผมให้ก้มลงไปต่อ

“ขอโทษนะ”

“จะขอโทษโอ้ตทำไม รอให้ปริ้นรู้ใจตัวเองแน่ๆก่อน ไม่ต้องขอโทษโอ้ตหรอก” มันว่าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึก
ผิดเลยอ่ะ

พอมันสระผมให้เสร็จ ก็เดินออกมานอกห้องน้ำ ไปหยิบผ้ามาเช็ดหัวให้

“ไม่ต้องเช็ดหรอก เด๋วก็ต้องอาบน้ำอีกอยู่ดีล่ะ”

“อาบก็อาบซิ ไปรีบเช็ดหัว เดี๋ยวก็หวัดกินพอดี ” มันว่า แล้วก็จับหัวผมมาเช็ดๆ อ่า แมร่ง อบอุ่นดีหว่ะ
โคตรรู้สึกดีเยย

“เอ้า เสร็จแล้วคับคุณชาย รีบอาบน้ำแล้วก็รีบนอนล่ะ เดี๋ยวก็ตื่นสายอีกพอดี”

“ค๊าบบบบ ”

ก่อนที่มันจะออกจากห้องไป มันก็แอบขโมยหอมแก้มผมทีนึง

“ฝันดีนะครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ^^”

“ค๊าบบบบ”  
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:18:21
2 อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนตอแหลคับ กิจวัตรประจำวันผมนอกจากเรียนแล้ว ตอนเย็นก็ต้องรีบแจ้นไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่ายทุกวัน พอถึงเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้นต้องนั่งรถมาซ้อมอีก เหนื่อยมากกกกกกก ทักษะการเต้นผมก็ดูอ่อนที่สุด แต่ทำไงได้ล่ะ รับปากเค้าไว้แล้ว ที่สำคัญผมไม่อยากให้โอ้ตมันผิดหวังในตัวผมคับ ที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ (แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยหวังอะไรในตัวผมก็เหอะ)

มีอยู่ช่วงนึงที่เกิดปัญหาทำให้ผมปวดหัวขึ้นมาอีก มันเป็นเรื่องของซังกะไอ้คิวนั่นเองฮะ หวังว่าคงจำไอ้สองตัวนี่ได้นะ

“ปริ้น ..!! ซังมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย” มันเดินมาบอกกับผม ก็เลยพากันไปนั่งหลังสวนป่าแดง มันจะมีศาลา
เล็กๆอยู่แถวนั้น

“มีไรป่าว” ผมดูขอบตามันคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลย คาดว่าปัญหามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแฮะ

“ปริ้น …..” น้ำเสียงมันแย่เอามากๆ จนอดหวั่นใจไม่ได้ แล้วน้ำตาหยดแรกก็ร่วงลงมากระทบกับแก้มใสๆของมัน

“เง้ย .. ซัง เป็นไร” ผมตกใจรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาซัง

ผมพึ่งเคยเห็นมันเสียใจจนร้องไห้ก็ครั้งนี้ครั้งแรกเลย ถึงแม้เราจะรู้จักกันมาไม่ถึงปีก็เหอะ ซังมันเป็นคนที่เข้มแข็งพอสมควร มันเกิดไรขึ้นวะ ?

“คิวมัน … ไอ้เหี้ยคิวมัน” คราวนี้น้ำตามานพรั่งพรูออกมาเป็นสายเลย

“คิวมันเป็นไร ? ” ผมตกใจนึกว่ามันถูกรถชนตายเหรอไงวะ โถ พึ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ม่ะคาบที่แล้วเอง

เอ๋ คงไม่ใช่อย่างที่คิดมั้ง”

“เราคิดว่ามัน …. เราเห็นมัน…” ซังมันละล่ำละลักไม่สมกับเป็นมันเลยตอนนี้

“มันไปมีคนอื่นเหรอ” ผมถาม

“อือ” มันเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อ

“แล้ว … แน่ใจได้ไง เข้าใจไรผิดเหรอป่าว ”

ซังมันสั่นหน้าแทนคำตอบ

“เมื่อคืนพอซังจะปิดร้าน ก็เลยโทรไปหามันจะให้ซื้อของทำรายงาน แต่มันบอกว่ากลับเข้าบ้านแล้วขี้เกียจ ซังเลยขี่มอไซต์ไปซื้อเอง - - -”

“อืม”

“- - - แต่ซังเห็นมันไปนั่งแดกไอติมที่ร้านน้าไอ้อิม (เพื่อนที่อยู่ห้องอื่นอะฮะ) - - ”

“แล้วอยู่กับใคร ? ”

ซังมองหน้าผมด้วยแววตาที่ฉายด้วยความผิดหวังละคนคับแค้นใจ

“กัส ! ”

“ใครคือกัส” ผมถามด้วยความที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

“กัส - - ”

“- - เป็นแฟนเก่าของไอ้คิว ซังมันตอบเสียงเบา แล้วก็ทุบกำปั่นตัวเองลงกับพื้นหินอ่อน

“ฟะ แฟนเก่า !? ”

“อือ”

ผมมองซังด้วยความสงสารจับใจ ทำไมไอ้คิวถึงทำแบบนี้นะ


* * * * * * * * * * * *

“ปริ้น …..!! - - -”

โอ้ย เรียกกูอีกแล้ว

“- - - มีสมาธิเต้นหน่อย คนอื่นเค้าพร้อมกันหมดแล้ว ตัวเองยังทำไม่ได้เลยนะ เป็นอะไร !! ”

ฉอดๆๆ

“ขอโทษคับพี่” ผมบอก

“วันนี้เป็นไรพี่ ดูไม่ค่อยใส่ใจเต้นเลย” ไอ้โค้กหันมาถามผมซึ่งนั่งซ้อนมอไซต์มาส่งผมที่ป้ายรถ

“ไอ้บ้า ใครไม่ใส่ใจ … แค่มีเรื่องให้คิดตะหาก” ผมบ่น

“มีเรื่องไร บอกผมได้นา”

“เอาเหอะ ไม่ใช่เรื่องของพี่หรอก เรื่องของเพื่อนอ่ะ”

“- - - งั้นรีบกลับป่าวคับ” มันหันมาถามอีกรอบ ผมละกลับมันขี่รถชวนตายแบบนี้เจงๆ

“เฮ้ย .. ดูรถ - - เออๆ ไม่รีบอ่ะ”

“งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย” มันพูดเองเออเองเสร็จแล้วก็หันรถขี่กลับเข้าไปในเมือง


* * * * * * * * * * * *

“อ่ะ ว่ามา …..”

“ว่าอะไร ? ” ผมถาม

“ก็เรื่องเพื่อนพี่ไง ที่ไม่สบายใจอยู่อ่ะ” มันว่าพลางยิ้มหวานใส่ผม

“อะไรวะ ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะเล่าให้ฟัง”

“มีเรื่องเก็บไว้มันไม่ดีหรอกพี่ เรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้อ่ะ ผมถนัด หุหุ”

“แล้วเมิงรู้ได้ไง ว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ ? ”

“โหพี่ วัยรุ่นจามีเรื่องไรให้กลุ้มใจอีกเล่า” มันเอาสีข้างเข้าถู

“เออ … ไอ้แก่ เก่งนักทำไมเรื่องตัวเองยังเอาตัวม่ะรอดวะ” ผมกัดมัน

“โด่ ผมเนี่ยนะเอาตัวไม่รอด”

“อ้าว ก็เรื่องไอ้ก้ง ไอ้กั๊กนั่นไง ถ้าเก่งจริงทำไมยังทำงอลกันอยู่อ่ะ” เหอๆ กัดได้สะจายผมมาก

โค้กมันหุบยิ้มทันที กระแทกช้อนกะส้อมกินเอาๆไม่พูดกับผมอีกเลย = =’’

“ผมไม่ได้งอนนะพี่ มันกร”ะแทกจาน แล้วก็พูดเสียงดุกับผม

“ทำไมผมต้องงอนมันด้วย ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันนะ”

มันพูดเสร็จแล้วก็สะบัดตูดขึ้นมอไซต์บิดออกไปเลย โดยทิ้งผมไว้ทีร้านอ่ะหล่ะ


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

ว้อยยย ไอ้ซังไม่รับโทรสับคับ แล้วทีนี้ผมจะไปขึ้นรถได้ไงเนี่ย ขี้เกียจเดินด้วย มืดแล้ว แต่ในที่สุด ผมก็ต้องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆด้วยตัวเองคับ น่าเศร้าอย่างแรง เดินเรื่อยมาจนถึงวัดมหาธาตุ (เลี้ยวตรงนี้แล้วเดินไปอีกพักนึงก็ถึงที่ขึ้นรถแระ)

“เฮ้ย เด็กเทป มาเดินไรอยู่คนเดียว” เสียงแบบนี้ แล้วเรียกผมแบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากไอ้เหี้ยคิว ขี่มอไซต์ของมันผ่านหน้ามาพอดี

“จะไปขึ้นรถกลับบ้าน ! ” รู้สึกว่าพูดเสียงแข็งไปหน่อย

“ขึ้นมาดิ เด๋วไปส่ง ”

“เดินอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ม่ะต้องหรอก” ผมว่าพลางในใจก็โกรธแทนไอ้ซัง ระหว่างไอ้คิวกะซังผมเลือกยืนข้างซังมันเต็มตัวอ่ะ

“เป็นไรเมิงเนี่ย มันพูดเสียงไม่พอใจ ” กูบอกให้ขึ้นงาย ทำไมชอบขัดใจกูจัง

“กูว่ามึงอ่ะ ไม่เอาใจแฟนมึงดีกว่าไอ้คิว” ผมพูดเผื่อว่ามันจะไปจี้โดนใจดำมันบ้าง

“อาไรเมิงเนี่ย พูดไรกูไม่เข้าใจ” แน่ะมันยังด้าน

“เออ ช่างมึงเหอะ กูกลับบ้านดีกว่า เสียเวลา” ผมบอกแล้วก็ผลักมันให้หลีกทาง

“เฮ้ย ก็กูบอกว่าเด๋วไปส่ง ” คราวนี้มันลากผมให้ขึ้นไปนั่งที่อานด้านหลัง ผมทำเสียงไม่พอใจนิดๆ แต่กลัวมันต่อยเอามากกว่าเลยเฉยไว้ เพราะไอ้นี่ขนาดคนรักมันยังทำได้ แล้วผมเป็นใครจะไม่โดน

“ขอบใจ” ผมพูดเมื่อมันมาส่งถึงที่แล้ว

“เออ ปริ้น กูมีเรื่องให้เมิงช่วยหน่อยอ่ะ”

“เรื่องไร”

“เมิงรู้ป่าวว่าไอ้ซังมันเป็นอะไร วันนี้มันไม่ยอมคุยกะกูเลยอ่ะ”

“กูจะรู้มั้ยล่ะ ไม่ใช่แฟนกูซะหน่อย” ผมพูดน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงรู้แน่ๆเลย มึงบอกมาไอ้ซังมันโกรธไร ” มันพูดไปมือมันก็เอามาจับตัวผมไว้

“ถ้ามึงอยากรู้ ก็ไปถามแฟนมึงเอง” ผมพูดเน้นเสียง

“ไอ้ปริ้นนนน !! ” คิวมันกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงจนหน้าผมไปประจันกับหน้ามัน ผมก็เดือดพอๆกะมันล่ะ
จ้องหน้ามันเขม็ง

คนแถวนั้นเลยมองแปลกๆแล้ว คงคิดว่ากะลังจะมีคนต่อยกันแน่ๆ

“กัส … คือใคร” ผมถามมันทั้งที่มันยังจับคอเสื้อผมอยู่แบบนั้นล่ะ แล้วก็ดูเหมือนได้ผลครับ ไอ้คิวหน้าเปลี่ยนสีไปเลย จนมือมันดูเหมือนคลาย ผมก็เลยสลัดจนหลุด

“มึงอย่าคิดว่าไอ้ซังมันโง่นะ …”

ผมไม่รู้หรอกนะว่า เสียงที่พูดไปมันเข้าหูไอ้คิวไปบ้างเหรอป่าว แต่ถึงเวลาที่ผมจะกลับบ้านได้ซะที


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด


“ว่าไง” ผมรับโทรสับโดยที่ไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา

“กลับบ้านช้า…”

“อ่า โอ้ต … คือ - - -” ผมกำลังจะแก้ตัว ถ้าโอ้ตมันจะมาด่าผมอีกคนคงทนไม่ไหวแน่ๆ

“รีบกลับนะครับ รอกินข้าวอยู่นะ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด” เสียงโอ้ตแว่วมาตามสาย แต่มันก็เพียงพอทำให้รู้สึก
ชุ่มชื่นหัวใจมากที่สุดตลอดวัน

“โอ้ต …”

“ทำเสียงแบบนี้ - - กลับมาแล้วค่อยคุยกันนะปริ้น” โอ้ตมันพูดแบบใจเย็นมากจนให้ผมรู้สึกใจสงบลงได้บ้าง

“คับ”

“เป็นห่วงนะ ”

“คับ พี่- - โอ้ต”

ผมวางสายเสร็จ ก็ผล่อยหลับไป ทั้งเหนื่อย ทั้งกลุ้มเรื่องซัง ทั้งโกรธไอ้คิว

ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

“คับ ว่าไงโอ้ต ”

“ผมโค้กคับ ม่ะใช่โอ้ต”

ผมสะดุ้งหายจากงัวเงียทันที มันรู้เบอร์โทรสับผมได้ไงวะ

“เอาเบอร์มาจากไหนเนี่ย”

“ขอจากพี่ท็อปดิ - - วะ ว่าแต่พี่ตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย”

“อยู่บนรถ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รอผมก่อนอ่ะ” มันพูดเสียงขุ่น ดูมันพูดเข้าไอ้เวน

“เออ พูดดีนี่หว่า แล้วใครมันงอนสะบัดตูดขี่มอไซต์ทิ้งกูไปล่ะวะเนี่ย”

“โห ผมป่าวงอนนะพี่ แค่ไปซื้อของหน่อยเดียวเอง” มันแก้ตัว แต่มันงอนชัวว์ๆ

“เออ ก็กลับแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”

“คับ งั้นก็สบายใจหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมทิ้ง หุหุ”

“ก็ทิ้งจริงๆนี่หว่า ไอ้บ้า”

“โห ว่าอีกแระ ”

“เออ ก็ว่าอะดิ ผมปริ้นนะคับ ไม่ใช่กั๊ก” ว่ะฮ่ะฮ่าๆๆ สะจายอีกแล้วคับผมที่ได้แกล้งน้องนุ่ง

“แค่นี้นะ ”

แล้วมันก็ตัดสายผมไปทันที ไอ้นี่มานงอนน่ารักเจงๆ เหอๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:18:52
“ตกลง ไอ้เหี้ยคิวมันเป็นเกย์เหรอเป็นไรกันแน่วะ” ผมพูด ทำหน้านิ่วกับซัง ซึ่งหน้ามันก็ใช่ว่าจะดีกว่าผมเท่าไร ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันคุยอะไรกันบ้างเหรอป่าว หลังจากที่ผมดันไปบอกเรื่องที่ซังเห็นไอ้คิวไปกะคนที่ชื่อกัสอะไรนั่น

กัส เป็นเด็กเก่าของไอ้คิวมันคับ เรียนอยู่อาชีวะ แถมที่ผมงงก็คือ กัสเป็นผู้หญิงแท้ๆด้วย (ม่ะใช่กระเทียม) ซังมันเลยเครียดกว่าเก่าคับ เพราะไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ไอ้คิวมันคบกะซังนี่ มันมีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องเหรอป่าว

“เฮ้ย ไม่หรอกซัง อย่าคิดมากดิ” ผมพยายามปลอบ

“ถ้ามันหวังจาหลอกใช้ซัง มันคงไม่เอาตัวเข้าแลก ยอมเป็น - - อะ เออ นั่นแหละ(เมีย) ซังหรอก” ผมพูดแบบเขินๆนิดหน่อย ปกติไม่เคยคุยไอ้เรื่องพวกนี้กะไอ้ซังมันหรอกครับ เหอๆ

“ตอนที่เรากับมันตกลงว่าจะคบกันเป็น - - แฟน มันสัญญากับเราว่า มันจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกะเด็กเก่าอีก” ซังพูดให้ผมฟังเสียงสั่นๆ โคตรน่าสงสารเลยอ่ะ

“มันบอกว่า มะ มันรู้ตัวว่ามันเป็นเกย์ - - - แล้วมันก็ไม่อยากหลอกผู้หญิงไปวันๆ”

“เออ … มันอาจจะแค่ไปกินไอติมกันเฉยๆเหรอป่าว มันอาจจะเป็นเพื่อนกันเฉยๆล่ะม๊าง”

ซังสั่นหน้าเหมือนจะไล่ความเห็นของผมออกไปให้พ้นๆ

“ถ้ามันแค่กินกันเฉยๆ มันจะโกหกทำไมกันอ่ะ” สายตามันเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเกรี้ยวแทน

“ปริ้นก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ธ่อ อย่ามะโหดิ” ผมชักฉุน

“เอาน่า อย่าพึ่งคิดไรมากเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ซังคิดก็ได้ ว่าแต่เมื่อคืนไอ้คิวมันโทรไปหาป่าว” ผมซักต่อ

“ไม่รู้ ดึงสายโทรศัพท์ที่บ้านออก” มันว่า นั่นดิ กรูโทรไปแมร่งม่ะมีติด -*-

“อ้าว แล้วงี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยอ่ะดิ”

“เออ”

“แล้วจะรู้เรื่องกันมั้ยล่ะเนี่ย ”

“ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ มันก็ต้องกล้ามาคุยกะซังซิ ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้ ” มันพูดแบบยังไม่หายโกรธ โถ พิษรักแรงหึงทำให้เพื่อนกรูกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปได้ไงฟร่ะเนี่ย

แล้วก็จริงๆครับ คาบเช้าทั้ง 4 คาบ ไม่เห็นหัวไอ้คิวมาเข้าเรียนเลย ซังมันก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น แต่มันก็ทำเหมือนว่าตั้งใจเรียนปกติ แต่พวกเพื่อนๆอย่างผมอะรู้สึกได้ บางคนมันก็มาซักผมว่า ซังมันเป็นอะไร ผมก็ไม่ต้องบอกว่า ไม่รู้ไปตามระเบียบ (จะบอกความจริงก็กระไรอยู่เจงป่ะ)

ตกบ่าย พี่ท็อปเดินตระเวนเอาเนื้อเพลงชุดใหญ่มาให้ผมท่องให้ได้ พร้อมกับโค๊ดอีกบานตะไท

“ไมมันเยอะแบบนี้อ่ะพี่ท็อป ”

“เอาน่า เดี๋ยวก็จำได้เองแหละ แล้วเย็นนี้ไปเร็วๆหน่อยนะ ใกล้กีฬาสีแล้ว” พี่ท็อปพูดแล้วก็ตบหัวผมทีนึงเป็นการหยอกเอิน อีกไม่ถึงเดือน จะถึงวันกีฬาสีแล้วคับ เฮ้อ ผมยังทำได้ไม่ถึงไหนเลย

“ไอ้ปริ้น” เสียงที่แสนคุ้นดังมาจากข้างหลัง

“อ้าว … มาโรงเรียนแล้วไมไม่เข้าเรียนอ่ะมึง …. เหรอว่าไม่กล้าสู้หน้าไอ้ซัง ” ผมแขวะมันทีนึง

ดูมันทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที

“ปริ้น เมิงจะพูดอะไร จะว่าอะไร กรุอยากให้เมิงรู้ที่มาที่ไปก่อนแล้วเมิงค่อยพูดนะ ไม่ใช่จะมาว่าแต่กรุ ” มันพูดพร้อมกับผลักอกผมเบาๆ ให้เดินเข้าไปในห้องเรียนที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย

“อะไรมึงเนี่ย จะหาเรื่องกูเหรอ” ผมว่าพลางขืนตัว

“กรุอยากให้เมิงช่วย ”

“มึงสร้างปัญหาเอง แล้วมึงจะมาให้คนอื่นเค้าช่วยมึงเนี่ยนะ ! ” ผมแหวใส่มัน แล้วก็เดินหลีกไปอีกทาง

“เด๋ว ….” มือมันเร็วพอที่จะคว้าแขนผมทัน

“กรุกะกัส ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจริงๆ” มันตะโกนใส่

“แล้วทำไมมึงไม่ไปคุยกะซังมันเองเล่า มาบอกกูแล้วกูจะช่วยอะไรมึงได้” ผมบอกอย่างหมดปัญญา อีกใจนึงก็ไม่ได้อยากเชื่ออะไรมันเท่าไรหรอก

“เมิงไม่เห็นเหรอ ไอ้ซังมันเอาแต่หลบหน้ากรุอ่ะ พอโทรไปที่บ้าน มันก็ไม่รับโทรศัพท์ จะให้คุยกะมันได้ไง” คิวมันพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ แล้วก็ทรุดลงไปนอนแอ้งแม้งเอามือก่ายหน้าผาก

“ที่กรุอยากให้เมิงช่วย - - - เพราะว่าเมิงเป็นเพื่อนกรุ กรุไม่เคยคิดว่าเมิงเป็นคนอื่น ไอ้ปริ้น” มันพูดทั้งๆที่ยังเอามือปิดตาอยู่แบบนั้น

อือ ใช่ ผมก็ฟังซังมันข้างเดียว มองอยู่ด้านเดียวกับที่ซังมันมอง ผมน่าจะฟังไอ้คิวมันบ้าง อย่างน้อย มันก็เป็นเพื่อนผมคนนึงนี่นา

ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน แล้วจะไปช่วยหมาที่ไหนล่ะวะ ?

ผมเอื้อมมือไปจับมือที่ก่ายหน้าผากมันออก แล้วก็ฉุดตัวมันขึ้นมา(ด้วยความยากลำบาก)

“มึงจะให้กูช่วยไร ? ” ผมมองหน้ามันที่อย่างน้อย ตอนนี้ก็ได้เห็นรอยยิ้มของมันเปื้อนหน้าอีกครั้ง

* * * * * * * * * * * *

“ซัง ไปดูหนังกันป่ะ ? ” ผมเดินหน้าแป้นแล้นเข้าไปทักไอ้ซังที่ยังไม่ยอมเลิกทำหน้าเครียดอยู่ในห้องเรียน

มันหันมามองแบบเหม่อลอยชั่วขณะจิตแล้วก็ลงไปฟุบต่อ

“เฮ้ย ไปดูจะได้หายเครียดนะ นะ” ผมพยายามคะยั้นคะยอมันสุดริด

“ดูที่หนายอ่ะ เพชรฯรามาเนี่ยเหรอ ? ” ดูมันเซื่องซึมจริงๆเพื่อนกรุ

“ม่ะช่าย เมิงจะไปดูหนังโป๊เหรอไง ไปดูกรุงเทพดิ ” ผมว่า

“จะบ้าเหรอไง ไปดูหนังเรื่องเดียวต้องไปดูกรุงเทพ ไอ้ปริ้น ”

“เออ …” ผมพยายามคิดคำตอแหล มันก็จริง จะไปดูหนังเรื่องเดียว แต่ต้องถ่อไปกรุงเทพ มันก็กระไรอยู่ แต่อย่างว่าครับ สมัยผมเรียนอยู่ที่เพชรบุรีเนี่ย มันไม่มีโรงหนังแบบ อีจีวี เมเจอร์อะไรเทือกนี้ซะหน่อย กว่าโรงแบบนี้มันจะเปิด ก็ตอนผมจบมัธยมกันแระ

“เออ … จริงๆ โอ้ต เอ้ย พี่โอ้ตอ่ะ ชวนไปดูพวกของจะทำแสตนด์เชียร์ด้วยไง แต่มัน เอ้ย พี่เค้าไม่รู้ว่าจาไปซื้อ
แถวไหนดี ก็เลยชวนปริ้นไปด้วยอ่ะ ก็เลยว่าจะไปหาหนังดูด้วยเลยไง”

ผมพูดแบบเนียนๆ แล้วก็ลุ้นว่าซังมันจะตอบตกลงเหรอป่าว ก่อนมันจะพูดอะไร ผมก็เอามือไปตบบ่ามันทีนึง

“ไปเหอะ .. เผื่อมันจะทำให้สบายใจได้บ้าง ”

“อือ ก็ด่ะ ไปวันไหนอ่ะ เสาร์นี้เหรอ ? ”

“ใช่แล้น …”

“แล้วไม่ต้องซ้อมลีดหรอ จะแข่งแล้วนี่” มันยังซักไม่เลิก เด๋วแมร่งไปต้องไปเลยดีม่ะ =*=

“เออ บอกพี่ท็อปแล้วล่ะ” ผมว่า พลางคิดไปว่า นี่กูต้องตามเคลียทุกเรื่องที่แหลออกไปอย่างยากลำบากแน่เรย ไอ้คิวเอ้ย เมิงเนี่ยทำกูเดือดร้อน

วันนี้เป็นวันพฤหัสฯ วันรุ่งขึ้นไอ้คิวก็ยังหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ก็มีผมนี่แหละที่รู้ว่ามันยังไม่อยากเจอหน้าซัง ส่วนซังไม่ต้องพูดถึงคับ ห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม แถมคาดการณ์ไปต่างๆนาๆ ว่าไอ้คิวมันต้องทิ้งมันไปหาอีกัส อะไรนั่นแน่นอน ผมก็พยายามทำเออออปลอบมันไป แถมผมยังถามมันเลยว่า ทำไมไม่คุยกะไอ้คิวให้รู้เรื่องไปเลย (จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนกูด้วย) มันก็ยังหยิ่งคับ ทิฐิมาก ไอ้เชี่ยเนี่ย

ตกเย็นวันนี้ไม่ต้องไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่าย แต่เค้าให้ลองมาซ้อมตรงหลังโรงเรียนที่เป็นตีนเขาแทน ก็มีพวกพี่ท็อปมาดูเหมือนเดิม

“พี่ท็อป” ผมเดินปาดเหงื่อเข้าไปหาพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่

“พรุ่งนี้ผมไม่ไปซ้อมนะคับ ติดธุระอ่ะ ”

ไอ้พี่ท็อปหันพลวดมาหาผมเลย ทำหน้างอแบบไม่มีเหตุผล

“ธุระอาไร !! ”

“คือ .. ไปธุระกะพี่โอ้ตอ่ะพี่”

“เห้ย ได้ไง ช่วงนี้มันก็น่าจะรู้อยู่ว่าต้องซ้อม ธุระห่าอาไรว้า” พี่มันพูดแบบหงุดหงิด พอดีกับไอ้โอ้ตดันเดินมาดูซ้อมพอดีอีก

โผล่หัวออกมาทำมายยย !!!!

“ไอ้โอ้ต พรุ่งนี้มีธุระห่าไรวะ น้องเค้าเลยไม่ต้องซ้อมกันพอดี ” ไอ้พี่ท็อปเดินเข้าไปหาเรื่องโอ้ตเลยอ่ะ ซวยแระ

“ธุระอะไร ? ” โอ้ตทำหน้างงแดก

“อ้าว ก็ปริ้นบอกกูว่า ต้องไปทำธุระกะมึงพรุ่งนี้เลยมาซ้อมไม่ได้ไง ”

ได้ยินเท่านั้นแหละ โอ้ตมันมองข้ามไหล่มาซบตากะผมทันที แว่บแรกแววตาของมานพูดทำนองว่า

- หมายความว่ายังไงฟร่ะ –

ผมกะลังจะส่งเซ็กส์ เอ้ย ซิกส์ทางสายตาให้โอ้ตมันแต่ไอ้พี่ท็อปดันเสือกหันมาทางผมก่อน

“อ้าว ยังไงปริ้น ทำไมโอ้ตมันไม่รู้เรื่องอ่ะ ”

ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำไงได้ล่ะโดนต้อนจนมุมซะขนาดนี้

“เฮ้ย ท็อป …” เสียงโอ้ตดังขึ้นมา

เหง่ง หง่าง เหง่ง หง่าง ------------------------ เสียงประหนึ่งระฆังสวรรค์มาช่วยกูแว้ว

“พรุ่งนี้ที่บ้านกูเค้าจะไปทำบุญกัน ไปกันทั้งบ้านแหละ กูไม่ได้บอกมึง เพราะคิดว่า ไงก็คงกลับมาทัน”

โอ้ตแก้ตัวให้ผม รู้สึกผิดอย่างแรงคับ ที่เอาชื่อมันมาอ้างแบบนี้ ฮึ่มๆ

“อืมม … งั้น ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ กูนึกว่าปริ้นมันจะขี้เกียจมาซ้อม ”

ซะงั้นอ่ะ ไอ้พี่ท็อป

พอเคลียอะไรกันเสร็จปุ๊บ โอ้ตมันก็ลากผมเดินแน่วๆ มายืนรอรถกลับบ้าน

“……………” เงียบ


“…………….” เงียบ


“เอ้า ไม่พูดอะไรเลยเหรอไง” เสียงโอ้ตพูดขึ้นมาก่อน แต่มันก็ไม่มองหน้าผมหรอก

“เออ .. ขอโทษนะ” ผมก็งุบงิบๆพูดไปตามเรื่องอ่ะ เหอๆ

“อยากรู้เหตุผลมากกว่า ไปโกหกท็อปมันทำไม”

“เหอๆ ก็ - - ก็ นิดหน่อยอะแหละ แต่ก็กะว่าจะบอกโอ้ตอยู่แล้ววว”

“แน่ใจ๋ ….” ทำไมโอ้ตไม่รู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ มันพูดแบบรู้ทัน แหม เกลียดคนรู้ทันเจงๆ

“ก็คือ เจงๆแล้วมัน ……………………… บลาๆๆๆ”

ผมเล่าจนน้ำท่วมทุ่งจนพอเล่าจบก็จับรถกลับบ้านได้พอดี

“โอ้ตว่า บางเรื่อง ก็น่าจะให้พวกมันแก้ปัญหากันเองไม่ดีกว่าเหรอ” โอ้ตบอก

“ก็มันขอให้ช่วยนี่หว่า จะให้ไม่ช่วยมันก็ใจดำไปหน่อยมั้ง” ผมบอกเคืองๆ

“แล้วถ้าไอ้คิวกะน้องคนนั้นเค้ากลับไปคบกันอีกจริงๆ ซังมันจะทำยังไง ปริ้นเชื่อที่มันพูดจริงๆเหรอ”

ผมนั่งก้มหน้า มันก็ถูกของโอ้ตมัน ถ้ามันเป็นอย่างที่โอ้ตบอก ผมจะกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เหมือนยื่นดาบมาแทงเพื่อนตัวเองเลย

“ตะ - - แต่ปริ้นเชื่อใจเพื่อนอ่ะ”

โอ้ตมันได้แต่นั่งถอนหายใจ แต่มันก็เอามือมาลูบหัวผมนะ แล้วก็เลื่อนลงมากุมมือไว้

“ทำในขอบเขตที่ปริ้นคิดว่าควรทำก็แล้วกัน ยังไงก็เป็นเรื่องของเค้าสองคนนะ”

“อือ” ผมพยักหน้ากลับ

“แล้ว …”

“แล้ว ….. ไร ” ผมหันไปมองหน้ามัน

“เรื่องของเรา ว่าไง” มันพูดแบบเขินๆแต่สายตามันก็จ้องมาไม่หลบเหมือนทุกที

“อะไร ยังไงล่ะ ”

“ก็โอ้ตไม่เห็นรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกันเลยง่ะ” มันพูดแล้วก็ขยับเข้ามาเบียดผมมากขึ้น

“นะ นี่มันในรถนะ” ผมกระซิบบอกมัน แล้วหาทางกระเถิบหนี (แต่มันไม่มีที่ให้ถอยแล้ว)

“ก็ดีดิ คนเยอะแยะ” มันว่าแล้วก็มาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆหูผม

“ไอ้บ้า …อย่ามาโรคจิตน่า” ผมพูดไป มือก็พยายามดันให้ตัวมันออก

“โรคจิตไรเล่า ไม่มีคนเห็นหรอก นั่งอยู่ท้ายสุดแบบนี้ พูดเสร็จ มานก็มางับเข้าที่หูผม

แย๊กกกก ลมหายใจของมันเป่ามาจนอะไรต่ออะไรกระเจิดกระเจิง มือมันก็เอื้อมลงมาป้วนเปี้ยนแถบเป้ากางเกงผมอ่ะ โหยยยย ไอ้โรคเจตตตตต

“อ่ะ โอ้ตตต อย่าเล่น ”

“ก็ทำโทดไง เอาชื่อไปอ้างดีนัก” ว่าแล้วมันก็รูดซิบกางเกงผมลงดัง ปรี้ดด เลยคับ จนผมสะดุ้งอ่ะ กลัวมีคนได้ยิน (จริงๆคือกัวมันหนีบเจี้ยว)

“ไอ้โอ้ต” ผมเริ่มขึ้นเสียว เอ้ยเสียง แต่ไอ้น้องชายผมนี่ดิ ไม่รักดียืนตัวตรงจ้องเขม็งท้าทายไอ้โอ้ตอยู่นั่นอ่ะ

โอ้ตมันก็ยิ้มๆ แต่ผมโคตรอายเลย

และแล้ว ไอ้โอ้ตมันทำสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด ก้มลงไปจัดการลงโทษไอ้น้องชายไม่รักดีซะมิดด้าม

“อ่ะ ………” ก้นผมมันกระดกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่ามันอมไปแต่ไม่ได้รูดขึ้นรูดลงอ่ะ แต่มันใช้ลิ้นตวัดไปมาข้างใน

“อ่ะ โอ้ตตตตต อย่าทำงี้ดิ” ผมเรียกมันเสียงกระเส่า พยายามจะยกหัวมันขึ้นมา แต่แมร่งม่ะมีแรง

“พอๆ ไม่ไหวแล้ว” ผมทุบเบาๆที่หลังไอ้โอ้ตเป็นเชิงเตือนสติ เหมือนได้ผล มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กยิ้มน้อย ปากมันแผล่บเชียว

“เสียวป่าว ”

ไม่รอให้ผมพูดจบ มันก็ยื่นหน้ามาบดปากกะผมทั้งยั่งงั้นเลยอ่ะ กลิ่นครวยผมมันก็ติดปากมันมาด้วยอะดิ แมร่งเหมือนอมครวยตัวเอง แต่ก็ได้อารมณ์แปลกดีคับ แฮะๆ

พี่น้องคับ อย่าหาว่าเอาเรื่องบัดสีมาเล่าให้ฟังเลยนะ แต่โอ้ตมันเล่นกับผมซะขนาดนี้ ครายมานจะอดใจอยู่ อีกทั้งก็ไม่มีคนเห็นด้วย คงไม่เป็นไรมั้ง เหอๆ

พอโอ้ตมันบดปากผมเสร็จ แล้วผมเริ่มม่ะขืนมันแล้ว มันก็เลยก้มตัวไปจัดการต่อเพราะมันใกล้ถึงบ้านแล้วคับ
โอ้ตมันก็จับชักจนหนำใจ.. คราวนี้ผมมีซีส.. เบาๆ ก็มันเสียวนี่หว่า

เสียงชักของไอ้โอ้ตมันก็คงมีดังขึ้นมาบ้างล่ะคับ โชคดีที่พอดีกะพี่คนขับเปิดเพลงเลยพอจะกลบๆเสียงกิจกามหลังรถได้หน่อยนึง แต่สายตาผมก็ดูอยู่ตลอดอ่ะ เสียว เหอๆ สุดท้ายผมรู้สึกตัวเองเกร็งมากกว่าปกติ มือเผลอไปจิกที่หลังโอ้ตมันโดยอัตโนมัติ

“อ๊าสสสส์ ….” (เสียงดังจนคนแถวที่ใกล้ที่สุดหันมาคับ แล้วก็หันกลับไป) ม่ะต้องบอกก็รู้ว่า ไอ้โอ้ตจัดการน้ำของผมหมดเกลี้ยงเลย

โอ้ตยกหัวขึ้นมานั่งตามปกติ ผมก็แซวว่า สงสัยวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นแล้วม๊าง มันก็ยิ้มๆคับ

“จะให้ช่วยบ้างป่าว” ผมว่าพลางเอื้อมไปลูบๆไอ้ตัวน้อยของมัน พองเชียว

“ไม่เป็นไร จะถึงอยู่แล้ว”มันว่า แล้วก็เปลี่ยนมาจับมือผมไปกุมแทน

“ไว้หลังกีฬาสีก่อน”

“ทำไมอ่ะ”

มันหันมาพูดแบบมีเลศนัย

“ก็เดี๋ยวเจ็บก้นขึ้นมา ไม่มีแรงเต้นอีก แพ้พอดี” โอ้ตพูดแล้วก็ขำอะไรของมันไม่รู้

“ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้ … ”

“ไอ้ราย”

ผมก็เอื้อมมือไปปาดน้ำที่มันกระเด็นติดอยู่ที่แก้มไอ้โอ้ตออก

“โห กินไรเลอะเทอะ ทีหลังกินไรแล้วเช็ดปากให้ดีรู้ม้ายยยย” ผมพูดแล้วก็หยิกแก้มมันทีนึง

ส่วนจะเป็นน้ำอะไรที่ติดแก้มมันเหรอ ไม่น่าถาม หุหุ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:19:20
สายๆของวันเสาร์ผมก็มาเจอกะไอ้ซังที่ท่ารถครับ ซังมันไม่เท่าไรหรอกบ้านอยู่แค่นี้ แต่ผมนี่ดิล่อมาจากชะอำ เลยต้องตื่นเช้าทั้งๆที่ไม่ได้ไปโรงเรียนอ่ะ เซงมาก

“อ้าว แล้วพี่โอ้ตล่ะ” ซังมันพยายามเหลียวมองหาโอ้ต (มันจะมาได้ยังไงล่ะ ก็กูตอแหลนี่หว่า)

“พี่โอ้ตแมร่งท้องเสียอ่ะ มะคืนแดกอะไรไปไม่รู้ เลยมาไม่ได้” ผมบอกไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เดินไปจองตั๋วรถ

“อ้าว งั้นจะไปซื้อของยังไงล่ะ ไม่ต้องไปก็ได้มั้ง” ซังมันบ่น เพราะดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร แล้วดูท่ามันก็ยังไม่หายเซ็งด้วย

“ไม่ได้ !! - - ปริ้นอยากดูหนังอ่ะ ไปเหอะๆ - - - เออ กรุงเทพ 2 ใบคับ” ผมรีบพูดแล้วก็รีบจองตั๋วเลย แล้วก็เดินนำซังมันขึ้นรถ ซังมันบอกว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพแบบคนเดียวแล้วนั่งรถทัวว์ไปแบบนี้ เคยแต่ไปกะที่บ้าน

“บ้านนอกจังวุ้ย” ผมแซว

“ทำไมล่ะ เดี๋ยวไม่ไปเป็นเพื่อนซะเลย โห่” มันพูดอย่างอารมณ์เสีย

เราก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถรอให้ออก ซักประมาณอีก 5 นาทีจะออกได้มั้ง ผมก็เห็นไอ้เหี้ยคิวมันเดินขึ้นมา แต่ไอ้ซังมันยังไม่สังเกตเห็นคับ เพราะว่ามันนั่งด้านหน้าต่าง แล้วก็หันหน้าออกไปด้วย นี่ขนาดผมรู้ว่าไอ้คิวมันจะต้องขึ้นมาเจอตามแผนที่มันบอกให้ผมช่วยแล้วนะ ยังรู้สึกอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เลย กลัวไอ้ซังมันวีนขึ้นมา หรือจับได้ว่าผมร่วมมือกะไอ้คิว ซวยแน่ผม

คิวมันมากับเพื่อนที่ผมไม่รู้จักอีกประมาณ 3 คน คิดว่าคงเป็นเพื่อนโรงเรียนอื่นของมันนั่นแหละ ที่นั่งไอ้คิวมันอยู่ข้างหลังคับ มันก็ต้องเดินผ่านที่นั่งของพวกผมไป คราวนี้ไอ้ซังดันหันมาจะคุยกับผมพอดี ปากมันอ้าค้างแบบไม่รู้จะพูดอะไรคับ เมื่อเห็นไอ้คิวค่อยๆเดินมา แล้วก็เดินผ่านไปนั่งที่มันด้านหลัง ตอนเดินมาถึงนี่แบบว่ามีการเหลือบมามองตาซังมันอีกนะคับ เหอๆ กูกัวจัง

“ทำไมไอ้เหี้ยคิวมันถึงมาขึ้นกรุงเทพวันนี้ด้วยวะ” ซังมันมองหน้าผมเหมือนจะจับผิด เสียงมันดูข่มความโกรธไว้อย่างแรง

“ปริ้นจะรู้ม่ะเนี่ย มากะใครก็ไม่รู้ ” ผมอ้อมแอ้มตอบ รถก็ออกพอดีครับ เลยโล่งจังว่ายังไงซังมันคงไม่ทำตัวเป็นนางเอกเดินลงรถหรอกนะ ไม่งั้นผมตบหัวทิ่มแน่ รำคาญ !!

รถออกไปได้ซักพัก ซังมันก็นั่งเงียบหันหน้าออกทางหน้าต่างท่าเดียว ผมก็ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไร อึดอัดหว่ะ ส่วนพวกไอ้คิวมันก็คุยกันโฉงเฉงดังสนั่นตามสไตย์ความเถื่อนของมันอ่ะ ผมยิ่งอึดอัดหนักเข้าไปใหญ่


“มึงจะให้กูช่วยไร ? ”

“เมิงชวนซังมันไปกรุงเทพหน่อย” คิวบอกหน้าตาเฉย

“ไอ้บ้า ไปทำไมวะกรุงเทพ แล้วกูจะชวนมันไปทำไมล่ะ” ผมถามด้วยความฉงน

“ก็มันจะได้หนีกรุไปไหนไม่ได้ไง ถ้าหนีมันก็หลง กรุจะได้คุยกะมันได้ง่ายๆหน่อย ไม่งั้นมันก็หนีกรุแบบนี้ตลอด กรุรู้ว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพคนเดียวหรอก”

“โห มึง แล้วมันจะไม่โกรธกูเหรอไง ”

“เอาเป็นว่า เมิงหาทางชวนซังมันไปกรุงเทพให้ได้ล่ะกัน แล้วที่เหลือกูจัดการเอง” มันพูดแล้วก็ตบไหล่ผมแรงๆทีนึง

ผมคิดถึงเรื่องที่มันไหว้วานผมในวันนั้นแล้วก็สังหรณ์ใจแปลกๆ มันจะมาไม้ไหนของมันวะไอ้คิว แต่อย่าให้กูเดือดร้อนไปด้วยล่ะกัน

นั่งกันไปเกือบ 2 ชั่วโมงแห่งความอึดอัด ก็ถึงสายใต้คับ แต่ผมลงตรงป้ายก่อนเมเจอร์นิดนึงจะได้ไม่ต้องเดินไกล

“จะไปดูไหนล่ะ” มันพูดแบบเสียไม่ได้ เมื่อเห็นกลุ่มไอ้คิวมันเดินลงจากรถมาด้วย

“เซนฯปิ่นอ่ะกัน ใกล้ๆ” ผมพูดแล้วก็เดินนำมันไป กลุ่มไอ้คิวก็เดินตามมาห่างๆครับ ซังมันก็เร่งให้ผมเดินเร็วจาง ไอ้สาดด กูเหนื่อย

และด้วยความที่ผมไม่ได้จะมาดูหนังจริงๆ ทำให้ผมต้องมายืนเลือกดูว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี แถมช่วงนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าดูซักเรื่อง แม่ม ….. ตกลงเลยดูเรื่อง 303 กัว กล้า อาฆาต (มีคนเกิดทันดูม่ะนี่) ระหว่างจอง ผมก็หันกลับมามองหาไอ้คิว แต่มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วนี่ผมต้องทำไงต่อวะ แล้วผมก็จองตั๋วไป 2 ที่ ส่วนไอ้ซังพอมันไม่เห็นคิวแล้ว มันก็ดูจาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ก็ถามโน่นถามนี่ แบบว่ามันค่อนข้างบ้านนอก ไม่เคยดูหนังตามโรงมัลติเพล็กซ์แบบนี้เท่าไรอ่ะคับ ผมก็เลยต้องคอยอธิบายโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

ซักพัก ก็เลยชวนมันไปหาไรกินแก้หิวก่อน เพราะว่ากว่าหนังจะเริ่มก็ตั้งบ่ายโมงแน่ะ ก็กินแถวฟู้ดเซนเตอร์นั่นแหละ คราวนี้ผมก็เห็นไอ้คิวเดิมาเลียบๆเคียงๆคับ มันก็ส่งซิกซ์ให้ผมเดินไปหามัน

“เด๋วปริ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมพูดแล้วก็ปลีกตัวออกมา เดินไปหาไอ้คิว

“อาไรมึงเนี่ย ผลุบๆโผล่ๆ” ผมพูดด้วยโทสะ แมร่งจะทำไรไม่บอกผมซักอย่าง

“เออ ขอบใจเมิงมาก แต่ว่าเด๋วกรุจัดการต่อเอง เมิงจองตั๋วแล้วใช่ป่ะ ” มันพูดพลางแบมือ

“อะไรมึง”

“ขอไง เด๋วกรุจัดการต่อเอง”

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ

“อะไร มึงจะให้กูทิ้งไอ้ซังไว้กะมึงเลยเนี่ยนะ - - แล้วที่ทำสำคัญกูยังแดกไม่เสร็จด้วย” ผมแหวใส่ เมื่อเห็นมันฉกเอาตั๋วหนังไปเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร เด๋วกรุแดกต่อเมิงเอง กรุม่ะรังเกียจ ไปแระ” มันว่า

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ พลางรีบดึงตัวมันไว้ก่อน

“มึงใช้กูเสร็จแล้วมึงจะถีบหัวส่งกูเลยเหรอ ไอ้เหี้ย ยังไงกูก็ไม่ทิ้งเพื่อนไว้กะมึงแน่ๆอ่ะ ” ผมพูดพลางเดินจะกลับไปหาไอ้ซัง

“เฮ้ย เด๋วไอ้ปริ้น … กรุก็ไม่ได้หมายความว่าให้เมิงกลับ แค่ให้กรุเคลียกะซังให้เรียบร้อยก่อน เด๋วกรุโทรหามึง โอเคป่ะที่รัก” มันพูดพลางยิ้มแป้นแล้นกวนตีน

“ที่รักพ่อเมิงเหรอ” ผมพูดแล้วก็ทำท่าจะถีบมัน

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูไปกินให้เสร็จ แล้วมึงเข้าไปเจอมันในโรงหนังล่ะกัน” ผมพูดตัดบท แล้วก็เดินไปหาซังทันที

“ทำไมไปนานจังวะ จะกินหมดอยู่แล้วเนี่ย ” ซังมันพูด แล้วก็ดูดน้ำทีนึง เฮ้ออ ผมมองหน้ามันแล้วก็สงสาร ผมกะลังร่วมมือกะจอมมารส่งมันไปสังเวยเหรอเนี่ย

ผมเอื้อมมือไปจับมือมันทีนึงแล้วก็บอกมัน

“ไม่โกรธเรานะเพื่อน ”

“ว่าไรนะ ? ” ซังถาม

“เออ ไม่มีไร ป่ะ เข้าโรงกัน ”

ระหว่างที่ผมซื้อป๊อบคอร์นอยู่มือถือผมก็ดังขึ้นมา เป็นเบอร์ใครแปลกๆก็ไม่รู้

“คับ ”

“เออ เมิงบอกไอ้ซังนะว่า ที่บ้านเมิงโทรมา แล้วให้ซังมันเข้าไปในโรงก่อน มันคงหาที่นั่งถูกแหละ”

ผมให้ซังถือป๊อบคอร์นไว้ก่อน แล้วก็เลี่ยงมาคุยอีกทางนึง

“แล้วมึงจะคุยเสร็จกันเมื่อไรล่ะ คุยกันในโรงหนังเด๋วเค้าก็ด่าโคตรมึงหรอก”

“เอาเหอะ กรุมีวิธีล่ะกัน เสร็จแล้วเด๋วกรุโทรหาอ่ะ ตอนนี้เมิงเดินรออยู่กะพวกเพื่อนกรุล่ะกัน นั่งอยู่ตรง kfc เนี่ย”

“เออ ได้ทีใช้เลยนะมึง” ผมพูดอย่างอารมณ์เสีย

“เด๋วปริ้น ”

“อะไร”

“เอาป๊อบคอร์นไว้ที่ซังด้วยนะ กรุอยากแดก 555 ”

“ไอ้หน้าด้านนนนนนนนนนน” ผมพูดออกไปทางโทรสับ เพราะแมร่ง เหลือเกิน

“คุยกะใครอ่ะปริ้น” ซังถามผม

“อ่อ ที่บ้านโทรมาอ่ะซัง เดี๋ยวซังเดินเข้าไปนั่งก่อนล่ะกัน จะได้ไม่เสียเวลา นะนะ” ผมพูดคะยั้นคะยอจนมันเดินอิดออดเข้าไปก่อนจนได้

ไอ้คิวโผล่มาจากไหนม่ะรู้คับ เดินยิ้มมาเชีย ไอ้เวร

“ยิ้มเหี้ยไร นี่ถ้าซังมันโกรธกูนะ มึงต้องรับผิดชอบเลยนะ” ผมว่า

“เอาน่า เมิง ขอบใจมากนะไอ้ปริ้น แล้วเด๋วเจอกัน” มันบอก แล้วก็เดินตามหลังเข้าไปในโรง ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่าให้โรงแตกนะมึง จะทำไรกันเนี่ย

ผมคิดว่าคงจะไม่ไปหาพวกเพื่อนไอ้คิวมันหรอก ไม่รู้จัก แถมดูแมร่งเถื่อนๆ เลยกะว่าจะเดินไปซื้อของคนเดียวดีกว่า แต่มือถือก็ดังขึ้น พร้อมกับเบอร์ที่คิวมาโทรมาก่อนหน้า

“คับ”

“เออ ปริ้นป่าว”

“อือ ใครอ่ะ”

“เพื่อนคิวคับ รออยู่หน้า kfc นะ มาเร็วๆ” เสียงปลายสายบอก แล้วก็ตัดไปเลย

อ้าว .. เพื่อนมันนี่ยังไงนะ มาบังคับกูซะงั้น

ผมก็เดินเตร่ๆ มองหาพวกเพื่อนคิว

“นายๆ เฮ้ย นายอ่ะแหละ” เสียงที่อยู่ในโทรสับเรียก ผมก็หันไปเจอ

“อ้าว แล้วอีก 2 คนไปไหนอ่ะ” ผมถามถึงผู้ชายกะผู้หญิงที่มาด้วย

“มันไปเดินเที่ยวกันหมดแล้ว”

“อ้าวแล้วทำไมไม่เดินไปด้วยกันล่ะ เด๋วเราเดินคนเดียวได้” ผมบอก แต่ก็นั่งลงที่เก้าอี้

“ไปเดินกับมันได้ไง ก็เป็นก้างพวกมันน่ะดิ” มันตอบ

“เออ นายชื่อไรอ่ะ ” ผมถาม

“แชมป์”

“เราปริ้น”

“เออรู้แล้ว คิวมันบอกแล้ว” มันพูด แน่ะ กวนตีน

“เรียนไหนกันอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”

“เราอยู่เทคนิค ไอ้สองตัวนั่นอยู่อาชีวะ แต่ก็เพื่อนกลุ่มเดียวกันแหละ มีไอ้คิวเนี่ยเสือกมาเรียน ม.ปลายอยู่คนเดียว”

“อ่อ เหรอ ผมดูมันพยายามจะพูดจาแบบค่อนข้างระมัดระวังคำพูดกับผมมากๆ พูดเรา พูดนายไรเงี้ย ฟังแล้วแทบจี้

“ไม่ต้องพูดเรา พูดนายก็ได้ อยากพูดอะไรก็พูดเหอะ ไม่ถือ” ผมว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ก็พูดกับพวกมัธยมก็ต้องพูดจาดีๆแบบนี้แหละ จะพูดเถื่อนๆแบบเด็กเทคนิคได้ไง” มันว่า เออ แปลกคน

แล้วก็คุยอะไรกะมันไปเรื่อยเปื่อย มีเรื่องให้คุยเยอะครับ เพราะว่าการเรียนมันไม่เหมือนกัน แถมการใช้ชีวิตบางเรื่องก็แตกต่างกันมากๆอ่ะครับ ผมดูเด็กไปเลย แล้วมันก็วกกลับเข้ามาพูดเรื่องคิวกะซัง

“แล้วนายรู้ว่าเพื่อนนายกะไอ้คิวเป็นแฟนกันนายยังอ่ะ” มันถามผม

“ก็พึ่งจะรู้ไม่นานหรอก ถามไมอ่ะ”

“ป่าว ก็อยากรู้ว่ารู้สึกยังไง ”

“ก็ไม่เห็นรู้สึกไงเลยนี่หว่า ไงก็เพื่อนกัน จะเป็นอะไรก็เป็น เป็นเกย์แล้วม่ะใช่คนเหรอไงวะ” ผมตอกกลับเพราะนึกว่ามันเป็นพวกรังเกียจ

“เฮ้ย ป่าวๆ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นเลย ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”

เ“ออ แล้วตอนที่พวกนายรู้ว่าไอ้คิวเป็นแบบนี้ แล้วทำไง” ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง เพราะว่าดูเถื่อนๆอย่างเพื่อนไอ้คิวแต่ละตัวแล้ว ม่ะน่าจะรับเรื่องพวกอย่างงี้ได้

“ตอนแรกที่รู้ก็งงอะเด๊ะ เหี้ย เพื่อนกูชอบผู้ชาย สัด กัวโดนตุ๋ยกันเป็นแถบๆ”

- แมร่ง มันคงไม่รู้มั้งว่า ไอ้คิวนอกจากเป็นรุกแล้ว ยังรับ ได้ด้วย -

“เหอๆ กัวทำไมวะ พูดเหมือนกะว่าแต่ละคนนี่น่าทำนักล่ะ” ผมเผลอพูดออกไปแบบไม่ได้คิด

“อ้าว มายว้า พูดแบบนี้ไม่ดีซะแล้วมั้ง” มันคงพูดเล่นๆอ่ะแหละ แต่ท่าทางมันดูเถื่อนไง เลยคิดว่ามันโกรธจริงๆ

“ก็แปลกใจนี่หว่า ม่ะก่อนเหี้ยมันมีแฟนผู้หญิง แล้วอยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นผู้ชาย” มันพูดต่อ “หลังจากนั้นแมร่ง ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยหว่ะ สงสัยกัวเมีย ”

ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรอ่ะคับ เด๋วเข้าตัว เหอๆ ก็ซังมันออกจะดีขนาดนั้น ถ้าขืนไอ้คิวเหี้ยมากๆ ก็แห้วแดกดิคับ

มันดูดน้ำทีนึง แล้วก็เอนตัวทำนั่งเก้าอี้สองขา

“เราก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเด็ก ม. ปลายนี่มันมีอะไรดีเหรอไงวะ ไอ้คิวมันถึงได้ติดใจ ” ไอ้แชมป์พูดเสร็จ ก็จงใจกระดกเก้าอี้กลับเข้ามาจ้องหน้าผม

“ไม่รู้ว้อย ”
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:19:52
**************************************************************************************************



“แล้วนายเป็นแบบพวกมันเหรอป่าว” แชมป์มันถามหน้าซื่อๆ (แต่ใจคดเหรอป่าวม่ะรู้)

ผมก็ทำหน้าเป็นงงแหละ แต่จริงๆก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร กรุทำหน้าโง่ไว้ก่อน

“ก็ชอบผู้ชายไง” คราวนี้มันถามตรงๆ

ผมยักคิ้วแบบกวนตรีนทีนึง ก่อนจะตอบกลับไป

“รู้แล้วได้ไร เหรอว่าอยากลอง” ผมตอบพลางจ้องตามันเขม็งด้วยฟามโกดหน่อยๆ

แชมป์มันยิ้มที่มุมปากทีนึง แล้วก็ยื่นหน้ามาหา

“แล้วลองได้ป่ะล่ะ ? ”

เอ้า ไอ้นี่ เล่นม่ะเลิกแฮะ ผมคิดในใจ พึ่งรู้จักกรุนะเนี่ย รู้จักไอ้ปริ้นน้อยไปซะแล้ว คิดได้เท่านั้น ผมก็ขยับเก้าอี้ไปติดกะมันคับ แล้วก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้มกะมัน

“ตะเองชอบแบบนี้ก็ไม่บอก” ผมทำเสียงเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมกับเอื้อมมือไปใต้ที่นั่ง แล้วก็นวดต้นขามันเบาๆ ไอ้แชมป์มันสะดุ้งเลย เหอๆ

“แหม ล่ำจัง น่ากิน”

ผมพูดพลางชะมดชม้อยสายตา(ที่คิดว่า)สาวแตกใส่มันสุดริด มือก็นวดต้นขามันแรงขึ้น ได้ผลคับ มันหน้าแดงก่ำเลย (สงสัยแมร่งไม่เคย)

“เฮ้ย… อย่า” มันพูดเบาๆ พร้อมกับปัดมือผมออก แล้วก็เขยิบที่นั่งออกห่างผมเลยอ่ะ หุหุ กรุก็นึกว่าจาแน่

ผมแสร้งตีหน้าเศร้า

“อ้าว รังเกียจเราเหรอ ไหนบอกว่าอยากลองไง” ผมพูดแล้วก็เอานิ้วดูดปากทีนึง (ไม่ต้องบอกนะว่าสื่ออาราย) ไอ้แชมป์กลืนน้ำลายเอื้อก

“ม่ะ ไม่ใช่ยังงั้น คะ คะ คือ เราไม่ชอบ เออ คนมันเยอะแยะ เห็นป่ะวะ” มันพูดแล้วก็ทำชี้ๆไปรอบๆ เออ คนเยอะจริงๆแหละ แต่กรุหน้าด้านไง หุหุ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบที่ผมทำท่าออกสาวแตกมากกว่า โฮ่ๆ

มันเหลือบตามามองผมทีนึง แต่พอผมเห็นมันก็หลบตาไปเลย สงสัยแมร่งกลัวจัด ผมว่าจะแกล้งมันต่อ แต่ดันโอ้ตโทรสับมาหาก่อน

ตี้ดดๆๆๆ

“ว่าไง โอ้ต” ผมทำเสียงกลับเป็นปกติ

“ถึง กรุงเทพยัง ? ” เสียงมันยังดูงงๆจัง เหมือนพึ่งตื่น

“โห ถึงตั้งนานแล้วค๊าบ แล้วทำไมเสียงเป็นงั้นอ่ะ พึ่งตื่นเหรอ”

“อืออออ ”

“นี่มานจะบ่ายสองแล้วนะ” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะปกติมันเป็นคนตื่นเช้าไง เสาร์อาทิตย์ก็ตื่นเช้า

“ไม่สบายเป่า”

“อืออออ”

“อ้าว แล้วกินยายัง”

“ยังเลย โอ้ตพึ่งตื่น” มันพูดดูเสียงแย่มากกว่าเก่าอีก ผมว่าเป็นเพราะมันโหมงานกีฬาสีไม่พักไม่ผ่อนแหง่ม

“อาไรเนี่ย ดูแลตัวเองหน่อยดิ” ผมพูด

“ก็คนดูแลไปไหนก็ไม่รู้ดิ ” มันพูดแบบงอนๆ

“โห งอนซะงั้น” ผมพูดเสียงอ่อย

“ป่าวไม่ได้งอน”

“เจง…”

“อืออออ”

“ทำเสียงงี้ งอนแหง่ๆๆๆ” ผมกระเซ้า

“เออ แล้วจะกลับเมื่อไรเนี่ย แค๊กๆๆ”

“ไรเนี่ย มีไอด้วย รีบไปกินยาเลย แล้วตัวร้อนป่าว”

“อืออออ นิดหน่อย”

“โอ้ตรีบหาไรรองท้องก่อนกินยาแก้ไข้นะ เด๋วมันกัดกระเพาะ แล้วเด๋วปริ้นจารีบกลับ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง (เจงๆนะ ไม่ได้แบบขอไปที)

“อืออออ รีบกลับมานะครับ คิดถึง ดูมันดิ เวลาไม่สบายอะ” มาทำอ้อน

“ค๊าบ เด๋วจะรีบกลับไปป้อนยาให้เลยค๊าบ” ผมคุยไปยิ้มไป เวลาไอ้โอ้ตมันอ้อนก็ดูแปลกดีคับ น่าร๊ากกก

ผมคุยจนลืมไปว่ามีไอ้แชมป์มันนั่งอยู่ด้วย พอวางปั๊บมันก็ถามทันที

“ใครอ่ะ แฟนเหรอ ? ”

“เออ … ” ผมกลับมาทำทีคุยเป็นปกติเหมือนเดิม

“ไมพูดไม่เพราะเลยวะ ” มันพูดแบบไม่พอใจ

ผมก็ยักคิ้วแบบกวนตรีนให้มันอีกรอบ

“แล้วแฟนผู้ชายผู้หญิงอ่ะ” มันถาม

“ผู้ชาย”

“ไม่เชื่ออ่ะ หญิงแน่ๆ”

เอ้า แสดดดด กรุล่ะเบื่อคนพวกนี้จริงๆ เวลาถามแล้วไม่ยอมเชื่อเนี่ย จะถามทำหมาอะไรวะ อันนี้ผมคิดในใจ

“ไม่เชื่อก็ตามจาย” ผมว่าพลางกดมือถือเล่นไปมา

“ม่ะกี้แกล้งอำอะดิ” มันพูดถึงตอนที่ผมทำแรดใส่มัน ผมชักจาเบื่อความเซ้าซี้ของมันซะแล้วดิ เลยตัดความรำคาญดีกว่า

“งั้นเด๋วเราขอไปเดินเล่นก่อนนะ ขี้เกียจนั่งรอ กว่าหนังจะจบ” ผมพูดพลางลุกขึ้น

“เฮ้ย จะทิ้งเราไว้คนเดียวเนี่ยนะ เพื่อนเราก็ไปกันหมดแล้ว”

“ก็เด๋วไอ้คิวมันก็โทรมาหานายเองหล่ะ” ผมบอกเสร็จ ก็เดินลิ่วๆ แบบจาหลบมันไปให้พ้นให้ได้อ่ะ เป็นโชคดีด้วย เพราะว่าคนเยอะคับ + กะชำนาญเส้นทางรู้ทางหนีทีไล่ เพราะเป็นเด็กเก่ากรุงเทพ หันมาอีกที ก็ไม่เจอมันแระ

บอกตามตรง ผมก็เป็นห่วงซังมันเหมือนกัน ป่านนี้มันจะเป็นไงบ้างวะ เงียบไปเรย มันจะได้ดูหนัง กันป่าววะ มันจะคุยอะไรกัน หรือมันจะทะเลาะอะไรกันมั่งป่าว แล้วพอออกมา มันจะโกดผมป่าววะ ผมคิดมากไปป่าวเนี่ย แต่รู้สึกผิดกับมันจริงๆ ว้อยกลุ้ม

แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้แรดห้างมานานคับ ต่อมอยากซื้อนั่นซื้อโน่นก็แตก เดินซื้อเสื้อ ซื้อของกิน ซื้อนั่นซื้อนี่ หมดไปเกือบสองพัน = =’’ โอ้ ขาช๊อปใช่ย่อย

ตี้ดดๆๆๆ

คราวนี้ผมเหลือบมองดูเบอร์ให้แน่ใจก่อน เบอร์ของไอ้แชมป์แน่ๆ

“โหล ใครครับ ”

“เออ เราเอง” 555 กรุรู้อยู่แระ

“อ่อ ว่าไง พวกซังมันออกมาแล้วเหรอ ”

“เออ ม่ายรู้เหมือนกันหว่ะ เราไม่ได้นั่งคอยที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แล้วมันก็ยังไม่โทรมาหาเลย ”

“กำ แล้วไมไม่คอยล่า”

“ก็มานเบื่อนี่หว่า ทำไมกู เอ้ย เราต้องนั่งคอยอยู่คนเดียวด้วยวะ” มันตอบกลับมาแบบอารมณ์ฉุนๆ

“อือ แล้วนี่โทรมาไม ? ”

“คือ … เราหลงทาง” มันทำเสียงอ่อย

“ไอ้เว่อร์ แค่ห้างแค่นี้เดินหลงได้ไง เดินมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเด๊ ” ใจร้ายม่ะ ผมได้ทีเลยแกล้งมันซะเรย จริงอยู่คับ แค่ห้างแค่นี้ไม่น่าหลงได้หรอก แต่มันไม่เคยมา กรุงเทพไง แล้วถ้าใครเคยมา เซนฯปิ่น มันจะมีสองด้านซ้ายขวาคล้ายๆกัน ดูไปแล้วอาจจะงงสำหรับคนที่มาครั้งแรก

“เฮ้ย ! อย่าทิ้งกันดิวะ กลับไม่ถูก” มันชักทำเสียงตื่นเต้น

“อือออๆ แล้วอยู่แถวไหนอ่ะ”

“ไม่รู้หว่ะ = =’’ ”

“นายก็ดูชื่อร้านแถวๆนั้นเซ่ ไอ้เซ่อร์” ผมเผลอด่ามันปาย

“เออๆๆ ” มันเงียบไปพักนึง

“เออ ชื่อร้าน - - - อ่านไม่ออก - - - เออ เจ .. เจออน เอ้ย จีออนโน”

“ตกลงชื่อไรแน่ ? ไปรับไม่ถูกนะเนี่ย” ผมพูดไปเดินไปหามัน พอจะรู้แล้วว่าอยู่แถวไหน

“ว่าไง ชื่อไรวะ”

“เออ เด๋วดิ จิอองกาเน่ - - จิอองโน่”

“ไรวะ มีที่ไหนชื่อร้านเสี่ยวๆแบบนั้นล่ะ” ผมอดขำไม่ได้คับ บ้านนอกเจงเจ้งงง สงสัยเราไปไม่ถูกแล้ว ยังไงรอให้ไอ้คิวโทรมาหาแล้วกัน แค่นี้นะ แบตฯหมดแหล่ววว

ผมพูดเสร็จก็กดวางไปครับ โดยที่มันไม่ทันจะพูดอะไรเลย พอดีกะที่ผมเดินไปใกล้ๆกะร้านที่มันอยู่พอดี แต่แอบไม่ให้มันเห็นนะ จาดูหน้ามันก่อน ผมเห็นมันพยายามกดโทรสับอีกหลายรอบมาก แต่ผมปิดมือถือไปแล้วคับ แบตฯไม่ได้หมดหรอก เหอๆ อยากมาแกล้งลองของผมดีนัก ต้องเอาคืน 100 เท่า

พอมันเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จาโทรแล้ว มันก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทางขวัญเสียคับ แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปเรื่อยเปื่อย ผมยังแปลกใจอยู่เลย ว่าเพื่อนที่มาด้วยกะมันอีกสองคน มันติดต่อไม่ได้กันเลยเหรอไงฟร่ะ แล้วไอ้คิวอีก นี่ก็เกือบสามชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่ยอมติดต่อมาซะที ทำหอยดองอะไรอยู่ฟร่ะ

แชมป์มันเดินไปเรื่อยเปื่อย คงหวังว่าจะได้เจอเพื่อนมันมั้ง เพราะว่า ดูสายตามันก็สอดส่องไปทั่ว ผมก็เดินตามมันไปห่างๆอะนะ เดินไปพักนึง เหมือนมีคนโทรมาหามัน ท่าจะเป็นไอ้คิว ว้า อดสนุกเลย มันทำท่าทางคุยไป ดูหน้ามันเครียดยิ่งกว่าเก่าอีกครับ แล้วมันก็วางหูไป หน้าซีดเรยคับ ชักสงสารมันแล้วดิ ผมก็เลยทำทีเดินเข้าไปเจอมันโดยบังเอิญ พอดีมันนั่งก้มหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ เลยไม่เห็น

“เฮ้ย .. ” ผมทักมันแล้วก็เอามือไปตีบ่า มันเงยหน้าพลวดขึ้นมาเห็นผมเท่านั้นแหละ โผเข้ามากอดซะแรงเลย

“สาดดดดด ปริ้น นึกว่าจะโดนทิ้งอยู่ที่นี่แล้ววววววววววว” ตัวมันเย็นมากเลยคับ แต่เหงื่อมันแตกพลั่กๆ

“เออๆๆ ใจเย็นๆๆ อยู่นี่แล้ว” ผมพยายามปลอบมันจนเข้าที่แล้ว คงพอเข้าใจนะคับ เด็ก ตจว เข้ามากรุงเทพแล้วพลัดหลงกะเพื่อนแบบนี้ มันก็น่าขวัญเสียอยู่หรอก

พอมันเข้าที่แล้ว ก็เล่าด้วยความม่ะโหว่า ไอ้คิวมันดูหนังกันจบตั้งนานแล้ว มันออกมาไม่เห็นผมกะไอ้แชมป์ ก็เลยเดินดูของไปดูของมา แล้วก็ท่าไหนไม่รู้ ตอนนี้มันอยู่ที่สายใต้กันเรียบร้อยแล้ว

“แม่ง ออกมาแล้วก็ไม่โทรมาบอกเพื่อนเลย ไอ้เลว ” แชมป์มันโอดครวญ

“สงสัยดีกันแล้วมั้ง โลกเลยสีชมพู ประมาณว่าความรักบังตา เหอๆ ” ผมพูดขึ้นมา แบบนี้ซังมันคงยอมดีกะคิวแล้วมั้ง

“ก็คงงั้นแหละ ” แชมป์บอกกระฟัดกระเฟียด

“แล้วนี่จะกลับเลยป่าวล่ะ หรือว่าต้องหาเพื่อนอีกสองคนให้เจอก่อน ? ”

“กลับเหอะ ไอ้ผัวเมียสองคนนั่นมันกลับเองได้อยู่แล้ว มีแต่กู เอ้ย เรานี่หละ บ้านนอกสุด”

“บ้านนอกเข้ากรุงมากๆ” ผมแอบนินทา

มันได้ยินเลยเอามือมาจับหัวผมกดแบบแกล้งๆ แต่แรงเด็กเทคนิคมันก็ควายๆกันอยู่ หัวเลยแทบทิ่ม

“โอ้ย ”

“อย่ามาแอบด่า ไอ้ตี๋น้อย”

“เอ๊ะ มันเรียกกรูว่าไรนะ”

“ใครตี๋น้อยวะ ? ”

“ก็เอ็งอะแหละ ตี๋น้อย”

“ชื่อปริ้นว้อยยยยย”

“ฮุ้ ตลก ชื่อฝาหลง ฝรั่ง ไม่อยากเรียกอ่ะ ”

เอ้า ! ซะงั้น นอกจากหน้าหมา แล้วยังหน้าด้านอีกนะ ไอ้เวนนี่

สรุปว่า ผมกะไอ้แชมป์ก็ต้องนั่งรถกลับกันสองคนคับ ไอ้คิวกะซังก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน ดีกันไปเรียบร้อยแล้ว แถมดีกันแล้ว มีทิ้งเพื่อนฝูง เปิดตูดกลับกันไปก่อนด้วยนะ แต่ผมคงจะมีนอกรอบกะไอ้ซังแล้วล่ะ ว่ามันดีกันยังไงวะ กรุอยากรู้ (แหมเล่นตัวมาตั้งนาน แค่วันเดียวดีกันได้แระ)

“เน่ … ตี๋น้อย”

“อาไรกุจาหลับ ”

“แม่งพูดไม่เพราะเลยวะ ”

“เออๆ ช่างเหอะ เลิกเซ้าซี้ จาหลับเหนื่อย” เจงๆก็เหนือ่ยเพราะว่าเดินช็อปมาทั้งวันแหละคับ เหอๆ ใช้ขามากไปหน่อย

“ตอนอยู่ที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แกล้งเราใช่ป่าว”

“เรื่องอะไร” ผมพูดไปทั้งๆที่หลับตาอยู่นั่นแหละ เผื่อมันจะสำเหนียกบ้างว่า ผมอยากนอนไม่ได้อยากคุยกะมัน

“อ้าว ก็เรื่องที่แกล้งทำเป็นตุ๊ดไง”

“ป่าว ไม่ได้แกล้ง เป็นจริงๆ”

“แล้วทำไมตอนนี้กะตอนนั้นไม่เห็นเหมือนกันเลย” เอ๊ะ ไอ้นี่ ถามเซ้าซี้จังวะ

“เออ อย่ามาใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยเลย สรุปว่ากุเป็นละกัน แต่ตอนนี้แอ็บไว้ก่อน เครนะ” ผมพูดเสร็จก็พลิกตัวหันไปอีกด้านเลย รำคาญ

ผมได้ยินเสียงมันพูดเบาๆว่า

“มีงี้ด้วยเหรอวะ พวกตุ๊ดนี่เข้าใจยากจัง”
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:20:21
“ตี๋ … ตี๋”

ผมรู้สึกว่ามีใครซักคนเขย่าตัว พร้อมกับเสียงเรียกเบาๆ

“ว่าไง”

“ถึงเพชรฯแล้ว เด๋วเราลงก่อนนะ”

“อือ โชคดี” ผมยกมือให้ไอ้แชมป์เป็นเชิงล่ำลาพอเป็นพิธี แล้วก็หันกลับมาหลับต่อ อีกตั้งเกือบ ชม. กว่าผมจะถึงชะอำ

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“งือ …”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“งือ …”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“งือ … อึ๊กก !! ”

ผมรู้สะดุ้งตัวแบบสุดๆ เหมือนตกจากที่สูงเวลาที่หลับ รู้สึกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง ทั้งๆที่แอร์บนรถก็เปิดตามปกติ ผมยกมือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าผาก พยายามนึกถึงความฝันที่แว่บมาม่ะกี้ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่ใรความฝัน น้ำเสียงมันคุ้นเคยมากๆเลยอ่ะ

“ฝันบ้าไรวะ !! ”


***************************


กว่าผมจะขยับก้นเข้าบ้านได้ ก็เกือบจะ 5 ทุ่มอยู่แล้ว เลยค่อยๆย่องอย่างเงียบเชียบ ไปบนเรือนใหญ่ ป่านนี้ยายคงหลับไปแล้วล่ะมั้ง

แกร๊ก แกร๊ก ….

ผมขยับประตูที่ลงกลอนไปเรียบร้อยแล้ว

อ่า คืนนี้ กรุไม่ได้อดแดกแล้ว ผมเลยต้องเดินในสภาพหิวโซกลับเข้าบ้านตัวเอง พลางหันไปที่บ้านโอ้ตมัน ก็นึกขึ้นได้ว่า โอ้ตไม่สบายอยู่นี่หว่า ป่านนี้มันจะค่อยยังชั่วยังวะ อยากเข้าไปดูจัง แต่กลัว ป้าดุหาว่ามาทำไรดึกดื่น

แต่ ….

ผมย่องเดินผ่านหน้าต่างห้องไอ้โอ้ต ที่ยังเปิดไฟอยู่ โอ้ตมันนั่งบนเตียงห่มผ้า จดไรยิกๆอยู่ก็ไม่รู้ฮะ

- ไรวะ ดึกป่านนี้ไม่สบายแล้วยังไม่นอนอีก ไอ้หอยเอ้ย….-

เห็นว่ามันยังไม่หลับอยู่แล้ว ก็เลยเดินไปเคาะประตูบ้านมัน ปรากฏว่าป้าเดินมาเปิดให้

“อ้าว ปริ้น พึ่งกลับมาเหรอ ไปไหนกลับมาดึกๆดื่นๆ” ป้าทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็เลี่ยงตัวให้ผมเดินผ่านเข้าไปได้

“แล้วนี่กินอะไรมาเหรอยัง”

“กินแล้วคับ” ผมพูดปด ส่วนป้าเค้าก็เดินไปคนอะไรซักอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นข้าวต้มในหม้อ โอ้ย ผมนี่โคตรหิวเลย

“ป้าทำข้าวต้มเหรอ”

“จ๊ะ … เจ้าโอ้ตมันเป็นไข้ ไม่สบาย นอนซมทั้งวันเลย” ป้าพูดพลางปิดเตาแก็ซ แล้วก็หยิบกับในตู้กับข้าวออกมา 2 -3 อย่าง

“เนี่ย พึ่งค่อยยังชั่วตื่นมา ก็บ่นหิวๆ ป้าเลยต้องตื่นมาทำให้คุณเค้ากินเนี่ย” ป้าพูดประชดลูกชายตัวเองนิดๆ

“แล้วเป็นไรมากป่าวคับ”

“ไข้หวัดธรรมดาล่ะ เดี๋ยวนี้เจ้าโอ้ตนอนดึกดื่นทุกวัน พักผ่อนก็น้อย แล้วก็มานั่งเขียนโน่นเขียนนี้ ป้าก็บ่นให้มันฟังนะ มันก็ยังดื้ออีก เฮ้อ ไม่รู้มีไปทำไมไอ้กีฬาสงกีฬาสีเนี่ย ….” ผมเปิดช่องถามหน่อยเดียว ป้าแกบ่นยาวเชีย

“ปริ้นซ์อยู่ม 6 ไม่ต้องไปรับเป็นเลยนะ ประธานสีอะไรเนี่ย” ป้าแกปิดประเด็น แล้วก็ทำท่าจะยกข้าวไปให้ลูกชาย

“เออ ป้า เด๋วปริ้นเอาไปให้โอ้ตเองก็ได้คับ ว่าจะคุยอะไรกะมันด้วยอ่ะ มาม่ะ” ผมอาสายกของกินไปให้ไอ้โอ้ตมัน ไม่ใช่อาไรหรอก จะได้มีโอกาสจิ๊กกินด้วยแหล่ะ หุหุ (ย้อเย่นนะ ใครจะแย่งของสุดที่รักล่ะ)

“ยังไงป้าฝากปริ้นซ์ด้วยนะ ขอไปนอนก่อน” ป้าเค้าพูดแล้วก็ทำเสียงงัวเงียมาก

“อ่อ ตอนออกจากบ้านป้า ล็อกประตูให้ด้วยนะปริ้น”

“คับผม” ป้าแกพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องนอน

ก็อกๆ

“…….”

“โอ้ต ”


“……….”

“เข้าไปนะ ”

ผมเรียกมันก็ไม่ตอบ ก็เลยดันประตูเข้าไป เห็นมันนอนฟุบอยู่บนหมอน มือมันยังถือดินสออยู่เลย

“จาขยันอาไรป่านนั้นเนี่ย” ผมพึมพำแล้วก็เดินไปขยับตัวมันให้นอนดีๆ แล้วก็เลื่อนมือไปอังกะหน้าผากมัน ตัวอุ่นๆนิดหน่อย ข้างๆเตียงเห็นเป็นกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำไว้อยู่

“โอ้ต … ตื่นมาแดกเร็ว” ผมพูดข้างๆหูมัน แล้วก็หยิบกุนเชียงชิ้นนึง ไว้ใกล้ๆจมูกมันให้ได้กลิ่น (ตอนนั้นลืมไปว่า คนเป็นหวัดจะได้กลิ่นได้ไง)

“ไม่ตื่น อดนะ” ผมพูดแล้วก็เอากุนเชียงชิ้นนั้นเข้าปาก … หุหุ อาหย่อย

โอ้ตมันยังนอนเฉยเมย หน้าอกหนาๆของมันก็ขยับขึ้น ขยับลงตามจังหว่ะการหายใจของมัน สายตาผมก็เลื่อนขึ้นไปมองที่หน้า ผิวสีออกแทนๆหน่อย เข้ากะหน้าเข้มๆของมัน ตากลมโตที่ผมเห็นบ่อยๆ แต่ตอนนี้มันหลับเหมือนกะเด็ก คิ้วหนาเหมือนชินจังของมัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลองเอามือไปลูบเล่นเบาๆ

ตอนนั้นคิดไรไม่รู้คับ นึกถึงนิทานเจ้าหญิงนิทราขึ้นมาซะงั้น เลยอยากลองอะไรแปลกๆดู เลยค่อยก้มลงจะหอมแก้มมัน แต่พอเข้าไปใกล้แล้วเห็นปากมันเลยอดใจไม่ได้คับ แฮะๆ เลยจัดการประกบปากกะมันซะ ลิ้นผมก็ไล้ๆที่ปากมันเฉยๆอ่ะ เพราะว่าปากมันปิดอยู่นี่หว่า สอดไปเด๋วไก่ตื่นหมด หุหุ

ตึก ..

ไอ้โอ้ตมันสะดุ้งตัวนิดหน่อยครับ แต่จังหว่ะนั้น ผมกะลังเมามันส์ กะการเล่นปากคนหลับอยู่ เลยไม่ได้สนใจอะไร มารู้ตัวอีกที ไอ้โอ้ตมันก็เปิดปากแล้วก็เอาลิ้นสอดเข้ามาแล้ว

“อุ๊ก อึ๋กก” ผมก็ตกใจอะดิคับ มันตื่นมาตอนไหนวะ แต่ก็ถอนปากออกม่ะได้ เพราะมือไอ้โอ้ตมันก็กดหัวผมไม่ให้ขยับไปไหน โอ้วว โคตรทรมานอย่างแรง แล้วมันก็เอามืออีกข้างจับที่เอวแล้วก็โดนพลิกตัวลงมานอนหมดท่าอยู่บนเตียง มันได้ทีก็ขึ้นคล่อมเลย

“อะ โอ้ต หนักว้อยย” ผมพูดด้วยความยากลำบาก เพราะตัวมันทั้งหนาทั้งหนัก ขึ้นมาทับผมทั้งตัวเลย แถมตัวมันยังอุ่นๆอีก

“กลับมาซะดึกเชียว .. ไม่คิดถึงคนกำลังป่วยบ้างเลย” มันไม่พูดป่าว ก้มมาดูดที่คอผมอีกตะหาก แสดงว่าแค้นจัด

“กะ ก็เอาข้าวต้มมาให้กินแล้วเนี่ยงาย เง้ยย มันเสียว” ผมพูดแล้วก็พยายามผลักตัวมันให้ลุกขึ้น นี่มันจะหงี่เงี่ยนอาไรตอนไข้ขึ้นฟร่ะ -*-

“ไม่อ่ะ ไม่กินแล้ว”

“แม่เค้าอุตสาห์ตื่นมาทำให้นะ”

โอ้ตมันก็ยิ้มกริ่ม

“ก็อยากกินของที่อยู่ตรงหน้าเนี่ย” มันไม่พูดป่าว มันก็บดไอ้ท่อนล่างของมันที่แข็งปั๋งไปมากะตัวผมด้วยความหื่นกระหาย

“เฮ้ย ไม่สบายอยู่น้า” ผมพูด เพราะรู้สึกว่า สายตาไอ้โอ้ตตอนนี้มันมองผมเหมือนของกินของมันจริงๆ

“หึหึ .. ”

“หัวเราะอาราย”

“หึหึ ก็ถ้าได้พยาบาลน่ารักแบบนี้ คืนเดียวก็หายนะ” มันพูดเสร็จก็เข้ามาดูดปากผมอีกรอบ คราวนี้มันบด เบียด จนผมระทวย(อย่าหาว่าง่ายเลยนะ หุหุ) ยังแอบได้รสยาที่มันกินไปเลย ไม่รู้เว่อร์ป่าวฟร่ะ

โอ้ตมันก้มหน้ามาไซร์ที่ซอกคอครับ โดยที่ไมได้ปกป้องอะไร ก็คนมันเสียวนี่หว่า ผมเลยกอดมันแรงขึ้น เป้าโอ้ตเบียดกับเป้าของ ความหยุ่น หรือความใหญ่ ผมสัมผัสได้ด้วยสำนึก ตอนนี้ผมอารมณ์เตลิดไปไหนต่อไหน เอาช้างมาลากก็ไม่หยุดแล้วล่ะมั้ง โอ้ตบอกให้ผมนอนอยู่เฉยๆก่อน แล้วก็เดินโงนเงนด้วยความมึน ไปปิดไฟ

มะ มืดเรยคับ มองแทบจะไม่เห็นอะไร อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยคุ้นกะห้องมันอยู่แล้วด้วยล่ะ เตียงข้างๆมันก็ยุบลงไป เห็นลางๆว่าโอ้ตมันลงมานอนตะแคง มองหน้าผมอ่ะ ผมก็มองตอบ เวนล่ะ ผมพอจะปรับสายตาให้ข้ากะความมืดได้บ้าง ตามันเยิ้มยิ้มแย้มมากๆ แล้วมันก็เอามือผมไปจับที่เคมัน แมร่งร้อนชิบหาย เต้นตุ๊บๆๆ มันจะระเบิดมั้ยวะเนี่ย

ผมก็ลูบขึ้นลูบลงตามท่อนลำ และเพราะมันไม่ได้ใส่กางเกงใน ตอนนี้มันแข็ง โด่ จะทะลุกางเกงบอลออกมาให้ได้เชียว

“แข็งชิบ ไม่สบายแน่ป่าววะ โอ้ต ”

“อืม ก็ไม่สบายอะดิ แข็งใช่ป่าว ? ” แน่ะ มันยังมีหน้ามาถามอีก ผมก็เค้นคลึงเคมันก็ซี้ด ซ๊าดไปตามระเบียบ หนุกดีคับ เห็นหน้ามันลางๆตอนเสียวแล้ว

“ม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้น”

“จะแตกแล้วเหรอ” ผมพูดด้วยความดีจายเพราะกรุชักเมื่อยมือแระ

“ป่าว มันม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้นช่วยให้มันหายแข็งหน่อยดิ” เสียงโอ้ตมันอ้อนมากคับ จนขนลุกกันเลยทีเดียว

“จะให้ใช้ปากช่วยเป่า ”

โอ้ตมันสั่นหน้า แล้วก็เอื้อมมือไปคลึงที่ก้นผมแทน

“จะ - ทำ - อะ ไร – อ่ะ ” แหม ถามโคตรใสซื่อเลยผม แต่ตอนนั้นไมได้คิดจริงๆนะว่า จะต้องมาเสียตูดให้ไอ้โอ้ตคืนนั้นเนี่ย เพราะปกติก็จะแค่ ซอฟเซ็กส์กันเฉยๆอ่ะ

ผมถามได้แค่นั้น โอ้ตมันก็หันมาจับที่ท่อนของผมที่มันก็แข็งแทบระเบิดเช่นกัน มันบีบเบาๆ จนผมเสียวจี๊ดที่หัว โอ้ตมันก็รูดเอากางเกงผมลงไปกองที่หน้าขา(ทำไมง่ายจัง ?) พอขอบกางเกงหลุดพ้น หัวเคผมที่โผล่พ้นก็เด้งโชว์ออกมา โอ้ตแมร่งเอานิ้ววนรอบๆ จนน้ำเยิ้ม แล้วก็เอาไปดูด

สาดดดดด กรุเห็นแล้วแบบแปลกๆ ต้องหลบตามันเลย มันก็ยิ้มคับ แล้วก็ก้มลงจูบปากผม ลากลิ้นไล้ลงไปตามซอกคอ แล้วก็ดึงเสื้อผมให้หลุดออกจากทางหัว(ถ้าไม่ทางหัวแล้วจะทางไหน ไอ้บ้า) ตอนนี้เปลือยแล้วคับ ผมเห็นโอ้ตมันเปลือยแล้วมีเหรอจะเสียเปรียบอยู่คนเดียว เลยถอดมันบ้าง หุหุ

มันก็เลื่อนมือเอานิ้วลูบเบาที่หัวหยักของผมอีกรอบ จนต้องเด้งตัว

“เสียวว่ะ อมให้หน่อยดิ” ผมเผลอพูดออกไปด้วยแรงหงี่ ยังไม่ทันตอบครับมันใช้ปากมันรูดเข้าที่เคขนาด 6 กว่าๆของผม มันทำได้นิ่มนวลมากครับ ขอบอกว่ามันดูดได้โคตรเสียวว่ะ จากนั้นมันก็พลิกตัวเอาท่อนล่างมันมากระแทกปากผมบ้าง แน่นอนว่าผมก็ไม่ค่อยเชี่ยวอ่ะ เลยจัดการขม่ำเข้าไปโดยไม่บิ้วพลิ้ว งุงิ มือผมก็โลมไล้ ไข่สองใบของมันใหญ่ห้อยโตงเตง ไอ้โอ้ตคราง วุ้ย มันส์ว้อยยยยย

“ปริ้นคับ …” โอ้ตมันพูดเสียงกระเส่า หลังจากที่กลับหัวกลับหางเหมือนเดิมแล้ว

“หือ”

“โอ้ตขอฉีดยาปริ้นนะ”

“งือ โอ้ต อย่ามา - - - โอ้ต อย่า มานเจ็บ” มันไม่ได้พูดขออย่างเดียวนี่หว่า มันพูดไป แล้วก็เอื้อมมือเอานิ้วค่อยๆสอดเข้ามาอย่างเนียนๆ แต่ผมเจ็บอ่ะ เจ็บมากกก

“โอ้ต เอาออกปาย เจ็บว้อยย” ผมก็เริ่มจาแข็งขืนแล้วคับ ไม่ไหว

พอผมเริ่มดิ้น ปกติแล้วโอ้ตมันจะเลิกคับ แต่คราวมันไม่ดิ มันดันรัดตัวผมแน่นกว่าเดิมแล้วก็ดูดปากผมอีก เลยพูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เสียงอือๆๆ แล้วก็ปัดแข้งปัดขาได้อย่างเดียว นิ้วมันก็ยังไม่ยอมเอาออกจากก้นผมอ่ะ

“น่ะ โอ้ตขอนะ” มันพูดเสียงสั่นๆหลังจากที่มันถอนปากแล้ว แล้วก็ทำท่าอ้อนเหมือนลูกแมวอ่ะ ผมคนแพ้แมวคับ

“กะ ก็ได้ แต่ถ้าเจ็บต้องเลิกนะ” (คือกรุเจ็บแน่ๆอยู่แล้วล่ะ )

มันยิ้มแบบลิงโลดคับ แล้วก็พลิกตัวผมซะหันเลย

“อุ๊ก เบาๆเด๊ะ ไอ้โอ้ตตต” ผมหันหน้าจะด่ามัน แต่มันก็ขึ้นคล่อมทับตัวผมจากด้านหลังแล้วอ่ะ โอ้ตจับผมหันหลัง ดึงเอวผมให้มันยกสูง มันไม่รอช้า ก้มหน้าเอาลิ้นฉกร่องผม แล้วก็ละเลงเลียรอ่งสวาทของผม ลิ้นแข็งราวกับท่อนอะไรซักอย่าง มือผมกำผ้าปูที่นอนแบบลืมตัวซะงั้น แต่พยายามไม่ครางคับ เด๋วตื่นกันหมด

โอ้ตมันเลียนานพอตัว มันเริ่มเอานิ้วมาแหย่ที่รู

“อ๊ะ …. จะ เจ็บ อะ โอ้ต”

ได้ยินผมพูดแบบนั้น มันก็หาเห็นใจผมไม่ ยิ่งสอดลึกเข้าไปอีก ผมรู้สึกเหมือนกะว่าท้องจะเสียยังไงก็ไม่รู้คับ มันเหมือนโดนอะไรทะลวงเข้าไปเลย ทรมานสุด โอ้ตมันก็เอานิ้วออกมา แล้วก็ไปหยิบอะไรซักอย่างมาทาเพิ่มคับ (มารุ้ว่าเป็นวาสลีนที่ไว้ทาปากทาตัวอ่ะ) มาป้ายโน้นป้านนี่จนมันแฉะ โอ้ตมันเอาท้องมานาบที่หลังผม เสียงกระซิบข้างหูว่า

“เจ็บนิดนะครับ แล้วเดี๋ยวจะเสียว” ผมกะลังจะหันหน้าไปถามว่า เมิงรู้ได้ไงเคยแล้วเหรอ ก็รู้สึกว่า มีท่อนอะไรบางอย่างมันกะลังฝั่งเข้ามา โอ้ตกระซิบเพิ่มเติมว่า ผ่อนๆคลายกล้ามเนื้อ หลับตานะคับ (แล้วกรุจามองเหี้ยอาไร ในเมื่อมันมืดดด) แล้วของอุ่นๆก็บุกที่ประตู มือมันขยี้หัวนมผม เจี๊ยวก็ค่อยๆกดลงไป ผมก็ขยับตัวให้มันตรงร่องพอดี พอได้ที่ มันก็ครางซี๊ด แล้วดันลึกเข้าไปอีก

“อ๊ากกกซ์ กรุเจ็บ” ผมร้องลั่นเลยคับ ไอ้โอ้ตมันตกใจ เอามือมาปิดปาก แล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ

“เสียววะ ปริ้น แน่นชิบหายเลย” มันพูดแล้วก็ค่อยขยับทิ้งตัวลงมาทาบกับหลังผมซะสนิท แล้วก็ค้างไว้แบบนั้น ส่วนผมอ่ะ นอนนิ่งอ่ะคับ รู้สึกว่าน้ำตามันหยดออกมาเอง (คือมันไม่ได้กระแดะนะคับ แต่มันเจ็บเลยร้องออกมา)

“เจ็บ โอ้ต” มันได้ยินก็เลยมาไซร้คอ หลังผม แล้วก็เอามือเลื่อนมาจับจู๋น้อยที่หดเรียบร้อย ชักไปชักมา

“อือ …”

“หายเจ็บยังคับ” มันกระซิบแล้วก็ขบที่ติ่งหู ขนลุกเลย

“นิดหน่อยอ่ะ ”

“งั้นโอ้ตต่อนะ ”

น่าน กรุนึกว่าจะเลิก มันจะทำต่อคับ ผมเลยก้มหน้าฟุบลงไปกะหมอน โอ้ตมันก็ยกเอวผมให้ยกขึ้นอ่ะ แล้วก็ค่อยๆดันเข้ามาจนรู้สึกว่าหน้าท้องมันมาชิดกะก้นผม แล้วมันก็ค่อยๆเหมือนจะถอนออกไป แล้วก็สวนกลับเข้ามาอีก

ผมนี่นะ โคตรวาบที่ท้องน้อยเลย มันทั้งเจ็บทั้งเสียวแปลกๆ แต่มันเจ็บมากกว่า พอไอ้โอ้ตเห็นว่าผมเริ่มจะชินแล้วมันก็เริ่มซอยเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ผมก็นอนกัดหมอนเลยอ่ะคับ มันเจ็บมากกว่าเสียวแว้ววว ซักพัก โอ้ตมันก็จับผมพลิกให้ผมนอนหงาย เชื่อป่ะ ผมไม่กล้าสบตามันอ่ะ อายไงก็ม่ะรู้ นอนหลับตาอย่างเดียวเลยคับ เลยไม่รู้ว่าหน้าไอ้โอ้ตตอนเสียวมันเป็นไงเลยหว่ะ

โอ้ตมันยกขาข้างหนึ่งพาดคอ อีกข้าง มันก็จับไว้ ฉีกออกกว้าง แล้วโอ้ตมันก็กระแทกบั้นท้ายลงที่ตัวผม ดังบึ๊ก..ๆ..ๆ มันครางเบาๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกว่า สาดด เถื่อนชิบหายคับ แล้วรัวเอวไม่ยั้ง ผมนี้ ป่วนไปทั้งท้อง โอ้ตจ้องตาผม แล้วมืออีกข้างก็บี้ที่หัวนมผม แล้วกระแทกแรงๆอีกหลายหน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาปั่นตรงรูตลอดเวลา

“ไอ้โอ้ต บะ เบาๆ ”

โอ้ตมันก็ก้มลงมาดูดปากทุกครั้งที่ผมโอดคับ สาดด จนแล้วจนรอด พอมันก้มลงมาจูบผมครั้งสุดท้าย ตัวมันก็กระตุกคับ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรออกมาที่ก้นผมหรอก แค่รู้สึกว่ามันเลิกขยับเอวมัน แล้วก็เริ่มนิ่ง ก็รู้ว่ามันคงเสร็จแล้ว !!

“เง้ย .. ”

“โอ้ต โอ้ต” ผมค่อยๆเรียกมันเพราะเห็นมันนอนซบผมนิ่งเรย ท่าจะเหนื่อยจัด

“หือ ว่าไงคับ เมียจ๋า” มันพูดแล้วก็หอมแก้มผม

“ไอ้โอ้ต” ผมขึ้นเสียงอ่ะ ไม่ชอบเลยว่าเรียกแบบนี้

“ค๊าบๆ ว่าไงคับที่รัก”

“เมิงไม่ใส่ถุงใช่ป่าวเนี่ย”

มันก็ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า จะเอามาจากไหนล่ะ ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้เอาปริ้นนี่หว่า อะไรเทือกนี้

“เอาออกซะทีเด๊ะ” ผมบอกมันเพราะว่า เคมันยังอ่อนคาตูดผมอยู่เรย

“จ๊ะๆ” มันพูดแล้วก็ค่อยๆถอนเจี้ยวมันออกมา ได้ยินมันบอกว่า ให้นอนนิ่งๆก่อนนะ ตอนมันถอนออกมานะ ผมงี้ โล่งโคตรอ่ะ โอ้ตมันก็กุลีกะจอไปเปิดไฟดวงเล็ก แล้วก็ไปหยิบทิชชู่มาปึ้งใหญ่ มาเช็ดทำความสะอาดให้

“เลือดออกด้วยอ่ะปริ้น” มันพูดเสียงไม่ค่อยสบายใจ

“เออ นั่นดิถึงว่า มานแสบๆ แปร๊บๆ อยู่เลย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นมา โอ้ย กรุหน่วงๆตูดชิบหาย

“แสบหรือเสียว ”

“ไอ้โอ้ต” ผมพูดแล้วก็ตบหัวมันทีนึงเป็นการแก้แค้น

“ม่ะ ไปล้างตัวเหอะ เดินไหวป่าว” มันพูดแล้วก็ค่อยๆย่อตัวหันหลังให้ผม

“ขึ้นมาดิ เด๋วแบกไปห้องน้ำ” ผมก็เลยค่อยๆยันตัว แล้วก็ขึ้นขี่หลังให้มันแบก หุหุ

“โอ้ต ทีหลังไม่ให้ทำแบบนี้แล้วนะ โคตรเจ็บเลยอ่ะ”

“55 เจ็บเหรอคับ ครั้งแรกก็เงี้ยแหละ พอครั้งต่อๆไปเดี๋ยวก็เสียวครับ” มันหันมายิ้มเย้ยๆผม

“ไม่มีครั้งต่อไปแล้วว้อยย”

“ไม่ให้ก็จาเอาอ่ะ ยังไงปริ้นก็เป็น มะ …เอ้ย แฟนโอ้ตแบบชอบธรรมแล้วนา ”

“เหอะ ขี้ตู่นี่หว่า เด๋วเหอะ ไข้ขึ้นอีกหรอก” ผมบอกมันอายๆ

“ถ้าไข้ขึ้นอีก เดี๋ยวโอ้ตก็ฉีดยาปริ้นให้อีกไง” มันว่าพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า คนป่วยดิต้องโดนฉีด ไม่ใช่ให้คนป่วยมาฉีด !!! ”

“เอาน่า สัญญาว่าจะไม่รังแกปริ้นอีก …” โอ้ตรับคำ

“จนกว่าจะหมดกีฬาสีนะ เดี๋ยวลีดจะไม่มีแรงเต้น หึหึ ”

แหมพูดแบบนี้ อย่าให้ถึงทีกรุบ้างน้า ไอ้โอ้ตตตต แต่ตอนนี้กรุหิวโคตร แถมง่วงมาก

โอ้ต ขอนอนที่นี่นะ ง่วงอ่ะ

ได้ค๊าบ โอ้ตมันว่า แล้วก็ช่วยผมล้างตัว ล้างโน่นล้างนี่ แล้วก็ช่วยผมน้ำแตกในห้องน้ำ ขึ้นเตียงได้ สลบเลยกรุ แหง่ก
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:20:49
เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมมากมาย ไม่ใช่เพราะเจ็บที่ตูดอย่างเดียวนะครับ แต่เพราะว่าเช้านี้ มีคนนอนกอดอยู่ข้างๆ มันอบอุ่นง่ะครับ ปกติตื่นมาคนเดียวก็กลิ้งเกลือกไปทั่วตัว วันนี้ตื่นก็หันไปเจอโอ้ตนอนหลับตาพริ้ม

ผมมองแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้มันครับ อารมณ์ประมาณว่า ม่ะคืนอ่ะ ทำกรุได้น้า ทำกรุได้ แต่ไม่ได้ติดใจไรมากครับ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกดีกับมันมากขึ้นต่างหาก

“มองอะไร ห่ะ” มันลืมตามามองผมขณะหันไปมองมัน

“ไม มองไม่ได้เหรอ” ผมพูดประชด แล้วก็หันกลับทำนอนต่อ หุหุ (แก้เขิลซะงั้น)

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็เบียดตัวชิดกับผมมากขึ้น ไออุ่นจากตัวมันสัมผัสเข้ากับด้านหลังผมจนขนลุก

“อย่าหัวเราะแบบนี้เด๊ะ ไม่ชอบ” ผมพูดเสียงสั่นๆ เมื่อมันเริ่มแกล้งไซร้จากด้านหลังมาที่คอเรื่อยๆ

“เฮ้ย อย่าเล่นดิ - - กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมว่าพลางพยายามเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู แต่โอ้ตมันเอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ แล้วก็ค่อยๆกุมมือประมาณว่า ให้ผมนอนต่อ อย่าขยับ โอ้ตเบียดตัวจนแนบชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือโอ้ตที่กุมมือผมไว้เมื่อกี้ ก็เลื่อนมาแนบที่หน้าอกผม

- อ่า ไอ้โอ้ต รู้ป่าว ตอนนี้กรุมีฟามสุขมากเลยอ่ะ ถึงกรุไม่บอก แต่เมิงทำแบบนี้ กรุแทบละลายหลอมเข้าไปในตัวเมิงเลย –

“ทำไมหัวใจเต้นแรงจัง” โอ้ตกระซิบข้างๆหู

“อือ …”

“ตื่นเต้นเหรอ ? ”

“อือ …”

“ชอบให้กอดแบบนี้เปล่า ? ”

“อือ …”

“โอ้ตรักปริ้นนะ รักมากด้วย” มันพูดด้านหลังผม ทำให้อดเห็นหน้ามันตอนพูดคำนี้เลย อยากรู้จังว่าหน้ามันจะเหมือนผมตอนนี้ป่าว ที่รู้สึกว่า ร้อนขนาด ทั้งๆที่มันพูดคำว่ารักผม ออกจะบ่อยไป แล้วผมก็รู้ ว่ามันก็ต้องการคำๆนี้จากผม แต่ก็ยังไม่เคยบอกมันเลยซักครั้ง

“ปริ้น .. - - ”

“ปริ้นก็รักโอ้ตคับ” อ๊ากซ์ กรุพูดออกไปแระ รู้สึกร้อนรุ่มตรงใบหน้ายิ่งยวด

“อะ - ไร – นะ ไม่ค่อยได้ยินเล”ย ไอ้โอ้ตถามผมอีกรอบ แต่ผมรู้แหละว่ามันได้ยินชัดเจน เพราะพอผมพูดออกไป มือมันกำผมแน่นกว่าเดิมอีก

“ปริ้นรักโอ้ตคับ ” ผมเต็มใจตอบไปอีกรอบนึง ไม่อยากกวนโอ้ยมัน หุหุ

โอ้ตมันพลิกตัวผมนอนหงายประจันหน้ามัน โอ้ย ทำมายต้องให้มองหน้าด้วยวะ กรุแพ้สายตาเมิง ก็รู้

“มองโอ้ตดิ” มันพูดเมื่อเห็นผมไม่กล้าสู้ตามัน

“มองโอ้ต แล้วบอกอีกทีซิ ” มันพูดไปยิ้มไป

“อะไรวะ ก็ บอกไปตั้ง 2 รอบแล้วนะ” ผมพูดทำปากเบ้ไปด้วย โอ้ตมันมองเฉยครับ ประมาณว่า ถ้าผมไม่พูดอีกรอบ มันก็จะมองผมอยู่แบบนี้แหละ

“เอาวะ”

“ปริ้นก็รักโอ้ต รักมากกกกกกกด้วย - - - พอใจยัง(วะ) ” คราวนี้ผมพูดแนวประชดนิดๆ

โอ้ตยิ่มแฉ่งฟันขาว ตอบกลับมา

“พอใจแล้วคร๊าบบบ” พูดเสร็จมันก็ก้มลงมาจุ๊บปากผมทีนึง แล้วก็เลื่อนตัวเองลงมา จับขาผมขึ้นพาดไหล่มันสองข้างเลย

“เฮ้ย ไอ้โอ้ต - - ทำไรเนี่ย”

“รักโอ้ต งั้นโอ้ตขอกินปริ้นมื้อเช้าอีกมื้อนึงนะครับ ม่ะไหวแล้ววว ”

“ ไอ้โอ้ตตตต - - กรุยังไม่หา - - แอ๊กกก…. = =’’ ”

***************************


ติ๊ง ต๋อง ตอง ต๋อง ต๋อง ตอง ต้อง ต่อง

“เอ้า วิ่งเข้า วิ่งเข้า ปริ้น โรงเรียนเข้าแล้วเห็นมั้ย ? ” ไอ้แสดโอ้ต ยังมาเร่งให้วิ่งอีก ม่ะเช้าล่อกรุซะยิ่งกว่าม่ะคืนอีก
ยังมีการทำหน้าทะเล้นสั่งให้วิ่ง

มันวิ่งเหยาะๆ นำหน้าผมไปก่อน ผมก็พยายามจะวิ่งอะนะ แต่มันเจ็บอ่ะ รู้สึกว่ามันก้าวขาไม่สะดวกยังไงไม่รู้ ได้แต่ทำหน้างอนมันให้รู้ว่า ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเมิงนะ

“ทำหน้าแบบนั้นอีก เร็วๆเข้า”

“เฮ้ย 2 คนนั่นน่ะ เล่นกันอยู่ได้ โรงเรียนเข้าแล้ว เดี๋ยวโดนกักหรอก ไอ้ประธานนักเรียนนี่หว่า” พี่ยามตะโกนทำให้พวกผมต้องรีบใหญ่เลย

“แล้วตอนเย็นอย่าลืมไปซ้อมนะ” โอ้ตมันว่าพลางยิ้มกริ่ม แล้วจะตามไปทีหลัง

ผมก็ทำหน้าตาไม่พอใจนิดหน่อยครับ อาไรวะ ตั้งแต่ม่ะเช้าแระ เอาแต่สั่งๆๆๆกรุ ตลอดเลย ม่ะพอใจว้อยยย

หลังจากแยกกับมัน ผมก็รีบเดินไปขึ้นเรียนวิชาแรก โอ้ว ตึก 5 ชั้น 4 ทำมายยยย กว่าผมจะย่องขึ้นไปชั้นบนสุด ก็แทบรากเลือด เพื่อนๆมันเข้าไปกันหมดแล้วล่ะ

“ขออนุญาตคับ อาจารย์”

“มาสายอีกแล้วนะเธอน่ะ” อาจารย์เหลือบมองผ่านแว่น แล้วก็ปล่อยให้ผมผ่านเข้ามาได้ ผมก็รีบเดินไปนั่ง แต่ก่อนหน้านั้น ก็เห็นซังมันมองผมตั้งแต่เข้ามาแล้วล่ะ ส่วนไอ้คิว ก็เหมือนเดิมคับ ไม่สนใจใคร นั่งลอกการบ้านอยู่ข้างหลังอ่ะแหละ

ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยถูกครับ เพราะปกติซังมันทำหน้าเฉยๆอยู่แล้วอะ เลยไม่รู้ว่ามันหายโกดผมยัง หรือยังโกดอยู่ เลยไม่ได้ทักมัน พอผมนั่งลงเท่านั้นแหละ มันก็เอามือมาตบหลังคับ เหมือนจะทักตามปกติ

“หวัดดีปริ้น” ป๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ !!

ซี้ดดดด ไอ้โหด เจ็บคับ เจ็บ มันทักแบบเจ็บเลยอ่ะ เสียงตบหลังดังมากจนเพื่อนเกือบทั้งห้องหันมามอง ผมก็แฮะๆ ไม่มีไร นั่งต่อ

“ทักแรงนะเนี่ย” ผมบอกไอ้ซังเบาๆ

“แรงที่หน่ายยยย” มันพูดแล้วก็เอื้อมมือมาลูบหลังที่มันทำไว้ม่ะกี้เบาๆ ผมละเสียวแว่บ ตลอดเวลาเรียนคาบนั้น ผมกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเลยคับ เวลามันทักทีนึง ก็สะดุ้งทีนึง แอบเห็นไอ้คิวหัวเราะเยาะผมข้างหลัง แล้วอยากจะฆ่ามัน เพราะมันเลยนะ ผมเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

พอหมดคาบปั๊บ ไอ้คิวก็เดินออกไปกะกลุ่มเพื่อนมัน ผมก็กะลังจะเดินออก ซังมันก็เดินเข้ามาข้างๆ ผมก็รีบหันไปมองมัน กลัวมันมาต่อยอะซิ

“เอ้ย ทำไมต้องกลัวเราขนาดนั้น”

“อ้าว จะรู้ป่าวล่ะ ก็เล่นซะเจ็บหลังเลยนี่หว่า” ผมพูดเคืองๆ (แต่ความกลัวยังมีอยู่)

“โห แค่ล้อเล่นเอง คิดมาก” นี่ขนาดมันล้อเล่นนะเนี่ย =*=

“เออ ให้มันเจงเหอะไอ้ซัง - - ว่าแต่ เราขอโทษนะ เรื่องวันเสาร์อ่ะ” ผมสารภาพ

ซังมันก็ยิ้มๆคับ ผมงี้ค่อยโล่งอกหน่อย แสดงว่ามันก็คงหายโกดแล้วล่ะ

“ช่างมันเหอะ คิวมันบอกหมดแล้ว ว่ามันสั่งให้ปริ้นทำ”

“อารายนะ มันบอกว่ามันสั่งเหรอ ” ผมพูดอย่างเคือง

“55 โกดเหรอ มันก็งี้แหละ ไม่ต้องใส่ใจมันมาก”

“ดูท่าทางเข้าอกเข้าใจกันเจงเลยนะ” ผมพูดแซวมันด้วยความหมั่นไส้ “ปกป้องกันเหลือเกินนนน”

ซังมันหน้าแดงนิดหน่อย

“แล้วเคลียกันยังไงล่ะในโรงหนังอ่ะ” ผมถาม คราวนี้หน้าไอ้ซังแดงหนักไปกว่าเก่าอีก มันต้องมีอะไรแน่เลยเนี่ย

“ไม่บอกวุ้ย เอาเป็นว่าเข้าใจกันแล้วกัน”

“อ่ะๆ ไม่บอกก็ไม่บอก” ผมพูดแล้วก็ตีตูดมันทีนึง ปรากฏว่าไอ้ซังร้องจ๊ากกก

“โอ้ยยย เจ็บโว้ย ตีมาได้”

“ตีเบาๆเองนะ 555 อ่อ รู้แระว่า เคลียกันยังไง หุหุ” ผมพูดแบบไม่ได้ดูตัวเอง

“ไอ้ปริ้น เด๋วเหอะ เด๋วโดน” มันพูดไปหน้าแดงไป แล้วก็เดินก้มหน้างุดๆๆลงตึกอ่ะคับ ขาแอบถ่างหน่อยๆ
กร๊ากกก ไอ้คิวนี่ไม่ใช่เล่นเลย สงสัยหลายรอบแน่ ^^’’

***************************


ถ้าจะบอกว่า วันนี้เป็นวันที่ซ้อมหนักที่สุดเท่าที่เคยซ้อมมาก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะนอกจากที่ต้องพาร่างที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์มาเต้น มาต่อตัว ผมก็แทบแดดิ้นไปกับพื้น ต่างจากลีดผู้ชายคนอื่นๆอย่างไอ้โค๊ก หรือกั๊กเนี่ย มันฟิตกันจริงๆ

“แอร๊กก ”

ผมร้องเสียงหลง เมื่อพลัดตกลงมาตอนที่กำลังต่อตัวอยู่ ไอ้โค๊กรีบเข้ามาดูขาผมว่าเป็นไรมากป่าว

“เป็นไง ไม่ไหวก็ต้องไหวนะน้องปริ้น” เจ๊ซายผู้โหดร้ายในวันที่รู้จักแรกๆ กลับเข้ามาปลอบผม

“คับพี่ … ผมขอโทดนะ ” ผมพูดความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของทีม ถ้าตอนแรกที่พี่ท็อปมาชวน แล้วผมปฏิเสธไป ป่านนี้คงซ้อมถึงไหนต่อไหนแล้ว

“แอร้ย .. จะมาขอท่ง ขอโทษทำไมยะ ลุกๆ เอาคำขอโทด เปลี่ยนมาเป็นตั้งใจให้มากขึ้น เจ๊จะยกโทษให้” เจ๊ซายบอกผมแล้วก็ตบบ่า

ผมยิ้มให้ทีนึง แล้วก็โชคดีที่ขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าแค่ช้ำนิดๆ

“ไหวป่าวพี่” เสียงโค๊กถามด้วยความเป็นห่วง โดยเห็นไอ้กั๊กส่งสายตาเขียวปั๊ดมาหา

“เออ ไหวดิวะ” ผมพูดแล้วก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา

“เฮ้ย กั๊ก มาช่วยพยุงพี่เค้าลุกหน่อย ” ไอ้โค๊กมันตะโกนเรียกไอ้กั๊กที่ตกใจที่ไอ้โค๊กเรียกมัน แล้วก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาพยุงปีกผมอีกข้าง

“ขอบใจ”

ไอ้กั๊กมันพยักหน้า แต่ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม หยิ่งจริงๆไอ้นี่ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาคับ เพราะทั้งผม ทั้งไอ้โค๊ก ทั้งไอ้กั๊ก ก็ไม่ได้เขม่นอะไรกันเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เริ่มกระชันชิดเข้ามาด้วย จะมัวมาวางมาดไม่ได้แล้วล่ะ ทุกวันๆ กิจวัตรที่ต้องทำ มีแต่ต้องซ้อมๆๆๆ เรียนก็โดดเพื่อไปซ้อม ดูดิ = =’’ แต่ได้ไอ้ซังมันช่วยคับ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องงานเท่าไร ไอ้คิวก็ช่วยคับ ช่วยเป็นภาระของไอ้ซังอีกทีนึง ไอ้เวน !!

เวลาผ่านล่วงเลยไปไวเหมือนติดปีก รู้ตัวอีกที ก็เหลืออีกเพียง สาม สี่วัน ก็จะถึงวันกีฬาสีแล้ว อธิบายหน่อยว่าโรงเรียนที่ผมอยู่เนี่ย จะแข่งกันเป็นอาทิตย์ๆคับ ส่วนที่เป็นไฮไลต์จริงๆ ก็คือสองวันสุดท้าย ที่จะมีการตั้งแสตนเชียร์ เพื่อแข่งกีฑาประเภทลู่ กะ ลาน

โอ้ตมันเป็นประธาน ช่วงนี้เลยเครียดหนักโคตร เพราะนอกจากต้องออกแบบแสตนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบเรื่องการเชียร์ด้วย ส่วนเรื่องนักกีฬาจะเป็นหน้าที่ของอีกห้องรับผิดชอบครับ แล้วก็อย่างที่บอก พอถึงเวลาใกล้ออกศึก คนเราก็จะหันหน้าเข้ามาเป็นมิตรกันได้เหลือเชื่อไม่ลง

วันนี้เป็นวันที่ต้องลองชุดลีดคับ มีสองชุด ชุดละวัน

“ง่า ทำไมมันรัดแบบนี้วะ” เสียงไอ้โค๊กมันบ่น ตอนลองคับ เพราะว่าชุดมันรัดติ้วเลย เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน เพราะมันล่ำ แล้วก็ตัวใหญ่ด้วย พี่ๆผู้หญิงที่เป็นสต๊าฟพากันกรี้ดกร๊าดกันน่าดู ส่วนผมกะไอ้กั๊กไม่เท่าไร เพราะว่าตัวไม่ค่อยใหญ่ แล้วก็ไซต์ก็พอดีตัว ไม่รัดมาก หุหุ

“ก็ดูดีอ่ะ ผมบอกเป็นเชิงปลอบๆ มันก็ดูหน้าเสียพอควร

“พี่ปริ้นดูจิ มันรัดขนาดนี้ ถ้าเต้นๆไปแล้วเจี้ยวผมลุกนี่ อายมุดดินหนีเลยนะ” มันยังบ่นไม่เลิก ไอ้กั๊กมันก็ดอมๆมองๆ ใกล้ๆโค๊ก จ้องตาเป็นมัน ผมรู้นะว่ามันคิดไรอยู่ หุหุ

“โห ไอ้บ้า มาKลุกอะไร คนเยอะแยะ สาดด แต่มันก็ดูไม่น่าเกียดมากหรอก ออกจาเฟิร์ม มั่นใจหน่อยดิ จริงป่ะกั๊ก” ผมหันไปถามไอ้กั๊กที่นั่งเหม่อฟังพวกผมคุยอยู่ มันสะอึกนิดหน่อย แต่ก็เออออ

“ก็ดีนี่ ไม่รัดมากหรอก” มันกระแอมแล้วก็พูดเสียงเบาๆ ดูหน้ามันแดงๆชอบกล แต่ไอ้โค๊กกลับทำหน้าเบ้แทน มันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจไอ้กั๊กอยู่มั้ง

คุยๆกันอยู่ โอ้ต แล้วก็เจ๊ซาย ก็เดินเข้ามาที่ห้องลองชุด

“ว้าววว รัดได้ใจเจ๊มาก” เจ๊แกล้งมอง(หรือไม่แกล้ง)ด้วยความหื่น

“เจ๊ มองไร ผมอายนะ” ไอ้โค๊กแหวใส่แล้วก็ทำท่าทางจะเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุด นร เหมือนเดิม จากนั้นเจ๊ก็กวาดสายตามองมาที่ไอ้กั๊ก แล้วก็ติโน่น ตินี่ให้แก้อะไรนิดหน่อย มันก็ไปเปลี่ยนชุด เจ๊ก็หันมามองผม แล้วก็ยิ้มๆ

“ผมต้องแก้อะไรอีกป่ะคับ” ผมพูดแล้วก็หมุนๆตัวให้เจ๊ดู

“ปริ้นแก้ผ้าให้เจ๊ดูจะเป็นบุญตาเจ๊มากเลย” ดูเจ๊แกพูดดิ

“แค๊กๆๆๆๆ” เสียงไอมาจากด้านหลังคับ จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้โอ้ต

“ไอไรยะ นังโอ้ต” เจ๊วายเหลือบตาไปมอง

“ป่าวเจ๊ - - เอ้า เรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปเปลี่ยนชุดเซ่ ปริ้น ยืนทำไรอยู่ได้” โอ้ตมันสั่งผมแบบไม่พอใจอะไรยังงั้นแหละ ตกลงกรุทำไรผิดอีกง่ะ

ผมได้ยินเจ๊สั่งโน่นสั่งนี่ อีกนิดหน่อย ก่อนที่จะให้เรียกให้ไปซ้อมต่อที่บ้านพี่ต่าย


***************************


ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะที่เคยเต้น ผมก็เชื่อว่าพี่ๆ เพื่อนๆในทีมก็คงเป็นอาการแบบเดียวกะผม วันนี้แล้วคับ กับความพยายามตลอดสองเดือนที่ทุกคนทุ่มเท เพื่อกิจกรรมนี้ แล้วตัวผมก็เป็นส่วนนึงที่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ZzzzzzzzzzzZ คร่อกกก”

เพี้ยยะ

“โอ้ย !! ตบหัวทำไมเนี่ย พี่ท็อป”

“นี่ จะมาหลับไรวะ นั่งดีๆให้พี่เค้าแต่งหน้าให้สะดวกๆ” พี่ท็อปมันเดินบ่นไปบ่นมา ไปทางโน้นที ทางนี้ที โห จะไม่ให้ผมง่วงไงไหวล่ะ เพราะว่า ผมยังหลับได้หน่อยเดียวเอง เมื่อคืน ก็อยู่ช่วยโอ้ตทำแสตนจนเกือบถึง เที่ยงคืน แล้วก็โดนไล่ให้ไปนอนบ้านพี่ต่าย เพราะว่าพวกลีดจะต้องตื่นมาจัดแจงอะไรต่ออะไร ตั้งแต่ตี 4 โอ้ว แต่แข่งตอน 9 โมงเช้าเนี่ยนะ

บอกตามตรง ชีวิตนี้ นอกจากใช้แป้งเด็กแคร์ กับใช้ลิบมันทาปากตอนหน้าหนาวแล้ว ก็ไม่เคยมีเครื่องสำอางอะไรมายิ้กๆอยู่ตามหน้าผมได้เลย เลยรู้สึกรำคาญอย่างมหาศาล แถมแมร่ง เจ๊ซาย มาแต่งหน้าให้ผมเองอีกตะหาก วู้
ทำให้ไม่กล้าทำไรมาก เด๋วโดนตบ

“เจ๊ใกล้เสร็จยังเนี่ย ” ผมเริ่มบ่น

“ยังคะคุณชาย จะรีบไปไหนเนี่ย แล้วก็อยู่นิ่งๆซิ ” เจ๊พูดแล้วก็จับคอผมหันไปตามทิศทางที่แกต้องการ จนเกือบคอเคล็ด

“อ๋อยยย เสร็จยางงง ผมปวดฉี่ว้อยย ”

“เอ้า แล้วไมไม่บอกล่ะ เด๋วก็ราดพอดี รีบๆไปนะ” เจ๊แกพูดแบบรมณ์เสีย

กว่าจะใส่ชุด แต่งหน้า ทำผมเสร็จ ผมก็แทบรากเลือด ปิดท้ายความสมบูรณ์ด้วยการที่เจ๊เอาแว๊กมาระเริงหัวผมซะเยิ้ม แล้วก็ทำเป็นทรงแห้วไรก็ไม่รู้

“โอ้ย วันนี้ปริ้นมันหล่อแฮะ” พี่ต่ายเดินเข้ามาทัก ผมพ่นลมออกทางจมูก เป็นเชิงไม่เห็นด้วย ปกติกรุน่ารักอยู่แล้วว้อย

“อ่ะ ปริ้นใส่นี่ก็เสร็จแล้ว” เจ๊ซายเขวี้ยงเอาเสื้อที่คล้ายๆกะสูทให้ผมสวมทับ แต่มันไม่หนักแล้วก็หนาเท่าสูทคับ ไม่งั้นเดี้ยงแน่ ตกลงเป็นว่า กว่าจะเสร็จกิจ ก็ปาเข้าไปเกือบ 7 โมง ผมเสร็จเป็นคนสุดท้ายพอดี

ออกมาจากห้องรับแสงเดือนแสงตะวัน ทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก

สรุปว่าตอนนี้ทุกคนดูดีกว่าวันลองมากคับ สงสัยเพราะว่าวันนี้แต่งหน้าแต่งตา แล้วก็ใส่ชุดเต็มยศมั้ง แต่ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนตรงไหนเลย

“เอ้าขึ้นรถได้แล้วเด็กๆ” เจ๊ซายบอก โดยมีพวกพี่ต่ายต้อนให้พวกลีด 7 คนขึ้นรถ เออ ลืมบอกไปคับ ลีดมาแต่งตัวที่บ้านพี่ต่าย เพื่อความสะดวก แล้วก็ให้พี่ท็อปขับรถไปส่งที่ โรงเรียน ระหว่างเดินทาง ไอ้โค๊กมันก็หันมามองบ่อยๆ

“มองไรวะ ไอ้ตุง” (ผมเรียกมันตั้งแต่วันที่มันลองชุดแล้ว มันตุงกว่าเพื่อนคับ เลยเรียกว่าไอ้ตุง)

“โห เรียกซะหมดค่าเลย - - ป่าว ก็เห็นว่าวันนี้น่ารัก เออ ดูดีอ่ะ ก็เลยผิดกลิ่น เหอๆ”

“ไหนเห่าซิ”

“กำ คนไม่ใช่ม้า”

“แสดด หมาว้อยยย ”

ใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางที่รถขับไป ยิ่งใกล้โรงเรียนมากเท่าไร ความรู้สึกก็เหมือนต้องขึ้นแท่นประหารซะอย่างงั้น ตื่นเต้นว้อยยย !!
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:21:13
พี่ท็อปขับรถเข้าประตูหน้าโรงเรียน สนามบอลด้านซ้ายมือของพวกผม ตอนนี้มีสแตนเชียร์ของแต่ละสี ผุดขึ้นมาโดดเด่นเป็นสง่า (?)

“โห สีเราดูดีสุดเลยอ่ะ” ไอ้โค้กสะกิดเรียกให้ผมมองดูสแตนสีส้มของเรา มันดูสูงกว่าสีอื่นมากๆ จนผมกลัวว่า ถ้าเจอลมแรงๆเข้ามาซักป๊าบ มันจะหักโค่นลงมาป่าววะ พอรถแล่นมาจอดที่เต้นสี พลพรรคก็พาเหรดกันลงมา พร้อมกับหลายๆสายตาจ้องมาที่พวกผม จนรู้สึกอึดอัด

“เป็นไง เรียบร้อยนะ” โอ้ตเดินเข้ามาทัก ดูท่าทางแล้วมันคงแทบไม่ได้นอนเมื่อคืน แต่มันกลับดูไม่เพลียเลยแฮะ แถมยังดูกระปรี้กระเปล่าเหมือนเตรียมจะออกศึก

“อาจารย์เค้าจะให้ออกไปโชว์แนะนำตัวก่อน รอบนึงตอนเก้าโมง แล้วพอแข่งกีฬาเสร็จช่วงเที่ยงจะเริ่มแข่งรอบแรก” โอ้ตมันอธิบาย 3 สีแรกแข่งตอนเที่ยง อีก 3 สีจะออกตอนแข่งกีฬารอบบ่ายเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนกัน

“แล้วเค้าจะเรียกให้สีไหนแข่งก่อนวะ”

“เค้าจะจับฉลากเอาอ่ะ จับสีไหนออกมา ก็ต้องออกก่อน” โอ้ตอธิบายโน่นนี่ แล้วก็อะไรอีกมากมายแต่ผมขี้เกียจฟังครับ ก็เลยเลี่ยงๆออกมานั่งตรงเต้น พวกน้องๆ ก็นั่งกันอยู่ตรึม เลยต้องดึงไอ้โค๊กซึ่งตอนนี้ก็ไปสนใจคุยกะพวกเด็กๆในสังกัดที่ปลื้มมันอยู่ให้มานั่งเป็นเพื่อน

“เป็นไร ตื่นเต้นเหรอพี่”

“เออดิ หรอเมิงไม่ตื่นเต้น ? ” ผมย้อนถาม มันกลับบอกว่าเฉยๆ ไอ้กั๊ก กะพี่ผู้หญิงอีก 4 คนก็ไม่ค่อยจะดูตื่นเต้นเหมือนผมเลย

“ใจเย็นๆ พี่ ตื่นเต้นแบบนี้จำโค๊ดได้มั่งเปล่าเนี่ย” มันพูดแล้วก็ไปชวนพี่ผู้หญิงมาทบทวนเบาๆกันอีกรอบ

“ไหวนะปริ้น” ไอ้โอ้ตคับ อยู่ๆก็เดินเข้ามา แล้วก็เดินมาถามผมเบาๆ

“อือ ไหวดิ ชั้นนี้แล้ว”

“ดีมากครับ เอาใจช่วยนะ ตั้งใจฟังสัญญาณจากทางสแตนด้วย” โอ้ตมันบอกแล้วก็ยกโทรโข่งตัวนึงขึ้นมา เอาไว้สำหรับพูดให้น้องม.1 บนสแตนได้ยินแหละ

“แล้วก็มีสมาธินะ” มันพูดเสร็จแล้วก็เอามือลูบหัวแห้วผมเป็นเชิงให้กะลังใจ

“ระวังหน่อย วู้ เด๋วผมเสียทรงหมด” ผมพูดกัดๆ

“ทำแล้วก็ดูดีหนิ น่ารักดี หึหึ” มันพูดแล้วก็เอาลิ้นเลียริมฝีปาก

“อะไรเล่า ”

“ไม่มีไร ไปเตรียมตัวเหอะ เดี๋ยวต้องเริ่มโชว์แล้ว” มันว่าแล้วก็ไล่ให้ผมไปเข้าแถวเตรียมตัว หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของผมกะไอ้โอ้ต โค๊กมองอยู่ตลอด ผมหันควับไป เห็นมันเลยรู้

“อะไรตุง”

“เปล่านิ” มันพูดยิ้มๆ

หลังจากนั้นอีก 10 นาที สีผมก็เป็นสีแรกที่ต้องเปิดตัวต่อหน้าประชาชี

เฮ เฮ เฮ ……………….. เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม ขาผมค่อยๆก้าวออกไปสุ่สนาม จากที่ค่อยๆเดิน ก็เริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง เสียงเชียร์ด้านข้าง่ค่อยๆดับหายไปในความรู้สึกผม เสียงที่ผมต้องตั้งใจฟัง ก็คือเสียงโอ๊ตที่อยู่ในสแตนที่
อยู่เบื้องหลังของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น


***************************


“เอ้า น้ำ” โอ้ตโยนขวดน้ำขวดเบ่อเริ่มมาให้ ผมรีบคว้ามาดวดอย่างกระหายเหมือนขาดน้ำมาเป็นแรมปี วันนี้ทั้งวันเรียกได้ว่า ผมแทบไม่ได้หยุดพักเลย รู้สึกว่าสีผมจะเป็นสีเดียวที่ลีดบ้าพลังออกไปเต้นบ่อยที่สุด (สีอื่นมันยังมีพักบ้างอะซิ) เพราะไอ้พี่ท็อปนั้นแหละ

ผมก็ไม่รู้หรอกว่า คะแนนวันนี้ที่ออกมามันจะดีเหรอป่าว แต่ดูเหมือนโอ้ตมันจะพอใจในระดับนึง

“เอ้ย เห็นอาจารย์บอกว่าวันนี้สีเราคะแนนนำหว่ะ” พี่ต่ายเดินมาบอกโอ้ตกะพี่ท็อปด้วยความตื่นเต้น

“เจงดิ เชื่อได้แค่ไหนวะ” พี่ท็อปบอกเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ

“เออ ลีดอ่ะ ไม่รู้ แต่ว่าสแตนอะแน่นอน” เอ้า พวกลีดอย่างผมเศร้าเรยคับ เพราะว่าเวลาตัดสินเนี่ย รางวัลลีดกะรางวัลสแตนมันคนล่ะอันกัน แน่นอนว่าสแตนผมอย่างที่บอกว่าเดิ้นสุด

“เป็นไงเหนื่อยมากมั้ย ยังเหลืออีกวันนึงนะ” โอ้ตเดินมาตบบ่าผมระหว่างจะกลับไปพักบ้านพี่ต่าย คืนนี้พวกลีดกะพวกสต๊าฟหลักๆ ตกลงกันไว้ว่าจะนอนบ้านพี่ต่ายคับ จะได้ทำไรได้สะดวก แล้วก็ไม่วุ่นวาย แต่ปัญหาดันเกิดขึ้นมาเพราะว่าไอ้โค้กมันเสือกเจ็บขาขึ้นมา

“โอ้ยยย …” ไอ้โค้กร้องลั่น เห็นกั๊กมันนวดขาตรงที่เจ็บให้อยู่ ผมเห็นดังนั้นเลยเดินเข้าไปสอบถามสารทุกข์สุขดิบ

“อ่าฮ่า .. ” ผมเดินเข้าไปทำเสียงแซวไอ้โค้กที่กำลังทำหน้าเจ็บปวดอยู่

“ทำเสียงอะไร ” มันมองทำหน้าไม่พอใจผม แล้วก็ปัดมือน้องกั๊กออกจากขามันคับ กั๊กมันหน้าเจือนแล้วก็ลุกเดินออกไปทางอื่น

“อ่าโฮ่ …” ผมมองตามหลังน้องกั๊กไปแล้วก็ทำเสียงแปลกๆอีก

“ทำอะไรวะ” แน่ะมันขึ้นเสียงกะผม แล้วก็เผลอเตะขาข้างที่ยอกอยู่มาทางผม แต่พอดีหลบได้ ไอ้โค้กเลยร้องจ๊ากเลย

“เป็นไงล่ะ เจ็บอะดิ ไม่ได้ดูตามาตาช้างเล้ย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆจับขามันให้เข้าที่เดิม

“แล้วงี้จะไหวมั้ยล่ะ”

“ฮึ .. ไม่ไหวก็ไม่เต้นไง” มันพูดเสียงงอนๆหันหน้าไปทางอื่น

“เฮ้ย พี่ท็อป ไอ้โค้กบอกว่า มันจะไม่เต้นพรุ่งนี้แล้วอ่ะ” ผมตะโกนฟ้องพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่ในครัว

“ม่ายด้ายนะมรึงง เสียงมันดังออกมาตรงห้องรับแขกที่กำลังนั่งกันอยู่เลย พร้อมกับคำผลุสวาทอีกมากมาย

“ไปเลย ป่ะ ขี้ฟ้องเจง แมร่ง” ไอ้โค้กพูดพลางผลักตัวผมให้ไปไกล เหอๆ เวลามันงอนมันน่ารักดีหว่ะ

“โหไล่พี่ไล่เชื้อ เป็นห่วงนะเนี่ย อุตสาห์มาดูว่าเป็นไงบ้าง” ผมพูดประชด แล้วก็ทำไปนวดตรงที่มันเจ็บ แต่มันรีบชักขากลับ แล้วก็พูดประโยคให้ผมอึ้ง

“ไม่ต้อง ! ไปห่วงพี่โอ้ตเหอะไป”

“หงิ ” ผมตกใจนิดๆ ทำไมมันรู้ได้ไงวะ หรือว่ามันเดาไปส่งๆ

“เกี่ยวไรกะโอ้ …. พี่โอ้ตฟ่ะ” ผมพูดทีเล่นทีจริง

“ป่าว ไม่มีไร ก็ไม่มีไรดิ” มันพูดเสร็จมันก็ลุกขึ้น

“เฮ้ยไปไหน”

มันหันหน้ามาแว่บนึง เป็นหน้าที่กวนตีนมากๆเหมือนตอนที่เจอมันวันแรกๆเลย

“นอน ! ” แล้วมันก็ เดินกระเผลกกระเผลกหายไปในความมืด

อ้าวกรุทำไรผิดอีกเนี่ย แค่แซวนิดแซวหน่อยเอง แต่เออจริง มันไม่ชอบไอ้กั๊กอยู่นี่หว่า งืมๆ


***************************

เช้าวันต่อมากลับเป็นว่าผมตื่นขึ้นมาปวดเมื่อยเองซะงั้น แต่ก็ต้องทนตื่นคับ ต้องมานั่งแต่ตัวโน่นนี่เหมือนเดิม แต่โชคดีวันนี้ชุดเป็นแบบเบาสบาย แล้วก็บางคับ เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไร

ผมเหลือบมองไปทางไอ้โค้กซึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ มันจะหายโกดกรุยังวะ

“โค้ก …” ผมเรียกแบบลองเชิง

“คับ ว่าไง” มันหันหน้ามามองผมตาแป๋ว อ่าทำหน้าน่ารักแบบนี้แสดงว่าหายโกดแระ

“ขาเป็นไงมั่ง”

“ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” มันพูดแล้วก็สะบัดขาให้ดู

“เออๆๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เด๋วมันจะเจ็บขึ้นมาอีก ”

“ก็ยังขัดๆอยู่แหละ เออ .. พี่มานวดให้ผมหน่อยดิ” มันพูดแล้วยื่นขาหน้ามาทางผม

“เอ้า ใช้กรุซะงั้นไอ้น้องเวน” ผมพูดแล้วก็ก้มลงนั่งนวดขาให้มัน

“เจ็บก็บอกนะเมิง” มันก็พยักหน้า แล้วก็หลับตาพริ้มเพลา แม่ม ไอ้นี่มาทำตัวเป็นคุณชายตัดหน้ากรุซะงั้น เด๋วปั๊ดจับเจี้ยวเลยนี่ คิดได้แว่บนึง หัวก็พลันหันไปทางเป้ามันคับ สาบานได้เลยว่าตอนแรกไม่ได้คิดลามกเลยนะ แต่ทำไมดูมันพองๆหว่า ?

แกร้งงงๆๆ

เสียงฝาอะไรซักอย่างตกลงบนพื้น ทำเอาตกกะใจหันไปมอง แล้วผมก็เสียวแว่บ ไอ้โอ้ตคับ มันทำตก ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจทำตกอ่ะ แต่ตอนมันเก็บฝา แล้วก็เหลือบตามามองทางผมแล้ว โห … น่ากัวชิบเป๋ง

“เอ้า หยุดทำไมอ่ะพี่ปริ้น นวดต่อเซ่” ไอ้โค้กมันขยุกขยิกขาให้ทำต่อ

“เออ สั่งจัง” พูดเสร็จผมก็หันมานวดต่อ

คลื่นนนนนนนน ………. คลื่นนนน ……

อี้ .. ผมรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุด้านหลัง

“เฮ้ย ปริ้น ตัวเองน่ะ จัดการเรียบร้อยหรอยัง” เสียงพี่ท็อปดังขึ้นมา ทำให้ผมเลี่ยงออกมาได้ หันมาอีกที โอ้ตมันก็ไม่อยู่ซะแระ

“พี่โอ้ตไปไหนแล้วอ่ะพี่ต่าย ”

“อ่อ เห็นออกไปแล้วเมื่อกี้อ่ะ สงสัยไปโรงเรียนแล้ว ” พี่ต่ายบอก

“อ้าว …”

“มีไรเหรอปริ้น”

“ป่าวคับพี่”

งือๆ มันงอนผมอีกแล้วแน่เลย T-T


***************************


“ต่อไป จะเป็นโชว์ของคณะสีสุดท้าย เอ้า ขอเสียงปรบมือให้กับ สี … ส้มมมมม”

สิ้นสุดเสียงของโฆษก ขาพวกผมทั้งเจ็ดคู่ สิบสี่ข้าง ก็วิ่งออกไปยืนอยู่กลางสนาม พร้อมกับสิ่งที่ร่วมกันฝึก ร่วมกันซ้อมกันมาตลอดสองสามเดือน อีกไม่นาน มันก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

ประมาณบ่ายสามโมงของวันศุกร์ การแข่งขันทุกอย่างได้สิ้นสุดลง พร้อมกับความตื่นเต้นเริ่มย่างกลายเข้ามา แม้จะไม่หวังอะไรอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็อดที่จะลุ้นไม่ได้คับ อาจารย์ให้พวกน้องๆที่อยู่บนสแตนเชียร์ลงมาเข้าแถว โดยมีลีดของแต่ละสีอยู่ข้างหน้า ส่วนพี่สต๊าฟของแต่ละสี ก็ขึ้นไปนั่งบนสแตนแทนพวกน้องๆ เตรียมตัวตีเกราะเคาะไม้(ไผ่) เมื่อรู้ผล

ต่อไปนี้จะเป็นการประกาศผลการแข่งขันกีฬา บลาๆๆๆๆ (พอดีผมไม่สนใจฟังเกี่ยวกะถ้วยรางวัลกีฬาคับ รางวัลที่ตั้งใจมีอยู่ 3 รางวัลคือ ถ้วยสแตน ถ้วยลีด แล้วก็ถ้วยพาเหรดที่พวกม.5 อย่างผมรับผิดชอบ แฮะๆ)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับสอง ได้แก่ สี เขียววววววว”
(เฮ เฮ เฮ ผมจับความได้ว่า ที่เฮไม่ใช่สีเขียวหรอก แต่เป็นสีอื่นที่มีลุ้นว่าได้ที่ 1 ตะหาก)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับหนึ่ง ได้แก่ สีเหลืองงงงงงงง”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นตามลำดับ)

“รางวัลชนะเลิกขบวนพาเหรด ได้แก่ สี ……….. ” (กรุก็ไม่เข้าใจว่าจะลากยาวทำซอกตึกอะไร)

“สีสสสสสสสสสสสส”

“สี …. ส้มมมครับบบ”

“เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด” บลาๆๆๆๆ รางวัลใหญ่รางวัลแรกเป็นของสีผมเรียบร้อยแล้ว ยิ่งพาเหรด ม.5 อย่างพวกผมรับผิดชอบด้วยยิ่งเป็นเครื่องการันตีถึงงานในปีหน้าว่าต้องดีแน่

“เฮ้ย ปริ้นวิ่งไปรับถ้วยดิ ” เสียงพี่ผู้หญิงที่เป็นลีดบอก

“เอ้า ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”

“ก็แกเป็นเด็ก ม .5 อยู่คนเดียวนี่ เร็ว”

“ไม่ต้องแล้วล่ะพี่ เพื่อนผมมันวิ่งไปรับแหล่วว” ผมพูดแล้วก็ชี้ไปที่ไอ้คิวที่วิ่งหน้าแป้นแล้นมารับรางวัลกะผอ. พร้อมกะขนมปังนึงลัง (โห คุ้มสัดๆ)

“ต่อไปจะประกาศผลรางวัลลีดเดอร์ครับ”

“รองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ …. สีสสส เขียววว”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ กิ้วก้าว เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นมากกว่ารางวัลตะกี้)

ถ้าเผื่อจะสังเกต ลีดสีเขียวที่วิ่งมารับถ้วยนั้น ดูเหมือนจะมีเสียงกรี้ดมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันหล่อนั้นเอง

“ใครอ่ะโค้ก”

“อ่อ ไอ้นั่นเหรอ ไอ้ต้าร์ไง”

“ไม่เห็นรู้จักเลย”

“โห มันป๊อบจะตาย รุ่นผมอ่ะ แต่มันป๊อบน้อยกว่าผมนะ” โค้กมันพูดด้วยความพราวดี้พรีเซนต์ ผมหันไปมองหน้ามันทีนึง

“มองอะไร”

“เป่า”

“รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ …. สีสสส สีสสสส” (เหี้ย ลากยาวอีกแระ)

“สี ส้มมมมมมมมมม”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ

โอ้ว หัวใจผมหล่นวูบลงไปเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วพวกลีดคนอื่นๆกระโดดดีใจกันใหญ่เลยครับ ได้ที่ 2 ก็หรูแล้วล่ะ พวกแต่ละคนโดดกอดกันเป็นว่าเล่นเลย ผมก็แบบมันส์กะสถานการณ์คับ โดดกอดพี่คนโน้น คนนี้ที แล้วถ้าตาผมไม่ฝาด ผมเห็นไอ้โค้กมันโดดกอดกะไอ้กั๊กด้วยหล่ะ แต่พอมันนึกได้มันก็รีบทำฟอร์มมากอดผมแทน หึหึ

จากนั้นลีดที่ได้ที่ 1 ก็สีฟ้าครับ คู่แข่งสีผมเลย ยังเหลืออีกรางวัลเป็นรางวัลที่ทุกคนรอคอย สีฟ้าก็เป็นคู่แข่งคู่คี่กับสีส้มเลย

“รางวัลสแตนเชียร์รองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส ” (โอ้ว คราวนี้ล่อซะยาวให้กรุลุ้นนานเลย)

“สี เขียว ครับ ”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ


“เฮ้ย มีลุ้น มีลุ้นว้อยยยยยยย” เสียงจากทางสแตนเชียร์ดูจะดังกว่าเพื่อน ตอนนี้เหมือนจะรู้ๆคับ ว่ามีสองสีสุดท้ายที่จะมาวิน หนีไม่พ้นสีฟ้ากะสีส้มแน่ๆ (อธิบายก่อนว่าก่อนหน้านี้ สีส้มเป็นสีที่พึ่งตั้งมาใหม่ แล้วก็ไม่เคยได้รางวัลใหญ่ๆอะไรเลยซักกะตี้ด)

“ที่ครูจะประกาศต่อไปนี้ จะประกาศสีที่ได้ที่ 2 นะครับ เพราะฉะนั้น สีที่ไม่ได้ประกาศชื่อ ก็จะเป็นสีที่ได้รางวัลชนะเลิศ เอ้า สีที่ได้ที่ 2 ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”

“สีสสสสสส”

“สีสสสสสส”

เอ้า เชี่ย ครูเค้าจะรู้มั้ยว่านักเรียนจะหัวใจวายตาย

“สีฟ้า ครับบบบบบบบบบบบบบบบบบ”

ผมยืนอึ้งอยู่แป็บนึง หลังจากที่ประมวลผลในหัวสมองได้ว่า สีที่เหลือก็เป็นสีที่ชนะนี่หว่า ก็ผ่านไปสิบวิฯ

เฮ เฮ เฮ กรี้ดๆๆๆๆๆ บลาๆๆๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั้งพวกที่อยู่ในสนาม แล้วก็บนสแตนคับ ไอ้พี่ท็อปวิ่งไปกอดกะไอ้โอ้ตเลย ดูท่าจะดีใจจัด เห็นมันโดดกระหย่องกระแหย่งบนสแตนไกลๆ

แล้วไอ้โอ้ตมันก็เดินมารับถ้วยชนะเลิศคับ สีหน้าชื่นมื่นสุดๆ เท่ห์จัง ที่รักกรุ 555

สุดยอดคับ กีฬาสีปีนี้ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่มันก็ทำให้ผมเริ่มที่จะรักอะไรหลายๆอย่างกับโรงเรียนที่พึ่งเข้าใหม่แห่งนี้

“โอ้ต ดีใจด้วย” ผมพูดเบาๆ พร้อมกับมองไปบนแท่นที่โอ้ตยืนชูถ้วยที่เขียนว่า ชนะเลิศ โชว์ไปมาด้วยความภาคภูมิใจ ตัวผมกับพวกลีดคนอื่นๆ ก็โดนดันให้เข้าไปถ่ายรูปร่วมกัน

“สำเร็จแล้วปริ้น โอ้ตทำได้แล้วเห็นป่าววว” มันพูดเสียงสั่นๆ น้ำเสียงไม่ต้องพูดถึง ผมยังคิดไม่ออกว่ามันเคยดีใจ หรือแสดงความรู้สึกแบบนี้ออกมามากเท่านี้เหรอป่าว

“เออ รู้ว่าเก่ง”

“จุ๊บทีดิ เป็นรางวัล”

“ไอ้บ้า คนเยอะแยะ” ผมค้อนมันขวับๆ

สรุปว่า หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของ จัดการรื้อโครงสร้างสแตนอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกสต๊าฟก็พากันไปกินหมูกระทะกันครับ เงินก็เงินที่ได้จากรางวัลนั่นแหละ หุหุ ไม่พอหรอก

“แมร่ง ประธานสีมันเก่งจังว้อยย มีไรที่มันทำไม่ได้อีกวะ” เสียงคนนั้นคนโน้น เอาแต่ชมที่รักผม ผมก็ปลื้มไปด้วยเด๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวไรกะเค้าก็เหอะ

“แต่เสียดายลีดหว่ะ ได้แค่ที่ สองเอง เฮ้อออ” พี่ท็อปพูดจาโศกๆ เพราะว่ามันรับผิดชอบด้านนี้ไงครับ

“เฮ้ย ที่สองก็ได้ถมไปแล้ว ดูลีดแต่ละคนดิ ไอ้กั๊กงี้ ไอ้โค้กงี้ ไอ้ปริ้นงี้ หน้าตาไม่น่าเป็นลีดทั้งนั้น” เจ๊ซายปลอบพี่ท้อป

อ้าวตกลงชมเหรอด่ากรุกันฟร่ะ -*-

“แต่การแสดงของปีนี้สุดยอดจริงๆน้องโอ้ต ปีพี่ยังทำได้ไม่เท่าแกเลย” เจ๊แกหันมาอวยฯที่รักผมแทน

“แหมๆๆ เพื่อนผมๆ ไอ้โอ้ตมันเก่งจะตาย เนี่ย รู้ป่าว ว่าที่เด็ก มช เชียวน้า” พี่คนนึงพูดขึ้นมาตามด้วยเสียงโห่ฮา

เอ๊ะ ..!

หูกรุฝาดไปป่าววะ เมื่อกี้ฟังว่าอะไรนะ ?

“พี่ต่ายๆ ถามไรหน่อยดิ” ผมแสร้งทำหน้าเป็นยิ้มรื่นเริงปกติ

“มะกี้พี่เค้าว่าอะไรนะ พี่โอ้ตเค้าอะไรนะ”

“อ้อ อ้าว ปริ้นไม่รู้เหรอ โอ้ตมันสอบติดโควตา มช ประกาศผลตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วน่ะ” พี่ต่ายบอกผม

“หงึบ ….”

“มช นี่คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เหรอพี่”

“เออน่ะซิ ถามแปลกๆ” พี่ต่ายว่าแล้วก็หันไปเฮฮากับเพื่อนต่อ แต่ผมเฮไม่ออกแล้วคับ

เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ หัวใจที่ผมเคยรู้สึกเต็มเปี่ยมบัดนี้รู้สึกว่า ทำไมมันเหมือนโดนอะไรซักอย่างซูบลงไปอย่างรวดเร็ว ใจมันโหว่งๆยังไงไม่ทราบ

โอ้ตจะไปอยู่เชียงใหม่ ?
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:21:41
“โค้ก .. ขอยืมมอไซต์หน่อยดิ”

“ไปไหนอะ” ไอ้โค้กถามพลางยื่นกุญแจรถให้กับมือ

“จะขี่รถรับลมหน่อย แป็บเดียวล่ะ” ผมว่าพลางเดินไปที่มอไซต์ ไอ้โค้กดันเสือกวิ่งตามมาอีก

“ไปด้วยดิ เดี๋ยวขี่ให้” มันว่าพลางยื่นมือขอกุญแจคืน แต่ผมไม่ได้ส่งให้มัน

“ไม่เป็นไรอ่ะ ไปแป็บเดียว” ว่าแล้วก็รีบไขกุญแจแล้วก็บิดออกไปนอกร้าน

……….

……….

…….

…..



โอ้ตมันก็เก่งเนอะ สอบติดโควต้าได้เนี่ย เหอะๆ

บรื้นนนนนนน

มันเก่งแฮะ ไม่ต้องไปแข่งเอนฯกะใครเค้า

บรื้นนนนนนนนนนนนนน

อะ โอ้ต มันโคตรเก่งเลย ที่ไม่แม้จะบอกผมซักคำ ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด ทำไม ผมต้องรู้ทีหลังสุดด้วยวะ ! เหรอว่ามันจะบอกกับผมเอาวันที่มันจะไปแล้ว

บรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

กูคงไม่สำคัญหรอก ใช่ กูมันไม่เคยสำคัญกะมันเลย เหอะ เหอะ

ความคิดที่เห็นแก่ตัวของผม มันกึกก้องวนเวียนอยู่ในใจตลอด และพัดพาเอาความรู้สึกที่ยากจะบอกวนเวียนอยู่ในตัว ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากคิด ไม่อยากนึกถึง สายลมที่เข้าปะทะกับใบหน้าทำให้น้ำตาที่หยดลงมากลายเป็นละอองเล็กๆ หายไปกับความมืดที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง


***************************


“ปริ้นนนนนน ……….ปายหนายยมา” เสียงไอ้โอ้ตในสภาพดูไม่ค่อยได้ตะโกนเรียกซะดังลั่น

“ขี่รถเล่น” ผมพยายามทำเสียงเป็นปกติ แต่ก็แข็งกว่าธรรมดาอยู่ดี แต่คงไม่รู้เรื่องห่าไรหรอก เมาขนาดนี้

“ทำไมเป็นแบบนี้อ่ะ พี่ต่าย” ผมหันไปถามทำหน้าหงุดหงิด แล้วนี่จะกลับบ้านกันยังไงวะ บ้านไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะว้อยยย

“ก็เล่นกระดกเอื๊อกกระดกเอื๊อก ไม่เมาได้ไง ปกติมันกินที่ไหนล่ะไอ้โอ้ตนะ” พี่ต่ายบอกแล้วก็ตะโกนให้พี่ท็อปชวนพยุงร่างไอ้โอ้ตขึ้นรถ

“สงสัยต้องนอนค้างบ้านพี่อีกคืนแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยกลับเนอะ” พูดเองเสร็จสรรพ แล้วพวกพี่ๆที่เหลือก็พยายามขนคนเมาที่มีมากมายกว่าคนไม่เมาขึ้นรถกระบะไป

“คืนนี้ท่าจะเหนื่อยแฮะ” อ้าวไอ้โค้กไม่เมาแฮะ

“ไม่ไปค้างด้วยกันเหรอ”

“โหย ไม่เอาหรอกพี่ ขี้เกียจไปดมกลิ่นอ๊วกคนเมาอะ นอนอยู่บ้านสบายกว่า”

“เออ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนะเมิงอ่ะ”

“เอ้า หรือพี่จะไปนอนบ้านผมล่ะ” มันพูดแล้วก็ยิ้มตาแป๋วใส่ผม อึ๋ย นี่ถ้ากูไม่รมณ์เสียอยู่นะ …

“ไปเหอะ ขี่รถดีๆนะ” ผมปฏิเสธทั้งๆที่ใจก็อยาก

“คับ ก็เค้ามีคนต้องดูแลนี่เน๊อะ” โค้กมันพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็เบิ้ลมอไซต์เสียงดังจากไป

ชิส์ .. แมร่ง ไม่ต้องสงสัยว่ามันต้องรู้ว่าผมกะโอ้ตเป็นอะไรกันมากกว่าญาติธรรมดาแน่ แต่ช่างมันเหอะ ผมคิดแล้วก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายไป

กว่าที่จะขนคนเมาทั้งหลายลงมานอนแผ่ในบ้านพี่ต่ายได้ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงครับ ที่ตกหนักก็คงหนีไม่พ้นพวกผู้ชายที่ไม่เมา หรือเมาน้อย ต้องมาช่วยเช็ดอ๊วก แถมยังต้องหาที่นอนให้อีกตะหาก

“ปริ้น เดี๋ยวพาโอ้ตมันไปนอนในห้องในนะ” พี่ต่ายเดินมาบอกผมซึ่งกำลังพยุงไอ้โอ้ตอยู่

“คับ ”

“ลำบากหน่อยนะน้อง นานปีทีหน” พี่เค้าพูดแล้วก็เดินเลี่ยงไปจัดการกะคนอื่นๆต่อ กว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน ตีหนึ่ง

ZzzzzzzzzzzZZZzzzzzzzzz

บนเตียงนอกจากมีผม กะโอ้ตแล้ว ยังมีไอ้พี่ท็อปอีกตัวนอนอยู่ด้วย เสียงกรนพี่ท็อปทำเอาผมนอนไม่หลับเลย แต่จริงๆที่กังวลทำให้นอนไม่หลับคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอก

ผมพลิกตัวเป็นนอนตะแคง มองหน้าไอ้คนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมัน

“นอนสบายเชียวนะ …” ผมพึมพำ โอ้ตละเมอเอามือปัดมือผมออกแล้วก็นอนต่อ

“ทำไมถึงต้องไปเรียนที่เชียงใหม่ด้วย” ผมยังคงพูดคนเดียวไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมันเหมือนเดิม

“มีอะไรอยู่ที่โน่นเหรอไง..โอ้ต” คราวนี้ผมพูดเสร็จ โอ้ตมันละเมอจับมือผมออกจากจมูกมัน แต่มันก็จับอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อยคับ

ผมมองดูมือโอ้ตที่กุมมืออยู่ ถึงแม้ว่ามันจะจับโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทุกครั้งมันก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม น้ำตาผมเริ่มคลอมาที่เบ้า เมื่อคิดถึงความห่างไกลที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ความรู้สึกน้อยใจ หรือว่าโกรธก่อนหน้านี้ มันเหมือนมลายหายไปหมด

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดมากในตอนนี้ ในเมื่อมันยังมาไม่ถึง ..

***************************


Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“โอ้ต …ทำไมอ่ะ ”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“โอ้ต …เด๋ว พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“โอ้ต … อย่าพึ่งไป …..”

เอก อี๊ เอ้ก เอกกกกกกกกกกกก (บ้านพี่ต่ายมีไก่ด้วย)

“อึ๊กก” ผมสะดุ้งตัวตื่นลุกขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโทรมกายอีกครั้งนึง เหมือนครั้งที่แล้วเลย ผมฝันเหมือนครั้งที่แล้ว

“เป็นอาไรครับ” เสียงงัวเงียข้างๆ ทำให้ความประสาทแดกของผมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“เป่า” ผมปฏิเสธแต่ตัวดันทำท่าจะลุกลงจากเตียงซะอย่างงั้น

“ยังไปไหนม่ายได้” สงสัยโอ้ตมันคงได้แรงคืนมาจากการนอนเมื่อคืนแล้วถึงได้กระโดดมาคว้าตัวผมไว้ได้ โดยที่มันไม่ได้ดูเลยว่าพี่ท็อปมันก็นอนอยู่ข้างๆ

“เฮ้ย ทำไร เด๋วพี่ท็อปเห็น” ผมพูดละล่ำละลักเมื่อมันเริ่มกดตัวผมแล้วก็เริ่มจะทำท่าไซร้อีกแล้ว เห็นแบบนี้บ้ากามชิบหายเรย

“ไม่เป็นไรหรอก หลับยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง” โอ้ตมันไม่ว่าเปล่า ดันขืนเอาหน้ามันมาถูไถที่ข้างหูซะงั้น จุดอ่อนกรุเลย !

“อ๊างงง ! เอ้ย ไอ้โอ้ต ไม่เอา” ผมกระซิบแล้วพยายามผลักมันออก ไอ้โอ้ตมันก็ไม่ยอมครับ ปล้ำกันไปปล้ำกันมา จนผมต้องใช้ไม้ตายใช้เท้ายันครับ แต่ไม่ได้ยันไอ้โอ้ตหรอก ยันพี่ท็อปคับ ให้รู้สึกตัว แต่รู้สึกจะแรงไปหน่อย

พลั๊กกกก

“อ๊อกกก ”

ได้ผลคับ ไอ้โอ้ตทะลึ่งออกจากตัวผมเลยอ่ะ เหอๆ แล้วพี่ท็อปที่น่าสงสารที่อยู่ๆตัวก็ตกลงจากเตียงโดยไม่ทราบสาเหตุ(กรุทำเองแหละ)ด้วยความรุนแรง

“ไอ้สาดดดดดดดดดดด เมื่อคืนกรุนอนตกเตียงได้ไงวะ เจ็บชิบหาย” พี่ท็อปมันบ่นขึ้นมาระหว่างจะไปส่งพวกผมที่ท่ารถเพื่อที่จะกลับชะอำ

“ก็มึงนอนละเมอขนาดนั้น ไม่ตกได้ไงไอ้โง่” โอ้ตมันแก้ต่างให้โดยมีผมเอามีดจี้หลังมันให้พูดตามนั้น หุหุ


***************************


หลังจากผ่านพ้นกีฬาสีไป ชีวิตผมก็เรียกว่าราบรื่นเกือบจะราบเรียบเลยก็ว่าได้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มีแต่การเรียนที่เรียกว่ายากขึ้นยากขึ้น (ขนาดเป็นโรงเรียนตจว.นะคับ) ส่วนไอ้โอ้ตก็ยังไม่ปริปากบอกผมเรื่องที่มันได้โควต้าไปเรียนที่เชียงใหม่เลย ผมก็ไม่คิดที่จะถามมันหรอก ไม่กล้าถามมั้ง(ป๊อดขึ้นมาซะงั้น)

จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเดือนธันวาคม ไวซะอย่างงั้น หลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกันคือ เป็นช่วงเดือนที่รู้สึกว่ามีสีสันอะไรมากมาย ทั้งวันหยุดที่เยอะ รวมถึงอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเลยทีเดียว (กทม. จะหนาวแค่สัปดาห์เดียว แต่ที่นี่หนาวจนเรียกว่าต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่เลย)

“เฮ้อ จาหมดปีแล้วอ่ะ” ผมพูดขึ้นมาในระหว่างที่กะลังเตรียมจัดงานของวันเกิดของโรงเรียนอยู่ ทุกๆวันที่ 28 ธันวาคม ถือว่าเป็นวันเกิดของโรงเรียนครับ ก็จะมีกิจกรรมอะไรต่างๆเยอะแยะมากมาย

“เดี๋ยวก็จะเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแลซิ” โอ้ตมันพูดสำทับ

“เหอะๆ แล้วตัวเองอ่ะ จะเอนฯเข้าที่ไหน ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย” ผมทำเป็นพูดเรื่อยเปื่อย

“ก็ยังไม่รู้เลยอ่ะ จะเอนฯติดเหรอเปล่าก็ไม่รู้เล้ยยย สงสัยได้เรียนราชพัดนี่มั้ง” แน่ะมันตอแหลลงตับ เอนฯไม่ติดแต่ติดโควตาแล้วอ่ะดิ

“เหรอ .. แต่ถ้าอย่างโอ้ตไม่ติด คงไม่มีใครติดแล้วล่ะ” ผมแซวแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็ทำงานของมันต่อ ผมก็มองหน้ามันคับ

ทำไมว้า จะอีกไม่กี่เดือนแล้ว มันถึงไม่ยอมบอกผมซะที

“เออ แล้วโอ้ตเลือกที่ไหนไว้บ้างอ่ะ 3 อันดับ” ผมลองถามอีกรอบว่าในหัวมันเลือกที่ไหนไว้บ้าง ตอนนั้นยังเอนฯช่วงเมษาฯรอบเดียวอยู่ครับ ตัดสินกันไปเลยว่าใครจะได้ไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ มีแอดม้งแอดมินเห่ยๆ

“อืม ก็ที่ดูๆอ่ะนะ ก็มีที่ xxx แล้วก็ xxx อือ”

“เลือกแค่สองที่เอง ? ”

“อีกที่นึงก็คิดว่า คงเป็นที่ มช มั้ง” มันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกะไม่อยากให้ผมได้ยิน

“โห .. ซะไกลเลยนะ” ผมแกล้งซื่อ งี้ถ้าติดขึ้นมาคงเหงาน่าดูเน๊อะ ผมพูดทำเสียงสูง

“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่หรอก”

“โอ้ตไม่เหงา แต่เราเหงา”

ได้ผลครับ ดูเหมือนคำๆนี้จะทำให้โอ้ตมันหันมาสนใจผมได้ซะที

“ปริ้นรู้สึกยังไง … โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” โอ้ตบอกผมแล้วก็ค่อยๆเลื่อนมือมากุมไว้ ลมหนาวพัดมาวูบนึง ทำเอาร่างกายของผมสั่นสะท้าน

“เอาน่า … ยังไงโอ้ตก็ยังไม่ได้ไปม่ะใช่เหรอ ถ้าเอนฯติดแล้วค่อยบอกก็ได้” ผมพูดปลอบใจโอ้ต ทั้งๆที่มันควรจะกลับกันมากกว่า โอ้ตดูอึกอักบอกไม่ถูก แต่ก็ยิ้มมาให้เหมือนเดิม

“ว่าแต่ ถ้าติดที่โน่นมาจริงๆเนี่ย รู้จักใครเค้าบ้างเหรอเป่า ” ผมยังไม่วายอยากถามต่อ

“อือ ก็ไม่รู้จักใครหรอก แต่ …”

“แต่อะไร ? ”

“แต่โอ้ตเคยไปมาครั้งนึงแล้วล่ะ ” โอ้ตพูดใจลอยๆ “โอ้ตมีคนรู้จักคนนึง…..เกิดที่นั่นหน่ะ”

ผมมองตามสายตาโอ้ตที่ทอดไปที่ต้นไม้ยืนต้นที่ใบร่วงโรยจนหมดต้น ใบไม้ใบนึงหลุดออกจากขั้วค่อยๆปลิวลองบนพื้นด้วยแรงลมที่พัดมาเป็นระลอกคลื่น เหมือนโอ้ตมันจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“ปริ้น .. ”

“หือ” ผมแสร้งหันมาทำงานต่อ

“โอ้ตมีเรื่องจะบอก”

“อือ เรื่องไร ” ถึงแม้ว่าสายตาของผมจะกำลังจับจ้องอยู่ที่ฟิวเจอร์บอร์ด แต่มือที่ผมกำลังจะติดกาวกลับสั่นเล็กๆอย่างควบคุมไม่ได้

“โอ้ต .. คง .. คงจะได้ไปอยู่เชียงใหม่ซัก 4 ปี”

“หมายความว่ายังไง” ผมหันมาแกล้งตีหน้าเซ่อที่ไม่ค่อยสมบทบาทเท่าไร

คือ โอ้ตได้โควตาเภสัชที่มช น่ะ” โอ้ตบอกกับผมเหมือนกลัวอะไรซักอย่าง

……………………………………….

…………………………..

………………

……..




“อ่อ ตกลงว่าปริ้นกะพี่โอ้ตคบกันอยู่จริงๆอะดิ” ไอ้ซังพูดขึ้นมาซะเสียงดัง จนผมต้องเอามือยัดปากมัน

“เฮ้ย เบาเบ้า….”

“เออ แล้วรู้ได้ไงว่าพี่โอ้ตจะไปเชียงใหม่แน่ๆ”

“พี่ต่ายบอกอ่ะ แล้วถ้าไม่อยากไป จะไปสมัครโควตาทำไมล่ะฟ่ะ”

“อือ งั้นปริ้นก็ต้องทำใจอ่ะ”

“ง่ะ ง่ายๆแค่เนี้ย พูดง่ายนะไอ้ซัง” ผมโอดใส่มัน ทั้งๆที่อุตสาห์มาขอความเห็นของมันซะหน่อย แต่มันดันพูดแค่เนี้ย !!

“แล้วปริ้นจะทำไง จะบอกให้พี่โอ้ตไม่ไปเหรอไง ”ซังถามผมเสียงเครียดกว่าเก่า

“ไม่รุ”

“ไม่รู้ไม่ได้ !! ”

“อย่าดุกรุดิ” ผมบ่นเสียงเบา

“ลองนึกดูว่า ถ้าปริ้นเป็นพี่โอ้ต ปริ้นจะทำตัวยังไง ที่พี่โอ้ตยังไม่บอกปริ้นก็เพราะกลัวปริ้นจะกังวลงี่เง่าอะเซ่ะ”
ไอ้ซังพูดเข้าข้างโอ้ตทุกที

“ซังไม่ได้เป็นเรานี่หว่า ก็พูดได้ดิ”

ไอ้ซังทำหน้าย่น แล้วก็เอามือมากอดคอผม

“ใช่ ซังไม่ได้เป็นโอ้ต แต่ถ้าซังเป็นโอ้ตนะ ซังจะ ……”

….

………….

……………………

………………………………

…………………………………………


“โอ้ตได้โควตา มช เหรอ !! ”ผมหัวเราะเสียงดัง จนไอ้โอ้ตมันแปลกใจกับท่าทีของผม

“ปริ้นม่ะ ไม่เศร้าเหรอ ไม่เสียใจเหรอ” โอ้ตมันขยับเข้ามาถามผมใกล้ขึ้นจนตัวติดกัน

“งือ .. ก็จะให้บอกตรงๆ” ผมพูดพลางเลิกเสแสร้งทำตลก

“เศร้าดิ แต่ไม่เสียใจหรอก”

“ฮืม … ”

“แต่โอ้ตบอกเองม่ะใช่เหรอ ว่า ถ้าปริ้นรู้สึกยังไง โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” ผมก้มหน้าบอกเสียงสั่นๆ กรุว่าจะไม่ทำอ่อนแอแล้วเชียวนะ

“ปริ้นเคารพในการตัดสินใจของโอ้ตคับ” ผมล่ะไม่อยากมองหน้าโอ้ตมันตอนนี้เลย ได้แต่กุมมือมันไว้แบบนั้น

“อะ โอ้ตขอโทษนะ” โอ้ตมันเริ่มสะอื้นบ้างแล้ว

“จะขอโทษทำไม ? มันเป็นชีวิตโอ้ตนะ โอ้ตมีสิทธิเลือกนี่นา”

“ครับ รอโอ้ตนะ” มันพูดทำตาซะซึ้งเชียว

“บ้า!! ยังไม่ต้องรีบลากันตอนนี้หรอก เหลืออีกตั้งหลายเดือน” ผมทำทีผลักมันให้ออกห่างผมได้แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่เริ่มจะจับจ้องมาที่ผมนั่งอยู่แระ (หรือนานแล้วก็ไม่รู้)

“เออ ถึงตอนนั้นแล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน” มันพูดเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วก็ผลักหัวผมจนหน้าเกือบคะมำ

“โหย ไอ้บ้า เจ็บนะ” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับรอยยิ้ม

ใช่แล้ว !! เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้อยู่ด้วยกัน ผมควรที่จะทำมันให้มีค่าที่สุดมากกว่าที่จะต้องมานั่งกลุ้มใจนี่นา
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:22:15
ก่อนจะถึงงานคล้ายวันก่อตั้งโรงเรียนไม่กี่วัน ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่ ห้องของโอ้ตปรึกษากันว่าจะรวมตัวกันไปเที่ยวที่เกาะพะงัน ประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งแน่นอน มันกะจะโดดเรียนกันหลายวัน นับตั้งแต่วันที่ 29 จนเลยปีใหม่ไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค. กันเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกห้องโอ้ตจะคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะได้ไปเที่ยวกันเป็นการปิดท้ายการเรียนก่อนที่จะมีการสอบเอ็นทราน

“พี่อยากให้โอ้ตมันไปด้วยน่ะ” พี่ต่ายมาบอกผมด้วยท่าทีข้อร้อง

“อ้า แล้วพี่ต่ายมาบอกไรผมอ่ะ ? ” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย

“พี่ว่าปริ้นน่าจะช่วยให้โอ้ตมันเปลี่ยนใจได้ เนี่ย ปีที่แล้วมันก็ไม่ไปทีนึงแล้ว” พี่ต่ายพูดแล้วก็หยุดพักถอนหายใจ

“ทั้งๆที่ปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายที่จะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วแท้ๆ”

“โอ้ตมันไม่ชอบไปทะเลมั้งพี่ ”

“ไม่หรอก ก็ตอนม.4 มันยังไปเลย ตอนไปเข้าค่ายน่ะ แต่หลังจากที่ .. ” พี่ต่ายเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไปเฉยๆ ผมมองหน้าพยายามเค้นสิ่งที่พี่ต่ายยังไม่ได้หลุดปากออกมา

“ตอนจบ ม.4 เพื่อนในกลุ่มพี่เสียไปคนนึง” พี่ต่ายพูดด้วยน้ำเสียงสลด “หลังจากนั้น โอ้ตมันก็เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน”

“พี่โอ้ตสนิทกับพี่คนนั้นมากใช่มั้ยครับ”

พี่ต่ายพยักหน้าเป็นการให้คำตอบ

“คือพี่คิดว่า ถ้าปริ้นไปโอ้ตมันก็อาจจะอยากไปด้วยนะ ”

เอาล่ะซิ จริงๆผมก็อยากไปล่ะนะ แต่เนื่องผมเกรงใจพี่ๆหลายๆคนที่ไม่ค่อยจะรู้จักสนิทสนมกัน แล้วเที่ยวประเภทนี้ ถ้าคนที่ม่ะใช่ห้องเดียวกันไป มันคงจะรู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงชอบกล แต่พี่ต่ายก็ยืนยันว่า นอกจากห้องตัวเองแล้ว ก็ยังชวนพวกคนอื่นที่สนิทๆกันไปอีกหลายคน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ตอนแรกผมก็ยังไม่อยากตัดสินใจคับ แต่พอเห็นหน้าตาท่าทางพี่ต่ายเมื่อกี้นี้แล้ว ก็อดสงสารไม่ได้ หลายคนคงเข้าใจนะครับ เวลาได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนสนิทในกลุ่มมันจะสนุกสนานแล้วก็น่าจดจำแค่ไหน

ก๊อกๆๆ

“โอ้ต โอ้ต” ผมหาโอกาสคุยกะไอ้โอ้ตได้ ก็หลังจากกลับมาถึงบ้านกันเรียบร้อย กว่าจะกินข้าว ทำการบ้านอะไรเสร็จ บ้านโอ้ตมันก็เกือบจะปิดไฟเข้านอนแล้ว ป้าเปิดประตูให้ผมด้วยสีหน้าตำหนินิดหน่อย แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน

แอ๊ดดด

“เอ้า ว่าไง มีไรเปล่ามาป่านนี้” โอ้ตเดินมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน

“ไม่หนาวมั่งไง ใส่แบบนี้” ผมกัดไปทีนึง ขนาดตัวผมเองยังต้องใส่เสื้อกันหนาวตัวนึงเลยถึงได้เดินออกมาจากบ้านตัวเอง

“ก็หนาววววอยู่ ” มันทำพูดปากคอสั่นหลังจากที่ผมก้าวเข้าไปในห้องไม่เท่าไร มันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดจนตัวเซไปเซมาล้มตึงลงบนบนเตียงที่เป็นลูกฝูกของมัน

“หนักนะเนี่ย” ผมพูดไม่สะดวกเพราะว่าโดนทับอยู่ ตัวมันก็ใช่เล็กอยู่

“ก็หนาวไง หนาว หนาว เลยต้องกอดแบบนี้” มันพูดอมยิ้มแล้วก็มาซุกไซ้ตัวผมยังกะเด็ก จนผมเกือบลืมว่าจะมาคุยอะไรกะมัน

“เด๋ว เด๋ว โอ้ต - - ” ผมเริ่มหน้าแดงเมื่อมันเอามือล้วงเข้ามาจะจับอะไรต่อมิอะไร

“หนาวไม่ใช่เหรอ .. ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำเสียงกระเส่า โอ้ตจะช่วยให้หายหนาวไง หึหึ พูดเสร็จมันก็เอาปากมันทำท่าจะเข้ามาประกบคับ ผมจะทำไงได้ล่ะ ก็อ้าปากรับดิ หุหุ

แต่มันแกล้งผมโดยที่ทำท่าจะจูบให้ผมอ้าปากเก้ออ่ะ พอผมลืมตาเห็นมันยิ้มหน้าเป็นอยู่ถึงได้รู้ว่าโดนแกล้งอีกแระกรุ เลยทำหน้าง้ำ

“หึหึ” มันยังทำหน้าอมยิ้มไม่หยุด หน้าผมกะหน้ามันอยู่ใกล้กันแค่ปลายลิ้นสัมผัส ได้กลิ่นลมหายใจอ่อนๆของกันและกันได้อย่างชัดเจน (ดีนะที่กรุแปรงฟันมาแระ)

“ขำไร”

“เปล่า ก็เห็นปกติจะเอาแต่ขืนตัวนี่นา เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง” มันพูดติดตลกซะงั้น

“พอเห๊อะ … ถึงขนาดนี้แล้วจะเล่นตัวทำไมล่ะฟะ อีกอย่าง ม่ะใช่นางเอกหนังไทยนะ” ผมพูดเสร็จก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก็ขยับมือเอื้อมไปโอบหัวโอ้ตลงมาเป็นฝ่ายจูบมันซะเอง โอ้ตมันสะดุ้งนิดนึง แต่ก็ตอบรับด้วยดีคับ แลกลิ้นกันพลันวัล แล้วถึงแม้อากาศมันจะหนาวแค่ไหนตอนนี้ โอ้ตมันก็หาทางสลัดผ้าทั้งของตัวเองแล้วก็ของผมออกจากร่างกายได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที

“อึ๊ก ….”

“เจ็บเปล่า ”

“ก็ .. นิดหน่อย อ๊ะ ….”

“แป็บนะ อ่า ……”

“อ๊ะ อ๊ะ ….”

“อ๊ะ โอ๊ะ เบา โอ้ต เจ็บว้อย - - ซี้ดดด”

“เจ็บ ..เจ็บ แล้วทำไมครางล่ะครับ แฮ่ก แฮ่ก”

“ก็ .. ม่ะกี้ มันเสียวนี่หว่า โอ้ยยย โอ้ต ! ”

………………………………

………………………

……………….

……….

……



ผมรู้สึกตัวอีกทีในห้องก็มืดสนิทแล้วครับ โอ้ตมันคงลุกไปดับไฟตอนที่ผมดันหลับไปด้วยความอ่อนเพลียนั่นแหละ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ติดแขนโอ้ตที่มันกอดผมอยู่จากด้านหลัง หน้าอกไอ้โอ้ตกะแผ่นหลังผมยังคงเป็นเนื้อกับเนื้อคับ ยังแก้ผ้ากันอยู่ทั้งคู่เลย ลมหายใจอุ่นๆของมันเป่าอยู่ด้านหลัง ผมหันหลังกลับไปมองหน้ามันจนคอแทบเคล็ด ดวงตาที่ดูมีเสน่ห์คู่นั้นของโอ้ตหลับสนิท ผมสั้นที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้าผาก เห็นโอ้ตตอนนี้แล้ว ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว กลัวที่เมื่อถึงเวลาที่ต้องห่างกันไปจริงๆ

ไม่ซิ เราสัญญากับโอ้ตไว้แล้ว เราจะรอโอ้ตม่ะใช่เหรอไง แค่ 4-5 ปีเอง (เภสัชเรียน 5 ปีคับ ขออภัยที่ข้อมูลผิดพลาด) ผมคิดไป น้ำตาก็คลอไป ผมไม่อยากให้โอ้ตต้องลำบากใจ ยังไงโอ้ตก็ต้องไปแน่ๆ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แล้วโอ้ตก็จะต้องไม่มานั่งกังวลใจเรื่องของผม

***************************

เช้าวันต่อมา ผมต้องรีบทะลึ่งตัวตื่นขึ้นแล้วก็ต้องรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านตัวเองก่อนที่ป้าจะตื่นขึ้นมา ไม่งั้นได้เดี้ยงกันเป็นแถบๆแน่

“ว่าไงนะ จะไปพะงันกะที่ห้องโอ้ตเหรอ !? ” เสียงโอ้ตถามผมด้วยท่าทางไม่พอใจ ผมได้โอกาสถามมันตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางมาโรงเรียน เนื่องจากเมื่อคืนที่ว่าจะถามแต่ดันทำเรื่องอย่างอื่นก่อน

“ก็ว่าจะ … ทำไมไปไม่ได้เหรอ” ผมย้อนถาม “ ก็พวกพี่เค้าชวนอ่ะ”

“เปล่า ก็จะไปก็ไปซิ” มันหันไปเปิดกระเป๋าแล้วเอาหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

“ไปด้วยกันดิ” ผมบอกโดยที่ไม่ได้หันไปหา

“ไม่ไป ” มันตอบเสียงหนักแน่น

“ก็แค่อยากไปเที่ยวด้วยกันก่อนโอ้ตจะไปเชียงใหม่ก็เท่านั้นแหละ ” ผมใช้ไม้ตายมากกว่าที่จะอ้อมค้อมพูดต่อไป

เจอไม้นี้เข้า เป็นโอ้ตมันก็ต้องตามใจผมครับ ช่วงกลางวันวันนั้นผมเลยวิ่งไปบอกข่าวดีกะพี่ต่าย ดูพี่เค้าจะดีใจเป็นพิเศษคับ มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยตรงตอนที่ผมถามว่า นอกจากห้องพี่ต่ายแล้วยังมีใครที่ไปกันอีกเหรอ ก็ได้คำตอบว่า …

“เฮ้ย ซัง เมื่อกี้เราไปคุยกะพี่ต่ายที่จะไปเที่ยวเกาะกันอ่ะ เห็นไอ้คิวมันจะไปด้วย!

ผมรายงานซังทันทีเมื่ออยู่กะมันสองต่อสอง คนเถื่อนอย่างไอ้คิวมีเหรอที่จะไปกะพวกห้องผู้ดีอย่างห้องไอ้โอ้ต

“อ่อ เห็นพี่ท็อปเค้าชวนอ่ะมั้ง ก็เลยไป ไอ้คิวมันสนิทกะพี่ท็อปก็รู้อยู่”

“แล้วซังไม่ไปเหรอ”

“ไปไม่ได้หรอก ก็มันต้องโดดเรียนไปตั้งหลายวันนี่” มันพูดแล้วก็เหลือบตามามองที่ผม

“ม่ะต้องมามองแบบนั้นเลยไอ้ซัง พี่ๆเค้าขอร้องให้ช่วยไปตะหาก ไม่ได้อยากไปเล้ย” ผมรีบแก้ตัวทันที

“ก็ไม่ได้ว่าอาไร แต่น่าอิจฉาชะมัด ได้ไปฮันนีมูนริมทะเลชื่นมื่นกันสองคน เฮ้อ …..” มันพูดแล้วก็ทำเป็นถอนหายใจ

“มูนเมินบ้าไร ไปกันตั้งหลายคนว้อย แล้วก็ไม่ได้ไปกันสองต่อสองด้วย” ผมพูดแก้เก้อ

“ช่าย ไม่ได้ไปสองต่อสองหรอก เพราะว่ากรุจะไปเป็น กขค ด้วยไงล่ะ” ไอ้คิววิ่งพลวดเข้ามากอดรัดผมด้านหลัง

“เหี้ย เล่นไรกุเจ็บนะ สัดด” ผมด่ามัน มันก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ซะ ซังช่วยด้วย”

“ไอ้คิว เมิงเลิกเล่นซะที การบ้านมึงยังไม่ได้ลอกวิชานี้นะ ” ซังมันพูดเสร็จก็โยนสมุดการบ้านฟิสิกไปกองไว้ที่โต๊ะ

“จ้าๆ เลิกก็เลิก” ทีเงี้ยแมร่งว่าง่ายเชียว เดินเป็นเด็กน้อยน่ารักไปที่โต๊ะเลยคับ เชื่อมันจริงๆ

ว่าแต่ เกาะพะงัน !? มันจะเป็นยังไงวะ เกิดมากรุยังไม่เคยไปเที่ยวเกาะเลย ตื่นเต้นเหมือนกันนะนี่


***************************


และแล้วหลังจากผ่านพ้นงานโรงเรียนไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ก็เป็นวันเดินทางไปทะเลกันแล้วครับ ตามปกติแล้วเนี่ย ผมนึกว่าป้าเล็กแม่โอ้ตเค้าจะว่าซะอีกที่จะโดดเรียนไปเที่ยว (แถมพ่วงผมไปด้วยแบบนี้) แต่คราวนี้ดูป้าแกจะอ่อนไปเยอะครับ คงเห็นว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปนี่ก็ไม่เคยเหลวไหล ส่วนลุงสนก็ไม่ได้ว่าอะไรตามเคย ลูกจะทำอะไรไม่เคยห้ามอยู่แล้ว

“เตรียมของครบยัง ..หยั่งกับจะย้ายบ้าน” โอ้ตมันเดินเข้ามาในห้องผม พร้อมกับวิจารณ์สัมภาระของผมซะอย่างกับมันเป็นแม่อย่างงั้นแหละ

“ไปตั้งอาทิตย์นึง เตรียมไปเยอะดีกว่าน่า” ผมแย้งอายๆ

โอ้ตมันก็ขำๆแล้วก็เดินลงมานั่งช่วยผมจัดเสื้อผ้า ของโอ้ตมันเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ม่ะจุกจิกๆเหมือนผม

“เอาไฟฉายไปด้วยนะ” โอ้ตสั่ง

“ไม่อาวอ่ะ หนัก” ผมโอดแล้วก็ทำท่าปิดกระเป๋า

“เอาไปเหอะ เผื่อฉุกเฉินไฟดับ” มันว่าแล้วก็ยัดเข้าไปให้ได้

“ยาเอาไปยัง”

“ตัวเองก็เอาไปดิ” ผมบอกมั่ง

“ตลอดล่ะ” โอ้ตมันพูดแล้วก็เข้ามาขย้ำหัวผม ชอบยุ่งกะหัวตูจังวุ้ย -_-* แล้วมันก็เดินออกไป โดยไม่ลืมทิ้งท้ายว่าให้เตรียมถุงยางไปด้วย

“ไม่เอาไปว้อย” ผมหน้าแดงตะโกนใส่มัน

“ชอบแบบสดๆอะซิ ก็ไม่บอก หึหึ” มันพูดเสร็จก็วิ่งหลบออกจากประตูบ้านไปแบบเฉียดฉิวก่อนที่หมอนจะโดนเขวี้ยงออกไปจากมือผม


***************************


ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องถ่อไปเรียนกันก่อนครับ เพราะว่านัดรถตู้ออกเดินทางกันตอนประมาณสองทุ่มแน่ะ -*- พี่ๆในห้องเดียวกะโอ้ตไปน้อยกว่าที่คิดครับ พอเอาเข้าจริงๆก็ติดโน่นติดนี่ พ่อแม่ไม่ให้ไปกันบ้าง สรุปแล้วก็ไปกันประมาณ 20 คนเอง

โชคดีที่ไปครั้งนี้มีพี่คนนึงในห้องมีบ้านอยู่บนเกาะคับ ก็เลยสามารถหาที่พักที่เป็นบ้านใหญ่ๆให้ได้หลังนึง แต่ต้องข้ามภูเขาไปลูกสองลูกเห็นจะได้ แต่นั่นม่ะใช่ปัญหาคับ เพราะพอถึงเวลาต้องเดินทางจริงๆแล้ว ก็เกิดปัญหา …

“เฮ้ย โจ้ รถไม่มาคันนึงอ่ะ” พี่ต่ายบ่นให้พี่โจ้ฟังถึงปัญหาแรกที่เกิดขึ้น พี่โจ้เป็นเจ้าของบ้านที่อยู่บนเกาะนั่นแหละครับ แล้วก็เป็นคนจัดการเรื่องที่พ้งที่พักให้กะพวกเราด้วย

“แล้วงี้ทำไงวะ ”

“งั้นพวกกุไม่ไปก็ได้นะ ” โอ้ตมันพูดเสียงดังสนั่น

“ไม่ต้องเลยมึงๆ ต้องไปกันทุกคนนี่แหละ … เด๋วกรุโทรสับหาแม่งก่อน” พี่โจ้บอกแล้วก็หันไปคุยโทรสับ

“เออแล้วนี่มากันครบยังวะ นึง สอง ไอ้โอ้ต ไอ้ต่าย ไอ้บลาๆๆๆ ….” ไล่ไปประมาณอีกสิบเจ็ดคน “ไอ้ปริ้น เหลือใครอีกวะ”

“ไอ้คิวกะไอ้โค้กยังไม่มาเลย”

“โค้กไปด้วยเหรอพี่ท็อป”

“เออ พี่ชวนมันเองอ่ะ มีไรเหรอ”

“เป่า”

“งั้นเด๋วผมไปตามไอ้คิวให้ก็ได้ บ้านมันอยู่แค่นี้เอง ” ผมว่าแล้วก็วางสัมภาระไว้ อ่อลืมบอกไปว่านัดเจอกันที่หน้า 7 แถวโรงเรียนอะแหละ ไม่ถึงห้านาทีผมก็มาถึงหน้าบ้านไอ้คิวแระคับ กดออดจนพ่อมันเดินออกมา

“มาหาใครครับ” พ่อมันถามแบบสุภาพมากๆผิดกับวันแรกที่ผมเจอ แม่มันก็ไม่อยู่บ้านอีกตามเคย อ่อ ลืมบอกไปคับ พ่อไอ้คิวคนนี้เป็นพ่อเลี้ยงนะ อย่างที่บอกว่าพ่อมันตายไปแล้ว

“เออ คิวคับ คือ รถจะออกแล้วอะครับ”

“มันยังอาบน้ำอยู่เลยลูก เอ้า เข้ามารอมันข้างในบ้านก่อน” พ่อไอ้คิวเปิดประตูบ้านรับแขกอย่างเป็นกันเอง ผมก็ไปนั่งรอมันบนห้อง ได้ยินเสียงมันอาบน้ำซู่ๆ

“ไอ้เหี้ย … รถจะออกแล้ว” ผมตะโกนด่ามัน

“สัด ไอ้ปริ้นเมิงกล้าด่ากรุเหรอ ไอ้สัด รอกรุก่อน” มันพูดเสร็จเสียงตักน้ำอาบดังซุ่ๆเลยคับ แฮะๆ เวลาจะเร่งคนเถื่อนก็ต้องใช้วิธีนี้

และด้วยความสันดานผม ก็นั่งรอเฉยๆก็เบื่อคับ ก็เลยเดินไปรอบห้องมันดูโน่นดูนี่ ถือวิสาสะว่าเคยมานอนบ้างแล้ว ก็ไปเปิดลิ้นชักโต๊ะมันเข้า ก็เห็นตั๋วหนังเรื่อง 303 ฯ ที่มันวางแผนคืนดีกะไอ้ซังเก็บไว้อยู่เลย ข้างๆตั๋วหนังเป็นกรอบรูปเล็กๆครับ ผมก็หยิบขึ้นมาดูเป็นรูปที่มันถ่ายคู่กะไอ้ซัง ดูแล้วน่ารักมากมาย ดูจากปกเสื้อแล้วคิดว่า ถ่ายกันตอน ม.4 ชัวว์

“เฮ้ย เมิงดูไรฟ่ะ” ไอ้คิวเดินพลวดพลาดออกมาจากห้องน้ำ

ผมก็ยกกรอบรูปมาชูให้มันดูคับ เหอๆ มันทำหน้าตกใจวิ่งเข้ามาจะคว้ากรอบรูปคืนให้ได้ แต่ผมก็ไม่ยอมคับ แกล้งมัน หุหุ

“เอาคืนมาไอ้สาดดด ไอ้เหี้ย ไอ้สันดานเอ้ย เด๋วเมิงไม่คืนกรุต่อยเมิงจริงๆนะ ” ผมแกล้งมันอยู่ซักพักก็คืนให้มันคับ น่าสงสาร (ปนสมน้ำหน้าหน่อยๆ เก็บไม่เป็นที่เป็นทาง)

“โห มึงเอาของไปแค่เนี้ย” ผมว่าพลางดูที่เป้มัน เอาไปน้อยมากๆ

“กรุไม่ได้มีทรัพศฤคารอะไรมากมายนี่หว่า”

“โห ดูมันใช้ศัพท์” แล้วก็ไปตบหัวมันนึงที

“เล่นหัวเหรอเมิง เด๋วนี้เอาใหญ่นะ เห็นกรุไม่เอาจริงเนี่ย ”

“มึงจะเอากูก็ไม่ให้เอาหรอก แสดด”

“เออ กรุรู้ว่าเมิงให้โอ้ตมันเอาคนเดียวดิ เหอๆ ติดจายของใหญ่ดิสัด” หงิ มันพูดแทงใจดำซะงั้น สงสัยไอ้ซังไปเล่าอะไรให้คิวมานฟังแน่เรย

ผมสองคนก็เดินมาถึงที่นัดกันไว้ รถตู้มาแล้วครับคันนึง แล้วก็มีพี่บางคนหายหน้าหายตาไป

“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะพี่ต่าย”

“อ่อ รถมันเบี้ยวไปคันนึงอ่ะ เลยต้องให้พวกผู้ชายไปรถไฟกัน” พี่ต่ายบอกแบบกระวนกระวาย

“อ้าว แล้วมีรถด้วยเหรอพี่ตอนนี้”

“ก็มีเที่ยว3 ทุ่มน่ะ พี่เค้าพูดพลางดูเวลา สองทุ่มสี่สิบ ”

“คงทันแหละ งั้นพวกเราก็ขึ้นรถเถอะ” พี่ต่ายว่าพลางต้อนให้พวกพี่ผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้ไปรถไฟขึ้นรถ แต่ส่วนใหญ่ก็นะ อยากไปนั่งรถไฟคุยกันอ่ะคับ เลยเหลือนั่งรถตู้ไม่กี่คน เป็นงั้นไป

“อ้าว พี่โอ้ตไปด้วยเหรอ” ผมถามใจแป้ว

“อือ ก็เห็นมันอยากนั่งรถไฟคุยกันล่ะ ” พี่ต่ายบอกให้ผมขึ้นรถได้แล้ว โดยมีไอ้คิวหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง

“หวัดดีพี่ปริ้น” เสียงคุ้นหูอย่างสัด

“เออ” ผมทักแบบขอไปที จริงๆก็ไม่ใช่ไม่ชอบให้น้องน่ารักๆไปด้วยนะครับ แต่โอ้ตไปด้วยนี่ซิ ผมก็เลยไม่อยากตะบะแตกอ่ะ

“ดูทักแบบไร้เยื่อใยมากเลยนะ” ไอ้โค้กมันบอกผมแบบงอนๆ

“เป่าเว้ย ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ผมพูดแล้วก็ปิดประตูรถดังปั๊ง

“คนเค้ามีเจ้าของแล้ว ก็เลิกยุ่งกะเค้าเห้อ” เสียงไอ้คิวพึมพำๆ พอจับใจความได้ ไอ้โค้กมันหันหน้าไปด้วยความไม่พอใจ ไอ้คิวมันก็ทำหน้ากวนตีนตอบกลับมา

โอ้ย กรุปวดหัว โอ้ตช่วยกรุด้วย

รถตู้เริ่มสตาร์ตรถแล้วก็เคลื่อนที่ออกจากตัวอำเภอเมืองประมาณเกือบ 3 ทุ่มเป็นเวลาเดียวกับทางโอ้ตที่ขบวนรถไฟมาจอดเทียบชานชรา วัยรุ่นหนุ่มสาวเกือบยี่สิบชีวิตค่อยๆทยอยกันขึ้นไปบนรถด้วยท่าทีสนุกสนาน
ขบวนรถไฟจะเดินทางถึงสถานีสุราษฯประมาณเจ็ดโมงเช้า


***************************

*

ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงวิ่งด้วยความรีบเร่งของใครบางคนในช่วงเวลาค่ำมืดแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่แท้ ฉับพลันเสียงฝีเท้าที่วิ่งมานั้นก็หยุดลง แสงสว่างของดวงจันทร์ค่อยๆเผยร่างที่ยืนรอด้วยความกระวนกระวายไม่แพ้กัน เสียงพูดคุยดังขึ้น

“จะ จะทำ ยังไงดีล่ะ แบบนี้ มีหวังแย่แน่ๆ”

“หยุดทำท่าทีเหยาะแหยะแบบนั้นซะทีน่า แล้วฟังให้ดี …” ร่างที่ยืนรออยู่กล่าวตะคอกผู้ที่พึ่งวิ่งมาพบด้วยโทสะ

“ถ้าแกไม่รีบจัดการอย่างที่บอก แกจะเป็นฝ่ายแย่ซะเอง จำไว้ !! ” ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงที่อาฆาตมาดร้าย จนคนที่ได้รับฟังสารถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“ดะ ได้ ตะ แต่ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ชั้นไม่เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยว …!!” ร่างที่สั่นตะกุกตะกักตอบกลับมาก่อนที่จะรีบหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม ทิ้งให้ใครบางคนยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ร่างนั้นแสยะยิ้มด้วยความพึ่งพอใจ

สายลมพัดแรงมากขึ้นจนทำให้ต้นไม้รอบๆข้างโอนเอนไปมาดูน่ากลัว น้ำทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมพัดเข้าหาฝั่ง เมฆที่ตั้งเค้าดำทะมึนค่อยๆโอบล้อมแสงจันทร์เมื่อครู่นี้จนดูเหมือนเกาะทั้งเกาะจมหายไปกับความมืด
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:22:42
การเดินทางในรถตู้แคบๆ ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง ก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายสำหรับผมเท่าไรหรอกครับ เพราะว่า พี่ๆส่วนมากรวมทั้งไอ้โอ้ต T-T ก็ไปทางรถไฟกันซะ ในรถก็เหลือแต่พี่โจ้ เจ้าของบ้าน พี่ต่าย หัวหน้าทริป คิว โค้ก ผมแล้วก็ พี่ๆผู้หญิงที่เหลืออีก 5 คนเท่านั้น ก็นั่งกันค่อนข้างสบายคับ เสียงพี่ๆคุยกันโขมงโฉงเฉง ตามประสาผู้หญิงยิงเรือคับ

ไอ้พวกผู้ชายอย่างผมสามคนก็นั่งแถวหน้า ก็นอนๆฟังๆกันไป เพลินดีเหมือนกัน น่าสงสารแต่พี่โจ้คับ นั่งอยู่กับคนขับเงียบเชียว

“พี่โจ้คับ … พะงันนี่อีกไกลเป่าพี่” ผมหาเรื่องคุยกะพี่แก เพราะว่าตามปกติ ผมกะพี่เค้าก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร

“ไม่ไกลเลยน้อง ก็เนี่ย ขับรถไปทางเพชรเกษมเรื่อยๆใช่ม่ะ แล้วพอถึงชะอำ ก็ตัดไปทางสายใหม่”

“อ้าวงี้ก็ไม่ผ่านทางหัวหินดิพี่ ” ไอ้โค้กแหลมมาคุยบ้าง

“ไม่ผ่านคับ เส้นเก่าส่วนใหญ่กลางคืนไม่ค่อยมีคนผ่านน่ะ มันเปลี่ยว ไม่มีไฟ แล้วก็โจรเยอะด้วย”

“สมัยนี้ยังมีโจรอีกเหรอ ” ผมพูดด้วยความงง

“มีดิ บางพวก รถวิ่งๆมาเงี้ย เอาก้อนหินขว้างใส่ รถคว่ำก็มี ตายก็เยอะ”

“โห น่ากัว” ผมพูดพลางกลืนน้ำลาย

“ทำขวัญอ่อนนะไอ้ปริ้น” ไอ้คิวสะแหลนหาช่องกัดผม ทั้งๆที่เงียบมาตั้งนาน

“เสือก !! ”

“แล้ว .. ก็ขับไปเรื่อยล่ะ ผ่านประจวบฯ แล้วก็ชุมพร ก็ถึงสุราษฯแล้ว” พี่โจ้อธิบายเหมือนจะใกล้กันเลยทีเดียว

“อ่าๆ ” ผมว่า แล้วก็ปล่อยให้โค้กมันคุยกะพี่โจ้เรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อ ไม่พ้นเรื่องกีฬาสีที่พึ่งผ่านมาล่ะคับ ส่วนไอ้คิวไม่มีเมียมาด้วย ก็แกล่วคับ เลยนอนนิ่งๆซะงั้น เสียงคุยของพี่ๆข้างหลังยังไม่หยุดได้ง่ายๆ เมื่อรถเลยผ่านประจวบ เสียงก็ค่อยๆเงียบลง ผมมองดูเวลา ห่ะ เที่ยงคืนกว่าแล้วนี่หว่า งืมๆ …

ติ๊ด ตี๊ด ตี๊ด ติ๊ด ..

ผมกดเบอร์โทรสับสี่ตัว

“สวัสดีคะ แพคลิงค์ บลาๆๆๆๆๆ”

“เออ เบอร์ 5101xx คับ”

“ขอทราบข้อความคะ”

“หลับยัง…. อยู่บนรถไฟเมื่อยป่าว อยู่นี่โคตรเหงาเลย พวกพี่ต่ายคุยไรกันไม่แบ่งปันเลย คิดถึงน้า ถ้ายังไม่หลับ ก็ขอให้หลับฝันดีนะ จาก ปริ้นคับ”

ผมพยายามฝากข้อความให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้ไอ้คิวได้ยินคับ ไม่งั้นมันเอาไปคุยสามวันเจ็ดวันไม่เลิก เสียดายที่โอ้ตมันไม่มีมือถือ เลยไม่รู้ว่าจะคุยกะมันทางไหนเลยได้แต่ส่งข้อความไปทางเพจ บนรถไฟไม่มีโทรสับนี่หว่า งิงิ

หงึก หงึก หงึก

ผมรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่หัวโค้กมันมาพิงที่ไหล่แล้ว ผมหันไปกะจะดันหัวมันพิงกับพนักดีๆ ก็ตกใจนิดหน่อยครับ เพราะว่าได้กลิ่นอะไรแปลกๆ

“สัด ใครตดในรถฟร่ะ เลวแม่ง - -* ”

ต้นตอกลิ่นมาจากใครซักคนด้านหลังแน่นอน แมร่ง ผู้หญิงนี่ตดเหม็นเหมือนกันนี่หว่า เซงเรย ภาพพวกพี่ๆที่น่ารักของกรุติดลบไปอย่างมาก

“อือ …” เสียงครางข้างๆหูผม ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงไอ้โค้ก ผมค่อยๆเอามือดันที่หัวมันเบาๆเพราะกลัวมันตื่น แต่สัมผัสที่ได้กลับไม่อยากจะดันกลับไปแล้วล่ะซิ มือที่พยายามดัน กลับกลายเป็นลูบผมมันแทนซะงั้น ทำให้ผมคิดถึงภาพตอนที่โอ้ตมันชอบมาเล่นที่หัวผม มันเพลินแบบนี้นี่เอง ผมโค้กมันนิ่มจังเลยวะ ขนาดสั้นๆแบบนี้ ดูเหมือนโค้กมันรู้สึกตัวหน่อยๆ เลยเอามือของมันมาจับมือผมให้ออกไปจากหัว ผมก็เอามือลงตามมัน แต่มือผมยกออกมาแล้ว มือมันก็ไม่ยอมปล่อยคับ เอาไงดีวะ

ระหว่างที่กะลังคิดอยู่ พี่โจ้ก็หันมาเห็นผมตื่นอยู่พอดี ดีนะที่มันมืดพี่เค้าเลยไม่เห็นว่าโค้กมันกุมมือผมไว้อยู่

“อ้าว นอนไม่หลับเหรอปริ้น” พี่เค้ายิ้มให้ทีนึง แล้วก็หาวทีนึง

“งีบไปงีบนึงแล้วพี่ ถึงไหนแล้วเนี่ย” ผมมองไปรอบๆ ชักเริ่มเห็นสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากที่เห็น แม้ว่าจะมืดๆอยู่ก็เหอะ

“แถวๆพุนพินแล้วล่ะ” พี่โจ้บอก

“เดี๋ยวแวะปั้มแป็บนะ ยืดเส้นยืดสาย” คนขับรถบอก พลางทำปากหาวหวอด อ้าว เวนแล้วดิ

แวะปั้มได้ ผมก็ได้ทีเอามือออกจากการเกาะแกะของไอ้โค้กมันเลย ไม่รู้ว่ามันคิดว่าเป็นมือแฟนมันป่าววะ โค้กมันตื่นมาทำหน้างงๆ บวมๆ ไม่ต่างอาไรจากหน้าไอ้คิวคับ

“ถึงไหนแล้วเนี่ย ” ไอ้คิวบ่น ว่าเมื่อยตูด แล้วก็รีบวิ่งไปฉี่ทันที สงสัยมันอั้นนานจัด

“ไม่ไปห้องน้ำเรอะ” ผมถามไอ้โค้ก

มันสั่นหน้า แล้วก็งอตัวด้วยความหนาว มันไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาด้วยคับ เหอๆ ใกล้ทะเลแบบนี้ แถมยังอยู่ในช่วงปลายธันวาขนาดนี้ แถมยังพึ่ง ตีสี่ตีห้า หนาวโคดแหละ

“โห่ โห่ะ” มันเอามือป้องปาก แล้วก็พ่นความร้อนออกมาใส่ที่มือ แล้วก็บ่น

“อยู่ในรถไม่เห็นหนาวขนาดนี้เลยนี่หว่า ”

“เต้นดิ ให้ร่างกายมันร้อน เด๋วก็หายหนาว ” ผมพูดติดตลก แล้วก็คิดได้ว่า บนรถไฟชั้น 3 คงหนาวกว่านี้แน่นอน สงสารไอ้โอ้ตหว่ะ

“ทำงี้ไง เด๋วก็หายหนาว” โค้กมันพูดจบ ก็เข้ากอดผมด้านหลัง

“เฮ้ย ไอ้เน่” ผมไม่ได้ว่าไรมันมากคับ เพราะว่าไม่ได้คิดอะไรมากมาย มันกอดก็อุ่นดีคับ หุหุ

“เฮ้ยๆ นั่นเล่นไรกันหน่ะ เด๋วกรุจาฟ้อง กรุจาฟ้อง ” ไอ้คิวยื่นปากมาอีกแระหลังจากฉี่เสร็จ

“หุบปากปายเรยไอ้คิว” ผมด่ามันให้ทีนึง มันก็ทำหน้าเป็น แล้วมันก็กระโดดเข้ามากอดผมด้านหน้า

“เฮ้ย สัด ปล่อยย อึดอัด ” คราวนี้ข้างหน้าก็มีไอ้คิว ข้างหลังโค้กมันก็ยังยืนกอดอยู่ กลายเป็นแซนวิชเลยผม

“นั่นๆ เล่นไรกันลามกไอ้พวกนี้ ขึ้นรถได้แล้ว” พี่ต่ายเป็นแม่พระมาแยกให้ไอ้สองตัวนี่ ออกจากร่างกายผมได้ซะที เฮ้อ เกือบเสียความบริสุดแล้วม่ะล่ะกุ


***************************


ตาคนขับรถมาส่งเราที่สถานีรถไฟสุราษฯครับ ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมไม่ไปท่าเรือวะ คือ ต้องมารอรถไฟพวกโอ้ตที่จะมาถึงช่วง 7 โมงก่อนอ่ะคับ แล้วค่อยไปพร้อมๆกัน ตอนนี้เราผู้ชายสี่คน พี่โจ้ คิวโค้ก ผม ก็เกาะกันติดหนึบคับ เพราะว่า นอกนั้นพวกผู้หญิงล้วนๆ จริๆก็ไม่ได้แยกไรกันมากคับ แต่คุยกันสี่คนนี่แล้วมันไหลลื่นกว่า อีกอย่างพี่โจ้เป็นคนไม่ค่อยพูดมากคับ เลยไม่ค่อยอยากไปหารือไรกะพวกผู้หญิงมากเท่าไร

“เฮ้ย เล่นบอลกัน โค้ก” ไอ้คิวมันมาญาติดีกะโค้กตั้งแต่ม่ะไรฟร่ะ มันชวนเสร็จ ก็หยิบลูกบอลออกมากจาเป้มันคับ โห มันสามารถ !!

แล้วมันก็เขี่ยบอลเล่นกันหน้าสถานีรถไฟกะไอ้โค้ก แบบไม่เกรงกลัวว่ารถจะมาเฉี่ยวชนมันเลยอ่ะ โชคดีมันพึ่งหกโมงเช้า

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

“ป้าเล็กคับ ผมถึงสุราษฯแล้วนะคับ คับๆ เด๋วรอขึ้นเรือเฟอรี่อ่ะคับ” ผมพูดไม่หมดครับ ไม่ได้บอกป้าว่า จริงๆแล้วไม่ได้บอกเรื่องที่โอ้ตมันแยกขึ้นรถไฟมาต่างหาก

คลื่น คลื่นนนนนนน

พึ่งรุ่งสางแท้ๆ แต่ผมมองท้องฟ้ากลับมีเค้าลางเมฆฝนที่ค่อยๆตั้งเค้ามา นี่มันหน้าหนาวนะมึง ทำไมฝนจะตกได้ล่ะเนี่ย (ลืมไปว่ามันคือภาคใต้คับ)

ระหว่างรอ ก็นั่งกินข้าวต้มตอนเช้ากันคับ อากาศถ้าไม่ติดว่า เหมือนฝนจะตก ดีมากเลยล่ะ ตอนเช้าแบบนี้ ได้กินข้าวต้ม รู้สึกกระปลี้กระเปล่าขึ้นมาทันที รอไม่กี่อึดใจ (สองชั่วโมง) รถไฟก็เล่นมาเทียบชานชลาสุราษฯคับ เด็กหนุ่มประมาณเกือบ 10 คนรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาทางหน้าสถานี

“เร็วๆเข้าพวกเมิงอ่ะ ”เสียงพี่โจ้เรียกพวกโอ้ต เราต้องทำเวลานิดหน่อย เนื่องจากเรือเฟอรี่ จะมีเวลาออกครับ ช่วงเช้า 8 โมง กะช่วงบ่าย แค่นั้น เราต้องให้ทันรอบเช้าให้ได้ เห็นสภาพโอ้ตแล้ว ม่ะได้นอนทั้งคืนแน่

“ทำไรอยู่ไม่ได้นอนเนี่ย” ผมถามพลางเอามือไปปัดปอยผมที่มาปกหน้ามันออก

โอ้ตมันยิ้มเป็นเชิงอายๆ

“เล่นไพ่ !! ”

หลังจากครบทีมแล้ว ทริปเรามีสิบเก้าคนคับ หญิง 5 คน อีก 14 คนที่เหลือไม่ระบุเพศว่าเป็นชายหรือเกย์กี่คน หุหุ
ก็เหมารถเมล์ที่เป็นแบบรถสองแถวอ่ะคับ แต่ขนาดปิ๊กอัพธรรมดา โหนกันไป ให้รีบไปส่งที่ท่าเรือโดนด่วน ขาไปนี่แหละ รถขับแบบซิ่งมากมาย จนเกือบตายกันยกล็อต สุดท้ายก็มาถึงท่าเรือแบบเฉียดฉิวคับ

“เรามาไม่ทันเรือหว่ะ ออกไปโน่นแล้วววว ” พี่ต่ายบอกด้วยเสียงหดหู่ นั่นหมายถึงเราไม่ทันเรือเที่ยวนี้ ต้องรอจนกว่าจะบ่ายโมงเลยครับ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรต่าย เข้าไปนั่งหาไรกินกันก่อนล่ะกัน” โอ้ตบอก แล้วพลพรรคจากเมืองเพชร ก็ค่อยๆเดินแยกย้ายกันไปนั่งตามสะดวก แถบๆนี้เดินไปหน่อยก็เป็นร้านขายอาหาร ขายพวกของฝาก แต่พึ่งจะเช้า ก็เลยยังเปิดไม่ครบทุกร้าน

“นี่ๆ มาคุยแผนกันก่อนว่าจะไปไหนมาไหนกันบ้าง ” พี่ต่ายหัวหน้าทริปเรียกประชุม เพื่อกันความผิดพลาดขึ้นมาอีก

“ปริ้น คิว โค้ก มาช่วยพี่เลื่อนกระเป๋าไอ้พวกนี้หน่อย” พี่โจ้สะกิดเรียกให้เราสามคนที่เป็นน้องๆ แบกสัมภาระของพวกพี่ๆทั้งหลายเปลี่ยนที่มาวางไว้ตรงมุมอีกด้านนึงของเรือ เพราะตอนแรกวางได้แบบเกะกะมาก

“ตกลงให้มาเนี่ย มาเป็นเบ๊เหรอเฮีย” ไอ้คิวบ่นใส่พี่โจ้

“เออดิ พึ่งรู้เรอะ ” พี่โจ้ยักคิ้วกวนๆให้คิวมันทีนึง ไอ้คิวถึงกะหน้าหงิกตามสไตย์

“ไอ้โจ้ ไอ้โจ้เปล่าวะนั่น” สำเนียงแปลกๆแบบคอทองแดงดังขึ้นเรียกพี่โจ้ ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากทิ้งเป้ไอ้โอ้ตไว้กับพื้น

“อ้าว เฮ้ย พี่สิด” พี่โจ้ทักผู้ชายท่าทางทะมัดทะแมงคนนึง ดูภายนอกก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวเรือแน่นอน

“ลมไรพัดมาถึงนี่วะ” คนที่พี่โจ้เรียกชื่อว่าพี่สิด ทักทายด้วยความสนิทสนม

“พาเพื่อนมาเที่ยวเคาดาวปีใหม่น่ะพี่ แล้ววันนี้ขึ้นมาหาแสงสีเหรอพี่” พี่โจ้พูดติดตลก

“มาหาแสงสีป๊ะมึงดิ ถ้าจะเที่ยว สมุยมีออกเกลื่อน เอาปลามาส่งวุ้ย” พี่สิดพูดแล้วก็ชี้มือไปทางผู้ชายอีกสองคนที่กะลังขะมักเขม้น ยกลังใส่ปลาขึ้นรถกระบะ

“เอ้า นั่นพี่ม่อน กะ ไอ้สิงห์ป่าววะ” พี่โจ้ถามพลางเพ่งมองเพื่อดูว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักเหรอไม่

“เออ กุให้มาช่วยน่ะ ”

“ห่ะ อย่างพี่สิด เดี๋ยวนี้ต้องให้คนมาช่วยแล้วเหรอ แก่แล้วนะเนี่ย” พี่โจ้พูดเหน็บพลางหัวเราะ ซักพักคนที่พี่สิดเรียกว่าม่อน กับ สิงห์ ก็เดินมาสบทบ

คนสองคนนี่ ดูแล้วแตกต่างจากพี่สิดค่อนข้างมากพอสมควร แต่ดูแล้วก็ยังดูเป็นพวกที่ผ่านการอยู่บนเรือมาก่อน พี่ม่อนออกจะพวกขี้เก๊กหน่อยๆ ส่วนสิงห์นี่ตัวเตี้ยๆ ดูไม่ค่อยพูดค่อยจา แตกต่างจากพี่สิดที่เป็นคนพูดอะไรโผงผางชอบกล

ผมฟังบทสนทนาของทั้งสี่คนนั่นไปพลาง แล้วก็ยกสัมภาระไปพลาง จนหมด เห็นหน้าไอ้โค้กไอ้คิวหอบแฮ่กเลย แล้วก็พากันไปหาน้ำมะพร้าวมากินกันแก้เหนื่อย ซักพักพี่โจ้ก็เดินมานั่งสมทบกะพวกผม

“เพื่อนพี่เหรอนั่นอ่ะ” โค้กมันแซงคิวถามก่อนผม

“อือ คนรู้จักบนเกาะล่ะ บ้านอยู่ใกล้ๆกัน คนตัวหนาๆหน่อยชื่อพี่สิด สูงๆขาวๆนั่นพี่ม่อน ส่วนไอ้ตัวเล็กๆนั่นชื่อสิงห์ อายุเท่าๆพี่แหละ ” พูดไม่ทันขาดคำ ทั้ง 3 คนนั่นก็เดินมานั่งคุยที่โต๊ะผม

ยอมรับจริงๆคับว่า คนใต้พูดเสียงดังกันมากๆเลย แต่ก็ดูสนุกสนานเป็นกันเองดีอ่ะคับ

“แล้วนี่พี่ขึ้นเฟอรี่เที่ยวเดียวกับพวกผมเลยเปล่า หรือว่าจะกลับพรุ่งนี้ล่ะ ”

“ส่งของเสร็จวันนี้ก็กลับวันนี้ซิน้อง” เสียงพี่ม่อนบอกแบบไม่สบอารมณ์ยังไงบอกไม่ถูก พี่โจ้นั่งเงียบไปเลย

“เฮ้ย น้องมันก็ถามดีๆ มึงกินรังแตนมาจากไหนวะ ไอ้นี่” พี่สิดว๊ากใส่พี่ม่อน จนพี่แกลุกพลวดอย่างไม่พอใจ เดินหายไป

“สงสัยไอ้พี่ม่อนมันเซ็งเรื่องที่บ้านน่ะ” คนที่ชื่อสิงห์บอก

“หมู่นี้ที่บ้านมันเป็นห่าไรก็ไม่รู้ ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน” พูดจบ ก็สั่งเบียร์มาแต่หัววันเลยคับ

“ชวนเพื่อนกินดิโจ้” สิงห์เอ่ยปากชวนพี่โจ้ก่อนที่จะหันมาทางพวกผมสามคน

“อย่ามาชวนน้องกรุเสียคน มึงกินไปเหอะ” พี่โจ้พูดแบบเสียไม่ได้ สิงห์ส่งแก้วนึงให้พี่สิด แล้วก็ยกแก้วตัวเองซด แล้วก็ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงพี่โจ้ ด้วยการรินเบียร์เต็มแก้ว แล้วก็ยื่นมาให้ผม

“เอ้า ไอ้ตี๋ กินกะพี่แก้วนึงม่ะ” มันพูดแล้วก็ทำตาแบบโลมเลียไงบอกไม่ถูกคับ อย่างไอ้คิวผมว่าเถื่อนแต่ก็เถื่อนแบบมีสกุล แต่กะไอ้พี่สิงห์นี่แล้ว ผมบอกได้คำเดียวว่า กลัวไงม่ะรู้

“ไอ้สิงห์ ” พี่โจ้ขึ้นเสียงคับ แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม พยายามยัดเยียดแก้วใบนั้นให้กะผมจนได้

“มีไรวะ” ผมหันขวับไป เห็นโอ้ตมันเดินมาถึงโต๊ะผมแล้ว สงสัยมันเห็นทะแม่งๆแล้วมั้ง

“ก็ … ไม่มีราย” สิงห์มันบอก แล้วก็มองหน้าโอ้ตแบบหาเรื่อง “แค่ชวนกินเบียร์แก้วสองแก้ว”

“ขอโทดทีคับ แต่น้องผมไม่แดกเบียร์นะคับ”

ไอ้สิงห์มันไม่พอใจลุกพลาดขึ้นมาเลยคับ พร้อมๆกับพี่สิดก็ลุกขึ้นมาจับแขนเอาไว้

“เฮ้ยๆๆๆ พอๆเลยมึง กินเบียร์ไปแก้ว อย่ามากุ้ย .. ขอโทดแทนไอ้นี่มันด้วยนะคับ” พูดเสร็จ พี่สิดก็รีบพาให้ไอ้สิงห์มันไปนั่งอยู่อีกโต๊ะนึง

นี่มานอาไรกันเนี่ย เกือบมีเรื่องแล้วไม่เนี่ย ตกใจหมดเรยกรุ

เรารอกันด้วยความเบื่อหน่ายจนถึงเวลาเกือบบ่ายโมง ก็เห็นเรือมาเทียบกับที่จอด ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นคับ

“เสน่ห์แรงนะเมิงเนี่ย ปริ้น” คิวมันพูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะหนุกเท่าไร

“สัด อย่างมาทำให้กรุหลอน เหี้ยเกือบมีเรื่องแล้วม่ะเนี่ย”

“แต่พระเอกแมร่งมาช่วยก่อน” มันยังพูดไม่จบคับ แหม ทีตอนเพื่อนเกือบมีเรื่องเนี่ย นั่งเป็นลูกแมวเลยนะเมิง

ผมได้ทีก็กัดมันบ้างคับ มันก็หน้าจ๋อยไปเลย เหอๆ จริงๆก็รู้คับว่ามันก็อยากช่วย แต่มันก็ยังเด็กกว่าไอ้พวกนั้นพอสมควร ขืนมาช่วยผมมีแต่แพ้กะแพ้


ให้ตายเหอะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผมยังไม่เคยนั่งเรือแบบนี้เลย ตอนแรกก็ตื่นเต้นคับ แต่ระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความเบื่อหน่ายก็จะเริ่มเข้ามาแทนที่ เฟอรี่ก็เหมือนกะตึกลอยน้ำอ่ะคับ ไม่ค่อยมีไรเท่าไร นั่งไปนานๆก็เบื่อ
ประมาณพักใหญ่ๆ เป็นชั่วโมงๆเลยล่ะ ก็มาถึงสมุยคับ พวกผม 3 คน ก็เดินลงกันมาก่อนพวกโอ้ต เพราะมันยังคุยไรกันม่ะรู้น่าเบื่อ ไม่สนใจแฟนมั่งเรย ไอ้นี่ - -* กะว่าจะรีบเดินไปหาซื้อพวกโปสการ์ดที่ร้านใกล้ๆท่าเรือ ก่อนจะไปพะงัน เดินมาด้านล่างที่เป็นที่จอดรถก็ก็เห็นพวกพี่สิด กำลังจัดข้าวของโน่นนี่อยู่ที่รถ คือ เฟอรี่ข้างใต้จะบรรจุรถข้ามฟากได้อ่ะคับ ชั้นบนจะให้คนอยู่ แล้วมันก็เป็นทางที่ต้องเดินผ่านด้วยดิ

ผมหน้าเสียนิดนึง

“เอ้า ว่าไงเรา ”พี่สิดทักทาย จะลงไปซื้อของเหรอ

“คับพี่” ผมพูดแล้วก็ทำท่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะกัวเจอไอ้สิงห์

“ฮ่ะฮ่ะ ไม่ต้องกลัว ไอ้สิงห์มันกินเบียร์อยู่บนโน่น ไม่ไหว กินมากแล้วเหม็นเหล้าชิบ เฮ้ย ! ไอ้ม่อน มึงไขกระจกหลังให้หน่อยดิ๊”

“เฮ้ย …. พี่สิด” ตะโกนเรียกพี่ม่อนจากด้านท้ายกระบะ

“สงสัยหลับอยู่อ่ะคับ ”ไอ้โค้กบอกหลังจากที่ไปมองผ่านเข้าไปทางกระจกหลังที่เปิดอยู่

“เอ้า ไอ้นี่เสือกหลับอีกแล้ว แมร่งขี้เซาชิบหาย” พี่สิดพูดพลางส่ายหัว แล้วก็กระโดดลงจากกระบะ ยื่นหัวเข้าไปด่าพี่ม่อน ด้วยคำหยาบคายที่ฟังไม่ค่อยออก

พวกผมสามคนมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าควรที่จะไปได้แล้วล่ะ กรุกัว เหอๆ

“เมิงจะซื้อไรมั่งวะ ปริ้น”

“คงพวกโปสการ์ดมั้ง แต่แม่งแพงชิบเรย”

“เออวะ” คิวมันพูดเสร็จก็หยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเปิดกว้าง

“จาซื้อไปให้ใครเหรอวะ” ไอ้ซังมันคงดีใจเนอะ แฟนคิดถึงขนาดนี้ ผมพูดแซว

“ชั่งกุ ไอ้คิวมันทำหน้าเขินๆ แล้วหายหัวไปเลือกของอีกนิดหน่อย

“แพงหว่ะพี่ปริ้น ขอยืมตังค์หน่อยดิ”

“อย่ามาทำเนียนเมิง … ”

“เอ้า ก็พี่ปริ้นไม่ต้องซื้อฝากใครนิ” มันพูดไปก็ทำเป็นเลือกซื้อของไป

“ไมวะ” ผมหันไปถาม

“เอ้า ก็แฟนมาด้วยกัน แล้วจะซื้อไปให้ใครอีกล่ะพี่ ”มันพูดเสร็จก็หันมามองผมด้วยสายตาจับผิด

“อุ๊ก ”

“ฟงแฟนไรวะ ไม่มี๊” ผมรีบแก้ตัวพัลวัน แปลกหว่ะ ทำไมแทนที่ผมจะยอมรับไปว่า ผมคบกะโอ้ตอยู่ แต่อีกใจก็ยังไม่อยากให้โค้กมันคิดว่าผมเป็นเกย์อ่ะ มันคิดยังไงก็ผมก็ไม่รู้ด้วย

ปู้นนนนนนนนนนนนน ปู้นนนนนนน

เสียงหวูดของเฟอรี่ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเรือใกล้จะออกแล้ว ทำให้ต้องเร่งซื้อกันหน่อยล่ะ จริงๆมีพวกพวงกุญแจปะการัง แล้วก็หอยสวยๆอีกเยอะแยะเลย แต่ผมไม่ค่อยอยากซื้อแหะ มันเหมือนทำลายธรรมชาติไงม่ะรุ ไม่ได้เงินกรุหรอก หุหุ

หลังจากซื้อของเสร็จ ไอ้คิวดันอยากแดกไส้กรอกขึ้นมา ก็เลยต้องรอมันซื้อก่อน แล้วก็รีบวิ่งกันขึ้นมาบนเรือได้ทันท่วงที

“เอ้า ไปไหนกันหมดวะ” ผมพูดขึ้นมา ระหว่างที่เดินมาถึงบริเวณที่พวกโอ้ตมันน่าจะอยู่กัน ตอนนี้ผู้โดยสารบางส่วน หรือเรียกว่าส่วนใหญ่แทบจะลงไปสมุยกันหมดคับ ดูวังเวงชอบกล

“เจอป่ะ โค้ก” ผมหันไปหาไอ้โค้กซึ่งก็ส่ายหน้า

“คิว” คิวมันเดินมาบอกว่าหาไม่เจอเหมือนกัน เอ้า ไงล่ะนี่

“เวนกรำ ทำไมมาอยู่บนนี้กันล่ะเนี่ย !! ” เสียงพี่โจ้พูดอย่างตกใจเมื่อเห็นผมสามคน

“เอ้า ทำไมอ่ะพี่ ก็…”

“ไม่รู้เหรอว่าพวกต่ายมันลงไปค้างสมุยคืนนึงอ่ะ แล้วพรุ่งนี้ถึงจะขึ้นเรือมาพะงัน”

“ห่ะ ทำไมผมไม่รู้ล่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ นี่กรุคลาดกันอีกแล้วเหรอเนี่ย

“ก็เค้าคุยกันตอนที่กินข้าวอยู่อ่ะ โอ้ตมันไม่ได้บอกปริ้นเหรอ”

“ไม่ได้บอกกกกก” ผมพูดหน้าเสีย

“เออ ไม่เป็นไร งั้นถือว่าพวกเรามากันก่อนล่ะกัน ดีเหมือนกันจะได้ช่วยพี่เตรียมบ้านช่อง ปัดกวาดเช็ดถู” พี่โจ้ยิ้ม กริ่ม

“โห อีกแระ” ผม ไอ้โค้ก ไอ้คิว พูดกันแบบผสานเสียง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:23:10
ไอ้โอ้ตนะไอ้โอ้ต ด้วยความที่มันคิดว่าพวกผมรู้จากพี่โจ้แล้ว ว่าจะค้างกันที่สมุยคืนนึงก่อน ก็เลยไม่ได้บอกผม ประกอบกับที่ผมเดินกันลงมาก่อน ก็นึกว่าจะไปรอกันที่ท่าเรือสมุย พอเรือออกเท่านั้นแหละ ไม่เห็นพวกผม มันก็เลยโทรเข้ามาหา ซึ่งแน่นอน ไม่สายไปซะแระ ตอนนี้ผมเกือบจะถึงเกาะพะงันกันแล้วด้วยซ้ำ

ฮ่วย !!

“ไม่เป็นไรหรอกโอ้ต ปริ้นไม่สำคัญอยู่แล้ว” ผมพูดประชดใส่หูโทรสับ

“เฮ้ย โอ้ตขอโทษ”

“ไม่รุ” ผมพูดเสร็จ ก็วางหูไปด้วยความฉุน

“พี่ปริ้น ถึงเกาะแล้ววว” สิ้นเสียงไอ้โค้ก เกาะพะงันที่เห็นรางๆมะกี้นี้ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น แม้ว่า จะเป็นช่วงเกือบค่ำแล้วก็ตาม แต่น้ำทะเลงี้ แบบเขียวมรกตมากๆเลยครับ

“แล้วนี่จะไปบ้านกันเลยเหรอเปล่า” พี่สิด ขับรถลงมาจากเรือ ยื่นหน้ามาถามพวกผม

“คับ เด๋วว่าจะโทรไปบอกให้พ่อมารับนะคับ” พี่โจ้บอก

“เฮ้ย งั้นเดี๋ยวไปกับพวกพี่ก็ได้โจ้ แต่นั่งกระบะหลังนะ ไหวเปล่า” พี่สิดว่าพลาง เดินลงจากรถ แล้วก็หยิบกระเป๋าผ้า ถุงไส้ปลา บลาๆ ไปใส่ไว้หน้ารถ

“ขอบคุณคับ” พี่โจ้ยิ้มหน้าบาน ส่วนผมเหรอ เหอะๆ ไม่อยากพูดอ่ะ ยิ่งเมื่อเห็นไอ้สิงห์เดินเข้ามาคุยกะพี่สิด หน้ามันผมก็แทบไม่อยากมองอ่ะ

“พี่ม่อนมันหายหัวไปไหนมันวะ” สิงห์มันบ่น

“สงสัยแมร่ง นั่งรถกลับไปเองแล้วมั่ง ไอ้ขี้เกียจนั่น”

“เออ ไรวะ งั้นเด๋วชั้นติดรถพี่ไปด้วยนะ ขี้เกียจนั่งรถกลับเอง” พูดเสร็จ มันก็หันมามองทางผมสายตาแปลกๆ แล้วก็กระโดดขึ้นกระบะหลังไป

“เมิงจะไปนั่งหน้าเป่า ปริ้น” ไอ้คิวถามผมแบบเป็นห่วง(นานๆที)

“ไม่เป็นไร ให้พี่โจ้นั่งแล้วกัน” ผมพูดแล้วก็เดินขึ้นไปพร้อมกะไอ้โค้ก แล้วก็ไอ้คิว

คลื่นนนนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนนนนน เสียงฟ้าคำราม เหมือนฝนจะตก ไม่น่าเชื่อว่า ม่ะกี้ ตอนอยู่บนเรือ แทบจะไม่เห็นเมฆฝนบนเกาะ เมฆดำดูลอยต่ำลงมาจนเหมือนกับจะปิดบังเกาะให้ดูทะมึน พี่สิดขับรถวนซ้ายวนขวาตามแนวของสันเขา เนื่องจากบ้านของพี่โจ้อยู่อีกด้านนึงของเกาะ ทำให้ต้องข้ามเขาไปพอสมควร

พี่สิดขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านพี่โจ้ ฝนเม็ดแรก ก็หยดมาลงจมูกผมพอดี หลังจากที่ขอบอกขอบใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็รีบวิ่งแจ้นกันเข้าที่พักทันที บ้านที่พวกเราจะพักกันเป็นบ้านที่ไม่ได้มีคนอยู่คับ พอดีว่าที่บ้านของพี่โจ้ เตรียมจะสร้างไว้ให้คนอื่นเช่าต่อ แต่ตอนนี้ว่าง ก็เป็นโอกาสของพวกเราซะเลย

“พวกพี่สิด นี่อยู่แถวนี้กันเป่า” ผมหันไปถามพี่โจ้

“อือ ก็ถัดไปอีกหลังสองหลังนี่แหละ พี่ม่อน ไอ้สิงห์ก็ด้วย ระแวกนี้แหละ”

“อ่อ …”


“หวาดดีค่า พี่โจ้” เสียงใสของผู้หญิงคนนึงดังกังวาน ไม่ใช่ใคร น้องสาวพี่โจ้คับ ชื่อ จ๋า น่ารักแล้วก็สวยแบบคมๆ แบบคนใต้แหละ คงเรียนอยู่ม ต้น

“หวัดดีคะ หวัดดีคะ หวัดดีคะ” จ๋าทักทายพวกเราเสร็จ ก็ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้านของพี่โจ้ พอพวกผมเดินเข้ามาที่บ้านพี่โจ้ ก็เห็นคุณพ่อ คุณแม่ แล้วที่ตกใจก็เห็นพี่สิด ไอ้สิงห์ แล้วก็ใครไม่รู้อีกสองสามคนมานั่งล้อมวงกันเตรียมกินข้าวกันแล้ว

“รบกวนบ้านพี่โจ้แย่เรย” ผมบอก เพราะตามแผนคือ เรากะจะหาซื้อไรมาทำกันกินเอง ไม่ได้มารบกวนแบบนี้

เมนูแรกที่มาบนเกาะนี้คือ ปลาหมึกครับ ทุกอย่างคือหมึกแทบทั้งนั้น เนื่องจากแถวนี้ ตกหมึกได้เยอะคับ จริงๆปลาก็มีแหละ แต่ส่วนใหญ่เก็บไว้ขาย

“พี่โจ้ รู้ป่าว พี่มุกที่อยู่ข้างบ้านอ่ะ ตายแล้วนะ ” จ๋าพูดโพล่งขึ้นมากลางวงกินข้าว

“เฮ้ย ตายได้ไง” พี่โจ้พูดออกมาแทบสำลัก ผมสามคนมองหน้ากันปริบๆ

“ผูกคอตายอ่ะ เนี่ย ที่ต้นหว้าริมหาดตรงนั้นอ่ะ ” พวกผมหันไปมองทิศที่น้องจ๋าผู้แสนดี เล่าให้ฟัง แต่มองจากตรงนี้ไม่เห็นหรอกคับ หลังคาบ้านบังหมด

พี่โจ้พยักหน้า

“ผูกคอตาย ! พี่มุกเนี่ยนะ เป็นไปได้ไง ”

“นี่เลิกพูดเรื่อยตายๆ กันได้แล้วนะ กำลังกินข้าวกินปลากันอยู่ ดูซิ พี่ๆเค้าหน้าซีดกันหมดแล้ว” แม่พี่โจ้เอ็ดลูกสาว
ผมรู้สึกว่าหลังจากที่พี่โจ้รู้ข่าวการเสียชีวิตของพี่มุกแล้ว พี่โจ้ดูหน้าเคร่งเครียดไปในทันที ไม่เพียงแต่พี่โจ้เท่านั้น ผมดูท่าทางแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่สิดที่เฮฮาอยู่ก่อนหน้า ก็นั่งตักข้าวเงียบกริบ ส่วนไอ้สิงห์ก็คว้าเบียร์มาดวดๆ ไม่มีหยุด


***************************


“เฮ้ย ไปดูกันเป่า” เสียงมารร้ายอย่างไอ้คิวกระซิบกับผมสองคน

“ดูเหี้ยไร”

“ก็ไปดูต้นไม้ที่พี่ไรนั่นผูกคอตายอ่ะ ” ดูมันช่างคิด

“มึงไปคนเดียวเหอะ”

“ไปดิพี่” น่าน ไอ้โค้ก มึงไม่ห้ามมันล่ะ มาชวนซะงั้น

“พวกเมิงไปเหอะ” ผมพูดแล้วก็รีบเดินเข้าไปในบ้าน แล้วซักพักก็เดินออกมา ในบ้านคนเดียว แถมพึ่งมาเล่าเรื่องคนตาย ให้กรุอยู่คนเดียวเหรอเมิง เลยต้องจำใจเดินมากะพวกมันด้วยคับ กรุกัวผีนะเนี่ย

“ไปแป็บเดียวนะพวกเมิง จะได้รีบอาบน้ำอาบท่า” ผมว่าพลางเดินตามหลังพวกมันไปตามริมหาด ตอนนี้เรียกว่า มีแต่แสงไฟที่สาดมาจากตามบ้านที่ปลูกไว้ห่างๆ ล่ะคับ ริมหาดค่อนข้างมืดมาก มีแต่แสงจากไฟฉายของเด็กหนุ่มสามคนเท่านั้น หนาวก็หนาว สาดดด

“ใช่ต้นนี่เป่าวะ” ไอ้คิวมันหยุดยืนที่ใต้ต้นหว้าต้นนึงที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ กิ่งก้านมันดูรกทึบไปหมด พูดเสร็จก็ส่องไฟไปทางโน้นทีทางนี้ที

“ต้นหว้า อืม พี่เค้าเลือกมาผูกเพราะมีความหมายไรเป่าวะ” ไอ้โค้กพูดขึ้นมาลอยๆ

“ไมคิดงั้นวะ” คิวสอดขึ้นมา

.

.

“ต้นหว้า เนี่ย มันเรียกได้อีกชื่อว่า ชมพู อ่ะ คับ มันเป็นไม้ในวงศ์เดียวกันนะ เป็นไม้ประจำทวีปนี้ นี่ว่าตามภูมิศาสตร์นะคับ ในความเชื่อของอินเดียโบราณที่ไทยเราก็รับมาเนี่ย อยู่ในไตรภูมิพระร่วงก็มี เชื่อกันว่าในโลกมีสี่ทวีป ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป บุรพวิเทหทวีป แล้วอะไรอีกอันหว่า ? นั่นล่ะๆแต่ละทวีปก็มีไม้ประจำทวีปของตัวครับ คำว่า "ชมพูทวีป" นั้นเป็นคำที่ชาวพุทธใช้หมายถึงดินแดนประเทศอินเดียโบราณ ก็มาจากต้นชมพู หรือว่าต้นหว้านี่แหละคับ”

“โห นักพฤกศาสตร์มาเองเลยวุ้ย ”ไอ้คิวแซวไป ส่องไม่ลดละ

“ไอ้เหี้ย .. ส่องให้ผีมันโผล่มาเหรอไง ” ผมโพล่งด่าไป

“พี่ปริ้น พูดไรเนี่ย ผงผี ตอนหน้าสิ่งหน้าขวาน” ไอ้โค้กทำเป็นกลัวขยับเข้ามาใกล้ ผมมองดูนาฬิกา สองทุ่มครึ่งได้แล้ว เลยรีบไล่ให้พวกเดินกลับกันได้แล้วล่ะ กรุกัว ไม่ใช่ไรหรอก ซึ่งระยะห่างระหว่างที่พัก ก็ที่ยืนอยู่นี่ก็ไม่ไกลกันมากคับ ประมาณ สองสามร้อยเมตร มองจากตรงนี้ ก็เห็นที่พักเปิดไฟอยู่

“ม่ะกี้ออกมาเมิงไม่ได้ปิดไฟเหรอปริ้น” คิวมันถามผมระหว่างเดินอ้อยอิ่งกลับ

“ห่า ม่ะกี้กุเข้าไป แล้วก็เดินออกมายังไม่ทันได้เปิดไฟห่าไรเลย พี่โจ้มาเปิดมั้ง” ผมบอก แล้วก็รีบเร่งเท้าเพราะกลัวพี่แกเห็นว่าไม่อยู่ จะตกใจว่าหายไปไหนอีก

คลื่นนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาอีกรอบ มองไปบนท้องฟ้าไม่เห็นแม้แต่แสงดาวซักดวง เม็ดฝนเริ่มตกเปาะแปะๆ ทำให้เดินอยู่ไม่ได้แล้วล่ะคับ วิ่งมาถึงบ้าน ก็ปรากฏว่า ไฟทุกดวงในบ้านมันไม่ได้เปิดอยู่นะซิ

“อ้าว นี่ไง ไฟก็ไม่ได้เปิดไว้” โค้กมันหันมาถามผม แล้วก็รีบกดเปิดไฟ

“ก็ม่ะกี้ กรุเห็นจริงๆนะ ว่าไฟมันเปิดอยู่อ่ะ” ไอ้คิวเถียง ผมก็เห็นเหมือนกันคับ แต่ไม่พูดอะไร ไม่อยากเข้าข้างมันเหอะๆ

“เอาเหอะ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเหอะ เหนียวตัวจาแย่อยู่แล้ว” ผมดันไอ้คิวให้รีบไปอาบก่อน

“เออ ว่าแต่อาบด้วยกันม่ะจ๊ะ ปริ้น ” มันพูดเสร็จก็ทำสายตากระลิ้มกระเหลีย

“เด๋วกรุซัดเข้าที่ใบหน้า สัด ไสตูดไปอาบน้ำอย่างเร็ว” ผมพูดเสร็จก็เตรียมจะผลัดผ้าบ้าง แต่ก็เหลือบไปเห็นไอ้โค้กคับ มองตาแป๋วมาทางผม

“เฮ้ย คนจะแก้ผ้า หันไปทางอื่นดิ”

“อายเหรอ 555”

“เออดิ ไอ้บ้า ” ผมพูดไปก็หน้าเริ่มแดง พักหลังไอ้โค้กมันทำตัวแปลกๆกับผมจังวะ หรือว่ามันเป็นเกย์เนี่ย แต่ มันก็เคยบอกผมแล้วนี่นา ตอนที่ไอ้กั๊กมาบอกชอบมัน มันก็ปฏิเสธไป .. อะไรวะ

“หันปาย” ผมว่ามันแล้วก็เอาตรีนไปเขี่ยให้มันหันตัวไปทางอื่น มันก็มาดึงตรีนผมไว้อ่ะ หน้าเกือบคว่ำ

“โห ใช้เท้าเลยนะ คนนะคน ” มันว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้น รายเล่า ต่อล้อต่อเถียงไปได้ซักพัก ไอ้คิวก็อาบน้ำเสร็จ

“จะอาบก่อนเป่า ”

“พี่ปริ้นอาบก่อนแล้วกัน ขอนอนต่อก่อน เหอะๆ” มันว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน ไอ้คิวก็เดินไปเข้าห้องที่แยกไว้ให้พวกผู้หญิงนอน ไปแต่งตัว

ผมก็เข้าไปผลัดผ้าในห้องน้ำคับ ก็ควักๆของที่อยู่ในเสื้อกันหนาว ออกมา

“เอ๊ะ หายไปไหนวะ ” ผมพยายามควักทุกสิ่งอย่างในกระเป๋าเสื้อกันหนาวออกหมด แต่ก็ไม่มี

“เฮ้ย สงสัยทำตกแน่เลยว้อย” ผมสบถกับตัวเอง แล้วก็รีบอาบน้ำอย่างเร็ว เสียงฝนตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ อากาศที่หนาวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มทวีความเย็นเข้าไปอีก ผมเดินออกมาตัวสั่นงันงก แล้วก็รีบคว้าเสื้อมาสวมอย่างเร็ว

“มีร่มเป่าวะ”

“ใครจะพกร่มมาหน้าหนาวล่ะ ไอ้โง่ ”ไอ้คิวด่าผม

“ห่า ไม่มีก็ไม่ต้องด่ากรุ” ผมพูดอารมณ์เสีย แล้วก็เดินออกไปขอร่มพี่โจ้ที่อยู่บ้านติดๆกัน

“ไปไหนอ่ะพี่ ” โค้กดินออกมาถามผม ซึ่งกำลังจะกางร่มฝ่าฝนออกไป

“ทำของหล่นอะดิ จะเดินไปหาอ่ะ” ผมบอก

“ตอนนี้เนี่ยนะ จะหาเจอมั้ย” โค้กบอกผมด้วยความเป็นห่วงในน้ำเสียง

“ก็ต้องหาล่ะวะ”

“งั้นเด๋วผมไปด้วย” ไอ้โค้กว่าพลางคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่(ย้ำว่ากันหนาว)

“เออ ขอบใจ ”

“เฮ้ย พวกเมิงไปไหนกันเนี่ย ”ไอ้คิวเดินแน่วๆมาหา

“ไปหาของ มึงจะไปด้วยม่ะ” ผมว่า พลางเร่งมันเพราะยิ่งช้าฝนก็ตกหนักมากขึ้น

“โค้กไปขอร่มพี่โจ้มาอีกคันป่ะ ” ผมว่า ด้วยความร้อนใจ

จะบอกว่า การหาของในความมืดว่ายากแล้ว การหาของที่ตกอยู่บนพื้นทราย แถมรอบข้างฝนดันตกหนักแบบนี้ ยิ่งเหมือนคนโง่เข้าทุกที ผมใช้ร่มคันนึง ส่วนอีกคันนึงไอ้คิวกะไอ้โค้กถือ เสียงบ่นกระปอดกระแปด ไล่หลังผมมาตลอดทางที่เดินมา

- อยู่ไหนวะ อยู่ไหนวะ – ในหัวผมเร่งหาแต่ของสำคัญที่ทำตกไว้ แมร่งถ้าหาไม่เจอกรุแย่แน่เลย

พวกผมเดินไล่หากันด้วยความทุลักทุเล กันจนมาเกือบถึงใต้ต้นหว้า ผมฉายแสงไปตามพื้นที่เฉอะแฉะเพราะสายฝน ก็พบสิ่งๆนึงมันสะท้อนแสงกลับมา

“เฮ้ย เจอแล้วๆ” ผมพูดพลางวิ่งไปเก็บมา

“เออ เมิงกว่าจะเจอ กรุเปียกเป็นหมาตกน้ำหมดแล้ว ”

“เนี่ยสงสัยผีพี่มุกช่วยมึงหาของให้แน่เลยไอ้ปริ้น ” ไอ้คิวพูดเล่น พลางทำส่องไฟไปที่ต้นหว้าที่อยู่ห่างไม่กี่เมตร

แว๊บ

“เฮ้ย .. ”

“ไรวะ ” ผมซึ่งทำท่าทีจะเดินกลับที่พักแล้ว สะดุดกึกกะเสียงไอ้คิว

“อะไรมันสะท้อนแสงม่ะรู้หว่ะ ” ไอ้คิวพูดกับไอ้โค้ก แล้วก็เดินไปที่ใต้ต้นหว้า

“ตรงไหนวะ ที่เมิงเห็นอ่ะ” ผมเดินตามเข้าไปบ่นใส่

“ข้างบนต้นไม้อ่ะ ” ไอ้คิวพูดเสียงสั่นๆ แล้วก็ฉายไฟไปบนต้นไม้ เท้าไอ้โค้กหยุดกึกเมื่อมันฉายไฟไปทางที่ไอ้คิวบอก คิวหันไปมองหน้าไอ้โค้กด้วยความสงสัย สายตาไอ้คิวมันจับจ้องค้างอยู่บนต้นไม้ มือโค้กสั่นเทา ทำให้แสงไฟโฉบเฉียวไปมา

“ไอ้สะ สัดด…” คิวสบถออกมาด้วยเสียงสั่นเคลือเหมือนกับกะลังควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ผมหันร่มให้มีระยะพอมองไปด้านบน พร้อมกับส่องไฟขึ้นไปมองสิ่งที่คิวกะโค้กมันเห็น

หัวใจผมแทบหยุดเต้น มือที่ถือกระบอกไฟฉายแทบจะไม่มีแรงจับยึดไว้ เหนือศีรษะที่ผมฉายไฟปรากฏร่างๆนึงแขวนไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า ร่างห้อยต่องแต่งบิดเบี้ยวผิดรูปแกว่งโอนเอนไปตามแรงลม เมื่อแสงไฟกระทบเข้ากับตะขอที่เกี่ยวแต่ละจุดของร่างกายมนุษย์ที่แขวนไว้อยู่ ทำให้เห็นสภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของฆาตกร

แขน ขา ถูกตัดออกแล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบเข้ากับบริเวณร่างกาย ทำให้สภาพดูรุ่งริ่งเต็มทน บริเวณส่วนหัวของเหยื่อที่ถูกตัดออกเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของร่างกาย ถูกสายเบ็ดพันเข้าหลายทบ แล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบให้เข้ากับบริเวณส่วนคอ

ร่างทั้งร่างบัดนี้เปรียบเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกสายเบ็ดโยงเหมือนใยแมงมุม ตรึงไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า สายลมพัดกระหน่ำจนทำให้ศพดูซีดเซียว

“โอ๊กกกก อ๊วกกกกกก” เสียงไอ้คิวอาเจียนออกมาลงบนพื้น มันอยู่ใกล้ศพมากที่สุด จนเห็นติดตา

“คะ โค้ก รีบ ปะ ไป ไป ไป จากที่นี่ จะ แจ้ง ตำรวจ เร็วเข้า ระ เร็ว มีคนตายที่นี่”

โค้กมันดูแข็งค้างพอๆกับไอ้คิว แต่ดูเหมือนเรียกสติกลับมาได้ก่อน รีบคว้าตัวคิวที่ก้มลงไปอ๊วกอยู่ให้ลุกขึ้น ขาผมสั่นมากจนไม่คิดว่าจะก้าวออกจากที่ตรงนั้นได้ ร่างข้างบนนั้นเหมือนกับสะกดตัวผมไว้อยู่

“พะ พี่ปริ้น โค้กมันตะโกนใส่หูผมจนได้สติ พี่ปริ้น ม่ะกี้ ม่ะกี้ ตอนเรามามันยังไม่มี ยังไม่มีศพเลย แล้วนี่มันอะไรวะ ”

ผมก้มลงมองนาฬิกา อะไรวะ แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับมาศพที่ถูกหั่นเป็นเป็นท่อนๆได้ขนาดนี้

ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้ จริงอยู่ที่ว่าใครที่มาเห็นการฆาตกรรมแบบนี้คงจะตกใจไม่น้อยไปกว่าพวกผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมเหมือนกับขาดสติไป เพราะร่างๆนั้นคือคนที่ พวกผมพึ่งจะได้คุยด้วยเหมือนช่วงเย็นที่ผ่านมา

ผมสามคนค่อยก้าวออกจากบริเวณนั้นด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฝนตกอย่างหนักหรอก แต่เป็นเพราะร่างพี่ม่อนที่โดนแขวนห้อยเป็นหุ่นกระบอกอยู่ต่างหาก

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:23:47
ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น

ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่พากันพูดเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นายตำรวจสองคนที่พึ่งจะได้บึ่งรถมอเตอร์ไซต์จากสถานีที่อยู่ห่างไปพอสมควร ต่างรีบทำการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากแม้เวลานี้สายฝนจะซาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหยุดตกและด้วยเวลาเกือบที่จะสองยาม ทำให้การเก็บหลักฐานเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก

จากการให้ปากคำของพวกเราทั้งสามคนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งทำให้การฆาตกรรมในครั้งนี้ ยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้น แม้ว่าพี่ม่อนจะเป็นพวกขี้หงุดหงิด ท่าตีท้าต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโดนฆ่าตายด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้ ใครเป็นคนทำ? และจะลำบากทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ?

แม้ว่าฝนจะเบาลง แต่ระดับคลื่นยังคงถาโถมซัดจนดูทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ผิด ช่วงมรสุมเข้าเป็นแบบนี้เสมอเหรอไง

“ไหนลองบอกอีกทีซิ ว่าทำไมพวกเราสามคนถึงไปที่เกิดเหตุค่ำๆมืดๆแบบนั้น” นายตำรวจคนนึงถามคำถามเดิม

คิวมันทำท่าทางหงุดหงิด เหมือนจะว้ากใส่ด้วยความรำคาญ แต่โค้กมันยกมือห้ามไว้

“ก็อย่างที่ผมบอกว่า เพื่อนผมทำของหล่นหาย ผมสามคนก็เลยออกไปหา แล้วก็เดินไปทุกที่ๆผ่านตอนหัวค่ำ” โค้กอธิบายด้วยความใจเย็นอีกรอบ

“แล้วพวกผมก็ส่องไฟไปเจอแสงแปลกๆ ก็เลยส่องขึ้นไป ก็เลยเจอ - - - ” ผมพูดต่อ

“ไปหาของทั้งๆที่ฝนตกหนักเนี่ยนะ ? ” นายตำรวจแก่ยังไม่เลิกสงสัย

“ใช่ครับ ของสำคัญ” ผมตอบไปพลางมองหน้าตำรวจคนนั้นที่จ้องเขม็งมาทางพวกเรา

“คุณตำรวจ ข้าว่านะ ไอ้สามคนนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรอก มันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะฆ่าไอ้ม่อนมัน ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่ข้ามวัน” พี่สิดเดินเข้ามาเสริมหลังจากที่พวกเราโดนตำรวจสอบนานเป็นพิเศษ

“มันก็ใช่นะ แต่พวกเราก็ต้องถามตามหน้าที่ก็เท่านั้นล่ะ” ตำรวจคนที่หนุ่มกว่าบอกกับพี่สิด

“เออมาก็ดีล่ะมึง จะได้สอบต่อ เอาคุณสามคน ขอรบกวนเท่านี้ก่อนล่ะกัน” นายตำรวจบอกก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

“เป็นไงบ้าง เค้าถามไรมั่ง” พี่โจ้เดินเข้ามาหาพวกผม เห็นสายตาก็ดูว่ากำลังตกใจ

“ก็ถามรายละเอียดทั่วไปล่ะ พวกผมก็บอกๆเค้าไป” ผมบอกกับพี่โจ้

“เห็นว่าศพพี่ม่อนดูไม่ได้เลยเหรอคะ ? ” น้องจ๋าถามบ้าง คิวมันพยักหน้า พร้อมกับทำท่าจะอ๊วกอีกรอบ

“จ๋า เรานี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปๆรีบเข้าบ้านเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วทีหลังอย่าออกไปเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกนะ” แม่พี่โจ้รีบไล่ให้พวกเรากลับเข้าบ้าน โดยพี่โจ้อาสามานอนเป็นเพื่อนพวกผมที่บ้านพัก แต่จริงๆแล้วพี่โจ้คงอยากจะถามเรื่องราวว่าเป็นไงมาไงมากกว่า

“หงึยยย ตัวนะพี่ ห้อยโงนเงนๆ อยู่กะกิ่งอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้” ไอ้คิวเล่ารายละเอียดเท่าที่หัวสมองมันพอจะจำได้

“เฮ้ยย นอนเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอกเมิง” ผมเอ็ดไอ้คิวที่มัวแต่บรรยายอะไรไม่เป็นเรื่อง แล้วก็หันตัวเป็นนอนตะแคงไปทางโค้ก มันนอนหันหลังเงียบเชียบ สงสัยมันคงจะหลับแล้ว ผมยังคงนอนพลิกไปพลิกมา กระสับกระสายกับเหตุการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสมองจะอ่อนเพลียไปเอง

“งืม งืม พรุ่งนี้ โอ้ตมันก็คงมาแล้วล่ะ งืม” ผมนอนคิดปลอบใจตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจผมสงบมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ก่อนที่จะผลอยหลับไป


***************************


Zzzzzz Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz - - -

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!

คลื่นนนนน

“อึ๊ก ….” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว มองเห็นคิวมันนอนหลับไม่รู้สึกรู้สา ถัดไปพี่โจ้ก็นอนคลุมโปงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ

“อืออออ กี่โมงแล้ววะเนี่ย” ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปบนหัวนอนคว้านาฬิกาขึ้นมาดู

“ตี 5 กว่าๆ” แต่รอบๆยังคงมืดมิด อาจเป็นเพราะอยู่ในหน้าหนาว แล้วยังมีมรสุมเข้าอีกตะหาก ผมพลิกตัวกะจะนอนต่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างๆผมมันหายไป

“ไอ้โค้กมันหายไปไหนวะ” คิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตรงระเบียงนอกบ้าน ผมเลยค่อยๆลุกแล้วเดินไปช้าๆ เพื่อมองว่าเป็นใคร

“อ้าว โค้ก นอนไม่หลับเหรอ” ผมทักเมื่อเห็นว่าเป็นมันนั่งยกขารับลมอยู่ตรงระเบียงบ้าน

“อือ .. นอนไปได้หน่อยเดียวก็มานั่งรับลมดีกว่า” มันพูดสายตาก็ทอดยาวไปที่ชายหาด คลื่นลมยังคงปั่นป่วนทั่วท้องน้ำ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเท่ห์โคตรซะงั้น

“กลัวอะดิ เลยนอนไม่หลับ” ผมแซวมันแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

“อือเด๊ะ กลัวก็กลัว แต่สงสัยก็สงสัย” มันบอกพลางเก็บเศษกิ่งไม้แถวๆนั้นมานั่งหัก สายตามันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“สงสัยว่าใครเป็นคนทำน่ะเหรอ” ผมเดาความคิดมัน

“อือ”

“บ้าน่า ผมบอกกะมัน จนมันหันมามอง เราพึ่งมาไม่ถึงวัน จะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ พี่ม่อนเค้าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบตั้งเยอะแยะ เราไม่ใช่ตำรวจนะว้อย”

“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสืบหาคนฆ่าซะหน่อย แค่สงสัยอ่ะ สงสัยไม่ได้เหรอไง” มันเถียงผมกลับมา

“ไม่สงสัยรึไงตอนเราเดินมาครั้งแรกมันช่วงสองทุ่มครึ่ง แต่พอกลับมาอีกที แค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆแล้วอ่ะ” มันพูดให้ผมเห็นภาพสยองอีกรอบ จนต้องเบือนหน้าหนี

“ก็จริงว่าไม่มีใครทำได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำมาก่อนแล้วค่อยมาแขวน มันก็ทำได้ไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดตอกกลับ

“ทำซะขนาดนี้ มันต้องมีร่องรอยอะไรบ้างแหละน่า อย่างน้อยก็ตัวคนเราก็ไม่ได้มีเลือดแค่หยดสองหยด ที่จะทำลายหลักฐานได้หมดหรอก ป่านนี้ตำรวจพวกนั้นก็คงกำลังไปค้นที่ๆใช้ชำแหละอยู่นั่นล่ะ”

“เป็นท่อนๆขนาดนั้น มันทำตามบ้านไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะ” โค้กมันอดต่อล้อต่อเถียงไม่ได้

ผมบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว

“เราไม่ใช่ตำรวจนะ โค้ก” ผมหันไปบอกไอ้โค้กที่ยังคงนั่งทอดหุ่ยอยู่

“ผมรู้หรอก” ไอ้โค้กบอกผมเสียงแข็ง


***************************


เวลาล่วงมาถึงเช้าของวันที่สองที่ผมได้มาอยู่บนเกาะ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น

“วะ ว่าไรนะพี่โจ้ พวกพี่ต่ายยังมาวันนี้ไม่ได้เหรอ” ผมโพล่งออกไปหลังจากพี่โจ้มาส่งข่าว

“ใช่ คลื่นลมมันแรงมาก จนยกเลิกเดินเรืออ่ะ ” พี่โจ้บอกหน้าเสียๆ แบบนี้คงจะอีกวันสองวันแหละ กว่ามรสุมจะผ่านไป

-อะไรฟร่ะ เรื่องบ้าไรเนี่ย- ผมคิดในใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เหมือนพวกเราติดเกาะโดยไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้เลย รวมถึงก็จะไม่มีใครเข้ามาได้เช่นกัน เรื่องมือถงมือถือไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย คงจะต้องพึ่งแต่โทรศัพท์สาธารณะอย่างเดียวที่จะสามารถติดต่อคนบนฝั่งได้

เช้าวันนี้ตำรวจมาส่งข่าวให้พ่อกะแม่พี่โจ้เล็กน้อย ก่อนที่จะไปจัดการกับคดีต่อ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนทั้งคืนจะไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้มากนัก แล้วที่โชคร้ายไปกว่านั้น ก็คือร่องรอยต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนพายุฝนเมื่อคืนนี้กลบไปหมด

โรงเชือดสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งเดียว ก็ไม่พบร่องรอยของการชำแหละ หรือว่าคราบเลือดอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยด้วย

ฝนเมื่อคืนทำลายหลักฐานของคนร้ายทั้งเรื่องรอยเท้า แล้วก็เรื่องคราบเลือดที่หยดบริเวณนั้นไปหมดเลย นายตำรวจคนที่มาบอกข่าวดูสีหน้าอิดโรยไปพอสมควร เมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนก็เป็นได้ หลังจากมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็บึ่งมอไซต์กลับโรงพัก

“พี่ปริ้นคะ จ๋าจะไปตลาด พี่จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” น้องจ๋ายื่นหน้ามาทัก

“อ่อ ก็มีอ่ะคับ เออ แต่เด๋วพี่ไปด้วยดีกว่า รอพี่แป็บนึงนะ” ผมว่าพลางรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ผมไปด้วยซิพี่” เสียงไอ้โค้กแว่วมาแต่ไกล

“จะซื้อไรอ่ะ เด๋วพี่ซื้อให้ก็ได้” ผมว่าพลางหากระเป๋าตังค์

“ไม่เอาอ่ะ ก็จาไปด้วยไง ” มันงอแงแล้วก็รีบเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืด แล้วก็คว้ากางเกเลมาผูกๆ โห แบบว่าถ้าโดนกระตุกนิดเดียวนะ เมิงเอ้ย เป็นเปรตโทงๆแน่ๆ

เราสามคนเดินซื้อหาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินตุนเอาไว้ก่อน เผื่อพวกพี่ต่ายอาจจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ได้ แล้วก็หาของที่จะทำกินกันเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้านพี่โจ้มากนัก

“ซื้อไรให้คิวมันกินด้วย แมร่งนอนขี้เซาชิหาย” ผมพูดถึงเพื่อนที่กำลังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านพัก ถ้ามันรู้ว่านอนอยู่คนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงโกรธพิลึก

“อ้าว จ๋านี่นา มาซื้ออะไรลูก” ผู้หญิงสูงวัยคนนึงเดินเข้ามาทักน้องจ๋าอย่างสนิทสนม

“สวัสดีคะ ป้าดา หนูมาซื้อของเข้าบ้านนะคะ” จ๋าตอบแบบอ่อนน้อม ผิดกับที่พูดอยู่ที่บ้าน หญิงที่ชื่อป้าดาคุยกับน้องจ๋าอยู่พักนึง น้องจ๋าก็หันมาพูดกับพวกผม

“พี่ปริ้น กับพี่โค้ก กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจ๋าจะช่วยป้าดาเค้ายกตะกล้าผักกลับบ้านก่อนนะคะ ป้าแกแก่แล้ว” จ๋าบอกพลางยืนของที่ซื้อมาให้ผม

“เออ เด๋วพี่ช่วยแบกไปให้แล้วกัน จะได้ไวๆ แล้วจะได้กลับพร้อมกัน” ผมว่าแล้วก็หันไปมองไอ้โค้ก มันก็เห็นด้วย

น้องจ๋าแนะนำตัวผมกะโค้กให้ป้าดาได้รู้จัก ดูป้าแกจะดีใจมากที่รู้ว่าไม่ต้องหอบไปคนเดียว แต่ก็ดูท่าจะแกล้งอกแกล้งใจพวกเราอยู่ ผมมารู้ว่าป้าดาคือแม่ของผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ต้นหว้า ที่ชื่อมุกนั่งเองหลังจากเดินมาได้ซักพัก ก็ถึง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่า ระแวกบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ขอบใจหนูมากนะ จ๋า แล้วก็พ่อหนูสองคนด้วย ” ป้าดาบอกขอบอกขอบใจ แล้วก็คะยั้นคะยอให้เราสามคนกินข้าวเช้ากะแกที่นี่ซะเลย เนื่องจากว่าไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อีกทั้งรู้สึกเห็นใจว่า แกอยู่บ้านเพียงลำพัง ก็เลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวซักมื้อนึง

ป้าดาพาเราเข้าไปในบ้าน ผมกะไอ้โค้กมองสำรวจภายในบ้านอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากนัก
เท่าที่ดูภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน จะมีเพียงส่วนนึงของบ้านที่ประดับตกแต่งด้วยโมบายที่ทำด้วยหอย แล้วก็ซากปะการัง แขวนเอาไว้ แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากกว่านั้น คงจะหนีไม่พ้น หุ่นกระบอกเป็นสิบๆตัว ห้อยเอาไว้ข้างกำแพงปะปนกับโมบายปะการัง

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ระหว่างที่ป้าดาชวนน้องจ๋าคุยกันนู่นนี่ ผมก็หลีกตัวออกมาพินิจดูเครื่องประดับบ้านแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโมบายหอยที่มีหลากหลานชนิด หรือว่าจะเป็นปะการังที่บางอันก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางอันก็แหลมคมจนน่ากลัว โค้กมันเดินมาดูข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

“สวยเนอะ ” โค้กมันถามผมเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แล้วก็หยิบบางอันขึ้นมาดูบ้าง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เห็นว่าจะเข้ากันกับพวกโมบายเลยหนิ ”

ป้าดากับจ๋าเดินมาพอดี

“มุกหน่ะ เค้าชอบเก็บหุ่นพวกนี้มากเลยจ๊ะ กลับมาจากในเมืองทีไร ก็จะซื้อมาตัวสองตัว หรือไม่เห็นที่ไหน ก็ชอบซื้อมาสะสม”

ป้าดาบอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหุ่นกระบอกตัวนึงที่แขวนไว้ ยื่นมาให้ดู ไอ้โค้กรับไว้พลางมองมาที่ผม

“งั้นเดี๋ยวหนูขอลาป้าเลยนะคะ เดี๋ยวที่บ้านจะหาว่าไปเถร่ไถลที่ไหนอีก ” จ๋าบอกลาป้าดา

“พี่ปริ้นคิดเหมือนพี่ผมคิดม่ะ” ไอ้โค้กยิ้มทะแม่งๆ หันมาหาผม

“คิดไร” ผมถามมันเหมือนจะลองใจ

ไอ้โค้กหันหน้าไปทางหน้าต่าง ทิศที่ต้นหว้าสูงตะหง่านตั้งอยู่ มองออกไปจากที่บ้านนี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน โค้กมันยกตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ป้าดาให้ดูเมื่อกี้ ยื่นไปที่ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ฉับพลันสมองผมก็คิดเลยเถิดไปว่า ตุ๊กตาที่โค้กมันถือเทียบกับตำแหน่งของต้นหว้าอยู่ มันเหมือนสภาพศพของพี่ม่อนที่ถูกแขวนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน..


***************************

“อยากจะบอกว่าการตายของพี่ม่อนเกี่ยวข้องกับพี่มุกงั้นดิ” ผมถามโค้กหลังจากแยกจากน้องจ๋าแล้ว

“ผมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกมีอะไรตะหงิดๆ” แววตาไอ้โค้กมันดูจริงจังซะจนผมไม่กล้าจะไปขัดอะไรมัน

“เฮ้ย พวกเมิงอ่ะ หายหัวไปไหนกันมา ทิ้งให้กรุอยู่คนเดียว” ไอ้คิวเห็นผมกะโค้กเดินมาใกล้ก็ตะโกนโหวกเหวก

“ก็ไปหาไรให้มึงกินแหละ นอนตื่นสายเอง”

“เออ เมื่อกี้พี่โจ้เดินมาบอกว่า คืนนี้เค้ามีงานฟูลมูนปาร์ตี้ด้วยนะ” คิวมันบอกพลางเปิดถุงโจ้กที่ซื้อมาให้

“ฟูลมูนคือไรง่ะ” ผมไม่รู้จักเลยหันไปถาม

“งานเหมือนๆกะเทศกาลบนเกาะอ่ะคับ จะจัดตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวงไง ถึงเรียกว่า ฟูลมูนปาร์ตี้” โค้กอธิบาย

“อ่อ .. ว่าแต่ มรสุมเข้าอยู่แบบนี้ แถมหนาวๆแบบนี้ ยังจะจัดได้อีกเหรอ”

“แล้วเอาไงอ่ะ เย็นนี้ไปเที่ยวกะเค้าม่ะ” ผมถาม

“ไปเด๊ะ แค่นี้ก็เบื่อจาแย่อยู่แล้ว ไอ้พวกพี่ท็อปพรุ่งนี้มั้งกว่าจะมาได้ เซงเลย” คิวมันบ่นอุบ แล้วเดินออกไปนั่งหน้าระเบียง

“โอ้ยยย สัด ไรทิ่มตูดกรุเนี่ย” เสียงไอ้คิวดังลั่นจนผมกะโค้กต้องรีบเดินไปหามัน

“สาดด ร้องมาได้แทบบ้านแตก กุนึกว่ามึงชอบซะอีก” ผมอดกัดมันไม่ได้จริงๆ ที่มันชอบโวยวาย

“ชอบไรเมิงพูดดีๆนะไอ้ปริ้น” มันพูดแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเป็นวัตถุสีเงินวาวหล่นอยู่ตรงที่คิวนั่งทับ มันกำลังจะหยิบขึ้นมาดู แต่โค้กมันก็ตะโกนห้ามไว้ก่อน

“พี่ปริ้น พี่ คิว มันดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนป่าววะ” มันทำหน้าเหมือนกะลังใช้หัวอย่างหนัก

“เออ ก็ว่างั้น” ผมสำทับ

“อ่ออออ กรุนึกออกแล้ว” ไอ้คิวโพล่งออกมา พร้อมกับทำหน้าซีดๆ “ม่ะ เหมือ … เหมือนกะไอ้ตะขอที่อยู่ที่บนตัวไอ้พี่ม่อนไง” มันสบตากะโค้ก แล้วหันมามองผมทีละคน

“เมิงแน่ใจนะคิว” ผมถาม

“กะ ก็เหมือนอ่ะ แต่กรุว่า ของแบบนี้ ไอ้ตะขอแบบนี้ มันก็คงมีเหมือนๆกันบนเกาะอ่ะ ”

ระหว่างที่ผมกะลังออกความเห็นอยู่กะคิว โค้กมันก็เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้เศษผ้าห่อตะขอชิ้นนี้เอาไว้

“เก็บไว้ก่อนดีกว่าพี่ ถ้าตำรวจมาเห็นเข้า ผมว่าคงจะสงสัยพวกเราแน่ๆอ่ะ มาเที่ยวแล้วมีไอ้ของอย่างงี้มาอยู่แถวบ้านได้ไง ” มันพูดเสร็จก็จัดการห่อไว้อย่างดี

สามหนุ่มมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร พอดีกับพี่โจ้มาเรียกให้ไปหาที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เจอพวกพี่สิด กับไอ้สิงห์ยืนรออยู่ด้วยแล้ว

“พอดีพี่สิดเค้าจะไปส่งของที่หาดริ้น พ่อกะแม่ก็เลยให้พี่ชวนพวกเราไปนั่งรถเที่ยวด้วยอ่ะ จะไปด้วยเปล่า” พี่โจ้ถามความเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนในกลุ่มพึ่งเสียชีวิตไปเหรอเปล่า วันนี้ไอ้สิงห์ดูเงียบหงอย ไม่กวนตีน หรือดูซ่าแบบเมื่อวานนี้ ดูไอ้คิวมันอยากไป ผมกะไอ้โค้กก็เลยไปด้วย เพราะเห็นเค้าบอกว่า หาดที่ว่าเนี่ย ฝรั่งโป๊ตรึมาๆ โอ่วๆ (บ้ากาม)

พอไปถึงก็จริงครับ นมเป็นนม เหอๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฉยๆอ่ะ แต่ก็ตะลึงๆพอสมควรเหมือนกัน แต่อากาศแบบนี้แล้วคลื่นลมก็ยังแรงอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาเล่นน้ำเท่าไร มีแต่คนมานอนอาบแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยมี)อยู่บ้าง แต่หาดทรายแถวนี้เรียกว่าขาว แล้วก็ละเอียดมากๆ ได้สัมผัสแล้วอยากจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งจริงๆ

“นี่ถ้าไม่มีพายุเข้า ไม่มีเรื่องเมื่อคืน ป่านนี้คงสนุกสนานกันขนาดไหนก็ม่ะรู้ เฮ้อ” ไอ้คิวบ่น เป็นรอบที่ล้านแปด

“อือ ถ้าไม่มีพายุเข้า ป่านนี้พวกไอ้โอ้ตคงกำลังขึ้นเรือมาหาอยู่แล้วเชียว” ผมคิดในใจ อยู่ที่นี่โอ้ตมันก็โทรเข้ามายากอยู่แล้ว ยิ่งมีพายุแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“งั้นตอนเที่ยงหาไรกินกันแถวนี้แล้วกันนะ” พี่สิดบอก ตอนเที่ยงนี้เราก็เลยมานั่งกินเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างที่บอกคับ ตั้งแต่มาเนี่ย ไอ้สิงห์มันไม่พูดไม่จาอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆแล้วพี่สิดก็ดูเฉาๆไปเหมือนกัน บรรยากาศในการกินเลยดูมาคุไปชอบกล

“เออ ลืมถามเลย เมื่อเช้าได้กินไรมากันเหรอยังล่ะ เห็นแต่ไอ้คิวมันกินคนเดียวนิ ” พี่โจ้ถามผมสองคน

“อ่อ กินแล้วครับ พอดีช่วยป้าดาเค้าขนของกลับบ้านอ่ะคับ ก็เลยไปกินที่บ้านป้าเค้า” โค้กมันบอก

“ป้าดา ป้าดา” พี่โจ้ดูเหมือนจะจากเกาะไปเรียนนานก็เลยนึกไม่ออกว่าดาไหนแน่ๆ

“ป้าดา ที่เป็น เออ ที่เป็น แม่พี่มุกไงคับ” ผมบอกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เสียงไอ้สิงห์สำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่อย่างไม่มีมารยาท

“อ่ะ อ่อๆ” พี่โจ้พยักหน้าเป็นเชิงนึกออก “ แล้วป้าแกดูสบายดีเหรอ”

“ก็เหมือนจะสบายดีล่ะครับ แต่ดูแกเหงา - - -” ผมยังคุยไม่จบ เสียงพี่สิดกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง เหมือนอยากให้ผมหยุดพูดอะไรอย่างงั้น

“รีบๆกินจะได้รีบๆกลับเถอะ อย่ามัวแต่คุยกันอยู่ พี่ยังต้องไปขนปลาไปส่งอีกหลายที่” พี่สิดว่า เหมือนหงุดหงิดซะงั้น

“เป็นอะไรของเค้าวะ” คิวมันบ่นพึมพำๆ แบบไม่สบอารมณ์


***************************


งานฟูลมูนปาร์ตี้ดูจะเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่จัดมา เมื่อออกไปยืนที่ริมหาดหน้าบ้านพัก เดินไปด้านขวามือเกือบจะสุดพื้นที่หาด จะเป็นพื้นที่ของพวกรีสอร์ตของนักธุรกิจ ตรงจุดนี้แหละที่มีงานฟูลมูน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น บรรยากาศในงานคราวนี้มีการจุดคบเพลิง แล้วก็สุมไฟเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่หลายจุด

“กรุว่านะ ต้องมีพวกอัพยาด้วยแน่เลย เมิงดูอีผู้หญิงคนนั้นดิ” ไอ้คิวว่าพลางชี้ให้ดูแหม่มสาวคนนึงที่กำลังดิ้นเป็นกุ้งเต้นด้วยความเมามันส์ เนื้อตัวแดงซ่าน แทบจะทุกคนต่างถือแก้วเหล้า บางคนก็เป็นขวด ดิ้นกันด้วยความเมามันส์

“เฮ้ย ไปเต้นกัน” ไอ้คิวชวนผม

“เหอะ กุเต้นม่ะเป็น” ผมปฏิเสธ แล้วก็ดันให้ไอ้โค้กไปเต้นเป็นเพื่อนแทน ดูมันก็ชอบแนวนี้เหมือนกันเลยไปด้วยกันได้

ผมได้แต่หาน้ำพั้นแถวนั้นกิน (กรุดูสำอางไปม่ะ) สายตาก็เหล่หนุ่มแถวนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์เช่นเดียวกัน หุหุ

อุ๊ … หล่อชิบบบหายยยยยยยยยยย มีหนุ่มฝรั่งคนนึงคับ กะลังเต้นๆ ดริ้งๆไปด้วย ตาคมมากๆ ผมแทบละลาย หุห

อ๊ะ … คนนั้นๆๆ ก็น่ารัก แต่ทำไมตัวโคตรใหญ่แบบนั้นวะ อึ้ย..

โอ๊ะ … ไอ้ตัวเล็กๆเตี้ยๆนั่นใครวะ คุ้นๆ อ่ะ ไอ้สิงห์นี่หว่า มาด้อมๆมองๆไรแถวนี้วะ ? ผมสังเกตเห็นท่าทางมันไม่เหมือนคนมาเที่ยวธรรมดา ดูหลุกหลิกชอบกล เลยค่อยๆเดินตามไป แต่ตามไปได้พักเดียวเท่านั้นก็คลาดสายตา

-แม่ม !! ไปไหนแล้วฟร่ะ ผมคิดแบบหงุดหงิด แต่ก็มาเจอไอ้โค้กในสภาพเมาแอ๋ซะงั้น กะลังถูกอีผู้หญิงคนนึงก้อล้อก้อติกอยู่

ดูท่าทางมันจะถูกใจอีคนนี้เหลือเกิน เพราะผมเห็นมือไม้มันพัลวันนัวเนียไปทั่วตัว ฝ่ายผู้หญิงแมร่งก็ไม่เบาคับ กอดคอไอ้โค้ก ส่วนที่เป็นโนตมก็เบียดแนบเข้ากะตัวไอ้โค้กแบบไม่มีพื้นที่ว่าง

ผมเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ แต่ก็คิดว่า แมร่ง มรึงเด็กม ปลายนะ

“เฮ้ย โค้ก เมาขนาดนี้กลับได้แล้ว” ผมเดินไปสะกิดมันก่อน ดูท่าทางมันไม่สนใจเลย

“ไอ้โค้กจะกลับไม่กลับเนี่ย เด๋วกรุกลับแล้วนะ” ผมเอ็ดมันเสียงดังกว่าเดิม เสียงเพลงในงานแมร่งเปิดดังสนั่นไปหมด คราวนี้อีผู้หญิงซึ่งพอมองมาใกล้ๆแล้วเนี่ย คงเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละ ดูมันไม่ค่อยสบอารมณ์กะผมแล้ว เลยเดินเอาจะเอามือมาปัดมือผมออกอย่างแรง

“อ่ะ ทำงี้กะกุ ได้เสียละมึง” ผมเลยเดินไปกระชากตัวไอ้โค้กออกมาจากการโอบกอดของอีผู้หญิงคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ไอ้โค้กเสียการทรงตัวเลยล้มตึงไปบนพื้นทราย ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินมาจิกตัวไอ้โค้กให้ลุกขึ้น ผมก็เอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน

“ไอ้เชี่ย มันเป็นผัวมึงเหรอไง ขัดกูอยู่ได้” อีนั่นแผดเสียงใส่ผมอย่างดัง ทำเอาผมหน้าชาไปนิด

-เออ ขอโทษครับ อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมเลย มันเมาแล้ว- ผมคิดในใจที่จะพูดตอบกลับไปแบบนี้ แต่ปากผมไวกว่าความคิด

“สัดด อย่ามาแรดกับเพื่อนกูนะ คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะต่อยไม่ได้เหรอ” ผมพูดไปทำท่ากำหมัดจะต่อย แต่มีคนมาแยกผมกะมันออกไปก่อน พอดีกะไอ้คิวซึ่งไม่ค่อยยี่หร่ะกับการแดกเหล้าเท่าไรมาพาผมกะไอ้โค้กซึ่งเมาแอ๋ กลับที่พัก

“ดูแมร่งเมาดิ เฮ้อ เกือบเสียความบริสุทธ์ให้คนม่ะรู้จักแล้วม่ะล่ะไอ้โค้ก” ผมบ่นให้ไอ้คิวที่กำลังยิ้มกริ่มห่าไรม่ะรู้ฟัง

“โอ่ เป็นห่วงเป็นยายยยย” มันแซว

“เอ๋า ก็น้องนี่หว่า” ผมพูดไม่สบตามัน

“เหรอออออออออออ ถ้าไม่ไปขัดไรมันเนี่ย ไม่แน่ป่านนี้มันอาจได้เมียแล้วก็ได้นา ไปขัดฟามสุขมันเป่าวะ” ไอ้คิวมันยังพูดไม่จบ

“เออ ช่าย กรุเสือกเองแหละ ทำมายวะ” ผมชักยัวะ เลยเดินออกมาข้างนอกบ้าน เสียงไอ้คิวตะโกนให้มาช่วยเช็ดอ๊วกไอ้โค้กดังออกมา แต่ผมม่ะสนหรอก ชิส์

กองไฟที่สุมอยู่ทั่วบริเวณที่จัดงานมันสูงแล้วก็สว่างพอที่จะมองเห็นจากที่พวกผมพักกันอยู่ หลังเที่ยงคืนงานคงใกล้จะเลิกกันซะที เสียงปะทุของไม้ที่เป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับประกายไฟที่กระเด็นออกมา เปาะแปะๆ อาจจะทำให้ใครบางคนชอบอกชอบใจ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่เอาเป็นเชื้อเพื่อให้กองไฟส่องสว่างอยู่นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงใบไม้หรือกองฟืนเท่านั้น แต่มีร่างกายของใครบางคนกำลังมอดไหม้อยู่ในกองไฟกองนึงภายในงานนั้นด้วย

คลื่นนนนนนนนนนน ซ่า …….

เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบกับชายหาด เช้าวันที่สามของการที่พวกผมสามคนมาถึงเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามรสุมจะผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น คลื่นลมในทะเลสงบลง เรือประมงบางลำเริ่มจะออกไปหาปลากันตามวิถีชีวิตปกติ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติอยู่เรื่องนึง บริเวณชายหาดที่เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา พบร่างกายของคนคนนึงโดนเผาไหม้เกรียม สภาพศพดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะโดนจับมาแล้วจุดไฟเผาหลังเที่ยงคืน และเนื่องด้วยภายในงานก็มีการจัดกองไฟอยู่รอบๆแล้ว จึงไม่มีคนสังเกต และเสียงดนตรีที่เปิดสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการใช้กองไฟเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการฆาตรกรรม

สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับอึ้ง แล้วก็สยอดสยองก็คือ สภาพของศพที่นอกจากจะดำม่ะเมี่ยมแล้ว ร่างกายแต่ละส่วนยังโดนหั่นเป็นชิ้นเฉกเช่นเดียวกับศพที่โดนแขวนไว้บนต้นหว้าเมื่อคืนก่อน กลิ่นเนื้อที่โดนย่างยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ภายในบริเวณนั้น ถ้าจะเปรียบการฆาตรกรรมคราวที่แล้วเหมือนหุ่นกระบอกโดนแขวนเอาไว้ การฆ่าในครั้งนี้ก็เหมือนเอาหุ่นกระบอกที่ไร้ประโยชน์แล้วมาเผาไฟทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือซากนั่นก็ไม่ผิด

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:25:23
ผมรู้สึกว่ามีมือนุ่มๆมาสัมผัสที่ใบหน้า ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทำให้ผมค่อยๆรู้สึกตัว แต่ก็ยังหลับตาสลึมสลือเหมือนอยู่ในห้วงฝัน

“ โอ้ต …” ผมเผลอครางชื่อโอ้ตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มือที่สัมผัสใบหน้าผมหยุดกึก

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzzz


“ พี่ปริ้น พี่ปริ้น ” ผมถูกเขย่าตัวให้ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหนไอ้โค้กนั้นเอง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ปลุกไอ้คิวที่นอนแอ้งแม้งข้างๆผมก่อนนะ

“ ฮือ ว่าไง ” ผมรู้สึกว่ายังนอนไม่ได้เต็มที่

“ มีคนถูกฆ่าอีกแล้วคับ ” โค้กมันพูด

“ห่ะ ว่าไรนะ ” ผมทะลึ่งตัวพลวดขึ้นมาจากที่นอน

ผมตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเอะอะโว้ยวายอยู่ข้างนอกตรงหาด “ ตำรวจเค้าจะสอบปากคำเราอีกรอบคับ ” โค้กบอกน้ำเสียงแสดงถึงความกังวลอย่างมาก

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยเนี่ย ” ผมพูดพลางเกาหัวแกรกๆ

หลังจากที่ทำการปลุกไอ้คิวอย่างยากลำบากแล้ว ก็รีบแต่งตัวเดินออกไปดูเหตุการณ์บริเวณหาดที่จัดงานฟูลมูนเมื่อคืนนี้ กองไฟบางกองยังคงมีเสียงแตกเปรี้ยะๆ แสดงว่ายังไม่ดับสนิทดีอยู่ มีกองไฟอยู่กองนึงที่มีชาวบ้านพากันมุงดู พร้อมกับเสียงพึมพำเซงแซ่ไปทั่วบริเวณ

กลิ่นเนื้อไหม้ยังคงตลบอบอวล ทั้งๆที่ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชายหาดแท้ๆ ดูเหมือนว่าศพที่ถูกฆาตรกรรมจะโดนเคลื่อนย้ายไปที่วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงมีตำรวจบางคนเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอยู่ ผมสังเกตเห็นว่า 1 ในนั้นคือตำรวจหนุ่มที่มาสอบปากคำพวกเราเมื่อวานนี้ ใกล้ๆกันพี่สิดยืนคุยหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ พอพวกพี่เค้าเห็นพวกผม ก็เลยเดินออกมา

“ ไง ” พี่สิดทักพวกผม

“ หวัดดีคับ ” ผมทักทายพี่เค้าไป

“ แย่หน่อยนะ ตั้งแต่มาเที่ยวนี่เกิดเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ” พี่สิดแสดงความเห็นใจพวกผมที่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ ทั้งๆที่มาเที่ยวพักผ่อนแท้ๆ

พี่สิดบอกพลางตบบ่าโค้กเบาๆแล้วก็เดินเลยออกไปที่รถที่ขับมา

“ นั่นดิ ว่าแต่ ใครเหรอครับ ” ไอ้คิวโพล่งถามตำรวจหนุ่มที่กำลังเดินผ่านขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกน้อง โดนเผาดำเป็นตอตะโกแบบนี้ ตำรวจหนุ่มส่ายหน้า พลางบ่นว่าสารวัตรก็มีธุระต้องออกจากเกาะไปแท้ๆ แล้วนี้แบบนี้จะทำยังไงกันต่อ พวกผมก็ถึงบางอ้อว่า ตาตำรวจที่ดูแก่ๆม่ะวานที่สอบปากคำพวกผมมะวานเป็นสารวัตรนี่เอง

“ แล้วไม่มีเบาะแสคนร้ายบ้างเหรอคับจ่า ” โค้กตัดสินใจถามสิ่งที่มันอยากรู้ ตำรวจหนุ่มมองหน้าแล้วก็ถอนหายใจ

“ มีสิ ” ตำรวจหนุ่มบอกแล้วก็หยิบกระเป๋าสตางค์เก่าๆใบนึงออกมา มีกระเป๋าตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้ถูกเผาไปด้วย “ แล้วอีกอย่างผมก็เป็นแค่หมวดยังไม่ได้เป็น - - - เฮ้ย .. ”

ไอ้โค้กถือวิสาสะคว้ากระเป๋าใบนั้นมาเปิดดูด้วยความรวดเร็ว จนตำรวจหนุ่มต้องรีบแย่งกลับคืนมา

“ เฮ้ย เราทำแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวลายนิ้วมือก็ติดบนของกลางหรอก ” เจ้าตัวบ่นแล้วก็รีบเดินออกห่างพวกผมด้วยความหงุดหงิด

“ เด๋วพี่ พี่จะบอกว่า ศพที่โดนเผานี่คือพี่สิงห์เหรอ ”

ผมกะไอ้คิวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ หมายความว่าไง กระเป๋าตังค์ที่เจออยู่นี่เป็นของพี่สิงห์งั้นเหรอ วันก่อนพี่ม่อนโดนฆ่า มาม่ะวานก็พี่สิงห์ ซึ่งเป็นคนที่พวกผมรู้จักทั้งนั้น คิดดูแล้วก็ไม่แปลกที่ตำรวจต้องสงสัยแล้วก็อยากสอบปากคำอีกรอบ อีกทั้งจุดนี้ม่ะวานพวกผมก็เดินออกมาเที่ยวงานฟูลมูนด้วย

“ ไม่ใช่หรอก สิงห์มันตัวใหญ่กว่านี้ ศพไม่ใช่สิงห์หรอก สิดมันมาดูแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ แต่คงต้องตรวจสอบอีกที ตำรวจหนุ่มบอกด้วยความรำคาญ แล้วก็รีบเดินหนีไปขึ้นรถ ”

ผมเดินมาถามโค้ก

“ กระเป๋านั้นของใครอ่ะ ”

“ กระเป๋านั้นของพี่สิงห์แน่ๆ ผมเปิดดูเมื่อกี้ที่บัตรประชาชนไม่ได้ไหม้ไปด้วย เป็นรูปพี่เค้าอ่ะ ”

“ งั้นก็หมายความว่า… ถ้าพิสูจน์แล้วศพม่ะใช่ไอ้พี่สิงห์จริงๆ ก็แปลว่า ไอ้พี่สิงห์เป็นคนฆ่าอะดิ งั้นม่ะคืน ไอ้พี่สิงห์ก็ต้องฆ่าพี่ม่อนด้วยดิ ดูสภาพแล้วมันคนฆ่าคนเดียวกันชัดๆ ” ไอ้คิวออกความเห็น

“ คิดงั้นเหรอวะ ” ผมถามไอ้คิว

“ แล้วเมิงคิดว่ามันจะเป็นอะไรไปได้อีก มีหลักฐานตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ” คิวมันมองหน้าผม เหมือนกะมันก็ม่ะค่อยเชื่อว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้

“ พี่คิวคิดว่า ถ้าพี่สิงห์เป็นฆาตรกรที่ฆ่าพี่ม่อนเมื่อคืน แล้วยังมาฆ่าใครอีกคนก็ไม่รู้ด้วยวิธีที่ยุ่งยากแบบนี้ จะประมาททำหลักฐานที่จะมัดตัวเองตกได้ง่ายขนาดนี้อะนะ ”

โค้กพูดขึ้นมา แล้วก็เงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

“ โค้ก ถ้าเป็นอย่างที่เมิงว่าจริงๆนะ ป่านนี้ กรุก็คิดว่าไอ้พี่สิงห์ ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ล่ะวะ ” คิวมันบอกพลางมองหน้าไอ้โค้กที่พยักหน้าเห็นด้วย ผมมองหน้าตามไอ้สองคนนี้

“ กูก็ไม่เข้าใจ ว่ามึงสองคนจะทำตัวเป็นนักสืบทำบ้าไรวะ ”

***************************


บ่ายวันนั้น ผมทั้งสามคนก็ต้องถ่อไปให้ปากคำ โดยมีพี่โจ้พามาพร้อมกับความหงุดหงิดที่บังเกิดขึ้นกับพี่เค้า ผมก็เข้าใจนะว่าพี่เค้าก็คงไม่ชอบใจที่ตำรวจจะมาสงสัยอะไรพวกเรามากมาย

ตกบ่ายวันนั้นก็ยังไม่สามารถระบุเจ้าของศพได้ว่าเป็นใคร เพราะว่าบนเกาะไม่มีเจ้าหน้าที่ แล้วก็อุปกรณ์ในการตรวจชิ้นเนื้อได้ คงต้องรอให้พายุสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็เป็นไปตามที่พวกเราคาดเอาไว้ ตำรวจได้กระจายกำลัง(ที่มีอยู่น้อยนิด) รวมถึงชาวบ้านในละแวกเดียวกัน ออกตามหาตัวสิงห์กันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่มีใครเจอตัว พวกผมสามคนก็ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในบ้านพักกันโดยไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่รอฟังข่าวที่มาจาก พ่อแม่ของพี่โจ้ เท่านั้น

“ กูว่าป่านนี้ไอ้พี่สิงห์ไม่หนีออกจากเกาะไปแล้วล่ะ ” คิวมันพ่นสิ่งที่ไม่อยากได้ยินออกมา

“ มึงคิดว่าเค้าจะหนีไปได้ไงวะ จะหนีขึ้นเรือข้ามฟากมันก็ปิดเพราะว่ามีพายุ ” ผมเถียงมัน

“ โห ไอ้ปริ้น มันเป็นชาวประมงนะ ทำไมมันจะไม่มีเรือวะ ” มันเถียงกลับมา

“ ถ้าเรือมันหายออกไปซักลำ ป่านนี้เค้าก็คงรู้กันแล้วล่ะ ว่าหนีไปทางเรือ ไม่ออกตามหาทั่วเกาะกันแบบนี้หรอก ”

ไอ้คิวทำหน้าเหมือนเถียงไม่ออก

“ งั้นป่านนี้ก็คงตายห่าที่ไหนซักแห่งแล้วล่ะ ” มันพูดเสร็จก็ล้มตัวนอนเอกขเนก

“ ผมก็ว่างั้นล่ะ ” โค้กซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พูดขึ้นมา

คลื่นนนน คลื่นนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลทำให้รู้แล้วว่า ค่ำๆจะต้องมาฝนตกมาห่าใหญ่แน่นอน

หยั่งงี้โอ้ตมันจะมาได้ม่ะไรวะ กรุคิดถึงรู้เป่า ผมคิดในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอให้ถึงเวลาที่พายุมันจะเงียบสงบไปเอง

สักพัก น้องจ๋าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาโผล่ที่หน้าต่างบ้าน

“ พี่ๆ คะ จ๋าจะเอาปลาหมึกไปให้ป้าดา แล้วก็จะไปซื้อของที่ตลาด พวกพี่ๆจะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ ? ” จ๋าก็ยังทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีของพวกผมเสมอ

“ ไม่อ่ะคับ - - อ่ะ โค้กจะไปไหน ” ผมตอบปฏิเสธน้องเค้าไป แล้วก็หันไปมองไอ้โค้กที่ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปนอกบ้าน

“ อยู่ในบ้านอุดอู้อ่ะพี่ เด๋วผมว่าจะเดินไปเป็นเพื่อนน้องเค้าหน่อย มันจะเย็นแล้วอ่ะ ” โค้กมันบอก แล้วก็สวมรองเท้า ผมแอบมองแบบจับผิดว่า ไอ้โค้กมันสนใจน้องพี่โจ้เหรอเป่าวะ แต่คิดอีกทีก็ช่างมัน หันไปหาไอ้คิว ว่าจะคุยด้วย มันก็เสือกนอนหลับไปอีกแล้ว นอนได้ทั้งวันไอ้นี่ -*-

1 ชั่วโมงผ่านไป เม็ดฝนเริ่มตกลงมาเปาะแปะๆ จนกระทั่งหนักขึ้น หวนให้นึกถึงวันที่พวกผมมาถึงกันในวันแรก ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ก็เลยหันไปค้นๆของในเป้โค้กมัน กะจะยืมวอร์คแมนมันมาฟัง

“ อ่ะ ! ”

มือผมไปสัมผัสกะห่อผ้าอะไรซักอย่างในกระเป๋ามันก็เลยหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่า เป็นตะขอที่หล่นอยู่ในบ้าน คืนวันที่เจอศพพี่ม่อนนะหล่ะ ผมค่อยๆจับมันระวังไม่ให้มือไปโดนตะขอ เหตุการณ์ที่พี่ม่อนโดนห้อยไว้บนต้นไม้ กลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมพยายามนึกว่าตะขอที่เกี่ยวกับอวัยวะของศพมันเหมือนกับอันนี้เหรอเป่า … บอกว่าให้ทิ้งไป ไอ้โค้กก็ยังแอบเก็บไว้อีกเหรอเนี่ย ยังคิดไรไม่ทันได้ พี่โจ้ก็วิ่งกางร่มหน้าตาตื่นขึ้นมา ไอ้คิวถึงกะสะดุ้งตื่นเสียงแก

“ เฮ้ย .. เฮ้ย ตื่น รู้แล้วว้อย ว่าใครเป็นคนฆ่าพี่ม่อน ” พี่โจ้ถึงจะมีร่มมา แต่อารามรีบร้อน เนื้อตัวก็เปียกปอนไปหมด

“ ครายเป็นคนทำอ่ะ ” คิวซึ่งยังเหมือนอยู่ในภวังค์ถาม

“ ไอ้สิงห์ ! ” พี่โจ้พูดขึ้นแบบกระอักกระอ่วน

ก็พวกเค้าเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันม่ะใช่เหรอไงวะ แล้วทำไมถึงต้องมาฆ่ามาแกงกันด้วย อ้าว … แล้วศพม่ะคืนก็ม่ะใช่ของพี่สิงห์อะดิ แล้วมันคือใครกันวะ ? สิ่งที่ผมคิดในหัวตอนนี้ทำให้รู้สึกสับสนมากมาย

“ แล้วพี่สิงห์มันสารภาพเหรอ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนอ่ะ ทำไมมันสารภาพง่ายจัง ” ผมถามพี่โจ้เป็นชุด

“ เจอมันที่ท้ายหมู่บ้านโน่น ” พี่โจ้พูดด้วยเสียงตื่นกลัว

“ เอ๋ .. หมายความว่าไง ” ผมถามย้ำ

“ มีคนไปเจอมันผูกคอตายอยู่ที่ต้นไม้ท้ายหมู่บ้านโน่น พร้อมกับจดหมายสารภาพ ”

“ ฮ่ะ ฆ่าตัวตาย !! ” ผมกะไอ้คิวพูดขึ้นเสียงดังพร้อมกันด้วยความคาดไม่ถึง

“ ทะ ทะ ทะ ทำไมอ่ะ ”

“ ในจดหมายมันอธิบายวิธีการฆ่าไอ้ม่อนละเอียดยิบ แล้วก็ไอ้คนที่โดนเผาเมื่อคืน ก็เป็นสารวัตรที่บอกว่าจะออกไปทำธุระที่เกาะเมื่อวาน ” คนที่มาตอบข้อสงสัยพวกผมเดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนไหนม่ะรู้จนผม ไอ้คิว พี่โจ้สะดุ้งโหย่ง พี่สิดเดินเข้ามาตัวเปียกโชกเหมือนกัน หน้าตาดูเคร่งเครียด แล้วก็เหมือนจะร้องไห้

“ สารวัตร ! ทำไมสิงห์มันต้องฆ่าสารวัตรล่ะพี่สิด ” พี่โจ้ซึ่งดูเหมือนจะพอรู้จักกะสิงห์ที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ ดูเหมือนว่าสารวัตรจะสงสัยมันว่าเป็นคนฆ่าไอ้ม่อนนะซิ พอเห็นว่าจะออกไปทำธุระในตัวเมืองก็เลยจัดการเก็บซะเลย ” พี่สิดอธิบายเนื้อหาในจดหมายที่พบอยู่ในกระเป๋าเสื้อโปโล ว่าสิงห์มันแค้นแล้วก็ไม่พอใจพี่ม่อน มาตั้งนานแล้ว มีหลายครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว เรื่องผู้หญิงหลายๆอย่าง ที่มันฆ่าสารวัตรก็เพราะว่าดันไปสืบรู้ว่ามันเป็นคนร้าย ก็เลยจัดการเผาซะ อย่างน้อย กว่าจะรู้ว่าใครเป็นศพ มันก็คงหนีไปได้ไกลแล้ว แต่ไม่นึกว่าพายุมันจะเข้าหลายวันแบบนี้ อีกทั้งทำกระเป๋าตกไว้อีก ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จึงเลือกฆ่าตัวเองตายซะงั้น

“ ไม่น่าเล้ย เพื่อนกูทั้งนั้น ไอ้สิงห์ก็ไม่น่าคิดอะไรสั้นๆแบบนี้ ถึงว่าเมื่อคืนนี้ มาชวนแดกเหล้าตั้งแต่หัวค่ำเลย ” พี่สิดบ่นให้พวกผมได้ยิน

“ โห พี่ ดีนะที่ไอ้พี่สิงห์มันไม่จัดการพี่อีกคนอ่ะ ” คิวพูดแบบทึ่งๆที่รู้ว่าก่อนหน้าที่สิงห์มันจะปฏิบัติการเอาสารวัตรไปเผา ยังมีอารมณ์มากินเหล้าอยู่อีก สงสัยแดกเพื่อย้อมใจมั้ง

“ เออดิ แต่พอตอนเที่ยงคืนหน่อยๆ มันก็กลับบ้าน สงสัยหลังจากนั้นหล่ะ ” พี่สิดบอก

“ เอ๊ะ … ” ผมเผลอครางออกมาเหมือนนึกอะไรออก พี่โจ้หันมาทางผมแป็บนึง แล้วก็เดินไปส่งพี่สิดที่บอกว่าต้องกลับไปจัดการทั้งงานศพสิงห์อีกคน สายฝนยังคงกระหน่ำตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมเลยเดินกางร่มไปส่งพี่สิดที่รถ พอดีกับจ๋ากะไอ้โค้กเดินสวนมาพอดี โค้กมันเห็นพี่สิด รู้สึกว่ามันตกใจนิดหน่อย

“ ไปไหนของมึงมานานมากเลยโค้ก ไปทำไรน้องเค้ามาล่ะซิ ” ผมกระซิบถามมัน

“ ป่าว จะบ้าเรอะคิดไรเนี่ยพี่ ” โค้กมันบอกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยืนรอผมส่งพี่สิด ก่อนจะไปพี่สิดเปิดหน้าต่างแล้วก็ไขกระจกพอให้ผมได้ยินเสียงแก แต่ก็ไม่ชัด

“ เค้าพูดไรของเค้าวะ ” ผมหันหน้าไปถามโค้ก แล้วก็ยื่นหัวไปฟังในรถ ปรากฏว่าแกบอกว่า พรุ่งนี้ให้บอกที่บ้านพี่โจ้ ว่าจะวานให้ช่วยงานศพที่วัดหน่อย เพราะดูเหมือนจะขาดคน ผมก็ตอบตกลง แล้วก็ชวนไอ้โค้กจะเข้าบ้าน แต่มันก็ยื่นอึ้งทั้งๆที่กางร่มอยู่

“ เป็นไรมึงเนี่ยโค้ก ” ผมเขย่าตัวมันจากเบาไปจนแรง มันยืนแข็งค้างตาแป๋ว จนผมเห็นว่ามันไม่ขยับก็เลยไปตบหน้ามันเบาๆ

“ เฮ้ย .. ”

“ อะ อะไร มาตบหน้าผมทะไมเนี่ย ” มันได้สติลูบแก้มเบาๆ แล้วก็เลยชวนกันเดินเข้ามาในบ้าน พี่โจ้กลับไปบ้านตัวเองแล้วก็เหลือแต่ไอ้คิวนั่งคนเดียว พอเห็นพวกผม มันก็บ่นอีกว่าหายไปไหนมาปล่อยให้มันอยู่คนเดียวอีกแล้ว

“ รู้เรื่องแล้วใช่เป่า ” ผมถามโค้ก มันก็พยักหน้า แถมมันบอกว่า มันเดินไปดูกะน้องจ๋ามาเห็นกะตาแล้วด้วย โห ดูมันอัพเดท

“ ทีนี้ก็หมดเรื่องซะที เฮ้ออ น่ากลัวชิบหาย ” คิวบอกแบบโล่งอก “ กรุยังนึกเลยว่ายังจับคนร้ายม่ะได้นี่ สงสัยกรุอาจจะโดนฆ่าไปด้วย ดีนะ ”

“ พี่ ผมว่า - - ” โค้กมันเหมือนจะพูดไรบางอย่าง

“ ว่าไร” ผมถามด้วยความสงสัย “ ตั้งแต่ม่ะกี้ที่เมิงยืนอึ้งก็ด้วย มีอะไรโค้ก ”

“ ผมว่า คนร้าย ไม่ใช่สิงห์ ” มันพูดพึมพำหันหน้าไปทางอื่น

“ เมิงบ้าป่ะ ไอ้โค้ก อย่าเพ้อเจ้อดิ หลักฐานทุกอย่างมันก็บอกอย่างงั้นอยู่แล้ว เมิงจะมา - - ”

“ เพ่คิว ไอ้กระเป๋าตังค์ที่ตกอยู่อ่ะ ถ้าฆาตรกรมันต้องการจะใส่ร้ายสิงห์มันก็ทำได้อยู่แล้วล่ะ ” ไอ้โค้กเถียง

“ แล้วจดหมายล่ะ ได้ยินว่า มันก็เป็นลายมือของสิงห์มันจริงๆม่ะใช่เหรอ ” ผมพูดบ้าง ทั้งๆใจจริงผมก็ตะหงิดๆล่ะว่า ทำไมเหตุผลแค่ไม่ชอบหน้า แค้นเรื่องงานแค่นี้ ถึงกับต้องมาวางแผนวิปริตขนาดนี้เชียวเหรอ

“ เท่าที่ผมได้ยินหมวดเค้าอ่านอ่ะ ในจดหมายไม่ได้บอกว่าระบุว่า สิงห์เป็นคนทำนะครับ มีแต่คำแทนตัวเองว่า ผม ผม ผม ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น - - - ” โค้กมันยังพูดไม่จบไอ้คิวก็เถียงกลับมา เหมือนเบื่อเรื่องนี้เต็มทน

“ เมิงจะบอกว่า ไอ้สิงห์มันโดนผีสั่งให้เขียนจดหมายสารภาพเหรอไง คนบ้าอะไรจะทำ แล้วถ้ารู้ว่าคนร้ายมันฆ่ายังไง ทำไมไม่ไปบอกตำรวจล่ะวะ จะได้ไม่โดนฆ่า ”

ไอ้โค้กถอนหายใจ

“ พี่คิว พี่ปริ้น เมื่อกี้ตอนผมแวะไปบ้านป้าดากับจ๋า - - อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะคับ ผมก็ดูของอะไรไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกหุ่นอะไรที่พี่มุกเค้าชอบเนี่ย ”

ผมกะไอ้คิวฟังโค้กมันพูด แล้วก็เหมือนจะถามเป็นนัยๆว่า “แล้วไง”

“หุ่นบางตัวก็มีแผ่นกระดาษแปะข้อความไว้ ว่าใครเป็นคนให้ พี่มุกไม่ได้ซื้อของพวกนี้มาเองทุกอันหรอก”

“แล้วไง แล้วมันเกี่ยวไรกะพี่มุกที่ตายไปแล้วด้วยวะ !? ” คิวมันดูเหมือนจะเหลืออดที่โค้กมันไม่พูดให้กระจ่างซะที

“ส่วนใหญ่แล้ว รู้สึกว่า พี่สิด จะเป็นคนซื้อหุ่นพวกนี้ให้พี่มุก”

“เอ๊ะ” ผมครางออกมา แล้วก็เก็ทว่าโค้กมันคิดไรอยู่ ไอ้คิวก็เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เชื่อ

“เมิงบ้าไปแล้ว กรุไม่คิดว่ามันเกี่ยวกันหรอก”

“พี่สิดกับพี่มุกเคยคบกันเป็นแฟนด้วยครับ” โค้กมันบอกในสิ่งที่มันรู้ในที่สุด “ผมถามป้าดา เพราะว่าสงสัยว่าทำไมหุ่นแต่ละตัวมีชื่อพี่สิดทั้งนั้น”

“อ๊ะ” ผมสะอึก แต่ไอ้โค้กก็เล่าต่อ

“แต่พี่สิดกับพี่มุกไม่ได้แต่งงานกันหรอก เพราะว่าพี่มุกจะไปแต่งงานกับพี่ม่อนแทน”

“เอ๋” คราวนี้เป็นคิวที่พ่นเสียงออกมา

“เรื่องมันเป็นยังไงวะ กรุชักมึนแล้วดิ ถ้าเค้ากำลังจะแต่งงานจะพี่ม่อน แล้ว แล้ว แล้ว - - -” คิวมันดูเหมือนจะคิดออก

“เมิงจะบอกว่า พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อนเพื่อแก้แค้นเหรอวะ แล้วไอ้สิงห์อ่ะทำไม - -” คิวมันพูดไม่ออก

“ผมว่าสิงห์มันคงร่วมมือกับพี่ม่อนทำอะไรซักอย่าง พี่สิดก็เลยจัดการไปด้วย ส่วนที่ต้องฆ่าสารวัตร ก็คงเป็นเพราะว่าสารวัตรคงจะรู้ว่าใครเป็นคนร้ายน่ะล่ะ ”

“เด๋วๆ ที่พูดมาเนี่ย มึงคิดเองทั้งนั้นเลยนี่หว่า มันไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะว้อย ไม่มีหลักฐานว่าพี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน เมิงอย่าลืมดิ เมิงจำได้เป่า เค้าจะไปฆ่าพี่ม่อนตอนไหน หลังจากเจอที่ท่าเรือ แล้วก็ข้ามมาที่เกาะเนี่ย พี่สิด พี่ม่อน ก็อยู่กันครบ แล้วเมิงจะมาบอกว่า เค้ามาหั่นในเกาะเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด อย่าลืมดิ พี่ม่อนลงเรือ พร้อมๆกับเรา (คิดว่า) แล้วจากนั้นพี่สิด ก็อยู่กับพวกเรามาตลอด มากินเหล้าที่บ้านพี่โจ้ แล้วก็กลับบ้านไปไม่ถึงชั่วโมง ก็เจอศพไอ้พี่ม่อนแขวนอยู่บนต้นไม้ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”

ผมอยากจะเชื่อที่โค้กมันพูด แต่ผมก็พยายามลำดับเหตุการณ์แล้วก็ข้อแก้ต่างของพี่สิด ที่มีทั้งหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล

“เรื่องที่ฆ่าพี่ม่อน ไม่ได้ฆ่าบนเกาะนี่หรอกคับ พี่ปริ้น” โค้กบอกผมใจเย็น

“เอ๋ ” ผมกะไอ้คิวครางออกมาพร้อมกันอีกแล้ว

“ถ้าพี่สิดจัดการกับศพพี่ม่อนที่อื่น ที่ม่ะใช่บนเกาะนี้ ในวันที่เราเดินทางมาล่ะคับ ? ”


ผมมองหน้าคิว แล้วมันก็หันหน้าไปทางโค้กอีกทีนึง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ฟังไอ้โค้กมัน


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:26:00
**************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
**************************************************************************************************


วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่สดใสมากขึ้น พายุได้เคลื่อนผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข่าวดีที่ได้ในเช้าวันที่สี่คือ โอ้ตโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้มันจะได้เรือมาซะที อาไรว้า นี่กว่าจะเจอมันก็ต้องวันพรุ่งนี้เหรอเนี่ย … แต่ก็ม่ะเป็นไร ค่ำนี้ มีบางอย่างที่พวกผมต้องทำกัน เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า ใครเป็นฆาตรกรกันแน่

ตลอดทั้งวัน วัดที่เป็นที่เก็บศพทั้งสามกำลังจะมีการสวดตั้งอภิธรรมเป็นวันแรก หลังจากที่ตลอดสามวันที่ผ่านมา มีการฆ่ากันถึงสามศพ ชาวบ้านต่างมาช่วยกันคนล่ะไม้คนล่ะมือ ถึงแม้ว่า ทั้งพี่ม่อน สิงห์มันจะเป็นคนที่ไม่ชอบของชาวบ้านเท่าไร แถมครอบครัวก็ไม่มีอีก แต่คนแถวนี้ก็เต็มใจที่จะช่วย ผมสามคนก็เช่นกัน

“แน่ใจเป่าวะ ไอ้โค้ก ถ้าไม่เป็นอย่างที่มึงบอกเนี่ย พวกกรุอาจจะโดนซิ่งเข้าคุกฐานหมิ่นประมาทได้เลยนะ”

“55 กลัวเหรอพี่ปริ้น” มันยังมีหน้ามาถาม จากนั้นมันก็จ้องหน้าผมแบบจริงจัง โคตรเท่ห์เรย

“พี่ม่ะเชื่อผมเหรอคับ” มันพูดไปแล้วก็จ้องตาผมแป๋ว จนต้องหลบสายตา

“เมิงมาจีบห่าไรกันตอนนี้เนี่ย ม่ะได้ดูสถานการณ์เรย”

“จีบพ่องมึงดิ” ผมบ่น


***************************


ดวงอาทิตย์ตกดินไปไม่นาน บรรยากาศรอบๆวัด มีเพียงคนที่รู้จักของสองคนนั่น แล้วก็เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนมาดูแลเท่านั้น ส่วนศพของสารวัตรจะมีการทำพิธีตอนหลัง เพราะต้องมีขั้นตอนอะไรอีกเยอะ

ภายในบ้านพักของพวกผม กลับมาเงาร่างของใครบางคนเดินเข้ามาเงียบๆ เจ้าตัวคงคิดว่า คนที่อยู่ในบ้านไปที่วัดกันหมด จากนั้นจึงส่องไฟฉายหาอะไรบางอย่าง

“ห่าเอ้ย อยู่ในวะ กูว่ามันหายไปอันนึง น่าจะอยู่แถวนี้นี่หว่า” เจ้าตัวบ่นไปหาบางอย่างไป

กริ๊ก

เสียงสวิตเปิดไฟ พร้อมกับแสงสว่างสาดส่องไปทั่วห้อง ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจเหมือนกัน

“หาไรอยู่เหรอคับพี่สิด ” โค้กค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่พี่สิดกำลังส่องไฟหาของบางอย่างอยู่

“เออ เออ … พี่ว่า เมื่อคืนตอนที่เข้ามาที่บ้านนี้ จะทำแหวนตกที่นี่อ่ะ หาไงก็หาไม่เจอ” พี่สิดพูดเหมือนแก้ตัว แถมทำท่าทางลุกลี้ลุกล้นไม่สมกับเป็นแกเลย

“พี่ใส่แหวนด้วยเหรอคับ ผมไม่ยักสังเกต” ไอ้โค้กถาม พี่สิดหันมามองโค้กมันสายตาไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันที เหมือนจะรู้ว่า ไอ้โค้กกลับมาเพราะรู้ว่าพี่สิดมาที่นี่

“แหวนที่พี่บอกทำตกเนี่ย เป็นแหวนแต่งงานเหรอครับ” โค้กมันพูดเหมือนจะยั่วให้พี่สิดโกดมากขึ้น ซึ่งก็ได้ผล ดูท่าทางและสายตาของคนๆนี้ในตอนนี้แล้วเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนล่ะคน

“ผมว่าพี่ทำไอ้นี่ตกไว้มากกว่ามั้ง” โค้กมันพูดขึ้นมาพร้อมกับชูตะขอเกี่ยว ขึ้นมา พี่สิดมองตาค้าง

“มึงอยากจะพูดอะไร ไอ้เด็กบ้า” น้ำเสียงและสรรพนามบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มประทุของพี่สิด ไอ้โค้กกลืนน้ำลายนึงอึ๊ก แล้วก็กลั้นใจพูดออกไป

“พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน สารวัตร แล้วก็สิงห์ใช่มั้ยครับ ” ไอ้โค้กมันถามโต้งๆไปซะอย่างงั้น

“5555555” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของชายที่อยู่ตรงหน้าของไอ้โค้กทำให้มันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก ซักพัก ใบหน้าพี่สิดก็กลับมาเป็นแบบเดิม ไม่มีอารมณ์โกดเหลือให้เห็น

“พูดอะไรออกมาระวังปากมั่งนะไอ้หนู อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะเข้าคุกไม่ได้ พูดแบบนี้แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทได้เลยนะโว้ย”

“พี่หลอกให้สิงห์เขียนจดหมายลาตายสารภาพว่าตัวเองเป็นฆาตรกร ฆ่าทั้งพี่ม่อน ทั้งสารวัตร” โค้กมันพูดต่อไปแบบไม่หยุด พี่สิดมองหน้าไอ้โค้ก พลางยิ้มกริ่ม

“มึงคิดว่า ไอ้โง่หน้าไหนจะเขียนจดหมายลาตายให้ตัวเองวะ ” พี่สิดพูดพลางเริ่มขยับเท้าเข้ามา

เป็นทีไอ้โค้กยิ้มบ้าง

“สิงห์มันไม่รู้ซะหน่อย ว่าจดหมายที่เขียนอ่ะ มีไว้สำหรับมัน”

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรทำให้ใบหน้าของสิดกระตุกเล็กๆ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ในที

“พี่บอกว่าคืนที่สิงห์ตาย มันไปกินเหล้ากับพี่ใช่ป่าว พี่อาจจะพูดอะไรซักอย่าง เกลี้ยกล่อม บังคับ หรือทำทีสารภาพว่าพี่สิดเป็นคนร้ายต่อหน้าสิงห์ก็ได้ พี่ขอให้สิงห์เขียนจดหมายลาตาย สารภาพทุกอย่างที่ทำลงไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พี่โม้ขึ้นมา สิงห์มันก็เออออ ก็จริง ถ้าเป็นคนปกติ ก็คงไม่มีใครยอมเขียนจดหมายนั่นแน่ๆ เพราะลายมือมันพิสูจน์กันได้ แต่ถ้าเหล้าเข้าปาก หรือไม่ก็โดนบังคับ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสิงห์ก็เหอะ พี่ก็ทำให้เค้าเขียนได้ - - ”


“หึ พูดเป็นตุเป็นตะ ที่พูดมามีหลักฐานเหรอเปล่าล่ะ ว่ากูเป็นคนบังคับให้มันเขียน ฮ้า ” พี่สิดตวาดเสียงดัง ไอ้โค้กถอยหลังไปก้าวนึง แต่ก็ยังดูมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง

“มันไม่มีหลักฐานก็จริง แต่สิ่งที่พี่พูดมันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเห็น ” ผมเดินตามเข้ามาในบ้านเผอิญหน้ากับพี่สิดอีกคน

“อะไร มึงด้วยอีกคนเหรอไอ้เด็กต่างถิ่น” พี่สิดเห็นผมเดินเข้ามา

“พี่บอกว่า สิงห์กะพี่นั่งกินเหล้ากันจนถึงเที่ยงคืนใช่มั้ย ผมได้ยินพี่พูดเมื่อคืน” ผมถามเหมือนจะท้าต่อยซะอย่างงั้น

“อะ เออ” พี่สิดตอบเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ยังจ้องหน้าพวกผมสองคนเขม็ง ตอนนี้ถ้าพี่แกจะจัดการทำไรกะผมสองคนย่อมไม่รอดแน่ๆ ถึงมีกันสองคน แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบอะไรเลย

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ผมพูดขึ้นมา

“มึงว่าไรนะ” พี่สิดถามผมเสียงแปร่ง

“พี่บอกว่า พี่กินเหล้ากะสิงห์ตั้งแต่หัวค่ำ ยันเที่ยงคืนก็ออกไป แต่ผมเห็นสิงห์มันมาด้อมๆมองๆแถวๆงานตอนสี่ทุ่มนะ”

สิดยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับแฝงด้วยความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง

“กูจะจำเวลาผิดไปมั่งไม่ได้เหรอไงวะ” เสียงที่ตะคอกกลับมานั้น เหมือนเป็นเสียงที่จะหลบเลี่ยงความผิดมากกว่า

“แล้วกูจะไปฆ่าไอ้สิงห์ไอ้ม่อนทำไมกัน แล้วก็สารวัตรนั่นอีก กูจะทำไปทำไม ”

“เรื่องของเรื่องทั้งหมด ก็เพราะเรื่องพี่มุก ถูกใช่มั้ย” โค้กบอกในสิ่งที่ทำให้พี่สิดหน้าซีดเผือด

“พะ พวกมึง …” เสียงพี่สิดขาดไป แต่กลับมาด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือก

“หึหึหึ มึงพูดบ้าๆ กูจะไปฆ่าไอ้ม่อนได้ตอนไหน ทุกคนก็เห็นว่ากูอยู่ที่ไหน จนกูกลับบ้านไป ไอ้ม่อนมันก็เป็นศพ มึงคิดว่ากูจะไปฆ่ามันตอนไหน ? ” สิดพูดขึ้นมา พร้อมกับขยับตัวเข้ามาหาเราสองคนมากขึ้น ผมสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ดูเหมือนไอ้โค้กจะตั้งหน้าตั้งตาเผยความจริงมากกว่าเลยไม่เห็น

ผมเอาแขนไปสะกิดกับมันนิดหน่อย แต่มันก็ไม่รู้สึก

“ชั่วโมงเดียว อาจจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามีเวลาสามสี่ชั่วโมงก็เหลือเฟือ” โค้กมันว่า ผมก็หันไปมองมันด้วยความแปลกใจ เมื่อคืน มันยังไม่ได้บอกผมเรื่องข้อแก้ต่างข้อนี้ของพี่สิดหรอก

พี่สิดมองหน้าไอ้โค้กเงียบ เหมือนจะอยากรู้ว่าไอ้โค้กมันรู้ดีแค่ไหน ระยะห่างระหว่างพวกเรากะพี่สิดดูเหมือนจะเหลือน้อยลงเต็มที

“ดูเหมือนว่าถ้าข้อแก้ต่างข้อนี้มันหมดไป พี่ก็คงยอมรับใช่มั้ย ว่าพี่เป็นคนทำจริงๆ ”

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ้ย !!! ” สิ้นเสียงเท่านั้นแหละ พี่สิดก็กระโจนเข้ามาที่ไอ้โค้กทันที ดูเหมือนว่าไอ้โค้กก็ไม่ทันสังเกต ทำให้โดนตะคลุบตัวไปนอนแอ้งแม่งบนพื้น

“เฮ้ย ไอ้เชี่ย ทำไรเพื่อนกู” ผมตะโกนอย่างตกใจ เมื่อเห็นไอ้พี่สิดตะบันหมัดเข้าไปที่หน้าไอ้โค้กทีนึงแล้ว ผมวิ่งเข้าไปหมายจะใช้เท้าเตะเต็มแรง แต่ดูเหมือนมันจะเห็นก่อนหลบไปได้ทัน ทำให้ผมเสียศูนย์ถ่วงเล็กน้อย ไอ้พี่สิดวิ่งพลวดเข้ามากระแทกตัวผมล้มไปนอนหมดท่าบนพื้นอีกคน พี่สิดย่างสามขุมเข้าไปหาไอ้โค้ก

“พูดมากดีใช่มั้ยไอ้เด็กเหี้ย เดี๋ยวกูจะทำให้มึงพูดไม่ได้อีก” ไอ้พี่สิดพูดพลางง้างขาจะเตะไอ้โค้ก แต่มันพลิกตัวหลบได้ทัน ฉับพลันกับประตูบ้านก็ถูกกระแทกเปิดออก พี่หมวดคนที่จัดการคดีวันก่อน ใส่ชุดครึ่งท่อนโผล่พลวดเข้ามาล็อกตัวพี่สิดไว้ได้ก่อน มีไอ้คิว พี่โจ้ วิ่งเข้ามาติดๆ

“ปล่อยนะหมวด ทำไมหมวดมาจับข้าแบบนี้ ต้องจับไอ้เด็กเหี้ยนี่ซิ มันใส่ร้ายผมนะ”

“เฮ้ย มึงใจเย็นๆซิไอ้สิด ถ้ามึงไม่ได้ทำอย่างที่น้องเค้าบอกแล้วมึงจะโกดทำบ้าอะไร” หมวดสวนกลับเข้าไปทำให้พี่สิดสะอึกขึ้นมา ไอ้คิวพยุงตัวผมขึ้นมา (ผมด่ามันเบาๆว่าทำไมไม่เข้ามาเร็วกว่านี้วะ แอบฟังกันอยู่ตั้งนาน แสด)

“พูดอะไรนะ หมวด” พี่สิดร้องเสียงหลง หมวดเชื่อไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาข้างั้นเหรอ

“ฟังพวกน้องมันพูดให้จบก่อน แล้วค่อยฟ้องหมิ่นฯก็ไม่สายไปหรอก” พี่หมวดฯพูดขึ้นมาแล้วก็หันไปทางไอ้โค้ก

“เอ้า จะอธิบายยังไงว่ามา ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงเนี่ย โดนเค้าฟ้องติดคุกหัวต่อแน่”

ไอ้โค้กมันเหมือนจะยิ้มสะใจนิดนึงก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่มันเห็น

“พี่สิดไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเกาะนี่หรอกครับ แต่พี่สิดจัดการพี่ม่อนที่ท่าเรือ ระหว่างที่เรารอเรือข้ามฟากมากันอยู่ ”

ไม่บอกก็ต้องรู้ว่า ทุกคนยกเว้นพี่สิดกับไอ้โค้ก ที่ดูเหมือนจะตกตะลึง

“หึ ไอ้โง่ มึงก็เห็นตอนที่อยู่บนเรือ ไอ้ม่อนมันก็นั่งมาในรถ หรือว่ามึงคิดว่ากูฆ่ามันแล้วก็เอาตัวไปใส่ในรถเหรอไง แบบนั้นตอนขนออกมา คนเค้าก็เห็นกันหมดแล้ว” พี่สิดหัวเราะเยอะไอ้โค้ก แต่ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้าน (ไอ้คิวกระซิบบอกผมเสียงสั่นว่า โอ้ย กรุหมดกัน ต้องเข้าคุกแน่ๆ)

“ใช่พวกผมเห็นพี่ม่อน ในรถอ่ะนะ แล้วพี่ก็ไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเรือแน่ๆ” ไอ้โค้กสารภาพ

“แต่ที่พวกผมเห็นอ่ะ พวกผมเห็นแค่หัว ที่ติดอยู่กับพนักพิงแค่นั้น ” โค้กมันพูดเน้นบางคำ ผมถึงกะสะอึก

“ไอ้น้องๆ พูดอะไรออกมานะ ” พี่หมวดหันมาหาไอ้โค้ก พลางทำหน้าตาเหมือนจะไม่เชื่อ

“พี่สิดต้องการให้พวกผมเห็น - - เอ หรือไม่ก็ตาม แค่ใครก็ตามที่ผ่านไปตอนนั้นเห็นว่า พี่ม่อนอยู่ในรถพี่สิดแน่ๆ เพื่อยื่นยันว่าพี่ม่อนหายไปหลังจากที่กลับมาถึงเกาะแล้ว” โค้กมันหยุดพูดแป็บนึง

“ผมจำได้ว่า พี่ทำทีเป็นเข้าไปถามว่าพี่ม่อน แต่ก็บอกว่าพี่ม่อนหลับอยู่ อีกอย่างฟิล์มที่ติดที่กระจกรถมันก็มืดมากๆ พี่คงจะใช้ลูกโป่งทำเป็นตัวแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมให้แค่หัวที่มัดหลวมๆอยู่กับพนักพิงยื่นออกมา แค่นี้ พวกเราก็คิดว่า พี่ม่อนตอนนั้นอยู่ในรถพี่จริงๆ”

“เมิงกำลังจะบอกว่า ที่เราเห็นในรถนั่น มันคือแค่หัวของพี่ม่อนเหรอวะ โค้ก” คิวถามเสียงหลง เพราะมันก็เห็นอยู่ โค้กมันพยักหน้าตอบ

“ทีนี้ ถ้าเหลือแค่ส่วนหัว หลังจากที่พวกผมเดินออกไปแล้ว พี่ก็แค่หยิบหัวพี่ม่อนลอดผ่านกระจกแล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋าใบไหนซักใบของพี่ที่อยู่ท้ายรถก็ได้ ส่วนตัวที่เป็นลูกโป่งยิ่งทำลายหลักฐานได้สบาย”

พี่หมวดฟังไอ้โค้กอธิบายเป็นฉากๆ ก่อนที่จะหันหน้าเหมือนจะถามกับพี่สิด

“หมวด อย่าไปเชื่อมันนะ ถ้าข้าตัดหัวมา แล้วตัวมันจะหายไปได้ยังไง 55 อย่าลืมซิ ตอนที่มันแขวนอยู่บนต้นไม้ มันก็อยู่ครบไม่ใช่เหรอไง”

“พี่อย่าลืมซิ .. ท้ายรถของพี่อ่ะมีอะไร” โค้กมันเหมือนจะรู้ทุกอย่าง สิ้นเสียง ไอ้พี่สิดก็เงียบ ไม่พูดอะไรอีก

“ท้ายเป็นลังที่ใส่ปลา พวกพี่บอกว่า เอามาขาย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ลังมันคงโล่ง ถ้าแค่ชิ้นส่วนของคนที่โดนตัด คงยัดเข้าไปในลังได้แน่ แล้วก็คิดว่า คราบเลือดพี่ม่อน ก็ยังมีอยู่ในลังแน่ๆครับ”

“เลือดคนกับเลือดปลายังไงก็ดูไม่ออกอยู่แล้วใช่ม่ะ อืมม แบบนี้นี่เอง ” พี่หมวดพูดเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่ไอ้โค้กอธิบาย

“เหตุผลที่พี่ต้องทำศพให้เหมือนกับหุ่นกระบอก ก็เพราะว่า ถ้าแค่เอาตะขอเกี่ยวเข้ากับส่วนตัว มันก็จะประกอบเข้ากันได้ง่ายนั้นล่ะ พอมาถึงศพสารวัตร ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในแผนการของพี่ พี่ฆ่าสารวัตรเพราะว่าเริ่มสงสัยในตัวพี่ แล้วก็รู้ว่ามาสารวัตรต้องออกจากเกาะไปทำธุระ ยิ่งทำให้ยืดเวลาให้การตรวจสอบทำลายหลักฐานมากขึ้น อีกอย่าง ศพที่เผาไฟแล้วอ่ะ การจะหั่นเป็นท่อนๆ มันง่ายกว่าตอนสดๆมากนักล่ะ ” โค้กมันอธิบายเป็นฉากๆ ในขณะที่พี่สิดกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“หลังจากนั้น พี่สิดก็จัดการล่อให้สิงห์มันมาหาพี่ แล้วก็จัดการบังคับมันเขียนจดหมาย แล้วก็ฆ่าทีหลัง นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าพี่ทำ” มันพูดจบก็มองแน่วไปที่ร่างพี่สิดที่ยังยืนก้มหน้าเงียบเชียบ

“แต่พี่ก็ทำพลาด โค้กมันยื่นตะขอขึ้นมาให้กับหมวด วันที่พี่จะเอาศพพี่ม่อนไปแขวน พี่เข้ามาหาพวกผมที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะมาดูพวกผมเหรอเปล่า ว่าอยู่ในบ้านไม่ได้เพ่นพ่านที่ไหน พี่ไม่เห็นพวกผม ก็เลยทำทีเป็นเปิดไฟในบ้าน พี่ปริ้นเห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยรีบกลับ แต่พี่ก็ทำไอ้นี่ตกเอาไว้”

“มึงจะแก้ตัวอะไร มึงบอกมา ไอ้สิด” พี่หมวดค่อยๆพูดเสียงหวาดหวั่น มึงจะพูดว่าไม่จริง มึงก็รีบพูดขึ้นมา

พี่สิดเงยหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีจะโกรธเกรี้ยวเหมือนตอนแรก พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

“มึงแค้นไอ้ม่อนที่ไปแต่งงานกับมุกเหรอ ใช่มั้ย ไอ้สิด” พี่หมวดถาม

“ห่ะ ห่ะ มันสมควรแล้ว สมควรแล้ว” พี่สิดพูดพึมพำเบาๆ แต่พอจับใจความได้

“จะ เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไอ้สิด มึง - - หรือว่ามึง มึง ที่มุกตาย ที่ฆ่าตัวตาย มึงก็เป็นคน - - ”

“อย่าพูดบ้าๆนะหมวด ไม่งั้นข้าเอาตาย” พี่สิดตะคอกใส่หมวดถึงกับสะดุ้ง

“ที่มันสมควรตาย ก็แค่ไอ้สัดม่อน ไอ้สิงห์ แล้วก็ไอ้สารวัตรเฮงซวยนั่นต่างหาก สมควรแล้ว ห่ะ ห่ะ” พี่สิดเหมือนกับพูดกับตัวเองไปมา

“ที่มุกต้องฆ่าตัวตายก็เพราะไอ้พวกสารเลวนั่นต่างหาก” พี่สิดพูดเสียงเจ็บแค้น

“มึงหมายความว่ายังไง” หมวดถามเสียงหลง

“คุณมุกไม่ได้โดนมึงฆ่าเหรอ แล้วเค้ากำลังจะแต่งงานแล้วแท้ๆ ทำไมถึง - -”

“ก็เพราะว่า มุกไม่ได้อยากแต่งงานกับไอ้เดนนรก ไอ้ม่อนนั่นไง พี่สิดตะโกนใส่ด้วยความเจ็บแค้น” พลางทรุดตัวลงกับพื้น

“ไอ้เหี้ย ม่อน มัน มัน มันขมขื่นมุก ไอ้สิงห์ก็ร่วมด้วย - - ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นช็อกกันเป็นแถบๆ

“มุกเค้ามาบอกข้าทีหลัง แล้วก็บอกว่า ไปแจ้งความกับไอ้สารวัตรเหี้ยคนนี้แล้วมันก็ทำเฉย มารู้ทีหลังว่ามันสนิทกับไอ้ม่อน - -”

พี่สิดเริ่มเล่าเสียงสะอื้น

“- - หลังจากนั้น ไอ้ม่อนก็ขู่ว่า ถ้าไม่แต่งงานกับมัน มันจะเอาเรื่องไปโพทนาให้หมด มุกเค้าถึงได้ยอม ยอมไอ้เลวนั้น แล้ว … แล้ว มุกก็” พี่สิดไม่พูดอะไรต่อ มีแต่เพียงน้ำตาที่ค่อยๆไหลหยดลงบนพื้น


***************************


พายุร้ายได้ผ่านพ้นเกาะไปแล้ว เหลือแต่เพียงเศษซากความเสียหายที่ยังคงมีให้เห็นทั่วทั้งเกาะ ไม่นานสิ่งเหล่านั้นมันก็จะค่อยๆถูกฟื้นฟูให้กลับมาเป็นแบบเดิม เพียงแต่จิตใจของคนที่เหมือนโดนพายุของความเคียดแค้นโหมซัดเข้ามา เมื่อถึงเวลาที่ความเกลียดชังหมดไป สิ่งที่เหลืออยู่ กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า … ไม่มีทั้งความหวัง ความฝัน หรือความรู้สึกที่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป


.
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:26:41
หตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี อาจจะเป็นเพราะอย่างงี้ล่ะมั้ง ทำให้คืนนี้ผมหลับตาลงได้แบบไม่ต้องกังวลอะไรซะที


“ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzz”


“เอ๊ะ …” ผมรู้สึกตัวเพราะรู้สึกว่าอากาศภายในบ้านเริ่มจะร้อนขึ้นจนรู้สึกเหนียวตัว พร้อมกับส่ายหัวด้วยความงงๆนิดหน่อย ตามสไตล์คนพึ่งตื่นนอน ก็รู้เอาว่า ตอนนี้มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่หว่า หันไปข้างๆ เห็นไอ้คิวนอนหงาย เอ้เตไม่ตื่นอยู่เหมือนกัน แต่โค้กมันไม่อยู่แล้ว

ผมเกาหัวแกร๊กๆ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ทำธุระจนเสร็จ ก็เดินออกมา ไม่เห็นรถกระบะ พี่โจ้คงไปรับพวกพี่ต่ายแล้วล่ะมั้ง ผมคิดในใจ พร้อมกับเสียดายเล็กๆ ว่าไม่น่าจะตื่นสาย (บ่าย) เลย ว่าจะไปรับไอ้โอ้ตซะหน่อย

“เฮ้อ …” ผมถอนหายใจ

ความรู้สึกปนเปไป ดีใจที่จะได้เจอโอ้ตมันซะที ตั้งแต่คบกันมา ผมยังไม่เคยห่างกับมันได้ถึงสามสี่วันแบบนี้เลย ไม่อยากจะคิดตอนมันไปเรียนที่ มช.

“เฮ้อ ..” ผมถอนหายใจอีกที แล้วก็เดินออกไปนั่งเล่นที่ชายหาดหน้าบ้านพัก ใกล้ๆนั้นมีต้นไม้ชายทะเลอยู่หลายต้น ผมเลือกต้นนึงแล้วก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้เตี้ยๆ แล้วก็ทอดสายตาไปที่ทะเล

ผมควรจาอารมณ์ดีใช่เป่า … ผมจะได้เจอโอ้ตแล้วนี่นา

สายตาที่มองไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกว่า มันกว้างใหญ่ แล้วมันก็อ้างว้างเหลือเกิน

คิดอะไรเพลินๆ ไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ก็มีมือมาจี้เอวข้างหลัง ดีนะที่มือกรุไวพอควร เกือบตกต้นไม้แล้วม่ะล่ะ

“ เฮ้ยย … เชี่ย ”

ผมสบถ พร้อมกับหันไปหาที่ต้นตอ แต่พอเห็นหน้าคนแกล้งแล้วผมโกรธม่ะลงวะ

“ ไอ้โอ้ต .. เดี๊ยะเหอะ ”

โอ้ตมันใส่หมวกยืนยิ้มแป้นแล้น ข้างหลังก็สะพายเป้ซะเท่เชียว มองท่าทางผมแล้วก็ยิ้มเยาะซะงั้น ด้านหลังผมเห็นพี่ๆ บางคนค่อยๆเดินเข้าไปเอาของเก็บในบ้าน พร้อมกับเสียงเจี้ยวจ๊าวกันเลยทีเดียว

ใจจริงเห็นหน้ามันนะ ผมแทบจะวิ่งเข้าไปกอดมัน แต่ต้องเก็บอาการนิดนึง เด๋วมันรู้ว่าผมคิดถึง แล้วจะโดนล้อ

“ ตกไป คอหักตายจะทำไงวะเนี่ย รู้อยู่ว่าบ้าจี้ ” ผมพูดไปก็พยายามไม่มองหน้ามัน แปลกแฮะๆ แค่ไม่เจอมันแค่สามสี่วัน กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีอย่างงั้นแหละ แถมพอได้เจอมันก็เขินแบบบอกไม่ถูก

กรุเขินอาไรวะเนี้ยย

“ ตกมา โอ้ตก็ยืนรับอยู่นี่ไง ” มันพูดไม่อายฟ้าดิน … ขนาดผมได้ยินเสียงมันข้างหลัง ยังรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงอ่ะ

“ พูดไร โคตรเน่า..” ผมแกล้งทำม่ะรู้ม่ะชี้ แต่ในใจเขินชิบหาย “ แล้วนั่นไม่เอากระปงกระเป๋าไปเก็บเหรอไง ”

“ โห่ ก็รีบมาอยากเจอปริ้นนี่นา ” พูดงี้อีก “ เห้อออ ” ไอ้โอ้ตมันแกล้งทำถอนหายใจ

“ ลงมาได้แล้ว มันพูดเสร็จก็เอื้อมมือมาให้ผมจับ ” จะได้ลงง่ายๆ

“ ม่ะต้องๆ ลงเองได้ ” ผมพูดเสร็จ ก็กระโดดลงจากต้นไม้ แต่รู้สึกจะผิดท่าไปหน่อย ก้นเลยจ้ำเบ้ากับพื้นเต็มๆ

“ แอ๊กก ….”

โอ้ตมันค่อยๆเดินมาดูน้ำหน้าผมชัด

“ เป็นไง ” พูดเสร็จมันก็ทำหน้ายิ้มๆ แล้วก็ยื่นมือพยุงตัวให้ผมลุกขึ้น

“ ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นทราย ” ผมพูดดีไปงั้นแหละ แต่ในใจก็เจ็บอยู่หน่อยๆ

“ นี่แหละ ต้องให้ช่วยอยู่เสมอเลยน้า ” มันพูดเสร็จแล้วก็หันมามองผม แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมด้วยความมันเขี้ยว

“ เออ ทีหลังม่ะอยากช่วยก็ม่ะต้องช่วยหรอก ” ผมแกล้งงอนมันอ่ะ แต่ก็โกดอยู่หน่อยๆเหมือนกัน

“ ไปอยู่สมุยกันตั้งหลายวัน ม่ะมีบอกเลยนะ ”

“ เหอะๆ ก็ตัวเองแหละ ตอนเค้าคุยกัน ก็เดินไปไหนกันก็ไม่รู้ ” โอ้ตมันเถียงผมคับ

“ เออๆๆ ผิดเองแหละ ” ผมพูดเสร็จ ก็ปัดมือมันออก

“ เป็นไรอีกเนี่ย ”

“ เป่า ”

“ ปริ้น ..!! ”

“ ก็ไม่ได้เป็นราย ” ผมพูดเสร็จก็ค่อยๆมองหน้ามัน เออ รู้สึกว่าตัวเองผิดเต็มๆอ่ะ งอนงี่เง่าอีกแระ

เรายังไม่ทันพูดไรกัน ไอ้พี่ท็อปก็เดินเข้ามาก่อนซะงั้น

“ เอ่า เป็นไงปริ้น มาอยู่ก่อน ได้เล่นน้ำทุกวันเลยดิ สนุกม่ะ ”

“ สนุกกะผีดิพี่ ” ผมพูดเชิงล้อเล่น

“ อ่า เป็นซะงั้น ” แล้วพวกพี่ๆก็เดินมาแถวๆหาดกันสามสี่คนเลย บางคนก็โผวิ่งลงทะเลไปสนุกสนาน หันมาอีกที อ้าว โอ้ตมันหายไปไหนแล้วม่ะรู้

เวนแระ โอ้ตมันงอนผมซะแหล่ว

รู้สึกตัวได้ยังงั้น ก็เลยรีบเดินเข้าไปในบ้าน เพราะคิดว่ามันต้องเอาของไปเก็บแหละ ก็เจอมันนั่งจัดของอยู่ข้างในแหละครับ

ผมค่อยๆเดินเข้าไปหา แบบดูท่าทีมันก่อน มันก็คงดูเหมือนรู้ล่ะว่าผมเดินเข้ามา แต่ก็ทำไม่สนใจ หันไปคุยกะพี่อีกคนนึงที่กะลังนอนอยู่ ทำเป็นไม่สนใจผมเลย

อ่า ชัดเลย มันโกรธผมแน่ๆ

เป็นแบบนี้ ผมก็เดินป้วนเปี้ยน อยู่แถวนั้นอ่ะคับ โอ้ตก็หาเรื่องคุยกะคนโน้นทีคนนี้ที ไม่ยอมให้ผมเข้าไปใกล้รัศมีเลย จนผมชักเริ่มเซ็งแล้ว

“ พี่ปริ้น ไปเล่นน้ำป่ะ ” มาทีนี่ยังไม่ได้ลงเลย โค้กเดินมาชวนผม ดูท่าทางมันก็คงอยากเล่นเต็มที่แล้วอ่ะ

“ อ่ะ เด๋วดีกว่าวะ มันยังร้อนอยู่เลย เด๋วกรุดำ ”

“ ไรมึงวะ กัวดำเหรอ ” ไอ้คิว ซึ่งดูพึ่งตื่นได้ซักพัก พูดแขวะ แล้วมันกะไอ้โค้กก็จับตัวผมลากออกไปข้างนอก

1
.
.
.

2
.
.
.

3
.
.
.


ตู้มมมมม

เสียงตัวผมกระแทกกับน้ำทะเลคับ กินน้ำไปหลายอึกเลยทีเดียว ด้วยความที่ขี้เกียจง้อไอ้โอ้ตมันแล้ว ก็เลยมาเล่นน้ำกะไอ้สองตัวนี่เลย ก็ดีเหมือนกัน หึหึ

ก็ตามประสาคับ ช่วงแรกๆเล่นกันไปก็ปล้ำกันไปปล้ำกันมา ลำพังไอ้คิวอ่ะไม่เท่าไรคับ เพราะว่ามันมาจับตัว มาอะไรกับผมก็ชิวๆ เพราะว่า ม่ะมีอารมณ์กะมันแระ (มั้ง) แต่กะไอ้โค้กนี่ดิ ดันใส่เสื้อยืดขาว กางเกงบอลลงทะเล

อ๊ากก ..

ไม่ต้องบอกคับ ก็เห็นอะไรต่อมิอาไร ตัวมันก็ใหญ่ใช่ย่อย เป็นลำเป็นดุ้นอ่ะ เหอๆ แล้วเวลามาโดนทีก็นะ เป้ามันก็ชอบมาถูด้านหลังผม

ไอ้เด็กเวน …

หลังๆเลยเปลี่ยนไปเล่นลิงชิงบอล ในน้ำ กับพวกพี่ๆเค้าดีกว่าคับ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก จนผมลืมไปเลยว่า ไม่เห็นไอ้โอ้ตมันลงมาเล่นเลย

เล่นเสร็จก็ทยอยกันขึ้นไปล้างหน้าล่างตัว อาบน้ำคับ ตอนเย็นพวกพี่ๆก็ช่วยกันเอาหมูที่ซื้อมาเสียบไม้ แล้วก็มาย่างกัน

อร่อยโคตร ! ความรู้สึกตอนนี้มันต่างกันกับที่มาอยู่กันแค่สามตัวอย่างลิบลับ

ไปๆมาๆ ผมก็ยังไม่ได้ไปง้อไอ้โอ้ตมันซะทีครับ วันนั้น แต่ผมก็เห็นมันคุยหนุกหนานกับพวกเพื่อนๆตามปกติ มันไม่ปกติอยู่อย่างเดียวคือ มันไม่ยอมเดินมาคุยกะผมเลย

แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่า คงไม่เป็นไรหรอก ไว้หาโอกาสดีๆล่ะกัน ตอนนี้คนเยอะ เด๋วเค้าจะสงสัยหมด เหอๆ
คืนนั้นก็ต่างคนต่างหลับครับ โอ้ตมันดันเลือกที่นอนคนล่ะซีกโลกกับที่ผมนอนเลย

กำ สงสัยจะ go so big ซะแล้ว

.
***************************

.

บะ โบล่วววววววว (เสียงหมาหอน)

เกือบจะตีสองแล้วครับ แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ รู้สึกกระสับกระส่ายยังไงชอบกล ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ไงวะ ทั้งๆที่จะได้มีโอกาสได้สนุก ได้เที่ยวกะโอ้ตทั้งที แถมยังอาจจะอีกนานเลยกว่าจะได้มากันแบบนี้ ทำไมกรุถึงทำตัวแบบนี้ว้า

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งโมโหตัวเอง ที่ยังทำตัวแล้วก็นิสัยเป็นเด็กแบบนี้

สวบบบ

มีเงาใครบางคนลุกออกไปข้างนอก ด้วยความที่คืนนี้ไม่ได้มืดมาก แล้วก็เป็นทิศเดียวกันกับที่โอ้ตมันนอนอยู่ ทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่า เป็นมันแน่นอนที่ลุกออกไป ผมก็ค่อยๆย่องลุกตามไป คนอื่นๆก็หลับกันหมดแล้วล่ะครับ เพราะว่าวันนี้ก็เดินทางมากันเหนื่อย เล่นน้ำก็เหนื่อย นอนกันระเกะระกะเลยทีเดียว

ผมเห็นมันเดินออกไปนั่งที่กิ่งไม้ที่ผมไปนั่งเมื่อตอนกลางวันตรงหาด ก็เลยเดินตามมันออกไป มันคงไม่รู้ตัวหรอกครับ เพราะว่าเดินบนทราย มันไม่มีเสียงไง ผมก็เลยเดินมาอยู่ข้างหลังมัน แต่ก็ยังไม่ได้พูดไรหรอกนะ

โอ้ย ผมได้แต่มองมันจากข้างหลังครับ ไม่กล้าเข้าไปสะกิดคุย เห็นแผ่นหลังกว้างของมันแล้ว ผมแทบอยากจะเข้าไปซุกกอด ผมยืนอยู่นาน จนมันเมื่อย ก็เลยเปลี่ยนท่านั่ง แล้วก็ดันมาป๊ะหน้ากับผมพอดี ทั้งผมทั้งมันต่างก็อึ้งอ่ะ

แล้วมันก็ทำหันหน้ากลับไปนั่งต่อ ไม่พูดไร

เออ ในเมื่อมันรู้ว่าผมมาแล้ว ก็ง่ายกว่าเดิมนิดหน่อย ก็เลยเอื้อมมือไปจับที่เอวมัน (ไม่กล้าจี้มันเด๋วเคืองกว่าเดิม)

“ ขี้นไปนั่งด้วยได้เปล่า ” ผมถามมัน

“……”

มันไม่พูดไร ผมก็เลยถือวิสาสะปีนไปนั่งกะมัน ปีนยากนิดหน่อยเพราะกิ่งมันต้องรับน้ำหนักเพิ่มไปอีกคน

“ โอ้ต .. อย่าโกรธเค้าเลยนะ ขอโทด ” กว่าผมจะคิดได้ว่าผมควรจะแทนตัวเองว่าไง ก็อายสัด ไม่เคยคิดว่าต้องมาพูดแทนตัวเองว่าเค้าเลยว้อยย แต่เอาวะ !! ดูน่ารักสุดแระ แล้วก็ค่อยๆเอามือไปจับมือมันมากุมไว้

“ เค้าก็แค่อยากให้โอ้ตใส่ใจเค้าแค่นั้นแหละ ” ผมพูดเสร็จก็เอาหน้าไปพิงกับที่ไหล่มัน (โปรดระวัง ทำบนต้นไม้อาจจะตกมาได้)

แล้วมันก็พูดมาคำแรก

“ แล้วที่โอ้ตทำมานี่ โอ้ตไม่ได้ใส่ใจปริ้นเลยใช่ป่ะ ”

“ ก็ .. ม่ะช่ายอ่ะ ก็เค้ามันงี่เง่าเองล่ะ ขอโทดนะ นะ ” ผมพูดไปก็ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แล้วก็ค่อยๆยกนิ้วก้อยขึ้นมา

“ ดีกันนะ นะ ”

โอ้ตมันก็ไม่ได้พูดไรครับ แต่ก็เอานิ้วก้อยมันมาเกี่ยวกันกับนิ้วผมไว้ เหอๆ แค่นี้ผมก็โล่งใจ พร้อมกับหน้าบานแล้วล่ะ

แล้วโอ้ตมันก็เอามือมาจับหน้าผมไว้ให้หันไปมองมัน

“ ปริ้น โอ้ตอยากให้ปริ้นรู้นะครับ ว่าโอ้ตรักปริ้นมากแค่ไหน ” พูดเสร็จ มันก็ยื่นหน้ามาประกบปากกับผม !

“ เอ้ย ..” ผมยังไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่ามันจะใจร้อนขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ โอ้ตมันเปลี่ยนจากจูบเป็นค่อยๆดูดปากผมจากด้านบน แล้วก็เปลี่ยนมาด้านล่างคับ แล้วก็เปลี่ยนมาดูดลิ้นผมช้าๆ

“ อ๋อยยยยย ..” ตัวผมสั่นเลยเสียความควบคุม พลัดตกลงมาเป็นรอบที่สอง ไอ้โอ้ตมันก็เลยตกลงมาด้วย

“ อุ๊บ …… แอ๊กกก ”

“ โอ้ยยย … เจ็บบบ ”

“ อ้าว ไหนเมื่อตอนกลางวันบอกว่าไม่เจ็บนี่นา ” โอ้ตมันแซวผม

“ ก็นั้นมันลงมาคนเดียวนี่หว่า ไม่ได้ตกมาแล้วโดนทับแบบเน้ ” ผมพูดแล้วก็พยายามดันตัวไอ้โอ้ตที่มันทับผมให้ลุกขึ้น แต่มันก็ไม่ยอมลงจากตัวผมอ่ะ

“ อ่ะ ลุกดิ จาไปนอนแล้ว ” ผมส่งเสียง

“ ปริ้นอยากเข้าไปนอนข้างในเหรอ คนเยอะแยะ ” โอ้ตมันพูดเหมือนบอกความนัยอะไรบางอย่าง

“ อ่า แล้วจะให้นอนตรงทรายนี่เหรอไง ” ผมถามแบบไม่ได้เอาจริงจัง

“ เดี๋ยวนะ ” มันยิ้มก่อนที่จะรีบผุดลุกวิ่งเข้าไปในบ้าน จริงๆระหว่างบ้านกับที่ผมตกมาใต้ต้นไม้มันก็ห่างกันประมาณ ยี่สิบสามสิบเมตรได้แหละ แล้วตอนนั้นตีสองแล้ว ซักพัก โอ้ตมันก็วิ่งกลับออกมา พร้อมกับเสื่อผื่นนึง

“ เฮ้ย จานอนตรงนี้เจงอ่ะ ”

“ จริงซิ ในบ้านร้อนจะตาย นอนกันเข้าไปได้ไง ปูเสื่อนอนตรงนี้แหละ เย็นดี ” ว่าแล้วมันก็จัดการปูเสื่อเสร็จสรรพ เอาหินมาวางทับสี่มุมไม่ให้ปลิว ลมทะเลพัดโครมๆ คนรอบคอยอย่างมันก็เอาผ้าห่มมาด้วยผื่นนึง

“ ผืนเดียว ? ” ผมถาม

“ ก็ห่มด้วยกันไง ” พูดเสร็จมันก็พลิกตัวผมให้นอนหงาย แล้วก็ขึ้นมาทับตัวผมเหมือนเดิม

“ มาต่อม่ะกี้มา ” .. โอ้ตมานพูดน่าทะเล้น

“เหะ จะบ้าเหรอ นี่มันริมทะเลนะว้อย ”

“ ป่านนี้แล้ว .. ม่ะ ไม่มีใคร ม่ะ มาเห็นหรอก ” มันพูดไปเสียงก็สั่นไป แล้วผมก็โดนมันจุ๊บเข้าที่ปากอีกเหมือนเคย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:27:01
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เปลี่ยนบรรยากาศ !!!

ลมทะเลพัดเข้ามา เย็นมาก โอ้ตมันก็กอดผมไว้ ปากก็ดูดปากผมไปเรื่อยอ่ะ ตอนนี้ผมตัวสั่งระริกระริก เหมือนลูกไก่ในกำมือมันแระ ว่าเข้านั่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่โอ้ตมันดูหงี่เป็นพิเศษอ่ะ ปากก็จูบไป ด้านล่างมันก็มาถูไถผมจน แข็งกันทั้งสองคน เสียวโคตร

ทั้งถูกันทั้งนัวเนียกันไปมา ตอนนี้ไฟราคะลุกจนควบคุมไม่อยู่แระคับ เหอๆ โอ้ตมันจัดการถอดเสื้อผมโยนไปทิศไหนไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆแก้กางเกงตัวเองออก เคมันแข็งตั้งตะหง่าน จนผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“ อมให้หน่อยดิ ” โอ้ตมันพูดเสียงสั่นกระเส่า สงสัยจะอยากจัด ผมทนไม่ไหวครับที่มันสั่งผมแบบนี้ ก็เลยรีบคว้าเจี้ยวมันเข้าปากทันที แล้วก็ด้วยความที่ไม่ค่อยจะได้อะไรกันเท่าไร รู้สึกว่าฟันผมก็ไปครูดกับเคมันหลายที แต่มันก็ไม่ได้บ่นอะไรครับ ผมได้ยินแต่เสียง ซี้ดของมัน มือมันนี่ก็มาจับหัวผมโยกแทนแล้วอ่ะ

กรุเมื่อยนะโว้ย

“ ซี้ดดดด ปริ้น โอ้ตเสียวจังหว่ะ ” ก็ต้องเสียวดิ กรุอุตสาห์ใช้ลิ้นให้ขนาดนี้ ม่ะใช่มันผมไม่ทำให้หรอกนะ(มั้ง) ผมก็อารมณ์ขึ้นจนไม่ไหวแล้ว เลยจัดการช้อนเจ้าบอลแฝดไอ้โอ้ตมาดูดเข้าไปในปากทีละลูก คราวนี้ไอ้โอ้ตร้องครางอู้เลยครับ เหอๆ ผมจัดการพลิกตัวมันให้กลับมานอนหงายแทน แล้วก็จัดการสนองมันซะ (หลังๆดูหนังโป๊บ่อย ทฤษฏีแน่นปั๊ก)

ไอ้โอ้ตมันเสียวจนขนมันลุกทั่วตัวตอนที่ผมเอามือลูบไปที่แขนมัน ปากก็ยังคงสนุกกะน้องชายมัน ปกติผมไม่สันดานแบบนี้นี่หว่า สงสัยบรรยากาศพาไป แฮะๆ ผมหยุดการกระทำของตัวเองแป๊บนึง เงยหน้ามาดูมัน หุหุ หมดสภาพหนุ่มหล่อเมืองคนดุเลยคับ ตรงปลายเคมันมีน้ำใสๆไหลย้อย ลงมาเป็นสาย โอ้ตมันเห็นผมหยุดกระทำการ ก็เลยเงยหน้ามองผมตาเยิ้ม กรุรู้นะเมิงคิดไรไอ้โอ้ต เพราะว่ามือมันสั่นระริกๆ ทำท่าจะกดหัวผมให้จัดการต่อให้ได้เลย

ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ จัดการดูดเลียต่ออย่างเมามันส์ แล้วก็ไม่ลืมเอามือไปเล่นไข่มันด้วย ไอ้โอ้ตบิดตัวเร่าๆ แล้วผมก็นึกอยากลองอะไรบางอย่าง มืออีกมือที่ว่างอยู่ ก็เลยไปแหย่ตูดโอ้ตเล่นคับ เอาน้ำหล่อลื่นที่ปลายเคมันนี่แหละ ค่อยๆแยงเข้าไปทีละนิดๆ ม่ะให้มันรู้สึกตัวคับ

โห ตอดชิบ อยากแล้วดิกรุ

ปากผมเล่นข้างหน้า แต่หัวผมคิดแล้วล่ะว่าวันนี้ผมจะต้องเล่นข้างหลังโอ้ตมันคืนให้ได้ เพราะทุกครั้งที่มีไรกัน
มันชักแล้วก็ดูดให้ผมอย่างเดียว ม่ะยอมให้ผมรุกมันบ้างเลย คราวนี้แหละ !

ผมลองแหย่ลึกลงไปเกือบครึ่งข้อครับ คราวนี้ไอ้โอ้ตมันร้อง โอ่ะ ผมก็รีบเนียนๆ ค่อยๆถอนออกมา แล้วก็ดูดเจี้ยวมานแรงขึ้น มันก็กลับไปครางเหมือนเดิม แต่ผมว่ามันอึดชิบเป๋งเลย น้ำม่ะยอมแตกซะทีวะ ผมก็พยายามดูดมันเร็วขึ้น แล้วก็ไม่ลืมเอานิ้วควานไปรอบๆก้นมัน ให้มันผ่อนคลาย จนสามารถเอานิ้วเข้าไปได้เกือบนิ้วนึงแล้วครับ

โอ้ตมันตัวสั่นเลย

“ อ่ะ ซี้ดดดด ปริ้น อย่าแหย่เข้าไปซิ ” มันพูดแล้วก็พยายามจะลุกขึ้นมาครับ แต่ผมก็ดันมันให้นอนลง

“ โอ้ตคับ ” ผมหยุดการใช้ปากให้มันแล้วก็ขึ้นมาคร่อมตัวมันแทน แต่มือผมก็ยังเอื้อมไปชักให้มันอยู่ เด๋วมันหายเสียวจะอด

“ โอ้ต ” ผมพูดเสียงหวาน โอ้ตมันก็ยิ้มแหยงๆ ให้ เหมือนกับรู้ว่าผมจะขออะไร

“ โอ้ตรักปริ้นใช่เป่า ”

“ อะ อือ อ่า ” มันทั้งรับปาก ทั้งส่งเสียงเสียว

“ ปริ้นขอเอาโอ้ตได้ป่ะ “ ผมพูดแบบหน้าด้านๆแบบนี้เลยฮะ ม่ะไหวแล้วคับ แข็งจะระเบิดอยู่แล้ว

หน้าโอ้ตซีดเลยคับ ยิ้มให้ผมแบบบอกไม่ถูก

“ ปริ้น โอ้ตว่า - - ” ผมม่ะยอมให้มันพูดจบคับ โน้มตัวลงไปดูดปากกะมัน มือก็สาวหนักขึ้น แล้วก็เลื่อนเอาลมหายใจอุ่นๆไปเป่าข้างหูมัน

“ โอ้ต ปริ้นขอโอ้ตนะ ” เหอๆ มาไม้นี้เข้า โอ้ตมันก็ต้องจำยอมผมโดยดี มันพยักหน้าน้อยๆ เป็นอันว่ายินยอม (เป็นเมียผมซะที)

ผมรีบเลื่อนตัวลงไปจัดการกับหนอนน้อยของโอ้ตต่อให้กลับมาผงาดเป็นมังกรยักษ์อีกรอบ แต่คราวนี้ ผมดันสะโพกให้มันยกสูงขึ้นด้วย เห็นรูสวรรค์รำไรชัดเจนกว่าม่ะกี้

ผมทำใจอยู่แป็บนึง เพราะมะเคยเลียคับ เลยเอาลิ้นแผล่บไปนึงทีก่อน

เออ ม่ะมีกลิ่นหว่ะ สงสัยมันเตรียมตัวมาให้ผมเอาเป่าวะ (คิดเล่นๆ) พอเห็นว่ามันปลอดกลิ่นผมก็จัดการลงลิ้นเต็มที่อ่ะ เพราะไม่อยากให้โอ้ตมันเจ็บกะครั้งแรกของมัน หึหึ

“ อึ๊กก อึ๊กกก ” ผมลงลิ้นแต่ละที โอ้ตมันก็ร้องทีนึง ไม่รู้ว่ามันเสียวหรืออะไร ร้องแปลกๆ เหอๆ ระหว่างที่จัดการกะช่วงล่างของมัน ผมก็ค่อยๆถอดกางเกงตัวเองบ้างคับ ยากลำบากนิดหน่อยเพราะว่า มันชูชัน แต่แป๊บเดียว เกงผมก็ลงไปกองข้างๆกะเสื่อ

คราวนี้ผมตั้งใจบรรเลงลิ้นอย่างเต็มที่ครับ มือผมก็จัดการชักให้โอ้ตไปเรื่อยๆ ม่ะให้มันตื่นตกใจคับ ขนโอ้ตมันลุกกว่าม่ะกี้อีก ผมว่าพร้อมแล้วล่ะ(มั้ง) ก็เลยลองเอานิ้วแหย่ไปทีละนึง เหมือนกะที่มันเคยทำให้ผมทุกครั้ง มันคงม่ะคิดว่า วันนี้สิ่งที่มานทำ มันจะย้อนมาหาตัวเอง นิ้วแรกผ่านไป โอ้ตมันก็บ่นเลยครับ ว่าเจ็บ โหย เคกรุใหญ่ก่านิ้วนี้หลายเท่านัก อย่าพึ่งบ่นเซ่ะ

พอนิ้วแรกผมไปได้ ตอนนี้ผมก็ใจจดจ่อ จัดการเพิ่มนิ้วไปอีกนิ้วนึงครับ คราวนี้โอ้ตมานร้องซี้ดดดซ้าดด ปน โอ้ย อ๊อก ไปตามเรื่อง เหอๆ พอนิ้วที่สองเข้าไปได้ คราวนี้ตูดโอ้ตมันตอดใหญ่เลยคับ นิ้วผมจะขาดเป่าวะ ผมค่อยๆควานนิ้วไปมา ให้รูมันขยาย แล้วก็เอื้อมไปจับเคโอ้ต โอ่ ยังแข็งปั๊กอยู่เลยครับ ใช่ได้ แสดงว่ามานก็มีอารมณ์เหมือนกัน แบบนี้คงโอเคแล้วล่ะ

ผมจัดการเอานิ้วออก แล้วก็ยกขาโอ้ตให้ขึ้นมาพาดบ่า ตื่นเต้นสัดๆคับ ครั้งแรกเลยนี่หว่า ผมชะโงกหน้าไปมองเห็นโอ้ตมันมองหน้าผมแบบแปลกๆ ผมก็ยิ้มให้มานทีนึง แล้วก็เอื้อมมือไปจับมือให้มันจัดการชักเองก่อน แล้วก็จัดการจับเคตัวเอง ค่อยๆยัดเข้าไปที่รูสวรรค์รำไรทีละนิดๆ ผมรู้สึกได้ว่าโอ้ตมันตัวเกร็งขึ้นเรื่อยๆ มือมันข้างนึงก็ชักไปเบาๆ อีกมือนี่กางเยียดไปนอกเสื่อกำทรายเข้าเต็มๆ ตอนนั้นผมลืมไปครับว่า ผมกะลังเยกะไอ้โอ้ตสดๆนี่หว่า แต่ม่ะเป็นไรมั้ง เพราะมันไม่มั่วกะใครแน่ๆ ( ลป. เด็กดีไม่ควรเอาอย่าง)

ผมรู้สึกว่ากว่าที่ส่วนหัวจะผ่านเข้าไปได้มันยากเย็นมหาศาล แล้วตูดโอ้ตมันก็แน่นมากครับ เข้าไปได้แต่ละทีก็ตอดแทบน้ำแตก โอ้ตมันหายใจติดๆขัดๆคราง อื้อ อ่า ไปตามเรื่อง ตอนนั้ผมรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ กรุน้ำแตกแน่นอนเลยตัดสินใจ จับสะโพกโอ้ต แล้วก็ดันตัวเองแบบสุดแรงอ่ะคับ ทีเดียวป๊าบบบ มิดด้าม โอ้ตมันหยุดครางเลยครับ

“ อ๊ากกกกก ”

มันร้องดังมากจนผมตกใจรีบเอามือไปปิดปากมัน

“ โอ้ย เจ็บนะว้อยปริ้นนนน ”

“ ขะ ขอโทด แต่ปริ้นโคตรเสียวเลยโอ้ต ซี้ดดดดด ” มันเสียวจริงๆครับ ตอนที่เข้าไปหมดแม๊กเนี่ย ภายในตัวโอ้ตมันร้อนมาก แถมตอดแบบสุดๆอีกตะหาก ผมรอให้มันหายใจหายคอ แล้วก็ค่อยๆกระดกเอวไปเรื่อยๆ โอ้ตมันก็บ่นเจ็บไปเจ็บมา ปนครางครับ แปลกว้อย บ่นว่าเจ็บแต่เคแมร่งแข็งเป๊กไม่เห็นหดเลยนี่หว่า กรุงง เหอๆ ตอนนี้พอเริ่มเข้าที่ ผมก็ปัดมือโอ้ตที่เคมันออก แล้วก็จัดการรูดให้มันแทน ให้มานนอนรับความเสียวเฉยๆ (ทั้งหน้าและหลัง)

คราวนี้โอ้ตมันคงชินแล้วล่ะ มันก็ไม่บ่นเจ็บแล้วครับ ร้องครางอย่างเดียว เห็นแล้วน่าฟัดชะมัด ผมเลยก้มลงไปไซร้คอมัน ก้นก็กระดกไปเรื่อยๆครับ เออ คราวนี้มันมีเด้งรับด้วยอ่ะ สงสัยจะชอบ อิอิ

ผมกระแทกไปได้ซักพัก ก็รู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้วครับ ก็เลยบอกโอ้ต มันก็เปลี่ยนมาชักของตัวเองเอง ผมก็จัดการกระแทกอย่างเดียวครับ จนได้ยินเสียงโอ้ตมันครางดังมากเลย ดีนะที่มันไม่มีคน มือข้างที่ว่างอยู่ก็ขยุ้มพื้นทรายไปเต็มๆ เหมือนกะจะหาหลักยึด แล้วก็ร้อง อ๊อกกก มา น้ำขาวขุ่นก็กระฉูดออกมาเต็มหน้าท้อง เลยไปถึงหน้าอกของมันเลย โห ผมเห็นแล้วก็ไม่ไหวแล้วครับ จับสะโพกแน่นขึ้น แล้วก็กระแทกไปเต็มๆแม๊กอีกสองสามที ก็ไปรอดครับ แตกตาม แต่ดันเอาออกมาไม่ทันครับ เลยเข้าไปในตัวโอ้ตมันหมดเลย

พอเสร็จเท่านั้นแหละ ผมหมดแรงข้าวต้มเลยครับ เหนื่อยกว่าให้โอ้ตทำให้อีกอ่ะ แต่ก็โคตรมันส์เลย หลังจากค่อยๆถอนออกจากตัวมันแล้ว ก็ก้มลงไปจูบปลอบขวัญโอ้ตทีนึง แล้วก็เสยผมที่ปิดหน้าผากมันให้ เหงื่อมานแตกพลักเลย ทั้งๆที่ลมพัดโครมๆ

“ เจ็บมากเป่า ”

โอ้ตมันก็สั่นหน้า “ ไม่ค่อยเท่าไรอ่ะ ” แล้วมันก็ยิ้ม โน้มตัวผมไปจูบอีกที

“ งั้นคราวหน้าเอาอีกนะ ” ผมยิ้มแบบได้ใจ ไอ้โอ้ตรีบร้องว๊ากออกมาเลยว่า คราวหน้าเป็นตามันบ้างครับ ซะงั้นอ่ะกรุ ผมกะมันก็นอนนัวเนียไม่อายฟ้าดินกันพักนึงแล้วก็รีบจัดการลงทะเลแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำทีละคน แล้วก็ออกมานอนข้างนอกต่อ (คราวนี้นอนจริงๆนะ)

“ พรุ่งนี้จาตื่นไหวม่ะนี่ เหนื่อยโคตรๆเลยอ่ะ โอ้ต ” ผมบอก แล้วก็นอนหนุนที่อกมัน

“ ถ้ารู้ว่าเหนื่อย เดี๋ยวคราวหลังโอ้ตก็ทำให้ตลอดดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อย ” มันพูดแล้วก็เอามือลูบหัวผมไปมา เพลินจังวะ

“ โอ้ต …”

“ ฮื้อ ”

“ ไม่ไปเชียงใหม่ไม่ได้เหรอ ” ในที่สุดผมก็พูดความรู้สึกจริงๆออกมา ผมรักมันมากจริงๆ จนไม่รู้ว่าถ้ามันหายไปจากชีวิต ผมจะเป็นยังไง

“ ….. ”

“ โอ้ตรู้เป่า แค่โอ้ตไม่อยู่แค่สามสี่วัน มันทรมานแค่ไหนอ่ะ ” ผมพูดไปแล้วก็ลูบท้องมันไป (ผมนอนตะแคง ไม่ได้หันหน้าไปหามัน เพราะเด๋วมันจะเห็นว่าผมกะลังร้องไห้)

“ โอ้ตก็เหงาเหมือนกัน ” โอ้ตพูดขึ้นมา

“ ถ้าโอ้ตไปเรียน โอ้ตก็คงคิดถึงปริ้นมากเหมือนกัน ไม่ซิ ต้องคิดถึงแทบบ้าแน่ๆ ” ผมได้ยินมันพูดแค่นี้ น้ำตามันก็เริ่มไหลอีกแล้วอ่ะ ขี้แยจังกรุ

“ อือ งั้นก็ไม่ต้องไปดิ เอนฯใหม่ก็หมดเรื่อง อย่างโอ้ตอ่ะ ต้องเอนฯได้อยู่แล้ว ” ผมพูดโดยพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมาให้รู้ว่าร้องไห้

โอ้ตเอามือลูบหัวผมอีกรอบ ผมว่ามันรู้แหละว่าผมร้องไห้ เพราะว่าน้ำตามันก็ไหลไปโดนหน้าอกมันแหง่มๆ

“ โอ้ตอยากไปเรียนจริงๆนะ โอ้ตอยากไปตามหาฝันบางอย่างที่โอ้ตยังไม่ได้ทำ ”

“ โอ้ตมีฝันอะไรที่เชียงใหม่เหรอ ” ผมถาม แล้วก็ไม่ได้มองหน้าโอ้ตเหมือนเดิม

“ ไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วโอ้ตจะบอกปริ้นคนแรกเลย ” โอ้ตมันพูดแล้วก็หยุดลูบหัวผม กลับจับหัวผมหันมานอนหงายบนหน้าอกมันแทน

“ ร้องไห้จริงๆด้วย ไอ้เด็กขี้แยเอ้ย ”

“ อือ ก็ใช่ดิ เค้าก็ต้องให้โอ้ตช่วยทุกเรื่องล่ะ อยากให้โอ้ตอยู่กับเค้า อยากให้โอ้ตไม่ทิ้งเค้าไปไหนอ่ะ ไม่รู้เหรอไง ” ผมพูดไปน้ำตาไหลไป ไม่คิดจะปิดมันแล้ว

“ แล้วถ้าโอ้ต ถ้าโอ้ตทิ้งเค้าไปอ่ะ แล้วไปเจอใครคนใหม่ … แล้วเค้าจะเหลือใครอ่ะ ” ผมพูดแบบไม่อายปากอ่ะ ผมอยากจะรั้งโอ้ตไว้จริงๆ แม้จะรู้ว่า เมื่อโอ้ตมันตัดสินใจอะไรแล้ว มันไม่เคยเปลี่ยนใจ แต่ผมก็อยากที่จะได้พูดบ้าง

โอ้ตมันไม่พูดไร จนผมค่อยๆหยุดสะอื้นไปเอง แล้วมันก็เอามือมาจับมือผมไว้ยกมาวางที่หน้าอกมัน แล้วก็ค่อยๆฮัมเพลงขึ้นมา


.
.
.


ฝากหัวใจให้กันเอาไว้ก่อน ที่เราจะต้องห่างเหินไป

เผื่อว่าเราลำบากอยู่หนใด หัวใจก็ยังมีคนดูแล

อาจจะมีบางคราว เราพบใครใหม่

เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน

แต่เรายังมีใจ กันไว้ไม่หวาดหวั่น

จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ ให้เราคอยดูเสมอ

หากเราเผลอลืมไป แล้วดวงใจจะหาย

หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ

เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

“ โอ้ตคิดว่า ปริ้นดูแลตัวเองได้ แล้วก็ได้ดีด้วย อาจจะไม่ได้เจอกัน อาจจะได้คุยกันน้อยลง แต่โอ้ต … ”

โอ้ตดึงตัวผมให้ไปมองหน้ามัน

“ โอ้ต อยากให้ปริ้นรู้ว่า หัวใจของโอ้ต ฝากไว้กับปริ้นแล้วนะ แล้วมันจะอยู่กับปริ้น จนกว่าปริ้นจะทิ้งมัน ” โอ้ตพูดชัดถ้อยชัดคำ ทั้งๆที่น้ำตาของโอ้ตไหลเหมือนกับผม

“ โอ้ตฝากมันไว้กับปริ้นนะ แล้วโอ้ตจะกลับมารับมันคืน ” พูดเสร็จ โอ้ตมันก็สวมกอดผมแน่น เรากอดกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ ผมอยากกอดมันไว้ให้นานที่สุด ผมไม่รู้ว่าอนาคตรจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าความรักของเรามันจะไปได้ถึงแค่ไหน ผมรู้แค่เพียงว่า วันนี้ มีใครคนนึงฝากสิ่งที่สำคัญที่สุดของเค้าไว้กับผม แล้วผมก็จะต้องรักษาสิ่งนั้นไว้ จนกว่าจะถึงวันที่กลับมารับมัน … กลับมาหาความรักของเราอีกครั้งนึง

.
.
..
.
.
.
.
.
.
.
.
.

.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:28:22
บ้านพักอลเวง4 - คิมหันต์นิรันดร

ครืดด ครืดด

เสียงตัวผมไถลอยู่บนเตียง หลังจากลืมตามาได้ซักพักนึงแล้ว จำได้ว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมๆใหม่
ของปีการศึกษาใหม่


วันนี้สถานภาพของผมเปลี่ยนจากพี่รองฯ มาเป็นพี่ใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ผมไม่อยากลุกไปไหนเลย
รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรงชอบกล (เมื่อคืนไม่ได้ทำอะไรนะ) เพราะผมรู้ตัวว่า ต่อจากนี้ไป ผมต้องเดินทางไป
กลับโรงเรียนคนเดียว โดยที่ไม่มีไอ้โอ้ตแล้ว


เมื่ออาทิตย์ก่อน โอ้ตมันขึ้นไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วครับ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องรีบไปทำไม ในเมื่อคณะเภสัชฯมันก็มี
หอของคณะอยู่แล้ว หอก็ไม่ต้องรีบร้อนจองเหมือนคนอื่น แต่พ่อกะแม่มันอยากให้ขึ้นไปเตรียมตัวอะไรก่อนล่ะมั้ง
ก็เลยอพยพกันไปส่งถึงโน่นเลย ผมก็อยากไปนะ แต่คิดอีกที ในพ่อแม่ลูกเค้าได้อยู่ด้วยกันจะดีกว่า หลังจากนั้น
ช่วงค่ำๆ มันก็จะโทรมาหาผมทุกวันคับ เพราะว่าลุงแกซื้อมือถือให้มันเครื่องนึง อยู่ไกลจะได้ติดต่อกันได้สะดวก
แต่ก็โทรคุยกันได้แป๊บเดียว สมัยนั้นค่าโทรฯมานแพงอ่ะ แต่ก็ดีใจคับ ที่มันไปแล้วก็ยังมีกะใจจะโทรมาหาผม


ผมค่อยๆ เหยียดตัวลุกขึ้น ตอนนี้เวลาเกือบจะเจ็ดโมงแล้วคับ ท่าเป็นเมื่อก่อน โอ้ตมันก็คงจะวิ่งมาเคาะประตูห้อง
บอกว่าสายแล้วๆ ผมก็ต้องกระวีกระวาดรีบอาบน้ำแต่งตัว แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบคับ เลยค่อยๆลุกขึ้น รู้สึกเหมือน
จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว


เข้าห้องน้ำแล้วก็หยิบหลอดบีบๆแล้วก็แปรงฟัน เอ๊ะ ทำไมรสชาติยาสีฟันมันแปลกๆไปกว่าวันก่อน เหลือบไปมอง
ตายห่า กรุดันหยิบโฟมล้างหน้ามามาบีบแทนยาสีฟัน เฮ้อ …


ออกจากห้องน้ำ ก็หยิบเสื้อผ้ามาใส่ รู้สึกว่ามันคับๆไปกว่าเดิมนิดหน่อย แล้วก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้าน
เพราะเริ่มรู้ตัวว่าจะสายตั้งแต่วันแรก(อีกแล้ว)


เคยเป็นม่ะครับ เวลาบางทีที่เราอยู่กับบ้านเป็นเวลานานๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เหรอว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่
กับร่องกับรอย แล้วก็เราก็จะเบลอๆ ทำอะไรไม่ค่อยมีสติ วันนี้ผมก็เป็นแบบนี้ทั้งวัน เริ่มจากตอนเช้าหลัง
จากวิ่งออกมานอกบ้านรอรถ พอขึ้นไปแล้วก็จ่ายตังค์ค่ารถ พี่ที่เก็บเงินก็ทอนเงินมาให้ ผมดันไปไหวเค้าเฉยเลย
เค้าก็ทำหน้างงๆครับ ผมมารู้ตัวทีหลังก็ทำเนียนไม่สนใจ แต่ในใจ กรุอายโคด..
,
,
ติ้ง ต่อง ต๊อง ต่อง ต่อง ต๊อง ต้อง ต่อง
,
,
เดินเข้าไปถึงแค่หน้าประตูโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงอ๊อดมาแต่ไกล ทำให้ผมต้องรีบจ้ำเข้าไปใหญ่ สุดท้ายผมก็
มาเข้าแถวทันคับ กระป๋งกระเป๋า ก็ไม่ได้เอาขึ้นไปเก็บไว้บนห้องหรอก วิ่งพลวดไปที่แถวเลย


“มาสายวันแรกเลยเหรอวะ” ซังมันหันมาถาม มันเป็นคนที่เลขที่อยู่ข้างหน้าผมคับ เลยคุยกันได้สะดวก


“เออ…”ผมตอบโดยไม่ได้สนใจ


“เมื่อคืนได้นอนมั่งป่าว ทำไมดูเซือยๆ” ซังมันก็ถาม ชวนคุยโน่นนี่ มันก็รู้แหละครับว่าผมกะลังอยู่ใน
ช่วงเวลาของการปรับตัว ก็เลยคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอด แต่ผมก็ไม่ค่อยจะตอบรับเท่าไรนี่ซิ แต่มันก็ดีนะ
ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องโอ้ตให้ผมต้องมาคิด แต่ …


“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าคิดถึงไอ้โอ้ตมันดิ” เสียงใครบางคนมันตอกย้ำความรู้สึกผม แล้วมันก็ม่ะใช่ใคร
ที่ไหนคับ ไอ้คิวเจ้าเก่านั้นเอง พอดีเราสามคนกินข้าวเสร็จแล้วก็เลยขึ้นมาอยู่บนห้องก่อน


“ปริ้น เมิงแมร่งก็เว่อร์ แค่มันไปเรียนเชียงใหม่แค่เนี้ย เมิงก็ทำเป็น...”


“คิว มึงพูดไรให้น้อยๆหน่อย” ซังปราม


“ก็เห็นแล้วกรุรำคาญนี่หว่า ทำเหมือนจะเป็นจะตาย” คิวมันพูดเสร็จก็เดินมาชนตัวผมจนเซแซ่ดๆ
แล้วก็เดินออกไปนอกห้อง


ผมก็พูดไม่ออกคับ เจอมันตอกหน้าแบบนี้ ก็มันไม่เป็นผมนี่หว่า แล้วผมก็เดินเนือยๆไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง


“ปริ้น อย่าไปสนใจคิวมันเลย” มันพูดพลางเอามือมาตบไหล่ให้กำลังใจ


“มันก็พูดได้หนิ มันไม่ได้มาเป็นกรุนี่หว่า” ผมพูดไปเสียงสั่นๆ น้ำตาคลอ เหมือนจะน้อยใจที่
ไอ้คิวมันไม่เข้าใจ แถมยังมาด่าอีกตะหาก


“กรุก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก กรุก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน กรุก็เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ”
ผมพูดไปพลางเอามือปาดน้ำตาตัวเองไม่ให้มันไหล คิดแล้วมันเจ็บใจจริงๆ ซังมันก็พูดไรม่ะออกคับ ได้แต่เอา
มือตบไหล่ผมอยู่นั่นหล่ะ จนเพื่อนบางคนมันขึ้นกันมาก็เลยรีบไปนั่งที่กันโดยไม่ได้พูดไรอีก


ยอมรับคับว่า วันนั้นเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องทั้งวันเลย โชคดีที่วันแรกก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรเท่าไร ตอนเย็นไอ้ซัง
มันก็เลยชวนผมไปเดินเที่ยวบิ๊กซีกัน (ตอนนั้นพึ่งเปิด)


“อ้าว ไหนเมิงบอกว่า วันนี้จะไปเตะบอลกะกรุไง ซัง” คิวมันถามแฟนด้วยความเคืองๆ


“เออ ผลัดไปวันอื่นล่ะกัน” ซังมันว่าพลางเก็บหนังสือลงกระเป๋า


“ไปด้วยกันเปล่าล่ะ หรือจะไปเตะบอล”


คิวทำท่าทางคิดนิดหน่อย


“ไปดิ เมิงไม่เตะ กรุก็ไม่มีรมณ์จะเตะเหมือนกัน” คิวมันว่า แล้วก็ทำเดินไปถือกระเป๋าให้ไอ้ซังมันแล้วก็
เอาหนังสือมันยัดๆเข้ากระเป๋า (ไอ้คิวมันถือหนังสือมาโรงเรียนประมาณสี่ห้าเล่มคับ)


“เด๋วกรุเดินไปรอที่รถนะ”


“เออ ไอ้คิวไปด้วยไม่เป็นไรนะ” ซังมันหันมาถามผม


“เออ อืม …” ผมก็ได้แต่พูดแบบนี้อ่ะ จะเป็นไรได้ล่ะ ก็มันเป็นแฟนกันนี่หว่า แล้วมีหวานถือกระเป๋าให้กัน
ด้วยนะ อิจฉาว้อย


ซักพักผมกะซังก็เดินลงมาที่รถ


“ซังเด๋วเมิงซ้อนกรุนะ ปริ้นเด๋วเมิงไปกะไอ้โค้ก” มันสั่งการณ์แล้วก็เดินจูงรถแน่วๆไปเลย ซังมันก็วิ่งตามไป


“แล้วไอ้โค้กมันอยู่ไหนวะ” ผมตะโกนถาม


“อยู่ข้างหลังพี่” เสียงคุ้นเคยดังมาแต่ไกล ไอ้โค้กมันพึ่งจูงรถมอไซต์ออกมา ขึ้นม.5 แล้วตัวมันก็โตกว่าเดิมมาก
เหมือนกันคับสูงร้อยเจ็ดสิบปลายๆได้แล้วมั้ง

“อ้าวแล้ววันนี้เค้าไม่ซ้อมบาสเหรอไง” ผมถามพลางเดินตามมันไป


“ไม่หรอก วันแรกเค้าไม่บ้าพลังกันขนาดนั้นหรอก” มันบอก พอจะออกจากโรงเรียน มันก็ต้องผ่านสนามบาสไง


“เฮ้ย ไอ้โค้กเมิงไปไหนวะ อู้อีกแล้วนะมึง” เสียงไอ้เด็กที่มันเป็นหัวหน้าทีมตะโกนมาจากสนามบาส
ผมก็มองหน้าโค้ก มันก็ยิ้มแหะๆ แล้วก็บอกให้ผมรีบซ้อนท้าย ยังไม่ทันได้นั่งดีเลยมันก็ออกรถอย่างเร็ว


“พี่ เด๋วแวะปั้มเติมน้ำมันก่อนนะ จะหมดแล้ว” มันว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าปั้ม


“เติมไร เด๋วเติมให้” ผมว่า แต่มันทำท่าปฏิเสธ ผมก็เลยบอกมันว่า ถ้าไม่ให้ผมออกให้ก็ไม่ต้องพาไป
มันก็เลยยอม พอดีที่ปั้มมีร้าน 7 อยู่ก็เลยชวนมันไปหาอะไรกระแทกปากก่อนคับ ชักหิวๆ


ผมก็จะซื้อไส้กรอกชีส เดินไปดูๆ ชี้ๆ ไส้กรอกชีสที่หมุนวนอยู่


แล้วบอกพนักงานไปว่า “91 เต็มถังน้อง”


อ๊า กรุยังไม่หายใจลอย


ซักพัก พนักงาน 2 คนกะ คนซื้อข้างๆ แล้วก็ไอ้โค้ก ขำขี้แตกขี้แตนเลย -*-


พอมาถึงบิ๊กซี ซังมันก็โทรเข้ามือถือผมบอกว่ารออยู่ เคเอฟซี ไอ้โค้กก็ดันเสือกเล่าเรื่องที่ทำหน้าแหก
มันก็ขำกันยกใหญ่


“ปริ้น เมิงเป็นเอามากหว่ะ ” คิวมันกัดผม


“ไรมึงไม่เคยเป็นเหรอไง” คนมันเบลอๆ ผมแก้ตัว พลางดูดน้ำ กัดไก่กรวมๆ


เราสี่คนก็คุยๆอะไรกันซักพัก โค้กมันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ


“ปริ้น ตอนที่โอ้ตมันไม่อยู่ เมิงก็หาคนคบไปพลางๆแก้เหงาไปก่อนเด๊ะ” ไอ้เชี่ยคิวมันเสนอแนะ
ซังมันเหลือบไปมองแฟนตัวเอง


“มึงอย่าไปแนะนำเรื่องชั่วๆให้ไอ้ปริ้นมันทำตัวเหมือนมึงได้ม่ะ กรุขอร้อง” ซังมันด่าไอ้คิวไป
มันก็ทำหน้าทะเล้นไม่ใส่ใจ


“เมิงไม่รู้สึกเหรอ ว่าไอ้โค้กอ่ะมันสนใจเมิงเหมือนกันนะว้อย ” ไอ้คิวพูดทำเอาผมสำลักน้ำเป๊ปซี่


“พูดไร จะบอกว่าไอ้โค้กก็เป็นเกย์เหรอ” ซังมันพูดแต่คราวนี้ทำเสียงค่อยแทบไม่ได้ยิน


“เหี้ย เมิงไม่สังเกตเหรอไง โดยเฉพาะเมิง ไอ้ปริ้น โค้กมันเกาะเมิงแจเลย ตั้งแต่กีฬาสีโน่นแล้ว”
คิวมันบอกผม จริงๆผมก็รู้สึกเหมือนที่มันพูดอะแหละ แต่ตอนนั้นผมมีโอ้ตอยู่นี่นา ก็เลยไม่ได้สนใจ
อะไรจริงๆจังๆ แถมบางที อาจจะดูเหมือนโค้กมันสนใจผมก็จริง แต่เวลาปกติ ก็เห็นมันไปเหล่สาว
กะเพื่อนมัน บางทีมันก็ยังเอาเรื่องที่จะจีบคนนั้นคนนี้มาเล่าให้ฟังบ่อยๆ


“ไม่รู้ว้อย กรุไม่ได้ชอบไอ้โค้กแบบนั้น” ผมรีบตอบ


“เจงอ่ะ” คิวมันมองผมเหมือนจะจับผิด พลางยิ้มแบบมีเลสนัย ไอ้ซังมันกระทุ้งศอกเป็นเชิงให้รู้ว่า
โค้กมันเดินมาแล้ว มันก็มองๆว่าคุยเรื่องไรกัน


“เปล่า เออ จะไปดูหนังกันเปล่า” ซังมันพูดไปเรื่องอื่น


“ไม่ดูอ่ะ เด๋วกรุกลับบ้านค่ำ” ผมบ้านไม่ได้อยู่ในอำเภอเมืองเหมือนมันทั้งสามตัว ก็เลยต้องรีบกลับ


“โห จะรีบกลับไปทำไมวะ ฟงแฟนก็ไม่ได้อยู่ด้วย” ไอ้คิวมันหลุดปากพูดแทงใจดำอีกแล้ว


“โอ้ย …” เสียงซังมันเหยียบเท้า


“เฮ้ย ดูด้วยกันดิ ปริ้น” ซังมันก็พยายามชวนผม แต่ผมหมดอารมณ์แระไม่อยากดู แล้วก็ไม่อยากทนปากหมา
ไอ้คิว ก็เลยบอกว่า ไม่ดู แล้วก็ขอตัวออกมาก่อน


“พี่ปริ้น เด๋วผมไปส่ง”


“ไม่ต้องหรอก เด๋วรอตรงข้างหน้าห้างมันก็มีรถผ่าน” ผมบอกมัน เพราะผมก็ไม่อยากจะให้ความรู้สึก
ที่ไอ้คิวบอกมันเกิดขึ้นกับตัวผมจริงๆ


“ขืนรอตรงนี้ ก็ไม่ได้นั่งกันพอดีดิคับ มาเหอะ ไปขึ้นหน้าโรง’บาลดีกว่า” มันไม่พูดเปล่า ฉุดมือผม
มาด้วย ผมก็เลยไม่อยากต้านทาน เดินตามมันต้อยๆ (ใจง่ายม่ะกรุ)


“พี่โอ้ตไปเรียนแล้ว เหงาอะดิ” มันพูดขึ้นระหว่างที่กะลังมาส่งผม


“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมก็ตอบแบบเลี่ยงๆ ผมก็คิดว่ามันก็คงรู้มั้งว่าผมกะไอ้โอ้ต คบกัน แล้วก็คงรู้ว่า
ไอ้คิวกะไอ้ซังคบกันมากกว่าเพื่อน แต่เราสามคน ก็ไม่เคยคุยเรื่องแบบนี้กันต่อหน้าไอ้โค้กเลย เพราะ
ต่างคนก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นหรือไม่เป็น


“ขอบใจนะที่มาส่ง” ผมบอกตอนลงจากเบาะ


“ไม่เป็นไรคับ ผมเต็มใจ” มันพูดพลางยิ้ม ดวงตามันยังคงมีเสน่ห์ที่ใครเห็นแล้วก็อดหลงไปกะมันไม่ได้
พอดีเหลือบไปเห็นรถมาพอดี ผมก็เลยรีบลา แล้วก็กระโดดขึ้นรถ


ไม่ได้ๆ กรุจะมาใจอ่อนกะเด็กม่ะวานซืนได้ไงวะ(ห่างกันปีเดียว) กรุมีแฟนอยู่แล้วนะว้อย ผมคิดตอนอยู่บนรถ


มืดวันนั้น โอ้ตมันก็โทรมาหาผมตามปกติคับ ก็คุยๆกันไปเรื่อยๆ กว่ามหาลัยมันจะเปิดก็ตั้งต้นเดือนมิถุนา
ช่วงนี้มันก็เข้าหอแล้วคับ แต่โดนพวกรุ่นพี่นี่ดิ รับน้องกันแบบโหดๆทั้งนั้น ผมก็ถามว่าเค้ารับยังไงบ้างล่ะ
โอ้ตมันก็ได้แต่หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่ยอมบอกผม


“อย่าไปชอบใครที่โน่นล่ะ” ผมพูดดักคอ


“โห จะไปชอบใครล่ะ แล้วใครจะมาชอบเห้อะ” โอ้ตทำเสียงขำ


“ไม่รุ จะไปรู้เหรอไง ไปอยู่หอเอง จะทำอะไรก็ได้หนิ” ผมพูดประชดๆ


“แหม ไม่ไปมีใครหรอก ก็โอ้ตมีเด็กต้องดูแลที่เพชรอยู่ทั้งคนนี่นา” มันว่า


“เออ รู้ก็ดีแล้ว”


“เหอะๆ เป็นไร ดูทำเสียง ”


“ก็คิดถึงนี่หว่า”


“… หวงด้วย”


“ตอนเราอยู่ด้วยนี่น้า ไม่เห็นจะมาหึงเหิงแบบนี้เลย” โอ้ตมันว่า


“ก็มัน …” ผมพูดม่ะออกคับ เหอๆ


“ไม่รู้ล่ะ ตัดสินใจแล้วอ่ะ”


“ตัดสินใจว่าอะไร ? ”


“ปีหน้า ปริ้นจะเอนฯเข้า มช”


“ห๊า..!! ว่าอะไรนะ”

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:28:49
หลังจากวันที่ผมคุยกับโอ้ตเรื่องที่ตัดสินใจจะเอ็นฯ เข้า มช แล้ว ตัวเองกลับต้องกลับ
มานั่งคิดหนัก เพราะว่า หัวสมองผมไม่ได้ดีเหมือนโอ้ตมัน แล้วอีกอย่างคือ ผมยังไม่
ได้ตัดสินใจด้วยซ้ำว่า จะเลือกเรียนอะไรดี (ทั้งๆที่อยู่ ม.6 แล้วอะนะ) เลือกไปเลือกมา
ซักพัก ก็เลือกมาได้คณะนึงครับ ....


แต่คะแนนปีที่แล้วโคตรสูงเยยย T-T อธิบายก่อน คือ ตอนที่ผมเอ็นฯ มันพึ่งเปลี่ยน
จากระบบเอ็นฯแบบเก่า ที่เป็นแบบ สอบครั้งเดียว เป็นแบบ สอบสองรอบ เดือน ตค
แล้วก็ มีค จริงๆแล้วมันเปลี่ยนตั้งแต่รุ่นโอ้ตแล้วล่ะครับ แต่มันเจือกล่ม รุ่นผมก็เลย
เหมือนกะเป็นรุ่นแรก (ม่ะมีแอดมิดนะ) เลยทำให้ผมต้องเครียดหนัก พอใกล้ถึงเดือน
ต.ค. ก็ต้องไปสมัครที่ศูนย์สอบที่ศิลปกร นครปฐมคับ เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่เลย


ผมก็มาสมัครสอบพร้อมๆกะพวกซัง แล้วก็ไอ้คิวน่ะล่ะ นั่งรถบขส มาลงหน้ามหาวิทยาลัย
จำได้ว่า มันเป็นวันที่เกือบจะปิดรับสมัครแล้ว คนเลยน้อยโคตรๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้
สัมผัสกับคำว่า รั้วมหาวิทยาลัย ต่างจังหวัดจริงๆ เพราะเคยไปเดินใน จุฬาฯ หรือว่า มธ
ตอนที่เรียน ม ต้น ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย


“เฮ้ยๆ ... ปริ้น เค้าว่ากันว่า ถ้าเมิงเห็นเหี้ยที่นี่นะ เมิงจะสอบติดด้วยล่ะ” ไอ้คิวบอกคำร่ำลือ


“แล้วกรุจะหาทำแพะอะไรล่ะ กรุไม่ได้จะเข้าทีนี่นี่หว่า” ผมว่ามันไป


“อ้าว แล้วจะเข้าไหนอ่ะ ปริ้นยังไม่เคยบอกเลยนี่หว่า ว่าจะเอ็นเข้าที่ไหน” ซังถาม ผมลืมไปว่า
ผมยังไม่เคยเล่าเรื่องที่ผมตัดสินใจอะไรไปเพียงชั่ววูบที่จะเอ็นเข้ามช เพราะผมไม่อยากโดน
ใครๆด่าว่า เพ้อเจ้อ เอาชีวิตตัวเองไปผูกติดกะไอ้โอ้ตมัน


“อ่อ ยังไม่รู้เลยวะ” ผมพูดปด


“เหรอว่าเมิงคิดจะเอ็นฯเข้าเชียงใหม่ว่ะ” คิวมันแสล่นมองหน้าผมแบบจับผิด


อี๊ ... มันมีพลังจิตเป่าวะ


“บ้าดิ กรุไม่มีปัญหาเข้าหรอก ห่ะ ห่ะ ห่ะ” ผมบอกมันแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งตอนนี้มา
คิดดูก็ไม่รู้ว่าจะกลบเกลื่อนไปเพื่ออะไร - -;


“แล้วมึงอ่ะ จะเลือกอะไร ” ผมเปลี่ยนไปถามฝ่ายมันบ้าง


“ไม่รุหวะ กรุคงไม่ติดอยู่แล้ว คงเรียนเอกชน” มันว่าพลางหันไปยิ้มแป้นทางไอ้ซัง ซึ่งทำหน้าบอกว่าสมควร


“ก็กูจะติวให้มึง ก็เล่นโน่นเล่นนี่ ขี้เกียจสันหลังยาว เอ้ย ไอ้ ... บลาๆๆๆ ” ซังมันหันไปพูด
กระทบกระแทกแฟน แล้วก็หันมาบอกผมว่า มันจะเลือก เรียน นิติ มธ คับ โห เพื่อนกรุ


ผมเห็นมันคุย(ทะเลาะ) กันหนุงหนิง ก็อดกลับมาคิดถึงตัวเองไม่ได้ ผมกะลังทำอะไรอยู่นะ
ซังมันก็เลือกที่จะเรียนตามที่มันชอบ คิวมันก็รู้จักประมาณตัวเอง แต่ผมนี่ดิ อยากไปมช เพราะ
ว่า จะได้ไปเจอไอ้โอ้ต !


หวนกลับมาคิดแล้ว ทำเอาผมเสีย self ไปนิดหน่อย แต่ ... พอผมคิดถึงตอนที่ผมบอกกะโอ้ต

.......

...


“ปริ้นตัดสินใจแล้วอ่ะ ว่าจะเอ็นฯเข้ามช”


“ห๊า”


“ทำไมต้องตกใจด้วยอ่ะ”


“ก็ตกใจนะซิ แล้วจะมาเรียนอะไรเหรอ”


“คือ ...... ยังไม่รู้เลย”


“อ้าว แล้วจะมาเรียนแต่ยังไม่รู้จะเรียนอะไรเนี่ยเหรอปริ้น คิดดีๆนะ”


“เราอยากจะไปเรียนที่เดียวกะโอ้ต ระ .. เราคิดถึงโอ้ตอ่ะ” ผมพูดเสียงสั่นๆ


“โอ้ตไม่อยากให้ปริ้นไปเหรอ ? ”


โอ้ตมันเงียบไปจบผมต้องทักมันอีกครั้ง


“มะ ไม่ใช่ครับปริ้น โอ้ต ... โอ้ตดีใจต่างหาก ถ้าปริ้นได้มาเรียนที่นี่ ก็คง...”


“โอ้ตก็คงมีความสุขมากแน่ๆ เพราะจะได้ดูแลปริ้นได้ไง” โอ้ตมันพูดเสียงมีความสุขจริงๆ


“อือ .. ”


“พยายามเข้านะครับ เจ้าชายของโอ้ต ”โหย มันพูดคำนี้ทำเอาผมสะท้าน


“ครับ โอ้ต - - คิดถึงนะ ”


“เหมือนกันคับ”


.....

.........

ผมสั่นหัวไปมา กลับมาคิดอีกที ผมก็มีจุดมุ่งหมายนี่หว่า ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างจากคนอื่นก็เหอะ
ถึงแม้ว่ามันจะดูไร้สาระสำหรับคนอื่นก็เหอะ


.. แต่ว่ามันสำคัญสำหรับผม แล้วก็ โอ้ต ก็พอแล้ว ..

.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.

ปิดเทอมเดือนตุลาคม แต่สำหรับเด็ก ม.6 ทุกคน ไม่มีคำนี้อยู่ในหัวจนกว่าจะสอบเอ็นฯเสร็จ

สนามสอบที่ผมต้องไปสอบคือโรงเรียน ที่อยู่ใกล้ๆกัน ม่ะก่อนตอนที่ผมเรียน ยังเป็นโรงเรียน
หญิงล้วนครับ แต่ ม ปลายก็จะเป็นสห เหมือนโรงเรียนผมที่ ตอนม ต้นจะเป็นชายล้วน แล้วก็
ม ปลายจะเป็นสห. ฉะนั้น โรงเรียนนี้ ผู้หญิงจะเยอะมากๆ เพื่อนผมมันก็กระดี้กระด้ากันสุดชีวิต


ส่วนผมก็ไม่ค่อยสนใจครับ (เหมือนเป็นคนดี) เพราะว่า วันแรกผมก็มีสอบตั้ง 3 วิชา วิชาละสอง
ชั่วโมง ก็แทบบ้าแล้ว


“เป็นไงปริ้น ทำได้เปล่า” ซังมันเดินหน้าเครียดมาถามหลังจากเสร็จวิชาสุดท้าย


“ม่ะค่อยได้หว่ะ เรื่องตรีโกณอ่ะ ม่ะรู้เรื่องเลย” ผมบอกมันแบบหน้าไม่รับรู้ความรู้สึก


“ห่ะ ตรีโกณมันเกือบจะทั้งหมดเลยนะนั่น ตะ แต่มันก็ไม่ได้ยากไรมากนี่หว่า ” ซังมันบอกผม


“เออ ก็เอ็งเก่งนี่นา” ผมชักเริ่มหงุดหงิด


“แล้วจะไปไหนต่อป่ะ”


“ไม่อ่ะ จะรีบกลับแล้ว ปวดหัว” ผมว่า ม่ะรืนนี้ก็มีสอบอีกสามตัว ผมตายแน่ แล้วทีสอบไปวันนี้
ก็รู้สึกว่าทำไมค่อยได้เลย เซงๆ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสสอบใหม่อีกในเดือน ตค ก็เหอะ ก็ยังวางใจ
ไม่ได้


“เด๋วไปส่งที่ท่ารถ ” ซังบอกผม


“ไม่เป็นไรอ่ะ ซังอยู่รอไอ้คิวเหอะ” ผมบอกมัน เด๋วนี้ไอ้คิวไม่ขี่รถมาเองแระ ไปไหนมาไหน
กะไอ้ซังบ่อยขึ้น คงเป็นเพราะมันรู้ล่ะมั้งว่า เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ มันจะเหลืออีกไม่
มาก แต่มันก็วางแผนกันนะ ว่า ไปกทม แล้วมันก็จะเช่าหออยู่ด้วยกัน ถึงจะเรียนคนล่ะที่ก็
เหอะ (เหมือนคิวมันจะรู้ชะตากรรมว่า ไม่ติด)


หลังจากสอบเสร็จ ผมก็ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนที่ห้องบ้าง ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ โอ้ตมันเรียนไปได้
เทอมนึงแล้ว เห็นบ่นทางโทรสับว่ายากงั้นยากโง้น แถมช่วงหลังๆ ก็โทรมาหาน้อยลง หรือคุย
ได้แป็บเดียวก็ต้องวาง ม่ะรู้มันจะยุ่งอะไรนักหนา ... เรื่องกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ หรือว่าแฟน ไม่มี
ในหัวมันเลย สงกะสัยเจงๆ


พอใกล้ๆจะเปิดเทอม ผลสอบก็ส่งมาครับ ... เกณฑ์ก็อยู่ในมาตรฐาน(ต่ำ) แต่มีวิชานึงที่ผมได้
เกิน 70 !!


วิชาวัดแววความเป็นครูครับ ผมม่ะได้อ่าน ไม่ได้อะไรเลย แต่พอสอบผมก็สมัครไว้เผื่อๆ ดันได้
เยอะสุด - -‘’ งงกะตัวเองมากมาย

ผ่านเข้ามาในเทอม 2 เป็นเทอมสุดท้ายที่จะได้อยู่ในรั้ว น้ำเงิน – ชมพูแห่งนี้แล้ว การเรียนการสอน
ก็ไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนกับเทอมแรกอ่ะ อยากอาจารย์คณิตเค้าก็ขอแค่มีงานส่ง ก็ให้เกรดดีๆแระ
(ไม่ควรเอาอย่าง) แต่ก็มีบางวิชาที่อาจารย์ยิ่งตั้งใจสอนมากขึ้น โดยเฉพาะวิชาอังกฤษ ช่วงนั้นผมก็
บ้าเรียนพิเศษครับ ภาษาอังกฤษวิชาเดียวเลย ไปเรียนทั้ง speaking listening บลาๆๆ ไม่อยาก
ให้ตัวเองอยู่ว่างๆอ่ะครับ ก็ช่วยได้ระดับนึง


ในห้องเรียน ผมก็สนิทอยู่ไม่กี่กลุ่ม แต่จะสนิทมากๆอยู่แค่ 2 คน คือ ไอ้ซังกะไอ้คิว เรียกว่าไปไหน
มาไหนก็ไปกัน 3 คนอยู่บ่อยๆ แล้วก็จะมีกะไอ้โค้กนี่ล่ะครับ ที่มักจะหาเวลาไปไหนมาไหนกะพวก
ผมอยู่เรื่อยๆ มาพักหลังๆ มันก็ไม่ค่อยมีเวลามาสุงสิงกะพวกผมบ่อยๆ เพราะว่า ตัวมันติดเป็นนักกีฬา
บาสฯระดับจังหวัดเลย เจ๋งจริงๆ มันก็ไปแข่งงานโน้นงานนี้ แถมสาวๆ และไม่สาวก็ติดมันตรึม


แต่ ... มีอยู่วันนึง ในเดือนพฤศจิกายน มันก็บอกว่า จะต้องไปแข่งกะทีมจังหวัดใกล้ๆนี่ล่ะครับ วันนั้น
ผมก้มาเรียนตามปกติ ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ได้ข่าวว่า ไอ้โค้กมันประสบอุบัติเหตุตอนแข่งอ่ะ ขามันเหมือน
จะหัก


ผมก็ตกใจดิ เพราะว่า มันเป็นคนเล่นกีฬา แล้วก็มีสิทธิที่จะเข้ามหาลัยโดยใช้โควตานักกีศาได้อยู่แล้ว
พอตอนเย็นผมก็เลยรีบไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาลกะซัง ไปถึงก็เห็นมันนอนหลับอยู่ ไปเจอแต่พี่เลี้ยง
มันเฝ้าอยู่ (บ้านมันออกจะไฮโซหน่อย ไม่สมกะหน้าตามัน) พี่เลี้ยงมันก็ส่งซิกให้ผมกะซังออกมา
ข้างนอกก่อน แล้วพี่เค้าก็บอกว่า มันม่ะได้แค่กระดูกหักอย่างเดียว แต่มันมีปัญหาถึงเอ็นขาด้วย ไม่รู้
ว่าไปโดนอะไรมาแรงขนาดนี้ คือ สรุปง่ายๆ มันจะไปลงแข่งอะไรแบบนี้ม่ะได้แล้วอ่ะคับ แต่ตอนนี้
มันยังม่ะรู้หรอก ม่ะมีใครกล้าบอก แล้วพี่เค้าก็ขอร้องอย่าให้พวกผมบอกมันตอนนี้ เด๋วมันจะยิ่งแย่ .


“น่าสงสารโค้กหว่ะ ” ซังบอกเบาๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องคนป่วยแล้ว


“อือ ... ” ผมก็สงสารมันเหมือนกัน ม่ะน่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย อนาคตมันกำลังสดใสแท้ๆ เรื่องโควต้า
นักกีฬาที่จะเรียนต่อมหาลัยก็แห้วไปเลย ... แต่เรื่องเข้ามหาลัยคงไม่มีปัญหาเท่าไร เพราะว่าหัวมันก็ดี
พอควร


ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง เห็นมันกำลังนอนหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขาข้างนึงใส่เฝือกยกขึ้นสูง ผมเผลอ
เอามือไปลูบหัวเบาๆ เหมือนกับที่แม่เคยทำให้เวลาที่ผมกำลังป่วย


“หายเร็วๆนะ มึง ไอ้โค้ก...”
.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

ประมาณไม่ถึงอาทิตย์ มันก็เสือกออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ด้วยความทีมันถึก แล้วก็ขี้เกียจ
อยู่ในโรงพยาบาลไม่ไหว ประมาณวันศุกร์มันก็มาโรงเรียนโดยใช้ไม้ค้ำกระเตงๆมา ดูหน้าตา
มันยังสดใสเหมือนเดิม ดูท่าทางจะยังไม่รู้เกี่ยวกะขาตัวเองมั้ง ...


เท่าที่ผมแอบดูอยู่ห่างๆ ตอนนี้มันยิ่งเด่นกว่าเก่าอีกอ่ะ มีแต่สาวๆ มาช่วยมันถือของ เอาใจสารพัด
มาช่วยป้อนข้าว ? .... บีบนวดสารพัด ตอนเย็น ก็ไม่ต้องขี่รถมอไซต์กลับเอง เพราะว่ามีคนใช้ที่
บ้านมารับ เป็นแบบนี้อยู่หลายอาทิตย์เหมือนกัน จนเข้าเดือนธันวา ขามันก็ถอดเฝือก แต่ก็ยังต้อง
ใช้ไม้ค้ำอยู่ ลืมบอกไปคับว่าปีนี้ นอกจากอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าปีก่อนๆ ถึงขนาดบางคาบต้อง
ปิดประตู หน้าต่าง เพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามา กันเลยทีเดียว (ไม่ได้เว่อร์ และอยู่ในเมืองนะคับ ) ตอน
กลางวันก็จะวิ่งไปกลางสนาม แล้วก็ไปนั่งแช่แป้งตากแดดอุ่นๆกัน สนุกสนาน


ขณะที่ผมกำลังนอนอาบแดดบนสนามหญ้าเพลินๆ


“พี่ปริ้น ๆ ” เสียงใครหว่า คุ้นจัง


“พี่ปริ้นนนน” มันเรียกดังขึ้น เหมือนเสียงจะอยู่บนหัว พอลืมตา ก็เห็นไอ้โค้กยืนขาเดี้ยงๆ อยู่บนหัวผม
หน้าตายังคงเบิกบานอยู่เหมือนปกติ


“เออ ว่าไง อยู่แค่นี้ ไม่ต้องตะโกนก็ด้ายย” ผมบอกพลางผุดลุกขึ้นมานั่ง


“เย็นนี้ว่างป่ะคับ”


“ก็ว่างอยู่ มีไรเหรอ”


“พอดีมีเรื่องปรึกษาหน่อยครับ งั้น ห้าโมงเย็น เจอกันที่สระมรกต นะครับ ” มันบอกผมพลางกระเตงร่าง
ตัวเองออกไปนอกสนาม


“อ้าว เฮ้ย แล้วทำไมไม่พูดตอนนี้อ่ะ”


มันหันมายิ้มให้กวนๆ แล้วก็ทำท่าทางกวนตีน เดินขึ้นตึกไป


ผมเก่าหัวแกร็กๆ พอดีกับเสียงออดของโรงเรียนดังขึ้นพอดี

.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ... ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


“ปริ้น ไปกินสปาเก็ตตี้โรงบาลกัน .. ” (หมายเหตุ – ร้านอาหารที่ขายในโรงพยาบาลแถวโรงเรียนที่อร่อย
มากๆ) ซังบอกผม พลางสะกิดไอ้คิวที่งีบหลับ ตั้งแต่ต้นคาบ ยันเรียนเสร็จก็ไม่มีทีท่าจะตื่น


“เออ .. ไปกันก่อนเหอะ เด๋วไปหาไอ้โค้กมันก่อน” ผมบอก


“ไอ้โค้กมีไรเหรอ ? ”


“ไม่รู้มานดิ บอกว่ามีปัญหา ปรึกษา - - อ่ะ เหรอว่า มันจะรู้เรื่องที่ขา - -”


“ขามันทำไมฟะ ”ไอ้คิวสอดขึ้นมา


“ขามันเจ็บไง .. ”ซังมันแก้ตัวแทน แล้วก็ผลักไสให้มันไปรอข้างนอกก่อน แล้วก็คุยอุบอิบกับผม


“เหรอว่า มันรู้เรื่องขามันแล้ว ... แล้วมันทำใจไม่ได้ ก็เลยมาลาปริ้นวะ” ซังพูดเสียงเบา


“มาลาทำแป๊ะอะไร”


“มาลาตายอ่ะดิ !? ”


ผมตบหัวไอ้ซังมันทีนึง แล้วก็ว่ามันปากไม่เป็นมงคล ซังมันก็หัวเราะเรื่อยเปื่อยว่าล้อเล่น


“หรือว่า ... !? ”


“หรือว่าอารายอีก” ผมทำหน้าเบื่อๆ


“มันจะ ... สารภาพรักกะปริ้น !? ”


ฉึก ... <----------------- เสียงมีดแทงใจดำเล็กๆ


“พะ พูดไร เพ้อเจ้อ”


“อ้าว ม่ะแน่นา - - - เฮ้ยๆ พูดเล่น ม่ะต้องทำท่าจะชกก็ได้ว้อยย ” ซังมันพูดเสร็จ ก็รีบเดินหนี
ทันที


พูดไรให้คิดมากฟะ ไอ้บ้าเอ้ย ผมคิดไปบ่นไป จนรู้ตัวอีกที ก็เดินมาถึงแถวสระมรกตแล้ว ก็มอง
หาโค้ก ก็เห็นมันนั่งอยู่แถวน้ำตก เลยเดินเข้าไปหา


“ว่าไง มานั่งอ่อย เล่น MV อะไรอยู่ตรงนี้อ่ะ ม้านั่งมีก็ไม่นั่ง ” ผมบอกมัน


“ก็ต้องนี้มันไม่ค่อยมีคนนี่หว่า ”


“ว่าแต่มีอะไรอ่ะ ซีเรียสเป่าเนี่ย” ผมถามก่อน เพราะชักเกรงๆ


“นิดนึง”


“เหรอ แล้วเรื่องอะไรอ่ะ”


“พี่ปริ้น - - อีกไม่กี่เดือน ผมก็คงไม่ได้เจอพวกพี่ๆ อ.6 แล้วใช่ป่ะ” อยู่ๆมันก็ถามอะไรงงๆขึ้นมา


“ก็เออดิวะ ถามไรแปลกๆ”


“- - ผมก็เลยคิดว่า ถ้ามันมีเรื่องอะไรที่มันติดค้าง คาใจ ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไรไปแล้ว มันก็คงเสียใจ
น่าดูเลยเนอะ”


มันจะพูดถึงอะไรฟะ


“อืม เออ ..แล้วไงอ่ะ”


“- - ก็ .. ผมน่ะ ผม ....... ” มันเริ่มพูดแบบตะกุกตะกักไม่สมกะเป็นมัน หน้าเริ่มแดงๆ จนผมทำให้เริ่มแดง
ตามไปด้วยแล้น


หรือว่า ... มันจะ ... สารภาพรักกะปริ้น !? กะปริ้น กะ ปริ้น กะ ปริ้นนนนน เสียงซังมันลอยเข้ามา
ในใจ


“ผม - - แอบชอบคนๆนึงอยู่อ่ะครับ เป็นคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับพี่ปริ้นน่ะแหละคับ” มันพูดแล้วก็เกาพลางไป
ด้วย น่ารักน่าชัง


“เฮ้ออออ ... ” ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก


“ก็บอกเค้าไปเลยเด๊ ... จามามัวงึมงำๆ ทำอาไรอยู่ เด๋วก็โดน ม ค ป ด หรอก” ผมเริ่มแนะนำมันอย่าง
สบายอกสบายใจ


“อยู่ๆจะไปบอกเค้าเลยได้ไงเล่า เผื่อเค้าไม่ชอบผมขึ้นมา ก็หน้าร้าวกันพอดี แถมยังเป็นไอ้เป๋ แบบนี้อีก”


“เง้ย ปกติ มึงไม่ได้เป็นคนหงอย แบบนี้นี่นา ออกจะมั่นใจตัวเอง” ผมพูดพลางตบบ่ามัน


“กล้าๆ หน่อยดิ ถึงมันจะไม่สำเร็จ แต่เราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง - - ว่าทำไมเราถึงไม่ทำ” ผมจ้องตามัน

มันก็มองตาผมแป๋วเลย


“ครับพี่ผมจะลองดู แต่ - - -”


“แต่อะไร !? ”


“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างอ่ะ” ผมได้ยินมันพูดแล้วแทบจะเดินตกสระ หน้าอย่างมันเนี่ยนะจะจีบคนอื่นไม่เป็น
แสดงว่าคนๆนี้ต้องทำให้มันรักแบบหัวปักหัวปำแน่ๆ ถึงหงอ ไม่กล้าพูดกล้าจา


“ก็ .. - - เดินเข้าไปแบบนี้” ผมก็ทำท่าทำทางให้ดู


“แล้วก็บอกว่า ผม ชอบ คุณ นะครับ แล้วก็ เวลาพูด ก็มองหน้าเค้าไปด้วยเซ่ - - แล้วถ้า เค้ายอมให้จับมือ
ก็จับมือเค้าเบาๆ (เด็กดีไม่ควรเอาอย่าง) แล้วก็มองหน้าเค้า” ผมเริ่มพล่ามในสิ่งที่เป็นไปไม่ค่อยได้ให้ฟัง


“อ่อ คับ คับ คับ ” มันมองโดยไม่วิจารณ์อะไร (ก็ลองวิจารณ์เซ่ะ -*- )


“งั้นผมลองกะพี่ได้ป่ะ” โค้กถามผม


“เอ๋ ..!? ” <----------------- เริ่มรู้สึกแปลกๆ


“จะได้ชินๆไง นะครับ” มันอ้อนผม


“เออ แต่พี่เป็นผู้ชายนะ(วะ) มันจะม่ะได้ฟิลล์หรอก” ผมพยายามเลี่ยง


“ไรวะ แล้วบอกว่าจะช่วยน้อง ช่วยน้อง บอกให้กล้า แค่เรื่องสมมุติแค่เนี้ย ยังปอดเลย” มันประชด


“เออๆๆ ก็ด่ะๆ ” ผมยอมแพ้


“งั้น เด๋วพี่ปริ้นทำเป็นเดินมาทางผมนะ แล้วผมจาแอบอยู่ตรงหลืบหินตรงนี้” มันชี้ๆ แล้วพี่ก็ทำ
เป็นตกใจอ่ะ


“เออๆๆ... ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ด้าย” แล้วผมก็ต้องเป็นหนูทดลองให้มัน โดยการเดินกลับไปที่
อาคาร 5แล้วก็ทำเป็นเดินมาทางสวนน้ำตก


“หวัดดีครับพี่ ” มันเอาไม้ค้ำวางไว้ตรงหิน ทำเป็นเดินยะโหยกขะเหยกออกมา เจอผมพอดี ส่งยิ้มพิมพ์
ใจให้เต็มเหนี่ยว


“หวัดดีคับ” ผมยิ้มให้มันนิดๆ


“ผมมีเรื่องอยากจะบอกพี่อ่ะครับ”


“เรื่อง ? ... เรื่องอะไรเหยอ ” ผมพูดตามบท (กรุกะลังทำอะไรอยู่เนี่ย - -‘’ )


“คือ ผม - -” มันพูดแล้วก็ยื่นมือมาจับมือผมเบาๆ


เฮือก <----------------- แอบคิดนิดนึง


มือมันเย็นมากเลยคับ


“คือ ผม - -” มันค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ตัวผมมากขึ้น


“ผม - - ชอบ คุณ นะครับ” ในทีสุดมันก็หลุดปากพูดออกมา หน้าตามันแดงก่ำ


เฮ้ . . เฮ้ .. เฮ้ ทำไมผมต้องใจเต้นด้วยฟ่ะ มันแค่สมมุติ สมมุติ ตะ แต่ ..... โค้กมันยัง
ไม่ปล่อยมือผม แถมยังยิ่งเข้าขยับเข้ามาติดตัวจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ


ผมต้องหลบสายตามัน


“อือ ... ”โค้กมันค่อยๆเลื่อนหน้ามันลงมาที่หน้าผม (เผอิญผมเตี้ยกว่ามัน)


“โค้กชอบพี่นะ ... ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:29:22
“โค้กชอบพี่นะ ... ”


“ปริ้น- - รอโอ้ตนะ”


ตึก .... มันคงม่ะได้ตั้งใจหรอก


ผมเอาพลิกมือให้หลุดออกจากที่โค้กมันจับ แล้วก็เอามือยันอกมันไว้เบาๆ จนตัวมันก็สะดุ้ง


“เฮ้ย .. เป็นไร อินจัดขนาดจะจูบเลยเหรอ ไอ้เด็กหื่น” ผมพยายามยิ้มใส่มัน คิดว่าหน้าคงแดงก่ำ
พอๆกะหน้ามันตอนนี้ มันสะดุ้งที่ได้ยินเสียงผม แล้วก็ผละตัวออกไป เกาแก้มเหมือนกะที่มัน
ชอบทำตอนเขิล


“ขะ ขอโทษครับ แฮะๆ เกือบไปแล้วดิ ” มันว่า


“ก็ทำได้ดีนี่หว่า .. ทำเอาเกือบเชื่อแน่ะ นึกว่ามาบอกรักจริงๆ ” ผมเอ่ยปากชม


โค้กมันยืนยิ้มๆ ไม่พูดไร


“งั้นก็ทำตามนี้ล่ะ เอาใจช่วยนะเฟ้ย” ผมบอกพลางตบบ่ามันแล้วก็แยกกับมัน


เกือบแล้วซิกรุ


.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

“ปริ้น .. ปริ้นนน ”


“ห่ะ ว่าไง อะไรนะ” ผมสะอึก นึกขึ้นมาได้ว่ากะลังคุยกะโอ้ตอยู่นี่นา


“ฟังเสียงเหมือนเหม่อลอยชอบกล ” มันพูดเหมือนมีตาทิพย์ส่งตรงจากเชียงใหม่


“อ่อ รู้สึกง่วงๆอ่ะ ”


“อ่อ งั้นก็รีบไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้วันเสาร์ ก็นอนให้เต็มอิ่มล่ะกัน อย่ามัวไปเที่ยวกะเพื่อนอยู่”


“คร๊าบๆ”


ผมวางหูจากโอ้ตเสร็จ ก็นอนหงายตึง เอามือหนุนหัวไว้


อยู่ๆหน้าโค้กมันก็ลอยเข้ามาในพวัง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนอยู่กับมันเมื่อตอนเย็น
สายตาโค้กมันมองมา ทำเอาผมหวาดหวั่น


“โค้กชอบพี่นะ ... ”


อยากรู้จังมันจะไปสารภาพกับใคร(วะ)


สองวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมก็ทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ไปไหน เอาแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบรอบ 2
เพราะหลายวิชาคะแนนยังไม่ดี ถ้าลองเทียบคะแนนเอนฯปีที่แล้ว ระดับคะแนนแค่นี้ ผมไม่ติด
แน่นอน


ไฟโตะๆ (สู้ว้อยๆ)


ผมลืมเรื่องที่อยากรู้อยากเห็นว่าโค้กมันจะชอบใครไปสนิท จนกระทั่งเข้าสู่เดือนธันวาคม เดือนสุดท้าย
ของปีนี้ แต่สิ้นปีนี้ แอบพิเศษนิดนึง .. นั่นก็คือ เป็นปีที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ศตวรรธใหม่ ปี 2000 นั่นเอง
วันนึงจำได้ว่ากำลังจะไปกินข้าวกลางวัน กะไอ้คู่รักสองตัวนั่น ที่โรงอาหาร ก็เห็นโค้กมันเดินมากับเพื่อน
ในห้อง (หลังจากที่มันมาให้ผมเป็นหนูทดลองวันนั้น มันกะผมก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้อีก ก็เลยไม่รู้ว่า
มันสารภาพรักสำเร็จเป่า) มันเห็นพวกผมก็ยิ้มให้ ขามันก็ยังไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้วล่ะ


“นั่นไอ้โค้ก” คิวบอกผม


“เออ กรุเห็นแระ” ผมตอบ


“มันยิ้มให้เมิงด้วยแน่ะ ”


“แล้วมันแปลกตรงไหนฟะ ” ผมชักฉุน


“ม่ายมีรายยยย~ย แต่มันกำลังเดินมาทางนี้แล้ว” คิวมันบอก แล้วก็ลากซังเดินไปอย่างเร็ว ไม่รอผมเลย


“พี่ปริ้น บ่ายมีเรียนป่ะ ? ”


“เออ - - ก็มีล่ะ ”


มันทำหน้าเศร้าแว่บนึง


ผมแอบอ้ำอึ่งนิดหน่อย “เออ แต่มีคาบ 7 – 8 อ่ะ คาบหน้าว่างอยู่ ”


“งั้นกินข้าวเสร็จแล้ว ไปหลังตึก 1 หน่อยซิพี่ ”


“เอ๋ ... ปายทำไมอ่ะ คงไม่ได้ให้ทำอะไรแปลกอีกใช่ม่ะ” ผมถามเผื่อไว้ก่อน


มันส่ายหน้า


“มันจบแล้วล่ะพี่ ... ” (ผมทำหน้างง) “ เด๋วผมเล่าให้ฟังล่ะกัน” ไปก่อนนะ ว่าแล้วมันก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเพื่อน
มันที่ยืนรออยู่


มันแห้วเหรอ เนี่ย


ผมคิดแล้วก็หันกลับไปแต่ปรากฏว่าไอ้ซังกะไอ้คิวมันเดินเข้าไปต่อคิวซื้อข้าวเรียบร้อยแล้ว โหย ไอ้ห่าน ไม่รอ
เพื่อนฝูงเรย แสด


“ซัง เด๋วช่วยลอกเลขส่งให้หน่อยดิ” ผมวานมัน กะว่า คาบว่างจะปั่นส่งซะหน่อย แต่ต้องไปหาโค้กก่อน เด๋วไม่ทัน


“อ้าว จะไปไหนอีกอ่ะ”


“ธุระ”


“ไปธุระระหว่างเรียนเนี่ยนะ ! ”


“เออน่า ” ผมบอกแล้วก็เดินนำหน้ามันไป โดยมีไอ้สองตัวเดินตามหลังมาห่างๆ


“กรุว่าแอบไปจี๋จ๋ากะไอ้โค้กแหง่มๆ” ไอ้คิวว่าเบาๆ (แต่กรุได้ยิน)


ฉึก ... <----------------- อีโต้ปักกลางใจดำ


“สงสัยม่ะกี้นัดไปอิ๊อ๊ะกันชัวว์” มันยังคงซุบซิบกะไอ้ซังต่อไป


อุบอิบๆ


“ไม่หรอกมั้งปริ้นมันก็มีพี่โอ้ตอยู่ทั้งคน” ซังบอก


อุบอิบๆ


“เมิงม่ะเคยได้ยินเหรอ รักแท้แพ้ใกล้ชิด ”


ปั้งๆๆ เคว้กๆๆ <----------------- ล่อด้วยปืนเอ็ม 16 กระหนำใจดำ


อุบอิบๆ


“เฮ้ย !! มึงสองตัวอ่ะ คุยอุบอิบอะไรเรื่องกรุอยู่ได้ เห็นกรุเป็นคนยังไงกันวะ”


“เมิงก็เป็นคนดี แต่ว่า ชอบหว่านเสน่ห์ กับคนอื่นไปทั่ว ไม่เว้นไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือเลี้ยงต้อยกะเด็ก
ไอ้คิวบรรยาย


“เออ .. อืม ขอบพระคุณรุนช่อง - - - อ๊ะ !? ... แย๊กกก แล้วกรุจะขอบใจมึงทำไมเนี่ย ไอ้สาดคิว ด่ากรุเหรอ ! ”


ผมไล่กวดเอากระเป๋าไล่เขวี้ยงมันไปมา จนเหนื่อย ถึงจะเดินไปหาโค้กตามที่นัดไว้หลังตึก 1 (ในโรงเรียน
จะเรียกว่า ไปเจอกันหลังเขา)


“มาตรงเวลาจังเนอะ” มันพูดประชดผม ซึ่งสายไป 20 นาที


“เออน่า ... ว่าแต่มีอะไร”


มันไม่ตอบ แต่เงยหน้าไปบนเขา แล้วก็ชี้


“ชี้ไรวะ ” ผมทำเป็นมอง


“ไม่ได้ให้ดูว่ามีอะไร ชี้ให้ขึ้นไปด้วยกันตะหาก”


“อี๊ .. จะให้ขึ้นไปทำไม เด๋วก็โดนจับไปห้องปกครองหรอก”


“น่า ไม่เห็นหรอกคับ ผมขึ้นไปบ่อย เหอะๆ” เมิงอย่าทำเสียงหัวเราะแบบภาคภูมิใจได้ม่ะฟ่ะ


“ไม่เอาหรอก แล้วอีกอย่าง มึงก็ขาเจ็บอยู่ เด๋วก็ได้หักอีกรอบหรอก”


“ไม่เป็นไรคับ ผมจะระวัง ” มันบอกแล้วก็ฉุดมือผมให้เดินขึ้นไปกับมัน อย่างที่บอกไว้ว่า
มันเป็นเส้นทางลึกลับในตำนาน ที่พวกเด็กนักเรียนใช้กันมาหลายรุ่นต่อหลายรุ่น ทางมันก็
เลยดูเหมือนขึ้นไปได้โดยง่ายดาย ประมาณ 10 กว่านาทีผมก็ขึ้นมาถึงบริเวณป้อมๆนึง ซึ่ง
เมื่อก่อนจะเป็นป้อมปืนครับ บนพระราชวังบนเขาแห่งนี้


ฮ้า ...........................


แม้ว่าจะเดินมาค่อนข้างไกล แต่ด้วยอากาศที่เย็นของเดือนธันวา พอมาอยู่บนเขาแบบนี้ พักแป็บเดียว
ให้ลมหนาวโกรกก็หายเหนื่อย


“ขึ้นไปบนเจดีย์แดงกันพี่ปริ้น” มันยังชวนเดินไปต่อ ผมดูแล้วมันเหมือนจะเริ่มเจ็บๆขาแล้ว
ก็เลยจะห้ามมัน


“ไม่เป็นไรหรอกคับ แค่นี้เอง ผมอยากไปนั่งบนโน้นอ่ะ” (ไปนั่งบนโน้นคนยิ่งสังเกตเห็นเข้าไปใหญ่นะ)


ผมก็ตามใจมันคับ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ก็มีความสุขแล้วก็สบายใจที่ได้อยู่กับมันนิดๆ


ซักพัก ก็เดินขึ้นมาถึงจุดสุดยอด (เขา) ชาวบ้านก็จะเรียกว่าเจดีย์แดงคับ ร.5 ท่านได้ทรง
สร้างวัดเล็กๆ จำลองจากวัดพระแก้ว ชื่อ " วัดพระแก้วน้อย " มีเจดีย์เป็นสีเทาๆ
โค้กบอกว่าชอบมานั่งบนนี้เพราะว่ามันเย็นดีแล้วก็เห็นวิวได้เกือบทั่วเมืองเลย วันดีคืนดี
ถ้าท้องฟ้าแจ่มใส จะมองไปเห็นทะเลที่ชะอำเลยก็มี วันนี้ก็เช่นกัน ลมเย็นน่าหนาว ท้องฟ้าแจ่มใส
บรรยากาศดีสุดๆ แม้จะเป็นตอนบ่ายแล้วก็เหอะ


“เจ็บขาอยู่แน่เป่าเนี่ย ” ผมแซวมัน ที่เห็นพยายามเดินขึ้นมาเหลือเกิน


“เวลาเซงๆ เครียดๆ ผมก็ขึ้นมาบนนี้ประจำล่ะ พอเจ็บขา ก็ไม่ได้ขึ้นมาเลย เนี่ย พึ่งได้ขึ้น
มาวันนี้ เลยชวนพี่มาด้วยไง”


“อ่ะ มีเรื่องเครียดไรว่ามา” ผมขึ้นมานั่งข้างๆมัน


“อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน หุหุ”


.
.


“ผมว่า ผมอกหักล่ะพี่ปริ้น ” มันค่อยๆบอกผม แต่เสียงก็ยังแจ่มใสเหมือนเดิม


“ว่าแต่ เอ็งยังไม่ได้บอกพี่เลย ว่าไปแอบชอบสาวคนไหนวะ อยากรู้จัง” ผมซักไซ้


“บอกไม่ได้หรอกพี่ ของแบบนี้” มันหัวเราะ


“พอพี่ติวให้ผมวันนั้นเสร็จ ผมก็รู้สึกว่าอกหักดังเป๊าะเลย”


“โห บอกหลังจากนั้นเลยเหรอฟะ ลองวิชาเร็วจริงๆ - - - แล้วเค้าว่าไงบ้างอ่ะ”


“ไม่ได้ว่าราย เค้าไม่ได้พูดไรเลยด้วย - - - แต่ผมก็รู้ล่ะว่า เค้าอ่ะ ไม่ได้ชอบผมหรอก สงสัยเค้ามี
แฟนอยู่แล้วด้วยล่ะ”


“อ่อ ไปชอบคนมีเจ้าของ” ผมว่า แล้วก็ไปกอดคอให้กำลังใจมัน


“เอ็งตัวแค่นี้ ไม่ต้องรีบร้อนมีหรอก หน้าตาแบบนี้อ่ะ จะหาตอนไหน ก็หาได้” ผมว่า


“หึหึ ไม่หรอกพี่ปริ้น หน้าอย่างผม เค้ายังไม่สนใจเลย” รอยยิ้มโค้กมันหายไป เหลือแต่
ความรู้สึกว่างเปล่า


“ผมอยากให้คนที่เค้ามารัก ไม่ได้รักผมที่หน้าตา แต่อยากให้รักผมข้างในนี้ต่างหาก
ผมจะรู้ได้ไง - - - ถ้าเผื่อวันไหน ผมเจ็บปางตายขึ้นมา เค้าจะยังอยู่ข้างๆผมเหรอเปล่า”


“ - - ทะ ทั้งๆ ผมคิดว่า ผมหาคนที่คิดว่าใช่เจอแล้วแท้ๆ แต่เค้าก็มีคนที่เป็นของเค้าอยู่แล้ว”


ผมม่ะเคยเห็นมันเศร้าขนาดนี้มาก่อนเลยอึ้ง ทำไรไม่ค่อยถูก ได้แต่นั่งฟังน้องมันพูดไปเรื่อยๆ
อย่างน้อย ก็คงทำให้มันได้ระบายมั่ง


“ผมดีใจนะ ตอนที่ผมเจ็บนอนที่โรงบาลน่ะ ตื่นมาก็เห็นพี่กับพี่ซัง มาเยี่ยมผม ผมนึกว่าจะไม่มี
ใครมาหาผมซะแล้ว ” โค้กยังคงพูดเรื่อยๆ


“ทุกคนเค้าก็ไปเยี่ยมทั้งนั้นล่ะ ทำไมคิดมากจัง”


“ห่ะห่ะ พี่รู้เปล่า - - - ทั้งๆที่ผมอยู่โรงบาลเกือบอาทิตย์ มีแต่พี่นวล(พี่เลี้ยงที่บ้านมัน) มาเฝ้าผม
ที่บ้านผมม่ะเคยมีใครมาหาเลย”


“โค้ก .. ”


ผมไม่เคยรู้มาก่อนจนกระทั่งเด๋วนี้ ว่ามันมีปัญหากับที่บ้านเหรอเนี่ย มันไม่เคยแสดงว่าตัวเองมีปัญหา
หรือว่า ขาดความอบอุ่นเลยนี่หว่า จนมาถึงตอนนี้ ...


“ถ้าพวกพี่จบไป ผมคงเหงาน่าดู - -”


“เพื่อนในห้องออกเยอะแยะ โค้ก” ผมปลอบ


“พี่รู้เปล่า - - บางคนที่รู้ว่าผมเดี้ยงแบบนี้ แล้วกลับไปเล่นบาสไม่ได้อีกแล้ว เค้าก็หายหน้าหายตาไปเลย”
โค้กบอกผม


“ง่ะ ... ระ รู้แล้วเหรอ”


“55 ผมรู้ตั้งแต่ก่อนออกจากโรงบาลแล้วคับ ขู่หมอ” โห ตกลงมึงใจแข็งหรือใจอ่อนกันแน่วะ


“- - แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า มีใครบ้าง ที่เป็นคนที่รักผมจริงๆ ห่วงผมจริงๆ ใช่ม่ะคับ”


“มองโลกในแง่ดี สมกะเป็นตัวเองดีแล้ว เข้มแข็งดีมาก” ผมบอกมัน


ผมสังเกตว่าโค้กมันนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก พอหันไป ก็ตกใจ เพราะว่ามีหยดน้ำใสๆค่อยๆไหลออกมาจาก
ดวงตาแป๋วๆของโค้ก ทั้งๆที่ตัวมันก็ยังนั่งเฉยเหมือนเดิม


“คะ โค้ก .. ”


“ผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็ง เหรอว่ามองโลกในแง่ดีอะไรนักหรอกครับพี่ปริ้น - - - ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นจริงๆนะ”


“เฮ่ .. จาร้องไห้ทำไม - - - ” ผมพูดแล้วก็จับหัวมันมาลูบ แล้วก็คว้ามาซบที่ไหล่ตัวเอง อารมณ์นั้นไม่คิดว่าใคร
จะมาเห็น หรือว่านินทาไรเลย ผมไม่อยากเห็นเด็กที่ร่าเริง แจ่มใส ต้องมาร้องไห้แบบนี้เลย


“พี่ - - ปริ้น - - - - - - ทำไม ทุกๆคนต้องคิดว่า ผมต้องเป็นคนร่าเริง เข้มแข็ง อยู่ตลอดเวลาด้วยคับ
บางที ผมก็อยากจะร้องไห้ ผมอยากจะอ่อนแอ แต่ - - ผะ ผมก็ ไม่อยากให้เค้าต้องเสียความรู้สึกกับผม”


ผมปล่อยไม่ขัดปล่อยให้เจ้าโค้กมันพูดระบายไปเรื่อยๆ บางทีมันคงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้มันสบายใจ
ดูเหมือนยิ่งปลอบ มันก็เหมือนยิ่งทำให้โค้กร้องมากขึ้น แต่เอาเถอะ


“โค้ก เอ็งอ่อนแอตอนนี้ได้ แต่พอลงไปแล้ว ต้องกลับเป็นคนเดิม แล้วก็ต้องเข้มแข็งมากขึ้นนะ
จำไว้ .. อย่าให้ใครมาดูถูกได้ เป็นไอ้เป๋แล้วไง สมองก็ยังมี อย่างอื่นก็มี ใช่ม่ะ”


โค้กมันพยักหน้ารับคำในอ้อมกอดผม


“จำไว้นะโค้ก ถึงจะคิดว่าไม่มีใคร แต่แกก็ยังมีพี่อยู่นะว้อย” ผมลูบหัวมันไปมา แล้วดูเหมือนมันคงจะ
ชอบใจเล็กๆล่ะมั้ง


“ขอบคุณครับ พี่ปริ้น” โค้กค่อยๆผละออกจากตัวผม แล้วก็เอามือขยี้ตา เหมือนเด็กๆ


.
.

“ฮู้ .........ฮฮฮฮ........... ”
.
.


“เห้ย ตะโกนไม่อายชาวบ้านบ้างไง” ผมตลกมากกว่าที่จะดุมัน


“ไม่อาย ผมหน้าหนาอยู่แล้ว - - เฮ้อออ ผมไม่ชอบหน้าหนาวแบบนี้เลย มันอึมครึมๆ แถมหนาวอีกตะหาก”


“แต่พี่ชอบหว่ะ - - - พี่ชอบหน้าหนาว”


“ทำไมล่ะ”


“ก็มีวันหยุดเยอะดี 55 - - - แล้วเราอ่ะ ชอบหน้าไหน” (อย่าตอบว่าน่ารักจังนะ กรุจะโบ้หัวให้)


โค้กมันยืนขี้น ที่ฐานของเจดีย์ ซึ่งถ้าใครขวัญอ่อน หรือกลัวความสูงมากๆเนี่ย ลุกขึ้นยืนไม่ได้นะครับ
เพราะว่า มันไม่มีที่จับ หรืออะไรเลย แต่มันก็กล้ายืน


สายลมเย็นพัดโชยมากระทบใบหน้า ผมสั้นๆของไอ้โค้กมันปลิวไปปลิวมาจนปิดหน้าผากมันหมด


“ฮ่ะ ฮ่ะ - - - พี่ปริ้น ... ชื่อผมก็บอกอยู่แล้วนี่นา ว่าผมน่าจะชอบฤดูไหน”


ผมคิดแป็บนึง ...แล้วก็หัวเราะออกมา


“ค๊าบบบบ .. พ่อหนุ่มฤดูร้อน”
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:29:50
“ ปริ้น ตกลงเมิงจะเอนฯเข้าที่ไหน ? ”


ผมทำเป็นไม่สนใจเสียงที่เพื่อนหลายต่อหลายคนถาม นั่งก้มหน้าก้มตาปั่นการบ้านต่อไป


“ ยังไม่รู้หว่ะ .. ”


.....


..


ติ้ง ต่อง ตอง ต่อง ... ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


..


.....


เสียงออดคาบสุดท้ายของปี 1999 ตรงกับวันพฤหัสฯที่ 30 ธันวาพอดี ปีนี้ได้หยุดยาว 4 วันรวดคับ ปีนี้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ตรงที่เมื่อปีที่แล้ว ผมกับโอ้ตอยู่ส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน แต่ปีนี้ ผมคงได้แต่รอนับถอยหลัง เพื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่คนเดียวกับหมาๆแมวๆที่บ้าน


หยุดยาวปีใหม่ โอ้ตมันก็ไม่กลับมาครับ .. เกือบ 7 เดือนแล้วที่เราห่างกัน ตั้งแต่ไปเรียนมช โอ้ต มันก็ไม่กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างเลย พ่อแม่มันก็เข้าใจเพราะว่า สมัยก่อน ไม่มีสายการบินโลคอร์สแบบตอนนี้ แถมการเดินทางก็ยาวนานกว่าตอนนี้แยะ ผมกะมันก็ได้แต่คุยโทรสับกันแค่นั้นเอง


เฮ้อ ... ผมเหงาจัง


.....


..


โอ้ตมันไม่คิดถึงผมบ้างเหรอไงนะ ไปอยู่ที่โน่นคนน่ารักๆคงเยอะแยะซินะ ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งหวาดหวั่น ม่ะใช่ว่าไม่เชื่อใจมันหรอกนะคับ แต่ของแบบนี้ ยิ่งใจคนแล้ว จะห้ามไม่ให้คิดมันก็คงยาก


ผมก็เป็นคนๆนึงนี่นา มันก็ต้องมีเหงา เศร้า กังวล บ้างล่ะ.


.....


..


****************


..


.....


คืนนั้น โอ้ตโทรมาคุยกับผมแป็บนึง ก็คุยปกติทั่วไป เหมือนทุกๆวันล่ะคับ ทำไรอยู่ กินไรยัง เรียนเป็นไงบ้าง ผมก็ถามมันกลับไปคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน


“ แล้ว ไม่คิดจะกลับมาบ้านมั่งเหรอ ” ผมตัดสินใจถามมันไปในที่สุด


“ ...... ก็ ” มันอ้ำอึ้ง


“ ก็ ... เรียนหนัก ม่ะมีเวลา อีกล่ะซิ ”


“ ก็มันเป็นยังงั้นจริงๆนี่นา ” เสียงมันดูมีม่ะโหเล็กน้อย “ แถมลงไปที แล้วขึ้นมาที มันก็เปลืองเงินเยอะเลยนะ โอ้ตไม่มีตังค์ใช้ฟุ่มเฟือยหรอก ” มันพูดเสียงขุ่น


“ กลับมาหาพ่อ แม่ บ้าง เค้าเรียกว่าฟุ่มเฟือยเหรอไง ” ผมถามแบบสงสัย


“ โอ้ตคุยกับพ่อ แม่โอ้ตแล้วล่ะ เค้าก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย ” โอ้ตบอกผม แสดงว่ามันคิดว่าผมเอาพ่อแม่มันมาอ้างให้กลับมาอะดิแบบนี้ ( ก็จริงมั้ง )


“ โอเค ! ไม่กลับมาก็ไม่กลับ ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงแบบนั้นเลยนี่นา ” ผมตอบกลับด้วยความน้อยใจ


“ ไม่รู้ซิ ปริ้นพูดเหมือนกับว่า โอ้ตไม่กลับเนี่ย เพราะว่าโอ้ตไปทำตัวเหลวไหล ไปมีใครใหม่หยั่งงั้นล่ะ ” โอ้ตว่าผม


“ เฮ้ย .. ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ทำไมพูดงั้นอ่ะ ” ผมถามเสียงสั่นๆ


“ อืม ช่างมันเหอะ โอ้ตร้อนตัวไปเองล่ะมั้ง ถึงคิดแบบนี้ ? ” มันพูดเสร็จ เราก็ต่างคนต่างเงียบซักพัก


“ งั้นโอ้ตไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวรายงานส่งวันจันทร์อีก เหนื่อยๆไงไม่รู้ครับ ”


“ อือ งั้นก็ฝะ - - - ”


ตี้ด ตี้ด ตี้ด


ผมค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนที่นอน เอามือก่ายหน้าผาก


ผมคงหวง คงห่วง มันมากไปล่ะมั้ง ผมคงงี่เง่าใส่มันล่ะมั้ง แต่แค่รอให้ผมพูดให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสายไปไม่ได้เหรอ ?


ตลอดระยะเวลา 7 เดือน ที่ผ่านไปแล้ว วันนี้ เริ่มเป็นวันแรกที่ทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า อะไรๆที่เคยคิดไว้ มันจะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว


ติ้ด ตี้ดด ติ้ด ตี้ดดดดดด


ผมรีบคว้าโทรสับมา เผื่อว่าจะเป็นโอ้ตโทรมาอีกรอบ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่


“ หวัดดี ว่าไง ? ” ผมเริ่มบทสนทนาด้วยอารมณ์เซงๆ


“ ไมทำเสียงเหมือนคนโดนทิ้งแบบนั้นล่ะพี่ สดใสหน่อยดิ จะปีใหม่ทั้งที ” เสียงเจี้ยวแจ้วคุ้นหูกวนประสาทนั่นไม่มีใครอื่นอีกแล้ว


“ เออ.. มาทำเป็นรู้มาก โทรมาไมเนี่ย จะหลับจะนอนอยู่แล้ว ไอ้โค้ก ” ผมโกหกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้รู้สึกง่วงหงิดซักนิด


“ โห ไล่ๆ เออ งั้นแค่นี้นะ ” มันพูดเสร็จก็ทำเป็นจะวางสาย ( ไอ้นี่ติดสันดานแบบนี้มาจากใครฟะ )


“ เออๆ โอ๋ๆ แค่นี้ทำเป็นน้อยจาย สาดดด - - ว่าแต่มีไร ” ผมง้อมันเล็กๆ แล้วก็ทำเสียงหาวหวอด


“ ทำง่วงๆ ” มันยังกวนตีนไม่เลิก


“ เออ เฮ้ย ถ้าไม่พูดนี่จาวางจริงๆแระนะ ”


“ อ่าๆ อย่าขู่เด่ะ คืองี้ - - พรุ่งนี้ผมจะขึ้นกรุงเทพฯอ่ะพี่ จะไปเที่ยวเมืองกรุงซะหน่อย แล้วจะไปงานเคานท์ดาวน์ด้วยอ่ะ พี่อยากได้ไรม่ะ ”


โห มันพูดเหมือนจะไปต่างประเทศแล้วจะซื้อของกลับมาฝากซะงั้น


“ อ้ายเวน กรุเด็กกรุงเทพนะ จะไปฝากซื้อไรล่ะฟะ เออ ขอบใจหว่ะ ที่นึกถึง แล้วถ้าอยากได้ไรจะโทรไปล่ะกาน ” ผมว่า


“ แล้วนี่จะไปอยู่กี่วันอ่ะ แล้วไปกะที่บ้านเหรอ ”


มันเงียบไปแป็บนึง


“ อะ อ่อ ช่าย ไปกะแม่อ่ะคับ คือจริงๆจะไปจัดการธุระอ่ะล่ะ แล้วเรื่องเที่ยวเป็นผลพลอยได้ หุหุ ”


“ อ่าหะ งั้นก็ไปกะที่บ้านเหอะ ม่ะอยากรบกวนสตุ้งสตางค์เด็ก ”


“ เด็กไรว้า ห่างจากตัวเองแค่ปีสองปีเอง มาว่าคนอื่นเด็ก เด๋วเหอะๆ ”


“ เด๋วเหอะไร ”


“ ป่าวคับเพ่ งั้น ถ้าอยากได้ไร ก็โทรมาบอกผมล่ะกัน ”


“ เครๆ ”


“ งั้นก็บายคับ ฝันดีน้อ ” โค้กมันกล่าวทิ้งท้าย


“ คับ ฝะ - - - -------- คิดว่ารู้สึกแปลกๆว่าผู้ชาย เค้าบอกฝันดีกับเพื่อนผู้ชายด้วยเหรอวะ


- - อืม ฝันดีคับ ”


พอคุยกะมันจบก็ไม่ได้คิดไรครับ ไอ้ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรนี่ คือมันรวมไปถึงอาการที่ผมน้อยใจไอ้โอ้ตก่อนหน้านี้ด้วย เหมือนกะว่าพอได้คุยกะไอ้โค้กมันแล้ว เจอความกวนตีน ก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้แฮะ


.....


..


****************


..


.....


เช้าวันสิ้นปี อีกไม่กี่ชมก็จะก้าวข้ามสู่ปีใหม่แล้วซินะ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเป่า เพราะว่าปีนี้ มีการเฉลิมฉลองมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆทั่วโลก แล้วก็ที่เมืองไทยเนี่ย ถือเป็นปีแรกที่มีการจัดเคานท์ดาวน์แบบเต็มรูปแบบจริงๆ ( ซึ่งปีต่อๆมาก็เริ่มจัดการนับถอยหลังเป็นประเพณีมาเรื่อยๆ ) ความรู้สึกเมื่อคืนที่รู้สึกแย่ๆ ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง


ก็อย่างว่า ผมเป็นพวกลืมง่าย หายเร็วอยู่แล้วนี่นา หุหุ


ช่วงสายๆ ผมก็เปิดทีวีดูเรื่อยเปื่อย เห็นที่กรุงเทพมีการเตรียมงานฉลองกันเยอะแยะ ก็รู้สึก ...


“ ฮัลโหล พี่ท็อป ปริ้นนะ ” ผมรีบโทรสับไปหาพี่ท็อป แล้วก็ถามว่ามันอยู่ที่ไหน


“ อยู่บนรถเมล์ กะลังจะกลับเพชรฯหว่ะ คนเยอะชิบหาย ไมเหรอ ? ” มันพูดมาเป็นชุดๆ


“ อ้าว - - นึกว่าจะอยู่เคานท์ดาวน์ ”


“ อยู่ทำหอกไร คนเยอะชิบ ไปก็ไม่หนุก ไมอ่ะ อยากมาเที่ยวเหรอ ”


“ ก็เออดิ ”


“ แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ ”


“ อยู่ชะอำ ”


“ จะมางานที่นี่เนี่ยนะ !! ”


“ เออดิ นั่งรถไปสามชั่วโมงเอง นี่ยังไม่ทันเที่ยงเลย ”


“ เออ แล้วมีที่อยู่แล้วเหรอ เออ ลืมไปบ้านมันอยู่กรุงเทพนิ ” เสียงพี่ท็อปอู้อี้ไปมา สงสัยกะลังยืนอยู่แหง่มๆ


“ ไม่มีแล้วคับ พ่อกะแม่ผมขายบ้านที่โน่นแล้วอ่ะ ”


“ อ้าว แล้ว - - อย่าบอกนะ ” พี่ท็อปยังพูดไม่ทันจบ


“ ก็ช่ายดิ พี่ท็อปรอผมอยู่สายใต้ได้ม่ะ สามชั่วโมงเอง นะนะ ไงกว่าพี่จะถึงสายใต้ กว่าจะได้ขึ้นรถ ก็อีกชาตินึงล่ะ กลับวันนี้เนี่ย ”


“ อาไรว้า เสียงพี่ท็อปโอดครวญ เออ รีบๆมานะเมิง ”


ไม่รู้นึกไง อยู่ๆผมก็อยากจะไปงานปีใหม่ขึ้นมา แถมแรดอยากไปกรุงเทพซะด้วยซิ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า พี่ท็อปน่าจะให้ไปอยู่หอเค้าได้ เพราะพวกผมก็เคยมาค้างหอเค้าครั้งสองครั้ง ตอนที่มาสมัครเอนท์ฯคราวก่อน ( ไม่ได้เล่า ) พี่ท็อปเรียนอยู่ มก คับ หอเค้าก็อยู่แถวพหลฯอ่ะ


กว่าผมจะขออนุญาตยายแบบปัจจุบันทันด่วน กว่าผมจะจับรถขึ้นกรุงเทพได้ ก็ล่อเข้าไปเกือบสี่ห้าชม. มาถึงสายใต้ ( ซึ่งคนแน่นขนัด ) ก็บ่ายสาม อืม...


“ วะ หวัดดีคับพี่ท็อป ” ผมเห็นหน้าพี่ท็อปบูดหยั่งกะตูด นั่งรออยู่ที่สถานี


“ รู้เปล่าวะ กรุเปลี่ยนตั๋วมาสองรอบแล้วนะเนี่ย ถ้าเมิงมาช้ากว่านี้อีกนะ กรุไม่รอแม่งล่ะ ” พี่ท็อปโวยใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง


“ เออ ขอโทดๆพี่ อ่ะ ขอกุญแจหน่อย ” ผมยิ้มไถ่โทษแล้วก็ยื่นมือขอกุญแจ


“ อย่าทำห้องรกนะเมิง จำทางไปได้ใช่เปล่า ”


“ ได้คับ ”


“ เออ ถึงจำไม่ได้ก็ไม่ไปส่งว้อย - - แล้ว อย่าพาใครมานอนห้องกรุนะ ” พี่ท็อปสั่งแบบเข้มงวด


“ เออน่า จาพาใครมานอนเล่า ” ผมว่า


“ แล้วไอ้โอ้ตมันกลับมาเปล่านี่ ” พี่ท็อปถามคำถามแทงใจ


“ ไม่ได้กลับคับ ” ผมพูดเสียงเฉย


“ เหอๆ สงสัยไปติดหญิงอยู่โน่น บ้านช่องม่ะยอมกลับ ” พี่ท็อปหัวเราะหึหึ แล้วก็แยกกับผมไปขึ้นรถ หารู้ไม่ว่า เป็นคำพูดโคตรแทงใจเลย ( จริงๆ แล้วเบาใจนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้บอกว่า ไปติดหนุ่มอยู่โน่น )


พอผมแยกกับพี่ท็อป ก็เริ่มโทรหาเพื่อนแต่ละคนที่เคยเรียนสวนฯด้วยกัน ซึ่งก็โคตรซวย เพราะที่สนิทๆ ก็ไม่อยู่บ้าง เปลี่ยนเบอร์บ้าง หรือไม่ก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง


“ เชี่ยเอ้ย ไอ้อ้นอ่ะ กรุอุตสาห์มากรุงเทพ มึงจะไปเที่ยวกะแฟนใช่ป่ะ ” ผมด่าใส่เพื่อน


“ โหย ไอ้ปริ้น ขืนกรุไม่ไปกะมันดิ แฟนกรุฆ่ากรุแน่ๆ กว่ากรุจะจีบติดนะว้อย ไว้คราวหลังนะๆๆ บลาๆๆๆ ”


เซงคับ เซงพวกที่เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน !
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:30:30
ติ้ด .............ติ้ด............... ติ้ด....................ติ้ด............... ติ้ด


ผมรอเสียงรับสายอีกประมาณ 5 – 6 ที จนเข้าสู่ระบบฝากข้อความ โค้กมันก็ยังไม่ยอมรับโทรสับ
มันเป็นอะไรกันไปหมดนี่ ทั้งเพื่อนเก่าก็ไม่ว่าง โทรหาโค้กก็ไม่รับ นี่ผมขึ้นมากรุงเทพเพื่อมางาน
ปีใหม่คนเดียวเหรอเนี่ย …!


ผมเดินวนเวียนอยู่เซนทรัลปิ่นเกล้า ไม่รู้ที่จะไปไหนต่อ ใจนึงก็คิดว่าจะกลับบ้านดีมั้ยหนอ นี่ก็เกือบ
สี่โมงเย็นแล้วด้วย ... แต่ถ้าจะกลับไปตอนนี้ กว่าจะได้รถก็เที่ยวทุ่มสองทุ่มแน่ คิดแล้วผมก็เปลี่ยนใจ
คืนนี้กรุตะลุยราตรีส่งท้ายปีเก่าคนเดียวก็ได้ฟ่ะ แง่ง ..


คิดได้ดังนั้นผมก็เลยคิดว่า ขึ้นรถไปเดินๆแถวเวิร์ลเทรดก่อนดีกว่า แล้วก็เนื่องจากเป็นวันสิ้นปีคับ หยุด
ยาว ก็เลยมีแต่รถขาออกที่ติด ส่วนรถขาเข้าม่ะค่อยติดเท่าไร ประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ ก็ถึงที่หมาย ผู้คน
ค่อนข้างเยอะแยะพอสมควรเลย ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อากาศเริ่มเย็นตามธรรมดาของฤดูหนาวแบบนี้
ผมเหลียวมองทั้งคนที่มาเป็นกลุ่ม ทั้งมาเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว ทุกคนมีแต่รอยยิ้มสนุกสนาน มองไป
ลานเบียร์ ก็เห็นผู้คนเริ่มทยอยกันมาจับจองที่นั่ง


ลานหน้าห้างถูกประดับตกแต่งพร้อมกับจอทีวีขนาดยักษ์ถูกตั้งขึ้นมาประดับตกแต่งเพื่องานเฉลิมฉลอง
สหัสวรรษใหม่ ท่ามกลางความสนุกสนานของคนรอบข้าง ผมดูเหมือนโดนดูดกลืนความสุขที่มีอยู่ รู้สึก
เหงาอย่างบอกไม่ถูก มองไปทางไหนก็เห็นหน้าคนที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร ได้แต่มองคนเค้าคุยกัน


เป็นอีกครั้งที่ผมคิดถึงโอ้ต ...


อยากโทรไปหามันจัง ..... แต่ผมกลัวว่ามันจะว่าผม กลัวว่าโทรกวนมันกำลังทำงาน กลัวไปหมดทุกอย่าง
ไม่รู้ว่าป่านนี้กะลังนั่งทำงานงกๆ หรือว่านั่งดื่มเบียร์กะเพื่อนอยู่กันนะ ....


ผมค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าเวิร์ลเทรด เลยไปจนถึงท้าวมหาพรหม ตามพื้นฟุตบาทมีแผงขายของซึ่ง
ปกติจะไม่ได้เห็นในบริเวณนี้มากมาย ความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุมตัวบริเวณ แสงไฟรอบๆก็ส่องสว่างขึ้น


อ่า .. ข้างหน้าผม มีขบวนสิงโตอยู่กลุ่มนึง กำลังเชิดแสดงอยู่หน้าห้างเพนนินซูร่า ข้างๆมีต้นคริสมาสขนาด
มหึมา หลายๆคนเก็บภาพความประทับใจด้วยกล้องถ่ายรูปที่เอามาด้วย

มือผมเริ่มเย็นเพราะอากาศเริ่มหนาว แล้วก็ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาเหมือนคนอื่นๆ ปีนี้มันหนาวกว่าทุกปีจริงๆ
ก็ได้แต่ยกมือเย็นเจี้ยบ เอาปากเป่าเบาๆให้ความร้อนในตัวช่วยทำให้บรรเทาไปบ้าง สายตาผมก็เหลือบไปเห็น
ผู้หญิงสาวคนนึงกำลังทำท่าทางเดียวกับผมเลย แล้วผมก็ชะงักกึก เพราะมีชายหนุ่มที่คงจะเป็นแฟน ค่อยๆ
เอื้อมมือไปจับแล้วก็กุมมือเอาไว้


ภาพที่เห็นข้างหน้าทำให้ผมค่อยๆเอามือที่อังอยู่ลงช้าๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับว่ากลัวเค้าทั้งคู่จะหันมา
มองผม แล้วทำท่าทางสังเวชยังไงบอกไม่ถูก ผมหยุดเดินแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองจนเค้าทั้งคู่เดินลับไปท่ามกลาง
กระแสของผู้คนที่มาอยู่ ณ ที่นี้


-เซนซิทีฟชะมัดกรุ ... อิจฉาเค้าอะเซ่ะมึง ... แค่เรื่องแค่นี้ .... ระ ... เรื่อง... แค่นี้ ..ทำไม ... กรุต้องอิจฉาด้วยวะ-


ผมก้มหน้าลงเพราะรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าวเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง


-แค่ความเหงาแค่นี้เอง ... เรื่องแค่นี้เอง ผมสัญญากะโอ้ตมันแล้ว ว่าจะไม่เสียน้ำตากับเรื่องงี่เง่า-


ขาผมเริ่มก้าวต่อไป เพราะมีความรู้สึกว่าถ้าหยุดเดินแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกินของสถานที่นี้
ยังไงก็ไม่รู้


ติ้ด ...ติ้ด ติ้ดดด ติ้ดด ------------------- เสียงโทรสับที่มีให้เลือกได้ไม่มากนักสมัยนั้น


“หวัดดีคับ” ผมรับโทรสับโดยที่ไม่รู้ว่าใครโทรมา รู้แต่เพียงเป็นเบอร์ที่โทรจากตู้โทรสับในกรุงเทพเท่านั้นเอง


“ครึกกก ครืดดดด ..... ฮัลโล ฮัลโล ครึกกก ครืดดดดดดดด.............” เสียงปลายสายอู้อี้ๆชอบกล ไม่แปลก
กับการโทรสับมือถือในวันเทศกาลแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีคนจะใช้โทรสับมากขนาดไหน เสียงมัน
ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ แม้จะโทรจากตู้เข้ามือถือก็เหอะ (หรือมือถือกรุห่วย ?)


“คับ ฮัลโหล ได้ยินเป่า ... ” จากที่เดินไม่มีจุดหมายตอนนี้ผมกลับเดินเพื่อหาสัญญาณมือถือแทน - -‘’


“ครึก ... ได้ยินคับ ...ครืดด พี่ปริ้น นี่โค้กนะ .. ครึก” ในสายบอกว่าที่โทรมาคือไอ้โค้ก


“อ้าว โค้กเหรอ ทำไมกรุโทรเข้ามือถือม่ะเห็นรับเลย” ผมต่อว่ามันไป


“ตอนนั้น ครึก .... ผมทำ ครืดดด ....... ธุระอยู่อ่ะพี่ เลยไม่ได้เอาโทรสับ ครึกกกกกกกกกก ติดตัวไป” มันว่า
พลางได้ยินเสียงหยอดเหรียญกึกๆ


“โทรกลับก็ ครึกกก ....โทรม่ะติด ทำไมมันครึกกๆๆ ไม่มีสัญญาณก็ม่ะรู้” มันบ่น


“เออ แถวนี้คนใช้สัญญาณมันเยอะอ่ะ เลยโทรเข้าม่ะติดมั้ง”


“ครึกก แล้วพี่อยู่ไหนอ่ะ ครืดด ดถึงม่ะมี ตี้ด - - ตี้ด - - ติ้ดดดดดดดดดดดดดดด” อ่า สายตัดคับ ผมเลยรีบเดิน
ไปหาตู้โทรสับโทรเข้ามือถือมันจะดีกว่า


“ฮัลโหลคับ”


“เออ .. ได้ยินชัดยัง ? ”


“โอ้ว ชัดแล้ว อยู่ไหนนิ เอ ... ว่าแต่ เด๋วนะ” มันเงียบไปแป็บนึง ...


“เอ๋ ทำไมเบอร์ที่โทรมาเป็น 02 หว่า - - พี่ปริ้นอยู่กรุงเทพเหรอ ? ” มันถามเสียงระคนตกใจ


“เออดิ เนี่ยอยู่แถวเวิร์ลเทรด”


“เอ้าเจง .. แล้วนี่อยู่กะใครล่ะ มากับเพื่อนเหรอคับ” มันเริ่มถามซอกแซก


“มาคนเดียวหว่ะ แม่ง เพื่อนมันหนีไปกะแฟนหมด เซงอยู่เนี่ย” ผมบอกมัน


“แล้วนี่เมิงอยู่ไหนอ่ะ ” ผมถามมันเผื่อว่าจะมาเดินเป็นเพื่อนได้บ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง


“ว้า ... แบบนี้ก็เหงาตายดิ โดนคนเดียว โย่วๆ” มันยังมีกะใจมากวนติง -*-


“จะอยู่ถึงนับถอยหลังขึ้นปีใหม่เลยเปล่าเนี่ย” มันถามผม


“ก็คงงั้นล่ะ เดินๆ รอๆ เด๋วคงหาไรกินไปก่อง แล้วเด๋วค่อยกลับ”


“แล้วค้างไหนอ่ะ”


“หอพี่ท็อป”


“อ่อ อืมมม ”


“แล้วนี่อยู่กับที่บ้านอ่ะดิ” ผมถามมัน เพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่แพ้กัน


“อ่าหะ .. แล้วนี่พี่ปริ้นอยู่ตรงไหนของเวิร์ลเทรดล่ะ คนม่ะเยอะเหรอนั่น”


“เยอะเหมือนกัน แต่ตอนนี้เดินเลยมาตรงเพนนินฯแล้ว คนน้อยกว่าตรงโน้น มึเชิดสิงโตด้วย แปลกดีหว่ะ”
ผมพูดพลางมองไปที่เค้ายังเชิดอยู่


“อืม งั้นเพ่ไม่กวนแระ อยู่กับพ่อแม่เหอะ หวัดดีปีใหม่ล่วง- - -” ผมยังพูดไม่เสร็จเหรียญที่ตู้โทรสับมันก็ตัดพอดี


แกร๊ก .....


“เฮ้อออ ... ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความหวังสุดท้ายคือไอ้โค้กมันก็มาไม่ได้แล้ว .... ผมแหงนหน้ามองไปบน
ท้องฟ้าที่มืดมิดแล้วก็ยิ้มให้กะตัวเอง


-อืมม . กรุลืมไรไปเป่าวะ- ผมคิดอะไรได้ก็เลยทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นสนามหญ้าบริเวณนั้น แล้วก็
พยายามกดโทรสับไปหาคนๆนึง


“ฮัลโหล สวัสดีคะ”


“มีฮัลโหลแล้วทำไมต้องมีสวัสดีอีกล่ะแม่ ? ” ผมโทรกลับไปหาคนที่ผมเกือบลืมว่ามีคนที่รักผมมาก
ที่สุดในโลกอยู่อีกคนนึง

“นี่ เจ้าปริ้น นานๆทีโทรมา ก็กวนชั้นเลยนะ” แม่เริ่มจะว่าผม แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย


“แล้วทำไมโทรมาหาได้ล่ะ อ้อ .. จะปีใหม่แล้วซินะ นึกว่าจะลืมคนแก่ๆไปซะแล้วซิ ” แม่ผมยังพูดประชดต่อ
มันน่านักเชีย


“โอ๋ๆๆ ไม่ลืมหรอกน่า แหม แม่ก็ เออ แล้วป๊าสบายดีป่ะ” ผมถามถึงพ่อ ม่ะเข้าใจตัวเองว่า ทำไมเรียกว่าแม่ แต่
เรียกพ่อว่าป๊าวะ -*- กรุสับสนในชีวิต


“สบายดี ก็เหมือนเดิมแหละ แล้ว - - - บลาๆๆๆๆๆ” แม่ผมก็ซักไซ้อีกหลายเรื่อง สัญญาณก็ขาดๆ หายๆ ผมก็นั่ง
จ้อลืมโลกไป สายตาผมมองไปเรื่อยเปื่อย แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ว่า -ไม่มีใคร- มันหายไปบ้างแล้วคับ


“คุณ คุณ .... เค้าห้ามนั่งที่พื้นสนามไม่เห็นเหรอ(วะ) ” ระหว่างที่กะลังคุยก็ไม่ไอ้บ้า รปภ ที่ไหนม่ะรู้มาสะกิด
เรียกให้ผมลุกออกจากที่นั่งอยู่


“เออ คับๆ ผมทำทีเป็นว่าโทรสับอยู่ เด๋วก่อนซิว้อย”


“เออ แม่ๆ เด๋วไงแค่นี้ก่อนนะคับ ฝากบอกป๊าว่า แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ”


“แฮปปี้นิวเยียร์ยะ”


“ค๊าบ หวัดดีปีใหม่ด้วยนะแม่” ผมพูดเสร็จก็กะลังจะลุก สายตาก็มองหาข้างๆว่า ไหนป้ายห้ามนั่งวะ ไอ้ฟาย


เมื่อผมแน่ใจว่าไม่มีป้าย ก็เลยหันไปจะเม้งซะหน่อย


“อุ๊กก . ”. หน้าผมไปสัมผัสเข้ากับปุยสายไหมนุ่มๆเข้าเต็มรัก


“นั่น ... นั่งที่ห้ามนั่งแล้วยังซุ่มซ่ามอีกคนเรา” พอผมได้ยินเสียงคนพูดเต็มหู ก็นึกได้ว่าคุ้นเคยสัดๆ


“เฮ้ย ! ... ”. ผมอึ้งไปแป็บนึง เพราะว่ามีไอ้โค้กยืนถือขนมสายไหมสองอันอยู่ข้างหลัง


“ม่ะ มาได้ไงอ่ะ นึกว่าอยู่กับที่บ้าน” ผมถาม แต่ก็รุ้สึกว่าดีใจโคดๆเลยนะ


“โห ยืนรอคุยโทรสับอยู่ตั้งชาติแล้ว ไม่ได้รู้สึกตัวบ้างเลยเหรอพี่” มันบ่น เลี่ยงที่จะตอบคำถามผมซะงั้น


“ก็ไม่รู้นี่หว่า ก็ไม่นึกว่าจะมาได้ อ้าว - - แล้วมาเจอพี่ถูกได้ไงวะ” ผมถามด้วยความสงสัย


“ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ ก็ตอนที่พี่โทรมา ผมก็อยู่แถวสยามอ่ะ เสียงมันก็ดังพอๆกัน แล้วไอ้ที่เชิดสิงโต
โวยวายๆแบบนี้ ก็มีอยู่ตรงนี้ที่เดียว” มันอธิบายพลางเลียสายไหมไปในตัว


“แถมพี่ก็หาง่ายจะตาย ท่าทางคนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวอ่ะ หาไม่อยาก” มันมีเหน็บ


“แล้วม่ะกี้คุยกะแฟนเรอะไง หัวเราะหน้าหมั่นไส้หว่ะ”


“คุยกะแม่ว้อย”


“โดนแฟนทิ้งดิ”


ฉึก ------------- แทงใจดำ


“พูดไรปัญญาอ่อน ดูตัวเองบ้างเหอะ” ผมย้อนมัน “ตัวเองแห้วตั้งแต่ยังไม่ได้บอกเค้าทำมาเป็นว่า”


“ไม่ได้แห้วโว้ย แค่ไม่ได้บอก” แน่ะมาทำขึ้นเสียง


“เออๆ มาเพื่อทะเลาะเหรอเนี่ย” ผมว่ามันแล้วก็แย่งสายไหมมันมากินอันนึง


“ไรว้า ยังไม่ได้ให้เลย เอาไปซะงั้น”


“กินคนเดียวหมดเหรอไง โธ่”


“อ่ะ ไม่เถียงแล้ว ยอมวันนึง” มันบอก แล้วก็ชวนผมเดินกลับไปทางเวิร์ลเทรด พอข้ามฝั่งไป ก็จะมีศาลเทวรูป
อยู่ด้านมุมตรงกันข้ามกับศาลท้าวมหาพรหรม


“อ่ะ พี่ปริ้น” มันว่าพลางยื่นธูปแดง ดอกไม้แดงให้ผมกำนึง ของตัวเองกำนึง


“ไหว้พระขอพรก่อนปีใหม่ ” มันว่า


“แต่นี่ม่ะใช่พระซะหน่อย” ผมชี้


“เอาน่า ผมขี้เกียจข้ามไปไหวศาลพระพรหมอ่ะ คนเยอะจะตาย” มันว่า แล้วก็ชี้ให้ผมดู ซึ่งก็เห็นว่าจริง
แม้ตรงนี้คนก็เยอะ แต่ด้านโน้น คนมหาศาลมากกว่า แถมตอนนี้ ก็ทำการปิดถนนตรงหน้าห้างไปนานแล้วด้วย


“รับดิพี่” มันว่าแล้วก็ยื่นกำดอกไม้แดงให้


ผมรู้สึกตะหงิดๆอยู่เล็กๆ เอ ... เพื่อนมันเคยบอกผมว่าอาไรหว่า ศาลที่อยู่ตรงเวิร์ลเทรดนี่เรียกว่าเทวรูปไรน้า
คิดแล้วมันเหมือนติดอยู่ตรงปากคับ คิดม่ะออก แต่ก็ช่างเถอะ จะปีใหม่แล้วคิดไรมากมาย


ผมก็ขึ้นไปสักการะ แล้วก็อธิฐานในเรื่องดีๆในชีวิต ขอให้คุณพระคุ้มครองพ่อแม่ ครอบครัว
ไอ้โอ้ต แล้วก็คนที่ผมรู้จัก


เนื่องจากคนเยอะมาก ผมก็เลยลงมารอข้างล่างก่อน ซักพัก โค้กก็เดินตามลงมา ผมก็ซื้อน้ำผลไม้ปั่น
ให้มัน (น้ำปั่นตรงนี้อร่อยมากนะคับ ลองมาทานดิ)

“อ้าว .. ลืม ”


“ลืมไรคับ”


“ลืมขอพรให้ตัวเอง - -‘’”


“เป๋อหว่ะ ไม่เป็นไรหรอกคับ ผมขอแทนให้แล้ว”


“ห่ะ ... ขอไรวะ”


“ผมขอรวมๆอ่ะคับ” คนที่รู้จัก มันแก้ตัว “ว่าแต่ - - ”


“ว่าแต่ไร” ผมถามมัน ดูพักนี้ชอบอ้ำๆอึ้งๆพิลึกเด็ก


“ว่าแต่ - - คิดไงมาไหว้กับผมล่ะ” มันถามอ้อมแอ้มๆ


“หมายถึงไหว้เนี่ยเหรอ” ผมนึกชื่อไม่ออกเลยชี้แทน


“อือ”


“อ้าว แล้วทำไมไหว้ไม่ได้เหรอ”


“อ่อ ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะครับ ไปหาไรกินกันดีกว่า เด๋วออกมานับถอยหลังกะเค้าไม่ทัน” มันว่า
พลางมองนาฬิกา


ผมพึ่งสังเกตว่า ผมไม่ค่อยได้เห็นมันในชุดไปรเวตเลย ส่วนใหญ่ก็เห็นมันแต่ในชุดนักเรียนๆ แต่ตอนนี้
มันใส่คล้ายๆเสื้อหนาว มีฮู้ดด้วย น่ารักซะไม่เมี้ย


เนื่องจากว่าด้านนอกไม่มีอะไรกินเลย แถมถึงมีก็เต็มไปหมด ผมก็เลยชวนมันไปกินข้าวกันในห้างดีกว่า
ซึ่งแตกต่างจากข้างนอกมากมาย ปกติมันจะปิดสามทุ่มคับ แต่นี่ข้างนอกมีงานก็เลยยังไม่ปิด แต่คนก็น้อย
มากๆ ผมกะมันก็ไปนั่งกินแบล็คแคนย่อนกัน แล้วก็นั่งคุยโน่นนี่ เรื่องอนาคตบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เรื่องสอบ
บ้าง จนจะเกือบ ห้าทุ่มครึ่ง ก็ชวนมันออกมานอกห้าง


โอ้ว แม่จ้าววว คนแสนแปดเลยครับ ท่วมไปจนถึงฝั่งโรงแรมอโนมาโน่น


“โหหห จะไปข้างหน้าได้ม่ะเนี่ย” ผมถามมัน


“ก็ไม่ต้องไปข้างหน้ามากหรอกพี่ เอาแค่มองเห็นก็พอ” มันว่า แล้วก็พยายามเดินแทรกๆเข้าไป เนื่องจากกว่า
มันตัวใหญ่เลยไม่โดนเบียดมากนัก ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กนะ แต่ก็เล็กกว่ามันล่ะเลยลำบากหน่อย


“พี่ปริ้น เฮ้ย ทางนี้ อย่าไหลไปดิ” มันตะโกนเมื่อเห็นผมเกือบจะพลัดไป


“เออ พยายามอยู่ว้อยยย”


ยอมรับว่าคนแน่นจริงคับ ครั้งแรกที่มาที่นี่ตอนมีงานด้วย แต่ก็หนุกดีคับ ได้บรรยากาศ จากเดิมที่ดูเหมือน
จะเบื่อๆ ตอนนี้กลับตรงกันข้ามแล้ว


ปั๊กก


แสด เหยียบเท้ากรุ ใครว้า


พลั๊กก


โดนกระแทกอีก


โห กรุเข้ามาในสนามรบเหรอไงฟ่ะ -*-


“พี่ปริ้น .. ” เสียงโค้กตะโกน


“ห่ะ - -” ผมกะลังจะถามว่ามีอะไร ก็เห็นว่ามันยื่นมือมาหาผม


“จับไว้ จะได้ไม่หลง เร็ว .. จะนับถอยหลังแล้ว”


วินาทีนั้น ผมเอื้อมมือไปจับมือมัน ความอบอุ่นที่สัมผัสได้แล่นผ่านเข้ามาถึงตัวผม โค้กมันดึงมือผมฝ่าผู้คน
เข้าไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนจะติดแล้ว ก็หยุดยืนอยู่แบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันยังลืมตัวกุมมือผมไว้อยู่


วูบนั้น ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


สมัยตอนม ต้น ผมมาเที่ยวกะพวกไอ้อ้นสยามบ่อยมาก แล้วก็เดินเลยมาถึงเวิร์ลเทรดก็มี แล้วพวกมัน
ก็เคยพูดถึงเทวรูปเคารพที่อยู่ในย่านนี้ เทวสถานที่ตั้งอยู่หน้าเวิร์ลเทรดคือ รูปเคารพของพระตรีมูรติ


“ช่วงเวลา 3 ทุ่มนะ พวกเมิงจะเห็นพวกคู่รักเนี่ย เอาพวกดอกไม้แดง ธูปแดงไรเนี่ย มาไหว้กันเป็นคู่ๆ
มาขอให้ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก ขอให้ได้เป็นแฟนกัน เยอะแยะ ” ไอ้อ้นบอกพวก


“แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ สำเร็จเปล่าวะ เพื่อนคนนึงถาม”


“………………. ”


ผมสะดุ้งตัวมาอีกที ตอนที่ไอ้โค้กมันเขย่ามือผมเบาๆ ชี้ให้ดูที่จอทีวีขนาดมหึมาที่ตั้งนับถอยหลังตรง
ลานหน้าห้าง


ผมเหลือบหันไปมองไอ้โค้กแว่บนึง แล้วก็คิดถึงตอนที่มันถามผมม่ะตะกี้


“ว่าแต่ - - คิดไงมาไหว้กับผมล่ะ”


“มองไร” มันหันมาถามหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากลมโตของเจ้าโค้กมันยังคงเสน่ห์เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง


ผมส่ายหน้าให้มัน แล้วก็ยิ้มให้กับบรรยากาศรอบๆที่พร้อมที่จะระเบิดความสุขได้ทุกชั่วขณะ
โดยที่ไม่รู้ตัวหรอกว่า มือขวาที่กุมอยู่กับมือซ้ายของไอ้โค้กมันผสานกันแน่นกันแค่ไหน


“จะข้ามปีแล้วนะ”


“คับ .. ”


1 นาทีสุดท้ายก่อนการก้าวย่างเข้าสู่สิ่งใหม่ๆ หลังจากนั้น เสียงแห่งความสุขก็แซ่ซ้อง ไปทั่วบริเวณ
ทั้งเสียงพลุ เสียงผู้คนโห่ร้องด้วยความชื่นมื่น


ผมกะโค้กก็ลืมตัวกระโดดโลดเต้นไปกับผู้คนเหล่านั้น ก่อนที่โค้กมันจะหยุดกระโดดแล้วก็หันมาพูดกับผม


“หวัดดีปีใหม่คับพี่ปริ้น จากนี้ไป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” มันพูดเสร็จก็โค้งให้ผมทีนึง


“คับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” ^^


..

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:31:00
หลังจากต้องฝ่าฟันบรรดาผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดมาได้ ผมก็เลยชวนโค้กเดินไปกินข้าวมันไก่
(ที่เคยเป็น)เจ้าประจำแถวๆประตูน้ำ ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีที่แล้ว พอดีเป็นโชคดีเลยได้นั่งเบียดๆ
ไปกะคนอื่น


ช่วงระหว่างนั้น ผมก็พยายามโทรไปหาไอ้โอ้ตคับ กะว่าจะ แฮปปี้นิวเยียร์มันซะหน่อย แต่ผลปรากฏ
ว่า เครือข่ายดันล่ม โทรติดยากมาก ผมเลยใช้วิธีส่ง sms ไปหามันแทน กว่าจะได้รับก็คงนานโข
(เคยส่งให้เพื่อนตอนเที่ยงคืน แต่กว่าจะได้บางคนเกือบเที่ยง - -‘’) หวังว่ามันคงเข้าใจผมนะว่าไม่ได้
ลืมมัน แต่ ...


มันก็ไม่เห็นจะโทรมาหาผมบ้างเลยนี่หว่า ผมก็พยายามคิดว่า มันคงโทรติดยากเหมือนกันล่ะ


“พี่ปริ้น ได้ข่าวว่าจะเอ็นฯ ที่เชียงใหม่เหรอ ?” โค้กถามผมระหว่างกะลังกินข้าว


ผมชะงักนิดหน่อย


“เอาข่าวมาจากไหนวะ”


“ไม่บอก”


“ก็เลือกๆไว้หลายที่ล่ะ” ผมเลี่ยงที่จะเจาะจง


“เหรอ ก็ดีนะครับ เรียนตจว อากาศดีกว่าในกรุงเทพเยอะ” มันว่า (พูดเหมือนตัวเองเคยเรียนกทมซะงั้น)


“อืม”


ผมพูดได้แค่นั้น แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกินข้าวในจานตัวเองไป


ก่อนจะแยกกันผมก็เดินไปส่งมันขึ้นรถเมล์ก่อน เพราะว่าท่าทางว่าบ้านมันไกลจากผมพอสมควร


“พี่ปริ้นจะกลับเพชรเมื่อไรครับ ”


“คงวันจันทร์ วันอังคารอ่ะล่ะ ว่าจะไปหาเพื่อนเก่าด้วย” ผมว่า “โค้กอ่ะ”


“ผมคงกลับพรุ่งนี้เลยครับ ทำธุระเสร็จแล้ว ” มันพูดเสียงเศร้าๆ


“งั้นก็เดินทางดีๆล่ะ คนคงเยอะ”


“คับ แล้วไงเจอกันพี่” มันพูดพลางโบกมือหย่อยๆ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถเมล์ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน


ผมยืนยิ้มให้กะมันที่หันมาทำหน้าเป็นใส่ ประมาณว่า รถเมล์โคตรแน่นเลย ผมอมยิ้มให้มัน
จนเห็นรถเมล์ค่อยๆเคลื่อนลับตาไป


- ปีใหม่แล้วซิ ... ขอบคุณนะเว้ยไอ้โค้กที่อุตสาห์มาเที่ยวเป็นเพื่อน -


ผมคิดไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวหรอกว่า กะลังยิ้มให้กะตัวเองอย่างมีความสุข


เช้าวันต่อมา ผมก็ได้ผมก็พบว่า ได้ sms มามากมายอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนในกทม
แหละครับ เพราะว่าเพื่อนที่อยู่ รร ม่ะค่อยมีมือถือกัน แล้วหนึ่งในนั้นก็มีของคนที่ผมรอ
คอยอยู่

.

.

* โทรกลับไปบ้านแล้ว แอบมาเที่ยวกรุงเทพเหรอ .. แฮปปี้นิวเยียร์นะครับ มีความสุข
มากๆ คิดถึงเสมอครับ -------> โอ้ต

.
.

วันนั้นทั้งวันก็หน้าบานล่ะคับ แล้วก็นัดเจอเพื่อนเก่าๆ ตอนม ต้น คุยกะคนโน้นทีคนนี้ที
เรื่อยเปื่อย พอผ่านพ้นปีใหม่ไม่กี่วัน ก็ต้องมาเครียดกับการสอบมิดเทอม เทอม 2 อาจารย์
ก็บ้าเลือดออกข้อสอบยากมหาศาล คะแนนผมก็ไม่ค่อยดีนักหรอก แต่นอกเหนือจากนั้น
แล้ว ช่วงเวลาในเทอม 2 ของผมก็นับว่ามีความสุขมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่รอบๆข้าง
ไอ้โอ้ตที่แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาโทรมาหานัก แต่หลังๆก็ไม่ค่อยมีอะไรทะเลาะแล้ว แล้วก็ไอ้โค้ก
คับ ที่ผมค่อนข้างสนิทกับมันมากขึ้น เรียกว่า มากๆเลย แต่ทั้งผมกับมันก็ไมได้มีอะไรเกินเลย
ไปมากกว่าคำว่า พี่น้อง


เหมือนกับเราสองคนก็รู้กันอยู่ในใจครับ ว่าตอนนี้ เราต่างคนต่างมีจุดที่เราต้องยืนอยู่ ไม่ถล่ำลึก
กันมากไปกว่านี้ ไอ้โค้กมันก็ดีคับ เวลามันมีปัญหาไร หรือผมมีปัญหาไร ก็ต่างคนต่างปรึกษากัน
แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกกับมันหรอกว่า ผมเป็นเกย์แล้วก็คบกะไอ้โอ้ต แต่ก็เหมือนๆว่ามันก็คงรู้ล่ะ
แต่ก็ไม่พูดไร


ผ่านพ้นไปจนถึงปลายเทอม ก็เหมือนกับที่โอ้ตมันกำลังจะจบปี 1 ซึ่งมันก็แทบไม่ค่อยได้โทรมา
หาผมเลย จนวันนึงsหลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ ก็เป็นเวลาของการเตรียมตัวสอบเอ็นรอบ 2 คับ
ต่างคนต่างก็หัวหกก้นขวิดอ่านหนังสือกันตะบัน (โทษฐานที่ไม่ค่อยได้เอาเวลาไปใส่ใจตอนเรียน)
จนสอบเสร็จทั้งสามวัน ก็เป็นเวลาที่เด็กเตรียมเอ็นฯต้องรอผลคะแนน แล้วก็เตรียมสมัครสอบทาง
ไปรษณีย์


“ปริ้น ตกลงว่าเราจะเลือกเรียนอะไรที่ไหนล่ะ” ยายผมถามขึ้นมา


“กะว่าจะคงจะเลือกเอ็นคณะเกี่ยวกะคอมๆอะไรทำนองนี้อ่ะคับ” ผมบอก


“ก็เลือกไว้หลายที่ล่ะยายแต่คงจะต้องรอคะแนนแล้วก็เทียบๆกับคะแนนปีที่แล้วก่อนอ่ะคับ ”


“ก็เลือกให้ดีๆแล้วกัน แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่ต้องไปเสียใจนะ” ยายผมให้กำลังใจ แต่ทำไมรู้สึกเป็นลางๆ
ก็เลยกะว่าจะโทรไปปรึกษาเรื่องเรียนต่อซะหน่อยดีกว่า


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด


- ไมม่ะรับวะ –


ผมกดตัด แล้วก็โทรใหม่ แล้วก็เหลือบดูเวลา


- พึ่งจะสองทุ่มเองนี่หว่า ? –


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด


“สวัสดีครับ ... ”


เสียงไม่คุ้นหูรับสาย ได้ยินก็รู้ได้เลยว่าคนรับต้องน่ารักแน่นอน (เกี่ยวม่ะฟะ)


ผมนอนอึ้งกับเสียงอยู่แป็บนึงเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร


“สวัสดีครับ ...? ”


ผมมองทวนดูหมายเลขอีกรอบนึง ไม่ได้โทรเบอร์ผิด


“อ่อ ขอสายโอ้ตครับ” ผมนึกขึ้นได้ว่า คงเป็นรูมเมทของโอ้ตมันมั้ง เพราะมันอยู่หอ
ก็เคยบอกว่ามีรูมเมท 3 คนที่ห้อง


“เพื่อนเหรอครับ รอเดี๋ยวนะครับ” พูดเสร็จก็ได้ยินเสียงลุกขึ้นเดิน แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะ


“ไอ้โอ้ต” โทสับ


“ตอนนี้มันอาบน้ำอยู่ครับ อีกซักพักค่อยโทรมาได้มั้ยครับ หรือว่าจะฝากบอก - -”


“ไม่เป็นไรครับ เด๋วผมโทรมาอีกทีล่ะกัน” ผมพูดตัดบท แล้วก็วางโทรสับไป ก็ไม่ได้คิดไร
มากนะครับ คงเป็นรูมเมทมันจริงๆล่ะ สรุปว่า คืนนั้นผมก็นอนเพลิน ไม่ได้โทรไปหาไอ้โอ้ต
อีกรอบ เลยไม่ได้คุยเรื่องจะเลือกคณะเลย


แต่ก็แปลกเนอะ มันไม่ยักกะโทรกลับ ... หึหึ


หลายวันผ่านไป ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องของคนที่รับโทรสับ ผมยังคงจมกับ
ความเชื่อที่ว่า โอ้ตมันยังเหมือนเดิม และผมก็ยังเหมือนเดิม หลังจากผมตัดสินใจ
เลือกคณะที่ต้องการลงในใบสมัครแล้วสองสามวัน ก็เหมือนมีข่าวดีคับ


อย่างที่เคยบอกไว้ว่าพ่อกะแม่ผมย้ายไปทำงานที่จังหวัดนึงแถวภาคเหนือ (แต่ม่ะใช่เชียงใหม่)
เค้าก็เลยอยากให้ผมไปหาบ้าง เพราะคิดว่า พอเข้ามหาลัยแล้วก็คงไม่มีเวลามากกว่านี้แน่ๆ


เราก็ขึ้นเครื่องมาลงเชียงใหม่ แล้วก็นั่งรถทัวว์จากอาเขตมาอีกทีนึง แล้วกัน” แม่ผมบอก


“โห ให้ขึ้นเครื่องบินคนเดียวเลยเหรอ !? ” ผมออกจะตกใจอยู่นิดนึงเพราะว่าเกิดมาไม่เคยขึ้น
เครื่องมาก่อน (บ้านนอก) แถมต้องขึ้นคนเดียวด้วย


“อะไร ไม่กล้าเหรอ ? ” แม่ผมเหน็บ


“แล้วเงินล่ะ”


“แม่โอนบัญชีเราแล้ว”


“โอเค แล้วเด๋วปริ้นจองตั๋วได้วันไหนแล้วปริ้นจะบอกไปอีกที” ผมบอกแม่ ก่อนที่จะคิดว่า
ไหนๆก็ต้องลงเชียงใหม่แล้ว ผมไปหาโอ้ตดีกว่า (โดยที่ไม่บอกให้มันรู้ กะ เซอร์ไพร)


วันก่อนวันเดินทาง ไม่รู้อะไรดลใจให้ไอ้โอ้ตโทรมาหาผม


“ไงคับ เป็นไงบ้าง ”


“ก็เหมือนเดิมอ่ะ เด็กรอผลเอ็นฯจะมีอะไรให้ทำฟะ”


“แล้วปิดเทอมนี้ โอ้ตคงไม่กลับบ้านนะ”


“เทอมที่แล้วก็ไม่กลับ เทอมนี้ก็ไม่กลับเหรอ”


“อือ ก็เรียนหนักด้วย แล้วโอ้ตก็ไม่อยากจะกลับไปกลับมาด้วยอ่ะครับ”


“อือ”


“ไม่โกรธโอ้ตใช่มั้ย”


“จะโกรธทำไมอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก ตั้งใจเรียนนะ” ผมบอก


“จริงๆแล้ว - - ”


“เออ เพื่อนมันเรียกไปกินข้าวแล้ว เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับปริ้น ว่างๆเดี๋ยวโทรมาหาใหม่ ”
มันว่าก่อนที่ผมจะบอกเรื่องที่จะขึ้นไปหาแม่ แล้วก็จะไปหามันด้วย


- เด๋วไปก็คงเจอเองล่ะ – ผมคิดในใจ


วันต่อมาก็รีบตื่นแต่เช้าครับ แล้วก็รีบขึ้นกรุงเทพไปดอนเมือง ตอนนั้นยังไม่มีโลคอสแอร์
ก็ขึ้นการบินไทยก็เปลืองนิดหน่อย แต่ไม่ได้ออกเองอยู่แล้วนิ กัวไร นั่งประมาณชั่วโมงเดียว
ก็ถึงเชียงใหม่ครับ ไปถึง ก็แบบเปล่าเปลี่ยวมากๆ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มาถึง แถมมันไม่
เหมือนกรุงเทพด้วยดิ ที่มีรถเมล์ ที่นี่มีแต่รถแดง รถตุ๊กๆ


“พี่ครับ ไปอาเขตคับ”


พี่เค้าทำหน้าคิดนิดหน่อย ก่อนที่จะบอกว่า ไม่ไป ...


โห มีงี้ด้วยอ่ะ ไม่อยากไปก็ไม่ไป เคืองๆๆๆๆ ผมก็โบกรถคันต่อไป คันนี้ไปครับ


“กี่บาทอ่ะคับ”


“ซาวบาท”


“ห่ะ ? ”


“สามบาท”


พี่คนนั้นทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะชูนิ้วสองนิ้ว


“อ่อ 20 ”


นั่งซักพัก ก็ถึงอาเขตคับ แล้วก็เลือกขึ้นรถทัวว์ไปตามที่แม่บอก กว่าจะถึงบ้านก็ล่อไปซะเกือบสี่ทุ่ม


บลาๆอยู่กับที่บ้านสองสามวัน รู้สึกว่าป๊าจะป่วยๆ ไม่ค่อยสบาย แม่ผมก็บอกว่า ไม่ได้เป็นไรมาก
เด๋วก็หาย ตอนนี้ก็ขอทำเรื่องย้ายกลับไปที่เพชรฯให้ได้อ่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จเหรอเปล่า


“แล้วถ้าย้ายไม่ได้อีกล่ะ”


“ไม่ได้แม่ก็อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆนะซิ”


“ก็ลาออกดิแม่ ไปทำงานอย่างอื่นที่บ้านยายไง”


“แหม จะให้ชั้นลาออกตอนอายุปูนนี้แล้วนี่นะ ”


แม่ผมยิ้มๆให้ คงรู้แหละที่ผมพูดอ่ะ ก็เพราะอยากให้เรากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิม


“แล้วพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว เรื่องต๋ง ตั๋วเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” แม่ผมถามโดยที่คิดว่าผมจะกลับเพชรฯพรุ่งนี้
แต่ผมจองตั๋วเครื่องบินไว้ในอีก สองวันข้างหน้า เพราะว่าตั้งใจจะไปอยู่เชียงใหม่วันสองวันก่อนนั่นเอง

ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด

“ฮัลโหล ว่าไงปริ้น ” เสียงโอ้ตแว่วมาตามสาย ผมกะโทรไปหามันก่อนเจอ


“เป็นไงบ้าง สบายดีเป่า ”


“อือ สบายดีครับ แล้วปริ้นล่ะ ? ”


“ก็เหมือนๆเดิมอ่ะ รอผลเอ็นฯอยู่เนี่ย ตื่นเต้นหว่ะ”


“ถ้าติดเชียงใหม่ก็ดีสิ จะได้มาอยู่ด้วยกัน” มันว่า ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้น


“อยากเจอเค้าอะดิ”


“ทำไมจะไม่อยากล่ะครับ คิดถึงจะตาย อยู่ที่นี่น่ะ เค้ามีแฟนกันทั้งนั้นเลย เหงา” มันว่า


“น่าๆ เด๋วก็ได้เจอกันแระ”


“โห มั่นใจว่าติดชัวว์ดิ” มันแซว


“ไม่มั่นหว่ะ 55” ผมหัวเราะ


เราคุยกันพักนึงก่อนจะวางไป แต่ก็ไม่ลืมถามมันว่า พรุ่งนี้ไม่ได้มีธุระอะไรใช่เปล่า
แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกมันว่าจะไปหามันหรอกนะ


รุ่งขึ้นผมก็ขึ้นรถทัวว์มาอาเขต มาถึงก็แทบจะมืดแปดด้านครับ แล้วก็คิดว่าตัวเองโง่จริงๆ
แต่ก็เปิดแผนที่ของเชียงใหม่ซึ่งใหญ่มากมาย แล้วก็ดูโบชัวโรงแรมที่ดูๆไว้ก่อนมา ก็มาได้
ที่พักแถวๆถนนนิมมานเหมินต์คับ โชคดีที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็เลยพอมีที่พัก


“เออ .. 2 วันครับ”


“มาคนเดียวเหรอคะ ”พี่ที่เคาเตอร์ถามด้วยความแปลกใจ


“ครับ คนเดียว”


“งั้นกรอกข้อมูลตรงนี้นะคะ ”เธอบอกผม แล้วก็จัดการเช็คอินเข้าห้องไป ห้องดูโอ่โถงกว่าที่
เด็กรอผลเอ็นอย่างผมจะนอนคนเดียวไหว - -‘’ ผมมองดูนาฬิกา เกือบบ่ายสามแล้ว พรุ่งนี้
ค่อยไปหามันล่ะกัน แล้วก็เอนตัวหลับไปบนที่นอนอันแสนนุ่มด้วยความอ่อนเพลีย


ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบทุ่มนึงแล้ว รู้สึกหิวชะมัด


“พี่ๆ แถวนี้มีอะไรกินบ้างอ่ะ” ผมเดินลงมาถามพี่ยามของตึก พี่แกก็บอกซะหลายที่เชียว
ติดอยู่ที่ว่าผมไปไม่ถูก


“เออ งั้นกาดสวนแก้วไปยังไงอ่ะคับ”


พี่ยามก็อธิบายทาง แล้วก็บอกว่านั่งรถแดงไปก็ได้ จริงๆก็เดินไปก็ถึงครับ แต่มันมืดๆ
แล้วแกก็ชี้ไปที่ตึกใหญ่ๆ


โอ้ว ใกล้กว่าที่คิดอ่ะ


ผมก็เลยลองเดินไปทางที่เค้าบอก ซักพัก พี่เค้าก็ใจดีขี่มอไซต์ไปส่งผมถึงที่หลังห้างเลย
พี่แกบอกว่า แกออกกะพอดีเลยมาส่งได้


ผมก็เดินๆเข้าไป แต่ดันเข้าไปทางโรงแรมคับ หาทางออกอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าตัวห้างได้
ก็ลองหาของกินดู ก็มาหยุดหน้าเชสเตอร์


- ไรวะ อุตสาห์มาเชียงใหม่ แต่ดันมานั่งกินเชสเตอร์ หอกเอ้ย . ...- ผมคิดแล้วก็ส่ายหัว เดินเข้าไป


“เอาข้าวอบไก่ย่างคับ” เป็นเมนูเดียวที่กินในเชสเตอร์ กำลังจะตักเข้าปากคำแรกเลยคับ สายตาก็
เหลือบไปเห็นกลุ่ม นศ. กลุ่มนึงเดินผ่านร้าน (4 คน)


“อะ โอ้ตนี่หว่า .. ” ผมเห็นเด็กหนุ่มคนนึงที่คุ้นตามากที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้เจอตัวเป็นๆมาเกือบปี
แล้วก็เหอะ มันดูน่ารักขึ้น ผมหน้ามันตัดสั้น แต่ก็ยาวกว่าม่ะก่อนเยอะ แถมด้านหลังมันก็ไว้รากไทร
น่ารักกว่าเก่าเยอะเลย เดินผ่านไปกับเพื่อนอีก 3 คน (ชายอีก 2 หญิง 1) กำลังเดินไปทางบันไดเลื่อนแหล่ว


ผมใจนึงก็เสียดายข้าว แต่ใจนึงก็อยากตามไอ้โอ้ตไปมากกว่า ตอนนั้นคิดไรไม่รู้คับ อยู่ๆ ก็ไม่กล้า
ไปทักมันซะอย่างงั้น ผมตักจ้วงข้าวไปสามสี่คำ แล้วก็รีบกินน้ำอั๊กๆ วิ่งตามโอ้ตไปแบบห่างๆ


พวกโอ้ตเดินขึ้นไปจนถึงชั้นโรงหนังคับ สงสัยจะไปดูหนังกันแน่ๆ


- หน็อยย .... แล้วบอกว่า เรียนหนักม่ะค่อยมีเวลาเรอะ - ผมคิดพลางเดินแบบรักษาระยะห่างไว้
พอพวกเค้าซื้อตั๋วเสร็จ ก็เดินไปนั่งรอที่ที่หน้าโรง ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันดูเรื่องไรกัน แล้วก็คง
ไม่คิดจะตามไปดูด้วยหรอก


ซักพัก ผมก็เห็นคู่เพื่อนผู้ชายกะผู้หญิงเดินไปทางที่ขายน้ำกะป็อบคอน ก็เหลือโอ้ตกะเพื่อนมันอีกคนนึง
นั่งรออยู่ บอกตามตรงว่าที่ตามไปเนี่ย ไม่ได้จะจับผิดอะไรมันเลยนะครับ แต่เป็นเพราะผมไม่รู้จะเข้าไปทัก
อะไรมันต่างหาก พอคิดว่าแล้วผมจะถ่อมาเชียงใหม่ทำซอกตึกอะไรถ้าไม่กล้าไปหามัน ก็เลยคิดได้ ควัก
โทรสับขึ้นมาจะโทรบอกมันก่อน จะได้ไม่ตกใจเกินไป


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด ....


ผมเห็นมันหยิบโทรสับขึ้นมาดูก่อน แต่ก็ยังม่ะยอมรับ


- ทำไมไม่รับวะ ? - ผมคิดฉุนเล็กๆในใจ


มันก็หันไปพูดกับเพื่อนข้างๆอะไรซักอย่าง ไอ้เพื่อนคนนั้นมันก็แบบยกมือขึ้นมาทำท่าต่อยแก้มโอ้ตเบาๆ
แล้วก็หัวเราะ


อึ๊ก ..


วินาทีนั้นผมรู้สึกแปล็บเข้าไปในใจเลยอ่ะ


“ฮัลโหล ว่าไงปริ้น”


“. ............ ”


“โหล ปริ้น ได้ยินเหรอเปล่า ”


“อ่ะ อ่อ ได้ยินๆ ” ผมได้สติ


“ว่าไง”


“อ้อ....” ผมเผลอทำเสียงสูงขึ้นแบบผิดปกติ “ก็คิดถึงอ่า ก็เลยโทรมาหา แล้วนี่ทำไรอยู่อ่ะ”


“ออกมาเดินเล่นกะเพื่อนอ่ะ”


“มืดป่านนี้แล้วยังมาเดินเล่นอีกเนี่ยนะ ไม่กลัวโดนฉุดเหรอไง”


“มืดอะราย โธ่ อยู่ในมอไม่มีใครมาฉุดหรอก” ผมเห็นมันพูดเสียงฟังชัด ทั้งๆที่สายตาก็จับจ้อง
ดูตัวมันอยู่หน้าโรงหนังแท้ๆ


“โกหกตกนรกนา ... ” ผมแกล้งทำเสียงล้อเล่น แต่ในใจนี่แบบ เหอๆ สับสนนิดๆ มาดูหนังก็บอก
มาดูหนังดิ ทำไมต้องหลอกกูวะ งง ผมคิด


“โกหกไรเล่า เนี่ย เดี๋ยวก็เข้าหอแล้ว” มันว่า แถมไอ้คนข้างๆมันเหมือนจะได้ยินว่ามันโกหก ก็แกล้ง
จี้เอวมัน จนหลุดขำออกมา


“ฮ่ะ ฮ่ะ หะ อย่าเล่น - -” เสียงไอ้โอ้ตมันหลุดออกมา


“...................- - เล่นไรอยู่ฟะ ดูหนิดหนมกันจัง” ผมเผลอพูดออกไป


“เพื่อนมันแกล้งอ่ะ อืม เดี๋ยวไงแค่นี้ก่อนนะปริ้น โอ้ตไปหาข้าวกินก่อน”


“...................”


“ปริ้น - - ปริ้น ได้ยินเปล่า ” มันทวนเมื่อเห็นผมไม่ตอบกลับ


“อือ .. ”ผมชักพูดไม่ออกแล้ว


“เป็นอะไรเหรอเปล่า ” เสียงมันพูดออกได้ยินทางโทรสับ เหมือนใส่ใจผมนะ แต่ภาพทีเห็น
มันกำลังใช้อีกมือนึงที่ว่างอยู่พยายามไล่จับมือเพื่อนข้างๆที่กำลังจี้เอวมันอยู่


แล้วตอนนี้มันก็จับมือเพื่อนมันกุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ..


ไม่ว่าสิ่งที่ผมเห็นจะจับเพื่อหยุดการกระทำ หรือจับเพื่ออะไรก็ตาม แต่ภาพนั้นมันก็ติดตา
ผมจนรู้สึกว่าตัวเองสั่นน้อยๆ


“ปริ้น ...? ” เสียงมันถามผมอีกรอบ


“เออ - - ขะ ขอโทด” ผมพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิดว่า กูจะขอโทษมันทำแป๊ะอะไร


“งั้นก็ ระ รีบไปกินข้าวล่ะกัน เด๋วเป็นโรคกระ - - อ๊ะ ” ผมหลุดบางคำออกมา ระหว่างที่กำลังพูดอยู่
เมื่อเห็นไอ้คนข้างๆมัน ดิ้นรนปัดมือไอ้โอ้ตออกได้แล้ว ก็ทำเหมือนเอาหน้าไปกัดที่คอมัน


“พูดว่าอะไรนะ ปริ้น” เสียงมันเหมือนกำลังฝืนพูด (ผมก็เห็นแล้วล่ะว่าทำไมต้องฝืน)


“ไม่มีอะไร ”เสียงที่พูดเหมือนว่ามันล่องลอยไปกลางอากาศ


“งั้นก็แค่นี้ก่อนนะปริ้น” เสียงมันบอกอีกรอบ


“ครับ - - แค่นี้ - - - ละกัน” ผมค่อยๆพูดออกมาทีละคำ


“โ . .ชค . .ดีน. ..ะ.....โ....อ้ต ” คำพูดสุดท้ายรู้สึกสั่นเต็มทน

ผมวางหูไปเรียบร้อย แล้วก็หันไปมองเค้าทั้งสองคน ซึ่งตอนนี้เพื่อนอีก 2 คนก็เดินมาหา
พลางชวนกันเดินเข้าไปในโรงหนัง แต่ไอ้เพื่อนที่อยู่กับโอ้ตม่ะกี้ จะอยากซื้ออะไรเพิ่ม ก็เลย
ปล่อยให้อีก 3 คนเข้าไปก่อน แล้วก็รีบวิ่งมาซื้อน้ำอีกแก้ว


ม่ะรู้คิดอะไรอยู่ หรืออยากเห็นหน้ามันชัดๆ อะไรก็แล้วแต่ ผมเดินเข้าไปต่อแถวซะงั้น
มองจากข้างหลัง ไอ้พี่คนนี้มันสูงกว่าผมนิดหน่อย ไว้ผมประมาณเดียวกะโอ้ต แต่ตัวขาว
กว่าโอ้ต แล้วก็ผมมากคับ เนียนเลยล่ะ ผมจ้องนานไปหน่อยจนเค้าซื้อเสร็จก็หันหลังกลับ
มาเจอผมพอดี เค้าสะดุ้งนิดหน่อย แล้วก็ยิ้มให้ผมทีนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปในโรง


ผมค่อยๆหันไปมอง พนักงานก็ค่อยๆปิดประตูไปแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยเดินลงมา
แล้วก็ไม่รู้จะกลับทางไหนครับ มืดก็มืดแล้ว คราวนี้รู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวจริงๆแล้วครับ


ทั้งสับสน ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ ปนๆกันไปจนมันเหมือนด้านชายังไงไม่รู้ เดินมาจนออกนอก
กาด ก็โบกรถแดงกลับโรงแรม กว่าจะถึงรู้สึกว่าขาที่ก้าวแต่ละก้าวมันหนักจังวะ


พอมาถึงที่นอน ก็ล้มตัวนอนคว่ำหน้า ไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรเลย พอหลับตาลงก็เห็น
ภาพที่เค้าสองคนกำลังยืนอ้อล้อกันอยู่ มันก็ยิ่งเจ็บ


- มันอาจจะแกล้งกันก็ได้ –


ในหัวผมกลับแย้งอยู่ลึกๆ


- แล้วทำไมต้องโกหกด้วย –


ใจอีกด้านผมตอบกลับมา


“..................................”


ผมรู้สึกทรมานทั้งใจทั้งร่างกาย ท้องเริ่มร้องประท้วงที่ได้กินข้าวแค่สี่ห้าคำ แต่ผมไม่มีแรงจะลุก
ไปไหนแล้วอ่ะ เหมือนกับที่เค้าบอกล่ะ ว่าถึงกายจะพอแข็งแรง แต่ถ้าใจมันกำลังจะตาย ก็ไม่มีประโยชน์
ที่จะทำอะไร


ผมกำลังรู้สึกแบบนั้น สิ่งที่ผมพยายามอดทนเก็บไว้ที่หน้าโรงหนัง มันกำลังจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
ทำไมนะ ....


“โอ้ต . . . ไอ้โอ้ตตต ทำไม - -” ผมซุกหน้าลงกับหมอนแล้วก็ตะโกนใส่ มือกำแน่น
อยากจะต่อยมันอยากจะกระทืบมัน อยากจะแก้แค้นมันจริงๆ


- ปริ้น .... รอโอ้ตนะ -


“ไอ้โอ้ต มึงหยุดพูดซะที” ผมตะโกนแข่งกับเสียงที่จิตใต้สำนึกเปล่งออกมา


- ปริ้น .... รอโอ้ตนะ - ยิ่งผมไม่อยากนึก แต่มันกลับตรงกันข้าม


“กู - - บอก - - ให้ - - หยุดดด หะ ฮึกก ฮือออ”


ร่างกายผมหยุดดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่าง ได้แต่นอนสงบนิ่ง มีแต่เพียงน้ำตา ที่มันยังคงไหลออกมา
เรื่อยๆ เหมือนว่าไม่มีท่าทีจะหยุดทั้งคืน

.
.
.
.

* * อย่ากลับไปหาเค้าอีกเลย ถ้าเค้าไม่ต้องการ

สิ่งที่เค้าได้ทำ มันเกินให้อภัย

อย่ากลับไปรักเค้าอีกเลย แม้เพียงซักครึ่งใจ

เจ็บและจำเอาไว้ ขาดเค้าไปซักคน ..... ไม่ตาย * *

.

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:31:22
“ ปริ้น ... มันจะอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ ทำไมตอนนั้นไม่เดินไปหาเลยวะ ” ซังพูดออกมาด้วยความ
หงุดหงิดใจ เมื่อเห็นท่าทีซังกะตายของผม


หลังจากที่ผมไปเจอไอ้โอ้ตะวันนั้นแล้ว วันต่อมา ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปไหนเลย ความรู้สึกตอนนั้น
บอกไม่ถูกคับ ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งผิดหวัง ผสมปนเปกันไป แต่ที่สุดแล้ว ความรู้สึกเสียใจที่ไม่เคยคิดว่า
จะเกิดขึ้นกับตัวเอง มันมากมายจนทำให้ได้แต่นอนร้องไห้อยู่ 1 วันเต็มๆ ในโรงแรม รุ่งขึ้นก็มาสนามบิน
ด้วยอาการสลึมสลือ


จนวันต่อมา ซังมันก็โทรมาหา แล้วก็สังเกตได้ มันเซ้าซี้ซักไซ้จนผมต้องเล่าให้มันฟัง วันต่อมา มันก็ บึ่ง
มาหาผมถึงบ้านเลย ( เพื่อนที่แสนดีซะงั้น )


“ มันโกหกเรา ... ” ผมนั่งกอดเข่า พูดเสียบเรียบเฉย


ซังมันมองผมหน้าตาเวทนามาก


“ ปริ้นเอ้ย .... แล้วตั้งแต่กลับมาเนี่ย พี่ - - เออ โอ้ตโทรมาหามั่งเหรอเปล่า ”


ผมพยักหน้า


“ แต่เราไม่อยากรับ ”


“ อ้าว . . . แล้วทำไมไม่คุยให้มันเคลียร์ไปเลยล่ะ เงียบอยู่แบบนี้ เค้าจะรู้มั้ย ” ซังว่า


ผมค่อยๆเงยหน้าหันไปหามัน


“ ถ้าเป็นซัง .. . ซังกล้าเหรอ ? ” ผมตอบมันพลางรู้สึกว่ามีของเหลวใสปริ่มๆอยู่ที่ขอบตา


ซังไม่ตอบคำถาม แต่กลับเดินเข้ามาหากอดตัวผมไว้ แต่ด้วยที่ผมนั่งอยู่บนเตียง แล้วมันยืนอยู่
หัวผมก็ซบไปตรงพุงมันพอดี


“ ซังก็คงไม่กล้าเหมือนกันล่ะมั้ง . . . แต่ถ้ามันถึงเวลาต้องทำ - - ”


ซังเว้นช่วงระยะแล้วก็ค่อยๆลูบหัวผม


“ ปริ้นก็ต้องทำให้ได้ ”


ผมได้ยินมันพูด แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี ตอนนี้ก็ทำได้แต่เพียงกอดเอวไอ้ซังไว้ แล้วก็
ซุกหน้าที่พุงมัน ร้องไห้เงียบๆ


“ เราเกลียดไอ้โอ้ต ... เกลียดมัน เกลียดด ........ - - หะ ฮือ ฮือออ ซะ ซัง เราเกลียดมัน ”


ครั้งนี้ดูจะเป็นครั้งเดียวที่ผมร้องไห้ฟูมฟายเพื่อคนอื่น ร้องให้กับความผิดหวัง ผมจะไปทำอะไรได้
มากไปกว่านี้


คนเรา เมื่อหมดรักกันแล้ว .... ต่อให้จะดึง จะรั้งไว้ยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์


ตอนนั้นผมเชื่อว่า โอ้ตมันคงหมดรักผมไปแล้วจริงๆ

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ถ้าใครคิดว่าเรื่องโอ้ตเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสูญเสีย คงจะคิดผิดแล้ว ต้นเดือนพฤษภาคม
ซึ่งเป็นช่วงใกล้จะถึงวันส่งผลเอ็นฯมายังบ้าน หรือว่าใครอยากไปลุ้นผลส่วนใหญ่ก็จะไปดูที่กระดาน
ติดผลที่เกษตรฯ ก็หลังจากที่ผมไปเจอไอ้โอ้ตได้ 2 – 3 สัปดาห์แหละ น่าแปลกที่ผมก็ยังคุยกะมันผ่าน
โทรศัพท์หน้าตาเฉย แต่ทุกครั้งที่มันโทรมาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในใจผมกลับคิดไปในทางอื่นซะแล้ว
และทุกครั้ง มันเป็นฝ่ายโทรมาหาผมซะมากกว่า


แปลกเนอะ คนเรา เจ็บ แต่ไม่รู้จักจำ ...


“ ปริ้น ... ปริ้น ” เสียงลุงสน พ่อไอ้โอ้ตเรียกผมที่หน้าประตูบ้านแต่เช้าตรู่


“ ครับ ลุง ” ผมเปิดประตูทำหน้างัวเงียออกไปรับ


“ ปริ้น พรุ่งนี้ คุณxxx ( แม่ผม ) จะพาคุณ yyy ( พ่อผม ) มาหาหมอในกรุงเทพนะ เราจะไปหาเหรอเปล่า ”
ลุงสนบอก


ผมก็ออกแนวงงเล็กน้อย ว่าป๊าไม่สบายถึงขนาดต้องเดินทางมารักษาถึงกรุงเทพเลยเหรอ


“ อ้าว ป๊าไม่สบายมากเลยเหรอครับ ลุง ” ผมถามด้วยความลุกลี้ลุกลน ตาสว่างขึ้นมาทันที


“ ไม่ใช่หรอกครับ คือ เห็นคุณแม่คุณบอกว่า ให้เข้ามาตรวจประจำปีเท่านั้นแหละ ” ลุงสนบอก


“ อ่อ แล้วไป ” ผมถอนหายใจ เพราะว่าตอนที่ผมขึ้นไปหา ก็ยังเห็นดูแข็งแรงดีอยู่นี่หว่า เหอๆ


“ ครับ งั้นผมไปด้วยแล้วกัน อยู่นี่ก็ไม่มีไรทำ ” ผมว่า อีกอย่างก็ใกล้วันประกาศผลสอบแล้วด้วย
จะได้ไม่ต้องอยู่รอจดหมาย ไปดูที่มหาลัยเลยดีกว่า ( ผมเลือกคณะที่มชไป 3 แล้วก็เกษตร 1 )


วันรุ่งขึ้น ลุงสนก็ขับรถโดยมียายแล้วก็ผมนั่งไปด้วย ออกจะแปลกใจหน่อยๆว่า ร้อยวันพันปี
ไม่เคยเห็นยายไปไหน วันนี้แค่ไปเยี่ยมป๊ามาตรวจร่างกายแค่เนี้ยนะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดไร
เท่าไรครับ เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา แล้วก็มีเรื่องไอ้โอ้ตอยู่แล้วด้วย


เนื่องจากขับรถมาเอง ประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงโรง’บาลครับ รถก็เลี้ยวเข้าไปจอดใน
โรงพยาบาลรามาธิบดี แล้วก็พากันเข้าไปที่ห้องที่ป๊านอนอยู่ แม่ผมก็นั่งๆดูทีวีเพลินๆล่ะ


“ อ้าว ปริ้นมาด้วยเหรอ ” แม่ผมทักแบบประหลาดใจ


“ ชั้นนึกว่าจะอยู่เที่ยวปิดเทอมกับเพื่อนซะอีก ”


“ แหม ป๊าป่วยก็มาเยี่ยมบ้างเหอะนะ เป็นลูกที่ดีเหมือนกัน ” ผมย้อนกลับ แล้วก็เดินไปหาป๊าที่นอน
อ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนป่วย


“ หวัดดีคับป๊า เป็นไง ” ผมถามแล้วก็สังเกตดู จะซีดๆลงกว่าเดิมนิดหน่อย


“ จะเป็นไร ดูป๊าแข็งแรงขนาดนี้ ” ป๊ายกหนังสือลงแล้วก็เอามือลูบหัวผม


“ แล้วนี่รู้เหรอยังว่าจะได้เข้าที่ไหน ” ป๊าถาม


“ ยังเลยครับ อีกสามวันก็ประกาศผลแล้วอ่ะ ปริ้นคงไปดูผลที่เค้าแปะที่เกษตรเลย ขี้เกียจรอจม. อ่ะ ”
ผมบอก


“ แล้วนี่ป๊ามาตรวจกี่วันอ่ะคับ ต้องรอคิวยาวเป่า ” ผมหันไปถามแม่


“ ก็วันสองวันล่ะ คงทันที่จะรู้ว่าเราเอ็นติดไม่ติด ” แม่ผมบอก


“ โห ไม่ได้มีให้กำลังใจลูกตัวเองบ้างเลยล่ะเค้าอ่ะ จะไม่ติดได้ไงล่ะ ติดดิ ” ผมกล้ำกลืนพูด ทั้งๆที่ในใจ
รู้สึกคิดผิดจริงๆที่เลือกเอ็นเข้าที่มชซะ 3 อันดับ ตอนนี้ชักรู้สึกไม่อยากเข้าแล้วดิ


“ อ้าว แล้วนี่จะพักที่ไหนล่ะ เดี๋ยวยายเค้าก็จะกลับวันนี้แล้วนะ ”


“ ผมว่าจะไปค้างที่หอพี่ท็อปอ่ะคับ ไม่อยากนอนโรงบาลอ่ะ ไม่ชอบ ”


“ อืม ... อย่าไปกวนเพื่อนมากล่ะกัน ” แม่ผมบอก


“ ป๊า ถ้าป๊าตรวจเสร็จแล้ว แวะไปบ้านยายก่อนนะ อยากให้ป๊าเห็นทะเลอ่ะ ไม่ได้เล่นน้ำมานาน
แล้วม่ะใช่เหรอ ” ผมจับมือป๊าแล้วเรื่อยเฉื่อย


“ เอาซิลูก .. เดี๋ยวพอเอ็นติดก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับป๊ากับม๊าบ่อยๆแล้วนี่นะ ” ป๊าผมหันไปมองแม่ยิ้มๆ


“ คะคุณ ” แม่ผมตอบ


ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ผมได้มาอยู่กับครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ทำให้ลืมเรื่องบางอย่างที่เฝ้าหลอนอยู่ในใจ
ไปได้อย่างชะงัด .... ไม่มีใครที่ปลอบใจได้ดีเท่าครอบครัวเราจริงๆ


ไม่มีใครที่รักเราได้มากเท่ากับพ่อ กับ แม่เราจริงๆ

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

“ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังอ่ะพี่ท็อป เพราะงั้น ผมขอไปค้างหอพี่ซักคืนสองคืนนะ ” ผมโทรศัพท์ไปหาพี่ท็อป
พร้อมกับคาดคั้นแกมบังคับ


“ เออ ... เห็นห้องกูเป็นอะไรวะเนี่ย ” พี่ท็อปบ่นๆ


“ น่าๆ ผมไม่ไปรบกวนเวลาพี่ทำไรกะแฟนหรอกน่า ”


“ เฮ้ย .. ไม่มีโว้ย ฟงแฟนไร ” พี่ท็อปรีบแก้ตัว พร้อมๆกันกับได้ยินเสียงกระแอมของผู้หญิงดังข้างๆ


“ โอเคๆ ไม่มีก็ไม่มี แล้วเด๋วซักมืดๆ ผมไปหานะครับ ”


ผมพูดเสร็จก็วางหูไป ยายจะกลับกะลุงสนเย็นๆ ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ก็ไล่ให้ผมออกมาอยู่นอกห้องก่อน
เพราะคุยปัญหาอะไรกันไม่รู้ ... เลยทำให้หงุดหงิดเล็กๆ เลยเดินไปเดินมาอยู่ในโรงพยาบาล


“ แม่ครับ ผมขอไปเดินเล่นแถวเสารีย์หน่อยนะ เด๋วกลับ ” ผมต่อสายตรงไปที่เบอร์แม่ ก่อนที่จะขึ้นรถ
เมล์จากหน้าโรงบาล แล้วก็แวะไปกินมิลค์พลัสหน้าเซ็นเตอร์วัน


พอออกมาอยู่คนเดียว ก็ทำให้ผมกลับมาฟุ้งซ่านอีกแล้วคิดไปเรื่อยเปื่อยไปถึงว่า แล้วถ้ากูติดที่โน่นจริงๆ
แล้วกูจะไปอยู่ในฐานะอะไรของไอ้โอ้ตวะ คิดไปคิดมาแล้ว ที่ผมยอมเลือกเรียนที่โน่น ก็เพราะมันอย่าง
เดียวเลยจริงๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย


โง่ชิบเป๋งเลย ... เฮ้อ


นั่งได้ซักพัก ผมก็โทรไปหาไอ้โค้กคับ ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปเจออะไรๆมา เพราะว่าไอ้โค้กไม่ได้รู้เรื่อง
ราวของผมดีเหมือนไอ้ซังกะคิว ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย แล้วผมก็นั่งรถกลับโรงบาล ป๊าก็หลับแล้วล่ะ
แม่ผมก็ไล่ให้รีบกลับไปหอพี่ท็อปเพราะว่า แถวนั้นมันรถเมล์ผ่านก็จริง แต่มันค่อนข้างเปลี่ยว เลยรีบ
ให้กลับไปเร็วๆ


การที่ผมออกมานอกบ้าน ได้มานั่งเฝ้าป๊า นั่งคุยกะแม่ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ
เลย โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ ที่ผลเอ็นออกแล้ว ( จริงๆจะต้องออกมะรืน แต่ปกติแล้ว เค้าจะมาติดคะแนน
ไว้ช่วงค่ำๆมืดๆก่อน ) ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่หายเสียใจ แต่อารมณ์ความตื่นเต้น แล้วก็ลุ้นเรื่องผลสอบ
มันมากกว่าอีกครับ ไอ้ซังมันก็โทรมาพล่ำบอกว่า ช่วยดูให้กูด้วยๆๆ ดูเหมือนมันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน
มีแต่ไอ้คิวแหละที่ทำทองไม่รู้ร้อน เพราะว่ามันสมัครเข้าเรียนที่มหาลัยเอกชนที่นึงไปแล้วครับ สบาย
จัง


“ ป๊า วันนี้ผลเอ็นฯออกแล้วอ่ะ ตื่นเต้นฟะ ” ผมนั่งปอกแอ็ปเปิ้ลไปพลาง คุยไปพลาง ดูท่าทางป๊าจะซีด
ลงกว่าเมื่อสองวันก่อนอีก


“ แล้วคิดว่าจะเอ็นฯติดไหมล่ะเรา ” ป๊าถามผมพลางหัวเราะ


“ ป๊า ... อีกคนแระ ไม่ได้เห็นความฉลาดของลูกมั่งเลยนะ ” ผมทำเป็นงอน แต่พอเห็นท่าทีของผมเท่านั้นแหละ
ก็หัวเราะท้องขดท้องแข็ง


“ ป๊าไม่ได้ไม่เชื่อใจปริ้น ป๊าแค่อยากให้ปริ้นคาดหวังอะไรไว้สูงมากนะ คนเราเวลาปีนขึ้นที่สูงๆ พอตกลง
มา มันจะเจ็บมากนะ ”


“ ป๊า ถึงปริ้นจะตกมากี่รอบ ปริ้นก็จะปีนขึ้นไปเรื่อยล่ะคับ ไม่ต้องห่วงหรอก ” ผมบอกแล้วก็ยิ้มให้ ป๊ายิ้มตอบ
มาแบบเซือยๆ


“ เออ ว่าแต่เค้าจะให้ป๊าตรวจวันไหนกันแน่อ่ะ ทำไมนานจัง ” ผมถาม เพราะว่านี่ก็ปาไปวันที่สามแล้ว


“ ลองถามแม่เค้าดูนะ แม่เค้าเป็นคนจัดการ ” ป๊าบอก แล้วก็ยืนมือมาจับมือผม


“ ถ้าออกจากที่นี่แล้ว เราสามคนไปทะเลกันเลยไหม ”


“ เอาดิครับ รอมานาน ไมได้เที่ยวกันสามคนมาตั้งนานแระ เกือบจะจำไม่ได้เลย ” ผมว่า


ป๊าทำท่าทีหัวเราะ ช่วงจังหว่ะนั้น ผมรู้สึกว่ามือป๊ากระตุกหน่อยๆ


“ ปริ้น ”


“ ครับ ”


“ ไปเรียกแม่มาหน่อยไป ... เออ แล้ว - - ”


ตัวป๊ากระตุกอีกรอบ จนผมชักผิดสังเกต


“ ป๊าเป็นไรเป่า ตัวกระตุกๆ ”


“ ม่ะ ไม่เป็นไร ไปเรียกแม่มาหน่อยไป แล้วจะไปรอดูผลสอบไม่ใช่เหรอ ” ป๊าบอกผม พลางกลับมา
สู่ภาวะปกติ


“ ก็อีกพักนึงล่ะครับ ”


“ ไงก็รีบๆไปล่ะกันปริ้น ไปช้ากว่านี้ เดี๋ยวรถติด แล้วจะกลับค่ำ ” ป๊าบอก


“ อ่า งั้นก็ได้ครับ เด๋วปริ้นไปตามแม่มาล่ะกัน ไม่รู้ป่านนี้ซื้อของเสร็จยัง ” ผมว่า พลางโทรสับไปหาแม่
ซักพัก แม่ก็รีบขึ้นมา


“ งั้นเด๋วผมไปก่อนนะครับ ประมาณสามทุ่มผลคงออกแล้วล่ะ แล้วจะรีบมาบอก ” ผมว่า


“ ถ้าไม่ติดก็อย่าไปร้องไห้ให้ใครเค้าเห็นล่ะ ”


“ โห แม่อ่ะ ....” ผมว่าพลางทุบแม่เบาๆทีนึง

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ช่วงระยะเวลาที่นั่งรถจากโรงบาลมาเกษตรนี่มันช่างยาวนานกว่าที่คิดไว้จริงๆ - -" อารมณ์นั้น
ตื่นเต้นจนต้องโทรไปหาไอ้ซัง เพราะดูเหมือนมันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน


“ เออ รหัสซังอะไรนะ ” ผมถามเป็นรอบที่ 10


“ ถามอีกแล้ว xxxxxxxxxxx จดไว้ซิวุ้ย ”


“ เออ รู้แล้วๆ ”


“ แล้วถ้าได้รีบโทรมาบอกเลยนะ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องโทรมา ” มันบอกผม


อะไรวะ -*-


“ งั้นเราไม่โทรไปหาเลยดีกว่า ” ผมแกล้งมัน


“ เฮ้ย ไรฟร้า เอาดีๆเด๊ะ เครียดนะเครียด ”


“ เออน่า แล้วเด๋วโทรบอก ”


ผมนั่งรถไปถึงก็ปาเข้าเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว ก็เลยหาที่กินข้าวก่อน แล้วก็เดินไปที่บริเวณเค้ากำลังจะติด
ผลคะแนน มีนักเรียนจากหลายๆที่มาเฝ้ารอกันละลานตาเลย พวกพี่ๆนิสิตก็เตรียมที่ติดกันวุ่นวานน่าดู
รอประมาณชั่วโมงนึงได้ ก็เห็นเด็กบางคนเริ่มเดินไปที่ประกาศผล ตอนนี้ผลประกาศพร้อมขึ้นกระดาน
แล้วล่ะ


ผมค่อยๆเดินไป ตาก็มองแผ่นกระดาษที่เป็นเลขรหัสที่สมัครสอบของผม ต้องฝ่าฝูงชนเข้าไปยากพอ
สมควร ตอนนั้นสมองก็คิดแต่ว่า จะดูของไอ้ซังหรือของตัวเองก่อน เอาวะ ...


ดูของซังมันก่อนล่ะกัน ผมคิดได้ก็เลยจำรหัสมัน แล้วก็ค่อยๆกวาดตามองไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็เจอคับ
ไอ้ซังเทคโนฯสื่อสารของ มศว. โอ้ว มันไม่จะเข้าอีกคณะเหรอไงฟ่ะ แต่ก็ดีใจกะมันไปด้วย คราวนี้ก็ถึง
คราวตัวเองแล้ว


สูดหายใจลึกๆ .....


ค่อยๆกวาดตาแบบละเอียดกว่าม่ะกี้นิดหน่อย อันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 อันดับ 4 .........................


ตี้ดดดด ตี้ดดดดดดด ..................... ติ้ดดดดดดดดดดดดดด


“ ฮะ ฮัลโหล ว่าไงปริ้น ” เสียงซังละล่ำละลักมาตามสาย


“ เนี่ย เราเข้าตรวจในเว็บ แม่ง ล่มตลอดเลย ( เหมือนสมัยนี้เลยเนอะ ) แล้ว เราติดเป่าวะ โทรมาแกล้ง
เปล่าว้า ... ”


“ เออ ใจเย็นๆดิ ” ผมว่า


“ ติดคณะเทคโนฯสื่อสารอ่ะ ” ผมพูดไม่ทันเสร็จ มันก็หันไปตะโกนบอกกะที่บ้าน ดูท่าทางดีใจกัน
ยกใหญ่เลยทีเดียว


“ เย้ๆ ....... ติดแล้วว้อยยยย - - -555 เออ แล้วปริ้นอ่ะ ติดที่ไหน ได้ที่มช เปล่า ”


“ ไม่ได้อ่ะ ...” เสียงผมตอบ


“ ... อะ อ้าว เหรอ แล้ว ติดไหนล่ะ ” เสียงมันลดระดับความดีใจ


“ ก็ - - ไม่ติดที่ไหนเลยอะดิวะ เหอๆๆๆๆ ” ผมแสร้งทำเสียงปกติ ...


“ เออ แค่นี้ก่อนนะ แล้วเด๋วไงซังคงได้จม พรุ่งนี้แหละ ” ผมบอกแล้วก็รีบตัดสายไป เหอๆๆๆๆ นี่กูเอ็นไม่ติดเหรอว้า ความรู้สึกตอนนั้นแบบว่า เอ๋อไปเลยอ่ะครับ พอรู้ว่าไม่มีชื่อตัวเอง แล้วแทบอยากจะวิ่งออกมาจากมหาลัยเลยก็
ว่าได้ ไม่ใช่ไรหรอกครับ มันทนเห็นคนที่เอ็นติดแล้ว พวกพี่ๆเค้ามารับ มาแสดงความยินดีไม่ได้อ่ะ


บางคนเอ็นไม่ติดก็ร้องไห้กันตรงนั้นเลยก็มี .... แต่ผมนี่ดิ ผมจะทำไงดีอ่ะ ทั้งๆที่บอกกับป๊าไว้แล้ว ว่าเอ็นฯติด
แล้วจะไปทะเลด้วยกัน ผมจะไปบอกกับป๊าว่าไง ...


“ ฮัลโหลคะ ...” เสียงแม่รับสาย ผมใช้โทรสับตู้โทรมาแทนที่จะใช้มือถือโทรมา แม่ก็เลยไม่รู้ว่าใครโทรมา


“ ฮัลโหล สวัสดีคะ .....” แม่ผมทวน

“ แม่เหรอ ”


“ อ้าว ปริ้น ว่าไงลูก ”


“ แม่ ฮะ ฮึกก ...” เสียงผมสั่นตามเคย


“ ปริ้นอยู่ที่ไหน ... ” แม่ผมไม่ถามผล


“ อยู่แถวเกษตรนี่ล่ะครับ ”


“ จะมาหาแม่ไหม ? ”


“ พะ พรุ่งนี้ ผมไปหาแล้วกันนะแม่ ...” ผมพูดแล้วก็วางสายไป แม่ก็คงรู้แหละว่า ผมคงเอ็นไม่ติด ซึ่งที่แม่ไม่ถาม
ผมก็รู้สึกเป็นพระคุณอย่างมากมายแล้ว


ขาผมค่อยๆก้าวขึ้นรถเมล์ไป แล้วก็พาลงมาที่หน้าหอพี่ท็อปตั้งแต่ม่ะไรก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า พรุ่งนี้ ผมจะทำหน้า
ยังไง จะบอกป๊ายังไง แล้วต่อไปมันจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:31:50
**************************************************************************************************



พี่ท็อปยังไม่กลับมาถึงห้อง สงสัยคงเตรียมตัวจะรับน้องกันพรุ่งนี้ที่มหาลัยเค้ามั้ง พอเดินมาถึงเตียง ตัวผมก็ล้มลง
ไปกองอยู่บนนั้น แล้วก็พลิกตัว เอามือทุบตัวเองจากเบาๆ แล้วก็ค่อยๆแรงขึ้น แรงขึ้น ....


“ ไอ้โง่ ... ”


“ ไอ้ควายเอ้ย ”


“ แค่นี้ .. - - แค่นี้ กูก็ทำให้ป๊าไม่ได้ หะ ฮึกก .. - - ไอ้โง่ปริ้น ” ผมทุบตัวเองไปก็ร้องไห้ไป


“คนเราหวังอะไรไว้สูง พอหล่นลงมา ก็จะเจ็บมากเท่านั้นนะปริ้น” เสียงป๊าผมดังก้องอยู่ในสมอง


“ ป๊าคับ - - ปริ้นมันไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง ...... ทั้งเรื่องเรียน - - ทั้งเรื่องรักเลย ”

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

อื้ดดดด อื้ดดดดดด.............. อื้ดดดดดดดด อื้ดดดดดดดดดดดดดดดดด


อึก ...


- หิวน้ำจังว้อย - เสียงแรกที่ดังมาในใจผม ทำให้เริ่มควานหาน้ำมาดื่ม


เหลือบไปมองนาฬิกา เกือบ 10 โมงแล้ว สงสัยเมื่อคืนร้องหนักไปหน่อย น้ำเลยหมดตัว แล้วผมก็สังเกตว่า
มีใครโทรมาหาม่ะเช้านี้ เพราะว่า เห็นเป็นเบอร์มิสคอลปรากฏ ม่ะคืนหลังจากที่รู้ผลสอบ ผมก็ตั้งโทรสับเป็น
สั่นแทน เพราะรู้แน่ว่าต้องมีคนโทรมาหา โทรมาถามมากมาย ครั้นจะปิดเครื่องไปเลยก็คงไม่ดีแน่


เสียงสั่นสุดท้ายดับลงไป ผมดื่มน้ำเสร็จ ก็เดินมาดูเครื่อง ปรากฏว่าเป็นเบอร์ไอ้โอ้ตโทรมา


- สงสัยโทรมาถามดิว่า เอ็นติดเปล่า คงดีใจที่กูเอ็นไม่ติดมช แน่ๆ ถ้าบอกไป –


แล้วผมก็ต้องตกใจ เพราะพอเครื่องมันหยุดสั่น ก็ปรากฏสายไม่ได้รับถีงร้อยกว่าสาย ผมกดด้วยมือ
สั่นเล็กๆ มันมีทั้งเบอร์ของแม่ เบอร์ของลุงสน แล้วก็เบอร์ของโอ้ตปนๆกันไป


อื้ดดดด อื้ดดดดดด..............


ไอ้โอ้ตโทรมาอีก


“ ฮัลโหล โอ้ต ...” ผมรับ


“ ปริ้น ทำไมโทรติดยากจัง เป็นอะไรเหรอเปล่า ” เสียงโอ้ตดูเป็นกังวลมาก


“ ม่ะ ไม่เป็นไรหรอก พอดีตั้งสั้นไว้อ่ะ เออ แต่ว่ากะ- - - ” ผมยังไม่ทันจะได้ถาม


“ ปริ้น ไปโรงบาลตอนนี้เลยนะ - - ตอนนี้โอ้ตกำลังหาเที่ยวบินกลับอยู่ ”


“ ม่ะ หมายความว่าไงอ่ะ ” ผมพยายามไม่คิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุด


“ ปะ ปริ้น - - - ทำใจดีๆไว้นะ ” เสียงโอ้ตมันสั่น


“ มีอะไร ” ผมชักขึ้นเสียง


“ แม่ปริ้นโทรมาบอกโอ้ตเมื่อเช้านะ ว่า - - เออ - - คือ พ่อปริ้นเสียแล้ว แม่ปริ้นโทรมาหาปริ้นแล้ว
แต่ปริ้นไม่รับ เลย ................... ” เสียงต่อจากนั้นผมแทบจับไม่ได้ว่ามันพูดว่าไร


“ เกิดไรขึ้น ม่ะจริงอ่ะ โอ้ต ” ผมถามย้อนกลับไปหามัน


“ โอ้ต - - ม่ะคืนเรายังไปคุยกับป๊าอยู่เลย ล้อเล่นแบบนี้มันไม่ตลกนะว้อยยยย ” ผมแผดเสียงเข้าไปในโทรสับ


“ ปริ้น ใจเย็นๆ โอ้ต - - โอ้ตไม่ได้โกหกนะ ”


จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกอะไรใส่โอ้ตมันเลย แต่มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้อ่ะ มันทำให้เหมือน
โลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เหมือนประสาทมันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


“ ปริ้น รีบไปโรงบาลนะ ขึ้นแท็กซี่ไปเลย ” โอ้ตสั่งผม แล้วก็ไม่ยอมวางหูไปจนผมไปถึงโรงบาล


พอถึงปั๊บ ผมรีบวิ่งไปที่ห้องที่ป๊าเคยนอนอยู่ แต่บัดนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว


“ พี่คับ พี่ๆ ” ผมเหลือบไปเห็นพยาบาลที่เดินผ่านมา


“ คนป่วยห้องนี้ไปไหนแล้วอ่ะ ”


พี่เค้ามองดูผมแป็บนึง แล้วก็เลยพาเดินไปที่หน้าห้อง ICU ซึ่งบัดนี้ไฟที่หน้าห้องดับลงเรียบร้อยแล้ว


“ ผม ขะ เข้าไปได้ใช่มั้ยครับ ” ผมถามพยาบาลข้างๆ เธอพนักหน้า แล้วก็เปิดประตูให้ ผมเดินเข้าไปเจอแม่
ลุงสน แล้วก็ยายยืนอยู่ล้อมรอบเตียง สองคนนี่คงมาตั้งแต่เช้าแล้วมั้ง ผมเดินขาแข็งเข้าไป ยายเรียกผม
เบาๆ แม่ผมก็ผุดลุกจากที่นั่งกุมมือป๊าอยู่ ผมสังเกตเห็นแม่ปาดน้ำตา แล้วก็หันมาหาผม


“ ปริ้น ... ไหว้ป๊า ไหว้ป๊าซิลูก ” แม่เดินมาจับมือผมเบาๆ แล้วก็เลื่อนตัวให้ผมไหว้ที่เท้าป๊า แม่ลูบหัวผมเบาๆ
แล้วก็พูดไปพลาง


“ ป๊าไปดีแล้วนะลูก ป๊าเค้าไปดีแล้ว ” แม่ผมพูดพลางสะอื้นเล็กๆ พยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้ผมเห็น
ตอนนั้น น้ำตาผมไม่ออกซักกะหยดเดียว มีแต่ความงงงวยในหัวมากกว่า ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไร
กับชีวิตที่ผ่านมาไม่ถึงเดือนนี้ ทุกอย่างมันเร็วเกินกว่าที่ผมจะรับรู้ได้


อีกพักใหญ่ๆ แม่ ยาย แล้วก็ลุงสน ก็เดินออกไปนอกห้องเพื่อที่จะจัดการเรื่องของป๊า แต่ผมบอกว่า ขออยู่
ในนี้อีกพักนึง


ผมขยี้ตาเหมือนเด็กๆ พยายามตบหัวตัวเอง เหมือนกับตอนที่ผมฝันบ่อยๆ แต่ป๊าก็ยังนอนสงบอยู่บนเตียง
เหมือนกับกำลังหลับอยู่ ผมค่อยๆเดินไปข้างๆตัวป๊า แล้วก็จับมือไว้ มือเริ่มลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว
แต่ความกร้านของมือ ที่เคยลูบหัวผมเมื่อวาน มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ป๊ายังไม่ได้ไปไหน


“ ป๊า ... ” ผมพูดเสียงเบา แล้วก็เขย่าตัว


“ ป๊า - - - ป๊ายังไม่รอฟังผลสอบปริ้นเลยอ่ะ ป๊า ฮึก.. ” น้ำตาหยดแรกไหลรินออกมา อย่างยากจะควบคุม
มือก็ยังคงเขย่าไม่เลิกลา


“ ไหนป๊าบอกว่า เราสามคนจะไปเที่ยวทะเลกันไง - - นะ - - ไหนป๊าบอกว่า อยากจะพาแม่ กับปริ้นไป
เล่นน้ำกันไง - - เหรอว่า เพราะปริ้นเอ็นฯไม่ติด - - ป๊าเลยไม่รอปริ้น อึกก ฮือออออ ....... ”


น้ำตาผมหยดเป็นสายลงบนร่างที่ไม่ไหวติงของป๊า ผมค่อยๆลดตัวลงสวมกอดท่าน


“ ป๊า - - ปริ้นขอโทษนะ - - - ปริ้นมันโง่ ..... ถ้าปริ้นไม่เลือกอะไรโง่ๆ ปริ้นก็คงเอ็นติด แล้วป๊าก็ไม่ต้องเสียใจ
แบบนี้ ป๊า - - ปริ้นขอโทดนะ ......... ป๊า - - - ตื่นมาคุยกับปริ้นเซ่ ”


ผมเริ่มพูดเหมือนคนบ้าแล้ว อารมณ์ทั้งตกใจ เสียใจ มันเกินจะควบคุมจริงๆ จนถึง ณ ขณะนี้ ผมยังคิดอยู่
แล้วก็ภาวนามาตลอด ว่าห้วงเวลาที่สูญเสียคนที่รักเรามากที่สุดไป มันทรมานแค่ไหน แม้ว่าผมจะร้องไห้
เท่าไร เสียใจเท่าไร ตอนนี้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาแล้ว


ป๊าครับ - - ถ้าชาติหน้ามันมีจริงๆเหมือนกับที่ป๊าเคยเล่าให้ฟังสมัยเมื่อผมเด็กๆอยู่ ผมขอให้ผมได้เกิดมา
เป็นลูกของป๊าตลอดไปนะครับ .......

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ฤดูร้อนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมจากครอบครัวมาแค่ชั่วคราว ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงในหลายๆอย่าง
เปลี่ยนทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว แต่มันก็เป็นฤดูร้อนที่ดูสดใส


ฤดูร้อนทีทำให้ผมได้เจอกัน คนที่เรียกว่า “ รักครั้งแรก ”


ผมได้เจอคนมากมาย ทั้งเพื่อน พี่ น้อง มันเป็นฤดูร้อนที่สดใส แล้วก็เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นอะไร
ใหม่จริงๆ


2 ปีต่อมา มันเหมือนกลับตาลปัตรยังไงก็ไม่รู้ ฤดูร้อนที่ยังร้อนเหมือนเดิม เป็นปีที่ผมต้องเปลี่ยนแปลง
ชีวิตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันกลับมาพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจ ความผิดหวังที่มากมายมหาศาล ....
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว แล้วก็เรื่อง “ คนรัก ”


แม่ตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่กับยายที่เพชรบุรี โดยยอมย้ายจากโรงเรียนรัฐบาลมาสอนที่โรงเรียนเอกชนใน
จังหวัดแทน ก่อนหน้านั้น ก็จัดการเรื่องของป๊าโดยที่นำมาเผาที่วัดที่นี่ แล้วก็เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปี
ที่โอ้ตกลับมาบ้าน


หลังจากที่พาป๊ากลับมาสวดคืนแรก โอ้ตมันก็กลับมาถึงบ้านพอดี ผมพยายามที่จะทำตัวตามปกติให้
มากที่สุดแล้วนะ


โอ้ตเดินมาหาผม มันยังเหมือนเดิม ดูตัวโตขึ้น ดูมีเสน่ห์ ไม่เหมือนกับเด็กม ปลายเมื่อก่อนอย่างที่บอกไป


“ ปริ้น ไม่เป็นไรนะ ” มันเดินเข้ามากอดผมไว้ แล้วก็ลูบหลังเบาๆ


“ อะ อือ ” ผมตอบ แล้วก็รีบผลักตัวมันออกไป โอ้ตทำหน้างงหน่อยๆ


“ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า ” ผมตอบเหตุผลไป ไม่มองหน้ามัน ภาพที่ผมเห็นมันกระหนุงกระหนิงกับไอ้ผู้ชาย
คนนั้นมันยังติดตาผมอยู่


“ แล้วเรื่องเอ็น เป็นยังไงมั่ง ” มันถามผมเพราะว่ายังไม่ทราบ


“ คงไม่ได้ไปเรียนด้วยแล้วล่ะ ” ผมตอบแบบไม่สบอารมณ์


“ เราเอ็นไม่ติด ”


โอ้ตทำหน้าเหมือนสงสารผมเต็มประดา แต่ตอนนั้นในใจผมอคติมันไปเรียบร้อยแล้ว มันทำหน้ามายังไง
ผมก็ไม่เชื่อมัน


“ ปริ้น เป็นอะไรเหรอเปล่า ทำไม - - ” โอ้ตถามผม


“ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น .... ” ผมขึ้นเสียงใส่มัน


“ ปริ้น .. ” มันเรียกผม เมื่อเห็นผมกะลังเดินไปอีกทาง


“ โอ้ต - - ปริ้นถามจริงๆนะ ” ผมถามโดยยืนหันหลังให้มัน


“ โอ้ตยังรักเราเหมือนเดิมเหรอเปล่า ”


................ โอ้ตมันเงียบไป ส่วนตัวผมนั่น บอกตามตรงว่า พอถามไปแบบนั้น ใจมันสั่นๆเหมือนกัน


“ รักสิ .. โอ้ตยังรักปริ้นนะ ” โอ้ตตอบ ผมจึงค่อยๆหันไปหา เห็นมันเกาแก้มเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่
เวลามันเขิน


“ โอ้ต ..... ขอบใจนะ ” ผมพยายามฝืนยิ้มให้กับมัน ทำไมผมไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำตอบที่เหมือนจะบังคับ
ให้มันตอบแบบนั้นเลยนะ


สองวันต่อมา หลังจากที่เผาป๊าเสร็จ ก็ถึงเวลาที่โอ้ตมันต้องกลับไปเชียงใหม่แล้ว ลุงสนก็มาส่งลูกชาย
ผมก็ติดรถมาด้วย เพราะไอ้โอ้ตมันคะยั้นคะยอให้มา แต่ถึงมันไม่ให้มา ผมก็กะว่าจะมาอยู่แล้ว เพราะ
ตอนแรกกะว่าจะไปสมัครเรียนที่รามฯด้วยคับ


พอมาถึงดอนเมือง โอ้ตมันก็จัดการเช็คอินเรียบร้อย พอถึงเวลาใกล้ๆมันจะเข้าประตู


“ โอ้ต ... ” ผมเรียก มันก็หันมาหา ทำหน้างงๆ


“ มีใครรออยู่ที่เชียงใหม่เหรอเปล่า ? ” ผมถามมันโต้งๆ โอ้ตเป็นคนที่ไม่ค่อยโกหกครับ ผมถึงรู้สึกเสียใจ
ไงที่ไปเห็นมันคราวก่อน แล้วมันดันโกหกผมต่อหน้าต่อตา


โอ้ตมันอึ้ง


“ มีใครรออยู่ที่โน่นเหรอเปล่า ตอบมาดิ ” ผมถามหน้าตาเรียบเฉย


“ เออ ... ปริ้นจะพูดไร ” มันถามย้อน


“ เต นี่คือใครเหรอ ” ผมถาม ชื่อๆนี้ผมแอบเห็นในมือถือมัน เมื่อวันก่อน เป็นข้อความที่ดูแล้ว
ไม่น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชาย ส่งให้เพื่อนผู้ชายหรอก


ผมเลยใช้เบอร์โอ้ตโทรกลับไปหา เบอร์คนๆนี้ แล้วก็ปรากฏว่าเป็นเสียงเดียวกับที่เคยรับ
โทรสับคราวก่อนโน้น


ได้ยินผมถามแบบนั้น หน้ามันเหวอเลยครับ


“ ปะ ปริ้น คือ - - ” มันทำเสียงตะกุกตะกัก


“ โอ้ต ... อย่าโกหกเราได้มั้ย ขะ ขอร้อง ” ผมเริ่มถามเสียงสั่น แต่หน้าผมยังคงเรียบเฉย


โอ้ตมันก้มหน้านิ่ง มือที่ถือกระเป๋ามากำแน่น


ผมค่อยๆเดินไปหามัน แล้วก็กอดมันหลวมๆ พูดตามตรง ผมยังทำใจให้เลิกรัก เลิกชอบมันไม่ได้หรอก


“ โชคดีนะ ” ผมพูดแล้วก็ก้มหน้าไปซุกที่หน้าอกมันเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาที่ปริ่มๆอยู่มันไปติดกับที่
อกเสื้อเป็นรอยเล็กๆ


“ แล้วกลับมาเยี่ยมกันบ้างนะ อย่าเอาแต่เรียน ” ผมยิ้มให้มัน ( พระเอกเจงๆกูเนี่ย )


“ ปริ้น - - คือ ” โอ้ตดึงมือผมไว้ไม่ยอมให้เดินออกไป


มือโอ้ตมันยังอุ่น เหมือนเดิม เหมือนกับที่มันเคยจับ เคยกุมกันไว้ แต่ ... ตอนนั้นมันเป็นอดีตต่างหาก


ผมตัดสินใจเอามืออีกมือดันมือมันออก


“ โอ้ต ... ปล่อยเราไปเถอะ - - นะ ” ผมไม่สามารถมองหน้ามันได้ต่อไป แต่ผมรู้ว่าโอ้ตน้ำตาไหล แล้วมันก็ไม่
ยอมที่จะปล่อยมือซะที


“ คะ เครื่องจะออกแล้วนะ ” ผมว่าพลางใช้กำลังดันอย่างแรงจนมือมันหลุดจากมือผมจนได้


“ ปริ้น - - ” มันพูดอยู่ในลำคอ แต่ผมไม่รอให้มันพูดอะไรได้มากกว่านั้น รีบผละออกมาเลยดีกว่า ซักพัก มัน
เห็นว่าผมเดินออกไปไกลแล้ว ก็เดินหง่อยๆเข้าประตูไป


- โอ้ต ....โชคดีนะ –


ผมคิดแล้วก็ก้าวขาออกไปที่รถ ที่ลุงสนจอดรอผมอยู่นานแล้ว

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

“ พี่ปริ้น พี่จะไปเรียนรามจริงๆเหรอ ” เสียงๆนึงถามผม


“ ไมอ่ะ เรียนรามฯไม่ดีตรงไหนวะ ” ผมถามไอ้โค้ก ในวันแรกที่เปิดเรียนของมัน ที่ได้เป็นพี่ใหญ่สุดของ
โรงเรียนแล้ว


“ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ค๊าบ แล้วกะว่าปีหน้าจะลองเอ็นใหม่อีกรอบป่ะ ” มันถามผม


“ ไม่รู้เด๊ะ ดูก่อน ถ้ามันเรียนได้ดี ก็เรียนไปเรื่อยๆอ่ะ ” ผมว่า


“ แต่เรียนตั้งบางนาโน่นแน่ะ เหนื่อยชิบ ” ผมบ่นกะมัน


“ ยั่งงี้ก็แสดงว่า ถ้าเรียนไม่ไหว ก็จะลองเอ็นฯใหม่ใช่ป่ะคับ ” มันว่าแบบกระตือรือร้น


“ อะดิ ก็คะแนนเอ็นมันยังใช้ได้ตั้ง 3 ปี แถมถ้าเลือกดีๆ ก็คงติดซักที่ล่ะมั้ง ”


“ จะเอ็นเชียงใหม่อีกเปล่าล่ะ ” มันแซว


“ ไม่แล้วว้อย เบื่อ ... เอ๊ะ ว่าแต่รู้ได้ไงว่า กูเอ็นเข้าเชียงใหม่วะ ”


“ 555 ไม่บอก... ถ้าจะเอ็นใหม่จริงๆ ก็รอผมด้วยล่ะกานนน ” มันพูดทีเล่นทีจริง


ผมหันไปยิ้มให้มัน ... แล้วก็ตบหัวมันทีนึง


“ ไม่อ่ะ กูไม่รอใครแล้ว เข็ด 55 ” ผมเห็นมันทำหน้าหมาหงอยจนอดสงสารไม่ได้


“ พี่นะว้อย ไม่คิดจะรอใครแล้วจริงๆนะโค้ก - - แต่ถ้ามันจะพยายามวิ่งมาให้ทันพี่อ่ะ ก็อีกเรื่องนึง ”


“ อะ เจงดิ ”


“ โกหกได้โล่เหรอ ” ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะคิกคักไปตามเรื่อง


ปลายฤดูร้อนปี 2000 ที่แสนเศร้าสร้อยเหมือนพายุหลงฤดูผ่านเข้ามาในชีวิตผมก็จริงอยู่
แต่มันก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่เค้าพูดกันบ่อยๆ หลังซากปรักหักพัง ก็จะมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นได้เสมอ


หลังพายุที่เลวร้าย มันก็จะตามมาด้วยท้องฟ้าที่แจ่มใส รอเราอยู่ ...


.

.

.

.

.

.

.

บ้านพักอลเวง 4 คิมหันต์นิรันดร --------------------------------------------------------------> จบ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:33:01
บ้านพักอลเวง5 - SeasonsChange#1
.
.
.
.

แปะ ....... แปะ...... แปะ ..................

.

ฝนค่อยๆ ลงเม็ดมาเสียงดังเปาะแปะ ผู้คนต่างพากันวิ่งวุ่นหลบฝนกันเป็นทิวแถว
ร่มหลากสีสันถูกกางออกเป็นที่กำบังไม่ให้ตัวเองเปียกฝน


“สาดด ทำไมต้องมาตกตอนนี้ด้วยวะ” ผมบ่นพึมพำ พร้อมกับเอามือปาดหยดน้ำที่หล่น
มาโดนหน้าผาก (ดีไม่ใช่ขี้นกนะ)


- คันไหน คันไหน คันไหนวะ -


ผมมองหารถเมล์สายที่จะผ่านหน้าราม ยอมรับตามตรงว่า ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่
แถบหัวหมากซักเท่าไร ซักพักรถสาย 168 ก็ปาดเข้ามาจอด ผมถึงกะตาแหกเพราะ
ว่าคนที่ไหนก็ไม่รู้ วิ่งพร่างพรูกันขึ้นรถ ซักพัก ก็เต็มซะแล้ว


สรุป ผมต้องยืนไปจนถึงราม 1 ใช้เวลาสุทธิ เกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าฝนไม่ตก ก็ประมาณ
ชั่วโมงเดียวก็ถึง (ในเวลาสายๆแบบนี้)


พอมาถึงเหมือนฟ้าฝนเป็นใจ เพราะตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่กลับมีแดดแรงมาแผดเผา
แทน เฮ้อ ... ! อากาศเมืองไทย


“จะไปเรียนรามจริงๆเหรอปริ้น” แม่ผมขัดขึ้นมาทันที


“อือ ทำไมเหรอ”


“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่แม่คิดว่าแกจะเรียนไม่จบนะซิ เรียนรามเค้าต้องรับผิดชอบตัวเองมากกว่า
ที่อื่นนะ”


“อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าปริ้นไม่รับผิดชอบอ่ะซิ” ผมเคือง


“ก็ใช่นะซิ”


แป่ว ...


ผมเสีย self เล็กๆ พลางอธิบายเหตุผล แล้วก็ชักแม่น้ำทั้ง 5 เกลี้ยกล่อม จนยายผมก็เข้ามาพูดด้วย


“ปริ้นมันโตแล้ว ให้เด็กมันตัดสินใจเองบ้างเถอะ ยัย xxx(แม่ผม) ”


“แม่ก็ชอบให้ท้ายเด็กนะ” แม่ผมหันไปต่อว่า


“เอาน่า แม่ไม่ได้ให้ท้ายมัน” ยายบอก แล้วก็หันมาทางผม


“ถ้าไปเรียนแล้ว เห็นว่าไม่ดีก็กลับมานะ เรียนที่บ้านเราก็ได้ จะได้อยู่ใกล้ๆแม่เราเค้า ”


ยายผมหมายถึงให้เรียนที่ราชภัฏเพชรบุรีอ่ะคับ


“คับยาย” ผมยิ้มแป้น แล้วอีกสองวันก็มาสมัครทันที โดยที่กริ้งกร้างไหว้วานให้เพื่อน
ที่กทม. ซื้อใบสมัครให้


“มึงจะไปสมัครพร้อมกูป่าววะ” ผมถามเพื่อนทางโทรศัพท์


“ป่าว กูสมัครวันนี้ไปแล้ว” เพื่อนบอก


“อ้าว เชี่ย แล้วไมไม่รอกูวะ ไม่รอเพื่อนฝูง”


“ก็ตอนแรกก็ว่าจะรอ แต่ตอนไปซื้อใบสมัคร กูเห็นคนน้อย กูเลยซื้อแล้วก็สมัครเลย” มันว่า


ด้วยเหตุนี้เลยต้องมาสมัครแต่เพียงผู้เดียว ในอีกสองวันข้างหน้า


หลังจากที่ใช้ความโง่ของตัวเองอย่างเต็มสตรีมลงป้ายบิ๊กซีราม แทนที่จะรอลงอีกป้ายนึง ทำให้
ต้องเดินหอบหนังสือสมัครขวาขวิด มิหนำซ้ำผมยังลืมเอาใบตรวจร่างกายที่ขอไว้เรียบร้อยแล้ว
มาจากบ้านอีก เลยต้องไปรอคิวตรวจที่มหาวิทยาลัยอีกชาตินึง


- เออ ... แล้วต้องทำไงต่อวะ- ผมคิดพลางเดินหาตึกที่จะต้องไปลงทะเบียน เดินเวียนอยู่ซักพักนึง
ก็จ่ายเงินลงทะเบียนเรียบร้อย (เค้าบริการดีเลยทีเดียว) พอผมผลุบออกมาจากตึกที่รับใบเสร็จ
ยังไม่ทันได้เดินออกมาซักกี่ก้าว


“น้องคะ น้องคะ มีซุ้มอยู่ยังคะ”


“น้องๆ อยู่ซุ้มนี้ดีกว่า”


“น้อง มาจากจังหวัดไหน ไปซุ้มพี่เลย”


บลาๆๆ จนผมถึงกะเหวอแดก หันไปมองคนที่เดินตามมาข้างหลัง ก็โดนคล้ายๆกับผมเหมือนกัน
ผมพยายามกวาดสายตามองหารุ่นพี่ที่รับสมัครซุ้มที่หน้าตาดีที่สุด(กาม) แต่ก็ยังไม่ถูกสเป็ค


“เออ .... พี่คับพี่ คือผมสมัครซุ้มเพื่อนที่รู้จักแล้วอ่ะคับ” เป็นเหตุผลที่ผมบอกไป


เท่านั้นหละ พี่ๆที่เหลืออยู่ก็รีบกระจัดกระจายไปดักคนที่โผล่หัวออกมาทีหลังต่อไป


จริงๆแล้วผมก็อยากจะเข้าซุ้มนะครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์หายังไงก็ไม่รู้ แถมซุ้มแต่ละ
ซุ้มมันก็ยังไม่ค่อยถูกใจผมอ่ะ ค่อยมาเข้าวันอื่นดีกว่า ผมคิดพลางรีบจ้ำออกจากบริเวณ
มหาวิทยาลัยทันที เพราะตั้งใจจะกลับเพชรฯเลย


- หิวน้ำฟะ – ผมคิดแล้วก็มองไปเห็นมีร้านขายน้ำอยู่ใกล้ๆ


“น้ำเปล่าขวดนึงคับ ”


คนขายหยิบน้ำมาส่งให้ผม แล้วก็เหมือนมีคนมาสะกิดที่ไหล่


“คับผม” ผมหันไปเจอผู้หญิงน่ารักคนนึงยิ้มให้อยู่


“สวัสดีคะ” เธอคนนั้นทัก


“คับ” ผมตอบกลับแล้วก็พยายามนึกว่า กูจำคนรู้จักไม่ได้อีกแล้วเหรอ


“น้องลงทะเบียนเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ” เธอถามแล้วก็เอียงคอนิดๆ โอ้ยน่ารักหว่ะ


“คับ เสร็จแล้วคับ” ผมยังไม่กล้าเรียกเค้าว่าพี่เลย เพราะว่าดูหน้าเด็กมั๊กๆ


“แล้วมีซุ้มอยู่เหรอยังคะ ถ้ายังไม่มีสนใจอยู่ซุ้มพี่มั้ย” พี่เค้าว่าพลางยื่นใบสมัครให้ผม
ซะตรงนั้นเลย


“พี่ชื่อกวางนะคะ น้อง..... ? ”


“ปริ้นครับ” ผมบอกไปแล้วก็มองที่ชื่อซุ้มที่เกี่ยวข้องอะไรกับห้องสมุดนี่แหละ - -‘’


“สนใจมั้ยคะ” พี่กวางถามผมอีกรอบ แล้วก็ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้


“เออ ... ” ในสมองประมวลผลอย่างหนัก ต่อมเกรงใจผมเริ่มกำเริบขึ้นมา มองเห็น
สภาพพี่เค้าเหงื่อออกหน่อยๆ หอบกระเป๋าสะพายซึ่งดูๆแล้วมีแต่ใบสมัครเต็ม
กระเป๋า แถมยังกล้ามาสะกิดผมซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนอีก


“เออ - - ก็ได้คับ” ผมตอบกลับไป


“งั้นน้องปริ้นตามพี่มาทางนี้นะคะ เดี๋ยวพี่พาไปนั่งเขียนใบสมัครร่มๆ” พี่กวางบอก
แล้วก็พาผมเดินลัดเลาะไป ตอนเดินก็ถามไปพลางว่ามาจากไหน ลงคณะอะไร
ลงวิชาอะไรบ้าง


“เรียนมนุษย์ สื่อสารเหรอคะ” (ตอนนั้นคณะเทคโนฯสื่อสารโดยตรงยังเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์คับ)
พี่กวางทำหน้าครุ่นคิด


“เอ พี่น่าจะมีเพื่อนเรียนคณะนี้นะ”


“แล้วพี่เรียนคณะไรคับ”


“พี่เรียนบริหารคะ เดี๋ยวพี่นึกก่อน ถ้ามีเพื่อนเรียนคณะนี้ จะได้ฝากให้อะคะ หนังสือจะได้ใช้ฟรี”
พี่กวางบอก


ผมหูผึ่งเพราะว่าชอบของฟรี อิอิ ม่ะช่าย


ซักพักพี่เค้าก็พามานั่งกับอีกหลายๆคนที่ดูเหมือนจะพึ่งโดนพามาเหมือนกัน ให้มานั่งเขียนใบสมัคร
ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจคนที่อยู่แถวนั้นอ่ะคับ ชักอยากเขียนให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับ กลัวฝนตกอีกรอบ


พอเขียนอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยื่นให้พี่แถวนั้นที่เดินมาพอดี แล้วพี่กวางกูหายไปไหนวะ


“20 บาทครับน้อง”


“จ่ายเงินด้วย !! ” ผมทำหน้าตกใจเล็กๆ เพราะว่าไม่เห็นบอกเลยนี่หว่า


“คับ เป็นค่าทำกิจกรรมของชมรมน่ะคับ ”


ผมทำหน้างอเล็กๆแล้วก็ควักแบงค์ 500 ให้เค้าไป


“ไม่มีแบงค์ย่อยเหรอคับ 20 เองนะ”


- เอ๊ะ ถ้ากูมี ก็ให้ไปแล้วเซ่ะ - อันนี้ผมคิดในใจ


“ไม่มีคับ ไม่มีเศษเลยอ่ะ”


พี่เค้าก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เดินหาคนโน้นคนนี้ที ว่าใครมีทอนบ้าง


- หุหุ พอหาเงินทอนไม่ได้ก็เสร็จกู - ผมคิดด้วยความสะใจ

“ไม่มีเงินทอนนะครับตอนนี้ รอให้คนเก็บเงินมาก่อนนะ” พี่แกพูดหน้าตาเฉย


“แล้วอีกนานมั้ยล่ะ”


“เอ คงประมาณชั่วโมงนึงได้ล่ะครับ ”


แค่ครึ่งชั่วโมงกูก็ไม่รอแล้ว นี่ตั้งชั่วโมงนึง หน้าผมหงิกขึ้นมาทันที


“งะ - - งั้นผมไม่สมัครแล้วดีกว่าครับ จะรีบกลับ” ผมบอกพลางจะยื่นมือไปหยิบใบสมัครแล้ว
ก็เงินคืน


“เด๋วซิครับ” พี่แกดึงเอาใบสมัครไว้ ไม่ยอมคืนให้ “รอแป็บน่ะนะ”


“พี่คืนผมมานะ" ผมชักขึ้นเสียง จนคนที่อยู่รอบๆหันมามอง


“นี่ นี่ นิค แกไปมีเรื่องอะไรกับน้องปริ้น” เสียงพี่กวางเอ็ดมาแต่ไกล


“ก็ เออ ... ” พี่แกหยุดพูดไปแป็บ มองดูใบสมัครผม


“ก็น้องปริ้นคนนี้ซิ แกล้งเอาแบงค์ 500 ให้อ่ะ นิคไม่มีเงินก็เลยบอกให้รอแป็บ เค้าก็ไม่รอ” พี่เค้าพูด


-อ้าว โบ้ยขี้ให้กูเต็มๆเลยนะมึง- ผมคิดในใจ กำมือแน่น เดือดสุดๆ


“แล้วทำไมแกไม่คืนเงินให้น้องเค้าไปก่อน แล้วแค่ 20 แกจะออกให้ก่อนไม่ได้เหรอไง” พี่กวางขึ้นเสียง


“ไม่ได้” มันตอบเสียงหนักแน่นมากกก


“ผมไม่ใช่เป็นเจ้าของเอไอเอสนะ จะได้มีเงินแจกให้คนอื่น” มันว่า (จริงๆบรรทัดนี้ไม่ต้องเขียนก็ได้)


“งั้นชั้นออกให้เองก็ได้” พี่กวางพูดแล้วก็คว้าใบสมัคร พร้อมกับคืนเงินให้ผม แล้วก็หยิบกระเป๋าตังค์
ออกให้ผมก่อน


“เออ พี่ครับ ไม่ต้องก็ได้ ผมรอแป็บก็ได้ครับ” ผมชักเกรงใจพี่กวาง


พี่กวางยิ้มให้ผม


“20 เอง แล้ววันหลังน้องปริ้นค่อยเลี้ยงข้าวพี่หนึ่งมื้อแล้วกัน” ว่าแล้วก็จัดแจงเดินเอาใบสมัครกับเงิน
ไปให้พี่ที่เก็บรวบรวม


“รอแป้บบบบบ .... ก็ได้คับ” เสียงไอ้คนที่ชื่อนิคพูดกระแนะกระแหน ผมเลยหันควับไปหาด้วยความมะโห


“จะเอาไงกับผมเนี่ย”


“ปล่าวนี่ครับ ” มันพูดแบบไม่ใยดี แล้วก็เดินไปทางพี่กวาง


โอ้ย กูหงุดหงิดที่ซู้ดดดดดดดด เจอคนกวนตีน

* * * * * * * * * * * * * * * * *

ผมขึ้นรถเมล์ได้ซักพักนึง พระพิรุณก็กระหน่ำตกมาอีกรอบ พอไม่มีอะไรจะทำ
ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดดูเบอร์ไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอเบอร์ๆนึง


-... ไม่ได้คุยกันตั้งเดือนนึงแล้วนี่นะ - ผมคิด


ตี้ดดดด ............ ติ้ดดดดดดดดด........... ติ้ดดด


“สวัสดีครับ” เสียงใครคนนึงดังมาตามสาย


“สวัสดีครับ ? ” มันทวนคำ เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงพูด


“หวัดดีโอ้ต” ผมทัก


“อ่ะ ปริ้นเหรอ ปริ้น !!! ” เสียงมันดูตื่นเต้น ก็แน่อะดิ ตั้งแต่วันที่มันกลับเชียงใหม่ พอไปถึง
มันก็รีบโทรมาหาผม เราคุยกันพักนึง แล้วผมก็บอกกับมันไปว่า ตั้งแต่นี้ อย่าโทรหาเรา
อีกเลยนะ


ผมพูดไปแบบนั้น แล้วจากนั้นผมก็จัดการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ แล้วก็ดูเหมือนว่า
โอ้ตจะโทรมาถามแม่ตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่มันถามเพียงว่า


“ปริ้นเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เหรอครับ”


มันก็คงรู้แหละว่า ผมไม่อยากคุยกับมันเรื่องอะไร แล้วถึงจะถามเบอร์จากแม่มันแล้วก็
ยังทู่ซี้โทรมาหา ผมก็จะไม่มีวันคุยกับมันแน่ๆ มันถึงไม่ถาม แล้วหลังจากนั้นเป็นเดือน
เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย


แต่วันนี้ ทำไมผมถึงคิดโทรไปหามันอีกนะ ทั้งๆที่ตอนแรกอยากจะตัดใจซะที - - - ไม่ดิ
ถ้าผมคิดตัดใจจากมันจริงๆ แล้วทำไมผมถึงยังเมมเบอร์มันไว้ในเครื่องอยู่อีกอ่ะ


“ปริ้น ... ” เสียงมันทักอีกรอบ


“เออ ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้” ผมแหวใส่


“เปลี่ยนเบอร์แล้วเหรอ อันนี้เบอร์ปริ้นใช่เปล่า” มันยังถามซอกแซก


“ก็ใช่ดิ ถ้าไม่ใช่จะเอาเบอร์ใครโทรมา”


มันก็ไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะ


ผมตัดสินใจเล่าให้มันฟังว่า จะมาเรียนรามแล้ว เรียนคณะนี้นะ เป็นยังงี้ ยังโง้น
ก็คุยแบบเพื่อนธรรมดาอ่ะคับ (พยายามจะ) ยังไงเสีย ก็ต้องมีวันนึงที่มันเรียนจบ
กลับมา แล้วยังไงเสีย มันก็อยู่ที่บ้านผม เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ถ้าขืนทำเป็นไม่
รู้จักกันอีกแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


แต่ ... ก็คงแค่กลับไปได้แค่เป็นพี่กับน้องเหมือนเดิมล่ะมั้ง ?


เราคุยกันได้อีกซักพักนึง โดยต่างคนต่างไม่เอ่ยถามเรื่องที่สนามบินวันนั้น
จนผมจะวางสายแล้ว


“งั้นเด๋วแค่นี้ก่อนนะ จะถึงเสารีย์แล้วอ่ะ” ผมว่า


“อือ กลับดีๆนะ - - - เออ”


“อืม ? ”


“เออ - - - คิดถึงนะ ” มันพูดออกมา แต่คำๆนี้ทำมันบาดแทงเข้าไปในหัวใจผมเลยทีเดียว


“แค่นี้นะโอ้ต ” ผมพยายามบอกมันให้บอกลาซะที


“ปริ้น - - โอ้ตขอโทษ” เสียงมันเครือๆ


ผมอ้าปากจะพูดอะไรออกไป แต่เสียงมันก็ไม่ออกซะที ความรู้สึกตอนนี้ สิ่งที่มันพูด
ทำให้ผมเริ่มจะใจอ่อนแล้วก็สับสน ฝ่ายโอ้ตมันก็ยังไม่พูดอะไรต่อ


“จะขอโทษทำไม - - - เราเข้าใจ” ผมพูดฝืนเสียงให้เป็นปกติ


“จะลงรถแล้วอ่ะ แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดแล้วก็กดตัดสายไปเลย เพราะไม่งั้นผมต้องมานั่ง
น้ำตาตกบนรถเมล์อีกแน่ๆ


- โอ้ต มึงจะมาขอโทษกูตอนนี้ทำไมนะ ? –


ผมรอให้รถเมล์ค่อยๆจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างพากันไปยืนอออยู่หน้าประตูรถ บางคน
ก็เตรียมร่มไว้เสร็จสรรพ เผื่อว่าตอนออกไปจะได้ไม่เปียกปอน ผมรอให้จนถึงคนสุดท้าย
จึงค่อยลง (ขี้เกียจเบียด)


คำขอโทษของโอ้ต มันก้องอยู่ในหัวผมวนไปวนมา จนผมต้องสะบัดหัวไปมาจนผมที่เริ่ม
จะยาวมาได้ซักหน่อยมันหล่นมาปรกที่หน้าผาก


- โอ้ตไม่ได้ผิดที่จะต้องมากล่าวคำขอโทษผมนี่ . . . . ชีวิตของใคร เค้าก็ต้องมาสิทธิ์ที่จะเลือก
ทำ เลือกที่จะกำหนดนี่นา เลิกโทษคนอื่นได้แล้ว –


ผมสะบัดหัวเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับเมฆฝนที่ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านพ้นไป


.

.

.

.

*~ อดทนเวลาที่ฝนพลำ

อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง

ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ

ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ
~*
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:33:41
ตี้ดดดด....... ติ้ดดดดด .......


“โหล..”


“สวัสดีคะ น้องปริ้นใช่มั้ยคะ”


“ครับ”


“พี่กวางเองนะคะ ”


“อ้อ พี่กวาง ว่าไงครับ”


“วันที่ 1 นี้ น้องปริ้นอย่าลืมมาปฐมนิเทศด้วยนะคะ จะได้มาทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆด้วยแล้วที่ซุ้ม
ก็มีกิจกรรมด้วยนะ”


“จริงๆวันปฐมนิเทศไม่ต้องไปก็ได้ม่ะใช่เหรอพี่”


“โถ น้องปริ้นมาเหอะ จะได้รู้จักพวกพี่ๆ เพื่อนๆด้วยล่ะ” บลาๆๆๆ พูดไปอีกประมาณ 5 นาที


“โอเคคับๆ ไปก็ไปคับ”


“จ้า ... แล้วเจอกันที่ซุ้มนะคะ อยู่ตรงข้าง bnbxx อ่ะคะ อ่อ พออธิการบรรยายจบแล้วค่อยออกมา
ก็ได้นะ”


“คับผม”


“งั้นก็นอนหลับต่อเถอะคะ พี่ไม่กวนแล้ว ........ ” พี่กวางพูดก่อนที่จะตัดสายไป ปล่อยให้ผมนอนมึน
อยู่บนเตียง เพราะเธอโทรมาซะหัววันยังไม่แปดโมง


“ขี้เกียจปายยยยว้อยยยยย” ผมตะโกนพลางบิดขี้เกียจไปพลาง


อ่า ใกล้จะเปิดเทอมใหม่แล้วล่ะครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจที่จะไปสมัครเรียนราม แล้วก็จับพลัดจับผลู
ได้เข้ามาอยู่ซุ้มxxxx โดยมีรุ่นพี่ผู้หญิงน่าตาน่ารักเป็นคนชวนเข้ามา


“ปริ้น เปิดเทอมวันไหนนะ” แม่ผมตะโกนเสียงดังเข้ามาในบ้าน


“วันที่ 1 นี้อ่ะ ” ผมเดินไปเปิดประตูให้แม่เดินเข้ามา


“แล้วเรื่องที่หยงที่อยู่ หาได้เรียบร้อยแล้วเหรอ ” แม่ผมบอกพลางสายตาสำรวจห้องไป


“ก็ให้พี่เค้าหาให้อยู่อ่ะ” ผมบอกพลางหาว


“พึ่งตื่นเหรอเนี่ย สายโด่งป่านนี้แล้ว” แม่ผมเอ็ด “ทำความสะอาดบ้านซะมั่งซิเรา รกจัง”


“รู้แล้วน่า” ผมรับคำไปส่งๆอย่างงั้นแหละ จริงๆมันก็ไม่ได้รกมากมายนี่หว่า


“หาที่มันใกล้ๆกับที่เรียนหน่อยแล้วกัน” แม่ผมบอก


“อือ”


แม่ผมมองๆ แล้วก็เขกกะโหลกผมทีนึง


“โอ้ย..! ”


“นี่ เวลาชั้นพูดก็หันหน้ามามองซิ มัวแต่ทำอะไรอยู่นั่นแหละ - - ออกมานี่ เร็ว”


ผมทำหน้าตาหงุดหงิด สงสัยจะใช้ให้ทำไรอีกแน่เลย แล้วทำไมต้องมาใช้ตอนสายๆแบบนี้ว้า
แดดก็ออก ดำหมดกู


“ไปล้างรถไป” แม่สั่ง


“โห อีกแระ” ผมบ่นเบาๆ พลางเดินอ้อยอิงไปหยิบสายฉีดน้ำ พร้อมกับน้ำยาล้างรถ


“พูดนั่นพูดนี่อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ไม่ให้ใช้ซะเลย” แม่พูดเสียงดังพอให้ได้ยิน


ผมผงะนิดหน่อย พร้อมกับหันไปมองประมาณว่า พูดว่าไรนะ พูดใหม่อีกทีดิ๊


“แม่จะให้ปริ้นเอารถไปใช้เหรอ” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น (แต่แอบเก็บอารมณ์ไว้เด๋วเสียฟอร์ม)


แม่ไม่ตอบอะไร แต่ก็โยนกุญแจมาให้


“ไปขอบคุณยายเราโน่น เจ้ากี้เจ้าการให้หลานรัก”


“อ้าว แล้วแม่จะไปโรงเรียนไงอ่ะ” ผมถาม เพราะว่าตั้งแต่แม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านยายก็จริง แต่โรงเรียนเอกชน
ที่แม่มาสอนก็อยู่ในอำเภอเมือง


“ก็ให้สนเค้าขับไปส่งไง”


“อ่อ เหรอคับ แต่ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับเอง” ผมพูดพลางลิงโลดรีบเอาสายยางฉีดน้ำ ใช้น้ำยาล้างรถ
แถมด้วยขัดเงารถอย่างพิถีพิถันสุดๆ ตอนนี้เป็นของผมแล้วนี่หว่า จะมาฉีดๆ แล้วล้างส่งเดชเหมือนแต่ก่อนได้ไงล่ะ หุหุ


ผมขัดไปพลางก็นึกถึงตอนที่หัดขับรถครั้งแรกไป

.
.

“เออ ค่อยๆเหยียบคลัชนะ เหยียบค้างแบบนั้นไว้ก่อน” เสียงป๊าที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆคนขับบอกผม
ด้วยความระแวดระวัง


“ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเกียร์ 1 ” ป๊าค่อยๆบอกผม มือนึงก็จับไว้ที่เบลกมือ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


แกร๊กกก ...


“ค่อยๆปล่อยคลัช แล้วก็เหยียบคันเร่งเบาๆ เบาๆๆ”


แกร๊กกกก ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


รถไม่ขยับ แต่เป็นเสียงครืดคราดดังยาว เป็นผลมาจากการเข้าเกียร์ผิดนั่นเอง


“เฮ่อ เวลาเปลี่ยนเกียร์ ดูด้วย ให้มันลงล็อกแบบนี้ ” ป๊าว่าพลางปรับเกียร์ให้ผม


“เอ้า .. ค่อยๆปล่อยคลัช เหยียบคันเร่ง เออ ... แบบนั้นแหละ ค่อยๆ - - - - - - -”


รถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ สีแดงแอ็ปเปิ้ล ค่อยๆแล่นไปอย่างเชื่องช้า ติดๆดับๆ ภายในหมู่บ้าน
ผ่านไปราวเดือนนึง มันก็ค่อยๆแล่นออกถนนใหญ่แถบเมืองนนทบุรี ป๊าผมสอนให้ขับรถ
ตั้งแต่ราวม. 2 ได้มั้ง จากนั้นเป็นต้นมา ก็ได้ขับเล่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับออกถนน
ในกรุงเทพเท่าไร หลังจากที่จบ ม. ต้น ป๊ากับแม่ก็ย้ายบ้าน ผมก็ไม่มีโอกาสได้ขับรถคันนี้
อีกเลย


จนมาถึงวันนี้ ผมค่อยๆลูบรอยครูดเป็นทางยาวบริเวณกันชนหน้ารถ


แคร๊กกกกกกกกก กึ่ง กึ่ง กึ่งงง


“ขับภาษาอะไรให้ไปครูดประตูบ้านได้ห่ะ” ป๊าเอ็ดผมพลางเดินลงจากรถไปดูสภาพว่าเสียหายแค่ไหน


“ขะ ขอโทดคับ ป๊า” ผมพูดหน้าซีด


“ช่างมัน ... คราวหลังดูดีๆก่อน ให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยเลื่อนรถ เข้าใจไหม ปริ้น ”


“คับ ... ”


ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกแล้วก็ครั้งสุดท้ายที่ผมทำให้รถเสียหาย ผมลูบไปพลาง ยิ้มไปพลาง สงสัยกูจะบ้าแฮะ
ยิ้มไรอยู่กับรถอยู่ได้

.

.

< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >

.

.

ปรี้นนนนนนนนน ปรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


“โห่ว้อยย บีบอยู่ได้ กูรู้แล้วว่าเข้าผิดเลน” ผมสบถในรถอยู่คนเดียว ระหว่างที่กำลังจะหาทางเข้าเลนซ้าย
อย่างรีบด่วน จนโดยรถคันหลังบีบแตรไล่


วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศที่มหาวิทยาลัยครับ แล้วผมก็ดันรับปากพี่กวางไว้ ก็เลยต้องบึ่งรถจากชะอำตั้งแต่
ก่อนรุ่งสาง ง่วงก็ง่วง ส่วนหอพักที่ผมให้พี่ท็อปช่วยดูให้ ก็ยังไม่ได้เรื่องเลย ผมก็เลยต้องอาศัยห้อง
พี่ท็อปที่อยู่แถวพหลโยธินเป็นแหล่งกบดานไปซักพัก ท่ามกลางเสียงก่นด่าของพี่แก


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากปากทางเข้ามาราม 2 แลนเซอร์สีแดงแอ็ปเปิ้ล ก็มาจอดสงบนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถ
ผมเลื่อนกระจกข้างหน้าสำรวจตัวเองอีกรอบ นอกจากเป็นวันแรกที่มีกิจกรรม แล้วก็เป็นวันแรกที่
ผมต้องเปลี่ยนจากการใส่ชุดนักเรียนขาสั้น มาเป็นชุดนักศึกษาแบบนี้ รู้สึกเขินๆยังไงก็ไม่รู้


ผมเดินลงจากรถแล้วก็เดินมาถึงตึก bnb อะไรซักอย่าง ก็เข้าไปนั่งเนียนๆปนกับนักศึกษาใหม่คนอื่น
ตอนที่กำลังเดินเข้ามา ก็เห็นพวกรุ่นพี่ ตั้งซุ้มกันเกลื่อนกลาด แต่ในช่วงเช้าต้องเข้ามานั่งฟังอธิการ
แล้วก็รองฯท่านอื่นๆพูดคุยก่อน ตอนนี้ต่างคนก็ต่างจ้องมองที่ทีวีที่ถ่ายทอดภาพแล้วก็เสียงของท่านๆ
เหล่านั้นออกมา


“ฮ้าววววว ....... ง่วงชิบ นี่ตูมานั่งฟังเค้าพูดอะไรเนี่ย”


ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง นักศึกษาบางคนก็เดินออกไปข้างนอกกันบ้าง ผมก็นั่งรอจนอธิการพูดจบ
เค้าก็อวยพรประมาณว่า ใครที่มาเข้าปฐมนิเทศวันนี้ จบทุกคนแน่นอน (ไม่จริง) ผมยกมือสาธุทีนึง
แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับหลายๆคน


“แล้วซุ้มพี่แกอยู่ไหนวะ” ผมเดินไปที่ตึกที่พี่กวางเคยบอกไว้วันก่อน ก็เห็นว่ามีซุ้มตั้งอยู่บานตะไท
แต่มีอยู่ซุ้มนึงค่อนข้างใหญ่พอสมควร เห็นมีเด็กๆนั่งกันอยู่เต็ม แล้วก็มีรุ่นพี่พูดคุยอะไรอยู่ด้านหน้า
อีกหลายคนก็ง่วนอยู่กะการเขียนชื่อบนกระดาษแล้วก็เอามาคล้องคอน้องๆ


“ทะไมคนเยอะจังวะ ” ผมชักเกรงๆ


“อ้าว น้องคับ มีซุ้มอยู่เหรอยัง ” พี่ผู้ชายคนนึงเห็นผมยืนเก้ๆกังๆ อยู่ก็เลยเข้ามาถาม


“เออ .... ” ผมกะลังคิดว่าอยู่ หรือว่ากูจะไม่เข้าไปดีวะ


ระหว่างที่กำลังคิดที่จะหลบฉากมาอยู่นั้นเอง ผมก็ถอยไปเหยียบเท้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“โอ้ย ไอ้เหี้ยเอ้ย เหยียบมาได้ ” ไอ้คนที่โดนเหยียบสบถออกมา


ผมกะว่าจะขอโทษแต่หันไปดันเป็นไอ้รุ่นพี่ที่ชื่อคลับคล้ายคลับคราว่านิคเองหรอกเหรอ


“แล้วมายืนอยู่ข้างหลังทำไม” แทนที่จะขอโทษผมกลับถามไปด้วยความแปลกใจแทน


“ก็กูยืนอยู่ตั้งนานแล้ว มึงนั่นแหละถอยมาเหยียบ” มันว่าพลางทำหน้าตาโกรธมหาศาล (ก็น่าอยู่)


ผมมองดูรูปการณ์แล้ว ถ้าจะไปเถียงกับมันมากๆ เด๋วมันจะต่อยเอาได้ ยิ่งดูเถื่อนๆ อยู่ด้วย แถม
ยังไงมันก็เป็นรุ่นพี่วะ


“งั้นผมขอโทษ ... ”


มันยังมองผมแบบไม่ยอมยกโทษให้ แต่ขอโทษทีสำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักกัน แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ
ก็เลยรีบเดินกะว่าจะหลบออกมา ไม่เข้าแม่งแล้วซ้งซุ้ม


“เฮ้ย แล้วจะไปไหนวะ ไม่เข้าไปล่ะว้อย” มันหันมาดึงที่คอเสื้อทำเอาตัวผมกระตุก


“แค่ก ... เอ้ย ดึงทำบ้าไรวะ” ผมหันไปปัดให้มือมันหลุดออก


“นี่ ตรงนั้นนะ หยู้ดดดดดดด ทะเลาะอะไรกันค้า ” พี่กวางเดินเข้ามาหาพร้อมพี่ผู้ชายตัวล่ำๆอีกคนนึง
ที่แท้ซุ้มนี้ก็คือซุ้มที่ผมตามหาอยู่นี่เอง


“ไอ้นี่มันมาแล้วจะไม่เข้าอะซิ ” ไอ้หอกนี่รีบฟ้อง “แถมมาเหยียบเท้าด้วย เจ็บชิบหาย”


เท่าที่ฟังๆดูแล้ว ไอ้นี่พูดจาไร้สกุลรุนช่องจริงๆให้ตายเหอะ


“ผมไม่ได้จะโดดคับ ผมแค่หาพี่ไม่เจอ” ผมแก้ตัว


“ก็เลยกะว่าจะเดินไปดูที่อื่น”


พี่กวางมองหน้าเราทั้งคู่สับไปสับมา แล้วก็หันมายิ้มให้ผม


“นี่แหละคะ งั้นน้องปริ้นเข้ามาเขียนชื่อก่อน” ผมก็รีบเดินตามพี่เค้าไป หลังจากพี่กวางเขียนป้าย
ชื่อให้ผมคล้องแล้วก็ให้ผมไปนั่งรวมกลุ่มอยู่กับพวกที่นั่งอยู่ ผมแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับใคร
เลยเพราะว่าดูเค้าจะรู้จักกันอยู่แล้ว ได้แต่นั่งเงียบ


“เหยิบไปหน่อยดิ๊ นั่งกินที่หว่ะ” ผมเงยหน้าไปตามเสียงคุ้นหูที่แสนกวนตีน ก็เห็นไอ้รุ่นพี่นิค
มันยืนค้ำหัวอยู่ ผมก็ทำทีขยับให้มันแบบไม่ค่อยพอใจ


“ที่ตั้งเยอะแยะมานั่งเหี้ยไรตรงนี้วะ” ผมบ่นเบาๆ “โอ้ย .. ”


มันทิ้งตัวนั่งเอาเข่ามากระแทกเข่าผมอย่างจัง พอหันไปก็เห็นมันทำหน้ายิ้มเยาะเป็นเชิงเอาคืนอยู่ในที
แต่ผมตกใจไปกว่านั้นคือ คอมันก็แขวนป้ายชื่อแบบเดียวกะผม


“มองไร อยากเจ็บตัวเหรอไง ”


“นายอยู่ปี 1 เหรอ ? ” ผมถามแบบไม่ค่อยแน่ใจ เพราะถ้ามันเป็นอย่างงั้นจริง ผมก็ปล่อยไก่ต่อหน้า
มันตัวเบ่อเริ่มตั้งแต่วันลงทะเบียนแล้วไง เพราะคิดว่ามันเป็นรุ่นพี่ซะอีก


เหมือนมันรู้ว่าผมคิดอะไร ก็ยิ้มแบบกวนตีนขึ้นมาทันที


“เออ ... คงไม่มีรุ่นพีที่ไหนมั้ง มานั่งแขวนป้ายห้อยคอแบบเนี้ย .. เหรอมึงคิดว่ามีหมาตัวไหนคิดแบบนั้น
หึหึ”


อุ๊ก ได้ยินแค่นั้นแหละ ผมหันหน้ากลับมาทันที ทั้งโกรธทั้งอาย หน้าแดงก่ำไปหมด แต่ก็ทำไรมันไม่ได้คับ
เพราะผมเป็นฝ่ายเข้าใจผิดไปเอง


ซักพักนึง ผมก็เห็นมันหันไปคุยกับคนข้างๆ คนข้างหน้า คนข้างหลังบ้าง อัตถยาศัยดีเหลือเกิน อู้ย แล้วกู
มานั่งหงุดหงิดไรกะมันด้วยเนี่ย จนมันคุยจนเกือบรอบวงแล้ว มันก็หันมาสะกิดผม แต่ขอโทษมันใช้ตีน
สะกิดกับเท้าผมนะ


“ไร... ” ผมพูดแต่ไม่ได้หันไปหามัน


“ชื่อไร” มันจะถามทำอะไรนะ ทั้งๆที่ก็เคยได้ยินพี่กวางเรียกผมแล้วไม่ใช่เหรอไง


ผมหยิบป้ายแขวนคอแล้วก็ชูให้มันอ่าน


“แม่งชื่อแปลก - - - แล้วเวลาปริ้นออกมาเป็นขาวดำหรือสีวะ หึหึ ” มันตอบกวนตีนอีกรอบ
ผมล่ะเกลียดมุกแป้กอัปยศแบบนี้ที่สุด แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาล้อชื่อด้วย


“ปริ้นบ้านพ่อมึงล่ะกันขาวดำ” ผมบอกให้พอมันได้ยิน ได้ผลคับ มันถึงกับกระชากคอเสื้อเกือบ
ขาด


“เล่นพ่อเลยเหรอมึง ”


“เฮ้ยยยยย ... ไอ้น้องสองคนนั่นน่ะ ออกมานี่เลยยย ” เสียงไอ้รุ่นพี่ล่ำตะโกนเรียก สงสัยเห็นท่าจะ
ไม่ดีล่ะมั่ง


“ทะเลาะอะไรกันครับ ”


“เปล่าครับ ” ผมกะไอ้นิคตอบแทบจะพร้อมกัน


“ก็เมื่อกี้เห็นกระชากคอเสื้อกันเลยไม่ใช่เหรอไง ไอ้นิค” ดูเหมือนพี่ล่ำคนนี้จะรู้จักคนข้างๆผม
มาก่อน


“แค่ล้อเล่นกันเฉยๆน่า ไม่มีอะไรหรอก” มันพูดพลางส่งสายตาให้ผมเออออด้วย ทีอย่างงี้ล่ะมา...


“อือคับ ก็อย่างที่มันบอกแหละ ”


พี่ล่ำแกเห็นว่าไม่มีเรื่องกันแล้วก็ทำท่าจะปล่อยกลับไปนั่งเหมือนเดิม แต่มันมีรุ่นพี่คนอื่นๆ
บอกว่าไหนๆก็ออกมาแล้ว ก็เลยให้สาธิตการเต้นให้ดูซะเลย


“เฮ้ย ผมเต้นไม่เป็น” ผมโวยออกมาทันที นี่มันซุ้มห้องสมุดม่ะใช่เหรอไงวะ มีต้งมีเต้นด้วย บ้า..


“เต้นไม่เป็นก็หัดได้น่าน้อง ทำตามพี่น่านะ ดูเพื่อนน้องดิไม่เห็นว่าไรเลย” พี่แกบอกให้ผมดู
ไอ้นิคเป็นตัวอย่าง


ผมส่ายหัวลูกเดียว


“น้องปริ้นเต้นหน่อยน่า” พี่กวางเดินเข้ามาขอร้องผม เพราะกลัวงานกร่อย อย่างที่รู้ๆกันครับ
ซุ้มที่รามเนี่ยส่วนใหญ่เด็กจะสมัครใจเข้ามาเองไม่เหมือนกับรับน้องตามมหาลัยทั่วๆไปที่
จะเป็นลักษณะของการบังคับมากกว่า


“อะ อือ” ผมพยักหน้า แล้วก็เดินออกมายืนคู่กะไอ้นิคที่ยืนยิ้มชอบใจในท่าทางของผมอยู่


“ก็แค่เนี้ย ทำเป็นลีลาอยู่ได้” มันแดกดันต่อจนต้องถลึงตาใส่มันถึงจะยอมหุบปาก


“เอ้า ไอ้น้องสองคนเนี้ย ดูตัวอย่างพี่สองคนนี้นะ ” พูดเสร็จก็เห็นไอ้พี่ล่ำบงการให้พี่ผู้ชาย
สองคนคล้ายๆกับลงไปนอนหงายคนนึง ส่วนอีกคนนึงก็ทำท่าเหมือนจะขึ้นคล่อม


เย้ย ..... กูรู้สึกคุ้นๆวะ


พอเตรียมท่าเสร็จ พวกรุ่นพี่ที่เหลือก็พากันร้องเพลง แมงมุม กันสนั่นหวั่นไหวเป็นที่ชอบ
อกชอบใจ แล้วก็เรียกเสียงตลกโปกฮาของน้องๆได้เป็นอย่างดี


เชี่ย แต่กูไม่ตลก ..... เอาไงดีวะ กูจะวิ่งหนีออกไปจากแถวนี้เลยดีเป่าวะ ผมเริ่มไตร่ตรอง
อยากหนีออกไปจากบริเวณนี้จังเลย


พอไอ้รุ่นพี่สองคนนั้นทำท่าทางประกอบเพลงเสร็จ ก็ลุกขึ้นมายืนปัดฝุ่น แล้วก็หันมาทาง
ผมสองคน


“อ่ะ พี่ให้น้องเรียกว่าใครจะเป็นตัวผู้ตัวเมีย” ไอ้พี่ล่ำพูดตะโกนผ่านไมค์


ไอ้นิคใช้สายตามองหน้าผมแบบหยั่งเชิง แล้วก็เป็นฝ่ายลงไปนั่งบนพื้นซะเอง แล้วมันยัง
กวนตีนด้วยการกวักมือเรียกผมให้ไปขึ้นคร่อมเร็วๆซะงั้น ไอ้สาดดด


“เอ้า น้องไรเนี่ย... เออ น้องปริ้นรอไรอยู่ครับ จัดการเลยดิ ”


ผมเลยต้องเอามือยันพื้นไว้ พยายามประคองตัวให้อยู่ห่างจากไอ้เถื่อนมากที่สุด ท่าทาง
ผมตอนนี้เลยเหมือนกะลังวิดพื้นอยู่ซะมากกว่า - -‘’


“แมงมุม ขยุ้มหลังคา พอถึงศาลา กระดึ๊บ กระดึ๊บ ”บลาๆๆๆ...........................................................................................


-_-*


ตอนที่กะลังสะด๊วบอยู่กะไอ้นิค ผมก้มหน้าก้มตาทำ ไม่กล้าเงยหน้าไปมองรอบๆตัวเลยอ่ะ
ในใจก็คิดว่า ม่ะไรจะเสร็จซะทีว้า จนเที่ยวสุดท้าย ดูไอ้นิคมันมันส์ไปหน่อยหรือเป็นขาแดนซ์
เก่าก็ไม่รู้ เสือกยกเอวขึ้นมาซะสูง ผมก็กะจังหว่ะไม่ทันเลยชนเข้าเต็มๆ


“โอ๊ก ... ” ผมลงไปนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมๆกับเพลงจบพอดี ได้รับเสียงกรี้ดกร๊าดจากเพื่อนๆ
พี่ๆที่อยู่รอบวงมากมายมหาศาล


“มึงจะลุกจากตัวกูได้ยัง” เสียงไอ้นิคบ่น เพราะผมไปกองทับตัวอยู่


“ทะ โทด” ผมรีบลุกทันที แต่ยังจุกอยู่เล็กน้อย


“เต้นเก่งมากน้องปริ้น อ่ะน้ำ ” พี่กวางส่งน้ำให้ผมแล้วก็ยื่นให้ไอ้นิคด้วย


“ผมนึกว่าไอ้นี่เป็นรุ่นพี่ซะอีก” ผมกระซิบถามพี่กวางที่หัวเราะร่วน


“หน้ามันแก่กว่าอยู่ปี 1 ใช่ม้า คือมันเป็นน้องของเพื่อนพี่เองคะ” พี่กวางอธิบาย
มันเอ็นไม่ติด ก็เลยลงมาเรียนที่นี่ พี่มันก็เลยฝากให้พี่ช่วยดูแลน้องมันให้


“ดูมันกวนๆแบบนี้ มันก็มีดีอยู่บ้างล่ะนะ”


“ดีกะผีอะเด๊ะ”


“ค่ะ ? ”


“อ่อ เป่าพี่”


ผมทำกิจกรรมจนเลิกก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ตอนนี้ก็ได้เพื่อนใหม่อีกหลายคนเลย
แต่ที่(ดูเหมือนจะ)สนิทกันก็มีอยู่ 4 คนคับ กิ้ป จูน โบ กอร์ฟ สามคนแรกเป็น
ผู้หญิง คนท้ายสุดเป็นชายคับ ที่สนิทกันเพราะว่านั่งอยู่แถบเดียวกันไง เหอๆ
ไอ้กอร์ฟเป็นเพื่อนโบ มันก็เลยลากมานั่งด้วย ใน sec มีกอร์ฟอยู่หลายกอร์ฟคับ(ชิ่อโหล)
แต่ไอ้นี่เพื่อนจะเรียกว่ากอร์ฟใส มันดูดีเลยทีเดียว เพียงแต่มันสูงน้อยไปหน่อย ไม่
ถึงร้อยเจ็ดสิบ แล้วผมจะเรียกมันว่ากอร์ปลิน เพราะมันเตี้ย


“พวกน้องสมัครไปเข้าค่ายด้วยใช่เปล่า” พี่โก๋(พี่ล่ำเดิม) ถามกลุ่มพวกผมเป็นกลุ่มสุดท้าย
ก่อนจะเสร็จกิจกรรม ไอ้สี่คนนั่นสมัครไปแล้ว ส่วนผมไม่ได้สมัคร เพราะค่ายที่บอกนี่ต้อง
ไปเมืองกาญ ผมขี้เกียจ


“อ้าวแล้วทำไมเราไม่ไปกับเพื่อนล่ะ ”


“พอดีไม่ว่างอ่ะคับ”


“สามวันเอง แล้วน้องจะได้อะไรกลับมาอีกเยอะแยะเลย” พี่เค้าพยายามเกลี้ยกล่อม


“ไปซิปริ้น เป็นเพื่อนกัน” กิ้ปสนับสนุนพร้อมๆกับไอ้จูน


“เออ.... ”


“ไปเหอะปริ้น ”ไอ้กอร์ปลินจับบ่าผมเขย่าๆ เตี้ยแล้วยังมาจับบ่ากูได้อีกนะ


“อือ ก็ได้คับพี่ ” ผมตอบตกลงเพราะว่าผู้ชายขอร้องนะคับ - - มะช่าย เพราะว่าเพื่อนขอร้องตะหาก


“แล้วกลับกันยังไงอ่ะ ” ผมถามเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือ จูนกะกิ้ปมันอยู่หอหน้ามหาลัยนี่เอง ถึงว่า
ดูสนิทกันไวจัง


“ว่าจะขึ้นรถเมล์ไปลงเสารีย์อ่ะ ” โบบอกผม บ้านมันอยู่แถวอารีย์อ่ะ ส่วนไอ้กอร์ฟล่ออยู่แถวแยก
เกษตร


“ยังอุตสาห์ดั้นด้นมาเรียนเนอะ ” ผมแซวมัน


“เออน่า”


“งั้นไปพร้อมเราก็ได้ เด๋วไปส่ง”


“ปริ้นมีรถเหรอ แอบหรูนะ ” โบแซว


“เฮ้ย รถของแม่อ่ะ” ผมแก้ตัว แล้วก็พากันไปที่รถ


“บ้านปริ้นอยู่เพชรฯเหรอ” โบถามเมื่อมองเห็นทะเบียนที่ติดอยู่ที่รถ


“ช่าย”


“ไม่เห็นพูดเหน่อเลยอ่ะ ”


“กำ เป็นคนเพชรฯไม่ต้องพูดเหน่อก็ได้ ” ผมว่า


“แล้วบ้านโบอยู่ตรงไหนของอารีย์อ่ะ ”


“ปริ้นส่งเราตรงเสารีย์ก็ได้ เดี๋ยวเราต้องซื้อของเข้าบ้านก่อน ”


“โอเค ”


ผมก็ขับมาเรื่อยๆ ออกมาจากประตู เกือบจะออกถนนบางนาแล้ว กอร์ฟมันก็ทัก


“เฮ้ย ปริ้นช้าๆหน่อย ข้างหน้านั่นเพื่อนที่อยู่ซุ้มเดียวกันเปล่า”


“ไหนวะ” ผมมองตามที่กอร์ฟชี้ ก็เห็นน.ศ. คนนึงกะลังงุ่มง่ามจูงมอไซต์เดินด้อกแด้ก
อยู่ข้างทาง


“สงสัยรถเสียหว่ะ ” กอร์ฟบอก เออ กูรู้


“ใช่คนที่เต้นแมงมุมกะปริ้นเหรอเปล่า” โบทักเมื่อรถเข้าไปใกล้


“จิงดิ .. ”ผมได้ยินโบพูดแบบนั้น ก็เลยรีบขับรถปาดหน้าแม่งเลย


เอี้ยดดดดด ....


ผมให้กอร์ฟเดินลงไปคุยกะมันแทน เพราะว่ามันต้องด่าอยู่แน่ๆ


“ไอ้เหี้ยเอ้ย ขับรถพ่อมึงเหรอไง เหี้ยยยยยย” มันคงเห็นว่าเป็นไอ้กอร์ฟมันเลยด่าได้


“ขอโทษๆ แล้วรถเป็นไร”


“ก็เห็นอยู่ว่ามันเสีย มึงจะถามทำไม” ผมได้ยินเพราะว่ากอร์ฟมันไม่ได้ปิดประตูข้างคับ
แหมพูดแบบนี้ไม่น่าเห็นใจเลยซักนิด


“แล้วบ้านนายอยู่แถวไหนอ่ะ ”กอร์ฟมันยังใจดีไปถามอีก


ไอ้นิคเหล่ตาดูด้วยท่าทางกวนตีนเหมือนเดิม


“ไม มึงจะไปส่งกูเหรอไง”


กอร์ฟมันทำหน้าเหวอนิดหน่อย แล้วก็เดินกลับมาถามผม


“เออ ได้ยินแล้ว บอกมันว่า จะไปเหรอเปล่า” ผมบอก


กอร์ฟมันก็เดินเกาหัวแกร็กๆ ไปบอกไอ้นิค


ซักพักมันก็รีบวิ่งจูงรถไปฝากไว้ที่โลตัสข้างหน้าปากทางเข้า แล้วก็เดินกลับมา


“อ้าวก็นึกว่ารถมึงซะอีก” ไอ้นิคมันชี้ไอ้กอร์ฟ แล้วก็ทำหน้าตกใจ


“ไม เห็นเป็นรถกูแล้วไม่อยากนั่งเหรอ ” ผมชักไม่พอใจ ดูท่าทางโบกะกอร์ฟมันก็
ออกตกใจนิดหน่อยที่ผมพูดแบบนี้ โดยเฉพาะโบที่นั่งข้างหลังกะมัน


“ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ขับๆไปเหอะ กูเหนื่อยแระ” มันบอก แล้วก็เอนนอนสบาย
ผมได้แต่กัดฟันกรอดๆ แล้วก็ดูเหมือนมันจะหลับไปจริงๆซะงั้นล่ะ จนโบมัน
ลงรถแล้ว มันก็ยังไม่รู้สึกตัว


ติ้ดดด ... ติ้ด ........


“ฮัลโหลคับ”


“ปริ้นเหรอวะ จะกลับหอกี่โมง ” เสียงพี่ท็อปแว่วมาตามสาย ตอนนี้ผมยังต้องอาศัยอยู่กับพี่ท็อป
อยู่คับ เพราะยังหาหออยู่ไม่ได้เลย ไม่อยากอยู่แถวรามด้วย มันไกล


“ประมาณทุ่มนึงได้คับพี่ จะไปส่งเพื่อนก่อนด้วย”


“เออ พี่จะออกไปข้างนอกอ่ะ เอากุญแจไปแล้วใช่มั้ย”


“คับพี่ ไม่ต้องห่วง” ผมพูดเสร็จก็วางสายไป


“พี่โทรมาตามกลับเหรอ” กอร์ฟถาม


“อืม ”


“ไมไม่หาหออยู่แถวหน้ารามอ่ะ ใกล้ดีออก”


“ไม่ชอบหว่ะ มันไกลอ่ะ” ผมบอก เพราะว่ายังมีเพื่อนที่รู้จักอยู่แถวนี้เยอะกว่า
แล้วมันก็ไม่สะดวกสบายเท่าไรด้วย


“แล้วนายอ่ะ ทำไมไม่อยู่หอ” ผมถามกลับ


“แม่ไม่ให้อะดิ ”มันว่า


“โห โตเป็นฟายแระ แม่ยังหวงลูกอีกเว้ย ” ผมหยอก


“แฮะๆ เวลามันเขินมันจะเอามือเกาหัวคับ น่ารักดีหว่ะ


บ้านไอ้กอร์ฟเลยเกษตรฯไปนิดเดียวก็ถึง พอมันลงจากรถ มันก็สะกิดเตือนผมว่า
ข้างหลังยังมีไอ้นิคอีกคนนะ


“เออลืมไปเลยหว่ะ แม่ง ดูมันหลับสบายใจชิบ” ผมบ่นกะกอร์ฟ


“เฮ้ย ... ”


“เฮ้ยยยย”


“อาราย มึง กูนอนอยู่เบาๆดิ”


“มึงลุกมานั่งข้างหน้าเลย กูไม่ใช่คนขับรถมึงนะ” ผมว่ามัน


“เออ .. แม่งคนจะหลับจะนอน” น่านกูผิดอีก


มันเดินลงจากรถ แล้วก็มานั่งเบาะข้างคนขับ แล้วก็เสือกจะนอนต่ออีก


“เฮ้ยยยย”


“เป็นเหี้ยไรมึงเนี่ย เสียงดังอยู่ได้” มันว๊ากใส่


“แล้วกูจะตรัสรู้มั้ยว่าที่ซุกหัวมึงอยู่ไหน”


“มึงขับๆไปเรื่อยๆก่อนล่ะกัน”


“กูไม่ใช่แท็กซี่นะ”


“มึงอย่าตีค่ารถมึงสูงขนาดนั้น - - ขับไปทางลาดพร้าวอ่ะ”


ห่า หลอกด่ารถกูอีก ผมคิดในใจ


“แล้วทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่ตอนแรกวะ ให้ย้อนไปย้อนมาอยู่ได้” ตอนนี้สติผมชักจะหลุดแล้ว
อารมณ์ไม่ดีมาก ในใจได้แต่คิดว่าทำไมกูต้องมาเจอมันด้วยนะ ซวยชิบ


คร่อกกกก ...... Zzzzzzzzz


เสียงกรนมันน่ารำคาญมาก นั่นไม่เท่าไหรเท่ากับ ผมเห็นเม็ดฝนมันตกเปาะแปะๆ ลงที่หน้ากระจกรถ
ซึ่งเริ่มแรงขึ้นจนต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน เห้อ ฝนตกรถติดอีก เป็นตรรกะงี่เง่าที่สุดในกรุงเทพ


คร่อกกกก .....


ผมเหลือบตาไปมองมัน หลับสบายเชียวนะมึง ผมคิดไรไปเรื่อยๆ แล้วก็เลยหันไปเปิดวิทยุดีกว่า
มานั่งหงุดหงิด

.
.

.

- ไม่เคยได้รู้ว่าเธอเป็นไง ข่าวคราวเงียบหายเมื่อจากกัน


เธอมีใครมาแทนที่ฉัน แล้วเค้าดีเหรอเปล่า


มีฉันมั้ยเวลาที่ฝัน หรือว่าลืมทุกเรื่องราว


คิดถึงฉันเหรอเปล่า เมื่ออยู่คนเดียว


.

ตั้งแต่ครั้งนั้น ที่เธอไม่อยู่


ชีวิตดูเปลี่ยนไป


ยังอ้างว้างยังเสียใจ เหลือเพียงแต่ความเงียบเหงา

ยังคิดถึงวันที่ผ่าน วันที่มีแต่เรา


วันนี้มันว่างเปล่า เหงาจนจับใจ คิดถึงเธอรู้ไหม

คิดถึงเธอทุกที ที่อยู่ - - แกร๊ก

เปิดเพลงบ้าไรวะ แต่ผมก็นั่งฟังไปจนเกือบจะจบเพลงอ่ะ คิดถึงมันเหลือเกิน
คิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทำไมคิดว่าลืมได้แล้ว แต่พอมีอะไรมาสะกิดนิดหน่อย
มันก็เจ็บขึ้นมาอีก3


“ปิดไม ยังฟังไม่จบเลย ” เสียงข้างๆทักขึ้นมา ผมก็หันไปไม่รู้หรอกว่าตาตัวเอง
มันแดงเรื่อๆ


“สงสัยเพลงจะโดน หึหึ” มันเห็นตาผมก็ปากหมาอีกตามเคย


“โดนเหี้ยไรมึง หยุดพูดไปเหอะ” ผมด่ามันที่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว


“โดนแฟนทิ้งมาเหรอไง” มันเดาถูก ตอนนี้มือผมกำพวงมาลัยไว้แน่นโดย
ไม่รู้ตัว อยากจะซัดหน้ามันจริงๆ


“ทำไมมึงชอบเสือกเรื่องคนอื่นจัง” ผมว่ามันโดยไม่หันหน้าไปหา


“มึงด่ากูเหรอ โห่ว้อย กูก็นึกว่าแม่งมีน้ำใจ ถ้ารู้ว่าขึ้นมาแล้วโดนด่าแบบนี้กูไม่ขึ้นมาหรอก”
มันก่นด่าไม่เลิก กูซิต้องเป็นคนพูดคำนั้น


ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความม่ะโหสุดๆ


“กูก็ไม่ได้เป็นคนอยากช่วยมึงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถ้ามึงไม่หยุดพูด มึงก็ลงไปเลยป่ะ”


ไอ้นิคมันพูดไม่ออกคับ แต่ดูจากสายตามันก็แสดงให้เห็นว่าโกรธผมอย่างแรงเลยอ่ะ
ตอนแรกนึกว่ามันจะด่าผมกลับตามเดิม แต่มันกลับหยิบของของมัน แล้วก็เปิดประตูรถ
ออกไปทั้งๆที่อยู่กลางแยก แถมฝนก็ตกหนักอีกตะหาก

เสียงประตูรถกระแทกกลับเข้ามาดังสนั่น แล้วร่างไอ้นิคก็วิ่งตากฝนไปอีกฝั่งนึง ผมยังไม่ทัน
ตั้งตัว สัญญาณไฟมันก็เขียวพอดี เลยต้องออกรถไปเลยตามเลย


“แม่ง มาโทษกูไม่ได้นะว้อย เสือกปากหมาเอง” ผมบ่นอยู่ในรถงึมงำ

.

.

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:38:04
 

.
“ ห๊า ... พูดแบบนั้นกับเค้าไปจริงๆเหรอ ” เสียงโบถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อผมเล่า
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง ส่วนกอร์ฟก็หันไปทางที่ไอ้นิคนั่งเหมือนจะจดงานอยู่
ด้วยความกังวล


“ ทำไม กลัวมันจะมาหาเรื่องเหรอ ? ” ผมถามเพื่อนๆที่นั่งเรียนอยู่ด้วยกัน


“ เปล่าหรอก แค่ไม่คิดว่าปริ้นจะพูดแบบนั้นกับเค้าจริงๆ ” กิ้ปว่า


“ ก็มันทำนิสัยแบบนั้นกับเราก่อน เราก็ทำไม่ดีตอบแค่นั้นเอง ช่างมันเหอะ ต่อไปนี้ก็ต่างคน
ต่างอยู่อยู่แล้ว ” ผมสรุปก่อนที่จะหันความสนใจไปที่หน้าจอทีวีคอนเฟอเรน ที่แสดงเนื้อหา
วิชาที่ต้องเรียนรวมกับคนอีกหลายพันคนโดยไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองเป็นระยะๆ


วันเวลาผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ครับ ผมก็เริ่มสนิทกันกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น จนทำให้
ลืมเรื่องบางเรื่องที่อยู่ในใจลึกๆไปได้บ้างเหมือนกัน แถมนอกจากการเรียนที่ดูเหมือนง่าย
แต่จริงๆยากมากแล้ว ผมยังต้องเหนื่อยกับการต้องขับรถจากหอพี่ท็อปมาเรียนถึงบางนา
อีก


“ เฮ้ย ปริ้น เย็นนี้พี่ให้ไปที่ซุ้มด้วยอ่ะ ” ไอ้กอร์ฟบอกหลังจากเดินมาเจอมัน


“ มีไรอ่ะ ”


“ เห็นเฮียโก๋บอกว่าจะจับคู่บัดดี้ ”


“ อาไร ทำไมต้องมีด้วยอ่ะ ”


“ ที่อื่นก็มีกันทั้งนั้นแหละ มีไรจะได้ช่วยเหลือกันไง ”


“ อ้าว แล้วงี้ถ้าเราไม่ได้คู่บัดดี้กะกอร์ฟก็จะไม่ช่วยอะดิ ”


“ ก็ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ไอ้นี่นี่ ” ไอ้กอร์ฟส่ายหัว แล้วก็เดินนำไปหาโต๊ะนั่งเรียนคาบแรก


“ วันนี้ว่าจะชวนพวกไปดูหนังซะหน่อย อดเลย ”


พอเรียนตัวสุดท้ายเสร็จ พวกผมสี่ห้าคนก็เดินมาหาพี่ๆที่ซุ้มคับ ซึ่งตอนนี้ก็ต่างคนต่างมีกลุ่ม
เป็นของตัวเองแล้วล่ะ เวลาเจอหน้ากันบางคนก็แค่พนักหน้าให้กันเฉยๆ พอเป็นพิธี วันนี้
คนก็มาไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะว่าบางคนหลังจากวันแรกก็ไม่เคยมาเข้าซุ้มอีกเลยก็มี นับๆ
ดูแล้ว ตอนนี้ก็มีประมาณสามสิบกว่าคนล่ะนะ (ก็เยอะอยู่) ผมเห็นไอ้นิคเดินมากับเพื่อนอีก
สองคนนั่งอยู่คนล่ะฟากกัน พอมันเห็นว่าผมมองอยู่ก็ทำเป็นเมินไม่สนใจคับ ก็ไม่แปลก
เพราะว่าตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ผมกะมันก็ต่างคนต่างอยู่จริงๆ ไม่ได้มีการพูดคุยกันอีกเลย
ใจจริงลึกๆ(มาก) ก็รู้สึกผิดนะคับ ที่ทำไปวันนั้นเพราะอารมณ์เสียแท้ๆ


“ เดี๋ยวจะให้น้องๆ จับคู่บัดดี้กันนะคับ ” พี่โก๋ตะโกนผ่านไมค์ตัวเดิมอีกเช่นเคย


“ การที่มีบัดดี้เนี่ย จะทำให้น้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีไรก็แบ่งปันกันนะคับ รู้ๆอยู่
พวกน้องเลือกมาเรียนที่นี่ ก็ต้องตั้งใจกว่าที่อื่นมากหน่อย บลาๆๆๆ ”


วิธีการจับบัดดี้ซุ้มนี้มีอะไรแปลกๆนิดหน่อยคือพี่เค้าจะมีถังใส่ดอกกุหลายอยู่เต็มไปหมด
ให้แต่ละคนเลือกไปคนล่ะดอก ผมกะไอ้กอร์ฟก็เลือกดอกที่มีสีเดียวกัน(ซึ่งก็มีสีเดียวกัน
หลายคน)


“ ทำไมต้องทำไรให้ซับซ้อนยุ่งยากด้วยฟ่ะ ” ผมกระซิบกะไอ้กอร์ฟ


“ ไม่รู้หว่ะ แต่ตื่นเต้นหว่ะ จาได้ใครเป็นกิ๊กว้า ”


“ บัดดี้ว้อย ม่ะใช่กิ๊ก ” ผมกระทุ้งมันไปทีนึง มันก็ทำเป็นขำ


ผมเห็นว่ามีคนไปหยิบดอกไม้แค่ครึ่งเดียว ก็หมดซะแล้ว ยังเหลือคนที่ยังไม่ได้อีกครึ่งนึง
พี่โก๋ก็แก้ข้อสงสัยด้วยการบอกว่า ที่ดอกกุหลาบจะมีกระดาษพันไว้อยู่ แล้วในกระดาษ
จะบอกคำใบ้ว่า เราจะได้ใครเป็นบัดดี้คับ


สรุปก็คือจะมีคนอีกครึ่งนึงเป็นคนที่ถูกเลือกจากคนที่หยิบดอกกุหลาบ ใครคิดวะเนี่ย
ดูม่ะค่อยใช้สมองเลย


“ อ้าว งี้ก็ไม่ได้เป็นบัดดี้กันอะดิ ดันเสือกไปหยิบด้วยกันทั้งคู่ ” ผมพูดกับกอร์ฟ ซึ่งมันก็
พยายามจะแกะกระดาษที่พันอยู่


“ น้องที่ไม่มีดอกกุหลาบให้นั่งลงอยู่กับที่นะคะ ส่วนคนที่แกะกระดาษแล้ว มายืนข้างหน้านี่
แล้วบอกข้อความดังๆ ” พี่กวางเป็นคนพูดใส่ไมค์


“ ใครที่คิดว่าเป็นตัวเองแล้วให้ยืนขึ้นมาหาเพื่อนข้างหน้านะคะ ” พี่เค้าอธิบาย


“ แต่ถ้าวันนี้ยังไม่รู้อีก - - - ” พี่กวางแกล้งทำท่าถมึงทึง “ พวกพี่ๆก็จะให้เวลาน้องหาจนกว่า
จะถึงวันออกค่ายนะคะ ถ้าไปออกค่ายแล้วยังไม่รู้ว่าบัดดี้คือใครอีก มีเฮคะ ”


“ ได้ข้อความอะไรวะ ” ผมหันไปถามกอร์ฟที่ทำหน้าปั้นยากอ่านอยู่


“ - AV - ”


“ อะไรคือเอวีวะ ” ผมถามแล้วก็หันไปมองหน้า


ไอ้กอร์ฟส่ายหัว


“ คงไม่เกี่ยวกะหนังเอ็กซ์หรอกมั้ง ” มันว่า


“ กามนะมึงเนี่ย ” ผมพูดแล้วก็ตบหัวมันเบาๆ


“ เป็นผู้ชายชัวว์เลยวะ ผู้หญิงคงไม่ดูหนังเอวี 55 ” มันหัวเราะสำทับ


“ ไม่แน่ๆ ” แล้วผมกะมันก็หัวเราะซะเสียงดัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าคิดว่าเป็นใคร


“ แล้วของปริ้นล่ะ ”


“ ยังไม่ได้แกะเลย แป็บนึง ” ผมบอกแล้วก็หันไปแกะของตัวเอง ซึ่งลำบากกว่าของ
กอร์ฟเพราะว่ามีหนามเต็มเลย


“ โอ๊ะ .... ”


“ แกะภาษาไรวะ ให้หนามตำ ” มันบอกพร้อมกับล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้ากำลังจะมาซับเลือดที่นิ้ว


“ เฮ้ย ม่ะเป็นไร เด๋วมันเปื้อนเลือด ” ผมจะชักมือออก แต่มันก็ดึงไว้


“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ซักได้ ” ไอ้กอร์ฟบอกผมแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้ากดลงไปตรงที่เลือดไหล


“ ขะ ขอบใจ ” ผมยิ้มตอบแทนไป


มันก็ยิ้มตอบกลับแล้วก็เอื้อมไปหยิบดอกกุหลาบของผมมาแกให้แทน


“ - ละอ่อนเหนือ - ”


ผมกะมันเงยหน้าขึ้นมามองตากันด้วยความสงกะสัย


“ แปลว่าไรอ่ะ ” ผมถามมัน


“ อืมมมมม ... เด็กเหนือมั้ง ” มันว่าแล้วก็ส่งกระดาษให้ผม


“ ที่นี่มีคนเหนือมาเรียนด้วยเหรอเนี่ย ”


“ เค้าก็มากันได้ทุกภาคแหละ ” ไอ้กอร์ฟบอก


.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.


เย็นนั้นสรุปว่าทั้งผมทั้งไอ้กอร์ฟก็ยังหาบัดดี้ไม่ได้ แต่ก็มีบางคนที่หาได้แล้ว บางคนก็กั๊กไม่ยอม
บอกว่าเป็นตัวเองก็มีคับ เซงไปเลย พอเลิกจากที่ซุ้มก็ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน เพราะว่าพวกพี่โก๋
นัดพวกน้องๆผู้ชายไปเลี้ยงเหล้ากันที่ร้านแถวๆนั้น


“ ไม่ไปได้ป่ะพี่ ” ผมปฏิเสธพี่เค้า


“ เฮ้ย ไปหน่อยเด๊ะ พวกพี่เลี้ยง ไม่ต้องจ่ายหรอก มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ” พี่โก๋ว่า


“ มันไม่ใช่แบบนั้นพี่ แต่ผมไม่กินเหล้า ” ผมบอก


“ จริงดิ ” พี่แกมองหน้าผมแบบไม่ค่อยเชื่อ ผมก็พยักหน้า


“ งั้นไปหัดกินกะพวกพี่เลย ” พี่โก๋พูดพลางกอดคอบังคับผมเดินไปจนได้


“ พี่ ... ผมต้องขับรถกลับด้วยนะ ”


“ ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปด้วยกัน กินนิดๆหน่อยๆ ก็อย่าให้เมาเด๊ ” พี่แกยังไม่ลดละ


“ ไปแป็บเดียวก็ได้ปริ้น ” ไอ้กอร์ฟแทนที่จะช่วยห้าม ดันมายุให้ไปซะงั้น


ผมมองหน้ามันแบบหมดหวัง แล้วก็ได้แต่เดินตามพวกเพื่อนๆไป ราว 6 โมงเย็น ก็มากันนั่งกันพร้อมหน้า
พร้อมตาคับ ถึงแม้จะไม่มีพวกผู้หญิงมา แต่ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงบางคนก็มากับแฟนเค้าหลายคน


“ น้องกอร์ฟนี่น่ารักจังเนอะ มีแฟนยังคะ ” พี่ผู้หญิงคนนึงทำทีเป็นเข้ามาจีบเพื่อนผม


“ นี่มึงน้อยๆหน่อย เด๋วน้องเค้าตื่นหมด ” พี่อีกคนนึงแซว พร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮา บรรยากาศดูครื้นเครง
ดีครับ ซักพักผมก็เห็นพวกกลุ่มไอ้นิคเดินเข้ามา


“ อ้าวนึกว่าไม่มาซะแล้ว ” ไอ้กอร์ฟดันไปทักมันอีก


“ มาดิ ของฟรีนี่หว่า" มันว่าพลางยักคิ้วให้ทีนึง "เฮ้ย ว่าแต่หน้าอ่อนๆแบบนี้จะแดกเหล้าได้เหรอวะ
เด๋วก็เมาเป็นหมาไม่มีใครช่วยนะเฟ้ย ” มันพูดแต่สายตามันถ้าเผื่อผมไม่ได้มีอคติจนเกินไป ผมว่ามัน
จ้องมาที่ผมมากกว่าที่คุยกะไอ้กอร์ฟ


“ เฮ้ย กินได้ดิ สบายๆ ” กอร์ฟตอบพลางคบไหล่ไอ้นิคทีนึง


“ เออ ”


คุยเสร็จแล้วมันก็เดินไปกรอกเหล้าเข้าปากเลยคับ ไอ้นี่ดูท่าทางคอทองแดงไม่ใช่เล่น แต่ว่าผมไปเสือกอะไร
เลือกของมันล่ะเนี่ย ก็เลยหันกลับมาคุยกะกอร์ฟต่อ เรื่องโน้นเรื่องนี้ คุยไปก็เห็นมันกระดกไป อืม ไอ้นี่
เห็นหน้าใสๆ แต่กระดกเหล้าเป็นน้ำเหมือนกันวะ


“ เอาซักแก้วดิ ” มันพูดพลางกรอกเหล้าผสมโซดาที่ปริมาณมากกว่าปกติยื่นให้


“ ไม่กิน ” ผมทำท่าจะปัดแก้วออกไป


“ จาเมาได้ไง ใส่โซดาไปตั้งค่อนแก้ว เอ้าเอ้า กินๆ ” แล้วมันทำเป็นจะยัดแก้วเข้าปากผม
ให้ได้ จนต้องบอกมันว่าเด๋วกินเอง


เอื้อกๆๆๆๆ


เชี่ย ขมชิบเป๋ง กินกันไปทำไมวะ ผมคิดในใจ


“ ก็กินได้นี่หว่า ” ไอ้กอร์ฟมองแล้วก็หยิบแก้วกลับไปกรอกมาให้ใหม่


“ อีกแก้วดิ ”


ผมขี้เกียจขัดใจมัน ก็เลยคว้าไปกินอั๊กๆๆ


“ พอแล้วนะเว้ย เด๋วต้องขับรถกลับอีก ”


มันไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็หยิบแก้วกลับไปกรอกกินเองใหม่ คราวนี้ดูหน้ามันเริ่มแดงเรื่อๆ
แล้วดิ น่ารักชิบ


“ เออ งั้นกินอีกแก้วเป็นเพื่อนกูหน่อย ” กอร์ฟบอกผมด้วยท่าทีแปลกๆ สงสัยคงเริ่มเมาแล้ว
มั้ง ก็อย่างทีเค้าบอก พอเหล้าเข้าปาก คนเราก็มักเปลี่ยนไป ...เจงๆ


“ อีกแก้วเดียวพอนะ ” ผมบอก มันก็พยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ด้วยความที่คิดว่ามันยังผสม
โซดาค่อนแก้วเหมือนเดิม ผมก็รีบคว้าไปกินให้หมดๆไป


โอ๊กก .... เชี่ยนไอ้กอร์ฟ แม่งไม่ได้ผสมอะไรเลยดิเนี่ย สาดด ผมด่ามันเข้าให้
เพราะว่ามันใส่เหล้าให้เพียวๆเลยคราวนี้


“ 555 อ่ะ อ่ะ ไม่กินก็ไม่กินแล้ว เด๋วไปชวนคนอื่นกินต่อดีกว่า ” มันว่าพลางเดินโซซัด
โซเซไปโต๊ะอื่น ผมก็นั่งมึนอยู่ที่โต๊ะคนเดียวคับ เพลงในร้านก็เริ่มเปิดให้คนเต้นกันแล้ว


เฮ้ย แม่งตาลายวะ ผมคิดในใจ เพราะรู้สึกเห็นอาไรมานพล่ามัวไปหมดแว้ววว


อึ๊ก อี๊ก ...


“ เอ้า น้องปริ้น มานั่งไรตรงนี้คนเดียว มาชนแก้วกะพี่หน่อยป่ะ ” เสียงพี่โก๋ได้ยินรำไร
พร้อมกับใส่แก้วเหล้าให้แก้วนึง


“ เอ้า ชนหน่อย ”


ตอนนั้นรู้สึกว่าสติสตังค์ผมเริ่มจะหลุดแล้ว ก็เลยชนกะพี่เค้าไปอีกสองสามแก้ว


อึ๊ก อี๊ก ...อึ๊ก อี๊ก ...


“ ม่ายหวายแล้วเพ่ ผมชากมึนมึนหัวหว่า ”


“ อ้าวเหรอวะ งั้นนั่งพักก่อนล่ะกัน ไม่เป็นไรนะ ” พี่โก๋บอกพลางตบไหล่ผมทีนึงแล้วก็เดิน
จากไป คราวนี้ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะเลย เพราะรู้สึกมึนคว้างไปหมด แถมยังปวดมวน
ในท้องอีก


ผมทำท่าจะขยอนของเก่าออกจากท้อง แต่ก็ระงับเอาไว้ โคตรทรมานเลย จนพอเริ่มรู้สึก
ดีขึ้น ความง่วงก็ถาโถมเข้ามาหาแทน ผมเริ่มฟุบหลับไปตรงนั้นนั่นหละ ใครจะทำไม

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“ ปริ้น ปริ้น ”


ครายเรียกว้า


ผมค่อยๆลืมตาขึ้น อาการปวดหัว แถมอยากอ๊วกมันกลับมาอีกรอบแล้ว ผมรู้สึกมีมือมาจับที่
ไหล่เพื่อพยุงตัวผมไว้ ผมก็มองหน้า แล้วก็ต้องชะงักเล็กๆ


“ โอ้ต .. ”


“ รู้ว่ากินเหล้าไม่เป็นทำไมยังมากินอีก ” เสียงไอ้โอ้ตว่าผม


ตอนนั้นอารมณ์ผมฉุนกึกขึ้นมาเลย มันมีสิทธิ์อะไรมาว่าผมเนี่ย


“ ผมจะกินอะไรมันเกี่ยวอะไรกับพี่โอ้ตละวะ อย่ายุ่งได้ป่ะ ” ผมพยายามจะดันตัวให้หลุดจาก
ไอ้โอ้ต แต่ยิ่งขยับมันยิ่งรัดแน่นขึ้น


“ อย่าดื้อได้ป่ะ แล้วนี่มาเรียนหนังสือไม่ใช่ให้มากินเหล้า ไม่รู้เหรอไง
ว่าคนเค้าเป็นห่วงแค่ไหน ทำไมทำตัวเหลวไหลแบบนี้ ” มันว่ามาเป็นชุด


“ เป็นห่วงแล้วไงล่ะ ไปเป็นห่วงคนที่เชียงใหม่โน่นเถอะไป๊ ” ผมกระชากเสียงใส่


“ ก็ทำตัวแบบนี้ซิ โอ้ตถึงอยากไปมีคนอื่น ” คราวนี้เป็นไอ้โอ้ตตะคอกใส่หน้าบ้าง


“ ว่าเอาแต่โทษคนอื่นเลยปริ้น ดูตัวเองบ้างเหอะ ตัวเองทำตัวดีพอสำหรับโอ้ตเหรอเปล่า
ที่บอกว่าโอ้ตไปมีคนอื่น แล้วทีไอ้โค้กล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่เคยคิดอะไรกับมัน”


โอ้ตจ้องตาผมเขม็ง สายตาแฝงไปด้วยอารมณ์จับผิด


“ พะ พูดอะไรบ้าๆอ่ะ เราไม่เคยคิดอะไรกับไอ้โค้กเกินพี่น้องนะโว้ย ” ผมรีบแก้ตัว รู้สึกว่าน้ำตา
เริ่มปริ่มๆที่ได้ยินโอ้ตมันดูถูกหัวใจผมแบบนี้


“ ถามจริงๆ ถ้าไอ้โค้กมันกล้าบอกชอบปริ้นขึ้นมา โอ้ตไม่คิดว่าปริ้นจะตอบปฏิเสธมันหรอก ”
โอ้ตพูดแทงใจดำ จนผมทนไม่ไหวแล้ว


“ ไม่เจงอ่ะ เราม่ะ ไม่เคย ไม่ - - ฮึก ไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับโอ้ตเลย ไม่เคย ” ผมเถียงกลับไป
พร้อมๆกับความรู้สึกอุ่นๆที่ไหลลงมาข้างแก้ม


โอ้ตปล่อยมือออกจากที่พยุง จนร่างผมลงไปกองอยู่บนพื้น ผมเงยหน้าไปมองมันหวังจะให้มันช่วย
พยุงอีกครั้ง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูแคลน


“ ปริ้นรู้ว่าโอ้ตทำถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังรักโอ้ตอยู่อีกเหรอ - - หึ ปริ้น โง่จังนะ ”


คำๆนั้นที่ผมได้ยิน ทำให้ตัวเองรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ผมอยากจะห้ามไม่ให้ความเสียใจมันไหลออก
มาจากตาทั้งสองข้าง แต่มันก็อดทนไม่ไหว ทำไมมันต้องว่าผมถึงขนาดนี้ ใช่ดิ ก็ผมมันโง่จริงๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไปมีคนอื่นแล้ว แต่ทำไมผมถึงยังรักมันอยู่


ผมอยากจะบอกมันคำเดียว ว่าผมใช้หัวใจรักมัน ไม่ได้ใช้สมองรักมัน ....


......................


.........


.....


..

“ ฮึก อึกก - - โอ้ต โอ้ต อย่าปาย ”


“ โอ้ต อย่า - - อึ๊ก ”


ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาทันที เพราะเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมาจากปาก
เร็วเท่าความคิด ถึงแม้เรี่ยวแรงจะมีไม่ค่อยมาก ขาผมก็พาก้าวเข้าไปที่ที่คิดว่าเป็นห้องน้ำ
แล้วก็พ่นเอาสิ่งที่ค้างเก่าเมื่อคืนที่โถส้วม หมดสภาพจริงๆเลยกู


นั่งอ๊วกไปจนหมด แรงจะยืนแทบจะไม่มี ผมเลยต้องคลานออกจากห้องน้ำแทน พอสายตา
ชินกับความมืดได้บ้าง ก็เริ่มใช้สมองลำดับเหตุการณ์เมื่อคืน ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลย แล้ว
ก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้าแล้วล่ะ แต่มาอยู่ที่ห้องห้องนึ่งซึ่งไม่คุ้นตาเลยพับผ่าซิ


ผมนั่งแบบหมดท่าอยู่ด้านล่างเตียงซักพักให้หายมึน พลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้


เฮ้อ ฝันไปเองนี่หว่ากู ไอ้โอ้ตมันจะมาได้ไง ผมคิดพลางรู้สึกโล่งใจว่า โอ้ตมันไม่ได้ว่า
ผมแบบนั้นจริงๆ แต่ในฝันมันก็ทำให้ผมรู้สึกตัวเองได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เหมือนกับว่าผมสามารถลืมมันไปได้เพียงชั่วคราว แต่มันยังอยู่ในหัวใจผมตลอด นี่
ผมจะไม่สามารถลืมมันได้จริงๆเหรอเนี่ย ?


อ๋อย หิวน้ำ ผมพึมพำ พลางกวาดสายตาภายในห้อง โชคดีที่พอมีแสงไฟลอดเข้ามาได้บ้าง
ดูสภาพแล้วแลดูรกพอสมควร เบาใจได้ว่า กูคงไม่โดนรุ่นพี่ผู้หญิงคนไหนฉุดมานอนด้วย
แน่นอน แล้วก็เหลือบไปเห็นขวดน้ำอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก็เลยค่อยๆคลานสี่ขา พยุงตัว
ขึ้นไปหยิบ สายตาก็ดันไปเห็นกรอบรูปตั้งโชว์อยู่ เป็นรูปเหมือนทะเลสาบ หรืออ่างเก็บน้ำ
อะไรซักอย่าง ด้านล่างรูปมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือไว้ว่า อ่างแก้ว ตามด้วยวันเดือนปี
ที่ถ่ายล่ะมั้ง


ผมเลิกสนใจรูปนั้นแล้วก็ไปคว้าขวดน้ำมาดวดแก้กระหาย แล้วก็พยุงตัวเองมาที่เตียงนอน
ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเลยคับว่า มีคนอีกคนนอนอยู่บนเตียงด้วย จริงๆแล้วต้องบอกว่า ไม่ได้เอะ
ใจด้วยซ้ำว่า ที่นี่คือที่ไหน สงสัยเป็นเพราะสติมันยังกลับมาไม่สมบูรณ์ ในหัวคิดอย่างเดียว
ว่าอยากนอนต่อเท่านั้นเอง ก็ล้มตัวลงไปนอนตามปกติ


สติผมเริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับเหมือนจะฝันอีกรอบ รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมาโอบกอดอยู่ข้างๆ
อ่า ความรู้สึกอุ่นๆแบบนี้ มันหายไปจากตัวเองนานเหลือเกิน ตั้งแต่ไอ้โอ้ตไป ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือน
โดนกอดแบบนี้มาตั้งนาน(ของมันแน่อยู่แล้ว) ผมเหมือนจะซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดนั้น พร้อมๆกับ
ได้ยินเหมือนเสียงฝนจะตกแว่วๆ ผ่านหน้าต่างที่หัวนอน


ผมรู้อย่างเดียวในคืนนี้ ความอบอุ่นที่มันหายไปนาน มันกลับมาหาอีกครั้ง อย่างน้อยที่สุด
ก็ในราตรีนี้แหละ



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:39:15
เอ๊ะ ! นี่กูมานอนอยู่ที่ห้องใครวะ
นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาหลังจากที่เริ่มรู้สึกตัว เพียงแต่ว่าตัวผมเองยังไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหนก็เท่านั้น


ผมเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ สภาพห้องดูจะเห็นชัดเจนมากกว่าเมื่อคืนที่ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เพียงแค่
จะขยับตัวแค่เล็กน้อยเท่านั้นแหละ หัวผมก็รู้สึกเหมือนหมุนคว้าง อาการแบบนี้คงเรียกว่ายังเมาค้าง
ไม่หายแน่ๆ มือข้างนึงยกขึ้นออกจากผ้าห่มมาบีบขมับตัวเองหวังจะไล่ความวิงเวียนนี้ออกไปได้


“ โอ้ยยย... ไอ้กอร์ฟนะไอ้กอร์ฟ เมื่อคืนกูไม่น่ากินกะมึงด้วยเล้ยยย ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วก็พยายาม
ชันตัวเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หันไปรอบๆห้อง ถึงแม้จะดูรก แต่ก็ไม่ได้ซกมกอะไรมากมาย
มีเหรียญรางวัลอะไรซักอย่างห้อยอยู่สามสี่เหรียญตรงมุมห้อง พร้อมกับรูปคนยืนรับรางวัล แต่ผมก็มอง
ไม่ชัดหรอก ช่วงหลังๆนี้ชักรู้สึกว่าตัวเองชักจะสายตาสั้นซะแล้ว ว่างๆผมคงต้องลองไปตัดแว่นดูซะที


ติ้ดดด ติ้ดดดด ติ้ดดดดดดด


จำได้ว่าเป็นเสียงมือถือของตัวเอง แต่ผมก็ต้องหันไปหารอบห้อง ด้วยความที่ไม่ชินพื้นที่


“ หวัดดีคับ ”


“ เออ ปริ้น เป็นไงหายเมายัง ” เสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหู แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นพี่โก๋


“ พี่โก๋เหรอคับ ยังมึนๆอยู่เลยพี่ ” ผมบ่นให้ฟังพลางนวดที่ต้นคอตัวเองไปพลาง


“ สงสัยที่ว่าคออ่อนจะจริงวะ เมื่อคืนเมาหมดสภาพเลยรู้เหรอเปล่า เอ็งอ่ะ ” เสียงตามสายทำให้ผมรู้สึก
แย่กับตัวเองมากกว่าเดิม


“ ละ แล้วผมไปทำอะไรน่าเกลียดบ้างเป่าพี่ ” ชักเป็นห่วงภาพพจน์ใสซื่อของตัวเอง


“ 555 เยอะแยะวะ ไอ้ปริ้นเอ้ย ไปม.แล้วจะเล่าให้ฟังล่ะกัน ” พี่โก๋ว่า


“ เฮ้ย แล้วผมทำอะไรเหรอพี่ ” ผมละล่ำละลักถาม


แต่พี่แกก็ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่หัวเราะร่วน แล้วก็วางสายไป แม่ม -*-


ม่ะคืนกูต้องทำอะไรขายขี้หน้าชาวบ้านแน่ๆ แสดด หมดกานนนน ผมคิดในใจ แล้วก็รีบพยุงตัว
ลุกขึ้นมาเก็บผ้าห่ม พอดีกับที่รู้สึกทำไมเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่มันหลวมโคร่งๆวะ


อ้าว กูไม่ได้ใส่ชุดนศ. นี่หว่า เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ไม่คุ้นตาเลย สติผมกลับคืนมาเกือบเต็มร้อย
แล้ว นั่นซิ ผมก็ว่าตอนตื่นขึ้นมา ถึงได้กลิ่นคล้ายๆกับน้ำหอมจางๆเหมือนเคยได้กลิ่นมาก่อนที่ไหนวะ


ผมก้มลงไปดมเสื้อที่ใส่อยู่ จริงๆด้วยกลิ่นนี้มันเหมือนเคยได้กลิ่นจากที่ไหนนี่แหละ ! แล้วผมจะโง่อยู่ใย
ในเมื่อในห้องนี้ก็มีรูปแขวนไว้อยู่ตั้งเยอะแยะ ผมเลยเลือกไปดูรูปนึง ไม่ผิดแน่ ดูถึกๆ เถื่อนๆแบบนี้


กริ๊กก .... <------- เสียงเปิดประตู


“ ดูไรของชาวบ้านนั่นน่ะ ” เสียงแฝงความกวนส้นตีนตั้งแต่วันแรกที่ผมมาเรียนที่แห่งนี้ ดังขึ้นมาจากตรงประตู
ห้อง ผมสะอึกกึก แล้วก็ค่อยๆหันไปทางมัน พร้อมกับปรับสีหน้าไม่ให้ดูตื่นกลัวเกินเหตุ (เจอโจทย์เก่านี่หว่า)


เป็นไอ้นิคยืนถือถ้วยเนสกาแฟมองมาที่ผมด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไร


“ ดะ ดูรูป ” ผมตอบแบบขวานผ่าซาก แต่เสียงดูจะแหบๆ


“ เออ รู้ เห็นอยู่ว่าดู แต่ดูทำไม ใครให้ดู มารยาทน่ะมีมั้ย ” ดูมันว่าผมเป็นชุด ยากที่จะตอบโต้ในภาวะแบบนี้
ผมก็เลยอดใจไม่ตอบโต้มันไปก่อน


“ มารยาทกูจะมีเฉพาะคนที่สมควรจะมี ” ผมก็ไม่วายนะ เผลอพูดออกไปจนได้ มันทำท่าจะเอากาแฟสาดใส่ผม
แต่ถ้ามันสาด ก็เลอะห้องมันด้วยล่ะ เหอๆ


“ แม่ง เมาเหมือนหมาเมื่อคืน ยังปากดีอยู่ได้นะ ” มันทำหน้าเหมือนจะเยาะเย้ย แล้วก็เดินย่างสามขุมเข้ามาหา


“ เอ้า แดกซะ ไม่แดกจะสาดหน้าให้ ”


ผมจำใจต้องรับไว้ ทำไมมันไม่พูดดีๆวะ คำขอบคุณจะได้หลุดจากปากผมบ้าง พร้อมกับรับแก้วกาแฟมาทื่อๆ
แบบนั้นล่ะ


“ โอ๊ะ ขมชิบ ” ผมบ่นให้มันได้ยิน


มันเหลือบสายตามาแป็บนึง แล้วก็ส่ายหน้าไปมา ทำทีเป็นว่าผมม่ะรู้อะไรซะเลย แต่พอจิบไปได้ซักพัก
ก็รู้สึกว่าอาการแฮ้งๆม่ะกี้เริ่มจะค่อยยังชั่วบ้างแล้ว ระหว่างที่ผมนั่งจิบกาแฟอยู่บนเตียง ไอ้นิคก็ทำเป็น
รื้อเสื้อผ้าอยู่นั่นแหละ สงสัยมันเตรียมจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน


“ ถามไรหน่อยดิ ” มันพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ นั่งจิบกาแฟต่อ


มันเห็นผมไม่รับรู้อะไร เลยหันมาตะคอก


“ เฮ้ยย ! ฟังกูอยู่เหรอเปล่า ”


“ อ้าว พูดกับกูเหรอ ” ผมทำเป็นหน้าตาใสซื่อกวนโอ้ย ในใจคิดว่าสันดานนี่มาตะคอกกูอยู่ได้


“ เออ พูดกะมึงแหละไอ้เกย์ ” มันย้ำคำหลังเสียงดังฟังชัด


“ แค่ก แค่กก ” ผมถึงกับสำลักกาแฟไอค่อกแค่ก


“ มะ มึงว่าอะไร ใครเป็นเกย์ ” ผมค่อนข้างตกใจพอสมควร จริงอยู่ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง
ใครเรื่องแบบนี้ แต่นี่ทำไมไอ้นิคมันรู้ได้ไงวะ


มันหันมามองผมเหยียดๆ


“ อ้าว ก็มึงไง ไม่ใช่เหรอ ? ”


ผมกัดฟันกรอด วางแก้วกาแฟที่โต๊ะบนหัวนอน ทำท่าจะลุกไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมัน
สายตาที่มันมองดูผมเหมือนกับว่าเป็นตัวอะไรซักอย่างแบบนี้ ผมแทบทนไม่ได้


“ ตกลงมึงเป็นจริงๆใช่ป่ะ ? ” มันยังเซ้าซี้ไม่เลิก แถมยังเดินมากันท่าไม่ให้ผมออกจากห้องอีก


“ เสื้อกูอยู่ไหน ” ผมถามเสียงแข็งไม่ยอมสบตามัน


“ อ้าว กูถามมึงก็ตอบกูมาก่อนเด๊ ” มันกระชากเสียงใส่ผมอีกแล้ว มันเป็นบ้าไรของมันวะ


“ กูจะเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวไรกะมึงนี่ไอ้นิค ” ผมด่าสวนมันกลับ แล้วก็ผลักตัวมันให้ถอยออกไป
อ่า เสื้อนศ ผมแขวนไว้ตรงราวระเบียงข้างนอก ดูท่าทางเหมือนพึ่งซักไปหยกๆ


“ เกี่ยวเด๊ะ ทีเมื่อคืน มึงยังมานอนกอดกูกลม กูยังไม่ว่าอะไรมึงซักคำ ”


มันพูดทำให้ผมเกือบขำ


“ เหอะ กูเนี่ยนะ จะไปกอดมึง ฝันกลางวันแล้วล่ะ ” ผมยังไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่มันพูด


“ เอ้า ... มึงอาจจะคิดว่ากูเป็นพี่อ้ง พี่โอ้ตอะไรนั่นก็ได้ เลยละเมอมากอดกู จริงเปล่า ” มันย้อนทำเอา
ผมสะอึกขั้นรุนแรง จริงๆด้วย เมื่อคืนผมฝันถึงไอ้โอ้ตนี่หว่า หรือว่าผมละเมอคิดว่าไอ้นิคคือโอ้ต
แล้วเผลอกอดมันไปวะ เสียแล้วกู


“ พูดไม่ออกเลยดิ ไอ้เกย์เอ้ย ”


“ มึงหยุดเรียกกูแบบนั้นนะ ”


“ ทำไมล่ะ กูจะพูดแบบนี้อ่ะ กูชอบ ” มันว่าพลางทำหน้ายียวน


อารมณ์ผมตอนนั้นพุ่งจี้ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเจอคนเชี่ยอะไรได้มากถึงขนาดนี้มาก่อน
ในชีวิต แต่คนพรรณนี้ พูดอะไร อธิบายอะไรก็คงไม่ฟังแน่ๆ อคติมันมีเยอะ ทางที่ดีควรหลีกห่าง
ไปซะดีกว่า


ผมเก็บท่าทีที่จะตอบโต้มันทุกอย่าง พลางเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือ แล้วก็เดินไปที่ระเบียง
จะเก็บผ้ากับห้อง


“ จะไปไหน ? ” มันถามเสียงขุ่น


“ กลับห้อง ”


“ กลับไปได้ไง นั่นมึงใส่เสื้อผ้ากูอยู่นะ ”


ผมอึ้งไปเลย มันจะอะไรนักหนากับกูว้อยยย


“ เด๋วกลับห้องไปซักให้ แล้วจะเอามาคืน ของโหลแบบนี้กูซื้อใหม่ให้ยังได้ ”


“ เออ ไอ้เก่ง ไอ้รวย - - - แต่กูไม่ให้ใส่กลับ ” มันว่า


ผมหันไปมองมันทำหน้าอาฆาตสุดกู่


“ ถ้ามึงอยากกลับ มึงก็คืนเสื้อผ้ากูมาก่อน มันพูดพลางมาจับขยับคอเสื้อที่ผมใส่อยู่ ”


“ ไปนั่งแดกกาแฟให้หมดไป๊ ” มันพูดเสร็จก็เดินหัวเราะหึหึ ออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืน
อยู่ภายในห้องที่ดูเหมือนว่าไฟโทสะมันปะทุจนถึงเกือบขีดสุด

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:40:04
.

.

ไอ้นิคปิดประตูคล้อยหลังไป ปล่อยให้ผมนั่งจุ้มปุกอยู่บนเตียงที่นอนเมื่อคืน ในมือก็ถือ
แก้วกาแฟรสขมจัดแต่ก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา


- ทำไมเราต้องมาเจอแต่คนแบบนี้ด้วยวะ- ผมเฝ้ารำพันกับตัวเอง พร้อมกับค่อยๆจิบกาแฟ
ไปเรื่อยๆในห้องสลัว มองไปข้างนอกหน้าต่าง เมฆฝนเริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนดำ
ได้ซักพักแล้ว


- ฝนจาตกอีกแล้วเหรอเนี่ย -


คิดได้ไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงเม็ดฝนตกดังเปาะแปะๆ กลิ่นดินที่ถูกน้ำฝนค่อยๆตลบ
อบอวลขึ้นมา ผมพยุงตัวขึ้นมา อาการมึนหัวหายไปข้างค่อนข้างจะสนิทแล้ว มองไปนอก
หน้าต่างที่มีเม็ดฝนเกาะอยู่ บ้านไอ้นิคปลูกต้นไม้ไว้เยอะจนดูเหมือนมีบ้านผุดขึ้นมากลาง
ป่าซะอย่างงั้น ไม่น่าเชื่อว่าในกรุงเทพจะมีบ้านที่ปลูกต้นไม้ได้เยอะขนาดนี้อยู่อีก


อากาศที่เริ่มเย็นลง พลอยทำให้อารมณ์ของผมเย็นลงตามไปด้วย


- ค่อยๆพูดดีๆกับมันดีกว่า - ผมคิดได้ดังนั้นก็เดินกะจะออกไปนอกห้อง ไอ้ตัวร้ายก็เปิดเข้ามา
พอดิบพอดี


“จะไปไหน”


“กะ - - กินหมดแล้ว ว่าจะออกไปล้างอ่ะ” ผมบอก มันทำท่าชะโงกหน้ามาดูที่แก้วเหมือนจะ
ไม่เชื่อ แล้วก็คว้าแก้วจากมือผมไป


“เดี๋ยวเอาออกไปเอง ไปนอนป่ะ ”


“ไม่เป็นไรอ่ะ ไม่ค่อยง่วงแล้ว”


“เออ .. แล้วอยากแด - - เอ๊ะ อยากกินอะไรเหรอเปล่าล่ะ” ได้ผลแฮะ พอพูดเสียงดีๆกับมัน
ก็ลดความดุดันแล้วก็แดกดันผมได้เหมือนกัน


“อืม.. ก็นิดหน่อย ”


“หิวเหรอไม่หิวล่ะวะ”


“หิว”


“เออ ก็แค่นั้น ตามมาดิ” มันผลักประตูให้เปิดออก


“ระวังบันไดนะ มันลื่น ”


ผมเดินลงมาก็พบว่า บ้านมันก็กว้างอยู่พอควร ไอ้นิคเดินนำไปทางห้องครัว(มั้ง) แล้วก็จัดการ
เปิดตู้กับข้าว แล้วก็เดินเอาห่อขนมปังฟาร์มเฮ้ามาให้โยนให้บนโต๊ะ


“เอาแย้มเปล่า” มันถาม


“เอา”


“ไม่มีแย้ม มีแต่นม” มันพูดแล้วก็คว้าเอากระป๋องนมข้นหวานมาตั้งไว้ตรงหน้า ไม่มีแย้ม แล้วเมิง
จะถามทำเพื่อ ?


“จะเอาอะไรอีก ? ” โห มันถามผมเหมือนว่าตูหาเรื่องมันซะงั้น


“ไม่อ่ะ” ผมตอบแล้วก็เอาช้อนลงไปกวาดนมข้นมาทาบนขนมปัง


“ทำให้ขนาดนี้ คำขอบใจนี่ไม่มีเลยนะมึง” มันนั่งลงเริ่มพูดกวน


“ออบใอ” ผมบอกมันเต็มปาก


มันก็มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มกริ่ม ไม่ยักกินด้วยแฮะ


ผมเห็นหน้ามันยิ้มแล้วรู้สึกฝืดคอยังไงก็ไม่รู้


“ไม่กินเหรอ ? ”


“เอาเหอะ มึงกินไปเหอะ” มันพูดเสร็จก็เดินออกจากครัวไป


ผมสวาปามไปอีกประมาณ 5-6 แผ่น ก็จัดการเอาช้อนล้าง แล้วก็เอานมไปเก็บในตู้เย็น
นั่งรอมันที่ครัวซักพักก็ไม่เห็นมันเดินเข้ามาซะที ก็เลยเดินออกมานั่งอยู่ที่เหมือนจะเป็น
ห้องรับแขกของบ้าน


“หายหัวไปไหนของมันวะ” ผมคิดในใจ แต่ได้แค่แป็บเดียว มันก็เดินลงมาพร้อมกับเสื้อผ้า
ของผมเอง


พอมันเห็นผมก็โยนเสื้อให้


“อ่ะ แห้งแล้วกูไปอบมาให้”


“เหะ” ผมอุทาน


“ทำไม ? ”


“เป่า” ผมตอบเพราะไม่ค่อยจาอยากเชื่อว่านี่คือไอ้นิคเมื่อเช้าเหรอ ดีเหมือนกับเป็นคนล่ะคน


“ว่าแต่อยู่คนเดียวเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น


“เปล่า อยู่กับพี่สองคน” มันตอบ พลางเดินไปเปิดทีวี


“ผู้หญิงผู้ชายอ่ะ” ผมถามโดยไม่มีเจตนาอะไร


มันเหลือบมองผมนิดนึง


“คนโตผู้ชาย คนกลางผู้หญิง - - ไมจะจีบพี่ชายกูเหรอ นิสัย ! ”


“กูพูดซักคำเหรอยัง” ผมชักฉุน เห็นตูเป็นอะไรวะ


“เอาเหอะ กูเข้าใจ” มันตอบแล้วก็หันไปสนใจทีวีต่อ ผมได้แต่คิดว่า มึงเข้าใจเอี้ยอะไร
ของมึงคนเดียวอะดิ


ผมก็นั่งดูทีวีกับมันไปได้ซักพักนึง ก็มานึกขึ้นได้ว่า นี่กูนั่งทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่
กลับห้องตัวเองฟ่ะ


“นิค ”


“ไร”


“กูว่าจะกลับแล้ว”


“กลับไปไหน ? ”


“ห้องกูดิ”


มันหันมามองหน้าผมทำหน้าแบบสงสัย


“อ้าว จะกลับก็กลับซิ เสื้อผ้ากูก็คืนให้แล้ว จะมาบอกทำไมวะ”


เอ้า มันพูดแบบนี้ผมหน้าชายังไงก็ไม่รู้ครับ พูดเหมือนกูอยากจะอยู่บ้านมันซะงั้น
ผมลุกพรวดเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องมัน ในใจก็คิดว่า แม่งไอ้เอี้ยนี่ผีเข้าผีออก
ชัดๆ ตอนแรกบอกว่าไม่ให้กูกลับ ตอนนี้ดันมาพูดเหมือนไล่ๆอะไรก็ไม่รู้ หวนให้นึก
ถึงคำพูดที่มันพูดแล้วก็ทำสายตาดูถูกผมเมื่อตอนเช้า


มันอยากแกล้งผมเป่าวะ !?


“กูไปนะ เออ...”


“อะไร” มันตอบก็จริงแต่ดูมันจะสนใจรายการทีวีที่อยู่ตรงหน้ามันมากกว่า


“ขอกุญแจรถกูด้วย เมื่อคืนมึงขับมาใช่เป่า ”


“ถ้ากูไม่ขับแล้วหมาที่ไหนจะขับกลับมา ” มันยั่วยวน(ตีน) ผมเกือบจะตอบกลับ
ไปแล้วว่า ก็หมาที่นั่งดูทีวีอยู่นี่ไงล่ะ


“เฮ้ย อย่ากวนดิ รีบ”


มันไม่พูดอะไร แต่ก็ปิดทีวี แล้วก็เดินไปเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงยีนส์ แล้วก็ควัก
กุญแจออกมา แต่มันไม่ได้ให้ผมคับ มันกลับเดินนำผมไปที่รถแทน


“เฮ้ย จะไปไหน เอากุญแจมา” ผมรีบวิ่งตามมันไป


“เด๋วกูขับไปส่ง ” มันพูด


“เฮ้ย ไรมึงอ่ะ จะไปส่งทำไม ก็นี่มันรถกู ขับเองได้” ผมงงหรือมันมึนกันแน่วะ


มันก็ทำเดินไปเรื่อยไม่สนใจฟังเสียงผมบ้างเลย แล้วก็ด้วยความที่ตัวมันใหญ่กว่าผม
ทำให้การเข้าไปแย่งกุญแจทำไมสำเร็จ


“มึงทำไรเนี่ย” มันเอ็ด


“เอากุญแจคืนกูมาเด๊ ” สุดท้ายก็เลยต้องแบมือขอมันโดยดี


“เอ้า ก็บอกว่าจะไปส่ง”


“นี่มานรถกู ” ผมพูดย้ำทุกคำชัดๆอีกทีอย่างหมดความอดทน


“นี่ มึงรู้ใช่ป่ะ ว่ามอไซต์กูเสีย - - ”


“เออ ไม่รู้ แล้วไง ”


“- - แล้วรถมึงขับง่ายดี”


“เออ แล้วไง”


“กูก็เห็นว่า จะใช้รถเมิงไปก่อนจนกว่ามอไซต์กูจะซ่อมเสร็จ” มันว่าแล้วก็ยิ้ม


“เหอะๆ พูดบ้าไรมึงอ่ะ” ผมจะขำก็ขำไม่ออก


“นี่มึงจะยึดรถกูเหรอเนี่ย ”


“เปล่า แค่ยืม”


“ใครให้ยืม ! ”


“ก็มึงไง”


“กูบอกตอนไหน วันไหน เวลาไหน กี่โมง กี่นาที กี่วินาที ไอ้บ้า ไม่ให้ ! ”


“เฮ้ย ไรวะ แค่นี้มาหวง มะคืนก็ยังแบกมึงมาดูแลเลยนะ”


“ไม่ต้องมาทวงบุญคุณเลย เอาคืนมาไอ้นิค ”


มันยังทำเฉย


“นี่มันรถแม่กูนะ ไม่ใช่รถกู”


คราวนี้มันยังเดินต่อไปจนถึงรถ แล้วก็ไขกุญแจเข้าไปนั่งเลย ผมต้องรีบวิ่งตามไป
เคาะกระจก


“เฮ้ยๆ มึงอย่าทำแบบนี้ดิ กูไม่ได้พูดเล่นนะ”


“ก็ไม่ได้พูดเล่นเหมือนกาน - - เอ้า จะกลับห้องมั้ยเนี่ย เด๋วกูไม่ไปส่งเลย” ดูมันพูดซิ


ผมจนปัญญา เลยต้องรีบขึ้นไปนั่งทางด้านคนขับแทนก่อน สงสัยต้องค่อยๆพูดกับ
มันเหมือนเดิมซะแล้ว


พอผมขึ้นไปนั่งยังไม่ทันได้ปิดประตูสนิท มันก็ออกรถพรวดพลาดแล้ว


“นิค..”


“ฮือ”


“มึงฟังนะ ถ้ากูไม่มีรถ กูจะไปมหาลัยได้ไง”


“กูก็ขับไปรับมึงไง”


“เหอะๆ มึงไม่รู้จักบ้านกูแล้วจะไปถูกได้ไง”


“ก็นี่ไง กำลังไปส่งมึงอยู่เนี่ย อ่ะ บอกทางมาซิ” ดูมันหน้าด้าน


“นี่รถแม่กูนะ ! ” ผมยังพูดคำเดิม


“เออ รู้แล้ว มึงบอกสองรอบแล้ว”


“แล้วถ้าแม่รู้กูจะบอกเค้าว่าไง ให้คนอื่นมาขับรถอ่ะ ” ผมบอกเสียงเครียด


“มึงอยู่กับแม่เหรอ” มันถามอารมณ์ดี


“เปล่า”


“เออ ถ้ามึงไม่บอก แล้วแม่มึงเค้าจะรู้มั้ย ? ”


“ม่ะช่ายว้อยยย ... ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”


“เอาน่า กูไม่ขับไปชนใครเค้าหรอก - - แล้วถ้ากูไม่ใช้รถมึง แล้วกูจะไปมหาลัยยังไง
คิดดูดิ มึงคงไม่ขับมารับหรอกใช่ม่ะ”


ผมพยักหน้า


“เออ” มันทำหน้ามึน “งั้นกูถึงจะยืมรถมึงก่อนไง เข้าใจป่ะ ! ”

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“นี่ตกลงจะเอารถกูไปจริงๆเหรอ” ผมถามระหว่างนั่งรอรถติด ไม่ต้องบอกก็รู้ กรุงเทพมหานคร
ถ้าวันไหนฝนตก รถก็จะติดมโหฬารแบบไร้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น


“อือ”


“ถ้าชนขึ้นมารับผิดชอบด้วยนะ - - มึงรับผิดชอบคนเดียวนะ ” ผมกล่าวทวนคำ เมื่อเห็นมันหัน
มามองหน้า


“อ้าว - - ให้จริงดิ”


“กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้” ผมบอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ได้ยินเสียงมันหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอ


หลังจากนั้นผมกับมันก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ได้ยินแต่เสียงของแอร์รถยนต์ครางเสียงเบาๆ
พร้อมกับล้อรถที่หมุนทีหยุดที


“นิค - - มึงไม่ชอบเกย์เหรอ ? ” อยู่ๆผมก็พูดทำลายความสงบขึ้นมา


“ฮื้อ .. ”


“ตอนที่มึงรู้ว่ากูเป็น - - เออ เกย์ มึงก็ทำไม่ดีพูดไม่ดีกับกู”


“หึ หึ ตกลงว่ายอมรับแล้วดิ ถามตอนแรกทำเป็นอ้ำอึ้ง” มันกระแนะกระแหน


“กูจะเป็นอะไรทำไมต้องป่าวประกาศให้ใครรู้วะ ” ผมพูดเสียงแบบไม่สบอารมณ์


“- - แล้วอีกอย่างที่กูถามก็เพราะว่าเห็นสายตามึงเวลามองแล้ว เหมือนกูเป็นตัวอะไรซักอย่าง”


มันหันมามองผมเป็นระยะๆ ผมเดาแววตาไม่ออกจริงๆว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

“กูอึดอัด” ผมบอก
“- - แล้วแค่ตอนกูถามเรื่องพี่น้อง มึงทำหยั่งกับว่ากูจะเข้าไปแดกพี่มึงซะงั้น จะให้คิดยังไง”


“เฮ้ย กูไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น” มันเถียง


“กูรู้ว่ามึงคิดแบบนั้น สายตามึงมันฟ้อง”


“กูไม่ได้คิดแบบนั้น” เสียงมันดังข่ม


“ที่กูถาม - -” ผมตะเบงเสียงให้ดังขึ้นอย่างหมดความอดทน “- - เพราะว่าถ้ามึงไม่ชอบเกย์อย่างกู
มึงก็ไม่จำเป็นต้องมาแกล้งแบบนี้ ”


“ใครว่ากูแกล้งมึง” มันสวนกลับ


โครมมมมม


“แล้วที่ทำอยู่ทุกวันนี่ คิดว่าทำอะไรอยู่เหรอวะ ! ” ผมโกรธจัดเอามือทุบไปที่คอนโซลรถเสียงดัง


มันเงียบไปทันที


“กูก็ไม่รู้ว่าทั้งๆที่ก็ไม่ชอบหน้ากู แล้วทำไมมึงต้องมายุ่งกับกูด้วย - - เหรอว่ามึงอยากแกล้ง
ให้กูอายวะ เหรอว่า ต่อไปมึงจะเอาเรื่องที่กูเป็นอะไรๆ ไปบอกเค้าให้ทั่ว - - ห่ะ”


ข้างนอกฝนยังคงตกพลำๆ รถราบนถนนต่างติดแหง่ก ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนซะที
พอๆกันกับที่ทั้งผมทั้งไอ้นิคต่างก็เงียบงัน ผมได้บอกสิ่งที่ผมคิดให้กับมันไปหมดแล้ว
อยู่ที่มันแล้วล่ะตอนนี้ ว่าอยากจะแก้ตัวอะไรให้ฟังอีก หรือว่าอยากจะยังคงแกล้งผม
โดยที่ไม่ยอมรับรู้ในสิ่งที่มันทำต่อไป


“ปริ้น - -”


มันเรียกครั้งแรก ผมไม่หันไปทางมัน รอฟังที่จะพูดก็พอ


“ไอ้ปริ้น - -”


มันเรียกเสียงดังขึ้น คราวนี้ผมถึงหันไปมองหน้ามัน ดูดิ๊ว่ามันจะแก้ตัวอะไรของมันอีก
พอผมหันไปเจอสายตาของมันถึงกับชะงักคับ เพราะตามันแดงเรื่อๆ จากนั้นมันก็ค่อยๆ
พูดไม่ตะคอกเหมือนเคย


“มึงมองตากูดิ - - ”


“- - กูรู้ ว่ากูเป็นคนแบบนี้ - - กูเป็นคนเหี้ยๆ แบบนี้แหละ เพราะงั้น เวลากูทำอะไร
กูคิดอะไร กูพูดอะไร ใครๆก็บอกว่ากูเป็นคนเหี้ยแบบนี้ ทุกคนแหละ - - ”


มันพูดเสร็จก็รีบหันกลับไปเปิดประตูทางที่นั่งคนขับทำท่าจะออกไป


“เฮ้ย นิค” ผมรีบเอื้อมตัวจะคว้าตัวมันก่อนที่มันจะออกจากรถไปเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้ก็
ไม่ทันอีกเหมือนเดิม ไอ้นิคมันยกแขนขึ้นมาข้างนึงปาดเข้าที่หน้าตัวเอง


“- - ทุกคน แม้แต่มึงก็คิดว่ากูเป็นแบบนั้น ”


ขาดคำประตูรถด้านคนขับก็ปิดเสียงดัง ไอ้นิคหนีลงจากรถผมเป็นรอบที่สองแล้วคับ
ครั้งแรกผมยังไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่าครั้งนี้ ทำไมวะ สายตาของมันที่ผมเห็นก่อนที่มันจะ
ลงรถไป ทำไมมันเศร้าเสียใจขนาดนั้น


ผมไม่เข้าใจ ?


ผมไม่เข้าใจสายตาของไอ้นิคเลยจริงๆ


ปี้นนนน ปี้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


อ้าว อิ๋บอ๋ายแล้ว รถเสือกขยับตามกันแล้ว ผมเลยต้องละทิ้งสายตาไอ้นิตรีบกระโดดมานั่งที่
คนขับ แล้วก็รีบเคลื่อนรถออกไปด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา


ผมกลับห้องมาโดนพี่ท็อปด่าเป็นวักเป็นเวร เพราะว่าผมดันไม่ได้บอกพี่เค้าว่าไปไหน
หายไปทั้งวันทั้งคืน


“จะไปไหนมาไหนก็บอกกันซักคำสองคำก็ยังดี แม่งปล่อยให้เป็นห่วง ”


“คับพี่ ผมขอโทษ”


คืนนั้น ความคิดผมยังคงวนเวียนอยู่กับสายตาคู่นั้น ทั้งคืน


“ใครๆก็บอกว่ากูเป็นคนเหี้ยแบบนี้ ทุกคนแหละ - - ทุกคน แม้แต่มึงก็คิดว่ากูเป็นแบบนั้น”


- ก็มึงไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเหรอไงวะ นิค - ผมคิดในใจก่อนที่จะปล่อยให้ความง่วงถาโถมเข้ามา
.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

เช้าวันจันทร์พวงมาลัยรถของผมก็พามายังสถานที่นึงที่คุ้นตา


- งืมๆ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะอยู่แถวนี้นี่หว่า ? -

ผมจัดการดับเครื่อง จัดการเปิดหน้าต่าง ให้ลมเย็นพัดเข้ามา แล้วก็จอดรถเฝ้ารออยู่อย่างสงบ
เหลือบไปมองนาฬิกา พึ่งจะ 7 โมงกว่าๆ วันนี้มีเรียน 9 โมงเช้า คงไปทันล่ะน่า


ซักพัก ประตูบ้านก็เปิดออก รถเก๋งฮอนด้าสีเทาก็ค่อยๆแล่นออกจากบ้าน แล้วก็มีผู้หญิงคนนึง
เลื่อนประตูมาปิด แล้วก็เดินมาขึ้นที่นั่งข้างคนขับ ก่อนที่รถจะค่อยๆแล่นออกไป โดยไม่ได้
สังเกตว่ามีรถผมจอดอยู่ข้างๆบ้านตัวเอง


ผมเหลือบมองเข้าไปในรถ แล้วก็สังเกตว่าในรถมีแค่ผู้ชายไม่คุ้นตา แล้วก็แค่ผู้หญิงคนที่ปิด
ประตูบ้านเท่านั้น ก็ถอนหายใจโล่งอก


- ว่าแล้ว เช้าขนาดนี้คงยังไม่ตื่นหรอก -


ผมคิดแต่ในใจตอนนี้ก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ จะเริ่มคุยยังไงดีวะ


7 โมงห้าสิบ ประตูบ้านเปิดอีกครั้งนึง พร้อมๆกับไอ้ตัวร้ายโผล่ร่างออกมา พอมันปิดประตูปั๊บ
ก็หันหน้าเตรียมจะเดินออกมา ผมเห็นมันหยุดชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะเจอผม คนที่ทะเลาะกับ
มันจนต้องเดินลงมากลางถนนถึง 2 รอบแล้ว


“ขึ้นมาดิ” ผมโผล่หัวออกตะโกนเรียกมันผ่านหน้าต่าง


นิคมันปรับสีหน้าจากที่ชะงักอยู่เมื่อกี้ กลายเป็นนิ่งเงียบ ทำเป็นไม่เห็นผมเดินจ้ำอ้าวผ่าน
ไปซะงั้น


- ใจเย็นๆเว้ย ปริ้น - ผมคิด


ผมหันหัวกลับไปตะโกนกับมันอีกทีนึง


“งอนเหรอมึง - - ”


“- - เป็นผู้ชายอ่ะ เค้าไม่งอนกันง่ายๆหรอกนะเว้ย ” ไอ้นิคหยุดเดินหันมามองหน้า


ผมนั่งลงในรถเหมือนเดิม แล้วก็เข้าเกียร์ถอยรถไปข้างๆมัน


“มึงจะไม่ขึ้นก็ได้นะ แต่กูคิดว่ามึงไปเรียนไม่ทันหรอก ” ผมว่าพลางทำยกนาฬิกาข้อมือ
ขึ้นมาดูว่าตอนนี้มันจะ 8 โมงแล้ว


คราวนี้มันทำท่าลังเลหน่อยๆ โด่ สำคัญตัวนักนะมึง เห็นกรุง้อเลยเล่นตัวเอาใหญ่ชิมิ
เด๋วขับรถเหยียบซะนี่


“- - เอ้ยเว้ย รีบขึ้นมาเหอะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะเมิง เมฆดำมาโน่นแล้ว ” ผมชี้ไปที่
กลุ่มก้อนเมฆที่เหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นด้านทิศตะวันตก


“- - เด๋วพระพิรุณก็เสด็จลงมาให้มึงเปียกอีกหรอก เอ๋ หรือว่ามึงชอบตากฝน ห่ะ”


“มึงจะไล่กูลงกลางถนนอีกป่ะล่ะ” มันพูดทำเอาผมเกือบขำ


“เออ คราวนี้ไม่ไล่หรอก ”


ผมเห็นไอ้นิคยิ้มออกมาแว่บนึง ก่อนที่จะทำลีลาเดินมาขึ้นรถ


“คิดได้เหรอ ถึงมารับกู” ดูมันพูดดิคับ


“คิดไรได้ ? ”


“อ้าว ก็คิดได้ว่า ทำให้กูเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนไง กูดีกับมึงขนาดไหน แต่มึงกลับมา
ว่ากูอย่างงั้นอย่างงี้ แถมยังไล่กูลงจากรถไปตั้ง 2 ที”


มันบ่น


“กูไล่มึงลงจากรถตอนไหนวะ ”


“มึงไม่ไล่ก็เหมือนไล่แหละ ขับๆไปเหอะ สัด”


“ว่าแต่ทำไมตื่นสายจัง จากนี่ไปบางนา ตื่นแบบนี้ไปไม่ทันเรียนคาบแรกอยู่แล้ว” ผมถาม


มันผิวปากเบาๆ ก่อนจะบอก


“ก็คิดว่ามึงต้องมารับกูอยู่แล้วไง ถึงได้ไม่ต้องรีบตื่น” มันพูดขึ้นมา


“โอ้ย ไอ้ควาย อย่างมึงเนี่ยนะ - -” ผมไม่รู้จะอ๊วกหรือจะขำกะมันดี


“- - กูสงสารหรอก เห็นไม่มีมอไซต์ขี่มา คงขึ้นรถเมล์ไม่เป็น ”


“สงสารหรือว่าชอบกูกันแน่ ฮืมส์ ไอ้เกย์” มันพูดกึ่งหยอก


ผมถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง หันหน้าไปมองสารรูปมัน


“อย่างกูเนี่ยนะ จะไปชอบมึง 555 หลงตัวเองเชี่ยๆๆ ถึงกูเป็นแบบนี้ก็เลือกนะ
ควายๆอย่างมึงอะ กูไม่เอาหรอก ”


ผมด่ามันไปพลางหัวเราะไป คนห่าไรหลงตัวเองชิบ


“ปากดีไปเหอะมึงอ่ะ ไอ้พวกพูดแบบนี้นะ ร้อยทั้งร้อยมาชอบกูทั้งนั้นแหละ
เหอะๆๆๆ”


- งั้นหนึ่งในร้อยนั้นก็คงไม่ใช่กูล่ะ ไอ้นิค - ผมคิดในใจขี้เกียจเถียงกะมันแระ


เปาะ แปะ ๆๆ

“เชี่ยย !! ฝนตกอีกแล้วอ่ะ เย็นนี้ก็ต้องกลับไปล้างรถอีกแล้ว” ผมบ่นกระปอดกระแปด พลางรีบเร่ง
ความเร็วให้มากขึ้น ก่อนที่ฝนจะตกหนัก แล้วทำให้รถติดมากกว่านี้


“เพราะมึงแท้ๆเลยนิค”


“อ้าว แล้วมาโบ้ยขี้ไรให้กูละ” มันสงสัย


“ก็มึงมานั่งรถกูทีไรนะ พระพิรุณแม่งอวยพรให้รถกูเปียกทุกทีเลย ” ผมบอก ทำเอามันขำ


“แล้วมันไม่ดียังไงวะ”


“ถามแปลกๆ ฝนตก แม่งก็เปียกอะดิ - - เออ แต่มึงคงชอบอะดิ เห็นลงไปตากฝนอยู่บ่อยๆ”
ผมพูดพลางหัวเราะเยาะ


มันหันหน้าออกไปดูสายฝนที่เริ่มตกลงมาบางๆ แล้วก็ยิ้ม


“เออ กูชอบ”


แล้วอยู่ๆมันก็พูดขึ้นมาว่า


“ถ้าไม่ติดว่าฝนทำให้มึงเปียกอย่างเดียว มีงจะชอบฝนมั้ยวะ ?”


ถามไรแปลกๆ นะมึง ผมไม่รู้จะตอบยังไง ไอ้นิคก็พูดต่อ


“- - ถ้าไม่มีฝน มึงก็จะไม่มีวันเห็นท้องฟ้าที่สดใส แล้วบางทีก็ - -”


“ก็ ... ” ผมทวนคำพูดมัน


“- - บางที ฝนมันก็ทำให้คนเราชุ่มฉ่ำหัวใจได้เหมือนกัน”


.

.

.

.

มันพูดเสร็จก็เงียบนั่งหันไปมองนอกหน้าต่างต่อไป แต่ในใจผมกลับรู้สึกปั่นป่วนชอบกล
คำพูดของไอ้นิคทำให้ผมคิดถึงบทสนทนาที่คุยกับคนๆ ที่บนยอดเจดีย์แดงเมื่อต้นปีขึ้นมาได้


“ผมไม่ชอบหน้าหนาวแบบนี้เลย” เสียงเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆผมดังขึ้น


“พี่ปริ้นชอบหน้าหนาวเหรอคับ” ไอ้โค้กหันมาถาม


“ช่าย ก็มันหยุดเยอะดีนี่หว่า” ผมตอบมันพลางหัวเราะ แต่ไอ้โค้กไม่รู้หรอก ว่าช่วงเวลาของ
ฤดูหนาว ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับผมแล้วก็กับไอ้โอ้ตมากแค่ไหน ผมรู้จัก รักแรก
ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ความรักที่ลึกซึ้งบนเกาะ วันเกิดของไอ้โอ้ต ทุกๆอย่าง
ทำให้ผม “รัก” ฤดูหนาว


“แล้วเอ็งอ่ะ ชอบหน้าไหน”


ไอ้โค้กยืนขึ้นบนฐานเจดีย์ ลมพัดใบหน้ามันทำให้ผมมาปรกอยู่ที่หน้าผาก


“ชื่อผมก็บอกอยู่แล้วนี่ครับ ว่าผมชอบฤดูไหน ? ”............................


.......................


...........


...


แล้วอยู่ๆ ความรู้สึกของอดีตที่เริ่มพรางพรูออกมาจากในส่วนลึก ก็หลั่งไหลออกมาอย่างมากมาย
มากจนทำให้ตัวผมรู้สึกสั่นสะท้าน


“เป็นไรวะ ตัวสั่นเชียว หนาวเหรอ” ไอ้นิคเห็นจึงเอามือไปกดเบาแอร์


ผมส่ายหน้า


“ไม่มีไรหรอก ที่มึงพูดเมื่อกี้ทำให้คิดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาอ่ะ”


ผมยิ้มให้มันเห็นว่าไม่ได้เป็นอะไร สายตาก็ยังจับจ้องอยู่บนถนนที่เม็ดฝนกำลังตกลงมาอยู่เบื้องหน้า
.

.

.

.

อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้า ไม่เป็นใจ

อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย

น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย

หากไม่รู้จักเจ็บปวด

ก็คงไม่ซึ้ง ถึงความสุขใจ

.

.

อดทนเวลาที่ฝนพรำ ... อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่าง และทำให้เราได้เข้าใจ

... ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ



.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:41:12
ตี้ดดด ............... ตี้ดดดดดด .................... ตี้ดดดด


เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง ในใจผมอยากให้คนปลายสายรับซะที ทำไมวันนี้
คิดถึงอยากคุยกับมันขึ้นมาได้นะ ? หรือเป็นเพราะคำพูดของไอ้นิคที่พูดเมื่อเช้า


“หวัดดีคับ” เสียงที่ไม่ได้ยินมานานรับสาย


“เออ ... หวัดดีโค้ก” ผมทักซึ่งออกจะดูขวยไปซักหน่อย


“เฮ้ย พี่ปริ้นเหรอ” เสียงมันจะดูดีใจกว่าผมซักร้อยเท่าได้มั้ง “- - เปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ”


“อือ ”


“ถึงว่า โทรไปเบอร์เก่าไม่เห็นติด แล้วก็ไม่มีบอกกันบ้างเลยนะ” มันพูดเชิงน้อยใจ


“พอดีเปิดเทอมแล้วมันยุ่งๆอ่ะ โทดทีหว่ะ” ผมรู้สึกผิดที่ช่วงเวลานึงเหมือนกับลืม
มันไปเลย ทั้งๆที่เคยบอกกับว่าจะไม่ทิ้งมัน


“อ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่โทรมานี่มีอะไรเหรอเปล่าครับ ” มันถาม


“ต้องมีอะไรเหรอถึงจะโทรไปหาได้อ่ะ ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดที่ออกไปนั่น
เหมือนไม่พอใจอยู่ในตัว


“ม่ายช่าย พี่โทรมาผมก็ดีใจจะตาย - - ว่าแต่ใช้เบอร์นี้แน่นะ ผมจะได้เมมเบอร์ไว้”


“อืม”


“แล้วเรียนเป็นไงบ้างครับ”

“ก็เรื่อยๆอ่ะ สบายดีเหมือนกัน ไม่ต้องมีอาจารย์มาคอยเคี่ยวเข็ญ ว่าแต่เอ็งอ่ะ เป็นไง”


“เซงวะพี่ เรียนก็ยาก งานก็เยอะ ตุลานี่ก็จะเอนฯรอบแรกแล้ว” เสียงมันแสดงถึงความหนักใจ
อยู่พอสมควร มันก็จริงล่ะครับ ม่ะก่อนอย่างไอ้โค้กเนี่ย ใครๆก็ต้องคิดว่ามันต้องได้โควต้า
นักกีฬาแน่ๆ แต่มันดันเกิดอุบัติเหตุขาเดี้ยงซะก่อน ฝันที่มันวาดไว้ ก็พังคลืนลงมา แถมที่
บ้านมันก็ไม่ค่อยจะสนใจมันอีก


“พยายามเข้านะ พี่เป็นห่วง”


“อะไรนะคับ ? ”


“บอกว่าเป็นห่วง ” ผมทวนคำ


“พี่เป็นห่วงผมเหรอ ? ”


“มันแปลกยังไงอ่ะ ? ”


“55 ไม่มีอะไรครับ เออ เนี่ย ผมยังไม่ได้บอกพี่เลยว่า ผมไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพทุกเสาร์อาทิตย์
แล้วนะ”


มันพูดอย่างกระตือรือล้น


“เออะ ขยันนี่หว่า ”


“นิดหน่อยพี่ ก็ผมเหลือทางสุดท้ายแล้วนี่หว่า ”


“มันมีทางตั้งหลายทางให้เดินนะเว้ย อย่าคิดมากดิ ” ผมปลอบมัน


“แต่ผมมันเหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว พี่ปริ้นก็น่าจะรู้ - - ถ้าเอนฯไม่ติด ที่บ้านคงไม่พูดกับผม
ไปชั่วชีวิตแน่ๆ ” เสียงมันดูน้อยใจพิกล


“- - แค่ทุกๆวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกันอยู่แล้ว ” มันว่าพลางถอนหายใจ


“เอาน่า ก็พยายามเข้าดิ นี่ยังไม่ได้สอบซักครั้งเลยนะเมิง ถ้าปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ต้องได้ เชื่อดิ ”


“ขอบคุณพี่ ” เสียงมันดูดีขึ้นมาหน่อย


“เออ แล้วพี่ปริ้นล่ะ ? ”


“ทำไม ? ”


“เออ... กะ ก็ - - ปีหน้าจะสมัครไปเรียน มช อีกเหรอเปล่า”


“ทำไมเหรอ ? ” เสียงผมลดต่ำลงโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้โกรธมันหรอกนะ


“มะ ไม่มีอะไรครับ ”


หลังจากนั้นผมกะมันก็คุยกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมันที่โรงเรียน เรื่องของผมที่มหาวิทยาลัย
ไปอีกประมาณ สองสามชั่วโมง ความรู้สึกเก่าๆ เคยห่างหายไปเกี่ยวกับไอ้เด็กคนนี้ มันเริ่มกลับ
เข้ามาสานต่อกับช่วงเวลาที่ขาดหายไปได้อย่างแปลกประหลาด

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

เสาร์อาทิตย์นี้ไปไหนเปล่าวะ ไอ้กอร์ฟลินถามผมหลังจากที่เรียนวิชาสุดท้ายเสร็จในเย็น
วันศุกร์ต้นเดือนกันยายน สองสามเดือนที่เรียนด้วยกันมาทำให้ผมสนิทมากที่สุดในคณะ
เลยก็ว่าได้


“นัดเพื่อนไว้หว่ะ มีไรเปล่า” ผมถาม


“กิ้ฟมันได้บัตรเกะมาฟรี กะว่าจะไปคืนวันเสาร์กัน ว่าแต่มึงไม่ว่างนัดเด็กไว้เหรอวะ ”
ไอ้กอร์ฟแซว


“เออ กูนัดเด็กไว้” ผมตอบยิ้มๆ เห็นไอ้กอร์ฟหน้าเหวอนิดหน่อย มันคงสงสัยว่า ผมไปมี
แฟนตอนไหนวะ ?


ผมเดินมาถึงรถ ก็เห็นไอ้นิคนั่งรออยู่ที่ริมฟุตบาทข้างๆ ท่าทางโผลเผลน่าดู เหมือนจะพึ่งเตะบอลกะเพื่อน
เสร็จ


“โห ทีหลังมึงเล่นเสร็จก็ผึ่งตัวให้แห้งก่อนได้ป่ะ รถกูเหม็นหมด” ผมด่ามันพลางรีบเปิดกระจกรถ


“ไรวะ เล่นบอลมาเสร็จก็งี้ทุกคนแหละ ไม่ได้มัวมาสำอางเดินไปเดินมาอยู่นิ” มันพูดพลางปรับ
ช่องแอร์ให้สาดไปที่ตัว


“ว่าแต่มอไซต์มึงก็ซ่อมเสร็จตั้งนานแล้วนี่นา ทำไมต้องให้กูมารับมาส่งมึงตลอดเลย
น้ำมันก็เปลืองกูอีก ” ผมบ่น เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เกือบทุกวัน ผมจะต้องเทียว
รับเทียวส่งมันตลอด พอถึงมหาลัยปุ๊บ มันก็เปิดตูดไปเรียน เวลานั่งในห้อง ก็นั่งคนละกลุ่มกัน
มีเพื่อนก็คนละกลุ่มกัน ดูเผินๆไม่คิดว่าผมกะมันจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่พอเวลาเลิกเรียน
มันก็จะมานั่งรอที่แถวๆรถผมทุกที


“บ้านกูก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว มึงอย่างกไปหน่อยเลยน่ะ” มันว่าแบบหน้าด้านๆ


“ทุกทีเลยนะมึง ”


ผมเหยียบคันเร่งออกรถไป ไอ้นิคมันเป็นคนแปลกๆ อย่างที่เคยบอกไป แล้วมันก็เป็นคนหลงตัวเอง
อย่างถึงที่สุด มันมักจะบอกทุกครั้ง(แบบคิดไปเอง)ว่า ผมอะจริงๆแล้วชอบมันก็บอกมันไปเหอะ หรือ
ผมอยากมารับมาส่งมัน แต่ทำเป็นปากแข็งอะไรเทือกๆนั้น


มันบ้าม่ะ


“พรุ่งนี้มึงไปไหนเปล่า” มันถามขึ้นมา


“เออ .. ”


“กูว่าจะชวนไปดูหนังซะหน่อย” มันว่า


“เหรอ .... แต่ถึงกูว่างก็ไม่ไปดูกะมึงหรอก ” ผมตอบ


“ทำไม - - จะสงวนตัวไปดูกะไอ้กอร์ฟใช่ม่ะละ” มันเหน็บ


“- - ใช่ซี่ มันทั้งขาว ตี๋ ดูดี มีชาติตระกูล สเป็คเกย์อย่างมึงเลยนี่”


ผมพยักหน้าประชดที่มันพูด


“ช่าย” ผมบอกแล้วก็หันไปหามัน


“ไม่เหมือนมึงหรอก ทั้งดำ หน้าด้าน สันดานเถื่อน ”


“สัด กูดำซะที่ไหนล่ะ ผิวสีแทนโว้ย สีแทน” มันว่าพลางยกแขนมาบังหน้าผม จนเกือบขับ
รถไปชนคันข้างๆ


“โอ้ย - - ไอ้ห่านี่ เล่นเหี้ยไรเนี่ย ” ผมด่าแล้วรีบปัดแขนมันให้ห่าง


“เพี้ยง ... พรุ่งนี้กูขอให้ฝนตก จะได้ไปไหนไม่ได้” มันว่าพลางยกมือไหว้ไปบนท้องฟ้า

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

วันรุ่งขึ้น ผมรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเสร็จ ก็ออกจากหอประมาณสิบโมงเห็นจะได้
เพราะว่าไม่อยากเอารถออกครับ ไปสยามหาที่จอดรถยาก แถมรถติดอีกตะหาก


ปี้บ ๆ ๆ<-------------- เสียงประตูรถไฟฟ้า


– สยาม –


ผมมาถึงสถานีสยามประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า ก็ลงมาเดินดูเสื้อผ้าไปพลาง หาขนมกินไปพลาง เพราะว่า
นัดกันไว้ตอนเที่ยงตรง สุดท้ายก็มานั่งรอที่แม็คสยาม โดยสั่งแค่โฟทสไปร์แค่อย่างเดียว (ม่ะชอบกินแฮม
เบอร์เกอร์)


ตี้ดดด ตี้ดดดดด ตี้ดดดดด


“ฮัล - - ”


“มึงอยู่ไหนเนี่ย” เสียงไอ้นิคแว่วมาตามสาย


“สยาม”


“แก่แล้วนะมึง ยังไปที่วัยรุ่นเค้าเดินกันอีกเหรอ”


“แหมถ้ากูแก่นะ มึงก็พ่อกูแระ” ผมชักฉุน “ - - เออ นิค แค่นี้ก่อนนะ มาแระ”


“ใครมาวะ”


“เด็กกู ” ผมตอบ


“เฮ้ย - -” มันยังไม่ทันพูดไร ผมก็ตัดสายมันไปก่อน เพราะตอนนี้เบื้องหน้า เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง
มายืนเกาหัวรออยู่แล้ว


“อ้าว ยืนทำไรอ่ะ นั่งดิโค้ก” ผมบอกพลางขำในท่าทางของมันพลอยทำให้ตัวเองเก้อเขินไปด้วย
ไม่ได้เจอมันประมาณเกือบห้าเดือน ดูมันเปลี่ยนไปนิดๆ จากที่ผิวมันดูคล้ำเพราะเล่นบาส
ตอนนี้ดูมันขาวขึ้นจมเลย


“ห่ะ ห่ะ ”


“ขำไร” ผมถาม เพราะเห็นมันนั่งอมยิ้ม มองแปลกๆ


“ไม่ค่อยคุ้นไง เดี๋ยวนี้ไว้ผมซะเท่ห์เลยนะ” มันแซว


“มันเป็นอาไรที่แน่นอนอยู่แล้วน้องอ ผมพูดพลางเสยหัวทำหล่อ


“- - ไอ้บ้า มาชมอาไรวะ”


ผมทำท่าจะลุกไปโบกหัวมัน


“แล้วเป็นไง เรียนพิเศษ ? ”


“ก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง” มันพูดหน้าตาเฉย แล้วก็หยิบโฟร์ทผมไปดูด


“นี่เมิงอย่ามาโง่บริโภค” ผมรีบคว้ากลับคืนมา มันก็หมดซะแล้ว


“555 เดี๋ยวผมไปซื้อให้ใหม่” มันพูดพลางทำท่าจะลุกไป แต่ผมห้ามมันไว้ก่อน


“เฮ้ย ไม่เป็นไร พูดเล่น - - ไปหาข้าวกินดีกว่า” ผมว่าพลางชวนมันเดินข้ามฝั่ง
ไปกินเอ็มเคกัน


“โหย มาตั้งกรุงเทพ เลี้ยงเอ็มเค” มันบ่นกระปอดประแปด ทั้งๆที่พนักงานเสิร์ฟ
ของกินมาแทบเต็มโต๊ะแระ


“ว่าแต่เลิกเล่นบาสมานี่ ขาวขึ้นเยอะเลยนะ” ผมบอก


“ม่ะใช่แค่ขาวนะ ซีดเลย” มันว่า พลางตอกไข่ใส่หม้อ “- - ดีนะ ที่โรงเรียนมีเวทให้เล่นบ้าง
ม่ะงั้น ได้ย้วยกันมั่งแหละ”


“อาไรย้วยวะ ” ผมแซว


“ก็ย้วยหมดหล่ะ 55”


“ว่าแต่จะเอนฯ รอบแรกแล้วนี่หว่า พร้อมยังอะ ”


“จะว่าพร้อมก็พร้อม จะว่าไม่ก็ไม่”


“เด๋วนี้เล่นลิ้นนะมึง”


มันหัวเราะแฮะๆ แล้วก็โยนผักลงไปในหม้อ


“เฮ้ย ! อย่าใส่ผักชีลงไปด้วยนะ มานเหม็น กรุไม่ชอบ”


“รู้แล้ว พูดเหมือนพึ่งรู้จักกันเมื่อวาน” มันว่า แล้วก็ชี้ให้เห็นว่า มันไม่ได้ใส่ลงไป


ตี้ดดด ตี้ดดดดด ตี้ดดดดด


“ฮัล - -”


“อยู่ไหน ? ” ไอ้นิคถามเสียงกวนประสาท


“เอ็มเค - - ว่าแต่มึงจะโทรมาหากูทำไมอยู่ได้เนี่ย ? ”


“กูอยากโทรมาขัดใจคนหว่ะ ”


“ขัดใจห่าไร กูอยู่กับเพื่อน สัด”


“เหรอจ๊ะ ”


“แค่นี้ก่อนนะกูแดกอยู่ - - แล้วถ้ามึงยังโทรมาไร้สาระอีก วันจันทร์กูจะเอาน้ำเอ็มเคไปราดหน้ามึง ”
ผมว่าพลางวางสายไป หันไปมองเห็นไอ้โค้กทำหน้าเจือนๆ


“แฟนโทรมาเหรอพี่ ” มันถาม


“เฮ้ย แฟนที่ไหน เพื่อน ” ผมว่า พลางคีบเป็ดย่างใส่ปาก
“- - แฟนไม่คิดมีแล้ว ”


ผมแอบพึมพำเบาๆ


“อะไรนะคับ”


“แดกไปอย่าพูดมาก ” ผมว่าพลางคีบเป็ดใส่จานมันไปแถบหนึ่ง ดูมันทำท่าทางพออกพอใจ
อยู่พอสมควร


พอกินเสร็จปั๊บ ไอ้โค้กก็ชวนข้ามไปเดินดูของที่สยามดิสฯต่อ มึงจะพากูเดินข้ามไปข้ามมาทำ
ไรวะ ปกติผมม่ะค่อยเดินที่นี่เท่าไร เพราะดูมันหรูหราเกินสถานะที่กระเป๋าผมจะบรรจุเงินซื้อ
ของที่นี่ได้


“มาดูไรวะ” ผมถาม แต่มันก็ไม่ตอบ ให้ผมเดินตามมันต้อยๆไปซะงั้น ผมเหลือบมองที่ขาข้างที่มัน
เคยเจ็บอยู่ ตอนนี้มันไม่กระเผลกแล้วครับ ดูภายนอกไม่รู้เลยว่ามันประสบอุบัติเหตุถึงขั้น วิ่งหรือว่า
ออกกำลงกายหนักๆไม่ได้


ผมมองดูขามันเพลิน จนมันหยุดทำเอาเกือบชนตัวมันแหน่ะ


โค้กเดินมาหยุดที่หน้าร้าน คับ ซึ่งปกติถ้าผมได้มีโอกาสเดินที่นี่ ร้านนี้ผมก็จะผ่านไปเลย ไม่สนใจ
ไรมากมาย


ผมเห็นมันเดินเข้าไปในร้าน music collection แล้วก็มองของในร้านเรื่อยๆ แล้วมันก็เดินมาหยุดที่หน้า
กีต้าร์ไฟฟ้าตัวนึง


“เล่นด้วยเหรอเมิง” ผมถาม


มันพยักหน้า


“ไม่เห็นรู้เลย”


“พี่พูดเหมือนมาอยู่กับผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” มันพูดพลางยิ้ม
“- - ว่างๆ ไปที่โรงเรียนมั่งดิ แล้วเดี๋ยวจะเล่นให้ดู ”


“แหม เลิกเล่นกีฬา ก็หันมาเล่นดนตรีเชียวนะมึง แบบนี้สาวไม่กรี้ดสลบเหรอ” ผมว่าพลางถองที่สีข้างมันเบาๆ


“จะเหลือเหรอ” มันพูดพลางหัวเราะ


“เออใช่ วันเกิดโรงเรียนน่ะ เค้าประกวดโฟร์คซองด้วย ถ้ามาได้ก็มาดิ” มันคะยั้นคะยอ


“ประกวดกะเค้าด้วยเหรอมึง” ผมถาม “- - เล่นกีต้าร์อย่างเดียวเนี่ยนะ”


“เป็นวงเด๊ะเพ่ เป็นวง ผมน่ะเล่นกีต้าร์ ไอ้ต้าร์ร้องนำ ” มันว่า


“ต้าร์ไหนอีกวะ ” ผมงง


“ก็ไอ้ที่มันเป็นลีดสีเขียวปีที่แล้วไง จำไม่ได้เหรอ”


“เหอะไม่ได้ - - เออ ถ้าว่างจาไปแล้วกัน ”


“เฮ้ย ไปจิงดิ”


“เอ้า งั้นกรุไม่ไปแระ”


“ทำเป็นงอน” มันว่าพลางขำ ท่าจะว่าไป วันเกิดโรงเรียนก็ตั้งปลายธันวาโน่น ผมคงจะกลับบ้านพอดี
ล่ะมั้ง แล้วก็อยากไปเยี่ยมอาจารย์ด้วย แล้วเพื่อนๆในห้องก็คงมากัน ผมคิดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงบรรยากาศ
เก่าๆตอนสมัยเรียน ม. ปลาย


เราเดินกันพักใหญ่ จนผมเริ่มเมื่อยแล้ว เพราะว่าเดินเรื่อยมาจนถึงหน้าเวิร์ดเทรด ดีนะที่อากาศวันนี้ถึงฝนไม่
ตก แต่แดดก็ไม่ออกคับ ครึมๆเฉยๆ ผมกะมันหาที่นั่งว่างแถวหน้าห้าง ไอ้โค้กมันก็หยิบการบ้านที่เรียนพิเศษ
วันนี้ออกมาให้ผมช่วยอธิบายให้หน่อย


ผมก็อธิบายไปแบบงูๆปลาๆ อะไรที่เข้าใจก็สอนมันไป ว่าแต่ไอ้โค้กมันออกจะหัวดี ทำไมให้คนโง่ๆ
อย่างผมมาสอนวะ


“ถูกกกกชัวว์” มันว่า


“ผิดดดดดด” ผมตบหัวมันไปที


“เฮ้ย ผิดได้ไงวะ” มันว่าพลางคว้าโจทย์กลับไปดู


“งั้นก็อันนี้” มันชี้ข้อที่คิดว่าใช่


“ถูกกกกก”


“ผิดดดดด ”ผมบอกมันอีกที แต่คราวนี้บ้องหัวไปสองที


“ไรว้า นี่ข้อง่ายๆแบบนี้ยังผิดอีก แกล้งโง่เป่าเนี่ย ไอ้โค้ก” ผมมองมันยังคลางแคลงใจ


มันยิ้มเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไร้เดียวสา ตาแป๋วๆของมันก็ยังคงดูดีไม่มีเปลี่ยน เฮ้อ ..
เห็นแล้วอดดีใจคนที่จะได้มันเป็นแฟนไม่ได้ คงจะเป็นคนที่โชคดีน่าดู


“ว่าแต่ที่เคยบอกว่าไปแอบชอบใครเข้าอ่ะ ได้ไปบอกชอบเค้ายังวะ - -” ผมหันไปถาม


“- - คราวก่อนที่เคยบอกว่า ยังไม่ทันได้บอก ก็คิดว่าแห้วม่ะใช่เหรอ ? ”


มันหัวเราะ


“คงไม่บอกแล้วมั้งพี่ ”


“เหรอ ”


“อืม”


ผมกะมันนั่งต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านล่วงเลยไป พร้อมกับลมเย็นๆที่พัดโกรกอยู่
ตลอดเวลา จนเกือบพลบค่ำ ก็เริ่มเห็นมีแม่ค้าหอบเอาดอกไม้เยอะแยะมาตั้งเตรียมวางแผง
ขายตามฟุตบาท


“จำได้ป่ะโค้ก ปีที่แล้วมาไหว้พระตรีมูรติกันที่นี่อ่ะ”


“ได้ดิ”


“........................”


“........................”


“พี่ปริ้น”


“หื้อ”


“ไม่มีไร ”


“........................”


“........................”


“จากลับยังล่ะ เด๋วก็กลับเพชรฯมืดหรอก” ผมว่า พลางชวนมันจะกลับ มันลังเลแป็บนึงก่อนจะ
เดินตามผมมารอรถเมล์ที่ป้าย รออยู่ซักพักรถก็ยังไม่มาซะที จนมีเด็กผู้หญิงคนนึงเดินเตาะแตะ
มาใกล้ๆ


“พี่คะ ช่วยซื้อดอกไม้หนูหน่อย” เด็กคนนั้นมายืนคลอเคลียอยู่ข้างๆ จนผมจนอ่อนซื้อมาสองดอก
เห็นเด็กคนนั้นยิ้มแก้มปริ แล้วก็เดินชวนคนโน่นคนนี้ให้ซื้อไปตลอดทาง


“เอาม่ะ ให้ดอกนึง” ผมว่าพลางยื่นให้มัน


“ขอบคุณคับ ” มันว่า


“อุตสาห์เลือกดอกที่สวยสุดๆให้แล้วนะเนี่ย ทำหน้าดีใจหน่อยเด๊ะ ” ผมแซว มันก็ยิ้มๆแล้วก็ยก
ขึ้นไปดม แล้วก็ทำหน้าปลงๆ


“มันก็สวยดีนะ” มันบอก


“- - แต่มันก็คงไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับต้นมันหรอกคับ ถึงเราจะตัดมันมา แล้วใส่แจกัน
ที่ดูดีมีราคาแค่ไหน มันก็คงอยู่กับเราไม่ได้นานหรอกพี่”


โค้กพูดขึ้นแล้วก็ยื่นดอกที่ผมให้คืนกลับมา แล้วก็เอาอีกดอกสลับไปแทน


“ผมเอาดอกที่ไม่สวยนี่ไปล่ะกันคับ ขอบคุณนะพี่ปริ้น” มันว่าพลางยิ้มให้


ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตัก ทั้งๆที่ฤดูฝนที่แสนเปียกปอนยังไม่ผ่านพ้น ทั้งๆที่ลมหนาว
ยังไม่เคลื่อนผ่านมาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่า ฤดูร้อนที่แสนกระปรี้กระเปร่า ได้พัดผ่านเข้ามาในหัวใจชะแว้บนึง
ซะอย่างงั้น


.

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:42:03
.

“ว้อย ๆ ๆ ๆ ร้อนชิบหาย นี่หน้าหนาวแล้วแน่เหรอวะเนี่ย” เสียงไอ้นิคบ่นหลังจากเปิดประตู
เข้ามานั่งในรถผมตามฟอร์มเดิมของมันที่ทำอยู่ทุกวัน

“เน่ ... ที่นี่มันกรุงเทพนะมึง ม่ะใช่ลำปางบ้านมึง - -” ผมบอกก่อนจะสตาร์ตรถออกจากมหาลัย
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอม 2 ในรั้วพ่อขุนแห่งนี้ ดูเหมือนว่าวิชาที่ลงเรียนไปใน
เทอมแรกเกรดที่ออกมาของผมค่อนข้างจะปานกลางซะส่วนมาก (p p p แล้วก็ p ) มีได้เกรด
g มาแค่ตัวเดียวคือวิชาห้องสมุด -_-‘’

“- - นี่ก็พึ่งพฤศจิกาเอง ถ้าจะหนาวโน่น ธันวา” ผมว่า

“โห แถวบ้านกูป่านนี้เค้าเริ่มหนาวกันแระ มันว่า - - เฮ้ย แล้วนี่จะไปลอยกระทงที่ไหนวะ ? ”

ผมหันไปมองหน้ามัน

“นี่พึ่งต้นเดือนเองนะมึง หาเรื่องเที่ยวยัน”

“ปริ้น มึงก็แปลกคนนะ วันๆ กูม่ะเห็นมึงจะไปเที่ยวไหนกะเพื่อนฝูงบ้างเลย”

“ก็ที่พวกมึงไปมีแต่พวกเธค ผับ กูม่ะชอบนี่นา”

“ไม่ลองไปแล้วจะรู้ได้ไงวะ” มันพูดเหมือนจะชวนเป็นรอบที่ล้านแปด

“มึงคิดดู เข้าไปก็มีแต่ควันบุหรี่ เหล้ากูก็ม่ะกิน เต้นกูก็ไม่เต้น แล้วจะให้เข้าไปทำแบ้วอะไร”

ไอ้นิคเกาหัวแกรกๆ

“เออวะ - - แหม ไอ้ลูกคุณหนู” มันไม่พูดเปล่า เอามือมาผลักหัวอีก ช่างไม่กลัวผมขับรถไปชน
คนอื่นเค้าเลยซิ

“ไปภูเขาทองดิ ”

“ไปทำไมภูเขาทอง” มันหันมาถาม

“อ้าว ก็เมื่อกี้ยังถามว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน” ผมท้วง

“ทีหลังพูดก็ให้มันต่อกันหน่อย พูดจบไปชาติหนึ่งแล้ว ใครจะไปเข้าใจมึ้งงง”

“เอาน่า ก็เข้าใจแล้วไง - - ว่าแต่มึงจะไปเป่า ”

“ไปดิ”

“ก็แค่นั้น ”

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

อีกประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมาไวเหมือนตอแหล (มุกเก่า) ถ้าจำไม่ผิดวันลอยกระทงมันดันตรงกับ
วันศุกร์พอดีครับ เลยทำให้รู้สึกว่าสามารถแรด เอ้ย เที่ยวได้นานหน่อย

“แล้วตกลงว่าจะไปเจอกันที่ไหน” โบเพื่อนในกลุ่มพูดสรุปหลังจากถกเถียงกันพอเป็นพิธีกับอีกแค่เรื่อง
จะไปลอยกระทงกันแค่นี้

“ก็เจอกันที่ภูเขาทองไง ” ไอ้กอร์ฟบอก

“ป้าาาา มึงดิ - - จะเจอกันมั้ยนั่น ภูเขาทองวันนี้คนล้านแปด” ผมว่ามัน

“งั้นเจอกันหน้าประตูวัดพระแก้วแล้วกัน” กิ๊ฟเสนอ

“โห วัดพระแก้วกับภูเขาทอง ใกล้กันมากเลยนะเจ๊” ผมว่าอีก

“งั้นก็ที่หน้าธรรมศาสตร์ล่ะกัน” โบบอก

ผมหันหน้าไปหามัน

“ไม่ได้ช่วยให้ระยะทางมันใกล้กว่ากันเล้ยยย”

“แล้วมึงจะไปที่ไหนวะ” เสียงเพื่อนทั้ง 3 ผสานเสียง(ด่า)มาอย่างพร้อมเพรียง

“เออๆๆ หน้าธรรมศาสตร์ก็ได้ หกโมงนะ ” ผมบอกเสียงอ่อย

ตามแผนการที่วางไว้คือมาเจอกันที่หน้าม.ธ. แล้วก็เดินเรื่อยๆจนลอยกระทงแถวๆท่าพระจันทร์ ไม่ก็
ท่าพระอาทิตย์ ไม่ก็ท่าช้างคับ (มีหลายตัวเลือกมากมาย) จากนั้นก็จะเดินให้ขาลากขึ้นไปไหว้พระบน
ภูเขาทองกันก็เป็นอันจบทริป

“ไอ้นิคมันจะไปด้วยนะ” ผมบอกพวกก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไปก่อน

ตี้ดด ตี้ดดด ตี้ดดดดด

“ฮัลโหล”

“เออ ไมวันนี้ไม่มาเรียนวะ” ผมถามไอ้นิค

“ทำไมเหรอ คิดถึงกูอะดิ”

“งั้นกูวางแล้วนะ ” ผมทำเสียงเซ็งกะมัน

“เออๆๆ ก็กูจะเตรียมตัวไปลอยกระทงคืนนี้อะดิ” มันพูดหน้าด้านๆ

“นะ คนเรามันจะอยากโดดเรียนก็เอาเรื่องเที่ยวมาอ้าง - - เออ เรื่องของมึง”

“แล้วมึงตกลงได้ยังว่าจะไปลอยกะกูที่ไหน ”

“ก็ไปแถวท่าพระจันทร์ ภูเขาทองล่ะ ” เลยโทรมาถามว่ามึงจะไปด้วยเป่า

“ไปเด๊ะ ”

“งั้นหกโมงเจอกันหน้ามธ นะ”

“อ้าว มึงไม่เอารถไปง่ะ”

“กูจะจอดที่ไหนล่ะ ไอ้ฟาย แถมรถติดอีก ผมด่ามัน - - เออ แล้วไปถูกเป่า
ธรรมศาสตร์”

“สาดดด กูไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้น”

“เออ ว่าแต่ท่าพระจันทร์นะ ไม่ใช่ รังสิต ” ผมอยากอำมันต่อ

“เหี้ย - - ”

ผมได้ยินแค่นั้นก็รีบวางหูไปก่อนจะโดนมันด่าไปมากกว่านี้ เหอๆ

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

ก็ดีแล้วที่วันนี้ไอ้นิคไม่ได้มามหาลัย ทำให้ผมไม่ต้องไปส่งมันที่บ้านก่อน พอกลับมาถึงหอ
พี่ท็อปก็ชวนอีกคน

“ไม่อ่ะพี่ ผมไปกะเพื่อนดีกว่า” ผมบอกปัดพี่ท็อปไป เพราะไม่อยากไปเป็นกขค. แกกะแฟน
เด๋วนี้พี่แกมีแฟนแล้วค๊าบ เจ๋งม่ะ


ตี้ดด ตี้ดดด ตี้ดดดดด (ครายโทรมาวะ)

“ฮัลโหล”

“โหลสองโหล”

“โห ใครวะ” ผมบ่นไปทางโทรสับ

“มึงจำกรุไม่ได้เหรอเนี่ย”

- ใครวะเสียงคุ้นๆ - ผมคิด

“คราย”

“ก้อ อดีตสามีมึงงะ - - - โอ้ย” เสียงปลายสายดูเหมือนจะโดนประทุษร้ายอะไรซักอย่าง

“ปริ้น ” เสียงมาเป็นอีกคนนึงที่คราวนี้ผมจำได้แม่น

“เอ้ย ซังเหรอ - - งั้นม่ะกี้ก็ไอ้เหี้ยคิวอะดิ มิน่าเสียงคุ้นๆ”

“เออดิ เป็นไง เปลี่ยนเบอร์โทรแล้วไม่บอกเพื่อนฝูงเลยนะเว้ย ”

“โทดทีๆ พอดียุ่งๆอ่ะ ” ผมแก้ตัว

“ยุ่งเรื่องเรียนหรือเรื่องรักวะ ” เสียงไอ้คิวตะโกนสอดแทรกมาเป็นระยะๆ

“ฝากตบหัวมันทีสองทีดิวะ” ผมว่า

“555 มาตบมันเองเลยดีกว่า”

“แล้วนี่เอาเบอร์มาจากไหนอ่ะ”

“โทรไปถามแม่ปริ้นอะแหละ - - เออว่าแต่ โทรมาชวนไปลอยกระทงกัน ไปเปล่า
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“เฮ้ย ถามเจง” ผมทำเสียงร่าเริง จะว่าไปผมก็ทำตัวห่างเหินจากมันสองคนไปนานพอ
สมควรเลยทีเดียว ไม่ได้เจอกันมาเกือบห้าเดือนได้ยังวะ

“เออ แต่ปริ้นนัดกะเพื่อนแล้วดิ”

“นัดที่ไหนกันล่ะ? ”

“แถวภูเขาทองอ่ะ - - ซังล่ะ”

“ยังไม่รู้ไปไหนเลยหว่ะ แต่ไปที่โน่นด้วยก็ได้ จะได้เจอกัน” ซังว่า

“จิงดิ เออ ไปดิไปดิ เรานัดกับเพื่อนไว้ตอนหกโมงอ่ะ หน้ามธ.”

“เอางี้ ถ้าไปถึงแล้วโทรหาแล้วกัน”

“เออ ก็ได้ แต่ไม่รู้จะโทรยากเป่านา คนเยอะมหาศาล

“ได้อยู่แล้ว ยังไงเด๋วเจอกันล่ะกันปริ้น” ไอ้ซังบอกแล้วก็วางสายไป

ไม่รู้ว่าหลายๆคนเป็นเหมือนกับผมหรือเปล่านะคับ ว่าเวลาที่เราไม่ได้เจอเพื่อนเก่า
นานๆเนี่ย พอถึงเวลาต้องไปเจอกันแล้ว บางทีมันรู้สึกประหม่ายังไงชอบกล ความ
รู้สึกเหมือนกับว่า เพื่อนเรามันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนวะ ? หรือเพื่อนมันจะเห็น
ว่าเราเปลี่ยนไปมั้ย ? อะไรทำนองนี้แหละ แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็รู้สึกดีใจจริงๆ
ที่จะได้ไปเจอเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างไอ้ซัง (ไอ้คิวเฉยๆ อิอิ)

- 6 โมงเย็น -

ตี้ดดด ตี้ดดดด ตี้ดดดดด

โห .. ตรงเวลาโคดพ่อ

“ฮัลโหล ว่าไงโบ”

“ว่าไงไรยะ นี่หกโมงแล้ว อยู่ไหนเนี่ย” เสียงโบมันตามจิกคับ

“เหะๆ ยังอยู่บนรถอยู่เลยอ่ะ รถโคตรติด ” ซึ่งก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

“แล้วมากันครบแล้วเหรอ ? ”

“ก็กิ๊ฟ กะกอร์ฟมาแล้วล่ะ เหลือแกกะนิคสองคน”

“เอ้า เจง - -” ผมทำเสียงเหมือนเกรงใจ “- - เอางี้ล่ะกาน ก็เดินกันไปเรื่อยๆก่อน แล้วพอถึงแล้ว
เราโทรหาอีกที”

“เอางั้นเหรอ อือๆ แล้วนิคล่ะ ? ”

“ช่างมันเหอะ” ผมบอก

“อ้าว - - ”

“หมายถึงว่า ถ้ามันไปแล้วไม่เจอใคร เด๋วมันก็โทรมาหาปริ้นเองล่ะ อีกอย่างนะอีกนาน
กว่ามันจะมาถึงแน่ๆ”

“อือ งั้นถ้ามาถึงแล้วก็โทรมาล่ะกัน เดี๋ยวเดินไปเรื่อยๆก่อนนะ” โบบอกแล้วก็วางสายไป


- ทุ่มสิบห้านาที -

ผมเดินลงจากรถเมล์สาย 70 หน้ามธ. หันรีหันขวางอยู่ซักพักนึง เห็นว่าไอ้นิคยังไม่มาแน่ๆ

ตี้ดดด ตี้ดดดด ตี้ดดดดด

“ฮัล - -”

“มึงอยู่ไหนเนี่ยยยย” ผมทำทีโทรจิกมัน

“เออ .. อยู่บนรถเมล์อยู่เลย รถติดโคตร ” มันบอก รู้สึกเหตุผลคุ้นๆ นิ

“ไรมึงเนี่ย กูมารอตั้งนานแล้วนะ” (ตอแหล)

“เออ รออีกหน่อยนะ” มันทำเสียงอ้อนวอน

“แล้วอีกนานมั้ยล่ะ”

“อีกพักนึง”

“เออ มึงรีบบอกคนขับให้เหยียบให้มิดเลยนะ” ผมทำเป็นสั่งมัน

“พ่อมึง - - เดี๋ยวกระเป๋าก็เอาบ้องเก็บเงินทุบกบาลแยก”

“เร็วๆนะเว้ย”

“เออ ... ”

ตั้บบบบ

มีมือปริศนามาตบเบาๆที่หัวไหล่ข้างนึงทำเอาผมสะดุ้ง คงไม่ใช่ไอ้นิคมาแกล้ง
อำผมหรอกนะ

“เอ้า เหี้ย” ผมสบถออกไปเบาๆเมื่อเห็นว่าคนที่ตบไหล่เป็นใคร

“อ้าว ด่ากันซะงั้น” ซังบ่นยิ้มๆ

“มานานแล้วเหรอ - - แล้วไอ้คิวอ่ะ”

“เดินไปซื้อลูกชิ้นอยู่โน่น เดี๋ยวมา” ซังบอก

ผมสังเกตดูไอ้ซังมันดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน(ในทางที่ดี) เมื่อก่อนมันตัดสกินเฮด
แต่ตอนนี้ผมมันยาวขึ้นกว่าเดิม ทำให้รับกับหน้าขาวๆใส่เหล็กดัดฟันมันมากกว่าเดิม

“หล่อขึ้นนะเนี่ย” ผมแซว ไอ้ซังทำหน้าอายๆ

“เฮ้ยๆ นั่นมาแซวไรเพื่อนกรุฟ่ะ” เสียงกวนตีนดังมาแต่ไกล เจ้าตัวถือถุงไส้กรอกถุงใหญ่
เดินจิ้มมาตลอดทาง

“ปากเด เนี่ยเพื่อนกู” ผมว่าพลางทำท่าแกล้งโอบกอดซัง ซึ่งมันก็ทำเป็นเล่นด้วย

“เล่นไรกันเด๋วก็ฟ้าผ่าหน้าหนาวหรอก” มันว่าพลางจิ้มลูกชิ้นใส่ปากทำเป็นไม่สนใจ
แต่ผมว่าสายตามันดูหวงไอ้ซังนะเนี่ย ถ้าไม่ใช่เป็นผม ไอ้คนที่มากอดซังแบบนี้คงโดน
อัดไปกองกะพื้นแล้วมั้ง

“ไรวะไอ้คิว ไม่หวงแฟนมั่งไง ” ผมว่าไอ้คิวไปบ้าง

ไอ้คิวยิ้ม

“หวงทำไมวะ - - ดีซะอีก เมียหลวงกะเมียน้อยปรองดองกัน กรุจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ดูมันพูดเด๊ะ

“เชี่ย ใครเป็นเมียมึง ซังรีบพูด - - มึงอ่า เมียกู ไอ้คิว”

ดูเหมือนไอ้คิวตกใจเล็กน้อยที่ซังมันพูดซะดัง จนทำท่าจุ๊ปาก ผมเห็นแล้วอดขำไม่ได้

“เออ เน่ๆ พวกเมิงเก็บเรื่องผัวๆเมียๆไว้ก่อนได้ม่ะ นานๆได้เจอกันที ” ผมพูดตัดบทขำๆ
ความทรงจำสมัยเรียนม. ปลาย มันผุดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยซะอย่างงั้น นานแล้วเหมือน
กันนะเนี่ย ที่ผมไม่ได้มาเที่ยวไรกะพวกมันแบบนี้

“ไปกันได้ยัง” คิวบอก ลูกชิ้นมันแทบจะหมดถุงอยู่แล้ว

“เด๋ว รอเพื่อนก่อนแป็บ” ผมว่า พลางมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่เห็นหัวไอ้นิคเล - -

ผมพูดยังไม่ทันจะขาดคำไอ้นิคก็โทรศัพท์เข้ามา

“เออ ก็อยู่ที่ป้ายรถเมล์ไง มึงข้ามฝั่งมาดิ ” มันคงไม่เห็นผมเพราะว่าไอ้คิวกะซังยืนบังอยู่

“มาสายนะมึง ทีหลังก็หัดออกจากบ้านเร็วๆหน่อยเด๊ะ เรียนก็ไม่ไปเรียน” ผมเริ่มต้นเทศนามัน
คราวนี้มันไม่เถียงกลับเหมือนทุกทีครับ เพราะว่าอยู่ต่อหน้าคนที่มันไม่รู้จัก

ไอ้นิคหันไปมองเพื่อนผมสองคนแปลกๆ

“เออ นี่ซัง” ผมชี้ไปที่ซัง

“แล้วก็เหี้ยนี่ ไอ้คิว” ผมกระดิกตีนแทบมือ

“ไอ้ปริ้น เด๋วเมิงใช้ไรชี้กรุนะ” ไอ้คิวโวยวาย แล้วก็หันไปมองนิคด้วยสายตากวนๆของมันเหมือนเดิม

“ดี ”ไอ้คิวทักแบบหยาบๆ

“อืม..”

“หวัดดีคับ ” ซังพูดดีกะมันทำมาย

“ครับ หวัดดี ”

ผมยืนอึ้งไปสองวิฯ เพราะว่าได้ยินไอ้นิคพูดดีกับเค้าก็เป็น

“นิคครับ”

“ไปกันได้ยัง” เสียงไอ้คิวพูดขึ้นมาลอยๆ แบบไม่สบอารมณ์ ไอ้นิคเหลือบไปมองแว่บนึง
เห็นมันจะเขม่นกันทำมายยย

“เออ ไปเหอะ เด๋วคนเยอะกว่านี้” ผมพูดแล้วก็รีบดันหลังให้ไอ้นิคเดินนำหน้าไปก่อน มีซัง
กะไอ้คิวเดินตามมาทีหลัง ให้ไอ้นิคกะไอ้คิวอยู่ห่างกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ถึงนิคมันจะดู
ท่าทางเถื่อนก็เถอะ แต่แค่ท่าทางของมันสู้ตัวตนที่เถื่อนแท้จริงของไอ้คิวไม่ได้หรอกครับ

เกิดมีไรขึ้นมา ไอ้นิคแพ้ราบคาบ

“เพื่อนเหรอ ? ” มันหันมาถาม

“แฟนกูม้าง ... ” ผมบอก

“เฮ้ย จิงดิ สองคนเลยเหรอวะ ไอ้เกย์นี่ ร้ายนะ”

“ห่า กูประชด”

“เป็นเพื่อนมึง งี้ก็เป็นเกย์กันทั้งคู่เลยดิวะ ” มันยังพล่ามไม่เลิก

“กูจะคบคนไม่เป็นเกย์มั่งไม่ได้เหรอไง - - แล้วมึงไม่ต้องเสือกเรื่องชาวบ้าน มาลอยกระทงก็มาลอย”
ผมบอกมันอย่างหงุดหงิด รู้งี้ไม่น่าชวนมันมาด้วยแต่แรกเลย

เราสี่คนเดินเรื่อยมาจนถึงท่าพระจันทร์ ดูลู่ทางแล้วไม่น่าจะสามารถหาที่ลอยได้แน่ๆ เลยเดิน
เลยมาจนถึงท่าช้าง ตลอดสองข้างทางที่เดินมีของขายมากมาย ทำให้สนุกไปอีกแบบ ผู้คนมากหน้า
หลายตาเดินกันจนเต็มถนน

“ปริ้นไปลอยบนเรือข้ามฟากดีกว่า” ซังบอก เมื่อเห็นว่ามีบริการนั่งเรือข้ามฟาก แล้วพอถึงกลางแม่น้ำ
เจ้าพระยา เค้าก็จะหยุดรอให้เราได้ลอยกระทงกัน ผมสี่คนเลือกซื้อกระทงแถวๆมาได้คนล่ะอัน
(ผมกะไอ้นิคคนล่ะอัน ซังกะไอ้คิวอันเดียวกัน -*- ) ก็จัดแจงเสียเงินค่าขึ้นเรือไปลอยกันห้าสิบบาท
(ปกติข้ามฟาก 2 บาท แพงโคด) พอมาถึงตาพวกผมก็พากันขึ้นเรือ พอออกจากท่าปุ๊บ ลมเย็นก็พัด
เข้ามาปะทะตัวทำให้รู้สึกเย็นสบายบอกไม่ถูก

“คิวมึงถือกระทงไว้ เดี๋ยวกูจุดเทียนให้ ” ซังพูดจบ ไอ้คิวก็เดินถือกระทงเอาเทียนมาจ่อที่ไฟแช็คในมือ
ซัง

“ร้อนเปล่า” ไอ้คิวกระซิบ แต่ผมดันสะเออะได้ยิน เห็นไอ้ซังส่ายหน้า โห มันมาหวานอะไรกันนะ เด๋วกู
ผลักตกน้ำ.. ในขณะที่ผมอิจฉาริษยาเพื่อนข้างๆอยู่ ไอ้นิคมันก็ถือกระทงมาหา

“ไร ? ”

“จุดเทียนให้หน่อย ” มันพูดแล้วก็ทำพยักเพยิดให้ผมดูที่ซังทำให้คิว

“ไม่มีไฟแช็ค” ผมบอก แหม มึงเป็นใครมาให้กูจุดให้เนี่ย !? ทำเองเห้อะ

“เอ้านี่” ดูเหมือนซังมันจะได้ยินเสียง ก็เลยโยนไฟแช็คให้ผมซะงั้น

“ขอบคุณค๊าบ ”ไอ้นิคหันไปบอกขอบคุณ ไอ้ซังยิ้มตอบแล้วก็เดินไปดูไอ้คิวลอยกระทงอีกฟากนึง

“เอาจุดเร็วๆดิ มีไฟแล้วนิ”

“เออๆ ทำเป็นสั่ง” ผมว่าพลางกดไฟ

แชะ !!

แชะ ... !!!!

- ไมติดยากจังวะ - ผมคิด พลางเลื่อนสวิตจนสุด

แชะ ...... เออ ติดแระ แต่แม่งเผามือกู

“เอาเทียนมึงมาจ่อเร็วๆ ร้อน” ผมว่า ไอ้นิคก็รีบเอาเทียนมาจ่อ ซักพักก็ติด มือผมก็แทบพอง
ผมเห็นไอ้นิคทำท่าจะเดินไปลอยทางเดียวกะที่ไอ้คิวไป ก็เลยสกัดให้มันไปลอยอีกทาง แม่ม..
คนเค้าจะจู๋จี๋กัน จะไปขัดฟามสุขเค้าซะแหล่ว ไอ้นิคก็เลยเดินบ่นอารมณ์เสียไปอีกทางนึง
ผมมองดูรอบๆ ส่วนใหญ่เค้ามากันเป็นคู่กันแฮะ น่าอิจฉาชะมัด แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คู่
เพื่อนรักของผม

- เหอะๆ ไม่แคร์คนรอบข้างเลยนะมึง - ผมคิด ถึงแม้ดูไอ้คิวกะซังมันจะหาเรื่องกัดกันได้
ตลอดเวลาก็เหอะ แต่เวลามันหวานกันแล้วเนี่ย มันก็ไม่สนใจคนรอบข้างอยู่เหมือนกัน
ไอ้คิวค่อยๆโยนกระทงลงน้ำไป แสงเทียนกับควันธูปที่ลอยฟุ้งไปมา ทำให้บรรยากาศเป็นใจ
ขึ้นอีกเยอะ กระทงของมันสองคนค่อยๆลอยไปสบทบกับกระทงอีกหลายสิบ หลายร้อยใบ
ที่ส่องสว่างอยู่บนผืนน้ำ

ผมเอื้อมเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มือกุมโทรศัพท์ไว้แน่น

- ป่านนี้ มันจะทำอะไรอยู่นะ อยากคุยกับมันจัง - - อยากแค่ได้ยินเสียง มันจะสบายดีเหรอเปล่านะ ? -

ผมได้แค่คิด แต่ก็ค่อยๆปล่อยโทรศัพท์ให้มันซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม เห้อ .. ต้องแข็งใจไว้ดิ
ตัดสินใจที่จะไม่คุย ไม่ติดต่อกับมันเองไม่ใช่เหรอไง ...

แล้วเวลา กับความห่างไกล จะทำให้เราลืมมันได้

“มึงยืนทำมิวสิควีดีโออะไรอยู่ ห๊า เค้าจะกลับฝั่งแล้ว” เสียงไอ้นิคทำให้ผมสะดุ้ง

“เออ ... รู้แล้ว” ผมว่า แล้วก็ใช้มือเดียวถือกระทงไว้ อีกมือก็ทำเป็นจุดไฟ

แชะ .. เย้ยยย

กระทงเกือบหลุดมือ

“แม่ม อวดเก่งนะ ” มันว่าพลางคว้าไฟแช็คไปจุดให้ พอจุดเสร็จ เรือที่หยุดอยู่ก็ทำท่าจะเคลื่อน
พอดี เฮ้ย ไรวะ หมดเวลาแล้วเหรอเนี่ย ผมยังไม่ได้ลอยเลย

“ปริ้น เมิงโยนลงไปเลย” ไอ้คิวเสนอความคิดหยาบๆอีกแระ

“มา... จับมือไว้แล้วค่อยๆหย่อนไป ” ไอ้นิคบอกผม แล้วก็ยื่นมือมาให้ ตอนนั้นผมรู้สึกใจมันโหวงๆ
อย่างประหลาด

..........

.....


..

“ปริ้น อย่ายื่นหน้าลงไปมาก เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก” เสียงโอ้ตเตือนผมอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นผมพยายามจะ
หาที่ปล่อยกระทง

“โห ถ้าลอยตรงนี้ มันก็ไปติดเสาใต้สะพานดิ” ผมว่าพลางชี้มือไปที่เสาที่ค้ำสะพานข้ามแม่น้ำเพชรฯ
เอาไว้ มีกระทงลอยไปติดอยู่เต็มไปหมด

“ดื้อจังแฮะ - - งั้นจับมือไว้ ” โอ้ตบอกพลางยื่นมือให้จับ

ผมหันไปมองมันก่อนจะยิ้มขอบใจ มือผมยื่นไปจับมือโอ้ต มันก็กำแน่นเหมือนไม่ยอมปล่อย
ให้หลุดไปได้

“ค่อยๆลอยนะ ” มันว่า

ผมเลื่อนมืออีกข้างที่ถือกระทงไว้ ค่อยๆวางลงบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบา แล้วก็ค่อยๆเอามือวักน้ำ
ให้ลอยไปตามทาง

“แฮะๆ ขอบใจ” ผมบอก

..

.....

........


“ไอ้ปริ้น” นิคเรียกผมอีกที

“เออ .. ” ผมรู้สึกตัว แล้วก็จับมือมันเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้เสียหลัก แล้วก็ค่อยๆโยนกระทงลงน้ำไปเบาๆ
กระทงดูเหมือนจะเป๋ไปหน่อย แต่ก็ค่อยลอยทำระดับไม่ให้คว่ำไปได้ ไอ้นิคเห็นผมลอยเรียบร้อยแล้ว
ก็ฉุดผมให้ลุกขึ้น

“ขอบใจ ” ผมว่า

เรือข้ามฟากค่อยๆหันหัวกลับมาที่ท่าช้าง ผมเห็นนิคมันเดินไปท้ายเรือดูกระทงที่มันพึ่งลอย แล้วก็ชี้
มือไปมาเหมือนเด็ก ส่วนไอ้คิวก็ไปนั่งสัปหงกอยู่ที่นั่งของเรือ ไอ้นี่นอนได้นอนดี

“เมื่อกี้ใจลอยไปหาใครฟ่ะ ” ไอ้ซังกระซิบ

ผมทอดสายตาไปที่ผืนน้ำที่ดำสนิทเบื้องหน้า

“ซัง ... จำที่ไปลอยกระทงกันเมื่อสองปีก่อนได้ป่ะวะ” ผมถามมัน

“ปีไหนนะ ? ” ซังทำท่าคิด

“ก็ปีที่เราย้ายมาเรียนที่เพชรฯไง”

“อ่อ เออใช่ ที่ยกโขย่งไปกันเพียบเลยใช่ม่ะ เออ จำได้แล้ว ตอนนั้นคนเยอะชิบเป๋ง
พี่ต่าย พี่ท็อป พี่อะ - - ”

ซังเหมือนนึกไรขึ้นมาได้เลยหยุดพูดไป

“เออ โอ้ตด้วย”

“โทดที ” ซังบอก

“ม่ะใช่ไรหรอก - - แค่ม่ะกี้รู้สึกเหมือนเดจาวู*ซะงั้น ” ผมบอกพลางหัวเราะ
นิคมันทำเหมือนกับที่โอ้ตมันทำเมื่อ 2 ปีก่อนเลย

ดูเหมือนว่าซังมันจะไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เอามือมากอดคอไว้หลวมๆ ซึ่งผมก็ซาบซึ้งที่สุดแล้ว
ที่มันจะไม่ถามอะไรต่อ

“ซัง”

“หื้อ”

“..........”

“ปริ้น - - ถามจริงดิ” ซังหันมามองหน้าผม

“อย่าโกหกนะเว้ย”

“...........”

“ยังรักพี่โอ้ตอยู่ใช่ปล่าว”

“............”

ผมไม่ได้มองหน้าซัง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำดำสนิท ที่ตอนนี้เริ่มจะพล่ามัวเล็กๆ
เหมือนจะมีอะไรบางๆมากั้นสายตาเอาไว้

“ถ้าแน่ใจว่า พี่โอ้ต เป็นแบบนั้นจริงๆ - - - ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาบ้างเถอะ” ซังค่อยๆพูด
มือที่โอบไหล่กระชับแน่นขึ้น (หวังว่าคงไม่มีคนสังเกตเห็นหรอกนะ)

“แต่ถ้า - - ” ดูเหมือนมันจะระวังคำพูดมากขึ้น

“- - ถ้าคิดว่ายังพอเชื่อ - - เชื่อใจพี่โอ้ตอยู่บ้าง - -” ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอของซัง

“- - ก็คุยกับพี่เค้าให้มันเคลียร์ซะ” มันพูดเสร็จก็เอามือตบหัวผมเบาๆ

“จะ .. จะให้คุยอะไรอีก” ผมพูดเสียงเครือ

คราวนี้ผมได้ยินเสียงซังถอนหายใจ

“ปริ้น ... ที่พูดออกมาน่ะ ออกมาจากใจแล้วแน่เหรอ ? - - ถามใจตัวเองดีๆ ล่ะกัน ”

ซังพูดจบ เสียงวี้ดดดดด ดังลั่นที่ด้านท้าย เป็นสัญญาณว่าเรือกำลังจะเทียบท่า ทำเอาไอ้คิวสะดุ้งตื่น
เรือค่อยๆเข้ามาแล่นมาจอดเทียบเบาๆ ทิ้งกระทงที่จุดไฟสว่างไสวบนท้องน้ำอยู่เบื้องหลัง


.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:42:45

“คิดยังไงถึงกลับมาอยู่บ้านได้ล่ะ ?” เสียงแม่ผมถามพร้อมกับยกกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะ พลางทำสีหน้า
แปลกใจที่เห็นลูกชายกลับมาบ้านในตอนเย็นของวันคริสมาสอีฟ

“เอ้า แหม่ จะปีใหม่ทั้งทีก็กลับมาอยู่บ้านมั่งดิ - - เหรอว่าแม่ม่ะอยากให้มาห่ะ ” ผมถามแม่
พร้อมกับตักข้าวเคี้ยวตุ้ยๆ

“ดูพูดเข้า .. เห็นปีที่แล้วชั้นยังเห็นแกไปเที่ยวกับคนโน้นทีคนนี้ทีได้เลย” แม่เหน็บ

“- - นี่ก็อีกตั้งอาทิตย์นึง กว่าจะปีใหม่ ไม่มีเรียนเหรอไง ? ” แม่ยังซักไซ้

“ก็มีแหละ ฝากเพื่อนจดเล็กเชอร์ไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ทำพูดเหมือนเรียนง่ายๆนะ” แม่บอกแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปนั่งดูทีวี ปล่อยให้ผมนั่งกินข้าว
ต่อไป นานๆทีลูกชาย(?) จะกลับบ้านมานั่งกินข้าวด้วย ดันมาว่าซะงั้น รีบกินให้เสร็จ
ดีกว่ากู

“แม่ - - ” ผมตะโกน

“หื้อ”

“ปริ้นว่าปีหน้าจะส่งคะแนนเอนฯใหม่อ่ะ” ผมตะโกนข้ามห้องไป คือห้องกินข้าวกะห้องนั่งเล่น
มันมีแค่กำแพงกั้นไว้เฉยๆ ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ รอลุ้นว่าแม่จะมีปฏิกิริยายังไง

..... เงียบ .....

“แม่ - - คิดว่าไงอ่ะ” ผมถามหยั่งเชิงอีกซักเล็กน้อย โดยที่ตอนถามก็ไม่รู้หรอกว่า คนอื่นฟากนึง
จะทำหน้ายังไง

“ก็ลองดูซิ” เสียงแม่ตอบกลับมา ทำเอาผมโล่งไปเหมือนกัน เพราะตอนแรกก็กลัวจะหาว่าผมจับจด
เรียนที่นี่ไม่ทันเห็นอะไรก็จะเลิกไปเริ่มใหม่อีกแล้ว

“แล้วที่เรียนนี่จะทำยังไงล่ะ ” แม่ถาม

“ก็คงเรียนไปด้วย” ผมตอบแบบลังเล เอาช้อนส้อมเขี่ย วนในจานไปเรื่อยๆ

“แล้วที่รามไม่ชอบหรือยังไง ถึงอยากจะเอนฯใหม่” เป็นคำถามที่ตอบยากลำบากมากมาย แล้วก็ไม่แปลก
ที่จะถามผมแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้แม่ก็เคยทักท้วงไปทีนึงแล้วตอนที่ผมจะเลือกไปเรียน แม่คงคิดว่า
ผมถอดใจแล้วมั้ง

“ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก” ผมตอบ

“ได้เพื่อนไม่ดีเหรอ”

“ดีดิ ดีมากด้วย” ผมตอบแบบไม่นับรวมถึงไอ้นิค พร้อมกับเดินไปล้างจาน แล้วก็เดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น
ที่แม่ดูทีวีอยู่ แล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา

“- - แต่คราวนี้อยากจะเลือกเรียนตามใจตัวเองหน่อย”

แม่ผมหันมามอง

“คราวที่แล้วเลือกตามเพื่อนล่ะซิ ถึงได้พูดแบบนี้”

ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ถ้าบอกแม่ว่าไม่ได้เลือกตามเพื่อน แต่ว่าเลือกตาม(อดีต)แฟนนี่ จะโดนฟาดหัว
มั้ยนี่


.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“ซัง จะกลับมาเพชรฯวันไหนอ่ะ” ผมโทรไปถามความคืบหน้าถึงเรื่องที่นัดมันไว้ว่าจะไปงานโรงเรียน
ด้วยกันในวันที่ 28 ธันวา

“คงวันพุธหว่ะ” ซังบอก

“ทำไมมาช้าจัง งานมีวันพฤหัสฯนะเฟ้ย นี่ปริ้นกลับมาแล้วนะเนี่ย แม่งม่ะมีเพื่อนเลย” ผมบอกเสียงขุ่น

“เฮ้ย เดี๋ยวนะ” มันว่า พร้อมๆกับผมได้ยินเสียงมันพลิกกระดาษ สงสัยจะเป็นปฏิทิน

“- - วันนี้พึ่ง 24 เองนะเว้ย รีบกลับไปทำมาย”

“ก็กะว่าจะมาอยู่กับแม่นานๆหน่อยอ่ะ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน - - เออ..ว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมอาจารย์ด้วย” ผมบอก

“แล้วนี่อยู่ไหนอ่ะ เสียงรถโคตรดังเลย”

“กำลังจะออกจากม. ล่ะ เดินจะไปขึ้นรถไฟฟ้า” มันตอบ นั่นดิได้ยินเสียงมันหอบๆ
ว่าแต่วันอาทิตย์ยังมีเรียนอีกเหรอเนี่ย งง?

“- - เสียดายนะเนี่ย ไม่งั้นจะชวนมาเดินดูไฟวันคริสมาสซะหน่อย”

“โห ไม่ล่ะ ไม่อยากเป็นกขค. กะไอ้คิว”

“กขค. ไรฟ่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น” มันว่า

“เอาเหอะๆ แล้วไงเด๋วกลับมาเพชรฯก็โทรมาหาล่ะกัน” ผมบอกมันก่อนจะวางสายไป
แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆอุ่นๆ ไม่ได้นอนเตียงนี้มานานขนาดไหนแล้ววะเนี่ย
ปกติช่วงปลายเดือนแบบนี้ อากาศตามต่างจังหวัดก็จะหนาวเย็นกว่าในกทม. อยู่แล้ว
ทำเอาผมต้องไปรื้อหาเสื้อกันหนาวมาใส่กันหวัดรับประทานก่อน

แกร๊ก แกร็ก .. รื้อไปรื้อมา ดันไปเจอกองหนังสือกองมหึมาที่ไม่ใช่ของผมมาก่อน
ตั้งอยู่ในตู้

“แม่ - - ”

“ว่าไง อยู่กันแค่นี้ทำไมต้องตะโกนด้วยนะ” แม่ผมโผล่หน้าเข้ามา (ดูเป็นคนดีขนาดไหน
ให้แม่เดินมาหา - - ‘’ )

“นี่อะไรอ่ะ ? ”

“หนังสือ !? ”

ผมทำหน้าแบบบอกไม่ถูก เมื่อได้รับคำตอบ (ดีนะที่พูดนี่เป็นแม่)

“รู้แล้ววววว......แต่คือของใครอ่ะ ”

“ไม่รู้ซิ วันก่อนแม่ให้นายสนเค้ารื้อข้าวของที่ห้องข้างล่างขึ้นมา เห็นมีพวกหนังสือ ก็เลย
ไม่อยากเก็บเอาไว้ข้างนอก - - ชั้นก็นึกว่าของแกก็เลยไม่ได้ขนไปไหน”

แม่บอกแล้วก็ทำทีเป็นจับๆดูหนังสือที่ว่า

“คงเป็นของเจ้าโอ้ตมั้ง งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขนไปที่บ้านเค้าหน่อยล่ะกัน” แม่ผมสั่ง ซวยอีกอยู่ดี
ไม่ว่าดี

“ก็ให้มันมาขนเองล่ะกานนน” ผมบอก “ยังไงตอนนี้มันก็ไม่อยู่บ้านอยู่แล้ว”

แม่ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน

“ไปเรียกโอ้ตเค้าว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ - - แล้วไม่ต้องพูดมาก พรุ่งนี้ขนไปซะ” บอกเสร็จก็ปิดประตู
ใส่หน้าผมซะงั้น ไอ้โอ้ตนี่มันลูกแม่เหรอไงเนี่ย แค่พูดนิดพูดหน่อยแค่นี้

ผมเดินเซ็งๆไปหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ แล้วก็ลองรื้อๆดูตั้งหนังสือของโอ้ตมัน เผื่อฟลุคเจอ
หนังสือโป๊ เอ้ย หนังสือน่าอ่านมาให้อ่านแก้เซ็งมั่ง

ระหว่างรื้อไปรื้อมา

- เอ๊อะ เล่มนี้คุ้นๆ - ผมคิดแล้วก็หยิบออกมาจากกอง - - ไดอะรี่ของมันนี่นา ทำไมยังกลับมาอยู่ที่
ห้องข้างล่างนี่ได้หว่า ?

ผมคิดในใจ แล้วก็โยนไดอะรี่เล่มที่ว่า ไว้ที่กองหนังสือเหมือนเดิม แล้วก็หยิบหนังสืออ่านนอก
เวลามาสองสามเล่ม แล้วก็โยนตัวเองลงที่นอนอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ออกไปเดินเที่ยวอะไร
กับใครในวันอีฟแบบนี้ แต่แค่มีหนังสือเล่มสองเล่ม แล้วก็บรรยากาศดีๆแบบนี้ ก็ทำให้ไม่ต้อง
ไปอิจฉาใครได้เหมือนกัน

หาความสุขกับสิ่งที่เราสร้างได้รอบๆตัวดีกว่า นอนอ่านไปได้ซักพักนึง ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก

ตี้ดดดดด ตี้ดดดดดดด ตี้ดดดด

“ว่าไง” ดูมันพูด ไม่รู้เวลารับสายมันพูดแบบนี้กะทุกคนเป่า

“เออ ไอ้นิค กูว่าจะบอกมึงตั้งแต่บ่ายแล้วก็ลืม” ผมว่า

“จะบอกรักกูเหรอ ?”

“เหี้ย - - ไม่น่าโทรมาเลยนะกูเนี่ย ... มึงจะไม่พูดเข้าข้างตัวเองซักวิฯนึงได้ม่ะ”

ผมได้ยินมันหัวเราะชอบใจ

“หัวเราะ - - หัวเราะไปเหอะ กูจะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้มึงไปมหาลัยเองนะ กูไม่อยู่ ” ผมบอก

“เฮ้ย มึงไปไหน ไม่ได้เลยนะ ”

“ทำไม? ”

“กูขี้เกียจตื่นเช้า ขี้เกียจขึ้นรถเมล์”

“โห สันดานนะเนี่ย” ผมด่า “ - - แต่ถึงยังไงมึงก็ต้องไปเอง เพราะว่าตอนนี้กูไม่อยู่กรุงเทพฯ”

“พูดเล่นซิ” มันว่า

“จิง”

“แล้วจะกลับมาวันไหนวะ” เสียงมันดูหงอยลง

“หลังปีใหม่แหละ ” ผมบอก

“เฮ้ย ทำงี้ได้ไงวะ กูอุตสาห์ว่าจะ - - ” เสียงเหมือนมันจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป

“ว่าจะอะไร ? ”

“เออ เปล่า มึงไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ช่างแม่งเหอะ งั้นแค่นี้นะ” พูดเสร็จมันก็ชิงตัดหน้าวางสายไปเลยครับ
สงสัยงอน ผู้ชายห่าไรวะ ขี้งอนชิบหาย สงสัยกลับไปต้องซื้อหนมไปฝากมันซะแล้ว จะได้หาย
ว่าแล้วก็เปลืองกูอีก

ผมคิดแล้วก็สั่นหัวเพราะชักปวดหมอง อ้าว มองไปข้างหน้าผมยังไม่ได้ปิดตู้เสื้อผ้า เลยต้อง
ลุกขึ้นมาด้วยความขี้เกียจมาปิด สายตาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพตกอยู่ตรงซอกด้านใน อาจเป็น
เพราะผมรื้อหนักไปหน่อย เลยหล่นลงมา

ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ารูปใบนั้นเป็นใครกับใคร คนนึงเป็นไอ้โอ้ต แล้วอีกคนนึงก็เพื่อนมัน

อิ๊ ... หรือว่า ?

ผมคิดอะไรออก ก็เลยเดินไปหยิบไดอะรี่โอ้ตจากกองที่โยนไว้เมื่อตะกี้ขึ้นมาพร้อมกับเปิดไปที่
มีข้อความเขียนที่หน้าท้ายๆว่า

“รักตลอดไป”

พร้อมกับยกรูปภาพที่ดูเหมือนโอ้ตจะหวงนักหวงหนาขึ้นมาดูประกอบ รูปเด็กคนที่ยืนกอดคอ
อยู่ข้างๆไอ้โอ้ต กับ คนที่ผมเห็นที่เชียงใหม่วันนั้น ใช่คนเดียวกันเป่าวะ

ผมพยายามหลับตานึกหน้าให้ออก แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะว่าตอนนั้นเห็นแค่แว่บเดียว
แต่รู้ว่าคนที่เป็นเมทไอ้โอ้ตเนี่ย คลับคล้ายว่าชื่อ เต

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงตอนที่เคยสงสัยโอ้ตว่า ทำไมต้องเลือกไปเรียนเชียงใหม่ด้วยนะ
แต่โอ้ตก็ไม่ได้ให้คำตอบผม

หรือว่าไอ้คนที่อยู่ในรูปนี่ คือ เต วะ งั้นก็แปลว่า ไอ้คนชื่อเตนี่ ย้ายไปอยู่เชียงใหม่
แล้วโอ้ตก็ตามไปเรียนต่อด้วยกันเหรอไงวะเนี่ย ผมเริ่มคิดออกทะเลไปเรื่อยๆ ความอยาก
รู้อยากเห็นมันชักก่อเป็นไฟที่ค่อยๆคุขึ้นมา (ไม่ใช่ไฟราคะนะ)

ผมมองไปที่ไดอะรี่โอ้ตที่วางแผ่อย่างหมดท่าอยู่บนเตียง

- ในนี้คงมีเรื่องอะไรที่ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับไอ้โอ้ตอยู่บ้างล่ะ -

ลมหนาวพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ผมจับเอาฮู้ดเสื้อกันหนาว
มาปิดหัวตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่น พร้อมกับเอนตัวลงนอน ในมือถือหนังสือไดอะรี่เอาไว้
แล้วก็เริ่มต้นเปิดอ่าน พร้อมๆกับที่เครื่องเสียง แผ่นซีดีเพลงบรรเลง Canon In D ค่อยๆ
เริ่มบรรเลงอย่างแผ่วเบา

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 23-10-2006 05:44:30
ตามอ่านทันแล้วช่วยคอมเมนต์หน่อยนะครับ
ผมจะได้รู้ว่าอ่านทันแล้ว
แล้วผมจะมาลงเพิ่มให้นะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 24-10-2006 10:08:51
โอ้ยๆๆๆๆๆ รักบลูที่สุดในโลกเลยครับ มาขอจุ๊บหน่อย Joops! Joops!  :laugh2:

ยังไม่ได้อ่านเลยนะครับ เดี๋ยวว่างแล้วจะมาอ่านนะค้าบบบบบ  :5782:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 25-10-2006 13:33:27
อ่านจบแล้วครับบลู มาลงต่อเลยนะ

แงแงแง จาอ่านต่ออะ

 :o
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-10-2006 15:53:06

(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/logosea3.jpg)


อิอิ อ่านไวเจงๆ ระวังจะลืมเนื้อหาตกหล่นน้า เพราะภาค5 นี่มันหยดติ๋งๆ   :like2:


[wma=300,50]http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/sad10.wma[/wma]
.

.

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ ....... จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ


เสียงนกที่ร้องเซ็งแซ่อยู่ภายนอกหน้าต่างทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา แต่ตัวก็ยังคงนอนขด
อยู่ในผ้าห่มผืนหนา หน้าหนาวต่างจังหวัดไม่ได้เหมือนในกรุงเทพตรงที่อากาศจะหนาวเย็น
จนไม่อยากจะลุกออกไปไหน ยิ่งโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง


ก๊อก ก๊อก ......


ผมยังไม่มีปฏิกิริยาขานรับเสียงเคาะประตู


“ปริ้น ตื่นยังลูก เจ้าปริ้น ....” เสียงแม่ผมนั่นเองที่เคาะเรียกอยู่หน้าห้อง ผมเปิดผ้าห่มแค่หัว
แล้วก็จ้องที่ไปที่นาฬิกา โห พึ่งจะเจ็ดโมงเช้า รีบปลุกไปทำไมเนี่ย ไม่ได้อยู่ม.ปลายแล้วนะ


เสียงแม่เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมๆกับที่ผมรีบดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมโปงอีกรอบ


“ปริ้น กับข้าววางอยู่บนโต๊ะนะ แม่ไปทำงานก่อน” แม่บอกพลางสะกิดตัวผมจากนอกผ้าห่ม


“อือออ .... ”


“วันนี้อย่าลืมซักผ้า แล้วก็ขนเอาหนังสือของโอ้ตเค้าไปไว้ที่บ้านป้าเล็กด้วย เข้าใจมั้ย ”


แม่ผมสั่งพร้อมกับดึงผ้าห่มออกมาให้เห็นหน้า


“อืออออ ... ” ผมรับปาก แล้วก็ดึงผ้ามาคลุมโปงอีกรอบ


“ทำเป็นเด็กไปได้ โตแล้วนะ ” แม่บ่นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องปิดประตูไป ซักพักก็ได้ยินเสียง
สตาร์ตเครื่องรถยนต์


“เอ้ย !! ” แม่จาเอารถไปใช้เหรอเนี่ย คิดได้ดังนั้นผมรีบกระโดดขึ้นมาจากเตียง เผ่นออกไปนอกบ้าน
เห็นแม่กำลังจะขับรถออกไปนอกประตู


“แม่ ....!! ” ผมตะโกนเรียก แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว แม่ขับรถของผมไปทำงานซะงั้น ตกลงวันนี้ต้องนั่ง
รถประจำทางจากชะอำไปในเมืองอีกแล้ว


“เอ้า ปริ้น ตื่นเช้าเชียว” เสียงยายดังมาจากบนเรือนใหญ่


“อ่อ ... คับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แต่เออออไปแก้เก้อ


“ยายคับ เด๋วกลางวันๆ ปริ้นจะออกไปโรงเรียนหน่อยนะ”


“ไปทำไมล่ะ”


“ว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์หน่อยอ่ะคับ ไม่ได้เจอนานแล้ว” ผมว่าแล้วก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้านตัวสั่น
ถึงแม้จะใส่เสื้อกันหนาวอยู่ก็เหอะ แต่ส่วนล่างผมใส่แค่บ็อกเซอร์นี่หว่า หนาวชิบ


ประมาณเที่ยงๆ ผมก็นั่งรถประจำทางมาลงที่หน้าโรงเรียน ระหว่างกำลังจะเดินเข้าไปในโรงเรียน
ก็รู้สึกเขินๆนิดหน่อย เพราะก็เห็นมีน้องๆที่เดินสวนไปมาชำเลืองมองอยู่บ้าง ไม่ได้มาโรงเรียนแค่
เกือบ 6 เดือน แม่ง รู้สึกแก่ลงไปในทันใด


“หวัดดีคับ จารย์” ผมเดินขึ้นตึก 2 ไปที่ห้องพักครูอังกฤษ ไปหาครูสาวที่ปรึกษาตอนม.6 จริงๆ
เรื่องของห้องผมกับอาจารย์คนนี้มีเยอะแยะมากมาย แล้วก็เป็นครูที่ผมสนิทที่สุดตอนเรียน


“อ้าวบวรภักษ์ มาได้ไงเนี่ย นึกว่าจะมาวันงานซะอีก” คุณครูทักผม ดูท่าทางพึ่งจะสอนเสร็จมา


“แล้วตาเธอไปโดนอะไรมาเนี่ย บวมเชียว” ครูสาวสังเกตเห็นดวงตาที่ออกอาการเหมือนบวมของผม
(ก็น้ำตาไหลแทบทั้งคืนหลังอ่านไดอารี่จบ)


“แหม่ ช่างสังเกตเหมือนเดิมนะ - - ก็คิดถึงจารย์อ่ะ เลยรีบมา” ผมสะตอตอบไป


“เด๋ววันที่เพื่อนกลับมากันก็ไม่มีเวลาให้ผมอ่ะ”


“ชั้นอยากจะอ๊วก - - แล้วนี่เรียนที่ไหนเนี่ย” ครูถามผม ไม่รู้เป็นโรคอะไร พวกครูอาจารย์เห็นหน้าเด็ก
จบไปไม่ได้ ต้องถามทุกทีซิ


“รามคับ ”ผมตอบ


“อือ .. แล้วเป็นไงบ้าง ได้ไปเรียนมั่งเหรอเปล่า ”


“โห ไปดิ เนี่ย ได้ g มาตัวนึง”


“ต๊าย เก่งนะ”


“ลูกศิษย์ใครล่ะจารย์” ผมแซว


“เออ เมื่อกี้ก็เห็นเจ้ากรณ์ โฉบไปโฉบมาอยู่เหมือนกัน นี่มาด้วยกันซิเนี่ย ”


“เหรอคับ ? ผมไม่ได้มากะมันนะ แล้วจารย์เห็นมันที่ไหนอ่ะ”


“เห็นเดินไปทางประชาสัมพันธ์นะ ครูไม่รู้ว่าออกไปเหรอยัง”


“อ่อๆ งั้นเด๋วผมไปหาไอ้อั้มก่อนนะคับ แล้วผมมาหาจารย์อีกทีวันพฤหัสฯนะคับ” ผมพูดพร้อมยกมือไหว้ลา


ครูผมยกมือรับไหว้ แต่ก็ไม่วายกัด


“แล้วเมื่อกี้บอกว่าจะมาคุยกับชั้นนะ เจ้านี่”
.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.
ผมเดินลงมาแล้วก็ตรงไปแถวประชาสัมพันธ์ เพื่อหาไอ้กรณ์ คือมันเป็นเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับผม
แหละ ตั้งแต่จบกันไปก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย (ผมเป็นฝ่ายหายไปจากสารบบของเพื่อนๆเอง เหะๆ)
ไอ้กรณ์นี่มันก็เป็นเกย์คับ แต่ท่าทางดูออกมากมาย ฮาๆ


-เหรอว่ากลับไปแล้วฟ่ะ – ผมคิด เมื่อเดินมาถึงประชาสัมพันธ์แล้วก็ไม่เจอใคร สายตาก็เหลือบไป
ที่สนามบาสที่อยู่ข้างๆ ทำเอาผมเกือบตาค้าง เมื่อเห็นใครคนนึงกำลังวิ่งเลี้ยงบาสอยู่ในสนามกับ
เพื่อนอีก 2 -3 คน


ผมเลยเดินเลยเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อความแน่ใจ ใช่ไอ้โค้กจริงๆด้วยอ่ะ ที่วิ่งอยู่ในสนามเล่นบาสอยู่
แล้วด้วยความที่ผมแต่งตัวเด่นอยู่คนเดียวแถวนั้น (คนอื่นๆก็ใส่ชุดนร.กันหมด) ไอ้โค้กก็หันมา
เจอพอดี


“เอ้า พี่ปริ้น ”โค้กมันดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมมาอยู่โรงเรียนในวันนี้


“โค้ก ไอ้เหี้ย ระวังลูก ! ” เสียงเพื่อนที่เล่นด้วยกันกับมันตะโกนโหวกเหวก


พลั๊ก ! ลูกบาสซัดเข้าที่หัวไอ้โค้กเต็มๆ ทำเอาหน้ามันเกือบคว่ำแน่ะ


“เป็นไงมากเป่าวะ” ผมเดินไปพยุงไอ้โค้กที่เห็นท่าทางดูมันมึนตึ้บเล็กน้อย ให้มานั่งพักตรงศาลา
ใกล้ๆกับสนาม


“เจ็บซิ ถามได้ อยู่ๆก็โผล่มา ตกใจหมด” มันบอกพลางนวดหัวตัวเอง


“ผิดอีกกู - - เออ ว่าแต่ ขาหายแล้วเหรอ” ผมเอามือไปจับที่ขาข้างที่เคยเจ็บของมัน เมื่อคราวที่แล้วที่เจอ
มันที่กรุงเทพ ยังเห็นว่าบางทีมันยังเดินกระเผลกๆอยู่เลยนี่หว่า


“ก็พอไหวพี่ หมอที่รักษาเค้าบอกว่า หายเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ” มันบอกแล้วก็ยิ้มดีใจ แต่ผมรู้สึกว่าหน้า
ตัวเองบึ้งนิดหน่อย


“เออ ก็ดี ” ผมบอก


“ไมพี่ทำหน้างั้นล่ะ - -” มันคงดูท่าทางผมออก


“- - โกรธผมเหรอ” มันถามต่อ


ผมตอบแบบไม่ยอมมองหน้ามัน


“เป่า โกรธทำไม ! ” แต่ในใจกุโกรธแฮะ


“เฮ้ย พี่ปริ้น อย่าโกรธผมเลยน้า ... ผมไม่คิดว่าพี่ปริ้นจะ - -” แล้วมันก็เหมือนจะไม่กล้าพูดต่อ


“คือ ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อ่ะครับ ก็เลยไม่ได้บอก ” มันตอบเสียงหงอย


“ช่างมานเหอะ แต่ก็รู้บ้างล่ะกาน ว่ามีคนเป็นห่วง” ผมบอกมันแต่หน้าก็ยังฉุนๆอยู่


“ครับพี่” เสียงมันดูสดชื่นขึ้นมาหน่อยนึง


“ว่าแต่เห็นไอ้กรณ์เดินมาแถวนี้มั่งเป่าวะ หามันไม่เจอ”


“อ่อ เห็นคับ ม่ะกี้ยังแวะทักผมอยู่เลย” แหม เพื่อนกูแอบแรดนะ มาทักไอ้โค้กด้วย


“พี่เค้าบอกว่าจะไปหาไรกินที่โรงอาหาร”


“งั้นพี่ไปหาเพื่อนก่อนนะ ” ผมบอก


“เดี๋ยวพี่ปริ้น ผมไปด้วย” ไอ้โค้กบอก แล้วก็วิ่งแจ้นไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ข้างสนาม
มีสายตาเพื่อนไอ้โค้กมองตามมา


“แล้วเลิกเล่น ปล่อยเพื่อนไว้งั้นอ่ะนะ”


“ช่างมันเหอะพี่ ผมหิวแล้ว ”


“แล้วมาบอกไร ? ”


“พี่ปริ้นกินข้าวกลางวันยังล่ะ ”


“ยังอ่ะ”


“งั้นก็ไปหาพี่กรณ์แล้วก็ไปกินข้าวกลางวันด้วยเลยดิ”


“อ้าว แล้วเพื่อนเอ็งไม่มีเหรอไง ต้องมากินกับพี่”


“น่า นานๆที” พูดเสร็จมันก็ผลักหลังผมให้เดินนำมันไปเป็นเด็กๆ รู้มั้ยว่ากูอายนะเนี่ย
มึงก็ม่ะใช่ตัวเล็กๆ


เดินเข้ามาในโรงอาหาร ผู้คนแน่นเอียดอยู่เหมือนเดิม ผมชะเง้อคอหาไอ้กรณ์ก็เห็นมัน
นั่งหัวโด่กินข้าวอยู่กับเด็กมัน (ไอ้นี่ริอาจกินหญ้าอ่อน)


“เฮ้ย .. ” ผมเอามือไปแตะหัวตักมันเบาๆ เล่นมากไม่ได้เพราะกลัวมันวีนแตกกลางโรงอาหาร


“เชี่ย กูนึกว่าใครมาลูบหัว” มันบอกแล้วก็เลื่อนของให้นั่ง ผมหันกลับไปก็ไม่เห็นไอ้โค้กอยู่
ข้างหลัง ไปไหนของมันวะ เร็วจัง


“หายหน้าหายตาไปเลยนะคุณปริ้น” มันพูดกระแนะกระแหนตามสไตล์ของมัน


“เออนะ เรียนหนัก” ผมบอก แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเด็กมันที่สงสัยจะไม่เกินม.3 นั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วย
ผมเลยยิ้มให้ มันก็ยิ้มตอบกลับทำหน้าเจือนๆ


“กูเป็น กขค เป่านี่” ผมกระซิบถาม


“พึ่งรู้ตัวเหรอ ? ”


“เอ้า !! งั้นกูไปก็ด่ะ” ผมว่าพลางทำท่าจะลุก แต่ไอ้กรณ์ก็จับไหล่ผมดึงกลับมาจนก้นกระแทกม้านั่ง


ระหว่างนั้นมันก็ชวนคุยโน่นคุยนี่ ผมก็ถามข่าวค(ร)าวเพื่อนในห้อง รวมถึงคนที่รู้จักอีกหลายคน
เพราะว่าตั้งแต่ไปเรียนรามมาเนี่ย เพื่อน ม. ปลายที่ติดต่อกัน ก็มีไอ้คิวกะซัง 2 คนเท่านั้น


“ซังมันคบกันยืดดีหว่ะ” ไอ้กรณ์ออกปากชม เมื่อผมเล่าให้ฟังว่าไปลอยกระทงกะไอ้สองคนนั่นมา


“อ้าว รู้เหรอว่ามันสองคนคบกัน นึกว่ากูรู้อยู่คนเดียวซะอีก” ผมบอกด้วยความแปลกใจ เพราะตอน
ที่เรียนอยู่ เชื่อได้ว่าแทบไม่มีใครสังเกต หรือว่ารับรู้ว่า ทั้งซังกะไอ้คิวคบกันฉันท์ผัวเมีย


ไอ้กรณ์มองตาผมแว่บนึงเป็นเชิงประมาณว่า รู้แม่ะว่ากูเป็นใคร


“แหม ไม่รู้ซะแล้วว่าคุยอยู่กะคราย กูอ่ะเจ้าแม่กรมประชาสัมพันธ์นะ” มันพูดพลางกระบิดกระบวย
ความสาวสะพรั่งค่อยๆเล็ดออกมาทีละหน่อย (แต่ผมชินแล้ว)


“อยู่ที่ว่า จะพูดเหรอไม่พูดเท่านั้นแหละ คุณปริ้นนนน” มันพูดแล้วก็ส่งสายตามาให้ผม


“ถามได้ตอบได้... ว่างั้น”


“ แหม อีนี่ กูก็ไม่ใช่อับดุลนะ” มันส่งค้อนให้ผมทีนึง


“พี่กรณ์ ผมไปเรียนก่อนนะ เข้าคาบแล้ว ” ไอ้เด็กม. 3 ที่นั่งตรงข้ามขออนุญาตก่อนที่จะเดินหิ้วกระเป๋า
ออกไป ดูๆก็น่ารักดีเหะ


“เด๋วนี้เปลี่ยนรสนิยมมากินเด็กแล้วเหรอ ”


ไอ้กรณ์ฟาดผมซะทีนึง ก่อนจะทำท่าถอนหายใจ


“เป็นไรวะ พูดแทงใจดำแค่นี้ ถึงกะถอนใจ” ผมว่า


“ไม่ช่าย .... เรื่องอื่นต่างหาก นึกแล้วกูไม่อยากเซด” มันว่า แล้วก็หยิบแก้วน้ำมาดูดด้วยหลอดสีชมพู


“เรื่องไรวะ ”


มันมองหน้าผม แล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ ดูท่าทางจะมีปัญหาจริงๆด้วยแฮะ


“เนี่ย กูยังไม่ได้บอกใครเลยนะ แต่จะบอกคุณปริ้นคนแรก”


“ดีใจมากมาย ” ผมบอก


“มีสองเรื่องอ่ะ จะเอาเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีก่อนล่ะ ” ไอ้ห่า มึงจะบอกก็บอกม้าาาาาา ยักท่าอยู่นั่งแหละ ผมคิด


“เอาเรื่องไม่ดีก่อนล่ะกัน ”


“จำไอ้โสได้เหรอเปล่า” กรณ์ถาม ผมก็พยักหน้า ไอ้โสเป็นเพื่อนห้องเดียวกับผม แล้วก็เป็นนักกีฬาวิ่ง
ให้กับโรงเรียนตอนที่เรียนอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทไรกันมากมาย แต่ช่วงที่กีฬาสีตอนม.6 มัน
ก็ช่วยอะไรผมหลายอย่าง (กีฬาสีม.6 ผมไม่ได้เขียน)


“ไมเหรอ”


แกร๊กกก เคร้งงง


ไอ้โค้กเดินมาจากทิศใดไม่ทราบ วางจานข้าวมาที่หน้าผมนึงจาน แล้วก็ของมันอีกนึงจาน แล้วก็มี
พวกกับข้าว ผัดผัก ไข่เจียวอีกอย่างละจาน ผมมองหน้ามันประหนึ่งว่ามันขนมาได้ไง


“ไรเนี่ย”


“ข้าวกลางวันไง” มันตอบเรียบๆ พลางนั่งลงกับม้านั่งตรงข้ามผม กรณ์มองโค้กที แล้วก็มองผมที
แล้วก็ดูเหมือนยิ้มๆ


“พี่กรณ์กินด้วยกันมั้ยคับ” โค้กหันไปชวนกรณ์ที่นั่งอยู่ด้านเดียวกับผม


ไอ้กรณ์ยิ้มหวานประหนึ่งจะกินไอ้โค้ก


“อุ้ย .. ไม่ล่ะน้อง พี่ไม่อยากเป็น กขค ” มันพูดเสร็จ ก็ส่งค้อนทางสายตาอีกวงใหญ่มาทางด้านข้างๆ


“คิดไร ไอ้บ้า - - เอ้า เล่าต่อดิ” ผมเปลี่ยนมาเข้าเรื่องเดิม แล้วก็กำลังจะตักผัดผักเข้าปาก


“คืออาทิตย์ที่แล้ว โทรไปหามัน บ้านมันอยู่ชุมพรใช่มั้ยล่ะ กะว่าจะถามเรื่องมันจะมางานโรงเรียนเปล่า แม่มันก็บอกว่า - -”


ไอ้กรณ์หยุดพูดนิดนึง ผมก็พอรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลางไม่ดีชอบกล แต่ก็ตักข้าวใส่ปากไปแล้วล่ะ กำลังจะเคี้ยวเลย


“มันตายแล้ว”


“อุ๊ก ๆๆๆ” ผมเกือบสำลักได้ยินแค่นั้น ทำเอาหน้าชา ปากชา ขาช้า ไอ้นั่นก็ชา กันเลยทีเดียว กินข้าวไม่ลงแล้วกู
รู้สึกกว่าจะกลืนลงคอไปได้ ก็แทบขาดใจ


“ป .. เป็นอะไรอ่ะ ม... เจอมันยังเห็นสบายดีอยู่เลย ” ผมพูดตะกุกตะกัก ไอ้โค้กส่งน้ำมาให้ผมดูด ไม่ให้ติดคอ
ไปมากกว่านี้


“มึงเจอมันตอนไหน ที่ว่าล่าสุด ” กรณ์ถาม


“ก็ตอนรับผลสอบ ” ผมว่า


“นั่นมัน 6 เดือนที่แล้วนะมึง - - แม่มันบอกว่ามันฆ่าตัวตาย” คราวนี้ผมสำลักน้ำแทน


“เป็นเหี้ยไรวะ ถึงทำแบบนั้นอ่ะ”


“กูก็ไม่รู้ อยากรู้จุดธูปถามมันดู ” ไอ้กรณ์ตอบหน้าเมื่อย


เราสามคนนั่งอยู่เฉยๆซักพัก มีแต่ไอ้โค้กแหละที่พอจะกินอะไรได้อยู่ เพราะว่ามันก็ไม่ค่อยรู้จักเพื่อนผม
ซักเท่าไร


“เออ ... แล้วข่าวดีอ่ะ” ผมหันไปเปลี่ยนเรื่องถามบ้าง เผื่อไอ้กรณ์จะเล่นมุกว่า ที่กูพูดว่าคือโกหก


“ข่าวดีเหรอ ... ”


“อืม”


ไอ้กรณ์หน้าเจือนลงอีกเล็กน้อยถึงปานกลาง


“พอเรียนจบ กูคงจะแต่งงาน มึงเตรียมตัวด้วยนะ ” มันบอกเสียงเรียบ


“55 แล้วมึงจะมีลูกได้ไงวะ ไอ้กรณ์ ” ผมเค้นหัวเราะเพราะนึกว่ามันพูดเล่น แต่พอเห็นหน้าเอาจริงเอาจัง
ของมันแล้ว ถึงกับพูดไรไม่ออก


“เฮ้ย จริงดิ”


“มึงจะแต่งกะใคร ยังไง แล้วผู้หญิงหรือผู้ชายวะ งงวะ”


“อีนี่ ก็ต้องกะผู้หญิงดิ ที่บ้านกูคงจะยอมรับได้หรอกให้แต่งกะผู้ชาย พ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่ากูแอ๊บอยู่เนี่ย”
มันพ่นให้ฟัง


“ผู้หญิงที่ไหน”


“ก็แถวบ้านแหละ ” ไอ้กรณ์บ้านมันไม่ได้อยู่เพชรคับ บ้านมันอยู่ประจวบ ตอนนี้มันเรียนอยู่มกท.


“เฮ้ย ....บ้า”


“เออ กูก็คิดงั้น บ้าชิบ” มันพูดเหมือนจะร้องไห้


“ถ้าเป็นมึง มึงจะไฟท์มั้ย มีงจะสู้กะที่บ้านป่ะไอ้คุณปริ้น” ไอ้กรณ์ถาม ทำเอาผมอึ้ง


“เอ๋ !? ”


“มึงอย่ามาทำอึ้ง ห่า กูรู้หรอกว่ามึงเป็นยังไงอะไร ผีมันเห็นผีวุ้ย”


“อ่อ - - เออ - - อ่า - - คือ” ผมถึงกับพูดไม่ออก


“กูว่าเรียนจบแล้วคงจะออกจากบ้านล่ะ จะให้กูแต่งกะผู้หญิงได้ไง” มันบอกทำท่าทางขนลุก


“ไม่ลองคุยกะพ่อแม่ดูก่อนล่ะ” ผมให้ไอเดีย


“คุณปริ้น ไม่รู้หรอกว่า ที่บ้านกูเป็นยังไง กูลูกผู้ชายคนเดียวด้วย” มันถอนหายใจ


“- - แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็เหลือเวลาให้ไฟท์อีกตั้ง 3 - 4 ปี” มันว่า


“แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ อย่าลืมไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กูนะ ” มันพูดติดตลก


“ใครจะสวยกว่ากันละทีนี้”


“ถ้ามันสวยกว่ากูอะนะ กูจะกรี้ดใส่ ให้ดังไปทั่วประจวบเลย คอยดู ” มันพูดขำๆ เออ มันเครียดได้แป็บเดียว
จริงๆด้วยแฮะ


“ว่าแต่น้องโค้กนั่งกินข้าวเงียบเลย เมื่อกี้เล่นบาสมาเหนื่อยเปล่าจ๊ะ ”คราวนี้มันหันไปเปราะกะไอ้โค้กแทน

“เฮ้อ - - คนเรา จะรออะไรก็ไม่ได้เลยนะ จะตายวันตายพรุ่ง ก็ไม่รู้ ” มันพูดซะคนแก่เชียว สายตาก็ยังไม่ละจาก
น้องตาหวานที่นั่งอยู่คำหน้ามัน


“คับ” ไอ้โค้กพยักหน้าตอบแบบเกรงๆ เมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่ส่งมาโดยรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม


“เมื่อกี้ พี่ก็ชวนมากินข้าวไม่เห็นจะมาเลยน้า - - พอเจอพี่ปริ้นล่ะก็ ....อี๊ ” ผมแอบเอามือไปหยิก
ต้นขามันถึงกะร้องเสียงหลง


“แล้วนี่พักอยู่ไหนอ่ะ สองสามวันเนี้ย”


“อยู่หอกะไอ้มิกส์ อู้ย หยิกมาได้” มันบอกแล้วก็เอามือไปลูบที่โดนหยิก อ่อ ไอ้น้องนั่นชื่อมิกส์นั่นเอง


“งั้นมึงกินข้าวไปล่ะกัน เดี๋ยวกูกลับแล้ว” ไอ้กรณ์บอกพลางลุกขึ้นจากม้านั่ง


“- - แล้วไงเจอกันวันงานนะคุณปริ้น”


“เออ .. เจอกาน”


“แล้วเจอกันนะ น้องโค้ก” มันไม่พูดเปล่า แต่เอื้อมมือไปหยิกเบาๆที่แก้มไอ้โค้กอีกตะหาก ดูมันแฟนมัน
ก็พึ่งเดินจากไปไม่กี่นาที ยังมายุ่งย่ามอะไรกะโค้กอีก เห็นแล้วหงุดหงิด


“ว่าแต่เค้า อิเหนาเป็นเองนะ คุณ” ไอ้กรณ์บอกส่งท้ายก่อนที่จะเดินฉุยฉายออกไปจากโรงอาหาร


“อิเหนาห่าไรวะ” ผมพูดกับตัวเองงงๆ แต่ไอ้โค้กกลับขำซะงั้น


“ขำไรมึง กินปาย - - จะกินมั้ย ไข่เนี่ย - - ผักเนี่ย” ผมว่าพลางเอาช้อนตักกับให้มันซะเต็มชาม


“อะโหย ตักมาให้อะไรเยอะแยะ ไม่กินเองมั่งง่ะ” มันถาม


“ไม่กินแล้ว กินไม่ลง ผมบอก เจอไอ้กรณ์ฝากข่าวมาให้นี่ ถึงกับเซ็งโลกไปเลย เฮ้อ (ถอนหายใจ)


“เอาน่า อย่าคิดมากคับ - - ธรรมดาของโลกแหละ


“พูดซะเป็นคนแก่เลยนะมึง”


“555”


“ผมว่าจะถามพี่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เห็นคุยอยู่” โค้กบอก


“ไร ? ”


“เมื่อคืนนอนร้องไห้เหรอ”


“ใครบอก !? ”


“เห็นตาบวมๆ”


“ร้องไห้ทำให้ตาบวมได้อย่างเดียวเหรอไง ไอ้นี่”


“งั้นก็แปลว่าไม่ได้ร้อง”


“เออดิ ” ผมปด “- - แค่นอนอ่านอะไรดึกไปหน่อยแค่นั้นเอง”


“หนังสือโป๊อะดิ กามชะมัด”


ตั้บบบ !!!


“ไอ้บ้า โป๊บ้านเอ็งดิ” ผมเอามือไปตบหัวมันยิ้มๆ เฮ้อ อยู่กะไอ้โค้กนี่ ไม่เคยจะต้องเศร้านานๆซักที
ทำไมนะ !? ยิ่งนับวันความรู้สึกที่มีต่อไอ้เด็กตาหวานคนนี้ มันชักจะมีมากขึ้นทุกที แต่ผมก็บอกกับตัวเอง
ไม่ได้ว่ามันคืออะไร ?


ต่างกับความรู้สึกที่มีให้อีกใครคนนึงที่อยู่ซะห่างไกล แม้จะเรียกว่ายังรักอยู่ - - ไม่ดิ รักมาก จนแทบ
จะขาดใจตาย แต่ทำไมรู้สึกว่ามันห่างไกลขึ้นทุกทียิ่งพอได้อ่านเรื่องของเค้าเมื่อคืน ทำให้ยิ่งรู้สึกว่า - -
.


โอ้ตยิ่งอยู่ห่างไกลจนผมเอื้อมไปไม่ถึงอีกแล้ว ........ หรือว่า .... ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา
ผมไม่เคยเอื้อมถึงโอ้ตเลยซักครั้ง ?


.
.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 25-10-2006 16:10:06
โฮ่.....บลูใจร้ายอะ :pigangry2:

ทำให้อยากแล้วจากไป :ped167:

อุตสาห์มาแอบอ่านตอนประชุมนะเนี้ยะ  :kikkik:









ปล. รูปปก น่ารักมั้กม้าก ชอบชอบ  :yeb:

ขอบคุณนะบลู

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-10-2006 23:58:09
 เอิ้กๆ ลงให้ตั้งเยอะแล้วน้า เด่วจะจับรายละเอียดความรู้สึกของปริ้นไม่ได้นะ
 แอบอ่านแล้วอย่าร้องไห้ให้ใครเห็นน้า เอิ้กๆแต่ตอนแรกของภาคยังไม่เศร้ามาก


.

“เออ เด๋วพี่กลับก่อนล่ะกัน ตอนเย็นๆขี้เกียจยืนเบียดบนรถ” ผมบอกโค้กหลังจากที่กินข้าวกลางวัน
กันเรียบร้อยแล้ว


“แล้วมาอีกทีวันพฤหัสฯเลยใช่ป่าว” มันถามพลางแกว่งกระเป๋าไปมา


“อืม .. ”


“มากลางวันๆดิพี่ ผมประกวดโฟล์คซองที่หอประชุมอ่ะ” ไอ้โค้กย้ำถึงเรื่องที่วงมันจะขึ้นไป
ประกวดร้องเพลง ที่มันเตือนผมเพราะรู้กันเป็นประเพณีครับ ว่าพวกศิษย์เก่าที่จะมาเนี่ย
ส่วนมากจะมางานตอนค่ำๆ กลางคืนกัน ประมาณว่ามากินตามซุ้มน้องอย่างเดียว แฮ่ๆ


“เอาดิ” ผมรับคำ แล้วก็แยกจากน้องตาหวานตรงหน้าโรงอาหาร เพราะมันก็ต้องรีบขึ้นไปเรียน
ทั้งๆที่เลยคาบมาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว


- อี๊ ปวดเยี่ยวฟร่ะ ... -


หันซ้ายหันขวา ห้องน้ำข้างโรงอาหารเด็กใช้เยอะมาก ผมขี้เกียจเป็นเป้าสายตา เลยเดินตรงมาอีกหน่อย
เข้าห้องน้ำที่อยู่หลังอาคาร 1 พอเดินเข้ามายังไม่ทันไปที่โถเลย ก็ได้กลิ่นพร้อมควันแปลกๆ ลอยออกมา
จากประตูห้องน้ำห้องหนึ่ง


- แม่ง มาแอบสูบบุหรี่แหง่ม – ผมคิดในใจแล้วก็สูดหายใจออกลึกๆ


“เฮ้ย จารย์ xxx (หัวหน้าปกครองที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบที่สุด) มาโว้ยย” ผมตะโกนดังลั่นห้องน้ำ ไม่ทันขาดคำ
เสียงดังโครมครามในห้องน้ำ พร้อมกับเสียงประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว มีเด็กสองคนวิ่งแจ้นออกมานอกห้อง
แทบไม่ทัน เผ่นแผล่วไม่คิดชีวิต โดยไม่ทันสังเกตว่ามีผมยืนหัวเราะร่าอยู่ข้างๆ


- เห้อ สูบกันอยู่ได้ เหม็นจะตายห่า - ผมคิดพลางจ่อปริ้นน้อยลงโถฉี่

....

..

“เฮ้ย ใครดูดบุหรี่ในห้องน้ำ”

..

....


ผมย้อนกลับไปคิดถึงเทอมแรกที่ได้มาเรียนอยู่ที่นี่ แล้วก็นึกขำว่า ตัวเองก็เกือบโดน
ลากไปห้องปกครองทีหนึ่งแล้วเรื่องโดนจับได้เพราะลองดูดบุหรี่นี่แหละ ถึงขนาดจำเสียง
ของอาจารย์ที่ว่าได้อย่างแม่นยำ จำได้แม้กระทั่งหน้าโอ้ตตอนที่เปิดประตูมาเจอว่าเป็นผม
ดูดบุหรี่อยู่ ตอนนั้นหน้าผมคงซีดเป็นไก่ต้ม ทำไรไม่ถูกเลยล่ะมั้ง แต่โอ้ตมันก็ไม่เอาเรื่อง
ผม แถมยังไปเอามือถือที่โดนยึดมาคืนให้อีกตะหาก


โอ้ตยอมให้ผมมาตลอดทุกเรื่องเลย ...


ออกจากห้องน้ำแห่งความหลัง ก็เดินมาเรื่อยๆ ผ่านสระมรกต ผ่านอาคาร 5 ผมยิ่งเดินไปรอบโรงเรียน
ภาพความหลังมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ทุกๆที่มันเหมือนประทับเอาความทรงจำดีๆไว้มากมาย แต่ก็
แปลกที่ว่า เรื่องราวที่ผุดมาทีละนิด มันไม่ได้ทำให้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนึกถึง ก็ยิ่งมีความสุข


ผมไม่ได้รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปอีกหรอกนะ เพราะผมรู้สึกว่า ตอนที่ได้อยู่ที่แห่งนี้ ผมได้ทำทุกอย่าง
ในสิ่งที่อยากทำมาหมดแล้ว ได้มีทุกๆอย่างหมดแล้ว มีเพื่อนรัก แล้วก็คนรักที่ดีที่สุด ผมเดินไปก็ยิ้มไป
ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเก็บความรู้สึกแบบนี้ไปนานๆจัง

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“อ้าว ทำไมกลับมาไวจัง ยังไม่สี่โมงเย็นเลย” ผมกลับมาถึงก็เห็นแม่กำลังเปิดประตูจะเอารถเข้าบ้าน


“วันนี้มีประชุม แม่ก็เลยออกมาก่อน” แม่ตอบหน้าตาเฉย


“ไรเนี่ย โดดประชุมเหรอ เป็นครูนะเนี่ย” ผมว่าแล้วก็เดินไปช่วยเปิดประตูอีกด้านนึง


“ชั้นก็ขี้เกียจบ้างซิ - - ว่าแต่นี่ออกไปไหนมาล่ะ” แม่ถามโดยที่ไม่รอคำตอบ เข้าไปนั่งในรถแล้วก็ขับ
เข้าบ้านไป ปล่อยให้ผมยืนปิดประตูอยู่คนเดียว


“จะถามทำซอกตึกทำไมฟ่ะ” ผมบ่น หลังจากปิดประตูบ้านเสร็จ ก็รีบเดินเรื่อยๆเข้ามาถึงบ้าน ก็ได้ยิน
เสียงแม่โหวกเหวก


“นี่ บอกว่าให้จัดการขนของไปไว้บ้านเจ้าโอ้ต แล้วนี่ทำเหรอยังเนี่ย” แม่ผมแวดใส่


“เออน่า รู้แล้วน่า” ผมบอกแบบติดรำคาญหน่อยๆ เดินเลี่ยงเข้าประตูห้องไป ว่าจะกลับมานอนพักหน่อยตู
ต้องมาขนอะไรเนี่ย


หลังจากคิดว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้คงไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ ก็เลยรีบจัดการยกกองหนังสือไปไว้บ้านโอ้ต


“ป้าเล็กคับ จะให้ยกไปวางไว้ไหนอ่ะ” ผมถามป้าที่เปิดประตูมารับ


“เอาไว้ในห้องโอ้ตก็ได้ลูก ขอบใจมากนะปริ้น” ป้าเล็กยิ้มให้ แล้วก็จัดการไปเปิดห้องโอ้ต
ผมยกอยู่ประมาณ 5-6 เที่ยวได้ ถึงกับหอบแฮ่ก


“ปริ้น เดี๋ยวรื้อพวกเสื้อผ้าในตู้ที่ไม่ได้ใช้แล้วออกมาให้แม่ด้วยนะ ที่โรงเรียนเค้าจะเอาไปบริจาคหน่ะ”
เสียงแม่ดังมาจากห้องครัวแต่ไกล


ผมยกมือปาดเหงื่อที่ไหลมาเป็นทาง นี่ขนาดหน้าหนาวนะเนี่ย ไม่เห็นจะหนาวเลยว้อย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด
แต่ก็ขี้เกียจบ่นคับ เพราะบ่นกับแม่ ก็แพ้อยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องบ่น ผมก็จัดการรื้อพวกเสื้อผ้าเก่าๆ
ที่ไม่ได้ใช้บ้าง ไม่เคยใช้บ้าง ส่วนมากก็เป็นเสื้อนักเรียนอ่ะคับ


“เอ้า เสร็จเหรอยัง จะได้ขนไปใส่รถ ” แม่เปิดประตูห้องเข้ามาซัก


“นี่แม่ยังจะเอารถไปใช้พรุ่งนี้อีกเหรอเนี่ย !! ” ผมถามด้วยเสียงสูงเล็กน้อย


“ทำไมเหรอ ? ชั้นจะใช้บ้างไม่ได้เหรอ ? ” แม่ผมถามเสียงสูงกว่า


“เป่านี่ - - อ่ะ เสื้อ” ผมยกถุงเสื้อผ้าที่ใส่อย่างลวกๆให้ไป


“ยกไปใส่ท้ายรถซิยะ - - นี่แม่แกนะ” แม่เอ็ด


ผมทำหน้าตึงเล็กน้อย


“ค๊าบๆ”


“อ้าวแล้วตัวนั้นล่ะ ไม่เอาไปด้วยเหรอ” แม่ผมชี้ไปที่เสื้อนักเรียนเก่าๆตัวนึงที่วางแยกเอาไว้บนเตียง


ผมสั่นหน้า “ เก็บไว้เป็นที่ระลึก”


“ลูกคนนี้พิลึก” แม่บอก แล้วก็เดินไปเปิดกระโปรงหลังรถให้


“มีไรจะใช้อีกมั้ยคับคุณนาย” ผมพูดประชดแม่ไปนึงดอก แม่ก็ตีหลังผมดังตั้บ


“ไม่มีแล้วยะ - - พูดแบบนี้แม่ไม่ปลื้มนะ” แม่บอก


“อืม เมื่อกี้ว่าจะบอกอะไรนะ ดูซิลืมเลย” พูดพลางทำหน้าคิด


“งั้นแม่นึกได้แล้วตามไปบอกที่ห้องปริ้นนะ จะนอนซักงีบ” ผมบอกแล้วก็เดินย้อนกลับห้องไป


“นี่ เย็นแล้วยังจะนอนอะไรให้ตะวันทับตาอีก” เสียงแม่ตะโกนมาไวๆ แต่ผมก็ปิดประตูห้องไปเรียบร้อย แล้วก็เดิน

มาหยุดที่ที่เตียงนอนที่มีเสื้อนักเรียนวางแผ่อยู่ เสื้อตัวนี้เป็นตัวซื้อมาแล้วผมก็ได้ใส่แค่ครั้งเดียว เป็นตัวที่ใส่ไปโรงเรียนในวันแรก แล้วก็จัดการเก็บเข้าตู้ไปเลย เพราะอะไรอะเหรอ


ก็เพราะว่าอักษร พ.บ. ที่ปักอยู่ตรงหน้าอกเสื้อนั่นแหละ ดูก็รู้ว่าเป็นงานแฮนด์เมดที่ปักเสร็จภายในคืนเดียว
อย่างแน่นอน ผมเลื่อนมือไปลูบเส้นด้ายสีน้ำเงินที่ปักลงบนเสื้ออย่างหยาบๆ เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ
ของคนที่ทำให้ในคืนนั้น


บรื้นนนนน เสียงเปิดประตูหน้าบ้าน พร้อมกับเสียงรถกระบะของลุงสนขับเข้ามา ผมก็ชะโงกหน้าไปดูทาง
หน้าต่าง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใคร เลยกลับมาใส่ใจกับเสื้อต่อ ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจก็ไม่ทราบ เลยค่อยๆแกะ
กระดุมเสื้อนักเรียน แล้วก็เอามาสวมเข้ากับตัว ผมเห็นตัวเองอยู่ในกระจกแล้วก็นึกขำ


-เฮ้อ หน้ากูไปแล้วซิเนี่ย ชุดนักเรียนยังไม่สามารถช่วยได้ - -‘’ เหอๆ - คิดไปคิดมา ก็ล้มตัวลงนอนทั้งชุดนั้น
เลย


- ขอหลับซักตื่นหนึ่งเหอะ ง่วง... –


.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 27-10-2006 12:06:26
ฮือ... บลูใจร้ายอีกแล้ะ  :serius2:

ทำไมมันเศร้าๆ นักก้ไม่รู้ ไหนบอกไม่เศร้างัยบูล  :pigangry2:

อืมมม  :confuse:

ัมันก็ไม่เศร้านะ แต่เหงามากกว่าอะ  :impress:

 
อยากกลับไปตอนเป็นเด็กอีกจัง


เฮ้อ คิดแล้ว...:seng2ped:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-10-2006 20:55:43
อืม  หลงเข้ามา  เพิ่งตามอ่านจบอะ  คนแต่งเก่งจัง  เขียนได้ดีเลยนะคะ  แต่บางตอนแบบ แฮะ แฮะ  ไม่คุ้นอะ มากเกินกว่าที่คิด หุหุ 
แต่อยากอ่านต่อแย้ววว  เรย์มาต่อให้หน่อยจิ   :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 27-10-2006 23:01:33
ตกลงจะเศร้าหรือเหงาน้อ หมูพูห์ มาม๊ะ เด่วเรย์จะปลอบ  :give2:

ไอ้ตอนที่ว่า ชอบหรือไม่ชอบกันแน่ครับ  :kikkik:
ผมอ่านมาเป็นปีแล้วจำไม่ได้เหมือนกันว่าตรงไหนเอิ้กๆ  :angellaugh2:

แต่ทำจายดีๆนะครับ เรื่องกำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆ   :impress3:










**********************************************************
ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ


-โอ้ย ครายมาเคาะประตูว้า คนกะลังนอน- ผมคิดในใจ มือก็ควานหาผ้าห่ม ตอนนั้นนึกว่าตัวเอง


เข้านอนเรียบร้อยแล้วอีกตะหาก ทั้งๆที่นอนอยู่ในชุดนักเรียนแอ๊บแบ้ว


ก๊อกๆๆ


“อื้อออ ... ” ผมครางในลำคอ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะลุกไปเปิด แต่ก็พอจะรู้ว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาแล้ว


“อีก 5 นาทีน่าแม่” ผมบ่นเสียงอู้อี้ เพราะนึกว่าเช้าแล้ว


“ลุกไปกินข้าวได้แล้วปริ้น” อ้าวไม่ใช่เสียงแม่กูนี่หว่า


ผมผวาลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่เป็นเพราะว่าห้องมันยังไม่ได้เปิดไฟ ทำให้หัวยังหมุนติ้วๆ พอสายตา
เลยคุ้นชินกับสภาพห้องแล้วเท่านั้นแหละคับ ถึงกับช็อค


“อ..โอ้ต” ผมพูดแต่เหมือนกับเสียงมันออกมาแค่ลำคอ มันกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย หรือว่าที่ลุงสนกลับมา
เหมือนตอนเย็นคือไปรับโอ้ตจากกรุงเทพมาวะ แล้วทำไมปีนี้มันถึงกลับมาล่ะเนี่ย ทำมาย ทำมาย ในขณะ
ที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก โอ้ตมันก็เดินไปเปิดไฟให้สว่าง


คราวนี้ชัดเลย ไอ้โอ้ตชัดๆ ไม่ใช่ผี อย่างที่รู้ๆกันว่า ตั้งแต่งานศพพ่อผมตั้งแต่ตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็เกือบ
6 เดือนที่ไม่ได้เจอมัน หน้าใส หุ่นดีขึ้นเป็นกอง มาดเป็นเด็กเภสัชเด้งพลวดออกมาเลยทีเดียว พอเห็นผม
ทักด้วยเสียงแปลกๆ โอ้ตก็ยิ้มหน้าเจือนๆบอกไม่ถูก


“จะทุ่มหนึ่งแล้ว คุณยายท่านให้ตามไปกินข้าวเย็นที่เรือนใหญ่น่ะ” โอ้ตบอก บ้าชะมัด เวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
มันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหรอไง พอมาเจอโอ้ตในตอนนี้ ผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก เหมือนมีก้อน
สะอึกขนาดใหญ่มาขวางกลางลำคอยังไงยังงั้น พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูก (เคยเป็นกันมั้ยเวลาเจอแฟนเก่า หึหึ)


“อือ” ผมตอบได้แค่นั้น แล้วก็พยุงตัวลุกขึ้น


“เออ .. ”


“อะไร ? ” ผมมองหน้ามัน


“ไม่เปลี่ยนเสื้อเหรอ” มันมองมาด้วยสายตางงๆ ทำให้ผมรู้ตัวว่า ตอนนี้กูใส่อะไรอยู่เนี่ย อายชิบหาย กูทำอาราย
ไม่น่าเลย ฮื้อๆ


“อ่อ คือ - -” ผมรีบถอดเสื้อนักเรียนที่ใส่ออกอย่างรวดเร็ว ขว้างใส่ตู้เสื้อผ้าปิดดังปัง


“ไปก่อนเหอะ เด๋วขอล้างหน้าล้างตาก่อน ไม่ต้องคอยหรอก ” ผมบอกโอ้ต ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนเสียง
ที่ผมพูดออกไปกลับฟังดูแข็งๆยังไงชอบกล จนโอ้ตมันดูหน้าเสีย แต่ก็หันหลังปิดประตูกลับไป


- เฮ้อ ... เอาไงดีวะกู ทำตัวไม่ถูกเลย- ผมคิดในใจ แล้วก็เดินไปล้างหน้า ไม่อยากให้มันเห็นเราในสภาพนี้
เลยพับผ่าซิ กลัวมันหัวเราะอยู่ในใจจัง คิดแล้วผมก็ถอนหายใจอีกที แต่ทำไมต้องไปแคร์ด้วยล่ะวะ


ประมาณ 10 นาทีได้ ก็เดินออกมาขึ้นเรือนใหญ่ ระหว่างขึ้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะครึกครื้นเครง เหมือนมีคน
อยู่กันเยอะแยะไปหมด พอเดินขึ้นไป ก็พบคนที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าอยู่ 3-4 คน นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
ยายกับแม่ผมก็นั่งร่วมวงกันอยู่ด้วย


“เอ้า ปริ้นมากินข้าวเร็ว พี่ๆเค้าแย่งกินกันจนจะหมดอยู่แล้ว” ยายยิ้มเรียกผมให้ไปนั่งที่โต๊ะ


“ - - วันนี้กินกันหลายคนหน่อยนะ เพื่อนเจ้าโอ้ตเค้าลงมาเที่ยวกัน ”


“เพื่อนพี่อยากมาเที่ยวทะเลอ่ะ อยู่เหนือไม่มีทะเล” เสียงโอ้ตบอกผมขำๆ แต่ผมไม่ขำด้วย


“- - นี่น้องเรา ชื่อปริ้น” โอ้ตแนะนำตัวผมในฐานะน้องชาย (?)ให้เพื่อนๆเค้ารู้จัก แล้วก็หันมาหาผม


“ปริ้นนี่พี่ฟาง” โอ้ตชี้ไปทางผู้หญิงที่ดูท่าทางเด็กเรียนเรียบร้อยคนนึง


“หวัดดีคับ” ผมยกมือไหว้


“สวัสดีคะ” พี่ฟางยิ้มให้


“พี่แนน ”


“หวัดดีคับ”


“ดีคะ ”


“นี่พี่น้อต” โอ้ตแนะนำให้รู้จักผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆพี่แนน


“คับ”


พี่น็อตยิ้มพยักหน้าให้ แล้วก็เหลือคนสุดท้ายที่ผมพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างเล็กน้อย ทั้งๆที่
อยากจะลืมก็ตามที


“แล้วนี่พี่เต” โอ้ตบอก


“สวัสดีครับ” ผมเผลอพูดซึ่งดูออกจะเต็มยศต่างจากคนอื่นไปซักหน่อย


“สวัสดีคับ” พี่เตบอกแล้วก็ยิ้มให้


พอแนะนำตัวอะไรกันเสร็จ ผมก็เดินไปนั่งกินข้าว ยอมรับว่าเป็นมื้อที่กินแล้วอึดอัดที่สุดในชีวิต
ก็ว่าได้ ได้เจอโอ้ตก็ว่าตกใจแล้ว ไม่คิดว่ามันจะพาแฟนใหม่กลับมาด้วยนี่ซิ แล้วด้วยความซวย ทำไม
ไอ้เตนี่ต้องมานั่งข้างๆผมด้วยวะ


ผมกินข้าวไปได้แค่ครึ่งจานก็รู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว ผะอืดผะอมพิลึก เลยจัดการวางช้อนส้อม แล้วก็
ทำท่าจะกินน้ำ


“น้องปริ้นอิ่มแล้วเหรอครับ” พี่เตถาม เมื่อเห็นว่าผมจะเลิกกินแล้ว


“ครับ” ตอบเสร็จ ผมก็รีบเลื่อนเก้าอี้ แล้วก็เดินลงจากเรือนใหญ่ทันที จริงๆแล้วทั้งโอ้ต ทั้งเพื่อนๆเค้า
ก็กินกันตามปกตินั่นแหละ ไม่ได้มีทีท่าจะเอาอกเอาใจอะไรกันเป็นพิเศษ แต่บอกตามตรงว่าผมเห็น
สองคนนี้แล้ว ทำให้คิดถึงภาพที่ผมเห็นตอนที่เค้าเอาอกเอาใจกันที่เชียงใหม่คราวนั้นชัดเจน


ปั้งงง


ประตูห้องถูกผมปิดด้วยความแรง มันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จริงๆคับ มันอึดอัดจนอยากตะโกนออกมา
แต่ก็ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายแล้วก็มีแต่เพียงหยดน้ำตาที่ค่อยไหลรินออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมทรุดตัว
ลงเบาๆกับพื้นห้อง ทั้งที่ผมคิดว่าพอเข้าใจโอ้ตแล้วแท้ๆ ตั้งแต่ผมได้อ่านไดอะรี่ของมัน ทำให้รู้ได้ว่า
ความรักที่โอ้ตมีให้กับปิง กับความรักที่มีโอ้ตมีให้กับผมมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ...อ่านจบ ผมร้องไห้
ให้กับความรักของเค้าทั้งสองคน โอ้ตกับปิงเป็นความรักที่สดใส บริสุทธิ์ เป็นตัวของตัวเอง แต่กับผม
มันช่างแตกต่างกันอย่างบอกไม่ถูก แล้วถ้าโอ้ตไปเจอคนที่คิดว่าใช่ที่โน่น คนที่มันจะได้แสดงตัวตน
ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ผมก็ไม่น่าจะต้องฉุดรั้งมันไว้เลยนี่นา ทั้งที่ผมคิดได้แล้ว แต่พอมาเจอเค้าทั้ง
2 คนอยู่ด้วยกัน ผมกลับทำใจไม่ได้


- เย็นไว้ ไอ้ปริ้น ฮะ ฮึกก ย ...เย็นไว้ - ผมนึกเตือนตัวเองในใจให้หยุดสะอึกสะอื้นซะที


- ก.. กลับไปคุยกะโอ้ตให้รู้เรื่องซะ - จิตใต้สำนึกผมเตือน - - จะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจกันอีก


สมองสั่งให้ขาผมก้าวออกจากห้องนอนตัวเอง เป็นเวลาเดียวกันกับที่โอ้ตเดินเข้ามาในบ้านพอดี อะไรจะ
ประจวบเหมาะขนาดนั้น ดูเหมือนโอ้ตมันจะชะงักไปเหมือนกันที่เห็นผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับ
รอยคราบน้ำตา


“.. ปริ้น โอ้ตเดินเข้า”มาจับตัวผมไว้ แต่ผมก็ผละออกมา


“ว่างมั้ยโอ้ต” ผมถามพลางรีบปาดน้ำตา “- - ออกไปคุยอะไรกันข้างนอกบ้านหน่อยดิ อยู่ในนี้เด๋วแม่กลับมา
จะไม่สะดวก” ผมบอก แล้วก็เดินออกไปรอโอ้ตที่ม้านั่งนอกบ้าน ซักพักโอ้ตก็เดินมาหา แต่ก็ยังยืนนิ่ง
รอให้ผมพูด


“พี่เตน่ารักเนอะ ? ” กลับกลายเป็นว่าเหมือนผมพูดประชดไอ้โอ้ตซะอย่างงั้น ทั้งๆที่ตอนแรกไม่ได้คิด
จะพูดคำๆนี้ขึ้นมาเลย


โอ้ตหน้าเจือนขึ้นมาทันที แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ทีละน้อย แต่ก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัวผม


“โอ้ต ... - - ส..สัญญาที่เคยให้ไว้ ร....เราขอมันคืนได้มั้ย” ผมบอกเสียงค่อนข้างสั่น ไม่ใช่เพราะอากาศหนาว
ข้างนอกนี้ แต่มันสั่นออกมาจากข้างในต่างหาก


“อ...โอ้ตจะได้ไม่ต้องลำบากใจ เพราะ....เราอีก” ผมพูดไปอย่างยากลำบาก คำแต่ละคำที่ออกจากปากไปเหมือน
กับจะละลายหายไปกับอากาศ เมื่อโอ้ตเหมือนจะไม่สนใจฟังในสิ่งที่ผมพูด เมื่อมันเดินเข้ามาโอบกอดผมไว้
แน่น


“อย่าพูดแบบนี้ ปริ้น อย่าพูด.....โอ้ตไม่อยาก - - ฮึกฮืก” โอ้ตก้มหน้าซุกลงมาที่ไหล่ผม พลางสะอื้นเบาๆ
มันทำให้ผมเขื่อนแตกตามไปด้วย ทั้งหยั่งงั้น ผมก็เอามือลูบหลังโอ้ตเบาๆเหมือนจะปลอบ ทำไมผมต้อง
กลับกลายเป็นปลอบมันด้วยวะ ทั้งๆที่ตัวเองก็เศร้านะว้อย


“ มันอาจไม่ดีตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ที่เราคบกัน ” ผมกระซิบที่ข้างหูโอ้ตเบาๆ สองมือกอดตัวโอ้ตไว้แน่น
ตัวมันใหญ่ขึ้น หนาขึ้น แล้วก็อบอุ่นขึ้นกว่าครั้งที่ผมกอดมันครั้งล่าสุด แต่ตอนนี้โอ้ตกลับตัวสั่นระริก


“- - ต... แต่ ปริ้นก็ไม่เคยเสียใจเลยนะ ฮึก อ .. โอ้ตทำให้เรารู้ว่า รักมันเป็นยังไง” ยิ่งผมพูด น้ำตามันก็ยิ่งไหล
มากกว่าเดิม แต่ทำยังไงได้ ....


“อะ.. โอ้ต รักปริ้นนะ” โอ้ตพูดเสียงอู้อี้อยู่ตรงข้างไหล่ผม สองมือกอดแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ


“- - ข ... ขอโทษนะ ปริ้น - - โอ้ต ฮึก อึก โอ้ต ขอโทษขอโทษที่รักษาสัญญาไม่ได้”


ผมค่อยๆเลื่อนตัวโอ้ตให้หันมามองหน้า พร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หยดติ๋งๆไม่ขาดสาย


“ไม่เป็นไร.. จริงๆนะ ดีแล้ว ที่โอ้ตรู้ใจตัวเอง” ผมพูดไป ก็พยายามจะไม่น้ำตาไหลแข่งกับมันไป เฮ้อ
ลำบ้าก ลำบาก


“- - ยังไง ปริ้นก็เป็นน้องโอ้ตอยู่วันยังค่ำ” ผมค่อยๆเอามือลูบหัวมันเหมือนกับที่โอ้ตเคยปลอบ
ผมเวลาโยเย โอ้ตยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา ดูท่ามันจะค่อยผ่อนคลายความตึงเครียดไปบ้าง สายตาที่
มันจ้องผ่านดวงตาของผมเหมือนจะค้นหาความในใจอะไรบางอย่าง พร้อมๆกับที่มันยกมือมาจับ
ที่หน้าผมไว้ แล้วก็ค่อยๆบรรจงแตะริมฝีปากกับปากผมอย่างแผ่วเบา แล้วก็ถอนออก


“ข.. ขอโทษ” มันว่าแล้วก็ค่อยๆดึงตัวออกไป


“กลับเข้าบ้านเถอะ” ผมบอกมัน เพราะนี่ก็คุยกันนานพอสมควรแล้ว “อีกอย่างพรุ่งนี้โอ้ตมันก็ต้อง
ขับรถพาเพื่อนไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อีก”


พอผมแยกจากโอ้ตที่ก็กลับเข้าไปในบ้านมันแล้ว ก็เจอแม่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก โชคดีไป
เพราะไม่งั้นต้องเห็นหน้าลูกชายเต็มไปด้วยคราบน้ำกาม เฮ้ย น้ำตาแน่ๆ


“หายไปไหนมาล่ะ”


“ออกไปนั่งคุยไรกะพี่โอ้ตนิดหน่อยอ่ะ ”


“แล้วพรุ่งนี้จะไปเที่ยวกับโอ้ตเค้าด้วยมั้ยล่ะ” แม่ถาม


“คงไม่ล่ะ อยากนอนมากกว่า” ผมบอกแล้วก็ขอตัวกลับเข้าห้องตัวเองไป พอเข้าห้องได้เท่านั้นล่ะ
ผมทรุดลงไปกองอีกรอบเลย ถึงจะพยายามทำตัวเข้มแข็ง พูดกับโอ้ตไปแบบนั้นก็เหอะ แต่ใจจริงๆ
ผมก็ยังคงรักมัน ขาดมันไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายก็ได้แต่ต้องมานั่งร้องไห้คนเดียว เห้อ อนาถจังกู


ก๊อก ๆ ๆๆ


“ค๊าบ” ผมขาน เพราะนึกว่าแม่มาเคาะประตู แต่กลับเป็นไอ้โอ้ตคับที่มาเสนอหน้าอยู่


“อะไร ? ” ผมถามพลางหลบสายตา แบบว่าไม่อยากให้มันรู้ว่าผมมาฟูมฟายกะตัวเองอีกรอบ


“มาขอนอนด้วย” มันอ้อมแอ้มบอก


“ทำไมอ่ะ ? ”


“ที่บ้านโอ้ต พวกนั้นมันนอนกันเต็มแล้ว” มันว่า


“แล้วทำไมไม่นอนกับแฟนล่ะ” ว่าแต่ทำไมผมต้องพูดประชดด้วยวะ


“ไม่รู้ ” มันพูดแล้วก็เบียดตัวเองเข้ามาในห้องเลย “- - เฮ้ย ยังไม่ได้บอกให้เข้ามาเลย”


“เดี๋ยวนี้ต้องขออนุญาตเข้ามาแล้วเหรอ” มันพูดแล้วก็ยิ้มให้ ท่าทีเศร้าๆที่อยู่ข้างนอกหายไปไหนหมดวะ


“ก็ใช่ดิ ก็ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ผมบอกมัน พลางจับแขนมันให้ออกไป แต่ด้วยความที่
มันตัวใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด กลับเป็นฝ่ายดึงตัวผมล้มลงไปบนที่นอนแทน แล้วมันก็เสือกขึ้นมา
นอนกอดตัวผมไว้


“ยังไง ปริ้นก็เป็นน้องชายสุดที่รักของโอ้ต ” มันพูดแล้วก็กอดผมแน่นยิ่งกว่าเดิม จนผมหมดแรงที่จะดิ้น
สาธุ ขอให้แฟนมึงเปิดมาเจอ


“อือมั้ง” ผมว่าทำเป็นไม่พอใจ


“อย่ามั้งซิ” มันว่าพลางเอามือมาจี้เอวผมซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์


“เฮ้ยยยย โอ้ยย โอ้ต ไอ้โอ้ต - - ”


มันจี้เสร็จก็รวบตัวผมไว้เหมือนเดิม แล้วก็หัวเราะ ก็เหมือนทุกที มันเอามือมาขยี้หัวผมตามแบบที่
มันชอบ


“ปริ้น ไม่เจอกันตั้งนาน รู้มั้ย ว่าน่ารักขึ้นมากเลย - - ไม่เกรียนเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย” มันเอามือมาไถๆที่หัว


“พูดมากน่า - - จะนอนได้ยัง” ผมพูดกลบเกลื่อนความอาย


“อืม นอน” มันพูดเสร็จก็เอื้อมมือไปปิดสวิตไฟ


“ปริ้น ... ”


“ฮือ? ”


“ขอโทษนะ ... ” มันเอามือมาจับที่มือผมกำไว้


“อือ ... ” ผมบีบมือมันให้รู้ว่าเข้าใจ ซักพักนึงก็ได้ยินเสียงมันกรนเบาๆ อาจเป็นเพราะว่าเดินทางมาทั้งวัน
ก็ได้มั้งเลยหลับเร็ว จนผมแน่ใจว่ามันหลับสนิทแน่แล้ว ก็หันกลับไปหามัน แล้วก็เป็นฝ่ายซุกเข้าไปซบ
ที่หน้าอก


ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมยิ่งต้องขยับตัวเข้าแนบชิดคนข้างๆมากขึ้น ไออุ่นจากตัวโอ้ต
ยังทำให้รู้สึกเชื่อมั่นว่า ยังไงโอ้ตก็ไม่มีวันที่จะทิ้งผมไปแน่


“อ..โอ้ต - - น้องชายคนนี้ก็รักพี่โอ้ตมากเหมือนกันนะ”
.

.

.

.

by staying power
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-10-2006 04:40:19
ซึ้งอะ  ว่าแต่เรื่องนี้มันจบไปแล้วใช่ปะ หรือว่ายังไม่จบอะคะ  ต่อเรยยยย  รออยู่  อิอิ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 28-10-2006 10:19:05
เอ่อ... บลู มันจะหนักกว่านี้มั้ยอะ

แบบว่า...

บอกไม่ถูกอะ... :confuse:

เหมือนเคยเจอกะตัวเองยังงัยไม่รู้อะ

เหงาจางงงงงงงง  :onion_asleep:







มาต่อไวๆ นะคับ

ปล.

เพลงเพราะจัง เข้ากะบรรยากาศนะ ขอบคุณครับบลู

พูห์








ปล. อีกที

ลืมตอบ...

ชอบนะเรย์ ชอบมากครับ

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: zsama ที่ 28-10-2006 12:19:00
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด...ตาปูดแข่งกันปริ้นซ์เลย  แต่เพราะไม่ได้นอนง่ะ...ง่วง

ขอหมกเม็นต์ไว้รอตอนจบดีกว่า....จะได้รู้ว่าตัวเองจะยังนึกไม่ชอบโอ๊ตอยู่อีกหรือเปล่า....

 :impress: อ่ะแหม่...ไอ้เรามันก็คนชมรมรักพระรองอยู่ด้วย (โดยเฉพาะพระรองละครเกาหลี)
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 28-10-2006 22:37:44
**************************************************************************************************


มูมู่น้อย  เรื่องยังไม่จบครับ ผมยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปเลย คาดเดาไม่ได้  :really2:
หมูพูห์ เรื่องนี่ยังแค่พึ่งเริ่มต้นความเศร้าเองครับ รุนแรงกว่านี้หลายเท่าตัวครับ  :impress3:
คุณหลวงศรีฯ  ชอบใครหล่ะครับ ท่าทางจะมีพระรองหลายคน เรื่องยังไม่จบง่ายๆหรอกครับ ลองเดามาสิครับเพื่อจะตรงใจกับผม  :yeb:

.
.

ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เป็นตอนสายแล้ว ที่นอนที่มีคนอยู่ข้างๆเมื่อคืนกลับว่างเปล่า
สงสัยจะตื่นไปเที่ยวกันแล้วมั้ง ผมคิดในใจพลางปิดขี้เกียจบนที่นอน กลิ่นโอ้ตยังติดอยู่
ที่หมอนบางๆ ทำเอาใจลอยไปไกล ก่อนที่จะต้องสลัดความคิดนั้นออกไป


“ปริ้น ....เจ้าปริ้นตื่นเหรอยังลูก?” เสียงป้าเล็กดังอยู่หลังประตู


“ตื่นแล้วป้า” ผมตะโกนตอบไป


“ป้าให้เจ้าโอ้ตไปซื้อปาท่องโก๋กับนมมา รีบขึ้นไปกินบนเรือนใหญ่นะจ๊ะ เดี๋ยวเค้าจะ
ออกไปกันแล้ว” ป้าเล็กเอิ้นบอกก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านตัวเองไป ป้าคงไม่รู้ว่าผม
ไม่ได้ไปเที่ยวกะเค้าด้วย


พอผมเดินขึ้นไปบนเรือนใหญ่ก็เจอพวกเพื่อนๆโอ้ต นั่งกินกันเอร็ดอร่อยกันเลยทีเดียว
เห็นโอ้ตกำลังเดินแจกปาท่องโก๋เพิ่มกันคนล่ะตัวสองตัว


“อ้าว ปริ้น มานั่งนี่มา รีบๆกินเดี๋ยวเหนียวหมด” โอ้ตบอกแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ให้ ซึ่งก็ให้
นั่งตรงข้างๆพี่เตอีกแล้ว อะไรวะเนี่ย


“เอากี่ชิ้นดีครับ ” พี่เตถามผม เพราะว่าถุงปาท่องโก๋อีกถุงอยู่ใกล้ๆ เค้า ทำไมวันนี้ดูหน้าซีดๆ


“3 ตัวก็ได้ครับ - - ขอบคุณคับ” ผมบอกแล้วก็ไหว้ทีนึงหลังจากที่พี่เค้าหยิบมาใส่จานให้
แล้วก็ทำท่าจะหยิบน้ำเต้าหูมาใส่แก้วให้อีกตะหาก เป็นคนดีจริงนะ ! แต่ ...- -


“เต - - ปริ้นไม่กินน้ำเต้าหู้ ” เสียงโอ้ตบอกพี่เต ทำเอาชะงัก แล้วโอ้ตมันก็หยิบถุงโอวัลติน
ร้อนมาเทใส่แก้วให้แทน


“ขอบใจ”


“น้องปริ้นไม่กินน้ำเต้าหู้เหรอครับ อร่อยนะ มีประโยชน์ด้วย” พี่เตบอก ผมก็สั่นหน้า


“ไม่อ่ะคับ ผมเลือกกินของที่ชอบมากกว่าของที่มีประโยชน์มาก่อนอ่ะคับ ”


นิสัยเป็นงี้จริงๆ


ผมบอกเค้าแล้วก็รีบยัดๆของกินเข้าปาก อยากไปไหนก็ได้ไกลๆแถวนี้จังวะ หงุดหงิด
ยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องมาคอยปั้นหน้าทำเป็นไม่รู้สึก ไม่รับรู้อะไร ทั้งๆที่ใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
แล้วยิ่งพี่เตอะไรนี่มาคอยทำดีกับผม ยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่


“กินเสร็จแล้วรีบไปแต่งตัวให้ไวเลยนะ ” โอ้ตบอก


“อะไร ? ”


“ก็เนี่ย เดี๋ยวพวกพี่ๆ เค้ากินกันเสร็จแล้ว ก็จะไปเที่ยวกันแล้ว ”


“แล้วไง ? ”


“แล้วปริ้นไม่ไปเหรอ” โอ้ตขมวดคิ้ว


“อืม ก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆเหอะ ขี้เกียจออกจากบ้าน” ผมว่า แล้วก็เดินลงมาจากเรือนใหญ่
มาเล่นกับหมาข้างล่างดีกว่า .... ( ผมคงไม่ได้บอกว่า ที่บ้านนี้เลี้ยงหมาไว้ประมาณ 4-5 ตัว
ได้ จากเดิมที่ยายเลี้ยงไว้ 3 ตัว แล้วตอนผมย้ายมาที่เพชรฯก็ขนหมามาด้วยอีก 2 ตัว)


“ซีซ่า ... ” ผมตะโกนเรียกไอ้หมาอ้วนพันธุ์โกลเดนรีทริปเวอร์ ซักพักมันก็วิ่งดุ๊กๆ มาเลียมือ
แล้วก็มาพันแข้งพันขา มันคงรู้แหละว่าอารมณ์ผมไม่ค่อยดี ด้วยสัญชาตญาณ


“หูย ไมอ้วนแบบนี้เนี่ย ... ลุงสนไม่พาไปวิ่งข้างนอกอะดิ โหย ไอ้อ้วน” ผมพูดพลางลูบไล้
ขนสีน้ำตาลออกแดงที่เป็นมันอย่างชื่นชม ถึงแม้จะอ้วน แต่ก็ดูดีมีชาติตระกูล


“เน่ ..ทำไมเมื่อวานคนที่มาๆกัน แกไม่กัดพวกนั้นมั่งวะ ”


“ปริ้น ไม่ไปแน่เหรอ ” เสียงโอ้ตตะโกนมาจากรถกระบะลุงสน


“เออ” ผมตอบกลับไปเชิงรำคาญ ไม่ไปก็ไม่ไปเซ่ !! ซักพัก ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูแล้วก็เสียงรถ
ค่อยๆเคลื่อนออกไป เห้อ ออกไปได้ซะที่ กูจะได้กลับขึ้นไปกินต่อ ยังไม่อิ่มเลย คิดแล้วก็ละทิ้ง
หมาอ้วนเดินขึ้นไปบนเรือนใหญ่อีกครั้ง


“ยาย มีอะไรกินบ้างอ่ะ” ผมทัก


“เมื่อกี้ยังกินไม่อิ่มอีกเหรอ เห็นเดินลงไปก็นึกว่าอิ่มแล้ว” ยายบอก “- - เหลือแต่น้ำเต้าหู้ 2 ถุง”


“แหวะ - - งั้นไม่เอาอ่ะยาย เหม็นจาตาย กินแล้วอยากอ๊วก ” ผมว่าพลางทำท่าอาเจียน


“มาอ้งมาอ๊วกอะไรกัน ของดีๆมีประโยชน์” ยายผมว่า แล้วก็เทน้ำเต้าหูถุงนึงลงแก้วมาดื่มเอง


“แหม ยาย มันก็ใช่ว่ามีแค่น้ำเต้าหู้ที่มีประโยชน์อย่างเดียวนี่นา - - กินอย่างอื่นแทนบ้างก็ได้หรอก”


“ยะ .. ” ยายเชิดใส่ แล้วก็หันไปดื่มต่อโดยไม่สนใจ ผมรู้แล้วล่ะว่า แม่ติดคำๆนี้มาจากใคร

.


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-10-2006 17:46:49
โห.. เอามาต่อกระปิดกระปรอย  ใจร้ายยยย   ต่อเลยน้า  อยากอ่านอะ นะนะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 30-10-2006 11:46:58
เหอ เหอ :untrust:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: actboyz ที่ 30-10-2006 14:39:06
รีบ ๆ มาต่อนะ รออ่านอยู่
จะลงแดงอยู่แย้วอ่า... (เอ๊ะ ! อันนี้ดูเว่อร์ไปแฮะ เหอ ๆ แต่เอาเปงว่ารออ่านอยู่นะ ชอบมาก ๆ)
 :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-10-2006 15:55:30
~YO_OY~ ผมชื่อเรย์อ่ะครับ หมูพูห์ก็ต้องคู่กับภูมิสิครับ ถ้าเป็นอย่างที่โยบอก งี้โยก็ต้องรอพี่โบ้แล้วหล่ะ  :pigha2:

มูมู่น้อย  แหงะก็เห็นอ่านกันไม่ทันนี่น่า รอให้ลงชื่อกันครบแล้วผมจะต่อนะครับ นี่เหลือขุนหลวงศรีอีกคนแหนะ แต่อ่ะๆต่อให้ก่อนก็ได้  เอิ้กๆ

หมูพูห์  งอนโยหรือ  :interest:

actboyz ยินดีได้รู้จักครับ ชื่อไรครับ อ่านทันแล้วหรือครับ
***********************************************

.

.

ติ้ดดด ติ้ดดดดดดด ติ้ดดดด


“ว่าไงซัง” ผมรับมือถือ


“กลับมาเพชรฯแล้วนา ” มันบอก


“เอ้า จิงดิ ไหนว่าจะมาวันพรุ่งนี้ไง” ผมถามแต่ในใจก็ดีใจอะนะ “- - แต่ช่างเหอะ ขับรถมารับ
ที่บ้านหน่อยเด๊ เซ็ง”


“เป็นไรเซ็ง ... ”


“เอาน่า เด๋วจะเล่าให้ฟัง” ผมบอกพลางเร่งให้มันขับรถที่บ้านมันจากในเมืองมาชะอำ ก็ประมาณ 30 นาที
ก็ถึงถ้าเป็นรถส่วนตัว


“ไอ้คิวอ่ะ ? ” ผมถามเมื่อเห็นซังวนรถเข้ามาจอดในบ้าน เห็นมันมาคนเดียว ปกติเห็นตัวติดกันตลอด


“วันนี้มันมีสอบมิดเทอมอีกตัว พรุ่งนี้แหละถึงมา - - ว่าแต่มีเรื่องไรเซ็ง ไหนบอกมาดิ๊” ไอ้ซังสมกะเป็น
เพื่อนซี้จริงๆ เห็นหน้าผมปราดเดียวก็รู้ เลยชวนมันเข้าไปนั่งคุยกันในบ้าน


“ซังอยากเห็นหน้าไอ้เตอะไรนี่จัง ” ซังพูดเสียงฉุนๆนิดหน่อย เห็นปกติเข้าข้างไอ้โอ้ตอยู่นิมึง


“เด๋วพรุ่งนี้ถ้าโอ้ตมันพาเพื่อนไปโรงเรียนก็คงได้เจอล่ะ” ผมว่า “- - วันนี้พวกเค้าไปเที่ยวกัน”


ซังเหลือบมามองผม แล้วก็เอามือมาตบบ่า


“เอาน่า ปริ้น - - ซังก็ผิดหวังในตัวพี่โอ้ตเหมือนกันหว่ะ - - ผู้ชาย(?)ไม่ได้มีคนเดียวในโลกเว้ย”


“อยากให้ไอ้คิวมันลองไปมีชู้ดูมั่งจัง จะพูดแบบนี้ได้เป่าน้า” ผมล้อ


“เหอๆ ลองดูซิ จะเขวี้ยงระเบิดให้บ้านบึ้มเลย ”


“โหดนะเนี่ย แต่เทรนดี้ดี ”


“แล้วนี่ให้ซังขับรถมาถึงนี่ คงไม่ใช่ว่าแค่มานั่งฟังอยู่แค่นี้หรอกนะ ” มันว่า


“เออ ... กลับมาบ้านยังไม่ได้ออกไปไหนเลย (นอกจากไปโรงเรียน) ไปเดินเล่นสวนสนฯกัน”
ผมว่า


“หาดชะอำใกล้ๆก็มี ทำไมไม่ไปเดินฟ่ะ ” ไอ้คิวบอกแล้วก็มองดูนาฬิกาข้อมือ “- - ไปเดินตอน
เที่ยงๆเนี่ยนะ ดำตายห่า”


“กลัวอะไรวะ กะอีแค่ดำ” ผมบอกมันพลางฉุดมือให้ลุกขึ้นไปที่รถ แต่ผมเป็นฝ่ายขับเอง เพราะ
มันไม่ค่อยคุ้นเส้นทาง ผมก็ขับไปตามเส้นทางสายเก่าคับ เส้นหัวหิน ไปเรื่อยๆ ก็คุยเรื่องที่
เจอไอ้กรณ์แล้วก็เล่าเรื่องที่มันเล่าวันก่อนให้ฟัง


“ซวยของไอ้กรณ์ มีที่บ้านแบบนี้ ” ซังบอกแล้วก็ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เห็นด้วย


“- - ซังยังนึกภาพไม่ออกเลย ว่าไปงานแต่งมันนี่จะดีใจหรือเสียใจกะมันดี เฮ้อออ”


ผมหัวเราะแบบฝืนๆ


ขับเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงครับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดาแถมเป็นหน้าหนาวอีกตะหาก
หาดทรายเบื้องหน้า แถมมีทิวต้นสนอยู่รอบๆ จึงดูว่างเปล่าจากผู้คน เหมือนเป็นชายหาดส่วนตัว


“หูย ลมแรงได้ใจ” ซังว่า แล้วก็รีบกลับไปหยิบเสื้อกันหนาวจากในรถมาสวม


“ไม่ใส่เสื้อ(กันหนาว)เหรอปริ้น เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก ลมแรงขนาดนี้ ”


“ไม่อ่ะ ” ผมบอก แล้วก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นทราย แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน แต่เนื่องจากยังเป็นฤดูหนาว
อยู่ จึงมีเพียงแต่ลมที่พัดตึงๆเข้าใส่ มองไปเบื้องหน้า ท้องทะเลที่คลื่นค่อนข้างจะสูงอยู่พอสมควร


“ห้าววว ... อากาศน่านอนชะมัด” ซังบอกผม แล้วก็ทรุดตัวลงนอนข้างๆ


“เมื่อคืนหนักไปหน่อยเหรอวะ” ผมแซว


“บ้าดิ แม่ง ปริ้นทะลึ่งหว่ะ ” ไอ้ซังคว้าใบสนยาวๆแถวนั้นได้มาตี (ชาตินี้มันจะเจ็บมั้ย)


ผมนั่งทอดอารมณ์ไปเรื่อยๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย โดยมีซังนอนอยู่ข้างๆ ซักพัก ก็ได้ยินเสียง
กรน สงสัยเมื่อคืนจะหนักจริงแฮะ ผมยังคงนั่งมองทะเลเบื้องหน้าอยู่เงียบๆ คนเดียว จนรู้สึกว่า
ตัวเองก็ลุกขึ้นยืนทำไมไม่ทราบ สายตายังคงมองทอด(ใกล้ไหม้เต็มทน)ไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
ขาก็ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างอ้อยสร้อย


พอขาข้างนึงโดนน้ำทะเล ก็รู้สึกความเย็นจัด แต่ก็ยังไม่หยุดก้าวเดินไป ในสมองผม
ดูเหมือนจะโล่งว่างไม่มีอะไรในหัว รู้สึกแต่เพียงว่า ต้องเดินไป เดินไป เดินไป จนระดับน้ำ
ค่อยๆท่วมสูงขึ้นมาถึงบริเวณหน้าอก คลื่นสูงระดับหัวพัดเข้ามาอย่างจัง ทำเอาสำลักน้ำทะเล


กึก ..


!?


ผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ทำไมถึงเดินมาไกลถึงขนาดนี้ แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปซะแล้ว คลื่นลูกต่อมา
ในระดับ 2 เมตรพัดข้ามหัวจนผมเห็นเป็นกำแพงน้ำมหึมาพัดเข้ามากระแทกตัวอย่างจัง


โครมมมมม


“แค่กกก แค่กกกก” คราวนี้รู้สึกว่าตัวเองถูกพัดให้ล้มลงจนทำให้จมลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ผมพยายาม
ทะลึ่งตัวเองให้โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำได้สองครั้ง ก็จมลงไปอีก เพราะว่าคลื่นแรงมาก


ซ่า .... ตู้มมมม


“อุ๊บบบ ค่อกกกก .....!!! ”


ผมโผล่หัวขึ้นมาได้อีกครั้ง มองไปที่ฝั่งก็พบว่า ทำไมโดนพัดออกมาไกลขนาดนี้ได้ คลื่นอีกลูกก็พัดเข้า
ใส่หน้าจนแสบตาไปหมด ตัวผมเหมือนโดนดูดลงไปสู่ก้นทะเล ...


-ไม่นะ ผมยังไม่อยากตาย...-


- ผมจะมาตายแบบนี้ได้ไง !? -


“แค่ก แค่กก แค่ก” คิดได้ดังนั้น ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีกระชากตัวเองออกจากวังน้ำที่ดูดผมอย่าง
เอาเป็นเอาตายให้ลงไปยังเบื้องล่าง


“แค่ก ... ซ .. ซัง ช...ช่วย - -” โครมมมมม


โอ่ย ไม่สำเร็จ ! ผมเอาตัวเองขึ้นไปไม่ได้ - - จะมาตายแบบนี้ได้ไง (ผมเป็นพระเอกของเรื่องนะ
ถ้าตายไปแล้ว เรื่องก็ต้องจบนะเซ่ !? ม่าย... จบแบบนี้ไม่ปลื้ม !! )


จิตใต้สำนึกชักจะเลื่อนลางลงเต็มทน ในพะวังนั้น มีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่ได้ทำ มีอีกหลายอย่าง
ที่ผมยังไม่ได้เริ่ม มีใครอีกหลายคนที่ผมรัก แล้วก็ยังไม่อยากจากพวกเค้าไป ก่อนที่สติของตัวเอง
จะหลุดลอยไปนั้น ก็รู้สึกว่ามีมือใครซักคนมาคว้าคอผมเอาไว้ แล้วดึงขึ้นไปเหนือผิวน้ำ


แค่ก แค่ก แค่กกกก


“ปริ้น ทำใจดีๆเอาไว้ ” อ่า เสียงไอ้ซังคับ กูนึกว่ามึงจะตื่นมาตอนขึ้นอืดซะแล้น แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์
แล้วก็แรงจะพูดแบบนี้หรอก ไอ้ซังค่อยๆลากตัวผมขึ้นไปนอนกองอยู่ที่ชายหาด ลมพัดแรงมากขึ้นจน
ผมลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่หายใจครืดคราด เหมือนน้ำจะเข้าไปท่วมปอดยังไงยังงั้น


เพี้ยะ ไอ้ซังตบหน้าผมเบาๆคับ แล้วก็เรียกชื่อตลอด แต่แรงที่จะพูดจะทำอะไรตอนนี้เหมือนโดนดูด
เข้าไปในทะเลหมดแล้ว


“ปริ้น ตื่นดิ ตื่น” มันเรียกนึกว่าผมสลบอยู่ กูตื่นนานแล้ว


“อ้ายปริ้น ตื่น”


เพี้ยะ ๆๆๆ มันยังตีเข้าที่แก้มผมไม่หยุด แล้วมันก็เอื้อมมือมาบีบจมูกไว้คับ ไม่พูดพล่าม
ทำเพลง เอาปากมันมันประกบปากผมทันที พ่นลมเข้ามาดัง พรื้ดดดด


“แค๊กกก แค่กกกกก อ๊อกกก ... ” ผมกระเด้งตัวขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้ ซังมันเห็นผมฟื้น(?) ขึ้นมาได้ก็โผเข้ามากอด
ทันที


“ไอ้บ้าเอ้ย นึกว่าจะตายห่าแล้วซะอีก - - ฮะ ฮือ - - ลงไปทำบ้าอะไรวะ ไอ้บ้าปริ้น” มันกอดไปร้องไห้ไปพลาง


“ฮ.. เฮ้ย เมิง จา ร้อง ไห้ ทาม ไม” ผมค่อยๆพูดทีละคำกอดมันตอบ


“- - ก็รู้สึกตัวขึ้นมา อีกที ก็เห็นแค่หัวลอยอยู่ในทะเลโน่นแล้ว ไอ้บ้า มึงจะตามไอ้โสไปอีกคนเหรอไง”
มันไม่พูดเปล่ากอดตัวผมซะแน่นเชียว


“แค่ อยาก ลง น้ำ แค่ น้าน เอง” ผมตบหลังเบาๆ


“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจมั้ยวะ” มันกลับมาจ้องตาเขม็ง


“ระ รู้แล้ว น่า ปริ้น ยาง ม่าย อยาก ตะ ตายหรอก - - แต่ ตอนนี้ โคด หนาว เลยวะ ” ผมพูดไปปากก็สั่นไป
เพราะว่าชุดตัวเองตอนนี้เปียกปอนไปหมด แถมลมก็พัดไม่หยุดหย่อน


“เออ ๆๆ กลับๆๆ” ซังบอกผม แล้วก็ค่อยพยุงตัวไปที่รถ


กลับมาถึงบ้านตอนเย็นๆ ผมถึงกับนอนซมกันเลยทีเดียว โชคดีแม่ยังไม่กลับจากโรงเรียน
ซังเดินไปหยิบยาให้ผม


“ขอบใจหว่ะ ”


“อย่าทำอะไรห่ามๆอีกนะ สติสตางค์อ่ะให้อยู่กับเนื้อกับตัวมั่ง”


“อืม ” ผมรับปากแล้วก็รับยากลืนลงคอไป “- - สอนยังกะเป็นพ่อเลย”


“ไงก็รีบๆนอนแล้วกัน เดี๋ยวซังกลับแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ ” มันว่า


“เออ ไม่ต้องห่วงหรอก แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”


“เป็นห่วงนะเว้ย” ซังยื่นหน้ามาบอกผมอีกรอบ


“อืม ”


แล้วเย็นนั้นผมก็หลับยาวเพราะว่าไข้ขึ้น จนไม่รู้สึกว่าไอ้โอ้ตมันกลับมาตอนไหน หรือว่าทำอะไร
บ้าง ดีจัง


.

.






หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 30-10-2006 16:26:43
เฮ้ออออออ   :confuse:

ชอบทำให้อยากแล้วจากไปนะเรย์ :serius2:

เชอะ  :laugh:



ปล. ไม่ต้องโบ้ยภูมิมาให้ผมเลยนะครับ

ผมไม่อยาก...

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-10-2006 18:01:20
อีกแล้วววววว   ตกลงเรย์จะมาลงให้วันละตอนชิมะ  หลอกให้เราเข้าทู้นี่ทู๊กวันอะดิ   มาดูหมูพูห์ เรย์ แล้วก็โยโย่  ยัดเยียดอีตาภูมิให้กันอะ  หุหุ   :kikkik:

มาต่อเรยยยยยยยย  ให้ไว ให้ไว  แบบมันขาดตอนแล้วลืมอะ   ตอนเมื่อกี้ไม่อยากบอกว่านั่งนึกนะนั่นนะว่าซังนี่มันเป็นใครวะ ลืมซะงั้น  จำได้แต่น้องโค๊ก  เหมือนน่ารักดี   :give2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: zsama ที่ 31-10-2006 03:35:16
//กลับมาจากการอัพไฟล์โหลดไฟล์กระจุยกระจาย//

ฮัดเจ๊ยยยยย์....
' ใครนินทาวะ...'   หลวงศรีฯ คิดในใจ...และเมื่อมองขึ้นไปตรงข้อความเมื่อ: 30 ตุลาคม, 2006, 02:55:30 PM

เห็นคนคิดถึงจนทนไม่ไหว....คุณหลวงศรีฯ เลยแอบดีใจเล็กน้อยถึงปานกลางเนื่องจากกรงออกนอกหน้าไปเดี๋ยวเก๊กแตก....แล้วจึงเดินไปยืนเอามือไขว้หลังอมยิ้มมองดูอ่างบัวตรงบริเวณชานเรือน....

"คิดถึงก็บอกสิจ๊ะ....บลู...."

//ต้องหยอดนอกห้อง...หยอดในห้องที่จัดไวสีชมพูนั้น....มันไม่มันส์เฟร้ย//



"รักโอ๊ต...รักมว้ากกกกกกกกกกกเรยย์....."   สังเกตุได้จากไอค่อน >> (http://img.icez.net/ir/r4412144b.gif)

(http://img.icez.net/is/s4d6161fd.gif)  "ทำปรินซ์เจ็บ...ระวังตัวไว้ดี ๆ นะยะ....."   คุณหลวงศรีฯ องก์ชะนีลงทรง  บอกทั้งบลูทั้งโอ๊ต 

"ระวังชั้นจะตามไปตบด้วยจูบ"   ..... :kikkik:



ปล.  ถ้าบลูอยากได้เพลงประกอบละคร...ลอง ๆ ถามมาได้เน้อ...เผื่อคุณหลวงมี....
ปล ของ ปล. (ใครมันพาเขียน ปล. แบบนี้เป็นคนแรกหว่า  :confuse:)  ระวังเน้อ....โพสต์ช้า ๆ เนี่ย....เดี๋ยวจะแต่งเรื่องมาแข่งซะ (ทั้งที่ชีวิตมันไม่เคยรักใคร(จริง) - ไม่เคยมีใครมารัก(จริง)เลย....เศร้าเนอะ)
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-10-2006 08:00:05
หมูพูห์  ป่าวนะถ้าอยากจริง เรย์รออยู่นะ กร๊ากกกกกกกกกก

มูมู่น้อย  คิกคิก งี้ต้องรอให้พิมพ์อ่านทวนอีกรอบก่อน เอิ้กๆ รู้ทันเราเลยแหะๆก็เค้าอยากเจอมูมู่ทุกวันนี่น่า

คุณหลวงศรีฯ  แหงะอ่านช้าแล้วมาโทษผมอีกเอิ้กๆ จะตบจูบผมผมชอบๆๆ แต่ต้องทนหน่อยนะ เพราะผมชอบตีเข่า เขย่าศอกเวลาเขิน
ขอเพลงประกอบซีรี่ส์เกาหลี when a man love a women หน่อยครับ
ที่เป็นเพลงช้า ตอนนางเอกสีแชลโล่อ่ะครับ ไม่รู้จักชื่อเพลง แหะๆ
ตอนนี้กำลังอิน หือหือ วันๆนั่งร้องไห้ตาบวม
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=397.0

ลงให้แค่นี้ก่อนนะ รีบๆๆ

***********************************************************************************
 [wma=300,50]http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/sad10.wma[/wma]

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-10-2006 08:07:12
*******************************************************************************************************************

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นอยากบอกไม่ถูก (หรือเป็นเพราะกินน้ำทะเลมากไป)


“อ้าว วันนี้ตื่นได้นะ ” แม่ทักเมื่อเห็นผมเดินออกมา “- - แล้วไข้ลดแล้วเหรอ”


“ดีขึ้นแล้วแม่ ไม่ตัวร้อนแล้วด้วย” ผมบอก แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นหาไรกิน


“นี่ แม่ต้มโจ้กให้อยู่ในหม้อแล้ว” แม่ผมบอกอย่างรู้ทัน ว่าเมื่อคืนยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง


“ขอบคุณค๊าบ ร๊ากแม่เจงๆ” ผมว่าแล้วก็รีบเดินไปตักโจ้กใส่จาน


“แม่ๆ เด๋ววันนี้ปริ้นขับรถไปส่งแม่ที่โรงเรียนล่ะกัน” ผมว่า “- - จะได้เลยเข้าไปโรงเรียนด้วยเลย”


“ชั้นก็นึกว่าวันนี้จะทำตัวเป็นลูกที่ดี ที่แท้หวังผลจะเอารถไปใช้” แม่ค่อนขอด


“น่านะ แล้วถ้าเลิกเรียนแล้วก็โทรมาหาละกาน”


“กว่างานโรงเรียนเราจะเลิกก็กี่ทุ่มกี่ยามล่ะ แม่ให้ตาสนเค้าไปรับดีกว่า” แม่ผมบอกซึ่งผมก็เห็นด้วย
เป็นอย่างมาก


“ว่าแต่พวกโอ้ตเค้าจะไปงานโรงเรียนด้วยเหรอเปล่า ” แม่ถามพลางเดินขึ้นมานั่งข้างคนขับ


ผมสั่นหน้า


“ไม่รู้ดิ ไม่ได้ถามมัน เอ้ย พี่เค้าเหมือนกัน - - ถ้าไปก็คงไปเองล่ะ รถเค้าก็มีนิ”


ผมตอบแล้วก็สตาร์ตออกรถเข้าเมือง พอเข้าไปในโรงเรียน ซึ่งวันนี้มีซุ้มต่างๆมากมาย การแสดงเพียบ
(ตอนเช้ามีตักบาตรด้วย แต่มาม่ะทัน) ผมนัดกับเพื่อนไว้ตอน 10.00 โมง รู้สึกว่าจะมาก่อนเวลาอื้อเลย


ติ้ดด ติ้ดดด ติ้ดดดดดด


“ว่าไงพี่ปริ้น”


“อยู่ไหนอ่ะ นี่อยู่หน้าองค์พระ” ผมบอกไอ้โค้กให้มาหา เพราะตอนนี้ยืนอยู่โดดเดี่ยวโด่เด่มากๆ


“โทดทีพี่ แต่ตอนนี้ผมไปหาไม่ได้อ่ะครับ ตอนนี้วงมีปัญหาอยู่ ไอ้ต้าร์มันไม่สบาย” มันบอกเสียงเครียด


“อ้าวแล้วทำไงอ่ะ”


“ผมต้องร้องแทนอะซิ ” มันบอก


“ก็ดีอะซิ เกิดๆ”


“เกิดบ้าไร ผมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย แถมเพลงที่เตรียมไว้ ผมก็ร้องเสียงไม่ถึงด้วย”
ไอ้โค้กโอดครวญ


“อืมๆ งั้นเด๋วพี่ไม่กวนล่ะกัน ไว้จะรอดูตอนแข่งเลย หุหุ” ผมแกล้งทำเสียงสะใจ


“ไม่มีเห็นใจกันมั่งล่ะ” มันพูดเชิงน้อยใจแล้วก็วางสายไป


ผมเลยต้องเดินๆ ไปดูซุ้มน้องๆแต่ละซุ้ม ซุ้มไหนที่พอรู้จักก็ได้กินฟรี สบายใจเฉิบ
ซักพักพวกซัง ไอ้คิว แล้วก็เพื่อนๆห้องผมก็มาถึงกัน เสียงโหวกเหวกโวยวายตาม
ประสาเพื่อนที่ไม่ได้รวมกลุ่มแล้วก็เจอกันมานาน บางคนก็คุยถึงที่เรียน คุยเรื่อง
รูปร่าง หน้าตาที่เปลี่ยนไปทั้งดีขึ้น และแย่ลง คุยกันจนผมเกือบลืมเวลา นี่ก็เที่ยวกว่าแล้ว


“ซังๆๆ ไปหอประชุมกัน” ผมว่า


“ไปไม ? ”


“ไอ้โค้กมันประกวดโฟร์คซอง ไปเชียร์มันหน่อย” ผมว่า


“อ่อออออออออ ” ซังมันทำหน้าแปลกๆ


“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ ? ”


“ไม่มีไร ไปดิ ไม่ได้เจอไอ้โค้กตั้งนาน” มันว่า แล้วก็ชวนไอ้คิวไปด้วย แต่มันไม่ยอมไป
เพราะมัวแต่คุยเรื่องบ้าบออะไรกันอยู่ไม่รู้ ผมเลยมาดูกับซังแล้วก็ไอ้กรณ์อีกคนนึง


“อุ้ยๆๆๆ ดูดิ น้องโค้กร้องด้วยอ่ะ ” ไอ้กรณ์ดูจะเป็นปลื้มจัด


“เอาดอกไม้ไปให้มันด้วยเลยดิ” ผมว่าพลางชี้ไปที่ตรงที่เค้าขายดอกกุหลาบ ไว้ให้วงที่ตัวเองชื่นชอบ


“ไม่ล่ะ เดี๋ยวน้องเค้าเขิน ร้องออกมาไม่ดี” มันพูดเสร็จพลางทำท่ากระบิดกระบวย


ผมยอมรับเลยว่า สิ่งที่โค้กมันกังวลตอนที่โทรคุยกับผมเมื่อเช้า แทบจะไม่ต้องห่วงเลย เพราะทุกเพลง
ที่มันร้อง มันบรรเลงนั้น มีแต่เสียงกรี๊ดกราด ด้วยที่ว่าหน้าตามันออกจะดูดีอยู่แล้ว แถมเสียงมันก็ใช่
ว่าจะห่วยซะที่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ดีสู้วงอื่นที่เตรียมตัวพร้อมกว่าไม่ได้ แต่ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะในสายตา
ผม


กูชื่นชมออกนอกหน้าไปมั้ย ? ผมคิด แล้วก็ชวนซังกะไอ้กรณ์โบกมือเหยงๆให้ มันก็มองมา
แล้วก็ยิ้มดีใจที่เห็นพวกผมมาเชียร์


“มาถึงเพลงสุดท้ายแล้วครับ - - เพลงนี้ ผมขอร้องให้กับคนๆนึง คนที่ผมชอบมาตลอด (พูดถึงตรงนี้มีเสียง
กรี้ดกราดประปราย) แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้บอกกับเค้าซะที - - ”


แล้วก็รู้สึกว่าเหมือนไอ้โค้กมันจะหันมามองทางพวกผม 3 คน ผมรู้สึกแปลกๆเลยหันไปหาว่าจะถามซัง
แต่ปรากฏว่า หันไปเจอซังมันอมยิ้มหันมาทางผมเช่นกัน


“ยิ้มไรวะ” ขนลุก


“ไม่รู้เหรอไง ว่าคนข้างบนนั่นพูดถึง” มันว่า แล้วก็เอามือมากอดไหล่


“ค... คิดไปเรื่อย”


“แหม คุณปริ้นนี่ เด๊ก เด็ก เนอะ ซัง” ไอ้กรณ์เสริม พลางเลียไอติมในมือ


“ไอ้คนที่ว่าคนอื่นเด็กนี่ ยังมีหน้ามายืนเลียไอติมอยู่เหรอไง ? ” ผมบ่นใส่ พอดีกับโค้กก็พูดต่อ


“วันนี้ เค้าอยู่ที่นี่ - - แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าจะรู้ตัวเหรอเปล่า - - ” มาถึงตอนนี้มือไอ้ซังที่กอดคอผมอยู่ตบที่ไหล่เบาๆ


“ไม่รู้จริงๆ หรือทำแกล้งไม่รู้ก็ไม่รู้นะ ”ไอ้กรณ์พึมพำ


“- - แต่ผมก็อยากจะบอกว่า ..... ” แล้วมันก็หยุดพูด พร้อมกับเสียงดนตรีจากกีต้าร์โปร่งก็บรรเลงขึ้นมา


“.. ปริ้น ตั้งใจฟังสิ่งที่โค้กมันอยากจะบอกมึงมาตลอดให้ดีๆนะ ” ซังกระซิบบอกขำๆ

.

.

.


“อาจยังไม่เห็น ว่ารักมากมาย

อาจยังสงสัย ผู้ชายคนนี้


อาจยังไม่เห็น สายตา แห่งความหวังดี


แต่เธอก็คงเข้าใจมันสักวัน


.


อาจมีใครๆ ที่เค้าดีกว่า


อาจจะมีคน ที่เธอใฝ่ฝัน


แต่จะมีใคร ให้เธอ หมดใจ ..อย่างฉัน


และมันจะมีให้เธอเพียงคนเดียว

.

.

อยู่มาจนวันนี้ เพื่อเจอ เธอ


จะอยู่เพื่อเธอตลอดไป


จะเอา ความรัก ที่มี เก็บไว้


เพื่อรอคอยวันที่เธอมองผ่านมา


อาจจะมีเวลาที่เธอต้องการ


.


อีกนานแค่ไหน รักนี้ ก็ยังอยู่


อยู่เป็นรักแท้ เพื่อเธอเท่านั้น


ด้วยใจที่พร้อม ให้เธอ จากคน อย่างฉัน


กับวันเวลาที่ยาวนาน .. คงจะพอให้รอเธอ


และคงจะทำให้เธอ ...ได้รู้”

.

.

.


เสียงปรบมือที่ดังกึกก้องทั่วหอประชุมนั้น ในความรู้สึกผมมันไม่ดังเท่ากับเสียงเพลงที่โค้กมันร้อง
เมื่อกี้นี้แม้แต่น้อย ความรู้สึกแปลกๆที่ผมเคยรู้สึกครั้งก่อน มันค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง
ผมพอจะเข้าใจแล้ว ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร


“นายคิมหันต์ นี่มันร้องเพลงซึ้งถึงขนาดทำน้ำตาหยดเลยนะปริ้น” ซังแซวเมื่อสังเกตเห็นตาผมชื้นๆ

หัวใจของผมที่ดูเหมือนโดนลมหนาวกรีดแทงจนชาด้านกลับอบอุ่นขึ้นมาได้ยังไงนะ ? รู้สึกเหมือนกับว่า
ฤดูร้อนที่ทำให้หัวใจคึกคักพองโต มันจะมาเร็วกว่าที่คาดไว้ซะอีก


ตอนนี้วงไอ้โค้กพากันเดินลงไปหลังเวทีแล้วคับ รอเวลาประกาศผล


ติ้ดดดดตี้ดิดิ้ดดด ตี้ดิดตี้ (เสียง sms) ใครส่งข้อความ
มาตอนนี้วะ ผมคิดแล้วก็เลยกดอ่าน

(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/ew.jpg)

.

.




หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 31-10-2006 10:55:08
เรย์ค้าบบบ บีบหัวใจเหลือเกิน

มาต่อไวๆ นะค้าบบบบ :yeb:


ปล.

เหอเหอ

ทู้ข้างบน น่ากัวน๊อะเรย์ สงสัยเราคงจะเป็นกิ๊กต่อกันไม่ได้แล้นอะ :serius2:

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-10-2006 13:04:35
อืมมมม ตอนนี้ได้ใจ  เราชอบน้องโค้กอะ  น่ารักกกกกกกกก  อิอิ  :impress2:

เรย์ ไม่อยากบอกเลยว่าเราอ่านสองรอบแล้ว ว้าฮ่าๆๆๆๆๆ  บ้าวะ  :laugh:

 งั้นก็มาต่อให้ไวเรยย  อย่ามัวแต่ไปเป็นกิ๊กกับหมูพูห์ละ  เดี๋ยวอิโยมันหึงนะ หุหุ  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-10-2006 13:27:39
 :oak:    <-------  ให้โย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-10-2006 17:04:58
เหอๆ อ่านไปได้อย่างสองรอบ นักอ่านตัวยงเลยหรือพิมพ์  :pigscare2:

คิกคิก อ่านเรื่องรักๆไหงมาแย่งกันได้หวา หรือตาพูห์จะกลายเป็นปริ้นไปซะล่ะ  :untrust2:

เอิ้กๆ






ผมยืนตัวชาอ่าน sms ที่โค้กส่งมาให้หลังจากที่ลงไปหลังเวทีแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งซัง ทั้งไอ้คิว
เคยจะบอกกลายๆอยู่แล้ว ว่าโค้กมันคิดกับผมยังไง ถึงหยั่งงั้นก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี พฤติกรรม
ของมันตลอดมาดูเหมือนจะใช่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่ใช่ .. แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ มันชัดเจน
จนทำให้ผมรู้สึกกลัว


เจตนาของโค้กที่มาบอก ร้องเพลงให้ฟัง คือต้องการอะไร ? แค่อยากบอกความรู้สึกให้รู้
หรือว่ามันต้องการจะครอบครองตัวผมกัน ... ผมยอมรับว่ารู้สึกดีกับมันมาตลอด แล้วก็
เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่มันทำอะไรให้ ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกครั้งที่มันดีใจ ผมก็
มีความสุขไปกับมัน ทุกครั้งที่มันเศร้า ผมก็เหงาหงอยเป็นห่วงมันเหลือเกิน


แต่ในทุกความรู้สึกนั้น ... ทุกครั้งผมก็คิดว่ามันเป็นน้องเสมอ ผมยอมรับว่ารู้สึกตื่นเต้น
ทุกครั้งที่มันพยายามจะบอกอะไรซักอย่าง และมันก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
ด้วย ... ผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามันบอกรักผมแล้ว มันจะไม่ใช่น้องชายคนเดิม
น้องที่ผมรู้สึกดีกับมันในทุกๆครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน


ที่สำคัญ .... ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข็ดกับความรักที่มีแต่ความฉาบฉวยแบบคนรักกันเหลือเกิน


“ปริ้น ....” ผมรู้สึกว่าไหล่ตัวเองสั่น ซังเห็นผมยืนอึ้ง คิดอะไรอยู่นานสองนานจนผิดสังเกต


“เป็นไร” มันถาม


“ม...ไม่เป็นไรอ่ะ เด๋วขอออกไปข้างนอกก่อนนะ” ผมพลวดพลาดเดินออกจากหอประชุม
ด้วยความรวดเร็ว โดยที่ไม่ลืมยัดเอามือถือใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความรวดเร็ว ซังกะกรณ์
มองตามด้วยความฉงนว่ามันเป็นอะไรของมัน


ในใจตอนนี้สับสนเหลือเกิน รู้สึกดีใจก็ดีใจอยู่หรอก แต่อีกความรู้สึกที่กลัวอะไรบางอย่าง
ก็อาบไปทั่วร่างเช่นกัน ผมเดินมาจนถึงลานน้ำตกหลังอาคาร 5 แถวนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร
จนพอมีที่ให้นั่งจุ้มปุกโดยไม่มีคนมาสนใจ


ผมหยิบเอามือถือออกมาเปิดข้อความดูอีกรอบ


อืม กูไม่ได้ตาฝาด อ่านแล้วตีความผิดจริงๆแฮะ เฮ้อ ..... ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“กินน้ำมั้ยพี่” เสียงที่ยังเหมือนไม่แตกเนื้อหนุ่มดีมาพูดอยู่ข้างๆ ผมหันกลับไปด้วยความแปลกใจ
ว่าใครมาทักวะ


“อ้าว มิกส์”


พอเห็นผมทักชื่อมันก็ยกมือขึ้นหวัดดี


“ขอนั่งด้วยคนนะคับ” มันว่าแล้วก็นั่ง พร้อมๆกับยกแก้วน้ำอัดลมที่พึ่งซื้อมาดื่ม


“ไม่ไปดูเพื่อนพี่แข่งร้องเพลงที่หอประชุมเหรอครับ มานั่งที่นี่คนเดียว” มันถามแปลกๆ เหมือนจะรู้
อะไรบางอย่าง


“อ่อ ไปดูมาแล้ว แต่มันร้อนหว่ะ คนเยอะ ผมตอบ - - ว่าแต่เราอ่ะ ไม่ไปหาไอ้ เอ้ย พี่กรณ์เหรอ”
ผมถามมันกลับ


“เจอแล้วครับ แต่ห้องผมขายของกินอยู่ตึกนี้เลยต้องอยู่เฝ้า ไปดูไรไม่ได้หรอก ” มันว่า เสียงเซ็งๆ


ผมก็นั่งแบบอึดอัดเงียบๆอยู่ซักพักนึง เพราะก็ไม่ได้รู้จักไอ้น้องมิกส์คนนี้เท่าไร เจอครั้งแรกก็ตอน
ที่มาโรงเรียนคราวที่แล้ว เลยไม่รู้จะชวนคุยไรดี แถมถ้าไอ้กรณ์มาเห็นกลัวจะหาว่ากูแย่งแฟนเด็ก
มันอีก


“ไม่สนุกเหรอครับ” อยู่ๆมันก็ถามทำลายความเงียบ


“เอ๋ ..!? ”


“ก็เห็นพี่ทำหน้าแบบนั้น ”


ผมยิ้มเจือนๆ แล้วจามายุ่งอะไรกะอวัยวะบนใบหน้ากูด้วยฟ้าาาาา


“มันร้อนอ่ะ ” ผมตอบด้วยมุกเดิม กูรีบเปลี่ยนเรื่องดีกว่า


“แล้วจบม.3 จะเรียนต่อม.ปลายเป่าล่ะ ”


เห็นมันสั่นหน้า


“เรียนไม่ไหวหรอกพี่ - - จบม.3 ก็ดีแล้ว ไปเรียนเทคนิคฯต่อดีกว่า”


“เออ เรียนช่างก็ดีเหมือนกัน มีงานทำเร็ว ”


“พอโตเป็นผู้ใหญ่นี่ก็แย่เนอะ” มันพูดขึ้นมาลอยๆ


“แย่ไง ? ” พอมันชวนผมคุยมากขึ้น ก็ชักจะตามน้ำไปได้แระ “- - มีแต่เด็กๆแม่งอยากโต
เป็นผู้ใหญ่เร็วๆทั้งนั้นที่พี่เห็น”


“ก็ผมเห็นผู้ใหญ่แต่ละคน เวลาจะทำอะไรทีนี่ ต้องคิดอะไรมากมายเหลือเกิน เอาตรรกะโน่นนี่
มาคิดให้ปวดหัวตัวเอง - - บางทีก็ไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้” มันว่า


“อ้าว โตแล้วก็ต้องคิดให้มากขึ้นเด๊ะ” ผมสวนกลับ


“จริงง่ะ”


“เออดิ”


มิกส์เอามือประสานท้ายทอยเอนตัวไปข้างหลัง ทำท่าคิด


“เด็กแบบพวกผมไม่เห็นจะต้องไปคิดอะไรให้มันยุ่งยากแบบนั้นเลย อยากทำอะไรก็ทำตามใจ”
มันว่าทำหน้างงๆ


ผมสั่นหน้ายิ้มๆ เฮ้อ เด็กน้อเด็ก ช่างน่าเอ็นดู แต่ก็จริงอย่างที่มันพูดล่ะคนเรายิ่งโตขึ้นก็ทำอะไร
ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ไม่ได้ ต้องคิดแล้วคิดอีก บางทีก็ได้แต่คิด
แล้วก็ไม่ได้ทำซะที ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าทำลงไปแล้ว ผลมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้


คิดแล้วกูอยากกลับไปเป็นเด็กจัง


มิกส์กระดกน้ำในแก้วจนเหลือแต่น้ำแข็ง แต่ดูเหมือนมันจะพูดมากไปหน่อย เลยทำท่าจะลุก
ไปเติมน้ำเปล่าจากที่กรองน้ำข้างๆตึก แต่ปรากฏว่ามันดันไปเปิดก๊อกน้ำข้างๆลงใส่แก้วแทน
แล้วก็ยกขึ้นมากินเฉยเลย


“กินมั้ยพี่” มันชวน หลังจากเติมน้ำมาจนเต็มแก้วอีก


ผมสั่นหน้า


“ไมไม่ใช่เครื่องกรองน้ำวะ เค้าอุตสาห์ซื้อมาให้ใช้”


“ทำไมต้องใช้ล่ะพี่” มันถาม


“อ้าว ถามแปลก เครื่องกรองน้ำก็มีไว้กรองน้ำไง น้ำจะได้สะอาดๆเวลาจะกิน” มันงงหรือผมมึน


“จะต้องกรองทำไมล่ะคับ ในเมื่อก็รู้อยู่แล้ว ว่าไอ้น้ำที่ออกจากก๊อกมันสะอาดอยู่แล้ว”


“รู้ได้ไงฟ่ะ”


“ก็กินมาตั้งสองสามปีแล้วนี่คับ - - อยู่ๆมันคงไม่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียหรอกมั่งพี่” มันว่าขำๆ

“จะกินทีต้องมานั่งเปิดให้น้ำให้มันค่อยๆหยดผ่านรู กว่าจะได้กิน ม่ายไหวๆ” มิกส์ส่ายหัว
“- - แถมรสชาติก็แปร่งๆ สู้น้ำก๊อกก็ไม่ได้”


“5 5 ” ผมนึกเอ็นดูสิ่งที่มิกส์มันพูดไม่ได้จริงๆ (ไม่ได้จะดูเอ็นเลยนะ สาบาน!!)


“หัวเราะอะไรพี่ ”


“ก็ขำเราอะดิ เฮ้อ เป็นเด็กนี่ดีจางงงงง ” ผมว่า แล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาเพ่งพินิจดูซักพัก
ก่อนที่จะยกขึ้นมากินบ้าง


“เหอๆ เป็นไง”


“ก็อร่อยดี”


“น้ำเปล่าจะอร่อยได้ไงเล่าพี่” มันหัวเราะในท่าทีของผม อืม จะว่าไป ผมกะไอ้โค้กก็รู้จักมักจี่
กันมาตั้งสองปีแล้วซินะ ไม่ใช่พึ่งจะมารู้จักกันแค่สองสามอาทิตย์นี่นา


“ก็กินมาตั้งสองสามปีแล้วนี่คับ - - อยู่ๆมันคงไม่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียหรอกมั่งพี่” สิ่งที่มิกส์
พูดเมื่อตะกี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 31-10-2006 17:31:03
น้ำเปล่า ไม่มีรสชาติ แต่ขาดไม่ได้ครับพี่บลู :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-10-2006 18:13:16
อืม  ความรู้สึกปริ้นนี้ก็ซับซ้อนเนอะ  ใจคนยากแท้หยั่งถึง... ที่จริงคนเราก็ชอบหรือหวั่นไหวไปกับใครได้เรื่อย ๆ แหละ  ถ้ามีคนมารัก มาเอาใจทำไมจะไม่ชอบละเนอะ  จนกว่าจะบอกใจให้หยุดกับใครซักคนนั่นแหละ  ถึงจะทำได้    แล้วปริ้นจะชอบโค้กเปล่าอะ  อยากให้ชอบจัง  เพราะเราชอบโค้กกกกกกก  อิอิ  :-[

เรย์ รออยู่น้า  อย่าให้เราอ่านเป็นรอบที่สามละ  หุหุ เดี๋ยวบ้า  :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 01-11-2006 06:39:35
ชีวิตจริงๆ มันยากที่จะบอกว่าขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ บางทีแม้แต่ใจตัวเองก็ไม่รู้
ผมอยากจะเชียร์โค้กนะ แต่ไม่อยากจะเศร้าเลยเพราะ
คนเราชอบคนดี เป็นแฟนกับคนเลว และอยู่กับคนรวย
(จริงป่าวไม่รู้ แต่สังคมที่เติบโตมากับวัตถุนิยมนี่เนอะ)  :confuse:
กัวโดงพิมตืบ รีบเอามาให้อ่านโดยเร็ว เอิ้กๆ  :pigha2:

*************************************************************************************
 [wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]


ซักครู่ใหญ่ๆเหมือนกับว่าที่หอประชุมจะประกาศผลแข่งโฟร์คซองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเห็น
คนเริ่มทยอยเดินออกมาตามซุ้มต่างๆกัน บางพวกก็รีบเดินไปจับจองโต๊ะในโรงอาหาร เพื่อจะขนไป
ที่กลางสนามบอล เพื่อจะตั้งซุ้มห้องของแต่ละห้อง กินข้าวกันตอนเย็น ผมสงสัยว่าทำไมพวกซัง ถึงรู้
ว่าผมมานั่งอยู่แถวนี้ได้ไงนะ (พูดเหมือนโรงเรียนกว้างปาน 100 ไร่)


“อีคุณปริ้น มานั่งอยู่กับมิกส์ได้ไงฟ่ะ ” เสียงไอ้กรณ์ดังมาแต่ไกล ผมเชื่อว่ามันคงไม่ได้เคืองอะไร
ผมจริงๆจังๆหรอก ไม่งั้นมีตายแน่กู


ผมมองผ่านกรณ์ไป ก็เห็นซังกะไอ้คิวเดินมาด้วยกัน ด้านหลังก็เห็นไอ้เด็กตาหวานหอบกีต้าร์ไฟฟ้า
เดินตามมาต้อยๆ


5 นาทีต่อมา ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดถึง ก็มานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะหินโต๊ะเดียวกัน มิกส์ย้ายไปนั่งกะไอ้กรณ์
ฝั่งนึง ไอ้คิวกะซังก็นั่งข้างๆด้านนึง มันก็เหลืออีกคนนึงอะเด๊ะ ก็เลยต้องเขยิบให้มันนั่งด้วย ครบคู่เลย
กูทีนี้ - -‘’


มันก็คุยไรโน่นนี่กัน โดยที่ผมกะไอ้โค้กนั่งเงียบกริบ ส่วนใหญ่ก็คุยกันเรื่องผลที่พึ่งประกาศกันไปเมื่อตะกี้
นี่แหละ ก็เป็นอย่างที่คาด ว่าทีมที่ไม่ค่อยพร้อมอย่างไอ้โค้กก็ได้รางวัลชมเชยไปตามคาด (ถือว่าดีแล้วนะนี่)


“อุ้ย น้องโค้กถึงจะได้ชมเชย แต่ก็ได้ที่ 1 ในใจพี่นะ” ไอ้กรณ์พูดปลอบเสี่ยวๆ


“แล้วผมเป็นที่เท่าไรล่ะ ” ไอ้มิกส์แย้งขึ้นมาทำหน้าบูด แล้วก็ทำเป็นลุกเดินออกจากโต๊ะไปเลย สมน้ำหน้า
ไอ้กรณ์แรดนัก


“เออ เดี๋ยวกูไปง้อแฟนเด็กกูก่อนนะ แม่ง ขี้งอนเหี้ยๆ” มันว่าแล้วก็รีบหยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจ รีบตามไป
อย่างด่วน


“..............................”


เงียบ ..


“.............................”


“เน่เมิงจะไม่พูดอะไรกันเลยเหรอเนี่ย” ไอ้คิวพูดทำลายความเงียบ แล้วก็จ้องมาที่ผมสองคนกะไอ้โค้ก


“ไรมึงๆ ” ผมถามมันเสียงแปลกๆ


“ซัง กรูชาตินี้กรูจะเห็นมันได้กันมั้ยเนี่ย” ไอ้คิวกระซิบซะเสียงดังเลยนะมึง ผมเห็นไอ้โค้กก้มหน้า
ดูท่าจะเขินจัด ซังมึงรีบหุบรูบนใบหน้าแฟนมึงเด๋วนี้เลยนะ ผมคิดในใจ อยากจะตะบันหน้ามันซะที


จากนั้นความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมเราทั้งสี่ นึกบรรยากาศหน้าหนาว แล้วก็มีใบไม้ปลิวผ่านหน้าไป
สองสามใบ


ฟิ้วว ~ ฟิ้ว


ปิ้งงงง !!


“อ่อ กูเข้าใจรำไรและ” ซังว่าพลางเอามือเคาะโต๊ะ “- - แล้วกูกะมึงมานั่งทำซากอะไรอยู่ตรงนี้ฟ่ะ ”
มันหันหน้าไปพูดกะไอ้คิว


“เอ้า กรูอยากเห็นง่ะ”


“แล้วมันจะได้คุยกันมั้ยนี่ - - มึงมากะกูเลยไอ้คิว - - แล้วไงเจอกันที่สนามนะปริ้น” ซังคว้าคอ
เสื้อไอ้คิวจนยืดทำให้มันต้องรีบลุกขึ้นแต่โดยดี


“เมิงจะทำอะไรก็ทำกันนะ ไม่ต้องอาย คนอยู่กันเยอะแยะ” ไอ้คิวกวนตีน แล้วก็เดินตามซังไป


เห้อ กูปวดหัวกะเพื่อนกูเจงๆ ผมคิดแล้วก็หันหน้าเป็นเชิงจะดูอะไรรอบๆแก้เก้อ แต่พอหัน
ไปไอ้โค้กก็ยังนั่งเฉยอยู่ข้างๆผม ไม่เขยิบเปลี่ยนไปนั่งม้านั่งที่ว่างอยู่อีก 2 ตัวล่ะฟ่ะ


“อึ๊ก..”


“..............................”


เงียบ ..


“.............................”


ขวับ ... โค้กค่อยๆยกกีต้าร์ที่เมื่อกี้วางไว้ที่ตักของมัน ไปวางที่ม้านั่งข้างๆ แล้วก็อ้าแขน
ทั้งสองข้างออก ทำทีเป็นบิดขี้เกียจซะงั้น แขนข้างนึงก็พาดมาไว้ด้านหลังตัวผม ซึ่งดูเผินๆ
ก็เหมือนกับว่ามันนั่งโอบผมอยู่อะ เพียงแต่ที่มันพาดแขนไว้เป็นพนักของเก้าอี้


“เฮ้ออออ เมื่อย ” มันพูดขึ้นลอยๆ ทำหน้ามองไปมองมาไม่รู้ไม่ชี้ นี่ๆ มึงจะทำอะไรไว้หน้ากู
บ้างถึงจะจบไปแล้วก็เหอะ แต่ก็ยังมียางอยู่ เด็กบางคนก็มองแว่บนึง บางคนไม่คิดอะไรก็
เฉยๆ


“จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ” โค้กถาม


“เออ - - อืม - - เออ ดีจายด้วยนะ ได้ชมเชยก็ยังดีฟ่ะ ” ผมรู้สึกตัวเองพูดอืดอาดขึ้นพิกล เหมือน
ไม่ใช่เสียงตัวเองงั้นล่ะ


“ผมทำให้พี่อึดอัดเหรอเปล่า ” โค้กมันดูกังวล


“ม..ไม่หรอก - - แค่รู้สึกแปลกๆ” ผมว่า แล้วก็หันไปมองมัน


“แปลกยังไงเหรอ” พร้อมๆกับขยับตัวให้เข้ามาชิดทำมายยย


“เออ - -” ผมจะขยับตัวออกห่าง เพราะคงจะดูไม่ดี นี่ในสถานศึกษา อย่ามานาบกัน


“รังเกียจผมเหรอ” เสียงโค้กเศร้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


ผมสั่นหน้าละล่ำละลัก ไม่อยากให้มันเข้าใจผิด


“ม่ะช่าย จะเกียดทำไม ” (เพียงแต่กูทำตัวไม่ถูก)


“งั้นก็ - - แปลว่าชอบใช่มั้ยครับ” สีหน้ามันเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบทันที ดวงตาที่ยิ้มได้ของมัน
นี่ทำเอาผมแทบละลาย


“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น” ผมว่าอ้อมแอ้ม เอานิ้วจิ้มกันเองระหว่างมือซ้ายมือขวา(ปัญญาอ่อน)


“แล้วตกลงว่ายังไงกันล่ะครับ” โค้กขยับตัวออกมา ทำเสียงงงๆ “- - ผมไม่เข้าใจ พี่ปริ้นรู้สึก
ยังไงกันแน่อ่ะ”


ผมมองหน้ามันแหยงๆ ตกลงว่ากูอยู่ตรงกลางไม่ได้ใช่มั้ย กูต้องเลือกข้างใช่เป่า สถานการณ์
ในขณะนี้ถ้าไม่เลือกข้าง กูจะต้องถูกหาว่าเป็นคนขายชาติหรอ < - - - ม่ะใช่แระ -_-*


“โค้ก ฟังพี่ก่อนนะ” ผมเปลี่ยนจากหน้าแหยงๆ มาเป็นหน้าคมเข้มทันที ให้รู้ว่ากำลังเอาจริง


“คับ ฟังอยู่” ดูมันจะตื่นเต้นไม่แพ้ผม


“โค้กคิดยังไงกับพี่กันแน่ - - พี่อยากฟังจากปากโค้ก ต...ตอนนี้” ผมตัดสินใจอยากฟังจาก
ปากมันเต็มๆ เพราะเท่าที่ผ่านมาดูมันจะบอกอ้อมไปอ้อมมามากกว่า ตอนนี้คือ now !!
รีบบอกมาก่อนที่กูจะเป็นนิ่ว


“อ..อะ คือ - -” ดูเหมือนคราวนี้มันจะเป็นฝ่ายสะอึกเองซะงั้น


“โค้ก เคยบอกกับพี่ไม่ใช่เหรอ ว่าเคยชอบใครอยู่คนนึง แต่โค้กก็ไม่ได้บอกว่าเค้าเป็นใคร” ผมรีบตอกย้ำ


“- - เคยบอกว่าให้พี่ช่วยวางแผนให้ ว่าจะไปสารภาพรักกับคนๆนั้น แต่ก็ไม่เคยบอกว่า เค้าเป็นใคร ” ตอกอีกดอก


“โค้กทำให้พี่สับสน ว่านายรู้สึกยังไงกับพี่กันแน่” ผมบอกมองหน้ามันเขม็ง (555 ตอนนี้เหมือนถือไพ่
เหนือกว่าอยู่นิดๆ)


ไอ้โค้กมันอึ้งคับ หน้าแดงซ่าน เหมือนกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ
กูแกล้งเด็กมันหนักไปเป่าวะ


โค้กมันหันเอามือทั้งสองมาจับไหล่ของผมไว้แน่น - - เฮ้ย จะทำอะไร


“พี่ปริ้น ฟังให้ดีๆนะ - - ผ... ผมจะพูดครั้งเดียว ค....แค่ครั้งเดียวนะ” มันกำบ่าผมแน่น หน้าตา
เอาจริงเอาจังมาก จนผมกลัวเล็กๆ ถ้าตอนนี้ให้บรรยายถึงสภาพใบหน้าโค้ก คงจะนึกถึงลูกตำลึง
สุกๆแดงก่ำลูกนึงแน่ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเลือดในร่างกายมันสูบฉีดประดังเข้ามาที่หน้ามันหมด
เลยเหรอเปล่าวะ


“ผ...ผมรักพี่นะ ผมรักพี่ปริ้นนะ รัก รัก รัก รักพี่ปริ้น ต...ตั้งแต่ตอนกีฬาสีแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เป็นลีด
ด้วยกันแล้วนะ ผมรักพี่นะ ผมไม่เคยรักใคร ... ไม่เคยนอกจากพี่คนเดียว”


ไอ้โค้กพ่นยาวออกมาเป็นชุดเลยคับ น้ำลายกระเด็นเต็มหน้ากูเลยสาดดด


คราวนี้ผมเองกลับเป็นฝ่ายได้อายแทนคับ เพราะมันไม่ได้พูดเบาๆให้ได้ยินกันสองคนซะม่ะไรล่ะ
ไอ้เด็กแถวนั้นประมาณการณ์ได้ว่าอยู่ที่ 20 กว่าคน หันหน้ามามองเป็นทางเดียวกันเลย


หน้าที่ผมคิดว่าตัวเองหนาแล้ว บัดนี้หดติ้วเหลือแค่ 2 เซนฯ อายทั้งคนที่อยู่รอบข้าง ทั้งคนที่อยู่ตรงหน้า
ไอ้โค้กดูไม่เหลือความอายแล้วมั่งนี่ (มึงยังต้องเรียนต่ออีกตั้ง 3 เดือนนะ!!!)


“แล้วพี่ปริน ....- - คิดยังไงกับผม ” มันถามกลับ


“เออ - - เฮ้ย มาถามอะไรตอนนี้”


“พ...พี่ปริ้น ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ไม่ต้องสงสารผมด้วย - - ผมแค่อยากรู้ ว่าพี่ .. พะ พี่”


บรรยากาศรอบตัวผมรู้สึกได้ถึงความมาคุขึ้นมาได้ทันที นอกจากสายตาของไอ้โค้กที่อยู่ข้างหน้าแล้ว
สายตาอีกนับยี่สิบคู่ก็เพ่งรอฟังคำตอบจากผมอยู่


- จะสนใจเรื่องของกูไรกันมากมาย- ผมคิดในใจ


“ข...ขอเวลาพี่อีกแป็บได้มั้ยอ่า” ผมพูดเสียงอ้อน เพราะตอนนี้บอกกับมันไม่ถูกจริงๆ


“มาขอเวลาผมทำมั้ย พี่ไม่รู้ใจตัวพี่เองเหรอ !!? ” มันพูดจนผมสะอึก


“แว๊กกกกกกก ..... อย่าพึ่งคาดคั้นนนนน” ผมรีบลุกเผ่นวิ่งแน่บออกจากตรงนั้นแบบไม่คิดชีวิต
ผมคิดอะไรไม่ออก แต่ก็จริงอย่างที่โค้กมันว่าอะล่ะ ทำไมตอนนี้ผมไม่รู้ใจตัวเองเหรอ ...


สองเท้าผมโกยแน่บแบบไม่ยอมให้ใครตามทัน ผมหันหลังกลับไปมองตาแทบถลนออกมา
เพราะเห็นไอ้เจ้าตัวการวิ่งตามผมมาติดๆ พร้อมกับแบกกีต้าร์มันมาด้วย


ห่า กูลืมไปว่ามันเป็นนักบาสฯ มึงไม่เจ็บขาแล้วเหรอ ??


“เฮ้ยยยย ... อย่าขี้โกงหนีมาเซซซซซซซซซซ่ กะแง่งงง !? ”


-โอ้ย กูจะโดนมันฆ่ามั้ยย-


.

.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-11-2006 09:43:15
บลูค้าาาบบบบ ถ้าพูห์เป็นปริ้นท์ แล้วบลูจะเปงใครดีครับ :confuse:

แบ่งกันกะโยนะครับ อย่าแย่งกัน ได้ทั้งหมด :laugh:


ปล.

มาตอไวๆนะครับ รออยูค้าาาบ :o

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-11-2006 13:22:08
ตอนนี้อึดอัดนิดหน่อย  ตกลงนี่ปริ้นไม่รู้ใจตัวเองว่างั้น  เฮ้อ... 

หมูพูห์เป็นปริ้น  ชิ ใจง่ายละซิ  :untrust:

เรย์พูดเหมือนโค้กไม่ใช่  ใช่ปะ  ฮือ ฮือ  จริงอะ  อีกอย่างไม่เข้าใจที่เรย์ตอบ ซะงั้น  "คนเราชอบคนดี เป็นแฟนกับคนเลว และอยู่กับคนรวย"  คือ ไอ้สามอย่างนี้มันไม่ได้ไปด้วยกันเลยนะ  หุหุ  ก็ถ้าชอบคนดี แล้วจะเป็นแฟนคนเลวได้ไง  แล้วคนรวยมาจากไหน  นั่นแหละ   แต่จริงแล้วคนเราชอบคนที่น่าค้นหามากกว่า  บางคนเลยชอบคนเลวไง  มันไม่จืดชืดนะ  อิอิ   

ไปละ  อย่าลืมมาต่อนะคะ  รออยู่  มาทุกวันเรยยยย  ติดแล้วงะ   :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-11-2006 13:30:45
ไม่ได้ใจง่ายนะมูมู่ ยังงัยก๋มีที่ละคนค้าบบบ

แต่ตอนนี้เลือกไม่ถูกอะว่า จะโย หรือจะเรย์ดี








ปล.

เฮ้อ  :confuse:

เลือกไม่ถูกเจงๆ  :serius2:

สงสัยพูห์จาเปงวันทองกลับชาติมาเกิด  :kikkik:

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 02-11-2006 00:19:07
หมูพูห์  นู้นตามมาละ เรย์ไม่อยากโดนปาดคอน้า  เรย์ไม่เกี่ยว(ทำหน้าจ๋อง) :pigscare2:

มูมู่น้อย  เหอๆ ยอมรับแล้วหรือว่าชอบคนเลว  อย่าไปหักอกใครเลยน้า สงสารเขา  :monkeysad:







..*********************************************************************************************
.

.

.

ผมวิ่งใส่เกียร์หมามาถึงตึก 1 เห็นห้อง 111 เปิดแง้มเอาไว้อยู่จึงคิดจะเข้าไปแอบไอ้โค้กมันก่อน
แต่ปรากฏว่าพอก้าวเข้าไปในห้องได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลที่พุ่งเข้ามาอัดกลางหลัง จน
หน้าคะมำไปข้างหน้า โค้กวิ่งมาทันแล้วก็พุ่งเข้ามารวบตัวผมเอาไว้ได้


โครมมมมมม !!!!!!


“แอ๊กกกก ........” ตัวผมล้มลงไปกองกับพื้นห้อง รู้สึกได้ว่ามีตัวหนักๆของไอ้โค้กทับอยู่ ในห้องรู้สึก
ว่าจะไม่มีใครคับ สงสัยคงมีคนเปิดไว้ให้สำหรับเก็บของ


“พี่ปริ้น ... หนีผมทำไม ? ” โค้กพูดทั้งๆที่นอนทับอยู่บนตัวผม แทนที่จะลุกให้กูก่อนก็ไม่ได้
เสียงที่มันพูดใกล้หูมากจนขนลุก


“โค้ก .. ป ปล่อยพี่ก่อน” ผมพูดเสียงหอบ เพราะวิ่งมาก็ไกลโข


โค้กมันเงียบไม่ยอมพูดอะไรต่อ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรเพราะว่าโดนรวบตัวนอนคว่ำอยู่
ได้แต่นอนรอเงียบๆ จนรู้สึกว่าไอ้คนที่อยู่บนตัวผมค่อยๆเอาหน้าเลื่อนมาซุกที่ต้นคอ


อ๊ากกก เสียวววววว ....


“ค โค้กก ปล่อยพี่ - -” ยิ่งผมห้ามเหมือนยิ่งยุ ไอ้โค้กยิ่งรัดตัวผมแน่นเข้าไปอีก ทั้งๆที่นอนกอง
อยู่บนพื้นห้องเนี่ยนะ


“ถ.ถ้าไม่ปล่อย พี่จะไม่เกรงใจแล้วนะ !! ” ผมขู่มัน แล้วก็พยายามดิ้นขลุกขลัก


“พี่ปริ้นจะทำอะไรผมเหรอ ? ” โค้กมันย้อน แถมยังยื่นหน้ามาเกือบชิดแก้มผม มึงทำแบบนี้ เด๋ว
เจอกันคืนนี้เลยดีก่า (ปากดี)


“พี่ปริ้น.. ผ ผมอ่ะ - - ไม่อยากทำหยั่งงี้เลยนะ - - ผมแค่อยาก แค่อยากรู้ว่าพี่คิดยังไงกับผม
จะให้โอกาสบ้างมั้ย - - ผมจะมีโอกาสบ้างมั้ยพี่ ? ”


โค้กมันพูดยิ่งทำให้ผมกดดันเข้าไปใหญ่


“- - ยิ่งพี่วิ่งหนี ผมก็ยิ่งต้องวิ่งตามพี่ - - พี่จำได้มั้ย พี่บอกว่า พี่จะไม่วิ่งตามใครอีก พี่จะเป็นฝ่ายให้
คนอื่นตามบ้าง - - ละ แล้ว ผมก็วิ่งตามพี่มาตะ ตลอด ฮะ ฮึกก - - วิ่งตามเงาพี่มาตลอด” โค้กมันหยุด
พูดแต่เพียงเท่านี้ แล้วก็เลื่อนหน้าซบที่หลังคอผมอีกครั้ง แต่คราวนี้สัมผัสได้ว่า มีน้ำอะไรบางอย่าง
หยดลงมาที่คอผมด้วย ทำเอาใจเสียเลย


“พี่ขอโทษ ... - - ป ปล่อยพี่ก่อนเถอะ ร เรามาคุยดีๆกันดีกว่า ” ผมบอกเสียงเบา เพราะดูรูปการณ์แล้ว
โค้กมันคงแค่อยากจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับมันเท่านั้นล่ะมั้ง


“อย่าหนีผมไปอีกนะ ” มันว่า


“อือ” ผมพยักหน้ารับคำ แล้วมันก็ค่อยๆปล่อยวงแขนออก ผมรู้ว่ามันก็เจ็บเหมือนกัน เพราะมันทำแบบนี้
แขนมันก็ถูไปกับพื้นด้วย ผมยันตัวค่อยๆกลับลุกขึ้นมานั่ง ก็เห็นโค้กนั่งขัดสมาธิประจันหน้าอยู่
ห้องค่อนข้างจะมืดพอสมควร มีแต่เพียงแสงแดดตอนบ่ายๆรอดเข้ามาได้เท่านั้น


สายตากลมโตหวานจ๋อยของมันจับจ้องมาที่ตัวผม


“ยะ อย่ามองแบบนั้นดิ” ผมบอกมันพลางหลบสายตา


ไอ้โค้กยิ้มเจือนๆ


“ผมก็มองพี่แบบนี้มาตลอด .. ”


ผมจำเป็นต้องสบตามองโค้กอีกครั้งนึง มันยากชิบหายเลยที่จะต้องบอกความรู้สึกสับสนของตัวเอง
ต้องมาอธิบายไม่ให้มันเข้าใจผิดว่าผมเกลียดมัน แล้วก็ไม่อยากให้มันเข้าใจว่าผมชอบมัน ถึงแม้โค้ก
มันจะทำให้ผมหวั่นไหวอยู่บ่อยๆ ผมรู้สึกมาตลอดว่า โค้กยืนอยู่ข้างผมในฐานะน้องชาย แต่กลับไม่
เคยคิดว่ามันจะมายืนข้างๆในตำแหน่งแฟนมาก่อน ผมนึกภาพนั่นกับไอ้โค้กไม่ออกจริงๆ


“โค้ก - - ถามจิงดิ”


มันพยักหน้า


“ทำไมถึงชอบพี่ มึงเป็นเกย์ตั้งแต่ม่ะไหร่ ” ผมถามอะไรแปลกๆออกไป จำได้คล้ายๆกับมันเคยบอก
ว่าไม่ชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอไง


โค้กหลบสายตาผมไป


“ผมก็ไม่รู้ - - รู้แต่ว่าอยากคุยกับพี่ อยากอยู่ใกล้ๆพี่ อยากทำอะไรกับพี่” มันก้มพูดหน้าแดง


หงิ ทำอะไรกะกูนี่หมายถึงเรื่องพรรณนั้นด้วยอะเป่าวะ ผมคิดในใจ


“เอาเป็นว่าผมแน่ใจล่ะกัน ว่าผมชอบพี่ - - แต่จะเป็นเกย์เหรอเปล่าผมไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย”
มันว่าเสียงหนักแน่น


“ทีนี้ - - พี่ปริ้นก็ตอบคำถามผมได้แล้ว ”


“เออ - - ....พ พี่ก็ชอบโค้ก แต่ - - ”


“พี่อย่าสงสารผม ถึงพูดแบบนี้นะ ”


“เออ .. ไม่ได้สงสาร แต่ - - ”


“พี่ไม่ต้องมาเห็นใจผมนะ”


“เออ .. ไม่ได้เห็นใจ แต่ - - ”


“แต่อะไรครับ !! ” มันขึ้นเสียง ว้อยย มึงเป็นไอ้นิคเหรอไง มาขึ้นเสียงเนี่ย


“พี่ไม่เคยคิดกับโค้กในฐานะ เออ ... แฟนมาก่อน” ผมตอบแบบกล้าๆกลัวๆ


“พี่รู้สึกดีนะ - - มากๆเลยที่ได้อยู่กับโค้ก อืออ .... ” ผมพูดอะไรไม่ออก บางทีความรู้สึกมันก็
ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ใช่มั้ยครับ


“พี่ พี่ปริ้น อย่าร้องไห้ดิ” มันขยับเข้ามาเมื่อเห็นว่าผมเครียดจัด “- - ผมขอโทษนะพี่ ผมขอโทษ ”


มันว่าแล้วก็คุกเข่าจับตัวผมไปกอดไว้ ทำให้ตำแหน่งหน้าของผมไปซบอยู่ที่อกมันพอดี


“ผ ผม - - จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้อยากจะให้พี่มาเป็นแฟนผมหรอก ฮะ ฮึกกก ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย ฮืออ ผมกลัวครับพี่ ผมกลัว - -” ทั้งๆที่มันเป็นคนบอกให้ผมไม่ร้องไห้
แต่มันกลับเป็นฝ่ายร้องเองซะนี่


“ฮะ - - เฮ้ย อย่าร้องอย่าร้อง” ผมเอามือเอื้อมไปตบหลังมันเบาๆ แล้วก็กอดมันกลับ ผมพอจะเข้าใจดี
ความรู้สึกสับสน รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง จนทำให้เราแทบจะบ้า... โค้ก แล้วมึงจะผ่านไปได้


“พ พี่ปริ้น กอดผมแน่นๆได้มั้ย” เสียงโค้กมันพูดอยู่บนหัวผม


“อือ ”


ผมกะมันนั่งกอดกันท่าแปลกๆอยู่ในห้องสลัวนั้นอยู่ซักพักนึง เหมือนกาลเวลาจะหยุดหมุน คนนึงกลัว
กับความรู้สึกของตัวเอง อีกคนนึงกลัวที่จะต้องเจ็บเพราะความรักอีก

.

ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน


ไม่อาจหาคำๆไหนมาเพื่ออธิบาย


ไม่ต้องรักเหมือนคนรักก็สุขหัวใจ


เพียงแค่เราเข้าใจ ... เหนือคำอื่นใดในโลกนี้

.

^
^
ตอนนั้นยังไม่มีเพลงนี้ แต่ก็โดนโคดๆ


โค้กค่อยๆคลายวงแขนออก แล้วก็ลุกขึ้นยืน มันยื่นมือฉุดผมให้ลุกขึ้นตามด้วย


“พี่ปริ้น - - ผมขออะไรพี่ 2 อย่างซิ” โค้กบอก


“อืม .. ”


“หลังจากนี้ ... ผมไม่อยากให้พี่มองผมเป็นน้องชาย - - แต่มองในฐานะผู้ชายคนนึง ได้มั้ยคับ” มันพูดเขินๆ


“เอ๊ะ ? ”


“ถ้าพี่คิดว่าผมเป็นน้อง ผมก็คงจะเป็นน้องพี่อยู่วันยังค่ำ”


“ก...ก็ได้มั้ง !? แต่ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็ม่ะต้องมาบอกแล้วนะ ม่ะใช่น้องกูแล้วหนิ” ผมหยอก


“โห ผมก็ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ”


ผมหัวเราะขำท่าทางมัน


“เออน่า พูดเล่น ว่าแต่ ออกไปกันเหอะ ป่านนี้เค้าจัดซุ้มกันเสร็จแล้วมั้ง หิว” ผมว่าพลางดูนาฬิกา
เกือบจะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว แต่ไอ้โค้กยึดมือผมไว้ไม่ให้ไป


“เดี๋ยวซิ อีกข้อนึง ยังไม่ได้ขอเลย”


“กูม่ะใช่ยักษ์ในตะเกียงนะ จะมาขออะไรมากมาย” ผมว่าฉุนๆ


“หึหึ ” มันหัวเราะ “- - หลับตาก่อนดิคับ”


“ไม่หลับ ... ”


“เอ๊ะ ทำไมพี่ดื้อแบบนี้เนี่ย” มันพูดโกรธๆ


“มึงอย่ามาน้ำเน่า ไอ้โค้ก มึงจะให้หลับตา แล้วจะจูบอะดิ” ผมบอกอย่างรู้ทัน


“ทำไมผมต้องจูบพี่ด้วยล่ะ ? - - ผมไม่ใช่เกย์นะ” ดูมันพูดเข้า เอออออ... ไอ้ไม่เกย์


“ง่ะ ... แล้วจะให้หลับทำไมวะ” ผมเกาหัวแกร่กๆ


“จะขออะไรก็บอกมาระ - -” ผมพูดยังไม่ทันจบโค้กมันก็อาศัยจังหว่ะที่ไม่ทันระวังตัว
ดึงผมมากอดอีกครั้ง ไออุ่นจากตัวมัน ทำให้ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่น้องชายตัวกระเปี้ยกจริงๆด้วย


“ปริ้นครับ” โค้กยื่นหน้ามาใกล้จนเกือบจะชิด “- - ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ อย่ามองว่าผมเป็นเด็กกว่า
ไม่งั้นจะเสียใจ”


“อะ เออ ม่ะเด็ก ก็ม่ะเด็ก แต่ปล่อยก่อน” ผมบอกมัน ว่าแต่ทำไมมันเรียกชื่อเฉยๆล่ะ อึกก


ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งทื่อ เมื่อโดนไอ้โค้กค่อยๆประกบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา อืมมม รสจูบเด็กมัธยม
มันเป็นแบบนี้นี่เอง .... อ่าส์ เอ้ย ทำไมกูเคลิ้มไปได้วะ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เพราะว่ามัน
ดันตัวผมไปติดกับหน้าต่าง ปากมันก็ไม่ยอมผล่ะออกจากปากผมง่ายๆเลย ลิ้นไอ้โค้กค่อยๆสอด
เข้ามาควานหาอะไรบางอย่าง (บรรยายได้หยะแหยงมั้ย hehe) ผมก็แปลก ใจก็บอก ไม่ ไม่ แต่ปาก
ดันเปิดรับซะงั้น แบบนี้ใช่มั้ยที่เค้าว่า ปากอย่างใจอย่าง


อยู่ๆ มันก็ถอนปากออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่มือมันก็ยังกอดไม่ยอมปล่อยซะที ผมไม่รู้ว่าหน้าตัวเอง
แดงแค่ไหน แต่เห็นได้จากหน้าตาโค้กที่ดูจะกระหยิ่มยิ้มย่อง ก็พอจะคาดเดาได้


“ยะ - - ยิ้มอะไร”


“เปล่านี่ครับ” พูดเสร็จมันก็ปล่อยผมออกจากอ้อมกอด ทำเอาผมเซแซ่ดๆ อะไรวะ โดนเด็กจูบแค่นี้ทำเอา
งงโลกเลยเหรอกู


“ไปเถอะครับ ถ้าอยู่นานกว่านี้ เดี๋ยวผมจะอดใจไม่ไหว” มันว่าแล้วก็รีบเดินไปหยิบกีต้าร์ที่วาง(หรือโยน)ไว้ที่
หน้าห้อง

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-11-2006 11:18:40
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :serius2:

ตอนนี้ได้ใจโครตตต  น่าร๊ากกกกกก  โอย อยากอ่านต่อแล้วหง่ะ เรย์  มาต่อเลย  นะนะ  เค้ากำลังลงแดงอยู่   :impress:

ปล. เรย์ เราไม่ได้ชอบคนเลวจ๊ะ  เค้าก็ชอบคนดีนะตะเอง  อย่าเข้าใจเค้าผิดไป 
     นี่หมูพูห์รับรักโยแล้วเหรอ  อิอิ  ดีใจด้วย  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 02-11-2006 14:30:36
เหอเหอ

ลุ้นโคด :serius2:




ปล.

บลูคับ

คราหน้าเปลี่ยนชื่อตัวละครดีกว่านะ

ชเาน

จากปริ้นเป็นพูห์

โค้กเป็นโย

นิคเป็นบลู

ดีมั้ยครับ

ฮากริ๊กกริ๊ก  :pigha2:

พูห์

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: no-reply ที่ 03-11-2006 00:31:41
ขอ 10 คอมเมนต์นะครับแล้วผมจะมาโพสตอนต่อไป
เด่วเพื่อนๆอ่านกันไม่ทัน แหะๆ

มูมู่น้อย  อ่าระวังน้าจะตกหลุมรักโค้ก ดีจนอยากเอามาไว้ข้างกาย

หมูพูห์ ผมชอบนิคมากๆเลยครับ เชียร์อยู่เนี่ยะ

เตรียมตัวเตรียมใจหน่อยนะครับตอนนี้

***************************************************************

.

“หายกันไปนานเลยนะพวกมึง - - ไปทำไรกันมาวะ” ไอ้คิวถามแถมหลิ่วตาให้อีกตะหาก


“คุยกันไม่ได้เหรอ” ผมเถียง


“ปริ้น แล้วของที่จะเอามาให้’จารย์อ่ะ ว่าจะทักตั้งแต่ที่เจอม่ะกี้แล้ว ”ซังถามถึงของที่เตรียม
ไว้แจกเพื่อนๆที่มาเก็บไว้


ผมเกาหัวแกร่กๆ “เออหว่ะ ทิ้งไว้ที่ห้องอ่ะ”


“ห้องไหน”


“ห้องที่บ้าน ”


“โห งั้นรีบกลับไปเอาเลย นี่พึ่งสี่โมงเอง ยังทัน” ซังว่า


“งั้นไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ รถจอดไว้นอกโรงเรียนอ่ะ” ผมว่าพลางชวนซังไปด้วย ซังหันไปหาไอ้คิว
ก่อนที่จะเดินตามผมออกจากโรงเรียนไป


“เป็นไงบ้าง” ซังถาม


“อะไรเป็นไง ? ”


“เอ้า - - ก็กะไอ้โค้กไง ตกลงคบกันยังวะ”


“ไอ้นี่พูดเป็นซื้อผักซื้อปลา เรื่องพรรณนี้ม่ะใช่อยากจะเป็นก็เป็นกันได้นะเว้ย ”


“คิดไรมากว้า” ซังพูดแล้วตบหัวผมเบาๆ เฮ้ย เด๋วกูฉี่รดที่นอน -*-


ผมเหยียบประมาณ 120 แป็บเดียวก็ถึงบ้าน


“จะเข้าไปด้วยกันเป่า ” ผมหันไปถามซังพลางถอดเบลล์ออก


“เอาดิ ไม่ได้เจอยายปริ้นตั้งนาน ”


“โหย เป็นเด็กดีนะเนี่ย ”


“- - แล้วนี่พี่โอ้ตอยู่บ้านเปล่าฟ่ะ ”


“ไม่รู้ดิ เมื่อเช้าก็ไม่เห็นแล้ว สงสัยพาเพื่อนเที่ยวอยู่มั้ง” ผมตอบพยายามทำเสียงเป็นปกติสุด
แต่พอเดินเข้ามาในบ้านก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าเห็นรถกระบะบ้านไอ้โอ้ตจอดอยู่แสดงว่า
คงกลับมากันแล้ว


“สงสัยกลับมากันแล้วหว่ะ จะไปทักมั้ยล่ะ ไม่ได้เจอกันนานนิ” ผมพูดประชดซัง จนมันหัน
มามองก็เห็นมันส่ายหน้าเลิกลั่ก


“แหม ประชดเจง” มันว่า ผมกะซังก็เลยเดินเลี่ยงๆเข้าบ้าน เพราะรู้สึกว่าได้ยินเสียงเอะอะ
กันอยู่บนเรือนใหญ่ โชคดีอีกอย่างว่าแม่ผมยังไม่ได้กลับ อีกซักพักลุงสนคงเอารถกระบะ
ออกไปรับมั้ง พอหยิบเอาถุงใส่ของมาได้ ผมก็รีบเผ่นออกมา


“ค่อยมาไหว้ยายวันหลังล่ะกัน” ผมบอกซัง มันก็พยักหน้า


“ปริ้น แล้วจะหลบหน้าพี่โอ้ตแบบนี้ต่อไปเหรอวะ”


“ไม่รู้ซิ - - แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้หลบนี่นา” ผมบอก


“นี่ขนาดไม่ได้หลบนะเนี่ย ”


“เออ เอาน่า .... ขอเวลาหน่อยดิ” ผมบอกซัง จะว่าไปนี่กูก็ขอจังไอ้เวลาเนี่ย เหอๆ


“นั่นปริ้นเหรอเปล่า” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมจนสะดุ้งโหยง


“โหย ลุง ตะโกนซะดัง ตกใจหมด” ผมเอามือลูบอกตัวเอง


“ก็เมื่อกี้ลุงเรียกแล้ว เห็นไม่ได้ยิน” ลุงแกบอกแล้วก็เดินมาหา ซังเห็นก็ไหว้ตามประสา


“จะไปรับแม่เหรอคับ” ผมถาม ลุงสนพยักหน้า แล้วก็ส่งขวดยาให้ ผมรับไว้ทำหน้าสงสัย


“เพื่อนโอ้ตเค้าลืมไว้น่ะ เห็นตกอยู่ในรถ ลุงฝากเอาไปให้โอ้ตมันที” ลุงสนมาใช้อะไรผมนี่
ยิ่งไม่ค่อยอยากเจอหน้ามันอยู่ด้วย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร แกก็เดินกลับเข้ารถแล้วก็ขับ
ออกไป


“ซังเอาไปให้ทีเด๊ะ” ผมยื่นให้เพื่อนรัก


“อาไร ไม่เอา - - ไหนว่าไม่ได้หลบหน้าไง ก็เอาไปให้ซิ” ซังโบ้ยกลับ ผมทำตาดูหมิ่นมันเล็กน้อย
ในฐานะไม่ช่วยกูเลย


“งั้นเอาไปวางไว้ที่ห้องมันก็ด่ะ” ผมบอกเพราะคิดว่ามันคงอยู่กันบนเรือนใหญ่


“แล้วของใครอ่ะ รู้แล้วเหรอ” ซังถาม


“ไม่รู้ดิ .. เด๋วโอ้ตมันคงไปหาเจ้าของเองล่ะ” ผมว่าแล้วก็มองดูขวดยาเขียนไว้ว่า Mercaptopurine
แล้วก็มีภาษาอังกฤษเขียนไว้อื้อเลย ขี้เกียจอ่าน เลยโยนให้ซังถือไว้ แล้วผมก็เดินนำมันไป กะลังจะเดิน
เข้าไปในบ้านมัน ก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังแว่วๆ ออกมาจากห้องนอน


เท้าผมหยุดกึก จำได้ว่าเป็นเสียงโอ้ต


“ทำไรปริ้น” ซังถามเมื่อเห็นผมหยุดเดิน


“โอ้ตมันอยู่ในห้องอ่ะ” ผมบอก แล้วก็กวักมือเรียกให้ซังมันหยุดเดินก่อน


“แล้วมาแอบฟังไรเค้าทะเลาะกันล่ะ” มันว่าผม


“ไม่ได้แอบฟัง - - แค่รอจังหวะให้มันออกจากบ้านไปก่อนตะหาก” ผมว่าหน้าแดงๆ


“แถวบ้านตูเรียกว่าแอบฟัง” มันว่า แต่ก็มานั่งฟังกับผมด้วย ไอ้เวน


“กูบอกแล้วไม่อยากให้มึงมา มึงก็ดื้อมา” เสียงโอ้ตแสดงให้เห็นว่าอารมณ์เสียมาก


“- - แล้วเป็นไงต้องมานอนแผ่อยู่แต่ในห้องแบบนี้”


“เออ กูขอโทษ” เสียงคล้ายๆกับว่าเป็นพี่เต เพราะว่าเค้าพูดเบามากเหมือนไม่มีแรงงั้นแหละ


“- - บ้านกูไม่มีทะเลนี่นา กูอยากมาเที่ยวบ้าง ”


ผมค่อยๆลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะมองเห็นคนที่เค้าคุยกันอยู่ข้างใน แบบนี้คงเรียกว่าเป็นพวกถ้ำมอง
เต็มรูปแบบ


ที่บนเตียงพี่เตนอนอยู่ มีโอ้ตนั่งอยู่ข้างล่าง ไม่รู้เป็นไรผมเห็นภาพนั้นแล้วจี้ดขึ้นมาทันที
จะเรียกว่าอิจฉาหรือเปล่านะ


“ค่อก ค่อก .. .. ค่อกกกก” พี่เตไอออกมารุนแรงพอควรถึงกับตัวโยน โอ้ตรีบลุกขึ้นหยิบแก้วน้ำ
ส่งให้


หนอยย ดูแลกันดีเหลือเกิน ผมคิดในใจ


“เป็นไรมากเปล่าวะเต” เสียงโอ้ตดูจะกลุ้มใจ แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังยิ้มได้


“กูขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นแบบนี้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องรีบกลับกันมาแบบนี้หรอก แค่กก ... ” พี่เตพูดเสียงหอบ


“ไอ้พวกนั้นมันไม่ได้ว่าอะไรหรอก มึงเป็นแบบนี้ พวกมันก็ห่วงมึงจะแย่ มึงนอนพักเหอะ” โอ้ตบอก พลาง
ดึงผ้าห่มมาห่มถึงหน้าอก แล้วทำท่าจะลุกขึ้น


“มึงจะไปไหน ... ” พี่เตดึงข้อมือโอ้ตไว้


“จะไปยกข้าวมาให้ ป่านนี้พวกนั้นมันคงต้มข้าวเสร็จแล้วล่ะ - - เออ แล้วนี่มึงกินยายัง”


พี่เตส่ายหน้า


“สงสัยลืมไว้ในรถหว่ะ ไม่เป็นไรในกระเป๋ายังมีอีกขวด” พี่เตว่าพลางทำท่าจะลุกขึ้นไปหยิบ แต่โอ้ตกลับ
เดินมาดึงให้พี่เตนอนลง


“มึงนอนเฉยๆเหอะ เดี๋ยวกูหยิบให้เอง” โอ้ตว่าแล้วก็เดินไปหยิบขวดยาที่เป็นชนิดเดียวกันกับที่
ซังนั่งถืออยู่


“กินซะ - - เดี๋ยวจะไปยกข้าวมาให้” โอ้ตบอก


“โอ้ต กูขอบใจนะ ” พี่เตพูดเสียงสั่นๆ


“ขอบใจเรื่องไร ”


“ขอบใจที่คอยดูแลกูไง” พี่เตพูด มีน้ำใสๆไหลออกจากปลายหางตา ดูแล้วน่าสงสารชะมัด


โอ้ตค่อยๆเดินมาหาพี่เตอีกครั้ง แล้วก็เอื้อมมือไปจับมือพี่เตเอาไว้ ภาพนี้ทำเอาผมต้องเบือนหน้าหนี
ตัวสั่นระริก หัวใจเต้นเหมือนจะหลุดออกมา ผมไม่รู้หรอกว่า มือตัวเองกำแน่นแค่ไหน


“กูบอกแล้ว ว่าจะดูแลมึง - - อย่าร้องไห้ดิวะ” เสียงโอ้ตพูด ผมกลับไปมองพวกเค้าอีกครั้ง โอ้ตกำลัง
เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาของพี่เต แต่ ... แต่ทำไมแก้มยังรู้สึกเปียกอยู่อ่ะ ? น้ำตาที่ใบหน้าพี่เตถูกเช็ด
ออกหมดแล้ว แต่น้ำตากลับไหลออกมาจากตัวผมแทน


“ป ปริ้น ... ” ซังเห็นผม พลางกระตุกมือให้ออกจากแถวนั้น แต่ผมกลับสะบัดมือออก


“เดี๋ยวไปเอาข้าวมาให้นะ รอแป็บ” โอ้ตว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป ผมรอจนได้ยินเสียงประตูบ้านปิด
แล้วก็เห็นโอ้ตมันเดินลับไป ก็ยกมือปาดน้ำตาออกให้หมด


“ซัง ขอขวดยา ” ผมบอก


ไอ้ซังลุกขึ้นมองผมแบบงงๆ “จะเอาไปทำไรวะ”


“บอกให้เอามาไง” ผมฉวยขวดยาออกมาจากมือซัง พร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปในบ้านโอ้ต ซังมันจะจับ
ตัวผมไว้แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว


แอ๊ดดดด .....


“ทำไมมึงมาเร็วจัง .. - -” พี่ซังหันมาพูดนึกว่าเป็นโอ้ตเดินเข้ามา


“น น้องปริ้น” พี่เตดูจะตกใจที่เห็นว่าเป็นผม ไม่รู้เค้าจะคิดว่าผมแอบได้ยินที่พูดกันเหรอเปล่า ถึงได้ดูตกใจ
แบบนี้


“พี่เตไม่สบายเหรอครับ” ผมปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง มือยังกำขวดยาแน่น


“อะ ครับ ปวดหัวนิดหน่อย” พี่เตพูดแล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นมานั่ง


“พี่นอนเฉยๆเหอะครับ เดี๋ยวผมเดินไปหาเอง” ผมพูดเหมือนกับที่โอ้ตพูดเมื่อกี้นี้ ไม่รู้ว่าพี่เตจะรู้สึกได้
เหรอปล่าว แต่คาดว่าน่าจะรู้แหละ ถึงกับหน้าถอดสีเลยทีเดียว เค้าคิดว่าผมเป็นน้องโอ้ตจริงๆ แล้วคง
จะได้ยินที่พูดกันเมื่อกี้ แล้วจะรู้ว่าเค้าคบเป็นแฟนกันเหรอเปล่านะ


“มะ ไม่เป็นไรครับ พี่ค.. แค่ก แค่ก ค่อย ยังชั่วแล้ว” พี่เตพูดแต่ก็ไม่วายไอออกมา นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่
นี่ ผมกำลังจะแกล้งคนที่นอนป่วยอยู่เหรอ


“นี่ยาพี่เตเหรอปล่าว ตกอยู่รถนะครับ ลุงสนให้เอามาให้” ผมว่าแล้วก็ยื่นให้


พี่เตเห็นแล้วก็ยิ้มแห้งๆให้ผม


“อืม ของพี่เอง” เค้าบอกแล้วก็ยื่นมือมารับขวดยา แต่ผมกลับเดินเอาไปตั้งบนโต๊ะแทน พี่เตหน้าเสียเล็กน้อย


“พี่ไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ ? ” ผมถามออกไปโดยไม่ได้นึกถึงมารยาทที่ควรจะมี ตอนนั้นผมไม่รู้แล้วก็
ไม่แคร์ด้วยว่าพี่เค้าจะป่วยเป็นอะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่า เค้าเอาอาการป่วยมาทำให้โอ้ตเป็นหยั่งงี้เหรอ


“เออคือ ... ”


“พี่เป็นอะไรเหรอครับ ? ” ผมถามกลับอีกครั้งนึงโดยที่ไม่มองหน้าพี่เตเลยแม้แต่นิด


“ค คือ.. เป็นไข้หวัดเรื้อรังนิดหน่อยน่ะครับ” พี่เตตอบแบบอ้อมแอ้ม ไข้หวัดเรื้อรัง มีโรคนี้ด้วยเหรอไงวะ
กูอยากจะขำให้ดิ้นตาย


“อ่อ เป็นหวัดแล้วถึงกับต้องให้มีคนดูแลเลยเหรอ” ผมถามออกไปตรงๆ


“คะ คือ พี่ม .. ไม่ได้ - -” พี่เตพูดตะกุกตะกัก แถมพูดไม่ออกอีกตะหาก ผมหันหน้าไปหาพี่เตที่ดูหน้าซีด
เซียวลงเรื่อยๆ


“พี่ลุกขึ้นมาทำไมครับ นอนลงไปดิ๊” ผมว่าแล้วก็เดินเข้าไปผลักจนพี่เตล้มหงายไปบนเตียงอีกครั้ง โหย
ทำไมกูเป็นมารร้ายแบบนี้เนี่ย พี่เตล้มตัวลงไป ผมก็เข้าไปนั่งบนเตียง แล้วก็เอามือดันหน้าอกพี่เตไว้
ไม่ให้เค้าลุกขึ้นมา ตัวพี่เค้าดูจะอ่อนแอกว่าที่ผมคาดเอาไว้ซะอีก


“พี่กับพี่โอ้ตคบกันอยู่เหรอ ? ” ผมถามออกไปแบบเลือดเย็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่เตได้ยินเข้า
ถึงกับพูดไม่ออกได้แต่อึกอัก หน้าพี่เตตอนนี้น่าสงสารมาก แต่ผมกลับควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้
ผมกำลังรังแกคนป่วย กำลังทำให้เค้าจนมุม


“พี่กับพี่โอ้ตเป็นเกย์เหรอ ? ”


“พ พี่ไม่ได้ - - ฮึก” พี่เตพยายามจะลุกขึ้นมานั่งแต่ผมดันเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน


“พี่สองคนเป็นเกย์เหรอ” ผมกระชากเสียงถาม ตัวพี่เตสั่นระริก ไม่รู้ว่ากลัวหรือว่าอะไร


“ไอ้ปริ้น มึงพอได้แล้ว” ซังวิ่งเปิดประตูเข้ามาดึงตัวผมออกจากเตียง พี่เตยันตัวลุกขึ้นมา
ได้ถึงกับไอตัวโยน ดูท่าจะตกใจกว่าเมื่อกี้ เมื่อเห็นว่าใครก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ในห้องอีกคน


“ปริ้น มึงทำเหี้ยอะไร ใจเย็นๆดิ” ซังพูดแล้วก็รั้งตัวผมไว้


“ซัง ปล่อยกูนะ มึงดูมันดิ ทำเป็นแกล้งป่วยแบบเนี้ย - - ทำให้ไอ้โอ้ตต้องไปดูแลมันแบบนี้อ่ะ
ฮึก .... ” ผมพูดแบบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดีนะที่ซังมันแรงดีกว่าผม เลยฉุดตัวไว้ได้


“ไอ้ปริ้น - - พี่เค้าไม่ได้แกล้งป่วยนะ - - โอ้ย มึงหยุดก่อน” ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดตัวจนเป็นอิสระ
เดินเข้าไปหาพี่เตโดยไม่รู้ตัว เหตุผลทุกอย่างผมโยนทิ้งออกไปหมดแล้ว รู้แต่ว่ากูเกลียดเมิงงงงงงง


ปั้งงงงง เสียงประตูกระแทกเปิดออกมาอีกครั้ง เป็นไอ้โอ้ตวิ่งเข้ามากระชากเสื้อผมจนตัวเซ แล้วก็ประเคน
หมัดใส่ผมนึงดอก


พลั๊กกก ....


“อุ๊บบ” โดนหมัดนี้เข้าไปถึงแม้ว่าจะรู้ว่าไม่เต็มแรง แต่ก็ทำเอาตัวผมเกือบล้มลงไปกองกับพื้น ดีที่ซังมัน
เข้ามาประคองตัวไว้ทัน


“ปริ้น ทำอะไรน่ะ” โอ้ตตะโกนใส่พร้อมกับเดินเข้ามาหาผมอีกรอบ


“ปริ้นจะทำอะไรไอ้เตมัน ฮ้าาาาาา - - ไม่เห็นเหรอ ไม่เห็นเหรอว่ามันเจ็บจะตายอยู่แล้ว” โอ้ตเดินเข้ามา
กระชากคอเสื้อผมไปมา


“ผมไม่แคร์ ”


โอ้ตได้ยินดังนั้น ถึงกับเลือดขึ้นหน้า


“พ พี่โอ้ต เบาๆ เฮ้ย - -” ซังจับมือโอ้ตให้เพลาๆกับตัวผมหน่อย


“อ โอ้ต มึงหยุดก่อน - -” เสียงพี่เตห้ามไว้ แต่ดูจะอ่อนแรงเหลือเกิน


“ปริ้นอยากรู้เหรอ ว่าไอ้เตมันเป็นอะไร - - อยากรู้เหรอ อยากรู้มากใช่มั้ยยยย” โอ้ตตะโกน
ใส่หน้าผมทั้งๆที่มือก็จับคอเสื้อไว้ไม่ยอมปล่อย สายตาผมประจันหน้ากับตาโอ้ตอย่างท้าทาย รสเลือด
ที่รับรู้ได้ตรงริมฝีปากทำให้จิตใจผมค่อยๆเข้าสู่ภาวะปกติสภาพที่


ในห้องขณะนั้น ทุกสิ่งที่อย่างค่อยๆสงบเงียบลง เหมือนพายุฝนไล่ช้างที่มาเร็ว แล้วก็หายไปเร็ว
ขวดยาที่โดนปัดตกลงมาจากโต๊ะค่อยๆกลิ้งมาหยุดที่ปลายเท้าผม ข้างๆขวดยาเขียนชื่อกำกับไว้ว่า Mercaptopurine เป็นยาในกลุ่ม Antimetabolites เพื่อลดอันตรายในการรักษามะเร็ง
บางอวัยวะ และหนึ่งในนั้น เป็นมะเร็งเม็ดโลหิตขาว ที่พี่เตกำลังเป็นอยู่...


.

.

.

.

.

.



หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 03-11-2006 10:17:54
ฮือๆๆๆๆ

บีบหัวใจเหลือเกินบลู

ไม่หวายแล้น







ปล.

วันนี้วันศุกร์นะค้าบบบบ

อย่าใจร้ายกันนักเลย

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-11-2006 09:03:32
หง่ะ  ตอนนี้ปริ้นโหดเนอะ  เค้ามาอ่านแล้วน้า  มาต่อให้เค้าด้วย  นะนะ  นึกว่าเรย์จะมาต่อยาว ๆแล้วซะอีกอะ  ฮือ ฮือ  :monkeysad:

ต้องรอให้คนโพสสิบเลยเหรอ  โห... ใจร้ายอะ  แล้วเค้าจาได้อ่านเมื่อไหร่อะ  ถ้าคนโพสไม่ครบเดี่ยวเรามาโพสต่อให้เป็นสิบเมนต์เรยดีมะ  อิอิ   :laugh:

ปล ที่จริงเรื่องอื่นเราก็กำลังว่าจะตามอ่านอยู่น้า  เราอ่านเร็วนะ  คนอื่นๆ มะรู้  เรย์จะหยุดโพสเรื่องอื่นเลยเหรอ  ตามใจแล้วกันจ้า  มาโพสเมื่อไหร่ก็ตามอ่านอยู่อะนะ  เป็นกำลังใจให้คะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 04-11-2006 10:00:36
มาช่วยให้ครบสิบไวไว  (ไม่ต้องครบไม่ได้เหรอ เอาแค่ 5 ได้ป่ะ อยากอ่านอ่ะ)
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-11-2006 02:15:08
ต่อให้ก่อนละกัน
เพราะเรื่องนี้คงจะอ่านตามทันกันยาก
เอิ้กๆ ลงไว้เยอะเกิน

มูมู่น้อย คงจะเป็นอะไรที่เก็บไว้นาน ถ้าคุยกันบ้างเรื่องคงอาจจะเบาลง พอมันระเบิดมันเลยแรงครับ

หมูพูส์ ใครบีบหัวจายพูส์กันอยู่นะตอนนี้ คิกคิก เรื่องเบาลงแล้วหล่ะครับ
*********************************************

 
.

.

.

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ มีแต่เพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสี่เท่านั้น
ผมค่อยๆยกมือขึ้นปาดเลือดที่ยังไหลซึมอยู่ที่ริมฝีปากออก


“ซัง กลับโรงเรียนเหอะ” ผมหันไปบอกเพื่อน ก่อนที่จะหันไปหาพี่เต


“ขอโทษครับ” ผมกล่าวคำขอโทษเสียงอ่อยพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเดินออก
จากห้องไป


“ง งั้นผมไปก่อนนะ” เสียงซังบอกโอ้ต


“ซัง ฝากปริ้นทีนะ ” โอ้ตเอามือจับบ่าซัง แต่มันกลับค่อยๆยกมือโอ้ตออก


“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ... ปริ้นเป็นเพื่อนผม บางทีก็คิดว่าอาจจะดูแลมันได้ดีกว่าแฟนมันอีกครับ”


ซังพูดพลางจ้องหน้าโอ้ต แล้วก็เดินออกมาหาผม


“เจ็บมากเปล่าวะ ” ซังเอามือมาจับที่แผล


“โอ้ยย ... จับทำไมเนี่ย ”


“เจ็บเป็นด้วยเหรอ ? ”


ผมปัดมือมันออกมองหน้ามัน ไอ้นี่วอนซะแล้น


“ไปเหอะ ”


“เออ แต่ซังขับเองนะ ยังไม่อยากตาย” มันว่า แล้วก็ขอกุญแจจากผม

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

กลับมาถึงโรงเรียนก็หกโมงกว่าแล้ว เพราะไอ้ซังมันขับช้าคับ พอมาถึงเพื่อนๆก็มากันเกือบ
ครบแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกไม่สนุกเลยซักนิด


“ทำตัวสนุกสนานหน่อยซิฟ่ะ อย่ามัวซังกะตายอยู่” ซังกระแทกตัวผม


“อือ ... ”


“ซัง .... ”


“ว่าไง”


“อยากกินเหล้าหว่ะ”


“คออ่อนจะตายห่ายังจะกินอีก - - ไม่ต้องเลย” มันปราม ผมเลยเดินไปหาไอ้คิวแทน


“คิว กูอยากแดกเหล้า” ผมบอกเห็นมันทำหน้างงๆเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ขัดอะไรตาม
สันดานมัน


“เอาดิ เด๋วป๋าจัดห้ายย” มันพูดโดยไม่มองสายตาไอ้ซังที่ดูไม่พอใจอยู่ข้างๆ


หลังจากงานผ่านไปจนเกือบสามทุ่ม ผม กับไอ้คิวก็กะว่าจะออกไปหาเหล้ากินกันนิดหน่อย
โดยให้มันไปที่ร้านประจำของมัน ซังมันไม่ยอมพูดอะไรกับผมอีกเลย แต่ก็ยังตามติดอยู่
ตลอด


“เอ้ย โค้ก ไปแดกเหล้ากัน” ไอ้คิวเห็นโค้กเดินมาเลยชวนซะเลย


“ไปร้านไหนอ่ะพี่คิว แต่ผมต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ - - ”โค้กบอก เพราะมันยังแต่งชุดนักเรียน
อยู่เลย


“ไปร้าน xxx อ่ะ”


“งั้นปริ้นเมิงเอารถไปจอดไว้ที่บ้านกรูก่อน แล้วเด๋วไปรถไอ้ซัง”


“ใครให้ใช้รถกูไม่ทราบ” ซังบอกฉุนๆ


“ตกลงเมิงไม่ไปใช่ม่ะ กรูจะได้ขี่มอไซต์ไปกะไอ้ปริ้น” คิวมองแฟนตัวเอง ไอ้ซังทำหน้าหงุดหงิด
ใส่ แต่ก็ต้องยอม เพราะมันคงไม่ปล่อยให้ขี่มอไซต์ไปแดกเหล้ากันแน่นอน อาจคว่ำตายกันได้
พอไปถึงร้านปั๊บคนค่อนข้างแน่นอยู่พอสมควร แต่ก็พอจะหาที่สำหรับคนสี่คนได้ ทันทีที่นั่ง
โต๊ะ คิวมันก็จัดแจงสั่งโน่นสั่งนี่


“ซังเมิงไม่ต้องแดกเยอะนะ เด๋วขับรถกลับไม่ไหว” ไอ้คิวสั่ง


“เออ กูเคยแดกให้เมาเหรอไง ”


“ส่วนเมิง ปริ้น ... อยากเมาแค่ไหนวะ ”


“ให้เมาเหมือนหมาไปเลย” ผมพูดจนซังมันหันมามองแล้วก็ถอนหายใจ งานนี่ไอ้คิวก็ยิ้มซิคับ
เลยชงมาให้กูซะเข้มเลย กินไปแก้วแรกแทบจะอ๊วก มันอร่อยตรงไหนวะ กินมาเป็นรอบที่
สองแล้ว ก็ยังเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่กิน กูก็ไม่เมาดิ งั้นซัดไป ...


“เอื้อกๆๆๆๆๆ ”


“โห ซัดทีเดียวหมดเลยเว้ย งั้นเอาอีกๆ” มันพูดพลางประเคนมาให้ผมอีก


“พี่ปริ้นค่อยๆกินก็ได้ เดี๋ยวจะแย่นะ ” โค้กมันบอกพลางเอามือจับแก้วที่ผมกำลังจะหยิบกิน


ผมมองหน้ามันอย่างยั้วะๆ (เริ่มเมาแล้วดิ)


“อย่ายุ่งดิ จาแดรก ” ผมว่าแล้วก็ปัดมือมันออก ซัดไปอีกจนหมดแก้ว


“เฮ้ย คนมันจะอยากเมา ก็ปล่อยมานๆ ” ไอ้คิวไม่เคยคิดจะห้ามเพื่อน อยากได้มันจัดให้ตลอด


ติ้ดด ..... ติ้ดด ..... ติ้ดด .....ติ้ดด .....ติ้ดด .....


“ครายโทรมาว้า ... ” ผมหยิบขึ้นมาดูขึ้นชื่อโอ้ต ..


“ฮึ .. โทรมาทำบ้าไร”


กริ้ก .. ผมกดตัดสายไปแล้วก็นั่งกินต่อกะไอ้คิว โดยมีโค้กกะซังนั่งมองกินกับแกล้มอยู่
ห่างๆอย่างห่วงๆ(มั้ง)


ติ้ดด ..... ติ้ดด ..... ติ้ดด .....ติ้ดด .....ติ้ดด .....


มันยังโทรมาไม่ยอมหยุด ผมเลยจัดการถอดแบตออกมาซะเลย


“ปริ้นนน กรูถามเมิงเจงๆ เหอะ - - เมิงเป็นรายว้า” แดรกเหล้าเหมือนแดรกน้ำ
ไหนเมิงว่า ไม่ชอบกินงายยย คิวถามผมแต่มือมันก็ยังส่งมาให้เรื่อยๆนะ


“อืออ .. ” ผมชักมึน เพราะกินติดต่อกันไปหกเจ็ดแก้วแล้วมั้ง ในชีวิตยังไม่เคยกินเยอะ
ขนาดนี้มาก่อน ผ่านไปเกือบ 5 ทุ่ม พูดตามตรงว่าตอนนี้ตัวผมแดงไปหมด เพราะ
ฤทธิ์แอลกอฮอร์


“ปริ้น แมร่ง คอแข็งเหมือนกันนี่หว่า ” ไอ้คิวดูเหมือนจะมึนพอควรพูดขึ้นมา หารู้ไม่
ว่าสติผมหลุดไปตั้งชาติกว่าแล้ว ร่างที่นั่งอยู่นี่เหมือนกับคนไร้วิญญาณประมาณนั้น
ก่อนที่ผมจะซดไปอีกแก้วนึง ไอ้โค้กมันก็คว้ามือผมไว้


“แก้วสุดท้ายนะพี่”


ผมหันไปมองมัน แต่ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ไปหมดแก้วเท่านั้นแหละคับ ก็รู้สึกว่า
ตัวเบาโหวง แล้วก็ล้มพับตกเก้าอี้ลงไปนอนกองกับพื้น


“ปริ้น”


“พ พี่ปริ้น”


ซังกะโค้กพูดแทบพร้อมกัน เมื่อเห็นผมตกเก้าอี้ลงไป รีบพยุงให้ขึ้นมาอย่างไว


“ได้เวลากลับแล้วมึง” ไอ้ซังสะกิดแฟน


“ยางงงไม่อยากกกกลับบบ ” ไอ้คิวส่ายหัวไปมาเหมือนเด็ก


“เออ งั้นกูปล่อยมึงไว้ที่นี่นะ พวกกูกลับแล้ว หาทางกลับเองล่ะกัน” ซังว่าพลางหิ้วปีกกะโค้กคนละข้าง
ไอ้คิวเลยต้องจำใจเดินเซแซ่ดๆตามมา ดูมันจะเมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน


“เมาเป็นหมาสมใจแล้วดิมึง” ไอ้ซังพูดข้างๆหูผม แต่ตอนนั้นตัวเองแทบจะไม่รับรู้อะไรแล้วล่ะ


พอขึ้นรถปั๊บ ได้ยินซังมันบอกให้ไอ้โค้กขี่รถตามรถมันไปบ้านไอ้คิว มันบอกว่า กูรับภาระคนเมาสอง
คนไม่ไหวแน่ แล้วก็จัดการโทรไปที่บ้านผมบอกแม่ว่าผมจะไปค้างบ้านมัน ไม่ต้องเป็นห่วง เออ มัน
รอบคอบดี


ถึงบ้านคิวปุ๊บ แรงยืนผมก็แทบจะไม่มี ต้องให้โค้กมันคอยพยุงผมอยู่ตลอด


“พาไอ้ปริ้นขึ้นไปนอนบนห้องไอ้คิวแล้วกัน ขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้ายนะ ” ซังว่าไปพยุงไอ้คิวไป


“อ้าว แล้วพี่คิวอ่ะ”


“เดี๋ยวให้จัดการให้มันนอนที่โซฟาข้างล่างนี่ล่ะ” ซังว่า แล้วก็ทิ้งร่างแฟนตัวเองไว้ที่โซฟา


“ฝากด้วยหว่ะ เหนื่อยชิบ” มันว่าพลางปาดเหงื่อ


“ได้คับ” โค้กรับคำ แล้วก็ค่อยเดินพยุงตัวผมขึ้นบันไดอย่างยากลำบาก เปิดห้องเข้าไปได้
มันก็โยนตัวผมลงบนเตียง ทำไมรู้สึกว่าตัวเองร้อนเป็นไฟขนาดนี้วะ ร้อนไปทั้งตัวเลย



“อือ อืออออ ... ” ผมครวญคราง กินเหล้ามันทรมานแบบนี้นี่เอง โอ้ย อกหัก เครียด กินเหล้า
แถมด้วยปวดหัวอีกตะหาก หัวแทบระเบิด ...


“ฮือออ อือออ.... ”


“ผมบอกแล้ว ว่าอย่ากินเยอะ” โค้กพูดพอจับใจความได้ แล้วผมก็รู้สึกถึงความเย็นเจี้ยบที่มา
สัมผัสที่ใบหน้า จนต้องเอามือผลักออกไป แต่มือคนเมาเหรอจะสู้ได้


“อย่าดื้อซิคับ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้นะ - - รู้มั้ย ตัวปริ้นเหม็นเหล้ามากเลย” ไอ้โค้กอธิบาย
อยู่ต่อหน้าคนอื่นมันเรียกผมว่าพี่ แต่พออยู่กันสองต่อสองมันถือวิสาสะเรียกชื่อผมอย่าง
เดียวตั้งแต่เมื่อไรกันนะ


“อื้ออ เย็นนนนนน ม่าย เช็ดด ฮือออ....” มือผมก็ปัดป้องไปเรื่อย แต่ก็ไม่เป็นผลหรอก
รู้สึกได้ว่า ผ้าชุบน้ำเย็นสัมผัสทั่วใบหน้า ไปจนถึงใบหู ซอกคอ รู้สึกดีขึ้นบ้างนิดหน่อย
ต .. แต่ ......


“บอกว่าอย่าขยับไง นอนเฉยๆ ผมเช็ดลำบากนะ” โค้กมันว่าเมื่อเห็นผมพยายามจะพยุงตัว
ขึ้นมา อุ อุ อุ ...


ผมรู้สึกถึงความร้อนบางอย่างค่อยๆทยอยกรูกันขึ้นมาจากท้องเรื่อยขึ้นมาผ่านหลอดอาหาร
แล้วก็มาถึงที่คอ แล้วก็ .....


“อู้แหวะ !!!! โอ๊กกกกก......”


ทั้งหมดทั้งมวลที่กินเมื่อตอนเย็น แล้วก็เมื่อตอนค่ำๆ ทยอยไหลออกมาจากปากผมเป็นสาย
ลงบนตัวไอ้โค้กโดยที่มันไม่สามารถจะหลบทัน (สมน้ำหน้าไม่อยากให้ลุกดีนัก)


“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกส์ ......... ”


“เอ้ยยย เกิดไรขึ้นวะ” ไอ้ซังรีบวิ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องของโค้ก


“เออ ... คือ พี่ปริ้นอ๊วกใส่ผมอ่ะ” มันบอกให้เห็นสภาพทั้งตัวผมทั้งตัวมันเละไปด้วย
อ๊วก โชคดีที่นอนไอ้คิวไม่เปื้อนมาก แต่ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูอยู่ดี


“กำเวน ..... ช่วยกันยกมันไปห้องน้ำก่อน” ซังบอก แล้วก็พยุงปีกกันคนละข้างกะโค้ก
โชคดีที่ในห้องมันมีห้องน้ำในตัวด้วย


“ถอดเสื้อมันก่อน” ซังว่า แล้วก็ดึงพลวดเดียวออกเลยคับ แคว่กกกกก ... โห เสื้อกูขาดยับ
แต่มันก็ทำให้ดึงออกอย่างรวดเร็ว


“ซางงงงงง..... เมิงปายยยไหน เมิงงหนีกรูปายยยยหนายยยยยยย” เสียงแว่วๆของไอ้คิว
ตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างล่างจนโค้กหันมามองหน้า ไอ้ซังดูเหมือนจะอายๆนิดหน่อยล่ะ
เพราะปกติไอ้คู่นี้มันไม่เปิดเผยต่อหน้าใครอยู่แล้ว มาเจอไอ้คิวตะโกนเรียกแบบนี้ คงไม่รู้
จะเอาหน้าไปไว้ไหน


“ที่ร๊ากกกก ... ”.


“เออ. โค้กช่วยจัดการไอ้ปริ้นทีนะ เดี๋ยวพี่ไปดูไอ้เหี้ยข้างล่างก่อน” มันพูดหน้าแดงก่ำ


“ครับพี่ ไม่เป็นไร ”


ได้ยินดังนั้นซังก็เผ่นแผล่วลงไปข้างล่างทันที ได้ยินเสียงตุ๊บตับเล็กน้อย ก่อนที่เสียงไอ้คิว
จะเงียบหายไป


“อืออออ ....... อึกกก.... อ๋อย มานจามาอีกแหล่วววววว ” ผมรู้สึกได้ถึงข้าศึกระลอก 2
กำลังจะทลายด่าน เลยรีบคลานไปที่โถส้วม


“โอ๊กกกกกกกกก .......... ”


พอระลอกสองหมดเท่านั้นแหละ ผมแทบจะไม่มีแรงทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่นอนก่ายโถ
เอาไว้เฉยๆอย่างหมดท่า จนโค้กมันต้อง พยุงตัวผมให้นั่งดีๆ แล้วก็ไปหยิบฝักบัวมา


“จาทำอารายยย .. ”.ผมค่อยๆแหงนมองขึ้นไป ก็ปรากฏว่าไอ้โค้กมันดันเปิดน้ำมาพอดี สาดด
เข้ามาเข้าตากูหมด


“อ๊ออกกก .... ” ผมค่อยๆเอามือลูบหน้าลูบตาไม่ให้น้ำเข้าปากเข้าจมูก ตัวเปียกไปทั้งตัว โดย
เฉพาะกางเกงยีนที่ใส่อยู่ อุ้มน้ำทำให้น้ำหนักขึ้นไปหลายกิโล


“อืออออ ..... อึก อึก ห หนาวว พอก่อน หน~าววว ว้อยยย” ผมเอื้อมไปจับขามันเขย่าๆให้
ปิดน้ำซะที ไอ้โค้กเปลี่ยนจากยืนฉีดน้ำเป็นนั่งยองๆแทน


“ทนหน่อยนะ - - เดี๋ยวผมล้างตัวให้ ” มันไม่พูดเปล่า ค่อยๆเอามือมาลูบไล้ตัวผมไปทั่วตั้งแต่หัว
จนถึงพุง (ล่างกว่านั้นไม่ได้เพราะไม่ได้ถอดกางเกง หุหุ) ตัวมันจึงเปียกปอนไปด้วย


“ปริ้นถอดกางเกงดิ” มันว่า


ผมหันไปมอง แล้วก็ทำสายตาไม่เห็นด้วย


“ม่ายถอดดดดด แค่นี้แลลลล” ผมว่าพลางค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นกลับเข้าห้องนอน แต่ไอ้โค้กก็ฉุดเอาไว้


“ไม่ต้องอายผมหรอกน่า - - เหม็นขนาดนี้ ไม่มีอารมณ์หรอก” มันบอก แล้วก็เอื้อมมือ
มาปลดกระดุมกางเกง


“เฮ้ย ... ”


“อย่าดิ้นซิ”


“ถอดเองงงงด้ายยย”


“มีแรงถอดเหรอ ? ”


“อือออออ” ผมค่อยๆยกตัวขึ้นเพื่อจะถอดกางเกงด้วยตัวเอง แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนรอบๆข้างจะมืดลง
ไปชั่วขณะ


“เอ้ย .... ” ผมทรุดลงมานั่งอีกรอบ แล้วคราวนี้รอบๆข้างก็มืดสนิทเป็นการถาวร ...

.

.

< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.
ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนที่นอนนุ่มๆแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่มากมาย
จนไม่มีแรงจะขยับ ได้แต่ค่อยๆลืมตา เห็นไฟห้องน้ำเปิดอยู่พร้อมกับเสียงใครบางคนกำลัง
อาบน้ำ สงสัยจะเป็นโค้กล่ะมั้ง ขนาดอาบน้ำแล้ว ผมยังรู้สึกว่า ยังได้กลิ่นเหล้าอยู่เลย ...
รู้งี้ไม่น่ากระซวกไปมากเลย


ว ว่าแต่ .... ผมค่อยๆเลื่อนมือสัมผัสตามส่วนต่างๆของร่างกายปรากฏว่าน่าจะอยู่ในชุดนอน
ชุดใหม่แล้ว


เออ คือ ... ไอ้โค้กเปลี่ยนให้กูเหรอวะ งี้มันก็เห็นอะไรถึงไหนต่อไหนแล้วซิ หมดกัน


แอ๊ดดด .... เสียงเปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับไฟที่ดับลง ตอนนี้ภายในห้องกลับมืดมิด จนแทบ
จะมองไม่เห็นอะไร เห็นแต่เงาดำตะคุ่มๆ เช็ดตัวอยู่ จิ๊... งี้กูก็เสียเปรียบดิ ไม่ได้ดูของมัน
ซักพักก็เห็นมันใส่เสื้อผ้า ซึ่งก็เป็นของไอ้คิวนั่นแหละ (ก็บ้านมันนิ) กว่าสายตาผมจะปรับ
สภาพได้ มันก็ใส่เสร็จพอดี ..... จิ๊


ว ว่าแต่ ... ป่านนี้พี่เตจะเป็นยังไงบ้างนะ ทำไมกูรู้สึกผิดจังที่ทำเค้าไปแบบนั้น ทั้งๆที่เห็นอยู่
ชัดๆแล้วว่าเค้าไม่ได้แกล้งป่วย .. แต่ผมก็ไม่คิดถึงกับว่าเค้าเป็นมะเร็งนี่นา


เป็นมะเร็งนี่ต้องตายทุกคนมั้ย .... ถ้าพึ่งเป็นก็คงรักษาให้หายขาดได้ แต่มะเร็งเม็ดเลือดขาวนี่
มันรักษาให้หายขาดได้เหรอเปล่า ? ... แล้วทำไมไอ้โอ้ตต้องไปคอยดูแลเค้า จนถึงขนาดต้อง
ทิ้งเราไปคบกะไอ้พี่เตเลยเหรอ


ไอ้โอ้ตมันทำไปเพราะสงสารพี่เต หรือเป็นเพราะว่า เค้ารักของเค้านะ - - แล้วทำไมมันต้อง
ปิดบังเรื่องพี่เตเป็นอะไรไมให้เรารู้ด้วยวะ ..... มึงคิดอะไรของมึงอยู่นะไอ้โอ้ต กูไม่เข้าใจ
เลย .... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไม่เข้าใจด้วยว่า ทำไมมึงต้องมาต่อยกูด้วยนะ กูเจ็บนะสาดดด


ผมคิดไปพลางเลื่อนมือมาจับที่ริมฝีปาก ป่านนี้คงช้ำเป็นสีม่วงแล้วมั้ง เฮ้อ หน้ากูยิ่งไม่ดีอยู่แล้ว
หลังจากนี้คงอับเฉาลงกว่าเดิมแน่ๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนรู้สึกว่ามีที่นอนข้างๆมันยุบตัวลงไป
แต่มันไม่ได้เป็นในลักษณะของนอนหงาย แต่มันดันเป็นนอนตะแคงแล้วก็เอาแขนยันหัวแทน ผม
รีบหลับตาแทบไม่ทัน กลัวมันรู้ว่าผมตื่นอยู่


มึงมองกูอยู่เหรอเป่าวะ ไอ้โค้ก ผมคิดในใจแต่ก็ไม่กล้าจะลืมตามอง


ในระหว่างที่หลับตาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าขนลุกเหมือนมีใครเอาหน้ามาไว้ใกล้ๆ แล้วสัมผัสของปาก
ไอ้โค้กก็เลื่อนมาจุ๊บเข้าที่แก้มซ้าย


สาดดด มึงทำไรเนี่ย เด๋วค่อยดูพรุ่งนี้จะซัดให้ ผมคิดในใจ แต่มันก็ทำแค่นั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอน
แล้วก็กลิ้งกลับมาเอามือกอดตัวผมไว้ซะงั้น ไอ้โค้กเอาหน้ามาซุกใกล้ๆหน้าผม จนสัมผัสได้ถึง
ลมหายใจ


“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าจะได้มีโอกาสนอนกอดกับปริ้นแบบนี้ ” อยู่ๆมันก็พูดกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ
หรือว่ามันรู้ว่าผมตื่นแล้ววะ แต่กูเนียนทำหลับไปก่อน


“ผมเรียกปริ้นเฉยๆ ไม่ได้เรียกพี่เหมือนเดิม โกรธมั้ย ? ” มันพูดกับตัวเองอีกรอบ มึงบ้าเป่า


“- - แต่ถึงโกรธ ผมก็จะเรียกปริ้นเฉยๆ” มันว่าแบบเออออไปเอง


อืออออ ควับบบ


มันค่อยๆกอดผมแน่นขึ้นจนหน้ามันมาชิดกับซอกคอผม แล้วก็เอาผ้าห่มขึ้นมาห่มเราสองคน

“หน้าหนาวปีนี้ทำไมถึงผ่านไปช้านักนะ - - ผมไม่ชอบหน้าหนาวเลย” มันพูดต่อ


“ปริ้นรู้มั้ย .... ว่าวันนี้ปริ้นไม่เป็นตัวของตัวเองเลย - - ใครทำให้ปริ้นเป็นแบบนี้ไปได้นะ” เหอๆ ถ้ามึง
รู้แล้วจะหนาว


“ปริ้น - - แค่ผมได้กอดปริ้นแค่นี้ ก็ทำให้ผมไม่อยากจะได้อะไรจากปริ้นมากไปกว่านี้แล้ว - -
ผมรู้ว่าทำตัวให้ปริ้นลำบากใจ ... แต่ที่ผมทำไป เพราะว่าผมรักปริ้นนะ ผมรักปริ้น ได้ยินมั้ย...
ได้ยินมั้ย รักปริ้นมากเลยนะ - - ได้ยิน ... ได้ยิ ...ด้ายย ........ Zzzzzz Zzzzzzz”


มันพูดวนไปวนมาจนผล็อยหลับไปทั้งๆที่กอดผมอยู่ในลักษณะที่ผมนอนหงาย แล้วมันก็นอนตะแคง
หันมากอดอยู่ ผมรู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นจากร่างกาย แต่คราวนี้มันไม่ได้มาจากตรงท้องหรอก แต่
มันร้อนผะผ่าวที่ขอบตาต่างหาก แล้วซักพักมันก็ค่อยๆไหลออกมา คงมีบางส่วนล่ะ ที่ไหลตกลงไป
ที่หน้าผากของโค้ก แต่มันคงจะไม่รู้สึกหรอก เพราะว่ามันหลับฝันดีไปแล้วนี่นา ....


ผมค่อยๆ ขยับตัวอย่างแผ่วเบา แล้วกลับเป็นฝ่ายเอามือทั้งสองข้างโอบกอดตัวไอ้โค้กแทน...


.

ชอบอะไรก็ไม่รู้ .... ไม่รู้ใจตัวเอง


เลือกอะไรก็ไม่รู้ .... หลงทางไปจนไกล


พึ่งเข้าใจพึ่งจะรู้ ... เมื่อมีเธออยู่ข้างกาย .... ขอเดินไปสู่จุดหมายกับเธอ

.

.

.


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-11-2006 17:08:22
อูยยยย  ชอบ ชอบตอนนี้อีกแระ  ถึงมันจะดูเหงา ๆ เศร้า  แต่เราก็ชอบอะ   ชอบโค้กอีกแล้วววววววววววว
โอยย  ไม่ไหว  โค้กน่ารัก  ปริ้นก็น่ารัก  ซังกับคิวก็น่ารัก   ชอบเรื่องนี้จังอะ  ชอบจริง ๆ นะ  ขอบคุณนะเรย์ที่เอามาให้อ่าน   :angellaugh2:

ว่าแล้วมาต่อเรยยแล้วกัน   อย่ามัวแต่ไปลอยกระทงกับใครเพลินนะ  เสน่ห์แรงเกินละ   :try2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 05-11-2006 18:55:17
เหอเหอ

เศร้าจางงงงงง :impress:

ขอบคุณนะบลูที่เอามาลงต่อให้ :3123:





ปล.



ว่าแต่ บลูเปงรายมากป่าว


พูห์เปงห่วงนะ


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FlukeHub ที่ 05-11-2006 20:36:57
โอย...ตาลาย อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้น

สนุกฮับ  ตั้งแต่อ่านมารู้สึกว่าซังกับคิวจะเป็นอะไรที่สมหวังที่สุดแล้วนะเนี่ย

เหอๆๆๆๆ

โค้กน่ารักจัง  ตกลงปริ้นท์เริ่มชอบโค้กแล้วใช่มะเนี่ย  หุหุหุ

ต่ออย่างด่วน อยากอ่านมากๆๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-11-2006 06:53:29
มูมู่น้อย  อ่าว ทำไมน่ารักไปหมดเลยหล่ะ เหลืออีกคนนะที่น่ารักกว่า แหะๆ ผมชอบคนนี้มากๆหง่ะ  :myeye:

หมูพูห์  คิกคิก สบายดีครับ แต่คงสู้คนที่โทรศัพท์หาแฟนทุกวันไม่ได้หรอก ช่ายม้า คิกคิก  :angellaugh2:

FlukeHub  เย้ๆๆ ในที่สุดก็มีเพื่อนเราอ่านตามทันอีกคน เอิ้กๆ เก่งมากๆ  :really2:

ว้า goneon หนีไปแล้วหรือ  :monkeysad:
***************************************************************************




.
.

.

.

รอบๆตัวของผมมีแต่ความมืดที่โอบล้อมอยู่ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็แล้วแต่
ทุกๆที่ล้วนมืดสนิท ไม่มีแม้แต่กระทั่งแสงไฟ ความรู้สึกที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
แล้วอยู่ๆก็มีเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา


- เป็นไงมึง ... ยังไม่เข็ดอีกเหรอไง - ร่างที่อยู่ด้านข้างเปล่งเสียงออกมา เมื่อ
หันไปมองก็ปรากฏว่าเป็นตัวผมอีกคนนึงนั่งกอดเข่าอยู่


- เข็ดเรื่องอะไรวะ - ผมถามตัวเอง


ตัวผมเองที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ยิ้มเป็นเชิงดูถูก


- อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ... ว่าตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่ -


- กูไม่ได้คิดอะไร - ผมเถียง


- มึงจะโกหกใครก็โกหกได้ - - แต่มึงอย่ามาโกหกตัวเอง - ร่างที่นั่งอยู่ตะโกนกลับมา


- แน่ใจแล้วเหรอ ? ว่าชอบไอ้โค้กจริงๆ - ร่างนั้นถามตรงประเด็น


- แต่มันชอบกู ! -


- มึงตอบไม่ตรงคำถาม - ร่างนั้นพูดแบบเบื่อหน่าย สองมือยังคงนั่งกอดเข่าอยู่เช่นเดิม
ผมสะบัดหน้าหันหลังให้กลับร่างตัวเอง


- มันจำเป็นด้วยเหรอไง ! ผิดด้วยเหรอ ที่จะเลือกคนที่เค้ารักกู - ผมตะโกนตอบร่างที่นั่ง
อยู่ด้านหลัง


- ปริ้น - - มึงไม่ได้รักไอ้โค้ก -


- กูรัก.. -


- มึงแค่อยากหาคนมาปลอบใจตัวเอง เพราะว่าโดนไอ้โอ้ตทิ้งก็แค่นั้น -


- หุบปาก !! มึงจะมารู้ดีกว่าได้ยังไง - ผมหมดความอดทนหันกลับไปทำท่าจะเตะร่างที่นั่ง
อยู่ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ผมหันรีหันขวางไปรอบตัว ก็ไม่พบร่างๆนั้น ได้ยินแต่
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาจนมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลัง


- ทำไมจะไม่รู้ - - เพราะว่ากูคือมึงไง ปริ้น - ผมได้ยินเสียงของตัวเองจากที่ด้านหลังจนต้องรีบ
หันกลับไปหา ก็พบว่าตัวผมอีกคนนึงยืนอยู่เบื้องหน้า น้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่ไหลเป็นทางยาว


- มึงเจ็บ - - กูก็เจ็บ - ร่างที่กำลังร้องไห้อยู่พูด พร้อมกับค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ จนในที่สุด ก็เดินมา
โอบกอดตัวผมเองที่กำลังยืนนิ่งอึ้ง


- ปริ้น ... อย่าทำร้ายกูไปมากกว่านี้เลยนะ - - ฮ ฮึกก ...- - - ร่างนั้นกอดผมแน่นพลางสะอึกสะอื้น


- - - ห..ให้เวลา กูหน่อย ... ทั้งกู ทั้งมึงเองด้วย ..... -


.


ติ้ดดด ติ้ดดดดดด ติ้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ผมสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกของไอ้คิวที่อยู่บนหัวนอน กว่าจะควานหา
แล้วก็กดปิดสวิตซ์ได้ก็นานโขอยู่ เมื่อมองไปรอบๆห้องก็เห็นว่าไอ้โค้กนอนขดตัวเอง
อยู่อีกด้านนึงของเตียง ผ้าห่มทั้งผืนคลุมอยู่ที่ร่างของผมคนเดียว


ผมยันตัวลุกขึ้นมานั่งแบบง่วงๆอยู่บนเตียงนอน พลางนึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อคืนวานแล้วก็รู้สึกสมเพชตัวเองที่ปล่อยให้เมาได้ขนาดนั้น พลอยทำให้คนอื่น
ต้องเดือดร้อนไปด้วย พอจะลุกขึ้นยืน ก็ทำให้รู้ว่าตัวเองยังคงแฮ้งๆอยู่ ทำให้นึก
ถึงวิธีแก้ที่ไอ้นิคเคยให้ผมกินกาแฟขมจัดเมื่อคราวก่อน


- เฮ้อ ... ทำไมกูนึกถึงมึงได้วะ สัด ... - ผมคิดแล้วก็สั่นหัวปัดเอาความฟุ้งซ่านออกไป
ให้หมด แล้วก็พยุงตัวเองค่อยๆเดินไปที่ประตูห้อง แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก่อน จึง
เดินกลับไปที่เตียง แล้วก็ยกเอาผ้าห่มไปห่มที่ตัวไอ้โค้ก


“ขอบใจมากนะเว้ย ...” ผมกระซิบบอกแล้วก็ลูบหัวมันเบาๆ

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“อ้าว ตื่นเร็วจริง ... ” ซังทักเมื่อเห็นผมเดินลงบันไดมา “- - นึกว่าจะตื่นซะเที่ยง เมื่อคืน
โคตรเมาเลยรู้ตัวเหรอเปล่าฟ่ะ”


“พอจะรู้อยู่บ้าง” ผมตอบ “- - ซังขอกาแฟแก้วดิ ยังแฮ้งๆอยู่เลยวะ”


“เออ รอแป็บ”


“แล้วไอ้คิวอ่ะ” ผมถาม


“นอนอยู่ห้องพ่อมันโน่น โชคดีนะเมื่อคืนพ่อมันไม่อยู่บ้าน ไม่งั้นมีคดีอีกยาว ” ซังว่า
แล้วก็เดินเข้าไปในครัว ครู่นึงมันก็เดินถือกาแฟมาสองแก้ว


“- - โค้กนี่มันก็ดีนะ” มันพูดแล้วก็ส่งแก้วกาแฟมาให้ผม


“อะไรดี ? ”


ซังเหลือบมามองผมนิดนึง


“มันอุตสาห์ดูแลปริ้นทั้งคืน ไม่รู้เหรอไง” ซังว่าพลางกระแทกสีข้างผมเบาๆ


“อือ มีน้องดีก็เงี้ย” ผมว่าพลางจิบกาแฟ


ผมได้ยินเสียงซังถอนหายใจ


“มึงนี่ก็ใจแข็งนะ - - ไอ้โค้กมันออกจะดีแสนดีขนาดนี้ ” มันว่าปลงๆ


“กูคงโง่มั่ง ผมบอกพลางก้มหน้า จนไอ้ซังเห็นท่าไม่ดีเลยเดินมาตบบ่า


“ไม่ได้หมายความว่างั้น - - ใจคนเราอ่ะ มันบังคับให้รักใครได้ซะที่ไหนล่ะ” ซังบอกผม
“- - แล้วถ้าคนเรามันรักกันได้ง่ายๆ โลกนี้ก็คงไม่มีคนอกหักดิวะ”


ผมได้แต่ยืนซดกาแฟอยู่เงียบๆ


“ซัง บอกกูหน่อยดิ - - ทำไงกูถึงจะรักไอ้โค้กได้”


“ตอนนี้มึงก็รักมันไม่ใช่เหรอ ? ”


“แต่กูไม่ได้รักมันแบบ บ..แบบ”


“แฟน ? ”


“เออ แฟน ” ผมพูดเขินๆ


ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆอีกทีนึง


“ถามไรบ้าๆ ... ถ้าคนเรามันบังคับหัวใจให้รักกันได้ มันจะเรียกว่าความรักเหรอวะ - - รักมันต้องออกมาจาก
หัวใจซิ ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติเหอะปริ้น - - ถ้าไม่รัก ก็คือไม่รัก แต่ถ้าเกิดมาคู่กันจริงๆ จะหนีกัน
ยังไง มันก็ไม่พบหรอก”


“เชื่อเรื่องพรหมลิขิตว่างั้น ? ”


“ไม่รู้ซิ .. แต่ไม่แปลกใจเหรอไง ? - - บนโลกมีคนเป็นหมื่นล้านคน แล้วทำไมคนสองคนถึงมารักกันได้ล่ะ”


“เหรอ ... แล้วทำไมซังกะคิวถึงมารักกันได้ล่ะ” ผมแซวมัน


“จะรู้ไปทำแมวอะไรวะ วู้ กะลังซึ้งๆ มาทำตลกแดกซะงั้น” มันพูดแล้วก็เอามือจุ่มกาแฟดีดมาทางผมให้
เปื้อนเล่นๆซะงั้น


“เฮ้อ ... กูจะผิดมั้ย ถ้าจะไม่คบกับมันตอนนี้” ผมหันหน้าไปถามแบบไม่แน่ใจ


“ถ้าจะผิด ก็ผิดตั้งแต่ตอนที่แม่มึงให้เกิดมาแล้วล่ะ ” มันว่าอย่างเจ็บ จนผมต้องเอามือไปโบ้กบาลมันตอบแทน
แล้วก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าตัวเองเมื่อคืน


“จะกลับแล้วเหรอ ? ”


“เออ เกรงใจเจ้าของบ้าน อ ผมบอกไปงั้นแหละ เพราะไอ้เจ้าของบ้านยังนอนแผ่อยู่ในห้องอยู่เลย


“ไม่รอไอ้โค้กตื่นก่อนล่ะ”


ผมสั่นหน้า


“บอกมันด้วยล่ะกัน ว่าขอบใจมากสำหรับเมื่อคืน”


“ว่าแต่ กลับบ้านไป ก็ใจเย็นๆหน่อยล่ะกัน - - ร เรื่องพี่โอ้ต กับเพื่อนเค้าน่ะ” ซังมันเลี่ยงที่จะ
เรียกพี่เตว่าแฟน


“อืม .. ไม่เป็นไรแล้วล่ะ อีกอย่างปริ้นก็ไม่อยากโดนต่อยอีก ดูเด๊ะ ยังช้ำอยู่เลย ”

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.


ผมใช้เวลาสี่สิบห้านาทีในการขับรถกลับบ้านในเช้าวันนี้ ใจนึงก็อยากจะให้มันถึงช้าๆ
เหลือเกิน รู้สึกตัวอีกทีก็ขับมาถึงประตูบ้านตัวเองแล้ว (โชคดีไม่ขับตกถนน)


“เป็นไงยะ ไม่กลับบ้านกลับช่องเลยนะ งานโรงเรียนสนุกมากล่ะซิ” แม่ผมเหน็บทันที
เมื่อย่างเท้าเข้าบ้านไป


“นิดหน่อยเองอ่า นานๆที - - ก็โทรบอกแม่แล้วหนิ” ผมแก้ตัว


“ให้เพื่อนโทรมาให้เนี่ยนะ”


“ก็ยังดีกว่าไม่บอกเลยล่ะน่า ... จาปีใหม่อยู่แระ บ่นน้อยๆลงหน่อยดิ”


“นี่แม่แกนะ ”


“ก็รู้ว่าแม่ - - ม่ะใช่ป้าข้างบ้าน” พูดเสร็จผมก็รีบหลุบเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับ
ได้ยินเสียงด่ามาอีกเป็นชุดๆ ตามหลังมา


“โอ้ตเค้าจะกลับวันนี้นะ จะไปส่งเค้าเหรอเปล่า” แม่ผมตะโกนผ่านประตูเข้ามา


“อ้าว ไหนว่าจะอยู่ถึงปีใหม่ไง” ผมตะโกนถาม


“ไม่รู้ซิ แต่เห็นเพื่อนเค้าไม่ค่อยสบายนี่นา เลยต้องรีบกลับ” แม่บอก


“เออแม่ ถามไรหน่อยดิ ” ผมตะโกนไปอีก


“แกจะโผล่หัวออกมาจากห้องได้มั้ย ชั้นขี้เกียจตะโกน ” แม่ว่า


“เออ แม่ ... มะเร็งอ่ะ - -” ผมตัดสินใจถามโดยลืมนึกไปว่า ป๊าก็เป็นมะเร็งตับตาย


“ว่าไง”


“มะเร็งนี่เค้ารักษาให้หายได้ป่ะ”


“อยู่ๆถามเรื่องนี้ มีอะไรเหรอ” แม่พูดเหมือนจะผิดสังเกต


“เพื่อนคนนึงเค้าเป็นอยู่อ่ะ - - แต่พึ่งเริ่มเป็น เห็นบอกว่าเป็นเกี่ยวกะเม็ดเลือดขาวนี่ล่ะ” ผมปด


“ถ้าเป็นเม็ดเลือดขาว ก็คงรักษาได้ล่ะมั้ง - - แต่คงต้องใช้เวลา แต่ถ้าเป็นมานานแล้วก็เรื้อรัง
ก็คงยากอยู่” แม่ตอบ


“เหรอ ? ”


“แล้วโอ้ตมันจะ เอ้ย แล้วพี่โอ้ตจะไปกี่โมงล่ะ”


“บ่ายๆล่ะ”


“ตอนนี้เค้าอยู่บนเรือนใหญ่กันใช่ม่ะ” ผมถาม แล้วก็เปิดประตูเดินออกไปจนถึงเรือนใหญ่ ชะเง้อ
คอไปมา ก็ไม่เห็นพี่เตอยู่ด้วยนี่หว่า เหรอว่ายังนอนอยู่ที่ห้องโอ้ตนะ คิดได้แบบนั้นก็เลยเดิน
ย้อนกลับไปดูที่บ้านโอ้ต ก็จริงอย่างที่คิด เมื่อเห็นพี่เตนอนแบ็บอยู่ สงสัยจะป่วยหนักแฮะ..


ผมตัดสินใจเดินเข้าบ้านโอ้ตไปอีกที


“อ้าวปริ้น” ป้าเล็กทักจนผมสะดุ้ง ตกใจหมดนึกว่าไอ้โอ้ต


“เจ้าโอ้ตเค้าอยู่บนเรือนใหญ่นะ” ป้าเล็กบอก


“อ่อ รู้แล้วคับ - - ค คือ ผมมาคุยกับพี่เตอ่ะ” ผมอ้อมแอ้มตอบ


“อื้อ .... ยังไงก็ดูก่อนนะว่าพี่เค้าหลับอยู่เหรอเปล่า ดูท่าทางจะป่วยหนักอยู่เหมือนกัน” ป้าเล็กบอก
ผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล (แหม เป็นห่วงลูกสะใภ้เหรอป้า)


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมทำใจ กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ก่อนจะเคาะประตู


“ไม่ได้ล็อกห้องคับ เข้ามาได้เลยครับ” เสียงพี่เตบอกเซือยๆ แต่ก็ดูเกรงใจอยู่ในที


ผมกลืนน้ำลายอีกเอื๊อกหนึง แล้วก็ค่อยๆเปิดประตูเข้าไปเบาๆ พอพี่เตเห็นว่าเป็นผม
เดินเข้าไป ถึงกะหน้าซีดเผือด ไม่ต้องห่วงหรอกคับ วันนี้ผมไม่ได้มาฆ่าพี่ -*-
(เน้นว่า วันนี้)


“หวัดดีคับพี่” ผมก้มหน้าทักทายพี่เค้าไป


“ครับ สวัสดีครับ น้อง ป ปริ้น...” พี่เตพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย พลางกุลีกุจอจะลุกขึ้น


“เออ พี่นอนก็ได้ครับ ไม่ต้องลำบากลุกหรอก” ผมพูดเสียงอ่อน เพราะกลัวว่าพี่เค้าจะ
เข้าใจผิด


“ม.. ไม่เป็นไรครับ พี่พอลุกไหวอ่ะ ” พี่เตบอก แล้วก็ยิ้มแห้งๆให้ผม โห วันก่อนกูทำ
ลงไปได้ยังไงกันนะ ผมเปลี่ยนเดินมานั่งตรงปลายเตียงแทน พี่เค้าจะได้ไม่ต้องลำบาก
ลุกขึ้นมายืนคุย


“ร เรื่องเมื่อวาน ... ผมขอโทษจริงๆนะครับ” ผมยกมือไหว้ด้วยใจจริง เห็นพี่เตรับไหว้
แทบไม่ทัน


“ไม่เป็นไรครับ พ พี่พอจะเข้าใจ ” พี่เตว่า


“เข้าใจว่าอะไรเหรอครับ”


พี่เตดูจะอ้ำอึ้ง แล้วก็ลำบากใจที่จะตอบ แต่ดูเหมือนหน้าผมจะคาดคั้นมั้ง


“ก ... ก็เรื่องที่ เออ โอ้ตกับพี่เป็น เออ .... ”


“ครับ ... ” ผมพูดตัดบท


“พี่คิดว่า คนที่เป็นน้องก...ก็คงไม่พอใจที่เห็น พี่ตัวเองคบ เออ .. คบกับ กับ - - ”


“ผู้ชาย” ผมตอบแทน


“อือ ทำนองนั้นล่ะ”


พี่เตบอกผมเสียงไม่ค่อยดี แต่ดูเหมือนว่าโอ้ตจะไม่บอกว่าผมเคยเป็นแฟนกับมันมาก่อน
แล้วก็ไม่ได้บอกว่าที่ผมบุกมาเมื่อวานนั้นเป็นเพราะอะไร ซึ่งก็คงจะดีกว่าล่ะมั้ง


“ผมก็ตกใจนิดหน่อยครับ ก็เลยลืมตัวไป” ผมเสแสร้งพูดไปตามความเข้าใจของพี่เต


“..............................”



“..............................”


เงียบกันไปพักใหญ่


“เออ .. ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”


“ครับ” พี่เตรับคำ


“ดูเหมือนพี่โอ้ตจะรักพี่เตมากเลยเนอะ ” หน้าตาผมตอนนี้คงจะเรียกได้ว่าเป็นนักแสดงตุ๊กตุ่นทองได้เลย
ล่ะมั้ง เพราะรู้สึกว่าถามได้เรียบเฉยมาก ต่างจากในใจนี่โคตรร้อนรุ่มเลย ผมเห็นพี่เตนั่งก้มหน้าไม่พูด
ไม่จา


แล้วก็หันมายิ้มน้อยๆให้ผมแทนคำตอบ


“พี่ขอไม่ตอบได้มั้ยครับ น้องปริ้น - - พี่รู้แต่ว่า ... พี่รักโอ้ตมากครับ”


ตึกตึก ตึกตึก ....


ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นถี่ระรัว รู้สึกเจ็บจี้ดๆ แต่ก็ไม่เท่ากับเมื่อวาน หมายความว่ายังไง ตัวเองรักโอ้ตมาก แต่
ไม่รู้เหรอว่าโอ้ตรักตัวเองแค่ไหน


“ขอโทษครับน้องปริ้น - - เพียงแต่พี่ไม่รู้ว่า โอ้ตเค้ารักพี่เหมือนกับที่พี่รักเค้าเหรอเปล่า..เท่านั้นเอง ”
อยู่ๆพี่เตก็บอกออกมา


“ม..หมายความว่าไงครับ - - ผมไม่เข้าใจ” แต่พี่เตก็สั่นหน้าเหมือนกัน เลยไม่อยากจะเซ้าซี้ต่อ เพราะ
ดูท่าทางพี่เค้าก็อัดอั้นเหมือนกัน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ผมชักจะฉุนไอ้โอ้ตขึ้นมาแทนแล้ว


“ง..งั้นผมไม่กวนพี่แล้วล่ะครับ พักผ่อนล่ะกัน - - เออ ผมขอโทษนะครับ” ผมว่าพลางจะลุก
จากเตียง แต่พี่เตก็คว้าข้อมือผมไว้ก่อน


“น้องปริ้น ค คือ... ขอโทษนะครับ ที่ทำให้ต้องลำบากใจ ร เรื่อง.... - - ”พี่เตว่าไม่ทันจบ
ผมก็เอามืออีกข้างจับมือพี่เตไว้เบาๆ (นุ้มนุ่ม)


“ไม่เป็นไรครับพี่ .... ” ผมยิ้มให้พี่เต และพี่เตก็ส่งยิ้มให้เช่นกัน


พอคุยกับพี่เตเสร็จ พึ่งจะปิดประตูห้องคล้อยหลังไปได้ไม่ทันไร ไอ้โอ้ตก็เปิดประตูบ้านเข้ามา
ซะนี่ ประจวบเหมาะจริงๆ ดูมันตกตะลึงเหมือนกันที่เห็นผมพึ่งออกมาจากห้องนอนที่พี่เต
นอนอยู่


“ปริ้น ... ”


“..........”


“ข..เข้าไปที่ห้องโอ้ตได้ไง”


“ถามแปลก ก็เดินเข้าไปดิครับ จะให้เข้าไปยังไง” ผมกวนตีนกลับไป


“ปริ้น” มันเรียกผมแล้วก็ย่างเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว มันจะต่อยผมทั้งๆที่จะไม่ถามซักคำเหรอว่า
เข้าไปทำอะไรในห้องอ่ะ ผมหลับตาปี๋เมื่อเห็นมือมันพุ่งเข้ามา


- เอ๊ะ ทำไมยังไม่ต่อยซะทีวะ - ผมค่อยๆแอบลืมตาทีละนิด ปรากฏว่ามันเอามือมาจับที่บริเวณปากที่เป็น
แผลอยู่ ทำเอาต้องรีบสะบัดหน้าหนีกันไม่ทันเลยทีเดียว


“ท..ทำอะไรอ่ะ ” ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก


“ขอโทษนะ” มันว่าพลางจะเอามือมาจับอีก


“ไม่จำเป็น ... ” ผมสวมบทนางเอกสุดริดปัดมือมันไปอีกทีนึง นี่กูต้องลงไปนอนกลิ้งร้องไห้อยู่กับพื้น
ด้วยม่ะนี่


“ปริ้น ... ”โอ้ตเรียกชื่อเสียงอ่อย


“รู้แล้วๆ - - แค่เข้าไปขอโทษพี่เตเค้านิดหน่อย พอใจเหรอยัง” ผมตอบแบบกวนโอ้ย ขอไปที


ปั้งงงงงงงงง .....


ไอ้โอ้ตมันเอาสองมือตบไปที่ผนังเสียงดังลั่น โดยมีตัวผมยืนคั่นกลางระหว่างสองมือมัน โอ้ย กูตกใจ
หมดเลย


“เป็นเหี้ยอะไรขึ้นมาอีก ” ผมถามไปด้วยความตกใจปนโกรธ


มันจ้องตามาที่ผมเขม็ง ไม่ยอมพูดอะไร ผมอ่านสายตามันไม่ออกจริงว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่


“โอ้ต - -” ผมพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง


“โอ้ตรักพี่เตเหรอเปล่า .... ” ผมกลั้นใจถามคำถามเดียวกับที่ถามพี่เตเมื่อกี้ ผมกำลังพยายามตัดใจ
ถ้าโอ้ตบอกว่ารัก ผมก็พร้อมจะจบมันลงตรงนี้ พอกันทีกับสิ่งที่พันธนาการความรู้สึกของผม
อยู่ตอนนี้


“บอกมา ..... - -” ผมทวนคำถาม ความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ


ไอ้โอ้ตยังคงยืนเอามือพิงผนังคล่อมตัวผมเงียบงัน มีแต่เพียงสายตาที่พยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
ให้กับผมรู้เท่านั้น ....... แต่เข้าใจมั้ย กูไม่รู้ กูไม่รู้ ทำไมมึงมีอะไรไม่พูด ....


“บอกมา - - -” ผมเอามือไปคว้าคอเสื้อมัน


“บอกมา - - - บอกมา - - บอกมาเซ่ - - ฮืออ บอกมา มึงพูดอะไรออกมามั่ง ฮะ ฮึก บอกกูมา ไอ้โอ้ต - - ”
ผมกระชากคอเสื้อมันเหวี่ยงไปมาพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลกับเรื่องนี้อีก แต่มันก็ทนไม่ได้
เจ็บใจมากกว่า ว่ามันจะทำอะไรของมัน .... ทั้งๆที่ผมกระชากคอเสื้อมัน แต่มันก็ปล่อยให้ผมทำอยู่นั่นแหละ
เอาแต่เงียบไม่พูดห่าอะไรออกมาซักนิด (มึงเป็นใบ้เหรองายยยยย) จนผมรู้สึกเหนื่อย


“แฮ่ก แฮก .... ”


มันได้แต่มองผมอยู่อย่างงั้น แล้วก็เงียบ เงียบ เงียบ


“มึงเห็นแก่ตัวมากนะ ไอ้โอ้ต” ผมด่ามัน แล้วก็เดินไปดึงคอเสื้อมันอีกรอบ ให้เข้ามาใกล้ตัวผมมากที่สุด


“- - ฟังนะ ..... ทำแบบนี้ คิดว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นมาเหรอไง - - ทำแบบนี้ มึงมีความสุ - - ” ผมพูดไม่
ทันจบ ไอ้โอ้ตก็ดึงตัวผมไปกอดไว้


“ปล่อย - - ปล่อยยย ” ผมทั้งเหวี่ยงหมัด ทั้งเตะมันให้หลุดจากอ้อมกอดของมันให้ได้ แต่ก็เปล่า
ประโยชน์ ตัวมันใหญ่ขึ้นเยอะ แรงมันก็เยอะขึ้น แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้...


“ปล่อยยย - - ปล่อยกูนะ มึงจะทำแบบนี้กะกูไม่ได้นะ - - ฮึก ฮึกก - - ม..มึงจะทำแบบนี้ ม..
ไม่ได้ ไม่ได้นะ ........ ” แล้วในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อใช้แรงเฮือกสุดท้าย
ดันตัวมันออก แล้วก็ประเคนหมัดเข้าไปที่ท้องมันอย่างเต็มแรง


“อั๊ก ...... ” ได้ผลคับ มันทรุดลงไปกองกับพื้น


ผมเอามือปาดน้ำตาให้ออกไป แล้วก็ดึงไอ้โอ้ตขึ้นมาอีกทีนึง แล้วก็จ้องหน้ามันเขม็ง


“ต่อไปนี้ เรื่องของเรามันจบแล้ว มันจบแล้ว ได้ยินมั้ยยย - -
ดูแลคนที่มึงสัญญาว่าจะดูแลเค้าให้ดี เข้าใจมั้ยยยยยย ”


ผมตะโกนใส่หน้าไอ้โอ้ต แล้วก็ผลักมันล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างง่ายดาย(สงสัยยังจุกอยู่)
แล้วก็รีบก้าวเท้าออกไปจากบ้านทันที ในระหว่างนั้นภาพแต่ละภาพที่เคยคบกับไอ้โอ้ตมัน
ค่อยๆผุดขึ้นมาเรื่อยๆ


ภาพที่มันยื่นเสื้อนักเรียนที่พึ่งปักเสร็จสดๆร้อนๆให้กับมือ


ภาพที่มันงอนผมที่ไปนอนค้างบ้านไอ้คิวโดยที่ไม่บอก


ภาพที่มันติวเลขให้กับผม


ภาพจูบแรกของเราสองคนบนเตียงนอน


ภาพที่เล่นน้ำทะเลกันบนเกาะพะงัน


แล้วก็ภาพสุดท้าย ...............


ครึกกก โครมมมมม


ล้อรถที่หมุนคว้างบนถนนเมื่อสองสามปีที่แล้ว ที่โอ้ตมันขับรถไปคว่ำบนถนนเพชรเกษม


“โอ้ตนี่เป็นคนดีจังน้า”


“ฮื้มม ดียังไง ” โอ้ตถาม


“ โอ้ตมันคงจะหักหลบคนซินะ ทั้งๆที่สถานการณ์แบบนี้ คนบ้าวิ่งตัดหน้าแบบนี้ ….
มันยังยอมเลือกให้ตัวเองเจ็บ”


ทำไมมึงต้องยอมให้ตัวเองต้องเจ็บด้วยวะ ทำไมมึงต้องไปแคร์คนอื่นเค้ามากขนาดนี้ด้วย ไอ้โอ้ต


ผมปิดประตูบ้านเสียงดังสนั่น ยืนหอบแฮ่กๆ อยู่หน้าบ้าน พลางปาดน้ำตาออกให้ไม่เหลือคราบ


- พ..พอกันที - - ในเมื่อรักแล้วมันทำให้เจ็บปวดแบบนี้ กูก็จะไม่รักใครอีกแล้ว !! - ผมคิดกับตัวเอง


- เออก็ดี .. กูถึงได้บอกไง มึงเจ็บ - - กูก็เจ็บ - เสียงใครบางคนเปล่งออกมาจากจิตใต้สำนึกของผม


.

.


ติ้ดดด ติ้ดดดดดด ติ้ดดติ้ดดด ติ้ดดดดดด ติ้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


- สัด ใครโทรมาตอนนี้วะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา -


“โหล”


“เป็นเหี้ยไร รับโทรสับช้าชิบหาย” เสียงไอ้นิคดังมาจากปลายทาง โอ้ย กูปวดหัว...


.

.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 06-11-2006 10:27:31
ไม่ได้หนีไปไหนหรอกค่ะคุณ blue คือว่าแอบอ่านอยู่ที่ทำงานอ่ะค่ะ  :-[

แล้วก้อหยุดวันอาทิตย์ไป ก้อเลยไม่ได้อ่านต่อ แต่พอเช้ามา ก้อรีบมาตามต่อเลยนะเนี่ย

ยังไงก้อรีบมาลงต่อนะค่ะ  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-11-2006 10:49:05
โดน โคดๆๆๆ

ถ้าคนเรามันบังคับหัวใจให้รักกันได้ มันจะเรียกว่าความรักเหรอวะ - - รักมันต้องออกมาจาก
หัวใจซิ ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติเหอะปริ้น - - ถ้าไม่รัก ก็คือไม่รัก แต่ถ้าเกิดมาคู่กันจริงๆ จะหนีกันยังไง มันก็ไม่พบหรอก”



ชอบประโยคนี้ โคดๆๆ

ขอบคุณนะครับ บลู
 :-[









ปล.

มูมู่น้อย  อ่าว ทำไมน่ารักไปหมดเลยหล่ะ เหลืออีกคนนะที่น่ารักกว่า แหะๆ ผมชอบคนนี้มากๆหง่ะ  :myeye:

หมูพูห์  คิกคิก สบายดีครับ แต่คงสู้คนที่โทรศัพท์หาแฟนทุกวันไม่ได้หรอก ช่ายม้า คิกคิก   :angellaugh2:

บลูก้อ.... จะบอกว่าชอบพูห์ก็บอกมาตรงๆ เหอะครับ

ว่าแต่ อย่าไปบอกเขาสิครับ ว่าโทรหาทุกวัน เค้าเขินลลลลน่ะ :-[


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-11-2006 12:36:09
กำ ผมมะเกี่ยวน้า เคลียร์กันเอง ชะแว๊บๆ
 :pigscare2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-11-2006 12:39:35
เอาเหอะน้า

ร้ายก็รักครับ :kikkik:


ปล.


บอกแล้นว่าเลือกไม่ถูกเจงๆๆ :untrust:


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-11-2006 13:21:53
หึหึ  เล่นกันน่ารักดีเนอะ  สามคนเนี่ย  สามคนนี่หมายถึงหมูพูห์ โย เรย์นะ  เล่นไรกันอะ  เล่นด้วยดิ  :untrust:

ตอนนี้ก็ยังสงสารน้องโค้กกกกกก  ไม่อาววววว  ฮือ ฮือ  สงสัยจะเป็นนิครึเปล่า  ที่มาทำให้ปริ้นหวั่นไหวอีกทีอะ  นิคปะที่เรย์บอกว่าน่ารักกว่าอะ   ตอนนี้ยังเฉย ๆ กับนิคอยู่  ต้องอ่านเพิ่มก่อน    มาต่อเลยคะ  อยากอ่านแล้วววววว  ลงแดงง   :serius2:

ปล  สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-11-2006 15:15:22
GoneOn  อ่าดีนะที่อ่านเรื่องนี้ ถ้าไปอ่านเรื่องอื่นระวังน้ำตาร่วงให้คนอื่นๆเห็นน้า คิกคิก  :angellaugh2:

หมูพูห์  ถ้าคนเรามันบังคับหัวใจให้รักกันได้ มันจะเรียกว่าความรักเหรอวะ - - รักมันต้องออกมาจาก
หัวใจซิ
โดนด้วยครับ รักมันไม่มีเหตุผลอ่ะครับ   :impress:

ไม่รู้มันเริ่มจากตรงไหน และไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร  

YO_OY อย่างที่ผมบอกครับ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์  อย่าเครียดไปครับ ขำๆ  :yeb:

หมูพูห์ ถึงขนาดเลือกไม่ถูกเลยหรือครับ ใช้หัวใจเลือกสิครับ  :love2:


มูมู่น้อย  ครับถ้าอ่านเรื่องราวอย่างละเอียดในภาค5 จะบอกว่าไม่รู้จักนิคเลยเป็นไปไม่ได้ครับ
ผมชอบนิคเพราะมันออกมาจากหัวใจครับ  อันแน่แอบไปลอยกระทงกับใครมาหนอ พึ่งมาอ่าน
เพื่อนๆรออยู่น้า คิกคิก อย่าไปเป็น กขค พวกเขาเลยครับ มาเล่นกันสองคนก่อนละกัน เอิ้กๆ
(โป๊ก เคยตัว ว่าจะไม่หยอดใครแล้วเชียว คิกคิก)
 :00210030:

***********************************************************************************
Title: ไม่เสียใจที่รักเธอ
Artist: สุเมธ แอนด์ เดอะปั๋ง
Album: กาลครั้งหนึ่ง... ความรัก
Label: Genie Records
Words: ปิติ ลิ้มเจริญ
Music: ปิติ ลิ้มเจริญ

[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]

อาจจะไม่มีเหตุผลใด จะอธิบายบางเรื่องราว
เช่นเมื่อหลับตาก่อนนอนทุกคราว เหตุใดยังคอยคิดถึงเธอ

* ทั้งที่ก็รู้ว่าเธอมีใครอยู่ รู้ทั้งรู้ไม่ควรรักเธอ
เฝ้าบอกกับตัวเองห้ามใจอยู่เสมอ แต่แล้วก็ยังต้องปล่อยให้มันเป็นไป

** ไม่รู้มันเริ่มจากตรงไหน และไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร
แต่สิ่งที่รู้คือวันนี้ หมดทั้งหัวใจ ฉันมีเพียงแต่เธอ (เท่านั้น)

แค่อยากจะคอยอยู่ใกล้ๆเธอ และอยากให้เธอสบตาฉันบ้าง
แค่อยากให้รู้ว่ามีคนข้างๆ ที่ยังเฝ้าคอยรักเธออยู่อีกคน

(ซ้ำ * / **)

(ซ้ำ ** / **)

ฉันอาจจะต้องเจ็บปวดถ้ารักเธอต่อไป

แต่ไม่เสียใจที่ได้รักเธอ

ขอบคุณ warpboyza สำหรับเพลงดีๆแบบนี้ด้วยนะครับ  :myeye:
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=441.0





หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-11-2006 15:21:04
.คราวหน้าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้วนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอด
ผมขอโทษคุณ staying power ด้วยนะครับ
ที่รีบลงเรื่องไปเพราะมีบางคนเคยอ่านภาค4 มาแล้วอยากอ่านภาค5 ต่อเลยอ่ะครับ
เพื่อนๆคงอ่านตามกันไม่ทัน
เลยไม่ค่อยได้คอมเม้นต์
ผมรู้สึกผิดมากที่เอาเรื่องราวดีๆมาลงให้
แต่ทำได้ไม่ดีพอ เพื่อนๆจึงยังตามอ่านกันไม่ทัน
ขอบคุณนะครับ สำหรับเรื่องราวดีๆ

อยากให้เพื่อนๆคอมเม้นต์ถึงคนเขียนด้วยนะครับ
ใกล้จะจบแล้ว
******************************************************************************************************************

.
ท้องฟ้าสีครามตัดกับผืนทะเลที่เห็นเป็นเกลียวคลื่นสีขาวซัดอยู่ไกลๆ ชวนมองให้รู้สึกผ่อนคลาย
อย่างบอกไม่ถูก ผมค่อยๆเดินเลียบริมชายหาดมาเรื่อยเปื่อย สายลมที่พัดโกรกมาทำให้รู้สึกว่า
ตัวเองอารมณ์เย็นลงอีกเยอะ


ถ้าไม่อยากจะเจ็บ ก็อย่าริรัก - - ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งหดหู่ ที่ผมรู้สึกแย่ในตอนนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเจ็บ
เพราะความรัก แต่แย่เพราะสิ่งที่ผมคิดอยู่ต่างหาก .... คนเรา จะรักกันไปทำไม เมื่อสุดท้ายแล้ว
มันก็ต้องจบด้วยการจากลา ไม่วันใดก็วันนึง


- อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอไง -


ติ้ดด .........ติ้ดดด ติ้ดดดดดดดดด ติ้ดดดดด


- สัด ใครโทรมาวะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา -


“โหล”


“เป็นเหี้ยไร รับโทรสับช้าชิบหาย” เสียงไอ้นิคดังมาจากปลายสาย มึงทักทายเพื่อนแบบนี้เหรอ


“มีอะไร ? ”


“น...นี่ คนเค้าโทรมานี่ มึงถามแบบนี้ได้ไงเนี่ย” มันต่อว่า


“กูอารมณ์เสียอยู่ - - มีไรเป่า” ผมบอกมันพลางทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นทรายแถวๆนั้น


“เสียงมึงไม่ค่อยชัดเลย อยู่ไหน”


“อยู่ริมทะเล ลมมันตีมั้ง” ผมว่า


“มึงจะกลับมาเมื่อไร ” มันถาม


“บอกแล้วไง คงหลังปีใหม่” ผมตอบพลางเอานิ้วเขี่ยทรายเล่น


“เป็นไรเปล่าวะ - - ไม่ค่อยพูดค่อยจา” มันถาม


“ไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดพลางเงยหน้ามองทะเล แสงแดดยามบ่ายแผดเผาจนคนไม่กล้า
จะลงไปเล่นน้ำ ผืนทะเลจึงดูโล่งผิดหูผิดตา


“เออ .. ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก - - ไงอีกสองสามวันเจอกันล่ะกัน” มันพูดเสียงเบาลง


“นิค - -”


“ฮืม .. ”


“มึงหายงอนกูแล้วเหรอ”


มันเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบกลับมา


“ไอ้ควาย!! ใครงอนมึง ทำไมกูต้องทำแบบนั้นด้วยวะ - - อย่าสำคัญตัวมึงผิดเซ่” มันละล่ำละลักตอบ
กลับมาจนทำเอาผมยิ้มที่มุมปาก


“เหอะ เหอะ - -” กูนึกว่างอน


“เหี้ย .. กูไม่ใช่เกย์นะ ทำไมต้องมางอนมึง” มันพูดย้ำแล้วย้ำอีก


“อ่ะ ไม่งอนก็ดีแล้ว เปิดเรียนมึงอย่าโดดล่ะกัน แค่นี้แหละ” ผมพูดเสร็จก็วางสายมันไป แล้วก็นั่งทอด
หุ่ยอยู่แถวนั้นซักพัก รอให้ใจสงบซักพัก


- นิก มึงไม่ใช่จริงๆเหรอวะ - - ทำไมกูถึงสัมผัสรังสีม่วงเกย์ม่าออกจากตัวมึงได้ชัดขนาดนี้อ่ะ


ผมคิดในใจแล้วก็อดขำไม่ได้ ในเมื่อมันบอกไม่ใช่ก็ไม่ใช่ดิวะ แต่สิ่งที่มันทำอะไรให้ผมอยู่แบบนี้
ก็ทำให้ใจหวิวๆได้เหมือนกันนะ


“แม่ พวกนั้นกลับกันหมดแล้วเหรอ .... ” ผมทักแม่เมื่อเข้ามาในบ้าน แถมยังแปลกใจหน่อยๆว่า
แม่กลับมาเร็วจังวะ ... แต่พอเหลือบดูเวลา ก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงครึ่งแล้ว กูเดินใจลอยได้นาน
ขนาดนั้นเชียว


“อืม .. ไปก่อนจะกลับมาอีก” แม่ผมบอกแล้วก็เดินไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้


“ป้าเล็กเค้าฝากมาให้แหน่ะ บอกว่าเจ้าโอ้ตเค้าฝากไว้ให้ก่อนจะไป” แม่ผมบอกแล้วก็ยัดสมุดเล่มนึง
ให้ผมไว้


“รู้สึกว่าเที่ยวนี้เจ้าโอ้ตเค้าจะไปนานเลยนะ เห็นป้าเล็กบอกว่า จะกลับมาอีกทีก็เรียนจบโน่น” แม่ผม
ว่าพึมพำ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจฟังเพราะเมื่อเปิดไปในสมุดที่ไอ้โอ้ตฝากไว้ให้กับผม ก็มีเศษกระดาษ
โน้ตร่วงลงพื้น


- ฝากปริ้นเก็บไดอะรี่เล่มนี้ไว้ก่อนนะ ... จะกลับมาเอาคืนตอนเรียนจบ ........ -
- โอ้ต -


ผมอ่านข้อความแล้วก็ได้แต่สั่นหัว .. รู้สึกมึนตึบ เฮ้อ.. จะมาเอาอะไรกะกูอีกวะโอ้ต มึงไม่ยอมปลด
โซ่ตรวนที่มึงทำกะกูไว้เมื่อปีก่อนอีกเหรอไง มึงคงเห็นว่ากูยังรักมึงอยู่อะดิ มึงถึงทิ้งไพ่ตายเป็นไดอะรี่
เน่าๆ (แถมไม่ได้เขียนถึงกูไว้อีกตะหาก) ให้เก็บไว้เนี่ย ฝันไปอ่ะเป่า ...?


“เอ้า ยืนทื่ออะไรอยู่นั่นแหละ มาช่วยขนกับข้าวในรถมาหน่อยซิ ” แม่ผมเอ็ดจนสะดุ้ง


“รู้แล้วน่า ... ” ผมว่าแล้วก็หลิ่วตาให้ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน แล้วก็จัดการสอดไดอะรี่เน่าๆของ
ไอ้โอ้ตที่ชั้นหนังสือ แล้วก็รีบเผ่นแหล่วไปขนกับข้าวกับปลาในรถมาก่อนจะโดนท่านแม่เอาแส้เฆี่ยน
จนได้


- หวังว่าตอนที่มึงมาเอาคืน ... กูคงไม่ลืมไปก่อนนะว่าเก็บไว้ที่ไหน -

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

00.0 น. คืนวันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2001


วันนี้ดิ ถึงจะเป็นวันฉลองครบรอบสหัสวรรษที่แท้จริง คืนนั้นผมได้รับทั้งข้อความ ทั้งสายโทรสับ
มากมายตามธรรมเนียมปฏิบัติ(เหรอเปล่า)


“เป็นไง สวัสดีปีใหม่โค้ก ... ” มันเป็นสายแรกแล้วก็สายเดียวที่ผมเป็นฝ่ายโทรออก(ได้)ไปหา


“หวัดดีปีใหม่พี่ปริ้น” เสียงมันทักด้วยความดีใจ


“55 เอาไงแน่วะ เด๋วมีพี่ไม่มีพี่ กูงงนะเนี่ย” ผมแซว ก็ได้ยินเสียงมันหัวเราะแห้งๆกลับมา


“ก็.... ผมไว้รอให้พี่ปริ้นอยากให้ผมเป็นมากกว่าน้องก่อนล่ะกันครับ ถึงตอนนั้น - - อืม... แต่ว่า
ถึงจะเรียกยังไงผมก็ยังรู้สึกแบบเดิมกับพี่นะ ”


“เฮ้ออ มึงนะไอ้โค้ก .. จามาจมปลักอะไรกะคนโง่ๆแบบนี้ว้า” ผมว่ามัน


“55 อืมมมม...... ผมก็คงโง่เหมือนพี่ล่ะคับ ที่ไม่ยอมไปชอบคนอื่น ”


ไอ้โค้กตอบกลับมาด้วยเสียงแจ่มใส

“ขอบใจนะ”


“ไม่เป็นไรครับ - - ว..ว่าแต่ ให้พรผมหน่อยดิ ปีใหม่ทั้งที”


“เอ่อเว้ย กูม่ะใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ มาขอพรส่งเดช” ผมด่ามันไป


“คิคิ ...คับ พรจากคนที่ผมรักยังไงก็ศักดิ์สิทธิ์อ่า” มันพูดแล้วก็หัวเราะร่วน


“อุแหวะ ... เด๋วได้อ๊วกรดอีกรอบหรอกไอ้โค้ก เด๋วนี้ช่างหยอดนะเนี่ย” ผมด่ามันไปอีกรอบ


“ก็หยอดจนกว่าจะใจอ่อนล่ะครับ เสียงมันทีเล่นทีจริง


“เออๆๆ ยังไงก็ตั้งใจเรียนนะ ตั้งใจเอนฯด้วย แล้วก็หายไว้ๆนะ ขาอ่ะ - - ล..แล้วก็ เจอคนที่
เป็นเนื้อคู่ซะทีนะ


“ข้อนั้นไม่ต้องให้หรอกครับ ผมเจอแล้ว - - แต่เค้าเล่นตัว ดูมันพูดกระแนะกระแหน่


“งั้นแค่นี้นะ กวนประสาทกูเจง” ผมพูดทำท่าจะวาง


“เฮ้ยๆ เดี๋ยวซิ - - นานๆโทรมาที ไม่ต้องรีบโทรไปหาคนอื่นหรอกน่า” มันว่า


“ไม่โทรเว้ย - - ก็โทรหามึงนี่ล่ะคนแรก ”


“จริงดิ ... - - แบบนี้แสดงว่าพี่ปริ้นก็เริ่มชอบผมแล้วดิ” ดูมันพูดเข้าข้างตัวเอง


“เออ คงงั้นมั้ง”


“เอ้ย เอาเจง ”


“กูพูดเล่น”


“แป่วว ซะงั้นอ่ะ ”


ผมกะมันคุยกันจนโทรสับแบตหมด คืนนั้นปรากฏว่าค่าโทรสับผมบานเลย -_-‘’ ตื่นเช้ามาพอเปิดโทรสับ
มาปุ๊บ ข้อความอีกเพียบที่ส่งค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ในนั้นก็มีทั้งของไอ้โอ้ต แล้วก็ไอ้นิค


- สัด กูโทรหาไม่ติด เวิร์ดเทรดปีนี้มันส์โคด เสียใจด้วยที่มึงไม่มา สมน้ำหน้า :p -


ผมอ่านข้อความมันไปก็อมยิ้มไป แล้วก็ส่งกลับไปหามัน


- กลับไปคราวนี้มึงเตรียมตัวเป็นเมียกูให้ดีรับปีใหม่เหอะ อิ_อิ –


ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีข้อความส่งถึงผม (คาดว่าที่ไม่ส่งทันทีเพราะว่ามันยังไม่ตื่น)


- Kเหอะ กูไม่ใช่เกย์ แสดด –

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“เฮ้ย ปริ้น ... พี่ว่าพอหมดเทอมนี้แล้ว จะย้ายหอไปแถวๆ มอ.อ่ะ จะย้ายไปด้วยกันเปล่า”
พี่ท็อปถามผมหลังจากกลับมาถึงหอได้ซักพัก


“อ้าวเหรอพี่ - - เออ เอาไงดีวะ”


“ไม่ต้องรีบคิดก็ได้ บอกไว้ก่อนอ่ะ” พี่ท็อปว่า แล้วก็จัดข้าวของเข้าที่เข้าทาง ดูเหมือนว่าจะกลับ
มาถึงก่อนผมไม่กี่ชั่วโมง


“พี่ท็อปจะย้ายช่วงเดือนไหนอ่ะ”


“พฤษภาโน่นหว่ะ อีกนาน ”


“อ่อ งั้นก็ดีคับ เพราะกะว่าจะเอนฯใหม่พอดี”


“เหรอ - - จะเรียนไรล่ะ”


“คงพวกคอมๆไรเทือกนี้แหละ”


“ก็ดีๆ เข้าที่ xxx ก็ดีเหมือนกันนะ” พี่ท็อปเสนอ


“ก็คิดว่าจะลองที่นี่เหมือนกันล่ะพี่ - - แต่คะแนนผมยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย สงสัยต้อง
เอนฯรอบสองเพิ่มคะแนนอีกทีอ่ะ”


“ก็พยายามอ่านหนังสือเข้าล่ะกัน มึงก็ไม่ได้โง่มากมายไร” พี่ท็อปตบหัวให้กำลังใจผมทีนึง


“แล้วที่รามล่ะ จะเลิกเรียนเหรอ”


“ดูก่อนพี่ ถ้าเอนฯติดก็อาจจะ - - แต่ถ้าเรียนไหวทั้งสองที่ก็เรียนคับ”


“เหอะๆ จับปลาสองมือระวังจะไม่ได้ซักตัวนาเว้ย”


“ค๊าบพ่อ ... ” ผมยกมือไหว้พี่ท็อปทีนึง แล้วก็รีบหลบลูกเตะไปทั่วห้อง พี่แกตีนไวจริงๆ


วันรุ่งขึ้นผมก็เป็นวันเปิดเรียนวันแรกหลังจากหยุดยาวปีใหม่ อะไรๆก็ดูเหมือนเดิม เว้นแต่ ....ผม
ต้องนั่งรถเมล์มาเรียนเอง จากหอพี่ท็อปมาราม 2 แทบจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 5


“หวัดดีปริ้น” โบเพื่อนสาวทัก หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันสัปดาห์กว่าๆ ผมลงจากรถมาเจอมันพอดี


“อ้าว ไม่ได้เอารถมาเหรอ” โบถาม


ผมสั่นหน้า


“เอาไว้ให้แม่ใช้อ่ะ ไปมาลำบาก อยู่ต่างจังหวัด ” แหม ได้เครดิตลูกกตัญญูไปอื้อแน่กู หลังจากที่
โดนค่อนขอดมานาน


พอเดินมาได้ซักพัก ก็มาเจอไอ้กอร์ฟเตี้ย โดยปกติไอ้นี่มักจะมาเช้าตรู่อยู่แล้ว ทั้งที่มีเรียนตั้งเก้าโมง
พอใกล้เวลาเรียน ผมก็เห็นกลุ่มไอ้นิคกำลังจะเดินเข้าชั้น


“นิคอ่ะ ? ” ผมเดินไปถามเพื่อนมันคนนึง (จริงๆก็เป็นเพื่อนผมด้วยล่ะ)


“ยังไม่เห็นหัวเลยหว่ะ สงสัยไม่มามั้ง ” เพื่อนมันว่า


ผมเกาหัวแกร่กๆ


สงสัยมันคิดว่าผมจะเอารถไปรับมันเป่าวะ ผมก็ลืมบอกมันไปด้วยว่าไม่ได้ใช้รถแล้ว
เลยกดโทรสับหามัน


“ท่านกำลังเข้าสู่บริการฝากข้อ - - - ”


ปิดเครื่องอีก ... เหรอว่ายังไม่ตื่นฟ่ะ ผมคิด แล้วก็เดินเข้าชั้นเรียนไปกะพวกเพื่อนๆ
แต่พอชั่วโมงบ่าย ก็ยังไม่เห็นหัวมันอีก พอโทรหาก็ปิดเครื่องเหมือนเดิม


“ไอ้นิคมันเป็นไรเป่าวะ” ผมพูดขึ้นกลางวงซึ่งกำลังจะกลับบ้านกัน ไอ้พวกนั้นมองหน้าผม
แบบสงสัย เพราะนึกว่าผมกะมันไม่ถูกขี้หน้ากัน


“เป็นห่วงไรนิคมันนักหนาวะ วันนี้เห็นถามถึงมันตลอด” ไอ้กอร์ฟดันสงสัยขึ้นมา


“ห่วงไร ไม่ได้ห่วง” ผมบอกปัด


“แต่วันนี้เห็นแกพูดถึงนิคเค้าตลอดทั้งวันเลยนี่นะ” คราวนี้เป็นไอ้กิ๊ฟเสริม


“จริงดิ .. ” ผมหันไปถาม


“เออ ... ” เสียงพวกมันประสานเสียงรับพร้อมกันดังหมาหอนเป็นทอดๆ


“แยกพงเพชรคับ” ผมบอกพลางหยิบแบ็งยี่สิบให้กับกระเป๋ารถเมล์ หลังจากที่แยกย้าย
กับเพื่อนที่เสารีย์แล้ว รถออกไปได้ซักพักนึง อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไปดูไอ้นิคที่บ้าน
มันหน่อยดีกว่า ไหนๆก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว (ข้ออ้าง) แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดถนัด
เพราะว่าตอนที่ผมมาบ้านมันนั้น ขับรถยนต์มานี่หว่า แต่คราวนี้ผมต้องเดินเข้าหมู่บ้าน
มาไกลชิบหาย กว่าจะเดินถึงบ้านมันได้เล่นเอาหอบแฮ่ก ...


ผมกดโทรสับหามันอีกที ก็ยังปิดเครื่องอยู่ เลยชะโงกผ่านประตูรั้วบ้าน มองไปทาง
ห้องมัน ก็เห็นอะไรแว่บๆ เหมือนเปิดทีวีอยู่


อ้าว ก็อยู่บ้านนี่หว่า แล้วแม่งไม่ไปโรงเรียนวะ ผมสงสัย เลยกดออดหน้าบ้านมัน
ผ่านไป 5 นาที ยังไม่มีใครเดินมาเปิดประตูบ้าน ผมเลยสนอง need กดไปรัวๆอีกสิบกว่าที
ปรากฏว่าไม่มีใครเดินออกมาด่าซักคน พ่อแม่ พี่มันไปไหนหมดวะ ... ตอนนั้นผมชักอารมณ์
เสียแล้ว กูอุตสาห์มาหาถึงบ้าน ไม่ยอมลงมาเปิดประตูให้ซะที ที่ผมแน่ใจหยั่งงั้นเพราะว่าใน
ห้องไอ้นิคมันต้องมีคนอยู่แน่ๆ


ฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็วเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว ผมหันหลังมองไปยังทิศที่จะต้องเดินกลับ
แล้วก็ไตร่ตรองอยู่แป็บนึง


เอาวะ ... อย่างน้อยก็ต้องให้มันขี่มอไซต์ไปส่งป้ายรถเมล์ให้ได้ กูไม่ยอมเดินกลับหรอก !


ผมหันซ้าย หันขวาที แล้วก็ยกมือประนมไหว้ สะพายเป้แนบตัว แล้วก็จัดการกระโดดขึ้นไป
บนกำแพง แล้วก็ปีนรั้วสแตนเลสข้ามลงไปอย่างสวยงาม (คุก..) ผมค่อยๆเดินย่องเข้าไปใน
บ้านมัน สังเกตุเห็นว่ารถยนต์ที่บ้านมันไม่อยู่ พอเอื้อมไปบิดลูกบิดประตูเท่านั้นแหละ ทำให้
นึกได้ว่า ถึงจะเข้ามาในบ้านมันได้แล้วแต่ประตูมันล็อกอยู่ กูจะทำยังไงล่ะโว้ย ... แต่สายตา
ผมก็เหลือบไปที่ห้องไอ้นิค ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นห้องนั้น .... ข้างๆห้องมีต้นม่ะม่วงสูงชะลูดอยู่


ปิ้งงง .... !!!!


ผมมองสำรวจที่ม่ะม่วงต้นนั้น พอเห็นว่ากิ่งมันไม่เล็กจนเกินไป ก็จัดการโหนตัว แล้วก็ค่อยๆ
ปีนขึ้นไปช้าๆ พลางคิดในใจว่า กูกำลังทำอะไรอยู่นี่ - - ใครมาเห็นเข้านี่ขโมยชัดๆ แต่มือ
กับเท้าผมก็พาตัวเองกระโดดลงมาที่ระเบียงห้องไอ้นิคได้แล้วล่ะ


ผมค่อยๆเดินแล้วก็ชะเง้อว่ามีคนอยู่ในห้องเหรอเปล่าผ่านทางหน้าต่าง ก็เห็นไอ้นิคนอน
ห่มผ้าอยู่บนเตียง อ่า ... รอดตายแล้ว มึงไปส่งกูซะดีๆ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก .....


ไอ้นิคยังนอนนิ่งเงียบ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก .....


ไม่ไหวติง


โครม โครม โครม


ผมเอาตีนกระแทกที่ประตูห้องฝั่งระเบียงมันเต็มแรง ได้ผลคับ มันสะลึมสลือลุกขึ้นมา ทำหน้า
งงๆนิดหน่อย


“นิค - - กูอยู่นี่ เปิดประตูให้กูหน่อย” ผมตะโกนเรียกมันผ่านหน้าต่าง หน้ามันตอนนี้ยิ่งงงเป็นไก่
ตาแตกเข้าไปอีก แต่ก็เห็นมันค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วก็เดินมาเปิดประตูระเบียงให้ผม แมม่ ช้าอิ๊บอ๋าย


“มึงมาอยู่ตรงนี้ได้ไง แค๊กๆ” เสียงมันดูเป็นหวัด แต่เหมือนงงมากกว่า


ผมดันตัวมันให้เข้ามาในห้องก่อนที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าทำไมถึงมาโผล่ที่ระเบียงมันได้
เห็นมันยิ้มชอบใจอยู่หน่อยๆ


“ยิ้มเหี้ยไร ... นอนอยู่นั่นแหละ กูกดออดไม่ได้ยินเลย” ผมด่ามัน


“ไม่ได้ยินเจงๆ” มันพูดเหนื่อยๆ แล้วก็เดินล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ


“หยิบผ้าห่มให้หน่อย” มันบอกเพราะว่าผมนั่งทับผ้าห่มมันอยู่


“สำออยๆ ไปส่งกูก่อน แล้วค่อยนอน” ผมว่ามันอีก แล้วก็ลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มแต่ยังไม่โยนให้มัน


“มาเองก็กลับเองเด๊ะ ค๊อก ค๊อก ... - - กูไม่สบายเจงๆ” มันว่าเสียงอ่อย


“โหย กว่าจะเดินมาบ้านมึงได้เนี่ย ขาลากเลยนะ ไปส่งกูหน่อยดิ นะ นะ” ผมพยายามพูดดีกะมันสุดริด


“เดินไม่ไหว มึงก็ค้างที่นี่ล่ะกัน - - คืนนี้บ้านกูไม่มีคนอยู่หรอก แค๊ก .. ” มันว่า แล้วก็ก่อนที่ผมจะอ้าปาก
พูดอะไรออกไป มันก็รีบออกตัวก่อน


“- - ไม่ต้องมาทำสะดิ้งหรอก กูไม่มีแรงทำไรมึงหรอก แล้วถึงมีก็ไม่ทำด้วย กูไม่ได้เป็นเกย์ ” ดูมันร้อนตัว
พูดขึ้นมา


“ขอผ้าห่มหน่อย กูหนาวจริงๆนะเนี่ย” มันว่า แล้วก็ลุกขึ้นมาแย่งผ้าจากผม แต่ดูมันเหมือนไม่ค่อยมีแรงจริงๆ
ก็เลยแย่งไปไม่ได้ซะที (ถ้าปกติมันคงกระชากจนล้มไปแล้วมั้ง)


“ไปส่งกูก่อน” ผมยังยื้อผ้าไว้


“ไอ้ปริ้น กูไม่สบายจริงๆ เนี่ย ... - -” มันพูดไม่จบ แล้วก็ล้มตัวลงไปนอนคุดคู่อยู่บนเตียงแทน


“แล้วนี่บ้านมึงรู้เป่าเนี่ย ว่าไม่สบายขนาดนี้” ผมว่าพลางเลิกแกล้งมัน แล้วก็เอาผ้าห่มไปคลุมตัวมันไว้


มันทำพยักหน้าทั้งๆที่หันหลังให้ผม โห น่ารักตายห่า


“แล้วนี่มึงได้กินข้าวกินปลามั่งเป่าเนี่ย” ผมถามมันอีก


ผมเห็นมันส่ายหัว


“เอ้า ไม่แดกข้าว แล้วจะแดกยาได้ไง”


มันส่ายหัวอีก ดื้อชิบหาย


“นิค มึงหันหน้ามาคุยกะกูดีๆได้ม่ะ - - แล้วมึงก็ไปหาข้าวแดกก่อน ไม่งั้นจะหายได้ไงวะ”
ผมว่ามัน แต่มันก็ยังหันหลังให้นอนนิ่งเงียบ


เห็นแบบนั้นผมก็ชักฉุน มันไม่สบายแล้วของขึ้นเหรอไงฟ่ะ เออ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่งวะ แม่งงง


“เออ กูกลับเองก็ได้ ... ” ผมกระแทกเสียงใส่ แล้วก็เดินออกจากห้องมันมาเลย กูอุตสาห์มา
หามึงเพราะเป็นห่วงนะเนี่ย แล้วมาทำง้องแง้งใส่อีก ปัญญาอ่อนเป่าวะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
พอผมเดินลงมาชั้นล่างก็พบว่า ด้านล่างมืดไปหมดแล้ว


เงียบจังเว้ย ผมคิด แล้วก็มองไปด้านบนที่ห้องไอ้นิค


อยู่คนเดียวหยั่งงี้มากี่วันแล้วนะ - - แถมยังไม่สบายอีก คิดแล้วอดเป็นห่วงมันไม่ได้แฮะ
จำได้ว่าก่อนปีใหม่ที่ผมจะกลับบ้าน มันเหมือนจะพูดชวนผมอะไรซักอย่าง แต่มันก็ไม่ได้
พูด ....


“อืม .... ช่วยไม่ได้” ผมว่าพลางถอนหายใจ แล้วก็ค่อยๆคลำหาสวิตซ์ไฟไปเรื่อยๆ
.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“นิค ... นิค ”


ผมค่อยๆ เขย่าตัวมันเบาๆ หลังจากจัดการกับอะไรบางอย่างเรียบร้อยแล้ว พอขึ้นมา
ก็ยังเห็นมันนอนคุดคู้อยู่ในโปงผ้าห่มเหมือนเดิม


“นิค .. ตื่นเร็ว ” คราวนี้ผมค่อยๆพลิกตัวมันให้นอนหงาย


“อือออ...” มันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา ผมว่าผมเห็นรอบคราบน้ำตาอยู่ที่หางตามันแว่บๆนะ


“มึงร้องไห้เหรอ ? ”


ผมรู้สึกว่ามันสะดุ้งตัวเล็กๆ ก่อนจะพลิกตัวหันกลับไปจะนอนต่อ


“เพ้อเจ้อ.. มึงจะกลับก็กลับไปดิ รออยู่หาไร - - บอกแล้วจะนอน แค่ก ”


“เน่ ... มึงเลิกเล่นตัว แล้วก็หันมาได้แล้ว” ผมไม่ว่าเปล่า จับไปที่หัวมันให้หันมาด้วย พูดดีๆ
ไม่ชอบต้องใช้กำลัง


“- - แล้วก็เชิญลุกขึ้นด้วย มึงจะนอนไปอีกกี่ปีแสง ลุกกก” ผมว่าพลางดึงตัวมันให้ลุกให้ได้
จนมันบ่นกระปอดกระแปด


“อ่ะ แดกซะ ผมกางโต๊ะพับได้ในห้องมันออก แล้วก็จัดการยกข้าวต้มแล้วก็กับอีกสองสามอย่าง
วางให้มัน ผมเห็นมันมองหน้าแปลกๆ


“ทำไม - - จะให้กูพูดว่า รับประทานเหรอ ถึงจะกินได้ - - กินซะ จะได้กินยา ผมว่าพลางเลื่อน
ชามข้าวให้ใกล้กว่าเดิม


“ท..ทำเองเหรอ” มันถามเสียงไม่ค่อยแน่ใจ


“เออ ทนกินไปก่อนเหอะ ความอร่อยไว้ค่อยหาทีหลังถ้ายังไม่ตาย” ผมว่าพลางส่งช้อนให้ มันรับไว้
แล้วก็ค่อยๆตักข้าวต้มอุ่นๆ ใส่ปาก


ผมนั่งมองมันกินข้าวทีละคำทีละคำ โดยที่มันก็ไม่ยอมพูดอะไร หรือวิจารณ์อะไรใดๆในฝีมือ
ทำกับข้าวของผม พอมันกินหมด ผมก็จัดการยกของลงไปวางไว้ข้างล่าง แล้วก็เดินไปหยิบยา
แก้ไข้ แก้หวัดอะไรของมันที่อยู่ในถุงยายื่นให้


“กินซะ จะได้ไปเรียนได้ซะที จะสอบอยู่แล้ว” ผมว่า นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมกูต้องมาทำ
อะไรเพื่อมันขนาดนี้นะ เอาเป็นว่า กูทำทดแทนกับที่มึงเคยพากูมานอนตอนเมาคราวก่อนล่ะกัน
(ข้ออ้าง)


“หมดหน้าที่กูแล้ว งั้นกลับก่อนนะ” ผมว่าพลางจะลุกขึ้นกลับบ้าน เอาวะ เดินก็เดิน


“เดี๋ยว - - ”ไอ้นิคคว้าข้อมือผมไว้


“ฮืมม .. ”


“ข.. ขอบใจนะ ”


“ว่าไรนะ กูไม่ได้ยิน” ผมทำเป็นแกล้งมัน


“กูบอกว่าขอบใจ โขลก โขลกก” มันตะโกนจนไอมาเลย


“เออ ไม่เป็นไร มึงรีบนอนเหอะ .. ” ผมว่า แต่ก็ยังเดินไปไหนไม่ได้อยู่ดี เพราะมันยังไม่
ยอมปล่อยมือ ทั้งห้องอยู่ในความเงียบสงัด


“มึงทำดีแบบนี้กับทุกคนเปล่าวะ ” ไอ้นิคถามขึ้นมา


“เอ๋ ... ”


“มึงชอบกูใช่ป่ะปริ้น - - ถึงทำแบบนี้กะกู”


ผมทำหน้าตาแบบปลงๆ ที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น พลางยิ้มส่ายหัวไปมา


“เออ.. กูชอบมึง - - มึงก็เพื่อนกูคนนึง ถ้ากูไม่ชอบก็คงไม่ทำดีกับมึงหรอก - - พอใจอะยัง” ผมอธิบาย


ไอ้นิคนั่งเงียบ แต่ก็ยังยึดมือผมไว้ จนรู้สึกว่าเริ่มจะชื้นๆแล้ว


“เหรอ ... มึงทำดีแบบนี้กับเพื่อนทุกคนเลยเหรอ” มันยังไม่เปลี่ยนเรื่อง


“อือ - - ถ้าทำได้”


“งั้น กูขอไรอย่างนึงดิ” ดูมันพูดเอานิสัยไอ้โค้กมาใช้เหรอเปล่าเนี่ย


“เออ .. ” ผมรับปาก แล้วไอ้นิคก็ปล่อยมือผมเป็นอิสระ


“กอดกูหน่อยซิ”


“เอ๋ ... ” ผมงงกับที่มันพูด แล้วก็ทำท่าชี้ไปทางมัน แล้วก็ชี้มาทางตัวผม มันหมายความ
ว่าให้ผมไปกอดมันเนี่ยนะ


“มึงไข้ขึ้นเป่าเนี่ย” ผมเอามือไปแตะหน้าผากมัน เออ ตัวแม่งร้อนจริง


“ไปอาบน้ำแล้วไข้ลดแทนที่จะมากอดกูจะดีกว่ามั้ย” ผมก้มหน้าลงไปพูดกับมันที่นั่งอยู่ปลายเตียง
ไอ้นิคก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผม โอ้ว ชิบหาย สายตาเชื่อมมากมึง ไข้มึงคงสูงปรี้ดดดดด ...


มันไม่ยอมพูดอะไรอีก ผมมองหน้ามันอีกทีนึง ประมาณว่าเอาจริงอ่ะ ! เอาวะ เปลืองตัวนิดๆหน่อยๆ
คงไม่เป็นไร คนไม่สบายอยู่ อีกอย่างก็เพื่อนกันทั้งๆนั้น ผมคิด แล้วก็ค่อยๆนั่งคุกเข่า ซึ่งท่านี้ทำให้ตัว
ผมอยู่ต่ำกว่าตัวมันที่นั่งอยู่บนเตียงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆสวมกอดมันค่อยๆ หน้าผมตอนนี้เลยแนบชิด
อยู่กับหน้าอกพอดี ทันทีที่สัมผัสตัวมันเต็มพื้นที่ก็รู้สึกถึงความร้อนจากพิษไข้ได้เป็นอย่างดี ตัวมันร้อน
อย่างกับไฟเลยทีเดียว


ไอ้นิคค่อยๆเอามือโอบผมจากด้านหลัง


“ปริ้น.. ตัวมึงอุ่นจัง” มันว่าพลางคลอเคลีย


“ตัวกูไม่ใช่ฮีตเตอร์นะ” ผมบอกจนได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆข้างหู


“มึงไม่เหม็นตัวกูบ้างเหรอ เรียนมาทั้งวัน” ผมหันไปถาม มันก็ส่ายหัว


“มึงกอดกะกูแบบนี้ ไม่กลัวกูเหรอ กูเป็นเกย์นะ ” ผมค่อยๆหาทางพูดไซโคมันไปเรื่อยๆ


“ห่ะ ห่ะ - - สงสัยกูคงเป็นไปแล้วแน่เลยหว่ะ” มันพูด


“55 ไอ้บ้า พูดบ้าๆ สมาคมเกย์แห่งประเทศไทยไม่ต้อนรับมึง”


“ปริ้น ... ”


“ฮืมมม ? ”


“มึงจะเอนฯใหม่จริงๆเหรอ ? ” มันถาม


“อือ ก็ว่าอยู่ ” ผมพูดเสร็จ ก็รู้สึกถึงแรงกอดที่แน่นขึ้น


“มึงไม่ชอบที่นี่เหรอไง ”


“เปล่า ไม่ใช่ว่ากูไม่ชอบ ไม่ได้เอนฯติดแล้ว จะเลิกเรียนที่นี่ซะหน่อย”


“แต่มึงก็จะเอนฯใหม่อยู่ดี” มันยังตื้อถาม จนผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“นิค ฟังนะเว้ย .. กูเคยตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดไป กูเลือกในสิ่งที่กูไม่ได้ชอบ
แต่ดันเลือกไปเพราะเหตุผลอื่น - - แต่คราวนี้กูจะขอลองใหม่อีกที”


ไอ้นิคฟังผมเงียบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจที่เป่ามาแผ่วเบา


“แล้ว...ถ้าเอนฯติด มึงจะหายไปเหรอเปล่าวะ ? ”


ผมหัวเราะหึหึ เมื่อได้ยินมันพูดแบบนั้น แล้วก็ตบหลังเป็นเชิงปลอบใจ


“มึงเหงาอะดิ ไม่รู้จะทะเลาะกะใครใช่ม่ะ”


“มึงก็คิดแต่แบบนั้น” ไอ้นิคว่า


“คนเรา พอไม่ได้เจอกันบ่อยๆ พอห่างกันออกไป มันเปลี่ยนไปทุกคนนั่นล่ะ” ไอ้นิคพูดเสียงเศร้าๆ
คำๆนี้ของมันทำเอาผมสะอึก


“เวลาเปลี่ยน ใจคนเราก็เปลี่ยน - - มึงว่างั้นมั้ย ปริ้น” ผมรู้สึกว่า มันค่อยๆเอามือมาเสยที่ผมเบาๆ
แล้วก็ลูบไปมา


มึงอย่าทำแบบนี้ดิไอ้นิค มึงอย่าทำแบบนี้เหมือนไอ้โอ้ตได้มั้ย .... ผมคิดไปพลางน้ำตาปริ่มๆ
แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรปล่อยให้มันทำไปเรื่อยๆ


“- - กูไม่มีวันเป็นคนแบบนั้น - - ไม่มีวันเป็นแบบนั้นหรอก” ผมบอกกับไอ้นิคเสียงแผ่ว จนเหมือนกับ
พูดอยู่กับตัวเอง เวลาไม่ได้เปลี่ยนใครหรอก แต่ใจคนต่างหากที่มันเปลี่ยน


.

.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-11-2006 16:00:15
ขอบคุณครับบลู

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่ทำให้ผมร้องไห้

เรื่องแรก ก็เรื่องเป็ดพันอ้อย

ขอบคุณ St.Power สำหรับความรู้สึกดีๆ ที่ถ่ายทอดผ่านปริ้น และคนอื่นๆ

ขอบคุณบลูที่เสียสละเวลามาโป้ดให้

ขอบคุณเล้าแห่งนี้ ที่ทำให้ทุกวันของผมมีความสุขครับ


ขอบคุณที่รัก ที่อยู่ข้างๆผมตลอด


เฮ้อ... ไม่อยากให้ถึงตอนจบเลยครับ


ทำงัยดี  แงแง :sad5:





ปล.

เพิ่งรู้นะเนี้ยะ ว่าบลูชอบเถื่อนๆ

เตรียมเชือก เตรียมเข็มขัด

เตรียมเทียน บลาบลา


 :fire:

พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 06-11-2006 16:33:57
คุณ blue  จิงๆ แล้ว อ่านเรื่องนี้ก้อมีน้ำตาซึมๆอยู่เหมือนกันนะ  มันจี๊ด จี๊ด ที่หัวใจยังไงไม่รู้อ่ะ

อ่านไปอ่านมา เอ.... มันมีตอนที่โอ๊ดขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุด้วยเหรอ  :confuse:   อ่านยังไงเนี่ยช้านนน :serius2:

สงสัยคงต้องหาเวลาย้อนกลับไปอ่านอีกแล้วล่ะค่ะ  แต่ว่ายังไง ก้อยังอยากรู้เรื่องต่อมากกว่า

อย่าลืมมาลงต่อด้วยนะ  :myeye:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-11-2006 17:35:39
วันนี้เรย์มาต่อเร็วได้ใจ  ดีมาก ดีมาก  คิก คิก  มาต่อได้เรยยยได้ปะ  เค้าจาได้รอ  ยังไม่นอนอะ  มันใกล้ได้เวลานอนแล้วอะ  อยากอ่านนนนนนนนนนนนน  ลงแดงงงงงงงงง  อีกแร้วววววววววว  :serius2:

ไม่ใช่ว่าจำนิคไม่ได้นา  จำได้อยู่  เพียงแต่ว่ายังไม่ได้รู้สึกกับคนนี้จากการอ่านมากเมื่อเทียบกับคนอื่นแค่นั้นเอง  แต่ตอนต่อไปไม่แน่  อาจจะเริ่มชอบขึ้นเรื่อย ๆ อิอิ 

อยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบจริง ๆ เลยคะ  ตอนแรกกะว่าจะเข้ามาอ่านเล่น ๆ เฉย ๆ ดูว่าพวกนิยายแบบชายรักชายเป็นยังไงนอกจากเรื่องเป็ดกับอ้อย  นี่เป็นเรื่องแรกเลยคะที่อ่านจริง ๆ จัง ๆ  แล้วมันก็ทำให้เราเริ่มวายไปเรยยย 5555  ชอบมากกกกคะ   ชอบการบรรยายเรื่องราว  คำพูดบรรยายความรู้สึกของตัวละคร  แล้วเนื้อเรื่องก็ดูไม่นิยายมากจนเกินไป  ดีมาก ๆ เลยคะ   แล้วก็เพราะว่าเรื่องนี้ทำให้เราเริ่มอ่านนิยายที่เรย์เอามาโพส  เพราะว่าเราก็ชอบซาดิสต์เหมือนกัน  55555 

ยังไงก็ขอบคุณคุณ stay power คะ  แต่งได้ดีมาก ๆ เลยละ  มืออาชีพนะเนี่ย  แล้วก็ขอบคุณเรย์คะ  ที่เอามาลงให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน  ขอบคุณมาก ๆ น่ารักจัง  อิอิ   :-[
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FlukeHub ที่ 06-11-2006 20:58:43
หุหุหุ...คุณบลูต่ออย่างด่วนครับ

คุณGoneOn  ผมก็อ่านๆอยู่นะ  รู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะหายไปช่วงหนึ่งเหมือนกัน

โผล่มาทีโอ๊ตก็ไปอยู่โรง'บาลแล้ว

เรื่องนี้สงสารปริ้นท์ที่สุด  เศร้าอนาถหมดเรื่อง

ตกลงนิคหรือโค้กจะมาแทนที่โอ๊ตในใจปริ้นท์หนอ 

หรือปริ้นท์กะโอ๊ตจะมีภาครีเทิร์น  โอ๊ย!  ยิ่งอ่านยิ่งงง

เป็นกำลังใจให้คนแต่งและคนลงครับ  ใกล้จบแล้ว  ต่อไวๆนะ


ปล.รุสึกข้างบนจะมีหยอดหวานกันเล็กน้อย  ช่างไม่เข้ากะกระทู้ -*-
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 07-11-2006 01:52:47
 :myeye: ขอสารภาพตามตรงนะ แหะ แหะ เรื่องนี้ยังมะได้อ่านเรยซักจิ๊ด แต่ดูจากกองเชียร์น่าจะสนุก

เด๋วว่างกว่านี้(ว่างยาวๆๆๆๆๆ) จะตามอ่านนะคุณบลู แปะโป้งไว้ก่อง  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 06:55:01
คุณ Gone on กับ Flukehub
ช่วงไหนครับที่รู้สึกหายไป ช่วยก๊อบมาให้ดูหน่อยนะครับ
แล้วบอกด้วยนะครับว่าหน้าไหน และ ความเห็นไหน

ใช่อันนี้หรือปล่าวครับ

ในห้องเรียน ผมก็สนิทอยู่ไม่กี่กลุ่ม แต่จะสนิทมากๆอยู่แค่ 2 คน คือ ไอ้ซังกะไอ้คิว เรียกว่าไปไหน
มาไหนก็ไปกัน 3 คนอยู่บ่อยๆ แล้วก็จะมีกะไอ้โค้กนี่ล่ะครับ ที่มักจะหาเวลาไปไหนมาไหนกะพวก
ผมอยู่เรื่อยๆ มาพักหลังๆ มันก็ไม่ค่อยมีเวลามาสุงสิงกะพวกผมบ่อยๆ เพราะว่า ตัวมันติดเป็นนักกีฬา
บาสฯระดับจังหวัดเลย เจ๋งจริงๆ มันก็ไปแข่งงานโน้นงานนี้ แถมสาวๆ และไม่สาวก็ติดมันตรึม


แต่ ... มีอยู่วันนึง ในเดือนพฤศจิกายน มันก็บอกว่า จะต้องไปแข่งกะทีมจังหวัดใกล้ๆนี่ล่ะครับ วันนั้น
ผมก้มาเรียนตามปกติ ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ได้ข่าวว่า ไอ้โค้กมันประสบอุบัติเหตุตอนแข่งอ่ะ ขามันเหมือน
จะหัก


ผมก็ตกใจดิ เพราะว่า มันเป็นคนเล่นกีฬา แล้วก็มีสิทธิที่จะเข้ามหาลัยโดยใช้โควตานักกีศาได้อยู่แล้ว
พอตอนเย็นผมก็เลยรีบไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาลกะซัง ไปถึงก็เห็นมันนอนหลับอยู่ ไปเจอแต่พี่เลี้ยง
มันเฝ้าอยู่ (บ้านมันออกจะไฮโซหน่อย ไม่สมกะหน้าตามัน) พี่เลี้ยงมันก็ส่งซิกให้ผมกะซังออกมา
ข้างนอกก่อน แล้วพี่เค้าก็บอกว่า มันม่ะได้แค่กระดูกหักอย่างเดียว แต่มันมีปัญหาถึงเอ็นขาด้วย ไม่รู้
ว่าไปโดนอะไรมาแรงขนาดนี้ คือ สรุปง่ายๆ มันจะไปลงแข่งอะไรแบบนี้ม่ะได้แล้วอ่ะคับ แต่ตอนนี้
มันยังม่ะรู้หรอก ม่ะมีใครกล้าบอก แล้วพี่เค้าก็ขอร้องอย่าให้พวกผมบอกมันตอนนี้ เด๋วมันจะยิ่งแย่ .


หน้า 5 ความเห็นที่ 44
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=291.msg2690#msg2690

ผมเช็คแล้วไม่ตกนะ ถ้าตอนนี้

หมูพูห์ จบได้ก็อ่านอีกรอบได้ครับ คิกคิก ชอบเถื่อนๆไม่ได้ชอบซาดิสเฟ้ย
ผมก็งงตัวเองนะ เวลาผมเจอใครเถื่อน เงียบๆขรึมผมจะหลังรักเข้าไปเต็มเปาเลยครับ
ทั้งๆที่จริงๆก็ชอบคนคุยเก่ง สบายใจมากกว่าที่ได้อยู่กับคนที่มีอะไรแล้วพูด
อ่านแล้วงงไหมครับ ผมยังงงตัวเองเลย คิกคิก

Yาย_โO  คิกคิก  เป็นลี้คิมฮวงก็ไม่บอก

มูมู่น้อย  อ่าวไม่เคยอ่านนิยาย y หรืออ่านได้ขนาดนี้ก็เก่งมากๆเลย ความยอดเยี่ยมของเรื่องนี้ที่ผมชอบคือภาค2 ครับ
โอ๊ตกับปิง มีบรรยากาศแห่งความรัก ความฝันอยู่เต็มเรื่องเลยครับ    :monkeysad:

(ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว)  ให้ว่องเลยนะครับ อ่านให้ถึงภาคสองแล้วมาคอมเม้นต์เลยก็ได้ครับ คิกคิก

*****************************************************************************************************
Stp. ช่วงพร่ำเพ้อ

เมื่อคืน ผมฝัน ...... ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองลอยคออยู่บนผิวน้ำ รอบๆข้างเหมือนจะเป็นคลอง
อะไรซักอย่าง มีผู้คนลงเล่นน้ำอยู่มากมาย บางคนก็นอน วิ่งเล่น อยู่ริมคลอง แล้วอยู่ๆ ไอ้หมอนั่น
ก็เอื้อมมือมาดึงผมให้ขึ้นจากผิวน้ำ

เราคุยกันซักพัก ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าคุยอะไร แล้วอยู่ๆเค้าก็ก้มตัวลงมานอนที่ตัก ผมรู้สึก
ว่าโคตรจะเขินเลย แต่ดูเหมือนว่าคนรอบข้างจะไม่ได้สนใจอะไร ไอ้หมอนั่นนอนอยู่บนตักผม
แล้วก็ยิ้มให้ ตอนนี้ทั้งผมแล้วก็เค้าอยู่ในชุดนักเรียน (ย้ำว่าชุดนักเรียน) ที่เปียกปอนไปหมด
ผมค่อยคลายความเขิน แล้วก็เอามือไปเสียผมที่เปียกปอนของไอ้หมอนั่นจนผมตั้งชัน จนเค้า
ยิ้มชอบใจ.......... ผมมีความสุขแปลกๆ แล้ว - - ผมก็ตื่น - -‘’

ไม่กี่ครั้งหรอกที่ฝันแล้วผมไม่คิดอยากจะตื่นขึ้นมาอีก ความฝันเมื่อคืนทำเอาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
วันนี้ทั้งวันเลยครับ รู้สึกมันลอยๆแปลกๆ แต่พอคิดถึงภาพนั้นทีไร หัวใจก็พองโตทุกที แล้วทุกครั้ง
ที่คิดถึงไอ้หมอนั่น ผมก็ยิ่งคุ้นตา เหมือนกับเคยเจอกันมานาน เหมือนเป็นคนใกล้ๆตัว ผมไม่สามารถ
บรรยายลักษณะของไอ้หมอนั่นออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ภาพไอ้หมอนั่นที่มันนอนหนุนที่ตักผม
ยังติดตาจนถึงตอนที่ผมนั่งพิมพ์อยู่ตอนนี้ .....

ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลคือ ... พอผมตื่นขึ้นมา แม้ว่าภาพไอ้หมอนั่นมันดูเลื่อนลาง แต่มันก็ชัดเจน
ในความรู้สึกของผม แต่คิดไปคิดมา ผมไม่รู้จักไอ้หมอนั่นมาก่อนในชีวิตคับ ไม่เคยเห็นแม้แต่
หน้าตา(ในชีวิตจริงมาก่อน) แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นเคยกับมันจัง ...... พระเจ้าคับ ผมไม่เคยฝันอะไร
แบบนี้มาก่อนเลย เฮ้อออ ผมตกหลุมรักไอ้หมอนั่น เข้าไปเต็มๆเลยซิเนี่ย T_T

มันมีสิทธิ์อะไรที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้วะ ไอ้แสดดด !!!!
 
โดย staying power

















หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 06:59:21
.
.

.


คลืนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ........


ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าในทิศที่ได้ยินเสียงที่ดังก้องเหมือนมีอะไรบินแหวกอยู่บน
อากาศ ถึงได้พบว่าตัวเองเดินมาที่แปลกๆอีกแล้ว รอบข้างมีตึกและอาคารเรียนไม่คุ้นตา
ตั้งตระหง่านอยู่ ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างต่างปลิวพลิ้วไหวไปมาเมื่อมีลมพัดผ่าน เบื้องหน้า
ที่เห็นอยู่ไกลๆ เป็นแผ่นกระดานติดประกาศอะไรซักอย่างตั้งวางเรียงรายกัน


ผู้คนมากมายกำลังมุงดูแผ่นป้ายกระดานเหล่านั้น ผมเดินแหวกฝูงชนเหล่านั้นอย่างยาก
ลำบากจนมาถึงด้านหน้าสุด ใครคนนึงใส่ชุดนักศึกษายืนหันหลังอ่านแผ่นกระดานอยู่
ข้างหน้าผม ยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นใคร


จะว่าคุ้นก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าไม่เคยเจอก็ไม่เชิง .... แต่ที่แน่ๆมันยืนบังแผ่นกระดานที่ผม
ต้องการจะดูอยู่


“นาย - - ขยับไปหน่อยดิ” ผมพูดให้กับคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่เค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีก


“เฮ้ย ..ได้ยินเป่า” ผมเอื้อมมือไปจับที่ไหล่เค้าเบาๆ ให้ช่วยหลบไปหน่อย ได้ผล .. เค้าคนนั้นมองมาที่
มือที่จับไหล่เค้าอยู่พร้อมกับค่อยๆหันมาทางผม- -


โครมมมมม ....


“อ๊อกกก”


ผมรู้สึกว่าร่างตัวเองหล่นจากเบื้องสูง ลงมากระแทกอยู่ที่พื้นด้านล่างอย่างจังด้านตีนใครบางคน
ที่อยู่บนเตียง ผมพยุงร่างตัวเองขึ้นมานั่งงงๆ แล้วก็หันไปหาไอ้บ้าที่นอนดิ้นอย่างเหี้ยบนเตียง
สบายใจเฉิบอย่างโมโห


“มีแรงถีบกูได้นี่ แสดงว่ามึงหายแล้วดิ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆพลางนวดบั้นเอวที่ดูเหมือนจะเป็น
ส่วนที่เจ็บที่สุด (ตกเตียงม่ะได้ทำอย่างอื่นเฟ้ย) แล้วก็ด้วยเหตุที่ไอ้นิคปลุกด้วยวิธีแปลกๆนี้เอง
ทำให้เช้านี้ผมตื่นเร็วเป็นพิเศษ


“มึงนอนดิ้นนะ รู้ตัวเป่า” ผมบอกมันพลางจิบกาแฟบนโต๊ะอาหาร


“กูเนี่ยนะ นอนดิ้น ... มึงละเมอตกเตียงเองอะซิ” มันเถียงพลางกัดขนมปังแทนข้าวเช้า


ผมมองหน้ามันเคืองๆ


“ละเมอห่าไร ตีนมึงอย่างหมีควาย ทำไมกูจะไม่รู้สึกวะ - - แม่ง เกือบแล้วเชียว”


“เกือบไรวะ ? ” มันถาม


“เป่า..”


“เอ๊ะ มึงนี่ยังไงนะ จะพูดไรก็ไม่พูด ” ไอ้นิคว่าพลางส่ายหัว แล้วก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร
บางอย่าง


“มึงก็เหมือนกันล่ะ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรล่ะ” ผมว่ามันกลับเมื่อเห็นท่าทาง


“ทำมารู้ดี - - กูจะบอกว่า เรื่องเมื่อคืนอ่ะ” มันอ้อมแอ้มดูไม่สมกับความเถื่อนของมัน


“อือ เมื่อคืน ” ผมทำท่าจิบกาแฟต่อ แต่หูก็ตั้งใจฟังมันเต็มเหนี่ยว


“.. ค..คือ กูทำให้มึงลำบากใจเหรอเปล่า ”มันว่าพลางมองผม


ผมมองหน้ามันอย่างมีเลศนัย


“ยังไง ? ”


“ท..ที่ทำไปเมื่อคืนน่ะ ค..คือ กูไม่ได้คิดไรกะมึงแบบนั้นนะ ” ไอ้นิคดูท่าจะซีเรียสผิดวิสัย สังเกตได้จาก
มือมันที่วางอยู่บนโต๊ะเริ่มจะกระดิกเคาะโต๊ะ


“กูกลัวว่ามึงจะคิดว่ากูชอบมึงอ่ะ ปริ้น”


ถึงแม้ว่าจะพอรู้ในสิ่งที่มันพูดออกมาอยู่บ้าง แต่มันก็ทำให้ผมหน้าชาอยู่หน่อยๆ อาจเป็นเพราะว่าผมอาจ
จะหวังอะไรนิดๆหน่อยๆในตัวมันก็ได้มั้ง (พึ่งรู้สึก) แต่ไอ้นิคกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่ารักก็คราวนี้แหละ
เพราะท่าทางที่มันแก้ตัวดูออกจะขัดเขินไม่ใช่หน้า หน้าดำๆ (555) ของมันดูจะแดงขึ้นมาก็คราวนี้นี่เองงง..


“เออ ... เหรอ กูนึกว่ามึงจะ - -” ผมแกล้งทำหน้าผิดหวัง


“ไม่ ... กูไม่ได้ชอบมึงนะ ” มันรีบชิงตอบก่อน เฮ้อ .. อย่าร้อนตัวถ้าไม่ได้ทำ ถ้าเธอไม่คิดอารายยยย อิอิ
ยิ่งมันทำท่าลุกลี้ลุกลน ยิ่งทำให้ผมนึกอยากแกล้งมันขึ้นเป็นเท่าตัว ผมนั่งนิ่งเงียบทำหน้าเศร้า(ตอแหล)
ในที มือสั่นระริก(กาแฟมันร้อน)


“แล้วเมื่อคืน มึงทำแบบนั้นกับกูทำไม .... ” ผมแสร้งตีสีหน้าเศร้าก้มหน้าลงกับพื้น


“ป..ปริ้น ค..คือกูไม่ได้ตั้งใจ ค...คือ - -” มันเสียงสั่น


“มึงจะบอกว่าที่ทำเมื่อคืนมึงเมายาแก้หวัดเหรอ” ผมพยายามข่มน้ำเสียงให้เศร้าปกติ ทั้งที่ในใจรู้สึก
อยากจะหลุดก๊ากออกมาเต็มที เย็นไว้โยม


“- - ที่มึงทำไปอ่ะ เพราะว่ามึงเห็นว่ากูเป็นแค่ของเล่น แค่นั้นใช่มั้ย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ
นึกอยากจะสั่งอะไรก็สั่ง - - มึงคิดว่ากูไม่มีหัวใจเหรอไง” ผมยังก้มหน้าว่ามัน แต่.. เอ ... รู้สึกว่า
ท่อนหลังๆนี่จะแอบเอาอารมณ์จริงใส่เข้าไปด้วย


“ไม่ใช่นะ - - ที่ทำไปนะ ค..คือ เพราะเป็นมึงหรอก ถึงทำ เพราะว่ากูอยากทำ กูทำแล้วรู้สึกดี
ทำแล้วกูอบอุ่น สบายใจยังไงก็ไม่รู้ ว้อยยยยยยยย .. ” พูดเสร็จมันก็ทุบโต๊ะเปรี้ยง


“กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นของเล่นอะไรเลยนะ - - ที่กูกอดมึงอ่ะ ก็เพราะว่ากูชอบจริงๆ” มันว่าพลาง
เอามือกุมหัวแบบคิดไรไม่ออก คราวนี้ผมเลิกก้มหน้าแล้วครับ ต้องเลิกแกล้งมันแล้วล่ะ
เห็นมันซีเรียสจัดขนาดนี้คงต้องสร้างภูมิคุ้มกันอะไรบางอย่างระหว่างผมกับมันซะแล้ว
อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกับมันต้องเดินอยู่บนเส้นทางของแต่ละคน ไม่ให้แต่ละคนก้าวข้าม
เส้นนั้น


ผมเอื้อมมือไปจับมือมัน


“นิค ... มึงสับสันเหรอ” ผมถามนิคที่ตอนนี้ก้มเอามือข้างนึงกุมขมับไว้ มันพยักหน้าน้อยๆ
ผมถอนหายใจ .. เอาแล้วไง


“มึงอยู่ใกล้ผู้หญิง มึงรู้สึกยังไงอ่ะ ? ”


“ชอบ...” มันก้มหน้าพูดอุบอิบ


“แล้วผู้ชายอ่ะ ? ”


“เฉยๆ .. ”. มันบอกเสียงเบา


“ล...แล้วกะกูอ่ะ”


“ม..ไม่รู้ ” มันตอบ


“อ้าว ... แล้วตอนแรกมึงบอกว่ากะผู้ชาย มึงเฉยๆ ไงล่ะ - - แล้วทำไมพอเป็นกูถึงไม่รู้..” ผมว่า มันเงย
หน้าขึ้นมา


“ก็มึงไม่ใช่ผู้ชายนี่นา - - มึงเป็นเกย์ ” มันตอบหน้าตาย


“Kเหอะ ... ” ผมยกมือข้างที่จับมือตบหัวมันทีนึง


“มึงอย่าด่ากูได้มั้ย - - ก็กูไม่รู้จริงๆนี่นา” มันตอบแล้วก็ก้มหน้าไปกุมหัวเหมือนเดิม
จนผมชักเอือม


“............... เงียบ ................. ”


“เหรอว่ากูจะชอบมึงแบบนั้นแล้วจริงๆวะ ” มันเงยหน้าขึ้นพูดเสียงเครียด หน้าตาดูยุ่งเหยิง
ผมล่ะเบื่อพวกสับสนทางเพศจริงๆ จะผู้ชายก็ไม่ผู้ชาย จะเกย์ก็ไม่เกย์ ไอ้บ้า ..


“งั้น กูพิสูจน์ให้” ผมว่าเสร็จก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหามัน แล้วก็ยื่นมือไปยันพยักพิงมันไว้ทั้งสอง
ข้าง ตอนนี้เท่ากับว่ามันนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีผมยืนคล่อมมันอยู่


“จ..จะทำอะไรไอ้ปริ้น” มันทำเสียงตกใจ


“ถ้ามึงชอบกู มึงก็ไม่รังเกียจที่จะต้องจูบกูดิ ... ” ผมมองมัน พยายามทำตาให้เชื่อมที่สุด


“มึงจะบ้าเหรอ กูไม่ทำหรอก !!! ” มันว่าเสียงแข็ง


“อ้าว มึงจะค้นพบทางสว่างซะทีไง ว่าชอบหรือเปล่า” ผมพูดพลางก้มหน้าเลื่อนไปหามัน


“ส..สว่างเหี้ยไร ก..กูไม่ชะ - - -” มันพูดได้แค่นั้นแล้วก็หยุดพูด เมื่อผมเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้
จนเราทั้งสองคนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน (แปลว่าใกล้มากๆ) ผมเห็นมันหลับตาปี๋แล้ว
ก็นึกขำ เลยหยุดหน้าค้างไว้อย่างงั้นก่อน จนไอ้นิคค่อยๆลืมตาขึ้นมาอีกที


“มึงหลับตาทำบ้าไร .. จูบนะมึง ไม่ได้เอาปากมากระแทกกันก็จบซะหน่อย” ผมว่า


“กูไม่ได้อยากเอาปากกระแทกกับมึงเลยซักนิด” มันเหมือนได้สติพูดขึ้น แล้วก็เอามือผลักไหล่
ผมออกไป


“อ่าส์.... นิค มึงไม่อยากจูบกูจริงๆง่ะ ” ผมพูดเสียงกระเส่าเร้าอารมณ์ หุหุ ... ไอ้นิคทำหน้าแหย่งๆ


“ถ้าแค่ทางร่างกายน่ะ กูว่า ... ผู้ชายกะผู้ชาย หลับๆตากัน มันยังเอากันได้เลย แค่นี้มันบอก
อะไรไม่ได้หรอก” มันว่า ซึ่งก็คงจะจริงของมันล่ะมั้ง


“เฮ้อออออ ...... ”. ผมถอนหายใจ พลางควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง


“งั้นเอางี้ ... ” ผมมองหน้ามัน แล้วก็ชูเหรียญบาทขึ้นมา


“ถ้าออกหัวแปลว่าไม่ - - แต่ถ้าออกก้อยแปลว่าชอบ ”


ผมมองมันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เลยจัดการดีดขึ้นไปด้วยนิ้วโป้ง เหรียญหมุนคว้างกลางอากาศ
ก่อนที่จะตกลงมาเบื้องล่าง


จ๋อมมม ....


เหรียญที่ดีดขึ้นไปเมื่อกี้หล่นลงใส่ถ้วยกาแฟของผมจนกาแฟกระฉอกออกมาเล็กน้อย


“มึงเล่นเหี้ยไรเนี่ย - - ห่วยแตก” มันว่าพลางเก็บถ้วยกาแฟของผม แล้วก็ยกถุงขนมปังไปเก็บที่
แล้วก็วางถ้วยกาแฟทั้งหลายแหล่ในอ่างล้างชาม


ผมได้ยินเสียงถ้วยแก้วกระทบกับจานดังกรุ้งกริ้ง จนอดไม่ได้ที่จะเดินไปชะเง้อ


“หัวเหรอก้อย.... ” ผมถามแล้วก็มองหน้าไอ้นิค เห็นมันยืนยิ้มไปล้างไป - - เฮ้ย บอกมาเร็วๆเด๊ะ
กูอยากรู้ ผมว่าพลางจี้เอวมัน แต่มันเสือกไม่บ้าจี้ ได้แต่หัวเราะหึหึ


“เห้ยยย ทำแบบนี้กูยิ่งอยากรู้นะวะสาดดด เด๋วกูเอาเหรียญยัดปากซะเลยนี่มึง กวนตีนจริงๆนะ”


ผมว่ามันพลางเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วก็ต้องตกตะลึง รีบตะโกนเรียกไอ้นิค


“โอ้ย หูแทบแตก” มึงตะโกนทำไมเนี่ย มันหันไปดูทิศทางที่ผมตะโกนออกมา


“เฮ้ยยยยยย.... จะเก้าโมงแล้ว เหี้ยยยยยยย ..... สายแล้วววววว”


ไอ้นิคตะโกนดังกว่าผมอีก ก่อนจะรีบต่างคนต่างกระโจนกันออกจากบ้านกันแทบไม่ทัน
สรุปวันนั้นก็ไปไม่ทันเรียบคาบเช้าซะงั้น

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

เมื่อผ่านเดือนมกราคมไปดูทุกอย่างจะเติบโตขึ้น รวมไปถึงอายุที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ปีของผม
อากาศหนาวเย็นในกรุงเทพมหานครดูจะคลายลงไปมากจนดูเหมือนปีนี้จะเข้าหน้าร้อน
เร็วกว่าปกติ เมื่อข้ามผ่านมาจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ชีวิตของผมช่วงนี้ดูเหมือนจะ
จดจ่ออยู่กับตำราเรียนทั้งของมหาลัยเองที่ใกล้จะสอบปลายภาคเข้ามาเต็มทน แต่ดูเหมือน
ผมจะต้องอ่านหนักกว่าเพื่อนๆ อย่างไอ้กอร์ฟ กิ๊ฟ โบ จูน ซักหน่อย ตรงที่ต้องเพิ่มวิชา
บางวิชาที่จะต้องเตรียมตัวสอบเอนฯเพื่อเก็บคะแนนเพิ่มของเทอมนี้ด้วย


“กูว่ามึงอย่าเอนฯเลย เรียนนี่แหละ” ไอ้นิคออกความเห็นระหว่างรอรถเมล์เพื่อจะกลับบ้าน
พร้อมกัน (เพราะทางเดียวกันหรอกนะ)


“เฮ้อ มึงบอกกูมากี่ล้านรอบแล้ววะ” ผมถอนหายใจ


“ไม่รู้หว่ะ แต่ก็จะถามเรื่อยๆนี่ล่ะ ” มันว่าทำหน้าเชิดๆ


“แล้วมันออกหัวเหรอก้อยวะ” ผมหันไปถามบ้าง


“มึงยังไม่ลืมอีกเหรอเนี่ย” มันทำท่าแปลกใจ


“โด่ ...ไม่มีทาง กูเป็นคนลืมยากส์” ผมว่าพลางเติมเสียง s เข้าข้างท้ายเป็นการย้ำว่ากูลืมยากบวก s
พอผมถามคำถามนี้เมื่อไร ไอ้นิคก็จะอมยิ้ม แล้วก็หัวเราะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน มันก็ยังไม่ยอมบอก
ผมซะที กะอีกแค่เหรียญแค่เนี้ยนะ


“กูจำเป็นต้องบอกมึงด้วยเหรอ ? ” มันพูดทำหน้ากวนตีน “- - แค่รู้คนเดียวก็พอแล้วนี่”


“เออ ไม่บอกกูก็จะถามมันอยู่นี่ล่ะวะ ” ผมว่าเคืองๆ แล้วก็กำลังจะยื่นมือไปโบกรถที่เห็นมาแต่ไกล
แต่ไอ้นิคก็จับมือผมไว้


“ไรของมึง รถมาแล้วนะ” ผมว่าพลางปัดมือออก


“เดี๋ยวดิไปหาไรกินกะกูก่อน หิว”


“พึ่งบ่ายสี่เองนะ รีบหิวไปไหน” ผมว่า แต่ก็เดินตามมันไปด้วย ไอ้นิคเดินนำไปจนมาถึง
สเวนเซ่น แล้วก็เดินเข้าไป


“โห ... หิวแต่อยากแดกไอติม” ผมคิดในใจแล้วก็เดินตามมันไปนั่ง รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน
ผู้ชายสองคนมานั่งกินไอติมสเวนเซ่นกันสองต่อสอง


“เอาช็อกโกแล็ตซันเดย์ สองคับ” มันสั่ง แล้วก็ยื่นเมนูคืน


“กูไม่ชอบกินไอติมช็อกโกแล็ต” ผมว่ามัน


“เออ น่ากูเลี้ยงเอง แดกๆไปเหอะ” มันว่าแล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ซักพักพนักงานก็เอาไอติม
มาเสิร์ฟคับ ผมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินของไม่ค่อยชอบไป ก็มันฟรีนี่นา


“เฮ้ย ปริ้น .. ”


ผมเงยหน้าระหว่างที่กำลังสาละวนกับไอติมที่อยู่ในถ้วย


“แฮปปี้วาเลนไทน์หว่ะ”


“อุ๊ปป ค๊อกก ค๊อกกกก” ผมถึงกับสำลักไอติม


“มึงไร้มารยาทจังหว่ะ แดกยังไงหน่ะ ” มันว่าผมแล้วก็ยื่นกระดาษทิชชู่ให้


“โห่ ไม่ให้กูสำลักได้ไงล่ะ - -”


“เหอะๆ ชอบอะดิ” มันว่า


“มึงทำแบบนี้ไปทำไมเนี่ย ? ”


“- - กูทำกะมึงไปก่อน ตอนนี้ไม่มีใครให้ทำด้วยนี่หว่า” มันแก้ตัว “- - อีกอย่างรู้สึกว่ามึงยังไม่ได้
ของจากใครเลยนี่หว่า กูเลยเลี้ยงปลอบจายยยย มึงไง ”


“อ่อออ เหรอออ กูล่ะดีจายยยยยยยย” ผมว่า


“แล้วมึงรู้ได้ไง..ว่ายังไม่มีใครให้ช็อกโกแล็ตกู หึหึ” ผมกระเซ้า เห็นมันทำหน้าเสียๆ แล้วก็นึกถึง
ช็อกโกแล็ตแท่งโตที่ถูกส่งมาให้เมื่อวานนี้ที่หอ เกือบเอาหลบพี่ท็อปแทบไม่ทันแหน่ะ ขืนพี่
แกเห็นเข้าคงได้ป่าวประกาศไปสามวันแปดวันเป็นแน่ พอแกะซองที่ใส่ออกมา ก็มีการ์ดแปะ
ไว้


- ทานให้อร่อยนะพี่ปริ้น .... -


ข้อความเขียนไว้เท่านี้โดยที่ไม่ได้ลงชื่อกำกับเอาไว้ อาจเป็นเพราะว่ากลัวใครเปิดมาเจอที่ไม่ใช่ผม
เข้าก็ได้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะว่าใครส่งมาให้ สรุปแล้ว เช้าวันนี้ ก่อนออกจากหอ ผมก็บรรจง
กัดช็อกโกแล็ตที่ไอ้หมอนั่นส่งมาให้คำนึงก่อนออก เสียใจด้วยนะไอ้นิค ที่มึงม่ะได้เป็นคนแรก
ที่กูกินช็อกโกแล็ต หุหุ


“ปริ้น...”


“ห่ะ ”


“มึงว่า ถ้ากูจะเอนฯใหม่มั่ง มึงว่าดีเหรอเปล่าวะ ”


อยู่ๆไอ้นิคก็ถามผมขึ้นมา เล่นเอาอึ้งไปซักพัก หวังว่ามันคงไม่คิดที่จะมาเอนฯตามเหมือนกับที่ผมเคย
คิดที่จะตามไอ้โอ้ตไปเชียงใหม่หรอกนะ

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่แสนจะมีความสุขของเหล่าเด็กที่ไม่ได้อยู่ในช่วงสภาวะกดดัน
เหมือนพวกที่กำลังจะต้องไปสอบเอนฯในรอบ 2 ดูจะมีความสุขกันเหลือเกิน เพราะหลัง
จากที่สอบปลายภาคกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไอ้พวกไอ้กอร์ฟก็มีแพลนกันว่า จะไปเที่ยว
ทะเลกันเป็นอาทิตย์เลย แต่กูอดไป เพราะว่าต้องอยู่อ่านหนังสือ


“ไว้พวกกูจะเที่ยวเผื่อ” มันว่าหยั่งงั้น แม่งกูขอแช่งให้เรือล่ม คอยดู้ แต่สิ่งที่ดูน่าหดหู่สำหรับ
ผมมากไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนว่าคำพูดที่ไอ้นิคว่าไว้เรื่องที่คิดจะเอนฯใหม่เหมือนกันดูจะเป็น
เรื่องจริงซะแล้ว เพราะช่วงหลังสอบเสร็จไม่กี่วัน มันโทรมาหา ผมโทรไปบ้าง ก็เห็นมันบอก
ว่ากำลังอ่านหนังสืออยู่งั้นงี้ ..... แต่ผมก็ยังไม่คิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ เพราะว่า ผมคงไม่ได้
สำคัญอะไรมากถึงขนาดที่จะทำให้มันต้องมาเปลี่ยนที่เรียนหรอก


ช่วงนี้ไอ้โค้กก็โทรมาหาบ้างครับ ดูเหมือนมันจะอ่านหนังสือหนักกว่าผมอีก เพราะว่าเห็น
คะแนนตอนเอนฯครั้งแรกดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไร ผมก็ได้แต่ปลอบใจมันไปเท่านั้นล่ะ
โควตานักกีฬาที่ดูเหมือนจะมีหวัง หลังจากที่ขามันกลับมาฟิตแล้ว แต่ก็ไม่ต้องแห้วไป
ทางสุดท้ายก็คงจะต้องใช้ความสามารถสอบเอนฯให้ติดล่ะมั้ง


ก้าวเข้าสู่เดือนมีนาคม การสอบเอนทรานรอบที่ 3 ของผมก็เริ่มขึ้น โชคดีหน่อยที่ผมไม่
ต้องเลือกสอบทุกวิชาเหมือนน้องๆม.6 คงแต่เลือกสอบเฉพาะวิชาที่คะแนนน้อยเท่านั้น
(คิดๆดูแล้วก็เยอะแฮะ - -‘’) แต่กว่าจะผ่านสองวันที่ต้องสอบมาได้นี่ ไมเกรนขึ้นหัว
เหมือนกันเลยทีเดียว


“พี่ปริ้น ... เค้าส่งคะแนนมาให้ยังอ่ะ” ไอ้โค้กโทรมาหาผมในเช้าวันนึง


“ยางงงเรยอ่า ...- -” ผมงัวเงียลุกขึ้นมารับโทรสับ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่บ้านที่ชะอำแล้วคับ
ที่เหลือก็รอให้เค้าส่งผลคะแนนมา แล้วก็จะได้เลือกคณะที่ต้องการได้ซะที


“- - เอ็งได้แล้วเหรอ ”


“ได้แล้วซิ พึ่งมาส่งเมื่อกี้เอง” มันว่าพลางตื่นเต้น


“แล้วแกะดูยังอ่ะ” ผมถามไปงัวเงียไป


“ดูแล้วครับ ก็พอไหวนะ ถ้าเลือกดีๆ ก็คงติดล่ะ” มันว่าเสียงมั่นใจ


“เออ ดีจายด้วย - - แต่ว่า...”


“ว่าไรครับ” มันถามเสียงใส


“กูขอนอนก่อนนะ ง่วงมากเลย” ผมว่าเสร็จก็กดวางไปแล้วก็นอนหลับต่อ ตื่นขึ้นมาอีกที
ก็เพราะว่าแม่เปิดประตูห้องโยนซองจดหมายประกาศคะแนนมาให้


โอ้ววว มายบุ๊ดด้า ... ทำไมคะแนนมันห่วยแตกแบบนี้วะ ผมคิดไปได้แต่ปลง แล้วก็ค่อยๆ
กาเลือกคณะที่อยากจะติดลงไป แล้วก็เขียนรายละเอียดทั้งหมด รอส่งให้เจ้าหน้าที่ทำการ
ตรวจเลือกว่าจะเอนฯได้เหรอเปล่า ผมตัดสินใจเลือกคณะไปคณะเดียวที่อยากเรียนจริงๆ
แบบวัดดวงกันไปเลย


ถ้าติดก็ติด ถ้าไม่ติดก็เรียนที่เก่าล่ะวะ ผมคิดในใจ


คืนที่ผมจัดการยื่นใบสมัครเอนฯ คนที่ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงอีก อย่างน้อยก็เป็นปีๆ ก็โทรมาหา
แบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว


“หวัดดีปริ้น.... ”


“อือ ... - - สบายดีเหรอ” ผมถาม


“อือ เรื่อยๆอ่ะ เห็นแม่ปริ้นบอกว่า จะเอนฯใหม่เหรอ” เสียงโอ้ตกรอกมาตามสายโทรสับ


“อืม .. ” ผมตอบสั้นๆ เพราะรู้สึกว่า แค่ได้ยินเสียงมัน ความรู้สึกเก่าๆมันก็เริ่มจะทะลัก
เลยต้องเพลาๆ พูดให้น้อยๆไว้ก่อน


“พี่เต เป็นยังไงมั่งอ่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“ก..ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ” โอ้ตตอบ


“ปิดเทอมนี้จะลงมาเหรอเปล่าล่ะ ” ผมอดที่จะถามไม่ได้


“............................ ก.. ก็คงไม่ล่ะ ” มันตอบกลับมาเสียงเศร้าๆ


“อืม ... ดีแล้วล่ะ” ผมว่าแต่ในใจกลับไม่รู้สึกแบบนั้นหน่อยๆแฮะ


“.....................


“อืม โอ้ต แค่นี้ก่อนนะ เราง่วงแล้ว” ผมพูดปด


“ปริ้น”


“.........................”


“คิดถึงนะ” มันพูดแค่สามประโยค แต่กลับทำให้ใจผมสั่นมากมาย เป็นเพราะเวลามันผ่านมา
นานแล้วเหรอ ผมถึงลืมสิ่งที่มันทำไว้กับผม มันเคยทิ้งผมไปจำได้มั้ย ผมเฝ้าแต่เตือนสติตัวเอง
ไม่ให้ล่องลอยไปกับคำพูดของมัน แล้วอยู่ๆข้อความที่มันเคยเขียนทิ้งไว้ให้ก็ผุดขึ้นมาในห้วง
ความคิด


- ฝากปริ้นเก็บไดอะรี่เล่มนี้ไว้ก่อนนะ ... จะกลับมาเอาคืนตอนเรียนจบ ........ -
- โอ้ต –


“.... อืม ” ผมตอบแล้วก็กดวางสายไป ด้วยหัวใจที่เต้นโครมๆ ไม่หยุด
.

.




หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 07:00:54
< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.
คนเรา พอถึงช่วงเวลาที่ได้เลือกทำอะไรลงไปแล้ว ทุกคนนั่นละ คงอยากจะเห็นผลลัพธ์
ที่ตัวเองได้ตั้งใจทำเอาไว้ แล้วก็แน่นอน ร้อยทั้งร้อย อยากจะให้มันเป็นไปตามที่คาดหวัง
ใครที่หวังมาก ก็เจ็บมาก ใครที่หวังน้อย ก็เจ็บน้อยหน่อย แต่ทุกคนก็ต้องเจ็บ เมื่อมัน
ไม่ได้ดังหวัง ....... แต่อย่างน้อยความหวัง ก็ทำให้คนมีกำลังใจที่จะทำต่อไป ...


เมื่อปีก่อนผมเคยหวัง ผมมองเห็นตัวเองยืนกระโดดดีใจกับซังเพื่อนผมที่คาดว่าจะเอนฯ
ติดด้วยกัน ผมหวังที่จะไปฉลองกับป๊าแล้วก็แม่ที่ทะเล หวังว่าครอบครัวเราจะได้กลับ
มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันซะที หลังจากที่ป๊ากับแม่ต้องไปทำงานที่จังหวัดอื่น
ทิ้งให้ผมอยู่กับยายสองปีเต็ม ผมหวังไว้ว่าคำสัญญากับคนที่ผมรัก มันจะไม่มีวันเปลี่ยน
แปลง เวลาไม่จะเปลี่ยนคนเราได้จริงเหรอ .... ผมไม่เคยเชื่อคำเหล่านั้น จนได้มาประสบ
กับตัวเองเข้าจังๆ


สุดท้ายแล้ว ปีที่ผ่านมา ความหวังแล้วก็ความฝันของผมกลับค่อยๆพังทลายลงอย่างช้าๆ
ทีละสิ่ง ทีละอย่าง ..... แต่ก็แปลก ที่ผมยังมีวันนี้ได้ ความรู้สึกคาดหวังที่มันได้หายไป
จากชีวิตมาพักใหญ่ ได้กลับมาหาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้อาจจะรู้สึกแตกต่างกันออกไป
ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ผมรู้สึกว่าตั้งใจทำเพราะความรู้สึกต้องการของตัวเองจริงๆเป็นครั้งแรก
ตลอดเวลาหลังจากส่งคะแนนเอนฯ ผมเอาเวลาหมดไปกับการไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ทั้งกับ
ไอ้ซัง ไอ้กอร์ฟ เหรอว่าไอ้นิคก็ตาม แล้วก็ดูเหมือนไอ้นิคจะเอนฯใหม่จริงๆด้วยครับ


“แต่กูว่า - - กูคงไม่ติดอีกเช่นเคยล่ะ” เห็นมันว่ากับผมแบบนั้นนะ แต่ผมก็รู้ดี ว่ามันไม่ได้โง่
เพียงแต่มันขี้เกียจเท่านั้นเอง


“วันนี้ประกาศผลเอนฯไม่ใช่เหรอ” เสียงแม่ผมทักตอนที่ผมพึ่งตื่นขึ้นมา


“อือ...”


“กี่โมงล่ะ ” แม่ถาม ผมก็พอมองออกมาคุณป้าที่อยู่ตรงหน้าผมก็ออกจะลุ้นลูกตัวเองอยู่เหมือนกัน
แต่แอบเก็บอาการ


“ถ้าติดที่เกษตรฯก็คงจะเย็นๆล่ะ แต่ถ้าเช็คทางเน็ต คงล่มอ่ะ - - คนเข้าเยอะแยะ” ผมว่าพลาง
หาวหวอด


“พรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นกรุงเทพไปดูที่เกษตรฯอ่ะ ตื่นเต้นดี ” ผมว่า


“ถ้าไม่ติดก็อย่าร้องไห้กลับมาบ้านแล้วกัน” แม่ผมว่า ไม่เคยจะให้กำลังใจลูกเลยจริงๆ พับผ่า
“- - แล้วไม่มีเพื่อนที่เอนฯใหม่บ้างเลยเหรอ จะได้ขึ้นไปพร้อมกันล่ะ”


ผมคิดถึงไอ้โค้ก แต่.. มันคงไม่ไปดูถึงกรุงเทพหรอกมั้ง คงรอส่งผลมาที่บ้านอ่ะ - - เอ แต่ว่า
ไม่ได้เจอตัวมันก็หลายเดือนแล้วนะเนี่ย ปิดเทอมก็ไม่ได้เจอกันเลย ป่านนี้จะเป็นไงบ้างวะ
มันจะเอนฯติดมั้ยน้อ มันจะเรียนที่ไหนวะ .... เฮ้อ กูไปกลุ้มอะไรแทนมัน แค่ตัวเองยังเอาตัว
ไม่รอดเลยวุ้ย


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้ทีจิกรถแม่ไปใช้ ตอนขับไปใจก็สั่นไปครับ ตื่นเต้นหว่ะ แม้ว่าจะพอทำใจ
ไว้บ้างก็เหอะ เพราะว่าคะแนนก็ไม่ได้ดีไปกว่าครั้งก่อนมากนัก แถมดันเลือกมหาลัยที่คนเลือก
ไว้เพียบแบบนั้นอีก


“ใจเย็นๆดิไอ้ปริ้น” ผมพูดกับตัวเองเป็นร้อยรอบก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในมหาลัย และแล้ว บรรยากาศ
ที่มีรุ่นพี่มหาลัยนั่น มหาลัยโน้นมายืนรอรับน้องคณะตัวเอง มาแสดงความยินดี อ่า...มันช่างเหมือน
ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วจริงๆ


ผมวนหาที่จอดรถ แล้วก็เดินเลียบมาเรื่อยๆ เพื่อจะมาดูบอร์ดที่เค้าติดประกาศผลเอนฯ ตามรายทาง
ก็มีเด็กที่ทั้งสอบติดก็จับกลุ่มยิ้มแย้ม เล่นหัวกันสนุกสนาน บางคนก็มีกลุ่มรุ่นพี่ช่วยกันบูมรับขวัญ
บางกลุ่มก็มีรุ่นพี่สั่งให้เต้นแร้งเต้นกาตั้งแต่หัววัน ช่างแตกต่างกับเด็กบางคนที่ไม่มีชื่ออยู่บนบอร์ด
ได้แต่เดินกลับเงียบๆ บางคนก็ร้องไห้น้ำตาตก .... ภาพเช่นนี้ปรากฏให้เห็นได้ทุกปีเลยจริงๆ มัน
เป็นเสน่ห์ของที่นี่ไปแล้วกระมัง


คลืนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ........


ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าในทิศที่ได้ยินเสียงที่ดังก้อง เห็นเครื่องบินทะยานขึ้นเหนือ
น่านฟ้า เครื่องบินลำนั่นจะบินไปเชียงใหม่เหรอเป่าวะ ? ผมคิดแล้วก็แอบตบหัวตัวเอง
ไม่ได้ นี่ม่ะใช่เวลาคิดถึงมันนี่หว่า !!!


ผมเดินมาจนถึงที่บริเวณที่เค้าติดประกาศผลคะแนนเอนฯ มีเด็กนักเรียนมากมายมารุมล้อม
ดูผลกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงรุ่นพี่ที่ต่างชะเง้อดักรอน้องๆของคณะตัวเอง ทำให้บริเวณ
รอบๆเบียดเสียดกันพอดู เลยต้องใช้กำลังภายในฝ่าด่านซะหน่อย กว่าจะถึงบอร์ดที่ประกาศ
คณะแล้วก็มหาลัยที่เลือกเอาไว้ ก็แทบลมจับกันเลยทีเดียว ผมเบียดเสียดผู้คนจนมาถึงเกือบ
แถวหน้าจนได้


“กูรหัสไรวะ” ผมก้มหน้าหยิบเอาเลขสอบขึ้นมาดู แล้วก็ค่อยๆไล่ตามรายชื่อ ......


“งืมๆๆ .... ” ผมเอานิ้วไล่ไปเรื่อยๆตามตัวเลขที่เริ่มใกล้เลขตัวเองมาทีละนิด ทีละนิด


อ้าว ใครมายืนบังบอร์ดนี้อยู่วะเนี่ย ผมไล่มาจนถึงอีกบอร์ดนึงก็พบว่ามีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้
มายืนบังอยู่พอดี ใครวะ ทำไมกูคุ้นๆ แต่ตอนนี้ช่างก่อน กูขอดูก่อนว่าจะติดมั้ย ผมคิดพลาง
ยื่นมือไปสะกิดที่ไหล่ไอ้หมอนั่น พอมันหันมาเท่านั่นล่ะ


“เอ้ยย .. !! ” ผมกะมันร้องผสานเสียงกัน


“มาได้ไงอ่ะ” ผมถามไอ้โค้ก


“ผมก็มาดูผลอะซิ” มันว่าแล้วก็เกาหัวแกร่กๆ แล้วก็ยิ้มแฉ่ง ถึงว่าซิ ทำไมผมถึงจำมันไม่ได้
ก็ไอ้โค้กตอนนี้มันผมยาวขึ้นมากเลยอ่ะ คาดว่าตลอดสามเดือนหลังจากปิดเทอมมานี่ เลี้ยง
ผมอย่างดีเลยซิมึง จากที่ไว้รองทรงมาตลอด


“ถึงว่าดิ เกือบจำไม่ได้เลยนะมึง” ผมแซวมัน


“ชมแบบนี้ผมไม่ปลื้มหรอกนะ” มันว่า แล้วก็ชี้ไปที่รหัสของมันที่ติดไว้ที่บอร์ด


“สาดดดดดด เจ๋งว้อยยย ติดด้วยยย” ผมยกมือขึ้นตบกับมือมันเสียงดัง ไอ้โค้กหัวเราะเริงร่า
เออ นะ มันเก่งใช้ได้เลยนะเนี่ย ไหนดูดิ๊ คณะไรวะ โหยยยยยย วิดวะ


“เฮ้ย ไหนมึงว่าคะแนนไม่ดีไง ... ติดวิดวะเนี่ยนะ” ผมด่ามัน แต่ก็อดปลื้มแทนมันไม่ได้เหมือนกัน


“555 แหม ตอนนั้นก็ต้องถ่อมตัวไว้บ้างดิ เผื่อไม่ติดจะได้มีคนมาสงสารไง” มันว่าพลางส่งสายตา
อย่างเคยมาให้


“อะนะ - -” ผมเห็นแบบนั้นเลยหันกลับมาสนใจของกูเองก่อนดีกว่า แต่ทำไมหาเท่าไรก็หาไม่เจอ
ซะทีวะ ฮือๆๆๆ


“พี่ปริ้นรหัสไร เดี๋ยวผมช่วยหา มันว่าพลางคว้าใบผมไป - - สายตายิ่งสั้นๆอยู่จะหาเจอม่ะเนี่ย
คนเรา” ดูมันว่าผม


“- - ไปรอข้างนอกก่อนล่ะกันพี่อ่ะ เดี๋ยวผมหาเอง” มันว่าเพราะว่าเห็นผมดูเหนื่อยมาก
เออดิ กว่าจะขับรถมาถึง ผมเลยค่อยๆเดินด้วยจิตหลุดออกมานั่งที่ร่มๆ มองดูกระแสคน
ที่เบียดเสียดกันเข้าไป จนซักพักก็เริ่มเบาบางลง แต่ไอ้โค้กก็ยังไม่กลับออกมาซะที


“เฮ้อออ ..... ” ผมถอนหายใจ เมื่อเห็นไอ้โค้กเดินหน้าเฉยกลับมา


“ไง เจอม่ะ ” ผมว่า ไอ้โค้กไม่ตอบอะไร แต่กลับมานั่งข้างๆผมแทน แล้วก็ค่อยๆเอามือมา
กอดไหล่ผมไว้เป็นเชิงปลอบใจ


“เฮ้ออออ ผมถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ .... ” เมื่อเห็นมันมาทำดีกับผมแบบนี้เหมือนจะปลอบใจ
ก็เริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วล่ะ


“วิดยาฯมันติดยากนะพี่ - - เลือกไปได้ไงคะแนนห่วยป่านนั้น” มันว่าขึ้นมา ทำเอาผมฉุน
ซะไม่มีอะไรดี


“เออ... กูรู้น่าว่ากูห่วย ไม่ต้องพูดมากเลย - - แทนที่จะปลอบใจอ่ะ เอ๊ะ !! ” ผมว่ามันไปแป็บนึง
ก็คิดขึ้นมาได้ หันไปมองหน้ามัน


ผมยังไม่ได้บอกมันเลยนี่หว่า ว่าผมเลือกคณะอะไร แล้วทำไมมันเสือกรู้ได้หว่า ?


“มึงรู้ได้ไงอ่ะ ว่าพี่เลือกวิดยาฯวะ - - บอกไปเหรอ” ผมถามก็เห็นมันสั่นหน้า


“ก็มันติดไว้บนบอร์ดอ่ะ ไม่รู้ได้ไง” มันพูดเสียงเรียบ แล้วก็กอดคอผมโยกไปมา ทำเป็นเด็กไปได้
แต่ตอนนั้นผมรู้สึกเบลอๆชอบกล


“หมายถึงว่ามีรหัสกูติดอยู่บนบอร์ดอะนะ ? ” ผมทวนคำถาม


“ถูก..- -” มันว่า


“- - แหมๆ เลือกมหาลัยเดียวกันด้วยน้า ... จงใจอ่ะเปล่าเนี่ย ” ไอ้โค้กบอก


“เฮ้ย กูติดเจงๆอ่ะ ติดเจงๆอ่ะ ” ผมหันไปจับตัวมันเขย่าด้วยความดีใจ ป๊าคับ ผมทำได้แล้วอ่ะ ปริ้นทำ
ได้แล้ว ทำในสิ่งที่สัญญากับป๊าไว้ได้แล้วคับ ..... ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ไปทะเลด้วยกันอีกแล้ว - - แต่
ผมทำได้แล้วป๊า ได้ยินมั้ยยยยยยย ผมเขย่าตัวไอ้โค้กด้วยความดีใจไม่หยุด


“อ...เออ เจงๆ เอออ ปล่อยก่อน หยุดเขย่า มึนหัวว้อยย” มันว่าแล้วก็ขืนตัวมาจับไหล่ผมแทน
แล้วก็จ้องหน้าผม


“พี่ปริ้น .... - - เตรียมใจไว้เหอะครับ ผมยังไม่เลิกหวังหรอกนะครับ” มันว่า สายตากลมโตของ
มันดูจะบ้องแบ้วเป็นพิเศษในวันนี้


“- - ยิ่งได้มาเรียนที่เดียวกันแบบนี้ ถึงจะคนละคณะกันก็เหอะ” มันว่า


“ม่ะรู้ ม่ะสน” ผมว่าพลางยิ้มแป้นแล้นดีใจ


“น้องๆ สองคนนั่นอ่ะครับ ติดที่นี่เหรอเปล่า” อยู่ๆเหมือนรุ่นพี่จะมีเรดาห์จับอะไรบางอย่างได้
เดินยิ้มมาหาเราสองคนอย่างรวดเร็ว


“เออ... ”


“ไอ้นี่ติดวิดวะพี่” ผมรีบโบ้ยไปที่ไอ้โค้กเพราะเห็นว่าที่เสื้อพี่เค้าติดชื่อคณะไว้พอดี


“เฮ้ยยย ... เล่นงี้เลยเหรอ ” มันร้องเสียงหลง


“งั้นมาเลยน้อง มาเลย” ไอ้รุ่นพี่คนนั้นลากไอ้โค้กไปอย่างรวดเร็ว


“พี่ๆ ไอ้นั่นก็ติดวิดยาฯพี่ เอามันไปด้วย” ไอ้โค้กตะโกนมาทางผม


“หุหุ พี่เค้าอยู่วิดวะโว้ย เกี่ยวไรล่ะ ?” ผมว่า


“ม่ะเป็นไรคับน้อง เพื่อนพี่อยู่วิดยาเยอะแยะ - - มาม่ะ ”ไอ้รุ่นพี่อีกคนเดินตรงแหน่วมาที่ผม
แล้วก็ล็อกเอาไว้แน่นหนา


“เฮ้ย ๆ... ได้ไงอ่ะเนี่ย ”


ดูท่าทาง ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ดูจะไม่ง่ายแล้วก็โหดกว่าเดิมหลายเท่าตัวแน่ๆ ว่าแต่
กูคิดถูกคิดผิดวะเนี่ย ....

.

.

< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.
ตอนนี้ผมย้ายหอมาอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยบอกกับไอ้นิคไว้ ผมยังไม่เลิกเรียน
ที่รามฯ แต่คงต้องจัดสรรเวลาเรียนใหม่ซะก่อน แต่ก็เห็นมันบ่นอุบเหมือนกันว่า ต่อไปนี้ ใครจะให้
มันลอกข้อสอบล่ะ แหม .... ดูมันซิ แต่ผมกับมันก็เจอกันบ่อยกว่าเดิมอีก เพราะว่าหอผมกะบ้าน
มันอยู่ใกล้กันกว่าเดิมซะงั้น


ย่างเข้าสู่ต้นเดือนมิถุนายน กับการเปิดเทอมวันแรกในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ในฐานะเด็กซิ่วคนนึง
ผมในชุดนิสิตผูกไทสีเขียว ยืนอยู่หน้าประตูด้านฝั่งพหลโยธินรอใครบางคนอยู่



“เชื่อเรื่องพรหมลิขิตว่างั้น ? ”


“ไม่รู้ซิ .. แต่ไม่แปลกใจเหรอไง ? - - บนโลกมีคนเป็นหมื่นล้านคน แล้วทำไมคนสองคนถึงมา
เจอกันกันได้ล่ะแล้วทำไมถึงมารักกันได้ล่ะ”


“รักมันต้องออกมาจากหัวใจซิ ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติเหอะปริ้น - - ถ้าไม่รัก ก็คือไม่รัก
แต่ถ้าเกิดมาคู่กันจริงๆ จะหนีกันยังไง มันก็ไม่พ้นหรอก”


“ซัง ที่มึงพูดให้กูงงๆคราวก่อนโน่น ตอนนี้พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้วหว่ะ” ผมคิดพลางเหม่อมอง
เหล่าเฟรชชี่ ทั้งหลาย ต่างพากันเร่งรีบเดินผ่านหน้าไป ดูเหมือนว่าฤดูร้อนปีนี้จะยาวนานกว่าทุกปี
ที่ผ่านมาแฮะ ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหล่ผ่านแก้ม นี่ขนาดพึ่งจะสายๆเองนะเนี่ย ทำไมมันร้อน
ได้ร้อนดีจังวะ ผมเลยเปลี่ยนที่มายืนพิงใต้ต้นไม้แทน


“ไงคับ เฟรชชี่” เสียงไอ้โค้กทักมาข้างๆทำเอาตกกะใจ


“มึงมาตอนไหนวะเนี่ย ทำเป็นผีไปได้” ผมว่ามันพลางเอามือกุมหน้าอก เด๋วกูหลุดกีซขึ้นมาจะทำไง
เสียภาพพจน์หมด


“ทำเป็นขวัญอ่อนไปได้ พี่ปริ้น” มันว่าแล้วก็ทำเป็นจัดเนคไทให้ตรง


“ตรงยังอ่ะ ม่ะกี้ดูในกระจกรถเมล์มันเบี้ยวๆหว่ะ” มันบอก


“เออ ตรงแล้วน่า - - จะดูดีอะไรไปมากมาย” ผมว่า


“ค๊าบเพ่ ... งั้นป่ะ ไปเรียนเหอะ” มันบอก


“เออ ว่าแต่ - - ทำไมมึงต้องให้มารอด้วยเนี่ย เรียนคนละคณะกันอยู่แล้วอ่ะ” ผมถามมัน


“เอ้า ... ก็เดินสองคนยังดีกว่าเดินคนเดียวม่ะใช่เหรอไง” มันหันกลับมาบอก


“แค่นั้นเหรอ อืม - - เออ โค้ก”


“ครับ ? ”


“อ...อืมมม ยังไงดีล่ะ - -” ผมอ้อมแอ้ม “ไม่ต้องเรียกพี่ปริ้นแล้วก็ได้นะ ”


“เอ๋ ..... ” มันทำหน้างงนิดหน่อย ก่อนที่จะยิ้มแก้มแทบระเบิด แล้วก็วิ่งมายืนดักหน้า มองผมตาแป๋ว


“พ..พี่ เอ้ย ปริ้น ปริ้น ยอมรับผมแล้วเหรอ” มันเสียงใส แววลิงโลดมันชักจะออกเหมือนก่อน


“อ...เออ - - เอ้ย ไม่ใช่ !! ก็เรียนปีเดียวกันแล้ว จะมาเรียกพี่ได้ไงเล่า คนอื่นก็สงสัยตายชักเด๊ะ”
ผมตอบหน้าหุบเลย ไม่ยอมสบตามันด้วย แล้วก็รีบเดินจ้ำๆเลี่ยงมัน ไอ้โค้กก็ทำเป็นวิ่งเหยาะๆ
ตาม


“ปริ้น ... ให้ผมเรียกปริ้นแล้วม่ะใช่เหรอไง” มันทำเป็นซัก


“ปริ้น ... ต่อไปนี้ผมจะเรียกปริ้นได้เต็มปากเต็มคำซะที” มันยังพูดไม่เลิก


“ปริ้น .. ช่ายแล้ว อยู่ปีเดียวกันแล้วดิ ผมก็ไม่ใช่น้องปริ้นแล้วดิ” ดูมันยังพูดไม่เลิก


“เฮ้ยๆ ยังไงกูก็ยังเป็นพี่อยู่นะ - - เอ้ยย” ในระหว่างที่ผมไม่ทันได้ระวังตัวอยู่นั่น มันก็เอานิ้วมาปาด
เข้าที่ปากผมซะอย่างงั้น


“คราวหน้าม่ะได้แค่โดนนิ้วหรอกนะ”มันว่า แล้วก็รีบหันหลังวิ่งหนีไปตามถนนอย่างรวดเร็ว
โดยมีผมวิ่งไล่ตามเตะมันไปตลอดทางตามแนวอาคารแล้วก็ตึกเรียนที่ไม่คุ้นตา ต้นไม้ใบหญ้า
รอบข้างต่างปลิวพลิ้วไหวไปมาล้อกันกับสายลมที่พัดผ่านระลอกแล้วระลอกเล่า ...


ถ้าจะเปรียบฤดูกาลที่ผ่านมากับห้วงชีวิตของผม ที่มีทั้งสุขและทุกข์ สายฝนเย็นชุ่มฉ่ำที่ตกลงมาใน
ฤดูฝนทำให้จิตใจที่อ่อนแอกลับฟื้นขึ้นมีชีวิตชีวา ในฤดูหนาว ... ความเย็นยะเยือกของลมหนาว
ที่พัดผ่านทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของความอบอุ่น และความสุขที่เหมือนกับแสงแดดที่สดใส
ชวนให้กระปรี้กระเปร่า เหมือนแสงแห่งความหวังที่สาดส่องในฤดูร้อน ....


กลางปี 2001 ดูเหมือนว่า ฤดูกาลที่ผันผ่านมานั้น ทำให้ได้รู้จัก ได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากมาย
ชีวิตของผมยังคงดำเนินต่อไป ... ไม่มีมีใครรู้ ว่าเรื่องราวต่อไปมันจะจบยังไง ผมอาจยังมีคำถาม
ที่ยังติดค้างอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโอ้ต ไอ้นิค หรือแม้แต่ไอ้โค้กก็ตาม ตอนนี้ผมเรียนรู้
ว่า ในชีวิตจริงๆ บางทีคนเราคงไม่ต้องไปหาคำตอบของทุกคำถามหรอก เพียงแค่หาคำตอบที่อยู่
ในใจของตัวเองให้ได้ มันก็คุ้มค่ามากก็พอแล้ว ....


.

.

.

.


หากเปรียบกับชีวิตของคน
เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่

ก็คงเปรียบได้กับฤดู

คงเป็นฤดูที่แสนสดใส

* (และ)แต่ถ้าวันหนึ่งวันไหน

ที่ใจเจ็บจนทุกข์

ดั่งพายุที่โหมเข้าใส่

บอกกับตัวเองเอาไว้

ความเจ็บต้องมีวันหาย

ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู

** อดทนเวลาที่ฝนพรำ

อย่างน้อยก็ทำให้เรา

ได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง

ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ

ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ

เมื่อวันที่ต้องเจ็บช้ำใจ

จากความผิดหวังจนใจมันรับไม่ทัน

เป็นธรรมดาที่เราต้องไหวหวั่น

กับวันที่อะไรมันเปลี่ยนไป

( ซ้ำ * , ** )

อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นไร

อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย

น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย

หากไม่รู้จักเจ็บปวด

ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ
( ซ้ำ ** )
[wma=300,50]http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/season.wma[/wma]
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 07:03:29
Staying Power. – ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่ติดตามมาตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณจริงๆฮะ ^^
ช่วงนี้ไม่ได้หายไปไหน คงจาได้เจอเรื่อยๆในกระทู้เบื้องหลังนะคับ แล้วจาขอบคุณเพื่อนๆอย่างเป็นทาง
การอีกทีคับ รักษาสุขภาพน้อ..

ลป.ว่าแต่ตอนสุดท้ายแล้ว อยากให้เพื่อนๆช่วยกันคอมเม้นซักคนล่ะ 1 อันล่ะกานน้อ แบบแว่ ไม่เคยขอ
เลย แต่คราวนี้ขอซักครั้งงง ...อยากให้บอกความรู้สึกหน่อยอ่ะคับ ทั้งดีแล้วก็ไม่ดีได้หมดเลยนะคับ
แต่ถ้าติดแอดมินหรือม่ะสะดวกเจงๆ ก็ไม่เป็นไรน้าคับ
(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/ku.jpg)

โดย
Staying Power.
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 07:10:05
ขอบคุณอีกครั้งเหมือนกันครับ สำหรับกำลังใจที่เพื่อนคอมเม้นต์ให้ผมและ staying power

ทำให้ผมมีแรงลงเรื่องได้จนจบ

เพื่อนๆที่อ่านจบช่วยคอมเม้นต์ไว้ด้วยนะครับ คุณ staying power เคยบอกไว้ว่าจะแวะเข้ามาทักทายทีหลังนะครับ

 :muplu:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-11-2006 09:29:02
ในที่สุดก็อ่านจนทัน  :o อ้าวเขาจะจบกันแล้วนี่นา

เรื่องนี้สนุกดีนะ ชอบความหลากหลายของตัวละคร และอารมณ์ที่เป็นมนุษย์ มี รัก เหงา เศร้า  :monkeysad: บอกไม่ถูก

แต่คนเขียนเขียนได้ดีมาก อธิบายอารมณ์ของปริ้นออกมาได้ดี ชอบมากเป็นพิเศษ ก็ตอนที่ปริ้นพูดกับตัวเอง ตอนนี้


รอบๆตัวของผมมีแต่ความมืดที่โอบล้อมอยู่ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็แล้วแต่
ทุกๆที่ล้วนมืดสนิท ไม่มีแม้แต่กระทั่งแสงไฟ ความรู้สึกที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
แล้วอยู่ๆก็มีเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา


- เป็นไงมึง ... ยังไม่เข็ดอีกเหรอไง - ร่างที่อยู่ด้านข้างเปล่งเสียงออกมา เมื่อ
หันไปมองก็ปรากฏว่าเป็นตัวผมอีกคนนึงนั่งกอดเข่าอยู่


- เข็ดเรื่องอะไรวะ - ผมถามตัวเอง


ตัวผมเองที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ยิ้มเป็นเชิงดูถูก


- อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ... ว่าตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่ -


- กูไม่ได้คิดอะไร - ผมเถียง


- มึงจะโกหกใครก็โกหกได้ - - แต่มึงอย่ามาโกหกตัวเอง - ร่างที่นั่งอยู่ตะโกนกลับมา


- แน่ใจแล้วเหรอ ? ว่าชอบไอ้โค้กจริงๆ - ร่างนั้นถามตรงประเด็น


- แต่มันชอบกู ! -


- มึงตอบไม่ตรงคำถาม - ร่างนั้นพูดแบบเบื่อหน่าย สองมือยังคงนั่งกอดเข่าอยู่เช่นเดิม
ผมสะบัดหน้าหันหลังให้กลับร่างตัวเอง


- มันจำเป็นด้วยเหรอไง ! ผิดด้วยเหรอ ที่จะเลือกคนที่เค้ารักกู - ผมตะโกนตอบร่างที่นั่ง
อยู่ด้านหลัง


- ปริ้น - - มึงไม่ได้รักไอ้โค้ก -


- กูรัก.. -


- มึงแค่อยากหาคนมาปลอบใจตัวเอง เพราะว่าโดนไอ้โอ้ตทิ้งก็แค่นั้น -


- หุบปาก !! มึงจะมารู้ดีกว่าได้ยังไง - ผมหมดความอดทนหันกลับไปทำท่าจะเตะร่างที่นั่ง
อยู่ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ผมหันรีหันขวางไปรอบตัว ก็ไม่พบร่างๆนั้น ได้ยินแต่
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาจนมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลัง


- ทำไมจะไม่รู้ - - เพราะว่ากูคือมึงไง ปริ้น - ผมได้ยินเสียงของตัวเองจากที่ด้านหลังจนต้องรีบ
หันกลับไปหา ก็พบว่าตัวผมอีกคนนึงยืนอยู่เบื้องหน้า น้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่ไหลเป็นทางยาว


- มึงเจ็บ - - กูก็เจ็บ - ร่างที่กำลังร้องไห้อยู่พูด พร้อมกับค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ จนในที่สุด ก็เดินมา
โอบกอดตัวผมเองที่กำลังยืนนิ่งอึ้ง


- ปริ้น ... อย่าทำร้ายกูไปมากกว่านี้เลยนะ - - ฮ ฮึกก ...- - - ร่างนั้นกอดผมแน่นพลางสะอึกสะอื้น


- - - ห..ให้เวลา กูหน่อย ... ทั้งกู ทั้งมึงเองด้วย ..... -

ตอนนี้อธิบายถึงสภาพจิตใจของปริ้นได้ดีมาก เข้าถึงจริง ๆ  :impress3:

ถ้าบทสุดท้ายจบแบบนี้ นับว่าสมบูรณ์แล้วค่ะ คนเราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบไปทุกอย่างหรอก แค่อยู่กับปัญหาให้ได้เท่านั้นพอ

ขอโทษด้วยค่ะที่อาจจะคอมเม้นต์ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วชอบเรื่องนี้จริง ๆ

ปล. มีตอนที่ซ้ำจริง ๆ ค่ะ Reply 26 กับ Reply 31 ซ้ำกันนะ แหะ ๆ เพิ่งอ่านเมื่อคืนเลยรู้ค่ะ (อ่านตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่ม)

ขอบคุณอีกครั้งที่หาเรื่องดี ๆ มาให้อ่านกันค่ะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-11-2006 10:54:27
มาปาดก่อน

ยังไม่ได้อ่านครับ

งานยุ่งมั้กม้าก

อ่านจบแล้วจะมาโป้ดตอบนะครับ






ปล.

อ้างถึง
ผมก็งงตัวเองนะ เวลาผมเจอใครเถื่อน เงียบๆขรึมผมจะหลังรักเข้าไปเต็มเปาเลยครับ
ทั้งๆที่จริงๆก็ชอบคนคุยเก่ง สบายใจมากกว่าที่ได้อยู่กับคนที่มีอะไรแล้วพูด
อ่านแล้วงงไหมครับ ผมยังงงตัวเองเลย คิกคิก



ไม่งงคับ รักคนที่เถื่อนๆ แต่ชอบคนคุยเก่งงัยครับ :kikkik:

บลูก็ต้องเลือกเอางัยคับ ว่าแบบไหนที่บลูต้องการ :untrust:

เหมือนผมงัย เลือกไม่ถูกสักทีระหว่างโยกะบลู :kikkik:

ฮากริ๊กกริ๊ก :pigha2:


พูห์










ปล. อีกที


เพลงเพราะมากบลู


ชอบชอบ :yeb:


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-11-2006 11:59:42
อ่านจบแล้น

อืมมม ค้างคานะ

แต่จบแบบนี้ก็ดีแล้วละครับ

อ้างถึง
"บนโลกมีคนเป็นหมื่นล้านคน แล้วทำไมคนสองคนถึงมาเจอกันกันได้ล่ะ แล้วทำไมถึงมารักกันได้ล่ะ”

โดนโคดๆ


ขอบคุณบลูคับ

ขอบคุณ St. Power สำหรับเรื่องดีๆ ครับ

 :myeye:












ปล.


บลูคับ

เมื่อวานแวะไป เว็บ St.Power มาอะ

ระบบแจ้งว่ากะลังย้าย

เฮ้อ.. เศร้าจัง


พูห์


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 07-11-2006 12:10:42
คุณ Blue อันที่หายไป คิดว่าน่าจะเป็น ระหว่าง Rep ที่ 10 กะ 11 อ่ะค่ะ 

                http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=291.10

อันที่ 10 เป็นตอนที่ โอ๊ต โกรธที่ ปริ้น ไปค้างบ้านคิวอ่ะค่ะ  แล้วก้อสอบ แล้วพออันที่ 11 ก้อเป็นตอนหลังจากโอ๊ตเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว

ยังไงฝาก คุณ Blue check ดูด้วยนะ    แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ มันจะจบแล้วเหรอเนี่ยยยย :o  แง แง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-11-2006 14:56:37
จบแล้ว 
ขอบคุณคุณ staying Power ที่เขียนเรื่องราวได้น่าประทับใจขนาดนี้ 
ขอบคุณคุณบลูที่นำเรื่องราวที่น่ารักมาให้อ่าน 
ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ร่วมอ่านมาด้วยกัน
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราได้มารู้จักกันผ่านหน้าคอมพ์คะ  :impress: 

ประทับใจเรื่องนี้จริง ๆ คะ  น่ารักมาก ๆ ตอนจบก็จบได้คมดีนะคะ  ชีวิตคนเรามันคงไม่มีตอนจบเหมือนนิยายหรอก
ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป  เราได้เจอคนมากมาย  มีทั้งรู้สึกดีด้วย  ผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดี  ทุกอย่างก็เป็นประสบการณ์ชีวิต
ที่จะให้เราก้าวต่อไป  แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอให้เรามีความสุขกับสิ่งรอบข้าง  มีความสุขกับทุกอย่างก้าวที่เราเดินไปแล้วกันคะ  :yeb:

ว่าแต่เรื่องนี้มันจบหรือยังไม่จบอะคะ (อ้าวแล้วที่ตรูพร่ามมาก่อนหน้านี้หมายความว่าไงฟระ งงตัวเอง)  ก็เรย์เคยบอกว่าเรื่องนี้
ณ ขณะนี้ ยังไม่จบไม่ใช่เหรอ  ยังอยากอ่านต่ออะ  ไม่ยอมมมมมมมมม  ไม่ให้จบบบบบบบบ  บ้าไปแล้ววว  5555  :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 16:17:41
http://stayingpower.exteen.com/category-Story-Part1/page-11

ฝากช่วยเช็คหน่อยนะครับ
ผมอ่านมานานแล้วเป็นปีไม่แน่จาย หาไม่เจอครับ
ตอน rep10-11 ผมเช็คแล้วครบถ้วนตามที่บล็อคลงไว้
อ่ะครับ เด่วจะลองค่อยๆดูอีกที
ว่าตอนไหนตกไป
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: actboyz ที่ 07-11-2006 17:01:10
อ๋อ ที่มันหายอ่าครับ
คือจากหน้าที่ 11 มันจะจบตรงที่ประมาณว่าอยู่ในวันที่สอบใช่ปะครับ แล้วก็ปริ้นเข้าไปสอบ (ไรประมาณนี้อ่า) แต่พอขึ้นหน้าที่ 12 กลับอยู่ ๆ มาโผล่ตรง

********************************************
“ก็ ถ้าน่ารัก ……………………………….. ก็รักดิ”

“ก็รักดิ ….”

“รักดิ …”

“ดิ …”

….

ซ่า …… ซ่า ……ซ่า

ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คำพูดของโอ้ตมันก็ดังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเสียงเอ๊กโค่ มันชอบผมเหมือนกันเหรอ ? เหมือนกับที่ผมก็รู้สึกแบบเดียวกะโอ้ต ..

ไม่ใช่อ่ะ .. ไม่เหมือนกันหรอก

ผมยังไม่ได้รู้สึกรักโอ้ต ผมแค่รู้สึกดีๆ … ไม่ใช่เหรอไงวะ แค่รู้สึกเหงาเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วย รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่มันทำตัวหนิดหนมกะซัง แค่ แค่ แค่ บลาๆๆๆ

อ่า ….

ผมเริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเองมากขึ้นทุกที นึกย้อนไปตอน ม ต้น จนมาถึงตอนนี้ ผมไม่เคยรู้จัก หรือ ให้คำว่ารัก กับใคร ไม่เคยมีแฟน ชีวิตในรั้วโรงเรียนก็มีแต่เพื่อน เคยคิดเหมือนกันคับ ว่า พอเข้ามหาลัยแล้ว ก็คงจะเริ่มสนใจผู้หญิงเหมือนกับคนอื่นๆเค้าล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ผมก็อยู่ รร สห แล้วมันก็ยังเฉยๆ อาไรกันนี่





* * * * * * * * * * * *
“ที่รัก .. เป็นไรนั่งเหม่อเชีย ข้าวเข้วไม่แดก” เสียงไอ้คิวพูดจนทำให้ผมสะดุ้ง มันก็ยังกวนตีนเรียกผมแบบนี้อยู่ได้ ซังมันก็นั่งกินอยู่ข้างมันแท้ๆ ที่สำคัญ กูอายชาวบ้านเค้าว้อยยย

“เหี้ย …” ผมด่ามันคำเดียวจบ

“เป็นไรป่าวปริ้น วันนี้เอาแต่เหม่อ” ซังถามเพราะว่าคงเห็นผมท่าไม่ค่อยดี

“อ่อ กรูรู้แล้ว คิดถึงไอ้โอ้ตอยู่ใช่ป่าว” คิวพูดขึ้นมาแล้วก็ทำตาแบบรู้ทัน

- เออดิ - ผมตอบในใจ ถึงแม้ว่าผลการสแกนสมองมันจะไม่เป็นอะไร แต่พอมันออกจาก รพ แม่มันก็อยากให้นอนพักอีกวันนึงก่อน เลยไม่ต้องมาโรงเรียนวันจันทร์สบายใจเฉิบ
************************************************************

เหงไหมครับว่า อยู่ดี ๆ ก็มีคำพูดของโอ๊ตลอยขึ้นมาเลย (ในหน้า 12 ) โดยที่เราจะไม่รู้ว่าโอ๊ตพูดตอนไหน และเข้าโรงบาลไปเมื่อไร อ่าครับ
เหอ ๆ เข้าใจยังอ่าครับ ว่าเนื้อเรื่องมันหายไป...อ่า 
 :myeye:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-11-2006 17:09:32
โอวววว  ล้ำเลิศ  ถูกเลย  รู้สึกว่าตอนอ่านตอนนั้นคิดเหมือนกันว่าโอ๊ตเข้าโรงบาลตอนไหน   แต่ว่าความอยากอ่านตอนต่อไปมีมากกว่า
คิก คิก  ข้ามไปเฉยเรยยย   ขอบคุณน้า คุณ actboyz  :yeb:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-11-2006 17:14:03
ใช่บลู 


หายไปเฉยเลย

กำลังกลับไปดูที่บล็อกนะ ว่ามันหายไปยังงัย :untrust:




ปล.



เหมือนเป็น FBI เลย


สืบสวนหาความจริง :myeye:


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: actboyz ที่ 07-11-2006 17:23:49
โอวววว  ล้ำเลิศ  ถูกเลย  รู้สึกว่าตอนอ่านตอนนั้นคิดเหมือนกันว่าโอ๊ตเข้าโรงบาลตอนไหน   แต่ว่าความอยากอ่านตอนต่อไปมีมากกว่า
คิก คิก  ข้ามไปเฉยเรยยย   ขอบคุณน้า คุณ actboyz  :yeb:



ไม่เปงไรครับ เพราะผมก็ชอบอ่านเรื่องนี้เหมือนกัน ^^
ยังไงผมต้องขอบคุณคุณบลูด้วยนะครับ ที่เอามาให้อ่านจนจบ
ขอบคุณครับ  :myeye:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-11-2006 17:27:39
นี้งัย

เจอแล้ว


--------------------------------------------

แล้วก็ภาพสุดท้าย ...............


ครึกกก โครมมมมม


ล้อรถที่หมุนคว้างบนถนนเมื่อสองสามปีที่แล้ว ที่โอ้ตมันขับรถไปคว่ำบนถนนเพชรเกษม


“โอ้ตนี่เป็นคนดีจังน้า”


“ฮื้มม ดียังไง ” โอ้ตถาม


“ โอ้ตมันคงจะหักหลบคนซินะ ทั้งๆที่สถานการณ์แบบนี้ คนบ้าวิ่งตัดหน้าแบบนี้ ….
มันยังยอมเลือกให้ตัวเองเจ็บ”


ทำไมมึงต้องยอมให้ตัวเองต้องเจ็บด้วยวะ ทำไมมึงต้องไปแคร์คนอื่นเค้ามากขนาดนี้ด้วย ไอ้โอ้ต


ผมปิดประตูบ้านเสียงดังสนั่น ยืนหอบแฮ่กๆ อยู่หน้าบ้าน พลางปาดน้ำตาออกให้ไม่เหลือคราบ


- พ..พอกันที - - ในเมื่อรักแล้วมันทำให้เจ็บปวดแบบนี้ กูก็จะไม่รักใครอีกแล้ว !! - ผมคิดกับตัวเอง


- เออก็ดี .. กูถึงได้บอกไง มึงเจ็บ - - กูก็เจ็บ - เสียงใครบางคนเปล่งออกมาจากจิตใต้สำนึกของผม


ข้อความที่ 106 อะ
-------------------------------------------------------------


ว่าแต่มันไปชนกันตอนไหนว่ะ

 :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 07-11-2006 17:35:22
แง้ว แง้ว เค้าก้อช่วยหาเหมือนน้า   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: amoureusement ที่ 07-11-2006 17:40:58
อ่านจบแล้วคร้าบ - -"  ทำเอามึนไปหลายตลบ ใช้เวลาอ่านตั้งแต่ต้นเดือนแน่ะ แหะ ๆ
 :impress:  ค่อนข้างประทับใจกับเรื่องนี้มากเลยครับ  ให้ข้อคิดเยอะ หลายอารมณ์ดีด้วย
แต่ไม่รุทำไม เราอ่านแล้วแบบส่วนมากจะได้อารมณ์แบบ เหงาว่ะ  เฮอออ
เอาเป็นว่า ถ้าไม่ชอบคงไม่ตามอ่านจนจบหรอกง่ะ ยาวโคด 55+

นี่ก็โพสต์ครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วกันครับ  :try2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 07-11-2006 17:56:13
สรุปว่าเรื่องนี้จบแล้วใช่มั้ยอ่ะคุณบลู  หรือยังไงเนี่ยยยย  :monkeysad:

แล้วไดอะรี่ที่โอ๊ตฝากปริ้นเก็บอ่ะ เอ...... มันไม่มีอะไรเหรอ น่าจะมีไรหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 18:02:21
ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คำพูดของโอ้ตมันก็ดังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเสียงเอ๊กโค่ มันชอบผมเหมือนกันเหรอ ? เหมือนกับที่ผมก็รู้สึกแบบเดียวกะโอ้ต ..


มันเป็นคำพูดที่โอ๊ตพูดก่อนหน้านี้มาก่อน
เป็นอดีตที่ปริ๊นนึกถึงครับ

งี้ต้องกลับไปเช็คก่อนหน้านี้สิครับ
ว่าโอ้ตเคยพูดประโยคนี้ตอนไหน
มันหายไปหรือปล่าว

ผมไม่เข้าใจหมูพูห์ครับ
แล้วไอ้ตอนที่หายไปมันอยู่ตรงไหนของเรื่องครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-11-2006 18:19:45
หมูพูห์คิดว่ามันตกตอนที่ที่โอ๊ตเอารถไปคว่ำใช่ปะ   ว่าปริ้นนึกถึงตอนนี้ขึ้นมาได้ไงรึปะคะ  เพราะว่าเราไม่ได้อ่านกันรึเปล่า
ตอนที่ว่าโอ๊ตหักหลบคนอะ  (อันนี้แบบว่าทำความเข้าใจหมูพูห์  ไม่รู้ว่าใช่ที่หมูพูห์คิดรึเปล่า  :untrust:)

อุ๊ย  กลายเป็นกระทู้  หาตอนหายซะงั้น  หนุก หนุก  ว่าแต่เรย์อย่าลืมตอบละว่ามันจบละยังอะคะ 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 19:43:14
จริงครับ น่าจะหายไปตอนหนึ่ง ตอนที่โอ๊ตบอกว่า ถ้าน่ารักก็ให้ปริ๊นท์รัก ปะ
อิอิ รู้สึกว่าผมจะเคยอ่านด้วยเมื่อตอนที่ลงเรื่องครั้งแรก  แต่ที่บล็อค staying power ก็ไม่มีหง่ะ
ยังไงเพื่อนๆลองดูนะครับ ถ้าไม่ได้ผมจะลองถามให้อีกที

ส่วนที่ตอนหมูพูห์บอกอาจจะเป็นตอนที่ปิงกับโอ้ตขับรถไปด้วยกันก็ได้นะ เอิ้กๆ งง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 07-11-2006 20:02:03
สวัสดีครับ ^^ เพื่อนๆในบอร์ดคุณเซ็งเป็ด ....
คุณบลูฯ เคยเมล์มาหาผมแล้วก็อยากเอา
เรื่องที่เขียนมาลงให้ที่นี่ ตอนนั้นยังไม่รู้เลย
ครับว่าคุณเป็ดมีเว็บแบบนี้ด้วย

(ผมอ่านจากห้องสวนลุมฯตั้งแต่แรกๆเลย
แถมชอบซะด้วยดิ)

ก็เลยได้มีโอกาสแวะมาเว็บนี้ด้วยเหมือนกันครับ
^^ แต่ไม่ค่อยได้ตอบ เพราะผมไม่ได้สมัคร
ล็อกอินไว้ แฮะๆ

ขอบคุณทุกๆคนนะครับที่อ่านเรื่องที่ผมเขียนขึ้น
(ด้วยความยากลำบากเพราะขี้เกียจตัวเป็นขน)
ผมว่าคนเขียนจะรู้สึกดีสุดๆ คงไม่มีช่วงเวลา
ไหนที่ดีไปกว่าตอนที่ได้อ่านคอมเม้นของคนอ่าน
อ่ะครับ ..... รู้สึกดีเจงๆนะคับ ^^

จากการที่ผมอ่านๆได้ ก็คาดว่าตอนที่เป็นประเด็น
ที่มันขาดไปเนี่ย คาดว่าเป็นความพลาดของผมเอง
อ่ะคับ ถ้าคุณบลูฯเอาต้นฉบับมาจาก บล็อก ก็จะ
ขาดตอนนั้นปายยย (ผมก็พึ่งรู้ว่าลงไม่ครบครับ)
แล้วจะไปแก้ไขในบลอกให้อีกทีนะคับ ^^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FlukeHub ที่ 07-11-2006 20:44:26
หุหุหุ  เพิ่งมาอ่านครับ

ในที่สุดก็จบ

จะมีภาคสองเร็วๆนี้แล้วใช่มะเนี่ย

จะรอน้าครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-11-2006 21:00:48
เย้ๆๆๆ
stayingpower มาแล้ว แหะๆ
ดีจายๆๆ
อืมผมค่อยเบาใจหน่อย อิอิ นึกว่าลงไม่ครบ
หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
แต่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผมอ่านแล้วแน่ๆ
ตอนลงที่บอร์ดดั่งเดิม ก่อนเปลี่ยนบอร์ดอีกหลายครั้ง

ช่วยบอกด้วยนะครับว่าตอนไหน ผมงง  :really2:

ขอบคุณเพื่อนด้วยนะครับที่อ่านกันละเอียดละอดจนล่อเสือออกจากถ้ำได้ คิกคิก  :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 08-11-2006 09:36:30
 :laugh3:

กลายเป็นตามล่าหาความจริงกันไปแล้วนะครับ :serius2:


ผมจะสรุปให้นะครับ


ตอนที่หายไป ตอนที่โอ๊ดขับรถคว่ำเพราะหักหลบคนบ้า คือระหว่างรีพลายที่ 10 กับ 11 ครับ

ส่วนรีพลายที่ 106 คือข้อสนับสนุน ว่ามันมีตอนที่โอีดขับรถคว่ำจริง

แต่ไม่รู้ว่ามันไปคว่ำตั้งแต่เมื่อไหร่


งงมั้ยครับ :untrust2:


ขอบคุณ St.Power ครับ สำหรับเรื่องดี แล้วก็ ยินดีต้อนรับเข้าสู่  :seng2ped: แฟนคลับครับ

ขอบคุณบลูอีกครั้ง ทีมาต่อยอดความรู้สึกครับ :teach:



ปล.


อย่าลืมเอามาลงต่อให้จบนะบลู


พูห์
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: actboyz ที่ 09-11-2006 09:44:17
 :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 10-11-2006 12:45:50
แอบมาปั่นเล่นครับ :laugh3:

แบบว่าเห็นมันตกลงไปข้างล่างแล้ว


อย่าทามรายผมเลย กัวแย้ว  :sad4:





ปล.


บลู รีบเอาภาค 2 มาลงด่วนเลยนะ


พูห์ :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: 1st prince ที่ 11-11-2006 02:15:27
สมัคร member เพื่อมาโพสต์กระทู้นี้โดยเฉพาะครับ ขอฝากตัวด้วยนะครับ

อ่านจนจบแล้ว(หลอ?)  เสียน้ำตาไปหลายยก แต่.... ทำไมยังรู้สึกหดหู่ อารมณ์ค้างอยู่เลย

ขออ้อนวอนให้คุณ stayingpower แต่งต่อใด้ไหมครับ    :e13:  Plzzz...


สรุปแล้วผมแอบเชียร์พี่โอ้ตกับปริ๊นให้เข้าใจกัน ><~ (ขอบอกว่านายโค้ก หลุดโผผมเลยดันพลิกล๊อกเสียได้)

อยากให้มีต่อประเด็นที่ขาดหายไปเช่น ไดอารี่ที่โอ้ตฝากไว้ แล้วหยอดว่าจะมาเอาหลังเรียนจบ

ประเด็นของนิกยาว ๆ, แล้วก็ตอนแทนความเป็นคนดีของนายโอ้ตสักหน่อย  :e13: ,

อยากให้ออกมาแบบ happy ending อ่ะ เพราะเรื่องนี้มันเศร้าจับใจ  :e9: :e11: :e13: : :e11: :e13:



ป.ล. พังไปพร้อม ๆ กับเพลง คบไม่ได้ ของพี่ป้างแล้ว โดนสุด ๆ  :e11:


 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 11-11-2006 23:41:37
ผมเพิ่มตอนที่ตกไปให้แล้วนะครับอยู่ reply ที่ 10 ทำสีฟ้าไว้คือตอนที่ตกไปครับ

http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=291.msg2632#msg2632

ตัวอย่างตอนที่ตกไปครับ ดันตกตอนสำคัญซะด้วยสิ  :kikkik:

อ้างถึง
ดูเหมือนว่าการพูดคุยวันนั้นของผมกับซัง เป็นจุดที่ทำให้ความมีเหตุมีผลของผมมันมลายหายสิ้นไป ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าควรทำยังไง แต่ร่างกายกับทำตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เหตุการณ์หลังจากที่สอบเสร็จในวันแรก ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสอบกลางภาควันสุดท้าย ผมไม่ได้คุยกับโอ้ตอีกเลย ตอนเช้าผมก็ออกมาก่อน สอบเสร็จก็กลับ เราจะเจอกันก็ตอนกินข้าวเย็น แต่ผมก็ทำเหมือนโอ้ตเป็นอากาศธาตุ และผมก็มั่นใจว่าโอ้ตมันก็คิดแบบเดียวกัน เนื่องจากมันก็ไม่มีท่าทีจะเข้ามาพูดคุยกับผมแม้แต่นิดเดียว

กับซัง … ไม่รู้ดิ หลังจากวันนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า มันเข้าข้างโอ้ตอย่างเต็มที่ ผมก็เลยพาลไม่อยากคุยกับมันไปเลย ฮ่วย …. ส่วนไอ้คิวไม่ต้องพูดถึงคับ เลิกคุยกับมันไปเลย

หลังสอบเสร็จ เสาร์อาทิตย์ จากที่ผมจะขึ้นกรุงเทพไปหาไอ้อ้น ก็ดันมาอุปสรรคขวากหนามอีก เพราะว่าฝนตกหนักมากตั้งแต่คืนวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ ก็ไม่ทีท่าว่าหยุดเลย
....
..
.
.
.


*********************************************************************************
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณทุกคนจริงๆ สำหรับ
คำติ แล้วก็คำชมที่มีให้ผม ^^ สำหรับบ้าน
พักฯที่เป็นซีรีย์ยาวคงจะแต่เพียงภาค 5 จริงๆ
อ่ะครับ ม่ะมีต่อแล้ว ... อยากให้เก็บความรู้สึก
ดีๆกับเรื่องนี้ไว้คับ แต่อาจจะมีแบบตอนพิเศษ
แพล่มๆออกมาสองสามตอนคับ ตอนนี้ก็เริ่ม
นึกๆไว้บ้างแล้ว

สำหรับเรื่องที่จะเขียนต่อไปตอนนี้ผมยังไม่มี
แพลนไว้เลยคับ (แต่ก้มีคิดๆไว้บ้าง ยังไงถ้า
เป็นรุปเป็นร่างก็คงได้อ่านกันนะคับ) ก็รู้อยู่
กันอยู่ว่าผมโคตรๆๆๆขี้เกียจ 555

ส่วนผมก็ยังวนเวียนอยู่แถวๆนี้ล่ะคับ เพราะ
ก่อนหน้าที่จะเขียนเรื่อง ก็อยู่แถวนี้มานาน
แล้ว ยังไงถ้าเจอกันในเอ็มก็ทักกันได้นะคับ
คนที่อยากอ่านตอนเก่าๆ ก็ไปหาอ่านได้ใน
บลอกคับ ผมจาทยอยๆเอามาลง ... ^^

ขอบคูณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมรักทุกคน
แล้วคงได้เจอกันอีกคับ

^
^
^
เขียนเหมือนจะลาไปในรีฯนี้ แต่จริงๆแล้วพึ่ง
นึกขึ้นได้ว่า ยังมีเบื้องหลังการเขียนอีกนี่หว่า
แฮะๆ ..

เน้นว่าเบื้องหลังเพราะว่า มันม่ะใช่เป็นเนื้อเรื่อง
นะคับ มันแค่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อะไรนิดๆ
หน่อยๆที่ผมจารวมๆไว้เท่านั้นเองคับ ^^ ไง
ก็ตามกันได้นะคับ





โดย stayingpower
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 12-11-2006 01:47:49
:yeb:  เรียบร้อยแระคุณบลู


คุณstayingpowerเขียนเรื่องดีจัง อ่านแร้วเข้าจายง่าย ยังกะกะลังดูหนังอยู่แน่ะ ตะว่าตอนที่อยู่บนเกาะอ่ะมะคิดว่าจะเปลี่ยนพล๊อตซะงั้น
ไหงน้องโค้กกลายเปงน้องโคนันปายด้าย หุหุ เสียมูสเรย น่าจาให้น้องโค้กแบบมีบทเด่นอีกจิ๊ดส์อ่ะ(แอบเชียร์)

นอกนั้นก็...... เหอเ หอ  :kikkik: ม่าอาว....ม่าพูด   เขิลลลลอ่า...... :-[

เด๋วภาค 2 ตาโอ๊ตจากลับมามีบทช่ายป่าว??? (ลืมปาย  ก็เค้าเปงตัวพระนี่หว่า ) อ่า..แร้วน้องโค้กล่ะ โปรดติดตามรอตอนต่อปายย(อีกแร้ว) เฮ้อ....
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 12-11-2006 14:31:28
the end แว้ววว... ม่ะมีภาคสองแล้วค๊าบ
มี 5 ภาคที่อ่านนั่นแลคับ ^^''
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 12-11-2006 16:24:45
เหอเหอ


จบก็จบครับ


ขอบคุณ St.Power อีกครั้ง สำหรับเรื่องดีๆ ครับ


ขอบคุณบลูคนเก่ง ที่เอามาลงให้ได้อ่านกัน


ว่าแต่ ตอนที่แพล็มอย่าลืมเอามาลงนะครับ


จะได้ครบสมบูรณ์แบบ





ปล.

แวอารายอะครับที่แพล็ม :kikkik:


หมูพูห์ :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: momoki ที่ 12-11-2006 22:11:31
อ่านอยู่ 3 วัน เต็มๆๆ ถึงจบ เฮ้อ เศร้า :-[

เค้า....ยังเชียร์พี่โอ๊ต อยู่หง่ะ :monkeycry2: แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(ถึงอิตาโอ๊ตตัวดีจะทำปริ้นร้องไห้ก็เตอะ )

ทะมายเป็นงี้ ว้า ๆๆๆๆๆๆๆ :serius2:

เค้า ยิ่งภาวนา อย่าให้ ปริ้น ชอบ โค้กขึ้นมาเล้ยยยยยอยู่หง่ะ :o

หงึ หงึ ...

ปล...อยากรู้หง่ะว่าต่อไป เพ่โอ๊ตจะเป็นไงบ้าง ปริ้นหล่ะ โอ้ๆๆๆๆ ม่ายอยากให้จบ แต่ก้นะ :monkeysad:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 12-11-2006 22:31:17
เราว่าน่ามีต่อน่ะ   มันยังไม่สมบูรณ์เลย เช่น
โอ๊ต น่าจะมีความจำเป็นที่ต้องดูแล เด เนื่องจากเรื่องเก่าในอดึต ทั้งๆที่ในใจยังรัก...............อยู่มาก แต่เขา....ไม่รู้ เศร้าจัง
นิค  ตัวละครใหม่ที่น่าติดตาม โดยเฉพาะ อยากรู้ว่าออกหัวหรือก้อยน่ะ
โค๊ก เพื่อนร่วมสถาบันใหม่  ที่รักมากๆๆๆๆๆ  และ แสนดีจริงๆๆๆๆๆ
ขอร้องล่ะ  ต่อหน่อยสิ......
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 13-11-2006 02:37:51
 :serius2:   ม่ายจิงอ่า...คุณstayingpower จะให้เรื่องจบแบบนี้เจงๆเหรอ

มานค้างคายังไงมะรุ ช่วยสงเคราะห์ต่ออีกจิดส์ม่าได้เหยอคะ :kikkik:

อ่ะแร้วภาคพิเศษล่ะ    ภาคพิสดารก็ด้ะ เหอเหอ ตะแน๋วจาโดนคุณstayingpower ฆ่าทิ้งมั๊นเนี่ย  :pigangry2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-11-2006 22:57:32
(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/123.jpg)


สวัสดีค๊าบบบบ พี่น้องทุกโคนนนนนน... หายจากกระทู้ไปอาทิตย์หน่อยๆกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้ทิ้งท้ายไปว่าจะมีเบื้องหลังมาให้อ่านกันหนุกๆ วันนี้ได้ฤกษ์เขียนซะทีคับ
จริงๆแล้วพอเขียนตอนจบของบ้านพักฯเสร็จแล้ว ความรู้สึกที่อยากเล่าเบื้องหลังความเป็นมา
ของงานเขียนชิ้นนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองเลยคับ คิดว่าจะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่พอจะต้องมา
สัมผัสแป้นพิมพ์จะเขียนจริงๆกลับไม่รู้จะเริ่มยังไง .......... อันเนื่องมาจากมันแตกต่างจาก
การเขียนเรื่องอย่างชัดเจน -_-‘’ จะเล่ายังไงหว่า เพราะว่ามันไม่ได้มีเนื้อเรื่องนี่หว่า ?

อ่านมากันถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆที่อ่านก็คงคิดประมาณว่า แม่งหลอกให้กรุรออ่าน ทำหอก
อะไรเนี่ย !! ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเล้ย !!! ถ้าเพื่อนๆคิดแบบนี้ ก็ต้องขอบอกว่า..

คิดถูกแล้ว ..... (ฮามั้ง)

เอาเป็นว่าให้นึกภาพประกอบเวลาเปิดหนังสือซักเล่มล่ะกันครับ มันมักจะมีคำนำ
คำนิยาม คำนำผู้เขียน บลาๆๆ กันไปมา ที่ผมจะเล่าก็คงประมาณเทือกนั้นล่ะครับ
(สำหรับคนที่คาดหวังว่าจะได้อ่านพวกภาคผนวก หรือว่าเชิงอรรถอะไรนี่คงไม่มี
ครับ เสียใจ)

.

.

----------------------------

.

.

ค่ำๆของวันหนึ่ง คืนนั้นคงถือเป็นจุดเริ่มให้ผมมีกะใจที่อยากจะเขียนเรื่องราวบางอย่าง
ออกมา ตอนนั้นไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะเขียนได้ขนาดไหน เขียนเรื่องอะไร เขียนไป
แล้วจะมีใครอ่าน ? แล้วจะเขียนได้นานแค่ไหน (แปลว่าจะเขียนได้จบเหรอเป่า)
คืนนั้น... หลังจากอ่านนิยายเรื่องนึง ต้นปอกับสตอเบอร์รี่จบ ผมก็นอนหงายตึง
ล้มตัวลงกับที่เตียงที่ไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก ที่บอกว่าไม่คุ้นก็เพราะว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน
มา ผมพึ่งจะย้ายออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนอกบ้านเป็นครั้งแรกคับ (สั้นๆคือย้ายมา
อยู่หอ) มันเป็นช่วงที่ผมต้องออกมาฝึกงานพอดี ...

วันรุ่งขึ้น ตื่นมาด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม รู้สึกว่าตัวเองมีความพร้อมที่จะทำอะไรได้ทุกอย่าง
....ยกเว้นแต่เรื่องที่จะเขียน เพราะอยู่ๆก็รู้สึกไม่อยากเขียนขึ้นมาซะงั้น - -‘’ (เค้าว่าแรง
บันดาลใจแล้วก็ช่วงเวลาในการเขียนก็คือช่วงกลางคืนนี่น่ะ) เอาเป็นว่าผลัดไปก่อนละกัน
วุ้ย....

ผ่านไป 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ ...... จนอ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้จบไปหลายเรื่องแล้ว ในที่สุด
ก็ได้ฤกษ์จรดฝ่ามือที่แป้นพิมพ์ซะที .... บ้านพักอลเวงตอนแรกจึงออกมาให้ได้อ่านกัน
ดังนี้ ......

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-11-2006 22:58:17
หลังจากจบม.3 ชีวิตเด็กนักเรียนต่างจังหวัดอย่างผมก็ต้องจำเป็นต้องย้าย รร. เข้าสู่เมืองกรุง ในช่วงแรกที่ผมรู้ ทำเอาเครียดไปพอสมควร ไหนจะต้องจากถิ่นเกิด ไหนจะเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
ที่สำคัญผมยังไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกันกับนักเรียนผู้หญิงเลย ร.ร ผมในม.ต้นจะเป็นชายล้วน พอมา ม ปลายถึงจะเปลี่ยนเป็น สหศึกษา ความฝันที่เคยร่วมกันกับเพื่อนๆที่จะได้จีบ ได้แอ้มสาวก่อนปลายเทอมก็มีอันมลายสิ้น !!!
ใช่ครับ!! คุณได้อ่านไม่ผิดหรอก การจีบสาวเป็นกิจกรรมหนึ่งๆ ในหลายกิจกรรมอันไร้สาระที่ เด็กชายวัยม.ปลาย(อาจจะรวมถึง ม.ต้น และประถม)มักจะกระทำกัน ผมก็รู้สึกอยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน นั้นเป็นเพราะความเป็นตัวของผมยังไม่ได้แสดงอะไรออกมายังไงล่ะ

นั้นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ค่อยจะอยากเข้ามาในเมืองที่เต็มไปด้วยมลภาวะ และสิ่งที่อาจทำให้คนใจแตกมากมาย วันที่ผมต้องออกเดินทาง ผมล่ะแทบไม่อยากเชื่อสายตาเลย เพื่อนที่รักของผมไม่โผล่หัวกันมาซักคน อาจจะเป็นเพราะวันนี้ฝนฟ้าดูจะไม่ค่อยจะเป็นใจให้คนออกนอกบ้านมากนัก

“ เดินทางไป-มาดีนะลูก , ลืมกระเป๋าสตางค์เหรอเปล่า , ของเอามาครบนะ , ฯลฯ” และอีกมากมาย ที่แม่ผมจะคิดได้เฝ้าบอกผม ตลอดจนถึงรถโดยสาร ธรรมดาผมออกจารำคาญด้วยซ้ำ แต่วันนี้ผมกลับตั้งใจฟังที่แม่พูด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขัด ทำให้แม่ดูจะตั้งอกตั้งใจพูดเป็นพิเศษ นั่นทำให้พ่อเป็นฝ่ายรำคาญซะเอง

“สวัสดีคับ พ่อ-แม่ ” ผมบอกก่อนจะขึ้นรถ ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาหนักเอาการ

“เฮ่อ เดินทางวันแรกก็ฤกษ์ดีสุดๆ “ ผมเปรย

จังหวัดที่ผมอยู่จริงๆแล้วก็ไม่ไกลจาก กรุงเทพฯมากนัก เพียง 2 ชม.กว่าๆ ก็ถึงที่หมาย ยกเว้นแต่คุณจะเจอคนขับรถที่คิดว่าทางหลวงเป็นสนามแข่งรถ นั้นแหละย่นเวลาเดินทางได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยล่ะ!!

กว่าจะมาถึง ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว สถานที่ที่ผมต้องพักอยู่ตลอดจนกว่าจะจบม ปลาย เป็นบ้านพักแห่งหนึ่งแถบๆบางเขน ตามความเห็นของผม น่าจะเรียกว่า ”หอพัก” มากกว่า ”บ้านพัก” ที่สำคัญมันสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง คงมีส่วนที่ทำด้วยคอนกรีตไม่มากเพื่อความแข็งแรง ที่บ้านผมได้รับการแนะนำจากเพื่อนบ้านว่า ลูกชายของเค้าเคยมาเช่าอยู่ตอนเข้ามาเรียนพิเศษ จึงตัดสินใจให้ผมมาอยู่ที่นี่ เหตุผลอีกอย่างที่พ่อแม่ผมอนุมัติ เพราะเป็นหอชาย หมายถึง คนเช่ามีแต่ผู้ชายแหละคับ ผมจะได้ไม่แอบพาใครๆมาทำอะไรได้ยังไงล่ะ แต่หารู้ไม่ !! ที่นี่แหละจะทำให้ ”ความรู้สึกที่ซ่อน” อยู่ในตัวผมถูกปลุกขึ้น (เว่อร์ไปป่ะ)
หอพักที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ที่แปลกจริงๆ ทั้งที่อยู่ในตัวเมืองแท้ๆ แต่กลับมีบรรยากาศที่ดูสดชื่น สะอาด และดูมีระเบียบที่ดี (และไม่มีระบบอะไรให้ยุ่งยากเหมือนที่บางที่) หอนี้มีอยู่ 2 ชั้น และรูปทรงค่อนข้างจะไม่ได้ใช้สถาปัตยกรรมอะไรมากมาย เอาเป็นว่าผมจะไม่อธิบายรายละเอียดให้มันซับซ้อนละกัน ที่นี่มีคนเช่าอยู่เพียง 7 คน มีคนดูแล อยู่ 3 คนเอง
แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อมีหญิงสาววัยมหาลัยมาต้อนรับผม

“ คุณบวร... ใช่มั้ยค่ะ ” หญิงสาวเอ่ย “ เชิญด้านในเลย คุณอยู่ห้อง 203 คะ ”

“ ค..ครับ ผมไม่ยักรู้ว่าที่นี่เค้ามีพนักงานดูแลเป็นผู้หญิงนะ ” ผมเริ่มประโยคสนทนา เธอยิ้มๆ “สวยไม่หยอกเลย” ผมคิด

“ ฉันเป็นลูกเจ้าของหอที่นี่ค่ะ ……… แล้วก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ ที่จะช่วยกิจการของครอบครัว หรือว่าไง..”

พูดได้ดีซะด้วยซิ เธอพาผมขึ้นไปที่ห้องชั้น 2

“ห้องนี้ค่ะ … ส่วนห้องน้ำ เป็นห้องน้ำรวมนะ อยู่ด้านล่าง โทรศัพท์ก็ด้วย …ถ้ามีปัญหาอะไร ก็ไปตามได้นะ ฉันอยู่ห้องข้างล่าง ”

“คนเดียวเหรอ” ผมหยอก

“ กะน้องชาย ” เธอบอกพลางจะเดินลงข้างล่าง

“เออ .. พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ผมบาสครับ” ผมแนะนำตัวเอง ที่จริงผมไม่ค่อยชอบชื่อผมเท่าไรหรอก ตั้งแต่ผมพบว่ามีเพื่อนชื่อเดียวกันถึง 2-3 คน ในระยะเวลาเพียง 3-4 ปี

“ เน คะ พี่ชื่อเน ”

“ขอบคุณนะคร๊าาาบ พี่คนสวย” พี่เค้ามองค้อนๆ แล้วก็เดินลงไป ในตอนนี้ผมอยากจะรู้จักคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ผมอุ่นใจได้ในยามที่ต้องออกมาอยู่คนเดียวอย่างนี้

ก่อนอื่นที่จะทำอะไร ผมอยากจะอาบน้ำแล้วนอนมากๆ การเดินทางมาเกือบครึ่งวัน ทำให้ผมรู้สึกเพลียมากกว่าอยากจะทำอะไร จึงไปเอาของเตรียมลงมาอาบน้ำ ผมสังเกตว่าห้องที่อยู่ติดๆกะผมมันล็อคอยู่

“ สงสัยจะยังไม่กลับ ”

ผมตัดสินใจเดินไปทั่วๆชั้น 2 ของหอ ที่จริงมันไม่ได้กว้างมากเท่าไร ผมเดินเรื่อยเปื่อยสำรวจห้องไปเรื่อยๆ การที่มีคนอยู่เพียง 7-8 คนทำให้เหลือห้องว่างพอควร และพวกนั้นก็คงยังไม่กลับเข้ามากัน จนผมผ่านห้องหนึ่งทำให้ต้องหยุดสาวเท้า ห้องนี้มีคนอยู่แฮะ

“วี้…………….วี้…………….” เวลาคุณดูทีวี น่าจะได้ยินคลื่นประมาณแบบเนี้ยแหละ ผมก็รับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ ผมเหลือบไปมองเลขที่ห้อง 206 ห้องนี้อยู่เยื้องออกไป แต่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องผม

“ดูอะไรอยู่ว่ะ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย ” ท่านผู้อ่าน ผมสาบานได้เลยว่าไม่ได้คิดจะไปแอบดูอะไรเค้าเลยนะ แต่นั่นเป็นขอยกเว้น ถ้าผมไม่ได้ยินเสียง……อื้อ..อา ???

“ใครครางวะ…!?” เร็วเท่าความคิด ผมหันซ้าย-ขวา เห็นว่าไม่มีใคร ต่อมอยากรู้อยากเห็นผมก็เริ่มทำงานทันที ผมค่อยๆแนบหูที่ประตู ได้ผล มันชัดขึ้นกว่าเดิมมากๆ ฟันธงได้เลยว่า คนที่อยู่ในห้องกะลังดูหนัง ไม่ต่ำกว่าเรต R อยู่แหง่มๆ แค่นั้นก็เพียงพอที่ทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นมากกว่านั้น ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ละนะว่ามีกิจกรรมอะไรอยู่ในห้อง แต่ผมก็หาช่องโหว่ ช่องอะไรก็ตามที่มองเข้าไปไม่เจอ จนซักพักผมรู้สึกว่าเค้าจะเปิดเสียงดังขี้นกว่าเก่า สงสัยใกล้ถึงฝั่งแล้วละมั้ง เมื่อหาไม่เจอผมเลยตัดใจจะไปอาบน้ำดีกว่า

เท่านั้นแหละ !? มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกะผม โผล่จากบันไดขึ้นมา

“ เกือบไปแล้วมั้ยกู ” ผมนึกในใจพลางขอบคุณสวรรค์

“มาทำอะไรตรงนี้เหรอครับ ” ชายคนนั้นถามผม

“อ้อ ผมหาห้องน้ำไม่เจออะครับ ” ผมแก้ตัว

“ห้องน้ำอยู่ด้านล่างครับ นายคนที่มาอยู่ใหม่เหรอ” เค้าถาม

“แปลกแฮะ เรานึกว่าพี่เราบอกแล้วซะอีก ?”…

“ยังไม่มีใครบอกเลย… สงสัยพี่นายลืมแหละ ” ผมโบ่ยความผิดไปที่พี่เนเต็มๆ

“นายเป็นน้องพี่เนเหรอ …ก็เป็นเจ้าของที่นี่อะเด๊ะ ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

เค้าพยักหน้า “ใช่ ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่ พี่เนก็เลยมาอยู่ด้วย ปกติเค้าจะมาช่วยวันเสาร์-อาทิตย์ เออ .. เราชื่อ
น้ำนะ นายเรียนชั้นไหนแล้วล่ะ”

“ม .4 ” ผมตอบ

“เฮ้ย!! อยู่ชั้นเดียวกันเลย”

เป็นอันว่าผมได้รู้จักสมาชิกในครอบครัวใหม่อีกคนหนึ่งแล้วล่ะ แต่ผมก็ยังอดสงสัยเสียงลึกลับในห้องนั้นไม่ได้อยู่ดี อยากรู้จริงๆว่าใครกัน !!!?

“ทำไมหอนี้มันมีคนอยู่น้อยจัง ออกจะกว้าง” ผมถามเพื่อนใหม่

“…. นายอยากรู้จริงๆเหรอ ” เค้าตอบ เสียงซีเรียส

“ ท..ทำไมเหรอ มันมีอะไร ” ผมชักอยากรู้

น้ำค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาหา “นายไม่รู้เหรอ…ที่นี่เจ้าที่เฮี้ยนมากเลยนะ ……..!! ยังไงก็เตรียมใจไว้บ้างก็ดี”

“ ฮึ่ย ถึงขนาดต้องเตรียมใจเลยเหรอวะ ” มันพูดงี้ผมชักปอดๆแล้วซิ ถึงผมจะไม่ใช่คนกลัวผีซะทีเดียว แต่บรรยากาศที่นี่ก็นับว่าพอตัว

“นายกลัวผีด้วยเหรอ” เค้าถามผม แล้วยิ้มแบบมีเลศนัย !

“ปล่าว!! ไม่เห็นต้องกลัวเลย เออ …เราหมายถึงเราไม่ไปลบหลู่นี่หว่า เราก็อยู่ส่วนเราดิ ” ผมอุบอิบ

“ก็ดี…..เดี๋ยวเราพาไปดูห้องน้ำละกัน”

“แล้วที่นี่อยู่กันกี่คนเหรอ” ผมถามระหว่างเดินไปห้องน้ำ

“ถ้ารวมนายกะฉันด้วยก็ 6 คน ” แล้วไอ้น้ำมันก็แนะนำคนในหอให้ฟังว่ามีใครบ้าง ตามประสาผู้รู้

“คนแรก เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่เลย ชื่อ พี่โอ เรียนสถาปัตย์ฯ *** อยู่ปี 4 แล้ว นิสัยเหรอ อืม??? ก็ดีนะ ดูภายนอกเป็นผู้ใหญ่ดี แต่ตัวจริง แม่ง ถล่นสุดยอด กวนตีนที่หนึ่งเลยแหละ ตามสไตร์เด็กสถาปัตย์ เออ … จริงๆแล้วพี่เค้าก็อยากให้น้องๆสนุกสนานอะแหละ ที่พูดมาแรกๆ นี่เหยียบไว้เลยนาเฟ้ย !!” ผมหัวเราะแล้วพยักหน้า

“พี่รองเรามี 2 คน ปีเดียวกันแต่เรียนคนละที่ พี่เต้ อยู่ปี 2 บริหาร *** รายนี้กะพี่โอ ซี้ปึ้กอะ บ้อบอพอๆกัน นายต้องเจอกะตัว รับรองจะติดใจในความบ้าอะ ” มันพูดทำหน้าเหมือนกะเจอสิ่งมหัศจรรย์งั้นแหละ !!

“แล้วก็พี่รัญ อยู่บัญชี *** ขานี้นะพึ่งพาได้กว่าพี่โอหว่ะ ดูฉลาดดี ไม่ขี้โม้อะ มาดสุขุมนุ่มลึก เสียอยู่อย่าง พี่แกคิดอะไรทำอะไร เป็นเงินเป็นทองไปหมด แบบว่างกชิบเป๋ง เนี่ย!! ตั้งแต่คบกันมานะ พี่แกเคยพาพวกไปเลี้ยงแค่ครั้งเดียวเอง แถมเลี้ยงไดโดมอนอะด้วย ไอ้ที่มันคนละ 99 อะ คุ้มแกซิงานนี้ แล้วแบบว่าโค้กนี่นะ สั่งแบบเติม 2 แก้ว แล้วมารินเติมกันอะ กูโคตรอายเลย หน้าตาก็ดีนะ แต่งกนี้นะ ชาตินี่ก็หาแฟนไม่ได้หว่ะ” มันพูดซะผมไม่อยากนึกภาพเลย

“ทำไมเหรอ งกแล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ !!” อยู่ๆ คุณพี่คนที่ไอ้น้ำกะลังกัดอยู่ก็เปิดประตูห้องน้ำมาเฉยเลย (โอ้ !! สูตรสำเร็จจริงๆ)

“อ้าว พี่รัญ กลับมานานแล้วเหรอ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย ” ไอ้เจ้าน้ำทักทายหน้าชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เออ.. ก็พึ่งกลับมาแหละ ทันได้ยิน ไอ้หมาตัวไหนมันลอบกัดอยู่ละเฟ้ย !! ” อู้ ย เจ็บแสบ ผมหัวเราะพลางหันไปหาพี่เค้า พี่เค้าหน้าตาดีจริงๆแหละ ตี๋ๆตามสไตร์คน”งก” (ไม่ได้ว่าใครนะครับ)

“สวัสดีคับพี่ – รัญ --” พี่เค้ารับไหว้ แล้วหันมาบอกผม

“อย่าไปฟังอะไรไอ้นี้มันมากนะน้อง ไอ้เนี้ยตัวขี้อำเลย ”

“ยังไม่ใครกลับมาเลยเหรอ ” พี่รัญ ถาม

“คับพี่ พี่โอ กับพี่เต้ก็ยังไม่กลับ สงสัยไปต่อไหนกันมั้ง ไอ้เป้กไปดูหนังกะเพื่อนอะคับ” นี่คงจะเป็นสมาชิกที่เหลือที่น้ำยังไม่ได้แนะนำ

“ไม่มีใครอยู่หอนี้เลยเหรอ ????????? ” ผมโพล่งออกมา

ก็เออดิ ก็นอกจากเรากะนาย ขึ้นไปข้างบนเมื่อกี้ ก็ยังไม่มีใครกลับมาเลย …. มีไรเหรอ?” ไอ้น้ำบอกทำท่าสงสัย

“อ้าว….แล้วเมื่อกี้ …. …..ใคร??” ผมเริ่มสงสัย

“ใคร อะไรเหรอ?” คราวนี้เป็นพี่รัญถามผม

“ปะ ปล่าวคับพี่ ไม่มีไรหรอก งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะคับ พี่ใช้เสร็จแล้วใช่ป่ะ” ผมเลี่ยงที่จะตอบ แล้วเดินขึ้นไปข้างบน แต่ก่อนจะเข้าห้อง ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองห้องเจ้าปัญหาที่ผมได้ยินเสียง

“เฮ้ย !! คิดมากไปได้ ผีไม่มีในโลกนี้ ซะหน่อย ” ผมปลอบใจตัวเอง เพียงหวังว่าผมจะได้ไม่ต้องยุ่งยากที่จะต้องหาหอใหม่ซะตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดเทอม เพราะโดนผีหลอก!!



<จบตอนแรก>
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 15-11-2006 09:48:45
แทงยู ค้าาาบบบบบ บลู

มาปาด ยังไม่ได้อ่าน งานเยอะมั้กมัก

ไม่ได้คุยโทรศัพท์กะใครหนา


พูห์ :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: momoki ที่ 15-11-2006 13:41:43
ขอบคุณ คร้าบป๋ม คุณ บลู :monkeylove2:

เรื่องนี้ คุ้นหง่ะ :try2: เหมือนเคยอ่านที่ไหน

บาส กะรัญ...แต่จำไม่ได้แหละ(จำเนื้อเรื่องไม่ได้ด้วยแต่มานคุ้นๆอิอิ) :monkeysad:

มาต่อด้วยนะคร้าบป๋ม :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 15-11-2006 15:23:03
ลืมอ่านไปเลย

5555


เรื่องน่ารักดีครับ


ขอบคุณที่เอามาลงให้ครับบลู


พูห์ :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-11-2006 17:01:47
อิอิ  รออ่านอยู่คะ  น่ารักดี  ดีใจจัง  คิดถึงเรื่องนี้มาก  ๆ เลยอะ  อยากอ่านอะไรก็ได้ที่มาจากคุณ staying power อะคะ

ขอบคุณคุณบลูน้า ดีจาย  :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-11-2006 17:22:44
อ่านจบแล้วคิดว่ายังไงคับ ... ห่วยใช่ม่ะคับ 555 ผมกลับไปอ่านก็รู้สึกแบบนั้น หลายๆคน
อาจจะงงว่า เออ ผมเขียนตอนนี้เป็นตอนแรกเหรอวะ ? (//รีบกลับไปอ่านตอนแรกอย่าง
ด่วน) อันนี้เป็นตอนแรกที่ผมเขียนลงไปในเว็บที่ชื่อ บอยออนเดอะเน็ท ครับ เหมือนอย่าง
ที่หลายๆคนได้บอกไว้ว่าเคยอ่านเรื่องประมาณนี้จากไหนน้า ... เพื่อนๆหลายคนก็จำได้คับ
ก็ตามมาอ่านกัน (ตอนรู้ว่ามีคนตามมาอ่านนี่ อารมณ์เหมือนได้พบเพื่อนเก่า)
ช่วงนั้นพวกฟิกเกอร์ หรือว่าเรื่องสั้น ผมก็จะอ่านจากเว็บนี้เว็บเดียวคับ ส่วนเว็บปาล์มนั้น
ผมเข้ามาดูแต่เรื่องอย่างว่าเท่านั้น !!! (คุณซาตานอย่าว่าผมนะ) ลงไปตอนแรก พรึบ.....
ไม่มีคนมาคอมเม้นแม้แต่คนเดียวคับ 555 แต่ก็ไม่ได้อะไรคับ เพราะว่า เว็บนั้นจะมีคล้ายๆ
กับเค้าเตอร์บอกไว้ด้วย ว่ามีจำนวนคนมาอ่านแล้วเท่าไร พอเห็นตัวเลขว่ามีคนมาอ่านอยู่
บ้าง ก็พอจะมีกำลังใจหน่อยๆ ตอนที่ 2 ที่ 3 จึงเกิดขึ้นมา .........

ผมเขียนบ้านพักอลเวงมาได้เกือบเรียนจบมั้ง มีหลายภาคอยู่เหมือนกัน (หลายๆคนอาจคิดว่า
จะซอยภาคยิกๆทำไม เอ็งได้แรงบันดาลใจมาจากสตาร์วอร์เรอะ คำตอบคือ ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน
หุหุ รู้แต่ว่ามีหลายภาคแล้วเท่ห์ดี อิอิ ) จนในที่สุดอยู่ๆเว็บก็ทำการหยุดไปซะดื้อๆ หยุดในที่นี้
คือผมส่งต้นฉบับไป แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย แล้วพักใหญ่ๆ เว็บก็เปลี่ยนรูปแบบไป
เป็นอีกอย่างนึง ..... บ้านพักฯก็เลยปิดลงด้วยประการละฉะนี้แล ถามผมว่าเสียดายมั้ย ต้อง
บอกว่าเสียดายมากกกกกกกกก ตอนนั้นเริ่มมีคนมาแสดงความเห็น มาติติง อะไรบ้างแล้ว
ยิ่งทำให้รู้สึกอยากเขียนเข้าไปใหญ่ (จากเว็บนี้ทำให้ผมรู้จักคนหลายๆคน ซึ่งเป็นเพื่อน
เป็นพี่ เป็นน้อง จนมาถึงทุกวันนี้เลยล่ะ ^^)

เวลาผ่านพ้นไปเกือบปีได้ .... แล้วอยู่ๆ ก็มีคนทักขึ้นมา ทำไมไม่เขียนเรื่องต่ออ่ะ ?

จะให้กูไปเขียนที่ไหนวะ ? ผมตอบกลับไป ตอนนั้นบอกตรงๆ ถ้าเว็บบอยฯมันกลับ
มาให้เขียนได้ ผมก็จะกลับไปเขียนใหม่ แต่ดูเหมือนว่าหัวมันฝืดๆแล้วไงก็ไม่รู้

อ้าว เว็บเกย์มีตั้งเยอะแยะ ไม่ลองลงดูอ่ะ

ไม่รู้ดิ ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่เลย ผมว่า

ตอนนี้เห็นในปาล์มก็มีคนเขียนเรื่องลงอยู่นี่หว่า ไม่ลองเขียนดูอ่ะ เพื่อนผมบอก

เฮ้ย ปาล์มเนี่ยนะ ผมถาม คืออารมณ์นั้นประมาณว่า แม้แต่กระทู้ซักทู้ คอมเม้นซักอัน
ผมก็ไม่เคยโพสลงไปแม้แต่นิด เพราะอะไรเหรอ เพราะว่ากลัวอะดิครับ ตอนนั้นปาล์ม
ยังไม่ได้ขึ้นมาบนดินเหมือนตอนนี้ แถมถ้าจะให้พูดตรงๆเลย คือ เว็บเก่าที่ผมลง คือมี
คนมาอ่านไม่ได้เยอะอะไรมาก ถ้าเข้าใจอารมณ์คือ เหมือนเพื่อนๆมาอ่าน มาเล่าให้ฟัง
กันมากกว่า คนหมู่น้อยอ่าน โอกาสเสี่ยงที่จะโดนด่า และก็วิพากษ์มันมีน้อยกว่าไงครับ ..

สำหรับปาล์มฯความกว้างใหญ่ของผู้คนที่จะได้เข้ามาอ่านก็เหมือนกับพันทิปอ่ะคับ

กลัวที่จะพอโพสไปแล้ว เค้าจะมาถามว่า เอ็งมาเขียนไรเหรอ ? กลัวนั่นกลัวนี่ กลัวที่จะไม่มี
คนอ่าน ที่สำคัญคือ ผมกลัวเขียนไม่จบ (ฮา) แต่จริงๆม่ะขำนะครับ กลัวแบบนั้นจริงๆ ...
เพราะบ้านพักฯเก่าที่เคยเขียน ผมก็เขียนยังไม่จบ (จริงๆคือยังไม่รู้จะจบแบบไหนด้วย) ที่สำคัญ
คือ บ้านพักฯที่ผมเขียนในเว็บเก่า ลงเดือนล่ะสองตอนคับ -_-‘’ บางตอนลงเดือนล่ะครั้ง
และนานสุด 3 เดือนครั้ง.... ฉะนั้น ผมจะมาลงแบบนั้นในบอร์ดปาล์มไม่ได้แน่ๆ จริงมั้ย...?

เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็เลย

เอาไว้กูพร้อมก่อนแล้วค่อยเขียนล่ะกัน ผมบอกมันไปแบบนั้น .....ผ่านไปเกือบปี แล้วก็มา
ถึงวันนั้นของเดือน - - ปีที่แล้วนั่นเอง ช่วงที่ผมว่างๆไม่มีอะไรจะทำ (แต่ตอนนั้นทำงานแล้วนะ)
ต้นเดือนธันวาฯ ความคิดที่อยากจะเขียนอะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมา แล้วในที่สุด บ้านพักอลเวง
ก็ได้ฤกษ์ลงตอนแรกในเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ได้อ่านกันในวันที่ 7 ธันวาคม คับ ^^...... ถึงวันนี้
ก็เกือบ 10 เดือนเต็มๆแล้วกับ 5 ภาค บางภาคสั้น บางภาคยาว แล้วก็อารมณ์จริงๆ 55 แต่จน
แล้วจนรอด หลังจากไม่เคยคิดว่าจะเขียนยังไง แล้วจะจบยังไงในวันนั้นเมื่อสามปีก่อน ...
ในที่สุดก็มีวันนี้ ทำสำเร็จจนด้ายยย...

//กุมมือ ทำท่าชูกำปั้น ประหนึ่งยืนอยู่เหนือยอดเขาเอเวอร์เรส

.

.

เบื้องหลังงานเขียนหกสิบกว่าตอนตลอด 5 ภาค ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา เหมือนจะนานจิงๆคับ
ทุกตอนเหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้ว่า ต้องเจ็ดหน้ากระดาษเอสี่ขึ้นนะเมิง แถมตัวต้องขนาด 14
ด้วยอ่ะ ..... มันจะยาวไปมั้ยยย แล้วจะยาวอะไรกันมากมาย ?! (อันนี้ถามตัวเอง) หลังจากโพส
ลงไปเรียบร้อยแล้ว พอมีคนทักเข้ามา อ่านจบแล้วอ่ะ เมื่อไรจะมาต่อตอนต่อไป

ตูจะบ้าตาย เขียนเกือบสามสี่ชม. มานอ่านสิบนาทีจบ .......

หดหู่เหลือออเกินนนน แต่จริงๆแล้วก็ดีใจเพราะว่ามีคนอ่าน แล้วก็อยากอ่านต่อ หุหุ
เพราะถ้ามานทักประมาณว่า ยาวหว่ะ ม่ะไรจะจบวะ กูคงเศร้าพิลึก (ตกลงมึงเอาไว้แน่)

ถ้าจำได้ ในตอนแรกๆ ผมเคยบอกไว้ว่า จะโพสวันล่ะตอน วันเว้นวัน แล้วจากนั้นมาก็
วันเว้นสามวัน จนอาทิตย์ล่ะตอน ถึงขนาดว่าเดือนล่ะตอนเกือบจะเคยเลย ช่วงนั้นจะ
ต้องพูดว่า งานหนักจริงๆคับ ไหนจะต้องเล่นเอ็มฯ ดูทีวี เล่นเกมส์ ไปเที่ยวกับเพื่อน
ดูหนัง เว้ยยยยย.... หมายถึงงานที่ทำมันหนักจริงๆนะ แฮะๆ แล้วอยู่ๆยังกระสันอยาก
เรียนต่อขึ้นมาซะงั้น ทำให้มีภาระเป็นเท่าตัวกันเลยทีเดียว ..... แต่มันก็รอดมาได้จนถึง
ป่านนี้ หุหุ

มีคนถามผมว่า เขียนเรื่องยากมั้ย ... ไม่เบื่อเหรอ เขียนแล้วได้ไร ? อยากเป็นนักเขียน
เหรอ ? อะไรเทือกนี้

เขียนยากคับ เบื่อ แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นนักเขียนด้วยอ่ะ - - แต่เพราะว่าอยากเขียนก็เลยเขียน
ผมก็บอกไปแบบนี้ ดูเหมือนตอบแบบให้ดูติสส์ๆ แต่จริงๆคือกูไม่รู้จะตอบอะไรต่างหาก
เพราะทุกครั้งที่เขียนไปแล้ว มีคนตอบโน่นตอบนี่ มีคนมาคุยในทู้ มีคนมาให้กำลังใจ ...
ผมว่าทุกคนล่ะ คนที่เขียนเรื่องทุกคน จะรู้สึกว่า โอ้ว....นี่ล่ะ คือผลที่ได้จากที่ลำบากลำบน
เขียนมาให้อ่านนี่ล่ะ แล้วยังจะคนที่ไม่ได้เข้ามาคุยอีกล่ะ (อันนี้พูดแบบเข้าข้างตัวเองว่าคง
พอจะมีคนอ่านบ้างอ่ะ) แค่นี้ก็มีกำลังใจจะเขียน อยากจะเล่าแล้วคับ

แรงบันดาลใจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมสามารถที่จะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบได้ครับ
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเนื้อหา มุกต่างๆ บรรยากาศหลายๆอย่าง ล้วนแล้วแต่หยิบจับมาใส่ให้เข้า
กับเรื่องราวทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดขาดไม่ได้ครับ ถ้าใครได้เคยอ่านการ์ตูนของอาจารย์อาดาจิ
ผู้เขียน H2, Touch คงจะคุ้นๆกับฉากที่จะเหมือนกำลังจะสื่ออะไรบางอย่าง
ออกไป แล้วอยู่ภาพก็ต้องฉับออกไปเลย ทิ้งประเด็นให้คนอ่านคิดตาม .... ซึ่งสิ่งเหล่านั้น
ผมได้มาจากอาจารย์เต็มๆเลยคับ - - (ถึงแม้ว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไรก็เหอะนะ)

แล้วคุณๆอ่ะ ไม่คิดจะลองเขียนเรื่องของตัวเองซักตั้งเหรอคับ ? แล้วจะรู้.....หึหึ (หัวเราะเหมือนประชด
ไงม่ะรู้วุ้ย)

โดย staying power
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-11-2006 17:29:51
ถ้าเพื่อนอยากอ่านกันต้องอ้อนวอนคุณ staying power แล้วหล่ะ
ผมเคยอ่านนานมาแล้ว และไม่รู้ว่าจบหรือป่าว
ผมก็อยากอ่านอีกรอบมาก ไม่ได้เก็บไว้ด้วยจิ

เมื่อวานผมก็เห็นแวะมาด้วยครับ
************************************************************************************

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังบ้านพักฯ
1. บ้านพักอลเวง ถูกเขียนมาครั้งแรกสุดเมื่อ สามปีที่แล้ว โดยคอนเซ็ปของเรื่อง มีทั้งที่คล้ายและ
ไม่คล้ายกับบ้านพักฯที่เขียนมาใหม่ครั้งนี้เลย

2. ชื่อตัวเอกทั้ง 2 ฉบับไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

3. ตอนที่นำกลับมารีเมคใหม่ทั้งหมด (เปลี่ยนแค่ชื่อตัวตัวเอก) คือภาค 2 Diary is ... ส่วนภาค
ที่เขียนในเว็บเดิมชื่อภาค The classic

4. ภาค the classic ในเว็บเดิม ได้รับแรงบันดาลใจมากจากภาพยนตร์เรื่อง The classic
คนแรกของหัวใจ...คนสุดท้ายของชีวิต และเป็นที่มาของเพลง Canon in d

5. the series ไม่ได้เป็นชื่อภาคของ บ้านพักอลเวง ภาคแรก เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออะไรเท่านั้นเอง
- -‘’

6. ชื่อ บ้านพักอลเวง นำมาจากชื่อการ์ตูนเรื่อง Love Hina บ้านพักอลเวง แต่เรื่องราวข้างใน
ไม่ได้เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว

7. ชื่อ ภาค 2 ไดอารี่ อิส.. ซึ่งเป็นเรื่องราวของโอ้ต นำชื่อมาจากเว็บไซต์ไดอารี่ออนไลน์ของน้องฮันต์
Diaryis.com

8. ชื่อภาค 3 รักหายไปแต่หัวใจยังอยู่ ได้ชื่อมาจากหนังสือของคุณดอกไม้สีขาว (ผมไม่ได้อ่านหนังสือ
แต่พอได้เห็นชื่อแล้ว มันจี๊ดดี)

9. ชื่อภาค 4 คิมหันต์ นิรันดร ......... ไม่บอก ความลับ 5555

10. ชื่อภาค 5 Seasons Change ฤดูที่แตกต่าง นำมาจากเพลงของคุณบอย โกสิยพงษ์ แถมเพลง
ประกอบก็นำเพลงของคุณบอยมาด้วยเช่นกันคับ (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เรื่อง เพราะอากาศเปลี่ยน
แปลงบ่อยของ gth กำลังจะฉายพอดี อิงกระแสซ้า)

11. บ้านพักฯฉบับปาล์มลงตอนแรกในวัน พุธที่ 7 ธันวาคม 2548 และตอนจบ วันอังคารที่ 31 ตุลาคม
2549

12. บุคคลที่กล่าวในเรื่อง มีตัวตนจริงกว่า 80% แต่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้

13. เนื้อเรื่องในบ้านพักฯฉบับปาล์ม มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง

14. เหตุการณ์ฆาตรกรรมบนเกาะพะงัน ไม่ใช่เหตุการณ์จริง (เชื่อมั้ย?)

15. เพจเจอร์ของโอ้ตเป็นยี่ห้อ Paclink และเบอร์เพจเจอร์เคยมีเป็นเบอร์ที่มีอยู่จริง
(แต่ป่านนี้คงตัดไปนานชาติแล้ว)

16. ไดอารี่ที่โอ้ตฝากไว้กับปริ้นเป็นไดอารี่เล่มเดียวกันกับที่เขียนไว้ในภาค 2

17. ชื่อตัวเอกของเรื่องจริงแล้วต้องสะกดว่า ปริ้นซ์ – prince = เจ้าชาย

18. รถโดยสารประจำทางที่ปริ้นกับโอ้ตนั่งมาเรียนจากชะอำเข้ามาในเมือง จะเป็นรถ
สายยาวที่แล่นระหว่างกทม ประจวบ หรืออาจจะเป็น หัวหิน ราชบุรี อะไรเทือกนี้

19. รถกระบะที่โอ้ตขับประสบอุบัติเหตุในภาค 1 เป็นมิซซูฯ รุ่นสตราด้า ซิงเกอแค็ปฯ

.
.
.
.
โปรดติดตาม เบื้องหลังบ้านพักอลเวงตอนที่ 2 (ผู้รับบทบาท&สถานที่ถ่ายทำ)
ตอนต่อไป --------------------------------->

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-11-2006 23:04:51
 :yeb:  ขอบคุณคุณบลูมากมาย รู้ป่าวตะแน๋วไม่เคยอ่านเรื่องแนวนี้เลย พึ่งมาได้รู้จักที่เล้านี้แหล่ะ :kikkik:



จากที่อ่านๆมาคุณstayingpower มีพัฒนาการการเขียนดีขึ้นนะ ม่าได้ชมอาวใจครายนะ
เป็นนักวิจารณ์ใครๆก็ทำได้ ถ้าเป็นคนละเอียด รู้จักช่างสังเกตุ

แต่การเป็นนักเขียนนี่สิยากยิ่งกว่า เพราะถ้าไม่มีฐานข้อมูลเค้าโครงเรื่องละก็ยากมาก
เพราะงานเขียนที่ดีนั้นต้องบรรยาย หรือเล่าเรื่องจากตัวอักษรให้ออกมาเป็นภาพ
ให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วมและคล้อยตามไปกับผู้เขียน หรือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อ

ตะแน๋วว่าคุณstayingpowerทำได้ดีเรยทีเดียว
นี่ขนาดยังไม่ได้อยากเป็นนักเขียนนะเนี่ย ยังทำได้ดีขนาดนี้
ตะแน๋วว่ามันออกมาจากความเป็นธรรมชาติมั้ง
ไม่ได้ใช้คำหรู วิจิตรพิสดารอะไรมาก อ่านแล้วเข้าใจง่าย
แต่คำเฟ้อเยอะปายนิดส์นะ

แนวของคุณstaying power ตะแน๋วว่าประมาณพล็อทหนังนะ
ถ้าทำเป็นหนังคงจะเหมาะ
ว่าแล้วก็อยากดู เรย์เป็นนายทุนให้หน่อยจิ  :impress:






หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-11-2006 18:55:36
ผู้รับบท(จิ้นเอาเองแต่ผู้เดียวในประเทศไทย)
.
.

มีช่วงที่ผมลงเรื่องใหม่ๆ จะสังเกตได้ว่า จะพยายามเขียนต่อท้ายไว้เสมอว่า บุคคลที่เอารูปมาลงม่ะได้
เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใด แต่ก็มีเพื่อนๆบางคนเข้าใจผิด คิดว่าผมช่างกล้าเอารูปมาลงซะงั้น
โหย ผมอ่ะปลื้มไปสามคืนแต่ก็ต้องรีบมาไขข้อข้องใจอยู่เนืองๆ หุหุ
(เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา)

(http://stayingpower.exteen.com/images/a1.jpg)
.

.



.

.

ปริ้นซ์ -------> แชมป์ วศิษฏ์ ผ่องโสภา
ถ้าจะบอกว่าคนที่ผมนึกถึงหลังจากที่มาเขียนบ้านพักฯในเวอร์ชั่นบอร์ดปาล์มแล้ว ผมก็ไม่เคย
คิดถึงคนอื่นเลยนอกจากน้องแชมป์คนนี้คับ ออกจาปลื้มมากมาย แล้วก็ตลอดเวลา 5 ภาคที่ผ่าน
มา เวลาผมเขียนทุกครั้งไอ้แชมป์เป็นคนเดียวที่ถูกวางตัวให้เป็นปริ้นตลอดมา ไม่เคยเปลี่ยนเป็น
คนอื่นเลยจริงๆคับ (อีกอย่างไม่ดันน้องโรงเรียนตัวเอง แล้วจะดันใคร ถึงแม้จะโดนแซวว่าโง่ แล้วก็ทำตัว
ไม่ค่อยดีก็เหอะ หุหุ)

.

.


โค้ก ----------> ??? (เด็กตปท.)
ร่าเริง มองโลกในแง่ดี แล้วก็จิตใจมั่นคง ตาแป๋ว ยิ้มง่าย แล้วจะหาบุคลิกแบบไอ้โค้กได้ที่ไหน(วะ)
แต่ก็ดูเหมือนจะหาไม่ยากเหมือนที่คิด เพราะอยู่ๆหนุ่มผู้มาจากประเทศบลาๆๆ(จำชื่อม่ะได้ว่าอะไร
ประเทศอะไร) ก็ดูเหมือนจะเหมาะเหม็งซะจริงๆ แถมยังเป็นถึง เน็ตไอดอลซะด้วย ทำให้หารูปต่างๆ
ได้ไม่อยากเย็นอะไรนัก ทำให้คนที่มารับบทไอ้โค้กนี้เป็นไปได้ตามที่คาดหวังไว้พอสมควร
.

.

โอ้ต ----------> ???
โอ้ตเป็นตัวนึงที่เปลี่ยน(รูป)มาแล้วหลายคนเหมือนกันคับ จนมาเจอะเอาเข้ากับหนุ่มน้อยคนนี้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นครายยยย ... หลายคนคงจะมีภาพของโอ้ตในความคิดของตัวเองอยู่แล้ว บุคลิก
ของโอ้ตที่มีในเรื่อง จึงทำให้ผมต้องพบอุปสรรคในการหาต้นแบบซะจริงๆ -_-‘’
.

.


นิค -------------> ???
ถ้าสังเกตดีๆ บุคลิกของนิคกะคิว จะดูคล้ายๆกันมาก (นั่นคือออกจะเถื่อนๆเหมือนกัน) ขี้เล่น
เป็นกันเอง สุดท้ายก็ลองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วก็คว้ามาได้อีก 1 หนุ่ม ซึ่งผมก็ไม่รู้จักว่าเป็นใคร
แต่เห็นว่าน่ารัก น่าถีบดี บทของนิค ก็คงโอฯล่ะ
.

.

ซัง --------------> ว่าน รัชชุ สุระจำรัส
โอ้ววว... พระเจ้าจอร์จ หลังจากที่ผมงมมานาน จนมาได้ดูหนังเรื่อง ซีซั่นเช้น ซัง หนุ่มน้อยที่แสนดี
ดูดี มีมารยาท ใส่เหล็กดัดฟัน หัวเกรียนๆ ตี๋ๆ ขาวๆ ไม่หล่อมากแต่ก็มีเสน่ห์ ก็เจอจนได้ แทบเหมือน
กับจะแกะบล็อกออกมาเลยทีเดียว น้องว่าน เด็กม.5 นักบาสฯโรงเรียนสาธิตปทุมวันคนนี้นี่เองงงงงงง
เลยได้ใจผมไปเต็มๆ
.

.

คิว --------------> ???
เน็ตไอดอลอีกคนที่หามาได้หลังจากที่ได้น้องว่านมารับบทซัง และก็เป็นบุคคลที่หารูปได้ยาก
อีกเช่นกัน จนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบ (จนบัดนี้จะยังไม่ค่อยพอใจ) ในที่สุด ก็มาลงท้าย
ที่หนุ่มน้อยคนนี้ ที่ดูท่าทางก็ไม่ได้เถื่อนอะไรมากเท่าที่คิด (เอาน่า แพ้ความหล่อ กร๊ากกก)

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-11-2006 19:18:19
สถานที่ถ่ายทำ
.

.

บ้านพักฯทั้ง 5 ภาค มีเหตุให้ต้องตระเวนไปหลายที่ในประเทศไทยเอามากๆเลยคับ ถ้าจะลอง
แจกแจงดู แทบจะไม่อยากเขียนกันเลยทีเดียว -_-‘’ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อนะครับ ไม่ได้มีเจตนา
จะลบหลู่หรือสร้างความเสียดายแต่อย่างใด)
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb11.jpg)โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ถึงแม้ว่า จะไม่มีในส่วนของเรื่องที่เล่าละเอียดในช่วงที่เรียนที่สวนฯ แต่ก็มีหลายฉากที่อยากจะ
เขียนถึงเหมือนกัน
.

.

โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี
ในช่วงภาคแรกๆ นับว่า เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายกันเลย
ทีเดียว (ทำให้ผมรู้ว่ามีเด็กพบ.เล่นปาล์มกันอยู่หลายคนกันเลยทีเดียวเชียว) พรหมาฯต่างจาก
สวนฯคงตรงที่ช่วงม ปลาย จะเปลี่ยนเป็นสห. ส่วนสวนฯจะเป็นชายล้วนตลอด 6 ปี
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb1.jpg)
พระนครคีรี จ. เพชรบุรี
ฉากบนเขาวัง มีหลายฉากที่ผมอยากเขียนให้เยอะมากกว่านี้ด้วยอ่ะ เพียงแต่ว่า ไปยืดส่วนอื่นๆ
มากไปหน่อย ทำให้ต้องลดฉากบนนี้ไปเยอะเหมือนกัน ส่วนฉากที่ประทับใจที่เขียนเอาไว้
คงจะเป็นตอนท้ายๆของภาค 4 ที่ปริ้นกับโค้กขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นด้วยกัน ใครมีโอกาสได้
ไปนั่งบนนั่น(เจดีย์ขาว) กันสองต่อสอง อย่าลืมมาเล่าให้ฟังบ้างนะคับ ^^

.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb3.jpg)
หาดชะอำ
อันนี้ไม่ต้องพูดถึง รู้จักกันเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าตอนนี้น้ำจะดำไปมากอยู่ แต่ก็ยังเป็นสถานที่ที่
น่าจะเก็บไว้เป็นความทรงจำได้ตลอดจริงๆ
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb9.jpg)
ถ้ำพระยานคร จ.ประจวบคีรีขันธ์
ถ้าจำได้ ช่วงที่โอ้ตกับปิงไปเข้าค่ายกัน สถานที่ที่เอ่ยถึงก็คือที่แห่งนี้ล่ะครับ ถ้าใครได้มีโอกาสไป
ก็คงจะต้องประทับใจ หันไปด้านหน้าคือทะเล หันไปด้านหลังเป็นภูเขา สุดยอดดดด
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb2.jpg)
พระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก
แน่นอน ฉากที่ลืมไม่ได้ ก็คือช่วงที่โอ้ตกับปิงเดินทางไปเที่ยวกันที่ภาคเหนือ ระหว่างทาง
ก็ไปไหว้พระพุทธชินราชกันที่พิษณุโลก สวยงามจริงๆครับ
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb10.jpg)สะพานนวรัตน์ จ.เชียงใหม่
ใครที่ผ่านภาค 2 มาแล้ว คงจะลืมแม่น้ำที่ปิงเคยบอกกับโอ้ตไว้ว่า จะมาชื่นชมด้วยกัน
ได้ใช่มั้ยคับ ....
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb5.jpg)เกาะพะงัน จ.สุราษธานี
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไปเหนือจรดใต้กันเลยทีเดียว เกาะพะงัน ขึ้นชื่อว่าสวยติดอันดับต้นๆ
ของเมืองไทย แล้วก็น่าเที่ยวมากครับ (แต่ไม่ได้มีฆ่าอะไรกันจริงๆหรอกนะ)
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb4.jpg)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งแรกที่ปริ้น(ในเรื่อง) ได้เข้าไปรู้จักกับตัวเอกอีกคนของเรื่อง
แม้จะไม่ได้กล่าวถึงมากเท่าไร แต่ก็ถือเป็นสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำครับ
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb7.jpg)
พระตรีมูรติ เซนทรัลเวิร์ล
ต้องบอกว่าตั้งแต่ตอนเป็นเวิร์ลเทรดถึงจะถูก เป็นสถานที่คลาสิกจริงๆของคนเขียนที่แม้ว่าจะเขียน
บ้านพักฯฉบับเก่า มายังฉบับใหม่ ก็ต้องมีสถานที่นี้อยู่ด้วยทุกที เฮ้ออออ...... (จะถอนหายใจทำมายย)
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/bb6.jpg)ท่าช้าง
ออกมาตอนไหนจำกันได้เหรอเป่าคับ ก็ตอนลอยกระทงในภาคจบไงคับ บรรยากาศโคตรจะโรแมนติก
แต่ดันบรรยายซะน้อยเชียว หุหุ

.

.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ออกมาทั้งภาค 4 และภาค 5 แถมยังเป็นตอนจบของซีรีย์อีกตะหาก แม้จะไม่ได้เขียนอะไรในเชิงลึก
แต่ก็มีความทรงจำที่ดีมากมายที่นี่ (โดยเฉพาะตอนมาดูผลเอนฯ)

ข้อมูลเสริม ฉากจบ....

(http://stayingpower.exteen.com/images/ku1.jpg)
อาคารสารนิเทศ
ฉากจบของเรื่องบ้านพักอลเวง จะเป็นภาพเขียนลายเส้นของตึกสารนิเทศ 50 ปี เป็นอาคารสูง 10 ชั้น ที่ จัดสร้าง
ขึ้นในวาระครบรอบ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นั่นเองงงง (ใครทายถูกกันบ้างเอ่ย หุหุ)
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/ku2.jpg)ศาลาหกเหลี่ยม
ฉากก่อนจบที่ปริ้นรอไอ้โค้กก่อนจะเข้าไปมหาวิทยาลัยพร้อมกัน อยู่ทางด้านประตูฝั่งพหลโยธิน
ของมหาวิทยาลัยคับ
.

.

(http://stayingpower.exteen.com/images/ku3.jpg)
ต้นไม้ที่ยืนเรียงกันอยู่ตามถนนที่ปริ้นไล่เตะไอ้โค้กไปนั่น แทบจะต้องบอกว่า เป็นฉากที่เซตขึ้นมา
โดยไม่ได้มีอยู่ในเกษตรฯบางเขนจริงๆ แต่ผมกลับนึกถึงบรรยากาศของถนนที่มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์
อยู่เป็นแบ็คกราวมากกว่า บรรยากาศที่ได้เลยออกมาเป็นที่เกษตรฯเหมือนกัน แต่เป็นในวิทยาเขต
กำแพงแสนตะหาก (มั่วซะงั้น)


.

.

.

โปรดติดตาม เบื้องหลังบ้านพักอลเวง (ตอนจบ)
ตอนต่อไป -------------------->

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 17-11-2006 10:38:07
อิอิอิอิ

ขอเจือกนิดหนึ่งนะครับ :kikkik:


รูปท่าช้างที่เอามาลง ไม่ใช่นะครับ เป็นท่าราชวรดิษฐ์นะครับ :yeb:


แหะแหะ ตรูจะโดนมั้ยเนี้ยะ


ไปละ



ฟิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว




พุห์ :teach:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-11-2006 13:49:09
อืม  จำถ้ำพระยานครกับเขาวังได้คะ  เคยไปเที่ยวอยู่   สวยมาก ๆ เลย ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอยู่  นึกอยู่ว่าสถานที่ที่พูดถึงน่าจะเป็นที่นี่  แต่ว่าเขาวังนี่มันต้องขึ้นรถรางไฟฟ้าไปนี่นา  แต่ว่าปริ้นกับโค้กเดินขึ้นไปอะ  ทำได้ไงอะ  หรือว่ามันมีทางอื่นหว่า  :untrust: 

สำหรับถ้ำพระยานคร  อิอิ  สวยมาก  แต่ก็เหนื่อยโครต ๆ ๆๆๆ เลย  แทบลากเลือดกว่าจะขึ้นไปถึง  โทรมเลย  แต่คุ้มค่ามาก ถ้ำสวยเชียวคะ   อยากอ่านต่อจังเบื้องหลัง   แล้วก็อยากอ่านต่ออีกละ  อะไรก็ได้ที่มาจากคุณ staying power อะ  อยากอ่านต่อมากเลย  :impress:

ขอบคุณเรย์น้า เอามาลงให้  :monkeylove2: 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-11-2006 19:04:23
(http://www.promma.ac.th/news/9June2006_files/tn_DSC08648.jpg)
(http://www.promma.ac.th/news/open_sportday_files/lnDSC09384.jpg)
โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี
ในช่วงภาคแรกๆ นับว่า เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายกันเลย
ทีเดียว (ทำให้ผมรู้ว่ามีเด็กพบ.เล่นปาล์มกันอยู่หลายคนกันเลยทีเดียวเชียว) พรหมาฯต่างจาก
สวนฯคงตรงที่ช่วงม ปลาย จะเปลี่ยนเป็นสห. ส่วนสวนฯจะเป็นชายล้วนตลอด 6 ปี



(http://www.nairobroo.com/images/province/bangkok/20060122_three_palace10.jpg)
(http://www.bangkokfocus.com/bkkfocus/photo_wat/ele_b2.jpg)ท่าช้าง
ออกมาตอนไหนจำกันได้เหรอเป่าคับ ก็ตอนลอยกระทงในภาคจบไงคับ บรรยากาศโคตรจะโรแมนติก
แต่ดันบรรยายซะน้อยเชียว หุหุ

หมูพูห์ อันนี้ผมก็ไม่แน่จาย อิอิ จำไม่ได้อ่ะมันอยู่ใกล้กันอ่ะป่าว

มูมู่น้อย  เขาวังจริงๆเดินขึ้นไปได้นะครับ แล้วก็บรรยากาศดีกว่าด้วยนะครับ แล้วทางก็ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆเปื่อยๆเด่วก็ถึงครับ







หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 18-11-2006 19:24:33
บลูครับ ท่าราชเดินเลยท่าช้างมาทางท่าเตียนหน่อยหนึ่งครับ ท่าราชเคยใช้เป็นที่แสดงแม่น้ำของแผ่นดินอะครับ

มูมู่ รถรางขึ้นเขาวังอยู่ทางด้านหลังครับ ติดกะถนนเพชรเกษม ส่วนที่ปริ้นกะโค้กเดินขึ้นไปอะ อยู่ทางด้านหน้าเดินขึ้นจากโรงเรียน

พรหมาฯ ครับ ส่วนอีกทางหนึ่งอยู่ด้านหลังเหมือนกัน จะอยู่ตรงวัด วัดไรหวา ขอนึกก่อน จำไม่ได้อะ

เหอเหอ เอาความรู้คืนอาจารย์ไปหมดแล้น :monkeysad:

วัดนี้มีจิตกำสมัยอยุธยาตอนปลายอยู่ในโบสถ์ครับ ทางขึ้นก็เดินสบายๆ ครับ แต่ลิงเยอะโคตร

ถ้าผ่านไปก็ลองแวะไปดูนะครับ

ขอบอกข้างบนสวยมั้กมัก :yeb:


พุห์ :teach:





ปล.

จำชื่อวัดได้แล้น ชื่อวัดเกาะเก้วสุธารามครับ

พูห์ :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-11-2006 21:19:40
เขาวังเดินขึ้นได้ด้วย  ดีจัง  ไว้ไปเที่ยวอีกทีเดินขึ้นดีกว่า  วิวสวยดี  แต่เหมือนร้อนโครต ๆ  ทำไมหมูพูห์บอกว่าเอาความรู้คืนอาจารย์ไปอะ  เราไม่เห็นเคยได้เรียนเลยอะ  หรือตรูเรียนแล้วลืมหว่า เอิ๊กๆ  :try2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-11-2006 08:08:05
แฮะๆ ... คงไม่หายไปไหนหรอกครับ
มีอะไรหลายๆอย่างที่ยังอยากเขียนอยู่
เลยครับ เพียงแต่ว่า บ้านพักฯคงจะต้อง
ขอจบลงแต่เพียงแค่นี้ครับ

จริงๆผมอยากจะขอบคุณเรียงเป็นราย
รีพลายจริงๆครับ แต่ผมไม่มีเวลาเลย
อยากจะขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนึง
ที่ช่วยผลักดัน เป็นกำลังใจให้เสมอมา
ครับ ^^ คงไม่น้อยใจหรือว่าผมเลยนะ
ครับที่ไม่ได้มีโอกาสตอบหลายๆคน

เบื้องหลังบ้านพักตอนสุดท้ายนี้ คงจะ
อยากบอกแต่เพียงแค่นี้ล่ะครับ ^^
ทุกคนตั้งแต่กระทู้แรก จนถึงกระทู้นี้
ขอบคุณนะครับ กับสิ่งดีๆที่ให้ตอบกลับ
มาตลอดเกือบสิบเอ็ดเดือน จุ๊บๆ

โชคดีค๊าบ ^^ แล้วเจอกานเร็วๆนี้คับ..
(http://img213.imageshack.us/img213/3194/holy2qm8un8.jpg)

Preview
สามปีให้หลัง ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ... ผมจำเป็นต้องกลับขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้งนึง
เพื่อเตรียมไปงานรับปริญญาโอ้ต .. ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากกลับไปสถานที่แห่งนี้อีก
เลยจริงๆ - - แต่ยังไง ผมก็ต้องไปไม่งั้นแม่ฉีกอกแน่

และการที่ผมได้กลับมาพบกันกับมันอีกครั้งในคืนวันที่ 25 ธันวานั้นเอง ... มีบางสิ่งบางอย่าง
เกิดขึ้นกับเราทั้งสองคน ......


.

.

.

stp. อันนี้เป็นภาคพิเศษที่ไม่ได้มีพล็อตไว้ตั้งแต่แรกครับ ภาคนี้ ใครเกลียดไอ้โอ้ตละก็
ข้ามโลดดด 5555 แล้วเจอกันกลางเดือนธันวาคมคับ (ไม่ได้อู้นะครับ เพียงแต่ยังไม่ได้
เขียนซักกะตัวเท่านั้นเอง ^^ ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนทุกๆคนที่มีไมตรีกับผมมาตลอดละกาน)

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-11-2006 08:09:34
(http://img293.imageshack.us/img293/316/logo2pb3.jpg)

ปีสุดท้ายของการเรียนในมหา’ลัย เมื่อไอ้ปริ้นซ์ต้องถึงเวลาฝึกงาน แต่ที่ที่ต้องไป
ดันเป็นโรงเรียนมัธยมชายล้วนซะงั้น - -
“ทำไมผมต้องไปฝึกสอนที่โรงเรียนด้วยอ่ะ ผมไม่ได้เรียนครูมานะ จารย์”


“ก็ใครบอกว่าให้คุณไปสอนล่ะ ให้ไปฝึกงานต่างหาก” อาจารย์แอมพูดสวนกลับมาทำเอา
ผมหมดทางรอด ...

.

.

การฝึกงานที่นี่ ทำให้ผมได้รู้จักกับ ไอ้แบงค์ เพื่อนมหาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะ โอ ไอ้เด็กแสบ
ประจำห้อง และ พี่รัญ รุ่นพี่ที่แอบชอบมาโดยตลอด ..... ผมจะทำยังไงดี(วะ)


.

.

.

stp. เรื่องที่คิดว่าจะเขียนใหม่ปีหน้าคับ .... ตัวเอกยังใช้ชื่อเดิมซะงั้น กลิ่นอายก็ยังคงคล้ายๆ
เดิม - - แต่เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นภาคต่อ บ้านพักอลเวงนะครับ ... แล้วเจอกาน ^^

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 19-11-2006 18:01:55
มาปูเสื่อรอคนแรกเลย


พูห์ :teach:


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-11-2006 18:32:58
มาปูเสื่อรอคนที่สอง  อิอิ   อยากอ่านเรื่องปริ้นกับโค้ก  ไม่ก็ปริ้นกับนิคอะ   ไม่ค่อยอยากอ่านเรื่องปริ้นกับโอ๊ตแล้ว  อ่านมาเยอะ  เบื่อโอ๊ตอะ  หุหุ  แต่เขียนอะไรมาก็อ่านอยู่ดี   อยากอ่านอะไรก็ได้ที่มาจากคุณ staying power  บอกอีกที   รอด้วยความหวังต่อปาย  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: balloonza ที่ 21-11-2006 11:55:27
 :yeb:  ยังไงก็รออ่านนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 21-11-2006 16:11:19
 :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2:
 
คุงบลูคับเว้ากันซื่อเนาะ....จาเอาปริ๊นกะโค้ก..เอาโค้กกะปริ๊นคับบบบ
....
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-11-2006 22:21:40
มานั่งรอด้วยคนนะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 22-11-2006 13:26:32
มาปั่นเล่นครับ

เหงยังไม่มาต่อสักที


 :seng2ped:



คงต้องร้องเพลงรอ



หนูบลูค้าบบบบบบ เลิกดูซีรีย์ แล้วมาโป้ดก่อนหนา :monkeysad:



หมูพูห์ :haun3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-11-2006 21:16:10
 :serius2:  นึกว่ามาต่อ อุตส่าห์รีบมา
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 23-11-2006 08:41:19
                  ปริ๊นกะโค้กมีน้อยไปคับ แต่งภาคพิเศษแบบNEVER ENDING  ให้คู่นี้ดีกว่า
                              คนอะไรแอบรักมาได้ตั้ง 3 ปี ไม่รักจริงแล้วจะรียกว่าอะไร
                                  นะคับคุงบลู  นะนะ




เจ้าเก็ทค๊าบ
[/color]
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: aaamat1122 ที่ 23-11-2006 12:13:06
ขอบคุณครับ :impress:
ติดตามมาตลอดครับ  :monkeylove2:
รออ่านอยู่นะครับ :like2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 23-11-2006 13:37:17
 :confuse:    ว้า! ยางม่ายมาอีก
                 อุตส่าห์เข้ามาก่อนเข้าเรียนนะเนี่ยคับ
                         อ้อฝากถามหน่อยคับ :impress:
 :serius2:ภาคคิมหันต์นิรันดร
                       เป็นเรื่องราวโค้กกะปริ๊นแบบเน้นเน้น :laugh:ช่ายมะคับคุงบลู
เจ้าเก็ทค๊าบ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Tantalum ที่ 23-11-2006 18:27:28
อิอิ ระวังนะคับคุณเรย์ แฟนนิยาย จะก่อม็อบประท้วงแล้ว รีบมาต่อด่วน 555+  :haun1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pim ที่ 24-11-2006 21:14:43
อ่านจบแระค่ะ
คุณ st.power เขียนบรรยายความรู้สึกของตัวละครได้ดีมากๆ เลยอะค่ะ
เรานี่เสียน้ำตาไปหลายรอบ  แทบทุก part เลยอะ :monkeysad:

ส่วนตัวเราเชียร์ โอ๊ต ล่ะ  (ก็ชอบโค้กนะ นิสัยน่ารักมากกก)
เพราะ....ไม่รู้สิ รู้สึกว่าปริ้นน่ะ รักโอ๊ตมากกกกกก เกินกว่าจะรักใครได้เท่าแล้ว (คิดเอาเองอะนะ)

 
เป็นเรื่องที่ดีมั่กๆ ค่ะ ไม่ happy ending (ในความรู้สึกเรา) แต่เนื้อเรื่องโดยรวมดี
ผูกความสัมพันธ์กับตัวละครทุกตัวได้เป็นธรรมชาติดีค่ะ
แอบกัวตอนที่มีฆาตกรรมด้วยนะ มันเห็นภาพเลยอะ
วิธีการบรรยายของคุณ st.power ก็เข้าใจง่าย และก็น่าติดตาม เราว่าภาษาคุณดีนะ สื่อสารชัดเจนดี
แต่บางทีแอบงง appearance ตัวละครนิดหน่อย โค้กน่ะ รู้สึกตอนแรกๆ ที่โผล่มาบอกว่าสูงเกิน 180 นิดๆ แต่มีช่วงหลังบอก สูงเกือบ 180 ละ (ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่) ถ้าผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะคะ  :try2:

ความจริงก็แอบชอบ นิคอีกคน(หลายใจ หุหุ) ชอบสไตล์แบบนี้อะ  :myeye:

ไม่อยากให้จบแค่นี้เลย เพราะมันเหมือนอะไรๆ ยังค้างอยู่  แต่ให้จบก็จบค่ะ ไม่งอแง
อืมมม จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 24-11-2006 21:26:24
เข้ามารอภาคพิเศษ  ด้วยคนน่ะ...
ชอบที่ตัวละครหลากหลายมาก   นิสัยที่แต่งต่างกันของตัวละคร  ที่น่ารักทุกแบบเลย 
เรื่องนี้ชอบตัวละครหลายคนมาก   เลือกไม่ค่อยถูกว่าชอบใครมากกว่ากัน 
แต่...อยากให้ตอนพิเศษ ปิดปมเรื่องของนายโอ๊ตน่ะ...ไม่อย่างงั้นมันคาใจยังงัยก็ไม่รู้ เฮ้อ...ว่าเพราะอะไร
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: aaamat1122 ที่ 24-11-2006 21:50:44
 :impress:มายังครับ รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มามะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ผีตาโบ๋ ที่ 24-11-2006 23:11:18
 :try2: :confuse:  แบบว่ายังติดใจเรื่องไดอารี่ที่โอ๊ตฝากไว้อยู่เลยอ่ะ

แบบว่าไม่แอบอ่านอีกสักรอบเหรอ ....... เผื่อจามีไรเพิ่มเติม  :interest: :interest: (แอบลุ้นคู่นี้อยู่)
 :like2: :like2: :like2: :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 24-11-2006 23:23:23
 :confuse:  อะโหยม่ายมีใครชอบคู่ปรินกะโค้ก เหมือน ผมเลยอ่ะ
                                                  :haun5:ไปไหว้ พระตรีมูรติด้วยกันแล้วนา
                                   โห คุงพิมค๊าบเปลี่ยนจายยังทันนะ  5555 :impress:


                                 
เจ้าเก็ทค๊าบบบบบ
[/glow]
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: aaamat1122 ที่ 25-11-2006 21:14:17
 :impress: มาต่อให้ยังครับ
รออยู่นะครับ
มีหลายตอนเลยยังคาใจอยู่ อะครับ
ปริ้นหาเพื่อน รหัสเจอยัง
โอ๊ต เป็นไงต่ออะครับ
มาต่อเร็วๆครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-12-2006 19:02:36
หลังจากทีรอกันมานาน
  :piglove2:

*********************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
*************************************************************************************************************
(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/logoholy.jpg)

"บ้านพักอลเวง. - Holy Night "

บ้านพักอลเวง(ภาคพิเศษ) – HolyNight เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สมาคม
หรือเหตุการณ์จริงแต่ประการใดทั้งสิ้น

.

.

.

1 ธันวาคม 2547


อาจเป็นเพราะอากาศหนาว ... คนเราถึงรู้ซึ้งถึงความโดดเดี่ยว


อาจเป็นเพราะอากาศหนาว ... คนเราถึงต้องคอยหาไออุ่น


อาจเป็นเพราะอากาศหนาว ... คนเราถึงต้องการใครซักคน


และก็คงเป็นเพราะอากาศหนาว ... คนเราถึง - - - เช้ยยยยยย !!


ผมยกมือขึ้นปาดจมูกที่ทำท่าเหมือนน้ำมูกจะไหลออกมา ไอ้โรคภูมิแพ้อากาศที่มักจะกลับมาเยือน
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาที่อากาศเริ่มจะเปลี่ยนของผมทำให้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก


... คงเป็นเพราะเข้าหน้าหนาวมาได้ซักพักแล้วล่ะมั้ง บรรยากาศรอบๆตัวของผมตอนนี้ถึงได้
มืดลงเร็วกว่าปกติ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พึ่งจะทุ่มกว่าเองนี่นา แล้วไอ้พวกเพื่อนบ้า
ทำไมมันไม่รอเลยวะ


“เฮ้ออ ... ” การถอนหายใจมันช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อช่วงนี้
ผมต้องเข้ามาช่วยงานอาจารย์อยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ทุกวี่ทุกวัน คอมฯที่ต้องมาดูแลก็แสนจะ
ห่วยแตก เงินก็ไม่ได้ กลับก็เย็นกว่าชาวบ้านเค้า


“เฮ้ออ ... ”


ลงจากอาคารสารสนเทศ ก็รีบก้าวเท้าอย่างไว ถึงแม้ว่าหอผมจะอยู่แค่ข้ามฝั่งมหาลัยก็เหอะ
แต่อากาศเย็นๆแบบนี้ ก็อยากจะรีบกลับไปหาอะไรร้อนๆกิน แล้วก็รีบเข้าไปขดตัวอยู่ใน
ผ้าห่มเร็วๆ ซะที พอคิดถึงเรื่องนอน ปากก็อ้ากว้างหาวหวอด พลางเอามือยีตา


“หาวจนแมลงวันเข้าไปเป็นสิบตัวแระ” เสียงที่ยินได้แทบจะทุกวันดังลอยมาในระยะใกล้
โค้กมันพูดเสร็จก็เดินมาหยุดตรงหน้าผมพอดี เนื้อตัวดูเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


“มาไงเนี่ย” ผมถาม


“เมื่อกี้นกเดินผ่านสนาม ไม่เห็นปริ้นเดินมาด้วยก็เลยถาม - - ว่าแต่ทำไมวันนี้กลับมืดจัง”
มันพูดเสร็จก็ทำท่าจะดึงเป้ผมไปถือ แต่ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วก็เดินหนี


“เป็นไรอ่ะ” มันทำเป็นวิ่งเหยาะๆตาม


“เปล่า เด๋วเปื้อน” ผมตอบแบบไม่ค่อยพอใจ พลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก


“ยังโกรธเรื่องวันนั้นอยู่อะดิเนี่ย” มันว่า จนผมต้องหันไปมองหน้า


“จะโกรธทำไม เมิงจะทำไรก็ไม่เกี่ยวกะกูอยู่แล้วนิ” ผมว่า


“งั้นก็งอน” มันยังคงเซ้าซี้ต่อ


ผมเบ้หน้า


“ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ - - จะงอนหาพระแสงอะไรวะ” ยิ่งผมว่าไปเท่าไร ดูสีหน้าไอ้โค้กก็ดูมีความสุข
มากยิ่งขึ้น


“เว้ยย... จะให้อธิบายซักกี่ครั้งว้า ก็แค่ไปกินเหล้ากะพวกที่คณะเอง - - แหม่ ก็มันชวนหลายครั้ง
แล้วนี่นา จะไม่ไปก็ ... ”


มันเหล่ตามาดูผมแว่บนึง


“- - ไม่ไปก็ ... ก็ ไม่ดีม๊างง เหะๆ” มันทำท่าเกาหัวเพราะนึกคำแก้ตัวไม่ออก


“เออ .. จะไปก็ม่ะได้ว่าไรนี่หว่า ชีวิตใครชีวิตมัน ” ผมบอกอย่างฉุนๆ


“คนเรามันก็แปลก ชอบแดกจังของที่จะทำให้ตายเร็ว”


“โห ดูพูดเข้า” มันค้อน “ - - รู้น่าว่าเป็นห่วง ”


มันพูดเสร็จก็เอามือมาเกาะที่บ่าแบบดูเชิงว่าผมจะซัดมันเหรอเปล่า


“เรื่องที่ฝึกงานอะว่าไง ” ไอ้โค้กเปลี่ยนเรื่องพูด แต่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่หนักกว่าเก่า


“เฮ้อ ... ยังไม่รู้เลยหว่ะ สงสัยอาจจะต้องไปฝึกที่ใหม่” ผมว่า


“แล้วงี้จะจบทันเพื่อนเหรอ ถ้าต้องไปฝึกอีกเทอมอ่ะ” มันถามเสียงดูกังวลเหมือนกัน


“ไม่รู้ดิ คงแล้วแต่อาจารย์”


“เอาน่า อย่าพึ่งคิดมากล่ะกัน” โค้กพูดพลางตบบ่าให้กำลังใจ ซักพักมันก็ยึดไหล่ผม
แล้วก็ดึงไปแนบตัวมัน


“เฮ้ย ... ไอ้- - ”


“ชู่ว์ววววว อย่าเสียงดังดิ ไม่มีใครเห็นหรอกน่ามืดแล้ว” มันพูดยิ้มๆ แล้วก็ทำเป็นหันซ้ายหันขวา
เมื่อมองว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริงๆ คราวนี้มันกอดแบบเน้นๆเลย


“ฟู่ ... อุ่นจัง หน้าหนาวแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าได้กอดแฟนตัวเอง ...จริงป่ะ” มันก้มหน้าลงมาถาม
ทีหลังมึงก็จูบกูก่อนเลยซิแล้วค่อยถาม แม่งงง


“ปล่อยเลยเมิง เหม็นว้อยยย - - ไอ้ซกมก” ผมว่ามันพลางดันตัวออก จริงๆก็ไม่ได้เหม็นไรมากหรอก
แต่ต้องรักษาภาพพจน์นิดนึง แถมอยู่ในมหาลัยด้วย ไม่ดีมั้ง


“ล..แล้วกูไปบอกตอนไหนว่า เมิงเป็นแฟนม่ะทราบวะ” ผมแหวใส่


“แหม่... ก็จะวันไหนอีก ก็วันแรกที่ปริ้นบอกว่า ไม่ต้องให้ผมเรียกว่าพี่ไง เมื่อสามปีที่แล้วอ่ะ - - ทำเป็น
จำไม่ได้ โด่” ไอ้โค้กเถียงขาดใจ


“อีกอย่าง - - ” ไอ้โค้กทำท่าจะพูดต่อ


“อีกอย่างไร ”


“อีกอย่าง ... ใจคอจะให้พูดจริงๆเหรอเนี่ย” มันทำเป็นเขิน แต่หน้าไม่ให้


“ก็.. ถึงปากปริ้นจะบอกว่าไม่ใช่แฟน แต่ความสัมพันธ์ของ - -” มันพูดค้างไว้แล้วก็ทำมือชี้มาที่ผมแล้วก็ชี้ไปที่ตัวเองกลับไปกลับมา


“- - มันเป็นมากกว่าแฟนอีกม่ะช่ายเหรอ ” คราวนี้ดูมันเขินจริงๆจนหน้าแดง


“ว้อยยย.... กูกลับหอดีกว่า”


“เด๋วเด๊”


“มีรายอีก ”


“เออ .... ” มันทำท่าเกาแก้ม (น่ารักตายล่ะ)


“คืนนี้ไปค้างที่ห้องด้วยดิ”


“ไอ้ลามก” ผมด่ามัน


“เฮ้ยย ลามกอะไร คราวนี้แค่ไปค้างเฉยๆจริงๆ ที่ห้องผม แม่งเพื่อนมันนัดกันดูบอลอ่ะ - - วันนี้คู่บิ๊กแม็ต
ถ้าไปนอนที่ห้องสงสัยไม่ได้นอน” มันพูดพลางทำตาละห้อย


“- - แถมพรุ่งนี้ก็มีเทสด้วยอ่ะ ” มันพูดอุบอิบ


ผมมองหาความจริงบนใบหน้ามันซักพัก


“เออ ..ก็ด่ะ”


“วู้... สำเร็จ ”


“อะไรสำเร็จวะ”


“อ่อ. ผ.....ผมหมายถึงคืนนี้ได้นอนตาหลับแล้ว” มันไหลไปได้เรื่อยๆนะมึง


“งั้นเดี๋ยวผมกลับไปเอาเสื้อผ้ามาก่อนนะ แล้วซักสามทุ่มคงไปถึงอ่ะ ” มันว่า


“เออ... เด๋วก่อนมึง กูหิวหว่ะ ซักสองทุ่มกว่าๆ ไปเจอกันที่ร้านหน้าซอยล่ะกัน” ผมว่า มันก็รับคำแล้ว
ก็รีบวิ่งฮ้อไปอย่างไว ผมมองจนมันวิ่งไปแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ...


สามปีแล้วดิ


สามปีที่ผมกับมันค่อยๆเติบโตไปพร้อมๆกัน ไม่เหมือนตอนม.ปลาย ถึงแม้จะเจอกัน แต่ระดับของเรา
ก็ต่างกัน ตอนนั้น ผมอยู่ในฐานะพี่ มันอยู่ในฐานะน้อง แต่สามปีที่ผ่านมามันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
กันจัง


สามปีที่มันมักจะเดินมารอผมอยู่ใต้คณะเสมอ หรือถ้าวันไหนมันไม่มา พอมารู้สึกตัวอีกที ตัวผมก็เป็น
ฝ่ายเดินมารอมันที่คณะแทน เป็นแบบนี้ประจำ ตกเย็นบางวัน ถ้ามันไปเล่นบาส ผมก็แยกตัวมาเล่นแบดฯ
แล้วก็รอกลับพร้อมกันเป็นประจำ จะมีมาช่วงหลังๆนี้ล่ะที่พอขึ้นปีสุดท้าย ก็มักจะมีงานโน้นงานนี้เข้ามา
จนบางทีก็ไม่ค่อยจะได้เจอกัน


“นี่เมื่อไรปริ้นจะพูดกับผมแบบที่ผมพูดกับปริ้นบ้างอ่ะ” มันมักถามผมแบบนี้ประจำ จนพักหลังเลิกถามไปแล้ว


“ปกติก็พูดแบบนี้อยู่แล้วหนิ” ผมตอบมัน อยู่ๆจะให้เปลี่ยนมาพูดแบบมัน คงจะกระดากปากชอบกล


“ก็ลองพูดบ้างดิ มันจะได้ติดปาก” มันเซ้าซี้


“ไม่อ่ะ กูอยากเป็นตัวของกูเอง ” ผมว่าแล้วก็ยักคิ้วแบบกวนตีนให้มันทีนึง


มันทำหน้าแบบไม่ค่อยพอใจ แล้วก็ดึงหัวผมไปหามัน แล้วก็หอมเข้าให้ที่แก้ม


“เฮ้ย .... ไอ้เชี่ยนี่ - - อย่าทำแบบนี้น้าว้อยยย”


“ไม่เอา - - ผมก็อยากเป็นตัวของผมเองบ้างดิ” มันพูดแล้วก็ทำเป็นยักคิ้วยอกย้อน


“เฮ้ออ .... ” ผมถอนหายใจเป็นรอบที่สี่ของเย็นวันนี้ แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง พร้อมๆกับแผ่นหลังของ
ไอ้โค้กที่ค่อยๆลับตาไป อืม.... พึ่งสังเกตว่าตัวมันใหญ่ขึ้นจริงๆ


“อืมมม.......” แล้วอยู่ๆ ทำไมกูต้องรู้สึกเขินด้วยวะ


ใหญ่ขึ้นจริงๆ ........ อืมมมมมมมม


ว้อยยนี่กูคิดไรอยู่เนี่ยยยยยย

.

.


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
.

.

“โค้ก .... ม่ะไรมึงจะไปอาบน้ำซะทีวะ - - นั่งเล่นเกมส์อยู่นั่นล่ะ” ผมเอาตีนเตะก้นมัน เมื่อเห็นมัน
นั่งเล่นวาลคิริโพรไฟล์ อยู่นั่นล่ะ บอกจะเลิกก็ไม่ยอมเลิกซะที ตั้งแต่กลับจากกินข้าวแล้ว


“กูว่าที่มึงมาหอกูเนี่ย เพราะอยากมาเล่นเกมส์ต่างหาก ม่ะใช่จะอยากหาที่หลับไรหรอก ”


“เฮ้ย.. ม่ะช่ายหรอกน่า” มันพูดไปแต่สายตามันก็ไม่ได้ละจากหน้าจอแม้แต่น้อย


“เหรอ..” ผมชักมะโหเลยเดินเข้าไปกดสวิตซ์ปิดแม่งเลย


“แว๊กกกกก ....... จะผ่านดันเจี้ยนแล้วอ่ะ ยังไม่ได้เซฟเล้ยยยยยย” มันร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
แล้วก็ทำเป็นงอนสะบัดตูดเข้าห้องน้ำไป สม..พูดดีๆไม่ชอบ


ตี้ดดดด.............ตี้ดดดดดด.....................ตี้ดดดดด


ใครโทรมาวะ มืดค่ำแล้ว


ผมยกมือถือขึ้นมาดู - - อ้าว แม่กูเอง


“ฮัลโหลคับ”


“แม่เองนะปริ้น”


“อือ รู้แล้วอ่ะว่าไม่ใช่ใครอื่น” ผมตอบ


“แหม ชั้นน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็กนะ” แม่แขวะ แล้วก็ถามสารทุกข์สุขดิบไปเรื่อยเปื่อย


“แล้วยังไงช่วงปลายๆเดือนก็ทำตัวให้ว่างหน่อยนะเราน่ะ - - มีสอบเหรอว่าเรียนอะไรหนัก
มากมั้ยล่ะ”


“ก็คงไม่หรอกมั้ง เพราะสอบมิดเทอมก็คงช่วงกลางๆเดือนอ่ะ ว่าแต่ปลายเดือนจะทำไมเหรอแม่”


“อ้าว .... ลืมไปแล้วเหรอ ก็เจ้าโอ้ตเค้าจะรับปริญญาต้นๆเดือนมกรา - - ก็ว่าจะชวนขึ้นไปด้วยกัน
ซะหน่อย” แม่บอกดูท่าทางจะดีใจ


“เออ .... เหรอ ลืมไปเลย” ประโยคหลังผมพูดครางเบาๆ ในลำคอ


“ปริ้นไม่รู้ว่าจะว่างเหรอเปล่านะช่วงนั้นน่ะ เพราะยังติดเรื่องฝึก- - เอ้ยยย” เกือบไปแล้ว ผมยังไม่ได้
บอกแม่ไปว่าผมมีปัญหาตอนที่ฝึกงานช่วงปิดเทอมหน้าร้อนที่ผ่านมา


“ติดเรื่องอะไรนะ ? ” แม่ผมทวนคำ


“ผมหมายถึงเผื่อติดแม่” ผมพูดแถ


“อืม ยังไงก็ถ้าขออาจารย์เค้าได้ก็ขอเค้าหน่อยล่ะกัน” อะไรเนี่ยแม่มายุให้ลูกโดดเรียนเหรอเนี่ย


“ก็พูดเว่อร์ปาย ถ้าจะไปก็ไม่เห็นต้องลาอะไรเยอะขนาดนั้นเลย” ผมบอก


“ก็มันจะหยุดช่วงปีใหม่พอดีด้วย เห็นยายเรากับพวกบ้านโน้นจะไปกันซักสองอาทิตย์น่ะ” แม่บอก


จะบ้าเหรอ สองอาทิตย์จะไปปลูกฝิ่นกันเหรอไง ให้ตายเหอะ อันนี้ผมคิดในใจอยู่คนเดียว


“ว่าจะให้ปริ้นขึ้นไปพักอยู่กับโอ้ตเค้าก่อน” แม่ว่า


“พูดบ้าๆ” ผมเผลอตอบกลับไปเสียงหลง


“อะไรนะใครบ้านะ !! ” แม่ถามกลับเสียงเขียว


“เป่า...”


“งั้นพอปลายๆเดือนค่อยว่ากันอีกทีล่ะกันนะแม่ ” ผมพูดเสร็จแล้วก็รีบวางหูไปเลย อาไรเนี่ย
ทำไมต้องให้ผมขึ้นไปเซอร์เวย์ก่อนด้วยล่ะ ทำไมไม่ขึ้นไปพร้อมๆกันเลยวะ แล้วต้องไปอยู่
กับมันตั้งสองอาทิตย์เนี่ยนะ โอ้ว...


สามปี ถึงมันจะช่วยให้บาดแผลมันทุเลาไปบ้างก็เหอะ แต่แผล ยังไงก็เป็นแผลอยู่วันยังค่ำ
ตราบใดที่เราไม่ไปสะกิดสะเกามัน ก็คงไม่เจ็บปวด แต่ถ้าเมื่อไรเราไปยุ่งอะไรกับมันละก็...


“คุยกับกิ๊กเหรอ” เสียงไอ้โค้กมันเข้ามากระซิบที่ข้างหูทำเอาผมตกกะใจ แถมมันยังเอาเนื้อตัวที่
เปียกปอน นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวมากอดข้างหลังผมซะแน่น


“ไอ้โค้ก กูเปียกหมดแล้ว.....” (ตัวเปียก) ผมจะหันไปด่าก็ไม่ถนัด แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย แถมยัง
เอาผมที่เปียกๆมาถูหลังผมอีกตะหาก


“ว้อยยย ไอ้เชี่ยนี่ - - เลิกเล่นเป็นเด็กๆซะที่เหอะน่า” ผมว่าไปเสียงดังพอสมควร มันถึงจะหยุดได้แต่
กอดผมจากด้านหลังเงียบๆ ตอนแรกผมนึกว่าว่ามันแรงไป แต่เปล่าเลย...เมื่อไอ้โค้กมันเลื่อนปากมา
กระซิบที่ข้างหู


“งั้น - - เรามาเล่นอะไรที่ผู้ใหญ่เค้าเล่นกันดีกว่านะ”


พูดไม่ทันขาดคำ มันก็เหวี่ยงตัวมัน เป็นผลให้ตัวผมที่มันกอดอยู่ด้วย ล้มตึงลงไปบนที่นอน มือไม้
ไอ้โค้กเลยเคลื่อนไหวช้าๆ ปากมันก็เลื่อนมาไซร้าที่หลังคอผมจนทำเอาขนลุกซู่


“โค้ก ... ” ผมสงบจิตสงบใจเรียกชื่อมัน


“ฮือ ... ” เสียงตอบมึงหื่นมากเลยนะ เนี่ย


“ไหนเมิงบอกว่าจะมานอนอย่างเดียวไง” ผมหันไปถามมันแบบอายๆ


เงียบ....


“เราไม่ได้นอนด้วยกันนานแค่ไหนแล้วน้า ” ไอ้โค้กพูด ตาก็จ้องผมแป๋ว จนต้องหันหลังกลับ
มาเหมือนเดิม


“หลบตาไมอ่ะ” มันพูดเสร็จก็ดึงตัวให้หันกลับไปมองเหมือนเดิม


“ปากกับใจไม่ตรงกันอีกแล้วดิ” มันพูดเสียงหื่นๆ


“ไม่มีทางอ่ะ .... ” ผมพูดพลางหลบตามันอีกรอบ


“งั้นมองตาผมดิ - - แล้วบอกว่าไม่” มันพูดแล้วก็จ้องตา นี่ถ้ากูเป็นปลากัดคงเบนโลไปแระ


“ม่ะ ...... ม่ะ........ อึ๊ก” รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ราบคาบ ไอ้โค้กยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะค่อยๆเลื่อน
ใบหน้าเข้ามาหาผมช้าๆ


“ด... เด๋วดิ” ผมเอามือยันหน้ามันไว้ก่อน


“เดี๋ยวอะไรอีก” มันทำท่าหงุดหงิด


“ขอไปแปรงฟันก่อนดิ - - กินข้าวม่ะกี้ยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ผมว่า


“คิคิคิ”


“ขำไรวะ” ผมทำเสียงไม่พอใจ


“ก็ขำปริ้นไง - - ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมแปรงให้” พูดเสร็จมันก็เอามาปากมันมาแนบกับปากผมทันที


“อุ๊กก.... อือออออ อืออออออ”


ซักพักมันก็ถอนปากออก จ้องตาเยิ้มเชียว


“เดี๋ยวผมจะแปรงปริ้นให้สะอาดทั่วตัวเลยคับ หุหุ .... ” ไอ้โค้กหัวเราะแล้วก็ค่อยๆ พลิกตัวผมแนบเข้า
กับตัวนอนรุ่นหนานุ่มพิเศษ .... พร้อมๆกะผ้าเช็ดตัวทีไอ้โค้กมันนุ่งอยู่ม่ะกี้ก็หลุดปลิวลงไปกองกะพื้น
ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่อาจทราบได้

!?


แล้วภาพก็ตัดไปที่โคมไฟหัวเตียง -_-‘’


.

.

.

.

.

.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง(ภาคพิเศษ) – HolyNight
ตอนต่อไป ---------------------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/


Stp. แฮะๆ พอดีเรื่องอย่างว่าผมใสซื่ออ่าคับ .... บรรยายม่ะถูกเจงๆ เลยต้องรีบตัดจบตอน หุหุ

//พลิกไปดูตอนเก่าๆ เออ กรุใสซื่อแน่เหรอวะ -_-‘


ลป. บอกกล่าวกันซักกะติ้ดคับว่า หลังจากที่ได้ย้ำไปแล้ว บ้านพักอลเวงได้จบบริบูรณ์ไปแล้วนะครับ
เพราะฉะนั้นภาคพิเศษนี้ ไม่ได้เป็นภาคที่จะเฉลยปมอะไรใดๆทั้งสิ้นนะคับ บอกไว้ก่อนจาได้ม่ะโดนด่า
ทีหลังนาคับ ^^ อยากให้อ่านสนุกๆ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่ผมพอจะหาตอบแทนพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ
ได้ล่ะกานน้อ

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 02-12-2006 19:25:52
   :laugh:  รู้น้าคุงบลูอยู่


   ขอปาดเป็นคนแรกอีกครั้งคับ  หุหุหหหุ

                                            ชอบเรื่องนี้อ่ะ


 โดยเฉพาะปริ๊นกะโค้ก :impress2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 02-12-2006 19:40:53
 :haun5:  ไมต้องตัดฉากไปที่หัวเตียงทู้กที
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 02-12-2006 19:56:43
 :-[    สารภาพคับ

                ปาดก่อนอ่าน  กลัวมะได้เป็นคนแรก หุหุ


                               :sad4:ได้จัยคับได้จัย

                                                    :interest:และก้อได้อีกคับได้อีก บอกตรงๆเลยนะว่าชอบเรื่องนี้กว่าทุกเรื่องเลยคับ

                                          ต้องดูก่อนทุกครั้งเลยว่าคุงบลูมาต่ออะยาง
                       
                                                       ทำไมชอบปริ๊นกะโค้กได้มากมายขนาดนี้ก้อม่ายรุ ลุ้นทุกครั้งครับ

                        Esp  แต่รักคุงบลูมากกว่าเยอะ  (  อะ เบอร์ดี้  จะได้เป็นหนึ่งในจัยคุณ )
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigrat ที่ 02-12-2006 20:02:36
วันที่ 1....วันดี...ฮิฮิฮิ :-[
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 03-12-2006 21:25:29
 :seng2ped:  ตามอ่านต่อได้ที่ไหนอ่ะคับ :seng2ped:

                             ไปตามลิงค์แล้วก้อมะเห็นมี
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-12-2006 18:20:16
แล้วภาพก็ตัดไปที่โคมไฟหัวเตียง   :o :serius2:   :serius2:  :serius2:  :try2:
มาแร้ว  เรื่องที่รอคอย  สำนวนที่คุ้นเคย  ชอบจริง ๆ เลย  แต่ชอบโค้กกับปริ้นด้วย  เลียนแบบ between อิอิ   
รออ่านเหมือนเดิม  รอเรย์  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 04-12-2006 18:37:56
แทงยู หนูบลู

คริคริ :kikkik:


พูห์ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 04-12-2006 20:48:04
 :-[  เพิ่งตามอ่านจนทันวันนี้อะครับ ความเจงตามมานานแล้ว แต่เพิ่งได้โพส หุหุ
รีบๆมาต่อนะครับ :serius2:
ชอบมามายครับ :impress2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 05-12-2006 01:28:25
 :confuse:    เมนท์คนเดียวซัก  10  เมนท์ได้ป่ะเนี่ย

                    ทรมานกับการรอคอยอ่ะ


                      จาปัยออกค่ายด้วย...ไม่รอแระ :laugh:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-12-2006 06:53:07
:confuse:    เมนท์คนเดียวซัก  10  เมนท์ได้ป่ะเนี่ย

                    ทรมานกับการรอคอยอ่ะ


                      จาปัยออกค่ายด้วย...ไม่รอแระ :laugh:

คนเขียนยังไม่มาต่อนะครับ เรื่องนี้ผมมะได้กั๊กน้า
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-12-2006 11:24:01
น่าสงสารหนูบลูจัง


โดนแฟนคลับรุม...


55555 :kikkik:


พูห์ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 06-12-2006 22:38:37
เข้ามาเชียร์คุณนักเขียนด้วยคน
ปริศนาของนายโอ๊ต....จะได้ไม่ต้องคาใจอีก ...
รออ่านอยู่น่ะ..... :confuse:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 07-12-2006 12:50:04
ตามอ่านนานแล้วอ่า...เพิ่งอ่านจบ(โดดเรียนไปหลายวันเพราะตื่นไม่ไหว :sad5:)

ชอบเรื่องนี้มากๆเลยอ่ะ (โดยเฉพาะโค้ก(ตั้งแต่แรกเห็นเลยนะนั้น :myeye:))

ขอบคุณนะครับที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน เป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนคนโพสต์นะครับ

กางเต้นท์รอต่อไป :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 08-12-2006 00:02:42
มาแล้วครับ

*********************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
*************************************************************************************************************

“ปริ้น ... พรุ่งนี้ตื่นมาอย่าลืมไหว้ป๊าเค้าด้วยนะลูก”

“ครับแม่ - - อือ โทษทีนะ หยุด 3 วันทั้งที แต่ก็ไม่ได้กลับบ้านอ่ะ”


“ไม่เป็นไร งานเยอะไม่ใช่เหรอ ไว้เดี๋ยวค่อยกลับก็ได้”


“อือ”


“งั้นแม่ไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้แม่ต้องตื่นมาใส่บาตรแต่เช้า”


“ฮะ..”

.

.

.


5 ธันวาคม 2547


“อื้อออออออออออออออออ ..... ” เสียงผมครางบิดขี้เกียจบนที่นอนอย่างยาวนาน แต่ความรู้สึก
ก็ยังไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไรเลย รู้สึกว่าบรรยากาศภายในหอที่อาศัยอยู่ ดูจะเงียบเหงาไปถนัดตา
เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวติดต่อกันสามวัน


ผมพลิกตัวไปทิศที่ตั้งโต๊ะวางของข้างๆเตียง แล้วก็หยิบกรอบรูปซึ่งข้างในเป็นภาพสีขาวดำค่อน
ข้างเก่า ผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งยืนยิ้มให้กับกล้องดูท่าทางมีความสุข สองมือของชายคนดังกล่าว
อุ้มเด็กหน้าตาน่าเกลียดทำหน้าตาเหยเกไว้ข้างกายนั่นคือตัวผมเอง


“สุขสันต์วันพ่อคับ ... ป๊า”

.

.


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
.

.

“ฮัลโหล”


“อยู่ไหนอ่ะซัง” ผมต่อสายถึงไอ้เพื่อนยาก ช่วงหลังมานี่ ไม่ค่อยจะได้คุย ได้เจอมันเท่าไรเลย
เพราะว่าทั้งมันทั้งผมต่างก็ต้องเรียนหนักด้วยกันทั้งคู่


“ถามแปลกๆ ก็อยู่เพชรฯดิ” มันตอบ


เออหว่ะ .. ไม่น่าไปถามอะไรที่รู้อยู่แล้วเลย ผมคิดในใจ ... ที่โทรไปหามันก็เพราะเห็นว่า
เมื่อปีที่แล้วมันไม่ได้กลับบ้านนี่นา ปีนี้ก็กะว่าจะชวนไปเดินเล่นซะหน่อย ... เซงเลย


“พอดีว่างๆอ่ะ ไม่รู้ทำไรเลยโทรฯหา ผมตอบแก้เก้อ - - แล้วจะกลับมาวันไหนอ่ะ”


“วันจันทร์อ่ะ” มันตอบ


“ล..แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ ” มันถามแบบระมัดระวังคำพูด


“อืม”


“ไอ้โค้กล่ะ”


“กลับบ้านเหมือนกัน” ผมตอบเสียงอ่อยๆ แต่จริงแล้วมันเหงามากกว่าครับ ผมก็อยากกลับ
บ้านนะ ผมไม่เห็นจะต้องไปยึดติดอะไรกับวันๆนึงเลยนี่นา


วันพ่อก็กลับไปเยี่ยมพ่อกัน ... แต่คนที่พ่อไม่อยู่แล้ว ก็ไม่อยากจะกลับนี่นา


ผมคิดแบบนี้เมื่อคืนก่อน ก็เลยโทรศัพท์ไปบอกแม่ว่า ปีนี้คงไม่กลับ เพราะปีก่อนๆที่ผมกลับไป
ก็พบแต่ความว่างเปล่า ไปนั่งเรื่อยๆ เฉยๆอยู่กับบ้าน ปีนี้เลยตัดสินใจไม่กลับดูแล้วกัน แต่ปรากฏ
ว่าพอผมไม่กลับบ้าน พวกมันดันกลับกันเฉยเลย


“ไม่เอาน่า อย่าทำเสียงแบบนั้นดิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้ว” ซังพูดปลอบใจ


“เจอซังอ่ะเหรอ .. จะมาหาเหรอ”


“เปล่า หมายถึงไอ้โค้ก ”มันเปลี่ยนเรื่องมาเป็นแซวผมแทน


“.. จะอยากเจอรายฟ่ะ เห็นกันอยู่เกือบทุกวัน มันกลับๆบ้านไปบ้างก็ดีแล้ว” ผมตอบเขินๆ
ไอ้ซังได้ยินก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อย


“ไรว้า ... ปากบอกว่าเบื่อแต่ใจตรงกันเปล่าว้า ปริ้น หึหึ - - เล่นตัวอยู่ได้ตั้งนาน แล้วก็ต้องยอมแพ้
มันตอนขึ้นปี 3”


“เปล่ายอมแพ้เว้ย ... ก็แค่- - แค่ ลองคบกันดูก่อนแค่นั้นเอง ” ผมอ้อมแอ้ม


“คบกันแบบพี่น้องท้องชนกันเหรอจ๊ะ !? ”


“โหย ไม่ใช่เมิงกะไอ้คิวนะ - - แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละน่า”


“นิดหน่อยนี่มันหน่อยไงอ่ะ ” ดูมันอยากจะรู้ลึกรู้ดีอะไรเรื่องนี้วะ


“ก..ก็แบบภายนอกกันแค่นั้นไง” ผมบ่นอุบอิบ


“ห่ะ ว่าไรนะ ไม่ได้ยิน” ดูไอ้ซังมันแกล้ง


“ใช้มือกับ เออ ปาก ไง” ผมอุบอิบ แหมเรื่องพรรณนี้ไม่เห็นต้องมาเล่าให้ฟังเลยนี่หว่า


“ห่ะ ไรนะ ”


“กรุยางไม่ได้ yed กะมัน เข้าใจม๊ายยยย ” ผมตะโกนใส่โทรศัพท์ ไม่ต้องอายกันแระแบบนี้


“โห ปริ้นเมิงกลายเป็นคนตรงแบบนี้ตั้งแต่ม่ะไรเนี่ย ” ไอ้ซังเหน็บ ทีอย่างงึ้มาว่ากรุตรงนะ แล้วมะกี้
มาแกล้งยั่วกรุจัง


ผมคุยกะไอ้ซังไปได้ซักพัก ก็พอดีมีสายซ้อนเข้ามา


“งั้นแค่นี้ก่อนนะ มีสายซ้อนหว่ะ ” ผมบอก


“เออ แล้วไง ค่อยเจอกาน ”


“อ่า อืม ... ” ผมกดสลับไปอีกสาย


“ไงคับตื่นแล้วเหรอ” เสียงไอ้ตัวดีที่ทิ้งผมไปหาพ่อมันดังเจี้ยวแจ้ว


“ตื่นแล้วดิ สิบโมงแล้ว” ผมตอบเสียงแข็งๆ ไปโดยไม่รู้ตัว


“แล้วกินข้าวยังคับ ” โค้กถามกลับมาเสียงปกติ


“ไม่หิวอ่ะ ” ผมตอบ คราวนี้ดูมันจะจับอาการผิดสังเกตได้เล็กๆ


“ปริ้นเป็นอะไรไปเหรอเปล่า ดูหงุดหงิดไงม่ะรู้” มันทักมาแบบนั้น เลยทำให้ผมรู้สึกตัว
ว่ารู้สึกแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ แบบหาสาเหตุไม่ได้ด้วย มันกลับไปหาพ่อแม่มันนะเฟ้ย
จะไปหงุดหงิดใส่มันทำไมวะ มีเหตุผลหน่อยดิ


“อ่อ โทดทีอ่ะ คือ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” ผมแก้ตัวไปงั้น


“งั้นก็นอนต่ออีกหน่อยก็ได้ ไม่ต้องรีบตื่นหรอก” โค้กบอกด้วยความหวังดี แต่ความรู้สึกของ
ผมดันแปลให้ตัวเองเจ็บจิ้ดๆ


“อือ” ไม่ต้องรีบตื่นหรอก ... ก็ในเมื่อไม่มีพ่อให้พาไปเที่ยว พาไปกินข้าวเหมือนคนอื่นๆเค้านี่นะ


“ก็คงงั้นล่ะ” ผมตอบเสียงสั่นๆ


“ปริ้น ... ถามเจงเป็นอะไรเหรอเปล่า” สมเป็นมันที่จับเสียงผิดสังเกตผมได้


“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดเสร็จก็วางหูไป


ทำไมนะ ... ทั้งๆที่ผมโตเป็นควายขนาดนี้แล้ว น่าจะเอาเหตุผลมาระงับความรู้สึกดิ ทำไมผมต้อง
มาน้อยใจตัวเองด้วยล่ะ ทำไมต้องคิดว่าตัวเองมีปมด้อยด้วยวะ .... ทั้งๆที่ผมก็มีทุกอย่างเหมือนกับ
ที่คนอื่นเค้าก็มีกัน ก็มีพ่อเหมือนกับคนอื่น


เพียงแต่ตอนนี้ ป๊าไม่อยู่กับผมแล้วก็เท่านั้นเอง


มึงจะน้อยใจชีวิตตัวเองทำไม ไอ้ปริ้น - - มึงไม่ได้ขาดพ่อคนเดียวในวันนี้ซะหน่อย


ผมนอนเหม่อลอยคิดกลับไปกลับมาอยู่บนเตียง ทุกๆปี ผมกลับบ้าน เลยไม่ค่อยรู้สึกแรงกดดันแปลกๆ
ของวันพ่อเท่าไร อย่างน้อยก็ยังมีแม่ ยาย ลุงสน ป้าเล็ก คอยคุยเสมอ แต่นี่พอมาอยู่คนเดียว เปิดทีวี
ก็เจอแต่ข้อความรักพ่อ เพลง ละคร บลาๆๆๆ


ทำไมมันรู้สึกเหงาแบบนี้นะ .... ความเหงาที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมาแท้ๆ


เฮ้อ .. ออกไปเดินให้หายเหงาดีกว่า ผมคิดพลางเหลือบไปที่ PC ที่ตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วก็ตัดสินใจ
ไปเดินพันทิพย์ซื้อ RAM มาเพิ่มดีกว่า จะได้ดูหนังโป๊ไม่สะดุด เอ้ย .. เวลาทำงานจะได้ไม่กระตุก


ผมเดินข้ามฝั่งมานั่งรถเมล์จะไปต่อ BTS ที่หมอชิต ระหว่างนั่งอยู่ก็กดลิสต์ในมือถือไปด้วย ดูว่า
ท่าทางคนไหนมันจะพอว่างมาเดินเป็นเพื่อนกูบ้างวะเนี่ย


“โหล นิคเหรอ ทำไรอยู่วะ” ผมโทรหามันเป็นแรก


“ชักว่าวอยู่” มันตอบ


“ไอ้สัด เอาดีๆเด๊ะ - - อยู่บ้านเหรอมึง”


“เปล่า กูมาชลฯกะพี่กู มีไรเปล่าวะ”


“อ่อ ไม่มีไร มึงเที่ยวให้หนุกล่ะกัน” ผมอวยพร


“เด๋วกูกลับไป ซื้อข้าวหลามไปฝาก” ไอ้นิคบอก อืม มันยังมีน้ำใจกะเพื่อนแฮะ


“...หรือว่ามึงอยากได้ครก ? 555” มันถามอีก ไอ้สาดดด มึงพูดเล่นเหรอเนี่ย


ผมกดลิสต์ข้ามเพื่อนสนิทในมหาลัยอย่างไอ้นกไป เพราะว่า ลูกที่ดีอย่างมันคงไม่ออก
ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนกับเพื่อนในวันพิเศษแบบนี้เด็ดขาด


“หวัดดีแบงค์ทำไรอยู่วะ”


“อือออ ... กรุยางไม่ตื่นอ่ะ ” สัด จะเที่ยงแล้วนะ นอนจะเป็นส.ส. อยู่แระ


“ฮัลโหล ไอ้หยก ทำ..- - ”


“เฮ้ย ปริ้น เดี๋ยวกูโทรกลับนะ ยุ่งอยู่หว่ะ” มันว่าแล้วก็ตัดสายไปเลย


“อืมมมม...”. ทำไมแต่ละคนยุ่งกันจังวะ ผมคิดแล้วก็นั่งถอนหายใจอยู่บนรถเมล์ แล้วก็ตัดสินใจ
เลิกโทรดีกว่า ความรู้สึกหมองเศร้าในวันพ่อแห่งชาติของผมก็เพิ่ม Level ขึ้นมาอีกระดับ

.

.


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 08-12-2006 01:40:13
 :-[  รักโคกที่สุดเลย  :-[
 :myeye:  อยากมีคนข้างๆเหมือนโค้กจัง  :myeye:

 :like6:รักโค้ก :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 08-12-2006 02:43:38
                                :monkeysad:  แง่ะ น่าฉงฉานเวลาที่ต้องการเพื่อนกับไม่มีครายว่าง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 08-12-2006 09:29:50
อิอิ ไวมั้กมักหนูบลู :kikkik:

ขอบคุณนะค้าบบบบ :yeb:

ว่าแต่ทำไมมันดูเหงาๆ เศร้าๆ จัง :myeye:


พูห์ :confuse:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: PHANTOM ที่ 08-12-2006 14:25:46
 :undecided: คือ แบบว่า ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นเราก็ได้อ่าน แถมลุ้นไปด้วย
 :monkeysad: แต่ ปริ๊น นี่ดิ่ ต้องมาเศร้าใจ เฮ้อ.............
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-12-2006 20:45:38
คุณบลู ช่วยดู reply 26 ด้วยค่ะ

เป็นตอนเริ่มของภาค 3 รักหายไปแต่หัวใจยังอยู่

คือว่าลงผิดไปหรือเปล่าค่ะ เนื้อหามันซ้ำกับช่วงหลังของภาค (น่าจะ reply 30 ถ้าจำไม่ผิด)

รบกวนตรวจให้ด้วยค่ะ (ถ้าไม่ผิดก็ขอโทษด้วยค่ะ)

** เรื่องนี้เชียร์โค้ก**   :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ผีตาโบ๋ ที่ 08-12-2006 22:25:56
 :haun5: :haun5:   โทรหาโอ๊ตดิ   :monkeylove2: :monkeylove2:

และแล้ว..................................ก้อตั้งหน้าตั้งตารอกันต่อไป :myeye: :myeye:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-12-2006 02:49:37
เหงาเลย  เหงาตามปริ้น  :undecided:

เชียร์โค้ก โค้กน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก  อยากอ่านแร้ว  รออยู่ค๊าบ   :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-12-2006 04:10:50
คุณบลู ช่วยดู reply 26 ด้วยค่ะ

เป็นตอนเริ่มของภาค 3 รักหายไปแต่หัวใจยังอยู่

คือว่าลงผิดไปหรือเปล่าค่ะ เนื้อหามันซ้ำกับช่วงหลังของภาค (น่าจะ reply 30 ถ้าจำไม่ผิด)

รบกวนตรวจให้ด้วยค่ะ (ถ้าไม่ผิดก็ขอโทษด้วยค่ะ)

** เรื่องนี้เชียร์โค้ก**   :seng2ped:
ผมแก้ไขให้แล้วนะครับ ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยนะครับ
ขอบคุณ shell มากเลยนะครับ ที่อ่านอย่างละเอียดจนเจอ
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=291.msg2672#msg2672
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 09-12-2006 13:46:03
แก้แล้ว เมื่อไหร่จะมาต่อละหนูบลู :o

รอ รอ รอ เฝ้าแต่รอ

พูห์ :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-12-2006 19:19:37
 หลายๆคนคงสมหวังแล้วนะครับ  :myeye:

*********************************************************************************************************

(http://mywebpage.netscape.com/stayingpowersea/334.jpg)

.
“ พี่ๆ ทำไมวันนี้ร้านเปิดน้อยจัง ” ผมยืนเลือก RAM ตัวนึงอยู่ พลางมองไปรอบๆห้าง
เห็นปิดหลายร้านเลยทีเดียว ไอ้ร้านที่มาประจำก็ดันไม่เปิดอีก


“อ้อน้อง ... วันนี้ส่วนมากเค้าก็อยู่กับครอบครัวกันทั้งนั้นล่ะ เดี๋ยวเย็นๆน่ะ น้อยกว่านี้อีก” พี่เค้าว่า
ไม่รู้ว่าที่พูดนี่ เพราะต้องการกั๊กให้ผมรีบซื้อร้านของแกเหรอเปล่า


“อืม ก็เจง ผมพูดเบาๆ - - ว่าแต่ตัวนี้ลดอีกไม่ได้เหรอพี่”


พี่แกส่ายหัวทำหน้าบูด จนผมต้องรีบถอยห่างจากร้านด้วยความไว


ไรว้า ของก็ไม่ได้ แล้วงี้จะไปเดินไหนดีวะ - - เดินคนเดียวซะด้วย ผมคิดในใจเดินคอตกจากพันทิพย์
เรื่อยมาจนถึงหน้าเวิร์ดเทรด ถ้าให้ทายกันเล่นๆ ผมจะมองอะไรก็คงรู้ๆกันอยู่ใช่มั้ย (อะไรนะ ไม่รู้เหรอ !
แง่งงง )


ผมมาที่นี่ทีไร ก็มักจะหยุดยืนดูพระตรีมูรติทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ พอผมเดินผ่าน กลับคิดถึงไอ้โค้กขึ้นมา
อย่างจับใจ .... ทั้งๆที่เมื่อก่อนรู้สึกอึดอัดจะตาย เวลาจะไปไหนมาไหนที มันก็มักจะตามต้อยๆไปด้วย
บอกว่าอยากมาเดินคนเดียวมั่ง มันก็ยังอุตสาห์ตามมาทุกที


.... เป็นไงล่ะ ได้มาคนเดียวสมใจนึกบางลำพูแล้วนี่มึง... ไอ้ปริ้น


ผมเดินเรื่อยเปื่อยเข้าไปในเวิร์ดเทรด ซื้อของจุกจิกนิดหน่อย แล้วก็เดินต่อมาโดยที่นึกได้ว่ายังไม่ได้
หาอะไรกระแทกปากมื้อกลางวันเลย ดูนาฬิกาข้อมือ เกือบจะบ่ายสามแล้ว ขาก็หยุดก้าวตรงข้างหน้า
ที่ก่อสร้างสยามพาราเกย์พอดี ฝุ่นฟุ้งชิบเป๋ง บอกว่าจะเปิดปลายปีหน้า จะทันเหรอวะเนี่ย
ผมคิดแล้วก็มองข้ามไปฝั่งสยาม


MK (คิดอะไรไม่ออกก็เอ็มเค)


พอผมก้าวเข้าไปในร้านปุ๊บ ก็แทบอยากจะเดินออกนอกร้านกันเลยทีเดียว เพราะว่าวันนี้มีคู่พ่อลูก
ทั้งพ่อแม่ลูก บลาๆ มากันแทบแน่นร้าน พอดีกับที่พนักงานสาวเดินมาถามพอดี


“สวัสดีค่ะ ... มากี่ที่คะ” เธอถาม


ผมหันกลับไปมองข้างหลังสองสามวิฯเพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองมาคนเดียว แล้วก็ยกนิ้วขึ้นมา หนึ่งนิ้ว


“อ่อ คะ รอซักครู่นะคะ ” เธอบอก ซักพัก ก็มีกลุ่มพ่อแม่ลูกเดินกันมาต่อข้างหลังผม หัวเราะกันดูชื่นมื่น
น่าอิจฉากันไปมา


“ขอโทษคะ พี่คะ ” เสียงพนักงานสาวทำเอาผมที่ยืนมองครอบครัวข้างหลังสะดุ้งเล็กน้อย


“ครับ”


“คือ.. ขออภัยนะคะ ขอรบกวนรอซักครู่นะคะ พอดีทางด้านนี้มาเป็นครอบครัวนะคะ” เธอบอกกับผมหน้าเจือนๆ

ผมก็หันไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง


“อ่อ .. ไม่เป็นไรครับ เชิญก่อนเลย ” ผมพูดพลางยิ้มให้ ครอบครัวที่มาทีหลังแต่ได้เข้าไปกินก่อน กล่าวขอบคุณผมแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน


ผมยิ้มขำๆให้กับตัวเอง ..... ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าผมมากับป๊า ก็คงได้เข้าไปนั่งแล้ว ...ใช่มั้ย แต่ทางร้านก็ไม่ปล่อย
ให้ผมยืนรออยู่นานหรอก ซักพัก ผมก็ได้เข้าไปนั่งอยู่ริมในสุดของชั้นสอง อาจเป็นเพราะว่ามานั่งกินคนเดียว
เลยรู้สึกเหมือนมีสายตามองผมแปลกๆ (ซึ่งก็คงคิดไปเอง) นั่งปุ๊บ ก็สั่งอาหารจานเดียวตามปกติ ผมเปิดเมนูไป
เรื่อยๆ


โอ้ว .. มีเมนูพิเศษสำหรับคุณพ่อด้วย ..... แล้วก็ได้แต่เปิดข้ามไป เพราะว่าผมสั่งก็คงกินไม่หมดอยู่ดี


ติ้ด ตี้ดดดด ตี้ดดด ติ้ด ตี้ดดดด ตี้ดดด (จริงๆเสียงเรียกเข้าหรูกว่านี้ แต่ไม่รู้จะพิมพ์ไงดี :D)


“โหล..”


“คับผม - - อยู่ไหนเนี่ย” ไอ้โค้กโทรมาหาผมคับ ดีจัง อย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องนั่งรอเป็ดย่างเฉยๆอยู่คนเดียว


“แถวสยามกะลังจะกินข้าวกลางวันอ่ะ” ผมตอบเสียงเนือยๆ


“อ้าว แล้วกินกะใคร” มันถามเสียงติดไม่ค่อยพอใจเล็กๆ


“คนเดียว”


“ห่ะ .. คนเดียว”


“อืม คนเดียว”


“กินเอ็มเคอ่ะดิ”


“ห่ะ ห่ะ รู้ได้ไง ” ผมรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่มันเดาถูก


“ก็ไม่เห็นปริ้นจะเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้างนี่นา ไปสยามทีไรก็กินเอ็มเคๆ แถมสั่งแต่เป็ดย่างๆ
จนหน้าจะเป็นเป็ดอยู่แระ” มันหัวเราะ


“เออหว่ะ เซ็งเป็ดเลย 555” ผมทำเป็นหัวเราะตาม แต่ในใจคิดกูม่ะขำวุ้ย


“แล้วนี่ไหว้พ่อเหรอยังเนี่ย” ผมยังอดถามไม่ได้


“เรียบร้อยแล้วค๊าบ ตั้งแต่ไก่โห่แระ ”มันว่าดูทำเสียงภูมิใจจนอดหมั่นไส้ไม่ได้


ติ้ด ติ้ด ตี้ด


“เฮ้ย แบตจะหมดหว่ะ โค้ก” ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ มือถือก็ดับไปในทันที ผมกะว่าจะเปลี่ยนแบต
มาหลายทีแล้วนะเนี่ย เหมือนแบตมันจะเสื่อมแล้ว ผมถอนหายใจ แล้วก็วางมือถือลง พร้อมๆกับ
ถาดหมี่หยกเป็ดย่างมาวางเสิร์ฟที่ด้านหน้า


“จะรับน้ำอะไรมั้ยคะ”


“อ่อ ยังคับ” ผมพูดเสร็จ ก็ค่อยๆเริ่มคีบบะหมี่ลงถ้วยเล็ก แล้วก็คนมันอยู่นั่นแหละ รู้สึกจิตใจไม่อยู่
กับเนื้อกับตัวเลยจริงๆ มองไปรอบด้านก็รู้สึกเหมือนตัวเองแปลกแยก


ตอนนี้ ผมอยากกลับบ้านจัง... ถึงบ้านจะยังไม่มีป๊าอยู่ แต่ที่บ้านก็มีคนที่เข้าใจผม - - ทำไมผมถึง
เลือกมาอยู่ที่นี่นะ ที่ๆมองไปรอบด้านก็ไม่มีใคร .... มีแต่ภาพที่คอยตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บปวด


แดกให้หมดๆ จะได้รีบกลับ ตอนนั้นผมคิดแบบนั้นจริงๆ ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า เรื่องแค่นี้
มันเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับตัวเองเหลือเกิน ไม่มีวันหรอกที่ผมจะมาคิดเล็กคิดน้อยทำให้ตัวเอง
รู้สึกมีปมด้อยที่ขาดป๊า


แต่พอเมื่อถึงเวลาจุดๆหนึ่ง ผมก็อธิบายไม่ได้ ว่าทำไม .... ถึงรู้สึกแบบนี้


1 ชั่วโมงผ่านไป ทำไมของกินมันถึงไม่พร่องเท่าไรเลยวะ ผมขมวดคิ้ว แล้วก็ทำท่าจะคีบเป็ด
มาใส่จานอีกสามชิ้นใหญ่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเด็กตัวเล็กๆส่งเสียงคุยอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง


“ป้อคับ ป้อ .... ไหนป้อจะพาต้นไปทะเลงายยยย” เสียงเด็กตัดพ้อพ่อตัวเอง


“... ต้นม่ายยอยากกินแล้ว จาไปทะเล จาไปทะเล” ไอ้เด็กเวนนั่นเริ่มงอแง


ผมรู้สึกว่ามือตัวเองกำตะเกียบแน่น ... ยะ หยุดนะว้อย ไอ้เด็กบ้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองซะที


“จาไปทะเล จาไปทะเล .... ” ตุ๊บ ตุ๊บ - -


“น้องต้น อย่าไปทุบพ่อแบบนั้นซิคับ” เสียงแม่เด็กบ่นให้ได้ยิน


“- - ม่ายยกิน ต้นม่ายยกินแล้ว” ตุ๊บ ตุ๊บ


มือที่กำตะเกือบผมเริ่มสั่นน้อยๆ


ไอ้เด็กบ้า ... หยุดทุบซะที หยุดทุบพ่อเมิงเด๋วนี้นะ - - หยุด ทุบพ่อเด๋วนี้นะ ไม่คิดว่าพ่อเมิงจะ
เจ็บมั่งเหรอไง หัวใจผมรู้สึกปั่นป่วนไปหมด


“น้องต้น อย่าดื้อซิครับ .. เอานะ กินก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อจะพาไปทะเลน้า” เสียงพ่อที่ตอบไอ้เด็กนั่น
อ่อนโยน โดยไม่มีท่าทีจะโกรธเคืองใดๆ


“มาม่ะ กินอีกคำเดียว พ่อสัญญาว่าจะพาไปเที่ยวทะเลนะ”


ตึ๊ก ตึก .... ตึ๊ก ตึก ..... ตึ๊ก ตึก


ผมรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างอุ่นๆที่ขอบตาของตัวเอง


“จริงน้า ... ป้อจาไปทะเลแล้ว เย้ เย้ ” เสียงไอ้เด็กคนนั้นพูดอย่างดีใจ “- - ป้อสานยาแล้วน้า ต้นรักป้อค๊าบ ”


“ครับ พ่อสัญญาครับ เราจะไปเที่ยวทะเลกันนะ น้องต้น แม่น้องต้น แล้วก็พ่อน้องต้นด้วย” ผู้เป็นพ่อพูดด้วย
เสียงสนุกสนาน


“ ไหนป๊าบอกว่า เราสามคนจะไปเที่ยวทะเลกันไง - - นะ - - ไหนป๊าบอกว่า อยากจะพาแม่ กับปริ้นไป
เล่นน้ำกันไง - -”


“ป๊าคับ ... - -” ผมพูดได้แค่นั้น น้ำตาก็หยดลงมาเป็นสาย ฮึก ฮึก ... ไม่ไหว โตเป็นควายแล้ว โตแล้วแท้ๆ
ยังมานั่งร้องไห้คิดถึงพ่อเป็นเด็กอยู่ได้


“ฮึก ฮึก....”


ถ้าผมรู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่ของเราสามคนมันน้อยขนาดนี้ ผมคงไปเรียนที่ป๊ากับแม่ทำงานอยู่ช่วง
ม.ปลายแล้ว .... แต่ตอนนี้ มันคงไม่มีประโยชน์แม้แต่จะคิดแล้ว


เพลงที่เปิดบรรเลงภายในร้านในยามนี้ มันคงน่าฟังสำหรับหลายๆคน แต่คงไม่ใช่สำหรับผม
ที่ดูช่างแผกแยกไปจากคนอื่นๆ


ผมแอบปาดน้ำตาที่ไหลลงไปในชามที่ใส่เป็ดย่างซะหลายหยดให้หมดไปก่อนที่จะมีใครสังเกต
เห็น ไม่ไหวแล้วอ่ะ กินไม่ไหวแล้ว


“น้ำส้มปั่นที่สั่งได้แล้วคะ” พนักงานสาววางแก้วน้ำส้มปั่นไว้ที่คำหน้า ทำเอาผมรีบท้วงแทบไม่ทัน


“เออ ผมไม่ได้สั่งนะครับ” รู้สึกอายหน่อยๆเพราะว่าเสียงที่พูดออกไปมันแหบๆเหมือนกำลังร้องไห้


“ปกติก็เห็นสั่งด้วยม่ะใช่เหรอคับ” เสียงใครคนนึงพูดขึ้นมา พร้อมกับมืออุ่นๆมาวางบนหัวผม
มือไวเท่าความคิด ผมรีบคว้าไปที่กล่องทิชชู่แล้วรีบทำเนียนเป็นซับเหงื่อ (แต่จริงๆมาเช็ดน้ำตา)


“เด๋วขอหมี่หยกอีกสองก้อนนะพี่ แล้วก็ขอน้ำเป็ดเพิ่มด้วยคับ” มันสั่งของกินพนักงานเพิ่มแล้วก็
เดินมานั่งฝั่งตรงกันข้าม


“บอกให้กลับบ้านด้วยกันก็ไม่เชื่อ ... มานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียว” มันพูดตอกย้ำจริงนะ


“พูดไปเรื่อย - - ใครที่ไหนร้องไห้วะ ” พูดไปผมก็ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเล้ย ไม่มีน้ำตาก็จริง
แต่ตาแดงเถือกขนาดนั้น


“ล... แล้วเมิงมาได้ไงเนี่ย ม่ะตอนเช้ายังอยู่ เออ ยังอยู่บ้านอยู่เลยนี่นา” ผมออกจะตกใจอยู่


“ก็ตอนเช้าอยู่บ้าน แต่รู้สึกว่าคนบ้างคนจะอยากให้มากินเอ็มเคเป็นเพื่อนไง - - ก็เลยรีบมา ” มันพูดทำ
เป็นเรื่องปกติไปได้


“ตอนโทรมาก็เลยถามไงว่าอยู่ไหน” มันว่า “- - ตอนนั้นอ่ะอยู่สายใต้แล้ว”


“ละ แล้วทำไมไม่บอกฟ่ะ” ผมทำเป็นม่ะโหกลบเกลื่อน


“อ้าว ก็ถามมั้ย - - กะมาสะใภ้ด้วยหล่ะ (เซอร์ไพรส์) ” มันพูดแล้วก็หยิบตะเกียบมาเคาะหัวผมทีนึง


“โอ้ย...”


“มันน่าเคาะปากด้วยมั้ย นอกจากหัวแข็งแล้วยังปากแข็งอีก” ดูมันว่าได้ว่าดี


“เออ... มาเพื่อว่ากันโดยเฉพาะเลยใช่เป่า งั้นก็กินๆๆไปเลย กูกลับแล้ว ” ผมพูดเสร็จ มันก็รีบ
เอื้อมมาคว้าข้อมือผมไว้เลย กูยังไม่ทันได้ลุกไปไหนเลยนะ ไอ้นี่


“เฮ้ย ยังงงง..”


“อย่างอนพร่ำเพรื่อน่า มากินด้วยกันก่อน” ไอ้โค้กบอกแล้วจ้องมองตาแดงๆของผมจนต้องหลบตา
ถึงรู้สึกว่าตัวเองค่อยสงบไปได้


ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งกันเงียบๆ โดยมีไอ้โค้กนั่งกินไป ผมก็นั่งดูดน้ำส้มไป (ถึงน้ำนางเอกแต่กูเป็นพระเอกนะ)


“คิดถึงพ่อเหรอ ”อยู่ๆมันก็ถาม


“นิดหน่อย” ผมว่าแบบรักษาฟอร์ม พลางดูดน้ำส้มเข้าไปเฮือกใหญ่แก้เขิน


“แค่ก แค่ก”


มันเงยหน้าจากชามเป็ดมามองผม หน้าตามันดูจริงจังกว่าตอนแรก แล้วก็ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือผมไว้อย่าง
ระมัดระวัง(คนเห็น) เพลงที่เปิดในร้านสลับเป็นเพลงใหม่


..............................


.................


.......


มอง..ออกไป ในความคุ้นเคย ท้องฟ้าดูครึ้มมืดมัวไม่เคยจางไป
ไม่เคยมองเห็น .. สายลมที่อ่อนไหว ไม่เคยมีดวงไฟซักดวงที่คอยส่องทาง


“ปริ้นยังมีผมอยู่นะ ” โค้กพูดกับผมเบาๆ ดูหน้ามันแดงหน่อยๆ แต่สายก็ยังจับจ้องอย่างมุ่งมั่น


เจอหมอกควัน ... จนชินสายตา เหมือนโลกใบนี้ไม่เคยพบเจอ ตะวัน
มองไปทางไหน มืดหม่นและอ้างว้าง ได้แต่ยืนคนเดียวลำพังไม่มีจุดหมาย


โค้กเปลี่ยนจากที่จับมือผมเบาๆมาเป็นเกาะกุมไว้อย่างแน่นหนา


“อย่าคิดว่าตัวเองขาดอะไรเลยนะ ปริ้นยังมีแม่ มียาย แล้ว - - ก็มีผมนะ จะไม่มีวันทิ้งปริ้นไปไหน”


ไอ้โค้กยิ้มน้อยๆให้ แต่สำหรับผม คนที่อยู่เบื้องหน้า ในเวลาที่ไม่มีใคร ก็มีแต่มันคนเดียว ที่คอยอยู่
เคียงข้างมาตลอด ไอ้โค้กคนเดียว...


“ผ...ผมก็เหมือนกัน - - ” ผมรู้สึกว่าตัวเองคงหน้าแดงไปหมดที่จะพูดประโยคต่อไปนี้ แต่ก็อยากจะมีซักครั้ง
ที่อยากจะพูดอะไรออกไปตามใจตัวเอง


“เอ๋ ”


“- - ผมก็ยังมีแม่ มียาย ล..แล้วผมก็มีโค้ก ผมก็จะอยู่ข้างๆโค้กตลอดไปนะ”


แต่พอมีลำแสงหนึ่ง..ที่ทอแสงมา เมฆฝนบนฟ้าก็ดูคลี่คลายออกไป
เริ่มมีความรู้สึก ที่เป็นด้านใหม่ ... ยังมีชีวิตอยู่ภายใต้แสง....ตะวัน

สองมือที่เกาะอยู่ข้างๆจานเป็ดย่างที่ร้านเอ็มเค ยังคงกุมอยู่อย่างเนิ่นนาน(แบบแอบๆ) จากสยาม เรื่อยมายังโบ๊เบ๊
ถึงผ่านฟ้า ไล่มาอนุเสารีย์ประชาธิปไตย แล้วผมกะไอ้โค้กสองคนก็เดินลงรถแท็กซี่มายังท้องสนามหลวง


ยิ่งใกล้เวลาหนึ่งทุ่มแล้ว บริเวณสนามหลวงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ถึงแม้จะร้อน ถึงแม้จะเหนื่อย
แต่บรรดาคนเหล่านั้น ก็มีรอยยิ้ม


“พี่คับผมขอเทียนสองเล่ม ”


ผมกะโค้กแบ่งกันถือคนล่ะเล่ม ยิ่งใกล้เวลาอันสำคัญ แสงไฟจากแสงเทียนก็ยิ่งค่อยๆสว่างไสวไปรอบทิศ
ถึงแม้ว่าอากาศที่จะเริ่มหนาวในต้นเดือนธันวาคมจะพอมีอยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นจากแสงเทียนที่ส่องสว่าง
ก็มีมากพอที่จะทำให้ทุกหัวใจไม่เหน็บหนาว


ผมกะไอ้โค้กมองหน้ากัน พร้อมๆกับมองไปรอบๆตัว มือที่ถือเทียนอยู่เล่มนึง ส่วนอีกมือที่ว่างอยู่ ผม
ค่อยๆเอามาสัมผัสไว้กับที่หน้าอกของตัวเอง


ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก


ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่โค้กพูดให้กำลังใจผมตอนที่เรานั่งอยู่ที่ร้านเอ็มเค
ก็ผุดขึ้นมา


“คิดถึงพ่อเหรอ”


“นิดหน่อย”


โค้กค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ แล้วก็เลื่อนไปวางไว้ที่หน้าอกของผม


“ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองมั้ย” มันถาม


“อือ”


“พ่อของปริ้นไม่ได้ไปไหนไกลหรอก” โค้กปล่อยมือที่กุมมือผมไว้


“เสียงหัวใจที่เต้น .... เลือดที่ไหลอยู่ของพ่อปริ้น มันไหลวนเวียน แล้วก็ทำหน้าที่ของมันอยู่
ในตัวของปริ้น ถ้าปริ้นอยากกอดพ่อ ปริ้นก็กอดตัวเองให้แน่นๆ ถ้าปริ้นรักพ่อ ปริ้นต้อง
รักตัวเองให้มากๆรู้มั้ย”


ผมปล่อยมือของตัวเองที่สัมผัสหน้าอก เลื่อนช้าๆไปกอดคอไอ้โค้กแทน


“หนาวมั้ย” ผมถาม


“ไม่เห็นหนาวเลย” มันตอบ


“โค้ก...”


“ฮะ”


“ปลายเดือนนี้ .... ไปเชียงใหม่ด้วยกันนะ” ผมบอกมันพลางเลื่อนมือที่กอดคอมันอยู่เปลี่ยนมา
จับที่มือแทน


.

.

.

.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-12-2006 20:24:55
หุหุ  :like2: และแล้วก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาจนได้   :yeb:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 10-12-2006 12:12:58
เหอๆๆ ลุ้นคับลุ้น คับลุ้นอยู่นะคับ  (สับสนกะชื่อตัวเองจัง   :kikkik: )

ตอนนี้โค้กได้ใจไปเต็มๆๆ

อยากมีอย่างนี้มั่งอ่ะ  :serius2:


อ่านแล้วก็ ม่ายอยากกิน MK คนเดียวอีกต่อไป  :impress:
กิน MK คนเดียวอ่ะ มันเหงานะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 10-12-2006 13:53:27
ได้ใจมากโค้กเอ๋ย (ที่จิงได้นานแล้วล่ะ :myeye:)

ทำไมถึงน่ารักกันอย่างนี้น้อ...เฮ้อ เมื่อไหร่จะเกิดกับเราบ้างเนี่ย

มาต่อไวๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณผู้เขียนกะคุณผู้โพสต์ สู้ๆๆ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 11-12-2006 16:46:52
โค้กน่ารัก  โค้กน่ารัก  โค้กน่ารัก  ไม่ไหวละ  น่ารักเกิน  อิอิ   :monkeylove2:

ต่อเลยค๊าบบบบบบบ  คุณบลู  น่ารักเหมือนกัน  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 11-12-2006 21:12:03
 :impress2: รักโค้กที่สุดเลย
 :impress2:รักๆๆๆๆๆ :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 12-12-2006 05:11:18
                       
                     :laugh:สะจายเจงๆ  อ่านรวดเดียวจบ 2 ตอนเรยหุหุ

                               ได้ใจคับได้ใจมักๆ

                                        รีบๆมาต่อนะคับ.... :teach:

                    มาช้ายังดีกว่าไม่มาชิมิคับคุณบลู......รักเรื่องนี่มากคับผม
                                     
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pandaba ที่ 12-12-2006 12:35:37
โห เพิ่งตามอ่านมาครับ กว่าจะตามจนจบเล่นเอาตาลายกันเลยทีเดียวครับ


แต่ว่ายังไงก็อ่านละเอียดทุกตอนครับ

ตอนอ่านไปแรกๆเราก็คิดว่าเฮ่ย เป็นเรื่องจริงๆรึป่าวฟระนี่ ข้อมูลทุกอย่างงี้แน่น ตรงกับความจริงเลยครับ

ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ต่างๆอะไรงี้ครับ

ส่วนเรื่องตัวละครงี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่เลยครับ

เพราะว่าชอบมากๆครับ   ดูเป็นอะไรที่เหมือนจริงจัง สงสัยเพราะว่าเราคงคิดว่าตัวละครพวกนี้เป็นกลุ่มที่มีอยู่จริงๆมั้ง

แต่พอมาเห็นเรื่องเบื้องหลังสถานที่ถ่ายทำก็นะ อ้าวสร้างจากสถานที่จริงๆที่เอง   ฮ่าๆๆๆ



จริงๆแล้วแอบเชียร์โค้กมานานแระครับ

เฮ้อ แต่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เนาะ มีพบมีจาก มีคบมีเลิก มีดีมีไม่ดี ว้าๆๆ   เครียดๆ

ขอบคุณ คุณ Staying power นะครับที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่านกันครับ

ขอบคุณผู้โพสต์ด้วยนะครับ  :haun5: :haun5:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pajaa ที่ 13-12-2006 23:45:31
ในที่สุดกระผมก็อ่านทันจนด้าย(แบบเน้น ๆ)....รวดเดียว 8 ชั่วโมง กับอีก 22 นาที   :try2:  5555+++
ขอบคุณมากๆๆๆๆคับ.....  :haun6:  ชอบคับ หนุกมากมาย (ชอบอีกล่ะ มีไม่ชอบมั่งมะเนี่ย)
เดี๋ยวพรุ่งนี้อ่านเก็บรายละเอียดอีกซักรอบดีก่า  :like6:


ปล1. ภาพตัดโคมไฟหัวเตียง (คุ้นๆ แฮะ)ทรมานจิง ๆเร้ยยยย :sad4:
ปล2. ปวดตาชิปเป๋ง พรุ่งนี้ต้องกินผักบุ้งอีกหล่ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Vasabi ที่ 17-12-2006 20:54:14
 :like2: รออ่านตอนต่อไป  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 18-12-2006 15:48:29

                 ใกล้มาอ๊ะยางน้อ.....รีบปั่นเข้านะคับ


                                สู้เค้านะทาเคชิ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 21-12-2006 22:38:28
รอ....จนป่านนี้....โอ๊ต คงรับปริญญาเสร็จไปแล้วมั๊ง....55555
 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 23-12-2006 01:36:22
เมื่อไหร่จามาต่ออะ  ปีนี้อากาศหนาวจัง ทำให้คิดถึงหลายๆฉากในเรื่องนี้อะ  แถมเรายังเผลอไปคิดถึงวันคืนเก่าๆอีก เฮ้ออีกแล้วนะเรา  เมื่อไหร่จะลืมเค้าได้ซะที  ว่ากันว่าเราใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาทีสำหรับการตกหลุมรักใครบางคน แต่การจะลืมใครคนนั้นอาต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดของชีวิต  หน้าหนาวปีนี้ทำไมเรารู้สึกว่ามันหนาวกว่าทุกๆปีนะ แถมมันยังกรีดลึกลงไปในใจเราอีก  เฮ้อ  เมื่อไหร่นะ......... :monkeysad:

อย่าด่าผมเลยนะมันไม่ไหวจิงๆขอยืมเปนที่ระบายหน่อย :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 28-12-2006 02:26:10
อ่านจบแล้วคับ !!

ชอบมากๆเลยอ่า..สนุกดี

แต่อยากให้เรื่องราวจบแบบ Happy Ending กว่านี้หน่อยอ่า

แล้วก็อยากให้พูดถึงตัวละครแต่ละตัวด้วยว่า..

มีการดำเนินชีวิตกันต่อไปอย่างไร

*******************************

ปล. ผมไม่ชอบตอนที่พี่ม่อนถูกฆ่าแล้วเอาไปแขวนเลยอ่ะ

อ่านแล้วน่ากัวมากเลย  กัวผีอ่ะ   :pigscare2:



หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 28-12-2006 21:41:59
เมื่อไหร่จะมาเขียนต่ออ่าค้าบ

อยากอ่านต่อมากๆๆๆเลย

อยากรู้ว่าเมื่อโอ๊ตรู้ว่า..ปริ้นกับโค้กคบกัน

โอ๊ตมันจะทำน่ายังไง   :laugh:

*******************
มาเขียนเร็วๆนะ

รออยู่ค้าบบ... :monkeysad:



หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tongsan ที่ 28-12-2006 21:57:58
เข้ามาช่วยตามอีกคน... รออยู่นะค้าบบบ   :impress2: หายเงียบไปเรย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: forsaken ที่ 29-12-2006 22:27:40
กะลังตามอ่านอยู่อ่าครับ สนุกดีครับ
เพิ่งอ่านได้หน้าแรกหน้าเดียวเอง แฮะ ๆ  :try2:
ตามอ่าน ๆ คืนนี้จะตามอ่านทันมะเนี่ย ^^"...  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pandaba ที่ 01-01-2007 02:23:58
รอครับ  :really2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-01-2007 07:13:56
หวัดดีปีใหม่แทน staying power ด้วยนะครับ ช่วงนี้คงยุ่งๆอยู่อ่ะครับ
เอาของขวัญปีใหม่มาให้ด้วยครับ
****************************************************************************************
“โค้ก … ปลายปีไปเชียงใหม่ด้วยกันนะ”
ผมนอนเอามือก่ายหน้าผากมีนหัวตึบ ทำไมตอนนั้นถึงพลั้งปากไปชวนไอ้โค้กไปด้วยนะ
ไม่น่าเลยจริงๆ เมื่อรู้สึกสัมผัสได้ถึงความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่า โค้กรู้เพียงว่าผมกะโอ้ตมีความสัมพันธ์เป็นเสมือนญาติอยู่บ้านเดียวกันเท่านั้น
เพราะตั้งแต่เริ่มคบกัน โค้กมันไม่เคยถามเรื่องแฟนเก่า รักครั้งแรก หรือว่าอะไรก็ตามที่ทำนองนี้
กับผมซักครั้ง

แต่….. มันจะเป็นอะไรไปล่ะ ในเมื่อตอนนี้ผมกะโอ้ตก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนี่นา ผมจะไปกังวล
ทำบ้าอะไรกับเรื่องนี้

ใช่ ตูจะกังวลไปทำไม จะตีตนไปก่อนไข้ทำไม ดีซะอีก มีไอ้โค้กไปด้วย จะได้ไม่ต้องเซ็ง เวลาที่
ต้องเจอกะโอ้ต แล้วก็แฟนมัน อีกอย่าง ถ้าถึงเวลาที่โค้กมันจะรู้จริงๆเรื่องอดีตความรักของผม
มันก็คงจะเข้าใจแล้วก็เชื่อใจผมล่ะมั้ง ว่าถึงตอนนี้ ไม่มีทางที่จะหวนกลับไปเป็นแบบเก่าได้อีกแล้ว


“จัดข้าวของเรียบร้อยแล้วเหรอยังปริ้น” เสียงแม่กรอกมาตามสายโทรศัพท์คืนก่อนวันเดินทาง

“เรียบร้อยแล้วค๊าบ” ผมบอก แต่จริงๆคือยังไม่ได้แม้แต่เอาเป้ออกมาปัดฝุ่น

“แล้วคิดยังไงล่ะจะไปรถไฟ ลำบากลำบน ไม่ยอมนั่งเครื่อง ”

“ก็อยากจะนั่งไรแปลกๆดูบ้างอ่ะ” ผมบอกไป ทั้งที่ใจจริงอยากไปเครื่องบินมากกกก แต่เพราะ
ต้องไปกะไอ้โค้กไง เลยต้องประหยัดๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ยังเป็นตู้นอน คงไม่ลำบากอะไรมากหรอกครับ” แต่ความจริงคือ ได้ที่นั่งแบบ
เบาะเอนได้ เพราะตู้นอนเต็ม

“แล้วนี่โทรบอกโอ้ตเค้ายังว่า จะมีเพื่อนไปด้วยน่ะ ”

“บอกแล้วครับ” แต่จริงๆคือไม่ได้บอก ว้อย ตายไปตูตกนรกแน่ๆ พูดความจริง 1 ตอแหลซะ 9

“ยังไงพวกแม่ก็รีบตามขึ้นไปเร็วๆล่ะกัน - - ได้ข่าวว่าเห่ออยากรับบัณฑิตใหม่กันจะแย่อยู่แล้วนี่นา”

“ย่ะ แล้วก็รีบๆเข้านอนแล้วกัน อย่าตื่นสายล่ะ”

“ครับ แต่สายหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก รถออกตั้งบ่ายสามนะ ”

รุ่งขึ้นผมตื่นเช้ากว่าปกติ (สิบเอ็ดโมง) เพราะต้องรีบจัดของใส่กระเป๋า ค้นตู้ไปมา ปรากฏว่า
เสื้อกันหนาวที่กะว่าจะใส่ไปดันตะเข็บขาดซะงั้น เลยต้องเขวี้ยงใส่ตู้กลับ เอาไงดีวะ แต่ช่วงนี้
ก็ไม่เห็นจะหนาวเท่าไร ไปที่โน่นก็คงไม่หนาวไรมากมั้ง เอาแค่เสื้อแขนยาวไปก็พอ

เกือบบ่ายสามผมก็มายืนรอไอ้โค้กอยู่ที่หน้าหัวลำโพง ที่ไม่อยู่รอมันมาพร้อมกันเพราะว่าโค้กมัน
มีเรียนช่วงเช้า แล้วผมก็ไม่อยากไปรอมันในมหาลัยด้วย ขี้เกียจแก้ตัวกับเพื่อนเรื่องที่จะไม่มาเรียน
เกือบสัปดาห์ ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู พร้อมๆกับปาดเหงื่อที่ไหลย้อยข้างแก้ม

คิดถูกแล้วที่ไม่ขนเสื้อกันหนาวมาด้วย

“ร้อนเหรอ …กินโค้กมั้ย”

“เฮ้ยยย … มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“เมื่อกี้”

“ชอบโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนะมึงเนี่ย - - ว่าแต่ไหนอ่ะโค้ก” ผมถาม เพราะเห็นไอ้ตัวดี
แบกแต่เป้ใบใหญ่มาเท่านั้น

“นี่ไง” มันพูดเสร็จก็จับมือผมข้างนึงไปทำเป็นวางไว้ที่หน้าขามัน

“ดูดเบาๆนะคับ รับรองหวานอร่อย ” มันพูดแล้วก็ยิ้มหน้าทะเล้น แต่ผมนี่ดิ ไอ้สาดดด คิดได้ไง
ไอ้ทะลึ่งบ่อง ว่าแล้วก็เลยเอามือข้างนั้นกระแทกไปที่เป้ามันทีนึง

“อุ๊กกกก …”มันร้องเสียงหลง

“ดี .. สม”

พอรถไฟมาจอดเทียบชานชรา ผมสองคนก็ค่อยๆเดินหาตู้ไปเรื่อยๆ แบบว่าชีวิตนี้ไม่เคยขึ้น
รถไฟสายยาวแบบนี้มาก่อน กว่าจะหาตู้ได้ก็ล่อไปเกือบท้ายสุด เปิดไปก็มีคนนั่งกันเต็มอยู่
แล้ว แต่ก็แปลกที่มีแต่แถวที่ผมกะโค้กนั่งว่างอยู่แถวเดียว (แถวหนึ่งมีเก้าอี้ 4 ตัว)

“ปริ้นที่นั่งเบอร์ไร”

“นั่นไง ที่ว่างอยู่นั่นอ่ะ ” ผมชี้บอก “- - ว่าแต่ไมคนมันเยอะแบบนี้วะ อุตสาห์มาวันธรรมดา
แล้วนะ”

“สิ้นปีก็งี้แหละ ” มันพูดเสร็จก็ลงไปนั่งรีบปรับเบาะเอนนอนทันที

“ง่วงมาจากไหนเนี่ย”

“วันนี้มีเทส เมื่อคืนอ่านหนังสือทั้งคืน ไม่ได้นอนเลยคับ - - ว่าแต่ปริ้นเอาของมาแค่นี้เองเหรอ ? ”
มันถามเมื่อเห็นเป้ผมชัดๆ

“อือ ”

“ผ้าห่มไม่ได้เอามาเหรอ”

“อ้าว บนรถไม่ได้มีผ้าห่มให้เหรอ ? ”

“ไม่มี ไม่ใช่ตู้นอนหนิ”

“เออ … ไม่เป็นไรมั้ง คงไม่หนาวหรอก ร้อนตับแทบแตก” ผมว่า

“ถ้าหนาวก็มาห่มกับผมก็ได้” มันพูดยิ้มแฉ่ง

“ไม่เป็นไรวะ กูแข็งแรง” ผมพูดเสร็จก็นั่งลงข้างๆ มัน

“สวัสดีครับ ไปเที่ยวเชียงใหม่เหรอครับ” มีเสียงทักมาจากเบาะอีกด้าน จนต้องเหลียวไปหา
ก็เจอน้องผู้ชายคนนึง ดูท่ายังเรียนมัธยมอยู่เลย หน้าตาน่ารักใช่ได้ (ต่อมรักเด็กกำเริบ)

ว่าแต่มันมาตั้งกะม่ะไรวะ ?

“อ่อ ครับ ไปงานรับปริญญาพี่นะครับ” ผมตอบแบบงงๆนิดหน่อย ที่อยู่ดีๆก็มีคนมาทักเฉยเลย

“พี่ของพี่เรียนมช เหรอครับ”

“ใช่ครับ - - แล้วน้องกลับบ้านที่เชียงใหม่เหรอ”

“ครับ ผมเกิดที่เชียงใหม่น่ะครับ - - แต่กลับคราวนี้ไม่มีเพื่อนกลับด้วยเลย”

“อ่อ ฮะ” ผมยิ้มแห้งๆกลับไป

ปู้นนนนนนนนน

เสียงหวูดรถไฟเป็นสัญญาณให้รับทราบว่า รถกำลังจะเคลื่อนตัวในไม่ช้า ตัวขบวนเริ่ม
ส่งเสียงกึกกัก

“มากับเพื่อนเหรอครับ”

“อ่อ ฮะ” ผมหันไปทางไอ้โค้กซึ่งตอนนี้นอนหลับอุตุไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไอ้เด็กคนนี้ยิ้มแปลกๆ แล้วก็ชวนผมคุยโน่นนี่ไปเรื่อย แปลกแฮะ ทำไมผมถึงรู้สึกไม่รู้สึก
อึดอัด หรือว่าตะขิดตะขวงใจที่ได้คุยกับน้องเค้าเลย ทั้งที่พึ่งได้รู้จักกันเมื่อตะกี้นี้เอง

“ปกติกลับบ้านคนเดียวบ่อยเหรอครับ” ผมถามต่อ

“ไม่หรอกครับ จริงๆผมไม่ค่อยได้ไปเชียงใหม่หรอกครับ - - ครั้งก่อนก็มีเพื่อนไปด้วย
เหมือนกับพี่นี่แหละ ” น้องน่ารักบอก

ผมกะน้องเค้าคุยเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องเรียน เรื่องอะไรต่ออะไรจิปาถะ จนลืมเวลาไปเลยคับ
รู้ตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงไอ้โค้กคราง อือ อ่า แล้วก็บิดขี้เกียจ แสดงว่าไอ้ตัวขี้เซาได้เวลา
ตื่นนอนแล้ว

“ไงมึง หัวถึงหมอนก็หลับเลยนะ ” ผมหันไปกัดมันเล็กน้อย

“เงอ …. กี่โมงแล้วอ่ะ”

“เกือบจะหกโมงแล้วอ่ะ หิวป่าว ” ผมถามมันเพราะว่าจะได้เอาข้าวกล่องที่ซื้อไว้มาแกะ

“อือ … ก็ดีอ่า” แล้วมันก็ปรับเบาะ บิดขี้เกียจอีกรอบ - - มืดเร็ววะ พึ่งจะหกโมงเอง มันว่า
แล้วก็รับข้าวกล่องไปสวาปาม

“เออ ใช่เกือบลืม - - ” ผมหันมาคุยกะไอ้โค้กเพลินจนลืมน้องเค้าไปเลย แต่พอหันกลับมาอีกที
ก็ไม่เห็นซะแล้ว ไปไหนหว่า ?

ผมเกาหัวแกร่กๆ

“ลืมไรเหรอ” ไอ้โค้กเคี้ยวข้าวทำหน้าสงสัย

“ม่ะกี้มีน้องเค้ามาชวนคุยด้วยอ่ะ ตอนที่มึงหลับอยู่ไง - - คุยหนุกดีนะ แถมน่ารักด้วย” ผมชื่นชม
จนไม่ทันได้มองสีหน้าไอ้โค้ก

“อะไร คุยกะใคร ”

“อ๋า … ทำไมต้องทำเสียงงั้นด้วยฟ่ะ”

“ก็ไมล่ะ แค่ผมหลับไปแป็บเดียว แอบไปคุยกะใครวะ” มันทำท่าวางช้อนแล้วก็ปิดกล่องข้าว
ทำเป็นงอนซะงั้น

“เฮ้ย … บ้าเป่า คิดไรเนี่ย เด็กนะเมิง” ผมชักจะฉุน

“ไม่รู้ว้อย หึง เข้าใจเปล่า หวงด้วย” มันไม่พูดเปล่า แม่ม เอามือมาจับหน้าให้หันไปหามันด้วย

“ถ้าปริ้นทำให้ผมเสียใจนะ ผมจะไปบวชไม่สึกเลยจริงๆด้วย” มันว่า เฮ้ยๆ อยากเลียนแบบใคร
เป่าวะ

“เอ้ย ..กูเจ็บ - - มึงพูดเบาๆได้เป่า” ผมชักเริ่มเห็นคนด้านหน้าๆหันมามองคนสองคน

“เดี๋ยวให้ถึงก่อนเหอะ คิดบัญชีแน่” มันพูดเสียงโหด แม่ง ช่วงหลังๆนี่ลมเพชรหึงพัดผ่านบ่อย
เหลือเกินนะวะ จะคุยนิดคุยหน่อยกะใคร ก็ไม่ได้ พ่อหวงไปหมด หลังจากที่ยอมคบกับมัน
เป็นแฟนจริงๆจังๆเนี่ย ปีกว่าผมแทบกระดิกไปไหนมาไหนไม่ได้เลย

“ปริ้นเจ้าชู้ ปล่อยไม่ได้หรอก”

นี่คือคำที่มันว่าผม จนทำเอาตูโมโหไปพักใหญ่เลยทีเดียว แต่คิดไปคิดมา อืม ก็เจงของมันวะ
ยิ่งพักหลังๆ พอรู้ตัวว่าเริ่มแก่ ต่อมหื่นก็เหมือนจะเริ่มทำงานหนัก

“ตกลงจะเป็นพ่อกูเลยใช่ม่ะ ” ผมพูดประชด

“เออ เป็นแน่ …” ดูมันตอบ

หลังจากนั้นตลอดเวลาที่รถไฟค่อยๆเคลื่อนขบวนไปเรื่อย ผมก็ไม่เจอไอ้เด็กนั่นเลย แถมไอ้ที่นั่ง
ข้างๆที่คิดว่าเป็นน้องนั่น ก็เป็นที่ของคนอื่นที่จองไว้แล้ว สงสัยมันอยู่ตู้อื่นมั้ง แต่จะว่าไปการนั่ง
รถไฟแบบไม่ได้เป็นตู้นอนแบบนี้ ทรมานโคตรๆ ทั้งเมื่อย ทั้งเหม็นห้องน้ำ คนนอนกรนอีก
ตะหาก

“อยู่กับคนหมู่มากก็เงี้ยแหละ ขี้บ่นจัง ” ดูมันว่าผม แทนที่จะเข้าข้าง เดี๋ยวนี้ไม่มีอ่ะ

พอผ่านเที่ยงคืนไปได้ไม่เท่าไร ลมหนาวก็เลยโชยมาแล้วครับ เออ ไม่ใช่โชยซิ พัดเข้ามาแบบ
กระพรืดกระพรือเลยล่ะ ผมถึงกะตัวสั่นระริก หันไปมองทางไอ้โค้ก แม่ม นอนห่มผ้าสบายใจ
เฉิบเชียว พอมันเห็นผมมองมันก็หลิ่วตาเป็นเชิงประมาณว่า ไง แข็งแรงม่ะใช่เหรอ ?

ผมนึกได้ว่า ยังพอมีเสื้อแขนยาวอยู่ในเป้นี่หว่า ก็เลยรีบคว้ามาใส่ทับโดยพลัน พอเหลือบไปมอง
ด้านหน้าๆ ก็พบว่า แต่ละคนก็มีผ้าห่มเป็นของตัวเองทั้งนั้น พอสวมเสร็จก็พออุ่นขึ้นมาได้หน่อย
มองเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ชักจะเริ่มง่วงแล้วดิ ตาผมค่อยปรือแล้วก็ปิดลงไปอย่างช้าๆ ท่ามกลาง
แสงไฟสีขาวที่เปิดจ้าอยู่บนขบวนรถไฟ

คึกคึกกก - - - -

“อึก”

คึก คึกกกกก คึกกก คึกก - - - -

ผมรู้สึกว่าขบวนรถไฟค่อยแล่นช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งจอดสงบนิ่งลง แต่ดูท่าทางจะจอดนาน
ผิดสังเกต เสียงคนในขบวนเริ่มพูดคุยกันไปมา จนน่ารำคาญนอนต่อไปไม่ได้แล้วว้อยย

“ตื่นแล้วเหรอ” ไอ้โค้กถามผม ตัวยังคลุมผ้าห่มอยู่

“อือ ทำไมรถหยุดอ่ะ”

“เห็นเค้าบอกว่าหัวรถจักรเสียอ่ะ ตอนนี้กะลังลงไปซ่อมอยู่

“ห่ะ เสียกลางป่าแบบนี้เนี่ยนะ” ผมสบถพร้อมๆกับเห็นควันออกจากปากบางๆ พร้อมกับยกมือ
ดูนาฬิกา ตีสามแล้ว จริงๆต้องถึงสถานีตีห้าครึ่งนะเนี่ย

“สงสัยรถเลทแน่เลย ” มันว่า

อากาศภายในตู้รถไฟหนาวเย็นอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต ดูเหมือนว่ารถไฟจะมาจอดอยู่
ที่แถวๆสถานีในจังหวัดลำปางซักอย่าง ตอนนี้ปากผมสั่นจนฟันขบกันแล้วล่ะ หนาวทั้งมือทั้งเท้าเลย

“ร่างกายแข็งแรง…” เสียงไอ้โค้กลอยมาเบาๆตามลม ผมหันหน้าสั่นๆไปหามันทำตาขวาง

“ไหนมาใกล้ๆดิ๊ ” มันว่า

“ไรเมิง” ผมยังทำปากแข็งทั้งที่ตัวแข็งไปทั้งตัวแย้ว

“มาเหอะน่า” มันเห็นว่าผมยังไม่ยอมเลยยื่นมือมาดึงแขนเข้าไป แล้วก็เอามืออุ่นๆมากุมมือผมไว้

“โห มือโคตรเย็น” มันพูดไป นิ้วมันก็ไล้มือผมไป ทำเอาสยิวกิ้ว

“ตกลงจาห่มผ้าห่มมั้ย” มันพูดยั่ว

ผมพยักหน้าเล็กๆแทนคำตอบ

“อะไรนะ”

“เอา ”

“ไรนะ” มันทำยื่นหูมาใกล้ๆ

“มึงเอาผ้ามานี่เลยม่ะ” ผมว่าพลางกระชากมาทั้งผืน แล้วก็เอามาห่มคนเดียวเลย แกล้งกูดีนัก

“เฮ้ย เล่นงี้เลยเหรอ” มันพูดเสร็จ ก็โถมตัวเข้ามากอดกูซะงั้น ไอ้หน้าด้านคนอยู่เยอะแยะ

“โค้กมึงเล่นไรวะ ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่ะ”

“ก็ชอบเด็กๆไม่ใช่เหรอไงฮะ - - ผมจะเป็นเด็กให้ไง ”

“หึหึ ไอ้เด็กโข่ง ” ผมพูดเสร็จ ก็แบ่งผ้าให้มันครึ่งหนึ่ง ภายใต้ผ้าผมนอนตะแคงหันหลังให้
ไอ้โค้กกอด ความหนาวเย็นที่มีเมื่อกี้ค่อยผ่อนคลายลงไปได้บ้าง

“แล้วนี่เมื่อไรเค้าจะซ่อมเสร็จวะ”

“เอาน่า คงไม่ถึงเช้าหรอก ” โค้กพึมพำแล้วก็เอาหัวมุดลงไปใต้ผ้า ผมรู้สึกว่ามันเอาหน้ามา
ซบที่หลัง เอ้ย… รู้สึกว่าใช่แค่หน้านี่นา มือมันค่อยๆเลื้อยสอดผ่านเสื้อเข้ามาจากด้านหลัง

“ม.. มึงจะทำไรอ่ะ” ผมหันคอไปว่ามันเสียงสั่น ไอ้โค้กมันอู้อี้อยู่ใต้ผ้าอยู่อย่างงั้น แล้วผมก็รู้สึก
ว่ามันเอามือลูบผ่านหน้าอก

“ไอ้เชี่ยย” ผมแอ่นตัวหลบมัน ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก

“เสียวเหรอ …” มันโผล่หน้าออกมา แต่มือมันยังเลื้อยอยู่ใต้ผ้า

“มึงโรคจิตป่ะเนี่ย .. ”

“ไม่รู้จักผีผ้าห่มเหรอ หุหุ” มันพูดเสร็จก็เปลี่ยนมากอดผมใต้ร่มผ้า แล้วก็เอาหน้ามาซบที่ไหล่

“นอนเถอะปริ้น เดี๋ยวจะตื่นไม่ไหว”

“อือ”

ตอนนี้ผมรู้สึกว่า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ชวนมันมาด้วย อ่า… โค้ก กูรักมึงจัง

ผมรู้สึกตัวตื่นมาอีกที รถไฟก็วิ่งฉึกฉักเป็นปกติแล้ว เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ
มองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าเริ่มมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านมาแล้ว ไหล่ข้างที่โค้กมันซบหลับอยู่
เปียกชื้น

“ไอ้ห่า นอนน้ำลายไหลอีกแล้วนะมึง ” แล้วก็จัดแจงล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับปากมัน แล้วก็
ยกหัวไปพิงไว้กับพนัก กูปวดฉี่ว้อย

อุ๊บ แค่เปิดประตูเข้าไป แทบเป็นลม เหม็นชิบหายยยยยยยยยย….. กลั้นหายใจปั๊บ
ล้วงหนอนชาเขียวออกมาพ่นปุ๊บ เผ่นออกมาปั๊บ โหยยย กูหายง่วงเลย

“มาฉี่เหรอพี่ ”

“คับ” ผมยิ้มให้เมื่อได้เจอน้องที่ได้คุยเมื่อเย็นที่หน้าห้องน้ำพอดี

“ห้องน้ำเหม็นชิบเป๋งเลยวะ เข้าดีๆนะ” ผมเตือนแล้วก็ทำท่าจะเดินกลับไปนั่งที่ แต่ก็นึกอะไรได้
เลยยืนรอน้องเค้าแถวนั้นก่อน

“อ้าว… พี่รอผมเหรอ”

“อะครับ คือพี่ลืมแนะนำตัวไปเลย คุยกันตั้งนาน” ผมยิ้มเขินๆ “- - พี่ชื่อปริ้นนะครับ ส่วนเพื่อนที่
มาด้วยชื่อโค้ก ถ้าได้เจอกันอีกก็ทักได้นะ”

“ครับพี่ เราคงได้เจอกันอีกล่ะ” มันว่า

“- - ผมปิงครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

น้องปิงยิ้มให้ผมก่อนที่จะค่อยๆเดินข้ามตู้ไปอีกตู้นึง ทิ้งความรู้สึกสงสัยบางๆที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ไว้ที่ส่วนลึกในใจ

“เอ… อืมมมม…. ทำไมมันคุ้นๆ น้า แต่นึกไงก็นึกไม่ออก”


.

.

.

.

.
โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง(ภาคพิเศษ) – HolyNight
ตอนต่อไป -------------------------------------------------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/

โดย staying power

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 03-01-2007 08:37:25
เหอ เหอ ผีพี่ปิง แน่เลย   :sad5:

สวัสดีปีใหม่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-01-2007 08:49:25
คิดเหมือนกันเลย ปิงแน่ ๆ  :sad5:

มาทำให้ปริ้นเข้าใจโอ๊ตหรือไงน้า   :serius2:

รอลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 03-01-2007 11:41:54
ปิง รีเทิร์นส์.........................

แถมเปงเวอร์ชั่นผีเด็ก

ลุ้นเจงๆๆๆๆ


พูห์ :laugh:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-01-2007 12:26:06
เย้ย...  ผีปิงจริงๆ ดิ  กลัวผีอ่า  ผีเด็กก็เหอะ มากลางวันแสก ๆ  :try2:

รออ่านต่อคับ  เรื่องที่รอคอย   :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ผีตาโบ๋ ที่ 03-01-2007 13:23:46
 :like2: :like2: มาแล้ว.....ดีใจจังเลย  แล้วมาต่อตอนต่อไปเร็วน้า

จะมีการรีเทิร์น ปริ๊นกะโอ๊ต มั๊ยอ่ะ อุตส่าห์มีผีเป็นพ่อสื่ออ่ะ :haun2:

 :pigscare2: เดี๋ยวตาโบ๋เป็นแม่สื่อช่วยอีกแรง  :pigha2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 03-01-2007 14:06:25
ง่ะ มีผีเด็กด้วยอ่ะ อย่าบอกนะว่าจะมาทำให้โอ๊ตกะปรินซ์กลับมารักกันเหมือนเดิม
ไม่ยอมนะ ผมปลื้มโค้กกะปริ๊นซ์แล้ว ไม่เอาโอ๊ตอ่ะ :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 03-01-2007 14:30:20
 :sad5: :sad4: :sad5: :sad4: ง่ะปิงเป็นน้องใครหว่า................หรือว่า...... :o เด็กหอ!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 03-01-2007 19:48:28
ตกลงว่า " ปิง " ที่โผล่มานี่ เป็นผีหรือคนอ่ะ?   :confuse:

อยากรู้ๆ..รีบๆมาต่อเร็วๆนะค้าบบ...รออยู่นะ

 **************************************
ปล. ไม่อยากให้โอ๊ตกับปริ้นกลับมาคบกันอีกเลยอ่า
       เพราะว่าเราสงสารน้องโค้กอ่ะ

                           :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 03-01-2007 22:55:29
ส่วนเราน่ะคิดถึงพี่ชายที่อบอุ่นที่ชื่อโอ๊ต....น่ะ ไม่รู้ยังอุ่นเหมือนเดิมหรือเปล่าน่ะ
 :try2: :confuse: :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: forsaken ที่ 04-01-2007 03:31:08
 :o ผี หรือ คนหว่า???
ปิงกลับมาเกิดใหม่ป่ะเนี่ย หยอง... :sad5:

รออ่านต่อครับ ^^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 04-01-2007 22:01:07

         :teach:
                           รักครั้งแรกมักไม่สมหวัง จิงป่ะคับคุณบลู

                             ให้รู้ปายว่าคบกันมาหลายปี กะคบปีเดียว
                     
                                           เจ้าชายจะเลือกใคร....
                                    ( อินมักๆเลยป๋มเนี่ย ) :laugh:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 05-01-2007 21:46:53
ตอนแรกเราอยากให้โค้กกับปริ้นคบกัน

แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจและ !!

โอ๊ต...ก็สุภาพ

โค้ก...ก็น่ารัก

งั้นเราขอเก็บไว้ทั้ง 2 คนเลยดีกว่า  :-[

**********************
ตกลงเรื่องนี้ขอจบแบบ 3 คนผัวเมียได้ไหมอ่า  :monkeylove2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 09-01-2007 01:46:24
ไม่ได้คับ ผมขอVETOพี่ปิง

จะโดนเล่นมั้ยเนี่ย แหะๆ




COKE & PRINCE 4 Ever คับ  :impress:

only นะ


ไม่เอาโอ๊ตนะ :pigangry2:



from.
CokeFC(ตั้งแต่ม่ะไหร่เนี่ย 55+)




ps.เพิ่งตามมาอ่านจนจบคับ ชอบเรื่องนี้มาก(คอมเม้นไว้ในหน้าindexของblogพี่แล้วนะคับ)

love Prince
love Coke
love P'Staying power


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 13-01-2007 00:45:09
 :-[  รักโค้กๆๆ ที่สุดเลย

เห็นด้วยกะรีบน สนับสนุนเต็มที่ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-01-2007 11:14:31
กร๊ากๆๆๆ ถึงเป็นผี ผมก็รักปิงของผม อิอิ
*************************************

.
.

.อิอิ พอดีคนเขียนแวะมาทักทาย
ลงไปอ่านคุณ staying power มาโพสแทนละกันนะครับ

ผมลบของผมออกก่อน คิกคิก

 :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-01-2007 11:31:25
โอ๊ย อึดอัด  :serius2: เบื่อโอ๊ตจริง ๆ  :serius2:

ทำไมชอบทำตัวเป็นคนดีที่โลก(ไม่)ต้องการนักนะ  :serius2:

ทำเขาเจ็บโดยไม่มีคำอธิบาย แล้วยังทำตัวเป็นพระเอกอีก  :pigangry2: เซ็ง

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 13-01-2007 11:47:58
     แงแง

    ทำไมมาโหมดเศร้าอีกแล้นอะ

    ไม่ยอม ไม่ยอม  :serius2:  :serius2:  :serius2:

    ต้องหลั่งน้ำตาอีกแล้วเหรอ

    สงสารโค้ก

    เห็นใจปริ้น

    เข้าใจโอ้ต

   พูห์ คนเลวๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 13-01-2007 12:11:51
มานจารายนักหนาเนี๊ยะ อึดอัดๆๆๆๆ :serius2:



 :sad4:   :sad4:    :sad4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: forsaken ที่ 13-01-2007 13:59:55
 :monkeysad: เศร้าอีกแว้ว...
อยากอ่านต่อ ๆ อยากรู้ว่าปริ้นจาตอบงัย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 13-01-2007 15:55:54
ไรว๊า . . . รมณ์เสีย :serius2:

 :monkeysad: . . .
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 13-01-2007 16:33:51
เฮ้อ....เราว่าปริ้นน่าจะฟังคำอธิบายของโอ๊ตหน่อยน่ะ
เอ๊ะ....หรือว่าโอ๊ตน่าจะมีคำอธิบายที่ดีให้ปริ้นหน่อยดีล่ะ
(แต่นึกถึงที่โรงหนัง  กับโกหกปริ้นตอนโทรศัพท์อีก ....ไม่น่าอภัยเลยยยย...)
 :haun2: :o :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 13-01-2007 17:31:07
ถ้าผมเป็นปริ๊นซ์นะ

ก้ออยากฟังเหมือนกันนะคับว่าโอ๊ตอยากจะพูดอะไร (แอบน่าสงสารอยู่)


แต่คงไม่หวั่นไหวแล้วหละ ...โค้กแสนดีขนาดนี้

ที่โอ๊ตทำกับปริ๊นซ์ไว้มันก้อสุดจาบรรยาย -*- ถึงจะมีเหตุผลที่น่าเห็นใจก้อเหอะ


อินมากไปและกุ 555+




ติดตามคับ  :like2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 14-01-2007 15:35:02
.
.

.

ครึกกก กกก แกร้งงง


อุ้ย ใครมาเขย่าแขนกูวะ กำลังหลับสบาย


“ปริ้น … ปริ้น”


“ฮือ”


“ตื่นได้แล้ว จะถึงแล้ว” เสียงแว่วๆข้างหู พร้อมกันกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจบนขบวน
รถไฟก็ค่อยๆดังขึ้นมา อ่อ ใช่ ตูเผลอหลับไปนี่หว่า


ผมหาวออกมาจนควันออกจากปาก


“หนาวชิบเป๋งเลย” ผมพูดพลางกอดอก ไอ้เสื้อแขนยาวที่เตรียมมาดูเหมือนจะไม่พอซะแล้ว


“เอาของผมไปใส่ดิ” น่าน แฟนกูโชว์ความแมน มันพูดเสร็จก็โยนเป้ของมันมาทางผม


เอ๋ ?


“ลองหาๆดูนะ น่าจะติดมาอีกตัวนึงอ่ะ” มันว่าเสร็จก็ขอตัวไปล่างหน้าแปรงฟันด้านหลัง
แป่ว กูก็นึกว่าจาถอดที่ใส่ให้ซะอีก


ไม่ถึงยี่สิบนาที รถก็จอดเทียบชานชาลาเชียงใหม่คับ แต่ได้ข่าวว่าเลทจากเวลาเดิม
เกือบสามชั่วโมง เวลาตอนนี้เลยประมาณเกือบ 9 โมงเช้า


“แล้วนัดพี่โอ้ตให้มารับที่ไหนอ่ะ ” ไอ้โค้กถามเมื่อเดินกันออกมาเกือบนอกสถานี


“เป่า ไม่ได้นัด ”


“หา.. ว่าไรนะ” ไอ้โค้กถามเสียงหลง


“ไม่ได้บอกมันว่าจะมาวันนี้ซะหน่อย ” ผมว่า


“อ้าวว… แล้วจะไปพักที่ไหนอ่ะ แล้วจะไปกันยังไงอ่ะ แล้ว- - -”


“หยุ้ดดด ก่อน - - ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถึงไม่ได้บอกไว้ แต่กูก็จองโรงแรมไว้แล้วอ่ะ” ผมบอกมัน


“แล้วเด๋วพอถึงแล้ว ค่อยโทรไปบอกว่ามาถึงแล้วก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปกวนไรมันมาก ”


ไอ้โค้กผงกหัวไปมาเหมือนจะเข้าใจที่ผมพูด แล้วก็เดินตามผมต้อยๆไปโบกรถแดงหน้าสถานี


“พี่ๆ ไปเชียงใหม่ภูคำอ่ะ กี่บาท”


“ร้อยซาว”


“โหย แพง เก้าสิบก็พอแหล่ว”


ผมต่อกะมันไปซักพักนึง ก็รู้สึกปวดหัวแล้ว


“อ่ะ ๆ ก็ได้” ผมหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบตกลง เพราะตอนนี้เหมือนจะสายพอควรแล้ว ที่น่าโมโห
ไม่เปลี่ยนก็คือ กว่าไอ้รถแดงจะไปถึงโรงแรม ก็ขับอ้อมโลก รับคนโน้นคนนี้ กว่าจะถึงก็ปาไปเกือบชั่วโมง


พอเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้เปิดมือถือเลย พอเปิดปั๊บเท่านั้นล่ะ มีมิสคอลมาประมาณ
ร้อยกว่าสาย


“โหย…. มีเบอร์ใครบ้างวะเนี่ย ”


ผมกดๆดู มีเบอร์แม่อยู่ไม่กี่ครั้งที่โทรมา ส่วนที่เหลือเป็นของไอ้โอ้ต แหง่ะ มันรู้ได้ไงว่าผมจะมาวันนี้วะ
คิดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


“ฮัล - - ”


“ถึงเชียงใหม่แล้วใช่มั้ย” เสียงไอ้โอ้ต


“อืม พึ่งถึง มารถไฟไม่ค่อยมีสัญญาณเลย ” แหลสุดริด


“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ” เสียงมันถามเคร่งขรึม เหมือนมีอารมณ์ไม่พอใจอยู่หน่อยๆ


“อ่อ ตอนนี้อยู่ที่พักแล้วล่ะ” ผมว่า แล้วทำไมต้องรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดด้วยวะ


“ทำไมไม่บอกโอ้ตล่ะว่าจะมาถึงวันนี้” ถามเสียงเข้ม


“ก็ไม่อยากรบกวน” ผมตอบเสียงอ่อยๆ


“ปริ้นเป็นน้องโอ้ตนะ จะรบกวนได้ไงกัน แล้วนี่ถ้าแม่ปริ้นไม่โทรมาหาโอ้ต ก็คงไม่รู้หรอก
ว่าจะมาถึงวันนี้ ” มันว่า


“อ่ะ อ่ะ แล้วโอ้ตบอกแม่ว่าไงอ่ะ” ผมละล่ำละลัก ถ้าแม่รู้ว่ามาโดยไม่ได้บอกโอ้ตไว้ แถมยัง
จองโรงแรมเองอีก มีหวังแม่ขึ้นเครื่องมาฉีกอกวันนี้แน่


“จะให้บอกว่าไงล่ะ - - ” มันพูดแบบมีเลศนัย แล้วมันก็ถอนหายใจ


“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะปริ้น” เสียงมันดูเป็นห่วงมาก “- - เป็นห่วงนะ”


ฟังประโยคนี้แล้วแปล๊บๆ


“เหรอ ? ”


“มากับโค้กใช่มั้ย ? ” มันถาม แม่คงบอกหมดเปลือกแล้ว


“อืม ไม่อยากมาคนเดียวอ่ะ เหงา ” ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองเน้นคำสุดท้ายจังวะ ไม่เอาน่า
เราขึ้นมายินดีให้กะโอ้ตนะเว้ย … เรื่องมันผ่านมาก็นานแล้ว จะแค้นอะไรนักหนา


(ความแค้น สิบปีก็ไม่สายหรอก) อันนี้ตอบตัวเองในใจ


“ตอนนี้ปริ้นอยู่ไหนกันล่ะ เดี๋ยวโอ้ตไปรับหาอะไรกินกันตอนเช้า ” มันว่า


“แล้วโอ้ตไม่ต้องทำงานเหรอวันนี้”


“ช่วงนี้ลาหยุดอ่ะ”


“อ่อ ”


“ตกลงอยู่ที่ไหนกันเหรอ”


“เชียงใหม่ภูคำ ”


แล้วผมก็รู้สึกเหมือนไอ้โอ้ตจะเงียบหายไปพักใหญ่


“ยังอยู่เป่า โหลๆ”


“อือ ย.. อยู่ ยังไงรออยู่ที่ล็อบบี้ล่ะกัน เดี๋ยวประมาณสิบห้านาที ”โอ้ตไปรับ


“ไอ้โค้กกกก ให้เวลาสิบนาทีแต่งตัวนะว้อยยย ” โอ้ตมันจะมารับแล้ว ผมตะโกนไปทางห้องน้ำ
ไอ้นี่พักหลังๆ กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องได้ เป็นชาติเศษ ไม่รู้จะหล่อไปไหน


“ตกลงบอกพี่โอ้ตแล้วเหรอ ”


“แม่บอก”


“อืมมม พี่โอ้ตนี่ใจดีเนอะ อุตสาห์ลางานพาน้องเที่ยว ”


“หึหึ”


“หัวเราะแปลกๆ” ไอ้โค้กทำหน้าง้ำแล้วก็เอามือมาบี้หัวผม


“แล้วทำไมพี่เค้าไม่กลับไปทำงานที่กรุงเทพอ่ะ หรือว่ารอให้รับปริญญาก่อน แล้วถึงจะกลับ”


ผมอึ้งกับคำถามไอ้โค้กไปพักนึง อืม… ทำไมนะ ไอ้โอ้ตถึงไม่ยอมกลับซะที ทั้งๆที่งาน
ที่นี่มีให้เลือกน้อยจะตาย หรือว่า เพราะความรัก….


ผมคิดถึงช่วงนี้ ก็ได้แต่ยิ้มหน้าเจือนๆให้กับตัวเอง


รักมากมั้ง ก็เลยยังไม่อยากจะกลับ - - มันจะมีเหตุผลไรอีกล่ะ


หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จแล้ว ก็มานั่งรอโอ้ตที่ล็อบบี้ด้านล่าง ผมรู้สึกกระวนกระวายพิลึก
เหมือนกับครั้งก่อนๆที่จะต้องเจอกัน ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอมัน ก็เมื่อสองสามปีที่แล้ว ที่มันกลับบ้าน
แล้วพาพี่เตไปเที่ยวด้วย นั่นเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆที่ผมได้เจอโอ้ต แล้วก็..พี่เต


“ปริ้น พี่โอ้ตมาแล้ว” ไอ้โค้กสะกิดผมเบาๆ


“อืม.. จะรีบร้อนไรหนักหนาวะ”


“รีบดิ ผมหิวอ่ะ”


ไอ้โอ้ตในมาดเภสัชกรหนุ่มค่อยๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมกะไอ้โค้กที่นั่งอยู่ ใบหน้าเหมือนมีรอย
ยิ้มที่เหมือนแอบซ่อนความดีใจอยู่เล็กๆ


“หวัดดีครับ พี่โอ้ต ” ไอ้โค้กยกมือไหว้


“ครับ เป็นไงเชียงใหม่หนาวมั้ย ” โอ้ตยกมือตีแขนไอ้โค้กเบาๆเป็นเชิงทักทาย - - เกือบจำไม่ได้เลยนะเรา”


“ฮ่ะ ฮ่ะ ” ไอ้โค้กหัวเราะทำท่าเขิน มันจะเขินทำไม


“พี่ก็ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ ว่าตอนม.ปลายก็เข้มอยู่แล้ว ”


“ก็โตแล้วนี่หว่า จะมาทำตัวเด็กๆอยู่ได้ไง ” ไอ้โอ้ตว่า สรุปว่ามันจะคุยอะไรกันมากมาย ไม่สนใจกูเลยใช่มั้ย


“โค้ก ม่ะกี้มึงบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ ? ” ผมพูดสอดเข้าไป


“เออ ใช่ หิวๆ”


ไอ้โอ้ตเหลือบตามามองผมแป็บนึง แล้วก็ยิ้มๆ


“หวัดดีปริ้น ไม่ทักกันบ้างเลยนะ”


“หวัดดี - - ก็เห็นคุยกันหนุกหนาน ก็เลยไม่อยากขัดความสุขหว่ะ” เฮ้อ กูเมนต์มาอีกแล้วเหรอเนี่ย
อารมณ์เสียบ่อยเชียว


“งั้นเดี๋ยวพาไปหาอะไรกินแก้อารมณ์เสียแล้วกัน” ไอ้โอ้ตว่า แล้วก็เดินนำหน้าไปที่รถของมัน รู้อีกนะ
ว่าอารมณ์เสีย พอถึงไอ้โค้กก็รู้ดี ไปนั่งด้านหลัง ผมก็นั่งหน้ากะโอ้ตตามระเบียบ (ซึ่งมันก็ต้องเป็น
หยั่งงี้อยู่แล้วมั้ง) ซิตี้คันนี้ ยายพึ่งถอยให้ไอ้โอ้ตไม่ถึงหกเดือนที่ผ่านมา ให้เป็นของขวัญที่เรียนจบมาได้
แล้วอีกอย่าง เวลาทำงานจะได้สะดวกไม่ต้องขี่มอไซต์ไปมาให้ลำบากเหมือนตอนเรียน ยายกูเอาใจว่าที่
บัณฑิตสุดริด


โอ้ตพาผมกะไอ้โค้กไปหาไรกินที่ร้านแถวหน้ามอ ร้านหนึ่ง แล้วก็จะพาพวกผมขึ้นไปบนดอยสุเทพ


“เดี๋ยวถึงแล้วปลุกผมด้วยนะ ของีบแป็บนึงอ่ะ ” ไอ้โค้กว่า แล้วก็ล้มตัวลงไปนอนโดยฉับพลัน


“ง่วงไรนักหนาวะโค้ก ” ผมว่ามัน


“ก็เมื่อคืนไม่ได้หลับเลยอะ ปริ้นหลับอยู่คนเดียว”


คราวนี้กลายเป็นว่า ขณะขึ้นดอยวนไปวนมาอยู่แบบนั้น ในรถไม่มีเสียงพูดคุยอะไรกันเลยระหว่างผมกะ
ไอ้โอ้ต


“เวียนหัวเหรอปริ้น นั่งเงียบเชียว ” มันเริ่มคุยขึ้นมาก่อน


“เป่าหรอก แค่ไม่รู้จะคุยอะไร”


“แล้วแม่ปริ้นจะขึ้นมาวันไหนเหรอ ? ”


“ก็คงขึ้นมาพร้อมกับพ่อแม่โอ้ตล่ะ”


“อือ”


“………….”


“…………”


“………”


“ปริ้น”


“ฮือ”


“โค้กดูแลปริ้นดีมากเลยนะ”


มันพูดทำเอาผมสะอึก ทั้งๆที่ก็พอรู้หรอกว่า มันรู้ว่าผมกะไอ้โค้กคบกัน แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับมันจังๆ
เรื่องนี้มาก่อน


“ดีดิ ก็ไอ้โค้กมันเป็นแฟนเรานี่นา ” ผมพูดไปโดยที่หันหน้าออกทางหน้าต่าง


“อือ คนเป็นแฟนกันก็ต้องดูแลกัน” ไอ้โอ้ตพูดเบาๆ “- - โอ้ตไม่น่าถามไรโง่ๆเลยเนอะ”


“อยากจะพูดอะไรอ่ะ โอ้ต” ผมเค้นเสียงถาม โดยที่ยังหันหลังให้มันอยู่


“ไม่มีอะไรหรอก” มันว่าแล้วก็เงียบไป ได้ยินแต่เสียงแอร์รถดังหึ่งๆ


“………”


“ทุกที .. ”


“ปริ้นว่าอะไรนะ ? ”


“ก็เป็นแบบนี้ทุกที … - - อยากจะพูดอะไรทำไมไม่พูดออกมาวะ” ผมพยายามควบคุมเสียง
เพื่อไม่ให้ไอ้โค้กตื่น


“ถ้าสิ่งที่โอ้ตบอกออกไปแล้ว มันทำให้เรื่องแย่ลง ถ้าเป็นปริ้น ปริ้นจะพูดเหรอ ? ”


“แต่ถ้าไม่พูด มันก็ยิ่งแย่กว่า” ผมขึ้นเสียง หันหน้าไปหามัน ที่กำลังขับรถอยู่


“มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ ปริ้น ถึงพูดไปมันก็ - -” โอ้ตพยายามสงบสติอารมณ์ค่อยๆบอกผม


“ใช่ดิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว แล้วมันก็ไม่มีทางจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วย” ผมพูดรู้สึกว่าน้ำตาคลอๆ
“- - รู้มั้ย ว่ามันแย่แค่ไหน ที่เห็นว่าโอ้ตทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอ่ะ ”


“งั้นปริ้นก็คงรู้สึกแย่มากที่ต้องมาเจอกับโอ้ต ใช่มั้ย ? ” โอ้ตถามผม รู้สึกว่ามือมันสั่นๆ แต่สายตามันจ้องไป
ข้างหน้าเขม็ง


“ใช่ !! เบื่อ … เซ็ง … อึดอัด ” ปากตอบไปอย่างงั้น แต่ในใจเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่นะเว้ย
กูไม่ได้รังเกียจมึงขนาดนั้น แต่ … แต่


เสียงรถเบรคดังลั่น ได้ยินเสียงไอ้โค้กหลบจากเบาะไปนอนแอ้งแม้งอยู่ด้านล่าง


สายตาโอ้ตจับจ้องไปด้านหน้าถนน มีน้ำใสๆร่วงลงกระทบแก้ม ผมเห็นมันกำพวงมาลัยแน่น


“ร…รอ - - ปริ้นทนรออีกหน่อยล่ะกัน โอ้ต ร..รับปริญญาเสร็จแล้ว จะ ..จะไม่ไปให้ปริ้นเจอหน้าอีก
รับรองโอ้ตจะไม่ทำให้ปริ้นเสียใจอีกแล้ว”



.

.

.

.

.
โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง(ภาคพิเศษ) – HolyNight
ตอนต่อไป -------------------------------------------------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-01-2007 16:26:21
คริคริ คุณ stayingpower มาเองเลย

ขอบคุณนะครับ

มาต่อเวยเวยหนา

อย่ามั่วแต่อ้าวแผ่นดินไหวนะ

เป็นกำลังใจให้ครับ

พูห์ คนเลวๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 14-01-2007 18:58:56
ขอบคุณค้าบบบ

มาต่ออีกนะค้าบ

sp.รัษาสุขภาพด้วยนะคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigrat ที่ 14-01-2007 22:17:49
ตามอ่านทันแว้ววว  ว่ะฮ่ะฮ่ะ  :try2: :try2:

ทำไมเศ้ายังงี้ล่ะ.... สงสารรรร  ทั้งโอ๊ต ทั้งปริ๊น  :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 15-01-2007 10:48:05
 :impress: :impress: :impress: รอต่อไป  :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-01-2007 13:58:44
ว้าววว  คุณ staying power มาเอง  อิอิ เป็นแฟนคลับ  :impress2:

หวังว่าภาคนี้คงบอกอธิบายเหตุผลของโอ๊ตที่ทิ้งปริ้นไปในตอนนั้น  ไปอยู่กับเต...เพราะว่ารักหรือว่าสงสารไม่รู้  หรือโอ๊ตจะคิดว่าเตมีอะไรคล้าย ๆ ปิงรึเปล่า  ภาคนี้ปิงจะมีบทบาทรึเปล่านา  ยังไงก็รอต่อไป  เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยนะเนี่ย  เปิดมาต้องมาเปิดก่อนเลย  ชอบมาก ๆ คะ

รออ่านต่อปายยยยย  มาเร็ว ๆ น้า  จะลงแดงตายอะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 15-01-2007 17:39:31
อ้าว ม่ะวานผมดันไม่เห็นรีพลายของคุณบลูที่โพสไว้
เลยโพสเบิ้ลซะงั้น -_-''

ขออภัยด้วยค๊าบ

ขอโทษคุณบลูด้วยคับ ไม่ทันเห็นอ่ะ :pigscare2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Kimhan ที่ 15-01-2007 17:51:50
ตัวจริงมาแล้ว
  จะบอกว่าผมชอบมากครับหนุกดี  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-01-2007 19:27:40
เอิ้กๆ ผมลบของผมออกแล้วนะครับ

นานๆปริ้นแวะมาที ให้อ่านจากปริ้นเลยดีกว่า

คิกคิก

 :haun6:

คิดถึงนะครับ พักผ่อนเยอะนะครับ

มีความสุขมากๆนะปีใหม่นี้


 :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: forsaken ที่ 15-01-2007 20:44:35
แฮะ ๆ นึกว่าจะมีตอนใหม่มาลงให้ซะอีก  :try2:
รออ่านตอนต่อไปอยู่คร้าบ เรื่องสนุกมากเลยครับคุณ stayingpower 
ชอบ ๆ คร้าบบบ ...  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 18-01-2007 01:50:36
เย้ๆๆ...มาต่อแล้วเหรอ

ผมนั่งรอ นอนรอมาตั้งนาน

นึกว่าจาไม่มาต่อซะแล้ววว

    ***************
ขอบคุณ คุณบลู และคุณ Stayingpower มากๆเลยน้าคับบ

แล้วผมจะรอตอนต่อไปน้าค้าบบ   :monkeylove2:

By Stayingpower & BlueBoyHub Fanclub
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 21-01-2007 17:31:39
.

.

“ปริ้นกับพี่โอ้ตเป็นแฟนกันเหรอครับ”  น้ำเสียงที่มาพร้อมใบหน้าที่ดูหงุดหงิดของไอ้โค้กปะทะ
เข้ามาโสตประสาทของผม


“ท….ทำไมอยู่ๆก็ถามแบบนั้นวะ”  ผมรู้สึกอึ้งนิดหน่อยที่มันเป็นฝ่ายถาม


“คุยกันซะดังขนาดนั้น คิดว่าผมไม่ได้ยินเหรอไง”  มันเค้นเสียง  “- -  แล้วตกลงว่าไง”


“เคยเป็น แต่ - - ”


“แล้วทำไมปริ้นไม่เคยบอกผม”  ไอ้โค้กดูเหมือนจะลมปราณแตกพล่าน ทำเอาผมตกใจ อะไรกันวะ
แค่เรื่องแค่นี้เอง ทำไมผมต้องบอกมันด้วยวะ


“แล้วทำไมกูต้องบอกมึงทุกเรื่องด้วย ”  ผมเถียง  รู้สึกยัวะเหมือนกัน


“ก็ปริ้นเป็นแฟนผม”  มันตะคอก พลางเอามือมาบีบไหล่ซะแน่นเชียว  “- - ที่ปริ้นไม่ยอมบอกผมก็เพราะว่า
ปริ้นยังชอบพี่โอ้ตอยู่ใช่มั้ย !! ”


“ไม่ใช่นะว้อย .. มึงเอาอะไรมาพูด - - กูกะโอ้ตไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”


“ถ้าผมไม่ได้เห็นท่าทางตอนอยู่ในรถ  ผมก็คงเชื่อหรอก”  มันดูจะพยายามคาดคั้นให้ได้เหลือเกิน


“มึงไม่เชื่อใจกูเลยเหรอ ? …  ถ้ากูบอกมึงว่าเคยคบกะโอ้ต แล้วมันจะได้อะไรวะ”   ผมพูดรู้สึกเหมือนมีก้อน
สะอื้นอยู่ในลำคอ


“ปริ้นทำให้ผมไม่ไว้ใจ !  ”


“ทำไมพูดแบบนี้…. มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของกูมั่งแหรอไง ? ”


ไอ้โค้กทำตาขวาง


“เถียงเหรอ !! ”


ว่าแล้วมันก็กระชากตัวผมเข้าหาตัว  แล้วก็เอาหัวมันโขกเข้ากับหัวผมอย่างแรง  มึงดูมวยปล้ำมากไปเป่าวะ


“โอ้ย !! เชี่ยเอ้ย  ”


ท่าเฮดบัดของมันทำเอาหัวผมมึนแล้วก็หมุนติ้วๆ  จนต้องเอามือคลำว่าหัวกูแตกหรือเปล่าวะ


“โอ้ย …. เจ็บ เจ็บ เจ็บ”  นอกจากรู้สึกเจ็บจี้ดที่หัวแล้ว  ยังรู้สึกว่า  การมองเห็นช่างพล่ามัวเสียเหลือเกิน
มือผมคลำสะเปะสะปะผ่านหัวตัวเอง แล้วก็เลยไปคลำหัวของไอ้คนที่นอนด้วยกันข้างๆ  แล้วก็สะดุ้งสุดตัว
ลุกขึ้นมานั่งหอบแฮ่กๆ  รู้สึกว่ามีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผาก  แล้วก็มีบางส่วนไหลย้อยที่ข้างแก้ม
ก่อนที่จะค่อยๆหันไปหาไอ้คนที่นอนหลับปุ๋ย  ขนาดกูนอนเอาหัวโขกมึงเจ็บขนาดนี้  ยังหลับสบายใจเฉิบ
เชียวนะ  ไอ้หัวแข็ง


ผมนั่งคลำหัวตัวเองที่รู้สึกว่าโนหน่อยๆ แล้วก็ถอนหายใจ  ฝันบอกเหตุอีกแล้ว  หรือว่ากูมีพลังจิตแบบคาสึกะ
เคียวสึเกะวะ บร้าๆๆ


นาฬิกาบอกเวลาเกือบตีห้าแล้ว  อีกไม่นานก็เช้า  ผมถอนหายใจอีกรอบ  เมื่อวานหลังจากที่ไอ้โอ้ตพาไปขึ้น
ดอยสุเทพ  ตลอดทริปเรียกว่างานกร่อยมากๆ  ผมไม่พูดกะไอ้โอ้ต  ไอ้โอ้ตก็ไม่พูดกับผม  มีแต่ไอ้โค้กที่พูด
กับคนนั้นที คนโน้นที  มันจะรู้สึกเอะใจบ้างมั้ยน้อถึงความผิดปกติของเราสองคน


ผมล้มตัวลงนอน แต่รู้สึกว่าตาสว่างโร่  เลยหันพลิกนอนตะแคงไปทางไอ้โค้กซึ่งมันนอนหงายอล่างฉ่างอยู่
เห็นหน้ามันแล้วคิดถึงฝันเมื่อกี้เลยวุ้ย  น่ากลัวชิบหาย …. 


“โค้ก .. มึงอย่าโกรธกูเลยนะ” (ที่กูไม่ได้เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกูกะไอ้โอ้ต)  ผมพึมพำอยู่เบาๆ แล้วก็เอา
นิ้วไปจิ้มแก้มมันเบาๆ


“มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ระหว่างกูกะมันอ่ะ  … - -  แต่ยังไงมันก็พี่กูนะ ” ผมกระซิบ


ไอ้โค้กนอนนิ่ง พร้อมกับเสียงหายใจเบาๆ  ปากสีน้ำตาลอ่อนเผยออยู่เล็กน้อย


“มึงอย่าทำเฮดบัดใส่กูอีกนะ … กูกลัว”  ผมพูดแล้วก็ก้มลงไปจุ๊บที่ปากมันเบาๆ  ได้ยินเสียงมันครางอือๆ อยู่ใน
ลำคอ

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
 

.

.

“อู้ยๆๆ ……” พอไอ้โค้กตื่นนอน ผมได้ยินมันบ่นพึมพำว่าเจ็บหัวหน่อยๆ  มึงแค่หน่อยเองเหรอ กูเจ็บอย่าง
มากเลยล่ะ


“นอนดิ้นหัวไปกระแทกหัวเตียงอีกดิ ” ผมอำ พลางเอาผ้าขนหนูเช็ดหัว หลังจากอาบน้ำเสร็จหมาดๆ
อากาศตอนเช้าๆที่เชียงใหม่หน้าหนาวแบบนี้  แทบอยากวิ่งผ่านน้ำกันเลยทีเดียว


“จะบ้าเหรอไง … ผมเคยนอนดิ้นที่ไหน ? ”  มันเถียง แล้วก็เอามือไปคลำหัว


“เอาเหอะ ไปอาบน้ำได้แล้ว .. หิวแล้ว  ”


“ค๊าบ”  มันพูดเสร็จก็วิ่งปรู้ดเข้าห้องน้ำไปไม่ถึง 5 นาที ก็ตัวสั่นออกมาเชียว


“หนาวเป็นเหรอนั่น”


“โห ยังเป็นคนอยู่ ” พูดเสร็จ มันก็ดึงผมเข้าไปกอดทั้งๆที่ตัวมันยังไม่ยอมใส่เสื้อผ้า


“เฮ้ย เสื้อกูเปียกหมดแล้ววว  ”


“หนาวๆๆๆ ขอกอดหน่อยดิ๊ ”  มันยังไม่ยอมปล่อย


“หนาวก็รีบใส่เสื้อผ้าดิวะ”


“แหม หวงตัวจังนะครับ  - - ผมอ่ะ แฟนปริ้นนะ”  มันเหน็บ แต่กูเจ็บถึงทรวงเลยล่ะ


“ไรวะไอ้โค้ก” ผมชักหวั่นๆกับสิ่งที่มันพูด  มันมีวาระซ่อนเร้นอะไรเหรอเปล่าเนี่ย  กลัวฝันเป็นจริงเหลือเกิน
แต่คงไม่หรอก ….  ไอ้โค้กมองหน้าผม  ดวงตากลมโตจ้องผ่านเหมือนจะอ่านใจ


“ปริ้นมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเหรอเปล่า - -” มันถาม  อู้ยเอาแล้วไง


“- - มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ  ผมพร้อมจะฟังปริ้นนะ”  มันส่งยิ้มให้ ยิ่งทำให้ตูรู้สึกผิดเข้าไปอีก
โค้ก กูไม่ได้นอกใจมึงจริงๆนะ  ตอนนี้กูมีมึงคนเดียว   อันนี้ผมคิดในใจ  แล้วก็ยิ้มตอบกลับไป


“ไม่มีไรหรอก  มีมึงอยู่ด้วย จะมีเรื่องไรไม่สบายใจวะ”   ตอบแบบอ้อล้อมันนิดหน่อย  รู้สึกเหมือนดวงตา
กลมโตจะมีท่าทางผิดหวังอยู่นิดหน่อย  แล้วมันก็ปล่อยตัวผม


“พูดหวานก็เป็นแฮะ แฟนเรา”  มันกัด


“ตกลงมึงจะเอายังไงกะกูวะคับ”


“ค๊าบๆ ไม่มีไรหรอก  - - เออว่าแต่วันนี้พี่โอ้ตซ้อมรับปริญญาม่ะใช่เหรอ ปริ้นไม่ไปดูเหรอ”


“ไปดูไมล่ะ ไม่ใช่วันซ้อมใหญ่ซะหน่อย  ไปก็ไม่มีไรหรอก ” ผมบอกแบบไม่สนใจอะไรมากนัก


“แล้วจะกินไหนอ่ะ โรงแรมป่ะ”


“ไปกินข้างนอกดีกว่า โรงแรมแพงอ่ะ ผมไม่ค่อยมีตังค์ ” ไอ้โค้กว่า


“แล้วจะไปกันไง  นั่งรถแดงก็แพงจะตาย ไม่รู้ที่กินอีกต่างหาก”  ผมบอกไอ้โค้กที่เดินไปยิ้มไป
เหมือนมีความลับ


“ไม่มีปัญหา …” มันพูดเสร็จก็โชว์กุญแจมอไซต์ที่คล้องไว้ระหว่างนิ้ว  พร้อมกับหยิบสมุดจดบันทึกเล็กๆ
ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง


“เอามาจากไหนกันฟ่ะ  อย่าบอกนะว่าไปขโมยใครเค้าม”า  ผมหันรีหันขวาง


“จะบ้าเหรอของพี่โอ้ตต่างหาก เค้าเอามาฝากไว้เย็นเมื่อวานอ่ะ ” มันบอกผมแล้วก็อ่านข้อความในสมุดบันทึก
ไปพลาง


“อ้าว ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”


“ก็พี่โอ้ตฝากผมไว้ แล้วปริ้นจะรู้ได้ไงล่ะ”  มันพูดพลางหัวเราะ  “- - แถมยังใจดีจดแผนที่ร้านกินข้าว
ไว้ให้อีกตะหาก”


“ชมมันเหลือเกิ้นนน”


“อ้าว ไมพูดงั้นล่ะ  ปริ้นโชคดีจะตาย มีพี่ใจดีแบบนี้ ” มันพูดเสร็จ ก็ก้มหน้าก้มตาดูแผนที่ โดยไม่รู้ว่าผม
อ่ะหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอกับสิ่งที่มันพึ่งพูด


ใจดีมั๊กมาก

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
 

.

.

ผมกะไอ้โค้กใช้เวลาร่วมกันในการเดินทางไปหาร้านอาหารตามแผนที่ที่ไอ้โอ้ตให้ไว้เกือบ 2 ชั่วโมง
ก็พอดีได้กินข้าวเที่ยงพอดี


“เด๋วกูขี่เองนะ”  ผมรีบห้ามเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะขึ้นคล่อมมอไซต์ “ - - เมื่อกี้มึงเกือบขี่ไปชนเค้าแล้ว”


“ผมไม่ได้ขี่ไปชนเค้าซะหน่อย  ก็ไฟมันเขียวแล้วนี่หว่า  ดันเสือกทะลึ่งฝ่ามาเอง ” มันพูดเสียงขุ่นแต่ก็
ยอมส่งกุญแจมาให้แต่โดยดี  คนที่นี่แปลกอยู่อย่าง ฝ่าไฟแดงกันจัง !  แล้วด้วยไอ้โค้กเป็นคนขี่รถ
เร็วอยู่แล้ว  ดันมาเจอคนประเภทนี้อีก  ผมยังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่เมืองล้านนา


“ไปไหนกันต่อดีอ่ะ ”  ไอ้โค้กดูจะรื่นเริงเป็นพิเศษเวลาได้เที่ยวเนี่ย


“อืม ไปไหนดีล่ะ  ”


“อยากไปสวนสัตว์”


“เขาดินวนาไง ดูยังไม่เบื่ออีกเหรอ ? ”


“มันเหมือนกันที่ไหนกันเล่า”  ไอ้โค้กทำเสียงง้องแง้ง แล้วก็ไม่ทำเปล่า เวลาพูดทีนึงนี่ หน้าแทบจะแนบ
กับแก้มตูเลย  กลางท้องถนนนะหน้าบางบ้างก็ได้


“ทำตัวเป็นเด็กนะมึงอ่ะ”


“เค้าห้ามผู้ใหญ่เข้าเหรอไง”


“อ่ะ อ่ะ”  ผมเลยต้องตามใจมันซะหน่อย  แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ  เพราะว่าที่นี่กว้างขวางกว่ามากมาย
แล้วเนื่องจากไปวันกันวันธรรมดา  คนก็ไม่ค่อยมี  ดูส่วนตัวเป็นที่สุด ผมกับมันเดินกันทรหดมาก
จนมาถึงที่สุดท้ายเป็นคอกสิงโตคับ  (มันไม่มีกรงเลยเรียกไม่ถูก)


“ไปไหนต่อดีอ่ะ”


“มึงไม่เมื่อยบ้างเหรอเนี่ย ”


ไอ้โค้กส่ายหน้า อ่อ ลืมไปมันเป็นนักบาส


“ไปขี่รถวนในมช มั้ยล่ะ”  ผมออกความเห็น


“มีอะไรข้างในเหรอครับ”  ถามด้วยเสียงอยากรู้อยากเห็น


“มีละอ่อนเหนือน่าฮักๆ”


พูดเล่นแค่นี้ไอ้โค้กหน้าบูดเป็นตูดไป 10 นาที  มึงเข้าใจว่าพูดเล่นเหรอเปล่าวะเนี่ย  ผมกะมันขี่รถวน
ดูบรรยากาศไปเรื่อยๆ  จริงๆมันก็ไม่มีอะไรเท่าไรหรอก  แถมวันนี้ก็มีพวกบัณฑิตที่มาถ่ายรูปเก็บไว้กัน
บานตะไท


“เห็นคนเค้ารับปริญญากันแล้ว อิจฉาจัง”  ไอ้โค้กพูดขึ้นมา


“เด๋วก็ได้รับแล้วครับคุณโค้ก”


“หุหุ  ปริญญาเรื่องเรียนอ่ะ ผมไม่ค่อยห่วงหรอก ” ไอ้โค้กกระซิบข้างแก้ม “- - ผมห่วงว่า เมื่อไร
เราสองคนจะไปถึงขั้นปริญญารักกันซะทีอ่ะ”


มุขมึง “ลึก” จังนะ แต่กูรู้ว่ามึงลามก


“เสี่ยวไม่ต้องสืบเลยนะมึง”


ขี่วนไปหลงไปหลงมา ก็ขึ้นมาบนเนินซักที่นึง  เห็นมีอ่างเก็บน้ำขนาดย่อมๆอยู่ เลยจอดรถเดินเล่น
ดูคนมาถ่ายรูปกัน ผมส่องไปส่องมาแล้วก็รู้สึกว่ามีบางมุมคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนน้า


สี่โมงเกือบห้าโมงเย็นแล้ว บรรยากาศค่อยๆเย็นลง  แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องไปทั่วบริเวณอ่างเก็บน้ำ
อ่างแก้ว  เพิ่มความโรแมนติกเข้าไปอีกเมื่อไอ้โค้กค่อยๆเอื้อมมือมาจับกับมือผมตอนที่นั่งกันอยู่ที่ริมฝั่ง
ห่างไกลผู้คน


“ดีจังนะครับที่ได้มา  ”


“อือ”


“ปริ้น ? ”


“ฮื้อ”


“ดีจังนะที่เราได้คบกันอ่ะ”   ไอ้โค้กพูดทำเอาผมต้องหันไปมองมัน


“คบกับกูแล้วดีขนาดนั้นเลยเหรอโค้ก”  ผมถามย้ำ  ในใจก็ดีใจล่ะครับ ทั้งๆที่มันก็บอกรักผมออกจะบ่อยไป
แต่ครั้งนี้ ฟังแล้วมันรู้สึกอิ่มเอมเป็นพิเศษ


“ครับ --- แล้วปริ้นล่ะ” มันหันมาถามผมบ้าง เออ … ถึงจะชินๆกันอยู่แล้ว แต่กูก็เขินนะ  อย่ามองแบบนี้เด๊


“55 เป็นไร เขินผมเหรอ” มันหัวเราะร่วน “ - - เดี๋ยวผมไปหาซื้อน้ำก่อนนะ ปริ้นรออยู่แถวนี้ล่ะกัน  ”
อยู่ๆมันก็เปลี่ยนเรื่องพูดซะงั้น แล้วก็เอากุญแจบิดมอไซต์ไป  เออ … ค้างเลยกู


“หวัดดีพี่ปริ้น”  เสียงที่มาจากข้างหลังทำเอาผมสะดุ้งโหย่ง  หันมาอีกที ก็เจอไอ้น้องปิงเข้าให้  ดวงสมพงษ์
เจอกันเหลือเกินนะ


“เฮ้ย มาได้ไงอ่ะ  ตกใจหมด ” ผมยิ้มให้น้องแล้วก็ชวนนั่งคุยกัน  หวังว่าไอ้โค้กมันมาเห็นคงไม่เข้าใจผิดนะ


“55 ผมบอกแล้ว ว่าต้องได้เจอกันอีก  - - เชียงใหม่ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมายซะหน่อย”


“แล้วมากับใครล่ะเนี่ย”


“มาคนเดียวครับ เดี๋ยวก็คงจะกลับแล้วล่ะ ”  เด็กปิงพูดแล้วก็หยิบก้อนหินขว้างเลียดไปบนผิวน้ำ


“เก่งนะเนี่ย - - ว่าแต่ไม่เหงาบ้างเหรอครับ  ไปไหนมาไหนคนเดียว  อย่างงี้พ่อแม่ไม่เป็นห่วงแย่เหรอ”  ผมชักสงสัย
ถึงแม้ว่ามันจะอายุสิบสี่สิบห้าแล้วก็เหอะนะ  แต่ยังไงมันก็เคยบอกผมว่า ไม่ใช่เป็นคนที่อยู่เชียงใหม่นี่หว่า


“ก็เหงาครับ … แต่ผมอยู่ได้”   น้องปิงตอบเสียงติดเศร้าๆ แต่ก็เข้มแข็งอยู่ในที 


“- - ว่าแต่แฟนพี่ไปไหนแล้วล่ะครับ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย”  โพล่งถามมาแบบนี้ กูก็ตกใจเป็นนะ


“เฮ้ย … แฟนที่ไหน  เพื่อนนนนน ”  ผมละล่ำละลัก  แหม เด็กสมัยนี้แรงนะ


เด็กปิงหัวเราะในลำคอ


“เพื่อนผู้ชายเค้าไม่นั่งจับมือกันหรอกมั้งพี่”   มันหันมายิ้มชอบใจ


“เวรแล้ว ….  แอบดูพี่เหรอเราเนี่ย”  ผมแกล้งเอามือไปเขกหัวน้องเค้าทีนึง


“ระวังแฟนพี่มาได้ยิน  ว่าพี่โกหกว่าเค้าเป็นเพื่อน จะเสียใจแย่เลยนา”  ดูมันสอนผมเด๊ะ


“ไม่เสียจายยหรอกน่า ” มันเข้าใจ


“แฟนพี่เค้าอาจจะไม่คิดเหมือนพี่ก็ได้นา”  อ้าวไอ้นี่ จายุให้แตกคอกันซะแหล่ว


“- - ความลับอ่า มันไม่มีในโลก  แต่คนเรามันก็ชอบมีความลับกันจัง ว่าม่ะครับ”


“แต่เรื่องบางเรื่อง มันก็ต้องมีเหตุผลที่ไม่อยากบอก หรือว่าไม่จำเป็นต้องบอกใครต่อใครก็ได้นี่คับน้อง”  ผมตอบ
แบบมีอารมณ์หน่อยๆ


“55 ครับ  ดับเบิ้ลสแตนดาร์ดแฮะ”


“ว่าอะไรนะ”


“เปล่าครับพี่”


“เห็นตัวแค่นี้  ไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย  พูดจา….”


“555 ไม่มีไรหรอกพี่  ผมก็เป็นเหมือนกันอย่าคิดมาก”


“ไม่ได้คิดมากว้อยยย”  ผมยื่นมือไปเขกหัวมันอีกที  อารมณ์หนึ่งก็เหมือนกับจะรู้สึกเคืองมัน แต่ก็แค่แว่บเดียว
แต่สิ่งที่มันพูดแต่ละคำ  มันย้อนกลับเข้ามาทำเอาผมจุกไปหลายรอบเลยทีเดียว


“งั้นผมไปก่อนนะครับ”


“แล้วกลับยังไงล่ะ  เด๋วไปส่งมั้ย”


“ไม่เป็นไรครับพี่  แป็บเดียวเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”  มันยิ้มให้แล้วก็วิ่งลัดไปกลับไปทางถนน  ปล่อยให้ผมยืนเกาหัว
แกร่กๆ


กูนี่นะ สองมาตรฐาน มันไม่เหมือนกันซะหน่อย  จะเอามาใช้กันได้ไงฟ่ะ  แต่ก็ยอมรับล่ะว่า เรื่องที่ผมมีความลับ
แล้วไม่ยอมบอกไอ้โค้กเนี่ย เรื่องจริง  …  แต่จะบอกไปทำไมเล่า ในเมื่อบอกไป มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาซะหน่อย
แถมมาบอกไปแล้วมันคิดมาก  ยิ่งแย่กว่าเดิมยิ่งไม่ซวยเข้าไปใหญ่เหรอ


เอ… ประโยคคุ้นสัดๆ เหมือนกูลอกเลียนใครมา


“น.. น้องปริ้นเหรอเปล่าครับ ” ใครบางคนทักกูมาอีกแล้ว วันนี้มีแต่คนทักจัง  แต่คราวนี้เป็นใครบางคนที่อยู่ในลิส
ที่ผมไม่อยากเจอ


“หวัดดีครับพี่เต ” ผมหันมาไหวพี่แก  พี่เตอยู่ในชุดนักศึกษา กางเกงขาว ผูกเนกไท  สงสัยจะมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ
แต่สิ่งที่ดูต่างไป คือ ดูหน้าสดใส แถมมีเนื้อมีหนังขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย  สงสัยได้กำลังจู๋ เอ้ย ใจดี


“หวัดดีครับ  มางานรับปริญญาโอ้ตเหรอ”  พี่เตถามเสียงสดใสเมื่อเห็นว่าผมจำได้


เออ มารับจ้างก่อสร้างมั้ง  อันนี้ผมคิดในใจ

“ครับ - - ผมนึกว่าพี่เตอยู่กับพี่โอ้ตซะอีก   ”


“อ่อ ไม่หรอกครับ พึ่งเจอกันวันรับลงทะเบียนบัณฑิตเมื่อวันก่อนเองครับ”  พี่เตยิ้ม  “- - ตั้งแต่ทำงาน
ก็ไม่ค่อยได้เจอโอ้ตหรอก”


อ๋า หมายความว่ายังไงหว่า


“พี่เตทำงานที่ไหนอ่ะครับ”


“พี่ทำอยู่ที่ xxx ครับ  ”


“อ้าว ผมไม่ยักรู้ว่า xxx มีสาขาที่เชียงใหม่ด้วย”


พี่เตหัวเราะ แล้วก็บอกว่า ที่เค้าทำอยู่เนี่ย อยู่กรุงเทพ ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ตั้งแต่เริ่มทำงานแล้ว


“อ้าว … แล้วทำไม - -” ผมเกือบจะหลุดปากถามไปว่า แล้วทำไมไอ้โอ้ตถึงจะยังทำงานอยู่เชียงใหม่กันล่ะ
ในเมื่อพี่เตซึ่งเป็นแฟนมัน ก็มาทำงานที่กรุงเทพแล้ว ไม่ยักลงมาด้วยกัน  หรืออย่างน้อย กลับมาหางาน
ทำแถวบ้านก็ยังดี


“ทำไม ? ” พี่เตถามซ้ำ


“เออ … ค.. คือ แปลกใจนิดหน่อยอ่ะครับ แฮะๆ”  ผมทำเป็นหัวเราะแก้เขิน “- - นึกว่าที่พี่โอ้ตไม่ยอมกลับไป
ทำงานที่บ้าน  ก็เพราะว่าอยู่กับพี่เตซะอีก”


พี่เตฟังที่ผมพูดแล้วก็ทำหน้าเจื่อน


“ .. พี่นึกว่า โอ้ตจะบอกน้องปริ้นแล้วนะเนี่ย”


“ครับ ? ”


“พี่กับโอ้ตน่ะ - - ”


“ฮะ ? ”


“พี่กับโอ้ต เออ …  เป็นเพื่อนกันมาได้ปีกว่าแล้วน่ะครับ”  พี่เตพูดแล้วก็ส่งยิ้มให้  ความรู้สึกของผมเห็นแล้วรู้สึกว่า
เป็นยิ้มที่เศร้าที่สุด


ป.. เป็นเพื่อน  หมายความว่าไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว ……. เลิกกันแล้วเหรอ ?  ….. ปีกว่าแล้วเหรอ ?


แล้ว…. แล้วทำไม ?


“ป.. แปลกนะครับ  ท..ทำไมพี่โอ้ตถึงติดใจเชียงใหม่จัง”  ผมพยายามกลบเกลื่อนเสียงสั่นๆของตัวเองให้
แนบเนียนที่สุด


“โอ้ตมันคงไม่ได้ติดใจอะไรที่เชียงใหม่หรอกครับ”  พี่เตถอนหายใจ  เหมือนกับว่า ก็ไม่รู้เหตุผลแท้ๆของไอ้โอ้ต
เหมือนกัน


“โอ้ตบอกแค่ว่า มันกลับไปไม่ได้ แค่นั้นเอง”


ถึงตอนนี้ … รู้สึกเหมือนของเหลวใสๆเออท้นรอบดวงตาของผม


“ก…กลับไม่ได้เหรอ ? ”





.

.

.

.

.

.

.

.

.


.โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง– HolyNight  ตอนจบ
ตอนต่อไป -------------------------------------------------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com//

stp: ลงช้า เพราะว่างานล้นทะลักครับ  จิตตก จิตหงุดเงี้ยว  จิตไม่ว่างครับ
เรียนป โท ทำไมยากงี้ว้า …. เซ็งๆๆ แต่ก็ยังคิดถึงทุกคนนะครับ ^_^
ตอนหน้า เป็นตอนจบของตอนพิเศษแล้วนะครับ รออ่านกันอีกซักตอนน้อ
จาลงตอนจบวันที่ 27 นี้ครับ (มันจะลงได้มั้ยเนี่ย) แฮะๆ หุหุ

ลป. ถึงเรื่องที่จะเขียนมันจะจบแล้ว แต่ชีวิตของปริ้น และก็ของเพื่อนๆ มันก็ยัง
คงดำเนินต่อไปครับ 

ลป.2 แอ๊ะๆ ใครมาจีบ มาอิ๊อ๊ะกันในทู้ผมอ่ะ มีเคืองนะ แบบว่าอิจฉาฮะ ไม่มีอะไร 55
ล้อเล่น  คุยตามสบายเลยครับ ^_^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-01-2007 19:07:33
กร๊าก รู้สึกว่าสาเหตุหลักจะอยู่ที่จิตงูดเงี๊ยวหรือป่าว

กรั๊กๆๆ กั้กๆๆๆ

อ่ะ ตอนนี้ยิ่งเข้าใจยากไปใหญ่ แล้วโค๊กจะทำไงอ่ะ

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 21-01-2007 19:53:52
ถ้าโอ๊ต ไม่มีคำอธิบายที่ดีน่ะ ว่าทำไม....... :monkeycry2:
ต่อให้เลิกกับเด แล้วก็ตาม.....ก็ให้อภัยคนหลายใจไม่ได้หรอกน่ะ...ฮึ่ม   :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-01-2007 21:08:49
“แต่เรื่องบางเรื่อง มันก็ต้องมีเหตุผลที่ไม่อยากบอก หรือว่าไม่จำเป็นต้องบอกใครต่อใครก็ได้นี่คับน้อง”

ประโยคนี้เหมือนพูดแทนโอ้ตเลยล่ะ แต่ว่านะเรื่องบางเรื่องที่เราได้รับผลกระทบโดยตรงจากมันเราก็สมควรที่จะมีสิทธิรู้เรื่องนี่นา ถ้าโอ้ตหลอกปริ้นสำเร็จสามารถเคลียร์เรื่องเตจนจบได้โดยที่ปริ้นไม่รู้ ก็ใช่เรื่องนี้ปริ้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรู้ เพราะรู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา แต่นี่ปริ้นรู้เรื่องเตและได้รับผลกระทบที่รุนแรงเหลือเกิน จนถึงขนาดนี้แล้วยังคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกอีกเหรอ  :try2: อย่างน้อยโอ้ตก็ควรอธิบายให้ปริ้นฟัง ส่วนเรื่องอภัยหรือไม่นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง  :haun5:

ส่วนโอ้ต  :untrust: อย่าคิดนะว่าเลิกกับเต และทำตัวสำนึกผิดอยู่เชียงใหม่จะได้รับความสงสารจากแฟนคลับปริ้นโค้ก (อย่างเรา) ไม่มีทาง (เข้าโหมดอาฆาต)  :pigangry2: 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 21-01-2007 21:30:32
โหย.....ไม่สงสารโอ๊ตหรอก  สมควรแล้วรับกรรมไปซะ   ยังไงก็เอาใจช่วย โค้ก อะ ถ้าปริ้นทิ้งโค๊กนะจะโกรธมากๆเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: BlackySheep ที่ 22-01-2007 00:42:57
หุหุ ตามอ่านมาเป็นสัปดาห์ ถึงตอนล่าสุดจนได้  :try2:

อ่านช่วงแรกจริงๆลุ้นโอ้ตกะปริ้นนะ

แต่พอโอ้ตเริ่มเปลี่ยนไปช่วงนั้นอ่านแล้วอินกะปริ้นอย่างแรงอ่ะ  :sad4:

ตอนนี้เชียร์โค้กเต็มสตรีมคับ โอ้ตอะไม่ต้องกลับมาคืนดีกะปริ้นหรอก เหอๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 22-01-2007 01:24:42
ชอบCOKEอ่ะครับ ชอบมากด้วย  :haun6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 22-01-2007 01:32:25
ใครจะไงก็ช่าง ขออย่าให้กระทบกระเทือนจิตใจโค๊กเป็นพอ ถ้ามีกระทบ รับรองหมีเคือง

แต่ก็อยากรู้เหตุผลทุกๆอย่างของโอ๊ตอยู่ดี ว่าเป็นไงมาไง ไหงเป็นงั้นไปซะได้

กางเต๊นท์นอนรอวันที่27ครับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 22-01-2007 03:47:30
Cokeครับ มีคนเชียร์ Cokeตั้งเยอะนะ ผมจะเอาใจช่วยด้วยคน :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 22-01-2007 14:08:36
PRINCE & COKE 4 EVER KUB3

จบ...


ขอบคุณพี่stayingpower มากๆคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-01-2007 14:23:05
แฟนคลับโค้กเต็มเรยยย  เย้ เย้
โค้กรอให้ปริ้นปรึกษาอยู่รึเปล่าอ่า  ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่ารัก  อิอิ  ขอเป็นแฟนคลับโค้กปริ้นด้วยคน  เชียร์สุดใจขาดดิ้น 

เรื่องโอ๊ตเอาไว้อธิบายให้ปริ้นหายข้องใจก็พอ จากนั้นจะได้รักโค้กอย่างเต็มที่ซักที (คิดเข้าข้างโค้กเต็มที่ 555)
 :angellaugh2:
รออ่านอยู่คับ  คิดถึงคุณ staying power จัง   :monkeylove2:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-01-2007 15:03:39
 :monkeysad:  เอ้อ.....คงต้องมีครายเป็นฝ่ายไป  แต่ต้องม่าจ้ายยย โค้ก...กกกนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 22-01-2007 15:20:04
ขอโทษด้วยน่ะ... ขอฉีกแนวนิดหนึ่ง เผอิญ ชอบคนที่อบอุ่น และเป็นผู้ใหญ่กว่าน่ะ
(แบบเพื่อนกันก็ ok. น่ะ แต่......เฮ้อ ไม่มีคำอธิบายให้น่ะ )
และถ้าเหตุผลของโอ๊ต ที่จะให้ ปริ๊น เป็นเรื่องของ.... ที่ไม่ใช่เพราะใจสั่งมา ล่ะก็
เราจะทำงัยเนี่ย ตัดสินใจยากจัง ปริ๊น ...เอ๊ย   
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 22-01-2007 16:52:23
เศร้มากกกกกกก

อึดอัดแบบบอกไม่ถูก

แล้วมันจะเป็นยังงัยต่อไป

สงสารทั้งปริ้น โค้ก โอ้ต


 : :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 22-01-2007 21:24:11
 :like6:  ไม่ว่ายังไงก็รัก โค๊ก ที่สูด........เลย  จุ๊บๆๆ  ห้าๆๆๆ :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 22-01-2007 22:04:37
อยากอ่านตอนจบเร็วๆจังเลยอ่ะคับ

รีบๆมาต่อน้า..

และหวังว่า Coke ของผมคงไม่อกหักนะ

      ***********************
รัก Staying power ที่สุดเลย .... จุ๊บๆ
            :monkeylove2:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 23-01-2007 09:58:46
 :impress: มารอ ตอนจบอีกคนครับผม ไงก็เชียร์โค๊กครับผม อย่าทำให้โค๊กผิดหวัง  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 25-01-2007 19:11:59
.

.

.

ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลงเรื่อยๆ  ลมหนาวพัดโชยมากระทบผิว  ผมชวนพี่เตนั่งลงแล้วก็คุยเรื่องราว
ต่างๆมากมาย


“พี่โอ้ตบอกพี่เตว่างั้นเหรอครับ”


“ครับ”


“โอ้ตคงรู้สึกผิดกับเรื่องอะไรซักอย่าง” พี่เตพูดพลางหันมา  ผมพยายามไม่หันไปหา  พี่เตคงยังไม่รู้หรอกนะ
ว่าไอ้โอ้ตกับผมเคยคบกัน  จนกระทั่งมันมาเจอพี่ …..


“พี่เตครับ ..  ”


“ครับ”


“ผมอาจจะละลาบละล้วง - - ต… แต่พี่เตช่วยบอกผมได้มั้ย ตั้งแต่พี่เตเริ่มคบกับพี่โอ้ต จน - -” ผมอ้ำอึ้ง


“จนเลิกกัน”  พี่เตเป็นฝ่ายพูดจบประโยค  แล้วก็หันมาจ้องผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย  อาจเป็นเพราะว่าขณะนั้น
บรรยากาศรอบข้างมันมืดลงมากแล้ว  ทำให้ผมมองสีหน้าพี่เค้าไม่ถนัดว่ารู้สึกยังไงกันแน่


พี่เตไม่ตอบอะไรแต่กลับค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วก็ปัดกางเกงสีขาวสะอาดที่ดูจะเปื้อนเศษหญ้าไปบ้าง


“คืนนี้ไปหาอะไรทานกับพี่มั้ยครับ” พี่เตชวนผมไปทานข้าว แต่ลึกๆแล้ว ผมรู้ว่าคืนนี้…จะได้รู้ซักที 
จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้


.

.

(ว่าแต่ กูไปเสือกเรื่องไรเค้าวะ)

.

.

.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.

.

“โค้ก กลับโรงแรมไปก่อนนะ  กูไปธุระแป็บนึง”    ผมบอกโค้กหลังจากมันกลับมาจากซื้อน้ำ
มันเหลือบไปมองพี่เต แล้วก็หันมามองผมทำสายตาว่า ไอ้หมอนี่คือใครฟะ 


“จะไปไหนเหรอ”  มันถามเสียงขุ่น  สายตาจับจ้องอยู่ที่พี่เต


“กูไปแป็บเดียวหล่ะ  มึงอย่าพึ่งถามไรตอนนี้ได้ป่ะ   ”


“ปริ้น ! ”  ไอ้โค้กขึ้นเสียง แต่ผมไม่สนใจ


“นี่พี่เตเป็นเพื่อนโอ้ต … - -   พี่เต นี่โค้กเพื่อนผมคับ”  ผมแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน  ไม่รู้ผมรู้สึกไปเอง
เหรอเปล่าที่พอไอ้โค้กได้ยินว่าเป็นพี่เต มันก็เงียบไม่พูดอะไรออกมา


“กลับไปก่อนนะโค้ก …”  ผมพูดพลางจับบ่ามันเขย่าเบาๆ  ระหว่างนั้นพี่เตก็เดินสวนไปรอที่รถมอไซต์ของพี่เค้า
ผมทำท่าจะเดินตามไป แต่ถูกไอ้โค้กจับมือไว้ก่อน


“ปริ้น ค..คือ”   โค้กจับมือผมไว้แบบนั้นแต่ไม่ยอมพูดอะไร  ผมมองดูสายตาของมันเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
ลึกเข้าไป  แววตาขี้เล่นดวงนั้น  มีความกังวลใจอะไรบางอย่างซ่อนอยู่


“กลับมานะ … - - ปริ้นต้องกลับมาหาผมนะ  - - ผ..ผมจะรอ”   ถึงแม้บริเวณนั้นจะมืดแล้ว แต่ผมเห็นน้ำใสๆที่คลอ
อยู่รอบดวงตากลมโต


ผมพยักหน้ายิ้มให้มัน แล้วเอามืออีกข้างมาจับมือมัน แล้วก็ผละมาขึ้นรถพี่เต  ตอนออกรถผมหันไป
ยังเห็นไอ้โค้กยืนมองสายตาละห้อยจนลับตา


ผมนั่งซ้อนก้มหน้านิ่ง  รอให้พี่เตเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน พี่เค้าจะสงสัยเหรอเปล่าว่าทำไมผมถึงต้องอยากรู้อยากเห็น
เรื่องของเค้าทั้งสองคนจัง  เค้าอาจจะคิดว่าผมก็มีสิทธิรู้ เพราะผมเป็นคนในครอบครัวเดียวกับไอ้โอ้ตก็ได้
แต่จนแล้วจนรอด ตลอดทางพี่เตก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว  ความอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นระยะ
จนในที่สุด รถก็ขี่ผ่านสะพานนวรัฐแล้วก็เลี้ยวมาตามถนนเลียบแม่น้ำ


“ไปนั่งคุยกันริมปิงดีกว่า”  พี่เตพูดเสร็จก็จอดรถ  แล้วก็เดินนำผมไปนั่งที่สวนหย่อมเล็กๆแถวนั้นพร้อมกับ
คว้าถุงใส่อะไรบางอย่างมาด้วย


“กินมั้ย …”  มาถึงบางอ้อว่าในถุงนั้นใส่กระป๋องเบียร์ไว้สองสามกระป๋อง  พี่เตโยนมาให้ผมกระป๋องนึง
ผมเปิดแล้วก็หันไปหาก็เห็นพี่เตกำลังดวดอยู่เหมือนกัน


“พี่ไม่สบายอยู่  กินของพวกนี้ได้เหรอ”


พี่เตหัวเราะหึหึ แล้วก็หย่อนก้นลงนอนกับพื้นหญ้า


“พี่ดีขึ้นได้ปีกว่าๆแล้วครับ  แล้วก็นานทีถึงจะกินซักป๋องสองป๋อง”  พี่เตว่า แล้วก็คว้าใส่ปากอีก


“ทำไมน้องปริ้นถึงอยากรู้เรื่องของพี่กับโอ้ตอ่ะครับ”   พี่เตถามเสียงเรียบเฉย  แต่ก็ทำเอาผมตอบไม่ถูก
กันเลยทีเดียว  จะให้กูตอบว่าอะไรล่ะฟะ(วะ)  แฟนเก่าอย่างกูไม่มีสิทธิรู้เหรอ อยากจะตอบไปแบบนี้
จริงๆแต่ก็ทำได้แต่นั่งเงียบ


“พี่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวมาตั้งแต่เด็ก  ต้องนั่งกินยา  ไปฉีดยา  ต้องเข้าโรงพยาบาล  ทุกๆวันของพี่
เป็นอยู่อย่างนี้เป็นปี  หลายปี  ความรู้สึกช่วงนั้นมันเลื่อนลอยชะมัด  ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไร  ไม่อยาก
มีความฝันอะไร  เพราะมีไปก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำมันเหรอเปล่า  - -”


พี่เตเอ่ยถ้อยคำที่ยืดยาว คำบางคำเหมือนจะถ่ายทอดความรู้สึก ณ ตอนนั้นออกมาได้


“- - โชคช่วยเหรออะไรพี่ก็ไม่รู้ที่เอ็นติดได้เข้ามาเรียน  ได้เจอสังคมใหม่ๆ  แล้วก็ได้เจอโอ้ต” 
พอพูดถึงไอ้โอ้ต เสียงก็สั่นขึ้นมาซะงั้น


“พี่กับมันอยู่กลุ่มเดียวกันตลอด  ไปไหนไปกัน  ตอนแรกพี่ก็แค่รู้สึกชอบมันเฉยๆ  โอ้ตมันเทคแคร์
คอยดูแลใครๆอยู่เสมอ  - - เออ ปริ้นก็รู้ใช่มั้ย”   พี่เตยกแขนขึ้นมาหนุนหัว แล้วก็หันมาถาม


“เออ .. ก็คงงั้นมั้งครับ”


“ช่วงเข้ามหาลัยใหม่ๆ  พี่ดีขึ้นมาก  แต่ก็มีเดี้ยงไปช่วงนึงเหมือนกันตอนรับน้องวันหลังๆ จำได้ว่า
พี่ล้มไปกองในโคลน  แล้วไอ้โอ้ตวิ่งเข้ามาดึงตัวพี่ไว้  พี่รู้สึกว่าตัวเองหายใจขัดจนหายใจ
ไม่ออก ตัวเย็นเหมือนน้ำแข็ง  พี่รู้ว่าคราวนี้ต้องตายแน่ๆ - - ”


พี่เตเล่าไปก็ดูเหมือนจะหายใจแรงขึ้น จนผมกลัวว่าพี่แกจะทรุดไปเหมือนวันที่แกเล่าอีกเหรอเปล่า


“- - แล้วพี่ก็รู้สึกว่าไอ้โอ้ตมันกอดพี่ไว้แน่น  ไออุ่นวันนั้นพี่ยังจำมันได้จนถึงตอนนี้เลย - -” พี่เตพูดเสียง
สั่นๆ  แต่ที่สั่นกว่าคงจะเป็นผมเองล่ะ  ที่ตอนนี้นั่งขบฟันแน่น


“- - มันเอามือลูบหัวพี่ตลอดทาง  แต่พี่ไม่ได้ยินที่มันพูดหรอกว่า พูดว่าอะไรบ้าง ”   ถึงตอนนี้ผมเผลอ
เอามือลูบหัวตัวเองอย่างลืมตัว จนรู้สึกว่าหางตาพี่เตเหลือบมามองจึงรีบเอามือลงอย่างเร็ว


“แค่ครั้งเดียวเท่านั้น พี่ก็รู้สึก - - - ”


“มันอาจจะงี่เง่าไปหน่อย  แต่พอหลังจากวันนี้  พี่ก็รู้สึกว่า พี่เริ่มชอบไอ้โอ้ตขึ้นเรื่อยๆ - - ”  พี่เตพูดแล้วก็ยก
ป๋องเบียร์ขึ้นมากินอีกกรึ้บ


“- - ไม่ถึงเดือนพี่ก็สารภาพกับมัน”  พี่เตพูดแล้วก็หัวเราะแบบอายๆ  ว้อย จะอายทำไมวะ 


“หึหึ  น้องปริ้นคงไม่ว่าพี่หน้าด้านหรอกนะ  แต่ตอนนั้นแค่คิดว่า อะไรที่พี่ทำได้ พี่ก็อยากจะทำก่อนที่จะ
ไม่มีโอกาสได้ทำ  ถ้าพี่ไม่ได้บอกชอบมัน  พี่ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดกับมันอีก”  พี่เตพูดเสียงเศร้า


“ครับ”  ผมรับคำสั้นๆ


“แล้วไอ้ - - เอ้ย พี่โอ้ตก็คบกับพี่เหรอครับ”  ผมนึกถึงแล้วก็รู้สึกเจ็บจี้ดดขึ้นมา  แต่พี่เตส่ายหน้า


“โอ้ตบอกว่า  มันคบกับพี่ไม่ได้ เพราะว่า … ” พี่เตทิ้งคำพูดไว้อยู่นาน


“เพราะว่ามีคนรอมันอยู่  มีคนที่มันรักรออยู่ …”. 


ผมรู้สึกว่ากระป๋องเบียร์ที่ถืออยู่หลุดมือกลิ้งโคโล่ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้


ถึงแม้ว่าพี่เตจะพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูปกติ แต่ปฏิกิริยาที่สั่นน้อยๆ ทำให้ผมรู้ดีว่าพี่เค้าเจ็บปวด
แค่ไหน  พี่ครับ  ผมก็เจ็บไม่แพ้กันหรอกนะครับ


“รอเหรอ ? รอคนที่รักเหรอ ? ”  ผมเผลอพูดออกมาอย่างเลื่อนลอย แต่พี่เตก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร


“ทั้งที่พี่ก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว  …. แต่พอเอาเข้าจริงๆ  พี่รู้สึกเจ็บกว่าที่คิดเยอะ  รู้สึกเหมือนโดนทิ้ง  โดนแย่ง
ของรักไปอย่างงั้นล่ะ   - - ทั้งๆที่โอ้ตมันก็ยังทำตัวปกติเหมือนเดิมของมันแท้ๆ”


“พี่เริ่มตีตัวออกห่างไอ้โอ้ต  รู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลับไปสู่วังวนเก่าๆอีกครั้ง  ไม่มีใคร  ไม่เหลือใคร - - ปริ้นครับ
พี่ไม่ได้คิดจะทำตัวเองป่วยเพราะว่าอยากให้ไอ้โอ้ตมันรักพี่หรอกนะครับ”


พี่เตพยายามอธิบาย สายตาที่จ้องไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด  ดูช่างว่างเปล่า มีแต่เพียงหยาดน้ำตาก็เออท้นอยู่
ที่ดวงตา


“พี่พยายามตัดใจจากมัน … ฮึก… พยายามตัดใจจากมันให้ได้  แต่ยิ่งทำ ก็เหมือนตัวเองจะตายให้ได้
พอใจพี่เป็นแบบนั้น  ตัวพี่ก็ ….. - - ” พี่เตหยุดเล่า แล้วก็ปาดหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม


“พี่แอดมิดเข้าโรงบาล ไอ้โอ้ตก็มาเยี่ยมพี่จนได้  พอพี่เห็นหน้ามัน - - สัตว์ร้ายในตัวพี่ก็กระซิบที่ข้างหู
…ทางเดียวที่พี่ไอ้โอ้ตจะไม่หนีพี่ไปไหน - - หึหึ”


พี่เตหัวเราะออกมาในลำคอ ทำเอาผมสะดุ้งโหย่ง


“พี่พยายามต่อรองกับมัน …เท่าที่คนป่วยคนนึงจะขอความเห็นใจได้  แต่ยังไงโอ้ตมันก็ไม่ยอม
คบกับพี่  แต่อย่างน้อยมันก็ยอมให้พี่ใกล้ชิดกับมันได้มากกว่าเดิม .. ”  พี่เตพูดถึงตรงนี้ทำเอาผมสะอึก
จนสังเกตได้


“เออ .. ไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นครับ  น้องปริ้นอย่าเข้าใจผิด  - - คะ แค่กอดๆ กัน  เล่นหัวอะไรกัน
แค่นั้นอ่ะครับ”  พี่เตรีบละล่ำละลักบอก  จริงๆไม่จำเป็นก็ได้นะ จะไปถึงขั้นสวรรค์ชั้น 7 ขนาดไหนตอนนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว


“ครับ … มีอยู่ช่วงนึง  โอ้ตมันต้องกลับไปบ้าน เพราะว่าญาติเสียอะไรนี่ล่ะ  พี่น้อยใจเหมือนกัน
คิดว่ายังไงโอ้ตมันก็ต้องกลับไปหาคนของมันที่โน่นด้วย  … พี่แอบคิดไปว่า  ถ้าคนของมันที่โน่น
รู้เรื่องของมันกับพี่  เค้าจะรู้สึกยังไง - - ”


ไม่รู้สึกยังไงหรอกคับ ไอ้บ้า…


“- - แต่ก็ไม่มีทาง คนของมันไม่มีทางรู้เรื่องของพี่กับมันได้หรอก  แต่พอโอ้ตมันกลับมา  ท่าทางของมัน
ดันแปลกไปบอกไม่ถูก  ซึม  เศร้า  แต่มันก็ไม่พูดอะไร  มีแต่ตอนดึกๆเท่านั้นล่ะที่- -”


“ที่ ? ”


“ที่มันแอบร้องไห้ … มันเป็นอย่างงี้เป็นเดือนๆ  แล้วพี่ก็แน่ใจว่ามันกับคนของมันต้องมีอะไรกันแน่ๆ
พี่เตพูดเสียงอ่อย - - ตะ แต่คราวนี้ มันก…ก็เป็นโอกาสของพี่อีกครั้ง ที่พี่จะ - -”


ผมหันหน้าไปมองพี่เต  ไม่อยากจะเชื่อเลย คนๆนี้


“- - พี่ขอโอกาสจากไอ้โอ้ตอีกครั้ง”


ผมหันหน้ากลับไปมองที่แม่น้ำสีดำสนิทอีกครั้ง  น้ำตาปริ่มๆ


“แล้วโอ้ตมันก็ตกลงเป็นแฟนกับพี่ใช่มั้ย”  ผมช่วยต่อข้อความให้แบบกระแทกเสียง


“โอ้ตมันบอกกับพี่ … มันจะเป็นคนของพี่ จนกว่าจะถึงเวลา - -”


พี่เตพูดถึงตอนนี้  ผมค่อยๆหลับตาลงรู้สึกว่าน้ำตาที่เก็บเอาไว้มันค่อยๆไหลออกมา  ผมเจ็บใจครับ
ผมรู้สึกเจ็บใจเหลือเกิน  ……. เจ็บใจชิบหายเลย  พี่เต ถ้าทำได้  ผมอยากจะกระชากพี่มาต่อยให้หาย
เจ็บใจจัง


“ครับ.. ”


“พี่ไม่รู้ … ว่าเวลาที่ไอ้โอ้ตบอก หมายถึงเวลาไหน  แต่ได้แค่นี้ พ…พี่ก็  … ก็พอใจแล้วครับ - - ถึงพอตก
กลางคืน ไอ้ส่วนลึกๆในใจมันจะบอกว่าตัวมึงเลวแค่ไหน  แต่แค่นี้ …พี่ก็พอใจแล้ว”


“พี่คิดว่า เวลามันจะช่วยให้โอ้ตลืมคนของมันได้  …. ยิ่งหลังจากที่โอ้ตพาไปเที่ยวบ้านจนถึงวันที่มันบอก
กับพี่ว่าขอกลับไปเป็นแบบเดิม  พี่ก็แน่ใจ …”


พี่แน่ใจอาไร  ผมคิด


“วันที่มันบอกกับพี่ …ฮึก … มันมาขอโทษพี่  ฮึก ฮึก .. พี่ถามมันว่า จะกลับไปหาคนของมันอีกเหรอ - - ”


เสียงเล่าของพี่เตปนกับเสียงสะอื้นเป็นระยะๆ  ทำเอาจิตใจที่ร้อนรุ่มเป็นไฟของผมก่อนหน้าค่อยๆสงบลง
อย่างประหลาด


“มันบอกว่า .. มันกลับไปไม่ได้อีกแล้ว  แต่มันก็คบกับพี่ไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน”  พี่เตพูดประโยคสุดท้าย
ก่อนที่จะหลับตาลงไปพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

.

.

.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.

.

“มึงมันบ้า .. ที่มึงพูดว่ามึงกลับไปไม่ได้  มึงรู้ใช่มั้ย ว่ายังไงมึงกับคนของมึงมันจบไปแล้ว”  ผมกระชากคอเสื้อ
ไอ้โอ้ตเข้ามาหาตัว  ผมจะพูดยังไง จะพูดยังไงดี ให้มันอยู่กับผม  ผมจะทำยังไง…


โอ้ตมันไม่มีท่าทีจะสู้เลยแม้แต่น้อย  ได้แต่ดึงข้อมือผมให้ปล่อยจากคอเสื้อมัน


“เต … มึงไม่เข้าใจ  มึง…..ไม่เข้าใจ   ………ความผูกพันธ์ระหว่างกูกับเค้ามัน - -”


“มันอะไรของมึง”  ผมเค้นเสียงถาม “ทำไมวะ ไอ้ของแค่นี้ ของแค่นี้ ….ฮึก”


“8 ปีนะไอ้เต  8 ปี ที่กูได้รู้จักเค้า  - - ถึงเราสองคนจะพึ่งได้คบกันก็เหอะ  ถึงเค้าจะไม่ได้เป็นแฟน
คนแรกของกู  แต่  8 ปีที่กูได้รู้จักตัวตนของเค้าจนมาถึงวันที่กูกับเค้าคบกันวันแรก … ไม่มีวันไหนเลยนะเต ฮึก ฮึก ที่กูกับเค้าจะไม่ได้  ฮึก - - ”


“พอ … มึงเลิกพูดได้แล้วไอ้โอ้ต  ผมพูดขัดมัน  ไม่อยากแล้ว ไม่อยากฟังที่มันพูดแล้ว” เจ็บ - - จนบอกไม่ถูก
ยิ่งไอ้โอ้ตพูดเท่าไร  ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปอาณาเขตของเค้าทั้งสองคนได้เลย


ผมค่อยๆทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง  สุดท้ายแล้ว  ผมก็คงรั้งไอ้โอ้ตให้อยู่กับผมไม่ได้แล้วซินะ


โอ้ตมันค่อยๆก้มลงมองหน้าผม แล้วก็ทำแบบเดิม  มันเอามือที่อบอุ่นข้างนั้นมาลูบหัวผม แล้วก็ยิ้มให้


“กูขอโทษนะ เต..  ”


ผมสะอึกสะอื้น เงยหน้าไปมองมัน


“ไม่มีทางเลยใช่มั้ย ….. กูไม่มีทางแทรกเข้าไประหว่างมึงกับคนของมึงได้เลยใช่มั้ย  ถึงตอนนี้
มึงจะไม่มีเค้าแล้ว  ใช่มั้ย …”

.

.

.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.

.


8 ปีเหรอ ?  ผมคิดหลังจากได้ฟังที่พี่เตเล่าให้ฟัง 


ตอนเด็กๆ ผมไปเยี่ยมบ้านยายหลายๆครั้งก็จริง*  แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าโอ้ตเลย  ไม่รู้ตัวตนของโอ้ต
ด้วยซ้ำ  หมายความว่า โอ้ตเห็นผมตั้งแต่ผมอยู่ป. 5 ป.6 เลยเหรอเนี่ย  ความผูกพันธ์ที่โอ้ตมีให้ผม
มันเริ่มก่อตัวมาตั้ง 8 ปีเลยเหรอ   แค่คิดน้ำตาผมก็ร่วงเลยคับ  ไม่น่าเลย ไม่น่าเกิดขึ้นเลย… 


คิดๆดูแล้ว  ถ้าวันนั้น ผมไม่ได้ขึ้นมาเชียงใหม่  ไม่ได้ดิ้นรนจะไปหาไอ้โอ้ต แล้วก็ไม่ได้เห็นไอ้โอ้ต
ไปดูหนังกับพี่เตวันนั้น ฮึก .. อึก  ผมก็คงไม่รู้ใช่มั้ย  มันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่มั้ย ฮึก …


ผมก็คงไม่เลิกกับโอ้ตใช่มั้ย


“ไม่จริงหรอกครับ - - พี่โอ้ตคงจะห่วงพี่เตเหมือนกันล่ะ  ไม่งั้นมันจะต่อยผมจนเลือดกลบปากเหรอครับ”
ผมพูดทีเล่นทีจริง


“ที่โอ้ตมันทำ คงเพราะไม่คิดว่าปริ้นจะของขึ้นขนาดนั้นมั้งครับ”  พี่เตยิ้มตอบแล้วก็ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง


“ปริ้นครับ ..  - -”


“- - พี่ขอโทษนะครับ”


“อึก …  ผมหันไปหาพี่เต”


“ขอโทษที่เห็นแก่ตัว … ขอโทษที่ทำร้ายไอ้โอ้ต …. ขอโทษ - - ปริ้น ” พี่เตพูดไปร่ำๆจะร้องอีกรอบ
แล้วก็ค่อยๆหันมามองผมสายตาละห้อย


“คนของโอ้ตคนนั้น คือน้องปริ้นใช่มั้ยครับ ”



ท่ามกลางลมหนาวจัดที่พัดผ่านเราสองคน  ลมหนาวเหมือนจะพัดผ่านทลายเอาบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัว
อยู่ในใจผมออกไปจนเกือบหมดสิ้น  ผมอยากจะร้องออกมาดังๆ  ทั้งที่ก่อนหน้าผมอยากรู้แทบเป็นแทบตาย
แต่ตอนนี้ถ้าเลือกได้  ผมกลับอยากจะกลับไปโกรธไอ้โอ้ตเหมือนเดิม  เหมือนแต่ก่อน  ก่อนที่ผมจะมาที่นี่


.

.

.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 25-01-2007 19:28:29
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
 :impress: :impress: :impress: :impress:

รออ่านอยู่นะคับ  มาต่อเร็วๆ นะคับ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-01-2007 19:57:33
ฟังเตเล่าแล้วก็นะ สงสารปริ้นมากกว่าเดิมอีก
ทำไม ต้องมาเจอคนแบบโอ้ตน้า คนที่ใจดี ใจอ่อน ไม่ยอมทำร้ายผู้อื่น แต่กลับยอมทำร้ายตนเองแทน
ในที่สุดคนที่ต้องเจ็บก็ยังเป็นตัวเอง มิหนำซ้ำคนข้างตัวก็ต้องพลอยเจ็บไปด้วย
ถ้าโอ้ตอธิบายตั้งแต่วันนั้น เหตุการณ์ก็คงไม่บานปลายมาถึงวันนี้หรอก  :monkeysad:

หมายเหตุ ยังเชียร์โค้กเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-01-2007 20:33:11
สุดยอดเลย น้ำตาไหลเป็นสายเลือด

ปริ้นทำผมได้ กล้าทำร้ายจิตใจคนอ่านขนาดนี้ได้อย่างไร

ผมจะไม่เสียใจเลยถ้าใครมันไม่รักผม

แต่จะเสียใจมากๆหากเรารักกัน แต่จากกันไปด้วยความเข้าใจผิด

 :impress3: :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 25-01-2007 20:35:36
^
^

ยังไม่ได้ทำบลูเลือดออกเลย
ถ้าทำบลูม่ะได้เลือดออกที่ตาหรอก อิอิ :really2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 25-01-2007 20:46:37
จบยังอะ   งง     สับสน     ไม่นะ :serius2:

แงๆๆๆๆๆ     :sad4: :sad4: :sad4:

เศร้า...... :monkeycry2:


ชีวิตจริงก็เศร้า  นิยายก็เศร้า....เฮ้อ.....ชีวิต :monkeysad:

How Sad!  :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-01-2007 20:48:12
อืม... เริ่มเข้าใจโอ๊ตขึ้นมา  กลับไปอ่านอีกรอบก็แสดงว่าตอนที่ปริ้นขึ้นเชียงใหม่ไปเห็นโอ๊ตกับเตหยอกกัน  ตอนนั้นเค้าสองคนก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันละสิ  น่าสงสารเหมือนกันแฮะ  
โชคชะตาเล่นตลกกับความรักของพวกเค้าจัง  ความเชื่อใจ  ความเข้าใจและระยะทางมีผลต่อความรักจริง ๆ
รักแท้ดูแลไม่ได้    :impress3:

แต่ยังไงก็รักโค้กเหมือนเดิม  ปริ้นอย่าทำให้โค้กเสียใจน้า  โค้กต้องรู้อะไรบ้างแล้วแน่ๆ เลย  :monkeysad:
“กลับมานะ … - - ปริ้นต้องกลับมาหาผมนะ  - - ผ..ผมจะรอ”  

รอปริ้น(คุณ staying power เป็นปริ้นเหรอ) ด้วย  จะลงแดงแย้ววว   :yeb:

ปล  เรย์ยังเลือดออกอยู่เหรอ  เหอ เหอ  นึกว่าเชี่ยว  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-01-2007 20:52:43
^
^

ยังไม่ได้ทำบลูเลือดออกเลย
ถ้าทำบลูม่ะได้เลือดออกที่ตาหรอก อิอิ :really2:

เหอะ มูมู่อย่าไปเชื่อปริ้น   :pigangry2:
ผมอ่ะกรำศึกมาหลายสนามแล้วรับรองไม่มีเลือดซิบหรอก   :haun1:

แต่ปริ้นเหอะ จะไหวเร้อ :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 25-01-2007 20:54:48
ช่ายๆๆๆ เห็นด้วยกะรีบน  ยังไงตอนนี้ในใจก็มีแต่โค๊ก

ปริ้นต้องกลับไปหาโค๊กนะ......ฮื่อๆๆๆ   :sad4:  ม๊าย.......ไม่จิ๊ง..............

ปริ้นต้องกลับไปหาโค๊กนะ.......เราร้องเจงๆนะ  :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 25-01-2007 22:32:39
คงไม่จบง่ายๆอย่างนี้ใช่ไหม ?  :like2:
น้องปิง เข้ามาอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย คงมีแบบว่า..ประสานใจ ปริ๊น & โอ๊ต หรือเปล่าเนี่ย... :haun6:
FC โค๊ก หลายคน คงนั่งลุ้น...แน่เล๊ยยย...5555  :yeb:
 :3125: :3125: :3125:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ตามมาดู ที่ 25-01-2007 23:29:57
โห คุณstaying power  หยุดอย่างงี้เลยเหรอ...
เฮอ เฮอ เป็นอีกคนที่เชียร์โอ้ต มะชายโค้ก...
ชอบครับ บีบใจดี 
โอ้ต FC  ....
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 26-01-2007 00:34:21
ม่ายนะ ... อย่าทิ้ง Coke ของช้านนะ
แต่ เอ๊ะ !! ... โอ๊ต ก็ยังน่ารักอยู่อ่ะ
โอ๊ย ... ทำไงดี เลือกไม่ถูกเลย  :serius2:

อ้าว ... แล้วเราเป็น ปริ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 26-01-2007 09:20:38
ฮือ ฮือ ฮือ

ใจร้าย ใจร้ายที่สุด

น้ำตาไหลแต่เช้าเลย

คนแต่งใจร้าย ทำกันได้ลงคอ

เรื่องของรักไม่ลงตัว

แงแงแงแงแงแงแง

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 26-01-2007 10:05:54
:sad5: :sad4: :sad5: :sad4: :sad5: :sad4:
โอ้ย บิบหัวใจดีจัง เฮอะ ทำไมนะต้องมีคนเจ็บกับความรัก แย้วใครจะเป็นคนเจ็บอะเนีย เศร้า
 :sad4: :sad5: :sad4: :sad5: :sad4: :sad5:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 26-01-2007 10:36:50
อ่านแล้วบีบหัวใจสุดๆเลยอ่ะ

prince รู้อย่างนี้แล้ว จะทำไงต่อไปอ่ะ

สงสัยทั้ง โอ้ต และ coke เลยอ่ะ    :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 26-01-2007 14:52:22
 :monkeysad:
ว่าแล้วไง เรื่องต้องออกมาเป็นแบบนี้ คิดไว้แล้วไม่มีผิด
โอ๊ต นะโอ๊ต เพราะความที่เป็นคนดี(เกินไป)แท้ๆเลยเชียว ตัวเองถึงต้องเจ็บปวดขนาดนี้

. . . เฮ้อ . . .

อยากให้โอ๊ตกับปริ๊นซ์คืนดีกันอ่ะ สงสารปริ๊นซ์ แต่สงสารโอ๊ตมากกว่า
พอได้รู้เหตุผลของโอ๊ต ก็เทใจให้โอ๊ตเลยอ่ะ :impress3:


ส่วนโค๊กก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวหมีจะดูแลโค๊กเอง . . .  :haun5:

ตอนนี้แปรพักตร์แล้วเชียร์ปริ๊นกะโอ๊ต แล้วก็โค๊กกับหมี (โดยเฉพาะคู่หลังนี่ เหมาะสมกันม๊ากมาก ^-^ )
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 26-01-2007 15:52:03
ไม่รู้เป็นการขอร้องมากไปป่ะ.. :try2:
คืออยากเคลียร์ กะ นิค น่ะ ติดต่อให้หน่อยดิ  อยากรู้ว่าเหรียญมันออกหัวหรือก้อย น่ะ !   :confuse:
(ภาคต่อเลยก็ได้)  :pigscare2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 26-01-2007 18:44:05
จริงๆ อ่านเรื่องนี้จบไปตั้งนานแล้วอะ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีภาคพิเศษต่อ เลยไม่ได้ติดตาม อยากเขกกระโหลกตัวเองสัก2ที
โทษฐานที่ไม่เข้ามากระทู้นี้อีกเลยหลังจากอ่านจบ (ก็นึกว่าจบจริงๆ อะ)  :pigangry2:
แต่พอเข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ ยังสนุกเหมือนเดิม ชอบมากค่ะ  :yeb: :yeb: :yeb: :yeb: :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 26-01-2007 22:42:19
 :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5:


พูดไรไม่ออกคับ สงสารโอ๊ตกะปริ๊น


 :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5: :sad5:


แต่โค้กรอปริ๊นอยู่นะ T T
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 27-01-2007 04:06:45
COKE เราเชียร์นายสุดใจ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 27-01-2007 13:07:20
คิดไปคิดมา (เปนมากอะเรา มีเก็บไปคิดด้วย) แล้วก็สงสาร ทั้ง ปริ้น โอ๊ต และ โค๊ก  เศร้า

นี่มัน โศกนาฎกรรม (เขียนถูกปะ)แห่งความรักชัดๆ......... :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 27-01-2007 20:03:14
.

.


เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ผมกับพี่เตนั่งคุยกันริมปิงอยู่นานพอสมควร  ป่านนี้ไอ้โค้กมันจะเป็นยังไงบ้างนะ
จะรอผมกินข้าวอยู่เหรอเปล่า ?  แต่มีอยู่เรื่องนึงที่พี่เตเล่าให้ผมฟัง ที่โอ้ตมันยอมรับความรู้สึกบางส่วน
ของพี่เต ก็เพราะว่า


"โอ้ตมันบอกกับพี่ว่า  มันไม่อยากเห็นใครต้องตายเพราะมันอีกแล้ว "


"ไอ้ - - เอ้ย พี่โอ้ตมันหลงตัวเองไปเหรอเป่า  ถ้าพี่เตจะเป็นอะไรไปจริงๆ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไร
กับพี่โอ้ตอยู่แล้วนี่นา"  ผมพูดไปตามเรื่อง


"หึหึ พี่เตหัวเราะในลำคอ - - พี่ก็พูดแบบที่ปริ้นบอกนี่ล่ะ  พอมันได้ยิน มันก็ยืนนิ่งเลย  แล้วมันก็บอกว่า
มันเคยเห็นพี่เกือบตายไปครั้งนึงแล้ว มันไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนั้นอีก  ถึงจะไม่ใช่เพราะมันก็เหอะ"


"เหรอครับ …."  ผมทวนความคิดในสิ่งที่พี่เตพูด


ไม่อยากเห็นใครต้องตายอีกเหรอ ?


แล้วใครต้องตายเพราะ - -   .. ป… เป็นไปไม่ได้หรอก  อยู่ๆผมก็คิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองขนลุกขึ้น
มาได้ไงหว่า? 


"ปริ้น … ปริ้น " เสียงพี่เตเรียกผม


"ครับ"


"ไปหาไรกินก่อนมั้ย  "


"อ่อ ได้ครับ  แต่ผมซื้อกลับไปกินที่ห้องดีกว่า"


"พรุ่งนี้วันซ้อมใหญ่อย่าลืมไปถ่ายรูปล่ะ " พี่เตเตือนผม อันที่จริงไม่อยากไปก็ต้องไปครับ เพราะว่า
พรุ่งนี้พวกแม่ๆทั้งหลายก็จะขึ้นเครื่องมากัน  แล้วผมกะไอ้โค้กก็ต้องย้ายโรงแรมไปอยู่โรงแรม
เดียวกับพวกแม่ๆ


ผมหิ้วข้าวกล่องขึ้นลิฟมา ในใจก็ครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ 


คืนนั้นผมโทรไปหาแม่  ให้เอาของบางอย่างติดมาในวันรุ่งขึ้นด้วย (พร้อมกับคำก่นด่า เพราะว่าเค้าหลับ
นอนกันแล้วตามมา)


ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องที่มืดมิด  สงสัยโค้กมันคงนอนหลับไปแล้วแน่ๆ  ผมจะอธิบายเหตุผลที่หาย
ไปนานชาติแบบนี้ยังไงดีนะ  รู้สึกไม่ดีจังเลย  ยิ่งคิดเรื่องที่พี่เตเล่าให้ฟังเกี่ยวกับไอ้โอ้ต  เรื่องที่เคยคิดว่า
น่าจะลืมไปแล้ว มันกลับเข้ามาทำให้ใจหวั่นไหวอีกแล้ว เฮ้ยยย – - -


"มึงมานั่งอะไรที่มืดๆแบบนี้เนี่ย  กูตกใจหมด"


ผมแหวใส่ไอ้โค้กที่นั่งกอดเข่ามืดๆอยู่บนเตียง 


"โค้ก … "  ผมรีบปรี่เข้าไปนั่งข้างๆ มันนั่งกอดเข่าน้ำตาไหลแปะๆร่วงลงบนผ้าปูที่นอน
เป็นดวงๆ


"ผมนึกว่าปริ้นจะไม่กลับมา …."  มันบอกผมเบาๆ


"อย่าร้องไห้ดิ  " ผมพูดแล้วก็ยกมือไปเช็ดน้ำตาให้มัน  ผมไม่เคยเห็นไอ้โค้กร้องไห้มากมายขนาดนี้
มาก่อนเลย อย่าว่าแต่ร้องเลย น้ำตาก็เห็นยากอยู่


"ทำไมคิดแบบนั้นวะ  ก็บอกว่าไปธุระไง"  ผมปลอบแล้วก็เข้าไปกอดมันหลวมๆ


"ปริ้น… - - จะกลับไปหาพี่โอ้ตมั้ย"


ใครจะถามคำถามนี้ก็ไม่ทำให้ผมกระอักเท่าที่ไอ้โค้กเป็นคนถามเอง  ผมทำท่าจะปล่อยมัน แต่ไอ้โค้กก็
ดึงตัวผมไว้แล้วก็เป็นฝ่ายกอดผมแทน - - มันต้องได้ยินที่คุยกันในรถวันนั้นแน่ๆ  แต่มันทำไม่รู้ไม่ชี้มา
ตลอด


"จะกลับไปหาเค้ามั้ย … " ผมรู้สึกว่ามีน้ำใสๆหยดลงบนหัว


"ปริ้น …. ตอบผมซิ  ตอบผม ฮึกกก ฮืออ ตอบผม"


ผมค่อยๆดันตัวไอ้โค้กออก


"โค้ก … กู ….กูขอโทษนะ  ที่ไม่เคย - - ม…..ไม่เคยบอกเรื่องไอ้โอ้ต - - "


โค้กนั่งก้มหน้าฟังผมเงียบ


"- - กูรักโอ้ต รักมัน  ทั้งเคยรัก  แล้ว …ฮึก  แล้วตอนนี้ ก..ก็ยังรักอยู่ " ผมพยายามสงบสติอารมณ์
พูดกับโค้ก  รู้สึกว่าตัวเองตัวสั่นเหลือเกิน  ตัดสินใจแล้ว  ให้มันจบไปคืนนี้ล่ะกัน


ผมค่อยๆเลื่อนตัวกลับไปกอดไอ้โค้กอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้แน่นกว่าเดิม  กระชับมากกว่าเดิม  แล้วก็
จะไม่มีทางปล่อยมันไปอีก


"กูขอโทษที่กูยังรักมันอยู่ - - แต่ตอนนี้กูมีมึงคนเดียวนะ  มึงคนเดียวที่อยู่ข้างๆกูมาตลอด  คนเดียว
- - จะไม่ไปไหนอีกแล้ว  จะอยู่ข้างๆมึงเหมือนกับที่เคยอยู่ข้างๆกูมาตลอด ยกโทษให้กูนะ  โค้ก …."


ผมรู้สึกว่าแขนสองข้างของโค้กค่อยๆโอบรัดเข้ามาเช่นเดียวกับที่ผมทำกับมัน มือมันลูบที่หลังผมเหมือน
อยากจะบอกขอบคุณผม


ไม่ใช่หรอก โค้ก …..    ทุกเรื่องที่ผ่านมา  แล้วก็ต่อจากนี้ไป กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมึง .. ที่ไม่เคยทิ้ง
กูซักครั้ง


"ไม่เป็นไรครับปริ้น … ซักวันผมจะทำให้ปริ้นรักผมแค่คนเดียว  ปริ้นจะเป็นของผมคนเดียวตลอดไปครับ"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




ลป. ยังไม่จบนะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 27-01-2007 20:24:54
จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกส์

มาต่อแล้วเหรอคับ

จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกส์

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-01-2007 20:36:53
สงสารโค๊กมากมาย..........ความรักทำไมมันเล่นตลกกับหัวใจคนแบบนี้ ...... รู้ไหมมันเจ็บมากๆถ้าต้องกอดใครสักคนที่เขารักคนอื่นอยู่.......รู้ทั้งรู้แต่โค๊กก็ทนมาตลอด..........จนแน่ใจแล้วว่าจะสามารถทำให้ปริ้นรักตัวเองได้............แต่ก็ต้องมาเสี่ยงกับการเจ็บอีกครั้ง............ถ้าโอ๊ตและปริ้นหนักแน่นกันกว่านี้..........เรื่องคงไม่เลวร้ายลงแบบนี้

แล้วโอ๊ตหล่ะ...........จะทำอย่างไร.........จะมีชีวิตอยู่อย่างไรถ้าไม่มีปริ้น .............

งั้นคงต้องสวิงกิ้งกันแย้ว
 :haun6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 27-01-2007 21:03:30
เมื่อกี๊มัวแต่ตื่นเต้นคับ ตอนนี้อ่านจบละ แหะๆ :try2:

อ้างถึง
ผมรู้สึกว่าแขนสองข้างของโค้กค่อยๆโอบรัดเข้ามาเช่นเดียวกับที่ผมทำกับมัน มือมันลูบที่หลังผมเหมือน
อยากจะบอกขอบคุณผม


ไม่ใช่หรอก โค้ก …..    ทุกเรื่องที่ผ่านมา  แล้วก็ต่อจากนี้ไป กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมึง .. ที่ไม่เคยทิ้ง
กูซักครั้ง

อยากบอกว่า เป็นบทสรุปที่เคลียร์ที่สุดละคับ

ถูกใจคนอ่านด้วย แหะๆ


ps1.

ที่โอ๊ตบอกว่ากลับไม่ได้ คงเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ปริ๊นต้องเสียใจ รู้สึกผิดที่ไม่รักษาสัญญา

แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก้อกระจ่างแล้วว่าโอ๊ตมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น รู้แล้วว่าโอ๊ตเองก้อรักปริ๊นมาตลอด

ถึงตอนนี้จะกลับมารักกันไม่ได้ เพราะมีอีกคนที่ปริ๊นรักและรักปริ๊นมากมายเหลือเกินรออยู่
แต่ผมคิดว่าความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน ในฐานะคน'เคย'รักกัน เท่านั้นก้อน่าจะทำให้ทั้งคู่มีความสุขแล้วนะคับ

อย่างน้อยทั้งคู่ก้อรู้ว่า ความรักที่ต่างเฝ้าทะนุถนอม ดูแล ทุ่มเทให้กันและกัน มันไม่ได้สูญเปล่าเลย

บรรจงเก็บไว้ในลิ้นชักเป็นความทรงจำดีๆตราบนานเท่านาน

ps2. รีบมาต่อไวๆนะก๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-01-2007 21:47:08
  :monkeycry2:  :monkeycry2:  :monkeycry2:
ซักวันผมจะทำให้ปริ้นรักผมแค่คนเดียว  ปริ้นจะเป็นของผมคนเดียวตลอดไปครับ
สงสารโค้ก  พยามเข้านะโค้ก แฟนคลับเชียร์อยู่

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 27-01-2007 23:27:47
แล้วจะจบตอนนี้ยังงัยเนี่ย...สงสารปริ๊น ยืนอยู่บนทางสองแพร่ง  :untrust:
ถ้างัยก็ยังมีแพร่งที่สามให้เลือกอีกน่ะ...นิค เขารออยู่อีกคน ...555  :laugh:
(กำลังยุให้ต่อภาคพิเศษ 2 อยู่น่ะ....) :teach:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 28-01-2007 00:04:31
 :impress2:  มีความสุขไปกะปริ้นและโค๊กด้วยอะ  เราเชื่อนะว่าโค๊กต้องทำได้   :impress2:

สู้ๆ นะ โค๊ก

รักโค๊กที่สุดเลย   :like6: :like6: :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 28-01-2007 02:08:07
สงสารโค๊ก :monkeysad2:

สงสารโอ๊ตด้วย . . . นี่ล่ะน๊า เป็นคนดีเกินไป
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: BlackySheep ที่ 28-01-2007 18:37:13
อ่านแล้วก็สงสารโอ๊ตนะ แต่ในใจเราโค้กมาแรงกว่าน่ะ  :sad4:

เพราะงั้น...โค้กสู้ๆ  :haun5:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-01-2007 20:22:57
สงสารโค้กจับใจ  คิดมาตลอดว่าโค้กน่าจะรู้อะไรบางอย่าง  แต่พยายามปกปิดไว้ไม่แสดงออกมา 
ได้ฟังคำตอบปริ้นแล้วก็ยังสงสารโค้กอยู่ดี  รักคนที่เขาไม่รักเราเต็มร้อยนี่มันเศร้านะ  :impress3:

รักโค้ก  รักปริ้น  รักโอ๊ต  แต่เชียร์โค้กกับปริ้นอยู่ดี  อิอิ  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 29-01-2007 08:31:23
เชียร์โค๊กด้วยคน
โค๊กมั่นคงมาก ถึงปริ๊นจะบอกว่ารักโอ๊ตแต่โค๊กก็ยังจะรอ ชอบมากคนแบบนี้ อยากได้ซักคนมั่ง  :laugh:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 29-01-2007 09:31:26
 :impress: :sad5: :sad4:

รอรอ ดูบทสรุป อย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 29-01-2007 11:02:42
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ไม่อยากให้มีใครเสียใจอีกแล้ว

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-01-2007 12:09:18
 :monkeysad:   สงสานโค๊กอ่า.... :impress3:







หรือว่าจาเก็บอาวไว้ทั้งฉองคนเรยดี แย้ววิงกิ้งแบบที่เรย์บอก  :laugh:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 29-01-2007 20:14:11
.

.

.

ปรือ ปรือ …..

“ง่วงจัง …. ทำไมมันง่วงแบบนี้วะ”

“ฮ้าวววววววววว…”

ผมหันไปมองไอ้คนข้างกายที่นอนหลับสบายโดยไม่รู้สึกรู้สาว่าคนข้างๆแทบจะไม่ได้หลับได้นอน
เลยเมื่อคืนนี้

ไหนมึงบอกว่าจะอยู่ข้างๆกูตลอดไงวะ

ทั้งๆที่รู้สึกว่าปัญหาที่อยู่รอบตัวเองมันช่างเยอะแยะเหลือเกิน  แต่ทำไมตอนนี้สมองของผมกลับ
ปลอดโปร่ง  ว่างเปล่า  บางทีก็รู้สึกหดหู่  บางทีก็รู้สึกเหมือนจะยิ้มออกมา  บอกไม่ถูกจริงๆ กับ
ความรู้สึก  แต่เช้าวันนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าสิ่งอื่น - - -

นั่นคือแม่กูกำลังจะมาถึงนั่นเอง !!

“ที่บ้านปริ้นจะมาถึงกี่โมงอ่ะ ”  ไอ้โค้กนั่งตาบวมถามหลังจากเดินมาถึงร้านข้าวต้ม

“คงเที่ยงๆอ่ะ  แต่เค้าคงไปเที่ยวกันก่อนล่ะ  วันนี้แค่ซ้อมรับ  เค้าคงยังไม่ไปถ่ายรูปกันหรอก”  ผมว่า
พลางสั่งโจ๊ก  ส่วนไอ้โค้กก็เดินไปสั่งปลาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้อะไรของมันไป

“เอามาทำไมตั้งสองแก้วน่ะ ” ผมเหลือกตา  มึงจะโด้ปอะไรนักหนา

“ให้ปริ้นด้วยไง”  มันยิ้มแล้วก็วางแก้วข้างหน้าผมแก้วนึง หน้ากูหุบในบัดดล

“ไม่กิน - - รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่า ไม่ชอบน้ำเต้าหู  - - กูจาอ๊วก”  ผมทำท่าขยะแขยงเต็มทน

“กินไปเหอะ มีประโยชน์ ” มันพูดเสร็จ ก็ยกแก้วตัวเองซด แล้วก็คว้าปลาฯไปกินกรุบกรับ

ผมทำท่าเป็นไม่สนใจมัน … มีเหรอจาบังคับกูได้

“กินโจ๊กเสร็จแล้วกินด้วยนะ ” มันว่าแล้วก็นั่งมองผมกินโจ๊กจนหมด

“กินดิ”

“เอ๊ะ … ก็บอกไม่กิน”  ผมทำท่าจะลุก แต่ไอ้โค้กมันดึงมือผมไว้ทัน จนชนโต๊ะข้าวของแทบวายป่วง
ลงพื้น  คนโต๊ะข้างๆหันมามองแว่บนึง จนผมต้องรีบลงไปนั่งที่เดิม

“อะไรมึงเนี่ย”   ผมพูดลอดไรฟันด้วยความฉุน อายนะเนี่ยไม่ใช่หน้าหนา

“ปริ้นมีแต่คนตามใจจนเคยตัว  มันว่า - - ถ้าปริ้นไม่กินนะ  เดี๋ยวผมจับกรอกปากให้ เอามั้ย”

วุ้ย .. วันนี้มันเป็นอะไรของมันวะ  มันก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ พูดแบบนี้กูโกรธนะ
แต่ต้องใจเย็นไว้

“โค้ก … มึงบอกว่ามึงรักกูไม่ใช่เหรอ  - - คนรักกันเค้าไม่บังคับใจกันหรอก”  ผมอธิบาย  หึหึ
โดนไม้นี้เข้าไปมันไม่รอด  ผมคิดพลางยื่นแก้วให้มันกินเอง

ไอ้โค้กยิ้มหวานมาให้ผม  แล้วก็จับมือผมที่ยื่นแก้วให้มันดันกลับมา

“รักซิครับ  - - ถึงอยากให้ปริ้นได้อะไรดีๆ  คนรักกันอ่ะ ถ้าเห็นว่าอะไรไม่ดีก็ต้องห้าม  ถ้าอะไรดี
ก็ควรให้  ถูกป่าว”

ผมอึ้งไปเล็กน้อย  พร้อมๆกับจนมุมไปในตัว

“เออๆ … งั้นขอกินครึ่งแก้วก่อนได้เปล่า”  ผมต่อรอง

“อ่า ก็ได้ครับ”  มันว่า  แล้วก็ปล่อยมือออกไป

ผมค่อยๆยกแก้วขึ้น  แค่ได้กลิ่นมาเตะจมูก ผมก็แทบจะอ๊วกอยู่แล้ว  มันเป็นอะไรที่หยึ้ยๆบอกไม่ถูก

“กูขอเปลี่ยนเป็นสองจิบได้มั้ยอ่า”

“ปีสี่แล้วนะปริ้น - - อย่ามาต่อรอง”

ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ก่อนที่จะปิดจมูก แล้วก็ดื่มพลวดลงไปสองสามอึกใหญ่ๆ  ถึงมันจะไม่ถึงครึ่ง
ตามที่ตกลงกันไว้ก็เหอะ  แต่ไอ้โค้กตัวดีก็ดูท่าทางดีใจ

“เป็นไง อร่อยอะดิ”  มันว่า

ผมไม่มีคำพูดอะไรมากมาย ได้แต่คิดว่า อร่อยกะผีอะไรวะ  รสชาติ … แม่ง ม่ะไหวแล้วว้อยยยยยยย
แล้วก็รีบวิ่งไปซื้อโออิชิมาดับกลิ่นน้ำเต้าหู้โดยเร็ว

“กลับกรุงเทพไป จะซื้อให้กินทุกเช้าเลย ”  ดูมันพูด

“ถ้ามึงบังคับให้กินของอะไรแบบนี้อีกนะ  กูจะหนีไปให้ไกลๆเลยค่อยดู ” ผมว่าอย่างเคียดแค้น

“ปริ้นจะหนีผมไปไหนได้”  มันพูดทำหน้าตาอ้อล้อ  แหมทีเมื่อคืนร้องห่มร้องไห้กลัวกูทิ้ง  ทำเป็นลืมนะ
ไอ้ตูด

ตี้ดดดด ตี้ดดดดดดด ตี้ดดดดด 

อ่าโทรศัทพ์มาขัดตาทัพได้ทันพอดี

“หวัดดีคับแม่ …. ใกล้ถึงยัง  ”

“คงจะใกล้ๆเที่ยงล่ะ  ว่าจะเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน  แล้วค่อยพายายไปไหว้พระ  ปริ้นกับเพื่อน
จะไปด้วยกันไหม ? ”

“ยังไม่รู้เลยแม่  - - เอางี้  มาเจอกันแล้วค่อยบอกอีกทีล่ะกัน”

“แล้ววันนี้จะไปงานซ้อมรับปริญญาเจ้าโอ้ตไหมล่ะ  ”

“ยังอ่ะครับ  วันนี้ให้เพื่อนๆเค้าถ่ายกันไปก่อน  ค่อยไปพร้อมกันพรุ่งนี้ก็ได้”

“อืม เอางั้นก็ได้  เดี๋ยวเที่ยงๆปริ้นรอแม่อยู่ที่โรงแรมก็แล้วกันนะ”

“ค๊าบ - - เออ เด๋วแม่  เอาของที่ให้เอามาด้วยเป่า”

“ยะ - - กว่าชั้นจะหาเจอ”

“ขอบคุณมากเล้ย”

ผละจากมือถือ ก็เห็นไอ้โค้กนั่งจ้องหน้า

“ปริ้นคุยกะแม่เหมือนเพื่อนเลยนะ  ไม่ค่อยมีหางเสียงเล้ยยย” มันล้อผม

“ครับ พ่อโค้กจะบังคับข่มเขาโคขืนให้กระผมกินหญ้าอะไรอีกมั้ยครับ ? ” ผมแขวะ  แล้วก็ทำหน้างอ
โดยธรรมชาติ

ไอ้โค้กดันไม่รู้สึกแถมยังยื่นหน้าเข้ามาอีก

“ไม่ข่มเขาหรอกครับ  แต่ข่มขื่นอะ ไม่แน่”   แล้วก็ทำท่าทางหัวร่อต่อกระซิก

“เฮ่ย ไอ้บ้า - - อย่าแม้จะคิด  พูดมากอยู่ได้  ไปเช็คเอ้าท์ย้ายโรงแรมเหอะ”

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.


พอตกบ่าย พวกแม่ๆ ก็มาถึงกันซะที พร้อมกับรถตู้คันใหญ่  ดูเหมือนป้าเล็กจะบ้าเห่อกับงาน
รับปริญญาลูกชายมาก ล่อชุดสวยกันมาตั้งแต่ยังไม่ใช่วันจริงกันเลยทีเดียว

สรุปตลอดช่วงบ่ายผมกับโค้กก็ต้องไปเที่ยวกับคนแก่ๆด้วย เข้าวัดเข้าวาอะไรผมไม่ค่อยชอบ
เลย รู้สึกร้อนชอบกล  แบบว่าธรรมะไม่ค่อยเข้ามาในกระแสเลือดเท่าไร หุหุ

“ตาสน แล้วเจ้าโอ้ตเลิกซ้อมกี่โมงล่ะ”  ยายเอิ้นถาม

“โอ้ตมันเลิกสี่โมงเย็นล่ะครับ  แต่ผมนัดมันมาเจอหกโมงเย็น”  ลุงสนตอบ

“แล้วจะไปเลี้ยงโอ้ตเค้าที่ร้านไหนดีล่ะ  เลือกร้านสวยๆ บรรยากาศดีๆให้เค้าหน่อยล่ะกัน” แม่ออกความเห็น

“เออ ลุงสนครับ  - - ลองขับไปทางริมปิงดูมั้ยครับ เห็นน่าจะมีอยู่ซักร้านสองร้านนะ”

“มาเชียงใหม่ไม่กี่วัน ทำเป็นคล่องเชียวนะ  - - นี่เจ้าโค้ก  เจ้าปริ้นมันไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนมั่งเหรอเปล่า”
แม่หันไปซักไซร้ไอ้ตัวดีผมทันที

“ที่นี่ก็ไม่นี่ครับ”   โค้กบอก แล้วก็สบสายตาผมแบบมีเลสนัย  แล้วเมิงไปพูดแบบนั้นทำมายยยย ก็บอกไปเซ่ว่า
ไม่เคย ไม่เคย ไม่ต้องย้ำว่าที่นี่ด้วยล่ะ

“ที่นี่ไม่ - - งั้นแปลว่าที่กรุงเทพก็เคยงั้นซิ ? ” แม่หันมาถามผมทันที

“ไม่นะ  ไม่เค้ยยยยยย”   รีบลุกลี้ลุกลนตอบทันทีเลยกู  หันไปหาไอ้โค้ก เห็นยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอยู่  หนอยยยยย

ลุงสนขับรถวนแถวริมปิงเรื่อยไป แล้วก็ไปเจอกับร้านอาหารร้านนึงไม่ไกลจากกาดหลวงมากนัก  พอจอง
โต๊ะอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกคุณๆทั้งหลายก็จะขึ้นไปดอยสุเทพกันต่อ  โหย นี่ยังไม่เหนื่อยกันอีกเหรอ

“งั้นแม่ปล่อยผมไว้แถวนี้ล่ะกัน  จะหาซื้อของอะไรหน่อยอ่ะ”  ผมว่าเพราะเห็นแถบนี้เป็นตลาด

“จะทำอะไรก็ตามใจแกล่ะกัน”  แม่ผมว่า เห็นเป่าว่ามีแต่คนตามใจ “ - - แล้วไปให้ทันหกโมงนะ ” แม่กำชับ

“ปริ้นจะมาซื้ออะไรเหรอ ” ไอ้โค้กถามระหว่างที่เดินตามผมต้อยๆ

“ของให้ไอ้โอ้ตมัน”  ผมว่า

“เออ ผมก็ยังไม่มีอะไรจะให้พี่เค้าเลยนี่นา”  มันทำท่าคิด

“ไม่ต้องให้หรอก   ”

“ยังไงพี่โอ้ตก็เป็นรุ่นพี่ผมหน่ะ”  มันพูดแล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมเล็กน้อย  จิ๊ ทำมารู้ดีว่ากูคิดอะไรอยู่

“งั้นระหว่างที่มึงหาของ  กูไปร้านรูปแป็บนึง”  ผมว่า แล้วก็แยกกะไอ้โค้กซึ่งไม่พ้นซื้อพวกตุ๊กตุ่นตุ๊กตา
ให้เป็นแน่แท้

“พี่ครับ เคลือบรูปเหรอเปล่า - - ช่วยเคลือบรูปนี้ให้หน่อยครับ  …. อ่อ แล้วแถวนี้มีร้านห่อปก
หนังสือป่ะครับ”

ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มาเจอไอ้โค้กอีกที

“ไม่เห็นมีอะไรเลย”  ผมกะมันว่าแทบพร้อมกัน

“เอาน่า มีล่ะกัน” ผมบ่น “- - แล้วของมึงอ่ะ”

ไอ้โค้กมันยิ้มๆ แล้วก็ควักกล่องรูปไข่ใบไม่ใหญ่มากนักออกมา

“อะไรฟ่ะ”

“อย่ามาโบฯ” มันว่าผมแล้วก็กดสวิตเล็กๆเปิดออกมาข้างในก็ว่างเปล่า

“แล้วมันอะไรวะ”

“โห คุณปริ้นค๊าบ - - ไอ้เนี่ย เค้าเรียกหรูๆว่าไทม์แค็ปซูลค๊าบ”

“อ่อๆ ที่ชาวบ้านเค้าเรียกว่ากล่องเก็บของอะนะ”

“เรียกซะเสียของหมด”  มันทำหน้างุ้ม แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าไป

“เอาไว้ให้พี่โอ้ตเก็บความทรงจำดีๆไว้ในนี้ไง”  มันพูดพึมพำพลางยิ้มอยู่คนเดียว
.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.


ผมยกนาฬิกาข้อมือ  เกือบจะทุ่มนึงแล้วดิ  ระหว่างนั้นก็เดินริมปิงมาเรื่อยๆ  เห็นร้านอยู่ไม่ไกลแล้ว
ผมจะทำหน้าตอนเจอโอ้ตมันยังไงดีนะ  วันที่เจอมันครั้งล่าสุดก็ไปทะเลาะกะมันจนบอกไปว่า
ไม่อยากเห็นหน้ามันอีกแล้วซะด้วย ….

มันจะยอมคุยกับผมเหรอเปล่านะ

มันจะหนีผมไปไม่เจออีกเลยหรือเปล่า

คนที่บ้านจะสังเกตพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของผมกะโอ้ตได้มั้ยเนี่ย

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มจนไอ้โค้กสังเกตได้ …

“อย่าคิดมากดิปริ้น - - พี่โอ้ตเค้าไม่โกรธปริ้นหรอกครับ”

“ต… แต่กูทำให้มันเสียใจ”  ผมพูดขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกที่ขาก้าวไม่ออก

“- - บอกมันไปว่า ไม่อยากเจอมันอีกแล้ว”

ว่าจะไม่โศกในวันดีๆของมันแล้วแท้ๆ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดอย่างแรง ทั้งที่ใจนึงก็อยากขอโทษมัน
อยากจะได้คุยกับมันเหมือนเดิม นานแค่ไหนแล้ว … ที่เราไม่ได้พูดดีๆ หรือว่ารู้สึกดีๆกัน แล้วถ้าผมไปคุย
ดีกับโอ้ต ไอ้โค้กมันจะรู้สึกแย่ จะเสียใจกับผมมั้ย ?

คนหล่อกลุ้มใจจังว้อย ?  คิดไปคิดมาน้ำตาก็ตกซะงั้น

“ไปเถอะครับปริ้น … ยังไงพี่โอ้ต เค้าก็ยังเป็นพี่ของปริ้นนะ - -” โค้กค่อยๆฉุดมือผมเบาๆ 

“- - ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกับปริ้นนะ …. ผมเคารพในการตัดสินใจของปริ้นนะครับ”  มันยิ้มน้อยๆ
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า มันพูดจากความรู้สึกจริงๆ  ไม่ได้พูดให้ผมสบายใจ

ครอบครัวเหรอ ?

ใช่ … ฮึก ใช่  โอ้ตมันเป็นครอบครัวเดียวกับผม  มันคงอยากกลับมาหาพ่อแม่มัน  ฮีก ..อยากกลับไปหาคุณยาย
อยากกลับไปหาป้ามัน  อยากกลับไปหาเจ้าซีซ่า  …. อยากกลับมาหาน้องชายอย่างผม  ….
พอเข้ามาในร้านปั๊บ บัดดลก็เจอหน้าถมึงทึงของท่านแม่เข้าอย่างจัง

“บอกว่าให้มากี่โมง”

“หกโมงครับ”  ผมตอบเสียงอ่อยๆ

“เอาน่าๆ ยาย(ชื่อแม่) เรื่องแค่นี้อย่าเอามาหงุดหงิด  กับข้าวกับปลาก็ยังไม่มาซะหน่อย  เอ้า เจ้าปริ้น เจ้าโค้ก
มานั่งเร็ว ” ยายกวักมือเรียกไวๆ พอนั่งปั๊บก็เริ่มมีอาหารมาเสิร์ฟ  ทุกคนนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  ยกเว้นเก้าอี้เดียว

“พ…พี่โอ้ตไม่มาเหรอครับ”  ผมถามลุงสน แอบเสียงสั่นเล็กน้อย

“มา มาแล้ว เห็นบอกว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้”  ลุงสนว่า

“งั้น… เออ เด๋วผมไปตามมัน - - เอ้ย พี่โอ้ตล่ะกัน  ไปทางไหนอ่ะครับ”

“ปริ้น - - ” เสียงไอ้โค้กเรียก

“รีบพาพี่โอ้ตมานะ  เดี๋ยวข้าวเย็นหมด”  มันยิ้มให้ผมแล้วก็ขยิบตาเล็กน้อย  เหอๆ อย่ามาทำตัวเป็นพ่อพระอีกคน

ผมเดินข้ามฝั่งถนนมาก็เป็นสวนหย่อมเล็กๆเรียบไปกับริมแม่น้ำปิง  คล้ายๆกับที่ผมมานั่งคุยกับพี่เตวันก่อน
นั่นแหละ

มันเดินไปแถวไหนของมันวะ  ที่ผมว่าจะมาตาม ดูเป็นอะไรที่บ้าบอไปหน่อย  ทั้งๆที่ผมไม่รู้จักมักคุ้น
แถวนี้มาก่อน แต่ผมแน่ใจ แน่ใจว่ามันต้องอยู่แถวๆนี้แน่

ไฟตามเสาไฟฟ้าเริ่มเปิดขึ้นไล่ทีละดวง  บรรยากาศเริ่มมืดอึมครึมลง  ผมเห็นผู้ชายใส่ชุดสีขาวผูกเน็คไท
สีม่วงยืนทอดหุ่ยอยู่ริมแม่น้ำ  (มึงดูมิวสิควีดีโอมากไปเป่า)

แกร่ก  แกร่กก

เสียงตามทางเดินทำให้ไอ้โอ้ตรู้ว่ามีใครบางคนเดินเข้าไปหา  พอหันมาสายตาของผมกับมันก็ประสาน
กันโดยอัตโนมัติ

กูอยากรู้จัง ว่ามึงคิดอะไรอยู่ตอนนี้


มันเหมือนจะรู้ว่าผมอาจจะโดนใช้ให้มาตามไปกินข้าวแล้วก็ได้  มันถึงค่อยๆเดินเข้ามา  แล้วก็ค่อยๆเดิน
ผ่านผมไปช้าๆ โดยไม่ยอมพูดอะไรกับผมซักคำ

“เดี๋ยวดิ”

ผมไม่ได้หันไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินต่อเหมือนกับว่ามันลังเลว่าจะเดินต่อไปหรือว่าจะหยุดดี  แล้วมันก็
ตัดสินใจเดินกลับไปต่อ

“โอ้ต …”

ไอ้โอ้ตยังเดินต่อไปไม่สนใจฟังผม

“โอ้ต ….- - พี่โอ้ต”

คำๆนี้ดูจะทำให้มันหยุดเดินลงได้ 

“ครับ ..คุณปริ้น”  ไอ้โอ้ตเรียกผม มันเป็นคำที่เรียกผมตั้งแต่ที่รู้จักกันวันแรก น้ำตาผมคลอ ไม่เอา ผมจะไม่แสดง
ความอ่อนแอให้มันเห็น ต.. แต่ว่า

เสียงแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ ดูเหมือนจะค่อยๆกัดเซาะเอาความรู้สึกบางอย่างที่อัดอั้นมานานของ
ทั้งผมแล้วก็มัน

ผมค่อยๆเดินเข้าไปหามันที่ยืนนิ่งหันหลังให้อยู่  ผมเข้าไปใกล้แผ่นหลังมันจนเหมือนบางทีก็รู้สึกว่าลมหายใจ
ไปสัมผัสได้

“ข…ขอโทษ”  เสียงผมดูจะอ่อนแรงเหลือเกิน

“คุณปริ้นจะมาขอโทษผมเรื่องอะไร ”  โอ้ตพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเทา  ผมไม่รู้ว่ามันโกรธ เสียใจ น้อยใจ
หรือว่าอะไร

“ข……ขอโทษ …ฮึก  ”

“ค… คุณปริ้น ม… มาทำกับผมอย่างนี้ทำไม”  เสียงโอ้ตยิ่งสั่นขึ้นเรื่อยๆ

“ขอโทษ  ….ข….ขอโทษนะพี่โอ้ต  ผมขอโทษนะพี่โอ้ต”   สองมือของผมเข้าไปกอดรัดแผ่นหลังอุ่น
ที่โหยหามานานโดยไม่รู้ตัว

“ค..คุณปริ้น - - อึ๊ก ปริ้น  ปล่อย ปล่อย  ฮือ  ปล่อยผม  อ…อย่าทำให้ผมเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้เลย
- - ฮึก ปล่อย”  โอ้ตพยายามแกะข้อมือที่รัดแน่นของผมให้ออกให้ได้  ตัวมันสั่น พร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ

ผมกลัว … ความรู้สึกที่โอ้ตพยายามจะดิ้นรนหนีไปให้ได้  เหมือนกับที่มันพูดเอาไว้วันนั้น

“ปริ้น ….อ.. อย่าทำแบบนี้กับ - - ผมต่างหาก ผมต่าง- - ”  โอ้ตเหมือนกับกำลังรวบรวมกำลังทั้งหมดแกะมือผมออกให้ได้

“พี่โอ้ต … - - ฮึก ก..กลับบ้านนะ   - - กลับบ้านเรากันนะ  ฮือ  กลับบ้าน  กลับ…..”   ผมซบหน้าร้องไห้
ออกมาที่แผ่นหลังโอ้ต  บ้านหลังที่มึงกับกูเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา  บ้านที่คอยปลอบประโลมเวลาที่
เจอเรื่องเลวร้าย  บ้านที่อบอุ่นที่เป็นครอบครัวของกูกับมึง

“ฮึก อึก อึก - -” โอ้ตก้มหน้าลงมองพื้น  น้ำตาหยดลงเป็นสาย  มือที่กำลังจะขัดขืนอยู่เมื่อกี้อ่อนแรง
ตกลงมาข้างลำตัว  แล้วก็ค่อยๆหันมาทางผมอย่างช้าๆ

“คนอย่างโอ้ต …ฮึก  คนอย่างโอ้ต   - - ” แล้วมันก็ซบลงมาร้องไห้ที่ตัวผมแทน

“รับปริญญาเสร็จแล้ว … กลับบ้านกันนะ พี่โอ้ต”   ผมสะอื้นแต่คราวนี้เป็นฝ่ายเอามือลูบหัวมัน เหมือนกับที่
มันทำกับผมบ่อยๆ 

“พี่โอ้ต”  ผมพูดกับมันเสียงค่อยๆ

“จำได้มั้ย - - พี่เคยบอกว่า พี่จะกลับมาเอาของบางอย่างตอนที่เรียนจบแล้ว”

โอ้ตมันพยักหน้าอยู่ที่ซอกคอ

“ผมเอามาคืนให้แล้ว …” พูดเสร็จโอ้ตมันก็ค่อยๆผละออกจากตัว  ผมหยิบไดอะรี่ของมันที่เหน็บไว้ข้างหลัง
ส่งให้  ไอ้โอ้ตรับไปดูท่าทางแปลกใจเล็กน้อยที่ผมห่อปกให้มันใหม่

“ขอบคุณครับ .. ” แล้วมันก็เดินเข้ามากอดอีกทีนึง  ผมตบหลังมันไป ก่อนที่จะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองให้กลับ
เป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด  ไม่อยากให้คนที่รออยู่ที่ร้านสงสัย

“ปริ้นเดินเข้าไปก่อนนะครับ  เดี๋ยวโอ้ตตามเข้าไป”

“รีบไปนะ” ผมบอกมันแล้วก็หันหลังทำท่าจะกลับ “ - - อ่อ .. พี่โอ้ต ”

“ครับ ? ”

“ชวนพี่เค้ากลับไปด้วยนะ . ”.

“พี่ ? ”

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.




 สุดท้ายแล้ว … ปริ้นก็กลับไปหาคนที่เค้ารัก คนที่ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ  …เหมือนผม  มันก็สาสมแล้ว
กับความอ่อนแอของผม จะเศร้า จะโทษตัวเองแค่ไหน ความรู้สึกผิดมันก็ไม่จางหายไปซักที  กี่ปีแล้ว 
ผมรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว  ผมทำแบบนี้ไปทำไม   - - ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปเจอพ่อแม่
อยากกลับไปหาเจ้าซีซ่า  - - อยากกลับไปหาน้องชายของผม  แต่ผมไม่มีหน้าจะกลับไปหาเค้าได้อีกแล้ว
แต่ - - วันนี้

“ขอบคุณนะปริ้น … ขอบคุณที่ยกโทษให้คนเลวๆอย่างผม  ยกโทษให้กับคนที่ไม่มั่นคงกับความรัก
อย่างผม”

น้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาอีกแล้ว  …. สายลมหนาวที่พัดเข้ามาที่ริมแม่น้ำปิงมันทำเอาสั่นสะท้านทั่ว
ทั้งร่าง  ผมค่อยๆยกมือปาดน้ำตาตัวเอง 

ผมทอดสายตาไปยังแม่น้ำสีดำที่ไหลเอื่อยๆอยู่ข้างหน้า แล้วก็หันตัวเดินกลับไปช้าๆ ในมือกำไดอะรี่แห่ง
ความทรงจำไว้

ผลุบ …

กระดาษอะไรซักอย่างหลุดปลิวออกจากไดอะรี่อย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้สังเกตว่าคืออะไร  ป่านนี้
พวกนั้นคงรอกินข้าวกันเหงือกแห้งแล้ว

“เฮ่ย … มึงทำของตก”

เท้าผมหยุดกึกลงตรงนั้น  อยู่ๆขนทั่วทั้งร่างก็ลุกซู่  ทั้งๆที่อากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว

ส…เสียงนี้  ผมจำเสียงนี้ได้ดี แม้ว่ามันจะผ่านมาแล้ว  กี่ปีแล้วนะ ผมไม่กล้าหันกลับไปหาต้นเสียงนั้น
ได้แต่ยื่นมือออกไปทางด้านหลัง  รู้สึกได้ว่ามีกระดาษใบนึงร่วงลงมาอยู่ในอุ้งมือ

แกร่ก …แกร่ก

ผมค่อยๆเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

แกร่ก แกร่ก

มีเสียงฝีเท้าตามมา

“มึงยังเหมือนเดิมนะ … อ่อนไหว  อ่อนแอ  - - ไม่มีความหนักแน่น  แล้วก็ - - ขี้แย”
เสียงนั้นดังเข้ามากระทบโสตประสาทของผมชัดเจนจนทำให้ต้องหยุดเดินอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างนั้น
ก็หยุดด้วยเช่นกัน

“- - แต่โอ้ต มึงก็ยังเป็นคนเดิม  มึงเป็นคนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง - - มึงรักใคร ก็ไม่เคยเปลี่ยน  กูพูดถูกใช่มั้ย”
เสียงนั้นเหมือนพูดล้อเล่นกับผม

สนุกเหรอมึง …?

ผมเริ่มก้าวเดินต่อจนมาถึงต้นไม้ใหญ่ริมปิง  ร่างนั้นยังคงก้าวเดินตาม  ตัวผมเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง  มึงไม่เคยไป
ไหนเลยใช่มั้ย  มึงไม่เคยอยู่ห่างกูเลยใช่มั้ย … แล้วทำไม แล้วทำไม - -

เหมือนร่างนั้นจะรู้สึกถึงความนึกคิด

“กูเคยบอกมึงแล้วไง … ไม่เคยมีใครไม่เคยสูญเสีย ไม่มีใครที่จะสมหวังไปหมด - - ใช้ชีวิตที่เหลือ
ให้มีค่าที่สุด - - ”

“กูกลัว …”  ผมเอ่ยปากพูดกับร่างๆนั้นเป็นครั้งแรก

“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ต้องกลัว - - - -  โอ้ตมึงเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ … มึงโตแล้ว - - คนที่เป็นพี่ชายน่ะ
เค้าไม่อ่อนแอให้น้องเห็นได้ง่ายๆหรอก”

ฮึก …

ฮึกก……

ผมค่อยๆหันหลังกลับไปหาร่างนั้น … แต่ก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงลำแสงเล็กๆของหิ่งห้อย
ที่ส่องระยิบระยับอยู่ทั่วบริเวณ

“ปิง.. - - "]
.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.



*...ในช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ได้รับคำตอบให้กับชีวิตที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยการได้พบเจอกับสิ่งต่างๆมากมายก็ทำให้เรียนรู้ว่า ไม่มีความโดดเดี่ยวใดในโลกที่จีรัง หากมองความรักอย่างเข้าใจ
...แม้บางครั้งชีวิตจะเดินไปสู่หนทางที่มืดมิด หากแต่หัวใจยังมีความรักและมีความหวัง จะมีมือที่อยู่ใกล้ ๆ คอยจูงเป็นเพื่อนไม่ให้เราหลงทางอย่างแน่นอน





.
.
.
.
.
..
.
.
บ้านพักอลเวง – Holynight  จบบริบูรณ์พูนสุข


* จากบทภาพยนต์ รักแห่งสยาม โดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับ "คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง


.
.
..
.
.

STP : จบยากจังครับตอนนี้ แต่ก็จบแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามมาโดยตลอดนะครับ
ขอบคุณกับทุกกำลังใจ และขออภัยถ้าในบางคราอาจจะเขียนได้ไม่ถูกใจในบางตอนนะครับ

ความใฝ่ฝันของผมคือ อยากให้คนที่ได้มาอ่าน รู้สึกมีความสุขที่ได้อ่าน ได้หัวเราะเฮฮา
แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นผมเขียนไปแนวออกเศร้าไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ (ฮา) บางที
กลัวคนเลิกอ่านไปเลยก็มี ^^ จริงๆเคยบอกพี่คนนึงไปว่า พลาดไปเหรอเปล่าที่มา
เขียนตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีก แต่ปรากฎว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็ดีใจครับ ที่ได้เขียนตอนนี้
ขึ้นมา แม้จะดูออกแนวแฟนตาซีมีหางไปบ้างก็เหอะ ^^
แล้วเจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการค๊าบ

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-01-2007 20:38:58
 :like6:  ชอบๆอ่ะ ถึงแม้จาดูแปลกๆอยู่บ้างในช่วงท้ายๆ แต่ก้อมีสีสันดี แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการจ้าคุณSP.  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-01-2007 20:50:28
มันสมบูรณ์จริงๆแล้วครับ
สมบูรณ์อย่างหมดข้อคลางแคลงใจ
สมบูรณ์จนปวดไปทั้งใจ
ความรักยังไงก็ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังอย่างที่ปิงว่า
หวังว่าโอ๊ตจะได้รับความรัก อย่างไม่ต้องเจ็บปวดกับเขาบ้าง
 :impress3: :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 29-01-2007 20:58:46
จบได้คลาสิกจัง......ขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องดีๆ
อ่านเรื่องมาเยอะแล้ว   เราว่าเรื่องนี้สนุกมากๆเรื่องหนึ่ง ในใจเราเลย
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: BlackySheep ที่ 29-01-2007 21:04:54
จบแล้ว...รู้สึกเศร้าจัง  :monkeysad:

แต่จบได้ยอดมากครับ เป็นเรื่องไม่กี่เรื่องนะเนี่ย

ที่อ่านแล้วทำคนอ่านจะร้องไห้ตาม

ถึงโอ๊ตจะไม่ได้คู่กับปริ๊นตอนจบก็เหอะ

ตรงนี้รู้สึกได้เลยว่ารักแรกไงๆก็ไม่สมหวังอะ  :sad4:

แต่ได้โค้กก็ดีแล้วสำหรับคนเชียร์โค้กอย่างเรา ^ ^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-01-2007 21:14:39
แวะมาจุ๊บๆเจ้าของเรื่องบ้ากามหนึ่งที  :laugh:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-01-2007 22:39:10
จบลงอย่างสมบูรณ์แบบมั่ก ๆ
อ่านแล้วนึกถึงตอนจบของภาค season chang ตอนนั้นคิดว่าจบได้ลงตัวแล้ว
แต่ภาคนี้กับสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า  :impress3:  :impress3:
ขอบคุณคนแต่งมาก ๆ ที่เขียนเรื่องราวสนุก ๆ มาให้อ่านกัน
แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่ะ  :yeb:

ปล.แอบขัดใจนิด ๆ ทำไมปริ้นต้องขอโทษโอ้ตก่อนด้วยล่ะ ตกลงโอ้ตนี่ปากหนักจนนาทีสุดท้ายเลยนะ :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 30-01-2007 12:13:10
 :impress: ขอบคุณครับผม จบได้สมบูรณ์ในทุกๆ มุม ทั้งเรื่องราว แย้วความรู้สึก ขอบคุณครับ :impress:


แต่เสียดายจัง ที่จบ ฮิฮิ แต่หวังว่าคงจะมีภาคอื่นๆ ของบ้านพักอลเวง ออกมาให้ได้อ่านอีกนะครับ :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 30-01-2007 13:20:43
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ

เป็นเรื่องที่สนุกมาก มีทุกรสชาดในเรื่องนี้เลย

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่มีมาให้อ่านนะค่ะ

อยากบอกว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ชอบมากๆ ค่ะ  :monkeylove2:

แล้วนำเรื่องใหม่มาให้อ่านอีกนะค่ะ  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 30-01-2007 15:47:49
โย่วๆๆๆ    :angellaugh2:ดีใจจังที่เรื่องนี้มีภาคต่อมาแล้ว (ยังไม่ได้อ่านหรอกนะ ขอเซฟไว้ไปทำอารมณืเลียบๆอ่านที่บ้านดีกว่า)


ดีที่วันนี้แวะเข้ามาดู และแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย

ตอนอ่านseason chage จบนานแล้ว ก้ยังนึกอยากให้มีต่อ เพราะอะไรๆ มันยังจบไม่มบูรณืค้างคามากเลย 

ขอบคุณนะครับ ที่มีมาลงให้ต่อ ขอบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆเลยครับ ได้อมยิ้ม หัวเราะ เสียน้ำตากับเรื่องราวของปรินซืไปมากมายเลย  ดีใจจริงๆ ที่มีโอกาศได้อ่านเรื่องนี้.... :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 30-01-2007 18:04:58
ขอบคุณมากๆครับทุกคน ...^^
เอาไว้ เรื่องใหม่เสร็จแล้ว จะลองเอามาให้อ่านกันอีก ไม่รู้จะชอบเหรอเปล่า



ลป.ว่าแต่เมียเก่ากรุอย่างไอ้ต้น เอ็กฯ มันโผล่มาได้ไงเนี่ย  :interest:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 30-01-2007 18:24:42
เย้ มาต่อให้แล้ว :angellaugh2:

ชอบCOKEมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยกกำลัง2 :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-01-2007 18:37:21
อ่านมาก็หลายเรื่องละ  อยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในใจ  จริง ๆ นะ  :yeb:

แต่งเรื่องใหม่เร็ว ๆ น้า  อยากอ่านแล้วอ่า  :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 30-01-2007 20:22:17
ยอดเยี่ยมคับ

จากใจ

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Ann ที่ 30-01-2007 21:33:50
 :-[ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ รออ่านตลอด แต่เรามีความรู้สึกว่ายังไม่น่าจบนะคะ  :monkeysad:
เคลียร์เรื่องโอ๊ตแล้ว อยากให้มีเรื่องราวของ ปริ้นกะโค้กมั่งอ่ะ ไม่ค่อยมีให้อ่านเลย น่าน้อยใจแทนโค้กจัง :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 30-01-2007 22:25:14
ชอบจัง  ชอบเรื่องที่คุณ stayingpower   เขียนทุกเร่องเลยครับติดตามมานานแล้ว   :impress2:

ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่ง  :like6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 31-01-2007 03:26:44
จบได้อิ่มมากเลยครับ
เต็มอิ่มจริงๆ ขอบคุณมากนะครับที่ได้สร้างเรื่องดีๆเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอบคุณมากครับ
 :impress3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 31-01-2007 14:42:54
สนุกมากๆ ค่ะ สิ่งที่ค้างคาในใจจากตอนที่แล้ว ก็เคลียร์หมดแล้ว จบได้ถูกใจค่ะ กลัวมาก ว่าปริ๊นจะกลับไปหาโอ๊ต
เพราะชอบโค๊กมาก โค๊กน่ารัก จริงใจ มั่นคง กับปริ๊นตลอด  :haun6: :myeye:
จะรอเรื่องต่อไปนะคะ รีบมาลงเร็ว ๆ นะ  :yeb:

ปล. เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในใจเราเหมือนกัน ชอบมาก  :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 31-01-2007 15:57:09
สุข เศร้า เคล้าน้ำตา มีครบทุกอารมณ์

ขอบคุณครับที่มาคลี่คลายปัญหาต่างๆ

คงจะถูกใจแฟนคลับของโอ้ตและโค้กนะครับ

ขอบคุณ St.Power สำหรับเรื่องราวดีๆ เป็นกำลังใจให้นะครับ

ขอบคุณ หนูบลู สำหรับพื้นที่ดีๆ แบบนี้

ขอบคุณเซ็งเป็ดที่ทำให้เรารู้จักกัน

รักทุกคนคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: offlex ที่ 31-01-2007 17:25:27
โหย...ซึ้งมากๆเลยอ่ะ :impress:
ติดตามมานานแล้ว
จบ(จิงๆ)เสียทีนะคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 01-02-2007 02:29:04
เมื่อไหร่จะมีภาคต่ออีกคับ อยากรู้ว่าปริ้นกะโบค้กคบกันต่อไป แล้วเรื่องราวจะเป็นไงอีกบ้าง โอ๊ตจะมีแฟนใหม่อีกป่ะ มาต่อเพิ่มนะคับ
เพิ่มอีกหลายๆภาคเลย :impress2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: forsaken ที่ 02-02-2007 04:29:17
จบแล้ว ตอนจบเศร้า + ซึ้งดีครับ แต่ก้อ happy ๆ
ถึงโอ๊ตจะไม่ได้กลับไปคืนดีกะปริ๊นส์ก้อเหอะ แต่ก้อคืนดีกานแล้ว
เป็นอีกเรื่องเลยนะครับที่ผมชอบมาก สนุกมากครับ ขอบคุณมากมายครับ... :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: between ที่ 05-02-2007 00:43:47
          ต่อคับ  เอาแบบปริ๊นง้อโค้กบ้างดิ

 แต่แบบน่ารักๆ นะ

อ้อ เมือไหร่ ความสัมพันธ์ทางพฤตินัย จะเกิดละเนี่ยฮึ :pigangry2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: box_breathe ที่ 05-02-2007 01:33:21
จบได้ประทับใจผมมากๆเลยค้าบ

ชอบเรื่องนี้มากเลย

ขอบคุณนะคับ สำหรับนิยายดีๆ

ผมจะรอติดตามผลงานชิ้นต่อไปนะค้าบ

            thanks krab !!
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pandaba ที่ 20-02-2007 13:42:12
ขอบคุณมากๆๆๆครับ


เรื่องสนุกจริงๆๆครับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: วาซาบิ ที่ 23-02-2007 22:48:52
เพิ่งเข้ามาอ่านต่อ...จบเสียที

ขอบคุณจ้า สำหรับเรื่องดี ๆ มีครบทุกรส :haun6: :3028:

จะติดตามอ่านเรื่องต่อไปนะคะ  :monkeylove2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: rarmz ที่ 12-03-2007 16:34:50
ก่อนอื่นจะบอกว่า

"มาช้าไปโคตรๆ ใช่ป่ะ?"
แฮ แฮ . . .

แต่มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา (อ่าว พี่มอสมาเองซ๊ะงั้น) - -*


ผมเริ่มอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็จำไม่ค่อยได้นะฮะ ประมาณปลายๆเดือนมกราคม 50 มั้ง
(ช้าสาด)
แต่ก็ติดตาม (ห่างๆ ห่างโคตรๆ) มาตลอด...


ตอนแรก อ่านแล้วแบบว่า อินมาก อินม๊ากมาก
คิดไปอย่างเดียวเลยว่า "โหยยยย คนแต่งนี่ สงสัยคงเก่งขั้นบรมครู" (ว่าไปนั่น)
แต่ยอมรับจริงๆนะฮะ ว่า เขียนเรื่องได้น่าติดตามม๊ากมาก (ทำเอาผมติดได้ ว่างั้น?)


เชียร์โอ๊ตกะปริ๊นซ์สุดใจขาดดิ้นเลยตอนแรกๆ
แต่ไม่นึกว่า ตอนหลังๆ เรื่องทั้งหมด มันเกิดจากแค่ความไม่เข้าใจกัน
การที่ไม่ได้พูดคุยกัน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเข้าใจผิด มันทำให้อะไรหลายๆอย่างแย่ลงกว่าเดิม
(ผมเข้าใจถูกป่ะ? อ่านแล้วมึนๆ)


ชื่นชมในตัว โอ๊ต มาก ถ้าพูดถึงในแง่ รักใครรักจริง รักมากมาย รักมานานถึง 8 ปี
แต่อย่างที่คนอื่นๆพูด เป็นคนที่ปากแข็งเน๊อะ? ชื่นชมมาโดยตลอด เพราะชอบคนที่เป็นผู้นำ (โอ๊ตเป็นปธ.นร.)
ชอบคนที่โตกว่า (เป็นพี่ชาย) บลาๆ

ชื่นชม ปริ๊นส์ ที่เป็นตัวของตัวเอง หลายๆอย่างที่ทำแสดงให้เห็นว่ารักใครแล้วรักหมดหัวใจ (แต่ทำไมต้องเสียใจ?)
แต่ตอนหลังๆก็นะฮะ ในเมื่อเข้าใจผิด ก็อย่างว่าอ่ะแหละ คนเราเมื่อขาดใครไปซักคน คนที่เข้ามาทำดีกับเราด้วยทำให้-
เราหวั่นไหว รับเค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต บลาๆ
(อ่านแล้วมึนชิบ - -*)

ชอบ โค๊ก นะ ในหลายๆเรื่อง ซึ้งมากที่ยอมเจ็บ(ในตอนใกล้ๆจะจบ) ถึงตอนแรกๆ ปากจะบอกว่า ไม่ชอบผู้ชาย ไม่ชอบผู้ชาย (เข้าทำนองของดูบาดู) แต่ตอนหลัง ก็นะ แหม... คนน่ารักอย่างปริ๊นส์อ่ะเน๊อะ ใครจะห้ามใจไหว? แฮ...แฮ
(อ่านแล้วก็งงอีกอ่ะ - -*)

ชื่นชมคุณ Staying Power มากๆ (ชื่อปริ๊นซ์ใช่ป่ะคับ?)
เขียนเรื่องได้ดีเยี่ยม (ย้ำอีกครั้ง ดีเยี่ยม)
ผูกตัวละครได้ครบทุกตัว มีที่มาที่ไป มีทุกอารมณ์ (แอบมี sci-fi ,fantasy เล็กน้อยถึงปานกลาง ตอนท้ายๆเน๊อะ)
มีหลายๆอย่าง อย่างที่นิยายเรื่องนึงควรจะมี
ผมขอไม่ติอะไรเลยแล้วกัน เพราะว่าผมไม่ใช่นักเขียน เป็นแค่ผู้อ่านคนนึงเท่านั้น
ติอะไรไป เกรงว่าจะโดนสหบาทาของแฟนคลับรุมเอานะคับ เหะๆ

ไม่รู้จะพูดอะไรและ รู้แต่ว่า


"ตื้นตันมากๆ"


จบแบบนี้ ลงตัวที่สุดแล้วฮะ
ไม่มีอะไรค้างคา


ดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้


ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็น คนเขียน คนอ่าน คน post คน comment ผู้ผ่านมา บลาๆ


ขอบคุณ คุณเป็ด และเล้าแห่งนี้ที่ทำให้เรารู้จักกัน



ขอบคุณคับ



ปล 1. ผมยกให้เรื่องนี้เป็น 1 ใน Top 5 ของผมเลยล่ะ จริงๆน๊า
ปล 2. ขอโทษอย่างแรงถ้ามาพิมพ์พร่ำเพรื่อ ไร้สาระ แต่แค่อยากขอบคุณจากใจ ... แค่นั้น
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 12-03-2007 17:21:07
ขอบคุณทุกคนเช่นกันครับ ^^

ความรู้สึกดีๆ ของทุกคนส่งผ่านมาได้จริงๆ

ผมม่ะใช่คนเขียนระดับมืออาชีพอะไรเท่าไร อยากให้ช่วยติติงกันบ้าง ก็ม่ะว่าอะไรเลยครับ แฮะๆ

ดีใจที่หลายๆคนชอบเรื่องที่ผมเขียน มันมีทั้งประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อมที่ไม่คิดว่าจะมี
คนชอบได้ขนาดนี้ ในฐานะคนเล่าแล้วก็เขียนเรื่อง ประทับใจกับทุกๆคนคับ  :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: may_1223 ที่ 14-03-2007 02:36:08
ชอบ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
ไม่งั้นคงไม่นั่งอ่านตั้งแต่บ่าย2ยันตี2 งึ่มๆ
ขอบคุณนะค่ะที่แต่งเรื่องดีๆอย่างนี้มาให้อ่าน
อ้อ แล้วถ้าไม่มีภาคพิเศษเนี่ยเมย์คงแย่ไปแล้ว เพราะค้างมากมาย อิอิ ขอบคุณนะค่ะที่มาแต่งต่อ
ตอนจบทำเอาบ่อน้ำตาแตกไปเลย แต่ความจิงตอนนั่งอ่านมาทั้งเรื่องก้อจำไม่ได้เหมือนกันว่าร้องไห้มากี่รอบ บอกตามตรงแอบเชียร์โอ๊ตมาตลอดเลยค่ะ ถึงแม่จะรู้ว่าโค้กเปงคนที่ดีมากๆ แต่ก้อลืมโอ๊ตไม่ได้สักทีสิหน่า (ประหนึ่งว่าตัวเองเปงปรินซ์ซะงั้น งุงิ) ตอนจบแอบมีปิงโผล่มาด้วย แอบดีใจเล็กๆ ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่เหมือนกับว่าจะทำให้ร้องไห้หนักสุดในเรื่องแล้ว ตอนจบของเรื่องยิ่งเข้าไปใหญ่ ตอนนี้แอบงงว่าตัวเองจะมาพร่ำพรรณนาอะไรมากมาย ยังไงก้อ ขอบคุณจิงๆนะค่ะที่แต่งเรื่องนี้ออกมา ทำให้เข้าใจชีวิตในหลายแง่มุมเลย มีความสุขมากๆค่ะที่ได้อ่านเรื่องนี้ สนุกมากจริงๆ


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 16-03-2007 14:38:08
พี่ๆๆคับ อยู่รู้ว่า เพลงที่ โค้ก ร้องให้ปริ้น เปงเพลงอะไรอ่ะคับ

แล้วจะมีภาคต่อไหม

ทำผมนั่งอ่านแล้วคิดถึงตัวเอง ร้องไห้เลย    :monkeycry4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 17-04-2007 00:12:39
เหอๆๆๆๆๆ  ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่รู้จะบรรยายยังไง

 :laugh3: :laugh3: :laugh3:

แล้วอยากรู้ว่า ภาค 2 อะครับที่เขียนค้างไว้ ไม่มาต่อให้จบหรอครับ
 :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-04-2007 21:31:14
เรื่องนี้ยาวมากอ่านจบก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง น่าเสียดายโอ๊ตนะ เป็นคนดีแต่ใจอ่อน ขี้สงสารเกินไป และมีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมพูดออกมา แปลกจริง ๆ นะ อ่านมาหลายเรื่อง ตัวละครส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องทุกเรื่องกับคนสำคัญของตัวเอง  มีอะไรชอบเก็บเอาไว้คนเดียว คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญหรืออย่างไร บางครั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน ถ้าโอ๊ตบอกทุกสิ่งทุกอย่างไม่ปิดบังกับปริ๊น บางทีเรื่องมันอาจไม่เป็นอย่างนี้  รักกันมานาน ไม่คิดไม่เสียดายความรู้สึกนี้หรืออย่างไร ทำอะไรไปไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยหรือ แล้วที่สำคัญเหมือนไม่รักปริ๊นเลย มีอะไรก็ไม่พูด ไม่บอกเนี่ย เป็นเราเราก็คงจะรู้สึกเสียใจเหมือนปริ๊นนั่นแหละ  เมื่อปริ๊นมีโค้ก โค้กไม่มีอดีตกับใคร รักปริ๊น ดูแลปริ๊นคนเดียวมาตลอด มันก็แน่นอนว่าจะต้องได้ใจปริ๊นและคนอ่านไปเต็ม ๆ  เพียงแต่เมื่อปริ๊นและคนอ่านทุกคนมารู้ความจริงตอนจบ ก็จะต้องเศร้าแน่นอน และก็คงไม่สนับสนุนให้ปริ๊นเลิกกะโค้กไปหาโอ๊ตหรอก ก็โค้กไม่มีความผิดอ่ะ  ส่วนโอ๊ตมีความผิดแต่แรกก็คงจะต้องรับกรรมส่วนตัวไปตามลำพัง อันนี้ช่วยไม่ได้  เพียงแต่เราก็อ่านแล้วเศร้าอ่ะ มันน่าเสียใจ หดหู่ ยังไงก็ไม่รู้สิ พาลกินข้าวเย็นไม่ลงเลย เฮ้อ เศร้า :เศร้า1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 20-04-2007 17:57:14
เหอๆๆๆๆๆ  ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่รู้จะบรรยายยังไง

 :laugh3: :laugh3: :laugh3:

แล้วอยากรู้ว่า ภาค 2 อะครับที่เขียนค้างไว้ ไม่มาต่อให้จบหรอครับ
 :impress: :impress:

มีภาค 2 ด้วยหรอ ครับ??? อยากอ่าน ๆ ๆ  :monkeycry4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 20-04-2007 19:46:05
ภาค 2 ??


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 20-04-2007 19:58:56
โอ๊ะ!.. คนเขียนแอบมารี  :give2:

รักโค้กงับ รักมากกกกกกกกกกกกกก

แล้วก็ แชมป์ วริศ อะ เหมาะเป็นโค้กมากกว่าเป็นปริ๊นนะคับ ผมว่า

 :5555:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-04-2007 20:38:31
เข้าคงหมายถึง version เก่า ก่อนที่จะมาเป็นเวอร์ชั่นนี้อ่ะครับ
ผมก็อยากอ่านอีกรอบเหมือนกัน
 :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 21-04-2007 13:26:13
อยากอ่าน & อยากรู้เหมือนกัน

 :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 21-04-2007 20:03:47
เรื่องที่อยู่ใน หน้าที่ 4 อ่าคับ
ที่คุณ Blueboyhub เขียนไว้อะ

ยังไม่จบนิคับ สงสัยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 21-04-2007 21:05:44
อ๋อ สงสัย ภาค 2 นี้ คงจะหมายถึง เรื่อง "เกมส์รัก คาสโนว่า" ใน Reply #168 มั่งคับ
(แต่ผมก็ไม่เห็นเคยอ่านเลยอะ รบกวนหามาให้อ่านกันหน่อยเร็ว!!)  :really2:

นี่ก็พึ่งจะอ่านจบเหมือนกัน (ใช้เวลาอ่านร่วม 2 ทิตย์แน่ะ เวลาน้อย+อ่านช้ามั๊กมาก)
ชอบเรื่องนี้ มาก ๆ ครับ (พอ ๆ กับ ภูฟ้า + ฟ้าลั่น เลย)
จบได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ

ขอบคุณมากครับ แล้วจะตามอ่านเรื่องต่อ ๆ ไปครับ เป็นกำลังใจให้

ป.ล. : ชอบเพลง ที่อยู่ใน bloq มากมายครับ ร้องเองด้วยนิ ?
         อ๋อ แล้วทำไม ภาค 7 กำหนดการ น๊านนานจัง -*- สิ้นปีแน่ะ T-T อยากอ่านไว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 29-04-2007 16:14:13
 :monkeysad:

งานยุ่งมากเลยขอร๊าบบบบเพื่อนๆ ไม่มีเวลาเขียนเรื่องต่อเลย (เรื่องใหม่)
แต่มีเวลาเข้ามาตอบคำถามคับ

คำถามข้อแรกกกก

ภาค 2 ที่บอกๆกันไว้ ตามที่(ตอนนี้)ผมเข้าใจแล้ว คิดว่าคงเป็นบ้านพักฯที่
เขียนไว้ในเว็บบอยออนเดอะเน็ทเก่าที่ปิดไปแล้ว ... จึงต้องขอบอกว่า น่าเสียใจ
จริงๆคับที่ไม่สามารถจะเขียนต่อให้จบได้คับ เพราะต้นฉบับเก่าๆ ผมมีเหลือแค่
ภาค 2 เดอะคลาสสิก เลยเอามารีไรต์มาเป็น ภาค 2 ไดอิส ในบ้านพักฯฉบับใหม่
แทนคับ (จริงๆในตอนแรกที่เขียนบ้านพักใหม่อีกรอบ ก็ตั้งใจว่าจะเขียนให้ออกมา
โดยมีเนื้อหาแบบเก่าในเว็บบอยออนเดอะเน็ท แต่เขียนไปเขียนมาดันเปลี่ยน
แนวเรื่องไปเยอะเลย) ผมก็เลยคิดว่า ถ้ามีบ้านพักฯสองเวอร์ชั่นคงไม่ดี (บวกกะความ
ไม่ขยันส่วนตัว) ก็เลยคิดว่า มีบ้านพักหลังเดียวดีกว่า แล้วถ้ามีเวลาค่อยไปเขียน
เรื่องใหม่ไปเลย (ก็เลยเป็นที่มาของ รักแท้บทที่ 2 )

แต่เขียนไปเขียนมา ก็เป็นอย่างที่เห็นคับ ........... แฮะๆ

คำถามข้อสองงงงง

ทำไมภาค 7 นานจัง ?

เพราะขี้เกียจขอร๊าบบบ <----- พูดเล่น

จริงๆแล้วไหนๆก็เขียนมาตั้ง  6 ตอนแล้ว เขียนตอน 7 อีกซักตอนคงไม่เป็นไร(มั้ง)
ก็เลยผุดความคิดขึ้นมาว่า ขอเขียนช่วงอีก 3 ปีให้หลังดีกว่า หลังจากเรียนจบ ทำงาน
ไปซัก ปี สองปี แล้วที่สำคัญ ยังไม่เคยเขียนเรื่องราวระหว่าง ไอโค้กกะไอปริ้น จริงๆ
จังๆซักกะที (มีแต่แพลมไปแพลมมา) ถ้ามีบ้างคงดีนะ(มั้ง)

แล้วทำไมถึงนานจัง .... แกเล่นตัวเหรอถึงแอ๊บเนียนไม่ยอมเขียนซะที ?
จริงๆแล้วก็คือว่า ผมต้องเขียนเรื่องใหม่(รักแท้)ให้จบซะก่อน ถึงจะมาเขียน ภาค 7
ได้  ประกอบกับ วันที่ 7 ธันวา เป็นวันที่ครบรอบวันที่ลงบ้านพักฯ เป็นครั้งแรก
ครับ ปี 50 นี้ ก็ครบรอบ 3 ปีพอดี (เลขสวย) ก็เลยเป็นชื่อภาคใหม่ซะเลย

3 years later.

7/ธันวา/2007



ลป. ช่วงนี้เรียนหนักเลยคับ ขนาดซัมเมอร์นะเนี่ย เลยต้องยืดเวลาไม่ได้ลง
พักนึงเลยคับ ยังไงก็กราบขออำภัยนะขอร๊าบบบ

//ว่าแล้วก็ไปอ่านเนกิมะต่อ  :kikkik:
เอ้ ย อ่านหนังสือเรียนต่อ  :call:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: rarmz ที่ 29-04-2007 19:22:41
รออ่านภาค 7 อย่างใจจดใจจ่อมากมาย
อยากอ่านจิงๆน๊า พี่ STP ...

จาก STP FC.

ปล. แอบอู้ไปอ่านเนกิมะ เด๋วเหอะๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-04-2007 20:14:59
หุหุ รออ่านภาค7 ด้วยคน  :interest: โค้กกับปริ้น ปริ้นกับโค้ก  :loveu:  :loveu:

ปล.เนกิมะสนุกเหรอ เดี๋ยวไปหามาอ่านมั่งดีกว่า  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: cookie201 ที่ 18-05-2007 23:42:25
 o11  รออ่านภาค 7 ค่า

ชอบเรื่องที่พี่เขียนมากๆๆเลย อ่านแล้วอินสุดๆ  o7

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: mu_off ที่ 23-05-2007 09:57:33
แบบว่าเพิ่งอ่านหง่ะ... :try2:

อ่านแล้วจะร้องไห้อ่ะคับ.. :o7:

ชอบมากๆเลยคับ... o7...

รอติดตามผลงานต่อไปนะคับ... o14
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: committeedestiny ที่ 03-06-2007 15:22:10
 o14

ยังไงก็มาต่อไวๆ นะคะ

จะรออย่างใจจดใจจ่อ  งั้นเรื่องที่จะทำเป็นเล่ม

คงต้องรออีกหลายปีเลยสิเนี่ย  ง่าๆๆๆ   :dont2:

ชอบทุกตัวละครเลยคะ 

มองทางโอ๊ตก็สงสาร 

โค้กก็ดีแสนดี   :like6:  รักพี่ปริ้นของมันมาตั้งนาน

อะนะ   สรุปว่าชอบมากๆ อะ  แบบขึ้นสมองเลย

มันอ่านแล้วอบอุ่นหัวใจอะ  แบบเข้าใจเลยความรักมันเปงไง

55+  เน่ามะ   จะเปนกำลังใจให้ตลอดไปนะคะ     o13


-------------

ปล. อ่านภายในอาทิตย์เดียว  กลับมาจากเรียนพิเศษทุ่ม - 2 ทุ่ม 

ต้องมาเปิดอ่านถึงเที่ยงคืน ตี 1  การบ้านไม่เคยทำ  55+  ชั่วมะ

แต่เพื่อโค้ก  ปริ้น  และโอ๊ต .....................

เค้าทำได้   :give2:  เกิดอาการนอกใจยุนๆ ซะงั้น  แหะๆ


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 05-06-2007 22:19:00
อ่านรวดเดียวบเลย  ชอบมากครับ  o13 o13 o13


ปล.ยังรอเสมอคร๊าบบบบบบบบบบ :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 06-06-2007 18:49:56
มารอด้วยโคนนนนนนนนน  o15 o14
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 08-07-2007 12:11:47
 :m5: :m5:ช่วยมาต่อภาคต่อไปได้มั้ยคับ  อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไงต่ออะคับ :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 08-07-2007 15:07:53
อยากบอกว่า..อ่านเรื่องนี้จบนานแย้ว..แต่ไม่ได้เข้ามาเม้นเลย :m5:แหะแหะ
 :m4:เป็นอีกเรื่องนึงที่ติดมากกกกกกกกก..ไม่ได้หลับได้นอน..ชอบชอบ :m4:
ที่ได้อ่านเรื่องนี้เพราะ..เพื่อนแนะนำว่าดีมากๆ o13..แล้วก้อจริงดังว่า..
 o15ขอบคุณนะครับที่เอาเรื่องดีดีสนุกๆมาฝากกัน.. o15
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 10-07-2007 02:13:18
 ตามมาอ่านรวดเดียว จนมาถึงบทสรุป เศร้าน้ำตาซึม ล่าช้าผู้อื่นนานมาก ชอบเรื่องนี้มากๆเลย  :-[ ความจริงแอบเป็นแฟนคลับโอ๊ต แต่ก็นะ รักออกแบบไม่ได้  :sad2:

อีกนิด ตอนอ่านเศร้าจนเจ็บหน้าอกไปหมด มันตื้นตัน  :impress: + ปวดกระเพาะอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 16-07-2007 09:09:51
นี่คับ Prince Coke Oat Zung Q Nick ในจินตนาการของป๋ม

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-07-2007 13:54:38
คนอื่นๆโอ หมด  แต่เปลี่ยนนิคหน่อยจิ  มันดูเด็กๆ ไปหน่อย
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-07-2007 19:16:13
นี่คับ Prince Coke Oat Zung Q Nick ในจินตนาการของป๋ม

อืม สงสัยแฟนพันธุ์แท้นะนี่ เลือกคนได้คล้ายกับตัวละครในนิยายเหมือนกัน
แถมน่ารักเจงๆเยย

ในเรื่องจะชอบคิวมาก แล้วรูปนี้ก็หัวโล้นเหมือนในเรื่องเยย
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 17-07-2007 00:01:19
ปริ๊นซ์นี่ ผมเลือกคนนี้เลยล่ะคับ
ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยว่าเป็นแชมป์ วริศ เพราะแชมป์หวานไป ไม่มีมุมวีน (ถึงปริ๊นซ์ในเรื่องต้องวีนบ้าง)

ส่วนน้องโค้ก เปลี่ยนหลายทีเลยล่ะคับ เพราะว่าหลงรักน้องโค้กมากกกกก เลยหลายใจไปหน่อย  o4

ตาโอ๊ตนี่ ผมว่าคนนี้น่ะ เหมาะนะครับ เพราะเค้าดูล่ำนิด ๆ แล้วหน้าไทย ๆ ที ดูมีเสน่ห์เล็ก ๆ

ซัง น่ารักมากครับ เหมาะกับ Q (อยากเห็นบทอัศจรรย์ของทั้งคู่)

ส่วนตา Nick ผมว่าคงหน้ากวน ๆ ประมาณนี้นะคับ แต่เจ๊สองว่าเด็กไปนิด เด๋วจะไปหามาใหม่

(คุณ Staying Power งับ ลองดูตัวแสดงในเวอร์ชั่นผมจิ๊ โดนเปล่า อิอิอิ)
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-07-2007 15:14:26
คิวนี่โดนโคตรเลยอ่ะคับ  :m11:


ซัง ในหัวผม อยากเป็นว่าน อ่ะคับ

ส่วนนิคนี่ ดูเด็กไป แล้วก็ดูแบบ ... ไปนิดส์คับ อีกอย่าง อยู่มหาลัยแล้ว น่าจะเป็น น้องเบียร์มากก่า อิอิ


จริงๆอยากเขียนเรื่องคิวกะซังเหมือนกัน ไว้มีโอกาสก่อนคับ
ขอบคุณนะคับ น้อง(หรือพี่) ไอ เปก ว่าแต่ชื่อนี้ได้แรงบรรดาลใจจากไหนเป่าหว่า
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 17-07-2007 15:54:08
เป็นกำลังใจให้นะค้าบบบบบบบบบบบบบบ

 :yeb:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-07-2007 16:46:46
มารออีกวันคร้า....  :m3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 17-07-2007 21:47:37
รอด้วย

 :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 18-07-2007 00:06:18
สวัสดีครับ

เคยอ่านจาก จีบอย นะครับ มีคนเขาก๊อปมาแปะไว้ แล้วไม่ยอมเอาลงอีก

แทบคลั่งตาย พอดีได้คนเขียนมาแปะลิงก์ไว้ให้ โห รักษาชีวิตผมเอาไว้ได้นะเนี่ย

แต่ว่าตอนผมคลั่ง ผมเสริ์ชจนเจอน่ะครับ ก็เลยได้มาเจอบอร์ดเซ็งเป็ดก่อนที่จะเจอบล็อกของพี่ผู้เขียน

ตอนแรกก็ว่าจะอ่านแล้วอ่านเลยน่ะครับ ขี้เกียจสมัคร แต่ว่ารู้สึกผิดเล็ก ๆ เพราะคุณพี่อุตส่าห์เอาลิงก์มาแปะให้
ไอ้เราก็อ่านแล้วผ่านเลยไป ไม่ขอบคุณซักคำมันก็คงไม่ดี

ก็ขอขอบคุณนะครับ สำหรับนิทานบอยเลิฟระดับเทพ ทำให้ผมหลงอยู่ในโลกของปริ๊นซ์อยู่นานทีเดียว

ไว้รวมเล่มเมื่อไรผมจะสั่งซื้อด้วยนะครับ

ผมรักนิยายเรื่องนี้จริง ๆ นะครับ รู้สึกชื่นชอบในฝีมือคนเขียน รู้สึกคุณพี่จะเขียนสองเรื่อง ไว้อีกเรื่องผมจะตามไปอ่านนะครับ

มีข้อสงสัยเล็ก ๆ น่ะครับ หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ

1. ตอนปริ้นเ็ห็นโค้กครั้งแรกมันสูง 180 กว่า ๆ แล้วทำไมตอนที่ปริ้นกลับไปโรงเรียนอีกครั้งตัวมันหดเหลือ 178 เองล่ะเนี่ย
2. ถ้าจำไม่ผิดในพาร์ทแรก ปริ้นเป็นเด็กสายศิลป์ไม่ใช่เหรอครับ แต่สุดท้ายไปเอ็นคณะวิทยา มันขัด ๆ ประหลาด ๆ ทะแม่ง ๆ
3. สุดท้ายนิคกะปริ้นเนี่ย มันเป็นไงต่อน่ะครับ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ดูมันคา ๆ ไงก็ไม่รู้นะครับ ถึงแม้ว่าปริ้นเองจะบอกว่า อยู่เกษตรแล้วเจอนิคบ่อย มากกว่าอยู่รามก็ตาม

นี่ผมเข้ามาตอบเป็นครั้งแรกเลยนะครับ อยากบอกว่ารัก (ฝีมือ ) คนเขียน มากมาย

ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดี ๆ ที่ได้อ่าน นาน ๆ ทีจะได้อ่านอะไรดี ๆ จริง ๆ นะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-07-2007 01:56:14
ขอบคุณคับผม ที่ติดตามเรื่องอันยาวมาตลอด 6 ตอนเลยคับ หวังว่าตอนเจ็ดคง
จะยังไม่เบื่อก่อนนะคับ ^^ ตอบบ้างดีก่า


1. ตอนปริ้นเ็ห็นโค้กครั้งแรกมันสูง 180 กว่า ๆ แล้วทำไมตอนที่ปริ้นกลับไปโรงเรียนอีกครั้งตัวมันหดเหลือ 178 เองล่ะเนี่ย

ตอบ ... เออหว่ะ ..


2. ถ้าจำไม่ผิดในพาร์ทแรก ปริ้นเป็นเด็กสายศิลป์ไม่ใช่เหรอครับ แต่สุดท้ายไปเอ็นคณะวิทยา มันขัด ๆ ประหลาด ๆ ทะแม่ง ๆ

ตอบ  จริงด้วย !?

3. สุดท้ายนิคกะปริ้นเนี่ย มันเป็นไงต่อน่ะครับ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ดูมันคา ๆ ไงก็ไม่รู้นะครับ ถึงแม้ว่าปริ้นเองจะบอกว่า อยู่เกษตรแล้วเจอนิคบ่อย มากกว่าอยู่รามก็ตาม

ตอบ เรื่องของนิค ตามติดได้ในรักแท้บทที่ 2 คับ ^^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 18-07-2007 02:42:17
จะมีต่อหรอครับเนี่ย  ดีใจจังเลยครับ

รู้มั้ยครับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ผมหันมาอ่านนิยายแนวนี้อย่างเอาจริงเอาจัง

ทั้งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะบ้าครั่งได้ขนาดนี้  แต่ก็ด้วยเรื่องที่คุณ stayingpower ทำให้ผมชอบอ่าน

แล้วก็หันมาอ่านจนตอนนี้ติดงอมแงมแล้วล่ะครับ   ถอนตัวไม่ขึ้นเลย

เพราะนิยายของคุณนะเนี่ยทำให้ผมติดนิยายในบอร์ดนี้งอมแงมเลย

แต่ก็ชอบนะครับเพราะนิยายของคุณสนุกมากจริงๆครับ

จนตอนนี้เลิกอ่านนิยายมะได้แร้น :m2: :m2: :m2:

ป.ล.  ชอบเรื่องนี้มากถึงมากที่สุดกว่าจะอ่านจบแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 20-07-2007 00:23:27
ขอป่วนหน่อยละกัน (ในฐานะแฟนคลับ คริคริ ) วันนี้สอบชุ่ยไปตัว ตกแน่ เหอ ๆ

คือว่า เรื่องบ้านพัก ภาค 7 ที่คุณพี่จะเอามาลงในวันที่ 7 ธันวาเนี่ย รู้สึกว่าจะเป็นสามปีถัดมาหลังจากภาคหก

มาดูช่วงเวลากันดีกว่า เพื่อน ๆ พี่น้อง แฟนๆ บ้านพัก

ปี 2541 - เอ็นระบบครั้งเดียวจอด ครั้งสุดท้าย

ปี 2542 - เอ็นระบบใหม่ เอ็นได้สองครั้ง แต่ีปีนั้นมีปัญหา แบบที่คุณพี่เขาเขียนไว้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ( ไม่มีล่ม จริง ๆ นะครับ ขอยืนยัน ) มีเด็กที่ติดรอบสองอยู่พอควร แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันติดมาได้ไง - ปีนี้น่าจะเป็นปีที่โอ๊ตเข้า มช

ที่น่างงที่สุดคือ ผู้เขียนบอกว่าคะแนนเอ็นปีนี้สูง จริง ๆ แล้วคะแนนเอ็นปีนี้ต่ำมากครับ เด็กเก่งหนีไปเอ็นปีที่แล้วหมด คะแนนวิศวะจุฬา สูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ปีนี้รู้สึกจะตกจาก 63% --> 50% ที่น่าตกใจคือ วิศวะเชียงใหม่คะแนนต่ำสุดอยู่แค่ 10% ( รู้สึกสายวิทย์อื่น ๆ ก็ต่ำด้วยมั้ง จริง ๆ ปีนี้โอ้ตมันเอ็นทิ้งขว้างได้นครับ คะแนนเอ็นแปรปรวนเหลือเกิน ) คะแนนทางด้านสายศิลป์คำนวณ กลับสูงจนไม่น่าเชื่อ

ปี 2543 - คงจะเป็นปีที่เจ้าปริ้นเอ็น แต่เอ็นไม่ติด ไปติดที่ราม ไม่รู้ว่ามันเลือกคณะอะไร ไม่งั้นผมพอจะจับผิดมันได้อยู่ เห็นในเนื้อเรื่องบอกว่าคะแนนเอ็นปีที่แล้วสูง ผมว่าปริ้นเลือกอะไรที่เป็นศิลป์ คำนวณ แน่ ๆ ( ทำไมปีถัดมามันเรียนวิดยาเล่า เฟ้ย  :angry2: ) และจากที่ผู้เขียนเขียนไว้ว่าปีนี้เป็นปี 2000 งั้นก็ถูกแล้วครับ

ขอสรุปว่า ข้อมูลเรื่องเอ็นสองรอบปี 2542 ล่ม พี่ STP นั่งเทียนเขียน ฟันธง ฮ่า ๆ (รักนะครับ จึงเอามาจับผิดเล่น ฮะ ๆๆ ถ้าผิดพลาดขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ ผมไม่ได้เอ็นปีนี้)

ปี 2544 - เป็นปีที่ปริ้นกับโค้ก เอ็นติด ที่เกษตร - น้องใหม่เฟรชชี่รหัส 44XX-XXX-XXXX

ปี 2547 - เป็นปีที่โอ้ตรับปริญญา ( จบบ้านพักตอน 6 )

ีปี 2548 - ปริ้นกับโค้กรับปริญญา

สามปีให้หลัง

ปี 2550 - เราได้อ่านบ้านพักภาค 7 กัน ซึ่งเวลาที่พี่ STP เอามาลงนั้น ตรงกับเวลาในนิยายเรียกว่า Realtime เลยทีเดียว ไม่แน่พี่ STP อาจจะเอาเรื่องของตัวเอง ณ เวลานั้นมาเขียนก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ี่ที่แน่ ๆ ไอ้ภาค 7 นี่แหละ พวกเราปริ้น โค้ก โอ๊ต ฯลฯ ทั้งหมดเป็น Realtime แน่นอน ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองเรา พี่แกคงใส่หมด คงสนุกไปอีกแบบ ฮะ ๆๆ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

พี่ STP เคยบอกว่า วันที่ 7 ธันวา 2550 นี้ เป็นวันครบรอบสามปีบ้านพักพอดี

ดังนั้น บ้านพักถูกเขียนหรือลงในเนต ซักอย่างนี่แหละเมื่อวันที่ 7 ธันวา 2547 ซึ่งเป็นช่วงที่โอ้ตรับปริญญาไปเรียบร้อยกระแตตุ๋ย บางครั้งทำให้ผมนึกเล่น ๆ ไปนั่นว่า มันเรื่องจริงเปล่าวะ ฮะ ๆๆ

ตามประสาแฟน ๆ นะครับ หวังว่าคงไม่ว่ากันนะคร้าบ

สวัสดีครับ

 :bye2:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: kimsumsoon ที่ 28-07-2007 17:25:27
รีบนไปแข่งรายการแฟนพันธุ์แท้มั๊ยคะ.....
อิชั้นจะไปเชียร์....
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-07-2007 20:15:11

เมื่อไหร่จะมาต่อค้า  :m17:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: yoboy ที่ 31-07-2007 21:22:09
...
.ซึ้งสุดจายยยยยยยยยยเลยนะเนี่ย :m13:......................
เสียดายอ่า ที่โอ้ตไม่คู่กะปริ้นท์ หึๆๆ...............
แต่ปริ้นท์คงเลือกคนที่ดีที่สุดอย่างโค้กอ่าเนอะ หุๆๆๆๆๆ
.............................
ซึ้งมากคัฟ......มากๆๆๆจิงๆนะ...เพราะ อ่านตั้งแต่ เช้าจนตีหนึ่งอ่ะ เหอๆๆๆ :a5:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-07-2007 21:41:05
ลอลุ้นๆๆ แต่เล่มจะหนาขนาดไหนหวา

อยากได้ไว้เป็นคอลเลคชั่นเหมือนกัน
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-07-2007 21:44:16
หุหุ ส่งเมล์ไปแล้วน้า
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-08-2007 12:58:06
จองด้วยหนึ่งชุดครับ

เป็นซีรี่ย์วายแบบยาวเรื่องแรกที่ผมอ่านคร้าบบบบ

เป็นกำลังใจให้ครับผม

 :a9: :a9: :a9: :a9: :a9:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 01-08-2007 23:54:57
ตามอ่านเรื่องนี้มาจากหลายบอร์ดมากๆ ในที่สุดก้มาจบจากบอร์ดนี้อ่านไปอ่านมาจนงงมากๆ คือ
1.เรื่องนี้มีทั้งหมด 6 ภาค คือ ภาค1 2.ภาคไดอารี่ 3.ภาครักหายไปใจยังคงอยู่ 4.ภาคคิมหันต์นิรันดร
     5.ภาคซีซั่นเชน และภาคพิเศษโฮลี่ไนท์ ใช่ไหมครับ
2.ภาคที่7กำลังจะมาลงในวันที่ 7 ธ.ค.50 คืออ่านจากรีพลายต่างๆแล้วงงอะครับ

สรุปแล้วก็ประมาณนี้ใช่ปะครับ คือแบบว่าอ่านรวดตั้งกะหน้าแรกยันหน้าสุดท้าย ยังอ่านแต่ละรีพลายอีก ทำให้งงเหลือประมาณจับต้นชนปลายไม่ถูก พยายามสรุปมาก้ได้มาเป็นสองข้อข้างบนใช่ไหมครับ

ยังไงก็ขอบคุณคนโพส (ไม่อาจระบุนามเพราะว่างง) ที่โพสจนจบ ขอบคุรผู้เขียนที่สรรค์สร้างนิยายดีๆให้อ่าน ขอบคุรนะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-08-2007 02:20:39

เรื่องนี้มีทั้งหมด 6 ภาค คือ
1.บ้านพักอลเวง I – The series
2.บ้านพักอลเวง II - Diary is ___
3.บ้านพักอลเวง III - รักหายไป___ แต่หัวใจยังอยู่
4.บ้านพักอลเวง ตอนที่ 4 - ____________(ภาคคิมหันต์นิรันดร)
5.บ้านพักอลเวง#๕ - - - - > Seasonschange < - - - -
6.บ้านพักอลเวง. - Holy Night
7.บ้านพักอลเวง#7 - 3 years later. (คาดว่ากำลังจะลงให้อ่าน)

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 08-08-2007 15:21:10
จองไปแล้วน๊า 1 ชุดจ๊ะ   :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: phongthakhun ที่ 09-08-2007 00:24:00
ซาบซึ้งตรึงใจที่สุดเลยครับ ..... สั่งไปแล้ว 1 ชุดเหมือนกัน
อยากให้รวมเร็วเสร็จเร็ว ๆ จัง รอไม่ไหวแล้วนะ.... :impress:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: thanwaruchara ที่ 10-08-2007 20:00:51
ชอบมากครับผม อยากอ่านรวมเล่มเหมือนกัน ขอบคุณครับที่ลงเรื่องดี ดี ให้อ่าน :m3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: liv ที่ 12-08-2007 09:37:41
อ่านจบแล้วครับ  สนุกมาก  อ่านเสร็จทะเลาะกับแฟนเลยมันบอกว่าอ่านแล้วมานั่วร้องไห้  บ้าหรือเปล่า
ดูมัน !  แต่มันเศร้าจริง ๆ นะ เศร้ามากไปทำงานก็คิดมาก  ไปเข้าเวรก็ไม่อยากทำอะไร  สงสัยอินมากไปหน่อย
แต่จะติดตามงานของคุณต่อไปเน้อ  ชอบจริง ๆ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: obojaman ที่ 20-08-2007 01:18:58
ใครพอจะมีลิงค์ให้ผมไหมคับ คือแบบว่าผมยังไม่ได้อ่านภาคที่ 6 และ 7 เลยอ่ะครับ อยากอ่านอ่ะ ยังไงใครมีน้ำใจก็รบกวนด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 20-08-2007 11:47:57
สงสารโอ๊ต 8 ปี ที่รักปริ้นมาตลอดและก็คงจะยังรักตลอดไป
ชีวิตใครย่อมมีทางเลือกเป็นของตนเอง เมื่อต่างคนเลือกเดินแล้วก็ต้องเดินต่อไปจนถึงจุดหมายซึ่งอาจจะไม่เหมือนกัน
ทั้งทุกข์สุขเศร้า อยู่ที่เราเลือกเดินเองนั่นแหละ แต่สุดท้ายแล้วก็ผิดที่โอ๊ตที่ไม่มั่นคงเอง  โค้กก็มั่นคงมาตลอด 3 ปีที่รอคอย  สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรอยากอ่านภาค 7 ไวไวนะ อยากจะรู้บทสรุปของการเดินทางในแต่ละคนว่าแต่ละคนจะถึง
จุดหมายอย่างไรกันบ้าง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: cargo ที่ 01-09-2007 14:05:04


             :m5: :m1: :m3:     supreme   :m11: :m4: :o12: :sad2: :o11:

               สายตาสั้นลงเยอะเลยอะ เรื่องนี้  เศร้า

                                                                            i am Mr Cargo
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 05-09-2007 22:24:50
สงสารโอ๊ดจัง แต่ทำไมไม่บอกความจริงปริ้นไปแต่แรกก็จบล่ะ

ยังไงก็รอผลงานต่อนะครับ อิอิ :m17:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 06-09-2007 18:49:38
 :m5: ขอร้องล่ะครับ ช่วยแต่งให้โอ้ตสมหวังหน่อยอ่ะครับ มันสงสารโอ๊ดมากเลย เก็บไปคิดตลอดเลยอ่ะ
หรือไม่ก็เอาแบบว่า ปิงกลับชาติมาเกิดใหม่ แล้วจำเรื่องในอดีตได้ โดยขอให้โอ้ตรอเค้าอะไรแบบนั้นได้ไหมอ่ะครับ
มันค้างคาอ่ะครับ สงสารโอ๊ตจริง ๆ นะ ฮือฮือ :m15:

ยังไงก็ช่วยแต่งหน่อยนะครับ ค้างคามาก ๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 09-09-2007 16:48:26
 :m15: :m15: :m15:ผมอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ลงในwww.exteen.comผมอ่านจนจบ แล้วพออ่านแล้วผมรุ้สึกว่ามีน้ำใส่ออกมาจากตาอ่ะคับ ผมร้องไห้อ่ะ ทำไม่โอ้ตไม่คู่ปริ้นอ่ะ เห่อ เป็นผมผมไม่เลือกคัยดีกว่า  จากที่ดูอ่ะโอ้ตเจอปริ้นก่อน แล้วโอ้ตก็รักปริ้นมาก เห่อ  :m3:ส่วนโค้ก ถึงโค้กจะรักปริ้นแต่.... :a6:ทำไมปริ้นไม่นึกถึงรักที่โอ้ตมีให้นะ    บอกได้อย่างเดียวคือ  สงสารโอ้ต     :m15: :m15:   คนเขียน เขียนได้ดีมากเลยคับ........สุดยอกเลยอ่ะ ผมชอบเอาไปให้คนอื่นที่ชอบนิยายเหมือนกัน อ่านดู หลายคนก็บอกว่าพี่เขียนเก่งโครต     o13 o13 o13
                :sad2: :sad2: สุดท้ายถึงมันจะเป็นไปไม่ได้ที่โอ้ตจะคู่ปริ้น แต่อยากให้รู้ไว้ ว่าผมเชียร์โอ้ตเติมที่ ถึงแม้มันเป็นไปไม่ได้ :sad2: :sad2:


..........................เชียร์โอ้ต..........................คนเขียนเก่งมาก...................................แต่งได้ดีมากเลย.........

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 11-09-2007 22:05:22
อยากให้แต่งต่อจังเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Amamiya ที่ 13-09-2007 08:01:31
อ่านแล้วหลากอารมณ์จริงๆ แต่ที่แน่ๆ

 :o12:  ตาบวมหมดแล้ววววววววว

เป็นเรื่องแรกกับการตามมาอ่านเรื่อง Y ในเล้าเป็ด

ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ

เขียนมาอีกน๊า...แล้วเราจะติดตามคุณต่อไป 

 :o8:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 13-09-2007 08:33:24
อ่านรอบที่3  ร้องไห้รอบที่3  อีกแล้วสิกรุ o7(จองหนังสือไป2ชุดเลยอ่ะ ชอบจัด) :oo1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 13-09-2007 23:34:45
เฮ้อ  คลิกไปคลิกมา  รู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามาเรื่องนี้อีกแระ :try2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 14-09-2007 22:13:01
จะแต่งต่อให้อ่านไหมอ่ะครับเนี้ย  :m21:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 16-09-2007 11:57:27
 :impress: รอภาคจบของบ้านพักอลเวง ภาค 7 (ภาคจบ)วันที่  7  ธันวาคม  2550 นี้นะคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 17-09-2007 08:42:53
 :o11: เออ คือว่า รอนานขนาดนั้นเลยหรอครับเนี้ย อยากอ่านเร็ว ๆ อ่ะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: khunsea ที่ 22-09-2007 10:59:33
 o13

มาให้กำลังใจคนแต่งคับ


อ่านแล้วรุสึกประทับใจมาก


ชอบตอนจบคับ  ซึ้งมากเรยอ่ะ


เหมือนกับมันเพิ่งเป็นการเริ่มต้น


ไม่ได้โม้นะคับ ขนลุกเลยอ่ะ
น้ำตาคลอ นึกถึงว่าสิ่งที่รอคอยมาตลอด
เราได้พบเจอแล้ว(ทำไมถึงนึกถึงความรุสึกโค้กก็ไม่รุ  สงสัยตัวเอง
กำลังรออะไรบางอย่างอยู่ละมัง)

เขียนภาคต่อด้วยนะคับ
หรือว่าจะรวมเล่ม ขายที่ไหนก็บอกด้วยนะคับ



หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 23-09-2007 00:20:15
สวัสดีคับ เพิ่งอ่านจบตะกี้ ซึ้ง + เศร้า มากมากยเลย
ก็เลยสมัคร log in ซะ แล้วมาโพสต์เป็นครั้งแรกเลยล่ะ

ความรักของปริ้นมันออกแบบไม่ได้จริงๆ คนที่เรารักมากที่สุดอาจจะไม่ได้อยู่กับเรา
แต่คนที่อยู่กับเรานั้นอาจจะไปคนที่เราอยู่แล้วมีความสุขที่สุด (เคยมีพี่คนนึงบอกกับผมไว้อย่างนี้น่ะครับ)

ส่วนตัวผมเชียร์ โอ้ต สุดหัวใจเลย คือชอบคนนิสัยแบบนี้อ่ะ
ดูเป็นผู้ใหญ่อบอุ่น สุภาพๆ แต่เวลาอยู่กันสองต่อสองแล้วแอบหื่น เหอๆ
แต่ โค้กเองก็น่ารักโพดด เป็นเหมือนหนุ่มในฝันเลย
ความรักของทั้ง 3  คนนั้น จบอย่างนี้ผมว่าสมบูรณ์ที่สุดแล้วครับ
คือรักแรกนั้นยังไงก็ไม่มีทางที่ใครจะลืมได้หรอก แต่มันก็คงไม่มีวันหวนกลับมา
การที่ปริ้นและโอ้ตเก็บความทรงจำดีๆ นั้นไว้ เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วคับ

ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆ มาให้ได้อ่านกันนะคับ

ปล. 1 อยากให้ถึง วันที่ 7 ธ.ค. นี้เร็วๆ จัง อยากรู้ว่าเขาทั้ง 3 คนจะดำเนินชีวิตต่อไปเช่นไร
ปล. 2 ถ้าเป็นไปได้ ไม่รู้ว่าจะขอมากไปมั้ย ผมอยากให้โอ้ตมีความรักที่ไม่ต้องเจ็บปวดสักที ช่วยแต่งใหโอ้ตสมหวังในความรักด้วยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: khunsea ที่ 23-09-2007 08:37:06
 :m27:
ร้องเพลงรอคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 23-09-2007 12:00:01
 :impress:ไม่มีคอมเมนต์  มีแต่กำลังใจมาฝากจ้า :impress:
ปล.นานแค่ไหนก็จะรอ :give2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: the sun IN NIght ที่ 23-09-2007 23:20:14
ผมรู้สึกว่าวันที่ 7 ธ.ค. มันสำคัญมากๆเลย ผมอยากอ่านตอนจบของเรื่องคับ อยากอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอีกสักครั้ง

    ...  C'est la vie   ...
หัวข้อ: - ใช้คอมเมนท์ในบอร์ดได้\463079941.jpg
เริ่มหัวข้อโดย: vint ที่ 24-09-2007 15:19:47
ไม่รู้จะเมนท์ไรอ่ะ
เพราะถ้อยคำที่จะเมนท์
คนอื่นๆ
เมนท์ไปหมดแล้ว
บังเอิญเรียนมาน้อย
คิดไรมะค่อยออก
เอาเป็นว่า...
อ่านเรื่องนี่1วัน1คืน
มะต้องทำไรกันเลยอะ
ปวดกระบอกตาเพราะต้องเพ่งจอ
ตาช้ำเพราะเผลอเศร้า
เหอะๆ
ขอบคุณที่มีเรื่องนี้มาให้อ่านครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: na_na_fuji ที่ 25-09-2007 17:21:03
อ่าคับอ่านเเร้ว ร้องไห้เลยอ่ะ

   ก็ชอบโอ๊นนะคับในตอนเเรกๆ ฮ่าเเต่พอช่วงไปอยู่ ม . เชียงใหม่ ไม่ค่อยชอบเท่าไร
อาจเป็นเพราะยังงัยไม่รู้
   ผมว่าโอ๊คเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งนะคับ


ปล.  อยากบอกคนเขียน  นายโอ๊ดเหมือนผมมาก  ผมไม่อาจจะพิมพ์ได้มาก
เพราะเเผลเก่ามะสะกิดใจ เพราะความที่เราไม่กล้า เพราะความที่เราผิกสัญญาเขา ก็สมเเร้วที่เราต้องมาเจ็บอยู่คนเดียว

ปล.  ตอนจบของโอ๊คผมคิดไปว่า โอ๊ตได้กลับมาที่บ้านเเล้วก็มาพบกับรักใหม่ เเล้วก็มีครอบครัวที่อบอุ่น
เเล้วปริ้น ก็มีความสุขกับโค้ก  ส่วนนิคก็ได้พบรักเเท้ เเล้วก็ ซังกับคิว ก็รักกันเหมือนเดิม  ผมอยากให้เป็นเเบบนั้นเพราะมันจะทำให้ผมสบายใจที่สุด 


                                          ขอบคุณคับที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆ ซึ่งมันทำให้ผมเจ็บมาถึงทุกวันนี้
                                       นิยายเรื่องนี้ ผมบอกตรงๆ ว่า โอ๊ดเหมือนผมมาก
                                        ใครจะคิดไงก็ช่าง เเต่ผมได้เรียนรู้ว่า  การที่เราเชื่อใจคนรักของเราจะดีที่สุด เเล้วเราก็ไม่ควร                                       ที่จะคิดฝ่ายเดียว    ขอบคุณจิงๆคับ ขอบคุณ ผมดีใจมากคับ   ขอบคุณจิงๆ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องอดีต ขอบคุณจิงๆคับ



                                                                                                                                               จาก นายูฟจิซัง
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 04-10-2007 14:46:31
 :o12:  สงสารโอ้ต เชียร์โอ้ต
รอภาคต่อไป เป็นกำลังใจให้ครับ

ปล. สมาชิกใหม่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: joffy ที่ 05-10-2007 01:49:51
เรื่องนี้หลากหลายรมณ์มั่กๆคับ :o12:

ดีจัยที่ได้อ่าน o7

โดดงานวันนึงมานั่งอ่านเลยนะเนี่ย(.....น่าชื่นชมมั่กมากกกกก) :laugh:

จาตามเรื่อยๆน้าค้าบบบบ......บาบายยยย :bye2:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tsuya ที่ 07-10-2007 19:50:28
อ่านจบแล้วๆ ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย
เรื่องนี้ มีหลากหลายอารมณ์ดีอ่ะคะ
บางตอนก็หัวเราะ บางตอนอ่านแล้วก็น้ำตาซึมๆ แต่ม่ายไหลน้า...
บางตอนก็น่ารัก กุ๊กกิ๊ก น่าสงสาร ..เยอะแยะไปหมด
เอาเป็นว่าได้อารมณ์ทุกรูปแบบ
ขอบคุณคนเขียนด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 10-10-2007 17:00:34
:o11: เออ คือว่า รอนานขนาดนั้นเลยหรอครับเนี้ย อยากอ่านเร็ว ๆ อ่ะครับ

เป้แต่งต่อให้บิ๊กอ่านดีมั้ย.....แนวนี้อ่ะ ความเศร้ากะเป้มันของคู่กัน    :m17:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: OATomaticZaa ที่ 12-10-2007 22:47:34
เอ่อ คือผมรู้จักเวปนี้เพราะพี่คนนึงแนะนำมาอ่ะงับ เข้ามาก็อ่านเรื ่องนี้เลยอ่ะคับ
ชื่นชมพี่ staying powerมากๆเลยงับ เก่งจังเลยอ่ะ
ประทับใจทุกฉากทุกตอนเลยงับ  :m4:

สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไงก็ฝากตัวด้วยนะคร้าบบบบบบบบบ

ผมอ่านเรื่องนี้แบบมะหลับไม่อนเลยอ่ะงับ อ่านตลอดสองวันเลยง่ะ

ขอไปนอนก่อนนะงับ แม่ว่าอ่า T^T

พี่คนที่แนะนำเวปมา ชื่อพี่บลูอ่ะงับ รู้จักกันป่าวอ่า
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bz_boyz ที่ 14-10-2007 14:21:09
ต้องให้ปริ๊นร้องเพลงนี้ให้โอ๊ตฟังคับ ดีใจมากที่กลับไปหาโค้กกกกกกกกกกก
รักโค้กที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่เคยจะคิดว่าเราต้องมีวันเลิกรา ช่วงเวลาที่มีค่าหมดเร็วเหลือเกิน
จากคนที่เคยบอกรัก กลับกลายเปนหมางเมิน
ไม่อาจฝืน มันเกินจะทนเมื่อได้รู้ว่า

จบลงไปแล้ววันคืนที่เราเคยได้รักกันมา
ฉันคงไม่อาจจะฝืนรั้งเทอได้อีกต่อไป
ไม่เหลืออีกแล้วในความรู้สึกไม่มีแล้วในใจ
เมื่อหมดอายุก็หมดความหมายต้องทิ้งไปให้ไกลตา

แม้ฉันนั้นเคยมีค่าแค่ไหนแต่ในวันนี้เมื่อเทอไม่มีใจ
ก็คงไม่เหลือ ถ้าเบื่อกันแล้วก็คงไม่โทษกัน
แต่สำหรับฉันมันเกินจะเชื่อ เมื่อรักของเราหมดเวลา

จบลงไปแล้ววันคืนที่เราเคยได้รักกันมา
ฉันคงไม่อาจจะฝืนรั้งเทอได้อีกต่อไป
ไม่เหลืออีกแล้วในความรู้สึกไม่มีแล้วในใจ
เมื่อหมดอายุก็หมดความหมายต้องทิ้งไปให้ไกลตา


บังเอิญเพลงนี้มันวนขึ้นมาตอนอ่านนิยายพอดีน่ะคับ เลยเหนว่าตรงกับสถานการณ์ดี ถ้าโอ๊ตฟังแล้วคงจะซ้ำเติมความรู้สึกดี อิอิ

อ้อ ลืมบอกครับ ชื่อเพลง หมดอายุ คับ ของ Jet'seter คับ

เพิ่งได้เข้ามาอ่านในบอร์ดนี้นะคับ เพราะคิดว่าอาจจะโพสภาค 7 ไว้น่ะ แต่ก็ไม่มี เสียดายจัง อิอิ :a6:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: pokpak ที่ 15-10-2007 00:47:55
จิงๆแล้วผมติดตามอ่าน เรื่องหอพักอลเวง มาตั้งแต่เวอชัน บอยออนเดอะเนตแล้วคับ ชอบมากมายยย รัญ กะบาสส (และเพื่อนลุกครึ่งญี่ปุ่นของพี่รัญ คนนี้แอบชอบมาก) เวอชันเก่านี่ผมรออ่านแทบบ้าคลั่ง จนกระทั่งเวบหายไป ผมก็ตามหา อยากอ่านภาคต่อมากมาย นึกว่าชาติคงจะไม่มีโอกาส ได้เจออิกแล้ว

ถึงแม้ว่าบ้านพัก แบบเวอชันเก่าจาสูญหายไปแล้ว
แต่ผมก็ยังดีใจที่มีเวอชันใหม่ กะผู้แต่งยังมีชีวิตอยุ่

แต่ในใจลึกๆ ยังอยากอ่านเวอชั่นเก่าต่ออยุ่นะค้าบบบบบบบ

ปล เวอชันใหม่ก็ชอบนะครับ
เกียดโอ๊ตมากกก ที่ไม่ยอมพูดความจริงกะปริ๊นซ์ จะเหตุผลอะไรก็ช่างเหอะ ไม่สนนนนน ถ้าผมเปนโอต จบช่าวตั้งแต่เจอกันที่โรงหนังแล้วว
อ่านบ้านพักมาตั้งแต่เดก จนตอนนี้อยุ่ปีหนึ่งแล้ววว
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 15-10-2007 01:58:27
 :o ที่จิงก้ออ่านมาตั้งนานแร้วเหมือนกาน
แต่ว่าไม่ได้รีเลยอ้ะ รีแต่ในบอร์ดปาล์ม  :m23:
คิดถึงพี่ (พุง) ปลิ้นนะคับผม (ขอโทดที่เรียกตามหลาย ๆ คน)  :m11:
เชียร์โค้กสุดจัยเรยคับ
แต่ว่า ก้อเชียร์โอ้ตเหมือนกัน ... เฮ้อ   :undecided:

เอาเปนว่า เด๋วรอ "3 Years Later" ละกันคับผม
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 15-10-2007 14:15:23
 :o
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 15-10-2007 14:43:40
เราอ่านตั้งแต่ตีหนึ่งยังตีห้าเลยค่ะ ทั้ง6ภาค (อย่างคร่าวๆ) แต่มาอ่านตอนพิเศษเมื่อกี้ อยากจะบอกว่าตั้งแต่อ่านตอนแรกเราว่าเนื้อเรื่องรวมทั้งตัวละครมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ อ่านแล้วติดมากค่ะ โดยส่วนตัวเราก็ชอบ Coke ตั้งแต่ครั้งแรกเลย

พูดกันตามตรงเราไม่ชอบผู้ชายอย่างโอ๊ตเลยค่ะ เพราะทำอะไรก้ำกึ่งแถมคิดเองเออเองอีกแบบนี้ถึงได้เสียปริ้นซ์ไปใช่หรอ ถ้าจะพูดให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกจะไม่ดีกว่าหรอ ถ้าปรินซ์จะทำตามที่ซังบอกโทรไปคุยกับโอ๊ตให้รู้เรื่อง ให้เคีลยร์กันไปเลย
แต่ก็สงสารโอ๊ตมากด้วย ความที่เป็นคนแบบนี้สุดท้ายก็ต้องมานั่งเจ็บเองอยู่ดี การที่จะปกป้องคนอื่นจากความเจ็บปวด มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดี ขึ้นมาเลย เพราะสุดท้ายแล้วถ้าความจริงมันปรากฏทุกคนก็ต้องเจ็บอยู่ดี แต่คนที่เจ็บสุดก็ คือ ตัวโอ๊ตเอง

ส่วนโค้กนี้เราชอบมากค่ะ ไม่อยากจะพิมพ์อะไรมากเพราะมันจะดูลำเอียงเกินไป (กร๊ากกกก) เราชอบทุกฉากที่โค้กอยู่กับปริ้นเลยค่ะ (>///<)

มีแต่คนพูดถึงโอ๊ตกับโค้ก เราก็พูดถึงปริ้นบ้างนะค่ะ เราขัดใจปริ้นอย่างเดียวก็คือ ไม่ยอมให้เคีลยร์กันให้เข้าใจกับโอ๊ตตั้งแต่แรก  แต่แบบนั้นก็ดี(?) ค่ะมันเลยก็กลายเป็น CokePrince ไปซะ 55+

ขอบคุณคุณปริ้นซ์(ใช่รึเปล่าค่ะ) ที่สร้างสรรค์เรื่องดีๆมาให้อ่านกันนะค่ะ ร้องไห้ บวกหัวเราะไปด้วยเกือบจะทั้งเรื่อง

เดี๋ยวจะไปอ่านใหม่อีกรอบ ส่วนหนังสือสั่งได้ถึงวันที่ 30 Nov ใช่มั้ยค่ะ แล้วจะเมลล์ไปนะค่ะ

รออ่านตอน 3 years later อยู่นะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ment12835 ที่ 21-10-2007 14:39:33
นุกมากมายเลยคับ ชอบมากเลย แต่งได้จิงๆเลยคับ  o1 o13 :a2:3
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 24-10-2007 18:46:49
เราอ่านเรื่องนี้ที่บลอกน่ะค่ะ แต่ตอนนี้เข้าบอร์ดมาเลยมาอ่านอีก ชอบจริงๆๆเลยค่ะเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะบีบหัวใจพอควร :sad2:

ได้ข่าวว่าจะรวมเล่มเหรอคะ อย่าลืมบอกเรานะคะ เราอยากได้เก็บไว้ :bye2:

บวก 1 นะคะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 28-10-2007 16:12:56
เป็นเรื่องที่คิดว่าจะจบแบบเศร้าซะแล้วสิ  แต่ก็ดีใจมากที่จบแบบแฮปปี้ :m1: :m3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 01-11-2007 16:34:03
 :m13: ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: anisongchanon ที่ 03-11-2007 22:01:28
ลงชื่อไว้ก่อน   :m23:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: dekchin ที่ 06-11-2007 15:14:34
 :m1: :m1: :m1:

ชอบ  ชอบ  ชอบ  มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ต่อไวๆน้า
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Jr_boy ที่ 06-11-2007 15:40:22
สรุปว่าจบรึยังอ่ะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 08-11-2007 13:10:58
 :a5:
เราคิดว่ายังไม่น่าจบนะ ก็เค้าบอกให้รอถึงธันวาคม นี้นี่นา เค้าจะมาต่อให้จบอ่ะ
นี่ก็รออยู่อ่ะ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: นู๋บอย ที่ 08-11-2007 13:54:30
นอนรอ    :a12:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 08-11-2007 20:46:45
ดันครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 08-11-2007 21:41:07
มาคอยอีกคน อิ๊ๆ ตอนนี้ก็มี อีก เรื่องที่คุณเตอิ้ง เขียนอยู่อ่ะคับ  :m3:
 :m1: :m3:

ยังติดตามเรื่องเพ่น้า ฮุฮุ ชอบมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 08-11-2007 21:44:36
มานอนรอด้วยนะคับ

รอพี่เตอิ้ง ที่รักอยู่ อิอิ   :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: *~Kisa~* ที่ 08-11-2007 22:36:19
มาลงชื่อก่อนค่ะ

ไปอ่านต่อละ   :a1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 08-11-2007 22:40:13
ใจร้าย  :m17:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 17-11-2007 01:52:25
นั่งนับวันรอครับ ใกล้เดือนธันวาแล้ว
 :m11: :m11: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 17-11-2007 08:21:05
 :m18: :m18: :m18:.....ใกล้แล้วน่ะครับ รอมาเดือน 3 เดือน อีกไม่กี่วันก็จะได้อ่านแล้วคร้าบบบบ    :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 19-11-2007 21:45:25
อ่านในบล๊อกค่ะ เพราะเพื่อนส่งลิ้งค์มาให้ เรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในดวงใจเรามากๆๆเลยนะคะ ทั้งๆๆที่เราไม่ชอบดราม่าอ่ะ

ก้อมารอภาค 7 นะคะ ฮิ้วๆๆๆๆๆ  :impress:

หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 20-11-2007 00:54:50
รอรวมเล่มนะคับ  :a9:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 25-11-2007 15:01:07
นั่งนับวันรอครับ
ใกล้จะเดือน ธันวาแล้ว
 o13 o13 o13 o13 :undecided:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 25-11-2007 15:47:02
มารอด้วยคนครับ...ใกล้แล้วๆ  :a9: :a1: :a9:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-11-2007 19:15:03
ยิ่งได้รู้เรื่องเกี่ยวกับรักแห่งสยามเท่าไหร่
ทำไมอยากอ่านเรื่องนี้มากขึ้นก็ไม่รูอะ

รอ ร้อ รอ   :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 27-11-2007 23:41:53
^
^
^
เห็นด้วยงับ 55+
พึ่งไปดู รักแห่งสยามมากลับมาเข้าบอร์ด อยู่ๆนึกไงไม่รู้กลับมาอ่านเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ
อยากบอกว่า โดน พอๆกับไป หนังที่พึ่งไปดูมาเรย หุหุ

คอยอีกคนคับ ใกล้วันที่ 7 แล้ว o22
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 03-12-2007 22:08:08
มารอพี่เตอิ้งนะคับ

จะวันที่ 7 แล้ว

แต่ วันที่7ไปค่ายวิทย์อ่ะ กลับวันที่ 9 จะรออ่านพี่เตอิ้งนะคับ

เปงกำลังใจให้เสมอนะคับ อิอิ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Carmelian7 ที่ 04-12-2007 20:41:34
 o13
เพิ่งขึ้นภาค5เองอ่ะคับ
จบภาค4แล้วคิดว่าโอ๊ตแม่งโคตรเลวเลย
แต่พอแอบกระโดดมาดูตอนจบก็รู้สึกว่าจบดีมากๆ
ไม่มีความผิดหวัง ในขณะเดียวกันก็ไม่happyจนน้ำเน่า
ดีมากๆเลยครับ
รอพี่แต่งเรื่องใหม่นะครับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 04-12-2007 23:10:38
ใกล้จะถึงวันที่ 7แล้วคร้าบบ
ดีจาย รออยู่น้า :a11:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 05-12-2007 15:26:24


มารอค๊าฟ..............

จากที่รอมานานหลายเดือน

ในที่สุดก็จะได้อ่านซะที..........

รอ.....ค๊าฟฟฟฟ.......รอ........... :m18:


หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: the sun IN NIght ที่ 05-12-2007 18:16:59
อีกสองวัน มานั่งนับวันรออิอิอิ
 :m21: :m21: :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-12-2007 20:28:32
เหลืออีก 2 วัน จะถึงวันที่ 7  :a3:  :a3: :a3: :a3: :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 05-12-2007 21:14:33
รักบ้านพักอลเวง
รักพี่เตอิ้งคับ
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-12-2007 12:24:24
อิอิ...มานับถอยหลังด้วยอีกคนครับ  :m9:
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 06-12-2007 15:37:45
(http://stpstory.exteen.com/images/cover67.jpg)



ติ้ก … ติ้ก … ติ้ก ….



เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือยี่ห้อ saiko (?) ดังเป็นจังหวะ  ในขณะเดียวกับผมนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว
แสงแดดในตอนสายของเดือนพฤษภาคมปีนี้ดูจะแรงกว่าปีก่อน  มีเพียงสายลมเอื่อยเฉือยพัดมาเป็นระลอก
พอดับความอบอ้าว  ผมนอนหลับตารอคอยเวลาไปเรื่อยๆ   ได้ยินเสียงผู้คนบางกลุ่มคุยกัน  หยอกล้อกัน
สนุกสนาน 



ผมยันตัวขึ้นนั่ง เหยียดแขนท้าวกับพื้นหินอ่อนที่ลงนอนเมื่อครู่  ปล่อยขาห้อยต่องแต่งลงจากฐานเจดีย์สีเทา
สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า  เส้นขอบฟ้ามีให้เห็นอยู่ริบๆ  สายลมเย็นพัดเข้าปะทะหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น
ขึ้นมานิดหน่อย  ที่เห็นระยิบระยับอยู่ข้างหน้าไกล คงเป็นทะเลชะอำบ้านผม



ข้างบนนี้  …ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม



แปลกดีแฮะ คนเราพอแก่ตัว มักจะชอบนึกถึงเรื่องในตอนเด็กแบบนี้ทุกคนเหรอเปล่าวะ ผมนึกถึงสมัยที่
ตัวเองยังเที่ยววิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในโรงเรียนที่อยู่ติดเชิงเขาเบื้องล่างได้ถนัดชัดเจน  ยิ่งพอเหลือบไปเห็น
ตึกหลังเก่า  ผมเคยแอบโดดเรียนหลบไปนอนที่ม้านั่งหลังตึก   เห็นอาคาร 2 ที่ตั้งของห้องพยาบาลที่ทำให้
มีโอกาสรับรู้ถึงความสัมพันธ์ลับๆของเพื่อน 2 คน  เห็นสนามบาสฯ แล้วก็หอประชุมที่ใครคนนึงเคยร้อง
เพลงให้ผมฟัง



กี่ปีมาแล้วนะ … ผมแทบจะลืมบรรยากาศเก่าๆไปหมดแล้วดิ แย่จัง



เสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นมา  ผมขยับตัวควักมือถือขึ้นมากดรับสาย



“มาถึงแล้วนะ  อยู่ไหนเหรอ …”



“อยู่ข้างบน อือ… กำลังจะลงไป”  ผมตอบ


“บนเจดีย์แดงเหรอ”   อึ้ก เกือบเดาถูกนะมึง


“อืม มานั่งเล่นๆ  เด๋วจะลงไปแล้ว”  ผมพูดเสร็จก็ตัดสายไป  ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงมาให้ถูกท่า
เพราะไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกลงไปถึงตายได้  ผมเลือกที่จะเดินลงทางลัดแทนที่จะลงทางปกติ
จริงๆแล้วทางนี้เมื่อสมัยยังอยู่ ม.ปลาย เต็มไปด้วยหินขรุขระ กองระเกะระกะไปหมด แทบจะไม่มี
ใครใช้เดินลงไปข้างล่าง  แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าจะทำใหม่แล้ว แต่คนที่มาเที่ยวก็ไม่อยากใช้เป็นทาง
เดินลงอยู่ดี  เพราะมันเปลี่ยวเอามากๆ



ต้นลั่นทมที่ปลูกไว้ทั่วเขาวังส่งกลิ่นหอมอบอวลไปตลอดแนวทางเดินที่จะลงไปยังวัดเล็กๆข้างล่าง
เดินไม่ถึง 5 นาที ก็ทะลุออกมาถึงลานวัด  เห็นคนกลุ่มนึงกำลังง่วนจัดเตรียมของถวายพระ
บางคนก็กำลังโยงสายสิญจน์ไปรอบๆสถูปสีขาว ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนหินอย่างยากลำบาก



ผมเดินตรงเข้าไปสะกิดผู้ชายใส่ชุดทำงานที่ยืนหันหลังให้อยู่ 



“นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว คุณพี่”   ญาติต่างสายเลือดสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันมายิ้มใส่ด้วยความดีใจ
(หรือเปล่า)



“จะไม่ให้มาได้ไง  เดี๋ยวคนแถวนี้ก็ว่าอีก”



“ใครจะกล้าว่าคุณพี่ล่ะคับ”



โอ้ตหยุดเถียงได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่นั่นล่ะ  สายตาของมันที่มองมาก็คงจะอ่านใจผมได้ทะลุ
ปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย  คิดได้ดังนั้นผมก็เลยต้องหลบตามันพอเป็นพิธี



“ดูเหนื่อยๆนะ”  มาแล้วคับกับคำถามที่แฝงด้วยนัยยะ



“อือ .. สอนเด็กมันก็หนักงี้ล่ะ”



“อะไร พึ่งสอนได้ปีเดียว บ่นล่ะ  ”



“อยากจะลาออกอยู่แล้วเนี่ย เบื่อชิบเป๋ง” ผมบ่นเสียงเนือยๆ 



หลังจากจบปี 4  โชคดีที่มีบริษัทบางที่เห็นคุณค่าอันล้ำลึกที่แฝงอยู่ภายในตัวผม เลยได้มีโอกาสไปเป็น
เจ้าหน้าที่ตำแหน่ง Support User ของบริษัทข้ามชาติอันโด่งดัง (แต่ได้ข่าวว่าที่ต่างประเทศโละพนักงาน
เป็นว่าเล่น) แถวๆอารีย์ได้เกือบๆปี ก่อนจะมีคนเห็นแววดึงตัวไปช่วยงาน ณ สถานศึกษาแห่งนึงย่านเกือบฝั่งธนฯ



- อาไรนะครับ จะให้ผมสอนเหรอ !?!?!? -  ผมนึกตะโกนด่าอยู่ในใจต่อหน้าภารดา หรืออาจารย์ใหญ่ หรือ
ผู้อำนวยการโรงเรียนก็สุดแล้วแต่จะเรียก



“จะให้ผมไปสอนเหรอครับ”  อันนี้ผมพูดของจริงพร้อมเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า



“ลองดู …”  ท่านพูดสองคำสั้นๆ แต่ก็นับว่าเปลี่ยนชีวิตเด็กจบใหม่อย่างผมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปสอนใครเค้า
เลยชาตินี้  แค่พูดให้คนอื่นฟังยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย นับประสาอะไรกับ ….



“แล้วเด็กซนมั้ย”  โอ้ตถาม



คำถามที่มันถามเหมือนกับรู้สึกโดนตบหน้าอย่างแรง 



“ซนเหรอ … ไม่อ่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ



“- - แต่โคตรเกรียนเลยหว่ะ”



“555 ลืมไปว่าสอนเด็ก ม.ปลายนี่นา” ไอ้โอ้ตหัวเราะ พร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่ม



“แล้วมีเด็กน่ารักๆ แนะนำโอ้ตซักคนสองคนมั้ยอ่ะ”



“หึหึหึ”  ผมเค้นหัวเราะ



“แล้วโอ้ตเป็นไงบ้างล่ะ หายไปตั้งนาน”



โอ้ตถอนหายใจ เบี่ยงสายตาไปมองผู้หญิงคนนึงที่กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระอย่างขะมักเขม้น



“ก็ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่หรอก”  มันทำหน้าหนักใจ



“ย้ายมาศิริราชแล้วยังต้องเดินสายอีกเหรอ?”



“ก็ต้องคอยบริการพวกท่านๆ เหมือนเดิมล่ะ  ”



“แล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แนะนำซักคนสองคนมั้ยล่ะ ” ผมแหย่กลับ



“ทำไม ? …. เหงาเป็นกะเค้าด้วยเหรอ”   โอ้ตพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาผมจุกเล็กๆ  สายตาที่มองมา
ยังคงจับจ้องที่ใบหน้าผมอยู่



“อะไร มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ  ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก”  ผมหลบตาพลางเอามือเกาหัว ที่ตอนนี้ตัดผมสั้น
ในระดับที่ไม่เป็นตัวอย่างเลวๆให้กับเด็ก



“ห่วงดิ … ก็น้องทั้งคน ” โอ้ตเดินมาข้างๆแล้วก็เอามือมาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ



“จะปีหนึ่งแล้วซิ…”



ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ยืนเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ทำนั่นทำนี่อยู่เบื้องหน้า



“คิดถึงมั้ย ..? ”



“โอ้ต  … ปริ้น …  ขึ้นมาได้แล้ว    ”



ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เสียงใครคนนึงตะโกนเรียกให้ผมสองคนเดินเข้าไปร่วมพิธี 
โอ้ตเดินไปหยิบธูปแล้วก็ส่งมาให้จุดไฟ  ผมสะบัดก้านธูปให้เปลวไฟมอด ก่อนจะยกมือขึ้นพนมช้าๆ
อธิฐานในใจ



หางตาของผมรู้สึกว่าโอ้ตหันมามองก่อนจะถามคำถามใหม่



“คิดถึง…โค้กอยู่ใช่มั้ย ? ”



สายลมเย็นพัดเอากลิ่นธูปหอมโชยเข้าปะทะ  ผมก้มลงปักธูปเข้าที่กระถางหน้าสถูปสีขาว
ก่อนจะหันไปตอบไอ้โอ้ต



“เปล่า .. ”  ผมว่าแล้วก็ค่อยๆเดินลงไปรอที่ลานวัดเหมือนเดิม  เห็นโอ้ตคุยนั่นคุยนี่กับคนข้างบน
อยู่พักใหญ่  จะว่าไปแล้ว หลังจากเจอกันที่เชียงใหม่วันรับปริญญา  มันก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไป
เท่าไหร่  ยิ่งหลังจากที่มันเข้าทำงานที่บริษัทยา ก็ต้องวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ แทบไม่มีเวลาจะได้กลับบ้าน
ที่ชะอำเลย  ผมซะอีกที่ต้องกลับมาหาแม่กับยายแทบทุกเสาร์อาทิตย์  จะว่าไปก็แปลก ทำไมมันต้อง
คอยไปเทคแคร์คนนั้นคนนี้เค้าอยู่ตลอดเวลาเลยวะ  ไม่เข้าใจพวกคนทำอาชีพนี้ซะจริงๆ



แต่นึกๆไปก็คงเหมาะกับคนอย่างไอ้โอ้ตแล้วมั้ง หึหึ



ผมคิดไปยิ้มไปอยู่คนเดียว



“เฮ้อ … ”



ผมเอนตัวไปพิงกับราวกำแพงเย็นเฉียบ เหม่อลอยไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กลิ่นธูปหอมคละเคล้าไปกับ
กลิ่นหอมจากดอกลั่นทมดูจะปะดักปะเดื่อยังไงชอบกล  ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
ปุยเมฆที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฟ้าครามที่ดูแล้วก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม  แสงแดดที่ยังคง
ส่องสว่างคงเดิม 



… แล้วตอนนี้ ผมยังจะเป็นคนเดิมอยู่ได้มั้ยนะ …





- - อีกนานแค่ไหน ..รักนี้ก็ยังอยู่


อยู่เป็นรักแท้ เพื่อเธอเท่านั้น


ด้วยใจที่พร้อม ให้เธอ จากคนอย่างฉัน


กับวันเวลาที่ยาวนาน คงจะพอให้รอเธอ … และคงจะทำให้เธอได้รู้





“โค้ก”




.

.

.


.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป -------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/







 
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 06-12-2007 15:46:52
Stp said : มาลงให้ก่อน 1 วันล่ะครับ เพราะว่าไม่อยากไปรบกวนการอ่านแฮรี่เล่ม 7 ของหลายๆคน
(รวมถึงคนเขียนด้วย หึหึ) ขอบคุณนะครับสำหรับเพื่อนๆที่ร๊ากกก ที่ยังคงเฝ้าติดตามพฤติกรรมของปริ้นซ์
มาจนถึงตอนนี้ … น้องปริ้นซ์(หรือพี่) มาแล้วครับ แล้วก็จะได้มาเสนอหน้ากันตลอดเดือนธันวาคมไปจน
ถึงปลายเดือนมกราคม 2 เดือนเลยครับ (แต่จะออกมาได้กี่ตอนไม่รับประกัน hehehe )

ขอให้พลังอยู่กับทุกคน และขอให้ความสุขอยู่กับทุกคนครับ


ลป. รักแท้บทที่ 2 ก็ยังเขียนอยู่นะจ๊ะ ไม่ได้ลืม ห้ามแซว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 06-12-2007 15:54:21
มาจิ้มตูดคุณเตอิ้งก่อน ดีใจที่กลับมาต่อ
เพราะเราเข้าลิงค์บ้านพักไม่ได้เลย
รอเรื่องรวมเล่มก็เงียบหาย
ดีใจสุดๆที่กลับมาแล้ว :m3:

แต่กำลังงงโค๊กไปไหนอ่ะ   หรือว่าเราอ่านนานเกินไปจนจำไม่ได้
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-12-2007 15:58:36
โอ่ กลับมาพร้อมความสดใส ของคู่ที่ไม่เคยลืมไปจากใจ
แต่จะลงเอยกับใครกันหนอ
 :m30: :m30: :m30:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 06-12-2007 16:36:50
มาเจิมให้คนดีของผมนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 06-12-2007 16:37:03
นึกว่าเตอิ้งมัวแต่ส่องน้องพิชชี่จนลืมแต่งนิยายซะแว้ววว  :m12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ARmZaA ที่ 06-12-2007 16:38:28
สุดยอดเลยครับเรื่องนี้ อ่อ ลืมหวัดดีทุกคนครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-12-2007 16:48:12
มาแล้ววว   :m3:  :m3:  :m3:

เอาโค้กของเราไปไว้ที่ไหน  คิดถึงโค้ก :m11:
เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นนะเนี่ย

รออ่านเสมอ  เรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในใจเราตลอดเวลาเลย  :m1:

ปล  เตอิ้งชอบพิชชี่เหรอ กรี๊ดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-12-2007 17:08:39
มีกลิ่นเศร้าๆ อะ

ขอร้องอย่าให้น้ำตาไหลอีกเลยนะ

 :impress: :impress: :impress: :impress:







ลป.

พิชชี่ของผมนะ

ชิชิ

 :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 06-12-2007 17:11:48
เง้อ คุณเตอิ้งเปิดเรื่องมาก็... โค้กยังอยู่ดีใช่ป่าว ถึงเค้าจะเป็นแฟนคลับโอ๊ตแต่แบบนี้ไม่เอาน้า   :m17:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 06-12-2007 17:19:27
มาแล้ว มาแล้ว  :m18: :m18: :m18: :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 06-12-2007 17:29:51
ในที่สุดก็มาต่อซะที อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-12-2007 18:53:37
กรำ โค้กตัวเป็น ๆ ยังไม่มา มาแต่ชื่อ  :m21:  :m21: รีบออกมาเร็ว ๆ นะ เดี๋ยวโอ๊ตขโมยซีน  :a14:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 -
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 06-12-2007 19:05:40
ตอนแรกดีใจแทบสิ้นสติที่พี่เตอิ้งมาต่อแล้ว อารมณ์เริงร่า200%
 :a2:

แต่พออ่านเส็ด
 :a5:


โค้กอยู่ที่ไหน? ??

เกิด

อะไร

ขึ้น


โค้กคงจะไปเรียนต่อตปท.?

หรือไม่ก็ไปบวช??

ไปทัวร์อิตาลีแบบพี่เตอิ้ง? ??

หรือไม่ก็ไปเที่ยวรอบโลก? ?? ?

แต่ปริ๊นซ์กับโค้กยังเหมือนเดิม?  ?? ? ?

ไม่เอาเศร้าๆแล้วนะพี่เตอิ้ง
ร้องไม่รู้จะร้องยังไงแล้วเรื่องนี้
 :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 06-12-2007 19:15:47
มาแว้ววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 06-12-2007 19:21:25
มาลงชื่อรายงานตัวแล้วคร้าบ :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 06-12-2007 19:32:00
แล้วก็มา อิอิ ดีใจคร้าบ

แต่เกิดอารายกับโค้กง่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 06-12-2007 19:40:02

ในที่สุดก็ได้อ่านแล้ว........ :m1:

ว่าแต่ว่าโค้กหายไปไหนแล้วล่ะคับ

อย่าบอกนะว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับโค้ก

โค้กนอกใจ......มีแฟนใหม่..........หรือว่าตายไปแล้ว

หรือภาคนี้จะเป็นโอ๊ตปริ๊นซ์เดอะรีเทิร์น........

ยังไงก็จะรออ่านตอนต่อไปนะคับ

ลุ้นมากมายเลย

เปิดเรื่องมาก็เอาซะเสียวสันหลังซะแระ

เป็นกำลังใจให้นะคับ

ชอบเรื่องนี้มากเลย.......... :m18:


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 06-12-2007 19:44:25
อ่านแล้วคร้าบ
รอตอนต่อไป
พี่เตอิ้ง อย่าเศร้านะครับ แงงงง

ปล.ลุ้นโอ้ต :amen:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 06-12-2007 19:44:32
 o14
เย้ ๆ ดีใจจังในที่สุดก็มาแล้ว หลังจากรอมานาน
ขอบคุณครับ :m9:

จริง ๆ ไม่อยากเดาเลยอ่ะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโค้ก ใจคิดว่าคง.... ตายไปแล้ว
ถ้าดีหน่อย คงไปทำงานต่างประเทศอ่ะ
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

คิดไปได้หลายอย่างเลยอ่ะ
รีบมาลงต่อเร็ว ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 06-12-2007 19:55:01
 :a6: :a6:

โผล่มาก้อทิ้งระเบิดไว้เรยนะพี่เตอิ้ง

อยากอ่านตอนต่อป๊ายยยยยย  :m26:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-12-2007 20:10:46
โห กะเข้ามาอ่านอะไรเล่นนิดๆหน่อย
มาเจอคุณ Stp. มาลงต่อเนี่ย ทำเอาใจเต้นตูมตาม ประหนึ่งเจอคนรักเก่าเลยอ่ะ(โห เปรียบซะ)

แต่พออ่านแล้ว...
โอยๆๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย สับสนครับสับสน
อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน...เอ้ย อยากรู้อ่ะว่า
ตัวละครแต่ละตัวที่เราเคยรู้จัก ต่างเติบโตไปในทิศทางไหนกันบ้าง



ขอบคุณที่มาต่อให้ครับผม ... และก็จะตามอ่านต่อไปครับผม  o14
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 06-12-2007 20:26:01
 o14 o14 ขอบคุณนะครับคุณเตอิ้ง  สำหรับตอนใหม่   :m5: :m5: แต่ขอร้องนะครับ  อย่าเศร้ามากเลย  เริ่มมาก็เหมือนจะเศร้าแบบน้ำตาไหลพรากซะแล้ว  :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 06-12-2007 20:35:44

อ๋า  :m3: ดีใจที่พี่เตอิ้งมาต่อ :m4: รอมานาน (จนเกือบลืม :m26: แหะๆ)

แต่พออ่านแล้วกลิ่นมันตุๆ  :m28: เกิดไรขึ้นกะโค้กหว่า  :undecided:
เหอๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ขอให้อย่าเศร้าเลยน้า  :m5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 06-12-2007 21:05:26
 :impress: ชอบเรื่องนี้มากเลยงับ ผมอ่านตั้งแต่อยู่ใน boyonthenet ตอนนั้นยังไม่ขึ้นม.ปลายเลย
แต่ก็ไม่ประติดประต่อ คือแบบ อ่านบ้าง แล้วก็ลืมไปบ้าง ไปอ่านในปามบ้าง ก็ลืมๆ
แต่ตอนนี้ตามอ่านหมดแล้ว ทราบซึ้ง เศร้า ดีใจ ไปกับนิยายเรื่องนี้เยอะเลย
ขอบคุณมากนะคับคุณ Staying power  จะติดตามต่อไปน้า  รักคนเขียนนะคร๊าบ

--  ตอนใหม่เปิดมา ก็คิดไปไกลแล้ว อย่าให้โค๊กเปนแบบที่ผมคิดนะงับ ไม่ยอม  o9 --
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 06-12-2007 21:07:51
มัวแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนลืมไปเลย(เวอร์ได้อีก ^ ^")

ขอให้พลังอยู่กับทุกคน และขอให้ความสุขอยู่กับทุกคนครับ

..เช่นเดียวกันนะค้าบ ขอให้พี่มีความสุขมากๆเหมือนกันคับ ^ ^

คนอ่านคงมีความสุขแน่เลย ถ้าเห็นปริ๊นซ์กับโค้กมีความสุข เนาะๆ :m12:
psychoสุดยิดอ่ะ ฮ่าๆ

ขอบคุณมากๆนะคับ..

รักพี่เตอิ้ง*
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pajaa ที่ 06-12-2007 21:29:13
เย้!! :m11:

พี่เตอิ้งมาต่อแล้ว :m4:

แต่งั้ยส่งท้าย งั้นอ่ะ
พี่โค้กไปเรียนต่างประเทศป่ะ :m26:

คิดไปไกลแล้วนะคับ หวังว่าจะไม่เศร้านิ
ไม่เอาๆ ไม่คิด :a6:



 :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 06-12-2007 21:53:15
 :m3: พี่เตอิ้ง มาแล้วววว หลังจาก อดทนคอยมานานานานนนนน  :m11:

ดีใจจังคับ ได้อ่านตอนต่อไปแล้ว  :m4: แต่ :o11:..............
เกิดไรขึ้นกับ โค้ก อ่ะ  o22 ถึงจาไม่บอกมาตรงๆ แต่ก็แฝงความนัยๆว่า โค้ก................ :a5:

แง :sad2:

คอยตอนต่อไปคับ :a1:

ลป. ไม่รุจาเสียน้ำตาให้เรื่องนี้อีกกี่รอบนะ  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 06-12-2007 22:40:55
มาลงชื่อก่อน ยังไม่ได้อ่าน 55+
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: armani ที่ 07-12-2007 00:17:12
อ๋อย  คุณเตอิ้ง......  :sad2: :sad2: :sad2:
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 07-12-2007 00:35:56
เตอิ้งชอบน้องโอ้"ของผม"ครับ
สังเกตได้จาก การที่สั่งให้ผม"จัด" "ลายเซ็น" และ "รูปถ่าย" ของน้องโอ้ให้

ป.ล. เตอิ้งไม่ลงกรุงเทพวันที่ 27 ม.ค. จริงเหรอ? จะได้พาไปหาน้องโอ้อ่ะ

(น้องโอ้) :m9: :m17: (Arus)  :m20: (เตอิ้ง)

                :m30:(พี่เอก)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 07-12-2007 02:24:10
 มาต่อไวๆนะครับ
                        ปล.รักเรื่องนี้มากกว่าแฮรี่ :give2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-12-2007 06:44:31
ขอแปะก่อนนะ เคลียร์งานเสร็จจารีบมาเก็บต้นจนทบดอกเลยจ้า  :m29: งานหนักเลยตู

จุ๊ปๆๆ คนแต่งน๊า  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 07-12-2007 09:10:34
ผีมือสุดยอดครับ

ชอบๆๆๆ

มีเรื่องเศร้าป่าวนี่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 08-12-2007 20:54:17
ดีใจที่ได้อ่านอีกครั้งค่ะ  :o8:

แต่............
แต่.........................
 :impress:  มันแหม่งๆๆเศร้าๆๆๆนะคะ  :o11:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 09-12-2007 10:24:58
พี่ปริ๊นซ์คร้าบบบบบ


อารมณ์ค้างคร้าบบบบบ.. :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrow ที่ 09-12-2007 11:07:10
เย้! คุณ stp กลับมาแล้ว คิดถึงโอ๊ตกับปลิ้นจัง แต่โค้กไปไหนล่ะ? :a5:

ตอนหน้าจัดโค้กมาด่วนๆๆๆๆ นะครับ :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 10-12-2007 12:40:21
ได้อ่านแล้ว

ดีใจจังเยย

เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แต่.......................

พี่โค้กไปไหนเอ่ยๆๆๆๆ

ชอบๆๆๆ

มาติดตามและเปงกำลังใจให้พี่เตอิ้งคับบบบบบบบบบบบบบบ   :a1: :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 -
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 10-12-2007 13:09:06
รออยู่นะค้าบพี่เตอิ้ง :m1:

แต่ขืนมาต่อตอนนี้เด๋วแต่งให้โค้กเสกคาถาAvada Kedavraใส่โอ๊ตหละยุ่งเลย

เพราะคนแต่งยังไม่หายinner แฮรี่ :m26:

 o17
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 10-12-2007 14:42:58
มานั่งรอน้องปริ๊นซ์อ่านแฮรี่จบ

จะได้มาต่อสักที แหะ  ๆ

ชักลุ้น ว่าโค้กไปไหน ใจหนึ่งก็ยังเชียร์โอ๊ตอยู่ แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 11-12-2007 00:11:13
อาโค้กของอั๋วไปหนายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 11-12-2007 02:21:00
รักพี่โอ้ต รักพี่ปริ๊นซ์ มาต่อเร็วๆ นะคร้าบ
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 11-12-2007 15:32:41
รักพี่เตอิ้งมากมาย

จุ๊บๆๆๆ :m1:

ลป. มาไวๆเน่ออออ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Twister ที่ 11-12-2007 18:43:02
 :o8:  :o8:  :o8: คุณเตอิ้งครับ อยากอ่านเรื่องของคุณเตอิ้งมากกว่า แฮรี่ อีกอ่ะ มาต่อไวๆนะครับ ....
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: รอย ที่ 11-12-2007 19:40:53
ปริ๊นซ์ครับ มาทำแบบนี้ได้ไง

สปอยเห็นๆ ชักงอนปริ๊นซ์แล้วแฮะ


ผมกองเชียร์ปริ๊นกะโค้กนะ

จะมากลิ่นธูปกลิ่นเทียนแบบนี้ได้งาย

โห ขัดใจรอย   ว่ะ

ไปแระ อิอิ รีบมาต่อเร็วๆนะค๊าบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 11-12-2007 22:20:51
-   เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีที่แล้ว -


กิ้ง กิ้ง กิ้ง กิ้ง


เสียงสัญญาณปิดประตูของรถไฟฟ้าดังเตือน ก่อนจะเลื่อนปิดลง  ผู้คนมากมายแออัดเบียดเสียดอยู่ในช่วง
เวลาที่ใครๆก็อยากจะกลับไปถึงจุดหมายก่อนพลบค่ำ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนเมืองไปซะแล้ว
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา


อ่า จะหกโมงเย็นอยู่แล้ว  เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมง  นึกแล้วก็โมโหพี่แอ้ดหัวหน้าฝ่ายไม่หาย ดันเสือกมา
เรียกประชุมเอาตอนสี่โมงเย็น แถมเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์แบบนี้  คนที่โดนเรียกเข้าไปก็หน้าหงิกแทบทุกคน
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  ก็เป็นลูกน้อง ลูกจ้างเค้านี่หว่า 


เสียงรอสายดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่นานกว่าที่ผมจะกระเสือกกระสนควักออกมาได้ เพราะคนเบียดมากมาย


“อือ .. จะถึงแล้ว ”  ผมบอกเมื่อรถมาหยุดที่สถานีสะพานควาย


“ไม่ได้นัดเจอที่สะพานควายนะเว้ย บอกว่าถึงแล้วเนี่ย”   เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นมา  แหม ทำเป็นหูดีเชียวนะมึง


“บอกว่า จะถึง ยังไม่ได้บอกว่าถึงแล้ว ”  ผมแย้ง


“เออ เออ.. มาเร็วๆแล้วกัน หิว”


“ก็เข้าไปในร้านก่อนก็ได้ ”


“ยังไม่รู้จะกินอะไรเลยหว่ะ  ”


“อ้าว .. ”


“ไม่ต้องอ้งต้องอ้าวอ่ะ รีบมาแล้วกัน หิว”   พูดเสร็จก็ตัดสายไปเลย  ไม่ได้เจอกันนาน ดูท่าทางมันอารมณ์ร้อน
ขึ้นเว้ย  ผมยิ้มในใจก่อนจะกดโทรไปหาอีกสาย รอซักพักก็มีคนรับ


“สวัสดีคะ”


“พูดเพราะเชีย .. ” ผมแซวเล่น


“.. เออ แม่ อาทิตย์นี้ ปริ้นไม่กลับบ้านนะ นัดเพื่อนไว้”

“อะไร ไม่กลับมาหลายอาทิตย์แล้วนะ  ยายเค้าก็บ่นกับชั้นอยู่นั่นหล่ะ”  แม่ต่อว่า แล้วก็อ้างไปถึง
บุพการีตนเอง


“.. พวกนี้เป็นยังไงกันนะ พอได้งานการทำ ก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้านกันเลยนะ เจ้าโอ้ตอีกคน”
แม่ยังบ่นต่อ


“เอาน่า ขานั้นเค้างานเยอะ ก็น่าจะรู้อยู่ .. เอาไว้กลับอาทิตย์หน้าแน่ ”  ผมรับคำก่อนจะเบน
มือถือออกห่างหูนิดหน่อย เพื่อจะได้ไม่ฟังคำบ่นต่ออีกสองสามนาที (เลวม่ะ)


“ปริ้น .. เจ้าปริ้น ฟังอยู่รึเปล่า”


“ฟังๆ”  ผมได้ยินแว่วๆเลยรีบตอบ   จังหวะที่รถตีโค้งโค้งตรงเสารีย์ชัย ทำเอาตัวเสียหลัก
ไปกระแทกคนข้างๆ


“ขะ ขอโทษครับ”  ผมบอก ก่อนจะก้มหน้างุดๆ โทรสับต่อ


“แม่ๆ แค่นี้ก่อนนะ คุยไม่สะดวกเลย”


“แล้วทำไมไม่โทรมาตอนว่างๆนะ  ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ แม่คิดถึง”


“ค๊าบ ”


ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ไปชนด้วยอีกครั้ง


“เมื่อกี้โทดทีนะคับ”  แบบว่าเสียหลัก ผมหัวเราะกลบเกลื่อนบอกผู้ชายคนข้างๆ เอ .. รู้สึกเหมือน
เคยเห็นหน้าที่ไหนหว่า


“ไม่เป็นไรครับ” พี่เค้าพูดก่อนจะยิ้มเห็นฟันขาว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ทำเอาผมเคลิ้มไปชั่วขณะ
ตามประสาคนบ้ากามที่เห็นผู้ชายน่ารักไม่ได้


“ครับ .. ”


“สถานีต่อไป สยาม ท่านที่จะเปลี่ยน - - - ”


ก่อนที่ประตูจะเปิด ผมผงกหัวทักทายพี่เค้าอีกครั้งก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงมดปลวกที่ต่างหลั่งไหลออก
จากตู้แต่ละฝั่ง


“ถึงแล้ว .. อยู่ไหน”


“หน้าลิโด้”


“เออ ทางลงพอดี ” ผมพูดใส่มือถือ ก่อนจะรีบจ้ำลงบันได  รู้สึกขัดใจนิดๆ ที่ต้องเผอิญหลังของเหล่าสาวน้อย
คอนแวนที่เดินอ้อยอิ่งคุยกันเรียงแถวหน้ากระดานไม่สนใจว่าจะปิดทางใครต่อใคร ก่อนที่จะเห็นสาวทำงาน
ร่างใหญ่พุ่งเข้าชนผ่าวงแตกกระจาย ก่อนจะหันหน้ามาบอก


“อุ้ย .. ขอโทษคะ”


ผมแอบสะใจนิดหน่อย รีบเดินตามรอยเจ๊แกไป แล้วก็ไม่ลืมหันมาดูหน้างอๆ ของเหล่าสาวน้อยทั้งหลาย
เดินลงมามองซ้ายมองขวา ก็เห็นหนุ่มตี๋ ใส่เสื้อทำงานสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็คดำ ท่าทางดูดีมีความรู้


“ไง ”


“หิวโคตรๆ ไปกินไรดี”


“อืมมม” ผมหันมองทางโน้นทางนี้ที


“เอ็มเคม่ะ  ”


“ไม่เอ้า !! ” ไอ้ซังแหกปากออกมาทันที “.. มาสยามทั้งทีจะมาแดกเอ็มเคอีกแล้ว ”


“งั้นคุณพี่จะกินอะไรล่ะครับ”  ซังอ้าปากถาม พร้อมกับบ่นโน่นบ่นนี่ตามนิสัย  ผมสังเกตเห็นว่า
มันถอดเอาเหล็กดัดฟันออก เลยรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่


หลังจากที่ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยต้องมาลงกันที่ร้านซามูไรอาหารญี่ปุ่นของโปรดซัง


“งานเป็นไงบ้างอ่ะ”  ผมถามพลางคืบเศษปลาแซลม่อนเข้าปาก


“ก็ดี .. เหนื่อย ...มาก  มันบอก แล้วปริ้นล่ะ”


“เหมือนกันหว่ะ  นี่ก็ว่าจะหางานใหม่อยู่”


“งานไรอ่ะ  ที่ไอxxก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ”


“จะเอาอะไรกับภาพลักษณ์ภายนอกฟ่ะ บริษัทมันก็ดี แต่ข้างใน.. ”


“มันก็ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหาหรอกว้า ”


“ก็จริง .. ว่าแต่คิวเป็นไงบ้างวะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แล้วไมวันนี้เห็นบอกว่าจะมาด้วยไม่ใช่เหรอ”


“มันติดสอนเด็ก ”


“อ่อ”   ผมนึกถึงความไม่น่าจะเป็นไปได้หลังจากที่ได้รู้มาว่า ไอ้คิวจอมเถื่อนและหวังพึ่งอะไรไม่ได้
ที่พอจบออกมา ก็มารับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนพวกศิลปะให้กะพวกเด็ก ป ตรีเลย


“นึกว่าเลิกกันแล้วซะอีก 55”


“ไอ้นี่ปาก” ซังว่าก่อนจะยกตะเกียบมาโบกหัวผมเบาๆ


“ว่าแต่คนอื่น แล้วโค้กล่ะ ไปไหน”


“ตามหัวหน้าไปไซด์งานอ่ะ  เข้างานใหม่ๆ ออกไปข้างนอกประจำ”


“แล้วมันจะรับปริญญาวันไหนวะ”


“ประมาณสิงหาอ่ะ เด๋วใกล้ๆบอกอีกทีล่ะกัน  บอกตอนนี้ก็ลืม ”


“โห ดูถูกเพื่อนสุดริด”  มันโบกอีกรอบ  “ยังไงก็บอกเพื่อนฝูงหน่อยล่ะกัน แฟนเพื่อนรับปริญญาทั้งที”


“แค่กๆ” ผมถึงกับสำลักน้ำซุป 


“ไม่ใช่แฟนเว้ย”


“อะไรวะ อยู่บ้านเดียวกัน  ขับรถคันเดียวกันเนี่ยนะ - - เหรอว่ามันขโมยรถมึงมาขับห่ะ แล้วได้ด่ามันมั้ย
ว่ามันหน้าด้าน”


“ไอ้บ้า .. ” ผมหัวเราะ  “.. แค่จะบอกว่า มึงไม่อายเหรอที่ชอบเอารถกูไปขับแค่นั้นเอง”


“กูอ่ะ สงส้าร สงสารน้องโค้ก  จบช้ากว่าคนอื่นแล้วแฟนยังไม่ยอมให้เป็นแฟนอีก”  ไอ้ซังกัดผมแล้วก็
ทำหน้าทำตา


“สงสารนักงั้นยกให้เอามั้ยล่ะ”


“ไม่เอา ไม่อยากโดนฆ่าหมกส้วม”  มันบอกพลางนึกหน้าไอ้คิวตอนเป็นฆาตกรเฉาะ


“คิดไปคิดมาก็คิดถึงเพื่อนๆหว่ะ ไม่รู้ต่างคนต่างทำไรกันบ้าง”  ผมนั่งเท้าคางรอให้ซังมันกินเสร็จ เพื่อนที่แสนดี
ก็ค่อยๆเล่าทีละคน คนโน้นทำนี่ คนนี้ไม่ได้ทำบ้าง บางคนก็ไปเรียนต่อ แต่ก็มีบางคนม่องไปแล้ว


“วันเกิดโรงเรียนปีนี้ พวกมันบอกให้ลากปริ้นไปให้ได้ด้วย ”


“ถ้าว่างนะ ปีที่แล้วก็ไปเชียงใหม่มา ”  ผมบอกสาเหตุที่ปีที่แล้ว ไม่ได้ไป 


“เออ แล้วพี่โอ้ตเป็นไงบ้าง”   ซังถามขึ้นมา  ผมนึกแล้วว่าถ้าพูดเรื่องนี้ มันต้องถามแน่ๆ


“ก็สบายดี แต่ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก”


“ทำไมวะ”


“โอ้ตมันเดินสายขายยาอยู่ต่างจังหวัด แต่เห็นบอกว่า คงจะได้ย้ายมาทำที่กรุงเทพแล้ว แต่ไม่รู้ว่า
เมื่อไหร่  ”


“แต่ถึงเค้าทำงานที่กรุงเทพ ก็คงไม่ได้เจอกันอยู่แล้วใช่ม่ะ”


ผมเหลือบตาไปมองหน้า แต่ไอ้ซังก้มหน้าก้มตาซดราเม็งของมันต่อไป


“รักแรก มันฝังใจอะดิ”  มันยังพูดต่อ


“อาไร.. ”


“เปล่าหว่ะ แค่อยากจะบอกเฉยๆ .. ”  มันหยุดพูดไปเล็กน้อย 

“อะไรที่มัน เป็นของจริง ในตอนนี้ของปริ้นอ่ะซังก็อยากให้รักษาเอาไว้  ของบางอย่างที่มันใกล้เรามากเกินไป
ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญหรอก แต่พอเราเสียมันไปแล้ว กว่าจะรู้ตัว มันก็สายไป..เหรอมันก็มีค่ามากเกินกว่า
ที่เราจะเป็นเจ้าของอีกแล้ว”


ผมทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบภายในชั้น 2 ของร้านซามูไรอยู่พักนึง  อดที่จะระอาปนชื่นชมเพื่อน
ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้  กี่ปีมาแล้วนะ ที่มันคอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่เสมอ แม้ต่างคนต่างที่เรียน ต่างจบมา
ทำงานกันแล้ว


“เออ ขอบใจ”


ซังยิ้มให้ผมก่อนจะบอกต่อไป


“ซังรู้ ว่าปริ้นคิดยังไง .. แต่ความรู้สึกบางทีก็ต้องแสดงออกมาบ้างนะ เพราะว่าถึงโค้กมันจะรักปริ้น
แค่ไหน มันก็อ่านใจไม่ได้อยู่ดี”


ซังมันเทศนาให้ผมอีกหนึ่งกัณฑ์ก่อนที่จะจ่ายเงินจ่ายทองออกจากร้าน


“ไว้ค่อยนัดกันอีกที”


“คราวหน้าพาแฟนมาให้ได้นะเฟ้ย”


“เออ เมิงก็เหมือนกันอ่ะ”  ผมบอกลา แล้วก็เดินเตร็ดเตร่ดูเด็กน้อยแถวนั้นก่อนจะจับรถไฟฟ้ามาลง
ที่หมอชิต ก่อนจะต่อรถเมล์กลับคอนโดห้องเล็กๆแถวเกษตรที่กำลังก้มหน้าก้มตาผ่อนแบบชักหน้า
ไม่ถึงหลังในบางเดือน


เวลาประมาณสี่ทุ่ม ผมยืนไขประตูห้องซักพัก ก่อนจะเปิดเข้าไปพบแต่ความเงียบเหงา  เห็นไฟตรงห้องน้ำ
เปิดทิ้งไว้แล้วก็นึกหงุดหงิด  แม่ง ไอ้โค้กลืมเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าซิเนี่ย 


ผมเดินเข้าไปในห้องนอนไอ้โค้ก ที่ต้องนอนแยกกันเพราะว่า ผมรู้สึกอึดอัดที่ต้องมานอนเตียงเดียวสองคน
เพราะปกติตลอดชีวิตที่เกิดมา การนอนบนเตียงนุ่มๆ อุ่นๆคนเดียว มีความสุขมากกว่า  ผมเดินเข้าไปที่ตะกร้า
ผ้าของมัน แล้วก็จัดการแยกเสื้อผ้า มาใส่เครื่องซักผ้าซะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่เสียเวลาเอาออกไปตาก  เดินหมุนไป
หมุนมา แล้วก็ไปเปิดตู้เย็น  เห็นแต่นมโฟโมสสองสามกล่อง แล้วไอ้ชีสเค้กที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อวานมันล่องหน
ไปไหนวะ


ไอ้โค้กกก มึงนะมึง แย่งของกูไปกินอีกแล้วววว (อารมณ์เสีย)


ผมหยิบนมออกมากล่องหนึ่งก่อนจะกระแทกตู้เย็นกลับเข้าที่  ยกขึ้นมาดูดๆๆๆ แล้วก็ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ
ระบายความกริ้ว  พักนึงได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงคนเดินเข้ามา  เสียงโยนรองเท้าที่ดูจะไม่ค่อยใส่ใจ
เสียงเปิดตู้เย็น  เสียงเปิดก๊อกน้ำล้างหน้า  ผมอาบน้ำเสร็จพอดีกับที่เห็นไอ้โค้กพึ่งล้มตัวลงไปนอนเหยียดยาว
บนโซฟา


พอเห็นสายตาผมแค่นั้นล่ะ มันเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทำเป็นเด็กดี 


“หวัดดีคับ.. พึ่งอาบน้ำเสร็จเหรอ”  พร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆมา


ผมเดินผ่านหน้ามันไปแบบไม่สนใจ ความโกรธผุดขึ้นมาทีละนิด  ตอนแรกนึกว่าจะให้อภัยแล้วดิ ดันเสือก
มาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้แล้วอดไม่ได้ทุกที


ไอ้โค้กกระโดดข้ามโซฟาแบบนักยิมนาสติกเข้ามาทันลากตัวผมไปหาก่อนที่จะได้เข้าห้อง


“เฮ่ย ... ปล่อย”  ผมบอกมันเสียงแข็ง


“ปริ้นนนอ่า”   มาอีกแล้ว เสียงแบบนี้  แต่คราวนี้ไม่ใจอ่อนหรอกเฟ้ย  ชีสของกูอุตสาห์ถ่อไปสีลม
สนธิราคาตั้งเกือบร้อยบาท ไปแต่ละทีก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าไป รถกูก็อุตสาห์ให้มึงไปขับ แล้วมาทำงี้
ได้ไง !!


“ปล่อย ถ้าไม่ปล่อย ทุ่มไปจะหาว่า - -  ไอ้ !! ”


ไอ้โค้กมันมือทำท่าจะพรากเอาผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่ออกไปจากผม


“จะทำอะไร ไอ้ลามก ปล่อยยยย”


“ถ้าปล่อยต้องยกโทษให้ผมนะ  ”


“ไอ้โค้ก ถ้าไม่ปล่อย กูโกรธจริงๆนะ   ”


โค้กมันยอมปล่อยมือออกจากผ้า แต่มันไม่ยอมปล่อยออกจากตัวผมซะทีเดียว


“งั้นห้ามโกรธแล้วนะ ดีกันๆ  เรื่องแค่นี้เอง ปริ้นอ่ะ  ผมหิวนี่นา ...  เมื่อคืน ปริ้นก็ไม่ยอมให้ผมกิน
ก็เลยต้องมากินเค้กแทนไง”


ผมรู้สึกว่าลมพัดออกจากหู หันไปมองอย่างโมโห แต่ไอ้โค้กมันหน้าด้านนัก นอกจากไม่สำนึกผิดแล้ว
ยังจะมาทำหน้าแป้นแล้นอีก


“ทำหน้าแบบนี้ยังไม่หายงอนอะดิ  งั้นมานี่ ”  โค้กมันฉุกกระชากให้ผมเดินตามมันไป ก็พบว่ามีกล่องเค้ก
กล่องเบ่อเริ่ม วางอยู่ที่โต๊ะกินข้าว


“แอ่นแอนแอ้นนน .. เป็นไง”


“อาไร” ผมทำโง่ไม่รู้ไม่ชี้


“เอ้า ก็ของที่กินไปเมื่อเช้าไง  เห็นป่าว มากินตอนมืดมันเลยขยายร่างมาใหญ่ขนาดนี้เลย”   มันพูดเป็นเด็กๆ
ก่อนจะเปิดกล่องออกมาให้ดู  เออ ใหญ่กว่าจริงๆด้วย


“ของม่ะเช้ากะตอนนี้ มันใช่อันเดียวกันซะที่ไหนฟ่ะ ” ผมอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะ แต่ยังแอ๊บโกรธอยู่


“โห .. ” โค้กมันทำหน้าง้ำ หันหลังให้ผม ก่อนจะค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างน้อยใจ (ผมคิดว่านะ)


“ถึงจะไม่ใช่เค้กอันเดียวกัน ... .. แต่มันก็ทำให้ปริ้นมีความสุขไม่ได้มั่งเลยเหรอ ? ”


ผมสะอึกเล็กน้อยในสิ่งที่โค้กพูดขึ้นมา  รู้สึกว่าตัวเองคิดเล็กคิดน้อยไปหน่อยแล้ว  ก่อนจะเดินอ้อมไปข้างหน้า
แต่ไอ้โค้กก็หันหลังกลับให้ตลอด  ผมถอนหายใจเบาๆ  ตัวก็โตนะมึง  มาทำเป็นงอนไรสาระ  แต่ก็พูดออกไป
ไม่ได้เพราะว่า เด๋วมันจะหนักมากกว่าเดิม แถมจะชิ่งเข้าโดนตัวเองอีกตะหาก   เลยเปลี่ยนไปหยิบมีดขึ้นมาแทน
(หวังกระซวกเข้าไปที่ลำไส้ใหญ่ของมันแทน .. !! ) หันไปเปิดกล่องชีสเค้ก ลงมือผ่าออกเป็นสองชิ้น แล้วก็ตัก
ใส่จานยื่นให้มันอันนึง


“กินไม่หมดหรอก  เยอะขนาดนี้อ่ะ”


ผมเห็นมันแอบอมยิ้มนิดๆ แล้วก็ยอมหันมาพูดด้วยซะที


“ไม่เป็นไรคับ  ผมอยากให้ปริ้นเยอะๆ”


“ขอบจายยย .. แล้วก็ช่วยกันกินด้วยดิ  คนเดียวมันไม่หมดหรอก”  ผมบอก 


“งั้นปริ้นป้อนให้ผมนะ”   มันบอกผมทำตาเยิ้ม


“เออ เลือกมากจริง”   ผมบ่น แล้วก็เอาช้อนตักเข้าปากมันคำโต


“พอใจยัง   ”


ไอ้โค้กทำหน้าระรื่น เอาเค้กไว้ในปากเหมือนเด็กๆ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้  แล้วมันก็ยกมือขึ้น
ชี้มาทางผม กะจะป้อนคืนให้ว่างั้น ..


“จาทำไรก็ทำ ” ผมส่งช้อนที่ถืออยู่ให้มัน แต่กลับไม่ยอมรับซะงั้น ยืนอมอยู่นั่นล่ะ


“อาไรฟ่ะ - -  ”


ไอ้โค้กมันไม่รับช้อน แต่เดินเข้ามามือข้างนึงจับบ่าผมแน่นเลย อีกข้างนึงจับเข้าที่หัว ก้มลงมาที่
ปากผมแล้วก็ ...


“อึก อึก อึก อึก ”


ความรู้สึกที่อ่อนโยน แล้วก็เนิ่นนานมากพอที่จะชิ้นเค้กจะละลายไปข้างในปากของเราทั้งสองคน (เค้กละลายได้
ในปากเหรอ ?)  ไอ้โค้กมันค่อยๆถอนปากออกไปด้วยความเสียดาย รวมทั้งตัวคนโดนดูดด้วย


“เค้กที่ผมให้ มันทำให้ที่รักมีความสุขได้บ้างใช่มั้ยครับ ....”





.

.

.


.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป --------------------------------------------
http://stpstory.exteen.com/



Stp said : บทนี้ยังไม่มีฉากตอนเป่าเทียนนะครับ ^^
 


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 11-12-2007 22:53:30
ไม่มีเป่าเทียน....แต่มีกินเค้ก....แค่นี้ก็ชอบแล้วล่ะ :a9:
เมื่อไหร่จะรวมเล่มค๊าบรออยู่นะ 
ตอนนี้เข้าบล็อคของบ้านพักฯไม่ได้เลย
ไม่รู้เป็นอะไร
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-12-2007 22:54:28
อ่านแล้วเหมือนมีลางวุ้ย  :a6:  :a6: :a6:
ทำไมย้อนไปไกลนักล่ะ แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับโค้กแน่ ๆ  :serius2:  :serius2: :serius2:

 :m17:  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 11-12-2007 22:59:18
[quote ]
อ่านแล้วเหมือนมีลางวุ้ย  :a6:  :a6: :a6:
ทำไมย้อนไปไกลนักล่ะ แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับโค้กแน่ ๆ  :serius2:  :serius2: :serius2:

 :m17:  :m17:  :m17:
[/quote]

เห็นด้วยกับพี่ทิพครับ

เมื่อกี่ไปอ่านใน exteen  ก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร

ต่อพออ่านของพี่ทิพก็นึกออกเลยอ่ะ

หากโค้กเป็นอะไร ก็คงเศร้าครับ

แต่ยังอยากให้ปริ้นกับโอ๊ดเป็นแฟนกันอ่ะ

 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 11-12-2007 23:11:07
ยังไงก็ ชอให้ได้ลงเอยกับโค้กหละกัน  :m5:ขอบคุณนะ  o1
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 12-12-2007 00:20:04

-   เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีที่แล้ว -



รักโค้ก



ps.พี่เตอิ้งจะทำผมร้องไห้อีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. [update 06/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: icehitter ที่ 12-12-2007 00:22:34
น่ารักดี อยากให้โค๊กกะปริ้นรักกันนานๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 12-12-2007 01:45:42
 :m3:  ย้อนกลับไปหาอดีตอันแสนน่ารักและอบอุ่น คิดตึ๋งโค้กจังเยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 12-12-2007 05:15:59
หง่าาา พี่โค้ก..   ชายในฝัน     :m11:


ปอลอ... พี่ปิ้นค้าบ แฮรี่ก็อ่านจบแล้ว.. อย่าลืมการบ้าน รักแท้ ฯ กะ สายฟ้าฯ นะคับ ไม่งั้นจะจับพี่ปิ้นมาทำการบ้าน     :m26:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 12-12-2007 09:09:39
แฟนร้านซามูไรเหมือนกันเลย ข้าวครกหินร้อน อิอิ ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 12-12-2007 10:05:30
เหตุใจจีงจบช้ากว่าชาวบ้าน ???

อื้มมมมมมม

อาโค้ก....อ่ะ :a11:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 12-12-2007 11:29:12
บอกตามตรงไม่อยากเศร้าแล้วอ่า  :m8: :m8: :m8: อยากให้โค๊กกับปริ๊น คู่กันตลอดไป  :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 12-12-2007 12:40:30
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับ ปัจุบันโค๊กเสียแล้วใช่ปะ

ตอนที่2มันย้อนไปเมื่อ2ปีที่แล้วอ่า

อ่าครับทำให้คนอ่านเศร้าอีกแล้วนะครับ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: the sun IN NIght ที่ 12-12-2007 13:51:48
 :a5:

หวัดดีคับ กลับมาอ่านเรื่องโปรดอีกเหมือนเดิม พี่ปริ๊นคับ รู้สึกพอโตขึ้นเริ่มพูดจาไม่เพราะนะ 55555

แล้วจะติดตามเรื่อยๆนะค้าบ เป็นกำลังใจให้

เราเป็นแค่คนขับรถ ไม่ใช่คนสร้างถนน ...คติวันน ี้อิอิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 12-12-2007 14:53:09
สงสัยต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าอีกแล้วมั้งเนี่ย  :m17:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Twister ที่ 12-12-2007 17:55:18
 :give2:   โค้กน่ารักที่สุดในโลกเลย ....
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 12-12-2007 18:08:48
เห็นว่าลงตอนใหม่ เลยเข้ามาขอบคุณก่อนครับ
แต่ช่วงนี้อารมณ์อ่อนไหว ต้องรออีกซักพักอ่ะคับ  :m17:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 12-12-2007 19:14:35

อึ่ม ๆ  ย้อนหาอดีตตตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว  :m1: พี่โค้กน่ารัดอ่า

แต่พอคิดถึงปัจจุบันนี่สิ  :เฮ้อ: ไม่อยากเศร้าแล้วง่า  :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 12-12-2007 20:01:32
 o14 ขอบคุณครับแต่ :oโค๊กจะเกิดไรขึ้นอะขออย่าเป็นแบบปิงเลยสาธุ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 12-12-2007 20:43:06
เห็นมาอัพก้อดีใจค่ะ ขอบคุณนะคะ  :m3:

แต่.............
แต่..........................


เราต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าใช่มั้ยคะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 12-12-2007 21:14:55
 :m3:มาต่อแล้วววววว

 :m17: อะไรกัน ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับ โค้กเลยนะ  :m17:
นิยายเรื่องนี้ จะเศร้าไปอีกถึงเมื่อไร แต่ก็นะ ชีวิตเราก็แนวๆนี้กันเนอะ :m15:

มาต่อไวๆน้า 
ปล.คิดถึงคนแต่งจัง อิอิ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 13-12-2007 00:11:35
 :m18:  หวานมาก ๆ  ป้อนเค้กด้วยปาก

อ๊ากกกกกกกกก อยากหาคนมาป้อนบ้าง อิอิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 13-12-2007 02:57:04
ตอนแรกกะจะงอนพี่ปริ๊นซ์ มาทำให้จิตตก :a14:

แต่หลังจากที่รู้ว่าพี่ปริ๊นซ์ป่วยหนักจนแทบลุกไม่ขึ้น ก้องอนไม่ลงละ  :m29:

หายไวๆนะค้าบพี่

พักผ่อนเยอะๆนะคับ ทำหลายอย่างเกินละ
(เขียนนิยายยังเขียนที3เรื่อง เอากะเค้าเสะ!)

รักษาสุขภาพด้วยนะคับ ทุกคนเค้าเป็นห่วง

รักพี่สุดพลังเล้ย :a1:

ps. ทีหลังอย่าเขียนอะไรที่มันเศร้าๆ ขัดใจคนอ่าน รู้ป่าว!?
แถวนี้ของเค้าแรง อิอิ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 13-12-2007 04:00:26
เย่! ในที่สุดก้อตามมาถึง  (ไม่ได้เข้ามาดูเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นปีที่จบตอน 6 เลยอ่ะคับ ตอนแรกคิดว่าจบไปแล้วซะอีก  แต่ก้อดีใจครับที่มีต่อ)

ว่าแต่ คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับโค้กนะครับ  (ไม่อยากเสียน้ำตาไปมากกว่านี้แล้วอ่ะ)   :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 13-12-2007 07:22:39
โค้กมาแว้ววววววววววววววว


 :a3: :a3: :a3: :a3: :a3:

น้ำตาจะไหล คิดถึงโค้ก

 :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 13-12-2007 12:56:32
 o7 o7 o7

โอ้วววว โค้กน่ารักมากมาย

รักโค้ก คิดถึงโค้ก ... :m3:

แต่เอ... จะทำยังงัยดีตอนนี้พิชอยุ่ในจัยแร้วอ่ะ
โค้กไม่น่ามาช้าเรยอ่ะ  :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 13-12-2007 14:43:46
ขอร้องล่ะ ห้ามมีใครตายน้า ถึงจะชอบโอ๊ตก็เถอะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 13-12-2007 17:33:12
รออยู่นะค้าบพี่เตอิ้ง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 14-12-2007 00:20:36
ว้า วันนี้ไม่มาต่ออ่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 -
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 15-12-2007 01:29:05
มาให้กำลังใจพี่เตอิ้งค้าบ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 15-12-2007 01:34:11
มาให้กำลังใจเหมือนกันครับ
 o14 o15
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 15-12-2007 02:29:55
วันนี้ก้อไม่มาต่ออ่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐๐Robin๐๐ ที่ 15-12-2007 11:01:43
ย้อนไปไกลจิงๆๆ.........รูสึกไม่ค่อยดีเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later. ตอนที่ 2 [update 11/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: bbboy ที่ 16-12-2007 03:10:13
สนุกมากครับ
ว่าแต่ ไม่อยากให้มีใครตายอีกแล้วอะ เศร้ามามากแล้ว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 16-12-2007 04:36:15
.

.


“โค้ก .. โค้ก เฮ่ย เฮ้ย  ตื่น”


“อือ … ”


ไอ้โค้กค่อยๆพลิกหันมาทางผมที่นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเหยียดยาว


“อาราย .. แล้วปริ้นจาปายหนาย”   มันเลื่อนมือมาจับมือผม


“ไปบริษัท  วันนี้ลูกค้านัดส่งเครื่องอ่ะ ต้องไปดูว่าเรียบร้อยป่าว ”


“แต่วันนี้วันเสาร์น้า … อยากไปดูหนังอ่า ” มันว่าพลางทำหน้าง้ำ จับมือผมไปกุมไว้บนหน้าอก
รู้สึกเสียงหัวใจที่เต้นตุบตับอยู่ข้างในเหมือนประท้วงถึงความไม่ยุติธรรมบางอย่าง


“เอาน่า ไว้ค่อยไปดูวันอื่นก็ได้ …”  ผมชักมือกลับ  ตากผ้าไว้เมื่อคืน ยังไงดูฝนบ้างล่ะกัน


“อ่อ ที่ปลุกมานี่ เพื่อบอกแค่นี้ใช่ม่ะ ” ดูมันทำงอน


“เปล่า … จะเอากุญแจรถด้วย”  ผมว่าพลางแบมือขอ


“วันนี้ไม่ต้องไปทำงาน คงไม่ใช้รถใช่ป่ะ  … งั้นขอ”


“อยู่ในกระเป๋ากางเกงอ่ะ หยิบดิ”


“ไหน ….อยู่ไหนวะ ”  ผมหันมองซ้ายมองขวา ตรงพื้น พนักเก้าอี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีกางเกงแขวนอยู่เลยนี่หว่า


“หาตรงไหนหน่ะ”   ไอ้โค้กบอกพลางพยักคิ้วกรุ้มกริ่ม  “ก็ใส่อยู่นี่ไง”


“ห่ะ ใส่กางเกงยีนส์นอนเนี่ยนะ  เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำเหรอไอ้โค้ก  ซกมกใหญ่แล้วนะ”


“ก็เค้าเหนื่อยนี่นา  อิ่มด้วย  กว่าจะกินเค้กกะปริ้นหมด”  มันว่าแล้วก็เอาลิ้นเลียปาก


“ทะลึ่งแล้วนะมึงเนี่ย ”  ผมบอกฉุนๆแล้วก็ยกหมอนข้างตีที่หัว  “เอามาเร็วๆดิ  จะไปแล้ว”


“อาไรเล่า ก็ไม่ได้หวงซะหน่อย หยิบเองเด๊ะ”  มันท้าทายก่อนจะคว้ามือที่ว่างอยู่ของผมมุดลงไปใต้ผ้าห่ม
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด  นอกจากจะไม่เจอกุญแจรถแล้ว ดันไปเจอกุญแจเจ็ดนิ้วแทนนี่ซิ อารมณ์ …เสีย !!


“เฮ้ย ไอ้ - -  เล่นอยู่ได้ บอกว่ารีบ ” ผมพยายามจะชักมือกลับ แต่ไอ้โค้กเอามืออีกข้างโอบเข้าที่คอก่อนจะโน้ม
ตัวผมลงไปจูบ


“อึก อึก อึก อึก”


ไอ้โค้กพลิกตัวขึ้นมานอนทับบนตัวผมอย่างว่องไว ทั้งที่เมื่อกี้ทำเป็นสลึมสลือเมาขี้ตาอยู่แท้ๆ
ริมฝีปากนุ่มๆของมันกดลงไปซุกอยู่ที่ซอกคอ ก่อนจะเริ่มต้นใช้ลิ้นไล้เลียทั่ว


“เอ้ย .. โค้ก   อย่าเว้ย - - มันจั้กกะ- - จี้”   ผมถึงกะดิ้นพลาดๆ ไม่คิดว่ามันจะมาจู่โจมอะไร
เอาตอนเช้าตรู่แบบนี้ 


“ไม่ไหวแล้ว ไม่อ้าวว เสื้อยับหมด ..  ”


“เด๋วค่อยรีดใหม่ก็ได้”  มันว่าพลางทำท่าจะไซร้อีกรอบ แต่ผมเอามือดันหัวมันไว้


“จะรีบไปทำงาน”


“งั้นเค้าจะรีบทำให้เสร็จนะ”  มันยิ้มหวาน แล้วจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมถึงจะได้กุญแจรถ
จากมันซะที  เฮ้อ โดนรีดแต่เช้าเลยกู


“หวัดดีคับพี่เยาว์  มีลูกค้าเอาเครื่องมาให้ยังอ่ะครับ”  ผมทักพี่ที่ทำหน้าที่รับเรื่องข้างล่างตึก


“อ้อ .. มาแล้วคะ นี่จ้ะ บิล เออ..เค้าเขียนคอมเม้นว่าให้เปลี่ยนตัว บลาๆๆ ให้ด้วยนะ พี่ไม่รู้ว่าทำได้เหรอเปล่า”


“เอ๋ .. เค้าจะเปลี่ยนเหรอพี่  เปลี่ยนได้ไง”


“ก็เห็นเค้าบอกว่า ตอนซื้อมาเซลล์บอกว่าเปลี่ยนได้”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปคุยเอง”   ผมตรวจดูรายการในบิลทีละอัน ก่อนจะเดินหงุดหงิดขึ้นชั้นสองที่เป็นห้องทำงาน
รูดคีย์การ์ดเข้าไปปุ้บ เจอพี่แอ้ดหัวหน้าฝ่ายทำหน้าเหมือนใครเอาไม้หน้าสามฟาดไม่แพ้กัน


“เป็นไรอ่ะพี่/เรา  ” ผมกะพี่แอ้ดถามออกมาเกือบพร้อมกัน


“ก็ไอ้ฝ่ายขายนี่ดิ ไม่รู้มันไปบอกลูกค้ายังไง ถึงได้ บลาๆๆๆๆๆ”  ผมพ่นไฟแล่บ  นี่ถ้าโดนด่าผมก็โดนคนเดียว
อีกซิเนี่ย


“อยู่ไปเดี๋ยวก็ชินเอง ”


“อ้าว พี่แอ้ดอย่ามารวบตึงดิ - - แล้วมีอะไรเหรอเปล่ามารอซะในห้องเลย ” ผมเดินผ่านหน้าแกไป
พร้อมกับดึงสก๊อปเทปใสติดบิลไปแปะเข้ากับเครื่องเจ้าปัญหาที่วางอยู่ที่ชั้นวางข้างๆ


“งานช่วงนี้เยอะเหรอเปล่า ” พี่แอ้ดถาม


“ก็เยอะอยู่ครับ”


“พอจะให้เอสมันทำไปก่อนได้มั้ย พอดีพี่มีงานให้เราเปลี่ยนไปทำซักพักนึงนะ”


“งานไรครับ”


“ก็ดูแลอุปกรณ์ตามที่เราเคยทำนั่นล่ะ”


“อ้าว แล้วทำไมผมต้องเปลี่ยนกับเอสด้วยล่ะครับ”


“คือ.. พี่ไม่ได้ให้ทำในบริษัท จะให้ไปดูแลอยู่ที่โน่นซักพักนึง แล้วค่อยมาสลับเปลี่ยนกับเอสไป”


คำว่าที่โน่นที่หล่นออกมาจากพี่แอ้ด ทำเอาผมหวั่นๆยังไงชอบกล  ต่างจังหวัดผุดขึ้นมาในหัวทันที   


“ถ้าไกลไม่เอานะพี่ ”  ผมรีบออกตัว


“ไม่ไกลๆ แถวสามเสน”


“อ่อ”  ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  แล้วบริษัทไรอ่ะคับ


“ก็ …”


.
= = = = = = = = = = = = = = = = = = =

.


“ไม่ต้องไปทงไปทำมันแล้ว ลาออกเหอะ ”  โค้กแนะนำก่อนจะเอามือตบเกียร์ออกรถ โชคดีที่งานเสร็จเร็ว
กว่าที่คาดไว้  ไอ้โค้กเลยนั่งแท็กซี่มาที่บริษัทผมก่อนจะออกไปหาอะไรกินกันในมื้อกลางวัน


“ตลก.. ”


“จะให้ขำโชว์ม่ะ ” ผมพูดจริงๆนะ ไม่อยากให้ปริ้นไปทำในนั้นด้วย ไม่ชอบ  พูดแล้วก็ทำหน้านิ่ว กัดฟัน
กรอดๆ


“เฮ่ย ใจเย็นดิ  โห รู้งี้ไม่น่าบอกก็ดีทำเป็นอารมณ์เสีย ทำอย่างกับว่าตัวเองจะเข้าไปทำเองซะงั้นล่ะ”


“ไม่รู้ล่ะ ก็ไม่อยากให้ไปทำ”


“ทำไมถึงไม่อยากให้ไปอ่ะ”   ผมทำหน้างง หันไปถาม ไอ้โค้กเหลือบตามามองอย่างรู้ทัน


“อย่ามาทำเป็น … (ผมเอาโบกเข้าที่หัวก่อนที่มันจะหลุดคำว่า เซ่อร์ ออกมา) … แบ้ว หน่อยเลย
ของชอบทั้งนั้นเลยนี่นา ”  มันว่าเอามือกุมหัวพร้อมกับมีเสียงออกมาเบาๆว่า ..ตัวขบเด็ก


“อะโห .. นี่เห็นเป็นอะไรเนี่ย คนนะเว้ย ไม่ใช่จาวมะพร้าวจะได้ขบ เด๋วเอาอีกทีดีม่ะเนี่ย”


“โอ้ยๆ พอแล้ว”  ไอ้โค้กบ่นอุบ แล้วก็ขับเงียบๆพร้อมทำหน้าตูดต่อไป


.

= = = = = = = = = = = = = = = = = = =

.


รู้สึกว่าวันเวลาที่ผมจะต้องไปใช้แรงงานในสถานที่แห่งใหม่นี่จะมาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด หลังจากที่พี่แอ้ด
ได้เกริ่นไว้  อีกสองอาทิตย์ถัดมาในเช้าวันจันทร์ รถมิตซูบิชิสีแอปเปิ้ลก็มาจอดเทียบฟุตบาทข้างๆ
ร้านแม็คโดนัลพร้อมกับสารถีที่ทำหน้าปั้นยากมาตลอดทาง


“เลิกทำหน้าแบบนั้นซะทีได้ป่ะ เห็นแล้วหงุดหงิด”


“ช่างเหอะ มันหน้าผม”  มันตอบแบบไม่สบอารมณ์


“เออ ทีหลังจะได้ไม่มองหน้าอีก”   ผมว่ามันแล้วก็ทำท่าจะเปิดประตูลงไป  โค้กมันก็หันมาคว้ามือไว้
ก่อนบอกเสียงอ่อย


“ขอโทษ”


“อือ.. ไว้ค่อยคุยกันเย็นนี้แล้วกัน”  ผมเลื่อนมือออกช้าๆ ก่อนจะลงรถ แต่ก็ไม่ลืมที่จะยื่นหน้าเข้ามา
ก่อนจะปิด


“ขับรถดีๆนะ ” ผมทันเห็นมันยิ้มน้อยๆ ก่อนที่รถจะออกตัวไป  มองดูเวลา 7 โมง 30 นาที กับผู้คนรอบข้าง
บานตะไท  ที่รู้สึกไม่ค่อยเคยชินคงเป็นเพราะปกติหันซ้ายมองขวาก็จะเป็นพนักงานออฟฟิสรุ่นเดียวกัน
แก่กว่าบ้าง อ่อนกว่าบ้าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหล่าเด็กมัธยมตัวกระเปียก บ้างก็ไม่เปี้ยก มีทั้งวัยขบเผาะ
ชั้นอนุบาล ยัน มัธยมปลายน่าเปิดซิงยิ่งนัก เฮ้ย ไม่ใช่ !!


โอ่ว พระเจ้า  นี่เรากำลังอยู่ท่ามกลางสรวงสรรค์ หรือนรกโลกันต์กันวะเนี่ย !!


ได้ยินเสียงสัญญาณบางอย่างดังจากในโรงเรียน เหล่าเด็กนักเรียนวัยใสต่างพากันกรูกันเข้าประตูโรงเรียน
ไอ้พวกเด็กดีหน่อยก็รีบ ไอ้พวกเกรียนๆก็เดินทอดน่องไม่รู้ไม่ชี้  เห็นยามหน้าโหดคอยกักพวกผิดระเบียบ
อยู่ปากทาง


ผมเดินข้ามฝั่งมาหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าโรงเรียนเอกชนชายล้วนชื่อดังย่านxx  พอมองเข้าไปข้างในแล้ว
เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคย  จริงด้วยซินะ  บรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้  ผมเคยสัมผัส
มาแล้วเมื่อสมัยอยู่ม.ต้น  ภาพเด็กเตะบอลกันใต้อาคารเรียน  ภาพไอ้พวกที่แต่งตัวผิดระเบียบต้องคอย
ชะเง้อแล้วก็รอจังหวะหลบเข้าประตู  มันช่างคุ้นตายิ่งนักเหมือนตัวเองได้ย้อนกลับไปวัยเยาว์


ขาข้างนึงกำลังจะก้ามเข้าเขตโรงเรียน ก็ต้องตะหงิดเมื่อรู้สึกถึงสายตาของใครบางคน เพ่งมองจากทาง
ด้านข้าง  ผมหันไปมองเห็นเป็นเด็กนักเรียนประมาณ 5-6 คนกำลังจะเดินเข้าไปทางเดียวกับผม ดูจาก
เครื่องแต่งกายแบบผ่านๆ ก็รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นเด็กโรงเรียนนี้แน่  เอ .. แถมหน้าอกปักอักษรย่อนั่นมัน
โรงเรียนเก่ากูนี่หว่า


เด็กๆพวกนั้นไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ แต่ไอ้ผู้ชายที่ยืนหัวโด่ในกลุ่มนั้นต่างหากที่ค่อยๆ
เดินตรงมาทางผมก่อนจะทักขึ้นมา


“ปริ้น”




.

.

.


.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป --------------------------------------------
http://stpstory.exteen.com/



Stp said : ^^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 16-12-2007 04:54:43
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับใครอะที่มาทักพี่ปลิ้นอะครับ

อยากรู้จังเลยมาต่อด่วนเลยครับพี่ปลิ้น

สนุกมากเลยครับ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 16-12-2007 05:35:35
 :m3: ตามทันแว้ว  :m3:

ระเบิดซีนแรก ยังทำงานอยู่เรยง่า  :m15:

คุณเตอิ้ง นักวางระเบิด  :m23:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 16-12-2007 05:52:16
หง่าาาา.. พี่โค้กน่ารักโคด.. ว่าแต่ไมไม่บรรยายบทอัศจรรย์เยอะๆ หน่อยอ่าคับ เขินร๋อ ห้าๆ  :m20:


ผมว่าพี่ปิ้นเจอกิ๊กเก่าที่โรงเรียนชายล้วนขบเผาะแหง๋มๆ เลย  :m26:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 16-12-2007 06:51:26
 o22 วันนี้จะโทรไปหานะตะเอง  o16
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 16-12-2007 06:56:07
 o7 ขอบคุณครับ ว่าแต่คนนั้นจะใช่นิคหรือเปล่าหว่าถ้าใช่..... :a6:.......
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 16-12-2007 08:59:35
ชอบบบ  ลุ้นนนนนน  ใครหว่า :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 16-12-2007 09:17:32
 :a11: :a11: :a11:

ที่งานเลี้ยงรุ่นป่าวอ่ะครับ

เอออ...แล้วตอนนี้อยนู่ในปัจจุบันหรือเล่าย้อนหลังอ่ะครับ

เห็นตอนแรกพี่ปริ้นบอกว่าย้อนเวลากลับไป 2 ปีที่แล้ว

 :a3:

เป็นกำลังใจให้น่ะครับ จะติกตามตลอกน่ะครับ

ปล.ชอบถึงขั้นรุนแรง


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-12-2007 09:43:49
สงสัยจะเป็นนิค  :m1:  :m1: :m1: :m1: เอ๊ะ  :o ไม่ใช่สิ เราเชียร์โค้กอยู่  :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Twister ที่ 16-12-2007 10:13:40
ม่ายหวายแล้วคร้าบ  โค๊กน่ารักสุดๆๆๆ

ถ้าปริ๊นไม่รักโค๊กเมื่อไรมารักกับผมก็ได้นะคร้าบบบ จะเหลือที่ว่างไว้ให้โค้กเสมอ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 16-12-2007 10:27:15
ใครๆๆๆๆๆ :a5: :a5: o22 o22 o22  ง่า เพ่เตอิ้ง  มาต่อเร็วๆน้า :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-12-2007 11:42:13
ใครมาทักกันอ่ะ  :o
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 16-12-2007 12:58:25
ครายยยยยยยยยยยยยยย ครายยยยยยยยทั้งอาปริ้นนนนนนนนน

จะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ โฮๆ อาโค้กของอั๋วจะทำยังไงล่ะคราวนี้!!
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 16-12-2007 13:01:59
ขอเดาว่าเปนพี่นิคชัววร์  :m11: (เพราะนึกใครม่ะออกแล้ว  :m26:)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 16-12-2007 13:21:04
อย่าบอกนะว่าเป็นโรงเรียนนิค กรีสสสสสสสสสสสสสส นี่ก็สุดที่รักเหมือนกัน กร๊ากกกก  o17
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 16-12-2007 15:37:35
มาให้กำลังใจพี่เตอิ้งค้าบ :m3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 16-12-2007 18:21:09
เหตุกาณณ์ตั้งแต่ตอนที่ 2 เรื่อยไปจนถึงตอนก่อนตอนจบ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเรื่อยไปครับ  :a1:


ลป. ยังไงอย่าพึ่งเอาไปโยงกะเรื่องโน้นนะคับ เพราะว่าช่วงการสลับเวลามันยังไม่ค่อยเข้าที่
ผมยังมึนๆอยู่ หุหุ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 16-12-2007 19:33:55
 :a2:มารอ.............ยังไงก็ยังรักโค้กอ่ะนะ :give2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐๐Robin๐๐ ที่ 16-12-2007 20:21:34
งง อย่างแรง........ใครหว่า o2
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 16-12-2007 20:34:59
นอกจากอ่านแฮรี่แล้วยังแอบไปอ่านเชอร์ลอคโฮมด้วยรึป่าวคับพี่เตอิ้ง T T
จะซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนกูรักเมิงว่ะไปไหนเนี่ย  :a6:

ขอบคุณมากค้าบบบ
ขอเป็นกำลังใจให้พี่ทุกเรื่องนะคับ ^ ^
 :a9:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: icehitter ที่ 16-12-2007 20:54:06
อืม  แต่ผมเดาว่าโอ๊ตนะ ไม่น่าเปงนิคอ่ะคับ เพราะนิคจะมากกะเด็กจาก รร เก่าของปริ้นได้ไงกัน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 16-12-2007 22:06:12
 :o :o :o

เย้ยยยย นิคป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 16-12-2007 23:04:46
ระยะทางที่ห่างกัน

ตัวแปรที่สำคัญ อิอิ

แล้วจะมีอะไรออกมาอีกนะนี่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 17-12-2007 00:38:18
ตั้งแต่จบตอนนั้นไปก็ไม่ได้เข้ามาอ่านอีกเลย..
โค้กยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ..
ว่าแต่นิค..คุ้นๆแฮะจำมะค่อยได้แล้ว..
สงสัยต้องกลับไปอ่านอีกรอบ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 17-12-2007 01:23:40
รับทราบครับ จะพยายามแยกแยะสมองให้ดีอ่ะ  :m29:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 17-12-2007 08:41:16
มานั่งรอ นอนรอ เตอิ้ง ต่อไป

แต่ไม่อยากให้เศร้าเลยอ่ะ เหมือนตอนต้น ปริ้นจะเศร้านะ  โค้กเป็นอะไรไปหรือเปล่า

 :เฮ้อ: :m5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 17-12-2007 09:04:55
มารออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 17-12-2007 09:26:32
มารออยู่นะครับ

รอด้วยคนดิ..............
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 17-12-2007 14:39:36
มารออยู่นะครับ

รอด้วยคนดิ..............

อยู่ด้วยดิ  :a11:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 17-12-2007 16:42:18
นึกว่าเรื่องนี้จบไปแล้วซะอีกนะเนี่ยนะ แต่ก็ดีใจมากมายครับที่ได้อ่านต่อ แอบถามคนเขียนหน่อยครับ เห็นว่าจะรวมเล่มขายเป็นจริงยังไร รออุดหนุนครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-12-2007 20:28:23
หนังสือทำจริงๆครับ แต่คงหลังจากลงภาค 7 จบไปก่อนครับ ขออภัยด้วยยยยยยที่ช้าแบบนี้ครับ
งานเยอะจริงๆฮะ


ฝากกระทู้เบาๆกับกระทู้ดักหื่น ลองเข้าไปแชร์ประสบการณ์กันหน่อยนะคับ อิอิ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=3155.0
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 17-12-2007 23:27:40
^
^
^
^
^
^
อู้ยยย ในที่สุดก้อมีโอกาสจิ้มพี่เตอิ้งซะที รอมาตั้งนานนน  o7

รอพี่เตอิ้งอยุ่นะค้าบ เรื่องหนังสือน่ะ

ลป. (เลียนแบบบ้าง) เปนกะลังจัยให้นะคับป๋ม สู้ๆ :m3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 18-12-2007 00:44:58
แกเป็นครายยยยยยยยย

ใครอ่ะคร้าบบบบ อยากรู้แล้วอ่ะ  รีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Twister ที่ 18-12-2007 00:51:46
อิอิ รอทั้งหนังสือเหมือนกันครับ อยากให้หนังสือออกช่วงๆกุมภาจังเลย พอดีว่างช่วงนั้น จะได้ไม่ต้องไปเบียดเวลาอ่านหนังสือเรียน(สอบจนไม่มีเวลาอ่านแฮร์รี่ ภาค 7เลยเศร้า)

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 18-12-2007 13:51:07
รับทราบครับ ถึงหนังสือจะออกช้าหน่อยก็ยังรอครับ  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 18-12-2007 19:27:30
เหตุกาณณ์ตั้งแต่ตอนที่ 2 เรื่อยไปจนถึงตอนก่อนตอนจบ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเรื่อยไปครับ  :a1:


ลป. ยังไงอย่าพึ่งเอาไปโยงกะเรื่องโน้นนะคับ เพราะว่าช่วงการสลับเวลามันยังไม่ค่อยเข้าที่
ผมยังมึนๆอยู่ หุหุ

กำ

คนแต่งยังมึน

งั้นคนอ่านก็มึนต่อไป

กร้ากกกกกกกก

 o2 o2 o2 o2
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 18-12-2007 22:11:03
คิดถุงจัง :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 18-12-2007 23:03:32
หนังสือทำจริงๆครับ แต่คงหลังจากลงภาค 7 จบไปก่อนครับ ขออภัยด้วยยยยยยที่ช้าแบบนี้ครับ
งานเยอะจริงๆฮะ


ฝากกระทู้เบาๆกับกระทู้ดักหื่น ลองเข้าไปแชร์ประสบการณ์กันหน่อยนะคับ อิอิ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=3155.0

แล้วตอนนี้ยังสั่งจองหนังสือทันไหมอ่ะคับ ผมเพิ่งเข้ามาบอร์ดนี้ได้ม่ากี่วันเอง อ่านรวดเดวตั้งแต่ต้นจนจบ (ตอนแรกก็คุ้น ๆ ชื่อเรื่องกับเนื้อหาในภาค 2 เพราะอ่านจากใน boyonthenet มา) เพิ่งมาเจอว่ามีรวมเล่มด้วย แต่ก้อให้จองกันตั้งแต่ 2 เดือนก่อนแระอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 19-12-2007 00:22:09
ยังร๊ากซำเม๋อ   :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 19-12-2007 00:47:46
เข้ามาช่วยดันพี่เตอิ้งๆ  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 19-12-2007 01:58:46
"ปริ้น"

 :o :o :o ใครคะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ขอบคุณที่มาต่อให้ค่า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 19-12-2007 11:07:17
ใครอ่า  :m30: :m30: :m30:อยากรู้ มาต่อเร็วๆน้า  :mc1: :mc1: :mc1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 21-12-2007 18:59:20
พี่เตอิ้งที่รักคับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

กลับมาได้แล้วนะคับ  :mc3: :mc1: :mc1: :mc3: :mc2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 21-12-2007 20:03:33
เข้ามานั่งเป็นกำลังใจให้ค้าบ  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ank_ang ที่ 22-12-2007 16:13:13
 :m23:คือ  จะบอกกะพี่เตอิ้งว่า   ป๋มรักตัวละครของปี๋เติ้งมากๆๆเยย   มะอยากให้มันจบแร้วจบเรย  :serius2:    อย่ากจะเสนอพี่เตอิ้งว่า
1.ยอมรับเรยว่าตอนแรกรักโอ๊ตมาก แต่พอโอ๊ตทำตัวแบบนั้นก้อเกลียดเข้าใส้เรย อยากต่อยมานเจงๆๆ   :o แต่ พอมารู้ภายหลังว่าโอ๊ตทำไปเพราะเหตผลแบบนั้น   การที่พี่เตอิ้งจบแบบนี้  ใจร้ายกับโอ๊ตมากไปอ่ะป่วอ่างับ :m15: อยากจะเสนอว่าให้พี่เอาโอ๊ดไปอยู่ในเรือง  "รักแท้" พี่เตอิ้งกำลังจะเขียนด้วย เปงตัวประกอบก้อยังดี เพราะ แฟนคลับโอ๊ต  อยากรู้ชีวิตหลังจากที่โอ๊ตเสียปริ๊นไปแย้วว :m15:      (แอบเชียร์โอ๊ตกะปริ๊นอยู่  แต่มานคงเปงปายมะได้แระ :o12:)         

2.เชื่อว่าแฟนๆบ้านพักฯ คงดีใจไม่น้อยที่เรืองราว ของ"บ้านพักอลเวง" กับ "รักแท้"  เปงเรืองราวเชือมโยง  แต่คนละเรืองกัน ยอมรับจากใจจริงว่า  :serius2:  มะอยากให้มีตอนจบ (ความคิดแบบเด็กเอาแต่ใจ) ทำใจยอมรับมะได้ว่า จะมะได้อ่านอิกแย้วว  :a6: :a6: :a6: :a6: :a6: :a6: :a6: :a6: :a6: ติดนิยายพี่เตอิ้งเอามากๆๆ  เสนอว่า เอาไปเชื่อมโย่งกะ  "รักแท้" ให้แฟนคลับบ้านพัก ไปติดตามตัวละครขวัญใจบ้างน้า :m15: :m15: ไม่ต้องทุกคนก้อได้ เอาแต่ ปริ๊น โค๊ก โอ๊ด คิว ซัง (มากไปป่าวหว่า ??? :m25:)

3ข้อเสนอสุกท้ายแย้ววว  ขอฟามเมตตาพี่เตอิ้ง  :m15: :m15: :m15: :m15:มากๆๆเรย  ให้เมตตาโอ๊ดมากๆๆน้า :o12: :o12: โอตในเรืองเปงคนดี อย่าจายร้ายกะโอ๊ตเยย อ่านจบแระมานเศร้า  กิงข้าวมะได้เย้ยย :o :o :oเปงเรืองจิงนะงับ  ทำไรกะโอต๊ก้อได้เอามาดำเนิน ในเรืองรักแท้ก้อได้   ได้โปรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ปล แฟนคลับโอ๊ต โอ๊ตน้อยผู้น่าฉงฉานนนนนนน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 22-12-2007 16:35:08
มาบอกรักโอ้ตคร้าบบบ :mc3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Thunya ที่ 22-12-2007 17:53:30
 :mc2:


โหย อยากอ่านต่ออะ แงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 23-12-2007 00:26:05
หน้าคนรออ่านนิยายพี่เตอิ้ง         >>  :sad2:

หน้าพี่เตอิ้งตอนปล้ำกับเนตที่หอ  >> :serius2:

หน้าคนที่รอตอนพี่เอาเรื่องมาลง  >>  :oni1:

อิอิ..

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 23-12-2007 01:55:15
รอพี่เตอิ้ง ๆ ๆ

ลป. รักโค้กจังเรย  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 26-12-2007 18:42:46
ดันรอตอนต่อไปฮับ  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 26-12-2007 19:05:35
มารอด้วยอีกคนคร๊าบบบบ  :m22:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 26-12-2007 21:45:58
 :m1: คิดถึงพี่เตอิ้งจัง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-12-2007 22:16:24
กำ หยุดเอาซะดื้อๆเลย
สงสัยลางสังหรณ์โค๊กจะดีซะแล้ว
จะมีใครมาเป็นคู่แข่งอีกเนี่ยะ
 :mc2: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 3 [update 16/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 27-12-2007 23:46:50
มารอค่ะ จงมา จงมา จงมา  :oni3:
หัวข้อ: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 28-12-2007 04:00:04
.

.

“ปริ้น …  ”



ร่างนั้นเดินเข้ามาปาดหน้าเด็กนักเรียนสองสามคนจนเหลือบมอง



“เอ้า.. นิค มาได้ไงวะ”  ผมยิ้มทักระคนแปลกใจในที  มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่หลงเหลือคราบเด็กเถื่อนๆ
(ยกเว้นหน้าตา)  เจอกันครั้งล่าสุดก็นานมาแล้ว หลังจากที่ผมเอ็นฯติดที่เกษตร ก็ไม่ได้เจอมันอีกเลย มีแต่
ได้โทรคุยกันบางโอกาส



“พอดีพาเด็กมาแข่งคอมอ่ะ”  มันบอกผมพลางยักคิ้วให้   ก่อนจะหันหน้าไปบอกเพื่อนที่มาด้วยกันว่าให้พา
เด็กเข้าไปก่อน



“พาเด็กมาเนี่ยนะ”  ผมทวนคำ ยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ 



“ไม่ใช่เด็กแบบนั้น  นิครีบแก้ตัวแล้วก็หัวเราะ  ตอนนี้เราทำงานที่ xxxอ่ะ ”



“จริงดิ  .. โรงเรียนเก่า กู เอ้ย เราตอน ม.ต้นเลยนะ”  ผมพูดแทนตัวเองแบบเคอะเขิน ก็นะ เมื่อก่อน
ตอนยังเรียนกันอยู่ก็เรียกกูๆมึงๆจนชิน ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ความห่างเหินกับสถานภาพที่เป็นอยู่
ทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันเปลี่ยนไป



ไอ้นิคทำเป็นยิ้ม แล้วก็ชวนผมเดินเข้าไปด้วยกัน



“แล้วปริ้นมาทำไร”



“อ่อ .. บริษัทส่งมาทำงานอ่ะ แต่ก็ผลัดๆกันทำหลายคน ไม่ได้อยู่ประจำหรอก(หวังว่า) ”



“อืม .. แล้ว - - ”นิคมันหยุดคิดแป็บนึง ก่อนจะถามต่อ



“- - แล้วสบายดี ? ”



“อือ ก็ดี แล้วนิคอะ ? ”



“เรื่อยๆเหมือนเดิม เปลี่ยนงานมาสองที่แล้ว ไม่รู้จะเปลี่ยนอีกเหรอเปล่านะ”  มันว่าขำๆ
เออ ปริ้นยังใช้เบอร์เดิมอยู่ใช่ป่ะ



“อือ.. ทำไมเหรอ ”



“ไม่มีไร เออ .. ไว้เย็นนี้ไปหาไรกินกันมั้ย ? ”



ผมใช้เวลาคิดแว่บนึงก่อนจะตอบตกลงกลับไป คงไม่เป็นไรมั้ง ไม่ได้บอกให้ไอ้โค้กมารับนี่นา
อีกอย่างโค้กก็ไม่รู้จักนิคด้วย



“งั้นตอนเลิกแล้ว โทรหานะ”  มันว่า



“แล้วเด็กแข่งเสร็จกี่โมงอ่ะ คงไม่ถึงนานมั้ง …เราต้องทำงานถึงเย็นนะ”



“ไม่เป็นไร .. เปลี่ยนเป็นกลางวันก็ได้”  มันยิ้ม  “มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะแยะ”



“เอ้า.. โทรสับก็มี ทำไมไม่โทรมาอ่ะ อยากคุย”  ผมถาม



“คุยโทรสับกับคุยกับตัวจริงมันไม่เหมือนกันนี่หว่า  ”



ผมหันหน้าไปหามันด้วยความสงสัย  ไอ้นิคหันมามองตอบ ก่อนจะยักคิ้วล้อเลียน



“งั้นเดี๋ยวนิคไปก่อนนะ ”



“เออ …  ”



พอผละจากไอ้นิคมาได้ ผมก็งมหาทางขึ้นตึกไปหาห้องบราเตอร์อยู่นานสองนาน(โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคริส)
กว่าจะเจอก็ปาไปหลังแปดโมง  โดนเรียกไปตำหนิอยู่พักใหญ่  ก่อนจะให้หัวหน้างานพาไปดูแลห้องควบคุม
งานคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และก็ด้วยความไฮโซของโรงเรียน อุปกรณ์แทบจะไม่มีอะไรพังเสียหายมากมาย
เท่าที่คิดไว้ตอนแรกด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ต้องไปจัดการอะไรมากมาย เวลาที่เหลืออยู่ก็เข้าไปทำพวกระบบเว็บไซต์
ของโรงเรียนมากกว่า เรื่องพรรณนี้ถนัดอยู่แล้ว



นั่งก๊อกแก๊กๆ ทำงานจนลืมเวลา เหลือบไปก็เที่ยงตรงพอดี  กำลังจะตัดสินใจไปหาอะไรกินที่โรงอาหารดี
หรือไปข้างนอกดี ไอ้นิคก็โทรมาก่อน



“แข่งเสร็จแล้ว …”



“เออ.. กินข้าวยัง”



“ยัง …ข้ามฝั่งไปกินแมคฯเป็นเพื่อนหน่อยดิ   ”



“ได้ๆ งั้นอีกสิบนาทีเจอกัน”



“ออกมาเลยไม่ได้เหรอวะ”



“อยากโดนเก็บเหรอไง ทำงานยังไม่ได้วันจะให้โดด”  ผมว่า ก่อนจะวางสาย รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า



“มาสเตอร์คับ ผมขอไปทานข้าวก่อนนะครับ”  ผมบอกอาจารย์ที่เป็นหัวหน้างาน แล้วก็รีบวิ่งปรู้ดออกไป
อย่างรวดเร็ว ใจนึงก็อยากกินข้าวท่ามกลางเด็กๆ แต่อดใจไว้ก่อนดีกว่า มันเขิน สัญญากะไอ้โค้กไว้แล้วด้วย
ว่าจะไม่ทำตัวรุ่มร่าม 55



เดินข้ามฝั่งมาแมคฯ อุวะ นักศึกษาสถาบันใกล้ๆนั่งกันอยู่ตรึม เห็นไอ้นิคนั่งแทะเบอเกอร์อยู่ลิบๆ
ผมก็เดินเลยไปสั่งบ้าง พอได้ก็ยกถาดมานั่งกะมัน



“มาช้านะมึงเนี่ย .. ”  มันว่า แต่ผมชะงักเลย อุตสาห์ชมมันในใจตอนเช้ากะท่าทีที่มันแสดงกะผมนะ



“อะไร พูดจาไม่เหมือนเมื่อเช้าเลยวะ ” ผมขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปหยิบซอส



“เอาน่า อยู่กันสองคน”  มันบอกแล้วก็ส่งทิชชู่ให้ผม



“สันดานจริงๆ”  ผมหัวเราะ รู้สึกโล่งอกไปนิดนึงไม่รู้ทำไม  ไอ้นิคก็ยังคงเป็นไอ้นิคจอมเถื่อนวันยังค่ำ
ผมกะมันใช้เวลากิน คุยโน่นคุยนี่หลังจากไม่ได้เจอตัวเป็นๆกันมาเป็นปี



“แล้วกะแฟนเป็นไงบ้าง”  มันเข้าประเด็น



“ก็ดี.. ”ผมตอบอ้อมๆ



“อาไรวะ ไม่เล่าให้ฟังบ้างเลย ไปมีตอนไหนเนี่ย  ไอ้คนที่มึงละเมอให้ฟังตอนที่ไปนอนบ้านกูป่ะ”
นิคมันหมายถึงโอ้ต



“ละมงละเมอไร ไม่ใช่”



“แล้วใครวะ … เด๋วนี้หัดมีก้งมีกิ๊กเยอะแยะ”



“ไอ้บ้า ไม่มีเว้ย ” ผมหัวเราะ พร้อมกับปั้นทิชชู่ที่ได้มาโยนใส่มัน



“โสโครก”



“จ้า ไอ้คุณชาย ไอ้คุณสะอาด”  ผมเหน็บมัน



“- - แล้วมึงอ่ะ มีแฟนยัง”



“ยัง ! ”  มันตอบเสียงฟังชัด



“เหรอ .. ไม่จริงมั้ง  ดูท่าทาง”



“ยังจริงๆเว้ย … เอาเป็นว่า ตอนนี้ก็อ่ะ ยังจริงๆ ตอนนี้กูรอเค้าอยู่เฉยๆ”



“รออีกแล้ว เด๋วก็แห้วอีกหรอก”



“ไอ้นี่ เคยแห้วที่ไหน”



“เออ ไม่แห้วก็ไม่แห้ว  ว่าแต่เค้าที่ว่านี่ใครวะ - - หวังว่าคงไม่ใช่เด็กที่โรงเรียนนะ”



“โขลก โขลกๆ”   มันสำลักเสียงดัง ก่อนจะยกมือชี้หน้าผมหน้าดำหน้าแดง ถ้าด่าได้มันคงด่าไปแล้วแหง่ม



“มึงอย่ามาคาดเดาเลยปริ้น .. กูอ่ะ รักใคร รักจริง ถึงเค้าไม่รัก กูก็ยังรัก - - -”  มันว่าพลางจ้องหน้า
จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเอง



“- - - ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”



มันสรุป



“ถึงจะรู้ว่า เค้าจะไม่ได้คิดแบบเดียวกะที่มึงคิดเหรอ”  ผมย้อนถาม แต่ก็ยังไม่ยอมมองตอบอยู่ดี 
ถ้าเข้าใจไม่ผิด คำพูดก่อนหน้าที่พูด มันอาจจะหมายถึงตัวผมก็ได้



“เค้ามีสิทธิที่ไม่รักกู แต่ไม่มีสิทธิที่จะไม่ให้กูรักหว่ะ”



“นิค..”



“- - ไม่ต้องกลัวหรอก กูรู้ว่าอะไรควรทำ..ไม่ควรทำ”



“มะ หมายความว่าไง”  ผมอ้ำอึ้ง



นิคไม่ได้ตอบอะไร แต่หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา แล้วก็ควักอะไรบางอย่างยื่นมาให้



“รับเด๊ะ.. ”



ผมยื่นมือไปหา นิคค่อยๆวางเหรียญบาทลงบนฝ่ามืออย่างแผ่วเบา  ผมนึกออกทันที
มันเป็นเหรียญที่ผมกะมันลองโยนเสี่ยงกันเล่นๆ ที่บ้านมันเมื่อก่อนนี่นา



“แล้วตกลงว่ามันออกหัวหรือว่าออกก้อย”



ครืด ครืดด  ครืดดด



มือถือที่วางไว้บนโต๊ะสั่นเสียงดัง  ผมกำลังจะเอื้อมมือไปรับ แต่ไอ้นิคไวกว่าคว้าไปมอง
ก่อนจะยิ้มกริ่ม



“ไม่ต้องรู้หรอก .. ”ไอ้นิคว่าก่อนจะโน้มตัวเข้ามาหา ยื่นมือมาปาดซอสที่ติดริมฝีปากของผมออก



“- - เพราะไม่ว่าจะออกหัวออกก้อย กูก็รัก…..มึงอยู่ดี”

 




.

.

.


.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป ------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/



Stp said : ขอโทษนะคับ ช่วงนี้มีการบ้านปลายปีอ่ะคับ พึ่งเครียเสร็จส่งเพื่อนไปเอง T-T



หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 28-12-2007 04:30:27
 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ank_ang ที่ 28-12-2007 05:19:06
 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22

อยากบอกว่าแทบช็อค  :dont2: o22

รอคอยพี่เตอิ้งมาต่อนานแสนนาน  :sad4:

ในที่สุดก้อได้อ่านจนได้  o18 o18

ขอบคุนพี่เตอิ้งมากมายคับ 

เปงกำลังใจให้นะคับ :m4:


ปล.

 :m16:  :m16:   อย่าลืมโอ๊ดของผมละ  :m16: :m16: ถ้าจายร้ายกะโอ๊ดของป๋ม ละน่าดูเรย  :m16: :m16:

 :seng2ped: แฟนคลับโอ๊ด ยังแอบอยากให้โอ๊ดกะปริ๊นกลับมา  :m15: :m15:  แระที่สำคัน :o มะอยากให้โอ๊ดมีคนอื่น หรือลืมปริ๊น :o12: :o12: :o12:



ดีใจที่สุดเรยที่พี่เตอิ้งมาต่อ :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 28-12-2007 08:05:04
 :serius2:  มาต่อตอนใหม่เร็ว ๆ น้า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-12-2007 08:50:41
 :oni2: มาแล้ว.................ดีใจน่ะ อิอิ

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 28-12-2007 09:05:35
 :m1:....ดีใจที่มาต่อให้ครับ

 :o12:...นับถือในความรักของนิค  นับถือจริง ๆ ทำไมคนที่เข้ามาปริ้นถึงดีแบบนี้น่ะ

 :mc4:....รอต่อครับ เป็นกำลังให้น่ะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-12-2007 09:26:36
เตอิ้งมาแล้ว  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: วิ่งถลามาอ่านอย่างเร่งด่วน  :oni1: :oni1: :oni1:
นิคน่ารักมาก  :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 28-12-2007 09:42:22
 :m4: ชอบนิคจังเลย  รักมั่นคง  o13
แล้วเรื่องนิคพี่เตอิ้งไม่ไปต่อเหรอ 
อยากอ่านทั้งสองเรื่องไปพร้อมๆกันน่ะ  :m21:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 28-12-2007 10:01:41
คนที่เข้ามาในชีวิตปริ๊นดีทั้งนั้นเลย    :m1: แต่ยังไงก็เชียร์โค้ก  :mc3: :mc3: :mc3: ชอบโค๊กอ่ะ  :mc2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 28-12-2007 10:56:30
กรี๊ดดด นิคคคคคค นิคคคคคคคค โอ๊ยย นิคอ่ะ นิคคคคคคคคคค



ไม่รู้จะพูดไร

อ่านตอนนี้จบ แล้วปลื้มนิค (ปกติไม่เคยเป็น 5555+)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-12-2007 12:35:23
อ้างถึง
“- - เพราะไม่ว่าจะออกหัวออกก้อย กูก็รัก…..มึงอยู่ดี”

 :a5:


 :pandalaugh:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 28-12-2007 15:11:24


“- - เพราะไม่ว่าจะออกหัวออกก้อย กูก็รัก…..มึงอยู่ดี”



 :m30: โอ้ว... แค้นนี้ฝังลึก เอ๊ย... รักนนี้ฝังใจ


ขอบคุณครับคุณ Stp.
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 28-12-2007 20:30:24
ขอกรี๊ดบ้างดิ  :oni2:ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก :m4: :m4:

 :m23:ไม่ว่าใครจะดีสักแค่ไหน :m1: :m1:แต่ยังไงก็ยังรักเดียวใจเดียว เชียร์โค๊กครับ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 28-12-2007 20:42:58
... เหมันต์ที่ผ่านพ้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2008 ...
นี่จะเปิดศึกอีกด้านเหรอ?
กี่เรื่องเนี่ย นับซิ
1 แก้งานเก่า
2 บ้านพัก
3 รักแท้
4 สายล่อฟ้า
5 เหมันต์

5 งาน เตอิ้งเป็นศพแน่!!

ป.ล. เอางานที่สกาล่าเป็นฉายด้วยนะ!! เอาเราเป็นตัวประกอบด้วยนะ!! เอาตาวอยมาด้วยก็ดีนะ!!
[แอบเมาส์ ได้ข่าวว่าตาวอยคนจีบเยอะโค่ดๆ น้องต๊อบยังชิดขอบบันไดเลย]
(เจ้าต๊อบมีรูปตาวอย ได้ข่าวว่าแฮบมาจากห้องสตาฟ)

อีกอย่าง เอาแต่เชียร์ตานิค ให้คะแนนกันเข้าไป พี่ซันของผมล่ะ!!?
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 28-12-2007 21:04:58
อ้าก มันมาเจอกันจนได้

แล้วแบบนี้บาสจะโผล่มาด้วยมั้ยนี่

จึ๋ยๆ สนุกแน่เลย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 28-12-2007 21:30:58
ไหนคุณเตอิ้งบอกว่าไม่ใช่นิคไง เอ๊ะ งง แล้วยังงี้หนูบาสจะทำไงล่ะค้าบบบบบบบบบ :a5:

ยังเชียร์โอ๊ตอยู่เสมอ แต่ก็สงสารโค้กน้าาาาาาา :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 28-12-2007 21:37:22
เย้ๆๆๆๆ เพ่เตอิ้งมาแล้วๆๆๆ  :m4:
 :o นิคเจงๆด้วย อ่าวๆๆ แล้ว สรุป บาส นี้เลิกรักไปแล้วหรอ   :m16: 

เรื่อง รักแท้ เงียบไปเลยอ่ะ ว้า

เอาเถอะ เรื่องของพี่ก็ยังสนุกน่าติดตามเหมือนเดิมเลยคับ :m13: มาต่อน้าๆๆๆ :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 28-12-2007 22:21:23
รักโอ้ตคร้าบบบ :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 28-12-2007 22:25:21
ยังตามอยู่นะคับ

ขอจบไม่เศร้าด้วยนะคับ พี่เตอิ้งๆๆๆๆๆๆ

เปงกำลังใจให้นะคับ   :mc2: :mc2: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 28-12-2007 23:31:36
ขอสวนกระแสนิดนึง

รักโอ๊ตคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

แต่อยากให้ปริ้นคู่กะโค้กอ่ะ

โอ้ยสับสนๆ

ส่วนนิคนั้น รักทนรักนานจิงๆ
ปริ้นจะหวั่นไหวมั้ยนิ ไม่นะๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 29-12-2007 00:37:13
 :a5: :a5:
อะไรยังไงงงงงงงงง

 :oni3: :oni3:
โอม จงลงตอนใหม่เร็วๆๆๆๆๆ

 o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 29-12-2007 01:24:25
อะโหหห  :oni2:

พี่นิครักมั่นคง  :m4:
อยากอ่าต่ออ่า  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 29-12-2007 09:25:44
ปริ๊นอย่าเปลี่ยนใจจากโค๊กนะ

ทำไม ทำไม ปริ๊นถึงมีแต่คนมารัก  แล้วผมล่ะ ฮือฮือ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 29-12-2007 10:58:07
คิดถึงโค้ก

รักโค้กคร้าบบบบบบบบบบบบบบบ

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 29-12-2007 11:20:19
โอ้ว ๆ  :m30:

เล่นกันซึ่งๆหน้าเรยทีเดียว ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: jonathan2624 ที่ 31-12-2007 00:05:53
สวัสดีคร้าบบบ เป็นน้องใหม่ของบอร์ดนี้เลยครับ ผมอ่านนิยายมาหลายเรื่อง  เรื่องนี้ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วครับ ได้ครบหลายอารมณ์ ผมขอสมัครเป็นแฟนคลับของพี่ สเตอิ้ง น่า อิอิ จะติดตามภาค 7 ตลอดไปเลยนะครับ รออ่านตลอดชีวิต ว่าแต่ทำไมต้องย้อนเวลาไปตั้งสองปีหว่า น่าสงสัยเนอะครับ อิอิ   o13 o13

ปล.ผมเห็นชื่อพี่บลู ไม่ทราบว่าคือพี่บลูที่เคยเขียนเรื่องลงเว็บบอยออนเดอะเน็ทหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ผมอยากจะบอกกับพี่บลูว่า ผมเป็นแฟนคลับเลยนะ ตอนนั้นอ่านเรื่องของพี่ตลอดเลยครับ จนเว็บมันเปลี่ยนแปลงไปก็หายไปเลยงะ มาเจอที่นี่ถ้าคือคนคนเดียวกัน จะดีใจมากมายครับ  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-12-2007 03:14:12
ไม่ได้เข้าบอร์ดมานาน
จะลงแดงเพราะอยากอ่านเรื่องบ้านพัก  อิอิ

ชอบๆๆ  รักเรื่องนี้ที่ซู๊ดดด  ตามมาเก็บเป็นเรื่องแรกเลย :m1:

ก่อนไป  Happy New Year เตอิ้งด้วยน้า  แล้วก็ ถ้ามีหนังสือ  เรื่องนี้คงเป็นเรื่องแรกที่อยากซื้อเก็บไว้ อย่าลืมส่งข่าวนะ :mc4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 01-01-2008 00:15:08
Happy New Year ครับคุณเตอิ้งและสาวกคุณเตอิ้งทั้งหลายครับ

รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: the sun IN NIght ที่ 01-01-2008 14:46:30
อ่ะคับ ยังไงเราก้มีสิทธิ์รักเค้าเนอะ สวัสดีปีใหม่ค้าบผม :pig3: :mc4: :mc3: :mc3: :m24: :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 01-01-2008 22:41:29
สวัสดีปีใหม่ครับผม  :mc3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 02-01-2008 20:10:00
I wish you Health...
So you may enjoy each day in comfort.

I wish you the Love of friends and family...
And Peace within your heart.

I wish you the Beauty of nature...
That you may enjoy the work of God.

I wish you Wisdom to choose priorities...
For those things that really matter in life.

I wish you Generousity so you may share...
All good things that come to you.

I wish you Happiness and Joy...
And Blessings for the New Year.

I wish you the best of everything...
That you so well deserve.

HAPPY NEW YEAR NA KUB P'PRINCE

(http://image.blingee.com/images14/content/output/2008/1/1/357991982_8946305d.gif) (http://quantam.hi5.com)
ขอให้คำอวยพรเหล่านี้ส่งผ่านไปถึงทุกคนที่พี่รักด้วยนะคับ ^ ^ 

รักพี่*


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 02-01-2008 20:36:30
ตัดคะแนนลิงเถือน 10คะแนน!!  (ได้ข่าวว่าคนละเรื่อง 555+)

เปลี่ยนงานมาหลายงาน..

โรงเรียนเก่าปริ๊นซ์ตอนม.ต้น..

หัวหน้าห้องโสต ..

รักไม่เปลี่ยนแปลง ..ฮา ฮ๊าา..ฮา ฮ้าาา


ชิชิ.. จะฟ้องบาส :m14:


ps. ยังรอคอยการกลับมาของโค้ก(ตัวเป็นๆ) อยู่อย่างใจจดใจจ่อนะคับ ^ ^"

ขอบคุณมากๆค้าบ รักษาสุขภาพด้วยนะปี้ อากาศเย็นอีกแล้ว เปนห่วงคั๊บ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 03-01-2008 03:34:33
ดีใจจังได้อ่านแล้ว  :a2:

โอ๊ตตตตตต ล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา คุณเต้อิง  :m21:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Zodiac ที่ 03-01-2008 20:23:47
ในที่สุดก็ตามทันแล้วค้าบบ แล้วก็รอต่อปาย ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: rosa ที่ 06-01-2008 08:32:59
โอ๋ะๆ..ตามม่ะทันค๊าบบ อิกค์ คิดว่าเรื่อง นี่จบไปแล้วซ่ะอีก...... :m15:

ดันอ่ะ

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-01-2008 13:48:12
โอ๊ย...หิวน้ำจังเลย อยากกินโค๊กกกกกกก  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 07-01-2008 08:33:37
เตอิ้ง มาทำให้ติดงอมแงมเลย  อยากได้เป็นหนังสือ ทำเร็ว ๆ นะ

คิดถึงโอ๊ต

รักโค้ก

สงสารนิค

สรุป ชอบทุกคนเลย

แต่รักเตอิ้งที่สุดนะ (มาต่อไวๆ ล่ะ)

มีความสุขในปีใหม่นี้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ank_ang ที่ 07-01-2008 08:53:35
 :m25: :m25: :m25:
มาต่อตอนที่5ด่วน มิฉะนั่น........จะรอต่อไป....
 :m30: :m30:
 :m23: :m23:
 :m29: :m29:


ปล. แฟนคลับโอ๊ตต
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 09-01-2008 19:26:04
เห็นแว๊บๆ นึกว่าจะมาต่อซะอีกคับพี่เตอิ้ง ^ ^

บอร์ดใช้ได้แล้ว ไม่มีข้ออ้างการดองแล้วนะพี่ 55+

MIZ U SO MUCH KUB
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: holymist1988 ที่ 10-01-2008 19:33:12
 :oni2: :oni2: :oni2:

ผมชอบผลงานของพี่เตอิ้งมากกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆเลยคับ

แต่เพิ่งจะโพสเป็นครั้งแรกอ่ะ แหะๆๆ

เคยอ่านจากอีกเว็บนึง แต่ที่นั่นเค้าเอาไปลงช้าอ่ะ เลยค้นหาต้นตอ แล้วก็มาเจอจนได้

บ้าอ่านมาก ว่างไม่ได้ต้องอ่านตลอด

เป็นกำลังจายให้พี่เตอิ้งต่อปายน่ะค๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 11-01-2008 02:18:30
.

.

ผมนั่งมองหน้าไอ้นิค แทบไม่อยากจะเชื่อรูหูตัวเองเลยที่มันกล้าพูดแบบนี้


“… แล้วนี่เด็กแข่งเสร็จแล้วเหรอ”  ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทำเฉไฉไปทางอื่น มันเล่นพูดงี้มาทำเอาไปต่อไม่ถูกเลย


“อือ เสร็จแล้ว เดี๋ยวก็คงกลับ”  มันตอบพลางกัดแมคฟิชเคี้ยวหยับๆ  “- - แล้วไงล่ะ”


“แล้วไงคืออะไร?


“ก็… ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอ”  ไอ้นิคปาดซอสครีมที่ติดข้างปากออก พร้อมกับจ้องมองมาที่ผม


“ดี.. ก็ดีอ่ะ จะให้รู้สึกอะไรมากไปกว่านี้เหรอ ? ”  ผมอ้อมแอ้มตอบ “- - มีคนที่รักยังไงก็ดีกว่าคนเกลียดนี่นา”


“มึงเขินเหรอ ? ดูทำหน้าเข้า”  ไอ้นิคถาม ไอ้บ้าเอ้ย เล่นพูดมาขนาดนี้ จะให้กูทำหน้าโกรธเหรอไง


“เฮ่ย .. ไม่ได้เขินหว่ะ ”


“ปากแข็งนะมึงเนี่ย …”  ไอ้นิคยิ้มกริ่ม ก่อนจะยื่นเหรียญบาทที่อยู่ในมือส่งมาให้ผม
“- -ยังไงกูก็อยากขอบคุณมึงนะ”


“ขอบคุณเรื่องไร ? ”ผมทำหน้าสงสัย


“ก็ที่ทำให้รู้ว่า … การได้รักผู้ชายด้วยกันเอง มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอก”


“ตกลงมึงก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ด้วยซะซิ”


“กูไม่ได้เป็นเกย์ … แค่ชอบผู้ชายด้วยกันเอง เกย์เหรอวะ ? ” มันตอบเสียงกลั้วหัวเราะ


“มึงเนี่ย ปากแข็งยิ่งกว่ากูอีก สาด .. ” ผมหัวเราะตาม


“ปริ้น .. มึงมีแฟนแล้วใช่ป่ะ” อยู่ๆมันก็เปลี่ยนเรื่องอย่างฉับพลัน เล่นเอาตั้งตัวไม่ติดซะงั้น


“จะรู้ไปทำไมวะ”


“กูไม่คิดจะเป็นชู้กะมึงหรอกน่า แค่ถาม ตอบไม่ได้เหรอไง - - กูว่าพวกที่ไม่ชอบตอบอะไรที่มัน
ตรงคำถามเนี่ย เป็นพวกชอบกั๊กแน่ๆ แล้วมึงก็เป็นหนึ่งในนั้น ไอ้ปริ้น ”


โหมันด่ากูมาเป็นชุด ไม่จริง ผมม่ะได้เป็นคนแบบนั้น


“เออ.. มีแล้ว พอใจยัง     ”


“กูรู้จักมั้ย”


“ไม่รู้จักหรอก”


“มันเป็นคนยังไงวะ มึงถึงชอบ”


ผมมองหน้าไอ้นิค อยากรู้ว่ามันจะถามไปเพื่ออะไร หรืออยากเก็บข้อมูลไปทำงานวิจัย
เงียบแบบไม่มีเหตุผลกันไปพักนึง ผมก็ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ เกือบจะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว


“มัน … เป็นคนที่รักกูมาตลอด”


นิคมองหน้าผมอย่างฉงน 


“แค่นี้เองเหรอ ? ”


“อือ .. แค่นี้  …. เดี๋ยวยังไงไปทำงานก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน  ”


ผมบอกพลางลุกขึ้น กำลังจะเลื่อนเก้าอี้เก็บเข้าที่ ไอ้นิคก็ถามขึ้นมาอีกคำถาม


“แล้วมึงรักเค้าเท่าที่เค้ารักมึงเปล่าวะ ”


สิ่งที่นิคมันถามในตอนนั้น … ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ได้แต่เพียงส่งยิ้มเจื่อนๆไปแทน 


ระหว่างทางที่เดินจากแมคฯ เพื่อที่จะเข้าโรงเรียนนั้น สิ่งที่ไอ้นิคถาม มันยังคงวนเวียนรบกวนจิตใจ
อยู่ตลอด … ทั้งๆที่ผ่านอะไรด้วยกันมาขนาดนี้แล้ว ทำไมกะอีแค่คำว่า ผมรักโค้กเหมือนกะที่มันรักผม
มันถึงหลุดออกจากปากไม่ได้นะ … รึว่าเป็นเพราะ ผมไม่อยากโกหกใจตัวเอง


รึว่าผมเองก็รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา  ว่าความรักที่ผมมีให้โค้ก  มัน ……….


.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.

.

“เป็นไรพี่ นั่งหน้าเครียด”  เด็กฝึกสอนที่ชื่อแบงค์ทักขึ้นมา หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
อยู่เฉยๆ


“ฮือ .. เปล่า  นั่งดูมัน upload data ขึ้น server อยู่”  ผมตอบพลางหาวหวอด


“ไม่เบื่อเหรอ  ผมเห็นพี่นั่งอยู่แบบนั้นเป็นชั่วโมงแล้ว  ”


“ก็งานนี่นา ”


“ดีเนอะ ผมยังอยากทำงานแบบนั่งๆ สบายๆมั่งเลย สอนเด็กเหนื่อยโคตร”  มันบ่นทำท่ากระปกกระเปลี้ย


“เหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”  ผมถามอย่างใคร่รู้ อะไรกัน.. เป็นครูเป็นอาจารย์ออกจะสบาย สอนๆ สั่งงาน
ให้การบ้าน ก็เสร็จแล้ว


“มากมายอ่ะ ”แบงค์ตอบ ว่าแต่คำพูดแบบนี้คนเป็นครูเค้าพูดกันเรอะ


“ไม่อยากลองมั่งเหรอครับ .. อย่างพี่ผมว่าก็น่าจะเป็นได้นะ”


“ไม่ดีมั้ง ไม่เคย ไม่ได้เรียนครูมาด้วย”  ผมตอบ แล้วก็หันมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ “- - แล้วเราจบไป
จะเป็นครูต่อมั้ยล่ะ”


“อืม… ก็คงเป็นต่อล่ะครับ”  ไอ้แบงค์ตอบ ได้ยินเสียงขีดปากกาในปึกกระดาษข้อสอบที๋โต๊ะมัน


“อ้าว ไหนว่าเหนื่อยไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นทำไมอ่ะ”


แบงค์มันเงียบไปแว่บนึงเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบคำถาม


“ไม่รู้เหมือนกันพี่  ก็รู้ว่ามันเหนื่อยนะ เด็กเกรียนๆก็เยอะ แต่ถึงจะรู้แบบนั้นก็เหอะ ผมแค่รู้สึกว่า มันเป็นสิ่ง
ที่ใช่สำหรับผมแล้วมั้ง”  มันตอบตาเป็นประกายวิ้งๆ อ่า วิญญาณครูเข้าสิงแล้วเหรอเนี่ย


“ครับ.. คุณครู”  ผมแซวมันจนหน้าแดงหน่อยๆ


วันแรกของชีวิตที่เข้ามาทำงานในรั้วสถานศึกษา ดูจะไม่เลวร้ายนัก ถ้าไม่นับรวมงานที่ต้องคอยจัดการ
เพราะเหล่าบรรดามาสเตอร์ ซิสเตอร์ของที่นี่ ดูจะมีมิตรกระจิตมิตรกระใจให้พอสมควร
นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น ผมปิดห้องเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินลงจากอาคาร ก็เหลือบไปเห็นอะไร
บางอย่างเป็นสีเงินๆ โผล่ขึ้นมาตรงกระถางต้นไม้ข้างอาคาร


“?”


ผมลองเอื้อมไปหยิบขึ้นมา ก็พบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหรู  ที่นี่เค้ามีกฏห้ามนักเรียนพกมือถือ
หรือใช้มือถือในระหว่างการเรียนการสอนนี่หว่า เออ.. ไอ้พวกนี้เข้าใจหาที่ซ่อนเว้ย ไม่กลัวพัง
บ้างไงวะ … แล้วนี่มันของใครหว่า ถ้าเอาไปฝากฝ่ายปกครองมีหวังไอ้เจ้าของคงไม่ได้คืนไปชั่ว
ชีวิต ผมเลยลองกดเปิดเครื่องดูเผื่อจะได้คืนเจ้าของถูก


“เฮ้ย.! นั่นมือถือผม”  เสียงเด็กแก่นเซี้ยวที่ไหนซักคนพูดขึ้นมา พอหันกลับไปก็เจอเด็กตัวกระเปี้ยก
มองอย่างหาเรื่องหาราวมาทางผม 


ผมเห็นสัญลักษณ์บางอย่างตรงเสื้อทำให้รู้ว่า พึ่งอยู่ม.ต้น  หรี่ตาประเมินอยู่ครู่นึง กะว่าจะคืนให้อยู่แล้ว
แต่นึกขึ้นมาได้ … ไอ้คำว่า เฮ้ย ! ที่พูดกับผมก่อนหน้านี่มันหมายความว่าไงวะ


“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ”  ผมย้อนถาม อารมณ์ขุ่นๆ (ปนอย่างแกล้งเด็ก)


“นั่นมือถือผม ขอคืนด้วย”  ไอ้เปี้ยกว่าพลางยื่นมือออกมา


ผมมองประเมินท่าทีมันอีกรอบ ชิ ไอ้พวกลูกคุณหนู  พอเห็นว่าไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์หน่อยเดียว
ทำเป็นกร่างเชียวนะ


“พี่จะรู้ได้ไงว่าเป็นของน้อง ที่นี่เค้าห้ามให้เด็กพกมือถือไม่ใช่เหรอไง … แล้วเรามีได้ไง ? ”  ผมคาดคั้น
เห็นมันทำหน้าตกอับชั่วประเดี๋ยวนึง ก่อนจะกร่างขึ้นมาอีกรอบ


“พูดงี้หาเรื่องกันนี่หว่า”  ชะอุ้ย ! แน่ใจน่ะว่ากูคุยอยู่กะเด็ก ม.ต้น


“เฮ่ย .. เพื่อนเล่นเหรอ พูดไม่รู้ใครเด็กใครผู้ใหญ่ อยากมีเรื่องจริงๆใช่เปล่าห่ะ เราอ่ะ”  ผมว่าพลางสาวเท้า
ตรงเข้าไปหาไอ้ตัวดีที่ยืนตัวเหมือนจะสั่นอยู่ตรงหน้า


“จะ จะ ทำอะ - -”  มันยังพูดไม่ทันจบ ผมก็ยื่นมือเข้าไปหากะว่าจะส่งมือถือคืนให้ ขี้เกียจแกล้งแล้ว
ไอ้เปี้ยกก็วิ่งพลวดเปิดแน่บไปไหนก็ไม่รู้


“อ้าว… อย่าพึ่งไปเด๊”


ซวยแล้วดิ .. มือถือมันก็อยู่ที่เรา แบบนี้จะโดนข้อหาเหรอเปล่าเนี่ย แต่ไม่เป็นไรมั้ง ค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้
ถ้าไม่เจอตัวจริงๆ ค่อยเอาไปให้ฝ่ายปกครองละกัน (ซวยไป) ว่าแล้วก็เอาของกลางยัดใส่กระเป๋าสะพาย


ตี้ด ตี้ด ตี้ดดดด


“โหล ว่าไงโค้ก”


“ค๊าบ .. ออกจากโรงเรียนเหรอยัง”   เสียงแบบนี้แสดงว่าหายงอนเมื่อเช้าแล้ว


“เนี่ย กำลังจะเดินออกไปแล้วอ่ะ” ผมว่า


“งั้นรออยู่หน้าโรงเรียนสิบนาทีนะครับ  อยู่แถวนี้พอดีเดี๋ยววนรถไปรับ”


“เอาดิ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปตรวจงานเหรอ เสร็จไวจัง”


“ครับ พอดีมีคนช่วยสองคนอ่ะ เลยอู้กลับมาก่อน 55 เออ.. ผมซื้อเค้กที่ร้านxxx มาให้ปริ้นด้วยนา”


“อ่าหะ … เป็นไรเนี่ย วันนี้ใจดีจัง”


“ก็ไถ่โทษเมื่อเช้าไง”


“อ่านะ อืมๆ งั้นเด๋วรออยู่ตรงหน้าแมคฯนะ”


“อ้าว ทำไมไปรอหน้าแมคฯอ่ะ ก็รอฝั่งโรงเรียนดิ เนี่ย ขับมาถึงหอสมุดแล้วนะ เอ๋ …. ติ้ด ติ้ด ติ้ด”


ไอ้โค้กพูดได้แค่นั้นสัญญาณก็ตัดไป ผมเลยรีบวิ่งออกจากโรงเรียนโดยเร็ว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้
ผมเห็นรถของตัวเองจอดอยู่ข้างทาง มีตำรวจยืนบ่นอะไรซักอย่างกับคนขับ พลางยื่นใบสั่งเข้าไปในรถ


“ช่องนี้เค้าไม่ให้รถส่วนตัวขับ ไม่รู้เหรอไง”   ผมแกล้งทำหน้าหงุดหงิดใส่มัน


“- - เลยโดนใบสั่งจนได้เสียตังค์อีกและ”


“เค้าขอโทษ .. ”ไอ้โค้กทำหน้าอ้อนไปขับรถไป


“มาค้งมาเค้าไร”


“ง่ะ โกรธจริงเหรอ”  มันทำหน้าสำนึกผิด จนผมไม่อยากแกล้งแล้ว สงสาร


“ว่าแต่ซื้อเค้กอะไรมาอ่ะ ไหนว่าไม่ค่อยมีตังค์” ผมเปลี่ยนเรื่องทำให้มันหน้ายิ้มมาได้บ้าง หลังจากนั้น
ไอ้โค้กก็สาธยายสรรพคุณของเค้ก(?) รสต่างๆที่ไปคว้านซื้อมา พลางบอกว่า คืนนี้ผมจะต้องกินให้หมด
ทุกชิ้น


ผมฟังมันไปก็มองหน้ามันไป …


… ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ความรักของมันค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในหัวใจผมช้าๆ จนถึงตอนนี้
ผมก็ยังไม่มีคำตอบที่นิคมันถามไว้เมื่อกลางวัน ว่าผมรักมันได้เท่าที่มันรักผมเหรอเปล่า …
รู้แต่เพียงว่า  ในตอนนี้โค้กเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว


ถึงแม้จะรักได้ไม่เท่า … แต่ก็ขาดไม่ได้ ขาดมันไปไม่ได้จริงๆ


ไอ้โค้กเหลือบมามองผม คงสงสัยว่าจ้องอะไรมันกันนักกันหนา ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม คว้าเอา
มือผมไปจับไว้ มือข้างนึงก็ถือพวงมาลัยไป แม่งประมาทสุดๆ แต่ผมก็อยากให้มันกุมเอาไว้นานๆ


“ปริ้นรู้มั้ย .. ก่อนหน้านี้ …. ผมอ่ะ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลย ว่าปริ้นคิดยังไงกับผม รักผมแค่ไหนกัน
แต่พอเมื่อกี้แอบเห็นสายตาที่ปริ้นมองผมแล้ว เนี่ย … ผมดีใจมากเลย รู้เปล่า   ”


“อะไรฟ่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ? ”ผมทำแกล้งเซ่อ


โค้กยกมือผมที่กุมไว้ขึ้นมาหอมเบาๆ


“ก็ดีใจว่า....ในที่สุด องค์รักษ์หนุ่มก็ได้มีโอกาสเข้าไปดูแลหัวใจเจ้าชายเย็นชาซักที อะซิครับ”


.

.

.

.

.

.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป --------------------------------------------
http://stpstory.exteen.com/



Stp said : งวดนี้หายไปนานเลยขอรับ ยังไงผมขออวยพรปีใหม่ย้อนหลังกับเพื่อนๆทุกคนนะครับ
มีความสุขมากๆ คิดอะไรให้สมปรารถนา(ในเรื่องดีๆ) สุขภาพแข็งแรงนะครับ และถ้าเรามีความสุขแล้ว
อย่าลืมแบ่งปันความสุขให้กับคนรอบข้างบ้างนะคับ ^^

happy green year ครับ

ลป. ตอนหน้าคิดว่าเป็นตอนที่แฟนคลับโค้กรอคอยกันมาถึง 3 ปี ก็ได้มาถึงแล้ว ???
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 11-01-2008 02:21:26
 :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 11-01-2008 02:31:05
สุดยอด :m1:

เตอิ้งจงเจริญ  :mc4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 11-01-2008 03:10:11
คุณ Stp. ใจร้ายอ่ะ...  :m16:
มาลงตอนที่คนเค้ากำลังจะไปนอน แต่ถ้าขืนยังไม่อ่านก็นอนไม่หลับแน่ๆ  :m23:


 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 11-01-2008 03:16:14
เรื่องที่แฟนรอคอยก็คือ...
:m30: o7 :m12: :m21: :m20: :m13: :m29:
:m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10:

ว่าแต่เมื่อกี้นี้มีสัญญาณ "วิญญาณผีเต๊าะเด็กเข้าสิงใครบางคน" หรือเปล่า?
น้องคนนี้คือกิ๊กตอนปี4 ที่อยู่ม.2 หรือกิ๊กตอนเรียนจบที่อยู่ม.1อ่ะ?!!

:m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10:
:m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10:
:m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10: :m10:

รักเสมอนะ คิดถึง โทรหากันบ้างล่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 11-01-2008 03:49:24
โหหหหหหหหหหหหหห หวานนนนนนนนนนนนนสนิท เลยค่ะ  :oni2: ชอบมากๆๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 11-01-2008 03:54:21
อิอิ หวัดดีปีใหม่ย้อนหลังน่ะคับ อะไรหว่าที่แฟนคลับโค้กรอ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 11-01-2008 04:40:52
โค้กทำตัวน่ารักอย่างงี้..จะไม่ให้รักได้ไง..  :m1:
ตอนต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโค้กเหรอ..ไม่น๊า..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 11-01-2008 09:47:40
.
.
.
.
น้องคนนี้คือกิ๊กตอนปี4 ที่อยู่ม.2 หรือกิ๊กตอนเรียนจบที่อยู่ม.1อ่ะ?!!
.
.
.
.

อ่ะ.. ไหนว่าไม่ชอบเด็กขนาดนั้นไงค้าบพี่ปิ้น..  :m16:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 11-01-2008 10:06:31
มาอัพเร็ว ๆ นะค้าบบบบบ  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 11-01-2008 10:10:23
.
.
.
.
น้องคนนี้คือกิ๊กตอนปี4 ที่อยู่ม.2 หรือกิ๊กตอนเรียนจบที่อยู่ม.1อ่ะ?!!
.
.
.
.

อ่ะ.. ไหนว่าไม่ชอบเด็กขนาดนั้นไงค้าบพี่ปิ้น..  :m16:

 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ank_ang ที่ 11-01-2008 10:18:04
 o7
มาต่อสักทีแล้วพี่เตอิ้งของป๋ม

เฮ้อออ......โอ๊ตของช๊านนนนนนนนน......หายไปไหนแย้ววววววววว


ปล.แฟนคลับโอ๊ต
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 11-01-2008 10:47:11
ช่าย โอ๊ตหายเงียบไปเลย  :m16: :m16:

มาต่อเร็วนะคับพี่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-01-2008 11:17:22
หุหุ แฟนคลับโค้ก ปูเสื่อรอเลย  :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: holymist1988 ที่ 11-01-2008 11:59:12
จะเป็นแฟนคลับโอ๊ครึว่าโค๊กดีเนี่ย 555+

เมื่อก่อนก็เชียร์โอ๊ต ตอนนี้เชียร์โค๊กแล้วอ่ะ

มาต่อเร็วๆน่ะคับพี่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 11-01-2008 13:05:05
แฟนคลับโค๊กมารอจ้า  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 4 [update 28/12/07]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 11-01-2008 18:41:25


“ก็ดีใจว่า....ในที่สุด องค์รักษ์หนุ่มก็ได้มีโอกาสเข้าไปดูแลหัวใจเจ้าชายเย็นชาซักที อะซิครับ”


.

.




อ้วกกกกกกกกก!!


555555+


คิดได้ไงเนี่ย  :m20:

แต่ก้อชอบนะคับ อิอิ..





แล้ว.. มือถืออ่ะ คืนๆน้องเค้าไปเหอะคับ

กลัวจิงจิ๊งง..



กลัวว่า..



เด๋วปริ๊นซ์จะชอบกินเด็กเหมือนคนแต่ง   :a3:
555+


ps. ชอบบรรทัดสุดท้ายอ่ะ พี่เตอิ้ง
ก๊ากกก.. จะรอนะคั๊บ


สุดท้ายนี้ :pig4: ขอบคุณคร้าบบบบ..*

mizๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 11-01-2008 18:44:43
 :m13: :m13: ขอบคุณนะครับสำหรับตอนใหม่  แต่ถ้าจะให้ดี  ขอเยอะๆได้มะคับ  :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 11-01-2008 20:07:26
 :m1: พี่เตอิ้ง มาต่อให้แล้ววว คิดถึงจังเลย :m1:

อ่านแล้ว้พลินมากมาย หุหุ  :m4: มาต่อเร้วๆละกัน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 12-01-2008 23:51:02
เข้ามารอกิงโค้กแระ  :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 13-01-2008 00:18:17
คุณเตอิ้งงงงงง คิดถึงนิคอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Zodiac ที่ 13-01-2008 01:26:19
มารอพี่เตอิ้งด้วยคนคร้าบบบ อยากได้แบบเต็มอิ่มเลยอ่ะคับ ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 13-01-2008 02:39:57
แฟนคลับพี่โอ้ต มานั่งรอครับ
 :mc3: :mc2: :mc3: :mc2:

ปล.อย่าทำให้เขาต้องแยกจากกันเลย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 13-01-2008 02:58:35
แง่ว ไม่อยู่แค่สามสัปดาห์ ไปสามตอนล่ะ

ในที่สุด นิคก็โผล่มาจนได้ หุหุ ลุ้นเรื่องไหนดีหว่า ฮ่า ๆ

รออ่านต่อค้าบ  :m4:  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ballza ที่ 13-01-2008 03:30:20
 :m1: :m1: :m1:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวความรักดีๆ  ครับ

 :เฮ้อ:  แล้วเมื่อไรชีวิตเราจะได้เจอกับความรักบ้างละนี่    :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrow ที่ 13-01-2008 10:53:15
 :oni1: ได้กลิ่นเด็ก ม.ต้นเลยรีบมาดู  :m1:

สวัสดีปีใหม่ครับคุณ STP ตอนหน้าจะเป็นฉาก... :m25:....แล้วสิ!?
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 13-01-2008 10:54:52
ฮ่า  :mc3:  ได้อ่านต่อแล้วววว  :m1:

ตอนหน้าจะเกิดไรขึ้นหว่า  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 14-01-2008 07:58:00
มารอตอนต่อไปค่ะ 

อยากรู้เรื่องโค้กเร็วๆ อ่ะ

เตอิ้งมาต่อเร็วๆ นะ   :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 14-01-2008 14:01:48
พึ่งอ่านจบ...ขอบคุณมากที่นำเรื่องราวดีๆมาแบ่งปัน...ที่สำคัญมันทำให้รู้ว่าคุณค่าของความรักนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน... :m13: :m13:
เรื่องนี้ชอบโอ๊ตมากเลย..สำหรับโอ๊ตๆมีความรักที่ยิ่งใหญ่มากๆ

เป็นกำลังใจให้นะ o13 o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 14-01-2008 14:12:35
:oni1: ได้กลิ่นเด็ก ม.ต้นเลยรีบมาดู  :m1:

ไวจิงๆพวกคนแก่เนี่ย

55+

ล้อเล่นนะค้าบพี่

ps.มารอค้าบ *-*
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: holymist1988 ที่ 14-01-2008 16:05:11
รอคับ รอออ

รอให้มาต่ออีกน่ะค๊าบบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 15-01-2008 00:20:25
คิดถึงตอนต่อไปแล้ว.................อูย

ขอไปซับน้ำหมาก เอ้ย  ซับเลือดกำเดาก่อนนะคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 5 [update 11/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Cycil ที่ 15-01-2008 01:25:41
เป็นเรื่องแรกที่อ่านเลย ชอบมากๆ และติดตามมาตลอด
ลุ้น รีเทิร์นระหว่างปริน กับโอ๊ต

มาต่อเร็วๆนะครับ :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-01-2008 03:21:56
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2ABBCE0PA0&Autoplay=1

.

.

.

เสียงโทรศัพท์มือถือไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากข้างในเป้เก็บสัมภาระของผม  ไอ้โค้กชำเลืองมาด้วยความสงสัย
ผมลองค้นๆดูก็ปรากฏว่าเป็นมือถือของไอ้เปี้ยกที่ยึดมานั่นเองที่ดังและสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่


 เกือบลืมไปแล้วมั้ยตู !


ผมลังเลที่จะรับสายอยู่นาน สายตาเจ้ากรรมก็พลันเหลือบไปเห็นไอ้คนข้างๆขับรถหน้ามู่ทู่  สายตาที่บ่งบอก
ถึงคำถามที่อยากจะถาม แต่มันก็ยังไม่พูดอะไรออกมาซักแอ่ะ


“แป็บนะ” ผมบอกกะมันแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาดู


- X calling….. -


ผมลังเลอีกแป็บก่อนจะกดรับสาย ทันใดนั้นเอง ปลายสายก็ว๊ากกลับมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว


“เห้ย .. ทำไมรับช้าจังวะ โทรไปสิบรอบและ แม่ง”


“เออ .. ” เจอแบบนี้ผมพูดต่อไม่ถูกเลย


“ใครอ่ะ”   ปลายสายคงสงสัยกับเสียงที่หลุดออกไป


“เออ .. ตอนนี้เจ้าของเครื่องไม่อยู่รับสายครับ”   อ้าว ทำไมกูพูดแบบนั้นออกไปหว่า


“ใครพูดอ่ะ … ” คนปลายสายถามย้ำเสียงเข้ม “- - เป็นไรกะไอ้ปิงปอง”


“ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ .. เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันล่ะกัน ”  พูดเสร็จไม่ต้องรอให้ตอบกลับ ผมก็รีบกดวางสาย
แล้วก็กดปิดเครื่องทันที เฮ้อ .. ไม่น่าไปแกล้งเด็กเลยกู แล้ว… แล้ว ถ้าเกิดคนโทรมาเป็นพ่อเด็กขึ้นมา กูซวย
ตายชักแน่ ไปเอาของลูกเค้ามา


“ใครอ่ะ”   อ้าว กูยังไม่ได้วางสายเหรอวะ ทำไมยังได้ยินคำถามเดิมอยู่


“มือถือใครเหรอ”  ไอ้โค้กถามเสียงดุไม่แพ้กัน แต่หน้าตายังคงซ่อนความไม่พอใจไว้ 


“อย่าพึ่งทำหน้าเป็นหมาถูกฟัดแบบนั้นดิ  ฟังก่อน . . . ” แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ดูท่าทางมันก็ไม่ค่อย
พอใจเท่าไหร่ที่ผมไปเอาของใครมาก็ไม่รู้


“นี่ถ้าเกิดไอ้เมื่อกี้เป็นแฟนมันขึ้นมา ไม่ทำให้เค้าเข้าใจผิดกันเหรอ”


“เฮ่ย บ้าดิ ม่ะกี้ผู้ชายโทรมา  .. เออ แต่อีกอย่างมันก็พึ่งอยู่ ม.ต้นเอง อย่าคิดไปโน่นดิ ห่วงว่าเป็น
ที่บ้านมันโทรมาก่อนเหอะ”  ผมว่าทำหน้านิ่ว


“ก็นั่นล่ะ พรุ่งนี้เอาไปคืนเลยรู้ม่ะ”   มันย้ำ


“รู้แล้ว ย้ำจัง - - เออ แล้วเรื่องใบสั่งอ่ะ เอาไปจัดการด้วยล่ะ”  ผมพาลบ้าง


“เอ้า .. โรงพักก็อยู่แค่นั้นเอง ปริ้นก็เอาไปจ่ายแทนให้หน่อยดิ  ”


“ไม่ .. ”


“ไรวะ ขี้พา- - -”


ผมหันขวับไปมองตาเขียวใส่ทันทีก่อนที่ไอ้โค้กมันจะพูดอะไรออกมามากกว่านั้น เด๋วนี้
มาทำปากเก่งเนอะ เด๋วปั๊ดๆๆ


พอขับรถมาถึงห้อง ผมก็ไม่พูดไม่จาอะไรกะมันอ่ะ รู้สึกอารมณ์เสียบวกกับพาลหน่อยๆ ก็เลย
เดินไม่รอมันจอดรถเสร็จ ขึ้นห้องกะว่าจะอาบน้ำแล้วก็เข้านอนแระ ไม่กินข้าวไม่กินเค้กไรแล้ว
เดินเข้าห้องครัวกะจะหาน้ำกรอกปากดับร้อนรุ่ม ก็เสียวแปร้บเข้ามาในใจทันทีที่เห็น ข้าวปลา
อาหารถูกวางครอบไว้


“เฮ้อ” รู้สึกอารมณ์โมโหหายไป ห้าสิบเปอร์เซนต์


เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับเห็นโค้กหิวของพะรุงพะรังเข้ามาวางไว้ข้างๆโต๊ะกินข้าว
แล้วก็ส่งสายตากล้าๆกลัวๆมาทางผมทำเอาหายโมโหไปอีกยี่สิบเปอร์เซนต์


“ซื้อของกินมาทำไมตั้งเยอะแยะ จะกินหมดเหรอเนี่ย  อ่า ใจบอกให้อภัยแล้ว แต่ปากดันมีทิฐิแรงกล้า
หลงเหลืออยู่  พอเห็นหน้ามันหงอยิ่งกว่าเดิม เลยพูดอะไรไม่ออก เลยเลี่ยงเข้าไปในห้องนอนแล้ว
เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาอาบน้ำดีกว่า ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังจากในครัว ก็รู้สึกผิดในใจ  กูโตป่านนี้
แล้วยังทำตัวเด็กๆอยู่ได้ 


“เฮ้อ ! ” ได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป


ผมเดินเข้าห้องน้ำ เอาผ้าขนหนูพาดไว้ที่ราว แล้วก็ค่อยๆเปิดฝักบัว  สายน้ำที่แตะกระทบกับร่างกาย
ค่อยทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ยิ่งอารมณ์โมโหถูกปลดเปลื้อง ความรู้สึกผิด
ก็ยิ่งถาโถมเข้ามาในใจมากขึ้น 


ถ้ารู้แบบนี้ ไม่น่าทำแบบนั้นก็ดี   


ผมคิดแล้วก็เจ็บแปร๊บ ถ้ารู้แบบนี้… กี่ครั้งแล้วนะ ที่ทำให้คนรอบข้างต้องเสียใจกับเพียงแค่อยาก
ประชดประชันคนอื่น  โดยเฉพาะกับคนที่เค้ารักเรา หรือว่าเป็นเพราะเห็นว่าเค้ารักเรา เราถึงคิดว่า
เรามีสิทธิที่จำทำให้เค้าเสียใจได้วะ


เลวจริงๆ


ผมเปลี่ยนมือให้ฝักเบาฉีดลงบนหัวตัวเอง ก่อนจะเทน้ำยาสระผมลงแล้วก็ขยี้ๆอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่รู้ว่า ที่รู้สึกแสบตาเป็นเพราะว่าเสียใจกับการกระทำตัวเองหรือว่าเพราะโดนแชมพูกันแน่


“คนเรามักไม่ค่อยดูแลของที่เรามีอยู่ แต่พอถึงเวลาที่ต้องเสียมันไปแล้ว พึ่งจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่”


เสียงซังดังแว่วมาในความนึกคิด 


“- - เมื่อถึงตอนนั้น ก็อาจจะสาย - - -


ผมสั่นหัว ไม่อยากคิดต่ออีกแล้ว  ทำไมผมถึงไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยนะ ว่าถ้าขาดไอ้โค้กไป มันจะเป็นยังไง
สิ่งต่างๆรอบตัวมันจะยังคงเหมือนเดิมไหม ? 


ผมบิดลูกบิดให้น้ำหยุดไหล ก่อนเอาผ้าขนหนูซับตัว แล้วหยุดยืนมองตัวเองในกระจก มองดูแววตาตัวเอง
ที่สะท้อนกลับมาก่อนจะค่อยๆหลับตา ปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปสู้วันวานอีกครั้ง  เสียงเพลงเพลงนึง
ค่อยๆบรรเลงแผ่วเบามาจากห้วงความคิดพร้อมกับข้อความในมือถือข้อความนั้น


“อีกนานแค่ไหน … รักนี้ก็ยังอยู่


อยู่เป็นรักแท้ .. เพื่อเธอ .. เท่านั้น


ด้วยใจที่พร้อม ..ให้เธอจากคนอย่างฉัน


กับวันเวลาที่ยาวนาน .. คงจะพอให้รอเธอ .. และคงจะทำให้เธอ … ได้รู้”


.

.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

“ว่าไง ยังไม่กินไปก่อนอ่ะ”  ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ชะเง้อคอเข้าไปดู ก็เห็นโค้กมันนั่งเฉยอยู่ที่เก้าอี้
ดูข้าวปลายังทิ้งรออยู่


“ยังไม่หิว”   มันพูดเสียงเบา  ดูจากหน้าเศร้าๆแล้วไม่เห็นท่าทีของโทสะหลงเหลืออยู่  มันคงเสียใจ
แล้วก็น้อยใจผมมากกว่าแหง่มๆ (ก็คงงั้นล่ะ)


ผมเดินเข้าไปใกล้ๆมัน แล้วก็เอื้อมมือไปขยี้หัว


“ขอโทษ .. ”


โค้กมันก้มหน้านิ่ง


“ผมดิต้องขอโทษ”


ผมเปลี่ยนจากขยี้หัวเป็นลูบแทน แล้วก็ยิ้มให้  ไอ้โค้กลุกขึ้นยืน  ก่อนจะนิ่วหน้าใส่  แล้วก็เดิน
ไปหยิบผ้าผืนเล็กเข้ามา


“บอกกี่หนแล้วอ่ะ ว่าให้เช็ดหัวให้แห้งก่อนออกมา เดี๋ยวก็เป็นหวัดพอดี”  มันพูดพลางเอาผ้า
มาขยี้ที่หัวเป็นการแก้แค้น (กูเช็ดมาแล้วจากในห้องน้ำเฟ้ย แต่เช็ดแบบลวกๆ)


“แล้วทำไมซื้อของกินมาตั้งเยอะแยะอะ จะกินหมดม่ะเนี่ย ”  ผมพูดคล้ายๆแบบเดิม เพียงแต่เปลี่ยน
โทนเสียงไม่ให้เข้าใจผิด


“วันพิเศษอะไรเป่า”


“คิดแล้ว ว่าต้องจำไม่ได้”   มันพูดขึ้นมา ผมรู้สึกว่ามันออกแรงเช็ดมากกว่าเดิมนิดหน่อย


“อ๋า.. วันอะไรหว่า ” ผมนึกไม่ออกจริงๆครับ นึกไงก็นึกไม่ออก วันไร วันเกิดก็ไม่ใช่ วันอะไรวะ ?


ไอ้โค้กเห็นผมทำหน้าใช้หัวคิดอย่างหนัก ก็หัวเราะออกมาเบาๆ


“จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกคับ” มันพูดไปแล้วก็ออกแรงเช็ดหัวอย่างเบามืออีกครั้ง


“- - วันนี้อ่ะ เป็นวันที่ปริ้นอนุญาตให้ผมไม่ต้องเรียกปริ้นว่าพี่แล้วไงครับ”   โค้กพูดขึ้นมา  ผมรู้สึก
ไอความสุขมันแผ่ออกมาจากตัวมันได้อย่างชัดเจน


“ตอนแรกนะ ผมก็ไม่รู้ ไม่สนใจหรอกนะ ถึงจะเรียกยังไง ผมก็รักปริ้นอยู่ดี  …. แต่พอเอาเข้าจริงๆ
พี่ปริ้น กับ ปริ้น มันแตกต่างกันมากจัง  ”


โค้กพูดทำเอาผมเองนิ่งอึ้ง  มันหยุดเช็ดแล้วก็วางพาดผ้าเอาไว้ ก่อนจะก็เลื่อนมือมาอังที่แก้มทั้งสองข้าง
ของผม


“- - วันนั้น … ปริ้นทำให้ผมรู้สึกว่านาฬิกาในชีวิต มันค่อยๆเดินขึ้นอีกรอบ แล้วถึงมันจะเดินไป
นานแค่ไหน ไกลแค่ไหน มันก็จะกลับมาตรงที่เดิมเสมอ  ”


“โค้ก.. ”  ผมมองหน้าที่เปื้อนยิ้มของมันแล้วรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก  อยากจะทุบ อยากจะตี
ตัวเองให้เจ็บปวดกับความรู้สึกแบบนี้  เจ็บปวดจัง … เจ็บแบบบรรยายเป็นตัวอักษรไม่ถูก
เจ็บจนต้องค่อยๆก้มหน้า เข้าไปซุกที่หน้าอกของมันแล้วก็ปล่อยให้ความเสียใจที่ตัวเองทำมาตลอด
ไหลผ่านลงมาอย่างเชื่องช้า


โค้กค่อยๆ ลูบหัวผมเบาๆ แล้วก็เลื่อนหน้าลงมาจูบที่หน้าผากผม แล้วก็เอามือจับที่แก้ม แล้วก็ค่อยๆ
ไล้ลงมาจนมาถึงริมฝีปากของผม มันชะงักนิดหน่อยเหมือนตัดสินใจ แต่เมื่อเห็นผมเฉย ก็ - -


“ไปเช็ดตัวต่อในห้องนะ”  มันพูดพลางส่งลมหายใจร้อนๆแนบเข้าที่แก้ม ก่อนจะดึงมือให้เดินตาม
เข้าไปในห้องมัน …


พอเข้าไปในห้องปั๊บ มันก็เดินเข้ามากอดอีกรอบ แต่คราวนี้กลับไม่รู้สึกอบอุ่นเหมือนตอนแรกแฮะ
รู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟราคะเข้าครอบงำ


“อย่ามองนั้นดิ อายหว่ะ” (ไม่คิดว่าชาตินี้กูจะพูดคำนี้เลยจริงๆ)


“อายทำไม ไม่เห็นที่จะน่าอายตรงไหนเลย. ”


“ก็มันเขินนี่หว่า ”


“คืนนี้ ขอนะ…”


“ขะ ขออะไร”  ผมนึกในใจ ไม่อยากจะให้มันขอในสิ่งที่รู้ๆกันเลยให้ตายเหอะ ไอ้ช่องทางนั้น
มันไม่เคยใช้มาตั้งชาติกว่าแล้วนะ (ยกเว้นขรี้)


ปกติเวลาผมมีอะไรกะมันก็แค่ภายนอกแค่นั้นเอง แต่คืนนี้ดูท่าว่าจะไม่ใช่แค่นั้น(หรือเปล่า)


“ก็ . .. . ”  ไม่พูดด้วยภาษาคนแต่อาศัยภาษากายในการตอบแทน  โค้กก้มลงบดปากแบบไม่ให้
ผมปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น มือข้างนึงเอาข้อศอกยันบนเตียงไว้ไม่ให้ตัวใหญ่ๆของมันมาทับ ส่วนอีก
ข้างนึงก็ค่อยๆปลดกางเกงอย่างทุลักทุเล  ว้อยๆ … มากูช่วยถอดให้ แม่ม ช้าจังเว้ย !?


“ขอบคุณคับ”  มันถอนปากออกมาพูดด้วย ไม่ต้องก็ด้ายยยยไอ้บ้า  พอผมหลบตา มันก็ได้ที
เอาปากมาซุกเข้าที่ซอกคออีก  อ๊อก อ๊อก


“อ่ะ … เฮ้ย จัก- -  จี้”   มันคงรู้ว่าที่ผมจี้คงหมายถึงเสียวมั้ง เลยเดินหน้าไซร้ต่อไม่หยุด แล้วด้วย
ความหมั่นเขี้ยว หรืออะไรก็ไม่ทราบผมรู้สึกว่ามันดูดที่คอแบบเน้นๆ สองสามที


“อ๊ะ - - ไอ้ โค้ก อย่า อะ อย่าดูดดิ เด๋ว - -”  ไอ้โค้กหยุดดูคอ แต่เลื่อนตัวลงมาดูดที่หัวนมแทน แล้วก็ดูดดุน
อยู่อย่างงั้นอ่ะ


“อ่ะ อ๋อย” ไม่ไหว เสียวแล้ว  อันนี้ผมคิดในใจ ได้แต่หลับตา แล้วก็เกร็งตัว พยายามไม่ร้องอะไรออกมา
เด๋วมันได้ใจ แต่สงสัยปฏิกิริยาด้านร่างกายที่ตอบสนองมันห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ ไอ้โค้กเลยเลื่อนหน้าลง
มาต่ำลงต่ำลง จนมาถึง ?


“Xx แข็งโคดอ่า”  มันบรรยายให้เห็นภาพ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงลิ้นอย่างแผ่วเบา


“ซี้ดดดดด… ” มายก๊อด ผมห้ามเสียงตัวเองไม่ให้ออกมาไม่ได้แล้ว ถึงมันจะไม่ทำบ่อย แต่ลีลาไมมัน
เยอะแบบนี้วะ หรือว่ามันแอบไปทำให้คนอื่น อ่ะ อะ อีกแล้ว


ไอ้โค้กมันจัดการเอาปลาริวซิวที่กลายร่างเป็นปลาโค่ยเข้าไปในปาก ก่อนจะตวัดลิ้นเลียทั้งหัว ทั้งตัวปลา
จนมันแผล่บ ไอ้โค้กที่บัดนี้ร่างกายเปลือยเปล่าเหมือนผมที่นอนแอ้งแม้งอยุ่บนเตียงรอรับความเสียว
ลุกเดินไปหรี่ไฟ แล้วก็คว้าอะไรบางอย่างในลิ้นชักออกมา พร้อมกับยิ้มหื่นๆให้ผมทีนึงให้ได้ขนลุก
(อย่างอื่นก็ลุก)


ก็ของๆมัน… ไม่ได้เล็กเลยนี่หว่า


โค้กมันก้มลงไปเล่นกับปลาโค่ยของผมอีกรอบ แต่คราวนี้กลับค่อยๆจับขาทั้งสองข้างกางออกอย่างช้าๆ
พร้อมกับเลียเรื่อยลงมาจนถึงบอลแฝด


“อึ๊ก .. ” ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก เห็นทีคราวนี้กูโดนแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เงยหน้าขึ้นมาดู ไอ้โค้กมันก็..


“อั๊ก … ซี้ดด สะ เสียว อย่า…ทำ …ตรง - - ”


โค้กมันฝังลิ้นลงไปตรงนั้นอย่างช่ำชองแล้วก็อย่างเมามันส์(?)  ตัวผมถึงกับสั่นกระเส่า พยายามจะฝืน
บิดตัวให้พ้น แต่สองแขนที่ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาของมันทำให้ผมระบายออกได้แค่ขย้ำเข้ากับผ้าปูเตียง
เท่านั้นเอง


เสียงไอ้โค้กถอนหายใจ ได้ยินเสียงมันใส่ถุงยางเปรี้ยะๆ แล้วก็ถัดตัวขึ้นมาทาบทับดูดที่หน้าอกผมอีกรอบ
ขวดโค้กน้อยขนาดย่อมมันดันเข้าที่ปากทางเข้าออกของผมเป็นระยะ เหมือนอยากจะเข้าไปให้ได้เต็มแก่
เสียงมันหอบแอ่ก ก่อนจะมองหน้าสบสายตากับผมอีกรอบ


บอกมันไปดิว่าอย่าพึ่ง ยัง ยังไม่พร้อมตอนนี้ … แล้วทำไมกูต้องเป็นฝ่ายรับบทนี้ก่อนทุกที


เอากะมันดิ ไม่รู้มันไปจำมาจากหนังเอ็กเหรอเปล่า ถึงได้ผุดลุกลงไปอยู่ที่ปลายเท้าแล้วก็จับขา
ผมยกขึ้น แล้วก็จัดการชโลมของหล่อลื่นเข้าไปแทบหมดขวด ก่อนจะค่อยๆใช้นิ้วเปิดทาง
เข้าออกทีละนิ้ว สองนิ้ว  เสียงหอบหายใจของผมคงดังจนมันได้ยิน จึงขยับเปลี่ยนท่าลงมา
นอนตะแคง แล้วก็ก้มลงมาซุกที่ซอกคอผมอีกครั้ง แต่มือไม้มันอ่ะ ยังคงสอดใส่ไปมาอยู่ที่เดิม
จนผมต้องเอามือไปกอดคอมันระบายความเจ็บ


“ทนหน่อยนะคับที่รัก”  มันพูดเสร็จ ก็เอานิ้วออก แล้วก็ขึ้นทาบทับ จับขวดโค้กน้อยดันเข้าไป
ช้าๆ ชัดๆ จนมันเข้าไปได้เกือบหมด  ผมแอ่นตัวด้วยความเจ็บปวด กอดรัดตัวมันอย่างแน่น
ก้นมันก็ค่อยๆขยับช้าๆ ปากก็ยังคงดูดที่นมอย่างไม่รีบไม่ร้อน ซ้ายที ขวาที จนลืมสิ่งรอบข้าง…


แต่ละที แต่ละครั้งที่ไอ้นั่นมันเข้ามาข้างใน เหมือนกับว่าไอ้โค้กมันทิ้งความรู้สึกอะไรบางอย่างไว้ด้วย


“อั๊ก .. อึก อึก ฮือ”


พอทำไปถึงระดับนึง ความเจ็บมันก็ยังคงมีอยู่ ความเสียวมันก็เข้ามานิดๆ ตามประสาคนที่เคย
มาบ้างอะนะ ไอ้ตัวดีเหมือนจะรู้ เพราะคงเห็นปลาโค่ยผมแปลงร่างกลับมาแข็งขันเหมือนเดิม
แล้วก็จัดแจงใช้ฝ่ามืออุ่น ขอดเกร็ดเข้าออกไปมา


“อึ๊ก อ่า อะ … ซึ้ดดดด”


… ถ้าสวรรค์มีจริง คืนนี้ ผมกะมันก็คงได้ขึ้นไปเดินเล่นกันสองคนอยู่จนถึงเกือบเช้านั่นล่ะ


.

.

.

.

.


------------------------------------------------>
โปรดติดตาม บ้านพักอลเวงตอนต่อไป

Stp :  ติดเรทไปหน่อยครับ … ? หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ ^^’’
นับถอยหลังอีก 4 ตอน ก็จะถึงตอนจบแล้วครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 17-01-2008 03:33:55
มาจิ้มก่อนอ่าน อิอิ

นาน ๆ ที  :mc4:  :mc4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 17-01-2008 03:54:29
 :o8:  :o8:  :o8:

ในที่สุด ปริ๊นซ์ก็กินโค้กจนได้

หึหึหึ อายแทนน้องปริ๊นซ์จัง ครั้งแรกกะโค้ก

ว่าแต่ว่า โค้กขวดลิตรหรือเปล่าอ่ะ

อิอิอิ สงสารช่องแช่โค้กของปริ๊นซ์จัง

 :mc3:  :mc3:  :mc3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 17-01-2008 04:02:24
 :m25: :m25:  :m25:
อ๊ายยยยยย..โค้กอ่ะ เจี๋ยวแทนเลยอ่า..
เล่นหนีไปสวรรค์กันสองคนเลยนะ..

แต่ที่ชอบคือโค้กเป็นคนละเอียดอ่อนดีนะ..
จำเรื่องราวและวันดีๆกับปริ้นได้แบบน่ารักมาก..
หลงรักโค้ก..ซะแล้วสิ..อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 17-01-2008 04:51:34
รัก และขอบคุณเสมอนะครับ เพื่อนคนเก่งของผม

ว่าแต่อีก 4 ตอนจบ... ทำไมสั้นจังอ่ะ >.<  o2

เขียนให้ยาวกว่านี้เลย  :serius2: ไม่งั้นมีเฮ  :angry2:

รุส :sad2: :serius2: สะเตหยิ่ง พาว่า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 17-01-2008 05:03:33
คุณเตอิ้งทะลึ่งง่า  :o8:

ทำไมมันสั้นจังน้อ  :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 05:22:11
 :o8:  :o8:  :o8:

น้ำตาคลอเบ้าอยู่ดีๆ ตอนโค้กกับปริ้นงอนๆ กัน
ความดีของโค้กชนะใจ ชนะเลิศเลย  รักโค้กกกกกกกกกกกกก

ไม่ทันได้ซึ้งนาน  เริ่มหื่นแตก
โอววววว  น้องโค้กใช้ได้ 5555  เอาอีกๆ 
:m25:  :m25:  :m25:

ปล  ชอบเพลงนี้จัง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 08:10:37
พอดีโรคจิตอ่านอีกรอบ  :m30:
สงสัยว่าปลาโค่ยนี่มันเป็นไงหว่า   :m22:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 17-01-2008 08:23:02
รับบริจาคเลือดด่วย .................. :m25:  :m25:  :m25: :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-01-2008 09:31:14
 :m25:  :m25:  :m25:

ซึ้งปนหื่น  :m20:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 17-01-2008 10:12:33
 :oni2: เพลงเพราะแต่มันเศร้าจัง
รักโค๊กนะ เชียร์โค๊กเท่านั้น
แอบ :m25: ด้วย
ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย พี่เตอิ้งน่ะ :m23:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-01-2008 11:02:26
เพลงเพราะ  :m1:

แอบสงสัยตามพิมพ์เหมือนกันว่าปลาโค่ยมานนห้าตาเปงงานหว่า  :impress:

อีก4ตอนก็จะจบแล้วเหรอ เร็วจัง  :pig4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 17-01-2008 11:54:58
ไม่เรทเท่าไหร่ เคยอ่านที่เรทกว่านี้ (อ้าว  :m30:) ทำไมสั้นจัง จะจบแล้วเหรอ  :o12:

รออ่านรักแท้บทที่ 2 อยู่น้า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 17-01-2008 12:28:39
 :m25: :m25: :m25: :mc3: ในที่สุดรูนั้นก็ได้ใช้อีกครั้ง 55+
 :mc3:

โค้ก น่ารักมากมาย แต่..อ่าว  :a5: จาจบแล้วหรอ ฮือๆๆ :sad2: เศร้าๆ
ยังไงรอก่อนอยู่น้าคับ  :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 17-01-2008 13:22:44
พอดีโรคจิตอ่านอีกรอบ  :m30:
สงสัยว่าปลาโค่ยนี่มันเป็นไงหว่า   :m22:

สงสัยเหมือนกับพี่พิมพ์เลย

ความจริงสงสัยตั้งกะปลาริวซิวแล้ว 
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 17-01-2008 16:14:02
ในฐานะแฟนคลับของโค้ก... ตอนนี้ถูกใจมากกกกกก  o13  o7 o13


ผมคิดแล้วก็เจ็บแปร๊บ ถ้ารู้แบบนี้… กี่ครั้งแล้วนะ ที่ทำให้คนรอบข้างต้องเสียใจกับเพียงแค่อยาก
ประชดประชันคนอื่น  โดยเฉพาะกับคนที่เค้ารักเรา หรือว่าเป็นเพราะเห็นว่าเค้ารักเรา เราถึงคิดว่า
เรามีสิทธิที่จำทำให้เค้าเสียใจได้วะ

เจ็บจี๊ดดดดดเลยครับ...

อ้างถึง
Stp :  ติดเรทไปหน่อยครับ … ? หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ ^^’’
นับถอยหลังอีก 4 ตอน ก็จะถึงตอนจบแล้วครับ

ติดเรทอ่ะไม่ว่าครับ  :o8: แต่ไอ้นับถอยหลังเนี่ย...  :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 17-01-2008 17:41:30
ชอบอ่ะ  :m25: :m25: :m25: ขออีกได้ป่าว หื่นๆอ่ะ  :m23:
ว่าแต่อีก 4 ตอนจะจบแล้วหรอ ไมมันน้อยจังอ่ะ  :m13: ยืดๆหน่อยได้อ่ะป่าว  :m12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 17-01-2008 19:45:01
มีนับถอยหลังด้วย??

งอล..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: jojoe ที่ 17-01-2008 20:03:36
ได้กันเสียที ลุ้นมารตั้งนาน โค้กสู้ๆ o13
นิคก็ดันมาบอกรักอีก ตัวเลือกเยอะขึ้นอีกแล้ว  :o8:
นู๋ปรินส์จะสับสนไหม :serius2:
แต่ โอ็ตทำไมโผล่มาแป๊บเดียว คิดถึงอ่ะ :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-01-2008 20:07:28
 :oni2: :oni2: :oni2: ในที่สุด FC โค้กก็แฮปปี้   :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 17-01-2008 20:41:17
โอ้ยยยยยยยย

ซี้ดดดดดดดดดดดดดด

 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-01-2008 00:41:29
ถูกใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ  :m25:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 18-01-2008 00:46:11
ผมขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ป A หน่อยค้าบบบ

เสียเลือดจะหมดตัวแล้วววว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 18-01-2008 01:33:52
 :m13: มารอตอนต่อไปอย่าทิ้งช่วงนานนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 18-01-2008 02:02:11
 :m30: :m30: :m30: เรทททททค่า

แต่ชอบบบบบบบบบบบ ว่าแต่อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วหรือคะ :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 18-01-2008 04:25:39
.
.
.

“- - วันนี้อ่ะ เป็นวันที่ปริ้นอนุญาตให้ผมไม่ต้องเรียกปริ้นว่าพี่แล้วไงครับ”   โค้กพูดขึ้นมา  ผมรู้สึก
ไอความสุขมันแผ่ออกมาจากตัวมันได้อย่างชัดเจน


“ตอนแรกนะ ผมก็ไม่รู้ ไม่สนใจหรอกนะ ถึงจะเรียกยังไง ผมก็รักปริ้นอยู่ดี  …. แต่พอเอาเข้าจริงๆ
พี่ปริ้น กับ ปริ้น มันแตกต่างกันมากจัง  ”

.
.
.


ใช่คับ ต่างกันมากจริงๆ ด้วย งั้นคราวหน้าไม่ต้องเรียกพี่แล้วเนาะคับ    :m21:


ตั้งใจทำการบ้านนะคับ จะได้ทันส่งอ.
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 18-01-2008 22:01:08
 :m4:
เพิ่งได้มาอ่าน พลาดได้ไงไม่รุอ่ะเรื่องนี้
เอาเป็นว่า อ่านวันเดียว รวดเดียวจบ
ไม่ไปไหนกันเรยทีเดียว
ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: holymist1988 ที่ 18-01-2008 22:05:21
ตอนนี้แอบติเเรทเยอะเลยน่ะเนี่ย จาว่าไป ไม่แอบมากกว่า 555+ :m25: :m25: :m25:

ตอนนี้สุดซึ้งเลยคับ

ใกล้จาจบแล้วเหรอคับ ไม่อาวววอ่ะ อยากอ่านต่อไปอีกนานๆ :m15:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 19-01-2008 00:09:33
นั่งรอโอ้ต ครับ

อีก 4 ตอนเอง ทำไม สั้นจัง - -* :o :o :o

ขอให้โอ้ตสมหวัง สาธุ :oni3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Zodiac ที่ 19-01-2008 23:49:35
อู้ย พี่เตอิ้ง อีก 4 ตอนน้อยไปหรือเปล่า
ยืดๆหน่อยดิค้าบ ไม่อยากให้จบเร็วๆเลย ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 20-01-2008 03:26:54
โค๊ก ---โค๊กลิตร
      ---โค๊กพี่บิ๊ก
      ---โค๊กน้อย
      ---โค๊กแคน

รับโค๊กไซร์ไหนดีค้าบ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 20-01-2008 10:15:34
เมื่อวานผมกลับไปอ่าน บ้านพักฯ ตอนสุดท้ายของภาคที่แล้ว (Holy Night)
ยังประทับใจไม่หายเลย

ทำไมโค้กมานดีแบบนี้อ่า ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากปริ้นเลย
คราวที่แล้ว ตอนที่รู้ว่า ปริ้น เคยเป็นแฟนกับโอ้ต ก็ไม่ได้โว้ยวายอะไร
ตอนนี้ก็แบบว่ายอม ปริ้น ตลอด

ว่าแต่เหลืออีก 4 ตอนเองเหรอ
คุณเตอิ้งยืดหน่อยได้มั้ยอ่า

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: remainder.t ที่ 20-01-2008 13:14:09
 :a2:ยังไงก็โค้ก เชียร์สุดริด(ห้ามแต่งให้โค้กมีอันเป็นไปนะ กัวจิงๆ)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 21-01-2008 02:20:11
 o13 o13 o13

รอนะคับ มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-01-2008 10:35:25
 :impress: :impress: :impress:

โค๊กสมควรได้สิ่งนี้นานแล้วครับ

รักโค๊กนะครับผม พี่โอ๊ตหายไปไหนอะครับ

รักทุกคนเลย

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 22-01-2008 21:13:17

โอโมะ ๆ  :m30:

หื่นกระจายเลยวุ้ย ตอนนี้  :m25: เลือดจาหมดตัว  :m4:

แต่อีกแค่ 4 ตอนจะจบแล้วรึ  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 23-01-2008 21:35:22
ดันคับ

ค่อยๆดันอ่ะ

พี่ปริ๊นเจ็บเมื่อไหร่ก้อบอกนะ

ก๊ากกกก~*  :m20:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: holymist1988 ที่ 25-01-2008 23:40:00
รอคร๊าบบบบบบ ยังรออ่านอยู่เหมือนเดิม เข้ามาเช็คทุกวันเลย ว่า เมื่อไหร่จะลงตอนต่อไปซักที

แต่อีก4ตอน ไม่ยอมอ่ะ ต่อไปนานๆม่าได้เหรอ เอาแบบไม่มีวันจบ แบบโดราเอมอนอ่ะ

(เกินไปป่าวหว่า 555+)

 :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 26-01-2008 01:19:24
พี่ปริ้นเงียบหายไปเลย เป็นไรป่าวก้อไม่รู้ เป็นห๊วง เป็นห่วง

มารออ่านตลอดนะคับ  :oni1:  :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 26-01-2008 10:33:58
พี่ปริ้นเงียบหายไปเลย เป็นไรป่าวก้อไม่รู้ เป็นห๊วง เป็นห่วง

มารออ่านตลอดนะคับ  :oni1:  :oni1:
คับ
ไม่รู้โดนข้อหาพรากผู้เยาว์อยู่สภอ.ไหนแถวๆเชียงใหม่รึป่าวเนอะ เปนห๊วง เปนห่วง 555+  :m14:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 26-01-2008 13:47:07
เข้ามาบอกว่า ยังรอการกลับมาต่ออยู่นะค้าบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 27-01-2008 12:19:34
รอน๊า  :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 27-01-2008 13:27:22
ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มารอด้วยคนคับ  :m23:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 27-01-2008 13:34:47
 :m22:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 28-01-2008 08:08:10
เติมเลือดด่วน   :m25:

เลือดหื่นหมดตัวแล้ว

ว่าแต่ว่า เตอิ้งอย่าเพิ่งรีบจบเลยน้า  ยืด ๆ ต่อไปอีกซัก 10 ตอนแล้วกันนะ

ยังชอบอ่านเรื่องของเตอิ้งอยู่เลยอ่ะ  อ่านแล้วเห็นความดีของโค้กมากๆ เลย

มาต่อไว ๆ น้า รออยู่จ้า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 29-01-2008 09:08:59
ยังไม่มาอีก  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 29-01-2008 10:10:26
ไม่ได้เข้ามาซะนาน ..ยังไม่มาอีกหรอ   :o  รออยู่เน้อ   :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 30-01-2008 22:00:33
 :o8:



หายไปเกือบสองอาทิตย์เลย แฮะๆ ขออภัยค๊าบ สัปดาห์ที่ผ่านมากับสัปดาห์นี้
ผมต้องทำโปรเจ็คส่งอาจารย์ตลอดเลย ถ้าหมดวันเสาร์นี้ไปได้ ก็จะเหลือแค่ตัวเดียว
ซึ่งก็ไม่มีอะไรต้องรีบเร่งแล้วครับ

สรุปแล้วคือ ผมคงจะมาต่อเรื่องได้ ภายในอาทิตย์หน้าแน่นอนค๊าบ ขออภัย
และมาแจ้งข่าวคับ


อย่าพึ่งรมณ์เสียกันน้า :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 30-01-2008 22:07:22
^
^
^

 :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 03-02-2008 21:52:06
ติดตามพี่เตอิ้งมานานมากกกกกก ประมาณ3ปีได้แล้วมั๊งครับ ตั้งกะบอร์ดปาล์มโน่น แบบว่าซึ้งมากเลยครับ เหมือนได้อ่านชีวิตคนๆนึงเลย  :m1:

ในรูปของพี่เตอิ่งนั้นตัวจริงป่ะครับ น่ารักจัง >____< :o8:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-02-2008 05:38:18
“อือออออ ………”


นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มันขาดหายไป… ความรู้สึกที่ผมมีให้กับคนหนึ่งคน
ที่จะคอยอยู่เคียงข้างกัน ความรู้สึกที่เพื่อน … พี่ … หรือว่าน้องคนไหนก็ให้เราไม่ได้ ความรู้สึกมั่นคง
ที่ผ่านอ้อมแขนที่พาดพิงอยู่บนหน้าอก เสียงลมหายใจที่แผ่วเบาที่รวยรินอยู่ข้างลำคอ มันทำให้รู้ว่า
สิ่งนั้นมีอยู่จริงสำหรับผม


ในที่สุดผมก็รู้สึกถึงคำว่ารักที่มีให้กับไอ้คนที่นอนเอาหน้าซบอยู่ข้างๆ ความรักที่ไม่ได้เป็นแค่น้องชาย
เพื่อนสนิท หรือว่าคนที่อยู่เพื่อคลายเหงาไปวันๆ


ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้เข็มนาฬิกาหยุดเดิน … อยากให้ทุกสรรพสิ่งรอบข้างเคลื่อนที่ช้าลงอีกนิด
เพื่อจะได้มีเวลาตักตวงความสุขแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน  ความรู้สึกที่อยากจะหยุดทุกสิ่งอย่าง ทำให้
ได้รู้อย่างนึงว่า …


ผมเหนื่อยมาพอแล้ว … ถึงตอนนี้คงได้เวลาที่หยุดอยู่กับใครซักที … ไม่ต้องค้นหา… ไม่อยากวิ่งตาม
…หรือว่าวิ่งหนี แล้วก็ถึงเวลาที่จะปล่อยให้อดีตที่เจ็บช้ำเพราะความรัก…ได้นอนหลับพักผ่อนอยู่
ใต้ก้นบึ้งแห่งจิตใจซะที


มือค่อยๆเลื่อนไปลูบเส้นผมโค้กอย่างถนุถนอม ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ แต่ใบหน้าของโค้กมันลอยเด่นขึ้นมา
อยู่ในห้วงสำนึก … ถ้าเป็นคนๆนี้ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้………


ตี้ดด …. ตี้ดดด ……. ตี้ดดดดดดดด


ผมหดมือกลับมาที่เดิม รอให้เจ้าของโทรศัพท์ที่นอนซุกอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาเอง  เหลือบไปมองเวลาเกือบจะตี 5


ใครกันวะ โทรมาเวลานี้ ?  ผมคิดในใจ พลางเอามือเขย่าตัวโค้กสองสามที


“โทรสับ”


“ฮืม …” มันทำเสียงงัวงัวจังงัง ก่อนจะพลิกตัวกลับไปแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ ควานสะเปะสะปะ จนไปปัดเอา
มือถือร่วงลงพื้น


มันสบถเบาๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูว่าเป็นใครโทรมาก่อนจะกดรับสาย


เสียงผู้หญิงแว่วๆเข้ามาให้โสตประสาทอย่างเลื่อนลาง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร กลับพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมา
คลุมโปงหลับต่อ รู้สึกได้ว่าไอ้โค้กลุกขึ้นจากที่นอน ก่อนจะเลื่อนประตูกระจกออกไปคุยตรงระเบียง จากนั้น
ผมก็จมลงสู่ห้วงความหลับไหลอีกครั้ง

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.


ตึกระฟ้าที่อยู่รอบตัวดูคุ้นตาผมยิ่งนัก แต่ก็นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกซะที แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหนกันวะ
ผู้คนรอบข้างเดินสวนกันไปมาอย่างรีบเร่ง ก่อนจะรู้ตัวดี ผมก็รู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่บนถนนที่มีปลายทาง
ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งเดินไปข้างหน้า ผู้คนก็เริ่มบางตา ระดับของอาคารรอบข้างเริ่มกลางเป็นบ้านคน
แล้วก็ร้านรวงแปลกตา


ผมเดินมาซักพักนึงก็เห็นผู้คนรอบข้างหันขึ้นไปมองในทิศทางเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เอามือปิดปาก
ด้วยความตกใจและหวาดกลัว แต่สายตายังคงจับจ้องไปบนตึกด้านตรงกันข้ามของฝั่งถนน ผมมองตาม
ขึ้นไป


เบื้องบนใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบดาดฟ้าที่สูงราวตึก 10 ชั้น ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไร ร่างนั้นก็ทิ้งดิ่งลงมา
รู้สึกได้ว่าตัวเองอ้าปากค้าง ตะโกนออกมาด้วยตื่นตะหนก แต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมา กลับมีเสียงผู้คน
รอบข้างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ร่างนั้นทิ้งตัวลงมาใกล้ผมจนรู้สึกได้ว่าอีกไม่กี่เซนติเมตร เค้าอาจจะ
หล่นลงมาทันตัวผมก็ได้


ตั้บบบบบบบบ …..


ผมบังคับให้หันมองไปทางอื่น แต่เสียงที่เกิดจากแรงกระทบบนถนนกลับดังก้องแทงทะลุเข้าไปยังโสตประสาท
เนิ่นนาน ผมรู้สึกว่าร่างนั้นค่อยๆขยับมืออย่างสิ้นเรี่ยวแรงแล้วก็วางแหมะลงที่เท้าของผม


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


ผมรู้สึกว่าเสียงหัวใจของตัวเองเต้นจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากตัว รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่บริเวณแผ่นหลัง
สายตาจับจ้องไปบนเพดานสั่นระริก …


ฝันเชี่ยอะไรวะ ! น่ากลัวชิบ



กรี้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


ผมสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อเสียงกริ่งนาฬิกาปลุกดังขึ้นใกล้ๆหูตัวเอง จำได้ว่าไม่ได้ตั้งเอาไว้นี่หว่า รู้สึกอีกที
ที่นอนโค้กนั้นว่างเปล่า สงสัยมันจะตั้งไว้กลัวผมตื่นสายมั้ง


- ผมรีบออกมาทำธุระ เลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ … ถ้าตกใจขอโทษนะ -


กระดาษโน้ตที่วางเอาไว้บนโต๊ะกินข้าว ทำเอาผมเคืองมันไม่ลงจริงๆ ดันรู้ดีอีกว่า ผมต้องตกใจตื่นเพราะเสียง
แสบแก้วหูของนาฬิกาเวรนั่น


เช้านี้กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวได้ก็นานกว่าปกติ รู้สึกเจ็บช่วงล่างชิบเป๋ง รู้งี้เมื่อคืนไม่น่ายอมให้โค้กมันซัด
ไป 3 ยกเลยกู แค่เดินก็รู้สึกหน่วงๆที่ …. !?


เฮ้อ !! จะมีใครเห็นกูเดินขาถ่างม่ะเนี่ย


.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.


30 นาทีต่อมา ผมเลี้ยวรถเข้าไปในโรงเรียน กว่าจะผ่านยามหน้าจวักเข้าไปได้ ต้องอธิบายกันอยู่นาน เพราะ
วันแรกไม่ได้เอารถมานี่หว่า


“แบงค์… แบงค์สอนเด็กชั้นไหนอ่ะ ” ผมทักเด็กฝึกสอนรุ่นน้องที่เดินเข้าห้องมาหลังจากไปดูเด็กเข้าแถว


“ม. 3  กับ ม. 6 ครับ ทำไมเหรอ ? ”


“อ่อ.. เมื่อวานพี่ยึดมือถือเด็กมาได้อ่ะ แล้วยังไม่ได้คืน”


“อ้าว งี้ส่งให้ปกครองเลยพี่ ไอ้เด็กพวกนี้ต้องใช้ไม้แข็ง”  ว่าที่ครูจอมโหดตัดบท


“เออ.. อย่าพึ่งเล่นลูกโหดดิ เอาไว้ถ้าจับได้คราวหน้า ค่อยยึดล่ะกัน คราวนี้ว่าจะคืนให้ก่อน”  ผมว่าก่อนจะ
กดเปิดมือถือขึ้นมา …ข้อความที่ไม่ได้รับบานเลย


“พี่ปริ้นนี่ถ้าเป็นครูเด็กมันคงชอบนะ ใจดีไปม๊าง” แบงค์บอกขำๆ ผมได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็คิดในใจ
ดีบ้าบอไร เกือบได้ต่อยหน้าเด็กกวนตีนอะเซ่ะ


“แล้วพี่จำมันได้เหรอ”


“อืม เห็นเพื่อน(?) มันเรียกว่า ปิงปอง”  ผมเดาจากการที่รับสายเมื่อวานนี้


แบงค์ทำหน้าคิดพักใหญ่ แล้วก็เดินไปเปิดสมุดบัญชีหนังหมาของมันขึ้นมา


“ผมก็ไม่ได้สอนทุกห้องด้วยดิ เด๋วขอเปิดดูรายชื่อแป็บนึง” มันว่า แล้วก็ไล่สายตาลงไปดูรายชื่อแต่ละห้อง
ที่มันสอน  ผมเดินเข้าไปดูข้างหลัง ไอ้แบงค์นี่ละเอียดใช้ได้เลย ให้เด็กเขียนชื่อจริงชื่อเล่น ที่อยู่ อีเมล์
เอาไว้หมด


“อ๊ะ …!”


เสียงใครซักคนอุทานดังพอที่ผมกะแบงค์หันไปหา เห็นเด็กม.6 คนนึงหยุดค้างอยู่ที่หน้าประตู สีหน้า
เหมือนพยายามจะถามว่า ผมเข้ามาขัดจังหวะ เหรอเปล่า … สงสัยมันเห็นผมยืนประกบอยู่ข้างหลัง
ไอ้แบงค์ใกล้ไปหน่อยมั้ง เลยเข้าใจผิด


“เอ้า … ยืนอึ้งอยู่ได้ มีอะไร”  แบงค์ทักเด็กเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สงสัยมันก็ไม่ได้คิดอะไรมากมั้ง


“อะ เออ… พี่ที่เป็นช่างคอมฯอยู่ป่ะคับ”  โห มันเรียกตำแหน่งผมได้ไก่กาอาราเล่มากๆอ่ะ


“ครับ ” ผมตอบกลับไป ไอ้เด็กนักเรียนหน้าเข้มสบตาผมแว่บนึง ก่อนจะยกมือไหว้


“ขอโทษครับ คือ …ผมมาขอมือถือคืนหน่ะครับ”


ผมสบตากะไอ้แบงค์


“ทำไมไม่ให้เจ้าตัวมาขอคืนเองล่ะ ”แบงค์มันชิงตัดหน้าพูดไปก่อนประหนึ่งว่ามันเคยเห็นเจ้าของเครื่องตัวจริง
ซะอย่างงั้น


“คือมันไม่กล้า.. ”ไอ้หน้าเข้มบอกพลางสบตาผมแล้วก็รีบก้มหน้ารับผิด


“ตอนจะทำผิดอ่ะไม่เห็นคิดได้แบบนี้เลยนี่หว่า  แบงค์มันบ่นใส่ แล้วเราเป็นอะไรกะมันล่ะเนี่ย
ถึงมายืนโดนด่าแทนอ่ะ”


เด็กที่ดูแล้วคาดว่าจะอยู่ชั้นปีที่สูงกว่าเจ้าของเครื่องที่ชื่อ ปิงปอง ยืนสลดเหมือนไม่รู้จะตอบว่าอะไร


“เออ..ปฐมวรรธน์เค้าเป็นน้องในวงอ่ะครับ” มันตอบไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ผมสังเกตว่าหน้ามันเริ่ม
แดงเรื่อๆ อย่างไม่ไหวจะคุม


“อ่อ นึกออกแล้วพี่ ” แบงค์มันหันมาทางผม แล้วก็กระซิบบอก


“นึกออกแระ ไอ้นี่ผมก็สอน เกรียนนิดๆ แต่โดยรวมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
ก่อนที่จะเดินไปหอบเอกสารบนโต๊ะเพื่อที่จะไปสอนคาบแรก


“งั้นก็ขอกับพี่เค้าเองล่ะกัน ” แบงค์บอกกับเด็กหน้าเข้มที่ยืนจ๋อยแทนน้องอยู่ข้างหน้า แล้วก็ตบบ่า
สั่งเสีย เฮ่ย ไอ้ห่าแบงค์ ทำเหมือนกูเป็นเจ้าหน้าที่ประหารซะเยี่ยงนั้น พอแบงค์มันออกไป ในห้อง
พักครูก็เหลือมันกะผมสองคน เท่านั้นล่ะ ไอ้หน้าเข้มก็เดินเข้ามาหาผมพลางส่งตาเป็นประกายวิ้งๆ
เรียกร้องขอความเห็นใจทันที


เออ… ยะ อย่าทำสายตาแบบนั้นนะ เด๋วกูจับกินซะนี่ อันนี้คิดในใจ แต่ร่างกายดันไม่รักดีมีปฏิกิริยา


“ผมขอคืนนะคับ” วิ้ง วิ้ง วิ้ง  มันพูดพลางส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้  ชิบหายแล้ว ถ้ากูเป็นผู้ชายธรรมดา
มีหวังมึงโดนเหยียบหน้าไปแล้วนะ มาทำตาอ้อน(ตีน)แบบนี้ใส่อยู่ได้


“คราวหน้าก็เตือนๆน้องมันบ้าง ทำอะไรผิดไปแล้วมันจะกลับมาแก้ทีหลัง มันลำบากทั้งคนทำโทษ
ทั้งคนโดนลงโทษนั่นล่ะ … เจอทีหลังไม่ใจดีแบบนี้แล้วนะ”


ผมว่าพลางส่งมือถือคืนให้เด็กหน้าเข้ม มันรับของไว้แล้วก็ยิ้มดีใจสุดแสนเหมือนกับว่าเป็นของตัวเองงั้นล่ะ
แล้วก็ก้มลงยกมือไหว้ผมแทบจะติดพื้นเลยทีเดียวเชียว


“ขอบคุณค๊าบบบบบบ… คราวหน้าผมจะสอนมันอย่างดีเลย  มันว่า อ่า… ถ้าอาจารย์ เอ้ย พี่มีปัญหาอะไร
ให้ผมรับใช้ เรียกชานนท์ได้เลยนะคับ ผมเต็มใจบริการ”


“อะ เออ…”


“เรียกว่าเอ็กซ์ก็ได้ครับ”


“อะ อืมม งั้นก็ไปได้แล้ว อย่าให้อาจารย์คนอื่นเห็นล่ะ   ”


เด็กหน้าเข้มรับคำก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมยืนถอนใจบวกทำใจกับ
ความน่ารักน่าชังของมันไปพักใหญ่ (ซะอย่างงั้น)


“ตกลงให้มันไปเปล่าพี่ ”  แบงค์ถามหลังจากได้เวลาพักเที่ยง มันเดินเข้ามาหาผมที่ห้องคอมพิวเตอร์ก่อนจะ
ชวนกันไปกินข้าวข้างนอกกัน


“อืม สงสาร ”


“อะนะ … ใจดี้ ใจดีเนอะคนเรา”


“เอาน่า ไม่ได้เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรนี่นา ให้ได้ก็ให้มันไป โตๆกันแล้วด้วย”  ผมว่า ก่อนจะพากันเดินออก
ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันแถวๆข้างโรงเรียน  หลังจากนั้นตลอดทั้งวัน ผมก็แทบจะวิ่งวุ่นไม่รู้จบ เพราะต้องคอย
เดินไปตามแผนกต่างๆ เท่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะไปฝังตัวอยู่ได้ เพื่อคอยแก้ไขตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่าง
การลืมเสียบปลั๊กเครื่องพริ้นเตอร์แล้วบอกว่าเครื่องเสีย ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างการกู้ข้อมูลใน Harddisk


ตกเย็น ผมแทบคลานกับมาถึงห้องก็หลับเป็นตาย เหนื่อยยิ่งกว่าทำงานที่บริษัทซะอีก เมื่อไหร่จะได้กลับ
มาทำที่ตึกซะทีวะ


ตื่นขึ้นมาอีกที ห้องทั้งห้องก็มืดมิดไปหมด กดมือถือดูเวลาทุ่มกว่าแล้ว ทำไมโค้กมันยังไม่กลับซะทีนะ
นึกไปนึกว่า ก็สงสัยตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ว่าทิ้งรถไว้ให้เราแล้วก็ออกไปแต่เช้า มีเรื่องด่วนอะไรเหรอเปล่าหว่า


ผมสบัดหัวไล่ความง่วงออกไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นยังพอมีอะไรให้ยาใส้อยู่บ้าง
หยิบเอาปลาหิมะที่เหลืออยู่สองชิ้น คิดในใจวันนี้กินปลาหิมะย่างดีกว่า ว่าแล้วก็เปิด microwave defrost
ซะเลย ผมผิวปากไป ก่อนจะจับเอาปลาออกมาจากตู้ แล้วก็โยนลงกะทะ เอาเกลือป่นโรยทั้งสองด้าน
เสร็จแล้วก็จัดการ ใส่ microwave อีกรอบ ค่อย ๆ ปิ้งไปซักเจ็ดนาทีก็แล้วกัน อีกซีกก็สัก 5 นาที ปิ้งนานไป
เดี๋ยวน้ำระเหย ไม่อร่อย !!


เปิดตู้เย็นอีกรอบคุ้ย ๆไปได้ไอ้ gindara yakiมาซองนึง แล้วก็โรยปลาคัตทสึโอะซะหน่อย ก็ได้เมนูอาหาร
แบบลวกๆมาอย่างหรู


นานๆทำกับข้าวกินเองก็สนุกไปอีกแบบแฮะ นึกถึงหน้าไอ้โค้กตอนกลับมาแล้วประหลาดใจ
แล้วก็ส่งเสียงถามว่า นี่ปริ้นทำเองเหรอเนี่ย !! แล้วก็เดินเข้ามาหอมกอด ก็อดเขินคนเดียวไม่ได้แฮะ
เออ … กูเป็นอะไรไปเนี่ย โดนเอาวันเดียว วิญญาณแม่บ้านผู้แสนดีเข้าสิงเหรอฟ่ะ !?


“โครกกก …. โครกกกก”


เสียงท้องร้องอุธรณ์ พร้อมกับเวลาที่ล่วงผ่านมาจนเกือบสี่ทุ่ม ว่าจะโทรศัพท์ไปถามว่าอยู่ที่ไหน ก็เกรงใจ
กลัวติดงานอยู่ ได้แต่นั่งรอดูทีวีไปพลาง จนได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ก่อนเสียงไขกุญแจเบาๆ ผมก็เลย
เดินเข้าไปในครัวว่าจะเอาปลาเข้าไปอุ่นในเวฟอีกรอบ


“โค้ก …ทำกับข้าวไว้ในครัวนะ หิวจะแย่อยู่แล้ววววววว” ผมลากเสียงยาว แต่ปลายทางกลับเงียบสนิท
ไม่มีเสียงตอบรับ


อะไรของมันวะ   ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด พร้อมๆกับท้องที่เริ่มร้องขึ้นมาอีกรอบแล้ว


“โค้ก ทำอะไร  - - - - - - ” พูดยังไม่ทันจบ โค้กมันก็เดินอาดๆเข้ามาในครัว สีหน้ามันดูไม่ดีเป็นอย่างมาก


“เฮ่ย .. เป็นอะไรอ่ะ”   ผมถามด้วยความเป็นห่วงเดินเข้าไปจับลูบแก้มมันเบาๆ  เห็นหน้ามันแล้ว ด่าไม่ออกเลย


ไอ้โค้กส่ายหน้าก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆมาให้


“ไม่… ไม่มีอะไรหรอกครับ  กินข้าวเถอะ ” มันจับมือที่ลูบอยู่ลง แล้วก็จูงมาที่โต๊ะกินข้าว ผมก็เดินไปนั่งฝั่ง
ตรงข้ามมัน แล้วหยิบปลาหิมะย่างออกมาจากเวฟ พอผมวางลงบนโต๊ะ โค้กมันก็ได้แต่จ้องมองปลาหิมะ
ที่วางอย่างหมดท่าอย่างเหม่อลอย


“โค้ก ..  ”


ไอ้โค้กมันเอาช้อนไปเขี่ยๆที่ปลา แล้วก็วนไปมาในจาน สายตาของมันกลับยิ่งเศร้าหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าผม
ไม่ตาฝาด เริ่มมีอะไรน้ำใสๆอยู่ที่ขอบตาของมัน


“ตอนผมเด็กๆนะ แม่ก็ชอบทำปลาย่างให้กินเสมอเลย ” โค้กค่อยๆพูดขึ้นมาทำเอาผมแปลกใจอยู่พอสมควร
จนต้องมองหน้ามัน


โค้กพูดเรื่องครอบครัวที่มีพ่อ แม่ แล้วก็น้องสาวของมันน้อยครั้งมาก นับตั้งแต่สมัยตอนม. ปลายที่มันต้อง
นอนอยู่โรงพยาบาลเรื่องที่ขาเจ็บ ก็ไม่มีคนที่บ้านมาเฝ้ามันซักคน มีแต่เพียงแม่บ้านแก่ๆเพียงคนเดียว และ
ตั้งแต่ขึ้นปี 2 โค้กมันก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องที่บ้านมันมาจนถึงตอนนี้ หลังจากที่ครอบครัวมันพากันย้ายไปอยู่
ที่อเมริกา


ผมเคยถามมันว่า แล้วไม่คิดถึงเหรอ  ไอ้โค้กไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหน้า พลางบอกกับว่า “ผมมีปริ้นอยู่ทั้งคน
ผมไม่เหงาหรอก


แต่ผมรู้  ลึกๆในใจ มันคิดถึง มันห่วงหาครอบครัวมันมาตลอด … ในบางคืน มันยังเคยละเมอถึงแม่บ่อยๆ
ไม่นับถึงเวลาที่แม่มันโทรมาหานานๆครั้ง วันนั้นทั้งวัน มันจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


“โค้ก … - - มีอะไรเหรอเปล่า”  ผมเอื้อมมือไปจับมือมันไว้ แล้วจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาที่เออท้นไปด้วยน้ำตา


“มะ เมื่อเช้า … พ่อกับแม่ผม - - ฮึก - - ขะ ขับรถออกจะไปทำงาน แล้ว - - - - ฮึก ฮึก”


โค้กพูดไม่จบ หยดน้ำตาใสก็ร่วงลงบนจานข้าวออกมาทีละหยด แล้วก็ไหลลงมาเป็นทางยาว มันก้มหน้า
แล้วเอามือกุมหัวไว้  ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดอย่างตกใจระคนสงสาร  โค้กนั่งที่เก้าอี้แล้วก็เอามือสวมกอด
ที่เอวผมเบาๆ เอาหน้าซุกไว้ที่หน้าท้องสะอึกสะอื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้  ผมได้แต่เอามือตบหลัง
แล้วก็ลูบหัวปลอบอย่างไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง


“- - แม่อยู่ในห้องไอซียูอยู่เลยปริ้น …..ตะ - - แต่ ฮึก ฮึก - - พ่อ พ่อตายแล้ว ฮึก - - พะ พ่อ ตายแล้ว
ปริ้น ฮึก ฮึก”


คำแต่ละคำที่โค้กพูดออกมาช่างยากเย็น และกรีดแทงตัวเองอย่างแสนสาหัส  ผมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้
ตามไปกับโค้ก แต่ตอนนี้ผมต้องเข้มแข็ง


“มะ - - ไม่เป็นไรนะโค้ก …. ไม่เป็นไรนะ พ่อเค้าไปดีแล้ว นะ…. คะ โค้ก”  ผมรู้สึกได้ว่าตัวมันสั่นระริก
ไม่หยุด คงเก็บความรู้สึกเศร้าเสียใจไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว มันทนได้ยังไงนะ … ความเสียใจที่สุดในชีวิต
ครั้งนี้


“ปะ ปริ้น - - ไป - - ผม - - ผม”  โค้กพูดเสียงสั่นเครือ ตาแดงก่ำ


“ผม - - ต้อง - - ฮึก - - ต้องกลับไปหาแม่ - - ”


คำพูดที่หลุดออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของโค้ก เป็นเหมือนหอกแหลมพุ่งตรงเข้าทำลายทำนบที่กั้น
ความเข้มแข็งของผมลงอย่างง่ายดาย


รู้ตัวอีกที น้ำตาของตัวเองก็หยดลงบนผมที่นุ่มเหมือนไหมดำขลับของโค้กที่นั่งสะอื้นอยู่เบื้องล่าง


หรือว่า … สิ่งที่ผมหวังไว้ … เวลาของผมยังไม่มาถึง … เวลาที่ผมจะได้หยุดพักกับใครซักคน … ยังคงมาไม่ถึง


.

.

.

.

.

.

.

.

------------------------------------------------>

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวงตอนต่อไป

Stp :  …….. คำสัญญา …. คือ สิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย ?  แล้วถ้าทำไม่ได้ …. จะสัญญาไปทำไม ?
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-02-2008 05:48:14
เหอๆ เรื่องนี้เคยอ่านแรกๆ แล้วลืมไปว่ามาต่ออีก จะพยายามตามเก็บให้หมดจ้า  :m23: :m23: หม่องพิมบอกว่าให้อ่านเรื่องนี้  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 05-02-2008 06:07:33
 :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-02-2008 06:10:59
เศร้า  :m15:  :m15:
สงสารโค้กที่แสนดี  สงสารปริ้นที่เพิ่งรู้ใจตัวเอง

แสดงว่าโค้กต้องกลับไปหาแม่  ไมได้อยู่กับปริ้นละสิ
รอวันกลับมาเจอเพื่อรักกันอีกครั้ง  รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง

  o7  o7  o7  o7  o7

รออ่านต่อน้า  เตอิ้ง รูปน่ารักเนอะ  :m1:

ปล  เหม่งหนึ่ง  รีบๆ ตามอ่านเข้า  เด๋วมันจะจบไปก่อน  :m20:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 05-02-2008 06:20:13
กว่าจะมาต่อได้ โอ !  o7

เศร้าจริง ๆ เลย  :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 05-02-2008 06:20:53
เข้าสู่โหมดเศร้าอีกแย้วววววววว  :m15: สางสารโค้ก
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 05-02-2008 07:17:58
น่าสงสารโค้กจังเลย เหตุการณ์แบบนี้มีแต่ความสูญเสียเนอะ  :m15:

สงสารพี่ปริ้นซ์ด้วย ที่รู้ใจตัวเองช้าไป

แบบนี้ โค้กก็ต้องไปอเมริกาแล้วสิ แล้วพี่ปริ้นซ์จะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย

ปล. ดูท่า เด็กคนที่มาเอามือถือคืน จะทำให้พี่ปริ้นซ์หวั่นไหวซะล่ะมั้ง  :m1:

รออ่านตอนต่อไปนะค้าบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 05-02-2008 07:31:21
ความสุขอันแสนสั้น :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 05-02-2008 07:56:01
 :oni1: :oni2:


 :a5: :o :serius2: :o12: :sad2:


ปวดใจรับอรุณเลยตู
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 05-02-2008 10:51:39
คุณเตอิ้งคงไม่ใช่จะมีเหตุเครื่องบินตก พายุเข้าที่เมกาหรอกนะ ไม่อาววววว  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 05-02-2008 10:56:12
ชื่อเด็กกลุ่มนั้นมัน...รักแห่งสยามชัดๆ
แต่Location คือ อัสสัมชัญยกไปเซนต์คาเบรียล?

ปลาหิมะนี่รู้นะว่าเอามาจากไหน หุหุหุ
Hint : A6061864 หึหึหึ

ขอบคุณเจ้าพ่อด้วยนะครับที่ถามปุ๊บตอบปั๊บ
โค้กจะไปอเมริกา...ไปหา"พี่รัญ"สินะ T-T
อ่อเริ่มระลึกได้ว่า...มิน่าเมื่อสามปีก่อนเตอิ้งถึงได้พูด
ถามเรื่องนั้นกับเรา...

ว่าแต่พี่เอกของผมก็อยู่ที่ New York นะ
เตอิ้งจะไปไหม ตั๋วไปกลับ 53,000 บาท

รัก คิดถึงเพื่อนคนเก่ง สู้ๆนะรายงาน
แล้วจะโทรไปหา เหงาก็โทรมาคุยนะ...

รักเสมอ

จาก...เพื่อนคนนึง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ballza ที่ 05-02-2008 12:41:36
 :m15: :o12: :sad2:
เปิดอ่านเรื่องไหน เสียน้ำตาทุกเรื่องเลย 
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Yakult ที่ 05-02-2008 12:52:22
สวัสดีครับ อ่านมานานแล้วแต่ยังไม่ได้เม้นเลย ชอบเรื่องนี้ของพี่เตอิ้งมาก

มีหลายอารมณ์เลย (แต่ไม่ชอบฉากเศร้าเลยอะ ร้องไห้จนเหนื่อยเลยอ่ะ  :sad2:)

อ่านมาหลายที่แล้ว เพิ่งจะมาอ่านทันล่าสุดที่บอร์ดนี้ สงสารโค้กอะคับ คนอะไรรักจริง

รอความรักมาได้ตั้งนาน และก็รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง (แอบเคืองปริ๊นที่กว่าจะรักโค้กได้ ตั้งภาคสุดท้าย)

แต่ผมขอได้ไหมพี่ค๊าบ อย่าจบแบบเศร้าเลยนะ ฮือๆ แบบว่ามันเศร้ามากเลยอะ  o7 o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 05-02-2008 15:15:27
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับผม สงสารโค๊กอะครับ

แล้วพี่โอ๊ตไปไหนอะครับ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 05-02-2008 15:57:49
ชีวิตคนเราาาาาาาาาาาาาาาาาาาา  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 05-02-2008 17:23:36
เอ่อ แล้วโค้กจะทำไงต่อไปอ่ะ

เศร้าอีกแล้ว  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Zodiac ที่ 05-02-2008 17:55:39
เศร้าจังเลยอ่า :m15:
แล้วอย่างงี้ปริ้นจะทำยังไงต่อไปหละ
ต้องอยู่อย่างเหงาๆหรือเปล่า ...

สุดท้าย รอพี่เตอิ้งต่อไปครับ ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 05-02-2008 19:13:59
 :m15:  ฮือออออออออ เศร้าใจ ฮืออออออออ สงสาร โค้กนะ ปริ้นด้วย :sad2: :o12:

งั้นโค้กก็ไป เมกา อ่ะดิ เงี้ย :sad2:

เอาเถอะ คอยพี่เตอิ้งมาต่อละกัน มะอยากเดา (เรื่องเพ่หักมุม ตลอด :a5:) :m12:

ปล. รักงานเขียน พี่ม๊ากกกกกมากกก :m1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: naja ที่ 05-02-2008 20:29:50
ทำไมมันเศร้าได้ตลอดเลยวะ  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 05-02-2008 21:00:28

และแล้วเราก็ได้รู้สาเหตุที่โค้กหายไป1ปี..

รู้สึกทั้งโล่งใจทั้งเสียใจพร้อมๆกัน

สงสารโค้ก ทั้งที่พยายามเป็นคนเข้มแข็ง เป็นหลักให้ตัวเองและคนรอบๆข้าง

แต่พอมีเรื่องที่ทำให้เสียใจ การแสร้งว่าตัวเองไม่เป็นอะไรของเค้านี่แหละ T T ที่ทำให้คนอื่นๆกลับยิ่งรู้สึกสงสารโค้กจับใจ

คนเรามันก้อต้องมีช่วงเวลาที่เปราะบางด้วยกันทั้งนั้น ..ไม่ว่าคัยก้อต้องการคนเอาใจใส่

ยังดีที่โค้กมีปริ๊นท์ ที่คอยอยู่เคียงข้าง กอดโค้กไว้ คอยให้กำลังใจเสมอ
แบบเดียวกันกับที่โค้กทำให้ เวลาที่ปริ๊นซ์ต้องเผชิญเรื่องราวร้ายๆ

สองคนนี้ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ทั้งคู่มีกันและกัน

และก้อขอให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไปก็แล้วกันเนอะ (psychoคนเขียนสุดยิด 55+)

รักPRINCE & COKE

รักคนเขียนด้วย แต่คนเขียนรักเด็ก อิอิ..

ขอบคุณมากๆคับ ^ ^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: jonathan2624 ที่ 05-02-2008 22:20:06
ร้องไห้เลยค้าบบบ แงๆๆ  :o12: :o12: จะรออ่านทุกลมหายใจค้าบบบบบ  :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 05-02-2008 23:08:42
อ่า~ พี่เตอิ้งมาอัพตอนใหม่แย้ววว  :oni1:

แต่ทำไมมันต้องเปนอย่างงี้ด้วยนี้  :เฮ้อ: งี้นี้เองที่โค้กหายไป  :sad2:

เศร้าอ่ะๆ สงสารโค้ก สงสารปริ๊น  :serius2: :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-02-2008 23:41:16
บีบคั้นหัวใจสุดๆ :sad2: เข้าใจดค้กน่ะที่ต้องกลับไปหาแม่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 06-02-2008 02:21:27
เรื่องราวใกล้จบเข้าไปทุกที อยากถามเรื่องที่จะรวมเล่มหนังสืออ่ะ ยังสั่งจองได้อยู่ไหมครับ แบบว่าคราวก่อนที่ให้สั่งจองกันอ่ะ ผมยังไม่เข้ามาในเล้าเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 06-02-2008 06:34:28
เสียใจ T^T
อยากได้หนังสือด้วยอ่ะงับ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 06-02-2008 09:38:25
สงสารโค้กอ่า  :m15:

แล้วปริ้นจะทำยังไง



เศร้า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ballza ที่ 06-02-2008 15:49:28
 o7  อ่านตอนแรกๆ ตกใจ นึกว่าโค้กจะ....สะ อีก ตอนนี้โล่งใจละคับ  แต่สงสารโค้กกะปริ้น จัง  เง้อๆๆ :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 06-02-2008 16:23:57
 :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 6 [update 17/01/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 06-02-2008 16:27:15



“ปะ ปริ้น - - ไป - - ผม - - ผม”  โค้กพูดเสียงสั่นเครือ ตาแดงก่ำ


“ผม - - ต้อง - - ฮึก - - ต้องกลับไปหาแม่ - - ”


คำพูดที่หลุดออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของโค้ก เป็นเหมือนหอกแหลมพุ่งตรงเข้าทำลายทำนบที่กั้น
ความเข้มแข็งของผมลงอย่างง่ายดาย


รู้ตัวอีกที น้ำตาของตัวเองก็หยดลงบนผมที่นุ่มเหมือนไหมดำขลับของโค้กที่นั่งสะอื้นอยู่เบื้องล่าง


หรือว่า … สิ่งที่ผมหวังไว้ … เวลาของผมยังไม่มาถึง … เวลาที่ผมจะได้หยุดพักกับใครซักคน … ยังคงมาไม่ถึง


.

.

.

.

.

.


 แล้วปริ้นจะเศร้าไปทำไมครับ ทำไมไม่ไปอเมริกากับโค้กหละครับ... ว่าแต่โค้กอยู่เมืองไหนครับ ซานฟรานป่าว ..  :m12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 06-02-2008 16:57:45
แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


เศร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จัง


พี่เตอิ้งคับ


ไม่เอาจบเศร้า


เด่วร้องไห้ 7 วัน 7 คืน

อิอิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-02-2008 17:42:16
เศร้ากันอีกแล้ว

แงๆ

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 06-02-2008 21:19:52
เศร้า :sad2:

ปล. รอพี่โอ้ตตต
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 06-02-2008 22:56:57
เศร้ากว่านี้มีอีกมั้ยเนี่ยะ..(ประชดนะ)
ทำไม..คนเรากว่าจะรู้ใจตัวเองมันก็เกือบสายหรือสายไปแล้วทุกทีสิน่ะ..
สงสารปริ้นจับใจเลย..เห็นใจโค้กสุดสุด..เฮ้อ..เศร้า :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-02-2008 23:26:51
โค้ก  :m15: :m15: :m15:
ความสุขที่อยู่ตรงหน้า กลับต้องหลุดลอยไป
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrow ที่ 07-02-2008 00:04:34
ทำไมช่วงเวลาความสุขมันสั้นเหลือเกิน  :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: obojaman ที่ 07-02-2008 00:10:26
นานๆทีได้มาเม้นท์ให้พี่ๆซักครั้ง




ผมอ่านเรื่องบ้านพักอลเวงมาตั้งแต่ ม.5-6 ได้แล้วคับ


ติดตามมาตลอดอะ


อีกอย่าง เพราะเรื่องนี้แหล่ะที่ทำให้ผมเริ่มเขียนนิยาย







พูดๆไปก็สงสารพี่โค้กนะ พี่ปริ้นอีก   รวมทั้งพี่โอ๊ตด้วย    เฮ้อ... o7





แถมตอนนี้นึกข้ามไปถึง บาส  ใน  "รักแท้บทที่ 2"   อีก


เมื่อไหร่บาสจะรู้สึกดีๆกับพี่นิคเสียทีน้า  (อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาดนะคับ ติดตามเหมือนกัน อิอิอิ)




เอาเป็นว่าผมจะคอยติดตามผลงานของพี่เตอิ้งต่อไปแล้วกันนะคับ



ไอดอลของผม อิอิอิ  บะบาย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 7 [update เช้าตรู่ 5/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 07-02-2008 23:38:28
ชอบเรื่องนี้มาถึงมากที่สุด

มารอตอนต่อไปนะฮะ

 :m22:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-02-2008 06:59:30
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2AFD7BPA0&Autoplay=1

.

.

.

“ถึงแล้ว..โทรมาหาด้วยนะ”


“อือ …”


เสียงเศร้าสร้อยรับกับใบหน้าที่หม่นหมอง สองแขนที่โอบกระชับตัวไว้แน่นหนาแฝงความอบอุ่นสุดท้าย
ผมตอบรับความรู้สึกที่ยากยิ่งจะยอมรับด้วยวงแขนที่กอดรัดแล้วซบหน้าที่หัวไหล่ของโค้ก


เหมือนความอ่อนแอมันจะไหลออกมา…


เหมือนสิ่งที่รักยิ่งกำลังจะถูกพรากไปอีกครั้ง…


และสุดท้าย มันจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานมาหาเรา 2 คน … เหรอเปล่า ?


แต่จะทำไงได้ … ในเมื่อเราต่างมีภาระหน้าที่ของแต่ละคน โค้กต้องกลับไปดูแลแม่ น้อง แล้วก็ครอบครัว
ที่ขาดเสาหลักของมัน …. ส่วนผมก็มีหน้าที่การงาน แล้วก็ครอบครัว … อยู่ที่นี่


“ผม…จะรีบกลับมานะ ” โค้กพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ น้ำตาคลอทั้งสองข้างของมันทำเอาผมใจแป้ว
ทั้งที่รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ว่ามันจะต้องเข้มแข็ง ไปอยู่ที่โน่นแล้ว มันจะต้องคอยดูแลครอบครัว
ที่เหลือของมัน


“อย่าร้องไห้ …”  ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่กำลังจะหยดลงมาได้ทันท่วงที “- - ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะไป
อยู่ที่โน่นถ้าอยากได้ยินเสียง ก็คุยโทรศัพท์ได้ … ถ้าอยากเห็นหน้า ก็ออนไลน์คุยกันก็ได้ …


ผมปลอบ พยายามแข็งใจที่สุดที่จะไม่อ่อนแอให้มันเห็น .. สมัยนี้แล้ว … สมัยนี้แล้ว ถ้าอยากเจอกัน มันง่าย
ยิ่งกว่าปอกกล้วยซะอีก - - ไม่ใช่เหรอไง ?


โค้กมันส่ายหน้า แล้วก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดอีกรอบ


“… กอด…- -”


“- - กลิ่นของปริ้น - - แล้วก็สัมผัส บะ … แบบนี้ - - ผมจะกลับมาหามันนะ ผะ … ผมจะกลับมาหาปริ้นนะ”
โค้กซบใบหน้าเข้าที่ซอกคอก่อนที่จะตัวสั่นน้อยๆ ผมยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ พร้อมกันแหงนหน้า บังคับ
ตัวเองเต็มที่


“จะเที่ยงคืนแล้ว … โค้ก”  ผมตบไหล่มัน ก่อนจะหยิบเสื้อโค้ทขึ้นใส่ให้มัน ถึงที่สนามบินตอนนี้มัน
จะไม่ได้หนาวมากมาย แต่อยู่บนเครื่องเกือบยี่สิบชั่วโมงกว่าจะถึงนิวยอร์ก คงจะทรมานน่าดู


“รักษาตัวเองด้วยนะ … แล้วก็ดูแลแม่ด้วย”


โค้กพยักหน้าช้าๆ


“ปริ้น ..- -”


“หื้อ ? ”


“คือ .. - - ” มันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา “- - มะ ไม่มีอะไรหรอก … ถ้ากลับมาแล้ว
จะโทรหานะ  ”


มันว่าพลางยิ้มเศร้าๆ ผมยิ้มตอบมัน … โค้กเอ้ย ยังไม่ทันได้ไป ก็ ….


โค้กค่อยๆเดินผ่านเข้าไปทางประตูผู้โดยสายขาออกช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
ผมยกมือขึ้นโบกอำลา  ก่อนที่จะทำใจหันหลังเดินกลับออกมาที่ลานจอดรถ


เกือบครึ่งชั่วโมงจากนาฬิกาข้อมือ … ผมค่อยๆขับรถออกจากท่าอากาศยานช้าๆ เลียบรั้วที่ขนาบ
รันเวย์ของสนามบิน เครื่องบินแอร์บัส TG 792 ค่อยๆทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้าดำมืดจนกลายเป็น
จุดสีแดงเล็กๆจากไฟกระพริบที่ปีกเครื่อง


ผมค่อยๆเปิดไฟเลี้ยวพร้อมกับจอดรถที่ข้างทาง มือที่กุมพวงมาลัยสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
ไม่ไหวเลยจริงๆ … คงรอให้ถึงห้องไม่ไหวแล้ว ความอดทนตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจาก
รู้ว่ามันต้องไปที่โน่น จนถึงตอนมาส่งที่สนามบิน …


ผมพยายามแล้ว … พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ที่จะไม่แสดงความอ่อนแอ ไม่พยายามว่าเศร้าจนเกินเหตุ
… ไม่พยายามที่จะแสดงความเห็นแก่ตัวฉุดรั้งมันเอาไว้ …ไม่แม้แต่จะคิด


หัวผมเลื่อนลงมาโขกกับพวกมาลัยรถตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ทราบ ไม่รู้สึกเจ็บอะไร เพราะความทรมาน..มันไหลรวมกัน
ไปอยู่ที่หัวใจหมดแล้ว ภูมิคุ้มกันสุดท้ายที่ผมจะปั้นหน้าให้ยิ้มอยู่ได้ บินทะยานไปกับนกยักษ์สีม่วงทองลำนั้นแล้ว


“ฮึก … ฮึก … ฮือ ….”


มันคุ้นเหลือเกิน .. ความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เรารักใครซักคน … แล้วก็โดนกระชากออกไป ถึงมันจะไม่
ชั่วนิรันดร์ แต่นั่นล่ะ - - ที่สิ่งที่ผมกลัว


การเปลี่ยนแปลง …


การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดกับมัน หรืออาจจะเป็นตัวผมเอง … ความกลัวที่มันคาดเดาไม่ได้ในตอนนี้
ผมเจ็บใจที่คิดแบบนี้ … ไม่ซิ !! บางที ผมอาจจะเจ็บใจตัวเองที่คิดแบบนี้  ไม่มีทางที่ไอ้โค้กมันจะเปลี่ยนไป
แต่ที่ผมกลัว … ผมกลัวตัวเองใช่มั้ย !?


ผมกลัวความรู้สึกของตัวเองที่มันจะเปลี่ยนไปใช่มั้ย ?


ผมมันอ่อนแอ … ก็แค่คนอ่อนแอคนนึง ที่คิดว่าเข้าใจตัวเอง แล้วก็เข้าใจความรักก็แค่นั้นเอง

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

จะตีห้าแล้ว … วันนี้ผมยังต้องไปทำงานที่โรงเรียนตามปกติ … จนถึงตอนนี้ก็ได้แต่พลิกตัวกลับไปกลับมา
บนที่นอนในห้องโค้ก หมอนที่มันเคยหนุน ได้กลิ่นจางๆเฉพาะตัว รู้สึกถึงความอบอุ่นมันแผ่ซ่านออกมา


“ทำไมต้องนอนแยกห้องด้วยอ่ะปริ้น .. ก็ผมอยากนอนกับที่รักของผมนี่นา”

“ไม่อาว … ก็กุไม่ชอบนอนสองคนบนเตียงเดียวกันนี่หว่า มันนอนไม่ค่อยหลับอ่ะ”


“ไรว้า … แล้วงี้จะเป็นแฟนกันได้ไง”


“อ้าว เป็นแฟนกัน มันจำเป็นต้องใช้ห้องนอนร่วมกันเหรอ คนเราก็ต้องมีบางเวลาที่เป็นส่วนตัวบ้างเด๊ะ”


“ค๊าบๆๆ … พ่อคนโลกส่วนตัวสูง”  มันทำหน้าง้ำ ก่อนจะเดินมาหอมแก้ม “- - งั้นปริ้นต้องมานอนห้องผมแทน
นะ อาทิตย์ละสอง สามวันก็ได้ ไม่ต้องทุกวัน โอเค้”


“เออๆ …”


ผมอมยิ้มในใจ เมื่อนึกภาพตอนที่มันทำหน้าลิงโลดกับคำตอบรับ แล้วก็ดึงตัวผมเข้ามาในห้องนี้ ก่อนจะยื้อยุด
ฉุดกระชากเล่นหัวกันไปมา  มือค่อยๆลูบลงทั่วเตียงนุ่มที่ปราศจากเจ้าของแล้วน้ำตาก็หยดแหมะลงอีกรอบ
แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ไม่ได้เห็นหน้ามัน ทำไมถึงได้คิดถึงแบบนี้นะ …


ชั่วโมงถัดมา ผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เพราะดูท่าทางแล้วคงหลับไม่ลง พอมองตัวเองที่กระจกถึงกับตกใจ
ที่เห็นตาบวมเป่งขนาดนี้


“เฮ้อ …”


เสียงดังขึ้นมาจากมือถือ  ผมรีบกระวี่กระวาดหยิบขึ้นมาดู เพราะเสียงเรียกเข้าที่ตั้งไว้เสียงนี้
มีอยู่สองคน แต่คิดไปคิดมา เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่โค้กมันจะโทรมาได้ ตอนนี้คงนอนหลับปุ๋ย
อยู่บนเครื่องแน่


พอกดดูปรากฏเป็น sms ครับ จากไอ้โค้กด้วย … มันคงตั้งส่งเป็นออโต้ sms ผ่านทางเว็บไซต์ดีแทค
ก่อนจะไปมั้ง


- ตื่นนอนได้แล้วนะครับ … จะเช้าแล้ว ถ้าไปอยู่ที่โน่น จะพยายามโทรปลุกทุกวันนะครับ :D -


ผมอมยิ้มให้กับข้อความของมัน ก่อนที่จะได้ข้อความอีกข้อความที่คงจะออโต้มาเหมือนกัน


- พี่ปริ้น ……. อย่าทิ้งผมนะ -


นี่อาจจะเป็นคำพูดที่โค้กมันอยากจะพูดที่สนามบินเหรอเปล่านะ ….


.

.

.

.

.

------------------------------------------------>

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวงตอนต่อไป


Stp :  …….. ตอนที่ 9 จะลงวันที่ 11  แล้วก็ลงตอนจบตอนที่ 10 วันที่ 14 กุมภาพันธ์นะครับ ^^
(ผีหลอก เตอิ้งลงรวดเดียว)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 08-02-2008 07:22:40
 :o12: เรื่องก็เศร้าแล้ว เพลงยังมาโดนอีก

จะรออ่านอีก 2 ตอนที่เหลือจ้า :a5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 08-02-2008 07:46:11
เศร้ามากมายอ่ะพี่ปริ้นซ์

สงสารโค้กคุงมากด้วย ฮืออออ  :m15:

เศร้าไม่พอ ยังเอาเพลงอินกับนิยายมาลงให้ฟังคลอไปอีก จะเรียกน้ำตากันแต่เช้าเลยเหรอเพ่  :o12:

ปล. เอาตอนจบลงวันวาเทนไทน์เนี่ย มีนัยอะไรเป่าอ่ะพี่ปริ้นซ์ (หวังว่าพี่ปริ้นซ์(ในเรื่อง)คงสมหวังในความรักมั่งนะครับ)  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ballza ที่ 08-02-2008 07:49:27
 :m15:
นั่งอ่านอยู่ที่ทำงาน  น้ำตา ซึมๆ  ลูกน้อง แม่ม เจือกเดินเข้ามาในห้องอีก มานจะสงสัยมั๊ย หัวหน้ามานเปนเจี้ยราย นั่งหน้าคอมพ์ น้ำตา ซึม  :sad2:
ขอบคุณสำหรับตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-02-2008 07:58:24
เปิดมาเจอพอดี เย้  :mc4: :mc4: แต่อ่านๆไปทำไมนะ  :m15: :m15: :m15:
"พี่ปริ้น อย่าทิ้งผมนะ"


 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 08-02-2008 08:05:17
น้ำตาซึมอีกแล้ว  โค้กกับปริ้น o7  o7

แต่จบวันวาเลนไทด์หวังว่าจะเป็นของขวัญให้คนอ่านน้า  รออ่านอยู่  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 08-02-2008 08:14:17
 :o :m30: :m29:
จะจบจริงๆเหรอ? ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย...
รักนะ คิดถึงนะ เพื่อนคนเก่ง

โทรหากันบ้างนะ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 08-02-2008 13:18:12
โห แบบว่า เศร้าอย่างแรง :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 08-02-2008 14:39:44
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับ สงสารโค๊กจังอะครับ

เป็นกำลังใจให้ครับผม

แล้วจะเป็นไงต่อไปนะครับ

อยากรู้จังเลย

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 08-02-2008 14:40:30
เตอิ้งแอบกั๊กไว้ลงวันวาเลนไทน์นี่เอง ทำไมจบเร็วจัง  :o
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: jonathan2624 ที่ 08-02-2008 15:08:41
อ่านแล้วใจสั่นเลยค้าบบบ เข้าใจความรู้สึกของการจากเลยละ  :o12: :o12: จะจบแล้วหรือครับเนี่ย ติดตามอ่านมานานมากมาย แงๆๆๆ   :o12: :o12: :mc4: :mc4: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 08-02-2008 15:35:03
11 กับ 14 จะมารออออออออออออน่ะคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 08-02-2008 15:37:15
 :sad2: :sad2: ปริ้นจะทำยังไงต่อไป.........
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 08-02-2008 16:13:46
เศร้ามากมาย

อีกสองตอน จะรออ่านนะ  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-02-2008 16:49:41
(http://www.ounamilit.com/b33_valentine/b33_va1.jpg)


เรื่องเล่าโดยสังเขปของ  “เซนต์วาเลนไทน์”


เดือนกุมภาพันธ์ คือเดือนแห่ง “ความรัก” เทศกาลแห่งวาเลนไทน์ กระแสแฟชั่นวันวาเลนไทน์ของวัยรุ่นไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่มากขึ้นทุก ๆ ปี ในปีนี้ก็คงจะเช่นเดียวกัน ยิ่งวันเวลาผ่านมากขึ้นเท่าไหร่ แฟชั่นแย่ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งเสื้อผ้าการแต่งกายที่แปลกแหวกแนว ทัศนคติในการคบหาระหว่างชายหญิง นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
         ซึ่งแท้จริงแล้วแต่โบราณการบัญญัติกำหนดวันวาเลนไทน์ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบุรุษนักบุญผู้หนึ่งใน คริสตศาสนา ผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่กลับต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารชีวิตในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ท่านผู้นี้มีนามว่า “เซนต์วาเลนไทน์”


ตามประวัติกล่าวว่า วันนี้เป็นวันมรณภาพของนักบุญในศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ ท่านผู้นี้ถูกพวกโรมันจับลงโทษถึงแก่ความตายในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช 269 ปี เนื่องจากท่านเป็นชาวโรมัน แต่ไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้เข้าบวชอยู่ในศาสนานั้น ชื่อว่า วาเลนตินุส (VALENTINUS) ในสมัยนั้น ประชาชนชาวโรมันนับถือศาสนาของชาวโรมันอีกศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีพระผู้เป็นเจ้าและเทวดาหลายองค์ มีโบสถ์วิหารสำหรับพิธีบูชามีสมณะและนางชีเช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ในสมัยนี้ ในระยะเริ่มแรกที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ทางรัฐบาลกรุงโรมเห็นว่าเป็นลัทธิที่อันตรายต่อสังคมชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ให้สัตว์ป่ากัดตาย ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง หรือเผาทั้งเป็น เป็นต้น พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ใครรู้ว่าตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน และเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาของตน จะต้องแอบหนีลงไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้บรรจุศพ นอกกรุงโรม นักบุญวาเลนไทน์เป็นผู้กล้าหาญและคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกทางราชการของกรุงโรมจับไปขังคุกหรือเอาไปทรมาน ในที่สุดท่านเองก็ถูกทางราชการของกรุงโรมจับตัวได้และเอาไปขังคุกไว้ 

                       เมื่อ นักบุญวาเลนไทน์ อยู่ในคุก มีผู้คุมชื่อ อัสเตริอุส (ASTERIUS) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาและคอยให้ความช่วยเหลือมิให้เดือดร้อน ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ ขณะที่อยู่ในคุก นักบุญวาเลนไทน์ ได้แสดงอภินิหาร ด้วยการทำให้ตาทั้งสองข้างของลูกสาวผู้คุมหายบอด กลับมาเป็นคนตาดี และได้อบรมเกลี้ยกล่อมผู้คุมทั้งลูกสาวให้นับถือศาสนาคริสต์ด้วย หลังจากนักบุญวาเลนไทน์ติดคุกมาเป็นเวลา 1 ปีพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก็มีคำสั่งให้นักบุญเข้าเฝ้า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นนักบุญก็รู้สึกต้องพระทัยในกริยามารยาท ความสำรวมและความมีสง่าราศีของนักบุญ จึงตรัสเกลี้ยกล่อมให้นักบุญเลิกนับถือศาสนาคริตส์เสีย แล้วกลับมานับถือศาสนาของชาวโรมันต่อไปตามเดิม พระองค์จะพระราชทานอภัยโทษให้ แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาคริสต์ มิหนำซ้ำกับเริ่มสั่งสอนอบรมพระเจ้าจักรพรรดิให้ทรงเห็นดีเห็นชอบ และทรงนับถือศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้นำตัว นักบุญวาเลนไทน์ ไปตีด้วยไม้กระบอง แล้วเอาก้อนหินทุ่มจนถึงแก่ความตาย

                    ผู้ที่ตายเพื่อศาสนาและได้เกลี้ยกล่อมให้คนอื่นหันมายอมรับนับถือศาสนา เป็นผ้ที่ควรได้รับการยกย่อง และยังสามารถทำปาฏิหารย์รักษาให้คนตาบอดเป็นคนตาดีได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญหรือเซนต์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ศริสต์ศาสนิกชนถือว่า เป็นวันของเซนต์วาเลนไทน์ เพราะว่าเป็นวันที่ท่านถึงแก่มรณภาพ ในสมัยโรมันเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันตรุษที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 08-02-2008 17:00:00
.

.

.

ผมอมยิ้มให้กับข้อความของมัน ก่อนที่จะได้ข้อความอีกข้อความที่คงจะออโต้มาเหมือนกัน


- พี่ปริ้น ……. อย่าทิ้งผมนะ -

.

.

.


อย่าทิ้งผมนะครับ .. ปริ้น
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 08-02-2008 17:59:25
เศร้ามากมาย :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 08-02-2008 18:56:10
รักโค้ก







.







.







มากๆ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: naja ที่ 08-02-2008 20:34:11
เออเศร้าเข้าไป  :angry2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrow ที่ 08-02-2008 22:15:45
ไม่ยอมๆ :serius2: เอาโค้กของผมคืนมา  :o12:
โค้กต้องกลับมาทันตอนจบนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 08-02-2008 23:14:11
 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
โอ๊ย เศร้าจิต  :m15: โค้กไปแร้วอ่ะ  นี่ใช่ป่ะ ที่โอ๊ต ถามปริ้น ตอน บทแรกๆ อ่ะ  ว่า"ยังคิดถึง โค้กอยู่ไหม" :เฮ้อ:

โอ๊ยไม่อยากเดา คอยๆๆๆๆๆๆ อ่านตอนต่อปายยยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: paryjt ที่ 09-02-2008 00:01:09
ปริ๊น อย่าทิ้งโค๊กนะ

โค๊ก ก้ออย่าเปลี่ยนใจเป็นอันขาด

สู้เพื่อความรัก (ที่มีน้อยคนอยู่แล้วจะเข้าใจ) กันต่อไปนะคับ

ในโลกแห่งความเป็นจริง แม้มันจะเป็นไปได้ยาก  แต่อย่างน้อย ก้อขอในโลกแห่งตัวหนังสือก้อยังดีคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 09-02-2008 05:48:24
ฮือ..ฮือ..ไม่ไหวแล้ว..
นั่งร้องไห้มันหน้าคอมฯนี่หละ..ไม่อายใครแล้วโว้ย..
แล้วจะรอวันที่ 11 และ 14 นะ..
วันที่ 14 เป็นตอนจบใช่ป่ะ..ขอแบบHAPPYหน่อยนะ..
เอาแบบว่าอ่านจบแล้วยิ้มได้อ่ะ..รับวันแห่งความรักไง..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 09-02-2008 06:09:23
มายิ้มรอตอนต่อไป

ไม่ว่าจะจบยังไง

ตัวละครในเรื่องบ้านพักฯทั้งสามคน ก็ทำให้รักไปหมดใจแล้ว

รักคนเขียนเรื่องนี้ด้วย  :o8:  :o8: แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 09-02-2008 14:16:12
คิดถูกจริงๆ ที่ไม่ได้อ่านตั้งแต่เมื่อวันก่อน ก็คนเค้ายังไม่พร้อมอ่ะครับ  :m29:
ขนาดวันนี้คิดว่าพร้อมแล้ว...ยังอดเศร้าใจไม่ได้เลย  o7


ขอบคุณครับคุณ STP. แล้วจะตั้งหน้าตั้งตารออีกสองตอนครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 10-02-2008 01:33:16
เม้นแล้วจิงๆด้วย ฮ่าๆ ^ ^

ไม่ชอบเรื่องเศร้าๆเลยคับ T T
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 10-02-2008 02:23:47
มีใจร้ายคนนึงเขาข้มขู่ผมมาตอนคุยโทรศัพท์ว่า อาจต้องเตรียมผ้าเช็ดกระบุงนึง กับกระดาษเช็ดหน้าหลายกล่อง
ไว้รอซับจบนี้...

ตอนจบไม่ต้องถูกประหารได้ไหมครับ T-T เพื่อนคนเก่ง อย่าเอาตระบองทุบ และหินขว้างทุบจนตายเลยครับ T-T
เซนต์เตอิ้งพาเวร่า (SainTayingPowera)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 10-02-2008 14:45:31
รอ

รอ

และ

รอ :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 10-02-2008 17:55:52
มีใจร้ายคนนึงเขาข้มขู่ผมมาตอนคุยโทรศัพท์ว่า อาจต้องเตรียมผ้าเช็ดกระบุงนึง กับกระดาษเช็ดหน้าหลายกล่อง
ไว้รอซับจบนี้...

ตอนจบไม่ต้องถูกประหารได้ไหมครับ T-T เพื่อนคนเก่ง อย่าเอาตระบองทุบ และหินขว้างทุบจนตายเลยครับ T-T
เซนต์เตอิ้งพาเวร่า (SainTayingPowera)



บอกตอนไหนวะ ?
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: angsumalin ที่ 10-02-2008 21:05:46
สำหรับเรื่องนี้ผมร้องไห้มาเยอะแล้วน่ะ จบแบบให้ผมกินได้นอนหลับเหอะ พลีส............. :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 11-02-2008 07:55:15
เศร้าจังเลย เตอิ้ง

สงสารโค้ก สงสารปริ้น

ไม่อยากให้รีบจบเลย  อย่าเพิ่งรีบจบเลยนะ  ยืดออกไปเรื่อยๆ ตามเรตติ้งได้หรือเปล่าเอ่ย

ท่าทางจะเศร้าด้วยอ่ะ  เตอิ้งใจร้าย   :m15:

ปล. รอหนังสืออยู่นะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 11-02-2008 11:29:03
ง่ะ :serius2:
ผมไปเที่ยวกลับมาแบบเฟลๆ อุตส่าห์จามาอ่านให้ชื่นจายซะหน่อย  :a5:
โอ๊ยยยยย อยากบ้าตาย :sad2:

ปล. เปนกะลังจัยให้พี่เตอิ้งเสมอนะงับ  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 11-02-2008 20:47:23
ตราบใดที่มีรัก...ก็ย่อมมีความหวังนะ ปริ้น

(คำพูดข้างบนให้พี่บาสด้วยก๊าบ  :o8:)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 11-02-2008 22:22:53
เออ เตอิ้งคับ ประวัติของวันวาเลนไทน์มันแปลก ๆ อ่ะ เห็นบอกว่า เซนต์วาเลนไทน์เป็นนักบุญที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ไหงเรื่องราวที่เล่ามันตั้ง 260 กว่าปีก่อนคริสตกาลล่ะครับ ตามประวัติของคริสตศักราช เขาเริ่มนับตอนที่พระเยซูเกิดไม่ใช่เหรอ แล้วมีศาสนาคริสต์ก่อนพระเยซูเกิดได้ไงอ่ะ (พระเยซูถูกตรึงกางเขนตอนอายุไม่มากนักด้วย จะว่าอายุยืนถึง 260 กว่าปีก็ไม่ใช่)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 12-02-2008 00:37:26
^
^

เออจริงด้วยคับ กลับไปอ่านอีกที งงเหมือนกัน สักแต่จะก๊อปเว็บมาลงจริงๆ
ไม่ทันได้อ่านทั่ว ขอบคุณค๊าบ



มีเรื่องแจ้งนิดนึงอ่าคับ วันนี้คงม่ะได้ลงอ่าคับ ขอโทดด้วยนะคับ
แบบว่าม่ะสบายนิดหน่อยอ่ะ T-T
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 12-02-2008 00:54:45
รับทราบค้าบ พักผ่อนมากๆเน้อ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrow ที่ 12-02-2008 01:26:47
พักผ่อนมากๆ นะครับคุณ STP
แล้วต้องรีบกลับมาพร้อมน้องโค้กนะครับ  :oni3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 12-02-2008 01:57:38
หายไว ๆ นะึึึค้าบ

แล้วมาเขียนต่อนะ จะรอครับผม
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 12-02-2008 06:16:18
เออ เตอิ้งคับ ประวัติของวันวาเลนไทน์มันแปลก ๆ อ่ะ เห็นบอกว่า เซนต์วาเลนไทน์เป็นนักบุญที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ไหงเรื่องราวที่เล่ามันตั้ง 260 กว่าปีก่อนคริสตกาลล่ะครับ ตามประวัติของคริสตศักราช เขาเริ่มนับตอนที่พระเยซูเกิดไม่ใช่เหรอ แล้วมีศาสนาคริสต์ก่อนพระเยซูเกิดได้ไงอ่ะ (พระเยซูถูกตรึงกางเขนตอนอายุไม่มากนักด้วย จะว่าอายุยืนถึง 260 กว่าปีก็ไม่ใช่)

ศาสนาคริสมีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแล้วครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แต่พระเยซูคริสเป็นผู้ลงมาไถ่บาปเพื่อมวลมนุษย์ครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 12-02-2008 21:26:45
เออ เตอิ้งคับ ประวัติของวันวาเลนไทน์มันแปลก ๆ อ่ะ เห็นบอกว่า เซนต์วาเลนไทน์เป็นนักบุญที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ไหงเรื่องราวที่เล่ามันตั้ง 260 กว่าปีก่อนคริสตกาลล่ะครับ ตามประวัติของคริสตศักราช เขาเริ่มนับตอนที่พระเยซูเกิดไม่ใช่เหรอ แล้วมีศาสนาคริสต์ก่อนพระเยซูเกิดได้ไงอ่ะ (พระเยซูถูกตรึงกางเขนตอนอายุไม่มากนักด้วย จะว่าอายุยืนถึง 260 กว่าปีก็ไม่ใช่)

ศาสนาคริสมีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแล้วครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แต่พระเยซูคริสเป็นผู้ลงมาไถ่บาปเพื่อมวลมนุษย์ครับ

อ๋อ พอเข้าใจครับ เท่าที่เคยศึกษามาก่อน ตอนแรกสุดมีศาสนาดั้งเดิมเลยคือศาสนายิว ซึ่งนับถือพระเจ้า(ถ้าจำไม่ผิด บางตำราจะใช้ชื่อว่า "พระยโฮวา") และปฏิบัติตามคำสอนที่เรียกกันว่า"บัญญัติ 10 ประการ" โดยมีโมเสสเป็นผู้นำสาส์นของพระเจ้า (ประวัติโมเสสมีปาฏิหาริย์แหวกทะเลด้วยล่ะ คงจำกันได้) จากนั้นพอศาสนาเริ่มเสื่อมก็มีพระเยซูมาปลดปล่อยปาบและเกิดเป็นศาสนาคริสต์ซึ่งยังนับถือพระเจ้าองค์เดิมแต่ปรับปรุงคำสอนและจริยวัตรใหม่ ซึ่งคำว่า"คริสต์"นั้นจะใช้กับศาสนาที่เริ่มจากพระเยซู ดังนั้นเซนต์วาเลนไทน์น่าจะเป็นนักบวชของศาสนายิวมากกว่ามั้งครับ วัตรปฏิบัติของนักบวชศาสนานี้ใกล้เคียงกับศาสนาคริสต์มาก และถ้าจำไม่ผิดต่อจากนั้น มีผู้ที่ถือสาสน์ของพระเจ้ามาปรับปรุงคัมภีร์ศาสนาอีกรอบโดยผู้ถือสาสน์คนดังกล่าวคือพระนบีมูฮัมหมัด ปรับปรุงจนเกิดเป็นคัมภีร์อัลกุรอาน และเกิดศาสนาอิสลามในภายหลัง โดยศาสนาอิสลามก็ยังนับถือพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวกันกับศาสนายิวและศาสนาคริสต์เพียงแต่เรียกพระนามใหม่
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 12-02-2008 21:30:05
ปล.. ขอให้เตอิ้งหายป่วยไว ๆ หายทันมารับความรักจากเพื่อน ๆ ในเล้าทันวันวาเลนไทน์นะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 12-02-2008 22:35:30
อ้างถึง
อ๋อ พอเข้าใจครับ เท่าที่เคยศึกษามาก่อน ตอนแรกสุดมีศาสนาดั้งเดิมเลยคือศาสนายิว ซึ่งนับถือพระเจ้า(ถ้าจำไม่ผิด บางตำราจะใช้ชื่อว่า "พระยโฮวา") และปฏิบัติตามคำสอนที่เรียกกันว่า"บัญญัติ 10 ประการ" โดยมีโมเสสเป็นผู้นำสาส์นของพระเจ้า (ประวัติโมเสสมีปาฏิหาริย์แหวกทะเลด้วยล่ะ คงจำกันได้) จากนั้นพอศาสนาเริ่มเสื่อมก็มีพระเยซูมาปลดปล่อยปาบและเกิดเป็นศาสนาคริสต์ซึ่งยังนับถือพระเจ้าองค์เดิมแต่ปรับปรุงคำสอนและจริยวัตรใหม่ ซึ่งคำว่า"คริสต์"นั้นจะใช้กับศาสนาที่เริ่มจากพระเยซู ดังนั้นเซนต์วาเลนไทน์น่าจะเป็นนักบวชของศาสนายิวมากกว่ามั้งครับ วัตรปฏิบัติของนักบวชศาสนานี้ใกล้เคียงกับศาสนาคริสต์มาก และถ้าจำไม่ผิดต่อจากนั้น มีผู้ที่ถือสาสน์ของพระเจ้ามาปรับปรุงคัมภีร์ศาสนาอีกรอบโดยผู้ถือสาสน์คนดังกล่าวคือพระนบีมูฮัมหมัด ปรับปรุงจนเกิดเป็นคัมภีร์อัลกุรอาน และเกิดศาสนาอิสลามในภายหลัง โดยศาสนาอิสลามก็ยังนับถือพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวกันกับศาสนายิวและศาสนาคริสต์เพียงแต่เรียกพระนามใหม่
 


อ๊าย ตัวเองอย่าสาระเกินไปดิ เค้ารับไม่ได้ o2 (ตัวเองโง่ว่างั้นเหอะ) :m29:


ที่รักเมื่อไหร่จะอัพนิยายคับ หึหึหึ :oni3:
ขอให้หายป่วยไวๆนะคับ รักษาสุขภาพด้วยนะคับ ผมก็ไม่สบายเหมือนกัน = ='
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 8 [update อีกแระ 8/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Bizcuit ที่ 13-02-2008 01:31:15
อ่านแล้วซึ้งมากมายอ่ะคับ   :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 13-02-2008 03:06:53


.

“ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเหรอเปล่าพี่ปริ้น ดูเซือยๆยังไงไม่รู้”  แบงค์เดินเข้ามาทักในห้องทำงานที่ผมกำลัง
จัดการฐานข้อมูลของเด็กในโรงเรียนอยู่


“เหรอ ?  ”


“อือ … เออ เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวม่ะพี่”  มันชวนตามปกติ


“แบงค์ไปกินก่อนเหอะ เดี๋ยวพี่ขอทำงานอีกแป้บนึง”  ผมหันไปบอกปัด แล้วก็กลับมาจ้องหน้าจอต่อ
จริงๆ งานก็ไม่ได้เยอะอะไรมากหรอก แค่ป้อนข้อมูลแล้วให้โปรแกรมมันจัดการเองก็ได้  แต่ผมแค่
รู้สึกอยากทำให้ตัวเองไม่ว่างก็เท่านั้น  … ไม่อยากคิดอะไรมาก ไม่อยากจมอยู่กับความเศร้า


“เอาน่า .. ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้ฟังได้นะครับ”   แบงค์เอามือเขย่าไหล่เบาๆ “ - - ไม่ก็ลอง
เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวดูมั่งดิพี่”


“อือ …”


“งั้นผมไปกินข้าวก่อนนะ ”


“อ่า .. ”


พอน้องมันออกจากห้องไป ผมค่อยๆเอนตัวพิงเก้าอี้หนังก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านกว่า
แล้วก็เปิดเมล์เช็คไปเรื่อยๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับอีเมล์ฉบับนึงที่ส่งมาเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่
ผมจะยกมือถือขึ้นมาไล่เบอร์อย่างเซื่องซึม


.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

“นี่ถ้าไอ้โค้กไม่ทิ้งไปเมืองนอก มึงก็คงไม่ติดต่อพวกกูเลยอะดิเนี่ย”   เสียงไอ้คนขับรถกัดแขวะผมอย่างเมามัน


ปั๊ก …


“อุ๊ก .. มึงทุบกูทำไมอะ”  ไอ้คิวหันไปทำหน้ามึนใส่แฟนที่นั่งเบาะคนขับข้างๆ


“หุบปากแล้วก็ขับรถต่อไป ไอ้นี่นิ รู้งี้ไม่น่าชวนมาด้วยเลยนะมึงหน่ะ”  ก่อนที่ซังจะหันมาทางผม
ที่นั่งยิ้มเจื่อนๆอยู่ข้างหลัง


“แล้วคิดไงอยู่ๆถึงชวนมาเกาะช้างเนี่ย”


“โค้กมันถ่ายรูปที่มันอยู่เมกามาให้ดูอ่ะ … รอบๆตัวมันดูวุ่นวาย มีแต่ตึก มีแต่อะไรก็ไม่รู้ - - เลยคิดว่า
มันคงอยากจะเห็นทะเลบ้างมั้ง  โค้กมันชอบทะเลจะตาย - - ยังเคยบอกไว้ว่า อยากจะมาเที่ยวเกาะช้าง
ด้วยกันเลย …”


ผมเห็นซังกะไอ้คิวเหลือบมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดแนะ


“ปริ้น … ฟังดีๆนะเว้ย - - โค้กอ่ะ มันไม่ได้จะไปอยู่ที่โน่นตลอดไปเลยซะหน่อย  อย่าทำตัวเองอมทุกข์
แบบนี้ดิวะ  ”


“ช่ายๆ …มึงทำเหมือนว่ามันจากมึงไปชั่วชีวิตแล้วงั้นล่ะ”  ไอ้คิวสำทับ


“พวกมึงไม่เข้าใจหรอก …”  ผมเบือนหน้าหนีไปมองบรรยากาศข้างทางแทน  ก็ใช่อะดิ .. พวกมันจะไป
เข้าใจอะไรล่ะ มันเคยอยู่ห่างกันที่ไหน แล้วยังจะมีหน้ามาพูดแบบเหมือนพยายามจะเข้าใจอะไรอีก


“เออ .. พวกกูไม่เข้าใจอะไรมึงหรอก ”ไอ้คิวว่าผมอย่างหงุดหงิด “- - แล้วตัวมึงเองอ่ะ เคยเข้าใจอะไรบ้างมั้ย..
มึงคิดเหรอว่า พวกกู - - -”


คิวมันเงียบไป ได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดอยู่ในจมูก ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ


ผมก็คงเป็นอย่างที่มันว่าล่ะมั้ง … เป็นคนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย … แม้กระทั่งตัวเอง … ทำไมไม่เชื่อใจ
คนที่อยู่ทางโน้นมั่งล่ะ … เพราะความจริงแล้ว ตลอดเวลาที่มันห่างไป มันก็ไม่เคยหายไปจากชีวิตผมเลย
ไม่ใช่เหรอ 

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

เกือบเที่ยงได้ เรือเฟอรี่ก็แล่นจอดเทียบท่าเรือบนเกาะช้าง ไอ้คิวค่อยๆขับรถไปตามทางบนเกาะ
จนมาจอดที่หาดไก่แบ้ พอดีที่ซังมันมีเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันทำที่พักอยู่แถวนี้พอดี


ถ้าไม่นับเมฆที่ออกจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนฤดูแล้ว ทุกอย่างก็ดูลงตัวทุกอย่าง
บ้านพักที่พวกผมได้ก็เป็นบ้านเล็กๆที่อยู่ติดกับทะเลดูดีทีเดียว


“จริงๆนอนห้องเดียวกันก็ได้”  ซังบอก ก่อนจะถือกุญแจบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกันให้ผม


“ไม่เป็นไรอ่ะ ไม่อยากเป็น กขค.” ผมว่าพลางยักคิ้วให้ไอ้คิวที่เดินหอบกระเป๋าตามมา


“นอนคนเดียวหยั่งงี้ ตอนกลางคืนอย่าทำเป็นนอนร้องไห้นะมึง”  มันมีแซวก่อนจะยักคิ้วกลับ


ผมหยิบเป๋แล้วก็เดินเอาเข้าไปวางในบ้านที่มีห้องนอนเล็กๆ  ห้องน้ำในตัว พอจัดแจงอาบน้ำ
เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเหนียวตัว ก็ล้มลงบนที่นอน เสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่งเหมือนเป็น
ดนตรีบรรเลงอันเอื่อยเฉื่อยชวนให้เคลิ้มฝัน ก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


ผมมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อทำนองเพลง Cannon In D  ดังขึ้นจากมือถือของตัวเอง


“อือ ….”


“หวัดดีครับ ” เสียงทักทายที่ส่งมาตามสายจะดีเลย์ไปประมาณ 1 – 2 วินาทีดังขึ้น “- - ทำอะไรอยู่”


“อ่อ … งีบหลับไปอ่ะ” ผมบอกอย่างสลึมสลือ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น


“เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหลับกลางวันนะ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับอีกหรอก ” โค้กมันว่า


“ก็ … มันเพลียนี่หว่า - - แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกอ่ะ นี่มันตี 1 กว่าแล้วนะ”


“ผมเคลียงานอยู่อ่ะครับ พึ่งเสร็จ … วันนี้ก็ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาด้วย กว่าจะได้ทำงานก็…”


“อืม .. แล้วแม่เป็นไงบ้างอ่ะ ? ”


“ก็.. ดีขึ้นพอสมควรแล้วคับ แต่ก็อีกพักนึงกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้อ่ะ”  มันพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ


“เหนื่อยมากมั้ย  ? ”


“นิดหน่อยครับ … แล้วปริ้นล่ะ”


“ก็ไม่เท่าไหร่.. ”


“คิดถึงผมมั่งเปล่า ”


“หึหึ …”


“ทำมาเป็นหัวเราะ … ยังไม่ตอบเลย ว่าคิดถึงเปล่า ? ”


ผมไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็เดินกึ่งวิ่งออกไปนอกห้อง ไปยืนอยู่หน้าชายหาด


“ฟังนะ …” พูดเสร็จ ผมก็ยื่นมือถือไปเบื้องหน้าซักพักก็พูดต่อ


“กลับบ้านเหรอ”  มันคงนึกว่าผมกลับบ้านที่ชะอำ


“เปล่า … มาเกาะช้าง”


“เกาะช้าง ? ”


“กะจะมาถ่ายรูปทะเล แล้วส่งไปให้ดู จะได้หายเหงา … เห็นวันๆเจอแต่ตึกกับตึก คงเบื่อใช่ป่ะ”


“…………”


“… ขอบคุณนะปริ้น”   มันพูดแค่นั้น แต่ผมรู้ว่ามันคงปลาบปลื้มไม่น้อย สังเกตจากเสียงที่พูด
ออกมาสั่นๆ


“ไว้… คราวหน้า เรามาเที่ยวกันสองคนนะ”   มันบอกมาตามสาย


“อือ …. สัญญาแล้วนะ”


“.. สัญญา”


“ป่ะ … คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็ไปเล่นน้ำกัน”  ไอ้คิวพูดสวนขึ้นมา โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาตั้งกะม่ะไหร่วะ


“เฮ้ย … มึงอะ …แอบฟังกูคุยเหรอ”


“เป่าเว้ย … เดินมาแล้วได้ยินเอง เซ็งจริงๆ มันหวานกันข้ามโลกเลย - - เฮ้ย .. เด๋วนี้มึงกล้าเตะกูเหรอไอ้ปริ้น”
คิวมันด่าไป วิ่งหนีตีนผมไปอย่างรวดเร็ว  ซักพักซังก็วิ่งเข้ามาแจม ไล่ปล้ำกันอุตลุดในน้ำ


เล่นกันไปเกือบชั่วโมงก็เริ่มมืด ผมทั้ง 3 คนก็ขึ้นมานั่งพักเหยียดยาวกันที่บนพื้นทรายขาวสะอาด
ซังเริ่มคุยถึงวีรกรรมเมื่อครั้งตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย เรื่องเก่าๆมากมายถูกยกเอามาเป็นหัวข้อกันสนุกสนาน
นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย แล้วก็กลับมายืนอยู่ตรงจุดที่ไม่ต้องคาดหวังอะไร ไม่ต้อง
ห่วงหาสิ่งใด


คนเรา … ยิ่งโตขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งผ่านประสบการณ์มากขึ้น ได้รู้เห็นอะไรมากมาย ทั้งความสุขและความทุกข์
ตอนเด็กๆ เรามักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า เมื่อไหร่เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะคำว่าผู้ใหญ่ เป็นคำที่ทำให้เด็กๆอย่าง
พวกเรา(ในตอนนั้น)มีความสุขที่จะทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่อยากทำ อยากทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่อยากเป็น


แต่เราไม่รู้หรอก ว่าความสุขที่เราคาดหวังว่าจะเจอเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว … มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง
หน้าที่ที่ต้องแบกรับมากขึ้น ความรับผิดชอบแล้วก็ความคาดหวังที่มีมากขึ้น ทั้งจากตัวเองแล้วก็คนรอบข้าง
… รวมทั้ง .. เราพร้อมที่จะเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกมากขึ้น


เมฆสีดำลอยล่องอยู่เหนือท้องฟ้าที่เริ่มเปิด พระจันทร์เสี้ยวอวดแสงสว่างท่ามกลางหมู่ดาวที่ค่อยๆทอแสง
ระยิบระยับเหนือคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง  ลมเย็นๆพัดโชยมากระทบตัวของพวกเราทั้งสามคนที่นั่ง
เอ้อระเหยลอยชายคุยฟุ้งอย่างไม่รู้เหนื่อย จนชักจะรู้สึกตัวสั่นๆด้วยความหนาว


“หนาวเหรอ”  ซังหันมาถาม พร้อมกับยกแขนขึ้นมากอดคอแล้วก็กระเถิบตัวเข้ามานั่งชิด


“มึงหนาวตัวหรือว่าหนาวใจมากกว่ากันอ่ะ”  ไอ้คิวเสริม แล้วก็ถัดตัวมานั่งชิดกับผมอีกด้านนึง แล้วก็ยกมือ
ขึ้นมากอดด้วยเหมือนกัน คราวนี้กลายเป็นผมนั่งอยู่กลางเป็นแซนวิชให้มันสองผัวเมียนั่งกอดคออยู่
ซะงั้น


“ไม่หนาวหรอก …”


“ไม่หนาวห่าไร ตัวสั่นเป็นลูกนกเชีย”  ไอ้คิวว่าก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาตบหัวเบาๆ


“ไปตบหัวมัน เด๋วคืนนี้ก็เยี่ยวราดพอดี”


“โตป่านนี้ มึงยังเชื่ออีกเหรอซัง”


ผมฟังมันสองคนเถียงกันข้ามหัวไปมา แล้วก็ยิ้มในใจ


“ข..ขอบคุณพวกมึงนะ ” ผมเอ่ยปากขึ้นบอกพวกมัน รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อยถึงปานกลาง
- - รู้มั้ย เวลาที่กูอยู่คนเดียว … กูโคตรเหงาเลย … ม..ไม่รู้ซิ ..กูแค่รู้สึกว่า พอไอ้โค้กไม่อยู่
มันโคตรเหงาเลย … กูเคยสงสัยตัวเองนะ ว่าจะอยู่คนเดียวได้มั้ย … กูจะรอมันได้มั้ย …
กูจะทนความเหงาได้มั้ย ฮะ - - ฮึก”


ผมพยายามก้มหน้าลง ไม่อยากให้เพื่อนผมทั้งสองคนรู้สึกไม่ดีจึงหยุดพูด แต่ซังมันตบไหล่เบาๆ


“ต่อดิ .. ”


“-- บอกตรงๆนะ กูกลัว - - ”


ผมรู้สึกได้ว่ามือข้างที่ไอ้คิวกอดอยู่กระชับแน่นมากขึ้น


“- - กลัวว่ารักของกูกะโค้กมันจะหายไป เหมือนกับ ….”


“เหมือนกับตอนที่มึงคบกะไอ้โอ้ตเหรอ  คิวถาม 


ผมพยักหน้าตอบช้าๆ


ผมได้ยินเสียงซังถอนหายใจ แต่คนที่พูดขึ้นมากลับเป็นไอ้คิว


“ปริ้น … กูถามไรมึงตรงๆนะ …… มึงคิดว่ามึงอยู่ตัวคนเดียวจริงๆเหรอวะ - - แล้วที่มึงบอกว่า
กลัวอ่ะ มึงกลัวใจตัวเองใช่มั้ย ? ”


“- - มึงถามใจตัวเองดีๆนะ ว่าตอนที่มึงเลิกกับโอ้ต เป็นเพราะโอ้ตนอกใจมึงจริงๆ หรือว่า - - ”


ร่างผมนิ่งไม่ไหวติง


“- - หรือว่าเป็นเพราะตัวมึงเอง ที่ไม่เชื่อใจมัน”


“ฮึก … ฮึก …. ฮึก …..” รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูกที่โดนคิวมันเทศนาว่าตรงจุดได้ขนาดนี้
จริงทุกอย่าง … มันอยู่ที่ใจของผมเอง ไม่มีอะไรหรอกที่จะมาทำลายความรักของคนสองคนได้
ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา … หรือว่าความห่างไกล


แต่เป็นความไม่เชื่อมั่นต่างหาก ที่เป็นตัวสั่นคลอนทุกสิ่ง แล้วก็ความไม่เชื่อมั่นของผมเอง ที่ทำให้
ความรักครั้งแรกของผมต้องจบลง


“ซังรู้นะ ว่าถึงปริ้นไม่พูดอะไร แต่ปริ้นก็รักโค้กมันมาก … ปริ้นอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ปริ้นกะโค้กอ่ะ
ผ่านอะไรกันมามากแล้วนะ”


“เหมือนกูกะมึงใช่ป่ะ ” ไอ้คิวสอดขึ้นมา


“ควาย .! เพื่อนเล่นเหรอ ไม่ดูเวล่ำเวลานะมึงอ่ะ”  มันด่าแฟนเสร็จก็หันมาคุยกะผมต่อ


“โค้กอ่ะ มันรอปริ้นมาตั้งนาน … ทั้งตอนที่ปริ้นคบกับพี่โอ้ต ทั้งตอนที่ที่เลิกกันใหม่ๆ
ปริ้นก็ไม่ยอมเปิดใจให้มันซะที มันจะยังรอได้…--”


“พวกกูสองคนก็เลยอยากจะบอกว่า ถ้าแค่ไอ้โค้กมันจะหายหัวไปไหนซักปีสองปี มึงก็คง
รอมันได้เหมือนกัน ใช่มั้ย !?  ไอ้คิวมันพูดลอยๆให้ความเห็นหรือกะสั่งผมในตัวกันแน่วะ


“ได้… มั้ง”


“ห่าแล้วมั้ย… มีมั้งด้วย” ไอ้คิวด่าผม


“ซังกะไอ้คิวอ่ะ ยังไงก็เป็นเพื่อนปริ้นนะ … ไม่ต้องห่วงว่าปริ้นจะไม่มีใครหรอก”  ซังพูดพลาง
กระชับแขนให้แน่นแฟ้นมากขึ้น  ตอนนี้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกที่ได้อยู่ท่ามกลางความรัก
ที่มีให้กันของเพื่อนทั้งสองคน


ความรัก … ที่ไม่จำเป็นต้องคบเป็นแฟนกัน แต่พวกมันก็มีให้ผมได้ 


ผมยังมีคนที่รักอีกมากมาย …


แล้วก็..ครอบครัวของผม

.

.

.

.

“ปริ้น … เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”   เสียงยายทักเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของผมเอง จริงๆแล้ว
ตลอดเดือนสองเดือนที่ผ่านมา หน้าผมก็เศร้าลงจนใครๆก็สังเกตได้อยู่แล้ว


วันนี้ผมกลับมาเก็บข้าวของที่จะไปเที่ยวเกาะช้าง แล้วก็นัดซังกะไอ้คิวไว้ว่าจะมารับที่บ้านเลย
เพราะอาทิตย์นี้ มันสองคนก็กลับมาที่เพชรฯก่อนเหมือนกัน


“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ยาย”  ผมปด


“โกหกคนแก่ ” ยายว่า แล้วก็นั่งลงคว้าหมากเข้าปาก


“ไม่ได้โกหกจริงจริ้งง …” ผมบอกแล้วก็เดินเข้าไปนั่งอ้อนยายที่ระเบียงบ้าน  ยายนั่งอยู่ข้างบนยกพื้น
ส่วนผมลงมานั่งด้านล่าง แล้วก็หยิบใบพลูขึ้นมาป้ายน้ำปูนใสแล้วก็ส่งให้


“เรื่องงาน หรือว่าเรื่องรักล่ะเรา”  ยายว่าพลางรับใบพลูที่ผมส่งให้อย่างไม่รีบร้อนเอาคำตอบ


“เรื่องงานมันก็เรื่อยๆแหละ”


“ถ้าอย่างงั้น แล้วใครมาทำให้หลานยายอกหักล่ะ ” โอ้ว มาย ก๊อด ยายกูพูดซะเจ็บเลย ไม่ใช่หยั่งงั้นซะหน่อย

“โห ไม่ได้อกหักซะหน่อย … แค่ … อืม … แค่เค้าไปที่ไกลแสนไกลก็แค่นั้นเอง”  ผมว่าพลางลงไป
โอบเอว


“เหรอ …” ยายทำเสียงเศร้า “… แล้วอยู่วัดไหนล่ะ”


ผมเงยหน้าไปมองอย่างเคืองๆ


“ยังไม่ตายยยยย … แค่ไปเมืองนอก ไม่รุ้เมื่อไหร่จะกลับตะหาก”


ผมเห็นยายเปลี่ยนสีหน้าเป็นเชิงขบขันในท่าทีของผมที่ไม่รู้จักโตซะที


“ยายก็นึกว่าเค้าเป็นอะไรไปแล้ว ก็ปริ้นบอกยายว่าไปที่ๆไกลแสนไกล”


“……. มันก็ไกลจริงๆนะยาย”  เสียงผมเศร้าลง


ยายหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัว เหมือนสมัยผมยังเด็กๆ สมัยที่ป๊าเคยพามาเยี่ยมที่ชะอำ
แล้วโดนเด็กแถวบ้านแกล้งทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  ยายจะใช้ความรักสัมผัสมาถึงผมเสมอ


“ปริ้นรู้ไหม ? … ไม่มีอะไรจะห่างไกลไปกว่าคนที่ตายไปแล้วหรอกนะ รู้ไหม ? ”


ยายลูบหัวผมขึ้นลงเบาๆ


“- - เหมือนกับตา  แล้วก็พ่อของปริ้น ที่จากยายแล้วก็แม่ปริ้นไปแล้ว”


ได้ยินคำนี้จากปากของยายแล้วทำเอาผมเหมือนมีก้อนสะอึกก้อนใหญ่ผุดขึ้นมาในลำคอ


“ยายกับตา… อยู่ด้วยกันมาตั้งสี่สิบเกือบห้าสิบปี - - ตอนที่ตาเราเสียไปหน่ะ ยายยังคิดเลยว่า
ชีวิตยายจะเป็นยังไง…..”


ยายหยุดพูดชั่วขณะ เหมือนจะกล้ำกลืนความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกไว้  ผมไม่กล้าหันไปมอง
เบื้องบน


“- - แต่ยาย….ก็รู้ ว่ายายอยู่ได้ ……….. ถึงตาของปริ้นจะจากยายไปในที่ที่ไปไม่ถึง แต่ความรัก
ความผูกพันธ์ที่ตามีให้มาตลอด มันยังคงอยู่ในใจยายเสมอ  ….. ”


รักที่ยังเหลืออยู่…เป็นแม่ แล้วก็มาเป็นปริ้นยังไงล่ะลูก … ที่ยายยังมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้


น้ำตาของผมไหลหยดแหมะลงบนผ้านุ่งที่ยายใช้ห่มตัวเสมอมาตั้งแต่ผมยังจำความได้ ไม่มีอะไรจะ
เจ็บปวดไปกว่าการที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาลอีกแล้ว … ความตายที่พรากเอาคนอันเป็น
ที่รักของเราไป คนที่กินอยู่พันผูกกันมานับสิบยี่สิบปี  แต่ทั้งยายแล้วก็แม่ของผมกลับทนต่อความเจ็บปวด
ที่แสนรวดร้าวนี้ได้  ….แล้วก็เดินต่อไป …จนสุดปลายทาง


“ฟังยายนะลูก ….”  ยายยกมือขึ้นลูบหัวอีกครั้ง เหมือนจะปลอบโยนให้หลุดจากความอ่อนแอ


“- - คนเรา ไม่ว่าจะห่างกันไปแค่ไหน ถึงจะนานเพียงไร ..ถ้าคนสองคนยังมีความรักให้กันและกันอยู่นะลูก
…แม้แต่ความตาย มันก็พรากเอาความรักของเราไปไม่ได้”
.

.

.


ผมนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเพื่อนรักสองคนที่นอนแอ้งแม้งข้างๆด้วยความอ่อนเพลียจากการเล่นน้ำ
เส้นขอบฟ้าที่เห็นข้างหน้าเลือนลางคงเป็นอีกซีกโลกนึงที่ยังคงหลับไหล แสงไฟ
จากเรือตกหมึกส่องสว่างอยู่กลางทะเลดำมืดไร้สุดสิ้นสุด


ขอแค่ยังมีความรัก… ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ยาวนานเท่าไร ท้ายที่สุด เราก็คงได้กลับพบเจอกันแน่นอน

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

-   เดือนพฤษภาคม .... 1 ปีต่อมา –








.

.

.

.

.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later  ตอนจบ
ตอนต่อไป -------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/



หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 13-02-2008 03:41:22
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Yakult ที่ 13-02-2008 03:48:38
ฮือๆ :o12: :o12: ซึ้งจนน้ำตาไหลเลย ความรัก นี่มันอบอุ่นดีจังเลยนะครับ

ขอตอนหน้าเอาแบบ แฮปปี้ เลยนะครับ  :pig3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 13-02-2008 03:57:20
“- - คนเรา ไม่ว่าจะห่างกันไปแค่ไหน ถึงจะนานเพียงไร ..ถ้าคนสองคนยังมีความรักให้กันและกันอยู่นะลูก
…แม้แต่ความตาย มันก็พรากเอาความรักของเราไปไม่ได้”


ชอบประโยคนี้มากเลยอ่ะ..
แล้วตอนสุดท้ายจะลงทันวันที่ 14 นี้มั้ยอ่ะ..
อย่าลืมนะ..ขอให้จบแบบ HAPPY นะค้าบ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: icehitter ที่ 13-02-2008 06:03:42
ซึ้งมากๆเลยอ่ะคับ
อยากให้ความรักของปริ้นกะโค๊กสมหวังจังเลยคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 13-02-2008 07:47:58
ซึ้งจังเยยยยยย

คุณยายสอนดีมากมาย

 o7  o7  o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-02-2008 08:16:02
หวังว่าจะจบ happy นะคร้าบ  :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 13-02-2008 08:37:41
ซึ้งเลย  o7

มิตรภาพของเพื่อน  :m4:

ความเชื่อมั่นในรัก  :m1:

ขอให้จบแบบ happy นะ  :m13:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 13-02-2008 09:24:17
กำลังซึ้งๆเพลินๆ ตัดตอนซะงั้น  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: dawa_11 ที่ 13-02-2008 10:06:06
ทิ้งไว้ให้คาใจอีกละ

มาต่อไวๆนะ :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 13-02-2008 12:31:50
 o2 แล้วหินทุ่ม  :serius2: กระบองทุบล่ะ?  :a6:

คิดถึงนะ แล้วจะมาเฝ้ารอตอนสุดท้าย
โทรหากันบ้างล่ะ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 13-02-2008 12:39:49
ซึ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 -
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 13-02-2008 14:56:16
คนเรา จะรู้ค่า ก็ต่อเมื่อ เราเสียของนั้นไป

เป็นกำลังใจให้โค้้กกะปริ้นนะค้าบบบบบ

 :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 13-02-2008 15:23:00
.
.
.
ผมมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อทำนองเพลง Cannon In D  ดังขึ้นจากมือถือของตัวเอง


“อือ ….”


“หวัดดีครับ ” เสียงทักทายที่ส่งมาตามสายจะดีเลย์ไปประมาณ 1 – 2 วินาทีดังขึ้น “- - ทำอะไรอยู่”


“อ่อ … งีบหลับไปอ่ะ” ผมบอกอย่างสลึมสลือ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น


“เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหลับกลางวันนะ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับอีกหรอก ” โค้กมันว่า


“ก็ … มันเพลียนี่หว่า - - แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกอ่ะ นี่มันตี 1 กว่าแล้วนะ”
.
.
.


คนอ่านเขารู้หมดว่าเอาเรื่องจริงมาเขียน.. นอนกลางวันเป็นโนบิตะซะอย่างงี้  :m20:

ยังปวดหัวอยู่ไหมครับ.. เพราะนอนเวลาอเมริกาหรือเปล่าหื่ม.. นอนอย่างงี้ไปทำวีซ่าไว้เลยละกัน ไว้กลับไปรับมานี่นะครับ ..   :a2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 13-02-2008 15:41:57
 :sad2: :sad2: :sad2: แซ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดค่า และมารอตอนต่อไป ซึ้งอ่า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 13-02-2008 17:00:08
ชอบประโยคนี้จังเลย

ขอแค่ยังมีความรัก… ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ยาวนานเท่าไร ท้ายที่สุด เราก็คงได้กลับพบเจอกันแน่นอน

ซึ้งจังเลย ตอนนหน้าจะโศกสลดหรือแฮปปี้ล่ะนี่ เค้ากลัวใจคุณเตอิ้งนะ  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 13-02-2008 18:52:14
 :m15:

ซึ้ง

 :m15:

รอตอนจบ :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 13-02-2008 19:02:14
อ่านแล้วน้ำตาจะไหล

ขอบคุณพี่ปริ้นค๊าบบบ

 :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 13-02-2008 20:41:35
ซึ้งง่ะ o7
ตัวเอง เอาจบแบบ Happyนะคับ  :o8:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 13-02-2008 21:08:54
 :serius2:ขัดใจไม่ชอบเศร้าไม่ยอมมมม :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 13-02-2008 21:30:51
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึก น้ำตาคลอเลย ไม่ได้คลอเพราะอยากร้องไห้

แต่มันคลอเหมือนตื้นตันใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นของความรักของคนรอบข้าง

ชอบไอ้คิวจังแหะ อ่านตอนนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 13-02-2008 21:55:22
ลุ้นตอนจบอ่ะ

ขอให้แฮปปี้ทีเถอะ สาธุ

 :m21:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 13-02-2008 22:52:21

ฮื่มมม กำลังอินกะหนังมาอ่านตรงที่ยายพุดแล้วยิ่งหนักไปใหญ่เลย  :o12: เศร้า

ตอนจบลงรุ่งนี้ใช้มั้ยงับบบบบ  :m4: เด๋วจะมานั่งรอเลย ขอแบบแฮปปี้ด้วยคน  :m5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: jonathan2624 ที่ 13-02-2008 23:20:11
 :o12: :o12: :o12: :m15: :m15: :m15: ซึ้งค้าบบบบ แงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-02-2008 01:58:47
เม้นก่อนยังตามอ่านไม่ทันเลย  :m23: :m23: แล้วจารีบตามให้ทันจ้า  :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 14-02-2008 02:45:40
จริงๆ ... ตอนจบของเรื่องนี้ ก็มีสปอยบอกไว้แล้วนะครับ ตั้งแต่ตอนแรกของภาค 7 หุหุ
ยังไงถ้าเพื่อนๆอ่านจบแล้ว อยากให้ฝากเป็นคำนิยม(ทั้งดีและไม่ดี) ให้กับบ้านพักอลเวง
ด้วยนะครับ เผื่อเอาไว้ลงในหนังสือฮะ (ถ้าได้ทำ) ขอบคุณคับ

แล้วไว้ผมจะกลับมาขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกทีนะฮะ

ลป. บ้านพักฯปริ้นโอ้ตโค้ก จบลงแน่นอนแล้วในภาค 7 นี้ครับ ขอให้มีความสุข(มั้ง)
กับการอ่านครับ ^^

.

.


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2GAGGPD&Autoplay=1

.

.

.

.

เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีถัดมา –



ติ้ก … ติ้ก … ติ้ก ….



เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือดังเป็นจังหวะ  ในขณะเดียวกับผมนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว


แสงแดดในตอนสายของเดือนพฤษภาคมปีนี้ดูจะแรงกว่าปีก่อน  อาจเป็นเพราะปรากฏการณ์ลานิญญาเหรอ
เปล่านะ ที่ทำให้มันร้อนแห้งแล้งได้ถึงเพียงนี้  ถึงแม้แสงแดดจะส่องมาแรงเพียงใด แต่ก็ยังโชคดีทีมีสายลม
เอื่อยเฉือยพัดมาเป็นระลอกพอดับความอบอ้าว 


ผมนอนหลับตารอคอยเวลาไปเรื่อยๆ   บริเวณโดยรอบของวัดพระแก้วน้อย เริ่มได้ยินเสียงผู้คนบางกลุ่ม
เดินคุยกันใกล้เข้ามา  ส่งเสียงหยอกล้อคุยกันสนุกสนาน ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงวันที่ผมได้ขึ้นมาสัมผัส
บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ในวันแรก โอ้ต…ค่อยๆพาผมเลียบเลาะไต่ขึ้นมาจากทางหลังโรงเรียนขึ้น
มาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งนี้


นึกย้อนกลับไป โค้ก..ชวนผมขึ้นมานั่งที่ตรงนี้ พร้อมกับคำที่เหมือนอยากจะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง
ออกมา แต่ในที่สุด มันก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนกู่ร้องตะโกนบอกท้องฟ้าสีคราม … ที่เหมือนกับวันนี้ไม่มีผิด 


ผมลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วจึงยันตัวขึ้นนั่ง เหยียดแขนท้าวกับพื้นหินอ่อนที่ลงนอนเมื่อครู่  ปล่อยขาห้อยต่องแต่ง
ลงจากฐานเจดีย์  สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า  ที่เส้นขอบฟ้าไกลโพ้นทะเล ป่านนี้คนๆนั้นกำลังทำอะไร
อยู่นะ ?


…. แล้วเค้าจะยังรอเราอยู่มั้ย ?


สายลมเย็นหอบใหญ่ พัดเข้าปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก พัดเอากลิ่นของดอกลั่นทมที่ปลูกอยู่
ในบริเวณโดยรอบของพระนครคีรีแห่งนี้ฟุ้งตลบอบอวน

ข้างบนนี้  …ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม … ไม่ว่าโลกตอนนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง …. ความรู้สึกที่เป็นสุข
เมื่อมายืนอยู่ที่นี่ … มันยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


กี่ปีมาแล้วนะ … ผมแทบจะลืมบรรยากาศเก่าๆไปหมดแล้วซิ


ครืดด ครืดดด ครืดดด


เสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นมา  ผมขยับตัวควักมือถือขึ้นมาก่อนกดรับสายโดยไม่ต้องดูว่าใครโทรเข้ามา
เสียงรับสายที่จะดังขึ้นมาเฉพาะกับคนเพียง 2 คน เพียงเพราะว่า…ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอีกคนจะโทรมา


“มาถึงแล้วนะ  อยู่ไหนเหรอ …”  เสียงโอ้ตแว่วมาจากปลายสาย


“อยู่ข้างบนนี้ล่ะ  อือ… กำลังจะลงไปแล้ว”  ผมตอบ


“บนเจดีย์แดงเหรอ”   อึ้ก เกือบเดาถูกนะมึง


“ไม่ใช่หรอก ใกล้ๆกันอ่ะล่ะ  มานั่งเล่นๆ ”  ผมพูดเสร็จก็ตัดสายไป  ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงมาให้ถูกท่า
เพราะไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกลงไปถึงตายได้  ก่อนจะเดินมาถึงทางแยกที่ให้เลือกระหว่างจะกลับไปตามทางเดิม
ที่ปูลาดไว้ให้เป็นอย่างดี กับทางขวามือที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยหินที่กองระเกะระกะเต็มทางจนไม่ไหวจะเดิน
ในสมัยตอนผมเรียนอยู่ม.ปลาย แต่ดูทางตอนนี้กลับถูกปูด้วยหินดินแดงลาดลงไปตลอดทางคดเคี้ยว แต่คนที่
มาเที่ยวก็ไม่อยากใช้เป็นทางเดินลงอยู่ดี  เพราะทางมันเปลี่ยวโขอยู่แม้จะเป็นยามกลางวัน


ผมไม่คิดมากจึงเดินลัดเลาะไปตามทางที่ลาดไว้ใหม่ อีกทั้งทางนี้เมื่อเดินไปสุดทางเดินก็จะสามารถลงไปยัง
วัดเล็กๆข้างล่างได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พอเดินมาถึง ผมเห็นทั้งแม่ทั้งยาย  พร้อมกับญาติๆพร้อมคนรู้จัก
อีกสี่ห้าคน กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมของให้ทันถวายพระเพล
 

ลุงสนกำลังโยงสายสิญจน์ไปรอบๆสถูปสีขาว ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนหินอย่างยากลำบาก


ผมเดินตรงเข้าไปสะกิดผู้ชายใส่ชุดทำงานที่ยืนหันหลังให้อยู่ 


“นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว คุณพี่”   ญาติต่างสายเลือดสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันมายิ้มใส่ด้วยความดีใจ
(หรือเปล่า)


“จะไม่ให้มาได้ไง  เดี๋ยวคนแถวนี้ก็ว่าอีก”


“ใครจะกล้าว่าคุณพี่ล่ะคับ”


โอ้ตหยุดเถียงได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่นั่นล่ะ  สายตาของมันที่มองมาก็คงจะอ่านใจผมได้ทะลุ
ปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย  คิดได้ดังนั้นผมก็เลยต้องหลบตามันพอเป็นพิธี


“แล้วไม่คิดจะไปช่วยพ่อตัวเองหน่อยเหรอ เด๋วก็ตกลงมาแข้งขาหักพอดี แทนที่จะได้ทำบุญ ”


โอ้ตหัวเราะเบาๆ


“พ่อพี่ยังแข็งแรงอยู่น่า ไม่ต้องไปช่วยหรอก … ไว้เป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวค่อยจัดยาให้แก”  มันพูดยิ้มๆ


“ตลกล่ะ…หนอนจริงๆ”


โอ้ตยืนเงียบๆ แล้วก็จ้องมาที่ตัวผมระยะๆ


“ดูเหนื่อยๆนะ”  มาแล้วคับกับคำถามที่แฝงไปด้วยนัยยะ


“นิดหน่อย … สอนเด็กก็เงี้ยแหละ”


“นีกว่าชอบซะอีก หึหึ”


“พูดบ้าๆ ยังไม่อยากเข้าไปนอนในคุกนะเว้ย … เออ แล้วตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ หายไปตั้งนาน - -
บ้านช่องม่ะค่อยยอมกลับเลยหนิ  ได้ยินป้าเล็กบ่นประจำ”


โอ้ตถอนหายใจ เบี่ยงสายตาไปมองแม่ตัวเองที่กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระอย่างขะมักเขม้น


“ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่หรอก”  มันทำหน้าหนักใจ


“ย้ายมาศิริราชแล้วยังต้องเดินสาย service แฟนๆอีกเหรอ”


“แฟนๆบ้าไรเล่า … หน้าที่ต่างหาก  ” มันบ่นอุบทำหน้าหงิก ผมหัวเราะที่ไม่ได้เห็นภาพ
แบบนี้ของโอ้ตมานานมากมาย


“แล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แนะนำซักคนสองคนมั้ยล่ะ ” ผมแหย่กลับ


“ทำไม ? …. เหงาเป็นกะเค้าด้วยเหรอ”   โอ้ตพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาผมจุกเล็กๆ  สายตาที่มองมา
ยังคงจับจ้องที่ใบหน้าผมอยู่


“อะไร มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ  ไม่จำเป็นต้องเหงาหรอก”  ผมหลบตาพลางเอามือเกาหัว ที่ตอนนี้ตัดผมสั้น
ในระดับที่ไม่เป็นตัวอย่างเลวๆให้กับเด็ก


“ตัดผมทรงนี้แล้วหน้าเด็กลงนะ พี่ว่าตัดแบบนี้ดีแล้ว อย่าไปไว้ยาวไรมาก”


“ห่วงหัวคนอื่นเค้าจริงนะ ”


“ห่วงดิ … ก็น้องทั้งคน ” โอ้ตเดินมาข้างๆแล้วก็เอามือมาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ


“จะปีหนึ่งแล้วซิ…”


“ปีกว่าแล้ว”  ผมบอกเบาๆ แล้วก็ยืนเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังครอบครัวของตัวเองที่ทำนั่นทำนี่อยู่เบื้องหน้า


“คิดถึงมั้ย ..? ”

ยังไม่ทันที่คำตอบจะออกจากปาก ลุงสนก็ตะโกนเรียกให้ผมสองคน


“โอ้ต  … ปริ้น …  ขึ้นมาได้แล้ว    ”


เราสองคนตะกายกันขึ้นไปบริเวณชะง่อนหินที่ตั้งของสถูปสีขาวสะอาดประจำตระกูล ลุงสนส่งปลายสายสิญจน์
มาให้ผมให้ลงเอาไปให้ยายจับที่ด้านล่าง เพราะจะให้ยายตะเกียกขึ้นมาตรงนี้ก็คงไม่ไหว  ผมค่อยๆปีนลงทำตาม
คำสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง โอ้ตส่งธูปมาให้จุดไฟ  ผมสะบัดก้านธูปให้เปลวไฟมอด ก่อนจะยกมือขึ้นพนมช้าๆ อธิฐานในใจ


บรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับทั้งหลาย ตาครับ  พ่อครับ วันนี้เรามาทำบุญกระดูกให้ ขอให้ทุกๆคนได้รับส่วนบุญใน
ครั้งนี้ แล้วก็ขอให้อยู่อย่างมีความสุข บลาๆๆๆ



หางตาของผมรู้สึกว่าโอ้ตหันมามองก่อนจะปักธูปลงบนกระถาง  แล้วก็รอให้ผมเสร็จภารกิจ

.

.

“ยังคิดถึง…โค้กอยู่ใช่มั้ย ? ”


สายลมเย็นพัดเอากลิ่นธูปหอมโชยเข้าปะทะ  ผมก้มลงปักธูปเข้าที่กระถางหน้าสถูปสีขาว
ก่อนจะหันไปตอบโอ้ต


“เปล่า .. อืม - - ไม่ถึงกับคิดถึงหรอก … แค่ - - ”


“….ไม่เป็นไร   ไม่ต้องบอกหรอก โอ้ตพอเข้าใจ”   มันพูดพร้อมเปลี่ยนสรรพนาม ก่อนที่จะชวนกันก็ค่อยๆ
เดินลงไปรอที่ลานวัดเหมือนเดิม  โอ้ตมันขอตัวเดินไปคุยกับคนนั้นทีคนโน้นทีอยู่พักใหญ่ 


จะว่าไปแล้ว หลังจากเจอกันที่เชียงใหม่วันรับปริญญา  มันก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่  ยิ่งมันเข้าทำงาน
ที่บริษัทยา ก็ต้องวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ แทบไม่มีเวลาจะได้กลับบ้านเลย 


“ทำไมไม่ให้โอ้ตเค้าไปค้างที่คอนโดล่ะปริ้น จะได้ไม่ต้องไปเช่าหลายๆที่ อีกอย่างที่เราอยู่มันก็ไปไหนมา
ไหนสะดวกไม่ใช่เหรอ”  คำพูดที่แม่เคยถามผุดขึ้นมาในหัว


“- - เจ้าโค้กเค้าก็ไปเมืองนอกเมืองนาแล้ว ก็ให้พี่เค้ามาอยู่ไปก่อนซิ ” แม่หันมาบอกผม


“ไม่เป็นไรหรอกครับน้า … ผมอยู่ก็สบายดีแล้วครับ ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย” โอ้ตรีบบอก ผมหันไป
สบตามันชั่วครู่



“เฮ้อ … ”


ผมเอนตัวไปพิงกับราวกำแพงเย็นเฉียบ เหม่อลอยไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กลิ่นธูปหอมคละเคล้าไปกับ
กลิ่นหอมจากดอกลั่นทมดูจะปะดักปะเดื่อยังไงชอบกล  ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
ปุยเมฆที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฟ้าครามที่ดูแล้วก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม


“โอ้ต ถ้าไม่มีไรแล้ว งั้นขอไปเดินเล่นข้างบนอีกแป็บนะ” ผมบอกพี่ชายสุดที่รัก


“อ้าว แล้วไม่ถวายพระด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวแม่เราก็ด่าให้หรอก”


“ก็ถึงได้บอกโอ้ตไง ไงรับหน้าแทนให้ด้วยล่ะกัน - - ขี้เกียจฟังพระสวดด้วย ” ผมป้ายขี้เสร็จ ก็เดินลิ่วๆ
ขึ้นมาทางที่เดินลงมาเมื่อสักครู่  ใจจริงอยากจะขึ้นไปนอนรับลมก่อนจะกลับบ้าน แล้วก็ไปทำงาน
ในวันพรุ่งนี้


อยากขึ้นไปซึมซับบรรยากาศเก่าๆอีกรอบนึง (พูดเหมือนคนแก่)


ผมเดินขึ้นไปบนวัดพระแก้วน้อยอีกครั้งนึง ชำเลืองสายตาดูรอบๆ ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมากลุ่มเมื่อกี้
หายหน้าหายตาไปหมดแล้ว  จึงค่อยๆปีนขึ้นไปพังพาบอยู่บนเจดีย์ขาวอีกครั้ง  หลากหลายคำถาม
ค่อยๆพร่างพรูเข้ามาจุกในอกอีกครั้ง


มีคนเคยบอกว่า การรอคอย มันทรมาน … โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง


ผมกำลังเดินไปตามเส้นทางสายนั้น … ค่อยๆเดินต่อไป ยิ่งนานวัน ความหวัง ความฝันที่มันเคยชัดเจน
เวลาค่อยๆกัดกร่อนเอาสิ่งเหล่านั้นให้มลายลงทีละนิดทีละนิด


รู้ตัวเองดี ว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้งกับคนหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตลอดช่วงเวลาที่
โค้กมันไม่อยู่ …. รู้ตัวดีถึงความเหงาเมื่อเวลาที่ไม่มีใครจริงๆ … แล้วก็รู้ตัวดี ว่าความอดทนนั้น
มันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว


อยากปล่อยตัว ปล่อยใจให้เป็นอิสระ … ถ้าไม่มีความรัก เราก็คงไม่ต้องมีความทุกข์ใช่มั้ย ?


ถ้าไม่มีความหวัง  … เราก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรอความสูญเสียใช่มั้ย ?


แล้วถ้าปลายทางที่เดินไปถึง มันกลับไม่มีอะไรเลยล่ะ ?


… ถึงตอนนั้น … เราจะยังมีความรักให้ใครได้อีกมั้ย ?


เหนื่อยเหลือเกิน …. เหนื่อยจริงๆ


อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาที่ขอบตา ก่อนจะร่วงหล่นไปตามหางตาลงสู่พื้นหินอ่อนขัดมันของเจดีย์
.

.

.

ครืดด ครืดดด ครืดดด


มือถือสั่นพร้อมเสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าคนข้างล่างคงจะได้เวลากลับกันแล้ว
ผมฝืนตัวเองลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้วก็สิ่งสกปรกข้างแก้ม


ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงซะที … วันพรุ่งนี้ยังมีงาน มีภาระที่จะต้องทำอีกมากมาย
ยังมีครอบครัวที่ต้องคอยดูแล ยังมีอนาคตที่ต้องผ่านเรื่องขมขื่นอีกมากมาย

ท่วงทำนองไพเราะยังคงดังอยู่ในอุ้งมือขวาของผม ในขณะที่กำลังเดินลงบันไดลงจากวัดพระแก้วน้อย  ใจนึง
ก็อยากจะกดตัดสายทิ้งเพื่อที่จะให้คนข้างล่างรู้ว่ากำลังจะกลับลงไป แต่อีกใจนึงก็อยากจะฟังต่อนานๆ


ถ้าเป็นไอ้โค้กโทรมาก็ดีซินะ …..


ถ้าเป็นมัน … ก็คงดี


ผมเดินมาถึงทางแยกสองทางอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินลงกลับทางเก่าอีกครั้งนึง เมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนนึง
กำลังเดินสวนมาทางผมพอดี  จริงๆแล้วคือกลัวเค้าเห็นคราบน้ำตาต่างหาก …….. แต่ก่อนจะได้ก้าวขา - -


ผมรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนชั่วคราว .. ขาที่กำลังจะก้าวลงไปอีกทางเหมือนมีรากไม้ยืดยุดฉุดเอาไว้ให้นิ่งอึ้ง
เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าที่เดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่มคนเหล่านั้น เดินเข้ามาหาผมช้าๆ


ตึกตัก ตึก ตัก ….


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ฮื้อ … ”เจ้าของเสียงที่ผมเคยคิดว่าอยู่ไกลแสนไกล บัดนี้ดังขึ้นอยู่ตรงหน้า
พร้อมกับรอยยิ้มสดใส  ดวงตากลมโตเพ่งมองมาที่ผมด้วยความสงสัย ปนขุ่นเคืองนิดๆ


“- - ต้องให้ผมวิ่งขึ้นมาบนนี้ มันเหนื่อยรู้มั้ย  ถ้าปริ้นรับตั้งแต่แรก ผมก็ไม่ต้องวิ่งขึ้นมาหาแล้ว”


มันว่าพลางค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดผมช้าๆ ก่อนที่ของเหลวใสบางอย่างจะทันหล่นลงบนพื้น
ลาดเอียง ผมค่อยๆสวมกอดร่างที่อยู่ตรงหน้า ไออุ่นที่โหยหามานาน และเทียบเคียงไม่ได้กับ
เทคโนโลยีใดๆที่ทำให้เราใกล้กัน


คนในกลุ่มที่เดินมาพร้อมกับโค้กหยุดหันมามองด้วยความสงสัย แล้วก็ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินห่างออกไป
ปล่อยทิ้งให้ใครคนนั้นที่เดินตามพวกเค้ามาด้วย….หยุดยืนเป็นที่พักพิงให้กับผมตลอดไป ณ ตอนนี้
สายลมของฤดูร้อนได้พัดผ่านเอาความสดชื่นในชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง …….



.

.

.

.

.

.


บ้านพักอลเวง จบบริบูรณ์
 - - -    ---------------->













- เกาะช้าง ต้นปีที่แล้ว …. -


ผมนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเพื่อนรักสองคนที่นอนแอ้งแม้งข้างๆด้วยความอ่อนเพลียจากการเล่นน้ำ
เส้นขอบที่เห็นข้างหน้าเลือนลางคงเป็นอีกซีกโลกนึงที่ยังคงหลับไหล แสงไฟจากเรือตกหมึกส่องสว่าง
อยู่กลางทะเลดำมืดไร้สุดสิ้นสุด


ผมได้ยินเสียงลมหายใจของซังดังเป็นจังหวะทางด้านซ้ายของตัวเอง มันคงงีบหลับไปแล้ว จึงหันมา
คุยกะไอ้คิวแทน


“คิว …


“หื้อ ?


“… ทำไมมึงสองคนถึงรักกันวะ


ผมเห็นคิวเหม่อมองไปบนท้องฟ้ากว้างที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงอยู่ดาษดื่นทั่วทุกสารทิศ
ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก  แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ


“อิจฉาเหรอไง ?


ผมเงียบ พลางก่นด่ามันอยู่ในใจ


มันเหลือบมามองผมที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


“… อย่าอิจฉาเลยมึง”   คิวบอกเสียงแผ่ว “- -  เอาไว้ว่างๆ ….. กูค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน”

.

.

.

.

.
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 14-02-2008 03:00:07
 :m4: :m4: :m4: :m4: ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงตัวอ้วน ที่ 14-02-2008 03:02:15
 :m1: :m1: :m1:

Happy สมใจ

 :pig3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Yakult ที่ 14-02-2008 03:13:06
เย้ๆๆ แฮปปี้ :pig3:  ดีจัง ถึงจะแฮปปี้ก็ซึ้งจนร้องไห้อีกแว้ว อยากลองเจอซักครั้งจังคำว่ารักเนี่ย

ขอบคุณพี่เตอิ้งมากนะครับ ที่ทำให้ผมได้อ่านเรื่องนี้   :pig4:

ปล. อยากรู้เรื่อง คิว ก่ะ ซัง อะครับ เอามาเล่าเป็น ไซด์สตอรี่ ท่าจะดีน๊า อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 14-02-2008 07:01:38
จบแบบ  :pig3: อย่างงี้ค่อยยิ้มออกหน่อย นึกว่าจะต้องใช้ทิชชู่เป็นกล่องซะแล้วสิ  :o12:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะค้าบ 7ภาค นานมากมายนะเนี่ย

ลป1. อยากให้มีไซด์สตอรี่ คิวกับซัง ต่อด้วยอ่ะค้าบ (อันนี้คิดว่าแฟนๆ ต้องการแยะ)

ลป2. รัก Stp คร้าบ  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 14-02-2008 07:43:44
ในที่สุด ความรักก็มาโอบปริ๊นซ์ไว้แล้ว

รู้สึกดีจังที่อ่านเรื่องนี้ แหะ ๆ ๆ

ตอนท้าย เหมือนจะบอกว่ามีเรื่องของคิวกะซังต่อเลยแหะ ๆ ๆ

รออ่านนะครับน้องเตอิ้ง อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Tris ที่ 14-02-2008 07:46:52
ซึ้งค่ะ :o8: จบได้สมบรูณ์แบบมากค่ะ ตามอ่านมาหลายปีและไม่ผิดหวังเลย เรื่องนี้อาจไม่โดดเด่นในภาษาแต่เป็นเรื่องที่อ่านแล้วโนใจค่ะ อยากหัวเราะ ร้องให้ มีความสุขไปกับความรักของปริ้น  :m13:

ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ ขอบคุณสำหรับทุกความรู้สึกที่อยู่ในตัวอักษรทุกตัว ขอบคุณความรักของคนสองคน ที่ให้เราได้ร่วมแบ่งปันให้กันและกันค่ะ  ขอบคุฯบอร์ดนี้ที่นำพาเรามารู้จักกัน :bye2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-02-2008 07:52:52
แฮปปี้รับวาเลนไทน์  :m1:


ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ให้อ่านนะ

ขอบคุณที่ทำให้มีรอยยิ้ม และน้ำตา

ดีใจที่รับการแบ่งปัน   :m4:


ปล. ยังรอติดตามเรื่องอื่น ๆ ของเตอิ้งด้วยจ้ะ  :mc2:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-02-2008 07:54:54
จบแบบถูกใจแฟนคลับแบบนี้  :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

รออ่านของคิวกับซังต่อ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-02-2008 08:05:07
ในที่สุดก้อ่านทันตอนจบแบบสวยงาม  :a2: :a2: อ่านทั้งคืนเลย แต่จบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย  :oni2: :oni2:

ขอบคุณเตอิ้ง ที่เล่าเรื่องราวความรักอันสวยงาม  o15 o15 จะติดตามผลงานต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 14-02-2008 08:10:56
ซึ้งมากเลยอะคับ  :m1:
ผมอ่านรักแท้...บทที่สองด้วยนา แฟนตัวยงเลยล่ะ 555+ :o8:
ตัวเอง อยากอ่าน Side Story คิวซังด้วยอะคับ  ทรมาณคนเขียน หึหึ :oni3:
ขอบคุณมากเลยนะคร๊าบ ถ้าได้เป็นหนังสือทำมือเมื่อไหร่จะอุดหนุนแน่นอนคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 14-02-2008 08:41:16
 :o8: อ่านเรื่องนี้ในวัน วาเลนไทน์แล้ว ซึ้งบอกไม่ถูก หึหึ :o8: o13

เย้ๆ จบแบบ happy ending แบบ นี้ชอบมาก (หลังจากน้ำตาตกมานาน)

ขอบคุณ พี่เตอิ้งมากๆคับ เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน :pig4:

ปล. จบแบบนี้ มีเรื่อง ซัง กะ คิว ต่ออ่ะป่าว :m12:
ปล2. แล้วนิยายเรื่องอื่นๆอ่ะ หายไปเรย :m15:
ปล3. นิคล่ะ!? :a5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-02-2008 08:54:40
 :m13:พูดอะไรไม่ออกบอกได้คำเดียวว่าซึ้งใจ เพราะเชียร์โค๊กมาตลอด

 :oni1: :oni1: สบายใจจริงๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆในวันวาเลนไทน์ค่ะ

 o13 จะรอเรื่องต่อไปนะ

ปล.จองหนังสือไปแล้วไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ยลโฉมค่ะ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-02-2008 09:26:24
จบไปแบบซึ้งๆเลย ตอนแรกอ่านนึกว่าโค้กจากแบบไปไม่กลับซะอีก

เป็นแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย อิอิ

แต่ที่คุยกัยคิวนั้น เกริ่นถึงภาคต่อป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ballza ที่ 14-02-2008 09:28:21
 :m13:
ขอบคุณเรื่องราวครามรักดีๆ  ที่คุณเตอิ้งมีให้ ในเช้าวันวาเลนไทน์ คับ 
น่ารัก   หวาน  ซึ้ง  เศร้า    o7  สุดยอดจริงๆ คับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 14-02-2008 09:48:51
ได้รอยยิ้มรับวันวาเลนไทน์เลนะครับ

ติดตามเรื่องนี้มาก็น๊านนาน ในที่สุดก็มีความสุขซักที

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะครับ ขอบคุณมากๆเลย

 :m1:    :m1:     :m1:     :m1:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 14-02-2008 10:28:47
 :pig3:  :m1:  :pig3:  :m25:  :pig3:

จบแบบซึ้งๆ เข้ากับวันวาเลนไทน์ อิอิ

แล้วคิว&ซัง?





 :pig4: ขอบคุณเตอิ้งสำหรับที่แต่งตอนจบให้แฮปปี้ ชอบๆๆๆ  :m4:


(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/Love/07-02-2008_02.gif)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: bigynew ที่ 14-02-2008 11:00:42
จบแบบนี้ก็ดีอ่ะนะครับ ปริ๊นสมหวัง แต่ก็อยากให้โอ๊ตสมหวังด้วยอ่ะครับ
แล้วโอ๊ดไม่มีคนข้างกายเลยหรอเนี้ย

ยังไงก็ยังอยากฟังคิวบอกอ่ะว่าทำไมไม่ต้องอิจฉาอ่ะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 14-02-2008 11:17:44
จบแบบนี้ก็ดีอ่ะนะครับ ปริ๊นสมหวัง แต่ก็อยากให้โอ๊ตสมหวังด้วยอ่ะครับ
แล้วโอ๊ดไม่มีคนข้างกายเลยหรอเนี้ย

ยังไงก็ยังอยากฟังคิวบอกอ่ะว่าทำไมไม่ต้องอิจฉาอ่ะครับ อิอิ

......รอฟังคำตอบด้วยคนอ่ะ....... :a12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-02-2008 13:16:06
ประทับใจรับวันวาเลนไทน์เลย
ทำให้รู้ว่าโลกนี้ยังมีความรัก ถึงแม้จะกลัวกับการผิดหวัง ก็อย่าไปเสียใจเลย ถ้าได้รู้จักกับความรัก
บางคนใช้เวลาไปทั้งชีวิตกับการที่ไม่เคยพบมันเลย
ถึงจะแต่งงาน มีคู่ครอง ก็ไม่ได้แปลว่านั่นคือความรัก

เช่นเดียวกับบางคนที่ตอบตัวเองไม่ได้ จนสูญเสียมันไปแล้วนั่นเอง

ปล. ปิงปองกับเอ๊กซ์ อิอิ เป็นนัียว่าจะได้อ่านเรื่องของสองคนนี้อ่ะป่าว
 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

เอารูปปิงปองกับเอ๊กซ์มาฝาก คริคริ
(http://i104.photobucket.com/albums/m173/blueboyhub/movie/nine2.jpg)
ปิงปอง
(http://i104.photobucket.com/albums/m173/blueboyhub/movie/A6171917-56.jpg)
เอ็กซ์
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 14-02-2008 15:00:02
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ แสนประทับใจค่ะคุณเตอิ้ง ยังรอรวมเล่มเหมือนเดิมน้า นึกว่างานนี้ต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาซะแล้ว

ทิ้งท้ายไว้แบบนี้แสดงว่างานนี้เตรียมรออ่านเรื่องของคิวซังต่อได้เลยใช่ไหมคะ อิอิ

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 - 3 Years later.ตอนที่ 9 [update ยามดึก 13/02/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 14-02-2008 15:18:18
.
.
.

มันว่าพลางค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดผมช้าๆ ก่อนที่ของเหลวใสบางอย่างจะทันหล่นลงบนพื้น
ลาดเอียง ผมค่อยๆสวมกอดร่างที่อยู่ตรงหน้า ไออุ่นที่โหยหามานาน และเทียบเคียงไม่ได้กับ
เทคโนโลยีใดๆที่ทำให้เราใกล้กัน

.
.
.


ขอโทษ.. ขอโทษนะครับ.. รอหน่อยนะครับ ไว้จะกลับไปกอด (รัด ฟัด เหวี่ยง)  :m14:



ขอบคุณนะครับปริ้น ที่เขียนเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน ถ้าจำที่เคยคุยกันได้ ผมเคยบอกแล้วว่าผมชอบภาษาที่ใช้ การบรรยายที่ทำให้นึกภาพตามได้ไม่ยาก และตัวละครมีพัฒนาการดีนะครับ คนเขียนเองก็เหมือนเก่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย (ถ้าลองเทียบกับบ้านพักฯ รุ่นที่ไปอยู่หอพักแล้วเจอพี่รัน)

ขอบคุณนิยายบ้านพักทั้ง 7 ภาค(นึกว่าอ่าน แฮรรี่ฯ) ที่ทำให้ผมได้รู้จักคนๆหนึ่ง.. ที่ยอมเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษากัน    :o8:




ป.ล.   หายเครียดได้สักทีนะครับ... เรื่องคิวกับซัง ว่างๆ (หลังคุยกับอ. เรียบร้อยแล้ว) ค่อยมาเขียนนะครับ เอาเรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อนเนาะ จะได้รีบไปทำวีซ่า ฮ่าๆ ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 14-02-2008 17:49:22
เพิ่งตามมาอ่านค๊า :m1:

ยังอ่านไม่จบเลย  ขอมาเม้นแปะไว้ก่อนนะคะ

 :c1: :L2: :c1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-02-2008 17:57:24
น้ำตาเกือบจะไหล

กลัวว่าจะต้องร้องไห้เหมือนภาคแรก

ขอบคุณเตอิ้งนะคร้าบบบบ

ที่ไม่ทำร้ายจิตใจในวันแห่งความรัก

รออ่านคิวกะซังอยู่

แล้วเรื่องที่ดองๆ ไว้ก็มาต่อให้จบนะคร้าบบบบบ

 :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: icehitter ที่ 14-02-2008 18:36:11
ดีใจคับที่จบแบบนี้ แม้ว่ามันจะดูสั้นๆไปนิดก้อเหอะ
แท้งกิ้วอีกรอบคับ จากแฟนที่ติดตามมานานนนน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: PTLF ที่ 14-02-2008 19:10:33
   ขอขอบคุณมากครับ คุณปริ้น  o7 :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 14-02-2008 19:22:36
สั้นๆเลยนะครับ

ไม่เคยร้องไห้หรืออมยิ้มกับนิยายเรื่องไหนเท่านี้มาก่อนเลย

ใจหายจังเลยครับ ที่จบแล้ว

แต่จะเก็บความรู้สึกดีๆจากการอ่านนิยายเรื่องนี้เอาไว้ครับ

ขอบคุณพี่ปริ้นซ์มากๆ ที่เอาเรื่องดีๆแบบนี้มาให้ได้อ่านฮะ

^______^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: jojoe ที่ 14-02-2008 20:13:51
สุดยอดดดดดดดดด..............

นึกว่าจะจบแบบเศร้า อุตส่าห์น้ำตาคลอ

ที่ไหนได้ โค้กดันโผล่มา ทำเราหวีดวิ้วซะดังลั่นห้อง

จบอย่างสวยงามมากๆ บทสรุปดีจริงๆครับ

ผมชอบเรื่องนี้ที่เห็นตัวละครได้มีการพัฒนา จากเด็กม.ปลายเอาแต่ใจกลายเป้นผู้ใหญ่ที่เข้าใจในความรัก

เหตุการณ์ต่างๆที่ดูสมจริงและมีเหตุผลให้ตัวละครได้มีมิติหลากหลายให้คนอ่านได้ค้นหา

และนักเขียนที่ใช้คำในการเขียนที่บาดลึกซึ้งใจ

ไม่แปลกครับที่มีคนชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ เพราะทั้งสนุก ทั้งให้ข้อคิด และให้ทุกคนเห็นคุณค่าของความรัก

ผมถือว่า นี้เป้นของขัวญวาเลนไทน์ที่ผมชอบที่สุดแล้วกัน จะติดตามผลงานต่อไำป

(ยังติดตาม รักแท้บทที่สองนะครับ รีบมาโพสต์ต่อนะ)

 :c1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 14-02-2008 21:18:38

อ่า ~  โล่งอก ในที่สุดก้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง  :m4:

ไม่รุ้จะเมนท์ยังไงดีอ่า  :o8:

ขอบคุณเพ่เตอิ้งมั่กๆ เลยน้างับที่แต่งเรื่องดีๆ อย่างนี้ให้ได้อ่านนน  :oni1: เพ่เตอิ้งซ้ดยอดดด  o13

แล้วก้  :c1: ด้วยน้างับบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: MagaM ที่ 14-02-2008 21:26:44
 :c2:
อิอิ อยากได้เพลง เนี้ยอะที่รัก = ="
ถ้าเข้ามาส่งให้หน่อยได้ไหมคับ เหอๆ ฉบับที่ผมมีมันขาดช่วงท้ายๆไปอ่ะ

อยากได้หนังสือโฟ้ยย ทำมือเลยพี่ เหอๆ :oni2: ดีกว่าสำนักพิมพ์ พิมพ์นะ ขอบอก
ออกแบบปกเองสวยกว่าเป็นไหนๆ อ๊าาค
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: jonathan2624 ที่ 14-02-2008 21:36:44
 :mc3: :mc3: ซาบซึ้งมากค้าบบบบบ ในที่สุดก็จบแล้ว ขอบคุณมากนะค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 14-02-2008 22:36:51
ประทับใจโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่ะคับ

ขอบคุน พี่เตอิ้งมากมายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


คับ


ThX คับ

 :c2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7
เริ่มหัวข้อโดย: rarmz ที่ 14-02-2008 23:20:55
และแล้ว การรอคอยก็สิ้นสุดลงซักทีเน๊อะ...

คนที่เรารัก กลับมาหา...
แค่นี้ก็ "เติมเต็มให้กันและกัน" แล้วล่ะ...

ปริ๊นซ์กะโค้ก ต้องคู่กันอยู่แล้ว ว๊ะฮ๊ะฮ่าๆๆๆๆ

:P


เป็นนิยายที่ผมให้เป็น หนึ่งใน ท๊อปไฟว์ ของผมเลยเอ๊าะ...


อย่างที่มีคนบอก
ไม่ได้มีความงามในภาษามากมาย แต่อ่านแล้ว กินใจ ซึ้ง เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร
แค่นี้ก็เจ๋งแล้วววววว...


รออ่านงานต่อไปของพี่ปริ๊นซ์นะค้าบ
(หรือมีแล้วหว่า???)



ขอบคุณอีกครั้งนะค้าบบบบ


ปล. อยากเจอพี่ปริ๊นซ์ ตัวเป็นๆ ดิ้นได้จิงๆเลยเอ๊าะ :P
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 14-02-2008 23:32:44
เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์อีกชิ้นนึง
ที่ทำให้วันนี้มีความสุขมากๆ ครับ  :a1:
...ขอบคุณครับ...




เรื่องราวของปริ้น โอ๊ต โค้ก คิว ซัง และคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามา...
มันทำให้คนหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) มีความสุข ความเศร้า ความเหงา และความหวัง ร่วมไปกับพวกเขาเหล่านั้นด้วย

ขอบคุณ...ที่มอบความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ให้กับคนอ่านนะครับ ... Saku
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 15-02-2008 00:11:28
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ค่ะ

จะคอยติดตามผลงานนะคะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: anston ที่ 15-02-2008 03:22:02
ขอบคุณมากมากกกกกกก..
สำหรับของขวัญดีดีในวันวาเลนไทน์..
จบแบบนี้ได้ใจคนอ่านไปเต็มๆเลย..
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ..ไม่รู้จะบอกยังงัยดี
ได้แต่บอกว่า " ขอบคุณ ".. :pig4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 15-02-2008 10:52:38
การรอคอยด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา  มักจะได้ความรักที่ยิ่งใหญ่ตอบแทนกลับมาเสมอ
ยิ่งใหญ่และประทับใจมากๆ ครับสำหรับเรื่องนี้  ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องราวดีๆ
 :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 15-02-2008 17:32:26
จบแบบแฮปปี้ มีความสุขจัง  :oni2: o13
กลัวว่าจะต้องน้ำตาท่วมซะแล้ว  o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: angsumalin ที่ 15-02-2008 23:13:29
จบได้ประทับใจค่อดดเต็มร้อยคะแนนเลยคับ  o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: micky99 ที่ 16-02-2008 07:59:07
 :m4: :m4: :m4:ขอบคุณคุณปริ๊นซมากมากครับ
แฟนคลับโค๊กมากมายจัง อยากรู้จัง ทำไมถึงเชียโค๊กมากกว่าโอ๊ตครับ
คุยให้ฟังบ้างสิ สำหรับเราชอบและสงสารโอ๊ตมาก โอ๊ตยังรักปริ๊นอยู่หรือเปล่าหนอ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 16-02-2008 12:11:21
รู้สึกโชคดีมากๆครับที่ได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้

มีความสุขจริงๆ กับสิ่งที่พี่มอบให้พวกเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา ^ ^


ขอบคุณสำหรับทุกๆภาค ทุกๆตอนนะครับ..


ตอนนี้ก็รอวันที่หนังสือจะออกมาเป็นเล่มให้ได้เชยชม
จะได้พูดได้เต็มปากเต็มคำ ..ซะที
"บ้านพักอลเวง (Staying Power) หนะหรอ.. อ๋อ นั่นหละเล่มโปรดของผมเลย"

คุๆๆ.. ^ ^


รักพี่นะ*


ลป. สอบเสร็จเดี๋ยวจะมาเขียนคำนิยมให้นะครับ(ไม่ถามหรอกว่าอยากได้รึป่าว อยากเขียน ^ ^)
ลป2. ตอนพิเศษคิวกับซัง, รักแท้ฯ, สายฟ้า-วายุ, 365วันฯ, เกมส์รักฯ!! เรื่องไหนก่อนดี??  ฮ่าๆ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 16-02-2008 18:33:26
ซึ้งจัง
ติดตามมานาน ขอบคุณมากๆครับ
ปล.อยากเห็นโอ้ตสมหวังมากๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: committeedestiny ที่ 16-02-2008 22:47:21
เย้ๆ จบแล้วช่ายปะพี่ปริ้นซ์

รู้สึกสุขสมอารมณ์ด์กะตอนจบมากมาย  อิอิ

คนอะไรก็ม่ายรุเขียนได้ซึ้งตรึงใจจริงๆ

แพรวสั่งหนังสือไว้  อยากรู้จังจะได้เมื่อไหร่

ขอบคุณมากๆ ที่แบ่งปันเรื่องดีๆ มาให้ให้อ่านนะจ๊ะ   o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 16-02-2008 23:09:46
 :m15:

รอเรื่องของพี่คิวต่อ :m1:

 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: しろやま としんや ที่ 17-02-2008 00:19:17
ในที่สุดก็อ่านจบซะทีนะเรา

แอบลุ้นอยู่ตั้งนานว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นยังไง

ดีใจมากมายที่จบลงด้วยดี

ในที่สุดปริ๊นกับโอ้ตก็ลงเอยกัน เย่ๆๆๆ

ยังไงก็ขอขอบคุณสเตอิ้งมากมายเลยนพสำหรับเรื่องราวดีๆที่ได้นำมาถ่ายทอดให้พวกเราได้อ่าน

ขอบคุณในความพยายามของคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ




หวังว่าคงจะได้อ่านคู่ของซังกับคิวบ้างนะ

เพราะคู่นี้รักกันดี รักกันนานเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: creamBboy ที่ 17-02-2008 01:00:25
ปริ้นซ์กับโค๊กมะช่ายเหรอ  - -*
 o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: __ .iMzii3 ที่ 17-02-2008 02:06:57
ขอคารวะพี่ Staying Power มากๆเลยนะครับ



.
เรื่องของพี่เรื่องนี้
ทำให้ผมต้องเสยน้ำตาไปไม่รู้กี่หนต่อกี่หน

การบรรยายของพี่ .. ให้ความรู้สึก
ราวกับว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องๆนี้
ขอบคุณนะคับ ที่ให้เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นมาในหัวใจ ^^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: M@5teR I[K][K]I ที่ 18-02-2008 00:11:50
เฮ่อ....รู้สึกเหนื่อยอ่า.....

ทามมาย เรื่องไม่เป็นเรื่องถึงทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้.....(ม่ายได้ว่าครายนะ)

เสียดายคนดีๆ อย่างโอ๊ต......

แต่ ก็อย่างว่านะ....คนอย่างโอ๊ตนะ.....ทำให้ใครมีความสุขจริงๆ ไม่ได้หรอก....เพราะยังทำให้ตัวเองมีความสุขม่ายได้เลย         :angry2:       ส่วนที่ว่าคอยเทคคนอื่นๆอ่ะ.....เหมือนเป็นการทำเพื่อไถ่โทษเลยนะ....อย่าง(E)เต เป็นต้น       :beat:    ซักที...เรวจิง  อีพวกทำตัวน่าเวทนา.....          :angry2:

ส่วนรายของโค้กก็น่ากลัวอ่า.....มีปมปัญหาติดอยู่กับครอบครัว.....เหมือนกะว่า ปริ้นซ์ มาช่วยเติมสิ่งที่ขาด
 แต่ถ้าครอบครัวต้องการให้โค้กมาอยู่จริงๆ  น่าคิดนะว่า โค้กจะเลือกอาราย      :เฮ้อ:

โดนส่วนตัวชอบนะงับ Drama จัดเลย (ตอนจบ ภาคคิมหันต์ อ่านแล้วใจสั่นเลย)

ปล.ป๋มเคยอ่านงานของคุณ เตอิ้ง อันนี้นะ....แต่จำชื่อม่ายได้.....รู้เลยว่าเรื่องนี้ต้อง Pop มากๆ....

ป๋มชอบงานที่บรรยาย แสดงให้เห็นจิตใจออกมาเห็น Image ของความรู้สึกคนอ่ะงับ  เรื่องนี้โดน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 18-02-2008 07:58:55
ขอบคุณเตอิ้ง สำหรับเรื่องราวดี ๆ น่ารักมากมาย  o1 o1

ขอบคุณที่เรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข   :m1:

แอบหวังว่าจะได้อ่านเรื่อง ของซังกับคิวต่อไป   :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: unagan ที่ 19-02-2008 04:49:40
รักเตอิ้งที่สุด  o7 o7 o7

เจ็ดภาคคุ้มค่ากับเวลาี่เสียไป

ในเมื่อเจ้าตัวออกมาประกาศว่าจบแล้วก็คงจบน่ะครับ สำหรับบ้านพักอลเวง

ที่คิดไว้นะ ที่เตอิ้งจะต้องเขียน เหอ ๆ

1. ปิงปอง - เอ๊กซ์  เริ่มต้นนิยายรักบทใหม่
2. นิค - ต่อจากรักแท้
3. คิว - ซัง เรื่องเก่านี่แหละ เอามาเป็นตอนพิเศษ

ณ ขณะนี้ เตอิ้งก็ยังเป็นนักเขียนสุดยอดในดวงใจผมนะครับ

ขอบคุณครับที่สร้างสรรผลงานเรื่องนี้ขึ้นมา
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ank_ang ที่ 19-02-2008 05:02:09
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:



จบแบบนี้จริงๆด้วย....หือออออออออออออออออออออออออ......



โอ๊ตของป๋มมมมมมมมมม.......หือออออออออออ.......



อาวตอนพิเศษของโอ๊ตตตต...มาชดเชยเลยน้า...พี่เตอิ้งน้า.............


ร๊ากกกกกพี่โอ๊ตตตตตตต....ถ้าไปอยู่ในนิยายได้ จะไปดามหัวจายให้พี่โอ๊ตแล้วนะเนี๊ยยย...แงแง




ชมรมคนรักโอ๊ต.....ชมรมคนรักเด็ก.......ชมรมหนุ่มเจ้าชู้....(เขายัดเยียดข้อหาให้ป๋ม.....????)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-02-2008 11:21:58
จากคนที่ไม่เคยอ่านนิยายแนว “ชายรักชาย” มาก่อนในชีวิต
มีโอกาสได้เข้ามาอ่านเพราะความไม่ตั้งใจ  เพียงเพราะ อยากรู้
ไม่เคยคาดหวังกับนิยายแนวนี้ และไม่คิดว่าตัวเองจะชอบ

บ้านพักอลเวง  จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนหนึ่งเริ่มอ่านนิยายทางอินเตอเนท  แนวชายรักชายซะด้วย
เพียงแค่บทแรก  มันทำให้เราหยุดตัวเองไม่ได้  อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า
น้ำตาไหล ซาบซึ้งไปกับความรักที่มั่นคงแต่ไม่มั่นใจ ของโอ๊ตกับปริ้น
อบอุ่นหัวใจไปกับความรักและความผูกพัน ของโค้กกับปริ้น

“รัก” ตัวละครทุกตัว 
“มีความสุข” ที่ได้อ่านและเห็นพัฒนาการของบ้านพักอลเวง
“ชื่นชม” เจ้าของนามปากกา Staying power

ปริ้น โค้ก โอ๊ต ซัง คิว นิค ตัวละครทุกตัว เหมือนมีชีวิตในใจเราเสมอ…
บ้านพักอลเวง ยังคงเป็นที่หนึ่งในใจเราไม่เปลี่ยนแปลงเลย…

ปล  รออ่านภาคพิเศษอยู่น้า
ปล2 เพลงเหมือนเพลงแต่งงานเลย  อิอิ

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 21-02-2008 01:02:12
โอ้วววว จบซึ้งมากมาย
พี่ Stp. รอ คิวกะซังสุดรักผมอยู่นะคับ  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: ranaways ที่ 24-02-2008 20:35:12
พูดไปก้อคงไม่เชื่อ   ว่าตัวเองกำลังอ่าน บ้านพักอลเวง ตอนแรก  ในวันที่เค้าลงตอนจบแระ 

กว่าจะรู้ก้อวันนี้ มาอ่านตอนจบ เข้าแล้ว  เพิ่งจาเห็น Pm ของ staying power

ว่าจะลงตอนจบในวันที่ 14 กพ เอ้า แสดงว่าจะจบแล้วเหรอเนี่ย

 อ่านไปอ่านมา  ความรักมันน่าอิจฉา มากๆ ที่ใครก้อเข้าไปหามัน 

บางคนก้อผิดหวังกับมัน  มีน้ำตา   บางคนก้อยิ้มร่าไปกับมันเนื่องจากสมหวัง

บ้านพักอลเวงทำเอาผมร้องไห้ไปกับมัน  ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงร้องไห้ 

อาจเป็นเพราะ เคยผิดหวังกับความรัก  หรืออาจคิดถึง ความรักในวันที่สมหวัง

ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้ความรู้สึกของผมมากมาย กลับมาอีกในวันนี้

เรื่องราว ของ ปริ้นซ์ โค้ก และก้อโอ๊ต   ทำให้ชีวิตของใครอีกหลายคน

คงมีความหวังขึ้นมาบ้าง (ผมหวังว่าอย่างนั้น)   ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเข้ามาในเล้าเป็ด

มาอ่านเรื่องเล่าพวกเนี้ยะ แล้วต้องมาโพสต์  โพสต์ทำไม

แต่บ้านพักอลเวงทำผมอดใจไม่ไหวที่จะจรดนิ้วมือลงบนคีย์บอร์ด 

ขอบคุณมากจริง  ยังไงถ้ารวมเล่มแล้วก้อมาโพสต์บอกด้วยละกันนะครับ


 ขอบคุณมากกกกกจริง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Zodiac ที่ 27-02-2008 01:20:15
พระเอกโผล่มาตอนท้าย วิ้วววว~ว
แฮ็ปปี้จังเลย ไอ้ผมก็เป็นพวกโพสบรรยายความรู้สึกไม่ค่อยเป็นซะด้วยสิ
เลยโพสไม่ค่อยยาวเหมือนคนอื่น ที่บรรยายความรู้สึกมาจนหมด
ถึงบรรยายไม่ได้มาก แต่ก็ประทับใจในเรื่องนี้เลยทีเดียว ฮิ้ววววว~ว(รั่วละๆ)

แล้วพี่เตอิ้งจะต่อเรื่องไหนอ่ะค้าบ
แล้วฉันจะตามไป ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 27-02-2008 18:41:17
ขอบคุณค้าบบบ สำหรับทั้ง 7 ภาค  :m1:

และก็ยังคงตั้งตารอหนังสือ ต่อไป  :a2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: TAMAKUNG ที่ 29-02-2008 23:38:03
พึ่งจาอ่านมาถึงตอนนี้เองคับ
 :o12:    เครียดแทน  ทำไมอ่ะ    สงสารโอ๊ต เป็นที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: TAMAKUNG ที่ 01-03-2008 01:27:54
 :m1:
ดีคับ   ผมเป็นสมาชิกใหม่นะครับ ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว


บอกตรงๆนะครับว่าผมไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลยอ่ะนะ


กะว่าจะเอา TOP อ่ะ

ตอนนี้คงได้แค่ผ่านเท่านั้น


ชอบครับ มากด้วย  แบบว่าอ่านแล้ว  ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยอ่ะครับ


ในหัวมันคิดถึงแต่  ปริ๊น กับ โอ๊ตครับ

จริงนะครับ ผมนับถือในความรักที่ โอ๊ต มีให้กับ ปริ๊นมากกว่า.........สงสารโอ๊ต เป็นที่สุดครับ


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: fantastic_7 ที่ 02-03-2008 06:00:19
 :L1: :L2: :c5: :mc4: :m25: :m1: :pig3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Yเข้าสายเลือด ที่ 03-03-2008 01:30:19
 :o12:  ฮือออออออ   เศร้าอ่ะ  เพราะอยู่ชมรมคนรักโอ๊ตมาตั้งกะแรก

ตอนพิเศษ ก็แอบหวังว่าจะมีรักรีเทิร์น ระหว่างปริ้นกะโอ๊ต (จะโดนโค้กแฟนคลับฆ่าป่ะเนี่ย  :m22:)

ฮือ ฮือ  ทำใจมะได้ 

บอกคำเดียวว่า..............

.
.
.
.
.
.
.
เศร้าอ่ะ      แง้....... :o12:

 :sad2: นอนสลบอยู่หลายอาทิตย์  กว่าจะกลั้นใจมารีให้ได้  คิดแล้วก็เศร้า

ปล.1  วันนี้ไปเที่ยวผ่านเขาวัง เพชรบุรีมา  ยิ่งทำให้เศร้า น้ำตาไหล  คิดถึงตอนโอ๊ตอยู่กะปริ้นสมัยมัธยม

ปล.2  ไม่กล้าซื้อหนังสืออ่ะ  กลัวทำใจไม่ได้  ทำไงได้ ก็รักโอ๊ตไปแล้วนิ เลยไม่อยากอ่านเรื่อง happy ending
ของโค้กกะปริ้น   :m15:

ม่ายยยยยยย  ช้านทำใจมะด้ายยยยยยยยย :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 [จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 03-03-2008 01:56:06
เพิ่งจะสังเกตเห็นอ้ะ
พี่ Stp. บ้าวงออกัสใช้ได้เลยนะเนี่ย
ปิงปอง ปฐมวรรธน์ เอ็กซ์ ชานนท์
หุหุหุ  :m12:

ชอบได้ทุกคน ยกเว้นพิชชี่ของผมนะคับพี่ เอิ๊กๆ  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 03-03-2008 08:05:13
[Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08

หัวข้อกระทู้มีนัยยะนะพี่ปริ้นซ์

หรือว่าวันที่ 5 จะมีสไปรท์ เอ้ย!!! เซอร์ไพร้ซ์


อิอิ รออยู่นะคร้าบพี่ปริ้นซ์  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 03-03-2008 16:13:38
ขอเดาว่า น่าจะเป็นเรื่องใหม่อะ เห็นบล็อกของพี่ปริ๊น กะลังปรับปรุง เห็นว่าจะมีเรื่องใหม่มาลงงะ  ออิอิอิอิ
เป็นการคาดเดานะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 03-03-2008 19:20:25
รอต่อปายยยย

 :a2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 03-03-2008 20:33:17

วันที่ 5 จามีอะไรน้า  :m1:

มารอลุ้นงับบ  :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: reu_aha ที่ 04-03-2008 01:11:45
อยากบอกว่าสนุกจริงๆ

ตอนแรกจะเลิกอ่านแล้ว
เพราะว่าขี้เกียดอ่ะค่ะ
แต่. . .แล้วอ่านไปเรื่อยๆก็ทำให้ไม่อยากให้เรื่องจบแล้ว :m15:

ขอเอ่ยชมว่าสนุกมากๆ ทำให้คิดถึงใครบางคนเลย(อดีตรัก5 5) :m23:

พี่โอ๊ต  เป็นพี่ที่ดี  ตอนแรกคิดว่าพี่เค้าจะเป็นพระเอกของเรื่องด้วยซ้ำ  ยอมซะทุกอย่างจริงๆพี่ชายของเรา
พี่ปริ๊น  ผู้ชายลักษณะปากแข็งหน่อย  กวนๆ  ชอบพูดประชด
พี่โค้ก  รุ่นน้องแสนดี  ที่คอยพี่ปริ๊นมานาน  ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็รอได้
พี่ปิง  แฟนเก่าพี่โอ๊ต  อ่านตอนนั้นบอกได้เลย  ร้องไห้อย่างแรง  TT
พี่เต้ย  เพื่อนพี่ปิง  ชอบมีเรื่อง  แต่. . .เค้าก็มีความสุขเมื่อเห็นพี่ปิงมีความสุข
พี่ซัง  ผู้ชายตี๋  ติดเหล็ก  สเปคหลายๆคน  เป็นที่คอยให้คำปรึกษา
พี่คิว  อ่านตอนแรกยังคิดเลย  คนนี้หรือป่าวนะ  ที่จะเป็นคนครองใจเจ้าชายของเรา  ก็มาดกวนซะ
พี่เต  น่าสงสาร  แต่. . .ใจร้ายจัง
พี่นิค  คนนี้แหละ  คิดเหมือนกัน  มาแทนที่โอ๊ตแน่ๆ  แต่. . .เอ๊ะก็ไม่ใช่อีก

ขาดใครอีกป่าวนะเนี่ย?
เหอๆ  ชอบตอนไปเที่ยวเกาะอ่า  สนุกดี 
พี่โค้กเจ๋งดี   :oni3:อย่างกับเป็นโคนันเลย

ชอบเนื้อเรื่อง :m13:ที่บรรยายให้เห็นถึงสถานที่ท่องเที่ยว
จากเด็กกรุงเทพ  กลายไปเป็นเด็กต่างจังหวัด

แล้วก็บางทีในเรื่องก็สะท้อนเหมือนเป็นตัวเราเอง
ยังคิดเลย  เฮ้ย!!!เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งเลย 5 5

อยากบอกว่านับถือพี่โอ๊ตจริงๆ
แต่. . . พี่โค้ก ก็รักเดียวใจเดียว

อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยง่ะ  :o12:
ยิ่งเพลง Cannon In D Major  ยิ่งทำให้น้ำตาไหล



 :pig4:ขอบคุณนะคะที่ทำให้ได้อ่านเรื่องดีๆ
ถ้าได้รวมเล่ม  จะไม่พลาดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: astral ที่ 04-03-2008 14:13:56
เฝ้ารอวันที่ 5  :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 04-03-2008 19:58:18
ผมอยากเห็นพี่โอ้ตของผมสมหวังกับเค้าบ้างจังเลยครับ  :sad2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. 05/03/08
เริ่มหัวข้อโดย: succubus ที่ 04-03-2008 22:40:49
พึ่งอ่านจบ ชอบมั๊กๆ รออยู่นะครับ บทส่งท้ายอ่า

ชอบโค๊ก อ่ะ น่ารักสุดๆ :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 04-03-2008 23:48:17
อ๊าคคคค อยากอ่านๆๆ
แต่ต้องไปนอนแย้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบมาอ่านครับ  :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 05-03-2008 00:16:55
แน่ะ เตอิ้งแอบมาเลื่อนกำหนดเซอร์ไพร้ซ์เหรอ เปลี่ยนจากวันที่ 5 เป็น soon ซะงั้น  :m16:

ม่ายยอมมม...หลอกให้อยาก แล้วจากไปแบบนี้ แฟน ๆ ทรมานนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-03-2008 00:39:29
โทษทีคับ พอดีพรุ่งนี้(วันนี้) สอยตั๋วเครื่องกลับได้พอดีฮะ เลยต้องรีบจัดข้าวของก่อนอ่ะ
ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊คกลับไปด้วย (เที่ยวนี้กลับแค่ยี่สิบวันต้องมาเชียงใหม่อีกล่ะ) เลยไม่รู้ว่า
พีซีที่บ้านยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าคับ คุคุ

ถ้าใช้ไม่ได้ก็คงต้องเว้นยาว แต่ถ้าใช้ได้ จะรีบมาโพสนะคับ ขอตัวปิ๊กกลับก่อนก่ะเจ้า
 จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: TAMAKUNG ที่ 05-03-2008 00:58:41
 :m15:

นึกว่าจะมาลงให้เราอ่านต่อ เหอๆๆๆๆ

เจงๆๆนะ  ยังงัยก็ยังคิดว่า โอ๊ตคือคนที่ใช่อ่ะ  รักโอ๊ตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คนที่ทรมานที่สุดคือ โอ๊ตอ่ะ

เห็นคนที่รักที่สุดอยู่กับคนอื่น และที่สำคัญ โอ๊ตก็ไม่ได้ผิดรัยเลย

เศร้าจัง
 o2 o2 o2 o2
เสาร์ อาทิตย์นี้สอบ Final แล้วอ่ะ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ก็เพราะคิดเรื่องโอ๊ตเนี่ยแหละ

 o7 :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 05-03-2008 03:02:43
ติดตามอ่านต่อเนื่อง 3-4 วันเลยอ่ะครับ o2(แอบมึนๆแต่ก็ชอบมากๆๆๆๆ)

ตอนแรกชอบโอ๊ตกะปริ๊นมากกกกกกกก     แต่ต่อๆไปก็ทำไมโอ๊ตทำงี้ว๊า   ก็ยังเชียร์ให้คู่กันเหมือนก่อน

แต่พอโค๊กมาก็ค่อยๆเชียร์ให้คู่ปริ๊น  จนมาถึงตอนจบแบบว่าได้ใจมากครับ^^ :oni1:

แต่ก็ยังให้กำลังใจพี่โอ๊ตน๊า  หุหุ :o8:

ขอบคุณที่มีเรื่องราวดีดี(ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่าน)มาให้อ่านนะครับพี่เตอิ้ง   เป็นหนังสือเมื่อไร สั่งจองด้วยคนน๊า o13   

รออ่านเรื่องต่อไปนะครับ^^ :bye2:   เด๋วตอนนี้คงต้องไปเก็บตกเรื่องอื่นๆที่พี่เขียนด้วยนะคับ :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 05-03-2008 08:02:50
มารอเตอิ้งค่ะ 

สุดยอดนักเขียนในดวงใจ  :m13:

มารอด้วยความหวังนะคะ   :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 05-03-2008 09:31:20
เข้ามารอแทนอาจารย์.สีฟ้า ด้วยคน



น้องลักยิ้ม
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-03-2008 00:17:56
แง...มาหลอกให้เรานอนไม่เป็นสุขมาตั้ง 1 คืน มัวแต่อยากอ่านตอนใหม่อ่ะครับ  :sad2:

ยังไงก็จะรอต่อไปครับผม
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: reu_aha ที่ 06-03-2008 12:02:29
พี่คะ

จะลงแดงแล้ว o2

สุดๆ
TT
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 06-03-2008 16:26:22
 :sad2: ใจร้าย  ฮือๆๆๆ อุตส่า รอ 

ยังไงมาต่อไวๆน้าค้าบ รัก พี่เตอิ้ง  :L1: :m14:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-03-2008 17:53:24
รอคร้าบบบบบ

 :a5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: Pongkemon ที่ 06-03-2008 21:28:33
เตอิ้งเงียบหาย แบบนี้ต้องรอ 20 วันจิเนี่ย  :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: ^ - ^A s A v I n * o * ที่ 06-03-2008 22:24:17
ยาวมากกกกกกกก

พึ่งอ่านถึงหน้าสอง แต่บอกได้คำเดียวว่า

โอ๊ต โคตรเลว

เพื่อนๆเห็นด้วยม่ะครับ ขอเสียงหน่อย

 :m24:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 07-03-2008 13:32:20

อ่านทันแล้วคับพี่น้อง

ดีจายยยย  o7

รอตอนจบด้วยใจจดจ่อ

ยาวมากกกกกกกก

พึ่งอ่านถึงหน้าสอง แต่บอกได้คำเดียวว่า

โอ๊ต โคตรเลว

เพื่อนๆเห็นด้วยม่ะครับ ขอเสียงหน่อย

 :m24:

ฮิ้วววววววววววววววว

อ้าว มะใช่เหรอ เอิ๊กๆ

ไม่จริงน้า โอ๊ตไม่ได้เลวซ้าหน่อย แต่โอ๊ตดีเกินไปตะหากล่ะ

ดีจนยอมเจ็บแทนคนอื่น  :sad2:

(จริงๆ เชียร์โอ๊ตไง เอิ๊กๆ)

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 07-03-2008 21:01:07
เข้ามารอน้างับบบ  :oni1:

ปล.ชอบซิกพี่เตอิ้งอ่ะ สวยทุกอันเลยยย  :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: ask ที่ 10-03-2008 15:23:57


ปล.ชอบซิกพี่เตอิ้งอ่ะ สวยทุกอันเลยยย  :oni2:


เหมือนกันค่ะ ชอบซิกพี่เตอิ้งมากเลย สวยมีเอกลักษณ์


มารอค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 11-03-2008 03:27:30
เย้ ตามอ่านจนจบซะที นุกมากมายเลยคับ

ขอบคุณพี่เตอิ้ง สำหรับเรื่องราวดีๆๆคับ

 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 14-03-2008 14:22:41
สมบูรณ์แล้วสินะ ^^

สารภาพ เรื่องนี้ มีทั้งที่ทำให้ยิ้ม และ ร้องไห้ได้ (ทั้งเศร้า และ สุข)

เป็นอีกเรื่องนึงที่.. ประทับใจ รออ่าน "บทส่งท้าย" อยู่นะครับ ~*
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: nirun4 ที่ 18-03-2008 21:45:00
 :m1: :m1: :m1: ชอมมากมากครับเรื่องนี้ มีทุกข์อารมณ์เลยครับ ยังงัยก็รอบทส่งท้ายนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: blackwild ที่ 25-03-2008 00:29:31
เรื่องนี้สนุกมากๆเลย   o13

มีทุกอารมณ์ ในเรื่องเดียวเรียกว่า all in one คงได้

เริ่มแรกๆที่อ่านเชียร์โอ้ตสุดใจไปเลย  :o8:

แต่พอรู้ว่าโอ้ตไปมีคนอื่นก็กลับมาเชียร์โค้ก

พอปริ้นไปเจอนิคไม่อยากบอกว่าหันไปเชียร์นิคสุดๆ  :m23:

และตอนนี้ ปัจจุบันก็กลับมาแอบหวังจะเชียร์ให้โอ้ตรักกะปริ้นเหมือนเดิม  :m29:

แบบว่าใจโลเลมาก กำลังคิดว่าถ้าตัวเองเป็นปริ้นจะเลือกใคร เหมาหมดดีมั้ย (เลวและ):laugh:

แต่ไงเรื่องนี้ก็สนุก น่าลุ้น มากๆ รอตอนสุดท้ายต่อไป~

 :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 + ..?.. (soon)
เริ่มหัวข้อโดย: JoJo ที่ 01-04-2008 04:10:40
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย  o2

ตอนแรกเชียร์โอ๊ตสุดๆ แต่ต่อมาเริ่มเอะใจตั้งแต่ตอนที่ปรินซ์กับโค้กไหว้พระตรีมูรติด้วยกันว่าคุณเตอิ้งให้นายโค้กเป็นตัวจริงแน่ๆ แล้วหลังจากนั้นก็มี sign อื่นๆตามมาอีกเป็นระยะ  :a1: ซึ่งเราก็คิดว่าดีแล้วที่เป็นโค้กนะ  มั่นคงในรักตลอดเวลา สมมติว่าโค้กตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโอ๊ต เราก็เชื่อว่าโค้กจะไม่เลือกแบบโอ๊ตแน่นอน

ไม่รู้สึกเกลียดเตกับโอ๊ตหรอกนะ สงสารทั้งคู่มากกว่า
คนแรกก็ป่วยหนักตั้งแต่เกิด จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ความรักที่มีมันก็เลยมีค่าเกินกว่าจะยอมสูญเสีย ทั้งยื้อทั้งตื๊อแต่สุดท้ายก็ต้องเสียใจเพราะได้มาแต่ตัว ไม่เคยได้หัวใจ  รู้สึกผิดด้วยที่ทำลายรักแท้ของคนอื่น  :sad2:
ส่วนอีกคนก็อ่อนไหว อ่อนแอ ขี้แย (เหมือนที่ปิงบอกเด๊ะๆ) ไม่อยากเห็นเพื่อนตายเลยยอมคบเป็นแฟนด้วย  ถึงแม้ในใจจะรักปรินซ์ตลอดเวลา แต่ทำแบบนี้มันก็ผิดสัญญาอยู่ดี  ในเมื่อเลือกแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา  เฮ่อ เจ็บใจ! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยยยย  :o12:

ส่วนปรินซ์จากที่อ่านมา ดูเหมือนจะรักโค้กเต็มหัวใจตั้งแต่ช่วงที่เรียนเกษตรด้วยกันแล้ว  เพียงแค่ยังไม่กล้ายอมรับกับตัวเอง  บวกกับน้อยใจโอ๊ตที่ทิ้งไปโดยไม่เคยบอกว่าเพราะอะไร  ตอนจบภาค Holynight รู้สึกได้เลยว่า ปรินซ์รักโอ๊ตแบบพี่น้องคนสำคัญมากกว่าแบบคนรักมาสักพักแล้ว  พอได้อภัยให้กันและกัน ปรินซ์เลยได้เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ดีจริงๆที่ปรินซ์มีความสุขซะที  :L1:

สำหรับโค้ก ไม่มีคำใดจะกล่าว นอกจากนายสุดยอดมากกกก รู้ว่าเค้ารักคนอื่นแต่ก็รอมาตลอด แถมให้กำลังใจอีกต่างหาก ยิ่งตอนที่ปรินซ์สัญญาแล้วว่าจะไม่ไปไหน (จากตอนจบภาค Holynight) มีการบอกให้ปรินซ์พาพี่โอ๊ตมาเร็วๆด้วยนะ จะหาใครใจสปอร์ตเยี่ยงนี้คงไม่มีอีกแล้ว o13

คาแร็กเตอร์ตัวเอกชาย 3 คนในเรื่องมันช่างตรงกับอากาศ 3 ฤดูเหลือเกิน (เสียดายที่วาดรูปไม่เป็น อยากเห็นแฟนอาร์ตจังเลย  :m13:)
โอ๊ตเหมือนสายลมฤดูหนาว มาสอนให้รู้จักความรักแล้วก็จากไป ทิ้งไว้แต่ความหนาวเหน็บ
โค้กที่สดใสร่าเริงเหมือนแสงแดดกับสายลมอ่อนๆในฤดูร้อน คอยโอบอุ้มปรินซ์อยู่เสมอ
นิคผู้มากับสายฝน (สังเกตว่ามันมาทีไร ฝนมักจะตกเสมอ 555) ฝนที่โปรยปรายให้ใจเย็นฉ่ำ แต่บางทีก็กลายเป็นฝนฟ้าคะนอง =="

ยังมีอะไรให้เม้นท์อีกมากมาย  แต่เริ่มมึนแล้วอ่ะค่ะ  อ่านมาราธอน 4 ชั่วโมง  o2  ชอบเรื่องนี้มากจริงๆ อยากมีไว้ครอบครอง และอยากร่วมทำบุญด้วย  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: matsuo ที่ 15-04-2008 15:48:14
ติดตามอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่บอร์ดปาล์มแล้วครับ นานมั่กๆ   :m23:
วันนี้เพิ่งมาเจอกระทู้นี้ เลยเข้ามานั่งอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบเลย  :m13:
รอพี่เตอิ้งมาต่อเรื่องรักแท้อ่าครับ อ่านค้างไว้เป็นปีละครับ 555+ ยังรออยู่ครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: omax ที่ 18-04-2008 15:28:01
ชอบสุดๆเลยครับ :m4: มีครบทุกอารมณ์ สุข เศร้า เคล้ารัก และฮา
ช่วงกลางคืน อ่านแล้วหัวเราะ :m20:จนข้างบ้านแอบค้อน
ช่วงที่เศร้า ถึงแม้ว่าผมจะไม่น้ำตาไหล แต่ภายในใจน้ำตามันไหลบ่าท่วมจนไม่เป็นอันทำอะไร
ชอบตอนจบตั้งแต่ภาค holy nightแล้ว ภาคสุดท้ายก็ยิ่งชอบขึ้นไปอีก
ตอนแรกกล้วว่าโอ๊ตจะสมหวังไปมีรักใหม่ เป็นแฟนคลับโอ๊ตครับ อยากให้โอ๊ตรักปริ๊นซ์คนเดียว ถ้าจะสมหวังก็ให้สมหวังกะปริ๊นซ์ หรือเรา :laugh:
แต่ตอนจบปรินซ์กะโค้กนะดีที่สุดเลย :m1: ส่วนเจ้าโอ๊ตปล่อยมันเป็นอย่างนี้ดีแล้ว ทำตัวเองนิ
อ่านเรื่องนี้แล้วอินสุดๆ ไม่เป็นอันทำอะไรเลย วันๆคิดถึงแต่โอ๊ต จะปลอบใจมันยังไงดีน้า... :a1:
มันทำให้เรามองเห็นชีวิต ตัวละครในเรื่องเจ้าโอ๊ตก็อายุประมาณเท่าเรา  แถมเรียนโรงเรียนแบบเดียวกัน ม.ต้นชายล้วน ม.ปลาย สห แต่หญิงน้อยมากเกือบชายล้วนเหมือนเดิม ที่ รร.ก็กว้างเหมือนกันเลย แต่ของเราร้อยกว่าไร่แนะ มีที่ลับเพียบบบ :oni1:
ยกให้เป็นนิยายอันดับหนึ่งในดวงใจ :m13:
ส่วนคุณเตอิ้งนักเขียน ก็นเป็นนักเขียนอันดับหนึ่งในดวงใจเหมือนกันคร้าบ.......
รักคนเขียนมากมาย.... :m1:
ขอบคุณ คุณเรย์ ที่นำพามาพบกับความสุขที่มากมาย รักเรย์ครับ :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 27-04-2008 20:47:47
เข้าwebนี้ครั้งแรกก้อมาหาเรื่องนี้อ่านเลย

อ่านอีกรอบก้อยังซึ้ง

ชอบจัง

Prince แต่งได้โดนมากกกก

ขอบคุณนะที่ตอบmail ของเรา

เรารออ่านงานของPrinceเรื่องต่อไปอยู่นะ

รีบมาลงให้จบหล่ะ

 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
[/color]
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 28-04-2008 20:54:20
ในที่สุดก้อรู้วิธีลงคะแนนให้ Prince ได้ซะที

มัวแต่ใช้เวลาหาซะนานเพราะไม่สังเกตุเอง

เฮ้อ โง่จังคนเรา

ไปแอบลงมาให้แระ

คืนนี้ฝันดีน๊า Prince

 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: vunsenpuklug ที่ 04-05-2008 00:01:11

เริ่มอ่านเรื่องนี้เมื่อวาน วันนี้ก็อ่านจบแล้ว ที่เข้ามาอ่านก็เพราะ ไปอ่านเรื่องรักแท้
แล้วเห็นมีหลายรีเลยที่บอกว่า ที่นิคยังไม่ลืมปริ้น นี่ใช่ปริ้นเดียวกะบ้านพักปล่าว
เลยลองมาอ่านดูค่ะ รู้สึกว่า 2 เรื่องนี้ถ้าอ่านควบคู่ไปด้วยกันได้อารมณ์มากมาย

อ่านไปเรื่อยเรื่อย อาจมีข้ามไปบ้างตรงส่วนที่บรรยาย เพราะมันมึนมากมาก ตาลาย
แต่ทุกอย่างที่พี่ถ่ายทอดออกมา พูดได้คำเดียวว่า "สุดยอด"
ตั้งแต่อ่านในเว็บนี้ พูดได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประทับใจมากมากมากถึงมากที่สุด

ภาค 7 ตอนแรกไม่กล้าอ่านเลยอ่ะ เริ่มมาเป็นฉากเหมือนอยู่ในวัด จุดธูปไรงี้
แล้วก็จบที่คำว่า...โค้ก ไอเราก็นึกว่าโค้กตาย จบเศร้าหรอเนี่ย เกือบไม่อ่านแหนะ
เลยลองเปิดบลอกเอ๊กซ์ทีนดูตอนจบ เพราะ เว็บนี้โหลดช้า อุอุ ^^ ไม่จบเศร้าวุ้ย
เลยมาอ่านต่อในบอร์ดนี้ ที่ต้องอ่านที่นี่ ก็ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกมันได้อารมณ์มากว่า
บอกไม่ถูก แต่ชอบอ่านรีของคนอื่น

ดีใจจริงจริงที่ในที่สุดโค้กก็สมหวังกะปริ้นซะที นึกว่าจะรีเทิร์นกะโอ้ต พูดจริงเลย
ไม่เชียร์โอ้ตตั้งแต่แรกแล้วละ ยังงัยก็ยังเป็นโค้กเสมอ เฮ้อออ โค้กน่ารักว่ะ สุดสุด

ยังงัยก็ขอให้พี่เขียนผลงานดีดีอย่างนี้ออกมาอีกนะคะ จะตามอ่านไปเรื่อยเรื่อยค่ะ
อ๊ะ...แต่อย่าเพิ่งเขียนเรื่องใหม่ตอนนี้เลยเนาะ รักแท้ยังมิจบเลย ดองข้ามปีอยู่นิคะ

เป็นกำลังใจให้เน้ สู้สู้ พยายามเข้าจร้า




หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 05-05-2008 21:44:45
 :o12: สะเทือนใจเป็นที่สุด  o7

ความจริงก็อยากให้จบอีกรูปแบบนึงน่ะ ....แต่ก็อย่าว่า ตัวละครมันมีเยอะซึ่งก็ล้วนแต่ดี ๆทั้งนั้นอ่ะ เสียดายอยากให้มีต่อตอนที่โค้กกลับมา .... อยากให้มีตอนหวาน ๆ ระหว่างโค้กกะปริ้นมั่ง แบบเอามาลบความสะเทือนในไง เห่อ ๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Mint ที่ 04-06-2008 15:02:24
พูดได้คำเดียว

 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: bigbell555 ที่ 07-06-2008 22:26:31
ไม่รู้จะสรรหาคำพูดคำไหนมาขอบคุณพี่ ปริ๊นซ์  :pig4: :pig4: :pig4:

รักปริ๊นช์ ชอบโค้ก สงสารโอ๊ต คิดถึงปิง ยกย่องมิตรภาพของซัง ยอมรับความกวนของคิว

ครบทุกอารมณ์ จริงๆคับ ผมยิ้มตามได้ ผมร้องไห้ตามได้(อินจัด)  เขียนได้สุดยอด โคดๆๆ 

ตอนอ่าน อ่านข้ามวันข้ามคืนเลยละพี่

ขอบอกว่า ข้าพเจ้า ขอ คารวะ o13 o13 o13

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ArtyKung ที่ 14-06-2008 21:37:17
เหอะๆ ชอบมากๆเรยคับเรื่องนี้ เปนกำลังใจให้นะค้าบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Doodleberry® ที่ 09-07-2008 20:38:10
ประทับใจมากเลยก๊าบบบ  :o8:

แต่งได้เยี่ยมจริงๆ  o13

ในที่สุดโค้กก็กลับมาหาปริ้น  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ~SASSY BOY~ ที่ 17-07-2008 18:35:58
 o13 o13

 o13 o13

ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ

ซึ้ง เศร้า เหงา เพราะรัก

ได้ทุกรสเลยแฮะ  ขอบคุณมาก ๆ คร้าบ

ที่แต่งนิยาย ดี ๆ มาให้อ่านกัน

ขอบคุณค้าบบบบ o7
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TongZA ที่ 26-07-2008 12:38:48
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่มีมาให้อ่านนะครับ

ชอบมากมายเลยอ่าคับ :m1: :m1: :m1:

 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: doodee ที่ 01-08-2008 14:22:23
ประทับใจมากคับ   o13 ถ้าเปงได้อยากให้แต่งตอนพิเศษ เหมือนพี่เพื่อนๆพูด

ชดเชยตอนที่ ปริ้น รอ โค้ก อ่ะคัฟ  :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ByakuyA ที่ 14-09-2008 20:38:59
ดีค้าบ

เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้เมื่อวานเองค้าบ

ชอบมั่กเรย

ไม่มีแต่งต่อแร้วจิงๆหยอคับ

ยิงอินๆอยู่เรยอะ

อิจฉาปริ้นกะโค้ก  :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: phak ที่ 16-09-2008 16:41:10
สงสารพี่โอ๊ตจัง รักเดี่ยวใจเดียว  แต่ต้องทนทุกข์กับสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: LOVE_Child ที่ 16-09-2008 17:13:37
นิยายน่ารัก  :m1:

มีครบทุกรส  :m4:

ชื่นชมคนแต่ง o13

และขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 18-09-2008 21:15:03
ตามอ่านมาจนจบแล้วค้า.....
 :m1:
สนุก ซึ้ง เศร้า หลายอารมณ์มากๆที่ได้จากเรื่องนี้ :o8:

แต่ที่รู้สึกกว่าความรู้สึกอื่นๆคือความประทับใจ.....ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆเรื่องนี้นะคะ :L2:

เชียร์โค้กมากๆ แบบว่าชอบโค้กที่มีความรักที่มั่นคงให้ปริ้นมากๆ :L1:

แต่ก็เห็นใจปริ้น-โอ๊ต ที่ดูเหมือนจะมีความคลาดเคลื่อนมาอยู่ในช่วงเวลาของทั้งสอง :กอด1:

แต่จบhappyอ่านแล้ว ยิ้มตามเลยค่ะ (เพราะชอบโค้กสุดๆอ่ะ) :oni2:

จะตามไปอ่านเรื่องต่อๆไปด้วยค่ะ......สู้ๆค้า o13 :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 28-09-2008 21:18:24
เป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจมากเลยอะ

ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วไม่สามารถระบุนายเอกและพระเอกแบบนี้มาก่อน

อ่านกี่เรื่องก็ทายได้ทุกเรื่อง

แต่ก็ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ppangg ที่ 01-10-2008 13:06:59
เฮ้อๆๆๆๆๆๆ ประทับใจ
มีทั้งสุข ทั้งเศร้า
แอบอ่านเวลางาน
บางทีก็แอบยิ้ม บางทีแอบน้ำตาซึม
ใครมาเห็น คงสงสัย ว่ามันเป็นอะไรของมัน
หุหุ

ปล. ตอนล่าสุด เห็นพิมพ์ยี่ห้อ นาฬิกา Saiko มันผิดน่ะค่ะ
ที่จริงต้องเป็น Seiko นะคะ แฮะๆๆ เปลี่ยนจะ a เป็น e นะคะ
ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดนะคะ แค่เห็นว่าจะรวมเล่ม ไม่อยากให้มีคำผิดน่ะค่ะ
 
*-*-*-*-*จาก...พนักงาน Seiko ค่ะ*-*-*-*-* ^-^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 01-10-2008 21:47:40
ผมเพิ่งอ่านจบ
ม่ายมีอะไรจะพูดแล้ว
ขอบคุณนะครับ
ขอบคุณมากๆ
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 10-10-2008 16:40:31
ในที่สุดก็อ่านจบแล้ว

ไม่มีคำบรรยายจริงๆ

ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องดีๆที่มีให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ^ - ^A s A v I n * o * ที่ 11-10-2008 01:09:30
ในที่สุดก้ออ่านจย หลังจากที่อ่านค้างไว้ ประมาณครึ่งปีมั้ง

เรื่องนี้ เปงอะไรที่สุดยอดมากๆๆๆๆ ซึ่งจับใจได้หลายฉากมากๆๆๆ ทำเอาน้ำตาหมดไปหลายปิ้ป

อยากจะบอกพี่เตอิ้งว่า เขียนเรื่องได้ดีมากๆๆๆๆ

จะรอผลงานชิ้นอื่นๆนะครับบบบบ

ปริ้นกับโค้ก ดีใจมาก ในที่สุดก้อได้อยู่ด้วยกัน

สุดยอดจริงๆๆๆ

 :กอด1: :a11: :a4: :a1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Akiizz ที่ 11-10-2008 04:35:31
อ่านแบบว่ารวดเดียวจบเลยค้าบบบบบ

พูดไรไม่ออกเลยคร้าบบบบ

บอกได้คำเดียววว่า ยอดเยี่ยมมมมากกกส์  o13 o13 o13

นิยาย เรื่องนี้ครบทุกอารมเลยคับ

สนุกมากกกก

ถ้ามีโอกาสหน้าก้ขอไห้เอานิยายดีๆแบบนี้มาลงไห้อ่านกันอีกนะคับ

ปล.ไม่มีปันยาแต่ง หุหุ อยากแต่งก้อยากแต่คิดแล้วอย่าเลยดีก่า  o7

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 11-10-2008 19:41:35
 :m23:  ติดตามมาตั้งแต่อยู่บอร์ด G_move แล้วครับไม่นึกว่าจะมีตอนที่ 7 อีกแต่ก็ประทับใจในความผูกพันธ์ของตัวละครทุกตัวแม้ว่าจะมีทั้งสุขและเศร้าไปบ้าง แต่ในชีวิตจริงคนเราก็หนีไม่พ้นกับเรื่องเหล่านี้  ขอบคุณคุณเดอิ้งนะครับที่นำเรื่องดีๆมาเล่าสุ่กันให้ได้อ่านกันรวมทั้งคนโพสต์ด้วยครับ
     ปล.แล้วเรื่องหนังสือนี่จะมีโอกาสสั่งจองได้อีกหรือเปล่าครับอยากได้เหมือนกันครับ  :man1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 15-10-2008 14:04:00

"ชอบ"
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-10-2008 00:28:18
สวัสดีฮะ ... มาเจอกันอีกแล้วในกระทู้นี้ อิอิ พอดีมีน้องคนนึงสามารถไปค้นลิ้งค์ ที่ผมเคยเขียนบ้านพักฯเวอร์ชั่นแรกสุด
มาได้จากเว็บ บอยออนเดอะเน็ท (ซึ่งตอนนี้ปิดตัวลง ทำให้เขียนไ้ด้ไม่จบ) มีเพื่อนๆหลายคนถามว่า อยากให้เอาเวอร์ชั่น
แรกสุดมาลงให้ได้อ่านบ้าง ซึ่งตอนนั้นผมก็จนปัญญาครับ เพราะว่า ไม่ได้เก็บต้นฉบับไว้เลย คิดว่าอยากเขียนๆ ลงๆ แล้วก็พอ
เสียดายมากตอนที่รู้ว่า เว็บปิดไป แล้วปีต่อมา บ้านพักอลเวง ก็ถือกำเนิดใหม่ในเวอร์ชั่นบอร์ดปาล์ม ซึ่งก็เป็นเวอร์ชั่นเดียว
กับที่ลงที่เล้าเป็ดแห่งนี้

ตอนนี้ได้ต้นฉบับมาส่วนนึง ก็เลยกะว่า จะเอามาลงไว้ในคลังนี้ เผื่อมีคนอยากอ่านบ้างว่าเวอร์ชั่นแรกเป็นอย่างไร ขอบอกไว้ก่อน
ว่า เวอร์ชั่นนี้ พระเอก ไม่ได้เป็นปริ้นส์ แล้วก็โอ้ต หรือ โค้กมาเกี่ยวข้อง แต่เป็น บาส กะ รัญ แทน

เนื้อหาประมาณอยู่หอพักจริงๆ แล้วก็มีคำผิด คำวิบัติอยู่เยอะพอสมควร ถือว่า อ่านเอาสนุกๆนะครับ เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก
อาจไม่น่าสนใจเท่ากับเวอร์ชั่นปัจจุบัน ไม่ใช่อะไรหรอก ต้องออกตัวไว้ก่อนครับ อ่านแล้วอาจจะขัดๆกันได้

ผมจะค่อยๆเอามาลงเรื่อยๆ ทุกวัน ไม่นานก็คงจบ ตัดบ้างบางฉากที่ซ้ำกับเวอร์ชั่นเก่า นอกนั้นก็เอามาลงครบครับ
อย่างไรก็เชิญทัศนากันตามสะดวกครับ
 :m23:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-10-2008 00:31:22
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สมาคม หรือเหตุการณ์จริงแต่ประการใดทั้งสิ้น

สงวนลิขสิทธิ์เฉพาะเนื้อหาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



บ้านพักอลเวง ภาค 0




หลังจากจบม.3 ชีวิตเด็กนักเรียนต่างจังหวัดอย่างผมก็ต้องจำเป็นต้องย้าย รร. เข้าสู่เมืองกรุง ในช่วงแรกที่ผมรู้ ทำเอาเครียดไปพอสมควร ไหนจะต้องจากถิ่นเกิด ไหนจะเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา


ที่สำคัญผมยังไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกันกับนักเรียนผู้หญิงเลย ร.ร ผมในม.ต้นจะเป็นชายล้วน พอมา ม ปลายถึงจะเปลี่ยนเป็น สหศึกษา ความฝันที่เคยร่วมกันกับเพื่อนๆที่จะได้จีบ ได้แอ้มสาวก่อนปลายเทอมก็มีอันมลายสิ้น !!!
ใช่ครับ!! คุณได้อ่านไม่ผิดหรอก การจีบสาวเป็นกิจกรรมหนึ่งๆ ในหลายกิจกรรมอันไร้สาระที่ เด็กชายวัยม.ปลาย(อาจจะรวมถึง ม.ต้น และประถม)มักจะกระทำกัน ผมก็รู้สึกอยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน นั้นเป็นเพราะความเป็นตัวของผมยังไม่ได้แสดงอะไรออกมายังไงล่ะ


นั้นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ค่อยจะอยากเข้ามาในเมืองที่เต็มไปด้วยมลภาวะ และสิ่งที่อาจทำให้คนใจแตกมากมาย วันที่ผมต้องออกเดินทาง ผมล่ะแทบไม่อยากเชื่อสายตาเลย เพื่อนที่รักของผมไม่โผล่หัวกันมาซักคน อาจจะเป็นเพราะวันนี้ฝนฟ้าดูจะไม่ค่อยจะเป็นใจให้คนออกนอกบ้านมากนัก


“ เดินทางไป-มาดีนะลูก , ลืมกระเป๋าสตางค์เหรอเปล่า , ของเอามาครบนะ , ฯลฯ” และอีกมากมาย ที่แม่ผมจะคิดได้เฝ้าบอกผม ตลอดจนถึงรถโดยสาร ธรรมดาผมออกจารำคาญด้วยซ้ำ แต่วันนี้ผมกลับตั้งใจฟังที่แม่พูด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขัด ทำให้แม่ดูจะตั้งอกตั้งใจพูดเป็นพิเศษ นั่นทำให้พ่อเป็นฝ่ายรำคาญซะเอง


“สวัสดีคับ พ่อ-แม่ ” ผมบอกก่อนจะขึ้นรถ ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาหนักเอาการ


“เฮ่อ เดินทางวันแรกก็ฤกษ์ดีสุดๆ “ ผมเปรย


จังหวัดที่ผมอยู่จริงๆแล้วก็ไม่ไกลจาก กรุงเทพฯมากนัก เพียง 2 ชม.กว่าๆ ก็ถึงที่หมาย ยกเว้นแต่คุณจะเจอคนขับรถที่คิดว่าทางหลวงเป็นสนามแข่งรถ นั้นแหละย่นเวลาเดินทางได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยล่ะ!!


กว่าจะมาถึง ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว สถานที่ที่ผมต้องพักอยู่ตลอดจนกว่าจะจบม ปลาย เป็นบ้านพักแห่งหนึ่งแถบๆบางเขน ตามความเห็นของผม น่าจะเรียกว่า ”หอพัก” มากกว่า ”บ้านพัก” ที่สำคัญมันสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง คงมีส่วนที่ทำด้วยคอนกรีตไม่มากเพื่อความแข็งแรง ที่บ้านผมได้รับการแนะนำจากเพื่อนบ้านว่า ลูกชายของเค้าเคยมาเช่าอยู่ตอนเข้ามาเรียนพิเศษ จึงตัดสินใจในผมมาอยู่ที่นี่ เหตุผลอีกอย่างที่พ่อแม่ผมอนุมัติ เพราะเป็นหอชาย หมายถึง คนเช่ามีแต่ผู้ชายแหละคับ ผมจะได้ไม่แอบพาใครๆมาทำอะไรได้ยังไงล่ะ แต่หารู้ไม่ !! ที่นี่แหละจะทำให้ ”ความรู้สึกที่ซ่อน” อยู่ในตัวผมถูกปลุกขึ้น (เว่อร์ไปป่ะ)
หอพักที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ที่แปลกจริงๆ ทั้งที่อยู่ในตัวเมืองแท้ๆ แต่กลับมีบรรยากาศที่ดูสดชื่น สะอาด และดูมีระเบียบที่ดี (และไม่มีระบบอะไรให้ยุ่งยากเหมือนที่บางที่) หอนี้มีอยู่ 2 ชั้น และรูปทรงค่อนข้างจะไม่ได้ใช้สถาปัตยกรรมอะไรมากมาย เอาเป็นว่าผมจะไม่อธิบายรายละเอียดให้มันซับซ้อนละกัน ที่นี่มีคนเช่าอยู่เพียง 7 คน มีคนดูแล อยู่ 3 คนเอง


แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อมีหญิงสาว วัยมหาลัยมาต้อนรับผม


“ คุณ พงศ์พิพัฒน์ ใช่มั้ยค่ะ ” หญิงสาวเอ่ย “ เชิญด้านในเลย คุณอยู่ห้อง 203 คะ ”


“ ค..ครับ ผมไม่ยักรู้ว่าที่นี่เค้ามีพนักงานดูแลเป็นผู้หญิงนะ ” ผมเริ่มประโยคสนทนา
เธอยิ้มๆ “สวยไม่หยอกเลย” ผมคิด


“ ฉันเป็นลูกเจ้าของหอที่นี่ค่ะ ……… แล้วก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ ที่จะช่วยกิจการของครอบครัว หรือว่าไง..”


พูดได้ดีซะด้วยซิ เธอพาผมขึ้นไปที่ห้องชั้น 2


“ห้องนี้ค่ะ … ส่วนห้องน้ำ เป็นห้องน้ำรวมนะ อยู่ด้านล่าง โทรศัพท์ก็ด้วย …ถ้ามีปัญหาอะไร ก็ไปตามได้นะ ฉันอยู่ห้องข้างล่าง ”


“คนเดียวเหรอ” ผมหยอก


“ กะน้องชาย ” เธอบอกพลางจะเดินลงข้างล่าง


“เออ .. พี่ชื่ออะไรเหรอครับ บาสครับ” ผมแนะนำตัวเอง ที่จริงผมไม่ค่อยชอบชื่อผมเท่าไรหรอก ตั้งแต่ผมพบว่ามีเพื่อนชื่อเดียวกันถึง 2-3 คน ในระยะเวลาเพียง 3-4 ปี


“ เน คะ พี่ชื่อเน ”


“ขอบคุณนะคร๊าาาบ พี่คนสวย” พี่เค้ามองค้อนๆ แล้วก็เดินลงไป ในตอนนี้ผมอยากจะรู้จักคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ผมอุ่นใจได้ในยามที่ต้องออกมาอยู่คนเดียวอย่างนี้
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-10-2008 00:36:02
ก่อนอื่นที่จะทำอะไร ผมอยากจะอาบน้ำแล้วนอนมากๆ การเดินทางมาเกือบครึ่งวัน ทำให้ผมรู้สึกเพลียมากกว่าอยากจะทำอะไร จึงไปเอาของเตรียมลงมาอาบน้ำ ผมสังเกตว่าห้องที่อยู่ติดๆกะผมมันล็อคอยู่


“ สงสัยจะยังไม่กลับ ”


ผมตัดสินใจเดินไปทั่วๆชั้น 2 ของหอ ที่จริงมันไม่ได้กว้างมากเท่าไร ผมเดินเรื่อยเปื่อยสำรวจห้องไปเรื่อยๆ การที่มีคนอยู่เพียง 7-8 คนทำให้เหลือห้องว่างพอควร และพวกนั้นก็คงยังไม่กลับเข้ามากัน จนผมผ่านห้องหนึ่งทำให้ต้องหยุดสาวเท้า ห้องนี้มีคนอยู่แฮะ


“วี้…………….วี้…………….” เวลาคุณดูทีวี น่าจะได้ยินคลื่นประมาณแบบเนี้ยแหละ ผมก็รับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ ผมเหลือบไปมองเลขที่ห้อง 206 ห้องนี้อยู่เยื้องออกไป แต่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องผม


“ดูอะไรอยู่ว่ะ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย ” ท่านผู้อ่าน ผมสาบานได้เลยว่าไม่ได้คิดจะไปแอบดูอะไรเค้าเลยนะ แต่นั่นเป็นขอยกเว้น ถ้าผมไม่ได้ยินเสียง……อื้อ..อา ???


“ใครครางวะ…!?” เร็วเท่าความคิด ผมหันซ้าย-ขวา เห็นว่าไม่มีใคร ต่อมอยากรู้อยากเห็นผมก็เริ่มทำงานทันที ผมค่อยๆแนบหูที่ประตู ได้ผล มันชัดขึ้นกว่าเดิมมากๆ ฟันธงได้เลยว่า คนที่อยู่ในห้องกะลังดูหนัง ไม่ต่ำกว่าเรต R อยู่แหง่มๆ แค่นั้นก็เพียงพอที่ทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นมากกว่านั้น ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ละนะว่ามีกิจกรรมอะไรอยู่ในห้อง แต่ผมก็หาช่องโหว่ ช่องอะไรก็ตามที่มองเข้าไปไม่เจอ จนซักพักผมรู้สึกว่าเค้าจะเปิดเสียงดังขี้นกว่าเก่า สงสัยใกล้ถึงฝั่งแล้วละมั้ง เมื่อหาไม่เจอผมเลยตัดใจจะไปอาบน้ำดีกว่า


เท่านั้นแหละ !? มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกะผม โผล่จากบันไดขึ้นมา


“ เกือบไปแล้วมั้ยกู ” ผมนึกในใจพลางขอบคุณสวรรค์


“มาทำอะไรตรงนี้เหรอครับ ” ชายคนนั้นถามผม


“อ้อ ผมหาห้องน้ำไม่เจออะครับ ” ผมแก้ตัว


“ห้องน้ำอยู่ด้านล่างครับ นายคนที่มาอยู่ใหม่เหรอ” เค้าถาม


“แปลกแฮะ เรานึกว่าพี่เราบอกแล้วซะอีก ?”…


“ยังไม่มีใครบอกเลย… สงสัยพี่นายลืมแหละ ” ผมโบ่ยความผิดไปที่พี่เนเต็มๆ


“นายเป็นน้องพี่เนเหรอ …ก็เป็นเจ้าของที่นี่อะเด๊ะ ” ผมเปลี่ยนเรื่อง


เค้าพยักหน้า “ใช่ ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่ พี่เนก็เลยมาอยู่ด้วย ปกติเค้าจะมาช่วยวันเสาร์-อาทิตย์ เออ .. เราชื่อ
น้ำนะ นายเรียนชั้นไหนแล้วล่ะ”


“ม .4 ” ผมตอบ


“เฮ้ย!! อยู่ชั้นเดียวกันเลย”


เป็นอันว่าผมได้รู้จักสมาชิกในครอบครัวใหม่อีกคนหนึ่งแล้วล่ะ แต่ผมก็ยังอดสงสัยเสียงลึกลับในห้องนั้นไม่ได้อยู่ดี อยากรู้จริงๆว่าใครกัน !!!?


“ทำไมหอนี้มันมีคนอยู่น้อยจัง ออกจะกว้าง” ผมถามเพื่อนใหม่


“…. นายอยากรู้จริงๆเหรอ ” เค้าตอบ เสียงซีเรียส


“ ท..ทำไมเหรอ มันมีอะไร ” ผมชักอยากรู้


น้ำค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาหา “นายไม่รู้เหรอ…ที่นี่เจ้าที่เฮี้ยนมากเลยนะ ……..!! ยังไงก็เตรียมใจไว้บ้างก็ดี”


“ ฮึ่ย ถึงขนาดต้องเตรียมใจเลยเหรอวะ ” มันพูดงี้ผมชักปอดๆแล้วซิ ถึงผมจะไม่ใช่คนกลัวผีซะทีเดียว แต่บรรยากาศที่นี่ก็นับว่าพอตัว


“นายกลัวผีด้วยเหรอ” เค้าถามผม แล้วยิ้มแบบมีเลศนัย !


“ปล่าว!! ไม่เห็นต้องกลัวเลย เออ …เราหมายถึงเราไม่ไปลบหลู่นี่หว่า เราก็อยู่ส่วนเราดิ ” ผมอุบอิบ


“ก็ดี…..เดี๋ยวเราพาไปดูห้องน้ำละกัน”


“แล้วที่นี่อยู่กันกี่คนเหรอ” ผมถามระหว่างเดินไปห้องน้ำ


“ถ้ารวมนายกะฉันด้วยก็ 6 คน ” แล้วไอ้น้ำมันก็แนะนำคนในหอให้ฟังว่ามีใครบ้าง ตามประสาผู้รู้


“คนแรก เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่เลย ชื่อ พี่โอ เรียนสถาปัตย์ฯ *** อยู่ปี 4 แล้ว นิสัยเหรอ อืม??? ก็ดีนะ ดูภายนอกเป็นผู้ใหญ่ดี แต่ตัวจริง แม่ง ถล่นสุดยอด กวนตีนที่หนึ่งเลยแหละ ตามสไตร์เด็กสถาปัตย์ เออ … จริงๆแล้วพี่เค้าก็อยากให้น้องๆสนุกสนานอะแหละ ที่พูดมาแรกๆ นี่เหยียบไว้เลยนาเฟ้ย !!” ผมหัวเราะแล้วพยักหน้า


“พี่รองเรามี 2 คน ปีเดียวกันแต่เรียนคนละที่ พี่เต้ อยู่ปี 2 บริหาร *** รายนี้กะพี่โอ ซี้ปึ้กอะ บ้อบอพอๆกัน นายต้องเจอกะตัว รับรองจะติดใจในความบ้าอะ ” มันพูดทำหน้าเหมือนกะเจอสิ่งมหัศจรรย์งั้นแหละ !!


“แล้วก็พี่รัญ อยู่บัญชี *** ขานี้นะพึ่งพาได้กว่าพี่โอหว่ะ ดูฉลาดดี ไม่ขี้โม้อะ มาดสุขุมนุ่มลึก เสียอยู่อย่าง พี่แกคิดอะไรทำอะไร เป็นเงินเป็นทองไปหมด แบบว่างกชิบเป๋ง เนี่ย!! ตั้งแต่คบกันมานะ พี่แกเคยพาพวกไปเลี้ยงแค่ครั้งเดียวเอง แถมเลี้ยงไดโดมอนอะด้วย ไอ้ที่มันคนละ 99 อะ คุ้มแกซิงานนี้ แล้วแบบว่าโค้กนี่นะ สั่งแบบเติม 2 แก้ว แล้วมารินเติมกันอะ กูโคตรอายเลย หน้าตาก็ดีนะ แต่งกนี้นะ ชาตินี่ก็หาแฟนไม่ได้หว่ะ” มันพูดซะผมไม่อยากนึกภาพเลย


“ทำไมเหรอ งกแล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ !!” อยู่ๆ คุณพี่คนที่ไอ้น้ำกะลังกัดอยู่ก็เปิดประตูห้องน้ำมาเฉยเลย (โอ้ !! สูตรสำเร็จจริงๆ)


“อ้าว พี่รัญ กลับมานานแล้วเหรอ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย ” ไอ้เจ้าน้ำทักทายหน้าชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เออ.. ก็พึ่งกลับมาแหละ ทันได้ยิน ไอ้หมาตัวไหนมันลอบกัดอยู่ละเฟ้ย !! ” อู้ ย เจ็บแสบ ผมหัวเราะพลางหันไปหาพี่เค้า พี่เค้าหน้าตาดีจริงๆแหละ ตี๋ๆตามสไตร์คน”งก” (ไม่ได้ว่าใครนะครับ)


“สวัสดีคับพี่ – รัญ --” พี่เค้ารับไหว้ แล้วหันมาบอกผม


“อย่าไปฟังอะไรไอ้นี้มันมากนะน้อง ไอ้เนี้ยตัวขี้อำเลย ”


“ยังไม่ใครกลับมาเลยเหรอ ” พี่รัญ ถาม


“คับพี่ พี่โอ กับพี่เต้ก็ยังไม่กลับ สงสัยไปต่อไหนกันมั้ง ไอ้เป้กไปดูหนังกะเพื่อนอะคับ” นี่คงจะเป็นสมาชิกที่เหลือที่น้ำยังไม่ได้แนะนำ


“ไม่มีใครอยู่หอนี้เลยเหรอ ????????? ” ผมโพล่งออกมา




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลเ วง ภาค 0 #2  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-10-2008 00:40:09
 :m4: ลงเร็วจัง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 17-10-2008 00:42:48
บทเริ่มแรกก


กิสสสสส :m4:


ไปอ่านก่อนน๊า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 17-10-2008 01:05:39
อ้า :m1:

นิยายในตำนาน

เรื่องบ้านพักอลเวงเป็นนิยายช-ชเรื่องแรกที่ผมอ่านเลยครับ

แล้วผมก็ประทับใจมากจนตามกลิ่นไปมาจนมาถึงที่นี่ได้ 555+

รออ่านตอนตอ่ไปน้าครับ :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 17-10-2008 01:31:25
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-10-2008 01:53:19
มารอ ตอนต่อครับ

 :oni1:  :oni1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 17-10-2008 02:19:39
อุๆ .. ตามไปขุดมาได้เนาะ ภาคนี้.. จำได้ว่าถึงภาษาจะอ่านแล้วมีสะดุดบ้าง ไม่เหมือนภาค โอ๊ต-ปริ้นซ์-โค๊ก แต่ก็สนุกมากครับ (เอ่ออ.. จำได้ว่าติดเรท เยอะด้วย)


ผมเคยบอกเราแล้วใช่มะครับ ว่าผมก็ตามอ่านตั้งแต่ต้นเรื่องของภาคนี้เหมือนกัน  :o8:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 17-10-2008 02:32:01

มารออ่านตอนต่อไปด้วยคน  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-10-2008 09:43:22
ดีใจ ได้อ่านเวอร์ชั่นแรกด้วยยยย  :m4:

ขอบคุณคนขุด และขอบคุณคนโพสด้วยค่า  :L2:

รออ่านต่อนะคะ  :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 17-10-2008 12:51:15

เข้ามาตามอ่านเวอร์ชั่นแรกครับบบ :oni1:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-10-2008 14:17:59
เวอร์ชั่นแรกเหรออออออออออออออออ  :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 17-10-2008 14:30:53
โอ้ววว เวอร์ชั่นแรก อยากอ่านมานานแล้ว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 17-10-2008 15:08:24
เหมือนเคยอ่านผ่าน ๆ ด้วยแหละ แต่ลืมเลือน  :a6:

รอตอนต่อไป  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 1 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]อัพหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 17-10-2008 16:58:08
เวอร์ชั่นแรก  ตามมาอ่านๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-10-2008 18:55:46
“ก็เออดิ ก็นอกจากเรากะนาย ขึ้นไปข้างบนเมื่อกี้ ก็ยังไม่มีใครกลับมาเลย …. มีไรเหรอ?” ไอ้น้ำบอกทำท่าสงสัย


“อ้าว….แล้วเมื่อกี้ …. …..ใคร??” ผมเริ่มสงสัย


“ใคร อะไรเหรอ?” คราวนี้เป็นพี่รัญถามผม


“ปะ ปล่าวคับพี่ ไม่มีไรหรอก งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะคับ พี่ใช้เสร็จแล้วใช่ป่ะ” ผมเลี่ยงที่จะตอบ แล้วเดินขึ้นไปข้างบน แต่ก่อนจะเข้าห้อง ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองห้องเจ้าปัญหาที่ผมได้ยินเสียง


“เฮ้ย !! คิดมากไปได้ ผีไม่มีในโลกนี้ ซะหน่อย ” ผมปลอบใจตัวเอง เพียงหวังว่าผมจะได้ไม่ต้องยุ่งยากที่จะต้องหาหอใหม่ซะตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดเทอม เพราะโดนผีหลอก!!


สำหรับผมแล้ว น้ำนับเป็นเพื่อนคนแรกในการเข้ามาใช้ชีวิตใหม่ๆที่นี่ และเค้าก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีพอสมควรทีเดียว นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาระของเค้าดูจะมีมากกว่าคนอื่น เรียกว่ารับผิดชอบหอทั้งหมดละกัน น้ำเป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว ถึงแม้จะไม่เรียกว่าหล่อลากดินก็ตาม แต่ก็มีเสน่แปลกๆบอกไม่ถูก ตัวเค้าพอๆกับผม แต่สูงน้อยกว่า ทำให้ผมชอบแหย่มันโดนการขยี้หัวเล่นบ่อยๆ มันก็ตอบแทนผมด้วยการเอาของที่ผมเกลียดที่สุดใส่ลงในโจ้กมื้อเช้าในวันต่อมา นั่นทำให้ผมแทบอ้วกลงกลางโต๊ะ


“เฮ้ย !! ใครเอาผักชีมาใส่ในโจ้กฉันวะ” ผมถามไปงั้นแหละ เพราะคำตอบนั่นมีเพียงหนึ่งเดียว พลางมองไปหาตัวการ ที่ทำเป็นซดโจ้กซะดังจ๊วบ


“ผักมีประโยชน์นาเฟ้ย วิตามินสูง ฉันได้ข่าวว่านายชอบกินมากม่ะใช้เหรอ บาส” เด็กหนุ่มยิ้มชอบใจที่ได้แก้แค้นเพื่อน


“ผักอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผักชี” ผมตอบพร้อมทั้งพยายามเลือกเอามันออกไป บอกตามตรงใครจะว่ามันอร่อย หอม มีประโยชน์แค่ไหน แต่สำหรับผม มันเหม็นที่สุดในโลกเลย กลิ่นฉุนๆของมันทำให้ผมอ้วกออกมาได้เลยนะ


วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของผม อันที่จริง รร ของผมก็อยู่ใกล้ๆ กับหอที่ผมอยู่นะแหละ เพียง 20 นาทีก็น่าจะถึง ถ้ากะตามระยะทาง แต่นั่นเป็นสิ่งที่คิดผิดอย่างแรง เพราะผมยังไม่ได้บวกเวลารถติดเข้าไปนะซิ อย่างว่าแหละ บ้านนอกที่ผมอยู่ รถมันไม่ติดบ้าพลังอย่างนี้นี่หว่า ?


สมาชิกอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำเรียนอยู่ รร เดียวกะผม ไอ้เป้ก ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าลูกคนจีนแน่นอน หรือว่าไง ?? เป้กอยู่ชั้น ม.5 แล้ว เป็นพี่ผมปีหนึ่ง แต่เค้าก็ไม่ได้ให้ผมเรียกพี่หรอก เหตุผลก็คือ มันทำให้เค้าดูแก่ เช้าวันแรกผมจึงไป รร พร้อมเค้านะแหละ


การเรียนในวันแรกของผมดูจะค่อนข้างต้องปรับตัวอีกเยอะ ทั้งในด้านวิชาการที่ดูว่ามันยากกว่าแต่ก่อนเหลือเกิน และในด้านสังคม ซึ่งที่นี่ดูจะห่างเหินกัน และเหมือนกับอยู่แบบตัวใครตัวมันมากกว่าที่ผมคาดไว้ แม้กระนั้นก็ยังมีนักเรียนหญิงบางคนแอบส่งสายตาให้ผมบ้างนะ บางคนถึงขนาดทิ้งผ้าเช็ดหน้าเพื่ออ่อยเหยื่อก็ตาม แต่ผมก็ยังเซ่อเดินไปเหยียบเข้าอะดิ


“เสน่ห์แรงไม่เบานี่น้องชาย ” เป้กกระเซ้าผม ระหว่างทางกลับหอ


“แต่ถ้าเป็นนาย ก็คงไม่เซ่อที่จะเหยียบผ้าเช็ดหน้าสาวเหมือนฉันใช่ป่ะ” ผมพูดเหมือนจะฉุนตัวเอง ทั้งที่ใจก็นึกขำ


“ก็คงงั้นแหละ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก เรื่องพรรณเนี้ย แต่ถ้าฉันเป็นนายนะ ฉันคงรีบเก็บผ้าไปซัก แล้วก็รีบไปคืนที่บ้านเธออะ ถ้าโชคดีเจ้าหล่อนอาจได้แอ้มฉันก็เป็นได้ ” เป้กพูด เหมือนจะขำเลยนะมุขเนี้ย ผมคิดว่านี่นาจะเป็นข้อดีที่มีอยู่ไม่มากในตัวมันนะ เพราะมันช่างสรรหาเรื่องตลกๆ หรือถ้าอยู่ในสถานการณ์เครียด ไอ้เป้กนี่แหละที่เป็นตัวตลกให้หายเครียดได้เป็นอย่างดี ผมแน่ใจว่าผมยังไม่เคยเห็นมันเครียดจริงๆจังซะทีนะ!!


นั่นก็เป็นรายละเอียดคราวๆ ของสมาชิกร่วมหอของผม ต้องบอกว่าผมโชคดีมากๆ ที่ได้เจอกับคนที่ดีๆซึ่งมันคงมีไม่มากนักในเมืองกรุงแห่งนี้ แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมยังต้องกังวลเกี่ยวกับหอพักแห่งนี้ เรื่องที่ผมยังไม่เคยเอ่ยปากกับใคร เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์นัก สิ่งนั้นคืออะไร ท่านผู้อ่านคงจะจำกันได้นะ เอ !! หรือว่าจำไม่ได้แล้ว เสียงลึกลับที่ผมได้ยิน ในวันแรกที่เข้ามาที่นี่ยังไงละ ผมมารู้ทีหลังว่าห้อง 206 เป็นห้องที่ไม่มีใครเช่าอยู่เลย


มันเป็นห้องว่างธรรมดาๆ แค่นั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกปอดๆขึ้นมาแล้ว เวลาที่ผมต้องอยู่บนชั้น 2 คนเดียว แต่ผมก็ไม่มีเวลามานั่งนอนกลัวอยู่ตลอดเวลาหรอก ช่วงใกล้สอบกลางภาคเป็นช่วงที่ผมต้องมีสมาธิในการอ่านหนังสือมากทีเดียว พี่รัญพอจะเป็นที่พึ่งของผมได้มากที่สุดในระยะนี้ ต่างจากไอ้เป้กที่วันๆเอาแต่เที่ยว เล่น กิน ดูหนัง (โดยเฉพาะหนัง x ) ผมยังสงสัยว่ามันรอดมาถึงป่านนี้ได้ยังไงว่ะ


และเรื่องเหลือเชื่อไม่ลง ก็เกิดขึ้นกะผมจนได้ !! คืนนั้นฝนตกค่อนข้างหนัก แต่ผมจำเป็นต้องอยู่อ่านหนังสือ เพราะวันรุ่งขึ้นจะสอบแล้ว ประมาณตี 3 ได้ ผมว่าทุกคนหลับกันหมดแล้วหล่ะ เกิดปวดห้องน้ำขึ้นมา เลยเดินลงไปเข้าห้องน้ำ แต่ขากลับนี่ซิ พอผมจะเดินเข้าห้อง


““วี้…………….วี้…………….” ส…เสียงนี้อีกแล้ว !! มันทำให้ผมนึกถึงวันที่ได้ยินเสียงครั้งแรก


“ม่ะ… ไม่มีใครอยู่ไม่ใช่หรอ แล้ว มันเสียงอะไรว่ะ” ผมคิดในใจ สัญชาติญาณบางอย่างบอกให้ผมกลับเข้าไปอ่านหนังสือต่อ แต่ ….. เหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดให้ผมเดินไปใกล้ห้องนั้นมากยิ่งขึ้น รู้สึกตัวอีกที ผมก็มายืนอยู่ที่หน้าห้องแล้ว ถ้าผมสังเกตไม่ผิด บานประตูห้องแง้มเปิดอยู่เล็กๆ ทั้งๆที่วันก่อนมันปิดสนิท !! ผมมองลอดเข้าไปภายในห้อง มันมืดมาก แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงปริศนาอยู่


“…อื้อ..อา ???” หัวใจผมแทบหยุดเต้น เสียงนี้อีกแล้ว เหมือนเด๊ะเลย!!! ผมตัดสินใจค่อยๆเปิดประตูเข้าไป ตอนนี้ผมกลัวว่าจะเป็นขโมยซะมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น ผมค่อยๆย่องเข้าไป ได้จังหวะผมก็เปิดสวิตซ์ไฟทันที !!


--- ภาพที่ผมเห็นคือห้องโล่งๆ ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ หน้าต่างถูกปิดสนิท เหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่ในห้องนี้มานาน ที่สำคัญ ไม่มีทีวี !! และดูเหมือนเสียงปริศนา ได้หยุดร้องไปแล้ว เหลือแต่เสียงฝนที่ตกกระหน่ำลงมาเหมือนจะหัวเราะเยาะ ตอนนี้ผมขนลึกซู่ ทันใดนั้น !!


เปรี้ยง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


เสียงฟ้าผ่าลงมา พร้อมๆกับไฟดับพรึ่บ


ตอนนี้ผมกลัวเกินกว่าจะก้าวขวาออก


“ ผีหลอกชัดๆ ”ผมคิดในใจ อยากจะตะโกนออกมาใจจะขาดแต่มันไม่มีอะไรจะออกมาจากปากผมเลย และท่ามกลางความมืดในห้องนั้น ผมเริ่มรู้สึกได้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์กำลังใกล้เข้ามาหาผม….ใกล้เข้ามา…..มาถึงด้านหลัง…….และเสียงที่เหมือนจะกระซิบมาจากที่ไกลแสนไกล……………..!!!


“อยากลองดีกับฉันใช่ไหมมมมมมมมมมมม …..? ”


ถึงแม้จะเป็นเสียงผู้ชาย แต่เสียงนั้นเย็นยะเยือกถึงขั้วหัวใจเลย แล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีมือมาลูบที่ต้นคอผม ตอนนี้ผมสุดที่จะทนทานต่อไปได้แล้วนะโว้ย !!!


“อะจ๊าาาาาาาาาากกกกกก ช่วยด้วย !!!!! ผีหลอกกกกกกกกกกก ” ตามมาด้วยอีกสารพัดเสียงที่ผมสามารถเปล่งออกมาได้ แน่นอน !! มันไม่ได้มีความหมายหรอกนะ แล้วขาผมก็ทำงานวิ่งออกจากห้องอาถรรพ์จนได้ เป็นเวลาที่ไฟมาพอดี ผมวิ่งไปที่ห้องพี่รัญ พร้อมเคาะประตู พี่รัญเปิดประตูออกมาท่าทางตกใจ ซึ่งดูจากลักษณะแล้วพี่เค้าคงตื่นเพราะเสียงผมนะเอง


“เอ้ย บาส เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น เฮ้ย พูดเด้ อย่ามัวแต่ร้องไห้ ” ดูพี่เค้าตกใจมากกับสิ่งที่ผมเกิดขึ้น เพราะผมไม่เคยตกใจอะไรถึงขนาดต้องร้องห่มร้องไห้ออกมาขนาดนี้ และถึงตอนนี้ดูเหมือนน่าจะตื่นกันมาทั้งหอได้แล้ว แต่ทำไมไม่มีใครมาดูผมเลยว่ะ


“พี่ ผ…มันหลอ ผ…ผม” ผมพูดผิดพูดถูก


“ อะไร ใคร อะไรหลอ ว่ะ” เวลาแบบนี้ยังมาเล่นมุขอีก !!


“ผมโดนผีหลอก ผีมันหลอกผม ในห้องนั้นอะ” ผมบอกระล่ำระลัก พร้อมชี้ไปที่ห้องเกิดเหตุ ซึ่งตอนนี้มันปิดสนิทเหมือนเดิมแล้ว


“เฮ้ย ไม่ต้องกลัว ผี เผออะไร เฮ้ย ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้วเว้ย” พี่รัญปลอบผมพลางกอดผมซะแน่นเชียว ผมก็ต้องการแบบนั้นอยู่แล้วอะ ผมกลัวสุดขีดเลย !!


เหตุการณ์น่าจะสงบลงได้แล้ว ฉับพลัน ไฟก็ดับอีกครั้ง ทั้งๆที่พี่รัญยังกอดผมอยู่ !! แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น ผมได้ยินพี่รัญพูด ซึ่งตอนนี้ไม่ได้เป็นเสียงพี่รัญคนเดิมแล้ว


“นายเป็นคนสอดเรื่องนี้เองนะ ดี!! รับรอง…ฉันไม่ทำให้ผิดหวังแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆ ๆ ” เสียงพี่เค้ากลับกลายเป็นเสียงที่ผมได้ยินในห้องนั้น ตอนนี้ผมขวัญกระเจิงเรียบร้อยแล้ว ทั้งผลักทั้งดันให้หลุดจากมือพี่รัญ แต่ก็ไม่ได้ผลพี่เค้ากลับกอดแน่นเข้าไปอีก จนผมอึดอัดจะแย่แย้ว !!! พี่รัญที่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ก้มหน้ามาหาผม ใกล้เข้ามาทุกที ถึงจะมืดแต่ตอนนี้ผมสังเกตเห็นชัดเจน ดวงตาของพี่เค้า กลับกลายเป็นสีแดงวาวไปซะแหล่ววว!! และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้เห็นในคืนนั้น……………. (อา…ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องผีแล้วเหรอว่ะเนี่ย)


แสงอาทิตย์อ่อนๆในยามเช้า ทั้งที่เมื่อคืนฝนตกหนักแท้ๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้น เหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก และตอนนี้ผมก็ไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องผมแน่นอน ผมพลิกตัวกลับไปก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นพี่รัญนอนอยู่ข้างๆ


“นี่มันห้องพี่รัญนี่หว่า” ตอนนี้ผมเริ่มนึกออกบ้างแล้ว รู้อีกอย่าง ตอนนี้ผมกลัวพี่รัญ !! เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับผม ตอนนี้ผมค่อยพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด แล้วค่อยๆย่องออกจากที่นี่โดยด่วน แต่พี่รัญรู้สึกตัวก่อน จับแขนผมไว้


“ตื่นแล้ว เหรอ จาไปไหน” พี่เค้าพูด แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น ถึงตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะร้องเป็นภาษาอะไร ถ้าเห็นตาแดงวาวปรากฏอยู่เหมือนเมื่อคืน แต่ ! ผมก็โล่งอก เมื่อตอนนี้กลับกลายเป็นพี่รัญที่แสนดีเหมือนเก่าแล้ว


“เมื่อคืนเป็นไรไปอะไร แหกปากซะลั่นเชียว พี่เข้าไปนายก็ผลักอยู่นั่นแหละ จนนายสลบไป พี่ถึงแบกเราให้มานอนห้องพี่อะ ” พี่เค้า
อธิบายให้ผมเข้าใจกับเหตุการณ์เมื่อคืน


“ร …เหรอ แค่นั้นจริงๆเหรอคับ ” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ แล้วที่ผมเห็นละ!! มันคืออะไร ?


“แล้ว….มันจะแค่ไหนอีกหล่ะ ?” เค้าย้อนถามผม ซึ่งตอนนี้ผมมึนจนไม่รู้จะอธิบายอะไรให้เค้าเข้าใจหรอก!!


เมื่อผมเห็นว่าพี่รัญไม่ได้มีท่าทางแปลกแล้ว บวกกับที่ผมไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ผมลุกมาโวยวายยามดึกดื่นได้ ผมจึงทำได้แค่กลับเข้าไปห้องตัวเอง และถามตัวเอง


“เมื่อคืน หรอเราฝันไปวะ …. ” ผมคิด แล้วผมก็รู้สึกเจ็บตรงต้นแขน จึงเลิกแขนเสื้อขึ้นมาดู ปรากฏเป็นรอยช้ำเหมือนกับโดนบีบ


”เฮ้ย!! ทะทำไม ” เพียงเท่านี้ผมก็มีหลักฐานพอเพียงแล้ว สำหรับยืนยันได้ว่าเรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้ฝันไป และไม่ได้ละเมออย่างที่คิด ผมโดนผีหลอกจริงๆ!! แล้วไอ้ผีที่ว่ายังตามมาสิงพี่รัญอีก ใช่แน่ๆ


วันสอบวันแรกของผมผ่านไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ความกลัวและกังวลเรื่องเมื่อคืนทำให้ผมไม่มีสมาธิในการทำข้อสอบเลยให้ตายซิ!!! ความกังวลนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น ระหว่างเดินทางกลับหอพร้อมกับเพื่อนรุ่นพี่


”ไง ทำข้อสอบได้มั้ย ฉันว่าข้อสอบ ม.4 นะ หมูจาตายชัก….ตอนฉันเรียนอยู่นา ตกแค่ 2 วิชาเอง ” เป้กชวนผมคุย ตลอดทางผมไม่ได้คุยอะไรกะมันเลย ผมก็พยักหน้าเออออไปงั้นแหละ

”ทำไมดูนายเครียดๆจัง ทำไม่ได้เหรอ เฮ้ย ไม่ต้องกังวลหรอก แค่นี้เอง ฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ยังไม่เห็นเครียดเลย ดูเด๊ะ ” พูดพลางทำหน้าตาแป้นแล้น มันช่างเป็นวิธีการปลอบขวัญเพื่อนที่ห่วยจริงๆ ถ้าผมทำข้อสอบไม่ได้ แต่ความจริงผมไม่ได้เครียดเรื่องนั้นซะหน่อย ความจริงคือผมไม่อยากกลับไปเจอไอ้ผีบ้าบอที่อยู่ที่หอนั่นเลย !!!
แต่ผมก็คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี ผมอยากจะบอกไอ้เป้กจริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ได้แค่คิด เพราะถ้าผมเล่าให้ฟัง
มันคงเอาเรื่องที่ผมเล่าไปโพทนาให้ชาวบ้านชาวช่องเค้ารู้แน่นอน มันช่างอึดอัดแน่แท้หนอ


ไม่กี่อึดใจ ผมก็เดินมาถึงหอจนได้ อะไรบางอย่างทำให้ผมเหลือบไปมองชั้น 2 และท่าตาไม่ฝาด ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆหน้าต่างด้านบน มันไม่ใช่คนที่ผมรู้จักในหอเลย !! ฉับพลันก็มีมือมาจับที่ไหล่ผม ทำให้สะดุ้งสุดตัว !! หันไปถีบเต็มแรง


พลั๊ก !!!


“อั๊ก…….!!!” เมื่อหันกลับไปดู คือพี่โอลงไปนอนจุกอยู่บนพื้น ไอ้เป้กรีบวิ่งไปดูพี่เค้า แล้วหัวเราะอย่างขบขัน


“เฮ้ย !! มึงเตะกูทำไมว่ะ ไอ้บาส อู้ย!!!….” พี่โอว่า “มึงอีกตัวไอ้เป้ก หัวเราะอยู่ได้อยากโดนมั่งเหรอไง”
“พี่ อย่าไปว่ามันเลย มันกะลังเหม่อๆ เครียดๆเรื่องสอบไม่ได้อยู่อะพี่ เข้ามาเงียบๆก็ได้เรื่องดิ” ไอ้เป้กแก้ตัวให้ผม
“ผ..ผมขอโทษคับพี่” ผมพูดพลางพยุงตัวพี่โอขึ้นมา


“เออ ไม่เป็นไรมากหรอก ทีหลังจะถีบใคร ดูให้มันดีก่อนนาเว้ย” พี่โอพูดแบบหงุดหงิด แล้วเดินเข้าไป ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเห็นใครอยู่ที่หน้าต่าง พลางมองขึ้นไปด้านบนอีก แต่………ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว!! เท่านั้นแหละ ผมรีบวิ่งขึ้นไปดูให้แน่ใจ แต่ปรากฏพบแต่ความว่างเปล่า เป็นไปไม่ได้ที่ว่าจะเดินลงมาแล้ว เพราะบันไดมีอยู่ทางเดียว ถ้าใครเดินลงมา ผมต้องเห็นแน่นอน นั่นทำให้ตั้งแต่เย็นนั้น จนตลอดการสอบมิดเทอมเสร็จวันสุดท้าย ผมต้องคอยระแวงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องกลับหอ ผมแทบจะเป็นบ้า เพียงแค่ได้ยินเสียงทีวีที่พี่เต้เปิดไว้ !!!


จนเมื่อวันสอบวันสุดท้ายเสร็จ มันทำให้ผมโล่งอกไปเปราะนึง ก็สอบเสร็จแล้วนี่นา วันนั้นผมกับเพื่อนๆพาไปเลี้ยงฉลองกันจนดึกเลย กว่าจะกลับหอก็เกือบ 4 ทุ่ม กลับมาถึงก็เข้าห้องหลับเป็นตาย


“วี้………….วี้”


“ตึก !!!”


เสียงนี้ทำให้ผมสะดุ้งตื่น ค่อยลืมตาขึ้นมา ผมหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ ผมลืมตาจนพอสายตาชินกับความมืดมองเห็นสิ่งต่างๆรอบห้องได้พอควร แล้วว……..ผมเห็นร่างๆหนึ่ง จะเรียกว่างั้นก็ไม่ได้เพราะผมมองเห็นเพียงเงาดำๆเท่านั้น ตอนนี้ผมต้องตกใจกลัวอีกครั้ง เมื่อร่างนั้นค่อยๆก้าวสามขุมเข้ามาหาผม สาบานได้ ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มาจากร่างนั้นเลย ให้ตายซิ !!! ไอ้ผีตัวนั้นแน่ๆ มันจะจองเวรผมไปถึงไหนว่ะ


“ฮึ ฮึ ฮึ ” ร่างนั้นส่งเสียงที่เหมือนจะหัวเราะออกมา บัดนี้มันยืนอยู่ข้างเตียงผมแล้ว ทำให้ผมมองเห็นหน้าตาของไอ้ผีบ้านี่ได้ชัดขึ้น ร่างชายหนุ่มอายุประมาณไรเรื่ยกับผม มองมาที่ผม แววตาสีแดงวาวเหมือนกำลังโกรธจัด เพียงแต่หน้าตาไม่ได้แสดงท่าทางอย่างนั้น ตอนนี้ผมพยายามพยุงตัวขึ้นมาจากการนอน แต่…ผมขยับตัวไม่ได้เลย คล้ายกับโดนสะกดไว้ ร่างนั้นยิ้ม (จะเรียกว่าแสยะยิ้มดูเหมาะสมกว่า) เหมือนจะพอใจที่ผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย ร่างนั้นค่อยขึ้นมาบนเตียงผม เพียงแต่เตียงนั้นแทบไม่ยุบลงไปเลย ทั้งๆที่ตัวมันก็ใช่จะเล็ก ตอนนี้มันขึ้นมาคร่อมตัวผมเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าจะคร่อมทำไมทั้งๆที่ผมก็ขยับตัวไม่ได้ เว้นแต่ว่า……..เร็วเท่าความคิด ผมพยายามสะบัดข้อมือผมที่ถูกจับกดอยู่ แน่นอน มันหนักเหมือนโดนก้อนดัมเบล 10 กิโลฯ ทับไว้อยู่ ความกลัวของผมในตอนนี้สุดขีดแล้ว จนมันแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวมาแทนที่


“เฮ้ย แกจะทำอะไรชั้น ปล่อยนะโว้ย ปล่อย!!!”พร้อมกับคำสบถชนิดที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้ด่าใครขนาดนี้มาก่อน ร่างนั้นยิ้มเหมือนเย้ยหยันอีกครั้ง แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น… มันค่อยปลดกระดุมเสื้อนอนผมออก มันทำให้ผมตกใจมากขึ้น ทีละเม็ด ทีละเม็ด แล้วเอามือเย็นยะเยียบของมันค่อยๆลูบไล้หน้าอกผม มันสยิวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับโดนเอาน้ำแข็งมาลูบแบบนั้น จากนั้นร่างนั้นค่อยๆก้มหน้าลงมาช้าๆ นี่ถ้ามันเป็นผีผู้หญิง ผมจะไม่ขัดขืนเลยนะเนี่ย !!! ตอนนี้ผมกะลังโดนผีล่วงละเมิดทางเพศเหรอว่ะ คิดได้ดังนั้น ผมพยายามสลัดสะบัดหน้าผมไม่ให้มันทำสำเร็จ แต่มันก็ไม่เป็นผล ริมฝีปากที่แสนเย็นของมันประทับลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ มันช่างเป็นจูบแรกที่เย็นชืดอะไรปานนี้ มือมันก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ตอนนี้เหมือนจะค่อยๆล้วงเข้าไปในกางเกงผม


“ไม่น้าเว้ยยยยยยยย” ผมได้แต่คิด ตอนนี้ร่างของมันแนบทับมาบนตัวผมเต็มๆเลย จูบของมันเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จน…………..


แปร้บ!!.. ผมรู้สึกเหมือนไฟช็อตไปทั่ว ร่างผมกระตุกนิดหนึ่ง แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา!! เหงื่อแตกพลั่กเหมือนพึ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ


“ฝ…ผันน่ากลัวชิบเป๋ง” ตอนนี้ผมยังตกใจไม่หายกับฝันนั้น มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน หลังจากพยายามนั่งทำใจอยู่นาน ผมก็เตรียมตัวจะไปอาบน้ำ ทำให้พึ่งสังเกตกับตัวเอง มันทำให้ความกลัวพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้ง เพราะตอนนี้กระดุมเสื้อของผมถูกปลดออกมาทุกเม็ดเลยอะดิ !!!!


“ไม่จริง” ผมพูดกะตัวเอง แทบอยากจะบ้า………………..


“เฮ้ย เป็นไรว่ะ หน้าซีดอีกแหละ ” ไอ้เป้กพูดขึ้นมาระหว่างกินข้าวเช้า มันนี่ช่างมายุ่งกะหน้าผมจริงๆ


“รู้สึกม่ะค่อยสบายว่ะ” ผมบอกไป


“ไม่สบายอีกแล้ว หน้าตาก็ไม่ได้ขี้โรคนี่หว่า” พี่รัญมาว่าอีก


“น้ำผักชีซักแก้วเป็นไง รับรองหาย” คราวนี้ไอ้น้ำ โอ้ย ไอ้พวกนี้มันยุ่งกะชีวิตกรูจริงๆ


“มึงพอเลยไอ้น้ำ ยิ่งปวดหัวอยู่นาเว้ย ไม่มีอารมณ์มากัดด้วยหรอกเว้ย” ผมบอกพวกมัน นี่ผมปวดหัวจริงๆนาเนี่ย ไอ้เพวกนี้ไม่ค่อยจะเชื่อกันเลย


“แล้วงี้จะไปเที่ยวได้เหรอ ไม่สบายเงี้ย สงสัยอยู่เฝ้าหอละกัน” พี่โอว่าพลางยกชามโจ้กซด (น่าเกลียดมากๆ) ใช่แล้วคับ วันนี้เป็นวันที่พวกเรา 5 คนได้หยุดเทอมตรงกันซะที เลยนัดกันจะไปเที่ยวกัน มันอาจทำให้ผมลืมเรื่องอุบาทย์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้มั่งแหละ ส่วนจะเที่ยวที่ไหนอะเหรอ …..


“ไรอะพี่ ไหวดิ โห… ไม่สบายเรื่องเล็ก เที่ยวเรื่องใหญ่นาพี่” แหม เล่นจะให้ผมนอนเฝ้าหออยู่คนเดียวอะเหรอ ไม่มีทางเด็ดขาด


“ไอ้บ้า เที่ยวดรีมเวิร์ลแค่เนี้ย ทำเป็นเหมือนได้ไปเมืองนอก อ้ายเว่อร์” พี่โอว่า “เออ …. แล้วใครมันคิดจะไปว่ะ ที่ให้เด็กเที่ยวพรรณนั้นอะ ไม่สร้างสรรค์เลยหว่ะ “


“ช่ายๆ ที่ไหนมันจะสร้างสรรค์เหมือนกับ ร้านรูท (ร้านสำหรับเด็กดีแถวๆอาร์ซีเอ) ของนายละ พี่รัญพูดงี้เล่นเอาพี่โอพูดไม่ออกอะ” ได้แต่ยิ้มกร่อยๆ จะว่าไปพี่รัญไม่ค่อยจะว่าใครหรอกนะ ยกเว้นแกอารมณ์ดี แถมพี่รัญเป็นคนเดียวอะ ที่ดูเหมือนพี่โอจะเกรงใจสุด ทั้งที่พี่รัญเป็นรุ่นน้องแท้ๆ ผมว่าเพราะบุคลิกพี่รัญเค้าขรึมด้วยแหละ 55 สมน้ำหน้า


“แล้วพี่เต้ไม่อยู่งี้ พี่โอจะเที่ยวสนุกเหรอคับ เห็นเป็นคู่ขากันอยู่นิ” ผมได้ทีแซวบ้างดิ ปกติ ถ้าพี่โอไปเที่ยวไหน ก็จะเห็นพี่เต้ที่นั่นแหละ เพียงแต่ปิดเทอมนี้พี่แกเกิดคิดถึงบ้านขึ้นก็เลยกลับต่างจังหวัด


“เฮ้ย อ้ายบาส กรูกับไอ้เต้ไม่ได้เป็นคู่ขากันนาเว้ย กรูไม่ได้เป็นเกย์เว้ย” แน่ะ กินปูนร้อนท้องอีก ผมยังไม่ได้หมายถึงขั้นนั้นซะหน่อย หลังจากกินกันอิ่มหน่ำสำราญก็ได้ฤกษ์ออกซะที เนื่องจากหอพวกเราอยู่แถวๆบางเขน ทำให้มาถึงรังสิต คลอง … (อะไรก็จำไม่ได้แล้ว) ไม่ยากนัก และตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยได้มาเที่ยวอะไรแบบนี้มากนัก นอกจากมากลับครอบครัว ครั้งนี้จึงเป็นการเที่ยวเปิดซิงครั้งแรกกะเพื่อนๆ ระหว่างที่กะลังรอรถจากสวนสนุกมารับข้างหน้าทางเข้า เป็นไปไม่ได้ที่เราจะลืมกิจกรรมสุดฮิตของวัยรุ่น


“คุณคนสวยคร๊าบบบ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยดิคับ” พี่โอพูดพลางส่งกล้องให้กับสาวคนหนึ่ง ให้ถ่ายรูปให้ พร้อมกะไม่ทิ้งนิสัยหม้อสาวของเค้า


“เฮ้ย หัวบังหว่ะ”


“จายกนิ้วทำไมวะ มันจาทิ่มตาคนอื่นม่ะเห็นเหรอ”


“เอ้ย กรูเป็นพี่ใหญ่ต้องอยู่กลางดิว่ะ”


“ไม่เกี่ยวซะหน่อย ใครดีใครได้ดิ”


“ไอ้สาด จะเบียดหาหอกอะไรมึ๊ง”


“อาไร มันไม่ตรงเฟรมเห็นมั้ย”


ฯลฯ และอีกมากมาย นี่ถ้าติดว่ารถยังไม่มารับ ป่านนี้สงสัยจะได้ถ่ายกันอีกบานแหง่ม


“จะเล่นอะไรกันก่อนละ” พี่รัญเอ่ย คำถามนี้ทำให้คนทั้ง 5 คนต้องถกเถียงกันอีกรอบ ผมคิดว่ามันเหมือนเด็กกันจริงจริ๊ง อะไรมันจะดีไปกว่านั่งกระเช้าลอยฟ้าไปชมทัศนียภาพโดยรอบก่อนละฟ่ะ !! หลังจากที่ตกลงวางแผนการเล่นกันเรียบร้อยแล้ว บัดนี้พวกเราก็พร้อมออกศึกกันแหล่ว


ถ้าคุณเป็นพวกชอบความหวาดเสียวและระทึกใจ เราขอแนะนำให้เริ่มเล่นไอ้จานบิน ที่มันร่อนได้ก่อนเลย มันจะพาคุณหมุนๆๆๆๆๆ แล้วก็หมุน พร้อมกับโยกขึ้นโยกลง ด่านนี้แค่ออเดิร์ฟ ให้คุณเล่นพอหอมปากหอมคอ ซัก 2รอบ จากนั้นขอพามาด่านสองแนะนำไปที่รถไฟเหินเวหา ในตอนแรกๆ ถ้าลองมองดูจากข้างล่าง อาจจะรู้สึกเสียวๆ
แต่ขอแนะนำให้ขึ้นไปนั่งดูก่อน เมื่อรถค่อยๆเคลื่อนสู่เบื้องบน คุณจะมองเห็นทัศนียภาพรอบๆได้ดี แต่หลังจากตัวรถค่อยๆ พุ่งลงสู่เบื้องล่าง……..


“จ๊าาาาาาาาาาาาาก “


“ อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาก”


“กรี้ดดดดดดดดดด”


รอบแรกเลย คุณอาจจะรู้สึกเสียวและกลัวที่จะถูกเหวี่ยงออกไปนอกถนน แต่ถ้าคุณกล้านั่งรอบ 2 คุณจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้สงได้เสียวอะไรหรอก แค่เด๊ะเด๊ะ สำหรับผมนะ อ้อ ด่านนี้ขอซัก 2 -3 รอบ ว่ากันที่ด่านที่ 3 สเปซเมาส์เทน (เขียนถูกปล่าววะ) อันนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย เพียงแค่มืดๆหน่อยเดียวเอง (อันนี้พี่โอบอก) หลังจากที่ต้องต่อแถวยาวซักพัก พี่โอ เป้ก แล้วก็ไอ้น้ำ ได้ 3 ที่นั่งสุดท้ายพอดี ทำให้ผมกะพี่รัญต้องรอขบวนหน้า


“งั้นไม่ต้องเล่นก็ได้มั้ง เสียเวลาปล่าวๆ” พี่รัญบอกผม หลังจากขบวนรถวิ่งผ่านอุโมงค์เข้าไป


“โธ่พี่ มาถึงนี่แล้ว เดี๋ยวก็ได้ขึ้นแล้วเพ่” ผมอยากขึ้นจะตายชัก แล้วก็เหลือบไปมองหน้าพี่เค้า มันมืดๆมองไม่ชัด แต่ผมว่าพี่แกเริ่มเมาๆแล้วละมั้ง บุคลิกพี่แกไม่น่าจะมาเล่นไอ้พวกพรรณนี้หรอกผมว่า แต่ผมไม่สนใจหรอก ก็กรูอยากเล่นนี่หว่ะ ใครจะทำมาย


หลังจากรถขบวนต่อไปมาถึง ผมเลยจองที่หน้าสุดเลย ซึ่งมันจะทำให้มองเห็นอะไรได้ดีกว่าและเพิ่มความเสียวสยิวได้มากขึ้น (เล่นรถไฟเหาะนะไม่ได้ทำอย่างอื่น)
ครื้น เสียงรถค่อยๆเคลื่อนตัว มุดอุโมงค์เข้าไป แสงแวบวาบข้างๆหน้าตื่นใจพอควรสำหรับคนที่มาครั้งแรก


“5 4 3 2 1 …………….”


รถก็ค่อยๆพุ่งลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว พร้อมแรงกระแทกที่มากกว่าเล่นรถไฟเหินเวหาอีก ด่านนี้แนะนำให้เพื่อนๆลืมตานะคับ จะเห็นอะไรซวยๆ เอ้ย สวยๆมากมาย อย่าเหมือนกะพี่รัญนะคับ ผมเห็นพี่แกนั่งก้มหน้าหลับตาปี้เชียว 555 วันนี้พี่แกเก็กแตกหว่ะ หลังจากออกมาด้านนอกซึ่งพวกก็รอผมกะพี่รัญเตรียมจะเล่นอย่างอื่นอยู่เรียบร้อย พี่รัญสุดหล่อของผมดูจะเดินเป๋ๆไปเหมือนกัน แต่เรื่องที่ผมเห็นข้างใน เอาเป็นว่าผมฟอร์มมองไม่เห็นละกัน แบบว่ามันมื้ดมืด มองไม่ค่อยเห็นอะนะ


ด่านต่อไป ถ้าคุณออกจากสเปซฯแล้ว ไปทางซ้าย จะเห็นด่านสุดโหดอีกด่าน เป็นด่านปราบเซียน ไวกริ้ง เอ้ย กิ้ง นะเอง ด่านนี้ผมหวั่นๆเหมือนกัน เพราะเคยลองมาแล้วสมัยอยู่แดนเนรมิต แต่ตอนนั้นมันเด็กอยู่ ด่านนี้ดูพี่โอ กะไอ้เป้ก ตื่นตาตื่นใจมากๆ คะยั้นคะยอพวกให้รีบๆขึ้นซะที เป็นไงเป็นกัน เดียวจะหาว่าไม่แน่


“เฮ้ย งั้นพี่รออยู่ข้างล่างนี่นะ ห…หิวน้ำอะ” พี่รัญพูดระหว่างต่อแถวอยู่ พลางจะเดินออก


“เดี๋ยวพี่รัญ ผมไปด้วย” อ้าว ไอ้น้ำอีกตัว ดูไปแล้วมันไม่กล้าเล่นมากกว่าอะนะ


“งั้น เดี๋ยวเรา ป………………. “ผมกะลังจะพูดบ้าง แต่….


“ไอ้บาสมึงไม่ต้องมาอ้างเลย” ไอ้เป้กไม่ยอม รีบกระชากแขนผมไว้ พร้อมๆกับพี่โอ คว้าคอเสื้อพี่รัญไว้มันพอดี


“เฮ้ย กรูหิวน้ำ เว้ย พวกมึงเล่นไปเถอะ” พี่รัญว่า


“เดี๋ยวเล่นก่อน ให้ไอ้น้ำไปซื้อคนเดียวก็ได้” พี่โอว่าพลางกอดเอวพี่รัญไว้ พอดีกะที่ประตูเปิดพอดี


“เฮ้ย ปล่อยเด๊ กรูเดินเองได้” ว่าพลางทำหน้ามุ่ย ท่าจะอารมณ์บ่จอย อืม ผมว่าพี่โอคงอยากแกล้งซะเต็มประดาละซิ หลังจากนั่งกันประจำที่เรียบร้อยแล้ว ผมมองเห็นไอ้น้ำยืนยิ้มอยู่ข้างล่าง อ้ายเวรรร ไม่อยากขึ้น แล้วฟอร์มหิว ผมสังเกตว่านอกจากเรา 4 คนแล้ว คนอื่นๆก็นั่งกันอยู่แถวหน้ากัน


“อ้อ เนี่ยเค้าเรียกว่าชั้นปริญญาหว่ะไอ้รัญ” พี่โอว่า


พี่รัญทำหน้างง ดูท่าพี่เค้าคงไม่เคยเล่นละมั้งเนี่ย และแล้วมันก็เริ่มโยก………..เยก…….โยก………เย้…


------------------ อะ จ๊าาาากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก -------------------


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 17-10-2008 18:56:06


หลังจากโดนโยกอยู่นานสองนาน ก็ได้ลงสู่พื้นพิภพซะที ผมอะโคตะระ หวาดเสียวเลย ส่วนพี่รัญเหรอ คงจะไม่ต่างจากผมเท่าไรหรอก หน้างี้ซีดกว่าเก่าอีก พี่โอประคองอยู่ข้างๆ ใบหน้าสะใจมาก


“เฮ้ย เอาน้ำมาให้ไอ้รัญกินหน่อย” พี่โอว่า


“อ๊วกกกกกกก โอ๊ก อ๊อกกกกกกกกกกกกกกกกก” เต็มๆครับ งานนี้ พี่รัญปล่อยมาจนหมด นอกจากหมดกระเพาะแล้ว ยังหมายถึงหมดสภาพอีกด้วย มาถึงตอนนี้ถ้าคุณอยากจะอ้วกบ้าง ก็จะดีเพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นกว่าเก็บเอาไว้ มันจะทำให้เล่นด่านต่อไปไม่สนุกนะ


“พี่รัญจะตายไม่วะ งานเนี่ย” ไอ้เป้กพูด


“ย……..ยังไม่ตาย โว้ย อย่ามาแช่ง” จากนั้นก็พากันหัวเราะกันครื้นเครง ผมละมีความสุขจริงๆละงานนี้


หลังจากจบด่านนี้ เราขอแนะนำให้คุณพักหาอะไรใส่ท้องกันก่อน อย่ามาบ้าพลังเล่นอย่างอื่น เพราะอาจจะทำให้ร่างกายรับไม่ไหวนะคับ แถวนั้นจะมี KFC อยู่ใกล้ๆ กินให้อิ่มก่อนแล้วก็เริ่มตะลุยด่านต่อไปเพื่อฆ่ามอนสเตอร์และเพิ่มเลเวลให้กับตัวเอง (เฮ้ย ไม่ได้เล่น rak) มาว่าด่านต่อไปเลยดีกว่า ด่านต่อไป แนะนำ ซุปเปอร์สแปช คล้ายๆกับล่องแก่งอะแหละ แต่เสียวกว่า มันส์กว่า และได้เปียก หลังจากที่เล่น ซัก 2-3รอบ แล้ว (ด่านนี้เล่นได้เยอะ รับรองไม่น่ากัว) ให้ไปยืนบนสะพาน เพื่อเพิ่มความเปียก ให้เป็นเปียกโชก ด้วยคลื่นน้ำยักษ์


“คลื้น ซ่า…………………………………”


“กลับปายคราวนี้ใครเป็นไข้ อย่ามาให้ชั้นพยาบาลให้นะโว้ย” พี่รัญว่า แน่นอนพี่แกไม่ขึ้นไปรับน้ำหรอก


วิธีที่จะทำให้คุณหายเปียกโดยเร็วให้ไปเล่นพรมวิเศษคับ เป็นการผึ่งไปในตัว ด้วยแรงเหวี่ยงพอเหมาะเสื้อผ้าจะแห้งภายในไม่กี่นาที ขอย้ำว่าอย่าไปกวนพี่คนที่ควบคุมเครื่องเหมือนพวกผม เพราะพี่แกจะแกล้งหมุนซะเกือบตาย


มาถึงตอนนี้ยังมีอีกหลายด่านที่พวกผมอยากแนะนำให้เล่น ไม่ว่าจะเป็น แรพเตอร์ ที่เกือบทำให้พี่โอตกลงมาหัวทิ่ม เนื่องจากเข็มขัดหลุด (งานนี้พี่รัญฮากว่าใครเพื่อน) หรืออยากจะเล่นโกคาร์ตก็เก๋ไม่หยอก แต่ผมขี้เกียจเล่นนะ เลยปล่อยให้พวกเล่นไปละกัน ผมค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาคนเดียว


ตอนนี้ผมชักรู้สึกปวดหัวเล็กๆ แล้วดิ อาจจะเป็นเพราะเล่นมากไปหน่อย หรือเปล่า!?
แปร้บบบ โอ้ยๆ ทำไมมันปวดหัวจังว่ะ


ตอนนี้มันเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยแล้ว อยู่ๆก็ภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของผม


“ฮึ ฮึ ฮึ ” เสียงหัวเราะเมื่อคืน !!!??


“เฮ้ย แกจะทำอะไรชั้น ปล่อยนะโว้ย ปล่อย!!!


“วี้………….วี้”


“ รับรอง…ฉันไม่ทำให้ผิดหวังแน่ “


ภาพตัดกันไปมาเหมือนฉากในภาพยนต์


“บาส บาส ไอ้บาส” เสียงพี่รัญปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์


“ฮะ อาาไร”


“เป็นอะไรไป ไข้กำเริบเหรอไง บอกแล้วว่าอย่าซ่าให้มากนัก” พี่รัญบอกพลางเอามือมาคล่ำหน้าผากผม
ไม่รู้ว่าพี่แกทำให้งี้กะทุกคนเหรอเปล่าแฮะ รู้แต่ว่าตอนนี้อาการปวดหัวผมทุเลาไปแล้ว จะเรียกว่าหายไปก็ได้ ทำไมต้องคิดถึงเรื่องเมื่อคืนวะ


“จะกลับกันยัง” พี่รัญถาม สงสัยอยากกลับแล้วละ ผมก็ชักอยากแล้วเหมือนกัน


“เฮ้ย ยังไม่ได้เล่นของเด็ดเลย” พี่โอว่า พลางชี้ไปที่


เฮอริเคน


“ขอตัว” พี่รัญบอก


“ผมด้วย”


“ด้วยคน” ผมกะไอ้น้ำพูดเกือบพร้อมกัน


“เออ ตามใจ เล่นไม่คุ้มจะมาเล่นทำไมฟะ พวกเอ็งเนี่ย” ว่าพลางล็อกคอไอ้เป้ก ขึ้นเขียง


ผมว่าผมคิดถูกแล้วละที่ไม่ขึ้นไปเล่นอะ ดูโหดร้ายมั๊กมาก งานนี่ไอ้เป้กที่ว่าแน่ๆ ยังเป๋ลงมาเลย ท้ายสุดพี่โอถือว่าเป็นคนแกร่งประจำหอของเรา อึดจริงๆ ไม่รู้เรื่องอื่นจะอึดด้วยอะป่าว??


สุดท้ายและท้ายสุด นี่ก็ใกล้จะ 5 โมงเย็นแล้ว ขอปิดท้ายด้วย ปราสาทผีสิง…


บอกตามตรง ผมไม่ค่อยจะอยากยุ่งเลย อะไรที่มันเกี่ยวกะผีๆสางๆเนี่ย เพราะพึ่งเจอมาหยกๆ แต่อีกใจผมก็อยากเห็นใครบางคนคับ ใครบางคนนั่นก็คือไอัเป้กอะแหละ มันกัวผีสุดๆ มันไม่ยอมเข้าไปคับ ขนาดพี่โอประณามมันแล้วนะเนี่ย จนในที่สุด พี่โอต้องช่วยลากมันเข้าไป ผ่านคนเก็บตั๋วที่ดูพฤติกรรมพวกเราอยู่ มีอย่างที่ไหน อยู่ตั้ง ม.5 แล้ว ยังกลัวเวอร์อยู่ได้….


“เฮ้ย พี่โอ ปล่อยน้า อย่าแกล้งกันงี้ดิ ไม่เอา ไม่เข้าอะ โห พี่ผมขอเถอะ พี่รัญอย่าปล่อยให้เค้าดึงผมเข้าไปดิ”
ฯลฯ อีกมากมาย เออเนอะ คนเรามันก็มีจุดอ่อนไม่เหมือนกันจริงๆหว่ะ



“คุณ !!! เป็นจุดอ่อนของทีม เชิญ…อุ้บ!!?


โดยรวม ก็เหมือนบ้านผีสิงทั่วไป แต่ผมรู้สึกว่ามันมีบรรยากาศมาคุยังไงชอบกล ผมหมายถึงบรรยากาศไม่ค่อยดีอะนะ ผ่านห้องที่มีภาพผืนใหญ่ติดอยู่กลางห้อง ลงไปชั้นล่าง ขึ้นชั้นบน โอ้ย เมื่อไรมันจะออกไปซะทีว่ะ ไอ้เป้กเดินตัวแข็งเดินกอดผมมาตลอดทางเลย จนมาถึงที่เด็ด พี่โอแกล้งบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว มันจึงกล้าลืมตาขึ้น แต่แล้ว…


“โครม โฮก !!!???“


มีตัวอะไรบางอย่างพุ่งใส่กรงที่กั้นอยู่ ทำเอาผมสะดุ้งเหมือนกันนะนี่ ส่วนไอ้เป้กอะเหรอ กระโดดตัวลอยเชียวหละท่านผู้ชม ร้องเสียงหลงอีกตะหาก พร้อมทั้งด่าพี่โอ


“ไอ้พี่โอ ไอ้บ้า ไหนบอกว่าไม่มีอะไรแล้วไงว่ะ ไอ้ตอแหล” คราวนี้มันกอดผม(ด้านหลัง)แน่นกว่าเดิมอีก ยังเอาหน้ามาซุกที่หลังคอผมอีกตะหาก


“เฮ้ย กรูเดินไม่สะดวกนาไอ้เป้ก” ผมบอก ที่จริงผมรู้สึกเขิลๆมากกว่า คราวนี้พี่โอ กะไอ้น้ำเดินนำหน้า ส่วนพี่รัญเดินตามหลังผมมา ดูพี่แกไม่กลัวเลยนะ จนรู้สึกเหมือนจะใกล้ทางออกแล้ว….มีอะไรบางอย่างพุ่งมากระแทกหัวผมจากด้านหลัง มันเหมือนลูกอะไรมากกว่า


“โอ้ย ครายปาหัวว่ะ” ผมหันไปด้านหลัง ก็เห็นพี่รัญเดินตามมา พี่รัญเอาไรปาหัวผมปล่าวเนี่ย


“จาบ้าเหรอ พี่ถืออะไรมาที่ไหนละ” พี่รัญว่า ผมว่าพี่เค้าแกล้งชัวว์ๆเลย


“สงสัยคนข้างหลังมันขว้างมาละมั้ง” พี่เค้าบอก หลังจากออกมาข้างนอกแล้ว


“พี่เห็นแว็บๆอะ อยู่ข้างหลังพี่คนนึง ก่อนจะออกมาอะ”


“มีที่ไหนละพี่ ก็หลังจากเราออกมาอะ ยังไม่มีใครตามเราออกมาเลยนะพี่”


“เฮ้ย มีดิก็ตอนอยู่ข้างในอะ ที่ตอนไอ้เป้กกระโดดเด้งอยู่ พี่ตกใจเอามือไปปัดโดนเค้า ยังบอกขอโทษอยู่เลย”


เอาละซิ พี่รัญก็ยืนยันอย่างงี้ แล้วหน้าตาพี่เค้าก็ไม่ได้พูดเล่นซะด้วย แต่ผมก็เห็นว่าตอนที่เดินออกมา ยังไม่มีใครเดินตามเรามาซักคน แถมตอนที่พี่รัญว่าเอามือไปปัดเค้าอะ ตอนนั้นผมไม่เห็นจะมีใครอยู่แถวๆนั้นนอกจากพวกเราเลยนะ


ผมหน้าซีดจนพี่รัญเห็นได้ ผมกลัวจริงๆนะเนี่ย ไม่ได้ล้อเล่น


“ส สงสัยพี่คงตาฝาดไปเองหละมั้ง อย่าคิดมากเลย” พี่เค้าดูเหมือนจะปลอบผม แต่หัวผมเจ็บนี่ไม่ได้เล่นๆแน่ สรุปแล้ววันนี้เรียกว่าโทรมกันถ้วนหน้าครับ ทั้งผม ทั้งไอ้น้ำ ไอ้เป้ก พี่รัญ มีอยู่คนเดียวอะ ยังรื่นเริง


“วันหลังมาอีกนะเว้ย หนุกดีหว่ะ ชอบๆ” พี่โอบอกพร้อมโบกรถเมล์เตรียมกลับ


“โธ่ เอ้ย แล้วหมาตัวไหนว่ะบอกว่าที่เด็กเที่ยว ไม่สร้างสรรค์อะ สัด” พี่รัญแซว แต่พี่โอทำเป็นไม่ได้ยิน


กว่าจะถึงหอรถติดอีก เลยแวะกินข้าวข้างนอก ถึงหอก็พอดี เกือบ เที่ยงคืน (ก็รถมันติดมากนี่หว่า)







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #3  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-10-2008 19:55:08
 :a2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-10-2008 20:04:33
เย้  แล้วเวอร์ชันนี้ จะเขียนจนจบป่าวอ่ะ
เพราะตอนนั้นที่อ่าน  มันยังม่ะจบ  เว็บถูกยึดไปอ่ะ
อ่านถึงตอน พี่รัญตัดสินใจจาไปเมืองนอกหรือป่าว  ยังค้างคาอยู่เลย

ขอให้เตอิ้ง ต่อเรื่องจนจบด้วยนาคับ :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 17-10-2008 20:16:56

เอ่อ น่ากลัวโคตร   :sad3: o21 o22 :freeze:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-10-2008 20:43:24
 :oni1: :oni1: :oni1:

โอ้ สนุกดีครับ จะคอยตามต่อ อิๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 17-10-2008 23:10:19
ออกแนวสยอง :jul1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 18-10-2008 01:41:14
เอ้ะยังงกันน้า

ตกลงผีรึเปล่าเนี่ย อิอิ  :m4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 18-10-2008 07:28:58
ผีไอ้พี่รัญป่าวนี่

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 18-10-2008 07:33:51
อ่า ไม่เคยอ่านเวอร์ชั่นนี้ ตามมาดัน รออ่านต่อ แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 18-10-2008 13:15:52
เง้่อ..version นี้เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเหรอ??
ออกแนวสยองขวัญไปน่ะ น่ากลัว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 18-10-2008 19:06:59
ผีนั่น  ยังไงอะไร  เป็นปริศนาอะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 18-10-2008 19:16:05
เห็นตอนแรก...ตกใจ ช็อค มึน
นึกว่าคุณ STP. เอาเรื่องนี้มาต่อภาคใหม่(อีกแล้ว)
นึกแปลกใจ(ด่า)ว่าจะต่อทำไม...555


แต่ตอนนี้ ได้แค่บอกว่า ขอบคุณคร๊าบบบบบ ที่เอามาลงให้
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 19-10-2008 10:54:40
มารออ่านต่อครับ  :t2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: |ψ|PEAT_ZA|ψ|℠ ที่ 19-10-2008 13:51:41
เหอะๆ  สยองจริงๆ   :jul1:

พี่เตอิ้ง  เปลี่ยนแนวการเขียนหรอคับ

ชอบๆ  ตื่นเต้นๆ   :m29:

เดี๋ยวแอบมาอ่านเรื่อยๆนะคับ  :m22:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 19-10-2008 19:00:30
 :m4: :m4: พี่เตอิ้ง มาต่อ ตอนใหม่ (?) รึเปล่า  เย้ๆ

ว่าแต่เรื่องเก่าๆ ช่วยมาต่อก่อนได้มะฮับ :m13: ค้างนานนนนนนนนนนนนนนนนนนน แระ

 :a2:รอตอนต่อไปฮะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 19-10-2008 22:47:38
รอค้าบบบบบบ

 :L2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 21-10-2008 00:28:59
 :m29: ตกลงแนวผีเหรอ เหอๆๆๆ แต่ยังไงก็อ่านอยู่ดีค่ะ

ปล.อยากได้หนังสือรวม7ภาคอ่ะ ตกลงทำไม๊ค่ะ รออยู่นะ :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 22-10-2008 22:17:02
มารอคราบบบบ

อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: ~•SAkurAIro•~ ที่ 23-10-2008 09:13:38

พี่เตอิ้งต้องชอบเขียนเรื่องสยองๆ แน่เลยอ่ะ

จำได้เรื่องบ้านพัก ตอนฆาตกรรม ยังจำได้ น่ากลัวคอดดดด  :serius2:

รอตอนต่อไปครับบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 2 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: Littlefox ที่ 24-10-2008 20:04:07
 :serius2:รอตอน3แทบไม่ไหวแล้ววววว


 ถ้าไม่มาต่อเขาจะ....เขาจะ....:m15:


หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 24-10-2008 21:58:15
“อู้ย พี่เน มียาแก้ปวดหัวเหลือมั้ย” ผมถามเจ้าของบ้านสาวสวย หลังจากตื่นนอนมาผมรู้สึกไม่สบายอย่างแรงเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อวานเล่นมากไปหน่อยเหรอเปล่า

“เที่ยวมากซิเรา” พี่เนว่าพลางเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้ผม ผมรับมาทาน ที่จริงการทานยาแก้ปวดหัวขณะท้องว่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยนะ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก

“คนอื่นหายหัวไปไหนหมดละคับพี่รัญ” ผมถามเมื่อเห็นเดินออกมาจากห้องน้ำ


“เมื่อรู้หว่ะ สงสัยออกไปหาอะไรกินมั้ง นี่มันจาเที่ยงแล้วนี่” พลางหันไปดูนาฬิกา มันเที่ยงกว่าเกือบบ่ายแล้วอะ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หิวจัง ปวดหัวด้วย

“รัญ ไม่ออกไปไหนใช่มั้ย งั้นฝากหอด้วยนะ พี่กลับบ้านแล้ว เออ ฝากบอกน้ำด้วยนะว่า พ่อเรียกให้ไปหาที่บ้านอะ สงสัยมีเรื่อง” พี่เนว่า พลางเดินออกจากหออย่างรวดเร็ว นี่เป็นบุคลิกอีกอย่างที่พี่เนแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปตรงที่แกค่อนข้างจะกระฉับกระเฉง ทำอะไรรวดเร็ว ในบางครั้งอาจเรียกว่า ลน ก็ได้

“ได้เจ๊ เดี๋ยวบอกให้” บอกพลางหันมาถามผม

“หิวยัง ไปหาอะไรกินข้างนอกม่ะ บาส”

“ม่ายอะพี่ ปวดหัวหว่ะ สงสัยเมื่อวานเล่นหนักไปหน่อย อยากนอน”

“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอ ยังไม่กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า” จะชวนผมไปให้ได้สิ

“หิวดิ” ผมตอบห้วนๆ ก็มันไม่มีแรงเดินนี่หว่า ไม่มีอารมณ์ออกไปไหนด้วย

“พี่รัญทำอะไรให้กินหน่อยดิ น๊าาา” ผมอ้อนพี่แก เผื่อฟลุคปาฏิหาริย์ทำขึ้นมา ผมเห็นพี่เค้าอึ้งไปพักนึง เลยพูดตัดรำคาญ “เออ ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมพูดเล่นไปงั้นแหละ ไม่ต้องทำหรอก เออ ถ้าออกไปข้างนอกก็ฝากซื้อของกินมาให้หน่อยละกัน อะไรก็ได้ แล้วก็ ……………. ค่อยมาเก็บเงินทีหลัง” ผมไม่ลืมที่จะพูดประชดพี่แก

“หนิ ไม่ต้องมาพูดประชดก็ได้” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในครัว “จะกินอะไรหละ เดี๋ยวทำให้ ……….” แล้วหันมามองหน้าผม “เห็นว่าไม่สบายหรอกนะ แล้วก็ไม่มีใครอยู่ด้วยหรอกนะ ถึงได้ทำให้เนี่ย” ก็ไม่เห็นต้องพูดแก้ตัวอะไรนิ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยซักคำ แปลกคนจริง
“น ..นี่มันไข่เจียวหรอว่าไข่ไหม้เนี่ยพี่” ผมโอดใส่พี่รัญ แล้วขี้ให้ดูในจาน ที่จริงจะเรียกว่าไข่เกรียมจะถูกซะกว่า พลางมองไปที่กระทะข้าวผัด มันดูเหมือนเอาอะไรมาคลุกๆกันซะมากกว่า ทั้งเนื้อหมูชิ้นมหึมา บางชิ้นก็เล็กต้อยเดียว ผักที่ถูกหันไม่ได้รูป ม่ะเขือเทศที่น่าจะถูกหันเป็นแว่นๆ แต่กลับเหมือนซากอะไรบางอย่าง ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำอาหารของคนปรุงได้เป็นอย่างดี

“เออ อย่าบ่น มีให้กินก็กินไปก่อนเถอะน่า” ว่าพลางตักใส่จาน 2 จาน เหมือนกะลังจะบอกว่า เอ็งไม่ได้กินคนเดียวนะเฟ้ย อะไรเทือกนี้

“ไม่เคยทำก็ไม่บอก จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทำ กินได้ปล่าวเนี่ย” ผมบ่นกระปอดกระแปด รู้งี้ไปกินข้างนอกดีกว่า

“บ่นไรวะ ก็ชวนไปกินข้างนอกก็ไม่ไปนี่หว่า กินดิ อร่อยจาตาย” ว่าพลางตักเข้าปาก เออแหะ พี่แกกินไปได้ไงฟ่ะ ผมเล็งอยู่นาน เอาวะ พลางตักเข้าปาก

“เป็นไง” พี่แกมีลุ้นอีก ผมมองหน้าพี่รัญ

“ก ก็ใช้ได้อะ” ไม่น่าเชื่อคับ มันก็กินได้จริงๆ อย่างที่เค้าว่า อย่าดูอะไรที่รูปลักษณ์ภายนอก “เออ ดูไม่น่ากินได้แต่อร่อยเหลือเชื่อ” ผมบ่นเบาๆ

“เมื่อกี้ว่าไงนะ” มองตาขวาง

“ป ปล่าวพี่….อร่อย “ ผมตักเข้าปากอีกคำ ส่งยิ้มหวาน โห อย่ามาหูดีไปหน่อยเลย

“กินเสร็จแล้วก็ไปนอนพักซะล่ะ บอกแล้วอย่าซ่ามากเป็นไงละ แล้วอย่าออกไปข้างนอกหละ หน้าฝนเงี้ย เดี๋ยวฝนก็ตกมาอีก” ผมว่าพี่เค้าใจดีกว่าที่ผมคาดไว้แยะทีเดียว เป็นเพราะอะไรหนอ ผมเผลอจ้องพี่เค้า คาดว่านานพอสมควร จนพี่เค้าทัก…

“เฮ้ย มองอะไร “

“ก็มองพี่อะดิ” ผมตอบ “หน้าตาก็ดีเงี้ย ทำไมพี่ยังไม่มีแฟนอีกอะ” ผมพูดไปไม่ได้คิดอะไร

“จะอยากรู้ไปทำไมหรอ “

“ปล่าว ไม่รู้จะพูดอะไร ถามไปงั้นแหละ” ผมตอบ พร้อมทั้งทำหน้ากวนบาทา

“โด่ ไอ้เราก็นึกว่าอยากรู้จริงๆ” พี่เค้าทำเสียงเหมือนเสียดาย “แล้วเราอะ ทำไมยังไม่มีแฟนเหรอ” คราวนี้พี่เค้าเป็นฝ่ายจ้องผม

“ยังม่ายมี” ผมตอบตามจริง เพราะไม่รู้จะโกหกไปทำไม

“จริงอะ”

“จิงดิ……..เฮ้ย ผมขึ้นไปนอนดีกว่า ยิ่งพูดกะพี่ยิ่งปวดหัวหว่ะ ไปแหล่ว” ผมก็ลุกขึ้น “พี่ฝากเก็บจานด้วยนะ”ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างบน พี่รัญอมยิ้มพลางส่ายหน้า “เฮ้อ เด็ก”

ในห้องของผม หลับไปนานเท่าไรไม่รู้ แต่ที่รู้ๆยาแก้ปวดหัวที่พี่เนให้มา ไม่ได้ช่วยให้ผมหายปวดหัวได้เลย หนำซ้ำยังรู้สึกปวดมากกว่าเก่าอีก เป็นเพราะยาหมดอายุของพี่เน หรือว่า ไอ้ข้าวผัดรวมมิตรของพี่รัญกันนะ ผมพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง เพื่อพยายามลืมความปวด แต่…….มันก็ไม่หลับ แถมยังรู้สึกมีไข้มิใช่น้อยซะด้วยซิ

วูบ…………….

ลมพัดเข้ามาในห้องผม พร้อมกับเสียงฝนที่เริ่มตก…………อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะหมดเดือนตุลาหน้าฝนนี่ซะที ผมมาพักที่นี่เกือบ 6 เดือนแล้วนะนี่ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ฝนเริ่มตกแรงขึ้น พอๆกับความร้อนจากพิษไข้ในตัวผม ที่จริงนานมากแล้วที่ผมจะมีอาการไม่สบาย เป็นหวัดหรือเป็นไข้ แต่ถ้าจะเป็นทีหนึ่ง ก็เป็นหนักไปเลย เรียกว่านานๆที เอาให้คุ้มหน่อยเหอะ ผมเดินไปปิดหน้าต่าง แล้วหันกลับมานอนบนเตียงอีกรอบ

“กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย” ผมรำพึงกะตัวเอง

“1 ทุ่ม 20” มีเสียงตอบเบาๆ

“เออ ขอบจาาย ……….!? เอ๊ะ” ผมทะลึ่งตัวขึ้นมา พลางมองไปรอบๆ ห้อง ก็ไม่มีใคร ไม่สบายแค่นี้ถึงกะเพ้อเลยหรอว่ะกรู ว่าแล้วลงนอนต่อ แล้วเหลือบไปดูนาฬิกาหงส์แดงบนหัวเตียง เออ ทุ่ม 20 จริงๆ ด้วยหว่ะ แล้วผมก็
ผล่อยหลับไปอีกรอบ

………………………………………………………………………………..

“บาส………….บาส” เรียกไม่พอยังมาตบแก้มผมอีก

“หื้ออ ครายยย” โห ตอนนี้อาการผมแย่กว่าเก่าอีก แค่ลืมตายังไม่ค่อยไหวเลย

“ไม่สบายขนาดนี้ทำไมไม่ไปหาหมอวะ ดูเด๊ะตัวร้อนจี๋เลย” พี่รัญเจ้าเก่านะเอง ดูท่าพี่แกจะห่วงผมจริงแหละ

“กี่โมงแล้วนี่” ผมพยายามพยุงตัวขึ้น

“สี่ทุ่มกว่าแล้ว “พี่รัญตอบ แล้วส่งยาให้ผมกิน เออ ผมนอนไปนานเหมือนกันแฮะ ผมเห็นพี่รัญยกอ่างใบเล็กๆมาวางข้างๆ

“ถอดเสื้อเด๊ะ เดี๋ยวเช็ดตัวให้” ผมทำหน้าเหร่อหรา ฟังไม่ผิดใช่ป่ะ

“ม่ะ ไม่เป็นไรพี่ ไม่ต้องหรอกพี่ ผมเกรงใจอะ” ตอนนี้หน้าผมร้อนกว่าเก่าอีก จามาเช็ดให้ผมได้ไง ตั้งกะโตเป็นหนุ่มมาแม่ผมยังไม่เคยให้เช็ดเลย

“เกรงใจอาารายว่ะ มาเหอะเร็วอย่าลีลา จะได้รีบนอน” ไม่พูดปล่าว ยังทำท่าจะถอดให้ผมอีก

“ม่ายเป็นไร ผมถอดเองได้” นี่ดีนะใส่กางเกงขาสั้น พี่เค้าเลยไม่ต้องให้ถอดกางเกงด้วยอะ ไม่งั้นเขิลล ตายชัก

“ทำไรอยู่อะ นอนลงดิ” ว่าแล้วก็ลงมือเช็ดไปบ่นไป “อย่ามาบ่นได้มั้ยปวดหัวเว้ย” ผมคิดนะไม่ได้พูดหรอก พี่เค้าเช็ดอย่างช่ำชอง (เอ๊ะ ใช้คำถูกป่ะ) นุ่มอีกตะหาก กึ๋ย !! เริ่มจากใบหน้า ผ่านซอกคอ มาที่หน้าอก แขน เรื่อยลงมาที่ท้อง อึ๊ก ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง เจ้าตัวน้อยมันเริ่มมีปฏิกิริยาเล็กๆแล้ว อย่าหาว่าไม่สบายอยู่ยังลามกเลยนะคับ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่หว่า

“พ.พี่รัญ ………. เดี๋ยวก่อน” ผมเบรกพี่เค้าไว้ก่อนที่อารมณ์ผมจะเตลิดไปมากกว่านี้

“หือ อะไร”

“ข ขอผ้าห่มหน่อยดิ หนาว” ผมฟอร์มหนาว มันก็หนาวจริงแหละ แต่จุดประสงค์ผมเอามาปิดเจ้าตัวดีของผมตะหาก หลังจากห่มเรียบร้อยแล้ว (ครึ่งตัวล่าง) พี่รัญก็เช็ดไปอีกพักหนึ่ง คราวนี้พี่เค้าเปลี่ยนเลื่อนผ้ามาห่มท่อนบนแทน แล้วเปลี่ยนไปเช็ดส่วนขา…………..” แว้ก” พี่แกก็เช็ดไปเรื่อยๆโดยไม่รู้หรอกว่าตอนนี้คนถูกเช็ดนี่จาตายอยู่แหล่ววววว แค่ช่วงหน้าแข้งไม่เท่าไรหรอก ตอนเช็ดเรื่อยขึ้นมาแถวๆขาอ่อนนี่เด๊ะ ผมไม่รู้ว่าพี่แกจะจงใจเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆอะปล่าว อีกนิ้วเดียวมันถึงจุดเคอร์ฟิวแล้วนาาา แล้วพี่เค้าก็หยุดเช็ด แต่มือยังวางอยู่ที่เดิม เพราะคงสังเกตุเห็นเจ้าบาสน้อยแล้วล่ะซิ (ฝีมือพี่อะแหละ) พี่เค้าหันมามองหน้าผม แล้วเอามือตบที่เจ้าบาสน้อยเบาๆ

“ไอ้บาส………………ไม่สบายแล้วยังมามีอารมณ์อีกนะเอ็ง” ว่าแล้วยังมาหัวเราะ แล้วลุกขึ้นเอาอ่างไปเก็บ ผมนี่โคตรอายเลย เอามผ้าห่มคลุมโปงเลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องมีอารมณ์กะพี่รัญด้วยวะ

“เฮ้ย เฮ้ย ไปคลุมแบบนั้น อบตายชัก เดี๋ยวตัวร้อนอีกหรอก” ไม่ว่าปล่าว ยังมาดึงผ้าไปอีก

“ก็ มันหนาววอะ จาห่มเว้ย” ผมยื้อผ้ากลับ

“ก็ไม่ให้ห่มเล่า มีอะไรอะปล่าว”

“ม่ายยยยย เอาอย่ามายุ่งได้มั้ย” คราวนี้ผมดึงเต็มแรงเลย แบบว่าลืมตัวว่าไม่สบายอยู่ “เอามานี่”

“เฮ้ย……….” พี่รัญเสียหลัก

“อั๊ก” ผมร้อง แบบว่าจุก อะไรซะอีกละ พี่เค้าดันมาทับผมเต็มๆเลย แล้วใช่ว่าตัวจะเล็กๆ

“เฮ้ย บาส เป็นไงบ้าง ไม่สบายเหร……..อ” อยู่ๆไอ้เป้กกว่าโผล่เข้ามาเฉยเจ้ยเลย มันจามาทักอะไรกันตอนนี้ว่ะ ตอนนี้ผมว่ามันอึ้งอยู่นะ จะอะไรซะละ ก็ตอนนี้ภาพที่มันเห็นก็คือ พี่รัญทับตัวผมอยู่ แล้วผมก็ไม่ได้ใส่เสื้อด้วย ถ้าเป็นคุณจะอึ้งป่ะ

“เออออออ……….ข ขอโทษนะ ท ที่เข้ามาขัดจังหว่ะอะ ครือออ โทษทีหว่ะ “มันพูดผิดพูดถูก แล้วรีบออกไปทันที เอาละซิงานนี้ เสียเต็มๆ

“พี่…..จะทับผมอีกนานป่ะ เดี๋ยวเค้าก็มาดูกันทั้งหอหรอก” ผมพูด

“อะ เออ ขอโทษที” ผมว่าพี่แกหน้าแดงยังไงชอบกล “ทำไมต้องทำหน้าแดงด้วยล่ะ” ผมถามพี่เค้า

“ครายยหน้าแดง ไม่มี้ ……… เออ ไปแล้ว นอนซะเถอะ เดี๋ยวไปบอกไอ้เป้กเอง” แก้ตัวเสร็จสรรพ แล้วเดินออกไปแบบลนๆ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมขอนอนหลับก่อนละกันนะ…….ึคร่อก

…ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองเหรอปล่าวนะ แต่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดูๆไอ้เป้กพูดกะผมน้อยลง หรือจะเรียกได้ไม่ได้พูดกันเลย ทั้งที่อยู่ในช่วงปิดเทอมแท้ๆ น่าจะมีโอกาสได้ไปเที่ยว ติวหนังสือกันบ้าง แต่มันเหมือนจะหลบหน้าผมซะยังงั้นแหละ เมื่อสบโอกาสผมจึงถามพี่รัญ ว่าไปแก้ตัวอีท่าไหนกัน

”พี่รัญ ………. ผมว่าเป้กมันดูแปลกไปไงก็ไม่รู้อะ”

”แปลกยังไงเหรอ” พี่รัญตอบพลางยกแก้วกาแฟดื่ม

”ช่วงนี้มันไม่พูดกะผมเลย แถมยังทำตัวเหมือนหลบหน้าอีกอะ” ผมบอก นี่ผมชักจะกลุ้มใจนะเนี่ยที่เห็นเพื่อนทำกะผมอย่างนี้

”เออ ไอ้เรื่องคืนนั้นอะ พี่บอกเป้กไปว่าไงเหรอ”

”ก็….. ” อึ้งไปเล็กน้อย ”ก็บอกไปตามจริงอะแหละ ไม่เห็นมีไรเลย พี่ว่า เราคิดมากไปแล้วแหละ” พี่เค้าพูดแค่นั้นแล้วก็ขึ้นห้องไป

..แต่ผมไม่คิดหรอกนะว่าผมคิดไปเอง สถานะภาพของผมกับเป้กในช่วงนั้นดูท่าทางขมุกขมัวชอบกล โดยที่ผมไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงซะที จนกระทั้งเปิดเทอม 2 ไปได้ 2 อาทิตย์ จึงได้มีโอกาสไปดักรอมันที่ห้องห้องประชุมโรงเรียน เพราะทราบว่าวันนี้ พวกม.5 มีประชุมจึงเลิกเย็น…….แล้วผมก็เห็นมัน

”เป้ก….. ” ผมทักมันด้วยหน้าตาชื่นบาน(ที่สุดเท่าที่จะทำได้)

”เอ่อ…..นายมาทำไมเนี่ย” ดูท่าทางมันไม่ค่อยอยากจะคุยกะผมเลย

”มาคุยกะนายแหละ ”

”ไปคุยกันที่หอก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องมารอเลย” มันพูดอ้อมแอมทำท่าทางไม่พอใจ

”หึ ถ้าฉันรอนายไปคุยที่หอละก็ นายก็คงหลบหน้าหลบตาเข้าห้องไปอีกอะเด๊ะ” ผมพูดตรงๆเลยแหละ

”ทะ ทำไมฉันต้องหลบหน้านายด้วยว่ะ เอาที่ไหนมาพูด” ไอ้เป้กพูด ตอนนี้มันไม่หลบหน้าผม แต่มันหลบตาผมอะครับ

”แต่ตอนนี้นายหลบตาฉันอยู่นะ” ผมยังต้อนไม่เลิก ”คราวนี้นายจะบอกได้ยังว่าทำไมต้องมาหลบ โอ้ย!? ”
อ้าว มันมากระชากคอเสื้อผม

”นี่มันจามากไปแล้วนะ นายเป็นพี่ชั้นตั้งแต่เมื่อไรอะ ชั้นไม่จำเป็นต้องหลบหน้านายอะไรทั้งนั้นแหละ อย่ามาหลงตัวเองให้มากไปหน่อยเลย” ไอ้เป้กตะคอกใส่หน้าผม ตกใจนะเนี่ยทำไมมันต้องมารุนแรงกะผมด้วยว่ะ

”เฮ้ย มันเจ็บนะ ทำไมต้องทำงี้ด้วยว่ะ เฮ้ย ปล่อย ปล่อย” แล้วผมก็เผลอปล่อยหมัดใส่หน้ามันไปหนึ่งหมัด

พลั๊ก!?

”อุ๊บ!? ” สำเร็จคราวนี้มันปล่อยเสื้อผม ลงไปนอนกองกะพื้นแทน ผมอยากตามไปตื้บซ้ำจริงๆเลย ไอ้คนชอบเล่นแรงเนี่ย ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ไอ้เป้กมันถีบขาผมเต็มแรง จนหน้าผมเกือบไปจูบพื้น ดีที่เอาแขนยันไว้ คราวนี้มันลุกขึ้นมาต่อยผมบ้าง หมัดมันโคตรหนักเลย เราปล้ำกันอยู่ซักพัก แล้วผมก็ประจักษ์ได้ว่า ยังไงซะรุ่นน้องอย่างผมก็สู้กำลังรุ่นพี่อย่างไอ้เป้กไม่ไหว จนมันเห็นว่าผมไม่มีแรงจะสู้และตอบโต้แล้วจึงพูดออกมา

”เป็นไงละ ทีหลังอย่ามาทำซ่าส์กะรุ่นพี่อีกนะ รู้ไว้” แล้วมันก็ค่อยๆพยุงตัวผมขึ้นมา

“เจ็บมากป่ะ” ไอ้เป้กถามผม ดูดิ มีหน้ามาถามอีก ผมชกมันไปแค่หมัดเดียว มันสวนกลับมาเกือบครึ่งสิบ ผมไม่ตอบมันหรอก เพราะยังไงก็เจ็บ มากด้วย ทำให้น้ำตาซึมได้เหมือนกัน (ไม่เคยโดนมาก่อนนี่หว่า) มันก้มหน้ามามองผม

“เฮ้ย ร้องไห้เลยเหรอว่ะ ขี้แยจังโดนแค่เนี้ยทำเป็นร้อง แต่นายมาโทษเราไม่ได้หรอกนะ นายมาต่อยเราก่อนนี่นา” เออ มันยอมพูดกะผมแล้วหว่ะ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยความเจ็บตัวของผมก็เหอะ…







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #4  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 24-10-2008 22:05:58
 :jul3: โดนไม่กี่หมัดเอง ร้้องไห้ไม
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-10-2008 22:27:28
ค้างงะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 25-10-2008 01:26:48

ค้างด้วย พี่รัญไปพูดไรหว่า เป้กถึงโกรธบาสซะขนาดนั้น ค้างคาสุดๆ โมโห  :m16:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 25-10-2008 06:52:22
สงสัยเป๊กจะชอบพี่รัญอยู่ แต่พี่รัญไปบอกว่าชอบบาสแน่ ๆ เหอะๆ

เดาไปงั้นอะ กรั๊ก ๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 25-10-2008 07:14:53
พี่รัญไปบอกอะไรเป้กเนี่ยยยยยยย


อยากรู้ๆๆ รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 25-10-2008 09:55:22
เป้กชอบรัญ หรือ ชอบบาสกันแน่  :t2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 25-10-2008 22:24:33
เราไปอยู่ไหนมา  ทำไมไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อนเลย   :m32:

แต่ในที่สุดตะลุยอ่านตั้งแต่เมื่อคืนถึงตอนนี้  ตามทันแล้ว

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 25-10-2008 22:34:46
:m28: เป๊กนี่ไงหว่า ???? อารมณ์ไหนของเค้าเนี๊ย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 25-10-2008 23:37:53
อิอิ สนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 26-10-2008 00:19:42
แอบได้กลิ่นรักสามเศร้า 

ใช่มะเนี่ย  :m13:

อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 27-10-2008 18:22:05
มี ผี ด้วยหรอเนี่ย อึ๋ย เฮี้ยนจริง ..... ว่าแต่ ทำไมมาตามหลอกหลอนจัง

หนุกคับ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 3 [จุดเริ่มต้นของบ้านพักอลเวง]เริ่มหน้า 31
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 28-10-2008 20:12:26
ชอบทั้งสองเวอร์ชั่นเลยอะ

ทั้ง ปริ๊นซ์ โค้ก โอ๊ต

และคู่นี้  เชียร์ๆพี่รัญ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 30-10-2008 03:36:25
วันที่ 1 ธันวาคม -

“อาทิตย์หน้าพี่ต้องไปต่างประเทศแล้วนะ………บาส..??” พี่รัญเอ่ยขึ้นมาในระหว่างที่เราเดินซื้อของกันที่ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นกิจกรรมอย่างนึงที่ผมชอบมากถึงแม้ว่าจะไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมาก็เถอะ

“ป…ไปต่างประเทศเหรอพี่ พูดจริงป่าวเนี่ย“ ผมคิดว่าพี่เค้าคงอำผมไปงั้นแหละ อย่างที่รู้กันในหอว่าพี่แกชอบขี้จุ๊ตา ละ ล่า… ขี้จุ๊เบ่ เบ๋… อะไรเทือก

เนี้ย

“แล้วไปกี่วันละพี่ เหรอว่าไปแล้วไปรับไม่กลับมาแล้วอะ“ ผมยังคิดว่าพี่เค้าล้อเล่นอยู่ ไม่ได้คิดมาก เพราะผมก็เห็นเค้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แค่ยิ้มเฉยๆ หลังจากที่เราเดินกันมาเกือบ 3 ชั่วโมง ก็มืดแล้วแทบไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับเลย ระหว่างที่เรานั่งรอรถเมล์เกือบ 30 นาที ก็มาจนได้ แล้วอยากจะบอกว่ารถเมล์สายนี้เป็นอะไรที่คนแน่นโคตรๆแต่เผอิญวันนี้โชคดีมีที่นั่งเหลือ

“นั่นไง มีที่นั่งอยู่ที่นึงอะ ไปนั่งดิ“ พี่รัญชี้ให้ผมไปนั่ง ด้วยความที่ผมเด็กกว่าเค้านะเอง

“เสาร์หน้าไปดูหนังกันป่ะ “

ผมเงยหน้าไปมองพี่เค้า แปลกมากๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยชวนไปดูเลย พึ่งจามีวันนี้ สงสัยฝนจะตกหน้าหนาวซะละมั้ง อืม…อะนะ “ดูแฮรี่ฯนะพี่นะ ตั้งแต่มันเข้าโรงผมยังไม่มีเวลาไปดูเลยอะ“

“แฮรี่ พอตเตอร์ อะนะ ว้า ยังไม่โตซะทีนะเรา “

“โห เค้าดูกันทั่วบ้านทั่วเมือง พี่รัญเชยอะดิ เออ … ชวนพวกที่หอไปดูด้วยดิพี่ ดูหลายๆคนหนุกนา
เด๋วมันหาว่าไม่ชวนอีก “

“พวกมันดูกันแล้วละ ป่านเนี้ย ไม่ต้องไปชวนมันหรอก“ พี่เค้าก็ว่าไปโน่น

“อ้าว แล้วมันไปดูกันเมื่อไรว่ะ ไม่ชวนกันมั่งเลย“ ผมบ่น “ไอ้เป้กด้วยเหรอ“ ผมถาม พี่รัญพยักหน้า “งั้นมั้ง“ อ้าวไอ้นี่อีกตัว ไม่ยอมชวนผม จะว่าไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ไอ้เป้กมันจะกลับมาพูดกะผมเหมือนเดิมแล้วก็จริง แต่ดูมันเหมือนไม่ใช่มันคนเดิม เอ … !? ยังไงละ เอาเป็นว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มันอยากบอกกะผม แต่มันไม่บอกละกัน นั่นเป็นความรู้สึกของผมฝ่ายเดียวนะ

แล้วพี่รัญก็เอามือข้างนึงมาจับหัวผม “บาส…ที่พี่พูดเมื่อเย็นน่ะ ……ไม่…..ได้…..ล้อเล่นนะ !!! “

“ว่าอารายนะ ………… พูดดังๆหน่อยดิพี่ ไม่ค่อยได้ยินเลย“ เผอิญเป็นช่วงที่ผมลุกขึ้นเตรียมจาลงรถพอดีอะคับ แล้วพี่เค้าพูดเบามาก

“คือ พี่บอกว่า….มะ..“

“เฮ้ย ถึงป้ายแล้ว พี่เร็วเข้า เด๋วลงไม่ทันอะ เลยไปป้ายหน้าเดินกันเท้าบวมแน่“ ผมว่าพลางดึงแขนพี่เค้าให้เดินเร็วกว่านี้ หลังจากที่ลงรถเรียบร้อยแล้ว เดินกลับเข้าหอ ผมก็นึกได้ว่าพี่เค้าจะพูดอะไรกะผมจึงถามพี่เค้าว่าเมื่อกี้พูดว่าไร

“ครือ……“

“คือ…..พี่จะบอกว่า ม่ะ……“ แล้วจาพูดติดๆขัดๆทำไมฟ่ะ ผมก็ทำหน้าแบบว่าอยากรู้มากๆ

“ไม่ดูเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ แบบว่าเรื่องอื่นน่าดูกว่านะ พี่ว่าอะ “

“โธ่ นึกว่าจะพูดเรื่องไร เอางี้ เรื่องอื่นค่อยไปดูวันอื่นก็ได้ นะนะนะ“ ผมอ้อนพี่แก พี่รัญก็พยักหน้า ผมมองหน้าพี่เค้าทำหน้าแบบว่า…….. “พี่รัญมีเรื่องอื่นจะบอกผมเหรอปล่าวคับ“

“ป่าว ไม่มีอะ เออ เข้าหอเถอะ เมื่อยขาหว่ะ สงสัยเส้นเลือดขอดแหง่มเลย“ ว่าพลางก็เดินพลวดๆเข้าไป…

- วันที่ 6 ธันวาคม -

“เฮ้ย บาส แน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปค่ายด้วยกันอะ“ เป้กบอกผมระหว่างกินข้าวกลางวันที่ รร วันนี้เป้กมันจาไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์กัน ซึ่งทริปนี้รับเฉพาะเด็กม ปลายไปกัน แต่ผมขี้เกียจไปเลยขอบาย

“ไม่อะ ถึงจะอยากไปตอนนี้มันก็สายไปแล้ว เด๋วบ่าย 3 รถก็มารับแล้วม่ายช่ายเหรอ“ ผมก็ทำพูดเหมือนจาเสียดายที่ไม่ได้ไปกะมัน

“เออ เออ แล้วเดี๋ยวเราเที่ยวเผื่อละกันนาเว้ย “

หลังจากกลับมาจาก รร ผมก็สังเกตุว่าทำไมหอมันเงียบๆ เอ หายหัวกันไปไหนหมดว่ะ บรรยากาศเป็นใจให้ไอ้ผีบ้ามันโผล่ออกมาอีกแล้วไง พูดถึงผมก็เกือบลืมมันไปแล้วนะเนี่ย
อยู่ๆก็มีมือโผล่มาจับไหล่ผม (อีกแล้ว)

เฮือก !???? “พี่รัญอย่าทำให้ตกใจดิ นึกว่าผีซะอีก คนยิ่งกลัวกลัวอยู่“

พี่เค้าหัวเราะ “ผีบ้าที่ไหนมันจาโผล่มาตอนกลางวันแสกๆฟะ “

“ก็เพราะมันเป็นผีบ้าไง มันโผล่ออกมาได้ทุกที่แหละ แล้วนี่มันก็จาเย็นแล้วด้วย“ ผมเถึยงกลับ “เออ แล้วเค้าหายหัวกันไปไหนหมดอะ“

“น้ำพ่อเรียกให้ไปที่บ้าน สงสัยมีงานให้ทำมั้ง ส่วนโอมันไปเที่ยวเกาะเสม็ดกะเพื่อนอะ วันจันทร์โน่นแหละถึงจากลับ เออ แล้วนี่เป้กมันไปเข้าค่ายแล้วเหรอ“

“อะหะ ก็ไปแล้วดิ มิน่าหอเงียบชอบกล พรุ่งนี้ไปดูหนังกี่โมงอะพี่ “

“1 ทุ่ม ครึ่ง “

“เฮ้ย ทำไมไปดูซะค่ำงั้นแหละพี่ กลางวันมีไม่ไปดูละ“

“มีเรื่องต้องทำช่วงกลางวันหน่อยหว่ะ ไม่ว่าง แล้วดูได้มั้ยละ เหรอว่าดูไม่ได้ จะได้เอาบัตรไปให้คนอื่น“ แน่ะ ผมพูดแค่ 3 4 คำ ตอบกลับมาซะ 10

“เออ ปล่าว แค่ถามเฉยๆเท่านั่นแหละ ไม่ต้องมาแขวะกันหรอกน่า“

ตื้ด………ตื้ด “ฮาโหล “

“เออ บาสเหรอ “

“เออ ข้าเอง มีไรเหรอน้ำ“

“เฮ้ย สงสัยข้าต้องไปหาย่าหน่อยแล้วหว่ะ พ่อให้ไปหาอะ “

“อ้าว ย่าแกจะตายแล้วเหรอ จะไปดูใจเหรอไง“

“เวรรรรร อ้ายยยยหอก มาแช่งย่ากรู ไม่ได้จาตายเว้ย แค่ไปเยี่ยมเฉยๆ คงกลับอาทิตย์หน้าแหละ “

“แล้ว รร ไม่ต้องไปแล้วเหรอ ล่อกลับตั้งอาทิตย์หน้าอะ“

“คงงั้นแหละมั้ง แค่นี้นะจาไปแล้ว ฝากหอด้วยนะ“ เออ คนเรามันจาไม่มีเหตุผลซะอย่าง จาหยุดก็นึกหยุด เออดีหว่ะ
“สงสัยวันหยุดนี้ได้เฝ้าหอกัน 2 คนแล้วหละพี่“ ผมหันกลับไปบอกพี่เค้า

“เออ ไม่ใช่ 2 คน คนเดียวต่างหาก “

ผมหันไปมองพี่รัญอย่างสงสัย “หมายความว่าไงเหรอ พี่จะไปไหนอีกคนล่ะ“

“พี่เคยบอกเราแล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่……..ต้องไป….ต่างประเทศ “

“ผ…….ผมนึกว่าพี่พูดเล่นซะอีก“ ผมชักหน้าเสียแล้วไง ไม่ใช่ว่าต้องอยู่หอคนเดียวหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าพี่รัญต้องไปจากหอนี้ต่างหาก

“แล้วคนอื่นรู้กันหมดแล้วเหรอ“ เราออกมานั่งคุยกันที่ชั้นดาดฟ้าของหอ (นึกภาพเป็นเฉลียงดีกว่าคับ)

“อือ…. “

“แล้วทำไม……….. “ ผมจะบอกว่าแล้วทำไมไม่บอกผมละ แต่พึ่งนึกได้ว่าพี่แกบอกไปแล้ว แต่ผมไม่เชื่อเองผมมานโง่เองงงงง

“แล้วพี่ไปวันไหนคับ แล้วไปประเทศไหนเหรอ“

“อเมริกา ไฟต์ตี 1 พรุ่งนี้“ ผมคิดแล้ว เพราะพรุ่งนี้เป็นวันที่ผมต้องไปดูหนังกะพี่เค้า คงถือเป็นการเลี้ยงส่งละมั้งเนี่ย ตอนนี้ผมเศร้าโคตรๆเลย ไม่รู้เป็นเพราะอาไร ทั้งๆที่ผมต้องจากพ่อแม่มาอยู่กรุงเทพก็ตั้งนาน ไม่เห็นจารู้สึกอย่างนี้เลย ผมรู้อย่างเดียวว่าต่างประเทศมันช่างรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน ไกลในความคิดของผม ไกลจนเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก….

“พ…พี่รั…..ญ พี่คงไปนานดิคับ แ……….ล้ว พี่จะลืม ผ.ม ……………..เออ หมายถึงลืมพวกเราเหรอปล่าวคับ“ ผมพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแทน
“ไม่รู้ดิ ถ้าไปนาน นาาาาน ก็คงจาลืมไปบ้าง คน สองคน เหรอ ลืมหมดเลยก็ได้มั้ง ……“ พี่รัญตอบผม พลางมองมาที่ผม ซึ่งนั่งกอดเข่า เอาคางเกยอยู่

“ก็คงงั้นมั้ง ก็…….พี่รัญลืมง่ายจาตาย ขี้ลืมด้วย……………. แถม ถะ….แถม……………..ขี้โกหกด้วย“ ถึงตอนนี้น้ำตาผมชักเริ่มเออเล็กน้อย ไม่ได้การเด๋วพี่เค้าเห็นจาหาว่าผมขี้แยอีก เลยก้มหน้าซุกกับเข่าไว้

“แต่ว่านะ....มีอยู่คนนึงน่ะ ถึงอยากลืมก็ลืมไม่ลงหรอก “

“สงสัยเป็นแฟนเก่าพี่อะดิ ลืมไม่ลงเพราะถูกเค้าทิ้งอะดิ“ ผมพูดทั้งเอาหน้าซุกอยู่งั้นแหละ

“ป่าววว ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพี่ไม่มีแฟน ………….ไม่เคยมีด้วย แต่ไอ้คนที่ว่าเนี่ยนะ ….. “

พี่เค้าเว้นไว้ช่วงนึง ไม่พูดอะไร ผมก็เริ่มจะเข้าที่แล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นพี่เค้าหันมาทางผมอยู่

“เป็นคนที่ทำเป็นเด็กไม่ยอมโตอะ นิสัยก็ดื้อชิบเป๋งเลย เอาแต่ใจตัวเอง แล้วก็ทำตัวเหมือนลิงอะ“ ว่าแล้วก็เอามือมาโอบไหล่ผม (โอบแบบพี่โอบน้องนะ) “อืม……..แต่ก็เป็นเด็กดีนะ คิดว่าอะ…แถมดูท่าอนาคตจาไปได้ไกลซะด้วย ติดอยู่ที่กลัวผีไปหน่อย“

เท่านั้นแหละ ผมรีบซุกหน้ากลับที่เก่าเลย เพราะผมรู้สึกว่ากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ซะแล้ววว ตอนนั้นผมรู้สึกแล้วว่า การที่เรากำลังสูญเสียสิ่งที่เรารักไปมันเป็นยังไง…………ผมรักพี่รัญเหมือนพี่ของผม หรืออาจเป็นได้ว่า ผมรักเค้ามากกว่าพี่งั้นเหรอ………???

“พี่รัญ..จะไปกี่วันเหรอครับ“

“ไม่รู้ซิ คงเป็นเดือน ……… หลายเดือน ……….. เป็นปี …….. หรืออาจจะหลายปีก็ได้ “

“…หรืออาจจะไม่กลับมาอีกใช่มั้ยคับ“ ผมตอบแทนพี่เค้า

พี่รัญยิ้ม พร้อมลูบหัวผม “คงไม่มั้ง…..แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าพี่ชอบที่โน่นอะ อาจจะไปอยู่ถาวรเลยก็ได้ อีกอย่างคุณแม่พี่ก็อยู่ที่โน่น พี่อาจอยู๋เป็นเพื่อนท่านก็ได้…“

“……………“ ผมเงียบ พี่รัญเลยพูดต่อ

“บาส … นายเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย “

“…………….. “ ผมส่ายหน้า

“นายเคยคิดมั้ยว่าคนบนโลกนี้……..มีเป็นร้อย…เป็นพัน…..ล้านคน… ทำไมเราถึงมาเจอกัน …ได้รู้จักกัน ได้เป็นเหมือนพี่น้องกัน ………….. มันอาจเป็นสิ่งที่ใครบางคนกำหนดขึ้นมาก็ได้นะ….. “ พี่รัญโอบผมแน่นขึ้น

“ทำให้นาย .. กับ ..พี่ มาเจอกัน“

อะไรบางอย่างทำให้ผมขนลุก พี่รัญโน้มตัวผมให้ใกล้ชิดมากขึ้น ริมฝีปากของชายหนุ่มรุ่นพี่ค่อยๆสัมผัสกับริมฝีปากของเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างแผ่วเบา แต่อ่อนโยน ………….. ในตอนนี้รัญได้รับรู้และยอมรับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อหนุ่มรุ่นน้องแล้ว แต่เค้าไม่แน่ใจว่าบาสจะรู้สึกแบบเดียวกับตนหรือไม่ จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น..

“……………. “ พี่รัญทำอะไรอ่ะ

“……………. “ พี่รัญจูบเราเหรอ

“……………. “ ทำไมเราถึงยอมจูบด้วยว่ะ ตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว เฮ้ย พี่รัญทำเค้าแล้วอย่าเงียบดิ

“บาส …….ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ ครือ พี่หมายถะ..“ พี่เค้าจะแก้ตัว ผมขอพูดสอดก่อนละกัน

“พี่จูบผม แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเหรอ หมายความว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจจะจูบผมงั้นเหรอ“ ผมพูดเองก็งงเอง มันเป็นจูบแรกของผมซะด้วย ถ้าไม่นับกับที่ผมได้จูบผีไปนะ

“ระ เรื่องนี้ อย่าไปบอกใครนะ” สงสัยแกจะอายละมั้งคับ แต่ถึงพี่แกไม่พูดผมก็คงไม่บอกใครอยู๋แล้ว ถึงบอกใครจะมาเชื่อ

“ฮ้าววว ง่วง เกือบตี 2 แล้ว ไปนอนกันเถอะ“ พี่รัญง่วงแต่ผมตาสว่างอะดิ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินลงไปห้องนอน ก่อนนอนยังไม่วาย

“คืนพรุ่งนี้ระวังผีหลอกนะ บาส …… อยู่คนเดียวด้วยอะ“
ผมยกนิ้วกลางให้พี่เค้า แล้วเดินเข้าห้องไป พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะได้เห็นพี่รัญคอยกัดผม พรุ่งนี้แล้ว….

- วันที่ 7 ธันวาคม -
 22.00 น.-
แม้ว่ารถเหาะลอยฟ้า ต้นวิลโลจอมหวด หรือจะเป็นต้นแมนเดรกที่กรี๊ดร้องลั่นสนั่นแก้วหู ในแฮรี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ จะสนุกสนานมากเพียงใด แต่ในใจผมตอนนี้กลับหดหู่อย่างบอกไม่ถูก อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ที่พี่รัญต้องไปขึ้นเครื่อง

“เป็นไรไปดูไม่หนุกเหรอ” พี่รัญถามผมหลังจากออกจากโรง

“อืม…เอ้ย ป่าว ก็หนุกดีนิ “


“เห็นทำหน้าเป็นตูดหยั่งงั้น เป็นใครก็คิดว่าหนังไม่หนุกอะดิ เออ รีบกลับหอเถอะ เดี๋ยวขนของไปสนามบินไม่ทันอะ ตกเครื่องละยุ่งตายชัก”

ถ้าตกเครื่องได้ก็ดีสิ ผมคิด

“ครับไปดิ”

หลังจากใช้เวลาไม่มากก็ได้ฤกษ์เดินทางไปสนามบิน มีเพียงผมเท่านั้นที่มาส่งพี่รัญ ผมแปลกใจนะเนี่ย

“พี่รัญเพื่อนน้อยเหรอ ไม่เห็นมีใครมาส่งเลย “

“อืม เพื่อนเลิกคบกันหมดแล้วเนี่ย” ยังจะมาอารมณ์ดีอยู่นะ

เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ในสนามบิน หลายๆเรื่องที่ผมไม่รู้ พี่รัญก็เล่าให้ฟัง มันอาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆช่วงหนึ่งที่ผมมีความสุขที่สุด มันอาจจะเหมือนเป็นการปลอบใจก่อนที่เราจะไปเผชิญกับเรื่องร้ายที่กำลังจะตามมา…

- วันที่ 8 ธันวาคม -
- 00.30 น. –
“พี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วล่ะ” พี่รัญพูดกับผม

“โชคดีนะพี่ เดินทางปลอดภัย ถึงแล้วอย่าลืมเมล์มาหาผมบ้างนะ ไม่ใช่หายเงียบไปเฉยๆละ แล้วก็…ไม่ใช่ไปมีเมียที่โน่นแล้วลืมพวกที่อยู่ทางนี้ละพี่ เด๋วจาโดนพวกซึ้งเอานะจะหาว่าไม่เตือน !!??”

“ฮะฮะฮะ ก็คงงั้นมั้ง ถ้าแต่งแล้วจะส่งการ์ดมาหานายคนแรกเลย” ยิ้มซิ กัดผมจนหยดสุดท้ายเลยนะ แล้วก็เงียบ – “ พี่รัญ รีบไปเถอะ เด๋วไปไม่ทันหรอก” ที่จริงผมไม่อยากจะล่ำลากับพี่รัญให้นานไปกว่านี้ เพราะยิ่งอยู่นาน พี่รัญก็เหมือนจะรู้อยู่

“งั้นพี่ไปก่อนนะ แ…..ล้ว. จะติดต่อกับมา น………………….ะ “

พี่เค้าเดินเข้าไปในประตูโดยสาร แล้วก็หยุด… หันกลับมา เดินกลับมาหาผมอีกรอบ คราวนี้พี่รัญไม่พูดไม่จาอะไร เดินเข้ามากอดผมเฉยเลย แล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างมาโดนคอผม ผมพอจะรู้แล้วหละ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะผมก็กำลังจะกลั้นมันไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ระยะเวลา 9 เดือนที่ผมอยู่ที่นี่ มันทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับคนคนหนึ่งมากขนาดนี้เลยเหรอ – พี่รัญตบบ่าผมเบาๆ พี่เค้าตอนร้องไห้นี่เหมือนเด็กเลยนะ แล้วมาชอบว่าผมเป็นเด็กไม่โต โธ่เอ้ย – แล้วคราวนี้ พี่ชายของผมก็เดินเข้าไปจริงๆซะที ตอนนี้ก็เหลือผมอยู่คนเดียวแล้วซิ

ผมค่อยเดินกลับเข้าหอช้าๆ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เพราะผมต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้วนี่นา ผมกะลังจาได้เข้าหอแล้ว…

ตึง!!
ผมหันกลับไปหาต้นเสียง … ไม่มีอะไร

ซวบ!
มีอะไรบางอย่างหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ผมค่อยย่องเดินไปที่ต้นเสียง

ตึง!!
คราวนี้ต้นเสียงเกิดขึ้นในหอ ผมมองขึ้นไปบนดาดฟ้า เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน ถ้าผมตาไม่ฝาดผมเห็นใครคนหนึ่งยืนมองผมอยู่ข้างบนนั้น ใช่แล้ว !?!? ผมตาไม่ฝาดจริงๆ มีคนอยู่บนดาดฟ้าหอ แล้วมันจาเป็นใครละว่ะ

-- ขโมย –

เร็วเท่าความคิด ผมรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที ไม่ถึงนาทีผมก็ขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าแล้ว ร่างนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหลังให้กับผมอยู่ ผมค่อยๆยางสามขุมไปหาที่ร่างนั้น

“แกเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้ไง !?!?” ผมตะโกนถาม มันไม่ใช่วิธีที่ดีเลย ถ้าไอ้เนี่ยมันเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยของ แต่ทำไงได้ล่ะ จาให้ผมไปแจ้งตำรวจเหรอ เออ ผมว่ามันสายไปซะแล้วแหละ ร่างนั้นยังยืนเงียบอยู่ ไม่ไหวติง…
“ชั้นถามไม่ได้ยินเหรอ” เริ่มโมโหแล้วผม กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหา แต่…ร่างนั้นค่อยๆหันหน้ามาหาผม สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านหน้าผมไป ความเย็นเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณ เมื่อร่างนั้นหันมา..มันทำเอาผมแทบช็อค…หน้าแบบนี้ ตัวเท่านี้ สายตาแบบนี้ มันเป็นไอ้ผีบ้าตัวนั้นเอง ที่เคยหลอกหลอนผมเมื่อหลายเดือนก่อน มันกลับมาอีกแล้ว และคราวนี้ ผมไม่มีใครคอยช่วยอีกแล้ว…

“ก…แก อ….ไอ้ ผีเวรรรรรรร” ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกำลังจะก้าวถอยหลังเพื่อหนีสุดชีวิต ผมวิ่งเกือบถึงประตูลงแล้ว ฉับพลัน………….

ปัง!

โอ๊ย………

ประตูปิดเสียงดัง…..ผมชนเอาประตูเข้าเต็มที่ พร้อมกับร่างนั้นปรากฏขวางอยู่ตรงหน้า

“นาาาาาย ………………ว่าาาาาา………คราาาาาาย …………… บ้าาาาา ….เหรอออ” ร่างนั้นพูดช้าๆ เสียงเย็นเหมือนน้ำแข็ง

ผมไม่รู้จะพูดแก้ตัวอะไรแล้วตอนนี้ เรื่องนี้มันบ้าชัดๆ ตอนคนอยู่กับเต็มหอ ไม่มาหา มาเอาตอนเค้าไปกันหมด ผมถอยตัวหนีอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นยื่นมือเข้ามาหาผม แล้วมือมันดูเหมือนจะยืดยาวมากกว่าคนปกติ

“อ๊าาาาาก ช่ววววยด้วย !!!???” ผมร้องออกมาแบบไม่คิดชีวิต ก้มหัวมือไม้ปัดป้องสะเปะสะปะไม่หมด ดูไม่ได้เลยผม พร้อมกับสวดมนต์ท่องผิดท่องถูกไปมา รู้งี้ผมน่าจะเอาหนังสือบทสวดมนต์ของแม่ติดบ้านมาด้วยนะเนี่ย แต่แล้ว …….. ทุกอย่างก็เงียบสงัด ดูเหมือนความเย็นน่าขนหัวตั้งเริ่มจะคลายตัวไป

“เย้ บทสวดได้ผล” ผมนึกดีใจ พร้อมทั้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา

“….อึ๊ก… “ ผมสะอึกเล็กน้อย ร่างนั้นยังยืนมองผมอยู่เหมือนเดิม แต่ใบหน้าดูขบขันในท่าทีของผม

“ฮะ ฮะ ฮะ สวดแบบนั้นน่ะ ผีตัวไหนมันจะกลัว” มันพูดเสียงเยอะเย้ย แบบราบเรียบ ฮึ้ย พูดแบบนี้สไตร์พี่รัญเลยโว้ย แต่แค่นั้นมันยังน้อยไป ผมกับแปลกใจมากกว่า ทำไมมันไม่ฆ่าผมละเนี่ย???
“นะ…นาย เป็นผีเหรอ ผีจริงๆเหรอปล่าว” ผมถามแบบกล้าๆกลัว ยังไม่ยอมสบตามัน
มันไม่ตอบ แต่กลับยิ้ม แล้วก็………ชี้ให้ผมดูที่ขา ….

“เฮ้ย !!! มันไม่มีขา” ไม่ใช่แบบขาขาดนะคับ แต่ส่วนขามันหายไปแบบโปร่งใสเลย ใช่แน่ ใช่ผีจริงๆด้วย นี่ผมกะลังคุยอยู่กับผีเหรอเนี่ย ไม่มีเหตุผลเลย ตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามกฎฟิสิก เคมี ชีวะ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปแล้ว…..

“นายตะ…ตะ…ต้องการอะไร”

“ทำไมถึงคิดว่าชั้นต้องการอะไรจากนาย” แน่ะ มันย้อน

“กะ….ก็แล้วทำไมนายต้องมาหา อ๊ะ มาหลอกชั้นตั้งแต่วันแรกที่มาเลยไมใช่เหรอ” เมื่อมันพูดดีด้วย ตอนนี้ผมชักเริ่มมีมะโหแล้วนะ

“ชั้นแค่อยากจะต้อนรับนาย .. ก็เท่านั้น” ตอบหน้าตาเฉยแบบผีๆ

“แล้ววันอื่นอะ นายมาหลอกชั้นอีกทำไม”

“หึหึหึ” … มันยิ้มอย่างมีเลศนัย “แกล้งนายแล้วสนุกดี ชั้นชอบ ยิ่งตอนนายกลัวจนหัวหดเหมือนวันนี้นะ อืม บอกไม่ถูก แต่รู้อย่างเดียวว่ามันส์มากมาก…”

“แกมันผีนอกคอกจริงๆ ทำไมยมบาลไม่ลากตัวแกไปตั้งแต่ตายวันแรก แล้วลากลงนรกไปเลยว่ะ” ผมเริ่มจาเครียดที่ได้คุยกะมัน

“ไม่มีปัญหา แค่ยัดเงินใต้โต๊ะผู้คุมนิดหน่อย ก็ได้ปล่อยตัวมาทุกๆ 49 วันแล้ว “ **

“ว่าอะไรนะ” ผมงง “แกบอกว่ายัดเงินใต้โต๊ะผู้คุมงั้นเหรอ “

“งั้นมั้ง” ทำหน้ากวนตีนอีก

“อีกอย่างชั้นเห็นนายอยู่คนเดียว ก็เลยแวะมาหลอกเล่นๆเอามันส์ไง นายจะได้ไม่เบื่อ “

“นี่แกเห็นชั้นเป็นของเล่นของแกเหรอไงว่ะ” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นมาทำท่าจะชกมัน แต่วืด แน่ละมันเป็นผีนี่หว่า

“เราคงได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้นนะ วันนี้ชั้นหมดโควตาแล้ว ไว้เจอกัน…หึหึหึ “ ไม่พูดปล่าว คราวนี้ตัวมันเปลี่ยนสีกลายเป็นเขียวคล้ำ ตาหลุดออกมานอกเบ้า น้ำหนองไหลออกมานองพื้น ……………

ฟุ๊บ !!!??

แล้วร่างทั้งร่างก็หายไป….

ผมยืนหมดแรงอยู่ตรงนั้น มันช่างเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาเลยก็ว่าได้ แล้วผมก็………….

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาก !!!!!!!!!!!???????????”

แล้วผมก็ล้มลงนอนลงกับพื้นมันตรงนั้นแหละ ………………………..

“จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ “
เสียงนกร้อง ยามรุ่งอรุณปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านอนอยู่บนดาดฟ้ามาทั้งคืน อากาศในตอนเช้าดูเยือกเย็น ลมหนาวพัดมาถูกใบหน้า ผมมองไปรอบๆตัวอย่างงุนงง พลางเกาหัว ไม่ว่าเมื่อคืนจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ … ผมจามาอ้อยอิ่งอยู่ไม่ได้แล้ว นี่ก็เกือบจะ 8.00 โมงแล้ว

“เฮ้ย……. วันนี้เรียนนี่หว่าาาา ทำไมซวยงี้ว่ะ “

“ไง บาส เฝ้าหอหนุกม่ะ ไปออกค่ายโคตรหนุกเลยหว่ะ แม่ง ไม่ยอมมาด้วยกัน” เป้กพูดขณะที่พวกเรากะลังกลับจากโรงเรียน – มันกลับมาถึงโรงเรียนในช่วงบ่ายๆ แต่ดูท่าทางมันก็ไม่ได้สนุกอะไรตามที่ปากมันพูดอะ

“รู้ตัวป่ะพูดไรอะ สภาพนายนี่โทรมโคตรๆเลยนะ ไม่รู้ตัวอีกอะ” เค้าใช้งานหนักดิ ผมกัดมันเล็กน้อยตามประสา

“555 รู้ด้วยเหรอ … เออ … แล้วพี่รัญไปแล้วเหรอ มันอ้อมแอ้มถามผม” ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้

“ไปแล้ว…” ผมหันไปตอบ

“….แล้วไม่เหงาเหรอ อยู่คนเดียว” มันหันมาสบตาผม

“ไม่เหงา … “ ผมตอบ ก็มีนายอยู่เป็นเพื่อนทั้งคนจาเหงาได้ไง จิงป่ะ ว่าแล้วก็ตบหลังมันอย่างแรง
“โอ้ย เวรนี่ ตบมาได้ มือหนักอย่างกะควาย” เป้กว่าพลางหัวเราะ แต่มันไม่รู้หรอก เมื่อคืน ผมไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นะ แต่อย่าบอกมันเลย เด๋วจาหาว่าผมบ้าอะดิ ???

หลังจากวันนั้น ผมก็ได้เมล์จากพี่รัญหลายฉบับ ก็ถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบตามธรรมดา ผมก็ถามไปว่าเมื่อไรจากลับ จะอยูไปจนตายเลยเหรอไง แต่ผมก็ได้รับคำตอบที่ไม่แน่ไม่นอนอยู่ตลอด

“ ี่พี่ไปเรียนนะ จะกลับอะไรบ่อยละ กว่าจะหาที่เรียนที่นี่ได้แทบแย่ ไหนจะต้องเรียนภาษา ไหนจะเรื่องอื่นอีกจิปาถะ ไม่ได้มาช๊อปปิ้งนี่หว่า จะได้มาแค่ อาทิตย์ 2 อาทิตย์ …………………………………..ฯลฯ

Ps. ห่วงแต่ตัวเองเถอะ เดี๋ยวอีก 2-3ปี เองนะก็จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จะเข้าได้เหรอเปล่า เดี๋ยวได้ไปเลี้ยงควายหรอก… “

ท้ายเมล์ยังกล้ากัดผมอีกนะ …แต่ก็ช่างมันเหอะ ตอนนี้แค่ผมได้อ่านเมล์ของพี่เค้า มันก็ทำให้มีความสุขแล้ว ….. สรุปว่าผมรักพี่รัญไปแล้วเหรอนี่ ทำไมผมน่าจะรู้ใจตัวเองก่อนนี้นะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะได้เดินเที่ยวกะพี่รัญ ดูหนังฟังเพลงกัน … แต่ตอนนี้ผมมีปัญญาได้แค่คุยกับพี่เค้าผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิคเท่านั้น..ชีวิตช่างเศร้านัก… แต่ผมก็หวังว่าเมื่อพี่รัญกลับมา คงจะยังมีความรู้สึกดีๆ กับผม เหมือนก่อนที่จะไปที่โน่นนะ ผมหวังไว้อย่างนั้น พี่รัญคงไปไม่ถึงปีหรอกน่า อย่างมากกว่าแค่ปี สองปี แล้วก็จะกลับมา

เป็นพี่ชายที่แสนดีของผมเหมือนเดิม …. ล่ะมั้ง!?



หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 30-10-2008 03:36:51
---------------------------------------------------3 ปี ผ่านไป ???? ---------------------------------------------------------

- เดือนพฤษภาคม – (อันแสนอบอ้าว)
“ไอ้บาส ไปเร็ว กรูอยากรู้ เร็วๆเลยมึง ลุ๊กก ลุกขึ้นมาเลย เร็วววววว” ไอ้เป้กว่าผม

ครับ..วันนี้เป็นวันประกาศผมสอบเอ็นซะทรานน ของชาวเด็กม.6 อย่างเราๆ ถ้าใครมั่นใจว่าคะแนนตัวเองดี แล้วเลือกดี ก็คงจะรีบสะแหล่นไปดูแต่เช้า แต่ผมมันไม่ช่ายย ผมไม่อยากจะรู้เลยอะ มันช่างเสียวเหลือเกิน มันลุ้นสุดๆ ถ้าผมไม่ติด ผมจาบอกพ่อแม่ว่าไง ถ้าผมไม่ติดที่ไหนซักแห่ง ผมคงอายพี่ๆที่หอนี่หลายคนทีเดียว โดยเฉพาะไอ้เป้ก ไม่น่าเชื่อนะ เมื่อปีที่แล้วมันเอ็นติดที่คณะสถาปัตย์ มหาลัยมีชื่อแห่งนึง (มันก็มีชื่อทุกมหาวิทยาลัยแหละ) หมายถึงมีชื่อเสียงในด้านนี้น่ะคับ ส่วนน้ำที่อยู่ชั้นเดียวเหมือนผม มันสบายไปแล้ว เพราะมันได้โควตาเข้าคณะวิศวะฯ เมื่อช่วงพฤศจิกาโน่นแล้ว แถมได้อยู่มหาลัยเดียวกันอีกนะ ซึ่งส่งผลให้ไอ้น้ำต้องย้ายไปอยู๋หอ ในมหาลัย เพราะมันอยู่ไกล ส่วนไอ้เป้กมันไปๆกลับๆได้ เพราะพ่อมันซื้อรถมาให้แล้ว แถม ตอนนี้เตรียมขึ้นปี 2 มันก็ย้ายเข้ามาเรียนที่วิทยาเขตในกรุงเทพแล้วด้วย … เอ มหาลัยอะไรหว่า ???

“เป้ก กรูไม่อยากรู้…….วันนี้หว่ะ กรูไม่ไปดีกว่า นายจะไปดูก็ดูเผื่อด้วยละกัน” ผมว่า

“เฮ้ย มันคะแนนเอ็งนะเว้ย มั่นใจหน่อยดิว่ะ”

“ก็มันไม่มั่นใจนี่หว่า ไม่ไปดีกว่า หว่ะ”

“มึงจาให้กรูอุ้มไป หรือว่าจะลงไปดีๆฟะ” เจอไม้นี้เข้า ผมเลยไม่ขัดเลย มันเอาจริงนะแน่ เออ เด๋วๆ เปลี่ยนเสื้อก่อน เออ ไปก็ไป…

ในที่สุดผมก็มาถึงที่ประกาศผลเอ็นทราน ในมหาวิทยาลัยเกษตรฯจนได้ (เพราะที่นี่ใกล้สุด และม.เกษตรก็เป็นมหาลัยที่ผมเลือกไว้เป็นอันดับแรกด้วย ) เป็นใครก็คงรู้ว่ารู้สึกอย่างไร ที่สำคัญนอกจากไอ้เป้ก ยังมี พี่โอ พี่เน ไอ้น้ำอีกตะหาก มากาานทามมไมเยอะแยะ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไส้มันบิดไปบิดมา ปวดมวนในท้องเหลือเกิน ระหว่างรอลุ้น ผมชักน่ามืด …

ไอ้เป้กเดินหน้าเมื่อย มาถามผม

“เป็นไง เจอม่ะ “

“ไม่เจออะ ไม่เห็นมีเลยหว่ะ แล้วแกอะเป้ก เจอป่ะ” ผมทำใจไว้อยู่แล้ว … ถึงไม่ติดที่นี่มันก็ยังมีที่เรียนอื่นอีกถมไป ที่จริงผมไม่น่าที่จะมากังวลอะไรมากมายเลย แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเรามันก็ต้องมีความหวังอะไรบ้างใช่ม่ะครับ หวังเล็กหวังน้อย หวังเผื่อฟลุค แล้วนี่ผมจะบอกพ่อแม่ว่ายังไง ด …

“เจอ….!!!” เป้กบอกผมพลางตบไหล่เบาๆ

“เออ ช่างมันเหอะ กรูก็ว่าแล้วแหละว่าไม่ติดหรอกหว่ะ เฮ้อ กรูต้องหาที่เรียนใหม่อีกแล้วเหร…. เอ๊ะ !!??” ผมเหมือนนึกอะไรออก “มะ…เมื่อกี้นายว่าไงนะ เจอเหรอไม่เจอ…” ผมพูดตะกุกตะกัก

ไอ้เป้กยิ้ม ยกแขน 2 ข้างมาจับหน้าผม

“เจอ เว้ย กรูบอกว่าเจอแล้ว !!! 555 ไอ้บ้าาา วู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เท่านั้นแหละ น้ำตาผมมันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย มันเหมือนมีอะไรมาทำให้ท้องฟ้าวันนี้ดูสดใสมากๆ กระจ่างชัด สดสวยจริงๆ ………….. เอาเป็นว่าผมดีใจละกันนะ ไม่อยากบรรยายมากเด๋วจาหาว่าเวอร์

แน่นอน หลังจากนั้นผมก็ต้องไปที่ซุ้มของพวกรุ่นพี่ที่คณะ อารามดีใจผมก็ไปซิคับ ไม่ได้นึกอะไรหรอก เค้าให้ทำอะไรผมทำหมดแหละ มันดีใจ …

“เฮ้ยๆ ไอ้น้องคนนั้นอะ มานี่ดิ๊” รุ่นพี่คนนึงเรียกผม “เออ เอ็งอะแหละ มาเต้นกลางวงมา เต้นเก่งดี “ อ๊า ผมนี่นะเต้นเก่ง คงเพราะอารามดีใจละมั้ง เอ๊ะ นี่ผมดีใจกี่รอบแล้วหว่า

“น้องผู้หญิงคนนั้นอะ มาด้วย มานี่ เออ เต้นคู่กัน เด๋วเพื่อนเหงานะ …” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ

ผมมองหญิงสาวคนนั้น เธอมองตอบ เรายิ้มให้กัน ในฐานะ เพื่อนร่วมคณะ ฐานะเพื่อนใหม่ หรือในฐานะที่เราต้องอยู่ร่วมกันอีกอย่างน้อย 4 ปี ความรู้สึกบางอย่างเมื่อผมเห็นเธอคนนี้ บางที เธอคนนี้อาจจะทำให้ความรักแรกที่ผมมีให้กับพี่ชายของผม … ที่มันดูผิดที่ผิดทางจากผู้ชายทั่วไป … คนคนนี้อาจทำให้ผมกลับสู่สภาพปกติเหมือนที่ผู้ชายคนอื่นเป็นก็ได้ … หรือเปล่าหว่า!?










- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #5  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 30-10-2008 04:11:10
แล้วจะรอนะคราบ

ทาง พอพี่รัญกลับมาจะมีปัญห รักๆเกิดอีกอะนะ

รีบมาต่อนะคราบ
 :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: yee ที่ 30-10-2008 12:45:10
คับจะรอ.......คงมาเร็วๆๆนี้นะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 30-10-2008 20:08:57
นั่งรอ

นอนรอ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 30-10-2008 21:43:04
ง่า ตัวเอก(?) ไปแล้วหรอ อ่าว ยังไม่ได้อะไร ยังไงเท่าไรเรย???

คอยตอนหน้าคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dangerous_patz ที่ 30-10-2008 21:55:56
ก็ ยัง รอ ต่อไป.....







 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-10-2008 22:10:52

ลงยาวได้ใจ

ขอให้มีแฟน....ยาวๆ  นะคะ


(http://i132.photobucket.com/albums/q8/oaw_eang/a14.jpg)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 30-10-2008 23:09:17
เฮ้ย!!

แปปเดียวผ่านไป3ปี

พี่รัญหายไปนานขนาด...

เมื่อไรจากลับมาล่า.....เดี๋ยวบาสโดนแย้งนะ  :m13:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 31-10-2008 00:35:56
ทำไมดูเร่งรีบจาง :m29:

รอพี่รัญกลับมาครับ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 31-10-2008 16:09:24
บาสโตแว๊ววว....ดีจาย ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 31-10-2008 16:44:24

กำ พี่รัญไปสามปีเลยหรอ  :o

น้องบาสมันคงไม่ลืมง่ายขนาดนั้นหรอก ยิ่งรักแรกด้วย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 31-10-2008 17:15:49
พี่รัญไปแล้ว  ไปไกลจังเลย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 31-10-2008 17:44:45
เมื่อไหร่พี่ีรัญจากลับหวา
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 01-11-2008 08:33:48
พอรอพี่รัญมาหาบาส

เดี๋ยวบาสก็โดนคนอื่นคาบไปนะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 01-11-2008 12:49:10
นุกดีครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 03-11-2008 00:51:39
รอพี่รัญ กะน้องบาส ต่อไป  หุหุ

ว่าแต่ว่าคุณผีไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 03-11-2008 14:08:03
รออยู่น้า
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 4 [ อัพดท 30/10/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: watermoonj ที่ 03-11-2008 22:02:22
พึ่งได้มีโอกาสอ่านจนจบ อ่านแล้วประทับใจในความรักของโอ๊ต และของโค้กด้วย
ปริ้นโชคดีมากที่ได้เจอคนสองคนที่มีความรักที่ยืนยงและมั่นคงอย่างนี้
คุณผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้จับจิตจับใจมากๆ
ขอบคุณที่ช่วยเล่าเรื่องที่แสนจะกินใจเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-11-2008 20:26:10
ตึก ตีก ตีก ตึก ตีก ตีก …….….. “

เสียงวิ่งกระหืดกระหอบของชายหนุ่ม 2 คนที่กำลังลงจากหอพักอันแสนเงียบสงบ พร้อมเสียงคุยก็ดังขึ้น…

“เฮ้ย !! จะรีบไปไหนกันว่ะ ยังเช้าอยู่เลย พึ่ง 7 โมงเอง ช้านิดช้าหน่อยเค้าไม่ฆ่านายร้อก ?? “

“น้อยไปซิ นายรู้จักพวกรุ่นพี่ชั้นน้อยไปซะแล้ว อีกอย่างชั้นไม่อยากถูกใครหาว่าเป็นตัวทำให้คนอื่นต้องวิดพื้นหรอก “

“นายจะไปจริงจังอะไรกับไอ้พวกนี้ฟ่ะ นายไปเรียนนะไม่ได้ไปเป็นเบ๊ใคร ชั้นหมายความว่านายควรจะเป็นตัวของนายเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบงการชีวิตของตัวเองง่ะ “ เด็กหนุ่มที่ดูท่าทางจะเป็นรุ่นพี่ออกความเห็น

“ดี !! เป็นความคิดที่ดี … สำหรับนายนะ แต่ถ้านายไม่สะดวกล่ะก็ ชั้นไปเองก็ได้ แค่นี้เอง“ เด็กหนุ่มรุ่นน้องตอบเสียงขุ่น หนุ่มรุ่นพี่หลิ่วตา พร้อมกดปุ่มปลดสัญญาณกันขโมย พร้อมเปิดประตูรถ

“ชั้นก็แค่อยากบอกนายว่า มันไม่ใช่เรื่องเลยกะที่นายต้องมารีบตื่นไปมหาลัยแต่เช้า เพื่อไปทำอะไร
ไร้สาระอะ มันไม่เ……“

“ออกรถได้ยัง… เหรอจาให้ขับเอง“ หนุ่มรุ่นน้องสั่ง ดูท่าทางเหมือนจะมีอิทธิพลเหนือรุ่นพี่ “ชั้นยังจำภาพ
นายตอนอยู่ปี 1 ได้เลย นายเป็นมากกว่าชั้นซะอีก เค้าให้ทำอะไร นายก็ทำ กลิ้งเกลือกบนถนน ถอดเสื้อผ้า แล้วยัง..“
หนุ่มรุ่นน้องทำท่าทางเหมือนจะขำเสียให้ได้

“เออ เออ พอเถอะ“ ขณะนี้หูของหนุ่มรุ่นพี่ดูจะเป็นสีแดงเรือๆ “…. ถึงได้รู้ไงว่ามันน่าอาย และไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น … ตามใจนายแล้วกัน“ ว่าแล้วก็รีบสตาร์ตรถ ขับออกไปโดยไว …

… 1 เดือนผ่านไปท่ามกลางความสนุกสนาน ความมีสีสันของเหล่าเฟรชชี่ทั้งหลาย รวมถึกิจกรรมรับน้องที่เป็นประเพณีสืบทอดของแต่ละสถาบัน ชีวิตภายใต้รั้วมหาวิทยาลัยของผม หลายสิ่งหลายอย่างแปลกไปอย่าง
เหลือเชื่อ สังคมใหม่ๆที่เกิดขึ้น ช่างแตกต่างกับชีวิตในช่วงขาสั้นโดยสิ้นเชิง สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนๆ รุ่นพี่จอมเฮี้ยบทั้งหลายแหล่ รวมถึงอาจารย์ ที่ดูจะห่างเหินกับนักศึกษามากทีเดียว

“ไอ้บาส … บ่ายเรียนห้องไหนว่ะ“ เพื่อนที่คณะคนนึงถามผม

“มึงเรียนมาเดือนกว่าแล้ว ยังจำห้องเรียนไม่ได้อีกเหรอ“ ผมเปิดสมุดโน้ตดู พร้อมบอกไป ผมก็คงจะลืม
เหมือนเพื่อนผมเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จดรายชื่อวิชา กับ ห้องเรียนเอาไว้ในโน้ต เพราะวิชาที่ต้องเรียนมันช่างมากมาย
เหลือเกิน แถมชื่อแต่ละวิชาก็ยาวกันทั้งนั้น ไม่รวมชื่อภาษาอังกฤษอีก ทั้งอาคารเรียนก็ช่างมาก ไม่รวมพื้นที่ที่ต้อง
เดินไปเดินมาอีก โชคยังดีที่มีรถโดยสารรับส่งภายในมหาลัย หลังจากเรียนวิชาภาคบ่ายเสร็จ .. มันก็เป็นช่วงผ่อน
คลายสำหรับนักศึกษาอย่างพวกผมที่จะไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าบ้าง

“บาส เอ็งไปไหนว่ะเลิกเรียน“ เพื่อนคนนึงในกลุ่มถามผม (มายุ่งอาไรกะกรู)

“ว่าจะไปเดินเดอะมอลล์หว่ะ ไปกับแพร“ ผมมองไปที่เพื่อนสาวสวยของผม ตอนนี้เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ผมกับ
เพื่อนคนนี้คบกันในฐานะคนรู้ใจ แพรเป็นคนเชียงใหม่ เดินทางมาเรียนต่อถึงกรุงเทพ และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้จัก อะไรบางอย่างในตัวเธอทำให้ผมอยากรู้จักมากขึ้น แล้วหลังจากรู้จักกัน 3 อาทิตย์ ผมก็ขอคบกับเธอ ซึ่งเธอก็ตอบรับ
เป็นอย่างดี ผมไม่รู้ว่าเธอชอบผมมากแค่ไหน แต่เแพรเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมคบด้วยในฐานะแฟน

“โจ ไปด้วยกันมั้ย ไปหลายๆคนสนุกดี เนี่ยกะไปดูหนังด้วย“ แพรถามเพื่อนผม ซึ่งก็คือเพื่อนเธอด้วยอะแหละ

ผมมองหน้าโจอย่างเหี้ยมเกรียม ไอ้โจหันมามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย !!

“เฮ้ย ไปได้จริงเหรอ ไปดิไป เด๋วเราไปชวนไอ้ปอมกะไอ้ต้าร์ไปด้วยนะ เออ ไม่รู้หนิงมันไปด้วยอะป่าว เดี๋ยวแป้ปนะ“ มันว่าพลางวิ่งไปชวนเพื่อนกลุ่มมันมา (ซึ่งมันก็เพื่อนกลุ่มผมด้วยแหละ) อีก 10 นาทีต่อมาก็พร้อมหน้า..

“ทำไมทำหน้างั้นละบาส ?? ไปกันเยอะๆเงี้ยหนุกดีออก“ ว่าพลางก็หันไปคุยกะเพื่อนๆตัวดีของผม

“ดี๊ !! “ ผมพูดออกมาตามไรฟัน “ดีมากๆ วิเศษแบบหาที่เปรียบไม่ได้เลย !! “

นี่เป็นอีกครั้งที่ผมพลาดการเดทของผม มันอาจจะไม่ได้เรียกว่าเดทก็ได้ แต่พลาดความเป็นส่วนตัวไปอีก
ครั้ง ตั้งแต่ผมคบเธอมาเกือบเดือนได้ ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป 2 ต่อ 2 ทุกที ทำเอาผมเอือมเหมือนกันนะ !!

“เออ เออ กูโทษทีหว่ะ ไอ้บาส เห้ย เพื่อนกัน อย่าคิดมากดิ“ ไอ้ปอมบอกผม ขณะที่เรานั่งกินพิซซ่ากันอยู่

“เด๋วดูหนังอะ พวกกูให้พวกมึงนั่งกัน 2 คนก็ได้ น่า น่า“ มันปลอบผมที่นั่งหน้าบูดอยู่ ส่วนแพรก็นั่งคุยกับหนิงอยู่ข้างๆโดยไม่สนใจผมเลย ผมเลยเรียกร้องความสนใจซะหน่อย

“แพร จะดูหนังเรื่องอะไรเหรอ“ ผมถามหวังให้เธอสนใจผมบ้าง
“เรื่องอะไรก็ได้ จ๊ะ บาสเลือกให้แล้วกัน เราดูเรื่องไหนก็ได้“ ว่าแล้วก็หันไปคุยกันหนุงหนิงเหมือนเดิม

“ให้มันได้ยังงี้ซิ !! “ ผมพึมพำกะตัวเอง

หลังจากกินกันอิ่มหนำสำราญ (พิซซ่าฮาวายเอี้ยน+ซีฟู้ดขอบชีสถาดใหญ่ - ไก่นิวเออรีนและหอมทอด) พวกก็ขึ้นชั้นบนเตรียมดูหนัง

“เออ ดูเรื่อง……..แล้วกัน เรื่องอื่นมันพึ่งเข้า กูขอบัตรฟรีไม่ได้ เออ รออยู่นี่นะ เด๋วไปเอาบัตรมาให้“ ผมบอก พลางวิ่งไปหลังห้องขายตั๋ว ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมได้มาสมัครทำงานที่โรงภาพยนตร์แห่งนี้ และพนักงานก็มีสิทธิได้ตั๋วดูหนังฟรี ถ้าทำงานตามชม. ที่กำหนดไว้ให้ และชม ของผมก็เพียงพอที่จะเลี้ยงหนังให้คน 5 คนดูนะ (แม้จะ
เสียดายเพราะผมกะจะดูกับแพรสองคนก็เหอะ)

“อะ ผมยื่นตั๋วให้ ดูให้สนุกนะ“ ผมทำเสียงบูดกลับไป

“อ้าว แล้วบาสไม่ดูเหรอ“ แพรถามผม

“บาสว่าจะไปทำงานเลยอะ ขี้เกียจดูแล้ว“ ผมบอกพลางนึกให้แพรคัดค้านความคิดผมบ้าง

“เอางั้นเหรอ แหม งั้นเราค่อยไปดูกันวันหลังละกันนะบาส“ แพรบอกผม

- นี่จะไม่ห้ามกันซักนิดเลยใช่ม่ะ – ผมคิดในใจ

“เออ แกไปเอาน้ำมาให้หน่อยดิ หิวหว่ะ“ คราวนี้ไอ้ต้าร์บอกผม ผมมองหน้ามันอย่างหงุดหงิด “นี่พวกแกดูฟรีแล้วไม่คิดจะซื้อแดกกันมั่งเหรอว่ะเนี่ย“ ผมว่าพลางไปเบิกน้ำมาให้ 2 แก้ว

“ขอบใจจ๊ะ งั้นเราเข้าไปดูก่อนนะ“ หนิงบอกผม

“ไปนะบาส ทำงานให้สนุกนะ“ แพรบอกผม ผมยิ้มให้ แต่ในใจนี่ซิ

------ ร้อนรุ่ม --------

ผมรีบเดินไปเปลี่ยนชุดทำงาน

“บาส วันนี้ไปขายตั๋วนะ“ พี่ที่ทำงานบอกผม

“อ้าว พี่โบ วันนี้ผมต้องเดินฟลอไม่ใช่เหรอ“ ผมตอบเสียงไม่ค่อยพอใจ ดูพี่โบแปลกใจเหมือนกัน

“อ้อ วันนี้เจ้ากฤษณ์มันไม่มาอะ ฉุกเฉินๆ อะไรก็ไม่รู้ เราไปทำแทนหน่อยละกัน“ อย่างงี้มันโบ่ยกันชัดๆ

“ครับๆ คร๊าาาบพี่ “ ผมตอบ นี่ผมจะคบกะแพรรอดมั้ยนี่

“ทะเลาะกับแฟนมาละซิเนี่ย ดูอารมณ์เสียจังวันนี้ “ พี่ที่ทำงานอีกคนถามผม

“ป่าวนี่“ ผมโกหกเต็มคำ

“ฮะฮะฮะ เห็นได้ชัด …“ พี่เค้าหัวเราะ แล้วก้มหน้าทำงานต่อไป นี่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว คนเริ่มน้อยลง พวกนั้นคงกลับไปกันหมดแล้วมั้ง เฮ้ย กรรมจริงๆ ผมคิดพลางส่ายหัว ซักพักก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาซื้อตั๋ว…

“สวัสดีคับ ******** ยินดีต้อนรับครับ ชมภาพยนตร์เรื่องไหนครับ “

“……………. “

“ชมภาพยนตร์เรื่องไหนดีครับ “ผมชักพูดเสียงดังขึ้น

“…………….. “

“ชมภาพย……!! “ ผมยังพูดเป็นครั้งที่ 3 แต่ยังไม่ทันจบ มันก็หันกลับเดินออกไปซะนี่ ผมนี่รู้สึกควันออกหูเลย แต่ยังพอควบคุมอารมณ์ได้ด้วยการ พี่ ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่ ว่าแล้วผมก็รีบลุกออกมาทันที ไอ้ตี๋นั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครว่ะ ไม่ดูแล้วมากวน teen แบบนี้ ผมละเกลียดที่สุด ครั้งหลังสุดที่ผมฉุนขนาดนี้ก็ตอนทีมีคู่รักกันมาจองตั๋ว พร้อมเลือกที่นั่งกันเป็นเวลา 10 นาที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วอยู่ๆก็เปลี่ยนใจไม่ดูขึ้นมาซะงั้นแหละ ถ้าไม่ติดว่า
ผมจะโดนไล่ออก คงจะยกอะไรใกล้ตัวทุ่มไปแล้ว

กว่าจะหมดเวลาทำงานของผม ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนที่สุด นี่ผมคิดถูกเหรอผิดเนี่ยที่มาทำงานหาเงินเองแบบนี้ โชคยังดีอยู่บ้างที่มหาลัยผมออกจะอยู่ใกล้หน่อยทำให้สะดวกบ้าง นี่แหละ
บางส่วนของชีวิตที่เติบโตขึ้นของผม

“วี่………………….วี่……………..วี่“ เสียงอันแสนค้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในห้องผม ทำให้ต้องรู้สึกตัวตื่นขี้น พร้อมทำหน้าตาที่พร้อมจะชกใครก็ได้ที่เข้ามาในห้อง เสียงบานหน้าต่างปิดดังปัง พร้อมๆกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหน้า

“ออกมาน่ะ แก“ ผมคำราม ท่ามกลางความว่างเปล่าในห้อง ฉับพลันกลุ่มหมอกควันก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 16 ปี ใบหน้าซีดเซียวแต่แฝงความกวน teen อย่างร้ายกาจปรากฏชัดขึ้น พลางส่งยิ้มให้…

“แก มาทำอะไรที่นี่อีก“ ผมถามด้วยความโกรธ คนกะลังนอน

“ชั้นอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว อ๋อ ต้องบอกว่าชั้นตายที่นี่มานานแล้วตะหา…“

“ชั้นทำบุญให้ แก ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ทำไมยังไม่เลิกจองเวรกันซะทีว่ะ“ ผมหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น ทุกๆ 49 วันหลังจากมันถูกปล่อยตัวมาจากนรกขุมไหนก็แล้วแต่ มันมักจะมากวนผมเสมอ และคืนนี้ก็ครบรอบพอดี

“….ชั้นจำไม่ได้ว่าเคยขอส่วนบุญจากใคร“ มันตอบ ผมกำลังจะอ้าปากเถียงกะมัน “….แล้วอีกอย่างนายอย่าเรียกชั้นว่า แก ได้ม่ะ มันดูไม่มีสกุลรุนชาติชอบกล ชื่อของชั้น – ริดซี่ – โว้ย“ มันตอบอย่างหน้าชื่น ซึ่งเป็นครั้งที่ 10 ในรอบปี ที่บอกผม

“เหมาะเหมงเลย หน้าตาโคตรไทย….. “ ผมประชด “เดาว่ามันคงย่อมาจาก ริดสีดวง ละซิ“ พูดแล้วนึก
ขำไม่ได้ พลางล้มตัวลงนอน “เอาละทีนี้พอรู้ที่มาของชื่อนายแล้วชั้นขอตัวนอนก่อนละกันนะ …. “

มันทำท่าท่างไม่ค่อยพอใจ พร้อมกับพยายามจะทำหัวปูดเกินคนธรรมดา แต่มันก็ทำให้ผมกลัวไม่ได้แล้ว
หลังจากมันหลอกผมได้สำเร็จด้วยการถอดหัวออกมาระหว่างผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เมื่อ 3 เดือนก่อน… ทำเอา
ผมช๊อกไปหลายชั่วโมงเลยอะ

“นายกำลังจะซวยนะช่วงนี้ …. “ มันพูดพลางทำหัวให้เป็นขนาดปกติ

“ไม่มีอะไรมาทำให้ฉันซวยได้ ถ้าฉันไม่ได้ทำให้มันซวยเอง “

“ตามใจ………นายนี่โง่บรมเลยหว่ะ อุตสาห์หวังดี นายไม่อยากรู้เหรอว่าจะซวยเพราะ …“

“ฉันจะขอบใจนายมากถ้านายไม่มายุ่งอะไรกับฉันอีก !! แค่นี้นะ“ ผมขี้เกียจเสวนากับผีโรคจิตอย่างไอ้หมอนี่
ซักพักก็มีเสียง ฟุ้บ ขึ้น ผมหันไปมองปรากฏว่ามันหายไปแล้ว คราวหน้าผมจะให้แม่ผมเอาพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆมา
ตั้งไว้ในห้องซักองค์คงดี … ดูดิ๊ มันจะถลนมาได้อีกมั้ย “…. โอ้ย ง่วงเว้ย …!!! “

วันรุ่งขึ้นหลังการปรากฏตัวของริดซี่ ผมรู้สึกง่วงเหมือนนอนไม่พอ ตั้งใจโทรศัพท์ไปบอกพี่โบขอหยุดงาน
เถอะวันนี้

“โหล … พี่โบเหรอ “

“ฮัลโหล บาสเหรอ โทรมาแต่เช้าเชียว มีธุระอะไรสำคัญเหรอเปล่า พี่กำลังไดร์ผมอยู่นะ เอ๋ อะไรนะ ไม่ได้ยิน
เลย เสียงไดร์มันดังอะ เอ้ ว่าไงนะ ฮัลโลๆ ไม่ได้ยินเลยบาส งั้นเอาไว้คุยกันที่ทำงานนะ แค่นี้นะ “

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - - -

“อ้าว“ ผมทำหน้างง “นี่กรูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะเนี่ย“ ผมว่าพลางโกรธๆ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายโดยจะ
โดดเรียนในคาบเช้า – แต่ก็นึกได้ว่ามีเทสโดยอ.ป้ามหาโหด ขณะที่ช่วงบ่ายนั้น ผมยอมกินขี้ซะดีกว่าที่จะต้องโดดเรียน เพราะมันอาจทำให้ผมไม่จบก็ได้ .. เมื่อนึกได้ดังนั้น จึงต้องหอบสังขารที่อิดโรยไปมหาลัย

“พี่โอ ไอ้เป้กออกไปแล้วเหรอ“ ผมถามหาเพื่อนรุ่นพี่ผม ซึ่งผมต้องออกไปกับมันทุกเช้า

“เออ ไปแล้วหว่ะ เห็นว่าวันนี้มันมีประกวดอะไรที่คณะไม่รู้ สงสัยจะกลับดึกด้วย..“ พี่โออธิบาย หอผมที่อยู่
ตอนนี้เหลือกันอยู่เพียง 3 คน คือ ผม เป้ก และพี่โอ ส่วนน้ำซึ่งเป็นลูกเจ้าของหอ ต้องไปเรียนไกลถึงนครปฐม ซึ่งมัน
จะดีกว่าที่จะอยู่หอแถบนั่น ส่วนพี่รัญ พี่ชาย(ซะที่ไหนกันละ)ที่แสนดีของผม ต้องเรียนต่อเมืองนอก ป่านนี้ก็ปาไป 3 ปีเห็นจะได้ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเลย นั่นแหละรักแท้แพ้ระยะทาง ทำให้ผมได้มีโอกาสมาคบกับแพรยังไงละ หึ …

“บาสเป็นอะไรเหรอ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย“ แพรถามผม เออ ค่อยยังชั่วที่มีคนรู้ใจคอยห่วง

“ไอ้บาสเมื่อคืนหักโหมละซิมึง เสร็จไปกี่ยกวะ 555 เออ ซีดีกูอะ เอามาคืนด้วยนาโว้ย ไม่ใช่อุบเงียบ“ ไอ้ปอม
แซวผม

“ก็บอกแล้วไงว่า กรูไม่ได้เอาไป โน่น ถามไอ้ต้าร์โน่น“ ผมชี้ไปที่ไอ้ต้าร์ ซึ่งกะลังนั่งลอกงานอยู่อย่างกับวิ่งผลัดx400 เมตร

“เฮ้ยๆ มึงอย่ามาโบ่ยให้กูดิ ไอ้บาส มึงก็รู้กูไม่ใช่คนอย่างนั้น“
“มึงเป็นคนแบบนั้นเลยแหละ ไอ้ต้าร์“ ผมบอก พลางหัวเราะ บรรยากาศค่อยดีขึ้นมาหน่อยนึง

หลังพักเที่ยง พวกผมก็ได้มานั่งทานอาหารกัน (ผม – แพร - โจ - ปอม - ต้าร์ - หนิง )

“เมื่อวานดูหนังสนุกมั้ย “ผมถามแพร แน่นอนต้องมีคนสอดอย่างไอ้โจ – ไอ้ต้าร์ และไอ้ปอมตอบแทน

“ สุดสนุกเลยเพื่อน – มันส์โคตรๆเลยหว่ะ – หนุกมั๊กๆ “ ผมละเอือมกะไอ้พวกนี้ซะจริงๆ

“เด๋วบาสไปซื้อน้ำให้นะแพร “ผมบอกแพร

“ เห่ย ซื้อให้กูขวดนึง “ไอ้โจบอกผม

“มีตีนก็เดินไปเองดิ อย่ามาใช้ กรูไม่ใช่เอลฟ์ประจำบ้านมึงนะ“ (ทาสรับใช้ในบ้านของพ่อมด )

ระหว่างที่ต่อคิวอยู่นั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคน รู้สึกมันคุ้นๆวะไอ้หมอนี่ เออ ช่างมันเหอะ ผม
จ่ายเงินให้แม่ค้าพร้อมหยิบแก้วโค้ก 2 แก้ว กำลังหันหลังเดินกลับ

พลั๊ก !!! “โอ๊ก …“

ซ่า ……………. แก้วโค้กหล่นใส่เสื้อผมเต็มๆ 1 แก้ว

“อ๋าา “ ไอ้ตัวต้นเหตุร้องเสียงสูง ผมยืนมองหน้าอย่างเดือดดาล

“นี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย เดินยังไงของคุณเนี่ย ไม่ดูตาม้าตาเรือ..“ ผมอดไม่ได้แต่ยังพอควบคุมอารมณ์อยู่

เค้ายิ้มแห้งๆ เอามือเกาหัว แล้วตอบ “เออ… โชคดีนะคับ ทะ ..ที่เหลืออีกแก้ว ไม่งั้นหกหมดอดกินเลย … “
ผมงี้จุกพูดอะไรไม่ออกเลย ผมหมายถึงแค้นจุกอกอะ

“คุณพูดงี้ได้ไงอะ ชนผมยังไม่ขอโทษซักคำ เสื้อผมก็เปียกงี้ แล้ว … แล้ว… “ ผมพูดไม่ออกอะ พอเห็นหน้า
ชัดๆแล้วก็ถึงบางอ้อ

“นายมันไอ้หน้าตี๋ที่กวนตีนกรูเมื่อวานนี่หว่า !! “ ผมโพล่งออกมา
“เฮ้ย ใจเย็นๆก่อน“ เค้าบอกผม เมื่อเห็นผมกำหมัดพุ่งมาที่เค้า ด้วยความไม่ถนัดที่ผมถือแก้วโค้กอยู่ ทำให้วืดไป แถมมันล็อคแขนผมอย่างไม่ตั้งใจ .. !!

ซ่า …!!

“อึก “หมดกันน้ำผม คราวนี้มันหกราดเสื้อไอ้บ้านั่นเลอะเลย

“อ้าว หมดกัน “ไอ้หน้าตี๋ตอบ

“ทีนี้ก็เจ๊ากันแล้วซิ เลอะทั้งคู่เงี้ย“ ตอบหน้าตาเฉย ก่อนที่ผมจะด่าอะไรมัน มันก็วิ่งแน่บไปนู่นแล้ว ยังหันหน้ามาบอกอีกนะ

“แล้วเจอกัน โทษทีเรื่องน้ำ “

แค่เนี้ย ----- ผมคิดในใจ

“อ้าว ไหงเปียกอย่างงั้นล่ะ บาส“ แพรถามผม มีไอ้พวกลิงนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ “แล้วน้ำละ“

“หมาชนเข้า แก้วเลยตกอะ“ ผมตอบแบบเซ็งๆ “เออ ไปเรียนเหอะ“ ผมเดินนำไปอย่างฉุนๆ โดยที่เสื้อเปียก
อยู่งั้นแหละ …
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-11-2008 20:27:08
เหตุการณ์ที่เกิดตอนเที่ยงทำให้ผมอารมณ์เสียทั้งวัน แถมยังรู้สึกเพลียอีกตะหาก เมื่อทั้ง 2 อย่างผสมกัน
อย่างลงตัว ตอนนี้ผมก็เหมือนลูกระเบิดเคลื่อนที่ดีๆนี่เอง ซึ่งเพื่อนผมก็คงจะรู้ดี พยายามออกห่างจากผมอยู่ในระยะ
ปลอดภัย หลังเลิกเรียนต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

- - ตื้ด - -

- - ตื้ด - -

“ฮาโหล บาสเหรอ “เป้กโทรมาหาผม



“แล้วแถวนี้มีหมาตัวไหนรับสายอยู่ละ “ผมยังฉุนอยู่

“อ้อ … เหรอ โมโหครายมาอีกละซิ“ ถามเหมือนจะรู้ใจ พูดตามตรงในวัฐจักรเพื่อนๆของผม มีเป้กนี่แหละที่
รู้ใจผมที่สุด แน่ล่ะดิ กินอยู่กันมา 3 ปีแล้ว ไม่ซี้ก็ไม่รู้จะว่าไง …

“วันนี้ทำงานป่าว ไปหาอะไรกินนอกหอม่ะ หิวหว่ะ “เป้กถามผม

“เออ ก็ดี เซ็งๆอยู่เหมือนกัน แต่ชั้นต้องเข้างาน 6 โมงนะ“ ผมว่าพลางยกนาฬิกาเรือนละ 299 บาทมาดู
“มีเวลา 2 ชม มาทันม่ะล่ะ เจอกันที่ ฟูจิเดอะมอลนะ “

“เฮ้ย ฟูจิเลยเหรอว่ะ “ถามเสียงแห้ง

“อะ งั้นไม่กินก็ได้ แล้วเจอกันที่หอนะ - -“

“เฮ้ย เดี๋ยว เออ ฟูจิ ก็ได้ เออเนี่ย อยู่ท่าน้ำนนท์แล้ว เด๋วก็ถึงแล้ว แม่ง รถติดชิบเป๋งเลย “เป้กสบถเบาๆ เออ
“เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วจะโทรไป - -“

ผมรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เห็นมันเดินหน้าบานมาหาผม

“ยิ้มอยู่ได้ บ้าป่าวว่ะ“ ผมถาม

“อาราย ยิ้มไม่ได้เหรอ คนจายิ้มยังมาห้ามอีก แปลกคน !? เข้าไปหาไรกินเถอะ หิว“ พูดพลางดันหลังผมให้เข้าไป …

ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง รวมถึงเรื่องความรู้สึกน้อยใจที่มีต่อแพร หนุ่มรุ่นพี่รับฟังโดย
ไม่ได้พูดขัดอะไร ซึ่งผมรู้สึกดีมากที่ได้ระบายให้ใครฟังบ้าง

“เฮ้ย !? ใจเย็นๆ ผู้หญิงก็งี้แหละ นายก็เอาใจเค้าบ่อยๆซิ เด๋วก็มีโอกาส “เป้กบอกผม

“นายก็รู้ว่าชั้นเอาใจใครไม่เก่งอะ“ ผมบอกอย่างหมดท่า พลางคีบซูชิเข้าปาก

“ก็พยายามเข้าดิว่ะ เรื่องแค่นี้เอง คนเราถ้าริจะรักใครอะ มันต้องปรับตัวให้เข้ากะเค้าให้ได้ ไม่ใช่อะไรๆก็รอ
ให้คนอื่นปรับตัวเข้าหา เข้าใจม่ะ - - อะ กุ้ง“ ว่าพลางคีบกุ้งมาใส่จานผม

“พูดมันง่าย แต่ถ้าชั้นง้อเค้าอย่างเดียว แบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็แย่เหมือนกันแหละ ทุกวันนี้แค่เดินจูงมือยังหา
โอกาสไม่ได้เลย“ ผมพูดอย่างท้อใจ ใช้ตะเกียบคีบกุ้ง จิ้มลงไปในวาซาบิอย่างลืมตัว - -

“เออ ไม่งั้นก็เลิกกันเลยดิ“ เป้กบอกผมอย่างอ่อนใจ “ แล้วนายก็หาคนใหม่เอา - -ยังมีอีกหลายคนนาที่เค้า
เข้าใจนายอะ - - เออ แล้วก็อยากดูแลนายอะ“ ว่าพลางมองมาทางผมอย่างมีความนัยบางอย่าง แต่ผมมัวแต่ก้มหน้า
อยู่

“พึ่งคบกันไม่ถึง เดือน จาให้เลิกกันแล้ว พูดเป็นเล่น“ พลางคีบกุ้งเข้าปาก “ชั้นไมให้ใครมาว่าหรอกนะว่า
ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำก็ - - อ๊อก - - “

ผมดันเผลอจิ้มวาซาบิมากไปหน่อย เลยสำลัก

“นะ น้ำ เผ็ด“ ผมลนลานคว้าแก้วน้ำดื่มจนหมด เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หายเผ็ด เป้กเลยเสียสละแก้วน้ำให้ผมอีกแก้ว

“ก็ตามใจนายละกัน ชีวิตนายนี่ ก็ต้องเลือกทางเดินกันเอาเอง - - ชั้นมันคนอื่นนี่หว่า“ เอ๊ะ พูดเสียงเหมือน
น้อยใจอะไรหว่า

“นายพูดงี้หมายความว่าไงเหรอ“ ผมถามตามตรง

เป้กมองผม อะไรบางอย่างทำให้ผมไม่กล้าสบตา

“ไม่รู้ดิ โตป่านนี้แล้ว หัดคิดเองบ้างซิ มัวแต่พึ่งคนอื่นก็เป็นอยู่ยังงี้แหละ - - ไปเถอะ 6 โมงแล้ว งานไม่ต้องทำมันแล้วเหรอ“ พูดเหมือนจะอารมณ์เสีย

“มันคิดว่ามันเป็นใครว่ะ มาเทศนาเรา“ ผมพึมพำกะตัวเองขณะทำงานอยู่

“ว่าไรนะ“ พี่ที่ทำงานผมถาม

“ไม่รู้ซักเรื่องได้ป่ะเพ่ !! “

พี่เค้าค้อนใส่ผมหนึ่งวง แล้วเดินบุ่ยปากไป จริงอย่างที่เป้กมันพูดเวลาผมมีปัญหาทีไร ตอนที่พี่รัญอยู่มัก
คอยให้คำปรึกษาที่ดีกะผมเสมอ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ผมควรที่จะเมล์ไปหาพี่เค้าบ้างแล้วอะ หลังจากที่ไม่ได้ทำมาหลายสัปดาห์….

หลังจากกลับมาถึงหอ ผมก็ตรงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ทันที พร้อมต่อเน็ต เพื่อส่งเมล์ หลังจากกดปุ่ม
Inbox แล้ว ผมก็สังเกตว่ามีเมล์นึงปรากฏอยู่ท่ามกลางเหล่าเมล์ขยะที่ถูกส่งมา

พี่รัญเมล์มานี่หว่า ผมพูดกะตัวเอง พร้อมกดเปิดอ่าน




หวัดดี บาส –
เงียบหายไปนานเลย ทำไมไม่ยอมติดต่อมามั่งละ มีปัญหาอะไรเหรอเปล่า?? มีอะไรก็บอกกันได้
นะ ยิ่งเงียบๆอยู่ด้วย - - เอาเถอะ ถึงนายไม่เมล์มาพี่ก็เมล์มาแล้วอะนะ ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ ขยันเข้า
ล่ะ อย่ามัวแต่ตั้งหน้าทำงานอยู่อย่างเดียว ถึงไงการเรียนก็สำคัญกว่านะ - -

”ทำไมมีแต่คนชอบเทศกรูว่ะ” ผมพึมพำแล้วอ่านต่อ

- - ช่วงนี้ทางบ้านพี่มีปัญหานิดหน่อยอ่ะ ปวดหัว พ่อกับแม่ทะเลาะกันได้ทุกวันเลยหว่ะ (รู้แล้วเหยียบไว้นะ
เว้ย) ตอนนี้ก็ใกล้สอบเทอมสุดท้ายแล้วด้วย เลยไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือเลย แย่มาก เร็วๆนี้คิดว่าคงจะ
ได้กลับเมืองไทยแล้ว อย่าลืมไปรอรับล่ะ แล้วถ้าแน่นอนเมื่อไรจะบอกอีกทีนะ ฝากเตะปากไอ้โอ - - ไอ้น้ำ –
- ไอ้เป้กด้วย - - หวังว่ากลับไปแล้วยังคงยังไม่ลืมหน้ากันนะ เออ วันนี้แค่นี้นะ เดี๋ยวต้องไปเรียนแล้ว
ป.ล. อ่านแล้วอย่าพึ่งหวังว่าจะได้กลับไปจริง …
พี่รัญ ..(โว้ย)



พี่รัญจะกลับมาแล้วเหรอ หัวใจผมตอนนี้เหมือนลิงโลด หลังจากอ่านเมล์จบ แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนที่
ผมหลับฝันดี หลังจากที่ไม่ได้ฝันมานานหลายเดือน ..

”ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีจัง เมื่อคืนฝันดีเหรอ” เป้กถามผมระหว่างกินอาหารเช้า

”เมื่อคืนพี่รัญเมล์มา” ผมว่า ” บอกว่าจะกลับมาแล้ว” เป้กมองผม พลางปาดเนยลงบนขนมปัง

”เมื่อไรละ ”

”ยังไม่รู้เลยอะ แต่บอกว่าเร็วๆนี้ ”

ไอ้เป้กยิ้มอย่างไม่มีความหมาย ”เหรอ แล้วมันเมื่อไรอะ เร็วๆนี้ อย่าพึ่งไปหวังอะไรมากเลยดีกว่า
นะ อย่างพี่รัญอะ ”

”พูดแบบนี้ – หมายความว่าไง – ” ผมชักเคือง

”อิด-เอา-เอง-อิ (ึคิดเอาเองดิ) ” เป้กบอกผมระหว่างมีขนมปังเต็มปาก

ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วบอกหวัดดีพี่โอ พร้อมกับเดินออกจากหอไปอย่างเร็ว

”อ้าว !? แล้วเอ็งไม่ไปส่งมันเหรอไง เป้ก” พี่โอถามเด็กหนุ่มข้างๆ

”อง-ไอ้-อะ-อับ” (คงไม่อะคับ) ว่าพลางกลืนขนมปังชิ้นสุดท้าย ”เห็นอยู่ว่ามันเคืองผมอะ หึหึหึ” ไป
แล้วพี่ เด๋วสาย เป้กขำในลำคอ พลางหยิบหนังสือเรียนก้าวออกไป ปล่อยให้โอนั่งงงกับคำพูด ??

ไม่รู้เป็นอะไร นับวันไอ้เป้กจะพูดกวนเท้า กวนประสาท และชอบเสียดสีผมมากขึ้นทุกวัน เซ็งจริงๆ
นั่นไม่นับกับการสอบปลายภาคที่กำลังจะมาถึงภายในเวลาอีกเพียง 1 สัปดาห์ แน่นอนว่าสถานภาพ
ระหว่างแพรกับผม ก็ยังคงเส้นคงวา ไม่มากไม่น้อยไปกว่าเดิม

”แย่จัง จะสอบอยู่แล้ว ยังไม่ได้อ่านหนังสือซักวิชาเลยแหะ” แพรบอกผม ขณะเดินออกจาก
ห้องเรียน ”ข้อสอบ อ. *** ต้องยากกว่าที่แกสอนเน่เลย ยิ่งชอบกดเกรดเด็กอยู่ด้วยสิ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

”เออ เสาร์ – อาทิตย์นี้ไปติวกันที่หอบาสม่ะ” ผมอ้อมแอ่มถาม
แพรหยุดคิดนิดนึง แล้วตอบ

”ก็ดีเหมือนกัน ว่างๆ ถ้าอยู่บ้านมีหวังไม่ได้อ่านแน่เลย อืม บาสเก่ง หลักชีววิทยา นี่ ติวให้แพร
บ้างก็ดี ” เธอเยินยอผม ซึ่งนานๆครั้งหรอกที่จะได้ยิน แล้วชวนหนิง กะโจไปด้วยยัง

”ยัง..” ผมตอบเสียงราบเรียบ

”งั้นเด๋วแพรไปชวนเอง” เธอตอบเสร็จสรรพ คิดแล้วว่าต้องมาอีหรอบนี้

และแล้วก็มาถึงวันอาทิตย์กว่าที่จะเริ่มติวกันได้ ผมไม่โทษแพรหรอกนะที่ตามใจไอ้พวกลิงพวกนั้นที่เสนอความคิดว่าวันเสาร์ควรจะหาอะไรผ่อนคลายเช่นการไปดูหนังซักเรื่องก่อน ซึ่งมันทำให้เสียเวลาไปตั้ง
1 วันเต็มๆ นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว ยังไม่มีใครเสด็จมากันเลย ถ้าไม่ติดว่าหนิงโทรมาบอกว่ากำลังอยู่บน และรถ
ติดมากๆ ทั้งที่ตามความคิดผม วันอาทิตย์เป็นวันที่รถว่างสุดแล้วบนท้องถนน ผมคงเลิกคอยไปแล้ว และ
ผมก็เห็นหัวไอ้โจกำลังเดินมาคนแรก …

”โห นี่นัดกัน 8 โมงนะมึง มาอะไรกัน เกือบบ่าย” ผมทำเสียงเข้ม ”อ้าว… แล้วไอ้ปอมอ่ะ”

”เด๋วมันมา .. มันรอญาติมันอยู่” ไอ้ต้าร์บอกผม

”อย่าบอกนะว่าญาติมันจะมาด้วย” ผมว่าพลางหยิบน้ำมาเสิร์ฟ ”…เฮ้ย มึงอย่าเปิดทีวีดิไอ้โจ มาติวไม่ได้มาดูทีวีมึง” แล้วผมกะหันไปหาแพร

”แพรตามสบายนะ วันนี้ไม่มีใครอยู๋หออะ หนิงด้วย …” ผมบอกอาจดูลำเอียงไปบ้างแต่ก็โอเค..
”เออ เรื่องญาติไอ้ปอมอะ จะมาที่นี่ด้วยเหรอ” ผมถามอีกรอบ ผมไม่ค่อยชอบให้ใครที่ไม่รู้จักมาเท่าไร มันอึดอัด

”สงสัย .. จะมา เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้างั้นหรอก” ไอ้ต้าร์รีบบอกผม เมื่อเห็นผมทำหน้าเริ่มบิด ”ญาติ
มันก็เรียนที่เดียวกะพวกเราแหละ ไอ้ปอไง เรียนอยู่วิดวะอะ ปีเดียวกะพวกเราหละ มึงไม่รู้จักเหรอ”

”ปอ เปอ อะไร ไม่รู้จักเว้ย เออ … เริ่มติวกันดีกว่าแพร” ผมว่าพลางหยิบหนังสือล
ทรัพยากรห้องสมุด ขึ้นมา มันเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดตามความคิดผม หลังจากผ่านการอ่านหนังสือไปหลาย
วิชา ไอ้ปอมก็มาซะที

”เฮ้อ !! ถึงซะที แม่งไกลชิบหายหอมึง” มาถึงก็ด่าผมเลยไอ้นี่ ”… เออ เข้ามาดิ ปอ หอเพื่อนก็เหมือนหอกูแหละ ตามสบาย”
”ตามสบายนะ …” ผมบอกแขกผู้มาใหม่ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง เพราะก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือ
ศิลปการดำเนินชีวิตอยู๋ ดูท่าทางพวกเพื่อนๆผมจะรู้จัก ปอ ดีกว่าทุกคน

”นี่ไง ชั้นบอกแล้วว่าไอ้เนี่ย มันอยู่หน้านี…!! ” พอหาคำตอบเจอ ผมก็เงยหน้าขึ้นมา - - แล้วก็อึ้ง
กิมกี่ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าผม ก..ก็คือ ไอ้หน้าตี๋ที่ผมเจอวันนั้น ที่โรงอาหารในมหาลัย

”อ้าว หวัดดี – นาย – น่ะเอง” ปอทักผมเสียงใส ”อยู่ที่นี่เหรอ น่าอยู่ดีอ่ะ”

”……………………” หลังจากนั้นผมก็ไม่พูดอะไรกับใครเลย นอกจากทำหน้าหักตลอดการติว ผมรู้สึกขอบคุณแพรมากที่เป็นตัวที่ช่วยให้ผมระงับอารมณ์ ไม่ให้ระเบิดออกมาได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้
วีรกรรมที่ – มัน – ทำกะผมไว้ หลังจากนั้น 4 ชม. พวกก็เตรียมตัวกลับกัน ไม่ต้องล่ำลาอะไรกันมากเพราะ
เด๋วพรุ่งนี้ก็เจอกัน

”เรานึกว่านายจะโกรธ เรื่องวันนั้นซะอีก” ปอกระซิบบอกผมระหว่างเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ ”เออ
แล้วก็วันนั้นด้วยอ่ะ ที่โรงอาหารง่ะ”

”จำไม่ได้ว่า – เรา(กรู) – กับ – นาย(มึง) – รู้จักมักจี่กันตอนไหน ถึงมาคุยตีสนิทแบบนี้” ผมตอบเคืองๆ

”อ้าว แสดงว่ายังโกรธอยู่แฮะ เป็นผู้ชายอ่ะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยซิ” มันแซวผม ผมไม่พูดอะไร แต่
ในใจผมนี่ดิ อยากยกมันทุ่มลงไปในถังขยะแถวนั้นให้รู้แล้วรู้รอด รอสักพักก็เห็นรถมาไวๆ

”เจอกันคราวหน้าคงหายโกรธเราแล้วนะ” ปอบอกผมพร้อมกระทุ้งสีข้างผมเบาๆ ก่อนจะวิ่งขึ้นรถ
ไปกะพวกเพื่อนๆ

”เจอกันคราวหน้า กรูจะฆ่ามึง” แล้วหมกส้วม พร้อมทั้งวิ่งกลับเข้าหอ แล้วถีบต้นไม้แถวนั้นต้นสอง
ต้นเป็นการระบายอารมณ์ …

ไม่รู้เป็นอะไรการสอบปลายภาคผ่านพ้นไปได้ด้วยดีกว่าที่ผมคาดไว้ จากนั้นจะเป็นเวลาปิด
เทอมซะที หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ก็เป็นประเพณีปฏิบัติที่จะไปเลี้ยงฉลองกันพอเป็นกระสัย

”ไปเที่ยวไหนดีปิดเทอมเกือบเดือน” หนิงว่า หันมาถามพวกผู้ชาย
”ไปไหนก็ได้ - - ที่ไม่มีไอ้หมอนั่นไปด้วย” ผมพูดพลางพยักหน้าไปด้านหลัง ปอเดินมาพร้อมกับ
ปอม (ทำไมต้องชื่อคล้ายกันด้วยหว่ะ พิมพ์ลำบาก)

”อ้าว ทำไมล่ะ” แพรถามอย่างแปลกใจ พักหลังๆนี่ไอ้ปอชักจะมาอยู่ในกลุ่มผมมากเกินความ
จำเป็นแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะรู้ความระหองระแหงของผมกะแพร แล้วกะมาเสียบเหรอเปล่า … ยังไงผมก็ขอกัน
มันไว้ก่อนละกัน

”ไปเที่ยวทะเลกันม่ะ” ปอมเสนอความคิด

”ทะเลเหรอ ดีๆ แต่ตอนนี้มันหน้ามรสุมนะ” หนิงบอกผม แต่ดูเธอจะพูดเผื่อไปงั้นแหละ เพราะหน้าเธอนี่ตกลงไปเรียบร้อย

”ไม่น่าห่วงหรอก ดูนี่ดิ ร้อนยังกะอะไรดี ปีนี้ฝนตกน้อยจะตาย เนี่ย ไม่ตกมาเป็นชาติแล้วมั้ง อย่าห่วงไม่เข้าเรื่องไปหน่อยเลยเจ๊” โจแหวใส่หนิง

”พอดีเรามีป้าที่อยู่สุราษฯอะ มีบ้านพักให้เช่าอยู่ด้วย ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนเที่ยวเท่าไรอะ น่าจะไปอยู่
ได้ฟรีๆ” ปอมเสริม - อ้าว ถ้าเป็นญาติไอ้ปอม มันก็ญาติไอ้ปอด้วยซินี่ – ผมคิด

ผมยังไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่พวกผมก็ตอบตกลงกันไปเรียบร้อย

งั้นกรูเอาเพื่อนไปด้วยคนได้ป่ะ ผมถาม

”ใคร ? เป้กเหรอ” แพรถาม ผมพยักหน้า ”ช่าย มันไม่มีที่ไปเหมือนกัน ได้ม่ะ” ผมว่าพลางกด
โทรศัพท์มือถือไปถาม ถึงแม้ว่าไอ้เป้กจะไม่ไป ผมก็จะลากมันไปให้ได้…

หลังจากที่มีการวางแผนกันเป็นที่เรียบร้อย คืนนี้ในเวลา 3 ทุ่มจะเป็นเวลาออกเดิน ซึ่งกว่าจะถึงสุราษฯ ก็ปาเข้าไปตี 5 ของอีกวันหนึ่ง ยาวนานดีแท้ ... ผมกำลังจัดการแพ็กกระเป๋าเดินทางอยู่ เป้กก็เดิน
มาหาผม

”ชักไม่อยากไปแล้วหว่ะ !! ”

”เฮ้ย มาพูดอะไรเอาตอนนี้ว่ะ จะไปกันอยู่แล้ว อย่ามาทำตัวอย่างนี้ดิว้า” ผมบอกมัน

”ก็มีแต่เพื่อนนายไป ฉันจาสนุกอะไรอะ แล้วยังมีญาติของเพื่อนอีก โห คงจะสนุกโขเลย” มันว่า
...ผลสุดท้ายก็ลงเอยโดยที่ผมต้องลากมันมาหัวลำโพงอย่างยากลำบาก ทำไงได้ละ เสียเงินจอง
แล้วนี่หว่า ตอนนี้เกือบทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว ยกเว้น ไอ้ปอคนเดียว

”อ้าว แล้วปอไปไหนละ” แพรถามปอมผู้เป็นญาติ

”ไม่รู้ดิ เด๋วคงมามั้ง ปอมโทรไปหามันแล้ว มันก็ออกมาแล้วนะ” ปอมตอบ พลางล้วงมือลงหยิบ
มันฝรั่งขึ้นมากิน

”ถ้าไม่มาคงจะดีพิลึกเลยหว่ะ เพี้ยง อย่ามาทีเถอะ ผมคิดในใจ พลางยกมือไหว้

”ไหว้ใครอยู่เหรอ” แล้วเสียงของคนที่ผมสาปแช่งอยู่ก็ดังขึ้น พร้อมเจ้าของร่างสูงโปร่ง

“ตายยากจิงนะแก” ผมพึมพำ

ไม่นานนักขบวนรถไฟก็มาถึง พวกผมจองตู้พิเศษไว้ ถึงแม้จะไม่ถึงกะเป็นตู้นอน แต่ก็สบายกว่านั่ง
อยู่ในตู้ชั้น 3 หลังจากที่จัดวางข้าวของกันแล้ว วงสนธนาของพวกเราจึงเริ่มต้นขึ้น คิดไม่ถึงว่าคุณพี่เป้กที่
ปากบอกว่าไม่สนิทสนมอะไรกับเพื่อนผม จะเป็นคนช่างพูดช่างคุยสุดแล้ว และดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับ
ไอ้ปอเป็นพิเศษด้วย สงสัยเพราะมีความปากสุนัขเหมือนกัน เลยเข้ากันได้ดี

แน่นอนว่าการเดินทางของวัยรุ่น การนอนมักจะมีเรื่องสยองๆเล่ากันเพื่อความตื่นเต้น กรรมจึงมา
ตกอยู่กับไอ้เป้ก เนื่องจากมันเป็นคนที่กลัวผีที่สุด พิสูจน์ได้จากการที่ไปเที่ยวสวนสนุกมา - -

“นี่ เฮ้ย ทำไมต้องมาเกาะแกะข้างๆด้วยหว่ะ เป้ก รำคาญหว่ะ” ผมว่าพลางดันตัวไอ้เป้กออกห่าง
จากตัวผม

“อะไรเล่า แค่นี้เอง เอ้ยๆ เลิกเล่าเถอะนอนกันดีกว่าหว่ะ” ไอ้เป้กคร่ำครวญ ผมรู้ว่ามันไม่ได้ง่วง
นอนอะไรหรอก เพียงแต่มันกลัวว่าเรื่องที่เล่าจะเป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น (ตอนนี้หนิงกะลังเล่าเรื่อง ผีพนักงานบนรถไฟ ซึ่งโดนฆ่าปาดคอ ...ที่ชอบมาหลอกหลอนพวกนักท่องเที่ยวอะไรประมาณนี้) กว่าพวกเราจะเลิกเล่ากัน และนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีกไกลโข จึงพากันตกลงว่าควรจะนอนกันได้ซะที ไม่ต้องทายว่าผู้ที่โล่งอกมากที่สุดจะเป็นใคร...

ผมหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเพราะรู้สึกเหมือนมีใครมากอด ผมหันหน้าไปหาต้น
ตอ ก็เห็นเป้กซบผมอยู่ ช่วงเวลานั้นทุกคนหลับกันหมด มีเพียงผมรู้สึกตัว และผมคงไม่ใจร้ายพอที่จะปลุก
ให้ไอ้เป้กมันนอนดีๆ อย่ามาก่ายกรู ช่วงเวลาตี 3 ตี 4 ผมว่าอากาศต้องค่อนข้างหนาวพอสมควร เพราะเห็น
พวกเพื่อนผมนั่งสั่นกันเป็นแถว แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนรุ่น
พี่คนนี้ ตอนนี้ความง่วงเริ่มถาโถมเข้ามาหาอีกครั้ง ผมค่อยๆ
ขยับพร้อมเอนตัวพิงเป้กไว้ เหมือนจะรู้ .. มันกอดผมแน่นขึ้น พลางซุกหน้าลงที่ต้นคอ ทำให้ผมได้กลิ่นหอม
ของแชมพูที่มันพึ่งสระผมเมื่อช่วงหัวค่ำ แล้วก็ผล่อยหลับไป ..
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-11-2008 20:28:04
“นี่ .. นี่ จะนอนกอดกันไปถึงไหนห่ะ ตื่นได้แล้ว“ ใครซักคนปลุกผม แถมไม่ปลุกเปล่า ยังเขย่าตัวอีกตะหาก

ผมลืมตาตื่นขึ้นมา แต่เป้กยังคงหลับอุตุอยู่ เห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย พลันมองไปหาคน
ปลุก ไอ้ปอนะเองปลุกผม แต่คนอื่นมันไม่เห็นจะปลุกเลย

“จารีบปลุกไปหาสวรรค์วิมานอะไรว่ะ ยังไม่ถึงเลยเห็นป่ะ“ ผมแหวใส่ด้วยความงัวเงีย
“นี่ๆ คุณชาย อีกเด๋วก็ถึงแล้ว นี่มันเข้าเขตสุราษมาตั้งนานแล้วนะ อีก 2 -3 สถานีเอง “



“อ้าว - - ก็ปลุกพวกนี้ด้วยดิ เอ้า ตื่นๆ ไอ้โจ ไอ้ต้าร์ ไอ้ปอม ไอ้เป้ก ตื่นเว้ย ด้วยเลยกรูไม่ตามเก็บนะมึง“ ผมว่า พลางหันไปหาสาวๆ

“แพร จะถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว“ ผมว่าพลางเสยผมที่ปรกหน้าเธอออกไป

“เด๋วเราต้องไปท่าเรือก่อน 8 โมงด้วยนะนี่ ไม่งั้นตกเรืออ่ะยุ่งเลย“ ไอ้ปอบอกแผนการกับพวกเรา หลังจากลงรถไฟที่สถานีสุราษเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งเรือเร็วไปเกาะพะงันเลย คงจะถึงซักเที่ยงอะ เด๋วป้าจะส่งรถมารับ ที่หน้าเกาะ

“หาอะไรแดกก่อนได้ม่ะ กูหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว“ ไอ้โจบ่น เอาเป็นว่าโชคดีที่แถวๆนั้นมีร้านโจ๊กและก็กาแฟอยู่บ้าง ทำให้พวกเราประทังความหิวไปได้โข

ที่จริงผมว่าเรามีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะแยะ เพราะนี่มันพึ่งจะ 6 โมงเช้าเอง อากาศเย็นแต่รู้สึกได้
ถึงความสดชื่น หลังจากหาเช่ารถประจำทางแถวนั้น เราก็ถึงท่าเรือ ในเวลา 7 โมง ครึ่ง เหลือเวลาอีกถมเถ

ขาไปอะ เราไปเรือเร็ว มันจาเร็วกว่านิดนึง ส่วนขากลับอะ ไม่รีบร้อนอะไร จะกลับเรือเฟอร์รี่นะ ไอ้
ปอบอกรายละเอียดทุกขั้นตอน มันน่าจะไปเรียนธุรกิจท่องเที่ยวมากกว่าเรียนวิศวะนะนี่ ผมคิดในใจ

การเดินทางด้วยเรือเร็วพอจะทำให้พวกวัยรุ่นอย่างเราดูจะคึกคักเป็นเพิเศษ เพราะสามารถ
ใกล้ชิดน้ำทะเลได้มากกว่าขึ้นตึกลอยฟ้าอย่างเฟอร์รี่ แพรดูท่าจะชอบเป็นพิเศษ และมันจะสนุกกว่านี้ ถ้า
ไอ้ต้าร์ไม่เมาเรือ จนปล่อยของบางอย่างให้ปลาเป็นอาหารมื้อเที่ยงซะ 2 รอบ สิ่งที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษเห็น
จะหนีไม่พ้นน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม พอเข้าใกล้ฝั่งจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตใส มองเห็นฝูงปลาที่ว่ายอยู่
ข้างใต้อย่างชัดเจน สวยจริงๆ (ไม่ได้บรรยายโวหารนะคับ เรื่องจริง 55) หลังจากขึ้นฝั่งเป็นที่เรียบร้อย พว
เราต้องรอรถป้าของไอ้ปอเกือบชั่วโมง อากาศก็ร้อนแสนร้อน นี่มันหน้าฝนแน่เหรอว้า จากนั้นรถจะพาเรา
อ้อมเกาะไปอีกฝั่งเพื่อไปที่บ้านพักที่ป้าของปอจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งต้องบอกว่าน่าอยู๋เกินคาด บังกะโล
ถูกเตรียมไว้ 2 หลัง สำหรับคน 8 คน โดยผมต้องไปนอนกะพวกผู้หญิง 2 หน่อ เพราะดูว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้
สุดแล้ว

“เฮ้ย มันจะดีเหรอว่ะ ก็นอนบ้านเดียวกันไปเลยดิ 8 คนอะ มี ตั้ง 2 ห้อง“ ไอ้โจเสนอ

“อ่านะ อย่าดีกว่า เวลาเพวกนายกินเหล้ากินเบียร์อะไรเงี้ย พวกฉันขี้เกียจมานั่งฟังคนเมาย่ะ“
“อีกอย่างมันทำอะไรไม่สะดวกด้วยอะ“ หนิงว่า

“อ้าว แล้วทำไมให้ไอ้บาสไปนอนด้วยหละ ไม่กลัวมันปล้ำเอาเหรอ“ ไอ้ปอมถียง

“นิ อย่าเอากรูไปเปรียบเทียบกะมึงดิ ไอ้ปอม“ ผมบอก ที่จริงผมก็ไม่อยากไปนอนกะพวกผู้หญิง
หรอกนะ แต่ทำไงได้ละ

“เออ ตกลงกันได้แล้วจะได้จัดข้าวของซะที จะได้ไปกินข้าวแล้ว ชักช้าจิง“ ปอบอกเสียงขุ่น

“นอนคนเดียวได้ใช่ป่ะ“ ผมกระซิบถามเป้ก ที่จริงดูเหมือนมันสนิทกับเพื่อนของผมนะ แต่มันก็คง
ลำบากใจเหมือนกันที่ต้องไปนอนก็คนอื่น

“เฮ้ย ทำไมจะนอนไม่ได้อะ เราผู้ชายนะโว้ย นอนที่ไหนก็ได้ เอ เหรอว่าจะให้เราไปนอนกะนายด้วย“ ถามผมพลางหลิ่วตายอกย้อน ผมเบ้หน้าใส่มันแล้วขนของไปเก็บ

หลังจากที่ผมช่วยพวกสาวๆเก็บของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็รวมพลกันที่ด้านหน้าอีกครั้ง เตรียม
ลงเล่นน้ำกัน ผมสังเกตว่าเป้กดูจะคึกคักเป็นพิเศษทีเดียวเชียว ทึ่จริงดูจะคึกกันทุกคนมากกว่า มีแต่ผมคน
เดียวเท่านั้น อาจเป็นเพราะชักรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กๆ คงเป็นเพราะอากาศหนาวเมื่อคืนแน่แท้ ผมอาจจะ
เป็นหวัดก็ได้ ทางที่ดีอย่าเสี่ยงเล่นน้ำจะดีกว่า ผมคิดในใจ ..

“เฮ้ย เดี๋ยวข้าเอากล้องมาถ่ายรูปด้วยดีกว่า พวกนายไปกันก่อนเถอะ“ ว่าแล้วผมก็หันกลับไปเอา
กล้องมา

ตูม ซ่า …

กรี๊ดกราด ๆๆ

เสียงเพื่อนๆผมเล่นน้ำกันอย่างมีความสุข สนุกสนาน บานหทัย แม้แต่ไอ้เป้กเอง ยังเข้ากับเพื่อน
ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็นให้กับเพื่อนๆ สุดเปรี้ยว ซักพักเป้กคงเห็นผม
นั่งอยู่เฉยๆละมั้ง ไม่ยอมลงมาเล่นซะที จึงเดินขึ้นมาหวังจะลากผมไป

โอ้ แม่เจ้า – โว้ย – ผมอุทานในใจ จะอะไรซะอีกล่ะ ผมพึงสังเกต ตอนก่อนลงเล่นน้ำมันไม่เท่าไร
หรอก แต่ตอนนี้นี่ดิ สภาพที่เสื้อผ้ามันเปียกน้ำทะเลชุ่มโชก เสื้อสีขาวบาง แถมดันเจือกใส่กางเกงบอล คงไม่
ต้องบรรยายว่าจะเห็นอะไรต่อมิอะไรแค่ไหน (??)

“ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกันอ่ะ เฮ้ย เร็ว พวกรออยู่ “

“…. เออ“ ผมยังอึ้งอยู่ แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไมน้อผมต้องตกใจ ในเมื่ออยู่ด้วยกันมาตั้งนานนม

“นี่ นี่ เป็นไรไปว่ะ หน้าแดงๆ“ เป้กถามผม

“เป็นหวัดแดดเหรอ“ ว่าพลางคล้ำหน้าผากผมเฉยเลย

“เออ ป่าวไม่ได้เป็นอะไรหรอก“ ผมตอบ พลางรีบปัดมือมันออกไป

“งั้นก็ไปดิ เร็ว …“ เป้กพูดพร้อมกระชาก (แรงไปป่าว) มือผมตามไป … (กรูม่ายปายว้อยยย)

“เฮ้ย เป็นไรไปฟะ ไอ้บาส ซึมๆ“ ไอ้โจถามผม หลังจากเราทานข้าวเย็นกันเสร็จ เป้กหันมาเหมือน
จะรอฟังคำตอบเช่นกัน

“ป่าว ไม่ได้เป็นไร“ ผมตอบ “แค่ง่วงนอนหว่ะ “

ถ้าง่วง งั้นไปนอนก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอพวกเราหรอก บาส แพรบอกผม ผมมองหน้าแพรอย่างเคืองๆ
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากคืนนั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นไข้อย่างที่คิด เพราะในเช้าวันต่อมาผมก็รู้สึกแข็งแรง
ดีเหมือนเดิม โปรแกรมการท่องเที่ยวของพวกเราตลอด 3 วันเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่ว่าจะไปเล่น
น้ำตก ปีนเขา ดำน้ำ สารพัดจะทำ และในคืนสุดท้าย ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับเทศกาลที่มีชื่อเสีย(ง) ของเกาะ นั่น
ก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้นั่นเอง แน่ละพวกเราเฮฮากันเต็มคราบ ต้องยอมรับเลยว่าเป็น คืนที่เร้าจาย เจง เจง เอิ๊ก..
ขากลับพวกเราต้องเดินเลาะชายหาดกลับบังกะโล พวกผู้ชายอย่างผมเมาแอ๋กันทุกคน มีแต่ผมกับไอ้ปอ
เท่านั้นที่พอจะพูดรู้เรื่อง แน่ละซิ ในสถานการณ์แบบนี้ เราสองคนจึงต้องรับภาระแบกไอ้พวกลิงที่เหลือกลับ
แต่ละตัวก็ใช่จะเบาๆ น้องควายทั้งนั้น

“บอกแล้ว ว่าอย่ามา อย่ามา เป็นไงละ อ๊วกแตกอ๊วกแตน กันเป็นแถวเลย“ หนิงบ่นให้แพรฟัง มือข้างนึงหิ้วปีกไอ้โจไว้

“อ้าว ๆ อย่าโทษงั้นเด๊ะเพ่ ก็แค่อยากให้คืนสุดท้ายมันมีรสชาติก็เท่านั้นเอง“ ปอว่า ผมก็เห็นด้วยกับหนิงนะเนี่ย เพียงแต่ไม่พูดเพราะผมก็กินเข้าไปหลายอยู่เหมือนกัน …

“อ๊ออกกก อ๊วกกกกก“ ไอ้เพื่อนตัวดีผมแหวะมาอีกรอบซะแล้ว คราวนี้ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นเลย

“เฮ้ย เป้ก ทนหน่อยดิว่ะ เกือบถึงห้องแล้ว “… แต่มันยังนั่งอยู่ แสดงถึงความหมดเรี่ยวแรง ป่วย
การเปล่าที่จะเรียก ผมเลยบอกให้เพื่อนๆเดินกลับไปพลางๆก่อน เดี๋ยวรอให้แหวะให้เสร็จจะตามไ
ป อยากจะบอกว่ามันแหวะนานมากคราวนี้ ไม่รู้กินอะไรกันหนักหนา ผมยังคงนั่งลูบหลังอยู่ข้างๆมัน

“ออกหมดยังหว่ะ เป้ก เค้าเดินกันจะถึงแล้วมั้งเนี่ย“ ผมชักเริ่มกังวลใจ นี่ถ้าหากมันไม่ลุกขึ้นมาผมต้องแบกมันกลับไปละแย่แน่ ทางก็ไม่ใช่จะใกล้เลย แถมเปลี่ยวแล้วก็มืดอีกตะหาก

“เป้ก เป้ก …“ ผมเขย่าตัวแรงขึ้น หวังให้รู้สึกตัว ผลคือมันกลับหลับปุ๋ยสบายใจเฉิบไปแล้ว

“เฮ้ย มึงจะมาหลับอย่างงี้ไม่ได้นะเฟ้ย เฮ้ยตื่นเว้ย“ ไม่เป็นผล มันส่งเสียงอู้อี้ๆ ไม่รู้เรื่องเลย

“ไม่ลุกใช่มั้ย ได้ ได้ …“ ผมพยุงตัวมันขึ้นมา ลากไปพลางบอก

“ไม่ตื่นก็กินน้ำทะเลไปหน่อยละกัน“ว่าแล้วผมก็ปล่อยมันลงไปในน้ำทะเล

ตูม ซ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

“อั๊กกกๆ แค่ก ทำไมโหดจาาาง ววว่ะ“ มันต่อว่าผมหลังจากได้สติขึ้นมาบ้าง สงสัยสำลักน้ำทะเล
ไปหลายอึก

“เร็วเข้า กลับห้องได้แล้ว“ ผมบอกเป้ก พลางจะลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวดิ จะรีบไปไหน นั่งคุยเล่นๆกันก่อนเถอะ เรายังมึนๆอยู่เลย“ เป้กขัดขึ้นมา พร้อมชวนผมนั่งเป็นเพื่อน อะไรบางอย่างทำให้ผมยอมนั่งเป็นเพื่อนมัน ต่อด้วยการคุยเรื่องสรรพเพเหระ เรื่อง รร เก่า ในหอ
เพื่อนๆ และมาหยุดลงที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแพร …

“เป้ก นายว่าเรากับแพรจะคบกันได้อีกนานม่ะ“ ผมถามขึ้นมา เป้กหันมามองผม ทำหน้า
ประหลาดใจ มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมไม่เคยใช้คำแทนตัวเอง ว่า “เรา” กับเป้กเลย แล้วอยู่ๆ ผมมาพูดกับมันได้ไงฟ่ะ

“พักนี้เราว่าแพรแปลกๆ ไป บอกไม่ถูกหว่ะ …“ ผมพูดต่อ

“ไม่รู้ซิ .. . แต่เราว่านายอย่ากังวลอะไรมากมายเลยดีกว่า เราก็ไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนไหนมาจีบมันเลยนี่นา … เว้น แต่ …“ เป้กพูดค้างเหมือนคิดอะไรออก

“แต่อะไร …“ ผมถาม

มันหันมามองหน้าผม แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“ เว้นแต่แพรมันจะเปลี่ยนมานิยมเพศด้วยกัน อยากมีความสัมพันธ์ฉันฉิ่งอะดิ เหรอไม่ก็อยากเข้าร่วมวงมโหรีไง …555“ ว่าแล้วก็พลางหัวเราะ

“เฮ้ย เวรกรรม ไอ้เป้ก ปากหมาหว่ะ“ ผมแหวใส่ พลางชวนมันกลับห้อง เดินต่ออีกไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว ผมแยกกับเป้กด้านหน้าบังกะโล ก่อนแยกมันยังไม่วายแซวผม

“เฮ้ย คืนสุดท้ายแล้วอ่ะ อยากทำไรก็รีบๆทำกันเน้อ จะได้เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกซะที“ ก่อนที่
ผมจะทันเตะมัน ก็ผลุนผลันวิ่งเข้าห้องไปแล้ว ตอนนี้ความง่วงถาโถมมาหาผมอีกครั้ง เลยรีบกลับเข้า
บังกะโล กำลังจะเข้าห้องแล้ว (ห้องผมนอนคนเดียว อีกห้องหนิงกับแพรนอน) เหลือบไปเห็นรองเท้าของ
แพรไม่อยู่ ก็นึกสงสัย เลยค่อยๆแง้มห้องดู เห็นหนิงนอนหลับอยู่ แพรไม่ได้อยู่ที่เตียง !!!

ลางสังหรณ์ประหลาดเกิดขึ้นทันที แพรอาจจะนอนไม่หลับ แล้วออกไปเดินเล่นชายหาดก็ได้ – แต่นี่มันจะตี 2 แล้วนะ – ด้วยความเป็นห่วงแฟนสาว ผมเลยกลับออกไปหาเธอที่ชายหาดอีกครั้ง จะว่าไป
ความมืดของบริเวณนั้น ก็ทำให้ผมเกรงๆเหมือนกัน ถ้าเกิดมีคนร้ายมาปล้นละก็ผมคงไม่รอดแน่ แต่ถ้าเป็น
อย่างนั้น แพรคงจะรอดยากกว่าผม ผมเดินหาจนเมื่อยแล้ว ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจกลับเข้าที่พักอีกครั้ง

ฉับพลันผมเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่ตรงม้านั่งใกล้ๆกับที่พัก ตอนออกมาผมไม่ทันสังเกตเห็น
เพราะมันไม่ได้หันหน้าออกชายหาด จึงค่อยๆเดินไปหา แพรแน่ผมจำได้ แต่เอ๊ะ มีคนนั่งอยู่ข้างๆเธอด้วย
“ใคร ?? “ ผมนึกในใจ ในหัวผมตอนนี้สับสนไปหมด แต่เท้าผมก็ยังเดินตรงไปหาอย่างเงียบๆ พอดี
กับที่ด้านข้าง มีพุ่มไม้อยู่ ผมเดินเข้าไปนั่งหลบด้านหลัง โชคดีที่มุมนี้ผมสามารถมองเห็น ใครคนนั้น ได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไอ้ปอ นั่นเอง ผมอึ้งไปพักใหญ่ เกิดอะไรขึ้น มันต้องมีอะไรบางอย่างระหว่าง 2 คนนี้แน่นอน
ความโกรธเริ่มพุ่งสูงขึ้น ตอนนี้ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสองคนนั่นคุยเรื่องอะไรกัน ท่าทีของพวกเค้าไม่
เหมือน – เพื่อน – คุยกันซักนิด มันเหมือนแฟนคุยกันมากกว่า อากาศภายนอกนั้นหนาวจับใจ แต่ในขณะนี้
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาทั้งตั้งผม ร่างกายพร้อมที่จะวิ่งเข้าไปต่อยไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างแฟนผม แต่ … สมองของ
ผมกับไม่สั่งการใดๆ เพียงแต่รอคอยอะไรบางอย่างเท่านั้น

ผมมองหน้าแพร ถึงแม้จะไม่ชัดเท่าไรก็ตาม เธอยิ้มแย้มมีความสุข หัวเราะคิกคักกับไอ้ปอ ผมเจ็บ
แปรบที่หัวใจ แพรไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ให้ผมเห็นมานานแล้ว ซักพักปอเริ่มโอบกอดแพร เธอดูเหมือนจะ
ไม่ขัดชืนแม้แต่น้อย ปอค่อยๆหอมแก้มเธอ แพรยิ้มอย่างเอียงอาย … ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ผม
เข้าใจว่า การถูกแทงข้างหลัง มันเป็นยังไง ถึงผมจะไม่ค่อยชอบขึ้หน้าไอ้ปอเท่าไร แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดมัน
เลย คิดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทคนนึง แพรก็เหมือนกัน ผมไม่เคยที่จะขัดใจเธอ พร้อมมอบความรักให้อย่างที่
ผู้ชายคนนึงจะมอบให้ได้

แต่ ..ทำไม … สิ่งที่เค้าทั้ง 2 ทำกับผม ถึงได้ …

ตอนนี้ 2 หนุ่มสาว คลอเคลียกันในเงามืด ผมรู้ตัวว่าทนเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้อีกแล้ว
ทางเลือกในใจตอนนี้มีอยู่ 2 ทาง เดินไปต่อยหน้าแม่งเลย หรือ เดินถอยกลับออกไปเงียบๆ เมื่อมาคิดอีกที
ผมจะไปขัดขวางความสุขของเค้าทำไมกัน ผมไปต่อยหน้าไอ้ปอ แพรก็ไม่มีวันกลับมาหาผมอีกแล้ว ผมจึง
ขอเลือกอย่างหลังดีกว่า …

แม้ว่าจากบริเวณเงามืดกับบังกะโลจะอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่ระยะทางที่ผมเดินกลับมันดูเหมือน
ยาวไกลเหลือเกิน สมองผมทำงานอย่างหนักแต่มันก็ไม่สามารถหาคำตอบได้เลย ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้
ยังไง ทำไม เพราะอะไร ผมมีอะไรไม่ดีเหรอ แพรถึงทำยังงี้กับผม ความโกรธแค้นเริ่มลดระดับลง
กลับเปลี่ยนเป็นความเสียใจที่พุ่งขึ้น ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำตา

“อย่าร้อง อย่าร้อง ไอ้บาส แกต้องไม่ร้อง“ ผมเฝ้าเตือนตัวเอง ตอนนี้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งไม่
เคยเกิดขึ้นกับผมค่อยๆคืบคลานเข้ามา เท้าผมเดินมาหยุดลงที่บังกะโลอีกหลังนึงโดยไม่รู้ตัว ผมเดินเข้าไป
กะจะมาขอพวกนอนด้วย ผมทนไม่ได้ที่ต้องนอนอยู่กับคนทรยศหรอก

“อ้าว ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ มาทำไร“ ไอ้เป้กเดินมาเจอผมพอดี มันคงพึ่งอาบน้ำเสร็จ

“จ จะมาขอนอนด้วยอ่ะ“ ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“เหรอ เป็นไรป่าวอ่ะ เนี่ย ไอ้ปอก็ยังไม่เข้ามาเหมือนกัน ไม่รู้หายหัวไปไหน สงสัยแอบไปปี้กะใคร
แหง่ม“ เป้กพูดทีเล่นทีจริง มาถึงตรงนี้ผมถึงกับสะอึก มันเดาถูกจริงๆ เพียงแต่ผู้หญิงที่ว่านี่มันแฟนผมเอง

“เป้ก ….. แพรก็ยังไม่กลับเหมือนกัน..“ ผมตอบเสียงสั่น น้ำตาเริ่มเออท้นขึ้นมาทำให้ผมเริ่มมอง
อะไรไม่เห็นแล้ว ผมรีบก้มหน้า น้ำตาเม็ดเป้งหยดลงบนพื้น เป้กมันคงสังเกตเห็นได้

“เค้าสองคน .. “ ผมกำลังจะบอกแต่เป้กขัดไว้

“เราพอจะรู้แล้ว ..แหละ“ เป้กบอกผม ทำให้ผมนึกออก ตอนที่เรานั่งอยู่กันที่หาด ที่มันบอกว่า
เราก็ไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนไหนมาจีบมันเลยนี่นา … เว้น แต่ … มันคงจะพูดต่อว่า ยกเว้นแต่ ไอ้ปอ นะเอง

เป้กเดินเข้ามาจับไหล่ผมสองข้าง พลางบอกให้ใจเย็นๆ แต่มันเหมือนคำพูดที่ออกมาจะไร้
ความหมาย

ผมพูดขึ้นมาอย่างน้อยใจ ทำไมว่ะเป้ก “ข้าทำอะไรผิดเหรอว่ะ พวกมันถึงทำกับข้าแบบนี้อ่ะ ผมรู้
ว่าทำไม่ถูกที่จะมาระบายอารมณ์กับไอ้เป้ก แต่ผมต้องทำ ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้วจริงๆ ผมเริ่มควบคุม
อารมณ์ไว้ไม่อยู่ พอดีกับที่ไอ้เป้กเอื้อมมือดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสบางอย่างทำให้ผมต้องสะอื้นออกมา สิ่งที่
ผมพยายามอดกลั้นเอาไว้ตลอดมา ความอ่อนแอ ความเสียใจ ผมซบหน้าลงไปเหมือนหาที่พึ่ง แล้วร้องไห้
ออกมาอย่างไม่อาย ร้องเหมือนเด็กๆ นานแล้วที่ผมไม่ได้ทำอะไรหน้าอายแบบนี้นับตั้งแต่ขึ้นมัธยม ยิ่งร้อง
ผมก็ยิ่งกอดไอ้เป้กหนักขึ้น เป้กเอามือมาลูบหัวผมเบา เหมือนปลอบเด็กขี้แย ตอนนี้เองความอบอุ่น
บางอย่างเกิดขึ้นมาภายใจจิตใจที่เหมือนมืดมนของผม

แล้วค่อยๆแผ่ขยายวงกว้างขึ้น เมื่อผมได้ยินเป้กกระซิบข้างหูผม คำๆนี้ผมจำได้ตลอดมาและจะไม่
วันลืม

“บาส ตอนที่บาสไม่มีใคร บาสยังมีเป้กอยู่ข้างๆไม่ใช่เหรอ อย่ากังวลไปเลยนะเป้กจะอยู่ตรงนี้
แหละ …. ไม่ทิ้งบาสไปไหนหรอก …“
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-11-2008 20:29:32
เช้าวันต่อมา อาการไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงของผมเกิดขึ้น ทันทีที่ลืมตา ผมภาวนาให้ภาพที่เห็นเมื่อคืนเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด แพรเข้ามาทักทายผมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้ผมคิดได้ว่า เมื่อคืนคงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกับปอหลบมาจู๋จี้กันแน่ คงจะมีความสัมพันธ์กันมานานพอควรแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าผมทราบว่าเธอสวมเขาให้ผมแล้ว เธอจะทำหน้ายังไงนะ ???



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรับการท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมของพวกเรา ไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อคืนผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่วันนี้ผมเหมือนยกภูเขาลูกโตออกจากอกได้ ถึงแม้ผมจะไม่มีวันให้อภัยแพรและไอ้ปอได้เลยก็ตาม ระหว่างอยู่บนเรือเฟอรี่เวลาช่างผ่านไปอย่างยืดยาดเหลือเกิน ผมกำลังยืนคิดอะไรเพลินๆอยู่บนดาดฟ้า
เป้กก็เดินมาหาผมพลางถือกระป๋องน้ำอัดลมมาด้วย

“เฮ้ย“ ผมอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ มันดันเอากระป๋องมาแนบแก้มผมเข้านะซิ

“เค้าดูทีวีกันอยู่ชั้นล่าง ไมมานั่งเงียบอยู่คนเดียวล่ะ“ แหม มันพูดเหมือนไม่รู้อะไร

………………… ผมไม่ตอบ มันส่งน้ำมาให้ผม


ผมปฏิเสธไป

“นี่ นี่ คนซื้อมาให้แล้วก็รักษาน้ำใจกันหน่อยดิ รู้น่าว่าไม่ชอบน้ำอัดลมอะ แหกตาดูก่อนดิ นี่มันชามะนาวเว้ย“ มันบอกผม

“เออ เรื่องข้านี่รู้ดีจังนะ“ ผมคิด พลางรับน้ำไว้

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปอ่ะ“ เป้กถามผม

“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ“ ผมตอบซื่อๆ

เป้กมองหน้าผม ถอนหายใจ

“เฮ่ออ นายก็น่าจะรู้นะว่าเราหมายถึงอะไร เหรอจะให้พูด ก็เรื่ อ ……. “

“เออ รู้แล้ว จะย้ำทำไมนะ“ ผมตะคอกใส่

“ข ขอโทษ“ เป้กมันคงตกใจรีบขอโทษผม ที่จริงฝ่ายที่ต้องขอโทษควรจะเป็นผมมากกว่าที่ไปตะคอกมัน ทั้ง
รู้ว่าเป้กมันหวังดีกับผม แต่ว่าช่างมันเหอะ แฮะ ๆ ๆ อีกอย่างผมนึกอายอยู่โขที่เมื่อวานไปร้องไห้ฟูมฟายอยู่กะมันซะ
ยกใหญ่

“ไปถึงกรุงเทพ ก็คงบอกเลิก“ ผมตอบอย่างมั่นใจ

“-มั้ง -“

เป้กขมวดคิ้ว “ทำไมต้องมี – มั้ง – ด้วยหละ “

“จะให้บอกกะเค้า (แพร) ว่าไงละ เมื่อวันก่อนชั้นแอบดูเธอกะไอ้ปอมันจูบกัน ต่อจากนี้เราเลิกกัน งั้นเหรอ “ผมถาม

“อ้าว ก็งั้นอะดิ แต่คำพูดต้องขัดเกลาหน่อยนะ“ เป้กบอกผม

“ทำไม่ได้หว่ะ“ ผมบอก

“นายอย่าบอกนะ ว่านายยังหวังว่าแพรมันจะกลับมาหานายอีกอ่ะ“ มันพูดได้จี้ใจดำผมเต็มๆ

เป้กมันอ่านใจผมจริงๆ มันรู้ว่าผมคิดอะไร จะทำอะไร จนผมกลัวว่ามันเป็นพ่อผมจริงๆ ซักวัน

“คิดอะไรแบบเด็กๆ แบบนี้เด๊ะ จึงโดนเค้าสวมเขาให้อะ“ มันด่าผมอีก

“ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงบ้างอ่ะ คิดหน่อยเด๊ มัวแต่จมปลักอยู่กับคนแบบนี้ นายอะแหละ จะเป็นฝ่ายเจ็บอยู่ร่ำไป ถ้าอยากจะนอนร้องไห้ทุกคืนก็ตามใจนายละกัน “

มันหันหลังเดินผลุนผลันไป ปล่อยให้ผมยืนอึ้งกับคำพูดของมัน

“แล้วจะให้กรูทำยังไงว่ะ“ ผมพูดอย่างเจ็บใจในความอ่อนแอของตนเอง

การเดินทางกลับบ้านของพวกเราเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกันทุกคน ทำให้เพื่อนคนอื่นๆไม่ได้สังเกตสีหน้าอมทุกผิดปกติของผม หลังจากนี้อีก 1 อาทิตย์ ก็จะเปิดเรียนภาค 2 ผมตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เผื่อว่าผมจะคิดอะไรออกบ้าง อย่างน้อย ผมก็ขอกลับไปเลียแผลใจก็ยังดี …

การกลับไปเจอหน้าพ่อ-แม่ซะบ้าง กลับไปเจอบรรยากาศเก่าๆสมัยเด็ก ทำให้ผมมีชีวิตชีวาขึ้นมาพอสมควร จิตใจในตอนนี้ดีขึ้นมาก อาจจะเรียกได้ว่าเกือบสู่สภาพปกติแล้ว พร้อมจะเดินทางกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบรายวิชาที่จะต้องเรียนในเทอมต่อไปอยู่

ก๊อก ก๊อก

“ห้องไม่ได้ล็อกคับแม่“ ผมตอบไป

ตามที่คาดไว้ แม่ผมเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับนมร้อนๆถ้วยหนึ่ง ในเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ พ่อผมคงนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว มีน้อยครั้งมากที่แม่ผมจะนอนหลับก่อนที่ไฟในห้องลูกจะดับ นั่นทำให้บางครั้งในสมัยมัธยมต้น ผมต้องแอบทำงานโดยเปิดโคมไฟแทน

“พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า ยังไม่รีบนอนอีก เดี๋ยวก็เพลียแย่หรอก“ แม่ว่าพลางยกถ้วยนมวางบนโต๊ะ

“โถ แม่ ยังไม่เที่ยงคืนเลย ไม่ต้องรีบหรอก ที่นอนไม่หนีไปไหนซะหน่อย “ ผมตอบแบบกวนๆ โดยไม่ได้ละ
สายตาจากจอ

“แม่แหละ รีบไปนอนเถอะ ไม่ต้องมารอหรอก ต้องไปสอนแต่เช้าม่ะใช่เหรอ บาสไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ “ผมว่า
พลางบิดขี้เกียจ

“ใครว่าไม่เด็กหละ“ แม่ผมเถียง แล้วเอามือลูบหัวผม

“เรามีอะไรอยากคุยกับแม่หรอเปล่า “

“เปล่านี่“ ผมอ้อมแอมตอบ ยกนมขึ้นมาดื่ม

“แม่ว่าไม่นะ” สายตามองผมเเหมือนจะจับผิดอะไร

“เอาเถอะ ….. ไม่บอกก็ไม่บอก แต่หวังว่าคงไม่ได้ถูกสาวหักอกมา แล้วหนีมาเลียแผลใจที่บ้านหละ “

“แอ๊ก แค่ก แค่ก “

ผมสำลักเบาๆ รีบวางถ้วยลง แม่ผมคงสังเกตได้ แต่ทำเป็นไม่สนใจ

“เรื่องรักๆใครๆนี่ มันไม่เข้าใครออกใครหรอก“ แม่ผมทำพูดลอยๆ

“วันนี้เค้าอาจจะชอบเรา แต่ใครจะรู้ พรุ่งนี้เค้าก็อาจมีคนอื่นได้ ถ้าเค้าเจอคนที่ดีกว่าเรา“

“แล้ว … แม่ว่าบาสไม่ดีตรงไหน“ ผมเผลอถามไป

แม่มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“คำว่าดีกว่าที่แม่พูดน่ะ ไม่ได้บอกว่าบาสไม่ดีหรอกนะ เพียงแต่บาสอาจไม่ใช่คนที่ใช่ สำหรับเค้า คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเราน่ะ แต่จะเจอหรอเปล่า ก็ไม่รู้ … แม่อยากจะบอกบาสว่า อย่าไปยึดติดกับอดีต แต่ให้ …“

“แต่ให้เก็บอดีต ไว้เป็นประสบการณ์ใช่มั้ยคับ“ ผมพูดต่อจากแม่

แม่ผมยิ้ม “ก็รู้ดีนี่นา“

“บางครั้งมันก็พูดง่ายนะแม่ แต่ถ้าเจอเข้ากับตัว ผมว่ามันทำยากกว่าคำพูดสวยๆที่แม่สอนอีก“ ผมว่า

“เวลา .. บาส เวลาจะช่วยให้อะไรหลายๆอย่างดีขึ้น“ แม่ผมบอก พลางจูบที่หน้าผากผมนึงที ก่อนจะเดินออกไป – บางครั้งการที่ผมยังมีแม่คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ปัญหาทุกปัญหา มีทางออกของมันอยู่เสมอ ขอเพียงเรามีสติ แม้เพียงน้อยนิด แสงสว่างก็อยู่ไม่ไกล

วันรุ่งขึ้นผมเดินทางกลับมาถึงหอ ก็เกือบทุ่มหนึ่ง (อีกแล้ว) พี่โอ นั่ง กินข้าวเย็นอยู่กะน้ำ แต่ไม่เห็นเงาหัว เอ้ย เงาของเป้กเลยแฮะ

“หวัดดีคับ พี่โอ หวัดดีน้ำ“ ผมทักทาย พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ

“มีหว่ะ มีตอนบ่ายอะ“ น้ำบอกผม

แล้วผมก็คุยอะไรต่อมิอะไรกับไอ้น้ำอีกโข เนื่องจากไม่บ่อยนักที่มันจะกลับมา เนื่องจากเรียนไกลตั้ง
นครปฐมโน่น

“เดี๋ยวข้ากลับเลยดีกว่าหว่ะ เดี๋ยวมืด“ น้ำว่าพลางดูนาฬิกา

“หว๋า จะ 2 ทุ่มอยู่แล้ว ไปน่ะ บาส พี่โอ“

“เออ เดี๋ยว อะ ของฝาก แม่ฝากมาให้คนที่หออะ“ ผมบอกพลางยกถุงขนมหอบใหญ่ให้ไป

“เออ ขอบใจหว่ะ มีแม่ดีก็สบาบไปแปดอย่างหว่ะ“ ชมเสร็จก็รีบบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว

“พี่โอ แล้วไอ้เป้กไปไหนอ่ะ“

“ไปเรียนอะดิ มหาวิทยาลัยมันเปิดแล้วนี่นา เดี๋ยวก็คงกลับแหละ คิดถึงมันเหรอ ปกติไม่เห็นเคยถามนี่นา “พี่โอแซวผม ผมทำท่าจะหวดเข้าให้หนึ่งป้าบ พี่โอหลบทันพลางหัวเราะ

“เออ เป็นโสดด้วยกันทั้งคู่แบบนี้ มันน่าคิดนาเฟ้ย“ ว่าพลางหัวเราะ เดินเข้าห้องไป

“อ้าว ไอ้เป้ก ปากประชาสัมพันธ์อีกแล้วนะมึง“ ผมคิดในใจ “เด๋วเหอะกลับมาเมื่อไรละมึง“

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์ทำให้ผมสะดุ้ง

“ฮัลโหล หอ **** คับ“ ผมบอก

………… เงียบไปซักพัก

“ฮัลโหล ต้องการพูดกับใครคับ“ ผมทวนคำถาม

“บะ บาสสส บาสสเหรอ ชะ ช่วยด้วย“ ผมตกใจ เสียง
เป้กนี่หว่า

“ชะ ช่วยด้วย “

แกร็ก…….

ตู๊ดด ตู๊ดดด …

“อ้าว เฮ้ย ฮัลโหล ๆ เป้ก เป้ก“ ผมสับสนไปหมด ตกใจด้วย เกิดอะไรขึ้นกับมันฟ่ะ เหรอว่ามันโดนใครลากไป ข่มขืน เฮ้ย จะบ้าเหรอ ผมคิด

“เหรอว่าโดนใครดักตีหัวฟ่ะ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย“ กดโทรศัพท์เข้ามือถือมันอีกรอบ แต่กลายเป็นฝาก
ข้อความไปแล้ว

“พี่โอ พี่โอ“ ผมตะโกนเรียกพี่โอบนชั้น 2

“เด๊ววว กะลังอาบน้ำอยู่“ พี่โอตะโกนตอบ

ผมรอช้าไม่ได้แล้ว รีบวิ่งออกไปนอกหอทันที ทั้งที่ไม่รู้จุดหมาย ไอ้เป้กมันจะเป็นอะไรเหรอเปล่า โธ่ เมื่อกี้
น่าจะถามว่าอยู่ที่ไหนก่อน พลัน ผมได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะอยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไปดู เห็นไอ้ตัวดียืนหัวเราะท้องขด
ท้องแข็งอยู่เบื้องหน้า

“เฮ้ยๆ บาส เรายังไม่ได้บอกเลยว่าอยู่ โรง’บาลไหน อย่าพึ่งรีบ อย่าพึ่งรีบ ยังไม่ตาย“ มันแซวผม

“เฮ้ย ไอ้เฮี้ยเป้ก มึงเล่นงี้เลยเหรอ เล่นบ้าอะไรว่ะ เป็นห่วงนะเว้ย“ ผมโกรธจนตัวสั่น มันเล่นอะไรไม่รู้จัก
กาลเทศะบ้างเลย ไอ้หอกนี่

“อ้าว ไม่ทำยังงี้ จะรู้เหรอว่ามีคนเป็นห่วงอ่ะ“ มันว่า

“มึงล่อพูดแบบนี้ เป็นใครก็เป็นห่วงวะ“ ผมแก้ตัว ใจนึงผมก็โกรธ แต่ใจนึงก็โล่งอก นี่ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา
จริงๆ ผมจะทำยังไงดีเนี่ย แต่ … มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันดิ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ

“อ่ะ นี่ของฝาก แม่ฝากมาให้นะ“ ผมยกขนมมาให้มันหลังจากเข้าหอ

“โอ้ว มีของฝากด้วย แม่นายนี่ใจดีจัง ชักอยากเป็นลูกอีกคนแล้วดิ“ มันตอบพลางล้วงขนมขึ้นมากิน ผมไม่ทันได้คิดอะไรเลยพยักหน้าเออออไป

“ถ้าแม่นายมาได้ยินเข้าคงเสียใจพิลึก “ แล้วผมก็นึกได้ว่ายังไม่ได้สะสางบัญชี

“เออ เดี๋ยวดิ นีทำไมแกต้องไปโพทนาเรื่องของข้าให้พี่โอเค้าฟังด้วยหว่ะ เรื่องแพรอ่ะ“ ผมต่อว่า

“ป่าวโพทนาซะหน่อย แค่บอก“ ตอบหน้าตาเฉย

“ก็จะได้รู้กันไปเลยไง ไม่ต้องปิดบังใคร มันอึดอัดป่าวๆ หรอนายไม่คิดยังงั้น จะให้คนอื่นเค้าเข้าใจว่านายยังคบอยู่กับแพรงั้นเหรอ มันจะทำให้นายเจ็บใจซะป่าวๆนะ“ เป้กบอกผม ผมก็ว่ามันก็เป็นความคิดที่ดี

“แล้วตั้งใจจะเลิกกันเมื่อไรล่ะ “

“แล้วทำไมชั้นต้องรายงานแกด้วยว่ะ“ ผมตอบอย่างหงุดหงิด

“จะเลิกตอนไหนมันก็เรื่องของชั้นเว้ย“ ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นชั้น 2 ไป ปล่อยให้ไอ้เป้กนั่งหน้าบูดอยู่ข้างล่าง

“เออ ต่อไปนายต้องทำมากกว่ารายงานตัวกับเราแน่“ เป้กบ่นอุบอิบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-11-2008 20:33:30
ภารกิจในวันเปิดเทอม 2 วันแรกของผมมีหลายอย่างเหลือเกินที่ต้องทำ แต่เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้เป็นวันที่ผม
จะบอกเลิกกับแพร แพรยังคงปฏิบัติตัวกับผมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อืม … การบอกเลิกนี่มันช่างยากเย็นกว่าการบอกรักเป็นไหนๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวผมจึงนัดกินข้าวกับเธอ ถือว่าผมเลี้ยงเธอเป็นการสั่งลาละกัน


หลังจากนั้นเธอก็คงจะได้คบกะไอ้ปออย่างเปิดเผยซะที

“บาสกินอะไรดีล่ะ “เธอถามผม

“แพรอยากกินอะไรก็สั่งเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง“ ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองให้ดูเริ่มห่างเหิน แต่เธอก็
คงไม่ได้เอะใจ

หลังจากกินเสร็จ ผมชักเริ่มปอดขึ้นมาแล้ว ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเป้ก
ผมก็มีแรงฮึด

“แพร เรา 2 คนคบกันมานานเท่าไรแล้วอ่ะ “

“อืม … ประมาณ 4 เดือนมั้ง ถามทำไมเหรอ อ้าา หรือว่ามีอะไรพิเศษ“ เธอยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มสังหารแท้ๆ

“แล้ว … แพร เออ “ผมหยุดนิดนึง “แล้ว แพรรักผมเหรอเปล่า“

เธอทำหน้าสงสัยเล็กๆ บาส ถ้าแพรไม่รักบาสแล้วจะคบกับบาสทำไมล่ะ พูดงี้แสดงว่าบาสเลิกรักแพรแล้วงั้นซิ เธอพูดเชิงล้อเล่น เอื้อมมือมาแตะมือผม

“รักซิ รักมากด้วย แต่ตอนนี้ … มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ“ ผมพูดเสียงเริ่มสั่น แต่ตายังจับจ้องที่ใบหน้าเธอ พลาง
ยกมือเธอออก

“แพร ผมว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้หรอก เราไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย“ ผมปดไปงั้นแหละ ผมไม่อยากเอา
เหตุผลที่แท้จริงที่ผมต้องการเลิกกับเธอมาอ้าง ผมยังแคร์ความรู้สึกเธออยู่

แพรอึ้ง รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า พูดกับผมเสียงสั่น

“บาส …. รู้ตัวเหรอเปล่า ว่าพูดอะไรออกมาน่ะ เกิดอะไรขึ้น !!! “
“รู้ตัวซิ ทำไมจะไม่รู้ ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้ปกติที่สุด แพร ผมว่าเรา 2 สองคนน่าจะดูกันให้นาน
กว่านี้อีกหน่อยก่อนที่จะคบกัน มันจะได้ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ “… ผมพูดเว้นช่วง

“เราเลิกกันเถอะ “

เพียะ !!!

แพรตบหน้าผมอย่างแรง ดีที่ผมเบี่ยงตัวออกแต่ก็ยังโดนเต็มๆอยู่ดี ผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอตบผมเรื่องอะไร
กัน อายที่ผมบอกเลิกเธอ หรือว่าที่จริง เธอควรจะต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกผม งั้นซิ

“นาย ทำไมเป็นคนแบบนี้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวที่สุด ฉันไปทำอะไรให้นายเหรอ ถึงได้ทำกับฉันแบบนี้“ เธอ
เสียงดังมากขึ้น จนโต๊ะข้างๆหันมามอง (ที่จริงหันมาตั้งแต่เพียะแรกแล้ว) ผมยังนั่งเฉย เธอเลยทำท่าจะตบผมอีกรอบ
แต่คราวนี้ผมจับมือเธอไว้ได้ทัน

“เห็นแก่ตัวเหรอ ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว ใครกันที่ไปทำอะไรกันบนเกาะ ใครกันที่ไปกอดกับไอ้ปออ่ะ“ ผม
โพล่งออกไปอย่างหมดความอดทนเหมือนกัน แพรถึงกับหน้าถอดสี

“อย่านึกว่าผมโง่มากนักได้มั้ย ดีซะอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าเลิกกันแล้ว เธอจะได้ไปคบกะไอ้ปอได้อย่างเปิดเผยไงล่ะ ไม่ต้องมาหลบๆซ่อนๆกันแบบนี้ พอเถอะ อย่ามาตีหน้าใสซื่ออยู่เลย มันจบลงแล้ว แพร“ ผมตอบเธอด้วยโทสะ

“มื้อนี้ผมถือว่าเลี้ยงอำลาละกัน“ พูดจบผมกระะแทกเงินลงบนโต๊ะ พลางเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้แพรยืนอึ้ง ตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้อยู่ที่โต๊ะ ผมพอสรุปได้ว่าเธออายชาวบ้านก็เลยร้องไห้นะ ไม่ได้เสียใจอะไรที่ผมเลิก
หรอก

ผมรีบพุ่งกลับหออย่างด่วน ขึ้นห้องปิดประตู ใจหนึ่งก็เสียใจ แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ผมคง
ร้องไห้กับเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมสัญญากับตัวเอง พอซะที ความรัก เข็ดโว้ย … (แต่มันไม่งั้นดิ)

ผมผล่อยหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“บาส กินข้าวโว้ย“ เสียงพี่โอ

ผมเดินงัวเงียลงไปข้างล่าง พี่โอ นั่งอยู่ พี่เนนั่งตรงข้าม( ขานี้นานๆจะมาซะที) และไอ้ตัวดีเป้ก นั่งยิ้มเฉ่งรอ
อยู่

“ไง …“ เป้กทักผม

“ก็ … ดี “ผมบอก พลางนั่งลงตักข้าว

“ท่าจะดีมากเลยหว่ะ ฝากรอยมือเอาไว้ด้วย“ ไม่ว่าเปล่า มาจับแก้มผมตรงที่มีรอยตบอีกตะหาก

“โอ้ย มันเจ็บนะ ทำอะไรฟ่ะ“ ผมโอด

“นี่แหละน้า รักแรกเค้าว่าจะไม่สมหวัง“ พี่เนบอกผม ยิ้มให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอก หล่อๆแบบนี้ ไม่นานก็มี
ใหม่“

“ใครว่ารักแรกอ่ะ พี่เน“ ผมบอกพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

ผมยิ้มให้พี่เน พลางเหลือบมองหน้าเป้กแว็บนึง ถ้าตาไม่ฝาด ผมเห็นหน้ามันบูดนิดหน่อยนะ

“้อ้าว เหรอ งั้นก็หน้าแตกอะดิ“ พี่เนบอกพลางหัวเราะ การกินข้าวในเย็นวันนี้ ครึกครื้นเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม
ผมหายเศร้าเร็วจังวะ

“เฮ้ย บาส แกจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้วนาเว้ย“ เป้กบอกผมในห้องนอน วันนี้มันอยากมานอนกะผมด้วยหว่ะ
เหตุผลคือมันกลัวว่าผมคิดมาก เด๋วจะไปโดนตึก

“หมายความว่าไงฟ่ะ ทำตัวไง“ ผมแปลกใจ

“โธ่เว้ย โง่จัง เวลาที่คนเค้าเลิกกะแฟนอ่ะ เค้าต้องรีบทำตัวเองให้ดูดีขึ้นกว่าเก่าโว้ย“ มันบอกผมอย่างผู้เชี่ยว
ชาญ

“เหรอ แล้วไงล่ะ “

“นายก็ต้องทำตัวให้ดูดีขึ้นไง แบบว่าดูแลตัวเองหน่อย ให้พอแบบว่ามีสาวติดตรึมอ่ะ พอถึงเวลา นายก็ควง
ไปเย้ยแพรมันเล่นๆไง ประมาณว่า มันคิดผิดที่ไปเลือกไอ้ปอ ทั้งๆที่มีคนที่ดีที่สุดอยู่แล้ว“ มันยังพร่ำอยู่ไม่เลิก

“ไม่เอาหว่ะ จบแล้วให้มันจบไปเถอะ ขี้เกียจไปต่อแยด้วย“ ผมว่าพลางล้มตัวลงนอน “ที่ไม่อยากทำก็
กลัวไง“

“กลัวบ้าไร“ เป้กถาม

“กลัวว่าจะเด่นเกินนายไง เดี๋ยวจะไปแย่งเด็กนายอะยุ่งตายชักเลย“ ผมว่าพลางเอาหมอนข้างตีหัวมัน

ปั๊ก

“กรูไม่มีเด็กเว้ย อย่ามาแถ“ มันเอาหมอนตีผมกลับ “เออ ถ้านายหล่อได้ขนาดนั้นก็ดี ใครๆเค้าจะได้อิจฉา
เราไง“

“อิจฉานายเรื่องไร“ ผมถาม แต่พอรู้ความหมายนัยๆ

“คิดเองดิ ฟายจัง“ มันว่า

“เออ นอน ๆ ๆ “ ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ พอปิดเท่านั้นแหละ มันโถมตัวมาทับผมอย่างแรงจนจุกเลย

“ไอ้เป้ก จุกนะมึง ลุกออกไ ปเว้ย เดี๋ยวเจอตีน “ ผมทั้งพลักทั้งดันให้มันออกไป แต่ไม่เป็นผล รู้กันอยู่ว่ามัน
ตัวใหญ่กว่าผม (มุขเดิม) ปล้ำกันอยู่ซักพัก ผมก็หมดแรงข้าวต้ม มันก็ยังไม่ยอมปล่อยอีก

“มันหนักนะโว้ย“ ผมพูดเสียงหอบ เพราะ …เหนื่อย(อย่าคิดมาก) สายตาผมเริ่มชินกับความมืด เห็นหน้ามัน
อยู่ใกล้มากเลย ผมเลยเอามือดันหน้ามันออกไป

“ยอมแพ้ยัง “

มันถามผม แข่งอะไรกันตอนไหนฟ่ะ งง คงหมายถึง ให้ผมหยุดขัดขืนเหรอยังประมาณนั้นแหละ แต่ด้วย
สัญชาติญาณความดื้อของผม

“ยอมก็โง่อะดิ อ้ายกร้วกก “

“ไม่ยอมเหรอน้อง ได้เลย“ ไม่ว่าเปล่า มันเอื้อมมือลงเบื้องล่าง จับเข้าที่จุดยุทธศาสตร์ผมเต็มๆ ไม่จับเปล่า
ขยำอีกตังหาก เจอไม้นี้เข้าผมสะดุ้งเฮือก

“เฮ้ย ไอ้ลามก ไอ้เปรตนี่ ปล่อยน่ะเว้ย“ ผมด่ามัน แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยอีก

“โอ้โหแฮะ บาสน้อย ใหญ่ก่าเก่าอีกนะเนี่ย“ มันล้อผม

ผมตัดสินใจกัดไปที่แขนไอ้เป้ก เอาให้พอเจ็บ แต่มันด้านครับท่านผู้อ่าน มันร้องออกมาแต่ไม่ยอมปล่อยอีก ผมจึงกัดแรงขึ้น

“โอ้ย เลิกกัดซะทีเด๊ะ เป็นหมาเหรอไงว่ะ ไอ้บาส“ มันทุบหัวผม

“แออ้ออ่อยอ้าอิ (แกก็ปล่อยข้าดิ ) เอ่นแองอะอึง (เล่นแรงนะมึง) “ ผมตอบไป ทันใดนั้นมันก็เอาหน้ามาไซร้
คอผมโดยไม่ทันตั้งตัว

“อ้ะ “ ผมเผลอปล่อยแขนมันไป(จากการกัด) สาเหตุจากอะไรคงไม่ต้องพูดถึง นับแต่ลืมตาดูโลก ยังไม่เคยมี
ใครมาซุกไซ้อะไรงี้กะผมเลย ประสบการณ์แรกอันเแปลกใหม่ที่ไอ้เป้กประเคนให้ผมถึงกะตั้งตัวไม่ติด (ังั้นเชียว) ผม
เลิกดิ้นหันมานอนนิ่งแทน ไอ้เป้กเห็นผมหยุดขัดขืนคงได้ใจเลยไซ้ต่อซะเลย มือข้างที่มันจับเป้าผมเปลี่ยนมากุมมือผมไว้แทน จากคอมันเลื่อนมาที่ข้างแก้มผม ใบหู

“เฮือก“ เสียงถอนหายใจของผม ทำให้ไอ้เป้กมันรู้ว่ามันตรงเป็นตรงนี้แน่ๆ เสร็จกู เมื่อรู้จุดอ่อนของผม ไอ้
เป้กมันยิ่งไซ้แรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมทนเกือบไม่ไหว ต้องร้องห้าม

“ปะ เป้ก มันเสียวนะเว้ย ยะ อย่าาา“ พลางเอามือดันหน้ามันออก แต่อย่างว่าแหละ มือที่ดันมันเหมือนเอา
ไปแตะมากกว่า เพราะตอนนี้ผมหมดแรงแย้ว

มันปัดมือข้างที่ดันหน้ามันออก ผมลืมตาขึ้น บัดนี้สายตาผมกะสายตาเป้กผสานกัน (ปิ้งปั้งๆ) เป้กค่อยๆ
เลื่อนหน้าเข้ามาหาช้าๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้า ใกล้ ….. ใกล้เกินไปแล้ว ผมคิด กำลังจะอ้าปากห้าม แต่ไม่ทันซะแล้ว
ทันทีที่ปากผมอ้า ริมฝีปากเป้กก็ประกบเรียบร้อยโรงเรียนเกย์…

ึถึงแม้มันจะไม่ใช่จูบแรกของผม แต่มันก็เหมือนใช่ มันเหมือนจูบมากว่าที่พี่รัญทำกับผมเมื่อก่อนจากไป เมื่อก่อนถ้ามันทำยังงี้ ผมคงกัดลิ้นมันไปแล้ว แต่จิตสำนึกตอนนี้ ณ ขณะนี้ มันไม่ปฏิเสธความแปลกใหม่นี้ เป้กบดปากเข้าประกับกับปากผมหนักขึ้น คราวนี้มันเอาลิ้นเข้ามาด้วยคับ หว๋า เป้กใช้ลิ้นดุนเข้าไปความหาลิ้นของผม ผมลืม
ตัวเผยอรับการมาของลิ้นไอ้เป้ก เราจูบกันดูดดื่มอยู่ซักพัก เป้กถอนปากออกมาไซ้ใบหน้าผมต่อ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น
พลางคิดในใจ ผมกำลังจะทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ซักพักก็เรื่อยมาที่ซอกคออีกครั้ง เสียงหายใจของผมเริ่มถี่ขึ้น
แรงขึ้น

มือไอ้เป้กปลดกระดุม 2 เม็ดที่อยู่บนเสื้อผมแหวกออก พร้อมกับเลื่อนหน้าไปซุกไซ้บนหน้าอกผม เรื่อยไปที่หัวนมสีชมพู (มั้ง ) ดูดอีกตะหาก โอ้ย มันจะทรมานผมมากไปแล้วนะเว้ย … แต่ผมบอกออกมาเป็นเสียงครางแทน

“อะ อ่าาาา ปะ เป้ก พะ พอเถอะ จะไม ไม่ไหวแล้วววว“ ผมบอกมันตามความจริง พอได้ยินดังนั้น ไอ้เป้ก
หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย กระซิบบอกผม …

“เสียวว ขนาดนั้นเลยเหรอน้องรัก “

จากนั้นกลับทำหนักกว่าเดิมอีก โอ้ว จอร์จ (ไม่มีความหมายแต่ประการใด) แค่มันไซ้ผมก็จะไม่ไหวแล้ว
คราวนี้มือมันครับ ปล่อยจากการกุมมือผม ล้วงเข้าไปในกางเกงเลยครับ (กล้ามากไอ้เวร) สัมผัสของมือไอ้เป้กทำ
ให้เจ้าบาสน้อยของผมที่แข็งโป้กอยู่แล้ว ยิ่ง…หนักกว่าเดิม ยังไม่พอครับ มันลูบจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน
ลูบวนๆ แล้วตวัด !!! (เอ๊ะ สรุปมันคือไร) เจองี้เข้า ผมดิ้นพล่านเลยคับ แต่ก็ยังไม่พ้นมือมารร้ายอยู่ดีคับ จนมันเห็นว่าผมไม่ไหวแล้ว หันมาประกบปากผมอีกรอบ ทำให้เสียงครางของผมรอดออกมาไม่ได้เลย ได้แต่อู้อี้อยู่อย่างนั้น มือมันก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีคับ ชำชองเหลือหลาย ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ผมถึงกับกอดรัดไอ้เป้กอย่างรุนแรง แล้วก็…

ครึก ครึก ครื่นนนนน !!

ตู้มมมมม !! ภูเขาไฟระเบิด ??

หมดแรง ใช่ครับ มันยิ่งกว่าหมดแรงอีก กางเกงผมเปื้อนไปหมดเลย ไอ้เป้กถอนปากที่ประกบอยู่ มองผมซึ่ง
กำลังหอบ มันยกมือข้างที่พึ่งปฏิบัติการระเบิดภูเขาไฟขึ้นมาดู พินิจพิจารณา แล้วยิ้มๆ

“โห ไม่ได้ทำมานานล่ะซิเนี่ย ทำไมมันออกมาเยอะยังงี้วะ“

ผมไม่มีแรงจะเถึยงอะไรกะมัน ไม่รู้จะพูดอะไรออกมามากกว่า ได้แต่นอนหอบอยู่เฉยๆ ซะงั้น มันลุกขึ้นยืน คว้าแขนผมให้ลุกขึ้น แต่ผมไม่มีแรงจะลุก

“เฮ้ย ลุกขึ้น ไอ้บาส ไปล้างก่อนเร็วดิ นายจะนอนทั้งงี้เลยเหรอวะ “ว่าพลางลากผมเข้าไปในห้องน้ำ

“เด๋วพี่อาบน้ำให้นะน้องรัก “ ยังกล้ามาบอกผมอีก

ผมได้สติขึ้นมา “ เฮ้ย ไอ้บ้า ไอ้ลามก ทำไรวะ อาบเองได้เว้ย ออกไป“
“โถ ทำมาเป็นอาย เมื่อกี้ยังนอนครางกระเส่าอยู่เลยม่ะใช่เหรอ ฮึ “ มันหยอกผม แล้วปล่อยให้ผมอยู่ใน
ห้องน้ำ โดยที่มันเดินไปล้างมือแล้วออกไป ผมยังคงมึนๆอยู่ (มึนกามา) คิดไรสับสน

เราทำอะไรผิดไปเหรอเปล่า ผมพูดกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมผมถึงปล่อยให้เป้กมันทำแบบนี้ เพราะผม
พึ่งเสียใจเรื่องแพรเหรอ ผมถึงอยากมีใครซักคน หรือว่าไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ถ้าไม่ใช่เป้ก ผมก็คง
ไม่ยอมให้ใครมาทำงี้หรอก ใช่แล้ว ความรู้สึกนี้ โอ้ว จอร์จ (ไม่มีความหมายแต่ประการใด) นี่ผมรักไอ้เป้กใช่มั้ยเนี่ย..
ผมถึงยอมแบบนี้ … ความสนิทของผมกับไอ้เป้กมันก่อตัวขึ้น แล้วพัฒนาเป็นความรักใช่มั้ย




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #6  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-11-2008 21:14:06
และแล้วก็เรียบร้อยโรงเรียนเป้ก 555
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 05-11-2008 21:17:38
ตามมาอ่านครับ  :o8:

มาอัพทียาวได้ใจมากเลยย  o13

 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 05-11-2008 21:43:16
ยาวมากๆ

พี่รัญ ... เป็นไงละ เป้กคาบไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 05-11-2008 22:04:23
ยาวมากเลยครับ ถึงใจมากอิอิ :m1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 06-11-2008 01:50:03
ง่า น้องบาส เสร็จพี่เป้ก ซะแล้ว
 :oni1:
พี่รัญ ชักช้านัก กลับมาด่วน :angry2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mazinga ที่ 06-11-2008 03:30:06
ตอนนี้ยาวสะใจมากๆๆเลย

สรุปเรื่องนี้ใครเป็นพระเอกกันแน่เนี่ย
จะเหมือนบ้านพักอันเดิมรึป่าวที่รักแท้แพ้ระยะทาง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 06-11-2008 21:23:32
นั่นดิ

แต่ภาคนี้หื่นๆนะเนี่ย

แล้วก็รู้สึกว่าบาส จิตใจไม่มั่นคงเลยอะ

ไม่เหมือน ปริ๊นซ์เลย

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-11-2008 15:20:29
หื่นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ตกลงต้องเสียตัวให้เป๊กก่อนชิิมิเคอะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 07-11-2008 17:38:55
มาต่อแบบว่ายาววววววว จุใจมากมาย


เมื่อไหร่พี่รัญจามาหวา
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 07-11-2008 23:47:43
อ่านทันแล้วค้าบบ 

จ๊ากกก!!! มีหลอนทุก 49วันหรือนี่    :sad3: :sad5: o22 o21

 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 08-11-2008 00:30:17

พี่รัญ กลับมาด่วนค่า

ไม่งั้นบาสเสร็จเป็กแน่เลย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Dangerous_patz ที่ 08-11-2008 10:46:24
  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:



เสดเป็ก แน่เรย




555+



หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 09-11-2008 00:08:41
เห็นทีจะเสร็จเป้กก่อนพี่รัญซะละ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Akiizz ที่ 09-11-2008 21:00:26
มาต่อเรวๆนะคับบ



สนุกจัง




ความรักกำลังจะเริ่มก่อตัว



พี่รัญกลับมาด่วนนนนน



 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 10-11-2008 21:29:31
รอ stp ครับ  :o11:

รอ พี่รัญ   :onion_asleep:

บาสทนอีกนิด  :impress:

 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 10-11-2008 22:37:40
โหยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ได้ไงเป้กๆๆๆอะ  แล้วพี่รัญยังไม่ได้อะไรขนาดนี้เลย นะบาสๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 11-11-2008 21:55:10
เสดเป็กซะงั้น :a5:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 12-11-2008 17:13:16

แหมม..!! "ไอ้เป๊ก" นี่มันหื่นจิงๆ

 o18
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 12-11-2008 17:56:04
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ

ลอยๆกระทง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 12-11-2008 22:57:18
อ่าว บาสทำงี้ แล้วพี่รัญ ล่ะ ม่ายยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 15-11-2008 11:54:35
จะมาต่อมั้ยห๊ะ!!  :beat:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 16-11-2008 21:19:19
ก็ยังคงรอต่อไป
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:41:55
“ ฟรี้.........ฟี้.........Zzzzzz” ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกได้ถึงลมหายใจอ่อนๆ ข้างหู เป้กยังนอนกอดผมอยู่
ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั้งตอนนี้ ยังรู้สึกแปลกใจไม่หาย เพราะปกติ ผมจะเป็นคนนอนค่อนข้างดิ้นพอควร ใครมานอน
ด้วยอาจโดนถีบได้ ผมค่อยๆยกแขนเป้กขึ้นอย่างเบา เพื่อไม่ให้มันตื่น พร้อมลุกขึ้นออกจากเตียง



“เฮ้ย วันนี้วันเสาร์อ่ะ จะรีบตื่นไปไหนเหรอ” เป้กถามผม หลังจากเห็นผมเดินออกจากห้องน้ำ

“วันนี้กะจะไปมหา’ลัยหน่อย จะเอางานไปให้ไอ้โจมัน” ผมตอบพลางเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะ “เออ ตื่นแล้วก็กลับห้องไปได้แล้ว ไป .... ชิ้ววว” ผมบอกพลางทำหน้ากวนบาทา

“ไรฟ่ะ ไล่กันแบบนี้มันหมายความว่าไง เออ แล้วไปหาโจแล้ว ไปไหนอีกป่ะ “

ผมส่ายหน้า

“งั้นไปซื้อของเป็นเพื่อนเราหน่อยดิ น่า นะ มันอ้อนผม ผมพยักหน้าอย่างอ่อนใจ เออ ไปก็ได้ แต่อย่า
นานน่ะเฟ้ย เด๋วต้องกลับมาทำงานต่ออีก งานแยะเป็นบ้าเลยห่ว่ะ.

“เออ น่า งั้นเดี๋ยว บ่ายโมงเจอกันหน้าลิโด้นะ ห้ามเลท ห้ามสาย ไม่งั้นโดนตื้บ ” มันขู่ผม พลางรีบสะบัดตูดกลับห้องไป



“...”





คุณผู้อ่านทุกท่านครับ คุณเคยได้ยินคำเปรียบเปรยที่ว่า “ คู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน ” บ้างมั้ยครับ แม้ว่าจะต้องเจออุปสรรคขวากหนามแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็จะต้องได้มาครองรักกัน คุณอาจจะเคยนึกฝันว่าวันหนึ่ง
ในวันฟ้าใส อากาศเย็นสบาย คุณอาจจะเจอ – คู่ – ของคุณโดยบังเอิญก็ได้ ... ในกรณีตรงกันข้าม คนเราแม้จะรักกันแค่ไหน แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้สร้างให้เกิดมาคู่กัน ก็คงต้องใส่คอนเวิร์ส เดินทางใครทางมันไปตามระเบียบ

เช่นกันในกรณีหลัง ในเดือนต่อมาหลังจากนั้น เป้กขอคบกับผมมากกว่าเพื่อนสนิท ช่วงแรกๆ ผมไม่กล้าที่
จะตอบรับ หรือแม้จะตอบปฏิเสธก็ไม่กล้า ทั้งที่ใจส่วนลึกของผมร่ำร้องให้ใครซักคนมาช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย
ไปจากชีวิต อีก 2 เดือนต่อมา ผมตัดสินใจตอบรับความหวังดีจากเป้ก ผู้ชายที่เปิดเผยความเป็นตัวตนของผม ...
ในช่วงแรก ช่างเป็นช่วงเวลาที่แปลกใหม่ เหมือนผมได้หาตัวตนของผมพบ ได้รู้สึกว่ามีคนที่รักเรา ทำทุกอย่างได้เพื่อ
ผมอย่างแท้จริง ... จนมันทำให้ผมลืมคิดข้อหนึ่งไป ผมรักเป้กมาก แต่มันน้อยกว่าที่เค้ารักผม เพราะอะไรนะเหรอ ...
ผมเคยถามใจตัวเอง เพราะความรักที่เหลือถูกซ่อนอยู่ในหัวใจของผม รักแรกที่ผมได้สัมผัส มันยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของผม เกินกว่าจะลืมเลือนไปได้ หน้าที่ของน้องปี1 ของผมกำลังจะหมดไป ก้าวสู่ปีที่ 2 พร้อมกับการกลับมา
ของรักแรกของผม ..... อย่าหาว่าผมหลายใจ เหรอว่ากะล่อนเลยนะฮะ ปิดเทอมหน้าร้อนที่จะถึงนี้ พี่รัญ พี่ชายที่แสน
ดีของผม กำลังจะกลับมาที่หอพักนี้อีกครั้ง พร้อมๆกับก้าวเข้ามาในหัวใจผมอีกครั้งแล้วครับ ...
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:43:09
.

.

.

stayingpower : ส่วนต่อจากนี้ไปจะเป็นบทของตัวละครอีกตัวนึงตัดสลับมา เ ป็นอีกมุมมองนึง
ตอนแรกอ่านของเก่าแล้วก็งงๆว่าตานี่คือใครหว่าลืมไปซะสนิทเลย เหอๆ


.

.

.

.

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:43:50
คุณคิดว่า ไอ้เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม น่าค้นหา จนคนบางคนถึงต้องพยายามไขว่คว้า หามันมาไว้ครอบครอง มันดีอย่างที่คนอื่นเค้าว่ากัน งั้นเหรอ ? แล้วทำไม ผมถึงต้องเสียใจกับความรัก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
จนผมสงสัย ความรักเป็นสิ่งที่นำพาความสุข มาให้กับเรา จริงเหรอ ???

ผมกำลังใช้ความอดทนอย่างมากครับ !?

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสัก 15 นาทีได้แล้ว ในเช้าที่อากาศแสนเย็นสบาย แตกต่างกับบรรยากาศมาคุในบ้าน
ของผม นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องตื่นขึ้นมาแล้วอารมณ์เสียในวันหยุดปิดเทอมเช่นนี้ ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่
ปัญหาสามี – ภรรยาทะเลาะกัน ผมไม่อยากจะสนใจเลยด้วยซ้ำ ถ้าเสียงเหล่านั้นไม่เข้ามากระทบโสตประสาททำให้
ผมต้องตื่น หลังจากพยายามใช้วิธีการเอาผ้าห่มมาคลุมหัวเพื่อหวังลดเดซิเบลของเสียงเป็นความคิดที่ผิด

ดูท่าทางการทะเลาะครั้งนี้จะกินเวลานานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนผมได้ยินเสียงปิดประตูบ้านดังโครมใหญ่
โดยที่เจ้าตัวไม่คิดว่า ถ้ามันพังไปแล้วจะต้องเสียเงินซ่อมอีกเท่าไร ผมจึงได้ฤกษ์เดินลงมาซะที

ภาพที่เห็นจนชินตา ชายวัยกลางคนยืนดูดบุหรี่ใกล้โต๊ะกินข้าว เพียงแต่ว่าวันนี้อาหารที่ควรจะอยู่บนโต๊ะกับ
ไปอยู่บนพื้นแทน หลังจากที่มองเห็นผม เค้าทำทีทิ้งบุหรี่ลงถังขยะ แล้วบอกผม

“ ตื่นแล้วเหรอลูก ?? พอดีพ่อซุ่มซ่ามไปหน่อย เลยปัดไปโดนข้าวปลาหกหมดเลย .. นี่ แม่เราเค้าก็โกรธพ่อยกใหญ่ สงสัยคงออกไปหาซื้ออะไรมากินละมั้ง !!! ” พ่อบอกผม พลางก้มลงเก็บถ้วยชามที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ผมไม่นึกอยากถามว่า พ่อซุ่มซ่ามอีท่าไหน ถึงปัดได้ตกทั้งโต๊ะ เหมือนโยนลูกโบวลิ่งสไตร์โดยไม่ต้องเก็บสแปร์

“ พ่อฮะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเก็บเอง พ่อไปนั่งพักเถอะฮะ ยิ่งเหนื่อยง่ายอยู่ด้วย “ผมบอกพลางก้มลงเก็บ
กวาด

“ พ่อสัญญาแล้วว่าจะไม่สูบอีก แล้วนี่อะไรฮะ “ ผมยื่นก้นบุหรี่ที่พ่อทิ้งไว้ในขยะถาม

“ พ่อเครียดนิดหน่อยน่ะ แล้วไม่คิดว่าลูกจะตื่นมาเห็น “ พ่อบอกผมเลี่ยงๆ พ่อมักจะสูบบุหรี่เป็นประจำเวลาที่ทะเลาะกับแม่ และพ่อก็ยืนยันกับผมว่า พ่อจะไม่สูบบุหรี่ให้ผมเห็น ยังงี้ ถ้าผมไม่เห็นพ่อก็คงจะสูบเหมือนเดิม แล้ว
มันจะมีประโยชน์อะไร นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน พ่อมีอาการปวดท้องจนถึงกับล้มฟุบ ผมต้องรีบพา
พ่อส่งโรงพยาบาล

“ ทางเราขอให้ภรรยาหรือญาติสนิทมาพบมิใช่เหรอครับ “ คุณหมอบอกกับผม

“ แม่ผมไม่ว่างครับ มีธุระด่วนนิดหน่อย “ ผมบอก

“ เออ แล้วไม่ทราบว่าจะติดต่อคุณแม่ให้มาร่วมฟังผลตอนนี้ได้มั้ยครับ ? “

ผมชักเริ่มหงุดหงิดในใจ ก็ผมบอกแล้วนี่ว่าแม่ไม่อยู่ แม่ไม่ว่าง พูดตามตรง คือไม่กลับมาที่บ้านมากกว่า

“ แม่ผมไปต่างประเทศครับ อีกหลายวันกว่าจะกลับ คุณหมอมีอะไรบอกผมก็ได้ครับ “ ผมพูดโกหกไป หวังจะให้รีบบอกซะที

“ อืม … คุณพ่อของน้องเคยตรวจร่างกายกับโรงพยาบาลอื่นบ้างมั้ยครับ ? “

“ คิดว่าไม่เคยครับ “

“ อืม … “

“ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ “

“ อืม … เราพบเนื้องอกในตับของผู้ป่วยครับ “ คุณหมอค่อยๆบอกผม

“ ผมยังทำหน้างุนงง พร้อมกับถามย้ำอีกครั้ง พ่อผมเป็นเนื้องอกเหรอครับ หมอ “

“ พูดตรงๆก็คือ เป็น มะเร็งตับนะครับ “

ผมมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ มาทุบหัวอย่างจัง สมองดูตื้อ คิดอะไรไม่ออก ชั่วขณะนึง ผมเผลอคิด
ไปว่า ควรจะโทรศัพท์หาแม่ดีมั้ย แต่เมื่อเรียกสติสัมปชัญญะได้ จึงคิดว่า โทรหรือไม่โทรก็ค่าเท่ากัน

“ แล้ว … แล้ว พอจะมีทางรักษาให้หายมั้ยครับ “ ผมถามไปเพราะถึงจะเป็นมะเร็ง แต่ถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ ก็
น่าจะรักษาได้ไม่ยาก

“ คงต้องใช้เคมีบำบัดน่ะครับ “ คุณหมอบอกผม พลางตบไหล่ผมเบาๆ

“ ทางที่ดี รีบติดต่อคุณแม่ให้เร็วที่สุดนะครับ ทางโรงพยาบาลจะทำการรักษาคุณพ่อตั้งแต่ตอนนี้เลย “

ผมรับคำคุณหมอ จากวันนั้นผ่านมา 2 อาทิตย์ ผมไม่รู้ว่าพ่อจะบอกแม่เรื่องที่เป็นมะเร็งไปเหรอยัง แต่ถ้า
บอกแล้ว แม่คงไม่ทำกับพ่อแบบนี้ ผมรู้ดี ว่าเหตุการณ์เช้าวันนี้ พ่อไม่ได้ซุ่มซ่ามปัดข้าวเช้าหกเลอะเทอะแบบนี้
ผมรู้ดี ว่าที่แม่ออกไปจากบ้านเมื่อเช้าไม่ได้ไปซื้อของกินมาใหม่หรอก แม่ไปหาใครบางคนต่างหาก !! ใครนะเหรอ ??

“ เราหย่ากันเถอะ ..!? “

เสียงที่แม่พูดกับพ่อยังก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลา พ่อกับแม่คงไม่รู้ว่าผมแอบได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง
ที่จริงจะเรียกว่าแอบก็คงไม่ถูก เพราะเสียงที่พูดนั้น ไม่ได้เบาเลยสักนิด ถ้าใครไม่ได้หลับอยู่ก็คงจะได้ยินกันทุกคน
น่าดีใจที่พ่อคิดว่าผมหลับไปแล้ว

“ ทำไมถึงคิดแบบนั้นละคุณ …. “

“ คุณยังจะมาถามอีกเหรอ คิดดูซิ ตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันมา …………….. “ แม่ผมพูดเรื่องอะไรต่อเรื่องอะไรที่
เป็นความผิดของพ่อออกมาหมด

“ คุณแน่ใจเหรอ ว่านั่นเป็นเหตุผลที่คุณอยากจะหย่ากับผมจริงๆ “ พ่อผมถาม จ้องสายตาไปที่แม่เพื่อต้องการเค้นความจริง

“ แม่หลบสายตาพ่อ “ ความเงียบเริ่มเข้ามา

“ ………. ฉันมีผู้ชายคนใหม่ !? “ แม่บอกกับพ่อ น่าแปลกที่พ่อไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่แปลกใจ ต่างจาก
ผมที่ได้ยินถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

“ คุณไม่สงสารลูกมั้งเลยเหรอ ลูกจะคิดยังไง ถ้ารู้ว่าแม่มันมีชู้ …. “ พ่อพูดออกมาด้วยเสียงที่ราบเรียบที่สุด แต่ในใจคงไม่แน่

“ โอ้ยคุณ ยัยเฟิร์นก็เรียนจบมีงานมีการทำอยู่ต่างประเทศแล้ว เจ้าฟิล์มมันก็อายุตั้ง 16 – 17 แล้ว เรื่องแค่นี้
ทำไมมันจะรับไม่ได้ “

“ ผมไม่หย่า ผมสงสารลูก “ พ่อตอบพร้อมลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอน ผมเห็นแม่ดูท่าทางหงุดหงิด และโมโหมาก นี่ถ้ามีปืนอยู่แถวนั้น แม่คงจะเลือกที่จะยิงใส่พ่อแน่ ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน พ่อก็มักบอกว่า แม่มีงานที่บริษัทเยอะ ต้องทำโอที ต้องไปพบลูกค้า ซะงั้น ผมก็เออออไปกับพ่อด้วย จะให้ผมบอกพ่อว่า พ่อ ผมรู้แล้วว่าแม่มีชู้ พ่อไม่ต้องโกหกผมหรอกฮะ ยังงั้นเหรอคับ คงไม่ได้มั้ง …

“ ฟิล์ม … ฟิล์ม … เจ้าฟิล์ม “ ผมสะดุ้งหลังจากที่ได้ยินพ่อตะโกนเรียกชื่อ

“ ฮะ พ่อ “

“ คิดอะไรอยู่น่ะ เรียกตั้งหลายที ไม่ยอมตอบ “ พ่อซักผม

“ คิดเรื่อยเปื่อยน่ะฮะ พ่อมีอะไรเหรอครับ “

“ ยังจะมีเวลาคิดเรื่อยเปื่อยอยู่อีกเหรอเรา จะสอบเอ็นฯติดเหรอเปล่ายังไม่รู้เลย เออ พ่อจะถามเราว่าถ้า
เอ็นฯไม่ติด หาที่หาทางไว้บ้างเหรอปล่าว “

“ โธ่พ่อ ติดอยู่แล้วล่ะ ถ้าเลือกคณะให้ดีๆก็พอ คะแนนผมก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรซะหน่อย “ ผมบอกไป

พ่อนี่ช่างเป็นห่วงเป็นใยผมเหลือเกิน ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้างก็ไม่รู้ ที่จริงตอนที่ผมรู้คะแนนสอบที่พึ่งได้มาสดๆร้อนเมื่อวาน ก็กังวลใจพอควร สงสัยผมคงจะเลือกคณะที่มันคะแนนต่ำไว้บ้างซะแล้ว ผมเจอเพื่อนที่โรงเรียนครั้งสุดท้ายตอนที่ผมไปส่งพวกมันที่สถานีรถไฟ เพื่อไปเที่ยวภูเก็ตกันเป็นการส่งท้าย พวกมันคาดคั้นเอาคำตอบจากผมที่ไม่ยอมไปกับพวกมัน

“ กูขี้เกียจไป มันไกลไป “

นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ผมหาได้ ผมต้องคอยดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ ที่สำคัญผมจำเป็นต้องช่วยพ่อประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เพราะพ่อต้องไปโรงพยาบาลทุกอาทิตย์ เพื่อรักษาโดยเคมีบำบัดพ่อมักถามผมเสมอว่า ทำไมผมถึงไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม

“ ถ้าผมไปเที่ยว แล้วพ่อจะอยู่กับใครล่ะครับ “

พ่อยิ้มให้ผม ผมไม่รู้ว่าพ่อดีใจแค่ไหน แต่พ่อจะตาแดงๆ แล้วเอามือมาลูบหัวผม แม้วันนี้ผมจะตัวโตกว่าพ่อแล้วก็ตาม ผมก็ชอบที่ท่านมาลูบหัวผม ไม่รู้เป็นไงซิ

ทุกๆสัปดาห์ พ่อจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อไปรับยาเป็นกำๆ แต่เมื่อพ่อออกมาจากห้องตรวจ ผมก็จะพบแต่รอยยิ้มเสมอ

ผมไม่เข้าใจเลย ผ่านไปหนึ่งเดือน พ่อกลับมีอาการที่ทรงกับทรุดอยู่ตลอดเวลา จนพ่อต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่
ที่โรงพยาบาล ร่างกายของท่านผอมลงเรื่อยๆ ผมกะว่าน้ำหนักคงลดไปหลายกิโล ไม่ซิ หลายสิบกิโลเลยหละ ผมบนศีรษะก็เริ่มร่วงไปเรื่อย เพราะฤทธิ์ยา

โชคดีที่ข่วงนี้ผมจบ ม.6 พอดีและรอผลเอ็นฯ ไม่อยากจะคิดว่า ถ้าผมต้องไปเรียน แล้ว ใครจะคอยดูแลพ่อกัน ผมพยายามติดต่อพี่เฟิร์น ที่สาวแท้ๆของผม และเป็นลูกแท้ๆของพ่อ ให้รับรู้ถึงอาการเจ็บป่วยบ้าง แต่คำตอบก็คือ ไม่ว่าง งานเยอะ ผมไม่รู้ว่า งานอะไรมันจะสำคัญไปกว่าการที่เสียเวลาซัก 2 -3 ชั่วโมงมาเยี่ยมพ่อบ้าง หลังจากวันที่ทะเลาะกับพ่อวันนั้น แม่ไม่เคยกลับมาหาเราอีก ที่สำคัญผมไม่อยากจะติดต่อไปด้วยซ้ำ ผมไม่อยากให้แม่มา
เยาะเย้ยสภาพที่พ่อเป็นอยู่ตอนนี้

- - พ่อฮะ ถึงจะไม่มีใครสนใจพ่อ ไม่มีใครอยากดูแลพ่อ พ่ออย่าเสียใจนะฮะ พ่อยังมีผมอยู่ทั้งคน ถึงผมจะ
ยังเด็ก แต่ผมก็จะดูแลพ่อเองฮะ พ่อฮะ ผมรักพ่อนะฮะ … - -

ก่อนวันประกาศผลสอบหนึ่งวัน พ่อบ่นอยากกินส้ม ที่จริง หมอไม่อนุญาตให้คนป่วยกินของข้างนอก แต่ก็ช่างมันเหอะ พ่ออยากกินอะไร ก็ต้องได้กินครับ หลังจากได้ของที่ต้องการแล้ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ สวัสดีครับ “

“ สวัสดีครับ ญาติของคุณ …. ใช่มั้ยครับ “

ใจผมหายไปถึงตาตุ่ม คนที่โรงพยาบาลโทรมา

“ พะ พ่อผมเป็นอะไรเหรอครับ “ ผมถามไปด้วยเสียงที่หวาดหวั่น

“ อ้อ พ่อคุณไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ คือผมเป็นหมอเจ้าของไข้นะครับ คือทางโรงพยาบาลต้องการฟิล์ม
เอ็กซเรย์ของคนไข้นะครับ คนไข้บอกว่าอยู่ที่บ้าน ผมก็เลยโทรมาน่ะครับ ยังไงรบกวนช่วยนำมาให้หน่อยนะครับ “

“ อ๋อ ได้ครับ “

หลังจากผมใช้เวลานานในการหา ก็เจอจนได้ พ่อเล่นซุกเอาไว้ซะมิดชิดเลย เพื่อความแน่ใจ ผมเลยเปิด
ซองเอกสารดูอีกรอบ

“ อ่า เป็นฟิล์มเอ็กซเรย์จริงๆด้วย “ ผมมองไม่ออกหรอกว่าไอ้มะเร็งตัวร้ายมันอยู่ตรงไหน แต่มีแผ่นโน็ตเล็กๆหล่นลงมา ผมคลี่อ่าน ปรากฏเป็นลายมือของพ่อครับ เขียนข้อความสั้นๆไว้ว่า …

- - วันที่ …. เดือน … ปี ….
ตรวจที่ ร.พ. …………..
ฮามอยืนยัน มะเร็งตับ ระยะสุดท้าย - -

มือของผมเกิดอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด มีไม่กี่ครั้งที่ผมจะรู้สึกเช่นนี้ มันจะเกิดเฉพาะตอนที่ผมตกใจ
หรือกลัวอะไรสุดๆเท่านั้น และมันจะกลับสู่ภาวะปกติในไม่ช้า แต่ครั้งนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น อาการสั่นสะเทิ้มของผม
มันไม่ยอมหยุด ร่างของผมทรุดฮวบลง พร้อมกับคำว่า ระยะสุดท้าย

- - ทำไมพ่อถึงไม่บอกผม ทำไม ทำไม …… - -

ผมเอามือทั้งสองข้างกุมศีรษะและซุกหัวลงไประหว่างหัวเข่า สิ่งที่พยายามอดกลั้นไว้ตลอด เพราะไม่อยากให้พ่อเห็น แต่ตอนนี้เกินกว่าที่จะควบคุมได้แล้ว ความท้อแท้ สิ้นหวัง และเสียใจ ประดังเข้ามาเหมือนพายุสลาตัน

- - ทำไม ทำไม พ่อครับ ถ้าพ่อเป็นอะไรไป แล้วผมจะอยู่ได้ไง ผมมันอ่อนแอฮะพ่อ - -

ผมร้องไห้ฟูมฟายออกมาถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นก็ตาม แต่มันก็เป็นทางออกเดียวที่ผมจะทำได้
ตอนนี้

“ เป็นอะไรไปลูก สีหน้าไม่ค่อยดีเลย “ พ่อถามผม ตอนนี้ผมกลับมาที่โรงพยาบาลแล้ว พร้อมสีหน้าที่เก็บ
ความทุกข์เอาไว้ให้ที่สุด แต่ก็ไม่เนียนพอ

“ พ่อฮะ ถ้าพ่อหายแล้ว เราไปเที่ยวทะเลกันมั้ยฮะ “ ผมพูดกับพ่อขึ้นมาลอยๆ

พ่อหันมามองหน้าผม

“ เอาไว้สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อน ค่อยมาขึ้นเรื่องเที่ยวนะ เจ้าหนู “

“ พ่อรอผมละกัน พรุ่งนี้เตรียมฟังข่าวดีไว้ได้เลยฮะ ผมยิ้ม แล้วถ้าสอบได้ พ่อสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับ
ผมมั้ยละครับ “ ผมว่าพลางยกนิ้วก้อยขึ้นมา ดูๆไปมันเหมือนการกระทำของเด็กซะมากกว่า

พ่อเอานิ้วก้อยเกี่ยวกับนิ้วผม พลางเขย่าเบาๆ

“ เอาซิลูก พ่อสัญญา แล้วจะไม่ชวนแม่เราไปด้วยเหรอ “

“ ไม่ครับ ผมจะไปกับพ่อ สองคนครับ “

คำสัญญาของพ่อเมื่อคืน ทำให้ผมมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่กำลังใจที่จะสอบได้ แต่เป็นการที่พ่อจะอยู่กับผมไปได้อีกระยะนึง

เช้าวันประกาศผลสอบ ผมรีบไปที่มหาวิทยาลัยดูผลทันที ผมว่าไปเช้าแล้วนะ แต่ยังมีพวกเช้ากว่าผมอีก ผมมองหาเพื่อนๆ แต่ไม่ยักเห็นสักคน พวกมันคงจะไปดูกันคนละมหาลัยมั้ง เมื่อไปถึงบอร์ดประกาศผล ใจผมเริ่มเต้น
ระรัวอีกครั้ง นี่ถ้าผมสอบไม่ติด ผมจะมีหน้ากลับไปบอกพ่อได้ไงเนี่ย

รอบๆด้าน เต็มไปด้วยสีสัน คนที่เห็นรายชื่อตนเอง ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่ผิดหวังก็ก้มหน้าร้องห่มร้องไห้ รุ่นพี่แต่ละคณะก็มารับน้อง รุ่นพี่บางคนก็มาช่วยรุ่นน้องหารายชื่อ ผมไม่ค่อยชอบเลย พวกรุ่นพี่พวกนี้ ชอบมาทำตีสนิท
ด้วย เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ชอบเสเสร้งทำเป็นรักรุ่นน้อง อยากช่วยเหลือรุ่นน้อง อยากจะแหวะ

“ น้องครับ น้อง “ ตามสัญชาติญาณของคนปกติทั่วไป มักจะหันไปหาต้นเสียง แม้จะรู้ว่าเค้าอาจจะไม่เรียก
เราก็เหอะ แต่มันไม่ใช่ผมครับ ผมยังคงควานหาชื่อของผมต่อไป โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

“ น้อง เฮ็ย น้องนั่นแหละ “ พร้อมกับมือของรุ่นพี่มาจับบ่าผมเบาๆ ผมหันกลับไปมองด้วยความรำคาญ
และไม่ชอบด้วย ที่ใครก็ไม่รู้ถือดีเข้ามาตีสนิท ผมหันกลับไปมองหน้าคนแปลกหน้า ดูท่าทางเค้าชะงัก ลังเลนิดหน่อย แต่ยังคงวางฟอร์มว่าเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิม

“ น้องชื่ออะไรครับ เดี๋ยวพี่ช่วยหานะ หาคนเดียวมันช้า “ เค้าบอกผม แต่ผมก็เห็นว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่
จะต้องขอรับความช่วยเหลือ

“ ไม่เป็นไรฮะ ผมมีตา ดูเองได้ “ ผมตอบไปโดยไม่รักษาน้ำใจคนที่มาช่วย ถึงยังไงผมกับเค้าก็ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน จึงไม่จำเป็นต้องรักษากันอยู่แล้วนิ ดูท่าทางรุ่นพี่แปลกหน้าจะมีอารมณ์บ้างเล็กๆ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะช่วยผม จนเค้าเริ่มที่จะหมดความอดทน ถ้าผมไม่ได้หูฝาดไป ผมได้ยินเค้าพูดว่า

“ อย่าให้มาเป็นรุ่นน้องในคณะนะน้อง โดนเล่นมิใช่น้อยแน่ “

เฮอะ ๆ ๆ มาขู่ผมอีก คิดว่าผมจะกลัวเหรอ ผมตั้งใจไว้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเข้าได้ ผมก็จะไม่ร่วมรับน้องแน่ๆ ผมมีภาระที่จะต้องดูแลพ่อของผมอยู่นิ กะอีกแค่ผมโดนตัดสายรหัส นับว่าจิ๊บจ้อยมาก และแล้ว ผมก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ผมหามานาน

รหัส ********************* ชื่อ นาย ******************************** คณะ *******************************

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่คณะที่ผมเลือกไว้อันดับหนึ่ง แต่แค่เข้าได้ผมก็ดีใจเป็นล้นพ้นแล้ว จนอยากจะตะโกนให้
ลั่น ผมนึกสีหน้าดีใจของพ่อเมื่อผมบอกท่านว่าเข้าได้แล้ว พ่อจะทำหน้ายังไงนะ

“ เหรอ สอบติดแล้วเหรอ อืม ตั้งใจเรียนนะ “

หึหึหึ พ่อต้องทำหน้าตาเฉย ทำไม่รู้ไม่สนใจ แต่พ่อต้องดีใจมากแน่ๆ แล้วผมจะได้ไปเที่ยวทะเลกับพ่อซะที

ผมรีบนั่งรถเมล์กลับมาที่โรงพยาบาลทันที ผมไม่จำเป็นต้องบอกแม่ ไม่จำเป็นที่ท่านต้องภูมิใจในตัวผม แต่ผมจะบอกข่าวดีกับพ่อคนเดียว ผมอยากให้พ่อภูมิใจไปกับผม ระยะทางกว่าจะถึงห้องที่พ่ออยู่มันเหมือนยาวกว่าทุก
วัน นี่ละมั้ง อาการดีใจ ผมคิด

เมื่อใกล้ถึงหน้าห้อง ผมเปลี่ยนจากวิ่ง มาเป็นเดิน ย่องไปหน้าห้อง ค่อยๆเปิดประตูเข้าไป เผื่อพ่อจะหลับ
อยู่ แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับเป็นเตียงที่ว่างเปล่า ผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เผื่อว่าพ่อจะเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่มี กลับออกมาดู
หมายเลขห้องอีกที เผื่อผมจะดีใจมากจนเบลอ แต่มันก็ถูกห้องนี่นา

- - เกิดอะไรขึ้นอีก พ่อไปไหนครับ - -

ไม่กี่อึดใจ ก็มีพยาบาลวิ่งมาบอกผม ว่าหลังจากที่ผมออกไป พ่อผมก็เกิดอาการช็อค เกิดชักกระตุกอย่าง
รุนแรง อาการโคม่า จนต้องรีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ผมได้ยินเท่านั้น เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกไว้ที่คอ ร้องไม่ออก ความยินดีที่เกิดขึ้น เปลี่ยนเป็นหวาดวิตก หวาดกลัว

ถ้าผมไม่ออกไป พ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้ โธ่ ผมไม่น่าทิ้งให้พ่อต้องอยู่คนเดียวเลย เพราะผม …….. ผมเฝ้าแต่โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระหว่างรอพ่อ อยู่นอกห้องฉุกเฉิน เวลาแบบนี้ แม่น่าจะอยู่ที่นี่ ผมอยากมีใครซักคนอยู่เคียงข้างเวลาที่ต้องเจอเหตุการณ์เลวร้าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า …

ผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมง ที่พ่ออยู่ในห้องฉุกเฉิน หัวใจพ่อหยุดเต้นไป 2 ครั้ง จนต้องถูกย้ายเข้าไปที่ห้อง ไอซียู
ถึงแม้ชีพจรจะกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่ก็ยังโคม่าอยู่

พ่อเคยบอกกับผม ว่าคนเรา ถ้าอยากจะร้องไห้ ก็ควรร้อง อย่าเก็บมันไว้ ตอนนี้ผมอยู่ในสภาพนั้นที่พร้อมจะร้องออกมาทุกเมื่อ แต่มีเพียงเสียงสะอื้นออกมาเท่านั้น แม้แต่น้ำตาก็ไม่ไหลสักหยด มันไม่ได้ร่ำไห้ออกมาภายนอก
แต่มันร่ำร้องอยู่ภายในร่างกาย ผมอยากเจ็บแทนพ่อเหลือเกิน ถ้าผมทำได้

- - จะให้ทำไง จะทำอย่างไรดี จะให้ทำไง จะทำอย่างไรดี - -

คำ 2 คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวผม สุดท้าย ผมเริ่มรู้สึกแค้นใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ แค้นโชคชะตา แค้นโลกทั้งโลก ….

ผมเผลอหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวตอนที่คุณหมอมาจับตัวผมไว้

“ ตื่นแล้วเหรอ เราต้องหาอะไรกินบ้างนะ “ คุณหมอบอกผม คงสังเกตอาการอิดโรยของผม

“ ไม่เป็นไรคับ ผมไม่เป็นไร ผมจะคอยพ่อครับ “

คุณหมอไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ซึ่งผมก็ลืมไปว่า ทำไมคุณหมอถึงออกมาข้างนอกล่ะ ไม่รักษาพ่อผมแล้ว
เหรอ

“ เข้มแข็งไว้นะ “ แล้วหมอก็มากอดผมเบาๆ พร้อมกับจูงมือผมเข้าไปในห้องไอซียู

ประสาทผมด้านชาไปหมด พร้อมทั้งความรู้สึกทั้งหมดของผม ขาที่ก้าวไปแต่ละก้าว มันช่างยากเย็นเหลือเกิน จนเหมือนไม่อยากจะเดินเข้าไปอีก ผมค่อยๆ มาถึงร่างของพ่อ ร่างของพ่อเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง สภาพของพ่อทำให้ผมน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว พ่อเหมือนหุ่นยนต์ที่เสียแล้ว

“ คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ ทางเราขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ทางเราพยายามจนสุดความสามารถแล้ว “

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ ทำไมมันช่างบาดลึกเข้าไปในจิตใจของผมได้มากขนาดนี้ จนบางทีผมเหมือนกับจะ
ไม่สามารถทนอยู่บนโลกที่โหตร้ายใบนี้ได้อีกแล้ว ผมค่อยๆเดินไปที่ร่างอันไร้ชีวิตของพ่อ กุมมือท่าน พ่อผมจากโลกนี้ไปอย่างเดียวดาย แม้แต่ลูกสุดที่รักของท่าน ก็ไม่สามารถมาดูใจท่านก่อนสิ้นใจได้ พ่อต้องเสียแม่ไปคนนึง
เสียลูกสาวไปคนนึง

- - พ่อครับ พ่อฮะ พ่อตื่นขึ้นมาซิฮะ พ่อรอฟังข่าวดีจากผมอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมสอบติด ผมสอบเข้าได้แล้วครับพ่อ ่พ่อไม่ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก็ได้ฮะ ขอเพียงพ่อตื่นขึ้นมา เท่านั้นครับ เพียงเท่านั้นเองครับ … พ่อเคยบอกว่าผมอยู่ที่ไหน พ่อก็จะอยู่ที่นั่น อย่าทิ้งผมไว้นะครับพ่อ อย่าทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวนะฮะ…

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:45:21
เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป ไม่ว่าอีกนาน แสนนาน นานเท่าไรเท่าไรไม่ลืมเลือน
ความทรงจำจะย้ำและช่วยเตือน เราต่างผูกพันเพราะรัก …. ตลอดไป - -

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

“ สวัสดีครับ หอ ……… ครับ “

“ บาสเหรอ เป้กพูดนะ วันนี้เราไม่กลับหอนะ ต้องเตรียมงานรับน้องที่มหาลัยอ่ะ “


“ โห เตรียมรับน้องกันแล้วเหรอ เค้ายังไม่ประกาศผลสอบเลยนะ แล้วจะกลับวันไหนล่ะ “

“ อืม … คงทำกัน 2 -3 วันแหละ ยังไม่แน่เลย “

“ อ่า ที่ไม่กลับนี่ คงไม่ใช่ว่ากลัวแฟนหายหรอกนะ ถึงต้องคอยคุมซะ 24 ชม. อิจฉาพวก
ข้าวใหม่ปลามันหว่ะ “

“ เฮ้ย ม่ายช่าย ไปทำงานจริงๆ เรื่องแฟนอ่ะ มันแค่ผลพลอยได้ตะหาก เออ เดี๋ยวเราต้อง
ทำงานแล้ว แค่นี้ก่อนนะบาส หวัดดี ….”

หลังจากเสร็จสิ้นบทสนทนา ผมเดินกลับเข้าห้อง หยิบกีต้าร์ขึ้นมาดีดต่อ

- -ไกลห่างคนละฟ้า แต่ด้วยรักและศรัทธา จะเชื่อมใจ ถึงกัน
แทนสัญญา …….. ด้วยหัวใจ ……….. ไม่มีใครแทนเธอ ……
………………………………
เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป ไม่ว่าอีกนาน แสนนาน นานเท่าไรเท่าไรไม่ลืมเลือน
ความทรงจำจะย้ำและช่วยเตือน เราต่างผูกพันเพราะรัก …. ตะ …. - -

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมยังนั่งดีดกีต้าร์ต่อไป ผมไม่ใช่โอเปอเรเตอร์ประจำหอซะหน่อย ถึง
ต้องมาคอยรับโทรศัพท์ ในวันที่พวกเค้าไม่อยู่แบบนี้ หอพักหลังนี้ค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นบ้านเช่าไปซะแล้ว

ผมยังนึกสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครมาอยู่ใหม่ซะที คนเก่าก็หายหน้าไปทีละคนสองคน หลังจากที่รับปริญญาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พี่โอก็ได้งานทำทันที กว่าจะกลับก็มืดทุกวัน ไอ้น้ำต้องอยู่เรียนที่นครปฐมจนไม่ค่อยได้กลับ ทำให้ส่วนมากหอหลังใหญ่แห่งนี้จึงมีเพียงผมกับเป้กอยู่เท่านั้น

พูดถึงเป้กแล้ว มันคือแฟนคนแรกของผม หลังจากที่เราได้ลองคบกันได้ 3 เดือนหลังจากนั้น ทำให้เราได้
ศึกษานิสัยใจคอกันละเอียดมากขึ้น การที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกัน ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดเท่ากับนิสัยของเป้ก ที่เป็น
คนค่อนข้างขี้หึง และคอยทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมมากเกินไป ทั้งที่ก็รู้ว่าทำไปเพราะรัก แต่มันไมใช่สำหรับผม
ซะแล้ว ผมคิดอยู่นานพอควร ก่อนบอกเลิกความสัมพันธ์ในฐานะแฟน กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมบอกมันน่ะเหรอ เป้กถึงกับไม่พูดกับผมไปเกือบ 2 อาทิตย์เลยทีเดียว และด้วย
วุฒิภาวะที่สูงขึ้นกว่าเก่า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจอะไรมันก็ไม่ทราบได้ มันก็กลับมาเป็นเพื่อนที่แสนดีของผมอีกครั้ง
ก่อนจบปี 1 ไม่กี่วัน เป้กพาคนพิเศษคนใหม่ของเค้ามาแนะนำให้รู้จัก

แฟนของเป้กคนใหม่น่ารักมากครับ ถึงแม้จะเรียนคนละที่กับเป้ก แต่ก็ไม่เป็นปัญหา ดูไปแล้วเหมาะสมกว่าผมอีก แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บแปล้บที่หัวใจก็ไม่ทราบ เอาเถอะ เพื่อนมีความสุข เราก็ควรจะสุขไปด้วยซิ จริงมั้ยครับ

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - -

เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด จนผมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้

“ สวัสดีครับ หอ ……… ครับ “

“ เออ รับได้ซะที กูนึกว่าตายห่- กันทั้งหอแล้วซะอีก “

ไอ้โจเพื่อนที่มหาลัยของผมตะโกนด่ามาทางสายโทรศัพท์จนผมหูชา

“ นิ มึงมีไรก็รีบๆพูดมาดีกว่า แล้วอย่าตะโกนได้ม่ะ หูกูจะแตกอยู่แล้ว “

“ เออ พรุ่งนี้มหาลัยประกาศผลเอ็นฯแล้ว ไปดูแลน้องใหม่ด้วย “

“ อ่า กูไม่ว่าง มึงทำแทนทีนะ “ ผมบอกทั้งๆที่รู้ว่ามันจะตอบอะไรกลับมา

“ ไม่ได้ … มึงต้องมา หอมึงใกล้แค่รูตูดแค่นี้ มึงไม่มาเจอดีแน่ พรุ่งนี้พวกนัดกัน 8 โมง ที่ …. “

โจยังไม่ได้บอกสถานที่ผมก็ชิงวางหูไปก่อน เฮ้อ ผมไม่มีกะจิตกะใจจะไปรับน้องหรอกนะ ว่าแล้วผมก็ถอดสายโทรศัพท์ซะเลย จะได้ไม่มีใครมากวนผมฝึกกีต้าร์อีก

ทั้งๆที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่มีกิจกรรมวันนี้แล้วแท้ๆ แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยร่วมกิจกรรมอะไรเลยที่คณะจัดทั้งปีตอนอยู่ปี 1 ทำให้เป็นแรงขับดันอะไรบางอย่างให้ผมสำนึกได้ (ถึงแม้จะดูสายไปบ้าง)

ผมมองไปรอบบริเวณที่ประกาศผล

อ่า เมื่อปีที่แล้ว ผมก็เป็นหนึ่งในเด็กนักเรียนเหล่านี้ ความรู้สึกตื่นเต้น ความกลัว ความหวาดหวั่นของเหล่า
เด็กม.ปลาย เหล่านี้ เป็นเหมือนรังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ รุ่นพี่หลายคนช่วยน้องหารายชื่อ มันถือว่าเป็นน้ำใจ
อย่างนึงที่เค้าเหล่านั้นพอจะทำให้ได้ ถึงแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม

ความสำเร็จ มักคู่กับความล้มเหลวเสมอ ภาพของเด็กที่ดีใจ กระโดดโลดเต้น ด้วยใบหน้าที่สดชื่น
ช่างทำร้ายจิตใจของดวงตาอีกหลายคู่ ที่ยืนมองด้วยความอิจฉา แล้วเดินจากไปด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว หลายๆคนที่
มากับเป็นหมู่คณะก็มีเพื่อนปลอบใจ บางคนมั่นใจมาแบบเดี่ยวๆ (อันนี้ไม่มั่นใจว่าเพราะอายเพื่อนเหรอปล่าว ถ้า
สอบไม่ติด เลยโชว์เดี่ยว )

ผมเดินลาดตะเวนมาได้พักใหญ่ ก็ได้โอกาสไปทักทายน้องๆบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ได้รับการพูดคุยที่ดี แน่ละซิผมก็ต้องวางมาดรุ่นพี่ที่แสนดี คอยให้คำปรึกษาน้องๆซะหน่อย อ่า ด้วยความที่หน้าตาผมใช้ได้อยู่บ้างหรืออะไร
ไม่ทราบจึงมีแต่น้องผู้หญิงมาคุยด้วยซะส่วนใหญ่ อยากจะบอกว่ามันก็ดีหรอกนะ แต่ผมอยากคุยกะน้องผู้ชายบ้างอะ (ความหม้อเด็กเริ่มบังเกิด)

อ่า ไม่ได้ ผมจะมาทำตัวแบบนี้ไม่ได้ เราเป็นรุ่นพี่นะเฟ้ย จะมาคิดอะไรแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไป
สะดุดตากับเด็กคนนึง จะเรียกว่าเด็กคงไม่ได้แล้วมั้ง เพราะตัวโตทีเดียว ผิวขาว ลูกคนจีนแน่ๆ แม้ตาจะโตไปบ้าง
ถอดแบบเอาส่วนดีของคนไทยและคนจีนออกมาได้พอเหมาะทีเดียว แต่เห็นหาชื่ออยู่ตั้งนาน สงสัยไม่พบ ผมจึงเดิน
เข้าไปหาหวังจะช่วย

“ น้องครับ น้อง “ ผมเรียกเบาๆ แต่เจ้าตัวไม่ยอมหันมาหาแฮะ ยังก้มหน้าก้มตางุดๆหาอยู่

“ น้อง เฮ็ย น้องนั่นแหละ “ ผมเรียกอีกรอบ เพราะนึกว่าเค้าไม่ได้ยิน พร้อมกับเอื้อมมือไปจับบ่าเบาๆ น้องเค้าหันมาหาพร้อมกับสายตาที่ผมตีความว่าออกแนวรำคาญซะงั้น ทำเอาชะงักไปเหมือนกัน แต่ต้องวางมาดนิด
หน่อย

“ น้องชื่ออะไรครับ เดี๋ยวพี่ช่วยหานะ หาคนเดียวมันช้า “ ผมถามเค้าด้วยท่าทีที่เป็นมิตรที่สุด ไม่อยากจะมองว่าน้องเค้าจะหยิ่งหรอกนะครับ ถ้ามันไม่พูดถ้อยคำนี้ขึ้นมา

“ ไม่เป็นไรฮะ ผมมีตา ดูเองได้ “ น้องเค้าบอกผมแล้ว สายตาก็หันไปที่บอร์ดอีกครั้ง อ้าว พูดแบบนี้มันไม่
รักษาน้ำใจกันเลยนี่หว่า หลังจากที่ผมพยายามพูดคุยกับน้องเค้าแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ผมจึงหมดความอดทนในที่สุด ก่อนที่ผมจะผละออกไป ก็ขอพูดอะไรจากใจหน่อยนึง

“ อย่าให้มาเป็นรุ่นน้องในคณะนะน้อง โดนเล่นมิใช่น้อยแน่ “ นี่ผมพูดจริงๆนะครับ ไม่ได้ล้อเล่น พร้อมกับ
จดจำใบหน้าเจ้าจอมหยิ่งไว้อย่างชัดเจน

“ เออ วันพระไม่ได้มีแค่หนเดียวหรอกไอ้น้อง แม่ง นึกว่าหล่อเหรอไงฟ่ะ “ ผมพูดงึมงำอยู่คนเดียว แล้วก็ตัดสินใจกลับหอเลย พอกันที สำหรับวันนี้ เฮ้อ เมื่อไรจะเปิดเทอมซะทีเหว่ย

“ สวัสดีครับ แม่เหรอครับ พรุ่งนี้ผมกลับบ้านนะฮะ “ เวลาที่ผมอารมณ์เสีย หรือรู้สึกว่ากรุงเทพฯไม่มีอะไรจะทำแล้ว ผมก็คิดอยากกลับบ้านทันที

“ มีอะไรเหรอเปล่าบาส “ ก็เป็นคำถามที่แม่ผมมักจะถามอยู่เสมอ ทำไมแม่ถึงคิดว่าผมจะต้องมีปัญหาถึงกลับบ้านนะ

ไม่มีอะไรฮะ ผมแค่อยากมาหาแม่เท่านั้นล่ะ เออ แล้วพ่อละครับ

“ พ่อไปสัมนาวิชาการที่ชะอำลูก กว่าจะกลับก็อีก 2 -3 วันโน่น “ แม่ตอบผม

“ เออ บาสยังไม่น่ารีบจากกรุงเทพมาเลย แม่ว่าวานอะไรซะหน่อย “

“ อ้าว แม่มาโทษผมได้ไงอ่ะ แล้วทำไมไม่โทรศัพท์มาบอกผมละฮะ “

“ ใครว่าแม่ไม่โทรล่ะ โทรฯไปไม่รู้กี่สิบรอบ แต่สายก็ไม่วางตลอด โทรศัพท์ที่หอเสียเหรอเปล่าลูก “

แม่ผมถาม พอดีกับที่ผมนึกขึ้นได้ว่า ตัวการที่โทรฯไม่ติดนั่งอยู่ข้างหน้าแม่นี่ไง

“ เพื่อนผมมันมีแฟนนะฮะ มันเลยใช้มากไปหน่อย ไงเดี๋ยวบาสไปด่ามันให้ครับ “ ผมโบ่ยไปเรื่อยเปื่อย

“ แล้วแม่มีอะไรจะให้ผมทำเหรอคับ “

“ คือเพื่อนพ่อที่กรุงเทพฯ เค้าเสียกระทันหันน่ะลูก “ ผมได้ยินเท่านั้นก็ทำหน้าเบ๊ แม่เห็นก็ยิ้มแล้วพูดต่อ
“ แม่ว่าจะวานให้เราซื้อพวงหลีดไปให้เค้าซะหน่อย “

“ เค้าเป็นอะไรตายเหรอแม่ “

“ เอ ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ รู้สึกว่าจะเป็นมะเร็งตับ กว่าจะรู้ตัวรักษาก็สายไปซะแล้ว ลูกชายเค้าก็ต้องอยู่คนเดียวขาดทั้งพ่อทั้งแม่ น่าสงสารนะ “ แม่บอกผมพลางลูบหัวเบาๆ

ผมเข้าใจดี มะเร็งตับแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่นๆ มันจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา มันจะเพาะบ่มเมล็ด
พันธุ์แห่งหายนะไว้ในตัวผู้เคราะห์ร้าย เมื่อถึงเวลา ก็จะระเบิดออกมา กว่าคนป่วยจะรู้ตัวก็สายไปซะแล้ว

“ แม่ครับ แม่กับพ่อต้องไปตรวจร่างกายซะบ้างนะครับ ผมเป็นห่วง เดี๋ยวไม่มีใครอยู่เลี้ยงดูผม ก็แย่อะดิ “
ผมหยอกแม่เล็กน้อย ก่อนที่จะขอตัวขึ้นไปนอน อ่า ห้องนอนที่ผมนอนมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่เคยเปลี่ยน ความอบอุ่น ความห่วงใย ยังติดตรึงอยู่ทุกอณู ผมคิดถึงคำพูดของแม่

“ ลูกชายเค้าก็ต้องอยู่คนเดียว ขาดทั้งพ่อทั้งแม่ น่าสงสารนะ “

- - อ้าว แล้วแม่ล่ะ แม่ไปไหน หรือว่าแม่เค้าก็ตายไปแล้วงั้นเหรอ น่าสงสารจัง แม่บอกว่าอายุเค้าก็รุ่นราว
คราวเดียวกับผม - -

ถ้าผมเป็นเค้า คงจะทุกข์ใจแย่ ผมคงไม่สามารถอยู่คนเดียวได้หรอก ผมลุกขึ้นสวดมนต์ พร้อมคิดถึงเด็กคนนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้บทสวดมนต์ของผมผ่านไปถึงเค้า อย่าท้อแท้ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องเห็นใจเค้าถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ทำแล้วก็รู้สึกสบายใจน่ะฮะ

ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมกลับมาอยู่บ้านนานขนาดนี้ เลยถือโอกาสเที่ยวซะเลย ผมดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าๆสมัยม.ต้น หลายคนยังเรียนระดับอุดมศึกษาที่บ้านเกิด หลายคนก็กลับมาจากกรุงเทพเหมือนกับผม แต่ดูท่าทางมันจะตกใจ
กับความเปลี่ยนแปลงของผมพอสมควร แหม หายหน้ากันไปเกือบ 4-5 ปีมันก็ต้องแปลกตาไปบ้างดิ ทั้งๆที่ ตอน ม.ต้น ผมเป็นเด็กที่ไร้จุดเด่นซะเหลือเกิน

ในเดือนพฤษภาคม ก่อนวันกลับกรุงเทพฯ ผมแวะไปที่ โรงเรียนเก่าสมัยม.ต้น พร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน ตอนนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ผมค่อนข้างประหม่าพอสมควรที่จะเข้าไปในโรงเรียน แล้วเผชิญกับสายตาของรุ่นน้อง
ทั้งชายหญิง เฮ้อ เมื่อก่อน โรงเรียนผมเป็นชายล้วน แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นสหศึกษาเรียบร้อย

เมื่อมีรุ่นพี่กลับมาเยี่ยมเยือน เหล่ารุ่นน้องก็มักให้ความสนใจ ซักถามเรื่องเรียน และอาจมีเรื่องส่วนตัวบ้างเล็กน้อย

“ พี่ๆ ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อยเด๊ะ “

“ พี่ๆ มีแฟนเหรอยังอ่ะ “

ที่จริงผมไม่ได้โดนถามคนเดียวหรอกนะฮะ เพียงแต่ผมไม่ชอบเท่านั้นเวลามีคนมาถาม และแซวมากๆ ข่วงแรกก็เขินอายบ้าง แต่ต่อมานิสัยผมจะเริ่มออก คือจะเริ่มรำคาญ และหงุดหงิด จนความอดทนสิ้นสุด เมื่อมีน้องกลุ่ม
นึงที่ดู แ-ดมากๆมาถามผม

“ พี่ๆ ทำไมหล่อจัง มีแฟนยังอ่ะ “

ผมมองพวกเค้าด้วยสายตาเย็นชา ลุกขึ้นยืน

“ อืม … อ่า น้องครับ เสียใจด้วยนะครับ คือ พี่ไม่ชอบผู้หญิงน่ะครับ “

แล้วผมก็เดินออกมาทันที โดยไม่รอดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ผมว่าไม่อื้งก็งงอ่ะ แต่ช่างเหอะ ผมคงไม่เจอแม่พวกนั้นเป็นหนที่สองหรอกน่า

วันรุ่งขึ้นกว่าผมจะกลับมาที่หอก็ปาเข้าไปซะมืด พร้อมกับเห็นเป้กยืนอยู่หน้าบ้าน

“ ทำหน้ากวนตีนเหมือนเดิมเลยนะ “

“ อ้าว … พูดแบบนี้เดี๋ยวมีได้เสีย “ ไม่พูดปล่าว เดินมารัดคอผม

“ โอ้ย … นายอะมีไรก็ว่ามา “

“ รู้ได้ไงว่ามีเรื่องจะบอกอ่ะ มันถามผม “ โธ่เอ้ย หน้ามันนี่โคดบอกเลยแหละครับ ว่ามีข่าวดีจะบอกหว่ะ

“ เมื่อกี้พี่รัญโทรฯมา บอกว่า พรุ่งนี้จะกลับ “ เป้กบอกผม

“ จริงป่าว เป้ก เฮ้ย อย่าล้อเล่นแบบนี้นะเว้ย “ ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ผมไม่เชื่อไอ้เป้กมากกว่า ไม่รู้ว่าผมทำหน้าตาดีใจและตื่นเต้นแค่ไหน จนเป้กแซวผม

“ จะดีใจอะไรกันนักกันหนา แค่พี่กลับมาแค่เนี้ย ให้มันน้อยๆหน่อย หึงนะ “ มันยังมีหน้ามาหึงอีกเหรอ

“ หึงบ้าอะไรฟ่ะ น้อยๆหน่อย พูดงี้เดี่ยวกูไปบอกไอ้เอกหรอก “

“ ขู่เหรอ “

“ ไม่ได้ขู่ พูดจริง แล้วก็ปล่อยกูได้แล้ว มันหายใจไม่ออก “ ผมบอกมัน เพราะเห็นว่าเล่นแรงไปแล้ว

“ เออ ปล่อยก็ได้ ………….. เชอะ รักแรกมันจะมีดีอาไร “

“ ก็ดีกว่าคนบางคนอ่ะ “

“ จ้าๆๆ ไม่เถียงแล้วจ้า รีบๆไปนอนเถอะจ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปรับพี่ชายสุดที่รักไม่ทันน้าา ”

เป้กพูดทิ้งท้ายแบบกวนเหมือนเดิม แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะว่ามันหรอก เพราะใจผมตอนนี้อยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ ใจจะขาดแล้วเอ้ย …
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:46:01
”ที่จริงแม่ไม่เห็นต้องลำบากมาเลยนี่ฮะ เพื่อนๆของพ่อก็จัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ”

ผมบอกแม่ระหว่างเดินนำไปจุดธูปหน้าศพของพ่อ วันนี้เป็นวันสวดคืนสุดท้ายแล้ว ก่อนหน้านั้น 6 คืนแม่ไม่เคยย่างกลายเข้ามาในงานแม้แต่น้อย ปล่อยให้ผมต้องรับหน้าแขก และจัดงานอะไรต่ออะไรตามลำพัง ดีที่ยังมีเพื่อน
สนิทของพ่อบางคนคอยช่วยเหลือ ไม่งั้นลำพังคนโง่อย่างผมคงทำอะไรไม่ได้หรอก



แม่หันมาบีบข้อมือผม แรงบีบทำให้ผมรู้ว่า แม่ไม่พอใจมากที่กับคำพูดของผมไม่ครู่นี้ … แต่ผมไม่สนหรอก ก็มันเรื่องจริงนี่

”พรุ่งนี้จะเผาพ่อ 4 โมงเย็นครับ แล้วจากนั้นมะรืนจะเอากระ ….. ”

ผมยังพูดไม่ทันจบ แม่ก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน

”พรุ่งนี้แม่มีธุระ ต้องบินไปอังกฤษ คงอยู่เผาพ่อแกไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำละกัน ”

”เลื่อนเที่ยวบินไปก่อนไม่ได้เหรอฮะ แต่ 4 โมงเย็นเอง งานอะไรจะสำคัญปะ …”

”ไม่ได้ ก็คือไม่ได้ พูดแค่นี้แกยังไม่เข้าใจอะไรอีกหรือไง ทำไมไม่รู้จักฉลาดขึ้นมั่งเลยนะ โตขนาดนี้แล้ว
ทำไมไม่เอาอย่างพี่แกมั่งนะ ”

แม่ผมพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แม่ชอบเอาผมไปเปรียบเทียบกับพี่เฟิร์น พี่สาวของผมผมอยากจะบอกแม่ว่า
ผมไม่อยากเอาแบบอย่างพี่เฟิร์นหรอกฮะ เพราะพี่สาวของผม ทั้งนิสัย ทั้งท่าทางเหมือนเคาะแบบอย่างของแม่ออก
มาไม่ผิดเพี้ยน ดูอย่างพ่อตัวเองตาย ยังไม่กลับมาแม้แต่งานศพ

”งั้นเหรอครับ” ผมบอกสั้นๆ พร้อมกับสายตาของผมมองไปที่แม่ของตัวเองอย่างเย็นชา

ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่ถูกมองจะรู้สึกอย่างไร แต่พ่อมักจะเขกหัวผมอยู่เสมอ เวลาที่ผมมองใครด้วยสายตาแบบนี้

”อย่ามองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้อีกเด็ดขาดนะฟิล์ม พ่อไม่ชอบ สายตาที่ดูถูกดูแคลนคนอื่นแบบนี้ อย่าทำให้พ่อเห็นอื่นเด็ดขาดนะ จำไว้ ”
พ่อฮะ ผมจำได้ตลอด ที่พ่อสอนผมไว้ ผมพยายามไม่มองคนอื่นแบบนั้นอีก แต่วันนี้ .. ผมบังคับตัวเองไม่ได้ฮะ ไม่รู้ทำไมครับพ่อ แถมคนที่ผมมอง เป็นบุพการีอีกตะหาก

”อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้นะ” แม่ตวาดใส่ผม พร้อมกับสายตาหลายคู่ในงานหันมามอง

”ฉันเป็นแม่แกนะ กว่าจะคลอดมาได้นี่ หัดจำใส่กะลาหัวไว้บ้าง สำนึกไว้บ้าง” แม่ยังพูดต่อโดยไม่สะทก
สะท้านต่อสายตาแขกเหรื่อ แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น ชายคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกระซาบอะไรกับแม่ ทำให้ท่า
ทีเปลี่ยนไป ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ผมไม่สงสัยเลย

”จัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วกัน เรื่องบ้าน เงินทอง กลับมาหวังว่าคงจะเสร็จเรียบร้อยนะ” แม่ว่า ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่ 18 ปีเลยด้วยซ้ำ แล้วผมจะทำอะไรได้มั่งเนี่ย ได้ยินเท่านั้น ผมอยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาให้ดังลั่นงาน

”งั้นฉันกลับก่อนนะ … แล้วนี่เพื่อนแม่” แม่ผมทำเหมือนว่าผมอยากจะรู้จักนักนี่

”…………………. ” ผมหันไปมอง ทำทีว่า เออ แล้วไงล่ะ

”ผมขอตัวไปดูแลในงานก่อนนะครับ ”

แม่ทำหน้าเหมือนจะบีบคอผมให้ตายไปก็ว่าได้ ดีที่ผู้ชายคนนั้น ห้ามไว้ คงกลัวจะเสียหน้าละมั้ง แม่เดินออกจากงานด้วยท่าทางฉุนเฉียว พร้อมกับรถคันใหม่ที่ผมไม่คุ้นตา …

แม้ยามค่ำคืน ในมหานครก็ยังคงสว่างไสว สีสันอันหลากหลาย แปลกตาที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้ทำให้
จิตใจที่ห่อเหี่ยวของผมดีขึ้นมาได้ แย่ซะยิ่งกว่านั้น ผมกลับนึกอิจฉาคนเหล่านั้น ทำไมนะ พวกเค้าเหล่านั้นถึงมีชีวิต
ที่มีความสุข มึความอบอุ่นจากคนรอบข้าง

หลังจากงานศพพอผ่านไป แม่กลับมาบ้านเพียงครั้งเดียว พร้อมกับขนข้าวของไปซะมาก ผมไม่แคร์หรอก พวกเครื่องเพชรอะไรนั่น อยากเอาอะไรก็เอาไปเถอะ ขออย่างเดียว ขอเพียงสิ่งเดียว อย่าเอาบ้านหลังนี้ของพ่อไป บ้านหลังนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้าย ที่ผมมีความทรงจำดีๆของพ่อเหลือเก็บเอาไว้ …

”เฮ้อ … จะเปิดเทอมอยู่แล้ว ยังไม่ได้ซื้ออะไรซักอย่าง” ผมดูปฏิทินบนหัวเตียงนอน ซึ่งมีรอยปากกาวงไว้ โดยมีข้อความเล็กๆเขียนไว้

23 พฤษภา - - ทำกิจกรรมที่มหาลัย

”เชอะ ไม่เห็นอยากไปเลย ทำไมต้องไปด้วยว่ะ ยังไม่เปิดเรียนซะหน่อย” ผมพึมพำกับตัวเอง


--------------------------------------------------------------

”เป๊ก พี่เค้าจะมาเที่ยวไหนว่ะ” ผมถามอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ผมกะมันนั่งรออยู่บริเวณสนามบินมาเกือบ 4 ชม.แล้ว

”ไม่รู้หว่ะ ไม่ได้ถามอะ พี่เค้าวางหูไปก่อน” มันตอบหน้ากวนตีนอีกหล่ะ ”แต่เด๋วก็คงจะมาแหละ รอมาตั้งนานแล้ว จะรออีกหน่อยไม่ได้หรือไง ”

”เฮ้ย นั่นไงๆ” เป๊กพูดระรัว พลางชี้นิ้ว

”ไหนว่ะ ชี้ไปไหนว่ะ ไม่เห็นมีเลย” ผมเพ่งสายตาไปตามนิ้วที่มันชี้

”พี่โอไง นั่นไง เดินมาแล้ว ”

”ไอ้เชี่ย พี่โอมา แล้วมาบอกทำไมฟ่ะ” ทำผมเคืองอีกแล้วซิมัน ”งั้นเดี๋ยวไปฉี่ก่อนนะ เด๋วมา”

”เออ ไปฉี่ไม่ต้องมาบอกหรอก หรือจะให้ไปช่วยจับอ่ะ” เป๊กว่าพลางหลบหมัดผมที่พุ่งใส่หน้า

โห แม่ง !! ทำไมห้องน้ำคนมันใช้เยอะจังว่ะ ผมคิดในใจ ไม่มีห้องไหนว่างเลยซักห้อง เลยตั้งใจจะเดินไปที่โถ ระหว่างที่ผมปลดซิบกางเกง ก็พอดีมีผู้ชายคนนึง เดินมาใช้โถข้างๆผม

อันอื่นมันก็ว่าง ทำไมมันต้องมาฉี่ข้างๆกรูว่ะ ผมคิดในใจ ปกติผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาฉี่ใกล้ๆนะ มันอึดอัดๆพิกล โดยเฉพาะ ถ้าโถอื่นมันว่างอยู่อะ มันออกแนวส่อๆ ชอบกล ผมยืนปล่อยไปได้ซักพัก ก็รู้สึกว่าไอ้คนข้างๆ มันกะลังหันมามองหน้าผมอยู่ พลางคิดในใจ

อะไรว่ะ มองทำซากอะไรว่ะ ….. ซักพักมันยังมองไม่เลิก ผมชักหงุดหงิด (วันนี้หงุดหงิดง่าย) หันไปมองมัน ผมว่ามันอายุมากกว่าผม ปี สองปี นี่แหละ หน้าตาก็แมนนะมึง ไม่น่าทำแบบนี้ ผมเลยตะคอกขึ้นมา

”มองทำ ค – ย อะไรว่ะ ”

”…………………. ”

แม่งมันยังคงมองหน้าผมต่อ หน้าด้านอะ หน้าด้านโคด จนผมทำธุระเสร็จ ก็เลยรีบเดินออกมาเลย ไม่งั้นอาจได้เสียว เอ้ย ได้เสียซะก่อนเป็นแน่

”ทำไมทำหน้าบูดอย่างงั้นอะ” พี่โอถามผม

”เจอพวกชอบดูจู๋ในห้องน้ำเลยว่ะ 555” ไอ้เป๊กว่า ”ท่าทางจะโกรธจนหน้ามืดตามัวเลยอ่ะ ”

”หมายความว่าไง” ผมสงสัย

”อ้าว ก็โกดจนหน้ามืดตามัว มองไม่เห็นคนที่ยืนข้างๆพี่โอเหรอว่ะ” เป๊กบอกผม

”พี่รัญ !!! ” ผมทักพี่เค้า จนดูเหมือนจะตะโกน ดูท่าทางผมจะไม่ได้สังเกตจริงๆแหละ ว่าพี่เค้ามายืนตั้งนานแล้ว

”โอ้ย พี่ยืนอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องตะโกนก็ได้” พี่รัญแซวผม อ่า เสียงตัวเป็นๆนี่ มันไพเราะกว่าเสียงในโทรศัพท์แยะเลย

พี่รัญดูดีมากกว่าเดิมแยะเลยอ่ะ แม่งไว้ผมรากไทรอีกตะหาก เท่ย์โคด แต่ทำไมดูอวบๆขึ้นด้วยว่ะ แน่อะดิ ไปอยู่เมืองมะกันมาตั้ง เกือบ 3 ปี ไม่อวบได้ไง

”ผมว่า พี่ดูอวบขึ้น นะฮะ ไปทำอะไรมาอะเนี่ย” หาช่องแซวได้ ผมแซวซะ

”จะบ้าเหรอ อวบที่ไหน เค้าเรียกว่าอุดมสมบูรณ์เฟ้ย เราอะดิ ตัวโตขึ้นนะเนี่ย” ว่าพลางมาจับหัวผมให้หันไปมองหน้าชัดๆ

”เฮ้ย หล่อขึ้นด้วยอะ เป็นเด็กมหาลัยแล้วนิ ท่าทางสาวติดตรึมแหง่มๆเลย”

”หนุ่มๆ ก็ติดตรึมเหมือนกันคับเพ่ !? ” เป๊กพูดสอดขึ้นมาเบาๆ พลางหัวเราะเยาะ ” อกหักก็เคยมาแล้วนะคร๊าบ ต้องให้ผมปลอบใจตั้งนานแนะ” พูดพลางก้าวถอยหลังไป 2-3 ก้าว ที่จะไม่โดนเท้าผมยัน

”อะจิงดิ” พี่รัญทำหน้ายิ้มๆ

”เฮ้ย พวกมึงอะ จะทักทายกันอีกนานม่ะ หรือว่าคืนนี้จะกางเต้นนอนกันที่นี่เลย ” พี่โอกัดพอเลือดซิบๆ

”เฮ้ย เดี๋ยวดิ ไอ้โอ กูพาเพื่อนมาด้วยคนนึงอ่ะ มันหายหัวไปไหนของมันไม่รู้หว่ะ รอแป็บ”

”พี่รัญพาเพื่อนมาด้วยเหรอฮะ” ผมถามแบบแปลกใจ

”อ้อ เพื่อนพี่ที่ มหาลัยที่โน่นอะ คนไทยเหมือนกันแหละ อ่า นั่นไง มาพอดี ”พี่รัญว่า พลางโบกมือเรียก

” โตชิ ทางนี้โว้ย ”

”โต อะไรนะ” เป๊กถาม

.โตชิ มันเป็นไทย –ญี่ปุ่นอะ” พี่รัญบอก

“อ้อ พวกไทยญี่ปุ่นดินแดง พี่โอบอก มุขเฟ่ยจริงๆ พับผ่าซิ - -‘’

“ เฮ้ย !? “ ผมมองหน้าเพื่อนพี่รัญ แล้วหลุดบางคำออกมา ทำไมเพื่อนพี่รัญคือไอ้โรคจิตในห้องน้ำไปได้ว่ะ …

- ทำไปได้ -

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 18-11-2008 01:46:09
จิ้มพี่เตอิ้งค่า ในที่สุดก้อมาอัพซักที

ขอแว้บไปอ่านก่อนนะ เด๋วมาเม้นเพิ่ม
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:46:45
”โตชิ เพื่อนพี่กะลังหาที่อยู่ใหม่ในกรุงเทพอยู่อะ พี่ก็กะจะให้มันพักที่หอไปพลางๆก่อน” พี่รัญบอกพวกผมหลังจากกลับถึงหอเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับคุยเรื่องเพื่อนใหม่ให้พี่เน ซึ่งตอนนี้รับหน้าที่เป็นเจ้าของหอแล้ว

”คงจะมาอยู่ซัก เดือน สองเดือนล่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วงคับ ผมมีเงินจ่าย” ผู้ซึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่บอกพี่เนพลางควานหากระเป๋าเงินในเป้ใบใหญ่

”ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ ค่อยตกลงจ่ายเงินค่าเช่าห้องอีกทีก็ได้ค่ะ” พี่เนบอกอย่างมีมารยาท

เป๊กเดินเข้ามาข้างๆผม พลางกระซิบ

”กูว่านะ ไอ้หมอนี่กะพี่รัญต้องมีอะไรกันแน่เลยหว่ะ ดูสายตาที่มันมองพี่รัญเด๊ะ” ว่าพลางหันหัวผมให้หันไปมอง

”มึงอย่ามาปัญญาอ่อนนะ เค้าเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆเว้ย” ผมบอกอย่างฉุนๆ แบบก็อดหึงไม่ได้

”อ้อ เหรอ ”

”เออ เด๊ะ !! เพียงแต่ว่า …………………………” ผมฉุกคิด

”แต่ว่าอะไร” เป๊กถามผมอย่างสนใจ

”ม่ะ ไม่มีอะไร ไปช่วยขนของพี่เค้าดีกว่าหว่ะ” ผมบอก พลางเดินไปที่กระเป๋าใบใหญ่ของพี่รัญ พลางคิด เออ ไม่แน่เหมือนกันหว่ะ มันเป็นเพื่อนกะพี่รัญก็ดีอะดิ แม่ง มันโรคจิตจริงๆป่าวว่ะ เห้ย คิดไรอยู่ง่ะ

ผมส่ายหัว ไปคิดไป ไม่ทันได้มองว่ามีคนยืนขวางอยู่

อั๊ก !! อ่ะ ไอ้นี้อีกแล้ว ยืนขวางคนขนของซะเต็มลำ

”เฮ้ย ยืนยังไงว่ะ ไม่เห็นคนจะเดินเหรอไง” ผมแห้วใส่

โตชิไม่ตอบอะไร แต่ยื่นกระเป๋าเดินทางให้ผม
”จะบอกว่านายลืมยกกระเป๋าฉันไปด้วยอ่ะ ”

”ฉันไม่ใช่คนขนกระเป๋าของใครนะเฟ้ย” ผมบอกอย่างฉุนๆ

”อ้าว ก็กระเป๋ารัญนายยังขนให้เลยนี่นา”

ผมกะลังจะอ้าปากเถียง แต่พี่รัญพูดขัดขึ้นมาก่อน

”บาส เอากระเป๋าพี่มาแล้วกัน ของพี่มีใบเดียว เดี๋ยวช่วยเพื่อนพี่ขนของมันดีกว่า ของมันเยอะ”

- อะไรนะ - ผมคิดในใจ และดูเหมือนคนข้างๆผมจะอ่านสีหน้าออก

”ไม่ต้องมาอะไรนะเลย ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ มาช่วยขนไปที่ห้องเลย” ว่าพลางส่งกระเป๋าใบโคดหนักที่สุดมาให้ผมลากขึ้นไป

+ + + + + + + +

”ซวย ฉิบโป๊งเลยหว่ะ” ผมครวญกะไอ้เป๊กหลังจากขนของเข้าห้องเสร็จ แถมยังต้องไปช่วยจัดของอีกตะหาก

”นายซวยคนเดียวซะที่ไหนล่ะ กูก็ซวย” เป๊กมันบ่นให้ฟัง พลางนวดหัวไหล่ตัวเอง ” ไม่รู้เคล็ดอ๊ะป่าวเนี่ย”

”เออ นายเปิดเทอมวันไหนว่ะ ”

”2 มิถุนา หว่ะ เร็วชิบเป๋ง” ผมตอบแบบเซ็งๆ แต่มันก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ”เฮ้ย วันนี้วันที่เท่าไรว่ะ”

”22 พฤษภา ถามไมว่ะ”

”เฮ้ออออออออ เกือบลืมไปแล้วกู พรุ่งนี้ คณะกูเค้ามีกิจกรรมรับน้องหว่ะ” ผมบอกแบบตื่นเต้น ไม่น่าลืมช่วงเวลานี้ไปได้เลยนะเนี่ย

”อะจิงดิ ทำไมมหาลัยกูไม่เห็นมีแบบนี้มั่งว่ะ” เป๊กบ่นแบบเซ็งๆ ”เฮ้ย ไปกินข้างเหอะ หิวหว่ะ จะได้นอนซะที”

วันรุ่งขึ้น ผมต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศเช้าๆหลังจากปิดเทอมมาเกือบ 2 เดือน

”อ้าว ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าเลยอะ เอากาแฟนหน่อยม่ะ” พี่รัญถามผม

ผมส่ายหน้า วันนี้ที่มหาลัย เค้าให้รุ่นพี่เปิดกิจกรรมรับน้องอะคับพี่ ”เออ ถ้าพี่ว่างก็ไปได้นะคับ ”

”สงสัยไม่ได้อ่ะบาส วันนี้พี่กะว่าจะไปหาสมัครงานกับโตชิมันอ่ะ” พูดพลางเกาหัว พร้อมทั้งส่ายหน้า
เฮ้ออออ… เบื่อจัง เรียนจบแล้วออกมาหางานทำเนี่ย

”อ้าว ไม่ทำงานแล้วจะทำอาไรละเ พ่ จะขายตูดอะไง” ผมแซว

พี่รัญหันมายิ้มเยาะ ”อ่า ถ้าพี่ขายเราจะซื้อป่าวล่ะ” พลางจ้องหน้าผมเขมง

”เออ คือ…. แล้วค่าตัวพี่กี่สลึงอะ ”

”น้อยๆหน่อยเฟ้ย ของอิมพอร์ตจากเมืองนอกเชียวนาเว้ย เฮ้ยพูดไรกันว่ะ” พี่รัญหัวเราะ

”งั้นผมไปก่อนนะพี่นะ เออ แล้วฝากปลุกไอ้เป๊กด้วยนะพี่ มันฝากผมปลุกอะ วันนี้มันมีเรียนบ่าย” ผมว่าพลางเดินไปใส่รองเท้า

”เออ ได้ พี่รัญรับคำ เออ บาส เดี๋ยวก่อน …” พี่รัญพูดพลางเดินเข้ามาหาผม ในจังหว่ะที่ผมก้มลงใส่รองเท้าเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมา

”ฮะ มีอะ….. ”

พี่รัญก้มหน้ามาประทับจูบบนปากผมด้วยองศาที่พอดีเป๊ะ จนผมตั้งตัวไม่ทัน ผมรู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในตัวได้อย่างชัดเจน ร้อนแบบผะผ่าววววว

ผมถอนปากออกมา พูดตะกุกตะกัก

”ทะ ทะ ทะ ทะ ทำ อะ อะ อะ ทำอะไรอ่ะพี่”

”อ้าว ก็จูบก่อนออกจากบ้านไง ถามแปลก ๆ” พูดพลางยิ้ม แป้น ไม่ชอบเหรอ

”เห้ย ถ้ามีคนมาเห็นจะว่าไง” ผมพูด รู้สึกว่าหน้าเน้อแดงไปหมด

”อ้าว แสดงว่าถ้า ทำในที่มิดชิดก็โอเชอะดิ” ว่าไปโน่น

”พูดไปไหนนะพี่ ผมว่าผมไปดีกว่าหว่ะ” ผมตอบหันหลังวิ่งผ่านประตูไป

+ + + + + + + +

”เฮ้ย ไอ้บาส เป็นไรว่ะ จับปากอยู่ได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” โจถามผมขณะเดินไปที่ซุ้มน้องๆ เพื่อดูสายรหัส ดูท่าทางมันจะดี๊ด๊าเป็นพิเศษ

”ยุ่งอะไรกะกูล่ะ ปากกู” ผมตอบ เออ แล้วเป็นไงมั่งอะ น้องรหัสมึง น่ารักม่ะ

”ไม่ค่อยหว่ะ ดำก็ดำ เตี้ยล่ำอีกตะหาก โห เป็นผู้หญิงได้ไงว่ะ” มันพูดพลางส่ายหัว เฮ้ย ”แต่น้องสายรหัสกูนี่ดิ สุดยอดหว่ะ สวย หมวย อึ๋ม” มันตอบท่าทางหื่นๆ

อันที่จริงมีการจับน้องสายรหัสกันไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผมไม่ได้มา เพื่อนผมคนอื่นก็เลยจับให้แทน บางคนที่มาวันก่อนหน้า ก็จะเจอๆน้องรหัสกันไปบ้างแล้ว แต่ก็เพียงแค่สอดส่องดู บางคนอยากจะบอกน้องใจจะขาด ส่วนผม ผู้ซึ่งไม่ค่อยได้มา เลยยังไม่เคยเจอทั้งน้องรหัส ทั้งสายรหัสเลยง่ะ ก็แอบลุ้นๆ อยู่ว่าไผจะเป็นผู้โชคร้าย เอ้ย โชคดี

”เห้ย ท่าน้องมึงน่ารักอะ กูขอโคฯ ด้วยนา” โจบอกผม

”นี่มึง มีน้องไว้คอยดูแลให้คำปรึกษานะมึง ไม่ใช่ให้มาหม้อเด็ก ไปไกลๆตีนเลยมึง”
ผมว่ามัน จนเราพูดกันไปพูดกันมาก็มาถึงหน้าคณะแล้ว ซึ่งเป็นสถานที่เชือด เอ้ย สถานที่นัดรวมตัวกัน ผมมีความรู้สึกว่า ทำไมน้องผู้หญิงมันดูเยอะกว่าผู้ชายอีกว่ะ เซ็งเลย คณะผมคนก็น้อยอยู่แล้วด้วย ปีนี้ก็มีเกือบ 40 คนเอง

”ปีนี้หญิงเยอะกว่าหว่ะ” สมใจไอ้โจมันแล้ว ปอมเดินเข้ามาทักเราสองคน พร้อมลิสรายชื่อของน้องๆ

”เฮ้ย ไหนไอ้ปอม ขอกูดูชื่อน้องรหัสกูหน่อยดิ ผู้ชายหรือหญิงว่ะ” ผมถาม

”แย่หน่อยว่ะ มึงได้ผู้ชายอ่ะ ปอมตอบผม” ไอ้โจได้ทีหัวเราะเยาะ โดยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าผมแอบดีใจอยู่นะเนี่ยโง่หว่ะ แต่ผมก็ตีหน้าเศร้าๆ

”อะเหรอ แล้วน้องสายรหัสกูอะ ใครจับให้”

”หนิงจับให้อะ อืม เด๋วดูก่อน ใครว่ะ ”

”อืม ….. โคดโชคร้ายเลยมึง น้องสายรหัสมึงกูผู้ชาย” ปอมบอกผมพลางเอามือจับไหล่ ไอ้โจก็ตีหน้าเศร้า มาจับไหล่อีกข้างผม เขย่า

”อืม …ไอ้บาส กูเสียใจด้วยนะ มึงโชคร้ายจังหว่ะ” ไอ้โจบอกผม

ผมว่าไอ้พวกนี้มันเว่อร์กันจัง แค่น้องแค่เนี้ยทำเป็นเรื่องใหญ่โตมโหระทึก !!!?? เลยด่ามันไป

”เฮ้ยพวกมึงก็เว่อร์กันไป ไหนเอาชื่อกูมาดูหน่อยดิ๊ ” ผมกระชากลิสมาดู แล้วปาใส่หน้ากลับ … ”กูได้น้องเพศไหนก็ได้โว้ย ทำไปเหม่ ไอ้เชี่ย … ดีดดิ้นกันจัง” ด่าเสร็จผมก็เดินไปทักเพื่อนๆคนอื่น

”โห บาส รู้สึกว่าหน้าตาอิ่มเอิบ ดูดีขึ้นนะเนี่ย” หนิงแซวผม

”อะนะ อย่ามาแกล้งชม” ผมหัวเราะ ตั้งแต่เหตุการณ์เปิดเผยชู้เรือล่ม หนิงก็ดูจะออกห่างแพรเรื่อยๆ จนตอนนี้ หนิงก็กลายมาเป็น ผู้หญิงหนึ่งเดียว ในกลุ่มผมซะแล้ว

”เออ หนิงรู้ป่ะ ว่าน้องบาสอะ คนไหน” ผมถาม เพราะอยากเห็นหน้าน้องกะเค้าบ้าง ถึงแม้จะยังเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าน้องไม่ได้ก็เหอะ ( อะนะ พูดเหมือนเป็นร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา )

”อืม หนิงแอบเห็นแค่คนเดียวอะนะ อีกคนที่เป็นสายรหัสไม่ได้มาวันจับเหมือนกะบาสแหละ”

”อ้อ ใช่ได้นี่ สมกะเป็นน้องบาส” ผมว่าพลางหัวเราะ

”อะนะ ไม่ขำนะเนี่ย อ้อ นั่นไงๆ คนนั้นอะ ที่หันหลังอยู่นั่นไง” หนิงค่อยๆชี้อย่างระวัง

”เรียกให้หน่อยดิ” ผมบอกหนิง

เฮ้ย เดี๋ยวมันก็รู้หรอกว่าเป็นพี่มันอะ

”ก็ให้หนิง เรียกให้ไง ถ้ามันสงสัยจะได้สงสัยหนิง” ผมกระซิบ

”อ้าว ทำไมมาโบ่ยยังงี้ล่ะ” หนิงชักเคือง

”อ่า พูดงี้ไม่ช่วยใช่ม่ะ” ผมถาม งั้นเด๋วจัดการเอง ว่าแล้วผมก็คว้าหนังสือ – สายพันธุ์สังหาร –ที่หนิงถืออยู่มาแล้วเขวี้ยงไปที่น้องเค้าซึ่งยืนหันหนังอยู่ ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นมือปา

”ปั๊ก” โอ้ย เสียงเพราะ พร้อมๆกับหนิงทำตาเหลือก

”แม่ง ใครปากูว่ะ” มันพูดกับเพื่อน หนุ่มน้อยก็ค่อยๆหันมาหาต้นตอ โห น่ารักนี่หว่า สูงราวๆ 170 เห็นจะได้ เอะ ไม่ถึงแฮะ

”เออ น้องขอโทด หนังสือพี่เองอะ มันหลุดมือ เออ เจ็บมากป่าว” ผมตอบแบบสบายอารมณ์

น้องเค้าทำหน้าสงสัยนิดหน่อย ว่าหลุดมือไงว่ะ แล้วก้มลงหยิบหนังสือส่งคืนให้ผม

”ไม่เป็นไรคับ เจ็บนิดหน่อย” น้องเค้าบอกผมพลางจับที่ข้างๆหัว อืม ผมมาสังเกตหน้าน้องเค้าท่าจะเจ็บกว่าที่พูดไว้แฮะ แล้วหันมาเปิดหนังสือดู เออ 360 เกือบ 370 หน้า อะนะ ( เริ่มรู้สึกผิด )

”ทีหน้าทีหลังก็ถือให้มันดีหน่อยนะ น้องเค้าหัวแตกขึ้นมาจะว่าไงฟ่ะ” ผมโบ่ยไปที่หนิง พร้อมกับหนิงทำตาถลนใส่ผม …. น่ากัว

”ไหนขอพี่ดูหัวหน่อยเด๊ะ เป็นมากป่าว”

”ม่ะ ไม่เป็นไรคับพี่” มันพูดแบบเกรงใจ แต่มันก้มหัวให้ผมดู ยังไงกันว่ะ

ผมดู เห็นเป็นรอยแดงๆ นิดหน่อย เลยเอามือไปจับว่ามันปูดอะป่าว

”โอ้ย พี่เบาๆดิ หัวนะพี่”

”เออๆ ไม่เป็นไรอะ ไม่แตก พี่ขอโทดอีกทีละกัน แทนเพื่อนพี่อะ” ผมบอก เออ เป็นไงงานวันนี้อะ

”ก็ดีคับพี่” น้องบอก ”เออ น้องรหัสอะไรอะ” ผมแกล้งฟอร์มถาม
”รหัส ************** คับพี่”

”โอ้ย โชคร้ายหว่ะ พี่รหัสน้องอะ โคดโหดเลย” แล้วผมก็สาธยายมั่วๆไปอีกหน่อย

”เหรอพี่ ไม่เป็นไร โหดมากๆ เด๋วเจอตีน” มันว่าพลางหัวเราะ แฮะๆ มันพูดเล่นนะคับ มันพูดเล่น

ผมก็กะว่า คุยกะมันมากแล้ว ไปดูน้องคนอื่นมั่งดีกว่า

”เออ น้องชื่ออะไรอะคับ” ผมไม่ลืมที่จะถาม

”ตงคับพี่ ”

”ตรง เหรอ” ผมทวน

”ต. เต่า ง. งู ฮะ ตง คับ แล้วพี่อะคับ”

”เออ น้องตง” ชื่อแปลกดีวุ้ย

”พี่บาสคับผม ไว้ไงคุยกันใหม่นะ พี่ไปก่อน …. ” ผมเดินผละจากน้องมาหาหนิงที่เดินเลี่ยงออกมาก่อนหน้าซักพัก

”ทำได้ดีนี่” หนิงว่าผม พร้อมทุบหนักๆนึงที …

”โอ้ย อย่ามาทุบดิ แรงฟายชัดๆ โอ้ย แน๊ะ ว่าไม่ฟัง โอ้ย โว้ย อย่าทุบโว้ย ……”

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:48:14
“ไปทำอะไรมาว่ะ ไอ้บาส หลังแอ่นๆ“ โจถามผม พลางก้มหน้าก้มตาจดอะไรซักอย่างอยู่

“อะไรล่ะ ก็โดนเจ๊ข้างๆนี่ทุบอะดิ“ ผมตอบ โอ้ย ช้ำไปทั้งตัวเลยผม “เออ แล้วแกจดอะไรอยู่ว่ะ“

“เบอร์โทรศัพท์ น้องๆ (ผู้หญิง) “



“อ้อ นั้นนะดิ กรูไม่น่าถามเลย ผมบอกพลางเบื่อ ๆ เออ กรูไม่เจอน้องสายรหัสเลยหว่ะวันนี้ สงสัยแม่งอู้แน่เลย “

“อู้ วันเปิดเรียนก็จับมาโบกซะให้เข็ดดิ ปอมให้ความเห็น เออ ไม่แน่หรอก ยังไงเด๋ววันที่เค้าจัดทัวว์ทุ่งบาง
เขนอะ มันอาจจะมาก็ได้ “

“ก็ไม่แน่หรอก ไอ้ทัวว์แบบนี้อะ ใครไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาก็ได้ กรูยังไม่มาเลย โจตอบ เออ เย็นแล้วอะวันนี้ กลับกันยังว่ะ ไปหาไรแด็กด้วย กรูหิวหว่ะ“

“เออ งั้นพวกมึงกลับไปก่อนล่ะกัน เด๋วกรูเดินๆอีกซักพัก ค่อยกลับ“ ผมตอบ พลางหาวหวอด

“อ้าว บาส ไม่ไปกินกะเราอ่ะ ให้ชั้นไปกะไอ้สองตัวนี่อะเหรอ โห เด๋วโดนล้อแย่เลย “ หนิงบอก

“อี้ …………. ยายหนิงเอ้ย พูดมาด้ายยังงาย เด๋วนี้รู้สึกว่าจะแอ่นแด๊ะแอ่นแด๊ ซะเหลือเกินน้า “ โจกัดไม่กลัวตีนซะแล้วไอ้นี่

“ว้ายย …กรี๊ดดด ไอ้ปากหมาโจ ไปผ่าออกเลยนะ ฯลฯ“ อีกเป็นชุด

“เบื่ออะ ทะเลาะกันอยู่นั่นแหละ กว่าจะได้ฤกษ์ไป“ ปอมบอกผม “เออ แล้วมึงจะไปทำอะไรว่ะ ไม่ไปกินข้าวกัน“

“กรูจะกลับไปกินที่หอหว่ะ “ ผมตอบ

“วันนี้ที่หอมีอะไรดีว่ะ มึงถึงได้กลับไปกินว่ะ ปกติไม่ยักกะเป็น“ ปอมมองผม เหมือนกะจะจับผิดอะไร

“มึงมองแบบนี้หมายความว่าไงว่ะ ก็กรูกินที่หอมันฟรีเว้ย เดือนนี้ไม่ค่อยมีตังค์ “ผมสะตอฯ

“อะเหรอ“ ไอ้ปอมพูดพลางหลิ่วตา

“อะไม่เชื่อก็ตามใจ เออ มึงรีบไปห้ามไอ้สองตัวนี่เหอะ เด๋วจะไม่ได้ไปกิน แม่งเมฆตั้งเค้ามา สงสัยคืนนี้ฝนตกหว่ะ“ ผมบอก


+ + + + + + + +


“พี่โออออออออออออออออออออออออออออออ“ ผมเรียกพี่โอเสียงหลง

“อะไรรรรร ว้า“ พี่ตอบผมอย่างตกใจ

“พวกพี่รัญยังไม่กลับอีกเหรอ“ ผมถาม

“อ้อ วันนี้มันไปหางานทำกันยังไม่กลับเลยว่ะ แม่ง กูนึกว่ามีเรื่องอะไร ตกใจหมดเลย “

“นี่ๆๆ แล้วจะกลับเมื่อไรอะ“ ผมถาม

“แล้วกูจะรู้มั้ยละเนี่ย โทรศัพท์ไปถามมันดิ“ พี่โอตอบแบบหงุดหงิด

“อะไรว่ะ พี่เค้ามีมือถือที่ไหนล่ะฟ่ะ พูดออกมาไม่คิดเลย“ ผมพึมพำ แล้วเดินจะกลับห้อง สายตาเหลือบไปเห็นห้องไอ้บ้าโตชิแง้มไว้อยู่

“ไรว่ะ เปิดห้องทิ้งไว้อีก“ ผมพูดเบาๆ มือจับลูกบิดจะปิดห้องแต่ค้างไว้ ประจุไฟฟ้าในหัวเริ่มทำงาน (ชั่ว) เฮ้ย อาจจะรู้ก็ได้ว่าพี่รัญกับไอ้บ้านี่ มันคบกันสนิทแนบแน่นแค่ไหน

ไม่ทันที่สมองฝ่ายดีของผมจะทันคิด ร่างผมก็ผลุบเข้าไปในห้องของแขกผู้มาใหม่เรียบร้อยแล้ว มองไปรอบๆห้อง ( การเข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าสันดานไม่ดีเอามากๆ ทุกท่านกรุณาอย่าเลียนแบบ )

“โห ทำไมมันจัดห้องเรียบร้อยจังง่ะ“ สำรวจได้ซักพัก ก็ไปเปิดลิ้นชักเค้าดูอีกตะหาก

แก็ก แก็ก ก๊อก ก๊อก

“เอ๋ “ ผมอึ้งเมื่อไปเจอรูปๆหนึ่งเข้าให้

“อ้อ มิน่าล่ะ ถึงได้สนิทสนมกันขนาดนี้ กอดกันซะกลมเลยนะ“ ผมรู้สึกว่าความหึงเป็นยังไงก็ครั้งนี้ครั้งแรก


+ + + + + + + +


“กลับมาแล้วครับ“ พี่รัญบอก เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมโตชิ

“กลับมาแล้วครับ“ โตชิบอกเสียงเรียบๆ พลางเดินสวนกับพี่เน

“เออ กลับมาแล้วเหรอ เนเตรียมอาหารเย็นไว้ให้แล้วอะ “

“อ้าว เดี๋ยวนี้นี่ มีแม่บ้านประจำหอแล้วเหรอเนี่ย “ พี่รัญแซว

“ก็ตอนรัญไม่อยู่ มันมีโอ เป๊ก บาสอยู่แค่สามคนนี่ มันไม่ลำบากเท่าไรอ่ะ บ้านโน้นก็ไม่มีใครทานอยู่แล้ว เนก็ทำที่นี่ซะเลย “

“อ้อ แต่มีเพิ่มมาอีกตั้ง 2 คน ไหวป่าวอ่ะ“

“ไหวไม่ไหวก็ทำแล้วแหละ จะกินหรือไม่กินล่ะ ไม่กินจะได้เก็บ“

“โอ๋ๆๆ กินเด๊ะ หิวจะบ้าอยู่แล้ว วันนี้โชคดีอะเค้านัดให้รัญไปสัมภาษณ์แล้ว “

“เออ เหรอ ดีใจด้วยนะ ถามหน่อยจิ แล้วเพื่อนรัญอ่ะ เค้าตั้งใจจะไม่พูดไม่คุยกะคนแปลกหน้ามั้งเลยเหรอ “
พี่เนกระซิบเบาๆเหมือนกลัวโตชิจะได้ยิน ทั้งๆที่เดินห่างไปไกลแล้ว

“อย่าไปใส่ใจเลย มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละ แต่จริงๆมันเป็นคนดีนะ“ รัญบอก

“ถึงแม้ว่าจะดูเฉยชากับคนรอบข้างไปบ้างก็เหอะ“

“ฉันว่าไม่แค่บ้างหรอกมั้ง เหอๆๆๆ “

“ อ้าว พี่รัญกลับมาแล้วเหรอคับ “ ผมทักพี่รัญพร้อมๆกับเดินส่วนกับไอ้บ้าโตชิตรงบันไดพอดี สายตาเราหันมาเจ๊อะกันพอดี บอกไม่ถูกว่าสายตาเย็นชา (และตายด้าน) ของเค้า กับสายตาอันร้อนเร่า (เพราะอาการหวงของ) อะไรมันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

แต่เมื่อเท้าเราทั้งสองยังก้าวต่อไปข้างหน้า สายตาก็จำเป็นต้องหันกลับสู่เส้นทางตนเอง ไม่เช่นนั้น อาจมีการตกบันไดได้

“ไงฮะ วันนี้เหนื่อยป่ะ“ ผมถามยิ้มๆ (อาฆาต)

“ก็ดีอะ พรุ่งนี้เค้านัดสัมภาษณ์พี่ล่ะ เอ๊ะ ทำไมยิ้มแปลกๆแบบนั้นอ่ะ “

“ป่าวนี่เพ่ ผมก็ยิ้มของผมแบบนี้ทุกวันแหละ“ ผมตอบ พร้อมยิ้มฟันขาว

“เออ เหรอ อย่ายิ้มแบบนี้ได้ป่ะ มันน่ากลัวไงไม่รู้หว่ะ“ พี่รัญบอกผม “แล้วไอ้เป๊กล่ะ “

“ วันนี้มันไปค้างบ้านเพื่อน (แฟน)ฮะ คงไม่กลับหรอก “

.” เออ เหรอ งั้นไปกินข้าวเหอะ หิวหว่ะ “ พี่รัญบอก “เด๋วดิคับ พี่รัญ ผมมีเรื่องจะถามไรหน่อย “

“เดี๋ยวค่อยถามก็ได้ ขอพี่ไปกินข้าวก่อนได้ป่ะ หิวหว่ะ“ พี่รัญชักงอแง (ผมรู้สึกได้) เดินเลี่ยงผมไป

“ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ฮะ“ ผมว่า พลางคว้าต้นแขนพี่เค้าไว้

“ไรว้า …. “ พี่เค้าหันมาทางผม

“ก็เรื่อง ….. “ ผมยังไม่ทันจะได้ถาม ไอ้บ้าโตชิ ก็เดินแบบเงียบๆ เข้ามาประชิดเรา 2 คนเมื่อไรไม่ทราบ พร้อมสายตาเย็นชาที่จะเหมือนแช่แข็งผมได้

“ห้องของชั้น ….. “

ผมรู้สึกใจหายวูบ หรือว่ามันรู้ว่ะ ว่าเราเข้าไปในห้องมัน ผมนึกเสียวในใจ

“นายไปปิดห้องชั้นใช่ปล่าว“ โตชิถามผมแบบเคืองๆ

“อ้าว ก็ชั้นเห็นว่ามันเปิดไว้อ่ะ ปิดให้ก็ดีแล้วนี่ จะบ้าเหรอ โรคจิตป่าว“ ผมตอบ งงๆ

“บาส คือว่า ห้องโตชิเค้า ลูกบิดมันเสียอยู่อะ แล้วกุญแจมันใช่ไม่ได้“ พี่เนเป็นคนอธิบาย

“หมายความว่า …. “ ผมนึกความหมายตาม

“ก็คือต้องเปิดแง้มไว้ ถ้าไปปิดมัน ก็เข้าห้องไม่ได้นะซิ เจ้าเซ่อ“ ไอ้โตชิมันว่าผม

“แล้วทำไงดีล่ะ … “ ผมถามแบบกวนตีน

โตชิมองผม แล้วหันไปมองพี่รัญ

“งั้นคืนนี้ชั้นนอนห้องไอ้หมอนี่นะ รัญ“ โตชิบอกพี่รัญ เฮ้ย เจ้าของห้องมันกรูนะ ไอ้เวง

“คารวย เฮอะ“ ผมบอกพอโตชิได้ยิน

“บาส นายเป็นคนไปปิดห้องพี่เค้านะ ก็ต้องรับผิดชอบดิ ลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอเรา“ พี่รัญบอกผม แบบไม่เข้าข้างกันเลยนิ

“อะไรนะ“ ผมทวนคำพูดที่พี่ชายสุดที่รักของผม พร้อมคิด มันเกี่ยวกับลูกผู้ชายตรงไหนฟ่ะ

“ แค่คืนเดียวเองบาส เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่างก็มาพอดีแหละ ห้องบาสกว้างกว่าห้องของรัญตั้งเยอะ อยู่ 2 คนสบายมาก“ พี่เนก็เออออห่อหมกไปด้วยอีกคน

“ไปทานข้าวกันเหอะ โอเค้ารอจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้วมั้ง“ ว่าแล้วพี่เนกะพี่รัญก็เดินไปที่ห้องอาหาร

ปล่อยให้ผมที่อึ้งๆอยู่กับโตชิ พร้อมทั้งหันสายตาของมันมาฉะกับผมอีกรอบ หน้าตาที่เฉยเมย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว สายตาที่เย็นชา แต่แฝงด้วยความเย้ยหยันอย่างสุดขั้วของไอ้บ้านี่ ทำให้ผมขนลุก โดยที่ผมไม่คาดคิด สายตาโตชิบอกอะไรบางอย่างกับผม

- ( คืนนี้มึงเจอกับกูแน่ ) - !!??





หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 18-11-2008 01:49:41
ท่ามกลางมหานครอันใหญ่โต ความมืดเริ่มโรยตัว แสงสีจากอาคารบ้านเรือน และร้านรวงเริ่มเปิดขึ้น หลายคนพึ่งกลับจากที่ทำงาน โรงเรียน หลายคนกลับบ้านไปพบกับครอบครัวอันเป็นที่รัก จะมีสักกี่คนที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย ฟิล์มเป็นหนึ่งในนั้น เด็กหนุ่มพึ่งกลับมาจากการจัดการเอกสารทางราชการของพ่อ

“ฟู่ !? เสร็จซะที จบกันซะที …“ เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง พลางเดินไปตามฟุตบาทอย่างไม่มีจุดหมาย ในใจตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้คิด เท้าจะพาเดินไปที่ไหน ก็เดินไป …

แล้วสายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบมองไปในร้านอาหาร เห็นผู้เป็นพ่อ แม่ และลูกซึ่งดูอายุราวๆ 7-8 ขวบเห็นจะได้ งอแงไม่กินอาหารที่สั่งมา ผู้เป็นพ่อสงสัยจะหงุดหงิด ว่าอะไรสักอย่างกับลูกน้อย เจ้าหนูถึงกับร้องไห้จ้า …กระนั้น ผู้เป็นแม่ก็ทำตาถลึงใส่พ่อ พร้อมทั้งโอบกอดปลอบประโลมลูกน้อย จนยอมกินอาหาร พ่อเอามือขยี้หัวเจ้าหนูเบาๆ เป็นเชิงขอโทษ

เด็กหนุ่มมองได้แค่นี้ก็ต้องหลบสายตาไป เท้าก้าวเดินต่อ รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นก้อนใหญ่ขวางอยู่ในลำคอ น้ำใสๆ เริ่มเกาะที่ขอบตา ก่อนหน้าที่มันจะหยดลงมา ฟิล์มก็ปาดมันทิ้งซะก่อน พร้อมพึมพำกับตนเอง

“จะร้องไปทำไมว่ะ จะอายุ 18 อยู่ไม่กี่วันแล้วนะมึง ต้องเข้มแข็งไว้ซิ เข้มแข็งไว้ !? “

เด็กหนุ่มค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่งข้างทาง ภาพเหตุการณ์เก่าๆในอดีต หวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ภาพความทรงจำที่สวยงามเหล่านั้น มีเพียงเค้ากับพ่อเท่านั้น ฟิล์มอดไม่ได้ที่จะหันไปมองร้านอาหารที่เห็นครอบครัว เมื่อกี้อยู่ มันทำให้เค้ารู้ว่า เค้าไม่พร้อมที่จะต้องการอยู่เพียงลำพัง ไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้

แปะ แปะ แปะ

หยาดฝนเริ่มหยดลงจากฟ้าที่มืดมิด จากเม็ดเล็กค่อยเพิ่มขนาดขึ้น ผู้คนตามท้องถนน ต่างหลบหาที่กำบัง รถบนถนนเริ่มติด เป็นธรรมชาติของกรุงเทพมหานคร แต่เด็กหนุ่มยังคงนั่งอยู่ จนตัวเปียกปอน โดยไม่รู้ว่ามีสายตาที่ไม่ประสงค์ดีจับจ้องอยู่ !?

เอี้ยด …… !?

รถยนต์คันนึงแล่นมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมเสียงเรียก

“น้องๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ“ ชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งบนรถตะโกนเรียก

ฟิล์มได้สติที่ได้ยินเสียงเรียก ก็พบว่าตัวเอกเปียกปอนซะแล้ว

“อะ อะไรครับ !? “

“เฮ้ย ฝนตกขนาดนี้แล้วไม่หาที่หลบฝนล่ะน้อง ขึ้นรถพี่ซิ เดี๋ยวไปส่งบ้าน“ ชายนิรนามเชิญชวน พร้อมเอื้อมมือมาเปิดประตูอีกด้าน

“เร็วขึ้นมาดิ เดี๋ยวรถคันหลังติด“ ชายหนุ่มเร่ง

เด็กหนุ่มยังงุนงงกับความใจดีของคนแปลกหน้า ยังไม่ทันได้คิดอะไร ฟิล์มก็กระโดดขึ้นไปบนรถของชายแปลกหน้า ปิดประตู

“อะ ทำไมปล่อยให้ตัวเปียกฝนแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวไม่สบายเอา ที่บ้านเป็นห่วงแย่หรอก“ ชายแปลกหน้า ถามเหมือนเป็นห่วง พร้อมส่งผ้าให้เช็ด

“ผมไม่มีบ้านหรอกครับ“ ฟิล์มบอก …

ชายแปลกหน้ายิ้มแบบแปลกๆ แล้วถามต่อ …

“ทะเลาะกับที่บ้านมาล่ะซิ แล้วน้อง …. เอ่อ ?? “

“ฟิล์มครับ“

“เออ เดี๋ยวยังไง น้องฟิล์มไปเป็นเพื่อนพี่ทานข้าวหน่อยละกันนะ พี่หิวอ่ะ แล้วเดี๋ยวเราไปเที่ยวกัน พี่เที่ยวเป็นเพื่อน เอามั้ย !?? “ ชายแปลกหน้าถามเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าฟิล์มไม่ตอบ จึงถามย้ำ

“ไม่อยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ อยากไปไหนเดี๋ยวพี่พาไป หือ ว่าไง ?? “

ฟิล์มก้มหน้า พูดเสียงแผ่วๆ

“ไปไหนก็ได้ฮะพี่ ผมไปไหนก็ได้ แต่ไม่กลับบ้านก็พอ …. “ เด็กหนุ่มบอกพลางหันหน้าไปทางหน้าต่าง ฝนยังคงตกอยู่

ชายแปลกหน้ายิ้มเจ้าเล่ย์ พร้อมขับรถผ่านสี่แยกรัชโยธิน พร้อมคิดในใจ

- ( งั้นเดี๋ยวพี่พาน้องไปขึ้นสวรรค์ล่ะกัน ) - !!??















- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #7  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 18-11-2008 02:09:16
^

^

^

จิ้มพี่เตอิ้งอีกครั้ง  :laugh:

อ่านแล้วงงนิดๆ ว่าน้องฟิล์มมันมาเกี่ยวอารัยด้วยหว่า

แล้วโตชินี่มันจะเอาไงกะบาสกานแน่ จะว่าชอบพี่รัญก้อไม่น่าใช่

แล้วบาสนี่จะได้คู่พี่รัย โตชิ หรือว่าน้องฟิล์ม

โอ้ยยยย  :serius2: สับสน

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 18-11-2008 03:45:37
สุดยอดดด นานๆมาปล่อยทียาวโลดด   o13

ชีวิตฟิล์มเจอแต่เรื่องร้ายๆจัง  :sad4:

ขอบคุณครับSTP   :L2:

 :bye2:

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Eis ที่ 18-11-2008 08:10:36
โตชิ... คุ้นๆ ว่าเหมือนจะมีแครอท ..  :o8:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 18-11-2008 12:23:04
พี่รัญจะกลับมาแล้ววววววววววว
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 18-11-2008 14:22:15
ฟิล์มนี่ใครอ่ะ ทำไมชีวิตน้องเค้ารัญทดร้่ายกาจจัง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 18-11-2008 15:43:02
มาต่อแบบว่าจุใจเลยครับ


น้องฟิล์มจะโดนไรมะเนี่ยยยยย



แล้วพี่รัญกะบาส จะเป็นไงต่อ



รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 18-11-2008 19:53:49
โห มาต่อ ยาวมากกกกกกก

สงสารฟิล์มจัง
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Twister ที่ 18-11-2008 22:03:03
โหหยยย อ่านซะหายคิดถึงเลย ยาวได้ใจดีจริงๆ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BNAT ที่ 19-11-2008 13:11:26
อืม งงดี คาดเดาไม่ออก ใครจะคู่ใคร เหอะ ๆ ๆ

โตชิ รูปถ่ายกอดรัญแนบแน่น อืมๆ  ๆ แล้วมีฟิล์มมาอีก เหอะ ๆ ตัวละครหลายตัวดีจัง จับคู่ให้ไม่ถูก

รออ่านต่อแล้วกันครับ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-11-2008 14:15:40
บมากต่อนะคราบ การเล่าเนื่องแปลกๆโดนดี อิๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 19-11-2008 17:57:26
เดาเรื่องไม่ถูกเลยจิงๆ

 :z2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 19-11-2008 18:55:24
ใจอ่อนกะเป้กจนได้

แต่เป้กก็น่ารักนะแอบเชียร์อยู่555 แต่คบกันแปปดียวเองT^T


ฟิล์มขึ้นไปทามมายยยยยยยย โรตจิตแน่ๆT^T
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Akiizz ที่ 20-11-2008 04:16:14
เดาเรื่องไม่ถูกเลยอ่า



รุ้สึก ไม่ค่อยชอบโตชิ เลยอ่า


แต่ว่าจะเป็นยังไงต่อไปคงต้องรอดูกัน



มาต่อไวๆนะคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-11-2008 14:46:05
ตัวละครเยอะเริ่มเพิ่มขึ้น ชักน่าสนใจนายโตชิ ท่าทางจะกัดกันมันส์ 555
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 20-11-2008 19:11:42
โอย งง

อ่านแล้ว งง

แต่ก็ดีใจที่ได้อ่าน

คราวนี้อัพยาว จุใจเลยอะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 22-11-2008 00:12:03
ยาวได้ใจมากเลยคร้าบบ  :impress2:

ตกลงพระเอกคือใครกันแน่ละเนี่กำลังงงแหะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pipechan ที่ 25-11-2008 13:06:20
โห เรื่งนี้ยาวมาก~~~ สมคำล่ำลือ 5555
แค่หน้าเดียวเนี่ย อ่านกันจนลืมเลยว่า พึ่งหน้าแรก 5555 ดี จุใจไปเลย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 27-11-2008 21:31:44
มารอ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 29-11-2008 01:22:20
รออ่านตอนต่อไปนะครับ

โธ่เจ้าหนูฟิล์มอ่า  ไม่น่าขึ้นรถไปกะเค้าเล๊ยยยยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 6 [ อัพดท 18/11/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 05-12-2008 00:52:32
มารอด้วยคนค้าบ  :impress2:


มาต่อไวๆน๊าพี่ ^ ^
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:19:51
“ น้องชื่ออะไรครับ” ชายแปลกหน้าถามเด็กหนุ่ม หลังจากยื่นเมนูอาหารให้กับพนักงานเสิร์ฟ

“ฟิล์มครับ” เด็กหนุ่มบอกเบาๆ

“ แล้วคิดยังไงไปเดินตากฝนให้ตัวเปียกแบบนั้นล่ะครับ รู้มั้ยว่าจะไม่สบายเอา” ชายแปลกหน้าถามด้วยน้ำเสียงเจือเป็นห่วงเป็นใย พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจะเช็ดหัวให้ แต่ฟิล์มก้มหลบ

“ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมเช็ดเองได้” ว่าพลางคว้าผ้ามา

“พี่ชื่อ แนท นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” พลางยื่นมือออกมาทักทาย

ฟิล์มยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า พลางยื่นมือไปสัมผัสกับมือของฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่สัมผัสเด็กหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที เมื่ออีกฝ่ายยังจับไม่ยอมปล่อย จนต้องออกแรงดึงถึงปล่อย หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

“กลับบ้านมืดค่ำแบบนี้พ่อแม่เป็นห่วงเหรอเปล่าเนี่ย” ชายแปลกหน้าถาม

“ไม่มีใครเป็นห่วงผมหรอกฮะ กลับดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครคอยผมอยุ่แล้ว” เด็กหนุ่มตัดพ้อ

“ยังงี้คืนนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่มั้ยครับ หนุกนา” ชายหนุ่มถามหยั่งเชิง พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

ยังไม่ทันที่จะตอบอะไร อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ การสนทนาจึงหยุดลงชั่วคราว ... เด็กหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าคนที่ไม่เคยไว้ใจคนอื่นเช่นเขา ถึงได้กล้ามากับคนแปลกหน้าได้ แถมมืดดึกป่านนี้แล้ว ถ้าเป็น เมื่อก่อน พ่อรู้เข้าคงโดนเทศไปหลายกัณฑ์

ใช่ !! ถ้าเป็นเมื่อก่อน เมื่ออดีตที่พ่ออยู่กับเขา แต่ตอนนี้เขาไม่มีใครแล้ว ไม่มีคนที่คอยห่วงใยอีกแล้ว จะเป็นอะไรไป ถ้าอยู่ๆจะมีใครที่ไหนก็ไม่รู้ มาแสดงความหวังดี เราก็ควรจะรักษาความหวังดีของเค้าไว้ เด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น ในขณะนี้

“อิ่มยังครับ ฟิล์ม”

“ครับ พุงกางเลยพี่” ฟิล์มบอก

“งั้นเราไปเที่ยวต่อกันเลยนะ ฟิล์มตกลงไปเป็นเพื่อนพี่ใช่มั้ย” ชายหนุ่มพูดเหมือนดักคอเอาไว้ก่อน

“จะไปเที่ยวไหนอะพี่ ถ้าไปเที่ยวผับ บาร์ไรนี่ ผมจะเข้าได้เหรอครับ ผมยังไม่ 18 เลยนะ เดี๋ยวนี้เค้าต้อง 20 แล้วนะพี่” เด็กหนุ่มถามเพื่อนรุ่นพี่ในขณะอยู่บนรถ

“ห๋า ยังไม่ 18 อีกเหรอเรา เรียนอยู่ ม.ปลายอยู่เหรอเนี่ย” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อย

“ขึ้นปี 1 แล้วล่ะครับ”

“อ้อ อยู่มหาลัยแล้ว ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวไปร้านเพื่อนพี่ ให้เข้าอยู่แล้ว ไปดื่มอะไรนิดหน่อย คุยเป็นเพื่อนพี่ซักพัก เดี๋ยวพี่พาไปส่งบ้านนะ”

ฟิล์มพยักหน้า แต่ในใจไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร แต่อยู่ในรถเค้าแล้วนี่หว่า ทำไงได้ล่ะ

--------------------------------

“เฮ้ย ไอ้แนท เด็กใหม่มึงเหรอว่ะ หน้ารักเชียวนะโว้ย” มีเสียงแซวจากเพื่อนเจ้าของร้าน พลางกระซิบกระซาบกัน

“มึงไปออฟมาจากซอยไหนว่ะ”

“ห่า กูนี่นะจะไปออฟเด็กบาร์ กูเจอเดินอยู่ริมฟุตบาทหว่ะ สงสัยแม่งทะเลาะกับที่บ้านมา บ่นไม่อยากกลับบ้าน ดี เข้าทางกูเลย ...”

“มึงจะฟันน้องเค้าเหรอว่ะ”

ชายหนุ่มชื่อแนทยื้ม ก็เพียงพอสำหรับคำตอบที่ถาม

“มึงช่วยชงแบบเดิมทีเด๊ะ เอาแบบแรงๆเลยนะเว้ย แม่งดูท่าเอาเรื่องเหมือนกัน”

“มึงนี่ มึงอยากฟันน้องเค้า ก็บอกเค้าไปดิว่ะ ไอ้ห่า ชอบให้กูผสมไปมอมเด็กอยู่ได้ บาปนะมึง” เพื่อนผู้หวังดีว่ากระทบกระเทียบ แต่มือไม้นี่เตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ...(ห่า)

“อ้าว เผื่อมันไม่ยอมกูจะได้ไม่โดนตีนไง เอาน่า !? เดี๋ยววันหลังกูพามาให้มึงแดกมั่งล่ะกัน เออ แล้วยกไปให้ที่โต๊ะด้วยนะมึง กูไปหาน้องเค้าก่อน” ว่าพลางตบไหล่เพื่อนเบาๆ

“อนานมั้ยครับ พี่ไปสั่งเครื่องดื่มมาให้อะ” แนทถามเด็กหนุ่ม ซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ซึ่งห่างจากเคาเตอร์พอสมควร
ฟิล์มสั่นหัว พลางมองไปดูบรรยากาศรอบๆ ตั้งแต่จำความได้ เขาเคยมาเที่ยวที่แบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ครั้งแรกเมื่อตอน ม.4 มากับเพื่อนที่โรงเรียน จนเกือบยกพวกตีกัน

“มาแล้วคร๊าบบ น้ำ ******* ของน้อง กับ *********** ของมึง”

“เออ ขอบใจหว่ะ ติดไว้ก่อนนะ”

“ไอ้หอก มึงงี้ทั้งปี มึงหัดลงทุนบ้างดิว่ะ”

ฟิล์มฟังทั้งสองเถียงกันอยู่ซักพัก จนเพื่อนของแนทเดินจากไป

“เออ พี่ทำไมถึงรับผมขึ้นรถล่ะครับ แล้วยังพาไปกินข้าวอีก”

ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวเราะ แล้วมองหน้า

“ทำไมล่ะครับ ก็พี่เห็นน้องเดินตากฝนอยู่ ก็เลยเรียกขึ้นมาก็เท่านั้นล่ะ จากนั้นเห็นน้องคุยสนุกดี พี่ก็เลยชวนมาเที่ยวเท่านั้นล่ะ ทำไมเหรอครับ รังเกียจพี่เหรอ”

ฟิล์มส่ายหน้า พลางคิดในใจ ( กูคุยสนุกตอนไหนว่ะ ) พลางดื่มน้ำเข้าไป

แค่ก !? ดื่มไปอึกแรกถึงกับสำลัก

“อ้าว กินพลวดเดียวแบบนั้นก็แย่ดิครับ มันแรงนะน้อง” ชายหนุ่มว่าพลางลูบหลังให้

“แล้วพี่ก็น่าจะสั่งอะไรให้มันดีๆกว่านี้หน่อย” ฟิล์มว่า

“คร๊าบบ ขอโทษครับ พี่ผิดไปแล้ว ก็ไม่นึกว่าเราจะคออ่อนแบบนี้นี่นา”

“ผมไม่ได้คออ่อนนะพี่ แค่ไม่คุ้น ไม่เคยกินเท่านั้นล่ะ” เด็กหนุ่มชักฉุนที่โดนว่า

“อ้อ” แนทว่า พลางมองด้วยสายตาท้าทาย “อืม เป็นงี้นี่เอง”

ฟิล์มมองเห็นหน้าที่ดูถูกแล้วอดไม่ได้

“แค่นี้อะ เด็กๆพี่” ว่าแล้วก็ซดโฮกเดียวล่อไปค่อนแก้ว จนชายหนุ่มก็ตกใจเหมือนกัน

“เฮ้ย ค่อยๆกินก็ได้ เดี๋ยวตายกันพอดี” (น้ำห่าไรว่ะ) แนทบอกพลางยิ้มชอบใจ

แล้วจากที่ดื่มกันไปกินกันมา จนเกือบ 2 ชม. ฤทธิ์ส่วนผสมบางอย่างทำให้เด็กหนุ่มเริ่มอ่อนเพลีย มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

“ม่ายย ไหวแล้วพี่” ฟิล์มบอกกับชายหนุ่ม

“อ้าว เป็นไรไปล่ะน้อง”

“ผมเริ่มมึนๆนิดหน่อยอะพี่” แต่ดูจากอาการแล้ว มึนนิดหน่อยนั้น ไม่ใช่อาการที่เด็กหนุ่มเป็นตอนนี้เลย เพราะตอนนี้ แม้แต่จะยืนก็คงไม่ไหวแล้ว

“ผมชักง่วงแล้วอะพี่ พาผมปายยส่งบ้านหน่อยดิ”

“เออ อืม ได้ๆ มาเดี๋ยวมาพี่ประคองไปขึ้นรถนะ”

แนทค่อยๆ ประคองเด็กหนุ่มขึ้นรถ พอตัวขึ้นรถได้ ฟิล์มก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องแล้ว

“ฟิล์ม บ้านน้องอยู่ไหนอะ” ชายหนุ่มถามเบาๆ พลางเขย่าตัว เมื่อเห็นว่าหนุ่มน้อยไม่ได้สติแล้ว ก็เป็นโอกาส ....

แนทลูบหัวเด็กหนุ่มเบา พร้อมลูบไล้ใบหน้า จนถึงจมูก ริมฝีปากแดงอ่อนๆ

“งั้นไปนอนบ้านบ้านพี่นะ” ( สำเร็จ )

เมื่อมาถึงสถานที่เชือด แนทค่อยๆประคองร่างไม่มีสติของเด็กหนุ่มมาไว้บนเตียง

“ทำไมน่ารักแบบนี้นะ เจ้าตัวดี” ว่าพลางจูบลงที่หน้าผาก ไล่มาที่แก้ม จากนั้นริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็โดนประกบโดยปากของผู้ร้ายหลอกเด็ก ชายหนุ่มพยามยามแทรกลิ้นเข้าไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย แต่ก็เพียงพอทำให้ ชายผู้หวังดี เปลี่ยนสภาพเป็นชายหื่นกามได้ในฉับพลัน

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:20:47
หลังจากไซ้ไปได้ซักพัก ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเปลือยเปล่า มองเหยื่อซึ่งนอนสงบนิ่งบนเตียง ... แต่สายตาก้มองลงไปเรื่อยจนถึงจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งดูตึงๆขึ้นนิดนึง (อะไร)

แนทค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆ พลางกลืนน้ำลาย

“โห ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย พาดขวาซะด้วยแฮะ” ภาพที่เห็นคงทำให้เกิดความสยิว จนทำให้หัวใจซาตานเริ่มกระเจิดกระเจิง หลังจากแค่ใช้มือลูบเบา จึงค่อยๆเริ่มหนักหน่วงขึ้น ลมหายใจของทั้งสองเริ่มดังมากขึ้น แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อถูกกระตุ้นถึงขนาดนี้ ปฏิกิริยารีเอฟเฟคก็มีใช่ย่อย เมื่อมันพองเต็มผ่ามือ

แนทค่อยๆปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของเหยื่อ ล่นลงจนเห็นปราการด่านสุดท้าย ชายหนุ่มเอามือไปเข้าไปเคล้าคลึง ซึ่งตอนนี้ทำได้โดยถนัด และใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ...

ซาตานค่อยๆเอานิ้วแยงเข้าไปที่ขอบกางเกงใน แล้วง้างขึ้นนิดหน่อย อีกมือก็ลวงเข้าไปสัมผัสและดึงน้องชายเด็กหนุ่มออกมา ชายหนุ่มค่อยๆรูดขึ้นรูดลงเบาเรื่อยไป จนเริ่มถี่ ฟิล์มเริ่มกระสับกระสาย และพลิกตัวเกร็ง เจ้าซาตานในร่างมนุษย์ยิ้มชอบใจ ว่าแล้วก็ค่อยๆ ครอบปากลงบน – ตี้ด – ของหนุ่มน้อย พลางรูดขึ้นรูดลงอย่างรวดเร็ว

อั๊กกกก .................... อ๊า

จะเป็นเพราะเริ่มสร่างเมา หรือเพราะความเสียวยังไงไม่ทราบ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา .. แต่ยังคงมึนงง เพราะพิษเหล้า จนพอรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไร ก็สายไปซะแล้ว

“พะ พี่ ทามอะไรผมอะ” ว่าพลางผลักหัวชายหนุ่มออกจากของสงวน

“ปล่อยนะเว้ย !! อ๊า อึ๊ยยย”

แต่ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังไม่ยอมหยุดการกระทำ ยังคงทำหนักกว่าเก่า พร้อมเอาอีกมือพยายามกดตัวฟิล์มให้นอนลง

“อะ อ๊า ปล่อยยยยย” เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีถีบเข้าที่ยอดอก

พลั๊กกกก อั๊กก !!!

“โอ้ย ไอ้เด็กเวร มึงทำอะไรของมึงว่ะ”

“ก็พี่จะทำอะไรผมล่ะ ทำไมทำแบบนี้ว่ะ ไอ้สัด” ตอนนี้ฟิล์มรู้สึกตัวเต็มที่เพียงแต่เรี่ยวแรงยังคงไม่กลับมา และเริ่มตื่นตระหนัก ซึ่งแนทเริ่มรู้สึกได้ และยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม

“กูก็จะทำให้มึงมีความสุขเลยไง ทะเลาะกับที่บ้านมาไม่ใช่เหรอ กูจะทำให้มึงสุขจนลืมบ้านเลย” ว่าแล้วก็กระโดดมาทับตัวเด็กหนุ่มซึ่งหมดทางสู้

“พี่แนท อย่าทำอะไรผมนะ พี่จะเอาอะไรผมให้พี่หมดนะ งะ เงินอยู่ในกระเป๋าอะพี่ ปะ ปะ ปล่อยผมไปนะ” ฟิล์มพูดเสียงสั่นเคลือ น้ำตาเริ่มเออท้น นี่เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวจับใจ เช่นเดียวกับหลายเดือนก่อนตอนที่พ่อสุดที่รักต้องทิ้งเค้าไว้ตามลำพัง

“กูไม่อยากได้เงินของมึง กูอยากได้ตัวมึง เข้าใจ๋ เล่นตัวนักใช่มั้ยมึง มานี่เลย” พลางกระชากกางเกงยีนที่ยังเปิดอ้าซ่า ลงไปกองกับพื้น

โอ้ย ..........

ชายหื่นยังตรงไปกระชากคอเสื้อ แล้วระดมจูบที่ซอกคออย่างรุนแรง เหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน มืออีกข้างล้วงไปลูบหน้าอกของเด็กหนุ่มหวังกระตุ้นอารมณ์ แต่ไม่เลย ไม่ได้มีความเสียงเลยซักนิด ในตายเหอะ

“ มึงจะร้องไห้ทำไม ไอ้น้อง พี่จะพาน้องไปสวรรค์อยู่นี่ไง ” แนทบอกพลางกดแขนให้นอนราบกับที่นอน ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่ไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มเริ่มคิดถึงคำเตือนของผู้เป็นพ่อ

“ - อย่าไว้ใจใครนะฟิล์ม ภายนอกเค้าอาจจะดีกับเรา แต่ในใจเค้าเราไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดอะไรอยู่ - “

อั๊กกก .. !!!??? “ พ่ออออออออออออออออออ ชะ ช่วยยยยยยผมด้วยยยย
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:24:02
“ อ่ะ อ่า ........ โอ้ววว ” เสียงครางจากชายหนุ่มรุ่นพี่ บ่งบอกถึงความเสียวกระสันที่กำลังจะบังเกิด หลังจากคิดว่าหนุ่มน้อยที่เป็นลูกไก่ในกำมือหยุดดิ้นขัดขืน จึงค่อยๆเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อ

“ สิ้นฤทธิ์ซะทีนะมึง เล่นตัวดีนักมันต้องเจอแบบนี้ ” แนทพูดพลางถอดเสื้อออก โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ในมือเด็กหนุ่มเอื้อมไปเจอของดีเข้าให้แล้ว

ชายหนุ่มโยนเสื้อลง พร้อมทั้งค่อยๆก้มลงประกบปากพร้อม บดขยี้อย่างรุนแรง จนได้ยินเสียงครางเบาๆ
ของฝ่ายรับ จากนั้นจึงระดมจูบเรื่อยมาจนถึงซอกคอ “ ฮือ .... อา ” ฟิล์มครางเสียงค่อย แนทกระหยิ่มในใจ
พร้อมเม้มที่ใบหู ค่อยไซ้เรื่อยมาจนมาถึงยอดอก พร้อมกับดูดเม้มที่หัวนม เด็กหนุ่มเริ่มเกิดความสยิวหนักขึ้น
กว่าเดิม เริ่มจะพลิกกายไปมา แต่กว่าอะไรจะสายเกินแกงไปซะก่อน .... พลั๊ก !!!!

แอ๊ฟฟฟฟฟ !?!?!? (เสียงร้อง)

ของดีที่ฟิล์มเอื้อมไปสัมผัสในระหว่างที่ หนุ่มรุ่นพี่กำลังสาระวนกับการถอดเสื้ออยู่ คือ นาฬิกาปลุกรุ่นซุปเปอร์คิง
ไซต์ และในระหว่างที่กำลังถูกซุกไซ้อยู่ เด็กหนุ่มก็ประสบจังหวะเหมาะ รวบรวมกำลังที่มีอยู่ใช้ท่าไม้ตาย


– ลูกไก่บิ๊กคล็อกแอ็ตแทค – (จริงๆคือ หยิบนาฬิกาฟาดหัวอย่างรุนแรง) จนแนทต้องเปลี่ยนเอามือไปกุมที่หัว
ตัวเอง ร้องโอดโอย เลือดสดๆเริ่มไหลออกมา ด้วยแรงกระแทก


“ โอ้ยย ไอ้เด็กเวร มึงทำกูเหรอ ... มึงงงง โอ้ย หะ หัวกู ”

ฟิล์มพยายามรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ ใส่เสื้อผ้า และเลื่อนกายออกจากบ้านซาตานในร่างมนุษย์อย่างช้าๆ

“ มึง จาไปไหน ” ชายหนุ่มยังไม่หมดฤทธิ์ เหยียดแขนมาจับขาได้ทัน เด็กหนุ่มพยายามสลัดสิ่งที่เกาะกุมอยู่
แต่แรงอาฆาตทำให้ไม่ยอมปล่อย ตอนนี้ฟิล์มเริ่มมีสติมากขึ้นและมีแรงมากขึ้น ความโกรธทำให้เด็กหนุ่มใช้เท้า
อีกข้างกระทืบไปบนมือ

พลั๊ก .... โอ๊กกก

“ มึง มึงทำกับกูแบบนี้ ไอ้ใจสัตว์ ..... กูจะกระทืบมึงให้จบดินเลยคอยดู .. ” ฟิล์มสบถออกมา พลางกระแทกช่วง
ล่างอย่างไม่บันยะบันยัง จนรู้สึกสาสมใจแล้ว จึงออกมาเรียกแท็กซี่

“ พี่ ... ไปหมู่บ้าน **** ครับ ” แท็กซี่หันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่แปลกใจกับสภาพ

“ น้อง ไปทำอะไรมาเหรอเปล่า ” ฟิล์มไม่ตอบ แต่ส่ายหน้าแทน ตอนนี้ในใจของเด็กหนุ่ม มีแต่ความกลัว
ความเกลียดชัง ความน้อยใจผสมกันไป แต่เค้ารู้อยู่เพียงอย่างเดียว .... ในโลกนี้เค้าไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกแล้ว






















หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:30:10
“ ทำไมพี่รัญต้องบอกให้ไอ้บ้านั่นไปนอนห้องผมด้วยนะ ” ผมเข้ามาต่อว่าพี่รัญด้วยอารมณ์ฉุนๆ ถึงในห้องนอนพี่เค้า

“ ไอ้บ้าไหน !!! ” พี่รัญเงยหน้าจากการอ่านหนังสือ ทำหน้าถมึงทึง

“ กะ ก็ ... ” ผมเริ่มเสียงแผ่ว

“ไอ้ ... เออ พี่โตชิอ่ะ ทำไมต้องมาให้นอนห้องผมด้วยล่ะ ”

“ นายต้องรับผิดชอบในสิ่งที่นายทำดิ ” พี่รัญดุผม

“ ถ้าโตชิเค้าไม่ไปนอนห้องนาย จะให้มันมานอนห้องพี่ก็ได้นะ ... ”

“ แล้วทำไมต้องพูดแบบนี้อ่ะ” ผมเริ่มโกรธ “ เออ ใช่เด๊ เพื่อนรักกันมากกกนี่ ห่วงกันเหลือเกิน ”

“ บาส อย่าพูดประชดพี่ พี่ไม่ชอบนะ ” พี่รัญเริ่มเสียงดังขึ้น ผมคาดว่าอารมณ์พี่เค้าก็เริ่มปะทุแล้วเหมือนกัน

“ ทำไมนายต้องทำเรื่องเล็กให้มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วย .... ”

“ เออดิ ผมมันชอบทำเรื่องอยู่แล้วนี่ ... ” ผมพูดใส่พี่รัญก่อนที่จะเดินออกจากห้อง พร้อมไม่ลืมที่จะปิด
ประตูกระแทกอย่างแรง เพื่อให้รู้ว่า กูก็โกดนะโว้ยย ....


+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


หลังจากที่ผมลองทำท่าจะนอนบนโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งดูแล้วไม่เวิร์คแน่นอน เพราะท่าทางจะโดนยุงหาม
ไปแน่แท้ ผมก็ตัดสินใจกลับไปตายหลัง แอ้ดดดด ค่อยๆแง้มประตูเข้าไป แล้วย่องแบบเงียบเชียบไปที่เตียง
นอน (พลางคิด ทำไมกูต้องมาทำอะไรในห้องกูแบบนี้ว่ะ) แล้วผมก็รู้สึกถึงว่าไปเหยียบอะไรนุ่มๆเข้าให้แล้ว
พร้อมกันนั้น ไฟหัวนอนก็เปิดขึ้นมาทันที ภาพที่เห็นครือ ไอ้โตชิมันนอนห่มผ้าสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงของผม
 แต่ที่มันตื่นคงเป็นเพราะผมย่องไปเหยียบขามันเต็มๆอะดิ

แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ผมก็พออ่านสายตาคู่นั้นออกว่า

- เมื่อไรมึงจะเลิกเหยียบตีนซะทีว่ะ -

“ ทำไมนายถึงมานอนบนเตียงชาวบ้านแบบนี้ว่ะ ข้างล่างมีก็นอนดิ ” ผมโพล่งออกไป

“ ...................... ” มองหน้าผมแต่ไม่พ่นอะไรออกมาซักคำ

“ นี่ บอกให้มานอนข้างล่างไง นี่มันห้องชั้นนะเว้ย ”

“ ..................... ” มองหน้าผมแล้วทำท่าบิดขี้เกียจ

“ เฮ้ย แล้วจะให้กูนอนไหนว่ะ ” ผมบอกไปอย่างหมดอารมณ์

“ ..................... ” มันมองหน้าผม พร้อมชี้ลงที่พื้นด้านล่าง แล้วก็กรุณาเขวี้ยงหมอนมาให้ผมนึงใบ
 พร้อมหาวนึงที แล้วเอื้อมมือไปจะปิดไฟ

“ เหอๆๆๆๆ อ้ายยยย ทุเรศศศศ ” ว่าแล้วผมก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงในจังหวะที่ไฟปิดพอดี ศึกแย่งที่นอน
จึงระเบิดขึ้น โดยที่ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเรื่องรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด แต่จนแล้วจนรอดผมก็พยายาม
กระเบียดกระเสียรแทรกตัวไปอยู่บนเตียงได้ในที่สุด เฮ้อออ เหนื่อยสัด ….

Zzzzzzzzz Zzzzzzzzzz Zzzzzzzzzzz

อึ๊ก .. !!??? ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้น เพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง และฝนตกอย่างหนัก อากาศเริ่มเย็นลง ผมนึกขึ้นได้ว่า
ยังไม่ได้ไปปิดหน้าต่าง จึงจะเขยื้อนตัว แต่เอ๊ะ ทำไมมันขยับไม่ได้ว่ะ !?? สายตาผมก็เริ่มชินกับความมืด ก็
สังเกตได้ว่า ผมถูกกอดอยุ่นี่หว่า เออเว้ย ตูไม่ได้นอนคนเดียวนี่หว่า ไอ้โตชิมันมานอนด้ว .... อุแว๊กกก .......
ผมพึ่งนึกขึ้นได้ ว่าแล้วทำไมมันถึงอุ่นๆว่ะ ที่แท้โดนกอดอยู่นี่เอง ผมพยายามที่จะเคลื่ยนตัวให้หลุดอย่างเบาๆ
เพราะไม่อยากให้มันตื่นมาทะเลาะกะผมอีก แต่ก็ไม่เป็นผล ผมจึงจะหันไปเรียกมัน

 (ครือ ผมนอนหันหลังอยู่ แล้วมันมากอดด้านหลัง อี๋.... เสียวตูด)

“ เฮ้ย เกือบไป ” ผมคิดในใจ เพราะหันไปเกือบไปโดนหน้ามัน ผมจ้องหน้าโตชิซักพัก .... อืม เออ ถ้ามันทำตัวดี
หน่อยนึงน้า มันจะเป็นคนที่หล่อทั้งรูป จูบก็หอม ไปแล้นนน แต่นี่อาไรว้า ... มันต้องมาชอบหาเรื่องผมทุ...

“ แค่ก แค่ก ... ” มันไอใส่หน้าผมเต็มๆ แล้วเริ่มขยับตัว ผมแทบหันหน้าหนึไม่ทัน เหอๆ มันเริ่มรู้สึกตัวแล้ว
คงคิดในใจว่ากำลังกอดผมอยู่นี่ โตชิลุกขึ้น เดินไปปิดหน้าต่างพอไม่ให้ฝนสาดเข้ามา แล้วเดินกลับมาบนเตียงต่อ
ในใจผมก็คิด นี่ทำไมกูต้องมาแกล้งหลับด้วยว่ะ เออ ช่างมันจะได้ไม่ต้องไปปิดหน้าต่างเอง ยังไม่ทันทำอะไร
โตชิก็เอื้อมไปหยิบผ้าห่ม ที่อยู่ปลายเตียง (ซึ่งตอนที่ผมรู้สึกตัว มันไปกองอยู่ปลายเท้า) มาห่มตัวแล้วก็ผมด้วย ...จากนั้นก็เอื้อมมือมากอดผมในผ้าห่ม ท่าเดิมเด๊ะ ....แต่ดูเหมือนมันชิดกว่าเดิมง่า ...

“ ฮะ เฮ้ย นี่มึงตั้งใจจะกอดกูแต่แรกแล้วเหรอว่ะ ปะ ปล่อยนะโว้ยย ม่ะอ่าววววว ” ผมคิดในใจ

ทำไมถึงยังแกล้งหลับอยู่ว่ะกู ตื่นๆๆเด๊ ตอนนี้ผมหลับไม่ลงแล้ว ถึงแม้อากาศภายนอกจะเย็นชวนให้นอนหลับฝันหวาน แต่ในใจผมนี่ซิ ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก !!!????? รั่วเป็นจัวหวะกลองยาว จนกลัวว่า
ไอ้โตชิจะได้ยิน หน้าผมเริ่มร้อนผะผ่าวว ไม่รู้ว่าโตชิจะรู้ว่าผมแกล้งหลับหรือเปล่า หรือว่าได้ยินเสียงหัวใจผม
มันยิ่งเอาหน้ามาใกล้ผมมากขึ้น ... จนได้ยินเสียงหายใจ

“ ผะ ผม มีพี่รัญอยู่แล้วนะโว้ย อย่าคิดมากดิ อย่าคิดมากกกก ” ผมเตือนใจตัวเอง แต่เสียงหายใจของมันทำให้ผม
ยิ่งคึกขึ้น ( อะไรคึก!? )

 ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก ตึ๊ก ตั๊ก !!!?????

ผะ ผมต้องหลับแล้ว ต้องหลับแล้ว คิดในใจพร้อมข่มหลับตาปี๋ ซ่า ซ่า ซ่า เปรี้ยงๆๆๆ เสียงฝนตกแรงขึ้น
พร้อมฟ้าผ่าตามมาเป็นระยะๆ ผวบ .... ซวบ .... เสียงเขยื้อนตัวของโตชิ ขยับมาชิดตัวผมอีก จนผมรู้สึกว่า
โอ๊ยโย่ววว พี่แท่งของไอ้โตชิมันมาอยู่แนบขาผมแล้ว ... !??? ผมรู้สึกหยุ่นๆ พิลึก หน้าร้อนฉ่า นอนนิ่งไม่ไหว
ติง ... และแล้วหน้ามันก็มาซุกอยู่ที่หลังคอผม ลมหายใจอุ่นสัมผัสกับซอกคอผมจนลืมตัว ....

“ หะ หือออออ ฮือออ ” อิ ..... อี๋ ผมเผลอครางออกมาเบาๆ ม่ายหวายแหล่ววววว .... มึงจายั่วกูไปถึงไหนฟ่ะ พอ
ทีเต๊อะ แต่จนแล้วจนรอด ให้สภาพแบบนี้ ผมก็ผล่อยหลับลงได้ในที่สุด


 + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


“ บาส บาส ตื่นๆได้แล้ว ” เสียงคนมาเขย่าตัวผม ผมค่อยเปิดตาขึ้น

“ เฮ้ย จะ 8 โมงแล้วนะ ไม่มีเรียนเหรอไง ” อ้อ พี่รัญนี่เอง ผมคิดในใจ พร้อมหันไปมองโตชิ มันยังนอนกอดผม
อยู่หลับปุ๋ย

 พลวด

ผมลุกขึ้นหน้าตาตื่น พร้อมผลักตัวมันออกไป สำรวจร่างกาย

“ เมื่อคืนหนาวมากเหรอไง นอนกอดกันกลมเชียวนะ ” พี่รัญพูดมีน้ำโหน้อยๆ ผมคิด พี่เค้าหึงใครกันวะ
พูดแบบนี้อะ จึงบอกแบบประชดๆ

“ อ้าว คนมันหนาวก็แบบนี้ล่ะ ช่วยไม่ได้นี่หว่า ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่อ่ะ ยุ่ง !?? ” ผมตอบไปหน้ามุ่ย พร้อมกระแทกเท้า เดินปึงๆไปเข้าห้องน้ำด้านล่าง คิดว่าผมนอนไม่หลับเมื่อคืนเป็นเพราะใครเป็นต้นเหตุวะ

ผมไม่หายโกรธง่ายๆหรอกโว้ย พี่รัญ.. จนผมเดินออกจากห้องไป ...

“ เฮ้ย ตื่นได้แล้วเว้ย โตชิ นอนไปถึงไหนวะ ” รัญบอกเพื่อนหนุ่ม ที่ยังนอนขดอยู่ในที่นอน

“ วันนี้เค้านัดสัมภาษณ์มึงนี่ อย่าชักช้าดิ หรือว่า .... เมื่อคืน มึงทำอะไรกันว่ะ บอกกูมานะ ” รัญเขย่าตัวเพื่อน
สนิท

“ ทำห่าอะไรว่ะ กูหนาวก็แค่กอดหน่อยเดียว กูรู้น่า ว่าของของมึงอะ ” โตชิว่าพลางลุกขึ้นสลึมสลือ

“ ขนาดแค่กอดนิดเดียว ยังสั่นเป็นเจ้าเข้าเลยหว่ะ มึงเทรนเด็กมึงไม่ดีเลยหว่ะ ไอ้รัญ ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเก็บที่

หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:31:07
“ไอ้บาส มึงทำต้องช่วยกูทำงานนี้นะเว้ย ไม่งั้นกูซวยแน่ๆ“ เพื่อนโจบอกผมหลังจากออกจากชั้น

“ไม่เอา !? “ ผมบอกแบบใจไม้ไส้ระกำสุดๆ

“อะโห มึงจะปล่อยให้เพื่อนตาดำๆของมึงไม่มีงานส่งอาจารย์ แล้วต้องตกวิชาแกเหรอว่ะ“ ไอ้โจบ่นกระปอดกระแปด

“มึงจำไม่ได้เหรอ คราวที่แล้วกูก็ช่วยทีนึงแล้ว ถ้าช่วยมึงทุกครั้งมึงก็ไม่ต้องได้ทำเองเลยดิ กูทำเพื่อมึงนะเนี่ย“ ผมบอก “เออ หิวแล้วอะ“


“งั้นเด๋วกูเลี้ยงมึงเอง“ ไอ้โจเปลี่ยนแผนมาเอาใจผมแทน

“มึงไปหาคนอื่นช่วยไป กูไม่ช่วย ผมบอกแบบรู้ทัน น้านน พวกนั่งรอกินข้าวกันแล้ว“ ผมชี้ไปที่โต๊ะประจำกลุ่มของเรา

ทันทีที่ไปถึงโต๊ะ ...

“หนิงจ๋า สุดสวยประจำกลุ่ม ช่วยโจทำโปรเจ็คหน่อยน้า ..... งี้ดๆ“ ไอ้โจเริ่มประจบ

“หนิงไม่ต้องไปช่วยมันเลยนะ ไอ้เนี้ย.. ขืนไปช่วยมันมากๆ เดี๋ยวมันทำงานเองไม่เป็น คงจะจบหรอกมัน“ ต้าร์ซึ่งเป็นเด็กเก่งสุดในกลุ่มเตือน ไอ้โจได้ยินถึงกะฮีดฮัด

“เอออ กูจะได้รู้ว่าเพื่อนกูแต่ล่ะตัวเนี่ย แม่งใจดำกันอิ๋บอ๋ายย“

นี่ล่ะครับ ชีวิตประจำวันของผมและเพื่อนในมหาวิทยาลัยหลังเปิดเทอมมาแล้ว นี่แค่เพียงสัปดาห์แรกของการเปิดสอนนะเนี่ย งานมากันตู้มม เห็นเหรอยังครับว่างานเยอะจริงๆ ยิ่งชั้นปียิ่งมากขึ้น ชีวิตนิสิตอย่างพวกเราก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายมากขึ้น ไหนเรื่องเรียน ไหนเรื่องกิจกรรมอีกบานตะไท โดยเฉพาะชีวิตพี่ๆปี2 อย่างพวกผม งานที่สำม่ะคัญที่สุดเห็นจะเป็นงานรับน้องนี่แหละครับ

“นี่ เชื่อม่ะน้องชั้นนะ น่ารักมากๆ ว่าอะไรก็ทำ ไม่เคนโดดซ้อมอีกตะหาก“ หนิงชื่นชม

“สู้น้องต้าร์ไม่ได้อะ ขาว สวย เซ็กส์ แถมหุ่นดีอีกตะหาก“ ไอ้ต้าร์เอาบ้าง แอบแฝงเสียงหื่นๆ (ซึ่งปกติไม่ค่อยจะเป็น)

“น้องกูนี่ดิ สุดยอด ไอ้โจได้ทีคุยบ้าง .... หุ่นนี่นะยังกะตุ่ม ยิ้มทีนะโลกสว่างสดใสอะ เสียอย่างเดียว เห็นเพื่อนมันบอก เวลาโกรธที แม่ง โกรธหน้าดำเลยหว่ะ “

“5555 มึงจะบอกว่าน้องมึงตัวดำก็บอกดิ สาวบริงค์อะ สาวบริงค์“ เจอผมแซว

“เออมึงว่าแต่น้องคนอื่นอะ น้องมึง กูยังไม่เคยเห็นหัวมันเลยนะ เวลาเชียร์ก็ไม่เห็นมันเข้าเลยหนิ“

ผมเริ่มสลด เพราะพึ่งนึกออก เออดิ กูลองถามเพื่อนมันแล้ว ก็เห็นบอกว่ามาเรียนทุกคาบนี่หว่า แต่เวลาเค้าเชียร์กัน หายหัวไปทุกทีอะ

“นายน่าจะไปคุยกะน้องเค้าบ้างนา ว่าเค้ามีปัญหาอะไรป่าว ยังไงนายก็เป็นพี่รหัสเค้านา“ ต้าร์แนะนำผม ซึ่งผมก็เห็นดีด้วย เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ผมจะไปดักรอน้องเค้าที่ห้องเรียนเลยล่ะกัน จะได้รู้ซะทีว่ามันทำด๋อยอะไรของมันกันแน่ โดดได้ทุกที เห็นตูเป็นหัวหลักหัวตอเหรอไงว่ะ อ่ะ พูดไปก็ชักฉุน

“เออแล้วน้องมึงชื่ออะไรว่ะ“ โจถามผม

“ไอ้ตงบอกว่าชื่อ ฟิล์ม อะไรเนี่ยแหละ หว่ะ“ ผมตอบไปอย่างหงุดหงิด


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“กลับมาแล้วคร๊าบบบ อ้าว หายหัวไปไหนกันหมดเนี่ย เงียบจัง“ ผมพึมพำเดินเข้าหอ พลางดูนาฬิกา อ่า บ่ายสามเองนี่หว่า พี่รัญคงยังสัมภาษย์งานไม่เสร็จมั้ง

ว่าแล้วผมก็เข้าไปหาอะไรกินในครัว พลางนึกขึ้นได้ วันนี้ช่างทำประตูมันมาทำยังว่ะ ขึ้นไปดูดีกว่า ผมเดินไปจนถึงห้องโตชิ ลองเปิดประตูดู สรุปว่า ช่างเวงยังไม่มาทำอีกแฮะ คืนนี้ก็ต้องนอนกะไอ้ครึ่งยุ่นนั้นอีกแล้วอะดิ

เฮ่ออออ !?? คิดแล้วก็เหนื่อยจายยย กำลังจะเข้าห้องตัวเอง …

เฮ้ย ใครอยู่ในห้องนอนตูว่ะ ไอ้โตชิแน่เลย มันมีกุญแจห้องผมอยู่นี่หว่า แต่ผมอยากรู้ว่ามันทำอะไรอยู่ในห้องร้อนๆแบบนี้อยู่ได้ (ห้องผมไม่ได้ติดแอร์นะ จน) แทนที่จะอยู่ข้างล่าง เลยเอาหูไปแนบบานประตู ( เอ้า ห้องผมนี่นา ผมจะทำอาไรก็ได้นี่ ^_^ )

แล้วหัวใจผมก็ตกไปที่ตาตุ่ม ใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหว่ะ เพราะเสียงที่ผมได้ยินในห้อง เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อ้าววว ไอ้เห่ นี่เล่นเปิดหนังโป๊ดูแน่ๆ

แปร็บบบบบ !?? ความคิดอกุศลของผมก็แล่นผ่านสมองผม เร็วเหมือนรถไฟชิงคันเซ็น หุหุหุ ถึงแม้ตูจะไม่ชอบหน้ามัน แต่ผมก็อยากเห็นนี่หว่า ว่ามันจะทำอะไรอยู่ ผมค่อยๆลองบิดลูกบิดดูว่ามันล็อกหรือเปล่า

กริ๊ก แคร่ก

ว้า มันล็อกอยู่จริงๆอะ นั่นซิ ใครจะมานั่งดูหนังโป๊แล้วไม่ล็อกห้องว่ะ ง่ายไป ง่ายไป เอาใหม่ ผมเริ่มหาลู่ทาง สอดรู้สอดเห็นสอดเป็นสอดตายใหม่ ผมเลยตรงไปที่ห้องไอ้เป็ก ซึ่งอยู่ข้างๆห้องผม บิดลูกบิด อ่า ล็อก แต่ไม่เป็นไร ผมมีกุญแจนี่หว่า หึหึหึ ไขเสร็จ ผมปิดห้อง แล้วค่อยๆปีนออกทางหน้าต่าง โชคดีหอผมนอกหน้าต่างจะเป็นระเบียง หลังจากออกมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็ค่อยๆปีนไปที่ห้องผมอย่างเบาที่สุด แต่......

อะจ๊ากกกก !!!!!

ผมก้าวพลาดครับ ทำให้เกือบตกลงไปข้างล่าง โชคดีมือผมไวคว้าขอบระเบียงไว้ได้ก่อน วู้ เย่ เย้ เกือบตายห่าซะแล้วกรู

แล้วผมก็ปีนขึ้นมาตรงกับหน้าต่างห้องผมสำเร็จ แต่ผมยังไม่กล้าส่อง...เพราะอะไรอะเหรอ ผมพยายามคิดแผนว่า ถ้ามันจับได้ จะบอกมันว่าอะไร มาซ่อมหน้าต่าง หรือว่ามาเก็บของดีหว่า แต่เอ มาทำความสะอาดระเบียงมันจะสมเหตุสมผลอะป่าวว่ะ ผมคิดไปคิดว่า ก็สั่นหัว พอล่ะพอล่ะ แล้วผมก็ค่อยๆยื่นหัวขี้นมา

“โอ้วว บราเธอร์ ..... ม่ะเห็นมันมีใครอยู่ในห้องเลยนี่หว่า ??? “

สงสัยมันคงออกไปตอนที่ผมแอบเข้ามาทางหน้าต่าง อะฮือๆๆ อดดูของดีเลยเรา ผมคิดในใจ

หลังจากทำใจอยู่แป็บนึง .. ผมก็ตัดสินใจปีนเข้าทางหน้าต่างห้องผมเลย เพราะไหนๆมันก็ออกไปแล้ว

พลั๊ก !! “อะโอ้ยยยย“

ผมร้องออกมาอย่างเจ็บ เพราะผมลงผิดท่า หัวเข่าเลยกระแทกพื้นเต็มๆ

“แม่ง ซวยชิบหาย“ ผมสบถกะตัวเอง พลางเขย่งตัวไปที่เครื่องเล่นวีซีดี เพราะเห็นมันยังเปิดอยู่ แต่กดสต็อบไว้ ...

“อาไรว่ะ มาดูแล้ว ไม่ยอมปิดให้อีกตะหาก ชุ่ยชิบ“ ผมบ่นๆ แล้วจะกดปุ่มปิดเครื่อง แต่ไปโดนปุ่มอีเจ็คแทน ทีนี้แผ่นมันก็เลื่อนออกมาซิครับ

“อ่า เรื่องอะไรของมันว่ะ“ ผมส่องดู สงสัยจะเป็นของมันเอง ยังคิดไม่ทันเสร็จ ผมได้ยินเสียงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ตาย มันจะมาดูต่อเหรอว่ะเนี่ย ซวยแล้ว“ ผมเลิ่กลั่กทำอะไรแทบไม่ถูก ว่าแล้วก็รีบใส่แผ่นเข้าที่เดิม เสียงบิดลูกบิดดังขึ้นมา ผมหันรีหันขวาง จะวิ่งไปที่หน้าต่างก็ไม่ทันซะแล้ว เอาไงดีว่ะ เลยตัดสินใจรีบกระโดดเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้า (ตู้นี้เป็นไม้ฮะ มี 2 ชั้น แหวกๆเสื้อก็พอจะหลบได้)

แอ็ด ....

แกร็ก ...

ผมปิดตู้ในจังหว่ะที่เสียงฝีเท้าเข้ามาในห้องพอดี

“น้านนไง ไอ้โตชิจริงๆล่วย“ ผมคิดแค้นในใจ และประหลาดใจที่ทำไมต้องมาหลบคนอื่นในตู้เสื้อผ้าตัวเองแบบนี้วะ

ไหนๆก็ไหนแล้ว หลบในนี้ซักพักละกัน ผมคิดในใจ พลางค่อยๆแง้มประตูตู้เสื้อผ้าพอมองลอดให้เห็นสถานการณ์ภายนอก โตชิมันยืนเกาหัวมองที่เครื่องเล่นวีซีดีอยู่ ผมมองตาม

ตายห่า เอาแผ่นใส่แต่ลืมกดให้มันกลับเข้าที่ ผมนึกสวดภาวนาในใจ อย่าให้มันจับได้เลยยยยย และก็ได้ผล มันเอาแผ่นเก่าออก แล้วเอาแผ่นใหม่ใส่ลงไป ( อ้อ ที่แท้ก็ออกไปเอาแผ่นใหม่นี่เอง ไอ้ลามก ) จากนั้นก็กระโดดไปนอนบนเตียงสุดรักของผม เสียงคานรับน้ำหนักดัง ปังงง ผมแทบจะออกไปจากตู้ตั้นหน้ามันซะให้ได้ .. ถ้าหนังยังไม่ได้ฉายซะก่อน

วี่......วี่ ......วี่

******** เซ็นเซอร์

อู้ว โอ้วว อ่า .........

นั่นล่ะ นอกจากมันหน้าด้านมานอนห้องผมแล้ว มันยังเอาหนังโป๊มาดูในห้องผมอีกตะหาก และที่ไม่คิดไม่ฝันทำเอาผมตะลึงเล็กๆ มันเป็นหนังเกย์อีกตะหาก โถ่ถัง ชีวิตนี้ ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสเคยดูหนังแบบนี้เลยนะเนี่ย ไอ้โตชิมันเป็นเกย์จริงๆด้วย ผมเริ่มคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ว่าสงสัยมันคงไม่ได้แค่อยากแกล้งหยอกผมซะแล้ว แค่คิดก็ขนลุก ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้มากกว่าแอบดูอยู่เงียบๆในตู้ (ออกแนวโรคจิตไงม่ะรู้หว่า)

และแล้ว !? ความอึดอัดก็ประเดประดังเข้ามาที่ผมอีกรอบเมื่อเจ้าของร่างที่อยู่ภายในห้อง เริ่มจะไม่ได้ดูแค่หนังอย่างเดียวซะแล้ว ...จะอะไรไปได้ล่ะทั่น หนังแบบนี้ บรรยากาศในหอแบบนี้ ไม่มีคนอยู่แบบนี้ กิจกามบนท้องสนามหลวงจึงบังเกิดขึ้นนะซี ดูท่าอารมณ์โตชิมันจะพุ่งปรี้ดมากขึ้น เมื่อเริ่มปรับระดับเสียงดังขึ้นกว่าเก่ากระตุ้นอารมณ์ตัวมันและ ผมได้มากทีเดียว ภาพบนจอเริ่มดุเด็ดมากขึ้น และภาพนอกจอที่ผมเห็นบนเตียงก็เริ่มอยากปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองมากขึ้น

หัวใจผมเต้นโครมครามจนนึกกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน ไอ้หนุ่มกลัดมัน ( ?? ) เริ่มเคล้นคลึงอวัยวะสุดหวงจากเบา แล้วค่อยแรง จากช้า เริ่มเร็วขึ้น เสียงหายใจเริ่มหนักหน่วง แล้วเจ้าของร่างก็ปฏิบัติการล้วงเข้าไปในกางเกงตนเอง ในภาวการณ์เช่นนี้ผมคงไม่ต้องบรรยายว่ามันล้วงไปทำอะไรเนื่องจากมองไม่ชัด แต่อาการเสียวที่เกิดขึ้นผมเดาออก ร่างเจ้าหนุ่มลูกครึ่งอาทิตย์อุทัยมีอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด มือไม้ที่ว่างวาดกวาดไปมาบนที่ห้อง (ของผม) ผมกลืนน้ำลายนึงเอือก โอ้ว ใครจะนึกว่าโอกาสที่ผมได้เห็นหนังสดมันจะเกิดขึ้นในห้องตัวเองว่ะ ยังคิดไม่ทันจบ ... โตชิก็หยุดทำร้ายตนเอง มีท่าทีหอบเล็กน้อย

ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่มันหันไปรอบๆห้อง เพราะกลัวโดนจับข้อหาแอบดูชาวบ้านกระทำชำเราตนเอง แต่ก็ผมก็โล่งใจ เมื่อมันหันไปทางจอทีวีเหมือนเดิม คราวนี้จัดการถอดเสื้อออกกองไว้ที่พื้น อะโห รูปร่าง แม่งดีสุดๆ ขาว ใส ล้ำ ถึกที่สุด แต่ยังไม่ยอมถอดกางเกงว่ะ ผมผิดหวังหน่อยๆ โตชิเริ่มปฏิบัติการเสียวกะตนเองอีกรอบ โดนการเอามือไปบีบเค้นที่หัวนมตัวเอง พร้อมทั้งใช้มือสลับล้วงเข้าไปรูดเร้นท่อนลำเบื้องล่าง ความเสียวคงจะมีมากอยู่ จนผมได้ยินเสียงคราง ลีลาการยักย้าย ร่อนสะโพกมันสุดยอดมากครับ มือที่ล้วงในกางเกงก็รูดขึ้นรูดลงอย่างเป็นจังหว่ะ จนผมคิดว่า ยางยืดมันต้องขาดแน่ๆเลย อืมคนเรา ดูภายนอกก็งั้นๆ แต่อะโห เซ็กซ์จัดชะมัดยาด

ฮือออ อืม ~ ~ ~ อ่า

เสียงโตชิยังครางไม่หยุดหย่อน แถมยังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์มันคงกระเจิงไปเรียบร้อย พร้อมกับผมที่ตอนนี้เหงื่อกาฬเริ่มไหลพรากๆๆ ไมใช่เพราะความร้อนที่อยู่ในตู้อย่างเดียว แต่ทั้งร้อนใจ และร้อน เ(จี้)ยว อีดอัดชิบเป๋ง หน้าผมเริ่มมืดมากขึ้น จนทนไม่ไหว เอามือไปลูบๆเล่นนิดหน่อย อะโห แข็งปั๋ง

ผมเงยหน้าไปมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ตอนนี้ไอ้โตชิมันเปลือยเปล่าร่อนจ้อนแล้วคับ กางเกงถอดไปกองตอนไหนไม่ทราบ ไอ้น้องชายของโตชิมันใหญ่ไม่ใช่เล่นเลย สมกะมีเชื้อพี่ไทยอยู่ด้วย เหอๆ (กรูคิดอาไยออกปายย) มันสุดยอดมากครับ สะโพกก็ทำหน้าที่ไป มือทั้งสองก็สอดประสานทำหน้าที่ได้อย่างดี อืม ... เสียงครางของเจ้าของร่างยังดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฝ่ามือที่รูดท่อนลำกระทบกับหน้าท้องดัง ผับๆ มันทำให้ผมเริ่มหักห้ามใจไม่อยู่ ถึงแม้เนื้อที่ในตู้มันจะเล็กก็ตามที ผมตัองจัดการกับตัวเองซะแล้ว ก่อนที่จะทนไม่ไหว

หืออ อ่า – อะ อ่า อะ โอ้วววว

ภาพที่โตชิกะลังทำอยู่ตอนนี้ทำเอาผมสะดุ้ง เมื่อมันไปคว้าแครอท (ย้ำแครอท แดงๆนี่แหละ) เอามาจอที่ประตูหลังของตัวเอง แล้วก็ค่อยๆดันมันเข้าไปทีละน้อย พร้อมกับมือข้างหน้าก็ยังปฏิบัติการสาวอยู่ไม่ขาด หน้าไอ้โตชิเริ่มขมวด เห็นได้ชัดว่ามันคงจะเจ็บ แต่ความเสียวของมันคงมากกว่า

“หะ เห้ยยย“ ผมเผลออุทานไปด้วยความตกใจ

มันเล่นแบบนี้เลยเหรอว่ะเนี่ย แต่ผมก็ยังคงดูต่อไป หลังจากที่หัวแครอทถูกดันเข้าสู่ช่องแคบมะละกาไปได้ครึ่งนึง ดูท่าการยืนจะไม่ไหวซะแล้ว โตชิจึงเปลี่ยนมานั่งยองๆบนเตียงแทน แล้วจับหัวแครอทตั้งขึ้น ค่อยๆนั่งเทียนกะแครอทช้าๆ จนมันเข้าไปได้เกือบหมด (เวงกรรม) คราวนี้ล่ะครับ มันส์สุดๆของมันล่ะ เสียงสาวว่าวของมันรุนแรงมากขึ้น พร้อมกับเสียงครางด้วยความเสียวทั้งหน้าและหลัง (ส่วนจะเสียวแค่ไหน ลองไปทรรศนากันเอาเอง)

ตอนนี้หนังเหนิงไม่ดูมันล่ะ ดูหนังสดดีกว่า ด้วยความที่ตู้มันแคบกว่าที่คิด ทำให้ผมได้แต่ลูบน้องชายที่ถูกกระตุ้นได้เพียงอย่างเดียว อะโห อารมณ์ตอนนี้ผมอยากเอาดุ้นไปเสียบแทนแครอทซะจริง ถ้าไม่นึกว่ากะลังไม่ถูกกันอยู่ จนในที่สุดสายน้ำขาวขุ่นก็สาดกระจายออกมาแบบทะลักล้นน พร้อมกับเสียงครางส่งท้ายที่แสดงให้เห็นถึงความเสียวสุดยอด เจ้าของร่างนอนแน่นิ่งบนเตียงแสดงถึงความอ่อนล้า พร้อมกับค่อยๆถอนดิลโด้ฉบับไว้เลี้ยงกระต่ายออกมา อะโห เยิ้มเชีย

“กลับมาแล้วคร๊าบบบบบ“ เสียงไอ้เป๊กดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงกลับเข้ามากันของคนอีก สองสามคน

ได้ยินดังนั้น โตชิรีบลุกพลวดขึ้นมา จัดการปิดหนังแล้วรีบใส่เสื้อผ้าออกจากห้องผมไป กลับเข้าห้องตัวเอง ทิ้งไว้แต่เพียงคราบน้ำกามาไว้ให้ผมจัดการ (อ้ายเลว) ก็เหมือนเสียงสวรรค์เพราะผมจะได้ออกจากตู้นรกนี่ซะที

“ห่า เสียวเสร็จแล้วหนีกลับห้องเลยนะมึง“ ผมสบถ พร้อมมองไปที่ความเลอะเทอะบนเตียง

“โถ่ ที่นอนกู“

แกร็ก .... “ไอ้บาส วันนี้เฮียรัญชวนไปกินเอ็มเคฯกันอะ ไปอะป่า.....“ ไอ้เป็กพลวดพลาดเข้ามาในห้อง พร้อมพูดยังไม่ทันจบ เพราะเห็นสภาพผมซะก่อน

“เฮ้ย ม่ะ มึงหงี่อะไรนักหนาว่ะ ทำทั้งชุดนักศึกษาเลยเหรอวะ โห เหงื่อแตกพลัก แถม ... “

พูดพลางมองไปที่บนเตียง

“โห มึงน่าจะไปทำในห้องน้ำดีกว่านะ อย่างงี้มึงไม่อายคนซักที่นอนมั่งอะไง“ ว่าพลางไปเอานิ้วปาดหยาดเยิ้มบนที่นอนขึ้นมา (มันนึกว่าของผมเลยไม่รังเกียจ แหะๆ)

“ทะไมกลิ่นมันแปลกๆว่ะ“ ว่าแล้วพลางจะเอาใส่ปากอีกตะหาก จนผมรีบไปปัดมือ

“เฮ้ย ไปเชี่ย ทำห่าไรว่ะ สกปรก“ ผมด่ามัน

“ไอ้บาส กูไม่รังเกียจของมึงหรอก กูแดกของมึงมากี่รอบแล้ว“ ไอ้เป๊กตอบหน้าตาเฉย

“เห้ย มึงเลิกพูดเลย แล้วไปรอกูข้างล่าง บอกว่าพี่รัญด้วยว่ารอกูแป็บนึง“

“เออได้ งั้นกูไปชวนไอ้โตชิก่อนนะ“

“ง่า ทำไมต้องให้มันไปด้วยอะ“ ผมยังพูดไม่ทันจบไอ้เป๊กก็ออกไปจากห้องแล้ว ปล่อยให้ผมรับบาปที่โตชิมันก่อไว้แต่เพียงลำพัง ... พร้อมกับอารมณ์งุนง่าน ที่มันทิ้งไว้ที่ผม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“พี่รัญ ผมขอโทษเรื่องเมื่อวานนะพี่“ ผมพูดสำนึกผิดในระหว่างการกินเอ็มเคฯแบบเบาๆ

พี่รัญยิ้มแล้วมองผม

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เองก็ต้องขอโทษบาสเหมือนกัน ที่พูดไปแบบนั้นนะ พี่อยากให้บาสรู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำเท่านั้นเองนะ อย่าคิดมาก“

ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางคีบเห็ดหูหนูของโปรดให้

“เห้ยๆ คู่นั้นนะ อย่ามาจี๋จ๋ากันให้มากได้ม่ะ อิจฉาว้อยย“ ไอ้เป็กแซวผมขึ้นมา

“จี๋ป๊ะมึงดิ กูปรับความเข้าใจกะพี่เค้าอยู่ตะหาก มึงไม่รู้เรื่อง“

“อ้อ ถึงว่าดิ เมื่อเย็นได้ระบายสิ่งคั่งค้างไว้แล้วนิ คงจะอารมณ์ดี เหอๆ“ ไอ้เป๊กยังไม่หยุดกัด

ผมทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรหยาบๆออกไป ดีที่พี่รัญห้ามไว้ เพราะเหตุผลที่ว่า เด๋วไอ้โตชิกะพี่เนจะแอบรับประทานส่วนของเราไปหมด

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันที่เรียบร้อย มื้อนี้พี่รัญจ่ายคับ แน่นอนวันนี้พี่เค้าได้งานใหม่เรียบร้อย

“อ้าว แล้วโตชิยังไม่ได้ด้วยเหรอ“ พี่เนถามเจ้าตัว

โตชิส่ายหน้า ไม่พูดอะไร พี่รัญเลยบอกแทน

“ไอ้เนี่ยอะ มันเลือกงานจะตายชัก ไม่ได้ทำงานดีๆ มันไม่ทำหรอก“

“ถึงว่าอะดิ เหลือเวลาว่างมาก เลย ..... “ ผมพูดแบบไม่ทันคิด จนสายตาเย็นยะยับของไอ้โตฯมองผม เหมือนจะถามว่า - เลย – อะไรว่ะ

“ป่าว .... หมายถึง เลยกลับบ้านไวก็เท่านั้นแหละ“ ผมสะแตนแหลไปเรื่อยๆ ใช่ซิ ผมแหลได้ถ้วยเชียวนะ เหอๆ

ระหว่างขึ้นรถเมล์กลับหอ ผมถามพี่รัญ

“พี่รัญ เออ คือออ“

“หือ ว่าไง“ พี่เค้ายื่นหน้ามาหาผม

“เออคือ วันนี้ผมขอไปนอนห้องพี่รัญได้ป่ะ“ ผมอ่อมแอ้มบอก เมื่อเห็นพี่เค้าไม่ตอบ ผมเลยให้เหตุผลชุดใหญ่

“ก็คือ เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับอะ มันต้องนอนกะคนแปลกหน้า อีกอย่างเตียงผมมันเล็กนิดเดียวเอง มันก็นอนไม่พอดีอะดิ แล้วผมก็กลัวว่าเตียงมันจะรับ ....... “

พี่รัญยกมือปิดปากผม พลางหัวเราะ

“เออๆ ไม่ต้องร่ายยาวขนาดนั้นก็ได้น้อง จะนอนก็มานอนดิ ไม่ได้ห้ามอะไรนี่นา“ พี่รัญยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มให้ พลางคิดในใจ วันนี้กรูจะได้นอนหลับสบายซะที แต่ .....

ปัญหาใหม่ของผมเกิดขึ้นแล้วครับ ผมพึ่งนึกได้ว่า ถึงผมกับพี่รัญจะสนิทกัน แต่ผมยังไม่เคยนอนห้องเดียวกันมาก่อน ตั้งแต่หลังจากที่พี่เค้าสารภาพกับผมเมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนที่จะบินไปเรียนต่อ .... หนำซ้ำ ภาพเมื่อตอนเย็นของเจ้าโตชิมันยังติดตาผมอยู่เลย

“อ้าว ทำไมยังนั่งอยู่ล่ะ ไหนว่าง่วงไง“ พี่รัญหันมาถามผม หลังจากที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ

“เออ ครับ จะนอนแล้ว“
“ถ้าอีดอัด เดี๋ยวพี่นอนข้างล่างก็ได้นะ“ พี่รัญแกล้งถามผม

“อะเห้ย ไม่ต้องหรอกพี่ ผมมาอาศัยพี่นอน แล้วจะให้เจ้าของห้องไปนอนข้างล่างได้ไงเล่า“

“เอ้า งั้นก็นอนได้แล้วดิ ปิดไฟ พี่ต้องตื่นแต่เช้านะ“ พี่รัญว่า ผมจะเอนตัวลงนอน เอาผ้าห่มมาคลุมโปงกะจะรีบๆหลับ โชคดีที่ห้องพี่รัญติดแอร์ หึหึหึ

แกรกก เสียงปิดไฟ ซักพัก ที่นอนข้างๆผมก็ยุบลงไปเบาๆ

ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากผ้าห่ม ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ข้างๆ ผมหันไปมองพี่รัญ เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด ผมเห็นหน้าพี่ที่เป็นรักแรกของผมชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงแม้จะอวบขึ้น แต่ก็ขาวใส และหล่อ เหมือนเดิมนะพี่เรา

กลิ่นยาสระผมอ่อนๆ โชยมาปะทะกับจมูก ผมค่อยๆก้มหน้าลงไปหอมผมพี่เค้าแบบลืมตัว อารมณ์หื่นผมเริ่มพุ่งสูงขึ้นอีกแล้ว

“เป็นอะไรไปอะ บาส“ พี่รัญถามผม

“อ่า พี่รัญยังไม่หลับเหรอ“ ผมถามกลัวพี่เค้าโกรธ

“เกือบจะหลับแล้วล่ะ แต่เมื่อกี้มีใครแอบมาหอมพี่แบบไม่รู้ตัวอะดิ“

“ง่า ขะ ขอโทษครับพี่ “ ผมสำนักผิด

เงียบบบบบ

จนผมคิดว่าพี่รัญไม่เล่นด้วยแล้ว เลยพลิกตัวกลับ

“เฮือก“ ผมสะดุ้ง เมื่อรู้สึกว่ามีมือมาโอบกอดผมอยู่เบื้องหลัง

“ขอพี่นอนกอดเราได้ป่าว“ พี่รัญถามโดยที่กระทำไปแล้ว

“กะ ก็กอดอยู่ไม่ใช่เหรอไงเล่า“ ผมชักเขิลลล

“แล้ว .... “ พี่รัญอ้ำอึ้ง

“แล้ว .... อะไร“ ผมทวนคำ

“ แล้ว ทำอย่างอื่นได้ป่ะ “ พี่เค้าถามเสียงอ้อมแอ้ม

!!?? เอาแล้วซิกรู
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:32:09
“ทะ ทำอะไรเล่า“ ผมถามเสียงแผ่ว

“กะ ก็ทำ ทำอย่างว่าไงเล่า“ พี่รัญกระซิบเสียงสั่น พร้อมเบียดร่างเข้ามาชิดตัวผมมากขึ้น จนผมรู้สึกได้ถึง“อะไร”บางอย่างของพี่รัญเริ่มมีปฏิกิริยา

“คะ คงไม่ดีมั้งพี่ พรุ่งนี้ผมมีเรียน ชะ เช้านะพี่ อ๋อยย“ ผมตอบเสียงสั่น ตัวสั่น เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจของพี่รัญมารดต้นคอผม

“รังเกียจพี่เหรอ บาส“ พี่รัญล่อมาพูดข้างๆหูผม เล่นเอาสยิววาบ แม่ง จะยั่วยวนกันไปถึงไหวฟ่ะ

“ปะ ป่าวพี่ ผมไม่ได้ อ๋อย เอาหน้าออกไปห่างๆดิ“ ผมตอบพลางผลักหน้าออกไป แล้วพูดต่อ ผมไม่ได้รังเกียจพี่นะ แต่ผม เออ ผมยังไม่ - - ไม่พร้อมง่ะ

พี่รัญปัดมือผมออก แล้วจับหน้าผมให้หันไปหาเค้า

“เมื่อไรจะพร้อมล่ะครับ ที่รัก “

“อะไย้ยยย ใครเป็นที่รักของคุณเพ่เหรอก๊าบบบ“ ผมนึกในใจพร้อมกับอึ้งๆ กับคำพูดที่พี่เค้าใช้เรียกผม แต่ก็ดีใจนะ หุหุหุ ในขณะที่ผมเคลิบเคลิ้มกับคำว่า “ที่รัก” ที่คุณพี่ของผมก็จู่โจมจูบแบบสายฟ้าแลบ (ลิ้น)

“อึ้ก .... “

นี่เป็นจูบครั้งที่สองที่พี่รัญทำกับผมแบบไม่ตั้งตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รู้สึกความชำนาญจะมากขึ้นกว่าเก่า ค่อยเป็นค่อยไป แต่อบอุ่นเหมือนเดิม เนิ่นนานกว่าเดิม ....

“ฮือ ฮืออออ “

ผมจูบกะพี่รัญนานอยู่เท่าไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว ...

“แฮ่ก ๆ “

“พอก่อนพี่ หายใจไม่ออก“ ผมบอกพลางหอบ

“ว้า แค่นี้ก็หอบแล้ว พี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลยนา“ พี่รัญแซวผม

“จะ จะทำอะไรอีกเล่า แค่นี้ก็พอแล้ว “

“ไม่เอา อย่าขัดใจพี่ดิ“ ว่าพลางทำท่าจะจูบอีก ผมหันปากไปทางอื่น แต่ดูท่าจะคิดผิด พี่เค้าหันไปไซร้ต้นคอผมแทน

“อะ อี๋ พี่ผมจั๊กจี๋นะ “

“จั๊กจี๋ได้ไง พี่ทำให้เราเสียวนะ“ ว่าแล้วก็ก้มไซร้คอผมต่อ จนผมรู้สึกว่า ทนไม่ไหวแล้นนนน

- - - - ผึ่ง - - - - <------------- (เสียงสติสัมปชัญญะหรืออะไรบางอย่างของผมก็ขาด)

เอาวะ จะเล่นตัวไปอยู่ไย ในเมื่อมาถึงขั้นนี่แล้ว มือผมเริ่มโอบรัดร่างของพี่รัญเพื่อแสดงว่า ผมพร้อมเล่นกะพี่แล้ว และรัดแน่นขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า โอ้ย กรูเสียวจาแย่อยู่แล้ว เลิกไซร้ซะที แต่พี่สุดที่รักก็ยังไม่หยุดแค่นั้น ค่อยๆไล่ขึ้นไปจากคอ เรื่อยจนข้างหู ผมได้ยินเสียงลมหายใจแรงขึ้น และผมก็ตัดสินใจว่า คงไม่ยอมรับเป็นฝ่ายเดียวแน่ ในจังหว่ะที่พี่รัญยังสนุกกับการไซร้ข้างหูผมอยู่ ผมได้ทีพลิกตัวพี่สุดหล่อให้นอนหงาย

“หะ เฮ้ยย“

กว่าที่จะได้ทันตั้งตัว ผมก็ขึ้นไปคล่อมอยู่บนตัวพี่เค้าเรียบร้อย พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่

“หนอยย เล่นตอนทีเผลอนะ เจ้าบาส ลงมาให้จัดการต่อเลย“ ว่าพลางจะผลักผมลง แต่ผมขืนไว้ แล้วก็เป็นทีผมที่ก้มลงไปจัดการปากของพี่ตัวดีบ้าง และถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมไปจู่โจมใครเขาก่อน แต่มันก็ดีพอจะทำให้พี่ตัวแสบผมเคลิ้มไปได้เหมือนกัน

ผมถอนปากออก แล้วเริ่มไล้ไปที่แก้มขาว ซอกหู เรื่อยมาจนถึงต้นคอ จนรู้สึกว่าจุดกระสันของพี่เราไม่ได้อยู่ตรงนี้แหง่มๆ

“พี่สุดหล่อ ถอดเสื้อหน่อยน้า“ ผมกระแอมบอก ไม่ว่าปล่าว ผมรีบดึงเสื้อยืดให้หลุดออกจากตัวพี่เค้าทันที (แรงดึงออกทำให้เสื้อยิ่งยืดหนักเข้าไปอีก แต่ช่างมันเหอะ อารมณ์หื่นมันไม่เข้าใครออกใคร ) ถึงแม้ว่าจะปิดไฟแล้ว แต่เมื่อตอนนี้สายตาผมชินกับความมืดแล้ว ก็ทำให้ผมได้เห็นร่างกายของพี่รัญชัดเจน (จะจะเป็นครั้งแรก)
อะโห ผมต้องถอนคำพูดที่หาว่าพี่ของผมอวบขึ้นซะแล้ว ซ่อนรูปดีจังวุ้ย แต่ก็ปากผมอะนะ ไม่มีชม

“แหม อวบอ้วนอย่างกะหมูตอน“ ผมแซว พลางไปหยิกที่ท้องน้อง

“โอ้ย ทำอะไรฟ่ะ มันเจ็บ นะ อ่า.....“ ไม่จำเป็นต้องรอให้พี่รัญผม ก็ปฏิบัติกามต่อ เมื่อปราการด้านบนออกแล้ว ถึงเวลาสำรวจต่อแล้นนน แต่เพิ่อความชัวว์ ผมกลับไปจัดการที่คอพี่รัญ แล้วค่อยๆ ไซร้ไล่เรียงลงมาจนถึงแผงอก จนมาถึงหัวนมสีอ่อน

“อ่ะ …“

ได้ผล มีอาการกระตุก แห่ม พี่เราในที่สุดจุดจบก็ไม่แตกต่างจากคนอื่นเลยแฮะ ไม่เร้าซะเลย ผมเลยอ้าปากงับและขบเบาๆ อีกมือนึงก็ลูบอีกข้าง

“อ่ะ บาส พะ พออ แล้ววว อ่า บอก หะ ให้ อะ.....................ฮือออ“ ดูท่าจะเสียวจัดจนพูดไม่ออก ผมก็ฝีปากใช่ย่อยนะนี่

“บาส พี่ไม่ไหวแล้ว“ พี่รัญบอกเสียงสั่น

ผมเงยหน้าขึ้นมา “อะไรไม่ไหวพี่“

ถามแบบโง่ๆ

“ก็แบบนี้ไง“ พี่รัญผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถอดเสื้อผมออก แล้วจับผมพลิกลงข้างล่าง นอนหมอบราบคาบแก้ว

“บาส ถอดกางเกงดิ“ พี่รัญบอกผม แล้วผมก็ถึงบางอ้อ ก็เมื่อกี้ตอนที่พลิกผมลงข้างล่าง พี่แกเล่นจัดการปราการด่านสุดท้ายของตัวเองจนเปลือยเปล่า เป็นที่เรียบร้อย ...

ดึ๋ยย ~ !? กระตุ้ม(ไม่)น้อยของพี่รัญห้อยต่องแต่งท้าทายสายตาของผม ทำให้ถึงกับกลืนน้ำลาย ในชีวิตนี้นอกจากของตัวเอง กับของไอ้เป๊ก ก็พึ่งเห็นของผู้ใหญ่เป็นครั้งแรกนี่แหละ (ใหญ่โคด)

“ยั้ยย ... เด๋วเซ่พี่ อย่าพึ่งใจร้อน“ ผมปรามพี่รัญเมื่อเห็นทำท่าจะเอา ‘ตุ้มน้อย มาใส่ปากผม

“ผมไม่เคยอะ“

“ลองหน่อยน่า“ พี่รัญตื้อเสียงหื่น

“เด๋วผมชักให้พี่“ ผมว่า พลางเอื้อมมือไปจับ ‘ตุ้มน้อย ที่ตอนนี้แข็งชูชันจนเกือบกำไม่มิด เล่นเอาผมกลืนน้ำลายอีกรอบ

พี่ตัวดีของผมทำหน้างอนิดหน่อย แต่แล้วก็เปลี่ยนมาซู้ดปากด้วยความเสียว หลังจากที่ผมเริ่มปฏิบัติการสาว . ... เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ผมกระหน่ำแรงความเร็วไปพลาง พร้อมกับเอามืออีกข้างไปบี้หัวนมไปพลางเพื่อเพิ่มความกระสันให้มากขึ้น

และดูเหมือนจะได้ผล พี่ชายถึงกับครางลั่นห้อง จนกลัวว่าไอ้พวกหูดีข้างนอกจะได้ยิน แต่ทำไงได้ อารมณ์มันพาไปแล้วนิ

“อ่า...... บาส เสียวเว้ยยย พอก่อน พี่จะ จะ ไม่ไหวแล้ววว“ พี่รัญครางงงง

... แต่ผมไม่สนใจยังคงกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ไม่ยั้ง

“อะ โอ้วววววว บาสส“

จนผมรู้สึกถึงแท่งทองของพี่เราชักเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ กับอีกใจหนึ่งที่ยังไม่อยากให้เวลาแห่งความสุขของเราสองหมดไปเร็วนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออารมณ์ผมยังคงพลุ่งพล่านอยู่ จึงตัดสินใจเอามือบีบตรงหัวบานอย่างแรง

“จ๊ากกกส์ “

ได้ผลผมรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงของแท่งทวนลดลง แต่ความเจ็บมากขึ้น เหอๆ พี่รัญลุกขึ้นมาทันที

“อ้อ ชอบแบบซาดิสช่ายม้ายย“ ว่าแล้วก็โถมเข้ามาทับผมอีกรอบ พลางจูบปาก ซุกไซ้ จนผมอ่อนปวกเปียกไปหมด มารู้สึกตัวอีกที กางเกงของผมก็หลุดไปเรียบร้อย และแล้วความเสียวที่ผมทำไว้เมื่อกี้ก็คืนสนอง แถมทวีคูณสองอีกตะหาก พี่รัญเร่งสาวของผม แล้วผมก็ไม่คาดคิด เมื่อเค้าค่อยๆลดหัวลง เอาปากนุ่มครอบลงบน’ตุ้มน้อยของผม

“อ่า............. พี่รัญ อย่า คับ“ ผมพูดไปแต่ก็เหมือนปากไม่ตรงกับใจ เมื่อมือผมโอบรอบคอ เหมือนไม่อยากให้พี่สุดที่รักถอนปากออกจากส่วนนั้น

“ หือ อ่า ...... “ เข้าใจแล้วคับ ความเสียวเมื่อกี้ของพี่รัญที่ทำให้ครางออกมา ตอนนี้รู้สึกผมจะครางดังกว่าพี่เค้าอีก “ โอ้วว พี่รัญ ผมรักเพ่นะคร๊าบบ พะ พี่ ...... ผะ ผมไม่หวายยแล้ว “

เร็วเท่าความคิด ผมจับหัวพี่รัญยกขึ้น ก่อนที่จะเสร็จสม ผมส่งสายตาเป็นประกายให้พี่รัญก่อนจะตัดสินใจบอกไป ...

“ พะ พี่รัญ ผมไม่ไหวแล้วพี่ ผะ ผมขอข้างหลังพี่ได้ป่ะ “
พี่รัญอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะบอกผม

“ พี่ว่า อย่าดีกว่า.. อุ้บบบ “ ผมไม่ปล่อยให้พี่ปฏิเสธผม จึงเอาปากอุ่นๆไปประกบดูดเบาๆ

“ น่านะครับพี่ ผมรักพี่นะครับ ... ขอนะ“ ผมอ้อนวอน และก่อนจะรอฟังคำตอบ ผมรีบพลิกตัวพี่รัญให้นอนคว่ำ พร้อมรีบเข้าไปประกบหลังทันที แม้ว่าจะไม่เคยมาก่อน แต่ตอนนี้ก็ของัดทฤษฏีที่ได้เรียนรู้มาใช้ไปก่อนล่ะกัน

พึ่รัญขืนตัวเล็กน้อย แต่พอเห็นผมเอาจริง จึงค่อยผ่อนตาม สายตายังคงลังเล

“ ค่อยๆนะบาส พี่ไม่เคยรับนะ “ พี่รัญบอกเสียงประหม่า (เอ๋ ไม่เคยรับ แล้วเคยรุกมากี่คนแล้วหว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามนี่ ) ว้าวว ผมจะได้เปิดซิงพี่เค้าเหรอเนี่ย เมื่อพี่เค้ายินยอม ผมจึงเริ่มค่อยๆจูบไล้หลังคอเรื่อยมาจนถึงแผ่นหลัง มือผมโอบไปด้านหน้า ดึงเอวพี่รัญให้สูงขึ้นเพื่อเตรียมการณ์บรรจุกระสุน

“ บาส ค่อยๆนะ “

“ ครับพี่ “ ผมตอบไปอย่างนั้นแหละ แต่ใจตอนนี้ผมโลดไปไหนต่อไหนแล้ว ว่าจะจัดการท่าไหนดี และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ หรือเพราะความหงี่บังตาก็ไม่ทราบ ผมจึงไม่ได้ลองใช้แม่นาง(ทั้ง 5)ลองสำรวจเส้นทางก่อน พอเล็งเป้าหมายได้ที่...

พลวดดด

“ อะ เจี๊ยกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก .... !?!?!?!?!?!? “
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:33:22
หือ ... ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพราะรู้สึกสัมผัสเบาๆบนหัวผม พี่รัญนอนกอดแนบชิดกับผมอยู่ พลางเอามือลูบผมผมอยู่ เมื่อเห็นผมรู้สึกตัวจริงเอามือออก

“หยุดทำไมอะ กะลังเพลินเลย“ ผมอ้อน

พี่รัญยิ้ม พลางแกล้งเอามือกดที่หน้าผม ทั้งกด ทั้งหยิก จนเจ็บไปหมด

“โอ้ยย มันเจ็บนะพี่ ทำอะไรอะ ซาดิสเว้ย“
“แค่นี้ทำบ่นเรอะ เมื่อคืนทำอะไรใครไว้ ไม่รู้มั่งไงว่าเจ็บแค่ไหน“ พี่สุดที่รักบ่นกระปอดกระแปด

ผมหัวเราะคิก

“อ้าว ก็เมื่อคืนไม่เห็นได้ยินเสียงเจ็บนี่หว่า ได้ยินแต่เสียง ครา.....“

ผมพูดไม่ทันจบ พี่รัญดันเอาหมอนมาอุดปากผม พลางพยายามจะลุกขึ้นยืน

“ไอ้บ้าเอ้ย ใครไม่เจ็บก็บ้าแล้ว ครั้งแรกนะเฟ้ย ... อะ อู้ยยย“ ทำเสียงเหมือนจะเจ็บก้น

“แล้วพี่ชอบป่าวอะ“ ผมย้อนถาม

“ไม่ชอบ ให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ครั้งต่อไปเตรียมตัวไว้เหอะ“ พร้อมเอานิ้วชี้มาดันหัวจนผมหน้าหงายเลย ผมยังไม่เลิกกวน

“ฝันไปเฮอะ ไงก็ไม่ได้แอ้มผมร๊อกก“

จนพี่รัญทำท่าเหมือนจะกระโดดมาขย้ำตัวผม จึงได้เลิกกวนประสาท

“เด๋วผมกลับห้องก่อนนะครับ“

“เออ เดี๋ยวบาส“ พี่รัญหันมาจับแขนผม ดึงมาใกล้ตัว

“อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ นอกจากพี่“ พี่รัญบอกผมหน้าแดงแล้วหอมแก้มทีนึง แล้วใช้สายตาเหมือนจะรู้ทันความเจ้าชู้ของผมเป็นอย่างดี

“คร๊าบบพี่“ ผมรับปาก แต่ก่อนจะปิดประตูห้อง ก็ไม่วายกัดอีกนึงดอก

“ถ้าเค้าไม่เสนอผมก่อนนะพี่ ผมก็ไม่สนองเค้าหรอก หุหุหุ “

“เฮ้ย ไอ้เจ้าชู้เอ้ย“ เสียงพี่รัญดังตามออกมาหลังจากผมปิดห้อง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ชีวิตนิสิตมหาวิทยาลัยปี 2 นี่ช่างแตกต่างกับตอนปี 1 อย่างลิบลับ ไม่ต้องมีรุ่นพี่คอยจ้ำจี้จำไช ไม่ต้องมีกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมมากมาย ไม่ต้องโดนซ่อม โดนไซโค โดนอะไรที่ไร้สาระ (ในความคิดของหลายๆคน) อีกมากมาย ในทางกลับกัน พวกเราต่างหากที่ต้องคอยทำแบบนั้นกับรุ่นน้องปี 1 แล้วก็มีพวกเด็กปี 1 นี่แหละ ที่คอยมาเอาอกเอาใจรุ่นพี่อย่างพวกเรา แม้ว่าต่างคนจะมีวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน แต่ก็นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของรุ่นพี่ทีเดียวละครับ

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่เคยเจอน้องรหัสอีกคนนึงของผมซะที จนในวันนึงผมจึงตัดสินใจว่า ไงๆตูก็จะต้องเจอหน้าไอ้หอกนี่ให้ได้เลย หลบหน้าเก่งเจงๆ

“ตง วันนี้เลิกเรียนแล้วพาพี่ไปหา ฟิล์ม หน่อยเด๊ะ“ ผมเอ่ยปากขอร้องน้องรหัสอีกคนของผมเป็นครั้งแรก

“เอ๋ พี่จะไปถ่ายรูปอะไรเหรอ“ แน่ะไอ้นี่เล่นมุขฟาย

“ไอ้ฟายเอ้ย หมายถึงให้พาไปหาไอ้ฟิล์ม สายรหัสเมิงอะ“ ผมพูดไปด้วยความฉุนๆ

“อือๆ ประมาณ 4 โมงเย็นอะพี่ เจอที่ประตูพหลฯละกัน“

ระยะหลังมานี้ผมสนิทกะรุ่นน้องมากขึ้นก็จะเรียกมัน มึง กู แบบนี้แหละ ดูสนิทกันดี อ้อ ลืมบอกไป ถ้าใครจำไม่ได้ว่า ไอ้ตงคือใคร มันคือ น้องรหัสของผม ส่วนอีกคนที่เป็นน้องรหัสซึ่งโคฯมา มารู้ชื่อเพราะไอ้ตงบอกทีหลังว่า ฟิล์ม มาเรียนอะมา แต่เวลาทำกิจกรรม ไม่เคยโผล่หัวมาซักครั้ง

“พี่จะไปหามานทำมาย“ ไอ้ตงถามผมขณะมาเจอกันหลังเลิกเรียน

“ก็น่าจะรู้นี่หว่า“ ผมย้อนถาม

“โห ช่างมานเหอะพี่ เนี่ยเรียนกันมาตั้งเกือบจะหมดเทอมอยู่แล้ว ยังไม่ค่อยมีใครไปยุ่งกะมันเลย“ ตงบอกแบบเซ็งๆ

“แล้วทำไมพวกเมิงไม่ไปซักถามมันมั่งอะ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมชอบปลีกวิเวก“

“ไมจะไม่ถามพี่ พวกผมอะ ทั้งถาม ทั้งซักไซ้อะไรหมดแล้ว มันบอกว่าไม่มีอะไร มันก็ทำท่าทางไม่อยากพูดด้วยดิ จะให้ผมหน้าด้านไปคุยกะมันต่อเหรอไง“

“เออ แปลกคนหว่ะ ยังงี้ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่เลย“ ผมบอก

“อ้อ พวกชอบเจือกนี่เอง“ ไอ้ตงกัด

“ว่าไรนะ เด๋วเจอเสย นี่พี่เมิงนะ อย่าลามปาม“ ผมเตือน จนไอ้ตงได้แต่ทำปากงุบงิบๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ปิ้ง ป่อง ๆ

“เอ ทำไมเงียบกันทั้งบ้านว่ะ “

“ไม่มีใครอยู่มั่งพี่“ ตงออกความเห็น

“ไม่ใช่หรอก ดูเด๊ะ ไฟข้างในยังเปิดอยู่เลย แล้วนี่ก็ตั้งเกือบสองทุ่มแล้วด้วย แม่งบ้านโคดไกลเลย“ ผมสบถออกมา

“ปีนเลยดีป่ะพี่ จะได้รู้กันไปเลย“

“เมิงอยากรู้รสข้าวแดงในคุกเหรอไง จะบ้าเรอะ“ นี่ๆ ไม่ยอมออกมาใช่ม้ายยย ผมบอกพลางกดออด

ปิ้ง ๆ ป่องๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ได้ผล !? ประตูบ้านเปิดออก พร้อมกับเต็กหนุ่มคนนึงเดินออกมา แบบกระแทกเท้า

“เฮ้ยย เป็นห่าไรว่ะ กดแม่งอยู่ได้ “

ผมรีบหลบเข้ากับเสากำแพงบ้าน ปล่อยให้ไอ้ตงรับคำด่าไป

“เอ่อ โทษที กูเอง ตงไง ไอ้ฟิล์ม เห็นกดหลายทีแล้วไม่มีใครเปิดหว่ะ“ ตงแก้ตัว

“อาบน้ำอยู่ พึ่งเสร็จ ว่าแต่ มีอะไรว่ะ“ ฟิล์มจ้องหน้าเพื่อน

“พี่เค้าอยากเห็นหน้ามึงมั่ง ก็เลยให้ ... “

“กูไม่อยากเจอใครอะ มีเรื่องแค่นี้ใช่ป่ะ กูจะไปอ่านหนังสือแล้ว“ เด็กหนุ่มบอกกับเพื่อนร่วมห้อง พลางหันหลังเดินกลับ

“เดี๋ยวน้อง“ ผมโผล่ออกมาจากที่ซ่อน

ฟิล์มชะงัก หันกลับมา

“เฮ้ย ... ไอ้เด็กอวดดีนี่หว่า“ ผมอุทาน

นึกกลับไปถึงช่วงตอนประกาศผลเอ็นทรานใหม่ๆ มีไอ้เด็กอวดดีคนนึงซึ่งผมพยายามจะช่วยหารายชื่อ แต่มันอวดดีไง มันไม่ยอมให้ผมช่วย พร้อมพูดจาถากถางอีกตะหาก (ใครนึกไม่ออกให้กลับไปอ่านตอนที่ 2) ในวันนั้นผมจำคำพูดของตัวเองได้ดี

“เออ อย่าให้มาอยู่เอกพี่นะ จะโดนไม่ใช่น้อย “

“พี่เป็นใครมาว่าผมอวดดี“ ฟิล์มถามโกรธๆ ชะอุ้ย ดูท่าทางมันจะจำผมไม่ได้มั้ง

“อ๋อ ดูท่าทางนายจะจำพี่ไม่ได้อะดิ วันแรกที่นายไปดูผมสอบเอ็นฯที่มหาลัยไง“ ผมพยายามทวนความทรงจำ

ดูท่าทางเด็กหนุ่มพยายามทบทวนนิดหน่อย

“เออ จำได้ พี่ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านใช่ม่ะ “

ไอ้ตงพยักหน้ารับแทน “ใช่เลยพวก“

ผมกระแทกศอกที่ลิ้นปี่มันทีนึง จนมันจุกทำหน้าแหยๆ

“แล้วมาที่นี่ทำไมอะ“ เด็กหนุ่มถามไม่มีท่าทีแกล้งใจ

“อยากมาเห็นหน้าพวกไม่มีความรับผิดชอบเฉยๆ“ ผมตอบกวนไป

เด็กหนุ่มหน้าเสียนิดหน่อย แต่ย้อนกลับมา

“ผมไปเรียน ไม่ได้อยากทำกิจกรรมอะไรไร้สาระพวกนั้นซะหน่อย ไม่มีคนอื่น ผมก็เรียนจบได้อยู่แล้ว“ แหม มันอวดดีเจงๆล่วย

“ชีวิตเด็กมหาลัย มันไม่ได้มีแค่เรียนไปให้จบอย่างเดียวหรอกนะเด็กน้อย อย่างอื่นมันก็จำเป็นสำหรับชีวิตเหมือนกันแหละ“ ผมพยามยามจะพูดดีด้วย แต่ ..

“แล้วพี่เป็นพ่อผมเหรอไง มาสอนผมเนี่ย“
เอ้อ มันชวนทะเลาะนี่หว่า แบบนี้มีได้เสียดิวะ

“อ้าว พูดงี้ได้ไง พี่เค้าอุตสาห์เตือนดีๆนะเว้ย“ ไอ้ตงต่อว่าแทนผม ดูท่าทางมันจะเคืองเหมือนกัน

“ไอ้ตง กูถามจริงๆเหอะว่ะ มึงคิดว่าสมัยนี้จะมีคนมาหวังดีกับคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรกด้วยเหรอไง นี่ไม่ใช่ละครนะมึง“

คำพูดนี้ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ๆๆๆ และก็อึ้ง

“มาเพราะเรื่องแค่นี้ใช่ป่ะ งั้นขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนล่ะกัน เวลาไม่ค่อยมีหว่ะ“ ว่าแล้วก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป

“ดูเด๊ะพี่ อย่าไปถือสามันเลยนะพี่ มันก็เป็นของมันอย่างงี้แหละ อย่าไปยุ่งกะมันเลย“ ตงบอกผมพร้อมกับลากผมกลับ

“อือ“ ผมพยักหน้า เดินกลับเอาคำพูดที่เด็กรุ่นน้องของผมทิ้งไว้

- ใช่แล้ว ทำไมผมต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นด้วย ผมไม่ใช่พ่อเค้านี่นะ -

ตะ .. แต่ สายตาที่ไอ้เด็กนั่นมองผม ทำไมมันเศร้าแบบนั้นอะ












- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #8  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-12-2008 03:36:30
 :m5: โทษทีไม่รู้ว่ายังลงไม่เสร็จ ปาดเลยตู

ลบออกให้แระ เดี๋ยวเรื่องไม่ต่อเนื่อง  :z2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 08-12-2008 03:43:31
มิเป็นไรจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 08-12-2008 15:05:24
ยาวสะใจอย่างแรงงะ อิๆ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 08-12-2008 15:46:45
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ปลื้มบท XXX จังเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 08-12-2008 17:23:54
บาสคงไม่หลงรักฟิล์มนะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 08-12-2008 19:38:22
มายาวจุใจเลยนะคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 09-12-2008 00:57:59
 :laugh: เส็ด รัญ ไปซะแระ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 09-12-2008 01:25:02
บาสทำพี่รัญได้  อิอิ

สงสารน้องฟิล์ม  รออ่านตอนต่อไปน๊าคับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 09-12-2008 22:50:18
ยาวได้ใจครับ น้องบาสร้อนแรงดีจัง อิอิ  :fire:

ฟิลม์น่าสงสารอะโดนหลอก  :angry2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 09-12-2008 23:29:50
ยาวสะใจอย่างแรงงะ อิๆ

เห็นด้วยเยย ยาวโครต ชอบคราบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 10-12-2008 02:07:02
บาสเจ้าชู้
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 10-12-2008 03:40:35
 :impress2: :impress2: ลงยาวๆอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 10-12-2008 20:13:20
ตอนนี้ยาวสะจายยยยยจิงๆ555

โตชิเป็นรับเรอะ... รึไง???

แต่ว่าพี่รัญเสร็จก่อนนี่เหลือเชื่อจิง555 :laugh:

ยังสงสัยน้องฟิมล์อยู่ จะเป็นไรกะบาสเป่า ปิ้งๆไรงั้น

รอต่อฮ้าบบบบบบบ o13

(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/newyear/newyear05.gif)
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tamkub ที่ 21-12-2008 03:16:40
มาต่อเลยคุณเพ่....  :impress2:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 23-12-2008 19:02:19
จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-12-2008 21:19:38

คราวนี้หายไปนานเลยเนอะ!


  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pad_dfg ที่ 29-12-2008 16:22:15
ฮือๆๆ

อยากอ่านอ่า :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 7 [ อัพเดท 08/12/2551 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 31-12-2008 09:32:09
Greetings of the New Year 2009. Wishing you all success in the next.
(http://th.upload.sanook.com/embed/27cd94a836b587f2bec247cb9fb2e53c.gif)

หวังอะไรได้ดั่งที่วาดหวัง
ขอพลังจงอยู่คู่เสมอ
ให้ก้าวมั่นสิ่งใดสมใจเธอ
มีความสุขอยู่เสมอ..ทุกคืนวัน
:bye2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: jjkub ที่ 10-03-2009 21:09:10
 :impress2: จะรอนะคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: leeseunggi ที่ 11-03-2009 00:16:49
หนุก หนาน มาก มาย . . . . .



 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 13-03-2009 21:29:14
มารออ่านต่อนะ

ฮือๆอยากอ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: nickudez ที่ 19-03-2009 11:37:25
อยากจะบอกว่าเรื่องบ้านพักนี่

ติดงอมแงมที่ซู้ด

อ่านทีรวดเลย แล้วพอดีมันอยู่หน้าเดียวกัน นี่ก็เพลินไปเลยหล่ะ

สนุกมากกกกก

อ่านจบแล้วมันปนเปไปหมด ไม่รู้ว่าจะยังไงดี

ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นอะ โนะ

โอ๊ต+ปิง ปริ้น+โค้ก/นิค/แชมป์ 55555

แต่ก็ชอบมากเลย เหมือนชีวิตจริงดีี

ตอนอ่านตอนที่ปิงมาคุยกัโอ๊ต นี่ขนลุกจริงจังมากกกกกก (กลัวอะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: I_am_U ที่ 22-03-2009 20:46:15
ขอบคุณมากค่ะ

อัพเร็วมากมาย ยังไม่ทันอ่านเลย

ไปอ่านก่อนดีก่า อิอิ :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: yjinongy ที่ 24-03-2009 14:48:26
เพิ่งมาอ่านค่าหนุกมากเลย


จะตามอ่านให้เร็วที่สุดค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Akung ที่ 10-04-2009 21:44:04
ชอบเรื่องนี้มากเลยคับ

ทำเอาน้ำตาตก สงสารตัวละครในเรื่องมาก

ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงผมก้อคงเสียใจด้วยมากๆ

จะว่าไปแล้วก็ยังลืมโอ๊ตไม่ได้อยู่ดี

โอ๊ตน่าจะหนักแน่นกว่านี้ เรื่องมันคงจบแบบแฮปปี้ตั้งแต่ตอนแรก

แต่ยังไงก้อขอบคุณผู้เขียนเป็นอย่างมาก

ที่อุตส่าลงเรื่องมาให้อ่าน

ทำเอาผมจิตตกไปหลายวันเลย

เฮ้อ นี่ยังอ่านไม่จบนะเนี่ย ขออย่าได้มีใครเสียใจไปมากกว่านี้เลย  

เป็นกำลังใจให้ทั้งตัวละครและผู้แต่งนะคับ

 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: first117 ที่ 16-04-2009 19:56:11
เอ่ออออออ ตกลงมันยังไม่จบช่ายมะคร๊าบบบบบ เนื้อเรื่องยาวมากๆ สะใจดีคับ ยังไงก้อมาต่ออีกนะคับ :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 17-04-2009 15:50:37
เรารักโอ้ตนะจ้ะ :-[

(ไม่ค่อยง่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: first117 ที่ 21-04-2009 23:31:48
:z10:จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ช้อบชอบคร๊าบ :z13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: first117 ที่ 28-04-2009 19:26:46
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: candy ที่ 30-04-2009 13:59:34
อยากอ่านต่อค้าบ สนุกมาก
อ่านไปแล้วแอบเศร้าตามไปด้วย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: mk_restaurant ที่ 02-05-2009 03:44:44
ขอบคุณที่มาเขียนให้อ่านคับ
55555
งงๆบางตอนนิดหน่อย อิอิ  :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 04-05-2009 21:05:27
แอบอ่านตั้งนานกว่าจะจบ

ได้ความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ดีครับ

ขอบคุณคนแต่งและคนโพสต์ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: LoFT ที่ 05-05-2009 20:14:35
 o13


 


อ่านแล้วอมยิ้มตลอด



ตอนเศร้าก็เศร้าจนน้ำตาไหล



ขอบคุณมากครับที่มาลงให้ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: olar74 ที่ 08-05-2009 18:09:42
หลากหลายอารมณ์ดีอ่ะ ..

เชียร์โอ๊ตน่ะ.. แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลส่วนตัวยังไง?

ปริ้นซ์.. ก็แบบเด็กๆ ง่ะ .. แต่โชคดีที่มีแต่คนรัก ถ้าเลือกใครคนใดคนหนึ่ง อีกคนก็ยังจะรักตลอดไป

โค้ก.. รักแบบไม่หวังผลตอบแทน แค่รอคอยคนที่รักที่สุดก็พอ.. (ซึ้ง) สุดท้ายก็ได้ใจไปเต็มๆ  :mc4:

สรุปว่าหลากหลายดี ชอบ แต่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านต่อเนื่อง .. วันละนิด วันละหน่วยก็จบจนได้..
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: killuazana ที่ 02-07-2009 21:24:14
ชอบเรื่องนี้สุดๆเรยคับ

ปริ้นซ์กับโค๊กสมหวังกันซะที

ดีแล้ว ปริ้นซ์เหนื่อยมามากละ 

แต่ก็สงสารโอ๊ตต  ไร้คู่เดียวดาย  :sad4:


ปล. แฟนคลับโอ๊ตคับ  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 03-07-2009 00:04:13
โอ๊ต คนแรกของหัวใจ
แต่สุดท้ายก็อยู่เดียวดาย  :o12:

ยังไม่ได้อ่านบทที่7 เพราะรู้ยังไง เค้าก็คงไม่กลับมาห๊าๆๆ  :m15:

เชียร์โอ๊ตอ่า แง๊
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: lunarinthesky ที่ 05-07-2009 00:24:13
สนุกครบทุกรสจริง ๆ ค่ะ
มีทั้งฮากลิ้ง แล้วก็น้ำตาพราก

จะตามอ่านผลงานต่อไปนะค่ะ

ปล.ยังแอบหวังว่าโอ๊ตกับปริ้นซืจะกลับมารักกัน
    แต่ก็สงสารโค้ก  :เฮ้อ: กลุ้ม ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: KenShin ที่ 06-07-2009 22:57:05
เพิ่งเคยเข้าเวปนี้ครั้งแรก + อ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
สุดยอด สุดยอด
เค้ากดให้คะแนนชื่นชมคนนี้: อยู่ตรงไหนอะ
ขอโทดทีนะคราบ เล่นไม่ค่อยจาเป็น เลยเม้นแบบซื่อซื่อจิงใจ
ไว้หาที่ให้คะแนนเจอ แล้วค่อยโกยคะแนนวันหลังน้า
ป.ล.
ขอบคุณ -/\- ที่เขียนให้ผมอ่านนะคราบ 
ถ้าสะดวกผมขอเอ็มคนเขียนได้ป่าว ประทับใจมากมาย นับถืออย่างแรงคราบ
o13 mY iDoL
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: teenza ที่ 17-07-2009 23:59:31
  ^
  ^
  ^ เจาะไข่อิอิ เคยอ่านเรื่องนี้จากเว็ปอื่นสนุกมาก แต่เว็ปนั้นไม่เอามาลงจนจบดีใจที่ได้มาเจอที่เว็ปนี้ o7
ขอบคุณ Stayingpower ด้วยคับที่เอามาลง :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Natjy012 ที่ 23-08-2009 00:10:36
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 13-09-2009 09:45:22
สนุกมากเลยค่ะ
การดำเนินเรื่องและรายละเอียดหลายส่วนชัดเจนคล้ายเป็นเรื่องเล่า
อ่านเรื่องของปรินซ์ โค้ก และโอ๊ต (ขอเขียนชื่อแบบนี้นะคะ) ตอนที่อยู่โรงเรียนแล้วเห็นภาพตามเลย
เพราะจบมาจากที่นี่ เลยอ่านบรรยากาศโรงเรียนและจังหวัดนี้แบบที่แสนจะคุ้นเคย เก็บข้อมูลได้ละเอียดจริงๆ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่นำมาแบ่งปันให้อ่านกัน  :L2:

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: ferly ที่ 07-10-2009 17:51:56
อ่านสองวันรวดจนจบเลย
แอบกลัวตอนฆาตรกรรมบนเกาะพงัน
เสียใจอ่ะ
T^T
ส่วนตัวเชียร์โอ้ตกะปริ้นน้า
ถึงโอ้ตจะเลวตอนที่โกหกตอนไปดูหนังก็เถอะ
แล้วตอนนี้โอ้ตก็ยังไม่มีใครอ่ะ
ฮือๆๆๆ  :sad4: :sad4:


หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 15-10-2009 18:43:54
คนเรา ไม่ว่าจะห่างกันไปแค่ไหน ถึงจะนานเพียงไร ..ถ้าคนสองคนยังมีความรักให้กันและกันอยู่     …แม้แต่ความตาย มันก็พรากเอาความรักของเราไปไม่ได้
  ชอบครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: dek_jun_rai ที่ 21-10-2009 05:26:20

 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: takari555 ที่ 24-10-2009 17:31:49
เพิ่งอ่านจบค่ะ
อันแรก (ที่ปริ๊นซ์เป็นตัวเอก) อ่านแล้วหลากหลายอารมณ์จริงค่ะ
เรื่องนี้ไม่คิดจะติดเลย จนกระทั่งเห็นโค้กมาชอบปริ้นซ์เนี่ยแหละ 555+
ไม่อยากบอกเลยว่าเราเชียร์โค้กมานานแล้ว 555+
(อ่าว แล้วโอ๊ตล่ะ = =")
คือตอนโผล่มาใหม่ๆ ก็แบบว่า เชียร์ให้โค้กชอบปริ๊นซ์นะ (แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้สมหวัง)
เออ ไม่คิดว่าจะชอบกันจริงๆ 555+
และก็ไม่คาดคิดว่าโค้กจะกลายเป็นพระเอกตัวจริงไปได้ (แต่เราปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก 555+)

ส่วนเรื่องที่บาสเป็นตัวเอกนี่
เราแอบเชียร์ฟิล์มได้ป่ะ 555+
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Tao ที่ 03-11-2009 12:21:07
เพิ่งอ่านจบตอนที่ปริ้นซ์ร้องไห้กับพี่โอ๊ต ขอให้กลับบ้านอะครับ ร้องไห้ๆๆๆๆ

ดีใจกับโค้กและปริ้นซ์ต่อความรักของคนทั้งสอง อยากจะเป็นคนที่ใช่หลังจากเรื่องราวมากมายนี้ได้ผ่านไปของพี่โอ๊ต




เฮ้ออออออออออออออออออออออออออ


ขอบคุณคุณเตอิงเรนเจอร์ และคุณบลูมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 12-11-2009 13:03:13
ชอบโค็กครับ กลับมาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: fin_never ที่ 13-11-2009 17:17:35
มาต่อ ไวไว นะค่ะ

ขอร้อง   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-12-2009 18:05:49
Thanksssssssss krub.
เป็นหนึ่งในเรื่องที่รักที่สุดครับ
ชอบกลับมาอ่านมากกกกกกกกกก
หวังว่าคุณเตคงกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะครับ :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: chivalry ที่ 25-12-2009 09:18:33




Merry X'mas ครับ ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ DesireL ~ ที่ 25-12-2009 17:12:00
สวัสดีค่ะ เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ แบบว่า เพิ่งเข้าสู่วงการ ^^
เรื่องนี้เปนเรื่องที่สองที่ได้อ่าน ตามอ่านจนจบทีเดียวเรย

หนุกอ่ะ หนุกมากกกกก  ไม่เคยเสียน้ำตากับการอ่านนิยายมากมายขนาดนี้เรยเหอะ
ชอบโอ๊ต ชอบโค้ก ชอบปริ้นมากกกกก
มันเปนรักแบบไม่หวานแหวว ไม่เลี่ยน ไม่ไร้สาระ
มันเปนรักที่มีความสุขแบบทุกข์ทรมาน เอ๊ะ ยังไง เริ่มงงเอง
อ่านไปใจก้อลุ้นไป ลุ้นมากๆตอนโอ๊ตกะปริ้น ไม่รู้ว่าจะแฮปปี้กันไหม
อยากให้ดีกัน แต่ก้อสงสารปริ้น สงสารโค้กด้วย
ให้ใจปริ้นไปเต็มๆเรย ทนมาขนาดนี้ ถ้าเปนละครไทย ปริ้นคงตามไปตบพี่เตตั้งนานละ
แอบนึกอยากให้ปริ้นต่อยพี่เตสักทีเหมือนกันนะ มันคงสะใจดี
ร้องไห้แทนปริ้นเยอะมาก อ่านไปก้อน้ำตาไหลพราก
(ตอนฆาตกรรมเนี่ย หลอนค่ะ น่ากัวสุดๆ แต่งได้เหมือนจิงมาก
เหมือนตัวเองกำลังอ่านโคนัน คิดะอิจิ เลยค่ะ)
ลุ้นจนสเปตอนสุดท้าย อยากให้โอ๊ตกลับมาคบกับปริ้น แต่ก้อสงสารโค้กด้วย
ลุ้นจนบางที อยากให้มัน3Pไปเรยอ่ะค่ะ  >///<

เป็นกำลังใจให้คุณไรท์เตอร์นะคะ ไม่แต่งเรื่องอื่นอีกหรอคะ
จะคอยติดตามผลงานนะคะ

Merry X'mas ด้วยคนค่าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 26-12-2009 21:46:31
แวะเข้ามาอ่านคอมเม้นครับผม


ขอบคุณผู้อ่านทุกคนอีกครั้งนะครับ ที่บอกเล่าความสุขกัน สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับผม ^^

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้า&#
เริ่มหัวข้อโดย: light_kung ที่ 26-01-2010 03:31:38
ความรู้สึกของผมตอนนี้คือ :call: อยากมีพี่ชายอย่าง P'โอ๊ตจัง >_< :man1: :impress2:
(ค่อนข้างจาขาดความอบอุ่นอย่างรุนแรง..ม๊ะมีคนให้ :man1:เหมือนเพ่ๆอ่ากั๊บ) :o12:

แล้วถึงP'โอ๊ต กะ P'ปริ๊น จาไม่ได้มาเป็นเหมือนเดิม(แบบคนรักกัน)...(เชียร์P'โอ๊ตอ่าาาาาาาา)(แต่เค้าก็ปันใจให้โค้ก นิสนึงนะ :laugh:)
แต่ความรู้สึกดีๆ ความอบอุ่น ความห่วงใย..(ของพี่กับน้องคู่นี้)ที่จาเห็นในตอนแรกๆและคิดว่าถ้าคืนดีเข้าใจกันได้แบบนี้แล้ว..ในตอนจบมานก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิมถึงจะไม่ใช่  คนรักกันเหมือนเดิม แต่่ก็ยังคงรักกัน(แบบพี่น้อง)ได้เหมือนเดิม...และมันก็มากพอแล้วสำหรับ...ความรักนี้...ที่ทั้งสองคนมีให้กัน(หวังว่าจาเป็นอย่างงั้นน :m15:)

แม้สุดท้ายP'โค้กผู้ที่เราไม่ได้(คิด)จะเชียร์(จนออกนอกหน้าเหมือนเพ่โอ๊ตตตต... :-[)ในตอนแรก แต่เค้าก็เป็นคนดี  o13 ..เสมอต้นเสมอปลายขนาดนี้...
~รักจริงไม่หวังสิ่งตอบแทนเลยนะนั่น(รึแอบหวังเล็กๆ :impress2:)หรือว่าหวังแต่งหว่า....(อยากรู้จริงอ่าว่าแต่งกันป่าววว :laugh:)
ปล.คนอยากP'โค้กนิจาหาได้ม๊ะเรา...ชาตินี้~เฮ้ออ

ปล.ยังไงผมก็เชียร์ P'โอ๊ต ผู้แสนดีเสมอของโผม(จนเกินไปในสายตาคนอื่นเสมอเค้า... :sad11:)

ปล.ตั้งวันแรกที่ตัวละคนที่โผล่ออกมาจนวันสุดท้าย...ก็ชอบอ่า...ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดไงดี..เฮ้อ
(เป็นเอามาก ฟร่ะ!เรา~เฮ้อ...โรคหลงคุณ P'โอ๊ต...ออกอาการกำเริบแว้ว!! :impress2:)

ปล.นิสัยคุณP่'โอ๊ต ไม่รู้ทามไมมันโดนจายนัก เพราะก็ผมชอบทามแบบนี้เวลามีอารายก็ม่ายยอมบอกไปปากหนักจริ๊งๆ
แล้วพอจะทามอายรายแค่คิดว่า...(ถ้า)คนอื่นเค้าไม่เจ็บ...แม้ตัวเองจะต้องเจ็บ(ยอมเจ็บคนเดียวพระเอ๊ก พระเอกเกินไปละ)
ตัวเองจะเป็นยังไงก็ชั่งมานน~เฮ้อ(ประชดชีวิตป่าว~ฟร่ะตู)(ไม่คิดถึงคนรอบข้างบ้างเลย)
แล้วก็ปฏิเสธคนไม่ค่อยจาเป็น จายอ่อน(ดีเกินไปแล้ว... :fire:)
ปล.ถ้าทางจามีปมเยอะฟร่ะ~ไอ้คนที่พล่ามอยู่เนี๊ยอ๊า...~เฮ้อ

(ใช้ ปล.เปลืองไปป่าวฟร่ะ!เรา~เฮ้อ(อีกระลอก)แถมยางถอนหายจายเยอะเกินปายแล้ว~เฮ้อ)
(ความคิดความอ่านโผมอาจจะดูเด็ก(ปัญญาอ่อน)เกินไป เพราะโผมนะยังอ่อนต่อโลกมาก(ถึงอายุอานามจามากแล้ว :serius2:)...ก็ขออภัยด้วยน๊าขอรับ)
(ขออนุญาต ให้คนเก็บกดอย่างกระโผมพล่ามซักนิดนะขอร๊าบบบบ(แอบเลียนแบบเชลซี~เอ๊ะ!ชื่อคุ้นๆเน้อเรื่องรายหว่า~ :z1:เหมี๊ยว~))
สุดท้าย ...ชอบนิยายของ คุณเตอิงเรนเจอร์ อย่างแรงตั้งแต่เรื่อง คืนหลอน o22แล้วขอรับ(ไปอ่านเรื่องน๊านก่อนอ่า :monkeysad:เลยติดงอมแงมเลย)
ซักนิส...ไปต่อเรื่องน๊านด้วยน๊าคร๊าบบบบบบโผมเชียร์ คู่(เชล)ซีกับอ๋องเต็มที่่่่่่เลยขอร๊าบ o18 เชียร์ขาดดดดดจายเลยยยยย :angry2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: phone1638 ที่ 24-02-2010 15:38:59
อ้าว...

จบแล้วเหรอคับ

จะมีต่อป่ะคับเนี่ย เหมือนเรื่องยังไม่จบเลยอ่า

ใครก็ได้ช่วยที มันค้างคาอะคับ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-02-2010 23:24:12
ในที่สุดก็ตามอ่านทันหมดแว้ววว :a2: :a2:

ชอบโค๊กมากมายเลยอ่า แบบว่ามั่นคงกะปริ๊นมากเลย :-[

อ่านแล้วซึ้งมากเลยค่ะ แอบน้ำตาซึมตั้งหลายครั้งแน่ะ

ภาค The Zero ก็อ่านทันแว้วว  มาต่ออีกนะคร้า
(ก็เหมือนว่าจะยังไม่จบนี่นา :z1:)

แอบแปลกใจนะนี่ที่บาสเป็นรุก :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: jantaro ที่ 25-02-2010 20:13:52
thkk kubbbb
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: pimm ที่ 25-02-2010 23:18:30
ชอบน้องโค้กกก

55555

 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: PMiX ที่ 01-03-2010 03:47:00
อ่านจบไปภาคเดียว มารอหนังสือดีกว่า

ไม่มีเวลาเข้าเล้าเลย

เหอๆๆ

ฝันดีครับ

ตกลงหนังสือ ทำ ยังอ่าา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: jantaro ที่ 01-03-2010 18:32:54
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: phone1638 ที่ 15-03-2010 17:16:25
รออ่านต่อคับ จะมีต่อมั้ยคับเนี่ย

รอๆๆๆ

^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: izanagi ที่ 17-03-2010 22:15:13
อ่านจบภาค7
จริงๆแล้วเราอยากให้โอ้ตเป็นพระเอกมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าเรื่องจบไม่แฮปปี้เท่าไหร่ ^^
ด้วยคิดว่า ถ้าวันนั้นที่ปริ๊นซ์เห็นโอ้ตที่เชียงใหม่ แล้วปริ๊นซ์เข้าไปทักเลยหรือเข้าไปโวยวาย
ไม่มาแอบดู เรื่องมันคงไม่กลายมาเป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: katsuya ที่ 17-03-2010 23:01:48
แง่มๆ สองวันกะหนึ่งคืนอันยาวนานเพิ่งจบลง จะบอกว่าคนเขียนเก่งมากครับ สุดยอด o13
เสียดายเพิ่งมาอ่าน ไม่ทันตอนที่ทำหนังสือ อยากได้เก็บไว้จัง ทำไงดี...เง้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: conan2550 ที่ 18-03-2010 12:46:33
กว่าจะจบ  3วันติด ขอบคุรมากครับสำหรับเรื่องดีๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: SakuraNino ที่ 23-03-2010 08:55:25
ตอนนี้เป็นน้องใหม่ที่นี้อยู่เลย
แล้วก้ไร่ตาม เรื่องที่มีคนแนะนำ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สอง ต่อจากเรื่องระเบียงรัก ที่ทำให้พออ่านแล้วรู้สึกปวดใจมากกกกกก

เชียร์พี่โอ๊ตตตตตตตตตตตตตต

สนุกมาคะ ขอบคุรมากกับเรื่องราวดีๆ อินจัดไปกัยตัวละครทุกตัว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: tingabell ที่ 26-03-2010 12:49:00
เรื่องนี้แต่งดีจังเลย
เศ้รา
แอบน้ำตาซึมไปเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: หัดดิน เอ้ยหัดกิน ที่ 31-03-2010 23:58:42
คือว่า...
อ่านนนานมากครับกว่าจะจบ
แต่ก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
แต่งดีมากๆ ครับ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Canon In D ที่ 01-04-2010 05:31:47
คือ บางคนก็บอกหนังสือยังไม่ได้ทำเพราะยังไม่จบ


บางคนก็บอกทำไปแล้ว

ตกลงความจริงคือ?
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: tum_utcc ที่ 03-04-2010 18:50:31
เรื่องนี้ทำให้ผมไม่ได้นอนมาสองคืนแระคับ  เพราะอ่านทั้งคืนเลยอ่ะ

จนในที่สุดผมก็อ่านมันจนจบ ตอนแรกที่โอ๊ตเค้าไปมีคนใหม่ผมอ่านแล้วรู้สึกเสียใจมากเลย

ก็เลยเชียร์โค้กอ่ะ แต่พอรู้ความจริงแล้ว ผมก็อยากให้ปริ้นเค้ากลับมาหาโอ๊ตอยู่ดี ถึงจะเป็นการเห็นแก่ตัวกับโค้กก็เถอะ

เพราะว่าปริ้นก็ยังรักโอ๊ตอยู่ และรักมากด้วย ไม่รู้จะพูดยังไง เหอๆ

แต่ก็ขอบคุณคับที่เอานิยายเรื่องนี้มาให้อ่านคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Fill ที่ 01-05-2010 00:18:57
อ่านแล้วปวดใจมากเลย
อุปสรรคของความรักเกิดจากความไม่เชื่อใจกัน
เฮ้ออออ
แต่น้องโค้กก็ดีแล้วแหละ
น่ารักน่ากอดน่า...
555+
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: vox-tc ที่ 03-05-2010 22:28:48
สนุกอ่ะ

แต่ค้างอ่ะ

แง้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: devilnokung ที่ 14-05-2010 21:34:39
เอ้ย

พึ่งมาอ่านตอบแรกๆอ่าครับ

เพิง่เลน่บอร์ด

ให้เดารรชื่อ ก.ไก่.นำหน้าชิมิ

ถ้าใช้รรเดียวกะผมเลยอิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: devilnokung ที่ 14-05-2010 21:38:41
กำ

พออ่านเลยมาอีกหน่อย

มันรร อ.นี่หว่า

งี้ม่ะเรียกในเมืองสะหน่อยชิส์
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: devilnokung ที่ 15-05-2010 10:44:06
อ่างงตกลง รร ก.ไก่ หรือ อ.อ่าง อ่าT T

มาตอบเค้าด้วยน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Chai30069 ที่ 15-05-2010 14:49:03
ว้าว  เว็บบิทที่พลาดม่ายด้ายยย
http://www.gayclubsociety.com/signup.php?referrer=Chai30069
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: akazu ที่ 17-05-2010 13:06:20
 :o12:ฝังใจกับรักแรก โอ้ตตตปริ้น สุดท้ายก็กลายเป็นโค้กปริ้น แต่ก็ยังอยากให้มีโอ้ตมาก น่าสงสารผู้ชายที่ดีน้ำใจงามยิ่งกว่านางสาวไทย เค้าเรียกคนดีไม่มีที่อยู่ช่ายป่ะ :z3:สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะใจปริ้นคนเดียวเลย

พีเอสซึ.อ่านแล้วบ้า เด๋วยิ้ม เด๋วร้องไห้ กลัวใจพ่อเหลือเกิน นั่งอ่านมืด ๆ รอพ่อหลับ กลัวพ่อว่าลูกกูไม่เต็ม  ครบทุกรสชาติจริง ๆ ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องดี ๆ เรื่องนี้ ชอบทุกคน ไม่ว่าจะ ปริ้น โค้ก ซัง คิว นิค และที่สุดก็โอ้ตที่ร้ากกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: banana49 ที่ 21-05-2010 12:45:31
ง่ะ คือว่างได้อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกอ่ะ
เค้าเชียร์โอ๊ตน้า อยากให้คู้กัยปริ๊นซ์
แต่ก้ สงสารโค้กอ่ะ

ไม่รู้สิ แอบมีความรู้สึกว่า ปริ๊นซ์กัยโอ๊ตยังรักกันอยู่อ่ะ
แหะแหะ

ยังไงก็ ชอบเรื่องนี้มากนะคะ ซึ้งมากกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 21-05-2010 23:22:02
 เป็นเรื่องที่หลากอารมณ์มากครับ ทั้งสนุก น่ากลัว ซึ้ง เศร้า ขำ มีครบทุกรส อ่านแล้วติดมากมาย

 จะบอกว่าชอบทั้งโอ๊ตและน้องโค้กเลยอ่ะ แบบว่าเลือกไม่ได้ คนนึงสุขุม อบอุ่น อีกคนน่ารัก เอาใจเก่งมากมาย
อยากให้ปริ้นซ์ขอสองไปเลยอ่ะ คิก คิก :-[

 รอรวมเล่มอยู่นะครับ  :L3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 17-06-2010 22:01:21
เรื่องนี้เนื้อเรื่อง และเหตุการณ์ต่างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
เช่น คนรักต้องห่างไปก็เกิดความปั่นป่วนในจิตใจ และผลการกระทำนั้นมันกินใจ
แต่กลับสร้างทางเลือกในการใช้ชีวิตต่อไปในแบบที่คนปกติสามารถพึงกระทำต่อไปได้

ชอบเทคนิคบางอย่างที่ถูกนำมาเสนอมากเลยผมรู้สึกสะอึกไปเลยในหลายๆ ฉาก
รู้สึกเข้าถึงอารมณ์ได้มากจริงๆ
ขอบคุณมากเลยนะครับคุณ เตอิงเรนเจอร์

จะติดตามอ่านจนจบเรื่องเลยครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: PsYchopaThic ที่ 28-06-2010 18:17:09
ขอบอกเลยว่า
ปวดใจมากกกกก ถึงมากที่สุด
เพราะเรา...เชียร์โอ๊ตปริ้นมาตลอด คนแต่งใจร้ายกับโอ๊ตมาก หงื้ออออออออออ
เราคิดนะ...ว่าโอ้ตไม่ได้ผิดอ่ะ....ทุกอย่างรอบตัวมันบีบบังคับตลอด
ก็เข้าใจปริ้นที่...เจอเเบบนี้ก็ต้องรู้สึกแบบนั้น
แต่สุดท้ายเป็นโค้กปริ้นนี่...มันเจ็บจี๊ดๆ จริงๆ
ในความเป็นจริง มันก็คงเป็นสิ่งที่ดี สำหรับปริ้นอ่ะนะ

แต่สงสารโอ๊ตอ่ะ
กลับมาก็ไม่ได้.... ทั้งที่ยังรัก
ต้องยิ้มให้ความสุขของคนที่ตัวเองรัก...ซึ่งเป็นความเจ็บปวดของตัวเอง (เอ่อ...แกอย่าเวอร์ได้ไหม๊)

เฮ้อ...เรื่องมันเศร้าววว

แต่ก็ขอบคุณมากมายนะคะ...สำหรับเรื่องดีๆ ที่น่าจดจำ อีกเรื่อง อิๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: donjai11 ที่ 06-07-2010 15:56:13
รอนะคับทั้งฟิล์ม ทั้งโค้ก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Flowersteel ที่ 10-07-2010 20:21:05
Thxxxxxxxxx เกลียดการจากลาๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: mankey ที่ 15-07-2010 18:59:19
ในที่สุดก็อ่านทันจนได้

สงสารโอ๊ตมากๆเลย(แต่เชียร์ปริ๊น โค้ก อิอิ) แค่ความเข้าใจผิดเล็กๆ มันทำให้ความรักเปลี่ยนไปแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 18-08-2010 21:50:03
ขอขคุณครับ
หัวข้อ: Re: [Story] บ้านพักอลเวง#1-7
เริ่มหัวข้อโดย: dearlovelove10 ที่ 05-09-2010 02:30:52
 :sad11:ขอบคุณมากนะครับสำหรับเรื่องราวดี ๆเรื่องนี้ ที่ทำให้ผมเข้าใจความรักมากขึ้น...
แต่รู้สึกว่าตัวเองมาช้าไปหน่อย(หรือมากหว่า)
ผมตามอ่านมาได้อาทิตย์นึงแล้วครับ คืออ่านช้านิดหน่อยเพราะไม่ค่อยจะมีเวลา (งานมันเยอะๆๆๆๆๆ)
ผมมีความสุขนะที่เห็นปริ้นซ์สมหวังได้ครองรักกับโค้ก
แต่พอนึกถึงโอ้ต บ่อน้ำตาก็แทบแตก มันเกินบรรยายจริงๆ ถึงความรู้สึกของโอ้ตที่.....เกินจะบรรยายจริงๆๆ
ขอบอกนะครับว่า ในใจผมมีแต่โอ้ตคนเดียวจริงๆๆ คืออยากให้เค้ามีความสุขสมหวังกับคนที่รัก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้...
...และโอ้ตรักใครไม่ได้อีกแล้ว.. ผมอินมากๆๆๆๆๆจนอาจดูเวอร์เลยครับสำหรับเรื่องนี้
ปล.และจะติดตามผลงานต่อๆไปนะครับคุณเตอิ้ง...
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: gotoho ที่ 06-09-2010 18:33:03
3 ปีต่อมา..................







ไม่ช่าว่าเจ้าของเรื่องมาต่อหรอกนะ แต่เป็น 3 ปีต่อมา ผมถึงพึ่งได้อ่าน
เืนื่องจากพึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกครับ อ่านจบแล้ว ขอบคุณมากครับ

ว่าแต่ชื่อโค๊กนี่ มันมาจาก

โค๊ก--------->Coke---------->Conan ป่าวอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] บ้านพักอลเวง# 1-7 จบบริบูรณ์ (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 08-09-2010 07:58:15
อ่านยาวนาน สองวันหนึ่งคืน

จบแล้วยัง งง อยู่เลยค่ะ ที่เตพูดกับปริ้นว่า

โอ๊ตมีคนที่รักอยู่ในใจมา 8 ปีแล้ว

แต่โอ๊ตรู้จักกับปริ้นแค่ 6 ปี รึเปล่า?

แสดงว่าตลอดเวลา โอ๊ตมีแต่ปิงแค่คนเดียว

แต่พออยู่ใกล้ใครก็รักคนนั้น ใช่รึเปล่า

คนที่น่าสงสาร น่าจะเป็นปริ๊น รักแรกแบบนี้มันเจ็บปวดฝังใจนะคะ

คนที่น่าชื่นชมมากที่สุดคงเป็นโค้ก ที่สามารถรอ และทำตามสัญญาได้จริง

อ่านแล้วยิ้ม อ่านแล้วเหงา อ่านแล้วน้ำตาคลอจริงๆ

ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องดีดี :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง# 1-7 (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 16-09-2010 13:45:49
อ่านจบแล้วค๊าบบบบบ
ปริ้นสุดยอดค๊าบบบ แต่โอ๊ตก็ยังคงมีแต่คนเก่าในใจอยู่ดีนิ
แต่ก็ดีค๊าบบบ แฮปปี้ดี
เหอออออ  ความรักหนอ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง# 1-7 (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 28-09-2010 08:45:16
เย้  :mc4: ในที่สุดก็อ่านจบ

ยาวมากคับเรื่องนี้

แต่ก็สนุกมากด้วย o13

พระเอกน่ารักมากๆ

ชอบตอนพี่เศษที่มีคดีฆ่ากันด้วย

อ่านแล้วตื่นเต้นมาก

แต่ก็จบแบบมีความสุขดีคับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง# 1-7 (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: eyerabbit ที่ 30-09-2010 20:10:51
อ่านข้ามคืนไม่ได้หลับได้นอน อ่านจบแล้วเศร้าทั้งวันเลย
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง# 1-7 (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 02-10-2010 01:27:43
อันที่จริงผมอ่านเรื่องนี้นานแล้วครับ

แต่พอเปิดเว็บนี้ผมก็จะนึกถึงชื่อ โค้ก กับ ปริ้นเสมอ

ถึงได้ฤกษ์มาเม้นสักที

ชอบตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ครับ ชอบโค้กมากที่สุดเลย (ปัจจุบันก็ชอบคนชื่อโค้กครับ 555+)

อยากให้พี่โอ๊ต มีแฟนใหม่ จะได้หายเศรา้สักที
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง# 1-7 (เพิ่ม the ZERO # 1-7)
เริ่มหัวข้อโดย: Atlast ที่ 12-12-2010 13:51:03
เมื่อไหร่จาทำหนังสือออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 13-01-2011 00:16:26
เห็นว่ามีคนเอาไปโพสลงที่เว็บนี้ครับ
http://www.gboysiam.com/story/index_gboy.php?storyid=43422&page=2
ไม่ทราบว่าเจ้าของเรื่องรับรู้แล้วหรือยัง
เอามาแจ้งไว้ครับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: bankii ที่ 17-01-2011 16:50:22
อ่านจบแล้วคร้าบบ (ช้าไปหน่อยไหม?)  :a5:


อ่านรวดเดียวครบ 7 ตอนจบเลย  เริ่มอ่านแล้วหยุดไม่ได้อะ อ๊ากกกก เสียน้ำตาไปเยอะเลย  :sad4:


พี่โอ้ตน่ารัก เป็นผู้ชายอบอุ่น รักพี่โอ้ตจริง ๆ เป็น แฟนคลับของพี่โอ้ตเต็มตัวเลย  :seng2ped:


บอกตรง ๆ ว่ารู้สึกสงสารพี่โอ้ตยังไงก็ไม่รู้


แต่จบแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้วมั๊ง ... ขอบคุณพี่เตอิ้งมาก ๆ เลยคร้าบที่เขียนเรื่องดีๆ แบบนี้ให้ผมอ่าน  :pig4:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 02-02-2011 02:56:29
อ่านมา 2 วัน ไม่ได้ทำไรเลย ไม่ไปเรียนอีกต่างหากเพราะตื่นไม่ไหว อ่านยันเช้า

อยากยอมรับว่าหน้าแรกอ่านช้ามาก แล้วก็คิดว่าเมื่อไหร่จะหมดหน้านะ
แล้วพออ่านไปมันติดมาก น้ำตามาเป็นเขื่อนแตก เช้านี่ตาบวมสุด แม่ยังเชื่อว่าไม่สบาย
แอบขี้โกงด้วยการอ่านตอนจบก่อน เลยพยายามอ่านต่อมาได้ ไม่อยากอ่านไปแล้วนอยซ์
แบบที่จบไม่แฮปปี้นะ ขอบคุณน่ะค่ะที่มีเรื่องดีๆมาให้อ่าน

ปล. เข้าใจว่ากว่าเรื่องจะจบคนแต่งคงใช้เวลานานมาก แต่หนูเม้นแค่นี้เอง ไม่กี่นาที เอาเปรียบเนอะ
     แต่ว่าไมรู้ว่าจะทำไงอะ นอกจากบอกว่าชอบมาก ขอบคุณนะค่ะ มีข้อคิดเอาไปใช้อีกเยอะเลย
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: ๛゙★βra_11!☆゙ ที่ 17-02-2011 00:15:43
ดีจ้า....

อ่านเรื่องนู๋ปริ้นกับ'โค้ก 'จบแล้ว...
ชอบมากกกๆเลย :o12:
เห็นชัดเลยเป็นfc  ใคร อิอิ นิดหน่อยๆ

ความรู้สึกตัวละครและอะไรๆอีกหลายๆอย่าง
แสดงออกมาได้ดีมากกๆเลย น้ำตาไหลพรากๆ
แอบโหดนะนี่เรื่องนี่ :z3:

ขอบคุณมากมายที่แต่งเรื่องนี้มาจ้า
ซึ้งอ้ะ เหมือนได้รับอะไรเยอะแยะเลย :man1:

ว่าแล้วก้ขอไปนอนก่อนไม่ไหวแล้ว :really2:
เด่วพรุ่งนี้มาอ่านเรื่องอื่นต่อ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: ๛゙★βra_11!☆゙ ที่ 18-02-2011 00:14:32
แวกก เมื่อวานนู๋โค้กยังไม่จบ
นึกว่าจบซะแล้ว โหยดีใจมากๆๆเลย ที่ยังมีต่อ T_T

คราวนี้happy ending สมใจมากๆๆ :man1:
อ๊าย ดีใจๆๆๆๆ ขอให้น้องหนูมีความสุขกันตลอดไปเน้อ^ ^

ว่าเรื่องนี้มีข้อคิดเยอะมากนะเนี่ย ทั้งรัก...พลัดพราก
งิิงิ

อยากบอกว่า
รักเรื่องนี้มากๆๆเลย ปลื้มมสุดๆๆ o13 o13

ปล.แอบดูคร่าวๆท่าทางอีกเรื่องจะหลอนนะเนี่ย  o22
พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ เด่วนอนไม่หลับ แฮ่
 :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 05-03-2011 00:55:48
ขอบพระคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบ้านพักอลเวงนะครับ

พองานน้อยลงทีนึงถึงได้เข้ามาเช็คทีนึงครับ ขอบคุณกำลังใจที่ได้รับ และก็มีความสุขมากๆทุกครั้งที่ได้อ่านความคิดเห็นที่ทุกๆคนเข้ามาร่วมแชร์
หลังจากที่อ่านจบครับ ^^


ลป. ยังไม่มีเวลาไปต่อเรื่องที่ยังเขียนค้างไว้อยู่เลยครับ งานเยอะมาก และเครียดกับเจ้านายจนสูบความคิดสร้างสรรค์ไปจนหมดแล้ว  :o12:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: YongaMO ที่ 05-03-2011 04:10:03
หนูจำได้ว่าเคยได้อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ ม.ต้น อ่ะค่ะ จนตอนนี้ขึ้นม.6แล้ว
ยังจำเรื่องนี้ได้อยู่ เป็นเรื่องที่ชอบมากกกก อันดับต้น ๆค่ะ
ถึงจะไม่ได้ติดตามผลงานต่อเพราะรอ รอ รอจนเพลิน จนลืมไปบาง
แต่ความประทับใจเรื่องนี้ยังติดอยู่ในใจตลอดเวลาค่ะ
อยากจะขอบคุณนะค่ะ ที่นำเสนอผลงานดีๆแบบนี้ให้ได้อ่าน... :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: zolof26 ที่ 09-03-2011 16:38:21
ขอบคุณคุณเตอิงเรนเจอร์มากๆเลยครับ ที่มาแบ่งปันเรื่องสนุกๆแบบนี้ให้อ่าน แต่..ผมอ่านไม่จบครับ
อยากบอกว่าพี่เขียนดีจริงๆ ผมไม่ได้โกหกนะ แต่ผมอ่านไม่จบ เพราะว่าตอนนี้ร้องไห้อยู่...
ผมคงอินมากไปอ่ะพี่ ผมอ่านถึงแค่ตอนที่โอ๊ตมันสารภาพกับปริ๊นว่า มันมีคนอื่นจริงๆ.. ผม....
โอย สงสารปริ๊นอ่ะ ผมร้องไห้จริงๆนะ แล้วตอนนี้ก็อ่านต่อไม่ได้ ยังทำใจที่จะอ่านไม่ได้จริงๆ สงสัยผมจะอินจัดไปหน่อย
แต่อยากบอกว่า ไงๆพี่ก็เขียนดีจริงๆครับ ถ้าผมหายเศร้าแล้วผมจะอ่านต่อครับ
ตอนนี้ขอไปร้องไห้ก่อนละกัน
TT^TT
ปล. ผมเกลียดโอ๊ตมาก แต่ก็รู้สึกรักตัวละครตัวนี้มากเหมือนกัน มากจนรับไม่ได้ที่จะเอาคนอื่นมาแทนที่มัน สงสัยผมจะอินไปกับฟีลของปริ๊นไปแล้ว แงๆๆ ผมบ้าไปแล้ว ผมอินมากไป
TT^TT
ไปแล้วครับ ขอบคุณพี่มากๆนะครับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: zolof26 ที่ 11-03-2011 02:01:49
คอมเม๊นท์อีกรอบ ตอนนี้ผมอาจจบแล้ว จบภาคไรไม่รู้ เหมอืนกำลังจะเริ่มภาค 0
ผมแย่ครับ ผมอ่านแล้วร้องไห้ตลอดเลย สงสัยจะบ้าไแล้ว มันสะท้อนอะไรๆให้ผมเห็นหลายอย่างด้วยแหละ
แล้วมันก็เศร้าเกินไป ผม .. เฮ้อ
ผมยังปักใจอยู่กับ โอ๊ตอ่ะ แล้วก็ปริ๊นด้วย ยิ่งมารู้ว่าโอ๊ตไม่เคยรักคนอื่นเลย ยังรักปริ๊นตลอด ผมก็ยิ่ง..เศร้า
ไปแล้วครับ
ขอบคุณพี่มากๆครับๆ แต่งได้ดี จนผมเศร้ามาก ขอบคุณอีกรอบครับ ที่มาแชร์เรือ่งดีๆให้ได้อ่านกัน ผมได้อะไรๆเยอะมากจากเรือ่งนี้
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 20-03-2011 10:25:24
ยังคิดถึงเรื่องบ้านพักอลเวงอยู่นะครับ  เรื่องของบาสกับพี่รัญก็ยังค้างอยู่รวมทั้งเรื่องของฟิล์มด้วย ถ้าผู้เขียนพอมีเวลาก็มาต่อด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 18-04-2011 07:55:11
หลังจากตะบี้ตะบันอ่านเหมือนคนบ้าและคิดว่าจบแล้ว ก็จะโพสต์ชื่นชมความดีคนแต่งหน่อย

แต่พอเหลือบเห็นคอมเม้นต์ท้ายๆ เอ๊ะ เหมือนเราจะยังอ่านไม่จบทั้งหมด เอาเป็นว่าตอนนี้อ่านตอนหลัก 5 ภาคจบแล้วนะครับ (ช่วงหน้าแรกๆ)

ความรู้สึกตอนแรกบวกกับที่ดูจากชื่อเรื่องก็คิดว่า หาอะไรหวานๆฮาๆอ่านหน่อยดีกว่า แล้วก็คิดว่าก็คงเป็นความรักของนายปริ้นที่ต้องย้ายโรงเรียนไปเจอนายโอ๊ตแบบว่าวุ่นวายๆแล้วก็สุดท้ายก็รักกัน จบ happy ending แต่พออ่านไปเรื่อยๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นและซับซ้อนกว่านั้นเยอะเลย

อ่านจบ(เท่าที่จบตอนนี้น่ะนะ) รู้สึกหวิวๆไป เกิดขึ้นทุกทีเวลาอ่านเรื่องอย่างนี้ ผมรู้จักปริ้นตั้งแต่เขาอยู่ ม 5 จนจบปีหนึ่ง พออ่านจบแล้วเหมือนกับ เฮ้ย จบแล้วเหรอ ต่อไปจะอ่านอะไรล่ะ แล้วปร้ินจะเป็นไงต่อล่ะ รู้จักกันมา 3 ปี (ภายในสองวัน)นะเว่ย หายไปเฉยๆได้ไง

เอาเป็นว่า ผมประทับใจนะครับ ที่รู้สึกว่าทำได้ค่อนข้างดีมากคือการเติบโตของตัวละครทุกตัว ถึงจะไม่หวานๆฮาๆเหมือนกับที่คาดไว้ตอนแรก แต่ผมว่า ผมประทับใจมากกว่านั้นอีกครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: |ψ|PEAT_ZA|ψ|℠ ที่ 18-04-2011 14:17:27
คิดถึงบ้านพักอลเวงที่สุด!!!!!!!!

เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่อ่าน  และให้เป็นอันดับหนึ่งในใจมาโดยตลอด มันให้อะไรที่มากกว่าคำว่า "สนุก"

อยากให้มีตอนพิเศษเล็กๆน้อยๆบ้างอะไรบ้างจัง >______<

หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 19-04-2011 09:41:42
โอเค  จบจริงๆจัง 7 ภาค (คนแต่งบอกว่าจบบริบูรณ์แล้วก็จบแล้ว)
ก่อนจะเริ่มฟุ้งซ่าน ขอถามอะไรหน่อยนะครับ ถ้าใครตอบได้ก็ช่วยตอบเลยก็ได้นะครับไม่ต้องรอคนแต่ง (แต่ถ้าเตอิ้งมาตอบเองก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง)
1. ตอนนี้ผลงานของเตอิ้งมีเรื่องอะไรบ้างแล้วครับ ในเล้ามีครบทุกเรื่องไหม
2. แล้วบล๊อคที่เตอิ้งใช้ลงนิยายคือที่ exteen เหรอครับ อยากเข้าไปดูด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าผมโง่หรือผมโง่มาก แหะๆ แต่ผมไปแล้วเจอแค่ รักแท้บทที่สอง 2-3 ตอนแรก กับบ้านพักฯ ตอนความทรงจำสีเทา ช่วงที่เป็นเรื่องของโอ๊ตกับปิง นอกนั้นมันอยู่ไหนอ่า

เอาหละ คอมเม้นท์(หรือเรียกว่าเพ้อจะดีกว่า)แบบเต็มนะครับ {{=เพ้อเจ้อยาวมาก ขออภัยถ้าเกะกะรกรุงรังลูกตา=  (-_-')}}

ตอนที่อ่านจบ 5 ภาคแรกนั้น พูดตามตรงว่ารู้สึกเหมือนหลายๆคนที่บางอย่างมันค้างอยู่ แต่อีกความรู้สึกก็ถือว่าเป็นตอนจบที่สวยแล้วเพราะชีวิตของตัวละครมันต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าไปจบที่ตรงไหน คนอ่านก็คงยังอยากรู้ว่าพวกเค้าจะเป็นยังไงกันทั้งนั้น แบบขนาดจบภาค 7 แล้วก็ยังอยากอ่านต่อเลย เพราะฉะนั้นจบแบบให้คนอ่านไปฝันต่อเองผมว่าก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง

ภาคต่อถือว่าเติมเต็มได้ดีครับ สำหรับผมตัวละครที่ผมรู้สึกอึดอัดสงสัยที่สุดคือโอ๊ต เป็นตัวละครที่ผมไม่เข้าใจที่สุดว่าคิดอะไรอยู่ ก็ได้รับการคลี่คลายเพ่ิมเติมในภาค 6 ถ้าถามจากตัวเองก็คงจะรู้สึกว่า เรื่องแค่นี้เองถ้าพูดกับปริ้นไปตรงๆแต่แรกก็จบ เพราะปร้ินแค่เข้าใจผิดไป แต่ก็ไม่โทษอะไรโอ๊ตนะครับ ชีวิตจริงคนเราก็เป็นอย่างนี้กันมากมาย ไม่เข้าใจกันแต่ก็ไม่ยอมพูดกัน แล้วก็สูญเสียไปตลอดกาล โอ๊ตก็เป็นตัวแทนของคนที่ตัดสินใจผิดไป สุดท้ายแล้วผมสงสารความรักของโอ๊ตกับปริ้นที่จบลงด้วยความเข้าใจผิดเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าใครเลวอะไรเลย แค่ต่างคนต่างคิดต่างน้อยใจอีกคนโดยที่ไม่ยอมเคลียร์กัน

โค้กนี่เฉยๆนะ ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้เรื่องนี้มันเศร้าเกินไป ฉากที่โค้กอยู่จะน่ารักสดใสเสมอ แต่จริงๆแล้วความรักของโค้กแทบจะเป็นความรักในอุดมคติ(เกินไป) เป็นแบบที่คนค้นหากันมากแต่มีคนที่ทำได้จริงน้อย ทนรักใครซักคนมาตลอดแบบไม่สนใจเงื่อนไขอื่นใด ในความจริงคนเดี๋ยวนี้จีบไม่กี่ทีไม่ติดก็เลิกแล้ว หรือคบกันได้ไม่ทันไร เค้าไม่สนใจเท่าที่ตัวเองต้องการก็เบื่อหาเรื่องเลิกเหมือนกัน

ปริ้นเป็นตัวดำเนินเรื่อง รู้สึกผูกพันมากที่สุดเพราะเหมือนเราได้เข้าใกล้เค้ามากที่สุด สิ่งที่คนแต่งทำได้ดีคือเค้าดูค่อนข้างเป็นธรรมชาติ คือดีบ้างเลวบ้างตามปกติ ยึดติดกับตัวเองมากจนเป็นปัญหาในบางครั้ง แต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยการผ่อนอะไรๆลง

นิค คิว ซัง ก็เป็นตัวละครประกอบที่สำคัญเพราะถ้าไม่มีพวกนี้ผมว่าพระเอกเราฆ่าตัวตายไปแล้วแหง 555 ครับ เป็นเพื่อนที่ดีมาเสมอ แม้ว่ามักจะเข้ามาในลักษณะของที่ปรึกษา ให้ข้อคิดดีๆตลอด แต่ก็เชื่อว่าพวกเค้าก็คงต้องผ่านอะไรมาเยอะเช่นกัน แล้วการมองปัญหาจากภายนอกบางทีมันก็เห็นอะไรชัดกว่าคนในครับ เพื่อนที่ดีมีไว้ให้เราพึ่งพาครับ อิอิ

ขอบคุณอีกครั้งครับ ถึงแม้จะทำให้ชีวิตผมแย่ลงนิดหน่อย (ขาดสติ สมาธิ ฟุ้งซ่าน ทำโน่นผิดนี่พลาด นั่งใจลอย ฟังเรื่องนึงหัวคิดอีกเรื่องนึง) แต่ก็ผมขอน้อมรับผิดไว้เอง ไม่โทษอะไรนิยายเรื่องนี้เลยครับ (แค่บอกไว้ว่าแต่งเก่งทำให้เราเป็นเอามากได้ขนาดนี้)
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Wildlife ที่ 24-04-2011 02:55:08
คุณเตอิงเรนเจอร์ทำหนังสือด้วยสิครับ อยากได้มาอ่านเวลาไปไหน
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: debubly ที่ 24-04-2011 03:09:49
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: dearlovelove10 ที่ 29-06-2011 21:55:56
 :really2: :really2:..รักโอ้ตที่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  แอบเคืองปริ้นนิด ๆๆ แต่ก็รักปริ้นมากๆๆๆเหมือนกัน สุดท้าย เรื่องราวความรักครั้งนี้ยังฝังลึกและชอนไชอยู่ในซอกหัวใจของผมไม่ลืมลือน แล้วผมก็ได้ทำสิ่งที่ผมทำแล้วมีความสุขมาก ๆ คือการที่นำเอาเรื่องราวที่ดีที่สุดนี้ ไปโพสต์ไว้ที่เว็บ ๆนึง บอกก็ได้ เว็บจีบอย และก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีคนชอบมากมายยอด วิว ต้อง พันกว่า ๆ ทุกตอน ถึงขนาดอยากเจอตัวละครตัวจริง อยากจัดมิตติ้งตัวละครเลยด้วยซ้ำ ผมยิ่งอ่านคอมเม้นยิ่งมีความสุข และได้แปะเมลล์คุณเตอิ้งไว้ด้วย เลยทำให้แฟนคลับได้คุยกับเจ้าของเรื่องจริง ๆ ผมมีความสุขมากเลยครับ..ขอบคุณเตอิ้งอีกหลายยยยยๆๆๆๆๆครั้งนะครับ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: kisz ที่ 11-07-2011 15:51:05
สงสารโอ๊ต แต่รักโค้ก >< อิจฉาปริ้นจัง
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-07-2011 17:11:45
คนเราไม่สามารถรู้ใจคนอื่นได้หรอก  โอ๊ตรักปริ้นคนเดียว  รักมาตลอดแล้วงัยล่ะ
ในเมื่อสิ่งที่โอ๊ตแสดงออกมา คือ มีคนอื่น ห่วงใยคนอื่นมากกว่าที่จะห่วงใยความรู้สึกของปริ้น
นั่นคือสิ่งที่ปริ้นรับรู้  เมื่อเราได้แทนตัวเราเองเป็นปริ้นแล้วจะเข้าใจว่าทำไม
คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก  อย่างน้อยก็ต้องคุยกัน  ต้องบอกเหตุผลกัน
ปริ้นถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นคงในรักมากนะ  ขนาดรู้ว่าโอ๊ตมีคนอื่นก็ยังรักโอ๊ตอยู่อีกนานทีเดียว
สงสารโอ๊ตมั๊ย  อยากสงสารแต่ไม่สงสาร  เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น และทุกคนด้วย
อ่านเรื่องนี้จบมาเกือบสองปีแล้ว  เพิ่งมาเมนท์  เห็นด้วยกับหลาย ๆ คนว่า  อยากให้รีปริ้นท์
อยากเก็บไว้อ่าน  ชอบมาก ๆ มันสอนเราได้ในหลาย ๆ เรื่องเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 03-08-2011 01:19:47
ผมอ่านเรื่องนี้ มาสามรอบได้แล้วนะครับ

อ่านตอนแรก เชียร์โค้กมาก

แต่พออ่านครั้งที่สองและสาม กลับสงสารโอ๊ตมาก ๆ

มาอ่านตอนไหนก็ถอนหายใจดัง ๆ เหอ ๆ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 21-09-2011 03:06:14
ตามมาอ่านค่ะ แต่ยังอ่านไม่จบเลย ขอมาเม้นก่อน
อ่านแล้วทำเราเสียน้ำตาไปหลายตอนเลย
บีบหัวใจมากๆ
เศร้านะ แตาเลิกอ่านไม่ได้ ติดงอมแงมเลยเรา
สุดยอดค่ะ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Narigi ที่ 24-09-2011 17:55:06
มาอ่านช้าไปราวๆ 4 ปี รึป่าวหว่า??

ชอบโอ้ตมาตั้งแต่ต้น ยิ่งตอน 2 ยิ่งมั่นใจ โอ้ตเป็นคนน่าคบหามากๆ  :m15:

แต่ไปๆมาๆ ดันมาเกิดเรื่องแบบนั้น... เราแทบเลิกอ่านเลย ไรวะ ยังไม่ถึงปีเลย ทำยังงี้ได้ไง  :m15:

พอได้อ่านจนจบถึงได้รู้ว่าโอ้ตทำผิดพลาด และการผิดพลาดนี้ทำให้เค้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว  :m15:


จบได้เคลียร์ และสมเหตุสมผลมากอ่ะ ชอบมากเลยทีเดียว o13
ถึงเราจะเชียร์โอ้ต แต่ก็รู้ว่าความผิดพลาดนั้น มันยากเกินกว่าจะให้กลับเป็นเหมือนเดิม
โค้ก เราไม่ได้ชอบอะไรมาก แต่ก็โอเคนะ นายเป็นคนดีมาก  :m15:


ชอบตอน 6 เปนพิเศษ ตอนที่ปริ้นบอกให้โอ้ตกลับบ้าน โอ้ยมันจี๊ดดดดด  :m15: สงสารโอ้ตเว้ยยยยยย ทำเอาจิตตกไปพักนึงเลยครับ  :sad4:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Number1_90 ที่ 02-10-2011 21:56:27
มัน ซึ้ง มาก

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: area71 ที่ 10-11-2011 14:13:45
ไม่รู้จะพูดอย่างไง รู้สึกโชคดีมากคับที่บังเอิญได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ มีครบรสเลยคับ
 :L2: รักเรื่องนี้มากคับ เรื่องโปรดต้นๆเลยคับ  :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 02-04-2012 21:46:29
 :sad4: :sad4: :m15: :m15: :sad11: :sad11:

และก้อ

 o13 o13

น้าอุ๊
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: run2522 ที่ 03-04-2012 17:35:40
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: soteen94 ที่ 13-07-2013 05:41:17
อ่านถึงตอน2  อยากจะอ่านต่อนะครับ แต่พออ่านคอมเม้นแล้ว ไม่กล้าที่จะอ่านต่อเลย กลัว จะหดหู่จนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร ขอเวลาทำใจแล้วจะกลับมาอ่านต่อนะครับ  :m15:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 25-07-2013 11:49:31
เอ่อ .... จะสวนกระแสไหม ถ้าบอกว่า ชอบโอ๊ตกับปริ้นมากกว่า
คือจบแบบนี้ เคืองอ่ะ รู้สึกแย่อ่ะ เพราะเชียร์โอ๊ตมาตลอด พอมาลงเอยกับโค๊กแล้วแบบบ...
เกิดอาการนอย รับไมไ่ด้
หัวข้อ: Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
เริ่มหัวข้อโดย: Kamonohashi Kamo ที่ 27-07-2013 13:31:03

"ผมก็หลบไปนั่งอยู่หลังอาคาร 5 ซึ่งมันจะเป็นสวนป่าแดงข้างหลังโรงเรียน ที่มันติดๆกะภูเขานั่นล่ะ

นั่งอยู่หลังตึก 1 แทน ตรงนี้มันจะมีต้นไทร (หรือต้นอะไรซักอย่าง) ใหญ่มากๆอยู่ มีม้านั่งพร้อม "

 o22 โรงเรียนเรานี่หว่า อิอิ


หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: biiiiiggy ที่ 22-01-2014 03:37:22
อ๊าก เศร้ามากเลย สงสารโอ๊ต ไม่รู้สิในใจลึกๆอยากให้โอ๊ตกับปริ้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: virgoboyx ที่ 19-07-2014 03:29:14
ผมมาทำอะไรที่กระทู้นี้... ตอนตีสามครึ่ง!!

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวๆดีๆ ถึงแม้ผมจะอ่านช้าไปเกือบสิบปีนะครับ :)
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 07-10-2014 06:39:49
ความรักกับระยะทาง ถ้าไม่มั่นคงไม่เชื่อใจกันจริงๆ
ยังไงความรักก็แพ้ โอ้ตกับปริ้น ที่ต้องจบลง ถือว่าผิดด้วยกัน
ทั้งคู่ ทั้งโอ้ตที่ไม่ยอมอธิบายอะไร หนำซ้ำยังโกหกอีก แม้จะ
ทำไปเพราะไม่อยากให้ปริ้นไม่สบายใจหรืออะไรก็แล้วแต่
ยังไงก็ผิด ปริ้นเองที่ไม่อาจเชื่อใจโอ้ตได้มากพอ ด่วนตัดสินอะไร
เพียงแค่ผิวเผิน ก็ผิด ส่วนโค้กเป็นผู้ชายที่มั่นคงมาก ทำอะไรชัดเจน
เหมือนโดนส่งมาเพื่อทดสอบใจปริ้นว่าจะซ้ำรอยแบบคราวโอ้ตมั้ย
แต่บททดสอบครั้งนี้ไม่หนักหนาเหมือนครั้งแรกแม้ระยะทางจะไกลกว่า
แต่โค้กที่ค่อนข้างชัดเจนและมั่นคงบวกกับที่ทั้งสองผ่านอะไร
ด้วยกันมาเยอะ อยู่ด้วยกันมานานความสัมพันธ์กับความรู้สึกมันจึง
ค่อนข้างหยั่งลึกและแน่นอนกว่า รู้สึกดีใจที่ปริ้นข้ามผ่านบททดสอบนี้ไปได้
กับโอ้ตเป็นอะไรที่คงต้องใช้เวลาแต่ความผูกพันที่มีมาของทั้งสองมันก็เป็น
สายใยหนึ่งที่ไม่มีวันตัดขาด ความเป็นพี่น้องผูกพันยิ่งกว่าคนรักอีกนะ
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Tiiteez ที่ 09-11-2014 14:57:37
ซึ้งมากครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ได้อ่านอยู่ รู้สึกตัวเองอยู่ในเรื่องและเฝ้ามองตัวละครดำเนินไป รู้สึกดี อิ่ม ชอบโค้กมากครับ รักปริ้นมาตลอด และรักตลอดไป ขอบคุณเตอิ้งมากครับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 15-12-2014 14:40:03
อ่านจบแบบ 100%
ยกเว้นภาค 0 อันสุดท้ายอ่ะ
อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
เลยขอข้ามล่ะกัน
งงมากก
5555+
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 01-01-2015 08:43:52
 :pig4: ชอบโค้กมากเลย ดีใจที่สมหวังกับโอ๊ต
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: packy ที่ 20-08-2015 08:22:43
เพิ่งได้ตามอ่าน 2 วันติดกันแทบไม่ได้นอนเลย จนต้องสมัคร log in มาเม้นต์
สงสารโอ้ตจัง ถ้าปากหนักกว่านี้คง Happy Ending แต่อย่างว่า เป็นคนบ้านเดียวกัน ถ้ายายไม่ยอมรับก็คงเจ็บกว่านี้
ส่วนโค้ก ถ้าเป้นเรื่องจริง ผช แบบนี้มันยังหลงเหลืออยู่มั้ยนะ
ตอนอ่านเรื่องนี้ เสียน้ำตาไปหลายรอบมาก มันดูเรียลมากอ่ะ
จะรอติดตามเรื่อง บาส-รัญ ต่อไปนะฮับ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-12-2015 01:18:10
แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Pikata ที่ 04-06-2017 20:20:48
จำได้ เรื่องนี้เคยอ่านตอนเด็กๆ ชอบมาก :catrun:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: Nattawan Meechai ที่ 28-05-2018 11:18:51
ขอบคุณผู้เขียนจากใจจริงมากค่ะ อ่านแล้วอินมากค่ะไม่เคยอ่านแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครแบบนี้มาก่อน ขอบคุณช่วงเวลาของปริ้นกับโอ๊ตที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขกับเรื่องราวความสัมพันธุ์ของทั้งคู่​ แต่พอพี่โอ๊ตเริ่มไปเรียนที่ มช เรื่องราวมันก็เริ่มบีบตัวมากขึ้นทั้งเศร้า ทั้งสุขในขณะเดียวกันก็อ่านจนเริ่มไม่ชอบพี่โอ๊ตทำไมทำแบบนี้กับปริ้น
และก็ไม่เข้าใจความคิดและความรู้สึกพี่โอ๊ตเท่าไหร่แต่พอมารู้ช่วงท้ายนี่สงสารจัง  แต่ก็โอเคที่ปริ้นเลือกโคกนะ แต่พยายามเข้าใจความรู้สึกพี่โอ๊ต(ถึงตอนนี้จะไม่ค่่อยเข้าใจ)
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: anue ที่ 06-01-2021 17:23:09
อ่านเมื่อนานมาแล้ว วันนี้กลับมาอ่านอีกครั้ง
น้ำตาไหลงานการไม่ได้ทำ สงสารโอ้ต ปริ้น โค้ก นิค  อยากให้ได้คู่กันครบๆ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 08-02-2021 21:31:02
คิดถึงเรื่องนี้
จำได้ว่าเคยอ่านตอนเด็กๆ
หัวข้อ: Re: บ้านพักอลเวง
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 04-03-2021 18:42:35
 :pig4: :pig4: :pig4: