พิมพ์หน้านี้ - [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Makoto-sang ที่ 18-08-2013 18:10:46

หัวข้อ: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 18-08-2013 18:10:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************

แจ้งข่าวเปลี่ยนแปลงระยะเวลาสั่งจองหนังสือครับ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41187.0

******************************

สวัสดีครับ ชาวเล้าเป็ดทุกท่าน

แฮะ ๆ ก่อนจะทำอะไรก็ต้องทักทายกันตามประสาสมาชิกใหม่กันล่ะเนอะ โดยเฉพาะเมื่อผมเป็นสมาชิกใหม่สำหรับเล้าเป็ดแห่งนี้ (กว่าจะเข้ามาได้ เล่นเอาเหงือกแห้งเลยครับ)

อ่า... มาโกโตะ-ซัง ครับ ยูสเนมนี้ตัดมาจากคันจิตัวหนึ่งของนามปากกาจริงครับ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ จะเรียกว่า มาโกะ หรือ เคย์ ก็ได้ (เคย์ มาจากคันจิตัวหน้าครับ ฮ่าๆๆๆ) เห็นใช้สำนวนแบบผู้ชายอย่างนี้ จริงๆ แล้วผมเป็นสาวนะครับ (ฮา) พอดีว่าติดสำนวนชายมาหลายปีแล้ว พยายามลองเขียนสาวๆ อยู่ แต่ไม่ไหวแล้วฮร่ะ ธาตุชายมันออก orz

สำหรับนิยาย ณ แดนสรวง นี้เป็นแนวแฟนตาซีจ๋าเลยนะครับ ดินแดนทั้งหมดสร้างขึ้นจากจินตนาการของมาโกะเอง โดยหยิบเล็กผสมน้อย เอานั่นเอานี่มายำเข้าไป ไม่ได้อ้างอิงตำนานจริงแต่อย่างใดครับ ดังนั้นอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่ก็ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ ^ ^

Makoto-sang (มาโกะ)

-------------------------

สารบัญแจ้

ปฐมบท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2460432#msg2460432)+บทที่ 1-1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2460432#msg2460432)+บทที่ 1-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2460444#msg2460444")+บทที่ 2-1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2461316#msg2461316")+บทที่2-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2461321#msg2461321")+บทที่ 3-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2462019#msg2462019")+บทที่ 3-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2462023#msg2462023")+บทที่ 4-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2464651#msg2464651")+บทที่ 4-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2464654#msg2464654")+บทที่ 4-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2464655#msg2464655")+บทที่5-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2465407#msg2465407")+บทที่+5-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2465410#msg2465410")+บทที่5-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2465412#msg2465412")+บทที่6-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2466467#msg2466467")+บททีุ่6-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2466477#msg2466477")+บทที่7-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2467259#msg2467259")+บทที่7-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2467263#msg2467263")+บทที่8-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2468186#msg2468186")+บทที่8-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2468189#msg2468189")+บทที่ 9-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2468919#msg2468919")+บทที่9-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2468921#msg2468921")+บทที่9-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2468923#msg2468923")+บทที่10-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2469452#msg2469452")+10-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2469454#msg2469454")+10-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2469455#msg2469455")+บทที่11-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2470659#msg2470659")+11-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2470664#msg2470664")+บทที่12-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2472165#msg2472165")+12-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2472169#msg2472169")+12-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2472178#msg2472178")+บทที่13-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2473111#msg2473111")+13-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2473117#msg2473117")+13-3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2473121#msg2473121")+บทที่14-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2473936#msg2473936")+14-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2473939#msg2473939")+บทที่15-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2474702#msg2474702")+15-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2474706#msg2474706")+บทที่16-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2475589#msg2475589")+16-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2475594#msg2475594")+บทที่17-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2476319#msg2476319")+17-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2476320#msg2476320")+บทที่18-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2477555#msg2477555")+18-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2477561#msg2477561")+บทที่19-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2478251#msg2478251")+19-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2478256#msg2478256")+บทที่20-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2479603#msg2479603")+20-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2479606#msg2479606")+บทที่21-1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2480653#msg2480653")+21-2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2480654#msg2480654")+บทส่งท้าย (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2485800#msg2485800")


ตอนพิเศษ ชุดฉากที่หายไป 1 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2490134#msg2490134")+2 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2504690#msg2504690")+3 (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38903.msg2582282#msg2582282")
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 18-08-2013 18:12:22
ปฐมบท

มหาสงครามระหว่างเทพกับปีศาจในแดนมนุษย์นั้นไม่ต่างอันใดจากหายนะ กองทัพเทพที่มีปีกสีขาวราวกับเป็นตัวแทนความบริสุทธิ์เข้าห้ำหั่นกับปีศาจที่มีปีกสีดำทมิฬอย่างดุเดือด เลือดสีขาวกับสีแดงของชาวสวรรค์สาดกระเซ็นแปดเปื้อนปะปนไปกับโลหิตสีดำของฝ่ายมาร ความสูญเสียเกิดแก่ทั้งสองฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่กลับไม่มีใครยอมหยุดยั้งจนกว่าแต่ละฝ่ายจะบอบช้ำจนถึงที่สุด

หรือไม่ก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ย่อยยับไป!

ท่ามกลางการศึกที่ดำเนินไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ในกระโจมบัญชาการของกองทัพฟ้า ฟาเบียน มหาเทพเจ้าสวรรค์ผู้มีเรือนผมหยักศกสีเหลืองอ่อนนั่งอยู่กับผู้ติดตามประมาณสิบคน ปลายนิ้วของเขาพนักเท้าพระกรเป็นจังหวะอย่างรอคอย ใบหน้าค่อนจะหวานเหมือนผู้หญิงซึ่งโดดเด่นด้วยดวงตาสีเขียวอ่อนดูเคร่งเครียด เขากำลังรอคอยข่าวจากแดนหน้าหลังมหาเทพสงครามผู้เป็นนายทัพนำทหารออกไปรบได้เกือบสี่ชั่วโมงแล้ว

“นี่มันนานแล้วนะ ไม่มีใครรู้ความเคลื่อนไหวของแนวหน้าเลยรึ” ฟาเบียนกระแทกเสียงถามอย่างเคืองขุ่น

“ท่านจ้าวโปรดรออีกสักหน่อย การสู้รบจริง ๆ เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน หากมีความคืบหน้าท่านขุนพลเทพอันดับห้าคงจะรีบให้คนมาแจ้งทันที” หนึ่งในผู้ติดตามรีบปลอบโยน

“ขุนพลเทพอันดับห้า? เซย์เรียน...ไม่สิ เซย์เรียโน่น่ะเหรอ เจ้านั่นไม่มีทางยอมรายงานง่าย ๆ ข้าจะออกไปดูด้วยตัวเอง!”

แต่อึดใจที่มหาเทพจ้าวสวรรค์ลุกขึ้นจากที่ประทับ ทหารในชุดเกราะสีขาวเขียนอักขระเวทสีทอง ปีกเต็มไปด้วยคราบฝุ่นและรอยเลือดก็วิ่งเข้ามาข้างในพอดี เขาถวายบังคบเร็ว ๆ แล้วกราบทูลด้วยเสียงสั่นเครือ

“กราบทูลท่านจ้าวสวรรค์ มหาเทพสงครามสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ดุจสวรรค์ถล่มกลางหัวใจของจ้าวแห่งฟ้า ร่างโปร่งบางพลันทรุดลงกับเก้าอี้ เหล่าผู้ติดตามรีบถลาเข้ามาประคอง แต่องค์เจ้ายกมือห้ามไว้ก่อน

“ได้ยังไง มหาเทพจุติได้ยังไง!” ทหารกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ฟาเบียนลุกพรวดขึ้นพูดเสียงกร้าว “ไม่ต้องตอบ ข้าจะออกไปดูด้วยตัวเอง ตอนนี้เซย์เรียโน่อยู่ที่ไหน พาข้าไปหาเขาเดี่ยวนี้!!”

ทหารหนุ่มค้อมศีรษะรับแล้วนำทางมหาเทพสวรรค์พร้อมผู้ติดตามเหาะสู่สนามรบ ซึ่งต้องผ่านทวารดินที่เชื่อมต่อระหว่างค่ายพักที่อยู่ในเขตสวรรค์กับภูเขาต้องห้ามในแดนมนุษย์ ทวาราบานใหญ่ยักษ์ถูกเปิดค้างไว้ในระหว่างที่ทั้งกลุ่มบินออกไป ฟาเบียนขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์เมื่อได้เห็นทหารฝ่ายของตนถูกลำเลียงเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เขาเร่งให้คนนำทางบินเร็วขึ้นในขณะที่กลิ่นของความตายและหายนะแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าผาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ในการรบครั้งนี้ ที่นี่ฟาเบียนและทุกคนพบเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดแบบจีนประยุกต์สีแดงสดยืนรออยู่แล้ว เขาหมุนตัวกลับมามองทุกคนด้วยดวงตาสีแดงสดดั่งเลือดอย่างเย็นชา ใบหน้าสวยหวานแบบผู้หญิงแท้ ๆ ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

“ออกมาจนได้นะ ฟาเบียน แต่ไม่มีอะไรให้เจ้าดูอีกแล้วล่ะ” เขาหันกลับไปที่เดิม มองสนามรบที่ฝ่ายปีศาจกำลังบดขยี้กองทัพเทพแบบไม่มียั้ง แต่ก็สามารถมองเห็นรองแม่ทัพกำลังบัญชาการเพื่อพลิกสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด

“เซย์เรียโน่ มหาเทพสงครามจุติแล้วจริงหรือ!” ฟาเบียนถาม ก่อนเสียงระเบิดจะดังกึกก้องจากสนามรบ ใครสักคงคนระเบิดอำนาจออกมา

“อา...เจ้าจับจิตของ ‘มหาเทพ’ ไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ เขาถูก...” คำพูดของผู้ตอบขาดห้วงเมื่อมือของเขาตวัดผ่านคอ ฟาเบียนเม้มปากด้วยความโกรธ “แต่มันก็เป็นความผิดของเขาที่รุกคืบโดยไม่ดูกระแสดีก่อนจนติดกับแบบนั้น”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เข้าไปช่วย” มีการระเบิดเกิดขึ้นกลางสนามรบพร้อม ๆ กับเสียงของฟาเบียนอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนจะมาจากฝั่งปีศาจบ้าง “ข้าให้เจ้ามาอยู่ตรงหน้าที่เพื่อเสริมทัพแทนมหาเทพสงครามนะ!”

“ข้าจะรอคุยกับเจ้าก่อนไงล่ะ เพราะรู้ว่าเจ้าต้องมาแน่”

เด็กหนุ่มเบือนหน้ามามองเขาอีกครั้ง ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววสนุก ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเขาเป็นพันปี แต่ฟาเบียนก็ยอมรับกับตัวเองในนาทีนี้ว่าอีกฝ่าย ‘น่ากลัว’ จริง ๆ

“เจ้าเลือกใครเป็นมหาเทพสงครามคนใหม่แล้วหรือยัง”

คนถูกถามกลืนน้ำลาย “เลือกไปแล้ว...” เขาอึกอักนิดหน่อย “ไม่สิ ต้องบอกว่าติดต่อเป็นครั้งที่สองพันเจ็ดร้อยเก้าเก้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะยอมตอบรับไหม”

“อย่างนั้นเหรอ” เซย์เรียโน่รับรู้แล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก หันมองกลางสนามรบด้วยแววตาสนุกอีกครั้ง “ถ้าครั้งนี้เขายอมรับก็ดีสินะ สวรรค์จะได้เลิกมีมหาเทพสงครามแบบใช้แล้วทิ้งสักที”

“นี่เจ้า!” ฟาเบียนฮึดฮัดโมโห แต่ทันทีที่อีกฝ่ายสะบัดหน้ามองด้วยสายตาเย็นชา เขาก็ชะงักไป แม้แต่ผู้ติดตามก็ยังไม่กล้าสบสายตา “เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง แต่เราจะแพ้ศึกนี้ไม่ได้ พวกมันเข้ามาใกล้ทวารดินเกินไปแล้ว ถ้าพวกมันชนะต่อไปต้องถล่มสวรรค์แน่!”

“ดีแล้วไง...”

“เซย์เรียโน่!!”

เพราะเสียงที่ตะเบ่งออกมาด้วยความโกรธจนทนไม่ไหวหรืออย่างไรมิอาจทราบ เซย์เรียโน่จึงยกมือขึ้นชี้ไปทางสนามรบที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ ริมฝีปากจิ้มลิ้มบริกรรมคาถาเก่าแก่อย่างรวดเร็ว รัศมีสีแดงฉานก่อเกิดรอบมือเรียวบางแล้วเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีแดงสด ก่อนจะมีวงแหวนเวทสองชั้นวงเขื่องปรากฏหน้าฝ่ามือของเขา

ราวกับนกรู้ เพราะช่วงเวลาเดียวกันนั้น รองแม่ทัพเผ่าเทพที่อยู่ตรงกลางโบกธงเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยกลับ ทันเวลาก่อนขุนพลเทพอันดับห้าจะเอ่ยคำมนตราสุดท้าย เพียงพริบตาที่อำนาจแห่งการทำลายล้างถูกระเบิดออกไป กองทัพปีศาจก็ตกอยู่ในโดมแสงสีแดงเพลิง แนวหน้าของกองทัพเทวารวมพลังกันสร้างบาเรียต้านทานไว้ ในขณะที่กองทัพมารถูกโดมแสงนั้นกลืนกินชีวิตจนสิ้นซาก! ความรุนแรงของมันทำให้แม้แต่ฟาเบียนยังตกใจ

“จบแล้ว ทำแบบนี้ฝ่ายโน้นคงจะยอมรามือจากสงครามไปอีกนาน” เซย์เรียโน่หันมาพูด ริมฝีปากยิ้มละไม แต่ดวงตากับเย็นชาดุจน้ำแข็ง “กองทัพของเราต้องการมหาเทพสงครามที่มีความสามารถมากกว่านี้ ฟาเบียน”

คนถูกย้ำเตือนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรเจ้าเด็กหน้าหวานคนนี้ได้ ทั้งที่มันปากดีจาบจ้วงเขา

“ข้ารู้แล้ว ขอเพียงขาคนนั้นยอมตกลง ทุกอย่างก็จะดีเอง!” เค้นคำพูดออกไปอย่างอยากจะคลั่ง

เซย์เรียโน่ฟังแล้วก็กระตุกยิ้มกว้างอีกนิด จากนั้นก็เดินไปยืนข้าง ๆ ชิดจนไกลเกือบจะกระทบกัน ใบหน้าหวานช้อนขึ้นมองวงพักตร์งามไม่แพ้กันขององค์ราชัน ซึ่งฟาเบียนสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อค้นหาให้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ค้นพบนั้นกลับเป็นความเยือกเย็นสุดหยั่งถึงและหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เหน็บหนาวเฉกเช่นเดียวกับคำพูดของเขา

“ข้าจะภาวนาให้เขายอมตกลงด้วยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ใช่เขา หรือเขามาช้าเกินไป ข้าก็ไม่รับรองนะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


----------------------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 18-08-2013 18:16:31
จิ้มเรื่องใหม่  :L2:
รอติดตามแนวแฟนตาซีนะฮะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 18-08-2013 18:20:21
บทที่ 1 มหาเทพสงครามองค์ใหม่
- 50% -

สวรรค์ ดินแดนแห่งความงดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง มหานครอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งบนแผ่นเมฆสีรุ้ง ซึ่งยามกลางวันจะเป็นสีขาวนวลตาด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาอ่อน ๆ ยามกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นสีรุ้งพรายโดยแสงจันทร์ที่สวยงามจับใจ ทวยเทพทั้งหลายล้วนมีรูปลักษณ์งดงามซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผลจากการทำกรรมดีจากในอดีต บ้างก็พำนักในวิมานที่เกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อตนจุติ บ้างก็พำนักเป็นเทพทหารหรือเทพรับใช้ในตำหนักของเทพที่มีตำแหน่งเหนือกว่า สุดแต่ว่าอำนาจวาสนาจะนำพาพวกเขาไปอยู่กับใคร

ทว่าสวรรค์ที่เคยร่มเย็นมาตลอดกลับต้องประสบกับความวุ่นวาย หลังเกิดสงครามกับเผ่าปีศาจซึ่งกินเวลายาวนานตั้งแต่ก่อนอดีตมหาเทพจ้าวสวรรค์จะจุติมาจนถึงยุคของมหาเทพฟาเบียน ยิ่งวุ่นวายขึ้นหลังมหาเทพสงครามองค์ล่าสุดถูกปีศาจสังหารจุติกลางสนามรบ ทั้งที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่ปี แต่ความหวังอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเมื่อว่าที่มหาเทพสงครามองค์ใหม่ตอบรับการเชิญของฟาเบียนแล้ว

ณ ตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย ที่พำนักของจอมเทพีเรเทเชียแห่งคีตนาฏกรรม เหล่าเทพรับใช้และนางกำนัลกำลังตกแต่งตำหนักในขั้นสุดท้ายให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงใหญ่ที่จะมีขึ้นในคืนนี้ เนื่องจากฟาเบียนเลือกให้ตำหนักนี้เป็นสถานที่แต่งตั้งมหาเทพสงครามองค์ใหม่ แน่นอนว่าการแต่งตั้งในตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์ย่อมเป็นเกียรติแก่ผู้เข้ารับตำแหน่งมากกว่า แต่งานคราวนี้กลับมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ต้องใช้สถานที่อื่นแทน

ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อตกแต่งสถานที่ออกมาให้งดงามที่สุดและกำลังจะมาถึงช่วงสุดท้าย นางอัปสรผมสีเงินยวงนางหนึ่งกำลังวิ่งผ่านทางเดินชั้นนอก เพื่อนำผ้าแพรสีแดงสดในอ้อมแขนไปยังห้องโถงด้านใน เธอตะโกนขอทางจากคนอื่น ๆ มาตลอดทาง

“ขอโทษเจ้าค่ะ ช่วยหลบหน่อยเจ้าค่ะ” พูดพร้อมผงกหัวประลก ๆ จนมาถึงทางเดินที่ต้องเลี้ยว แต่พอเหลือบเห็นเทพหลายองค์กำลังทำงานอยู่ในสวน ร่างแบบบางก็หมุนตัวขวับแล้ววิ่งตรงไปหาพวกเขาทันควัน

“พวกเจ้าเห็นฮาธอสไหม ข้าตามหาเขามาตั้งแต่เช้าแล้ว” เธอรัวคำพูดออกไป

“ฮาธอสเหรอ อยู่โน้นไง”

ร่างบางหันมองตามมือผู้ตอบที่ชี้ไปยังแนวพุ่มไม้สีแดงที่ปลูกไว้ริมขอบสวนด้านในสุด เพียงครู่บุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นในตำหนักก็ปรากฏตัวจากพุ่มไม้ข้าง ๆ เขามีเรือนผมหยักศกเป็นลอนสีทองสุกปลั่ง ถูกรวบด้วยเชือกเส้นเล็ก ๆ ไว้ที่ท้ายทอย รูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อสมส่วน แต่งชุดทำสวนสีเหลืองเปรอะฝุ่นเหมือนกับถุงมือทั้งสองข้างของเขา ผิวขาวเนียนดุจน้ำนม ใบหน้าคมคายหล่อเหลาดั่งรูปสลัก ดวงตาสีน้ำเงินสดสวยราวกับอัญมณีเลอค่า

ฮาธอส คือนามของเขา เทพผู้ดูแลสวนประตำตำหนักซิมโฟเนียอาเรียแห่งนี้ เขาสามารถเนรมิตต้นไม้นานาชนิดที่ปลูกอยู่ที่นี่ให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ ที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมอีกด้วย เพราะเป็นคนนิสัยดีและมีน้ำใจ เขาจึงเป็นที่รักของคนในตำหนักพอสมควร โดยเฉพาะนางอัปสรน้อยผมสีเงินยวงนางนี้

“ฮาธอส!” เด็กสาวร้องเรียกพร้อมวิ่งไปหา ชายเจ้าของชื่อเงยหน้ามองด้วยความตกใจ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ นาซิลลา เถลไถลอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็ถูกหัวหน้านางกำนัลดุเอาหรอก” ฮาธอสเตือน

อัปสรน้อยนาม ‘นาซิลลา’ ยิ้มทะเล้น เธอเป็นเทพที่อุบัติขึ้นในตำหนักเทพจันทรา หนึ่งในเทพบรรพกาลที่ชนทั้งสวรรค์ต้องเคารพนับถือ โดยปกติแล้วเทวดาหรือเทพธิดาใหม่อุบัติขึ้นในตำหนักหรือวิมานของเทพองค์ใดจะถือว่าเป็นสมบัติของเทพองค์นั้น ๆ แต่นาซิลลามีความสามารถด้านการร่ายรำ มหาเทพีแห่งดวงจันทร์จึงส่งเธอมาเรียนรู้และฝึกฝนเพิ่มเติมที่ตำหนักนี้ และเพราะถูก ‘ฝาก’ มาเธอจึงได้บรรจุเป็นนางกำนัลของที่นี่ด้วย

“แฮะ ๆ ไม่เป็นไร ข้าแวะมาครู่เดียวก็รีบไปแล้ว นางไม่ดุข้าหรอก” นาซิลลายิ้มหวาน ก่อนจะทำท่าตื่นเต้นแบบกลั้นไม่อยู่ “ดีใจจัง คืนนี้จะมีงานรื่นเริงกันสักที หกเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่สงครามเทพกับปีศาจจบลง สวรรค์หดหู่จนข้าแทบจะเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ดีจังเลยเนอะ ที่มีมหาเทพสงครามองค์ใหม่เสียที”

“ถ้าองค์นี้อยู่ในตำแหน่งนานกว่าคนอื่น ๆ ก็ดีน่ะสิ” ฮาธอสพูด สีหน้าเศร้าสร้อย “ตั้งแต่ข้าอุบัติขึ้นมาเกือบหนึ่งศตวรรษได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมหาเทพสงครามมาแล้วถึงยี่สิบครั้ง ข้าไม่อยากเห็นอีกแล้วล่ะ”

พอเห็นอีกฝ่ายหดหู่ นาซิลลาก็ลนลาน เทพสาวน้อยหันมองซ้ายมองขวา ดูจนแน่ใจว่าไม่ได้มีใครมองพวกตนอยู่ก็ดึงมือชายหนุ่มไปหลบหลังต้นไม้ เพื่อคุยกันให้สะดวกขึ้น

“จริง ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรจะพูด แต่ข้าก็อยากให้ฮาธอส เมื่อวานก่อนหัวหน้านางกำนัลที่นี่ให้ข้าไปขอยืมผ้าแพรมาเพิ่ม ได้ยินพวกพี่ ๆ พูดกันว่าเทพที่มารับตำแหน่งนี้ขึ้นสวรรค์มาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ตอบรับคำเชิญของใคร รวมถึงขององค์ฟาเบียนด้วย จนท่านจ้าวของเสด็จไปเยี่ยมเยียนถึงที่พัก พี่ ๆ ยังพูดกันด้วยว่าที่เปลี่ยนสถานที่ก็เพราะเทพองค์นั้นไม่อยากเข้าตำหนักใหญ่”

ฮาธอสฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “แปลกจัง การได้รับเลือกเป็นมหาเทพถือว่าเป็นเกียรติมากแท้ ๆ ยิ่งได้รับการแต่งตั้งที่ตำหนักใหญ่ก็ยิ่งเป็นเกียรติของผู้เข้ารับตำแหน่งด้วย ทำไมเขาถึงไม่รับล่ะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินพี่เขาพูดกันมาแค่นี้แหละ” นาซิลลาว่า ท่าทางคิดไม่ตกเหมือนเทพหนุ่ม แต่เดี๋ยวเดียวก็นึกอะไรบางอย่างได้ “อ๋อ! ยังมีอีกเรื่องนะ พวกพี่ ๆ ยังพูดด้วยเทพที่มาใหม่แข็งแกร่งมาก ขนาดองค์จ้าวฟาเบียนยังให้ความชื่นชมเลยล่ะ”

ข้อมูลใหม่ที่ได้มายิ่งสร้างความประหลาดใจให้ฮาธอสยิ่งขึ้นไปอีก เขาอุบัติบนสวรรค์มาเกือบหนึ่งศตวรรษย่อมทราบดีว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์องค์ปัจจุบันทรงโปรดผู้ใดบ้าง แต่เทพนักรบที่โปรดปรานที่สุดล้วนรับตำแหน่ง ‘ขุนพลเทพ’ ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ไปหมดแล้ว ส่วนที่ชื่นชมรองลงมาหากไม่ปฏิเสธเข้ารับตำแหน่งก็จุติในสงครามเทพ-ปีศาจทั้งสิ้น มีเทพคนอื่นที่มหาเทพเจ้าสวรรค์ทรงโปรดโดยที่เขาไม่รู้ด้วยหรือ?

...คิดมาถึงตรงนี้โสตประสาทของเทพทั้งสองก็สดับเสียงตวาดของสตรีผู้หนึ่งที่แผดขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว

“นาซิลลา ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น อย่ามัวแต่เถลไถล เอาผ้าแพรมาเดี๋ยวนี้ จอมเทพีกำลังรออยู่!!!”

“ว้าย! ข้ากำลังจะไปเดี๋ยวเจ้าค่า หัวหน้านางกำนัล” นาซิลลาขานอย่างตกใจกลัวก่อนจะหันไปรัวคำพูดใส่สหายอย่างรีบร้อน “ฮาธอส งานเลี้ยงคืนนี้จะอยู่ถึงช่วงอิสระไหม...”

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน...”

“ถ้าอยู่ถึงช่วยเต้นรำกับข้าสักเพลงนะ”

“มาเดี๋ยวนี้ นาซิลลา!!”

หัวหน้านางกำนัลแผดเสียงเร่งอีกครั้ง ดังยิ่งกว่าเมื่อครู่ถึงสามเท่า นาซิลลากลัวความผิดจึงรีบเผ่นไปหาทั้งที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากสหาย ฮาธอสเดินตามออกมาก็เห็นเทพธิดาร่างท้วม ผมสีน้ำตาลอ่อนเท้าเอวคอยที่ทางเดินอยู่แล้วแล้ว นางจัดการเอ็ดนาซิลลาเสียยกหนึ่ง โดยไม่ลืมส่งสายตาตำหนิมาให้เทพผู้ดูแลสวนด้วย ซึ่งฮาธอสได้แต่ผงกศีรษะขอโทษแล้วมองดูจนหญิงทั้งสองรุดเข้าไปในตำหนักด้วยกัน

เมื่อพวกเธอลับสายตาไปแล้ว ฮาธอสก็หันกลับไปเก็บอุปกรณ์ทำสวนใส่กระบะที่เตรียมไว้ แต่คำบอกเล่าของนาซิลลายังคงติดอยู่ในความคิดของเขา มือที่ยื่นออกไปเพื่อหยิบส้อมพรวนดินซึ่งปักทิ้งไว้หยุดกลางทาง ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ถึงอย่างนั้นเทพหนุ่มก็รู้หนทางในการค้นหาคำตอบ

...ขอเพียงรู้ว่าใครได้เป็นมหาเทพสงครามองค์ใหม่ เขาก็จะได้คำตอบของทุกคำถาม...


-----------------

ราตรีกาลมาเยี่ยมเยือนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ ปุยเมฆที่เปรียบได้กับแผ่นดินของเมืองฟ้าเปลี่ยนจากสีขาวนวลตาเป็นสีรุ้งพรายยามเมื่อต้องแสงจันทร์ ตำหนักและวิมานทุกหลังต่างประดับประดาดวงไฟอย่างสวยงาม แต่ในค่ำคืนนี้คงไม่มีที่ใดงดงามไปกว่าตำหนักซิมโฟเนียอาเรียอีกแล้ว

งานเลี้ยงและงานแต่งตั้งมหาเทพสงครามองค์ใหม่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เนื่องจากเป็นงานแบบพิธีการ แขกในงานซึ่งล้วนเป็นเทพที่มีตำแหน่งสำคัญบนสวรรค์จึงได้รับการจัดที่นั่งตามลำดับชั้น แถวที่นั่งจัดไว้ริมโถงทั้งซ้ายขวา เว้นที่ตรงกลางไว้สำหรับการแต่งตั้งและการแสดง ไล่จากแถวหน้าสุดทางขวาเป็นที่นั่งของขุนพลเทพทั้งสิบสองอันดับ ในวันนี้พวกเขาและเธอมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า รวมถึงขุนพลเทพอันดับห้า เซย์เรียโน่ที่อายุน้อยที่สุดด้วย ถัดไปก็เป็นจอมเทพและขุนศึกในสายนักรบเรื่อยไปถึงนายกองที่ได้รับเชิญ

ส่วนแถวที่นั่งทางซ้าย ด้านหน้าสุดเป็นที่นั่งมหาเทพห้าตนอันได้แก่ มหาเทพอัคคี มหาเทพวารี มหาเทพวายุ มหาเทพพฤกษา และมหาเทพีแห่งโชคชะตา ต่อด้วยแถวเดียวกันเป็นจอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์ แถวถัดไปก็เป็นจอมเทพในสายบู้ที่มีตำแหน่งรองลงมาเรื่อยลงไปถึงหัวหน้าเทพในสายงานต่าง ๆ ที่ได้รับเชิญตามพระบัญชาของมหาเทพจ้าวสวรรค์

ด้านในสุดของห้องโถงที่จัดงานเป็นแท่นยกพื้นเตี้ย ๆ ซึ่งประดิษฐานมหาบัลลังก์ทองคำแห่งสวรรค์ที่ถูกยกมาไว้ที่นี่เป็นกรณีพิเศษด้วย วงสังคีตบรรเลงเพลงหวานคลอเคล้า ตรงกลางทางโถงมีกลุ่มนางระบำซึ่งมีนาซิลลาเป็นหนึ่งในนั้นร่ายรำอ่อนช้อยสร้างความเพลิดเพลินให้ทุกคนขณะรอเวลาเริ่มงาน จอมเทพีเรเทเชียผู้เป็นเจ้าตำหนักออกต้อนรับทำคนอย่างเป็นกันเอง

ฮาธอสซึ่งรับผิดชอบการดูแลสถานที่ในคืนนี้เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานอย่างละเอียด มันเป็นงานที่สำคัญมาก เนื่องจากหากเกิดความผิดพลาดขึ้น ความผิดจะตกแก่จอมเทพีเรเทเชียผู้เป็นอาจารย์ของทั้งหมด

หลังตรวจดูจนแน่ใจแล้วและผงกศีรษะให้เซย์เรียโน่ในตอนที่อีกฝ่ายยกจอกสุราทักทาย ชายหนุ่มจึงกลับไปหาอาจารย์ของตนซึ่งกำลังดูแลจอมปราชญ์ทั้งแปดอยู่

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ยังไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น” เขากระซิบบอกจากด้านหลังอย่างสุภาพ

“ขอบใจมาก” จอมเทพีเอียงหน้ามาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ใกล้เวลาเสด็จของท่านจ้าวแล้ว ช่วยไปกำชับทุกคนอีกทีว่าอย่าให้เกิดปัญหา ข้าไม่อยากให้องค์มหาเทพต้องเสื่อมเสียเกียรติ”

“ทราบแล้วขอรับ”

แต่พอสิ้นเสียงของเทพหนุ่ม นายทวารที่เฝ้าประตูหน้าก็ลั่นระฆังเป็นสัญญาณเตือนพอดี จอมเทพีเรเทเชียรีบรุดไปยังที่นั่งของตน ฮาธอสก็ติดตามไปด้วยในฐานะผู้ช่วยของนาง วงดนตรีหยุดบรรเลง เหล่านางรำก็ถอยหลังกลับไปอย่างเงียบเชียบ ทุกคนในงานมีท่าทีจริงจังขึ้นทันใด ยกเว้นเพียงเซย์เรียโน่ที่อ้าปากหาววอดจนถูกเพื่อนเขกกะโหลกไปทีหนึ่ง

“มหาเทพจ้าวสวรรค์เสด็จแล้ววววว!” คำประกาศดังขึ้นในจังหวะเหมาะเจาะจนไม่น่าเชื่อ แขกเหรื่อรวมถึงผู้จัดงานลุกขึ้นถวายคำนับให้ผู้นำสูงสุดแห่งสวรรค์พร้อมกัน

องค์เจ้าฟาเบียนเสด็จเข้ามาภายในห้องโถงอย่างสง่างาม เบื้องหลังของเขาเทพรับใช้ทั้งสิบติดตามมาอย่างใกล้ชิด ราชาแห่งฟ้าทรงชุดขาวบริสุทธิ์ปักลวดลายมหาหงส์ด้วยดิ้นทองอย่างสวยงาม สวมทับด้วยผ้าคลุมขนเฟอร์สีขาวที่เสริมให้บุคลิกของเขาสง่างามยิ่งขึ้น ศีรษะประดับมงกุฎทองคำตกแต่งด้วยอัญมณีอย่างงดงาม เครื่องประดับทองคำพร่างพรายขับเน้นให้องค์เทพจ้าวฟ้าดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก แต่สีหน้าของเขากลับดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก ราชาแห่งฟ้าพยายามกลบเกลื่อนด้วยการทำสีหน้านิ่งเฉยจนกระทั่งนั่งบนมหาบัลลังก์

การแต่งตั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

“เชิญทุกท่านตามสบาย” เขาสั่ง ทุกคนก็นั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน “ข้าขอขอบคุณทุกท่านมากที่กรุณามาร่วมงานในวันนี้ นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างเทพกับปีศาจก็กินเวลายาวนานกว่าสามศตวรรษ สูญเสียทหารและมหาเทพไปมากมาย พวกเราต่างกังวลว่าสงครามครั้งใหม่จะรุนแรงแค่ไหน จะเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่ และกังวลด้วยว่ามหาเทพสงครามองค์ใหม่จะอยู่ยืนยงเพียงใด”

“แต่ในค่ำคืนนี้ข้าขอกล่าวว่าทุกท่านจะไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว สหาย...เอ่อ เทพนักรบที่มีความสามารถสูงสุดผู้หนึ่งซึ่งข้าเคยทาบทามไปหลายครั้งได้ตอบรับคำเชิญมาเป็นมหาเทพสงครามแล้ว ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก ‘ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาเทเซียส’ แห่งมิติเฮมอส”

มหาเทพจ้าวฟ้าผายมือไปยังประตูด้านหน้า บัดนี้มีร่างของใครบางคนยืนรออยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ ฮาธอมมองเห็นศีรษะที่มีบางสิ่งเหมือนกับเขาอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวเข้ามา เมื่อนั้นเองที่ทวยเทพเกือบทุกคนในงานต้องตกตะลึง

บุรุษที่ย่างเท่าเข้ามานั้น ไม่มีเพียงร่างกายสูงใหญ่ดุจป้อมปราการอย่างเดียว เรือนผมของเขายังเป็นสีขาวอมเทาจาง ขณะผิวกายเป็นสีแดงเข้มดั่งเลือดนก ใบหน้าแบบมนุษย์คร้ามเข้มหล่อเหลาเสียจนผู้ชายด้วยกันเองยังหวั่นไหว ดวงตาสีส้มสว่างเป็นประกายคล้ายมีเกล็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ในนั้น จมูกโด่งเป็นสันทอดกลางวงหน้ารับกับริมฝีปากหนาได้รูปที่มีปลายเขี้ยวแหลมโผล่ตรงมุมปากขวา ทว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดกลับเป็นเขาแหลมยาวที่งอกจากส่วนไรผมตรงกับแนวหางตาพอดี

“อสูรนี่!” ใครบางคนร้องมาจากที่นั่งแถวหลังพวกฮาธอส จากนั้นเสียงฮือฮาของทวยเทพก็ดังเซ็งแซ่ แม้แต่จอมเทพีเรเทเชียยังตกใจ

“ทำไมอสูรถึงมาอยู่บนนี้ได้ล่ะ ไม่อยากเชื่อเลย ท่านจ้าวใช้ตำหนักของข้ารับรองอสูร...” นางร้องออกมาเหมือนกับคนอื่น ๆ ฮาธอสกับผู้ช่วยอีกคนจึงรีบทรุดลงประคองตัวและปลอบโยนเบา ๆ

“อสูรกับตำแหน่งมหาเทพรึ ไม่คู่ควรกันเลย!” ฮาธอสได้ยินจอมปราชญ์คนหนึ่งพูดแบบนี้

“ท่านจ้าวคิดอะไรอยู่ อยากให้สวรรค์ล่มจมหรือไง”

“ไม่เคยมีใครให้อสูรเป็นมหาเทพมาก่อน ไม่เคยมีเลย...”

“ใช่ ๆ ไม่เคยมี...”

ท่ามกลางความตื่นตระหนกและหวาดวิตกที่กำลังกระจายออกไปราวกับพลุแตก ฮาธอสพยายามชะเง้อคอมองว่าที่มหาเทพสงครามตนใหม่ให้เต็มตา เขาเข้าใจแล้วว่าความผิดปกติที่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้คืออะไร

แต่แล้วจู่ ๆ อสูรร่างใหญ่ตนนั้นก็หันหน้ามาหาฮาธอส วินาทีที่นัยน์ตาต่างสีทั้งสองคู่สบประสานกัน พลันเหมือนโลกของทั้งคู่ถูกตัดขาดจากรอบข้าง เทพหนุ่มรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างแล่นผ่านอากาศมากระแทกตัวเขาอย่างจัง แล้วพลังนั้นก็ซึมซาบไปอยู่ที่ไหนสักแห่งในตัวของเขา ก่อนอสูรจะเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อนแล้วไปยืนหน้ามหาบัลลังก์ของฟาเบีย ซึ่งตอนนี้นั่งหลับตานิ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับมาหาทุกคนอีกครั้ง

“ท่านจ้าวโปรดพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง” หัวหน้าจอมปราชญ์ลุกขึ้นกราบทูลอย่างกล้าหาญ “ถึงแม้ว่าอสูรจะเป็นนักรบที่เก่งกาจ แต่...พวกเขาก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวสวรรค์ พระองค์จะมอบตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ให้เขามิได้เด็ดขาด”

“ท่านกำลังจะบอกข้าที่มหาเทพฟาเบียนส่งหมายไปทาบทามตัวถึงสองพันเจ็ดร้อยเก้าสิบเก้าครั้ง ไม่คู่ควรกับตำแหน่งมหาเทพสงครามอย่างนั้นหรือ”

อสูรหนุ่มย้อนถามทันควัน น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาทรงอำนาจยิ่ง เวลาที่เขาพูดเหมือนมีมนต์บางอย่างสะกดให้ทุกคนต้องตั้งใจฟัง แม้แต่เซย์เรียโน่ยังผิวปากอย่างนับถือ ฟาเบียนจึงฉวยโอกาสนี้พูดต่อทันที

“ทุกท่านได้ยินไม่ผิดหรอก ข้าเป็นคนทาบทาม ‘ไคซัส’ มารับตำแหน่งนี้เอง เขาไม่ใช่อสูรธรรมดา” เสียงของเขากังวานไปทั่วทั้งสวรรค์ เพื่อประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ “แต่เป็น ‘เทพอสูร’ ที่สืบสายเลือดโดยตรงจากเทพมังกรลาเซียสกับเทพฟินิกซ์ดิอาน่า อดีตเทพคุ้มครองประจำทิศของมิติเอมมาลูน่า เทพอดีตมหาเทพจ้าวสวรรค์ให้ความเคารพในฐานะที่ปรึกษาอาวุโส ปัจจุบันเขาเป็น ‘ราชาแห่งอสูร’ ของมิติเฮมอสโลกาที่เรากำลังแย่งชิงกับปีศาจ ผู้ซึ่งทำให้กองทัพปีศาจไม่กล้ายุ่งกับดินแดนของตนอีกเลยนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าจะมองด้านไหนเขาก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อม”

ราชาแห่งฟ้าเว้นช่วงกวาดสายตามองทุกคนในงานอย่างเฉียบขาด จังหวะเดียวกันนั้นนาซิลลาก็อัญเชิญรัดเกล้าทองคำประดับพลอยสีน้ำเงินออกมาทางประตูข้างมหาบัลลังก์ แต่พอเห็นไคซัส อัปสรสาวก็กลัวจนไม่กล้าขยับไปไหน ผู้ติดตามคนหนึ่งของฟาเบียนจึงมารับไปแทนแล้วไล่เด็กสาวกลับไป ฟาเบียนรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เขาไม่สนใจแล้วใช้อำนาจในฐานะมหาเทพจ้าวสวรรค์อย่างเฉียบขาด

“ข้าไม่ได้ ‘ขอ’ ให้ทุกคนทำตามที่ข้าบอก แต่ ‘สั่ง’ ให้ทุกคนทำตามและยอมรับให้ได้ นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ‘ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาทาเซียส’ ผู้นี้คือ ‘มหาเทพสงครามแห่งสวรรค์’ แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”

แล้วฟาเบียนก็ลุกขึ้นหยิบรัดเกล้าประจำตำแหน่งมหาเทพสงครามสวมให้แก่ไคซัส โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของจอมปราชญ์กับเทพฝ่ายบุ๋นคนอื่น ๆ เลย

ฮาธอสพยายามจะชะเง้อดูการแต่งตั้ง แต่ได้เห็นถึงตอนมหาเทพสงครามองค์ใหม่หันไปคำนับให้ราชาแห่งฟ้าเท่านั้น ก่อนจอมเทพีเรเทเชียจะฟุบหมดสติทำให้เขากับผู้ช่วยอีกคนต้องรีบพาตัวไปปฐมพยาบาลที่ห้องนอน เสร็จแล้วเขาก็กลับออกมารับหน้าและส่งแขกทุกคนอย่างดีที่สุด ตระหนักได้ทันทีว่าความวุ่นวายของสวรรค์จะไม่ได้จบลงง่าย ๆ เสียแล้ว

-----------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 18-08-2013 18:23:01
- 100% -

เพียงตะวันฉายแสง ข่าวของมหาเทพสงครามองค์ใหม่ก็กระจายไปทั่วทั้งสวรรค์ เทพทุกชนชั้นต่างล่วงรู้ ซึ่งบางส่วนวิตกกังวลเรื่องตัวตนของเขา เนื่องจากไม่เคยมีอสูร...หรือแม้แต่เทพอสูรตนใดได้รับตำแน่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน การฉีกหน้าประวัติศาสตร์ในครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเทพอย่างยิ่ง

สำหรับชาวสวรรค์ อสูรเป็นเผ่าพันธุ์อันตรายที่ไม่ควรคบหาอย่างเด็ดขาด

ฮาธอสถูกตามตัวไปพบจอมเทพีเรเทเชียแต่เช้า ทั้งที่เพิ่งเข้านอนได้เพียงสองชั่วโมงเศษ นางกำนัลที่มาตามแจ้งว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เทพหนุ่มจึงรีบลุกจากเตียงมาจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วตามนางมาถึงศาลาพักกลางตำหนัก

ศาลาหลังน้อยตั้งอยู่กลางสระบัวสวรรค์ที่ผลิดอกบานตลอดทั้งปี เขาพบจอมเทพีเรเทเชียเหยียดตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนแท่นกลางศาลา ใบหน้างามซีดเผือดฟุบกับท่อนแขน โดยมีนางกำนัลหน้าจิ้มลิ้มสองคนช่วยกันนวดให้ผ่อนคลาย หน้าแท่นของนางมีโต๊ะตัวเตี้ยวางต้นไม้เงินต้นทองที่ส่องประกายวาววับจับตาวางอยู่ด้วย ล้อมทับอีกชั้นด้วยกลุ่มนางกำนัลคนสนิท พวกนางขยับตัวเปิดทางให้ แต่ฮาธอสหยุดแค่ใต้ชายคา

“ข้ามาแล้วขอรับ ท่านเรเทเชีย”

จอมเทพีเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจและเพิ่งรู้ตัว พอเห็นว่าเป็นฮาธอสก็ถอนใจเฮือกแล้วรีบเก็บสีหน้า แต่เทพคนสวนบอกได้เลยว่านางวิตกจริตอย่างมาก

“ยังรู้สึกแย่เรื่องเมื่อคืนนี้หรือขอรับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง

“แน่นอน ท่านจ้าวไม่ควรทำกับข้าอย่างนี้เลย ใช้ตำหนักของข้ารับรองเทพอสูรไม่พอ ยัง...” เรเทเชียพูดอย่างอึดอัดใจ พวกนางในพยายามปลอบโยนให้หายเครียดเต็มที่ “เรื่องเมื่อคืนนี้ ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียมันก็เกิดขึ้นแล้ว สนใจเรื่องวันนี้ดีกว่า ข้าให้คนไปตามเจ้ามา เพราะทันทีที่ฟ้าสางคนจากตำหนักมหาเทพสงครามก็เอาของมาส่งให้”

“ต้นไม้เงินต้นไม้ทองคู่นี้สินะขอรับ” ฮาธอสชี้ไปที่มันอย่างสุภาพ พอจะเข้าใจบางอย่างมากขึ้น

เรเทเชียพยักหน้า มือเอื้อมหยิบม้วนสารที่วางเคียงกันอยู่มากางอ่าน “ของกำนัลเพื่อขอบคุณสำหรับสถานที่จัดงานแสนสวย และขอโทษที่ทำงานเลี้ยงของท่านล้มเหลว ลงชื่อ ไคซัส เพนด์ดรากอน อานาทาเซียส” ปลายน้ำเสียงของนางสั่น

“ของขวัญนี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือขอรับ ท่านกังวลเรื่องอะไรกันแน่” ฮาธอสพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถ้วยถี่

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน ฮาธอส ทั้งที่เป็นของกำนัลธรรมดา แต่กลับทำให้ข้าคิดไม่ตก” จอมเทพีเงยหน้ามองหัวหน้านางกำนัลที่อยู่ทางหัวแท่น “อเดลบอกว่าข้าควรจะรับไว้โดยไม่ต้องตอบอะไรกลับไป แต่ข้าอยากจะฟังความเห็นในด้านของเจ้าบ้าง”

“แต่ข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อยมิบังอาจให้คำแนะนำหรอกขอรับ” ฮาธอสค้อมตัวลงอย่างมิอาจรับ บนสวรรค์มีการลำดับชั้นวรรณะอย่างชัดเจน เทพคนสวนอย่างเขาไม่มีสิทธิแนะนำหรือสอนเทพที่มีฐานะสูงกว่า

“ข้ารู้ ฮาธอส” เรเทเชียพยักหน้า “แต่เจ้าถือเป็นศิษย์คนหนึ่งของข้าและอยู่กับข้ามานานพอ ๆ กับอเดล ข้าจึงขอสั่งให้เจ้าแสดงความเห็นเรื่องนี้ ข้าอยากได้มุมมองใหม่ ๆ”

ฮาธอสประหลาดใจกับคำสั่งที่ได้รับมาไม่น้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เทพหนุ่มพิจารณาต้นไม้เงินต้นไม้ทองตรงหน้า พวกมันทำมาจากคริสตัลสีเหลืองกับสีขาวเล็ก ๆ มากมายประกอบกันเป็นรูปร่าง คริสตัลแต่ละชิ้นถูกออกแบบมาเฉพาะทำให้สบมุมกันอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีชิ้นไหนแทนที่ชิ้นไหนได้ มันเป็นผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก...ในสวรรค์ มีมูลค่าหาที่สุดมิได้

“ในความเห็นของข้า ท่านเรเทเชียควรจะรับไว้ขอรับ ของกำนัลชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงของกำนัลธรรมดาอย่างที่ข้อความอยากจะสื่อ แต่ของชิ้นนี้ถูกเลือกสรรมาเป็นอย่างดี ถูกสร้างอย่างตั้งใจ การที่มหาเทพสงครามมอบให้กับท่านหลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อคืนเป็นสัญลักษณ์ของการทอดสะพานไมตรี เขาอยากเป็นมิตรกับท่านและคนในตำหนักนี้ขอรับ”

จอมเทพีจ้าวตำหนักผุดลุกขึ้นทันใด “เทพอสูรผู้นั้นอยากเป็นมิตรกับเราหรือ” มุมมองใหม่ที่ได้รับทำให้นางอัศจรรย์ใจไม่น้อย “เทพอสูรเนี่ยนะ อยากเป็นมิตรกับเรา” ฮาธอสพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีของขวัญตอบแทนน่ะสิ ข้าพอจะมีเครื่องดนตรีเหมาะ ๆ อยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นเล่นดนตรีหรือเปล่า...”

“เอ้อ!” อเดล หัวหน้านางกำนัลยกมือแทรกในจังหวะที่เหมาะเจาะ “นอกจากเรื่องของขวัญที่ต้องกังวลแล้ว ยังมีเรื่องคนส่งของกำนัลด้วย ใครจะทำหน้าที่นี้กันล่ะ...”

ความเงียบโถมเข้าปกคลุมศาลากลางสระบัวสวรรค์ในทันทีที่อเดลพูดจบ ฮาธอสเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท การส่งของกำนัลระหว่างตำหนักนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ผู้ส่งต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมและมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่การส่งของกำนัลให้มหาเทพสงครามที่เป็นเทพอสูร คงต้องเพิ่มความกล้าหาญเข้ามาด้วย ซึ่งเทพทุกองค์ในตำหนักนี้ไม่มีทางทำได้แน่นอน

...กว่าฮาธอสจะรู้ตัวอีกครั้ง ทุกคนในศาลา...รวมถึงจอมเทพีเรเทเชียก็จ้องมองเขาเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มขมวดคิ้วตอบด้วยความสงสัย แต่ครู่เดียวก็คลายออกเมื่อเห็นแววตาของแต่ละคน เขาร้องออกมาอย่างตกใจ

“ข้าหรือ!”

-----------------

ชั่วชีวิตของฮาธอสไม่เคยประสบกับความหนักใจขนาดนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่อุบัติขึ้นในดินแดนรกร้างของสวรรค์ ซึ่งเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเต็มที่จนได้รับความเมตตาจากเรเทเชียรับมาเป็นเทพผู้ดูแลสวน อีกทั้งสอนให้เล่นเครื่องดนตรีนานาชนิดอย่างเต็มใจ เขายินดีรับใช้นางแบบถวายหัว ได้รับคำสั่งใด ๆ มาก็ปฏิบัติอย่างไม่เคยอิดออด แต่วันนี้...ขอแค่วันนี้เท่านั้นที่จะขอคิดบ่น

ข้าเกลียดคำสั่งของจอมเทพีที่สุดเลย!

ตอนนี้ฮาธอสอยู่ในชุดสุภาพสีเขียวอ่อนปักลายเถาไอวี่ตามขอบชาย ปกเสื้อทั้งสองข้างปักตราขลุ่ยล้อมด้วยเส้นกระแสเสียงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย สองมือของเขาประคองกล่องไม้ทาสีทองใบใหญ่ไว้ด้วย

ร่างสูงโปร่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนักพาเทร่าที่พำนักของมหาเทพสงครามทุกยุคทุกสมัย ประตูศิลาสีเทาสลักลายพยัคฆ์คาบดาบประสานกันสนิท เขาอยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปสักหลาย ๆ ชั่วโมง เพื่อเขาจะได้กลับไปรายงานว่ามหาเทพสงครามคนใหม่ไม่อยู่ในตำหนัก

แค่ก็ทำได้แค่คิด เพราะหลังยืนอยู่ไม่นาน ประตูหนักอึ้งคู่นั้นก็เปิดช้า ๆ สองร่างเดินออกมาพร้อมกัน คนหนึ่งแต่งเครื่องแบบทหารสีขาวขลิบขอบชายสีน้ำเงิน เกราะอ่อนที่บ่าซ้ายบอกว่าเป็นทหารของสวรรค์ ส่วนอีกคนนั้นสูงไล่เลี่ยกับฮาธอส แต่มีร่างกายกำยำกว่า ผมสีแดงเพลิงตัดสั้นเกือบถึงหนังศีรษะ ใบหน้าคมเข้มบึ้งตึงกับดวงตาสีม่วงคู่นั้นคุ้นเคยในความทรงจำของฮาธอสอย่างยิ่ง

“อัลล์...” เขาร้องอย่างประหลาดใจที่สุด รีบรุดขึ้นไปข้า อีกฝ่ายก็รีบก้าวยาว ๆ ลงมาจนพบกันกลางบันได

“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ฮาธอส เจ้ายังสบายดีสินะ” อัลล์ถาม ใบหน้าบึ้ง ๆ มีรอยเป็นห่วงปรากฏ “นาซิลลายังเกาะแจเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ฮาธอสยิ้มกว้าง “เหมือนเดิม ตัวข้าก็สบายดี เจ้าเองก็เหมือนกันสินะ”

“อืม ถ้านับทางกายล่ะก็ใช่ บาดแผลจากสงครามหายไปหมดแล้วล่ะ” อัลล์พูดเรียบ ๆ

“แล้วทางใจล่ะ”

คนถูกถามนิ่งไปแล้วสบตาเขาตรง ๆ “เจ้าลองนึกสภาพว่าตัวเองเป็นรองแม่ทัพที่ปกป้องกองทัพของตัวเองได้ แต่ไม่สามารถปกป้องแม่ทัพได้จนกระทั่งนายเหนือหัวไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าดูสิ นั่นแหละ คือความรู้สึกของข้าในตอนนี้”

อัลวิน มัวรีน หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘อัลล์’ เขาเป็นเพื่อนของฮาธอสและยังเป็นรองแม่ทัพที่พยายามทุ่มเทเพื่อพลิกสถานการณ์ในสงครามเมื่อหกเดือนก่อนด้วย เขาคือ คนเดียวในสนามรบที่สังเกตเห็นการใช้พลังของเซย์เรียโน่ ซึ่งนำไปสู่คำสั่งถอยทัพที่ช่วยชีวิตทหารนับหมื่นนายในวันนั้น หลังจากเหตุการณ์จบลง เขาได้รับรางวัลในฐานะทหารกล้า แต่เพราะไม่สามารถปกป้องชีวิตของอดีตมหาเทพสงครามได้ ฟาเบียนจึงไม่เคยเรียกใช้เขาอีกเลย

ฮาธอสสัมผัสได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำในน้ำเสียงของเพื่อน อัลล์สมควรจะได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษ แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงทหารที่ถูกลืม เพราะองค์เหนือหัวไม่โปรดปราน ถึงจะไม่ได้เป็นทหารก็จินตนาการถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้

“อดทนอีกหน่อยเถอะ อัลล์ ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาของเจ้า แต่สักวันเวลาของเจ้าต้องหวนกลับมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนแต่มีช่วงเวลาที่ตัดขัดกันทั้งนั้น ขอแค่เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเยี่ยมที่สุดเหมือนเดิมก็พอ”

ฮาธอสให้กำลังใจในแบบฉบับของเขา เคยมีคนบอกเขาว่าน้ำเสียงอันนุ่มนวลของเขาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของผู้อื่นสงบลงได้ซึ่ง...ได้ผล สหายของเขากระตุกยิ้มเล็กน้อย

“ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่ไปหาเจ้านะ คำพูดของเจ้าช่วยข้าได้มากเลย”

“เพราะเจ้ามัวแต่รักษาตัวแล้วก็จมอยู่ในความหดหู่ไงล่ะ ข้าดีใจที่ช่วยเจ้าได้นะ” ฮาธอยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าควรจะอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพหลวงไม่ใช่หรือ”

“อ๋อ ข้าถูกย้ายมาอยู่ในสังกัดมหาเทพสงครามน่ะ” อัลล์ทำหน้าบึ้งอีกครั้ง ฮาธอสคิดเอาเองว่าเพื่อนกำลังโทษฟาเบียน “เพราะไปขวางหูขวางตาใครเข้า กอปรกับไม่เป็นที่โปรดปรานของท่านจ้าวก็เลยโดนย้ายมาอยู่ที่นี่ ข้างในไม่มีใครเลยล่ะ นอกจากข้ากับทหารที่ติดตามมาสิบกว่าคน”

เทพคนสวนกำลังจะคิดว่า ‘อย่างที่คาดจริงด้วย’ แต่ต้องชะงักกึกตอนได้ยินประโยคท้าย ๆ

“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่ามหาเทพสงครามอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ” อัลล์พยักหน้ายืนยัน คิ้วคมของฮาธอสขมวดเข้าหากันทันที “เขาไม่ได้พาคนของตัวเองมาด้วยหรือ มหาเทพคนอื่น ๆ ก็ทำแบบนั้น”

“คนอื่นอาจจะทำ แต่เขาไม่” นายทหารหนุ่มยืนยัน “เขามาคนเดียว ดูเหมือนจะอยู่เพียงลำพังมาตลอดสิบวันด้วย คนของตำหนักเทพจันทราคอยส่งสำรับมาให้ แต่ก็แค่ว่างไว้หน้าประตูเท่านั้น”

ฮาธอสสดับเช่นนั้นก็ใจหายวาบ ไม่รู้ว่ามหาเทพสงครามองค์ใหม่กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้มาตัวคนเดียวแบบนี้ ในดินแดนที่ไม่มีใครยอมรับตัวตนของเขา ตั้งใจจะท้าทายกับสิ่งแปลกใหม่หรือ?

...ฤาเสียสละเพื่อสิ่งใดกันแน่...?

“เอ่อ ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไรข้าต้องขอตัวก่อนแล้วกันนะ” เสียงอัลล์กระทบหูเทพคนสวนทำให้ตื่นจากภวังค์ “เรื่องงานน่ะ มหาเทพไคซัสก็ร้ายเอาเรื่อง เข้างานวันแรกก็ถูกใช้งานซะแล้ว ส่วนเจ้า ‘เขา’ กำลังรออยู่”

“รอ?” เทพรับใช้แห่งตำหนักซิมโฟเนียอาเรียเอียงคอฉงน

“ใช่ รอ” อัลล์หันไปชี้คนของตัวเองที่รออยู่ข้างหลัง “ดูเหมือนมหาเทพไคซัสจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้าตามคนของข้าไป เขาจะนำทางเจ้าไปพบกับมหาเทพเอง”

บอกแล้วอดีตรองแม่ทัพก็ตบบ่าเพื่อนดังป้าบสองสามที แล้วขอตัวเหาะหายไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้ฮาธอสยืนบิดตัวด้วยความเจ็บ เขาพยายามจะไม่ร้องออกมา เพราะอายทหารที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ด้วยกัน ก่อนเขาจะรีบถลามารับของไป จากนั้นจึงนำทางผู้มาเยือนไปพบมหาเทพจ้าวตำหนักดั่งที่รับคำสั่งไว้

ตำหนักพาเทร่าถูกเนรมิตขึ้นโดยมหาเทพสงครามยุคแรก ลักษณะเหมือนกับป้อมปราการในยุคมืด ตัวตหนักถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นลานฝึกซ้อมที่มีที่พักทหาร ที่พักองค์รักษ์ และคลังแสงเล็ก ๆ ล้อมรอบนิวาสสถานซึ่งเป็นปราสาทศิลาสูงตระหง่าน หอคอยสิบหลังสูงลดลั่นลงมาเหมือนบันไดเวียน หลังที่สูงที่สุดยื่นตระหง่านตัดแบ่งท้องฟ้าสีเหลืองนวลตาออกเป็นสองส่วน

สมัยก่อนฮาธอสเคยมาเยี่ยมเยือนสหายที่นี่บ่อยครั้ง เขายังจำได้ว่าสถานที่นี้เคยครึกครื้นขนาดไหนเมื่อมีคนอยู่ แต่วันนี้กลับเงียบเชียบและวังเวงเหมือนป่าช้า มีแต่คนของอัลล์ที่เขานับได้สิบเอ็ดคนคอยเฝ้าอยู่ตรงทางเข้า-ออกสำคัญ ได้พบกับคนที่สิบสองเมื่อผู้นำทางพามาถึงห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสองของปราสาท เขาหันมาหาฮาธอสเพื่อขอคำอนุญาต ทันทีที่เทพคนสวนพยักหน้ายืนยัน ทหารหนุ่มก็หวดหมัดทุบประตู

“เชิญเข้ามาได้”

---------------------

ส่งอ้อยเข้าปากช้าง เอ๊ย ส่งเทพคนสวนไปส่งของกำนัลต่างหาก

ตอบคอมเมนต์ : คุณ ★KVH™★ ขอบคุณที่รอติดตามฮับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 18-08-2013 19:06:36
อ้ากกกก >O< อยากอ่านต่อแล้วค่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 18-08-2013 19:44:21
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ สนุกมากเลย ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 18-08-2013 20:01:11
อร๊ายยยย ชอบค่าาาา  สนุกมากเลยค่ะ

มีสารบัญเตรียมไว้ให้ใจชื้นด้วยว่าจะได้อ่านต่อ. ไม่มีค้าง

แต่ตัดฉับได้ทรมานคนอ่านมากค่ะ :hao5:


บวกเป็ดให้เรื่องใหม่จ้า~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 19-08-2013 19:04:22
บทที่ 2 เทพอสูรแปลกถิ่น
- 50% -

ครึ่งชั่วโมงก่อนฮาธอสจะมาถึง...

ไคซัส มหาเทพสงครามองค์ใหม่อยู่ในห้องทำงานของอดีตจ้าวตำหนักเพียงลำพัง เขากำลังทอดมองบ้านหลังใหม่ของตัวเองให้เต็มตาอีกครั้ง สวรรค์ช่างสวยงามสมกับคำนิยาม ‘ดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ทุกสรรพสิ่งล้วนงดงามเป็นประกายจนดวงตาของเขาพร่ามั่ว อีกทั้งยังสงบสงบเต็มไปด้วยความสุขผิดกับโลกเบื้องล่างที่มีแต่ความวุ่นวาย

แต่หากเลือกได้...ไคซัสจะไม่อยู่ที่นี่

สิบวันกับความโดดเดี่ยวในตำหนักร้าง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ เทพอสูรหนุ่มยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่อยู่ดี เพียงเพราะถือกำเนิดในดินแดนเบื้องล่าง แปดเปื้อนด้วยสิ่งโสมมสำหรับสวรรค์ รูปลักษณ์ไม่งดงามและสว่างไสวอย่างชาวฟ้า สวรรค์จึงปฏิเสธเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงในอากาศซึ่งกดดันเขาตลอดเวลา รวมถึงปฏิกิริยาของชาวเทพทั้งหลายเมื่อเห็นเขาเมื่อคืนนี้ ฉะนั้นเขาจึงชิงลงมือด้วยการขอให้นางกำนัลที่คอยส่งสำรับช่วยนำของกำนัลไปผูกมิตรกับจ้าวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียไว้ก่อน

...ถึงไม่เข้าใจความหมายแอบแฝงของมันก็ช่าง แค่จอมเทพีผู้นั้นมองข้าในแง่ดีบ้างก็พอแล้วน่า

คิดไป จิตสัมผัสซึ่งผูกไว้กับตัวตำหนักตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นสวรรค์รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวในปราสาท เขานับจำนวนอีกฝ่ายได้สิบสามคน หนึ่งในนั้นมีพลังโดดเด่นกว่าคนอื่นมาก พวกเขาไม่มีจิตสังหาร แต่ก็ปราศจากใจภักดี ทั้งกลุ่มกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ ไคซัสจึงย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เมื่อหย่อนตัวลงนั่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามอย่างพอดี

“ขออภัยขอรับ ข้า ‘อัลวิน มัวรีน’ และทหารในสังกัดมารายงานตัวขอรับ!” เสียงต่ำขึงขังตะโกนเข้ามา

รายงานตัวรึ? ไคซัสทวนในใจ อ๋อ...

“เข้ามาสิ”

สิ้นเสียงอนุญาต ประตูก็ถูกผลักเปิดเข้ามาแล้วนายทหารผมสีแดงเพลิงในเครื่องแบบสีขาวตัดขอบแดงก็เดินนำทหารหลวงสิบสองนายเข้ามาข้างใน อัลล์มายืนเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ขณะคนอื่นแบ่งเป็นสองกลุ่มเข้าแถวหน้ากระดานข้างหลังเทพหนุ่มอย่างเรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็วันทยาหัตให้เขาพร้อมกัน

“ด้วยคำสั่งจากกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ข้า ‘อัลวิน มัวรีน’ กับทหารในสังกัดสิบสองนายถูกย้ายมาอยู่ในสังกัดของมหาเทพสงครามนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ!” อัลล์รายงาน สีหน้าจริงจัง แล้วเอาหมายสั่งวางลงบนโต๊ะเพื่อให้ไคซัสตรวจสอบ

มหาเทพอสูรหนุ่มใช้ปลายนิ้วลากมันมาถือไว้ในมือ โดยยังไม่ได้เปิดอ่าน ดวงตาสีส้มน่ากลัวนั้นกวาดตามองเหล่าบุรุษตรงหน้า แต่ละคนมองเขาด้วยความเกรงขาม หวาดหวั่น และกลัวที่จะเข้าใกล้ มีแค่อัลล์คนเดียวที่สบตาเขาอย่างไม่หวั่นไหว

“กลัวเหรอ?” ไคซัสถามออกไป น้ำเสียงของเขาแตกพร่า แต่ชัดเจนและกดดัน จิตสังหารแผ่ซ่านออกจากตัวทำให้พวกทหารหลวงตัวสั่น “พวกเจ้าปรารถนาจะอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ กับอสูรอย่างข้า”

“ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งขอรับ” อัลล์เป็นตัวแทนตอบ เขาถูกฝึกมาอย่างทหาร ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งและหน้าที่จะละเมิดมิได้โดยเด็ดขาด

“หมายความว่าพวกเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ” ไคซัสกดเสียงต่ำ ทหารของอัลล์หน้าซีดกว่าเดิม

“เป็นคำสั่งของเบื้องบน...”

“เวลานี้ข้าคือ ‘เบื้องบน’ อัลวิน มัวรีน!” มหาเทพสงครามกระแทกเสียงทำให้ทุกคนสะดุ้งกันไปตาม ๆ กัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอำนาจของเขามากล้นเกินกว่าที่ทหารเล็ก ๆ อย่างพวกเขาจะต่อต้านได้

“ขอรับ พวกเรากลัว ความจริงแล้วพวกเราไม่อยากอยู่กับท่านเลยสักนิด” ปลายเสียงของอัลล์สั่น เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าผู้บังคับบัญชา “แต่พวกเราเป็นทหารต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด และข้าน้อยขอบังอาจชี้แจงว่าท่านจำเป็นต้องมีพวกเรา ข้อแรก ท่านไม่ใช่ชาวสวรรค์ ควรจะมีใครสักคนคอยช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ข้อสอง งานของมหาเทพสงครามมีมากมายเกินกว่าที่ท่านจะจัดการเพียงผู้เดียวได้ขอรับ”

ไคซัสกระตุกยิ้มมุมปาก เจ้าหนุ่มนี้ทั้งปากกล้าและใจกล้าไม่น้อย มิน่าถึงถูกส่งมาอยู่กับเขา “แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาเพื่อจับตาดูข้า” ร่างสูงสีแดงเอนพิงพนักเก้าอี้ ตามองหัวหน้าทหาร

“เอ๋!” อัลล์ร้องอย่างตกใจ พอรู้ตัวก็รีบเก็บสีหน้า “ข้าไม่ทราบขอรับ พวกเราเพียงรับคำสั่งมาเท่านั้น”

ผู้ชายคนนี้พูดความจริง...ไคซัสรู้ แววตาที่มีรอยสงสัยในเรื่องเดียวกันบอกกับเขาแบบนั้น มหาเทพสงครามพยักหน้าเข้าใจแล้วโยนหมายแจ้งบนโต๊ะ สิ่งนี้ไม่มีความสำคัญมาแต่แรกแล้ว ในเมื่อฝ่ายโน้นต้องการจะให้คนกับเขา ซึ่งคนของเขาก็เต็มใจให้ใช้ ฉะนั้นเขาจะรับไว้ก็แล้วกัน

“ลำบากหน่อยนะ ท่านรองแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ” ไคซัสพูดยิ้ม ๆ สองมือประสานกัน จิตสังหารของเขาหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่ “ดูเหมือนเจ้าจะต้องลงเรือลำเดียวกับข้าแล้ว แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เต็มใจก็ตาม”

อัลล์เบิกตากว้าง “ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ?”

“คงจะมีแต่ฟาเบียนเท่านั้นแหละที่ปฏิเสธการรู้จักเจ้าในตอนนี้” เทพอสูรหนุ่มระบายลมหายใจช้า ๆ “ตอนเกิดสงครามเทพกับปีศาจครั้งก่อน ข้ามีโอกาสได้ดูภาพเหตุการณ์ผ่านกระจกมายาจากวังอสูรด้วย ตอนนั้นฝ่ายเทพเสียเปรียบหนักจากการสูญเสียแม่ทัพ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว แต่เจ้ายังสู้สุดความสามารถ สู้เพื่อปกป้องทหารที่เหลือ ไหวพริบของเจ้าในวันนั้น ทำให้ทุกคนรอดตายมาได้ ข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้า”

อัลล์อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ใช่คำชมเชยในตอนสุดท้าย แต่เป็นคำพูดก่อนหน้านั้น คนทั้งสวรรค์...รวมถึง ‘ฟาเบียน’ ไม่เคยมองเห็นเจตนาในวันนั้นของเขาเลย ทว่ามหาเทพสงครามกลับอ่านได้อย่างเฉียบขาด เคยมีคนพูดกับเขาว่าอสูรเป็นพวกไร้สมอง แต่เทพอสูรตนนี้กลับมีสติปัญญาเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าเขาเสียอีก สมแล้วที่เป็นราชาแห่งอสูร...

...สมแล้วที่ได้รับเลือกมาเป็นมหาเทพสงครามองค์ใหม่

“แต่การเป็นบ่าวของอสูรคงจะทำให้พวกเจ้าถูกชนทั้งสวรรค์ดูแคลน” ไคซัสถอนหายใจยืดยาว

“พวกเราไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยขอรับ ท่านเป็นมหาเทพสงครามที่ท่านจ้าวฟาเบียนยอมรับ เรื่องนี้ชาวสวรรค์ปฏิเสธมิได้ขอรับ” อัลล์ยืนยันที่จะอยู่ ลูกน้องของเขาทุกคนล้วนแต่มาด้วยเจตจำนงของตนเองทั้งสิ้น “ในเมื่อท่านมหาเทพรับพวกเราเข้าสังกัดแล้ว พวกเราทั้งหมดจะกล่าว...”

“ไม่ต้อง” ไคซัสแทรกบททันที “ข้าไม่ต้องการคำปฏิญาณจากคนที่ไม่มีใจภักดีด้วย วันใดพวกเจ้าไม่พอใจข้าก็ถอนตัวออกไปได้ ข้าไม่ว่า แต่วันใดก็ตามที่พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าและอยากจะฝากชีวิตไว้ด้วยค่อยสาบานตนกับข้าในวันนั้น”

ยุติธรรม...ความคิดนี้แล่นขึ้นมาในสมองของอัลล์ ชั่วชีวิตของเขาเพิ่งเคยเจอคนที่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นอย่างยุติธรรมเป็นครั้งแรก ลูกน้องของเขาทุกคนคงจะรู้สึกแบบนั้น เพราะรังสีหวาดหวั่นที่แผ่กระจายอยู่ข้างหลังหายไปแล้ว บางทีการถูกย้ายมาอยู่กับเทพอสูรผู้นี้อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้

“ทราบแล้วขอรับ ข้ากับทุกคนจะปฏิบัติตามที่ท่านส่งขอรับ” หัวหน้าทหารหนุ่มเป็นตัวแทนกล่าว

“...และต่อไปนี้ให้พวกเจ้าเรียกข้าว่า ไคซัส...มหาเทพไคซัส ตกลงไหม” ทุกคนขานรับเสียงดังพร้อมกัน

แต่ตอนนั้นเองที่ความสนใจของเขาถูเบี่ยงเบนไปอีกครั้ง เมื่อพลังที่ถูกไว้กับตำหนักส่งภาพปุยเมฆแผ่นดินนอกเขตกำแพงเข้ามาในสายตา สักครู่ก็มีรองเท้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาในระยะมองเห็น ไคซัสเลื่อนสายตาไล่ขึ้นไปตามสัดส่วนร่างกายสูงโปร่งของผู้มาเยือนใหม่ช้า ๆ ผ่านกล่องสีทองไม้ใบใหญ่จนถึงใบหน้าคมคายของเทพคนสวนผมสีทองซึ่งทำให้เทพอสูรหนุ่มนิ่งงัน

“...ไคซัส...มหาเทพไคซัส” เสียงอัลล์แทรกเข้ามาในความเงียบทำให้เจ้าของชื่อหันมอง

“อืม อัลวินอยู่กับข้าก่อน ที่เหลือไปเฝ้าตามทางเข้าออกสำคัญของที่นี่” ไคซัสออกคำสั่ง “พวกเจ้าเคยเข้าออกที่นี่มาก่อนคงจะรู้ดีว่าทางเข้าออกสำคัญอยู่ที่ไหนบ้าง”

“รับทราบขอรับ!” ทหารหลวงสิบสองนายทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินชักแถวออกไปอย่างเป็นระเบียบ ไคซัสสัมผัสได้ว่าทั้งหมดล้อมวงพูดคุยตกลงกันเล็กน้อย ก่อนสองคนจะยืนประจำหน้าประตูห้องทำงาน ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันไปตามทางเข้าออกสำคัญดังที่เขากล่าวไว้ โดยไล่มาจากประตูชั้นในของตำหนักเป็นต้นมา ทหารพวกนี้ได้รับการฝึกมาดีจริง ๆ

“งานของข้าล่ะขอรับ” อัลล์ถามขึ้นเมื่อเหลือเพียงลำพัง “ท่านอยากให้ข้าอธิบายเกี่ยวกับระบบหรือไม่”

“ไม่ต้อง ข้าอ่านเอกสารเก่า ๆ ในห้องนี้หมดแล้ว” เทพอสูรหนุ่มบอก ทหารหนุ่มนิ่งก่อนกล่าวขออนุญาตเอี้ยวมองด้านหลังซึ่งมีตู้วางหนังสือเรียงรายสามด้านสูงจรดเพดาน ทุกตู้อัดแน่นไปด้วยตำราเก่าแก่และเอกสารของมหาเทพสงครามทุกสมัยที่ผ่านมา แต่ว่า... “ไม่รู้ว่าเพราะมหาเทพคนเก่าไม่ชอบจดบันทึกหรือเปล่า ข้าก็เลยหาของเขาไม่เจอ เจ้ารู้จักใครที่มีบันทึกทางการทหารกับความเปลี่ยนแปลงของสวรรค์บ้างไหม”

“ขุนพลเทพทั้งสิบสอง” อัลล์หยุดคิด “...แล้วก็สำนักเลขาธิการของกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ขอรับ”

“หมายความว่าข้าต้องเข้าไปดูเองสินะ” ไคซัสว่า คู่สนทนาตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ข้าจะล่วงหน้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อเตรียมการให้ขอรับ” นายทหารหนุ่มบอก

“เจ้าคัดเอาเฉพาะบันทึกในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมาก็พอ เตรียมแผนที่ฉบับเปรียบเทียบรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะไปสำรวจเขตแดนสวรรค์ด้วยตัวเอง อ๋อ ฝากบอกให้คนที่รออยู่หน้าประตูใหญ่เข้ามาได้เลย ข้ารออยู่” ไคซัสสั่งพลางหยิบหมายแจ้งตั้งเก็บใส่ในโต๊ะ ขณะอัลล์ยังทำหน้างง

“คนนอกประตูใหญ่หรือขอรับ”

“อืม แขกจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย” ไคซัสตอบด้วยสีหน้าเรียบร้อย

อัลล์ตัดสินใจไม่ถามต่อ แม้จะยังสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่ามีผู้มาเยือน เขาทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตู เสียงของไคซัสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อัลวิน เจ้าคิดว่าใครน่ากลัวที่สุดบนสวรรค์” คนถูกถามหมุนตัวกลับมาหาไคซัสที่นั่งไขว่ห้าง สองมือประสานเหนือเข่า ดวงตาสีส้มของเขาฉายแววใคร่รู้

“ข้าคิดว่า...น่าจะเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ฟาเบียนขอรับ” ไคซัสสดับแล้วพยักหน้าแสดงความรับรู้ ก่อนโบกมือไล่นายทหารหนุ่มออกไป เมื่อประตูปิดลงแล้ว มหาเทพสงครามก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วลมหายใจยืดยาวก็ถูกระบายด้วยตัวของมันเอง

ประมาทไม่ได้จริง ๆ ไคซัสคิดว่าตัวเองรุกคืบได้เร็วแล้ว แต่ฟาเบียนก็เร็วไม่แพ้กัน เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาอย่างดีอีกด้วย ก่อนรับตำแหน่งคุยกันว่า ‘ไว้ใจ’ วันนี้กลับส่งตัวอันตรายมาอยู่กับเขาเสียแล้ว อัลล์เป็นทหารที่มีความสามารถ เฉลียวฉลาด และภักดีกับสวรรค์ ถึงตอนนี้ลูกไม้ของฟาเบียนจะยังไม่แสดงออกมา แต่สักวันก็ต้องปรากฏอย่างแน่นอน เขาคงจะต้องเตรียมแผนรับมือเสียแล้ว

ขณะที่เขากำลังคิด จิตสัมผัสก็รับรู้ว่าแขกจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรียกำลังใกล้เข้ามา ความจริงเขาไม่ได้หวังให้จอมเทพีเรเทเชียตอบกลับมา เขาต้องการแค่ให้นางเก็บต้นไม้เงินต้นไม้ทองคู่นั้นไว้ แล้วมองเขาด้วยสายตาปกติ ไม่มีความกลัวหรือรังเกียจยามพบกันครั้งหน้า การตอบกลับมาอย่างไม่คาดฝันนี้ทำให้เขาหวั่นใจอยู่ลึก ๆ แถมคนที่ถูกส่งมายังเป็นเทพผมสีทองรูปงามคนนั้น...

...คนที่ติดตาเขามากที่สุด

เสียงเคาะประตูสามครั้งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าแขกมาถึงแล้ว ได้เวลาของการเผชิญหน้ากับคำตอบที่ไม่ปรารถนาให้มาถึงเสียที ไคซัสหลับตาพลางสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยคำพูดออกไป

“เชิญเข้ามาได้”

-------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 19-08-2013 19:08:41
- 100% -

เมื่อประตูถูกเปิด ทหารของอัลล์ก็เดินเข้าไปก่อน เขาประคองกล่องไม้สีทองไว้ด้วยสองมืออย่างมั่นคง ฮาธอสรั้งรออยู่สักครู่ เพื่อสงบจิตใจของตนเอง เขากำลังจะได้พบกับมหาเทพอสูรสงครามตนแรกของสวรรค์ หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็คงโกหก หลังมั่นใจว่าใจของตนนิ่งพอพูดได้โดยเสียงไม่สั่นแล้ว ร่างสูงโปร่งค่อยตามเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย

แต่เพียงได้เห็นหน้าผู้เป็นเจ้าของตำหนักพาเทร่า ฮาธอสก็รู้สึกว่าโลกรอบกายจางหายไป เหลือแค่เขากับไคซัสเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ เทพหนุ่มเข้าใจเลยว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเพราะแรงดึงดูดแปลกประหลาดจากดวงตาสีส้มคู่นั้นก็เป็นได้ แต่คราวนี้เขาต้องละสายตามาก่อน เพื่อค้อมคำนับแสดงความเคารพให้อีกฝ่าย

“ข้าน้อย ‘ฮาธอส’ ตัวแทนจากตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย ขอคารวะท่านมหาเทพสงครามตนใหม่และขอแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของท่านด้วยขอรับ” เทพหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนน้อมจากใจจริง

“ขอบใจมากนะ ไม่ทราบว่าจอมเทพีเรเทเชียเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนนี้พอแต่งตั้งเสร็จแล้วในงานก็วุ่นวายกันมาก ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทักทายนางเลย” ไคซัสเพียงกล่าวไปตามมารยาท เพราะรู้ดีว่าต่อให้มีโอกาสทักทายก็ใช่ว่านางจะยอมคุยด้วยดี ๆ

“ข้าน้อยขอเรียนตามตรงว่าท่านจอมเทพียังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของท่านมหาเทพสงคราม นางมีความยินดีอย่างมากที่ได้รับของกำนัลจากท่านในวันนี้” ฮาธอสพูดไปตามความจริง ด้วยถือว่าความจริงใจเป็นกุญแจสำคัญของการผูกมิตร

“อย่างนั้นรึ นางพอใจกับของขวัญทั้งสองชิ้นไหม” ไคซัสถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้

แต่ฮาธอสก็ล่วงรู้ถึงความหมายแฝงเร้น “ขอรับ จอมเทพีของเราพึงพอใจมาก ท่านกล่าวว่าต้นไม้เงินต้นไม้ทองทั้งสองต้นล้วนมีเพียงชิ้นเดียวในสวรรค์ มูลค่าหาที่สุดมิได้ คู่ควรกับมิตรภาพระหว่างทั้งสองตำหนักอย่างยิ่ง ท่านจึงให้ข้านำของกำนัลตอบแทนมามอบให้ขอรับ”

ไคซัสได้ยินแบบนั้นก็นึกยิ้มในใจ เท่าที่เขารู้มาเกี่ยวของจอมเทพีนางนั้นก็คือ นางเป็นคนหัวอ่อน ชื่นชอบแต่ศิลปะนาฏกรรมต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ถนัดในวิถีการเมืองอย่างจอมเทพตนอื่น ๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นของกำนัลผูกมิตร น่าจะมีคนอื่นช่วยคิดให้เป็นแน่แท้

บางทีอาจจะเป็นเจ้าหนุ่มหน้ามนที่กำลังพูดยกยอเจ้าหล่อนต่อหน้าเขาก็ได้...

แต่เทพอสูรหนุ่มต้องนิ่ง เมื่อทหารของอัลล์นำกล่องของกำนัลมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดฝาหยิบเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ‘ซอง’ ออกมาวางให้เขาเห็น เครื่องดนตรีชนิดนี้มีตัวเรือนเหมือนกับลำเรือ ทำจากไม้สักทองลงรักสีดำเป็นมันวาว ตามอบโดยรอบติดแผ่นทองตีลายปักษาสวรรค์ผกผินเหนือก้อนเมฆด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นป่าแก้วดินแดนต้องห้ามของสวรรค์ ส่วนตัวและท้ายหุ้มแผ่นทองเรื่อยไปถึงใต้ท้อง บริเวณหัวมีคันสายยาวโง้งขึ้นไปเหมือนคันศร เส้นเสียงสิบสองเส้นถูกขึงตึงกับสันที่ตัวเรือน ปลายสายที่เหลือถูกทำเป็นพู่ห้อยระย้า

มหาเทพสงครามพินิจเครื่องดีดชิ้นนี้ด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ซึ่งทำให้ฮาธอสหายใจไม่ทั่วท้อง เขาพอจะรู้ว่าชาวอสูรไม่โปรดการเล่นดนตรีเท่ากับการต่อสู้ แต่ซองตัวนี้ก็เป็นของชิ้นเดียวที่มีค่าพอนำมาเป็นของกำนัลเชื่อมสัมพันธไมตรี

“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านพอใจกับของกำนัลไหมขอรับ” เทพหนุ่มตัดสินใจถามจนได้ เทพอสูรหนุ่มเงยหน้ามองเหมือนตื่นจากห้วงภวังค์ “ซองตัวนี้เป็นของที่จอมเทพีของเราสร้างด้วยตัวเองทั้งหมดขอรับ”

“อ๋อ ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด” ไคซัสว่า “ข้าไม่ได้ไม่พอใจของกำนัลหรอก แต่มันทำให้ข้าคิดถึงใครบางคนขึ้นมาน่ะ” พูดแล้วหันไปทหารของอัลล์ “เจ้าออกไปก่อน บอกให้เพื่อนของเจ้าเตรียมตัวด้วย หลังคุยกับแขกเสร็จแล้ว ข้าจะไปกองบัญชาการ”

“ขอรับ มหาเทพไคซัส” ทหารหนุ่มทำความเข้ารพแล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเหลือกันแค่สองคน ไคซัสก็ลุกขึ้นมาย้ายของกำนัลไปวางไว้ที่โต๊ะใกล้ ๆ แล้วหยิบเก้าอี้อีกตัวมาให้แขกด้วยตนเอง สร้างความตกใจให้แก่ฮาธอสอย่างหาที่สุดมิได้

“ทะ...ท่านทำอะไรน่ะขอรับ!”

“เอาเก้าอี้มาให้เจ้านั่งไงล่ะ” เทพอสูรหนุ่มบอกพร้อมผายมือไปที่เก้าอี้ “เชิญนั่งสิ เราจะได้คุยกัน”

“ตะ...แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ข้าต่ำต้อยกว่าท่านมากนัก” ฮาธอสค้อมตัวลงอย่างไม่อาจรับ

“เจ้าเป็นตัวแทนมาจากจอมเทพีเรเทเชีย เป็นแขกของข้า ข้าจะต้อนรับตามวิธีการของข้าไม่ได้หรือ นั่งลง”

อีกแล้ว...เขาทำเสียงทุ้มต่ำแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว มันสั่นสะเทือนผ่านอากาศมาถึงหัวใจของฮาธอสแล้วสั่งให้ชายหนุ่มทำตาม ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ มานั่งที่เก้าอี้ ในตอนที่เดินผ่านตัวไคซัสนั้น เขามีโอกาสได้เห็นดวงตาของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มันไม่มีประกายเกล็ดเห็นแบบเมื่อคืน แต่ก็สวยสดราวกับบุษราคัมสีแสดก็ไม่ปาน

“ดีมาก ที่นี่เราจะได้คุยกันตรง ๆ เสียที จอมเทพีเรเทเชียได้ฝากอะไรมาถึงข้าอีกไหม” ไคซัสถามขณะเดินอ้อมโต๊ะกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าของเขายังคงนิ่งสนิท

“นางฝากให้ข้าเรียนกับท่านมหาเทพสงครามว่า ‘เมื่อท่านปรารถนามิตร ท่านก็ได้มิตร’ ขอรับ” ฮาธอสกล่าว ดวงตาสีเขียวของเขาฉายแววจริงใจเปี่ยมล้น จนอีกฝ่ายชักสงสัยว่าเป็นเพราะการฝึกหรือเพราะนิสัยเจ้าตัวกันแน่ แต่อย่างน้อยคำตอบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นโชคดีของข้าจริง ๆ ที่ได้จอมเทพีเรเทเชียมาเป็นมิตร แต่ข้าอยากจะอธิบายให้กระจ่าง ข้าไม่ได้ต้องการแรงสนับสนุนใด ๆ จากจอมเทพีเรเทเชีย สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่...มิตร” เทพอสูรหนุ่มหงายไพ่อีกใบแล้วรอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

ฮาธอสค่อนข้างประหลาดใจกับคำพูดของไคซัส ในนิยามของเขา ‘มิตร’ หมายถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อ คอยช่วยเหลือดูแลกันและกันด้วยความจริงใจ ซึ่งนั่นหมายความร่วมถึงแรงสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่มีต่อคนที่เป็นมิตรด้วย ฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายนัก

เทพอสูรตนนี้ทำราวกับต้องการตัดตัวเองออกจากชาวเทพอย่างไรอย่างนั้น...

“ทราบแล้วขอรับ ข้าจะกลับไปเรียนจอมเทพีของเราเช่นนั้น” ฮาธอสตัดสินใจตอบอย่างเป็นกลาง

อย่างที่คิดจริง ๆ ไคซัสคะนึงในใจ เทพหนุ่มตนนี้ไม่เหมือนกับเทพชั้นผู้น้อยตนหนึ่งที่เขาเคยพบ พวกนั้นจะไม่คิดสงสัยและไม่หาคำตอบในเรื่องที่เทพชั้นสูงกว่าพูดออกมา แต่ฮาธอสเหมือนกับอัลล์ ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบในคำพูดของเขา และยังมีไหวพริบดีพอที่จะแก้ปัญหาแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นอีกด้วย ลำพังแค่ข้ามาเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังก็นับว่าน่าชื่นชมมากแล้ว แต่นี่มีความเฉลียวฉลาดด้วยยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่

“ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำแบบนั้น และเชื่อด้วยว่าระหว่างทางเจ้าอาจจะคิดจนได้คำตอบไปเสนอแนะนางด้วย” ไคซัสทดลองหย่อนระเบิดลงไป ซึ่งได้ผล ฮาธอสชะงักแล้วแล้วเบิกตามองเขาด้วยความตกใจ “ข้าชอบคนฉลาด ฮาธอส ไม่ว่าจะอยู่ในลำดับชั้นไหนก็ตาม ขอแค่เป็นคนฉลาดก็สามารถคุยกับข้าได้ทั้งนั้น”

“มิบังอาจ...” ฮาธอสก้มหน้าหลบ ดวงตาหลุกหลิก ไม่คาดฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขา ‘คิดเป็น’

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว” มหาเทพอสูรขยับตัวตรง มือทั้งสองข้างประสานกันบทโต๊ะ ท่าทางจริงจัง “แต่ข้าอยากให้เจ้าตอบคำถามข้าสักข้อ สำหรับเจ้า ใครน่ากลัวที่สุดในสวรรค์”

คำถามนี้ทำให้ฮาธอสนิ่งไปเหมือนกับอัลล์ ต่างกันตรงที่เทพหนุ่มมองตาเขานิ่งราวกับจะถามว่า ‘แน่ใจแล้วหรือที่สงสัยข้อนี้’ มันเป็นความกล้าเข้าขั้นบ้าบิ่นสำหรับเทพหนุ่มผู้นุ่มนวล และพอรู้ตัวก็หลุบตาลงอย่างเจียมตัวเหมือนเดิม

“ข้าคิดว่าเป็นมหาเทพ...”

“ไม่ใช่ ‘ฟาเบียน’ ฮาธอส” เทพอสุรหนุ่มพูดออกไป แววตาขึงขังยิ่งทำให้บรรยากาศดุดันยิ่งขึ้น “ข้ารู้จักฟาเบียนมานานกว่าที่เจ้า รู้ดีกว่าเขาไม่ใช่คนที่น่ากลัว ข้าอยากรู้ว่าเมื่ออยู่ในสถานะนี้ข้าควรจะระวังใครที่สุด”

ฮาธอสก้มหน้าใช้ความคิด เขาจำเป็นต้องตรึกตรองให้ละเอียดก่อนพูด เนื่องจากเป็นคำถามที่มีความเสี่ยงมาก ที่สำคัญเขาไม่เคยถูกถามแบบนี้มาก่อนด้วย แต่ไคซัสถามเพื่อประโยชน์ในการป้องกันตัวเอง เขาจึงควรจะตอบ

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็น...ขุนพลเทพอันดับห้า...ท่านเซย์เรียโน่ขอรับ”

มหาเทพสงครามสดับแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าคร้ามเข้มยังคงปราศจากความรู้สึก ก่อนเขาจะเปิดลิ้นชักหยิบสร้อยเงินร้อยจี้รูปตรีศูลด้ามยาวออกมาคล้องคอ แล้วลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้กับเสาข้างกรอบประตูมาสวม

“ขอบใจมาก ข้าถือว่านั่นเป็นคำแนะนำของมิตรและจะจดจำให้ขึ้นใจ” ไคซัสบอก

ถึงความหมายจะตรงไปตรงมา แต่ฮาธอสกลับรู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝงที่เขาไม่เข้าใจอยู่ด้วย แลเพราะอีกฝ่ายพูดว่า ‘มิตร’ เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อความเท่าเทียมบ้าง

“ขออภัยขอรับ ท่านมหาเทพสงคราม แต่ข้าขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่าง” ไคซัสเงยหน้ามามองเป็นสัญญาณว่ากำลังรอฟังอยู่ “จากที่ข้าดูท่านไม่โปรดการอยู่บนสวรรค์ แล้วทำไมท่านถึงยอมรับตำแหน่งขอรับ”

คำถามที่เป็นประหนึ่งลูกศรทะลวงเข้ากลางใจดำของไคซัสพอดี เทพอสูรหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว

“เจ้าจะกล้าหาญเกินตัวไปแล้ว ฮาธอส ตอนเห็นเจ้าในงานเลี้ยงไม่นึกเลยว่าจะกล้าขนาดนี้” ไคซัสเอียงคอกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อที่ดูอ่อนโยนยิ่ง “แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของข้าและ ‘มิตร’ ก็ไม่ควรรู้ด้วย ข้าต้องไปกองบัญชาการแล้ว เชิญกลับไปได้ บอกเจ้านายของเจ้าด้วยว่า ข้าพอใจกับของกำนัลมาก”

ว่าพลางก็เปิดประตูห้องพร้อมผายมือเชื้อเชิญแขกกลับ ฮาธอสซึ่งอยู่ในสถานะต่ำกว่าจึงโต้เถียงไม่ได้ ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกใช้ตัวเองอยู่กลาย ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินมาคำนับแทนคำอำลาจากนั้นก็กลับออกไปก่อน ไคซัสรอจนกระทั่งร่างของฮาธอสเหาะออกนอกเขตเมฆของตำหนักแล้วค่อยนำทหารของอัลล์ไปทำ ‘ธุระ’ ของตัวเองบ้าง

------------------

กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานครแห่งฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่นี่ตั้งอยู่บนก้อนเมฆสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีอยู่เพียงสามก้อนในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหากเกิดสงครามครั้งใหญ่บนสวรรค์ เมฆก้อนนี้ก็สามารถลอยตัวขึ้นและเคลื่อนไปอยู่ในแนวหน้าได้ในเวลาอันสั้น

ภายในซึ่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกเนรมิตตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ เหล่าทหารในเครื่องแบบสีขาวเดินขอบชุดด้วยสีแตกต่างกันจับกลุ่มพูดคุยถึงมหาเทพสงครามตนใหม่อย่างออกรส ทุกคนยังคงไม่อยากเชื่อว่าอำนาจสูงสุดของกองทัพฟ้าได้ตกไปอยู่ในมือของเทพอสูรที่มาจากโลกเบื้องล่างแล้ว

อัลล์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาเรื่องนี้ด้วย เขาเพิ่งจะได้บันทึกกับแผนที่ที่ไคซัสต้องการจากสำนักเลขาธิการ ตอนนี้กำลังวิ่งไปที่ประตูหน้าเพื่อรอรับเจ้านายคนใหม่ หลังเจ้าตัวส่งคนมาบอกว่ากำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

ทว่าในตอนที่วิ่งข้ามลานกว้างอันแหล่งชุมนุมของเหล่าทหารนั้น มือเล็กแต่ทรงหลังข้างหนึ่งก็คว้าแขนของเขาไว้เสียก่อน เมื่อหันหน้า พอหันกลับไปมองอัลล์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าของเซย์เรียโน่

“เฮ้ ๆ วิ่งพรวดพราดแบบนี้เดี๋ยวก็ชนใครเข้าหรอก” เสียงเล็ก ๆ ที่ไม่มีแววแตกพานดุ

“ขออภัยขอรับ ท่านเซย์เรียโน่ ข้าน้อยกำลังรีบ” อัลล์แจ้งอย่างร้อนรน

“ทำไมล่ะ” เซย์เรียโน่ถาม แต่แปบเดียวก็เลิกสนใจแล้วชูซองบัตรเชิญสีแดงสดขึ้นมา “เจ้านายใหม่ของพวกเจ้าเข้ามาแล้วหรือยัง ข้าเอาบัตรเชิญงานเลี้ยงมาให้เขา”

อัลล์มีท่าทีร้อนรนทันใด “มหาเทพไคซัสยังไม่เข้ามาขอรับ แต่ข้าจะ...”

“ไม่ต้องหรอก อัลวิน ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยแทรกกลางปล้องเรียกความสนใจของชายทั้งสองไปยังผู้มาใหม่ ไคซัสก้าวข้ามธรณีทวารที่ยกสูงไว้เข้ามาข้างในพอดี ทหารสองนายตามเขามาด้วย ทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ เมื่อทหารทุกนายได้เห็นเขา เทพอสูรหนุ่มกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาพวกอัลล์เหมือนไม่สนใจ ทั้งที่เพิ่งแยกกันมาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ในความรู้สึกของอัลล์ เจ้านายดูน่าเกรงขามกว่าเมื่อเช้านี้หลายเท่าตัว ดวงตาของเขามีแต่ความอำมหิตด้วยซ้ำ เซย์เรียโน่กระตุกยิ้มอย่างชมชอบ

“เราได้พบกันอีกแล้ว มหาเทพสงครามไคซัส ข้า ‘เซย์เรียโน่ ดาร์กเนส’ ขุนพลอันดับเทพอันดับห้า ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายมาให้ ซึ่งไคซัสรับไว้แล้วเขย่าสองสามที

“ยินดีที่ได้พบ เทพมังกรไฟแห่งมิติดราโกเนีย ผู้กำเนิดจากชิ้นส่วนของเทพมังกรทองแห่งสวรรค์ ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานทีเดียว” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก “เทพมังกรผู้ไม่ควรกำเนิดขึ้นมา”

“ใครเป็นคนกำหนดชะตากรรมของคนเรากันล่ะ” เซย์เรียโน่ยิ้มกว้าง แววตาท้าทาย “ข้าเกิดมาแล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ สนทนาอยู่กับท่านและจะชวนไปงานเลี้ยงด้วย ข้าอยากเป็นมิตรด้วยนะ ที่ตำหนักข้ามีเหล้าเยอะแยะ”

แต่ไคซัสกลับรู้สึกว่ามันเป็นคำเชิญไปสู่อันตราย อาจเพราะคำตอบของฮาธอสที่ได้มาก่อนหน้านี้

“ขอโทษด้วยนะ แต่ต้องขอปฏิเสธ วันนี้เป็นวันทำงานครั้งแรกของข้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้”

ขุนพลเทพน้อยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เป็นไร งานเลี้ยงของข้าไม่ได้มีคืนเดียวอยู่แล้ว” ร่างโปร่งบางเดินมาใกล้แล้วเอาบัตรเชิญแปะอกของผู้อาวุโสกว่า เสียงเล็กกระซิบกลับมา “ที่สำคัญข้ามีทุกอย่างที่ท่านต้องการ ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาข้าที่ตำหนักได้เลย แต่เตรียมใจสักนิด งานเลี้ยงของข้าไม่ใช่งานเล็ก ๆ นะ ลาก่อน”

หลังกล่าวลาด้วยใบหน้าชื่นมื่น เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์ก็อันตรธานหายไป บัตรเชิญที่เขาทิ้งไว้จึงปลิวตกกลางอากาศ อัลล์ยื่นมือเตรียมจะรับ แต่ไคซัสกลับคว้าได้ก่อน มือใหญ่ที่ไว้เล็บแหลมยาวเหมือนกรงเล็บขยำมันจนยับยู่ยี่ เจ้าเด็กนั่นอันตรายสมตำแหน่งที่ได้รับจริง ๆ

“มหาเทพ...” อัลล์เอ่ยเรียกดึงสติเจ้าของชื่อกลับสู่โลกความเป็นจริง

ในตอนนั้นเองที่ไคซัสรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงที่ส่งมาจากรอบข้าง มหาเทพสงครามช้อนตามองโดยรอบพบว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบ บางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางเขาเหมือนกับตัวประหลาดที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก...

...แน่นอน พวกเขาไม่เคยเห็นไคซัสมาก่อน ไม่เคยเห็น ‘อสูร’ รูปร่างอัปลักษณ์ในสถานที่สวยงามเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มหาเทพหนุ่มตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ราชาแห่งฟ้ายังกังวลจนต้องกระจายเสียงในตอนแต่งตั้งไปทั่วสวรรค์ เพื่อป้องกันการต่อต้าน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะต้องมานั่งกลัวสายตาของทหารเล็ก ๆ พวกนี้

“อัลวินเตรียมตัว ข้าจะทำอะไรบางอย่างที่นี่” ก่อนที่อัลล์จะทันเข้าใจความหมายของไคซัส มหาเทพหนุ่มก็ตะโกนไปในลานกว้าง “ทหารทุกนายที่อยู่ในกองบัญชาการแห่งนี้ ทุกหน่วย ทุกกรมกอง จงออกมารวมกันที่ลานกว้างด้านหน้าเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่งมหาเทพสงคราม!!!”

เสียงทุ้มต่ำถูกขยายด้วยเวทมนต์ดังกระหึ่มจนอาการทุกหลังสั่นสะเทือน ทรงอำนาจดุจเสียงคำรามพญาพยัคฆ์เขย่าขวัญทุกคนในบินหาย ทหารทุกนายรีบวิ่งไปประจำที่ แม้แต่คนที่กำลังทำงานอยู่ก็ยังรีบถลาออกมา ในขณะที่ไคซัสย่างสามขุมไปยังเวทีตั้งอยู่ด้านในสุดของลานกว้าง ซึ่งน่าประหลาดที่ไม่มีใครวิ่งชนเขาเลยสักตน ผิดกับอัลล์และลูกน้องที่ถูกชนกระเด็นไปตนละหนสองหนจนต้องกางเขตอาคมป้องกันไว้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทหารทั้งหมดสองพันห้านายจากทุกกรมกองที่ปฏิบัติงานในวันนี้ก็มาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามคำสั่ง ระหว่างนั้นไคซัสก็ขึ้นไปคอยท่าบนเวทีแล้ว

“ทหารทุกนาย...” อัลล์ที่อยู่ด้านล่าง หน้าเวทีกำลังอัลล์จะประกาศ แต่ต้องชะงักไปเมื่อไคซัสยกมือห้าม

“ไม่ต้อง ข้าจะพูดไม่ยาวนัก” ไคซัสยังคงขยายเสียงของตนด้วยเวทมนต์อยู่ หากคราวนี้เบาลงพอได้ยินทั่วทั้งลาน “วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของข้า เดิมทีตั้งใจว่าจะยังไม่เรียกรวมตัวทันที เพราะอยากให้พวกเจ้าได้ทำใจกันอีกสักนิด แต่ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็ไม่อยากเสียเวลา”

เขาเว้นช่วงกวาดตามองทหารแถวหน้าซึ่งเป็นประหนึ่งตัวแทนของทหารในที่นี้ ทุกนายทอดมองเขาดั่งตัวประหลาด ขาดความเชื่อถือ และไม่มีความเคารพยกย่องตามสมควรแก่ฐานะของเขา

“ข้ารู้ว่าสำหรับที่นี่ ข้าเป็นตัวประหลาด แต่นั่นไม่ได้ลดทอนอำนาจของข้าในฐานะ ‘มหาเทพสงคราม’ ช้าคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพแห่งนี้ ซึ่งข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติได้ทำหน้าที่นี้ด้วย ฉะนั้นข้าจึงหวังว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนกับข้า มีเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะทหาร ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าเคารพนับถือข้า สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่ ‘จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด’ ใครก็ตามที่เอาเรื่องข้าเป็นอสูรมาอ้างเพื่อละเลยหน้าที่ ข้าจะลงโทษมันผู้นั้นตามความผิดสูงสุดที่บัญญัติไว้ในกฎอัยการศึก!”

แล้วมหาเทพสงครามก็พยักหน้าให้อัลล์ซึ่งประกาศเลิกแถวทันที ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่เดิมของตนคือคือของติดตามไคซัสไปสำรวจสวรรค์ ถึงตอนนี้ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าเหล่าทหารจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไร เทพอสูรหนุ่มได้แสดงจุดยืนของตนให้เห็นแล้ว ส่วนที่เหลือก็อยู่ที่การตัดสินใจของเหล่าทหารเท่านั้น

-------------------

สวรรค์เป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้ไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้อย่างทั่วถึง ในยุคแรกที่สวรรค์เกิดขึ้นก็เคยถูกเผ่าปีศาจโจมตีมาแล้วหลายครั้ง ราชาของชาวฟ้าองค์ที่สิบสามจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างเขตแดนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ โดยเสาเขตแดนกว่าสองหมื่นต้นที่ปักปันตามแนวชายแดนเป็นสื่อกลาง พวกปีศาจไม่มีทางฝ่าเข้ามาได้อีก ยกเว้นแต่จะบุกมาทางทวารดินที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์

หลังออกมาจากกองบัญชาการกองทัพสวรรค์แล้ว ไคซัสกับผู้ติดตามทั้งสามนายก็เหาะมาสำรวจบริเวณชายแดนด้วยกัน พวกเขาเหาะเหินไปด้วยความเร็วสูงดุจดาวหางที่บินพาดผ่านท้องฟ้า ทั้งกลุ่มจะหยุดก็ต่อเมื่อพบกองทหารลาดตะเวน ไคซัสจะสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่พบเจอทุกครั้งที่ออกทำงาน ซึ่งทุกกลุ่มตอบเหมือนกันหมดว่าทุกอย่างเป็นปกติดี สุดท้ายเทพอสูรหนุ่มก็ตัดสินใจมาที่เสาต้นใหญ่ที่สุดของชายแดนบริเวณนี้

มหาเทพสงครามสั่งให้อัลล์กับลูกน้องรออยู่ห่าง ๆ สั่งให้หัวหน้าทหารหนุ่มอ่านบันทึกเพื่อสรุปย่อให้เขาฟังทีหลังด้วย จากนั้นไคซัสก็วางมือตรงโคนเสาศิลาที่สูงกว่าตัวเขาหลายร้อยฟุต แล้วแผ่พลังของตัวเองเข้าไปตรวจสอบสภาพเขตอาคมโดยตรง อำนาจมนตราสองสายต่อต้านกันไปมา แม้ว่าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็มากพอเห็นกระแสพลังเคลื่อนไหวรอบ ๆ เสาได้อย่างชัดเจน

...เป็นเวลานานหลายชั่วโมงกว่าไคซัสจะสำรวจเสร็จสิ้น เทพอสูรคลายพลังของตนเองแล้วถอยหลังออกมาด้วยท่าทางอ่อนล้า กระแสมนตราที่กระจายออกมาค่อย ๆ จางหายไป

“สภาพเขตอาคมโดยรวมยังคงดูดีอยู่ แต่เสาที่อยู่ทางเหนือหลายต้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว จดไว้ด้วยว่าเรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมสภาสวรรค์” ไคซัสสั่งซึ่งทหารคนหนึ่งรีบจดไว้ทันที “อัลวินสรุปย่อมาสิ”

“ขอรับ” อัลล์ขานรับก่อนค่อยเริ่ม “จากบันทึกช่วงที่ผ่านมาสวรรค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก มีเหตุการณ์ที่พวกปีศาจพยายามทะลวงเข้ามาทางชายแดนที่เปราะบาง โดยไม่ผ่านทวารดินสองสามครั้ง แต่พวกมันทำไม่สำเร็จ เพราะต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหวขอรับ”

“มีการเพิ่มจำนวนการลาดตะเวนขึ้นไหม” ไคซัสถามเสียงเข้ม ดวงตาทอดมองสภาพพื้นที่โดยรอบ หวังหาสัญญาณที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่

“เอ่อ...บันทึกระบุว่าเพิ่มเฉพาะช่วงห้าสิบแรกของการบุกแต่ละครั้ง หลังจากนั้นก็จะลดลงตามลำดับจนเหลือแค่สี่กะในปัจจุบัน แต่ที่ทวานดินมีการเพิ่มจำนวนทหารรักษาความปลอดภัยมากขึ้นขอรับ” อัลล์ตอบโดยเสริมเรื่องที่คิดว่าไคซัสจะถามต่อเข้าไปด้วย

เทพอสูรหนุ่มพยักหน้า “แล้วความเปลี่ยนแปลงจุดอื่น ๆ ในสวรรค์ช่วงพันปีที่ผ่านมาล่ะ”

“แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงขอรับ ยกเว้นจำนวนทหารเทพที่ลดน้อยลงทุกครั้งที่เกิดสงคราม” น้ำเสียงของอัลล์หนักแน่นเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนได้อ่านมา ดวงตาสีม่วงพิจารณาใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจ้านาย “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอเสียมารยาทถาม ทำไมท่านถึงอยากรู้ความเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ขอรับ”

ไคซัสหันมองหน้าคนถามในทันที ไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นความคลางแคลงใจจากสีหน้าของอัลล์ มันเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นเสมอเวลาที่เทพอสูรหนุ่มเสนอหน้าไปยุ่งเรื่องของใคร แต่น้อยคนที่จะกล้าถามเขาแบบนี้

“ตอนฟาเบียนติดต่อมาหาข้า เขาระบุเอาไว้ด้วยว่าการป้องสวรรค์ให้พ้นจากอันตรายเป็นหน้าที่ของมหาเทพสงคราม และข้าคิดว่ามหาเทพแต่ละตนก็มีวิธีการแตกต่างกันไป นี่คือ ‘วิธีของข้า’ อัลวิน”

พูดยังไม่ทันขาดเสียงดีด้วยซ้ำ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างทางตะวันตก ไคซัสจึงตบบ่าอัลล์แล้วชี้ไปยังเมฆสีรุ้งก้อนหนึ่งที่ลอยตัวอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้า

“นั่นอะไร”

“เมฆสีรุ้งขอรับ บางครั้งในตอนกลางวันจะมีเมฆบางก้อนที่ไม่เปลี่ยนสีตามแสง พวกมันจะลอยสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนเรือไม่มีหางเสือ” อัลล์อธิบายพลางเอียงคอฉงนฉงาย “แต่แปลก...ปกติเมฆสีรุ้งจะอยู่ในมหานครหรือไม่ก็ใกล้ตำหนักเทพบรรพกาล ทำไมเจ้าก้อนนี้ถึงมาลอยเท้งเต้งอยู่แถวนี้ได้...”

“ไหนเจ้าบอกข้าว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงในสวรรค์ไงล่ะ” ไคซัสกันมาซัก คิ้วขมวดเข้ากันอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเห็นเมฆแบบนั้นแถวชายแดนนี่อีกไหม”

อัลล์ส่ายศีรษะ “ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้ออกจากมหานครตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน หลังจบสงครามข้าก็ถูกแช่แข็งอยู่ในหน่วยเล็ก ๆ จนกระทั่งถูกย้ายมาอยู่กับท่าน”

มหาเทพสงครามชักสีหน้าผิดหวังทันที เขามองไปที่เมฆก้อนนั้นอีกครั้ง สัมผัสมันด้วยเศษเสี้ยวพลังของตนเองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดจนกระทั่งมันลอยหายไปลับกับตา ทันใดนั้นเองที่ความหนักอึ้งถาโถมลงมาทับสองบ่าของเขา

“พวกเจ้ารู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร” เขาเอ่ยเหมือนถามลอย ๆ

“ไม่เลยขอรับ” อัลล์ตอบตามตรง ลูกน้องของเขาก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ

ร่างสูงใหญ่มีเขาหมุนตัวกลับมาหาผู้ติดตามของตน ใบหน้าคร้ามเข้มดูจริงจังจนน่ากลัว

“ข้าต้องไปงานเลี้ยงของขุนพลอันดับห้าเซย์เรียโน่น่ะสิ”

-------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ kamidere กับคุณ saruttaya - มาต่อให้แล้วนะครับ ^ ^
คุณ teatimes ขอบคุณสำหรับเป็ดเหลืองฮับ เรื่องนี้เขียนจบแล้ว ตั้งใจทยอยลงเรื่อยๆ ไม่ดองแน่นอนครับ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปฐมบท+บทที่ 1 up 18/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 19-08-2013 20:00:46
เรื่องนี้จบแฮปปี้ใช่มั้ยค่ะ? แอบถามนิดนึงงงง เป็นคนไม่ชอบบริโภคดราม่าอะ 5555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 19-08-2013 20:36:05
เม้นก่อนเลยค่า ^^ ชอบมากๆ ขอบคุณที่ลงให้นะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: บวกเป็ดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 20-08-2013 17:20:25
บทที่ 3 เสียงเพลงนำพา

บริเวณขอบชายทางตะวันออกของมหานครแห่งสวรรค์ ยังมีตำหนักลาไซสิโอน่าของขุนพลอันดับห้าอยู่บนภูเขาสูงสลับซับซ้อน หมู่อาคารที่เนรมิตตามแบบบ้านจีนโบราณกระจัดกระจายตามยอดผ้าลดลั่นกันลงไป เชื่อมโยงด้วยทางเดินกับสะพานสายรุ้งที่เสกขึ้นจากไม้ลงรักสีแดงอย่างสวยงาม ตัวเรือนหลักอยู่บนยอดสิงขรสูงที่สุด ซึ่งบัดนี้เปิดไฟสว่างไสว มีเสียงเพลงบรรเลงกระหึ่ม พร้อมต้อนรับแขกทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้

...ทว่าแทนที่บรรดาแขกจะได้สนุกสนานกับการดื่มสุราเคล้าชมการแสดงที่เซย์เรียโน่จัดหามา ทุกคนกลับเอาแต่จ้องมองแขกคนหนึ่งที่ไม่น่าจะมาร่วมงานด้วยเป็นตาเดียวกัน

ไคซัสซึ่งแต่งชุดเต็มยศสีดำสนิทขลิบขอบสีแดงสดนั่งอยู่ในมุมสงบของห้องจัดเลี้ยง บนโต๊ะของเขาเต็มไปด้วยสำรับอาหารคาวหวานและสุราชั้นเลิศที่เทพรับใช้ของตำหนักนี้จัดมารับรองอย่างสมเกียรติ ขาดแต่เพียงผู้ร่วมโต๊ะด้วย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ปรารถนาเชิญใครมาร่วมด้วย แม้ว่าตอนนี้จะอึดอัดกับสายตารังเกียจที่ทิ่มแทงมาจากรอบข้างอย่างมากก็ตาม

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ใครเป็นคนเชิญมา” เสียงซุบซิบแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งด้านข้าง

“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่าอสูรไม่คบเทพ เหมือนที่เราไม่คบหาอสูรไม่ใช่เหรอ” เสียงนี้สนับสนุนมา

“หรือเห็นว่าเป็นมหาเทพสงครามแล้ว จะทำอะไรก็ได้!”

“ไม่หรอก ข้าได้ยินว่าเซย์เรียโน่เชิญมา”

“ต๊าย! เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นน่ะเหรอ บ้าจริงเชียว ทำอะไรไม่รู้จักคิดเลย!”

มหาเทพสงครามแค่นเสียงเฮอะในคอเมื่อได้ยินประโยคนั้น ดูเอาเถิด ขนาดพวกเดียวกันยังไม่ยอมรับกันเอง เพียงเพราะเขาเป็นเด็กที่ไม่ควรเกิดมา นับประสาอะไรกับอสูรอย่างเขา นี่หากไม่ติดว่าเขาต้องการพบกับเจ้าของงานเลี้ยงด้วยเรื่องสำคัญ เขาจะไม่มีวันมานั่งดื่มเหล้ารอคนท่ามกลางสายตาทิ่มแทงแบบนี้แน่!

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งแค้นก็ยิ่งน้อยใจ!

“ท่านขุนพลเทพอันดับห้ากลับมาถึงแล้ว!”

นายทวารประกาศมาจากประตูหน้าทำให้ทุกสรรพเสียงเงียบลงทันใด เหล่าแขกที่มีสีหน้าปั้นปึ่งเมื่อครู่ต่างฉีกยิ้มปรี่ไปยังทิศทางนั้น มหาเทพสงครามส่ายหน้าอย่างเวทนา พวกที่ชอบสอพลอคนอื่นมีอยู่ทุกหนแห่งจริง ๆ แม้แต่สวรรค์ยังไม่เว้น

“ขอบคุณทุกท่านที่มาตามคำเชิญ ตอนนี้หลีกทางให้ข้าก่อน!” เซย์เรียโน่แผดเสียงอย่างทรงอำนาจ ฝูงแขกที่รายล้อมอยู่พลันแหวกเป็นทาง เด็กหนุ่มในชุดคอจีนสีแดงสดจึงเดินมาหาไคซัสได้อย่างสะดวก เจ้าตัวดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ “ยินดีต้อนรับ ขออภัยด้วยที่ปล่อยให้มหาเทพสงครามต้องรอนาน ข้าเพิ่งเสร็จธุระจากตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์พอดี”

“ข้าไม่รังเกียจการรออยู่แล้ว ถึงไม่ค่อยชอบสายตาไร้มารยาทของคนรอบข้างก็ตาม” เทพอสูรหนุ่มอดใจไม่ไหวขบพฤติกรรมของชาวเทพเสียคำหนึ่ง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชาวเทพก็แบบนี้แหละ แค่อยู่บนฟ้าสูงกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา จะลิขิตชีวิตของคนที่อยู่ในโลกต่ำกว่าเยี่ยงไรก็ได้ บ้าบอสิ้นดีเลยเนอะ”

มหาเทพสงครามหันมองหน้าคนพูดที่กำลังหัวเราะอย่างตกใจ ขณะแขกที่ได้ยินพากันหน้าเสีย เจ้าเด็กนี่จะบอกว่าใจกล้าหรือบ้าบิ่นดีล่ะ ถึงจะมีพลังอำนาจและความสามารถสูงส่ง แต่อายุจริงก็แค่สองพันกว่าปีกลับกล้าพูดหักหน้าชาวเทพคนอื่นอย่างง่ายดาย อันตราย...ฟาเบียนกล้าให้เขารับตำแหน่งขุนพลเทพได้ยังไงนะ

“อ๊ะ! ดูเหมือนข้าจะพูดมากไปหน่อย เชิญทุกท่านสนุกกับงานต่อเถอะ” เซย์เรียโน่หมุนตัวไปพูดกับแขกในงาน ใบหน้าชื่นมื่นคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดนตรีเริ่มบรรเลง การแสดงเริ่มเริงระบำ เทพรับใช้หนุ่มสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเป็นกองทัพยกอาหารกับสุรากลิ่นหอมละมุนออกมารับรองเพิ่มเติม บางคนเข้าควงแขนแขกหญิงแขกชายด้วยรอยยิ้มหวาน ฉอเลาะให้พวกเขากลับไปอารมณ์ดีอีกครั้ง ไคซัสเห็นกระบวนการแก้ปัญหาแล้วนับถือ

ครั้นบรรยากาศของความสนุกสนานกลับมาแล้ว เซย์เรียโน่ก็ย้ายตัวเองมานั่งข้าง ๆ ไคซัส เทพรับใช้หญิงนางหนึ่งยกกาสุรากระเบื้องเขียนลายมังกรแดงอย่างสวยงามมาให้ที่โต๊ะ ขุนพลอันดับห้าจัดการรินให้แขกคนสำคัญที่สุดของตนทันที

“เชิญดื่ม สุรากานี้ข้าบ่มด้วยตัวเอง หวังอย่างยิ่งว่าท่านจะชอบ”

ไคซัสยกจอกของตนขึ้นดมกลิ่นแล้วดื่ม ของเหลวรสร้อนผ่าวไหลลื่นลงคอจนต้องรีบกลืนลงไป สักครู่กลิ่นดอกเบญจมาศก็ซ่านขึ้นมาที่จมูกสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ดื่มอย่างยิ่ง

“สุราดี” เขาชมอย่างไม่ปิดบัง “แต่เสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากนัก ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องสำคัญ”

ใบหน้าพริ้มเพลาของคู่สนทนาปรากฏรอยเข้าใจทันใด “อ๋อ เรื่องนั้นเอง งั้นเราไปหาที่สงบคุยกันเถอะ” สิ้นเสียงแช่มชื่น เจ้าตัวหยิบจอกสองใบกับกาสุราลุกนำไปก่อน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาถามไคซัส “ว่าแต่ท่านพาใครมาด้วยหรือเปล่า ถ้าพามาก็ให้ตามไปด้วยกันเลย”

“ไม่ ข้ามาที่นี่คนเดียว”

คำตอบทำให้เซย์เรียโน่ทั้งตกใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน แล้วเขาก็ยิ้มกว้างด้วยความชื่นชม

“แจ๋ว ใจถึงแบบนี้สิดี ข้าชักจะชอบท่านซะแล้ว!” พูดทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดีเสร็จก็พาแขกออกจากงาน

---------------------------

สถานที่เงียบสงบของเซย์เรียโน่ก็คือ เรือนเล็กที่อยู่ด้านหลัง ริมสระน้ำที่มีฝูงปลาคราฟหลากสีแหวกว่ายอย่างเพลิดเพลิน ห่างจากตัวเรือนใหญ่พอได้ยินเสียงเพลงจากงานเลี้ยงคลอเบา ๆ บังตาอีกชั้นด้วยแนวต้นไผ่สีเงินที่ส่องแสงนวลตา

ไคซัสได้รับเชิญให้นั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่ระหว่างเซย์เรียโน่ไปเปลี่ยนชุด เทพรับใช้หญิงจัดสำรับให้พร้อมสรรพ กาสุราใบเดิมถูกจัดให้วางอยู่ข้างมือเขา นางกลับออกไปในตอนที่เซย์เรียโน่ในชุดสีขาวกลับมาพร้อมหนังสือปกดำเล่มหนึ่ง

“นี่เป็น ‘ของ’ ที่ข้าคิดว่าท่านกำลังอยากได้ มหาเทพไคซัส” ขุนพลเทพอันดับห้าวางมันลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ตัวแขกคนสำคัญ

“เจ้ารู้หรือว่าข้ากำลังหาสิ่งใดอยู่” ไคซัสย้อนถามทันที เนื่องจากตนยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องการสิ่งใด

“หึ! ข้าเป็นขุนพลอันดับห้าเชียวนะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้” เด็กหนุ่มยิ้มแป้นแล้วก็อธิบายเสริมเมื่อไคซัสหรี่ตาคาดคั้น “ในบรรดาทหารที่ท่านเจอวันนี้ มีกลุ่มหนึ่งอยู่ในสังกัดของข้า ตัวหัวหน้ามาบอกว่าเจอท่านระหว่างทาง แถมวันนี้ท่านตรวจสอบสภาพเขตอาคมของสวรรค์ด้วย ขุนพลเทพที่เหลือตกใจกันใหญ่ ท่านรู้ไหมคนที่จะแตะต้องเขตอาคมได้มีแต่พวกเราเท่านั้น”

“ข้าได้รับอนุญาตจากฟาเบียนแล้ว” ไคซัสตอบ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่เปิดช่องใด ๆ

“แน่นอนว่าท่านต้องได้รับอนุญาตอยู่แล้ว...ก็เจ้านั่นเคยไปพบท่านก่อนแต่งตั้งเป็นมหาเทพนี่นา ช่วยเล่าหน่อยได้ไหมว่า พวกท่านคุยอะไรกันบ้าง” เซย์เรียโน่หย่อนระเบิดลูกโต ดวงตาสีโลหิตฉายแววใคร่รู้

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของข้ากับฟาเบียน” เทพอสูรหนุ่มตอบเป็นกลาง เรื่องอะไรจะยอมให้ล้วงความลับง่าย ๆ อาจจะดูเห็นแก่ตัวที่เขามุ่งเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่มันก็เป็นวิธีป้องกันตัวเขากับฟาเบียนที่ดีที่สุด

“แต่ถ้ามหาเทพไคซัสไม่ตอบ ข้าจะไม่มอบ ‘ของ’ ให้นะ” ขุนพลเทพอันดับห้าตั้งเงื่อนไข เขายิ้มมุมปากอย่างท้าทาย ขณะมือรินเหล้าใส่จอกของตนจนเต็ม

มหาเทพสงครามมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเลือดคู่นั้นก็บอกได้ว่าเด็กหนุ่มเอาจริง “ข้าเป็นมหาเทพสงครามนะ...”

“ส่วนข้าก็เป็นขุนพลเทพในสังกัดของฟาเบียน ถ้าเทียบกันแล้วเราสองคนมีฐานะเท่าเทียมกันนะ” เทพมังกรไฟย้อนคำกลับมา ใบหน้าพริ้มเพลายิ้มหวาน ไม่หวาดกลัวกันสักนิด

หาเรื่องกันชัด ๆ! ไคซัสรำพึงในใจแล้วพูดออกไป “ข้าไม่อยากมีปัญหานะ”

“แต่ข้าอยากมี! อยากจะรู้สึกว่าราชาแห่งอสูรที่เขาลื่อว่าเก่งนักหนาจะแน่สักแค่ไหน!”

สิ้นเสียงขุนพลเทพน้อยก็ตวัดมือที่เปลี่ยนสภาพเป็นกรงเล็บมาที่คอของไคซัส เทพอสูรหนุ่มยกแขนขึ้นสกัดไว้พร้อมสะบัดมือไปเพื่อชิงหนังสือเล่มนั้นมา แต่เซย์เรียโน่ก็เร็วกว่า เขาถีบเก้าอี้ให้มหาเทพสงครามเสียหลักก่อนคว้าหนังสือถอยไปหลายก้าว จากนั้นก็วาดมือขึ้นแล้วซัดพลังเวทใส่อีกฝ่ายตรง ๆ ทว่าไคซัสก็ทำลายมันได้ด้วยการตบด้วยกรงเล็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

“เลิกเล่นเดี๋ยวนี้นะ!” เขาคำราม

“ใครบอกว่าข้าเล่นกันล่ะ ข้ากำลังเอาจริงต่างหาก!”

เซย์เรียโน่เรียกดาบเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือแล้วพุ่งใส่ไคซัสอย่างเร็ว ดาบเพรียวบางผกพลิ้วผ่านอากาศราวกับนก ฉกไปยังช่องว่างของเทพอสูรหนุ่มอย่างแม่นยำเหมือนกับงู มหาเทพสงครามไม่อยากมีปัญหาจึงเอาแต่หลบเลี่ยง อีกฝ่ายก็พยายามบีบเขาด้วยการเพิ่มความเร็วขึ้นจนมองไม่เห็นดาบอีกแล้ว มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นที่บอกให้เขารู้ว่าการโจมตีมาจากตรงไหน เห็นดังนั้นร่างเพรียวบางจึงกระโจนใส่ตรง ๆ มือเปื้อนอำนาจสะบัดมาที่ใบหน้าของเขา

“อย่าเอาแต่หลบ ตอบโต้ข้าบ้าง!!”

เสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมผนังเรือนเล็กที่กระจุยตามแรง ต้นไผ่บังตาถูกสายลมพัดล้มระเนระนาดไปทั้งแถว แขกเหรื่อในงานต่างวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะต้องตกใจเมื่อร่างของไคซัสลอยละลิ่วไปตกในส่วนหินข้าง ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปีกเหนือของเรือนใหญ่พอดี เทพอสูรหนุ่มคำรามในคออย่างหงุดหงิดพลางยืนขึ้นเต็มความสูง

ทว่าก่อนที่เทพอสูรหนุ่มจะทันได้ทำอะไร เซย์เรียโน่ก็ยิงพลังเวทสีขาวอันทรงอานุภาพมาจากเรือนเล็กอีกครั้ง ไคซัสแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เขาวาดมือสร้างเกราะอาคมขึ้นรับมันไว้ก่อนจะกระแทกตัวเพียงนิดเดียวเท่านั้น แรงปะทะที่เกิดขึ้นดันตัวไคซัสถอยไปหลายก้าว พลังสองสายต่อต้านกันอย่างรุนแรงจนเกิดสายไฟปะทุออกมาเป็นระยะ เนื่องจากดวงเวทนี้แฝงพลังศักดิ์สิทธิ์อันเป็นปรปักษ์กับอสูรเอาไว้ด้วย มหาเทพสงครามจึงต้องปลดปล่อยพลังบางส่วนมาทานไว้ ส่งผลให้ร่างของเขาแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ก่อนเทพอสูรหนุ่มปัดพลังนั้นทิ้งไปด้านข้างด้วยกำลังทั้งหมดของตน

แต่เพราะมัวแต่ติดพันกับการป้องกันตันเอง ไคซัสจึงไม่ทันสังเกตว่าตนปัดมันไปทางไหน ดวงเวทที่ยังเหลือพลังทำลายลอยไปชนกับชั้นสองของเรือนใหญ่อย่างจัง เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งแล้วซากอาคารก็ปลิวทั่ว แขกเหรื่อในงานต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ท่ามกลางความตื่นตกใจของไคซัสกับเซย์เรียโน่ แล้วเทพอสูรหนุ่มก็เหลือบเห็นเสาต้นใหญ่กำลังล้มไปยังเทพสาวสองคนที่วิ่งหนีออกมาไม่ทัน

“อันตราย!!”

เทพอสูรหนุ่มกระโจนออกไปด้วยความเร็วแสงในเสี้ยวนาทีเดียวกับที่เสาล้มครืนลงมา แขกในงานต่างกรีดร้องและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เซย์เรียโน่จึงรีบมาแก้ไขสถานการณ์อย่างเร่งด่วน เด็กหนุ่มร่ายมนต์เพียงครั้งเดียว ไฟที่ลุกโชนช่วงก็ดับมอดทุกจุด เหล่าเทพรับใช้ก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปค้นหาพวกไคซัสอย่างเร่งด่วน ขณะความวุ่นวายเริ่มแพร่กระจายออกไป

ทว่าหลังเริ่มไปได้ไม่นาน เสาต้นเขื่องที่ล้มลงมาก็เริ่มขยับจากข้างใต้แล้วก็ถูกผลักหลบออกไปโดยน้ำมือของมหาเทพสงครามนั่นเอง

“ทุกคนเป็นอะไรไหม!” เซย์เรียโน่วิ่งตะลุยมาถามด้วยความเป็นห่วงแล้วก็ต้องชะงัก

ไคซัสไม่ได้ตอบ แต่ประคองตัวเทพธิดาที่ตนช่วยไว้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หญิงทั้งสองนางก็เงยหน้าขึ้นเพื่อจะกล่าวขอบคุณ ทว่าพวกนางก็ต้องนิ่งหลังได้เห็นวงหน้ากึ่งอสูรที่เต็มไปด้วยเกล็ดอัปลักษณ์และดวงตาสีส้มที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีขาวเล็กมากมายดูน่าสะพรึง ความตกใจกลัวทำให้พวกนางเผลอกรีดร้องออกมา

“กรี๊ดดด..........ปีศาจ!!”

มหาเทพสงครามถึงกับสถานเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในสภาพใด ร่างสูงเอามือปิดหน้าแล้วข่มพลังทั้งหมดกลับเข้ามาในตัว เมื่อร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วค่อยถอยออกมาห่าง ๆ จากพวกผู้หญิง ซึ่งทำให้พวกนางรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ทั้งสองตนจึงรีบคุกเข่าคำนับให้อย่างสำนึกผิดทันที

“ขะ...ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านมหาเทพสงคราม พวกเรา...”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่พวกเจ้าไม่ตายก็พอแล้ว” ไคซัสตัดบทอย่างเย็นชา เทพรับใช้รีบมาพาตัวพวกนางออกไป ขณะเจ้าของร่างสูงสีแดงหันไปหาคู่กรณีของเขา “ส่วนเจ้า...เซย์เรียโน่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงหาเรื่องข้าแบบนี้ แต่พอเท่านี้เถอะ ไม่อย่างนั้นข้าจะอัญเชิญป้ายทอง!”

ขุนพลเทพน้อยสดับเช่นนั้นก็หน้าเสีย “รู้แล้ว ๆ ข้าเลิกก็ได้!” พูดอย่างเอาแต่ใจพร้อมโยนหนังสือปกดำเล่มนั้นมาให้ “ถือว่าแทนคำขอโทษจากข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเสียหาย ในเมื่อข้าเป็นคนก่อเรื่องก็จะรับผิดชอบและชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอง” ว่าพลางเดินข้ามซากปรักหักพังไปดูอาการของเทพธิดาทั้งสอง ซึ่งตอนนี้เองที่เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นในหัวเขา

‘สวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเทพทั่วไปไม่รู้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้สาเหตุ ข้าหวังว่าท่านจะพบในสิ่งที่ตามหานะ’

เซย์เรียโน่หันมาส่งยิ้มท้าทายให้มหาเทพสงครามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันไปเจรจากับฝูงแขกผู้ไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนไคซัสก็กลับออกมาด้วยสภาพอารมณ์แบบเดียวกัน เขาเหาะขึ้นฟ้าไปจากตำหนักลาไซสิโอน่าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความโกรธและชิงชังกำลังล้นทะลักจนเต็มหัวใจของเขา

เจ้าเด็กนั่น! เซย์เรียโน่จงใจหาเรื่องกันชัด ๆ ...จงใจใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ใส่ดวงเวทที่ยิงใส่ในตอนสุดท้ายด้วย อีกฝ่ายเป็นเทพมังกรย่อมรู้อยู่แล้วว่าพลังนั้นเป็นปรปักษ์กับอสูรที่เกิดในดินแดนเบื้องล่าง ที่สำคัญไคซัสมั่นใจว่าตนกับเซย์เรียโน่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนั้นก่อเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เพื่อทดสอบความสามารถของเขาหรือ?..ฤาเพื่อบีบให้เขาแสดงร่างจริงต่อหน้าทวยเทพทั้งหลาย

ปีศาจ...คำนั้นก้องสะท้อนอยู่ในหัวของไคซัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจใช่ที่อสูรกับปีศาจคล้ายกันในหลายบริบท แต่เขาแตกต่างจากอสูรที่เคยปกครองอย่างสิ้นเชิง บิดามารดาของเขาเป็นเทพอสูรจากสวรรค์ เลือดเนื้อในตัวของเขาเป็นของเทพ ผิดแค่ไม่ได้เกิดในเมืองฟ้าจึงได้ถูกเหยียดหยาม

‘พี่ชาย ข้าเตือนท่านแล้วนะ ขึ้นสวรรค์ไปก็ไม่มีความสุขหรอก!’

จริงอย่างที่เจ้าของคำพูดนั้นว่าไว้ ต่อให้มหาเทพจ้าวสวรรค์รับรองฐานะ แสดงจุดยืนกับเทพรับใช้และเหล่าทหาร แต่ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนความคิดของคนทั้งสวรรค์ได้ นี่แค่วันแรกของการทำงานยังทำให้เขารู้สึกแย่และเหนื่อยล้าขนาดนี้ แล้ววันข้างหน้าจะไม่เลวร้ายกว่านี้หรือ เขาจะทนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่จงเกลียดจงชังเขาไปได้อีกนานแค่ไหน จะไม่มีที่ใดให้เขาได้พักใดได้เลยกระนั้นหรือ

เทพอสูรหนุ่มเหินขึ้นเพื่อจะเร้นกายกับปุยเมฆด้านบน ทันใดนั้นโสตประสาทพลันแว่วยินเสียงดนตรีลอยมากับลม ไคซัสจึงหยุดเพื่อฟังเสียง มันเป็นเสียงของขลุ่ยที่แผ่วเบาจนแทบขาดหาด แต่ยังพอจับท่วงทำนองอ่อนหวานละมุนละไมได้บ้าง บทเพลงนั้นทำให้จิตใจของเขาคลายความว้าวุ่นคล้ายได้รับการเยียวยา

ใครกันมาเป่าขลุ่ยเอาดึกดื่นป่านนี้ ไพเราะเหลือเกิน...

มหาเทพกายสีแดงเริ่มเหาะอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพื่อซ่อนเร้นตัวที่ไหน แต่เพื่อตามหาที่มาของเสียงเพลงเสนาะหูนั้น

---------------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง 2 up 19/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 20-08-2013 17:28:09
- 100% -


อีกฝากหนึ่งของมหานครแห่งสวรรค์อันเกรียงไกร ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียในค่ำคืนนี้เงียบเหงาผิดกับคืนที่ผ่านมาอย่างมาก จอมเทพีจ้าวตำหนักกับเหล่านางกำนัลและลูกศิษย์ต่างเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากที่วุ่นวายกับการจัดเก็บสถานที่มาตลอดทั้งวัน

อาธอสยังไม่ได้กลับที่พัก เนื่องจากเป็นเวรยามดูแลสวนในคืนนี้ เทพหนุ่มนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ในส่วนชั้นนอกของตำหนักหลังจากเดินตรวจตราเสร็จไปรอบหนึ่ง เสียงเพลงในท่วงทำนองอ่อนโยนกังวานไปทั่วขับกล่อมเหล่าเทพทั้งหลายในตำหนักให้หลับฝันดี แต่เป่าไปได้สามเพลงเทพหนุ่มก็หยุดคิดถึงเรื่องวันนี้

หลังออกมาจากตำหนักพาเทร่า ฮาธอสก็กลับมารายงานผล รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอให้จอมเทพีเรเทเชียได้ทราบอย่างละเอียด

‘อย่างนั้นรึ ถ้าเขาไม่อยากให้เรายุ่งด้วยก็อย่าไปยุ่งเลยนะ’ นางกล่าวเช่นนั้นในตอนที่เขาเล่าถึงคำพูดเรื่อง ‘มิตร’ ของมหาเทพสงคราม แล้วนางก็ไล่เขาออกจากห้องเพื่อพักผ่อนต่อ

ทว่าเทพหนุ่มก็ไม่สามารถสลัดคำพูดนั้นออกจากหัวไปได้ เขาจึงเก็บเรื่องนี้มาครุ่นคิดตลอดทั้งวัน กระนั้นต่อให้เปลี่ยนมุมมองใหม่สักแค่ไหน ฮาธอสก็ไม่อาจเข้าใจเจตนาของมหาเทพสงครามผู้นั้นได้อยู่ดี

...และในขณะที่กำลังใคร่ครวญอีกครั้งนั่นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หางตา

“นาซิลลา” เทพหนุ่มหันมองแล้วร้องอย่างประหลาดใจ

เทพจันทราน้อยอยู่ในชุดนอนสีขาวคลุมด้วยเสื้อคลุมขนกว้างแบบจีนสีน้ำเงินเข้ม เรือนผมสีเงินปล่อยยายปรกบ่าดูน่ารักราวกับตุ๊กตา จะมีตำหนิก็แต่ใบหน้าที่ฉายความทุกข์ เด็กสาวย้ายตัวเองไปนั่งข้างตัวชายหนุ่มแล้วก็เอนหัวพิงบ่าของเขา

“ข้านอนไม่หลับ...” นาซิลลาบอกอย่างน่าสงสาร

“ทำไมล่ะ” ฮาธอสถามอย่างใคร่รู้แล้วก็นึกได้ “หรือว่าเจ้าฝันร้ายอีกแล้ว”

อัปสรน้อยพนักหน้า “มันน่ากลัวมากเลย ฮาธอส” เด็กสาวช้อนตามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ความฝันคราวนี้ชัดกว่าคราวก่อนมากเลย ข้าเห็นตัวเองอยู่ในความมืด ตอนพยายามหาทางออกก็ได้ยินเสียงคนเพรียกหา เสียงนั้นบอกกับข้าว่าจะให้ข้าทุกอย่าง ขอแค่ให้ข้าตามไปเท่านั้น แต่ข้ากลัวก็เลยปฏิเสธ ปีศาจมีเขาน่าเกลียดน่ากลัวก็เลยพุ่งออกมาจะฆ่าข้า ข้าพยายามหนีแล้วก็ตื่น”

ร่างเล็กผวากอดแขนเขาแน่น ตัวสั่นดั่งลูกสัตว์ตัวน้อย เทพคนสวนลูบผมปลอบโยนเธออย่างสงสาร เนื่องจากนาซิลลาอุบัติในตำหนักเทพจันทรา เธอจึงมีความสามารถด้านการทำนายเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวมาด้วย แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตของเด็กสาวบังเอิญสื่อกับพลังด้านมืดได้ เธอก็จะฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นกลางดึกแบบนี้เสมอ

“พักหลังมานี่เจ้าฝันบ่อยนะ” ฮาธอสพูดสีหน้าเครียด “ตอนเจ้ากลับตำหนักเทพจันทราได้รายงานเรื่องนี้ให้มหาเทพีบรรพกาลทรงทราบบ้างไหม”

“ข้ารายงานให้หัวหน้านางในของตำหนักนั้นรู้แล้ว แต่มหาเทพีบรรพกาลยังไม่ตื่นจากจำศีล ส่วนหัวหน้านักบวชประจำตำหนักก็หาสาเหตุไม่ได้ ข้าก็เลยต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน” นาซิลลาเบียดตัวชิดชายหนุ่มอีกนิด เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองจึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจของเขา “แต่พอลองคิด ๆ ดูแล้ว ช่วงที่ข้าเริ่มฝันร้ายบ่อยขึ้นเป็นช่วงเดียวกับที่มหาเทพสงครามขึ้นสวรรค์พอดี บางทีเขาอาจจะเป็นคนนำพลังด้านลบเข้ามา”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว อย่าเอาอคติของตัวเองไปตัดสินคนอื่นโดยที่ไม่รู้จักสิ” ฮาธอสแย้งเสียงอ่อน “หากเขาเป็นผู้นำพลังด้านลบเข้ามาจริง เขาก็ไม่มีทางต้านทานพลังด้านลบได้หรอกนะ ที่สำคัญเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเทพอสูรจากสวรรค์ ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับพลังด้านลบได้อยู่แล้ว”

“แต่ว่าเขาเกิดในดินแดนเบื้องล่างไม่ใช่เหรอ อีกทั้งยังเป็นราชาแห่งอสูรมาตั้งหลายพันปี คลุกคลีกับพลังด้านมืดมาตั้งนาน อย่างไรเสียก็ต้องติดตัวมาบ้างสิ” นาซิลลาเถียงเสียงแข็ง “ข้ารู้นะ วันนี้เจ้าไปพบกับเขามา ยอมรับเถอะว่าเขาเป็นคนน่ากลัว”

เทพคนสวยถอนใจเฮือก “ใช่! เขาเป็นคนน่ากลัว แต่มันก็แค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น เนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว” ฮาธอสช้อนคางเด็กสาวขึ้นมองตา “อย่าเพิ่งคิดมาก นาซิลลา เรื่องอาจจะไม่ได้เห็นอย่างที่เจ้ากังวลก็ได้ มา! ข้าจะเป่าขลุ่ยให้ฟัง เจ้าจะได้อารมณ์ดีขึ้นไงล่ะ”

นาซิลลาได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มหน้าบาน “จริงเหรอ” เทพหนุ่มพยักหน้า “อื้ม! ข้าจะตั้งใจฟังเลยล่ะ”

ฮาธอสหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเอาขลุ่ยจรดกับริมฝีปากอีกครั้ง เพียงครู่มันก็เปล่งเสียงเพลงหวานซึ้งทำลายความสงัดของสวน ท่วงทำนองอ่อนช้อยเรียบลื่นดุจสายน้ำที่ไหลชโลมจิตใจของผู้ฟัง มนตราที่แฝงอยู่ในบทเพลงนั้นช่วยคลายความว้าวุ่นในใจของเด็กสาวได้ยังดี ใบหน้างอ ๆ ของนาซิลลาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่เจ้าตัวยังคงซบอิงเขาอยู่ ไม่ยอมขยับไปไหน รู้จักกันมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยแก้ไขนิสัยนี้ของเจ้าหล่อนได้เลย กระนั้นจะดันตัวออกไปตอนนี้ก็น่าสงสาร

แต่ตอนที่กำลังจะขึ้นเพลงที่สามนั่นเอง เทพหนุ่มรู้สึกถึงบางอย่างตรงหางตาซ้าย ต้นสนแดงที่เขาแต่งเป็นพุ่มไหวขยับไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน มีบางอย่างซ่อนอยู่ตรงนั้น ฮาธอสรีบลุกขึ้นเอาตัวบังนาซิลลาไว้ทันใด

“ใครน่ะ!” เขาตะโกนออกไป ส่วนนาซิลลาลุกมาเกาะหลังเขาอย่างตกใจ “ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกทหาร!”

“เดี๋ยวก่อน!” เสียงทุ้มต่ำทรงพลังที่ตอบกลับมานั้นทำให้ฮาธอสนิ่งงัน ร่างสูงใหญ่ที่มีเรือนผมสีเทาจางกับเขาสีดำยาวโง้งค่อย ๆ เดินออกมาโดยยกมือให้เห็นว่าไม่มีอาวุธอื่นใด นอกจากหนังสือปกดำที่ถือติดมาด้วยเท่านั้น เทพคนสวนกับอัปสรจันทรามองเขาด้วยความตกใจสุดขีด

“กรี๊ดดด...!!” เด็กสาวพยายามกรีดร้อง แต่ฮาธอสรีบปิดปากของเธอไว้ก่อน ขณะไคซัสยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม บุรุษเทพทั้งสองมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาก่อนชายผมทองจะปล่อยมือจากนาซิลลา

“อย่าเสียงดัง นาซิลลา เจ้ารู้ไหมว่าถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะเสียหายกันทั้งสองตำหนักนะ” ฮาธอสเตือน เทพจันทราสาวเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ชายหนุ่มจึงเหลียวไปหาแขกไม่ได้รับเชิญบ้าง “ท่านมหาเทพสงครามมาทำอะไรที่นี่ขอรับ”

“ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าตกใจ แต่ระหว่างทางกลับตำหนักบังเอิญได้ยินเสียงขลุ่ยที่เพราะมาก ข้าก็เลยลองตามเสียงมาจนถึงที่นี่” ไคซัสตอบ ค่อนข้างตกใจที่ตัวเองทำให้เทพทั้งสองตนนี้ตื่นตระหนก

“ตามเพลงมาหรือ มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยรึ” นาซิลลาที่แอบอยู่ข้างหลังฮาธอสพูดขึ้นมา เธอโผล่ศีรษะมาดูเขาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

“นาซิลลา ระวังหน่อย ตรงหน้าของเจ้าคือเทพระดับสูงนะ” ฮาธอสเตือนเสียงอ่อน

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก เพียงแต่...” ไคซัสจ้องมองแต่ฮาธอส ดวงตาสีส้มฉายแววครุ่นคิด “เจ้า...ฮาธอส เพลงที่เจ้าเป่าเมื่อกี้ชื่ออะไรหรือ”

“เรียนท่านมหาเทพสงคราม เพลงเมื่อครู่นี้อยู่ในชุดเพลงกล่อมเด็กช่วงฤดูใบไม้ผลิขอรับ ที่ตำหนักนี้มักบรรเลงในตอนกลางคืน เพื่อให้ทุกคนในตำหนักหลับสบาย” ฮาธอสอธิบายด้วยท่าทางอ่อนน้อมเหมือนเคย “อ๋อ ความจริงคนที่จะบรรเลงเพลงตอนกลางคืนจะเป็นจอมเทพีเรเทเชียขอรับ แต่คืนนี้นางเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ข้าที่อยู่ยามเฝ้าสวนจึงต้องรับหน้าที่แทน”

“อ๋อ...” ไคซัสร้องออกมาด้วยความเข้าใจแล้วหมุนตัวมองสถานที่รอบกาย จึงได้เห็นความงามของสวนแห่งนี้ชัด ๆ เป็นครั้งแรก ต้นไม้แต่ละต้นได้รับการคัดเลือกมาปลูกรวมกันอย่างเหมาะเจาะ โดยจัดกลุ่มให้มีการเล่นสีและแสงของแต่ละชนิดได้อย่างลงตัว บุปผชาติราตรีเบ่งบานส่งกลิ่นหอมละเอียดกำจายไปทั่วบริเวณ แม้แต่เขาที่มิได้ชอบดอกไม้เป็นพิเศษยังรู้สึกดีเมื่อได้กลิ่น ส่วนพื้นมีการเล่นสีทางเดินอิฐอย่างมีศิลปะ ประติมากรรมต่าง ๆ ทั้งโคมหินตั้ง รูปปั้น บ่อน้ำพุได้รับการจัดวางอย่างกลมกลืนไปกับต้นไม้ ไม่มีตรงไหนเลยที่ดูขัดหูขัดตา สวนแห่งนี้แสดงถึงศักยภาพของผู้สร้างได้ดีที่สุด

ในขณะที่ไคซัสกำลังกวาดตามองพื้นที่นั้น นาซิลลาก็ดึงแขนเสื้อฮาธอสให้ก้มลงมากใกล้ ๆ ซึ่งเด็กสาวกระซิบถามว่า

“เจ้าไม่กลัวเหรอ”

เทพหนุ่มหันมองอย่างแปลกใจ “ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ มหาเทพสงครามไม่ใช่คนน่ากลัวสักหน่อย เจ้าก็เห็นแล้ว”

“น่ากลัวสิ หน้าตาแบบนี้ น่ากลัวจะตายไป” นาซิลลาตอบตื่น ๆ ไม่กล้ามองหน้าไคซัสตรง ๆ ด้วยซ้ำ

เทพหนุ่มมองหน้าเด็กสาวแล้วนึกอยากสอนอะไรเธอสักอย่าง แต่ก่อนจะทันได้ทำก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาจากทางเดินที่ทอดสู่ตำหนักชั้นใน เทพทั้งสามจึงหันไปมองพร้อมกัน จอมเทพีเรเทเชียกับนางกำนัลกลุ่มใหญ่เดินออกมาด้วยท่าทางตื่นตกใจอย่างมากทีเดียว

“มีเรื่องอะไรกันหรือ สาวใช้ไปบอกข้าว่าได้ยินเสียงนาซิลลาร้อง” จอมนางจ้าวตำนักถามอย่างอกสั่นขวัญแขน เทพหนุ่มกำลังจะตอบ แต่ไคซัสมาจับบ่าห้ามเขาไว้ก่อนก้างออกไปรับหน้านางด้วยตนเอง

“ข้าต้องขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยือนกลางดึกโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าและยังทำให้จอมเทพีกับบ่าวไพร่ต้องตื่นตกใจกันอีกด้วย ข้าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ทราบ พร้อมกันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญอยากได้ความช่วยเหลือจากท่านด้วย”

เพื่อเป็นการยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ของตนเอง เทพอสูรหนุ่มยอมลงทุนก้มหัวให้สตรีที่มียศต่ำกว่าตนเองเลยทีเดียว ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงกับภาพนั้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจอมเทพีที่ตกใจจนลนลานเลยทีเดียว

“เอ่อ! ได้เจ้าค่ะ เชิญตามข้าไปข้างในเลยเจ้าค่ะ”

หญิงสาวผายมือเชิญอย่างร้อนรน ซึ่งเทพอสูรหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วตามนางเข้าไป ปิดท้ายด้วยกลุ่มนางกำนัลที่ตามนางออกมาด้วย ส่วนเอเดลถลาลงมาคว้าแขนฮาธอสกับนาซิลลาหมับ ใบหน้าอวบขึงขังยื่นเข้ามาเกือบชิดทั้งสอง

“พวกเจ้าสองคนก็มาด้วย ‘เผื่อ’ ท่านจอมเทพีจะมีเรื่องต้องถาม!” พูดจบนางก็ดึงตัวทั้งสองคนไปด้วยกัน

---------------------------

แสงไฟภายในห้องฉายเงาสามร่างขึ้นประตูบานคู่บุกระดาษสีขาว นาซิลลาจ้องมองมันประหนึ่งต้องการให้เงานั้นพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อมันขยับไหวโดยไร้คำพูด เทพจันทราคนงามก็ถอนใจแล้วย้ำเท้าตึง ๆ กลับมานั่งข้างฮาธอสที่พิงเสาดูอยู่เงียบ ๆ

“เฮ้อ! จะให้รอไปถึงไหนเนี่ย ข้าง่วงแล้วนะ” เจ้าของเสียงหวานบ่นกระปอดกระแปด

“ถ้าง่วงก็ไปนอนก่อนสิ ข้าจะอยู่ที่นี่เอง อย่างไรเสียนางก็ฟังคำพูดของข้าอยู่แล้ว” อาธอสบอกพลางคิดต่อว่าจอมเทพีรับมือได้ง่ายว่าเด็กสาวหัวดื้อคนนี้เป็นไหน ๆ

“ไม่เอา...” นั่นประไรล่ะ เทพหนุ่มถอนใจยืดยาว ขณะเด็กสาวทิ้งตัวพิงบ่าเขา หน้าเง้างอ “เขาคนนั้นบุกรุกเข้ามาตำหนักยามวิกาล ถ้าว่ากันตามกฎฮาธอสจะถูกทำโทษฐานบกพร่องในหน้าที่ ข้ายอมไม่ได้หรอก”

ชายหนุ่มพ่นลมเฮือก “ไม่หรอก ท่านจอมเทพีไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นนั้น” เขาลูบผมปลอบเด็กสาว น้ำเสียงอ่อนโยนประโลมจิตใจเธอให้คลายความกังวล “เจ้าปล่อยให้จิตใจของตัวเองว้าวุ่นเกินไปแล้ว ผ่อนคลายลงบ้าง”

แต่ดูเหมือนน้ำเสียงที่เคยใช้ปลอบโยนใครต่อใครจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว นาซิลลายังคงทำหน้างอและกอดแขนเขาแน่น ชายหนุ่มส่ายหัวนึกระอาใจกับความดื้อรั้นของเด็กสาวนัก เพราะอย่างนี้แหละตำหนักเทพจันทราถึงไม่ยอมรับตัวกลับไปเสียที พวกนางกำนัลรุ่นพี่คงไม่ค่อยชอบความรั้นของเธอนัก

ขณะนั้นเองที่เงาสองจากสามร่างทำท่าลุกขึ้นแล้วมุ่งตรงมาทางประตู ฮาธอสจึงรีบสะกิดนาซิลลาให้ยืนขึ้นพร้อมกัน เมื่อประตูเปิดเรเทเชียก็ก้าวนำออกมาก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแตกต่างจากตอนที่เข้าไปอย่างสิ้นเชิง แล้วนางก็ต้องประหลาดใจหลังพบว่าเทพรับใช้ทั้งสองตนรออยู่

“อ้าว! ยังไม่ได้ไปนอนอีกหรือจ๊ะ ทั้งสองคน” คำถามของนางไม่เพียงเรียกความสนใจจากพวกฮาธอสเท่านั้น แต่รวมถึงไคซัสที่ก้มหัวออกประตูมาด้วย

“ขอรับ ท่านเอเดลให้พวกเรามาเตรียมตัวไว้ เผื่อว่าท่านจอมเทพีจะมีคำถามเพิ่มเติมขอรับ” เทพคนสวนแจ้ง หัวหน้านางกำนัลพยักหน้ายืนยันกับนายหญิง

“ท่านจอมเทพีจะลงโทษฮาธอสเรื่องตำหนักถูกบุกรุกตอนเขาอยู่เวรไหมคะ” นาซิลลาโพล่งออกมา ฮาธอสหลับตาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

“ทำไมข้าต้องลงโทษฮาธอสด้วยล่ะจ้ะ เขาเป็นแค่เทพผู้ดูแลสวน ไม่ใช่ทหารเสียหน่อย” เรเทเชียยิ้มอย่างอบอุ่นดุจมารดาพลางช้อนหน้าสบตาไคซัส “ข้าฟังเรื่องทั้งหมดจากมหาเทพสงครามแล้ว เขาใช้ความสามารถของตนหลบเลี่ยงสายตาทหารมาถึงในสวน เพื่อฟังเพลงของฮาธอสและได้กล่าวขอโทษในเรื่องนี้แล้วด้วย”

“ฝ่ายข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่านที่ไม่ถือสากับเรื่องนี้และยังรับฟังคำขอร้องของข้าอีก” ไคซัสค้อมศีรษะให้หญิงสาวอีกครั้ง คำพูดที่สุดภาพกับมารยาทอันดีงามที่ไม่น่ามีในเทพอสูรทำให้เรเทเชียอ่อนเป็นขี้ผึ้ง

“พูดอะไรเช่นนั้นคะ สองตำหนักผูกมิตรกันแล้ว เรื่องแค่นี้ย่อมช่วยเหลือกันได้อยู่แล้วค่ะ” จอมเทพีตอบด้วยรอยยิ้มหวานแล้วเหลียวมาหาฮาธอส ซึ่งเหลือบมองใบหน้ายิ้มกริ่มของไคซัสก่อนสบตานายหญิง “ฮาธอส ข้ามีงานใหญ่ที่สำคัญมากอยากให้เจ้าทำ”

“งานอันใดหรือขอรับ” เทพคนสวนถาม

“ข้าอยากให้เจ้าไปช่วยงานที่ตำหนักพาเทร่าสักพักจ้ะ” เรเทเชียตอบด้วยรอยยิ้มหวาน

“เอ๋! ทำไมล่ะเจ้าคะ” เป็นนาซิลลาที่ร้องหน้าตาตื่น “หรือว่านี่เป็นการลงโทษแบบหนึ่ง”

“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว นาซิลลา! ท่านจอมเทพีบอกว่าไม่มีการลงโทษก็คือไม่มีสิ!” เอเดลดุเสียงดังทำให้เด็กสาวเงียบจนได้

“ข้าขึ้นสวรรค์มาคนเดียว ข้ารับใช้ในตอนนี้ก็มีแค่อัลวินกับทหารในสังกัดที่เพิ่งย้ายมาวันนี้เท่านั้น” ไคซัสอธิบาย “ตอนนี้ยังขาดคนดูแลเรื่องอาหารการกินกับที่อยู่ รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยอื่น ๆ ในตำหนักด้วย จะรบกวนคนจากตำหนักเทพจันทราตลอดก็ไม่ไหว ข้าจึงอยากขอแรงฮาธอสกับคนในตำหนักนี้ไปชั่วสักระยะจนกว่าฟาเบียนจะคัดคนมาให้เพิ่มเติมน่ะ อ๋อ! งานนี้ข้ามีที่พักให้แล้วก็จ่ายเบี้ยวัตรตามระเบียบสวรรค์ แต่ถ้าเจ้าทำงานได้ดีก็จะเพิ่มให้เป็นสองเท่า สนใจไหมล่ะ”

“แต่นี่เป็นงานสำคัญจะให้ข้าที่เป็นแค่เทพเล็ก ๆ รับผิดชอบจะดีหรือ” ฮาธอสถาม แววตากังวล

“พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ ฮาธอส” จอมเทพีจ้าวตำหนักก้าวไปจับมือเขาราวกับฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายหนุ่ม “ถึงเจ้าจะเป็นเทพเล็ก ๆ แต่ก็มีความกล้าและความสามารถยิ่งกว่าเทพรับใช้ทุกตนในตำหนักนี้ ที่สำคัญนี่เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้สร้างผลงานไว้สำหรับเลื่อนขั้นในอนาคตนะ”

“แต่ข้า...” ฮาธอสอยากปฏิเสธด้วยไม่ปรารถนาไปจากตำหนักนี้

เรเทเชียกระชับมือเขาแน่นแล้วสบตาจริงจัง “ถือว่าข้าขอร้อง ฮาธอส ทำเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตำหนักเถอะนะ”

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าเริ่มงานทันทีหรอก ฮาธอส” ไคซัสบอก ทุกคนจึงหันมองเขา “ข้าจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัวเจ็ดวัน เมื่อถึงวันที่แปดข้าจะให้คนมารับ ตกลงไหม”

ถึงจะตบท้ายประโยคมาด้วยคำถาม แต่ในความรู้สึกของฮาธอสกลับฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่า ซึ่งเมื่อคิดแบบนั้นเทพหนุ่มจึงค้อมตัวลงอย่างไม่มีทางเลือก

“ทราบแล้วขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านสั่ง” เทพหนุ่มตอบโดยไม่สนใจเสียงร้องตกใจของนาซิลลาเลย

โดยที่ไม่มีใครรู้นั้น ในอกของไคซัสอุ่นวาบเมื่อได้ยินคำตอบรับของเทพคนสวน เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างมาก เพื่อไม่ให้ความยินดีปรีดาแสดงออกทางสีหน้ามากนัก

“ขอบใจมาก” เขากล่าวเสียงนุ่มที่สะเทือนไปถึงหัวใจของคนฟังอีกครั้ง ฮาธอสช้อนตามองหน้าเขา ทว่าเทพอสูรหันไปหาจอมเทพีเรเทเชียพอดี “ขอบคุณท่านด้วยที่กรุณาสนับสนุน ข้ามารบกวนนานเกินไปแล้วคงต้องขอตัวกลับเสียที”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“ไม่ต้องขอรับ ข้าจะไปส่งท่านมหาเทพสงครามเอง”

ฮาธอสแทรกก่อนที่จอมเทพีจะขันอาสาตามมารยาทอันดี ซึ่งนายหญิงพยักหน้าให้อย่างตามใจ เทพคนสวนจึงผายมือเชิญมหาเทพสงครามก่อนเดินนำหน้าไปก่อน ชายทั้งสองมุ่งหน้าไปตามทางเดินโดยไม่พูดอะไรกันเลยจนกระทั่งออกมาถึงสวนที่ฮาธอสพบตัวไคซัส คนสวนผมสีทองจึงหมุนตัวกลับมาหาเขาด้วยแววตาจริงจัง

“ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่เสียมารยาท แต่ข้าจะต้องทำงานให้ท่านแล้วจึงอยากรู้เรื่องนี้ให้ได้” เสียงของเขากระด้างหูนัก “ท่านมหาเทพสงครามเลือกข้าด้วยเหตุผลใดขอรับ”

“หึ! ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง” ไคซัสกระตุกยิ้มอย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าคร้ามเข้มปรากฏแววลับลมคมในชวนให้ค้นหาอีกครา “ข้ามีเหตุผลมากมาย ฮาธอส แต่วันนี้จะบอกแค่ข้อเดียวเท่านั้นก็คือ เจ้าไม่กลัวข้า ไม่กลัวที่จะมองหน้า ไม่กลัวที่จะสบสายตา สำคัญที่สุด...ไม่กลัวที่จะพูดคุยกับข้าอย่างตรงไปตรงมาด้วย”

ระหว่างที่พูดร่างสูงใหญ่ก็ย่างเท้าเข้าใกล้ฮาธอสช้า ๆ ดวงตาสีส้มมองตรงไปที่คนตรงหน้า ซึ่งฮาธอสไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนถึงไม่ถอยหนี ตรงกันข้ามกลับสบสายตาเขานิ่งประหนึ่งต้องมนต์สะกด ในที่สุดเทพอสูรตัวโตก็มาอยู่ต่อหน้าเขา...ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น มือที่ไว้เล็บแหลมยาวยกขึ้นมาด้วยความปรารถนาบางอย่าง แต่เจ้าตัวกลับหยุดกลางทางเสียก่อน

“ตั้งแต่ข้าขึ้นสวรรค์มาไม่มีใครทำสิ่งเดียวกับเจ้า ข้าจึงเลือกเจ้าด้วยเหตุผลนั้นเป็นส่วนหนึ่ง”

ฮาธอสมองหน้าผู้พูดอยู่นานคล้ายต้องการค้นหาความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ ความหมายที่ทำให้ช่องอกข้างซ้ายที่เย็นชืดมานานอบอุ่นขึ้นมาได้ แต่เมื่อไม่พบเขาก็หลุบตาลงพร้อมคำนับให้ไคซัสอย่างอ่อนน้อม

“เข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณสำหรับคำตอบ”

“ถ้าอย่างนั้นอีกเจ็ดวันเจอกันที่ตำหนักพาเทร่านะ” ไคซัสยิ้มอย่างมีหวัง

“ขอรับ” เทพคนสวนหนุ่มน้อมศีรษะรับคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนำทางมหาเทพสงครามไปส่งที่ประตูหน้าตามระเบียบ

แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้เลยว่าในเงามืดตรงทางเดินด้านหลังนั้นมีใครบางคนได้เห็นการกระทำของพวกเขาทั้งหมดแล้ว...

---------------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya เรื่องนี้จบ happy แน่นอนครับ รับรองได้ แถมตอนจบยังทำให้คนเขียนเกือบจมกองน้ำตาลไปแล้วด้วย แต่ว่าจะไปถึงตอนจบได้เนี่ยสิ.......  :mew5:

คุณ kamidere ขอบคุณสำหรับเป็ดครับผม ดีใจจังเลย  :mew3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 20-08-2013 22:31:16
สนุกมาก
ขอติดตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 22-08-2013 18:47:15
เอาแล่วๆๆๆๆ

ล่อลวงเข้าตำหนัก5555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 24-08-2013 18:16:08
บทที่ 4 การประชุมสภาสวรรค์
- 50% -

เวลาเจ็ดวันที่ไคซัสกำหนดให้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ฮาธอสก็ใช้เวลานั้นอย่างมีประโยชน์สูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิต เทพหนุ่มสามารถเกลี่ยกล่อมเพื่อนร่วมงานสองสามตน นางกำนัลอีกสิบตนย้ายไปด้วยกันได้ โดยไม่สนใจกระแสข่าวไคซัสกับเซย์เรียโน่วิวาทกันในตำหนักลาไซสิโอน่าจนเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ขุนพลเทพอันดับห้าถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็ตระเตรียมของที่จะนำไปใช้ในที่ทำงานใหม่ด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นต้นกล้าที่ตั้งใจจะนำไปปลูกที่ตำหนักใหม่นั่นเอง

ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง รถม้ากับเกวียนลอยฟ้าจากตำหนักพาเทร่ามารอรับตั้งแต่เช้า เทพคนสวนหนุ่มกับคนที่จะไปด้วยต่างตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้า โดยมีเพื่อนร่วมตำหนักมาช่วยกันขนย้ายข้าวของให้ด้วย เช้านี้จึงค่อยข้างวุ่นวายพอสมควร และยิ่งโกลาหลขึ้นตอนใกล้ถึงเวลาเดินทาง เมื่อเหล่านางกำนัลในตำหนักล้อมวงกล่าวอำลาฮาธอสอย่างอาลัยอาวรณ์

“จะไปจริง ๆ เหรอ ฮาธอส ที่นี่ขาดเจ้าสักคนก็เหมือนขาดฤดูใบไม้ผลิเลยนะ” หนึ่งในนั้นคร่ำครวญ

“ใช่ ๆ หลายปีมานี้พวกเราอยู่กันอย่างอุ่นใจก็เพราะมีเจ้าอยู่ด้วย แบบนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรใครจะช่วยเหลือกันล่ะ” อีกคนสำทับขึ้นมา

ฮาธอสยิ้มอ่อนใจ “พวกเจ้ากังวลเกินไปแล้ว ก่อนหน้าข้าจะมาตำหนักนี้ก็มาไม่เคยเกิดเรื่องร้ายนะ” เขาชี้แจง “อีกอย่างเมื่อวานนี้ท่านจอมเทพีส่งหนังสือขอกำลังทหารเพิ่มเติมจากมหาเทพจ้าวสวรรค์แล้ว ตัวข้าเองก็ย้ายไปแค่ชั่วคราว เสร็จงานจากทางนั้นก็กลับมาแล้วล่ะ”

“แต่พวกเราไม่อยากให้ไปเลยนี่นา อย่าไปเลยนะ”

แล้วเหล่านางกำนัลก็ส่งเสียงอ้อนวอนดังเซ็งแซ่ เทพคนสวนหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งอย่างทำอะไรไม่ถูก พวกผู้หญิงไม่ว่าจะเผ่าไหนก็เอาแต่ใจเหมือนกันหมดเลยน้า แต่จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นเด็กเอาแต่ใจอีกคนเลยนี่นา

แต่ขณะรำพึงในใจ สายตาก็เหลือบเห็นเรือนผมสีเงินยวงเคลื่อนตัวผ่านไปข้าง ๆ ร่างสูงนิ่งงันแปบแล้วหมุนตัวขวับไปดูภาพน่าตกใจที่สุด นาซิลลากำลังเดินตรงไปยังประตู ที่บ่าข้างหนึ่งสะพายห่อผ้าสำหรับเดินทางไว้ด้วย สองแขนโอบอุ้มเครื่องดนตรีที่ห่อไว้ด้วยผ้าแพรสีน้ำเงิน ชายหนุ่มรีบฝ่าฝูงนางกำนัลไปคว้าบ่าเอาไว้ทันที

“นาซิลลากำลังจะไปไหน!” เขาหมุนตัวเธอกลับมาถาม

“เอาของไปเก็บที่รถม้าน่ะสิ ข้าจะตามฮาธอสไปที่ตำหนักพาเทร่าด้วย” นาซิลลาพูดพร้อมสะบัดตัวออกจากมือเขา “ฮาธอสใจร้ายที่สุด ข้าอุตส่าห์รอ แต่เจ้ากลับไม่ชวนข้าเลย”

“เจ้าเป็นนางกำนัลของที่นี่นะ ข้าจะพาไปด้วยได้ยังไง” ฮาธอสแย้ง

“แล้วพวกนั้นล่ะ!” นาซิลลาชี้ไปที่กลุ่มนางกำนัลห้าคนหกที่ยืนสลอนรอขึ้นรถม้า แล้วหันกลับมามองชายหนุ่มอย่างคาดคั้น “พวกนางก็เป็นนางกำนัลของตำหนักนี้ แต่ทำไมถึงไปได้ล่ะ”

เทพคนสวนถอนใจด้วยสีหน้าหนักอึ้ง คนอื่น ๆ มองเขาอย่างกังวล แต่ไม่ได้เข้ามาช่วย

“พวกนางเป็นนางกำนัลของตำหนักแน่มาตั้งแต่ต้นแล้วจึงสามารถย้ายตามข้าไปได้ แต่เจ้าเป็นเด็กที่ถูกส่งมาจากตำหนักอื่น ข้าจึงไม่สามารถพาไปได้จนว่าตำหนักต้นสังกัดของเจ้าจะอนุญาต” ฮาธอสชี้แจงเหตุผลตามความจริง “เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าบนสวรรค์มีกฎระเบียบอย่างไร ถึงเจ้าจะถูกส่งมาเรียนและได้เข้าสังกัดนางกำนัลของที่นี่ แต่ตัวเจ้าก็ยังอยู่ในการปกครองของตำหนักเก่า ถ้าต้นสังกัดของเจ้าไม่อนุญาตก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอก ฮาธอส” เสียงนี้เป็นของจอมเทพีเรเทเชีย กลุ่มนางกำนัลที่ขวางทางอยู่รีบค้อมตัวหลบไปข้าง ๆ เปิดทางให้จอมนางจ้าวตำหนักเดินมาหาเทพรับใช้คนสนิท ฮาธอสกับนาซิลลาแสดงความเคารพพร้อมกัน “ให้นาซิลลาไปด้วยเถอะนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องต้นสังกัด ข้าจะให้คนนำสารไปแจ้งกับทางนั้นเอง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะ”

“ท่านอนุญาตให้ข้าไปจริง ๆ เหรอคะ ท่านจอมเทพี!” นาซิลลาถาม ใบหน้าเบิกบานทันตา

“อื้ม! รีบเอาของไปเก็บที่เกวียนลอยฟ้าสิจ๊ะ” เรเทเชียบอก เด็กสาวไม่รอช้าถอนสายบัวให้ครั้งหนึ่งแล้วรีบวิ่งเอาของไปเก็บก่อนที่เกวียนซึ่งรออยู่ด้านนอกก่อนที่ฮาธอสจะเริ่มคัดค้านอีกครั้ง

เทพคนสวนมองนาซิลลาวิ่งจากไปแล้วขยับไปใกล้นายหญิง “จะดีหรือขอรับ นาซิลลาน่ะ...”

“เราต่างรู้ว่านาซิลลาถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด” จอมเทพีลดเสียงลงพอได้ยินในกลุ่ม น้ำเสียงติดจะกังวลเล็กน้อย “แต่ในสายตาข้ามันคงเป็นการดีกว่าที่ส่งนางไปอยู่ที่ตำหนักพาเทร่า อย่างน้อยมหาเทพสงครามก็มีศักยภาพในการดูแลนางมากกว่าพวกเรา”

ฮาธอสสดับเช่นนั้นก็พ่นลมออกจากจมูกอย่างเงียบงัน หันมองนาซิลลาที่กลับเข้ามาคุยกับกลุ่มนางกำนัลที่จะย้ายไปพาเทร่าอย่างสนุกสนาน ดวงตาสีน้ำเงินมีรอยกังวลใจเล็กน้อย ทว่าผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เทพชั้นผู้น้อยอย่างเขาก็ได้แต่ก้มหน้ารับเท่านั้น

“ทุกท่านได้เวลาเดินทางแล้วขอรับ!”

ทหารจากพาเทร่าตะโกนบอกจากประตูใหญ่ ฮาธอสกับเหล่าเทพรับใช้ที่จะย้ายไปด้วยกันจึงออกไปรวมกันที่ลานเมฆนอกด้านนอก จอมเทพีเรเทเชียกับเหล่านางกำนัลและเทพรับใช้ที่เหลือตามมาส่งถึงทวารา ซึ่งก่อนออกเดินทางนั้นนางได้ให้โอวาทแก่ทุกคนวัน

“ตอนอยู่ในตำหนักนี้ พวกเจ้าทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ วันนี้พวกเจ้าจะย้ายไปทำงานกับเจ้านายคนใหม่ แม้จะแค่ชั่วคราว ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน ฮาธอสจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเจ้าเมื่ออยู่ในตำหนักพาเทร่า มหาเทพสงครามจะเป็นนายสูงสุดของพวกเจ้ายามอยู่ที่นั้น จงเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาเสมือนเป็นคำสั่งของข้า ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี”

ฮาธอสกับเหล่าข้ารับใช้ที่จะย้ายไปด้วยกันน้อมรับโอวาทนั้นโอวาทนั้นด้วยความเคารพ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถม้าคันใหญ่สองคันที่จอดรออยู่แล้ว ซึ่งทหารที่มารับบอกให้ฮาธอสกับพวกผู้หญิงไปนั่งคันหน้าสุด ส่วนพวกผู้ชายไปอยู่คันหลัง มีเทพชายสองคนไปประจำเกวียนลอยฟ้าที่บรรทุกของเต็มเล่มด้วย

หลังจากทุกคนประจำที่กันหมดแล้ว ขบวนรถม้ากับเกวียนลอยฟ้าก็เคลื่อนตัวออกเดินทางทิ้งตำหนักซิมโฟเนียอาเรียกับผู้คนที่เคยรู้จักไว้เบื้องหลังนำสมาชิกกลุ่มใหม่สู่ตำหนักพาเทร่า บ้านหลังใหม่ของพวกเขา

---------------

รถม้าแล่นแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงจนมองเห็นภาพนอกหน้าต่างเป็นเพียงเส้นแสงหลากสีวิ่งผ่านไปเท่านั้น ฮาธอสนั่งอยู่ในส่วนด้านหน้าข้างคนขับ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนจากประทุนรถข้างหลังอีกทีหนึ่ง เทพหนุ่มเหลียวมองนาซิลลาที่พูดคุยกับเพื่อนนางกำนัลอย่างสนุกสนานอีกทีค่อยหมุนตัวกลับมานั่งดี ๆ

“เป็นห่วงนางหรือขอรับ” ทหารพลขับถามขึ้นมา ฮาธอสจึงหันมองเขาอย่างแปลกใจ

“เอ่อ...นิดหน่อย” เทพคนสวนตอบอย่างไว้ที อีกฝ่ายคงเข้าใจจึงไม่ถามต่อ แต่เป็นเขาเองที่ยังเหลือเรื่องคาใจ “ข้าได้ยินว่ามหาเทพสงครามวิวาทกับท่านขุนพลเทพอันดับห้า ไม่ทราบว่าเขาเป็นไรบ้าง”

“เรื่องนั้นเขาไม่เป็นอะไรมากหรอก ตอนกลับมาก็ดูปลอดภัยดี ไม่บาดเจ็บอะไรเลย มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เข้าใจจึงไม่ได้ลงโทษด้วย”

ฮาธอสหันหน้าหลบไประบายลมหายใจอย่างโล่งอก วันที่ไคซัสลอบเข้าตำหนักมานั้นเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินข่าวว่าเทพอสูรหนุ่มก่อเหตุวิวาทกับเทพมังกรไฟแห่งตำหนักตะวันออกจึงเป็นห่วง แต่เพราะไม่มีข่าวจากทางมหาเทพสงครามเลยถึงต้องถามจากคนในเองเช่นนี้ พอรู้แล้วก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“อันที่จริงพวกเราก็เป็นห่วงเขาขอรับ” ทหารหนุ่มพูดต่อ มือบังคับบังเหียนรถม้าอย่างชำนาญ “วันนั้นน่ะ ท่านอัลวินอาสาไปด้วยแล้ว แต่มหาเทพไคซัสยืนยันว่าจะไปคนเดียว ตอนกลับมาในสภาพชุดเกรียมหน้าเหี้ยม พวกเราก็ตกใจกันแทบแย่”

“ลำบากหน่อยนะ” ฮาธอสเอ่ยอย่างเห็นใจ น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว

“ท่านอาจจะคิดว่าแปลก แต่เขาก็เป็นเจ้านายของเราจะไม่ห่วงเลยก็คงไม่ได้ขอรับ” ทหารหนุ่มหันมายิ้มให้ “ถ้าพวกท่านมองข้ามรูปลักษณ์น่ากลัวของเขาไปได้ก็ดีสินะ พอเห็นตัวตนที่แท้จริงของมหาเทพไคซัสแล้วจะได้ทำงานกับเขาอย่างมีความสุข อา...มองเห็นยอดปราสาทแล้วขอรับ”

ฮาธอสเบือนหน้ากลับไปมองข้างหน้าอีกครั้ง สิ่งที่กำลังปรากฏตัวออกจากก้อนเมฆสีขาวใหญ่ยักษ์คือ ป้อมปราสาทสีเทาที่ตั้งเด่นกลางแผ่นเมฆสีเหลืองนวล ยอดหอคอยสูงตระหง่านตัดแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน ฝูงนกพิราบสีขาวเรียวแถวเป็นลูกศรสามเหลี่ยมบินผ่านไป ภาพนั้นงดงามราวกับภาพสีน้ำมันก็ไม่ปาน เทพหนุ่มจึงหมุนตัวไปดูสาว ๆ ที่ตื่นเต้นกับภาพเดียวกัน ก่อนจะพึมดำตอบทหารพลขับไปเบา ๆ

“นั่นสินะ ข้าเองก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”

--------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 24-08-2013 18:20:11
- 65 -

อีกด้าน...ในลานฝึกชั้นนอกของตำหนักพาเทร่า อัลล์กับทหารสองนายมารอสมาชิกใหม่ที่ลานฝึกซ้อมด้านหน้าอยู่ก่อนแล้ว พวกเขารอจนกระทั่งรถม้ากับเกวียนลอยฟ้าทั้งสี่คันลอยลงมาจอดสนิทบนพื้นก่อนค่อยเข้าไปต้อนรับ ฮาธอนกระโดดลงจากรถม้าตรงมาหาเพื่อนสนิทของตนก่อนใคร

“อัลล์” เขาเรียกพร้อมจับมือทหารหนุ่ม “ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบกันอีก แล้วก็ขอบคุณที่ออกมารับด้วย”

“ด้วยความยินดี มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” อัลล์ตอบพลางเขย่ามือเพื่อนอย่างยินดี “แต่พูดตรงนะ ข้าดีใจที่พวกเจ้ามาช่วย พวกข้าเบื่ออาหารจืด ๆ จากตำหนักเทพจันทราจะแย่อยู่แล้ว นี่มีใครมากันบ้างล่ะ”

ร่างสูงเงยหน้ามองข้ามหัวเพื่อนไปยังกลุ่มนางกำนัลกับเทพรับใช้ที่ทยอยลงมาจากรถ ซึ่งเขาประหลาดใจที่สุดเมื่อเห็นอัปสรสาวผมสีเงินลงจากรถเป็นตนสุดท้าย ตัวเธอเองก็มองเขาด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน

“อัลล์!!” เด็กสาววิ่งตัวปลิวมากระโดดกอดเขาอย่างดีใจ “ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยายตัวเล็กไม่ได้เจอกันตั้งสี่ปี ตัวเล็กเหมือนเดิมเลยนะ” อัลล์กอดเธอแน่น ๆ ครั้งหนึ่งแล้วปล่อยตัวลงพื้น หันไปหาเพื่อน “ไม่คิดเลยนะ ว่าเจ้าจะยอมให้นาซิลลาตามมาด้วย”

“นางดันทุรังจะมาด้วยให้ได้น่ะสิ ท่านจอมเทพีก็อนุญาตแล้วด้วย” ฮาธอสตอบเสียงอ่อน คนถูกพาดพิงค้อนขวับเข้าให้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปเข้าเรื่องแทน “ว่าแต่มหาเทพสงครามล่ะ อัลล์”

หัวหน้าทหารหนุ่มทำหน้านึกได้ “ท่านกำลังเตรียมตัวไปประชุมสภาสวรรค์อยู่ เดี๋ยวจะลงมาหาพวกเจ้าที่นี่เอง”

“แหม! ลงทุนจังเลยนะ อุตส่าห์จะลงมาพบด้วยตนเองเชียว” นาซิลลาค่อนแคะ

เทพคนสวนดึงแขนเธอเข้ามาดุเบา ๆ “นาซิลลาลืมแล้วโอวาทที่จอมเทพีให้ไว้แล้วรึ หากยังพูดจาไม่เคารพมหาเทพเช่นนั้นอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเฉียบขาด

เด็กสาวผมสีเงินช้อนหน้ามองเขาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเลือกมารยาททางสังคมมากกว่าตัวเองเช่นนี้ ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูเผยอออกหวังเถียงกลับ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกกลืนถ้อยคำลงคอด้วยความขมขื่น เธอไม่เข้าใจเลยว่าเทพอสูรตนนั้นดีกว่าเธอตรงไหน ฮาธอสถึงได้เข้าข้าง แค่นินทานิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เห็นต้องดุต้องขู่กันขนาดนี้เลย

เมื่อเห็นว่านาซิลลายอมสงบปากสงบคำแล้ว อาธอสจึงปล่อยมือจากเธอ ส่วนตัวเขาเองก็ใช่ว่าอยากจะดุเด็กสาวให้เสียน้ำใจ แต่เมื่อเธอหลงลืมสถานะของตนแล้วว่าร้ายเทพผู้สูงศักดิ์กว่าก็ต้องเตือนให้รู้ตัวเสียบ้าง แม้แต่อัลล์ยังส่ายศีรษะอย่างยอมรับพฤติกรรมของเทพจันทราน้อยไม่ได้เช่นกัน

“นาซิลลา ถ้าเจ้ายังอยากอยู่กับฮาธอสที่นี่ก็ควรระวังปากไว้” เขาเตือนตรงไปตรงมาตามประสาทหาร “ที่นี่แตกต่างจากตำหนักที่เจ้าจากมามากนัก การปกครองก็ไม่เหมือนกันนะ อีกอย่าง...มหาเทพไคซัสมาถึงแล้ว”

เสียงของเขาขาดห้วงในช่วงเดียวกับที่ทวารชั้นในของตำหนักเปิดออก อัลล์กับทหารผู้ติดตามจึงหลบไปอยู่ด้านข้าง แต่ร่างสูงสีแดงในชุดสีแดงขลิบขอบสีทองที่ก้าวออกมานั้นดูราวกับไม่ใช่ไคซัส ศีรษะของเขาปราศจากเขามังกรอันเป็นเอกลักษณ์ ผมหนาสีเทาจางถูกรวบไว้ที่ท้ายทอยอย่างเรียบร้อย หน้าตา ใบหู รวมถึงมือทั้งสองข้างที่หอบม้วนกระดาษมากมายเหมือนกับมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลือบ่งบอกว่าเป็นเจ้าตัวจริง ๆ คือดวงตาสีส้มสว่างที่มีประกายเกล็ดสีทองในแก้วตา ชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย...รวมถึงคนของเขาเองต่างมองเทพอสูรหนุ่มอย่างตกตะลึง

“ขอโทษที่ทำให้พวกเรารอนานนะ ข้ากำลังเตรียมเอกสารไปประชุมพอดี” ไคซัสตอบพลางยื่นเอกสารให้อัลล์ถือ แต่พอหันมาหาฮาธอสก็เห็นสายตาตื่นตะลึงของอีกฝ่าย เขาจึงก้มมองตัวเองเกรงว่าจะมีอะไรผิดปกติ เมื่อไม่เจอก็เงยหน้าถาม “เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไมรึ ชุดข้ามีอะไรแปลกๆ รึ?

“อ๊ะ! เอ่อ! ไม่มีอะไรแปลกขอรับ” ฮาธอสรู้ตัวก็รีบก้มหน้ากลบเกลื่อนอาการตกใจ เพิ่งจะเคยเห็นเทพที่มีร่างมนุษย์งดงามขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เผลอมองอีกฝ่ายนานไปหน่อย “ขะ...ข้าเพิ่งเคยเห็นร่างมนุษย์ของท่านครั้งแรกก็เลยตกใจนะขอรับ”

ไคซัสกระตุกยิ้ม แววตาแพรวราว “เพราะต้องไปประชุมที่ตำหนักฟาเบียนก็เลยต้องอยู่ในร่างที่สุภาพหน่อยน่ะ” เขาบอก มือหนาลูบตรงที่เคยมีเขาอย่างไม่ชิน “อันที่จริงข้าไม่ได้ใช้ร่างนี้มานานแล้ว ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่นิดหน่อย ยิ่งพอใส่กับชุดที่ออกแบบให้รับกับร่างกึ่งอสูรแล้วยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก”

“ไม่เลยขอรับ ท่านดูดีมากเลยต่างหาก ข้าคิดว่าวันนี้เหล่าขุนนางจะต่อว่าท่านเรื่องเป็นอสูรไม่ได้แล้ว” ฮาธอสปฏิเสธแล้วหันไปหาเพื่อน ๆ ซึ่งบางคนพยักหน้าสนับสนุน มีนาซิลลาคนเดียวที่ทำหน้างอง้ำ

“ข้าภาวนาให้เป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้วกันนะ”

ไคซัสตบบ่าเทพคนสวนเบา ๆ ด้วยความชื่นชม ปากฉีกยิ้มไม่หุบ เขาอยากจะคุยกับฮาธอสต่ออีกนิด แต่ติดที่เวลาประชุมใกล้เข้ามาแล้ว

“เข้าเรื่องกันเลยนะ ขอต้อนรับทุกคนสู่พาเทร่า ที่นี่อาจไม่ได้สวยงามและเงียบสงบอย่างซิมโฟเนียอาเรีย แต่ก็กว้างขวางสะดวกสบาย ข้าให้คนเตรียมเรือนที่พักไว้แล้ว เซบาสเตียนจะเป็นคนนำทางไป” มือใหญ่หนาผายไปยังทหารหนุ่มผมสีม่วงอ่อนซึ่งผงกศีรษะให้ “เขาจะเป็นคนแนะนำเรื่องควรรู้ของที่นี่กับพวกเจ้า ซึ่งข้าต้องขอให้พวกเจ้าปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้น หากอยากรู้เพิ่มเติมมาถามข้าหรืออัลวินก็ได้”

อัลล์ผงกศีรษะบอกตัวตนกับชาวซิมโฟเนียอาเรีย เผื่อว่าบางคนจะยังไม่รู้จักเขา อาธอสยกมือขึ้น

“เอ่อ...ข้าขออนุญาตถามเลยขอรับ ท่านจะให้พวกเราเริ่มงานเมื่อไหร่ขอรับและงานเร่งด่วนอะไรที่ต้องทำก่อนบ้าง”

เทพอสูรหนุ่มกอดอกทำหน้าครุ่นคิด “อันดับแรกก็เป็นงานห้องเครื่อง เพราะข้าแจ้งไปทางตำหนักเทพจันทราที่ดูแลเรื่องนี้แล้วว่าไม่ต้องส่งสำรับมาที่นี่แล้ว ต่อไปก็การทำความสะอาดปราสาทก็อยากให้เริ่มวันนี้เลย ทำได้ทุกห้อง ยกเว้นชั้นสามทั้งหมด ห้องบนหอคอยหลังที่สิบ ห้องทำงานส่วนตัวของข้าที่ชั้นสอง แล้วก็ห้องสมุดใหญ่ปีกตะวันออก ไม่ต้องจัดเวรประจำห้องอาบน้ำด้วย แค่เตรียมน้ำร้อนกับชุดใหม่ให้เสร็จก่อนข้าจะใช้ก็พอ งานสวนเริ่มตอนที่พวกเจ้าพร้อมก็ได้ ทำแค่รอบปราสาทของส่วนในนี่ เพราะลานข้างนอกนี้จะมีทหารมาเพิ่มเติมอีกร้อยกว่านาย ทำสวยงามไปอีกไม่นานก็คงจะเละ และฮาธอส ข้าอยากให้เจ้ามาช่วยข้าทำงานจิปาถะด้วย”

“เอ๋! ช่วยท่านหรือขอรับ” ฮาธอสเบิกตากว้างอย่างไม่คาดฝัน

“อืม หลัก ๆ แล้วก็เป็นเรื่องงานเอกสารกับการดูแลเพื่อนของเจ้า” ไคซัสบอก ดวงตาสีส้มสว่างกวาดมองชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียที่ไม่มีใครยอมสบตาเขาเลยแม้แต่คนเดียว “ธรรมเนียมสวรรค์จะให้หัวหน้าเทพรับใช้ประจำตำหนักเป็นคนดูแลใช่ไหม แต่อัลวินมีงานเต็มมือแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ชินกับการปกครองแบบทหารด้วย ฉะนั้นให้ดูแลกันเองดีกว่า”

ฮาธอสกับชาวตำหนักซิมโฟเนียอาเรียต่างประหลาดใจกับความคิดของไคซัสทั้งสิ้น เพราะปกติเทพรับใช้ไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหนก็ต้องอยู่ภายในการดูแลของหัวหน้าเทพรับใช้ที่ใหม่เสมอ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่เสียอำนาจควบคุม โดยไม่สนใจเลยว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับคนใหม่หรือไม่ แต่มหาเทพสงครามกลับใช้วิธีปรับไปตามกลุ่มบุคคลโดยไม่สนใจธรรมเนียมปกติเลย

“ข้าเข้าใจจุดประสงค์ของท่านแล้วขอรับ ข้ากับทุกคนจะทำงานอย่างเต็มที่” ฮาธอสค้อมกายอย่างอ่อนน้อม

ไคซัสพยักหน้า “ข้าก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ” เขาบอก อัลล์ก้าวมารายงานว่าถึงเวลาไปประชุมแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จัดการแบ่งงานแล้วเอารายงานมาให้ข้าตอนกลับมานะ ไปกันเถอะ อัลวิน”

เรียกพลางเดินฝ่ากลางกลุ่มเทพรับใช้ชั่วคราวที่แหวกทางให้ไปขึ้นรถม้าคันแรกที่พวกฮาธอสใช้เดินทางมาที่นี่อย่างไม่รังเกียจ อัลล์กับทหารอีกคนตามขึ้นไปนั่งด้วยแล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวสู่อากาศวิ่งหายไป ท่ามกลางสายตาอัศจรรย์ใจของเหล่าเทพจากซิมโฟเนียอาเรีย

“อะไรกันเนี่ย มหาเทพอสูรตนนั้น ความคิดผิดกับชาวสวรรค์ทั่วไปเลยนะ” เทพรับใช้คนหนึ่งร้อง

“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” นาซิลลาแทรกเสียงดัง “มหาเทพีบรรพกาลของตำหนักข้าก็คิดอย่างนี้นะ”

“แต่นางเคยทำอะไรใกล้ชิดกับพวกเราอย่างที่มหาเทพสงครามทำไหมล่ะ” เทพคนรับใช้คนแรกย้อนถาม

“นั่นสิ แล้วร่างเมื่อกี้เป็นร่างจำแลงมนุษย์ใช่ไหม ออกจะดูดีขนาดนั้นแท้ ๆ ถ้าจำแลงมาแต่แรกพวกเราคงไม่กลัวกันหรอก” อีกคนสำทับแล้วหันไปหาเทพคนสวน “ฮาธอส! เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหม ถึงได้กล้ามาทำงานที่นี่!”

นาซิลลาก็มองสหายหนุ่มด้วยความสงสัยเช่นกัน ฮาธอสถึงกับถอนใจ

“เรื่องนิสัยข้าพอรู้นิดหน่อย ส่วนร่างจำแลงเพิ่งเห็นวันนี้พร้อม ๆ กับพวกเจ้านั่นแหละ” เขาตอบตามตรง ไม่คิดปิดบัง เพราะไม่มีอะไรจะให้ปิด “แต่ข้าว่าเลิกพูดเรื่องนี้แล้วย้ายของเข้าข้างในเถอะ จะได้เริ่มงานกันสักทีไงล่ะ ท่านเซบาสเตียนช่วยนำทางด้วยขอรับ แล้วก็...นาซิลลาอย่าขนแต่ของตัวเองนะ ช่วยคนอื่นด้วย”

ชายหนุ่มสั่งเสร็จสรรพ โดยไม่ลืมสำทับเด็กสาวผมสีเงินยวงด้วย หลังจากนั้นเขาก็ช่วยเพื่อนคนของและแบ่งหน้าที่งานอย่างไม่สนใจเลยว่าการกระทำของตนจะทำให้นาซิลลาหน้าบึ้งไปทั้งวัน

--------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 3 up 20/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 24-08-2013 18:21:31
- 100% -

ใจกลางมหานครแห่งฟ้านั้นเป็นที่ตั้ง ‘มหาตำหนักเทพสวรรค์’ ซึ่งเปรียบเสมือนพระราชวังอันเป็นศูนย์กลางอำนาจของดินแดนแห่งนี้ ที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน ประกอบส่วน ‘ตำหนักใน’ ที่อยู่ตรงกลาง ล้อมกรอบด้วยเจ็ดหน่วยงานสำคัญอันได้แก่ กรมวังและพิธีการ กรมยุติธรรม กรมการศึกษา กรมการพลาธิการ กรมราชองครักษ์ กรมการปกครองและพลเรือน และกรมข้าหลวง ด้านหน้าตำหนักเป็นลานกว้างสำหรับจัดพิธีการสำคัญต่าง ๆ ของสวรรค์

สถานที่จัดการประชุมสภาคือ ‘โดมทองรำไพ’ ในกรมการปกครองและพลเรือน ขุนนางเทพทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประชุมต่างมารวมตัวกัน ณ ห้องประชุมทรงกลมที่สร้างอัฒจันทร์ที่นั่งสูงลดหลั่นกันลงมาเหมือนห้องประชุมรัฐสภา ซึ่งทั้งหมดตั้งล้อมแท่นยกพื้นติดผนังฝั่งเหนืออันเป็นที่ตั้งบัลลังก์ไม้แกะสลักลามังกรคำรามพยัคฆ์คำรณของมหาเทพจ้าวสวรรค์ไว้อีกที แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาในวันนี้ยังเป็นเรื่องของไคซัสที่วิวาทขุนพลเทพอันดับห้าในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เรื่องที่จะดังยิ่งกว่ากำลังจะเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้เอง

ไคซัสในร่างมนุษย์เดินเข้ามาในห้องประชุมอย่างสง่างาม ข้างหลังนั้นทหารเฝ้าประตูมองตามมาชนิดคอแทบหัก หลังขัดขวางเขากับผู้ติดตามไว้โดยไม่รู้ ทำให้เจ้าตัวต้องแสดงตราประจำตัวยืนยันจึงเข้ามาได้ และเมื่อเหล่าขุนนางเห็นเขาไปนั่งโต๊ะประจำตำแหน่งมหาเทพสงคราม ทุกตนพร้อมใจกันส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ

“ชาวสวรรค์นี่ขี้ตกใจกว่าที่คิดนะ” เทพอสูรบ่นกับอัลล์ ชักรำคาญกับเสียงรอบข้างเสียแล้ว

“เพราะไม่เคยมีใครเห็นท่านในร่างนี้มาก่อนน่ะสิขอรับ ดูสิ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊ที่เคยพบท่านมาแล้วยังตกใจกันเลย” นายทหารหนุ่มชี้ให้ดูเทพนับรบแต่ละตนที่มองไคซัสตาโต

มหาเทพสงครามชักสีหน้าเบื่อหน่าย ทั้งที่ปฏิกิริยาของชาวเทพก็เหมือนกับที่ฮาธอสทำ แต่ไฉนความรู้สึกของเทพอสูรหนุ่มถึงแตกต่างกันสุดขั้วเช่นนี้

“เออ ช่างมันเถอะ ทนมาถึงขั้นนี้แล้วก็จะทนต่อไปแล้วกัน ยังไงซะร่างนี้ก็เป็นร่างเดียวที่จะเข้ามาที่นี่ได้” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว

“เพราะอะไรหรือขอรับ” อัลล์ถาม สีหน้าไม่เข้าใจทั้งปฏิกิริยาและคำถามของเจ้านาย แต่ไคซัสกลับไม่ตอบคำถาม หัวหน้าทหารสบตากับลูกน้องของตนแวบหนึ่งแล้วก็ยืนนิ่งให้มหาเทพสงครามอยู่เงียบ ๆ

หลังจากรออยู่ได้สักพัก มหาดเล็กก็ประกาศการเสด็จของมหาเทพจ้าวสวรรค์ ขุนนางเกือบทุกคนลุกขึ้นถวายบังคมแด่องค์ราชาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ฟาเบียนพร้อมผู้ติดตามทั้งสิบเดินมาที่บัลลังก์ไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นไคซัสยืนตัวตรงอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเพราะตกใจกับภาพลักษณ์ที่ผิดไปจากเดิม หรือการไม่ถวายความเคารพของอีกฝ่ายกันแน่ แต่ราชาแห่งฟ้าก็เลือกที่จะมองข้ามแล้วไปนั่งประจำที่ของตนเอง

“เชิญทุกท่านตามสบาย” ฟาเบียนสั่ง เสียงของเขาถูกขยายด้วยเวทมนต์ เพื่อให้ได้ยินทั้งห้องประชุม ทุกคนนั่งลงพร้อมเพรียงกัน มีแค่ผู้ติดตามเท่านั้นที่ยืนอยู่โดยไม่บังสายตาของขุนนางท่านอื่น ๆ “วันนี้ทุกตนคงได้เห็นแล้วว่ามหาเทพสงครามมาร่วมการประชุมด้วย นี่ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของเขา ฉะนั้นข้าขอให้ทุกคนรับฟังในสิ่งที่เขาเสนอด้วย”

“เรื่องของข้าเอาไว้ทีหลังก็ได้ ข้าอยากเห็นการประชุมของที่นี่ก่อน” ไคซัสพูด เสียงของเขาถูกขยายเช่นกัน

“ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้นล่ะก็...เปิดการประชุมได้”

เพียงสิ้นเสียงของราชาแห่งฟ้า การประชุมสภาสวรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น โดยหัวหน้าราชเลขากราบทูนหัวข้อฎีกาที่ต้องพิจารณาในวันนี้ก่อน จากนั้นขุนนางผู้รับผิดชอบหรือเป็นเจ้าของฎีกาจะลุกขึ้นอธิบายเนื้อหา ตลอดจนความคืบหน้าในเรื่องที่ปฏิบัติไปแล้วต่อที่ประชุมทีละคน แล้วขุนนางที่เหลือจะร่วมกันแสดงความคิดเห็น ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่การถกเถียง แต่ความทั้งหมดนั้นจะถูกฟาเบียนไปประกอบการพิจารณาและตัดสินปัญหาต่อไป เรื่องที่หยิบยกมาพูดเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ แผนการเยียวยาทหารเทพที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับกองทัพปีศาจ

ไคซัสนั่งดูการประชุมโดยไม่ปริปากพูดสักคำ สำหรับเขา บรรยากาศการประชุมของที่นี่ไม่ต่างจากดินแดนที่เขาจากมาเท่าไหร่นัก ผู้ทรงภูมิทั้งหลายต่างแสดงความเห็นของตนอย่างตรงไปตรงมา ต่างกันแค่เมื่อถึงคราวถกเถียงกัน ชาวสวรรค์จะเลือกหยิบเหตุผลมาก่อนอารมณ์ ในขณะที่สภาอสูรมักมีอารมณ์ร่วมด้วยจนเกือบเกิดจลาจลอยู่บ่อย ๆ เทพอสูรหนุ่มจึงมีโอกาสได้เห็นทัศนวิสัยอันกว้างไกลของผู้มีอารยะ โดยเฉพาะจอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์อย่างเต็มที่

ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ‘สายตา’ ที่พวกเขาใช้มองกองทัพปีศาจ...

ในที่สุดการถกเถียงฎีกาฉบับสุดท้ายอันเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณส่วนกลางก็จบลง ถึงเวลาของมหาเทพสงครามตนใหม่แล้ว

“เรื่องอื่น ๆ เราก็คุยกันหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เจ้าแล้วนะ มหาเทพสงคราม” ฟาเบียนเบือนหน้ามาหาเทพอสูรหนุ่ม “มีเรื่องอะไรอยากเสนอต่อที่ประชุมหรือ”

เทพอสูรหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง ซึ่งความน่าเกรงขามของเขาไม่ได้ลงลดลงจากเดิมเลย แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ก็ตาม

“เรื่องที่ข้าอยากจะเสนอมีอยู่สี่เรื่องด้วยกัน” เขาเกริ่นพร้อมใช้เวทมนต์ส่งม้วนฎีกาของตนถึงมือของฟาเบียน “เรื่องแรก ข้าต้องการให้เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนมากขึ้น เรื่องที่สอง ข้าต้องการให้มีการเสริมสัตว์อสูรที่จะใช้ในการรบแนวหน้าให้มากกว่านี้ เรื่องที่สาม ข้าต้องการให้เปลี่ยนเสาเขตแดนที่เริ่มเสื่อมสภาพ และสุดท้ายเรื่องที่สี่ ข้าต้องการปรับวิธีการฝึกทหารสวรรค์ให้เหมือนกับการฝึกทหารอสูร”

ยิ่งไคซัสบอก ‘ความต้องการ’ ของตนเองออกไป เสียงฮือฮาในที่ประชุมก็ยิ่งดังขึ้นจนดังกระหึ่มเมื่อมาถึงเรื่องสุดท้าย หนึ่งในจอมปราชญ์ลุกพรวดขึ้นชี้หน้าเขา

“เจ้าอสูรต่ำช้า เจ้าคิดจะเปลี่ยนสวรรค์ไปเป็นของตัวเองหรือไร!”

“ท่านผู้ทรงภูมิมีเหตุผลอันใดจึงกล่าวหาข้าเช่นนั้น” ไคซัสย้อนถาม น้ำเสียงเยียบเย็นและอำมหิตยิ่ง

“มีแน่นอน เจ้าไม่รู้หรือว่าการเสาเขตแดนแต่ละต้นเป็นตัวกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สร้างอาณาเขตคุ้มครองสวรรค์ หากขาดหายไปแม้แต่ต้นเดียวจะทำให้เขตอาคมอ่อนแอลงจนถูกบุกโจมตีได้ง่ายนะ” จอมปราชญ์ผู้นั้นกล่าว

“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว จึงอยากเสนอให้ใช้เสาเขตแดนขนาดเล็กผูกรวมกันสามต้นขึ้นไปตั้งแทนในตอนที่ยกเสาเขตแดนต้นใหม่แทนที่ เพียงเท่านี้การกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ขาดตอนแล้ว” ไคซัสอธิบาย “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ขอให้ทำตอนนี้ เพราะการสร้างเสาเขตแดนใหม่ใช่เรื่องงาน แต่ข้าเห็นสมควรว่าควรลงมือให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”

“เจ้าจะบอกว่าแค่พลังศักดิสิทธิ์ไม่สามารถหยุดยั้งพวกปีศาจได้อย่างนั้นรึ!” จอมปราชญ์ท่านที่สองช่วยเถียง ขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างส่งเสียงสนับสนุนเต็มที่ ขณะฟาเบียนกับฝ่ายบู๊ยังนิ่งฟังเรื่องให้จบก่อน “ที่สำคัญเสาแต่ละต้นล้วนเป็นเสาเก่าแก่ที่ลงอาคมขลังที่สุดที่เคยมีมา เจ้าคิดว่าจะมีใครทำได้อีก!”

ดวงตาของไคซัสตวัดไปทางฟาเบียนโดยพลัน แต่ไหนแต่ไรมาผู้จะขึ้นเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ได้นั้นจะต้องสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เหนือกว่าเทพตนใด นั่นหมายความว่าฟาเบียนสามารถลงอาคมในเสากั้นเขตได้เฉกเช่นอดีตมหาเทพผู้สร้างเขตแดนนี้ มันเป็นความจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้

“ข้านั้นทราบดีว่าสวรรค์มีขนบธรรมเนียมในเชิงอนุรักษ์สิ่งที่เป็นอยู่มาตั้งแต่ในอดีต ทว่าการตรวจสอบของข้าก็เป็นความจริง เขตแดนบางส่วนเริ่มอ่อนกำลังลงตามสภาพเสาแล้ว ถ้าทิ้งไว้แบบนั้นสักวันต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแน่”

“เจ้ามั่นใจได้ยังไง!” คราวนี้เป็นหัวหน้าจอมปราชญ์ผู้มีเคราสีขาวถามบ้าง

“เพราะเขาเป็นเทพอสูรไงล่ะ” คนที่ตอบไม่ใช่ไคซัส แต่เป็นฟาเบียนที่ควรจะเป็นกลางที่สุดสถานการณ์นี้ “ในวันแรกที่ไคซัสเริ่มงาน เขาได้ทำการสำรวจเขตอาคมแล้ว พลังของเขาตรงกันข้ามกับพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้หาจุดอ่อนของเขตอาคมได้ไม่ยาก เรื่องนี้มีมูลเหตุมากพอ ฉะนั้นข้าจะรับไว้พิจารณา”

จอมปราชญ์ทั้งแปดพร้อมด้วยขุนนางฝ่ายบุ๋นแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที แต่ไคซัสก็ใช่ว่าจะพึงพอใจกับผลที่เกิดขึ้นนั่น เพราะดวงตาสีเขียวมรกตของฟาเบียนยังจ้องมองเขาอย่างกังขา

“แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องปรับวิธีการฝึกทหารใหม่ การฝึกของสวรรค์มันไม่ดีตรงไหน” น้ำเสียงแข็งกระด้างแฝงด้วยความไม่พอใจ

เมื่อนั้นเองที่ขุนนางฝ่ายบุ่นหันกลับมาสนับสนุนองค์เหนือหัวของตนเองอีกครั้ง น่าขำนัก อย่างกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีก็ไม่ปาน

“ช่วงสิบวันก่อนหน้าจะเข้ารับการแต่งตั้ง ข้าได้ดูจากฝึกทหารจากบันทึกเวทที่เก็บเอาไว้ในพาเทร่า สำหรับข้าการฝึกทหารของที่นี่ไร้ที่ติ แต่มันเป็นการฝึกสำรับรบในแดนสวรรค์เท่านั้น!” ไคซัสกล่าว ใบหน้าคร้ามเข้มระบายด้วยความจริงจัง ตอนนี้แม้แต่อัลล์ก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ทหารสวรรค์เอาแต่พึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ กันจนเกินเหตุ ก่อนออกรบมักสะสมพลังนี้ไว้ในตัวสูงเสมอ แต่เมื่อออกสู่สนามรบในแดนมนุษย์ หากไม่ใช่พวกที่มีพลังเวทสูงส่งก็แล้วก็ไม่มีทางคงพลังนั้นได้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่างอย่างสุดขั้วและไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์หนุนตลอดเวลาทำให้พวกเขาเสียความสามารถในการรบอย่างรวดเร็วทุกครั้ง ตัวอย่างของคนที่พึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์มาไปจนทำให้กองทัพเทพเสียทีครั้งใหญ่ก็คือ มหาเทพสงครามคนก่อนไงล่ะ! ถ้าตอนนั้นไม่ได้อัลวินกับเซย์เรียโน่พลิกสถานการณ์ก็คงแพ้ไปแล้ว!!”

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมทันทีที่ไคซัสพูดจบ บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าท่าทางตกใจและไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน พลังศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองสวรรค์มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลกลับกลายเป็นจุดอ่อนของกองทัพในการสู้รบ แถมมหาเทพสงครามคนก่อนก็พึ่งพามันมากเกินไปอีกด้วย อัลล์เบิกตากว้างคล้ายเข้าใจบางสิ่ง

“มีหลักฐานอะไรถึงพูดแบบนี้” หัวหน้าจอมปราชญ์ถาม น้ำเสียงสั่นจากความโกรธ “อย่ามาดูถูกพลังของพวกเรานะ!”

“มีขอรับ!” เสียงอัลล์ร้องขึ้นมา ทุกคนในที่ประชุมรวมถึงไคซัสหันขวับไปหาเขาอย่างไม่คาดฝัน ทหารหนุ่มละล้าละลังอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจพูดออกไป “ไม่ใช่หลักฐาน แต่เป็นพยานขอรับ ก่อนอดีตมหาเทพสงครามวางแผนใช้พลังศักดิสิทธิ์ต่อสู้กับกองทัพปีศาจ ซึ่งในสนามรบเขาก็ปฏิบัติตามแผนการนั้นอย่างเคร่งครัด ข้ากับลูกน้องในสังกัดรวมถึงหน่วยตะลุมบอนก็คอยสนับสนุนเขา แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจู่ ๆ เขาก็ใช้พลังไม่ได้ ทำให้ถูก...”

เสียงของลูกน้องขาดห้วงไป ไคซัสจึงพูดต่อ แต่ด้วยสีหน้าไม่แยแส “...ถูกจอมทัพของฝ่ายนั้นบั่นหัวกระเด็น” มีเสียงกระแอมกระไอดังนั้นดั่งรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบนั้น “แต่ถ้าใช้การฝึกแบบอสูร ซึ่งเน้นให้พึ่งกำลังและความสามารถของตนเองเป็นหลักจะช่วยกลบจุดอ่อนข้อนี้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะชาวเทพแม้จะอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สูญเสียเรี่ยวแรงหรือพลังเวทส่วนตัวตามไปด้วย การเสริมสัตว์อสูรในแนวหน้า นอกจากจะเพิ่มกำลังในการรุกแล้วยังช่วยเสริมแรงในการป้องกันอีกด้วย ถ้าข้าอธิบายขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจ จะหามหาเทพคนใหม่มาแทนก็ได้นะ ฟาเบียน”

“โอหัง!! เจ้ากล้าต่อรองท่านจ้าวอย่างนั้นเรอะ!!” จอมปราชญ์ผู้กราดเกรี้ยวคนแรกชี้หน้าเทพอสูรหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่สะทกสะท้านสักนิด

“พอได้แล้ว!” ฟาเบียนแผดเสียงลั่น กระจกที่บุรอบห้องนั้นถึงกับสั่นสะเทือน ความสงบพลันหวนคืนที่ประชุมในพริบตา มหาเทพจ้าวฟ้าจึงพูดกับไคซัสว่า “มหาเทพสงคราม เรื่องที่เจ้าเสนอเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาทบทวนสักหน่อย หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ” ไคซัสค้อมศีรษะแทนการยอมรับ “ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าด้วย ช่วยรออยู่ก่อน ส่วนท่านอื่น ๆ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเชิญออกไปได้”

เมื่อเป็นพระบัญชาของมหาเทพจ้าวสวรรค์ เหล่าขุนนางทุกคนจึงลุกขึ้นถวายบังคมลาแล้วทยอยออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื่อได้เลยว่าฎีกาที่ไคซัสเสนอในวันนี้จะเป็นหัวข้อสนทนาที่ดังที่สุดในหมู่ขุนนาง และหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วไคซัสก็ลุกจากที่นั่งนำผู้ติดตามทั้งสองไปเข้าเฝ้าราชาแห่งฟ้าใกล้ ๆ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้

“ในวันแต่งตั้งจงใจบอกถึงสายเลือดของตนเองก่อนข้า วันต่อมาก็ตรวจสอบเขตแดนก่อนบอกข้าอีก หนำซ้ำยังวิวาทกับเซย์เรียโน่จนวุ่นวายไปหมด มาวันนี้ยังเสนอเรื่องคอขาดบาดตายกลางที่ประชุมอีก เจ้ากำลังทำให้ตัวเองเป็นตัวปัญหานะ”

“ตัวข้าเป็นตัวปัญหามาตั้งแต่ขึ้นสวรรค์แล้ว ฟาเบียน” เทพอสูรหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระ

ชายผมสีทองระบายลมหายใจหนักอึ้ง “ถ้าเจ้าเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งสภา ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้าสักคำ แต่นี่เจ้าจะทำให้จอมปราชญ์ทั้งแปดมองเจ้าเป็นศัตรู และพยายามหาทางกำจัดนะ” เขาพยายามเตือน

“เรื่องนั้นข้ารู้ดีพอ ๆ กับที่รู้ว่าจอมปราชญ์พวกนั้นจะเห็นด้วยกับข้าในตอนสุดท้าย เพราะสิ่งที่ข้าเสนอไปนั้นได้ผ่านการพิจารณาและหาหลักฐานมาประกอบอย่างรอบคอบแล้ว” ไคซัสบอก

คู่สนทนาของเขาถอนใจยืดยาว เขาลืมไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายคือ ‘ไคซัส’ ราชาแห่งอสูรที่มีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกเบื้องล่าง เทพอสูรที่สามารปราบปรามบรรดาอสุรกายที่ปกครองแดนเถื่อนแห่งนั้นได้อยู่หมัด ทำให้ประชาชนได้สัมผัสกับความสงบสุขที่โหยหามานานได้ และยังทำให้ดินแดนไร้อารยธรรมแห่งนั้นเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้แดนยมโลกที่เป็นเพื่อนบ้าน สำคัญที่สุดเขาเป็นจอมทัพอสูรที่เอาชนะกองทัพปีศาจได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ปัจจุบันนี้แทบจะปราศจากการศึกกีบประเทศเพื่อนบ้านเลยทีเดียว

ทุกเรื่องที่ไคซัสทำนั้น ล้วนแต่ผ่านการไตร่ตรองและศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วทั้งสิ้น เทพอสุรหนุ่มจึงมีความมั่นใจในตัวเองสูง ประกอบกับความดื้อรั้นอันเป็นนิสัยที่พื้นฐานของมังกรทำให้เขาไม่เคยเปลี่ยนความคิดในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว ข้อนี้ฟาเบียนจึงวางใจได้ว่าจนกว่าเขาจะเป็นผู้ปลดอีกฝ่ายออกจากตำแหน่ง ไคซัสก็จะยังทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างเต็มที่ ทว่าขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขากังวลว่านิสัยนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นดาบกลับมาแทงคอเทพอสูรหนุ่มเข้าสักวัน

มหาเทพสงครามพิจารณาท่าทีของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ เขาอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ไม่ยากเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาตระหนักอยู่ตลอดเวลา

“อย่ากังวลไปเลย ฟาเบียน ข้าเจอปัญหาแบบนี้บ่อย ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกนั้นง่าย ๆ หรอก” เขาบอก “เจ้ากับข้าต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป แค่อย่าลืม ‘สัญญา’ ที่ให้ไว้ก็พอ”

ฟาเบียนหน้าเสียเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าจะถูกอ่านใจง่ายขนาดนี้ “รู้แล้วล่ะน่า ข้าไม่ลืมหรอก!” ราชาแห่งสวรรค์พูดเสียงแข็งเล็กน้อย

“เรื่องที่อยากจะพูดมีเท่านี้ใช่ไหม ข้าจะได้กลับไปทำงานต่อ” ไคซัสถามพลางขยับเท่าเตรียมหันหลัง

“อ๊ะ! เดี๋ยว!” ฟาเบียนร้องรั้งตัวไว้ก่อน ร่างสูงจึงหยุดฟัง “เมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะพูดหรอกนะ”

“อย่างนั้นก็พูดเรื่องที่อยากพูดมาสิ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงของไคซัสดีด้วยซ้ำ ฟาเบียนก็ตวัดมือเสกม้วนเอกสารสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ห่างจากปลายจมูกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิ้วเข้มของมหาเทพสงครามจรดเข้าหากันทันใด

“นี่คืออะไร”

“โองการของข้า” ฟาเบียนตอบสั้นๆ ขณะร่างสูงยังจ้องมองมันอยู่ “อีกไม่ช้าโลกมนุษย์ก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สวรรค์เองก็ด้วย ช่วงนั้นจะมีงานประลองสำคัญที่จะจัดขึ้นทุกสามร้อยปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็มาบรรจบในปีนี้พอดี เจ้าภาพมักเป็นแม่ทัพ ขุนพล หรือไม่ก็จอมเทพในสายนักรบโดยหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป”

“ฟาเบียน...” เทพอสูรหนุ่มกดเสียงขู่ ตาหรี่ลงส่อสัญญาณอันตราย อัลล์กับลูกน้องถอยไปก้าวหนึ่งทันใด

“งานคราวนี้เป็นการประลองระหว่างตำหนักเทพต่าง ๆ รวมถึงระหว่างเผ่าพันธุ์ชาวเทพด้วยกันเอง ข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นโอกาสเหมาะที่เจ้าจะได้ทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ บ้าง” ราชาแห่งฟ้าพูดต่อไปอย่างไม่สนใจ “อีกอย่างเราเพิ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มาทำให้ทหารค่อนข้างอ่อนล้า ข้าอยากให้งานคราวนี้ปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขากลับมาและยังเป็นงานฉลองรับตำแหน่งของเจ้าด้วยอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่เห็นด้วย!” ไคซัสแย้ง “พวกทหารคงเสียกำลังใจมากกว่าถ้ารู้ว่าข้าเป็นคนจัด!”

“เจ้าดูถูกทหารสวรรค์เกินไปแล้ว นักรบทุกคนล้วนแต่มีจิตใจที่เข้มแข็งและทะเยอทะยานกันทั้งนั้น ยิ่งเจ้าเป็นอดีตราชาอสูรยิ่งมีคนอยากแสดงความสามารถให้เห็น” ราชาแห่งฟ้ากุมมือพลางวางท่าวางอำนาจ “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว มหาเทพสงครามต้องเป็นเจ้าภาพจัดประลองในคราวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”

ไคซัสเม้มปากพร้อมบิดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าเด็กนี่เป็นอีกคนที่ประมาทไม่ได้ มิใช่ว่าน่ากลัว แต่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งให้เขาทำเรื่องแปลก ๆ แบบไม่ดูสถานการณ์อย่างคราวนี้ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายย้ำว่าเป็นคำสั่ง มหาเทพที่มีศักดิ์ต่ำกว่าอย่างเขาก็ได้แต่ก้มหน้ารับทำเท่านั้น

“รับบัญชา” กล่าวแล้วก็คว้าม้วนเอกสารที่ลอยกลางอากาศมาถือไว้แล้วหันหลังนำคนของตนกลับออกมาจากห้องนั้น ทว่าเดินไปถึงกลางทางเสียงของฟาเบียนก็ดังขึ้นอีกที

“อัลวิน เจ้ารออยู่ก่อน”

อัลล์ช้อนตามองเจ้านายของตนทันที เกรงว่าเขาจะคิดว่าตนมีนอกมีในอันใดกับมหาเทพจ้าวสวรรค์ ทว่าเทพอสูรไม่ได้แสดงอาการอะไรนอกจากพยักหน้าให้ลูกน้องอีกคนตามออกไปเท่านั้น ทหารหนุ่มจึงหมุนตัวกลับไปทางองค์เหนือหัว ความปกคลุมระหว่างพวกเขาจนมีเสียงประตูปิดดังขึ้นเบา ๆ และยืดยาวออกไปอีกเล็กน้อยในตอนที่ฟาเบียนจ้องมองด้วยแววตาเฉียบคมประหนึ่งจะจ้องให้ทะลุไปถึงหัวใจ

“เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นสินะ เป็นอย่างไรบ้าง” คำถามไร้แววความรู้สึก

“กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” อัลล์ตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“เจ้าคงไม่ตำหนิข้าที่ย้ายเจ้าไปอยู่กับไคซัสนะ” ฟาเบียนลุกขึ้นมาหาอัลล์ช้า ๆ

“ไม่ขอรับ ข้าเป็นทหารมีหน้าที่ทำตามคำสั่งอยู่แล้ว” นายทหารหนุ่มค้อมตัวเมื่อร่างโปร่งบางมายืนเอามือไผล่หลังข้างกาย

“งั้นรึ ดีจริง ข้าจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่น้ำเสียงก็เรียบจนเดาใจไม่ออก “ที่ข้ารั้งเจ้าไว้เพราะมีเรื่องสำคัญอยากถาม เจ้าทำงานกับไคซัสมาสักพักแล้ว คิดว่าไคซัสเป็นคนอย่างไร”

สมองของอัลล์ทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อตีความหมายในคำถามที่ฟาเบียนพูดมา น่าเสียดายที่คำตอบหลากหลายเกินกว่าเขาจะเจาะจงลงไปได้ ทหารเทพจึงเลือกตอบอย่างเป็นกลางที่สุด

“เขาเป็นเจ้านายที่ดีสำหรับพวกเราขอรับ”

นายทหารหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าคำตอบของตนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรบ้าง อัลล์เห็นอีกฝ่ายลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตบบ่าเขาดังปั่บ!

“ขอบใจสำหรับคำตอบ” ฟาเบียนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็กลับออกไปพร้อมผู้ติดตาม ทิ้งให้อัลล์งุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คนเดียว

แต่ถ้าสัญชาตญาณนักรอบของชายหนุ่มถูกต้อง คำตอบที่เขาให้ไปเมื่อครู่นี้น่าจะมีความหมายมากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งจะเป็นอะไรเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

อัลล์เอามือลูบหน้าด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สองเท้านำร่างออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกห้องอย่างเร่งด่วน ทว่าพอเปิดประตูออกไปก็ต้องประหลาดใจ หลังพบว่าลูกน้องที่มาด้วยกันรออยู่คนเดียวเท่านั้น

“หัวหน้า!” ทหารหนุ่มร้องพลางวิ่งมาใกล้ เอียงมองเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่าก่อนค่อยเงยหน้ามาพูดด้วย “ท่านจ้าวเรียกตัวไว้ด้วยเรื่องอะไรขอรับ”

“เรื่องเล็กน้อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย” อัลล์ตอบพลางมองซ้ายขวา “มหาเทพไคซัสไปไหนแล้วล่ะ”

“ไปกองบัญชาการแล้วขอรับ สั่งให้ข้ารอตามไปพร้อมกันท่านนี่แหละ” ทหารหนุ่มตอบ รีบเดินตามหัวหน้าไปติด ๆ “เรื่องเมื่อกี้คงทำให้เขาหงุดหงิด ก่อนจะแยกกันเห็นเขากระฟัดกระเฟียดพอดู”

“ถ้าข้าเป็นเขาก็คงจะหงุดหงิดเหมือนกันแหละ รู้ทั้งรู้ว่าคนทั้งสวรรค์ไม่ชอบหน้า ยังจะสั่งทำอะไรแบบนี้อีก” อัลล์ลูบหลังคออย่างตึงเครียดเช่นเดียวกับทหารของเขา

“ท่านคิดว่าเรื่องคราวนี้จะมีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า” ทหารหนุ่มตั้งคำถามน่ากังวลขึ้นมา

“...อา ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” บุรุษผู้เป็นหัวหน้าตอบอย่างจนปัญญา แต่ถ้าสัญชาตญาณนักรบของชายหนุ่มถูกต้อง คำตอบของเขาก็น่าจะมีความหมายบางอย่างสำหรับมหาเทพจ้าวสวรรค์ แต่จะเป็นด้านไหน เขาเองก็ไม่รู้

----------------

ตอนนี้ต้องขออภัยจริงๆ ครับ แบ่งช่วงตอนผิดพลาดไปหน่อยเลยต้องเบิ้ล 3 คอมเมนต์แบบนี้ ต่อไปจะทำใหม่ให้ได้แค่สองครับ

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ขอบคุณครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ m_ _m
คุณ bulldog17 ล่อลวงสำเร็จด้วยล่ะครับ ^ ^" ที่นี่ความสัมพันธ์จะได้คืบหน้าอีกหน่อย (หรือเปล่า?)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 25-08-2013 17:07:43
บทที่ 5 การมาเยือนของเงาดำ
- 50% -

หลังจากจัดของเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว เทพคนสวนหนุ่มก็แบ่งงานให้เพื่อนไปทำตามความสามารถของแต่ละคน ยกเว้นนาซิลลาที่ตอนอยู่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียมีหน้าที่ดูแลเครื่องดนตรีของเอเดล แต่เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ต้องไปช่วยงานปัดกวาดเช็ดถูแทน ฮาธอสรู้ว่ามันเป็นงานที่หนักสำหรับเด็กสาวที่ไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาขลุกกับเขาอยู่ในสวนก็แล้วกัน

เทพหนุ่มอยู่ตรงพื้นที่วางด้านหลังปราสาท ลงมือขุดหลุมเพื่อต้นกล้าด้วยตัวเอง อันที่จริงจะใช้เวทมนต์เสกต้นกล้าให้โตขึ้นตามใจชอบก็ได้ ซึ่งฮาธอสก็ทำเป็นประจำในเวลาที่เร่งรีบ แต่เขาพิสมัยการทำสวนด้วยมือล้วน ๆ มากกว่า ขุดหลุมลงต้นกล้า รดน้ำพรวนดิน และเฝ้าดูทุกวันจนเติบโตเป็นต้นที่สวยงาม เขาตั้งใจจะให้สวนตรงนี้เป็นแบบนั้น ส่วนสวนที่เป็นหน้าเป็นตากว่าจะใช้วิธีปกติ

ฮาธอสทำงานด้วยความเพลิดเพลินจนลืมเวลา ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำในตอนที่อัลล์มายืนริมสวน นายทหารผมสีแดงเพลิงกอดอกมองสหายทำงานงก ๆ ริมฝีปากยกยิ้มสนุกแล้วตะโกนออกไป

“ฮาธอส!”

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงก่อนเงยหน้ามอง พอเห็นว่าเป็นใครก็แหวกลับ “เจ้าบ้า! อย่ามาแบบไม่ให้สุ้มเสียงซี่! ตกใจหมด” เขาวางต้นกล้าที่ประคองไว้ลงหลุมแล้วจัดการกลบให้เรียบร้อย

“ฮึ ฮึ ฮึ โทษที ไม่ได้เห็นเจ้าตั้งใจทำงานมานานแล้วนี่นา” คนตัวใหญ่ทรุดนั่งยองมองดูเพื่อนทำงาน “แต่เย็นขนาดนี้แล้วนะ ยังอยู่ที่นี่อีกหรือ”

ฮาธอสแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วก็ตกใจ “ตายล่ะ ทำงานเพลินไปหน่อย ข้าต้องไปดูพวกห้องเครื่องเตรียมสำรับนี่นา” เขาร้องอย่างตกใจ รีบถุงมือกับผ้ากันเปื้อนของตัวเองออก

“เดี๋ยวข้าไปดูเอง เจ้าไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาเอกสารที่มหาเทพไคซัสสั่งไว้ขึ้นไปให้เขาที่ห้องนอนที” น้ำเสียงที่มีแววกังวลทำให้คู่สนทนาแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นรึ ท่าทางกังวลเชียว” เทพคนสวนถาม ถ้าลองให้อัลล์วิตกแสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก

“มหาเทพจ้าวสวรรค์ทำเรื่องน่ะสิ ทั้งข้าทั้งมหาเทพไคซัสเลย” ทหารหนุ่มตอบ สีหน้าระบายความเครียด รู้ดีว่าไม่สามารถเปิดเผยสิ่งที่เจอมาได้ แต่ก็อยากจะบ่น “ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงโยนเรื่องใหญ่มาให้”

“ฮ่า ๆ ถ้าไม่สะดวกพูดก็ไม่เป็นไร ข้าจะทำหน้าที่ให้ดีแล้วกัน” ฮาธอสยิ้มแห้ง มือตบบ่าเพื่อนอย่างเห็นใจ “มีอะไรที่ข้าต้องระวังเกี่ยวกับการเข้าห้องนอนของมหาเทพไคซัสไหม”

“ไม่มี แค่เคาะประตูตามมารยาทก็พอ ถ้าไม่มีเสียงตอบก็เปิดเข้าไปได้เลย” อัลล์บอกแล้วดึงแขนฮาธอสไว้ก่อนจะเดินไป ใบหน้าเข้มโน้มลงมาใกล้ แววตาจริงจัง “ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจ ข้าไม่ได้ขายเพื่อนนะ ฮาธอส แต่พลทหารประจำตำหนักตามมหาเทพไคซัสมาประจำการแล้ว ข้าต้องดูแลพวกเขา...”

บุรุษผมสีทองยิ่งกว่าเข้าใจความคิดของเพื่อน “ข้ารู้ดี อัลล์ เวลาจอมเทพีเรเทเชียโมโหจัด ๆ พวกผู้หญิงก็ชอบตามข้าไปคุยกับนางแทนเหมือนกัน”

ว่าพลางยิ้มกว้าง อัลล์คงจะคลายความกังวลแล้วจึงยอมปล่อยมือจากเขา ฮาธอสขอตัวกลับห้องพักในอาคารปีกตะวันตกที่สร้างแยกออกมาต่างหาก เชื่อมต่อกับตัวปราสาทด้วยทางเดินที่ชั้นหนึ่งกับสะพานเหล็กดัดบริเวณชั้นสอง ห้องพักของเทพหนุ่มอยู่บนชั้นสองติดบันไดฝั่งเหนือ เขาใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย ตรวจทานรายงานที่ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อเช้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกจากห้องมุ่งหน้าไปพบกับไคซัส จากการแนะนำสถานที่ของเซบาสเตียน เขาจึงทราบแล้วว่าห้องส่วนตัวของมหาเทพสงครามอยู่ที่ไหน ร่างสูงโปร่งก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินทอดยาว เลี้ยวขึ้นบันไดฝั่งตะวันตกขึ้นไปยังชั้นสามของปราสาท

จากที่นี่เขาสามารถมองเห็นลานกว้างของส่วนนอกตำหนักได้ทุกสัดส่วนอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับใช้สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของคนในลานมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ทหารในเครื่องแบบสีดำตัดแดงกว่าหนึ่งร้อยนายกำลังขนสัมภาระไปยังเรือนพักที่อยู่สองข้างลานกว้างนั้น บางส่วนถืออาวุธเดินชักแถวเข้ามาข้างใน น่าจะเป็นเวรอารักขาตำหนัก ยังดีที่พวกเพื่อนของเขารับทราบแล้วว่าจะมีทหารมาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นคงตกอกตกใจกันน่าดู

ในที่สุดฮาธอสก็มาหยุดหน้าประตูบานคู่ไม้ฉลุลายมังกรกับนกฟินิกซ์ซึ่งอยู่ตรงหน้าทางเดินของชั้นสามนั้น เบื้องหลังประตูบานนี้คือ ห้องส่วนตัวของมหาเทพสงครามผู้นั้น ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเพื่อเตรียมใจแล้วเคาะประตู

...

ไม่มีการตอบสนองจากคนในห้อง เทพคนสวนเอียงคออย่างฉงนฉงาย หรือว่าจะไม่อยู่? ฮาธอสชั่งใจอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกว้างที่รวมเอาสามห้องนอนมารวมกันตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้มะค่าสีน้ำตาลแก่อย่างเรียบง่าย หน้าต่างทุกบานปิดสนิททำให้ภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว แสงสว่างที่มีมาจากเทียนไม่กี่เล่มที่ถูกจุดทิ้งไว้ มีการแขวนผ้าม่านไว้บนคานแบ่งห้องออกเป็นสามส่วน ตรงส่วนที่ฮาธอสยืนอยู่นี้ดูเหมือนจะเป็นห้องโถงรับรองแขก เพราะมีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับแขกตั้งอยู่ด้วย และเพราะเห็นแสงไฟจากร่องผ้าม่านทางฝั่งขวา เขาจึงลองเสี่ยงเข้าไปดูในนั้น

“ขออภัยขอรับ”

กล่าวพลางเปิดม่านออก พบว่าข้างหลังนั้นเป็นส่วนของห้องนอน มีเตียงหลังสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง สภาพโดยรวมรกไปด้วยหนังสือและเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกนำมากองกระจายไปทั่ว ขวามือของเขาเป็นโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ถัดไปติดผนังมีฉากตั้งขวางประตูบานคู่ที่เชื่อมไปที่ไหนสักแห่ง มีเสื้อผ้าอาภรณ์พาดอยู่สองสามชิ้น พอหันไปทางซ้ายเขาก็พบมหาเทพสงครามนอนอยู่เก้าอี้ยาว ตอนนี้มหาเทพสงครามกลับมาอยู่ในร่างปกติเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะเตี้ยข้างตัวมีหนังสือ เอกสาร ตลอดจนถึงแผนที่สวรรค์กางทิ้งไว้เต็มไปหมด ตรงริมมีม้วนเอกสารผูกเชือกทองวางทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี

นั่นมัน...โองการจากท่านจ้าวนี่นา... ฮาธอสคิดพร้อมสายตาที่เหลือบไปเห็นบันทึกอีกเล่มที่ปลายโต๊ะอีกด้าน มันกำลังแสดงภาพสวรรค์ในส่วนต่าง ๆ ซึ่งบางจุดเทพคนสวนหนุ่มก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงโปร่งขยับไปดูใกล้ ๆ พอดีกับตัวอักษรสามมิติวิ่งขึ้นมา แม้จะแค่ไม่กี่ข้อความ แต่ก็ทำให้เขาตัดสินใจปิดบันทึกเล่มนั้นเสีย แล้วพบว่าหน้าปกของมันเป็นสีดำ เขาคงต้องรีบลืมเนื้อหาที่เห็นไปให้เร็วที่สุดเสียแล้ว

ถึงตอนนี้สายตาก็วกกลับไปหาคนที่นอนอยู่ ซึ่งเขาเห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าคร้ามเข้มนั้นอย่างชัดเจน เทพหนุ่มจึงวางรายงานในมือลงบนโต๊ะก่อนแล้วอ้อมไปเพื่อช่วยคลายชุดกับถอดร้องเท้าให้อีกฝ่ายได้พักสบาย ๆ

แต่วินาทีที่มือของเขาสัมผัสกับชุดของไคซัส จู่ ๆ มือของคนที่ควรจะหลับสนิทก็พุ่งขึ้นมาคว้ามือฮาธอสกระชากลงไปกองบนลำตัวหนาของคนที่นอนอยู่ เทพคนสวนยันตัวออกตามสัญชาตญาณ ทว่าต้องนิ่งแทบจะทันทีที่รู้สึกถึงบางสิ่งที่เย็นเฉียบใกล้เส้นเลือดใหญ่ที่คอของเขา

“ใคร” เสียงเหี้ยมเกรียมดึงสายตาของเขาไปมองคนเบื้องล่าง ดวงตาสีส้มสว่างอยู่ใกล้แค่คืบจับจ้องมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ขอประทานโทษอย่างยิ่งขอรับ” ฮาธอสพยายามคุมเสียงให้นิ่งที่สุด กระนั้นปลายเสียงก็ยังสั่นอยู่ดี “ข้าน้อย ‘ฮาธอส’ นำรายนามของเทพรับใช้จากซิมโฟเนียอาเรียกับรายงานการแบ่งงานของพวกเขามาให้ขอรับ”

ความตึงเครียดพลันหายไปจากสายตาของคนตรงหน้า ใบหน้าดุดันเอนลงไปอิงหมอนอิงตามเดิม ของเย็น ๆ ที่แนบคออยู่หายไปแล้วมีเสียงเคร้งเบา ๆ ดังขึ้น พอมองตามไปก็พบมีดสั้นเล่มเล็กตกบนพื้น ฮาธอสถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ

“ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้กลัว แต่สัญชาตญาณมันพาไปน่ะ” ไคซัสพูด น้ำเสียงมีรอยเหนื่อยอ่อน

“มิได้ขอรับ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้บอกก่อนจะแตะตัวท่าน” อาธอสพูดหลบสายตา เริ่มรู้สึกหวิวแปลก ๆ ในอก หลังลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายรดรินผิวคอของเขา “ว่าแต่ท่านมีเรื่องยุ่งยากใจอันใดหรือขอรับ ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้”

ไคซัสหายใจแรงอีกครั้ง ความร้อนของมันทำให้คนที่ได้สัมผัสหวามหวิว แปลกจริง เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนี่นา ไฉนถึงเกิดกับมหาเทพสงครามผู้นี้ได้

“ข้าไม่ได้เหนื่อยกายหรอก แต่เหนื่อยใจมากกว่า” เขาเริ่มบ่น “ใครว่าสวรรค์มีแต่ความสงบสุข ข้าขอค้านเลย ตั้งแต่ขึ้นมาจนแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้น ข้ากำลังเตรียมตัวรบกับแปดจอมปราชญ์กับขุนนางทั้งสภา ฟาเบียนดันโยนปัญหาก้อนโตมาใส่ซะนี่ บ้าที่สุด”

“หมายถึงโองการที่วางอยู่ตรงนั้นสินะขอรับ” ฮาธอสขยับตัวลงไปนั่งคุกเข่าข้างล่าง แต่มือของเขายังอยู่ในการเกาะกุมของไคซัส “ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรหรือขอรับ ไม่ทราบว่าข้าจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

มหาเทพสงครามเอาแขนก่ายหน้าผาก ท่าทางจะลืมไปแล้วว่ากำลังจับมือของใครบางคนไว้ด้วย “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เจ้าลองอ่านดูสิ”

ฮาธอสทำท่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ความกระหายใคร่รู้ก็มีชัยเหนือเขา เทพคนสวนหยิบม้วนโองการฉบับนั้นมาดูพร้อมดึงมือของตัวเองคืนจากไคซัสด้วย

ตอนแรกมหาเทพอสูรก็ยื้อไว้ ทว่าฮาธอสก็ดึงดันจะเอามือคืนให้ได้ เขาจึงต้องปล่อยไปด้วยความเสียดายท่วมท้นหัวอก ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนี่ แค่เทพรับใช้คนนี้พูดว่าจะช่วยเหลือ ความกังวลใจของเขาก็มลายหายไปราวกับได้รับการปัดเป่า แถมแค่จับมืออีกฝ่ายไว้ก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก รูปโฉมนั้นก็งดงามจับตาของเขาเป็นยิ่งนัก ชักอยากจะได้มาอยู่ข้างกายจริง ๆ เสียแล้ว

“เอ๋! ท่านจ้าวเอาจริงหรือนี่” ฮาธอสร้องหลังอ่านโองการจบ ใบหน้าคมผินมาหาไคซัสทันใด “เรื่องให้ท่านเป็นเจ้าภาพการประลอง”

เทพอสูรพยักหน้า “ถ้าไม่เอาจริง ข้าคงไม่ได้โองการมาหรอก” เขาบ่นแบบค่อนจะมีอารมณ์ “แล้วข้าควรจะทำอย่างไร เรื่องนี้ใช้วิธีการของพวกอสูรไม่ได้นะ”

“แล้วชาวอสูรทำอย่างไรหรือขอรับ” ฮาธอสถามพาซื่อ

“เราจะใช้วิธีให้คนเก่งที่สุดประกาศหาคู่ประลอง ชาวอสูรกระหายการต่อสู้อยู่แล้ว แปบเดียวก็มาเต็มไปหมด” ไคซัสตอบหน้าตาย คู่สนทนาหัวเราะชอบใจเบา ๆ ร่างสูงใหญ่ขยับพลิกมามองเขา “บอกข้าหน่อยสิ ชาวสวรรค์ทำกันอย่างไร”

“ชาวสวรรค์ชื่นชอบพิธีรีตองขอรับ เพราะมันทำให้ดูยิ่งใหญ่และเป็นหน้าเป็นตาของผู้จัดงาน ก่อนจัดงานจะมีการดูฤกษ์งามยามดีก่อนเสมอ เมื่อกำหนดวันได้แล้วก็กำหนดสถานที่จัดงานต่อ ส่วนใหญ่จะจัดขึ้นที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์นั่นแหละขอรับ จากนั้นก็ส่งเทียบเชิญไปยังตำหนักต่าง ๆ เพื่อสอบถามความพร้อมและส่งรายชื่อผู้เข้าประลองมาในวันที่กำหนด สุดท้ายฝ่ายเจ้าภาพจะเป็นผู้จัดสายผู้เข้าประลอง โดยให้ผู้ชนะเลิศในครั้งก่อนอยู่ในตำแหน่งสูงสุด และมีการให้รางวัลอย่างงามเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ชนะด้วย”

ในขณะที่ฮาธอสให้คำแนะนำ ไคซัสก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ริมฝีปากเป็นกระจับสวยที่สานทอคำพูดนั้นจุดประกายความปรารถนาบางอย่างให้ก่อเกิดขึ้นในใจเขา ทว่าเทพอสูรหนุ่มก็ต้องยับยั้งจิตใจไว้

“เข้าใจล่ะ ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยุ่งยากไม่น้อย อีกไม่ถึงสองเดือนฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึงแล้วด้วย แทบไม่มีเวลาให้เตรียมการเลย” ไคซัสทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าใช้ที่นี่ล่ะ เจ้าจะคิดว่ายังไง สวรรค์เพิ่งผ่านสงครามใหญ่มาได้ไม่นาน หลายวิมานยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จะจัดงานเอิกเกริกก็ใช่ที่ แต่ถ้าจัดในรูปของงานรำลึก ให้ผู้เข้าประลองแสดงความสามารถแทนการชิงชัยเอารางวัลล่ะ แน่นอนว่ายังจะมีการตบรางวัลเหมือนเดิม”

เทพหนุ่มใช้เวลาคิดตามสักครู่แล้วก็ยิ้มกว้าง “ข้าเห็นด้วยขอรับ แต่หลังจากประลองเสร็จแล้ว ข้าอยากให้มีงานเลี้ยงแบบงานใหญ่ เพื่อว่าทุกคนจะได้รู้สึกว่าชีวิตอันสดใสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”

“...เป็นความคิดที่ดี” มหาเทพสงครามเห็นด้วย แต่สีหน้ายังครุ่นคิดไม่เปลี่ยน “แต่ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้แค่ไหน เรื่องหาฤกษ์ข้าทำเองได้ แต่ในส่วนของงานเลี้ยงและอื่น ๆ ข้าไม่ถนัด...” พูดพลางถอนใจฉุนเฉียว “ฟาเบียนเอ๊ย! เอาปัญหาหนักอกมาให้ข้าเสียดาย อยากเห็นข้าอับอายต่อหน้าประชาชีหรือยังไงกัน!”

ฮาธอสจ้องมองคนบ่นอย่างอึ้ง ๆ สีหน้าของเขาตอนนี้แทบไม่เหมือนมหาเทพสงครามที่คนทั้งสวรรค์กลัวนักหนา ทั้งน้ำเสียงกับแววตาดูหนักอกหนักใจไปหมด...จนเขาอดหัวเราะไม่ได้ คนกำลังกลุ้มได้ยินเข้าก็หน้าบึ้ง

“ขำอะไรของเจ้า”

“อ๊ะ! ข้ากำลังคิดว่าคนขึงขังน่าเกรงขามอย่างท่าน ไม่น่าจะบ่นเก่งได้เลยขอรับ” คนฟังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เทพหนุ่มจึงรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปรีบก้มหัวขอขมา “ขอประทานโทษอย่างสูงขอรับ ข้าเผลอตัวหลบหลู่ท่านมหาเทพสงครามเสียแล้ว โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด”

แต่แทนที่ไคซัสจะโกรธ เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าเพิ่งเคยเจอเทพรับใช้ที่กล้าพูดความจริงก็วันนี้แหละ” ลุกขึ้นตบบ่าฮาธอสป้าบ ๆ เทพหนุ่มทำเอาหน้าเหยเกด้วยความเจ็บจนหลังแทบหัก “ข้าถูกใจเจ้ามาจริง ๆ นะ ฮาธอส สนใจย้ายมาประจำที่นี่ถาวรไหม อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าข้าจะออกจากตำแหน่งก็ได้!”

ฮาธอสกุมบ่าพูดเสียงอ่อย “ขอบพระคุณในความเมตตาอย่างสูง แต่ข้าเป็นบ่าวที่จอมเทพีเรเทเชียเมตตาให้การชุบเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย ข้าจึงตั้งใจจะรับใช้จอมเทพีจนถึงที่สุดขอรับ”

หาได้ยากนัก... ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวของไคซัสอย่างชื่นชม ความกตัญญูและซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในวงสังคมอสูร หรือแม้แต่สังคมของเทพด้วยกันเอง ฉะนั้นเทพอสูรหนุ่มจึงชื่นชมในตัวฮาธอสมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ลึกลงไปในใจของเขานั้นบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นช้า ๆ

ทางด้านฮาธอสนั้นเล่า เขาสบสายตาเทพอสูรนิ่ง ยามนี้ดวงตาสีส้มคู่นั้นไม่มีประกายเกล็ดให้เห็นอีกแล้ว แต่มันยังคงเปี่ยมแรงดึงดูดมหาศาลจนเขาไม่สามารถละไปได้อีกเช่นเคน ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ความรู้สึกประหลาดในหัวใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวี เขามีชีวิตอยู่ในภพนี้ยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษยังไม่เคยพบใครที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกได้ขนาดนี้มาก่อน

ทั้งสองฝ่ายต่างสบสายตาของกันและกันอยู่นาน มือใหญ่ของคนที่นั่งบนโซฟายื่นออกไปเพื่อทำอะไรสักอย่างกับคนตรงหน้า แต่แล้วก็ต้องชักมือกลับไปเมื่อนางอัปสรผมสีเงินยวงถือชุดชาเข้ามาพอดี

“อุ๊ย! ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ายกน้ำชามาให้เจ้าค่ะ” นาซิลลาพูดอย่างตกใจ

“ไม่เป็นไร เอาเข้ามา คราวหน้าคราวหลังเวลาจะเข้าห้องใครหัดเคาะประตูก่อนนะ” ไคซัสสอนสั่ง

“จะ...เจ้าค่ะ” นาซิลลารับคำพลางนำชุดน้ำชามาวางตรงที่ว่างบนโต๊ะ ซึ่งนางอาศัยช่วงเวลานั้นส่งสายตาค้อนใส่ฮาธอสอย่างไม่มีเหตุผล แม้ระมัดระวังกิริยาแล้วหากเทพอสูรก็เห็นอยู่ดี หลังจัดชุดชาเสร็จแล้วก็ถอยไปเล็กน้อย “ข้าน้อยขอเรียนถาม ไม่ทราบว่ามหาเทพสงครามจะให้จัดสำรับเย็นที่ไหนเจ้าคะ”

“ที่นี่” ไคซัสตอบทันที เลือกที่จะเก็บความคิดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไว้ในใจ “ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับฮาธอสอีกนิดหน่อย เจ้าออกไปก่อน”

นาซิลลาทำท่าอิดออด อยากจะอยู่กับฮาธอส เทพคนสวนจึงส่งสายตาเฉียบขาดมาให้พร้อมผงกหัวไล่เงียบ ๆ เด็กสาวทำหน้าตูมแล้วเดินออกไปแบบปิดอาการกระฟัดกระเฟียดไม่อยู่ ชายหนุ่มผมทองรอจนได้ยินเสียงปิดประตูดังปังก่อนค่อยหันมาขอขมาเจ้านายคนใหม่

“ต้องขอประทานโทษกับการเสียมารยาทของนาซิลลาด้วยอย่างสูง ข้าอบรมนางไม่ดีพอเองขอรับ”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก นางเป็นเทพจันทรา หากว่ากันตามศักดิ์แล้วนางมีฐานะสูกว่าเทพคนสวนอย่างเจ้าสองขั้น จะสอนสั่งอะไรก็ลำบาก ถูกไหม”

ฮาธอสรู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายเข้าใจสถานภาพของเขา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบใจเลยที่อารมณ์อันหลากหลายหายไปจากสีหน้าของไคซัส ทั้งที่การแสดงความรู้สึกของมหาเทพสงครามน่าดูขนาดนั้นแท้ ๆ

“ว่าแต่ว่าทำไมเทพจันทราถึงไปอยู่ที่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียได้ล่ะ ปกติตำหนักนี้จะหวงคนมากนี่”

“เอ่อ...นาซิลลามีความสามารถด้านร่ายรำขอรับ หัวหน้านางกำนัลของตำหนักโน้นก็เลยส่งมาอยู่กับจอมเทพีเรเทเชีย แต่นางดื้อจะย้ายมาที่นี่ให้ได้ก็เลย...” ฮาธอสตอบ ดวงตาหลุกหลิกไปมากลบอาการตกใจไม่มิด

“อืม เข้าใจล่ะ แต่ต่อไปนี้ข้าอนุญาตให้เจ้ากับอัลวินเข้ามาในห้องนี้ได้แค่สองคนเท่านั้น คนอื่นหากข้าไม่ได้สั่ง ห้ามเด็ดขาด บอกให้คนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ไว้ด้วย” ไคซัสออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด

“ทราบแล้วขอรับ” ฮาธอสรับรู้ว่าตัวเองต่อต้านอำนาจของอีกฝ่ายไม่ได้จึงก้มหน้ารับ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้จึงหยิบรายงานที่นำมาส่งให้มหาเทพอสูร “รายงานที่ท่านขอไว้ขอรับ ข้าทำเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่ามีงานอื่นให้ทำอีกไหมขอรับ”

เทพอสูรหนุ่มทำท่าคิด “...มาช่วยข้าเตรียมงานประลองก็แล้วกัน ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องสวรรค์ ถ้าได้คนที่รู้ธรรมเนียมอย่างเจ้ามาช่วยคงเบาแรงไปได้มาก” เขาว่า หัวสมองของเขาทำงานรวดเร็ว “สถานที่การประลอง ข้าจะใช้ที่นี่รวมถึงงานเลี้ยงด้วย ส่วนวันข้าจะใช้วันที่ดอกซากุระสวรรค์บานเป็นวันประลอง เพราะตามฤกษ์ยามวันนั้นจะเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับสองเดือนข้างหน้า”

“เอ๋! ท่านเลือกโดยไม่ดูปฏิทินก่อนเลยหรือขอรับ” ฮาธอสร้องถามอย่างอัศจรรย์ใจ

“อา...มารดาของเขาเชี่ยวชาญด้านการทำนายเป็นพิเศษ นางให้ข้าท่องจำปฏิทินหมื่นปีของสามโลกมาตั้งแต่เด็ก ๆ และข้าเองก็ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นการหาวันดีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า” ไคซัสตอบ เสียงราบเรียบ ไม่ได้รู้สึกว่าความสามารถของตัวเองพิเศษอะไร “แต่ก่อนอื่นข้าอยากได้ขั้นตอนการจัดงานโดยละเอียด เจ้าช่วยเขียนมาให้ข้าภายในวันพรุ่งนี้ เพื่อวันมะรืนนี้จะได้เริ่มต้นเตรียมงานกันเลย เรื่องของฝ่ายทหารข้าจะให้อัลวินช่วยประสานงานด้วยอีกแรงหนึ่ง ถ้าคนไม่พอ เราค่อยขอมาเพิ่ม ตกลงไหม”

“ขอรับ” เทพคนสวนรับคำอย่างแข็งขัน นึกเสียดายที่ทำให้สีหน้าของไคซัสแสดงอารมณ์ใด ๆ มิได้อีก

“จริงสิ เกือบลืมไปเลย ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่า ‘มหาเทพไคซัส’ ก็แล้วกัน เรียกตำแหน่งมันดูเหินห่างเกินไป” ไคซัสบอกแล้วรีบเสริมเมื่อเทพคนสวนตั้งท่าจะเถียง “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น นี่เป็นคำสั่ง แล้ววันนี้ก็พอเท่านี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว ให้อัลวินเป็นคนยกสำรับเข้ามา”

สั่งเสร็จร่างสูงก็เอนตัวลงนอนที่เดิม เอารายงานของเทพหนุ่มวางบนหน้าอกของตัวเองเผื่อจะได้อ่านหลังจากนี้ ฮาธอสยืนขึ้นช้า ๆ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ไคซัส เขาอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคนตรงหน้า ทว่าติดกำแพงที่อีกฝ่ายสร้างมาขวางไว้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงค้อมศีรษะแล้วถอยหลังจากไปเงียบ ๆ

ครั้นสัมผัสได้ว่าตัวของฮาธอสลงจากชั้นสามไปแล้ว ไคซัสก็ดีดนิ้วให้ชวาลาที่แขวนอยู่เหนือศีรษะพอดีสว่างไสว จากนั้นก็หยิบรายงานที่ฮาธอสให้ไว้ขึ้นมาอ่าน ดวงตาสีส้มกวาดตามรายชื่อมาจนถึงนามของนาซิลลา

เทพอสูรหนุ่มจ้องมองนามนี้อยู่นานก่อนจะลุกมาเปิดบันทึกปกดำยังหน้าที่ตัวเองต้องการ เขาวางมือบนนั้น บริกรรมคาถาบนหนึ่ง ภาพกลุ่มเมฆสีรุ้งลอยอ้อยอิ่งรอบวิหารทรงโรมันในยามราตรีก็ปรากฏขึ้น มีข้อความสั้น ๆ วิ่งขึ้นมาเล่าเรื่องราวของมันให้อ่าน ทำให้เขาทราบวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์นี้ และเมื่อเขาพลิกกระดาษไปอีกหน้า ภาพนางอัปสรผมสีเงินยวงผู้นั้นก็ลอยขึ้นมา ไคซัสพินิจใบหน้านั้นนิ่งก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เสียงทุ้มต่ำพึมทำกลางความเงียบ

“มีตัวปัญหามาอยู่ที่นี่จนได้ ชักจะวุ่นวายเกินไปแล้วนะ”

---------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 25-08-2013 17:09:40
- 75% -

เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า ‘ตัวปัญหา’ ย่องลงบันไดของอาคารที่พักมาอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว ห้องส่วนใหญ่ก็ปิดไฟกันหมดแล้วด้วย เหลือเพียงอัจกลับที่แขวนไว้บนเพดานโถงทางเดินแต่ละชั้น นาซิลลาสวมชุดนอนสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีเบจชะเง้อคอดูแถวทหารยามเดินผ่านไปแล้วก็ยืนตัวตรงไปยังห้องของฮาธอสอย่างสง่างาม มือบางเคาะประตูอย่างมีมารยาท

“เข้ามาได้”

สิ้นเสียงอนุญาต ร่างบางก็เปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง พบว่าฮาธอสกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งตรงกับช่องประตูพอดี เขาเงยหน้ามามองเธอด้วยความแปลกใจ

“ยังไม่นอนอีกหรือ นาซิลลา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างมีเมตตา ทำให้อัปสรน้อยมีความสุขยิ่งนัก “วันนี้ทำงานเหนื่อยมากไหม”

“เหนื่อยมากสิ ต้องปัดกวาดนั่นนี่ ข้าเคยทำซะเมื่อไหร่” นาซิลลาหน้างอ แต่เพราะอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วง เธอจึงไม่บ่นไปมากกว่านี้ “แล้วฮาธอสล่ะ ดึกป่านนี้แล้วยังทำงานอยู่อีกเหรอ”

“อ๋อ ข้ากำลังเขียนขั้นตอนการจัดงานประลองรับฤดูใบไม้ผลิให้มหาเทพไคซัสน่ะ” เทพคนสวนตอบด้วยรอยยิ้ม มือปิดหนังสืออ้างอิงที่ขอยืมมาจากห้องสมุดข้ารับใช้ของที่นี่ไปด้วย

ได้ยินชื่อมหาเทพจ้าวตำหนักเข้า เด็กสาวก็หน้างอ “องค์เหนือหัวคิดอะไรเนี่ย งานประลองรับฤดูใบไม้ผลิถือเป็นงานสำคัญมากเลยนะ เหล่านักรบสวรรค์ต่างก็รองานนี้อย่างใจจดใจจ่อกลับให้อสูรจัด ใครจะมากัน”

“มหาเทพไคซัสก็ไม่ได้เป็นเจ้าภาพนักหรอก เขาเข้าใจดีว่าชาวสวรรค์ไม่ค่อนชอบเขา แต่ท่านจ้าวมีโองการลงมาแล้ว ขัดมิได้” ฮาธอสชี้ประเด็นสำคัญ

นาซิลลายิ่งหน้าง้ำงอกว่าเดิม “ข้าไม่รู้แหละ แต่ขอทำนายเลยว่าไม่มีใครมาหรอก!”

“นาซิลลา” เทพคนสวนเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเสียงอ่อน พอเป็นเรื่องของคนที่ไม่ชอบ เด็กสาวมักแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอ “เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องมหาเทพไคซัสก็แล้วกัน เจ้ามาที่นี่ทำไม” แตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว

อัปสรน้อยทำท่าลังเล “คืนนี้...ข้าขอนอนด้วยได้ไหม ข้าไม่ชินที่แล้วก็...ไม่อยากฝันร้ายด้วย” นัยน์ตาสีเงินคู่สวยช้อนมองชายหนุ่มอย่างเว้าวอน

“ไม่ได้หรอก” ฮาธอสปฏิเสธ สีหน้าลำบากใจ

“ทำไมล่ะ!” นาซิลลาถามเสียงดัง

“เจ้าเป็นหญิง ข้าเป็นชาย จะมาอยู่ร่วมห้อง นอนร่วมเตียงกันได้อย่างไร” เทพคนสวนไม่พูดเปล่า แต่ยังลุกขึ้นดันตัวเด็กสาวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว “รีบกลับห้อง อาบน้ำนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาประชุม”

ขาดคำ ตัวของนาซิลลาข้ามพันธรณีประตูราวกับถูกโยนออกมา เธอรีบหันหลังเพื่อจะคุยกับสหาย แต่ชายหนุ่มก็ปิดประตูใส่หน้าแบบไม่เกรงใจสักนิด เด็กสาวทุบอกตัวเองด้วยความโกรธและไม่อยากเชื่อ ก่อนวิ่งกลับห้องซึ่งอยู่เหนือห้องของฮาธอสพอดี เธอเปิดปิดประตูดังโครมครามแล้วไปทิ้งตัวบนเตียง มือคว้าหมอนมาทุบตีอย่างโมโห จินตนาการว่ามันเป็นชายหนุ่มที่คุยด้วยเมื่อกี้

“บ้า ๆ ฮาธอสบ้าที่สุด!!” บริภาษพร้อมฟาดเหยื่อไส้ขนเป็ดกับฟูกดังป้าบใหญ่ “คนเขาอุตส่าห์ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจความรู้สึกกันอีก! โธ่...”

หลายปีมาแล้วที่นาซิลลาแอบชอบฮาธอสมากกว่าความเป็นเพื่อน เธอกับเขาพบกันครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่ถูกย้ายไปอยู่ซิมโฟเนียอาเรีย เธอที่ยังไม่รู้จักธรรมเนียมและคนในตำหนักก็ได้ฮาธอสนี่เองที่คอยช่วยเหลือ เขาแนะนำนางกำนัลรุ่นพี่ที่ใจดีให้หลายคน แต่ที่ทำให้เธอปลื้มใจที่สุดคือ เขาช่วยฝากฝังเธอกับเอเชียจนกระทั่งได้บรรจุเป็นนางกำนัลในสังกัดจอมเทพีเรเทเชียด้วยอีกตนหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอเกิดปัญหาก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากเขาก่อนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีเขาคอยอยู่เคียงข้าง เด็กสาวจึงตกหลุมรักเขาเต็มเปา

กระนั้นนาซิลลาก็รู้ดีว่าเทพหนุ่มแบ่งปันน้ำใจของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีความหมายแอบแฝง อัปสรน้อยจึงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้เธอเริ่มคิดว่าการแสดงความรู้สึกออกไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และยิ่งอยากแสดงออกมากขึ้นหลังได้เห็นฮาธอสอยู่กับไคซัสแค่สองคนในสวนเมื่อวันก่อน แต่เทพคนสวนหนุ่มกลับไม่เคยเห็นความรู้สึกของเธอเลย!

“ฮาธอสนะฮาธอส ฉลาดเสียเปล่า แค่นี้ยังไม่เข้าใจกันอีก!” บ่นไปก็ฟาดหมอนกับเตียงไปอีกหลายครั้ง กระทั่งสาแก่ใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนกอดหมอนฮึดฮัด “คอยดูเถอะ ไม่ว่ายังไงก็จะทำให้เจ้ายอมรับความรู้สึกของข้าให้ได้!”

ปฏิญาณด้วยความมุ่งมั่นแล้วเธอก็หลับตาลง การทำงานในวันนี้ทำให้อัปสรสาวเหนื่อยมากจริง ๆ หลักฐานคือเธอเข้าสู่ห้วงนิทราภายในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซึ่งหากไม่มีสิ่งใดรบกวนเธอคงจะหลับสนิทจนถึงเช้า

แต่แล้วนาซิลลาก็พบตัวเองอยู่ในโลกแห่งรัตติกาล เด็กสาวจดจำที่นี่ได้ดี เพราะเคยฝันถึงมาแล้วหลายครั้ง ความกลัวแล่นปราดขึ้นมาตามสันหลังทำให้ขนทั่วร่างลุกเกลียว อัปสรน้อยรีบมองหาทางหนีไปจากที่นี่ทันที

‘นาซิลลา’

เสียงเรียกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างบางพยายามมองหาแล้วก็ต้องผวา เมื่อจู่ ๆ ร่างสีดำที่มีรัศมีสีขาวก้าวออกมาจากความมืดในระยะประชิด เด็กสาวถอยกรูดด้วยความกลัวสุดขีด แต่อีกฝ่ายคว้าแขนเธอได้ก่อน

‘กรี๊ด! ปล่อยข้านะ’

‘เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก นาซิลลา เจ้าคือคนที่ข้าตามหา หากเจ้ายอมเป็นของข้า ข้าจะมอบทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา’ เจ้าของร่างนั้นพูดด้วยเสียงสะท้อนไปมาจนฟังไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง

‘ไม่เอานะ ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ปล่อยข้า!’ เธอกรีดร้องสุดเสียง ดิ้นรนให้หลุดจากอุ้งมือนั้น น้ำตาเอ่อคลอ ‘เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่ ทำไมต้องทำให้ข้าฝันแบบนี้ด้วย’

‘เพราะมีแต่เจ้าที่สื่อกับข้าได้ มาเถอะ นาซิลลา ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเป็นของเจ้า’ เจ้าตัวสีดำโบกมือ ทรัพย์สินเงินทอง แพรพรรณล้ำค่า เครื่องประดับหรูหราพลันปรากฏล้อมรอบทั้งสอง ‘ถ้าเจ้ายอมเป็นร่างให้ข้า ของเล่านี้จะเป็นของเจ้า’

‘ไม่!!’ เด็กสาวยังคงปฏิเสธสุดเสียง ความกลัวพุ่งถึงขีดสุด ‘ของพวกนี้ข้าไม่ต้องการ ข้าต้องการให้เจ้าไปจากข้าซะ อย่ามายุ่งกับข้า หายไปจากชีวิตของข้าซะ!!’

นาซิลลารวบรวมกำลังสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นร่างบางก็รีบวิ่งหนีมาให้เร็วที่สุด ทิ้งร่างนั้นไว้ไม่ยอมหันกลับไปมองอีกเลย เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน คิดแต่เพียงว่าต้องไปให้ไกลที่สุดเท่านั้น พร้อมกับภาวนาให้ตัวเองตื่นจากความฝันนี้โดยเร็ว เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว

เบื้องหลัง ร่างนั้นดูร่างเทพจันทราที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยความผิดหวังที่สุด ความมืดในตัวขยายออกมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นรยางค์สีนิลมากมายเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าสยองขวัญ

‘เสียใจด้วย ข้ายอมให้เจ้าหนีไปไม่ได้!’

รยางค์สีดำพุ่งตรงไปหานาซิลลาด้วยความรวดเร็ว เด็กสาวคงรู้สึกตัวถึงได้พยายามเร่งฝีเท้าหนีสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น สายความมืดเส้นหนึ่งคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งข้างเธอได้ ส่งผลให้ร่างบางล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนมันลากตัวเธอขึ้นกลางอากาศ จากนั้นรยางค์ทั้งหมดก็ทิ่มแทงตัวเธอพร้อมกัน

---------------

“กรี๊ด! กรี๊ด ๆ ๆ ๆ!!!”

เด็กสาวผมสีเงินลุกพรวดขึ้นกรีดร้อง ไฟทุกดวงในห้องสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ขณะเทพจันทราน้อยวิ่งหนีไปหลบตรงห้องใกล้ ๆ ตามองซ้ายขวาด้วยความตื่นกลัวสุดขีด น้ำตาไหลนองหน้าไปหมด อึดใจต่อมาประตูห้องก็เปิดออกพร้อมนางกำนัลจำนวนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาอย่างตกใจไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นพยายามจะเข้ามาปลอบ แต่นาซิลลาก็ตกใจกลัวเกินกว่าจะเข้าใจความหวังดีของอีกฝ่าย

“อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามานะ!!” นาซิลลาคลานหนีไปซุกอีกมุมราวกับลูกหนี ร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสงสาร

“ขอโทษช่วยหลบหน่อย” ฮาธอสมาถึงในจังหวะนั้นพอดี ร่างสูงโปร่งแทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เทพหนุ่มถึงกับตกใจเมื่อเห็นสภาพของเด็กสาว “เป็นอะไรไป นาซิลลา ข้าได้ยินเสียงเจ้าร้อง”

ไม่น่าเชื่อว่าเสียงของเขาจะทำให้เด็กสาวรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ร่างบางโผเข้ากอดชายหนุ่มที่วิ่งมาหาแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างยิ่งยวด

“ข้าฝัน...ข้าฝันอีกแล้ว ฮาธอส” เธอคร่ำครวญแทบไม่เป็นคำ แต่ยังบอกได้ว่าพูดอะไรนะ

“อะไรนะ!” ฮาธอสตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมองโลกในแง่ดี “ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ทำอันตรายเจ้าไม่ได้หรอก อย่ากลัวไปเลย”

“แต่คราวนี้มันจะฆ่าข้าด้วยนะ” นาซิลลาเงยหน้ามาเถียง ก่อนซุกตัวกอดเขาแน่นด้วยความกลัวสุดหัวใจ “เจ้าของเสียงเดินออกมาจากความมืด ตัวเปล่งแสงสีขาวออกมาด้วย มันจะให้ของมีค่ากับข้า ถ้าข้ายอมเป็นของมัน พอข้าบอกว่าไม่เอาแล้ววิ่งหนีมัน มันก็ใช้รยางค์จับข้าไว้แล้วแทงข้าทั้งตัว”

รายละเอียดของความฝันสร้างความวิตกให้กับฮาธอสกับคนอื่น ๆ อย่างมาก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เผชิญนั้นจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาเสียแล้ว แต่อาจเป็นนิมิตที่ใครบางคนเจาะทำให้เกิดขึ้นเพื่อดึงตัวเด็กสาวไปใช้งาน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นหน้าของคนคนนั้นไหม” ฮาธอสเสี่ยงถาม

นาซิลลาส่ายศีรษะ “ข้าไม่เห็น...ฮาธอส ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากฝันแบบนี้อีกแล้ว ได้โปรด” เธอกอดเทพหนุ่มแน่นราวกับจะฝากฝังชีวิตไว้กับเขา

เทพคนสวนมีสีหน้าลำบากใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยเหลือเธอ แต่ชายหนุ่มไม่รู้จะช่วยเธออย่างไรดีต่างหาก ฮาธอสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นตอที่ทำให้เกิดความฝันมาจากไหน และสื่อถึงตัวเธอได้อย่างไร หากว่ารู้คงจัดการได้ไม่ยากนัก แต่ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น ร่างสูงโปร่งก็เหลือบตามองไปทางหน้าต่างที่ปิดไว้ แววสงสัยฉายในแววตาของเขาวูบหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

จู่ ๆ เสียงของคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ก็ดังขึ้น ทุกคนในห้องจึงหันมองด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ไคซัสในชุดลำลองสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับอัลล์ จากสีหน้าของพวกเขาบอกได้เลยว่าสงสัยและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควร การมาถึงของมหาเทพสงครามยิ่งทำให้นาซิลลากอดฮาธอสแน่นขึ้นอีก

“มหาเทพไคซัสได้ยินเสียงด้วยหรือขอรับ” ฮาธอสถามอย่างตกใจ เพราะจากที่เขารู้ห้องของไคซัสอยู่ไกล ไม่น่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องของนาซิลลาได้

“ข้ามาเดินตรวจตราแถวนี้กับอัลวินน่ะ พอได้ยินเสียงก็รีบมาเลย” มหาเทพสงครามตอบพลางตวัดตามองหน้าต่างบานเดียวกับฮาธอส “เด็กคนนั้นเป็นอะไรไป”

“เอ่อ...ฝันร้ายขอรับ” เทพคนสวนตัดสินใจพูดไปแค่นั้น แต่อัลล์กลับเสริมขึ้นมา

“นาซิลลาเป็นเทพจันทรา บางครั้งก็ฝันร้ายเพราะจิตสื่อตรงกับพลังด้านลบโดยไม่ได้ตั้งใจขอรับ”

ไคซัสฟังแล้วก็หันมาหาอัปสรน้อย ร่างบางห่อตัวเล็กลีบอยู่ในอ้อมแขนของฮาธอส ความหวาดกลัวสะท้อนบนสีหน้าอย่างชัดเจน เขารู้ว่าครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากตัวเอง แต่อีกครั้งมาจากความฝัน เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ในตัวเด็กคนนั้น คนตัวสูงใหญ่จึงย่างสามขุมเข้าไปส่งผลให้เด็กที่กำลังกลัวยิ่งเตลิดเปิดเปิง

“ไม่!! อย่าเข้ามานะ ข้ากลัว ข้ากลัวแล้ว!!” นาซิลลากรีดร้องเสียงหลงจนนางกำนัลรุ่นพี่ยังไม่กล้าดู ฮาธอสยังปลอบไม่ไหว

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก” ไคซัสพูด น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนจนน่าตกใจ “อย่ามัวแต่หลับอยู่แบบนั้นเลย หันหน้ามาหาข้าสิ เจ้าเป็นคนกล้าหาญนะ จะยอมให้ความกลัวเป็นเจ้าเรือนของเจ้าหรือ”

เด็กสาวสะอื้น เนื้อตัวสั่นสะท้านจนนางกำนัลรุ่นพี่ยังไม่กล้ามอง ฮาธอสลูบผมเธออย่างจนปัญญา อัลล์ก็ดูเธออย่างสงสาร ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเธอจะยอมหันมาหาไคซัสได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มน้ำตานองอย่างไม่เต็มใจเป็นที่สุด แต่ก็ทำให้มหาเทพสงครามยิ้มออกมาได้

“เก่งมาก ที่นี่ดูมือของข้านะ” เทพอสูรหนุ่มยกมือขวาขึ้นแล้วยื่นไปช้า ๆ นาซิลลาเบียดตัวเข้าหาหลักมั่นของตนทันใด “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่แต่ตัวเจ้า แค่จะเอาอะไรบางอย่างออกมาจากตัวเจ้าเท่านั้น เสร็จแล้วเจ้าก็จะหลับไป...”

พูดพลางแผ่พลังเข้าไปในตัวเทพจันทราอย่างช้า ๆ โดยมีสายตาของฮาธอสจ้องเขม็ง นาซิลลาส่งเสียงครางด้วยความประหวั่นกลัวสักครู่ก็เงียบไป ดวงตาคู่สวยปิดลงในฉับพลัน ตอนนั้นเองไคซัสกำมือทำท่าดึงบางสิ่งออกมาจากตัวเด็กสาว เจ้าสิ่งที่มีสีดำนั้นดิ้นหลุดจากพันธนาการเวทของเขากระโจนไปทางหน้าต่าง แต่อัลล์ก็เร็วกว่าซัดมีดสั้นฉาบมนตราไปปักกลางตัวมัน ทุกคนจึงได้เห็นแมลงลักษณ์คล้ายแมงป่อง ทว่ามีขาสิบขาและบนหลังปรากฏอักษรเวทอ่านว่า ‘โอม’ อย่างแจ่มชัด มันดิ้นพราดได้แปบเดียวก็สลายไปต่อหน้าต่อตาคนในห้อง

“นั่นมันอะไรน่ะ” หนึ่งในนางกำนัลร้องอย่างตระหนก

“แมลงไสยเวท มีใครบางคนส่งมันมาเพื่อทำร้ายนาซิลลา” ฮาธอสพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นแล้วก็ตัวแข็งไปเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของไคซัส “เอ่อ...ข้าเคยอ่านเจอเรื่องของมันมาก่อนขอรับ ได้ยินว่าแถวดินแดนร้างมีแมลงชนิดนี้อยู่มาก อาจจะมีเทพสักตนส่งมันมาก็ได้”

“ไม่น่าเป็นไปได้ แมลงไสยเวทจะตอบสนองต่อเวทมนต์ด้านลบเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เทพความมืดที่ถูกขับออกจากสวรรค์ไปหมดแล้วกับพวกปีศาจก็ไม่มีทางทำได้หรอก!” อัลล์โพล่งออกมาก่อนทำหน้าตกใจ “หรือว่า...!”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 4 up 24/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 25-08-2013 17:10:26

“อัลวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!” มหาเทพสงครามตัดบททำให้ลูกน้องต้องปิดปากเงียบ “พวกเจ้าอย่าเพิ่งวิตกจริตไม่เข้าค่า แมลงไสยเวทแบบนี้ใคร ๆ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น รวมถึงตัวข้าเองด้วย ข้าจะลองตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ระหว่างนั้นห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ถึงจะเป็นเทพรับใช้ของจอมเทพีเรเทเชีย ข้าก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น!”

เสียงเข้มกดต่ำราวกับเสียงคำรามของพญาราชสีห์ข่มขวัญเหล่าเทพจากซิมโฟเนียอาเรียได้อย่างชะงัด ฮาธอสตัดสินใจปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เขาเองก็ไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องนี้ก่อนเวลาอันควรเช่นกัน เพราะคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือ นางอัปสรน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขนของเขา

แต่แมลงไสยเวทนั่นก็อันตรายจริง ๆ ถ้าคนใช้ไม่ใช่คนที่เขาคิดก็คงจะดี

“เอาล่ะ! เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วก็แยกย้ายกันไปได้” ไคซัสออกคำสั่ง เหล่านางกำนัลจึงถอยหลังออกไปหมด ฮาธอสอุ้มเด็กสาวกลับไปวางไว้บนเตียงตามเดิม เทพอสูรหนุ่มตามมาลูบผมของเธอสองสามครั้ง สีหน้าของเด็กสาวก็ดูดีขึ้น “ข้าสร้างฝันดีให้กับนางแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะ ฮาธอส”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” เทพคนสวนกล่าวด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่ง

มหาเทพสงครามมองหน้าฮาธอสด้วยสายตาลุ่มลึกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก อัลล์กล่าวอำลาเพื่อนเบา ๆ แล้วตามออกไป ข้างนอกพวกเขาพบนางกำนัลกลุ่มเดิมยืนรออยู่กับเทพรับใช้ที่ตามมาสมทบทีหลัง ทั้งหมดแสดงความเคารพให้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็กรูเข้าไปดูอาการของนาซิลลา เทพอสูรหนุ่มส่ายหัวให้ทั้งหมดอย่างอ่อนระอาหน่อย ๆ

“พวกนั้นรักกันดีนะ” เขาเปรยพลางออกเดินต่อ “นึกถึงตอนอยู่แดนอสูร พวกข้ารับใช้ที่นั่นก็รักกันแบบนี้ เวลาทำผิดก็ออกรับแทนกันตลอด”

“พวกนั้นเอ็นดูนาซิลลาเหมือนกันน้องสาวคนหนึ่งขอรับ เป็นเรื่องปกติของเทพรับใช้ที่อยู่ด้วยกันมานาน โดยเฉพาะฮาธอส นางจะติดเขามากทีเดียว” อัลล์ชี้แจ้งหวังว่าจะเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับเจ้านาย

เทพอสูรหยุดนิ่ง ใบหน้าคร้ามเข้มขึงตึงขึ้นเล็กน้อย “ติดมาก?” เขาทวนเสียงสูงในเชิงถาม “แบบไหน”

อัลล์เอียงคอทำท่าคิด แต่ความจริงกำลังแปลกใจกับแววไม่สบอารมณ์ที่แฝงเร้นอยู่ในคำถามสุดท้ายของไคซัส “เอ่อ...ฮาธอสเห็นนางเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งขอรับ แต่นาซิลลาอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น...” ตอบเสร็จก็เหลือบมองสีหน้าเจ้านาย แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความสงบนิ่ง “ท่านตามทำไมหรือ”

“ไม่มีอะไร” ไคซัสปฏิเสธ แววตาครุ่นคิด “อัลวิน เดี๋ยวเจ้าจัดทหารที่เก่งด้านเวทมนต์สักสองคนคอยตามดูเด็กที่ชื่อนาซิลลาห่าง ๆ หากมีความเปลี่ยนแปลงอะไรให้รายงานข้าทันที นี่เป็นเรื่องสำคัญ ห้ามบอกใครทั้งสิ้น”

สั่งงานเสร็จ เทพหนุ่มทั้งสองก็แยกย้ายกันไป

---------------

ห่างจากตำหนักพาเทร่าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เกือบจรดถึงเขตแดนรกร้างอันเปรียบเสมือนนรกบนสวรรค์ ร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มสวมชุดจีนประยุกต์สีแดงสดยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง สายลมยามราตรีพัดเส้นผมทรงหน้าม้าประบ่าหยอกล้อกับแก้มขาว ดวงตาสีแดงฉานว่างเปล่าจนดูไม่ออกเลยว่ากำลังรอสิ่งใดอยู่

แต่ในที่สุดเทพหนุ่มก็เคลื่อนไหว เมื่อมีกลุ่มควันสีดำมุ่งตรงมาทางหางตาขวา กิริยาของมันเหมือนกับงูเลื่อยลงมาจากอากาศช้า ๆ แล้วหยุดลงในอุ้งมือที่กางออกรับ แมลงไสยเวทตัวเขื่องขยับก้ามขบกันเบา ๆ หางโบกเข้าออกคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่เซย์เรียโน่เข้าใจมันด้วย

“...คราวนี้พลาดไปสินะ” แทนที่จะผิดหวัง ใบหน้าพริ้มเพลากลับเผยรอยยิ้มหวาน “กระนั้นทุกอย่างก็เริ่มต้นจริง ๆ แล้ว บางทีการตัดสินอาจจะเป็นการประลองที่จะถึงนี้ก็ได้ ขอให้ท่านโชคดีนะ มหาเทพสงคราม”

มือเรียวบดขยี้แมลงไสยเวทจนแหลกเละ แล้วทิ้งซากมันลงพื้นเมฆซึ่งสลายไปทันทีอย่างไม่ใยดี แล้วร่างเล็กก็เลือนรางหายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเริงร่าอันน่าสะพรึง

--------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ อายทำไม ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆ ครับ ยอมรับว่าเรื่องนี้เขียนให้เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายน่าไฝ้ว์จริงๆ แต่ละนางแต่ละตน ไม่ได้สมเป็นเทพกันเลย

ปล.เขียนยาวไป เหลือเป็นติ่งมาคอมเมนต์ที่ 3 อีกแล้ว ทำเยี่ยงไรจึงจะได้ 2 คอมเมนต์หนอ /สลด  :mew2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 25-08-2013 19:57:29
เม้นก่อนเลยค่าาา :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 26-08-2013 01:10:09
อย่าสลดค่า
เรื่องนี้เขียนดืมากบรรยายรายละเอียดของฉากไว้เยอะ
สมเป็นบทประพันธ์จริงๆ
ขอให้กำลังใจ
อ่านแล้วสนุก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 26-08-2013 19:52:12

บทที่ 6 ในสวนแห่งใหม่
- 50% -


เช้าวันต่อมากิจกรรมในตำหนักพาเทร่าเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายกว่าวันวานนี้มากนัก ส่วนหนึ่งอันเนื่องมาจากจำนวนทหารที่เพิ่มเข้ามาเมื่อวานกับเหตุการณ์ที่นาซิลลาต้องเผชิญ มหาเทพสงครามสั่งให้จัดกำลังคุ้มกันภายในตำหนัก โดยเฉพาะปีกปราสาทตะวันตกอันเป็นที่พักของพวกฮาธอสอย่างแน่นหนา ให้อัลล์ทำการสอบสวนหาเบาะแสที่มาของแมลงไสยเวทที่ลอบเข้าห้องของเทพจันทราน้อยด้วย

แต่การสืบหาเบาะแสก็พบทางตันเกือบจะทันที เพราะนอกจากร่องรอยของแมลงไสยเวทที่ลอบเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของนาซิลลาแล้วก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากตัวแมลงไสยเวทตัวนั้นไม่ได้ผูกพลังอยู่กับผู้ใช้ กระทั่งพลังของไคซัสยังไม่อาจตรวจจับได้ สิ่งเดียวที่เขาทำเพื่อเทพจันทราน้อยได้มีเพียงให้เธอย้ายไปอยู่ในปราสาทประมุขของตำหนัก โดยมีทหารที่อัลล์จัดหามาคอยตามดูแลอย่างลับ ๆ

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเทพอสูรหนุ่มก็ต้องยุ่งกับงานราชการจนเรียกว่า ‘งานล้นมือ’ โดยเฉพาะเตรียมแผนปรับเปลี่ยนการฝึกทหารแบบใหม่เพิ่มเติม เพื่อนำไปเสนอในการประชุมสภาสวรรค์ครั้งต่อไป เขาทดลองให้พลทหารในสังกัดจำนวนหนึ่งรวมถึงอัลล์กับทหารในสังกัดฝึกด้วยวิธีการแบบอสูรสามวันต่อสัปดาห์ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการฝึกทหารสวรรค์ทั้งกองทัพในอนาคต แน่นอนว่าเขาลดระดับความยากและวิธีการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถขั้นพื้นฐานของทหารสวรรค์เรียบร้อยแล้ว แต่การฝึกนี้ยังคง ‘หฤโหด’ อยู่ดี

ส่วนการเตรียมงานประลองรับฤดูใบไม้ผลิมีความคืบหน้าเป็นระยะ ฮาธอสรับหน้าที่ให้คำปรึกษาและจัดเตรียมสถานที่การประลอง ซึ่งเทพคนสวนทำหน้าที่ของตนเต็มที่ ดีใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับไคซัส เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนี้ รู้เพียงว่ามีความสุขกับการทำงานเพื่อใครสักคนอย่างมาก

สิบวันหลังแมลงไสยเวทลอบเข้าตำหนักพาเทร่า วันนี้ไม่มีการฝึกของไคซัส เนื่องจากเจ้าตัวติดประชุมที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ฮาธอสอยู่ใน ‘สวน’ บริเวณปีกตะวันออก ซึ่งเขาเพิ่งเนรมิตต้นไม้กับดอกไม้ให้เติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแบบสวนชนบทของอังกฤษ มีการคุมโทนสีแบบพาสเทลและเล่นระดับความสูงของต้นไม้กับดอกไม้ให้สูงลดหลั่นสลับกัน เทพคนสวนตั้งใจจะเก็บงานซึ่งก็คือการตัดเล็มกิ่งก้านต้นไม้ให้ดูสะอาดตาให้เสร็จก่อนจะไปจัดสวนในส่วนอื่นต่อไป

“ฮาธอสมาพักก่อนเถอะ” เสียงหวานเล็กเอ่ยเรียกพร้อมกับนาซิลลาที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สองมือถือถาดของว่างที่มีฝาสีเงินครอบปิดไว้กับเหยือกแก้วใส่น้ำองุ่น เธอตรงไปยังม้านั่งยาวสีขาวที่ตั้งอยู่ริมสวน

ฮาธอสวางมือจากงานตามมาสมทบ “ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้เจ้าคอยเตือน ข้าคงลืมเวลาพักไปแล้ว”

เด็กสาวยิ้มแป้น “เพื่อฮาธอส ข้าเต็มใจทำอยู่แล้ว อีกอย่างหลายวันมานี้เจ้าก็งานยุ่งตลอด ข้าจะมีเวลาเจอเจ้าก็แค่เวลานี้ด้วย”

“โทษทีนะ ช่วงเตรียมงานใหญ่แบบนี้ แถมในปราสาทไม่มีอะไรเลย อะไร ๆ ก็เลยยุ่งไปหมด” เทพหนุ่มว่าพลางถอดถุงมือแล้วล้างด้วยน้ำที่เสกขึ้นด้วยเวทมนต์

“นั่นสิ เจ้าน่าจะหาใครมาช่วยนะ ทำคนเดียวแบบนี้เหนื่อยแย่” นาซิลลานั่งลงที่ปลายด้านหนึ่งของม้านั่ง เอาถาดขนมวางตรงกลางแล้วช้อนหน้ามองเทพหนุ่ม แววตาเป็นห่วง

“อย่ากังวลเลย สมัยก่อนข้าแต่งสวนคนเดียวประจำ แค่นี้ไม่เหนื่อยมากหรอก เจ้าเถอะ ยังฝันร้ายอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับอัปสรน้อย มองเธอด้วยสายตาห่วงใยเช่นกัน

อัปสรน้อยมีสีหน้าตกใจแล้วส่ายศีรษะเอียงอาย “ไม่แล้วล่ะ ตั้งแต่มหาเทพสงครามช่วยไว้ ข้าก็ไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย” เธอพยายามเชิดหน้าหยิ่ง แต่บนแก้มมีรอยแดงจาง ๆ “ข้าก็ขอบคุณเขาอยู่หรอกนะ ที่ช่วยทำให้ข้าหลับสบายได้สักที”

ท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเด็กสาวทำให้ฮาธอสหัวเราะ เขารู้ว่าอคติที่เธอมีต่อไคซัสหายไปมากหลังจากเหตุการณ์แมลงไสยเวท เพียงแต่นางอัปสรน้อยไม่อยากยอมรับเท่านั้น สาวเจ้าเห็นเข้าก็ค้อนวงงาม ๆ ให้ทีหนึ่ง

“อะไรกันเล่า อย่าหัวเราะนะ” เธอพูดเสียงกระเง้ากระงอด “เอ้า! ของว่าง ขนมมองบลังค์นี่ข้าทำเองนะ ฮาธอสจะได้รีบกลับไปทำงานสักทีไงล่ะ”

เทพหนุ่มก้มลงมองก้อนขนมมองบลังค์สามชิ้นซึ่งนอนอยู่ในจานสีขาวสะอ้านตัดกับเนื้อแป้งเป็นสีน้ำตาลไหม้ ครีมที่ราดด้านบนก็เป็นสีน้ำตาลคล้ายกัน คิ้วขวาของฮาธอสยกตัวขึ้นสูงช้า ๆ มือชี้นิ้วไปที่ขนม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

“เจ้าแน่ใจนะว่ามันกินได้ นาซิลลา”

“ขะ...ข้าแน่ใจสิ” นาซิลลาพูดตะกุกตะกัก ดวงตาเสมองสิ่งอื่น

“เจ้าลองกิน ‘เอง’ หรือยัง” ฮาธอสซักไซ้ เน้นคำสำคัญอย่างชัดเจน

“ก็บอกว่ากินได้กินได้สิ ฮาธอสล่ะก็! ข้าอุตส่าห์ทำมาให้เชียวนะ” เทพจันทราน้อยเริ่มเสียงดัง ทั้งด้วยความอับอายและไม่พอใจไปพร้อมกัน สุดท้ายเด็กสาวก็คว้าขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากของอีกฝ่ายเป็นการแก้แค้น “เอ้า! ข้าบอกให้ลองทานก็ลองเถอะน่า!”

“เฮ้ย! อย่านะ ข้าไม่กิน” ชายหนุ่มร้องพลางปัดป้องตัวเองเป็นการใหญ่ ในขณะที่เด็กสาวพยายามจะรังแกเขาให้ได้ เสียงหัวเราะแว่วกังวานไปทั่วทั้งสวนอย่างสนุกสนาน

---------------

อีกด้านหนึ่ง เหล่าพลทหารที่อยู่ในลานฝึกซ้อมของตำหนักชั้นนอกต้องยืนตรง เพื่อทำความเคารพมหาเทพจ้าวตำหนักที่เพิ่งกลับมาถึงพร้อมกับเหล่าผู้ติดตาม เทพอสูรหนุ่มผงกศีรษะให้ทุกคนพอเป็นพิธีก่อนข้าวเข้าสู่ตำหนักชั้นในอย่างรวดเร็ว อัลล์เป็นคนเดียวที่ตามเขาเข้ามาด้วย

ประชุมที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์หนักหน่วงอย่างที่เขาคิดไว้ บรรดาขุนนางสายนักรบทั้งหลายต่างวิจารณ์ถึงวิธีการฝึกทหารแบบอสูรของเขาแบบสาดเสียเทเสีย รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ประดังเข้ามาในที่ประชุมนั้น ถึงผลจะออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด ทว่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานก็เริ่มแสดงพิษร้ายของมัน ร่างสูงใหญ่หมุนไหล่ขวาไปมาอย่างอ่อนล้า

“อัลวิน เจ้านำหน้าเอาเอกสารทั้งหมดไว้ที่ห้องทำงานของข้าก่อน เตรียมบันทึกการประชุมวันนี้ไว้ ข้าอยากจะอ่านมันอีกครั้ง แบบร่างสารเชิญร่วมการประลองที่ต้องส่งไปตำหนักต่าง ๆ ด้วย แล้วก็เอกสารขอเบิกงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ ในไตรมาสนี้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยหารายงานเบิกจ่ายย้อนหลังสิบปีมาให้ข้าด้วย ข้าอยากจะใช้อ้างอิงในการพิจารณาเป็นรายกอง”

“ขอรับ” อัลล์จดจำคำสั่งทุกคำของเจ้านายไว้ในหัวสมอง แล้วก็เหลือบตามองแผ่นหลังอีกฝ่าย “มหาเทพไคซัส ข้าน้อยคิดว่าท่านทำงานหนักเกินไปแล้ว”

เพียงประโยคเดียวก็สามารถหยุดอสูรที่ตัวใหญ่กว่าได้อย่างชะงัด ไคซัสค่อยหมุนตัวมาหาหัวหน้าทหารของเขา แววตากังขายิ่งนัก

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”

“เอ่อ...ขอรับ” อัลล์ตัดสินใจพูดความจริง เพราะไม่อยากโกหก “ตั้งแต่การประชุมสภาสวรรค์ มหาเทพไคซัสก็ทำงานดึกดื่นมากขึ้นทุกวัน ๆ ข้าน้อยเป็นห่วงว่าท่านจะล้มป่วยเสียก่อน ถ้าอย่างไรใช้เวลาก่อนจะถึงอาหารค่ำพักผ่อนสักหน่อยดีไหมขอรับ”

ไคซัสค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของอัลล์ สมัยก่อนเขาเองก็ตรากตรำงานหนักแบบนี้จนเกือบล้มป่วยมาสองสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งจะลงเอยด้วยการถูกเพื่อนสนิทที่ทำงานเป็นราชเลขาส่วนตัวของเขาเอ็ดยกใหญ่ แน่นอนเขารู้ว่าอัลล์ไม่เหมือนกับอดีตสหาย แต่เขาก็ไม่อยากจะป่วยจนเสียงานไปก่อนเช่นกัน

“ตกลง แต่ถ้ากลับห้องก็คงไม่ได้พักเหมือนกัน” ไคซัสเอามือลูบคอแกน ๆ

“ไปที่สวนตรงปีกตะวันออกไหมขอรับ เมื่อวานฮาธอสบอกกับข้าว่าเขาเนรมิตสวนตรงนั้นเสร็จแล้ว ที่นั่นค่อนข้างเงียบและไม่มีคน ท่านจะได้พักผ่อนเงียบ ๆ ไงขอรับ” นายทหารหนุ่มลองเสนอดู

“สวนเหรอ...” เทพอสูรหนุ่มทวนคำอย่างไตร่ตรอง “แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เจ้าช่วยให้คนมากันพื้นที่ไว้ด้วยนะ อ๋อ! แล้วก็ถ้าพบฮาธอสช่วยบอกด้วยว่าข้ารอรายงานของวันนี้อยู่”

เมื่อหัวหน้าทหารของเขารับคำ มหาเทพสงครามก็บ่ายหน้าไปยังปีกตะวันออก ระหว่างทางก็ปัดเป่าเรื่องต่าง ๆ ที่รกสมองอยู่ออกไปให้หมด เพื่อจะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เขาต้องการผ่อนคลายให้ได้มากที่สุดเมื่อได้นั่งพัก หรือดีที่สุดคือนอนเอกเขนกท่ามกลางแมกไม้ในสวนที่เทพหนุ่มน้อยรูปงามตนนั้นเป็นผู้เนรมิตขึ้นมา

ทว่าทันทีที่เลี้ยวผ่านหัวมุมทางเดินซึ่งเชื่อมต่อไปถึงสวนในปีกตะวันออก โสตประสาทของเทพอสูรพลันแว่วยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากสุดปลายทางเดินที่อยู่ห่างไปเกือบห้าสิบหลา ความสงสัยก่อเกิดทำให้พลังที่ผูกไว้กับปราสาทฉายภาพฮาธอสกับนาซิลลากำลังหยอกล้อกันในสวนให้เขาเห็น ร่างสูงใหญ่ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นความสนิทสนมของเทพทั้งสองตน รวมถึงแววตารักใคร่ที่เด็กสาวมีต่อเทพหนุ่มตนนั้น

หากเป็นในอดีต เขาคงหันหลังจากไปอย่างเงียบ ๆ แต่วันนี้ไคซัสกลับทำในสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มหาเทพสงครามสาวเท้าไปที่สวนให้เร็วขึ้นด้วยหัวใจที่ว้าวุ้นและร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ภาพนั้นยังคงฉายอยู่ในดวงตาข้างซ้าย เสียงหัวเราะในหูดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ใกล้เข้าไป จนในที่สุดก็เกือบถึงปากทางพร้อมกับภาพที่จางหายไป แล้วเทพอสูรก็ได้ยินเสียงนาซิลลาอย่างแจ่มชัด

“นี่ฮาธอสชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ”

คำถามนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ไคซัสจังงันไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฮาธอสที่กำลังเช็ดคราบครีมขนมมองบลังค์ที่เปื้อนแก้มด้วย เขาช้อนตามองเด็กสาวที่จ้องตอบกลับมาด้วยดวงตาสีฟ้าใสแจ๋ว แววตากระหายใคร่รู้แจ่มชัดจนบอกทุกอย่างที่ซ่อนไว้ในใจของเธอ เทพคนสวนอายุกว่าศตวรรษแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร

“ข้าชอบผู้หญิงแบบไหนน่ะหรือ” เทพหนุ่มทวนคำถาม ท่าทางครุ่นคิด “แบบจอมเทพีเรเทเชียไงล่ะ ไม่ใช่ที่รูปโฉม แต่เป็นอุปนิสัยน่ารัก อ่อนหวาน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ใส่ใจผู้อื่น มีความเมตตาและอ่อนโยน เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งจริยามารยาทจริง ๆ”

นาซิลลาถึงกับหน้าถอดสี รู้ดีว่าตนไม่มีทางเป็นอย่างจอมเทพีผู้นั้นได้ และยิ่งไม่มีทางแข่งขันกับนางได้เลย ถ้าหากว่าฮาธอสหลงรักสตรีผู้นั้นจริง ๆ เทพคนสวนเห็นสีหน้านั้นแล้วก็ยิ้มบาง

“แต่ว่านะ นาซิลลา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกสามารถเกิดขึ้นกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนในแบบที่ชอบเสมอไป ขอเพียงรักและมีใจตรงกันก็สามารถครองคู่กันได้ทั้งนั้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายตอบสนองต่อความรักของเราได้เช่นกัน”

ฮาธอสสานต่อคำพูดของตนเนิบช้า น้ำเสียงละมุนนั้นซึมลึกลงไปถึงหัวใจของผู้ฟังที่คนหนึ่งนั่งอยู่ต่อหน้าเขา อีกคนซ่อนอยู่ในเงาทางเดินอย่างเงียบเชียบ ทั้งที่คำพูดของเขาคล้ายจะแฝงความหวังให้คนที่มีใจ แต่เทพจันทรากลับรู้สึกเหมือนถูกกรีดหัวใจด้วยมีดที่มองไม่เห็น เธอเผยอปากอยากพูดบางอย่างหลายครั้ง

ทว่าก่อนที่นาซิลลาจะได้เปล่งคำพูดอย่างตั้งใจ ไคซัสก็ปรากฏตัวออกไปอย่างคนที่เพิ่งมาถึง เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยในตอนเห็นเทพชายหญิงทั้งสองอย่างแนบเนียน

“อ้าว! ข้านึกว่าไม่มีใครอยู่เสียอีก มารบกวนหรือเปล่า”

“ไม่ขอรับ” ฮาธอสรีบลุกขึ้นต้อนรับ นาซิลลาก็เช่นเดียวกัน ต่างกันแค่เด็กสาวก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาด้วยเลย “มหาเทพสงครามกลับมาตั้งแต่ตอนไหนขอรับ”

“เมื่อกี้นี้เอง อัลวินเห็นข้าเหนื่อย ๆ ก็เลยแนะนำให้มาพักที่นี่น่ะ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนอยู่ด้วย รบกวนหรือเปล่า” ไคซัสถามเสียงเรียบแต่เจือด้วยความเกรงใจ

“ไม่เลยขอรับ พวกข้าก็กำลังพักอยู่เหมือนกัน เชิญนั่งพักก่อน” เพราะไม่ทราบว่าเทพอสูรหนุ่มแอบฟังอยู่นานแล้ว ฮาธอสจึงผายมือเชิญไปยังม้ายาวอย่างสุภาพ

ไคซัสไม่ได้ไปทันที แต่ดูท่าทีของนาซิลลาก่อน เด็กสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อสบตาเขาตรง ๆ ก่อนจะเดินไปแอบหลังเทพคนสวน ใบหน้านวลโผล่มาให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

“คารวะมหาเทพสงครามเจ้าค่ะ” เธอพูดพลางก้มศีรษะให้ทีหนึ่ง ท่าทางสับสนและอึดอัดใจ ไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรดี เธอไม่ชอบเทพอสูรตนนี้ แต่เขาก็ช่วยเหลือเธอไว้ ถ้าเมินเฉยก็จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก สุดท้ายจึงออกมาเป็นท่าทางเก้อเขินแปลก ๆ เช่นนี้ “เอ่อ...วันนี้อากาศดีนะเจ้าคะ”

“อืม อากาศแถวนี้ดีมากเลยล่ะ” ไคซัสตอบพลางกลั้นหัวเราะ เขาชินกับท่าทางของเด็กสาวแล้ว เนื่องจากเจอมาตลอดหลังจากวันที่ช่วยเธอไว้ “ว่าแต่นี่อะไรเหรอ” ชี้ไปที่ขานขนมที่เละเทะไปหมดแล้ว

“เอ่อ...” ฮาธอสกำลังจะตอบ แต่นาซิลลาร้องแทรกเสียก่อน

“อ๊า! มะ...มันเป็นขนมที่ข้าทำเองเจ้าค่ะ มะ...ไม่อร่อยหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะเอาไปเปลี่ยน”

ว่าแล้วเด็กสาวก็ถลามาคว้าจานขนมมองบลังค์ไป ชะงักตอนเผลอสบตากับเทพอสูรหนุ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เทพหนุ่มทั้งสองมองตามด้วยความประหลาดใจ ก่อนไคซัสจะเปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา

“ฮึ ฮึ ฮึ เด็กคนนั้นขี้อายกว่าที่คิดนะเนี่ย ข้านึกว่านางจะเกลียดข้าเสียแล้ว”

“นาซิลลาอาจจะดื้อไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอกขอรับ” ฮาธอสตอบแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมหาเทพสงครามรินน้ำองุ่นใส่แก้วของเขา “เอ่อ...ข้าก่อนขอรับ นั่น...!”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจไม่แพ้กัน “ทำไมรึ หรือว่ามียาพิษ?” ถามหน้าเครียด

“มะ...ไม่ใช่ขอรับ” เทพคนสวนยิ่งลนลานเมื่อได้ยินแบบนั้น “มัน...แก้วที่ท่านกำลังรินน้ำใส่เป็นแก้วของข้าเองขอรับ”

ใบหน้าซีดเผือดตื่นตกใจป่านสวรรค์ถล่มนั้น ทำให้มหาเทพสงครามระเบิดเสียงหัวเราะจนได้ อีกฝ่ายมองเขาด้วยความงุนงง แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตัวเองถูกเทพอสูรที่คนทั้งสวรรค์กลัวหนักหนาหลอกแกล้งเสียแล้ว

“มหาเทพ...” เขาพูด เสียงแทบสำลัก สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ฮะ ๆ ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเจ้าจริง ๆ นะ” ไคซัสแก้ตัวแล้วหยิบแก้วน้ำองุ่นใบนั้นขึ้นดื่มจนหมด โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของฮาธอสเลย

“มหาเทพสงคราม ท่านไม่ควร...!”

“ฮ้า! สดชื่นดีจัง” มหาเทพอสูรครางหลังดื่มหมดแก้วแล้ว นัยน์ต นัยน์ตาสีส้มสว่างหลิวมองคนที่กำลังอึ้ง “ฮาธอสอยู่ในสังคมสวรรค์ที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งแยกกระทั่งของใช้สำหรับมหาเทพกับเทพรับใช้อาจจะคิดว่าการกระทำของข้ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่นี่คือตัวตนของข้าที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นราชาแห่งอสูรเสียอีก ข้าดื่มกินกับสหายและข้าราชบริพารแบบนี้ บางคนคุยเล่นหัวกันอย่างเท่าเทียมเสียด้วยซ้ำ ข้ารู้ว่าข้าเอาสิ่งเหล่านั้นมาใช้บนสวรรค์ไม่ได้ทั้งหมด แต่ขอแค่เวลาส่วนตัวได้ไหม ขอให้ข้าได้เป็นตัวของข้าเอง”

ฮาธอสนิ่งหลังสัมผัสได้ถึงความเดี่ยวดายที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงของเขา เทพหนุ่มเผลอลืมไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายมาจากดินแดนเบื้องล่าง ซึ่งแตกต่างกันทั้งด้านวัฒนธรรม สังคม และความเป็นอยู่ เมื่อต้องมาอยู่บนสวรรค์ที่มีกฎระเบียบมากกว่าอดีตอาณาจักรถึงสองเท่า ไคซัสคงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยทีเดียว ในฐานะของเทพรับใช้ก็ควรจะทำให้เจ้านายมีความสุขมิใช่หรือ”

“ทราบแล้วขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก” เขากล่าวออกไป แม้จะยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างก็ตาม

ไคซัสยิ้มบาง พึงพอใจที่อีกฝ่ายยอมตามใจเขาอีกครั้ง น่าประหลาดนัก ทั้งที่เป็นแค่ความสุขเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้อบอุ่นไปทั้งหัวใจ นางสนมนับร้อยพันที่เคยมี มิอาจเทียบกับหนึ่งบุรุษที่อยู่ตรงนี้ได้เลย

“ขอบใจนะ ถึงจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ข้าก็มีความสุขจริง ๆ อา...” พูดแล้วก็หงายศีรษะไปด้านหลัง เหยียดแขนพาดไปกับพนักเก้าอี้ “เจ้าเตรียมงานของวันนี้ไปถึงไหนแล้ว”

เทพคนสวนกระตุกยิ้มขำทันทีที่ได้ยินคำถาม “ส่วนของวันนี้ใกล้เก็บรายละเอียดเสร็จแล้วขอรับ วันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ข้าจะเริ่มทำสวนทีปีกตะวันตกแล้วก็ส่วนย่อมริมลานฝึกซ้อม” เขาตอบ “มหาเทพสงคราม...”

“ไคซัส...มหาเทพไคซัส” ไคซัสเอ่ยแทรกขึ้น ลืมไปเลยว่าตัวเองยังไม่ได้อนุญาตให้อีกฝ่ายเรียกเหมือนพวกอัลล์ “หรือจะเรียก ‘ไคซัส’ เฉยๆ ก็ได้”

“มิบังอาจ ข้าเรียกเหมือนกับพวกอัลล์ดีกว่าขอรับ” ฮาธอสรีบเลือกทางที่เหมาะกับตัวเอง ทางที่ดูอ่อนโยนอย่างยิ่งในสายตาเจ้าของชื่อ “มหาเทพไคซัส ท่านกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องงานดีกว่าขอรับ พักผ่อนให้สมองปลอดโปร่งก่อนเกิด”

“อืม ข้าตั้งใจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอเห็นเจ้าแล้วก็อดถามไม่ได้” ไคซัสยืดตัวขึ้นบิดคอไปมาอย่างล้า ๆ อีกครั้ง “สงสัยเพราะไม่ชินกับบรรยากาศของสวรรค์ พอทำงานหนักเข้าหน่อยก็ล้าเสียซะแล้ว”

“...ให้ข้าลองนวดดูไหมขอรับ” เทพคนสวนถามหลังจากนิ่งคิดสักครู่ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนสวน แต่ก็พอจะนวดเป็นบ้าง เมื่อก่อนนวดให้หัวหน้านางกำนัลของซิมโฟเนียอาเรียเป็นประจำขอรับ”

“เอาสิ ลองดูหน่อยก็ได้ เผื่อว่าจะดีขึ้นบ้าง”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 5 up 25/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 26-08-2013 19:59:46
- 100% -

ว่าแล้วคนตัวใหญ่ก็ขยับนั่งเอนหลังกับพนักสบาย ๆ หลับตารอ ฮาธอสเอาน้ำดื่มที่นาซิลลานำมาล้างมือให้สะอาดจริง ๆ ก่อนเดิมอ้อมไปข้างหลังไคซัส เสียงย้ำเท้าหนัก ๆ ที่เขาจงใจทำนั้นบอกให้รู้ว่าเทพหนุ่มยังไม่ลืมเหตุการณ์ในห้องนอน มหาเทพสงครามกระตุกยิ้มขันเล็กน้อย สักครู่ก็คลายสีหน้า เมื่อฮาธอสมายืนอยู่ข้างหลังกล่าวขออนุญาตเบา ๆ แล้วเริ่มนวด

ปลายนิ้วที่เรียวเล็กกว่าไม่มาก แต่หยาบกร้านจากการทำงานพอ ๆ กันกดนวดกดจุดที่ท้ายทอยของไคซัสเป็นที่แรก ฮาธอสใช้เวลาสักครู่ในการหาแรงที่พอเหมาะ โดยสังเกตจากสีหน้าและท่าทางของเทพอสูรหนุ่ม เมื่อพบแล้วเทพคนสวนก็ไล่ไปยังจุดอื่น ๆ อย่างแม่นยำ วนปลายนิ้วบางครั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง จากนั้นก็ไล้เรื่อยลงไปถึงช่วงบ่าหนาเตอะด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด

“รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ” ฮาธอสตัดสินใจถาม หลังอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ

“อืม...กำลังสบาย...” มหาเทพสงครามหมายความตามนั้น ความสบายแล่นริ้วขึ้นมาตามลำคอ ขจัดความเหนื่อยอ่อนที่ถ่วงศีรษะของเขาไว้ได้มากทีเดียว เรื่องราวที่รกสมองอยู่ก็หายไปเหลือแต่ภาพสีขาวโพลน นานทีเดียวที่หัวของเขาไม่ได้โล่งขนาดนี้ และมันทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งอย่างยิ่ง “เจ้าเก่งจริง ๆ ฮาธอส”

เทพคนสวนยิ้มกว้างหลังสดับคำชมจากอีกฝ่าย ประหนึ่งว่าอยากได้ยินคำนี้จากปากของไคซัสมานานแล้วเช่นนั้น แต่ฮาธอสรู้ว่าตนรู้สึกดีก็เพราะมหาเทพสงครามรู้สึกดี เขาจึงนวดต่อไปเรื่อย ๆ หวังเพียงช่วยให้อสุรกายสีแดงตนนี้หายเหนื่อยโดยเร็วที่สุด พร้อมกับเรียนรู้ว่าร่างกายที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์หรูที่เห็นนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด กล้ามเนื้อเต่งตึงทรงพลังไม่ได้มีไว้ดูเล่น แต่น่าจะผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน ความคิดของเทพหนุ่มเตลิดไปถึงขั้นที่ไคซัสเคยใช้ร่างกายนี้กอดสตรีมาแล้วกี่ครั้ง มันเป็นความคิดประหลาดที่เขาสลัดออกจากหัวแทบไม่ทันเลยทีเดียว

“เฮ้อ...พอแล้วล่ะ ฮาธอส” มือใหญ่หนาเอื้อมมาวางบนมือของเทพคนสวน ใบหน้าคร้ามคมยังหลับนิ่ง “แต่ก่อนข้ามีคนเคยนวดให้มากมาย ทั้งสนม สหาย แม้กระทั่ง ‘คนคนนั้น’ ยังไม่มีใครนวดได้ดีเท่ากับเจ้าเลย”

“คน...คนนั้นหรือขอรับ” ฮาธอสถามเสียงแผ่ว “ท่านทิ้งใครบางคนไว้ข้างหลังหรือ แล้วก็มีสนมด้วย”

“ทำไม...เจ้าหึงข้าหรือ” เสียงเนิบยานตอบกลับมา

“ไม่ใช่ขอรับ” เทพรับใช้สำลักคำแก้ตัวออกมาแทบไม่ทัน บ้าชะมัด! ถามออกไปได้อย่างไรกันนี่ มหาเทพสงครามเคยเห็นราชาแห่งอสูรมาก่อน สมควรจะมีสนมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ!

ทันใดนั้นแรงบีบที่มือก็เพิ่มมากขึ้น ศีรษะของไคซัสก็เอนหงายมาข้างหลัง นัยน์ตาสีส้มสว่างเบิกขึ้นมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของฮาธอสด้วยแววตามุ่งมาด ความร้อนแรงที่เจืออยู่ในนั้นทำให้อีกฝ่ายหายใจสะดุด รีบหลบตาก่อนจะเห็นแววหลุกหลิกในนั้น พยายามสงบใจก่อนคนตัวใหญ่จะรับรู้ถึงหัวใจที่โครมครามในอก

“ข้าเป็นราชาองค์แรกที่เป็นราชาจริง ๆ การรับสนมเป็นไปเพื่อทำให้ฐานอำนาจมั่นคงในอนาคต ไม่ใช่ทุกคนที่ข้าจะมีสัมพันธ์ด้วย บางคนถูกเลี้ยงดูอย่างน้องสาวและลูกหลาน แม้จะมีสนมที่รู้ใจ แต่ข้าก็ไม่ได้รักใคร่พวกนางในแบบนั้นเลย” เสียงทุ้มต่ำมั่นคงราวกับให้ความมั่นใจกับอีกฝ่าย แต่เพื่ออะไรกันล่ะ!? “ส่วน ‘คนคนนั้น’ ก็ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดด้วย ฉะนั้นสบายใจได้เลย”

“มหาเทพไคซัส...มันไม่ใช่...แบบนั้น...” ฮาธอสปฏิเสธอย่างตะกุกตะกัก สับสนและตกใจกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เจตนาจะสื่อความหมายเช่นนั้นจริง ๆ

“ฮาธอส ข้า...”

แต่ก่อนที่ไคซัสจะทันได้พูดอะไรต่อ จู่ ๆ แผ่นเมฆที่ตั้งอยู่ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว มหาเทพสงครามกระโดดข้ามไปประคองตัวฮาธอสไว้ ไคซัสสาบานกับตัวเองในวินาทีนี้เลยว่าได้ยินเสียงบางสิ่งถล่มทลายมาจากที่ไกล ๆ อีกด้วย ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ส่องแสงวูบวาบ สายฟ้าหลากสีสันแล่นมาจากทางทิศใต้ ตามมาด้วยเสียงหวัดแหลมประหลาดบาดประสาทของพวกเขา พลังศักดิ์ศิทธิ์ผันผวนก่อสายลมกระโชกพัดเมฆสีทองลอยไปอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็สงบลง ยกเว้นฟากฟ้าที่ยังปรากฏแสงวูบวาบอยู่!

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ฮาธอสร้องออกมาอย่างตกใจ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย

“ยังไม่รู้ แต่ ‘เสียง’ บอกว่ามาจากทางใต้ มีใครบางคนยุ่งกับเขตอาคม” ไคซัสบอกแล้วยืนขึ้น “อัลวิน!!”

สิ้นเสียงคำรามที่ถูกขยายให้ดังไปทั่วตำหนัก ร่างของอัลล์กับทหารในสังกัดสามนายก็ปรากฏในสภาพสวมเกราะและติดอาวุธพร้อมรบ เทพในสายนักรบมักสวมเกราะด้วยเวทมนต์ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาต้องตกใจทีเดียวที่เห็นสหายอยู่ในอ้อมกอดของมหาเทพสงคราม แต่เลือกที่จะเมินไปก่อนในวินาทีนี้

“เรายังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้นเหตุมาจากชายแดนทางใต้แน่นอน ทหารในสังกัดของข้าแบ่งกำลังไปเฝ้าที่ประตูทางเข้าออกทั้งหมดแล้วขอรับ พลทหารเองก็กระจายกำลังเฝ้าดูแลทุกตึกแล้วด้วย เทพรับใช้จากซิมโฟเนียอาเรียกำลังถูกพากลับที่พักขอรับ” เขารายงานรวดเร็ว

“ดีมาก! ต่อไปก็งานของข้าสินะ”

ไคซัสว่าแล้วก็ปล่อยตัวฮาธอสออกจากอ้อมแขน ก่อนยกมือขึ้นเหนือศีรษะ กระแสเวทอันทรงอานุภาพไหลไปรวมที่มือข้างนั้นเกิดเป็นออร่าสีเหลืองทอง ก่อนถูกยิงขึ้นฟ้าแล้วแตกออกเป็นเจ็ดเสียงกระจายไปตกลงยังจุดต่าง ๆ เจ็ดจุดรอบตำหนักพาเทร่า ก่อนพลังทั้งเจ็ดเชื่อมโยงกันเป็นวงกลมในพริบตา ก่อนจะเกิดเป็นโดมเวทคุ้มกันขนาดใหญ่ครอบคลุมตำหนักแห่งนี้ไว้ภายในเวลาไม่กี่นาที ทั้งฮาธอสและอัลล์ต่างอัศจรรย์ใจกับพลังของเขาอย่างยิ่งยวด

“ฮาธอสกลับที่พักเดี๋ยวนี้ อัลวินกับทหารอีกสองคนตามข้าไป ที่เหลืออีกคนไปบอกคนอื่น ๆ ว่าห้ามออกไปไหนทั้งนั้น เขตอาคมจะทำงานทันทีที่พวกข้าออกไปและจะคงอยู่จนกว่าข้าจะกลับมา ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกทำลายทุกสวนก็จะไม่หายไป ยกเว้นข้าจะตายแล้วเท่านั้น!”

ฮาธอสไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองสะดุ้งผวาในตอนได้ยินคำพูดสุดท้ายของมหาเทพสงคราม ความวุ่นวายรอบข้างเหมือนฉายช้าลงในชั่วขณะนั้น เขาได้แต่มองไคซัสเรียกสร้อยทองที่มีจี้รูปตรีศูลมาสวมคอ จากนั้นมหาเทพสงครามก็เหาะจากไปพร้อมกับผู้ติดตามทั้งสามนาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนทหารคนสุดท้ายตะโกนเรียกเขา

“ฮาธอส ที่พัก!!”

“อ๊ะ! จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่เทพคนสวนยังละล้าละลังดูทิศทางที่พวกไคซัสจากไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะใช้แรงใจทั้งหมดที่มีบังคับตัวเองให้วิ่งตามทหารคนนั้นกลับไปสมทบกับคนอื่น ๆ

---------------

มหาเทพสงครามกับนายทหารผู้ติดตามทั้งสามพุ่งผ่านอากาศไปราวกับดาวหาง พวกเขายังไม่รู้ว่าที่เกิดเหตุจริง ๆ อยู่ตรงไหน เพียงแต่ตามทิศทางที่พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลไปทางใต้เท่านั้น การถ่ายอำนาจแห่งสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติและไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด!

ไม่ช้าแนวเขตแดนก็ปรากฏแก่สายตาของเทพทั้งสาม ซึ่งสิ่งผิดปกติปรากฏให้เห็นเกือบจะในทันที หนึ่งในเสาเขตแดนของแถบนี้ถูกบางสิ่งถล่มย่อยยับ เขตอาคมแห่งแดนฟ้าเกิดช่องโหว่อย่างเห็นชัด ทหารประจำชายแดนมากกว่ายี่สิบนายและทยอยมาเรื่อย ๆ ช่วยกันใช้พลังเวทสกัดมิให้เขตแดนขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ ขณะที่บางส่วนจำคนเจ็บออกจากสถานที่เป้นการด่วน แต่ช่องโหว่นั้นกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ไคซัสนำผู้ติดตามไปที่นั่นโดยพลัน

“เป็นยังไงบ้าง” ไคซัสไม่รอช้าไปหาหนึ่งใจคนเจ็บที่ยังมีสติดีอยู่ เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่

“ข้า...ยังไหวขอรับ” เขาตอบเสียงสั่น ทั้งที่เจ็บมากทีเดียว มหาเทพสงครามตรวจบาดแผลก็เห็นเป็นรอยเล็บขนาดใหญ่ “เรียนมหาเทพ มีอสูรขนาดใหญ่บุกเข้ามาขอรับ เราพยายามต่อต้านแล้ว แต่มันทรงพลังมากจนฝ่าเข้ามาในเขตแดนได้แล้วก็ทำให้เสาเขตแดนล้มลงมาขอรับ”

“แผลของเจ้ามีพลังมืดแฝงอยู่ ข้าจะเอาออกให้” เขาว่าพลางถามต่อ “เจ้าเห็นไหมว่าอสูรตอนนั้นลักษณะ ยังไง และหนีไปทางไหนแล้ว” มหาเทพสงครามต้องการข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อจัดการปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมา

“ข้า...ไม่ทันเห็นขอรับ มันเกิดขึ้นเร็วมาก” ทหารหนุ่มสูดลมหายใจลึก “แล้วก็...ตอนที่มันบุกเข้ามาได้...ข้าได้ยินเสียงหวีดแหลมด้วยด้วย...เห็นใครสักคนเหาะตามมันไป อ๊าก!” ทหารหนุ่มดิ้นพราดด้วยความทรมาน

“พอแล้ว ขอบใจมากน่ะ” เทพอสูรหนุ่มวางมือเหนือบาดแผลของนายทหารหนุ่มแล้วดึงกลุ่มก้อนพลังที่แฝงอยู่ในนั้นออกมา พลทหารแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บ

“มหาเทพไคซัส พลังมืดแผ่เข้ามาแล้วขอรับ!!”

คำเตือนจากอัลล์ทำให้เขาตัดสินใจกระชากพลังส่วนที่เหลืออกมาจากแผลสดนั่นในครั้งเดียว ทหารหนุ่มแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บครั้งหนึ่งแล้วหมดสติไปเกือบจะทันที หากไม่มีเวลาให้ไคซัสสนใจเขามากหนัก เทพหนุ่มหมุนตัวไปยังช่องโหว่ซึ่งกลุ่มควันสีดำขนาดมหึมากำลังไหลเข้ามาเขตสวรรค์ พลังด้านมืออันทรงฤทธานุภาพปะทะกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงมหิธรานุภาพไม่แพ้กัน บังเกิดสายฟาดฟ้าไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าทหารสวรรค์ถึงกับหนีกระเจิงไปอยู่นอกรัศมี เหลือเพียงมหาเทพสงครามเท่านั้น ร่างสูงใหญ่กระตุกจี้ที่ห้อยคอยื่นออกไปข้างหน้า

“ด้วยสายเลือดแห่งราชามังกร ข้าขอสั่งให้เจ้าแสดงร่างที่แท้จริงต่อหน้า อัลเจอร์!!”

ฉับพลันจี้รูปตรีศูลก็เปล่งแสงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นหอกที่มีสามแฉกขนาดใหญ่ ใบหอกทั้งสามเป็นสีเงินยวงวาววับ ด้ามจับเป็นสีดำสนิท ส่วนปลายเป็นลวดลายนูนต่ำคล้ายเปลวไฟสีเงินที่ลุกลามเป็นเกลียวมาทางหัวหอก ไคซัสตั้งมันกับพื้นแล้วรวบรวมพลังเวทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระแสมนตราอันแน่นในร่างเขาจนมองเห็นเป็นรัศมีสีส้มสว่าง มันเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบกลายเป็นสีน้ำตาลในตอนที่เขาระเบิดพลังออกไป!

เสียงคล้ายระเบิดดังกระหึ่มพร้อมสายลมที่พัดกระโชกอีกครั้ง มีเสียงอัลล์สั่งให้ทุกคนถอยขณะอำนาจของไคซัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์ผลักดันกลุ่มควันแห่งความมืดนั้นออกไป เกือบทุกสรรพสิ่งยกเว้นซากเสาเขตแดนกับไคซัสที่อยู่ในเขตคุ้มกันถูกดูดออกไปประหนึ่งหลุมดำก็ไม่ปาน เหล่าทหารต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มหาเทพสงครามทำได้แค่นี้ เขาต้องการคนที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้มาอุดช่องโหว่นี้ซะ

“ใครก็ได้ไปตามหาเทพจ้าวสวรรค์มาเร็วเข้า!”

“โว๊ว! นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสียงเล็กที่ดังแทรกท่ามกลางสรรพเสียงที่กระหึ่มก้องนั้นเป็นของคนที่เทพอสูรหนุ่มไม่อยากได้ยินที่สุด เจ้าของร่างมีเขาหมุนตัวไปพบกับเซย์เรียโน่กับหญิงสาวผมสั้นสีขาวในชุดทะมัดทะแมง ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นขุนพลเทพอันดับสองนามว่า ‘เรซิส’ ทั้งสองตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งยวด

“มีอสูรพังเขตแดนเข้ามา ข้าต้องการคนอุดช่องโหว่นี่!” มหาเทพสงครามก้าวถอยหลังช้า ๆ โดยคงเขตอาคมไว้ด้วย “ข้าต้องไปตามจับอสูรที่หนีไปได้ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่!”

“มหาเทพไปเถอะ พวกเราจะจัดการทางนี้เอง” เรซิสบอกแล้วหันไปหาเด็กหนุ่ม “เซย์เรียโน่!”

“รู้แล้วน่า มหาเทพไคซัสจับตัวก่อเรื่องให้ได้นะ!” เซย์เรียโน่ร้องบอกไคซัสที่วิ่งกลับออกไป

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า!”

เจ้าของร่างสีแดงกระโจนขึ้นกลางอากาศไปสั่งให้ทหารประจำชายแดนตรึงกำลังห่างจากจุดที่เกิดช่องโหว่หนึ่งไมล์ครึ่งซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัยที่สด เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างมหาเทพสงครามก็แผ่จิตออกไปตามหาสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามา ในอดีตมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เพราะทุกอย่างข้างล่างถูกปกคลุมด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับของเขา แต่ที่นี่เขาสามารถพบผู้บุกรุกได้ภายห้านาทีเท่านั้น

“ตามข้ามา!”

อดีตราชาอสูรเรียกทหารของตนเสียงดังฟังชัด หลังจากนั้นก็เหาะนำอัลล์กับผู้ติดตามไปไล่จับผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว พลังของเขาส่งภาพของมันผู้นั้นมาปรากฏในดวงตาข้างซ้าย จากเลือนรางเป็นชัดเจนจนเห็นว่ามันคนนั้นมีรูปร่างเล็ก ใส่ชุดคลุมทั้งตัวจนมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่นั่นยังไม่อันตรายเท่ากับการที่มันยังเหาะได้เร็วทั้งที่ปกปิดพลังอย่างมิดชิด!

“มันรู้ตัวแล้วขอรับ!” จู่ ๆ อัลล์ก็ตะโกนออกมา พริบตานั้นผู้บุกรุกก็เปลี่ยนทิศเหาะหลบเพื่อหลบหนี

แต่ฝันไปเถอะ ไคซัสเป็นเทพอสูรซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของเผ่านักล่า เมื่อเขาเล็งเป้าหมายแล้วไม่มีทางยอมให้หลุดมือไปง่าย ๆ แน่ เขาเร่งความเร็วจนเกือบถึงขีดสุด เร็วเสียจนพวกอัลล์ไม่สามารถเหาะตามทันอีกต่อไป ฝ่ายศัตรูก็พยายามเร่งหนีอย่างสุดชีวิต ทว่าไม่นานมหาเทพสงครามก็ตามมาจนเห็นตัวอีกฝ่ายด้วยตาของตนเอง และใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็อยู่ในรัศมีการได้ยิน

“ผู้บุกรุก หยุดให้จับกุมเสียดี ๆ มิเช่นนั้นชีวิตของเจ้าจะหาไม่!” เขาตะโกนออกไป น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นบ่งชัดว่าเอาจริง

ไร้การตอบสนองในด้านบวก มีแต่ลบคือ อีกฝ่ายเร่งความเร็วหนีไปจากเขาให้เร็วขึ้นอีก ช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี คิดปรามาสแล้วมหาเทพสงครามก็ทะยานออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ มือหนายื่นไปไขว่คว้าหลังเสื้อผู้บุกรุกได้แล้ว แต่แรงรั้งทำให้มันขาดหลุดออกมา ไคซัสคำรามก่อนพุ่งเข้าไปคว้าสิ่งที่น่าจะเป็นแขนแล้วเหนี่ยวรั้งกลับมา อีกมือเสือกหอกไปที่คอของอีกฝ่าย พริบตานั้นเองที่มันกรีดร้อง

“เดี๋ยวก่อน ๆ ข้าเอง ไคซัส!!”

ไคซัสตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงหวานใสดั่งกังสดาลที่เต็มไปด้วยความร้อนรนนั้น มือหนาคว้าชิ้นส่วนเสื้อคลุมที่สวมศีรษะอีกฝ่ายออกเผยใบหน้าอ่อนเยาว์ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำเหลือบแดงของเด็กสาว ซึ่งดูภายนอกแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสี่ให้เห็น ดวงตากลมโตสีพริมโรสมองตรงมาที่เขาอย่างตกใจ ตื่นตระหนก และลนลานใกล้จะสติแตก...เหมือนกับเขาในวินาทีนี้

“ไคมีร่า!!” เขาคำรามเสียงดังกึกก้องทำเอาเด็กสาวอุดหูแทบไม่ทัน

“ขะ...ข้าเอง ข้าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะ” ไคมีร่าพูดเร็วรี่ เต้นไปมาอย่างกลัวความผิด

“แน่นอน ข้าอยากจะฟังคำอธิบาย ดาเรียนรู้ไหมว่าเจ้ามาที่นี่!” มหาเทพสงครามปล่อยมือจากหอกให้มันลอยด้วยตัวเองแล้วกอดอกจ้องคนตรงหน้าอย่างจับผิด “เจ้ารู้ตัวไหมว่าสิ่งที่เจ้าทำสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นขนาดไหน!!”

เด็กสาวห่อตัวเล็กลีบพอดีพวกอัลล์มาถึง แต่พวกเขาไม่ทันได้พูดอะไร ไคซัสก็ยกมือห้ามไว้ก่อน ทุกคนจึงลอยตัวมองเหตุการณ์อย่างไม่เข้าใจ

“ดาเรียนไม่รู้หรอกว่าข้ามา...” เธอสะดุ้งยามไคซัสถลึงตาใส่ “แต่ข้าไม่ได้ทำลายเสาเขตแดนนะ ข้าคิดถึงท่านก็เลยขี่พัมกิ้นซ์มาแถวนี้ เผื่อเจอท่านบ้าง...”

“เดี๋ยวก่อนนะ” ไคซัสร้องแทรกขึ้นมา หน้าตาไม่อยากเชื่อ “เจ้าเอาพัมกินซ์มาหรือ!?”

“เรื่องดุข้าเอาไว้ทีหลัง ฟังก่อน!” ไคมีร่าแทบกรี๊ดใส่ด้วยความร้อนใจ “ข้าเอาพัมกินซ์มา เพราะมันรู้ทางมาสวรรค์ ข้ากำลังคิดว่าจะลองขอเข้าแดนสวรรค์เพื่อมาพบท่านที่ทวารดินด้วยซ้ำ! แต่พอพัมกินซ์บินมาถึงเสาเขตแดนต้นนั้น จู่ ๆ ก็มีบางอย่างพุ่งใส่มันทำให้มันเกิดคลั่งขึ้นมา สะบัดข้าตกจากหลัง แล้วฝ่าเข้ามาชนเสาเขตแดนจนถล่มลงมา ข้าพยายามจะหยุดมันแล้ว แต่มันไม่ฟังข้าเลย ข้าก็เลยตามเข้ามาเพื่อจับมันออกไป!”

เทพอสูรคว้าแขนเธอไปใกล้ทันทีที่เล่าจบ “เจ้าแน่ใจนะว่ามีบางอย่างวิ่งใส่มัน” เขาคาดคั้น

“แน่นอน ไคซัส ข้าไม่เคยโกหกท่านนะ!” ไคมีร่ายืนยันอย่างหนักแน่น

“เอ่อ...มหาเทพไคซัส สตรีผู้นี้...” อัลล์พยายามลองแทรก ซึ่งไม่เป็นผล

“เงียบก่อน อัลวิน นี่เป็นเรื่องสำคัญ!” เขาตัดบทแล้วจับบ่าเด็กสาว ตั้งคำถามที่กลัวที่สุดออกไป “เจ้าเห็นไหมว่าพัมกินซ์ไปทางไหน”

ไคมีร่าสูดลมหายใจลึกแล้วชี้ไปทางเหนือค่อนตะวันออกเล็กน้อย ไคซัสกับทหารในสังกัดมองตามไปแล้วหน้าถอดสีกันอย่างตกตะลึงกันทั้ง คำสบถอย่างหยาบคายที่สุดในแดนสวรรค์ก็หลุดจากปากมหาเทพผู้สูงส่ง!

“ฉิบหายแล้ว! มันกำลังมุ่งไปที่พาเทร่า!!”

----------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 26-08-2013 20:11:28
นะ....นิยายตัดได้สองคอมเมนต์แล้ว ปลื้มปริ่ม  :sad4:

แต่ตอบคอมเมนต์ต้องมาติ่งแทน mod คงไม่ว่าหรอกเนอะ (เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ผมเปล่าปั่นเมนต์นะครับ)  :3123:

ตอบคอมเมนต์ครับ

คุณ kamidere ขอบคุณครับ ^ ^ แล้วแวะมาทักทายกันอีกนะครับ แฮะๆ

คุณ padang ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆ ครับ มาโกะนิสัยเสียชอบเขียนยาวน่ะครับ บางทีบรรยายมากไปจนเวลารีไรท์ต้องกลับไปตัดฉากที่ไม่จำเป็นออกก็มี (ซึ่งเรื่องนี้หมายตาไว้สองสามฉากเหมือนกัน) ปกติจะโพสที่เด็กดีซึ่งไม่จำกัดอักษร พอมาเจอเว็บนี้จำกัดด้วย แล้วก็แถมปั่นเมนต์ด้วย เลยกลัวว่าจะทำผิดกฎน่ะครับ

คุณ อายทำไม /บิดตัวกระมิดกระเมี้ยน แฮะๆ โดนใจจับได้ซะแล้ว

มาโกโตะ-ซัง ก็คือ เคย์เซย์ นั่นเองครับ ตัวคันจิที่เป็นชื่อนามปากกาสองตัว ถ้าอ่านตามเสียงของมันเลยจะอ่านได้ว่า "เมกุมิ มาโกโตะ" ซึ่งมีความหมายว่า ความซื่อสัตย์และความเมตตา ผมอยากมีนามปากกาสำหรับแนว boy's love โดยเฉพาะก็เลยตัดเอาคำว่า มาโกโตะ มาใช้ครับ แต่ในเล้ามีคนใช้ makoto ไปแล้วก็เลยต้องมาใช้ makoto-sang แทน  :o8:

ดีใจนะเนี่ย มีคนจำได้ด้วย ^ ^  คุณอายทำไมคุณอ๊ายอายจังในเพจสินะครับ (เดาจากยูสเนม)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 26-08-2013 22:12:12
มีปีศาจแฝงตัวในสวรรค์แน่นอน
เดี๋ยวก็เจอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 27-08-2013 00:59:13
ลงเรื่องได้ยาวสะใจมาก หุหุ

แอบมีฉากหวานชอบๆ :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 27-08-2013 11:27:23
 :m1: :m3:สนุกชอบมากเลย ชอบแนวนี้
ขอติดตามเป็นแฟนคลับนะคนเขียน
ลุ้นๆๆตอนต่อไปจะเป็นยังไง  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 27-08-2013 19:46:50
บทที่ 7 ความสามารถของคนสวน
- 50% -

เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังกระหึ่มไปทั่วตำหนักพาเทร่า ขณะเหล่าทหารภายในโดมอาคมรีบคว้าอาวุธออกมาตั้งรับที่ลานกว้าง ข้างนอกนั้นมีสัตว์อสูรที่มีลักษณะเหมือนสิงโตสีดำปรอด นัยน์ตาสีแดงฉาน ขนแผงคอตรงช่วงอกมีขนสีขาวเป็นรูปลูกศรีชี้ลงด้านล่าง มีพยายามจะฝ่าเข้ามาในตำหนักพาเทร่าให้ได้

“ตั้งแถว ตั้งแถว!!” เซบาสเตียนซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้ออกคำสั่ง ทหารทุกนายจึงเข้าแถวตามที่ถูกฝึกฝนมา หอกสีทองยาวถูกตั้งขึ้นชี้ตรงไปยังสัตว์อสูรข้างนอกนั้น ทว่าสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่นหาสนใจไหม มันแผดเสียงคำรามอีกครั้ง ก่อนพ่นไฟสีน้ำเงินใส่เขตอาคมทำให้เกิดส่องแสงวูบวาบจากความร้อนที่แผ่ไปทั่ว แต่ยังตั้งอยู่ได้ กระนั้นเจ้าอสุรกายสีดำก็ไม่ยอมแพ้และพยายามพุ่งชนด้วยกำลังของตนเอง

“เสริมพลัง!!” เซบาสเตียนสั่งอีกครั้ง ทหารทุกนายก็ปล่อยพลังไปเสริมแรงให้เขตอาคมโดยทันที

ฮาธอสยังไม่ได้กลับเข้าไปที่พัก เขาเกาะขอบประตูชั้นในมองดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นอสูรแห่งความมืดที่ตัวใหญ่และทรงพลังขนาดนี้เป็นครั้งแรก แข็งแกร่งจนเขานึกกลัวว่ามันจะฝ่าเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้

“ฮาธอส!” เสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็พบเพื่อนจากตำหนักเดียวกันเกาะเสาทางเดินหน้าซีดอยู่ แผ่นเมฆที่ตั้งปราสาทสั่นสะเทือนท่ามกลางเสียงระเบิดของการโจมตีอีกครั้ง เขตอาคมสว่างวาบ เทพคนสวนประคองตัวเองผ่านพื้นสั่น ๆ ไปหาเพื่อนอย่างลำบาก

“มีอะไร! เจ้าไม่ควรออกมาที่นี่นะ” หลับหูหลับตาถามพร้อมคว้าเสาต้นเดียวกันไว้

“ขะ...ข้าก็ไม่อยากออกมานักหรอก หวา!” สหายของเขาร้องสั่นเมื่ออสุรกายชนเขตอาคมจนเกิดเสียงดังกึกก้อง ความกลัวทำให้เขาพูดตะกุกตะกักจนฟังไม่รู้เรื่อง “พะ...พวก...หา...ไม่เจอ...!”

“เดี๋ยว ๆ นี่เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ!” ฮาธอสถามเสียงเข้ม เริ่มตกใจบ้างแล้ว

“...หาไม่เจอ...” สหายร่วมตำหนักของเขาเค้นเสียงอีกครั้ง “พวกเราตามหานาซิลลาไม่เจอ!!”

“ว่าไงนะ! นางไปที่ห้องเครื่องนี่ นางกำนัลที่นั่นไม่ได้พานางกลับไปด้วยรึ!” ฮาธอสร้องอย่างตกใจสุดขีด ขณะเดียวกันนั้นราชสีห์อสูรก็ส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายทำให้เขาแทบไม่ได้ยินคำตอบของเพื่อน

“เปล่า! นางไม่ได้ไปที่ห้องเครื่องตั้งแต่แรกแล้ว!!”

สิ้นเสียงของสหายร่วมตำหนัก เจ้าสัตว์ร้ายก็ยิงพลังเวทสีดำใส่โดมคุ้มกันติด ๆ กัน ซ้ำที่จุดเดิมถึงเจ็ดครั้ง แต่ละครั้งดวงเวทจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และให้ตำหนักสั่นสะเทือนจนแทบยืนไม่อยู่ พวกเซบาสเตียนไม่สามารถเสริมกำลังให้ได้ เขตอาคมจึงเริ่มเกิดรอยร้าวแผ่ออกมาจากจุดศูนย์กลาง และเมื่อมันยิงกระสุนเวทลูกสุดท้ายออกมา ม่านมนตราบริเวณนั้นก็แตกกระตาย พลังสีดำลอยเข้ามาระเบิดในเขตพาเทร่า!

เสียงระเบิดดั่งสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดทำให้อาคารที่พักทหารแตกร้าว สายลมกระโชกซัดร่างทหารที่ตั้งรับตรงนั้นกระเด็นไปไกลหลายเมตร ฮาธอสกับเพื่อนกอดเสาที่จับอยู่แน่น ได้ยินเสียงสหายของเขาร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ มีแต่เทพคนสวนที่พยายามเบิ่งตาดูสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเห็นเขตอาคมซ่อมแซมตัวเองเร็วที่สุดเท่าที่เคยพบมา ทว่าก็ไม่อาจขวางกั้นสิงโตอสูรได้ มันทะยานฝ่าเข้ามาในเขตพาเทร่าได้ เมื่อนั้นเองที่เขตอาคมหดเล็กลงเหลือครอบคลุมแค่ชั้นในเท่านั้น!

“ถอยกลับ! ตั้งรับหน้าเขตอาคม!!” เซบาสเตียนออกคำสั่งแข็งกับสายลม ทหารที่ลุกไหวก็รีบทำตามคำสั่ง บางส่วนวิ่งเข้าไปเสริมพลังให้กำแพงมนตราจากด้านใน ฮาธอสฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังวุ่นวิ่งออกมาตะโกนบอกผู้นำทหารว่า

“เซบาสเตียน นาซิลลาหายไป!”

ยังไม่ทันขาดเสียงของฮาธอสดีด้วยซ้ำ สิงโตดำที่หยุดทำจมูกฟุดฟิดก็วิ่งไปยังที่พักทหารทางฝั่งขวา พุ่งชนปีกหนึ่งที่อยู่ใกล้กำแพงชั้นในที่สุดพังลงมาทั้งแถบ ฮาธอสกับเหล่าทหารอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ก่อนหัวใจเทพคนสวนจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อร่างเล็กไว้ผมสีเงินยวงวิ่งออกมาจากซอกข้างตึกที่เป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ เธอก็คือคนที่ฮาธอสกำลังตามหาอยู่ นาซิลลาพยายามมาหาพวกทหาร แต่กลับสะดุดซากไม้ล้มลงอย่างไม่น่าให้อภัย อสุรกายสีดำกลับตัวแล้วทะยานตรงเข้าเธอด้วยความเร็วสูง

“กรี๊ดดด!!!” นาซิลลากรีดร้องอย่างตื่นกลัวสุดขีด ดวงตาปิดแน่นคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ แต่หลังผ่านไปสักครู่โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ลืมตาขึ้นมาพบกับภาพที่น่าตกใจ “ฮาธอส!!”

บุรุษผมสีทองนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งห่างตัวเธอไปแค่คืบเดียวเท่านั้น แขนข้างหนึ่งกางกั้นเด็กสาวไว้ข้างหลัง มืออีกข้างถือดาบที่มีแสงสีขาวเปล่งเป็นโล่สกัดสิงโตอสูรไว้ โล่แสงนั้นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อสิงห์ร้ายพยายามจะขย้ำเขา เทพหนุ่มกัดฟันกรอดเสียวสันหลังวาบตอนเขี้ยวคมเฉียบศีรษะไปนิดเดียว อำนาจมหาศาลของอีกฝ่ายก็ถาโมลงมากดดันจนแทบหายในไม่ออก แต่เขายังอดทนไว้เพื่อชีวิตของคนข้างหลัง ทหารทุกนายทำตาโตอย่างตกตะตึง แล้วเซบาสเตียนก็รู้ว่าดาบที่ฮาธอสใช้นั้นเป็นของเขานั่นเอง!

“นาซิลลามัวทำอะไรอยู่ รีบกลับเข้าไปในเขตอาคมเร็วเข้า!!”

เทพจันทราน้อยเพิ่งรู้สึกตัวจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งไปหาพวกเซบาสเตียน สิงโตอสูรไม่รอช้ากระโจนข้ามหัวฮาธอสตามเธอไป เทพคนสวนหายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาใช้วิชาหายตัวไปปรากฏเบื้องหน้ามันอีกครั้ง ตั้งดาบขึ้นในแนวขวางขนานพื้น ก่อนกระแทกตัวมันออกไปด้วยพลังปราณ ราชสีห์ตัวเขื่องลอยละลิ่วไปตกลงบนพื้นห่างไปเกือบสามสิบหลา มันคำรามกราดเกรี้ยวขณะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเทพหนุ่ม

ฮาธอสสะบัดดาบมาอยู่ในแถนขวาง เตรียมพร้อมรับทุกอย่างที่จะตาม และเมื่อสิงโตดำพ่นไฟสีดำออกจากปาก เทพคนสวนก็สร้างกำแพงมนตราขึ้นต้านทานไว้ กระนั้นรังสีความร้อนยังแผ่เข้ามาถึงตัวจนเทพหนุ่มกัดฟันกรอดอีกหน ก่อนรวบรวมพลังไว้ที่ดาบตวัดทำลายไฟนั้นจนสิ้นซากในครั้งเดียว!

“อะไรกันเนี่ย เทพรับใช้ตนนี้...” เซบาสเตียนครางอย่างตะลึง ทุกคนรวมถึงนาซิลลาก็อัศจรรย์ใจ

“กลับไปเถิด อสูรเอ๋ย เจ้าหาควรอยู่ที่นี่ไม่!” ฮาธอสตะโกนบอกอสุรกาย

แต่สัตว์ร้ายกลับเลือกกระโจนใส่เทพคนสวนโดยตรง ชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลบกรงเล็บที่หวดใส่ ตามด้วยตวัดดาบไปกันอีกข้าง เขาสะท้อนมันออกไปอีกทีแล้วร่ายมนต์คุ้มกันป้องกันเพลิงบรรลัยกัลป์ แต่คราวนี้เขาวาดมือซ้ายเป็นวงทำให้ไฟนั้นรวมกันเป็นลูกใหญ่ ก่อนยิงอัดกลับไป เจ้าสิงโตกระโจนหลบได้ก่อนพุ่งเข้าใส่ ปากอ้ากว้างหวังขย้ำตัวฮาธอสให้ได้ เทพหนุ่มยกดาบที่เป็นสื่อกลางของโล่แสงกั้นไว้ เขากัดกรามแทบแตกเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักมหาศาลที่โถมลงมา

“ย๊าก!!” เทพคนสวนคำรามพร้อมใช้พลังในร่างผลักอสุรกายออกไปอีกครั้ง ไกลกว่าเดิมมากทีเดียว ร่างสูงโปร่งที่หอบโยนเริ่มปรากฏรัศมีสีขาวชัดเจนขึ้น ความเหนื่อยจากการต่อสู้ทำให้เขาเริ่มควบคุมพลังไม่ได้ บางส่วนจึงไหลออกมาภายนอกอย่างที่เห็น ซึ่งเขาไม่ชอบเอาเลยจึงหันไปตะโกนบอกคนข้างหลัง “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบถอยกลับเข้าไปข้างในสิ พานาซิลลาไปด้วย...อ๊ะ!!”

เพียงพริบตาที่ฮาธอสละสายตาจากศัตรู อสูรสีดำก็ทะยานเข้าใส่เขาอีกครั้ง อุ้งเท้าหนักอึ้งพาดลำตัวของเขาอย่างจัง แม้ว่าเทพหนุ่มจะไหวตัวทันใช้พลังป้องกันตัวเองไว้ได้ ทว่าแรงปะทะที่เกิดขึ้นก็ส่งเขาลอยละลิ่วไปชนกับผนังที่พักทางซ้ายจนถล่มลงมาด้วยกัน ชายหนุ่มบิดตัวเกร็งด้วยความเจ็บบนพื้น เศษอิฐตกใส่ศีรษะจนปวดแปลบไปหมด

นาซิลลาหวีดร้องแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปช่วยเทพคนสวน แต่เซบาสเตียนคว้าตัวลากกลับมาเสียก่อน ตอนนั้นเองที่สิงโตดำจู่โจมโดมมนตราอีกครั้ง มันใช้กรงเล็บตะปบจนเกิดสายฟ้าปะทุออกมาตัวม่านตรา สายหนึ่งนั้นกระแทกตัวมันอย่างจังจนกระเด็นไปอีก แต่แทนที่จะหยุด มันแผดเสียงอย่างโมโห อ้าปากรวมพลังเข้าด้วยกันอีกครั้ง เซบาสเตียนสั่งให้ทุกคนถอยพร้อมพาเทพจันทราน้อยไปด้วย

แต่ก่อนที่อสูรร้ายจะรวมหลังได้อย่างใจหวัง แสงสีขาวก็พุ่งกระแทกหัวมันอย่างจังจนกระเด็นออกไปอีกครา ฮาธอสลงพื้นอย่างนุ่มนวลแล้วกระโดดหมุนตัวกลับไปอยู่หน้าโดมคุ้มกัน เลือดสีแดงไหลจากไรผมลงมาตามซีกหน้า รัศมีรอบตัวของเขาเข้มชัดและทรงพลังกว่าเมื่อครู่นี้เป็นเท่าตัว เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะมองด้วยสายตาเช่นไร สิ่งที่คิดตอนนี้มีเพียงสู้เพื่อปกป้องคนอื่น ๆ ให้ได้เท่านั้น! ดวงตาจ้องมองสิงโตดำลุกขึ้นช้า ๆ อย่างมึนงง มันส่งเสียงต่ำดูหัวเสียหนักทีเดียว

“ไปซะ” ฮาธอสสั่งมัน นาซิลลากับพวกเซบาสเตียนไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำไปเพื่ออะไร อสูรร้ายตนนี้ควรจะฆ่าทิ้งมากกว่า! “ข้ายังไม่อยากฆ่าเจ้า รีบไปจากที่นี่ซะ!!”

แน่นอนว่าอสูรราชสีห์ย่อมไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด มันสะบัดหัวให้หายมึนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ควบเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ฮาธอสมองมันด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงสืบเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลัง สองมือวาดสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกกลางอากาศ ก่อนสะบัดมือทั้งสองข้างออกไปด้านข้าง บังเกิดม่านอาคมสีขาวป้องกันเขาจากสัตว์ร้ายทันในนาทีสุดท้ายพอดิบพอดี แรงกระแทกหนักหน่วงทำให้เขาถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ค้ำยันไว้ได้ สิงห์ดำพยายามตะกายหาทางเข้ามาเต็มที่ เขี้ยวแหลมคมห่างจากใบหน้าของเขาแค่นิดเดียว

“ทำไมล่ะ เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร!” ฮาธอสตะเบ่งเสียงก้อง ดันมือส่งพลังสะท้อนอสุรกายออกไปอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำใจลงมือฆ่ามันไม่ลงจริง ๆ

‘ฮาธอสเอ๋ย เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่มีทางเป็นเทพชั้นสูงได้หรอก’ กระแสเสียงที่มีสำเนียงคล้ายกันผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ ประหนึ่งจะตอกย้ำความไม่กล้าสังหารสัตว์ร้าย เทพคนสวนสะบัดหัวขับไล่มันออกไปแล้วเสริมพลังให้มนต์ป้องกัน เพราะรู้ว่าการตัดสินใจเมื่อครู่นี้เป็นความผิดพลาด

สิงโตดำม้วนตัวลงพื้นได้ดีกว่าเก่า ครั้นตั้งหลักได้ใต้เท้าทั้งสี่ก็ปรากฏวงแหวนเวทดาวห้าแฉกขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นกระแสพลังมืดก็ไหลออกจากตัวมันไปรวมกันในปากที่อ้ากว้าง รวมกันเป็นหนึ่งจากก้อนเล็กเท่าเข็มแล้วขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาสีแดงฉานลุกโชนราวกับเปลวไฟแห่งซาตาน กระทั่งอำนาจเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดมันก็ยิงกระสุนเวทใส่กำแพงของฮาธอสทันที

กระสุนมนตราแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง เขตอาคมของฮาธอสเรืองอำนาจสูงสุดส่องแสงที่สว่างเจิดจ้าจนต้องปิดตาก่อนจะมืดบอด พร้อมกันนั้นก็เตรียมใจรับการกระแทกอันรุนแรงที่จะตามมาด้วย แต่เมื่อเขาเขาทำเช่นนั้น พลันมีแสงสีส้มตกลงมาจากฟ้า เงาร่างใหญ่โตยืนจังก้าดั่งไม่กลัวพลังนั้น เทพคนสวนกำลังจะบอกให้ถอยก็บังเกิดเสียงระเบิดดังกระหึ่มเสียก่อน

และท่ามกลางสายลมระเบิดที่พัดปั่นป่วนไปทั่วลานกว้าง ร่างใหญ่นั้นก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วก็มีเสียงร้องของสิงโตดังขึ้นวูบหนึ่งก่อนเงียบหาย ตามด้วยเสียงตูม พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนเบา ๆ ฮาธอสพยายามเปิดตาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ากระแสลมพัดปะทะใบหน้าของเขาพอดี ทำให้ต้องหลับตารอจนทุกอย่างจะสงบ พร้อมกับสลายพลังทิ้งไป หลังจากนั้นจึงเบิ่งตาขึ้นมองเบื้องหน้า

ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเขาคือ มหาเทพสงครามยืนเหยียบส่วนหัวของสิงโตดำ ซึ่งบัดนี้นอนสลบเหมือดบนพื้นที่มีแต่รอยแตกราว มือถือหอกจ่อคอมันพลางว่าคาถาด้วยสีหน้าโกรธจัด สักครู่ดึงหอกถอยออกมาแล้วก็มีดวงแสงสีแดงลอยมาอยู่ในมือ ภายในนั้นมีแมลงไสยเวทตัวเขื่องวิ่งพล่านหาทางหนี

“มีใครเป็นอะไรไหม” มหาเทพเบือนหน้ามาถามอย่างร้อนใน ก่อนชะงักเมื่อเห็นเลือดเปื้อนหน้าเทพคนสวน “ฮาธอส เจ้าบาดเจ็บ”

“เอ๊ะ! นี่หรือ...” ฮาธอสเอามือแตะใต้ไรผมที่เคยเจ็บ แต่ไม่มีบาดแผลอยู่ตรงนั้น มันคงจะหายแล้ว “บาดแผลสมานตัวแล้วขอรับ ร่างกายของข้าฟื้นตัวเร็วกว่าเทพทั่วไปมาก”

“งั้นรึ! คนอื่นล่ะ!” ไคซัสมองเข้าไปข้างใน เซบาสเตียนวิ่งออกมาแสดงความเคารพ ขณะทหารนายอื่น ๆ กระจายกำลังล้อมพื้นที่ไว้ เหลือแต่นาซิลลาที่ถูกเพื่อนร่วมตำหนักห้ามไม่ให้ตามออกมาด้วย

“เรียนมหาเทพไคซัส การโจมตีของอสูรราชสีห์เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนขอรับ มันพังเขตอาคมเข้ามาทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บสิบเอ็ดนาย ตอนนี้ถูกพาไปเยียวยาที่ลานด้านหลังปราสาทแล้วขอรับ” เซบาสเตียนรายงานแล้วคุกเข่าคำนับ “ข้าน้อยต้องขอประทานโทษอย่างยิ่งที่ไม่สามารถปกป้องตำหนักได้ ขอมหาเทพไคซัสลงโทษอย่างหนักด้วยขอรับ!”

“พัมกิ้นซ์!!”

ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน หลังมีเสียงหญิงแปลกหน้ากรีดร้อง ไคมีร่าที่อัลล์กับทหารในสังกัดคุมตัวตามมาถลาไปดูอาการของสิงโตอสูรด้วยความเป็นห่วง ปากพร่ำพูดว่า ‘มันจะตายไหม’ ตลอดเวลา ยังความประหลาดใจให้แก่ทุกคนอย่างมาก ฮาธอสเหลียวมองสหายที่ทิ้งตัวลงมาอยู่ข้างกาย แต่นายทหารผมสีแดงเพลิงส่ายหัวให้อย่างไร้คำตอบ

“เฮ้อ! มันไม่เป็นไร” ในที่สุดเด็กสาวก็ถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนเงยหน้าไปหาเทพอสูรกายสีแดง ซึ่งเธอถึงกับอึ้งเมื่อเห็นแมลงไสยเวทในมือเขา “สวรรค์ แมลงไสยเวทตัวใหญ่อะไรอย่างนี้”

“เพราะมันกินพลังของพัมกิ้นซ์เข้าไปน่ะสิ!” ไคซัสพูดเสียงกร้าว ก้มลงหิ้วเด็กสาวตัวลอยขึ้นมาแล้วผลักไปห่าง ๆ “ถอยไป ข้ายังไม่เสร็จธุระ”

ว่าแล้วมหาเทพสงครามก็เอามืออีกข้างไปอยู่เหนือที่กักขังแมลงไสยเวท ส่งพลังเข้าไปในตัวแมลงร้ายที่วิ่งพล่านไม่หยุด ครู่ต่อมาก็มีภาพอุโมงค์มืดปรากฏในดวงตาแล้ววิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง เขากำลังย้อนรอยไปหาคนที่ส่งแมลงไสยเวทตัวนี้มาสิงพัมกินซ์แล้วบังคับให้มันก่อเรื่องร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับมันให้จงได้

แต่ทันทีที่มองเห็นปลายทางซึ่งจะไปสู่ตัวการของเรื่องนี้ จู่ ๆ ก็มีแสงสีแดงฉานบังเกิดขึ้นพร้อมกับความแสบร้อนในดวงตาของเขา

“อ๊าก!!” มหาเทพสงครามเอามือปิดตา ทำให้ที่กักขังแมลงไสยเวทร่วงจากมือ

ไคมีร่ารีบยื่นมือออกไปเพื่อรับมัน ทว่าคลาดไปเพียงปลายนิ้ว ดวงเวทกระทบพื้นทำให้เวทมนต์สลายไป แมลงไสยเวทพุ่งตัวขึ้นกลางอากาศเพื่อหลบหนี ก่อนจะถูกศรเวทลมยิงทะลุกลางลำตัวสลายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน แล้วเรซิสกับเซย์เรียโน่ที่เพิ่งมาถึงก็ลอยตัวลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ท่าทางคุกคามเอาเรื่อง ฮาธอสกับอัลล์จึงวิ่งไปสมทบกับเจ้านายของตน เทพคนสวนเข้าประคองตัวไคซัสไว้คนแรก

“พวกเราจัดการปิดช่องโหว่ของเขตอาคมเรียบร้อยแล้ว” เรซิสแจ้ง ใบหน้านวลผ่องเหลียวมองเด็กสาวแปลกหน้า “พวกเราเลยตามมหาเทพสงครามมา”

“แต่ดูเหมือนท่านจะจับคนร้ายได้แล้ว จะเริ่มการสอบสวนเมื่อไหร่ล่ะ” เซย์เรียโน่ก็มองไคมีร่า เด็กสาวย่นคิ้วใส่อย่างเป็นศัตรู แต่เด็กหนุ่มเลือกจะเมินไปมองไคซัสที่เพิ่งจะลืมตาขึ้น “ไง สาวถึงตัวผู้บงการไหม”

“ไม่! ถูกขัดขวางเสียก่อน” ไคซัสเหยียดตัวขึ้นตรง ส่งสัญญาณบอกให้ฮาธอสปล่อยมือ เทพคนสวนส่ายศีรษะประท้วงจนต้องดันบ่าออกไปถึงยอมปล่อย “แล้วไคมีร่าก็ไม่ได้เป็นคนร้ายด้วย แต่เป็น...”

“เป็นอะไรหรือ”

เสียงของฟาเบียนดังกังวานไปทั่วตำหนักตัดบทของไคซัสอย่างเหมาะเจาะ อากาศธาตุเบื้องหน้ามหาเทพสงครามบิดเบี้ยวแล้วแหวกออกเป็นประตูมิติ มหาเทพจ้าวสวรรค์ก้าวออกมาจากช่องนั้นด้วยใบหน้าโกรธจัด ถึงจะดูไม่น่ากลัวเอาเสียเลยก็ตาม

“เสาเขตแดนต้นหนึ่งถูกทำลายโดยอสูรตนนี้ ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่เขตแดน ขุนพลเทพถึงสองคนต้องช่วยกันซ่อมแซม...” ฟาเบียนพยายามข่มกลั้นในช่วงแรก ทว่ายิ่งพูดน้ำเสียงของเขาก็ยิ่งกราดเกรี้ยวขึ้น “ส่วนเด็กสาวคนนี้ก็ฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเขตสวรรค์ หลบหนีการจับกุมของเจ้า แถมอสูรตนนั้นยังมาอาละวาดที่นี่จะเกือบพัง เจ้าจะบอกว่านางเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ!”

“ไคมีร่าเป็น ‘น้องสาว’ ของข้า”

เพียงประโยคเดียวที่เอ่ยสวนออกมาอย่างสงบ แต่กลับหยุดความพิโรธของราชาแห่งฟ้าได้อย่างชะงัด ก่อนเขากับเทพคนอื่นๆ จะเหลียวมองไคมีร่าด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด แต่คนที่ตกใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นฮาธอส หรือว่า ‘คนคนนั้น’ ที่ไคซัสเคยพูดถึงจะเป็นเด็กสาวคนนี้ แล้วมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็พูดออกมา

“ข้าต้องการที่คุยเงียบ ๆ”

“ห้องทำงานของข้า ฮาธอสไปเปลี่ยนชุดแล้วดูแลเรื่องน้ำชากับของว่างให้ที เซบาสเตียนกับคนอื่น ๆ สร้างกรงขังด้วยพลังเทพขังพัมกินซ์ไว้จนกว่าข้าจะสั่ง ห้ามปล่อยเด็ดขาด!”

มหาเทพสงครามสั่งเสียงกร้าว ประกาศชัดถึงเจตนารมณ์ที่แม้แต่มหาเทพจ้าวสวรรค์ยังไม่อาจขัดได้ มือหนาที่กุมอาวุธสะบัดครั้งหนึ่ง มันก็ย่อตัวลงกลับไปเป็นจี้อันเล็กเหมือนเดิม ส่วนอีกมือคว้าแขนไคมีร่าพาเข้าไปในปราสาท อัลล์วิ่งนำหน้าไปเตรียมสถานที่ให้พร้อม เขตอาคมหายไปในตอนที่ลับร่างไคซัส เหลือแต่ฮาธอสที่ตัดสินใจรอให้ผู้สูงศักดิ์เข้าไปก่อน

ฟาเบียนกวักมือเรียกเรซิสกับเซย์เรียโน่ตามไปด้วย ทหารทุกนายต่างค้อมคำนับส่งเสด็จอย่างสมพระเกียรติ แต่ก่อนจะเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ราชาแห่งฟ้าหมุนตัวกลับมาส่งสายตาอาฆาตให้เทพทุกตน

“คนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดมีแต่พวกข้าเท่านั้น หากข้ารู้ว่าใครแพร่งพรายออกไป มันผู้นั้นไม่ได้จุติโดยดีแน่!”

แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่น้ำเสียงทุ้มที่เคยไร้พิษสงของราชาแห่งฟ้า บัดนี้กลับทรงพลังยิ่งชนิดทิ่มแทงใจคนฟัง เซย์เรียโน่อาศัยจังหวะที่ฟาเบียนหันหลังเข้าประตูไปส่งสัญญาณมือบอกให้รู้ว่า ‘เอาจริง’ เทพทุกตนจึงกลืนน้ำลายเอื้อกและสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ละเมิดคำสั่งโดยเด็ดขาด!

---------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 27-08-2013 19:53:05
- 100% -

ควันไฟลอยกรุ่นจากปล่องควันเหนือห้องเครื่องที่อยู่ด้านหลังปีกตะวันตกพอดี นางกำนัลจากซิมโฟเนียอาเรียสองคนช่วยกันจัดเตรียมชุดน้ำชากับของว่างชุดใหญ่โดยเร็วที่สุดเท่าที่เคยทำมา ฮาธอสซึ่งบัดนี้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วยืนดูเงียบ ๆ โดยไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ที่ส่งมาจากเพื่อนนางกำนัล เรื่องความสามารถลับของเขาคงโจษขานมาถึงพวกนางแล้ว

“ฮาธอส” ร่างสูงโปร่งหันขวับไปทางต้นเสียง นาซิลลายืนห่างไปเพียงเล็กน้อย เธอก็เปลี่ยนชุดใหม่แล้ว “คือ..เรื่องวันนี้...ข้าขอโทษนะ...”

เทพคนสวนพินิจแววสำนึกผิดบนใบหน้าหวานแล้วดันร่างบางออกไปที่ทางเดิน ซึ่งเขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ้าไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

เด็กสาวมีสีหน้าลังเล “ข้ารู้สึกไม่ดีก็เลยออกไปสูดอากาศหายใจที่สวนหย่อมตรงข้างนอก พอตำหนักทั้งหลังสั่นข้ากลัวมากก็เลยซ่อนอยู่แถวนั้น ข้าขอโทษนะ” เธอสะอื้นด้วยความเสียใจ

ฮาธอสเอามือลูบหน้าผาก เข้าใจดีว่าความเสียใจของนาซิลลาถูกส่งมาถึงตัวเขามากกว่าเหตุการณ์โดยรวม ถ้าเธอไม่ไปอยู่ตรงนั้น เทพหนุ่มก็คงจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของพวกเซบาสเตียน ส่วนตัวเองคอยดูแลแค่สหายที่มาจากตำหนักเก่าเท่านั้น

แต่สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด กาลเวลาย่อมไม่อาจหวนคืนฉันนั้น เมื่อเขาเผลอตัวเปิดเผยความสามารถออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฮาธอสก็ต้องทำใจและ ‘จำใจ’ ยอมรับผลที่จะติดตามมาหลังจากนี้ และภาวนาให้มันหยุดแค่ตัวเขาในปัจจุบัน ไม่ไปไกลมากกว่านั้น

“ฮาธอส น้ำชากับของว่างพร้อมแล้ว” นางกำนัลผู้หนึ่งโผล่หน้ามาเรียกจากครัว พร้อม ๆ กันนั้นเซบาสเตียนก็โผล่มาจากปลายทางเดิน

“ฮาธอส มหาเทพไคซัสให้มาตาม” เขาทำหน้าโล่งใจเมื่อเห็นนาซิลลา “เทพจันทราด้วยนะ มหาเทพไคซัสต้องการพบทั้งสองคนเลย”

เทพหนุ่มสาวมองหน้ากันเองแวบหนึ่งจึงหน้าตอบรับ แล้วเทพหนุ่มก็หันไปรับถาดชุดน้ำชาประกอบด้วยชาสามกากับของว่างเป็นขนมมองบลังค์ที่สวยกว่าที่นาซิลลาทำมาก เขาแอบเหล่เด็กสาวเล็กน้อย อีกฝ่ายก็หน้าทำหน้างอตอบกลับมาก่อนจะช่วยยกอีกชุด และเซบาสเตียนก็นำทั้งคู่ขึ้นไปที่ทำงานของไคซัสด้วยกัน

หน้าประตูห้องที่ปกติจะมีทหารยามเฝ้าอยู่สองคน แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นมาถึงสิบคนด้วยกัน นาซิลลาแอบผวาจึงขยับมาอยู่ใกล้กับชายหนุ่ม ฮาธอสบอกให้เธอทำตัวเฉย ๆ ไว้ ขณะเซบาสเตียนเคาะประตู รออยู่สักครู่อัลล์ก็มาเปิดให้ทั้งสองคนเข้าไปข้างในห้องที่บรรยากาศตึงเครียด ไคซัสนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เคียงข้างด้วยน้องสาว มหาเทพจ้าวสวรรค์ประทับตรงกันข้ามกับเขา เรซิสยืนหยัดอยู่ข้างหลัง ส่วนเซย์เรียโน่ไปนั่งชันเข่าเท่ห์ที่ขอบหน้าต่างซึ่งปิดม่านไว้ทั้งหมด

“ขออภัยที่มาช้าขอรับ” ฮาธอสเป็นตัวแทนกล่าวก่อนจะเสิร์ฟน้ำชาให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทุกคนด้วยตนเอง นาซิลลาถูกสั่งให้ยืนรออยู่หน้าประตูกับอัลล์

เทพผู้สูงศักดิ์ทุกตนต่างมองเธอด้วยสายตาพินิจพิจารณาขนาดที่เด็กสาวต้องก้มหน้าหนีด้วยความประหวั่นกลัว ฮาธอสเหลือบเห็นไคซัสส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปให้ฟาเบียน แต่อีกฝ่ายนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน และเหมือนมหาเทพสงครามจะรู้อะไร ๆ ดีจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนประเด็นก่อน

“เอาเป็นว่าเรื่องของไคมีร่าเป็นอย่างที่นางเล่าไป นางหนีมาจากผู้ดูแลมาที่นี่เพื่อพบข้า แต่ระหว่างทางพัมกิ้นซ์ถูกแมลงไสยเวทควบคุมจนเกิดเหตุร้าย ข้าจะเป็นรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง” ไคซัสพูดเสียงดังฟังชัด ฮาธอสที่กำลังวางถ้วยชาให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

“เรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยวด้วยเลยนะ” ไคมีร่าแย้งขึ้นมา

“แต่ในฐานะของพี่ชายและมหาเทพสงคราม มันเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดแล้ว”

เทพคนสวนเหลือกตาขึ้นมองสีหน้าจริงจังของมหาเทพสงคราม คนผู้นี้ตั้งใจจะรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเองจริง ๆ ก่อนเขาจะถอยไปหยิบถ้วยชาอีกใบไปมอบให้กับเซย์เรียโน่ ขุนพลเทพยกมุมปากยิ้มชมเชยแล้วรีบเครื่องดื่มไปดื่ม

“ในเมื่อน้องสาวของเจ้าไม่เจตนาและท่านเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ข้าจะให้ท่านรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเสาทั้งหมด ส่วนเรื่องอื่น ๆ ข้าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้” ฟาเบียนพูด ท่าทีสุขุมและน่าเกรงขามกับเป็นราชา “เรื่องเสาเขตแดนที่ไคซัสพูดไว้ก่อนในที่ประชุมถูกต้องทุกประการ การที่เสาต้นนั้นถล่มทำให้ข้าได้เห็นสภาพเขตอาคมทั้งหมด พลังของมันอ่อนแอลงกว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมาก แต่ว่าจอมปราชญ์ทั้งแปดไม่ยอมรามือจากเจ้าเพียงเท่านี้แน่ ไคซัส”

“เรื่องนั้น...” ไคซัสกำลังจะพูด เซย์เรียโน่ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“หมาป่าต่อให้เดี่ยวดายเพียงใด สักวันก็ต้องเข้าฝูง” ขุนพลเทพอันดับห้าดื่มชาดังซู้ด คนอื่นมองเขาเป็นตาเดียวกัน “มหาเทพไคซัสลดทิฐิแล้วยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเราบ้างเถอะน่า อย่างไรเสียท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรานะ”

“ส่วนหนึ่งที่แตกต่างต่างหาก”

เทพอสูรหนุ่มตัดรอนอย่างไร้ไมตรี เทพมังกรยักไหล่ยอมแพ้ ราชาแห่งสวรรค์ระบายลมหายใจยืดยาว อัลล์กับฮาธอสยังทำหน้าสิ้นหวัง เขาจะบีบคั้นให้ตัวเองอยู่ตัวคนเดียวไปถึงเมื่อไหร่นะ ไคมีร่าคงคิดแบบเดียวกันถึงได้มองพี่ชายอย่างไม่สบายใจเลย

“อืม เมื่อเจ้าต้องการแบบนั้นก็ตามใจ แต่ข้าได้ออกปากไปแล้วว่าจะช่วยก็จะตามทำตามนั้น” ฟาเบียนยืนขึ้นเต็มความสูง เทพตนอื่นยกเว้นไคซัสพลอยลุกตามไปด้วย “ส่วนเรื่องของน้องสาวเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก ภายในเช้าวันพรุ่งนี้จะให้คนเอารายละเอียดการเปลี่ยนเสาต้นใหม่มาให้ รอฟังด้วยว่าข้าจะเรียกประชุมเมื่อไหร่”

“แล้วเรื่องการประลองล่ะ” ไคซัสถามประเด็นสำคัญที่สุดทันใด

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นแล้วมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับขุนพลเทพทั้งสองอันดับ อัลล์ค้อมศีรษะให้ไคซัสอาสาไปส่งทั้งสามด้วยตนเอง

แต่ในตอนที่เซย์เรียโน่เดินผ่านหน้าฮาธอสที่คำนับส่งให้นั้นเอง เสียงของเขาก็ดังขึ้นในหัวของเทพหนุ่ม

“ดูแลเจ้านายคนใหม่ของเจ้าให้ดีล่ะ อสูรก็มีเลือดเนื้อเหมือนกัน”

ความตกใจทำให้ชายหนุ่มช้อนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว สิ่งที่เห็นคือ ดวงตาสีแดงที่ปรายมองมาอย่างเหยาะหยันแวบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะคล้อยหลังไป ฮาธอสเหล่มองมหาเทพสงครามซึ่งนั่งหลับตานิ่งราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องราวรอบข้างนิดหน่อย จากนั้นก็วิ่งไปปิดประตูแล้วไปยืนข้างกายนาซิลลา แล้วไคมีร่าก็ถามอย่างเป็นห่วง

“ทหารที่ชื่อ เซบาสเตียน เล่าว่าพัมกิ้นซ์ตั้งใจจะทำร้าย...เอ่อ...นาซิลลาสินะ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อยปลอดภัยดี ขอบพระคุณในความเป็นห่วงเจ้าค่ะ” นาซิลลาตอบเสียงแข็งเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเจ้าของอสูรที่เกือบจะทำร้ายเธอและเกือบฆ่าฮาธอส

“แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เจ้าทำให้ใครเดือดร้อนไว้หรือ แมลงไสยเวทถึงได้บังคับให้พัมกิ้นซ์มาทำร้ายเจ้า” ไคมีร่าตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งกระตุ้นต่อมความไม่พอใจของอีกฝ่ายเขา เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใคร” เทพจันซากล่าว สีหน้าจริงจัง “หากจะมีก็คงจะเป็นคนที่พยายามเข้าฝันข้ามาหลายครั้ง”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าสงสัย” ไคซัสเปิดปากพูดในที่สุด ใบหน้าดุดันเบือนมาหาเด็กสาว นาซิลลาถอยหนีตามสัญชาตญาณ “มันต้องการตัวเจ้าไปเพื่ออะไร”

คำถามก่อเกิดความเงียบแทนคำตอบ ฮาธอสเหลียวมองเสี้ยวหน้าของเด็กสาวที่ต้องเผชิญปัญหานี้มาหลายปีอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน มันเป็นปัญหาเดียวที่เขาขบไม่เคยแตก รู้แต่เพียงว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เทพจันทราน้อยถูกส่งตัวมาอยู่ที่ซิมโฟเนียอาเรีย และเป็นเหตุผลที่จอมเทพีเรเทเชียอนุญาตให้เธอมาอยู่ที่นี่...เพื่ออาศัยใบบุญของมหาเทพสงครามคุ้มหัวเธอให้พ้นจากอันตรายที่มองไม่เห็นนี้ แต่ก็เกือบจะป้องกันไม่ได้เสียแล้ว

เทพอสูรหนุ่มถอนใจยืดยาวยามไม่มีใครให้คำตอบกับเขาได้ “หึ! ใครจะไปเชื่อว่าสวรรค์ที่ใคร ๆ ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะขึ้นมาอยู่เต็มไปด้วยปริศนาดำมืดมากมายขนาดนี้ ซ่อนเขี้ยวเล็บพร้อมเล่นงานคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว...โดยไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงเลย”

“มหาเทพ!” นาซิลลาโพล่งเมื่อได้ยินวาจาเสียดใจนั้น ฮาธอสอึ้งกับการกระทำของทั้งสอง “ตัวท่านไม่เข้าใจ ตัวข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่ข้าไม่เคยทำอะไร แต่กลับต้องถูกทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ท่านคิดว่าข้ามีความสุขมากนักหรือ!”

“เจ้าอย่ามาว่าพี่ชายข้านะ!” ไคมีร่าเถียงสวนทันควัน “เพราะชาวสวรรค์เอาแต่ใจอย่างเจ้าไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้เกิดสงครามไปทุกย่อมหญ้า พวกเจ้าเดือดร้อนก็เพราะการกระทำของตัวเองทั้งนั้น!”

“อะไรนะ!” อัปสรน้อยฮึดฮัดด้วยความโกรธ

“หยุด!!”

เสียงห้ามนี้มิได้มาจากมหาเทพสงคราม แต่มาจากชายผมสีทองคำที่เป็นกลางที่สุดในห้องนั้น เทพคนสวนค้อมกายให้ไคซัสเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยวาจา

“มหาเทพไคซัส ข้าน้อยเข้าใจว่าท่านไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่การกระทบกระเทียบเด็กสาวที่เป็นเหยื่อออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัก ส่วนท่านหญิงน้อย ข้าน้อยต้องขอโทษกับการเสียมารยาทของนาซิลลาด้วย ขอท่านหญิงอย่าได้ถือสาหาความนางเลยขอรับ วันนี้ทุกท่านเหนื่อยและเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอสมควรแล้ว ข้าน้อยเห็นว่าทุกท่านควรพักผ่อนก่อนขอรับ”

กระแสเสียงนุ่มนวลและเนิบช้าราวกับสายน้ำแทรกซึมผ่านโสตประสาทถึงหัวใจของคนทั้งหมด ปลุกสติพวกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความโกรธกริ้ว ไคซัสกุมขมับเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ส่วนไคมีร่ากับนาซิลลาก้มหน้ามองพื้นอย่างรู้สึกผิด

“จริงอย่างที่ฮาธอสว่า ข้าขอโทษด้วยนะ นาซิลลา ข้าทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเลย” เทพอสูรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาอีกครา

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยก็เสียมารยาทไปมากเช่นกัน ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” นาซิลลาค้อมตัวอย่างไม่อาจรับ ความเถรตรงของเขายากแก่การรับมือจริง ๆ

“ข้าจะลองหาทางสืบเรื่องนี้อีกที ตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน” ไคซัสสั่ง นาซิลลาถอนสายบัวรับแล้วกลับออกไป “ไคมีร่า แม้เหตุการณ์ที่จะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของเจ้า แต่เพราะเจ้าแอบหนีดาริคมาจนทำให้พัมกิ้นซ์ถูกแมลงไสยเวทควบคุม ข้าจะกักบริเวณเจ้าจนกว่าดาริคจะมารับ ใส่กำไลกักพลังเวทสามเดือน เมื่อกลับไปแล้วกักบริเวณอีกหกเดือน เขียนใบสำนึกความผิดอีกสองร้อยจบมาส่งข้าภายในสิบวัน และยึดพัมกิ้นซ์คืนด้วย”

“โหดร้าย! พัมกิ้นซ์เป็นอสูรของข้านะ” ไคมีร่าลุกขึ้นโวยวายทันที

“แต่มันเป็นอสูรที่ข้าให้เจ้าไปเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าดูแลมันไม่ได้ ข้าก็ต้องขอคืน” ผู้เป็นพี่ตอบน้องอย่างสงบชนิดที่อีกฝ่ายเถียงไม่ออก “อีกอย่างเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นรานีแห่งอสูร เจ้าปรารถนาอสูรที่ทรงพลังเท่าพัมกิ้นซ์อีกสักกี่ตนก็มีคนถวายให้”

เด็กสาวชาวอสูรหน้าตึง แก้มแดงเห่อขึ้นด้วยความโกรธ ก่อนสะบัดหน้าพรืดเดินย้ำเท้าตึงตังตรงไปที่ประตูซึ่งฮาธอสช่วยเปิดให้ตามหน้าที่ ร่างเล็กบางชะงักแล้วจ้องหน้าเขาเขม็งแวบหนึ่งค่อยเดินพรวดพราดออกไป มหาเทพสงครามร้องบอกให้เซบาสเตียนนำทางไปส่งที่ห้องนอนแขกบนชั้นสี่ด้วย เสร็จแล้วก็เขาก็ปิดประตูให้เรียบร้อย จากนั้นจึงหันไปเพื่อเก็บถ้วยชากับของว่างกลับไป แต่ต้องนิ่งเมื่อพบสายตาล้ำลึกที่ส่งมาจากมหาเทพสงคราม แววแน่วแน่ในแก้วตาสีส้มสว่างนั้นทรงพลังเสียจนเขายังสู้ตาไม่ไหว

“มะ...มีอะไร...หรือ...ขอรับ” เขาถามตะกุกตะกักเหมือนคนกลัวความผิด ลางสังหรณ์กำลังร้องเตือน

“...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าพบกัน เจ้าทำให้ข้าอัศจรรย์ใจกับความกล้าคิดกล้าสงสัยของเจ้า ต่อมาเจ้าก็ทำให้ข้าทึ้งกับความกล้าที่จะคุยด้วยแบบไม่หวาดกลัว ข้าสงสัยมาตลอดว่าเจ้าไม่น่าจะเป็นเทพชั้นต่ำธรรมดา แล้ววันนี้ข้าก็ได้เห็นว่าตัวเองคิดถูก เจ้าทำให้ข้าทึ่งกับพลังของเจ้ามากทีเดียว ฮาธอส”

วาจาประโยคท้ายนั้นทำให้หัวใจของฮาธอสร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ท่านเห็น...ด้วยหรือ...” เสียงทุ้มนุ่มแหบแห้ง ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ยังหวั่นไหวอยู่ดี

“อา...ระหว่างทางที่ข้ารีบมาที่นี่ พลังหยั่งรู้ที่ผูกไว้กับตำหนักฉายภาพเหตุการณ์ให้ดู...ทั้งหมด...”

เทพอสูรหนุ่มเน้นเสียงคำสำคัญ ขณะลุกเดินอ้อมโต๊ะมาอยู่ตรงหน้าเทพรับใช้หนุ่มที่หลบตาอย่างลุกลี้ลุกลน นิ้วแกร่งแตะปลายคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยฉายแววหวั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“ในขณะที่เขตอาคมของข้าถูกพัมกิ้นซ์พังเข้ามาอย่างง่ายดาย แต่เทพเล็ก ๆ อย่างเจ้ากลับป้องกันมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังที่ข้าสัมผัสได้ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ ฮาธอส มันอาจจะเทียบเท่ากับจอมเทพเลยก็ได้”

ยิ่งพูด นัยน์ตาสีน้ำเงินของคนตรงหน้าก็ยิ่งวูบไหวด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าคมซีดเผือดจนแทบไม่เหลือสีอีกแล้ว เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ ลมหายใจสั่นสะท้าน ร่างสูงโปร่งถอยไปติดประตู น่าสงสาร...

...แต่ก็น่าเอ็นดู

“ท่าน...เข้าใจผิดแล้วขอรับ” ฮาธอสเอ่ยปฏิเสธ น้ำเสียงสั่นพร่า ริมฝีปากได้รูปสั่นระริก “พลังของข้า...ไม่ได้มากมาย...เลย...” ใบหน้าคมบิดหนี

“มากมายสิ” ไคซัสก้าวเข้าใกล้ ปลายนิ้วรั้งใบหน้าอีกฝ่ายกลับมาสบสายตาสับสน สายตาคมสบลึกตรึงอีกฝ่ายนิ่ง “ไม่เช่นนั้นจะหยุดพัมกิ้นซ์ที่มีพลังใกล้เคียงกับเทพอสูรได้หรือ ทำไมเจ้าถึงปกปิดเรื่องนี้ไว้”

ฮาธอสสะท้าน หัวใจหวิววามในตอนปลายนิ้วแกร่งไล้ผ่านปลายคาง “ข้า...ไม่อยากให้ใครรู้...”

“เพราะอะไรถึงไม่อยากให้ใครรู้...” เสียงทุ้มต่ำถามกลับมา มือหนาทาบแก้มส่งไออุ่นแล่นเข้าไปกระตุ้นหัวใจของฮาธอสให้เต้นแรง เทพคนสวนรู้สึกปั่นป่วนไปหมด อยากหลบหนีไปให้ไกล แต่สายตาคู่นั้นกลับหยุดเขาไว้

“เจ้ากำลังกลัว ฮาธอส” พูดเสียงนุ่ม ก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว สองร่างแทบแนบชิด “ทำไม...”

ฮาธอสไม่ได้ตอบ เพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต แววตาของอีกฝ่ายมีบางสิ่งที่ทำให้เขาเสียจริต มิอาจตั้งสติต่อกรหรือคิดหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้ เขามองตามมือหนาที่ยื่นมาวางข้างศีรษะ พริบตาเดียวทั้งห้องก็ถูกฉาบเคลือบด้วยเวทมนต์

“ห้องนี้มีแต่ข้ากับเจ้า ฮาธอส”

“ข้า...” เทพหนุ่มอ้าปากเอ่ยได้เพียงค่ำ หัวใจเต้นไม่เป็นต่ำยามถูกอีกฝ่ายจ้องมอง แววตาร้อนแรงนั้นแทบแผดเผาเขาให้มอดไหม้ ภายในอกร้อนรุมดุจถูกสุมด้วยเพลิงที่มองไม่เห็น ริมฝีปากเผยอค้างเรียกความสนใจจากนัยน์ตาสีส้มดุดันเล็กน้อย และช้อนขึ้นตรึงร่างฮาธอสให้นิ่งงันอีกครา

“ฮาธอส ข้ากำลังรอคำตอบอยู่นะ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยคาดคั้นอย่างนุ่มนวล

กลีบปากสวยอ้าออกอีกครา เสียงใกล้จะหลุดออกมาตามความปรารถนาของหัวใจ แต่เศษเสี้ยวสติที่หลงเหลืออยู่กลับร้องเตือนให้เขานิ่งไว้ ใครก็จะรู้ความลับนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ทุกคนรู้เรื่องพลังของเขาแล้วก็ตาม ผลสุดท้ายดวงตาสีน้ำเงินก็ช้อนมองมหาเทพสงครามอย่างเว้าวอน เทพอสูรช้อนหน้าขึ้นแยกเขี้ยวใส่เพดานอย่างหมดสิ้นความอดทน!

“ให้ตายสิ เจ้านี่มันดื้อจริง ๆ!”

ก่อนฮาธอสจะทันได้คิดอะไร ร่างสูงใหญ่ก็ฉวยจังหวะนั้นโน้มใบหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของเขาเสียแล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกใจ ร่างสูงโปร่งถอยหนีตามสัญชาตญาณ แต่ติดประตูกับอุ้งมือใหญ่ที่จับบ่าไว้ตอนไหนไม่ทราบ ร่างกายถูกตรึงนิ่งบังคับให้รับจูบหนักหน่วงที่ทำให้อึดอัดหายใจไม่ออก ฮาธอสพยายามตามให้ทันเพื่อต่อลมหายใจของตัวเอง

แต่ทุกครั้งที่เผยอปาก ไคซัสก็จะเบียดบดลงมาจนแทบลมหายใจ ทรมานให้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างช้า ๆ ก่อนล่อลวงให้ลุ่มหลงด้วยจุมพิตหวานละมุน ฮาธอสรู้สึกว่าโลกหมุนเคว้ง พื้นอ่อนยวบยาบจนต้องไขว่คว้าคนตัวใหญ่ไว้ แก้มร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นรดริน รับรู้ถึงรสเลือดเมื่อเขี้ยวแหลมไล้ผ่านกลีบปาก สมองมึนเมายาวลิ้นสากสอดมาเกี่ยวกระหวัดกับเขา

เร่าร้อน...เป็นคำเดียวที่เขาคิดออกก่อนถูกลบออกไปด้วยจูบอ่อนหวานและอ้อยอิ่งดุจภมรดอมดมเกสรดอกไม้ แล้วกระตุ้นให้ปรารถนาไม่รู้จบด้วยจูบที่ดื่มด่ำและล้ำลึก เวลาผ่านมานับพันปี เพิ่งมีชายคนนี้เองที่ทำให้เขาเป็นเหมือนลูกแมวไร้เดียงสาเต้นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ถึงอย่างนั้น...ทั้งที่ถูกจาบจ้วงเพียงนี้...ทว่ากลับเกลียดไม่ลง มีแต่ความรู้สึก ‘อื่น’ ที่เพิ่มพูดขึ้นมา

มหาเทพสงครามลิ้มรสริมฝีปากนิ่มนั้นจนหยดสุดท้าย กว่าจะข่มใจได้และผละออกมามองวงหน้าคม ซึ่งบัดนี้แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กลีบปากแดงเห่อเปื้อนคราบเลือดจากการจูบเมื่อครู่ ไคซัสยิ้มบางพลางไล้นิ้วโป้งเช็ดออกให้ ขณะดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง

“มหาเทพ...” เสียงทุ้มขาดห้วง

“ดูเหมือนข้าจะทำให้เจ้าเจ็บ แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ความรู้สึกของข้า” ไคซัสบอก ปลายเสียงสั่นราวกับประหม่า

“ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้เจ็บ...” ฮาธอสร้องลั่นผวาจับร่างใหญ่ไว้แน่น ตกใจอย่างหาที่สุดมิได้ เขาจะเจ็บได้อย่างไรในเมื่อนี่มิใช่เลือดของเขา!

ของเหลวสีแดงไหลรินจากปากหนาได้รูปของคนตรงหน้า ไคซัสยกมือขึ้นมาแตะดูเล็กน้อยก่อนวางกลางอกของตนเอง เขาหลับตาลงกล่ำกลืนสิ่งที่ไหลย้อนขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดซึ่งแผ่ซ่านจากกลางอก เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะยืนอยู่ได้อีกไม่นาน และฮาธอสกำลังลนลานพาเขาไปหาเก้าอี้ มหาเทพสงครามจึงลืมตาขึ้นสั่งงาน

“เมื่อข้าล้มไปแล้วห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด ถ้าจะตามหมอก็ตามไคมีร่ามา นางจะเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดเอง ให้อัลวินดูแลทุกอย่างให้สงบจนกว่าข้าจะตื่นมา เข้าใจไหม...”

“ขอรับ ข้าจะจัดการตามนั้น” ฮาธอสลนลานบอก สองแขนประคองตัวมหาเทพไว้ด้วยแรงทั้งหมด “มหาเทพไคซัสอดทนอีกสักนิด ท่านต้องไม่เป็นไรขอรับ”

ไคซัสยิ้มให้กับภาพใบหน้าอันเลือนรางของอีกฝ่าย “ข้าเองก็หวังเช่นนั้น...”

สานคำพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ก็ทรุดตัวลงในอ้อมแขนเทพรับใช้ ภาพที่เคยเห็นพลันดับวูบ เสียงร้องของบุรุษจ้าวหัวใจดังแผ่วราวกับมาจากที่อันแสนห่างไกล

“มหาเทพไคซัส...ทำใจดี ๆ ไว้ขอรับ...!!”

----------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 6 up 26/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 27-08-2013 19:54:11
อา...จับคนสวยใส่พานแล้วถวายแด่ไคซัส /กราบ

ตอบคอมเมนต์

คุณอายทำไม ยิ่งกว่าเริ่มหวานอีกครับ เหอๆ ตอนนี้ถึงกับโดนมดตอบเลยทีเีดยว

แหม...เคยเห็นกันในเด็กดีนี่เอง ผมก่อวีรกรรมไว้เยอะซะด้วยสิ ที่นั่นน่ะ orz ติ่งวายที่แยกแยะอะไรไม่เป็น (พวกรักแบบไม่แยกแยะผมเรียกติ่งหมดครับ) คงเห็นผมเป็นศัตรูไปกันหมดแล้ว (ฮา)

อนึ่ง เห็นยูสจากที่ไลค์กันนั่นล่ะครับ

คุณ padang ครับ เดี๋ยวตัวร้ายตัวจริงต้องโผล่แน่นอน!

คุณ bulldog17 ขืนไม่หวานเลย คนเขียนตายก่อนแน่นอนครับ เครียดลงกระเพาะเลยล่ะ ฮ่าๆ

คุณ cher7343 อา...ขอบคุณมากครับ มาโกะปลื้ม  :mew4: ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 27-08-2013 23:59:16
เกิดอะไรขึ้นกับมหาเทพสงคราม
ทำไมฮาธอสมีพลังเยอะ
นาซิลลามีปัญหาอะไรกับปืศาจ
ติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 28-08-2013 20:06:34
บทที่ 8 หมาป่าเข้าฝูง
-50%-

สองมือเรียวเล็กกอบกุมมือใหญ่ของเทพอสูรกายสีแดงที่นอนสลบไสลบนฟูกสีอ่อนไว้มั่น รัศมีสีทองจางล้อมรอบมือทั้งสองคู่นั้น ขณะเด็กสาวเจ้าของมือเล็กถ่ายพลังเยียวยาเข้าไปในร่างมหาเทพสงคราม ฮาธอสนั่งมองเธอทำงานจากอีกฝากหนึ่งของฟูก ดวงตาสีน้ำเงินมองมือคู่นั้นก่อนไล่ขึ้นไปยังใบหน้าที่หลับตานิ่งของไคมีร่า

หลังจากไคซัสหมดสติในอ้อมแขนของเทพคนสวน ชายหนุ่มก็ใช้เวทมนต์เรียกเครื่องนอนมาปูหน้าเตาผิง จากนั้นก็เอาตัวมหาเทพสงครามมานอนตรงนี้ ก่อนจะออกไปตามไคมีร่ามาดูอาการของพี่ชายและบอกคำสั่งของเจ้านายกับอัลล์ตามที่รับปากไว้ เสร็จแล้วก็มานั่งรอเผื่อว่าท่านหญิงชาวอสูรจะต้องการอะไรเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้เวลาก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้ว

หยดเหงื่อไหลรินลงมาตามซีกหน้าของไคมีร่า ฮาธอสจึงถือวิสาสะหยิบผ้าแล้วอ้อมไปซับให้เธออย่างนุ่มนวล เมื่อได้ลองสัมผัสตัวเธออย่างใกล้ชิด เทพคนสวนก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังของเด็กสาวช่างบริสุทธิ์และอ่อนโยนเหมือนเจ้าแม่สวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ อสูรที่มีพลังของชาวเทพอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของไคซัส เทพคนสวนนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเขามองอีกฝ่ายพลาดไปตอนไหน ก่อนออกไปมหาเทพสงครามยังแข็งแรงดีทุกอย่าง รวมถึงตอนที่กลับมาจัดการกับพัมกิ้นซ์ด้วย เขามีโอกาสได้เห็นไคซัสใกล้ ๆ หลายครั้ง แต่กลับจับสังเกตอาการบาดเจ็บไม่ได้เลย ไม่รู้สึกแม้กระทั่งความปั่นป่วนของพลัง ถ้าตอนถูกจูบไม่มีเลือดไหลย้อนออกมา เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

“เฮ้อ...” เสียงถอนใจเรียกความสนใจของเขากลับไปหาไคมีร่า เด็กสาวสลายพลังของตัวเองแล้วและกำลังวางมือของพี่ลงกับฟูก “เสร็จสักที”

“อาการของมหาเทพเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ฮาธอสถาม สีหน้าร้อนใจ

“อาการของเขาไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แต่ที่ข้าเป็นห่วงคือ ผลข้างเคียงที่จะตามมาต่างหาก” ไคมีร่าบอกก่อนกล่าวขอบคุณเมื่อเทพคนสวนรินน้ำชาให้ดื่มดับกระหาย “แต่ไหนแต่ไรมาพลังป้องกันเกือบทุกรูปแบบของพี่ชายข้าจะผูกพันกับพลังชีวิตของเขา ในอดีตจึงไม่เคยมีใครทำลายเวทมนต์ของเขาได้เลย แต่ที่นี่...พลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่ เขตอาคมจึงอ่อนแอพอให้พัมกิ้นซ์ทำลายได้ พลังบางส่วนจึงสะท้อนกลับมาทำร้ายเขา”

“แบบนี้ก็แย่น่ะสิขอรับ” ฮาธอสทำหน้ากังวล ตามองอสูรที่หลับไม่รู้เรื่องราว

“อืม! ชาวอสูรโดยกำหนดอย่างเรา จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอไม่ได้ขึ้นอยู่กับตบะญาณ แต่อยู่ที่ระดับพลังอำนาจ ยิ่งพลังมากเท่าไหร่ก็แข็งแกร่งเท่านั้น อัตราการฟื้นตัวเร็วจึงมากตามไปด้วย” เด็กสาวกล่าวพลางเบือนหน้ามาหาคู่สนทนา “แต่คราวนี้ข้าเกรงว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จะทำให้เขาพื้นตัวช้ากว่าปกติ”

ชายหนุ่มผมทองกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เมื่อเห็นแววตาเย็นยะเยือกของท่านหญิงแห่งอสูร สายตาคู่นั้นราวกับจะบอกว่าเป็นความผิดของชาวเทพที่ทำให้พี่ชายเธอต้องเป็นแบบนี้ ฮาธอสรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็อดเสียใจมิได้ เพราะไคซัสต้องบาดเจ็บเพื่อปกป้องพวกเขาโดยแท้

“แต่จะว่าเจ้าก็ไม่ได้สินะ ก็เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่นา”

เทพคนสวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำพูดของเด็กสาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนกับขึ้นสวรรค์ของมหาเทพไคซัสจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังจริง ๆ ด้วย ไคมีร่าดื่มชาที่เหลือจนหมดก่อนส่งถ้วยคืนชายหนุ่ม แต่ในตอนที่เขายื่นมือไปรับมันมาเก็บนั้น จู่ ๆ เธอก็เอนตัวเข้าหาเขา ฮาธอสตกใจผงะถอยตามสัญชาตญาณ แต่มือเรียวคว้าคอเสื้อดึงตัวกลับไปอยู่ที่เดิม เทพหนุ่มถึงกับเหงื่อตกหลังเห็นปลายจมูกโด่งสวยของฝ่ายหญิงอยู่ห่างแค่คืบ ดวงตาสีคริมสันโรสกวาดดูทั่วใบหน้าของเขาแล้วเลื่อนไปที่อกข้างซ้าย

“หินโมราแดงจริง ๆ ด้วย” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา น้ำเสียงคล้ายไม่อยากเชื่อบางสิ่ง แต่เพียงครู่แววตาก็เปลี่ยนเป็นการยอมรับ มือเรียววางเหนือหัวใจของเขา “...มันติดอยู่ที่ตรงนี้ของเจ้า”

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านหญิงพูดขอรับ” ฮาธอสบอกก่อนจะนิ่งเมื่อนัยน์ตาคมคู่สวยตวัดมาจ้องหน้าเขาอีก วงพักตร์งามยื่นมาใกล้จนชายหนุ่มเผลอกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แค่รักษามันไว้ก็พอแล้ว”

พูดจบ ไคมีร่าก็ถอยหลับไปนั่งที่เดิม ฮาธอสมองเธอหยิบผ้าไปชุบน้ำในอ่างแล้ววางบนหน้าผากของพี่ชายอย่างฉงนฉงาย มือวางทาบบนหน้าอกก็พบว่า หัวใจยังเต้นปกติดีอยู่ แล้วจะมีหินโมราแดงไปติดอยู่ในนั้นได้อย่างไรกัน...หรือว่านางจะเปรียบเปรยถึงสิ่งอื่นกันแน่

“เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ ข้าจะดูแลท่านพี่ต่อเอง” ไคมีร่าหันมาบอกทำให้ความคิดเทพหนุ่มสะดุด

“ไม่ดีกระมังขอรับ ท่านหญิงต้องไล่ตามสัตว์อสูรมาแล้วยังต้องรักษามหาเทพไคซัสอีก ท่านควรจะพักผ่อนมากกว่า ข้าจะดูแลมหาเทพเองขอรับ” ชายหนุ่มเสนอตัวด้วยเห็นว่าเหมาะสมที่สุด

“พอเลย ข้าไม่ใช่ท่านพี่นะ ไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียงที่สุด” เด็กสาวขมวดคิ้วดุ ๆ ถึงจะไม่ได้ดูน่ากลัว แต่รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมาก็น่ายำเกรงอยู่ “ข้าไม่ได้เจอกับท่านพี่มานานแล้วนะ ขออยู่ตามลำพังกับเขาบ้างเถอะ เจ้าเองก็มีงานต้องทำเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

เมื่ออีกฝ่ายยกเหตุผลมาเช่นนี้ ฮาธอสก็หมดสิทธิ์เถียง เทพหนุ่มอ้อยอิ่งมองมหาเทพสงครามที่นอนไม่ได้สติด้วยความห่วงใยอีกสักครู่ ก่อนจะก้มศีรษะเป็นเชิงลาไคมีร่าแล้วลุกออกจากห้องไป

ท่านหญิงชาวอสูรมองตามจนกระทั่งเทพคนสวนปิดประตูสนิทแล้ว ใบหน้าหวานหยดค่อยผินกลับมาหาพี่ชายของตนอีกครั้ง แต่คราวนี้มหาเทพสงครามกลับลืมตามองตรงมาที่เธอแล้ว ผู้เป็นน้องสาวกระตุกมุมปากยิ้มอย่างไม่ประหลาดใจสักนิด

“ท่านรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนข้ารักษาเสร็จแล้วนี่นา ทำไมไม่ลืมตาให้ ‘เขา’ เห็นหน่อยล่ะ” เธอเท้าคางถาม แววตาล้อเลียน

“แต่เจ้าก็กล้ามากเลยนะที่ทำนายเลยต่อหน้าข้า...ต่อหน้าเขา” ไคซัสส่งสายตาตำหนิ แต่คนก่อเรื่องจะสนใจหรือก็หาไม่ “ไม่เสียใจหรือที่ข้าเป็นแบบนี้”

ไคมีร่าเสตามองทางอื่นอย่างครุ่นคิดสักครู่ แล้วเอนตัวลงนอนข้าง ๆ พี่ชาย “เสียใจ...” เธอหลุบตาตอบ ก่อนช้อนมองอย่างตรงไปตรงมา “แต่เมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะยอมรับ นั่นคือสิ่งที่ข้าควรทำที่สุด" แล้วดวงตาสีคริมสันโรสก็ปรากฏแววกังวล “ไคซัสไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม การรักษาของข้าช่วยท่านได้หรือเปล่า”

ถึงแม้ว่าเธอจะเกิดมาพร้อมพลังมากมายเหมือนกัน แต่น้องสาวของเขาก็เป็นเพียงอสูรอ่อนวัยตนหนึ่งเท่านั้น เมื่อต้องมารักษาพี่ชายด้วยตัวเองทั้งหมด เธอย่อมเป็นกังวลว่าตนทำได้ดีพอแล้วหรือยัง มหาเทพสงครามยิ้มละไมอย่างเข้าใจแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมเธอด้วยความเอ็นดู

“ช่วยได้มากกว่าที่เจ้าคิดเลยล่ะ ขอบใจมากนะ”

คำตอบทำให้ไคมีร่ายิ้มกว้างอย่างมีความสุข สำหรับไคซัสถือเป็นภาพที่สวยงามที่สุด ความเหนื่อยล้าที่มีหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่ น่าเสียดายที่เขามีเวลาเชยชมไม่มากนัก ร่างสูงยื่นมือไปแตะบ่าน้องสาวแล้วถามเธอ

“ไคมีร่าช่วยข้าอีกหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”

----------------

หลังออกจากห้องของไคซัสมาแล้ว ฮาธอสก็ลงมาที่ชั้นล่างตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมดูอาการของพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บการต่อสู้ในวันนี้ แต่เมื่อมาถึงสระน้ำตื้นกลางแจ้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท มีซุ้มทางเดินยาวสองเส้นตัดขนานสระนั้นไปถึงปีกตึกด้านหลัง รอบพื้นที่ยังไม่มีการตกแต่งใด ๆ ฮาธอสพบอัลล์ยืนกอดอกพิงผนังทางเข้าเหม่อมองไปที่ด้านนอก เทพหนุ่มรู้โดยสัญชาตญาณเลยว่าสหายดักรออยู่ เขาจึงเดินไปหาด้วยตนเอง

“เฮ้!”

ใบหน้าเข้มเบือนมาหา ดวงตาสีม่วงกวาดมองเขาครั้งหนึ่ง “เฮ้ เป็นยังไงบ้าง” ถามเสียงห้วนสั้น

“มหาเทพไคซัสปลอดภัยแล้ว แต่อาจจะใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะ ท่านหญิงไคมีร่าคอยดูแลอยู่...”

“ข้าหมายถึงเจ้า” อัลล์พูดสวนมาทันที ฮาธอสชักสีหน้าประหลาดใจ ชายตัวใหญ่กว่าจึงเหยียดตัวเต็มความสูงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ “เจ้ามีความลับกับข้า”

ฮาธอสหน้าเสียทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ยกมือกุมหน้าผากด้วยความอดสู เขากับอัลล์รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนร้างแห่งสวรรค์ ได้รับการเลื่อนขั้นมาอยู่ในมหานครพร้อมกันอีกด้วย ตลอดระยะเวลายาวนานเกือบหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เขากับสหายไม่เคยมีความลับต่อกันเลย ยกเว้นเรื่องนี้

“ข้าขอโทษ” นั่นเป็นคำเดียวที่ฮาธอสนึกออกตอนนี้

“ทำไมต้องขอโทษด้วย เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” อัลล์มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ คนตัวใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้ แววตาคาดคั้นเหมือนจะบีบให้มั่นคั้นให้ตาย “แต่ที่ข้าสงสัยก็คือ ทำไมเจ้าถึงปกปิดเรื่องนี้ไว้ ถ้าเจ้าใช้ความสามารถนั่นกับสติปัญญาที่เจ้ามี ป่านนี้เจ้าคงเลื่อนขึ้นมาอยู่ขั้นเดียวกับข้าไปแล้ว”

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ อัลล์!” ฮาธอสจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

นายทหารหนุ่มคิดว่าตัวเองคงกดดันเพื่อนมากเกินไปจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาสีม่วงพินิจเพื่อนอย่างสงสัย แต่ไม่นานเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“ฮาธอสอย่าบอกข้านะ ว่าที่เจ้าจงใจปกปิดเรื่องนี้ไว้ก็พอคนคนนั้น...พี่ชายของเจ้า” คำถามตรงไปตรงมาเปรียบได้กับหอกแหลมแทงทะลุใจคนฟัง “เรื่องมันนานมาแล้วนะ เจ้ากับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วด้วย...”

“เรื่องนี้เป็นความตั้งใจของข้าเองต่างหาก!” เทพคนสวนโพล่งออกมา สีหน้าสุดจะทน

อัลล์ชะงักไปอีกหนด้วยความตกใจกว่าเก่า ฮาธอสจึงรู้ตัวว่าทำอะไรออกไปแล้วยกมือขึ้นขอเวลานอนสักครู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกสองสามครั้งจนแน่ใจว่าอารมณ์ของตนนิ่งพอค่อยเอ่ยคำพูดต่อ

“อัลล์ ทั้งข้าทั้งเจ้าต่างก็มีความปรารถนาสูงสุดของตัวเอง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวเนิบช้า พลังบางอย่างที่แฝงในนั้นค่อย ๆ โน้มน้าวเพื่อนให้คิดตามไปด้วย “เจ้าอยากเป็นขุนพลเทพแห่งสวรรค์ แต่ข้าอยากเป็นแค่เทพเล็ก ๆ ตนหนึ่งที่ไม่ต้องใช้พลังนี้ทำร้ายใครทั้งนั้น เข้าใจข้าหน่อยเถอะนะ อัลล์”

สิ้นเสียงที่เปลี่ยนเป็นตัดพ้อในตอนสุดท้าย อัลล์ก็เงียบไปด้วยความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่ผ่านมาสหายผู้นี้สนับสนุนให้เขาทำตามความฝันมาตลอด กระทั่งมายืนในจุดที่ใกล้เคียงความฝันของตนเองที่สุด ฮาธอสให้เขามากมายในฐานะเพื่อน ทว่าเขากลับไม่เคยให้อะไรกับอีกฝ่ายเลย สมควรแก่เวลาแล้วหรือยังที่เขาจะให้เพื่อนบ้าง

ฝ่ายฮาธอสนั้น ถึงจะได้พูดในสิ่งที่คิดออกไปแล้วก็ยังรู้สึกหนักอึ้ง ความจริงเขาอึดอัดกับการปกปิดความลับนี้มาตลอด แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยความลับนี้ให้ใครรู้ ดังนั้นเมื่อมันปรากฏในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและถูกคาดคั้นจากไคซัสด้วยวิธีการที่ออกจะ...หวามใจแบบนั้น เทพหนุ่มจึงค่อนข้างสับสนใจไม่น้อย

“ข้าเข้าใจ” สุ้มเสียงแหบห้าวที่เอ่ยห้วน ๆ นั้นทำให้ฮาธอสเงยหน้าคนพูดด้วยความประหลาดใจ อัลล์ยักไหล่ด้วยสีหน้าประมาณว่ามันควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว “ข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมานาน ทำไมข้าจะไม่เข้าใจเจ้าล่ะ” พูดแล้วก็กอดอก “แต่ว่าเบื้องบนรู้เรื่องแล้ว เจ้าคงจะถูกจับตามองแน่นอน ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”

สำหรับฮาธอส คำเตือนนี้ออกจะมาช้าสักหน่อย เพราะไคซัสทำยิ่งกว่าการจับตามองไปแล้ว ยังดีที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องของเขากับมหาเทพสงคราม ไม่อย่างนั้นเขาคงอายชนิดแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่

“ขอบใจนะ อัลล์ เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า” เทพคนสวนยื่นมือให้อีกฝ่าย

อัลล์รับไว้แล้วกระชับแน่น “เจ้าก็เหมือนกัน” เขาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำงานต่อล่ะ วันนี้ยุ่งมากจริง ๆ”

แล้วชายหนุ่มทั้งสองก็แยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง ฮาธอสไปข้างหลัง ส่วนอัลล์มุ่งไปยังลานฝึกซ้อมด้านหน้า ทว่ายังไม่ทันพ้นทางเดินนั้นเลยด้วยซ้ำ ไคมีร่าก็ปรากฏตัวจากมุมทางเดิน ทำให้นายทหารหนุ่มตัวแข็งทื่อไปโดยทันที เธอมาตั้งแต่ตอนไหน? ได้ยินเรื่องที่เขากับเพื่อนคุยกันหรือเปล่า!?

“อัลวินสินะ” เด็กสาวเอียงคอถาม สีหน้าใคร่รู้จนอ่านเนื้อในไม่ออก แล้วเธอก็ยื่นซองจดหมายสีเงินยวงมาให้เขา “ท่านพี่สั่งให้เจ้าถือจดหมายฉบับนี้ไปมหาเทพีแห่งจันทราและรอจนกว่าจะได้คำตอบ นี่เป็นเรื่องสำคัญ จงไปอย่างลับ ๆ และห้ามทำพลาดเด็ดขาด”

“งานทางนี้ล่ะขอรับ”

“ท่านพี่ฟื้นแล้ว เขาจะจัดการเองทุกอย่าง ที่นี่เองก็มีผู้ช่วยอยู่หลายคน เจ้าคงไม่ต้องห่วงสินะ” น้ำเสียงในตอนสุดท้ายบ่งชัดว่านี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง พี่น้องคู่นี้ช่างเหมือนกันจริง ๆ

อัลล์คำนับให้ไคมีร่าครั้งหนึ่งเป็นเชิงรับคำสั่ง (แบบจำใจ) จากนั้นก็รับจดหมายไปซ่อนไว้ในช่องลับของเสื้อตัวใน ก่อนขอตัวไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย

---------------

สองวันหลังจากการบุกสวรรค์อย่างอุกอาจของไคมีร่ากับพัมกิ้นซ์ ตำหนักพาเทร่าที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ก็ซ่อมแซมเสร็จสิ้นด้วยฝีมือช่างกรมวัง เหลือแต่เพียงสวนหย่อมที่ฮาธอสเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งเทพคนสวนแต่เช้าตรู่ ทว่าทันทีที่เปิดประตูออกจากห้องก็เจอเซบาสเตียนเข้าพอดี ทหารหนุ่มร้องอย่างประหลาดใจ

“อ้าว! ข้ากำลังจะเคาะประตูเรียกพอดีเลย”

“บังเอิญจริง ๆ ข้ากำลังจะออกไปทำงาน ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยหรือ” ฮาธอสถาม แววตาเอื้ออาทรเหมือนที่ผ่านมา

“มหาเทพไคซัสใช้ให้มาตามน่ะ ท่านสั่งให้เจ้าแต่งตัวดูดีหน่อยแล้วขึ้นไปพบท่านที่ห้องทำงาน เห็นว่ามีงานสำคัญจะให้ช่วย”

ฮาธอสเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มด้วยความดีใจ ชายหนุ่มไม่ได้เจอไคซัสอีกเลยตั้งแต่ถูกไคมีร่าไล่ออกจากห้อง แถมยังถูกเด็กสาวที่อ้างตัวเป็นผู้ช่วยแทนอัลล์ที่ออกไปทำงานข้างนอกหลายวันแล้วใช้งานจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมด้วย ดังนั้นเมื่อโอกาสได้พบหน้ามหาเทพสงครามมาถึง มีหรือที่เขาจะปล่อยให้หลุดลอย

“ขอบใจมาก ข้าจะรีบเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้ล่ะ” บอกกับผู้มาแจ้งข่าวอย่างยินดีแล้วรีบถอยกลับไปเปลี่ยนชุดในห้องแล้วขึ้นไปพบกับไคซัสโดยเร็วที่สุด

แต่กว่าเจ้าตัวจะเอะใจว่าไคซัสอยากให้ช่วยงานอะไรถึงต้องแต่งตัวดูดีด้วยก็สายไปเสียแล้ว


-------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 28-08-2013 20:09:10
- 100% -

ณ โดมทองรำไพในมหาตำหนักเทพสวรรค์ เหล่าเทพขุนนางมารวมตัวกันอย่างคับคั่งแต่เช้าเหมือนวันแรกที่ไคซัสเข้าประชุมไม่ผิดเพี้ยน เพราะวันนี้จะมีการประชุมด่วนตามโองการของราชาแห่งฟ้าที่มีลงมาเมื่อคืนนี้

ไคซัสก็ยังคงทำให้ทุกคนประหลาดใจเหมือนกับครั้งแรกที่เหยียบมาที่นี่ เขาในร่างมนุษย์สมบูรณ์ปรากฏตัวลงจากรถม้าในชุดยาวกรุ่ยกรายสีขาวสวมทับด้วยเสื้อคลุมดำปักดิ้นทองที่ปกแบบอาหรับ ไม่สวมผ้าคลุมศีรษะ เรือนผมยาวสีเทาจางปล่อยสยายปรกบ่า ใบหน้าคร้ามเข้มยังดูซีดเซียวจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แม้แต่ดวงตาสีส้มสว่างยังดูอิดโรยตามไปด้วย ให้ความรู้สึกอ่อนแอผิดกับเทพอสูรที่ดุร้ายเมื่อครั้งก่อนมาก ที่สำคัญผู้ติดตามไม่ใช่อัลล์ แต่เป็นเทพหนุ่มผมทองรูปงามที่ถือม้วนเอกสารตามมาติด ๆ ปิดท้ายด้วยทหารในสังกัดของอัลล์อีกสี่นาย

ฮาธอสอยู่ในชุดสุภาพสีเขียวอ่อนปักลายเถาไอวี่ด้วยด้ายสีเขียวเข้มตามขอบชาย เรือนผมยักศกสีทองคำยาวสลวยรวบไว้ด้วยริบบิ้นสีเขียวเข้าชุด ด้านหน้าปล่อยปอยยาวสองข้างระแก้มขาวเนียน แต่ชายหนุ่มอยู่ในอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีน้ำเงินกรอกไปมาอย่างหวาดระแวง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในสถานที่สำคัญที่มีแต่เทพชั้นสูงเข้ามาได้เท่านั้น พวกขุนนางคงจะรู้แล้วว่าเขาเป็นเทพชั้นต่ำถึงได้ดูเขาแล้วหันไปซุบซิบคุยกันเอง เขาไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของไคซัสล่ะก็...ต่อให้ตายเขาก็ไม่มาที่นี่เด็ดขาด!

“เป็นอะไรไปหรือ” ไคซัสเอ่ยถามหลังเลี้ยวเข้ามาในห้องประชุมแล้ว ขุนนางยังเข้ามาประปลายจึงมีช่องว่างพอให้คุยเป็นการส่วนตัวชั่วครู่

“...ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีขอรับ” ฮาธอสตอบ สีหน้าไม่ค่อยดีอย่างว่าจริง ๆ “ท่านแน่ใจแล้วหรือที่ให้ข้ามาด้วยกัน เทพชั้นต่ำเยี่ยงข้าไม่ควรเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เลย”

หลังจากเปลี่ยนมาสวมชุดนี้แล้วไปพบไคซัสตามคำสั่ง มหาเทพสงครามก็จัดการมัดมือชกให้เขาเป็นผู้ช่วยแล้วพามาที่นี่ แน่นอนว่าฮาธอสคัดค้านเพื่อตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว แต่เทพอสูรหนุ่มก็ลากตัวมาจนได้

“นิยามคำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ของเจ้าหน่อยสิ” เทพอสูรสั่ง น้ำเสียงไร้แววยียวน แต่เทพคนสวนก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังถูกป่วนประสาท

“สิ่งของหรือสถานที่ซึ่งเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและทรงอำนาจเหนือกว่าข้าน้อยขอรับ” ฮาธอสตอบไป ที่ตามมาข้างหลังหันมองหน้ากันเองเล็กน้อย

“ถ้าแบบนั้นข้าที่มีพลังมืดในตัวก็ไม่ควรมาที่นี่เหมือนกันน่ะสิ” ไคซัสหลิวตาให้ยิ้ม ๆ ขณะเดินไปยังที่นั่งของตน “สถานที่ก็คือสถานที่ ไม่เกี่ยวข้องกับพลังใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เจ้ากังวลก็คือ ‘สายตา’ ของคนรอบข้าง เพราะเจ้าอยู่ในสังคมที่แบ่งวรรณะมานาน อย่ากังวลไปเลย ฮาธอส ข้าให้เจ้ามาแทนอัลล์ที่ไปทำงานให้ข้าอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างสูงใหญ่ก็เซไหวใกล้จะล้ม ฮาธอสถลาไปพยุงตัวเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อไคซัสช้อนหน้าขึ้นส่งสายตาแพรวพราวมาให้ เสียงทุ้มต่ำที่สั่นพร่ากระซิบมาอย่างมีความสุข

“อีกอย่างข้าอยากจะเห็นหน้าเจ้าด้วย ไคมีร่าตัวดีส่งเจ้าไปทำงานข้างนอกเรื่อยเลย”

เทพคนสวนหน้าร้อนฉ่า นึกถึงตอนที่ถูกจูบอย่างเสียไม่ได้ “อย่าล้อเล่นสิขอรับ” พูดเสียงลอดไรฟัน

มีเสียงหัวเราะในลำคอตอบกลับมาเบา ๆ แล้วฮาธอสกับทหารอีกคนก็ประคองตัวไคซัสไปนั่งที่เก้าอี้ ถึงตอนนี้ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมหาเทพสงครามซีดลงอักโข พอเทพรับใช้หนุ่มลองจับมือเขาดูก็พบว่าเย็นมากทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์สีแดงสดก็แทรกตัวเข้ามาเอาถ้วยน้ำชาที่มีฝาปิดแบบจีนวางบนโต๊ะ กลุ่มไคซัสจึงเงยหน้ามองผู้มาใหม่พร้อมกัน

“นี่เป็นน้ำชาจากสมุนไพรบำรุงร่างกายที่พี่สาวข้าชอบดื่ม ข้าเห็นว่ามันเหมาะกับมหาเทพไคซัสตอนนี้ดีก็เลยชงมาให้ ฟาเบียนไม่ว่าหรอก” เซย์เรียโน่ส่งอย่างเป็นมิตร

“พี่สาว?” ไคซัสทวนแล้วก็นึกได้ “นึกออกแล้ว พี่สาวฝาแฝดสินะ พักหลังข้าไม่ได้ยินข่าวของนางเลย”

ดวงตาสีส้มจับจ้องอีกฝ่าย พยายามอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากยิ้มแย้มนั่น แต่อีกฝ่ายก็สมเป็นขุนพลเทพอันดับห้า ไม่เปิดช่องให้เห็นแม้แต่น้อย

“ช่วงนี้นางอาการไม่ค่อยดีก็เลยหลับอยู่” เด็กหนุ่มวางมือลงกลางอกของตน ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมอยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน...แม้จะเพียงเสี้ยวนาทีก็มากพอทำให้คนที่มองอัศจรรย์ใจได้ เจ้าหนูนี่ยังพอมีหัวใจอยู่สินะ

มหาเทพสงครามเอื้อมมือไปหยิบน้ำชาถ้วยนั้นมาดื่ม ซึ่งทำให้ฮาธอสแปลกใจนิดหน่อย สำหรับคนที่เกลียดน้ำหน้ากับแทบตาย

“เจ้าต้องการอะไร” คำถามเอ่ยมาหลังดื่มอึกแรก นึกในใจว่ารสชาติใช้ได้ทีเดียว

“ไม่นี่ แค่เป็นห่วงตามประสาเพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง” เซย์เรียโน่หยักไหล่แล้วเขยิบมานั่งบนโต๊ะ ขณะขุนนางท่านอื่นทยอยเข้ามาประจำที่ “ได้ยินว่าหมดสติหลังจากพวกเราออกมาแล้ว เล่นเอาตกอกตกใจหมด แต่เห็นมาร่วมประชุมได้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย”

“ความจริงคนที่รักษาข้าก็ยังไม่อยากให้ข้าออกไปไหน แต่เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ยังไงก็ต้องมา” ไคซัสตอบ สีหน้าเรียบเฉย

“ทุ่มเทเหลือเกินนะ”

มีเสียงค่อนแคะลอยมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสมเพช มหาเทพสงคราม ขุนพลเทพอันดับห้า และเทพคนสวนมองไปยังทิศที่มาพร้อมกันก็เห็นว่าจอมปราชญ์ทั้งแปดรวมตัวอยู่ในที่ของตน บางคนเหล่มองพวกเขาด้วยหางตาอย่างหยามเหยียด ก่อนจะเมินไปเหลือแต่หัวหน้ากลุ่มที่จ้องมองไคซัสอย่างเป็นศัตรู เซย์เรียโน่ยิ้มบางอย่างสนุก

“เอาล่ะสิ พวกจอมปราชญ์ดูจะเตรียมตัวมาเพื่อขยี้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ จะไหวไหมหนอ” เสียงเล็กเปรยเบาอย่างสงสัย

“เมื่อมาอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่ไหวก็ต้องไหว ขอบใจสำหรับน้ำชา” ว่าแล้วไคซัสก็วางถ้วยชาลงเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องคุยด้วยแล้ว เซย์เรียโน่ก็เข้าใจความหมายจึงยอมถัดตัวลงจากโต๊ะโดยดี

แต่ก่อนที่จะผละไปนั้น ร่างเล็กก็ชะโงกคอมาใกล้มหาเทพสงคราม แล้วพูดต่อหน้าเขากับทุกคนว่า

“เรื่องนี้ยังไม่จบ ท่านควรระวังตัวไว้ด้วย”

----------------

การประชุมเริ่มต้นขึ้นเมื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์กับผู้ติดตามทั้งสิบมาถึง เนื่องจากเป็นการประชุมด่วนจึงไม่มีพิธีรีตองมากนัก เพียงฟาเบียนประทับบัลลังก์ไม้แล้วแจ้งเรื่องที่ยากจะพูดด้วยตนเอง

“ช่วงที่ผ่านมาทุกท่านคงรู้กันแล้วว่าสวรรค์ต้องเผชิญกับเรื่องแย่ ๆ หลายอย่าง ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน อสูรจากดินแดนเบื้องล่างถูกใครบางคนส่งแมลงไสยเวทไปควบคุมแล้วบุกเข้ามาในสวรรค์ ทำให้เสาเขตแดนต้นหนึ่งถล่มลงมา มหาเทพสงครามกับขุนพลเทพอันดับสองและอันดับห้าร่วมกันแก้ไขปัญหาในเวลาอันสั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ข้าได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเขตคุ้มครองสวรรค์ ฉะนั้นข้าจะ...”

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์ลุกขึ้นคำนับเป็นเชิงขออนุญาต ทุกคนในที่ประชุมมองเขาด้วยความสนใจ “กระหม่อมมีเรื่องสำคัญอยากจะให้พระองค์กับมหาเทพไคซัสช่วยแถลงไขให้เข้าใจ ขอท่านจ้าวโปรดประทานอนุญาตด้วย”

ฟาเบียนเบือนหน้ามาหาไคซัสที่นั่งหน้านิ่งคล้ายปรึกษา มหาเทพสงครามผงกศีรษะเป็นเชิงตกลงโดยไม่พูด ฮาธอสกับทหารทั้งสี่เตรียมพร้อมรับความเครียดที่จะตามมา

“เชิญ” ร่างโปร่งบนบัลลังก์ผายมืออย่างมีมารยาท

“กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว ทราบว่าสัตว์อสูรที่บุกเข้ามานั้นได้มุ่งไปโจมตีตำหนักพาเทร่า แต่ระหว่างทางนั้นมหาเทพไคซัสได้จับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเหาะตามสัตว์อสูรเข้ามาได้อีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นทั้งสองก็ถูกกักตัวไว้ในตำหนัก โดยไม่มีการสอบสวนใด ๆ เลย...”

“อันที่จริงมีการสอบสวนเป็นการลับไปแล้ว ข้าเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง สักขีพยานก็คือ เรซิสกับเซย์เรียโน่” ฟาเบียนบอกทันควัน เจ้าของชื่อทั้งสองลุกขึ้นผงกศีรษะยืนยันด้วย ราชาแห่งฟ้าตั้งอกตั้งใจทำตามที่ตนออกปากไว้อย่างดี “เด็กสาวผู้นั้นเป็นบุคคลสำคัญจากโลกเบื้องล่างซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุด ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดความบาดหมางระหว่างสองดินแดนจึงจัดการโดยเร็วที่สุด”

หัวหน้าจอมปราชญ์นิ่งไปเล็กน้อย ฮาธอสเห็นแววตาที่คล้ายสมใจบางอย่างของเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงก้มลงเพื่อเตือนให้ไคซัสรู้ แต่เทพอสูรหนุ่มยกมือเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน นัยน์ตาส้มจับจ้องชายเคราขาวเหมือนกับเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเด็กสาวตนนั้นเป็น ‘ญาติ’ ของมหาเทพสงครามสินะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์ทำทีเป็นถามเสียงดัง เหล่าขุนนางต่างฮือฮา “ท่านจ้าวไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ อสูรสองตนที่บุกเข้ามาในสวรรค์ล้วนเป็นคนรู้จักของมหาเทพสงคราม มิหนำซ้ำตำหนักพาเทร่ายังตกเป็นเป้าหมายที่แรกด้วย”

“ท่านกำลังจะบอกว่าไคซัสจงใจสร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือ!” ราชาแห่งฟ้าเริ่มขึ้นเสียง

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านจ้าวลองตรึกตรองให้ดี ๆ แมลงไสยเวทจะตอบสนองต่อพลังมืดเท่านั้น และในสวรรค์คนที่มีพลังนี้...”

“เดี๋ยวก่อน” เรซิสเอ่ยแทรกก่อนชายเคราขาวจะพูดจบ ทุกคนจึงมองไปที่นาง “มหาเทพสงครามอาจจะมีพลังด้านมืดเข้มข้นที่สุดในสวรรค์ แต่ข้าขอยืนยันว่าแมลงไสยเวทนั้นมาจากคนอื่น เพราะข้ากับเซย์เรียโน่ได้เห็นมันกับตาก่อนจะยิงทิ้งด้วยตัวเอง”

“ก่อนหน้านั้นมหาเทพไคซัสก็พยายามย้อนพลังไปหาคนที่ส่งมาด้วย แต่...” ร่างเล็กยักไหล่ให้ไคซัสอย่างช่วยไม่ได้ “...ไม่สำเร็จ ฝ่ายโน้นคงใช้พลังเวทสกัดกั้นไว้ แล้วเจ้าตัวยังต้องบาดเจ็บจากการปกป้องคนของตัวเองบอก ถ้าบอกว่าเป็นการสร้างเรื่องเพื่อสร้างความดีความชอบก็ออกจะมากไปสักหน่อยนะ”

ฮาธอสสาบานเลยว่าเห็นจอมปราชญ์ทั้งแปดหนวดกระดิกไปตาม ๆ กัน แต่ไคซัสยังจ้องมองทั้งแปดอย่างไม่วางตา เขาเข้าใจดีว่าผู้ทรงภูมิเหล่านี้ไม่มีทางรามือง่าย ๆ แน่

“แต่การที่มหาเทพไคซัสไม่จัดการอะไรกับ ‘ญาติ’ ของตนเองเลยเท่ากับละเลยหน้าที่ กระหม่อมเห็นควรว่าให้นำตัว ‘ผู้บุกรุก’ ทั้งสองตนมาลงโทษตามกฎสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าจอมปราชญ์งัดลูกไม้สำคัญออกมาจนได้ บรรดาเทพขุนนางต่างส่งเสียงสนับสนุน

“หากทำแบบนั้นก็เท่ากับเป็น ‘ศัตรู’ กับเผ่าอสูรนะ” ในที่สุดไคซัสก็เอ่ยปากพูดจนได้ เสียงคุยหึ่ง ๆ เหมือนผึ้งของเทพคนอื่นเงียบหายทันใด “การที่ไคมีร่าไปอยู่แถวนั้นก็เพราะเส้นทางขึ้นสวรรค์โดยตรงอยู่บริเวณนั้น นางกำลังสำรวจดูว่าจะมีโอกาสได้เจอข้าที่ชายแดนหรือเปล่า แต่เมื่อไม่พบก็ตั้งใจจะมาที่ทวารดินแล้ว นางไม่ได้มีเจตนาจะบุกแดนสวรรค์อย่างผิดธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น” พูดจบก็ส่งสายตาให้ฟาเบียน

“ที่สำคัญกว่าก็คือเด็กสาวคนนั้นเป็น ‘ว่าที่จ้าวเผ่าอสูร’ ที่จะขึ้นครองราชย์แทนไคซัสในเร็ว ๆ นี้” มหาเทพจ้าวสวรรค์อธิบาย น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเนื่องจากเกี่ยวพันกับความมั่นคงของสวรรค์ “พวกเจ้าทุกคนต่างรู้อยู่ว่าแดนอสูรเป็นกันชนชั้นดีของโลกมนุษย์ การที่กองทัพปีศาจยังไม่สามารถเคลื่อนพลได้เต็มที่ก็เพราะมีเผ่านี้ขวางกั้นอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้เสีย ‘พันธมิตร’ นี้ไปในช่วงที่สวรรค์กำลังระส่ำระสายเด็ดขาด”

“ท่านจ้าว!” หัวหน้าจอมปราชญ์ครางอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะฮาธอสพอจะเดาได้ว่าช่วงสามสิบนาทีก่อนที่เขากับนาซิลลาจะไปที่ห้องทำงานไคซัส ประดาผู้สูงศักดิ์คงตกลงเรื่องการเมืองกันเรียบร้อยแล้ว

“จอมปราชญ์ทั้งแปดและขุนนางเทพทุกท่าน เรายังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของผู้ใช้แมลงไสยเวท เพราะฉะนั้นไม่ควรด่วนตัดสินใจอะไรในตอนนี้” ฟาเบียนกวาดสายตาเฉียบขาดกราดไปหาทุกคน “ไคซัสยังจำเป็นต่อพวกเราในฐานะมหาเทพสงครามและพันธมิตรที่สำคัญ และข้าจะทำตามที่เขาเสนอไว้คือ เปลี่ยนเสาเขตแดนที่อ่อนแอใหม่ทั้งหมด ส่วนต้นที่พังทลายไป ข้าจะใช้คทาวิเศษของข้าไปตั้งแทนชั่วคราวจนกว่าเสาใหม่จะเสร็จ และเรื่องในกองทัพให้เห็นไคซัสมีอำนาจเต็มทุกอย่าง ยกเว้นทหารในสังกัดของข้าโดยตรงเท่านั้น!”

เมื่อมีบัญชาเสร็จสิ้น มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็เสด็จออกจากโดมทองรำไพ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของจอมปราชญ์กับบรรดาขุนนางเทพฝ่ายบุ๋นเลย กลุ่มขุนพลเทพออกจากห้องเป็นลำดับต่อไป เหล่าผู้ติดตามทั้งสิบของฟาเบียนใช้ตัวเองเป็นรั้วกันมิให้บุคคลเหล่านั้นตามไปกวนฟาเบียนได้ ฮาธอสค่อนข้างอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกเหมือนว่าไคซัสจะต้องถูกไล่บี้แน่นอน หากตอนนี้กลับลอยตัวในฐานะพันธมิตรสำคัญแห่งสวรรค์ เรื่องราวช่างซับซ้อนเสียจริง

“ไปกันเถอะ”

ไคซัสสั่งแล้วยืนขึ้นด้วยตนเองอย่างทระนง ฮาธอสมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินนำพวกตนออกจากห้องโดยแยแสเสียงรอบข้างด้วยความนับถือ ทั้งที่เรื่องนี้มีโอกาสหลุดรอดจากความผิดยากแท้ ๆ ไคซัสกลับใช้สิ่งที่ตนมีสร้างทางรอดไปได้ ทว่าในสายตาของเขาคงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่านัก

“มหาเทพสงคราม”

เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ทั้งกลุ่มจึงหันกลับไปพร้อมกัน ทหารผู้ติดตามแหวกทางให้เจ้านายได้พบกับกลุ่มเทพฝ่ายบู๊ที่ทยอยออกมารวมตัวกันข้างนอก ไคซัสกับฮาธอสเหลียวมองหน้ากันและกันด้วยความสงสัย ก่อนขุนพลผิวคล้ำตัวใหญ่จะเป็นตัวแทนกล่าวกับเทพอสูรว่า

“พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นอาจไม่ค่อยชอบท่านนัก แต่พวกเราขุนนางฝ่ายบู๊ยังพร้อมทำตามหน้าที่เสมอ หากท่านต้องการสิ่งใดสามารถเรียกใช้ได้เลยนะขอรับ”

ทุกคนนิ่งไป โดยเฉพาะไคซัสที่ดูประหลาดใจกว่าเพื่อน ฮาธอสเหลือบมองเขาด้วยความสงสัยเหลือเกินว่าจะตอบเช่นไร เพราะที่แล้วมาเทพอสูรหนุ่มพยายามตัดตัวเองออกจากชาวเทพมาตลอด แต่เวลานี้ทุกคนพยายามจะนำเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งให้ได้

“ขอบคุณ ข้าจะขอรับรับน้ำใจของทุกท่านไว้”

ไม่น่าเชื่อว่าหมาป่าผู้โดดเดี่ยวอย่างไคซัสจะตัดสินใจเข้าร่วมฝูงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ซึ่งคนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นเทพคนสวนนั่นเอง ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ มองอีกฝ่ายผงกศีรษะลาขุนนางกลุ่มนั้นอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปอยู่ข้างกายมหาเทพสงคราม

“ท่านขอรับ เมื่อกี้...”

เทพอสูรหนุ่มมองหน้าคนถามที่อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาด้วยความตกตะลึงระคนตื่นเต้น ท่าทางนั้นขันนั้นทำให้ริมฝีปากหนาที่โค้งลงมาแต่เช้ายกมุมสูงขึ้นพร้อม ดวงตาสีส้มสว่างค่อยฉายแววอ่อนโยน เทพตนนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

“พวกเจ้าสี่คนออกไปเตรียมรถม้าก่อน” ไคซัสสั่งกับทหารผู้ติดตามและรอให้ทั้งสี่วิ่งหายไปก่อนค่อยดึงตัวฮาธอสมาใกล้ จุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นทางเดินขนาดกับโดมทองรำไพ สองข้างทางปลูกต้นกุหลาบสีเหลืองสูงท่วมหัวจึงพอกำบังสายตาได้ชั่วระยะหนึ่ง เทพอสูรรวบมือแทบหนุ่มไว้ในชายเสื้อของตน “เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ฮาธอส ข้ายอมรับน้ำใจจากพวกเขา”

“แต่ท่านพยายามแยกตัวเองจากพวกเรามาตลอด” ฮาธอสถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก จังหวะการก้าวของเขาช้าลงกว่าเดิมมาก เพราะอยากยืดเวลานี้ให้ยาวออกไปอีก...สักเล็กน้อยก็ยังดี มือเล็กที่หยาบกร้านของเขากระชับมือใหญ่แน่น

ไคซัสยิ้มกว้างอีกนิด การตอบรับของอีกฝ่ายทำให้เขามีความสุข แม้แต่สิ่งที่จะพูดต่อไปก็ยังไม่อาจทำลายได้

“ใช่ ข้าทำแบบนั้นมาตลอด แต่สองวันที่ผ่านมาข้าได้นอนคิดอย่างจริงจัง ร่างกายที่อ่อนแอกับสายตาที่จับจ้องมาจากภายนอกเตือนให้ข้ารู้ว่าไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้อีกแล้ว ข้าจึงคิดว่าให้เทพตนอื่นช่วยเหลือบ้างก็ไม่เสียหาย แต่นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของข้า เพราะข้าเป็นอสูรและเป็นคนนอก ไม่มีทางรู้เลยว่าใครจะจริงใจบ้าง”

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลยขอรับ นอกจากขุนพลเทพแล้ว ขุนศึกกับเทพนักรบส่วนมากจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ท่านคงเห็นแล้วว่าทหารสวรรค์ให้ความสำคัญกับคำสั่งของเจ้านายขนาดไหน ดูอย่างอัลล์นั่นประไร นอกจากเรื่องในสงครามครั้งก่อนแล้ว เขาแทบไม่เคยหลุดนอกกรอบเลย”

ฮาธอสบอกเล่าอย่างภาคภูมิ เพราะนายทหารผู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงอดีตแม่ทัพเปี่ยมความสามารถ แต่ยังเป็น ‘ตัวอย่างชั้นดี’ สำหรับปั้นบุคลากรในกองทัพด้วย ไคซัสพยักหน้าอย่างเห็นจริง หลายวันที่ทำงานมาด้วยกัน อัลล์คนนั้นแบ่งเบาภาระของเขาได้อักโข ปรับตัวเข้ากับวิธีการทำงานของเขาได้อย่างดีเยี่ยม คงจะเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เทพอสูรหนุ่มนึกขอบคุณฟาเบียนที่ส่งทหารหนุ่มตาสีม่วงคนนั้นมา จากนี้อยู่ที่ว่าจะเอาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกันด้วยใจภักดีอย่างไรสินะ

ร่างสูงใหญ่หยุดเดินทำให้คนข้างกายพลอยหยุดตามไปด้วย ฮาธอสช้อนหน้ามองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติแล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นแววลึกล้ำของมหาเทพ ใจของเขาเต้นตึกตัก รู้ตัวเลยว่าแพ้ ‘สายตา’ แบบนี้ของไคซัสเข้าเสียแล้ว ถูกจ้องทีไร ตัวเหมือนจะละลายไปกองกับพื้น แต่จำต้องสร้างกำลังใจสบตากลับ เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ฮาธอส” สุ้มเสียงต่ำทรงพลังเอ่ยชัด ใจคนฟังยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก “ข้าอยากให้เจ้าคิดเรื่องย้ายมาอยู่ตำหนักของข้าเป็นการถาวร”

“เอ๊ะ!” หางเสียงของเทพหนุ่มมีรอยไม่คาดฝัน

“ข้ารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อเรเทเชียอย่างมาก แต่ข้าก็อยากให้เจ้ามาอยู่ข้างกายของข้าด้วย เจ้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับข้าใช่ไหม”

มหาเทพจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง จับมือเล็กวางเหนืออกข้างซ้ายของตน ข้างใต้นั้นจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่ซ่อนอยู่ข้างในแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับฮาธอส สิ่งที่สัมผัสได้นั้นทำให้เทพคนสวนประหลาดใจไม่น้อย หมายความว่าอย่างไร? เขากับมหาเทพสงครามมีใจตรงกันอย่างนั้นหรือ เพียงแค่ ‘จูบเดียว’ ในวันนั้นสามารถสร้างสายสัมพันธ์ได้ขนาดนี้เลยหรือ ไม่สิ...เส้นใยสายสัมพันธ์กำลังถูกถักทอเข้าด้วยกันต่างหาก

“ข้า...ยังไม่มั่นใจขอรับ” แพขนตาสีทองหลุบต่ำอย่างรู้สึกผิด ทว่าเขาก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ ความรักและคนรักเป็นสิ่งที่เขาละเลยมาตลอดหนึ่งศตวรรษ ถึงจะเคยปากกล้าสอนสั่งนาซิลลาไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่ไก่อ่อนตัวหนึ่ง ไก่อ่อนที่ถูกผู้ชาญยุทธ์กว่าล่อลวงด้วยหนึ่งจูบสะท้านหัวใจ ฉะนั้นเขาจึงอยากได้เวลาทบทวนตนเองให้แน่ใจเสียก่อน แต่มิใช่เพื่อตนเอง...เพื่อเทพอสูรหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เพราะเมื่อก่อนข้าก็เป็นเหมือนกัน” ไคซัสหัวเราะเก้อ ๆ ประสบการณ์สมัยแตกเนื้อหนุ่มซึ่งหลงรักชายงามผู้หนึ่งเข้าสอนให้เขาเตรียมใจรับทุกคำตอบ กระนั้นก็อดรู้สึกผิดหวังกับคำตอบปฏิเสธมิได้ แต่เมื่อเขามั่นใจว่าตนเอง ‘รัก’ อีกฝ่ายแล้วก็ต้องเปิดใจกว้าง “ใช้เวลาได้ตามที่เจ้าต้องการ ข้ามีเวลามากมายเพื่อรอเจ้า”

แม้จะเป็นคำพูดง่าย ๆ แค่ไม่กี่ประโยค แต่ความเข้าอกเข้าใจและความอารีที่แฝงมาในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้ฮาธอสตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าการหวั่นไหวกับเทพอสูรตนนี้อาจเป็นเรื่องดีกว่าที่คิด เขาพยักหน้ายอมรับเรื่องเวลากับอีกฝ่ายแล้วก็นึกได้ วงหน้าคมสะดุดตาช้อนขึ้นมองเทพอสูรอีกครั้ง

“สำหรับท่าน ‘ความรัก’ หรืออะไรหรือขอรับ”

ถามแล้วรอคำตอบด้วยใจระทึก เป็นครั้งแรกที่เทพหนุ่มรู้สึกถึงเสียงหัวใจที่เต้นเป็นรัวกลองในอกนั้น ไคซัสยืนเงียบอยู่ชั่วอึดใจที่ใช้ความคิด...ชั่วอึดใจที่ฮาธอสรู้สึกว่ายาวนานนับสิบปี แล้วมือที่หนากว่า...หยาบกร้านกว่าก็ประคองมือเล็กของเขาขึ้นจุมพิตปลายนิ้ว แม้ร่างกายจะเย็น หากริมฝีปากกลับยังอุ่นพอสัมผัสได้ ไออุ่นนั้นแล่นริ้วไปกระแทกหัวใจเทพคนสวนอีกหน และอีกหลายครั้งตามจำนวนลมหายใจอุ่นที่เอ่ยคำพูดออกมา

“สำหรับข้า ความรักคือ ‘การให้’ เป็นการให้โดยไม่หวังค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งนั้น ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” นัยน์ตาสีส้มคมกริบปรากฏเกล็ดประกายพราวระยับเปี่ยมด้วยความจริงจังและจริงใจ “ข้าสามารถให้เจ้าอีกมากมายนัก ขอเพียงเจ้าให้โอกาสข้าสักครั้งก็พอ”

คงไม่มีครั้งไหนอีกแล้วที่ฮาธอสจะคิดว่าคำพูดสามารหวานได้จับใจขนาดนี้ หวานจนเขายังนึกกลัวว่าวันหนึ่งจะถอนตัวจากความรู้สึกนี้ไม่ขึ้น

----------------

หลังเสร็จจากการประชุมที่โดมทองรำไพ ขุนพลเทพทั้งสิบสองนายก็ไปประชุมย่อยกันต่อที่กรมราชองครักษ์ หน้าที่หลักของพวกเขาคือ การดูแลการศึกในมิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามกำหนดของสวรรค์ หรือไม่ก็ดูแลการศึกที่มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัดสินใจส่งกองทัพสวรรค์ไปช่วย แต่การประชุมครั้งนี้เป็นเพียงการสรุปผลการทำงานคร่าว ๆ ของทุกคนเท่านั้น

“สรุปผลเสร็จแล้วขอให้ทุกคนส่งรายงานกันด้วยนะ เซย์เรียโน่ห้ามลืมเด็ดขาด!” ซีลี ขุนพลเทพอันดับหนึ่งตะโกนตามหลังเด็กหนุ่มที่เผ่นแผล้วออกประตูไปทันทีที่ประชุมเสร็จ

“รู้แล้วน่า!!” เสียงเล็กแว่วกลับมาพอให้ได้ยิน ขณะที่เจ้าตัวไปถึงไหนต่อไป

เด็กหนุ่มในชุดจีนประยุกต์สีแดงพลิ้วตัวลงบันไดสองชั้นมาด้วยความรวดเร็ว คิดจะใช้ช่วงเวลาว่างจากนี้ไปเยี่ยมเยือนตำหนักเทพบรรพกาลตนหนึ่งที่เจ้าตัวกำลังติดอกติดใจสุราชั้นเลิศของที่นั่นอยู่

แต่ความสุขก็มีอันต้องสะดุดทั้งที่ยังไม่ทันเริ่ม เมื่อขุนพลเทพอันดับห้าวิ่งมาถึงทางออกมหาตำหนักเทพสวรรค์ ซึ่งมีลักษณะเป็นทางแคบ กำแพงหินอ่อนสูงว่าตัวเขาถึงห้าเท่า มีประตูกั้นทั้งหน้าและหลัง ปลายทางออกนั้นมีชายหนุ่มผมสั้นสีขาว สวมหน้ากากสีขาวปิดใบหน้าครึ่งบน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมไม่มีแขนยาวจรดพื้น แค่เห็นชายคนนั้น เซย์เรียโน่ก็หมดอารมณ์จะทำเรื่องที่คิดในฉับพลัน ร่างเล็กเอานิ้วยอนหูเดินไปหาอีกฝ่ายแบบจำใจสุด ๆ

“ว่าไง” ถามพลางเป่าเศษขี้หูทิ้ง ท่าทางกวนประสาทอีกฝ่ายยิ่งนัก

“ท่านผู้นั้นให้มาเรียนถามว่าจัดการ ‘เรื่องนั้น’ ไปถึงไหนแล้ว”

“ก็ไปเรื่อย ๆ” เซย์เรียโน่ตอบปัด ๆ ตาหลุกหลิกมองไปเรื่อย หากไม่ติดว่าที่นี่ห้ามบิน ห้ามหายตัว เขาคงจะอันตรธานหายไปเดี๋ยวนี้เลย

“ท่านผู้นั้นต้องการคำตอบที่ชัดเจนขอรับ” เจ้าหนุ่มชุดขาวกัดฟันทำเสียงข่ม

ทว่าค่าตอบแทนก็สวนกลับมาเกือบจะทันที แมลงไสยเวทตัวเท่าฝ่ามือกระโดดออกจากแขนเสื้อเซย์เรียโน่ไปเกาะที่ชายคนหนึ่ง ปลายคางของมันจ่อคอหอยในระยะประชิดจนรู้สึกถึงเข็มพิษแหลมเคลียผิวเนื้อ ผู้ข่มขู่ตัวแข็งเป็นหินทันใด

จริงอย่างที่ไคซัสพูด แมลงไสยเวทไม่เพียงตอบสนองต่อผู้ใช้พลังด้านมืดเท่านั้น ขอเพียงมีอำนาจสูงสุดเพียงพออย่างมหาเทพ จอมเทพ หรือแม้แต่ขุนพลเทพก็สามารถใช้งานมันได้เท่านั้น เจ้าสัตว์เล็ก ๆ นี้ต้องการแค่พลังเวทที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนตัวเองไปตามคำสั่งเท่านั้น

“รู้แล้วน่า” สุ้มเสียงเล็กเอาแต่ใจตอบกลับมา นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์อย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ทำให้เสียเรื่องอยู่แล้ว ช่วยนั่งเป็นผู้ชมเงียบ ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ยังไงซะเรื่องนี้ก็จบอย่างที่เจ้านั่นต้องการอยู่แล้ว!”

ขณะเจ้านายพูด แมลงไสยเวทก็ไล้เข็มพิษผ่านผิวของชายชุดขาวไปด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ๆ อาบชุ่มตัวจนเปียกไปหมด เซย์เรียโน่เห็นแล้วเวทนาหรือไรไม่ทราบจึงดีดนิ้วเรียกแมลงรับใช้กลับคืนมาก่อนเดินไปใกล้

“เอาคำพูดข้าไปบอกกับเขาตามนั่นแหละ” ว่าแล้วเจ้าของร่างเล็กก็เฉียดผ่านไปอย่างไม่สนใจ ไม่แยแสแม้กระทั่งตอนที่ชายคนนั้นทรุดคลานกับพื้น


-----------------

เซย์เรียโน่...นับวันจะร้ายขึ้นนะเอ็ง orz

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 28-08-2013 20:10:02
ตอบคอมเมนต์

คุณ padang นั่นสิครับ เป็นอะไรกันหนอ แต่ที่แน่ๆ เซย์เรียโน่กำลังร้ายหนักข้อกว่าเดิมครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 7 up 27/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 28-08-2013 20:45:58
หวานปนเครียด555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 28-08-2013 20:49:28
จินตนาการล้ำลึก
เทพหรืออสูรก็ยังมีกิเลส
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 29-08-2013 20:52:09
บทที่ 9 เรื่องของเทพจันทรา
- 50% -

สายลมเย็นพัดเอื่อยหยอกล้อกับต้นไม้ใบหญ้าในสวนสวย เสียงใบไม้เสียดสีกัดฟังดูเหมือนเสียงสตรีหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดขจรขจายไปทั่ว ฮาธอสนั่งอยู่ที่บ่อน้ำพุกลางสวนดื่มด่ำกับความสงบที่ไม่มีทางหาได้จากสถานที่อันเต็มไปด้วยทหารอย่างตำหนักพาเทร่า

...ไม่ใช่ว่าเขาเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของพาเทร่าหรอก สำหรับที่นั่น ความวุ่นวายก็คือ ‘ชีวิต’ เหมือนกับความสงบสุขของตำหนักซิมโฟเนียอาเรียแห่งนี้ เพียงแต่บางครั้งฮาธอสก็ต้องการความสงบให้กับหัวใจบ้าง โดยเฉพาะหลังจากขอเวลาทบทวนหัวใจจากไคซัส เมื่อเสร็จจากการซ่อมแซมสวนหย่อมที่ถูกพัมกิ้นซ์ทำให้เสียหายแล้ว เขาก็ขอลากลับตำหนักซิมโฟเนีอาเรียหนึ่งวัน

“มาหลบอยู่แถวนี้เองหรือ ฮาธอส” ร่างสูงที่กำลังใจลอยสะดุ้งสุดตัวและลุกขึ้นเมื่อเห็นจอมเทพีเจ้าตำหนักเดินมาหา เขากำลังจะก้มศีรษะแสดงความเคารพ แต่นางยกมือห้ามไว้ก่อน “ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าเองก็มาพักจากการสอนเหมือนกัน” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วชี้พื้นที่ข้างตัวชายหนุ่ม “ขอนั่งด้วยได้ไหม”

“ได้แน่นอนขอรับ” ฮาธอสกล่าวด้วยความเต็มใจ แล้วทั้งสองก็ทรุดนั่งลงด้วยกันและมองยิ้ม ๆ ต่างกันแค่เทพหนุ่มไม่รู้เจตนาของอีกฝ่ายแน่ชัดนัก ปกติจอมเทพีเรเทเชียไปไหนมาไหนก็จะมีนางกำนัลตามไปด้วยเสมอ แต่การที่นางมาหาเขาคนเดียวเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องอยากจะคุยเพียงลำพัง

“เจ้าไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นอย่างไรบ้าง นาซิลลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นให้ฟังยกใหญ่เชียว” นางเปิดปากพูด แถมยังยกชื่อเด็กสาวเจ้าปัญหามาสำทับ เพื่อมิให้เขาหลบเลี่ยง เพราะมีคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว

“หากไม่นับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ การอยู่ที่นั่นสนุกมากขอรับ แต่ละวันมีเรื่องใหม่ ๆ มาท้าทายความสามารถของพวกข้าเสมอ ทำให้มีโอกาสได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตลอดขอรับ” ฮาธอสตอบตามความจริง

“อย่างการเป็นผู้ช่วยของมหาเทพไคซัสสินะ”

ฮาธอสตัวเย็นวาบยามสดับคำถามที่ย้อนมา นาซิลลาเล่าแม้กระทั่งเรื่องนี้รึ นี่เธอตั้งใจจะ ‘ฟ้อง’ ทุกอย่างเลยหรือไร ยังดีที่เทพจันทราไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับไคซัส ไม่อย่างนั้นคงยุ่งกว่านี้

“ขอรับ” เขายอม “แต่หลัก ๆ แล้วก็แค่คอยดูแลงานเอกสารกับดูแลสหายที่ไปด้วยกัน แล้วก็ให้คำแนะนำเรื่องการจัดเตรียมงานประลองที่ตอนนี้กำลังรุดหน้าไปด้วยดี เพราะพวกเทพสายนักรบมาช่วยกันหลายท่าน”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ” มือเรียวยื่นมาจับตักเขาอย่างใคร่รู้ เรเทเชียอาจเป็นเทพหัวอ่อน แต่นางก็ยังเก่งพอมองออกว่าเทพรับใช้ของตนมีเรื่องคิดไม่ตก

“ข้าแค่คิดถึงที่นี่เท่านั้นเอง” ฮาธอสลองเสี่ยงหลบเลี่ยงดู ทว่าอีกฝ่ายก็ส่ายศีรษะไม่ยอมรับข้อแก้ตัวนี้

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายอมให้เจ้าไปช่วยงานที่ตำหนักอื่นนะ ทุกครั้งที่เจ้าไปช่วยงานตำหนักไหนจะกลับมาก็ต่อเมื่อถูกเจ้านายของที่ใหม่ใช้ให้มาหาข้า หรือเพื่อนที่ไปด้วยก่อปัญหาจนต้องพากับมาส่ง เจ้ามีเหตุผลหนักแน่นทุกครั้งที่กลับมา แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ มีเรื่องลำบาใจอะไรหรือ ฮาธอส”

ผู้ถามเอามือวางทาบแก้มขาวเนียนของเทพคนสวน ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ ใครจะกล้าบอกได้ล่ะว่ามีปัญหาเรื่องความรัก แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่และถูกเกลียดโดยคนเกือบทั้งสวรรค์ แต่การปกปิดก็เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อเรเทเชียคาดคั้นเขาด้วยคำที่ไม่อยากได้ยินที่สุด

“ฮาธอส ข้าสั่งให้เจ้าพูด” น้ำเสียงหวานไม่มีแววคาดคั้นใด ๆ แต่นางก็รู้ว่าคำนี้ได้ผลเสมอ

เทพคนสวนก้มหน้าเรียบเรียงความคิดเพื่อตอบ “ข้ากำลังทบทวนเรื่องความรู้สึกของตัวเองอยู่ขอรับ”

จอมเทพีฟังคำตอบแล้วก็ชะงัก เป็นครั้งแรกที่เทพคนสวนพูดคลุมเครือเช่นนี้ ราวกับว่าไม่อยากให้ก้าวก่ายเรื่องของเขาซึ่งอันที่จริงนางก็เป็นคนเช่นนั้น เพียงแต่ไม่อยากให้เห็นเขานั่งกลุ่มคนเดียวเหมือนกัน

“ความรู้สึกแบบไหนกันจ๊ะ” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย พออีกฝ่ายไม่ตอบก็ลองเดาดู “ความรักหรือ”

ใบหน้าของฮาธอสปรากฏรอยสีแดงขึ้นวาบหนึ่งพร้อมอาการตกใจ ซึ่งหายไปเมื่อเจ้าตัวรีบเก็บอาการ แต่จอมเทพีก็เห็นแล้วและเทพหนุ่มก็รู้ด้วย เพราะดวงตาคู่สวยของนายหญิงเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ

บุรุษที่ไม่เคยสนใจเรื่องคู่ครองมานานเกือบพันปีกำลังมีความรัก!

“จอมเทพี ข้าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าขอรับ” ฮาธอสชิงบอกก่อนอีกฝ่ายจะถามว่าเป็นใคร

“โอ้! ได้สิจ๊ะ” เรเทเชียพยักหน้าตกลง นึกเสียดายที่รุกช้าไปนิด “แล้วกังวลเรื่องแบบไหนล่ะจ๊ะ”

ชายหนุ่มเม้มปากพลางพ่นลมออกจมูกอย่างไม่อยากตอบสักนิด “ข้าไม่เคยมีความรักมาก่อน แม้จะรู้ว่ารักเป็นแบบไหน แต่ข้าก็ไม่รู้จักมันดีนัก ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าถ้าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของจริงจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ”

“โถ...คนดี” จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมลูบมือเรียวลูบแก้มของเขาเรื่อยไปถึงเรือนผมหยักศกสีทองสลวยเหมือนมารดาปลอบโยนลูกน้อย “เจ้ารู้แล้วว่าความรักเหมือนกับความรู้สึกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เพราะแบบนั้นเจ้าจึงได้กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งสินะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามที่จอมเทพีพูด แต่หญิงสาวยิ้มแล้วส่ายหัวน้อย ๆ

“เหตุผลไม่สามารถใช้กับอารมณ์และความรู้สึกได้เสมอไป” นางขยายยิ้มกว้างนิดหนึ่งเมื่อเทพหนุ่มทำหน้าสงสัย หญิงสาวย้ายมือลงมาวางหัวหัวใจของเขา “เจ้าควรจะถามหัวใจของเจ้าเอง ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครคนนั้นไหม ถามมันว่าเจ้าพร้อมที่จะแบ่งเบาภาระไม่ว่าจะดีหรือร้ายกับใครคนนั้นหรือเปล่า ถามมันว่าตนเองพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่ออีกฝ่ายไหม เท่านี้ก็พอแล้ว”

แค่นี้เองหรือ? ฮาธอสถามตัวเองในใจ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เรื่องที่เขาคิดไม่ตกมาหลายวันกลับหาคำตอบได้ด้วยวิธีการง่ายดายขนาดนี้ แต่ละคำถามที่จอมเทพีเอ่ยมามิได้ส่งมาถึงสมองของเขา ทว่าส่งไปถึงหัวใจที่ขานรับกับความปรารถนา ในที่สุดก็เข้าใจ ‘เหตุผล’ ไม่อาจใช้กับเรื่องของ ‘หัวใจ’ ได้เสมอไป

ฝ่ายจอมเทพีเห็นศิษย์รักยิ้มก็อารมณ์ดีตามไปด้วย นางไม่รู้หรอกว่าคนที่ฮาธอสหลงรักเป็นใคร แต่ถ้าลองให้เทพคนสวนใส่ใจถึงขนาดนี้ย่อมแสดงว่ามีความสำคัญต่อเขามากทีเดียว นางจึงอยากช่วยเขาจากวังวนแห่งความสับสนได้บ้าง แต่รอยยิ้มนั้นกลับคงอยู่ได้ไม่นานก็เจื่อนลงเหลือแต่ใบหน้ากังวลใจกับอีกเรื่อง

“อะไรอีกหรือ” เรเทเชียสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม ไม่บ่อยนักที่ฮาธอสจะมีเรื่องซ้ำซ้อนกันแบบนี้

เทพคนสวนทำหน้าคิด...เนื่องจากมันเกี่ยวข้างกับอนาคตต่อจากนี้ของเขา ถ้าลองพิจารณาในฐานะที่จอมเทพีเรเทเชียเป็นนายเหนือหัวของเขา นางก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้พอ ๆ กับที่ไม่ควรรู้ แต่การปล่อยให้เรื่องนี้ล่วงเลยไปโดยไม่มีความชัดเจน คนที่จะมองหน้าใครไม่ติดเลยก็คือ ‘เขา’

“มหาเทพไคซัสชวนข้าย้ายไปอยู่ที่พาเทร่าเป็นการถาวรขอรับ” ฮาธอสพูดออกจนได้และเบี่ยงสายตาดูปฏิกิริยาของนายหญิง เขาใจเต้นแรงหลังเห็นอีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แววตาที่คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เอ่อ...เขาพอใจกับผลงานของข้ามากก็เลยชวนไปอยู่ด้วยกันน่ะขอรับ”

“อ๋อ เข้าใจล่ะ” เรเทเชียเกือบจะคิดแล้วว่าฮาธอสหลงรักไคซัส พอมันถูกเบี่ยงประเด็นไป นางก็เข้าใจตามนั้น ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

“ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ ข้าเคยปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาก็ชวนอีก...”

“ข้าพอจะเข้าใจว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่และขอบใจสำหรับความกตัญญูนั้นด้วย แต่ว่าการที่เทพระดับสูงต่างรับเทพซึ่งมิได้อุบัติในตำหนักมาอยู่ด้วยนั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เทพเหล่านั้นได้พบกับเจ้านายที่แท้จริง หรือได้แสดงความสามารถจนได้เลื่อนขั้นของตนเองได้เร็วขึ้น มีเทพและเทพธิดามากมายที่เคยอยู่กับข้าและย้ายออกไป ดังนั้นเมื่อเจ้าพบทางที่ดีสำหรับเจ้าก็รับไว้ แค่กลับมาหาข้าบ้างในเวลาที่ว่างก็พอแล้ว”

เป็นอีกครั้งที่จอมเทพีเรเทเชียสอนสั่งเทพรับใช้คนสนิทด้วยความเมตตา สำหรับนาง ฮาธอสมักคิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า หลายครั้งที่นางนึกเสียดายโอกาสดี ๆ ที่ชายหนุ่มปฏิเสธไปเพราะไม่อยากทรยศผู้มีพระคุณ แต่มันก็น่าสงสัยว่าเหตุใดเพิ่งมาคิดถึงตอนนี้ แถมผู้ชวนยังเป็นเทพที่ทั้งสวรรค์ต่างหวั่นเกรง มีอะไรหรือเปล่านะ...

ฝ่ายฮาธอสพอเห็นว่าจอมเทพีที่เคารพรักเปิดกว้างในเรื่องก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ที่เหลือก็แค่คิดทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งค่อยบอกกับมหาเทพไคซัส เรื่องของความรักกับการย้ายตำหนักใหม่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เทพหนุ่มจึงอยากจะคิดใคร่ครวญให้แน่ใจอีกสักที แม้ว่าปมหนึ่งในนั้นจะเริ่มคลายตัวแล้วก็ตาม

หลังจากพูดคุยหัวข้อนี้จบไปได้สักครู่ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งซอยถี่มาจากทางเดินตำหนักเรื่อยมาตามทางในสวนซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของแนวรั้วต้นไม้ที่บังสายตาไว้ นาซิลลาโผล่พรวดเข้ามาและชะงักไปทันทีที่เห็นจอมเทพีเรเทเชียอยู่กับฮาธอส

“อุ๊ย! ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ทราบว่าจอมเทพีอยู่ด้วย” เด็กสาวถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย

“พวกข้าคุยกันเสร็จแล้ว เจ้าล่ะ คุยกับพวกเอเดลจบแล้วหรือ” จอมเทพีเอ่ยถามอย่างเมตตา นาซิลลายิ้มกว้างดีใจที่ไม่ถูกดุจนตาเป็นประกาย

“เจ้าค่ะ” เธอตอบอย่างร่าเริงและดูจะตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “ท่านหัวหน้านางกำนัลบอกข้าว่าในมหานครมีตลาดแก้ว ข้าอยากจะไปเที่ยวดูเจ้าค่ะ นางจึงบอกให้ข้ามาเรียนขอจอมเทพีกับชวนฮาธอสไปด้วยเจ้าค่ะ”

“ไปสิจ๊ะ ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว พอเดินตลาดเสร็จ พวกเจ้าจะได้กลับพาเทร่าเลยยังไงล่ะจ๊ะ”

“เย้!” นาซิลลาร้องอย่างดีใจหลังจอมเทพีพูดจบ เทพคนสวนส่ายศีรษะอย่างอ่อนระอา

“จอมเทพีจะตามใจนาซิลลาเกินไปแล้วขอรับ” ฮาธอสเอ่ยเสียงเบา สีหน้าอ่อนใจ

“แค่ข้าก็อยากให้เจ้าผ่อนคลายบ้างนะ ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน ว่าง ๆ ก็กลับมาอีกนะ” เรเทเชียตบบ่าฮาธอสแล้วดันกระตุ้นเบา ๆ เทพหนุ่มกับอัปสรน้อยแสดงความเคารพก่อนเดินจากไปพร้อมกัน

“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเงียบงันสักครู่ เสียงของเอเดลก็ดังขึ้นจากด้านข้าง จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมเบือนหน้าไปมอง แต่ไม่ได้พบแค่หัวหน้านางกำนัลของตนเท่านั้น ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของนาง เซย์เรียโน่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้

“ขุนพลเทพ...” หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพ แต่เด็กหนุ่มยกมือปรามไว้ก่อน

“ไม่ต้อง ๆ ทำตัวตามสบายเถอะ จอมเทพี” ขุนพลเทพอันดับห้ายิ้มหวาน “ขอบคุณมากที่ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้เหลืออีกเรื่องเดียงแล้วนะ”

“เพื่อทุกคนที่นี่ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เรเทเชียพูดไปอย่างกล้าหาญ ทั้งที่ปลายน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวเอาการทีเดียว สีหน้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนั้นถูกต้องหรือไม่

เซย์เรียโน่เห็นสีหน้าจอมเทพีแล้วก็กลอกตาไปมา อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของเรเทเชียนักหรอก การเกิดอย่างผิดปกติของเขาทำให้สูญเสียความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เด็กหนุ่มก็เดาว่ามันคงจะเหมือนสิ่งที่เขาทำกับพี่สาวกระมัง ร่างเล็กจึงเดินเข้ามาจับมือเพื่อให้กำลังใจหญิงสาว

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี จอมเทพี” ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งยิ้มหวานให้ “เชื่อข้าเถอะ ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยดี ทุกคนจะเข้าใจและขอบคุณในความหวังดีของท่าน” ถึงจะข่มอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่เรเทเชียก็สัมผัสความสนุกที่แฝงในเสียงของเซย์เรียโน่ได้ดี หญิงสาวถึงกับขนลุกเกลียวด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้

เซย์เรียโน่มาพบกับนางเมื่อคืนนี้และขอความร่วมมือเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพคนสวนตนนั้น แรกเริ่มเดิมทีนางตั้งใจว่าจะไม่ทำตาม เพราะเห็นว่าก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของฮาธอสเกินไป ทว่าขุนพลเทพอันดับห้าก็ใช้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในพาเทร่าครั้งล่าสุดมาโน้มน้าวให้หญิงสาวต้องยอมทำตามจนได้ เรเทเชียคาดเดาจุดประสงค์ของเขาไม่ออกเลยจริง ๆ แต่จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมก็มาถึงจุดที่มิอาจถอยกลับได้อีกแล้ว

“ขอบคุณนะ ขุนพลเทพ” หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณให้เด็กหนุ่ม แล้วเทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองจึงล่ำลากันเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง

--------------

อย่างที่รู้กันว่าสวรรค์คือ ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสงบสุขและมีงานรื่นเริงอยู่บ่อยครั้ง ในแต่ละปีนอกจากงานใหญ่ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ยังมีงานยิบย่อยซึ่งเป็นของเทพในสายต่าง ๆ จัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลาดแก้วก็เป็นหนึ่งในนั้น เทพสายช่างซึ่งทำงานเกี่ยวกับแก้วมารวมตัวกันเพื่อนำผลงานของตนมาจัดแสดง บางครั้งก็อาจจะมีการมอบเป็นของกำนัลให้คนที่พึงพอใจ หรือซื้อขายด้วยเงินทองอีกด้วย

นาซิลลากับฮาธอสเดินมาตามถนนสายเล็กที่แทรกตัวอยู่ระหว่างมหานครแห่งฟ้า เรือนผมสีเงินสลวยประดับปิ่นแก้วที่มีส่วนหัวเป็นรูปนกหงส์หยกสีฟ้าที่เทพคนสวนเป็นคนซื้อให้ มือซ้ายถือสายผูกลูกโป่งแก้วลายดอกกุหลาบบานบรรจุน้ำสีชมพูอ่อนซึ่งชายหนุ่มก็เป็นคนซื้อให้เหมือนกัน เด็กสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขกับช่วงเวลานี้เป็นที่สุด คนที่อยู่ข้าง ๆ หันมองแล้วก็ส่ายศีรษะอ่อนระอา

“เด็กหนอเด็ก”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” ฮาธอสตั้งใจเปรยกับตัวเองคนเดียว แต่นาซิลลาดันหูผีจมูกมดได้ยินเข้าเสียที เธอทำแก้มป่องใส่เขาอย่างเคือง ๆ “ข้าไม่ใช่เด็กสักหน่อย แต่กำลังมีความสุขกับของที่ฮาธอสซื้อให้ต่างหาก”

“เจ้า ‘ขอ’ ให้ข้า ‘ซื้อให้’ ต่างหากล่ะ”

“ก็ซื้อให้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ!” เด็กสาวย้อนคำเข้าให้เล่นเอาฝ่ายตรงข้ามกลอกตายอมแพ้ ร่างบางเสเข้าไปกอดแขนโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร ตั้งแต่ไปอยู่ที่ตำหนักพาเทร่า นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองโดยไม่มีใครขัด เธออยากจะตักตวงความสุขไว้ให้ได้มากที่สุด “ก่อนกลับเราไปหาอะไรกินด้วยกันไหม ฮาธอส จะได้ไม่เสียเวลาไงล่ะ”

“อย่าเลย ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว จากที่นี่กว่าจะกลับไปถึงตำนักพาเทร่าก็ใช้เวลามากอยู่นะ” คำตอบของฮาธอสทำให้เทพจันทราน้อยหน้ามุ่ย แต่มันก็เป็นความจริง สถานที่ที่พวกเขาไปในวันนี้ล้วนแต่อยู่ห่างไกลมากทั้งนั้น ลำพังจากซิมโฟเนียอาเรียมาที่นี่ก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อบวกรวมเข้ากับช่วงเที่ยวเล่น พวกเขาเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนพระอาทิตย์ตกดินสำหรับกลับพาเทร่าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวชายเขตใต้

“แหม นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้ ไม่มีใครตามเรามาสักหน่อย”

จริงเหรอ? ฮาธอสถามตัวเองในใจพลางเอี้ยวตัวไปมองหัวมุมถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา เขาสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องดูอยู่ แต่พอเขาหันมองมันก็หายไปราวกับคิดไปเอง กระนั้นเทพหนุ่มก็รู้ว่ามีคนจับตาดูเขาอยู่จริง ๆ แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ตั้งแต่เรามาช่วยงานที่พาเทร่าก็แทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย...ฮาธอสฟังข้าอยู่หรือเปล่า!” ขณะฮาธอสกำลังมองนาซิลลาก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจก็ส่งเสียงแหลมขึ้น ชายหนุ่มหันมามองงง ๆ ยิ่งทำให้เจ้าหล่อนหงุดหงิดไปกันใหญ่ ความสุขที่เคยมีหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่

“อะไรหรือ เจ้าอยากได้อะไร” อาการงุนงงทำให้ฮาธอสขาดความเฉลียวไปชั่วขณะ แต่ก็ยังเลือกถามในสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด น่าเสียดายที่เด็กสาวหน้างอกว่าเดิม

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” ปลายน้ำเสียงหวานตวัดสูงอย่างไม่พอใจ ร่างบางปล่อยมือจากแขนเขาแล้วจ้ำเท้าทิ้งห่างไปดื้อ ๆ ชายหนุ่มรีบวิ่งตามก่อนจะนึกออกว่าตัวเองทำอะไรผิด ฮาธอสมีเหตุผลที่ทำไปแบบนั้น แต่นาซิลลาที่กำลังโกรธคงไม่ยอมฟังแน่ ดูได้จากการที่เธอไม่ยอมหันกลับมาหาเขาอีกเลย

เมื่อทั้งสองมาถึงปลายถนนก็เหินขึ้นฟ้ามุ่งหน้ากลับตำหนักพาเทร่า ฮาธอสไปอยู่ข้างกายนาซิลลาอีกครั้ง เด็กสาวเบือนหน้ามามองเขาอย่างงอน ๆ ก่อนจะเชือนกลับไปดูทางข้างหน้า เทพคนสวนลอบถอนใจอย่างอึดอัด เขาไม่ชอบเวลาอัปสรสาวแสดงกิริยาแบบนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาและเธอคบกับทั้งที่ไม่ใช่...

ทั้งสองออกจากตัวมหานครหลักทางประตูใหญ่ มุ่งหน้าข้ามทะเลเมฆซึ่งเปรียบได้กับเส้นแบ่งระหว่างเขต ถ้าหากเขาไปถึงตัวเมืองของเขตใต้ได้ ตำหนักพาเทร่าก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว แต่พอเหาะไปถึงครึ่งทาง ฮาธอสสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ข้างหน้า ผู้ชายตัวใหญ่ใส่ชุดมอซอสวมปิดใบหน้าลอยตัวกลางท้องฟ้าสีส้มยามเย็น เทพคนสวนเอื้อมมือมาจับแขนนาซิลลาก็พาเลี่ยงไป ประสบการณ์เติบโตในแดนร้างสอนให้เขารู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ใครก็ตามที่มาอยู่ในที่เปลี่ยวนี้ แต่อีกฝ่ายเห็นพวกเขาและรีบเหาะมาขวางหน้าไว้ ฮาธอสเอาตัวบังนาซิลลาไว้ก่อน

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ” ชายแปลกหน้ายกมือให้เห็นว่าตกปราศจากอาวุธและมาดี “ข้ากำลังจะไปทำธุระในมหานคร แต่เกิดหลงทางเสียก่อน ไม่ทราบว่าประตูใหญ่ไปทางไหนหรือ”

ฮาธอสมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ รู้สึกไม่ดีกับชายคนนี้แม้แต่น้อย กระนั้นก็ยังแสดงน้ำใจด้วยการผงกศีรษะไปข้างหลังที่พวกเขาเหาะมาเล็กน้อย

“ทางที่พวกเรามานั่นแหละ ขอตัวก่อนนะ” ว่าแล้วเทพเทพคนสวนก็ดึงมือนาซิลลาไปข้าง ๆ แล้วดันร่างบางให้เหาะนำหน้าไปก่อนเลย แต่พอเขาจะตามไปชายคนนั้นกลับคว้าแขนฮาธอสไหว

“แต่ข้ายังไม่รู้ทางอยู่ดี ช่วยทำทางหน่อยได้ไหม แค่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ได้”

สิ้นเสียงทุ้มที่กดต่ำอย่างเหี้ยมเกรียมในตอนสุดท้าย ฮาธอสก็รู้สึกถึงความร้อนแล่นมาตามลำแขนที่ถูกจับ ร่างสูงสะบัดอีกฝ่ายออกแล้วฉุดแขนนาซิลลาหนีไปด้วยกันทันที แต่ไปยังไม่ทันถึงไหน ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขวางหน้าฮาธอสในระยะประชิด เทพหนุ่มต้องหยุดกะทันหันจึงนาซิลลาชนหลังเข้าเต็มรัก ทว่าไม่มีเวลาให้เขาสนใจนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามสะบัดมือส่งรยางค์ผ้าสีดำที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อปากกว้างออกมาแล้ว เวทมนต์ทำให้ผ้านั้นเคลื่อนไหวไปดังความตั้งใจของผู้ใช้ และมันกำลังหมายจะเอาชีวิตเทพคนสวน ฮาธอสฃกางมือออกสะท้อนมันกับเจ้าของออกไปด้วยพลังของตนเองฃ พร้อมกันนั้นก็ผลักตัวเทพจันทราไปด้านข้าง

“หนีเร็วเข้า...โอ๊ย!!” เทพคนสวนออกคำสั่งและกำลังจะเหาะตามร่างบางไปเมื่อจู่ ๆ ก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดตรงท้ายทอย มือเรียวกร้านตะปบไปตรงนั้นคว้าเอาสิ่งที่เกาะอยู่มาดูพบว่ามันเป็นแมลงไสยเวทขนาดเท่านิ้วก้อย มันฝังเหล็กในที่ปลายหางลงในผิวมือของเขาอีกครั้ง

“ฮาธอส!” ฮาธอสขยี้แมลงตัวนั้นทิ้งก่อนรู้สึกคล้ายพลังหมดเอาดื้อ ๆ แล้วตัวของเขาร่วงลงกลางอากาศ นาซิลลาร้องลั่นและถลาลงมาฉุดแขนชายหนุ่มไว้สุดแรง

“เจ้ามานี่!!” ชายสวมหน้ากากโผล่มาขวางอีกครั้ง มันจับแขนเทพจันทราดึงแยกจากฮาธอส เด็กสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง ขณะมือเกาะแขนสหายของตนไม่ยอมปล่อย ป้องกันตัวเองด้วยการเตะเท้าสะเปะสะปะใส่ศัตรูถูกบ้างไม่ถูกบ้าง

ระหว่างนั้นฮาธอสรวบรวมพลังที่เหลืออยู่จับคอเสื้อคนแปลกแน่นแล้วกระชากไปให้พ้นจากเด็กสาว พิษร้ายพลันแล่นกระจายในวินาทีนั้น ตัวของเขาเริ่มร้อนจากบาดแผลที่ท้ายทอยกับฝ่ามือแล้วแผ่ไปทั่วร่าง ภาพในดวงตาพร่าเลือนด้วยความรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด เขารู้ว่าตัวเองมีเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะหมดสติไปจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงทุ่มพละกำลังที่เหลืออยู่ยึดตัวเทพที่จับไว้สุดแรงเกิน

“ไปซะ นาซิลลา รีบหนีไป!” ฮาธอสนั่งกับสายสีเงินที่สะบัดวูบวาบตรงหน้า

“แล้วเจ้าล่ะ” พร้อมกับเสียงของเด็กสาวที่ร้องตอบมา ชายแปลกหน้าใช้รยางค์ของตนกับฮาธอสอีกครั้ง มันรัดพันรอบศีรษะเทพหนุ่มจนมองอะไรไม่เห็นและแทบหายใจไม่ออก ไม่เพียงแค่นั้นยังถูกอีกฝ่ายถอกศอกเข้าเต็มท้อง มีเสียงนาซิลลากรีดร้องห้ามและบอกให้ปล่อยเทพคนสวน

“ตรงนั้น หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงของบุคคลที่สามดังกระหึ่มมาแต่ไกล นาซิลลากับคนร้ายหันไปยังที่มาก็เห็นทหารในเครื่องแบบสีดำตัดแดงกำลังเหาะมาด้วยความเร็วสูง เด็กสาวผวากอดช่วยฮาธอสจับคนร้ายทันที

“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ!!”

“ระยำเอ๊ย...ถอยไป!!”

ชายแปลกหน้าพยายามสลัดคนที่เกาะหลังอยู่ออกไป แต่ฮาธอสก็ใจแข็งเหลือเชื่อ ทั้งที่พิษร้ายกำลังทำให้เขาพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส นาซิลลาก็ยิ่งกอดแน่นถ่วงเวลารอผู้ช่วยเหลือที่ทะยานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คนแปลกหน้าไม่มีทางเลือก เขาช็อตเธอด้วยเวทสายฟ้า เด็กสาวกรีดร้องเช่นเดียวกับฮาธอสที่ได้ยินเสียง ร่างบางเกร็งค้างครู่หนึ่งก่อนหมดสติหงายไปข้างหลัง

เมื่อนั้นเองที่ผู้ทำร้ายจับข้อมือของเธอแล้วร่างบางใส่ทหารที่เหาะมาถึงอย่างเหมาะเจาะ ก่อนตัวเขาจะอันตรธานหายไปพร้อมกับคนที่เกาะบนหลัง!

---------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 29-08-2013 20:53:16
- 100% -

ไคซัสในชุดลำลองแบบสบาย ๆ นั่งเอนตัวบนเก้าอี้หวานซึ่งปูด้วยเบาะหนา ๆ ทับด้วยหนังเสือขาวผืนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา สายตาของเขากวาดมองเอกสารซึ่งเป็นรายนามของทหารที่ตำหนักกับวิมานเทพสำคัญส่งมาเพื่อร่วมการประลองฉลองฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง ทางซ้ายมือมีขุนพลผิวคล้ำซึ่งบัดนี้เป็นผู้ช่วยมือวางอันดับสี่ของเขานั่งอยู่ด้วย

หลังจากยอมรับความช่วยเหลือจากเทพสายนักรบเมื่อหลายวันก่อน การเตรียมงานประลองก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว สถานที่จัดงานซึ่งก็คือตำหนักพาเทร่าได้รับการซ่อมแซมเสร็จแล้ว เหลือแค่การสร้างแท่นประลองในลานฝึกซ้อมด้านนอกซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และวันนี้จ้าวตำหนักกับจ้าววิมานเทพสำคัญก็ส่งรายชื่อกลับมาหลังส่งบัตรเชิญไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

“ส่งเข้ามาเยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย หนึ่ง สอง...” มหาเทพสงครามนับจำนวนแผ่นกระดาษในมือ “ห้าตำหนักกับอีกสิบวิมาน ทุกคนพร้อมสำหรับการประลองรอบคัดเลือกที่จะมีขึ้นสัปดาห์หน้า สถานที่ใช้ลานประลองในกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ ข้าจะให้ท่านเป็นคนดูแลเรื่องนี้แล้วกันนะ เสนาธิการฮิลว์”

เทพอสูรหนุ่มมองคู่สนทนาเพียงคนเดียวในห้องก่อนเบี่ยงสายตาไปยังประตูที่ไคมีร่าเปิดเข้ามา เด็กสาวเอาเอกสารปึกหนึ่งมาวางบนตักเขาและหย่อนตัวนั่งที่พนักเท้าแขน

“อัลวินเอามาให้เมื่อกี้ เขาว่าส่งมาจากตำหนักฟาเบียน” ในสายตาคนนอก สองพี่น้องคู่นี้เหมือนกันมาก แม้กระทั่งวิธีการเรียกชื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์อย่างห้วน ๆ ฮิลว์เหงื่อตกเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“งบประมาณเรื่องเสาสินะ” ไคซัสหยิบมันมาดูหน้าปกเล็กน้อย ก่อนก้มหยิบรายชื่อผู้เข้าร่วมประลองให้ฮิลว์ “ท่านเอานี่ไปให้ทหารสำเนาเก็บไว้ชุดหนึ่ง ต้นฉบับคืนให้ที่เซบาสเตียน ขอบคุณมาก”

จากการทำงานด้วยกันมาหลายวัน ท่านขุนพลจึงทราบว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้แสดงว่าต้องการเวลาส่วนตัว ฮิลว์จึงรับเอกสารมา ลุกขึ้นทำความเคารพแล้วออกจากห้อง ไคมีร่ามองตามจนกระทั่งประตูปิด

“วันนี้ไม่เห็นฮาธอสเลยนะ” พอเปิดปากเด็กสาวก็พาดพิงถึงคนที่หายไป ไคซัสที่ก้มหน้าอ่านรายละเอียดในเอกสารใหม่เงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่ค่อยอยากพูดถึงนัก เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายขอเวลาทบทวน พวกเขาก็แทบไม่ได้พบกันอีกเลยจนเมื่อคืนนี้ฮาธอสมาขอลาพักหนึ่งวัน ถ้าให้พูดตรง ๆ เขาคิดถึงฮาธอสจะแย่อยู่แล้ว

“ฮาธอสกับนาซิลลาขอลากลับซิมโฟเนียอาเรียวันหนึ่ง อีกเดี๋ยวก็กลับมา” ว่าพลางก้มหน้าอ่านต่อ ในความรู้สึกของคนเป็นน้อง ประโยคสุดท้ายของเขาส่งถึงเจ้าตัวมากกว่าเธอ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เธอถามถึงเทพคนสวน เธอรู้จากเทพรับใช้แล้วว่าเขาไปไหน มือเรียวฉวยเอกสารออกจากมือพี่ชาย “เฮ้!”

“หยุดเลย! ในฐานะที่ข้าเป็นคนรักษาท่าน ขอสั่งให้พักผ่อนซะ” ไคมีร่าไม่พูดเปล่าแต่ยังเจ้ากี้เจ้าการเอาย้ายกองงานทั้งหมดไปไว้ไกลมือไคซัส เทพอสูรหนุ่มมองตามไปอย่างไม่พอใจนัก เธอหันกลับมาเห็นก็ถลึงตาใส่ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นใส่ข้าเลย ตั้งแต่ฮาธอสออกไปพี่ก็ทำงานมาตลอด ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้วนะ”

“รู้แล้วน่า บ่นอย่างกับแม่เลย” ไคซัสยอมเอนตัวลงนอนเพื่อป้องกันเสียงบ่นของน้องสาวที่บั่นทอนกำลังกายและใจของเขาให้ลดน้อยถอยลงไปได้ เจ้าตัวก็ดูจะพอใจถึงได้เดินยิ้มหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างเขาแล้วนั่งลงข้างกาย สายตามองมาเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า “อะไรหรือ?”

คนฟังกระตุกยิ้ม พี่ชายของเธอตาไวเสมอ “ดาริคติดต่อมา บอกว่าอีกสองสามวันจะขึ้นมารับ”

“อย่างนั้นหรือ” มหาเทพสงครามพยักหน้าเข้าใจ แต่ลึกลงไปก็หวั่นไหวด้วย เขาทิ้งน้องสาวมาในตอนขึ้นสวรรค์ พอพบกันอีกครั้งก็อยู่ด้วยกันไม่นานก็จะจากกันอีกแล้ว ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่

“เขาว่าจะเอา ‘ของ’ มาให้ด้วย” สีหน้าของไคซัสเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อได้ยินแบบนั้น ขณะไคมีร่าไม่ค่อยเข้าใจนัก พี่ชายของเธอกับสหายที่ชื่อ ‘ดาเรียน’ มีความลับหลายอย่าง บางเรื่องเธอคงจะได้รู้หลังจากนั่งบัลลังก์แล้ว แต่บางเรื่อง...อย่างเรื่องนี้เธอกลับรู้สึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทราบเลย

ความเงียบคงอยู่อึดใจหนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง เซบาสเตียนเปิดมาพบกับผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง

“มหาเทพไคซัส จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมมาขอพบขอรับ”

สองพี่น้องเบือนหน้ามาสอบตากันและกัน น่าประหลาดใจแต่ก็คล้ายจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฮาธอสกับนาซิลลาเพิ่งจะกลับไปเยี่ยมตำหนักเก่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากทั้งสองจะเล่าเรื่องภายในจนจอมเทพีผู้นั้นมาเยือนด้วยตนเอง ไคซัสออกปากอนุญาต เซบาสเตียนก็ถอยกลับออกไป ในขณะที่เทพอสูรหนุ่มย้ายไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ไคมีร่าช่วยหยิบเสื้อคลุมยาวมาสวมให้ เมื่อเขานั่งประจำที่เรียบร้อย แขกกับผู้ติดตามของนางก็มาถึงพอดี

“ขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหันและขอขอบคุณที่มหาเทพกรุณาให้เข้าพบ” เรเทเชียกับเอเดลถอยสายบัวแสดงความเคารพอย่างชดช้อย

“ตามสบายเถอะและขอโทษด้วย แต่ผู้ติดตามของเจ้าต้องรอข้างนอก ห้องทำงานนี้อนุญาตให้เทพที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาได้เท่านั้น” ไคซัสบอกแล้วหันไปหาน้องสาว “ไคมีร่าขอน้ำชาด้วย”

เรเทเชียเหลียวมองผู้ติดตามของตนด้วยสายตาแตกตื่นเล็กน้อย นางไม่ได้เตรียมใจเรื่องนี้ไว้เลย เพราะตามธรรมเนียมสวรรค์ เทพตั้งแต่ระดับจอมเทพขึ้นไปจะมีผู้ติดตามที่ไว้ใจที่สุดหนึ่งคนตามไปทุกหนแห่ง แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือก อย่างไรเสีย ‘คำพูด’ ของมหาเทพย่อมมีอำนาจเหนือกว่านางอยู่วันยันค่ำ

หลังเอากล่องของกำนัลเล็ก ๆ ที่เอเดลเป็นคนถือมาแล้วก็พยักพเยิดให้นางออกไปก่อน เซบาสเตียนปิดประตูเหมือนกับตอนที่เปิดเข้ามา เรเทเชียพาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเกร็ง ๆ และเงยหน้ายิ้มให้ไคมีร่าที่นำถ้วยน้ำชาแบบมีจานรองมาวางใกล้ ๆ

“พักนี้บนสวรรค์เกิดเรื่องบ่อย ไม่ทราบว่าทางเจ้ากับทุกคนที่ซิมโฟเนียอาเรียเป็นอย่างไรบ้าง” ไคซัสเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท “มีอะไรขาดเหลือก็บอกข้าได้”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แต่ตำหนักของข้ายังไม่ขาดเหลือสิ่งใด” เรเทเชียออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเพราะสายตาเย็นชาของฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้หนาวไปทั่งสันหลัง ก่อนนางจะนึกได้ “เอ่อ...นี่เป็นของเยี่ยมไข้จากข้าเจ้าค่ะ เป็นโสมหมื่นปีที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ข้าหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน” ว่าพลางวางกล่องของเยี่ยมลงบนโต๊ะ ไคซัสก็หยิบไปวางข้าง ๆ “ทางข้าต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลยจนวันนี้ เหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมาทำให้ตำหนักของข้าวุ่นวายเอาเรื่อง ทางท่านที่เสียหายโดยตรงคงลำบากไม่น้อย กว่าจะเข้ามาต้องผ่านการตรวจเข้มแทบแย่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ฝ่ายตรงกันข้ามเลิกคิ้วกับอาการพูดรัวเร็วของหญิงสาว จำได้ว่าตอนพบกันครั้งขอฮาธอสมาทำงานด้วยนั้น จอมเทพีผู้นี้จะติดจะขลาดกลัวและไม่ค่อยกล้าสบตาด้วย แต่วันนี้นางมองตาเขาเป็นระยะ อีกทั้งรักษากริยาได้ดีแสดงถึงความพัฒนา ยกเว้นอย่างเดียวคือการพูดรัวเวลาประหม่า

“ร่างกายกำลังฟื้นตัวอยู่ ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง ของกำนัลที่ให้มาข้าจะใช้อย่างเปิดประโยชน์ที่สุด” มหาเทพสงครามตอบและคิดว่าหมดเวลาสำหรับการอ้อมค้อมแล้ว “เจ้ามาหาข้าวันนี้ มีธุระอะไรหรือ”

จอมเทพีคนงามสะดุ้งเมื่อถูกดึงเข้าเรื่องอย่างไม่ทันตั้งตัว นางหยิบถ้วยน้ำชามาจิบพลางกลอกตาเรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายในหัวสมองเข้าด้วยกัน ไคมีร่าหาที่ให้ตัวเองในมุมหนึ่งที่ไม่เกะกะสายตาใคร

“ข้ามาด้วยเรื่องของฮาธอส ข้า...” น้ำเสียงของเรเทเชียขาดห้วงไปเล็กน้อย “...ต้องการตัวเขาคืนเจ้าค่ะ”

“เหตุผลล่ะ” สุ้มเสียงเย็นชาเอ่ยกลับมาชนิดที่ไคมีร่าได้ยินแล้วยังหันมอง ใบหน้าของไคซัสยังนิ่งอยู่ แต่ลึกลงไปในแววตามีความโกรธแฝงอยู่ด้วย

“พอดีว่าสวนที่ตำหนักของข้าเริ่มรกแล้ว ข้าจึงอยากให้เขากลับไปทำงานที่นั่นต่อ” จอมเทพีให้เหตุผลที่คิดมาอย่างดีแล้ว...โดยเซย์เรียโน่ “อีกอย่างตำหนักนี้เกิดเรื่องบ่อยครั้ง ข้าจึงคิดว่าไม่เหมาะที่จะให้เขาอยู่ต่อ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ขอกลับไปทั้งหมดเลยล่ะ โดยเฉพาะเด็กที่ชื่อ ‘นาซิลลา’” มหาเทพสงครามยิงคำถามตรงไปตรงมา รู้สึกเหมือนถูกเรเทเชียแตะต้องของสำคัญ แน่นอนเขารู้ว่าฮาธอสเป็นของหญิงสาว ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนเขาคงยอมคืนฮาธอสให้แต่โดยดี ทว่าเทพรับใช้ตนนั้นยังมีภาระผูกพันกับที่นี่...ผูกพันกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่พร้อมจะส่งผู้มีพันธะต่อกันให้ใครทั้งสิ้น ‘การหาเรื่อง’ ครั้งนี้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนหัวข้อ...มายังเรื่องที่เขากำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ คนที่อ่านความคิดของเขาออกมีแค่ไคมีร่า

“ตะ...แต่ท่านยังต้องการเทพรับใช้มาช่วยงานมิใช่หรือเจ้าคะ” การเผชิญหน้ากับเทพอสูรผู้ทรงอำนาจในทุก ๆ ด้านกำลังทำให้เรเทเชียสติแตก

“เมื่อเทียบกับแล้ว นาซิลลากับเทพรับใช้ตนอื่น ๆ ยังช่วยงานข้าได้ไม่ถึงครึ่งของฮาธอสด้วยซ้ำ” ไคซัสลุกไปที่ตู้เก็บเอกสารที่มีประตูแบบบานคู่ เขาเปิดมันแล้วหยิบม้วนเอกสารที่ผูกด้วยเชือกสีดำกับบันทึกปกดำมาวางบนโต๊ะ เรเทเชียทำหน้าตาตื่น “แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลที่ข้าพูดถึงนาซิลลา ข้าอยากรู้เหตุผลที่เจ้าให้นางมาที่นี่”

“ช...ช่วยงานไงเจ้าคะ” จอมเทพีมือไม้สั่นจนแทบประคองถ้วยชาไม่ได้ ร่างสูงจึงเท้ามือกับโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้ามาหยิบถ้วยชา แต่แทนที่จะถอยออกไปทันที เขากลับจ้องตานางนิ่ง

“เรเทเชีย ข้าอาจเป็นเทพอสูรที่มาจากข้างล่าง แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ กฎระเบียบของสวรรค์ทุกข้อจารอยู่ในหัวของข้า” หลังจากเกริ่นเขาก็ย้ายถ้วยชามาวางในที่ปลอดภัยบนโต๊ะ ดวงตาสีส้มจับอยู่ที่ใบหน้าของเรเทเชีย “นาซิลลาเป็นเทพจันทราซึ่งถ้านับด้านการปกครอง นางยังอยู่ภายใต้อำนาจของมหาเทพีแห่งดวงจันทร์ ซึ่งนั่นหมายความว่านางไม่มีย้ายมาที่นี่โดยพลการ แต่เจ้ากลับผิดกฎและให้นางมาที่นี่...”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนตัวอ้อมโต๊ะมายืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานใกล้ตัวหญิงสาว เขาเห็นแก่ที่อีกฝ่ายเป็นพันธมิตรคนแรกของเขาจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าจ้องมองเธอด้วยดวงตาอันแสนดุดันของตน เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรเทเชียขวัญบินไปหมดแล้ว

“...เจ้าอาจไม่เก่งการเมือง แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล บอกข้า ทำไมถึงให้นาซิลลามาที่นี่” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างนุ่มนวลที่สุด แต่กลับทรงพลังคุกคามและคาดคั้นจนชั้นไคมีร่าที่นั่งอยู่ไกล ๆ ยังสัมผัสได้ พี่ชายของเธอมีความสามารถในด้านการกดดันคนอื่น คงเพราะรังสีจริงจัง ดวงตาดุดัน ไปถึงเสียงไร้เมตตานั่น

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเคาะเกิดเสียงกังวาน ทำให้จอมเทพีที่นั่งเงียบตกใจสะดุ้งโหยงและหันมองที่มาด้วยความหวังว่าคนที่เคาะจะเป็นเอเดล แต่ความผิดหวังก็จู่โจมโดยทันที เมื่อไคมีร่าลุกไปเปิดประตูแล้วพบว่าคนที่รออยู่ก็คือ ‘หัวหน้าทหารแห่งพาเทร่า’ ซึ่งหายไปทำงานลับมาหลายวัน

“ขออนุญาตขอรับ” อัลล์ก้าวเข้ามาอย่างองอาจตามประสาทหาร สองมือประคองกำปั้นเงินที่เหนือตัวล็อกตีตราพระจันทร์เสี้ยวง่ายขึ้นไว้ด้วย “ข้าอัญเชิญสารจากมหาเทพีจันทรามาให้มหาเทพไคซัสขอรับ”

ไคมีร่าเป็นคนนำกำปั่นเงินนั้นไปให้พี่ชาย ส่วนอัลล์ยืนรออยู่หน้าประตูที่ถูกปิดโดยเซบาสเตียน มหาเทพสงครามรับมันมาแล้วเปิดฝ่าออกหยิบม้วนสารที่ผูกด้วยเชือกสีเงินมากางอ่าน สักครู่ก็เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าซีดเซียวของเรเทเชีย แววตาตื่นกลัวจนไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว

“อัลวิน เจ้ารับสารนี้มาจากใคร” มหาเทพสงครามเบี่ยงสายตาไปหาอัลล์

“มหาเทพีบรรพกาลเป็นผู้มอบให้ข้าน้อยโดยตรงขอรับ นางตื่นช่วงสั้น ๆ เมื่อวานหลังจากอ่านสารที่มหาเทพไคซัสสั่งให้ข้านำไปส่งแล้วก็เขียนให้ทันที” หัวหน้าทหารตอบอย่างซื่อสัตย์ เพราะยังไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงต้องตามน้ำไปก่อน

“มหาเทพสงครามส่งสารไปหามหาเทพีจันทราด้วยเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” เรเทเชียถาม น้ำเสียงของนางสั่นจนแทบจับใจความไม่ได้

ไคซัสมองหน้าหญิงสาวก็ถอนใจเฮือกสั้น ๆ มือหนาเลื่อนไปยังบันทึกปกดำและเปิดหน้าที่คั่นไว้ ภาพวิหารโรมันที่ถูกล้อมด้วยเมฆสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนาซิลลา จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมถึงกับพูดอะไรไม่ออก นึกรู้ทันทีว่านี่คือ ‘บันทึกลับ’ ซึ่งใช้บันทึกเหตุการณ์ผิดปกติที่ไม่ควรปรากฎในประวัติศาสตร์สวรรค์ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเทพจันทราน้อยองค์นี้

“...นาซิลลาอุบัติขึ้นในตำหนักของข้าเมื่อหนึ่งร้อยสิบเจ็ดปีก่อน เป็นเทพจันทราองค์เดียวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ตรงกับคืนเดือนมืด สวรรค์และโลกเบื้องล่างปราศจากแสงจันทร์โดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่พลังด้านมืดทรงอานุภาพที่สุด ตำหนักของข้าถูกล้อมด้วยกลุ่มเมฆสีรุ้งที่ซึมซับพลังนั้นอย่างเต็มเปี่ยม ข้าสังหรณ์ใจจึงลองตรวจสอบนางด้วยตนเอง ข้าพบว่าบางสิ่งบางอย่างในตัวนางตอบสนองต่อความมืดและยังอาจจะดึงดูดเมฆสีรุ้งนั้นมากอีกด้วย ลำพังแค่การกำเนิดของนางผิดแปลกไปจากเทพจันทราตนอื่น ๆ ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว การที่นาซิลลาสื่อกับพลังมืดได้ทุกครั้งที่พลังจิตลดต่ำลงยิ่งทำให้นางเป็นอันตรายต่อตำหนักเทพจันทรา ข้าจึงตัดสินใจส่งนางในวัยเหมาะสมไปยังตำหนักคีตนาฏกรรม...”

เมื่ออ่านเนื้อความสำคัญที่จารไว้ในสารจบ ดวงตาสีส้มเหลือบมองเรเทเชียอีกครั้ง วงหน้าขาวซีดเผือดเหมือนกระดาษ นัยน์ตาที่เบิกกว้างนั้นไหวระริกด้วยความกลัว ไคมีร่ากับอัลล์ก็ตกใจไม่แพ้กัน แน่นอนจอมเทพีรู้ว่าเหตุผลที่นาซิลลาถูกส่งมาอยู่กับตนเอง มหาเทพีแห่งจันทราเป็นผู้อธิบายให้เข้าใจด้วยตนเอง ย้ำเตือนให้เธอคิดทบทวนให้ดี ๆ ถึงสามครั้ง ซึ่งเรเทเชียยอมรับและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ

ตลอดช่วงสิบปีที่นาซิลลาอยู่ด้วยกันนั้น สิ่งที่เธอเป็นไม่เคยก่อปัญหาใด ๆ นอกจากฝันร้ายที่บังเอิญเกิดขึ้นปีหนึ่งไม่กี่ครั้ง แต่หลังจากสงครามเทพ-ปีศาจจบลง เรเทเชียเริ่มสัมผัสได้ถึงพลังมืดที่คอยวนเวียนแถวตำหนัก นาซิลลาก็เริ่มฝันร้ายหนักข้อขึ้นทุกวัน แต่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวนางเองก็ไม่ได้บอกใคร เพราะยังหาที่มาของพลังนั้นไม่ได้ ในจังหวะที่กำลังกลัดกลุ้มไคซัสก็ขอตัวฮาธอสไปช่วยงานซึ่งทำให้เทพจันทราน้อยตัดสินใจตามไป นางจึงได้โอกาสอนุญาตให้เธอมาในนาทีสุดท้าย

คิดมาถึงตรงนี้ จะว่าหญิงสาวใช้ประโยชน์จากไคซัสและฮาธอสในการกำจัดนาซิลลาออกจากตำหนักก็ได้ กระนั้นเรเทเชียก็คิดว่าตัวเองทำไปเพื่อเทพคนอื่น ๆ ในตำหนัก

สีหน้าครุ่นคิดระคนหวาดหวั่นของเรเทเชียบอกอะไรหลาย ๆ อย่างกับไคซัส อย่างเช่นนางรู้เรื่องนี้เต็มหัวอกและคิดใช้ประโยชน์จากเขาโดยไม่บอกสักคำ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดเขาด้วยที่ประวิงเวลามาจนถึงวันนี้

“เรเทเชีย ข้าจะบอกเจ้าสักอย่าง วันแรกที่นาซิลลามาอยู่ที่นี่ นางก็ถูกแมลงไสยเวทโจมตี ต่อมาก็ตกเป็นเป้าหมายของพัมกิ้นซ์ที่ถูกแมลงไสยเวทควบคุมได้ด้วย...” คำพูดของเขาแทบทำให้เรเทเชียหยุดหายใจ ‘เรื่อง’ ที่นางกังวลได้เกิดขึ้นจริงแล้ว “ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนางอยู่ในการดูแลของข้า ข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ ทำไม...เรเทเชีย ทำไมถึงเป็นข้า”

“เพราะข้าคิดว่าท่านรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีกว่าข้า” ในที่สุดคำสารภาพก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตาของจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรม “หกเดือนที่ผ่านมานาซิลลาฝันร้ายซ้ำ ๆ เพราะพลังมืดที่ข้าไม่สามารถหาที่มาได้ นับวันฝันของนางจะหนักข้อขึ้นจนข้าคิดว่าอาจเป็นอันตรายต่อทุกคน ข้าก็เลย...” เสียงหวานขาดห้วงเมื่อก้อนแข็ง ๆ โผล่ขึ้นจุกในคอ อัลล์หลับตาและเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่กล้าพูด ไคมีร่ายืนฟังอย่างอึ้ง ๆ

“นาซิลลาติดฮาธอสแจ พอเขาย้ายมาตามคำขอของข้า นาซิลลาก็ดื้อแพ่งตามมาด้วยสินะ” ไคซัสลองสันนิษฐานตามที่คิด หญิงสาวผู้สำนึกผิดพยักหน้าทั้งน้ำตา ชายหนุ่มกลอกตาอย่างยอมแพ้ นี่หรือชาวเทพที่มีแต่ความดีงาม สุดท้ายก็ไม่ต่างจากเผ่าพันธุ์ในดินแดนเบื้องล่างสักนิด “ข้าจะไม่ตำหนิเจ้าเรื่องนี้ก็ได้ แต่อยากจะถามเจ้าจริง ๆ เถิด เจ้ามาขอตัวฮาธอสไปไม่คิดบ้างหรือว่านาซิลลาจะหาทางตามกลับไปด้วย”

เมื่อแรกได้ยินประโยคให้อภัยของจ้าวตำหนักพาเทร่า เรเทเชียเงยหน้ามองเขาอย่างดีใจ แต่พอเขาวกกลับเข้าเรื่อง ใบหน้างามก็ก้มต่ำอีกครั้ง เรือนผมสลวยทิ้งตัวบดบังสีหน้าที่มีแต่ความเสียใจ ไคซัสถอนใจสั้น ๆ อย่างอ่อนใจ ตอนมาก็เพราะฮาธอส พอเขากลับมีหรือที่เด็กสาวจะไม่ตามมาด้วย ตรรกะง่าย ๆ ยังลืมเสียดาย ถ้าหญิงสาวไม่อยากได้ตัวเทพจันทรากลับไปด้วยก็ต้องทิ้งฮาธอสไว้ที่นี่ ถ้าคิดในแง่นี้การหาเรื่องของเขาก็ดูจะประสบผลสำเร็จอยู่...

“เอ้อ!” เสียงไพเราะที่แทรกกลางปล้องเรียกความสนใจจากตุลาการกับจำเลยที่กำลังไต่สวนกันให้หันไปหา ไคมีร่ายกมือขอเวลานอกอยู่ โดยมีอัลล์แอบดูอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่

“มีอะไรเหรอ ไคมีร่า” คนเป็นพี่เอ่ยถาม

“ข้ากำลังสงสัยว่าฮาธอสหรือนาซิลลาไปเล่าอะไรให้ท่านเรเทเชียฟัง นางถึงได้มาขอตัวฮาธอสคืนจนกลายเป็นแบบนี้”

ความเงียบโรยตัวปกคลุมห้องชั่วอึดใจที่ท่านหญิงชาวอสูรพูดจบ มีเพียงอัลล์เท่านั้นที่ทำหน้างง เพราะเพิ่งจะมาถึง สักครู่มหาเทพสงครามก็เบือนหน้าไปหาจำเลยของตน หญิงสาวทำหน้าตกใจและกล้ำกลืนบางสิ่งลงคอ ไคซัสไม่ชอบสิ่งที่เห็นนั้นเลย เพราะมันเป็นท่าทางของจำเลยที่พยายามปกปิดบางสิ่ง

“เรเทเชีย”

“ฮาธอสไม่ได้เล่าอะไรน่าห่วง แค่ปรึกษาเรื่องความรักกับการย้ายตำหนักแค่นั้น” เมื่อไคซัสเรียกชื่อ จอมเทพีก็เงยหน้าขึ้นตอบตามตรงแล้วก้มลงเอามือกุมหน้า นางจึงไม่ได้เห็นแววตาตกใจของไคซัสเหมือนคนอื่น ๆ “นาซิลลาก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย นอกจากเรื่องการทำงานที่นี่กับบ่นพวกทหารชีกอ แต่คนที่บอกให้ข้ามาขอฮาธอสคืนเป็นขุนพลเทพอันดับห้าเจ้าค่ะ”

คราวนี้ความตกตะลึงบังเกิดกับทุกคนในห้อง โดยเฉพาะไคซัสที่แสดงอาการออกมาทางสีหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หมายความว่าอย่างไร...เจ้าเด็กแสบนั่นน่ะเหรอ?

“ข้าต้องการคำอธิบาย” พร้อมกับคำพูด ไคซัสกระแทกมือลงกับโต๊ะด้วยความตั้งใจพยุงตัวเองที่จู่ ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดให้ยืนอยู่ได้ แต่เรเทเชียสะดุ้งโหยงและคิดว่าตัวเองถูกโกรธจึงยิ่งกลัวไปกันใหญ่

“เจ้าค่ะ! เขาเล่าเรื่องที่ฮาธอสช่วยปกป้องพาเทร่าไว้ได้ ข้าดีใจที่เขาได้ทำหน้าที่ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขาเป็นอันตรายมากขึ้นควรจะให้เขากลับไปปกป้องพาเทร่ามากกว่า” หญิงสาวห่อตัวเล็กลีบในเก้าอี้พลางเล่าสิ่งที่ต้องเจอมาจนหมด “ข้าเองก็เชื่อตามนั้น เพราะฮาธอสมักเลือกข้าด้วยความกตัญญูก่อนเสมอ...”

“นั่นสินะ...” ไคซัสพูดลอดไรฟัน หน้ามืดตาลายจนต้องเอามือกุมหน้าผาก ความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง...โกรธเจ้าเด็กแสบชุดแดงนั่น มันกำลังจะทำอะไรอีก! “แล้วตอนนี้ฮาธอสอยู่ที่ไหน” คำถามสำคัญถูกเอ่ยไป

เรเทเชีบทำหน้าอึกอัก เพราะเซย์เรียโน่เป็นคนตระเตรียมแผนการทุกอย่างให้ นางรู้แค่เขาสั่งให้เอเดลบอกเรื่องตลาดแก้วกับนาซิลลา แนะนำให้เด็กสาวที่ชอบของสวย ๆ งาม ๆ ชวนฮาธอสไปเที่ยวด้วยกัน และตระเตรียมเดินทางมาที่พาเทร่า นอกเหนือจากนั้นหญิงสาวไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย

แต่ขณะเผยอปากเพื่อตอบตามที่คิด พลันเสียงเคาะประตูรัว ๆ อย่างเร่งร้อนและเสียงที่ตะโกนเข้ามานั้นทำให้บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“มหาเทพสงครามเกิดเรื่องใหญ่กับพวกฮาธอสขอรับ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 8 up 28/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 29-08-2013 20:56:25
ชั่วอึดใจเดียวหลังสิ้นเสียงจากข้างนอก ไคซัสที่ไม่รู้กำลังวังชามาจากที่ไหนพุ่งไปที่ประตูและกระชากเปิดออก เขาถึงกับชะงักเมื่อเห็นนาซิลลาที่หมดสติถูกอุ้มโดยทหารคนหนึ่ง ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้าง ๆ เขาจำได้ว่าทั้งสองคนนี้ทำหน้าที่ติดตามเด็กสาวอย่างลับ ๆ เอเดลยืนลูบผมเธออย่างเป็นห่วงมากทีเดียว เด็กสาวปรือตามองมาทางเขาแล้วก็เบิกตาโพล่งอย่างคนเพิ่งพบที่พึง มือเรียวยื่นออกมาราวกับจะไขว้คว้าเทพอสูร

“ได้โปรด...มหาเทพช่วยได้...ช่วยฮาธอสด้วย!”

“เขาอยู่ไหน” ไคซัสถลาเข้าไปจับมือเธอไว้พลัน ไม่สนใจแล้วว่าใครจะมองด้วยสายตาเช่นไร แต่นาซิลลาอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบเสีย ร่างสูงใหญ่จึงตวัดตามองทหารที่อุ้มเธอ

“พวกเขาถูกคนร้ายสวมชุดสีขาวโจมตีระหว่างทางกลับ พวกเรารีบตามไปช่วยแล้วแต่ไม่ทันการ เทพรับใช้ฮาธอสพยายามปกป้องเทพจันทราจึงถูกจับไปแทนขอรับ เราย้อนพลังแล้วพบว่าเป็นคนของหัวหน้าจอมปราชญ์ขอรับ”

คำบอกเล่าเหตุการณ์ไม่ต่างอันใดกับมีดคมกริบที่ฝากรอยแผลไว้ที่หัวใจของมหาเทพสงคราม เรเทเชียปิดปากกั้นเสียงร้องอย่างตื่นตะลึงของตนเองไว้ เอเดลช่วยประคองตัวนายหญิงไว้ก่อนทั้งที่ตนก็รู้สึกไม่ต่างกัน ไคมีร่ากับอัลล์และทหารคนอื่น ๆ ยืนรอคำสั่งจากเจ้านายสูงสุดอย่างร้อนใจ

“พานาซิลลาไปพักที่ห้อง เรเทเชียกับผู้ติดตามให้อยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าจะจบเรื่อง ไคมีร่าเป็นคนดูแล...”

“เดี๋ยวก่อน! พี่ยังไม่หายนะ” เจ้าของชื่อสุดท้ายในประโยควิ่งมารั้งแขนพี่ชายไว้ด้วยความกังวลว่าเขาจะฝืนใช้พลังจนอาการทรุดหนัก แต่ความห่วงใยของเธอเหมือจะดูถูกไครอสไปนิด

“เพราะอย่างนั้น...” มหาเทพสงครามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบจนน่าตกใจ ทว่าใบหน้าที่เบี่ยงสายตาไปหาอัลล์กลับเต็มไปด้วยความจริงจังและโกรธเคืองราวกับมังกรที่ถูกแตะเกล็ดย้อน “อัลวิน หากว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าให้เจ้ากับองครักษ์ทั้งสิบสองนำหน้า”

นายทหารหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไคซัสใช้งานเขาไปทำงานใหญ่มาหลายครั้ง ที่ใหญ่ที่สุดคือการนำสารเข้าพบมหาเทพีจันทรา ทว่าระดับความไว้วางใจที่ได้นั้นกลับเทียบงานนี้ไม่ได้เลย

เพียงรอพบมหาเทพีบรรพกาลตอบจดหมายหรือสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่แม่ทัพ!

“ขอรับ!

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทวงคืนคนสวนกันเลย!” อัลล์กับลูกน้องที่อยู่ในที่นั้นขานรับคำสั่งของไคซัสพร้อมกับสาวเท้าตามเจ้านายไปติด ๆ

ดูท่าการหาเรื่องคราวนี้จะกลายเป็นการมีเรื่องครั้งใหญ่เสียแล้ว...

---------------------

ตอบคอมเมนต์

คุณอายทำไม ไคซัสมีจุดอ่อนแน่นอนครับ ด้วยความตั้งใจของมาโกะเอง ในความคิดของมาโกะ ทุกสรรพสิ่งเหมือนกันหมด ไม่มีสิ่งใดแข็งแกร่งจนเกินไป หรืออ่อนแอจนเกินเหตุ มีข้อดีและเสียแตกต่างกันไป ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีจุดอ่อนฮับ ^ ^

คุณ bulldog17 ทั้งหวานทั้งเครียด บทจะหวานก็หวานซะ บทจะเครียดก็...สุดๆ มาโกะไม่เคยเขียนได้พอดีสักที

คุณ padang ขอบคุณครับ อย่างว่าล่ะฮะ มนุษย์เรามีรัก โลภ โกรธ หลง พระที่ว่าตัดจากกิเลสยังมีกิเลส นับประสาอะไรกับเทพล่ะเนอะ

อนึ่ง...ผมจะทยอยลงนิยายทุกวัน รับรองว่า นำหน้าเด็กดีแน่นอนครับ (ฮา)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 29-08-2013 21:26:10
อสูรมาอยู่บนสวรรค์นี่น่าหนักใจ
เพราะมีเทพเจ้ายศอยู่เยอะ
เป็นใหญ่ในแดนอสูรจะสบายใจกว่านะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 30-08-2013 15:28:32
บทที่ 10 ทวงคืนคนสวน
- 50% -

ของเหลวให้สัมผัสเหนี่ยวข้นเล็กน้อยถูกหยดลงในปาก รสขมร้ายกาจพลันแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปากปลุกสติคนที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เขาสำลักของในปากออกมา แต่กลับมีมือข้างหนึ่งอุดปากไว้จนคายออกมาไม่ได้ พอดิ้นหนีจากมือนั้น ร่างกายพลันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งกรีดลึกไปถึงกระดูก โดยเฉพาะฝ่ามือข้างขวากับท้ายทอยที่ปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกเหล็กเผาไฟนาบ เจ็บไปถึงสมองแล้วกลั่นออกมาเป็นเสียงร้องอู้อี้ในลำคอ

“ถ้าเจ้ายังไม่อยากตายก็กลืนยาลงไปเดี๋ยวนี้” เสียงแหบพร่าสั่งอย่างเฉียบขาดหลังเขาดิ้นได้สักครู่ ซึ่งอันที่จริงไม่ต้องบอกคนเจ็บก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้ว เพราะทนกับความขมไม่ไหว เมื่อยาไหลลงคอเจ้าของมือก็ผละออกไป ในขณะผู้บาดเจ็บหายใจถี่กระชั้นอย่างทรมาน แค่การหายใจก็ทำให้เจ็บเสียดไปทั้งทรวงอก

เกิดอะไรขึ้น? ฮาธอสถามตัวเองแล้วตั้งสมาธิจดจ่อกับการหายใจ สมองที่รับรู้แต่ความเจ็บปวดต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำงานได้ แล้วเขาก็นึกออก...ว่าตนกับนาซิลลาถูกผู้ชายแปลกหน้าโจมตีระหว่างทางกลับพาเทร่า เขากถูกแมลงไสยเวทต่อยเข้าขณะปกป้องเด็กสาว หลังจากนั้นก็นึกอะไรไม่ออกอีกเลย

ชายหนุ่มนอนหอบสักพัก อาการเจ็บก็ทุเลาลงมากพอลืมตาขึ้นมองรอบข้างได้ เขาต้องตกใจเมื่อเห็นภาพเลือนรางของกลุ่มคนแต่งชุดรุ่มร่ามล้อมอยู่ทางขวา โดยหนึ่งในนั้นนั่งอยู่ข้างกายของเขานั่นเอง แต่พอรวบรวมสติเพ่งสายตาดูอีกทีก็พบว่าทั้งหมดนั้นคือ จอมปราชญ์ทั้งแปดแห่งสวรรค์นั่นเอง!

“พวกท่าน...”

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เรมันต์...หัวหน้าจอมปราชญ์เคราขาวกดเสียงต่ำถามย้ำคำเดิม

“ดีขึ้นนิดหน่อยขอรับ” ฮาธอสตอบเสียงเบาหวิว แววตามุ่งมาดของฝ่ายตรงข้ามก่อความไม่ดีในใจเขา พร้อมกับคำถามว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน มาได้อย่างไร นาซิลลากับคนที่โจมตีพวกเขาไปไหนแล้ว

“ดีแล้ว ที่นี้ฟังข้า!” เรมันต์สั่งเสียงหวน แววตาไร้ความเป็นมิตร “เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยเข้าที่จุดสำคัญและกำลังลุกลามไปทั่วทั้งตัวของเจ้า มีแต่ยาที่ข้าหยอดให้เมื่อกี้เท่านั้นที่จะถอนได้ แต่ข้ายังให้เจ้าไม่ครบสามหยด ดังนั้นถ้าไม่อยากเกิดใหม่ในเร็ว ๆ นี้ก็จงทำตามที่ข้าบอก” สั่งโดยละเลยส่วนสำคัญของเรื่องไป

ฮาธอสย่นคิ้ว สมองทำงานหนักกว่าจะเข้าใจคำพูดอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะตกเป็น ‘เชลย’ ของจอมปราชญ์ทั้งแปดเสียแล้ว “ท่านต้องการอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแหบแห้ง

“ความลับทุกอย่างของมหาเทพสงคราม” เทพคนสวนสาบานกับตัวเองว่าน้ำเสียงของเรมันต์เต็มไปด้วยความมุ่งมาดและเอาจริงเอาจัง ประหนึ่งเสือที่ตะครุบเหยื่อของมันไว้แล้วรีดเลือดเนื้อมาดื่มกิน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เหยื่อที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ

“ข้า...ไม่รู้ความลับใด ๆ ทั้งนั้นขอรับ” ฮาธอสเค้นคำพูดออกไปอย่างลำบาก เพราะยาแค่บรรเทาความเจ็บปวดให้เท่านั้น ขณะพิษยังลุกลามต่อไป เขารู้สึกปวดหนึบที่ท้ายทอยลามเลียไปตามแนวสันหลัง

“อย่าพูดเป็นเล่น เจ้าทำงานอยู่ที่ตำหนักพาเทร่ามานานแล้วไม่ใช่หรือ!” หนึ่งในจอมปราชญ์ซึ่งอยู่ใกล้หัวเตียงร้องมา “เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไปประชุมกับมันอยู่เลย!”

“ข้าแค่ติดตามเท่านั้น เรื่องอื่นข้าไม่ทราบ” เทพคนสวนยืนยันคำเดิม มันเป็นเกียรติยศของเขาที่จะไม่เปิดเผยความลับของเจ้านาย ทั้งเรเทเชียและไคซัส อย่างเด็ดขาด

“เป็นแค่เทพชั้นต่ำคิดต่อกรกับจอมปราชญ์เชียวหรือ!” จอมปราชญ์คนเดิมตวาดใส่ เรมันต์ยกมือปรามก่อนเกิดเหตุร้าย แววตาที่ทอดมองคนเจ็บเจือแววนับถือเล็กน้อย เจ้าหนุ่มคนนี้สู้เพื่อปกป้องเด็กผู้หญิงมาแล้ว ตอนนี้ก็ยังสู้เพื่อปกป้องเจ้านายอย่างไม่เสียดายชีวิต

“ข้านับถือในความเด็ดเดี่ยวของเจ้านะ แต่เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้า เพื่อความปลอดภัยของสวรรค์” มือเหี่ยวย่นวางกลางอกฮาธอสและส่งพลังเข้าไปบรรเทาอาการเจ็บของเขาอีกแรง “เจ้าได้เห็นแล้วว่าสวรรค์วุ่นวายขนาดไหนหลังเขากับน้องสาวขึ้นมา เราจำเป็นต้องกำจัดพวกเขาพี่น้องออกไป”

“หัวหน้าจอมปราชญ์ ทุกอย่างเป็นความบังเอิญทั้งนั้น” ฮาธอสว่า “มหาเทพไม่ได้รู้เรื่องเลย เขาไม่ใช่คนนำพาสิ่งเหล่านั้นมาด้วย สิ่งที่เขาทำมีแค่พยายามปกป้องสวรรค์”

“หากปกป้องจริง ทำไมเหตุร้ายยังเกิดขึ้นได้อีก” เรมันต์แย้งอย่างสุขุม “ที่แล้วมามหาเทพสงครามมีหน้าที่แค่รบเพื่อสวรรค์ แต่สิ่งที่เขาทำมันเกินเลยออกไป ตรวจสอบเขตแดนโดยไม่ขออนุญาต เปลี่ยนวิธีการฝึกทหาร เพิ่มกำลังสัตว์อสูร ทุกอย่างที่เขาทำคือการชักพาอันตรายมาสู่สวรรค์”

ฮาธอสหลับตาเพื่อทบทวนคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งคราวนี้ดูจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะพิษที่กำลังแผ่กระจายทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดอีกครั้ง กระนั้นก็ใช่ว่าจะเกินกำลังสมองอันเฉียบคมของเขา เพียงแต่ในขณะที่กำลังคิดนั้น หนึ่งในจอมปราชญ์มองเขาและนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก้มลงกระซิบบอกเรมันต์ใกล้ ๆ แล้วถอยหลังไปก่อนเทพคนสวนจะลืมตาขึ้นแค่นิดเดียว

“ข้ายอมรับขอรับ ว่า...” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกและกระแอมเบา ๆ หลังเสียงขาดห่วง “ว่าสิ่งที่มหาเทพสงครามทำอาจนำพาอันตรายมาสู่สวรรค์ แต่แผนการของท่านเป็นแบบระยะยาว ค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ทุกเรื่องร้ายเกิดขึ้นก่อนที่แผนการของเขาจะเป็นชิ้นเป็นอันเสียอีก...!”

“เฮสเลน” สุ้มเสียงเยือกเย็นของเรมันต์เอ่ยออกมาแช่ร่างกายของฮาธอสให้แข็งทื่อ ความเจ็บปวดคล้ายหายไปในชั่วขณะที่ตัวชาวาบและดวงาตาเบิกโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด ถึงรีบตั้งสติเก็บอาการแค่ไหน ฝ่ายตรงข้ามก็เห็นเข้าแล้ว “ใช่จริง ๆ เจ้าเกี่ยวข้องกับเทพกาลกิณีตนนั้น...”

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร” หลังคำพูดที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ฮาธอสก็เสตามองผนังสีขาวทางซ้ายอย่างไม่สนใจเงาร่างเงาที่ทอดบนนั้น

“เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพูดอย่างแน่นอน ฮาธอส” เรมันต์จับหน้าเขาไปมองตา “ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหน ที่แท้เจ้าก็เป็นครอบครัวเดียวกับเขานี่เอง”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ฮาธอสออกแรงยื้อใบหน้าของตนออกมา ทว่ามือผอมแห้งนั้นกลับบีบคางเขาแน่นด้วยแรงที่มากมายอย่างเหลือเชื่อ

“เจ้ายังอยากอยู่สวรรค์ต่อไปไหม” หัวหน้าจอมปราชญ์ถามอย่างเมตตา แต่แววตากลับเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งขั้วโลก “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีสายเลือดเดียวกับเฮสเลนคนนั้นก็จงเล่าความลับของมหาเทพสงครามออกมาให้หมดและเล่าโทษว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมดต่อหน้ามหาเทพจ้าวสวรรค์ ทำให้อสูรตนนั้นถูกขับออกไปซะ...”

“ไม่!!” ฮาธอสโพล่งเสียงดัง ครั้นรู้ตัวก็ชะงักงันไปเหมือนกันคนอื่น ๆ คงเพราะเขาทำงานใกล้ชิดกับไคซัสมาพักใหญ่ ได้เห็นความทุ่มเทในการทำงานของเจ้าตัว จึงอยากปกป้องด้วยความภักดีในฐานะบ่าว...ขอให้มันเป็นแบบนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกอื่น...ต่อหน้าคนเหล่านี้ สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าอาจเกิดขึ้นก็ได้!

“ดี” หางเสียงของเรมันต์สั่นด้วยความโกรธ มือที่วางกลางอกเอื้อมตรงไปที่ใบหน้าฮาธอส ชายหนุ่มเบี่ยงตัวออกตามสัญชาตญาณ แต่ร่างกายที่บาดเจ็บหนักกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาจึงเปลี่ยนใช้พลังล้อมสมองของตนไว้ในจังหวะเดียวกับมือของชายชราตะปบหน้าผากเขาและบีบแน่น

กระแสเวทร้อนฉ่าไหลเวียนเข้ามาในศีรษะของฮาธอส ชายหนุ่มรับรู้เลยว่ามันกำลังมุ่งไปที่สมอง พลังของเขาต่อต้านฝ่ายตรงข้ามเต็มที่จนเกิดเสียงเปรี๊ยะ ๆ ลั่นในหูตามมาด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่างสูงโปร่งดิ้นพราดบนเตียงและแผดเสียงร้องอย่างทรมานจนจอมปราชญ์ที่เหลือต้องช่วยกันจับไว้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ดังนั้นเขาจึงปกป้องตัวเองอย่างสุดกำลังโดยไม่สนใจว่าอาจทำให้อวัยวะสำคัญของตนมอดไหม้!

“ฮึ่ม! แข็งแกร่งจริง ๆ!”

นั่นไม่ใช่คำสบถธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากจนถึงตอนนี้เรมันต์ที่มั่นใจในพลังของตนเองยังไม่สามารถเจาะผ่านเกราะของฮาธอสได้เลย ชายหนุ่มตนนี้เป็นเทพชั้นต่ำจริง ๆ น่ะหรือ ไฉนอำนาจของเขาจึงแข็งแกร่งเช่นนี้ เพราะกำลังใจที่จะปกป้องอสูรชั่วตัวนั้น หรือเพราะสายเลือดต้องสาปที่ไหลเวียนในตัวกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็ต้องล้วงเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวเจ้าหนุ่มนี่ออกมาให้ได้

แต่ในตอนกำลังจะเพิ่มพลังทำลายมนต์ป้องกันของฮาธอสนั้น จู่ ๆ ประตูหน้าก็ถูกเปิดโครมเข้ามาทำให้เหล่าจอมปราชญ์ตกใจไปตาม ๆ กัน เทพนักรบผมดำหน้าตาดุดันคนหนึ่งเดินนำบ่าวชายที่หน้าตาตื่นเข้ามาข้างใน เขาค้อมกายรายงานด้วยความตกใจกลัว

“เรียนท่านจอมปราชญ์ทั้งแปด มหาเทพสงครามมาขอรับ”

“ว่าไงนะ!” เรมันต์ร้องและหันมองฮาธอสซึ่งนอนตัวสั่นระริกใกล้หมดสติอยู่รอมร่อ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้านั่นมาเพราะชายคนนี้ แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมียศสูงกว่าและมาเยือนด้วยตนเอง ชายชราจึงผละจากเทพคนสวนมาจัดชุดของตนให้เรียบร้อย “ซามี เจ้าเฝ้าข้างนอกไว้ ส่วนที่เหลือตามข้ามา” ออกคำสั่งกับบ่าวชายและนำจอมปราชญ์ที่เหลือออกไปพบกับไคซัส

เพียงผู้ทรงภูมิทั้งแปดคล้อยหลังไป ฮาธอสก็ปรือตามองเทพที่ชื่อ ‘ซามี’ แม้ภาพจะบิดเบี้ยวและพร่าเลือนไปบ้าง แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำร้ายเขากับนาซิลลา เจ้าตัวได้ยินการสนทนาทั้งหมด มันช่วยกระตุ้นความทรงจำที่ขาดหายไปของเขากลับมาเล็กน้อย บางทีนาซอลลาที่รอดไปได้อาจจะบอกเรื่องนี้กับไคซัส

นี่ก็เป็นโอกาสของเขาแล้ว เทพคนสวนยกมือสั่นเทาของตัวเองขึ้นเล็งไปทางช่องสี่เหลี่ยมสีดำที่ทุกคนมุ่งหน้าไป จากนั้นก็ยิงเศษเสี้ยวพลังที่อ่อนจนเทพรับใช้กับเทพนักรบสองคนนั้นยังจับสัมผัสไม่ได้ออกไปก่อนประตูปิดเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น

หลังจากนี้ก็คงได้แต่หวัง...

หวังแค่ใครสักคนที่มีพลังพอ...

ขอแค่ ‘ไคซัส’ เห็น ‘มัน’ เขาก็จะปลอดภัย...

---------------

ไคซัสยืนอยู่ตระหง่านกลางห้องโถงกว้างสีขาวเปลือยเปล่า ปราศจากเครื่องเรือนและของตกแต่ง อัลล์ในชุดเต็มยศยืนอยู่ข้างหลังเยื้องไปทางซ้าย ด้านหลังเป็นทหารทั้งสิบสองนายในสังกัดของเขาซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘องครักษ์’ เข้าแถวหน้ากระดานสองแถว โดยสองคนที่ช่วยนาซิลลาไว้ยืนอยู่ตรงกลาง ทุกคนรอคอยเจ้าบ้านอย่างเงียบเชียบ...แต่เตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง

ในที่สุดความเงียบอันน่าอึดอัดก็ถูกทำลาย เมื่อเรมันต์นำจอมปราชญ์อีกเจ็ดตนเข้ามาทางประตูใหญ่ด้านหน้า ไคซัสพิจารณาฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาก็เห็นว่าปกติดีทุกคน แม้แต่ความจงเกลียดจงชังที่ถูกส่งออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องนั้นด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนี้ไม่อยากเสวนากับเขา แต่เมื่อเขามาเยือนถึงที่ก็ต้องออกมา คงเป็นครั้งแรกที่เขานึกขอบคุณสังคมแบบแบ่งวรรณะของสวรรค์

“ต้องขออภัยด้วยที่ออกมาช้า แต่พอดีข้ากับปราชญ์ท่านอื่น ๆ กำลังถกปริศนาธรรมกันอยู่ ไม่ทราบว่าท่านมาเยือนด้วยเรื่องอันใด” เรมันต์ก็เหมือนเทพตนอื่น ๆ ที่เอาเรื่องมารยาทมาก่อนเสมอ แต่ไคซัสกลับไม่อยากคล้อยตามหัวเหมือนที่แล้วมา เทพอสูรหนุ่มไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

“วันนี้คนของข้า...อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นเทพรับใช้ของซิมโฟเนียอาเรียที่ข้าขอยืมตัวมาช่วยงานที่พาเทร่าถูกลอบโจมตีระหว่างทางกลับตำหนัก...”

“โอ้! นั่นเป็นเรื่องแย่มากและขี้ขลาดที่สุดเลยนะ ไม่ทราบว่าเทพรับใช้สองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หลังไคซัสเกริ่น หัวหน้าจอมปราชญ์ก็แสดงความห่วงใยแบบไม่จริงใจสักนิด

“คนหนึ่งเป็นผู้หญิงถูกเวทสายฟ้าได้รับบาดเจ็บ อีกคนเป็นชายหายตัวไปพร้อมกับคนร้าย” จบประโยคอัลล์ก็มองไคซัสอย่างนึกทึ่งที่ยังวางท่าสุขุมได้ ทั้งที่ภายในน่าจะโกรธจนแทบอยากอาละวาด

“ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ถ้าเทพรับใช้คนนั้นเป็นคนร้ายขึ้นมา ตำหนักของท่านได้เดือดร้อนแน่” เรมันต์แสดงความวิตกซึ่งดูเหมือนจริงมาก จอมปราชญ์ที่เหลือก็แสดงกิริยาเดียวกัน

“แต่อาจจะสมใจท่านก็ได้นะ ท่านผู้ทรงภูมิ เพราะคนของข้าย้อนพลังที่เหลือติดบนตัวเด็กผู้หญิงแล้วพบว่าคนร้ายเป็นคนของวิมานนี้!” มหาเทพสงครามบอก น้ำเสียงเข้มชัด แววตาวาววับจับจ้องหัวหน้าจอมปราชญ์ที่แสดงอาการประหลาดใจนิ่ง

“หึ! ถึงข้าจะเกลียดท่านก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะอยู่เบื้องหลังนี่” หัวหน้าจอมปราชญ์หนวดกระตุก ดวงตาวาววับราวกับไม่พอใจไคซัสที่กล่าวหาเขาต่อหน้าทุกคน “ตัวข้าเองก็รับเทพระดับล่างมาชุบเลี้ยงไว้หลายตน อาจมีใครไปมีเรื่องพิพาทกับคนของท่านแล้วก่อเหตุก็ได้ ท่านบอกว่าก่อเหตุทำร้ายพร้อมผู้หญิงใช่ไหม บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องชู้สาวก็ได้นะ”

ความเงียบปกคลุมห้องชั่วขณะที่ไคซัสมองหน้าเรมันต์เรื่อยไปถึงปราชญ์คนอื่น ๆ อย่างหมิ่นแคลน เทพพวกนี้ไม่ควรได้เป็นปราชญ์แห่งสวรรค์สักนิด นอกจากจะดำรงตนบนความอคติแล้ว ยังหน้าไหว้หลังหลอก วางแผนร้ายสารพัด เป็นคนจำพวกที่ไม่ควรมีอยู่บนสวรรค์ แต่เพราะเป็นอย่างนี้แหละถึงได้เข้าทางเขา

“ท่านพูดแบบนี้แสดงว่าตัวเองไม่รู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนั้นสินะ”

“แน่นอน พวกเราไม่...” เรมันต์เป็นตัวแทนตอบอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงัก เมื่อไคซัสเผยรอยยิ้มเย็นชาอย่างคนสมความปรารถนาในบางสิ่ง

“อย่างนั้นท่านคงไม่ว่าอะไร ถ้าหากข้าจะขอตรวจสอบวิมานแห่งนี้ เพื่อหาตัวคนร้ายกับคนของข้า” ไคซัสย่างสามขุมไปยืนต่อหน้าเรมันต์ แต่ละก้าวเพิ่มแรงกดดันและความเครียดให้บรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น

“บังอาจ! เป็นแค่อสูรแท้ ๆ ริหาเรื่องหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์เชียวหรือ!” หนึ่งในจอมปราชญ์ชี้หน้าและโวยวายใส่เทพอสูรหนุ่ม

“แต่ข้าก็มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเจ้า เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าถึงได้ยอมออกมาพบไม่ใช่หรือ” ไคซัสย้อนคำเหมือนหมัดฮุดอัดเต็มท้องคนฟัง “ข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย จะยอมให้ข้าตรวจค้นวิมานแห่งนี้หรือไม่!”

เรมันต์จับจ้องเทพอสูรตรงหน้าของตนนิ่ง นัยน์ตาสีเข้มเปล่งประกายด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเป็นถึงหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์ที่มีคนนับหน้าถือตา ราชาแห่งฟ้ายังนับถือ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อสวรรค์ แต่เจ้าอสูรที่น่ารังเกียจนี้กลับมาอวดเบ่งที่นี่และบีบให้เขาทำตามที่สั่ง มันน่าโมโหจริง ๆ!

“ก็ได้” ชายชรายอมอนุญาตด้วยเสียงสั่นจากความโกรธ แล้วยกมือปรามจอมปราชญ์ที่ร้องแย้งขึ้นมา “แต่ถ้าท่านไม่พบอะไรก็อย่าลืมกล่าวขอโทษกันด้วยล่ะ!”

“รู้แล้ว!” สิ้นเสียงของไคซัส การตรวจค้นก็เริ่มต้นขึ้นโดยทันที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 30-08-2013 15:29:43
- 75% -

วิมานหรือบ้านของชาวเทพนั้น มักอุบัติขึ้นพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ หรือถูกเนรมิตขึ้นเมื่อเทพตนนั้นได้รับการเลื่อนขึ้นให้เป็นเทพชั้นกลางแล้ว มีขนาดและพื้นที่เล็กใหญ่แตกต่างกันตามระดับพลังของเจ้าของ และจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเนรมิตตกแต่งของเจ้าบ้านอีกด้วย

นิวาสสถานของหัวหน้าจอมปราชญ์แห่งสวรรค์จัดว่าใหญ่มากทีเดียว ประกอบด้วยอาคารใหญ่ขนาดสองชั้นสามหลัง ตึกหลังเล็ก ๆ อันเป็นที่พักของเทพรับใช้ หอสูงเก็บตำรา โกดังสมุนไพร และอื่น ๆ อีกหกหลัง ทหารของอัลล์แบ่งกำลังเป็นกลุ่มละสองตนแยกย้ายกันตรวจค้นอย่างละเอียด ไคซัสกับอัลล์ก็ไม่ได้รออยู่เฉย ๆ แต่ช่วยคนหาด้วยเช่นกัน ทั้งสองใช้ญาณหยั่งรู้ในการจับสัมผัสพลังจิตหรืออำนาจของฮาธอสกับคนร้ายไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาให้เจอ...อย่างน้อยก็ขอแค่ฮาธอสสักคนก็ยังดี!

ถึงอย่างนั้นการค้นหาก็ยังเป็นเรื่องยาก ส่วนหนึ่งเพราะหลายห้องรวมถึงหอเก็บตำราถูกปิดผนึกด้วยเวทมนต์อย่างแน่นหนา ซึ่งเรมันต์เล่นแง่ไม่ยอมให้ตรวจสอบด้วยเหตุผลว่าเก็บตำราและข้อมูลการวิจัยลับไว้หลายอย่าง ตลอดจนถึงการที่พวกเทพรับใช้ไม่ยอมให้ความร่วมมือยิ่งทำให้งานยากยิ่งขึ้นไปอีก การต่อต้านเหล่านี้ทำให้ไคซัสหงุดหงิด...และยิ่งรู้สึกมากขึ้นหลังหาเท่าไหร่ก็ไม่พบร่องรอยของฮาธอสหรือคนร้ายเลย

เพราะอะไรกันนะ? ไคซัสถามตัวเองอย่างร้อนรน ขณะลูกน้องกระจายกำลังค้นหารอบลานกว้างหน้าหอเก็บตำรา ในอาคารใหญ่ถูกค้นอย่างละเอียดหมดแล้ว ใช้พลังจับก็ไม่เจออะไรอีกต่างหาก เหมือนว่าสิ่งที่เขาตามหาถูกดูดหายไปในความว่างเปล่า ทำไมกัน...ก่อนออกมาจากพาเทร่าเขาก็ย้อนพลังบนตัวของนาซิลลาจนแน่ใจว่าคนร้ายอยู่ที่นี่ ระหว่างทางพวกมันรู้ตัวและย้ายสองคนนั้นไปอย่างนั้นหรือ? ดวงตาสีส้มสว่างตวัดไปยังกลุ่มจอมปราชญ์ที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูอาคารหลัก

ไม่! ชายหนุ่มส่ายศีรษะกับตัวเอง จากที่คุยกับก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดไม่ใส่ใจเรื่องของเทพรับใช้เลย พวกมันน่าจะคิดว่าเขาเป็นแบบเดียวกัน ถึงได้ตกใจที่เขามาเยือนกะทันหัน ถ้าอย่างนั้นฮาธอสอยู่ที่ไหน พวกมันยอมให้เขาหาเพราะมั่นใจว่าไม่มีชายคนนั้นอยู่...หรือเพราะรู้ว่าเขาหาไม่เจอกันแน่

“มหาเทพไคซัส” เสียงเรียกดึงความสนใจเขาไปหาอัลล์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เมื่อเขาส่งสายตาในเชิงถาม นายทหารหนุ่มก็ส่ายศีรษะเป็นสัญญาณบอกว่าไม่พบ

“บ้าจริง! ข้าและคนของเจ้าต่างมั่นใจว่าอยู่ที่นี่นะ!” หลังเสียงสบถ เทพอสูรหนุ่มก็กุมขมับเมื่อเกิดอาการเวียนศีรษะอีกครั้ง อัลล์สังเกตเห็นความผิดปกติจึงขยับเข้ามาเพื่อจะช่วย แต่ไคซัสยกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรและยืนหยัดด้วยกำลังของตนเองอย่างทระนง นายทหารหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ทำสีหน้าไม่ดีนัก

“ข้าเข้าใจว่าท่านอยากช่วยฮาธอสให้ได้ แต่อย่าฝืนตัวเองเกินไปนะขอรับ ฮาธอสต้องไม่เป็นไรแน่ เขาเป็นคนฉลาด ยังไงก็น่าจะหาทางรอดให้ตัวเองไว้บ้าง”

“แต่เขาถูกแมลงไสยเวทต่อยนะ พิษของมันร้ายแรงมาก ต่อให้เก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางต้านทานได้หรอก” ไคซัสแย้งไป คนฟังชะงักแล้วทำหน้าสลด เพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดมานั้นเป็นความจริงที่ปฏิเสธมิได้ เทพอสูรหนุ่มลูบหน้าผากและหลับตาลงถามกับตัวเองว่า ถ้าหาฮาธอสไม่เจอขึ้นมาจริง ๆ เขาจะทำอย่างไรต่อไป

...จะจัดการกับความร้อนรุ่มและความหวั่นไหวในใจนี้ยังไงดี!

มหาเทพ...

ไคซัสลดมือลงแล้วมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงที่แว่วในหู อัลล์หันมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ ขณะพวกลูกน้องกำลังทยอยกลับมาทีละกลุ่ม หลังค้นหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบคนที่หายไป

“เจ้าได้ยินไหม” เทพอสูรถามโดยยังหาไม่หยุด “ข้าได้ยินเสียงฮาธอส เจ้าได้ยินหรือเปล่า!” ใบหน้าดุดันหมุนกลับไปหานายทหารคู่ใจ แต่อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่เข้าใจจนเห็นชัด “ไม่รึ? หรือว่าข้าหูฝาด...”

มหาเทพไคซัส

วินาทีที่กำลังจะคิดว่าตัวเองอาจประสาทหลอนเพราะความรู้สึกส่วนตัว เสียงของฮาธอสก็ดังขึ้นในหัวของเขาราวกับจะยืนยันว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกเขาจริง ๆ และคราวนี้ไคซัสก็เชื่ออย่างสนิทใจเสียด้วย

“ฮาธอส! เจ้าอยู่ไหน!!” มหาเทพสงครามโพล่งออกมาอย่างลืมตัว ร่างสูงหมุนดูโดยรอบหวังหาที่มาของเสียง คนรอบข้างมองเขาอย่างตกใจ จอมปราชญ์ทั้งแปดถึงกับตกตะลึง ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นห่วงฮาธอสจนหลอนไปจริง ๆ แล้ว “ถ้าได้ยินเสียงก็ตอบข้าหน่อย ฮาธอส!!”

ม...มหา...เทพ...

เทพอสูรตัวเย็นวาบหลังเสียงของฮาธอสขาดหายไป เสียงที่แผ่วเบาและขาดห้วงประหนึ่งเจ้าของเสียงเพิ่งพบกับวาระสุดท้ายของชีวิต ความกลัวที่ถูกสะกดไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจพลันปะทุขึ้นดุจภูเขาไฟระเบิด ภาพที่อยากลืมเลือนที่สุดในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง

จะเสียไปอีกแล้วหรือ...คนที่...สำคัญต่อเขา...

ไม่! ไม่ยอมเด็ดขาด!!

มหาเทพสงครามหลับตาลงตั้งสมาธิ ทุกความคิดและความรู้สึกหายวับไปเหลือแต่สมองสีขาวโพลน เปิดพื้นที่ซึมซับข้อมูลทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาเมื่อเขาแผ่จิตที่เข้มข้นแต่ทรงพลังออกไป ภาพขอสรรพชีวิตและสรรพสิ่งที่อยู่ในวิมานแห่งนี้เผยชัดในสมองเขา...เห็นแม้กระทั่งขุมพลังในร่างของเทพทุกตนในวิมานแห่งนี้ เพียงไม่กี่อึดใจภาพกแพงสีมุขช่วงหนึ่งของวิมานก็ปรากฏให้เห็นแล้วดวงตาสีส้มสว่างก็เบิกโพล่ง

“พวกเจ้าตามข้ามา!!” ไคซัสออกคำสั่งพร้อมนำเหล่าทหารไปทางหอเก็บตำราซึ่งเป็นหอคอยทรงสี่เหลี่ยมสูงห้าชั้น แต่แทนที่พวกเขาจะทำการสำรวจในอาคารซึ่งไม่พบอะไรก่อนหน้านี้ มหาเทพสงครามกลับนำทหารทั้งหมดไปยังกำแพงวิมานที่อยู่ข้างหลัง เขากวาดตามองต้นไม้สองตนที่แผ่กิ่งเหมือนซุ้มประตูข้างหน้า ก่อนจะเข้าไปเอามือวางทาบกำแพงและหลับตาลง อัลล์กับนายทหารคนอื่น ๆ ตามไปดูห่าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ ในสายตาของพวกเขาสิ่งปลูกสร้างนี้ก็ดูเหมือนกำแพงธรรมดาเท่านั้น

“ข้างหลังนี่มีอะไรซ่อนอยู่” ในที่สุดมหาเทพสงครามก็พูดออกมา พวกอัลล์พากันสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดกับใคร แล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อเจ้าของคำถามหมุนตัวกลับมามองข้างหลัง...ยังกลุ่มของเรมันต์ที่ตามมาดูเหตุการณ์ หน้าตาแต่ละคนดูเคร่งเครียดทีเดียว

“ไม่มี...มันเป็นแค่กำแพงเปล่า ๆ ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงของเรมันต์ มหาเทพสงครามก็สะบัดมือซัดพลังใส่กำแพงจนเกิดเสียงระเบิดดังตูมใหญ่ ทุกคนในที่นั้นหมอบตัวลงโดยสัญชาตญาณ และเมื่อทุกอย่างสงบลง พวกอัลล์ก็เงยหน้าขึ้นดูแลพบว่ากำแพงยังคงอยู่ดีทุกประการ ตรงกันข้ามประจุสายฟ้าที่ลั่นเปรี๊ยะ ๆ รอบกำแพงนั้นบ่งบอกว่ามีอาคมคุ้มกันอยู่ และไม่ใช่อาคมธรรมดา แต่เป็นเวทมนต์ที่แข็งแกร่งขนาดพลังของไคซัสยังทำลายไม่ได้

เทพอสูรหนุ่มจับจ้องใบหน้าตื่นตระหนกของเรมันต์กับพรรคพวกนิ่ง พวกเขาเหมือนจะพ่ายแพ้ แต่แววตาพยศและไม่ยอมรับกลับสื่อความหมายไปคนละทาง

“ดูท่าจะไม่ยอมให้เข้าไปง่าย ๆ สินะ ข้าคงต้องใช้ไม้แข็งซะแล้ว” ไคซัสยกมือขวาขึ้นระดับไหล่และแสงสีทองอันบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ปรากฏขึ้นกลางอุ้งมือนั้น “อัญเชิญป้ายทอง!!”

เพียงขาดเสียง แสงสีทองเจิดจรัสก็สาดส่องจากอุ้งมือนั้นไปทั่วทุกทิศ แม้แต่ผู้อัญเชิญยังต้องปิดตาก่อนมืดบอด มีเสียงเรมันต์ร้องห้ามตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากกรูมาทางนี้ ทว่าสายเกินไปแล้ว

แสงสว่างจากหายไปเหลือแต่ป้ายทองทรงสี่เหลี่ยมในมือของไคซัส ลายนูนต่ำของป้ายนั้นเป็นรูปนกยูงสองตัวทอดร่างล้อมอักษรพระนามของราชาแห่งฟ้า เหล่าเทพต่างมองมันด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะนั่นคือ ‘ป้ายทองอาญาสิทธิ์’ ใครก็ตามที่แสดงป้ายนี้ คำสั่งของคนผู้นั้นจะถือเป็นโองการจากองค์ราชัน ไม่เพียงแค่นั้นมันยังมีพลังลบล้างเวทมนต์และคำสาปของเทพสวรรค์ทุกรูปแบบอีกด้วย!

“ทำลาย!” ร่างสูงใหญ่กลับหลังหันเอาป้ายทองอาญาสิทธิ์ทาบกับกำแพง เรมันต์ร้องสั่งให้ทหารทุกตนที่มารวมตัวกันจากเสียงระเบิดเมื่อครู่นี้เล่นงานเทพอสูรหนุ่ม ทว่าองครักษ์ทั้งสิบสองนายก็ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ แปดคนสกัดมิให้ทหารประจำวิมานผ่านเข้ามาได้เลยสักตน ส่วนอัลล์กับคนที่เหลือคุ้มกันไคซัส

มนตราจากป้ายทองอาญาสิทธิ์กระเพื่อมแผ่ไปทั่วกำแพงเหมือนผิวน้ำที่ถูกกระทบ ไม่กี่อึดใจสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าก็บิดเบี้ยวและหลอมละลายลงกองแทบเท้ามหาเทพสงคราม แต่พริบตาที่เห็นภาพอาคารชั้นเดียวหลังเล็กข้างใน รยางค์สีน้ำตาลแก่ที่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ไคซัสด้วยความเร็วสูง อัลล์เป็นคนแรกที่ถลามาขวางทางและใช้ดาบฟันทั้งหมดจนขาดสะบั้น จังหวะเดียวกันนั้นทหารของเขาก็ทะยานเข้าใส่คนร้าย ซามีชักดาบเตรียมจะสู้ ทว่าคนของอัลล์เร็วกว่า พวกเขาใช้พลังรัดตรึงร่างอีกฝ่ายจนดิ้นไม่หลุด

ตลอดเวลานั้น ไคซัสไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างเลยสักนิด ร่างสูงใหญ่ตรงไปยังอาคารหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในช่องกำแพงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องประตูบานคู่ที่ปิดสนิท แต่เขารับรู้ได้...ถึงเศษเสี้ยวพลังบางเบาที่ติดบนพื้นและขอบประตูทั้งสองนั้น พลังเฮือกสุดท้ายของฮาธอสที่ส่งออกมาเพื่อบอกที่ซ่อนของตน

เมื่อตัวของซามีอันเป็นอุปสรรคสุดท้ายถูกกระชากให้พ้นทาง มหาเทพสงครามจัดการพังประตูคู่นั้นเข้าไปด้วยการถีบเพียงครั้งเดียว และภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้น...แทบทำให้หัวใจของเขาแหลกลาน...

ฮาธอสนอนแน่นิ่งบนเตียงปูผ้าสีขาวที่ยับยู่จากการดิ้นรนก่อนหน้านี้ มันเปรอะเปื้อนด้วยคราบสีดำกับสีแดงกระดำกระด่าง กลิ่นคาวที่โชยมาบอกว่ามันเป็นเลือด พลังชีวิตร่างกายอ่อนแออย่างมาก ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพที่รอเวลาสูญหลาย เสียงสุดท้ายที่ไคซัสได้ยินคงเกิดขึ้นก่อนเจ้าตัวจะหมดสติไป

“ฮาธอส เข้มแข็งไว้นะ!!” เจ้าของร่างสีแดงวิ่งมานั่งข้างกายผู้บาดเจ็บ มือใหญ่จับชีพจรที่คอซึ่งเขาถึงกับนิ่งเมื่อได้เห็นรอยสีดำกำลังลุกลามมาจากหลังคอ พอลองตรวจดูก็พบรอยถูกต่อยที่มือท้ายทายกับมือขวา ลักษณะการบวมและปากแผลที่เป็นสีดำบ่งชัดว่าถูกแมลงไสยเวทต่อย เทพอสูรก้มลงฟังเสียงลมหายใจ ขณะอัลล์กับพวกวิ่งมาคุมเชิงหน้าประตู พร้อมกันนั้นก็เงี้ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างในไปด้วย “ยังมีลมหายใจ!” คำนั้นไม่เพียงทำให้คนพูดใจชื้น แต่ยังรวมไปถึงฝ่ายเดียวกันที่อยู่ข้างนอกด้วย “ฮาธอสได้ยินเสียงข้าไหม ข้ามาช่วยเจ้าแล้วนะ ลืมตามาดูข้าหน่อย!”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความร้อนรนสะท้อนไปทั่วห้อง สำหรับที่แทบไม่เหลือสติแล้ว เสียงนั้นฟังราวกับห่างไกลเกินเอื้อมคว้า แต่เพราะมันมาจากคนที่อยากได้ยินมากที่สุด เขาจึงพยายามตอบสนอง แต่เนื่องจากเจ็บจนไม่เหลือเรียวแรงแล้ว เขาจึงทำได้แค่ขยับเปลือกตาไปมาอย่างคนลืมตาไม่ขึ้นเท่านั้น ปฏิกิริยาที่เห็นยิ่งทำให้ไคซัสร้อนใจ อาการของฮาธอสหนักหนาเกินไป เทพอสูรถอดเสื้อนอกของตนมาห่อตัวเทพคนสวนแล้วอุ้มพาออกมาจากห้องนั้น

“ช้าก่อน! ท่านจะพาเทพตนนั้นไปไม่ได้” เรมันต์โผล่มาขวางพร้อมกับทหารซึ่งถืออาวุธจังก้าพร้อมสำหรับการต่อสู้ จอมปราชญ์ท่านอื่นมองดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ สถานการณ์กำลังบานปลายหนักขึ้นทุกที “เจ้านั่นมีสายเลือดเดียวกับเทพกบฏที่ชื่อ ‘เฮสเลน’ ข้าให้คนจับตัวเขามาเพื่อสอบสวนว่าเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่ผ่านมาหรือเปล่า!”

นามที่ปรากฏในประโยคทำให้ไคซัสชะงักไปนิดหน่อย ดวงตาสีส้มสว่างเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินนามของเทพร้ายตนนั้นบนสวรรค์แห่งนี้ และยังน่าตกใจที่ได้รู้ว่าฮาธอสมีความเกี่ยวพันกับมันอีกด้วย กระนั้นก็หาใช่เหตุผลที่เรมันต์จะมาทำแบบนี้...กับคนของเขา!

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรจะทำอะไรอย่างมีมารยาทและสง่างามกว่านี้สิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยไปอย่างเย็นชา หัวหน้าจอมปราชญ์ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อไคซัสยกป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง “ด้วยอำนาจของป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่รับมอบมาจากมหาเทพจ้าวสวรรค์ ข้าขอสั่งให้หัวหน้าจอมปราชญ์เรมันต์กับทหารในสังกัดหลีกให้พ้นทาง!”

เหล่าทหารประจำวิมานหันมองชายชราผู้เป็นเจ้านายของตนอย่างไม่มั่นใจนัก ปกติคำสั่งของมหาเทพถือเป็นสิทธิ์ขาดเหนือวาจาของเทพในระดับรองลงมา ยิ่งประกาศพร้อมป้ายทองอาญาสิทธิ์แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากบัญชาจากราชาแห่งฟ้า ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เรมันต์ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีถึงได้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ ทำไมกัน...เพราะอะไร...ทั้งที่ทุ่มเททำเพื่อสวรรค์แท้ ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 9 up 29/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 30-08-2013 15:31:03
- 100% -

“เรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ หรอกนะ”

มหาเทพสงครามเบี่ยงสายตาดุเสี้ยวหน้าของชายชราที่ปรายตามองเขาอย่างชิงชัง แล้วมุมปากของเทพอสูรก็ยกยิ้มเห็นด้วยอย่างเหนือกว่าโดยสถานะ

“แน่นอน มันไม่จบง่าย ๆ แน่ เพราะข้ากับเจ้าจะสะสางเรื่องนี้ต่อหน้าฟาเบียนยังไงล่ะ!” พูดจบ ไคซัสก็พาฮาธอสกับลูกน้องกลับตำหนักพาเทร่าโดยไม่เหลียวกลับมาอีกเลย

-----------------

จอมเทพีเรเทเชียเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องโถงใหญ่ของปราสาทประมุขแห่งพาเทร่า โดยมีเอเดลที่รออยู่เป็นเพื่อนมองดูอย่างห่วงใยยิ่ง หญิงวัยกลางคนรู้ดีว่านายหญิงของตนกำลังกระวนกระวาย ร้อนใจ และเป็นห่วงฮาธอสอย่างมาก อย่างไรเสียเทพหนุ่มตนนั้นก็ถือเป็นศิษย์คนสำคัญ หากว่าเขาได้รับอันตรายจากการที่นางยอมทำตามแผนการของเซย์เรียโน่ นายหญิงของหล่อนคงใจสลายเป็นแน่แท้

“จอมเทพีเจ้าคะ มาพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หลังทนดูเรเทเชียเดินวนไปรอบแล้วรอบเล่านานนับชั่วโมงโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เอเดลก็ตัดสินใจมาห้ามจนได้

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอยากพักก็พักก่อนเถอะ” หญิงสาวโบกมือปัด ๆ ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาสักนิด ความกระวนกระวายและความร้อนใจกำลังกัดกินจิตใจหล่อนอย่างไร้ความปราณี ยังไม่นับรวมความห่วงใยฮาธอสที่ทะลักทลายออกมาไม่หยุด เป็นความผิดของนางเอกที่ยอมทำตามคำขอของเซย์เรียโน่ “นี่มันกี่โมงยามกันแล้ว ทำไมยังไม่มีข่าวจากมหาเทพสงครามเลยล่ะ!”

“มหาเทพสงครามกลับมาถึงแล้ว” เสียงประกาศดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะ เรเทเชียหันไปตามเสียงก็เห็นอัลล์กับเซบาสเตียนช่วยกันเปิดประตูให้ไคซัส...และฮาธอสที่ไร้สติในอ้อมแขนเข้ามาข้างใน

“ตายจริง ฮาธอส!” หลังเสียงร้องแหลมอย่างตกใจของเรเทเชีย หญิงสาวกับเอเดลก็วิ่งไปดูอาการของลูกศิษย์ใกล้ ๆ หญิงสาวทั้งสองถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นรอยสีดำกำลังลุกลามไปตามผิวคอของชายหนุ่ม พลังชีวิตในร่างของเจ้าตัวก็กำลังลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ เธอจึงเงยหน้าขึ้นถามไคซัส “เกิดอะไรขึ้นกับฮาธอสน่ะ มหาเทพสงคราม”

“ฮาธอสถูกแมลงไสยเวทต่อยน่ะสิ อัลวินไปตามไคมีร่ามา!” มหาเทพสงครามสั่ง

“ข้าอยู่นี่แล้ว” เสียงหวานดังมาจากทางเดินชั้นสอง เด็กสาวยืนอยู่ตรงหัวบันไดพอดี “ข้าเตรียมห้องของเจ้ากับของจำเป็นไว้แล้ว เด็กสาวที่ชื่อนาซิลลาก็ปลอดภัยแล้วด้วย รีบพาเขาขึ้นมาสิ” ว่าจบเธอก็สะบัดตัวเดินหายไปก่อน

ไคซัสทำท่าจะเดินตามไปอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น เรเทเชียวิ่งมากางแขนขวางทางไว้ก่อน

“ถ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยก็พากลับไปที่ตำหนักของข้าเถอะ ข้าจะขอให้ท่านจ้าวช่วย”

“ฮาธอสไม่มีเวลาขนาดนั้น หลีกทางไป” ไคซัสสั่งเสียงดังเหมือนภูเขาไฟระเบิด คนที่อยู่ในอ้อมแขนนี้กำลังจะตาย เขาจึงไม่อยากเสียเวลากับใครทั้งนั้น

“ไม่ได้! ฮาธอสบาดเจ็บเพราะข้า ข้าต้องรับผิดชอบ” เรเทเชียแย้งกลับมา น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ

“บ้าจริง อัลวิน!” เทพอสูรหนุ่มระเบิดเสียงแห่งความขุ่นเคืองกึกก้องจนใคร ๆ ก็ใจสั่นความกลัว ก่อนจะส่งร่างของฮาธอสให้อัลล์ นายทหารหนุ่มรับไว้ด้วยกริยางุนงง “รีบพาเขาขึ้นไปหาไคมีร่าเดี๋ยวนี้และอยู่ช่วยนางด้วย บอกนางด้วยว่ารักษาฮาธอสให้ได้!”

อัลล์ฟังคำสั่งอย่างอึ้ง ๆ และหันมองเรเทเชียที่ส่งสายตาขอร้องให้เข้าข้างตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากว่ากันตามธรรมเนียม เขาควรจะส่งคืนฮาธอสคืนให้จอมเทพีตามที่นางออกปากขอ แต่ความรู้สึกจากส่วนลึกบอกกับเขาว่าถ้าปล่อยฮาธอสกลับไปคงไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนอีกแน่ และเขาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นด้วย

นายทหารหนุ่มตัดใจหลบสายตาเรเทเชียและอุ้มร่างฮาธอสวิ่งขึ้นบันไดตามไคมีร่าไปอย่างรวดเร็ว

ไคซัสดูอยู่จนกระทั่งอัลล์กับฮาธอสลับสายตาแล้วค่อยเบือนหน้ามาหาเรเทเชียอีกครั้ง หญิงสาวก็หันมาหาเขาพอดีด้วย ดวงตาสีส้มสว่างสะท้อนใบหน้าสวยที่เปี่ยมด้วยความสับสนและไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด นางคงกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลังโดยเทพที่เคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยเป็นแน่แท้

“เรเทเชีย” สุ้มเสียงเย็นชาที่เอ่ยไปทำให้เจ้าของชื่อกับผู้ติดตามสะดุ้งพร้อมกัน พวกนางมองหน้าเขากลืนน้ำลายอย่างลำบากขณะจ้องหน้าดุดันของเขา “เจ้ามาหาข้าเพื่อขอตัวฮาธอสคืนไปสินะ” จอมเทพีพยักหน้า “ข้ายังไม่คืนให้”

“ทำไมล่ะ!” เรเทเชียโพล่ง “ถ้ากลับไปที่ซิมโฟเนียอาเรีย เขาจะได้รับการรักษาอย่างดีเลยนะ”

“แต่ที่นี่รักษาได้ดีกว่า ไคมีร่าเป็นเทพอสูรที่มีพลังเยียวยาระดับสูง นางสามารถกำจัดพิษแมลงไสยเวทได้อย่างหมดจด” ไคซัสแย้งกลับไปอย่างสงบ ความโกรธและเย็นชาผสมผสานกันในแววตาของเขาอย่างลงตัว

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เด็กคนนั้นตามไปรักษาที่ซิมโฟเนียอาเรียสิ” จอมเทพียังดื้อแพ่งเถียงต่อไป คงเพราะความห่วงใยและสำนึกผิดที่มีต่อฮาธอสที่ทำให้นางดึงดันแบบนี้ เทพอสูรหรี่ตาอย่างน่าอันตราย อันที่จริงเขาเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดี เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อาจให้อภัยนางได้อีกแล้ว

“เจ้าคงไม่ลืมสินะ ว่าใครทำให้ฮาธอสกับนาซิลลาเป็นแบบนี้” เรเทเชียตัวเย็นเยียบ ดวงตาเบิ่งโพล่งจ้องค้างอยู่ที่ใบหน้าโกรธจัดจนเกือบอำมหิต หากประกายแห่งความกราดเกรี้ยวที่เต้นเร่าในดวงตาของเป็นไฟจริง ๆ มันคงแผดเผาตัวเธอเป็นจุณไปแล้ว “เรื่องกลับตำหนักจะให้ฮาธอสเป็นคนตัดสินใจ ระหว่างนี้ข้ากับทุกคนจะดูแลเขากับนาซิลลาเอง ส่วนคนที่เหลือจะเอากลับไปก็ได้”

มหาเทพสงครามทิ้งทวนการเผชิญหน้าด้วยทำลายสะพานมิตรภาพที่เคยเชื่อมโยงสองตำหนักไว้ ก่อนมุ่งหน้าขึ้นบันไดตามไคมีร่ากับอัลล์ไปอีกคน เหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนดูเหตุการณ์เงียบและแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งต่าง ๆ ในปราสาทหลังเจ้านายลับหายไปแล้ว

จอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรมทรุดลงกองกับพื้น น้ำตาหยดลงบนแก้ม เอเดลมานั่งข้างตัวและประคองบ่านายหญิงอย่างเบามือ

“จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ จอมเทพี” หญิงร่างอวบถาม สีหน้าอับจนหนทาง

“กลับกันเถอะ...” เสียงหวานตอบกลับมาแผ่ว ๆ ขณะคนพูดยังอยู่ในอาการช็อก แต่ไม่นานความรู้สึกถึงที่รุนแรงก็ก่อตัวขึ้นในใจของเรเทเชีย ซึ่งมันเปลี่ยนความคิดของหญิงสาวอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนั้น ฮาธอส...นาซิลลา...รวมถึงตัวนางเองคงไม่เป็นแบบนี้ “กลับไปแล้วก็ให้คนไปบอกเรื่องนี้กับขุนพลเทพอันดับห้าด้วย เขาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ยัดเหยียดให้ข้าทำ!”

และแล้วเทพธิดาผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องก็ได้เรียนรู้ว่าในใจของตนก็มีความดำมืดซ่อนอยู่เหมือนเทพอสูร

----------------

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang นั่นสิครับ หากเลือกได้ ไคซัสก็ไม่อยากขึ้นสวรรค์เหมือนกันล่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 30-08-2013 17:07:54
เรื่องราวซับซ้อนขึ้นทุกที
ต่อเลยค่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 30-08-2013 22:44:51
เง้อ.. ชาวสวรรค์นี่มากเรื่องแท้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 31-08-2013 00:07:37
แว็บไปอ่านที่เด็กดี...แล้วก็แว็บมาเม้นท์ที่นี่ต่อ   :katai4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 31-08-2013 23:12:26
บทที่ 11 ช่วยชีวิต
- 50% -

การช่วยชีวิตฮาธอสเริ่มต้นขึ้นทันทีที่อัลล์พาตัวเขามาถึงห้องนอนของไคซัส ซึ่งในช่วงที่รอไคซัสกลับมา ไคมีร่าจัดแจงเปลี่ยนผ้าปูเตียงใหม่เป็นผ้าสะอาดสีขาว ของใช้ราคาแพงถูกย้ายออกไปและแทนที่ด้วยหมอนกับผ้าห่มสีขาวสะอาดตา ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กที่จัดอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้หลายอย่าง รวมถึงยาสมุนไพสารพัดชนิดที่เจ้าหล่อนสามารถจัดหามาได้ในเวลาอันสั้นนี้

ในเบื้องต้นเด็กสาวตรวจดูบาดแผลภายนอกพบว่ามีแค่รอยแมลงต่อยที่ท้ายทอยกับฝ่ามือขวาเท่านั้น มันกำลังบวมจากการอักเสบ ปากแผลเป็นสีดำคล้ำอันเป็นผลจากพิษร้าย แค่เห็นลักษณะบาดแผล ไคมีร่าก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มถูกทำร้ายด้วยสิ่งใด มันกำลังคุกคามร่างกายของฮาธอสอย่างหนักและมีมากเสียจนเด็กสาวยังไม่แน่ใจว่าจะถอนพิษออกมาหมดหรือไม่ ที่สำคัญเธอยังสัมผัสสิ่งแปลกปลอมได้จากในตัวของฮาธอสด้วย

“ท่านหญิงไคมีร่า ฮาธอสจะเป็นอะไรไหมขอรับ” อัลล์ตัดสินใจถาม หลังนั่งดูเด็กสาวตรวจดูอาการอยู่สักครู่ “ถ้ามีอะไรที่ข้าช่วยได้โปรดบอกมาเลย ข้ายินดีทำทั้งสิ้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ถ่ายพลังชีวิตให้ที อาการของเขาแย่มากจนข้าไม่แน่ใจว่าจะรอดจนกว่าจะรักษาเสร็จไหม ไอ้พวกบ้านั่นคิดยังไงถึงใช้แมลงไสยเวทกับเทพบอบบางแบบนี้นะ!”

ขาดคำสั่งที่พ่วงมาด้วยคำบ่นอย่างหัวเสีย ไคมีร่าก็หันไปหยิบถ้วยกระเบื้องมาเตรียมไว้เพื่อปรุงยา หยิบจับส่วนผสมต่าง ๆ ด้วยความชำนาญผิดกับรูปลักษณ์ที่ดูอายุน้อยและไร้เดียงสาดั่งเด็กสาวแรกรุ่น ทว่าอัลล์ไม่ได้สนใจเธอมากนัก กลับทุ่มความห่วงใยให้กับสหายของตนมากกว่า นายทหารหนุ่มจับมือซ้ายของเพื่อนแล้วถ่ายพลังชีวิต แต่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากพิษของแมลงไสยเวทขวางกั้นมิให้เขาผสานอำนาจกับพลังของเทพคนสวนได้ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะทำได้สำเร็จ แต่พอทำไปได้สักพักก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านจากฮาธอส

“ท่านหญิงขอรับ พลังชีวิตของฮาธอสกำลังต่อต้านข้า” แค่ได้ยินสุ้มเสียงแหบต่ำที่สั่นพร่านั่นแหละ ไคมีร่าก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายตกใจแค่ไหน ร่างเล็กบางจึงหมุนตัวกลับมาวางมือบนหน้าผากชื้นเหงื่อของคนเจ็บและส่งพลังเข้าไปตรวจดูอาการของเทพคนสวนจากภายในโดยตรง สิ่งที่พบนั้นทำให้เธอตกใจอย่างมาก ไม่เพียงพลังชีวิตของเขาจะต่อต้านอัลล์อย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะเข้ากับพลังเทพไม่ได้ด้วยซ้ำ หมายความว่ายังไงกัน?

“หยุดมือแค่นี้ก่อน” หลังเสียงสั่ง นายทหารหนุ่มก็ชักมือออกไปทันที ขณะไคมีร่ากลอกตาคิดหาคำตอบอย่างเร่งด่วน “บางทีอาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียงของพิษแมลงไสยเวทก็ได้ ข้าเคยได้ยินว่าถ้าได้รับพิษในปริมาณมากพอ พิษก็จะสกัดกั้นมิให้ผู้อื่นถ่ายพลังชีวิตให้ได้จนกระทั่งตาย” เธอพูดในเชิงปลอบทั้งตัวเองและอัลล์ “ถ้ายังไงตอนนี้ถอนพิษให้เขาก่อนดีกว่า เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

เทพนักรบผมแดงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่านหญิงเทพอสูรจึงหันไปปรุงยาต่อด้วยผงสมุนไพรหนึ่งพันแปดอย่าง น้ำทิพย์ที่ไคซัสได้รับฟาเบียนประทานมาในวันแรกที่ไคซัสรับตำแหน่ง และกระสายยาคือ ผงแมลงไสยเวทบดละเอียดที่เธอเอาติดตัวมาพร้อมยาอื่นตอนหนีจากวังเผ่าอสูร หลังจากปรุงยาเสร็จเธอก็ใส่ปากเทพหนุ่มอย่างระมัดระวัง รสชาติขมที่แม้จะร้ายกาจน้อยกว่ายาของเรมันต์มาก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มผมทองรีบกลืนมันลงคออย่างรวดเร็วเกือบครึ่งถ้วยเลยทีเดียว

เพียงครู่เดียวหลังรับยาของไคมีร่าเข้าไป ภายในร่างกายของเทพคนสวนก็เกิดอาการเจ็บจี๊ดตามจุดต่าง ๆ คล้ายถูกเข็มทิ่มแทงไปทั่วร่าง ชายหนุ่มบิดตัวเร่าอย่างทรมาน เส้นเลือดตามแขนขาปูดโปนเมื่อยาถอนพิษแล่นไปต้านพิษร้ายทั่วร่างของเขา คราบสีดำอันเป็นผลข้างเคียงของพิษร้ายจางลงเป็นสีเทา แล้วความรู้สึกนั้นก็ไหลเวียนไปรวมกันที่ท้องจนเกิดอาการปวดมวนอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็อาเจียนเลือดสีดำออกมา

ไคมีร่าหันไปคว้าชามปากกว้างมารองเลือดเสียไว้ทันที ขณะอัลล์พลิกตัวสหายตะแคงข้างเพื่อให้ระบายของเสียออกมาอย่างสะดวก แต่บางส่วนก็ไหลลงไปถึงพื้นอาบย้อมผ้าปูเตียงให้กลายเป็นสีเดียวกัน ฮาธอสสำลักและปรือตาด้วยสีหน้าทรมานหลายครั้ง แต่กลับไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้เลย นอกจากความเจ็บปวดกับความร้อนแรงเหมือนถูกหลอมละลายในเตาหลอมเหล็กให้ตายทั้งเป็น

และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ไคซัสที่เพิ่งเสร็จธุระจากข้างหลังก็สะบัดผ้าม่านที่กางปิดไว้เข้ามาพบกับภาพน่าตกใจนี้

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ไคมีร่า” หลังเสียงร้องถามอย่างร้อนใจ ไคซัสก็วิ่งไปอยู่ข้างตัวน้องสาว ช่วยเธอลูบหลังคนเจ็บที่กำลังสำรอกของเสีย

“ข้าเพิ่งให้ยาถอนพิษเขาน่ะ ยาเพิ่งออกฤทธิ์” ไคมีร่ากับพี่ชายมีสีหน้าโล่งใจนิดหนึ่ง หลังรอยดำตามตัวของฮาธอสเริ่มจางและหดหายกลับไปยังต้นต่อทั้งสองจุดอย่างช้า ๆ เด็กสาวฉวยโอกาสนี้วางมือตรงกลางอกเขาและลองถ่ายพลังเยียวกับพลังชีวิตเข้าไปพร้อมกัน เพราะเธอได้รับอำนาจมาจากมารดาจึงมีความใกล้เคียงกับเทพมากกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะเข้ากับพลังของคนสวนก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็ต่อต้านเธออีกครั้ง “บ้าจริง! แบบนี้ข้าก็รักษาเจ้าไม่ได้น่ะสิ ฮาธอส”

เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของไคซัสทั้งสิ้น สีหน้าหนักใจและเป็นกังวลของอัลล์ก็ยืนยันสิ่งที่เขาคิดไว้ในใจเสียด้วย

“พวกเจ้าถ่ายทอดพลังชีวิตให้ฮาธอสไม่ได้หรือ” ดวงตาสีส้มมีเกล็ดประกายจับจ้องทั้งสองนิ่ง ไคมีร่าอยากจะโกหกเหลือใจ แต่เกรงต่ออำนาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแววจับผิดในดวงตาของเขา

“อืม...” เธอพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าลำบากใจยิ่ง “ตอนนี้ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะพิษแมลงไสยเวทแน่ เทพที่ต่อต้านพลังของเทพด้วยกันเอง ในโลกนี้มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

ไคซัสฟังแล้วก็เหลียวมองใบหน้าซีดเซียวของฮาธอสอีกครั้ง เทพหนุ่มกำลังตัวสั่นเทาและเพ้อเบา ๆ ด้วยพิษไข้กับความเจ็บปวด พลังชีวิตอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ประหนึ่งเทียนเล่มน้อยที่ให้แสงสว่างกลางสายลมที่เริ่มพัดกระโชกจะดับตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เขารู้โดยสัญชาตญาณเลยว่าถ้าไม่ถ่ายพลังชีวิตให้ต้องเทพคนสวนผู้แสนอ่อนโยนตนนี้ต้องจุติแบบไม่มีโอกาสเกิดใหม่แน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ คำพูดก่อนจากของเรมันต์ก็ลอยเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง ถ้าสิ่งที่เจ้าแก่นั่นพูดเป็นความจริง บางทีคนที่ช่วยฮาธอสได้ก็คือ...

“ข้าจะลองดู พวกเจ้าออกไปก่อน”

“เอ๋! ท่านจะทำเองหรือ อย่าล้อเล่นนะ” ไคมีร่าร้องเสียงหลง มือที่กำลังจะป้อนยาให้ฮาธอสพลันชะงัก อัลล์ก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ถึงร่างกายของพี่จะทนพิษแค่ไหน แต่ท่านก็ยัง...”

“ข้าบอกให้ออกไป” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยย้ำอย่างสงบ แต่กลับเย็นชาและอำมหิตราวกับมีดน้ำแข็งแทงจ่อคอหอยคนฟัง มันเตือนให้รู้ว่าหากยังไม่รีบไปเดี๋ยวนี้ต้องเจอดีอย่างแน่นอน เทพทั้งสองเหลียวมองหน้ากันนิดหน่อยแล้วรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ไคซัสเงี้ยหูฟังจนได้ยินเสียงประตูปิด ซึ่งเขาจัดการลงดาลด้วยเวทมนต์จากภายในห้อง เพื่อป้องกันมิให้ใครเข้ามาได้ หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าฮาธอสสำรอกเลือดเสียรอบล่าสุดออกมาหมดแล้ว เทพอสูรหนุ่มก็จัดการย้ายชามรองโลหิตนั้นไปไว้ไกล ๆ เอาผ้าใหม่ที่หนากว่ามาปูทับส่วนที่เปื้อนคราบเลือดไว้แล้วถอดเสื้อออกจนเหลือแต่แผ่นอกเปลือยเปล่า ผมถูกรวบไว้ที่ท้ายทอยมิให้เกะกะตอนทำงาน

หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ไคซัสก็กลับมาที่เตียงแล้วบรรจงพลิกตัวฮาธอสมาอยู่ในท่านอนคว่ำอย่างเบามือที่สุด เขาถึงกับนิ่งงันเมื่อเห็นแผ่นหลังขาวเนียนดุจเนื้อหยกชั้นดีของอีกฝ่าย เส้นผมหยักศกแผ่สยายคลุมหลังของเขาเหมือนสาหร่ายช่างเข้ากับผิวอย่างเหลือเชื่อ แก้มที่แดงระเรื่อจากพิษไข้...ร่างกายที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบสะท้าน...เป็นภาพที่น่าดูชมนัก ไคซัสมองภาพนี้สักครู่ก่อนสลัดความคิดบ้า ๆ ออกไปและเตือนตัวเองว่าชายที่เขาพึงใจกำลังอยู่ในชั้นวิกฤต หาใช่เวลามาคิดเรื่องพรรค์นั้น

ปลายนิ้วหยาบกร้านปัดแพผมที่ท้ายทอยฮาธอสออก เผยแผลถูกแมลงไสยเวทต่อยที่กำลังบวมเป่ง ไคซัสพิจารณามันแปบหนึ่งก่อนโน้มลงฝังเขี้ยวลงในปากแผลแล้วกัดขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ฮาธอสสะดุ้งเบาเมื่อความเจ็บที่แตกต่างแล่นเข้ามา แม้จะไม่เหลือสติแล้ว แต่ร่างกายก็ยังตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ ไคซัสอยู่ในท่านั้นจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายสงบแล้วค่อยดูดเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนถมทิ้งในชามรองใบใหม่ที่เตรียมไว้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่วิธีการรักษาที่ดีนัก กระนั้นเขาก็มีเหตุผล หลังคายเลือดจนหมดปากแล้ว เขาก็ก้มลงงับที่เดิมอีกครั้งและคราวนี้ได้ถ่ายพลังชีวิตของตนเข้าไปด้วย

กระแสพลังเย็นเฉียบแต่แข็งแกร่งเหมือนเจ้าของแทรกตัวเข้ามาทีละน้อยตัดกับความร้อนในตัวฮาธอส ชายหนุ่มสะท้านเฮือกด้วยความเสี่ยวซ่านประหลาดที่ก่อตัวข้างใน กำลังทำให้ร่างกายของเขาตอบสนองในทางที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ใบหน้าคมคายเชิดสูงเมื่อมืออุ่นจับเขาเบา ๆ เสียงครางแผ่วชวนหวิววามแว่วผ่านลำคอในวินาทีที่พลังของอีกฝ่ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขุมพลังชีวิตของเขาอย่างน่าอัศจรรย์

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ไคซัสมีสีหน้าไม่อยากเชื่อเล็กน้อย เพราะถ้าว่ากันตามเผ่าพันธุ์ พลังอสูรของเขาไม่ควรเข้ากับพลังเทพของฮาธอสได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีความมืดซึ่งถือเป็นของแสลงของชาวเทพเจือปนอยู่มาก การอำนาจของพวกเขาเข้ากันได้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น...

“...เจ้าเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลหรือ ฮาธอส แถมยัง...”

มหาเทพสงครามยืดตัวขึ้นและยกมือปิดปากด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตากลอกไปมาอย่างไม่เข้าใจ สวรรค์มีเทพตั้งมากมายให้ฮาธอสผูกพันทางสายเลือด แต่ไฉนฟ้า...เทพแห่งโชคชะตาจึงกำหนดให้เขาเป็นมีสายเลือดเดียวของ ‘เทพร้าย’ ตนนั้น เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้ฮาธอสปกปิดเรื่องพลังของตนเอง

“อือ” เสียงครางของฮาธอสปลุกสติมหาสงครามให้ตื่นจากภวังค์ พอก้มลงมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตาขึ้น ครั้งนี้แววตาที่เคยเลื่อนลอยดูมีเป้าหมายสื่อชัดว่า เทพคนสวนได้สติแล้ว

“ฮาธอสเป็นอย่างไรบ้าง” ไคซัสนอบตัวลงถาม โดยลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ตนอยู่ในท่าคล่อมทับอีกฝ่าย

ฮาธอสปิดตาสนิท แม้ว่าพลังชีวิตของไคซัสจะช่วยประคับประคองชีวิตเขากลับมาได้ แต่สมองของเขาก็ยังทำงานช้ากว่าปกติ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าเขาจะทำความเข้าใจคำพูดอีกฝ่ายได้ ระหว่างนั้นเจ้าตัวก็ถามซ้ำ ๆ ไม่หยุดจนกระทั่งเขาพูด

“เจ็บ...ไป...ทั้ง...ตัว...” นั่นคือคำพูดทั้งหมดที่ฮาธอสสามารถเปล่งออกมาได้ด้วยเสียงอู้อี้ของตัวเอง ไคซัสต้องเอียงหูลงมาฟังใกล้ ๆ ถึงจะเข้าใจ

“ตกลง แต่ข้าอยากให้เจ้าอดทนอีกหน่อย ข้าจะถอนพิษให้หมด”

ไคซัสไม่ได้รู้เลยว่าฮาธอสไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด ตัวของเขากระตุกวูบเมื่อเทพอสูรดูดพิษจากบาดแผลที่ท้ายทอยอีกครั้ง และครางแผ่วยามอีกฝ่ายถ่ายพลังชีวิตเข้ามาตัดกับความร้อนในร่างกาย เนื้อตัวสั่นอย่างหวิวหวามหลังมือใหญ่และลากลูบไล้ปลอบโยนไปทั่วตัวเขา หยุดจับตรงไหนก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาให้หัวใจกระตุกทุกครั้ง เลือดในกายพลุ่งพล่านไปทั่วด้วยแรงอารมณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น

“ใจเย็น ๆ ฮาธอส” ไคซัสกระซิบข้างหูฮาธอส หลังร่างสูงโปร่งบิดตัวเสียดสีกับเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเขาที่กระหวัดก่ายกับเขาจนแทบแยกไม่ออก อันที่จริงเขาควรจะเตือนตัวเองมากกว่า เพราะเป็นฝ่ายกระตุ้นฮาธอสก่อน แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาในแบบเขาก็ตาม แต่ยอมรับเถิด เสี้ยวหน้าที่มีรอยเลือดฝาดบนแก้มขาว สีหน้ากระสันซ่านระคนเจ็บปวด ร่างกายที่ตอบสนองทุกครั้งเมื่อสัมผัสนั้นช่างน่าดู เสียงครางไม่เป็นภาษานั้นก็น่าฟัง...จนเทพอสูรที่เต็มไปด้วยกิเลศอย่างเขายังแทบทนไม่ไหว

“อดทนไว้” หลังปลอบตัวเองกับคนในอ้อมแขนไปพร้อมกัน มหาเทพสงครามก็พลิกตัวเทพคนหงายขึ้นแล้วโน้มใบหน้าลงจูบล้ำลึก แต่มิได้เป็นไปด้วยความสิเน่หา เพราะเทพอสูรหนุ่มถ่ายทอดพลังเยียวยาเข้าไปในตัวฮาธอสโดยตรง เพื่อกระตุ้นยาถอนพิษของไคมีร่าให้ออกฤทธิ์เร็วและแร่งขึ้นอีก รวมถึงบรรเทาความเจ็บปวดในหัวเทพคนสวนอีกด้วย

ทว่าถึงแม้อาการเจ็บทั้งหลายจะจางหายไป เทพรับใช้ก็ยังบิดกายตะครั่นตะครอจากพลังที่ตัดกันไปมาในตัวเขา ความรู้สึกที่มิใช่ผลจากอาการบาดเจ็บทำให้หัวใจเขาวาบหวิวทุกคราวเมื่อไคซัสจูบ ร่างสูงโปร่งแอ่นรับสัมผัสจากมือใหญ่ที่ประทับมอบพลังชีวิตให้ ดวงตาหลับพริ้มรับรู้ถึงริมฝีปากหนาที่เริ่มเลาะเล็มไปทั่วใบหน้า สองแขนเลื่อนขึ้นโอบรอบบ่าคนตัวใหญ่ราวกับจะเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ ร่างกายส่วนล่างเสียดสีกับท่อนขาแกร่งคล้ายกำลังปรนเปรอความสุขให้ตนเอง แต่ไคซัสรู้...ฮาธอสทำไปโดยไม่รู้สึกตัว...และเป็นเขาที่ต้องกดฟันทนจนกว่าจะจบ...

ในที่สุดยาถอนพิษของไคมีร่าก็ออกฤทธิ์ถึงขีดสุด มันทำให้ฮาธอสปวดมวนในท้องอีกครั้ง ก่อนลมปราณจะตีขึ้นอย่างกะทันหัน เทพหนุ่มสะบัดหน้าจากคนตัวใหญ่หันไปข้าง ๆ แล้วเลือดสีดำก็กระอักออกทางปากของเขา ไคซัสเอาชามมารองรับไว้และลูบหลังเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายสำรอกเลือดเสียให้หมด

“อย่างนั้นแหละ ทำต่อไป ฮาธอส” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าเทพอสูรอย่างเขาจะทำได้ ร่างสูงใหญ่ก้มลงจูบหน้าผากเมื่อเทพคนสวนอาเจียนเสร็จแล้ว “เรียบร้อย เจ้าจะไม่เป็นไร ข้ารับรอง เดี๋ยวจะไปตามไคมีร่ากับอัลวินมาช่วยทำความสะอาดให้นะ”

แน่นอนว่าประโยคยาว ๆ พวกนั้นต้องไม่เข้าหัวฮาธอสแม้แต่น้อย สิ่งที่เขารับรู้ได้มีเพียงร่างสูงใหญ่ที่ผละจากตัวเองและกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง จิตใจอันอ่อนไหวทำให้เขากลัวการอยู่เพียงลำพัง มือเรียวจึงยื่นออกไปฉวยปลายนิ้วอีกฝ่ายไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย

ไคซัสหมุนตัวกลับมาด้วยคิดว่าฮาธอสอาจต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่ต้องชะงักเมื่อพบกับดวงตาสีน้ำเงินที่เศร้าสร้อยระคนสิ้นหวังราวกับเด็กที่กำลังจะถูกทิ้ง แววตาแบบเดียวกับที่เขาเคยเห็นจากไคมีร่าตอนจะขึ้นสวรรค์ ตอนนั้นเขาตัดใจทิ้งเธอมาเพื่องานสำคัญ แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างกันคนที่รักถูกลูกหลงจากแผนร้าย ได้รับบาดเจ็บ และกำลังต้องการเขา มีหรือที่มหาเทพสงครามจะสามารถละเลยไปได้

อสูรกายสีแดงเอนลงข้างกายเทพคนสวน มือตวัดผ้าห่มที่หยิบจากปลายเตียงคลุมตัวพวกเขาพร้อมกัน ก่อนไคซัสจะดึงตัวฮาธอสมาแอบอิงอกอุ่น...

“ข้าอยู่แล้ว ฮาธอส จะไม่ไปไหนทั้งนั้นด้วย ข้าสัญญา”

มหาเทพสงครามตอกย้ำคำสัญญาของตนด้วยริมฝีปากหนาที่ประทับกลางกระหม่อมของคนผมทอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านการจูบนั้นคลายความกังวลใจให้ฮาธอสได้อย่างไม่น่าเชื่อ เทพหนุ่มยิ้มบางและซุกตัวกับแผ่นอกแกร่งของคนตรงหน้า ฝากชีวิตไว้ในการดูแลของเทพอสูรหนุ่ม ก่อนความง่วงจะโน้มนำเขาสู่ห้วงนิทรา

---------------

สุริยันฉายแสงผ่านรอยแยกของผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของจ้าวตำหนักพาเทร่า เตือนให้รู้ถึงยามเช้าที่หมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ไคซัสนอนตะแคงข้างกกกอดฮาธอสเหมือนกับแม่ไก่กกลูกน้อย สายตาทอดมองแสงตะวันอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะมันหมายความว่าเขาจะต้องผละจากเทพที่น่าสงสารตนนี้ในอีกไม่ช้า...และดูเหมือนจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดด้วย

“เรียนมหาเทพสงคราม ขุนพลเทพอันดับห้า เซย์เรียโน่ ขอพบเจ้าค่ะ” เสียงเทพรับใช้หญิงนางหนึ่งดังตามเสียงเคาะประตูสามครั้งเข้ามาในห้อง

ไคซัสรับรู้คำบอกเล่านั้นด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย พลังหยั่งรู้ที่ผูกไว้กับตำหนักเตือนให้เขารู้ว่าเด็กคนนั้นมาถึงตั้งแต่ตอนรุ่งสางแล้ว และรออยู่ในลานฝึกซ้อมของตำหนักชั้นนอกมาโดยตลอด แต่การที่เพิ่งให้คนมาแจ้งให้ทราบตอนนี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีมารยาทพอไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าบ้าน อย่างน้อย ๆ ก็มีคนสอนเรื่องนี้ให้เขาบ้างล่ะนะ

“ให้เขาไปรอที่ห้องทำงานของข้า” มหาเทพสงครามบอกไปด้วยเสียงที่ขยายด้วยเวทมนต์ แล้วหันกลับมามองเทพที่หลับเหมือนคิวปิดตัวน้อย ๆ ในอ้อมแขน ฮาธอสไข้ลดแล้ว สีหน้าก็ดูสงบ และไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็นอีกเลย ท่าทางการถอนพิษเมื่อคืนนี้กับเวทหลับใหลที่เขาร่ายตอนจูบกระหม่อมเจ้าตัวจะได้ผลดี สิ่งเดียวที่ต้องลุ้นกันหลังจากนี้คือ ฮาธอสจะจดจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้หรือไม่

...และไม่ว่าจะจำได้...หรือไม่ได้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป

มหาเทพสงครามจับจ้องใบหน้าฮาธอสอย่างเนิ่นนาน ด้วยความรู้สึกไม่อยากจากไปไหน แต่การประวิงเวลาต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะฝ่ายเรมันต์คงจะเริ่มเคลื่อนไหวในอีกไม่ช้า คิดแบบนั้นเขาก็ก้มลงหอมแก้มลาคนที่กำลังหลับแล้วขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวังที่สุด หลังจากห่มผ้าให้เทพหนุ่มเรียบร้อยแล้ว ไคซัสก็ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำก่อนกลับออกมาชุดทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับการพูดคุย

แต่เมื่อมหาเทพสงครามเปิดประตูหน้าห้องออกไปก็พบไคมีร่า อัลล์ กับเทพรับใช้ฝ่ายซิมโฟเนียอาเรียสองสามตนรออยู่ หนึ่งในพวกนางคงเป็นผู้แจ้งเรื่องเซย์เรียโน่ ทั้งหมดมาล้อมพวกเขาทันทีที่ก้าวออกมา สีหน้าแต่ละคนเป็นห่วงอย่างยิ่ง พวกเธอคงจะมารอผลการรักษาฮาธอส

“มหาเทพไคซัส...” เป็นอัลล์ที่เอ่ยเรียกเขา

“เพื่อนของเจ้าปลอดภัยแล้ว ตอนนี้กำลังหลับอยู่ แต่ยังต้องรักษาตัวต่อ เพราะพิษของแมลงไสยเวทมีผลข้างเคียงเสมอ ไคมีร่า...”

“ข้าจะสานต่อเอง” เด็กสาวตอบเมื่อพี่ชายหันมาหาตน ดวงตาสีคริมสันโรสจับจ้องพี่ชายนิ่ง “ท่านไม่เป็นไรนะ พักผ่อนแล้วหรือยัง”

“แค่เหนื่อยนิดหน่อยแล้วพักผ่อนมาพอสมควรแล้ว ถ้ายังไงข้าจะลงไปพบแขกก่อน หากเจ้าพบความผิดปกติอะไรจากฮาธอสให้มาบอกข้าทันที ขอตัวล่ะนะ” ไคซัสตัดบทโดยไม่ลืมกำชับเรื่องสำคัญกับน้องสาวไว้ด้วย แม้จะไม่ได้เจาะจงถึงความผิดปกติที่อยากให้จับตา แต่เขาก็เชื่อว่าไคมีร่าเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เพราะเธอเป็นผู้ตรวจฮาธอสคนแรก

มหาเทพสงครามรุดลงบันไดอย่างรวดเร็ว ร่างกายสูงใหญ่ของเขาเคลื่อนไหวด้วยความคล่องแคล้วจนน่าตกใจ ไม่นานเขาก็มาถึงห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นสอง ที่นั่นเซย์เรียโน่ในชุดจีนแบบผสมผสานตะวันตกสีขาวทั้งตัวนั่งรออยู่แล้ว เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นทันทีที่เจ้าบ้านก้าวเข้าไป นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นไม่มีแววล้อเล่นสักนิด

“ขอบคุณที่ให้เข้าพบ ข้าทราบเรื่องทั้งหมดจากจอมเทพีเรเทเชียแล้ว” สุ้มเสียงเล็กแจ้งเหตุแห่งการมาเยือนของตนให้ทราบ ขณะไคซัสไปประจำที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน ตรงข้ามกับแขกวัยเยาว์ของเขา ร่างเล็กได้รับอนุญาตให้นั่งลงเมื่อมหาเทพสงครามผายมือเชิญ

“แล้วอย่างไร” มหาเทพสงครามไขว้ขาข้างหนึ่งและประสานมือกันบนตักอย่างสงวนท่าที มีเพียงดวงตาที่มองคู่สนทนาอย่างใคร่รู้

“ข้ายอมรับว่าข้าเป็นคนแนะนำให้จอมเทพีเรเทเชียมาขอตัวฮาธอสคืนจากท่าน เพราะข้าเห็นพลังที่แท้จริงของเขาแล้ว และคิดว่าเขาจะปกป้องตำหนักซิมโฟเนียอาเรียยามเกิดเหตุฉุกเฉินได้” เซย์เรียโน่ตอบ สีหน้าและแววตาจริงจัง เพราะหากเขาพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจก็จะถูกไคซัสหมายหัวตลอดชาติแน่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 31-08-2013 23:17:20
“เมื่อวานหลังจอมเทพีมาบอกว่าฮาธอสกับนาซิลลากลับมาเยี่ยมตำหนักและยอมรับข้อเสนอของข้า ข้าวางแผนให้จอมเทพีล่อเด็กสองคนนั้นไปที่ตลาดแก้ว เพื่อถ่วงเวลาให้จอมเทพีมาคุยกับมหาเทพที่นี่ ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่รู้เห็นด้วย” ขุนพลเทพอันดับห้าจ้องตาไคซัสนั่ง ยืนยันความจริงด้วยแววตาของตน

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่เคยป่วนข้าจนเกือบเสียชื่อ” ไคซัสถามอย่างมีอารมณ์และหมายความตามนั้นด้วย เจ้าเด็กนี่เคยแกล้งลองดีกับเขามาหนหนึ่งแล้ว มีหรือที่จะไม่ทำอีกหากมีโอกาส

“ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น ยอมรับด้วยว่าตัวเองนิสัยไม่ดี” มหาเทพสงครามคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินแบบนั้น ยอมรับแบบหน้าด้าน ๆ เลยหรือ? “แต่ข้าก็ขุนพลเทพที่มีกรอบกฎระเบียบล้อมอยู่นะ การสร้างความร้าวฉานระหว่างสองตำหนักโดยไม่มีเหตุอันควรถือเป็นความผิดร้ายแรงของขุนพลเทพ เพราะงานหลักของพวกเราอยู่นอกแดนสวรรค์ แม้ว่าบางครั้งพวกเราจะแสดงน้ำใจด้วยการแนะนำวิธีการรักษาความปลอดภัยภายในก็เถอะ”

“เจ้ากำลังบอกข้าว่าไม่รู้เห็นเรื่องนี้หรือ” ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนท่าไปเท้าแขนกับโต๊ะ เขาไม่เชื่อหรอกว่ากฎระเบียบของสวรรค์จะมัดเทพมังกรไฟจอมพยศตนนี้อยู่หมัด ขนาดฟาเบียนยังเกรง กฎสวรรค์จะเหลือหรือ?

“แน่นอน!” เซย์เรียโน่โพล่งแล้วกลอกตาอย่างรู้ว่าคู่สนทนาคิดอะไรอยู่ “ฟังนะ หลังจากฮาธอสกับนาซิลลาออกจากซิมโฟเนียอาเรียแล้ว ข้าก็ให้กำลังใจจอมเทพีเรเทเชียอีกนิดหน่อยแล้วไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักมหาเทพแสงสว่างต่อ เขากับข้าอยู่ด้วยกันตอนคนของจอมเทพีไปบอกเรื่องพวกฮาธอส และเขาก็สั่งให้ข้ามาที่นี่ จะให้เขามาเป็นพยานก็ได้นะ”

“ข้าจะสอบถามแน่นอน เซย์เรียโน่” ไคซัสตอบอย่างสงบเช่นเดิม “คำถามต่อไป ทำไมถึงต้องกันพวกฮาธอสออกไปด้วย”

“เพราะข้าเห็นว่าพวกท่านสองคนควรจะคุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนน่ะสิ ข้าไม่รู้เรื่องระหว่างสองตำหนักหรอกนะ แต่การที่จอมเทพีให้ยอมเทพรับใช้มาที่ตำหนักนี้ได้ แสดงว่าเป็นมิตรกันพอสมควร ตามมารยาทก็ควรจะคุยกันตรง ๆ ก่อนถูกไหมล่ะ” เซย์เรียโน่ถามกลับราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเกิดขึ้น แต่ไคซัสกลับหลุบตาลงอย่างไม่เห็นด้วยนัก เพราะพาเทร่ากับซิมโฟเนียอาเรียมิใช่มิตรอย่างแท้จริง “ข้าถึงได้ตกใจที่สองคนนั้นถูกโจมตีจากแผนการของข้า ทั้งที่ข้าไม่ได้ต้องการให้ใครเจ็บตัวเลย แต่ข้าไม่ตกใจหรอกนะ ที่รู้ว่าคนทำเป็นหัวหน้าจอมปราชญ์ อย่าถามว่ารู้ได้ยังไง ข้ามีเส้นสายส่วนตัว”

“...ก็พอจะเดาออก” ไคซัสพูดกลาง ๆ สมองประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว “ถ้าเรื่องที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง คนของเรมันต์อาจล่วงรู้หรือแผนการของเจ้า หรือสะกดรอยตามพวกฮาธอสอยู่แล้วและชิงลงมือตอนที่กำลังกลับพาเทร่า และเป้าหมายตอนลงมือก็น่าจะเป็นนาซิลลา แต่ทุกอย่างเปลี่ยนเมื่อฝ่ายนั้นได้ตัวฮาธอสไปแทน เจ้าแก่นั่นกัดเขาไม่ปล่อยแน่”

“อืม”

มหาเทพสงครามนิ่งงันคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เมื่อได้ยินเสียงครางอย่างเห็นด้วยจากเทพที่นั่งตรงหน้า ดวงตาสีส้มตวัดมองเด็กหนุ่มที่มีอาการเหมือนตกในห้วงภวังค์ อากัปกิริยานั้นเหมือนกับเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวรู้อะไรบางอย่างเหมือนกับเขา

“เซย์เรียโน่ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับฮาธอสบ้างไหม” ไคซัสตัดสินใจทำตัวอย่างคนไม่รู้อะไรเลยและถามออกไป

“หืม?” เซย์เรียโน่สะดุ้งอย่างคนเพิ่งรู้ตัว ดวงตาแป๋วแหววที่มองมาอย่างงง ๆ นั่นคงจะดูน่ารักกว่านี้ถ้าไม่ได้ประดับบนหน้าของเด็กเจ้าเล่ห์นี่ หลังใช้เวลาทบทวนถึงคำถามเล็กน้อย เขาก็ตอบ “ข้ารู้ไม่มากหรอก”

“เซย์เรียโน่ หัวหน้าจอมปราชญ์พูดอย่างกับข้า อย่างบางที่น่าตกใจมากด้วย ข้าต้องสะสางเรื่องนี้ต่อหน้าฟาเบียน ในฐานะของมหาเทพสงครามและเจ้านายของเทพรับใช้ในตำหนักนี้ ข้าจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์”

ไคซัสกล่าวด้วยความจริงจังที่แสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทาง ซึ่งดูเหมือนจะทรงพลังพอโน้มนำความคิดของเทพมังกรจอมพยศให้คล้อยตามได้ เจ้าตัวกลอกตาครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนขยับเก้าอี้มานั่งชิดโต๊ะทำงานของไคซัสมากขึ้นแล้วพูดออกมาว่า

“หยิบบันทึกปกดำที่ข้าให้มาสิ ข้าจะเล่าสิ่งที่รู้ให้ฟัง”

-----------------

เซย์เรียโน่กลับออกจากห้องทำงานของไคซัสในอีกสองสามชั่วโมงหลังจากนั้น ตอนแรกท่าทางของเขาก็ดูสงบและจริงจังเหมือนกันตอนเข้ามา แต่พอพ้นจากทางเดินชั้นสองเท่านั้นแหละ ดวงตาสีแดงฉานก็ฉายแววร้อนแรงอันเกิดจากความดื้อรั้นและกราดเกรี้ยวอีกครั้ง เด็กหนุ่มเดินย้ำเท้าตึงตังกลับออกไปโดยไม่สนใจเลยว่าใครจะมองอยู่บ้าง

‘เกือบไปแล้ว’ เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจระหว่างที่รุดออกจากห้องโถงชั้นล่างสุด สองมือกำหมัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ‘ไอ้เจ้าแก่นั่นช่างน่าโมโหจริง ๆ จุ้นไม่เข้าเรื่อง! จะอยู่เฉย ๆ ทำงานของตัวเองไปไม่เป็นหรือไง!’

แล้วคำสบถอย่างหยาบคายอีกมากมายก็แล่นเข้ามาในหัวเขา ซึ่งทั้งหมดเด็กหนุ่มมอบให้กับจอมปราชญ์ทั้งแปดซึ่งล้วนแต่มีอายุมากกว่าเขาหลายพันปี คิดดูแล้วกันว่าเขาตั้งใจจะช่วยเหลือจอมเทพีที่รู้จักกันมานาน แต่กลับผิดแผน เพราะการกระทำของพวกเรมันต์จนตัวเองเกือบถูกลูกหลงไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้นยังต้องผิดใจกับจอมเทพีเรเทเชียและยังต้องมาแก้ต่างต่อหน้าเทพอสูรที่ดุยิ่งกว่าราชสีห์ ใครเจอแบบนี้ก็ต้องโมโหอย่างเขา

ขุนพลเทพอันดับห้าเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาถึงข้างนอกตำหนัก ซึ่งมีรถม้าสีดำคันใหญ่เทียมอาญาศึกสีนิลกาฬสี่ตัวจอดรออยู่แล้ว เทพรับใช้ในชุดจีนกี่เผ้าเปิดประตูให้เขาเข้าไปข้างใน แต่เมื่อนั่งลงที่เบาะซึ่งหันหน้าไปทางคนขับรถม้าและเทพรับใช้ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เซย์เรียโน่ก็มองชายชุดขาวที่เขาเคยพบในมหาตำหนักเทพสวรรค์นั่งรออยู่ในเงา

“เสร็จแล้วหรือขอรับ”

“อืม เรียบร้อยดี แต่เหนื่อยเป็นบ้า มหาเทพสงครามเวลาโกรธนี่น่ากลัวชะมัด” เซย์เรียโน่บ่นอย่างหัวเสีย

“นั่นเพราะท่านเคยทำให้เขาไม่พอใจมาก่อนมิใช่หรือขอรับ” ชายชุดขาวถามแล้วก็กลืนน้ำลายเมื่อดวงตาสีแดงกราดเกรี้ยวตวัดมาหาตน “ขออภัยขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิท่าน”

“ช่างมันเถอะ ยังดีหน่อยที่แผนของข้ายังไม่ล่มจมเสียหมด แต่ก็เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ไม่ได้แล้วด้วย” เซย์เรียโน่บ่นพลางเบี่ยงหน้ามองตำหนักพาเทร่าที่กำลังเคลื่อนผ่านไปเมื่อรถม้าออกวิ่ง

ในสายตาของคนฟัง คำพูดของอีกฝ่ายออกจะเกินจริงไปเสียหน่อย เพราะหากเซย์เรียโน่อยากเลี่ยง ‘ปัญหาใหญ่’ ก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่ทำด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ท่านผู้นั้นต้องไม่พอใจมากแน่ เขาไว้ใจท่านมากนะขอรับ” ชายชุดขาวว่า

เสียงหัวเราะใจลำคออย่างเย็นชาดังขึ้น ขับเน้นบรรยากาศภายในรถม้าให้เย็นยะเยือกยิ่งขึ้นอีก ชายชุดขาวถึงกับหนาวสันหลังและกลืนน้ำลายอย่างลำบาก เมื่อเห็นรอยยิ้มน่ารักแต่เปี่ยมความอำมหิตบนใบหน้าพริ้มเพราของเซย์เรียโน่ แววตาเย็นชาไหวระริกอย่างขำขัน

“เชื่อใจหรือ ถ้าเชื่อใจจริงจะส่งเจ้ามาจับตาการทำงานข้ารึ” สุ้มเสียงเล็กเอ่ยแดกดันทำให้คนฟังชะงักไปอีกครา ส่วนคนพูดนั้นเอนกายอย่างสบายหลังได้ที่ระบายอารมณ์โกรธเสียที “เอาเถอะ จะจับตาหรือไม่ ข้าไม่สนใจ เมื่อเจ้ากลับไปแล้วก็บอกเจ้านั่นด้วยแล้วกันว่า มหาเทพสงครามกับเทพที่ชื่อ ‘ฮาธอส’ จะเป็นนำสิ่งที่พวกเราตามหามาให้เอง”

----------------

กว่าฮาธอสจะได้สติก็อีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น เทพคนสวนลืมตาขึ้นมองรอบข้างอย่างมึนงง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าห้องกว้างใหญ่ ตกแต่งด้วยของหรูหรา และเต็มไปด้วยหนังสือนี้ไม่ใช่ห้องพักของเขา แต่เป็นห้องของจ้าวตำหนักพาเทร่า ที่สำคัญข้างกายของเขา...ห่างไปไม่กี่คืบยังมีน้องสาวของเขานั่งอ่านหนังสือเฝ้าอยู่อีกต่างหาก

“ท่านหญิง...” หลังลุกพรวดพราดพร้อมร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ร่างสูงโปร่งก็แข็งค้างด้วยอาการเจ็บระบมที่สำแดงฤทธิ์พร้อมกัน โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่ทำให้เขาต้องเอนลงไปนอนที่เดิม “โอย...”

“อย่าลุกพรวดพราดแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็เจ็บหนักอีกหรอก” ไคมีร่าหันมาดุอย่างไม่จริงจังนัก ดูจะปลง ๆ เสียมากกว่า คงเพราะอยู่กับพวกผู้ชายที่ชอบทำอะไรเกินตัวมานาน เด็กสาวจึงชินชาเสียแล้ว “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

ฮาธอสฟังคำถามแล้วก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนลองขยับตัวเบา ๆ ตอนนี้เขาได้รับการเช็ดตัวจนสะอาดแล้วและอยู่ในชุดนอนเนื้อนุ่มสบายตัวสีขาวสะอ้าน บาดแผลถูกแมลงไสยเวทต่อยได้รับการรักษาและพันแผลอย่างเรียบร้อย แม้แต่เตียงนอนของเขา...ของไคซัสยังได้รับการทำความสะอาดอย่างดี กระนั้น...

“...รู้สึก...ระบมขอรับ” ฮาธอสตอบจากใจจริง หลับตาลงจับจุดที่เจ็บท่ามกลางอาการเจ็บทั้งตัว “โดยเฉพาะท้ายทอย ตรงมือขวา แล้วก็ท้อง”

“อืม เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยที่ท้ายทอยกับมือขวาน่ะ ส่วนท้องก็เพราะอวัยวะถูกพิษทำให้เสียหาย ช่วงนี้เจ้าคงจะมีปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย ๆ สักหน่อย แต่อีกไม่นานก็จะหายดี แต่แผลถูกต่อยอีกสองสามวันก็หายแล้ว ตอนนี้กินข้าวกินยาสักหน่อยดีกว่าจะได้หายเจ็บ” ไคมีร่าว่าพลางหันไปหยิบถ้วยต้มที่เตรียมไว้มาอุ่นด้วยพลังของตนก่อนจะป้อนชายหนุ่มทีละช้อนอย่างเอาใจใส่

ฮาธอสเหลือบตามองเด็กสาวที่กำลังดูแลตนด้วยความรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เธอก็เหมือนกับพี่ชายของตนที่แตกต่างจากอสูรร้ายที่ผู้คนเล่าลือ แรกพบเธออาจจะเอาแต่ใจและแง่งอนตามประสาเด็กไปบ้าง แต่เมื่อเป็นเรื่องงานหรือเรื่องสำคัญ ไคมีร่าก็สลัดคราบนั้นทิ้งไปแล้วทำงานของตนด้วยความตั้งใจ อย่างตอนนี้...ทั้งที่เคยต่อว่าเทพตั้งมากมาย แต่กลับดูแลเอาใจใส่เขาราวกับมีฐานะเสมอกันก็ไม่ปาน

หลังจากป้อนข้าวต้มเท่าที่อีกฝ่ายรับประทานได้และป้อนยาให้แล้ว ไม่นานยาก็ออกฤทธิ์ทำให้ความเจ็บปวดในตัวฮาธอสหายไปเกือบครึ่ง เทพคนสวนถอนใจเบา ๆ อย่างสบายตัว

“ดีขึ้นแล้วสินะ” ไคมีร่าเอียงคอมองด้วยรอยยิ้มบาง แววตาอ่อนโยนมากทีเดียว

“ขอรับ ขอบพระคุณมาก” ฮาธอสตอบด้วยรอยยิ้มเดียวกัน

“ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณไคซัสเถอะ ท่านพี่เป็นคนพาพวกอัลล์ไปช่วยเจ้ามาจากวิมานของหัวหน้าจอมปราชญ์ แล้วก็เป็นคนถอนพิษให้เจ้าด้วย ถึงข้าจะเป็นคนปรุงยาให้ก็เถอะ”

ฮาธอสฟังที่ไคมีร่าพูดแล้วก็หลับตาลงรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ แต่สิ่งที่เขานึกออกกลับมีเพียงใบหน้าของเรมันต์กับพรรคพวกและความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายมอบให้ตอนพยายามเจาะเอาความลับของไคซัสจากสมองของเขา สิ่งที่เหล่าจอมปราชญ์กระทำกับเขานั้น ช่างโหดร้ายราวกับไม่ใช่ผู้ทรงภูมิ...ราวกับไม่ใช่เทพแห่งสวรรค์

“นึกไม่ออกหรือ” ไคมีร่าเอ่ยถามหลังเห็นฮาธอสก่ายหน้าผากคิดอยู่นาน

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งน้อย ๆ หันมองอีกฝ่ายอย่างตกใจแล้วก็ส่ายหัว “ไม่เลยขอรับ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปที่วิมานหัวหน้าจอมปราชญ์ได้ยังไง นึกออกแค่ตอนอยู่ที่นั่นสั้น ๆ เท่านั้น...” ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งแผ่วอย่างสิ้นหวัง

มีเสียงถอนใจตอบมาจากเด็กสาวข้างกาย เธอยื่นมือมาลูบหน้าผากเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนดุจมารดา...สัมผัสที่เขาไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง แต่จากสภาพที่ข้าตรวจดู สิ่งที่พวกนั้นทำกับเจ้าจะต้องเลวร้ายมากทีเดียว ถ้าลืมมันได้ข้าก็อยากให้ลืมนะ” ไคมีร่าบอกทั้งที่รู้ดีว่าความทรงจำนั้นอาจหลอกหลอนเทพผู้บริสุทธิ์ตนนี้ไปอีกนานทีเดียว

ฮาธอสปล่อยตัวปล่อยใจครั้งแรกด้วยการยอมรับสัมผัสจากมือของไคมีร่าโดยไม่บ่น เขาอยากจดจำความรู้สึกนี้ไว้ในใจว่าครั้งหนึ่งน้องสาวของมเทพสงครามก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อคิดถึงผู้เป็นพี่ของนาง เทพคนสวนจึงเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วย ความผิดหวังระคนเสียใจประหลาดพลันก่อตัวในใจเขา

“...ขอบพระคุณขอรับ” ชายหนุ่มตอบตามมารยาทก่อนจะถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุด “มหาเทพไคซัสล่ะขอรับ”

“อ๋อ มีแขกสำคัญมาขอพบน่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงาน” ไคมีร่าตอบตามตรง เธอต้องดูแลฮาธอสตั้งแต่ตอนที่ไคซัสออกไปจึงไม่ทราบว่าเซย์เรียโน่กลับไปได้สักพักแล้ว

เทพคนสวนได้ยินคำตอบก็มีสีหน้าผิดหวัง ความจริงเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อยู่นั้นสามารถยอมรับได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหดหู่และห่อเหี่ยวใจขนาดนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกมหาเทพผู้สูงส่งผิดสัญญาที่สำคัญมากอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่เขานึกไม่ออกเลยว่าสัญญานั้นคืออะไร...และให้ไว้ตอนไหน

เสียงเปิดประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและสัมผัสอันอ่อนโยนจากไคมีร่า เด็กสาวหยุดมือแล้วหันไปมองผ้าม่านขนแกะสีน้ำตาลอ่อนปักลายภูเขาสีน้ำตาลแก่ที่กางปิดไว้ ฮาธอสก็เอียงหน้าดูเหมือนกัน แต่เพราะตัวท่านหญิงเทพอสูรบังอยู่จึงมองไม่เห็น กระนั้น...เมื่อผ้าม่านถูกแหวกโดยเทพที่มีโครงร่างกายใหญ่โตสีแดงนั่น เขาก็จดจำได้ทันทีว่าคนมาใหม่เป็นใคร

“คุยธุระเสร็จแล้วหรือ ไคซัส” นามที่ไคมีร่าเอ่ยมาราวกับหมุดที่ย้ำลงมาในความเข้าใจของฮาธอส คนที่เขาอยากพบหน้าที่สุดมาแล้ว

“อืม เมื่อกี้อัลวินมาบอกว่านาซิลลากินอาหารได้ปกติ บ่นเรื่องยาขมนิดหน่อย”

“งั้นรึ บ่นได้แบบนั้นอีกสองสามวันก็คงจะหายแล้วล่ะ ยังไงก็บาดเจ็บน้อยกว่าฮาธอสตั้งเยอะนี่” ไคมีร่าหัวเราะชอบใจ “อ๋อ เทพรับใช้คนโปรดของท่านตื่นแล้วนะ...อา คงไม่ต้องบอกแล้วล่ะมั้ง”

น้ำเสียงระรื่นของเด็กสาวแทบไม่กระทบโสตประสาทของมหาเทพสงครามเลยสักนิด ไคซัสกับฮาธอสจ้องตากันและกันประหนึ่งโลกทั้งใบมีพวกเขาแค่สองคน ดวงตาต่างสีสันทั้งสองคู่เปี่ยมด้วยมนต์ขลังดึงดูดกันและกันไว้ โดยเฉพาะฮาธอสที่แทบจะส่งสายตาวิงวอนให้อีกฝ่ายเข้ามาหา โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้องส่วนหรือไม่ ความสับสนกับความหวั่นไหวในตัวเขาต้องการใครสักคนมาจัดการ และหัวใจของเขาก็บอกว่ามีแค่มหาเทพสงครามผู้นี้เท่านั้นที่ทำได้ ไคมีร่ามองพี่ชายทีคนสวนทีและคิดว่าตัวเกะกะควรจะหายไปได้แล้ว

“ข้าจะกลับไปพักที่ห้องนะ อย่าทำให้คนป่วยเครียดล่ะ เดี๋ยวอาการจะทรุดอีก” เด็กสาวพอจะเดาได้จากท่าทางของพี่ชายว่าอาจจะมีอะไรในใจ เธอจึงทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนกลับออกไป

เมื่อมีเสียงปิดประตูแว่วมาเบา ๆ ไคซัสก็ก้าวมานั่งข้างกายฮาธอสและวางมือกลางอกของเขา ในใจรู้สึกโล่งอกที่เห็นเทพคนสวนได้สติแล้ว สีหน้าก็ดูดีกว่าตอนเขาออกไปเมื่อเช้านี้มาก ถึงจะต้องพักรักษาตัวไปอีกนาน ทว่าเขาจะต้องหายดีอย่างแน่นอน และเพราะอาการทรงตัวค่อนไปในทางที่ดีนี้เองที่ทำให้เขาต้องทำสิ่งที่คิดไว้

“เจ้าจำได้ไหมว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฮาธอสต้องตกใจหลังได้ยินน้ำเสียงเย็นชาชองไคซัส ดวงตาที่แลดูอ่อนโยนจนถึงเมื่อครู่กลับกลายเป็นความเยือกเย็น

“ข้า...” เทพคนสวนอึกอัก “...ข้าจำไม่ได้เลยขอรับ”

พริบตาหลังได้ยินคำตอบ ไคซัสได้แสดงสีหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนกลับไปเป็นความเย็นชาและเมินเฉยอีกครั้ง ฮาธอสมัวแต่ตกใจกับท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่ายจึงไม่ทันสังเกตเห็น

“ข้าจะบอกให้ฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” มหาเทพสงครามทอดสายตามองมา แววตาบ่งชัดว่าไม่ได้ต้องการคำตอบ “เจ้าถูกแมลงไสยเวทต่อยและยังถูกหัวหน้าจอมปราชญ์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว ตอนถอนพิษให้พวกเราต้องช่วยกันถ่ายพลังชีวิตให้กับเจ้า เพื่อพยุงอาการจนกว่าจะถอนพิษเสร็จ แต่รู้ไหม พลังของเจ้าเข้ากับไคมีร่าที่มีพลังของเทพกับอัลวินที่เป็นเพื่อนของเจ้าไม่ได้เลย มันกลับเข้ากับพลังของข้า...”

เทพคนสวนเบิ่งตากว้างด้วยความมึนงงและตกใจอย่างสุดขีด เรื่องนี้จะโทษฮาธอสก็คงมิได้ เพราะชายหนุ่มเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เป็นครั้งแรก และที่ผ่านมาก็ไม่เคยถ่ายพลังชีวิตให้กับใครมาก่อน เขาจึงเพิ่งทราบตอนนี้เองว่าอำนาจแห่งชีวาของตนไม่สามารถเข้ากับเทพปกติได้ นัยหนึ่งก็หมายความว่าความลับที่เขาปกปิดไว้ถูกเปิดเผยแล้ว

“ข้า...ข้าน้อย...” ฮาธอสพยายายามจะพูด แต่ลมหายใจขาดห้วงทำให้เขาเอ่ยไม่เป็นคำ สีหน้าตื่นตระหนกราวกับคนที่กำลังจะถูกฆ่า ซึ่งคนที่กำลังทรมานเขาให้ตายทั้งเป็นก็คือ ไคซัส นี่เอง

ถึงแม้ว่ามหาเทพสงครามเห็นสีหน้านี้แล้วยังปั้นหน้านิ่งอยู่ได้ แต่ลึกลงไปหัวใจของเขากำลังร้าวรานราวกับถูกทุบด้วยค้อนที่มองไม่เห็น เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้อย่างฮาธอส

มันอาจดูเป็นเรื่องตลกที่เทพอสูรอย่างเขาจะหลงรักเทพสักตน แต่ความรู้สึกของเขาก็เป็นของจริงและมันก็งอกเงยทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเทพคนสวน ความอ่อนโยนและความใจดี...ตัวตนที่อีกฝ่ายเป็นเปรียบได้กับที่พักพิงทางใจของเขา ดังนั้นตอนเขาได้เห็นฮาธอสตอนเจ็บในห้องเล็ก ๆ ที่วิมานของเรมันต์ เทพอสูรจึงเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคมกริบปักกลางหัวใจ และเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อต้องแสร้งทำเย็นชาเพื่อให้ได้ความจริง

ทว่าความทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายกลับมากมายกว่าที่เขาคาดคิดไว้ จิตใจที่กำลังอ่อนไหวทำให้อีกฝ่ายน้ำตาเอ่อคลอ ซึ่งทันทีที่ไคซัสเห็นเส้นความอดทนก็ขาดผึงอีกครั้ง

“บ้าชะมัด! เจ้าจะทดสอบความอดทนของข้าไปถึงไหน” น้ำเสียงของมหาเทพสงครามมีแต่ความปวดร้าว ร่างใหญ่โน้มลงจูบกลางหน้าผากขาวเนียนก่อน...ประทับพรมไปทั่วใบหน้าคนป่วย แล้วรวบมือคนตัวเล็กกว่ามาแนบอก “ข้าไม่ได้อยากทำร้ายเจ้านะ ดังนั้น...ขอร้องล่ะ...บอกความจริงกับข้ามาเถอะ เจ้ารู้ไหม การรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง...กับปากคนอื่น มันเจ็บปวดขนาดไหน”

ฮาธอสสดับคำพูดอีกฝ่ายแล้วก็น้ำตาหยด เทพอสูรตนนี้ช่างแสนดีและอ่อนโยนกับเขามาเหลือเกิน...จนชายหนุ่มอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องพบกับความผิดหวังและปวดร้าวครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ไคซัส ‘ให้’ ได้ทุกอย่าง ทว่าเขากลับเอาแต่กลัวที่จะเปิดเผยความจริง...ที่อาจทำให้เขาอยู่ในมหานครแห่งฟ้านี้ได้อีก แต่...ในเมื่อมันถูกเปิดเผยไปแล้ว ไม่เช้าก็เร็ว...เขาต้องยอมรับ

“บิดาของข้าน้อยเป็นเทพแห่งความมืดขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มที่พร่าสั่นเอ่ยอย่างเนิบช้า ฮาธอสนอนนิ่งในขณะที่ไคซัสค่อย ๆ ถอยมามองใบหน้าที่มีดวงตาฉ่ำน้ำ “ข้าไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน รู้แค่ว่าเขาถูกขับไล่ออกจากสวรรค์และจุติไปนานแล้ว ส่วนมารดาเป็นเทพความรู้ของหอสมุดหลวง นางถูกขับออกไปอยู่แดนร้างที่อยู่ทางเหนือ นอกมหานคร นางให้กำเนิดข้า...กับพี่ชายฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากข้ามาก ข้าคือ ‘แสงสว่าง’ ส่วนพี่ของข้าคือ ‘ความมืด’ แต่ความจริงแล้วทั้งข้าทั้งเขาก็เป็นลูกครึ่งเทพความมืดทั้งคู่”

“หลังให้กำเนิดข้ากับพี่ชายแล้ว ท่านแม่ก็จุติ เพราะสูญเสียพลังมากเกินไป ข้ากับพี่จึงพยายามดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดด้วยกันจนกระทั่งถึงช่วงวัยรุ่น พี่ของข้าที่ได้พลังและความสามารถของพ่อมาอย่างเต็มเปี่ยมเริ่มลุแก่อำนาจ เขาบอกว่าการแก้แค้นให้พวกเราคือหนทางที่ถูกต้อง แต่ข้าไม่ชอบการต่อสู้จึงคัดค้าน เราทะเลาะกันแล้วเขาก็ทิ้งข้าไป รวบรวมเทพที่ถูกเนรเทศแล้วตั้งกองโจรขึ้นมาอาละวาดในเขตเหนือ มหาเทพจ้าวสวรรค์ส่งคนมาปราบปรามหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพี่ของข้าหายตัวไป...”

เทพคนสวนเว้นช่วงสูดลมหายใจ แล้วยิ้มเย้ยหยันกับตัวเองเมื่อคิดถึงประโยคที่จะพูดต่อไป

“ใช่แล้วขอรับ...ข้าน้อยเป็นลูกครึ่งเทพแห่งความมืด ‘เฮสเลน’ คือนามของพี่ชายข้า ข้าได้เลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในมหานครโดยไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้ และข้าก็ปกปิดไว้ก็เพราะอยากอยู่ในมหานครแห่งนี้ต่อไปขอรับ”

“มีใครรู้เรื่องของเจ้าอีกไหม”

“อัลล์ขอรับ เขากับข้าเลื่อนขึ้นมาอยู่ในมหานครพร้อมกัน แต่เขาเพิ่งรู้เรื่องพลังของข้าเมื่อตอนท่านไคมีร่าบุกสวรรค์ขอรับ” พูดแล้ว ฮาธอสก็หลับตา น้ำตาไหลรินเงียบเชียบอย่างคนพร้อมรับชะตากรรม

มหาเทพสงครามฟังเรื่องราวของฮาธอสด้วยความสงสารจับใจ คงไม่มีใครอยากเชื่อว่าเบื้องหลังเทพคนสวนผู้อ่อนโยนและแสนดีจะมีอดีตที่ดำมืดเยี่ยงนี้ แต่เรื่องราวของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว...จากคำพูด...พลังของเจ้าตัว...และบันทึกปกดำซึ่งเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นถูกบันทึกโดยอดีตขุนพลเทพอันดับห้าตนก่อนหน้าเซย์เรียโน่ คำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นลอยขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง คำพูดที่เป็นเสมือนคำบอกใบ้สำหรับสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่ยังไม่เท่ากับสภาพจิตใจของฮาธอสในตอนนี้

“ขอบใจนะ” คำกล่าวนั้นทำให้เทพคนสวนเบิกตามองมหาเทพสงครามอย่างตกใจ และยิ่งอึ้งเมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้แล้วโน้มมาจูบซับน้ำตาที่ขมับ “ขอบใจที่ยอมเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง จากนี้ไปขอให้เจ้าพักรักษาตัวที่นี่จนกว่าจะหายดี ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ข้าจะจัดการเอง”

“หมายความว่า...” ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ สีหน้าคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านไม่โกรธข้าที่ปกปิดเรื่องนี้...ไม่รังเกียจข้าที่เป็นลูกครึ่งเทพความมืด...ไม่รังเกียจ...”

คำพูดต่อไปของเขาถูกหยุดด้วยปลายนิ้วสีแดงที่แตะลงมาอย่างนุ่มนวล ไคซัสส่ายศีรษะอย่างช้า ๆ ปฏิเสธทุกอย่างที่อีกฝ่ายอย่างพูดถึง ริมฝีปากหนาแย้มยิ้มบางด้วยความคิดบางอย่างในหัว

“เจ้ากลัวข้าไหม” ฮาธอสส่ายศีรษะ สีหน้าไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามไปเพื่ออะไร

“เจ้าเกลียดความเป็นอสูรของข้าไหม” เทพคนสวนก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“งั้นเจ้ารังเกียจ ‘ตัวตน’ ของข้าหรือเปล่า”

“ไม่เลยขอรับ!” ฮาธอสโพล่งออกมา “ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นคนดี มีน้ำใจ และยุติธรรมต่อพวกเรามาก ข้าเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่านมาตลอด ข้าไม่มีวันรังเกียจได้หรอกขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็เหมือนกัน” ไคซัสตอบกลับเกือบจะทันทีที่ฮาธอสพูดจบ ร่างสูงโปร่งเบื้องล่างนั้นนิ่งงัน หัวใจพลันอุ่นวาบยามสบสายตารักใคร่ของอีกฝ่าย “ข้าเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามาตลอด แล้วทำไมข้าจะต้องรังเกียจเจ้าด้วยเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้นด้วยล่ะ”

ฮาธอสกะพริบตาปริบ ๆ ราวกับสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ แต่เมื่อเซลล์สมองเริ่มประมวลผลคำพูดของมหาเทพสงคราม ความยินดีก็ล้นปรี่ขึ้นมาจากส่วนลึกปั่นเปาทุกความกังวลให้หายไปจากหัวใจของเขา รอยยิ้มปีติที่สวยงามที่สุดค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าคมคาย อาการเขินอายที่เกิดตามมาทำให้แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อย ไคซัสอาจไม่ใช่คนแรกที่รู้เรื่องของเขา แต่เทพหนุ่มก็ดีใจที่สุดที่อีกฝ่ายยอมรับในตัวตนของเขา

“ขอบพระคุณขอรับ มหาเทพไคซัส”

“ขอเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วกันนะ” ว่าแล้วไคซัสก็นอบใบหน้าลงจุมพิตฮาธอสด้วยความรักสุดหัวใจ...

จูบที่ได้รับการตอบสนองด้วยความรู้สึกเดียวกัน...

------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 10 up 30/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 31-08-2013 23:19:32
ตอบคอมเมนต์

คุณ padang มาต่อแล้วครับ >w<

คุณ bulldog17 ฮ่าๆ เพราะแบบนี้แหละฮับ คนข้างล่างถึงไม่ค่อยชอบชาวสวรรค์

คุณ saruttaya อ่า...โลภจังเลย อ่านสองที่เลยอ่ะ >w< แต่เด็กดีนำหน้าเขาไปไกลมากแล้วจริงๆ นั่นแหละ เพราะอัพก่อนจะมาสมัครเล้าซะอีก

อนึ่ง ขอลาไปธุระสักสองสามวันนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 01-09-2013 00:10:46
โอ้ เค้าจูบกันๆๆๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 02-09-2013 15:35:16
ที่จริงเทพอสูรกับอาธอสก็มีกำเนิดคล้ายกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 02-09-2013 19:34:24
บทที่ 12 ความ (อ) ยุติธรรมในการไต่ส่วน
- 50% -

‘หัวไม่ได้วาง...หางไม่ได้เว้น...’

ฟาเบียนคิดแบบนั้น เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาต้องมาเยือนพาเทร่าเพื่อสะสางปัญหาให้กับไคซัส เขาก้าวลงจากรถม้าประจำตำแหน่ง ซึ่งจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าปราสาทชั้น หัวหน้าจอมปราชญ์ในชุดสีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ตามมาสมทบทางด้านหลัง อัลล์กับองครักษ์หกนายที่ทำหน้าที่ต้อนรับแสดงความเคารพผู้สูงศักดิ์พร้อมเพียงกัน

“ไคซัสล่ะ” นั่นคือคำถามแรกของมหาเทพจ้าวสวรรค์หลังไม่เห็นไคซัส แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยให้ความเคารพเขาในฐานะราชาแห่งฟ้าเลย แต่พอเจ้าตัวไม่ออกมาต้อนรับก็อดเสียความรู้สึกมิได้

“ท่านรออยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ สั่งให้กระหม่อมนำคนออกมาต้อนรับและนำทางท่านจ้าวกับหัวหน้าจอมปราชญ์ไปพบ” อัลล์ตอบด้วยท่าทางอ่อนน้อมเหมือนเช่นเคย แต่น้ำเสียงมีร่องรอยของความห่างเหินจนสัมผัสได้ “มหาเทพไคซัสแจ้งด้วยว่าท่านจ้าวนำผู้ติดตามไปได้คนเดียวเท่านั้น ส่วนท่านหัวหน้าจอมปราชญ์ให้เข้าไปคนเดียว ส่วนที่เหลือให้รออยู่ข้างนอกนี้ ทหารของตำหนักเราจะคอยรับรองเองพ่ะย่ะค่ะ”

“โอหังจริง ๆ มันมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ท่านจ้าวทิ้งผู้ติดตามไว้ที่นี่!” เรมันต์แสดงอาการไม่พอใจทันที แต่ต้องนิ่งไปเมื่อฟาเบียนยกมือเป็นเชิงห้าม

“ไม่เป็นไร ทำตามที่เขาบอกก็แล้วกัน” มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัดสินใจแบบนี้ เพราะรู้ดีว่าไคซัสไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายในนิวาสสถานของเขา แม้ว่าฟาเบียนจะเคยมาที่นี่บ่อยแล้วก็ตาม แน่นอนว่าเรมันต์ต้องทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังจากมหาเทพจ้าวสวรรค์เรียกผู้ติดตามที่ไว้ใจที่สุดมาแล้ว อัลล์ก็นำทางคนทั้งหมดเข้าไปในปราสาท โดยองครักษ์ทั้งหกคอยขนาบหัวหน้าจอมปราชญ์ไว้ เพื่อป้องกันมิให้หลบหนีและยังป้องกันมิให้ใครเข้ามายุ่งย่ามกับชายชราด้วย เพราะในห้องโถงใหญ่อันเป็นทางผ่านนั้น มีสหายของฮาธอสกับนาซิลลาจำนวนหนึ่งมารอดูหน้าชายชราอยู่แล้ว ฟาเบียนเห็นสายตาของแต่ละคนแล้วก็บอกได้เลยว่า พวกเขาไม่พอใจมาก

“เทพรับใช้นั่นมีคนที่รักเยอะดีนะ อัลวิน” ฟาเบียนเอ่ยในขณะถูกพาเข้าไปในห้องโถงเล็กปลายปีกตะวันออก

“ฮาธอสเป็นที่รักของทุกคนและเขาก็เป็นเพื่อนของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อัลล์ตอบ

เป็นอีกครั้งที่ราชาแห่งฟ้าขมวดคิ้ว เพราะน้ำเสียงอันแสนเย็นชาของอัลล์ เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายเคยเฉยชากับตนขนาดนี้ ทั้งที่สมัยก่อนออกจะกระตือรือร้นและทำหน้าดีใจเหมือนลูกหมาทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ความจงรักภักดีที่เคยมีให้กันนั้นหายไปลงตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ ฟาเบียนคิดพลางเม้มปากอย่างไม่ชอบใจนัก   นายทหารหนุ่มเดินไปบิดเชิงเทียนสามแฉกข้างเตาผิง เพียงครู่ผนังว่างเปล่าข้าง ๆ ก็ยุบลงก่อนเลื่อนไปด้านข้างเผยทางลับที่มีบันไดทอดลงไปด้านล่าง ปกติประตูนี้มิได้เปิดง่าย ๆ เยี่ยงนี้ เพราะถูกอำพรางด้วยเวทมนต์อันแข็งแกร่งที่มีแต่จ้าวตำหนักเท่านั้นที่เปิดได้

“เชิญขอรับ” กล่าวแล้วนายทหารหนุ่มก็นำหน้าเข้าไปก่อน เมื่อทั้งกลุ่มเข้ามาแล้ว ประตูลับก็ปิดด้วยตัวของมันเอง ไฟเย็นสีฟ้าพลันลุกพรึบในกระถางเพลิงบนผนังให้แสงสว่างอย่างเพียงพอ กระนั้น เทพทุกตนยังต้องระมัดระวังในการเดิน เนื่องจากบันไดค่อนข้างสูงชันเอาการ บรรยากาศก็ดูลึกลับและกดดันจนไม่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทบนสวรรค์เลย

ไม่นานทั้งกลุ่มก็ลงมาถึงชั้นล่าง ซึ่งถูกเนรมิตเป็นคุกแบบกรงขังขนาดหกห้อง ด้านในสุดเป็นโถงสำหรับการไต่สวน ทุกตนสามารถเห็นซามีที่ตัวอ่อนปวกเปียกถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนติดผนัง ปิดตาด้วยแถบผ้าสีดำสนิทและอุดปากด้วยสายคาดติดลูกบอลเนื้อนิ่มขนาดเล็กราวกับสัตว์เดรัจฉาน ทำให้ผู้สูงศักดิ์ตกใจไม่น้อย

“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย” เรมันต์โพล่งออกมาและทำท่าจะวิ่งไปช่วยคนของตนเอง แต่ถูกองครักษ์ของไคซัสแขนจากข้างหลังจนขยับไม่ได้

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ พยานปากเอกคนเดียวของข้าก็ฆ่าตัวตายก่อนน่ะสิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเย็นชาดังมาจากด้านข้าง ผู้มาเยือนจึงสังเกตเห็นมหาเทพสงครามที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาสีส้มสว่างจับจ้องเรมันต์ด้วยแววตาวาววับราวกับราชสีห์เล็งเหยื่อ “ดีจริงที่ท่านผู้ทรงภูมิยอมมา ข้านึกว่าต้องให้คนไปรับถึงวิมานซะแล้ว”

“ตัวเขาก็ไม่อยากมาหรอก แต่ข้าให้คนไปพามาเอง” ฟาเบียนชี้แจง เนื่องจากไคซัสใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ช่วยฮาธอสออกมา เขาจึงรู้เรื่องตั้งแต่วันแรกและสั่งให้ทหารหลวงล้อมวิมานหัวหน้าจอมปราชญ์ไว้ ห้ามใครเข้าออกอย่างเด็ดขาดจนกระทั่งวันนี้ แล้วชายหนุ่มก็นึกได้ก่อนมองซ้ายขวาอย่างสงสัย “ว่าแต่เจ้าทุกข์ที่เหลือล่ะ”

“นาซิลลายังเด็กไป ฮาธอสก็ยังไม่หายดี ข้าไม่อยากให้สองคนนั้นลำบากใจจึงไม่ให้ลงมา แต่พวกเขาก็ให้ปากคำในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว” ไคซัสลุกขึ้นใช้เวทมนต์ย้ายเก้าอี้ไปให้ฟาเบียนนั่ง

“เฮอะ! คำพูดของเทพชั้นต่ำเชื่อได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะเทพผมทองนั่น!” เรมันต์กล่าวอย่างเหยียดหยาม สีหน้าท่าทางบ่งชัดว่าตั้งใจจะโยนความผิดให้กับฮาธอส...อาจรวมถึงซามีที่ไคซัสจับไว้ด้วย

“จะเชื่อหรือไม่นั่นดูเอาเองก็แล้วกัน”

มหาเทพสงครามบอกแค่นั้นแล้วสะบัดมือสร้างฉากมนตรารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินขนาดใหญ่กลางอากาศ ฟาเบียนเอียงคอด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร แล้วก็ได้คำตอบเมื่อมหาเทพสงครามดีดนิ้ว ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ฮาธอสกับนาซิลลาถูกลอบทำร้ายก็ปรากฏขึ้นฉากนั้นเหมือนจอภาพยนตร์ มันไม่ได้มีแค่ภาพ แต่ยังรวมถึงเสียงที่เทพรับใช้ทั้งสองได้ยินในตอนนั้นด้วย โดยถ่ายทอดจากสายตาของนาซิลลาที่เห็นทุกอย่างเป็นหลัก ไคซัสถึงอาความทรงจำส่วนนี้มาจากเทพรับใช้ทั้งสองเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

เรมันต์ถึงกับอึ้ง นึกไม่ถึงว่ามหาเทพสงครามจะเตรียมการมาถึงขนาดนี้ ขณะฟาเบียนดูรายละเอียดของเหตุการณ์และความไร้เหตุผลทุกอย่างด้วยความตกตะลึง ซึ่งความรู้สึกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อภาพเหตุการณ์ถูกทำร้ายดับวูบไป แล้วถูกแทนที่ด้วยช่วงเวลาที่ฮาธอสอยู่ในวิมานของเรมันต์ แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่เสียงแผดร้องกับภาพที่บิดเบี้ยวตามความทรงจำบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานที่เทพคนสวนต้องเผชิญ หัวหน้าจอมปราชญ์แทบทรุดเมื่อภาพจบลงพร้อม ๆ กับมหาเทพจ้าวฟ้าที่ระเบิดความโกรธออกมา

“นี่มันอะไรกัน!” หลังเสียงตวาดอันกราดเกรี้ยว ฟาเบียนก็ลุกขึ้นแล้วหมุนตัวไปพาชายชราที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง ดวงตาสีเขียวลุกโชนด้วยความพิโรธทำให้คนถูกจ้องทรุดกองกับพื้นไปจริง ๆ

“กระหม่อมอธิบายได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เรมันต์พยายามยื้อฟางเส้นสุดท้ายอย่างเต็มที่

“อธิบายอะไร?” ไคซัสแทรกก่อนอีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรต่อ เขาเดินไปทอดผ้าผูกตาของซามีออก เทพหนุ่มเบิกตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนและต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเรมันต์ “ท่านผู้ทรงภูมิอยากจะอธิบายว่าให้ผู้ชายตนนี้มาลักพาตัวนาซิลลาและยังทำร้ายฮาธอส ซึ่งทั้งสองคนเป็นเทพรับใช้ของซิมโฟเนียอาเรียโดยตรงสินะ”

ซามีทั้งดิ้นรนทั้งใช้พลังหมายสะบัดให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไคซัสก็ผนึกอำนาจของเขาไว้มิดชิดจนไม่สามารถใช้ได้อย่างใช้ได้อย่างใจ ฟาเบียนมองหน้ามันแล้วเบือนไปจ้องหัวหน้าจอมปราชญ์โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม

“ถ้าไม่ตอบข้าจะถือว่าท่านกระทำการเกินกว่าเหตุ”

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองราชาแห่งฟ้าอย่างตกตะลึง “ท่านจ้าวโปรดเห็นแก่ความดีความชอบของกระหม่อมด้วย กระหม่อมทำไปเพราะอยากปกป้องสวรรค์เท่านั้น ท่านจ้าวโปรดตรึกตรองให้ดี ตั้งแต่เทพอสูรตนนี้ขึ้นรับตำแหน่งก็มีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด มันเป็นตัวกาลกิณีของสวรรค์...”

“หุบปาก!” ฟาเบียนตวาดลั่น เรมันต์สะดุ้งโหยง แม้แต่ซามียังอึ้ง เพราะเขาถูกสะกดไว้ตลอดจึงไม่รู้เลยว่าราชาแห่งสวรรค์เห็นสิ่งใดบ้าง “ถ้าเจ้าสังเกตให้ดี ๆ ความวุ่นวายเกิดขึ้นหลังจากไคซัสพยายามหาทางป้องกัน มีใครบางคนพยายามจะทำให้สวรรค์อ่อนแอก่อนแผนของเขาจะสำเร็จ แต่เจ้ากลับถูกทิฐิอันโง่เขลาบดบังสายตากระทำการหยาบช้ากับเทพชั้นต่ำ ไม่ละลายแก่ใจบ้างหรือไร!”

“ท่านจ้าว” เรมันต์คลานเข่าไปใกล้องค์ราชา “พระองค์ทรงเป็นอะไรไปแล้วจึงเข้าข้างอสูรเช่นนี้ กระหม่อมทำไปก็เพื่อปกป้องสวรรค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าเอาสวรรค์มาอ้าง หากทำเพื่อสวรรค์จริง ทำไมถึงไม่เชื่อฟังข้าง!” ไคซัสเลิกคิ้วเมื่อได้ยินราชาแห่งฟ้าพูดแบบนั้น ช่างเป็นประโยคเอาแต่ใจเสียจริง แต่เขาไม่อยากขัดให้เสียประโยชน์จึงปล่อยไป “ข้าอุตส่าห์ดึงคนมีความสามารถมารับตำแหน่งมหาเทพสงคราม อุตส่าห์คิดทบทวนแผนการของไคซัสตามที่พวกท่านขอ แต่แทนที่จะช่วยกันแก้ปัญหา ท่านกลับทำเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้ ท่านยังมีหน้าเรียกตัวเองว่า ‘จอมปราชญ์’ อีกหรือ เสียทีที่มีภูมิปัญญามากมาย แต่ต้องเสียไปเพราะอคติส่วนตน”

“ท่านจ้าว เทพอสูรตนนี้ไว้ใจไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เขาเลี้ยงลูกครึ่งเทพรัตติกาลที่เป็นพี่น้องกับเฮสเลนไว้ด้วย”

ในที่สุดเรมันต์ก็โพล่งประโยคที่ไคซัสกลัวที่สุดออกมาจนได้ แต่เทพอสูรหนุ่มยังคงสีหน้านิ่งก่อนเหลียวมองซามีที่พยายามพยักหน้ายืนยันเพื่อช่วยเหลือเจ้านายของตนจนนิ่งไป ขณะอัลล์สะดุ้งตกใจนิดหนึ่งก่อนรีบเก็บอาการ แล้วทั้งสองตนก็หันมองมหาเทพจ้าวสวรรค์ขมวดคิ้วมองเทพอสูรหนุ่มด้วยสายตากังขา

“เจ้าพิสูจน์ได้แล้วหรือว่าฮาธอสเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลจริง ๆ น่ะ” ไคซับถามเนิบช้า ดูไม่ร้อนรนตกใจเลยสักนิดขนาดที่อัลล์ยังเหลือบมองด้วยความนับถือ

“แน่นอนสิ จอมปราชญ์อมาลานจำหน้ามันได้ หน้าตาของมันคล้ายเฮสเลนขนาดนั้น!” เรมันต์ยืนยันเสียงแข็ง “และพลังของมันแข็งแกร่งไม่สมกับเป็นเทพชั้นต่ำด้วย”

“แต่เทพชั้นต่ำหลายองค์ก็มีพลังแข็งแกร่งนะ” เทพอสูรหนุ่มพยักพเยิดปาทางหัวหน้าทหารของเขาอย่างไม่ยี่หระ “เดิมทีอัลวินก็เป็นเทพระดับล่างที่มีพลังแข็งแกร่งเหมือนกัน เพียงแต่เขาเลือกที่จะไต่เต้าขึ้นมาจนมีฐานะอย่างปัจจุบัน ส่วนฮาธอสเลือกปกปิดพลังไว้เพราะอยากเป็นแค่เทพคนสวนแค่นั้นเอง”

“โกหก เจ้าตั้งใจจะปกป้องมันใช่ไหม!” เรมันต์ตะเกียกตะกายลุกขึ้นชี้หน้าคู่กรณี “เจ้ามาช่วยมันไป ทั้งยังพูดกับข้าด้วยว่าควรทำอะไรให้สง่างามกว่านี้”

“หรือว่าข้าพูดผิด ท่านทรงภูมิ” ไคซัสสืบเท้าเข้าใกล้อย่างไม่เกรงกลัวสักนิด ผิดกับจอมปราชญ์ที่ผงะถอยอย่างลืมตัว “หากท่านต้องการตัวฮาธอสหรือนาซิลลาไปสอบสวนก็ควรจะมีหนังสือแจ้งขอตัวพร้อมเหตุผลหรือข้อหามาถึงข้า เพื่อข้าจะได้ทำเรื่องส่งต่อไป ว่าไงล่ะ? ท่านไม่มีเหตุผลใช่ไหม ถึงได้ทำอะไรแบบนี้”

“เจ้า...!” เรมันต์กัดฟันกรอด นึกอยากบริภาษอีกฝ่ายให้แรงกว่านี้ แต่เพราะเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์มิเคยสำรากคำหยาบคายมาก่อนจึงสรรพาคำพูดไม่ได้ เขาจึงได้แต่ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น

“พอที! ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” ฟาเบียนตะโกนเสียงอย่างโมโห ทุกคนจึงหันไปสนใจเขาอีกครั้ง “หัวหน้าจอมปราชญ์อาจไม่รู้ว่าข้าได้เลื่อนขั้นลูกครึ่งเทพรัตติกาลหลายตนเข้ามาอยู่ในมหานคร ถ้าเจ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดพอว่าเทพรับใช้ตนนั้นเป็นน้องของเฮสเลนจริงก็ไม่ต้องคุยกันอีก และต่อให้เขาเป็นจริง ๆ ท่านก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการหยาบช้าราวกับไม่ใช่เทพแบบนั้นกับเขา!”

“ท่านจ้าว!”

“ถ้ายังไม่ยอมแพ้ ข้าจะเอาสิ่งที่อยู่ในหัวเจ้านี้ออกมาให้ดูก็ได้นะ”

มหาเทพสงครามวางมือใหญ่โตกลางกระหม่อมของซามี ทำให้เทพหนุ่มเบิ่งตาโพลงด้วยความตื่นกลัวสุดขีด ดวงตาสีส้มบ่งชัดว่าเอาจริง เพราะเขาทำมาแล้ว...หลังจากปรับความเข้าใจกับฮาธอสเรียบร้อย ซึ่งทำให้เขารู้ว่าชายคนนี้เป็น ‘เทพนักรบคู่ใจ’ ของเรมันต์ ทำงานสกปรกให้หัวหน้าจอมปราชญ์มาแล้วหลายอย่าง ล่าสุดก็คือความพยายามลักพาตัวนาซิลลา ซึ่งหัวหน้าจอมปราชญ์วางแผนให้เหมือนการโจมตีครั้งก่อน ๆ แล้วกล่าวโทษว่าไคซัสบกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากไม่สามารถคุ้มครองสาวกของเทพจันทราได้ มันเป็นแผนการที่วางขึ้นเอง เซย์เรียโน่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ถ้าว่ากันตามความจริง แผนการของเรมันต์ก็เกือบจะสำเร็จแล้ว เพราะไคซัสให้คนของอัลล์คอยตามดูแลนาซิลลาอยู่ห่าง ๆ และตอนนั้นก็เกือบจะไปไม่ทันการอีกด้วย เพียงแต่นาซิลลาไปเที่ยวกับฮาธอส ซึ่งเทพหนุ่มสู้สุดใจขาดดิ้นทำให้ผิดแผนไปหมด ตัวซามีเองก็เกรงจะถูกจับได้ตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการทิ้งเทพจันทราน้อยและเอาตัวเทพคนสวนไปแทน พลอยทำให้แผนการของเรมันต์หลังจากนั้นรวนไปหมดจนกระทั่งนำไปสู่ ‘การขุดหลุมฝั่งตัวเอง’ ของเรมันต์ ซึ่งคิดจะใช้ฮาธอสมาฆ่าไคซัส

หัวหน้าจอมปราชญ์ยืนจ้องหน้ามหาเทพสงครามนิ่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ พลางถามตัวเองอย่างสงสัยว่าทำไมถึงพ่ายแพ้ให้แก่มหาเทพอสูรตนนี้ ทั้งที่ตนทำทุกอย่างเพื่อสวรรค์ แต่กลับไม่มีใครเห็นความดีของเขาเลยสักตนเดียว

“ไม่ต้องถามแล้วล่ะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของราชาแห่งฟ้าแว่วเข้ามาในโสตประสาท พอหันมองฟาเบียนก็กำลังมองซามีอย่างใคร่รู้ “ดึงออกมา ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามีอะไรซ่อนอยู่บ้าง จะได้จัดการทีเดียวเลย”

“ท่านจ้าวโปรดเมตตา กระหม่อมยอมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เรมันต์ทรุดคุกเข้าและก้มคำนับกับพื้น ในที่สุดเขาก็รู้ตัวเสียทีว่าถึงเวลาต้องยกธงขาวแล้ว ก่อนโทษทัณฑ์ที่จะได้รับจะมากมายไปกว่านี้ “กระหม่อมจะสารภาพทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วทุกถ้อยคำก็พร่างพรูออกมาจากปากของชายชรา ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คำสารภาพนั้นตรงกับที่ไคซัสเห็นจากความทรงจำของซามีทุกอย่าง หนำซ้ำยังออกหน้าแทนจอมปราชญ์ที่เหลือด้วยว่าเป็นคนวางแผนทุกอย่างด้วยตนเอง ซึ่งคราวนี้เป็นฟาเบียนบ้างที่ตัวสั่นเทิ้ม ผิวหน้าแดงจัดด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านไปทั่วจนผู้ติดตามต้องมายืนใกล้ ๆ เผื่อจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่อัลล์ยังย้ายไปอยู่ข้างกายไคซัส

ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มหาเทพจ้าวสวรรค์สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้จนถึงตอนจบ แม้เขาจะกำหมัดทำให้เล็บจิกเนื้อจนเลือกออกซิบ ๆ ให้ผู้ติดตามมาปฐมพยาบาลไปด้วยก็ตาม ร่างโปร่งบางค่อยหมุนตัวมาหาไคซัสช้า ๆ สีหน้าอดกลั้นขนาดคนมองอย่างแปลกใจ

“ข้าจะลงโทษเขาเอง ซึ่งตอนนี้เขาถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว...หยุด!” ฟาเบียนสะบัดตัวไปชี้หน้าสั่งเรมันต์ที่เงยหน้าขึ้นเพื่ออุทธรณ์ “ข้าไม่สั่งประหารเจ้าที่นี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว”

“เอาสิ เพราะข้าสำเนาหลักฐานไว้ให้หมดแล้ว” ไคซัสส่งผ้าผูกตาให้อัลล์ด้วยท่าทางสบาย ๆ นายทหารหนุ่มก็จัดการเอาไปผูกซามีไว้ทำให้นายทหารหนุ่มถูกสะกดอีกครั้ง “ระวังหน่อยแล้วกัน ผู้ชายคนนี้พร้อมฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องเจ้านาย ข้าเลยต้องสะกดให้หลับตลอดเวลา”

“ไม่ต้องห่วง ทหารของตำหนักข้าดูแลได้อยู่แล้ว พวกเจ้ามาเอาตัวพวกมันไป!”

หลังจากให้คำรับรองกับไคซัสแล้ว มหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ออกคำสั่งกับเหล่าองครักษ์ ทั้งหมดจึงช่วยกันคุมตัวผู้ต้องหาออกจากคุก มหาเทพสงครามบอกให้อัลล์ตามไปคุมอีกคน กำชับด้วยว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้จัดการขั้นเด็ดขาด ซึ่งนั่นพอจะข่มขวัญเรมันต์ได้อยู่เหมือนกัน ฟาเบียนก็ให้คนของตัวเองตามไปดูแลด้วย และเมื่อทั้งหมดออกไปแล้ว ทั้งห้องก็เหลือแต่เทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองตน

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” เป็นไคซัสที่เริ่มการสนทนาก่อน

“อันใดหรือ?”

“ช่วยข้าปกป้องฮาธอส ถ้าเป็นปกติเจ้าจะสั่งให้มีเรียกตัวเขามาสืบพลังไม่ใช่รึ” มหาเทพสงครามเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างกังขา อันที่จริงเขาก็ชอบที่ฟาเบียนยอมเข้าข้าง แต่ก็อดสงสัยพฤติกรรมอันผิดวิสัยมหาเทพจ้าวสวรรค์ผู้เที่ยงธรรมมิได้

“ไม่มีอะไรนี่ ข้าแค่ทำตามที่บอกไว้เท่านั้นเอง” เจ้าของร่างเล็กกอดอกเป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันตัวเอง “ถ้าไคซัสอยากให้ข้าทำแบบนั้นก็คงให้เจ้าทุกข์ทั้งสองคนลงมาเจอข้าแล้ว แต่นี่ไม่ให้ลงมาแสดงว่าต้องการปกป้องพวกเขาไว้ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้โกหกด้วย เพราะข้าได้อนุมัติให้ลูกครึ่งเทพรัตติกาลหลายตนมาอยู่ในมหานครจริง ๆ ถึงพ่อหรือแม่ของพวกเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับของสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่กำเนิดขึ้นในแดนสวรรค์ จะมีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องกดขี่พวกเขาด้วย และก็ไม่มีหลักฐานยืนยันด้วยว่าเทพฮาธอสนั่นเป็นน้องชายของเฮสเลนจริง ๆ”

...ก็มีเหตุผล

นาทีนั้นไคซัสตัดสินใจกับตัวเองไปสองอย่าง หนึ่งคือยอมรับเหตุผลของฟาเบียนโดยไม่ซักไซ้อะไรอีก และสองคือจะไม่บอกเรื่องฮาธอสยอมรับกับเขาแล้วว่าเป็นน้องชายของเฮสเลนจริง ๆ

“ยังไงก็ตาม ถึงเรื่องนี้จะจบแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่คาราคาซังมาจะจบลงนะ” ฟาเบียนเอ่ยประเด็นสำคัญในจังหวะที่ไคซัสอยากเปลี่ยนเรื่องพอดี เจ้าของร่างเล็กหันมามองเขาด้วยแววตาจริงจัง “เรายังหาตัวต้นเหตุของความวุ่นวายก่อนหน้านี้ไม่พบ สิ่งที่เรมันต์ทำเองก็มุ่งไปหาเจ้าคนเดียว มิหนำซ้ำยังมีพลังไม่มากพอควบคุมแมลงไสยเวทตัวใหญ่ ๆ มาทำตามใจชอบได้ด้วย”

“ข้ารู้ดี แต่ยังไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบมากกว่านี้” มหาเทพสงครามถอนใจ สภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้กับปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ทำให้เทพอสูรหนุ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นบางครั้ง “คิดไปแล้วข้าก็เหมือนตัวปัญหาจริง ๆ นะ เพราะพอขึ้นมาแล้วปัญหาก็ระเบิดออกมาเหมือนลาวาในภูเขาไฟ ลาออกดีไหมนะ”

เนื่องจากไคซัสพูดโดยใช้น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายจริง ๆ ฟาเบียนจึงแสดงอาการตกอกตกใจออกมาทันที

“ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่เจอ...” เขานิ่งไปเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะพูดอะไรออกมา สมองอันฉับไวรีบคิดหาคำใหม่อย่างรวดเร็ว “...ต้นตอของเรื่องทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ เจ้าสัญญาว่าจะปกป้องสวรรค์ให้ข้านะ”

“รู้แล้วน่า” ไคซัสบอกปัด ๆ แม้จะรับรู้ถึงอาการสะดุดของอีกฝ่าย แต่คร้านจะสนใจ...สนใจทีไรราชาเทพก็หาทางมุดดินหนีได้ทุกคราวไป “ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย ๆ เท่านั้นแหละ”

“งั้นเอาอย่างนี้” เมื่อได้ยินคำบ่นของมหาเทพสงครามตนสำคัญ ฟาเบียนจึงตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาสบายใจและยอมทำงานให้เขาต่อไป “ข้าจะเลื่อนการประลองออกไปก่อน และก่อนมาที่นี่ข้าเพิ่งอนุมัติให้มีการเพิ่มเติมสัตว์อสูรในกองทัพด้วย ส่วนการฝึกเจ้าเลือกทหารที่เหมาะสมมาฝึกนำร่องได้เลย ข้าจะได้ใช้ประกอบการพิจารณาเปลี่ยนแปลง”

ข้อเสนอถูกหยิบยื่นมาอย่างง่ายดายชนิดที่ไคซัสยังประหลาดใจ เพราะฟาเบียนเป็นคนจำพวกเอาประโยชน์เข้าตัวเองกับดินแดนที่ปกครองก่อนเสมอ จึงน่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ขนาดนี้ แต่ในเมื่อยื่นข้อเสนอมาให้แล้วจะไม่รับก็น่าเสียดาย

“ตกลง เอาตามนั้นก็แล้วกัน”

“แต่ว่า...” ราชาแห่งฟ้าก้าวมาใกล้พร้อมกับแรงกดดัน “...ต้องมีความคืบหน้านะ ถ้าหากว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้วยังไม่มีความคืบหน้า ข้าจะให้ท่านจัดการประลองเหมือนเดิม”

ไคซัสพยักหน้าตอบรับ เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงเงื่อนไขนี้อย่างแน่นอน แต่ความคืบหน้าที่ฟาเบียนต้องการนั้นช่างทำได้ยากนัก เพราะทุกอย่างถูกดูดหายไปในหลุมมืด สิ่งที่เขาทำได้มีแค่ ‘รอ’ เท่านั้น

เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไคซัสก็ออกไปส่งมหาเทพจ้าวสวรรค์กับคณะด้วยตนเอง ซึ่งเขามีโอกาสได้เห็นราชาเทพเนรมิตอดีตรถม้าประจำตำแหน่งของเรมันต์ให้กลายเป็นรถกรงขังของเขากับตา เรื่องนี้จะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน ทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่เคยเงียบเลย...

“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอน ถ้ามีอะไรก็ไปตามที่นั่นนะ อัลวิน” หลังจากพวกฟาเบียนกลับไปแล้ว ไคซัสก็สั่งกับอัลล์เช่นนั้น ก่อนเจ้าของร่างใหญ่จะรุดกลับเข้าปราสาทด้วยความรวดเร็ว

เหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ ได้แต่มองตามด้วยความสงสัยว่า ทำไมเจ้านายถึงรีบร้อนนัก เพราะวันนี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไร คงมีแต่อัลล์คนเดียวที่ดูจะเข้าใจ มหาเทพสงครามคงจะรีบกลับไปบอกผลการสอบสวนคดีให้ฮาธอสรู้ เนื่องจากเพื่อนของเขายังพักอยู่ในห้องนอนของมหาเทพจ้าวตำหนัก เพื่อความสะดวกในการดูแลอาการบาดเจ็บ

ใจหนึ่ง อัลล์ก็ดีใจที่สหายของเขาเป็นที่เอ็นดูของมหาเทพสงคราม แล้วก็อยากให้เพื่อนรู้ผลการสอบสวนโดยเร็ว เพราะฮาธอสต้องกังวลเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากเรื่องนี้อีกเช่นกันที่ทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นมาว่าควรปล่อยให้ไคซัสดูแลฮาธอสต่อไปดีไหม...

...ดีแล้วหรือที่ปล่อยให้ทั้งสองตนใกล้ชิดกันแบบนี้...

--------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 02-09-2013 19:36:26
เจ็บ...

ฮาธอสถอนใจเฮือกหนึ่ง ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วหลับตาลงจดจ่อสมาธิกับลมหายใจอันถี่กระชั้นจากความทรมานของตนเอง อีกมือหนึ่งขย้ำเสื้อเหนือท้องที่ภายในปวดแสบปวดร้อนเหมือนอวัยวะภายในถูกลวกด้วยน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ทั้งที่อาการบาดเจ็บภายนอกหายสนิทแล้วแท้ ๆ แต่อาการปวดท้องอันเป็นผลข้างเคียงจากพิษแมลงไสยเวทกลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย พลังชีวิตของเขาก็ฟื้นฟูได้ช้าจนน่าตกใจ บางทีอาการบาดเจ็บครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหายดี

“ฮาธอส รู้สึกยังไงบ้าง” น้ำเสียงไพเราะเรียกขานพร้อมคำถามตบท้าย ทำให้ฮาธอสลืมตามองไคมีร่าที่นั่งอยู่ข้างกาย เธอกำลังคนยาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ แล้วป้อนให้เขา “กินยาก่อนจะได้รู้สึกดีขึ้น”

เทพคนสวนยอมทำตามที่เจ้าหล่อนบอกอย่างว่าง่าย เพราะทุกครั้งที่ดื่มยาของเธอ อาการเจ็บปวดทั้งหลายจะทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์...ไม่ได้หายไปเลย แต่อย่างน้อยก็ปวดน้อยลง...

“รู้สึกดีขึ้นแล้วขอรับ” ฮาธอสตอบหลังจากอาการปวดท้องลดลงมาอยู่ในระดับที่ทนไหว

“อีกสักช้อนแล้วกัน ยารอบนี้แรง กินสามช้อนก็พอ” ไคมีร่ากล่อมเขาอย่างกับเด็ก กระนั้นชายหนุ่มก็ยอมทำตามด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเขาเติบโตด้วยตัวเองมาตลอดจึงไม่เข้าใจว่าความอบอุ่นของแม่จริง ๆ เป็นแบบไหน พอไคมีร่ามาเอาใจใส่จึงรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้รับการดูแลจากมารดา

“ขอบพระคุณขอรับ ข้าทำให้ท่านหญิงต้องลำบากจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยู่ว่าง ๆ ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะติดโทษกักบริเวณอยู่ จะอ่านหนังสือก็เบื่อ ดูแลเจ้าแบบนี้ก็สนุกดี” ท่านหญิงพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่าย ๆ ทั้งที่การดูแลคนป่วยนั้นหนักหนาเอาเรื่องทีเดียว วันหนึ่ง ๆ เธอต้องช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อให้ ไหนจะประคองไปเข้าห้องน้ำวันละหลายรอบ มันไม่ใช่งานที่ผู้สูงศักดิ์อย่างเธอต้องทำเลย แต่เธอเด็กสาวบอกว่าสนุกดี ฮาธอสก็พูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน “แต่ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ข้าอยากตามพี่ไปดูการสอบสวนคดีของเจ้ามากกว่า อยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ถึงพี่จะดึงความทรงจำของเจ้าไปใช้แทนปากคำแล้ว แต่ฝ่ายนั้นไม่มีทางยอมโดยไม่สู้แน่ ๆ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ จิตใจที่กำลังพองฟูจากความรู้สึกเมื่อครู่ก็ห่อเหี่ยวลงราวกับลูกโป่งถูกปล่อยลม เขาก็กำลังกังวลใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะจากความทรงจำที่ติดค้างอยู่ ชายหนุ่มคาดเดาว่าหัวหน้าจอมปราชญ์น่าจะทราบว่าเขาเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้หรือยังว่าเขาเป็นน้องชายของใคร ถ้ารู้ฝ่ายนั้นคงไม่เสียเวลาเอาเรื่องนี้มาเล่นงานเขา...เล่นงานอาธอสอย่างแน่นอน

...ลำพังตัวเขาเองน่ะ จะถูกเนรเทศกลับไปอยู่แดนร้างอีกครั้งก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ไคซัสกับคนอื่น ๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย...

“หืม...ดูเหมือนจะกลับกันไปแล้ว เพิ่งจะบ่ายเอง เร็วเหมือนกันนะเนี่ย” ไคมีร่าพูดหลังรู้สึกพลังมนตราที่แข็งแกร่งกำลังเคลื่อนตัวจากไป เมื่อเทียบดูจากระดับพลังแล้ว เธอเดาว่าเจ้าของน่าจะเป็นฟาเบียนนั่นเอง

ฮาธอสกำลังอ่อนแอจึงไม่รู้สึกถึงพลังนั้น ทว่าเขาก็เชื่อสิ่งที่เธอพูดจึงผินหน้ามองนอกหน้าต่าง แม้จะรู้ดีว่าขบวนรถม้าของฟาเบียนจะไม่ผ่านตรงนั้นก็ตามที ตอนนี้เขาอยากให้มีใครสักคนมาบอกผลการสอบสวนให้รู้ จะเป็นอัลล์ หรือเซบาสเตียน ทหารสักคนก็ได้ ช่วยบอกกับเขาทีว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี ไคซัสไม่ได้เดือดร้อนตามไปด้วย จะไม่มีผู้บริสุทธิ์ถูกลงโทษ ยกเว้นคนผิด!

“นั่นแน่! กำลังคิดถึงพี่ของข้าอยู่หรือ” เทพคนสวนสะดุ้งโหยงเมื่อไคมีร่าร้องล้อเลียน ก่อนจะเบ้หน้าครั้งเสียงอ่อยเพราะเผลอเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้วยความตกใจเมื่อครู่ “ตายจริง ข้าทำให้เจ้าเจ็บเหรอเนี่ย ขอโทษนะ”

“อย่าล้อกันเล่นสิขอรับ” ฮาธอสครางเสียงอ่อน “ข้ากับมหาเทพสงครามไม่มีอะไรกันขอรับ”

“จริงเหรอ” ท่านหญิงเอียงคออย่างฉงนราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา แต่แววตาขี้เล่นนั่นบ่งบอกว่าตรงกันข้ามกันเลย “พวกเจ้าสองคนนอนอยู่ห้องเดียวกัน ใกล้ชิดกันทุกคืน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ หรือ”

“ท่านหญิง...” ฮาธอสอุทธรณ์ รู้สึกว่าหน้าร้อนฉ่าไปถึงหูเลยทีเดียว

ไคมีร่าหัวเราะชอบใจในลำคอและวางมือเหนือหัวใจที่กำลังเต้นตุ้บ ๆ ของเขา “ข้ารู้ว่าพี่ชายของข้าชอบเจ้า เพราะหินโมราแดงติดอยู่ตรงนี้” เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเธอทำให้คนฟังย่นคิ้วอย่างสงสัย ก่อนเธอจะละมือไปสนใจยาที่โต๊ะใกล้ ๆ “ไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจคำพูดของข้าหรอก เพราะสักวันหนึ่งเจ้าก็จะเข้าใจเอง ส่วนเรื่องที่อยากจะรู้ อีกสักเดี๋ยวไคซัสก็คงจะมา...” ยังไม่ทันขาดเสียงดีก็มีใครบางคนเปิดประตู “นั่นไง”

เทพคนสวนเอียงคอมองผ้าม่านตรงปลายเตียงตามสัญชาตญาณ ความกระวนกระวายก่อตัวขึ้นชั่วครู่หนึ่งของการรอคอย ก่อนะหายไปเมื่อไคซัสเบิกผ้าม่านเข้ามา ใบหน้าดุดันนั้นเรียบเฉยเสียจนฮาธอสเดาไม่ออกเลยว่าผลการสอบสวนเป็นเช่นไร

“การสอบสวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ไคมีร่าเป็นตัวแทนถามราวกับอ่านใจเทพป่วยออก อีกทั้งยังทำเสียงออดอ้อนอย่างน่ารักเสียด้วย

“จบลงด้วยดี หลักฐานของฝ่ายเราหนักแน่นทำให้ฟาเบียนเชื่อถือได้”

คำตอบทำให้คนฟังโล่งใจไปตาม ๆ กัน ไคมีร่าเอามือทาบอกแล้วถอนใจน้อย ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจเหมือนปมสุดท้ายยังไม่คลีคลายของฮาธอส ถ้าเป็นปกติเธอคงจะถามให้ แต่เห็นแววตาถวิลหาของพี่ชายแล้ว เด็กสาวก็คิดว่าควรเอาตัวเองออกจากห้องก่อนจะถูกไล่ดีกว่า

“ได้ยินแบบนี้ข้าก็โล่งอก” เธอต่อการสนทนาที่ค้างไว้อย่างแนบเนียน “ข้าจะกลับห้องก่อน ยาของฮาธอสปรุงไว้ในแก้วนั้น แต่ยามันร้อง ถ้าเขาปวดท้องอีกก็ป้อนสักสามช้อนก็พอ”

“เข้าใจแล้ว”

ไคซัสแสดงความรับรู้อย่างง่ายดาย ผิดกับฮาธอสที่มองเธออย่างอึ้ง ๆ อยากจะรั้งเธอไว้แต่ก็พูดไม่ออก เจ้าของดวงตาสีคริมสันโรสโบกมือลาด้วยรอยยิ้มหวานแล้วเดินจากไป เมื่อไคมีร่าคล้อยหลังไปแล้ว มหาเทพสงครามก็มานั่งข้างกายเทพคนสวน หยิบผ้าชุบน้ำแล้วบิดหมาดมาซับเหงื่อบนหน้าผากคนป่วยอย่างห่วง

“หน้าซีดเชียว ปวดท้องแล้วอีกแล้วหรือ”

ฮาธอสพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะดึงการสนทนากลับไปที่เดิม “ไม่ทราบว่า...”

“อา...อย่างที่เจ้าคิด” ไคซัสรู้ว่าฮาธอสกำลังจะถามอะไรจึงชิงตอบก่อน ซึ่งปฏิกิริยาก็อย่างที่คาดไว้ เทพคนสวนเบิ่งตาโพล่งราวกับกวางน้อยที่ตกใจสุดขีด เขาจึงจับมือให้กำลังใจอีกฝ่ายแน่น “อย่าเพิ่งตกใจ ฟังข้าพูดให้จบก่อน เรมันต์รู้แล้วว่าเจ้าเป็นน้องชายของเฮสเลน เพราะมีคนจำเจ้าได้ แต่เขาไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ฟาเบียนก็เลยไม่เชื่อและถือว่าเจ้าเป็นหนึ่งในลูกครึ่งเทพรัตติกาลตนอื่น ๆ ที่เขาเลื่อนขั้นมาอยู่ในมหานคร ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว”

“จริงหรือขอรับ” ดวงตาของฮาธอสยังคงเบิกกว้าง แต่เป็นไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ซึ่งเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อไคซัสพยักหน้า “ดีจัง ข้าดีใจมาก ๆ เลยขอรับ ที่ไม่มีใครต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”

“ถ้าก็ดีใจที่เห็นเจ้าสบายใจเสียที ที่นี้ก็พักผ่อนเยอะ ๆ จะได้ดีขึ้นและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมไงล่ะ”

มหาเทพสงครามก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ เทพคนสวนก็อมยิ้มบางอย่างมีความสุขเช่นกัน ฮาธอสไม่เคยนึกฝันเลยว่าการเป็นที่รักของใครสักคนหนึ่งจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ ไคซัสทั้งอ่อนโยนและแสนดีจนเขายังนึกเสียดายที่จะแย่งชิงหัวใจอีกฝ่ายมาจากสาว ๆ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกเสียใจที่มีความรู้สึกดี ๆ กับอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ตราบจนกว่าจะพบสาเหตุที่ต้องรู้สึกเช่นนั้น

“จริงสิ ข้าขอย้ายกลับไปห้องเดิมได้ไหมขอรับ” ฮาธอสถามหลังฉุกคิดขึ้นได้

“ทำไมล่ะ” ไคซัสแสดงอาการกังขาทันที ทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

“เอ่อ...ข้าเบียดเบียนที่นอนของมหาเทพตั้งหลายวันแล้ว และตอนนี้คดีของข้าก็จบลงแล้วด้วย ข้าจึงคิดว่าควรจะกลับไปพักฟื้นที่ห้องของตัวเองจะดีกว่า...”

ไคซัสทบทวนความคิดของตนกลับไปถึงคืนแรก ๆ ที่ช่วยฮาธอสกลับมาได้ เทพคนสวนที่เพิ่งได้สติก็ขอกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองเช่นวันนี้ แต่ตอนนั้นเขารั้งอีกฝ่ายไว้พร้อมให้เหตุผลว่าไคมีร่าติดโทษกักบริเวณอยู่ ไม่สามารถออกจากปราสาทใหญ่ได้จนกว่าเขาจะอนุญาต อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเรมันต์จะส่งคนมาเล่นงานอีกเมื่อไหร่ เขาจึงให้พักอยู่ที่นี่ก่อน ทว่าตอนนี้อาการของเขาก็ดีขึ้นมากพอไม่ต้องมีไคมีร่าดูแลตลอดเวลาแล้ว อีกทั้งคดีความก็จบลงแล้วด้วย เทพคนสวนคงคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะรบกวนต่อแล้ว...

“ฮาธอสกังวลเรื่องวรรณะรึ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถือ”

“มิได้ขอรับ” ฮาธอสรีบปฏิเสธ หลังได้ยินน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจของอีกฝ่าย

“หรือว่าเป็นห่วงนาซิลลา?” ไคซัสย้อนถามพลางถอนใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก เด็กคนนั้นหายดีและเริ่มทำงานเบา ๆ กับพวกนางกำนัลได้บ้างแล้ว เมื่อเช้าก่อนฟาเบียนจะมาข้ายังไปคุยกับนางอยู่ด้วย”

ฮาธอสถอนใจโล่งอกอีกหน่อยเมื่อรู้ว่านาซิลลาสบายดี ก่อนจะนิ่งแล้วรีบสะบัดหัวขับไล่ความไขว้เขว่นั้นออกไป และกล่าวปฏิเสธ

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าไง” ไคซัสตั้งคำถามพร้อมเท้ามือคล่อมเหนือตัวฮาธอส ใบหน้าโน้มลงไปอย่างคุกคามจนอีกฝ่ายกลั้นใจ ตัวแข้งทื่อ ดวงตาสีส้มวาววับคู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนนักล่าหมายตาเหยื่อจริง ๆ

“ข...ข้าเกรงว่าทุกคนจะครหาเรื่องของเราสองคนขอรับ” เขาสารภาพออกไปจนได้ และไม่สบายใจเลยที่ต้องบอกเหตุผล “ท่านคงทราบแล้วว่าธรรมเนียมสวรรค์...ไม่มีใครให้เทพตนอื่นมาอยู่ร่วมห้อง ยกเว้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน...” พูดเองกลับกลายเป็นว่าหน้าแดงไปเสียเอง ใบหน้าคมเอียงหลบไปข้าง ๆ อย่างไม่กล้าสบตา

ท่าทางเขินอายของอีกฝ่ายทำให้ไคซัสเข้าใจอะไรบ้างอย่าง เทพอสูรลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในจังหวะที่อีกฝ่ายไม่เห็นแล้วก้มลงพูดข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ว่า

“ถ้าเป็นแบบที่เจ้าพูดมาจริง เจ้าก็ไม่เห็นต้องกังวล เพราะข้ากับเจ้ามีใจต่อกันจริง ๆ นี่นา”

ฮาธอสหันหน้าขวับกลับมาด้วยอารามตกใจ ก่อนจะผงะก่อนรู้สึกตัวว่าใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ห่างคืบเดียวเท่านั้น   “ยะ...อย่าล้อเล่นสิขอรับ” ฮาธอสหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ “ถึงข้ากับท่านจะมีใจตรงกัน แต่...”

“เจ้ารังเกียจที่อยู่กับข้ารึ” ไคซัสซักไซ้ราวกับจะไล่ต้อนให้จนมุม จมูกโด่งเป็นสันแนบชิดแก้มชื่นเหงื่อแล้วไล้ไปถึงใบหูแดง ๆ ของคนใต้ร่าง “ข้าแค่อยากให้เจ้าพักอยู่จนกว่าจะแข็งแรงกว่านี้ นั่งเองได้ ยืนเองได้ เดินเองได้ ไม่ได้อยากจะทำอะไรเจ้าเสียหน่อย ถึงใจจริงจะยากก็เถอะ”

“มหาเทพ!” เทพคนสวนตะโกนอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่สมองเจ้ากรรมกลับจินตนาการถึงสิ่งที่เขาแทบไม่เคยนึกถึงเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางกาย...ระหว่างผู้ชายด้วยกัน...แค่คิดก็หน้าแดงเถือกไปถึงหู ลืมปวดท้องกันเลยเชียว

“หืม...นั่นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อใบหน้ากรุ้มกริ่มของคนข้างบนโน้นมาใกล้ ดวงตาสีส้มที่ปรากฏประกายเกล็ดพราวพรายฉายแววร้อนแรงราวกับจะหลอมละลายคนถูกมอง

“ปละ...เปล่าขอรับ ข้าน้อยยังไม่ได้คิดอะไรเลย” เทพคนสวนพลิกตัวหลบ อายจนยากแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเดา เจ้ากำลังคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนเป็นหนึ่งเดียวกันสินะ” ไคซัสไม่พูดเปล่าแต่กอดรัดตัวคนป่วยไว้แล้วประทับจูบที่หลังคอ

ฮาธอสถึงกับสะท้านยามลมหายใจร้อนผ่าวสัมผัสผิวบางตรงส่วนนั้น แล้วสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงปลายเล็บแหลมลากผ่านกลางลำตัว ทุกจุดที่เขาสัมผัสร้อนผ่าวไปเหมือน ในอกเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นรอเวลาระเบิดออกมา หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตัก เขาคิดว่าไคซัสต้องได้ยินแน่ เพราะอีกฝ่ายเลื่อนมือกลับมาวางเหนือหัวใจของเขา

“หัวใจของข้ากับเจ้าเต้นเป็นจังหวะเดียวกันเลยนะ”

“ขะ...ข้าไม่เชื่อหรอกขอรับ” ท่าทางชำนาญการขนาดนี้ มีหรือจะตื่นเต้นไปกับเทพไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านแม้แต่ผู้หญิงอย่างเขา คงจะหลอกเล่นให้ตายใจล่ะสิ

“ไม่นะ ข้าพูดจริง ๆ หันกลับมาฟังสิ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำนั้นหวานหูนัก ถ้าเป็นขนมหวานจริง ๆ คงแสบคอจนเลี่ยน กระนั้นก็ทรงพลังพอโน้มน้าวให้ฮาธอสหันกลับมาหาจนได้ ไคซัสจึงดึงศีรษะเขามาแนบอกฟังเสียงหัวใจของตัวเอง “ไง ได้ยินแล้วใช่ไหม เทียบกับของตัวเองดูสิ”

เทพหนุ่มฟังเสียงจากในอกของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ เพียงครู่ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามเหมือนมีใครตีกลองอยู่ข้างในนั้น พอเอามือทาบบนมือใหญ่ที่อยู่เหนือตำแหน่งหัวใจเขาแล้วหลับตาเปรียบเทียบดูก็พบว่ามันเต้นเป็นจังหวะเดียวกันจริง ๆ ทั้งที่แตกต่าง...แต่หัวใจกลับเป็นหนึ่งเดียวกัน

“มหาเทพ...ข้าไม่นึกเลย...” ฮาธอสเงยหน้ามองคนตรงหน้า แววตาใสซื่อนั้นบ่งบอกทุกอย่าง

“แปลกใจสินะ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน” ไคซัสเอามือทัดผมให้ฮาธอส “ทั้งที่เคยผ่านผู้หญิงมามากมาย แต่พอเป็นเจ้ากลับตื่นเต้นอย่างกับเด็กวัยรุ่น ร้อนใจอยากจะครอบครองจนแทบอดในไม่ไหว ถ้าเจ้าไม่เจ็บอยู่ล่ะก็...ข้าต้องกลืนกินเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นแน่”

“โธ่...อย่าล้อเล่นสิขอรับ” เพราะคำพูดชวนหวิวใจนั้นทำให้เทพคนสวนรู้สึกเหมือนถูกแกล้ง

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ อยากให้พิสูจน์ไหม” มหาเทพสงครามขยับตัวมาอยู่เหนือฮาธอสอีกครั้งแล้วมอบจุมพิตลึกล้ำที่ปัดเป่าทุกถ้อยคำอุทธรณ์ให้หายไปจากหัวสมองชายหนุ่ม มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วตัวสลับถ่ายพลังเยียวยาบรรเทาอาการปวดท้องที่ยังคงอยู่ไปด้วย เขาตั้งใจจะพิสูจน์คำพูดของตัวเองจริง ๆ

ฮาธอสดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนใหญ่ ตื่นตกใจกับการกระทำของไคซัสเหมือนลูกกวางน้อยที่ถูกราชสีห์ตะครุบไว้ แต่จูบอันอ่อนหวานก็โน้มนำให้เขาคล้อยตามไปจนได้ ร่างสูงโปร่งยังคงสะท้านทุกคราที่ไคซัสถ่ายพลังเข้ามา ในอ้อมแขนของผู้ชำนาญสัมผัสรัก เขาไม่ต่างอะไรกับกวางน้อยไร้เดียงสาที่เต้นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย ตัณหาและราคะส่องสุมในใจดั่งไฟร้อนที่ค่อย ๆ ลุกโหมเผ่าผลาญสติสัมปชัญญะให้มอดไหม้อย่างช้า ๆ จนชายหนุ่มนึกกลัวเหลือใจ...กลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและอ้อนวอนให้อีกฝ่ายกอดเสียเอง...

“มหา...” ฮาธอสเผยอปากด้วยความตั้งใจบางอย่าง แต่มีอันต้องขาดห่วงเมื่อเสียงประตูห้องรัวและแรงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ประหนึ่งระฆังชั่วชีวิตจากความปรารถนาส่วนตัว

“อะไร!” ไคซัสโงหัวขึ้นตะโกนถามไป ท่าทางไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะอย่างมาก ผิดกับคนในอ้อมแขนที่นอนหน้าแดงเถือกกับความคิดบ้า ๆ เมื่อครู่ของตนเอง

“เรียนมหาเทพไคซัส มีแขกสำคัญมาขอพบขอรับ” เสียงอัลล์ตะโกนเข้ามา น้ำเสียงฟังดูร้อนรนมากทีเดียว

“ให้ไปรอที่ห้องทำงานก่อน!” กล่าวอย่างไม่สนใจและหันกลับมาตั้งท่าจะกอดฟัดฮาธอสอีกรอบ

“แต่ว่า...อ๊ะ!”

เสียงร้องของนายทหารหนุ่มขาดหายไปพร้อมกับเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา ไคซัสลุกพรวดขึ้นเตรียมจะเล่นงานใครก็ตามที่บังอาจบุกห้องนอนของเขาด้วยความโกรธ ทว่าทันทีที่ผ้าม่านถูกสะบัดเปิดโดยชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าคมคายเด่นด้วยดวงตาสีน้ำตาลทองคมสวยแบบหนุ่มอาหรับ เทพอสูรหนุ่มก็ชะงักไปด้วยความตกใจ อัลล์ที่วิ่งตามเข้ามาหยุดมองเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 11 up 31/08/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 02-09-2013 19:42:40
“ดาริค!”

“สวัสดี...โอ๊ะโอ่ ดูเหมือนข้าจะมารบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้าสินะ” หลังทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มโทนเทอร์เนอร์ที่น่าหลงใหลแล้ว ผู้มาเยือนก็เอียงคอมองฮาธอสที่นอนเหงื่อตกบนเตียง คงเพราะเห็นว่าอีกตกใจมาก เขาจึงส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ซึ่งเทพคนสวนยิ้มตอบแบบไม่แน่ใจนัก

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ” ไคซัสถามเสียงเขียว ไม่รู้ว่าโกรธหรือตกใจมากไปกว่ากัน

“มารับไคมีร่าไง ท่านลืมแล้วหรือ ไคซัส” ดาริคตอบสบาย ๆ แต่กลับทำให้มหาเทพสงครามกุมขมับ เพิ่งนึกได้ว่าไคมีร่าเคยบอกแล้วว่าดาริคจะมารับในอีกสองสามวัน ทว่าตอนนี้มันเกินสองสามวันมาแล้วนี่นา! “แต่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นพอดี ข้าเพิ่งได้รับอนุญาตให้ขึ้นสวรรค์วันนี้เอง แล้วก็...”

ชายหนุ่มเว้นช่วงแล้วถอดกระเป๋าเป้ให้ไคซัสดู เพียงแค่เห็นมันหัวใจของฮาธอสถึงกับกระตุกแรงจนรู้สึกเจ็บ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในนั้นกำลังเร้าสายเลือดดำมืดในตัวเขาให้สูบฉีดไปทั่วร่าง

“ข้าเอาของมาที่ท่านอยากได้ด้วย หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่านต้องขึ้นสวรรค์ไงล่ะ”

------------------

เฮ้อ..............................................แวบมาได้แปบหนึ่ง แวะมาอัพนิยายซะเลย

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya รางวัลฮับ รางวัล ไคซัสเขาฉวยโอกาสครับ XD

คุร padang แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย........!!!! มีคนมองเห็นความบังเอิญ (ที่นักเขียนเหมือนจะจงใจทำให้กิดขึ้น) นี้ด้วย

ใช่แล้วฮับ ไคซัสและฮาธอสต่างก็เกิดในดินแดนที่สวรรค์ไม่ยอมรับทั้งคู่

ไคซัสเกิดในแดนมนุษย์ของมิติเอมมาลูน่า
ฮาธอสเกิดในแดนร้างอันเป้นแดนนรกของสวรรค์

ต่างกันแค่ ไคซัสเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่แปดเปื้อนด้วยความมืดของดินแดนเบื้องล่าง ส่วนฮาธอสเป็นเลือดผสมฮับ นิสัยแสนดี๊แดสนดีเลยเนอะ

คุณ อายทำไม รางวัลนี้ออกจะเล็กน้อยในสายตาของไคซัสนะครับ เพราะเขาอยากได้รางวัลที่ถึงใจกว่านั้นอีก (ฮา) แต่ผมเขียนสวรรค์ได้ร้ายมาก ขนาดที่มีนักอ่านเกลียดเทพไปหมดแล้ว (แอบปลื้ม) ตอนนี้กลับมาอัพต่อได้แล้ว แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่อัพนะฮับ เพราะไม่ว่าง ฮ่าๆ XD
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 03-09-2013 03:47:17
แล้วฮาธอสจะกลายเป็นตัวร้ายเหมือนแฝดของเค้าไหมคะ อยากรู้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 03-09-2013 20:02:53
บทที่ 13 การล่อลวงจากรัตติกาล

- 50% -

“หึ หึ หึ...”

เสียงหัวเราะของดาริคก้องกังวานตัดกับความเงียบในห้องทำงานของไคซัส ผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานปรายตามองอย่างไม่ชอบใจเอาเลย ห่างมือเขาไม่ไกลมีห่อผ้าไหมสีเหลืองทองทรงสี่เหลี่ยมวางอยู่ด้วย แต่คนที่กำลังมีความสุขกับภาพในหัวสมองจะสนใจหรือก็หาไม่ เขายังคงหัวเราะต่อไป ซ้ำยังขยายรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วย

“เลิกหัวเราะสักที แล้วก็รอยยิ้มน่าเกลียดนั่นอีก!” ไคซัสทนไม่ไหวโยนเอกสารทิ้งลงบนโต๊ะดังปัง

“ไม่เอาน่า อย่าโมโหโกรธาไปหน่อยเลย แค่ข้าบังเอิญไปเจอท่านอยู่บนเตียงกับคนรักเอง” ดาริคย้อนถามเสียงใสพร้อมส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้ เทพอสูรที่ต้องรับไว้ถอนใจอย่างเซ็ง ๆ

เนื่องจากอสูรส่วนมากวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่หลอมรวมกับอำนาจธรรมชาติ หรือไม่ก็ผสมกับปีศาจจนออกมาเป็นอสูร หรืออมนุษย์ที่ถือกำเนิดอย่างผิดปกติ ทำให้ประชากรในเผ่านี้มีความคิดบนพื้นฐานของสัญชาตญาณสัตว์ป่า น้อยตนที่จะกำเนิดมาโดยมีสติปัญญาเทียบเท่าหรือเหนือมนุษย์ติดมาด้วย

ดาริค อานเดลล์เป็นหนึ่งในอสูรที่มีสติปัญญาสูงส่ง เขากำเนิดในตระกูลอสูรนกอินทรีดำระดับสูงและมีความสามารถหลายด้าน ไคซัสจึงดึงตัวมาเป็นราชเลขาส่วนตัว กฎหมายฉบับแรกถูกตราใช้ในอาณาจักรได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของเขา แผนการพัฒนาดินแดนอีกหลายแผนก็เกิดขึ้นจริงได้ด้วยฝีมือของคนผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นสหายและขุนนางคู่บารมีของไคซัสเลยก็ว่าได้ ต่อไปในอนาคตเขาจะเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลไคมีร่าจนกว่าจะปกครองอาณาจักรได้ด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นอสูรตนเดียวที่ปราบเธอได้อยู่หมัด หากว่าไม่นับรวมไคซัสด้วย

“น่าแปลกใจนิดหน่อยที่เป็น ‘ผู้ชาย’ แต่จากที่ข้าดูเขาก็ตรงกับที่ไคมีร่าทำนายไว้นะ ที่ว่า ‘โอปอลสีฟ้าของเจ้าอยู่บนสวรรค์’ น่ะ” สหายหนุ่มยิ้มหวานแฝงอาการล้อเลียนในที

“เลิกล้อข้าสักที ยังไม่รู้สักหน่อยว่าฮาธอสเป็นโอปอลชิ้นนั้นหรือเปล่า” ไคซัสตอบปัดเพื่อเลี่ยงหัวข้อนี้

“แหม...พูดแบบนี้ก็มีลุ้นน่ะสิ ข้าหวังว่าเขาจะ ‘ใช่’ นะ เพราะข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุขเสียที” ดาริคยิ้มบางซึ่งสื่อความหมายจริงใจตรงกับคำพูดของเขา

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน” มหาเทพสงครามโบกมือเป็นสัญญาณเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจริง ๆ สักที “ไหนลองบอกมาสิว่า มีเหตุผลอะไรบ้างที่จะทำให้ข้าไม่เล่นงานเจ้าหลังบุกเข้ามาในห้องนอนอย่างอุกอาจแบบนั้น อย่าคิดโยนความผิดให้อัลวิน เขาต้องเตือนเจ้าแล้วว่าข้ากำลังพักผ่อนอยู่!”

เพราะการดักทางอย่างรู้ทันในตอนท้าย ทำให้ดาริคต้องปิดปากและถอยหลับไปตั้งหลักใหม่ กระนั้นมันก้ทำให้เขารู้ว่าต่อให้ไคซัสย้ายไปอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาจะสังเกตอุปนิสัยใจคอของข้ารับใช้ใกล้ชิดทุกคน และใครก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับความภักดีกลับมาสูงก็จะเก็บไว้ข้างตัว แน่นอนว่าเขาเองก็เคยโดนมาแล้วเหมือนกัน จึงรู้ดีว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงคำถามของอีกฝ่ายได้

“เพราะข้าเอาข่าวมาจากโลกเบื้องล่างด้วยน่ะสิ ข้าคิดว่าท่านคงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ริมฝีปากหนาได้รูปของไคซัสเหยียดยาวเป็นรอยยิ้มอย่างชื่นชม สมแล้วที่คบหันมานาน ดาริครู้จักและรู้ใจเขามากกว่าใคร ถ้าเป็นเหตุผลนี้ก็ล่ะก็...ไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ แต่ยังได้รับการอภัยโดยไม่ต้องพูดอีกด้วย

“ว่ามาสิ ช่วงข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ค่อนข้างวุ่นวายเอาการ” สีหน้าของดาริคเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาเปิดกระเป๋าเป้ที่วางข้างเก้าอี้แล้วหยิบบันทึกปกขาวมาวางต่อหน้าอดีตราชาอสูร “ในสงครามครั้งก่อนขุนพลเทพที่ชื่อ ‘เซย์เรียโน่’ ทำลายกองทัพปีศาจเสียสิ้น จอมปีศาจไม่พอใจมากจึงสั่งให้สะสมกำลังใหม่ทุกวิถีทาง ไม่เกี่ยงแม้แต่ปลุกศพมนุษย์ที่ตายแล้วมาทำเป็นตุ๊กตาสงคราม ส่วนฝ่ายเรา หลังจากที่เจ้าขึ้นสวรรค์มาแล้ว ทางชายแดนก็ตึงเครียดเอาการ แต่เพราะเจ้าไปคุยกับจ้าวยมโลกไว้แล้วและเตรียมแผนรับมือไว้ด้วย พวกมันจึงยังไม่กล้าลงมือ”

ไคซัสรับฟังด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่นัก เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนจะขึ้นสวรรค์แล้ว มือใหญ่เลื่อนไปหยิบบันทึกมาเปิดอ่านรายละเอียดอย่างคร่าว ๆ ซึ่งสหายของเขาเขียนสรุปทุกเหตุการณ์ได้สั้นกระชับ กระนั้นก็ครอบคลุมรายละเอียดสำคัญทั้งหมด

“แต่ว่า...” น้ำเสียงเครียดขึงเรียกสายตาของไคซัสให้ตวัดกลับไปหาเพื่อน “...เรื่องที่ข้ากังวลที่สุดก็คือพลังมืดที่กำลังแผ่อิทธิพลอย่างหนักในโลกมนุษย์ พวกปีศาจคงกำลังวางแผนใช้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์เป็นแรงเสริมในการยึดครองดินแดน ท่านคงรู้ว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอและอ่อนไหวแค่ไหน ถ้าพวกเขารับอิทธิพลด้านมืดมากเกินไป มิติเฮมอสคงไม่ต่างกันนรกในรัตติกาลแน่นอน”

มหาเทพสงครามเปิดบันทึกไปยังหน้าต่อไปซึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้พอดี เจ้าของร่างสูงใหญ่ใช้เวลาอ่านสักครู่ก็ส่ายศีรษะเป็นเชิงไม่ยอมรับ

“ฟาเบียนไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอก เจ้านั่นหวงแดนมนุษย์ของเฮมอสอย่างกับอะไรดี” ไคซัสว่า

อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกที่เทพกับปีศาจมาก่อสงครามกัน เพียงเพื่อแก่งแยกดินแดนเล็ก ๆ ในสายตาของพวกเขา แต่มันก็เพราะโลกมนุษย์ของเฮมอสนั้นแตกต่างจากของมิติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมกันของพลังธรรมชาติในจักรภพจนกระทั่งเกิดเป็นโลก แผ่นดิน ท้องฟ้า สายลม และสรรพชีวิตซึ่งวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติของมันเอง

แต่โลกมนุษย์ของมิติเฮมอสนั้นถูกสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของเทพเจ้าผู้สร้างกับจอมราชาปีศาจ ซึ่งในทางการเมืองถือเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการร่วมมือกัน ทว่าหลังสร้างเสร็จได้ไม่นานก็เกิดความแตกแยกระหว่างองค์เทพกับจอมมารจนได้ ฝ่ายแรกต้องการให้โลกมนุษย์วิวัฒนาการไปด้วยตัวของมันเอง โดยมีเทพเป็นคนกำกับชะตากรรมอย่างมิติอื่น ๆ แต่ฝ่ายหลังกลับต้องการปกครองในฐานะของคนที่สร้างขึ้นมา ผลที่ตามมาก็คือ ‘สงคราม’ ที่ดำเนินมาหลายชั่วรุ่นและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ

“นั่นสินะ แต่จะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปล่อยวางเสียก็ไม่ได้ด้วย ดันเป็นดินแดนที่มีความหมายต่อแต่ละฝ่ายมากนี่นะ” ดาริคยิ้มเย้ยหยันระคนเบื่อหน่าย “เมื่อไหร่จะจบสักทีหนอ”

“เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อยยับกระมัง” ไคซัสตอบง่าย ๆ ราวกับว่ายังไงก็ได้ “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

“มี!”

แล้วทั้งสองก็พูดคุยกันไปอีกหลายเรื่อง เริ่มจากความเคลื่อนไหวของกองทัพปีศาจในดินแดนต่าง ๆ ของโลกเบื้องล่างต่อจากเมื่อกี้ ดาริคได้อธิบายเพิ่มเติมว่าอาณาจักรใดบ้างที่มีแนวโน้มจะถูกอำนาจของเผ่าปีศาจครอบงำ ตลอดจนถึงท่าทีของเหล่าผู้นำอาณาจักรมนุษย์ที่มีต่อเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะมุ่งเสริมกำลังเพื่อปกป้องตัวเองก่อน มีเพียงไม่กี่กลุ่มที่ผนึกกำลังกันเพื่อต่อต้านมารร้าย

ไม่นานหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องภายในเผ่าอสูร ซึ่งส่อเค้าความวุ่นวายให้เห็น เนื่องจากไคซัสขึ้นสวรรค์อย่างกะทันหัน โดยบอกไว้แค่ว่าไคมีร่าผู้เป็นน้องสาวจะรับหน้าที่ราชินีต่อจากเขา แน่นอนว่าเหล่าขุนนางย่อมเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่เพราะไคมีร่าก่อเรื่องใหญ่ขึ้น ขุนนางบางกลุ่มจึงเริ่มไม่เห็นด้วย แม้จะมีการชี้แจงแล้วว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วก็ตามที แต่ไคซัสกลับไม่ได้ออกความเห็นมากไปกว่าบอกว่า มันเป็นปัญหาที่ไคมีร่าต้องจัดการเอง

“จัดการเอง? ให้เด็กดื้อนั่นไปจัดการเองเนี่ยนะ!” ดาริคร้องอย่างตื่นตระหนกระคนไม่อยากเชื่อ “เจ้าก็รู้ว่าไคมีร่าไม่อยากเป็นราชินี นางถึงต่อต้านด้วยการหนีขึ้นสวรรค์มาท่านจนเกิดเรื่องใหญ่โต ถ้าให้นางจัดการเองคงเกิดหายนะแน่ ๆ!”

“ไม่หรอกน่า”

“ใช่สิ!” หากกระแสเสียงที่เถียงกลับมานี้มีแค่ของดาริคก็คงไม่น่าแปลกใจนัก แต่นี่มีเสียงไพเราะของไคมีร่าปะปนมาด้วย อสูรหนุ่มทั้งสองจึงหันมองต้นเสียงพร้อมกัน ไคมีร่าก้าวเข้ามาพร้อมดึงประตูปิดดังปังใหญ่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอัลล์กับทหารที่เฝ้าข้างนอกต้องสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กันใบหน้าพริ้มเพลาบูดบึ้งหลังจากได้ยินคำพูดของพี่ชายเมื่อกี้

“ข้าขอยืนยันอีกครั้งว่า ข้าไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน พี่ลาออกจากตำแหน่งมหาเทพสงครามแล้วกลับบ้านเรากันเถอะนะ” เด็กสาวเดินมาจับแขนพี่ชายเขย่าอย่างเว้าวอน

“เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ ไคมีร่า” เพียงประโยคเดียวที่พี่ชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไคมีร่าก็เงียบแล้วทำหน้าหมองนิดหน่อยก่อนสะบัดหน้าเชอะไปอีกทางอย่างขัดเคืองใจ ผิดกับดาริคที่ผิวปากอย่างชื่นชม เรื่องของพี่น้องควรให้จัดการกันเองจะดีที่สุด กระนั้นเจ้าตัวก็รู้ดีว่าคำพูดนั้นส่งมาถึงตัวเองด้วย “ว่าแต่ลงมานี่มีเรื่องอะไรรึ หรือว่าอยากมาเจอดาริค?”

“เผื่อว่าข้าจะได้ลากตัวกลับไปสะสางบัญชีที่ก่อไว้ไงล่ะ” ดาริคกอดอกยิ้มหวาน แต่สายตากลับสาดรังสีอำมหิต ในฐานะพี่เลี้ยงของว่าที่องค์ราชินีแห่งเผ่าอสูร เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมากทีเดียว

“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย ข้าลงมาเพราะเรื่องฮาธอสต่างหาก” ไคมีร่าร้องหลังวิ่งไปหลบหลังพี่ชาย เพราะผวาสายตาของดาริคและรู้ในตอนนี้เลยว่าเมื่อกลับเผ่าแล้วจะต้องเจอกับการลงโทษแบบไหนบ้าง

ไคซัสย่นคิ้วแล้วเอี้ยวตัวไปถามน้องสาวด้วยสีหน้าร้อนใจ “ฮาธอสเป็นอะไรไป”

“เขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก ตอนนี้กินยาแล้วก็พักผ่อนแล้วล่ะ” ไคมีร่าบอกเรื่องที่จะทำให้ไคซัสสบายใจก่อน สมแล้วที่เป็นน้องสาวที่รักพี่ชายอย่างสุดหัวใจ “แต่ว่าพวกท่านไปพูดอะไรต่อหน้าฮาธอส เขาถามข้าใหญ่เลยว่ารู้เหตุผลที่ทำให้พี่ไคซัสขึ้นสวรรค์ไหม และรู้ไหมว่าดาริคเอาอะไรมาให้กับพี่ ดีนะว่ายาออกฤทธิ์พอดี ข้าก็เลยไม่ต้องตอบ” เพราะต่อให้ต้องตอบก็มีแต่คำว่า ‘ไม่รู้’ เท่านั้น เด็กสาวคิดอย่างหงุดหงิดโดยไม่ได้พูดออกไป

ดาริคเบือนหน้ามองสหายผู้สูงศักดิ์ด้วยความสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะหัวข้อดำเนินมาถึงเรื่องที่เจ้าตัวอยากเลี่ยงมากที่สุดถึงสองเรื่องด้วยกัน แต่ต้นตอของปัญหาจริง ๆ มาจากการที่ไคซัสไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตัวเองนั่นแหละ ไคมีร่ากับเหล่าขุนนางเรื่อยไม่ถึงประชาชน ไม่มีใครได้รู้เหตุผลที่ทำให้ไคซัสขึ้นสวรรค์แม้แต่คนเดียว ยกเว้นเขา...ดาริคที่ได้คุยกับราชาอสูรเป็นตนสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นสวรรค์

“ถ้าเขาถามอีก...ก็บอกไปว่า ข้าทำเพื่อเผ่า” คำตอบที่หลุดจากปากของเทพอสูรปากหนักอย่างง่ายดาย เล่นเอาคู่สนทนาตกตะลึงพึงเพริศไปตาม ๆ กัน “พวกเจ้าก็รู้ดีว่าแดนอสูรตั้งขวางช่องมิติที่ใช้ขึ้นสวรรค์ได้ ทางเดียวกับที่ไคมีร่าใช้ขึ้นมานั่นแหละ ก่อนข้าจะนั่งบัลลังก์ เผ่าปีศาจโจมตีเผ่าอสูรบ่อย ๆ ก็เพื่อใช้เส้นทางนี้”

“แต่ข้าได้ยินว่าหลังพี่นั่งบัลลังก์และเอาชนะกองทัพปีศาจได้อย่างเด็ดขาด พวกมันก็ไม่เคยมายุ่งกับเราอีกเลยนี่นา” ไคมีร่าย้ายกลับมายืนต่อหน้าพี่ชาย หน้าตาแตกตื่นด้วยความตกใจและไม่เข้าใจระคนกันไป เธออาจเกิดไม่ทันเรื่องราวในช่วงนั้น แต่ก็ได้ยินขุนนางกับประชาชนสรรเสริญความดีข้อนี้ของเขาจนชินหู เธอจึงเชื่อมั่นมาตลอดว่าเผ่าปีศาจไม่มีทางทำอะไรพวกเธอได้ ถ้าหากว่าไคซัสยังคงปกครองเผ่าอสูรอยู่

“เพียงแค่นั้นยังรับประกันอะไรไม่ได้หรอก ไคมีร่า เจ้าลองนึกดูแล้วกันว่าถ้าวันใดวันหนึ่งเผ่าปีศาจเอาชนะสวรรค์และได้โลกมนุษย์ไปครอบครอง หรือแม้แต่ยึดครองสวรรค์ได้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป” ไคซัสเลิกคิ้วอย่างสงสัยให้น้องสาวที่นิ่งไป ชายหนุ่มรู้ว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ไม่เพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวของเขา แต่เธอยังเป็นว่าที่ราชินีแห่งเผ่าอสูรอีกด้วย กระนั้นมหาเทพสงครามยังพูดต่อเพื่อตอกย้ำมันไว้ในใจเธอ “ใช่แล้วล่ะ เมื่อใดก็ตามที่มันครอบครองโลกมนุษย์ได้ แม้จะแค่ระยะเวลาสั้น ๆ มันก็จะเล่นงานเราที่เป็นก้างชิ้นโตขวางคอมันมาตลอด เมื่อถึงตอนนั้นความเสียหายจะมากกว่าตอนที่ข้าเอาชนะกองทัพปีศาจได้เสียอีก”

“ไม่หรอกน่า...” ไคมีร่ายังดื้อ แย้งด้วยความหวังอันมืดมน

“เราไม่รู้อนาคตนะ ไคมีร่า” ดาริคพูดขึ้นมาบ้าง “ไคซัสเองก็ไม่สามารถปกป้องเผ่าอสูรได้ชั่วชีวิตด้วย การสร้างพันธมิตรที่หยั่งยืนถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด มหาเทพจ้าวสวรรค์คงเล็งเห็นข้อนี้ถึงได้พยายามเชิญไคซัสมารับตำแหน่งมหาเทพสงคราม...”

“สวรรค์อาจไม่ใช่ดินแดนที่ดีที่สุด แต่สำหรับเราที่ไม่รู้ว่าอันตรายของเผ่าปีศาจจะย้อนมาอีกเมื่อไหร่ถือเป็นมิตรที่ดีที่สุด การขึ้นสวรรค์ของข้าก็เพื่อทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งสองดินแดนแน่นแฟ้นขึ้น และยังเพื่อเสริมกำลังให้กองทัพที่กำลังอ่อนแอของสวรรค์ด้วย” นั่นคือเหตุผล ‘ส่วนแรก’ ที่ทำให้ไคซัสตัดสินใจขึ้นสวรรค์ อีกส่วนนั้นเกี่ยวกับ ‘ของ’ ที่ดาริคเอาขึ้นมาด้วย แต่เขาตั้งใจว่าจะยังไม่พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอีกจนกว่าจะถึงเวลา

“เหรอ...” น้ำเสียงเศร้าสร้อยลอยขึ้นมา เรียกสายตาของพวกผู้ชายไปหาไคมีร่าอีกครั้ง เด็กสาวยืนก้มหน้านิ่ง แพขนตายาวหลุบต่ำราวกับต้องการปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงตาคู่สวย “...อย่างนี้เอง ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“นั่นเพราะข้าไม่ได้บอกเจ้าต่างหาก อย่าร้องไห้เลยนะ” ไคซัสเห็นความผิดปกติจึงรีบลุกไปเพื่อปลอบเธอ แต่ตอนกำลังจะถึงตัวเธอ เด็กสาวกลับเงยหน้าขึ้นมายิ้มร่าอย่างล้อเลียนให้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ติดกับข้าซะแล้ว พี่ชาย” ไคมีร่ากอดท้องหัวเราะกับใบหน้างงเป็นไก่ตาแตกของคนเป็นพี่ ก่อนค่อย ๆ หยุดแล้วปาดน้ำตาที่ซึมมาด้วยความขำ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ทำให้ข้าเสียใจหรอกน่า และมันยังทำให้ข้าเข้าใจอะไรต่อมีอะไรมากขึ้นด้วย” พูดแล้วเงยหน้ายิ้มเป็นผู้ใหญ่ให้ไคซัส “แต่ว่านะ ถึงท่านจะขึ้นสวรรค์แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้นำที่ห่วงใยและใส่ใจถึงราษฎรเสมอ พวกเราชาวอสูรแห่งเฮมอสโชคดีมากที่มีท่านเป็นราชา ขอบคุณมากนะเจ้าคะ เอาล่ะ ข้าไม่กวนพวกท่านแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

“ไคมีร่า!” มหาเทพสงครามร้องเรียกไว้ทันทีที่น้องสาวหันหลังวิ่งจากไป เธอชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาและก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตาเขา ทิ้งให้พี่ชายยืนตกใจกับท่าทางอันผิดปกติของเธอ พอตั้งสติได้ใบหน้าดุดันก็เบือนไปหาสหาย “ดาริค!”

“รู้แล้ว ๆ ข้าจะไปคุยกับนางเอง” นกอินทรีอสูรตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชินชากับการต้องเป็นกาวประสานใจระหว่างพี่น้องเสียแล้ว “แต่นั่นก็หลังจากที่ข้าคุยเสร็จแล้ว ท่านเจอสิ่งที่ตามหาหรือยัง”

“ยังเลย” ไคซัสเอามือลูบหน้าผาก ปรับอารมณ์ให้กลับมานิ่งเหมือนเดิม แต่ต้องยอมรับว่าท่าทางของน้องสาวเมื่อกี้ทำให้เขาช็อกมาก “แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาพอจะบอกได้ว่าสิ่งที่ข้าตามหาอยู่ในสวรรค์นี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน มันส่งลิ่วล้อมาอย่างเดียวและยังถูกทำลายก่อนจะตามรอยเจอเสียด้วย”

“ท่านคิดว่า ‘เจ้าของสิ่งนั้น’ อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดรึ?” ดาริคขมวดคิ้วขณะคาดเดาความคิดของสหายไปด้วย เพราะไคซัสไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของตัวเอง เขาจึงต้องประติดประต่อเอาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวอีกฝ่าย แต่จะได้ผลตรงกับความคิดหรือเรื่องราวแท้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ข้า...ไม่แน่ใจนักหรอก ถึงได้ให้เจ้าเอา ‘ของ’ มาให้ไงล่ะ” ขณะพูดประโยคนี้ จิตใจของไคซัสก็กลับมาสงบและมั่นคงอีกครั้ง แต่ในสายตาคนมองนั้น สีหน้าของเทพอสูรหนุ่มติดจะเจ็บปวดเล็กน้อย ทว่าเพราะเกิดขึ้นหลังไคมีร่าหนีไปพอดี ดาริคจึงคิดว่าสหายคงเสียใจติดพันมาจากเรื่องนั้น “ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่ข้าคิด มันจะต้องหาทางมาเอา ‘ของ’ ไปอย่างแน่นอน”

“วิธีการนี้จะเสี่ยงไปหน่อยหรือเปล่า” ดาริคมองห่อผ้าสีทองบนโต๊ะทำงานไคซัสอย่างไม่สบายใจ นึกย้อนไปถึงช่วงก่อนเพื่อนคนนี้จะขึ้นสวรรค์ ซึ่งอีกฝ่ายได้พูดเรื่องหนึ่งไว้กับเขา “การเปลี่ยนแปลงของสวรรค์ที่เจ้าสัมผัสจากแดนอสูรอาจเกิดขึ้นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอเองก็ได้”

“ถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอด้วยตัวของมันเอง แมลงไสยเวทคงไม่วิ่งพล่านไปทั่วอย่างนี้ ที่สำคัญพลังมืดที่ข้าสัมผัสได้คงไม่มีแค่หนึ่งเดียวด้วย” ความเงียบปรากฏในอึดใจที่มหาเทพสงครามสบตากับเพื่อน “ข้ารู้สึกถึงมันตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ พลังมืดที่ร่วมกับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านตัวตนของข้า ขนาดค้นหาด้วยการตรวจสอบเขตแดนก็แล้ว ย้อนรอยด้วยแมลงไสยเวทก็แล้ว แต่ก็ยังไม่พบที่มาของมันอยู่ดี มีบางสิ่งบางอย่างขวางระหว่างข้ากับเจ้าสิ่งนั้น”

“เพราะอย่างนั้นท่านถึงแสวงหาทางอื่นสินะ แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีนำภัยมาหาตัวเองแบบนี้ และท่านเองก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงด้วยมิใช่หรือ” ดาริครู้ว่าวิธีการพูดของตนฟังดูเจาะจงและคาดคั้นจนเกินไป ทว่าถ้าไม่ทำแบบนี้เขาก็คงไม่มีวันรู้ว่ามหาเทพสงครามคิดอะไรอยู่

แน่นอนว่าไคซัสเข้าใจจุดประสงค์ของเพื่อนดี จึงมิได้รู้สึกขัดเคืองหรืออนาทรร้อนใจกันใด ตรงกันข้ามเขากลับอยากระบายความอัดอั้นซึ่งก่อตัวแน่นในอกเมื่อไม่นานมานี้ออกไปบ้าง เทพอสูรหนุ่มผินหน้าไปทางตะวันออกพลางเปรยออกมา

“ในตำหนักนี้มีเทพที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงอยู่สองตน ซึ่งข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนไหนจะทำให้ข้าสมความปรารถนา สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือ...วิธีการของข้าจะทำให้เทพสองตนนั้นต้องพบกับความเจ็บปวด...”

เป็นครั้งที่สองของวันที่ดาริต้องตกตะลึงพึงเพริศหลังได้ยินคำตอบของไคซัส น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเสียใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มบางเบาอย่างแสนเศร้า...และแววตาเจ็บปวดลึกซึ้ง...แทบไม่เหมือนเทพอสูรผู้หยิ่งทระนงแฝงด้วยความป่าเถื่อนที่เคยจำได้แม้แต่น้อย

ตั้งแต่รู้จักกันมาไคซัสไม่เคยแสดงความรู้สึกให้ใครเห็นมาก่อน ยกเว้นเพียงเรื่องของน้องสาวซึ่งก็ไม่บ่อยนัก การที่เขายอมเปิดเผยความรู้สึกขนาดนี้แสดงว่าภายในคงอัดแน่นไปด้วยอารมณ์นั้น เพียงแต่...จะเป็นไปด้วยสาเหตุใดล่ะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเทพสองตนที่ว่านั่นเป็นใครด้วย นี่ไคซัสกำลังเวทนาแทนเทพสองตนนั้น หรือเสียใจที่ต้องใช้แผนการนี้ หรือทั้งสองอย่างกันแน่...

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร...สัญชาตญาณจากส่วนลึกบอกกับดาริค...ว่าควรสวดภาวนาอย่าให้คนที่ถูกหลอกใช้นั้นเป็นเทพในดวงใจของไคซัสเลย

---------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 03-09-2013 20:07:49
- 98% -

ท้องฟ้าส่องแสงแปลบปลาบยามอสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วหุบเขาแห่งแดนร้าง สายฝนสาดซัดไปทั่วไปราวกับน้ำตาแห่งสรวงสวรรค์ กระแสลมพัดแรงจนเกิดเสียงอื้ออึงน่าพรั่นพรึงยิ่ง ทั่วท้องฟ้าอาเพศเต็มไปด้วยวิญญาณสีดำบินว่อนพลางส่งเสียงกรีดร้องราวกับมิใช่ส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์

...ใช่...แม้จะอยู่บนสวรรค์ก็มิใช่สวรรค์ แต่เป็น ‘แดนร้าง’ เขตเนรเทศของนักโทษสวรรค์!

ฮาธอสพบตัวเองอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ที่เพดานสูงกว่าศีรษะของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีน้ำตาลเก่า ๆ ขาด ๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุนหลายแห่ง แขนเสื้อข้างซ้ายถูกกระชากขาดไปครึ่งหนึ่งเผยลำแขนขาวที่ชุ่มเลือดที่ไหลจากบาดแผลถูกฟันขาดใหญ่ตรงหัวไหล่ ดวงตาสีน้ำเงินกลอกมองซ้ายขวาด้วยความตกใจสุดขีด

‘ทำไม’ สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่เกือบจะอยู่ในโทนเดียวกับของเขาดังมาจากข้างหน้า ฮาธอสตกใจสะดุ้งโหยงและเงยหน้ามองไปยังเงาร่างเทพที่เร้นกายอยู่กำแพงโปร่งแสง แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่มันก็แผ่รังสีแห่งความเคียดแค้นชิงชังออกมาจนสัมผัสได้ ‘...ทำไม...ฮาธอส! ข้าทำเพื่อพวกเรา ทำไมเจ้าถึงคอยขัดขวางข้า!’

‘เพราะสิ่งที่ท่านทำมันผิดน่ะสิ ข้าถึงห้าม’ ฮาธอสตอบกลับไปด้วยคำพูดที่เอ่ยมานับครั้งไม่ถ้วน

‘แล้วที่พวกมันทำกับเราไม่ผิดหรือ!’ น้ำเสียงที่มีแต่ความแค้นคาดคั้นกลับมา

‘ผิด...แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านจะทำแบบนี้!’ เทพคนสวนโต้แย้งด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ‘หยุดเถอะ ความแค้นช่วยท่านไม่ได้หรอก!’

แต่ทันทีที่สิ้นเสียง ความมืดรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นรยางค์รัดรอบลำคอฮาธอส เทพคนสวนเอามือแตะมันพยายามจะทำลายมนตราให้จงได้ ทว่าพลังของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งทำให้มนต์แก้ของเขาใช้ไม่ได้ผล ในดวงตาที่กำลังพร่าเลือนขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏเงาดำอันน่าสะพรึงกลัวให้เห็น

‘ได้สิ ฮาธอส’ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความกระหยิ่มและสมใจราวกับเฝ้าเวลานี้มานานแสนนาน แล้วมันก็พูดอีกประโยคพร้อมกับเงามือเหมือนกรงเล็บที่กระซวกกลางอกฮาธอส

‘ความแค้นจะทำให้ข้าสมหวังแน่นอน!!’

----------------

“ไม่!”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิ่งโพล่งหลังเสียงตื่นตระหนกที่ร้องออกมาเต็มเสียง ก่อนภาพเพดานสีน้ำตาลแกะสลักลวดลายเครือเถาอย่างสวยงามจะเตือนสติให้รู้ ว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน...แต่ก็เป็นความฝันที่เหมือนจริงจนทำให้ฮาธอสหันไปหาคนที่นอนอยู่ข้างกาย หมายขอไออุ่นมาสงบจิตใจอันว้าวุ้นของตัวเอง

ทว่าเทพหนุ่มต้องใจหาย หลังเห็นข้างกายตัวเองมีแต่ความว่างเปล่า ฟูกฝั่งของไคซัสเย็นชืดบ่งชัดว่าเจ้าตัวยังไม่ได้กลับมา ร่างสูงโปร่งจึงขยับลุกขึ้นนั่งด้วยตนเองและคลำหารอยรัดที่ลำคอ แน่นอนว่าเขาต้องไม่พบอะไร เพราะมันเป็นเพียงความฝันซึ่งไม่มีทางที่คนในนั้นจะมาทำร้ายกายเนื้อของเขาได้ ทว่า...

“ท่านพี่...จนป่านนี้แล้ว...ท่านยังเคืองแค้นอยู่อีกหรือ...” เทพคนสวนซบหน้ากับสองมือ ชายหนุ่มไม่ได้ฝันถึงคนผู้นั้นมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึง รอบแผลเป็นที่ฝังแน่นในใจก็จะกำเริบทำให้นึกถึงอดีตที่มีแต่ความเจ็บปวดอีกครา...

ถึงแม้ว่าเขากับเฮสเลนจะอุบัติจากอุทรของมารดาพร้อมกันและมีใบหน้ากับดวงตาเหมือนกัน แต่ลักษณะที่เหลือและอุปนิสัยใจคอกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฮสเลนมีเรือนผมสีดำและนิสัยโหดเหี้ยม เขาเกลียดชังสวรรค์ที่ทำให้พวกตนต้องตกระกำลำบากถึงขนาดมารดาจุติทันทีที่ให้กำเนิดพวกเขาแล้ว ในขณะที่ฮาธอสมีเรือนผมสีทองและจิตใจที่อ่อนโยน ชายหนุ่มไม่เคยโกรธเคืองสวรรค์ด้วยถือว่านี่เป็นชะตากรรมที่ตนเองต้องพบเจอและหาทางเอาชนะด้วยหนทางที่ดีงาม

ช่วงเวลาที่เติบโตด้วยกันนั้น ฮาธอสกับเฮสเลนยังอุดหนุนเกื้อกูลกันตามประสาพี่น้อง แน่นอนว่าชายหนุ่มรักพี่ชายร่วมสายเลือดของตนเองมาก แต่ทางแยกของชีวิตก็มาถึงเมื่อเฮสเลนลุแก่อำนาจมืดมหาศาลที่สืบทอดมาจากบิดา เริ่มแก้แค้นสวรรค์ด้วยการก่อความวุ่นวายต่าง ๆ นานา โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ถูกลูกหลงไปด้วยหรือไม่และไม่สนใจคำห้ามปรามจากน้องชายเลย

เพื่อหยุดความคิดมิให้หลงกลับไปในวังวนอันมืดมนในอดีต ฮาธอสจึงไปหยิบเสื้อคลุมเนื้อหนามาสวมใส่เพื่อสวมเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ก็อดเหลียวกลับไปมองเตียงใหญ่ที่ใช้นอนคนเดียวอีกครั้งมิได้

คืนนี้...เป็นคืนที่ห้าแล้วที่ไคซัสไม่ได้กลับมานอนด้วยกัน หากจะให้นับก็ตั้งแต่วันที่ดาริคพร้อมกับ ‘ของ’ ที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นกระตุก หลังจากดาริคพาไคมีร่ากลับไป เพื่อดำเนินการเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเสาเขตแดน ฮาธอสเสี่ยงเอ่ยปากถามถึง ‘ของ’ กับไคซัสไปครั้งหนึ่ง...ด้วยความอยากรู้

‘แค่ของชิ้นหนึ่ง เจ้าอย่าไปสนใจเลยนะ ฮาธอส’

ไคซัสตอบแบบนั้นด้วยสายตาปิดกั้นเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก ฮาธอสจึงไม่กล้าถามต่อและปล่อยให้การสนทนาจบลง หลังจากนั้นมหาเทพสงครามก็ยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลากลับห้องอีกเลย ถึงตอนกลางวันจะแวะเวียนมาเยี่ยมเป็นช่วงสั้น ๆ บ้าง แต่เมื่อยามราตรีมาถึงฮาธอสก็ต้องอยู่เพียงลำพัง แต่ก่อนมีไคมีร่าคอยเป็นเพื่อนคุย ทว่าตอนนี้เอก็ไม่อยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงได้เรียนรู้บทเรียนรักบทใหม่เรื่อง ‘ความเหงา’ ของการขาดคนที่รัก

ช่างทรมานใจหาใดเปรียบ...

พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงไปทั่วท้องฟ้า เผื่อแผ่ลงมาถึงสวนตะวันออกของตำหนักพาเทร่าด้วย ฮาธอสยืนท่ามกลางดอกไม้ราตรีหลากชนิดผลิกลีบบานอย่างสวยงาม ชายหนุ่มหลับตานิ่งขณะซึบซับพลังจากแสงจันทร์เข้ามาในร่าง อย่างไรเสียสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นของรัตติกาล อำนาจแห่งศศิธรจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขา หากให้เปรียบคงเหมือนกับอาหารเสริมที่กินแล้วทำให้พลังชีวิตกับร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ในกรณีของฮาธอสนั้น...ชายหนุ่มหวังเหลือเกินว่ามันจะช่วยให้จิตใจของเขากลับไปเข้มแข็งเหมือนเก่า...

อยู่ได้ด้วยกำลังของตน...ไม่หวาดไหวเมื่อฝันถึงเฮสเลน...และไม่เหงาเมื่อขาดไคซัส

“อุ๊ย!” เสียงอุทานจากข้างหลังทำให้ฮาธอสต้องหยุดรับพลังและหันกลับไปด้วยความแปลกใจ นาซิลลายืนเอามือปิดปากอยู่หลังแนวต้นบลูเบล หน้าตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น “ฮาธอส...นั่นท่าน...”

“สวัสดี นาซิลลา ดีใจจังที่เห็นเจ้าแข็งแรงแล้ว ขอโทษที่...โอ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ฮาธอสจะพูดจบ เด็กสาวก็วิ่งมากอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนล้มไปด้วยกัน โชคดีที่ต้นหญ้าแถวนั้นหนาพอจึงไม่เจ็บมากนัก “โอ๊ย...”

“อ๊ะ! ขอโทษนะ” นาซิลลาได้ยินเสียงชายหนุ่มร้องก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะผละตัวออก แต่พอเห็นหน้าของฮาธอสอีกครั้ง น้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงเผาะ ๆ ทันที

“อ้าว! ทำไมร้องไห้ล่ะ หรือว่าเจ็บตรงไหน” เทพคนสวนเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอก่อนอย่างที่ทำประจำ โดยลืมไปว่าตอนนี้เด็กสาวนั่งคล่อมอยู่บนตัวเขา “แผลเก่ากำเริบเหรอ”

“ไม่ ข้าไม่เจ็บตรงไหนทั้งนั้น อาการบาดเจ็บของข้าก็หายนานแล้วด้วย ข้าร้องไห้เพราะดีใจที่เห็นฮาธอสออกมาข้างนอกและยืนด้วยตัวเองได้ต่างหาก” นาซิลลาบอกพลางนึกขอบคุณที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเธอจะออกมารับแสงจันทร์เป็นประจำ แต่วันนี้เธอนึกอยากมาที่สวนตะวันออกด้วยจึงแวะมาจนเจอฮาธอส “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วงฮาธอสมาตลอดเลยนะ อยากไปเยี่ยมด้วย แต่มหาเทพสงครามไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง พวกเราต้องถามข่าวจากอัลล์อย่างเดียว แต่มันไม่พอ ข้าอยากเห็นด้วยตามากกว่า ฮาธอสสบายดีแล้วใช่ไหม”

ขณะพูดน้ำตาก็ร่วงรินลงบนใบหน้าฮาธอสหลายหยด จะว่าไปแล้วหลายวันมานี้ชายหนุ่มก็แทบไม่ได้ยินข่าวของนาซิลลากับเพื่อนคนอื่น ๆ มากนัก เรื่องนาซิลลาหายสนิทแล้วก็รู้ตอนคุยกับไคซัสเรื่องย้ายห้อง หลายวันมานี้เขาคงทำให้พวกเพื่อน ๆ เป็นห่วงมากสินะ โดยเฉพาะนาซิลลาที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“อืม แต่ยังไม่หายสนิทหรอกนะ” ว่าแล้ว เขาก็เอามือแตะปากนาซิลลาไว้ก่อนจะพูดอะไร “พิษของแมลงไสยเวทนั้นร้ายแรงมาก อวัยวะภายในของข้าเสียหายทำให้ต้องปวดท้องเป็นพัก ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็จะหายสนิท”

แรกได้ยินคำอธิบายนาซิลลาก็หน้าเสีย คิดว่าคนที่รักข้างเดียวจะต้องเผชิญความเจ็บปวดไปชั่วชีวิต แต่พอได้ยินประโยคท้าย ๆ เด็กสาวก็ทำหน้าโล่งใจแล้วยิ้มด้วยความดีใจจนพ่วงแก้มเป็นสีแดง...น่ารักและน่าเอ็นดูขนาดถ้าอยู่กับชายอื่นคงถูกดึงตัวไปนั่งตักแล้วเป็นแน่แท้

“ดีใจจัง ข้านึกว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุให้ฮาธอสต้องเจ็บชั่วชีวิตซะแล้ว” อัปสรน้อยรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อัลล์เป็นคนเล่าให้เธอฟัง ถึงจะไม่ละเอียดนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าใครทำและทำไปเพื่อนอะไร “อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์เลวร้ายที่สุด ถ้าอยากจะเล่นงานมหาเทพสงครามทำไมไม่จับตัวอัลล์ไปล่ะ เขารู้เรื่องของมหาเทพมากกว่าฮาธอสเสียอีกนะ” เด็กสาวทำแก้มป่องอย่างเคือง ๆ น้ำตายังไหลไม่หยุด

“อย่าพูดแบบนั้นสิ เจ้ากำลังพาลใหญ่แล้วนะ เรื่องมันก็จบไปแล้วด้วย อย่าคิดถึงอีกเลยนะ” ฮาธอสยิ้มปลอบอย่างอ่อนใจ

“จะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไรกัน เจ้านั่นทำให้คนที่ข้า ‘รัก’ บาดเจ็บหนักตั้งหลายวันนะ!” หลังโพล่งออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองติดพัน นาซิลลาก็เอามือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เธอเห็นฮาธอสทำหน้าตกใจมากทีเดียว แต่เด็กสาวก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี ดังนั้น เธอจึงก้มลงกดไหล่เขาไว้กับพื้น “ข้ารักฮาธอส ไม่ใช่ความรักแบบเพื่อน แต่เป็นความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีให้กับชายที่พึงใจ ข้าอยากสารภาพมาหลายครั้ง แต่ก็เกิดเรื่องนับครั้งไม่ถ้วน ในเมื่อมันหลุดปากออกไปแล้ว ข้าก็ขอพูดอีกครั้ง ข้ารักฮาธอส ได้โปรดรักข้าด้วยเถอะ”

ฮาธอสเผยอปากค้าง ตั้งตัวไม่ติดกับการสารภาพรักที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่าวันใดก็ตามที่นาซิลลาบอกรักเขา ชายหนุ่มจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเธอได้ ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นจริง เทพคนสวนกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะที่ผ่านมาเขาเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่านาซิลลาคิดอย่างไรกับตน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของเขากับเธอไว้และยังเพื่อมิให้ตัวเองทำให้เธอต้องเสียใจด้วย แต่มันกลับกลายเป็นการบีบคั้นตัวเองไปในที่สุด ดังนั้นเมื่อเธอสารภาพรัก เทพคนสวนจึงพบหนทางปลดแอกให้ตัวเอง

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมหยักศกสีทองรวบรวมกำลังกายแล้วอุ้มตัวเด็กสาวออกจากร่าง ก่อนจะขยับลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เพราะการกดทับของนาซิลลาทำให้เกิดอาการปวดท้องเล็กน้อย เด็กสาวเห็นเหงื่อเขาผุดพรายเต็มหน้าผากจึงเอาแขนเสื้อเช็ดให้อย่างเป็นห่วง ก่อนจะนิ่งเมื่อเทพคนสวนตัดสินใจพูดในตอนนี้

“ขอโทษด้วยนะ นาซิลลา” ดวงตาสีน้ำเงินมองผ่านลำแขนมาสบตาเธอนิ่ง แววตาอ่อนโยนอย่างพี่ชายมีให้กับน้องสาว “แต่ข้าคงรับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้”

“ทำไมล่ะ!” นาซิลลาโพล่งหน้าตาไม่เข้าใจ “ข้าต้องใช้ความกล้ามากเลยนะ กว่าจะพูดได้!”

“เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องกล้ายืนยันความรู้สึกของตัวเองด้วย” ฮาธอสยิ้มบาง “ข้าชอบเจ้านะ นาซิลลา แต่ความรู้สึกที่ข้ามีให้เจ้านั้นเป็นแบบพี่ชายกับน้องสาว ข้ารู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่แรกที่พบหน้าเจ้าและยิ่งรู้สึกแบบนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าเป็นเด็กน่ารัก น่าถนอม คู่ควรกับเทพบุตรดี ๆ สักตน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนผู้นั้น”

“ไม่หรอก! ข้าบอกได้เลยว่าฮาธอสเป็นเทพบุตรตนนั้น ความรู้สึกของข้ายืนยันได้!” นาซิลลาโผกอดเขาแน่นพลางสะอื้น ไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธที่เปรียบเสมือนดาบที่ฟาดฟันหัวใจของเธอให้ขาดวิ่นได้ “ฮาธอส...ชั่วชีวิตของข้าไม่มีใครที่ดีไปกว่าท่านอีกแล้ว และไม่มีใครที่เหมาะสมกับท่านไปมากกว่าข้าด้วย”

สิ่งที่ทำให้ฮาธอสเสียใจที่สุดในตอนนี้คือ เสียงร่ำไห้ของเทพจันทรา ในฐานะผู้ชาย การทำให้ผู้หญิงต้องเสียใจถือว่าน่าละอายที่สุด แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ในอนาคตก็จะยิ่งเจ็บปวดด้วยกันทั้งสองฝ่าย

“นาซิลลาจำที่ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม” เขาดึงตัวเธอออกมาสบตาอย่างอ่อนโยน “ความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกะเกณฑ์กันได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับหัวใจของแต่ละคน หัวใจของเจ้าอาจจะบอกว่าข้าคือคนรัก แต่หัวใจของข้าบอกว่าเจ้าคือน้องสาว นั่นคือความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่ข้ามีให้เจ้า ขอโทษด้วยนะ”

เทพจันทราแทบสิ้นเรี่ยวแรงหลังได้ยินคำขอโทษที่ตอกย้ำความผิดหวังให้หัวใจ เด็กสาวยอมปล่อยมือจากเขาจนได้และทรุดลงกับพื้นเหมือนหุ่นเชิดถูกตัดสายชัด ความรักข้างเดียวอันแสนเปราะบางที่เฝ้าถนอมมานาน บัดนี้แตกสลายไม่มีชิ้นดีเสียแล้ว ที่สำคัญผู้ปฏิเสธยังแสดงความเอื้ออาทรด้วยการเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดให้เธอ นาซิลลารู้ว่าเขาทำไปด้วยความเป็นห่วง แต่ยิ่งเขาอ่อนโยนด้วยเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็ยิ่งร้าวรานเพียงนั้น

“พอแล้ว ไม่ต้องเช็ดน้ำตาให้แล้ว ฮาธอสถอยไปไกล ๆ เลย!” อัปสรน้อยผลักเขาออกสุดแขน

ฮาธอสพอจะเข้าใจความรู้สึกของเด็กสาว เพราะหากเขาถูกไคซัสปฏิเสธทั้งที่รักมากขนาดนี้ก็คงจะเจ็บปวดเสียใจอย่างมากไม่ต่างกัน แต่การจะทิ้งเด็กสาวไว้ในสวนท่ามกลางอากาศเย็นกับละอองน้ำค้างก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเสียด้วย ชายหนุ่มจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้เธอ

“ข้าอยากอยู่ปลอบเจ้าจนกว่าจะหยุดร้องไห้ แต่ถ้าทำแบบนั้นคงทำให้เจ้าเจ็บปวดกว่าเดิม ดังนั้นข้าจะไปก่อน เจ้าก็อย่าอยู่ที่นี่นานล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดซะก่อน และ...” เพราะการเว้นวรรคของฮาธอสทำให้นาซิลลาเงยหน้ามองอย่างสงสัย ซึ่งเธอถึงกับนิ่งเมื่อเห็นแววตาห่วงใยของเขา “...จำไว้เสมอว่าข้ายังเป็นเพื่อนของเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นและต้องการความช่วยเหลือก็มาหาข้าได้ตลอดนะ” กล่าวเสร็จร่างสูงโปร่งก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน

นาซิลลานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่เดิมและเหม่อมองเสื้อคลุมที่ชายหนุ่มห่มบ่าให้ จริงอยู่ที่การถูกปฏิเสธความรักทำให้เธอเสียใจ แต่การกรทำอันแสนอ่อนโยนราวกับต้องการรับผิดชอบของเขาหลังจากนั้นกลับทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่า เพราะความอ่อนโยนเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เธอหลงรักผู้ชายตนนี้

“ทำไม...” เธอสะอื้น มือเรียวจับเสื้อคลุมนับทาบแก้มเปื้อนน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์ “...ทำไมต้องแสนดีกับข้าขนาดนี้ ฮาธอส อย่ารับผิดชอบข้าด้วยความอ่อนโยนนั้นได้ไหม...”

เพราะมันทำให้ข้าเกลียดท่านไม่ลง!

ร่างบางหมอบตัวลงร้องไห้กลางสวนที่สร้างขึ้นด้วยมือของชายที่รักข้างอย่างสุดเสียง หัวใจร้าวรานปานว่าจะขาดรอนในอีกไม่ช้า การเป็นเทพนั้นมีข้อจำกัดในด้านความรู้สึก ชาวเทพส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ค่อนข้างมั่นคง ไม่อ่อนไหวไปมาเหมือนอย่างมนุษย์ ความรักจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งตลอดช่วงชีวิต เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เทพหลายตนคลุ้มคลั่งเมื่อคนที่รักของตนจากไป กรณีของนาซิลลาอาจไม่ร้ายแรงเพียงนั้น เนื่องจากอายุยังน้อยและมีโอกาสได้พบรักครั้งใหม่ ทว่าเธอก็ได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดจากความรักแล้ว

แต่เมื่อเทพจันทราลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางความมืด ความฝันที่เลือนหายไปนานกลับมาอีกครั้ง ทว่า...คราวนี้เธอกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามบรรยากาศที่โอบล้อมกายกลับอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับถูกใครสักคนโอบกอดไว้ ไม่นานเงาร่างสีดำที่เคยหลอกหลอนให้หวาดกลัวก็ปรากฏต่อหน้าเธอ มันยื่นมือลงมาเชยคางให้เงยหน้าขึ้น ศีรษะที่มองไม่เห็นใบหน้าเอียงไปด้านข้างประหนึ่งกำลังพินิจเธออยู่

‘โอ...นาซิลลาที่น่าสงสาร เจ้าไม่ควรร้องไห้เลย’ มันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกที่เขย่าหัวใจอันอ่อนไหวของเธอให้สั่นคลอนกว่าเดิม ‘ฮาธอส...เจ้ารักผู้ชายคนนี้มาอย่างนั้นรึ’

‘เขาจะเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตของข้า ข้าไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว’ เทพจันทราตอบตามที่ตัวเองคิด

‘ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวัง ข้าจะทำให้เขาหลงใหลในตัวเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้น’

‘จริงเหรอ เจ้าทำได้จริง ๆ เหรอ’ นาซิลลาร้องถามก่อนจะรู้สึกตัว สิ่งที่อยู่ต่อหน้านี้ก่อกวนเธอมาหลายปีจนครั้งล่าสุดเกือบทำให้เธอคลุ้มคลั่งด้วยความหวาดกลัว ร่างบางจึงสะบัดหน้าออกมาจากมือของมัน ‘ไม่! เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีตัวตนเสียหน่อย ฮาธอสเองก็ไม่มีวันกลับมามองข้าแล้วด้วย’
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 12 up 02/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 03-09-2013 20:12:21
- 100% -

‘ทำได้สิ เพราะข้ามีตัวตนอยู่นะ’ เสียงทุ้มต่ำของมันก้องสะท้อนผ่านโสตประสาทมาหลอมละลายหัวใจของนาซิลลาอีกครั้ง ‘ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงเจ้ายอมช่วยเหลือข้า ข้าจะบันดาลให้เจ้าทุกสรรพสิ่ง แก้วแหวนเงินทอง ปราสาทวิมานที่หรูหรายิ่งกว่ามหาตำหนักจ้าวสวรรค์ ชีวิตของคนที่เจ้าเกลียดชัง หรือแม้แต่หัวใจของคนที่เจ้ารัก...’

ในระหว่างที่พูด มันก็แผ่ละอองสีดำออกมาเป็นสายหลายเส้นเข้าโอบรักร่างของนาซิลลาโดยไม่ให้รู้ตัว บางส่วนถูกเด็กสาวซูดดมเข้าไปทำให้เกิดอาการมึนงง ได้ยินเสียงของมันก้องสะท้อนในโสตประสาทจนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง เธอพยายามตั้งสติฟังสิ่งที่มันพูด แต่ยิ่งทำแบบนั้นเท่าไหร่ อาการมึนงงก็ยิ่งหนักขึ้น...เหมือนสูญเสียตัวตนไปอย่างช้า ๆ ดวงตาสีฟ้าใสค่อย ๆ หม่นแสงลงจนสุดท้ายก็กลายเป็นความว่างเปล่า เมื่อมันพูดออกมาว่า

‘ว่าอย่างไรล่ะ นาซิลลา เจ้าอยากได้ความรักจากฮาธอสไหม รักนิรันดร...’

‘อยากได้สิ’

‘ถ้าอย่างนั้นจงช่วยข้า’ มันโน้มใบหน้าลงมาหาเธอ ‘เมื่อข้าสมความปรารถนา เจ้าก็จะได้ทุกสรรพสิ่ง’

เมื่อสิ้นคำมันก็ประทับจุมพิตแทนตราสาบานที่ริมฝีปากของเด็กสาว

--------------

กว่าจะอัพนิยายได้ เล่นเอาหืดขึ้นคอเลย เพราะเบราเซอร์มีปัยหาปิดตัวเองบ่อยมาก

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ไม่เปลี่ยนแน่นอนครับ ฮาธอสเป็นคนดีสุดๆ เลยนี่นา ถ้าเปลี่ี่ยนไปคไซัสเสียใจแย่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 03-09-2013 22:52:25
เมื่อฮาธอสไม่เปลี่ยนนาซิลลาก็เลยเปลี่ยนแทน
แต่นางเป็นเทพน่าจะกลับใจทันนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 04-09-2013 20:51:08
บทที่ 14 น้ำมันที่ราดลงกองไฟ

- 50% -

“...ลา...ตื่นสิ นาซิลลา ตื่น!”

ร่างบางสะดุ้งตื่นเมื่อถูกใครบางคนตบหน้าเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากรอบข้าง ดวงตาสีฟ้าสดใสปรือมองขึ้นไปพบกับใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มผมสั้นสีแดงเพลิงกับเทพชายหญิงอีกหลายตนยืนล้อมอยู่ ทุกตนต่างมองเธอด้วยความกระวนกระวายระคนห่วงใยอย่างยิ่ง

“เกิดอันใดขึ้นหรือ...”

“ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า ทำไมมานอนตากน้ำค้างกลางสวนแบบนี้” อัลล์ถามเสียงเข้มพลางประคองร่างบางให้นั่งด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นก็สำรวจท่าทีของเธอไปด้วย “เมื่อเช้าเพื่อนนางกำนัลของเจ้าไปปลุกที่ห้องแต่หาตัวไม่เจอ พวกข้าต้องออกตามหากันยกใหญ่”

นาซิลลาสดับแล้วก็นั่งนิ่ง คิดว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้อัลล์ฟังดีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเรียกร้องความสนใจจากใคร เพราะรังแต่จะทำให้ฮาธอสเสียหายซะเปล่า ๆ เธอรักเขามาก...จนไม่อยากทำลาย

“เมื่อคืนข้าออกมารับแสงจันทร์ที่นี่ แต่นั่งเพลินไปหน่อยจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” นาซิลลาเงยหน้ายิ้มลุแก่โทษให้ทุกตน

“ไม่ใช่ว่าคิดถึงฮาธอสแล้วมาชมจันทร์ต่างหน้าเขาหรอกหรือ” นางกำนัลหญิงคนนี้ชี้เสื้อคลุมของฮาธอส “นั่นน่ะ เสื้อของฮาธอสไม่ใช่เหรอจ๊ะ” หยอกเย้าแล้วนางกับพวกก็หัวเราะเอ็นดูเมื่อนาซิลลาหน้าแดงเห่อ

“มะ...ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิดสักหน่อย” เด็กสาวทำแก้มป่องอย่างขัดใจ แม้ว่าจะดูไม่เหมือนเดิมก็ตาม

“ไม่ใช่ตรงไหนจ๊ะ หลายวันมานี้เจ้าเอาแต่บ่นคิดถึงเขาทุกวันเลยนี่นา” นางกำนัลยังหยอกล้อต่อ

“ท่านพี่ก็...ข้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ!” นาซิลลาเชิดจมูกด้วยท่าทางเอาแต่ใจ ผิดกับข้างในที่เจ็บเหลือจะทน พี่สาวพวกนี้ช่างล้อเล่นได้ผิดเวลาจริง ๆ

“เอาล่ะ เลิกหยอกล้อกันได้แล้ว” อัลล์เอ่ยตัดบทได้อย่างเหมาะเจาะจนเด็กสาวนึกขอบคุณในใจ “นาซิลลา เจ้ามั่นใจนะ ว่าตัวเองไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะ”

ดวงตาสีม่วงคมจ้องมองอัปสรน้อยนิ่ง ทำให้เธอนึกกลัวว่าเขาจะเห็นสิ่งที่พยายามปิดซ่อนไว้ อันที่จริงในสายตาของอัลล์ มันคาดเดาได้ไม่ยากนัก แค่เห็นรอยคราบน้ำตาบนแก้มใส ความหมองเศร้าที่เจืออยู่ในแววตา กับเสื้อคลุมของฮาธอสก็เข้าใจแล้ว เมื่อคืนเธอคงบังเอิญเจอกับฮาธอสตอนออกมารับพลังจันทรา เธออาจสารภาพความในใจกับเขาและถูกปฏิเสธจึงร้องไห้จนหมดแรงฟุบหลับไปที่นี่

กระนั้นบางสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในบรรยากาศทำให้นายทหารหนุ่มเหลือบตามองรอบข้างอย่างระแวดระวัง แม้ตำหนักนี้จะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทว่าทุกอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเด็กสาวตนนี้

“จริงสิ ข้ายืนยันได้ จะให้ข้าร้องเพลงหรือเต้นรำให้ดูก็ได้นะ!”

“หยุดเลย ข้าเชื่อแล้วก็ได้” อัลล์คว้าตัวนาซิลลาไว้ก่อนจะทันได้ลุกเต้นแร้งเต้นกา มองดูร่างบาองที่จ้องเขาตาแป๋วด้วยสีหน้าแฝงความนัยประหลาด แต่มันก็หายไปเมื่อเขาขยี้ผมเธอ “เมื่อไปไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ต่อไปอย่าหายไปโดยไม่บอกใครอีกนะ ทุกตนเป็นห่วง!”

“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” นาซิลลาทำหน้าสลดเมื่อถูกดุก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ ร่างบางยืดตัวขึ้นกระซิบข้างหูชายหนุ่ม “อย่าบอกเรื่องข้านอนในสวนกับฮาธอสนะ ข้าไม่อยากให้เขาต้องห่วง”

ตอนแรกอัลล์ก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจนิด ๆ แต่พอได้ยินเหตุผลที่ตบท้ายมา ชายหนุ่มก็พยักหน้ายอมรับ นาซิลลายิ้มกว้างแล้วหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งอย่างดีใจ มีเสียงนางกำนัลรุ่นพี่น้องว้ายเบา ๆ

“ขอบคุณนะ อัลล์” เธอยิ้มกว้าง “ตอนนี้ข้ากลับห้องก่อนดีกว่า ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงจริง ๆ นะ” กล่าวอย่างลุแก่โทษอีกครั้งแล้วร่างบางก็ผละจากไปพร้อมกับเหล่าเทพรับใช้รุ่นพี่ที่หยอกล้อกับเธออย่างสนุกสนาน โดยไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอแม้แต่น้อย

อัลล์มองตามนาซิลลาไปด้วยสายตานิ่งสนิท แต่แวบหนึ่งประกายในดวงตาไหวระริกด้วยความเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าสิ่งที่ทำให้เธอมานอนตรงนี้เป็นดั่งที่คิดหรือไม่ ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอนำพาความกังวลมาให้เขาด้วย

...จริงอยู่ เขาอาจไม่บอกเรื่องนี้กับฮาธอส แต่คำว่า ‘หน้าที่’ จะทำให้เขาต้องเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อื่นฟัง

---------------

“อย่างนั้นหรือ”

นั่นคือทั้งหมดที่ไคซัสตอบมาหลังจากอัลล์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว เทพอสูรหนุ่มกับเหล่าทหารระดับองครักษ์ต่างรู้เรื่องนาซิลลาหายตัวไปกันหมด เนื่องจากนางกำนัลที่จับคู่กับเด็กสาวมาแจ้งให้ทราบ เหตุที่ทุกคนรู้เรื่องและออกตามหากันช้าก็เพราะเมื่อคืนนี้มหาเทพสงครามสั่งให้ทหารที่ตามนาซิลลาไปพักผ่อนเร็วกว่าที่เคย

แต่สิ่งที่เทพทุกตนไม่ทราบก็คือ ไคซัสรู้แล้วว่านาซิลลาอยู่ที่ไหน กับใคร และเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ปฏิกิริยาของเขาจึงออกมาเฉยชาและเฉยเมยอย่างที่เห็น ทั้งนี้ก็เพื่อปกปิดมิให้อัลล์ล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองซึ่งอาจจะทำให้เสียแผนการที่วางไว้ซะก่อน

“ตอนเจ้าอยู่กับนาซิลลาในสวน เจ้าสัมผัสความผิดปกติอย่างอื่นได้อีกไหม” ในที่สุดไคซัสก็เอ่ยถาม แม้ว่าเขาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากพลังของตัวเองแล้ว แต่ก็เห็นแค่ภายนอก ไม่รวมถึงภายในและบรรยากาศในสถานที่นั้นด้วย

“เอ่อ...” น้ำเสียงของอัลล์เจือความลังเลอย่างชัดเจน ผู้เป็นนายจึงหันมองด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางเช่นนี้มาก่อน กระนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงไปไหน เพียงแต่ไม่อยากตอบเท่านั้น เขาจึงนั่งรออยู่เงียบ ๆ จนกว่านายทหารหนุ่มจะพูด “...ตอนข้าน้อยพยายามปลุกนาซิลลาได้กลิ่นอายความมืดที่ไม่เหมือนพลังของเทพจันทราจากตัวนางด้วย แต่มันบางเบามากและหายไปทันทีที่นางตื่น ข้าน้อยจึงไม่มั่นใจนักขอรับ”

“ลองนิยามคำว่า ‘ไม่เหมือนพลังเทพจันทรา’ ให้ข้าฟังหน่อยสิ”

คำสั่งทำให้ความกระอักกระอ่วนใจปรากฏบนสีหน้าของอัลล์ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อาจปกปิดอารมณ์ของตนต่อหน้าไคซัสได้ เพราะเรื่องที่มหาเทพสงครามอยากทราบนั้นเกี่ยวข้องกับสหายของเขาโดยตรง ซึ่งเขารู้สึกว่ามีเบื้องหลังอันไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ด้วย ดูได้จากท่าทางอันผิดแปลกไปจากปกติของไคซัสตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่อัลล์ก็เหมือนกับดาริคที่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกไก่ในกำมือเทพอสูร ไม่สามารถหลบลี้หนีคำถามได้

“หากจะให้อธิบาย พลังของเทพจันทราจะให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำและสดชื่นเหมือนธารน้ำหนาวในฤดูใบไม้ผลิ แต่กลิ่นอายความมืดที่ข้าสัมผัสได้เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง”

...เหมือนเทพรัตติกาลไร้หัวใจตนนั้น!

อัลล์ถึงกับตกใจสุดขีดเมื่อตระหนักเรื่องนี้ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว พอตั้งสติได้ก็รีบมองไปยังไคซัสด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นท่าทางของเขาเสียก่อน ทว่าไม่เพียงมหาเทพสงครามจะไม่ได้สนใจเขา ยังทำหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียว นายทหารหนุ่มจึงเบือนหน้าไปลอบถอนใจน้อย ๆ โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาพิจารณาที่ไคซัสลอบส่งมาในชั่วพริบตาเดียวกัน

“เอาเป็นว่านาซิลลาปลอดภัยดีก็พอแล้ว จากนี้ไปก็ให้คนของเจ้าตามดูแลเหมือนเดิม แต่ตอนกลางคืนให้เหลือทหารตามแค่คนเดียวก็พอ ข้าอยากได้ทหารไปเสริมกำลังพวกที่เฝ้าข้างนอกน่ะ” ไคซัสสั่งเมื่ออัลล์หันกลับมาพร้อมกับจัดเก็บเอกสารที่กางแผ่เต็มโต๊ะเข้าที่อย่างรวดเร็ว ก่อนลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปไหนสักแห่ง

“เดี๋ยวก่อนขอรับ!” ร่างสูงใหญ่สีแดงชะงักหลังได้ยินเสียงนายทหารคู่ใจร้องเรียกไว้ เขาค่อนข้างแปลกใจกับวิธีการเรียกที่ดูจะรีบร้อนหน่อย ๆ และอัลล์ก็เหมือนจะรู้ตัวถึงได้พยายามปั้นหน้านิ่งเข้าไว้ “ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามขอรับ” ไหน ๆ ก็เรียกไว้แล้ว ลองเสี่ยงตายดูสักครั้งจะเป็นไรไป

“ว่ามาสิ” ปากพูดอย่างใจกว้าง แต่ยามมหาเทพสงครามยืนนิ่งดูราวกับป้อมปราการที่แข็งแกร่ง

“ข้าน้อยอยากรู้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ขอรับ” นายทหารหนุ่มพูดออกไปจนได้ แม้แต่ตัวเองยังนึกแปลกใจ คงเพราะเขาอยู่กับเทพอสูรที่ต้องการความตรงไปตรงมาตลอดจึงพลอยติดนิสัยนั้นมาด้วยก็เป็นได้ “หลายวันมานี้ท่านดูแปลก ๆ ไป สหายทั้งสองตนของข้าน้อย...ทำอะไรให้ท่านสงสัยหรือขอรับ”

“ทำไมถึงถามแบบนั้น” ไคซัสเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยจริง ๆ หลายวันมานี้เขาอาจจะทำท่าทีดูน่าสงสัยในสายตาของอัลล์ก็จริง แต่ท่าทางเหล่านั้นไม่น่าจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยแบบนั้นได้

นายทหารผมสีม่วงกลอกตาไปมา เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน “ตั้งแต่ท่านหญิงไคมีร่ากับหัวหน้าราชเลขาดาริคกลับไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้กลับไปหาฮาธอสอีกเลย แม้แต่ข่าวของเขา ท่านก็ไม่ได้สอบถามมาสองวันแล้ว และเหมือนจะจงใจดูแลนาซิลลาน้อยลงด้วย” นั่นคือเหตุผลเท่าที่อัลล์หยิบมาได้ ดวงตีสีม่วงสบประสานอีกฝ่ายนิ่ง “ข้าน้อยคิดว่ามันผิดนิสัยของท่านขอรับ เพราะเรายังไม่ทราบเลยว่าใครปองร้ายนาง และฮาธอส....ถ้าท่านไม่คิดจะใส่เจ้าเขาอีกล่ะก็...” เสียงแหบห้าวขาดหายไปอย่างมีความหมาย

ไคซัสค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินในช่วงท้าย เห็นได้ชัดว่านายทหารหนุ่มเฝ้ามองเขาอยู่เงียบ ๆ จนรู้เรื่องสำคัญเข้าหลายเรื่อง ถ้าว่ากันตามหน้าที่ เจ้าตัวควรจะปิดเงียบไม่ปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าอัลล์กลับยอมเสี่ยงพูดเพื่อสหายทั้งสองตน ทั้งที่รู้ว่าแค่การระแคะระคายถึงแผนการของเจ้านายก็ทำให้ถูกฆ่าได้แล้ว...ซึ่งเทพอสูรอย่างเขาก็เลือดเย็นพอเสียด้วย

“เรื่องนาซิลลายังไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่ต้องรู้ แต่ทำงานไปเรื่อย ๆ เจ้าคงจะรู้เอง” เมื่ออีกฝ่ายยอมเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ไคซัสก็ตัดสินใจตรงไปตรงมาด้วย เพื่อรักษานายทหารฝีมือดีที่สุด...และอาจเป็นเทพที่ภักดีกับเขาที่สุดในอนาคตไว้ “สำหรับฮาธอส ข้าไม่ได้ตั้งใจจะละเลยเขา แต่อย่างที่เจ้าเห็นว่าข้างานรัดตัวแค่ไหน ยิ่งหลังไคมีร่ากลับไปแล้วก็ยุ่งวุ่นวายใหญ่ และถ้าเจ้าไม่เรียกข้าไว้ ข้าคงจะไปถึงห้องเดี๋ยวนี้แล้ว”

“เอ๋!” คู่สนทนาส่งเสียงร้องสั้น ๆ ก่อนจะเข้าใจในวินาทีต่อมา “ขออภัยด้วยขอรับ ข้าไม่ทราบ...” นายทหารร่างใหญ่รีบโค้งลงทันใด ซึ่งเมื่อพ้นสายตาเจ้านาย ดวงตาของเขาก็เบิกโพล่งอย่างตกใจ เพราะคำพูดของไคซัสเหมือนยอมรับว่ามีใจให้ฮาธอสกลาย ๆ

“เจ้าทำเพื่อเพื่อนนี่นา ข้าไม่ถือสาหรอก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ” ว่าแล้ว มหาเทพจ้าตำหนักก็มุ่งหน้าออกจากห้อง แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสกับบานจับก็ได้ยินเสียงอัลล์อีกครั้ง

“มหาเทพไคซัส ได้โปรดปกป้องทั้งสองคนนั้นด้วยขอรับ”

อัลล์ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะเป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ตัวเองพูดตามใจชอบ ชายหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงได้ก้าวก่ายเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของเจ้านายขนาดนี้ เขาแค่คิดว่ามันสำคัญมากจึงพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วเวลาของการรอคอยแม้สั้นแค่อึดใจ แต่ก็ยาวนานราวกับผ่านไปหลายปี แต่ในที่สุดไคซัสก็หันกลับมา

“ข้าสัญญาเรื่องนี้กับเจ้าไม่ได้ อัลวิน” ดวงตาสีส้มฉายแววจริงจังจนน่ากลัว แต่ลึกลงไป...อัลล์เห็นความเศร้าแฝงเร้นอยู่ด้วย “แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำดีที่สุดเช่นกัน”

เพราะคำพูดสุดท้ายนั้นโดยแท้ที่สะกดอัลล์ไว้ มิให้เผลอตัวเหนี่ยวรั้งมหาเทพสงครามไว้อีก ชายหนุ่มมองเจ้านายจากไปด้วยความหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก สองบ่าคล้ายแบกรับภาระที่ถาโถมลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พูดตามตรงเขาไม่ชินกับวิธีกดดันของไคซัสสักเท่าไหร่

แต่...ถ้ามันไม่ใช่การกดดัน...คำพูดของเขาก็คือสัญญาณเตือนว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้อาจหนักหน่วงเกินกว่าจะรับประกันได้




ไคซัสเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามาแล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าภายในห้องสว่างสดใสด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผ้าม่านที่เขาใช้แบ่งห้องเป็นสัดส่วนถูกรวบไว้ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย หนังสือที่เขาเคยทำรกไว้ถูกจัดเก็บเข้าตู้ บางส่วนที่ไม่สำคัญถูกเรียงไว้ข้างผนังห้องอย่างเป็นระเบียบ ส่วนภายในห้องถูกปัดกวาดเช็ดถูดูสะอาดตากว่าที่จำได้มากทีเดียว ส่วนตัวเทพที่คาดว่าน่าจะเป็นคนทำนั้นกำลังพับเสื้อผ้าของตนใส่ถุงผ้า แต่พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็เงยหน้าขึ้นมามอง หัวใจพลันพองโตเมื่อเห็นเขา

“มหาเทพไคซัสกลับมาแล้ว...”

“นั่นเจ้าเก็บของจะไปไหน” ยังไม่ทันพูดจบ คำถามที่แฝงความไม่พอใจก็สวนกลับมา เจ้าของห้องเดินดุ่ม ๆ มาดึงเสื้อที่พับค้างไว้ออกจากมือเทพคนสวน

“แต่ข้าน้อยอาการดีขึ้นแล้วนะขอรับ ไม่ปวดท้องบ่อย ๆ เหมือนหลายวันก่อนแล้วด้วย” ฮาธอสบอกหลังมองตามเสื้อที่ถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี “เมื่อคืนข้าออกไปซับพลังจันทราทำให้พอจะมีแรงมาขึ้น ข้าอยากกลับห้องไปทำงานของตัวเองแล้วขอรับ”

ระหว่างที่พูดไคซัสทรุดตัวนั่งข้างกายเขาแล้วยื่นมือมาลูบแก้ม “หน้าเจ้ายังซีดเซียวอยู่เลยนะ แล้วเมื่อคืนออกไปทำไมไม่บอกข้า” เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเมื่อคืนและไม่พูดถึงเรื่องเธออยู่ในสวนทั้งคืนตามความตั้งใจของเด็กสาว

ฝ่ายฮาธอสที่ไม่รู้เรื่องด้วยก้มหน้าต่ำด้วยความเศร้าใจ ถ้าเมื่อคืนนี้เขาไปหาไคซัสและชวนไปเดินเล่นรับแสงจันทร์ด้วยกันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขากับนาซิลลาก็คงจะเป็นเพื่อนที่มีสถานะคลุมเครือกันต่อไป ทว่าอีกใจก็บอกว่าดีแล้วที่มันเกิดขึ้น เพราะเขาได้ปลดแอกตัวเองจากความรู้สึกบีบคั้นที่รัดคอมานานนั้นแล้ว เพียงแต่อาจต้องแลกด้วยการเสียนาซิลลา...น้องสาวที่น่ารักของเขาไป

“ฮาธอส มานี่มา” ไคซัสทนเห็นสีหน้าปวดร้าวของฮาธอสไม่ไหวจึงดึงตัวมาอยู่ในอ้อมกอดและลูบผมปลอบโยนนุ่มนวล “ข้าขอโทษที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวหลายวัน คงจะเหงามากสินะ” แม้แต่เวลาที่เจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ได้อยู่ด้วย เขาคิดต่อเงียบ ๆ

“นิดหน่อยขอรับ” ฮาธอสยอมรับ เพราะอยากให้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้คงอยู่ต่อไปอีกสักพัก หลังจากเมื่อคืนต้องเหน็บหนาวกับความเดียวดายและความเจ็บปวดที่ทำให้นาซิลลาเสียใจ ซึ่งทำให้เขานอนไม่หลับแล้วทำความสะอาดห้องของไคซัส เพื่อลืมความรู้สึกนั้น แต่มันก็หายไปแค่ชั่วคราวและกลับมาใหม่เมื่อวาง เขาคิดว่ากลับห้องเก่าก็คงจะดีขึ้น ชายหนุ่มจึงเตรียมข้าวของจะย้ายกลับ ทว่าทันทีที่ถูกไคซัสโอบกอด หัวใจของเขาก็กลับมาสงบดั่งเดิมอีกครั้ง มีเพียงมหาเทพสงครามตนนี้จริง ๆ หรือที่ทำให้หัวใจของเขาสงบลงได้ “ว่าแต่ท่านมาหาข้าแบบนี้ งานเสร็จแล้วหรือขอรับ” เงยหน้ามองคนก่อนอย่างเพิ่งนึกได้

“ฮึ ฮึ ฮึ ข้ากำลังให้เจ้าอ้อนอยู่นะ อย่าพูดถึงเรื่องงานสิ” ไคซัสพูดกลั้วหัวเราะ คนถูกล้อแก้มแดงระเรื่อ

“...ข...ข้าน้อยไม่อยากเป็นตัวร้ายแย่งท่านมาจากงานนี่ขอรับ” ฮาธอสแปลกใจกับโทนเสียงกระเง้ากระงอดของตัวเองนิดหน่อย นี่เขากำลังงอนเป็นผู้หญิง เพียงเพราะชายที่รักติดงานอย่างนั้นหรือ ที่สำคัญยังมาพูดต่อหน้าเจ้าตัวอีกต่างหาก!

“ใครบอกเจ้ากัน งานต่างหากที่เป็นตัวร้ายแย่งข้าไปจากเจ้า ดังนั้นอย่างอนเลยนะ” เทพอสูรหนุ่มไม่พูดเปล่า แต่ก้มลงจุมพิตฮาธอสอย่างอ่อนหวานด้วย เขารู้สึกว่าเทพคนสวนผงะเล็กน้อย ก่อนครู่ต่อมาจะตอบสนองอย่างไร้เดียงสา กลีบปากฉ่ำหวานทำให้ไคซัสเผลอละเลียดลิ้มอยู่นานกว่าจะผละออกมาได้ “หวานนัก”

“อย่าล้อเล่นสิขอรับ” คนถูกจูบประท้วงหน้าแดงก่ำ เขินจนไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายแล้ว “คราวนี้ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดขอรับ ข้าเบื่อที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องอุดอู้แบบนี้แล้วขอรับ อนุญาตให้ข้ากลับไปทำงานเถิด”

เพราะต้องขอร้องเรื่องสำคัญ ฮาธอสจึงเงยหน้าขึ้นมองตาไคซัสอย่างเว้าวอน สิ่งที่ตอบกลับมาคือ สายตากังวลใจ บรรยากาศหวานละมุนหายไปและกลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดแทน

ในสายตาของมหาเทพสงคราม ฮาธอสดูไม่ได้แข็งแรงไปกว่าเดิมเท่าไหร่นัก หน้าตาซีดเซียว ดวงตาลึกโหล แววตาแฝงรอยอิดโรย อีกทั้งเมื่อคืนนี้ยังอดนอนจนขอบตาดำคล้ำอีกต่างหาก ยังไม่รวมถึงพลังชีวิตที่อ่อนแอซึ่งดูเหมือนจะส่งผลกระทบถึงสภาพจิตใจของเขาด้วย และก่อนไคมีร่าจะกลับไปก็กำชับไว้หนักหนาว่า ให้รอจนว่าฮาธอสจะใช้พลังเวทได้ดีแล้วค่อยให้กลับไปทำงานเก่า แต่นั่นก็เป็นเหตุผลชั้นรองที่เขาตั้งใจจะหยิบมาใช้ ส่วนเหตุผลแท้จริงน่ะหรือ มีแค่หัวใจของเขาที่ไม่อยากห่างจากคนรักเท่านั้น

“พูดกันตรง ๆ เลยนะ ฮาธอส ไคมีร่าสั่งให้รอจนกว่าเจ้าจะใช้พลังเวทได้ดีก่อนถึงจะให้กลับไปทำงานเดิมได้ เจ้าก็เห็นและรู้กิตติศัพท์ของนางแล้ว ถ้ารู้ว่าข้าอนุญาตก่อนเวลาอันควร นางต้องบุกมาอาละวาดอีกแน่” เทพอสูรหนุ่มพูดไปตามที่คิดไว้ เทพคนสวนหน้าม่อยอย่างผิดหวัง “แต่ถ้าเป็นพวกงานเอกสารล่ะก็ ไม่น่าจะมีปัญหากระมัง ข้ามีบัญชีที่ต้องสะสางเยอะเสียด้วย...แต่มีเงื่อนไขนะ”

ฮาธอสค่อย ๆ ช้อนหน้าขึ้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ทว่าพอได้ยินประโยคสุดท้ายก็ออกอาการเซ็งทันที ไม่เข้าใจ...แค่ขอ ‘เจ้านาย’ กลับไปทำงานอีกครั้ง จำเป็นต้องตั้งเงื่อนไขด้วยอย่างนั้นหรือ จอมเทพีเรเทเชียไม่เคยทำแบบนี้เลยสักครั้ง ยิ่งเขาเต็มใจกลับมาทำงานด้วยตัวเองแบบนี้ นางมีแต่จะอนุญาตด้วยความเต็มใจ แต่สิ่งที่ไคซัสทำนั้นมันเหมือน...รูปแบบหนึ่งที่คนรักทำให้กันเลย!

“เงื่อนไขอะไรหรือขอรับ มหาเทพ” ถามเสียงอ้อมแอ้มพลางเอียงหน้าหลบ เพราะสมองจอมเตลิดเริ่มคิดลึกหลังตระหนักเรื่องน่าเขินขึ้นมาได้

“เจ้าต้องอยู่ห้องข้าต่อไป” คำตอบสั้นกระชับและได้ใจความขนาดที่คนถามยังเงยหน้ามองอึ้ง ๆ เทพอสูรหนุ่มเอียงคอส่งยิ้มที่ดูน่ารัก...เสียเมื่อไหร่มาให้ “ข้าสัญญาว่าจะกลับมานอนที่ห้องทุกวัน จะไม่ปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่คนเดียวอีกแล้ว และพอเจ้าหายดีจริง ๆ ข้าจะยอมให้เจ้ากลับห้อง”

“แต่ว่า...”

“ฮาธอส...ถือว่าข้าขอร้อง” ดวงตาสีส้มสว่างฉายแววอ้อนวอนเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยที่อ้อนขอความรักจากเจ้านาย ซึ่งฮาธอสไม่เคยชินเอาเสียเลย เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หลังคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายหนจนสับสน เทพคนสวนก็ปล่อยให้ผลลัพธ์ออกมาแบบเดียวกัน ด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่อยากให้ไคซัสเสียใจ

“ตกลงขอรับ” ตอบด้วยเสียงแผ่วยิ่งนัก

“เด็กดี ข้าดีใจที่สุดเลย” ไคซัสก้มลงจูบริมฝีปากฮาธอสเร็ว ๆ ด้วยความรักใคร่ “ส่วนวันนี้เจ้าคงเบื่อแล้ว เราออกไปเดินเล่นกันไหม”

“เอ๋! ท่านกับข้า...”ร้องถามแล้วก็เบือนหน้ามองนอกหน้าต่างที่ยังสว่างโร่ “เวลานี้หรือ!?”

“อืม ตกใจอะไรเหรอ” ไคซัสถามหน้าเป็นพลางกุมมือฮาธอสขึ้นมาจูบหลังมือ แต่ดวงตาสีส้มสว่างกลับส่องประกายอย่างมาดหมาย แล้วเขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย

“หรือว่าเจ้ารังเกียจ”

-----------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 13 up 03/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 04-09-2013 20:53:23
นั่นสินะ...

ทำไมเขาต้องรังเกียจด้วยล่ะ

ฮาธอสถามตัวเองด้วยความรู้สึกโง่เง่า ขณะเดินตามไคซัสที่ออกมาดูการฝึกซ้อมอาวุธของทหารในสังกัดที่ลานฝึกชั้นนอก เขาลืมไปได้อย่างไรกัน มีวิธีการอีกตั้งมากมายที่เขากับมหาเทพสงครามจะเดินเล่นด้วยกันได้ โดยไม่ต้องใส่ใจสายตาของเหล่าทหารกับเทพรับใช้มากนักอย่างเช่นตอนนี้

เพียงแต่...นี่นับเป็นการเดินเล่นด้วยกันได้ด้วยรึ? หรือเป็นการทำงานของไคซัสกันแน่?

ฮาธอสถอนใจอย่างละเหี่ยเสียยืดยาว เมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังความโรแมนติกจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างพวกเขา แม้จะมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่คนรัก เพศที่เหมือนกันกับฐานะที่แตกต่างล้วนแต่เป็นอุปสรรคของความรักทั้งสิ้น เขารู้อยู่แล้ว...ไฉนจึงคาดหวังเรื่องแบบนั้นอีก

“เป็นอะไรไป เงียบเชียว” ไคซัสหันมาถามขณะเดินผ่านหน่วยหอกที่ซ้อมต่อสู้กันด้วยไม้พลองหุ้มน่วม ท่าทางของพวกเขาดุดันกว่าในอดีตมาก เพราะได้รับการฝึกแบบอสูรที่เน้นรุกรุนแรงและรับหนักแน่นมาแล้ว “หรือว่าเจ้าไม่ชอบดูการฝึกทหาร ข้าจะพาไปดูที่อื่นก็ได้นะ”

“มหาเทพเจ้าใจผิดแล้ว ข้าชอบดูการฝึกทหารขอรับ แต่ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้วจึงรู้สึกตกใจกับการพัฒนาของทุกคนนิดหน่อย” ฮาธอสกล่าวไปตามความจริง แม้ว่าจะครึ่งเดียวก็ตาม เพราะไม่กล้าบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป แต่ดูเหมือนมหาเทพสงครามจะเข้าใจความคิดเขา ร่างสูงใหญ่จึงขยับมาใกล้

“ขอโทษที่ไม่ใช่การเดินเล่นแค่สองคนนะ ฮาธอส” เทพอสูรหนุ่มกระซิบ “ถ้าอยากอยู่กันสองคนต้องรอตอนกลางคืนก่อนนะ”

“อย่าล้อ...อ๊ะ!” อาการสำลักคำพูดของฮาธอสต้องชะงักทันที เมื่ออาการปวดท้องกำเริบอย่างไม่ทันตั้งตัว ไคซัสสังเกตเห็นจึงเข้าประคองแขนเขาไว้ก่อนจะทรุดกองกับพื้น

“ปวดท้องอีกแล้วหรือ เอายามาหรือเปล่า” เทพคนสวนขี้ไปที่ขวดดินเผาใบเล็กที่แขวนไว้กับเข็มขัด เหงื่อเริ่มผุดพรายเต็มหน้าผากทั้งที่เพิ่งเริ่มปวดได้แค่แปบเดียวเท่านั้น “อดทนอีกนิดนะ ข้าจะพาเจ้าไปพักข้างหลัง”

แล้วเทพอสูรร่างใหญ่ก็พาฮาธอสเดินตัดแถวทหารออกจากลานอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ว่ามีองครักษ์สองนายสิ่งตามมาด้วย แต่ทั้งหมดหยุดตรงปากทางเข้าซอกตึกที่พักทหารทางขวา ซึ่งไคซัสพาเทพหนุ่มอ้อมไปยังสวนด้านหลัง ที่นั่นมหาเทพสงครามช่วยป้อนยาลูกกลอนที่ไคมีร่าปรุงทิ้งไว้ให้ฮาธอสสองเม็ด ก่อนปล่อยให้นั่งพักที่ม้ายาวหลังแนวต้นสนแดงแล้วผละไปที่บ่อน้ำพุ

ฮาธอสเอนตัวกับพนักพิงหลังในท่าสบายที่สุด มือกุมเสื้อเหนือท้องที่เจ็บเสียดเหมือนมีใครเอาเข็มมาแทงแล้วลากไปมาอย่างไร้ความปราณี แต่ยาของไคมีร่าก็ได้ผลดีเกินคาด ไม่นานอาการปวดท้องนั้นก็ลดลงมาอยู่ในระดับที่ทนไหว เลือดเริ่มวิ่งขึ้นมาบนใบหน้าซีดเผือดของเขาอีกครั้ง

“ยาออกฤทธิ์แล้วสินะ” ไคซัสกลับมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าเปียกน้ำหมาด ๆ ซึ่งเขาใช้มันซับเหงือกให้ฮาธอสอย่างเบามือ “ข้าไม่น่าพาเจ้าออกมาเลย...”

“อย่าพูดอย่างนั้นขอรับ เพราะข้าเรียกร้องจะออกจากห้องด้วย ท่านถึงตัดสินใจชวนข้าออกมาไม่ใช่หรือ” ความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจคนอื่นนี้เป็นข้อดีที่สุดของฮาธอส...จนบางครั้งก็น่าอ่อนใจ

“เจ้าเป็นแบบนี้มาตลอดหรือ” มหาเทพสงครามถามพลางดึงตัวฮาธอสมาพิงบ่าตัวเอง ก่อนเสริมเมื่อชายหนุ่มผมทองเงยหน้ามองอย่างงุนงง “ข้าหมายถึงการถนอมน้ำใจและคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอของเจ้า”

“แปลกหรือขอรับ ข้าคิดว่าเราทุกคนควรจะทำแบบนั้นเสียอีก” ดวงตาสีฟ้าฉายแววไร้เดียงสาราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาจนชั้นไคซัสยังอึ้งน้อย ๆ

“ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดนะ”

ใช่! ฮาธอสเข้าใจสิ่งที่มหาเทพสงครามพูดอย่างแน่นอน สวรรค์ก็เหมือนกับโลกอื่น ๆ ที่ประกอบด้วยเทพที่หลากหลาย อุปนิสัยใจคอก็แตกต่างกันไปด้วย เพียงแต่มีฐานของสายเลือดกับการกำเนิดมาจากสวรรค์เท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือ เขากับพี่ชาย นั่นเอง

“เพราะพี่ชายของเจ้าหรือ” คำถามนี้ก็ลอยขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮาธอสทำหน้าตกใจ

“ทำไมถึงถามเช่นนั้น!”

“ตามประวัติของเฮสเลนที่ข้ารู้มา เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและอำมหิต ถ้าถูกใจอะไรก็จะเอามาเป็นของตัวเองให้ได้โดยไม่เกี่ยงวิธีการ มีเทพมากมายที่ต้องจุติเพราะเขา แต่ตัวเจ้ามีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจคนอื่น ชอบช่วยเหลือผู้คน บางครั้งถึงขั้นหัวอ่อน ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าเป็นแบบนี้เพราะอยากชดเชยแทนพี่ชายหรือเปล่า”

คำพูดของไคซัสทำให้ฮาธอสฉุกคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง สมัยเด็ก ๆ เขากับพี่ชายต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด แต่หลายครั้งที่เขาแอบปล่อยสัตว์ที่เฮสเลนจับมาได้ไป เพราะอดสงสารมันไม่ได้ทำให้ทะเลาะกับพี่ชายบ่อย ๆ จนสุดท้ายอีกฝ่ายต้องฆ่าสัตว์ก่อนเอากลับบ้านเสมอ

นิสัยนั้นส่งผลมาถึงช่วงที่เฮสเลนเริ่มอาละวาดด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เขากับเฮสเลนแตกหักกันจริง ๆ กลับเป็นการช่วยเหลือเทพเด็กที่เฮสเลนลักพาตัวมาเพื่อเรียกค่าไถ...หรือไม่ก็เพื่อสนองความต้องการส่วนตัว เพราะทนเห็นเด็ก ๆ ถูกทรมานราวกับตายทั้งเป็นไม่ได้และเห็นใจเทพบิดามารดาที่ต้องใจแหลกสลาย เรื่องราวในตอนนั้นทำให้เขาถูกพี่ชายตัวเองตัดพี่ตัดน้องอย่างเด็ดขาด

คิดดูแล้ว...เขาก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ

“ข้า...เกรงว่าจะไม่ใช่...เพราะข้าชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว” ฮาธอสยิ้มบางเบายามคิดถึงอดีตที่มีแต่ความดีงามของตน แม้จะมีความทุกข์เจือปนมาบ้าง แต่ด้านที่ดีก็ทำให้เขาสบายใจได้เสมอ

“ถ้าอย่างนั้นช่วงเฮสเลนอาละวาด เจ้าคงพยายามช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ด้วยสินะ” เทพคนสวนแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนหลังไคซัสถามตรงไปตรงมาเหมือนลูกธนูปักกลางเป้า

“มีบ้างขอรับ แต่เฮสเลนก็รู้จักข้าดี เพราะอย่างนั้นหลายครั้ง...จึงผิดพลาด” ปลายเสียงของเทพหนุ่มแผ่วเบาจนแทบมีแต่ลม ใบหน้าคมกำลังก้มลงต่ำเมื่อถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นสบตาคนที่ยิงคำถามเลือดเย็นนั้นออกมา แววเศร้าสร้อยในดวงตาคู่นั้นละลายหัวใจที่กำลังจะแข็งขืนของเขาได้ในพริบตา

“ข้าขอโทษที่ถามแบบนี้ แต่ในฐานะมหาเทพสงคราม...ในฐานะคนรักของเจ้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้นะ” ไคซัสให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา...และตรงต่อหัวใจของเขามากที่สุด

แต่สำหรับฮาธอส การเล่าเรื่องนี้ไม่ต่างกับการย้อนกลับไปหาฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้า และความสิ้นหวังที่เขาต้องเผชิญตลอดช่วงที่เฮสเลนก่อการร้าย แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม

“ข้ายังไม่พร้อมขอรับ” ฮาธอสหลุบตาต่ำหวังให้แพขนตาของตนปกปิดซ่อนความเจ็บปวดที่เจืออยู่ในแววตา แต่ไคซัสก็รับรู้ได้จากท่าทางของเขา

“เข้าใจล่ะ เอาไว้เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาเล่าให้ข้าฟังนะ” ปากอาจจะถูกอย่างใจกว้าง แต่ใบหน้าของไคซัสกลับเต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ข้ายังมีอีกคำถามที่ไม่ว่ายังไงก็อยากรู้” ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบขึ้นสบตาเขานิ่ง “เจ้ารู้ไหมว่าเฮสเลนหายตัวไปไหน”

นั่นเป็นคำถามที่เทพทั้งสวรรค์ต่างสงสัย แต่แสร้งทำเป็นลืมไปด้วยเหตุว่าต้นตอของภัยร้ายได้หายไปแล้ว ความสงบสุขหวนคืนสู่สวรรค์จึงไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบายใด ๆ อีก เรื่องราวของเฮสเลนจึงถูกกาลเวลากลบฝังไว้ในหลุมมืดลึกลงในไปจิตใจของชาวเทพ แน่นอนว่ารวมถึงฮาธอสด้วย แต่การฝังของเขานั้นดูจะหนาแน่นยิ่งกว่าคนอื่น ๆ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยสงสัยว่าพี่ชายของตนหายไปไหน สำคัญที่สุดคือ...ไม่มีความจำเป็นที่ชาวเทพทั้งหลายจะต้องรู้ด้วย...

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”

ดวงตาสีน้ำเงินพริ้มหลับพร้อมกับคำถามที่หลุดจากคออย่างลำบาก ไคซัสสามารถจับกระแสอึดอันและทุกข์เศร้าจากน้ำเสียงของฮาธอสได้อย่างชัดเจน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าในอดีตฮาธอสต้องเจอกับสิ่งใดมาบ้างถึงได้เก็บงำความทุกข์ไว้ขนาดนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมให้ความร่วมมือคงต้องรอไปก่อน

“เข้าใจแล้ว แค่เจ้ายอมให้ข้าถามเรื่องนี้ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้ว ขอบใจมาก” เมื่อฮาธอสเหลือบตามองไคซัสอีกครั้งก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใบหน้าของเขาน่ามองขึ้นเล็กน้อย และกลายเป็นรอยยิ้มกว้างตอนเขาพูดประโยคต่อมา “มา! ข้าจะให้รางวัล”

ฮาธอสไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดสงสัยว่ารางวัลอะไร ใบหน้าคมเข้มสีแดงก็โน้มลงมาจูบริมฝีปากของเขาอีกครั้ง...เป็นครั้งที่สองของวัน คราวนี้สัมผัสจูบเร่าร้อนและดื่มด่ำทำให้สมองของเทพคนสวนพร่าเลือนไปอีกรอบ เขารู้สึกว่ามือใหญ่วางบนหน้าท้องแล้วถ่ายพลังเยียวยาอาการปวดท้องให้ ไอพลังแผ่ไปทั่วทำให้ร่างกายอ่อนระทดระทวยตามมือที่กดเขาลงกับม้านั่ง ร่างใหญ่ตามขึ้นมาอยู่เหนือตัวเขาเป็นเงาตามตัว จูบย้ำลึกซึ้งคล้ายจะซึมลงไปให้ถึงจิตวิญญาณ ในที่สุดฮาธอสก็เข้าใจ...ไคซัสจงใจใช้พลังเยียวยาตอนนี้เพื่อกระตุ้นเขานั่นเอง

“อุ๊ย!” ท่ามกลางสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงหวานที่อุทานขึ้นนั้นประหนึ่งเทปที่ถูกเปิดซ้ำใหม่ ฮาธอสผลักตัวไคซัสออกและมองไปยังต้นเสียง นาซิลลายืนอยู่ใต้ชายคาและใช้มือที่ถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ปิดปากเหมือนเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด ต่างกันเพียงความตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อในดวงตาของเธอเท่านั้น

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ นาซิลลา” ไคซัสถามหลังเห็นฮาธอสอ้าปากพะงาบ ๆ อย่างคนพูดอะไรไม่ออก

“ขะ...ข้าน้อยนำสารจากจอมเทพีเรเทเชียกับขุนพลเทพอันดับห้ามาให้ฮาธอสเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนาซิลลาสั่นเทาจนเกือบไม่เป็นคำ เห็นได้ชัดว่าเธอช็อกกับภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้มาก ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยคำถามจับจ้องที่ฮาธอส “พะ...พูดส่งบอกว่าเป็นสารขอโทษจากทั้งสองเจ้าค่ะ”

“ส่งมาถึงเจ้าด้วยใช่ไหม” หลังไคซัสถาม นาซิลลาก็พยักหน้า “เอาเข้ามา”

แต่ร่างบางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้จะสิ้นเสียงสั่งไปนานแล้ว ฮาธอสกับไคซัสมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนเทพคนสวนจะตัดสินใจลุกไปหาเด็กสาวด้วยตนเอง ซึ่งทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้งดุจถูกถ่วงด้วยก้อนหิน ชายหนุ่มเคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะบอกเธอเรื่องไคซัส แต่ไม่คาดฝันเลยว่าเธอจะมาเห็นด้วยตัวเองก่อนแบบนี้ มิหนำซ้ำยังเกิดขึ้นหลังจากที่เขาปฏิเสธเธอเสียด้วย มันก็เหมือนมีดที่กรีดย้ำลงบนรอยแผลของเธอ...อย่างไร้ความปราณี

“นาซิลลา...” ฮาธอสเรียกพร้อมยื่นมือออกไปขอจดหมาย แต่สายตาที่มองดูเธอนั้นมีแต่ความเสียใจ

“อ๋อ! เอาไปสิ ขอตัวก่อนนะ!” เด็กสาวยัดซองในมือเขาแล้วสะบัดหน้าวิ่งจากไป พริบตาก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีไปนั้น ฮาธอสมองเห็นน้ำตาของเธอ อีกแล้วหรือ...นี่เขาทำให้น้องสาวของเขาต้องเจ็บปวดอีกแล้วหรือ!

มหาเทพสงครามดูเหตุการณ์อยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ นึกรู้เลยว่าเรื่องนี้อาจกลายเป็นจุดแตกหักระหว่างฮาธอสกับนาซิลลา ทว่าเขาก็ไม่เสียใจที่มันเกิดขึ้น...แม้จะไม่ได้เจตนาเสียทีเดียวก็ตาม เพราะนั่นเท่ากับว่าจะไม่มีสตรีนางไหนมาช่วงชิงเทพคนสวนไปจากเขาได้อีกแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ ฮาธอส” ในที่สุดไคซัสก็ลุกไปกอดคนที่รักจากข้างหลัง ปลอบประโลมเขาด้วยความรักและไออุ่นของตนเอง “ให้เวลานาซิลลาทำใจอีกสักหน่อย ค่อยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง ข้าเชื่อว่านางจะเข้าใจ”

ฮาธอสไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้ารับอย่างขมขืนและภาวนาให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่มหาเทพสงครามพูดมา...

--------------

อีกด้านหนึ่ง เรมันต์ซึ่งถูกฟาเบียนพิพากษาปลดจากตำแหน่งหัวหน้าจอมปราชญ์และถูกขับไล่ออกจากเขตส่วนกลางต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในเขตทุรกันดานบริเวณชายมหานครทิศเหนือ วิมานที่เคยใช้โตและงดงามในอดีต บัดนี้กลายเป็นกระท่อมหลังน้อย หลังคามุงหญ้าคาตากแห้ง บริเวณบ้านก็น้อยกว่าในอดีตเกือบสิบเท่า ไม่มีข้ารับใช้คอยดูแลอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว

ชายชราเดินกลับไปกลับมาภายในนิวาสสถานที่มีอยู่เพียงห้องเดียวของตน สมองอันเฉียบคมพยายามคิดแผนต่าง ๆ นานา เพื่อหาทางกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมให้ได้ ทว่าทุกแผนล้วนทำได้ยาก เพราะนอกจากต้องใช้คนเยอะแล้วยังต้องพึ่งเส้นสายทางการเมืองด้วย ซึ่งเขาเสียทั้งหมดนั้นไปหมดแล้ว!

“ถ้าไม่มีสองตนนั้น ข้าก็คงไม่ตกอับแบบนี้หรอก!”

“ตัวเองเดินหมากพลาดเองนะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่นซี่” เรมันต์ถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงเล็กคุ้นหูของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ขาดเสียงสบถของเขา

เซย์เรียโน่ยืนกอดอกพิงบ่ากับกรอบประตูดูสีหน้าตกใจของชายชราอย่างหยามหยัน คนที่เคยอยู่อย่างมีเกียรติและหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ต้องมาอยู่กระต๊อบหลังเล็ก ๆ แบบนี้คงเสียความรู้สึกน่าดู นับว่าฟาเบียนดัดนิสัยได้ถูกทางล่ะนะ

“ท่านมาทำอะไรที่นี่ ขุนพลเทพอันดับห้า!” น้ำเสียงแหบติดจะกระชากนิด ๆ ด้วยความหงุดหงิด

“ข้าไม่ได้มาเหยาะเย้ยท่านหรอกน่า ถึงจะอยากทำก็เถอะ” เซย์เรียโน่หัวเราะชอบใจหลังเห็นเรมันต์คิ้วกระตุกยิก ๆ การยั่วโมโหใครสักคน...โดยเฉพาะคนที่เกลียดสุด ๆ เนี่ย มันสนุกจริง ๆ นะ น่าเสียดายที่เล่นมากไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียงานซะก่อน “เรมันต์อยากกลับไปอยู่ที่เดิมไหม”

“ขุนพลเทพอันดับห้า ถึงข้าจะออกจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็สูงวัยกว่าท่านมาก ให้เกียรติกันหน่อยได้ไหม”

“ข้าจะให้เกียรติเฉพาะคนที่ข้าอยากให้เกียรติ ท่านก็รู้เรื่องนี้ไม่ใช่รึ” เจ้าของเสียงเล็กสวนกลับมาอย่างเย็นชาทำให้คนต่อว่าหน้าแดงวาบด้วยความโกรธเสียเอง แต่เมื่อเห็นหน้าไม่พอใจอันเยือกเย็นของเด็กหนุ่ม ชายชราก็ไม่กล้าต่อว่าอะไร ทำไมน่ะหรือ? เพราะเจ้าเด็กนี่มีพลังมากที่สุดในบรรดาขุนพลเทพน่ะสิ และถึงมหาเทพจ้าวสวรรค์จะดูไม่ชอบขี้หน้าเขานัก แต่ก็วางใจให้ทำงานใหญ่มาหลายครั้งแล้ว “เอาล่ะ ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าอยากกลับไปตำแหน่งเดิมไหม”

“แน่นอน ถ้าได้รับโอกาส ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่!” เรมันต์กล่าว แววตาหมายมั่น!

เซย์เรียโน่ยิ้มหวานอย่างเจ้าเล่ห์ “อย่างนั้นก็ดี ข้ามีงานให้ท่าน เป็นงานที่เจ้าต้องทำให้ได้เสียด้วย” ว่าพลางเดินเข้าไปข้างในอย่างงามสง่าแล้วประตูบ้านก็เคลื่อนปิดด้วยตัวของมันเอง

เนิ่นนานหลังจากนั้น ขุนพลเทพอันดับห้าแห่งสวรรค์ก็เปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น ผิดกับคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างในซึ่งนั่งนิ่งที่โต๊ะรับประทานอาหารกลางบ้านด้วยสีหน้าคิดไม่ตก และสะดุ้งโหยงเมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของร่างเล็กหันกลับมาพูดย้ำ

“เรมันต์ นี่เป็นงานใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าจะหามาได้เพื่อเจ้านะ ดังนั้นอย่าทำให้ข้า...ไม่สิ ต้องพูดว่าอย่าทำให้ฟาเบียนผิดหวังล่ะ” เด็กหนุ่มโบกมือน้อย ๆ แล้วหมุนตัวเพื่อกลับไป

“ช้าก่อน!” เรมันต์โพล่งรั้งไว้ เจ้าของชื่อจึงหันกลับไปหาชายชราที่ลุกพรวดขึ้น “ช้าก่อน...ถ้าข้าทำสำเร็จจริง ๆ มหาเทพจ้าวสวรรค์จะให้ข้ากลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมจริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องโกหกด้วยล่ะ” เซย์เรียโน่เอียงคอ ทำหน้าฉงนฉงายอย่างเด็กไร้เดียงสาสมวัย “ไม่ใช่แค่จะได้คืนตำแหน่งเดิมนะ แต่เขาจะต้องชื่นชมเจ้าไปอีกนับพันปี บางทีอาจบันทึกในประวัติศาสตร์สวรรค์ด้วยก็ได้”

ความหอมหวานของความหวังนั้นช่างเย้ายวนใจอย่างยิ่งยวด ขนาดที่ทำลายความไม่มั่นใจซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากได้ยินหัวข้องานจากเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสียสิ้น อันที่จริง มันก็ไม่เชิงว่าเป็นงานที่น่าอภิรมย์นัก ทว่าผลตอบแทนที่สวยงามย่อมต้องแลกด้วยงานที่ยากลำบากอยู่แล้ว มันเป็นสัจธรรมที่ใช้ได้ในทุกโลก

เมื่อเห็นว่าชายชราเงียบไปแล้ว เซย์เรียโน่จึงคิดว่าเจ้าตัวน่าจะยอมรับข้อเสนอของเขา เด็กหนุ่มจึงเหาะจากมาด้วยความสำราญใจอย่างที่สุด และแล้ววันนี้เขาก็ทำงานเสร็จไปอีกส่วน จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนดีนะ

“นั่นเจ้ากำลังคิดจะไปก๊งที่ไหนหรือ เซย์เรียโน่” ขณะกำลังคิดอย่างเพลิดเพลิน จู่ ๆ ก็มีน้ำหนักตัวคนโถมลงมาจากข้างบนอย่างไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงพร้อมยั้งตัวไว้ก่อนจะร่วงกลางอากาศ พอรู้ตัวอีกครั้งก็ถูกเจ้าของน้ำหนักบนหลังรัดไว้จนดิ้นไม่หลุด!

“โผล่มาแล้ว เจ้าเทพแสงลามก ปล่อยข้านะลูซิส!” โวยวายพร้อมเอี้ยวตัวมองเทพหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีแพรตตินั่ม ดวงตาสีรุ้งกรุ้มกริ่ม ผิวขาวเนียน เวลาเขายิ้มเหมือนมีแสงเจิดจรัสดั่งดวงตะวันสาดส่องมาด้วย สมเป็นมหาเทพแห่งแสงสว่าง หนึ่งในมหาเทพบรรพกาลแห่งสวรรค์จริง ๆ

“ไม่ปล่อย เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมข้าหลายวันแล้ว อุตส่าห์เจอกันทั้งทีไม่ปล่อยเด็ดขาด” ลูซิสไม่พูดเปล่า ยังเบียดแก้มคลอเคลียเหมือนแมว แล้วหอมไซ้แก้มเนียนขาว เล่นเอาคนถูกลวนลามขนลุกซู่

“ว้อย! ที่ไม่ได้เจอกัน เพราะเจ้าไปขลุกกับฟาเบียนไม่ใช่หรือไง เบื่อแล้วเรอะ ถึงมาก่อกวนกันแบบนี้!” เซย์เรียโน่พยายามดิ้นเต็มที่ แต่มือเหนี่ยว ๆ นั่นกลับรัดเขาแน่นขึ้นเหมือนกาวดักหนู พับผ่าเถอะ! ในฐานะเพื่อน เขาเกลียดการกระทำแบบนี้ที่สุด นี่มันการแกล้งกันชัด ๆ!

“ยังไม่เบื่อหรอก เล่นกับฟาเบียนก็สนุกดี แต่พอดีคิดถึงเจ้าก็เลยแวะมาหา” คนตอบยิ้มกว้าง แสงสว่างของสวรรค์เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจในมหาเทพบรรพกาลตนนี้ เจ้าตัวจึงสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็วและรับรู้ทุกสรรพสิ่งที่เขาอยากจะรู้ “แต่ข้าได้ยินแล้วนะ เรื่องที่เจ้าคุยกับเรมันต์น่ะ”

“ทำไม? เจ้าจะขวางข้าหรือ” เมื่อดิ้นไม่หลุด เซย์เรียโน่ก็ลอยตัวนิ่งอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย กอดอกหน้าบึ้งไม่พอใจสุด ๆ ซึ่งดู...น่ารักมากในสายตาคนมอง

“มหาเทพบรรพกาลอย่างพวกข้าไม่ยุ่งเรื่องของสวรรค์มานานแล้วและจะไม่ยุ่งต่อไปด้วย ดังนั้นข้าไม่ขวางหรอก” ลูซิสยิ้มเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ “แต่ข้ากำลังสงสัยว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไป มันดีแล้วหรือ”

“อะไรล่ะ”

“ราดน้ำมันลงกองไฟ”

ดวงตาสีแดงฉานเหลือบมองมหาเทพหน้าเป็นซึ่งส่งยิ้มน่ารักน่าเอ็นดูมาให้ ในใจนึกอยากตั้นหน้าด้วยความหมันไส้สักหมัด ทว่าต้องข่มใจไว้แล้วนึกถึงเหตุการณ์ในนิวาสสถานของเรมันต์ รอยยิ้มสมใจที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกก็ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น

“ในบรรดางานที่ข้าทำ การราดน้ำมันใส่กองไฟเป็นสิ่งที่ข้าชอบที่สุด” แววตาซุกซนจางหายกลับกลายเป็นแววสนุกสนานที่ดูร้ายเดียงสายิ่งนัก “ลองนึกดูสิว่าถ้าใส่เชื้อไฟที่น่ากลัวที่สุดในกองเพลิงที่กำลังจะลุกโหม อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนุกหรอกหรือ ลูซิส”

ไม่ว่ามหาเทพแสงสว่างจะคิดอย่างไรกับความคิดของเด็กหนุ่มตนนี้ เขาก็สามารถปกปิดมันได้อย่างมิดชิด มีเพียงมือที่ตะปบลงบนผมหน้าของเขาแล้วขยี้แรง ๆ จนยุ่งเป็นรังนก

“อย่าสนุกจนเกินเหตุแล้วกัน เซย์เรียโน่ เจ้ายังเด็กและมีภาระมากเกินกว่าจะก้าวเข้าไปในโลกสีดำนั่น”

คำเตือนก้องกังวานในโสตประสาทพร้อมกับอ้อมแขนที่คลายออกจากตัวเซย์เรียโน่ แต่เมื่อเขาหันกลับไปก็พบเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ลูซิสหายตัวไปเสียแล้ว ขุนพลเทพอันดับห้าเอามือเสยผมอย่างเซ็ง ๆ

“ไม่ต้องเตือนข้าก็รู้แล้วน่า เจ้าเทพลามก...”

----------------

จบไปอีกตอน มีเวลาแวบมาได้ก็มาอัพนิยายกันเลย ฮ่าๆๆๆ

มีฉากที่หายไปด้วยฮับ เชิญทัศนาได้ http://i147.photobucket.com/albums/r318/ariajung/LG/E090E320E010E170E350E480E2B0E320E220E440E1B01.jpg

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang ต้องดูกันต่อไปฮับ ว่าสุดท้ายแล้วความเป็นเทพจะทำให้นาซิลลากลับใจได้ไหม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 04-09-2013 22:22:13
มีเทพลูซิสโผล่มาอีกตน
เรื่องราวชักจะพ้นกันเป็นวุ้นเส้นแล้วนะ
อ่านไปอ่านมาก็ยังมึนๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 05-09-2013 19:36:40
บทที่ 15 ความวุ่นวายกลางราตรี

- 50% -

หลังจากตกลงใจกับไคซัสเรื่องนาซิลลาเรียบร้อยแล้ว ฮาธอสก็ขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องโดยเซบาสเตียนช่วยพยุงตัวกลับมา เนื่องจากความเครียดส่งผลให้อาการปวดท้องของเขาทรุดลงจนต้องกินยาแก้ปวดเพิ่มอีกสองเม็ด ฤทธิ์ยาทำให้เทพหนุ่มรู้สึกง่วงนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงห้องส่วนตัวของไคซัสซึ่งบัดนี้กลายเป็นห้องพักของเขาอีกแห่งแล้ว ร่างสูงโปร่งก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า

“เฮ้อ...”

“รู้สึกแย่มากเลยหรือ” เซบาสเตียนถามหลังได้ยินเสียงถอนใจล้า ๆ นั้นในขณะช่วยปลดกระดุมเสื้อ เข็มขัด และรองเท้าออกจากตัวฮาธอส “ข้าไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากสายตาตำหนิที่มหาเทพไคซัสส่งให้ตอนพาตัวเจ้าออกมา ดูเหมือนจะเป็นความผิดของพวกข้าที่ปล่อยให้นาซิลลาเข้าไปพบ”

“อย่าคิดมากเลย นาซิลลาเชิญสารของจอมเทพีเรเทเชียกับขุนพลเทพมานี่นา” ฮาธอสกล่าวอย่างเข้าใจดี สารของระดับสูงมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องรีบส่งให้ถึงมือผู้รับก่อนเกิดปัญหาในภายหลัง อีกอย่างพวกเซบาสเตียนก็ไม่รู้เรื่องความรักลับ ๆ ของพวกเขาด้วย

“แต่พวกข้าก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้แจ้งให้มหาเทพไคซัสกับเจ้าทราบก่อน” เซบาสเตียนวางรองเท้าแล้วยืนขึ้น “ข้าจะกลับไปหามหาเทพไคซัสก่อน เชิญฮาธอสพักตามสบาย”

“ขอบคุณที่ช่วยนะ” เทพคนสวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายพยักหน้ารับและกลับออกไป

เมื่อเหลือตัวคนเดียว ฮาธอสก็นอนรอให้อาการปวดท้องของตนทุเลาลงอีกนิด เพราะมันแย่เสียจนเขาคิดอะไรไม่ออก ถึงอย่างนั้นภาพใบหน้าตกใจสุดขีดของนาซิลลาตอนเห็นพวกเขาก็ปรากฏหลอกหลอน ถ้าเพียงจดหมายของจอมเทพทั้งสองตนไม่มาถึงวันนี้ เด็กสาวคงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างรุนแรงติดต่อกันแบบนี้

พอคิดถึงจดหมายก็นึกได้ว่ายังไม่ได้อ่าน เทพหนุ่มควานมือไปข้าง ๆ จนพบทั้งสองฉบับตกอยู่ไม่ไกลนัก เขาเลือกอ่านของเซย์เรียโน่ก่อน ซึ่งเนื้อความไม่มีอะไรมากไปกว่าคำขอโทษที่เป็นผู้เสนอแผนการดึงตัวเขากลับตำหนักซิมโฟเนียอาเรียจนเกิดเรื่องร้ายขึ้น ตบท้ายด้วยคำเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่ตำหนักลาไซสิโอน่าเป็นกรณีพิเศษได้ทุกเมื่อ ซึ่งถือเป็นรางวัลไถ่โทษที่มีค่ามากสำหรับเทพรับใช้อย่างเขา แต่เมื่อมาถึงจดหมายของจอมเทพีเรเทเชีย เทพคนสวนกลับต้องรู้สึกใจหาย...



ถึงฮาธอส ศิษย์ที่รักของข้า

ข้าได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วก็รู้สึกเบาใจ ข้าต้องขอโทษด้วยที่หลงคารมของขุนพลเทพอันดับห้าจนทำให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นเจ้านายที่แย่มากนัก นอกจากจะดูแลพวกเจ้าไม่ได้แล้ว ยังมิอาจช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีในยามที่เดือดร้อน ดังนั้นพวกเจ้าจงอยู่ที่ตำหนักพาเทร่าต่อไปเถิด เมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้วและพวกเจ้าเต็มใจค่อยกลับมา

ฮาธอสที่รัก ข้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก หวังว่าเจ้าจะให้อภัยนายหญิงหัวอ่อนและอ่อนแออย่างข้า และระวังนาซิลลาไว้ด้วย นางสื่อสารกับความมืดได้ อันตรายอาจมาเยือนพวกเจ้าได้ทุกเมื่อ


ด้วยรักและห่วงใย

เรเทเชีย


เมื่ออ่านจบเทพคนสวนก็พับจดหมายเก็บลงซองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แน่นอนว่าเขาไม่โกรธเคืองหรือเกลียดชังนายหญิงของตน ตรงกันข้ามเขากลับนึกสงสารนางที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเลวร้ายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย จอมเทพีเรเทเชียคงเจ็บปวดรวดร้าวมากทีเดียว

ทว่าเรื่องของนายหญิงยังไม่น่าห่วงมากนัก เพราะมีเทพรับใช้อีกมากมายคอยปรนนิบัติใกล้ชิด เขากำลังเป็นห่วงนาซิลลามากกว่า ในยามที่จิตของเธออยู่ในด้านลบจะยิ่งทำให้สื่อสารกับคนของความมืดได้ง่ายดายขึ้น หากเป็นพวกระดับล่างคงไม่น่ากังวลนัก เนื่องจากมีพลังสวรรค์คอยคุ้มครองจึงแค่ทำให้ฝันร้ายเป็นบางเวลา แต่ลางสังหรณ์ร้องเตือนเขาให้ระมัดระวังอันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

แต่เขาจะทำอย่างไรเล่า ป่านนี้นาซิลลาคงหนีกลับไปขังตัวอยู่ในห้องและไม่ยอมพบหน้าเขาอีกแน่นอน คงยากจะคุ้มครองเธอจากภัยในเงามืดนั้นได้ จะฝากให้อัลลืช่วยดูแลก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลเพียงใด คงได้แต่สวดภาวนากระมัง...

...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...หากต้องมีใครเจ็บปวดล่ะก็...ขอให้ผู้นั้นเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว

-----------------

‘จูบ’

‘ไม่!’

‘เจ้าเห็น! พวกเขาจูบอย่างดูดดื่มกลางสวน’

‘พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง!’

นาซิลลาเอามืออุดหูและคู้ตัวลงร้องไห้กับพื้นสีดำสนิท สองแขนโอบรอบใบหน้าราวกับไม่อยากพบใครอีกต่อไปแล้ว ความหนาวเย็นรอบข้างค่อยซึมซาบลงไปถึงหัวใจที่แหลกสลาย ขณะความเจ็บปวดล้นทะลักจนแทบกระอักเลือด เธอพยายามจะลืมสิ่งที่เห็น แต่ยิ่งทำแบบนั้นเท่าไหร่ ภาพฮาธอสจูบกับไคซัสก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น

เงาดำลึกลับเคลื่อนตัวจากความมืดมากอบตัวเด็กสาวไปกอด มันรัดร่างบางแน่นเมื่อเธอดิ้นหนี จับใบหน้าเล็กฝังกับบ่าเย็นชืดของมันเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าจะอยู่เป็นเพื่อน

‘อย่าร้องไห้อีกเลย นาซิลลา น้ำตาของเจ้ามีค่าเกินกว่าจะหลั่งเพื่อสองคนนั้นนะ’ แต่เสียงร่ำไห้กลับดังขึ้นราวกับการประท้วง มันโคลงหัวลงน้อย ๆ คล้ายถอนใจ ‘ความรักของเจ้ายังไม่จบเสียหน่อย ใยเจ้าจึงร้องไห้’

‘จบสิ ฮาธอสปฏิเสธข้าแล้วและมีใจให้กับมหาเทพสงครามด้วย ภาพที่ข้าเห็นไม่ใช่การบังคับขืนใจ แต่ฮาธอสเต็มใจให้มหาเทพสงครามจูบเอง ข้ารู้อยู่แล้ว...นึกแล้วเชียว...’

เทพจันทราหลับตาลงและนึกย้อนไปถึงคืนที่ไคซัสลอบเข้าตำหนักซิมโฟเนียอาเรียอีกครั้ง คืนนั้นเธอสังหรณ์ในบางอย่างจึงแอบตามดูฮาธอสที่อาสาไปส่งมหาเทพสงครามตอนขากลับ ทำให้เธอได้เห็นเหตุการณ์ในสวนประจำตำหนักเต็มตา ทั้งท่าทาง สีหน้า และแววตาที่เทพอสูรตนนั้นมีต่อชายที่เธอรักสุดหัวใจ เธอรู้ว่านั่นคือ เค้าลางของความรัก เด็กสาวตกใจกับสิ่งที่เห็นมากและหลังจากคิดอยู่หลายวันก็ตัดสินใจตามฮาธอสมาที่นี่ด้วย

ทว่ามหาเทพสงครามก็ร้ายกาจกว่าที่เธอคาดไว้มากนัก เขาใช้อำนาจที่มีดึงตัวฮาธอสไปอยู่ใกล้ตัวอย่างแนบเนียน โดยที่เด็กสาวไม่สามารถต่อกรได้เลย แม้จะมีโอกาสได้อยู่สองต่อสองกับฮาธอสเป็นครั้งคราว แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยแยแสเธอเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเธอรู้สึกดีกับไคซัสมากขึ้นหลังเขาช่วยลบฝันร้ายให้ ทว่าความรู้สึกนั้นก็จางหายไปหลังรู้ว่าเทพอสูรหนุ่มดึงตัวชายที่เธอรักไปรักษาตัวในห้องส่วนตัวของเขา

ในวันที่รู้เรื่องนี้ หัวใจของนาซิลลาเกือบแตกสลาย ความกลัวระคนด้วยความริษยาทำให้เธอขอไคซัสเข้าเยี่ยมฮาธอสหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับอนุญาต ทุกคืนเธอสวดภาวนาอย่าให้ฮาธอสหลงไปกับคารมของอีกฝ่ายกระทั่งกลายเป็นความร้อนใจ สุดท้ายก็หลุดปากสารภาพรักกับฮาธอสตอนพบกันอีกครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดั่งที่เห็น เธอนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...

‘เจ้าจะถอดใจเพียงเท่านี้หรือ นาซิลลา ข้าบอกแล้วว่าจะเอาฮาธอสมาคืนให้’ เมื่อมันพูด ละอองสีดำก็ขจรขจายออกจากตัวและปะปนเข้าไปในลมหายใจของเด็กสาว มอมเมาเธอด้วยความมืดทรงพลังที่ทำให้สูญเสียตัวตนช้า ๆ ‘ขอเพียงกำจัดมหาเทพสงคราม...เทพทุกตนที่ขวางเจ้าอยู่ได้ ฮาธอสก็จะเป็นของเจ้า’

‘ทำอย่างไรล่ะ...มหาเทพ...มหาเทพสงครามเก่ง...มาก...เลยนะ...’ นาซิลลาพยายามฝืนตัวพูด แต่เสียงที่เล็ดรอดออกมาได้กลับแทบไม่เป็นคำ สิ่งที่เธอรับรู้เป็นอย่างสุดท้ายคือ มือเย็นเยียบที่แทรกเข้ามาในร่างกายอย่างไม่ทันตั้งตัวกับเสียงทุ้มที่เอ่ยคำพูดอย่างหวานละมุน

‘เจ้าไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฮาธอสก็เป็นของเจ้า’

---------------   

ไคซัสปิดสมุดบันทึกงานฉบับสุดท้ายของวันแล้วขยี้หัวตาด้วยความอ่อนล้า แม้งานประลองรับฤดูใบไม้ผลิจะถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด แต่งานของเขาก็ยุ่งเช้าจรดค่ำเหมือนเดิม สองสามวันนี้เขาต้องไปกองบัญชาการกองทัพสวรรค์ เพื่อดูและติดตามผลการฝึกแบบอสูรกับหน่วยทดลองทั้งหนึ่งพันห้าร้อยนาย เมื่อกลับตำหนักก็ต้องจัดการกับงานเอกสารต่อ ยังดีที่เขาแบ่งงานบางส่วนที่ไม่สำคัญนักให้ฮาธอสไปทำจึงพอมีเวลาพักผ่อนบ้าง

“ขออนุญาตขอรับ” อัลล์เปิดประตูเข้ามาแสดงความเคารพอย่างองอาจ “ได้เวลาปิดไฟแล้ว มหาเทพไคซัสจะกลับห้องเลยไหมขอรับ”

“อืม! ขอบใจนะ ต้องให้เจ้าคอยเตือนทุกวันเลย” ไคซัยขยับไหล่ขวาจนได้ยินเสียงดังก๊อก ๆ แล้วนึกได้ “จริงสิ นาซิลลาออกจากห้องหรือยัง” นายทหารหนุ่มก้มหน้าตอบด้วยความเงียบ “ยังสินะ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฮาธอสเป็นห่วงนางมากทีเดียว”

อัลล์ได้แต่ฟังเท่านั้น เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เพราะได้คุยกับฮาธอสหลังนาซิลลาหนีกลับไปขังตัวอยู่ในห้อง นายทหารหนุ่มยอมรับว่าตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าสหายของตนมีใจตรงกับมหาเทพสงคราม แต่ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจดีว่าความรักเป็นสิ่งที่ห้ามกันมิได้ และสวรรค์ก็มิได้กีดกันความรักระหว่างชายกับชายด้วย ถ้าเพียงไม่มีนาซิลลามาขั้นอยู่ตรงกลางและฐานะไม่ได้ต่างกันมากนัก ทุกอย่างคงราบรื่นกว่านี้

“เอาเถอะ ปัญหาหัวใจไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ตกง่าย ๆ อยู่แล้ว ข้าขึ้นไปพักผ่อนดีกว่า” แต่เมื่อร่างใหญ่ลุกขึ้นเต็มความสูงก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีส้มกลอกไปมาสองสามครั้งสร้างความแปลกใจให้คนมองยิ่งนัก

“มหาเทพ” อัลล์เรียกอย่างแปลกใจหลังไคซัสนั่งลงที่เดิม

“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำอีกงานหนึ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ บอกพวกข้างนอกด้วย”

ในเมื่อเจ้านายว่าเช่นนั้น เทพรับใช้เช่นอัลล์ก็มีหน้าที่ต้องทำตาม นายทหารหนุ่มทำความเคารพเจ้านายก่อนถอยหลับออกไปสั่งให้คนของตนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสองนายกลับไปพักผ่อนได้ ส่วนตัวเองออกเดินตรวจตราภายในตำหนักต่อ เพราะหัวข้อสนทนาเมื่อกี้ทำให้เขาตาสว่างเล็กน้อยจึงอยากฆ่าเวลาจนกว่าจะง่วง แต่ก็ยอมรับว่าการพยายามไม่คิดเรื่องนี้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

ท่ามกลางแสงจันทร์อันหม่นหมองของคืนข้างแรม อัลล์กลับออกจากตำหนักชั้นในด้วยประตูเล็กหลังปีกตะวันตก เขาเพิ่งแวะไปที่ห้องพักของนาซิลลา เพื่อชวนเธอออกมาดูเดือนดูตะวันให้ลืมความทุกข์จากความรัก แต่แน่นอนว่าไม่มีการตอบสนอง เมื่อก่อนนาซิลลาเคยงอนและขังตัวเองในห้องบ่อย ๆ ก็จริง แต่ไม่เคยนานขนาดนี้ เขากลัวว่าเธอจะตรอมใจตายไปเสียก่อน บางทีคงต้องให้หัวหน้านางกำนัลอเดลมารับตัวเธอกลับไป เขาเห็นหนทางเลยว่าเธอจะทนทำงานที่นี่กับฮาธอสต่อไปได้อย่างไร

แต่เมื่อก้าวพ้นเขตตำหนักชั้นใน ร่างสูงใหญ่ก็ต้องชะงักหลังเหลือบเห็นบางสิ่งจากหางตาขวา ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดสีฟ้านั่งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใตต้นหลิว โดยหันหน้าเข้าหากำแพงตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้น ชายหนุ่มจำเรือนมีเงินยวงดุจแสงจันทร์นั้นได้ทันที

“นาซิลลา!” เด็กสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก อัลล์เดินอาด ๆ เข้าไปหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง แต่กลับต้องชะงักกลางทางเมื่อร่างบางลุกขึ้นและหันมองเขาด้วยสายตาเฉยชาเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นแววเศร้าสร้อยสมกับสถานะของเธอในตอนนี้

“อัลล์...ยังไม่นอนอีกหรือ” น้ำเสียงของเธอติดจะห้วนคล้ายไม่พอใจ นายทหารหนุ่มคิดไปว่าเธอคงงอนที่เขาไม่ยอมช่วยอะไรและยังเกลี่ยกล่อมให้ยอมรับความสัมพันธ์ของฮาธอสกับไคซัสมาตลอดสามวันที่ผ่านมา

“ข้ากำลังตรวจความเรียบร้อยอยู่ เจ้าล่ะ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มเข้าไปดูร่างบางใกล้ ๆ บรรยากาศรอบตัวเธอค่อนข้างเย็นและหม่นหมอง...เหมือนแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้

“นิดหน่อย...ข้าเบื่อความอุดอู้ก็เลยออกมารับแสงจันทร์น่ะ” นาซิลลาก็หน้าหลบสายตาคม ท่าทางลุกลี้ลุกลนคล้ายไม่อยากคุยกับเขา

“อย่างนั้นหรือ ทุกคนคงดีใจมากที่ได้เห็นเจ้าออกจากห้อง แม้แต่ฮาธอสยังเป็นห่วงเจ้ามากขนาดถามถึงทุกวันเชียวนะ เขาอยากมาหาเจ้ามาก แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะยิ่งเสียใจก็เลยห้ามไว้”

“พวกอัลล์รู้เรื่องกันหมดแล้วเหรอ” นาซิลลาถาม ท่าทางไม่อยู่สุกคล้ายว่าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องมากนัก “ข้านี่แย่จริง ๆ ดันรักใครไม่รัก ไปรักเพื่อนสนิทของตัวเอง ส่วนเขาก็ไปรักกับเจ้านาย ข้าเหมือนตัวตลกเลย”

อัลล์เกาท้ายทายอย่างอับจน อันที่จริงแล้วเขาถนัดเรื่องการต่อสู้และวางแผนการรบมากกว่าเรื่องความรู้สึก เขาอยากจะปลอบเธอให้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี...

“นาซิลลา ข้าไม่ถนัดเรื่องความรู้สึกจึงไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร แต่ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นตัวตลกหรอกนะ” เขาก้าวไปใกล้เธออีกนิด “อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง”

“ขอโทษนะ อัลล์ ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้ากลับไปเถอะ” ร่างบางหันหลังขวับ

“แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะยิ่งฟุ้งซ่านนะ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเถอะ”

“ไม่!” พร้อมกับเสียงร้อง นาซิลลาก็หมุนตัวกลับมาและปัดมืออัลล์ที่จับแขนเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างแรง แต่พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของทหารหนุ่มก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป “...ข...ขอโทษ...ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”

“ช่างเถอะ ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยากอยู่คนเดียว” อัลล์พูดหลังถอนใจเฮือกสั้น ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ขณะเดียวกันก็ขยับมือที่ถูกปัดออกมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อกี้ตอนที่แตะตัวเธอ...อุณหภูมิของร่างบางต่ำกว่าเทพปกตินิดหน่อย...หรือเปล่านะ? “แต่ถ้าเจ้าอยากได้คนอยู่เป็นเพื่อน เพื่อระบายความในใจมากว่านี้ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าพร้อมจะรับฟังเสมอ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 14 up 04/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 05-09-2013 19:38:27
“ขอบใจนะ” นาซิลลาสบตาอัลล์พลางแย้มยิ้มด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แต่อัลล์รู้สึกว่าแววตาของเธอเปลี่ยนไป...ดูลึกลับและเยือกเย็น...แต่เขาเผลอตัวสบนิ่ง “...แต่ไม่เป็นไร ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าไปนอนเถอะ...”

ยังไม่ทันขาดเสียงดีด้วยซ้ำ ดวงตาของเด็กสาวก็เปล่งแสงสีน้ำเงินวาบและคลื่นพลังสีเดียวกันก็พุ่งปะทะใบหน้าอัลล์อย่างไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มกระโดดถอยหลังเพื่อป้องกันตัวเอง แต่สายเกินไป เวทมนต์ของนาซิลลาสัมฤทธิ์แล้ว นายทหารหนุ่มสูญเสียการทรงตัวทันทีเมื่อความง่วงรุนแรงเข้าจู่โจม แน่นอนว่าเขาพยายามดิ้นรนใช้พลังลบล้างอำนาจเต็มที่ ทว่ามันก็ไม่เป็นผล สุดท้ายร่างสูงใหญ่ก็ล้มตึงประหนึ่งหอคอยที่ถูกทำลาย

เด็กสาวเดินมานั่งข้างกายของเขาและวางมือลงบนแก้ม มือเรียวเรืองแสงสีน้ำเงินตามด้วยร่างกายของชายหนุ่มวูบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเวทมนต์ของตนได้ผลแล้ว ร่างบางก็ลุกขึ้นและเงยหน้าดูปราสาทประมุขที่อีกฝากหนึ่งของกำแพง เธอสัมผัสกลุ่มก้อนพลังที่ทำให้หัวใจสั่นไหวได้อย่างชัดเจน

“รออีกเดี๋ยวนะ ข้ากำลังจะนำเจ้ากลับมาแล้ว”

เทพจันที่แย้มยิ้มกับตัวเองแล้วเดินข้ามตัวอัลล์ไปราวกับเป็นแค่เศษขยะไร้ค่า ทิ้งเขาไว้ตรงนั้นด้วยรู้ดีว่าจะไม่มีใครมาพบจนกว่าจะถึงเวลาเดินยามชั่วโมงถัดไป เธอกระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจเมื่อเข้ามาในปราสาทประมุขโดยทหารยามไม่สงสัย ตอนนี้เป็นเวลาปิดไฟแล้ว ภายในปราสาทจึงมืดเอาการ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเธอแม้แต่น้อย เทพจันทรามองเห็นได้ดีในยามราตรี เพียงไม่กี่นาทีเธอก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของมหาเทพสงคราม

ง่ายดายนัก...

เธอคิดขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งบัดนี้ปราศจากเจ้าของ ไคซัสคงกลับไปนอนแล้วและทิ้งห้องทำงานไว้แบบนี้ เพราะทุกวันจะมีแขกเข้าและออกห้องทำงานนี้บ่อย ๆ เขาจึงไม่เคยลงอาคมป้องกันประตูหน้า เพียงแต่ผนึกตู้เก็บเอกสารสำคัญไว้เท่านั้น ดวงตาของเด็กสาวเรืองแสงสีน้ำเงินเมื่อกวาดมองไปทั่วห้อง ของที่เธอตามหาต้องอยู่ที่นี่แน่นอน เพราะพลังที่เธอสัมผัสได้บอกแบบนั้น!

“เจอแล้ว!” พร้อมเสียงกระซิบอย่างลิงโลด นาซิลลาวิ่งไปยังตู้ใช้ชั้นหนังสือหลังที่สามของฝั่งขวา เธอวางมือเรืองอำนาจลงบนแม่กุญแจปลดสลักอย่างง่ายดาย และเมื่อเปิดออกก็พบกล่องในห่อผ้าสีเหลืองทองเก็บไว้ในนั้น ช่าง... “ง่ายจริง ๆ มหาเทพสงครามหน้าโง่ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว” ว่าเสร็จก็ยื่นมือออกไปหยิบมัน

แต่ทันทีที่มือของเธอสัมผัสกับห่อผ้า มันก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าและพลังที่คุ้มกันอยู่ก็สะท้อนตัวเธอออกไปเต็มแรง เด็กสาวกรีดร้องเมื่อร่างปลิวไปกระแทกกับโต๊ะประตูดังโครมใหญ่ ความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นมาตามสันหลังประหนึ่งคำสบถที่ส่งมาจากหัวใจ

กับดัก!

ประตูห้องถูกพังโครมเข้ามาทำให้นาซิลลาผงกศีรษะมองทันที มหาเทพสงครามปรากฏตัวด้วยท่าทางเอาเรื่องและประกาศก้อง

“ทหาร!” เซบาสเตียนกับองครักษ์สามนายที่อยู่เวรในคืนนี้ปรากฏตัวเมื่อสิ้นเสียงนั้น ทั้งหมดตกใจและประหลาดใจที่ได้เห็นเทพจันทราในห้องที่เธอไม่ควรอยู่ในยามวิกาล “จับนางไว้ นางจะขโมยของ!”

เทพจันทราโบกมือซัดละอองสีดำใส่หน้าพวกผู้ชายทำให้เสียจังหวะ และฉวยโอกาสนั้นลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตู แต่ไคซัสปัดพลังนั้นออกไปได้ เซบาสเตียนหายตัวไปปรากฏขวางทางเธอไว้แล้วต้อนกลับเข้าในห้อง องครักษ์อีกสองนายรวบแขนเธอไว้จนดิ้นไม่หลุด ก่อนจะหมุนตัวเธอมาเผชิญหน้ากับมหาเทพสงคราม

“ท...ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ขโมยจะอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่ไคซัสกลับมุ่นคิ้วและหรี่ตามองเธออย่างจับผิด

“เจ้าเป็นใคร”

“เอ๊ะ! ก็เป็นข้าไงเจ้าคะ นาซิลลา...” เทพจันทราตอบเสียงสั่น หน้าตาซีดเผือดยามเผชิญหน้ากับเทพอสูรที่อันตรายที่สุดตนหนึ่งของสวรรค์

“ไม่ใช่ เจ้าไม่ใช่นาซิลลาแน่ เพราะแววตาของเจ้าไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด และพลังของเทพจันทราก็ไม่ใช่สีดำด้วย เจ้าเป็นใคร!” ไคซัสจับคางเธอแล้วดึงเข้ามาใกล้ พลังสีส้มอันทรงอานุภาพไหลผ่านมือนั้นไปยังตัวของเธอ เด็กสาวดิ้นพราดทันใด

“อย่านะ หยุด...ข้าบอกให้หยุด!” เสียงคำรามของผู้ชายดังออกจากคอของเด็กสาว พร้อมอำนาจมืดที่ระเบิดออกมาซัดองครักษ์ทั้งสองนายจนหลุดจากตัวเธอ ร่างบางหันหลังวิ่งไปที่ประตูอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไปก็รู้สึกถึงกรงเล็บขนาดใหญ่จับศีรษะเอาไว้

“ข้าตามหาเจ้ามาตลอด ไม่มีทางปล่อยให้หนีรอดไปได้หรอกน่า!” ไคซัสตะโกนพร้อมส่งพลังเข้าไปในตัวเด็กสาวอีกครั้ง ในร่างของเธอเต็มไปด้วยอำนาจแห่งรัตติกาลที่เยียบเย็นดุจน้ำแข็งเหมือนกับ...พลังที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบสวรรค์ ในที่สุดปลาที่วางเหยื่อล่อไว้ก็ติดเบ็ดและเขาจะไม่ยอมให้หลุดมือเด็ดขาด

มหาเทพสงครามเริ่มควานหาต้นตอของพลังทั้งหมดจากในตัวของนาซิลลา โดยไม่ทำอันตรายร่างกายไปมากกว่านั้น ด้วยเกรงว่าดวงจิตของเจ้าของร่างซึ่งอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งจะเป็นอันตรายไปด้วย แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องต่อสู้สุดฤทธิ์ ทั้งต่อต้านด้วยพลังเวทและการดิ้นรนทางกายจนไคซัสยังตกใจว่าร่างเล็กบางนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจและค้นหาลึกลงไปจนพบเส้นสายสีดำโยงไปสู่ห้วงแห่งความมืด แต่ก่อนที่เขาจะไปไกลกว่านั้นเงาดำที่ไม่อาจระบุตัวตนก็ปรากฏในสายตา

“เจ้ามาไกลเกินไปแล้ว” สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยประสานกับเสียงจากตัวนาซิลลา เทพอสูรหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงอัดมหาศาลกระแทกกลางอกของเขาจนกระเด็นไปข้างหลัง ก่อนมีใครบางคนรับตัวเขาไว้ก่อนชนอย่างอื่นจนได้รับอันตรายกว่าเดิม แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาโอดครวญมากนัก เพราะต้องรีบลุกและไล่ตามนาซิลลาที่หนีออกไปแล้ว โดยไม่ลืมสั่งให้องครักษ์คนหนึ่งเฝ้าในห้องไว้

เด็กสาวผมสีเงินยวงวิ่งกลับไปตามทางเก่าหมายกลับไปยังจุดเริ่มต้นของตน ตอนนี้เสียงระฆังเตือนภัยดังระงมไปทั่ว ไม่ช้าพวกทหารก็จะกรูเข้ามาข้างใจ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในร่างเธอเหลือเวลาไม่มากที่จะหลบหนีไปพร้อมกับร่างทรงของตัวเอง แต่มันกลับต้องชะงักกลางทางเมื่อฮาธอสได้ยินเสียงความวุ่นวายและวิ่งลงมาอยู่ต่อหน้าเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ

“นาซิลลา!” เขาร้องอย่างประหลาดใจและถลาไปหาเธอ เพื่อดึงให้ห่างจากห้องทำงานของไคซัสที่เขาได้ยินเสียงดังออกมา แต่ไคซัสกับเซบาสเตียนวิ่งออกมาพอดี

“ฮาธอสถอยไป นั่นไม่ใช่นาซิลลา!!”

ฮาธอสเข้าใจคำพูดของไคซัสเกือบจะในทันที แต่เจ้าคนในร่างนาซิลลาก็เร็วกว่า มันเชิดร่างบางประชิดตัวเทพคนสวนด้วยความเร็วแสง ชายหนุ่มได้ยินเสียงมหาเทพสงครามตะโกนอะไรสักอย่าง แต่เขาฟังไม่รู้เรื่อง เพราะชั่วอึดใจนั้นเขาได้สบสายตากับเด็กสาวด้วย ซึ่งแววตาเยือกเย็นอันเกิดจากการผสมผสานของความโกรธ ความเกลียดชัง และความอำมหิตนั้น ทำให้เขาเห็นภาพซ้อนของชายคนหนึ่งอย่างชัดเจน

“ท่าน...!” เสียงของเขาหลุดจากปากได้คำเดียว คนในร่างนาซิลลาก็อัดมนตราใส่กลางลำตัวเขาจนกระเด็นไปหลายฟุตและตกลงพื้นอย่างแรง แต่มันกลับมิได้ทำร้ายเทพหนุ่มไปมากกว่านั้น

“บ้าชิบ สายเลือดเฮงซวย เจ้าไม่น่าเกิดมาเลย!” เทพลึกลับตะคอกผ่านปากนาซิลลาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับเมื่อรู้สึกถึงพลังอันร้อนแรงที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง มันเกือบไม่มีเวลาสร้างเกราะมนตราด้วยซ้ำในตอนที่มหาเทพสงครามซัดหมุนฉาบเพลิงใส่มันด้วยความโกรธ ดูท่ามันจะกระตุกหนวดมังกรเข้าเสียแล้ว

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายฮาธอส ออกจากตัวของนาซิลลาเดี๋ยวนี้!” ไคซัสหวดหมัดซ้ายออกไปและทะลุเกราะอาคมอย่างง่ายดาย เขาได้ยินเสียงมันสบถในตอนเอียงหัวสวย ๆ หลบไปด้านข้าง แต่ยังไม่วายวาดมือฉาบมนตราต่างมีดคมกริบใส่มหาเทพสงคราม เทพหนุ่มหมุนตัวหลบได้แบบฉิวเฉียดแล้วกระแทกบ่าบางกระเด็นไปทางหน้าต่าง เซบาสเตียนกับองครักษ์สามนายทะยานเข้าไปเตรียมจับกุม ทว่ามันกลับเชิดร่างเด็กสาวหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล้วจนแทบดูไม่ออกเลยว่าเทพจันทราไม่เคยฝึกการต่อสู้มาก่อน มันกลับไปพบกับไคซัสอีกครั้งซึ่งทั้งสองประมือกันอย่างสู้สีจนน่าตกใจ

ฮาธอสยันตัวขึ้นมานั่งช้า ๆ ใบหน้าซีดเผือด เพราะการตกพื้นเมื่อครู่นี้ทำให้อาการปวดท้องของเขากำเริบอีกครั้ง ที่สำคัญยังไม่ได้เอายาลงมาอีกด้วย แต่เขายังกัดฟันดูเหตุการณ์ด้วยความไม่อยากเชื่อ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้เป็นของจริงทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่เขาเห็นจากแววตา ท่าทาง และแม้แต่พลังที่นาซิลลาใช้ในตอนนี้ คนที่เขาไม่อยากพบที่สุดได้ปรากฏตัวในร่างของเด็กสาวตนนี้แล้ว แต่เป็นไปได้อย่างไร...

เทพตนนั้นกลับมาได้อย่างไร!

“กรี๊ด!” เสียงหวานร้องดังทำให้เทพคนสวนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขาเห็นตัวเด็กสาวเซไปชนผนังโดยมีเลือดไหลจากบาดแผลที่สีข้างด้วย กรงเล็บขวาของไคซัสเปื้อนของเหลวสีแดงด้วย แสดงว่าเขาเป็นคนฝากรอยแผลนั้นไว้บนตัวเธอ ฮาธอสเห็นแววเจ็บปวดแบบนาซิลลาแวบหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสนิทแบบเทพร้ายเมื่อมันเสกดวงเวทสีดำขนาดเท้าลูกบอลในจังหวะเดียวกับที่พวกองครักษ์ชักดาบวิ่งเข้าใส่

“ไม่! อย่าทำอย่างนั้น!”

ไม่ว่าเทพหนุ่มจะตะโกนออกไปเพื่อใคร แต่มันไม่ได้ผล พริบตาต่อมาเทพร้ายในตัวเด็กสาวก็ทิ้งดวงเวทนั้นลงพื้น ฮาธอสไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องเตือนใคร หรือรวบรวมกำลังพาตัวเองหนีด้วยซ้ำ เสียงระเบิดก็ดึงกึกก้องขึ้นพร้อมกับแสงสีดำกับสีแดงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทุกทิศ มันสว่างเจิดจ้าจนเทพคนสวนต้องหลับตาขณะหมอบตัวต่ำเตรียมรับของที่จะตกใส่ตัว เพราะเขาได้ยินเสียงเพดานพังถล่มดังสนั่นหวั่นไหว พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนราวกับจะยุบตัวลงได้ทุกเมื่อ ซึ่งท่ามกลางความวุ่นวายนั้นก็มีเสียงระเบิดครั้งที่สองดังขึ้น กระแสมนตราในตำหนักผันผวนอย่างรุนแรงบ่งชัดว่าเทพร้ายตนนั้นไปยุ่งกับเขตอาคมด้วย เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เขากลัวการระเบิดขนาดนี้...ไม่ได้กลัวเพื่อตัวเอง แต่กลัวแทนทุกคนที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางระเบิดนั้น!

ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงระเบิดก็สงบลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของทหารที่มาถึงที่เกิดเหตุ ฮาธอสลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ แสงสีแดงนวลตาซึ่งส่องผ่านช่องว่างเข้ามาในวงแขน เทพหนุ่มรีบยันตัวขึ้นดูด้วยความตกใจแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในวงล้อมของเขตอาคมที่แข็งแกร่ง กลิ่นอายมนตราแบบมังกรนั้นบ่งชัดว่าเป็นของไคซัส มันถูกทับอีกชั้นด้วยซากเพดานขนาดใหญ่สองสามชิ้น ข้างนอกมืดและเต็มไปด้วนฝุ่นควันจนมองไม่เห็นอย่างอื่น ท่ามกลางเสียงตะโกนเอะอะให้ค้นหาผู้บาดเจ็บบ้าง เพิ่มกำลังคุ้มกันสถานที่บ้าง มีประโยคหนึ่งบอกให้ตามหาอัลล์ด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขากระนั้นรึ ทุกคนปลอดภัยดีไหมนะ!

ทว่าก่อนที่ฮาธอสจะทันได้ทำอะไรต่อ อาการปวดท้องก็ทรุดหนักลงจนต้องคู้ตัวลงนอนกอดตัวเองไว้ ข้างในตัวนั้นเหมือนมีใครเอามีดมาหั่นเครื่องในของเขาทั้งเป็น

“โอย...” เมื่อสุดจะทนก็เผลอครางออกไปอย่างทรมาน แต่อึดใจต่อมาก็มีเสียงดังตึงตังเหนือตัวเขา

“ฮาธอสได้ยินเสียงข้าไหม ปลอดภัยดีหรือเปล่า!” เป็นเสียงของไคซัสที่ร้องมาจากอีกฝากของซากเพดาน เพียงแค่ได้ยินหัวใจของฮาธอสก็พองโตด้วยความดีใจ คนที่เขารักที่สุดยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าร่างเปื้อนฝุ่นมอมแมมของเทพอสูรก็ปรากฏในสายตาหลังเขาดันเพดานแผ่นสุดท้ายออกไป ม่านมนตราสลายตัวไปทันทีที่ไคซัสดีดนิ้ว เปิดทางให้มหาเทพสงครามรุดเข้ามาดูแลอาการของฮาธอส “เป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าปลอดภัยดีขอรับ แค่โรคเก่ากำเริบ...” เสียงของฮาธอสขาดหายเมื่อถูกประคองตัวขึ้นนั่งจนเห็นภาพปราสาทเต็มตา ทั้งชั้นมืดสลัวและเต็มไปด้วยฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วจากแรงระเบิดจนแทบมองไม่เห็นอีกฝากหนึ่ง แต่ไม่นานมันก็จางลงและแสงจันทร์ข้างแรมก็เผยให้เห็นความเสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพดานด้านบนถล่มลงมาเกือบครึ่ง พื้นถูกแรงระเบิดเป่าหายไปเกือบถึงจุดที่เขานั่งอยู่ คงไม่ต้องพูดถึงจุดศูนย์กลาง บริเวณนั้นกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่จนมองเห็นเขตคุ้มกันปราสาทส่องแสงวูบไหว

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกเจ้าคนหนึ่งมาพยุงฮาธอสไว้!” เทพคนสวนเงยหน้ามองไคซัสอย่างตกใจ หลังได้ยินน้ำเสียงสั่งการอันเกือบจะเย็นชาของเขา แต่มหาเทพสงครามลุกขึ้นและเดินไปสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด “เซบาสเตียน! พวกเจ้าปลอดภัยดีไหม ได้ยินเสียงข้าหรือเปล่า!”

“พวกข้าน้อย...ปลอดภัยดี...ขอรับ” เสียงเซบาสเตียนตอบมาจากข้างล่าง เมื่อก้มมองก็พบเจ้าตัวกับองครักษ์อีกคนในสภาพบอบช้ำเล็กน้อย ในขณะอีกสองคนพยุงตัวเองออกมาจากห้องทำงานไคซัส หลังถูกแรงระเบิดซัดชนทะลุผนังเข้าไปข้างใน ฮาธอสนั่งดูอยู่ปิดปากยามเห็นสภาพสะบักสะบอมของพวกเขา “พลังของท่านช่วยคุ้มกันพวกเราได้ทันเวลาจึงไม่ถึงตาย แต่ว่า...นาซิลลา...คนร้ายหนีไปได้ขอรับ”

ทุกคนในที่นั้นกวาดตาสำรวจพื้นที่โดยละเอียด ทว่าก็ไม่พบร่องรอยร่างของนาซิลลาเลย เทพร้ายคงฉวยโอกาสตอนเกิดการระเบิดหลบหนีไปพร้อมขโมยร่างกายของอัปสรน้อยไปด้วย และมันคงทำอะไรบางอย่างไว้กับเขตอาคมด้วยจึงสามารถฝ่าหนีออกไปได้ แล้วฮาธอสก็นึกถึงคำพูดของไคมีร่าที่ว่าไคซัสผูกพลังชีวิตของตัวเองไว้กับเวทป้องกันขึ้นมาได้ เขาจึงยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะไปถามอาการของคนที่รักอย่างเป็นห่วง แต่กลับต้องชะงักเมื่อมหาเทพสงครามหันกลับมาพอดี ดวงตาสีส้มคู่นั้นเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธ!

“สำรวจพื้นที่และค้นหาผู้บาดเจ็บให้ครบ ตามเทพหมอมารักษาพวกเขาโดยด่วน และกระจายกำลังคนออกไปหาร่องรอยของนาซิลลาให้เจอ! และฮาธอส...” บุรุษเจ้าของชื่อถึงกับผวายามดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างไร้ความปราณี “เรามีเรื่องต้องคุยกัน เจ้าต้องบอกข้าทุกอย่างก่อนฟาเบียนจะมาที่นี่”

---------------

นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ณ แดนสรวง ในเล้าเป็ดจะนำหน้าเด็กดีแล้วนะครับ ^ ^ (เด็กดีเพิ่งลงไปแค่ 14 ตอนเท่านั้น และอัพทุกวันจันทร์ด้วย)

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang อย่าว่าแต่คนอ่านเลยครับ คนเขียนอย่างมาโกะเอง บางทีก็มึนๆ เองเหมือนกัน แต่ลูซิสเป็นตัวประกอบเฉยๆ ครับ ไม่ต้องไปใส่ใจเขาก็ได้ (ฮา)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 05-09-2013 20:13:52
ตามทันเด็กดีแล้ววว :hao6:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 06-09-2013 21:02:39
บทที่ 16 ย้อนรอยอดีต

-50% -

ด้วยคำสั่งของมหาเทพสงคราม ฮาธอสจึงถูกพาตัวไปอยู่ที่ห้องหนังสือเล็กในปีกตะวันออกที่ห่างไกลจากจุดระเบิดพอสมควร ที่นั่นเขาได้รับยาแก้ปวดประจำตัวกับเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน และนั่งรอโดยมีองครักษ์เฝ้าดูอยู่ตรงประตูถึงสองนายราวกับเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่แปลกหรอกที่ไคซัสจะให้คนคุมเขาอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้

นานเท่าไหร่แล้วนะ...ที่ไม่ได้เห็นสายตาคู่นั้น...ถึงจะอยู่ในร่างของคนอื่น...ทว่ามันยังทำให้เขาขนลุกได้ทุกครั้งที่สบกัน

ร่างสูงโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แรงสะดุ้งทำให้เจ็บกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยจนต้องรีบคลายออกตอนรู้ตัว อัลล์เดินเข้ามาเห็นเพื่อนนั่งทำสีหน้าไม่ดีก็รีบรุดมาถาม

“ฮาธอสเป็นอย่างไรบ้าง” สีหน้าของเขาร้อนใจและเป็นห่วงมากทีเดียว

“ไม่เป็นไร แค่ท้องยังไม่เข้าที่เข้าทางน่ะ” เทพคนสวนส่งยิ้มผ่อนคลายให้เพื่อนเหมือนเช่นเคย แต่มันไม่ได้ช่วยให้อัลล์สบายใจขึ้นสักนิด ฮาธอสเองก็รู้ตัวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“มหาเทพไคซัสสั่งให้มาน่ะ ดูเหมือนพวกเราจะถูกกักตัวเสียแล้ว” อัลล์ไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามแล้วระบายลมหายใจยืดยาว “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านั้นสักนิดว่านั่นไม่ใช่นาซิลลาจริง ๆ เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นและจัดการกับนาซิลลา ไม่ใช่สิ เขาที่อยู่ในร่างของนาง”

“เจ้าได้เจอกับ...เขาด้วยหรือ!” ฮาธอสชะงักไปเล็กน้อยตอนหาคำแทนตัวนาซิลลากับใครคนนั้น แต่ก็คิดไม่ออกและเรียกตามเพื่อนไป

“อืม...ก่อนเกิดเรื่อง...แต่ข้าเสียท่าถูกเขาทำให้สลบและยังรอดมาได้เพราะมนต์ป้องกันของเขาด้วย!” นายทหารหนุ่มทุบพนักเท้าแขนอย่างมีอารมณ์ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง...ยิ่งกว่าการถูกมหาเทพเจ้าสวรรค์เมินเฉยเสียอีก! “ข้าได้ยินเสียงเขาตอนที่ถูกพวกทหารปลุกขึ้นมา มันบอกข้าว่าเห็นแก่นาซิลลาเลยจะยังไว้ชีวิตชั่วคราว หากเจอกันคราวหน้ามันจะไม่ละเว้นแน่นอน เจ้านั่นกลับมาได้อย่างไรกันนะ!”

“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน” ฮาธอสเอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีน้ำเงินหลุบต่ำเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด แววตา...พลัง...และสัมผัสอำนาจมนตราที่นาซิลลาแสดงออกมานั้นเป็นของเขาคนนั้นไม่ผิดแน่ แต่ว่าเขากลับมาเพื่ออะไร...และกลับมาได้อย่างไร ในเมื่อ...

แต่แล้วเทพหนุ่มทั้งสองตนก็ถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์พร้อมกัน ในตอนที่ไคซัสเปิดประตูและเดินเข้ามาข้างในพร้อมกับบันทึกปกดำสองเล่มและกล่องลับในห่อผ้าสีทองซึ่งเกือบถูกขโมยไป หัวใจของฮาธอสบีบแรงจนรู้สึกเจ็บอีกครั้งเมื่อได้เห็นมัน ความรู้สึกประหลาดนี้คืออะไรกันแน่ ชายหนุ่มถามตัวเองขณะกำลังลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเจ้านายตามมารยาท ทว่าต้องนิ่งไปเมื่อดวงตาสีส้มเย็นชาตวัดมามองเขา จึงมีเพียงอัลล์คนเดียวที่ได้ทำความเคารพมหาเทพสงคราม

“นั่งลง ทั้งคู่เลย” น้ำเสียงทุ้มต่ำและห้วนสั้นบังคับทำให้เทพรับใช้ทั้งสองทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าตนหนึ่งจะนั่งอยู่แล้วก็ตาม ไคซัสเหลือบตามองฮาธอสที่เอาแต่ก้มหน้ามาตั้งแต่เมื่อกี้ด้วยสายตาร้าวลึก ก่อนจะเลือนหายไปในตอนที่เอาของทั้งหมดไปวางบนโต๊ะเตี้ยระหว่างเทพทั้งสองและใช้เวทมนต์ย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาเป็นที่นั่น

“มหาเทพไคซัสปลอดภัยดีใช่ไหมขอรับ” อัลล์ถามเพราะคิดว่าฮาธอสน่าจะเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นความจริง “เขา...เอ่อ...นาซิลลาทำลายส่วนหนึ่งของเขตอาคมเพื่อเปิดทางหนีด้วย”

“ไคมีร่าทิ้งยาดีไว้ให้ ตอนนี้จึงไม่เป็นไรมากแล้ว เจ้าล่ะ หายมึนหัวหรือยัง” ไคซัสถามห้วน ๆ ตาเหลือบมองฮาธอสที่ยังไม่นั่งนิ่งอีกครั้ง เขาอยากได้ยินคำถามนี้จากปากฮาธอสมากกว่า แต่คงทำได้แค่คิด เพราะตอนนี้สถานะของเขากับเทพคนสวนคล้ายจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

“ขอรับ ข้าน้อยจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องเยี่ยงนี้เป็นครั้งที่สอง” นายทหารเจ้าของซื่อก้มศีรษะต่ำ

“ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็ไม่มีเกียรติพอที่จะเป็นหัวหน้าทหารแห่งพาเทร่าอีกแล้ว!” ไคซัสกล่าวอย่างดุเดือดซึ่งเป็นปกตินิสัยของเจ้านายผู้เข้มงวด สิ่งที่เขาพูดต่อไปทำให้ฮาธอสกับอัลล์ตกตะลึงพรึงเพริศ “สาบานเสียว่าเจ้าจะกอบกู้เกียรติยศและชื่อเสียงของตนกลับมาให้ได้”

เทพทั้งสองมีเวลาเพียงน้อยนิดในการตีความคำพูดของมหาเทพสงคราม เพราะการกอบกู้เกียรติยศและชื่อเสียงที่ถูกทำลายด้วยวิธีนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งคือจัดการกับเขาคนนั้นได้ โดยปกป้องนาซิลลาได้ สองคือจัดการกับมันได้ แต่ต้องเสียนาซิลลาไป สามคือทำความดีความชอบอื่นลบล้างความผิดนี้ ซึ่งทั้งคู่ตัดตัวเลือกสุดท้ายทิ้งทันที คงเหลือเพียงทางที่ใกล้เคียงที่สุดในความหมายนั้น เทพคนสวนได้ยินเพื่อนของตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื้อกอย่างลำบาก เนื่องจากหน้าที่กับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเสียแล้ว

“ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนจะเข้าใจความหมายของข้าดีนะ” ฮาธอสใจหายวาบหลังได้ยินไคซัสพูดเช่นนั้น “แต่ให้การสังหาร ‘ร่างทรง’ เป็นตัวเลือกสุดท้ายของปฏิบัติการนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาร่องรอยของนางและมันให้พบ เจ้าจะสาบานไหม อัลวิน”

ฮาธอสหันมองอัลล์ที่มีท่าทางโล่งใจมากขึ้นเมื่อมีทางเลือกในการทำงานด้วยความเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายต้องทำได้ แม้จะเอาชนะเขาคนนั้นไม่สำเร็จ แต่ก็น่าจะช่วยชีวิตนาซิลลากลับมาได้

“ข้าน้อยสาบานขอรับ” อัลล์กล่าวหลังเห็นสายตาของเพื่อนสนิท

“ดี ทีนี้มาเข้าเรื่องสำคัญที่สุดกันเลย” ไคซัสตวัดตาไปหาฮาธอสเป็นคนแรก “เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าใครอยู่ในร่างของนาซิลลา”

เทพคนสวนหันกลับมาสบตาตรง ๆ ไคซัสเป็นครั้งแรก ในความคิดของเขา มหาเทพสงครามต้องรู้แล้วว่าคนที่อยู่ในตัวนาซิลลาเป็นใคร แต่ที่ถามเช่นนี้คงเพราะต้องการคำยืนยัน

“ขอรับ ข้าไม่มีวันลืมแววตากับพลังนั่นเด็ดขาด เพราะข้าเคยเติบโตมาพร้อมกับมันมาก่อน” ตอนเริ่มพูดน้ำเสียงของเขาก็สั่นเทาอย่างไม่อยากพูดถึง แต่หลังเว้นช่วงสูดลมหายใจลึก ๆ มันก็กลับมานิ่งเหมือนเดิม ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววแน่วแน่ ถึงเวลาที่เขาจะต้องทำให้ทุกอย่างถูกต้องเสียที “เทพที่อยู่ในร่างของนาซิลลาก็คือ เฮสเลน พี่ชายของข้าเองขอรับ”

“ข้าเองก็ทราบเหมือนกันขอรับ แต่เขาหายตัวไปตั้งแต่ก่อนพวกเราจะได้เลื่อนขึ้นเข้ามหานคร ดังนั้นจึงไม่ทราบจริง ๆ ว่าเขากลับมาตั้งแต่ตอนไหนและมีเป้าหมายอะไรกันแน่” อัลล์พูดต่อ

“คงไม่พ้นการแก้แค้นหรอก อัลล์” ฮาธอสสันนิษฐานจากอุปนิสัยของพี่ชาย เขาคนนั้นเกลียดชังสวรรค์จนถึงขั้นจะบุกเข้ามาทำลายครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขากลับมาก็ต้องหาทางแก้แค้นแน่นอน “แต่คราวนี้ข้าอาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาด้วย”

“หมายความว่าอย่างไร” อัลล์ถามอย่างประหลาดใจ ไคซัสก็ตั้งใจฟังด้วยความสงสัยเช่นกัน “เขาจะทำร้ายเจ้าเพราะเข้าฝ่ายสวรรค์รึ!?”

“ไม่ใช่...” เทพคนสวนส่ายศีรษะครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตามหาเทพสงคราม “แต่เพราะข้าเป็นผู้ทำให้เขาหายสาบสูญไปต่างหาก”

ผู้ฟังทั้งสองต่างตกตะลึงพรึงเพริศเมื่อได้ยินคำตอบที่หลุดจากปากฮาธอสฃ ซึ่งคนที่ตกใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นไคซัส เทพอสูรหนุ่มคิดอยู่แล้วว่าชายที่ตนรักต้องปกปิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ เพราะเจ้าตัวเติบโตมาพร้อมเทพร้ายตนนั้นจึงน่าจะผูกพันกันมากอยู่ แต่ไม่คาดคิดว่าคำตอบจะออกมารูปแบบนี้

ฮาธอสดูปฏิกิริยาของคนที่รักกับสหายสนิทแล้วก็หลับตาลง ในที่สุดความลับที่ถูกเก็บงำมาเกือบหนึ่งพันปีก็ถูกเปิดเผยออกไปจนได้...ด้วยตัวของเขาเองเสียด้วย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก ตรงข้ามกลับรู้สึกตัวเบาขึ้นเหมือนน้ำหนักที่แบกไว้หายไปหลายส่วน และหลังจากคิดทบทวนอย่างถ้วนถี่แล้ว เทพคนสวนก็ลืมตาขึ้นพร้อมเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

-----------------

ย้อนกลับไปเกือบหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน ‘ฮาโมนิก้า’ บรรณารักษ์ของหอสมุดหลวงละเมิดกฎสวรรค์ลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ‘การิแกน’ ขุนพลเทพรัตติกาลตนสุดท้ายที่รับใช้สวรรค์ในเวลานั้นจนตั้งครรภ์ การิแกนทราบเรื่องและรู้ด้วยว่าหญิงคนรักและบุตรในครรภ์จะต้องเดือดร้อนจึงตัดสินใจพานางหลบหนีไปยังโลกมนุษย์ แต่ฟาเบียนก็ไม่มีวันปล่อยให้คนที่ทำความผิดสวรรค์หนีรอดไปได้ เขาสั่งให้ขุนพลเทพอันดับหนึ่งถึงสามออกตามล่าจนกระทั่งจับกุมตัวทั้งสองตนกลับมาพิพากษาโทษได้สำเร็จ

การิแกนถูกลงทัณฑ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ สุดท้ายก็คือต่อสู้กับมังกรที่ดุร้ายที่สุดแห่งสวรรค์ในสภาพบาดเจ็บสาหัสจนกระทั่งถูกขย้ำจุติต่อหน้าต่อภรรยา ซึ่งต่อมานางก็ถูกลงโทษด้วยการเนรเทศไปอยู่ในแดนร้าง ไม่อนุญาตให้กลับเข้ามหานครแห่งสวรรค์อีกต่อไป

ฮาโมนิก้าประคับประคองครรภ์ของตนให้อยู่รอดท่ามกลางความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ทั้งการรังแกของนักโทษตนอื่น ๆ ที่ถูกเนรเทศออกมาก่อนหน้าตน ยังดีที่ไม่มีใครล่วงละเมิดนางเนื่องจากตั้งครรภ์ซึ่งถือเป็นศีลธรรมเพียงหนึ่งเดียวของเทพชั่วเหล่านั้น

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งร้อยปีตามวาระครรภ์สวรรค์ ฮาโมนิก้าเฝ้าพร่ำพูดถึงความรักและเรื่องเลวร้ายที่ตนกับสามีต้องเผชิญกับบุตรในท้องทุกวัน โดยหารู้ไม่ว่าบุตรชายตนหนึ่งในซึบซับเอาความมืดมิดในจิตใจของนางไว้ด้วย จนกระทั่งคืนวันเพ็ญเทพธิดาผู้อาภัพก็ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันสุดขั้วด้วยพลังของตนเอง และให้นามกับเทพผมดำผู้พี่ว่า ‘เฮสเลน’ และเทพผมทองผู้น้อยว่า ‘ฮาธอส’ แม้แรกเกิดพวกเขาจะมีรูปลักษณ์เทียบเท่ากับเด็กสิบขวบ แต่ก็ไร้เดียงสาและไม่รู้วิธีใช้พลังที่มี จึงได้แต่มองดูมารดาจากไปโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย

นั่นคือความเจ็บปวดแรกที่ฮาธอสกับเฮสเลนได้รับในชีวิตของการเป็นเทพ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกที่บิดเบี้ยวและแสนโหดร้าย แน่นอนว่าเทพร้ายบางตนรับพวกเขาไปเป็นพวกด้วย แต่ต้องแลกด้วยการเป็นทาสถูกใช้งานอย่างหนัก ถูกรังแกสารพัด อีกทั้งยังถูกใช้ให้ทำเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ นานาที่พวกเขาไม่อยากทำ แต่เฮสเลนซึ่งมีจิตใจเป็นผู้ใหญ่กว่าในยามนั้นก็คอยดูแลฮาธอสที่ไร้เดียงสากว่ามาตลอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ชายก็จะเสียสละเพื่อน้องชายเสมอ

แม้แต่ในวันที่เป็นจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต

วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หากเป็นมนุษย์ก็ถึงเวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พวกเขายังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอ่อนแอที่ถูกรังแกโดยเทพร้ายในแดนร้าง เพราะชาวเทพเติบโตช้ากว่ามนุษย์หลายเท่านัก ฮาธอสกลับมาจากหาอาหารและตักน้ำแร่ในหุบเขาตามคำสั่งของเจ้านาย แล้วก็พบพี่ชายอยู่ใต้ร่างของเทพตนนั้นบนเตียง ด้วยความตกใจชายหนุ่มจึงเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับถูกเล่นงานกลับจนได้รับบาดเจ็บ เฮสเลนบันดาลโทสะใช้กริชอาบยาพิษของเจ้านายสังหารเจ้าตัวจนจุติคามือ

‘ฮาธอสไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่พี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง!’ เฮสเลนสัญญากับเขาเช่นนั้นก่อนจะพาหลบหนีไปด้วยกัน

ชีวิตต่อจากนั้นก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนตอนเด็ก ๆ ยังต้องหลบหนีการรังแกจากเทพนักโทษและถูกพวกมันเหยียดหยามราวกับเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเป็นระยะ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะใช้พลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นตามช่วงวัยในการเอาตัวรอดมากขึ้น และเป็นโชคดีของพวกเขาที่ได้พบนักโทษนิสัยดีตนหนึ่ง เทพตนนั้นรับพวกเขาเป็นศิษย์สอนวิชาต่าง ๆ ให้เหมือนลูกในไส้ เป็นช่วงเดียวที่สองพี่น้องได้อยู่อย่างสงบเหมือนกับเด็กทั่วไป เติบโตอย่างเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง แต่ความแตกต่างของพวกเขาก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น

เฮสเลนเริ่มแก้แค้นพวกที่เคยรังแกเขากับน้องชายและเลือกเดินบนเส้นทางของการต่อสู้ ขณะฮาธอสแสวงหาสถานที่ที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบไปชั่วชีวิต อาจารย์คงเล็งเห็นปัญหานี้จึงกล่าวเตือนกับฮาธอสก่อนจากไปว่า

‘ฮาธอส จงจับตาดูพี่ชายของเจ้าให้ดี เฮสเลนจะอันตรายกว่าตอนนี้นัก’

ในตอนนั้นฮาธอสไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของอาจารย์มากนัก คิดด้วยว่าอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงคนที่เคยรังแกพวกเขามาก่อน เพราะเฮสเลนตามไล่ล่าทีละคนอย่างไม่มีละเว้นจนเป็นที่หวั่นเกรงของเทพในแดนร้าง แต่ฮาธอสก็คอยอยู่เคียงข้างพี่ชายเสมอ เพื่อปลอบโยนในยามลุแก่โทสะและฉุดรั้งเมื่อเขาจะทำเกินกว่าเหตุจนเฮสเลนดูใจเย็นขึ้นและกลับมาอยู่อย่างสงบด้วยกัน

ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นจากวัฎจักรอันเน่าเฟะของแดนร้าง พวกเทพที่ถูกเฮสเลนเล่นงานกลับหวนกลับมาแก้แค้นคืน ซึ่งแน่นอนว่าเฮสเลนย่อมไม่มีทางยอมแน่ ทุกอย่างหมุนไปเป็นกงกรรมกำเกวียนไม่จบสิ้น ฮาธอสพยายามห้ามปรามพี่ชายเพียงใดก็ไม่เคยสำเร็จผล สุดท้ายเขาจึงลองชวนผู้เป็นพี่ไปที่มหานครแห่งสวรรค์ด้วยกัน เพราะได้ยินว่ามีเทพที่อุบัติในแดนร้างหลายตนได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในนั้น

เฮสเลนยอมตามไปด้วย เพราะเดิมทีเขาปรารถนาชีวิตที่ดีกว่าในแดนร้าง แต่เมื่อไปถึงพวกเขากลับถูกทหารยามขัดขวางไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมให้เข้าไปและเหยียดหยามเป็นเทพชั้นต่ำไร้ค่า ไม่คู่ควรกับแดนฟ้าอันหรูหราแห่งนั้น เฮสเลนโกรธจนเกือบอาละวาด แต่ฮาธอสห้ามไว้ได้และพาตัวกลับแดนร้างด้วยกัน เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้จักวรรณะของสวรรค์เป็นครั้งแรก และฮาธอสกับเฮสเลนก็อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด...ต่ำยิ่งกว่าสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ!

แม้เฮสเลนจะไม่ได้ตำหนิฮาธอสที่ชวนไปมหานครแห่งสวรรค์ด้วยกัน แต่ฮาธอสก็รู้ดีว่าพี่ชายไม่พอใจเขาเรื่องนี้อย่างมาก เพราะทุกครั้งที่ใครก็ตามล้อเลียนเรื่องนี้ไม่ว่าจะกับตัวเขาหรือกับเจ้าตัวเอง เฮสเลนจะโกรธและอาละวาดใส่ หากโชคดีน้องชายอยู่ตรงนั้นก็จะห้ามไว้ได้ แต่ถ้าโชคร้ายไม่อยู่...มันคนนั้นก็เจ็บสาหัส กว่าฮาธอสจะเกลี่ยกล่อมให้พี่ชายปล่อยวางเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลานานนับเดือน

กระนั้นความเคืองแค้นก็ฝังแน่นในจิตใจของเทพรัตติกาลเสียแล้ว โดยเฉพาะมารู้ในภายหลังว่าการจะได้รับอนุญาตเข้าไปอยู่ในมหานครจะต้องมีใจภักดีกับฝ่ายสวรรค์และมีคุณสมบัติตามที่สภาเทพกำหนดด้วย ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อสวรรค์ทวีความรุนแรงขึ้นขนาดที่ฮาธอสยังปลอบโยนไม่ไหว ทำได้เพียงคอยอยู่เคียงข้างพี่ชาย เพื่อคอยห้ามปรามและเหนี่ยวรั้งเขาในยามลุแก่โทสะเท่านั้น

แต่...เสมือนชะตากรรมยังเล่นตลกกับพวกเขาไม่พอ ในคืนเพ็ญที่พวกเขาอายุครบหนึ่งร้อยปี อำนาจแห่งความแค้นของฮาโมนิก้าที่แฝงอยู่ในสายเลือดของพวกเขาสำแดงฤทธิ์ ทำให้ทั้งสองฝันเห็นเหตุการณ์เลวร้ายที่นางกับสามีต้องเผชิญและเป็นสาเหตุให้ลูก ๆ ของนางต้องตกระกำลำบากในวันนี้ สองพี่น้องต่างตกใจและตกตะลึงเมื่อได้รู้ความจริงทุกอย่าง พวกเขากอดคอกันร้องไห้อย่างเจ็บปวดและเสียใจ แต่อารมณ์และความรู้สึกที่เกิดตามมาหลังจากนั้นกลับแตกต่างอย่างสุดขั้ว

‘เรามาแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่กันเถอะ ฮาธอส!’ เฮสเลนชวนน้องชาย ในสถานการณ์นั้นอาจดูเหมือนเจ้าตัวโพล่งด้วยแรงอารมณ์ แต่ฮาธอสรู้ดีว่าพี่ชายของตนเอาจริง ไม่เคยเลยที่เฮสเลนจะไม่ทำตามที่ตัวเองเอ่ยปากไว้ มันจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ว่าที่เทพร้ายตนนี้เริ่มเป็นที่หวั่นเกรงของพวกนักโทษเนรเทศ

‘ท่านพี่อย่าเพิ่งใจร้อน การแก้แค้นสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพลาดพลั้งขึ้นมาท่านจะมีโทษถึงตายนะขอรับ’ ฮาธอสเกลี่ยกล่อมพี่ชาย เพราะเห็นว่าถึงแก้แค้นไปก็ไม่ได้สิ่งใด พ่อแม่ของพวกเขาไม่มีวันฟื้นคืนอีกแล้ว

‘เจ้าไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เห็นเลยหรือ ฮาธอส แค่ท่านพ่อกับท่านแม่รักกัน พวกมันก็ทำกับท่านทั้งสองถึงเพียงนี้ การที่พวกเราต้องลำบากทุกวันนี้ก็เพราะการตัดสินของจ้าวสวรรค์เฮงซวยนั่น นึกถึงความทุกข์ยากของเราสิ เราควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้นะ!’ อุ้งมือที่บีบหัวไหล่ทั้งสองข้างของฮาธอสแน่นยิ่งยืนยันว่าพี่ชายเอาจริง

‘มันอันตรายเกินไป ถ้าอยู่ที่นี่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระนะขอรับ พวกเทพอันธพาลก็ไม่เคยมายุ่งกับเราแล้วด้วย แต่ถ้าเราก่อเรื่องใหญ่แบบนั้นจะไม่มีความสงบอีกเลยนะขอรับ’

‘เจ้าเด็กขี้ขลาด!’ เฮสเลนระเบิดอารมณ์กับน้องชายเป็นครั้งแรกและหมัดแรกที่เขาได้รับจากพี่ชายก็เกิดขึ้นในวันนั้น มันเจ็บ...และจารึกอยู่ในความรู้สึกมาจวบจนปัจจุบัน ‘ถ้าเจ้าไม่ทำ ข้าจะทำเอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง!’

การต่อต้านสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้บุพการีและ...ตนเองของเฮสเลนเริ่มต้นขึ้นในวันนั้น เฮสเลนดึงนักโทษที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาเป็นพวกและเริ่มบ่อนทำลายสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นบุกทำลายหมู่บ้านนอกดขตมหานคร ฉุดคร่าเทพธิดา สังหารเทพบุตร ลักพาตัวเทพเด็ก แม้มหาเทพจ้าวสวรรค์จะส่งคนมาปราบหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ

นับวันความชั่วร้ายและความโหดเหี้ยมของเฮสเลนจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ฮาธอสจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล เขาหวั่นใจว่าหากวันหนึ่งมีคนที่เก่งกว่าพี่ชายปรากฏตัวขึ้น ตนจะต้องสูญเสียญาติตนสุดท้ายไป เขาจึงเริ่มขัดขวางด้วยการช่วยเหลือตัวประกันที่พวกพี่ชายจับมาบ้าง แอบไปจัดการกับกลุ่มที่ออกปล้นหมู่บ้านก่อนพวกทหารจะมาถึงบ้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้ผู้เป็นพี่ไม่พอใจและทะเลาะกันหลายครั้ง โดยที่เฮสเลนก็ไม่เคยรู้ว่าน้องชายเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะเจ้าตัวยังคอยปกป้องน้องชายจากอันตรายเสมอ

เฮสเลนทำตามที่ออกปากไว้ทุกอย่าง แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม

แต่แล้ววันแห่งการแตกหักก็มาถึง เมื่อฮาธอสไปทำธุระให้พี่ชายในหุบเขาแดง แต่ในระหว่างทางที่ไปนั้น เทพหนุ่มบังเอิญพบกับลูกสมุนของเฮสเลนคนหนึ่งเข้า เขาจึงได้รู้เรื่องพี่ชายกำลังพาคนไปทำลายประตูทิศเหนือของมหานครแห่งสวรรค์ ฮาธอสไม่รอช้ารีบกลับไปห้ามปรามเฮสเลนโดยทันที เพราะถ้าอีกฝ่ายทำสำเร็จ มหาเทพจ้าวสวรรค์จะต้องส่งกองทัพสวรรค์มาจัดการทุกตนเป็นแน่ สองพี่น้องทะเลาะกันใหญ่โตอีกครั้ง

‘เจ้ามันไม่ควรเกิดมาเลย ฮาธอส ท่านแม่ฝากความหวังแก้แค้นไว้กับเรา ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจ!’ ฮาธอสถึงกับหน้าชาเมื่อได้ยินเฮสเลนตวาดเช่นนั้น พี่ชายที่เขารักสุดหัวใจกลับบอกว่าเขาไม่ควรเกิดมา

‘ข้าไม่เข้าใจแน่นอนขอรับ เพราะท่านไม่ได้ทำเพื่อ ‘เรา’ แต่ท่านทำเพื่อตัวเองต่างหาก และต่อให้ท่านทำได้ ท่านก็หนีแดนร้างไม่พ้นหรอก!’

นั่นคือการโต้เถียงตามแรงอารมณ์ครั้งแรกในชีวิตของฮาธอส ซึ่งสิ่งที่ตอบแทนกลับมาก็เหนือความคาดหมายด้วยเช่นกัน เฮสเลนบันดาลโทสะทำร้ายเขาจนได้ แน่นอนว่าคนเป็นน้องต้องสู้เพื่อความอยู่รอด เพราะตอนนั้นเฮสเลนแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเอาให้ตาย แต่เขากลับพะวงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่ สุดท้ายก็เสียท่าและถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เฮสเลนประกาศตัดพี่ตัดน้องและมุ่งไปในทางที่ตนเองเลือก ส่วนฮาธอสรวบรวมพลังที่เหลือหนีไปซ่อนตัวในหุบเขาแดง เนื่องจากนักโทษบางตนตั้งใจจะฆ่าเขาจริง ๆ เพื่อชิงเอาแก่นวิญญาณไป หากเขาสูญเสียสิ่งนี้ก็จะจุติโดยไม่มีโอกาสเกิดใหม่อีกเลย

ฮาธอสต้องซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแดงนานเกือบหนึ่งปีด้วยความเสียใจที่พี่ชายทอดทิ้ง ในช่วงเวลานั้นชายหนุ่มต้องฝึกปกปิดจิตและพลังของตนอย่างมิดชิด เพื่อหนีการตามล่า ผลคือเขาต้องใช้ชีวิตด้วยกำลังกายของตนเยี่ยงมนุษย์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่แพ้วัยเด็ก โชคดีที่เขาเกิดเป็นเทพจึงรอดตายจากบาดแผลฉกรรจ์มาได้ ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินแต่เรื่องเลวร้ายของพี่ชายซึ่งขยายอิทธิพลจนแทบจะเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของแดนร้าง ทำให้สวรรค์ประสบความวุ่นวายอย่างมากทีเดียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 06-09-2013 21:04:20
เทพหนุ่มใช้เวลานั้นทบทวนเรื่องราวทั้งหมดและตรึกตรองถึงสิ่งที่ควรทำในอนาคต เขาพบตัวเองอยู่ระหว่างสายเลือดกับความถูกต้อง หากเลือกพี่ชายก็เท่ากับสนับสนุนให้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ถ้าเลือกสวรรค์เพื่อปกป้องคนที่ไม่รู้เรื่องก็เท่ากับหักหลังพี่ชาย ฮาธอสต้องเผชิญกับความสับสนอยู่นานหลายเดือน ก่อนจะได้ยินข่าวว่าเฮสเลนร่วมมือกับกองทัพปีศาจและเตรียมจะบุกสวรรค์ในวันเดียวกัน ตอนนั้นพวกฮาธอสรู้แล้วว่าเทพกับปีศาจเป็นศัตรูกันด้วยเรื่องโลกมนุษย์จึงทำให้เทพหนุ่มกังวลมาก ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างต้องเกิดหายนะขึ้นแน่

สามคืนก่อนถึงกำหนดบุกสวรรค์ของพวกเฮสเลนได้เกิดพายุใหญ่พัดถล่มในแดนร้าง ฮาธอสฉวยโอกาสนั้นออกจากที่ซ่อนและลอบเข้าไปในฐานลับที่เจ้าตัวมักไปนั่งสมาธิก่อนทำการใหญ่ เฮสเลนตกใจที่น้องชายกล้ากลับมายืนต่อหน้าเขาอีกครั้งหลังประกาศตัดพี่ตัดน้องแล้ว จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เหมือนในอดีตมิผิดเพี้ยน

‘ท่านพี่หยุดก่อกรรมทำเข็นเถิดขอรับ ท่านไม่มีทางทำลายสวรรค์ได้หรอก’

‘ได้สิ ฮาธอส แล้วหลังจากนั้นข้าก็จะอยู่อย่างสุขสบาย จะไม่มีเทพรัตติกาลสายเลือดบริสุทธิ์หรือลูกครึ่งตนใดต้องเดือดร้อนจากการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมอีกแล้ว ทุกตนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าเทพในเมืองหลวงพวกนั้นต้องชดชใช้อย่างสาสม’

‘ท่านพี่กำลังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน...’

‘แค่พวกมันละเลยพวกเรา ไม่เห็นใจเรา เหยียดหยามเรา แค่นี้ก็ผิดแล้ว พอที ฮาธอส ข้าตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าแล้ว อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!’

‘ไม่ขอรับ วันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!’

‘งั้นก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ!’

การต่อสู้ของสองพี่น้องอุบัติขึ้นกลางฐานลับแห่งนั้น เฮสเลนลำพองใจว่าน้องชายต้องรักตนอยู่ถึงได้อยากจะห้าม จึงลงมือเต็มที่โดยเชื่อว่าฮาธอสต้องยอมอ่อนข้อให้เหมือนคราวก่อน ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ฮาธอสไม่ยอมอ่อนข้อให้และแสดงออกชัดเจนว่าจะจัดการเขาให้ได้อีกด้วย

ฮาธอสจำได้ดีว่าพี่ชายของเขาโกรธมากแค่ไหน เจ้าตัวทั้งสบถทั้งด่าทอตลอดเวลาที่ประมือกันกลางพายุฝนที่เต็มไปด้วยภูตผีซึ่งปรากฏตัวเพราะอำนาจมืดของเฮสเลน แต่ชายหนุ่มก็ต้องอดทนในขณะที่ค่อย ๆ เพิ่มพูนพลังขึ้นทีละน้อย...ใช้วิชาที่เรียนรู้มา...และทุ่มเททุกอย่างไว้ที่ดาบในมือไล่ต้อนอีกฝ่ายทีละนิด...ทีละหน่อย...จนในที่สุดฮาธอสก็ทำให้พี่ชายผู้แข็งแกร่งพบกับความพ่ายแพ้จนได้!

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฮสเลนถูกทำให้พ่ายแพ้และบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของน้องชายตนเอง...ราวกับผลกรรมคืนสนอง!

ตอนออกจากที่ซ่อนนั้นฮาธอสตั้งใจว่าจะสังหารเฮสเลนเพื่อหยุดความชั่วร้าย แต่วินาทีที่เขาเอาดาบจ่อคอหอยพี่ชายกลับเกิดความลังเลขึ้นมา จิตสำนึกอันดีงามในใจเตือนให้เขาระลึกถึงความดีของเทพร้ายในฐานะที่คอยดูแลเขาจนเติบใหญ่ หากไม่มีชายตนนี้ เขาคงตายไปแล้ว ทว่าเพื่อผู้บริสุทธิ์ เขาก็ไม่อาจปล่อยพี่ชายไปได้เช่นกัน ฮาธอสตัดสินใจสะกดอำนาจของพี่ชายด้วยคาถาที่อาจารย์สอนไว้ให้ ก่อนนำตัวไปทำพิธีผนึกเทพรัตติกาลในส่วนลึกที่สุดของสถานที่แห่งนั้นซึ่งไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไปมาก่อน!

ตลอดช่วงสิบนาทีเตรียมการนั้น เฮสเลนที่บาดเจ็บหนักไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่สายตาเลื่อนลอยที่คอยจ้องมองกลับสร้างความเจ็บปวดให้ฮาธอสอย่างหาที่สุดมิได้ ชายหนุ่มไม่อยากทำแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือก มันเป็นหนทางเดียวที่จะปกป้องทุกคนได้ และเมื่อฮาธอสนำร่างพี่ชายไปอยู่ในทีที่เตรียมการไว้และร่ายเวทมนต์ สองพี่น้องก็ได้ดูหน้ากันชัด ๆ อีกครั้ง

‘ทำไม...ฮาธอส...’ สุ้มเสียงทุ้มต่ำตัดพ้อยังแจ่มชัดในความทรงจำ ‘ทั้ง...ที่ข้าปกป้อง...เจ้า...มาตลอด...’

‘ขอรับ คราวนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง’ แม้แต่น้ำเสียงสั่นเครือของตัวเองก็ชัดเจนในจิตสำนึก

‘ปกป้องพวกสารเลวนั่นน่ะหรือ!’ เฮสเลนกระชากเสียงด้วยแรงที่มี ภาพร่างกายที่ค่อย ๆ กลายเป็นหินและกำแพงน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ก่อตัวทาบทับยังตราตรึงในสายตาผู้มอง

‘ทุกอย่างขอรับท่านพี่’ ฮาธอสยังคงใช้พลังต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้จะมีเสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวจากส่วนลึกสุดของหัวใจ ‘ปกป้องผู้บริสุทธิ์จากความแค้นของท่าน รวมทั้งปกป้องตัวท่านพี่เองจากมันด้วย’

‘หึ หึ หึ จิตใจประเสริฐนัก เจ้าไม่ได้เห็นอย่างข้าเห็น เจ้าไม่ได้เป็นอย่างข้าเป็น เจ้าไม่ได้เข้าใจข้าสักนิด!’

‘ท่านพี่!’

‘หุบปาก เลิกเรียกข้าว่า ‘พี่’ ข้าไม่มีน้องอย่างเจ้า!’ ดวงตาเลื่อนลอยของเฮสเลนทวีความเกลียดชังมากขึ้นในทุกคำที่เอ่ยออกมาและเปลี่ยนเป็นความกราดเกรี้ยว ‘คอยดูเถอะ เจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าข้าในวันนี้ ถึงข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่จะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!’

‘ปล่อยวางเถิดขอรับ ท่านพี่ ความแค้นช่วยท่านไม่ได้หรอก’ ฮาธอสอ้อนวอน แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากเฮสเลนที่ถูกผนึกโดยสมบูรณ์อีกแล้ว เทพผู้น้องมองใบหน้าที่กลายเป็นหินหลังกำแพงน้ำแข็งด้วยหัวใจที่แหลกสลาย เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป...และเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำที่อยากจะพูดที่สุดในเวลานั้น

...ข้าขอโทษ ท่านพี่...

-----------------

“หลังจากผนึกท่านพี่แล้ว ข้าก็กลับไปซ่อนตัวในหุบเขาแดงตามเดิม ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์อยู่ที่นั่น ส่วนกองทัพของท่านพี่ ข้าได้ยินว่าหลังจากข่าวท่านพี่หายตัวไป พวกเทพที่มีความสามารถสูง ๆ ก็แก่งแย่งอำนาจกันเองจนแตกแยกไปอยู่แบบตัวใครตัวมันเหมือนเดิม ไม่กี่ปีต่อมาข้าก็ได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในมหานครและได้เจอกับอัลล์ เขาจำได้ว่าข้าเป็นใคร แต่ก็รู้ว่าข้าไม่เหมือนกับพี่จึงช่วยปกปิดมาตลอด เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้ขอรับ”

ความเงียบคลี่คลุมห้องดั่งอาภรณ์แห่งความสงัดหลังจากฮาธอสเล่าอดีตจบในเวลาฟ้าสาง ไคซัสกับอัลล์จ้องมองเทพคนสวนด้วยความตกตะลึง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่เชื่อคำพูดของเทพคนสวน เพราะนอกจากเรื่องที่ซ่อนของเฮสเลนแล้ว เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดโกหกพวกเขาเลย

และนี่ก็คือ เหตุผลหลักที่ฮาธอสปรารถนาเป็นเพียงเทพชั้นล่าง หากปกปิดตัวตนของตนเองได้ก็จะปกปิดความลับการหายตัวไปของเฮสเลนได้นั่นเอง

ฮาธอสหลับตาลงอีกครั้ง เตรียมตัวเตรียมใจรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เขาอาจจะถูกเนรเทศกลับไปอยู่แดนร้างตามเดิม แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา สิ่งที่ชายหนุ่มกังวลที่สุดตอนนี้ก็คือ ‘พี่ชาย’ ต่างหาก เขามั่นใจว่าทำตามที่อาจารย์สอนไว้ทุกอย่าง ทว่า...จิตกับพลังของเจ้าตัวหลุดจากผนึกได้อย่างไร

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจสักที” สุ้มเสียงทุ้มต่ำของไคซัสดังขึ้น ทุกคนจึงหันมองเขา มหาเทพสงครามกำลังประสานมือกันด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่เมื่อดวงตาสีส้มเลื่อนขึ้นสบกับฮาธอส เขาก็เล่าเรื่องของตนบ้าง “ช่วงก่อนเกิดสงครามเทพกับปีศาจครั้งก่อน มีเทพรัตติกาลตนหนึ่งลอบเข้ามาในวังอสูรเพื่อลอบสังหารข้า คงคิดว่าถ้าข้าตายแล้วกองทัพปีศาจจะสามารถเคลื่อนพลผ่านมาถึงชายแดนสวรรค์ทางทิศใต้ได้ โชคร้ายที่ข้ากับทหารจัดการมันได้เสียก่อนและพบว่ามันเป็นเพียงร่างจำแลงที่ใช้พลังจากของชิ้นหนึ่งสร้างตัวตนขึ้นมา ข้าจึงเก็บมันไว้และพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเทพรัตติกาลตนนี้ แต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งหลงสงครามจบลงได้ประมาสองเดือน ข้าเริ่มสังเกตว่าบนสวรรค์มีอะไรแปลก ๆ พลังของเขตแดนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อันที่จริงข้ารู้สึกมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันเพิ่งจะเด่นชัดขึ้นหลังสงครามครั้งที่ผ่านมา”

“มันคือเหตุผลแท้จริงที่ท่านยอมขึ้นสวรรค์หรือขอรับ” ฮาธอสมองเทพอสูรอย่างใคร่รู้

“แค่ส่วนหนึ่ง” เทพอสูรตอบทันควัน “อีกส่วนก็เพื่อเผ่าของข้าเอง ข้าคิดว่าส่วนนี้ไคมีร่าคงอธิบายกับเจ้าแล้ว” เทพคนสวนนิ่งไปเล็กน้อยคิดถึงวันที่ดาริคขึ้นมา ไคมีร่าหายตัวไปคุยกับพี่ชายพักหนึ่งและกลับมาอธิบายคำตอบที่เกือบทำให้นางต้องร้องไห้ “ข้าอยากจับตัวคนร้ายให้ได้ก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่พร้อมกับปกป้องเผ่าของตัวเองด้วย การเป็นมหาเทพสงครามเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าได้ทั้งสองอย่างนั้น แต่ข้ากลับหาต้นตอของพลังนั้นไม่พบ ขนาดมันเชิดแมลงไสยเวทมาโจมตีถึงสองครั้งก็ยังหาตัวไม่เจอ”

“ผู้บงการแมลงไสยเวทมาเข้าฝันนาซิลลากับสิงพัมกิ้นซ์ให้บุกพาเทร่าเป็นตนเดียวกันสินะขอรับ” อัลล์พูดเป็นเชิงถามเพื่อยืนยันความแน่ชัด เหตุการณ์ค่อนข้างซับซ้อนจนเขาเริ่มตามไม่ทัน

“ถูกต้อง พลังของมันเหมือนกัน” ไคซัสพยักหน้า

“เพราะมหาเทพไคซัสหาเจ้าของพลังไม่เจอถึงได้เอา ‘ของ’ ชิ้นนั้นขึ้นมาสินะขอรับ” ฮาธอสใจเต้นรัวด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น เทพหนุ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว “มันคืออะไรกันแน่ขอรับ ‘ของ’ ที่ทำให้...ท่านพี่ปรากฏตัว!”

ไคซัสไม่ได้ตอบทันที แต่พิจารณาท่าทีของฮาธอสก่อน เทพคนสวนจ้องมองเขาอย่างอยากรู้แต่ก็ไม่อยากรู้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะเลี่ยงไปอีกครั้ง ทว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ควรจะเปิดเผยทุกอย่างเสียที เพียงเทพอสูรหนุ่มดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ปมของผ้าไหมสีเหลืองทองก็คลายตัวออกโดยพลัน เผยกล่องไม้ลงรักสีดำเขียนลวดลายดอกหญ้าด้วยน้ำหมึกสีเงินผสมผงมุก ฮาธอสรีบชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ ทันทีทีฝากล่องเปิดออกด้วยตัวของมันเอง และเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นมือมัมมี่เหี่ยวแห้งข้างหนึ่งอยู่ในนั้น

“...มือของเฮสเลนหรือขอรับ!” เป็นอัลล์ที่โพล่งด้วยความตกใจสุด

“ข้าคิดว่าน่าจะใช่ เพราะพลังเหมือนกันไม่มีผิด แม้แต่จิตแฝงเร้นก็ยัง...ฮาธอส!” หลังจากพูดได้ไม่กี่ประโยค เทพอสูรก็ต้องหยุดและรีบรุดไปหาเทพคนสวน หลังเห็นใบหน้าเครียดจัดและมีเหงื่อซึมของเจ้า พอจับมือก็พบว่ามันเย็นเฉียบ “ทำใจดี ๆ ไว้...”

“...ได้อย่างไร...” ก่อนไคซัสจะได้ปลอบโยน ฮาธอสก็เอ่ยคำพูดอย่างลำบาก ดวงตาสีน้ำเงินกลอกไปมาด้วยความไม่เข้าใจ “...ออกมาได้อย่างไร...เขาออกมาได้อย่างไร...ข้าทำอะไรผิดไป...”

“ไม่! เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” เสียงทุ้มต่ำเฉียบขาดแทรกเข้าโสตประสาททำลายความตื่นตระหนกของฮาธอสจนไม่เหลือชิ้นดี เทพอสูรหนุ่มจับใบหน้าชายรักมาสบสายตาหนักแน่นของตน “ในสถานการณ์แบบนั้นเจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่เฮสเลนก็เป็นเทพรัตติกาลที่มีอำนาจสูงส่งและเวลาก็ผ่านมานานหลายร้อยปี ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้ง ไม่แน่ว่าเฮสเลนอาจจะทำลายผนึกของเจ้าจากภายในก็เป็นได้”

“ข้า...ไม่ค่อยเข้าใจขอรับ” ฮาธอสมุ่นคิ้วแล้วเหล่มองสหายที่ทำหน้าแบบเดียวกัน

มหาเทพสงครามเม้มปากพลางเรียบเรียงความคิด อันที่จริงสิ่งที่เขากำลังจะพูดเป็นแค่ข้อสันนิษฐานส่วนตัวเท่านั้น แต่เมื่อฟังจากที่ฮาธอสเล่ามาก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง

“ฮาธอสกับเฮสเลนเป็นพี่น้องฝาแฝด แต่โดยปกติแล้วเทพสวรรค์จะมีบุตรจากอุทรได้เพียงหนึ่งตน ดังนั้นเทพเจ้าผู้สร้างจึงกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นของขวัญแด่เทพพี่น้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำลายกันและกันไม่ได้ ถ้าให้แปลความหมายตรงตัวก็คือ ถึงพวกเจ้าจะอยากฆ่ากันแค่ไหนก็ทำไม่ได้ หลักฐานก็คือ ตอนที่เฮสเลนในร่างนาซิลลาซัดพลังใส่เจ้า พลังของเขาทำอะไรเจ้าไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะใช้ร่างคนอื่นอยู่ แต่อีกส่วนเป็นเพราะเงื่อนไขนี้แน่นอน ข้ากับไคมีร่าเองก็ติดเงื่อนไขนี้ด้วยเช่นกัน”

ผู้ฟังทั้งสองตนมีสีหน้าอัศจรรย์ใจเมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของมหาเทพสงคราม ซึ่งช่วยให้ฮาธอสเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ทั้งการที่พี่ชายในร่างนาซิลลาสบถเช่นนั้น รวมถึงการที่เจ้าตัวไม่สามารถสังหารเขาได้อีกด้วย ความคิดที่ว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ เพื่อมิให้มาขัดขวางแผนการคงไม่ได้อยู่ในหัวของผู้เป็นพี่เลยสินะ...

“แต่ก็ยังน่ากังวลอยู่ ถ้ามือนี้หลุดออกมาได้ เฮสเลนก็อาจจะทำลายผนึกไปแล้วก็ได้นะขอรับ” อัลล์ตั้งข้อสังเกตที่น่ากังวล

“ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าท่านพี่ทำลายผนึกแล้วจริง เขาคงไม่ใช่วิธีอ้อมค้อมแบบนี้แน่ ผนึกคงคลายออกบางส่วนเท่านั้น” ฮาธอสแย้ง แต่สีหน้ายังคงวิตก

“เพราะอย่างนั้นมันถึงจะมาเอามือของตัวเองกลับไป ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ก็จะไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะไม่สามารถทำลายผนึกของเจ้าได้ด้วย” พูดมาถึงตอนนี้ไคซัสก็มีสีหน้าคิดหนัก เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องนาซิลลาเลย ตัวร่างทรงนั้นเป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอและได้รับบาดเจ็บ ไม่น่าจะหนีไปได้ไกลนี่นา ยกเว้นเสียแต่ว่า... “แต่ถ้านาซิลลาเป็นร่างทรงของเฮสเลนโดยตรงล่ะก็...”

“เอ๋!” ฮาธอสร้องเบา ๆ อย่างตกใจและมองตามไคซัสที่ผุดลุกไปหยิบบันทึกปกดำมาตรวจสอบอะไรบางอย่าง มันคงจะเป็นการค้นพบที่น่าตกใจมาก เพราะเมื่อพบหน้าที่ต้องการเจ้าตัวก็หน้าถอดสี

“อัลวินรีบออกไปบอกให้พวกที่ตามหานาซิลลาเร่งมือให้เร็วขึ้น ตามหาเองได้ยิ่งดี” มหาเทพสงครามหันมาสั่งและเสริมเสียงกร้าวทันทีที่เห็นอัลล์ทำหน้าไม่เข้าใจ “นี่เป็นเรื่องสำคัญ รีบไป!”

“ขอรับ!”

แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผล ทว่าอัลล์ลุกขึ้นทำความเคารพและรุดจากไป เหลือเพียงฮาธอสนั่งจ้องไคซัสที่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าคิดไม่ตกแต่ก็ร้อนใจไปพร้อมกัน เขาเคยเห็นท่าทางแบบนี้จากบรรดาเทพชั้นสูงที่เคยรับใช้มาก่อน

“มหาเทพไคซัสอยากถามอะไรข้าหรือขอรับ” ใบหน้าคมเข้มสีแดงเบือนมาหาราวกับจะถามว่าเจ้าอยากให้ข้าถามจริงหรือ แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วนิ่งนั้นเหมือนเตรียมใจไว้แล้วไคซัสก็เอ่ยปาก

“ข้าอยากรู้ที่ซ่อนร่างของเฮสเลน”

ร่างสูงโปร่งบนเก้าอี้มีอาการคอแข็งอย่างเห็นได้ชัด การเตรียมใจล่วงหน้าช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยจริง ๆ เพราะแค่ได้ยินคำถามก็รู้สึกเหมือนมีหินขนาดมหึมาหล่นทับหัวใจจนอึดอัด ไคซัสเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางแบบนั้นก็อดขยับไปใกล้ไม่ได้ แต่ก่อนเขาจะได้ทำอะไรต่อไปก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว ๆ

“มหาเทพไคซัสขอรับ” เซบาสเตียนถือวิสาสะเข้ามารายงานก่อนจะได้รับอนุญาตอย่างรีบร้อน “มหาเทพจ้าวสวรรค์เสด็จมาถึงแล้วขอรับ”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไคซัสร้องบอกแล้วหันกลับมาดันตัวฮาธอสที่ผุดลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม “เจ้าไม่ต้องไป รออยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับมา และจำไว้ด้วยว่าถ้าแอบหนีไปคนเดียว ข้าจะไม่ให้อภัยเด็ดขาด!”

สั่งด้วยเสียงกระซิบอย่างหนักแน่นแล้วจ้องตาเทพคนสวนเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง ฮาธอสไม่เคยเห็นมหาเทพสงครามเอาจริงเอาจังจนน่ากลัวมาก่อนจึงพยักหน้ารับ เทพอสูรค่อยคลายมือและรุดออกจากห้องไปพร้อมเซบาสเตียน

------------------

นำหน้าเด็กดีแล้ว เย้~~~~~~~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 06-09-2013 21:33:27
เฮสเลนมีความเกี่ยวพันกับเซอเรียโนหรือเปล่า
ย้งมึนๆอยู่ค่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 07-09-2013 18:58:50
บทที่ 17 การตัดสินใจของเทพอสูร

ฟาเบียนกับผู้ติดตามในชุดขาวทั้งสิบตนยืนรอไคซัสอยู่หน้าปราสาทประมุข ดวงตาสีเขียวมรกตสำรวจความเสียหายพลางระบายลมหายใจอย่างหนักอึ้ง แม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องทั้งหมด แต่คนส่งข่าวก็แจ้งให้ทราบแล้วว่าเป็นฝีมือของใคร ซึ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก

“ว้าว! เล่นเสียเละเทะเลยแฮะ”

เสียงเล็กที่อุทานขัดจังหวะการถอนใจครั้งที่สองมาจากเด็กหนุ่มชุดแดงที่มายืนข้างกายราชาเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ขุนพลเทพอันดับห้าจ้องมองช่องโหว่บนตัวปราสาทอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ไม่นึกเลยน้า ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะทำให้ปราสาทเสียหายได้ขนาดนี้”

“เซย์เรียโน่งานเสร็จแล้วรึถึงโผล่มาที่นี่ได้!” ฟาเบียนฮึดฮัดไม่พอใจ หวังจะข่มเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้ก่อนจะพูดหรือทำอะไรแปลก ๆ อีก

“เสร็จแล้ว อย่างน้อยก็ตามแผนที่วางไว้” เซย์เรียโน่อมยิ้มอย่างสนุก “ข้าจึงว่างมาดูทางนี้ อ๋อ ข้าเป็นขุนพลเทพตนเดียวที่อยู่บนสวรรค์ นอกนั้นถูกเจ้าส่งไปทำงานที่อื่นหมด ถ้าคิดจะบ่นก็ต้องโทษตัวเองแล้วล่ะ”

“เจ้า!”

“ขอโทษที่ให้รอ”

ฟาเบียนแทบกระชากตัวเด็กหนุ่มมาลงโทษฐานตีฝีปากกับราชาเทพ แต่ก่อนจะมีการลงไม้ลงมือและการตอบสนองจากว่าที่ผู้ถูกกระทำ ไคซัสกับเซบาสเตียนก็ออกมาถึงพอดี มหาเทพสงครามเหล่มองเซย์เรียโน่แวบหนึ่งแล้วเบือนหน้าไปหามหาเทพจ้าวสวรรค์เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“ยังหาตัวต้นเหตุไม่เจอสินะ ข้าเห็นอัลวินวิ่งออกไปเมื่อกี้”

“ที่นี่ไม่เหมาะคุย ตามข้ามา”

เหล่าผู้ติดตามของฟาเบียนแสดงอาการไม่พอใจทันที หลังไคซัสสวนคำพูดใส่เจ้านายอย่างไร้ความเคารพจนราชาเทพต้องยกมือห้ามปราม ขณะเซย์เรียโน่ผิวปากให้มหาเทพสงครามด้วยความชื่นชมก่อนจะเดินตามต้อย ๆ ออกไปยังตำหนักชั้นนอกที่มีทหารเดินวุ่นวายไปหมด เทพอสูรหนุ่มสั่งให้ผู้ติดตามของฟาเบียนรออยู่ข้างนอก ก่อนจะพาแขกที่เหลือเข้าไปในห้องประชุมเล็กของตึกที่พักทหารฝั่งขวา ซึ่งตอนนี้ถูกปรับให้เป็นห้องทำงานและศูนย์บัญชาการชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว

เมื่อแขกหาที่นั่งให้ตัวเองเรียบร้อยและเซบาสเตียนถอยไปเฝ้าข้างนอกแล้ว ไคซัสก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกตนฟังอย่างละเอียด โดยยังไม่เปิดเผยว่าใครอยู่ในร่างของนาซิลลาและของที่จะถูกขโมยนั้นเป็นสิ่งใด แม้จะรู้ดีว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์จะระแคะระคายเรื่องนี้แล้วก็ตาม ฟาเบียนอาจไม่ใช่คนเก่งกาจ แต่ทั้งสวรรค์ก็อยู่ภายใต้อำนาจของเทพตนนี้ อีกอย่างเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสางกับอีกฝ่ายด้วย

“เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้เองรึ” ราชาเทพลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด ไคซัสรู้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังจะพูดอะไรต่อไป “แต่มันก็แปลกนะ แค่ถูกจับได้ว่าจะขโมยของก็สู้จนกลายเป็นแบบนี้ ลำพังพลังของเทพจันทราวัยเยาว์ไม่น่าจะทำได้ เจ้าเอาอะไรขึ้นมากันแน่”

“มันเป็นของส่วนตัวของเทพรัตติกาลตนหนึ่ง ซึ่งสำคัญขนาดที่เจ้าตัวยอมเสี่ยงมาเอาคืนไปด้วยตัวเอง” ไคซัสตัดสินใจเปิดไพ่ใบหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ฟาเบียนดูสนใจมากขึ้น แต่ยังสงวนท่าทีอยู่

“ใครกัน เทพรัตติกาลตนนั้นน่ะ”

“เจ้านึกไม่ออกจริง ๆ หรือ ฟาเบียน์” มหาเทพสงครามเอียงศีรษะอย่างสงสัย คิ้วคมจรดเข้าหากันทำให้ใบหน้าที่ดุดันอยู่แล้วดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

“ไคซัส หลังจากข้าได้เป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ขับไล่เทพรัตติกาลออกจากสวรรค์ตั้งมากมาย ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นฝีมือของใครน่ะ อีกอย่างนี่ไม่ใช่เวลามาเล่นเกมด้วย ตำหนักของเจ้าถูกเล่นงานขนาดนี้ ถ้าปล่อยเวลายืดยาวไปออกไป เทพอื่น ๆ อาจจะเดือดร้อนอีกก็ได้นะ” ราชาเทพเริ่มร้อนรน ขณะเซย์เรียโน่ยิ้มบางสื่อความหมายบางอย่างที่รู้เพียงผู้เดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอก ก่อนเจ้าจะมาข้าสั่งให้คนไปแจ้งเหล่าขุนศึกทั้งหลายให้เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่พวกเขาจะยังไม่มารวมตัวจนกว่าจะเห็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจนกว่านี้” ไคซัสทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน

“เจ้าเป็นมหาเทพสงครามนะ ไคซัส ข้าเชิญท่านมารับตำแหน่งนี้เพื่อปกป้องสวรรค์นะ!” ราชาแห่งฟ้าเริ่มมีอารมณ์ แต่คนถูกตวาดจะสะดุ้งสะเทือนก็หาไม่

“ข้าก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่นี่ไง แต่ถ้าไม่มีอันตรายในวงกว้าง ข้าก็ไม่อยากทำอะไรให้เอิกเกริก”

สุ้มเสียงเนิบช้าราวกับไม่สนใจว่าสวรรค์จะเป็นเช่นไรนั้น สร้างปฏิกิริยาที่แตกต่างกันให้กับแขกของเขา เซย์เรียโน่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงก่อนระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมา ส่วนฟาเบียนนั่งตัวชา อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง พอตั้งสติได้ก็ลุกไปตบโต๊ะตรงหน้าไคซัสด้วยความโกรธ!

“เจ้า!” เสียงทุ้มเล็ดลอดไรฟันที่ขบกันแน่น “...กล้าพูดมาได้อย่างไรว่าไม่มีอันตรายในวงกว้าง ขนาดร่างทรงของมันทำให้ปราสาทเสียหายขนาดนี้ จะรอให้มันทำลายสวรรค์ส่วนไหนก่อนเรอะถึงจะทำหน้าที่ได้!”

“แล้วมันที่เจ้าพูดถึงคือใครกันล่ะ!” ไคซัสลุกขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่ายและคำรามด้วยท่าทางเดียวกัน

“เฮสเลนไงเล่า!”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเกือบจะทันทีที่ขาดเสียงของราชาเทพ นามที่เขาโพล่งออกมานั้นทำให้เซย์เรียโน่หุบปากได้อย่างชะงัด ดวงตาสีแดงฉานที่ไม่เคยฉายสิ่งใดเลยนอกจากความสนุกกับความเย็นชา บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจที่ไคซัสซึ่งเหลือบตามาเห็นยังสงสัยว่าเป็นของจริงหรือการแสดง แต่ท่าทางตกใจเหมือนคนเพิ่งรู้สึกตัวของฟาเบียนเป็นของจริงแน่นอน

“เจ้ารู้อยู่แล้วจริง ๆ ด้วย” ไคซัสหันมาไล่เบี้ยราชาเทพก่อน “พวกผู้หญิงที่นาซิลลาไปเกิดและได้อยู่ในตำหนักอาจไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่เจ้ามีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจแล้วและมันถูกยืนยันด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยใช่ไหม...ข้าถามว่าใช่ไหม!”

ชาวเทพสวรรค์ทั้งสองตนต่างสะดุ้งสุดตัว เมื่อเทพอสูรหนุ่มเขย่าทั้งโต๊ะด้วยท่าทางโกรธจัด ราวกับอยากจะจับมันเขวี้ยงใส่เทพตรงหน้าเต็มแก่ ฟาเบียนหน้าซีดเผือดและหันไปหาความช่วยเหลือจากเซย์เรียโน่ แต่เด็กหนุ่มกลับยกมือพร้อมส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเขาเสียด้วย เพราะทั้งห้องถูกอาบด้วยมนต์กั้นเสียงตั้งแต่ก่อนพวกเขาจะเข้ามาแล้ว

“ใช่” ฟาเบียนยอมรับออกไปในที่สุด “แต่ข้าไม่ได้คาดเดาล่วงหน้าหรอกนะ เพิ่งมาคิดได้ตอนที่สิงโตอสูรบุกโจมตีตำหนักของเจ้า เพราะเป้าหมายของมันคือเทพจันทราตนนั้น”

“เจ้าไม่บอกข้าสักคำ เจ้าให้ข้าขวนขวายหาทางปกป้องสวรรค์ตัวเอง!” ไคซัสพูดเสียงเหี้ยม ขบฟันด้วยความโกรธจนกรามแทบแตก ผิวกายสีแดงเข้มขึ้นจากแรงอารมณ์นั้น

“มันเป็นหน้าที่ของเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เพราะเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์หรือไรไม่ทราบ ฟาเบียนจึงพูดแบบนี้ “เรมันต์ที่ก่อเหตุซ้ำหลังจากนั้นไม่นานก็ทำให้ข้าไขว่เขวด้วย ข้าเพิ่งจะมั่นใจว่านางเป็นร่างทรงของเฮสเลนในวันนี้เอง เพราะข้ารู้สึกถึงพลังของเขา”

“แต่เจ้ารู้ไหมว่าการที่เจ้าไม่เตือนข้าล่วงหน้า ทำให้ข้าเอาของขึ้นมาสังเวยมันถึงที่ แบบนี้มิอันตรายกว่าหรือ!” มหาเทพสงครามสวนกลับอย่างเผ็ดร้อน เพราะเขาเคยให้ฟาเบียนดูหน้านาซิลลา เพื่อดูปฏิกิริยาและกระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเขาระแคะระคายสงสัยเรื่องของเด็กสาวผู้นั้น แต่เจ้าเด็กหลงอำนาจหัวทองนี้กลับปิดเงียบไม่บอกกันสักคำเดียว เพราะอย่างนี้แหละเขาถึงได้ไม่ชอบราชาแห่งฟ้าตนนี้นัก “เจ้ารู้ตัวไว้เถอะ ทุกอย่างวุ่นวายก็เพราะความอมพะนำของเจ้านั่นแหละ!”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาว่าโทษข้าแต่เพียงผู้เดียวนะ เจ้าสาบานกับข้าแล้วว่าจะปกป้องสวรรค์ให้ได้ เจ้ามีคนที่เชื่อมโยงไปถึงอันตรายใหญ่หลวงตั้งมากมาย แต่กลับไม่ใช่ประโยชน์เสียนี่ เทพที่เจ้าหวงหนักหนานั่นยอมพูดหรือยังล่ะ ว่าเป็นใครน่ะ!”

วาจาที่พรั่งพรูออกมาเปรียบได้กับสายฟ้าฟาดกลางหัวใจไคซัส เทพอสูรตัวชาวาบและยืนแข็งทื่อจ้องหน้ามหาเทพสวรรค์นิ่ง แม้แต่เซย์เรียโน่ยังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนกุมขมุบพลางนึกด่าทอฟาเบียนอยู่ในใจ ตอนนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด!

“โฮ่! ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมการพร้อมเหมือนกันนี่นา ฟาเบียน” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบสะกิดให้ฟาเบียนรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปอีกหน ราชาแห่งฟ้ามองหน้ามหาเทพสงครามแล้วต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเกล็ดประกายสีขาววิบวับในแก้วตาสีส้มซึ่งจะปรากฏในเวลาที่เจ้าตัวโกรธสุดขีด

“เจ้ารู้อยู่แล้ว...” ไคซัสแค่นยิ้ม ไม่รู้จะขำ...สมเพชตัวเอง หรือทั้งสองอย่างดี “นั่นสินะ เจ้าควรจะรู้อยู่แล้ว เพราะเจ้าเป็นคนอนุมัติเลื่อนขั้นให้ฮาธอส ถึงเจ้าจะปกปิดตัวตนได้ แต่ไม่มีทางปิดซ่อนอดีตจากเจ้าได้ เจ้ารู้เรื่องพลังมืดแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในสวรรค์ด้วยแล้วใช่ไหม”

“ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันที่ท่านตรวจสอบเขตแดน แต่...”

มหาเทพสงครามยกมือห้ามแล้วพยักหน้าน้อย ๆ “แต่เรื่องอื่นเจ้ารู้มานานแล้ว...เจ้าหลอกใช้ข้า...”

“ไม่ใช่! เพราะข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนเดียวทีรับมือกับเรื่องนี้ได้ต่างหาก เฮสเลนจัดการกับขุนศึกในกองทัพสวรรค์ไปหลายตน พวกเรากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงเกิดสงครามได้เสมอ ข้าไม่อาจเสี่ยงเสียใครไปได้อีก” ผู้ปกครองสวรรค์ตั้งใจจะอธิบาย แต่ยิ่งพูดเท่าไหร่ ความหมายของคำพูดยิ่งสื่อถึงการหลอกใช้มากขึ้นเท่านั้น ขุนพลเทพส่ายศีรษะอย่างเวทนาสุด ๆ “ไคซัส...”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามที่สาบานกับเจ้าไว้ ปกป้องสวรรค์...” เทพอสูรหนุ่มตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเฉียบขาดก่อนประกาศิต “แต่ด้วยวิธีการของข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็จะไม่มีใครขัดขวาง หรือซ้อนแผนอะไรอีก เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดใช่ไหม ฟาเบียน”

“เจ้าพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการปกป้องเทพที่ชื่อฮาธอสนั่นใช่ไหม!” ฟาเบียนทำหน้าไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว เทพตนนั้นเป็นน้องชายของเฮสเลนนะ ที่ผ่านมาไม่เคยแสดงตัวตนชัดเจน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง เจ้าแค่หาข้อมูลจากเขาแล้วเขี่ยทิ้งไป...!”

วาจาของมหาเทพจ้าวสวรรค์มีอันต้องขาดหายไปในเสี้ยววินาทีที่ไคซัสปลดปล่อยจิตสังหารออกมา! บรรยากาศของห้องเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ความกระหายการฆ่าฟันที่แฝงอยู่ในจิตนั้นรุนแรงขนาดเซย์เรียโน่ซึ่งไม่เคยกลัวใครยังถอยหนีอย่างลืมเลยทีเดียว

“เขี่ยทิ้ง?” ปลายเสียงของไคซัสตวัดขึ้นสูงส่อแววอันตราย “ตราบใดที่ความคิดของเจ้ายังเป็นแบบนี้ ถึงข้าจะอธิบายความตั้งใจของเด็กคนนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นข้าจะพูดแบบนี้แทน ถ้าขัดขวางข้าก็เท่ากับเป็นศัตรูกับเผ่าอสูร ตอนนี้ข้าอาจเป็นมหาเทพสงครามที่มีหน้าที่ปกป้องสวรรค์ แต่เจ้าคงไม่ลืมว่าข้าเป็นราชาอสูรมาก่อนและยังเป็นอยู่จนกว่าไคมีร่าจะนั่งบัลลังก์อย่างเป็นทางการด้วย ถ้าคิดว่าคราวนี้ข้าจะยอมให้อีกก็ลองดู”

มหาเทพจ้าวสวรรค์ยืนกำหมัดแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ อย่างไรเสียฟาเบียนก็เป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ที่รักในศักดิ์ศรีและความสูงส่งของชาวเทพอย่างยิ่ง เมื่อถูกเทพอสูรที่มีฐานะต่ำกว่าข่มขู่ด้วยท่าทางของราชาที่งามสง่ากว่าเขาจึงรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่เรื่องของการเมืองก็ซับซ้อนและประมาทไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องการกำลังของไคซัสอยู่จึงไม่มีทางเลือกอื่น ทว่าพอจะออกปากขานรับ เสียงกลับไม่ยอมหลุดจากคอ

“ขอโทษทีนะ” เสียงเล็กดึงความสนใจของผู้ใหญ่ทั้งสองตนไปยังเด็กหนุ่มอีกตน เซย์เรียโน่ยกมือเสมอบ่าเป็นเชิงขออนุญาต “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดหรอกนะ แต่บังเอิญนึกขึ้นมาได้ มหาเทพไคซัสทราบได้อย่างไรว่านาซิลลาเป็นร่างทรงเทพรัตติกาล”

“จากบันทึกปกดำ”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ห้องทำงานของท่านถูกระเบิดจนเสียหาย มันคงไม่ได้เสียหายไปด้วยหรอกนะ” น้ำเสียงของเซย์เรียโน่มีรอยกังวลเล็กน้อย เพราะบันทึกนั้นเป็นของตกทอดมาจากขุนพลเทพอันดับห้ารุ่นก่อน ถ้าเสียหายก็จะข้อมูลสำคัญบางอย่างที่ไม่มีบันทึกในเล่มอื่นจะหายไปทันที

“ไม่ มันอยู่ในกล่องที่ได้รับการผนึกเวทป้องกันอย่างดี แต่ข้าเอา...”

ไม่ว่าไคซัสตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป เสียงของเขาก็ขาดหายไปในห้วงแห่งความตกใจ ร่างสูงหมุนกายไปทางปราสาทประมุขแล้วหายตัวไปพร้อมจิตสังหาร ทิ้งให้ฟาเบียนยืนงงอยู่ที่เดิมก่อนจะร้องโอ๊ยดังลั่นเมื่อขุนพลเทพอันดับห้าวิ่งมาเตะหน้าแข้งอย่างแรง!

“เจ้าบ้าเอ๊ย! เจ้าเป็นมหาเทพจ้าวสวรรค์ที่งี่เง่าที่สุดเลย! พูดไม่รู้จักคิด ดีเท่าไหร่ที่เขาไม่ละทิ้งหน้าที่น่ะ!” เด็กหนุ่มโวยวายดังกึกก้องแล้วเสริมก่อนคำโต้เถียงจะหลุดจากปากฟาเบียน “อย่านะ! อย่าโทษไคซัสฝ่ายเดียว เขาแค่ทำหน้าที่ของเขา ไอ้คนที่เอาแต่อมพะนำเพื่อหลอกใช้ความสามารถของเขาก็คือ ‘เจ้า’ ถ้าเจ้าอยากได้กำลังของไคซัสมาปกป้องสวรรค์ก็หัดทิ้งศักดิ์ศรีบ้าคอคอแตกซะ แล้วก้มหัวขอร้องเขาเสียบ้าง!”

“เซย์เรียโน่!” ฟาเบียนเอ่ยอย่างไม่พอใจทันที ขุนพลเทพอันดับห้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะราชาเทพถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นกษัตริย์ผู้ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของสวรรค์ เพื่อสัญลักษณ์ความสูงส่งของชาวเทพ ถึงที่ผ่านมาจะคอยช่วยเหลือไคซัสเพียงใด สุดท้ายก็ไม่มีวันก้มหัวให้กับเทพอสูรต่ำชั้นกว่าเด็ดขาด อย่างนี้แหละ เขาถึงได้เกลียดนัก

“พอกันที เจ้ากลับไปนั่งบัลลังก์เป็นตุ๊กตาอย่างเดิมเถอะ ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ต่อจากนี้พวกข้าจะจัดการกันเอง” เซย์เรียโน่โบกมือไล่อย่างสุดจะทนขณะเดินไปที่ประตู

“แต่เจ้ายังมี ‘งานอื่น’ ที่ต้องทำไม่ใช่หรือ” ราชาเทพหันตามมาแย้ง

“เวลานี้เจ้ายังจะห่วงเรื่องนั้นอีกเรอะ!” ขุนพลเทพอันดับห้าเบือนหน้ามาตวาดใส่ แต่พอเห็นสีหน้าว่าไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิดไปของอีกฝ่าย เขาก็พ่นลมเฮือกสั้น ๆ “ช่างมัน! เจ้ามันเกินเยียวยาแล้วนี่นะ ไม่ต้องห่วง ไอ้คนที่เจ้าอยากกำจัด มันต้องหายไปจากโลกนี้แน่ แต่จำไว้เถอะ ว่าเจ้าคือคนที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายและเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่เจ้าคิด!”

พูดจบเทพหนุ่มก็ออกจากห้องไปทิ้งท้ายไว้เพียงเสียงปิดประตูอย่างแรง

-------------------

ทางด้านฮาธอสนั้น หลังจากพวกไคซัสออกไปแล้ว เทพหนุ่มก็กลับมานั่งที่เดิมและจ้องมองบันทึกปกดำกับกล่องใส่ชิ้นส่วนของเฮสเลนนิ่ง คำถามากมายประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พี่ชายของเขาทำลายผนึกจากภายในตั้งแต่ตอนไหน มือข้างนี้หลุดจากร่างกายเจ้าตัวได้อย่างไร ใช้วิธีไหนจึงเล็ดลอดจากสวรรค์ไปลอบสังหารมหาเทพสงครามถึงวังอสูรได้ สำคัญที่สุดคือ เฮสเลนสามารถเข้าทรงนาซิลลาโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร

ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองสมุดสีดำที่วางอยู่ข้างกล่องมือของพี่ชาย ถ้าหากว่าสิ่งที่ไคซัสคิดสามารถยืนยันได้ด้วยข้อมูลที่อยู่ในบันทึกเล่มนั้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีคำตอบให้เขาก็ได้ อย่างน้อยก็เรื่องของนาซิลลา แน่นอนเขารู้ว่าการแอบดูบันทึกปกดำเป็นเรื่องต้องห้ามและมีโทษถึงขั้นประหาร แต่มาถึงจุดนี้แล้วเขาก็อยากเข้าใจทุกอย่างให้กระจ่างชัด เผื่อว่าจะสามารถหาทางช่วยเหลือเด็กสาวผู้นั้นกลับมาได้

หลังรวบรวมความกล้าเรียบร้อยแล้ว ฮาธอสก็หยิบบันทึกปกดำเล่มนั้นมาไว้บนตัก จากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าปกโดยไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ บางทีไคซัสอาจจะลืมปิดผนึกมันไว้...หรือไม่ก็จงใจทิ้งไว้แบบนี้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบนี้ด้วยเหตุผลใด ชายหนุ่มก็วางมือลงบนหน้าปกและอธิษฐานด้วยอำนาจของตน

ครู่ต่อมาบันทึกต้องห้ามแห่งสวรรค์ก็เปิดออกและนำพาเทพคนสวนสู่เรื่องราวที่เขาอยากจะรู้ที่สุด!

--------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 15 up 05/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 07-09-2013 18:59:34
ในที่สุดไคซัสก็กลับมาอีกครั้ง ร่างสุงใหญ่ปรากฏตัวราวกับก้าวออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้าประตู เขาถึงกับชะงักงันเมื่อเห็นฮาธอสกำลังนั่งดูภาพสามมิติที่ถูกฉายจากบันทึกปกดำบนตักเจ้าตัว และมันยังเป็นเรื่องที่เทพอสูรหนุ่มไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นมากที่สุดอีกด้วย

“ปิดซะ!”

คำประกาศิตที่โพล่งออกไปอย่างแข็งกร้าว ทำให้ชายหนุ่มผมสีทองสะดุ้งโหยงพร้อมบันทึกปกดำที่ปิดตัวเองดังฉับ ฮาธอสหันมามองด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ดวงตาที่เบิ่งกว้างด้วยความตื่นตระหนกนั้นบ่งชัดว่าเขารับรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เข้าแล้ว

“บ้าชะมัด!” ไคซัสเดินเข้าไปหยิบหนังสือสีดำเล่มนั้นกลับและทำให้มันปิดผนึกอย่างแน่นหนาอีกครั้ง “ทำไมถึงทำอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ ฮาธอส เจ้ารู้ไม่ใช่หรือว่าการดูบันทึกปกดำเท่ากับมีโทษตายน่ะ!”

“แต่...ข้าอยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้” น้ำเสียงของฮาธอสสั่นพร่า สีหน้ากับท่าทางไม่ดีเอาเสียเลย เทพอสูรหนุ่มทรุดตัวลงมาดูใกล้ ๆ ก็รู้ชัดทันทีว่าสิ่งที่บันทึกไว้ช็อกอารมณ์เจ้าตัวมากทีเดียว “เทียบกับเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนแล้ว ข้าแทบไม่รู้อะไรเลยนะขอรับ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เกี่ยวข้องมาแต่ต้น ข้ามีสิทธิ์ที่รู้...”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะรอข้ากลับมาก่อน การอ่านบันทึกปกดำเอาเองแบบนี้เท่ากับฆ่าตัวตายชัด ๆ!” ไคซัสตำหนิแล้วนิ่งไปหลังเห็นท่าทางปวดร้าวของอีกฝ่าย เขาจึงจับมือเทพคนสวนไว้ เพราะเข้าใจดีกว่าสิ่งที่เพิ่งรับรู้นั้นโหดร้ายเพียงใดสำหรับเขา “ถ้าเจ้าถามข้า ข้าก็จะเล่า”

แต่เทพคนสวนส่ายศีรษะแรงสองสามครั้ง “มหาเทพไคซัสคอยกันข้าออกจากเรื่องนี้ ท่านไม่ยอมเล่าให้ข้าฟังทั้งหมดแน่” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เอ่อล้นขึ้นมาจนควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ “ข้ามันโง่เอง ทั้งที่นาซิลลาอยู่กับข้ามานาน รู้มาตลอดว่านางถูกคุกคามจากความมืด แต่กลับไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ‘ร่างทรงเทพรัตติกาล’ คิดแต่ว่านางสื่อสารกับความมืดในฐานะเทพจันทราและมีคนพยายามจะครอบงำนาง...”

“นางถูกครอบงำจริง ๆ นะ ฮาธอส เรื่องนี้เป็นฝีมือของเฮสเลนทั้งหมด นาซิลลาเป็นแค่เหยื่อเท่านั้น” มหาเทพสงครามดึงดันจับมือฮาธอสไว้อีกที ที่เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้

“มหาเทพไคซัส ในบันทึกปกดำเขียนไว้ว่าในวันเดียวกับที่นาซิลลาอุบัตินั้น ทหารประจำประตูเหนือยืนยันว่าจับสัมผัสอำนาจมืดเข้มข้นที่ทำให้หนาวสันหลังได้จากแดนร้าง แต่มันปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียว ก่อนจะมีคนเห็นลูกไฟสีเงินพุ่งไปทางทิศตะวันตก”

เทพคนสวนยอมสบสายตากับมหาเทพสงครามจนได้ ใบหน้าของเขามีแต่ความสิ้นหวังและเสียใจขนาดไคซัสอย่างตระหนก ฮาธอสเอามือกุมอกเสื้อเหนือหัวใจของตนด้วยความปวดร้าว

“นั่นคือพลังหรือไม่ก็จิตวิญญาณของท่านพี่อย่างแน่นอน ข้ารู้เพราะหัวใจของข้าเต้นแรงเหมือนตอนเห็นกล่องใส่มือของท่านพี่ ดูเหมือนข้ากับเขาจะยังมีเยื่อใยกันอยู่จึงบอกให้รู้ด้วยวิธีนี้ เพราะอย่างนั้นข้ามั่นใจ ท่านพี่ต้องเลือกนาซิลลาไว้แต่แรกแล้ว หากโชคร้ายนางอาจจะเป็น ‘ร่างแยก’ ของเขาด้วย” เทพหนุ่มซบหน้ากับสองมือ “ท่านพี่พยายามครอบงำนาซิลลามานานแล้ว แต่ยังทำไม่ได้เพราะมีนาซิลลาใช้ข้าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่แล้วข้ากลับทำให้นางเป็นทุกข์จนตกหลุมพลางของท่านพี่ไปจนได้ เป็นเพราะข้าเอง...เพราะข้าเอง...”

สิ่งที่ฮาธอสพูดออกมานั้นตรงกับความคิดของไคซัสจนน่ากลัว แต่เขาตัดสินใจเก็บไว้จนกว่าจะได้ตัวนาซิลลามาพิสูจน์ความจริง และตั้งใจรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นจึงค่อยบอกกับฮาธอส แต่เพราะความรีบร้อนประอบกับความสะเพร่าของตนเองที่ลืมบันทึกปกดำไว้จนกลายเป็นแบบนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธที่สุดนั้นกลับเป็นวาจาในช่วงท้าย ๆ นั่นมากกว่า มันเหมือนกับว่าเขาเป็นคนบีบให้ฮาธอสต้องปฏิเสธนาซิลลาเช่นนั้น

“ระยำเอ๊ย!”

ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในห้องนั้น ไม่เว้นแม้แต่ฮาธอสล้วนสะท้านไหนเพราะเสียงสบถอันดังกึกก้องนั้น เทพคนสวนหลับตาแน่นเมื่อไคซัสลุกขึ้นด้วยท่าทางมาดร้าย เสียงทำลายข้าวของดังโครมครามสอดแทรกด้วยคำสบถหยาบคายนับไม่ถ้วน พวกองครักษ์เข้ามาดูด้วยความตกใจ ทว่าไม่ทีใครกล้าเข้าไปห้าม

แต่ท่ามกลางกระแสความกราดเกรี้ยวที่ปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด ฮาธอสกลับสัมผัสความเศร้าที่ฝังแน่นอย่างไม่อาจลบเลือน ท่าทางของเจ้าตัวก็เหมือนเสือที่อาละวาดด้วยความปวดร้าวสุดจะทน มหาเทพสงครามผู้ทระนงเป็นแบบนี้เพราะคำพูดของเขารึ?

“มหาเทพไคซัส” ฮาธอสร้องเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หวังหยุดอีกฝ่ายไว้ก่อนและก็ได้ผลเสียด้วย

มหาเทพสงครามยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนยกมือขึ้นโบกไล่พวกองครักษ์ออกไปให้หมด เมื่อประตูหับกับวงกบแล้วจึงค่อยหันกลับมาเผชิญหน้ากับฮาธอส ชายหนุ่มถึงกับอึ้งหลังเห็นแววเจ็บล้ำลึกในดวงตาสีส้มคู่นั้น

“เจ้าเสียใจที่เลือกข้าหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นพร่าอย่างควบคุมไม่ได้

“มะ...ไม่ใช่นะขอรับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ฮาธอสรีบลุกไปหาไคซัสโดยไม่สนใจเลยว่าจะเหยียบโดนอะไรบ้าง “ข้าไม่เคยเสียใจที่มีความรู้สึกดี ๆ กับท่าน ท่านเองก็ดีต่อข้าอย่างมากมาย แต่ข้าเสียใจที่ช่วยเหลือนาซิลลาไม่ได้ต่างหาก ดังนั้นข้าขอร้องท่านล่ะขอรับ อย่าเสียใจเพราะข้าอีกเลย”

เทพคนสวนจับมือมหาเทพสงครามมาวางบนอก น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนแขนข้างหนึ่ง มีเทพที่ต้องเจ็บปวดจากการกระทำของเขามามากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ปรารถนาให้ไคซัสต้องเป็นเช่นนั้นอีกคน

“ถ้าอย่างนั้น...หากข้าสั่งให้เจ้าลืมเรื่องนี้เสีย เพื่อตัวของเจ้าเอง เจ้าจะทำไหม”

ร่างสูงโปร่งนิ่งไปเล็กน้อย “ไม่ขอรับ” ฮาธอสปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ ในเมื่อเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกก็สมควรจะรับผิดชอบต่อไปจนจบ “ให้ข้าช่วยเถิดขอรับ ข้าจะเป็นกำลังให้ท่านในการกำจัด....เฮสเลน!” คำสุดท้ายนั้นเค้นออกมาด้วยกำลังใจทั้งหมด

ความเงียบลอยอ้อยอิ่งระหว่างเทพหนุ่มทั้งสองตน ดวงตาต่างสีสันจ้องมองกันและกันประหนึ่งต้องการยืนยันความคิดของตนที่ค้านกับอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในที่สุดไคซัสก็เป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน เขาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเทพผู้นี้ดี

“เจ้านี่นะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เจ้าจะทุ่มเทโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย” เทพอสูรหนุ่มเลื่อนสองมือขึ้นมาประคองแก้มนิ่มไว้ในอุ้งมือ “ฮาธอส เรื่องนี้อันตรายมากเลยนะ ตัวเจ้าเองก็ยังไม่หายดีด้วย ถือว่าทำเพื่อข้าได้ไหม”

“เอ๊ะ” ฮาธอสร้องอย่างประหลาดใจ

“ข้าอยากให้เจ้าคิดถึงความรู้สึกของข้า หัวใจของข้าแทบแตกสลายทุกครั้งที่เห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บ ยิ่งเห็นเจ้าเป็นทุกข์ก็ยิ่งทรมานใจ” ใบหน้าคร้ามเข้มโน้มลงมาจรดหน้าผากชายที่รักอย่างเว้าวอน สองแขนตระกองกอดร่างบางกว่าอย่างเบามือ “ถือว่าทำเพื่อข้าเถอะนะ ให้ข้าได้ปกป้อง ‘หัวใจ’ ของข้าเถอะ ข้าคงทนไม่ได้หากว่าเจ้าเป็นอะไรไป”

คำขอร้องที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้านั้นสร้างความหวั่นไหวให้กับฮาธอสไม่น้อย แต่พร้อมกันนั้นมันก็ทำให้เขาฉุกขึ้นขึ้นมาได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องมาเขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องของเฮสเลนกับนาซิลลาและสวรรค์เพียงอย่างเดียวจนลืมนึกความรู้สึกของมหาเทพสงครามไปเสียสนิท

ทว่าเขาจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้อย่างไร ให้ที่เขารักคอยปกป้องในขณะที่ตัวเองนั่งรอเฉย ๆ เป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุด อีกอย่างถ้าเป็นการทำเพื่ออีกฝ่ายจริง ๆ ล่ะก็...เขาควรช่วยถึงจะถูกต้อง

“มหาเทพไคซัสคงทราบแล้วว่าข้าทำไม่ได้...” ฮาธอสหลุบตาต่ำ ตัดสินใจเจรจาอีกครั้ง เพราะเขายังเหลือไพ่ตายใบสำคัญอยู่ “ข้าเป็นคนเดียวที่รู้ที่ซ่อนร่างของท่านพี่ ข้าจะเป็นคนนำทางท่านไปเอง และจะคอยเป็นโล่ให้ท่านด้วย นี่ต่างหากที่เป็นการทำเพื่อท่านจริง ๆ”

ไคซัสฟังที่อีกฝ่ายพูดมาแล้วก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เข้าใจความคิดของเจ้าตัวจนถึงแก่น บุรุษผู้นี้มีจิตใจที่อ่อนโยนและงดงามจนเกินไป เคยชินกับการทำเพื่อคนอื่นจนลืมวิธีเห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว ความสูงส่งของจิตใจนั้นทำให้เขารู้สึกว่าปกปกป้องอีกฝ่ายไว้ด้วยความรู้สึกส่วนตัวเป็นสิ่งผิด ทว่า...มหาเทพสงครามก็ตัดสินใจแล้ว

“ขอบใจสำหรับความหวังดีนะ เจ้าเป็นเทพที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา” หลังกล่าวด้วยสีหน้าอับจน ไคซัสก็จูบริมฝีปากของฮาธอสอย่างดูดดื่ม

ทว่านี่ไม่ใช่จูบธรรมดา ชั่วขณะที่ฮาธอสหลงเคลิ้มกับสัมผัสหวานแต่เร่าร้อนนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลลื่นลงคอมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบบิดหน้าออกในทันทีนั้น แต่มือที่ใหญ่และแกร่งเหมือนกรงเล็บของอีกฝ่ายกลับจับศีรษะเขาไว้แน่น แล้วประคองหลังคอขึ้นรับพลังนั้นให้ถนัด ร่างกายที่หนักอึ้งอยู่แล้วหมายวับไปในพริบตา สติถูกฉุดคร่าสู่ห้วงนิทราโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะขัดขืน

แต่ก่อนสติจะดับวูบไปนั้น ฮาธอสเห็นความทรงจำวิ่งผ่านไปเหมือนวีดีโอที่ถูกถอยหลังด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมล่ะ...ทั้งที่เขาอยากจะช่วยแท้ ๆ

...ทำไมถึงกับกับข้าเยี่ยงนี้...

ไคซัสผละออกมาหลังจากนั้นไม่นานนัก ซึ่งฮาธอสหลับใหลด้วยพลังของเขาเรียบร้อยแล้ว มือใหญ่ไล้แก้มบางของชายที่รักอย่างเบามือ อีกฝ่ายคงไม่รู้เลยว่าในยามหลับดูน่าถนอมขนาดไหน ราวกับตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมแตกหักหากจับต้องอย่างไม่ระวัง มหาเทพสงครามจึงทำแบบนี้เพื่อปกป้องเจ้าตัวไว้ก่อนจะทำให้ตัวเองแหลกสลายเพื่อผู้อื่นที่ไม่เห็นค่าของเขาเลย

“ขอโทษนะ” เทพอสูรหนุ่มวางศีรษะกับบ่าของคนที่กำลังหลับ “เมื่อเจ้าตื่นมาคงจะโกรธที่ข้าทำแบบนี้ แต่ข้าทำไปก็เพื่อปกป้องเจ้า ต่อจากนี้ไปข้าจะทำหน้าที่แทนเจ้าทุกอย่าง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แต่แรก ส่วนเจ้าจงรออยู่ที่นี่...รอจนกว่าข้าจะกลับมานะ...”

มหาเทพสงครามไม่รู้หรอกว่าเสียงของตนจะส่งถึงฮาธอสหรือไม่ เขาจูบแก้มบางเป็นครั้งสุดท้าย...แทนคำอำลาโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ร่างของเทพคนสวนเรืองแสงสีแดงวูบหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าพลังเทพอสูรที่อยู่ในตัวเทพคนสวนยังสำแดงฤทธิ์เต็มที่ และหลังจากกางเขตอาคมด้วยมนต์ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว ไคซัสก็หยิบหนังสือปกดำแล้วออกไปพบกับเซย์เรียโน่ที่ยืนรออยู่กับพวกองครักษ์ เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ยินอะไรบาง ทว่ารอบนี้ขุนพลเทพอันดับห้าก็มีมารยาทพอที่จะไม่กล่าวถึง

“ของเจ้า” ไคซัสยัดหนังสือสำคัญคืนเจ้าของ “ฟาเบียนล่ะ”

“กลับไปเมื่อครู่นี้เอง ต่อจากนี้พวกเราต้องจัดการกันเองทั้งหมด เขาจะไม่ยุ่งด้วย” เซย์เรียโน่ทำหน้าเป็นการเป็นงานให้เห็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา เมื่อเป็นเรื่องของหน้าที่เจ้าเด็กนี่ก็ทำดี ๆ ได้เหมือนกันนี่นา

“ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องพะวงอะไรอีก” ไคซัสวางมือบนชุดที่สวมแล้วเปลี่ยนเป็นชุดเกราะด้วยเวทมนต์ สร้อยร้อยหอกอัลเจอร์ที่ย่อขนาดไหวปรากฏสวมคอเขาในพริบตา มันส่องประกายวาววับราวกับจะบอกว่าพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว พวกงอครักษ์รีบตั้งแถวเตรียมพร้อมถูกใช้งาน

“เซบาสเตียนไปบอกให้ทหารข้างนอกคุ้มกันตำหนักให้แน่นหนาขึ้นและให้คนไปบอกให้อัลวินกับทหารที่ออกไปตามหานาซิลลาไปรอข้าที่ประตูฝั่งเหนือ” ไคซัสออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด เซบาสเตียนรับคำและวิ่งไปทันที ขณะมหาเทพจ้าวตำหนักหันไปหาแขกของตน “ส่วนเซย์เรียโน่ช่วยไปที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์ บอกให้เสนาธิการอิวส์ที่เตรียมอยู่ที่นั่นคุมทหารหนึ่งกองพันไปคุ้มกันเสาเขตแดนที่ถูกทำลายโดยด่วน ให้เสนาธิการรอสคุมกองทัพสวรรค์อีกหนึ่งกองพันไปรักษาทวารดิน หากเกิดอะไรขึ้นให้รีบมารายงานและจัดการตามสมควรไปก่อน แต่ถ้าร้ายแรงให้ขุนพลเทพเป็นผู้บัญชาการ ส่วนที่เหลือให้เตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน แจ้งให้จ้าวตำหนักกับวิมานสำคัญได้ทราบเรื่องนี้ด้วย”

“เฮ้ย ๆ ไม่มากไปหน่อยเรอะ” เซย์เรียโน่วิ่งตามเทพอสูรที่ออกเดินไป

“ไม่หรอก อีกฝ่ายเป็นศัตรูเก่าที่เคยมีเป้าหมายจะทำลายสวรรค์ เราไม่รู้ว่าช่วงที่มันหายตัวไปทำอะไรไว้บ้าง รอบคอบไว้ก่อนจะดีที่สุด” มหาเทพสงครามแจงไปตามความจริง “และถ้าเจ้าดึงขุนพลเทพว่าง ๆ มาช่วยเรื่องนี้ได้จะดีมาก เพราะถ้าเขตแดนถูกทำลายอีกก็มีแต่พวกเจ้าที่อุดได้”

“แล้วท่านจะไปไหน รู้แล้วหรือว่า ‘เป้าหมาย’ อยู่ที่ไหนน่ะ” เซย์เรียโน่ตะโกนถามก่อนมหาเทพสงครามจะก้าวลงบันไดพอดี ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งเหมือนปราการที่ไม่มีวันสะทกสะท้าน ชักไม่มั่นใจแล้วว่าเจ้าตัวจะตอบไหม

“รู้แล้วและข้ากำลังจะไปที่นั่น ถ้าเจ้าอยู่ถึงตอนฮาธอสตื่นขึ้นมาช่วยบอกเขาด้วยว่า ข้าจะพานาซิลากลับมาให้ได้และ...ฝากดูแลที่นี่ด้วย”

สิ้นเสียงมหาเทพสงครามก็เดินจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามองเบื้องหลังอีกเลย เหล่าองครักษ์ประจำตำหนักติดตามไปไม่ห่าง เซย์เรียโน่ก็ได้แต่ยืนยืนมองพวกเขาอยู่ที่เดิมจนกระทั่งรู้สึกว่าพลังของเทพอสูรหนุ่มเคลื่อนตัวออกจากตำหนักไปแล้วค่อยขยับ

แต่ในตอนที่กำลังเดินตรงไปที่บันไดนั้น จู่ ๆ ก็เกิดอาการเจ็บที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างรุนแรง ร่างเล็กทรุดฮวบและร้อนฉ่าเหมือนถูกไฟเผาจากข้างใน หัวใจเต้นตึกตักจนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน อำนาจในกายปั่นป่วนจนเหมือนมีไฟลุกออกมาจากตัวเขา เซย์เรียโน่กัดฟันแน่นไม่ให้เผลอกรีดร้องออกมา เขารู้จักอาการนี้ดีและไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพของตัวเองในตอนนี้ด้วย!

“ซะ...เซย์เรียน...โผล่มาได้จังหวะทุกทีเลยนะ” เขาบ่นพลางหลับตาลง จิตถูกดึงดูดให้ไปพบกับเด็กสาวที่มีใบหน้าเหมือนเข้าทุกกระเบียดนิ้ว เธอแย้มยิ้มบางจนแทบมองไม่เห็น แต่ยังพอรับรู้อารมณ์ได้จากแววตา เด็กหนุ่มยืนนิ่ง แววตาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เมื่อร่างบางเดินมาจับแก้มเขา

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจ แต่ถึงเวลาแล้ว ต่อจากนี้ไปให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ"


------------------

แปบๆ มองจำนวนตอน ใกล้จะจบแล้วนะเนี่ย

ตอบคอมเมนต์

คุณ padang อีกไม่นานก็จะทราบครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 07-09-2013 19:18:07
อ่านตอนนี้แล้วไม่ชอบฟาเบียนอย่างแรง

เพราะผู้ปกครองเป็นอย่างงี้ไง พวกเทพคนอื่นเลยทำตัวใหญ่คับฟ้า ไม่เห็นหัวใคร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 08-09-2013 00:48:13
มึนต่อไป
แค่เฮสเลนตัวเดียวยังปั่นป่วนอย่างนี้
เฟเบี้ยนไม่มีปัญญาสู้เองหรือ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 08-09-2013 23:10:36
บทที่ 18 ใจกลางแดนร้าง

นอกจากมหานครแห่งสวรรค์อันเปรียบได้กับเมืองหลวงแล้ว สวรรค์ยังมีดินแดนอื่นอีกมากมายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าเมฆแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของชาวเทพ มีความหลากหลายด้านเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม แต่ทั้งหมดนั้นยังคงอยู่ภายใต้การปกครองขององค์ราชากับกฎสวรรค์เดียวกัน

ยกเว้น...แดนร้าง ดินแดนแห่งความแร้นแค้นที่ตั้งอยู่ทางเหนือของมหานครแห่งสวรรค์ ซึ่งชาวเทพขนานนามให้ว่า ‘นรกแห่งฟ้า’ เพราะเป็นสถานที่สำหรับเนรเทศเทพที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ พื้นที่ส่วนใหญ่เป้นเทือกเขาและหุบเขาที่มีความสลับซับซ้อน หลายแห่งเป็นที่ซ่อนของสัตว์อสูรที่ดุร้ายกับเทพนักโทษที่มีพลังระดับสูง ป่าไม้บนเขาส่วนใหญ่ หากไม่กลายสภาพเป็นหินกับคริสตัลก็มีสีดำของพิษ พืชผลที่กินได้เป็นของหายากพอ ๆ กับสัตว์ป่า ใครหามาได้ก็อาจถูกเทพตนอื่นปล้นชิงซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด

ท่ามกลางความมืดมิดของแดนร้างที่ไม่รู้ว่าอันตรายจะโผล่มาเมื่อไหร่ เรมันต์กำลังเหาะข้ามป่าที่กลายสภาพเป็นหินกับคริสตัลสีดำเพื่อข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของหุบเขา จิตของเขาแผ่ออกเป็นวงกว้างจับทุกพลังอำนาจที่อยู่ในรัศมีและข่มขวัญพวกที่มีจิตชั่วร้ายไม่ให้มายุ่งกับตัวเองอีกด้วย

“เฮ้อ!” อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ถอนใจเฮือกหลังเหาะลงมาพักบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ดวงตากวาดมองพื้นที่ที่มีแต่ความสิ้นหวังอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ชายชรามาทำงานที่รับมอบหมายจากเซย์เรียโน่ในแดนร้างได้หลายวันแล้ว เผชิญหน้ากับความยากลำบากสารพัด ทั้งต้องปลอมตัวหนีพวกนักโทษที่ตัวเองเคยพิจารณาคดี ปกป้องตัวเองจากการปล้นชิง ไหนจะหนีจากเกมเอาเถิดเจ้าล่อของนักโทษนิสัยเสียที่ชอบไล่ล่าคนแปลกหน้า รวมถึงหนีจากสัตว์อสูรที่ชอบปรากฏตัวจากที่ซ่อนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวอีกด้วย ทั้งที่เจอเรื่องร้ายมาขนาดนี้ แต่งานของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ

“หายไปไหนของมันนะ! ตามบันทึกก็ไม่น่าจะออกจากสวรรค์ได้นี่นา มันควรจะกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งในนี้สิ” เรมันต์บ่นพลางเสกลูกไฟเย็นเล็ก ๆ ขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็หยิบแผนที่ของแดนร้างในย่ามที่เอาติดตัวมากางอ่าน สมองที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายพยายามจำกัดพื้นที่ในการตามหา แต่ทุกจุดที่เป้าหมายของเขาเคยอยู่ ชายชราไปตรวจสอบดูแล้วก็พบเพียงนักโทษเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ตนเท่านั้น

ถึงแม้ว่าแดนร้างจะกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าเทพที่ถูกเนรเทศออกมาและส่วนที่เหลือรอดมาจากการกวาดล้างหลังเฮสเลนหายตัวไปก็เพียงสามร้อนกว่าตน พลังหยั่งรู้ของเรมันต์ก็ทรงอานุภาพพอจำแนกพวกมันได้ทั้งหมดแล้วด้วย แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจจับอำนาจของเป้าหมายได้ นี่มันตายไปแล้วจริง ๆ หรือมีใครใช้พลังปกปิดที่ซ่อนของมันไว้กันแน่!

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีกลุ่มก้อนพลังหนึ่งปรากฏขึ้นในรัศมีอำนาจของเรมันต์อย่างกะทันหัน มันเป็นอำนาจมืดที่เข้มข้นจนน่าตกใจและเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งไม่มีผิด ชายชรารีบพรางตัวด้วยมนต์พรางตาและเหาะไปดูหน้าเจ้าของพลังนั้นทันที ภาวนาให้มันเป็นเป้าหมายของเขา จะได้หนีให้พ้นจากความยากลำบากนี้เสียที

ทว่าเมื่อเขาเหาะมาถึงต้นโอ๊คหินขนาดใหญ่ยักษ์ที่ยืนต้นโดดเดี่ยวกลางวงล้อมต้นไม้คริสตัล ชายชราก็ต้องประหลาดใจหลังเห็นเด็กสาวผมสีเงินยวงนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ เรมันต์จำได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร แต่ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพังได้เล่า ไอมนตราที่เขาสัมผัสได้ก็มาจากตัวเธอเสียด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน...เด็กคนนั้นเป็น...

“ใครน่ะ” เสียงหวานแหบพร่าตวาดมาในเสี้ยววินาทีที่เรมันต์กำลังจะได้คำตอบ ชายชราตัวแข็งทื่อ จำได้ว่าก่อนมาปกปิดจิตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังจับได้แบบนี้แสดงว่า ‘ข้างใน’ ต้องเป็นเทพระดับสูง “ใครอยู่หลังต้นไม้นั่น ออกมาเดี๋ยวนี้!”

“ข้าเอง” เรมันต์ตัดสินใจเปิดเผยตัวหลังจากคิดใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เขาสลายมนต์พรางตัวแล้วเดินออกไปให้อีกฝ่ายเห็น เด็กสาวเพ่งมองเขาด้วยสายตาดุดันแวบหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นอาการไม่พอใจระคนตื่นกลัว

“ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ มหาเทพข้าวสวรรค์ลงโทษท่านไปแล้วนี่นา” นาซิลลาพูดเสียงสั่นพลางเบียดตัวชิดต้นโอ๊คหิน เมื่อนั้นเองที่ชายชราเห็นรอยเลือดบนชุดของเธอ

“นั่นเจ้าได้รับบาดเจ็บนี่นา มาให้ข้าดูหน่อยซิ!”

“ไม่นะ! อย่าเข้ามา! อย่าเอาข้าไปทำอะไรอีกเลย!” นาซิลลากรีดร้องสุดเสียง น้ำเสียงหวาดกลัวจริง ๆ จนอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ยังตกใจ

“เฮอะ! ข้าไม่เพิ่มโทษให้ตัวเองหรอก นังหนู!” เรมันต์ขึ้นเสียงอย่างขัดเคืองขณะไปนั่งข้างตัวเธอ ก่อนคว้ามือบางออกจากปากแผลพร้อมเสกลูกไฟดวงเล็กมาส่องใกล้ ๆ “อยู่นิ่ง ๆ ข้าจะดูแผลให้ ถึงเจ้าจะเป็นเทพ แต่ถ้าแผลติดเชื้อก็จุติได้เหมือนมนุษย์นะ”

เทพจันทราหลับตาปี๋ในตอนที่เรมันต์เอามีดกรีดชุดบางส่วนของเธอออกเพื่อดูบาดแผลให้ชัด ๆ ซึ่งท่าทางหวาดกลัวและอับอายจนเนื้อตัวสั่น เมื่อต้องถูกผู้ชายแปลกหน้าเห็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป แต่ทำไมตัวเธอถึงมีกลิ่นอายความมืดชัดเจนขนาดนี้ได้เล่า

“อื๋อ! บาดแผลนี่เกิดจากกรงเล็บนี่นา มีพลังของมหาเทพสงครามติดอยู่ด้วย!” ชายชราร้องหลังแตะบาดแผลแล้ว ร่างบางสะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บและตื่นกลัว

“ขะ...ข้า...ข้าถูกเขา...ตามล่าเจ้าค่ะ...เพราะว่า...ข้าไปเป็น...เรื่องไม่ดี...” นาซิลลาพูดเสียงตะกุกตะกัก ร่างบางยิ่งสั่นเทิ้มด้วยความกลัวสุดขีด

“เหลวไหล! เจ้านั่นปกป้องเจ้ากับเทพที่ชื่อฮาธอสจะเป็นจะตาย มันจะตามล่าเจ้าได้อย่างไร!” เรมันต์ส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ

“จริง ๆ นะคะ...อุ๊ย!” นาซิลลาสะดุ้งเฮือกเมื่อชายชราเอามือทาบบาดแผลและทำให้มันสมานกันอย่างรวดเร็วด้วยเวทเยียวยา

“มันจะจริงได้อย่างไร ข้าเคยเห็นมากับตานะ ไม่อย่างนั้นจะมาอยู่ที่นี่เรอะ” เรมันต์พูดอย่างฉุนเฉียว ทั้งคิ้วทั้งหนวดกระตุกยิก ๆ เมื่อถึงวันที่ไคซัสสาวไส้ความผิดของเขามาให้กาที่ชื่อ ‘ฟาเบียน’ จิกซ้ำ ความแค้นยังร้อนกรุ่นในใจ ถึงได้ยอมรับข้อเสนอของเซย์เรียโน่

“แต่...คราวนี้...” นาซิลลายังคงรั้นพูดต่อ เนื้อตัวสั่นเทิ้มเป็นเจ้าเข้า ทำเอาชายชราจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าเห็นจริง ๆ นะเจ้าคะ...เห็นเขาคุยกับร่างจำแลงของเทพรัตติกาลที่มีหน้าตาเหมือนฮาธอสไม่มีผิด”

มือที่กำลังเยียวยาบาดแผลเด็กสาวถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินประโยคท้าย ๆ อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์คว้าตัวร่างบางให้หันมาหาตนทันที

“จริงรึ” ดวงตาสีเข้มเบิ่งโพล่งและเต็มไปด้วยความใคร่รู้จนน่ากลัว “ข้าถามว่าจริงหรือ!”

“จะ...เจ้าค่ะ ข้าได้เห็นกับตา” นาซิลลาหลับตาแน่นแล้วโพล่งออกมาด้วยความกลัว บรรยากาศรอบข้างมืดทะมึนขึ้นหลังเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบดบังดวงจันทร์ แสงที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงดวงเวทที่เรมันต์แสงไฟเท่านั้น “พอพวกเขารู้ตัว มหาเทพสงครามก็โจมตีใส่ข้า กล่าวหาว่าข้าจะขโมยแล้วก็ให้พวกองครักษ์ตามจับด้วย ข้าตกใช้มากเลยใช้พลังหายตัวหนีมาจากพาเทร่า รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้วก็บาดเจ็บแล้วด้วย มหาเทพสงครามต้องฆ่าข้าแน่ ๆ”

“เจ้าไปได้ยินอะไรเข้า ฮึ! เขาถึงได้ทำแบบนี้” ท่าทางตื่นกลัวสุดขีดเหมือนลูกสัตว์ที่ถูกไล่ล่าเหมือนจริงจนเรมันต์เริ่มเชื่อแล้ว ในที่สุดหนทางเล่นงานเจ้าอสูรจอมโฉดนั่นก็ปรากฏ เขาต้องได้กลับเข้ามหานครแน่นอน “บอกมาเถอะ ถึงข้าจะถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็มีเส้นสายอีกมากมาย ข้าช่วยเจ้าได้นะ”

นาซิลลาไม่ได้ตอบทันที แต่มองหน้าเขาอย่างคนไม่ไว้ใจกัน ซึ่งเรมันต์เข้าใจเหตุผลดี เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยส่งคนไปลอบทำร้ายเธอกับฮาธอส เพื่อจับตัวมาเป็นเครื่องมือเล่นงานมหาเทพสงคราม แต่ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่าเธอจะต้องบอกอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่เธอรู้จักและสามารถช่วยได้ในเวลานี้

“เรื่อง...” นั่นไงล่ะ ชายชราใจพองโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อเทพจันทรายอมเอ่ยปาก “...ที่ซ่อนร่างของเฮสเลนเจ้าค่ะ มหาเทพสงครามบอกกับอีกฝ่ายว่าจะมาช่วยเขาออกไปเจ้าค่ะ”

“เป็นความจริงหรือนี่!” เรมันต์ร้องเหมือนตกใจมาก แต่ความจริงแล้วเขากำลังดีใจที่สุดต่างหาก ใครจะไปนึกเล่าว่ามหาเทพสงครามตนนั้นจะทำผิดพลาดได้ขนาดนี้ ในที่สุดหนทางหวนคืนสู่อำนาจเก่าของเขาก็เปิดออกแล้ว ชายชรากรอกตาไปมาขณะคิดแผนการอย่างรวดเร็ว “เจ้าชื่อ ‘นาซิลลา’ สินะ ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้าด้วย”

“เอ๊ะ!” เทพจันทราทำหน้าแปลกใจที่แฝงด้วยความกลัว “ร่วมมืออย่างไรหรือคะ”

“ช่วยข้าตามหาที่ซ่อนของมัน” คำตอบของชายชราทำให้อัปสรน้อยเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ เขาจึงเริ่มเสริมไปว่า “คิดให้ดี ๆ นะ สาวน้อย ถ้าเจ้าจับตัวเฮสเลนได้และเค้นให้มันสารภาพ ว่าร่วมมือกับมหาเทพสงครามเพื่อเล่นงานสวรรค์ นอกจากเราจะได้กลับมหานครแห่งสวรรค์แล้ว เจ้าจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาและการตามล่าด้วย”

“แต่ข้าเป็นแค่เทพเล็ก ๆ จะช่วยอะไรได้หรือเจ้าคะ” นาซิลลาทำหน้าไม่แน่ใจ

“ได้สิ! เจ้าเป็นเทพจันทราที่สื่อสารกับความมืดได้และยังรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนแล้วด้วย แค่เจ้านำทางไปที่นั่นก็พอแล้ว ข้าจะคอยคุ้มครองเจ้าเอง”

เรมันต์จับบ่าบางและจ้องตาอัปสรน้อยด้วยสีหน้าหนักแน่น เพื่อทำให้เทพจันทราเชื่อว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยเธอได้และมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ด้วย ก่อนจะส่งสายตากดดันเมื่อเด็กสาวก้มหน้าลงด้วยท่าทางอยากทบทวนความคิดให้แน่ใจ เขาจะไม่ยอมให้นาซิลลาปฏิเสธเขาได้อย่างเด็ดขาด โอกาสพลิกสภานการณ์ลอยมาอยู่ในมือแล้วทั้งที เขาไม่โง่พอปล่อยมันหลุดมือไปเพราะความกลัวของเด็กผู้หญิงตนหนึ่งแน่ จนเมื่อนเทพจันทรากลืนน้ำลายแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาอับจน ชายชราก็รู้ทันทีว่าชนะแล้ว

“ตกลงค่ะ พาข้าไปที่ ‘หุบเขาดำ’ สิคะ ข้าจะพาท่านไปหาร่างของเฮสเลน”

-------------------

ภายในแดนร้างนั้น มีพื้นที่อันตรายในตัวของมันเองอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนมีสัตว์อันตรายอาศัยอยู่ทั้งสิ้น อย่างเช่นหุบเขาแดงที่ฮาธอสเคยไปซ่อนตัวก่อนจัดการกับพี่ชายฝาแฝด ที่นั่นเคยมีแมงมุมแดงเจ็ดเขาอาศัยอยู่ แต่ภายหลังถูกเฮสเลนที่เรืองอำนาจใหม่ ๆ ฆ่าตาย ซึ่งถือเป็นการประกาศศักดาของตัวเองเป็นครั้งแรก

ในบรรดาสถานที่อันตรายทั้งหมดนั้น มีที่หนึ่งซึ่งเทพในแดนร้างไม่เคยย่างเท้าเข้าไปมาก่อน นั่นคือ ‘หุบเขาดำ’ เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยป่าสีดำทมิฬซึ่งซึมซับความชั่วร้ายในแดนร้างไว้อย่างเข้มขัน มันคือหลักฐานการมีอยู่ของ ‘นรกแห่งฟ้า’ กล่าวขวัญกันว่าหากเข้าไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาเลย

ทว่าใครเล่าจะรู้ความจริง เคยมีเทพเข้าไปและได้กลับมาออกมาแล้ว...อย่างน้อยก็สองตนด้วยกัน

เรมันต์ลอยตัวกลางอากาศเหนือหุบเขาสีดำทมิฬ มือสองข้างพยุงตัวนาซิลลาที่ตอนนี้สวมเสื้อคลุมยาวของเขาไว้ด้วย เหงื่อหยดหนึ่งไหลผ่านหางตาที่มีแต่ความเครียดเขม็ง ถึงเขาจะมาอยู่ในจุดที่สิ้นไร้ไม้ตรอกจนต้องทำทุกอย่างเพื่อกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมให้ได้ ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าสถานที่ที่มีแต่ความชั่วร้ายจนแม้แต่เทพในพื้นที่ยังกลัวก็อดลังเลมิได้

“เจ้าแน่ใจนะ ว่าใช่ที่นี่” น้ำเสียงของชายชราสั่นพร่า ไม่รู้ว่าเพราะความกลัว ความยำเกรง หรือทั้งสองอย่างกันแน่ ผิดกับนาซิลลาที่มองดูหุบเขานั้นด้วยท่าทางสงบกว่าเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ข้ามั่นใจ” เธอหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจลึก ท่าทางเหมือนตั้งสมาธิจับอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มเปลี่ยนสี แสงทองแห่งอรุณรุ่งกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า “ข้าสัมผัสได้ มีกลุ่มก้อนความมืดที่หนาวยะเยือกอยู่กลางภูเขาที่ใหญ่ที่สุด...”

เรมันต์แทบไม่ต้องมองหาภูเขาที่ว่านั่นเลยสักนิด เพราะมันอยู่เบื้องหน้าของเขานั่นเอง ขนาดของมันใหญ่โตเสียจนยอดแหลมที่อยู่ด้านบนแตะเมฆก้อนใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร ส่วนด้านล่างอยู่ลึกลงไปในป่าจนไม่อาจคะเนความกว้างได้อย่างชัดเจน เขาชักสงสัยเสียแล้วว่าเป้าหมายนึกอย่างไรจึงมาซ่อนตัวที่นี่

“ท่านเรมันต์จะเข้าไปใช่ไหมคะ” นาซิลลาหันมาถามทำเอาชายชราสะดุ้งเล็กน้อย เขารู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดนิดหน่อย แต่ไม่แน่ใจนักว่าด้วยเหตุผลอะไร

“ถ้าเป็นที่อื่นข้าคง...”

“แต่ท่านพูดแล้วว่าจะช่วยข้า” เทพจันทราผวามาจับบ่าทันทีที่เห็นเขาทำท่าลังเล มือเล็กเปี่ยมด้วยเรี่ยวแรงจนน่าตกใจและ...คิดไปเองหรือเปล่า แววตาที่เคยอ่านออกมาตลอดของหล่อน ตอนนี้ไม่มีวี่แววให้เขาเห็นอีกแล้ว ความเย็นจากมือแผ่ซ่านเข้ามาในร่างเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านพูดแล้วว่าจะพาข้ากลับมหานคร จะช่วยข้าจัดการกับเทพอสูรสงคราม ท่านจะบิดพลิ้วไม่ได้”

เรมันต์อยากพูดเหลือเกิน ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะบิดพลิ้วในสิ่งที่เคยพูดไว้ แค่ต้องการกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้เซย์เรียโน่รู้ ในความคิดของชายชรา เจ้าเด็กประหลาดนั่นน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเขา และเป็นอีกฝ่ายที่ต้องการตัวเฮสเลนกลับไป หาใช่เขาไหม! แต่ตอนที่กำลังจะพูดออกไป ร่างของเขากลับลอยต่ำลงไปเสียได้ ที่สำคัญนาซิลลายังเหาะนำอยู่ข้างหน้าเหมือนเป็นคนนำทางอีกด้วย

“ข้าไม่ยอมหรอก มาถึงที่นี่แล้ว ข้าไม่ยอมกลับไปตัวเปล่าแน่!” เสียงหวานที่ได้ยินเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นจนน่าตกใจ แต่มันยังไม่เท่ากับการที่ร่างกายของเรมันต์ขยับตามนาซิลลาไปต่างหาก แม้อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์จะดิ้นรนขัดขืนและใช้วิชาทำลายมนต์สะกดแล้วก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ นี่มันอะไรกัน เด็กสาวตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่!

“นาซิลลา! เจ้าทำอะไรกับข้า!” เรมันต์ตวาดถามขณะพวกเขาร่อนมาถึงสันเขาสูง ก่อนดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่ไม้ที่เป็นสีดำซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเหม็นโฉ่จนแทบทนไม่ไหว ชายชราสำลักอยู่หลายครั้งก่อนจะฉีกเสื้อออกมาทำเป็นผ้าอุดปาก จนกระทั่งมาถึงแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงล้อมขุนเขาและพงไพรสีนิล

“ที่นี่มันที่ไหนกัน” ชายชราถามอีก ดวงตากวาดมองรอบข้างอย่างตื่นตระหนก ภาพต้นไม้และกิ่งไม้บิดเบี้ยวที่ยืนต้นตระหง่านเหนือตัวนั้นราวกับเงาร่างของปีศาจนับแสน อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์เริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาจึงโกรธเมื่อนาซิลลาไม่ตอบ “ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้! เทพจันทรา เจ้ากำลังพาข้าไปที่ไหนและทำอะไรกับข้า!”

“ทำให้เจ้าทำตามคำพูดไงล่ะ ข้าไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปเด็ดขาด มหาเทพสงครามต้องตามมาแน่!”

อดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ถึงกับชะงักงัน เมื่อนาซิลลาตอบกลับมาด้วยเสียงของผู้ชายที่ฟังคุ้นหูของเขาอย่างมาก ไม่นานสมองอันปราดเปรื่องของเขาก็นึกออก ใช่แล้ว...เสียงนี้...มันเหมือนกับเสียงของฮาธอสเลย!

“ฮาธอส! นั่นเจ้าใช่ไหม!” เขาโพล่งออกไปขณะเด็กสาวนำไปยังก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งพิงหน้าผาอยู่ ชายชราถึงกับขนลุกหลังเห็นไอมืดมากมายไหลตรงไปหามัน ความเย็นที่แผ่ซ่านออกมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าฤดูหนาวของโลกมนุษย์เสียอีก เรมันต์รู้สึกว่าร่างกายแข็งชา ทว่ามันยังคงขยับต่อไปได้ด้วยการควบคุมของเด็กสาว

“ฮึ! รู้ตัวแล้วรึ แต่เสียใจด้วย เจ้าพูดชื่อคนผิดเสียแล้ว”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 17 up 07/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 08-09-2013 23:14:20
เฮสเลนในร่างนาซิลลาหันมากวักมือเรียกก่อนผลุบหายไปหลังหินก่อนนั้น แม้เรมันต์จะไม่อยากตาม แต่เขาก็ถูกลากตัวไปจนได้ ข้างหลังนั้นมีปากทางเข้าถ้ำเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีใครพยายามปิดมันไว้ด้วยก้อนหินขนาดยักษ์นี้ แต่มีอะไรบางอย่างทำให้มันเคลื่อนออกมาจนเกิดช่องใหญ่พอที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะแทรกตัวเข้าไปได้ ซึ่งอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์ต้องอึ้งเมื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของมัน

โถงถ้ำขนาดเล็กมีความสูงไม่มากนัก เพดานสูงกว่าศีรษะของเขาเพียงเล็กน้อยและเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยเล็ก ๆ มากมาย พื้นด้านล่างค่อนข้างขรุขระ บางส่วนปกคลุมด้วยมอสสีเหลืองสลับเขียว สองข้างทางกับบนผนังมีคริสตัลเรืองแสงฝังอยู่เต็มไปหมด แต่แสงของพวกมันดูอ่อนลงทันทีเมื่อเทียบกับไอมืดที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เรมันต์ไล่สายตาตามกระแสพลังเข้าไปเรื่อย ๆ ก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างหนึ่งเร้นกายอยู่หลังกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่

“ตกใจหรือ” เสียงหวานที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นข้างหูนี้ทำให้เรมันต์ถึงกับสะดุ้ง เขาหมุนคอเพื่อมองอีกฝ่าย แต่คอกลับแข็งทื่อไม่ยอมขยับ ไม่สิ ต้องบอกว่าร่างกายเกือบทุกสัดส่วนถูกควบคุมไปทั้งหมดแล้ว มีเพียงความคิดกับดวงตาเท่านั้นที่เป็นของเขา

“ก็น่าอยู่หรอก พวกเจ้าไม่ได้เห็นข้ามาเกือบหนึ่งพันปีแล้วนี่นา” เทพจันทรายื่นหน้ามาให้เห็น โดยร่างบางลอยตัวเกาะบนไหล่ของเขา และเมื่อดวงตาสีฟ้าเรืองแสงสีดำ ชายชราก็ขยับตัวไปข้างหน้า “ก่อนมาเจ้าบอกว่าจะช่วยข้ากลับไปมหานครใช่ไหม เอาสิ! ข้าอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเจ้าช่วยข้า เด็กคนนี้ก็จะได้กลับไปเหมือนกัน!”

“...ไม่! ข้าไม่อยากช่วยเจ้า” ปากปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ร่างกายที่ถูกควบคุมกลับมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง กลิ่นอายความมืดที่เน่าเหม็นทำลายฆานประสาทของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เขาอยากจะทรุดเสียตรงนี้ แต่ติดที่ร่างกายถูกควบคุมไปหมดแล้ว

เฮสเลนในร่างนาซิลลาขยับนิ้วไปมาเหมือนเชิดหุ่น รยางค์ที่แผ่ออกมาจากตัวเด็กสาวซึ่งแน่นอนว่าเป็นพลังของเขาเองขยับร่างอีกฝ่ายไปอยู่ต่อหน้ากำแพงน้ำแข็ง ตอนนี้เองที่เรมันต์เห็นว่ามีรอยแตกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ตรงมือข้างขวาที่ขาดหายไป ตรงนี้เองที่เป็นช่องให้พลังมืดไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเฮสเลนได้ ซึ่งอดีตหัวหน้าจอมปราชญ์สามารถสัมผัสพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของเขาได้เกือบจะทันที และถ้ามองให้ดี ๆ บนกำแพงน้ำแข็งที่ผนึกร่างเขาไว้นั้นมีแถบอักขระเวทตัวเล็กจิ๋วเรียงรายเต็มไปหมด เรมันต์จึงรู้ทันทีว่านี่คือ ‘เวทผนึกเทพรัตติกาล’ แต่มันกำลังเสื่อมสลายจากการกระทำของคนที่ถูกขังไว้!

“เจ้าคงเห็นแล้วสินะ ว่าข้าพยายามทำลายผนึกบ้านี่แค่ไหน แต่ฮาธอสดันตั้งเงื่อนไขงี่เง่าจนข้าทำไม่สำเร็จเสียที!” เฮสเลนพูดด้วยเสียงของตนเองพร้อมบังคับให้เรมันต์วางมือบนกำแพงนั้น “พวกนั้นอาจจะคิดว่าพลังของนาซิลลาอาจช่วยข้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าล่ะก็ต้องทำได้แน่!”

สิ้นเสียง เรมันต์ก็รู้สึกเหมือนมีกรงเล็บน้ำแข็งจิกลงบนสมองของเขา มันทั้งเย็นทั้งเจ็บปวด แต่นั่นกลับยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกเหมือนพลังเวทในร่างกายถูกใช้งานอย่างไม่เต็มใจ ร่างกายของเขาร้อนผ่าวทันทีที่อักขระเวทนับแสนตัวในแผ่นน้ำแข็งเปล่งแสงพร้อมกัน พวกมันเริ่มวิ่งไปมาแล้วเรียงตัวเป็นวงแหวนเวทสามชั้น ตรงกลางเป็นรูปเลเวียธานกระหวัดพันดาวหกแฉก มันค่อยเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะพลังเวทกับพลังชีวิตของชายชราถูกดูดออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง อุณหภูมิภายในร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกำแพงน้ำแข็งตรงหน้า ในที่สุดมันก็แตกร้าวและหลอมละลายจนได้

แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น แต่สมองอันปราดเปรื่องของเขากลับทำความเข้าใจได้ทุกอย่าง ฮาธอส...เทพคนสวนที่เขาเคยทำร้ายคงผนึกเทพร้ายตนนี้ไว้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง และคงตั้งเงื่อนไขให้ใช้พลังชีวิตกับพลังเวทของเทพที่อยู่สายตรงข้ามกับเฮสเลนในการปลดผนึก ส่วนนาซิลลาคงเป็นร่างทรงที่ถูกมันครอบงำและนำไปทำงานอะไรบางอย่างจนถูกตามล่า เมื่อหนีมาได้ก็คงจะหาทางล่อลวงเทพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อไป และเขาก็เป็นเหยื่อหน้าโง่ที่ถูกชักพาให้มาติดกับดักด้วยความลำพองใจของตน

บ้าจริงเชียว... ความหวังจะได้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมหายไปอีกแล้ว...

--------------

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วหุบเขาดำตามด้วยคลื่นเสียงจากแรงระเบิดที่แผ่กระจายไปด้วยความเร็วสูง สร้างความแตกตื่นให้ทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ เพียงไม่กี่นาทีมันก็ไปถึงชายขอบแดนร้างซึ่งพวกไคซัสเหาะมาถึงพอดี อัลล์กับองครักษ์ห้านายที่ติดตามมาด้วยแปรขบวนล้อมมหาเทพสงครามไว้ตรงกลางก่อนกางเขตอาคมป้องกันขณะบินตัดคลื่นนั้นไปด้วยความเร็วปานแสง เมื่อผ่านมาได้แล้วพวกเขาก็เห็นเสาพลังสีดำพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า เทพอสูรหนุ่มกัดฟันกรอดทันทีที่สัมผัสอำนาจมืดที่แผ่มาจากตรงนั้น

“ระยำ! เฮสเลนคลายผนึกได้แล้ว ใครช่วยมันกัน!”

“จะเป็นนาซิลลาหรือเปล่าขอรับ” เป็นเสียงอัลล์ที่ถามมาอย่างร้อนใจ ตอนนี้เขากับองครักษ์เชื่อมโยงกับมหาเทพสงครามด้วยพลังจิตแบบหนึ่งที่ทำงานเหมือนเครื่องมือสื่อสารระยะไกล

“ไม่ใช่ ข้าจับพลังของนาซิลลาไม่ได้เลย” ไคซัสขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ในสภาพพร้อมรบเช่นนี้ ต่อให้เป็นจิตที่มีขนาดเล็กเท่าหมด แต่ถ้าเขาอยากรู้ก็จะจับได้เกือบจะในทันที ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้ถึงพลังของเทพจันทราสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับรู้ถึงอำนาจอื่นที่ปะปนกับพลังมืดเข้มข้นนั้น และมันเป็นคนของที่ควรจะหดหัวอยู่แต่ในกำแพงมหานครเสียด้วย “...เรมันต์...”

“เมื่อครู่มหาเทพไคซัสพูดว่าอะไรนะขอรับ” อัลล์ไม่ทันได้ยินจึงถามกลับมา

“ไม่มีอะไร พวกเจ้าฟังข้า!” ไคซัสปฏิเสธพร้อมคำรามให้ทุกตนตั้งใจฟัง “ศัตรูทำลายผนึกของตนเองได้แล้ว ไม่แน่ชัดว่าตอนนี้มีพลังสูงส่งกว่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่ แต่จงอย่าลืมว่ามันเป็นเทพร้ายที่ทำให้คนทั้งสวรรค์พรั่นพรึงมาแล้ว อย่าได้ออมมือเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“ขอรับ!”

“อัลวิน” ยังไม่ทันขาดคำขาดรับของเหล่าองครักษ์ เสียงของไคซัสก็ดังขึ้นในหัวอัลล์ “ข้าให้เจ้าเป็นคนช่วยเหลือและนำนาซิลลากลับคืนมา ตอนนี้เฮสเลนคงจะกลับคืนร่างของตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ร่างกายของมันไม่สมบูรณ์คงเอานางไว้ใกล้แน่ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่จะช่วยนางกลับมา”

“...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ” อัลล์ตอบหลังเงียบไปครู่หนึ่ง

“ดีมาก ทุกคนพร้อม มันมาแล้ว!”

มหาเทพสงครามคำรามในเสี้ยววินาทีที่ล่วงเข้าเขตหุบเขาดำแห่งแดนร้าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีดวงเวทสีดำหลายสิบดวงถูกยิงออกมาจากเสาพลังมืด อัลล์กับองครักษ์เหาะล้อมไคซัสไว้อีกครั้งและใช้พลังเวทสร้างเกราะป้องกันในขณะที่บุกเข้าไปด้วยความเร็วเกือบจะเท่าเดิม เสียงระเบิดดังกระหึ่มทุกครั้งที่พลังของศัตรูปะทะกับเกราะอาคม ทว่าไคซัสกับเหล่าองครักษ์จะหวั่นไหวก็หาไม่ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือเข้าไปใกล้เสาพลังมืดนั้นแล้วจัดการกับต้นตอให้ได้เท่านั้น

แต่แล้วเสาอำนาจนั้นก็หายวับไป แล้วแทนที่ด้วยดวงมนตราขนาดใหญ่ยักษ์ที่พุ่งตรงมาหา ไคซัสเห็นก็รู้ทันทีว่าเกินกำลังที่เกราะจะป้องกันได้ ชายหนุ่มรีบสั่งให้พวกองครักษ์ถอยไปให้หมด ขณะรวบรวมพลังไว้ที่ศัตราวุธแล้วตวัดอย่างเร็วจนเกิดเวทดาบจันทร์เสี้ยวไปตัดอำนาจนั้นออกเป็นสองเสี่ยง ก่อนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แสงสว่างเจิดจ้าจนต้องหลบตาและใช้จิตสัมผัสความเคลื่อนไหวแทน เพราะอย่างนั้นไคซัสจึงไม่ดีใจสักนิด แม้ทำลายอำนาจที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“ในที่สุดก็ได้เจอ ‘ตัวจริง’ กันเสียที”

ไคซัสเอ่ยเมื่อแสงและกลุ่มควันจากการระเบิดจางหายไป ในขณะที่เหล่าองครักษ์กระจายกำลังอยู่รอบตัวของเขา เพราะเบื้องหน้าของพวกเขานั้น มีชายหนุ่มผมหยักศกกระเซิงไม่เป็นทรง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ใส่ชุดสีดำลอยตัวกลางอากาศ ใบหน้าที่เหมือนกับฮาธอสทุกกระเบียดนิ้วกับแขนที่ไร้มือขวาเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของมันได้เป็นอย่างดี

“ฮึ ฮึ ฮึ ไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะตามมาเร็วขนาดนี้ โชคดีจริง ๆ ที่ลูกมือพิเศษช่วยข้าออกมาได้ทันเวลา” เฮสเลสทำท่าปลาบปลื้มกับอิสรภาพที่ได้รับ แขนขวาไร้มือที่โบกไปมามีละอองสีดำปลิวว่อน แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจนัก “น้องชายของข้าคงจะบอกที่ซ่อนร่างกับพวกเจ้าสินะ”

“เปล่า ข้ารู้ด้วยตัวเอง” ไคซัสว่า

“หา! ไม่จริงน่า เจ้าเพิ่งขึ้นมาสวรรค์ได้ไม่นานนะ จะรู้ได้อย่างไร” เฮสเลนพูดแล้วก็ชะงักหลังดูฝ่ายตรงข้ามให้ชัด ๆ แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏ “อ๋อ! แอบดูจากความทรงจำของหมอนั่นล่ะสิ นิสัยไม่ดีเลย เจ้าเนี่ย”

“ไม่เท่าเจ้าหรอก เฮสเลน” ไคซัสพูดเสียงเรียบ “ฆ่าไปแล้วสินะ เรมันต์น่ะ” พวกองครักษ์หันมองอย่างตกใจ เพราะไม่มีใครจับสัมผัสพลังของหัวหน้าจอมปราชญ์ได้เลย

“ข้าไม่ได้ลงมือเองนะ แต่น้องชายข้าดันเลือกใช้เวทมนต์ที่ต้องแลกด้วยชีวิตในการปลดผนึกต่างหาก เห็นมันทำตัวเป็นพ่อพระมาตลอด ใครจะไปคิดว่าจะอำมหิตได้ขนาดนี้ นึกภาพดูสิ เทพแก่ ๆ ที่แทบไม่มีแรงทำอะไรอยู่แล้วต้องถูกต้มทั้งเป็นและถูกดูดพลังชีวิตจนหยดสุดท้าย นอนตัวแห้งตายบนพื้น น้องชายข้ามันกล้าจริง ๆ”

เฮสเลนหัวเราะลั่นราวกับสิ่งที่พูดมานั้นเป็นเรื่องตลก ไคซัสตวัดมือสั่งให้องครักษ์ทุกนายอยู่นิ่ง ๆ หลังเห็นอัลล์ที่อยู่ด้านบนขยับตัวด้วยความโกรธ อันที่จริงเขาก็ไม่ชอบนักหรอกที่ต้องมาฟังเฮสเลนเสียดสีคนที่รักต่อหน้าต่อตาแบบนี้ แต่การทำอะไรบุ่มบ่ามเข้าโจมตีเทพร้ายก็เท่ากับฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง

“แต่ไม่คิดบ้างหรือ ว่ามันเหมาะกับเจ้ามากเลยนะ” มหาเทพสงครามจงใจเลือกคำถามนี้มาเพื่อเอาคืนโดยเฉพาะ “เพราะมันทำให้เจ้าทำลายผนึกเองไม่ได้อย่างไรเล่า”

“ว่าไงนะ! ถ้าข้าทำลายผนึกเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นตัวตนของข้าที่อยู่ตรงนี้คืออะไรกันล่ะ!” คราวนี้มีกลุ่มควันสีดำปะทุออกมาจากตัวเฮสเลนเมื่อเขาระเบิดอารมณ์ เสียงตวาดของเจ้าตัวดังขรม

“มันเป็นการออกมาด้วยการยืมมือคนอื่นไม่ใช่หรือไร” ไคซัสจิกสายตามองอีกฝ่าด้วยแววเย็นชา ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“ข้าไม่ได้ยืมมือคนอื่น!” เฮสเลนคำราม ระลอกพลังมืดกระจายออกเป็นวงกว้าง ทำให้พวกองครักษ์ตั้งท่าพร้อมรับการโจมตีทันที “ข้าล่อลวงพวกมันมาต่างหาก ทุกอย่างเป็นแผนของข้า...” ดวงตาสีน้ำเงินเบิ่งโพล่งอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่เป็นพี่ชายของฮาธอสแท้ ๆ กลับไม่เหมือนกันสักนิด “ใช่! ทุกอย่างเป็นแผนของข้า นับแต่วันที่พลังมืดของป่าดำทำให้พลังของผนึกเสื่อมลงจนจิตของข้าหลุดออกมาได้ วันที่ข้าทำลายผนึกจากข้างในจนฉีกมือขวาออกไป ข้าก็คิดทุกอย่างขึ้นมา ทั้งการลอบสังหารเจ้า ทั้งการใช้แมลงไสยเวทก่อความวุ่นวาย ทั้งการทำให้นาซิลลาเป็นร่างทรง รวมถึงทำให้ไอ้แก่นักปราชญ์มาทำลายผนึก ทั้งหมดนั้นข้าเป็นคนคิด ข้าคิด! ข้าจึงเป็นอิสระด้วยกำลังของตนเอง ว่ะฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ฮึ ฮึ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เสียงหัวเราะอย่างอหังการของเทพร้ายมีอันต้องขาดหายไป เมื่อมหาเทพสงครามเปล่งเสียงแห่งความขำขันดังแทรกขึ้นมา พวกอัลล์ต่างมองเจ้านายของตนด้วยความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวพยายามยั่วยุเฮสเลนแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือ เทพอสูรกำลังขำจริง ๆ

“อย่างนั้นหรือ ไอ้แผนการลมเพลมพัด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยนี่ ไม่ได้ดูน่าภูมิใจเลยนะ”

“หุบปาก!” เฮสเลนคำรามกึกก้อง ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดมิได้ “เบิ่งตามองข้าให้ดี ๆ เทพอสูรโสโครก ตัวข้าอยู่ที่นี่ ตรงหน้าเจ้านี้ ด้วยเลือด! เนื้อ! และพลังของข้าเอง! สวรรค์ปฏิเสธการมีอยู่ของข้ามามากพอแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำกับข้าแบบเดียวกัน!”

“ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์สิ ว่าเจ้าจะสู้โดยไม่ยืมมือใครอีก!”

เฮสเลนกัดฟันกรอดจ้องหน้ามหาเทพสงครามที่ตั้งท่าพร้อมรบและตวัดหอกชี้หน้าเขาอย่างท้าทาย ซึ่งเทพร้ายที่กำลังโมโหเกือบจะหลุดปากตกลงออกไปแล้ว ถ้าหากไม่ฉุกคิดเรื่องสำคัญอันเป็นเรื่องเดียวกับที่พวกอัลล์ตระหนักได้พร้อมกัน ร่างสูงโปร่งหรี่ตาแล้วยิ้มกว้างอย่างรู้เท่าทันโดยพลัน

“ฮ่า ๆ เกือบแล้วเชียว เจ้าเก่งมากที่ยั่วโทสะข้าได้ แต่เสียใจด้วย ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก!”

เทพร้ายตวัดมือออกไปด้านข้าง พริบตาเดียวก็มีแมลงไสยเวทตัวอ้วนพีนับพันตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบตัวของเขา แต่ละตัวมีควันสีดำโชยออกมาบ่งชัดว่ากินอำนาจมืดมาเต็มที่ ก้ามอันใหญ่โตกับหางติดอาวุธเป็นเหล็กในที่มีพิษร้ายส่ายไปมาอย่างมาดหมายพิชิตศัตรู พวกไคซัสตั้งท่าระวังโดยทันที

“ถึงพวกเจ้าจะมีกำลังเพียงหยิบมือ แต่ก็เป็นพวกมีฝีมือ เรื่องอะไรจะสู้โดยไม่มีพวกเล่า ลุยเลย!”

เพียงขาดเสียงเทพรัตติกาล ฝูงแมลงไสยเวทก็โถมเข้าโจมตีพวกไคซัสพร้อมกัน มหาเทพสงครามใช้วิชาดาบเสี้ยวจันทร์ทำลายไปได้บางส่วน ก่อนอัลล์กับองครักษ์สองตนจะบุกเข้าไปทำลายอีกกลุ่ม เพื่อเปิดทางให้เจ้านายเข้าถึงตัวเฮสเลนให้จงได้ แต่มีหรือที่เทพร้ายจะยอมให้เป็นเช่นนั้น มันตวัดมือครั้งหนึ่งแมลงไสยเวทก็รวมฝูงกันหนาแน่นบินหลบพวกอัลล์ไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนพุ่งเข้าใส่มหาเทพสงครามด้วยความเร็วปานสายฟ้า

เพียงพริบตาเทพอสูรหนุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อมของแมลงร้ายจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า จิตสัมผัสก็เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายที่พวกมันปล่อยออกมา แมลงร้ายยึดเกาะร่างกายของเขาอย่างแน่นหนาและพยายามใช้กางสอดเข้ามาตามช่องว่างของชุดเกราะเพื่อต่อยเนื้อหนังของเขา ทั้งที่เป็นแค่ฝูงแมลงแท้ ๆ แต่แรงยึดของมันกลับมากมายจนเขาขยับตัวไม่ถนัด หูก็ได้ยินแค่เสียงความเคลื่อนไหวยุบยับไปทั่วทั้งตัว ถ้าคนอื่นมาตกอยู่ในสภาพนี้คงกลัวจนเสียสติไปแล้ว ทว่าไคซัสกลับตั้งสมาธิแล้วเคลื่อนพลังในพริบตา

“มหาเทพ!”

พร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของอัลล์ จู่ ๆ ก็เกิดการระเบิดจากใจกลางฝูงแมลงไสยเวทอย่างรุนแรง เปลวเพลิงเผาผลาญกลุ่มที่เกาะตัวไคซัสอยู่จนหมดสิ้น ส่วนที่เหลือถูกแรงระเบิดซัดปลิวกระจายไปหมด สร้างความประหลาดใจให้แก่เฮสเลนอย่างยิ่ง ก่อนทุกคนต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อมหาเทพสงครามกางปีกมังกรบินออกจากกองเพลิงในสภาพไร้รอยขีดข่วนและตรงเข้าใส่เทพร้ายโดยฉับพลัน เทพอสูรประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามเร็วเสียจนเฮสเลนไม่น่ามีเวลาปกป้องตัวเองได้ หอกอัลเจอร์พุ่งผ่านอากาศตรงไปยังร่างเป้าหมายอย่างเร็ว!

เหล่าองครักษ์เบิ่งตากว้างด้วยความหวังว่าจะได้เห็นเทพร้ายถูกเสียบด้วยอาวุธของเจ้านาย ทว่าทุกคนกลับต้องประหลาดใจหลังเห็นไคซัสชะงักงันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ตัวเฮสเลนก็อยู่ห่างแต่หนึ่งช่วงหอกเท่านั้น สักครู่มหาเทพสงครามก็ถอยออกมาเล็กน้อย กระทั่งเห็นนาซิลลาที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเทพรัตติกาล ปลายหอกที่สั่นเทาอยู่ห่างจากทรวงอกของเธอไปเพียงเล็กน้อย หลังจากมันเกือบจะต้องร่างเธอที่ปรากฏขึ้นเป็นโล่ให้เฮสเลนในวินาทีสุดท้าย

“ขี้ขลาด” คำบริภาษถูกเอ่ยอย่างเหยียดหยาม แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มรับด้วยใบหน้ามีความสุข

“ขอบใจ เจ้าเองก็ไม่เลวเหมือนกันนี่ บุกเข้ามาเร็วขนาดนั้นยังหยุดตัวเองไว้ได้ ไม่เสียงแรงจริง ๆ ที่เก็บเด็กคนนี้ไว้ใช้” เทพร้ายยิ้มกว้างอย่างน่ารังเกียจ ขณะละอองสีดำไหลเข้าไปในตัวนาซิลลาผ่านทางปากและจมูก “ดูท่าเจ้าจะอยากได้ตัวเด็กคนนี้กลับไปเหลือเกินนะ ก็ได้ ข้าจะคืนให้ แต่เจ้าต้องจัดการเอาเองนะ!”

ว่าแล้วเทพรัตติกาลก็เหวี่ยงตัวนาซิลลาไปหาไคซัส เทพอสูรหนุ่มก็ยื่นมือออกมาเพื่อรับตัวเธอกลับไปด้วย แต่ตอนที่ตัวเธอกำลังจะลอยมาถึงตัวเขา เด็กสาวก็ลืมตาขึ้นแล้วยื่นมือฉาบมนตราไปที่กลางอกเขาอย่างเร็ว ทว่ามหาเทพสงครามก็ไหวตัวทันและปัดมือนั้นพ้นตัวได้อย่างฉิวเฉียด ดวงเวทที่เธอจะยิงใส่กระเด็นไประเบิดกลางอากาศ เหล่าองครักษ์รีบรุดมาช่วยเหลือ แต่กลับถูกฝูงแมลงไสยเวทขัดขวางไว้เสียก่อน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือของเฮสเลนทั้งสิ้น เขาเสกดาบเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือของเด็กสาวและเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เธอสวมให้เป็นชุดเกราะ จากนั้นก็เชิดเข้าโรมรันกับมหาเทพสงครามเหมือนตุ๊กตานักรบไม่ผิดเพี้ยน แต่ละดาบที่เธอฟาดใส่เขาหนักหน่วงและเฉียบคมเหมือนทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ทว่ามหาเทพสงครามก็หลบเลี่ยงได้เกือบทุกครั้ง คราวใดหลบไม่ได้ก็ใช้อัลเจอร์กระแทกออกไปเบา ๆ ก่อนถอยมาตั้งหลักในระยะที่ห่างกว่าเดิม ซ้ำยังต้องคอยระวังแมลงไสยเวทที่ไม่รู้จะมาทำร้ายตอนไหนไปด้วย เรียกว่าสู้ด้วยความยากลำบากพอสมควร

เฮสเลนดูจะสนุกกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่น้อย เขาเชิดร่างเด็กสาวเข้าโจมตีไคซัสอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับสั่งแมลงไสยเวทให้เล่นงานพวกองครักษ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ท้องฟ้าเหนือหุบเขาดำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฝ่ายเทพสวรรค์ดูจะเสียบเปรียบกว่าเล็กน้อย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูติดขัดไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่ไคซัสที่เริ่มหลบเลี่ยงนาซิลลายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเทพร้ายเชิดให้เธอใช้วิชาหายตัวโจมตีจากทิศทางต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูง จนมาถึงดาบสุดท้ายซึ่งเด็กสาวปรากฏตัวเหนือร่างไคซัส ดาบเล่มเขื่องสับตรงไปยังศีรษะที่ไร้อาวุธป้องกัน แต่มหาเทพสงครามเบี่ยงตัวหลบได้แบบเส้นยาแดงผ่าแฝด และก่อนที่เทพจันทราจะทันตวัดอาวุธโจมตีในจังหวะที่สอง มือข้างหนึ่งก็คว้าแขนเธอจากทางด้านล่าง

“จับได้แล้ว!” อัลล์ที่รอจังหวะมาตลอดคำรามแล้วลากตัวเด็กสาวสู่ป่าดำเบื้องลางท่ามกลางความตกใจของเฮสเลน แล้วทุกอย่างก็เหมือนกลับตาลปัตรในทันทีทันใดนั้น เพราะเหล่าองครักษ์ทั้งห้ารวมพลังกันสร้างกำแพงอาคมสกัดแมลงไสยเวททั้งหมดไว้แล้วผลักดันออกไปโดยทันที

“อะไรกันน่ะ...อ๊ะ!!” คราวนี้เป็นเทพร้ายบ้างที่ต้องหลบเลี่ยงลูกไฟที่ไคซัสส่งออกมา มนต์เพลิงสีแดงฉานนับสิบลูกไล่ล่าเขาเหมือนหมาป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะหลบเลี่ยงไปทางไหนก็ตามไปอย่างไม่ลดละ ผลัดกันพุ่งมาเผาชุดที่เขาสวมใส่จนต้องทำลายทิ้งด้วยอำนาจของตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับมหาเทพสงครามด้วยความโมโห ซึ่งเขาถึงกับนิ่งเมื่อเห็นนัยน์ตาสีส้มที่แสนเย็นชาคู่นั้น

“เจ้าคงไม่คิดจะหนีไปหรอกนะ เฮสเลน ถ้าอยากทำลายสวรรค์นักล่ะก็ต้องห้ามศพข้าไปก่อน!”

------------------

เข้าช่วงท้ายเรื่องแล้วจริงๆ ตัวร้ายตัวจริงออกมาแล้ว XD

ตอบคอมเมนต์

คุณ saruttaya ใช่เลยครับ ต้องโทษพ่อพิมพ์แท้ๆ ที่ทำให้ฟาเบียนเป็นแบบนี้ ;w;

คุณ padang สู้เองไม่ไหวแน่นอนครับ เทียบด้านพลังกันแล้ว ฟาเบียนมีพลังอ่อนด้อยกว่าเฮสเลนมาก อีกทั้งยังเป็นธาตุแสงที่แพ้ความมืดด้วย ปะทะกันตรงๆ แพ้แน่นอน แถมอีกฝ่ายยังเก่งขนาดที่จัดการกับขุนศึกไปหลายตน เจ้าตัวเลยดึงไคซัสมาแทน ทั้งปกป้องสวรรค์ด้วย จัดการเฮสเลนด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 09-09-2013 07:09:01
เข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 09-09-2013 21:49:51
บทที่ 19 ความนัยที่ถูกปิดซ่อน

ตูม...

เสียงระเบิดพลังของเฮสเลนดังข้ามมหานครแห่งสวรรค์มาถึงตำหนักพาเทร่าเลยทีเดียว มันเป็นเสียงแปลกปลอมที่ทำให้ทหารทั้งตำหนักตื่นตัวในทันที แต่สิ่งที่ทำให้ฮาธอสสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรากลับเป็นใบหน้าของพี่ชายฝาแฝดที่ส่งจิตแฝงมากับกระแสเสียง รอยยิ้มกักขฬะกับเสียงหัวเราะสาสมใจของอีกฝ่ายปรากฏชัดในมโนสำนึกของเขา ร่างสูงโปร่งนั่งตัวเกร็งบนเก้าอี้ เหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายเต็มหน้าผาก ดวงตาเบิ่งโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะเห็นชิ้นส่วนมือของผู้เป็นพี่เรืองแสงสีดำวาบ ๆ ราวกับตอบสนองต่ออำนาจของเจ้าตัว ซึ่งบัดนี้เขาสามารถจับจิตมืดอันเข้มข้นจากทิศเหนือได้อย่างชัดเจน

“ท่านพี่!”

ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งลุกพรวดขึ้นตั้งใจจะวิ่งไปที่หน้าต่าง แต่ตอนนี้เองที่เขารู้ถึงความผิดปกติกับร่างกายของตนเอง ความอ่อนเพลียที่ติดตัวมาตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บหายไปแล้ว สมองปลอดโปร่งราวกับถูกชำระความเหนื่อยล้าไปจนหมด กล้ามเนื้อทุกมัดเปี่ยมกำลังวังชาจนเหมือนใหม่ แม้แต่อาการปวดท้องที่เคยรู้สึกก่อนจะหลับไปยังหายเป็นปลิดทิ้ง อำนาจภายในกายพลุ่งพล่านจนต้องรีบสะกดมันไว้ก่อนจะล้นทะลักออกมา ซึ่งเขาแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะพลังอันร้อนแรงนั้นแตกต่างจากมนตราของเขาอย่างสิ้นเชิง

เทพหนุ่มไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เพราะพลังนั้นทรงอานุภาพเกินกว่าที่เขาจะกักเก็บด้วยตนเองได้ เขาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ตัวเดิมและหลับตาตั้งสมาธิ จากนั้นก็แปรสภาพพลังแปลกปลอมให้เข้ากับอำนาจของตนช้า ๆ ความจริงมันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลามาก โดยเฉพาะถ้าพลังที่ได้มาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่อำนาจนี้มีพื้นฐานเป็นความมืดเหมือนสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขา ฮาธอสจึงปรับเฉพาะส่วนที่เข้ากับตนเองไม่ได้ก็พอแล้ว

ฮาธอสแทบไม่สงสัยเลยว่าใครเป็นเจ้าของพลังในตัวเขา เขาเคยสัมผัสอำนาจที่ร้อนผ่าวราวกับถูกโอบกอดนี้มาก่อน และภาพใบหน้าของไคซัสตอนถ่ายทอดพลังให้ยังจารลึกในความทรงจำ แต่คำถามคือมหาเทพสงครามทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อ ‘ให้’ เขาหรือ ฤามีเหตุผลอื่นกันแน่!

‘รอจนกว่าข้าจะกลับมานะ’

กระแสเสียงของไคซัสดังขึ้นในหัวเทพคนสวนอีกครั้ง หลังพลังแปลกปลอมส่วนสุดท้ายถ่ายทอดคำพูดที่ติดค้างอยู่ให้เขารับรู้ ก่อนจะถูกปรับให้เข้ากับอำนาจของฮาธอสไปในที่สุด ดวงตาสีน้ำเงินพลันเบิ่งโพล่งพร้อม ๆ กับความเข้าใจที่กระจ่างชัด

ไคซัสไม่อยู่แล้ว...

มหาเทพสงครามไปเผชิญหน้ากับพี่ชายฝาแฝดของเขาแล้ว!

ฮาธอสกระโจนพรวดไปที่ประตู แต่ทันทีที่มือของเขาจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดมันก็ถูกดีดออกมาอย่างแรง เทพคนสวนกุมมือข้างนั้นด้วยความตกใจ ก่อนสังเกตเห็นว่าทั้งห้องถูกเคลือบด้วยมนตราที่แข็งแกร่งเอาเรื่อง

“มหาเทพ...” คำนั้นหลุดจากปากของฮาธอสโดยอัตโนมัติ เพราะจำพลังของไคซัสได้ดี “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!” เทพหนุ่มตัดสินใจทุบประตูและขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก “ข้ารู้ว่ามหาเทพไคซัสต้องให้คนเฝ้าไว้ ได้ยินเสียงของข้าไหม ตอบหน่อย!”

เขาตะโกนด้วยเสียงที่ดังที่สุดและทุบให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทุกครั้งที่มือกระทบกับบานทวาร เขตอาคมที่คลุมอยู่จะเรืองแสงสีส้มวาบทุกครั้ง ยิ่งทำให้เขาวิตกจริตกว่าเดิม

“เฮ้! ใครก็ได้ช่วยตอบข้าหน่อย!”

“ข้าได้ยินแล้ว” ฮาธอสถึงกับนิ่งเมื่อน้ำเสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นในหัวสมองโดยตรง แม้เขาจะรู้จักไม่เทพมากนัก แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าตนจำเจ้าของน้ำเสียงไม่ผิด “เจ้าเพิ่งตื่นหรือ”

“ขอรับ มหาเทพไคซัสออกไปแล้วใช่ไหมขอรับ”

“ข้าคิดว่าเจ้ารู้คำตอบอยู่แล้วนะ” เจ้าของเสียงตอบอย่างเรียบลื่น “เจ้าอยากไปช่วยมหาเทพไคซัสรึ”

“ขอรับ ตอนนี้ท่านพี่ตื่นมาแล้ว มีแต่ข้าเท่านั้นที่เขาทำอะไรไม่ได้ ข้าอยากปกป้องสวรรค์ ช่วยเปิดประตูให้ข้าทีเถิด” ฮาธอสขอร้อง เพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเทพที่มีพลังเวทสูง น่าจะทำอะไรกับเขตอาคมของไคซัสได้บ้าง

“...เขตอาคมนี้...เปิดจากข้างนอกไม่ได้” ในที่สุดคำตอบก็กลับมาหลังคนที่อยู่อีกฝากเงียบไปนาน ทำให้ฮาธอสผิดหวังอย่างยิ่ง “แต่ก็มีวิธีเปิดจากข้างในอยู่นะ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“เจ้าไม่เชื่อใจมหาเทพสงครามหรือ”

ฮาธอสกำลังจะอ้าปากขอร้องด้วยความหวัง แต่ต้องชะงักงันเมื่อคู่สนทนาตั้งคำถามแทรกกลางปล้อง ถ้อยคำจากน้ำเสียงราบเรียบเปรียบได้กับเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงใจเขาให้รีบตั้งสติหาคำตอบ

“เจ้าไม่รู้หรือว่ามหาเทพสงครามทำแบบนี้เพื่อใคร” คำถามที่สองถูกเอ่ยมาในจังหวะสับสนยิ่งทำให้ชายหนุ่มมึนงงไปกันใหญ่ “เจ้าทระนงในพลังของตัวเองเกินไปหรือเปล่า ถึงได้พยายามรับผิดชอบสิ่งที่เกินตัวแบบนี้ ไม่สิ...พวกเจ้าสองคนน่ะ เหมือนกัน แต่เจ้าทระนงตนมากกว่าเขา”

“ข้า...ไม่ได้ทระนงนะขอรับ” ฮาธอสปฏิเสธอย่างร้อนรน ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายถามไปเพื่ออะไร

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจเทพอสูรสีแดงตนนั้น ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ของตนเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นมหาเทพสงครามมีหน้าที่ต้องปกป้องสวรรค์อยู่แล้ว”

“แต่ว่า...!” เทพหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ต้องเอามือปิดปาก ไม่ใช่ว่าหาคำโต้เถียงไม่ได้ ทว่าชายหนุ่มกำลังพยายามลบภาพที่ติดตัวอยู่ออกไปต่างหาก ภาพของไคซัสที่ถูกพี่ชายของเขาสังหารด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่วินาทีที่เขาตระหนักว่ามหาเทพสงครามออกไปแล้ว

ฮาธอสรู้ดีว่าไคซัสเป็นเทพอสูรที่มีความสามารถ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยได้รับบาดเจ็บจนร่างกายไม่สมบูรณ์มาจนถึงตอนนี้ ในขณะที่พี่ชายฝาแฝดของเขาก็เป็นเทพรัตติกาลที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมมากตนหนึ่ง หากพลาดพลั้งขึ้นมามหาเทพสงครามคงไม่พ้นถูกฆ่าอย่างแน่นอน แค่คิดถึงความตายของไคซัส หัวใจของเขาก็แทบขาดวิ่น...เป็นครั้งแรกที่เทพคนสวนหวาดกลัวการสูญเสียใครสักคนเช่นนี้ กลัวจนอยากพังประตูออกไปเพื่อปกป้องเทพอสูรตนนั้น!

ทันใดนั้น ดวงตาสีน้ำเงินของฮาธอสก็เบิ่งตาด้วยความประหลาดใจ ถ้าลองทบทวนดูดี ๆ ล่ะก็ความคิดของเขากับไคซัสเหมือนกันมาก มหาเทพสงครามคงกลัวว่าจะมีใครมาทำอันตรายเขา เพราะเหตุการณ์ในอดีตไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นศัตรูกับพี่ชายฝาแฝดเท่านั้น ทว่าตัวตนแท้จริงยังเป็นปรปักษ์กับสวรรค์อีกด้วย และคงจะกลัวด้วยว่าเมื่อเขาตื่นมาแล้วจะแล่นออกไปช่วยใครต่อใครแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เทพอสูรจึงขังเขาไว้ในห้องและมอบพลังให้เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นความปรารถนาดีที่แสนอ่อนโยนจนคนรับอดเจ็บปวดมิได้...

“เจ้าเข้าใจหรือยัง” เสียงหวานดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะราวกับอ่านใจเขาอีกครั้ง “สิ่งที่มหาเทพสงครามกำลังทำไม่ใช่แค่การปกป้องสวรรค์ แต่เขากำลังทำให้เจ้าหลุดพ้นจากอดีตและมีชีวิตใหม่เป็นของตัวเอง เจ้าอยากทำลายความปรารถนาดีนี้กระนั้นหรือ”

เทพคนสวนที่อยู่ในห้องส่ายศีรษะเนิบช้า เขาได้เห็นแล้ว...ถึงความหวังดีที่ก่อนหน้านี้ถูกความวิตกจริตทำให้มองความไป จิตใจของเขาเหมือนถูกแยกออกเป็นสองส่วน ใจหนึ่งเป็นห่วงจนอยากออกไปช่วยมหาเทพสงครามเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจก็ไม่อยากทำลายความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมอบให้...

ท่ามกลางความคิดสองกระแสที่ขัดแย้งกันจนสับสน ฮาธอสก็รู้สึกถึงจิตอีกดวงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากทางเหนือ ชายหนุ่มหมุนตัวมองนอกหน้าต่างด้วยความตกใจ แน่นอนว่าต้องไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่ยืนยันว่าจิตนั้นทรงพลังมิยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ชายของเขาเลย อีกทั้งยังลุกโชติช่วงดั่งเปลวไฟแห่งชีวิตที่ไม่มีวันดับมอด การปรากฏตัวของมันราวกับคำปลอบโยนที่ทำให้เทพคนสวนสงบใจลงได้

บางทีคราวนี้ฮาธอสอาจเป็นห่วงไคซัสมากเกินไป...ถึงขั้นวิตกจริตจนไม่อาจเชื่อมั่นใจตัวไคซัสได้เต็มร้อย ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังทำเพื่อสวรรค์...เพื่อตัวเขาอย่างเต็มที่ คงถึงเวลาเสียทีที่เขาจะมอบสิ่งที่ ‘เกินมือ’ ให้เทพอสูรจัดการและทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้

“ท่านหญิง” ฮาธอสหันกลับและเอ่ยไปทางประตู แม้จะไม่มีเสียงตอบมา ทว่าชายหนุ่มก็รู้ดีว่าคู่สนทนากำลังฟังอยู่ “ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านพยายามชี้ให้เห็นแล้วขอรับ ข้าจะเชื่อมั่นในตัวมหาเทพไคซัส แต่ข้าก็ไม่อยากรออยู่เฉย ๆ ให้ข้าได้ช่วยด้วยเถิด เป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ ข้าอยากเป็นกำลังสนับสนุนมหาเทพไคซัสขอรับ!”

สุ้มเสียงในตอนท้าย ๆ ของเขามั่นคงจนเกือบเหมือนตอนเป็นปกติทีเดียว ความเงียบชั่วอึดใจต่อจากนั้นช่างยาวนานยิ่งในความรู้สึกเทพคนสวน แต่ในที่สุดเสียงหวานที่เขารอคอยก็ดังขึ้น

“ตกลง ในเมื่อเจ้ายืนยันขนาดนี้ ข้าก็มีงานดี ๆ สำหรับเจ้า” ชายหนุ่มที่ถูกขังไว้ในห้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันใด “แต่ก่อนอื่นผนึกมือขวาของเฮสเลนไว้ก่อนดีกว่า ปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีแน่ เสร็จแล้วก็เอามันกลับมาที่ประตู ข้าจะสอนทุกอย่างกับเจ้าเอง”

---------------

อัลล์กอดตัวนาซิลลาแน่นในขณะที่ร่วงผ่านยอดไม้ไปยังพื้นเบื้องล่าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าหลังของเขากระแทกกิ่งไม้อยู่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเห็นจะแรงที่สุดเพราะฟาดเข้ากับกิ่งสนดำใหญ่จนตัวหมุนเคว้งและหล่นลงอย่างไร้การควบคุมชั่วขณะหนึ่ง ก่อนนายทหารหนุ่มจะพลิกตัวกลับมาอยู่ในท่าตรงและเรียกสายลมมาพยุงตัวพวกตนได้ทันเวลา กระแสลมเย็นนำตัวชายหนุ่มกับเด็กสาวทั้งสองลงพื้นอย่างนุ่มนวล

“นาซิลลา!” อัลล์ตรวจดูเทพจันทราเป็นอันดับแรก เพราะตั้งแต่ดึงตัวลงมาด้วยกัน เธอยังไม่ได้ขัดขืนเขาเลย นับว่าผิดนิสัยใจของเทพที่ถูกควบคุมจิตใจ ซึ่งผู้ควบคุมมักเชิดให้สู้ยิบตาเสมอ แล้วเขาก็พบว่านาซิลลาหมดสติไปแล้ว ดาบที่เฮสเลนเสกให้กำลังสลายไป หรือว่ามนตราของเทพร้ายจะเสื่อมลงแล้วกันแน่? “ตื่นสิ นาซิลลา เจ้าจะเป็นอะไรไม่ได้นะ ฮาธอสกำลังรอเจ้าอยู่!”

ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้นสูงเพื่อตบหน้าเธอให้แรงกว่าเดิมอีกนิด แต่ชั่วพริบตานั้นเองที่นาซิลลาลืมตาจ้องมาที่เขาอย่างมุ่งมาด ดวงตาสีฟ้าไร้แววเรืองแสงสีน้ำเงินเหมือนเมื่อคืนนี้มิผิดเพี้ยน เพียงไม่กี่วินาทีอัลล์ก็หมดสติล้มพับไปข้าง ๆ แขนพาดกับตัวของเทพจันทรา

“น่าสมเพช” มิรู้ว่าจงใจหรือไม่ได้เจตนา แต่เสียงที่เอ่ยคำนั้นออกมาเป็นของนาซิลลาเอง เด็กสาวปัดแขนเขาออกจากตัวก่อนยืนขึ้นและเหยียดตามองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชิง เมื่อเธอยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ดาบเล่มเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ข้าอุตส่าห์ไว้ชีวิตเจ้า เพราะเห็นแก่นาซิลลาที่น่าสงสาร แต่เมื่อเจ้ามารนหาที่ตายถึงที่ก็จะสนองให้ โทษตัวเองที่โง่มาติดกับเองเถอะ!”

สิ้นเสียง ร่างทรงของเทพร้ายก็ตวัดดาบลงมาอย่างเร็ว โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ลำคอของอัลล์ แต่คนที่ควรจะหลับไปแล้วกลับพลิกหลบมาทางเธอในวินาทีเกือบสุดท้าย ส่งผลให้ปลายดาบฝังลึกลงในเนื้อดินแข็งจนดึงไม่ออก จังหวะนั้นเองที่อัลล์พุ่งขึ้นมาจับบ่าบางและผลักลงไปนอนบนพื้น ร่างใหญ่ตามไปคล่อมบนตัวเธออย่างน่าหวาดเสียว สองมือหนากดไหล่เล็กติดพื้น นาซิลลาดิ้นขืนเต็มที่ แต่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ก็ไม่มีทางสู้แรงนายทหารตัวโตได้อยู่แล้ว

“เจ้า! เป็นไปได้อย่างไร!” คราวนี้เสียงที่คำรามคำพูดเป็นของเฮสเลน ขณะร่างทรงจ้องอัลล์เป๋ง ซึ่งเธอต้องตกใจเมื่อเห็นว่าในดวงตาของเขาเรืองแสงเวทแบบเดียวกับม่านตาอยู่ด้วย ชายหนุ่มคงคาดเดากลอุบายของเฮสเลนออกจึงป้องกันตัวไว้ล่วงหน้า

“ขอโทษด้วยนะ ถึงข้าจะไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็ไม่โง่ขนาดจะตกหลุมพรางของเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอก!” ใบหน้าคร้ามเข้มโน้มลงไปใกล้อีกฝ่าย กระซิบเสียงลอดไรฟัน “กลิ่นอายความมืดของเจ้าไม่เหมือนนาซิลลาสักนิด ถึงจะแกล้งสลบ ข้าก็ยังได้กลิ่นอยู่ดี คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องทิ้งจิตบางส่วนไว้ด้วย คืนนาซิลลามาเดี๋ยวนี้”

“มีปัญญาก็มาเอาคืนไปเองสิ!”

ร่างทรงตวาดด้วยน้ำเสียงหวานของตนเองอีกครั้ง พร้อมผงกศีรษะขึ้นจ้องตาอัลล์หวังใช้มนตราอีกหน แต่คราวนี้อัลล์เร็วกว่า เพียงสบสายตาเขาก็ส่งจิตเข้าไปข้างในทันใด อึดใจต่อมาร่างจิตของเขาก็ปรากฏขึ้นในโลกมืดที่หนาวเย็นราวกับขั้วโลกเหนือ

ที่นี่คือห้วงจิตของนาซิลลา มิติชี้ลับที่เชื่อมโยงกายเนื้อกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ซึ่งมีอยู่ในตัวอมนุษย์และมนุษย์ที่มีพลังเวททุกตน ไคซัสเคยมาเยือนที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เพื่อตามหาต้นตอของพลังที่ควบคุมเด็กสาวไว้ในตอนแรก คราวนี้เป็นคิวของอัลล์ที่ต้องตามหาร่างจิตของเทพจันทราให้พบและปลดปล่อยเธอจากการควบคุมโดยตรง มันเป็นวิธีที่เสี่ยง แต่เพราะเฮสเลนทิ้งเศษเสี้ยวจิตของตนไว้ตัวอัปสรน้อยด้วย จึงมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยเธอกลับมาอย่างสมบูรณ์ได้

“อัลล์...!” เสียงร้องเรียกโหยหวนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่างสูงใหญ่หมุนตัวมองรอบ ๆ พร้อมแผ่พลังหยั่งรู้ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อกายเนื้อของเทพจันทราไปควานหาตัวเธอ เพียงครู่ร่างของเด็กสาวผมสีเงินยวงที่ถูกพันธนาการด้วยรยางค์สีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เธอมีสีหน้าดีใจมากที่ได้เห็นชายหนุ่ม

“นาซิลลา!”

“ฮึก...ฮือ...”

อัลล์กำลังจะไปช่วยเทพจันทราตนนั้นอยู่แล้ว ในตอนที่แว่วยินเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กสาวอีกตนจากด้านหลัง ครั้นหันกลับไปดูก็ต้องตกตะลึง เพราะเทพหญิงที่นั่งร้องไห้อยู่ในกรงนกขนาดใหญ่นั้นเหมือนกันนาซิลลาทุกกระเบียดนิ้ว เธอค่อย ๆ เบือนหน้ามามองเขาด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง

“นี่มัน...” เขารำพึงขณะหันมองเด็กสาวทั้งคู่สลับไปมา

“อัลล์ ข้ากลัว ช่วยข้าด้วย” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการขอร้อง

“อัลล์...ข้าขอโทษ...” เด็กสาวในกรงขังพูดด้วยสีหน้าปวดร้าว

ในความรู้สึกของชายที่อยู่ตรงกลาง เทพจันทราทั้งสองตนเหมือนกันประหนึ่งโขกพิมพ์เดียวกันมา สีหน้าที่แสดงออก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย แววตาที่สื่อความในใจล้วนเป็นแบบที่นาซิลลาทำให้เห็นเสมอ ทว่าต่อให้เป็นเทพที่มีความสามารถมากแค่ไหนก็ไม่ทีทางสร้างร่างจิตสองร่างในห้วงมิติเดียวกันได้แน่ ดังนั้นหนึ่งในสองคนนี้ต้องเป็นตัวปลอม เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้น จะจับผิดด้วยพลังเวทก็ไม่ได้ เพราะบรรยากาศเต็มไปด้วยอำนาจของเทพร้ายจนแยกไม่ออก

“อัลล์กลับไปเถอะ มันเป็นกับดัก เจ้าไม่ควรมาตายแบบนี้!” เด็กสาวในกรงขังตะโกนบอก ทำให้เขาเห็นความแตกต่างจากตัวจริงเล็กน้อย เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกให้ใครหนีไปตามลำพังมาก่อนเลย...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 18 up 08/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 09-09-2013 21:51:11
“อย่าไปฟังนางนะ ข้าอยู่นี่ไงล่ะ อัลล์!” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการด้วยรยางค์ตะโกนบอก น้ำเสียงเจือความเอาแต่ใจนั้นคล้ายกับนาซิลลามากทีเดียว ซึ่งตัวจริงก็คงจะพูดแบบนี้หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน “อัลล์พาข้ากลับบ้านนะ ข้าอยากเจอฮาธอส อยากขอโทษเขาที่ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้ อัลล์ต้องช่วยข้านะ”

“ข้าต้องช่วย ‘เจ้า’ อยู่แล้ว แต่ว่า...!” นายทหารมองเด็กสาวทั้งคู่สลับกันอย่างสับสน ไม่รู้จะเชื่อฝ่ายไหนดี โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากผิดพลาดล่ะก็...ชีวิตของเขา...และนาซิลลาจะดับสูญโดยทันที

“อัลล์ ข้าไม่ขออะไรทั้งนั้น เจ้ากลับไปเถอะ กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!” เด็กสาวในกรงขังตะโกนบอกอีกครั้ง น้ำเสียงเว้าวอนนั้นมีแต่ความรวดร้าว “ฝากบอกฮาธอสด้วย ว่าข้าขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ บอกเขาว่าอย่าให้อภัยข้าด้วย ข้าเป็นคนทำให้ทุกอย่างแย่ลงเอง”

“มองข้าสิ อัลล์!” เด็กสาวที่ถูกพันธนาการร้องเรียกอีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มมีน้ำตาให้เห็น ราวกับกลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไว้และจากไปเพียงลำพัง “ข้าไม่อยากตายแบบนี้ ไม่อยากถูกควบคุมร่างแล้วด้วย อัลล์ช่วยข้านะ ข้าสัญญาว่าถ้ากลับไปแล้วจะเป็นเด็กดี”

“กลับไปซะ อัลล์ อย่าอยู่ที่นี่ กลับไปปกป้องพวกฮาธอสเถอะ กลับไป!”

“กรี๊ดดดด...!”

ยังไม่ทันขาดคำขอร้องของนาซิลลาในกรงขัง เสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวของนาซิลลาที่ถูกมัดก็ดังขึ้นเล่นเอาหัวใจของอัลล์หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ชายหนุ่มหันไปดูก็เห็นเด็กสาวกำลังถูกรยางค์รัดตัวอยู่ดึงให้จมลงไปในความมืดทีละน้อย ร่างที่เล็กเหมือนแมลงดิ้นรนเต็มที่ด้วยความกลัวสุดขีด

“ไม่เอานะ ข้ายังไม่อยากตาย ช่วยด้วย อัลล์ช่วยข้าด้วย!” กรีดร้องพลางยื่นมือเรียวมาหาเขาจนสุดแขน แววตามีแต่ความตื่นตระหนกเหมือนลูกนกที่น่าสงสาร สายตานั้นบ่งชัดว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเธอได้ สีหน้านั้นทำให้เขาคิดถึงตอนที่เด็กสาวย้ายไปอยู่ตำหนักซิมโฟเนียอาเรียใหม่ ๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยตามหัวหน้านางกำนัลไปที่กองบัญชาการกองทัพสวรรค์และถูกพวกทหารนิสัยไม่ดีรังแก ตอนนั้นนาซิลลาก็ขอความช่วยเหลือจากเขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกันนั้น

ร่างสูงใหญ่หมุนตัวไปหาเด็กสาวคนนั้น แววตามุ่งมั่นพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่เธอแล้ว ข้างหลังนั้นเด็กสาวที่ถูกขังลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงและส่งเสียงตะโกนห้ามด้วยความตกใจสุดขีด

“อย่าไปทางนั้นนะ อัลล์ มันเป็นกับดัก กลับไป! กลับไปหาพวกฮาธอสเดี๋ยวนี้! ขอร้องล่ะ อัลล์ ฟังข้าหน่อยสิ!”

แม้ว่าปลายน้ำเสียงของเธอจะโหยหวนด้วยความสิ้นหวังอย่างน่าสงสาร แต่นายทหารหนุ่มก็ไม่สนใจและเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อีกฝ่ายเฝ้ารอความช่วยเหลือจากเขาอย่างมีความหวัง ยิ่งเข้าใกล้ตัวเธอเท่าไหร่ ฝีเท้าของเขาก็เร็วขึ้นและกลายเป็นการวิ่งไปในที่สุด ฉากสีดำมืดเบื้องหลังเธอขยับไหวเล็กน้อยก่อนจะมีรยางค์อันแหลมคมพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง อัลล์กระโจนหลบกลุ่มแรกไปได้ ก่อนใช้พลังจิตสร้างดาบเสมือนจริงมาฟาดฟันกลุ่มที่สองจนขาดสะบั้น จากนั้นก็แทรกตัวผ่านกลุ่มที่สามสู่ตัวเด็กสาวที่ถูกจับกุมไว้

“อัลล์...อึก!”

น้ำเสียงแห่งความยินดีพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด เมื่อดาบของอัลล์ปักกลางทรวงอกของเด็กสาวแทนที่จะตัดรยางค์ที่มัดตัวเธออยู่ทิ้งไป นาซิลลาในกรงขังเบิ่งตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ นายทหารหนุ่มกดดาบให้ฝั่งลึกและถ่ายพลังบางส่วนไปที่มันจนเรืองแสงสีม่วงจาง อำนาจนั้นตรึงร่างเล็กบางไว้กับความมืดจนดิ้นไม่หลุด

“ทะ...ทำไมกัน...” เด็กสาวมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ บนกระจกตาสีฟ้าสะท้อนใบหน้าเหี้ยมเกรียมของอัลล์อย่างแจ่มชัด

“แกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยไปก็เท่านั้นล่ะน่า ต่อให้เจ้าจำแลงกายเหมือนนาซิลลาแค่ไหน ข้าก็แยกออกอยู่ดี!” อัลล์ใช้นิ้วโป้งจิ้มหน้าอกข้างซ้ายของตน สายตามองอีกฝ่ายอย่างหยามหยัน “เพราะ ‘เสียง’ ของเจ้าทำให้ ‘ก้อนเนื้อ’ ที่เต้นอยู่ตรงนี้หวั่นไหวไม่ได้เลยนี่นา!”

คำพูดนั้นไม่เพียงแต่ทำให้คนที่เขากำลังคุยด้วยต้องตกใจ แต่ยังทำให้เด็กสาวในกรงขังปิดปากอย่างตกตะลึงอีกด้วย

นี่เป็นความลับที่อัลล์ไม่เคยบอกใครมาก่อน แม้แต่ฮาธอสที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ชายหนุ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับนาซิลลาตอนไปเยี่ยมฮาธอสเมื่อเก้าปีก่อน ตอนแรกก็ตกใจที่หัวใจของตนตอบสนองต่อน้ำเสียงของเด็กสาว ทว่าก็ไม่ได้เอะใจไปมากกว่านั้นด้วยคิดว่าคงเป็นคุณสมบัติพิเศษของเทพที่มีความสามารถด้านดนตรี เพราะเพื่อนสนิทของเขาก็ปลอบโยนผู้คนได้ด้วยเสียงนุ่ม ๆ ของตนเองเช่นกัน

ทว่าหลังเวลาผ่านไปนานนับปี นายทหารหนุ่มมีประสบการณ์จากการพบปะและคบหาเพื่อนสาวหลายตน เขาจึงได้รู้ว่าไม่มีเสียงของผู้หญิงตนใดที่ทำให้หัวใจของตนหวั่นไหวได้อย่างนาซิลลาอีกแล้ว แต่อัลล์ตัดสินใจเก็บความพิเศษนี้ไว้คนเดียว เนื่องจากตอนนั้นไม่ค่อยได้พบนาซิลลาบ่อยนักและยังเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวตนหนึ่งอีกด้วย

แต่เมื่อนาซิลลาย้ายตามฮาธอสมาอยู่ที่พาเทร่า เขากับเธอจึงมีโอกาสพบและพูดคุยกันบ่อยกว่าเดิม ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง...และได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กสาว หัวใจกับความรู้สึกก็เริ่มร่ำร้องหาตัวเธอในด้านที่อัลล์ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แน่นอนว่าชายหนุ่มต้องปกปิดมันไว้ ด้วยรู้ดีว่าอัปสรน้อยแอบรักฮาธอสอยู่ แต่ไม่ว่าความรู้สึกของตนจะเปลี่ยนไปเช่นไร ความพิเศษที่เธอมีต่อเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

ตราบเท่าที่เสียงที่ได้ยินเกิดจาก ‘ตัวและจิต’ ของนาซิลลา หัวใจของเขาจะสั่นไหวทุกครั้งที่สดับ ซึ่งมันเกิดขึ้นกับเด็กสาวที่อยู่ในกรงขัง แม้ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นจะไม่ค่อยเหมือนเวลาปกติเลยก็ตาม แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ล่ะก็...หากเขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงจะทำเหมือนเธอ

ยอมตายเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์

“อย่างนั้น...หรอกเหรอ...” นาซิลลาตัวปลอมอย่างนั้น...หรอกเหรอ...” นาซิลลาตัวปลอมก้มหน้าราวกับยอมรับความพ่ายแพ้ แต่พริบตาต่อมารยางค์ดำก็พุ่งจากฉากหลังมาแทงอัลล์ยังไม่ทันตั้งตัว! “แต่พวกเจ้าก็ต้องตายพร้อมกันอยู่ดี!”

สิ้นเสียงคำรามของเฮสเลนเอง รยางค์ที่มัดร่างจำแลงอยู่ก็คลายออกแล้วทะยานตรงไปหานาซิลลาในกรงขัง มีเสียงกรีดร้องอย่างตกใจกลัวของเด็กสาวดังขึ้นทันที อัลล์กัดฟันกรอดพลางสร้างดาบเสมือนจริงขึ้นมาอีกเล่ม จากนั้นก็ทุ่มพลังทั้งหมดหมุนตัวตวัดอาวุธฟาดฟันรยางค์ทั้งหมดจนขาดวิ่น ก่อนถึงตัวนาซิลลาในกรงขังอย่างฉิวเฉียด เมื่อลงพื้นได้ก็ต้องเอี้ยวตัวหลับพลังที่เฮสเลนยิงออกมา แล้วสืบเท้าเข้าไปใช้ดาบแทงร่างจำแลงอีกครั้ง!

“อึก...แกคิดเหรอว่าพลังเท่านี้จะทำอะไรข้าได้!” ร่างจิตของเฮสเลนตวัดกรงเล็บใส่อัลล์อย่างมาดหมาย แต่นายทหารหนุ่มก้มตัวลบได้และสร้างดาบเล่มที่สามขึ้นมาฟันมือทั้งสองข้างของมันจนขาด ก่อนปักกลางท้องของร่างเล็กตรงหน้า แววตามีแต่ความโหดเหี้ยมและมุ่งมั่นที่จะทำการให้สำเร็จ!

“เออ! ถ้าเจอกันตัวต่อตัวคงทำอะไรแกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นร่างจิตกับข้าที่เกือบสมบูรณ์ล่ะก็ต้องทำได้แน่!”

ว่าแล้วเทพหนุ่มก็อัดพลังทั้งหมดลงไปที่ดาบซึ่งปักกลางอกร่างจำแลงอย่างเต็มที่ ปากบริกรรมคาถาสลายวิญญาณอันเป็นเวทต้องถามที่จะสอนเฉพาะทหารระดับสูงเช่นเขาเท่านั้น เฮสเลนเองก็พยายามต่อต้านเต็มที่ ทั้งใช้พลังผลักดันมนตราของอัลล์กลับไป...ถึงขนาดบังคับให้ความมืดเปลี่ยนเป็นรยางค์หลายสิบเส้นแทงทั่วร่างเขา พวกมันขยับไปมาทั้งที่ยังอยู่ในร่างของชายหนุ่ม ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นประหนึ่งถูกฉีกร่างทั้งเป็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร่างเนื้อของเขาต้องกระอักเลือดออกมาแล้วแน่ ๆ แต่หัวหน้าทหารแห่งพาเทร่ายังกัดฟันสวดคาถาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง!

ดาบเสมือนจริงทั้งสามเล่มกลายเป็นสื่อกลางส่งพลังของอัลล์กระจายไปทั่วร่างจิตของเฮสเลน ทำให้พลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงก้อนจิตเล็ก ๆ นี้เริ่มเหือดแห้ง ร่างเล็กบางทรมานจนบิดเร่าไปมาและคำรามอย่างหัวเสีย เพราะอำนาจของอัลล์ไหลบ่าเข้ามาจนมันต้านไม่อยู่อีกแล้ว มันเริ่มดิ้นรนให้หลุดจากดาบทั้งสองเล่มแบบไม่สนใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตนเองบ้าง ร่างจำแลงเริ่มแตกร้าวจนเห็นแสงเวทสีม่วงที่ไหลพล่านอยู่ในนั้น ยิ่งอัลล์สวดคาถาใกล้จบเท่าไหร่ พลังของเขาก็ยิ่งสำแดงอำนาจมากขึ้นเท่านั้น!

“หยุด...แกอยากให้เด็กคนนั้นตายไปด้วยเหรอ!”

ร่างจิตของเฮสเลนชี้แขนด้วน ๆ ไปยังนาซิลลาที่นอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น ถึงอัลล์จะไม่ได้หันไปมองก็ได้ยินเสียงร้องครางอย่างทรมานของเด็กสาวอย่างชัดเจน เพราะการต่อสู้เกิดขึ้นในร่างจิตของเธอ เทพจันทราจึงได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่อัลล์ยังแข็งใจสวดคาถาต่อไป ทำให้ร่างจิตของเฮสเลสดิ้นพราดหนักกว่าเดิม

“หยุด! หยุดเซ่!” มันคำรามแล้วอ้าปากยิงพลังสีดำใส่อัลล์ในระยะประชิด แต่ทหารหนุ่มเอี้ยวศีรษะหลบได้ยังผลให้พลังนั้นตกลงพื้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำให้นาซิลลาเจ็บปวดซึ่งมีผลมาถึงหัวใจของชายหนุ่มเช่นกัน กระนั้นเขายังยึดดาบที่ปักกลางอกร่างจิตของศัตรูแน่น พลังเวทของเขาในตัวมันเรืองเปล่งอำนาจจนถึงขีดสุด

“คงหยุดไม่ได้หรอก ข้าต้องช่วยนาซิลลา...สลาย!”

ทันทีที่ขาดเสียงปลดปล่อยมนตรา เวทสลายวิญญาณก็ระเบิดจากภายในฉีกร่างจิตของเทพร้ายให้แหลกเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินพลังกับเวทมนต์ของเทพรัตติกาลในพริบตา แต่แรงสะท้อนคล้ายแรงระเบิดที่เกิดขึ้นกลับกระแทกจิตของอัลล์กลับสู่ร่างอย่างรุนแรง...แรงเสียจนกายเนื้อของเขากระเด็นไปชนต้นไม้หินอย่างจัง เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวรวมถึงจุดที่ถูกทำร้ายในห้วงจิตด้วย แต่แม้จะทรมานจนแทบทนไม่ไหว ชายหนุ่มก็ยังกัดฟันคลานกลับไปหานาซิลลาที่มีนอนขดคู้และมีเลือดไหลออกจากปากกับจมูกเหมือนเขา

“นาซิลลาเป็นอย่างไรบ้าง!” เขากอบตัวเอมาอยู่ในอ้อนแขนอย่างลำบาก อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึก แต่ชายหนุ่มยังอดทนใช้พลังตรวจสอบอาการของนาซิลลาให้ดี ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงพลังของเฮสเลนแล้ว แต่พลังชีวิตของเด็กสาวกลับอ่อนแอจนน่าตกใจ ภายในของเธอก็บาดเจ็บสาหัสพอ ๆ กับเขา มันเป็นผลจากการที่ถูกเฮสเลนบังคับร่างของเธอให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

“อัลล์...” ในที่สุดเด็กสาวก็ลืมตามองเขาจนได้ เธออยากจะยกมือขึ้นมาสัมผัสตัวเขา แต่แขนและขากลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย ถ้าจะพูดให้ถูกคือ...เธอแทบไม่รู้สึกถึงร่างกายของตัวเองเลยด้วยซ้ำ “ปลอดภัยดีใช่ไหม...ข้า...ขอโทษนะ...”

“ขอโทษแบบนี้ไม่สมเป็นเจ้าเลย นาซิลลา” อัลล์กระชับตัวเธอแน่นเตรียมจะลุกขึ้น แต่อาการบาดเจ็บภายในกลับรุนแรงจนแทบขยับไม่ไหว แม้จะรีบใช้พลังเยียวยาทันที ทว่าก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าพละกำลังจะกลับคืนมามากพอพานาซิลลากลับมหานครแห่งสวรรค์ได้

“ต้องขอโทษสิ...” เด็กสาวพูดเสียงแหบโหย กะพริบตาช้า ๆ เหมือนกับคนที่ง่วงจัดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พลังชีวิตที่อ่อนแอกำลังทำให้ร่างกายของเธอจำศีล แต่เด็กสาวยังฝืนเพื่อพูดความในใจ “ข้าโง่เอง ทุกคนถึงเดือดร้อนอย่างนี้ อัลล์ต้องมาเจ็บแบบนี้ ฮาธอสด้วย...”

“เลิกพูดไร้สาระ เก็บพลังไว้เถอะ แต่ห้ามหลับเด็ดขาด ถึงตายข้าก็จะพาเจ้ากลับไปหาฮาธอสให้ได้!”

อัลล์คำรามและรวบรวมพละกำลังเพื่อลุกขึ้นยืน ทุกอณูในร่างกายส่งเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดจนสุดจะทน เลือดไหลย้อนมาอยู่ในปาก บางส่วนล้นจนหยดลงบนตัวเด็กสาว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องยืนนิ่งและฝืนกลืนเขายืนนิ่งและฝืนกลืนทั้งหมดนั้นลงคอไปแล้วออกเดินเพื่อพานาซิลลากลับเมือง

แต่ทันใดนั้นเองโสตประสาทของชายหนุ่มก็แว่วยินเสียงหวีดดังมาจากบนฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงเวทสีดำกำลังตกลงในป่า ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก สัญชาตญาณสั่งให้เขารีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้หินต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ซึ่งเพียงร่างของทหารหนุ่มกับเทพจันทราเร้นหายไปหลังเงาไม้ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องตามด้วยแรงระเบิดที่ซัดไปทั่วทุกทิศ เขาต้องใช้ร่างกายของตนเองปกป้องเด็กสาวไว้มิให้ถูกฝุ่นทราย หรือแม้แต่เศษกิ่งไม้หินที่ถูกซัดมาปลิวใส่เสียก่อน เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วก็เงยหน้ามองเบื้องบน

“เริ่มกันแล้วสินะ นาซิลลาอดทนอีกนิด มหาเทพไคซัสกำลังจัดการกับเฮสเลนอยู่” อัลล์บอกกับเด็กสาวในอ้อมแขน เธอจึงปรือตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง แววตาที่เลื่อนลอยนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย

“ข้า...ไม่เป็นไร...อัลล์ไปช่วย...เขาเถอะ...” เทพจันทราพูดเสียงแผ่วจนต้องก้มลงมาฟังใกล้ ๆ ถึงจะรู้เรื่อง “ข้า...เป็นคนทำ...ให้เสีย...เรื่อง...ดังนั้น...ไม่ต้องสนใจ...เฮสเลน...ตั้งใจ...จะทำลาย...มหา...นคร...เจ้าต้อง...ช่วยเขา...จัดการมัน...ให้ได้...”

“ข้าก็อยากทำแบบนั้นนะ แต่ข้าบาดเจ็บอยู่ไม่มีพลังพอช่วยเขา สำคัญที่สุดข้าทิ้งเจ้าไปไม่ได้!” อัลล์หมายความเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปกับการวิ่งหนีดวงเวทเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ขาของเขาสั่นจนขยับไม่ไหว นับประสาอะไรกับการไปช่วยมหาเทพสงครามเล่า และเจ้านายของเขาก็คงไม่พอใจแน่ ถ้าเขาจะทิ้งนาซิลลาไว้ที่นี่แล้วไปช่วยเจ้าตัวจัดการกับเฮสเลน

“ถ้าอย่างนั้น...ก็ไปหา...ฮาธอส...ไม่ต้องห่วง...ข้า...” นาซิลลาส่งสายตาเว้าวอนระคนสำนึกผิดมาหาเขา “เป็นเพราะข้า...เรื่องถึง...ได้แย่ลง...แบบนี้....ข้าโง่เอง...ที่เชื่อคำพูด...ของมัน...ถ้าข้ายอมรับ...ความผิดหวัง...ได้...คงไม่เป็น...แบบนี้...”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” อัลล์ตระกองกอดร่างบางแนบอก ถ่ายทอดพลังชีวิตของตนให้เธอ หวังเพียงประคับประคองชีวิตของเด็กสาวให้ถึงที่สุดเท่านั้น เขาเพิ่งจะเปิดเผยความในใจให้เธอรู้ เพิ่งจะช่วยชีวิตเธอกลับมาได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมเสียเธอไปเด็ดขาด ถ้าจะตาย...ก็ขอตายด้วยกัน!

นาซิลลานั่งนิ่งในอ้อมแขนของเขา รวบรวมพละกำลังเพื่อคิดและสรรหาคำพูดมาเกลี่ยกล่อมให้อัลล์เลิกช่วยตนและกลับไปช่วยเจ้านายเท่าที่จะทำได้ เทพจันทรารู้ดีว่าการกระทำแบบนี้ดูไม่เหมือนตัวจริงที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจเท่าไหร่นัก แต่ในฐานะของคนที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง เธอก็ควรจะรับผิดชอบบ้าง มหาเทพสงครามเองก็จำเป็นต้องมีใครสักคนช่วยด้วย

ทว่ายิ่งเธอปล่อยเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สติก็ยิ่งลดน้อยถ้อยลงตามระดับพลังชีวิตที่กำลังจะเข้าสู่สภาวะจำศีล สมองขาวโพลนจนแทบคิดและทำความเข้าใจไม่ได้อีกแล้ว รับรู้ได้เพียงความอบอุ่นจากตัวกับพลังของอัลล์เท่านั้น นายทหารหนุ่มกอดเธอแน่นขึ้นคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น...

“อัลล์...”

“ว่าอย่างไร พูดมาเลย ข้ากำลังฟังอยู่” อัลล์ขยับตัวเธอขึ้นมาใกล้หูอีกนิด ตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กสาวกำลังพูด แต่อีกนัยหนึ่งเขาก็กำลังกลบเกลื่อนไม่ให้เธอเห็นน้ำตาของเขาด้วยเช่นกัน

“สัญญา...รอนะ...ข้าจะหลับ...ไม่นาน...หรอก...” เสียงหวานทักทอคำพูดด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ ดวงตาของเธอไม่สามารถปรือมองเขาได้อีกแล้วด้วยซ้ำ เสียงสูดจมูกของเขาก็คล้ายแว่วดังมาจากที่ไกล ๆ “ข้า...อยากคุย...กับเจ้าอีก...”

“ได้! ข้าจะคุยกับเจ้าทุกอย่าง แต่ห้ามหลับเด็ดขาดนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม!”

ถึงแม้ว่าอัลล์จะตะโกนจนสุดเสียงของตนแล้ว แต่คำพูดของชายหนุ่มก็ไม่อาจส่งถึงนาซิลลาได้อีกต่อไป สติของเด็กสาวดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอันล้ำลึกสุดจะถึงก้นบึ้ง สิ่งเดียวที่เธอรับรู้มีเพียงวาจาที่เค้นพลังเฮือกสุดท้ายคิดขึ้นเพื่อจะพูดออกไป...โดยไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น...

ข้าอยากจะรู้...ให้มากกว่านี้...

...เรื่องที่เจ้ารักข้า...


-----------------

และแล้ว....ความลับของหัวใจก็ถูกเปิดเผย =w="
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 10-09-2013 01:32:41
ในที่สุดหล่อนก็สำนึกได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 11-09-2013 19:17:02
บทที่ 20 ศึกสยบเทพสวรรค์

“เฮงซวย แย่ที่สุด...สารเลว!”

เฮสเลนวิ่งลัดเลาะผ่านป่าที่เต็มไปด้วยความเร็วสูง มือที่มีอยู่ข้างเดียวกุมดาบในท่าพร้อมรับการโจมตีทุกรูปแบบ อีกข้างที่มีละอองสีดำฟุ้งออกจากส่วนที่ขาดเรืองแสงแห่งมนตราบาง ๆ ปากก็สบถถ้อยคำหยาบคายสารพัดที่นึกขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ขณะดวงตากลอกไปมาจับความเคลื่อนไหวผิดปกติไปด้วย

เพียงทันทีที่สัมผัสได้ว่าอัลล์ทำลายจิตของเฮสเลนในตัวนาซิลลาได้แล้ว ไคซัสที่คุมเชิงอยู่ในระหว่างที่องครักษ์ช่วยกันกำจัดฝูงแมลงไสยเวทให้หมดก็เข้าโจมตีเฮสเลนทันที เทพรัตติกาลหลบเลี่ยงมาได้และตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปกำจัดนาซิลลากับอัลล์เป็นการแก้แค้นฐานทำให้เขาเกือบเสียท่าให้มหาเทพสงคราม

ทว่าตอนที่กำลังวิ่งผ่านลานโล่งเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างทาง จู่ ๆ ก็มีพลังเวทสีฟ้าดวงใหญ่ยิงใส่กะทันหัน เทพร้ายรวมพลังไว้ที่ดาบแล้วปัดมันกลับคืนเข้าของซึ่งก็คือ หนึ่งในองครักษ์ของไคซัสนั่นเอง แต่ในจังหวะที่ละสายตาไปก็มีองครักษ์สองตนโผล่มาเสือกดาบใส่ตรง ๆ ทางด้านหน้า เฮสเลนทะยานตัวขึ้นด้านบนพร้อมสะบัดอาวุธหมายจะสังหารพวกนั้นด้วยเวทดาบจันทร์เสี้ยว แต่องครักษ์คนที่สี่ซึ่งซ่อนตัวอยู่กลับยิงเขาด้วยลูกศรแสงจนเสียโอกาส เทพร้ายคำรามอย่างโมโหแล้วอัดพลังเวทที่แข็งแกร่งกว่ากลับไป ทว่าองครักษ์อีกคนก็ปรากฏตัวจากเงามืดมากางโล่มนตราป้องกันไว้ได้ทันเวลา

“เฮงซวย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี พวกทหารก็เฮงซวย!!”

เทพร้ายผมสีดำตวาดอย่างหัวเสียและหมุนตัวกลับไปตวัดดาบใส่แนวต้นไม้ที่เพิ่งวิ่งผ่านมา ใบมีดเวทมนต์ขนาดเล็กนับสิบเล่มบินไปสะบั้นพฤกษาศิลาสี่ต้นขาดเป็นชิ้น ๆ โค่นลงมาขวางทางพวกราชองครักษ์ทำให้เสียจังหวะกันไปหมด แต่ยังไม่ทันที่เฮสเลนจะได้ขยับไปไหนไกล พลันมีแสงสีส้มตกลงมาจากข้างบนอย่างเร็ว!

เสียงศัตราวุธเหล็กกล้าปะทะกันอย่างแรงกังวานไปทั่วบริเวณนั้น เหล่าองครักษ์รีบกระจายกำลังล้อมไว้ บางส่วนแยกออกไปจัดการกับแมลงไสยเวทฝูงเล็ก ๆ ที่ไล่ตามเจ้าของแสงสีส้มมา ในขณะที่เทพร้ายใช้แขนเสริมแรงดาบไว้มิให้หอกของมหาเทพสงครามผ่านมาต้องร่างตนเองได้

“ฮึ่ม! แข็งแรงจังนะ” มันกัดฟันกรอด

“เจ้าเองก็เหมือนกัน มีแขนข้างเดียว แต่รับมือกับคนของข้าได้สบายเลย” ไคซัสว่าพลางออกแรงกดอีกนิดส่งผลให้อีกฝ่ายทรุดลงบนเข่าข้างหนึ่ง

“แต่ยังไม่เท่ากับเจ้าหรอก ไปเอาแรงควายแบบนี้มาจากไหน!”

ขาดเสียงตวาด ดวงตาสีน้ำเงินของเฮสเลนก็เปล่งแสงสีแดงฉาน ไคซัสรีบเอียงหน้าหลบไปข้าง ๆ ได้ทันเวลา แม้ว่าผมจะถูกพลังนั้นเผาไปสองสามเส้น เฮสเลนกระแทกตัวมหาเทพสงครามออกไป ก่อนจะเป็นฝ่ายบุกบ้างเพื่อชิงความได้เปรียบ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเติบโตมาท่ามกลางอาชญากรหรืออย่างไร ดาบของมันจึงเล็งช่องโหว่ของไคซัสอย่างแม่นยำเกือบทุกครั้ง อีกทั้งยังอาศัยรูปร่างที่ปราดเปรียวกว่าหลบหลีกการโจมตีได้อย่างคล่องแคล้ว พร้อมกันนั้นก็บังคับฝูงแมลงไสยเวทเข้าเล่นงานพวกองครักษ์มิให้มาขัดขวางการต่อสู้ของพวกเขาอีกด้วย

“เสร็จข้าล่ะ!” เฮสเลนแสยะยิ้มสาแก่ใจเมื่อไล่ต้อนไคซัสไปจนมุมใต้ต้นสนหินยักษ์ขนาดใหญ่ได้ มันเสือกดาบฉาบมนตราเข้าไปอย่างเร็วหมายเผด็จศึกนี้ มหาเทพสงครามปัดมันออกไปด้วยมือเปล่า แต่ทันทีที่ดาบฝังลึกลงในเนื้อไม้หิน เทพร้ายก็ใช้พลังเวทเคลือบใบดาบแล้วตวัดใส่ไคซัสทันใด มหาเทพสงครามต้องกระโดดหลบไปข้าง ๆ แต่เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เทพร้ายจึงทะยานเข้ามาฟาดดาบใส่มหาเทพสงครามอย่างแรง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไหนบอกว่าจะจัดการกับข้าไงล่ะ ทำแค่นี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอกนะ!” แล้วใบหน้าที่เหมือนกับฮาธอสก็เหยียดยิ้มหวานที่ดูน่ารังเกียจอย่างยิ่ง “หรือเพราะหน้าของข้าเหมือนฮาธอส เจ้าเลยไม่กล้าลงมือ...”

“อย่าล้อเล่นนะ”

“ถ้าอย่างนั้นมันเพราะอะไรกันล่ะ เมื่อร้อยปีก่อนเจ้าเล่นงานร่างจิตของข้าได้ง่าย ๆ แต่ทำไมเจอกันอีกทีถึงกลายเป็นไอ้อ่อนแอไปแล้ว!”

เฮสเลนกระแทกดาบกลับอย่างกะทันหันทำให้ไคซัสตกใจ ชายหนุ่มฉวยโอกาสนั้นหวดด้ามดาบใส่อย่างไม่ปรานี แรงกระแทกหนักหน่วงขนาดทำให้มหาเทพสงครามเกือบล้มทั้งยืน แต่เทพร้ายเตะสวนขึ้นมาทำให้เขาต้องพลิกตัวหลบและล้มกลิ้งไปบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหลบลูกไฟกว่าสิบลูกที่เทพรัตติกาลยิงใส่ สุดท้ายก็กระโดดหลบไปข้างหน้าสุดแรง เมื่อมนต์เพลิงลูกใหญ่ถูกยิงมาโดนไม้อีกต้นจนเกิดไฟลุกท่วมไปถึงยอด โชคดีที่เป็นป่าหินจึงไม่มีอันตรายมากกว่านั้น ทว่าไคซัสก็ต้องรับมือกับเฮสเลนต่อหลังทะยานเข้ามาโรมรันดาบใส่เขา

ถึงจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ทว่ายิ่งไคซัสสู้กับเฮสเลนเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างที่ฮาธอสเคยเล่าไว้ พวกเขาพี่น้องแตกต่างกันสุดขั้ว เทพคนสวนนั้นมีจิตใจที่ใสสะอาดและพร้อมเสียสละเพื่อคนอื่นอย่างไม่เสียดาย กลิ่นกายหอมบริสุทธิ์สมเป็นเทพที่เกิดบนสวรรค์ แต่จิตใจของเทพร้ายกลับถูกย้อมด้วยความมืด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายการฆ่าฟัน เนื้อตัวก็เหม็นโฉ่ไปด้วยคาวเลือด ชั่วชีวิตของไคซัสเพิ่งเคยเจออมนุษย์ที่น่าขยะแขยงขนาดนี้เป็นครั้งที่แรก หากไม่นับจอมอสูรที่เขาเคยชิงบัลลังก์มากับจอมมารแห่งเผ่าปีศาจที่เคยสังหารไป

ดาบเล่มเพรียวแต่อันตรายด้วยเวทมนต์ที่ฉาบคมมีดเสือกเข้ามาเฉียดลำคอไคซัสอีกหน เทพอสูรหวดอัลเจอร์กลับเป็นการตอบโต้ แต่เฮสเลนหลบเลี่ยงด้วยวิชาหายตัวแล้วไปปรากฏตัวเตะมหาเทพสงครามจากทางด้านหลัง ร่างสูงใหญ่กระเด็นหวือไปชนต้นไม้ใหญ่อย่างไม่เป็นท่าอีกรอบ

“ให้ตายสิ ทำไมยิ่งสู้ยิ่งอ่อนเล่า!” เทพร้ายเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ แขนขวาที่ไร้มือโบกไปมาจนละอองดำฟุ้งกระจายไปทั่ว ไคซัสหยัดตัวยืนขึ้นมาได้ก็ต้องยกอัลเจอร์ป้องกันศีรษะไว้อีกครั้ง เมื่อเฮสเลนมาปรากฏตัวต่อหน้าอย่างกะทันหันและสะบัดดาบใส่ด้วยความเร็วแสง อาวุธทั้งสองเล่มปะทะกันจนเกิดเสียงกังวานขึ้นอีกหน

“หึ! ความแข็งแกร่งของเจ้าไปไหนแล้ว เทพอสูร เป็นแบบนี้ เจ้าได้ตายแน่!”

ดาบถูกดึงออกไปในเสี้ยววินาทีที่ขาดเสียง ก่อนแขนขวาที่ไร้มือจะหวดใส่ศีรษะของมหาเทพสงครามเข้าเต็มรัก เพราะฉาบมนตราไว้อีกชั้นจึงสามารถเล่นงานคู่ต่อสู้ได้เสมือนต่อยด้วยหมัดจริง ๆ แต่เทพอสูรยังใจแข็งพอตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง และตอนนี้เองที่กระแสจิตของเขารับรู้ความเคลื่อนไหวจากอีกจุดหนึ่งได้

“ไปกันหมดแล้วสินะ...”

“หืม? ว่าอะไรนะ” เพราะเสียงเปรยของอีกฝ่ายเบาเกินไป เฮสเลนจึงเอียงหูไปฟังให้ถนัด

แต่ทันใดนั้นเอง กำปั้นที่ใหญ่โตเหมือนค้อนหุ้มด้วยเกราะเหล็กกล้าก็ยิงสวนมาอัดแก้มของเทพร้ายอย่างจัง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้าคมสะบัดหัน ฟันกรามหลุดจากปากไปหนึ่งซี่ แต่ยังทำให้ร่างสูงโปร่งลอยละลิ่วออกไปเหมือนตุ๊กตาไส้ขนนก เหมือนจะยังไม่พอใจมหาเทพสงครามจึงหายตัวไปปรากฏใกล้ ๆ แล้วเตะกลางลำตัวจนจุกไปหมด มือใหญ่คว้ากลางกระหม่อมศัตรูแล้วบีบแน่นจนร้องเสียงหลง จากนั้นก็เสริมกำลังแขนด้วยมนตราแล้วขวางออกไปประหนึ่งเทพร้ายเป็นเพียงหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น!

เฮสเลนเจ็บปวดจนไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนอีกบ้าง รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่หลังไปกระแทกเข้ากับต้นสนใหญ่ที่หลอมละลายจากดวงเวทที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ตัวเขานิ่งค้างอยู่ตรงนั้นสักครู่ก่อนลื่นพรืดตกลงไปยังก้นหลุมระเบิดที่ร้อนจัดจนมีควันโชยกรุ่น มันลวกผิวเนื้อตัวเขาอย่างรุนแรงจนต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยกำลังเท่าที่มีอยู่ เจ็บปวดและแสบร้อนไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“อะไรวะ...เกิด...อั่ก!” ชายหนุ่มผมดำเพิ่งคลานจนพ้นปากหลุมมาได้ไม่ไกลก็ถูกไคซัสที่ถามมาถึงกระทืบกลางหลังอย่างไม่ออมแรงสักนิด ความเจ็บปวดที่ซ่านขึ้นมาทำให้เทพร้ายหมดแรงไปชั่วขณะ

“แกถามว่าข้าสู้ไปเพื่ออะไรใช่ไหม” ไคซัสบดเท้าราวกับขยี้แมลงตัวจ๋อย เสียงร้องครวญของเทพรัตติกาลพร้อมกับละอองสีดำที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ “มาถึงตรงนี้แล้ว แกเข้าใจหรือยังว่าข้าสู้เพื่ออะไร”

ชายหนุ่มที่ถูกเหยียบอยากจะแหกปากบอกเหลือเกินกว่า ‘ไม่รู้’ แต่เขากลับฉุกใจได้ในตอนนี้เองว่าจุดที่พวกตนอยู่นั้นเป็นที่ไหน มันคือบริเวณที่อัลล์กับนาซิลลาซึ่งเป้าหมายในการแก้แค้นเคยอยู่ ทว่าบัดนี้เทพชายหญิงทั้งสองตนได้หายตัวไปแล้ว รวมถึงองครักษ์ของมหาเทพสงครามด้วย

“โกหกน่า...อย่าบอกนะว่า...อั่ก!”

“ฉลาดแล้วเรอะ?” มหาเทพสงครามออกแรงบดขยี้ที่เท้าอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนเก่งก็จริง แต่พอเริ่มสู้จริงเมื่อไหร่ก็จะสติแตกมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวจนลืมรอบข้างไปหมด ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วก็เลยสั่งพวกทหารผ่านกระแสจิตให้พาอัลวินกับนาซิลลาหนีไปในระหว่างที่ข้าล่อเจ้าไว้ล่ะ”

“หนอยแน่...อ๊าก!” เทพร้ายส่งเสียงร้องดังเมื่อน้ำหนักเท้าบนหลังเพิ่มมากขึ้น รู้สึกอึดอัดและเจ็บเหมือนตัวเองเป็นแมลงที่กำลังถูกอีกฝ่ายบดขยี้ให้ตายอย่างช้า ๆ แม้พยายามจะขยับมือเรียกเพื่อเรียกดาบกลับมา แต่ก็ถูกอัลเจอร์แทงยึดไว้กับพื้น “แก...”

“เมื่อกี้แกถามว่าข้าสู้เพื่ออะไรสินะ” ไคซัสทวนคำถามพร้อมลากใบมีดขึ้นมาตามลำแขนศัตรู เสียงแผดร้องแห่งความเจ็บปวดกึกก้อง “คำตอบนั้น ไม่ยากเลย ข้าสู้เพื่อ ‘ปกป้อง’ ไงล่ะ!”

ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบของมหาเทพสงครามจะทำให้เฮสเลนชะงักงันไปได้ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ความทรงจำในอดีตไหลบ่าเข้ามาประหนึ่ง ‘คำนั้น’ เป็นกุญแจปลดผนึก ภาพของน้องชายฝาแฝดที่มีน้ำตาอย่างหวาดกลัวหลังถูกอดีตนายของเขาพยายามขืนใจลอยเด่นในดวงตา

‘...ตราบใดที่พี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง...’

ตั้งแต่เกิดจนโต เฮสเลนรับรู้ความแตกต่างระหว่างตนเองกับน้องชายมาโดยตลอด ฮาธอสเปรียบได้กับอัญมณีเลอค่าที่เหล่าอาชญากรอยากเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น แต่มันกลับมีแต่ความมืดมน ซึ่งดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามาหาและนำพาให้จมลงสู่ความโสมมจนถอนตัวไม่ขึ้น ฮาธอสไม่เคยต้องแบกรับสิ่งใดผิดกับตัวมันที่มีความรับผิดชอบทันทีหลังจากมารดาจากไป

คำปฏิญาณนั้นเป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด เป็นคำปฏิญาณแรกและสุดท้ายที่มันมอบให้กับคนอื่นนอกจากตนเอง อีกทั้งยังทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการรักษาคำพูดนั้นเสมอมา ต่อให้สุดท้ายแล้วเส้นทางที่มันเลือกเดินจะตรงกันข้ามกับน้องชายอย่างสิ้นเชิงก็ไม่เคยบิดพลิ้ว ฉะนั้นเมื่อมันได้รู้ถึงภาระอีกอย่างที่บุพการีทิ้งไว้ในสายเลือด มันจึงหวังว่าฮาธอสจะช่วยให้การแก้แค้นสำเร็จผล

แต่แก้วมณีที่สูงส่งดวงนั้น ไม่เพียงทำให้เฮสเลนต้องผิดหวัง กลับยังหักหลังมันอย่างแสนสาหัสอีกด้วย แน่นอนว่าเทพร้ายรักน้องชายของตนเองมาก ทว่าสิ่งที่เทพคนสวนเคยกระทำไว้ก็ไม่อาจให้อภัยได้เช่นกัน แผนการที่มันสู้อุตส่าห์วางไว้อย่างดี กว่าสรรหาพรรคพวกมาได้เลือดตาแทบกระเด็น กลับถูกญาติทางสายเลือดคนสุดท้ายทำลายเสียสิ้น ซ้ำร้ายยังขังมันไว้ในสถานที่ดำมืดที่สุดและน่ากลัวที่สุด และยังเอ่ยคำนั้น...ที่ทำให้ความโกรธของมันเดือดพล่านต่อหน้าอีกด้วย!

‘...คราวนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง...’

“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย!”

จู่ ๆ เทพรัตติกาลก็ระเบิดพลังออกมา ทำให้ไคซัสต้องกางปีกมังกรและบินขึ้นไปหลบบนฟ้า แม้ว่าจะรีบแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายสำแดงอำนาจโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เกราะขาข้างหนึ่งจึงได้รับความเสียหายจนต้องเสกขึ้นมาใหม่ มหาเทพสงครามรู้ดีว่าอีกฝ่ายคลั่งขึ้นมาเพราะคำตอบของเขา สายตาที่ทอดมองภาพเบื้องล่างจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด

โดมแสงสีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่งในรัศมีสองร้อยเมตรหายไปจนหมดสิ้น ก่อนแตกออกกลายเป็นละอองสีดำลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ มันดึงดูดเมฆสีรุ้งมากมายให้ลอยมาปกคลุมท้องฟ้าเหนือหุบเขาดำ บรรยากาศมืดสลัวและหนาวเย็นด้วยไอดำที่แผ่พุ่งขึ้นมาประหนึ่งภูเขาไฟคุกรุ่น พลังมืดมิดมหาศาลค่อยไหลออกมาจากรอยแตกแยกของพื้นดินและช่องเขาไปยังศูนย์กลางการระเบิดเหมือนวังน้ำวน หนาแน่นเสียจนมองไม่เห็นตัวเทพร้าย จับได้เพียงกระจุกจิตดำมืดดุจน้ำหมึกอยู่ใจกลางกระแสหมอก ภูตพรายปรากฏตัวส่งเสียงร้องโหยหวนชวนสยองขวัญ ทุกอณูของอากาศอัดแน่นด้วยพลังด้านลบที่แข็งแกร่งขนาดทำให้มหาเทพสงครามรู้สึกกดดันได้ เขาจึงไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นเทพนักโทษที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ เหาะหนีตายด้วยความเร็วแสง

นี่น่ะหรือ พลังที่แท้จริงของเฮสเลน...ก็สมกับที่เคยเป็นที่หวาดกลัวของสวรรค์ล่ะนะ

แต่จังหวะที่หันไปทางมหานครแห่งสวรรค์ เพื่อส่งกระแสจิตสั่งให้พวกองครักษ์เตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทะเลหมอกเบื้องล่างรวมตัวกันแน่นกลายเป็นมังกรรูปร่างเพรียวยาวขนาดใหญ่ มันแผดเสียงคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ภูตพรายที่มารวมตัวกันแยกออกเปิดทางให้มันทะยานเข้าใส่มหาเทพสงครามอย่างสะดวก ไคซัสตวัดอัลเจอร์มาขวางคมเขี้ยวของมันเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้และถูกดันออกไปเรื่อย ๆ เทพอสูรกัดฟันกรอดก่อนถีบตัวเองออกไปแล้วฟันมันจนขาดเป็นสองซีก ทว่าแทนที่มันจะสลายตัวกลับไปเป็นหมอกดังเดิม พวกมันกลับกลายเป็นมังกรสองตัวและพุ่งใส่มหาเทพสงครามพร้อมกัน

ทว่าไคซัสก็ไม่ยอมถูกโจมตีแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว เขารวมพลังเวทไว้ที่มือซ้ายแล้วซัดไปทำลายมังกรตัวขวาก่อน จากนั้นก็บินไปหาตัวขวา ใช้พลังเคลือบใบมืดของอัลเจอร์ไว้แล้วแทงรัว ๆ ใส่หัวมันจนขาดเป็นชิ้น ๆ ค่อยถอยออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้ หมอกกลับมารวมตัวกันเป็นมังกรดังเดิมแล้วเริ่มไล่ล่าเขาอย่างดุร้าย แต่ละตัวกระโจนขึ้นมาจากทะเลพลังมืดดุจปลาฮุบเหยื่อ บางครั้งก็พ่นไฟออกมาทำให้มหาเทพสงครามต้องบินหลบเป็นพันวัน

แต่ในระหว่างที่หนีนั้น ไคซัสสังเกตว่าจำนวนภูตพรายมาขึ้นเป็นเหตุให้พลังศักดิ์สิทธิ์บริเวณนี้ลดต่ำลง ผิดกับพลังชั่วร้ายที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูได้จากขนาดตัวมังกรหมอกที่พองโตจนมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาถึงสิบเท่า พวกมันอ้าปากแผดคลื่นเสียงอันทรงพลังใส่เขาพร้อมกัน เล่นเอามหาเทพสงครามปวดหูจนตาพร่ามัวไปเลยทีเดียว เขาเผลอยกมือขึ้นเพื่ออุดหูเกิดช่องว่างใหญ่พอให้หนึ่งในมังกรฟาดตัวเขาตกลงไปในป่า!

“อ๊าก!”

ไคซัสกู่ร้องด้วยความเจ็บปวด ตัวของเขาไถลไปบนพื้น ทิ้งรอยครูดเป็นทางยาวก่อนหยุดลงใต้ต้นโอ๊ะหินขนาดใหญ่ แต่ก่อนที่จะขยับไปไหนมังกรตัวหนึ่งก็ทิ้งดิ่งหัวลงมากระแทกลำตัวเขาอย่างจัง ชุดเกราะพลันแตกกระจาย มหาเทพสงครามกระอักเลือดคำใหญ่ รู้สึกจุกเสียดไปทั้งตัว ก่อนมันจะขย้ำตัวเขาแล้วเหวี่ยงไปฟาดกับต้นเรดวู้ดหินจนหักเป็นสองท่อนล้มครืนไปด้วยกัน ท่ามกลางกองหินที่ทับบนตัวกับความเจ็บปวดภายในร่าง เทพอสูรเห็นมังกรทั้งสองตัวโน้มหัวลงมางับแขนเขาคนละข้างและลากขึ้นไปอยู่กลางอากาศ

เมื่อมหาเทพสงครามเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เฮสเลนก็ลอยตัวมาอยู่ต่อหน้าเขาจากด้านบน เทพร้ายดูไม่เหมือนผู้พ่ายแพ้ที่เขาเล่นงานไปก่อนหน้านี้อีกแล้ว เจ้าตัวห่อหุ้มร่างกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทที่ก่อเกิดจากมนต์ดำ มือขวาที่ขาดไปก็ถูกแทนที่ด้วยกรงเล็บสีดำทมิฬ เส้นผมแผ่สยายเสมือนผ้าคลุมมัจจุราช ดวงตาสีน้ำเงินหรี่มองเทพอสูรที่แทบสิ้นแรงอย่างเหยียดหยาม

“ต้องขอบใจเจ้ามากจริง ๆ ที่ช่วยทำให้ข้าคิดถึงเรื่องงี่เง่าจนเรียกพลังที่แท้จริงออกมาได้” ขณะกำลังพูด เฮสเลนก็แทงกรงเล็บสีดำเข้ามาในท้องของไคซัสด้วย ความเจ็บปวดซ่านขึ้นมาจนต้องกัดฟันกรอดกั้นเสียงไว้ “อา...เวลาผ่านมาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน”

“กระนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย” ไคซัสที่มีเลือดไหลมาทางมุมปากเอ่ยขึ้น “ฮาธอสเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว จริงหรือเปล่าที่สมัยก่อนเจ้าคอยปกป้องและดูแลเขา”

“จริง...” เฮสเลนตอบเนิบช้า ดวงตาเสไปทางอื่นคล้ายไม่อยากนึกถึง “ไอ้เด็กอ่อนแอนั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็ติดข้าแจ ใครจะไปนึกว่าจะกลายเป็นอสรพิษแว้งมากัดกันแบบนี้!”

“แล้วเจ้าหลุดออกมาจากผนึกได้อย่างไร” คำถามเนิบช้ายังดำเนินต่อไป ราวกับคนถามไม่เกรงกลัวต่อความตายที่กำลังจะมาเยือน

“พลังมืดของหุบเขานี้ช่วยข้าไว้ เจ้าเห็นไหมล่ะ” เทพร้ายผายมือไปยังหมอกดำที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างหลัง กางแขนออกและหมุนตัวล้อไปกับมันอย่างเริงร่า ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มกว้างราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง “หุบเขานี้เต็มไปด้วยพลังมืดที่แข็งแกร่ง ข้าค่อย ๆ ดึงมันมาใช้ทีละน้อย ต้องใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปีกว่าผนึกจะเปิดกว้างพอฉีกมือออกไปได้ แต่ก็ยุ่งยากเอาเรื่อง เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินไปเลยต้องแผ่พลังมืดออกไปทีละน้อย ทำให้มันกลืนกับพลังของสวรรค์ ไหนจะต้องทำลายเขตแดนเพื่อลดประสิทธิภาพในการทำงานของมันอีก ความจริงข้าตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้ตอนบุกทำลายสวรรค์ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาแสดงก่อนแบบนี้”

มันหมุนตัวมาเตะก้านคอมหาเทพสงครามอย่างจัง ความรุนแรงนั้นมากพอทำให้เทพตัวโต ๆ อย่างอัลล์ล้มตึงได้สบาย แต่ไคซัสกลับยังทนได้ แม้ว่าจะตาพร่าอยู่ เขาก็ยังมีสติและเลื่อนสายตากลับไปหาเฮสเลนอย่างกังขา

“ถ้าแก้แค้นสำเร็จ เจ้าจะทำอะไรต่อไป” เหมือนจะยังไม่พอใจ มหาเทพสงครามจึงถามต่อก่อความรำคาญให้เฮสเลนเล็กน้อย แต่เพราะเป็นคำถามที่ถูกใจมันจึงยื่นหน้าเข้าไปตอบใกล้ ๆ

“ข้าจะเด็ดหัวมหาเทพจ้าวสวรรค์และขุนพลเทพทุกคน จากนั้นก็เปิดทวารดินให้เทพรัตติกาลกลับขึ้นมาใช้ชีวิตบนสวรรค์ ข้าจะสร้างสวรรค์สีดำที่เทพแบบเดียวกันกับข้าจะได้เสวยสุขร่วมกันชั่วนิจนิรันดร์”

เทพร้ายเงยหน้าและหัวเราะกับฟ้าสีดำอย่างอหังการ แต่ไหนแต่ไรมามันก็เกลียดชังสวรรค์ที่สวยงามนี้อยู่แล้ว เมื่อค้นพบเหตุผลที่ทำให้ตนต่อต้านทวยเทพแห่งความดีงาม ความปรารถนาจะทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์ของเทพรัตติกาลจึงเป็นความฝันสูงสุดไปโดยปริยาย ในตอนแรกมันก็เสียดายที่แผนการไม่สำเร็จถึงสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สองซึ่งมันไม่สามารถลอบสังหารไคซัสได้ แต่ตอนนี้มหาเทพสงครามอยู่ต่อหน้ามันแล้ว ในสภาพที่อ่อนแอกว่าทุกอย่าง เฮสเลนจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปแน่!

“อย่างนั้นรึ เพื่อความฝันของตัวเองแล้ว เจ้าถึงกับจะฆ่าน้องของตัวเองเลยรึ”

“เป็นน้องแล้วยังไง ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นทำอะไรเป็นบ้าง!” เฮสเลนตวาดก้อง “วัน ๆ เอาแต่พูดถึงความดีงาม ไม่เคยทะยานอยาก แต่ว่าเพื่อปกป้องคนที่เคยกดขี่พวกเรา มันกลับหักหลังข้าเสียได้ เฮอะ! จะปกป้องข้าอย่างนั้นเรอะ จากอะไรกันล่ะ กล้าพูดออกมาได้ โง่จริง ๆ!”

“คนที่โง่น่ะ มันเจ้ามากกว่า”

“ว่าอย่างไรนะ จะมากไปแล้ว!”

เฮสเลนคำรามพลางกดเล็บเข้าไปอีกหมายจะฉีกอีกฝ่ายฐานสามหาวผิดเวล่ำเวลา แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายนิ่งไปเสียเอง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวทำให้กล้ามเนื้อรัดรอบมือมันแน่น มังกรหมอกทั้งสองตัวครางอย่างกระสับกระส่ายและขย้ำแขนศัตรูแรงขึ้นอีก ทว่าคมเขี้ยวกลับไม่ได้จมลึกไปกว่านั้นเลยประหนึ่งผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นเหล็กกะทันหัน ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายดึงพวกมันตามแรงแขนช้า ๆ รอยยิ้มกักขฬะปรากฏบนใบหน้า

“ขอบใจจริง ๆ ที่ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์หายไป”

ก่อนเทพร้ายจะทันเข้าใจความหมายของเทพอสูรสงคราม ร่างของไคซัสก็เปล่งแสงสีส้มเจิดจ้าพร้อมกันไอร้อนฉ่าที่แผ่ซ่านเข้าไปในตัวมังกรหมอกทั้งสอง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ตัวของพวกมันพองออกก่อนจะแตกสลายเหมือนลูกโป่งที่ถูกแก๊สมากจนเกินไป

เสียงระเบิดดังกึกก้องอีกครั้ง เพราะพลังที่ทำให้เกิดเสียงนั้นไม่ใช่ของตน เฮสเลนจึงหูอื้อตาลายไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกชกกระเด็นและยังถูกกระแสลมปั่นป่วนหอบลอยไปในอากาศเหมือนใบไม้แห้ง เทพร้ายสบถพลางลืมตาหาที่ยึดเหนี่ยว ครั้นคว้ากิ่งไม้หินใหญ่ได้ก็ปีนขึ้นไปใช้กรงเล็บตัวเองไว้กับลำต้นมิให้ปลิวไปอีก

สายธารความมืดของหุบเขาดำเคลื่อนตัวอีกครั้ง เมื่อมหาเทพสงครามดูดพวกมันเข้าไปในร่าง เขาได้รู้ในตอนที่เฮสเลนสำแดงพลังแท้จริงออกมา ว่าความมืดของที่นี่เหมือนกับดินแดนเบื้องล่างไม่ผิดเพี้ยน เทพอสูรจึงใช้มันทำให้ร่างกายกลับไปแข็งแกร่งดังเดิม เสร็จแล้วก็ปลดปล่อยออกไปในรูปจิตสังหารอันทรงอานุภาพ ท้องฟ้าที่มีเมฆสีรุ้งแซมแทรกอยู่บ้างซึมซับพลังมืดจนกลายเป็นสีดำไปหมด แม้แต่ลมก็เปลี่ยนกระแสซัดโถมเข้าใส่เฮสเลนจนเกือบตกลงจากต้นไม้ บรรยากาศหนักอึ้งประหนึ่งถูกกดทับด้วยก้อนหินใหญ่ยักษ์ ภูตพรายกรีดร้องด้วยความกลัวและหนีตายกันอลหม่าน ทั้งหุบเขาเหมือนถูกครอบงำด้วยจิตแห่งความตายที่แหลมคมซึ่งมุ่งตรงมาหาเฮสเลนเพียงผู้เดียว

“ทำไม...เพราะอะไร...” เฮสเลนเค้นเสียงถามตัวเองอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างตะปบลงบนต้นแขนเมื่อรับรู้ถึงอาการสั่นเทาจากความกลัว มันล้นทะลึกขึ้นมาจากส่วนลึกของซอกลืบหัวใจ ความรู้สึกที่หายไปนานเกือบหนึ่งพันปีได้กลับมาแล้วและกระตุ้นให้สมองที่ไม่ค่อยจะปราดเปรื่องนักทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าได้

“พลังศักดิ์สิทธิ์!”

ใช่! พลังศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ทำให้ไคซัสไม่สามารถใช้พลังแท้จริงของตนได้ ตั้งแต่เริ่มสู้กันมาเจ้าตัวก็ใช้แค่กำลังกายกับเวทมนต์พื้นฐานกับค่อนไปกลาง ๆ เท่านั้นเอง แต่เมื่อเฮสเลนแสดงพลังแท้จริงออกมาและทำให้อำนาจมืดของหุบเขาดำเคลื่อนไหว พลังศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นี้จึงจางหายไปมากพอช่วยให้ไคซัสใช้อำนาจแท้จริงของตนได้เช่นกัน ที่สำคัญพลังของเขากับเทพร้ายยังแตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ

หากเฮสเลนเป็นหยดหมึกขนาดใหญ่กลางผ้าขาวสะอ้าน ไคซัสก็คือ ‘สีดำ’ ที่จะอาบย้อมผ้าทั้งผืนให้ดำสนิท จิตสังหารของเขาเกินกว่าระดับ ‘เทพอสูร’ ไปแล้ว สมควรจะเรียกว่า ‘มารร้าย’ เสียด้วยซ้ำ คนละระดับกัน...สัญชาตญาณของเทพร้ายกรีดร้องบอกเช่นนี้ มันคิดถึงคำพูดอีกคำของฮาธอส

‘...ปกป้องท่านจากทุกอย่าง...’

ความหมายของคำพูดนั้นหมายถึงแบบนี้ใช่ไหม...ฮาธอส...น้องชายของเขากลัวว่าเขาจะไปทำร้ายใครอีก และกลัวด้วยว่าเขาจะถูกใครที่เก่งกว่าทำร้ายด้วย จึงตัดสินใจกักขังไว้ในสถานที่เลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วอำนาจของหุบเขาดำจะช่วยให้เฮสเลนดิ้นหลุดจากพันธนาการได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยก็ตาม

ฮาธอสตั้งใจจะปกป้องพี่ชายจริง ๆ!

กว่ากระบวนการคิดจะเสร็จสิ้น สายลมแห่งความตายก็พัดกระโชกมาปะทะร่างมันอีกครั้ง ด้วยความรุนแรงขนาดเกือบทรงตัวไม่อยู่ แต่อึดใจต่อมามันก็หายวับไปและแทนที่ด้วยกลิ่นคาวเลือด เฮสเลนลืมตาขึ้นก็เห็นดวงแก้วสีส้มที่มีเกล็ดประกายสีทองสุกสกาวลอยเด่นตรงหน้า โดยมีเงาร่างใหญ่โตของเทพอสูรในร่างกึ่งอสูรเป็นฉาก ปีกมังกรสยายกว้างบดบังสายตาเฮสเลนจากทุกสรรพสิ่ง วินาทีนี้เองที่มันได้รู้คำว่ากลัวจนลืมหายใจ

“ขอโทษที่ปล่อยให้เวลายืดเยื้อมาขนาดนี้ แต่ข้าไม่ใช่พลังแท้จริง ข้าคง ‘ฆ่า’ เจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

ฉับ!

เสียงเหล็กตัดผ่านบางสิ่งที่หนาแน่นดังขึ้นในเสี้ยววินาทีที่เฮสเลนกำลังทำความเข้าใจ ความเจ็บมหาศาลที่แล่นริ้วขึ้นมาเรียกดวงตาสีน้ำเงินให้หลุบลงมองเบื้องล่าง ก็เห็นว่าร่างกายของตนเองถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เงาทะมึนที่เคลื่อนไหวในท่วงท่าวาดหอกทาบทับใบหน้าขณะร่างกายส่วนบนกำลังจะหล่นลงพื้น เทพร้ายมองไปจึงรู้ว่าอีกฝ่ายยืนอยู่บนหมอกดำและกำลังตั้งท่าเตรียมแทงตรง

ตาย...

ข้ากำลังจะตาย...

เพียงไคซัสเสือกอัลเจอร์มาปักตรงกลางอกและบิดหมุนพร้อมใช้เวทสังหาร ร่างกายของเทพร้ายก็แตกสลายเป็นฝุ่นละอองสีดำมันวาวในพริบตา ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่ควรจะเป็นแก่นวิญญาณเปล่งแสงนวลตาลอยค้างรอเวลาบดขยี้ ทว่าดวงแสงสีเงินนั้นกลับทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็ว มหาเทพสงครามรีบสะบัดปีกไล่ตามไปทันที แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดไม้อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว

ทว่าเมื่อมหาเทพสงครามพ้นยอดไม้ อีกฝ่ายก็บินหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ร่องรอยมนตรามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งเขาไม่อยากให้มันไปมากที่สุด!

-------------------
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 19 up 09/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 11-09-2013 19:18:38
‘ไม่!’

‘ข้าจะตายไม่ได้!’

‘...แต่ถ้าจะต้องตายก็ไม่ยอมไปคนเดียวหรอก!’

ดวงจิตของเทพร้ายปฏิญาณกับตนเองด้วยความคับแค้น มันบินผ่านพยับเมฆสีทองด้วยความเร็วปานสายฟ้า จริงอยู่ที่ร่างกายของมันถูกมหาเทพสงครามทำลายไปแล้ว แต่ยังเหลือชิ้นสวนที่สมบูรณ์พออยู่อีกชิ้น ขอแค่ไปถึงที่นั่นได้ มันก็จะสามารถสร้างร่างใหม่ขึ้นมาได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นมันจะฆ่าเทพทุกตนเป็นการแก้แค้น!

ไม่สิ...ถ้าจำเป็นก็ขอแค่คนเดียวก็ได้ เพราะมันติดตามความเคลื่อนไหวของนาซิลลามาช้านาน จึงรู้ดีว่ามหาเทพสงครามพึงใจในตัวฮาธอสและฮาธอสเองก็มีใจปฏิพัทธ์ในมหาเทพสงครามเช่นกัน หากว่าเฮสเลนจัดการกับฮาธอสได้ ไอ้อสูรแดงตัวนั้นก็จะทรมานเจียนตาย แค่คิดก็สนุกแล้ว

ไม่ช้าภาพของมหานครแห่งสวรรค์ก็ปรากฏให้เห็น เฮสเลนสังเกตเห็นทิวธงของกองทัพสวรรค์กับกำลังทหารที่เรียงราย ทั้งบนกำแพงและหน้ากำแพงช่วงนั้นได้อย่างดี แต่สิ่งที่ผิดไปคือ ผู้นำทัพมิใช่เทพนักรบระดับสูงหรือขุนพลเทพ แต่เป็นบุรุษชุดขาว ผมสีทองปักด้วยปิ่นเงินสองเล่ม นั่งอยู่บนหลังอสูรสิงโตดำตัวเขื่องขวางลำประตูบานยักษ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร มันจำได้ดีว่าชายคนนั้นเป็นใคร

‘ฮาธอส!’

“ท่านพี่!” เสียงของฮาธอสถูกขยายด้วยมนตรากังวานมาไกลถึงจุดที่มันอยู่ “ยอมแพ้เถอะ”

‘ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!’ ว่าแล้วความเร็วของมันก็เพิ่มมากขึ้น เหยื่อมาอยู่ต่อหน้าแบบนี้ ใครจะยอมแพ้กันล่ะ!

ฮาธอสมองดวงจิตของพี่ชายที่พุ่งตรงมาอย่างไม่ลังเลด้วยความตกใจ สัมผัสได้ถึงโทสะมหาศาลซึ่งพร้อมจะคร่าทุกชีวิต ทว่านั่นมันตอนที่เจ้าตัวยังมีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ในตอนนี้เจ้าตัวมีแค่จิตเล็ก ๆ ดวงเดียวไม่มีทางต้านทัพสวรรค์ได้แน่

ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนเฮสเลนจะมาถึง ฮาธอสหันกลับไปมองบนกำแพง เหนือประตูมหานคร ซึ่งมีผู้นำกองทัพสวรรค์ตัวจริงยืนอยู่ด้วย เด็กสาวผู้มีใบหน้าเหมือนเซย์เรียโน่ทุกประการอุ้มไหสีดำใบใหญ่ซึ่งภายในบรรจุชิ้นส่วนมือขวาของเฮสเลนไว้ในอ้อมกอด เธอหลับตานิ่งปากขมุบขมิบอะไรคาถาอะไรบางอย่าง ตัวไหก็เรืองแสงวาบ ๆ บ่งชัดถึงการผนึกอารมณ์ซึ่งจากที่จับสัมผัสได้ มันแข็งแกร่งเอาการทีเดียว ข้างกายของเธอเสนาธิการฮิวส์กำลังปลุกขวัญทหารให้พร้อมรับศึกสุดท้ายระหว่างสวรรค์กับเฮสเลน

ภายนอกเด็กสาวตนนั้นอาจจะเหมือนเทพธิดาอ่อนแอทั่วไป แต่นี่แหละ คนที่สอนให้เขาทำลายเขตอาคมของไคซัสจากภายใน จากนั้นก็พาเขากับพัมกิ้นซ์ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาตัวออกมาจากที่คุมขังได้อย่างไรมาที่นี่ และสอนวิธีรับมือเฮสเลนให้กับเฮสเลนอีกด้วย

‘ฟังนะ ถึงแม้ว่ามหาเทพสงครามจะจัดการกับเฮสเลนได้ แต่การฆ่าจริง ๆ จะต้องทำลายแก่นวิญญาณ เฮสเลนไม่ใช่พวกรอความตาย เราต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน ถ้ามันมามหานครก็มีแต่เจ้าที่จะช่วยพวกเราได้’

วาจาของเด็กสาวดังขึ้นประหนึ่งย้ำเตือนถึงภารกิจที่ตนเป็นผู้เอ่ยปากขออย่างเอาเป็นเอาตาย ภารกิจสนับสนุนมหาเทพสงครามในการจัดการกับพี่ชายร่วมสายเลือด ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเสียใจที่ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่ในเมื่อเขาเคยทำมาครั้งหนึ่งแล้ว...และพี่ชายไม่เคยสำนึกต่อบาปกรรมเลยสักครา เขาคงต้องตัดใจเห็นแก่ตัวและกลายเป็น...ยักษ์หันดาบเข้าหาพี่ชายเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์อีกครา...

“กองทัพสวรรค์เตรียมพร้อม!”

เสนาธิการฮิวส์ตวัดมือไปด้านข้าง เมื่อฮาธอสยืนขึ้นบนหลังของพัมกิ้นซ์ สัตว์อสูรครางต่ำกางขาทั้งสี่ข้างอย่างออกพร้อมต่อสู้ ทหารทั้งกองทัพตั้งหอกในแนวเฉียงพร้อมสำหรับมือศัตรูด้วยเช่นกัน

‘ไม่มีทาง ขวางข้าไม่ได้หรอก!”

แม้จะเป็นแค่ดวงจิต แต่เสียงตวาดของเฮสเลนกลับดังก้องไปทั่วฟ้า ความชั่วร้ายที่เจืออยู่ในนั้นเขย่าขวัญทหารหลายตนได้ดีนัก ความเร็วของดวงจิตเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเก่าและเป้าหมายแรกของมันก็คือ ฮาธอส!

เปรี๊ยะ!

เสียงนั้นแหวกอากาศไปถึงหูเทพทุกตน ตามด้วยสายฟ้าสีขาวที่แผ่กระจายออกไปในอากาศ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เฮสเลนซึ่งบัดนี้ถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับไว้ก่อนจะถึงตัวน้องชายเพียงแค่เมตรเดียวเท่านั้น!

“ป้องกัน”

ฮาธอสเอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มพร้อมสะบัดมือออกไปทั้งสองข้าง ถ้อยคำง่าย ๆ แต่เปลี่ยนเปี่ยมด้วยอำนาจมหาศาลสร้างกำแพงแสงสีทองนวลตากลางอากาศ มันสูงตระหง่านเทียมเมฆเบื้องบนและหยั่งรากลึกลงไปในผืนเมฆแผ่นดินจนไม่มีช่องว่าง เสริมพลังอีกชั้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าทหารในกองทัพสวรรค์ช่วยกันปล่อยออกมา อักขระเวทน้อยใหญ่เรียงตัวกันเป็นลวดลายโบราณที่แม้แต่ทหารอายุมากที่สุดในกองทัพยังไม่เคยเห็น แน่นอนว่าฮาธอสก็ไม่เคยเห็น นี่เป็น ‘เวทกำแพงกฤษดร’ มนต์ต้องห้ามที่เด็กสาวชุดแดงตนนั้นเป็นผู้สอนเขา

‘อั่ก...อะไรกัน...ทำไม...’

ดวงจิตของเฮสเลนบิดเบี้ยวกลางกำแพงเวทมหึมานั้น มันพยายามฝ่าเข้าไปข้างในให้ได้ แต่อำนาจของฝ่ายแสงกลับแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ จิตของเทพร้ายเหมือนจะแตกสลายทุกครั้งที่ขยับ เพราะไม่มีร่างกายคอยคุ้มกันอีกแล้ว จิตวิญญาณของมันจึงถูกทำร้ายโดยตรง รู้สึกเหมือนถูกของแหลมคมสลักบางสิ่งบางอย่างลงในแก่นวิญญาณนี้ มันกู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดจะหยั่ง ซึ่งสะท้อนไปถึงคนลงมืออย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรเสีย ฮาธอสกับเฮสเลนก็เป็นพี่น้องที่เติบโตด้วยกันมาอย่างยาวนาน มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นถึงขนาดแค่เห็นกล่องใส่ชิ้นส่วนของอีกคนก็ปวดลึกไปถึงหัวใจ เมื่อต้องมาเห็นดวงจิตของพี่ชายกำลังถูกสลักและถูกขยี้ด้วยเวทมนต์ต่อหน้าแบบนี้ย่อมเจ็บปวดอย่างหาที่สุดมิได้

ทว่ามนต์ต้องห้ามทุกบทล้วนใช้พลังเวทในระดับสูง ฮาธอสเพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน พลังยังไม่เสถียรพอจึงสูญเสียพละกำลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายเจ็บปวดเหมือนจะแยกเป็นชิ้น ๆ กำแพงเวทก็อ่อนกำลังลงจนเฮสเลนเริ่มทะลวงเข้ามาได้ช้า ๆ ทำให้เทพคนสวนต้องรีบปรับเปลี่ยนกำแพงใหม่ให้เล็กลง เพื่อทำให้พลังของศูนย์กลางกลับไปแข็งแกร่งเหมือนเก่า แต่สภาพนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก เขาต้องจัดการกับพี่ชายให้ได้ก่อน!

‘เป็นอะไรไป หมดแรงแล้วหรือ’ เฮสเลนส่งเสียงถามอย่างหยิ่งผยอง พวกทหารจึงยิ่งเสริมแรงเข้ามาอีก ทว่าจิตของมันก็กำลังทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ เช่นกัน ความเจ็บปวดที่เหมือนถูกอะไรบางอย่างสลักทั้งเป็นยังคงอยู่ แต่กำแพงเวทนี้จะต้านทานมันได้อีกไม่นานแล้ว

“ท่านพี่...หยุดเถอะ...” ฮาธอสพูดอย่างลำบาก สองมือของเขาสั่นสะท้าน เช่นเดียวกับข้าทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองที่พัมกิ้นซ์เปล่งเสียงครางต่ำ พลังของมันไหลเวียนเข้ามาในตัวเขา ประคับประคองให้ยืนอยู่ได้

‘หยุด? ...เจ้าพูดแบบนี้มาอีกครั้งแล้ว เจ้าต่างหากที่ต้องหยุด! หยุดขวางข้าเสียที!’

เฮสเลนกระแทกตนเข้ากับกำแพงอย่างแรง สายฟ้าลั่นเปรี๊ยะ ๆ พัมกิ้นซ์ต้องบินถอยออกมา ไม่ใช่เพราะมันกลัว แต่เกรงว่าเทพบนหลังของตนจะเป็นอันตรายต่างหาก สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นทำให้การส่งพลังของฮาธอสชะงักไปเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยที่มากพอเปิดช่องให้เฮสเลนกระแทกตัวเข้ามาอีก เทพคนสวนรีบลุกขึ้นเพื่อใส่พลังเข้าไปอีกครั้ง ทว่าก็สายเกินไป!

เขตอาคมตรงจุดนั้นแตกกระจายราวกับบานกระจกถูกทุบ พัมกิ้นซ์กระโจนออกไปข้างหน้า อ้าปากขย้ำจิตชั่วร้ายที่ฝ่าด่านเข้ามาได้ ดวงจิตนั้นหมุนเคว้งหลบคมเขี้ยวของสัตว์อสูรได้อย่างฉิวเฉียด โดยมีละอองสีดำมันวาวฟุ้งกระจายออกมาจากตัวมันเป็นทาง ฮาธอสเอี้ยวตัวมองตามมันไป มือขวาสะบัดออกด้านข้างมีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาเตรียมจัดการกับพี่ชายอย่างเด็ดขาด ทว่าอีกฝ่ายก็เร็วกว่าเขามากนัก เฮสเลนหักเลี้ยวกลับมาแล้วหมุนควงสว่านมาชนเขาด้วยความเร็วสูง จิตนั้นทะลวงผ่านตัวเขาไปทะลุออกข้างหลัง!

“อ๊อก...!”

เลือดอุ่น ๆ สาดกระเซ็นจากปากแผลทั้งสองด้านและทะลักออกทางปากเทพคนสวน พัมกิ้นซ์คำรามอย่างตกใจ กระนั้นชายหนุ่มยังยื่นมือออกไปหมายตะครุบจิตของเฮสเลนให้จงได้ ทว่าแม้จะยื่นมือออกไปจนสุดเอื้อมแขนแล้ว สิ่งที่เขาไขว่คว้าได้กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

เทพร้ายแห่งสวรรค์ฝ่าด่านของเขาไปได้แล้ว!

‘ว่ะฮ่า ฮ่า ฮ่า นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน ลาก่อนฮาธอส!’

ว่าแล้วเฮสเลนก็ทิ้งน้องชายกับสัตว์อสูรโง่เง่าไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วปานแสงพร้อมหลบหลีกกระสุนเวทที่กองทัพสวรรค์ยิงใส่ไปด้วย สำหรับมัน ความพยายามพวกนี้ช่างไร้ค่า ตอนนี้มันไม่มีร่างกายจึงสามารถหลบเลี่ยงได้ง่ายกว่าเดิมนัก กำแพงมหานครใกล้เข้ามาทุกที เช่นเดียวกับพลังของชิ้นส่วนมือขวาของมัน ใครกันหนอช่างโง่เง่าเอาของชิ้นนั้นมาสังเวยมันถึงที่นี่!

‘เอามือของข้ามา!’

ในที่สุดดวงจิตของเทพร้ายก็ทะลวงมาถึงกำแพงมหานครจนได้ มันมุ่งตรงไปยังเด็กสาวชุดแดงที่มีกลิ่นอายชิ้นส่วนมือของมันชัดเจนที่สุด ตัวเด็กสาวเองก็ก้าวออกมาเหมือนจะรู้ตัว แต่เพียงสบนัยน์ตาสีแดงฉานของเธอ รอบข้างก็เหมือนถูกกลืนหายไปในความเงียบงัน สดับได้เพียงเสียงหวานที่บริกรรมคาถาในช่วงสุดท้าย

“ทุกสรรพสิ่งแห่งรัตติกาลล้วนกำเนิดจากความมืดมิด ด้วยพันธสัญญาแห่งองค์มหาเทพรัตติกาลอารอน ข้าขอบัญชา ‘เฮสเลน’ จงหวนคืนสู่จุดกำเนิดของตนเดี๋ยวนี้ ผนึก!”

ขาดคำ เด็กสาวในชุดแดงก็เปิดฝาไหออกแล้วส่องมาทางดวงจิตเทพรัตติกาล เฮสเลนจึงรู้ทันทีว่านั่นคือ ‘ไหสะกดวิญญาณ’ จึงรีบหักเลี้ยวขึ้นด้านบนเพื่อหลบหนี แต่ทันทีที่ทำแบบนั้นกลับปรากฏอักขระเวทเก่าแก่ขึ้นบนผิวดวงจิตของมัน ที่แท้ความรู้สึกที่มันรับรู้ตอนถูกกำแพงกฤษดรจับไว้ก็คือสิ่งนี้ มนต์ผนึกวิญญาณชั้นแรกซึ่งเชื่อมโยงถึงอำนาจของไหโดยตรงนั่นเอง

‘ข้าไม่เข้าไป ไม่...!!’

เฮสเลนกู่ร้องกึกก้อง เสียงสะท้อนสะท้านมาถึงน้องชายที่ซบหมอบกับหลังของพัมกิ้นซ์ เทพคนสวนที่กำลังเสียเลือดอย่างหนักยันตัวขึ้นมาดูเหตุการณ์ช้า ๆ ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนฉายภาพพลังที่เหมือนผ้าแพรสีดำพวยพุ่งออกจากปากไหมารวบดวงจิตของเฮสเลนแล้วลากกลับเข้าไปอย่างง่ายดาย ชั่ววินาทีนั้นเขาเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องของพี่ชายดังขึ้นในหัว

‘อย่าทำกับข้าแบบนี้ ความมืดนี้น่ากลัวเกินไป ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้า...!!’

เสียงที่มีแต่ความหวาดกลัวนั่นกัดกร่อนหัวใจของฮาธอสให้เว้าแหว่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว พี่ชายของเขากำลังได้รับโทษทำในสิ่งที่ทำไว้ เฉกเช่นเดียวกับตัวเขาที่ได้รับการลงโทษจากอีกฝ่าย ความเจ็บปวดจากกลางลำตัวนั้นรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว เขาไอเป็นเลือดติดต่อกันหลายครั้ง โลหิตสีแดงฉานไหลทะลักไม่หยุด พัมกิ้นซ์ส่งเสียงครางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างซึ่งเกือบจะไม่ได้ยินแล้ว...

...เกือบจะไม่รับรู้แม้แต่เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะของกองทัพสวรรค์

ดวงตาสีน้ำเงินปิดสนิทยามร่างของเทพคนสวนโอนเอนจะร่วงลงจากหลังของพัมกิ้นซ์...

...แต่อยากเห็นจัง...

อยากเห็นหน้าเขาคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย...

“ฮาธอส!!”

ลำแสงสีส้มสว่างวาบแวบหนึ่งพร้อมความรู้สึกแน่นรอบเอว เสียงทุ้มต่ำที่คำรามข้างหูปลุกสติของฮาธอสกลับมาอีกครั้ง พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าเลือนรางของไคซัสลอยอยู่ใกล้ ๆ นัยน์ตาสีแสดนั้นเต็มไปด้วยความตกใจและห่วงใยอย่างยิ่งยวด

“มหาเทพ...ข้ากำลัง...คิดถึงท่าน...อยู่เลย...”

“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ข้าจะห้ามเลือดให้”

เนื่องจากบาดแผลของฮาธอสสาหัสมาก ไคซัสจึงมองข้ามเรื่องที่เจ้าตัวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรไปก่อน เทพอสูรหนุ่มตกใจมากเมื่อไล่ตามเฮสเลนมาแล้วเห็นกำแพงเวทขนาดใหญ่ล้อมอยู่หน้าเมืองไกล ๆ พอใกล้เข้ามาเวทนั้นก็หายไปเหลือทิ้งไว้แต่ฮาธอสที่บาดเจ็บบนหลังพัมกิ้นซ์ ขณะพวกในเมือกำลังจัดการกับเฮสเลน

มหาเทพสงครามใจหายวาบ เมื่อได้เห็นบาดแผลของเทพคนสวน มันใหญ่จนสามารถมองทะลุไปถึงแผ่นหลังของพัมกิ้นซ์ที่อยู่ข้างหลัง ร่องรอยของพลังที่เหลืออยู่บอกให้รู้ว่าผู้ลงมือเป็นเฮสเลน มือที่กดปากแผลของไคซัสชุ่มโชกไปด้วยเลือดของฮาธอสที่นองออกมาเหมือนจะไม่หยุดไหลชั่วนิรันดร

“บ้าจริงเชียว ข้าให้พลังเจ้าไปปกป้องตัวเองนะ ทำไมถึงเอามาทำอะไรแบบนี้” ไคซัสอดใจไม่ไหวจึงดุคนในอ้อมแขนจนได้ ถ่ายพลังเยียวยาลงไป หวังให้เกิดปาฏิหาริย์กับ ‘หัวใจ’ ดวงนี้ของเขา “ข้าอุตส่าห์ขังเจ้าไว้ ใครกันนะที่ปล่อยเจ้าออกมา”

“อย่าโมโหไปเลย...ข้าแค่อยาก...ช่วยท่านบ้าง...ไม่นึกว่า...จะเป็น...แบบนี้” ฮาธอสเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่เคยใช้ปลอบโยนใครต่อใครมามากมาย ทว่าบัดนี้มันกลับทำให้คนฟังปวดร้าวเสียมากกว่า ผิวของเขาเริ่มเย็นชืด สีสันบนใบหน้าจางหายไป ดวงตาสีน้ำเงินเริ่มเลื่อนลอยจนต้องยกมือขึ้นเพื่อจับใบหน้าอีกฝ่าย

ความกลัวที่จะสูญเสียฮาธอสถาโถมเข้ามาในจิตใจของไคซัส ประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ซัดกระทบฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ในอดีตเขาเคยพบเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้มันกรีดลึกลงในหัวใจของเขายิ่งกว่าครั้งไหน มหาเทพสงครามถ่ายพลังลงไปอย่างมากมาย แต่กลับไม่อาจฉุดรั้งพลังชีวิตของคนที่รักกลับมาได้เลย

เฮสเลนอาจจะไม่ได้ฆ่าฮาธอสก็จริง แต่เทพคนสวนก็กำลังจะตายจากอาการเสียเลือดมาก เดิมทีเขาร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว การที่สามารถใช้พลังระดับสูงนั้นก็เพราะเขาทิ้งถ่ายพลังไว้ให้ เมื่อเสียงอำนาจนั้นไปทั้งหมดและยังถูกทำร้ายขนาดนี้จึงยากจะช่วยเหลือ ฤานี่จะเป็นชะตากรรมของฮาธอสจริง ๆ

“ไม่ได้...เจ้าจะตายไม่ได้!” ไคซัสคำรามอย่างดื้อรั้น สั่งให้พัมกิ้นซ์บินไปยังตำหนักมหาเทพจ้าวสวรรค์โดยด่วน เขาไม่รู้จักใครที่มีความสามารถพอที่จะช่วยฮาธอสได้อีกแล้ว ฟาเบียนซึ่งเป็นราชาแห่งฟ้าจึงเป็นความหวังสุดท้าย...

กระนั้นฮาธอสก็ดูจะรู้ตัวเองดี ร่างกายของเขาเริ่มเสื่อมสลายจากภายใน พลังมนตราเริ่มไหลเวียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขามือเรียวแต่หยาบกร้านแตะใบหน้าของไคซัสอีกหน ดวงแก้วสีส้มคู่สวยจึงเคลื่อนลงมาหาเขาอีกครั้ง

“มหาเทพ...ดวงตาของ...ท่าน...สวยเหลือเกิน...”

“เลิกพูดเถอะ เก็บแรงของเจ้าไว้” ไคซัสพูดประโยคเดียวกับอัลล์ที่เคยพูดกับนาซิลลาก่อนหน้านี้ “ข้าทำตามสัญญาแล้วนะ ข้าช่วยนาซิลลากลับมาได้ จัดการกับเฮสเลนได้ อดีตไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว ดังนั้นอยู่กับข้านะ”

“มหาเทพ...” ฮาธอสเอ่ยเสียงอ่อน

“ห้ามปฏิเสธ!” เทพอสูรกอดรัดเทพคนสวนอย่างดึงดัน “ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไป รับปากซะ รับปากว่าจะอยู่กับข้า! จะไม่ทิ้งข้าไปไหน บนสวรรค์นี้ต้องมีเจ้าเท่านั้น ข้าถึงจะอยู่ต่อไปได้!”

คำอ้อนวอนนั้นฟังราวกับเสียงร้องไห้ของเทพอสูรซึ่งกรีดลึกลงในหัวใจของคนฟัง ฮาธอสไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำสัญญานั้นได้ ในเมื่อตอนนี้เขามองไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว กระนั้นเพื่อปลอบโยนมหาเทพสงครามที่กำลังกลัวจนตัวสั่นราวกับเด็กน้อย เขาจึงรวบรวมกำลังอีกครั้งแล้วยกตัวขึ้นไปจูบกรามเป็นสันสวยที่เขาควานหาพบในความมืดมิดของดวงตาและนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนาน...

“ข้ารักท่าน...ขอรับ...”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มแว่วอยู่ข้างหูแล้วศีรษะของฮาธอสก็หงายหลังลงไป ร่างสูงโปร่งที่ทรุดฮวบในอ้อมแขนแกร่ง ลมหายใจของไคซัสขาดห้วงทันทีที่หันมาเห็นเช่นนั้น มือใหญ่ที่สั่นเทาเลื่อนไปประคองหลังคอปวกเปียกนั้นขึ้นมาดูหน้า ใบหน้าคมคายที่ซีดขาวนั้นไม่มีร่องรอยของชีวิตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังสัมผัสมิได้...ร่างสูงใหญ่กอดร่างเล็กอย่างหวาดผวา ขณะกายเล็ก ๆ นั้นกำลังเสื่อมสลาย ศีรษะที่มีเขามังกรเด่นส่ายไปมาปฏิเสธความตายของตนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไม่นะ...ไม่!!”

มหาเทพสงครามกู่คำรามสุดเสียง เมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือนประหนึ่งถูกมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า แต่แทนที่ทวยเทพทั้งหลายจะตกใจกลัว พวกเขากลับเปิดหน้าต่าง ประตู ผ้าม่าน และอีกมากมายเยี่ยมหน้าออกมาดูทิศที่มาของมันอย่างสะเทือนใจ ด้วยเสียงนั้นโหยหวนและเศร้าสร้อยดุจสำเนียงร่ำไห้ที่ผู้เป็นเจ้าของไม่สามารถแสดงออกมาได้

แต่ท่ามกลางเสียงที่ก้องสะท้อนไปด้วยมหานครแห่งสวรรค์ ร่างหนึ่งกลับโฉบเข้ามาอยู่ข้างกายมหาเทพสงครามอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเรียวจับบ่าของเขาแน่น ไคซัสคิดว่าตนถูกลอบทำร้ายจึงหันไปเพื่อตอบโต้ตามสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับทำให้ประหลาดใจ แล้วทุกสรรพสิ่งก็ถูกกลืนหายไปในลำแสงสีแดงฉาน

------------------

/สูดน้ำมูกฟืด!

ในที่สุดก็หมดทุกข์หมดโศกเสียทีน้า ฮาธอส ขอบคุณที่พยายามมาด้วยกันน้า TT0TT
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 11-09-2013 23:52:13
ลำแสงสีแดงของน้องสาวเทพสงครามใช่หรือไม่
ฮาธอสไปจุติแล้วจริงๆหรือ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 13-09-2013 00:46:23
บทที่ 21 อุ่นไอรัก

“...ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต!”

เสียงทุ้มหวานแผดขึ้นในห้วงแห่งความมืดมิด ความโกรธเกรี้ยวที่เจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น ปลุกสติคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาอย่างเสียมิได้ แสงสีขาวแยงเข้าตาทันทีที่เปิดปรือเปิดขึ้นทำให้ต้องหลับสักครู่จึงจะลืมขึ้นมากพอมองเห็นเงาร่างเลือนรางสองคนยืนเผชิญหน้ากันอยู่ข้างเตียง โดยมีตู้ที่มีหนังสือแน่นเอี๊ยดเป็นฉากหลัง

ผู้หนึ่งเป็นชายรูปร่างสะโอดสะอง เรือนผมหยักศกสีทองสว่างทิ้งตัวรอกับบ่าหุ้ม แต่งชุดตัดจากสักราดอย่างดี ดวงตาจ้องตรงไปที่คู่สนทนาอย่างเฉียบขาด สูงส่งด้วยรัศมีอำนาจที่คล้ายจะฉายออกมาจนมองเห็นได้

อีกผู้หนึ่งนั้นเป็นอสูรที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผิวสีแดง ในเรือนผมสีเทาจางมีเขามังกรสีเข้มสองข้างอยู่ด้วย นัยน์ตาสีส้มสว่างของเขาฉายแววหนักแน่น มิได้อนาทรร้อนใจต่ออำนาจของบุรุษตรงหน้าสักนิด เพราะแรงกดดันที่เจ้าตัวแผ่ออกมานั้นก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน

“ทำไม” คำถามสั้น ๆ จากน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเป็นเสมือนดาบที่จ่อคอหอยข่มขู่คู่สนทนา

“อย่ามาทำไขสือนะ เจ้ารู้เหตุผลของข้าดีอยู่แล้ว ไฉนถึงดึงดันทำเยี่ยงนี้อีก” ชายผมสีทองแหวกลับ

คนที่นอนอยู่กะพริบตาหนึ่งครั้ง ภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย กะพริบครั้งที่สองก็เห็นหน้าคู่สนทนาของชายคนนั้นชัดขึ้นนิด กะพริบครั้งที่สามฉากทั้งฉากชัดเจนจนระบุตัวชายทั้งคู่ได้ในที่สุด

“ฟาเบียน เด็กคนนี้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อจัดการกับเฮสเลน แต่เจ้ากลับจะให้เขาไปอยู่ในยมโลกอย่างนั้นเรอะ เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว” เทพอสูรกายสีแดงพูดแบบแทบคำราม ดวงตาสีส้มวาววับด้วยความกราดเกรี้ยว

“แต่เขาเป็นลูกครึ่งเทพรัตติกาลนะ สำคัญที่สุดยังเป็นน้องชายของเฮสเลนอีกด้วย” ฟาเบียนแย้งกลับไป

ในที่สุดคนฟังก็เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ และยังเป็นเรื่องของเขาเองเสียด้วย ฮาธอสได้แต่นอนนิ่ง ไม่กล้าส่งเสียง อันที่จริงเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีเสียงพอทำเช่นนั้นหรือเปล่า เหนือสิ่งอื่นใดเขากำลังสงสัยว่าทั้งสองคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อ...

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้แผนของเจ้านะ ฟาเบียน”

มหาเทพสงครามก้าวไปประชิดตัวราชาแห่งฟ้า ดวงตาหลุบต่ำมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเหนือกว่า แรงกดดันในบรรยากาศเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวีจนชั้นมหาเทพจ้าวสวรรค์ยังเหงื่อตก สมกับที่เคยเป็นราชันอสูรมาก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้อำนาจที่แท้จริงก็ข่มฟาเบียนอยู่หมัด ประสบการณ์ทำให้ทั้งสองแตกต่างกันเกินไป

“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ” ฟาเบียนกลืนน้ำลายฝืดคอ

“เซย์เรียโน่บอกกับข้าหมดแล้ว” สุ้มเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายยามโกรธเคืองถึงขีดสุด “เหตุผลที่เจ้าอนุมัติให้ฮาธอสเข้ามาอยู่ในมหานครไม่ได้มีแค่ฟื้นฟูดินของหุบเขาแดงจนปลูกต้นไม้ได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะเขารู้ที่ซ่อนของเฮสเลนต่างหาก”

ทันใดสีหน้าของมหาเทพจ้าวสวรรค์ก็ซีดเผือด ส่วนฮาธอสนอนนิ่ง ในอกเย็นวาบเหมือนใครเสกภูเขาน้ำแข็งลูกโตมากดทับหัวใจ ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะเลื่อนสายตาไปมององค์เหนือหัวของตนได้

“แล้วอย่างไร การกระทำของข้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ฮาธอสรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนและยังสามารถจัดการกับเจ้านั่นได้ก่อนจะทำลายสวรรค์อีกด้วย”

เห็นได้ชัดว่าการที่ฟาเบียนยังดึงดันเถียงต่อไปก็เพราะเห็นว่าตนเป็นฝ่ายถูก สีหน้าของเจ้าตัวจึงมีแต่ความไม่เข้าใจ หลังเห็นไคซัสโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้ ทว่าในความรู้สึกของฮาธอส สิ่งที่ทำให้มหาเทพสงครามโมโหดูจะมีมากกว่านั้น

“เรื่องทั้งหมดต้องขอบใจเจ้าแท้ ๆ ที่อุตส่าห์ดึงเทพคนสวนผู้นี้มาอยู่ด้วยจนแผนการดำเนินไปได้ แต่เมื่อเขาหมดประโยชน์แล้วก็ไม่มีเหตุผลต้องเลี้ยงไว้ในเมืองอีก ให้เขาลงไปอยู่ที่โลกมนุษย์จะปลอดภัยกว่านะ”

ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วขณะที่สิ้นเสียงองค์ราชัน คำพูดที่ทำให้ฮาธอตกตะลึงจนลืมหายใจ ความเคารพและความศรัทธาที่เคยมีมาตั้งแต่วันที่ทราบว่ามหาเทพจ้าวสวรรค์เมตตาลูกครึ่งเทพรัตติกาลผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาเข้ามาอยู่ในมหานครที่แสนงดงามแห่งนี้ สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกอีกฝ่ายใช้งานและทอดทิ้งไปอย่างไร้ค่า

ทว่า...เพราะอะไรกัน...เขาที่ควรจะจุติไปแล้วจึงได้เห็นภาพที่น่าผิดหวังนี้...

รึนี่จะเป็นความฝันก่อนเขาจะลงนรก...

“ถ้าเขาไป ข้าก็จะไปด้วย”

แม้จะเป็นความฝัน แต่ฮาธอสก็รู้สึกดีที่ไคซัสยื่นเงื่อนไขเช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญที่เจ้าตัวไม่อาจขาดได้ จึงยอมละทิ้งตำแหน่งมหาเทพสงครามที่สูงส่งและแสนสำคัญลงไปอยู่กับเขาในแดนมนุษย์ ได้ยินแบบนี้ความรู้สึกแย่ ๆ เมื่อครู่ก็จางหายไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นในหัวอกเสมือนถูกรดด้วยน้ำอมฤต ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมหาเทพจ้าวสวรรค์แผดเสียงอีกรอบ

“ว่ากระไรนะ! เจ้าจะตามเทพชั้นต่ำตนนี้ไปเรอะ เจ้า...เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ข้าไม่ยอมเด็ดขาด เจ้าเป็นมหาเทพสงคราม มีหน้าที่ต้องปกป้องสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องละทิ้งหน้าที่...!”

“เงียบเสียที!”

ยิ่งฟาเบียนโวยวายเท่าไหร่ เสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น...ดังขึ้นจนคับห้อง ข้าวของต่าง ๆ สั่นสะเทือนเสมือนตอบสนองต่อความโกรธของเจ้าตัว ไม่เว้นแม้แต่เตียงนอนของฮาธอส ขณะที่กำลังคิดว่าฝันนี้ช่างสมจริงอยู่นั้นเอง ทุกคนในห้องก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงหวานตวาดแหลมดังขึ้นมาพร้อมเสียงตบของแข็งตบลงกับโต๊ะแทรกเสียก่อน บุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งสองตน รวมถึงฮาธอสหันมองไปยังอีกฝากของเตียง เด็กสาวในชุดสีจีนโบราณสีแดงเพลิงนั่งสงบอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งวางทาบกับหนังสือเล่มโตที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง วงหน้าที่เหมือนเซย์เรียโน่ทุกอย่างประหนึ่งเป็นต้นแบบของแม่พิมพ์เย็นชาจนฮาธอสหนาวหัวใจ

“พวกท่านล้วนแต่โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว อย่ามาทะเลาะกันข้างเตียงคนเจ็บสิเจ้าคะ” ฮาธอสย่นคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘คนเจ็บ’ ถ้าคำพูดของเธอเป็นของเธอเป็นความจริง เขาก็... “ดูสิ พวกท่านทำให้เขาตื่นซะแล้ว”

เธอขยิบตาให้เขาหนึ่งที ก่อนเทพคนสวนจะสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อจู่ ๆ ก็มีใครบางคนถลันมาอยู่ข้างกาย มือใหญ่สีแดงเอื้อมเข้ามาในทัศนวิสัยแล้วดึงกลับไปหาเจ้าของ ใบหน้าคร้ามเข้มเด่นด้วยดวงตาสีส้มนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งยวด เขากวาดตามองฮาธอสอย่างถี่ถ้วนแล้วเปลี่ยนเป็นแววยินดี จากนั้นก็ดึงร่างสูงโปร่งไปกอดด้วยความห่วงแหน โดยไม่สนใจความตกตะลึงของมหาเทพจ้าวสวรรค์เลย

“ตื่นเสียที...ฮาธอส...ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที...”

ฮาธอสแทบไม่อยากเชื่อว่าสุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ข้างหูอย่างโล่งใจนั้นเป็นของจริง ทว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าอยู่ข้างหู อุณหภูมิจากร่างใหญ่โตของคนตรงหน้า และความแน่นที่เกิดขึ้นจากการบีบรัดของมหาเทพสงครามกลับยืนยันว่าสิ่งที่กำลังประสบนี้มิใช่ความฝัน ทุกเสียงที่ได้ยิน ทุกสิ่งที่มองเห็น...ทุกอย่างที่สัมผัสได้...

เขาไม่ได้ฝันไป...แต่ทุกอย่างเป็นของจริง!

“มหาเทพ...” คำนั้นลื่นไหลออกจากปากอย่างง่ายดาย แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบานัก แต่ในความรู้สึกคนฟังกลับชัดเจนอย่างยิ่งยวด ดวงตาที่พร่ามัวจากหยาดน้ำใสกระจ่างที่เอ่อท้นฉายภาพเทพอสูรหยัดตัวขึ้นมาให้เขาเห็นดุจจะยืนยันตัวตนของตนเอง

“ใช่...ข้าเอง” มหาเทพตัวโตกุมมือเล็กขึ้นจูบ ความร้อนที่แล่นมาจากริมฝีปากสั่นเทานั้นแล่นมาถึงหัวใจของฮาธอส ไคซัสสูดลมหายใจลึกคล้ายสะกดอารมณ์มิให้ส่งเสียงสะอื้นออกมา ดวงตาสีส้มสว่างคู่นั้นเปี่ยมด้วยความโล่งใจอย่างยิ่ง ในที่สุด...หลังจากที่เฝ้ารอมานานท่ามกลางความกระวนกระวายที่แสนเจ็บปวดกับเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุด ‘หัวใจ’ ก็กลับคืนสู่อกที่โหวงเหวงว่างเปล่าของเขาแล้ว

“นี่มันอะไรกัน ไคซัส!”

ฟาเบียนแผดเสียงขึ้นหลังเห็นทุกสิ่งตำตา ทำลาย ‘โลกส่วนตัว’ ของชายทั้งสองเสียสิ้น แววปีติยินดีหายไปจากสีหน้าของไคซัสและกลายเป็นความเย็นชาเมื่อหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย วงหน้าสวยของมหาเทพจ้าวฟ้าเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่เข้าใจ และความโกรธ ฮาธอสทำได้เพียงมอง

“อย่าบอกนะ การที่เจ้าไม่ยอมให้เทพชั้นต่ำผู้นี้ลงไปอยู่โลกมนุษย์ก็เพราะอย่างนี้!”

“เหตุผลที่ข้าไม่เห็นด้วยก็เพราะความดีความชอบของเขา ฮาธอสยอมกัดฟันเข้าฝ่ายสวรรค์สะกดพี่ชายของตัวเองไว้ทำให้สวรรค์สงบสุขมาเกือบหนึ่งพันปี และยังช่วยในการจัดการกับดวงจิตของเฮสเลนอีก ความดีงามนี้ควรค่าแก่การตอบแทน” ไคซัสให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเหมือนเก่า ไม่มีร่องรอยของอารมณ์เจืออยู่เลย ประสบการณ์จากการเป็นราชาทำให้เขารู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์นี้

“ข้าต้องตบรางวัลในความดีงามของเขาอยู่แล้ว” ฟาเบียนแย้งกลับมาอย่างมีอารมณ์ “ข้าจะให้เขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ในอาณาจักรที่ดีที่สุด บันดาลให้พวกมนุษย์เคารพบูชาดุจเทพเจ้าตัวจริง จะเลื่อนเขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ด้วย ในโลกมนุษย์นั้นเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”

“ฟาเบียนหยุดเสียที!” เด็กสาวในชุดแดงพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ดวงตาสีแดงฉานจดจ้องราชาแห่งฟ้าด้วยแววเยือกเย็นยิ่งกว่าเซย์เรียโน่เสียอีก “ข้าเห็นด้วยกับมหาเทพไคซัส”

“เซย์เรียนนี่เป็นเรื่องผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง!” ฟาเบียนหันมาแหว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเธอหรี่ตาด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“ฟาเบียนจะทำอะไรก็หัดคิดหน่อยสิ เจ้าน่าจะรู้แล้วนะ ว่าตอนนี้ใครถือไพ่เหนือกว่า” เซย์เรียนยืดคอในท่วงท่าสง่างาม แม้ว่าเธอจะยังเด็กอยู่มาก ทว่าความสูงส่งที่แสดงออกมากลับทัดเทียมมหาเทพจ้าวสวรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแบบนี้หรือเปล่ามิทราบ น้ำเสียงของเธอจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “อีกอย่างหนึ่งเจ้าอาจจะมองเห็นฮาธอสเป็นแค่หมากใช้แล้วทิ้ง แต่ข้าเห็นเขาเป็นทรัพยากรชั้นเลิศที่ไม่ควรเสียไปเด็ดขาด”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว เทพชั้นต่ำแบบนี้จะเป็นทรัพยากรชั้นเยี่ยมได้อย่างไร”

ราชาแห่งสวรรค์คงไม่รู้สึกนิดว่าคำพูดของตนนั้นแหลมคมเพียงใด มันแทงหัวใจของฮาธอสจนเป็นแปลเหวอะหวะทีเดียว ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงเทพชั้นต่ำและยังเป็นน้องชายของศัตรูแห่งสวรรค์ แต่การถูกคนที่เคารพมาตลอดเกือบพันปีพูดแย่ ๆ ใส่ต่อหน้าแบบนี้ก็อดรู้สึกแย่มิได้

“เป็นได้สิ เจ้าก็เห็นแล้วว่าเทพชั้นต่ำที่เจ้าพูดถึงมีความสามารถแค่ไหน ข้าสอนครั้งเดียว เขาก็ใช้มนต์ต้องห้ามได้ราวกับเทพชั้นสูง เคยผนึกเฮสเลนได้เกือบหนึ่งพันปี พลังป้องกันระดับเขาในหนึ่งหมื่นปีจะมีให้เห็นสักคนมิใช่หรือ” เซย์เรียนชี้ให้เห็นความสำคัญที่แม้แต่ตัวฮาธอสเองก็ยังคาดไม่ถึง “สำคัญที่สุดยังพ่วงด้วยมหาเทพสงครามที่พร้อมจะเสียสละทุกอย่างตามเขาไปทุกหนแห่งอีกต่างหาก เจ้าคิดจะให้เทพอย่างนี้หลุดมือไปกระนั้นหรือ ฟาเบียน”

“จะ...เจ้า...!” ฟาเบียนแค่นเสียงออกมาได้แค่นั้น เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธกริ้วที่มิอาจระเบิดออกมาได้ สองมือกำหมัดแน่น ก่อนจะเหลือบมองเทพคนสวนว่าง ดวงตาเป็นประกายด้วยเพลิงพิโรธราวกับต้องการอาละวาดใส่เขา

เสมือนนกรู้ ไคซัสจึงก้าวมายืนขวางสายตาราชาสวรรค์ไว้ ก่อนเข้าไปยืนใกล้ ๆ แล้วโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูอีกฝ่าย น้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งยวด

“ฟาเบียน เจ้าคงไม่ลืมใช่ไหมว่าสารภาพอะไรเอาไว้กับข้า” แรงกดดันมหาศาลแผ่จากตัวเขาไปกดดันอีกฝ่ายจนแทบหายใจไม่ออก “เจ้าคงไม่อยากให้คนทั้งสวรรค์รู้เรื่องที่เจ้าหลอกใช้มากำจัดเสี้ยนหนามส่วนตัวทั้งสองตนหรอกใช่ไหม?”

มหาเทพจ้าวสวรรค์ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิ่งกว้างด้วยความตกใจสุดขีด แต่ไคซัสพูดความจริง

ในตอนที่เฮสเลนหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ฟาเบียนไม่อยากเชื่อว่าศัตรูตัวฉกาจของสวรรค์จะหายตัวไปดื้อ ๆ โดยไม่มีใครทำอะไร เขาจึงให้ขุนพลเทพอันดับห้าในช่วงนั้นสืบหาความจริงจนพบที่อยู่ของฮาธอสในหุบเขาแดง ราชาเทพเห็นว่าฮาธอสเป็นน้องชายตามสายเลือดจึงน่าจะรู้ที่ซ่อนของเฮสเลนจึงเลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในมหานครแห่งสวรรค์ เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวมาตลอด

จนกระทั่งวันที่ไคซัสตรวจสอบสภาพเขตคุ้มกันสวรรค์ ฟาเบียนก็รับรู้ถึงพลังมืดที่แอบแฝงอยู่ได้ทันที จำได้แม้กระทั่งเจ้าของพลัง เพียงแต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเฮสเลนซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาจึงสั่งให้ขุนพลเทพอันดับห้าตนใหม่ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งไม่แพ้กันสืบหาตัวมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ก่อไว้ในอดีต

เดิมที ‘เซย์เรียโน่’ จะต้องตีสนิทกับฮาธอส เพื่อล่วงความลับที่เกี่ยวข้องกับเฮสเลน แต่ไคซัสที่ไม่รู้เรื่องด้วยกลับดึงตัวเทพคนสวนไปทำงานที่ตำหนักพาเทร่า เขาจึงล่าถอยมาดูความเคลื่อนไหวอยู่ห่าง ๆ โดยใช้แมลงไสยเวทสอดแนมจากนอกตำหนักเป็นระยะ ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์บุกสวรรค์ของไคมีร่ากับพัมกินซ์ เด็กหนุ่มจึงยุยงให้เรเทเชียดึงตัวฮาธอสกลับตำหนักเพื่อดำเนินตามแผนการเดิม ซึ่งแผนของเขาถูกเรมันต์ทำพังไม่เหลือชิ้นดี

ฟาเบียนที่ไม่ลงรอยกับเรมันต์มาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ครองบัลลังก์เห็นเป็นโอกาสจึงรีบถอดอีกฝ่ายจากตำแหน่ง แต่เพราะมีความดีความชอบแต่เก่าก่อนจึงประหารตามโทษานุโทษมิได้ เขาจึงสั่งให้เซย์เรียโน่หาทางกำจัดพร้อม ๆ กับเฮสเลนด้วย

เซย์เรียโน่เริ่มไม่พอใจกับการถูกจิกหัวใช้งานเรื่องแย่ ๆ และยิ่งไม่พอใจที่ราชาเทพสั่งให้ทำเพราะความแค้นส่วนตัวด้วย เขาจึงบอกใบ้กับไคซัสว่าฟาเบียนดึงฮาธอสเข้าเมืองหลวงด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่การฟื้นฟูพื้นที่หุบเขาแดงให้กลับมาปลูกต้นไม้ได้อีกครั้ง

มหาเทพสงครามก็ฉลาดเป็นกรดประติดประต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด เขาตัดสินใจรับบทตัวร้ายหลอกใช้นาซิลลากับฮาธอสด้วยตนเอง พร้อมกันนั้นก็ซ่อนแผนฟาเบียนเพื่อเปิดโปงสิ่งที่เจ้าตัวทำด้วย ซึ่งฟาเบียนก็ตกหลุมพรางโดยไม่รู้สักนิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผนตลบหลัง ซึ่งทำให้เซย์เรียโน่มีโอกาสประทุษร้ายราชาเทพเป็นครั้งแรกด้วย สิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการมีเพียงการที่ฮาธอสละเมิดกฎอ่านบันทึกปกดำที่ไคซัสลืมทิ้งไว้

นับจากวันที่บอกใบ้เรื่องฮาธอส ‘ขุนพลเทพอันดับห้า’ ก็เตรียมแผนรับมือในกรณีที่เฮสเลนหนีไคซัสมาได้ตามวิธีการของตนเองจนนำไปสู่เรื่องราวในตอนท้าย ยังดีที่เซย์เรียนช่วยชีวิตฮาธอสไว้ได้จึงไม่บาดหมางกับมหาเทพสงครามไปมากกว่านั้น และกลายเป็นมิตรมาร่วมมือกันเล่นงานจ้าวสวรรค์ในวันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะเธอไม่อยากเสียบุคลากรฝีมือดีไปโดยไม่จำเป็น ผิดกับฟาเบียนที่คิดหาทางกำจัดทิ้ง

ดังนั้นหากจะให้หาว่าใครร้ายกาจที่สุดจากเหตุการณ์ที่ผ่านคงไม่พ้น ‘มหาเทพจ้าวสวรรค์’ ผู้นี้นี่เอง

แต่ถึงอย่างนั้นเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากฟาเบียนรู้จักใช้คนของตนเพื่อประโยชน์ส่วนตนและสวรรค์ ไคซัสก็รู้จักใช้แผนการของฝ่ายตรงข้ามมาทำประโยชน์เพื่อคนที่รักได้เช่นกัน และเขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้มันอีกด้วย

“คิดทบทวนให้ดี ๆ ว่าจะยอมรามือเท่านี้ ทำตามที่เซย์เรียนเสนอ หรือจะให้ข้าไปจากสวรรค์กับฮาธอสโดยเปิดเผยเรื่องนี้ทิ้งไว้ก่อนจะไปด้วย”

ฮาธอสมองอยู่ห่าง ๆ จึงไม่รู้ว่าไคซัสกำลังพูดอะไรกับมหาเทพจ้าวสวรรค์ ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้จากใบหน้าซีดขาวของฟาเบียนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ว่ากำลังต่อรองบางอย่างกันอยู่ และมันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ เพราะสุดท้ายราชาเทพก็ชักสีหน้าอับจนแล้วกระชากตัวเองออกห่าง

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นเจตนาดีของข้าและรวมหัวกันแบบนี้ อยากจะทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน!” ใบหน้าคมสะบัดมาหาฮาธอสอีกครั้ง แววตาดั่งจะกินเลือดกินเนื้อกันทีเดียว “แต่เทพคนนี้ต้องใส่ ‘ปลอกคอ’ ตลอดเวลาและห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เขาเป็นน้องชายของเฮสเลนออกไปด้วย เข้าใจที่ข้าพูดไหม!”

“แน่นอน ข้าจะเป็นยิ่งกว่าปลอกคอของเขาเสียอีก”

ไม่ว่าฟาเบียนจะตีความคำพูดของมหาเทพสงครามว่าอย่างไร เขาก็ตวัดตามามองฮาธอสอย่างไม่ไว้ใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสะบัดตัวเดินย้ำเท้าตึงตังออกจากห้องไป ก่อนฮาธอสจะได้ยินเสียงไคซัสกับเซย์เรียนพรูลมหายใจอย่างเอือมระอาพร้อมกัน จากนั้นเทพอสูรก็เบือนหน้าไปหาเด็กสาวในชุดแดง ยักยิ้มเล็กน้อย

“ขอบใจที่ช่วยนะ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 20 up 11/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 13-09-2013 00:47:06
"มิได้ค่ะ ถือว่าไถ่โทษที่ข้ากับน้องชายทำเรื่องไม่ดีไว้กับพวกท่านตั้งมากมาย” เซย์เรียนเอียงคอเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างนั้นดูสดใสและไร้เดียงสาจริง ๆ ผิดกับน้องชายอย่างมาก “อีกอย่างข้าอยากจะตอบแทนที่ฮาธอสยอมให้ความร่วมมือในการสะกดอำนาจในดวงจิตของเฮสเลนด้วย แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เซย์เรียโน่เองก็อยากออกมาขอขมาจะแย่”

“พูดถึงเขา ข้าก็อยากให้ออกมาเหมือนกัน” ไคซัสพูดด้วยสีหน้าตึง ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจนัก

เซย์เรียนหัวเราะคิกคักพลางยืนขึ้น “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำไม่ได้ เขากำลังหลับอยู่นะคะ” มือเรียววางตรงกลางอก สีหน้าอบอุ่นยามนึกถึงน้องชาย ไคซัสกับฮาธอสเคยเห็นสีหน้าแบบนี้จากเซย์เรียโน่มาก่อน ตอนพบกันในโดมทองรำไพ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและยิ้มให้กับเจ้าบ้าน “ไหน ๆ ฮาธอสก็ตื่นแล้ว มหาเทพไคซัสคงอยากคุยกับเขาเป็นการตรวจตัว ดังนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า”

“ท่านหญิงรักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ” ฮาธอสเอ่ยอย่างห่วงใย ด้วยรู้ว่าสุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนัก

“เจ้าก็ด้วย วันนั้นเจ้าใช้พลังไปเกือบหมดและยังได้รับบาดเจ็บสาหัส คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าเจ้าจะหายเป็นปกติดังเดิม ช่วงนี้ขอให้อยู่อย่างไรพลังไปก่อนแล้วก็ดื่มยาตามเวลาด้วยนะ” เซย์เรียนกำชับด้วยรอยยิ้มหวานที่เจือด้วยอำนาจน้อย ๆ แล้วตามหลังฟาเบียนกลับไปอีกคน

มหาเทพจ้าวตำหนักตามไปส่งเธอถึงหน้าประตู หลังปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้วก็ปลดผ้าม่านกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน จากนั้นก็กลับมาพยุงตัวฮาธอสขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะทำด้วยความนุ่มนวลอย่างเต็มที่แล้ว แต่เทพคนสวนก็ยังรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวอยู่ดี โดยเฉพาะกลางลำตัวที่เคยถูกทะลวงปวดเหมือนจะตายเสียให้ได้ กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเมื่อยตึงไปหมดจนอดครวญครางไม่ได้

“อูย...”

“เจ็บมากหรือ ขอโทษนะ” ไคซัสกุลีกุจอมานั่งซ่อนหลังให้ฮาธอสนั่งพิงตัวเอง เอื้อมมือไปหยิบถ้วยยาที่สั่งให้คนเตรียมไว้ทุกวันและเปลี่ยนใหม่เกือบจะทุกชั่วโมงมาอุ่นให้ร้อนแล้วป้อนให้คนที่รัก “เอ้า! ดื่มก่อน เซย์เรียนบอกให้เจ้าดื่มทันทีที่ตื่นขึ้นมา”

ฮาธอสพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจิบยาเข้าปาก ราชาติขมปร่าที่ร้ายกาจซ่านไปทั่วทำเอาอยากสะบัดหน้านี้ แต่เพราะคิดว่ามันจะช่วยลดความเจ็บปวดในตัวได้ เขาจึงฝืนดื่มเข้าไปจนเกือบหมดถ้วยก่อนจะทนไม่ไหวผละออกมาร้องขอน้ำเปล่ามาดับความขม

“ข้าหลับไปนานแค่ไหนขอรับ” นั่นเป็นคำถามแรกที่หลุดจากปากหลังดื่มน้ำเสร็จ

“หนึ่งเดือนกับอีกสิบห้าวัน” ไคซัสบอกพลางจูบกลางกระหม่อมด้วยความรักสุดหัวใจ “เจ้าหลับลึกมาก ข้าเรียกเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ยอมตื่นจนนึกว่าจะต้องรอนานกว่านี้ซะแล้ว ข้าไม่ค่อยชอบฟาเบียนหรอกนะ แต่ต้องขอบใจที่เจ้านั่นมาโวยวายข้าเรื่องจะเก็บเจ้าไว้ในวันนี้ เพราะเสียงของเขาใช่ไหมที่ทำให้เจ้าตื่นขึ้นมา”

ฮาธอสอยากหัวเราะจะแย่ แต่ติดที่ไม่มีแรงให้ทำเช่นนั้น ประกอบกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงชัดเจนอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงรอยยิ้มเซียว ๆ บนวงหน้าซีดขาว

“ท่านช่วยข้าไว้หรือขอรับ” เทพคนสวนเปลี่ยนเรื่อง

“เซย์เรียนต่างหาก หลังจากเจ้าหมดสติไป นางก็ปรากฏตัวใช้พลังดึงเจ้ากลับมาจากปากทางไปยมโลกและเป็นคนรักษาบาดแผลของเจ้าจนหายสนิททั้งหมด ยาทุกอย่างก็เป็นของที่นางจัดหามาทั้งนั้น”

มหาเทพสงครามระบายลมหายใจช้า ๆ สายตาไม่คลาดคลาจากคนในอ้อมแขนแม้แต่น้อย เขาเริ่มอุ่นใจขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่รักเริ่มมีรอยเลือดฝาด ร่างสูงโปร่งอบอุ่นขึ้นจากอุณหภูมิจากตัวของเขา ปมความกังวลที่รัดตึงในใจเขาเริ่มคลายตัวออก เปิดทางให้ความโล่งอกไหลทะลักออกมาจากถุงที่ถูกปิดผนึกไว้เป็นเวลานาน

ฮาธอสฟังแล้วก็เงียบไป ซุกหน้าผากกับซอกคอแกร่ง แนบแก้มกับบ่ากว้างใหญ่ ซึมซับไออุ่นที่มาจากตัวอีกฝ่ายไว้ราวกับจะใช้มันเพิ่มอุณหภูมิให้กับตนเอง เขายอมรับกับตัวเองเงียบ ๆ ว่ามีความสุขที่ถูกอีกฝ่ายกอดอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากผ่านความรู้สึก ‘กลัว’ ว่าจะต้องพรากจากกันในตอนที่กำลังจะตาย...

“เซย์เรียนเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว เจ้าออกไปข้างนอกได้ก็เพราะนางสอนวิธีทำลายเขตอาคมจากภายในสินะ” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยข้างหู แม้ไม่มีแววตำหนิแจ่มชัด ทว่าฮาธอสก็ยังเงยหน้าขึ้นเว้าวอน

“มหาเทพไคซัสอย่าตำหนิท่านหญิงเลยนะขอรับ ข้าเป็นคนขอร้องนางเอง พวกเราในแนวหลังต่างก็ไม่อยากใช้แผนสำรองนี้ทั้งนั้น” น้ำเสียงทุ้มนิ่มเต็มไปด้วยความกังวล กลัวว่าไคซัสจะพาลคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

“ข้ารู้ ทำใจให้สบายเถอะ ข้าไม่โกรธเรื่องพวกนี้แล้วล่ะ เซย์เรียนได้ชดใช้คืนทั้งหมดแล้วนี่นา” เทพอสูรบอกด้วยความใจกว้างอย่างเหลือเชื่อ กระนั้นเขาก็หมายความเช่นนั้นจริง ๆ แค่เขาได้ฮาธอสกลับคืนมา อย่างอื่นเขาก็ไม่ต้องการอีกแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โกรธ เทพคนสวนก็คลายความกังวลและเบียดตัวซุกกับร่างใหญ่อีกครั้ง อยากจะใช้สองแขนกอดเขาให้แน่น ๆ สมกับความคิดถึง แต่ความง่วงที่ก่อเกิดจากฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียจากอาการบาดเจ็บกลับขโมยกำลังวังชาที่เริ่มมีขึ้นมาหน่อยไปจนหมด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังฝืนลืมตาต่อเพื่อไขความกระจ่างของเรื่องที่ค้างคาใจ

“ท่านพี่ของข้าล่ะขอรับ” ใบหน้าคมคายหมองลงถนัดตา “...ข้ามอบชิ้นส่วนมือของท่านพี่ให้ท่านหญิงเซย์เรียนไปใช้ในการสะกดเขา ตอนนี้...”

“ตอนนี้มันถูกนำไปเก็บไว้ในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดของสวรรค์ ที่ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าแดนร้าง” ไคซัสต่อให้ มือหนาเกลี่ยปอยผมทองที่ตกลงมาออกจากแก้มเนียนขาวแล้วมองลึกลงในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่สวย “ต่อนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของเฮสเลนอีกแล้ว ตราบใดที่ยังอยู่ในอุ้งมือของมหาเทพแห่งความมืดตนนั้น เขาจะไม่มีวันกลับมาก่อความวุ่นวายได้อีก”

“อย่างนั้นหรือขอรับ บทเรียนคราวนี้คงทำให้ท่านพี่เข็ดจนวันสิ้นอายุขัย” แม้จะเสียใจที่ดวงจิตของพี่ชายไปอยู่ในอุ้งมือของมหาเทพบรรพกาลที่น่ากลัวที่สุดในสวรรค์ แต่ฮาธอสก็คาดหวังดั่งที่พูดไว้ เฮสเลนก่อกรรมทำเข็นมากเกินไป สมควรแก่เวลาที่เจ้าตัวจะสำนึกต่อบาปของตนเสียที

“แล้วก็นาซิลลา” ไคซัสพูดถึงเทพจันทราต่อด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องถามถึงแน่ “อัลวินช่วยนางกลับมาได้ แต่การควบคุมของเฮสเลนทำให้ร่างกายและดวงจิตได้รับบาดเจ็บจนต้องจำศีล มหาเทพีจันทรารับนางกลับไปพักฟื้นที่ตำหนัก เห็นว่าไม่เป็นอันตรายมาก อีกไม่นานก็คงจะตื่น ส่วนเจ้า...”

เทพอสูรสูดลมหายใจลึกเพื่อลบความโหวงเหวงในอกออกไป จากนั้นก็กระชับอ้อมแขนรัดรอบตัวฮาธอสแน่นอีกนิดอย่างทะนุถนอมและหวงแหนอย่างยิ่งยวด

“...พี่ชายของเจ้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าอดีตจะกลับมาทำร้ายตัวเองอีก และข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเทพน้ำใจงาม แต่ข้าขอร้องได้ไหม สัญญากับข้าว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก จะไม่เสียสละอย่างโง่ ๆ แบบนี้ จะไม่ทำให้ข้ากลัวแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สาม...”

เทพคนสวนถึงกับน้ำตาคลอเมื่อรับรู้ถึงไหล่ที่สั่นเทาของมหาเทพสงคราม สุ้มเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือนั้นก็คล้ายจะนำพาอารมณ์ของเจ้าตัวมากระแทกหัวใจของเขาซ้ำ ๆ จนรู้สึกผิดที่ทำให้อดีตราชาอสูรตนนี้ต้องหวั่นไหว ทำให้เขาอยากถนอมชีวิตของตัวเองมากขึ้น...เพื่อไคซัส

อา...แม้แต่เวลาแบบนี้เขายังคิดทำเพื่อคนอื่นอยู่ดี โรคเสียสละนี้ท่าจะรักษายากนัก

“ขอรับ ข้าสัญญา” ฮาธอสสัญญาด้วยความหนักแน่น ถึงแม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาเพราะความง่วงก็ตาม เขาสูดลมหายใจลึกแล้วระบายออกมาน้อย ฝืนยกแขนขึ้นกอดคนที่รัก “มหาเทพยังจำคำขอแรกที่ท่านถามข้าได้ไหมขอรับ”

“จำได้สิ ที่ข้าขอให้เจ้ามาอยู่ด้วยกัน” ไคซัสมองหน้าที่ง่วงซึมเหมือนเด็กของคนในอ้อมแขนแล้วยิ้มบาง

“ข้าตัดสินใจได้แล้วขอรับ” เทพคนสวนช้อนหน้ามอง ดวงตาสุกใสเป็นประกาย รอยยิ้มที่หวานหยาดเยิ้มดั่งน้ำผึ้งเดือนห้าแย้มพรายบนวงหน้าสวย “ข้าจะมาอยู่กับท่าน ข้ารักท่านขอรับ”

ยังไม่ทันขาดเสียงดีนัก วงแขนที่โอบรอบร่างเขาก็รัดแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ เล่นเอาหายง่วงเป็นปลิดทิ้งไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ฮาธอสคงไม่เข้าใจความรู้สึกของไคซัสนัก เพราะตอนที่เจ้าตัวเอ่ยคำสุดท้ายนั้นครั้งแรกอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากัน มหาเทพสงครามจึงไม่รู้ว่ามันเป็นคำพูดจริง ๆ หรือเพียงคำเพ้อ หรือตนหูฝาดไปด้วยอารามตกใจจนเสียจริต ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินอีกครั้ง...หลังชายที่รักสุดหัวใจได้สติ เขาจึงรู้สึกปีติยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ ในอกข้างซ้ายที่เพิ่งได้รับการเติมเต็มคล้ายถูกย้ำแน่นด้วยแผ่นเหล็กที่เรียกว่า ‘รัก’

การได้คนที่รักกลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมนั้นย่อมมีความสุขมากกว่าอยู่แล้ว...

“ข้ารักเจ้า ขอบใจที่กลับมาอยู่เคียงข้างกันนะ”

เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว ใช้แค่อ้อมกอดและหัวใจโอบรัดกันและกันไว้ ห้องนอนที่กว้างใหญ่ก็อบอุ่นไปด้วยอุ่นไอแห่งรัก

---------------

ยังเหลือบทส่งท้ายอีกหนึ่งบทนะคะ

แต่มาถึงตรงนี้แล้ว เคย์เซย์คิดว่านักอ่านทุกท่านคงจะทราบแล้วว่าใครคือคนที่ "ร้าย" ที่สุดของเรื่องไปแล้ว และที่สุดแล้วเซย์เรียนหรือเซย์เรียโน่อยู่ฝ่ายไหนกันแน่

เพื่อความกระจ่างกว่าเดิมเล็กน้อย เคย์เซย์ขออธิบายตรงนี้ว่า "ขุนพลเทพอันดับห้า" อยู่ฝ่ายสวรรค์ค่ะ ทว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับฟาเบียนแต่อย่างใด ดังจะเห็นแล้วว่าแนวคิดของทั้งสองแตกต่างกันมาก คนหนึ่งยึดถือความถูกต้องตามความเหมาะสม ในขณะที่อีกคนยึดติดกับความเป็นเทพอย่างสุดโต่ง ถึงจะทำำงานให้ แต่ "เขาและเธอ" ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเล่นงานอีกฝ่ายกลับในยามจำเป็น ซึ่งนับจากนี้ไป "ขุนพลเทพอันดับห้า" จะเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนที่สุดของไคซัสกับฮาธอสค่ะ

ถ้าถามว่า "เกลียด" กันขนาดนี้ ทำไม "เซย์เรียโน่กับเซย์เรียน" จึงยังทำเรื่องงานใ้ห้กับมหาเทพจ้าวสวรรค์อีก คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือ "ไม่อยากให้สวรรค์ล่มจม" ค่ะ จ้าวสวรรค์อย่างฟาเบียนนั้นอาจทำให้สวรรค์รุ่งเรืองจนถึงขีดสุดได้ แต่ก็สามารถทำให้ล่มจมได้เหมือนกัน หากว่าไม่มีคนคอยหนุนอยู่ใต้บัลลังก์ ซึ่งการทำงานต่อจากนี้ของไคซัสก็จะยืนบนบรรทัดฐานเดียวกัน ส่วนที่ไม่มีใครชิงบัลลังก์จ้าวสวรรค์มาก็เพราะมีลูซิสขวางคออยู่ค่ะ แถมบัลลังก์นี้เรื่องเยอะกว่าบัลลังก์อื่นๆ จึงไม่มีใครอยากยุ่ง (ฮา)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: padang ที่ 13-09-2013 01:52:39
เผยขั้นตอนมาหมดแล้ว
ซับซ้อนเลยแหละ ถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางรู้ได้เลย
ฟาเบี้ยนนี่นิสัยแย่ตามแบบนักปกครองเปี๊ยบเลย
เชื่อไม่ได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 13-09-2013 15:17:29
รักเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้จบเลย  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง บทที่ 21 up 13/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 18-09-2013 17:13:04


   
ปัจฉิมบท

    สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดรำเพยนำพากลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดอบอวลไปทั่วตำหนักซิมโฟเนียอาเรีย อากาศก็แจ่มใสและเงียบสงบเหมาะให้เหล่าเทพธิดาทั้งหลายมาบรรเลงบทเพลงด้วยกัน แต่วันนี้พวกนางกลับไปรวมตัวตามห้อง หรือไม่ก็ตามทางเดินที่ใช้แอบดูศาลากลางตำหนักได้ แต่ละนางยืดคอชะเง้อชะแง้ด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง

    ในศาลาหลังคาทรงจีนหลังเล็กที่ตั้งกลางสระบัวสวรรค์ จอมเทพีเรเทเชียนั่งทำหน้าปั้นยากใส่วิฬาร์ทอง วิฬาร์เงิน และวิฬาร์แก้วขนาดเท่าตัวจริงในถาดคลุมผ้ากำมะหยี่สีแดง เพียงแค่เห็นลวดลายละเอียดอ่อนที่สลักเสลาบนวัตถุดิบก็รู้ทันทีว่าเป็นงานของช่างฝีมือชั้นเอก โดยเฉพาะวิฬาร์แก้วที่เจียระไนจากแก้วเนื้อขาวใสที่หาได้ยากแม้แต่แดนสวรรค์ มูลค่าของทั้งหมดนั้นคงเป็นทองสูงเท่าเอวนางเห็นจะได้

    ถึงตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนก็เคลื่อนไปหาผู้นำของทั้งหมดนี้มาให้ มหาเทพสงครามนั่งอยู่ที่ตั้งตัวใหญ่ทางขวามือ เคียงข้างด้วยเทพคนสวนประจำตำหนักหล่อน เยื้องไปด้านหลังเป็นอัลล์กับองครักษ์ในเครื่องแบบสีดำขลิบขอบสีแดงอันเป็นสีประจำตำหนักพาเทร่ายืนอยู่เงียบ ๆ ครั้นสบตากับไคซัส เจ้าตัวก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เจ้าตัวอยู่ในร่างมนุษย์ที่ดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรจริง ๆ

    “ว่าอย่างไร ชอบแมวพวกนี้ไหม” สุ้มเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลจนน่าตกใจ ยามเขายิ้มมันเหมือนเสน่ห์ที่เจ้าตัวเก็บซ่อนไว้ถูกแสดงออกมาจนหมด

    “เอ้อ! ข้า...พอใจเจ้าค่ะ” เรเทเชียตอบ สีหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ดวงตาหลุกหลิกไม่ชินกับท่าทีเป็นสุภาพบุรุษของเทพอสูร “แต่จะมอบให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

    “จริงสิ ถือว่าเป็นการขอโทษที่ก่อนหน้านี้เคยพูดไม่ดีกับเจ้าไว้...และเป็นของขวัญขอบคุณที่อนุญาตให้ฮาธอสมาอยู่กับข้าอย่างเป็นทางการด้วย” ไคซัสตอบทั้งรอยยิ้มละไม

    หลังจากที่ฮาธอสฟื้นขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องพักรักษาตัวต่อนานถึงสองเดือนเต็ม กว่าจะแข็งแรงพอจะออกจากห้องไปไหนมาไหนด้วยตนเองได้ สิ่งแรกที่ไคซัสตัดสินใจทำเพื่อรับขวัญเทพคนสวนก็คือพาเขากลับมาหาเจ้านายเก่าที่ไม่ได้พบกันอีกเลยตั้งแต่คราวถูกเรมันต์ลอบทำร้าย

    แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การมาเยี่ยมเยือนธรรมดา แต่เป็นการขอตัวเทพคนสวนไปอยู่ตำหนักพาเทร่าอย่างเป็นทางการอีกด้วย ความจริงเรื่องที่มหาเทพสงครามให้ความเอ็นดูฮาธอสมากกว่าปกตินั้นแพร่กระจายไปทั่วได้พักใหญ่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไคซัสออกอาการหลวงเจ้าตัวจนออกนอกหน้านั่นเอง บรรดาสาว ๆ ที่แอบซ่อนอยู่จึงส่งเสียงฮือฮาอย่างตื่นเต้นระคนเสียดาย อย่างไรเสียเทพหนุ่มตนนี้ก็เคยเป็นที่รักของคนที่นี่

    “อะแฮ่ม!”

    “เอ่อ...เรื่องนี้ถามข้าเพียงผู้เดียวไม่ได้หรอก ต้องถามเจ้าตัวด้วยต่างหาก” จอมเทพีจ้าวตำหนักเอ่ยหลังอเดลกระแอ่มคอปรามนางกำนัลของฝ่ายตน แล้วหญิงสาวก็หันไปหาเทพคนสวน “ฮาธอสเต็มใจจะไปอยู่กับมหาเทพสงครามหรือเปล่า”

    “ข้าน้อยตัดสินใจแล้วขอรับ” ฮาธอสกล่าวด้วยความมั่นใจไร้ข้อกังขาแล้วหันไปหามหาเทพสงคราม

    ประกายหวานเชื่อมในดวงตาของเทพทั้งสงบอกเล่าทุกอย่างกับจอมเทพีแห่งคีตนาฏกรรม ตั้งแต่ที่ฮาธอสบอกว่ามีปัญหาความรัก นางก็สงสัยมาตลอดว่าใครเป็นผู้โชคดี ที่แท้เทพที่คว้าหัวใจศิษย์ของนางไปก็คือ ‘ไคซัส’ เองหรือนี่ มิน่าเล่าเทพอสูรจึงออกอาการดุร้ายนักเมื่อนางไปขอตัวเขากลับคืนมา

    มันเป็นแบบนี้นี่เอง...

    เรเทเชียระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกับการตัดสินใจของศิษย์รักผู้นี้ดี เทพกับอสูร สำคัญที่สุดยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย ถึงสวรรค์จะไม่ได้ห้ามเรื่องความรักในหมู่เพศเดียวกัน นางก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้อยู่ดี คงเพราะเห็นนาซิลลาวิ่งไล่ตามเงาของเทพคนสวนผู้นี้มานานกระมัง

    แต่ถึงกระนั้นความรักก็เป็นเรื่องระหว่างสองบุคคลที่คนนอกไม่ควรยื่นมือไปสอด อีกทั้งเรเทเชียก็พูดไปแล้วด้วยว่าถือการตัดสินใจของฮาธอสเป็นสำคัญ ในเมื่อชายหนุ่มเลือกเส้นทางของตนเองแล้ว...และไคซัสก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร นางเห็นมาแล้วถึงความรักของเขา ยิ่งประจักษ์ในความหวงแหน ส่วนความทะนุถนอมนั้น...คงไม่ต้องถามถึง หากมหาเทพสงครามไม่ดูแลเทพคนสวนดีจริง ๆ คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้แน่

    “ตกลง เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็อนุญาตให้เจ้าไป เมื่อไปอยู่ทางโน้นแล้วก็ขอให้ช่วยเหลืองานมหาเทพสงครามอย่างเต็มที่เหมือนตอนที่อยู่กับข้านะ หากวันใดเจ้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเทพรับใช้ก็ปกครองพวกเขาด้วยความเป็นธรรมด้วย” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง รู้สึกเหมือนกำลังปล่อยลูกสาวออกจากอกก็ไม่ปาน

    “ขอบพระคุณจอมเทพี ฮาธอสน้อมรับคำสอนสั่ง” เทพคนสวนโค้งคำนับต่ำอย่างนอบน้อมยิ่ง

    “แต่ว่าข้ายังสงสัยเรื่องหนึ่ง” คำถามที่ขัดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ฮาธอสยืนตัวตรงทันใด ความสงสัยบนวงหน้าสวยของอดีตเจ้านายดูมีเลศนัยจนเขาสังหรณ์ “คำตอบที่เจ้าได้จาก ‘หัวใจ’ นั้นเป็นของจริงหรือเปล่า”

    หลังจากจบคำถาม ทุกสายตาของเทพในศาลาก็พร้อมใจกันไปรวมอยู่ที่เทพคนสวน โดยเฉพาะไคซัสที่ดูจะสนใจมากกว่าเพื่อน เขาไม่สนใจหรอกว่าเรเทเชียจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้วหรือยัง ชายหนุ่มอยากรู้คำตอบของฮาธอสมากกว่า

    เมื่อถูกจ้องเข้าแบบนี้ ฮาธอสก็ออกอาการกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าตอบกลับไป

    “ขอรับ”

    คำตอบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เรเทเชียรู้สึกโล่งใจ แต่ยังทำให้ไคซัสลอบยิ้มอย่างมีความสุขด้วย เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ กระนั้นมันก็ยังแสดงออกทางดวงตาอยู่ดี ก่อนจะสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจอมเทพีเอ่ยเรียก

    “มหาเทพ”

    “อันใดหรือ” น้ำเสียงถามกลับเจือแววไม่แน่ใจเล็กน้อย เพราะฝ่ายตรงข้ามเล่นสาดรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนแม่มาให้ ทำให้เขาตั้งหลักไม่ติดเล็กน้อย

    “เรื่องในอดีตข้าต้องขอโทษด้วยที่เคยเสียมารยาทกับท่านไปตั้งมากมาย และแม้ข้าจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดเชิงลึกของเรื่องราวที่ผ่านมามากนัก แต่ในสายตาของข้า ฮาธอสก็ยังเป็นฮาธอสอยู่วันยันค่ำ เป็นศิษย์เอกที่ข้าให้ความเอ็นดูมาตลอด ดังนั้นโปรดดูแลเขาให้ดี ๆ นะเจ้าคะ”

    เพราะรอยยิ้มของคู่สนทนาดูไร้พิษภัย ไคซัสจึงพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลอย่างดีเลยล่ะ”

    “ขออภัยนะเจ้าคะ ข้าดูอยู่นานแล้วแต่อดรู้สึกไม่ได้ พวกท่านสองคนทำเหมือนกำลังสู่ขอลูกสาวกันเลยเจ้าค่ะ” อเดลเอ่ยกระเซ้าขึ้นมาเล่นเอาฮาธอสหน้าแดงเถือก อัลล์กับองครักษ์รีบกลั้นยิ้มกับเสียงหัวเราะทันที

    “ท่านอเดล อย่าล้อเล่นกันสิขอรับ” เทพคนสวนแหวเสียงหลง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกผู้หญิงแว่วมาด้วย

    “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ข้าเองก็คิดเหมือนกัน” ไคซัสเล่นตามน้ำ แตะมือเรเทเชียแล้วเออออด้วย “ข้าได้ ‘ลูกสาว’ เจ้ามาแล้ว จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ท่านแม่ดีไหม”

    “แหม อายุของข้าน้อยกว่ามหาเทพไคซัสอีกนะเจ้าคะ” เรเทเชียค้อนน้อย ๆ แล้วทำหน้านึก “แต่ข้าก็ดีใจที่ ‘ลูกสาว’ มีคนดี ๆ อย่างท่านคอยดูแลนะเจ้าคะ”

    “จอมเทพีอย่าเป็นไปด้วยสิขอรับ”

    “อื้ม! ลูกสาวของเจ้าเป็นคนดี เขาถึงได้คนดี ๆ มาดูแลน่ะสิ”

    “มหาเทพ! หยุดเถิด!”

    “ยอมรับเถอะ ฮาธอส ตอนนี้เจ้าเป็น ‘ลูกสาว’ ของจอมเทพีไปแล้วล่ะ”

    “อัลล์ก็เอาด้วยเหรอ!”

    แล้วเสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังไปทั่วศาลากลางตำหนัก กลบเสียงแหวอย่างเขินอายของฮาธอสกับเสียงสะอื้นไห้ของนางกำนัลที่อกหักรักคุดอย่างงลับ ๆ จนหมดสิ้น

    แต่ท่ามกลางสายตาของประจักษ์พยานซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ฮาธอสเคารพรัก ไคซัสได้ยื่นมือมาหาฮาธอสพร้อมส่งรอยยิ้มเชิญชวน เทพคนสวนยืนเขินอยู่นานกว่าจะยอมจับมือนั้นและคล้อยตามแรงดึงไปนั่งข้างมหาเทพสงคราม ทำให้เสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลที่แอบซ่อนอยู่ดังขึ้นอย่างปิดไม่มิด เสียงนั้นมีทั้งความตื่นเต้นและความเสียใจกับเสียดายปนเปกันจนแทบแยกไม่ออกทีเดียว

    เพียงเท่านี้...ไคซัส ไม่สิ...

    นับจากนี้ไปมหาเทพสงครามกับเทพคนสวนจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว

    พวกเขาจะอยู่เคียงข้างกันและกัน ร่วมทุกข์และร่วมสุขด้วยกันตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย...



    จบบริบูรณ์

    ----------------------

    นาทีนี้ขอพูดชัดๆ ว่า โล่งแล้ว TT_TT

    ในที่สุดก็จบลงเสียที ไคซัส ฮาธอส ฉันส่งพวกเธอสองคนถึงฝั่งแล้ว โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

    ต้องขอโทษด้วยนะครับที่หายไปนาน เพิ่งจะมีเวลามาลงบทปัจฉิมเอาวันนี้นี่เอง ตอนนี้ยังจะไม่แจ้งย้ายห้องนะครับ เพราะตั้งใจว่าจะเอาตอนพิเศษสั้นๆ  ใน theme "ฉากที่หายไป" มาลงอีกเป็นระยะๆ (หรือจนกว่าจะสามารถเปิดจองหนังสือในเล้าเป็ดได้)

และขอแจ้งให้ทราบด้วยว่า ตอนนี้มาโกะเปิดจองหนังสือทำมือของนิยายเรื่องนี้ไว้ที่เว็บเด็กดีแล้วนะครับ สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ My.ID Keisei หรือจะไปตามจากเพจ Keisei/L.Lalinsia ก็ได้ สาเหตุที่ยังไม่ได้เปิดจองในเล้า ก็เพราะตอนนี้กำัลังรอ ID ผู้ขายจากทางทีมงานเล้าอยู่ แบบว่าประมาทไปหน่อย ลงจนจบแล้วเพิ่งนึกได้ว่าต้องขอไอดีด้วย orz จะโยงลิงก์รายละเอียดจากข้างนอกมาก็เกรงว่าจะผิดกฎน่ะครับ

สำหรับเนื้อหาในหนังสือทำมือมีการรีไรท์และเกลาสำนวนใหม่ทั้งหมด มีตอนพิเศษหวานๆ เอาให้สมกับที่ดรา่ม่ามาเยอะให้อีก 2 ตอนด้วยกันครับ

สุดท้าย...แต่ยังไม่ท้ายสุด ใครสงสัยอะไรสามารถสอบถามได้นะครับ มาเมาส์กันเถอะ....

ปล.มีพล็อตภาคสองมาบ้างแล้ว ลุ้นกันว่าจะได้เขียนไหม  :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท up 18/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 19-09-2013 03:56:16
สงสารเฮสเลนอ่ะ

น่าจะกลับตัวตอนจะจบเหมือนหนังไทยงี้ :katai3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว up 19/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 19-09-2013 17:57:17
ขออนุญาตดันเล็กน้อย แจ้งข่าวเปิดจองหนังสือทำมือครับ ขณะนี้เปิดจองในเล้าเรียบร้อยแล้ว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39313.0

สำหรับเรื่องให้เฮสเลนกลับตัวกลับใจนั้น ท่าจะยากครับ ผ่านมาเป็นพันปี พี่ท่านยังไม่สำนึกเลย TT_TT
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว up 19/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 21-09-2013 00:24:18
สนุกมาก อ่านแล้วหยุดอ่านต่อไม่ได้ ซ่อนเงื่อนเดาทางไม่ออกเลย เป็นนิยายที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมากๆ ประทับเป็นที่สุดจริง และคิดว่าจะต้องกลับมาอ่านเรื่องอีกเป็นครั้งสองสามและอีกหลายครั้ง ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ต้องอ่านเดี๋ยวนี้ สุดยอดครับ ขอบคุณมากๆด้วยใจจริง อาจจะมีเม้นท์ไม่เยอะอย่าท้อนะครับ เชื่อว่ามีคนอ่านชอบเยอะแน่ๆ แต่อาจไม่สะดวกบางประการ อย่างตัวเองอ่านผ่านโนเกียร์รุ่นเก่า อี63 แป้นพิมพ์ก็ถลอกจนดูตัวหนังสือไม่ออก จึงไม่ค่อยได้เม้นท์เท่ไหร่ รออ่านผลงานต่อๆไปนะครั
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว up 19/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 23-09-2013 14:50:19
ก่อนจะเริ่มโพสตอนพิเศษ ขอชี้แจงเล็กน้อยนะครับ เรื่องสั้นที่เอามาลงนี้เป็นฉากสั้นๆ ของนิยาย ณ แดนสรวง ซึ่งผมจัดเป็นชุด "ฉากที่หายไป" ครับ โดยส่วนใหญ่จะเป็นฉากที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะใส่ในเรื่องอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนที่เีขียนนั้นสมองอาจจะจินตนาการไปว่าถ้าหากว่าเกิดขึ้นจะเป็ยยังไง เป็นเสมือนฉากที่เติมเต็มจินตนาการอีกหนึ่งก็ได้ครับ ผมพยายามลำดับฉากแต่ละฉากออกมาให้ต่อกันมากที่สุด แต่อาจจะมีบางช่วงบางตอนที่สลับกันบ้างนะครับ

-------

ตอนพิเศษ ฉากที่หายไป 1 บทที่ 8 ช่วงฉากที่ฮาธอสเปลี่ยนชุดและโดนไคซัสมัดมือชก

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ฮาธอสก็รีบไปยังห้องทำงานส่วนตัวของมหาเทพสงครามอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงเขาก็เคาะประตูสามครั้งและร้องบอกคนข้างใน

"ข้าน้อยฮาธอสขอรับ"

"เข้ามาได้"

"ขออนุญาตขอรับ...!"

ขาดเสียงเจ้าของห้อง ฮาธอสเปิดประตูพร้อมกล่าวขออนุญาตตามความเคยชิน แต่เมื่อเข้าไปข้างในได้ เทพหนุ่มกลับต้องชะงักงันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นไคซัสในร่างมนุษย์นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่งอยู่หน้าเตาผิง เรือนผมสีเทาจางแผ่สยายปรกบ่า ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยหมัดกล้ามอวดสายตาเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ดูประหนึ่งรูปสลักที่ถูกเสกสรรอย่างประณีต ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็สมบูรณ์ไร้ที่ติ รูปงามจนแม้แต่ฮาธอสที่เป็นบุรุษเหมือนกันยังอดหลงใหลมิได้

“มาพอดี ข้ากำลังอยากได้คนช่วยแต่งตัวเลย” ไคซัสพูดทำให้ฮาธอสที่กำลังจ้องแบบตาไม่กะพริบได้สติ และมองตามมือเขาที่ชี้ไปยังฉากบังตาทำจากหวายซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือ ตรงนั้นมีชุดตัวยาวสีขาว รูปทรงแปลกตาพาดอยู่สองตัว ตรงส่วนหัวของฉากก็มีชุดที่น่าจะเป็นเสื้อคลุมตัวโคร่งสีดำขลิบลายทองแขวนอยู่อีกตัว

ฮาธอสมองชุดเหล่านั้นแล้วก็เลื่อนสายตามาหาไคซัสอีก นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรถึงอยู่ในร่างมนุษย์เช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบก็ต้องรีบถลาไปพยุงตัวเทพอสูรไว้ เมื่อเจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง

“อย่ารีบลุกพรวดพราดสิขอรับ” พูดแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิด หลังได้กลิ่นน้ำปรุงบาง ๆ จากตัวไคซัส “มหาเทพไคซัสเพิ่งเช็ดตัวเสร็จหรือขอรับ แล้วท่านหญิงไคมีร่าไปไหน ทำไมปล่อยท่านอยู่คนเดียวล่ะ” ถ้าเกิดหน้ามืดล้มไปขึ้นมาจะทำอย่างไร...เขาคิดต่อในใจโดยไม่ได้พูดออกไป จากนั้นก็หยิบกางเกงขายาวสีขาวมาให้เจ้านายสวมก่อน ระหว่างนั้นก็ต้องคอยดูไม่ให้ไคซัสเสียหลักล้มไปด้วย พร้อมกันนั้นก็ต้องไม่เผลอมองอะไรต่อมิอะไรที่ชวนให้ใจสะท้านไปด้วย ช่างลำบากจริง ๆ

"ไคมีร่าไปเปลี่ยนน้ำน่ะ ปกตินางก็ไม่ได้ช่วยข้าแต่งตัวอยู่แล้วด้วย” พอสวมกางเกงได้อย่างปลอดภัย ไคซัสก็ปลดผ้าเช็ดตัวออก และยืนรอฮาธอสเอาเสื้อมาสวมให้ “ส่วนข้ากำลังจะไปประชุมสภาสวรรค์ ฟาเบียนเพิ่งส่งหมายเรียกมาเมื่อคืน”

"เอ๊ะ! แต่อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายไม่ใช่หรือ อย่าเพิ่งไปเลยขอรับ” ฮาธอสคัดค้านทันใด

เขาไม่เห็นด้วยหากไคซัสที่ยังไม่หายดีจะฝืนร่างกายไปเผชิญหน้ากับเสือสิงกระทิงแรดกลางสภาสวรรค์เช่นนั้น แต่ก็ยังไม่วายทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มเอาเสื้อสีขาวตัวยาวแบบอาหรับมาสวมให้เจ้านาย ก่อนเดินอ้อมมาข้างหน้าเพื่อติดกระดุมให้ ตอนนี้เองที่เทพคนสวนช้อนตามองไคซัสอย่างเป็นห่วง อ้อนวอนให้อีกฝ่ายหยุดพักผ่อนจนกว่าจะหายดี

ไคซัสดูจะเข้าใจความหมายของสายตานั้นดี เทพอสูรยักยิ้มบางแล้วส่ายหัวอย่างอับจน “ไคมีร่าก็ห้ามข้าเหมือนกันนะ แต่น่าเสียดายที่ข้าทำไม่ได้ เพราะหัวข้อการประชุมวันนี้คือ เสาเขตแดนที่พัมกินซ์เพิ่งทำลายไปเมื่อวันก่อน ข้าต้องไปจัดการให้เสร็จเรียบร้อยและเจ้าก็ต้องไปกับข้าด้วย”

มือที่กำลังกลัดกระดุมเข้าด้วยกันพลันหยุดชะงัก ใบหน้าคมสันเงยขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจสุดขีด

“เอ๋! ให้ข้าไปด้วยหรือขอรับ” เทพคนสวนทวนอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ไคซัสพยักหน้ายืนยัน ทำให้ความตกใจที่รุนแรงยิ่งกว่ารู้ว่าไคซัสจะออกไปข้างนอกระเบิดออกมา “ตะ...แต่ว่า...สะ...สถานที่ประชุมสภาสวรรค์อยู่ในวังหลวง ไม่ใช่สถานที่ที่เทพชั้นต่ำอย่างข้าควรจะเข้าไปนะขอรับ!”

"แต่ข้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วย" ไคซัสบอกเสียงเนิบช้าและเริ่มติดกระดุมเสื้อเอง หลังเห็นฮาธอสนิ่งไปแล้ว "อัลวินไม่อยู่ มีแต่เจ้าที่พอจะทำงานในส่วนของเขาได้"

"มะ...ไม่ได้ขอรับ ข้าไปไม่ได้!" ฮาธอสค้านหัวชนฝา ให้ตายเขาก็จะไม่ไปตำหนักมหาเทพสวรรค์เด็ดขาด!

แต่ไคซัสก็รู้วิธีจัดการกับเทพคนสวนแล้ว มหาเทพสงครามขยับมาใกล้ตัวฮาธอส จับมือเจ้าตัวไว้ก่อนจะขยับหนีไปไหน ก่อนบรรจงวางมือบนแก้มเนียนนุ่มของคนตรงหน้า สะกดตรึงด้วยแววตาลึกล้ำที่เขย่าหัวใจให้สั่นคลอนอย่างรุนแรง ฮาธอสรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ นับวันมหาเทพอสูรตนนี้จะมีอิทธิพลกับเขามากขึ้นทุกที เทพคนสวนแทบไม่มีโอกาสขัดขืนเลยสักนิดและทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เขาก็ใจอ่อนยวบยาบ

"ถือว่าข้าขอร้องนะ ฮาธอส ไปประชุมสภาสวรรค์กับข้านะ"

---------------

ตอบคอมเมนต์นักอ่าน

คุณ abcee ขอบพระคุณสำหรับคอมเมนต์มากๆ ครับ เข้ามาแล้วเจอคอมเมนต์ของคุณ ผมรู้สึกดีใจมากจริงๆ ยิ่งได้อ่านคำชมยิ่งเหมือนตัวลอยไปถึงสวรรค์เลยล่ะครับ >w<

ส่วนเรื่องคอมเมนต์ ผมไม่ท้อแน่นอนครับ ผมถือว่าแค่ท่านผู้อ่านเข้ามาอ่านก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ ส่วนคอมเมนต์ขอให้เป็นไปตามความสมัครใจและความเมตตาของท่านผู้อื่นดีกว่า แต่ทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนต์จากท่านผู้อ่านที่กรุณาติดตามกันมาตลอด ไม่ว่าจะคนละกี่คอมเมนต์ ผมก็มีความสุขเสมอครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 1 up 23/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 23-09-2013 19:05:36
ไคซัสเจ้าเล่ห์นักนะ!!  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 1 up 23/09/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 07-10-2013 17:46:11
   ฉากที่หายไป 2 ระหว่างบทที่ 10 กับ 11 เมื่อเทพรับใช้แห่งตำหนักซิมโฟเนียอาเรียไปแจ้งข่าวแผนการล้มเหลว

   แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้มายังเตียงสี่เสาที่ตั้งกลางห้อง ตกต้องดวงตาของเด็กหนุ่มที่นอนกรนฟี้อยู่บนนั้น ทำให้แพขนตางามงอนที่ทาบกับผิวใสขยับถี่ ๆ แล้วเบิกขึ้นด้วยอาการงัวเงียระคนงุนงง เขาจ้องมองเพดานสีฟ้าที่เข้มขึ้นในยามราตรีด้านบนนิ่ง สงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะนึกเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้

   ...จริงสิ เรามากินเหล้ากับลูซิสนี่นา...

   ...ว่าแต่ไอ้หมอนั่นล่ะ

   ขุนพลเทพอันดับห้าคิดพลางยันตัวขึ้นมานั่ง คิดว่าน่าจะกลับตำหนักของตัวเองเสียที เพราะก่อนจะมาไม่ได้บอกพวกข้ารับใช้ว่าจะค้างที่นี่ ป่านนี้พวกนั้นคงจะตามหากันให้ควักให้แล้ว

   แต่ในตอนที่ก้มหน้าลงเพื่อขยี้ตาให้หายง่วงนั้น สายตาเจ้ากรรมก็เห็นลำแขนของชายตนหนึ่งวางพาดบนเอว เขาหันไปมองหน้าเจ้าของด้วยความตกใจ แล้วก็พบบุรุษรูปงามไว้ผมสีแพรตตินั่มกำลังหลับสนิทโดยกอดตัวของเขาแน่น!

   “ลูซิส...” นามนี้หลุดจากริมฝีปากจิ้มลิ้มอย่างยากลำบาก ร่างเล็กบางสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ “...ตื่นเดี๋ยวนี้นะว้อย ลูซิส!!”

   ข้าวของภายในห้องงามหรูรวมถึงขี้หูของลูซิสเต้นผ่าง หลังเซย์เรียโน่แผดเสียงด้วยความโมโห ร่างสูงสะดุ้งเฮือกแล้วกุมหูด้วยความตกใจ ถึงจะไม่ได้ใช้ได้เสียงมังกรดั่งเดิมของตนเอง แต่มันก็ยังทรงพลังทำลายล้างขนาดทำให้เขาหูอื้อ ตาลาย และได้ยินเสียงวิ้ง ๆ ในหัวสมองเลยทีเดียว

   “ทำอะไรของเจ้าเนี่ย เซย์เรียโน่ หูข้า...”

   “เจ้าต่างหาก มานอนเตียงเดียวกับข้าได้อย่างไร!” เซย์เรียโน่ก้มลงสำรวจตัวเองให้ชัด ๆ ก็พบว่าตนอยู่ในสภาพเกือบเปลือย สวมแค่เสื้อคลุมผ้าแพรลายผีเสื้อยาวถึงเข่าตัวเดียว เสียงโวยวายของเขาก็ดังขึ้นกว่าเดิม “ละ...แล้วเจ้าทำอะไรกับข้า เสื้อผ้าของข้าไปไหนหมด ลืมไปแล้วหรือไง ไอ้เฒ่าลามก!”

   ลูซิสรอจนขุนพลเทพอันดับหน้าแหกปากโวยวายจนเสร็จค่อยลุกขึ้นมาเผชิญหน้าด้วยสีหน้าละเหี่ยหน่อย ๆ ชี้นิ้วไปยังโต๊ะกลมใกล้ ๆ ที่เต็มไปด้วยขวดเหล้านานาชนิด ซึ่งพวกเขาขนมาดื่มด้วยกันในเย็นวานนี้

   “ดูท่าจะเมาจนลืมสินะ เจ้าซดเหล้าเอา ๆ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ข้าได้เหล้าใหม่มากี่ขวด เจ้าก็กวาดเรียบยกแผง สุดท้ายก็เมาปริ้นจนกลับตำหนักไม่ไหว ข้าก็เลยอุ้มมานอนที่เตียง แต่ระหว่างทางเจ้ากลับสำรอกของเก่าออกมาเปื้อนเสื้อผ้ากันทั้งคู่ ข้าก็เลยต้องถอดชุดเจ้าออกแล้วพอมานอนทั้ง ๆ แบบนี้แหละ” 

   คำอธิบายของลูซิสค่อย ๆ ดังความทรงจำที่ขาดหายไปของเซย์เรียโน่กลับมาอีกครั้ง เมื่อจำได้ทุกอย่าง เด็กหนุ่มก็ตบหน้าผากด้วยความไม่อยากเชื่อตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าอยู่กับผู้ชายคนนี้มีแต่อันตรายแท้ ๆ แต่ดันเผลอดื่มจนเมาปริบให้มันมาดูแลเสียได้ ต้องเป็นเพราะเหล้ามังกรแดงขวดแรกที่ดื่มเข้าไปแน่ ๆ ดื่มเข้าไปแค่จอกเดียวก็ตัวร้อนผ่าว ทว่ารสชาติอร่อยของมันทำให้เขาลืมตัวดื่มไม่มีหยุดจนหมดสภาพ

   ฝ่ายลูซิสเห็นเซย์เรียโน่ได้สติสตังแล้วก็เลื้อยมากอดด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความเอ็นดูยิ่ง และเปล่งเสียงหัวเราะออกมาในตอนที่เด็กหนุ่มเริ่มดิ้นขืน

   “หึ ๆ ได้ยินแบบนี้แล้วจะไม่พูดอะไรสักคำเลยหรือ หือ?” มหาเทพแสงสว่างเอานิ้วจิ้มแก้มนิ่มของเซย์เรียโน่เบา ๆ “ข้าอุตส่าห์ดูแลเจ้าตลอดทั้งคืนเชียวนะ คอยป้องกันไม่ให้ท่านพี่มาลักหลับด้วยน้า จะไม่ขอบคุณหน่อยเหรอ~”

   “หนวกหูน่า! ข้าไม่พูดเด็ดขาด ไม่ได้ขอให้มาดูแลสักหน่อย ปล่อยเซ่!” ขุนพลเทพอันดับหน้าพยายามดึงตัวเองออกมาจากพันธนาการกล้ามเนื้อนั้นเต็มที่ ทว่าอีกฝ่ายก็เกาะตัวเขาแน่นอย่างกับตุ๊กแก “ให้ตายสิ มือเจ้าจะเหนี่ยวไปไหนเนี่ย ข้าไม่ใช่ตุ๊กตาให้เจ้ามากอดเล่นนะเฟ้ย!”

   “แหม พูดจาโหดร้ายจริง ๆ ในเมื่อขอบคุณกันไม่ได้ก็ขอกอดแบบนี้เป็นรางวัลหน่อยน่า” ลูซิสคลอเคลียเซย์เรียโน่เหมือนเจ้านายขี้เห่อคลอเคลียแมวเหมียวขี้โมโห ซึ่งไม่สามารถกางเล็บและฝากรอยแผลไว้บนใบหน้าอีกฝ่ายได้

   “เรื่องสิฟะ! ข้าต้องกลับตำหนักแล้ว!”

   “ไม่เห็นต้องรีบร้อน ยังไงเราก็นอนด้วยกันมาเกือบทั้งคืนแล้ว วันนี้เจ้าก็ว่างไม่ใช่เหรอ” ลูซิสพูดอย่างอารมณ์ดีขณะซุกไซ้จมูกกับซอกคอขาวเนียนตรงหน้า

   “ไม่ว่างเฟ้ย ข้ายังต้อง...!” เด็กหนุ่มขนลุกเกลียวไปทั่วทั้งตัว เมื่อลูซิสล้วงมือเข้าไปในเสื้อแล้วลูบไล้หน้าท้องแบนราบเบา ๆ ก่อนความโมโหจะพลุ่งพล่านขึ้นมา ขุนพลเทพอันดับห้าเตรียมจะศอกกลับแต่ถูกรวบแขนเอาไว้ข้างตัว “โธ่ว้อย! เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่จะทำยังไงก็ได้หรือไงฟะ!”

   “ข้ากำลังสั่งสอนเจ้าอยู่ต่างหาก” มหาเทพแสงพูดพลางหอมแก้มเด็กหนุ่มอีกหน

   “แบบนี้มันสอนตรงไหนฟะ ลวนลามกันมากกว่า ตาเฒ่าลามกปล่อย!”

   เซย์เรียโน่ดิ้นสุดแรงเกิดอีกครั้ง แต่กำลังของเทพเด็กน้อยหรือจะสู้เทพบรรพกาลที่มีอายุยืนยาวกว่าและมีพลังมากกว่าตัวเองได้ แค่อีกฝ่ายใช้อำนาจนิดหน่อยก็ยึดตัวขุนพลเทพอันดับห้าเอาไว้ได้แล้ว

   ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างเร่งร้อน ทำให้เทพทั้งสองต้องหยุดต่อสู้กันและมองไปยังประตูซึ่งเทพรับใช้ตนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามาทำความเคารพด้วยท่าทางกลัว ๆ กล้า ๆ

   “ขอประทานอภัยที่ขัดจังหวะขอรับ มีเทพรับใช้จากตำหนักซิมโฟเนียอาเรียมาตามหาขุนพลเทพอันดับห้าขอรับ”

   “หา? ตามหาข้าเนี่ยนะ” เซย์เรียโน่ชี้หน้าตัวเองแล้วนึกสังหรณ์ร้ายขึ้นมาโดยพลัน ร่างเล็กกระโจนลงจากเตียงทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้ายังหลุดลุ่ย ลูซิสก็ลุกขึ้นมานั่งตั้งใจฟังเช่นกัน “เขาบอกไหมว่าเป็นเรื่องอะไร”

   “เขาไม่ได้แจ้งรายละเอียดขอรับ บอกแค่ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านขอไว้และให้รีบไปที่ตำหนักพาเทร่าโดยด่วนที่สุดด้วย ตอนนี้เขารออยู่ข้างนอกขอรับ”

   เด็กหนุ่มเบิ่งตากว้างด้วยความตกตะลึง ล่วงรู้ทันทีว่าปัญหานั้นคืออะไร แต่ก่อนเด็กหนุ่มจะทันขยับไปไหนก็มีชายสวมหน้ากากกับชุดขาวตามเข้ามาสมทบ ขุนพลเทพอันดับห้าหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจทันที

   “เจ้ามาที่นี่ทำไม ไอ้เวรนั่นต้องการอะไรอีก!” เซย์เรียโน่กระชากเสียงพร้อมถอดเสื้อออกโดยไม่สนใจสายตาคนอื่นเลย ไม่สนแม้แต่เสียงผิวปากกระเซ้าของลูซิส เขาโบกมือครั้งเดียวชุดจีนผสมยุโรปสีขาวก็ปรากฏห่อหุ้มตัวของเขาอย่างมิดชิด

   “ท่านผู้นั้นทราบเรื่องแล้วและสั่งให้ข้ามาแจ้งว่า ‘จงทำทุกอย่างให้ถูกต้อง’ ขอรับ” ชายชุดขาวแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพที่เห็นว่าไม่น่าจะสะกิดต่อมโมโหของเซย์เรียโน่ได้ กระนั้นขุนพลเทพอันดับห้าก็ยังแทบระเบิดอยู่ดี

   “รู้แล้ว ข้ากำลังจะไปอยู่นี่ไง!” เขาแผดเสียงอย่างโมโหพร้อมก้าวขาออกไป

   ทว่ามือข้างหนึ่งกลับคว้าแขนเขาจากข้างหลัง จากนั้นก็ดึงกลับไปหาลูซิสอีกรอบ เด็กหนุ่มสะดุ้งหน่อย ๆ เพราะใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้จนน่ากลัว ดวงตาสีรุ้งยังคงดูทะเล้นและไร้แก่นสารเหมือนที่เคยเห็นประจำ กระนั้นเซย์เรียโน่ก็ยังสังเกตเห็นแววจริงจังที่แฝงเร้นอยู่ได้

   “ระวังตัวด้วยนะ เซย์เรียโน่ มหาเทพสงครามอาจจะเป็นมังกรลูกผสม แต่...เวลามังกรโกรธก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

   เซย์เรียโน่ฟังแล้วก็แยกริมฝีปากอวดเขี้ยวขาว “ถึงเจ้าไม่พูด ข้าก็รู้อยู่แล้วล่ะน่า ไปล่ะนะ”

   หนุ่มน้อยบอกลาอย่างจองหองตามแบบฉบับของตัวเองแล้วก็วิ่งออกไปพร้อมกับชายชุดขาว 

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 2 up 07/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 07-10-2013 17:59:57
อยากอ่านคู่เซเรียโน่อ่ะ น่ารักดี > <
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 2 up 07/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 21-11-2013 21:26:19

สนุกมาก ๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 2 up 07/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 21-11-2013 22:03:40
ในที่สุดก็ตามอ่านจนจบ

เรื่องสนุกมากๆค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งติด สนุกมากๆเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าว+ตอนพิเศษ 2 up 07/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Makoto-sang ที่ 01-01-2014 20:55:52
   คุยกันก่อน...

   สวัสดีปีใหม่ครับ นักอ่านทุกท่าน

   ตอนแรกคิดว่าในช่วงปีใหม่จะเขียนนิยายมาลงสักตอน แต่หลังจากติดปัญหานั่นนี่อยู่สักพักก็ต้องตัดใจและหันมาหาเรื่องสั้นแทนครับ เพราะเดิมทีตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องราวของเซย์เรียโน่อยู่แล้ว คิดอยู่นานสองนานก็นึกออกว่ามีคนอยากเห็นเซย์เรียโน่โดนตื๊บก็เลยลองเขียนออกมาดู แม้ว่าจะไม่ใช่การตื๊บแบบเต็ม ๆ เท้า แต่ทุกคนก็จะได้เห็นเจ้าเด็กน่าหมั่นไส้ตนนี้โดนเล่นงานจริง ๆ โดยคนที่เจ้าตัวยังเล่นงานคืนไม่ได้ด้วย >/////<

   สำหรับช่วงที่หยิบมานี้เป็นช่วงก่อนเกิดสงครามเทพ-ปีศาจที่ทำให้อดีตมหาเทพสงครามจะถูกสังหาร หรือก็คือเป็นช่วงเวลาก่อนจะเกิดเหตุการณ์ในต้นฉบับนั่นเอง อัลเลนมีศักดิ์เป็นพ่อของเซย์เรียน/เซย์เรียโน่และจ้าวมังกรวารี มังกรวายุ และมังกรปฐพีของมิติดราโกเนียด้วย เพราะเขาเป็นคนสร้างจ้าวมังกรทั้งหมดนี้ขึ้นมาจากชิ้นส่วนร่างกายของตัวเองนั่นเองครับ

   แม้ว่าเซย์เรียน/เซย์เรียโน่จะเกือบเป็นผลงานที่ผิดพลาด เนื่องจากเกิดมามีดวงจิตสองดวงในร่างเดียวกัน แต่เขาและเธอก็เป็นลูกสาว/ลูกชายที่อัลเลนรักมากที่สุด (จนเคยก่อปัญหาที่เป็นเหตุให้ต้องเกรงใจลูกสาวไปชั่วชีวิตนับจากนั้นเลยทีเดียว) ผมหวังว่าทุกท่านจะสนุกกับการได้เห็นเซย์เรียโน่โดนเล่นงานรับปีใหม่กันนะครับ ^ ^


   Makoto-sang

   ----------------------------

   ดินแดนแห่งเทือกเขาอันสลับซับซ้อนและห่อหุ้มด้วยก้อนเมฆสีทองอย่างงดงาม สายลมอ่อนพัดพายไปทั่วขุนเขา สายน้ำไหลรินเกิดเสียงกังวานจากทุกหนแห่ง คลอเคล้าด้วยเสียงวิหคนานาชนิดที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า ป่าไม้เขียวชอุ่มส่องประกายราวกับอัญมณีเลอค่า สรรพชีวิตแห่งสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในเขตนี้ต่างใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขภายใต้การดูแลของ ‘อัลเลน’ เทพมังกรทองแห่งสวรรค์

   กาลเวลาของที่นี่ไหลผ่านไปอย่างสงบสุขมายาวนานหลายพันปีจวบจนกระทั่งวันที่สมาชิกใหม่ได้ขึ้นมาพำนักในตำหนักออเรเลียสที่เนรมิตตามแบบพระราชวังจีนโบราณที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดของเขตนี้

   “เซย์เรียโน่!”

   เสียงทุ้มหวานแผดสนั่นจนตำหนักทั้งหลังแทบสั่นสะเทือน ข้ารับใช้ทุกตนในตำหนักรีบหมอบตัวคู้ด้วยความตกใจและหวาดกลัวอย่างยิ่ง ขณะประตูห้องอันเป็นที่มาของเสียงถูกผลักเปิดออกอย่างแรง ชายหนุ่มผมหยักศกสีทองแต่งชุดนอนสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมนอนตัวยาวสีทอง เขายืนนิ่งจับพลังเจ้าของชื่อที่พูดออกไปนิดหน่อยแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเด็กคนนั้นโดยพลัน

   “เซย์เรียโน่!”

   ชายหนุ่มตวาดอีกครั้งพร้อมผลักประตูไม้แกะสลักเข้าไปในห้อง ซึ่งเขาต้องตกใจเมื่อเห็นบรรดานางกำนัลหน้าตาสะสวยหมอบกราบอยู่ในห้องนั้นนับสิบคน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เด็กหนุ่มผมสั้นประบ่าแต่งชุดลำลองแบบจีนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยา เขาปรือตาสีแดงขึ้นมองคนที่เพิ่งเข้ามาด้วยสายตาเซื่องซึม ประหนึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าพ่อมาถึงทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งตะโกนด้วยความโมโหไปเมื่อครู่ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะครั้งใหญ่หลังเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม

   “ฮ่า ๆ นั่นท่านไปทำอะไรมาน่ะ” เขาถามพลางชี้ใบหน้าคมหวานที่มีรอยหมึกสีดำเขียนรูปวงกลมบ้าง กากบาทบ้าง เส้นตรงไม่ก็ยึกยือบ้าง แต่นั่นยังไม่ร้ายกาจเท่ากับตรงกลางหน้าผากมีอักษรจีนอ่านว่า ‘ทอง’ เขียนอยู่ด้วย

   “พวกเจ้าออกไปให้หมด” ชายหนุ่มผมทองอดทนข่มหลั้นอารมณ์และไล่นางกำนัลออกไปก่อน เขาเข่นเขี้ยวเล็กน้อยตอนได้ยินเสียงพวกนางกำนัลหัวเราะคิกคัก เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เขาก็ตรงเข้าไปดึงใบหูเจ้าเด็กตัวแสบขึ้นมา

   “โอ๊ย ๆ อย่าทำข้า ๆ ท่านพ่อ!” เด็กหนุ่มอุทธรณ์ด้วยความเจ็บ แต่มือใหญ่ที่บิดหูนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อย

   “ถ้ายังเห็นว่าข้าเป็นพ่อก็หัดเคารพกันบ้างสิ! มีอย่างเรอะแอบเข้ามาเขียนหน้าคนอื่นตอนกำลังหลับน่ะ”

   “คนที่หลับสนิทไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นแหละผิด ข้าไม่ได้เข้าห้องไปเงียบ ๆ สักหน่อย” เซย์เรียโน่เถียงคำไม่ตกฟากจึงถูกบิดาบิดหูเต็มแรงจนร้องจ๊าก

   “มาทำเรื่องไม่ดีกับคนอื่นแล้วยังเถียงอีกหรือ ข้าบิดหูนี่ออกไปเลยดีไหม? ข้าจำไม่ได้เลยว่าเคยสอนให้เจ้าแกล้งคนอื่นแบบนี้ด้วย” ผู้เป็นพ่อตำหนิอย่างฉุนเฉียว โกรธเจ้าลูกชายจอมก่อเรื่องมากจริง ๆ

   “ขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าแค่อยากเห็นท่านทำหน้าแบบอื่นบ้างก็เท่านั้น” เซย์เรียโน่เจ็บจนตาสว่าง ยืดตัวตามมือพ่อไปหวังจะลดความเจ็บสักนิด

   “หน้าแบบอื่นเนี่ยนะ” อัลเลนเค้นเสียงและใส่แรงที่มือมากขึ้น ใบหูของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

   “ชะ...ใช่...ก็ท่านชอบทำหน้ายิ้มละไม แต่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ในใจตลอด ข้าก็เลย...โอ๊ย!”

   สิ่งที่เซย์เรียโน่พูดมาไม่รู้จะเรียกว่าคำอธิบาย...หรือคำสารภาพบาปกันแน่ ทว่ามันน่าหงุดหงิดเสียจนคนเป็นพ่อหมดความอดทนและหยิกหมับเข้าที่หูอีกข้าง ทำให้เด็กหนุ่มร้องลั่นด้วยความเจ็บ ซึ่งภายในเสียงมนุษย์นั้นมีเสียงมังกรแซมแทรกมาด้วย ดูท่าคราวนี้จะเจ็บมากจริง ๆ

   “พอแล้ว ๆ อย่าหยิกหูข้า ข้าเจ็บแล้ว หยิกข้าก็เท่ากับหยิกเซย์เรียนด้วยนะ!” เพราะทนเจ็บไม่ไหวหรือไรไม่ทราบ เซย์เรียโน่ถึงยกชื่อของคนที่ทำให้พ่อชะงักได้ออกมา แต่อัลเลนก็รู้ทันจึงบิดแรง ๆ อีกทีก่อนจะปล่อย “โอย...เจ็บจัง”

   “สมควรโดนแล้ว ถ้าข้าไม่สั่งสอนซะบ้าง คนเขาจะว่าข้าเลี้ยงลูกไม่เป็น!” อัลเลนบ่นพลางเดินไปยังห้องอาบน้ำของห้องนี้เพื่อจะล้างหน้า ผู้เป็นลูกกุมหูรุดไปหยิบผ้าสะอาดและวิ่งตามเขาไปด้วย

   “ท่านก็เกือบ ๆ จะเลี้ยงลูกไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ เล่นปล่อยให้เติบโตตามชะตากรรมของตัวเองเลยนี่นา” ทั้งที่ถูกดุไปขนาดนั้น แต่เทพมังกรไฟแห่งสวรรค์ยังไม่วายยอกย้อน ผู้เป็นพ่อถอนใจอย่างเอือมระอาเป็นที่สุด 

   “ข้าเคยพยายามฝืนเลี้ยงแบบพ่อคนอื่น ๆ แล้วนะ แต่มันไม่สำเร็จ ตัวเจ้ากับพี่สาวเองก็ไม่ได้มีชะตากรรมขึ้นอยู่กับใคร ข้าไม่อาจเอาวิถีของข้าไปยัดเหยียดให้เจ้าได้หรอก”

   อัลเลนพูดพลางก้มลงและกวักน้ำลูบหน้า เซย์เรียโน่ขยับมาใกล้คอยช่วยหยิบนั่นส่งนี้ให้ตามคำสั่ง อย่างไรเสียหน้าที่ปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดก็เป็นงานของลูกอยู่แล้วและเขาเองก็เต็มใจทำเสียด้วย จะบอกว่าเป็นความดีความชอบเล็กน้อยที่เขามีก็ได้

   “ไม่อยากยัดเหยียด แต่กลับยอมให้ราชาเทพนิสัยเสียนั่นเรียกมาอยู่บนสวรรค์เนี่ยนะ” เด็กหนุ่มทำหน้าบูดบึ้งซึ่งหากมองด้วยสายตาคนนอกก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่สายตาของอัลเลนภายใต้ใบหน้านั้นคืออารมณ์อันร้อนแรงที่หากไม่มีใครคอยฉุดรั้ง เซย์เรียโน่ก็อาจระเบิดมันออกมาอย่างง่ายดาย

   “ถ้าข้าคัดค้านแล้วปล่อยให้พวกเจ้าสองคนอยู่กันเองและก่อเรื่องไปเรื่อย ๆ ฟาเบียนก็อาจจะส่งกองทัพเทพไปจัดการก็ได้ ถึงตอนนั้นคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือประชาชน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ‘เซย์เรียน’ เจ้าไม่อยากให้นางต้องลำบากใจใช่ไหม” ผู้เป็นพ่อเงยขึ้นมาถาม ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับมาสะอาดจนเห็นถึงความงามอย่างชาวเทพเหมือนเดิมแล้ว

   เซย์เรียโน่ได้ยินชื่อของพี่สาวก็ทำหน้างอกว่าเก่า มือส่งผ้าเช็ดหน้าให้บิดาไปซับน้ำ “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ชอบอยู่ดี เจ้านั่นดูถูกพวกข้า...”

   ความเงียบปรากฏอยู่ชั่วระยะที่อัลเลนทอดสายตามองบุตรชายที่สร้างมากับมือด้วยสายตาครุ่นคิด เขารู้อยู่แล้วว่าเซย์เรียโน่เป็นคนอย่างไร รู้ดีด้วยว่าเกลียดราชาเทพขนาดไหน แต่เพื่อความปลอดภัยเขาจำเป็นต้องให้เด็กหนุ่มมาอยู่ภายใต้อำนาจของฟาเบียนไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม เจ้าตัวเองก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี ถึงจะบ่นกระปอดกระแปดอย่างไรก็ยังพยายามอดทนจนถึงที่สุด

   “เซย์เรียนเป็นอย่างไรบ้าง”

   ครั้นอัลเลนถามถึงเรื่องนี้ เซย์เรียโน่ก็เปลี่ยนสีหน้าจากงอง้ำอย่างหงุดหงิดเป็นสีหน้าไม่สบายใจ เขายกมือขึ้นวางตรงกลางอกราวกับกำลังสัมผัสใครบางคนที่อยู่ตรงนั้น

   “รอบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะไปมาค้างกับท่านหลายคืนหน่อย” 

   เนื่องจากเซย์เรียโน่กับพี่สาวเกิดจากพลังกับชิ้นส่วนร่างกายของอัลเลนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ของมิติดราโกเนียโดยหลอมรวมเข้ากับพลังของธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นเทพมังกรเพียงตนเดียวที่เกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณสองดวง ร่างกายที่มีเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาจึงต้องดูดซับพลังของบิดาเป็นระยะ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและรักษาสมดุลของวิญญาณกับกายเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของร่างตัวจริงล้มป่วย ถึงแม้พลังในส่วนของเซย์เรียโน่จะช่วยค้ำจุนร่างกายนี้ไว้ได้ ทว่าก็ยังไม่เพียงพอทำให้จิตวิญญาณของเซย์เรียนกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม ทั้งนี้ก็เพราะจิตของเธอถูกอำนาจจิตของเซย์เรียโน่กดข่มนั่นเอง

   “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นตั้งแต่คืนนี้เลย แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก” อัลเลนยื่นคำขาด

   “ขอร้าบบบ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว อย่างน้อยก็ตอนที่ท่านหลับน่ะนะ”

   เซย์เรียโน่แยกเขี้ยวตอบด้วยรอยยิ้มทะเล้นจึงโดนมะเหงกเบา ๆ เข้าให้ เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจที่แหย่บิดาของตนได้ สีหน้าร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง คงจะมีแต่ช่วงที่อยู่ต่อหน้าผู้สร้างตัวเองขึ้นมากเท่านั้นกระมังที่เขาจะแสดงท่าทางตามช่วงวัยนี้ออกมา

   ทว่าไม่กี่นาทีต่อมาสีหน้านั้นก็จางหายไปพร้อมกับใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เบือนไปยังประตูที่เปิดค้างไว้ อัลเลนจับความผิดปกติได้จึงเดินนำลูกชายออกมายังระเบียงหน้าห้อง ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของสองพ่อลูกก็คือท้องฟ้าที่เคยสดใสก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นสีหม่นหมองของความโชคร้าย บรรยากาศหม่นหมองจนเทพทุกตนยังสัมผัสได้ ภาพที่เห็นนี้ทำให้อัลเลนไม่สบายใจเอาเสียเลย

   “เซย์เรียโน่กลับลาไซสิโอน่าเดี๋ยวนี้ หากคืนนี้ไม่มีคำสั่งเรียกตัวข้าจะไปหาเจ้าที่นั่นเอง”

   “ท่านพ่อสัมผัสอะไรได้อย่างนั้นหรือ” เซย์เรียโน่ถามพลางดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ชุดลำลองที่สวมอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดจีนประยุกต์ตัวเก่งที่ชอบใส่ออกข้างนอกเสมอในทันที

   “หายนะครั้งใหม่มาเยือนสวรรค์แล้ว” เทพมังกรทองแห่งสวรรค์เบือนหน้ามาหาลูกชายอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีอร่ามจริงจังไร้แววล้อเล่น “สงครามเทพ-ปีศาจกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งและเจ้าจะเป็นหนึ่งในคนที่ต้องเข้าร่วมครั้งนี้ด้วย”

   เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีแดงเลือดสดับเช่นนั้นก็ยืนนิ่ง ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่บิดาพูดมา อัลเลนเป็นเทพมังกรทองที่มีญาณวิเศษแข็งแกร่งไม่แพ้มหาเทพีแห่งโชคชะตา ทว่าแทนที่เซย์เรียโน่จะอกสั่นขวัญแขวนกับอันตรายครั้งใหญ่ที่มาเยี่ยมเยือนสวรรค์ถึงที่ เทพมังกรไฟกลับเหยียดยิ้มอย่างสนุกสนานด้วยแววตาท้าทาย เมื่อได้รู้ว่าตนจะเป็นหนึ่งในวังวนแห่งความวุ่นวายนั้น

   “ดีสิ ข้านั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว คราวนี้ข้าจะสนุกให้เต็มที่เลย”

   เซย์เรียโน่ประกาศด้วยความมุ่งมั่นแล้วก็อันตรธานหายไป โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าชะตากรรมแท้จริงของตนจะเป็นอย่างไร

   อัลเลนได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอากับลูกชายที่ไม่มีความกลัวคนนี้ ในฐานะของคนเป็นพ่อย่อมอดเป็นห่วงเซย์เรียโน่มิได้ เพราะเส้นทางที่อีกฝ่ายจะเลือกเดินเต็มไปด้วยอันตรายและดำมืดเกินกว่าที่เทพตนไหนจะกล้าเผชิญ แต่ถึงอย่างนั้นท่านเทพมังกรทองก็ยังเชื่อ...

   ...เชื่อว่าลูกชายกับลูกสาวของเขาทั้งสองตนต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 19-01-2015 19:49:16
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-01-2015 19:46:07
สนุกมากๆเบยยยยยยย :heaven :heaven :heaven :katai3: :katai3: :katai3: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 24-01-2015 17:27:48
สนุกมากๆเลยค่ะ เขียนได้ดีมาก ลื่นไกลน่าติดตาม

ป.ล. มีคำแปลกที่ไม่เคยเห็นหลายคำจนเราต้องแอบไปเปิดพจนานุกรมดูด้วยอ่ะ 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 18-07-2015 17:29:56
ชอบเรื่องนี้มากเลย เขียนได้ดีสุดๆ อ่านเพลินดี ขอบคุณนะจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 21-07-2015 12:47:23
สนุกมากค่ะ จะมีภาค2รึเปล่าอ่ะ
ชอบคู่ฟาเบียนกับลูซิสมากๆๆๆๆ
ถึงแม้ว่าฟาเบียนจะร้ายแต่ก็ร้ายแบบไร้เดียงสามาก
คู่นี้มาแบบตอนเสริมแต่น่าติดตามมาก
จะรออ่านตอนพิเศษกับภาค2นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-05-2016 22:07:16
กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังสนุกเหมือนเดิมเลย
ไม่มีตอนพิเศษอีกแล้วใช่ไหมอ่ะ
เสียดายๆ แต่จบแค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 17-09-2018 01:38:43
สนุกมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ณ แดนสรวง ปัจฉิมบท+แจ้งข่าวหน้า 1 up 10/04/13
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-05-2019 08:55:53
:กอด1: :pig4: :กอด1: